ตอนที่ 18 : คำพูดที่คอยย้ำเตือน
-ข้าวหอม-
“ไอ้เดือนว่าไงบ้างวะ” ฝนถามเมื่อเห็นควีนเดินกลับเข้ามาในร้าน ตอนแรกก็นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยกัน แต่พอเดือนขอให้ทำอะไรสักอย่างควีนก็ลุกออกไปนอกร้านเลย
“มันให้กูสอนทำข้าวต้ม”
“ฮะ? ข้าวต้มเนี่ยนะ”
“เออ ไม่ต้องถามแล้ว กูก็งงเหมือนมึงนั่นแหละค่ะ”
“เดือนจะทำให้พี่คลื่นกินหรือเปล่า” ผมพูดตามความเป็นไปได้ เพื่อนทั้งสองคนหันมามองพร้อมกัน
“มึงจะบอกว่าที่ไอ้เดือนรีบไปหาพี่คลื่นเพราะจะไปดูแลเขาเหรอ”
“ข้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฝนกับควีนทำหน้าหนักใจ ผมเองก็หนักใจไม่แพ้กัน เดือนบอกว่าระหว่างที่เกมวิดีโอคอลยังไม่จบจะทำตัวเหมือนเดิมกับพี่คลื่น เกมจบเมื่อไหร่ค่อยตัดใจจากเขา แต่พอเห็นสิ่งที่เดือนทำวันนี้ บอกตรงๆ ว่าผมกลัวเดือนจะกลืนน้ำลายตัวเอง
“เดี๋ยวนะมึง ไอ้เดือนมันทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่เหรอ พี่คลื่นจะกินได้เหรอวะ” ฝนถามหน้าตาตื่น
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงค่ะ มีปรมาจารย์อย่างกูคอยช่วยทั้งที ต่อให้เป็นไอ้เดือนที่ไม่มีเสน่ห์ปลายจวักก็ทำได้แน่นอน”
พี่ทิวหลุดขำกับคำเยินยอตัวเองของเพื่อนผม เคลื่อนตัวไปใกล้ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนต้องการหยอกล้อ “พูดแบบนี้แปลว่าน้องควีนมีเสน่ห์ปลายจวักเยอะมากเลยสินะครับ”
“แหมพี่ทิว ตอนไปค่ายอาสาก็ได้ชิมฝีมือหนูแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ชิมไปแค่ครั้งเดียวมันตัดสินไม่ได้หรอกนะครับ”
“พี่ทิวไม่รู้อะไรซะแล้ว ตอนเด็กๆ หนูช่วยแม่เปิดร้านอาหาร โต๊ะว่างแทบไม่มี ลูกค้าเต็มร้านทุกวันเลยนะคะ”
“พูดซะพี่อยากลองไปอุดหนุนเลย”
“ถ้าพี่ทิวมาจริงหนูให้ทานฟรีเลยค่ะ โปรโมชันพิเศษเฉพาะคนหน้าตาดี”
ผมส่ายหัวให้กับโปรโมชันพิเศษของเพื่อน คิดว่าควีนคงพูดเล่นๆ กับพี่ทิวเท่านั้น ฝนที่นั่งข้างผมหันมาคุยกับพี่องศาโดยมีผมนั่งอยู่ตรงกลาง ถึงจะอยู่ในผับแต่เพราะตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งทุ่มทำให้มีเพียงเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ พวกเราเลยไม่ต้องตะโกนคุยกัน
“เอ่อ...พี่องศาคะ”
“ครับ?”
“อย่าหาว่าหนูเรื่องมากเลยนะคะ แต่พี่พาพวกหนูมานั่งที่วีไอพีแบบนี้มันจะดีเหรอคะ หนูกลัวจ่ายไม่ไหว” ฝนทำหน้าปั้นยาก ผมเองก็กำลังคิดแบบเดียวกับฝนเหมือนกัน ตอนเข้ามาในร้านพี่องศาพาพวกผมมาตรงโซนวีไอพีโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย พอผมจะทักท้วงพี่องศาก็พูดหน้าตายว่าจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าแล้ว โต๊ะอื่นในร้านก็เต็มหมดแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนโต๊ะต้องทำเรื่องยุ่งยาก
“น้องฝนไม่ต้องห่วง เจ้าของร้านนี้เป็นพ่อของเพื่อนไอ้องศา เขาให้นั่งฟรีไม่จำกัดเวลา” พี่ยี่หวาขยิบตาให้ ฝนเลยพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“พี่แม่งเรื่องมากว่ะ เขาพามาเที่ยวแล้วยังจะมีปัญหาอีก” น้องบาสยกเหล้าขึ้นดื่ม ยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนผม
“เขาเรียกเกรงใจย่ะ ไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย นายนั่นแหละสะกดคำว่าเกรงใจเป็นไหม คนชวนก็ไม่มียังจะขอตามมาด้วยอีก”
“ฝน” ผมปรามเพื่อนเบาๆ เมื่อเห็นว่าพูดแรงเกินไป
“แล้วพี่จะเดือดร้อนทำไม ผมขอพี่องศาไม่ได้ขอพี่สักหน่อย”
“นี่นายหาว่าพี่เสือกเหรอ”
“ผมยังไม่ได้พูดเลย พี่ร้อนตัวเองนะ”
“เด็กบ้า พี่องศาไม่น่าชวนมาด้วยเลย” ฝนขยับปากเหมือนพูดกับตัวเอง แต่น้องบาสดันหูดีกว่าที่คิด
“บ้าไม่บ้าก็ทำให้พี่อยากอ่อยได้แล้วกัน” พูดจบก็กระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง ยิ้มกวนๆ จนเพื่อนผมได้แต่นั่งควันออกหู
ตอนที่พวกผมกำลังจะเดินเข้าร้าน น้องบาสที่ผ่านมาแถวนี้พอดีก็เข้ามาทักทาย พอพี่ยี่หวาบอกว่าจะมาเลี้ยงฉลองปีใหม่ย้อนหลังน้องเขาก็ขอตามมาด้วย พวกรุ่นพี่น่ะไม่มีปัญหาอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาเพิ่ม มีแต่คนข้างผมนี่แหละที่ไม่รู้ไปเกลียดอะไรเขานักหนาถึงได้เอาแต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“มึงจะอยู่ถึงร้านปิดเลยไหมวะองศา กูจะได้โทรบอกรูมเมทให้นอนไปก่อนเลย” พี่ทิวถามเพื่อนตัวเอง แต่คนโดนถามกลับหันมาถามผม
“ว่าไงครับข้าว อยากอยู่ถึงร้านปิดไหม”
“มาถามผมทำไมครับ” ผมพูดเสียงเรียบพลางยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ พี่องศาเลยสั่งน้ำอัดลมมาให้แทน
“ก็พี่บอกแล้วไงว่าตั้งใจชวนเรามาโดยเฉพาะ พี่ก็ต้องตามใจเราสิ”
เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เงียบไม่ตอบอะไร ควีนเลยเป็นคนอาสาตอบแทน “พวกหนูยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่องศาเลย”
“งั้นอยู่จนร้านปิดเลยนะครับ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนชดเชยกันแล้วใช่ไหม”
“ไม่มีค่ะ” เพื่อนผมทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
“ดีเลย นานๆ ทีจะได้มาสนุกพร้อมหน้าพร้อมตากัน” พี่องศาชวนเพื่อนผมชนแก้ว ทุกคนล้วนหัวเราะอย่างสนุกสนาน ผมลุกขึ้นยืนโดยไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า ฝนที่นั่งข้างกันเลยหันมาทำหน้างง
“มึงยืนทำไมวะข้าว จะไปห้องน้ำเหรอ”
“ข้าวจะกลับแล้ว”
“ฮะ!?” ฝนกับควีนส่งเสียงพร้อมกัน
“มึงจะรีบกลับทำไมวะ พวกพี่เขาอุตส่าห์ชวนมานะเว้ย”
“ข้าวไม่ได้บอกพ่อไว้ ถ้ากลับดึกเดี๋ยวพ่อว่า”
“ไหนมึงบอกว่าคืนนี้จะไปค้างห้องไอ้เดือน เลยขอพ่อไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านไง”
ผมทำหน้าอึกอักเมื่อโดนจับได้ว่าโกหก ทุกคนบนโต๊ะมองมาเหมือนรอให้ผมพูดอะไรสักอย่าง จริงอยู่ที่วันนี้ผมจะไปค้างกับเดือน ผมกลัวเดือนคิดมากเรื่องพี่คลื่นเลยตั้งใจจะไปอยู่เป็นเพื่อน แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่เลยต้องโกหกออกไปแบบนั้น จะให้ยกเรื่องอื่นมาอ้างผมก็นึกไม่ออก
มือผมถูกดึงไปจับไว้ พอหันไปมองก็เจอเข้ากับใบหน้าเป็นห่วงของพี่องศา “ข้าวไม่สนุกเหรอครับ”
ใช่ครับ ผมไม่สนุกเลย การต้องอยู่ใกล้คนที่เรารักแต่ไม่สามารถบอกรักได้มันไม่สนุกเลยสักนิด
ผมได้แต่ตอบคำถามอีกฝ่ายในใจ ขณะที่คิดว่าจะทำยังไงดีก็มีผู้หญิงเดินมากอดคอพี่องศาจากด้านหลัง ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นดึงมือออกพลางหันหน้าหนี
“องศามากินเหล้าร้านนี้ด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกแพรวกันบ้างเลย”
“เอ่อ...เรามากับเพื่อนในคณะน่ะ มันกะทันหันเลยไม่ทันได้ชวน” พี่องศาเหลือบมามองผม พยายามเอามือคนที่ชื่อแพรวออกไปจากตัวแต่ก็ไม่สำเร็จ
“วันนี้แพรวยกโทษให้ แต่วันหลังองศาห้ามลืมชวนแพรวนะ”
“แพรว...คือว่าเรา...”
“นี่เพื่อนๆ ขององศาเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นหันมายิ้มให้ผมกับคนอื่นๆ “ยินดีที่รู้จักค่ะ แพรวเป็นเพื่อนคนละคณะขององศา ถ้าไม่รังเกียจขอร่วมโต๊ะด้วยคนนะคะ”
พี่ทิวกับพี่ยี่หวาได้แต่ทำหน้าลำบากใจ พี่แพรวไม่รอให้ใครตอบ เดินมานั่งข้างพี่องศาแทนผมที่กำลังยืนอยู่
“ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ อยากไปล้างหน้าล้างตาหน่อย” ผมหันไปบอกพี่ยี่หวาก่อนจะเดินออกมาทันที ได้ยินเสียงฝนกับควีนเหมือนจะขอตามมา แต่ผมไม่สนใจจะหันกลับไปมอง ลำพังอยู่ใกล้พี่องศาหัวใจผมก็ทรมานพอแล้ว นี่ยังต้องมาเห็นภาพที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดอีก แค่ควบคุมตัวเองไม่ให้เดินออกจากร้านได้ก็เกินพอแล้วสำหรับผม
ได้อยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วจะมีความสุข...ประโยคนี้ไม่เป็นจริงเสมอไปหรอก
ผมวักน้ำขึ้นมาลูบหน้า หวังให้มันช่วยกลบเกลื่อนคราบน้ำตาไปได้บ้าง ผมไม่รู้ว่าน้ำตาไหลลงมาเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าพอเข้ามาในห้องน้ำภาพตรงหน้าก็เบลอไปหมด
“ข้าว!” ฝนกับควีนที่เข้ามาในห้องน้ำมองผมหัวจรดเท้าอย่างตกใจ เป็นเพราะยืนคิดอะไรเพลินไปหน่อยผมเลยเผลอทำน้ำกระเด็นเปียกเสื้อกับกางเกง
“ข้าวซุ่มซ่ามเองน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวก็แห้ง”
“มึงเป็นอะไรวะ ไม่สบายเหรอ สีหน้าดูไม่ดีตั้งแต่เข้าร้านมาแล้วนะ”
“ข้าวสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร” ผมฝืนยิ้มให้เพื่อนสนิท “แล้วฝนเข้ามาได้ไง นี่มันห้องน้ำชายนะ”
“ถามมาได้ กูก็กลัวมึงจะเป็นลมในห้องน้ำน่ะสิ รู้ไหมว่าตอนเดินออกมาหน้ามึงซีดมากเลยนะ”
เห็นภาพบาดตาซะขนาดนั้น ใครจะไปทนยิ้มอยู่ได้ล่ะครับ
“วันนี้มึงดูแปลกไปนะ พี่องศาพามาเที่ยวทั้งทีแต่มึงไม่ยิ้มเลย”
“ข้าวไม่ชอบเที่ยวตอนกลางคืนควีนก็รู้”
“ไม่จริงอ่ะ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” ควีนยื่นหน้ามาใกล้เหมือนกำลังจับผิด “มึงหึงพี่องศากับพี่แพรวใช่ไหม”
“ขะ...ข้าวจะไปหึงเขาทำไม ข้าวไม่ได้เป็นอะไรกับพี่องศาซะหน่อย”
“ข้างนอกน่ะใช่” คนพูดเอามือมาจิ้มตรงอกข้างซ้ายของผม “แต่ข้างในนี้มึงไม่คิดอะไรจริงเหรอ มึงกล้าพูดหรือเปล่าว่าไม่ได้ชอบพี่องศา”
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าเพื่อนๆ กำลังสงสัยเรื่องของผมกับพี่องศา เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ พอควีนถามขึ้นมาผมเลยเผลอแสดงสีหน้าตกใจออกไป ผมไม่ตอบอะไร เอาแต่เงียบจนเพื่อนทั้งสองคนเริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก ฝนหันไปตีควีนเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้
“พวกกูไม่ได้เร่งเร้าให้มึงพูดนะเว้ย ที่ถามเพราะเป็นห่วงเฉยๆ ถ้ามึงไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”
ผมหลบตาเพื่อนก้มมองเท้าตัวเอง ระหว่างนั้นก็มีคนเดินเข้าออกห้องน้ำไม่หยุด ฝนเลยชวนผมกลับไปที่โต๊ะเพราะไม่อยากยืนขวางทาง และเกรงว่าถ้าออกมานานคนอื่นๆ อาจจะสงสัย
“ฝนกับควีนอย่าบอกพี่องศานะ”
“หือ? บอกอะไร”
“เรื่องที่ข้าวชอบเขา”
คนที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำรีบย้อนมาหาทันที ฝนที่ลืมเรื่องยืนขวางทางไปสนิทเอื้อมมือมาจับแขนผมทั้งสองข้าง “ไอ้ข้าว! เมื่อกี้มึงบอกว่าชอบพี่องศาเหรอ!”
“อืม” ผมเห็นว่าปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์ บอกไปตรงๆ เลยดีกว่า
“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“ข้าวก็ไม่รู้”
“แล้วทำไมที่ผ่านมามึงไม่บอกพวกกูเลยอ่ะ”
“ขอโทษนะ ข้าวไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหรอก แต่ข้าวคิดว่าถึงบอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดี เลยเก็บเงียบคนเดียวมาตลอด”
ควีนถอนหายใจ เดินมาจับไหล่ผมอีกคน “ที่จริงกูก็พอจะดูออกว่าพี่องศาชอบมึง แต่มึงจะชอบพี่องศาด้วยไหมกูไม่มั่นใจเลย ไม่คิดเลยว่ามึงจะพูดออกมาเองอย่างนี้”
“พี่องศาไม่ได้ชอบข้าวหรอก” ผมเถียงเพื่อนกลับไปทันควัน
“แต่การกระทำของเขามันทำให้พวกกูคิดแบบนั้น”
“ฝนกับควีนไม่เห็นพี่คลื่นเหรอ เขาทำดีกับเดือนขนาดนั้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ชอบเดือน”
“มันไม่เหมือนกัน กรณีพี่คลื่นยังเอาเรื่องเกมวิดีโอคอลมาอธิบายได้ แต่กรณีพี่องศามันจะเป็นอะไรได้อีกถ้าไม่ใช่ว่าเขาชอบมึง”
ผมเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นระริก น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกำลังจะไหลลงมาอีกครั้ง ฝนที่เห็นสีหน้าผมไม่ดีมองมาอย่างเป็นห่วง
“ข้าว...ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้นอ่ะ”
“ฝนกับควีนเข้าใจผิดแล้วล่ะ พี่องศาเขาไม่ได้คิดอะไรกับข้าว” ผมพูดเสียงสั่น
“มึงมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ใช่มั่นใจ แต่มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ข้าวไม่น่ารัก พี่องศาไม่มีทางชอบข้าวได้หรอก”
พอผมกับเพื่อนๆ กลับมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่แพรวแล้ว พี่ยี่หวาบอกว่าระหว่างที่ผมไปห้องน้ำ พี่องศาพาพี่แพรวออกไปคุยกันนอกร้าน แต่ตอนกลับมามีแค่พี่องศาคนเดียว
“พอแล้วพี่ กินเยอะเกินเดี๋ยวก็กลับไม่ได้หรอก” น้องบาสแย่งเหล้าในมือฝนไปถือ ทำหน้าเหมือนพ่อกำลังดุลูก
“ปล่อยให้มันกินไปเถอะน้องบาส อีนี่มันคอแข็ง ช้างสิบตัวยังล้มมันไม่ได้เลย”
“ใช่ อีควีนพูดถูก เพราะงั้นเอาเหล้าคืนมาได้แล้ว” ฝนคว้ามือไปจะหยิบแก้วเหล้า แต่น้องบาสเอาไปวางข้างตัวเองฝนเลยหยิบไม่ได้
“พี่กินเยอะแล้ว กินเหล้ามากๆ มันไม่ดี”
“มาร้านเหล้าก็ต้องกินเหล้าสิยะ นายจะให้สั่งผัดกะเพราหมูกรอบมากินหรือไง”
“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะพี่ ถามจริงเถอะ ปกติเพี้ยนแบบนี้อยู่แล้วป่ะ”
ฝนหน้าแดง คงโกรธที่โดนรุ่นน้องว่าเพี้ยน น้องบาสกระดกเหล้าที่ยังเหลืออยู่ของฝนรวดเดียวหมดก่อนจะรินน้ำเปล่าลงไปแทน
“ถ้าจะกินก็กินน้ำเปล่า คืนนี้ผมไม่ให้กินเหล้าแล้ว”
“สั่งเหมือนเป็นพ่อเชียวนะ นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ” ฝนเหน็บแนมรุ่นน้องเสร็จก็แลบลิ้นใส่ หันไปคุยกับคนอื่นต่อ “พี่ยี่หวาคะ ฝนว่าเราไปแดนซ์กันดีกว่า เบื่อคนขี้บ่นแถวนี้”
ฝนจูงมือพี่ยี่หวาไปเต้นบนเวทีด้วยกัน น้องบาสส่ายหน้าก่อนจะตามไปอีกคน พอฝนไม่อยู่แล้วควีนก็ลุกมานั่งข้างผมแทน โน้มหน้ามาพูดใกล้หูเพราะตอนนี้เสียงดนตรีเริ่มดังแล้ว
“ข้าว มึงยังจะไปค้างห้องไอ้เดือนอยู่ป่ะวะ”
“ไม่แล้ว เดือนส่งข้อความมาบอกว่าคืนนี้ไม่สะดวก”
“แล้วทีนี้มึงจะกลับยังไงอ่ะ”
“ข้าวก็ไม่รู้” ผมตอบเพื่อนอย่างหมดหนทาง ที่ผมอยู่ถึงห้าทุ่มนี่ไม่ใช่เพราะอยากอยู่ แต่ยังหาวิธีกลับบ้านไม่ได้ต่างหาก จะโทรให้พ่อมารับโทรศัพท์ผมก็แบตฯ หมด พอจะยืมของฝนกับควีน คนหนึ่งก็แบตฯ หมดเหมือนกัน อีกคนก็ไม่มีเงินโทรศัพท์
“กูว่ามีทางเดียวแล้วล่ะ มึงต้องให้พี่องศาไปส่ง”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” ถึงจะไม่เต็มใจแต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“งั้นขอให้โชคดีนะมึง”
“หือ? ทำไมควีนพูดเหมือนจะไม่กลับกับข้าวเลยล่ะ”
“กูกับฝนแล้วก็น้องบาสจะให้พี่ทิวไปส่ง พวกกูคุยกันแล้ว”
“อ้าว! ทำไมทิ้งให้ข้าวกลับกับพี่องศาแค่สองคนอ่ะ”
“ก่อนจะถามมึงหันไปดูหน้าพี่องศาก่อน ตั้งแต่มึงกลับมาจากห้องน้ำเขาก็เอาแต่มองมึงหน้าบึ้ง พวกกูคงกล้ากลับด้วยหรอก”
ผมลองหันไปมองตามที่ควีนบอก ก่อนจะพบว่าพี่องศากำลังมองผมอยู่จริงๆ ใบหน้านิ่งเรียบเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง
“เหมือนเขามีเรื่องอยากคุยกับมึงนะ”
“ไม่ใช่หรอก ควีนคิดมากเกินไปแล้ว”
“มึงนั่นแหละคิดน้อยเกินไป” ควีนพูดจบก็ลุกขึ้นยืนทันที “กูหนีก่อนดีกว่า เคลียร์กันเองนะมึง”
“อ้าวควีน!”
“พี่ทิวคะ เราไปแดนซ์กันด้วยดีกว่า หนูเห็นอีฝนโชว์ลีลาอยู่คนเดียวแล้วยอมไม่ได้”
พี่ทิวทำหน้างง แต่ก็ยอมเดินตามควีนไปรวมกลุ่มกับพวกฝนที่กำลังเต้นบนเวทีอย่างเมามัน ตอนนี้ทั้งโต๊ะเลยเหลือแค่ผมกับพี่องศา ผมชำเลืองหางตาไปมองอีกครั้ง พี่องศายังมองผมเหมือนเดิมไม่ละสายตาไปไหน ผมทำเป็นยกน้ำอัดลมมาดื่ม ในใจรู้สึกอึดอัดจนอยากเดินออกจากร้านให้รู้แล้วรู้รอด
“ข้าวเป็นอะไร” พี่องศาพูดประโยคแรกหลายจากนั่งเงียบมาหลายชั่วโมง
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”
“ไม่จริงอ่ะ ข้าวกำลังไม่พอใจพี่”
“พี่องศาไม่ได้ทำอะไร ทำไมผมต้องไม่พอใจด้วยล่ะครับ”
“ก็นั่นแหละที่พี่ไม่รู้ พี่คิดมาตั้งนานแล้วยังคิดไม่ออกเลย ข้าวโกรธอะไรบอกพี่มาตรงๆ สิครับ”
“ผมไม่ได้โกรธพี่องศา”
“พี่ไม่เชื่อ” ร่างสูงเคลื่อนตัวมาแนบชิดจนแทบไม่มีช่องว่าง พอผมจะขยับหนีพี่องศาก็เอื้อมมือมาโอบเอวเอาไว้ “โกรธเรื่องแพรวเหรอ”
“ปะ...เปล่าครับ”
“แล้วทำไมข้าวดูไม่ค่อยสนุกเลย”
“ผม...ผมไม่ชอบเที่ยวกลางคืน” ผมไม่กล้าพูดเหตุผลที่แท้จริงเลยยกเรื่องนี้มาอ้าง
“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ” พี่องศาทำหน้าเหลอหลา
“พี่เคยถามผมไหมล่ะครับ เอาแต่จะพาผมมาท่าเดียว”
“งั้นข้าวอยากกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับแท็กซี่ได้”
“จะกลับยังไง กลับไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”
“กลับเองบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเองครับ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกจากร้าน แต่แรงกระตุกที่ฝ่ามือทำให้ผมเสียหลักจนล้มไปนั่งตักคนตัวสูง
“พี่จะไปส่ง”
“ไม่เป็นไร...”
“ข้าวหอม” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหู ใบหน้าที่โน้มมาใกล้ฉายแววไม่พอใจ “อย่าดื้อกับพี่ครับ เราก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเถียงพี่ไปก็ไม่ชนะ”
ผมเม้มปากแน่น รู้สึกพ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างหมดท่า พี่องศาที่เห็นผมไม่ตอบอะไรยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะบอกให้ผมรออยู่ที่นี่แล้วเดินไปบอกลาคนที่อยู่บนเวที
กับพี่องศาผมไม่เคยชนะหรอก ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันชนะ ไม่สิ...ไม่ต้องเป็นพี่องศาก็ได้ จะกับใครผมก็เอาชนะใจไม่ได้ทั้งนั้น
(มีต่อนะครับ)