ตอนที่ 25 : ดอกทานตะวันกับคุณดวงอาทิตย์
-ข้าวหอม-
ผมนั่งเอาคางเกยบนแขน ตามองคุณพ่อที่กำลังจดจ่ออยู่กับงานในคอมพิวเตอร์ เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะก็แกว่งไปมา
“ไม่เบื่อหรือไง พ่อเห็นลูกนั่งเฉยๆ มาเป็นชั่วโมงแล้วนะ” คุณพ่อหันมาทักพลางยกยิ้ม ผมส่ายหัวกลับไป ได้นั่งมองพ่อแบบนี้ก็เพลินดี
“ข้าวอยากอยู่กับพ่อครับ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ลูกดูแปลกไปนะ”
ผมยิ้มให้คุณพ่ออีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าผมจะไม่ตอบอะไรพ่อก็หันไปสนใจงานของตัวเองต่อ ในตอนนั้นเองรอยยิ้มก็ค่อยๆ หายไปจากใบหน้าผม ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับความคิดมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในหัวอีกครั้ง
คุณแม่ผมเสียตั้งแต่ผมอายุห้าขวบ ผมเลยโตมากับคุณพ่อที่แทบจะเป็นทุกอย่างให้ในชีวิต ถึงภายนอกพ่อผมจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่ผมที่ใกล้ชิดกับพ่อมาทั้งชีวิตรู้ว่าจริงๆ แล้วท่านเป็นคนที่ทั้งใจดีและอ่อนโยน คุณพ่อเลี้ยงดูผมมาอย่างดีชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม อาจจะเพราะต้องการทดแทนส่วนของคุณแม่ที่ขาดหายไปด้วย การมีคุณพ่ออยู่เคียงข้างในทุกช่วงเวลาจึงทำให้ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรเลย
ผมเคยคิดว่าถ้าจะมีแฟนก็อยากได้แฟนที่มีนิสัยคล้ายคุณพ่อ แต่ยังไม่ทันได้หาก็ต้องมาเจอคำด่าทอมากมายจนผมล้มเลิกความคิดนั้นไปนานแล้ว จนกระทั่งสายตาผมหันไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง...ประตูหัวใจที่คิดว่าถูกปิดตายไปแล้วก็เปิดออกได้ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ
ความคิดแรกที่ผมมีต่อพี่องศาคือผู้ชายคนนี้ช่างดูสดใสเหลือเกิน เวลาเห็นเขายิ้มผมมักจะรู้สึกเหมือนได้พลังบวกกลับมา ราวกับดอกทานตะวันที่กำลังหันหน้ารับแสงอาทิตย์ นับตั้งแต่นั้นผมก็คอยเฝ้ามองเขามาตลอด เก็บเอารอยยิ้มของเขามาเป็นกำลังใจเพื่อต่อสู้กับสังคมอันโหดร้ายที่ผมต้องเผชิญทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งคนที่ผมมองอยู่ห่างๆ กลับเดินเข้ามาหาเสียเอง กลายเป็นผมที่ถูกความกลัวสั่งให้หนีออกห่างจากเขาให้มากที่สุด
ดอกทานตะวันต้องการแสงแดดเพื่อดำรงชีวิต แต่หากดวงอาทิตย์เคลื่อนมาใกล้มากเกินไป แสงแดดที่เป็นคุณมาตลอดอาจเปลี่ยนเป็นโทษที่จะแผดเผาดอกทานตะวันไม่ให้เหลือแม้แต่เศษเมล็ด
ผมไม่เคยมองคนในสังคมเป็นมิตร จะมีข้อยกเว้นก็แค่คุณพ่อ เพื่อนสนิททั้งสามคน รวมถึงพี่องศาที่ผมไม่รู้ว่าเผลอให้ใจไปตอนไหน การได้แอบมองพี่องศาจากที่ไกลๆ มันดีมากพอแล้วสำหรับผม เพราะอย่างนั้นเมื่อพี่องศาบอกว่าชอบผม จิตใต้สำนึกที่หวาดกลัวความผิดหวังจึงทำให้ผมปฏิเสธกลับไปทันที
ผมให้พี่องศาเป็นเซฟโซนมาตลอด ถ้าเราสองคนพัฒนาความสัมพันธ์มากไปกว่านี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะทำใจไม่ได้หากวันหนึ่งเราต้องเลิกรากันจนเขาไม่สามารถเป็นเซฟโซนของผมได้อีกต่อไป
“หิวหรือเปล่า พ่อทำอะไรให้กินไหม”
ผมส่ายหัวอีกครั้ง เดินไปนั่งบนพื้นข้างเก้าอี้ที่คุณพ่อนั่งอยู่ เอาหน้าวางบนตักอย่างที่ชอบทำประจำ วันนี้ไม่มีเรียนผมจึงอยู่บ้านกับพ่อทั้งวัน ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มก็จริง แต่คุณพ่อคงเห็นผมทานข้าวเย็นน้อยเลยถามอย่างนี้
ผมมองดูงานของคุณพ่อในคอมพิวเตอร์ ตัวอักษรอะไรก็ไม่รู้ที่เต็มหน้าจอทำให้ผมเผลอย่นคิ้ว คุณพ่อเอามือมาวางบนหัว ลูบไปมาเบาๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ
“เป็นอะไรหืม ปกติไม่เคยอ้อนพ่อขนาดนี้นะ”
“มีเรื่องคิดมากนิดหน่อยน่ะครับ” ผมวาดมือไปกอดเอวพ่อไว้หลวมๆ พ่อก็ยังเป็นพ่อวันยังค่ำ ต่อให้ลูกเปลี่ยนไปนิดเดียวก็รู้ได้ทันที
“เรื่องเรียนเหรอ หรือเรื่องเพื่อน”
ผมส่ายหัวกับหน้าตักของคุณพ่อ ได้อยู่อย่างนี้แล้วสบายใจจัง คิดไม่ผิดที่ปฏิเสธคำชวนไปว่ายน้ำของฝนแล้วอยู่กับพ่อที่บ้าน
“หรือจะเป็นเรื่องขององศา”
ผมผละใบหน้าออกจากตักทันที เงยหน้าไปมองคนที่ยิ้มเหมือนรู้ทุกอย่าง “พ่อรู้ได้ไงครับ”
“ชีวิตลูกมีอยู่ไม่กี่อย่าง ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วจะเป็นอะไรได้ล่ะ”
ผมกับคุณพ่อสนิทกันก็จริง แต่ผมไม่เคยเอาเรื่องโดนบูลลี่หรือเรื่องพี่องศามาปรึกษาพ่อเลย ถึงแม้ผมจะอายุยี่สิบแล้วแต่พ่อก็ยังดูแลผมไม่ต่างจากตอนเด็กๆ ผมจึงอยากพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุดเพื่อที่พ่อจะได้เห็นว่าผมโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว พอคุณพ่อมาพูดเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วแบบนี้ผมเลยอดตกใจไม่ได้
“ไม่พอใจที่พ่อให้เขามารับส่งลูกเหรอ”
“เปล่าครับ ข้าวแค่สงสัยว่าทำไมพ่อถึงยอม ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อไม่เคยจ้างคนขับรถเลย”
ผมไม่ได้กำลังคิดมากเรื่องนี้ แต่ที่ถามไปเพราะผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ตอนผมอยู่มัธยมปลายเคยมีช่วงหนึ่งที่คุณพ่องานยุ่งมาก เมื่อไม่มีเวลาไปส่งผมที่โรงเรียนจึงจ้างคนขับรถมาแทน แต่คนที่คุณพ่อจ้างมากลับนิสัยไม่ดี ชอบขูดรีดเงินค่าขนมผมทุกวันแถมยังข่มขู่ไม่ให้ผมบอกเรื่องนี้กับใคร เมื่อคุณพ่อรู้ความจริงจึงไล่คนขับรถออกทันที หลังจากนั้นต่อให้ตารางชีวิตจะยุ่งแค่ไหนพ่อก็จะไปรับส่งผมด้วยตัวเองตลอด ผมถึงได้แปลกใจที่คุณพ่อกล้าไว้ใจพี่องศาที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก
“อืม...นั่นสินะ คงเพราะสายตาที่ข้าวมองพี่เขาล่ะมั้งถึงทำให้พ่อยอมให้เขามารับส่งลูก” คุณพ่อยิ้มบางๆ ต่างกับผมที่ตะลึงตาค้างไปเรียบร้อย
“พะ...พ่อรู้เหรอครับ”
“พ่อเลี้ยงข้าวมากับมือ ข้าวชอบใครรักใครทำไมพ่อจะไม่รู้” คนพูดหันเก้าอี้มาทางผม อะไรบางอย่างในแววตากำลังบอกว่าคุณพ่อรู้ความในใจผมจริงๆ ไม่ได้โกหก
“พ่อรู้เหรอครับว่าข้าวชอบพี่องศาแบบไหน”
“รู้สิ”
“แล้วพ่อผิดหวังในตัวข้าวไหมครับ”
“พ่อไม่เคยผิดหวังในตัวลูกเลยสักครั้ง” คำพูดของคุณพ่อเหมือนจะเหมารวมเรื่องทุกอย่างในชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องนี้
“พ่อรู้ว่าข้าวชอบเขาเลยอนุญาต แล้วพ่อไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีบ้างเหรอครับ”
“พ่อเชื่อว่าลูกไม่มีทางชอบคนไม่ดีแน่นอน และเหนือสิ่งอื่นใดคือพ่อรู้ว่าองศาเองก็ใจตรงกับลูก พ่อถึงกล้าไว้ใจเขา” คุณพ่อพูดอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน สายตาที่มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งกำลังมองมาอย่างสงสัย “เรื่องนี้เหรอที่ลูกกำลังคิดมาก พ่อว่าไม่น่าใช่นะ”
“ข้าว...ข้าวไม่กล้าทำตามใจตัวเองครับ” ผมยอมรับว่าการกระทำของพี่องศาทำให้กำแพงในใจอ่อนยวบลงไปได้เยอะ แต่ถึงอย่างนั้นความกลัวที่กัดกินหัวใจมาเนิ่นนานก็ยังไม่หายไปซะทีเดียว
“ทำไมล่ะ ถ้าลูกจะมีแฟนพ่อไม่เคยกีดกันนะ ขอแค่ลูกไม่ทิ้งการเรียนและเขาคนนั้นดูแลลูกของพ่อได้ก็พอ”
ผมหลบตาคุณพ่อ ก้มหน้าลงแนบบนตัก เม้มปากแน่นเมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ผมกังวลอยู่ตอนนี้ “ข้าวคิดว่าข้าวไม่ดีพอสำหรับเขาครับ”
“อะไรทำให้ลูกคิดแบบนั้น”
“ข้าวไม่น่ารัก ข้าวหน้าตาไม่ดี ข้าวไม่อยากให้พี่องศาโดนคนอื่นนินทาว่ามีแฟนขี้เหร่”
คุณพ่อทำหน้าตกใจ รีบช้อนตัวผมขึ้นมามองหน้าทันที “ทำไมลูกคิดแง่ลบกับตัวเองแบบนี้ล่ะ”
“ข้าว...” ผมอึกอัก ไม่มั่นใจว่าควรบอกความจริงดีไหม
“ข้าวหอม ลูกเป็นอะไรไป”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงทำให้น้ำตาผมไหลลงมาอย่างสุดจะกลั้น ผมตั้งใจจะไม่ทำตัวอ่อนแอให้พ่อเห็น แต่กับเรื่องนี้มันเกินจะทนจริงๆ ผมร้องไห้เหมือนอัดอั้นมานานจนคุณพ่อเริ่มทำหน้าไม่ถูก
“ข้าวหอมฟังพ่อนะ” คุณพ่อดึงผมเข้าไปกอด สัมผัสแผ่วเบาที่กำลังลูบหลังราวกับต้องการปลอบโยน “พ่อไม่รู้ว่าทำไมลูกถึงคิดอย่างนั้น แต่พ่อกล้ายืนยันว่าข้าวเป็นเด็กน่ารัก น่ารักในที่นี้หมายถึงนิสัยไม่ใช่หน้าตา พ่อไม่ได้ชมในมุมมองของพ่อลูก แต่เป็นมุมมองของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กคนนึง พ่อดูแลลูกมาทั้งชีวิต พ่อรู้ดีที่สุดว่าลูกของพ่อน่ารักแค่ไหน”
ผมค่อยๆ ยื่นมือไปกอดคุณพ่อ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุดจนเสื้อของคนที่ถูกผมกอดเปียกไปหมด ผมรู้มาตลอดว่าพ่อกับเพื่อนๆ ไม่เคยคิดร้ายกับผม แต่ผมกลับเลือกที่จะฟังเสียงของคนอื่นมากกว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เสียงเหล่านั้นเข้ามามีอิทธิพลจนผมหลงลืมไปว่าเสียงที่ควรฟังที่สุดคือเสียงของคนที่รักเราจริงๆ
“ข้าวหอมของพ่อควรค่าแก่การถูกรักและรักใครสักคน ความรักของลูกไม่เคยไร้ค่า และพ่อเชื่อว่าองศาเองก็คิดเหมือนกัน เพราะงั้นลูกจงเป็นลูกในแบบนี้เถอะ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการปิดกั้นหัวใจเลย”
“ข้าวขอโทษ...ฮึก...ข้าวขอโทษครับพ่อ...”
คุณพ่อดึงผมออกจากตัว เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาพลางยกยิ้ม “คนที่ลูกควรขอโทษคือตัวเองต่างหาก หลังจากนี้ก็ให้โอกาสตัวเองได้มีความสุขบ้าง พ่ออยากเห็นลูกมีความสุขนะ”
ทุกประโยคที่คุณพ่อเอื้อนเอ่ยราวกับเป็นสายน้ำที่ชะล้างคราบโคลนออกไป เหลือไว้เพียงหัวใจอันบอบบางที่รอใครสักคนมาเยียวยา ผมโผกอดพ่อตัวเองอีกรอบ ยิ่งได้ยินคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดีผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ทั้งที่พ่อคอยเฝ้าดูแลทะนุถนอมผมมาทั้งชีวิต แต่ผมกลับปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาทำร้ายหัวใจได้ง่ายๆ
“รู้ไหมว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงตั้งชื่อลูกว่าข้าวหอม”
ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมากับท้องของคุณพ่อ ตอนนี้ผมหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังสะอื้นอยู่เลยไม่อยากพูดอะไร
“คนเราต้องกินข้าวทุกวัน ข้าวเป็นอาหารหลักที่คนไทยขาดไม่ได้ พ่ออยากให้ลูกเป็นคนสำคัญของใครสักคนเหมือนที่เป็นให้พ่อแม่เลยตั้งชื่อนี้ให้ และคนๆ นั้นก็ต้องให้ลูกเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเช่นกัน”
ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความรักของคุณพ่อที่ถูกส่งมาทางคำพูด ไม่ต้องพูดอะไรต่อผมก็เข้าใจความหมายได้ทันที คนสำคัญที่คุณพ่อหมายถึงคงเป็นคนที่พร้อมจะดูแลผมถึงแม้พ่อจะไม่อยู่แล้วก็ตาม ผมคิดว่าผมเจอแล้วนะ...แต่จะใช่จริงหรือเปล่าคงต้องดูกันไปอีกหน่อย
นับแต่นี้ไปผมจะเลิกใจร้ายกับตัวเอง ผมจะหันมารักตัวเองให้สมกับที่ทุกคนคอยมอบความรักให้ผมเสมอมา
“มึงว่ามันเป็นไบโพล่าร์หรือเปล่า” ฝนถาม
“กูวางสองร้อย ใช่แน่นอน” ควีนพยักหน้า
“พวกมึงจะจิกกัดทำไม เพื่อนเลิกคิดมากก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” เดือนหันไปดุทั้งสองคน
“เออ มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ แต่กูแค่อยากรู้ว่าอะไรทำให้มันเลิกคิดมากแล้วอารมณ์ดีได้ขนาดนี้”
ไม่ต้องงงกันหรอกครับ คนที่เพื่อนๆ กำลังพูดถึงคือผมเอง วันนี้ตั้งแต่เช้าผมเอาแต่ยิ้ม อาการผมคงชัดเจนจนเพื่อนๆ สังเกตเห็น ฝนกับควีนเลยซักถามไม่หยุดแต่ผมก็ไม่คิดจะตอบอะไร
ไม่ได้จะปิดบังนะครับ เพียงแต่ผมอยากคิดทบทวนให้ตัวเองมั่นใจจริงๆ ก่อนถึงค่อยบอกเพื่อน
“มีเรื่องดีๆ เหรอคะคุณข้าวหอม ถึงได้ยิ้มไม่หุบทั้งวันแบบนี้” ควีนเอื้อมมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ ทั้งปากทั้งตาแซวผมเต็มที่
“หรือเมื่อวานมึงแอบไปเดตกับพี่องศาสองคน ถึงได้ไม่ไปว่ายน้ำกับกู” ฝนจ้องหน้าอย่างคาดคั้น แต่แทนที่จะกลัวผมกลับหัวเราะออกมา
“ไม่ใช่ซะหน่อย เมื่อวานข้าวอยู่บ้านทั้งวัน”
“งั้นก็ไม่ใช่เรื่องพี่องศา” ฝนยกมือมาลูบคาง “หรือพ่อมึงให้ค่าขนมเพิ่มวะ”
“อีฝน ข้าวมันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะที่จะมาดีใจกับเรื่องแค่นี้ ถ้าบอกว่าพ่อถูกหวยยังพอจะเป็นไปได้มากกว่า”
“แต่พ่อข้าวไม่เคยเล่นหวยนะ”
“โอ๊ย! กูแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ ค่ะ พอแล้ว ถามมึงไปก็ไม่ได้คำตอบ ดูผู้ชายในไอจีให้กระชุ่มกระชวยหัวใจดีกว่า” ควีนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำท่าจะกดเข้าไปดูอินสตาแกรมจริงๆ แต่พอเห็นคนที่กำลังเดินมาทางนี้เดือนก็กระตุกยิ้ม
“จะดูผู้ชายในไอจีทำไมในเมื่อมีผู้ชายในชีวิตจริงมาหามึงถึงที่”
“ใครมาหากู?”
“สวัสดีครับน้องๆ”
ควีนรีบหันไปมองเจ้าของเสียงจนผมกลัวว่าคอจะเคล็ด พี่ทิวยิ้มรับพวกผมที่ยกมือไหว้ก่อนจะนั่งลงข้างควีน เพื่อนผมยังเอาแต่มองพี่เขาตาค้าง สงสัยจะลืมผู้ชายในอินสตาแกรมไปแล้วเรียบร้อย
“แหม เดี๋ยวนี้ขยันมาคณะหนูบ่อยจังเลยนะคะ พี่ทิวตั้งใจมาหาใครหรือเปล่า” ฝนถามพี่ทิวแต่ตาจ้องเพื่อนตัวเอง ควีนก็เอาแต่ส่งสายตาให้หยุดพูด แต่คิดเหรอครับว่าฝนจะยอมฟัง
“ไอ้คลื่นให้พี่มาหาน้องๆ ก่อนครับ พวกมันคุยงานกับอาจารย์อยู่ อีกสักพักคงตามมา” คำว่าพวกมันของพี่ทิวคงไม่ได้มีแค่พี่คลื่นแน่ ผมใจเต้นแรงนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าพี่องศาจะมากินข้าวด้วย
“อ้าว งั้นพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจมาหาใครน่ะสิคะ” ฝนทำหน้าเซ็งเมื่อตั้งใจจะชงแต่ไม่สำเร็จ
“ใครบอกครับ” พี่ทิวพูดจบก็เอื้อมมือไปโอบไหล่คนข้างๆ “พี่อยากมาหาแม่ครัวมือฉมังต่างหาก วันก่อนช่วยแม่พี่ทำกับข้าวเสร็จแล้วหนีกลับบ้านไปเลย ไม่ยอมอยู่กินข้าวด้วยกัน”
พวกผมสามคนหันไปมอง ‘แม่ครัวมือฉมัง’ เป็นตาเดียว ควีนหันไปส่ายหน้าให้พี่ทิวรัวๆ ราวกับไม่อยากให้เจ้าตัวพูดอะไรไปมากกว่านี้
“ควีนมันหนีกลับทำไมเหรอคะ” ฝนฉลาดนะครับ คงรู้ว่าถามเพื่อนตัวเองไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยถามพี่ทิวแทน
“น่าจะเพราะพี่แนะนำควีนกับแม่ว่าเป็นคนที่พี่กำลังจีบ ควีนเลยไม่พอใจพี่”
“หา!!!” ฝนกับเดือนอุทานพร้อมกัน ผมไม่ได้อุทานแต่ก็เบิกตาโพลงเช่นกัน ถึงจะพอเดาได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาได้ยินจากปากเจ้าของเรื่องตรงๆ พวกผมก็อดตกใจไม่ได้
“พี่ทิวชอบไอ้ควีนเหรอครับ”
“ครับ พี่ชอบควีน” ปากตอบเดือนแต่ตาหันไปมองเจ้าของชื่อ ควีนรีบแย้งขึ้นมาทันทีถึงแม้จะหน้าแดงก่ำก็ตาม
“พี่จะมาชอบหนูได้ไง หนูเป็นกะเทยนะ”
“เรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรด้วยครับ พี่ชอบน้องควีนเพราะน้องน่ารัก ไม่ได้ชอบเพราะเพศซะหน่อย”
“แต่...แต่หนูบ้าผู้ชายนะ พี่คลุกคลีกับกลุ่มหนูมานานน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าหนูแรดแค่ไหน”
“เพราะรู้ว่าน้องเป็นคนยังไงพี่ถึงได้ชอบไงครับ” พี่ทิวยิ้มให้ควีนเหมือนลืมไปว่าพวกผมนั่งอยู่ด้วย “เวลาอยู่กับควีนรู้ไหมว่าพี่หุบยิ้มไม่ได้เลย ควีนเป็นคนอารมณ์ดี ชอบทำให้คนรอบข้างหัวเราะตลอด เวลาทำอาหารก็ตั้งใจสุดฝีมือ พี่ชอบควีนเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้สนว่าควีนจะเป็นเพศอะไรเลย”
แก้มทั้งสองข้างของควีนแดงยิ่งกว่าเดิม ท่าทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ ปกติเวลาควีนถูกใจใครจะเข้าไปจีบหรือแซวเล่นตลอด ซึ่งทุกครั้งก็มักจะได้แห้วกลับมาเสมอ ควีนบอกว่าไม่เคยเสียใจกับเรื่องพวกนี้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พี่ทิวเป็นคนแรกที่ทำให้ควีนเสียอาการได้ขนาดนี้ คงเพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับควีนมาก่อน
“พี่จริงจังกับมันไหมคะ หรือเห็นมันชอบเต๊าะเล่นๆ พี่เลยเล่นไปตามน้ำเฉยๆ” ถึงแม้จะเพิ่งแซวเพื่อนไป แต่ฝนคงเป็นห่วงความรู้สึกของควีนเหมือนกัน ถ้าพี่ทิวพูดถึงขนาดนี้แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าทุกอย่างคือเรื่องขำๆ ต่อให้เป็นคนสบายๆ อย่างควีนก็คงขำไม่ออก
“ถ้าไม่จริงจังพี่จะพาเข้าบ้านไปหาแม่ทำไมล่ะครับ”
แค่หนึ่งประโยคของพี่ทิวก็ทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาทันที พวกเราสามคนหันมามองหน้ากัน เห็นแววสละโสดของเพื่อนอยู่รำไร
“ละ...แล้วแม่พี่ว่ายังไงบ้างคะ” ควีนถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ก็ไม่ว่ายังไง” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เพื่อนผมหน้าเสีย “แค่บอกว่าจีบให้ติดให้ได้ แม่จะได้มีลูกสะใภ้คอยช่วยงานในครัว”
“พี่ทิว!” ตอนนี้ใบหน้าควีนแดงไปหมด อย่าว่าแต่ควีนเลย พวกผมฟังเฉยๆ ยังอดเขินไม่ได้
“เรายังไม่ตอบพี่เลยนะ ที่ถามวันก่อนว่าขอจีบได้ไหม ตกลงคำตอบว่ายังไงครับ”
“พี่ไม่ต้องถามอีควีนหรอกค่ะ มันอยากมีผัวมานานแล้ว หนูว่าพี่ไปเตรียมค่าสินสอดไว้เลยดีกว่า”
“อีฝน! พูดมากเกินไปแล้ว” ควีนหันไปดุฝน ส่วนพี่ทิวก็เอาแต่ขำ
“ตกลงอนุญาตนะครับ พี่จะได้เดินหน้าจีบเต็มกำลัง”
พี่ทิวพูดซะขนาดนี้ แถมยังมีสายตาพวกผมคอยแซวอีก ควีนที่ทำอะไรไม่ถูกเลยลุกขึ้นทำท่าจะหนี
“อ้าว จะไปไหนล่ะ ตอบพี่มาก่อนสิครับ”
“จะไปซื้อหวานเย็น หนูหิว”
“งั้นพี่ฝากซื้อหวานเย็นเหมือนกัน” พี่ทิวยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่บอกคนขายให้ใส่หวานใจที่ชื่อควีนมาด้วยนะ”
“พี่ทิว...บ้า” คนไม่บ้าพูดแค่นั้นแล้วรีบเดินหนีไปร้านน้ำแข็งไสทันที พี่ทิวได้แต่ขำตามไป ก่อนจะทำหน้างงเมื่อหันมาเห็นพวกผมมองยิ้มๆ
“ครับ?”
“รู้ไหมครับว่าพี่เป็นคนแรกที่ทำให้ไอ้ควีนเขินได้ ปกติมันสู้ผู้ชายทุกคนไม่ถอย แต่พอเป็นพี่มันกลับเอาแต่เขินพูดผิดๆ ถูกๆ”
“งั้นเหรอครับ พี่ควรดีใจสินะ” พี่ทิวพูดไปยิ้มไป “แต่พี่ว่าเดือนน่าจะดีใจกว่าพี่นะ”
“หืม? ทำไมครับ”
“คบกับไอ้คลื่นแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อเช้าหน้ามันบานเป็นจานดาวเทียมเลย พอถามว่าเป็นอะไรก็บอกว่าง้อคนงอนสำเร็จจนได้เป็นแฟนแล้ว”
ผมอมยิ้มเมื่อเดือนโดนแซวไปด้วยอีกคน เดือนได้แต่ยิ้มเขินๆ กลับไป เมื่อวานเดือนส่งข้อความมาบอกพวกผมแล้วว่าเพิ่งตกลงคบกับพี่คลื่น ฝนบอกว่าตอนรู้ข่าวกรี๊ดซะลั่นหอจนเจ้าของหอนึกว่าโจรขึ้นห้อง
หลังจากที่ควีนกลับมาไม่นานเพื่อนพี่ทิวก็ตามมา พี่คลื่นนั่งข้างเดือน พี่ยี่หวานั่งข้างฝน ส่วนพี่องศา...ไม่ต้องบอกก็คงรู้นะครับว่ารายนี้เลือกนั่งข้างใคร
“เดือน ฝน ควีน” คนถูกเรียกชื่อหันมามองพร้อมกัน ผมส่งยิ้มไปให้ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ”
ไม่ใช่แค่เพื่อนผมที่ทำหน้างง คนอื่นในโต๊ะก็งงไม่ต่างกัน พี่องศาหันมามองผม คงห่วงว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจอีกหรือเปล่า
“พี่องศาด้วย ขอบคุณนะครับ”
คนตัวสูงทำตาปริบๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย “ข้าวขอบคุณพี่ทำไมครับ”
ผมได้แต่ยิ้มก่อนจะหันมากินข้าวเหมือนเดิม ปล่อยให้คนถูกขอบคุณทั้งสี่คนงงกันต่อไป
ขอบคุณที่ช่วยดึงผมขึ้นมาจากฝันร้าย ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้ว่าในความมืดมิดยังมีแสงสว่างที่คอยโอบกอดผมอยู่
(มีต่อนะครับ)