พิมพ์หน้านี้ - รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- Special Part 1 [05/Oct/2022]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: earthxxide ที่ 08-04-2022 00:47:32

หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- Special Part 1 [05/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 08-04-2022 00:47:32
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม

-earthxxide-


✧*:・ ゚สารบัญ ゚・:*✧

ตอนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4061876#msg4061876)

ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4061894#msg4061894) / ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4061922#msg4061922) / ตอนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4061940#msg4061940)
ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4061953#msg4061953) / ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4061971#msg4061971) / ตอนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062005#msg4062005)
ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062037#msg4062037) / ตอนที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062098#msg4062098) / ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062602#msg4062602)
ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062636#msg4062636) / ตอนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062642#msg4062642) / ตอนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062654#msg4062654)
ตอนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062659#msg4062659) / ตอนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062672#msg4062672) / ตอนที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062690#msg4062690)
ตอนที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062700#msg4062700) / ตอนที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062723#msg4062723) / ตอนที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062736#msg4062736)
ตอนที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062749#msg4062749) / ตอนที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062759#msg4062759) / ตอนที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062767#msg4062767)
ตอนที่ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062801#msg4062801) / ตอนที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062814#msg4062814) / ตอนที่ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062829#msg4062829)
ตอนที่ 26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062848#msg4062848) / ตอนที่ 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062855#msg4062855) / ตอนที่ 28 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062873#msg4062873)
ตอนที่ 29 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062893#msg4062893) / ตอนที่ 30 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4062950#msg4062950)
Special 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73128.msg4063014#msg4063014)


✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

ขอให้มีความสุขและสนุกกับการอ่านนะครับ ^^



หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 1 [08/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 08-04-2022 01:04:21
ตอนที่ 1 : รางวัลของคนชนะ





     “มึง กูจะเป็นลมแล้วนะ ทำไมพี่คลื่นถึงหล่อวัวตายควายล้มขนาดนี้วะ” คนตรงหน้ามองโทรศัพท์แล้วอมยิ้ม เสียงแหลมๆ ของมันทำให้เพื่อนที่นั่งข้างๆ ชะโงกหน้ามาดูโทรศัพท์แล้วยิ้มตาม

     “แบบนี้ไม่ใช่คนแล้วค่ะ เขาเรียกเทพบุตรกลับชาติมาเกิด”

     “กูนี่อิจฉาแฟนในอนาคตของเขาเลยว่ะ คนอะไรไม่รู้ดีไปหมดทุกด้าน หน้าตาก็ดี เรียนก็เก่ง กีฬาก็เล่นเป็น ถ้าได้เป็นแฟนนะกูจะตามไปนั่งเฝ้าเช้ากลางวันเย็นเลย”

     “เดือนเอาน้ำไหม เดี๋ยวข้าวไปซื้อให้”

     ผมหันไปมองข้าวหอมหรือเพื่อนสนิทของผม ดูเหมือนข้าวหอมเองก็คงรำคาญไอ้พวกนี้เหมือนกันเลยตัดปัญหาด้วยการหนีไปซื้อน้ำ

     “เราเอาน้ำเปล่าละกัน ขอบคุณนะ”

     “เฮ้ยข้าว กูขอชาเขียวด้วย”

     “กูขอนมเย็น”

     ข้าวหอมหันไปมองเพื่อนอีกสองคน ทำหน้าเอือมผิดกับตอนคุยกับผม “ฝนกับควีนก็เดินไปซื้อเองสิ”

     “อ้าว อะไรวะ ทีไอ้เดือนมึงยังซื้อให้ได้เลย”

     “ก็ฝนกับควีนเอาแต่พูดเรื่องผู้ชายไม่หยุดอ่ะ ข้าวไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยเนี่ย”

     “คุณข้าวคะ มึงต้องมาเห็นรูปที่พี่คลื่นอัพลงไอจีวันนี้ ถ้ามึงเห็นนะมึงจะเพ้อยิ่งกว่าพวกกูอีก”

     ข้าวหอมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจก่อนจะไปซื้อน้ำตามที่บอกไว้ พอไม่มีคนให้ระบายความในใจแล้วพวกมันเลยหันมาพร่ำเพ้อกับผมแทน

     “กูไม่ได้พูดเกินไปนะมึง พี่คลื่นเขาหล่อจริงๆ นะเว้ย นี่ไอ้เดือน มึงมาดู มึงจะได้เป็นพยานว่ากูพูดความจริง”

     ผมก็พอรู้อยู่หรอกว่าเพื่อนสองคนนี้มันบ้าผู้ชาย แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ ฝนยื่นโทรศัพท์มาให้ดู ผมเลยทำเป็นรับมาดูเพื่อตัดรำคาญ บนหน้าจอมีรูปผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ในร้านกาแฟ ใบหน้าที่หล่อเหลาและหุ่นที่เพอร์เฟกต์ทำให้ยอดไลค์ทะลุหมื่นได้อย่างง่ายดายถึงแม้เจ้าของรูปเพิ่งจะโพสต์เมื่อชั่วโมงที่แล้วก็ตาม

     “กูล่ะสงสัยจริงๆ ว่าคนที่เพียบพร้อมแบบพี่คลื่นจะมีสเป็กคนที่ชอบยังไง”

     “แบบกูนี่ไง”

     “พี่คลื่นเขาชอบผู้หญิงค่ะ กะเทยอย่างมึงหมดสิทธิ์”

     “ผู้หญิงปากจัดอย่างมึงก็หมดสิทธิ์เหมือนกันนั่นแหละค่ะ”

     คนที่คุยกันอยู่คือฝนกับควีน เป็นเพื่อนสนิทของผมเหมือนข้าวหอม ฝนเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม แต่ดูจากลักษณะนิสัยแล้วผมไม่ค่อยอยากนับว่ามันเป็นผู้หญิงเลย มันเป็นคนที่แก่นที่สุดในกลุ่ม เรื่องบ้าบิ่นผจญภัยน่ะขอให้บอก ฝนพร้อมลุยทุกที่ทุกเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องจีบผู้ชาย ฝนสู้ตายไม่แพ้ใครแน่นอน

     ถัดมาคือควีน หรือชื่อเล่นจริงๆ ที่พ่อตั้งให้มันคือคิง ตอนแรกผมเข้าใจว่าควีนเป็นเกย์เหมือนผมกับข้าวหอม แต่เจ้าตัวบอกว่าเป็นกะเทยเพราะมันอยากแปลงเพศมาตั้งแต่เด็ก แต่ถูกพ่อคัดค้านเลยทำได้มากสุดแค่แอบขโมยชุดราตรีของแม่มาใส่ตอนแม่ไม่อยู่บ้าน

     ส่วนข้าวหอมกับผม...หรือชื่อเต็มคืออิงเดือน เราสองคนไม่มีอะไรพิเศษครับ เป็นแค่นักศึกษาปีสองธรรมดาที่ใช้ชีวิตแสนจะธรรมดา แต่โดยรวมแล้วเราสี่คนสนิทกันหมด ถึงได้เกาะกลุ่มกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งยังไงล่ะ

     “มึงเพ้อถึงพี่คลื่นขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าลืมพี่องศาไปแล้ว” ผมเอ่ยชื่อเพื่อนพี่คลื่นที่ฝนเคยบอกเมื่อวันก่อนว่าชอบนักชอบหนา

     “หัวใจกูมีสี่ห้อง กูแบ่งได้ลงตัวอยู่แล้ว มึงนั่นแหละเดือน ไม่คิดจะมีคนที่ชอบบ้างเหรอ”

     เห็นไหมครับ ผมบอกแล้วว่ามันบ้าผู้ชาย

     “ก็กูยังไม่เจอใครที่ถูกใจเลยอ่ะ”

     “พี่คลื่นไง ตรงสเป็กมึงทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ ถ้ามึงชอบพี่คลื่นกูจะยอมยกให้ก็ได้”

     ดูมันพูดนะครับ ได้ข่าวว่ามันกับพี่คลื่นยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย

     ผมมองโทรศัพท์ของฝนในมืออีกครั้ง ก่อนจะพิจารณาผู้ชายที่มีดีกรีอดีตเดือนมหา’ลัยคณะบริหารฯ

     หน้าตา...หล่อจนนึกว่าพระเจ้าเอาความหล่อของผู้ชายทุกคนบนโลกมารวมกัน

     สายตา...แค่มองเฉยๆ ก็ทำให้คนที่สบตาแทบละลายได้แล้ว

     ร่างกาย...น่าจะสูงเกิน 185 เซนติเมตร ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป ถึงแม้จะอยู่ในชุดนักศึกษาแต่ก็รู้ได้ว่าภายใต้นั้นคงมีกล้ามเนื้อไม่ใช่น้อย

     ผมคืนโทรศัพท์กลับไปยังเจ้าของ ก่อนจะไหวไหล่แบบไม่คิดอะไรมาก “ตรงสเป็ก...แต่อยู่สูงเกินไป คนระดับนั้นไม่มีทางมามองกูหรอก”

     “มึงก็น่ารักอยู่นะเดือน แต่งหน้าแต่งตัวดีๆ หน่อย ดีไม่ดีจะน่ารักกว่าผู้หญิงจริงๆ อีก” ควีนมองผมอย่างพิจารณา ผมกำลังจะบอกว่าไม่ขนาดนั้นสักหน่อย แต่มันก็พูดขึ้นมาอีก “แต่เสียอยู่อย่างเดียว ชอบทำตัวอ๊องไปซะทุกเรื่อง อ๊องจนกูอดเสียดายหน้าตามึงไม่ได้”

     บางทีแค่พูดข้อดีอย่างเดียวก็ได้นะควีน รู้ว่ามึงจริงใจ แต่ไม่ต้องพ่วงข้อเสียมาด้วยก็ได้

     ข้าวหอมเดินกลับมาพร้อมน้ำที่เพื่อนๆ ฝากซื้อ ผมเลยหยุดพูดเรื่องพี่คลื่น เพราะกลัวว่าถ้าข้าวหอมเห็นว่าผมผสมโรงกับฝนเดี๋ยวจะพาลโกรธผมอีกคน

     วันนี้พวกเราสี่คนนัดกันมาอ่านหนังสือที่มหา’ลัย ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คนที่อ่านหนังสือจริงๆ มีแค่ผมกับข้าวหอม ส่วนฝนกับควีนเอาแต่พูดเรื่องพี่คลื่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว เลยเป็นธรรมดาที่ข้าวหอมจะหงุดหงิด แต่เดี๋ยวก็หายครับเชื่อผมสิ ข้าวหอมน่ะไม่เคยโกรธใครนานหรอก กลับกันข้าวหอทเป็นคนใจดีและเรียบร้อยที่สุดในกลุ่มด้วยซ้ำ ดูอย่างตอนนี้สิ ปากบอกให้เพื่อนไปซื้อน้ำเองแต่สุดท้ายก็ซื้อมาให้จนได้

     “ข้าว มึงตั้งใจอ่านหนังสือเกินไปป่ะวะ ดูกูกับอีควีนเป็นตัวอย่างนี่ ไม่เห็นจะเครียดอะไรเลย”

     “สัปดาห์หน้าจะสอบมิดเทอมแล้วนะ ฝนกับควีนยังใจเย็นอยู่ได้อีกเหรอ”

     “กูรู้ แต่มึงอ่านมาตั้งแต่เช้าแล้วนะเว้ย พักสักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ” ผมกำลังจะคิดว่าฝนเป็นห่วงเพื่อนเลยอยากเตือน แต่พอได้ยินประโยคถัดมาของมันผมเลยรู้ว่าตัวเองคิดผิด “มาดูรูปพี่คลื่นกับกูไหม เผื่อจะช่วยให้มึงมีแรงอ่านหนังสือมากขึ้น”

     “มึงนี่ก็คะยั้นคะยออยู่ได้ ไอ้ข้าวก็บอกแล้วไงว่าอย่างพี่คลื่นไม่ใช่สเป็กมัน”

     “ก็กูอยากให้ไอ้ข้าวกับไอ้เดือนชอบพี่คลื่นด้วยนี่หว่า จะได้ชวนพวกมันมาเล่นเกมพี่คลื่นด้วยซะเลย”

     “เกมอะไรของมึงวะ” ผมหยุดอ่านหนังสือพลางเงยหน้ามาถาม ฝนยิ้มกริ่ม เหมือนมันรอให้ผมถามมานานแล้ว

     “เมื่อสองวันก่อนพี่คลื่นโพสต์ในไอจีว่าให้ทุกคนคอมเมนต์อะไรก็ได้ใต้โพสต์ แล้วพรุ่งนี้ตอนสามทุ่มเขาจะมาสุ่มคนที่คอมเมนต์โดนใจมากที่สุด”

     “แล้วรางวัลคืออะไรอ่ะ ได้ไปกินข้าวกับเขาเหรอ”

     “ยิ่งกว่านั้นอีกค่ะมึง” คราวนี้ควีนพูดแทรกขึ้นมา มันทำหน้าเขินอายเหมือนพี่คลื่นตัวจริงมายืนตรงหน้า “คนที่คอมเมนต์โดนใจพี่คลื่นมากที่สุดจะได้ไลน์ส่วนตัวของพี่คลื่น รวมถึงจะได้วิดีโอคอลกับพี่คลื่นทุกคืนเป็นเวลาหนึ่งเดือน!!”

     …อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะพวกมันสองคนถึงได้ดูจริงจังกันนัก ได้วิดีโอคอลกับคนที่ชอบทุกคืน ใครไม่อยากได้ก็แปลกแล้วครับ

     “ข้าวปฎิเสธไปแล้วแต่ฝนก็เอาแต่ชวนเล่นเกมอยู่ได้ ไม่รู้จะอยากให้ข้าวเล่นทำไม ถ้าฝนชอบพี่เขาฝนก็ไปเล่นเองสิ” ข้าวหอมที่นั่งอ่านหนังสือมานานหันมาระบายกับผม

     “กูกับอีควีนเล่นไปแล้วค่ะ แต่ที่กูอยากให้มึงไปเล่นด้วยเพราะมันจะได้มีโอกาสมากขึ้นไง”

     “โอกาสอะไรวะ”

     “โอกาสที่คนในกลุ่มเราจะได้เป็นผู้โชคดีคนนั้น” ฝนยิ้มมุมปากเหมือนพวกตัวร้ายที่กำลังวางแผนยึดครองโลกอยู่ “มึงคิดดูนะเดือน ถ้าพี่คลื่นเลือกพวกเราคนใดคนหนึ่ง คนทั้งมหา’ลัยก็จะรู้จักพวกเรา แล้วพวกเราก็จะกลายเป็นคนดัง ทีนี้ผู้ชายมากหน้าหลายตาก็จะมารุมจีบเหมือนผึ้งตอมน้ำหวานไง”

     ผมล่ะอยากยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากเหลือเกิน แต่ติดตรงที่ยกขึ้นมาไม่ถึง

     “เหตุผลแค่นี้อ่ะนะที่มึงอยากให้กูกับข้าวไปเล่นเกมพี่คลื่น”

     “ข้าวถึงไม่อยากไปเล่นไง เดือนก็ไม่ต้องสนใจหรอก ให้ฝนกับควีนเล่นกันไปสองคนพอ”

     “ไม่ได้! ไอ้ข้าวหักอกกูไปแล้ว มึงคือความหวังสุดท้ายของกูนะเดือน” ฝนคว้ามือผมไปกุมไว้ ทำหน้าเหมือนกำลังขอร้อง แต่ผมที่คบกับมันมานานย่อมรู้ว่ามันกำลัง ‘สั่ง’ มากกว่า “ไปเล่นเกมพี่คลื่นเถอะนะ ถือว่ากูขอ”

     แต่สายตามึงพร้อมฆ่ากูทุกเวลาที่กูปฎิเสธเลยนะฝน...

     “เขาเป็นถึงเดือนมหา’ลัยเลยนะเว้ย คนที่ไปเล่นเกมต้องมีเยอะเป็นธรรมดา ให้ตายยังไงกูก็ไม่ชนะหรอก”

     “จะชนะหรือเปล่าไม่เป็นไร ขอแค่มึงไปเล่นก็พอ ถ้ามึงยอมเล่นเดี๋ยวกูเลี้ยงหมูกระทะเลย”

     มันคิดว่าผมเห็นแก่กินขนาดนั้นเลยเหรอ

     “ไอ้เดือน หมูกระทะเชียวนะคะ ยังจะลังเลอะไรอีก ข้อเสนอดีแบบนี้ เป็นกูนะรีบหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมตั้งนานแล้ว”

     ผมมองฝนกับควีนพลางทำหน้าลำบากใจ พอจะหันไปขอความช่วยเหลือ ข้าวหอมก็เอาแต่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน นี่มันอะไรกันวะเนี่ย ตอนแรกนัดกันมาอ่านหนังสือไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นนัดกันเล่นเกมผู้ชายไปซะได้

     สุดท้ายผมก็ทนสายตาของเพื่อนไม่ไหว ได้แต่พยักหน้าอย่างเนือยๆ ให้พวกมัน

     “กูเล่นให้ก็ได้ เห็นว่าพวกมึงเป็นเพื่อนสนิทหรอกนะ”

     “กรี๊ดดดดด เพื่อนเดือนน่ารักที่สุดเลยค่าาาาา” ฝนกับควีนต่างพากันดึงแก้มผมเหมือนกำลังเล่นกับเด็กสามขวบ ผมสะบัดมือเพื่อนออกก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเข้าอินสตาแกรม

     ผมติดตามพี่คลื่นในอินสตาแกรมมานานแล้ว ไม่ได้เป็นแฟนคลับเขาหรอกครับ แค่เห็นว่าเป็นเดือนมหา’ลัยตัวเองเลยติดตามก็แค่นั้น แถมช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยเล่นอินสตาแกรมเลยไม่รู้ว่าพี่เขาคิดเกมประหลาดแบบนี้ขึ้นมา

     ‘ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับที่คอยติดตามผมมาตลอดจนยอดติดตามทะลุหนึ่งแสน และเพราะมีคนรักผมมากขนาดนี้ วันนี้ผมเลยมีเกมสนุกๆ มาให้ทุกคนเล่นกันครับ

     ผมจะให้ทุกคนคอมเมนต์อะไรก็ได้ใต้โพสต์นี้คนละหนึ่งคอมเมนต์ ใครคอมเมนต์โดนใจผมมากที่สุดจะได้รับรางวัลสุด Exclusive นั่นก็คือ...จะได้วิดีโอคอลกับผมทุกคืนเป็นเวลาหนึ่งเดือนครับ!!!

     ระหว่างที่คอลกันผมจะให้เกียรติผู้ชนะเสมอ รวมถึงทุกอย่างที่เราคุยกันผมจะเก็บเป็นความลับทั้งหมด ดังนั้นไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เกมนี้ประกาศผลวันที่ 11 ธันวาคม ถ้ารักผมชอบผมมาร่วมสนุกกันเยอะๆ นะครับ ผมรอทำความรู้จักทุกคนอยู่นะ!’


     ใต้รูปพี่คลื่นที่กำลังยิ้มกว้างพร้อมกับทำมินิฮาร์ทให้กล้องมีคนคอมเมนต์ประมาณแปดร้อยคน เห็นแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีทางชนะแน่นอน แต่พอเหลือบไปเห็นสายตากดดันของเพื่อนสนิท ผมก็จำใจต้องคอมเมนต์อย่างช่วยไม่ได้ เอาเถอะ...คิดซะว่าเล่นเกมคลายเครียดแล้วกัน ยังไงซะผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว

     ว่าแต่จะคอมเมนต์อะไรดีล่ะ ผมไม่เคยเป็นติ่งดารามาก่อนเลยไม่รู้ว่าควรจะคอมเมนต์อะไรดี

     อืม...งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน

     ingduean.gnc รอยยิ้มพี่คลื่นสดใสจังครับ


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ช่วงเช้าที่อากาศสดใส แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา แอร์ในห้องที่เย็นฉ่ำ ทั้งหมดนี้คือช่วงเวลาที่ผมควรได้นอนหลับเต็มอิ่มหลังจากถูกเพื่อนสนิทชวนไปอ่านหนังสือสอบติดกันเป็นเวลาหลายวัน...

     แต่ในตอนที่ผมกำลังฝันหวาน จู่ๆ เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงก็ดังขึ้นพาให้ฝันของผมกระเจิง ตอนแรกผมตั้งใจจะทำเป็นเมินแล้วหลับต่อ แต่ปลายสายกลับโทรมาหลายครั้งจนผมทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาดูว่าใครมันกล้ารบกวนเวลานอนอันมีค่าของผม

     คอยดูนะ ถ้าโทรมาชวนทำประกันผมจะด่าให้ลืมบ้านเลขที่ตัวเองไปเลย

     “ฮัลโหล”

     [ไอ้เดือน! มึงไปอยู่บนดอยมาหรือไง กูโทรหาเท่าไหร่มึงก็ไม่รับสายเลย]

     ตอนกดรับสายผมไม่ได้ดูหน้าจอเลยไม่รู้ว่าใครโทรมา แต่พอได้ยินเสียงแหลมๆ ผมก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่บังอาจโทรมาปลุกผมตอนแปดโมงเช้าคือฝน

     “เมื่อคืนกูเพลียมาก พอกลับมาถึงห้องก็หลับเลย น้ำยังไม่ได้อาบเลยเนี่ย ว่าแต่มึงนั่นแหละโทรมาทำไม กูกำลังหลับสบายเลย”

     [มึงพูดแบบนี้แสดงว่ายังไม่ได้เข้าไปดูไอจีสินะ]

     “ในไอจีมีอะไรวะ”

     [มึงก็รีบเข้าไปดูสิ แต่เห็นแล้วอย่าเพิ่งตกใจจนสลบไปก่อนละกัน]

     อะไรวะไอ้เพื่อนคนนี้ แทนที่จะบอกมาให้จบๆ กลับให้ไปดูเองซะอย่างนั้น ผมเอาโทรศัพท์ออกจากหูก่อนจะกดเข้าไปในอินสตาแกรม ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตว่ามีการแจ้งเตือนอะไรก็ไม่รู้มากมาย

     นี่มันอะไรเนี่ย! ทำไมจู่ๆ ยอดติดตามในอินสตาแกรมผมก็เยอะแบบนี้ล่ะ ผมไปทำเรื่องอื้อฉาวมาเหรอ หรือมีใครแอบถ่ายคลิปตอนผมเข้าห้องน้ำ

     “ฝน มีคนมาติดตามไอจีกูเยอะเลยอ่ะ กูไปก่อวีรกรรมอะไรไว้หรือเปล่าวะ”

     [เรื่องคนติดตามช่างหัวมันก่อน ตอนนี้สิ่งที่มึงต้องทำคือเข้าไปดูไอจีของพี่คลื่นค่ะ]

     ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมต้องไปดูอินสตาแกรมพี่คลื่น แต่นิ้วของผมก็กดเข้าไปดูซะแล้ว

     เดี๋ยวนะ...เมื่อวันก่อนผมไปเล่นเกมพี่คลื่นมานี่นา

     หัวใจผมเริ่มเต้นแรง ความคิดบางอย่างเริ่มผุดขึ้นมาในหัว บ้าน่า...ไม่ใช่หรอก...มันไม่มีทางเป็นไปได้...

     “เฮ้ย!!!”

     ‘ยินดีกับคุณ @ingduean.gnc ด้วยนะครับ แล้วก็ขอบคุณเหมือนกันสำหรับคำชม เล่นเอาผมเขินเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ

     เดี๋ยวผมจะทักไปหาผู้ชนะนะครับ รอวิดีโอคอลกับผมได้เลย ส่วนคนที่ไม่ชนะไม่ต้องเสียใจนะครับ ไว้โอกาสหน้ามาเล่นเกมกันใหม่ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ครับผม!’






     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.1 [08/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-04-2022 09:19:05
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 2 [09/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 09-04-2022 16:40:53
ตอนที่ 2 : บังเอิญอีกแล้ว





     [เดือน]

     “…”

     [ไอ้เดือน]

     “…”

     [ไอ้เดือน!!]

     เสียงแหลมๆ ของฝนทำให้ผมหลุดจากภวังค์ ผมกะพริบตาปริบๆ ลืมไปสนิทเลยว่ากำลังคุยโทรศัพท์กับมัน “อะ...อะไร”

     [อึ้งล่ะสิ กูเข้าใจ ตอนเห็นว่ามึงชนะกูก็อึ้งเหมือนกัน]

     ไม่ได้อึ้งธรรมดา แต่โคตรจะอึ้งเลยครับ อาการง่วงนอนที่มีอยู่หายเป็นปลิดทิ้งเลย

     “ทะ...ทำไมกูถึงชนะได้วะ”

     [กูก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือกูกับอีควีนโคตรจะอิจฉามึงเลย มึงจะได้วิดีโอคอลกับพี่คลื่นทุกคืนเลยนะเดือน กรี๊ดดดดด แค่นี้กูก็ตื่นเต้นแทนแล้ว!!]

     ผมยกมือมาทาบอก ตอนนี้หัวใจยังไม่หยุดเต้นแรงเลย สาบานว่าผมไม่ได้อยากชนะเลยแม้แต่น้อย แค่เล่นเกมเพราะเพื่อนขอร้องก็แค่นั้น แต่พอผลออกมาเป็นแบบนี้แล้ว...บอกตรงๆ ว่าช็อกครับ!

     [อย่าลืมไปตอบพี่คลื่นด้วยล่ะมึง ป่านนี้เขาน่าจะไดเรกไอจีไปหามึงแล้ว เดี๋ยวกูค่อยคุยกับมึงต่อตอนบ่ายก็ได้]

     “อะไรของมึง วันนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ”

     [เย็นนี้กูจะพามึงไปเลี้ยงหมูกระทะตามที่สัญญาไว้ไง และถึงไม่มีเรื่องหมูกระทะพวกกูสามคนก็นัดกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าวันนี้จะไปหามึง เกิดเรื่องอเมซิ่งแบบนี้ทั้งทีคิดว่าพวกกูจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ เหรอ]

     “แต่...”

     [มึงไม่ต้องห่วง วันนี้กูมีเรื่องคุยกับมึงยาวแน่นอนค่ะ แค่นี้ก่อนนะ ขอไปเมาท์กับอีควีนในไลน์ก่อน]

     แล้วเพื่อนสนิทของผมก็วางสายไป ไม่ให้ผมได้ทักท้วงอะไรเลยสักคำ แต่ช่างเรื่องฝนก่อน เพราะตอนนี้สิ่งที่ผมควรสนใจคือข้อความของใครบางคนที่ทักมาหาผมในอินสตาแกรมตั้งแต่เมื่อคืน

     ใครบางคนที่ผมไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสคุยกับเขา…

     khluenn.khramm : สวัสดีครับ น้องเป็นผู้ชนะเกมของพี่นะครับ

     khluenn.khramm : พี่ชื่อคลื่นคราม หรือเรียกคลื่นเฉยๆ ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับผม

     khluenn.khramm : รบกวนส่งไอดีไลน์ของน้องมาหน่อยนะครับ เดี๋ยวพี่จะแอดไป หรือถ้าน้องไม่สะดวกตรงไหนสามารถบอกได้นะครับ

     khluenn.khramm : แล้วพี่จะรอนะครับ


     ใครก็ได้มาตบหน้าผมที ผมจะได้รู้ว่าตัวเองฝันอยู่หรือเปล่า...

     พี่คลื่นที่เป็นเดือนมหา’ลัยสุดฮอตคนนั้นกำลังขอไลน์ผมอยู่ นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย!

     มือที่พิมพ์ข้อความสั่นจนผมรู้สึกได้ พออ่านข้อความของพี่คลื่นแล้วหัวใจผมก็เต้นแรงกว่าเดิมจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมานอกอก ไม่นานหลังจากที่ผมบอกไอดีไลน์ของตัวเองไปพี่คลื่นก็เข้ามาอ่าน แล้วหลังจากนั้นสองนาทีไลน์ผมก็แจ้งเตือนว่ามีคนแอดเพื่อนมา ผมกดเข้าไปดูด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ในหัวเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่านี่คือความจริงใช่ไหม

     ในไลน์กลุ่มเพื่อนๆ ผมกำลังคุยเรื่องที่ผมชนะเกมพี่คลื่นกันอยู่ ดูจากจำนวนข้อความแล้วพวกมันน่าจะคุยกันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะกดเข้าไปอ่านข้อความของเพื่อน เพราะข้อความของคนที่เพิ่งแอดไลน์ผมมาเมื่อครู่มันกำลังดึงดูดความสนใจของผมอยู่

     KhluenKhram : สวัสดีครับน้องอิงเดือน พี่ชื่อคลื่นครามนะ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับ

     ผมมีไลน์ส่วนตัวของพี่คลื่น...

     ผมมีไลน์ส่วนตัวของพี่คลื่น......

     ผมมีไลน์ส่วนตัวของพี่คลื่น.........

     โอ๊ยยยยย อิงเดือนคนนี้หัวใจจะวาย!!

     Ing-Duean : ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ

     ผมตอบพี่คลื่นกลับไปโดยไม่ได้เอะใจเลยว่าเขารู้ชื่อผมได้ยังไง คิดง่ายๆ แค่ว่าเขาอาจจะเดาจากชื่ออินสตาแกรมผม เชื่อไหมครับว่าตลอดเวลาที่พิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือผมสั่นไม่หยุดเลย ขนาดผมไม่ใช่แฟนคลับพี่คลื่นยังตื่นเต้นขนาดนี้ ถ้าคนชนะเป็นฝนหรือควีนมันไม่เลือดกำเดาไหลเลยเหรอ

     KhluenKhram : หลังจากนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือนน้องอิงเดือนสามารถพูดคุยหรือวิดีโอคอลกับพี่ได้ทุกเวลาตามที่ต้องการเลยนะครับ จะคุยหรือปรึกษาอะไรก็ได้ หรือจะให้พี่ทำอะไรตอนวิดีโอคอลกันก็สามารถรีเควสมาได้เช่นกัน ถ้าเป็นเรื่องที่ทำได้พี่ยินดีหมดเลยครับ

     ผมเม้มปากแน่น ลุกขึ้นเดินวนไปทั่วห้อง คิดไม่ตกว่าจะจัดการอาการตื่นเต้นนี้ยังไงดี จนกระทั่งไลน์ดังขึ้นอีกครั้งผมถึงได้หยุดฟุ้งซ่านแล้วกลับมาอ่านข้อความต่อ

     KhluenKhram : น้องอิงเดือนเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ถ้ามีปัญหาอะไรบอกพี่ได้เลยนะ

     เวรกรรม นี่ผมเอาแต่ตื่นเต้นจนลืมตอบไลน์พี่คลื่นเหรอ

     Ing-Duean : เปล่าครับ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร

     Ing-Duean : ผมแค่ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะครับ ไม่นึกว่าจะได้คุยกับพี่ในไลน์แบบนี้

     KhluenKhram : 555555

     KhluenKhram : น้องอิงเดือนนี่น่ารักดีนะครับ รู้สึกยังไงก็พูดออกมาเลย


     ผมว่าผมหายประหม่าแล้วนะ พอเจอคำชมของพี่คลื่นเข้าไป ผมถึงกับไปไม่เป็นเลย

     อย่าไปชมคนอื่นแบบนี้สุ่มสี่สุ่มห้านะครับ เดี๋ยวเขาจะเขินจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนผมในตอนนี้...

     KhluenKhram : วันนี้พี่ติดเรียน อาจจะว่างอีกทีตอนกลางคืนเลย ไว้พี่ว่างแล้วเราค่อยวิดีโอคอลกันนะครับ

     KhluenKhram : แต่ถ้าระหว่างนี้น้องอิงเดือนอยากคุยอะไรกับพี่ก็ทักมาได้ตลอดเลยนะ ถ้าพี่ว่างแล้วจะเข้ามาตอบครับ

     Ing-Duean : ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้

     KhluenKhram : งั้นไว้เจอกันตอนกลางคืนนะครับ

     KhluenKhram : รอพี่หน่อยนะครับ อย่าเพิ่งหายไปไหนซะล่ะ


     ผมรีบปิดโทรศัพท์แล้วโยนมันไปบนที่นอน เพราะกลัวว่าถ้ามองข้อความของพี่คลื่นนานกว่านี้จะหัวใจวายขึ้นมาจริงๆ เอาล่ะ...หนึ่งเดือนหลังจากนี้ผมจะได้คุยกับพี่คลื่นแบบ Exclusive สินะ

     จะได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพี่คลื่น...

     จะได้เห็นหน้าพี่คลื่นก่อนนอนทุกคืน...

     ทุกคนครับ หัวใจผมเต้นแรงอีกแล้ว!!


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     “ฟินลืมเลยสิมึง ได้คุยกับพี่คลื่นในไลน์แล้วใช่ไหม”

     นี่คือประโยคแรกที่ควีนทักทายผมตอนที่มันเปิดประตูห้องเข้ามา ฝนกับข้าวหอมที่ตามหลังมาก็เอาแต่ยิ้มเหมือนรอแซวผมอยู่เหมือนกัน

     “เดือนรู้ไหมว่าตอนที่ฝนทักมาบอกข้าวตกใจมากเลยนะ จากที่ไม่เข้าไอจีมาสองเดือน เมื่อวานข้าวรีบเข้าไปดูไอจีของพี่คลื่นเลย”

     ผมควรภูมิใจใช่ไหมครับที่ทำให้อินสตาแกรมในโทรศัพท์ของข้าวหอมถูกใช้งานเสียที...

     “แต่พูดก็พูดเถอะ จนถึงตอนนี้กูยังไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่คลื่นจะเลือกไอ้เดือน” ฝนเดินมานั่งปลายเตียงข้างๆ ผม มันหันมายีหัวเหมือนผมเป็นหลานมัน “ถามจริงๆ เถอะ มึงไปทำบุญวัดไหนมาวะ พี่คลื่นถึงได้เลือกมึงทั้งที่มีคนคอมเมนต์ตั้งเกือบพัน”

     “ไม่ได้ทำบุญที่ไหนทั้งนั้นแหละ กูก็ตกใจเหมือนกันตอนรู้ว่าตัวเองชนะ”

     “ประหลาดดีว่ะ คนตั้งใจเล่นเกมกลับไม่ได้ ส่วนคนที่เล่นเกมแบบขอไปทีกลับได้ซะงั้น”

     “ที่พูดนี่คือมึงอิจฉาเพื่อนอยู่?”

     “ก็เออสิ หรือมึงไม่อิจฉา” ควีนพูดจบก็หันมายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล “เดือนเพื่อนรัก...กูขอดูไลน์พี่คลื่นหน่อยสิ กูอยากรู้ว่ารูปโปรไฟล์ของพี่เขาจะหล่อขนาดไหน”

     ทีแบบนี้ล่ะเสียงหวานเชียวนะ ตอนทำงานกลุ่มไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย

     “กูดูด้วยๆ กูอยากเห็นไลน์ส่วนตัวของพี่คลื่นเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิต”

     ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูไลน์ของพี่คลื่นอย่างช่วยไม่ได้ เพื่อนทั้งสามคนกรูกันมาเกาะหลังผมที่นั่งอยู่ปลายเตียง ฝนกับควีนที่อยากดูเป็นพิเศษถึงกับชะโงกหน้ามาใกล้จนตาแทบจิ้มจอโทรศัพท์แล้ว

     “กรี๊ดดดดด หล่อมากกกกก รูปในไอจีว่าหล่อแล้วนะ รูปโปรไฟล์ในไลน์ยิ่งหล่อเข้าไปอีก”

     “กูอยากเกิดเป็นไอ้เดือนเลยอ่ะมึง ได้เห็นรูปส่วนตัวของพี่คลื่นทุกคืน ถ้าเป็นกูคงหลับฝันดีทุกคืนแน่”

     “มึงยังไม่ตอบกูเลยนะเดือน เมื่อเช้ามึงได้คุยกับพี่คลื่นแล้วใช่ไหม” ควีนจับไหล่ผมให้หันไปประจันหน้า มันทำหน้าจริงจังเหมือนตำรวจกำลังไต่สวนผู้ต้องหา

     “ดะ...ได้คุยแล้ว”

     “แล้วเป็นไง พี่คลื่นขอมึงคบยัง”

     “โอ๊ย! อีนี่ พี่เขาแค่ขอไลน์ไอ้เดือนเพราะมันเป็นผู้ชนะค่ะ ไม่ได้จะขอเป็นแฟน”

     “ก็กูอยากจิ้นไอ้เดือนกับพี่คลื่นอ่ะ เพื่อนเราอุตส่าห์มีไลน์ส่วนตัวของพี่คลื่นเชียวนะเว้ย โอกาสทองแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้ไง” ควีนยิ้มมุมปาก ส่วนข้าวหอมกับผมที่ฟังมันอยู่ถึงกับทำหน้างงเพราะตามคำพูดของมันไม่ทัน

     “มึงกำลังจะให้ไอ้เดือนจีบพี่คลื่นเหรอ”

     “ใช่ ถ้าพี่คลื่นแค่เล่นตามเกมเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร งั้นฝั่งเราก็ต้องเริ่มรุกก่อน”

     “เดี๋ยวๆๆ กูนั่งหัวโด่อยู่นี่ มึงจะพูดอะไรหันมาถามกูก่อนได้ไหม” แค่ผมชนะเกมของพี่คลื่น ควีนถึงกับมโนไปไกลขนาดนี้เลยเหรอ

     “กูเดาตอนจบได้ตั้งแต่วินาทีที่มึงชนะแล้วเดือน ได้วิดีโอคอลกันทุกคืน จะทักไปหาเขาตอนไหนก็ได้ แถมมึงยังเคยบอกด้วยว่าพี่คลื่นตรงสเป็กมึงทุกอย่าง กูวางห้าร้อยเลย ไม่เกินหนึ่งเดือนมึงตกหลุมรักพี่คลื่นแน่นอน”

     “กูแค่มีไลน์ส่วนตัวเขาเองนะ แล้วการที่กูได้ใกล้ชิดคนหล่อก็ไม่ได้แปลว่ากูต้องชอบเขาป่ะวะ”

     “แต่นี่พี่คลื่นเลยนะมึง พี่คลื่นครามที่คนทั้งมหา’ลัยต่างหมายปองเลยนะ” คราวนี้ฝนพูดขึ้นมาบ้าง ลองมันพูดแบบนี้แล้วผมรู้เลยว่างานนี้มันต้องเข้าข้างควีนแน่ๆ “มึงคือคนที่หญิงแท้และหญิงเทียมทั้งมหา’ลัยต่างอิจฉาเลยนะเดือน เพราะงั้นในเมื่อโอกาสลอยมาแล้วมึงต้องรีบคว้าไว้นะเว้ย”

     “ไหนมึงบอกว่าพี่คลื่นชอบผู้หญิงไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาเชียร์กูกับเขา”

     “ถ้าไม่นับนิสัยอ๊องๆ มึงก็น่ารักไม่แพ้ผู้หญิงหรอก ขยันบริหารเสน่ห์ตอนคอลกันบ่อยๆ เชื่อกูสิว่าเดี๋ยวพี่คลื่นก็ต้องชอบมึง”

     ผมล่ะเกลียดประโยคแรกของมันจริงๆ คำก็อ๊องสองคำก็อ๊อง

     “แต่ข้าวว่าค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าไหมฝน พี่คลื่นอาจจะมองเดือนเป็นแค่แฟนคลับคนหนึ่งก็ได้ ดีไม่ดีถ้าให้เดือนรุกพี่คลื่นมากๆ เขาอาจจะลำบากใจจนเล่นเกมไม่สนุกก็ได้นะ”

     “ข้าว มึงมันพ่อพระเกินไปอ่ะ”

     “ใช่ๆ ตอนนี้ไอ้เดือนได้ใกล้ชิดพี่คลื่นแบบที่ไม่มีใครเคยมาก่อนเลยนะ ถ้าไม่ให้จีบตอนนี้แล้ว...”

     “โอ๊ยยย! พวกมึงสองคนหยุดเพ้อเจ้อกันได้แล้ว” ในที่สุดผมก็ทนฟังไม่ไหว ลุกขึ้นยืนหันไปมองพวกมันอย่างเอาเรื่อง “กูไม่ได้คิดอะไรกับพี่คลื่นทั้งนั้นแหละ หยุดพูดแล้วพากูไปกินหมูกระทะได้แล้ว กูหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”

     “นี่มึงโมโหหิวแล้วมาพาลกับพวกกูเหรอ”

     “กูโมโหเพราะมึงเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระต่างหาก!”

     ฝนกับควีนทำหน้าเซ็ง แต่สุดท้ายพวกมันก็ยอมเลิกคุยเรื่องพี่คลื่นจนได้ ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แค่ผมชนะเกมของพี่คลื่น พวกมันถึงกับโยงไปถึงเรื่องคบเป็นแฟนเลยเหรอ บางทีผมก็งงเหมือนกันนะว่าผมกับข้าวหอมมาสนิทกับพวกมันได้ยังไง

     แต่ถึงจะบอกว่าไม่ได้คิดอะไร ผมก็อดยอมรับว่าประหม่าไม่ได้อยู่ดี พี่คลื่นเป็นถึงเดือนมหา’ลัย พอคิดว่าจะได้ใกล้ชิดกับคนระดับนั้น ต่อให้ไม่ใช่แฟนคลับมันก็ต้องมีตื่นเต้นกันบ้างแหละ

     ขอให้ผมผ่านหนึ่งเดือนนี้ไปได้โดยไม่หัวใจวายไปซะก่อนนะครับ...


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     อีกไม่กี่วันจะสอบมิดเทอมแล้ว สิ่งที่ผมควรทำตอนเวลาสามทุ่มแบบนี้คือการอ่านหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการสอบ แต่ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่นเลย ได้แต่นอนมองโทรศัพท์แล้วกลิ้งไปมาบนเตียงอย่างว้าวุ่นใจ

     ผมไม่ได้อยากวิดีโอคอลกับพี่คลื่นถึงขนาดตั้งหน้าตั้งตารอเขานะครับ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่คลื่น ไม่ว่าใครก็ต้องประหม่ากันทั้งนั้น วันนี้ทั้งวันผมเอาแต่คิดว่าจะทำหน้ายังไงตอนคอล จะชวนเขาพูดอะไรดี จะเริ่มต้นบทสนทนายังไง มันประหม่าไปหมดจนไม่เป็นอันกินหมูกระทะเลย

     ผมเหม่อมองเพดานสีขาว หยิบโทรศัพท์มาดูก่อนจะกุมมันไว้ที่อก

     พี่คลื่นนะพี่คลื่น รู้บ้างไหมว่าเกมของพี่มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองแค่ไหน

     ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ โทรศัพท์บนอกก็มีเสียงไลน์ดังขึ้นมา ผมสะดุ้งเหมือนโดนน้ำร้อนลวก จากที่หลับตาอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตามองหน้าจอ หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเห็นข้อความที่มีคนทักมา

     KhluenKhram : พี่ว่างแล้วนะครับ

     KhluenKhram : น้องอิงเดือนพร้อมหรือยังครับ


     ถ้าตอบว่าไม่พร้อมพี่จะด่าผมไหม...

     ผมลุกขึ้นนั่งพลางขยับจนหลังชิดหัวเตียง ตบหน้าตัวเองสองสามทีเพื่อเรียกสติ เอาวะ ก็แค่วิดีโอคอลกัน เขาไม่ได้จะขอแต่งงานซะหน่อย อย่าตื่นเต้นนักสิอิงเดือน

     Ing-Duean : พร้อมแล้วครับ

     พอพี่คลื่นอ่านข้อความผมแล้วเขาก็วิดีโอคอลมาทันที ผมเม้มปากด้วยความตื่นเต้น ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเต้นแรงกว่าเดิม ผมกำลังจะได้วิดีโอคอลกับพี่คลื่น...ผู้ชายที่คนทั้งมหา’ลัยต่างหลงเสน่ห์ในตัวเขา

     ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

     ทุกคนครับ...ผมจะกดรับสายพี่คลื่นแล้วนะ!

     “สะ...สวัสดีครับพี่คลื่น ผมชื่ออิงเดือนนะครับ พี่อาจจะไม่รู้จักผม แต่ผมรู้จักพี่มานานแล้ว ขอบคุณนะครับที่เลือกผม” ผมยื่นโทรศัพท์ออกไปสุดแขน ก้มหน้าก้มตาพูดพลางหลับตาไปด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงพี่คลื่นตอบกลับมา ผมเลยค่อยๆ เงยหน้ามองจอโทรศัพท์

     อ้าว...ซวยแล้วไง นี่ผมเผลอตัดสายพี่คลื่นเหรอ!

     ด้วยความตกใจผมเลยรีบวิดีโอคอลกลับไปอีกครั้ง คราวนี้พี่คลื่นกดรับแทบจะทันที พอใบหน้าอีกฝ่ายปรากฏขึ้นมาบนจอผมก็รีบแก้ตัวเพราะกลัวจะเข้าใจผิด

     “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากคุยกับพี่นะครับ เมื่อกี้ผมรีบไปหน่อยเลยเผลอตัดสาย พี่อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมขอโทษนะครับ...พี่...คลื่น...”

     ถึงแม้จะเคยเห็นรูปในอินสตาแกรมบ่อยๆ แต่พี่คลื่นที่ผมเห็นตอนนี้ดูหล่อกว่าหลายเท่าจนผมลืมไปเลยว่าจะพูดอะไรต่อ ใบหน้าคมเข้มที่ดูดีไร้ที่ติ รับกับสันกรามที่ดูน่าเกรงขาม กลุ่มผมสีดำสนิทที่ช่วยขับความหล่อให้มากขึ้น ทุกอย่างบนใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อคลื่นครามกำลังทำให้ผมหน้าร้อนผ่าวจนแทบจะเป็นบ้า

     [ตื่นเต้นมากเลยเหรอที่จะได้คุยกับพี่]

     “…”

     [ในไอจีว่าน่ารักแล้ว...นิสัยยิ่งน่ารักเข้าไปอีก]

     น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังแล้วลื่นหู รอยยิ้มที่เหมือนอยากจะแซวอยู่ในที คำพูดที่ไม่คิดว่าพี่คลื่นจะพูดกับผม ใครก็ได้ช่วยบอกที...ว่าทั้งหมดนี้ผมไม่ได้กำลังฝันอยู่

     [ขอแนะนำตัวอีกรอบนะครับ พี่ชื่อคลื่นคราม เรียกว่าคลื่นเฉยๆ ก็ได้ อายุยี่สิบเอ็ดปี เรียนอยู่ปีสามคณะบริหารฯ มหา’ลัย MXN แล้วน้องอิงเดือนล่ะครับ]

     “…”

     [น้องครับ น้องอิงเดือน]

     ผมกะพริบตาปริบๆ เสียงพี่คลื่นที่ถามย้ำทำให้สติที่แตกกระเจิงของผมกลับมา “พี่คลื่น…ว่าไงนะครับ”

     [พี่แนะนำตัวแล้ว น้องแนะนำตัวบ้างสิครับ]

     “ผะ...ผมชื่ออิงเดือน แต่เรียกแค่เดือนก็ได้ครับ ผมอายุยี่สิบ เรียนอยู่ปีสองคณะอักษรฯ มหา’ลัย MXN”

     [อ้าว มหา’ลัยเดียวกับพี่เลย บังเอิญจัง] พี่คลื่นยิ้มกว้าง เขาตั้งโทรศัพท์ไว้ก่อนจะเอาแขนมาหนุนคางในท่านอนคว่ำ [แบบนี้น้องคงรู้จักพี่อยู่แล้วใช่ไหมครับ]

     “ชะ...ใช่ครับ”

     [คืนนี้พี่ว่างทั้งคืน น้องเดือนจะคอลนานแค่ไหนก็ได้นะครับ หรือถ้าอยากแคปหน้าจอระหว่างที่คอลกันพี่ก็อนุญาตครับ หนึ่งเดือนหลังจากนี้ขอฝากตัวด้วยนะ]

     นี่มันเกิดความคาดหมายของผมไปมากจริงๆ ไม่คิดเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตผมจะได้โทรคุยกับพี่คลื่นแบบเรียลไทม์ขนาดนี้ ถ้าเพื่อนๆ มาเห็นผมตอนนี้มันต้องแซวว่าผมหน้าแดงไม่หยุดแน่ๆ

     [ดูน้องยังเกร็งๆ อยู่นะ แต่พี่เข้าใจครับ เราเพิ่งคุยกันครั้งแรกนี่เนอะ] พี่คลื่นขำเบาๆ ในลำคอ แต่แค่ขำนิดหน่อยยังดูหล่อเลยอ่ะครับ [เอาแบบนี้ไหม พี่มีเกมกระชิบมิตรมาให้เล่น เราสองคนจะได้สนิทกันเร็วขึ้น]

     เกมอีกแล้วเหรอ พี่คลื่นนี่ชอบเล่นเกมซะจริงๆ เลยนะ

     “เกมอะไรอ่ะครับ”

     [พี่จะพูดเรื่องที่เกี่ยวกับตัวพี่ และน้องเดือนก็ต้องบอกเรื่องของตัวเองเหมือนกัน เช่นถ้าพี่พูดว่าพี่ชอบไปเที่ยวทะเล น้องก็ต้องบอกว่าชอบไปเที่ยวที่ไหน โอเคไหมครับ]

     “อะ...โอเคครับ”

     [งั้นเริ่มเลยนะ] ถึงจะไม่เข้าใจว่าเกมนี้จะทำให้เราสองคนสนิทกันยังไง แต่ในเมื่อพี่คลื่นอยากให้เล่นผมก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว [พี่ชื่อคลื่นคราม]

     “พี่บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     [เริ่มใหม่ไงครับ ที่พูดไปตอนแรกไม่นับสิ]

     งั้นก็แปลว่าต้องเริ่มแนะนำตัวกันใหม่เลยสินะ “ผม...ชื่ออิงเดือน”

     [พี่เรียนบริหารฯ ปีสาม]

     “ผมเรียนอักษรฯ ปีสอง”

     [พี่ชอบสีเขียว]

     “ผมก็ชอบสีเขียวครับ แต่เป็นเขียวอ่อน”

     [พี่ชอบกินหมูกระทะ]

     “ผมชอบกินเค้ก”

     [หืม? วันนี้พี่เพิ่งกินเค้กไปเอง พอดีเป็นวันเกิดเพื่อนน่ะ]

     “ผมก็เพิ่งไปกินหมูกระทะกับเพื่อนเมื่อตอนเย็นเองครับ”

     [บังเอิญจังครับ] พี่คลื่นยิ้มกว้าง พลอยให้ผมยิ้มตามไปด้วย [พี่ชอบเล่นบาสเกตบอล]

     “ผมไม่ชอบเล่นกีฬาครับ”

     [ทำไมล่ะครับ]

     “มันเหนื่อยน่ะครับ ผมไม่ชอบทำอะไรที่เหงื่อออก”

     [ฮ่าๆๆ โอเคครับ อืม...พี่ชอบดูหนังแอคชัน]

     “ผมดูได้ทุกแนวยกเว้นหนังผี”

     [น้องเดือนกลัวผีเหรอครับ]

     “...ใช่ครับ”

     [อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่แค่อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้จะแซวซะหน่อย]

     ผมยิ้มแหะๆ อย่างไม่รู้จะตอบอะไร เรื่องนี้เพื่อนในกลุ่มผมไม่มีใครรู้เลย ตอนปีหนึ่งข้าวหอมเผลอหลุดปากออกมาว่ากลัวผี เลยโดนฝนกับควีนหลอกให้ไปเข้าบ้านผีสิง ผมเลยไม่กล้าบอกพวกมันเพราะกลัวจะโดนแกล้งอีกคน

     [พี่ชอบฤดูร้อน]

     “ผมก็ชอบฤดูร้อน”

     [พี่ชอบอ่านนิยายสืบสวน]

     “ผมชอบอ่านนิยายแฟนตาซี”

     [พี่ชอบคนอายุน้อยกว่า]

     “ผมชอบคนอายุมากกว่า”

     [พี่ยังไม่มีแฟน]

     “ผมก็โสดเหมือนกัน”

     […]

     “…”

     จู่ๆ พี่คลื่นก็หยุดถามแล้วเอาแต่มองจนผมเริ่มทำตัวไม่ถูก คนตรงหน้ายิ้มมุมปาก ก่อนจะทวนคำตอบของผมอีกครั้ง

     [น้องเดือนโสดอยู่เหรอครับ]

     “ชะ...ใช่ครับ”

     [โสดแต่มีคนคุยอยู่หรือเปล่า]

     “ไม่มีครับ ตอนนี้ผมไม่ได้คุยกับใครเลย”

     พี่คลื่นยกแขนมาเท้าคาง มองยิ้มๆ จนผมรู้สึกเก้อเขินขึ้นมา [พี่ก็ไม่ได้คุยกับใครเหมือนกัน]

     “…”

     [บังเอิญอีกแล้วนะครับ...เราสองคนโสดเหมือนกันเลย]

     เกิดเรื่องบังเอิญติดกันขนาดนี้ คิดว่าคืนนี้ผมจะข่มตาหลับได้ไหมครับ...





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.2 [09/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-04-2022 23:24:18
 :impress2: :-[
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 3 [11/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 11-04-2022 15:39:22
ตอนที่ 3 : สนใจที่แปลว่าชอบ





     “ควีน ข้าวหอม มึงว่ามันแปลกๆ ไหม”

     “ไม่ใช่แค่แปลกอย่างเดียวค่ะ แบบนี้มันทั้งแปลกทั้งมีพิรุธเลย”

     “เดือนกินข้าวก่อนไหม อีกเดี๋ยวต้องไปเรียนแล้วนะ” ข้าวหอมเอื้อมมือมาโบกไปมาตรงหน้า ผมถึงได้รู้สึกตัวหลังจากนั่งเหม่อลอยมานาน

     “มึงมองอะไรวะ กูเห็นมองตาไม่กะพริบเลย” ฝนหันไปมองทางที่ผมมองเมื่อครู่ ก่อนจะหันกลับมาทำหน้างง

     “มันไม่ได้มองค่ะ มันกำลังใจลอยเพราะคิดถึงใครบางคน”

     “แล้วเดือนคิดถึงใครอยู่อ่ะควีน”

     “ก็พี่คลื่นที่มันวิดีโอคอลด้วยเมื่อคืนไงคะ ฮิ้ววววว”

     “ไอ้ควีน! เบาๆ ดิวะ” ผมยกนิ้วมาจ่อปากให้เพื่อนลดเสียงลง แต่มันกลับเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้

     “ไม่ต้องมาขึ้นเสียงกลบเกลื่อนเลย กูถามมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ เมื่อไหร่จะยอมบอกสักทีว่าเมื่อคืนเป็นไงบ้าง”

     “ใช่ๆ เดือนเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าตอนวิดีโอคอลกับพี่คลื่นน่ะฟินไหม”

     “ข้าวก็เป็นไปกับพวกมันด้วยเหรอ”

     “ก็ตอนแรกข้าวไม่คิดว่าพี่คลื่นจะเลือกเดือนอ่ะ พอรู้ว่าเดือนชนะข้าวทั้งดีใจทั้งตกใจเลย”

     “ตกลงมึงจะบอกได้ยังคะ พวกกูสามคนรอฟังจนจะหลับแล้ว”

     ความพยายามของฝนสูงมากจริงๆ มันถามผมมาตั้งแต่เจอหน้ากันตอนเช้า จนถึงตอนนี้ยังไม่เลิกถามเลย

     “มึงก็ตอบมาก่อนสิว่าลากกูมาโรงอาหารกลางทำไม ปกติเรากินข้าวที่คณะตัวเองไม่ใช่เหรอ”

     “ไม่น่าถาม ก็เผื่อเราจะโชคดีได้เจอพี่คลื่นที่นี่ไง” ฝนหันไปยิ้มกับควีน ทำหน้าเหมือนรู้เรื่องกันอยู่สองคน “ถ้าพี่คลื่นมากินข้าวที่นี่กูจะให้มึงเข้าไปทักเขาในฐานะผู้ชนะเกมในไอจี เป็นการสร้างเฟิร์สอิมเพรสชั่นของมึงกับพี่คลื่นไง”

     “เดี๋ยวๆๆ มึงยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจิ้นกูกับพี่คลื่นอีกเหรอ” ผมนึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ เหลือเชื่อเลยไอ้เพื่อนคนนี้

     “ถึงกูจะชอบพี่คลื่นจนอยากจะจีบเขาเอง แต่กูก็รู้ดีว่าพี่คลื่นไม่มีทางชอบกูแน่นอน เพราะงั้นต่อให้กูไม่ได้เขา แต่ถ้าเพื่อนกูได้มันก็เท่ากับฝันกูเป็นจริงเหมือนกัน”

     “มึงบ้าป่ะ โรงอาหารคณะเขาก็มี เขาคงไม่บ้าถ่อมาโรงอาหารกลางเหมือนมึงหรอก”

     “บ้าไม่บ้าไม่รู้ แต่ที่รู้คือกูหย่อนเบ็ดลงไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้พี่คลื่นมาติดกับเท่านั้น”

     ฝนหยิบโทรศัพท์มาเปิดอินสตาแกรมให้ผมดู เมื่อสิบนาทีก่อนมันลงสตอรี่รูปผมกำลังต่อแถวซื้อข้าวอยู่ พร้อมแอดโลเคชั่นที่โรงอาหารกลางกับแคปชั่น ‘ผู้ชนะเกมมากินข้าวที่โรงอาหารกลางทั้งที เจ้าของเกมจะไม่มากินด้วยกันเหรอค้าาาา’

     “ฝน!!” ผมอุทานชื่อเพื่อนเสียงดัง แต่มันกลับทำหน้าไม่สะทกสะท้าน

     “เดี๋ยวนะฝน” ข้าวหอมดึงโทรศัพท์ของฝนไปดูใกล้ๆ “ฝนแท็กเดือนกับพี่คลื่นด้วยเหรอ”

     “ใช่ เมื่อคืนกูไปส่องไอจีไอ้เดือนมา ถึงได้รู้ว่าพี่คลื่นติดตามไอจีมันแล้วเรียบร้อย ดังนั้นถ้ากูแท็กทั้งสองคนแบบนี้ไม่มีทางที่พี่คลื่นจะไม่เห็นแน่นอน”

     “ตายแล้ว เพื่อนกูฉลาดมาก สมแล้วที่เป็นพาร์ทเนอร์ของอีควีนคนนี้” ฝนกับควีนหันไปแท็กมือกัน ไม่สนหน้าเหวอๆ ของผมเลย

     “มึงลบเดี๋ยวนี้เลยนะ กูยังไม่พร้อมเจอหน้าพี่คลื่น”

     “ทำไมมึงถึงไม่อยากเจอหน้าเขา เมื่อคืนมึงเผลอเรอเสียงดังตอนคอลกับเขาหรือไง”

     ผมจะพูดยังไงดีว่าผมเขินพี่คลื่นจนไม่กล้ามองหน้า แค่นึกถึงบทสนทนาที่คุยกันเมื่อวานแก้มผมก็เห่อร้อนแล้ว

     “ท่าทางอึกอักแบบนี้แสดงว่าเมื่อคืนต้องมีอะไรแน่ๆ เล่ามาค่ะ อย่าให้กูต้องใช้ส้อมแงะปากมึง”

     เพื่อนผมสามัคคีกันมากครับ สีหน้าแต่ละคนดูจริงจังจนผมนึกว่าพวกมันกำลังแข่งกีฬาเหรียญทองอยู่ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยอมเล่าเรื่องเมื่อคืนในที่สุด...แต่ไม่ทั้งหมดนะ

     “ก็แค่วิดีโอคอลกันอ่ะมึง ไม่มีอะไรพิเศษหรอก เมื่อคืนกูกับพี่คลื่นเพิ่งคุยกันวันแรก เลยยังไม่ได้คุยอะไรมาก” ผมตั้งใจไม่เล่าเรื่องเกมกระชับมิตรของพี่คลื่น เพราะถ้าขืนพูดออกไปมันต้องเอาไปมโนเพ้อเจ้ออีกแน่

     “แค่นี้เหรอวะ”

     “เออ”

     “ไม่มีเซอร์วิสอะไรเลยเหรอ แบบ...ร้องเพลงให้ฟังอะไรแบบนี้อ่ะ”

     ผมส่ายหน้าไปมา ฝนกับควีนถึงกับทำหน้าเซ็งกันเลยทีเดียว

     “ถ้าเมื่อคืนไม่มีอะไรแล้วทำไมมึงถึงไม่อยากเจอหน้าเขา”

     “กะ...ก็วันนี้กูลืมล้างหน้ามาอ่ะ กูไม่อยากให้พี่คลื่นเห็นหน้าสดของกู”

     ควีนมองผมแบบเอือมๆ ไม่ได้เอะใจคำโกหกของผม แต่สักพักมันก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก

     “แล้ว...เมื่อคืนพี่คลื่นตอนวิดีโอคอลหล่อป่ะ”

     “เออใช่ๆ มึงได้เห็นห้องนอนเขาไหม”

     “พี่คลื่นใส่ชุดอะไรนอนวะ หรือเขาถอดเสื้อนอน อร๊ายยยย”

     เอาทีละคำถามได้ไหม อะไรจะอยากรู้ขนาดนี้วะเนี่ย

     “เอ่อ...ฝน ควีน ข้าวว่ารีบกินข้าวกันก่อนดีไหม อีกห้านาทีต้องไปเรียนคาบบ่ายแล้วนะ”

     ผมอยากจะก้มไปกราบเท้าข้าวหอมจริงๆ คำพูดของข้าวเป็นเหมือนระฆังช่วยชีวิตผมเลย ฝนกับควีนที่ได้ยินดังนั้นเลยหันไปรีบกินข้าวตัวเอง ไม่ถามผมเรื่องพี่คลื่นต่อ

     เฮ้อ...โล่งอกไปที

     “เออ กูว่าจะถามนานแล้ว ทำไมมึงกินข้าวมือเดียววะเดือน อีกมือมึงจับกางเกงทำไม” ควีนหันมาถามอีกครั้ง ผมที่เอามือซ้ายจับกางเกงไว้แล้วใช้มือขวาถือช้อนข้างเดียวมาตลอดเลยสะดุ้งนิดหน่อย

     “มึงเพิ่งสังเกตเหรอคะ กูเห็นมันเดินจับกางเกงมาตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังดึงกางเกงขึ้นมาซะสูงอย่างกับเป็นมาริโอ้”

     “นั่นสิ เดือนเป็นอะไรหรือเปล่า ให้ข้าวช่วยดูไหม” ข้าวหอมทำท่าจะยื่นมือมาจับกางเกง ผมเลยรีบห้ามแทบไม่ทัน

     “ไม่ต้องๆๆ เราไม่ได้เป็นอะไรหรอกข้าว คือ...เมื่อคืนเรานอนดึกอ่ะ เช้านี้เลยตื่นสาย กลัวจะมาเรียนไม่ทันเลยรีบแต่งตัวจนลืมใส่เข็มขัด”

     “มึงก็เลยต้องจับกางเกงไว้เพราะกลัวว่ามันจะหลุด?”

     “อือ”

     เพื่อนผมทั้งสามคนหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่ฝนจะหันมาพูดกับผมพลางทำหน้าเหนื่อยใจ “มึงนี่มันอ๊องได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ เลยนะเดือน”

     มันใช่ความผิดผมที่ไหนเล่า ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษพี่คลื่นต่างหาก ที่เมื่อคืนผมนอนไม่หลับก็เพราะพี่คลื่นนั่นแหละ แล้วที่ผมต้องจับกางเกงไว้ก็เพราะตอนซื้อกางเกงผมซื้อเผื่อตอนปีสาม คิดว่ายังไงก็ต้องใส่เข็มขัดอยู่แล้วเลยไม่ได้กลัวว่ามันจะหลวม ใครจะนึกล่ะว่าวันหนึ่งผมจะลืมใส่เข็มขัดมา

     “ฝน นั่นใช่พี่คลื่นหรือเปล่า” ระหว่างที่ผมกำลังโดนบ่นเรื่องเข็มขัด จู่ๆ ข้าวหอมก็ชี้นิ้วไปด้านหลังฝนกับควีน พวกมันสองคนรีบหันไปดูจนคอแทบเคล็ด ผมเองก็ชะโงกหน้าไปดูเหมือนกัน และพอเห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหารคือพี่คลื่นกับเพื่อนๆ ของเขา ผมก็รีบก้มหน้ามุดใต้โต๊ะทันที

     “มึง! พี่คลื่นมาจริงๆ ด้วยว่ะ กรี๊ดดดด เขามาหามึงแน่เล...อะ...อ้าว เดือน มึงก้มไปหลบใต้โต๊ะทำไม” ฝนก้มหน้ามาถาม ผมเลยรีบยกนิ้วชี้มาจ่อปากส่งสัญญาณว่าอย่าเสียงดัง

     “มึงบังกูให้หน่อย เดี๋ยวพี่คลื่นเขาหันมาเห็นกู”

     แทนที่จะเอาตัวบังให้ตามที่ผมขอ ฝนกลับทำหน้าเอือม เดินมาเท้าเอวอยู่ข้างผม “มึงจะหลบหน้าพี่คลื่นทำไม หน้ามึงก่อนนอนเขายังเห็นมาแล้ว แค่เห็นหน้าสดสักวันจะเป็นไรไปวะ”

     “ไม่เอา กูไม่อยากคุยกับเขาต่อหน้า”

     “แต่กูอยากให้มึงคุยกับเขา” ฝนหันไปทางควีนพลางสั่งเสียงเข้ม “อีควีน มาช่วยกูหน่อย”

     “เฮ้ย! พวกมึงจะทำอะไร”

     พวกมันสองคนต่างกรูกันเข้ามาฉุดกระชากลากถูให้ผมออกมาจากใต้โต๊ะ ข้าวหอมทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกฝนสั่งให้อยู่เฉยๆ แล้วคอยมองพี่คลื่นไว้ ผมพยายามกลับเข้าไปใต้โต๊ะอีกรอบ แต่ควีนที่ไม่รู้เอาแรงมาจากไหนก็ดึงผมให้ลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ

     “ฝน ข้าวว่าพอเถอะนะ อย่าไปบังคับเดือนเลย”

     “คุณข้าวคะ มึงไม่อยากเห็นไอ้เดือนมีแฟนเป็นเดือนมหา’ลัยเหรอ”

     “ใช่ เพื่อนเรามันโสดมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะ โอกาสที่มันจะได้ลงจากคานลอยมาทั้งทีจะให้ปล่อยไปได้ไง”

     ฝนล็อกแขนซ้าย ควีนล็อกแขนขวา พวกมันกำลังลากผมไปที่โต๊ะพี่คลื่นโดยไม่สนคำทัดทานของผมเลย

     “พวกมึง ถือว่ากูขอ กูยังไม่พร้อมเจอหน้าพี่คลื่นจริงๆ”

     “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูเปิดบทสนทนาให้ มึงแค่เออออไปตามกูก็พอ”

     “กูไม่เอา”

     “มึงต้องเอา”

     “กูไม่เอา!”

     “มึงต้องเอา!”

     “ไอ้ฝน! ก็กูบอกว่า...เฮ้ย!!”

     เป็นเพราะโดนล็อกแขนไว้ทั้งสองข้างทำให้ผมไม่สามารถจับกางเกงไว้ได้ และเมื่อผมยืนเป็นเวลานานแถมยังโดนลากไปลากมา...ก็เป็นธรรมดาที่กางเกงซึ่งหลวมอยู่แล้วจะหล่นลงไปอยู่ที่เท้า!

     “เชี่ย!!”

     “เดือน!!”

     ฝนกับควีนอุทานพร้อมกัน ข้าวหอมร้องเรียกผมด้วยความตกใจ ทุกคนในโรงอาหารที่ได้ยินเสียงต่างหันมามองเป็นจุดเดียว ผมรีบเอามือมาปิดส่วนกลางลำตัวไว้ทันที เพื่อนทั้งสามคนก็รีบพุ่งเข้ามาเอาตัวบังหน้าบังหลัง แต่เหมือนจะสายไปแล้ว...เพราะพอผมหันไปมอง ผมก็เผลอสบตากับพี่คลื่นโดยไม่ตั้งใจ

     “เอ่อ...ไม่มีอะไรค่ะ เพื่อนหนูแค่เจอแมลงสาบในจานข้าวเฉยๆ”

     “ใช่ๆๆ ทุกคนไม่ต้องสนใจหรอกนะคะ พอดีเพื่อนหนูกลัวแมลงสาบมันเลยร้องเสียงดังไปหน่อย”

     ผมรีบดึงกางเกงขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย ในใจก็ก่นด่าเพื่อนบังเกิดเกล้าไปด้วย บอกว่าไม่เอาๆ ยังจะบังคับอยู่ได้ เป็นไงล่ะ งามหน้ากันยกแก๊งเลยทีนี้!


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     “เดือน หายโกรธกูเถอะนะ”

     “ที่กูทำไปเพราะหวังดีกับมึงนะเว้ย”

     ผมตักไอศกรีมของร้านประจำเข้าปาก ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงง้อของเพื่อน ฝนกับควีนที่เห็นผมไม่สนใจยิ่งทำหน้ารู้สึกผิด จนข้าวหอมที่นั่งข้างผมพูดขึ้นมา

     “ข้าวบอกแล้วว่าอย่าไปบังคับเดือน แต่ฝนกับควีนก็ไม่เชื่อเลยอ่ะ”

     “กูก็แค่อยากให้มันได้คุยกับพี่คลื่นเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจให้กางเกงมันหลุดโชว์บ็อกเซอร์คนทั้งโรงอาหารซะหน่อย”

     ผมถลึงตาใส่ฝนโทษฐานที่มันพูดเรื่องเมื่อตอนกลางวันออกมาตรงๆ เป็นไปได้ผมอยากกัดลิ้นตัวเองตายไปเลยด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องนึกถึงมันอีก ป่านนี้อับอายขายขี้หน้าไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

     “ข้าวเช็กในเฟซบุ๊กกับไอจีให้แล้วนะเดือน ไม่มีใครพูดถึงหรืออัดคลิปเรื่องเมื่อตอนกลางวันเลย เดือนสบายใจได้”

     ผมจะสบายใจกว่านี้ถ้าคนที่เห็นผมหน้าแตกมีแต่คนอื่น ไม่ใช่พี่คลื่นที่ผมต้องวิดีโอคอลด้วยทุกคืน...

     “มึงว่าพี่คลื่นจะเห็นไอ้เดือนกางเกงหลุดป่ะวะ” ควีนถามขึ้นมาเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

     “กูว่าไม่เห็นนะ เราสามคนช่วยกันบังไอ้เดือนซะขนาดนั้น แถมพี่คลื่นยังอยู่ไกลด้วย”

     “ขอให้เป็นอย่างที่มึงพูดละกัน ถ้าพี่คลื่นเห็นจริงๆ กูเตรียมให้ไอ้เดือนบล็อกไลน์เขาเลยค่ะ”

     “พูดเหมือนไม่ใช่ความผิดมึงเลยเนอะ”

     “นี่กูก็กำลังเป็นห่วงมึงอยู่นะ”

     “มึงกล้าพูดคำว่าเป็นห่วงหลังจากทำกูขายหน้าต่อหน้าคนเป็นร้อยด้วยเหรอ”

     “ไม่ถึงร้อยสักหน่อย มึงอ่ะคิดมากเกินไปแล้ว”

     ผมส่ายหน้าให้เพื่อนช่างเถียงก่อนจะตักไอศกรีมเข้าปากอีกคำ ยังดีที่พวกมันพามาเลี้ยงไอศกรีมเจ้าโปรดที่อยู่หลังมหา’ลัย ผมเลยพอจะให้อภัยได้บ้าง ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าชาตินี้ผมจะปริปากคุยกับมันอีก

     แต่ถ้าเป็นอย่างที่ฝนพูดจริงๆ ผมก็ค่อยหายห่วงหน่อย อย่างน้อยผมก็ยังมองหน้าพี่คลื่นตอนวิดีโอคอลกันได้อยู่

     “เดือนเอาอีกถ้วยไหม เดี๋ยวข้าวสั่งให้”

     “ไม่เป็นไรๆ เราใกล้จะอิ่มแล้ว”

     ข้าวหอมยิ้มให้ผมก่อนจะลุกไปสั่งไอศกรีมเพิ่ม ผมกับข้าวหอมมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือชอบกินของหวาน แต่ผมจะชอบเค้กเป็นพิเศษ ส่วนข้าวหอมชอบกินไอศกรีม

     ฝนกับควีนที่เห็นผมอารมณ์ดีบ้างแล้วชวนคุยเรื่องเดือนคณะแพทย์ที่กำลังคบกับสาวคณะนิเทศฯ อยู่ ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ระหว่างนั้นโทรศัพท์ผมก็มีเสียงไลน์ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูพอดีกับที่ข้าวหอมเดินกลับมา

     KhluenKhram : น้องเดือนทำอะไรอยู่ครับ

     KhluenKhram : กินข้าวยัง หรือยังเรียนไม่เสร็จ


     ผมย้อนกลับไปอ่านชื่อคนที่ทักมาอีกครั้งเพื่อแน่ใจว่าไม่ได้ดูผิด และพอมั่นใจว่าเป็นข้อความของพี่คลื่นผมก็เอาแต่อ่านซ้ำไปซ้ำมาในหัว

     นี่พี่คลื่น...ทักมาชวนผมคุยเหรอ

     “เดือน มึงเมาแดดเหรอ ทำไมหน้าแดงแบบนั้นวะ” ฝนมองผมพลางทำหน้างง ผมเลยเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

     “ปะ...เปล่า กู...แค่ร้อนเฉยๆ”

     “แต่หน้าเดือนแดงมากเลยนะ ไม่สบายหรือเปล่า” ข้าวหอมทำท่าจะยื่นหน้ามาใกล้ เล่นเอาผมปิดโทรศัพท์แทบไม่ทัน

     “เราไม่ได้เป็นไร ข้าวไม่ต้องห่วงหรอก กินไอติมต่อเถอะ”

     ข้าวหอมทำหน้างง แต่ก็พยักหน้าแล้วหันไปกินไอศกรีมต่อ ส่วนผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อตอบพี่คลื่น

     Ing-Duean : เรียนเสร็จแล้วครับ ตอนนี้มากินไอติมหลังมหา’ลัยกับเพื่อนอยู่

     KhluenKhram : หืม? อร่อยไหมครับ ถ่ายรูปมาอวดพี่บ้างสิ


     ผมเอียงคอด้วยความงงนิดหน่อย พี่คลื่นไม่เคยเห็นไอศกรีมเหรอถึงอยากให้ผมถ่ายไปให้ดู แต่ในเมื่อพี่คลื่นขอมาแบบนี้ผมจะไปขัดได้ไงล่ะ ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายถ้วยไอศกรีมแล้วส่งไปให้พี่คลื่น เพื่อนทั้งสามคนหันมามองผมพร้อมกัน

     “มึงทำอะไรอ่ะเดือน”

     “ถ่ายไอติม”

     “ถ่ายทำไมวะ จะลงสตอรี่ไอจีเหรอ”

     “เปล่า จะส่งไปให้พี่คลื่น”

     “ฮะ!?”

     ผมตกใจเสียงของเพื่อนเลยละสายตาจากไลน์พี่คลื่นเงยหน้ามามอง และพอเห็นพวกมันทำหน้าสงสัย ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากออกไป

     “มึงถ่ายรูปไอติมไปให้พี่คลื่นทำไมคะ ตอบ” ควีนใช้ช้อนไอศกรีมชี้มาทางผมพลางถามเสียงเข้ม

     “กะ...ก็เขาขอนี่หว่า”

     “พี่คลื่นเนี่ยนะขอให้มึงถ่ายไอติมไปให้เขาดู

     “อะ...อือ มึงอย่าทำหน้าแบบนั้นดิ แค่ถ่ายรูปเอง ทำไมกูจะทำไม่ได้”

     ฝนยื่นหน้ามากลางโต๊ะพลางทำหน้าจริงจัง ควีนกับข้าวหอมก็ทำแบบเดียวกัน “มันไม่เกี่ยวว่ามึงทำได้หรือไม่ได้ แต่ที่กูสงสัยคือเขาจะให้มึงถ่ายไปทำไม”

     “กูจะไปรู้เหรอ เขาอาจจะไม่เคยกินไอติมก็ได้”

     “ไอ้เดือน มึงช่วยอ๊องอย่างเดียวแต่ไม่โง่ได้ไหม คนอย่างพี่คลื่นน่ะเหรอจะไม่เคยกินไอติม วันก่อนกูยังเห็นเขาเดินเข้าร้านสเวนเซ่นกับเพื่อนอยู่เลย” ฝนผลักหน้าผากผมเบาๆ ท่าทางสำนึกผิดเรื่องที่ทำกางเกงผมหลุดหายไปในพริบตา ส่วนควีนก็พยักหน้าเห็นด้วย

     “กูฟังแค่นี้ยังรู้เลยค่ะว่าเขากำลังชวนมึงคุย แล้วการที่เขาชวนมึงคุยก็แปลว่าเขาอยากคุยกับมึง”

     ผมเอียงคอทำหน้างง ไม่เข้าใจว่ามันอยากสื่ออะไร จนควีนทนไม่ไหวเลยต้องอธิบายเพิ่มเติม

     “กูกำลังจะบอกว่าพี่คลื่นเขาสนใจมึงอยู่ค่ะ ยูโน้ว สนใจที่แปลว่าชอบอ่ะค่ะ”

     “บ้า! มันจะเป็นไปได้ยังไง เขาอาจจะชวนกูคุยแค่เพราะกูเป็นผู้ชนะเกมของเขาก็ได้” วันก่อนก็อยากให้ผมชอบพี่คลื่น วันนี้ยังอยากให้พี่คลื่นชอบผมอีก เพื่อนผมมันชักจะเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว

     “ถูกของเดือนนะ ข้าวคิดว่าพี่คลื่นคงอยากเอนเตอร์เทนผู้ชนะเกมตัวเองเฉยๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรก็ได้”

     “มึงสองคนยังอ่อนต่อโลกเลยไม่รู้อะไร แต่กูกับอีควีนผ่านผู้ชายมาเยอะแล้ว แค่นี้ทำไมจะดูไม่ออกว่าพี่คลื่นกำลังสนใจไอ้เดือน” ฝนพูดอย่างมั่นใจ แต่ก็ถูกข้าวหอมพูดขัด

     “ควีนยังไม่เคยมีแฟนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงผ่านผู้ชายมาเยอะได้ล่ะ”

     “ข้าว!” ควีนมองข้าวหอมแบบเหวี่ยงๆ นี่ถ้าคนพูดไม่ใช่เพื่อนสนิทผมว่ามันลุกมาตบแล้ว “ที่กูไม่มีแฟนเพราะกูดีเกินไปจนผู้ชายเอื้อมไม่ถึงต่างหาก”

     “อ๋อเหรอคะ กูนึกว่าผู้ชายขี้เกียจก้มลงมาหามึงซะอีก”

     “ฝน นี่เพื่อนเอง”

     “กูแค่หยอกเล่นไหมคะ ในมหา’ลัยนี้ไม่มีใครสวยเท่าเราสองคนแล้วมึงก็รู้”

     แล้วฝนกับควีนก็หันไปเมาท์มอยเรื่องผู้ชายกันต่อโดยลืมเรื่องพี่คลื่นไปสนิท ส่วนข้าวหอมก็หันมาถามผมเรื่องเนื้อหาวิชาเมื่อตอนบ่ายที่ยังไม่เข้าใจ ซึ่งมันก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องมาฟังอะไรก็ไม่รู้จากพวกมัน

     พวกเราสี่คนนั่งคุยไปกินไอศกรีมไป ผมเองก็เอาแต่อธิบายให้ข้าวฟังจนลืมไปเลยว่าคุยกับพี่คลื่นค้างไว้


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ผมเดินถือผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำหลังจากอยู่ในนั้นเกือบชั่วโมง เป็นเพราะวันนี้โคตรจะเหนื่อยทำให้ผมอาบน้ำนานเป็นพิเศษ พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้า คืนนี้เลยตั้งใจจะเข้านอนเร็วกว่าปกติจะได้ไม่ตื่นสายเหมือนวันนี้

     ส่วนเรื่องวิดีโอคอลกับพี่คลื่นน่ะเหรอ...

     ผมไม่มั่นใจว่าควรทักไปหาเขาหรือรอให้เขาทักมา จริงอยู่ที่ผมเป็นผู้ชนะ ดังนั้นผมจึงมีสิทธิ์ขอวิดีโอคอลทุกคืนอยู่แล้ว แต่จะให้ทักไปชวนพี่คลื่นตรงๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ ใจหนึ่งแอบกลัวว่าพี่คลื่นจะพูดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าเขากำลังยุ่งอยู่

     ในตอนที่ผมเช็ดหัวเสร็จแล้วและกำลังจะเปิดเครื่องหนีบผม จู่ๆ โทรศัพท์ที่อยู่บนเตียงก็สั่นขึ้นมา ผมเดินไปหยิบมาดูขณะที่อีกมือยังถือเครื่องหนีบผมอยู่ แต่พอเห็นว่าคนที่วิดีโอคอลมาคือใครผมก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

     เพิ่งแอบนินทาไปไม่นาน นี่ถึงกับโทรมาเลยเหรอ!

     เอาไงดีวะ ยังไม่ได้หนีบผมเลย จะให้รับสายก็อายผมยุ่งๆ ของตัวเอง จะให้กดตัดสายก็กลัวพี่คลื่นคิดมาก

     “ฮะ...ฮัลโหลครับ” ผมเลือกกดรับสายแต่ปิดกล้องฝั่งตัวเองเอาไว้ พี่คลื่นที่น่าจะกำลังนอนหนุนหมอนอยู่บนเตียงเลยขมวดคิ้ว

     [น้องเดือนปิดกล้องทำไมอ่ะครับ]

     “คือ...ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จน่ะครับ”

     [อ้าว พี่โทรมากวนเหรอ โทษทีๆ เราไปแต่งตัวก่อนก็ได้]

     “ไม่ครับๆ ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังจะหนีบผม”

     [ถ้างั้น...น้องเดือนจะปิดกล้องทำไมอ่ะ] พี่คลื่นทำหน้าหม่น เสียงก็หม่นลงด้วย [ไม่พอใจพี่อยู่เหรอครับ]

     หา!? ผมเนี่ยนะไม่พอใจพี่คลื่น เขาพูดอะไรออกมาเนี่ย

     “ไม่ใช่นะครับ พี่คลื่นไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ผมจะเอาอะไรมาไม่พอใจพี่ล่ะ”

     [ก็พี่เห็นเราไม่ตอบไลน์ตั้งแต่ตอนเย็น แถมตอนนี้เรายังปิดกล้องใส่พี่อีก พี่เลยนึกว่าเราไม่อยากคอลกับพี่]

     พอได้ยินพี่คลื่นพูดแบบนี้ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าหลังจากส่งรูปไอศกรีมไปแล้วผมก็ไม่ได้อ่านไลน์เขาอีกเลย

     “เอ่อ...คือ...พอกินไอติมเสร็จเพื่อนผมก็ลากไปซื้อของต่อ ผมเลยไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาดูเลยอ่ะครับ นี่ก็เพิ่งกลับมาถึงห้องเอง ขอโทษนะครับ”

     พอผมอธิบายแล้วพี่คลื่นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันที ใบหน้าหม่นหมองหายไปแล้ว ชวนให้ผมงงกับความเปลี่ยนอารมณ์เร็วของเขา [ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ เดือนไม่ได้ทำอะไรผิด พี่ผิดเองที่คิดมากเกินไป]

     ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพี่คลื่นเป็นคนขี้น้อยใจ แค่ไม่ตอบไลน์สามชั่วโมงก็คิดว่าโดนผมโกรธซะแล้ว

     [ถ้าไม่ได้โกรธพี่แล้วทำไมเดือนไม่เปิดกล้องล่ะครับ]

     “หัวผมยุ่งอยู่น่ะครับ ผมเลย...อายพี่คลื่น”

     [ไม่เห็นต้องอายเลย คอลกับพี่ไปหนีบผมไปก็ได้] พี่คลื่นพูดยิ้มๆ

     “จะดีเหรอครับ”

     [อืม พี่จะได้มองหน้าเราตอนคุยด้วย]

     คำพูดธรรมดาๆ ของพี่คลื่นกลับทำให้ผมใจเต้นแรงได้อย่างน่าประหลาด พอโดนพูดแบบนี้ใส่ผมเลยยอมเปิดกล้องแล้วตั้งมันไว้บนหัวเตียง จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบเครื่องหนีบผม

     “เอ่อ...สวัสดีครับพี่คลื่น”

     [คุยกันมากี่ประโยคแล้วถึงเพิ่งจะมาสวัสดี หืม] พี่คลื่นพลิกตัวมานอนคว่ำ เอาคางเกยหมอน มองผมด้วยสายตายิ้มๆ [ยังเกร็งอยู่เหรอ สงสัยคงต้องเล่นเกมกระชับมิตรอีกครั้งแล้วมั้ง]

     ผมที่กำลังจะหนีบผมตัวเองถึงกับทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว โอ้โหพี่ครับ ของแบบนี้มันบังคับกันได้ที่ไหนล่ะ

     “ผมแค่ยังตั้งตัวไม่ทันน่ะครับ จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้วิดีโอคอลกับเดือนมหา’ลัยอย่างพี่”

     [งั้นหลังจากนี้ทักมาชวนพี่คุยบ่อยๆ สิ เราจะได้หายตื่นเต้น ดีไหมครับ]

     ดีนะที่ผมถือเครื่องหนีบผมไว้แน่น ไม่งั้นมันคงตกลงมาลวกขาผมไปแล้ว

     นอกจากขี้น้อยใจแล้ว ผมก็เพิ่งรู้ว่าพี่คลื่นใช้คำพูดเอนเตอร์เทนคนเก่งเหมือนกัน ขนาดเพิ่งคุยกันไม่นานยังทำผมเขินได้เลย

     “ถ้าพี่คลื่นไม่ว่าอะไร...ผมจะทักไปหาบ่อยๆ นะครับ” ผมตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ มือก็หนีบผมไปด้วย รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกันที่มีคนมองเวลาหนีบผม แต่เพราะพี่คลื่นเป็นคนบอกเอง ผมเลยพยายามไม่คิดอะไรแล้วทำตัวให้สบายที่สุด

     [ไอติมวันนี้อร่อยไหมครับ]

     “อร่อยครับ แล้ว...เมื่อตอนเย็นพี่คลื่นกินอะไรเหรอครับ” ไม่ได้อยากเสือกชีวิตเขานะครับ แต่ถ้าไม่ถามผมก็กลัวว่าจะเสียมารยาท

     [ข้าวมันไก่ครับ พี่ไปกินที่ร้านหน้ามหา’ลัย]

     “ถ้าเป็นหน้ามหา’ลัยผมกับเพื่อนชอบไปซื้อชานมไข่มุกครับ เขาให้วิปครีมเยอะดี ผมดูดน้ำหมดก่อนวิปครีมตลอดเลย”

     [เหรอครับ สงสัยพี่คงต้องไปลองบ้างแล้ว] พอพูดจบพี่คลื่นก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ [จริงสิ วันนี้น้องเดือนไปโรงอาหารกลางมาเหรอครับ]

     !!!!!!

     ผมตกใจจนเผลอทำหน้าเหวอ มือที่หนีบผมอยู่ก็ชะงักกึก เห็นพี่คลื่นไม่พูดถึงเรื่องนี้ผมเลยนึกว่ารอดแล้ว ที่ไหนได้...ไม่รอดครับ!

     “เอ่อ...ไม่...ไม่ได้ไปครับ...”

     [อ้าวเหรอ พอดีพี่เห็นคนลงสตอรี่ว่าเดือนไปกินข้าวที่โรงอาหารกลางแล้วเขาแท็กพี่ด้วย]

     “อะ...อ๋อ คือนั่นมัน...เพื่อนผมมันแกล้งน่ะครับ ที่จริงวันนี้ผมกินข้าวในคณะตัวเอง” ผมพยายามปั้นยิ้มสุดชีวิตทั้งที่ในใจกำลังแค้นไอ้เพื่อนตัวแสบอยู่ สาบานว่าถ้าเจอหน้าฝนอีกผมจะหยิกหูมันให้แดงเลย

     พี่คลื่นพยักหน้ารับ ผมที่เห็นว่าเขาไม่สงสัยอะไรแล้วเลยลอบถอนหายใจแล้วเริ่มหนีบผมอีกครั้ง แต่ไม่ทันไรพี่คลื่นก็พูดขึ้นมาอีก

     [ถ้าเดือนไม่ได้ไปโรงอาหารกลาง แปลว่าเมื่อตอนกลางวันพี่จำคนผิดสินะ]

     “จำคนผิดอะไรเหรอครับ” ผมถามขณะที่กำลังหนีบผมอยู่

     [ก็ตอนที่พี่กินข้าวอยู่ พี่เห็นคนส่งเสียงดังในโรงอาหาร]

     “…”

     [ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เหมือนจะมีผู้ชายถูกเพื่อนลากมาทางโต๊ะพี่ แล้วหลังจากนั้น...กางเกงที่ผู้ชายคนนั้นใส่อยู่ก็หลุดไปอยู่ที่เท้า]

     “…”

     [ตอนนั้นมีคนมาบังไว้ พี่เลยเห็นหน้าไม่ค่อยชัด แต่มันมีแวบนึงที่พี่ได้สบตากับเขา พี่ถึงเห็นว่าผู้ชายคนนั้นหน้าเหมือนเดือน...]

     ฟึ่บ!

     “โอ๊ย!”

     [เดือน!!]





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide

     P.S. นิสัยเพื่อนนายเอกอาจจะน่ารำคาญไปบ้าง แต่เราอยากให้มองว่าเป็นสีสันของเรื่อง อีกอย่างเพื่อนๆ ก็ไม่ใช่จะแกล้งโดยไม่สนอะไรเลย ถ้ารู้ว่าผิดจริงๆ ก็พร้อมขอโทษเสมอ โดยพื้นฐานแล้วเพื่อนกลุ่มนี้รักกันมาก แค่นิสัยและวิธีการแสดงออกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในตอนต่อๆ ไปจะเห็นถึงข้อเท็จจริงนี้ชัดมากขึ้นครับ

     อยากให้อ่านกันอย่างมีความสุขและได้รอยยิ้มกลับไปนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.3 [11/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 12-04-2022 00:27:53
อ่อยน้องแรงมากกกกก
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 4 [13/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 13-04-2022 15:22:08
ตอนที่ 4 : อดนอนไปด้วยกัน





     ผมทำหน้าบูดเป็นตูดลิงมาสักพักแล้ว แต่ไม่รู้ว่าฝนมันไม่เห็นหรือเห็นแต่แกล้งไม่สนใจ มันกับควีนยิ้มระรื่นกันอยู่สองคน จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวต้องถามออกไป

     “มึงกำลังแกล้งกูอยู่ใช่ไหม”

     “แกล้งอะไร กูเคยแกล้งมึงด้วยเหรอ”

     “ถ้าไม่ได้จะแกล้งแล้วมึงพากูมาโรงอาหารกลางอีกทำไม”

     “ก็ข้าวมันบอกว่าอยากกินหมูกระเทียม แต่คณะเราไม่มีหมูกระเทียมกูเลยพามันมาที่นี่ไง”

     พอได้ยินแบบนั้นข้าวหอมที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างผมถึงกับหันมามอง “ฝนอย่ามาโบ้ยกันสิ ข้าวก็บอกแล้วว่าไม่ได้อยากกินขนาดนั้น แต่ฝนกับควีนก็เอาแต่คะยั้นคะยออยากมาโรงอาหารกลางอยู่ได้”

     “กูก็แค่หวังดีอยากให้เพื่อนสนิทได้กินของที่อยากกิน กูผิดเหรอ”

     สงสัยไม่เคยมีใครบอกว่ามันโกหกโคตรจะไม่เนียนเลย แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วฝน

     “ไม่เป็นไรข้าว กินต่อไปเถอะ เราไม่โกรธข้าวหรอก”

     “ถ้าไม่ได้โกรธไอ้ข้าวแล้วมึงทำหน้าบูดทำไม”

     “ก็กูโกรธพวกมึงสองคนอยู่ไง!”

     แทนที่จะสำนึกผิด คนตรงหน้ากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วจิ้มลูกชิ้นเข้าปากหน้าตาเฉย “นี่กูก็หวังดีกับมึงเหมือนกันนะ”

     “พากูมาให้คนจำหน้าได้ นี่อ่ะนะที่เรียกว่าหวังดี”

     “เดือน ฟังกูนะคะ ฟังแล้วคิดตามด้วย” ควีนพูดกับผมด้วยใบหน้าจริงจัง แต่ผมพอจะเดาได้ว่าเรื่องที่มันกำลังจะพูดไร้สาระแค่ไหน “จากที่กูเห็นเมื่อวานว่าพี่คลื่นทักมาชวนมึงคุย กูกับฝนเลยสงสัยว่าพี่คลื่นอาจจะกำลังชอบมึงอยู่ และเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยนี้พวกกูเลยพามึงมาที่นี่อีกไง”

     นั่นไง ผิดจากที่ผมคิดไว้ที่ไหนล่ะ ผมเคยหาสาระจากมันได้ด้วยเหรอ

     “กูนึกว่าพวกมึงลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ”

     “เรื่องสำคัญขนาดนี้กูไม่มีทางลืมค่ะบอกเลย”

     “กูก็บอกว่าพี่คลื่นเขาไม่ได้คิดอะไร ทำไมไม่ฟังกูบ้างวะ”

     “มึงเคยเห็นกูกับฝนมองคนพลาดด้วยเหรอ เรื่องผู้ชายน่ะเซนส์กูแม่นอย่าบอกใคร มึงก็รู้”

     “แล้วถ้าวันนี้พี่คลื่นไม่มาล่ะ”

     “พรุ่งนี้เราก็ไปหาเขาถึงคณะบริหารฯ เลยสิ ไม่เห็นยาก”

     ผมล่ะปวดหัวจริงๆ กับเรื่องเรียนไม่เห็นมันจะทุ่มเทขนาดนี้เลย

     “เดือน ข้าวว่านะ ถ้าเดือนมั่นใจว่าพี่คลื่นไม่ได้คิดอะไรกับเดือนจริงๆ ก็ให้ฝนกับควีนพิสูจน์ไปเถอะ เดือนก็รู้ว่าถึงพูดไปฝนกับควีนก็ไม่ฟังอยู่ดี”

     ผมทำหน้าเหนื่อยใจ ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปมองค้อนใส่คนที่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของข้าวหอม

     “มันไม่ใช่แค่นั้นไงข้าว”

     “แล้วมันแค่ไหนอ่ะเดือน”

     “เรายังไม่อยากเจอหน้าพี่คลื่น”

     “อีกแล้ว ทำไมมึงถึงอยากหลบหน้าเขาขนาดนั้นวะ”

     “ก็เมื่อคืนกู...” ผมเกือบพูดออกไปแล้ว แต่ยังดีที่ยั้งปากไว้ทัน เพื่อนทั้งสามที่เห็นผมหยุดพูดไปดื้อๆ เลยถามขึ้นมา

     “เมื่อคืนมึงทำไม”

     “ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร”

     “ไอ้เดือน กูเพื่อนมึงนะ แค่มองตามึงกูก็เห็นไปยันลำไส้ใหญ่แล้ว” ฝนหรี่ตาพร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ “เมื่อคืนมันมีอะไร”

     “กะ...ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง”

     “ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมมึงถึงไม่อยากเจอหน้าพี่คลื่น”

     “มึงนี่ก็ขยันถามจริง แค่ไม่อยากเจอหน้าจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ”

     “ทำไมเดือนพูดเหมือนเกลียดพี่คลื่นอยู่เลยอ่ะ” ข้าวหอมเอียงคอสงสัย ส่วนฝนก็เอาแต่จ้องผมไม่คลาดสายตา

     “เราไม่ได้เกลียดพี่คลื่นนะข้าว”

     “งั้นก็บอกมาสิว่าไม่อยากเจอเขาเพราะอะไร เลือกเอาว่าจะบอกที่นี่หรือจะให้กูลากไปเค้นความจริงต่อหน้าพี่คลื่น”

     “เอ่อ...ฝน กูว่ามึงไม่ต้องพาเดือนไปหาพี่คลื่นหรอก” จู่ๆ ควีนก็พูดขึ้นมาพร้อมทำหน้าแปลกๆ ยังไม่ทันที่พวกผมจะได้ถามก็มีเสียงผู้ชายดังมาจากข้างหลังผม

     “น้องครับ พี่ขอนั่งด้วยได้ไหม”

     !!!!!!

     ผมยืดหลังตรงโดยอัตโนมัติ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่ากำลังจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น

     เสียงทุ้มๆ แบบนี้...อย่าบอกนะว่า...

     “พะ...พี่คลื่น...” ฝนละเมอออกมาเหมือนคนไม่มีสติ ควีนทำหน้าเหมือนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ ส่วนข้าวหอมที่หันไปมองก็เบิกตากว้างเหมือนกำลังตกใจ

     “พอดีโต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว และพี่เห็นว่าโต๊ะที่น้องเดือนนั่งอยู่ยังมีที่ว่าง ถ้าไม่รังเกียจ...ให้พี่กับเพื่อนๆ นั่งด้วยได้ไหมครับ”

     ฝนยังคงอ้าปากค้าง จนควีนต้องกระทุ้งสีข้างเบาๆ มันถึงเรียกสติกลับมาได้ “ดะ...ได้ค่ะ โต๊ะหนูยังมีที่ว่างอีกเยอะเลย พวกพี่นั่งได้เลยค่ะ”

     พี่คลื่นเอ่ยขอบคุณเบาๆ ข้าวหอมขยับมาใกล้ผม ส่วนฝนก็ขยับมาใกล้ควีนเพื่อจะได้มีที่ว่างมากขึ้น นอกจากพี่คลื่นแล้วยังมีพี่องศา พี่ทิว และพี่ยี่หวาที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม ที่ผมรู้ชื่อเพราะพวกพี่เขาหน้าตาดีกันหมด คนส่วนใหญ่ในมหา’ลัยเลยรู้จัก แต่ถ้าถามคนที่ฮอตสุดก็ต้องเป็นอดีตเดือนมหา’ลัยอย่างพี่คลื่นอยู่แล้ว

     “เอ่อ...พี่คลื่นรู้จักเดือนด้วยเหรอคะ”

     “จะไม่รู้จักได้ไง ก็น้องเดือนชนะเกมไอ้คลื่นไม่ใช่เหรอ” พี่ยี่หวายิ้มแซว แต่เป็นยิ้มที่เหมือนมีเลศนัยบางอย่าง

     “นะ...นั่นสิคะ หนูนี่ถามอะไรก็ไม่รู้เนอะ”

     “ไอ้คลื่นก็เข้าใจเลือกนะ คนคอมเมนต์เกือบพัน แต่ดันเลือกคนน่ารักๆ อย่างน้องเดือน ตอนแรกพี่นึกว่ามันเลือกคนชนะจากหน้าตาซะอีก” พี่ทิวยิ้มแซวอีกคน ก่อนจะหุบยิ้มเมื่อหันมาเห็นผม “แล้วนั่น...น้องเดือนหลับตาทำไมอ่ะครับ”

     ทุกคนบนโต๊ะหันมามองผมเป็นจุดเดียว ถึงแม้จะโดนทักแต่ผมก็ยังไม่ลืมตา เอาแต่ก้มหน้าเม้มปากแน่น

     “เดือน มึงเป็นอะไรอ่ะ”

     “ฝุ่นเข้าตาเหรอ เดี๋ยวข้าวดูให้นะ” ข้าวหอมยื่นมือมาจะเปิดตา แต่ผมหันหน้าหนีพลางส่ายหน้าไปมา

     “ไอ้เดือน มึงลืมตาก่อน พวกพี่เขางงกันหมดแล้ว”

     “มันเป็นอะไรวะ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย”

     “จะไปรู้เหรอ กูก็นั่งอยู่กับมึงเนี่ย มึงอ่ะรู้ไหม”

     “ข้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     จะให้ผมลืมตาไปมองพี่คลื่นน่ะเหรอ ไม่มีทางซะหรอก เกิดเรื่องน่าอายเมื่อคืนขนาดนั้นใครมันจะไปกล้าสู้หน้าเขาได้อีก

     จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงอะไรอุ่นๆ ตรงหน้า เหมือนมีคนเอาหน้ามาใกล้แล้วกำลังหายใจรดอยู่

     “เดือนครับ...ลืมตาเร็ว เพื่อนๆ เขาเป็นห่วงนะ”

     เสียงพี่คลื่นที่อยู่ใกล้จนผิดปกติทำให้ผมเผลอลืมตาด้วยความตกใจ ข้างหน้าผมตอนนี้คือใบหน้าพี่คลื่นที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบ ฝนกับควีนยกมือมาปิดปาก ส่วนข้าวหอมก็มองมาอย่างอึ้งๆ

     “ลืมตาได้แล้วเหรอ พี่นึกว่าจะหลับตากินข้าวซะอีก”

     “…”

     “แผลที่ขาเป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”

     ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือความจริง ผมคนนี้...กำลังนั่งมองตากับพี่คลื่นอยู่เหรอ

     พอโดนถามถึงเรื่องเมื่อคืนแก้มผมก็ร้อนขึ้นมา แต่เพราะโดนจ้องอยู่ผมเลยต้องตอบออกไปทั้งที่ในใจไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลย “ดะ...ดีขึ้นแล้วครับ ห้องผมมีเจลว่านหางจระเข้เลยเอามาทาแผลทัน”

     พี่คลื่นยิ้มบางๆ ก่อนจะถอยไปนั่งเหมือนเดิม หลังจากนั้นควีนก็พูดขึ้นมา

     “เมื่อคืนเดือนเป็นอะไรเหรอคะพี่คลื่น”

     “ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่แค่ทำเดือนเจ็บตัวนิดหน่อย”

     “ไม่ใช่ความผิดพี่คลื่นนะครับ ผมซุ่มซ่ามเอง ผมขอโทษครับ” ผมรีบพูดเพราะกลัวพี่คลื่นเข้าใจผิด พี่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ผมต่างหากที่ตกใจเกินไปจนเผลอทำเครื่องหนีบผมหล่นใส่ขา

     ตอนนี้ทั้งโต๊ะเงียบกันหมด ทุกคนได้แต่มองหน้ากันไปมา จนกระทั่งพี่ยี่หวาพูดทำลายเดดแอร์ขึ้นมา ฝนกับควีนก็ร่วมด้วยช่วยกันถึงแม้พวกมันจะทำหน้าเหมือนสงสัยอยู่ก็ตาม

     “เอ่อ...ถ้าน้องเดือนไม่เป็นอะไรแล้วงั้นเรามากินข้าวกันต่อเถอะเนอะ”

     “นั่นสิคะ มีคนดังมานั่งกินข้าวด้วยทั้งที สงสัยแต้มบุญพวกหนูคงหมดเร็วๆ นี้แน่”

     “หนูนี่อยากให้โรงอาหารเต็มทุกวันเลยค่ะ ได้กินไปมองหน้าคนหล่อไป ฟินอย่าบอกใครเลย”

     “ฮ่าๆๆๆ พวกน้องนี่ตลกดีนะครับ” พี่องศาพูดกลั้วหัวเราะ “ว่าแต่น้องชื่ออะไรกันบ้างเหรอครับ พี่รู้จักแค่น้องเดือนเอง”

     “หนูชื่อฝนค่ะ ส่วนอีนี่ชื่อควีน แล้วก็คนที่นั่งข้างเดือนชื่อข้าวหอม”

     “ข้าวหอมเหรอ...” พี่องศาทวนชื่อเพื่อนผมซ้ำ มองคนข้างตัวผมยิ้มๆ “ชื่อน่ารักจัง”

     เจ้าของชื่อที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากค้างมือไว้แบบนั้น ข้าวหอมทำท่าอึกอัก ก้มมองจานข้าวตัวเองพลางทำแก้มพองลม

     เวลาข้าวหอมเขินจะชอบทำแก้มพองลม พวกผมรู้เรื่องนี้ดีเลยมักจะแซวอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ผมเข้าใจว่าทำไมข้าวหอมถึงเขิน โดนพี่องศาที่เสน่ห์แรงไม่แพ้พี่คลื่นชมทั้งที ไม่เขินก็แปลกแล้ว

     “แล้วหนูล่ะคะ หนูน่ารักไหมคะพี่องศา” ฝนถามพลางบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย ไอ้นี่มันปลื้มพี่องศาอยู่ครับ หรือพูดให้ถูกคือมันปลื้มคนหล่อทุกคนบนโลก

     “น้องฝนก็น่ารักครับ”

     “บ้า! พี่องศาล่ะก็พูดอะไรไม่รู้”

     ไปถามเขาเองแล้วก็เขินเอง ไม่ใช่เพื่อนผมทำไม่ได้นะแบบนี้

     “มึงนี่ก็ชมคนอื่นไปทั่วเลยนะ เพลาๆ บ้างก็ได้เรื่องปากหวานน่ะ”

     “เออ กูเป็นเพื่อนมึงมานานยังไม่เห็นโดนชมบ้างเลย”

     “มึงมีคนชมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอยี่หวา กูเห็นนะว่าวันก่อนมึงแอบไปเที่ยวกับไอ้นัทที่อยู่วิศวะ”

     “รายนั้นแค่ควงเล่นเฉยๆ ยังไม่โดนใจกูเท่าไหร่”

     ขณะที่เพื่อนพี่คลื่นกำลังคุยกันอยู่ ฝนก็รีบหุบยิ้มแล้วเอาเท้าใต้โต๊ะมาสะกิดผม มันกับควีนยื่นหน้ามาป้องปากกระซิบเสียงเบา “ไหนมึงบอกว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรไง”

     เปลี่ยนอารมณ์ไวจังวะ เมื่อกี้ยังเขินพี่องศาอยู่เลย ตอนนี้กลับหันมาไล่บี้ผมซะแล้ว

     “กะ...ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ”

     “ไม่มีกับผีน่ะสิ แล้วแผลที่ขามึงคืออะไร”

     “กู...แค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

     “มั่นใจ?”

     “อะ...เออ”

     “ไม่ได้ปิดบังอะไรพวกกูอยู่แน่นะ”

     ผมรีบพยักหน้าอย่างเร็ว ฝนกับควีนที่พอใจคำตอบแล้วเลยถอยไปนั่งเหมือนเดิม หันไปยิ้มให้พี่คลื่นที่มองมายังพวกผม “เอ่อ...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะพี่คลื่น”

     “ได้สิครับ”

     “ทำไมพี่ถึงเลือกคอมเมนต์ของเพื่อนหนูอ่ะคะ พี่สุ่มเอาเหรอ หรือมันทักไปขอร้องพี่”

     “ไอ้ฝน!”

     “ฮ่าๆๆ ไม่ใช่หรอกครับ” พี่คลื่นยิ้มบางๆ “พี่แค่รู้สึกว่าคอมเมนต์ของเดือนมันเหมือนกันก็เลยเลือกน่ะครับ”

     “อะไรเหมือนกันเหรอคะ”

     คนถามคือฝน แต่คนที่พี่คลื่นมองอยู่กลับเป็นผม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่สายตาที่คนตัวสูงมองมากลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

     “เดือนชมว่ารอยยิ้มของพี่สดใส แต่รูปในไอจีของเดือนก็สดใสไม่แพ้ยิ้มพี่เหมือนกัน...เหตุผลก็มีแค่นี้แหละครับ”

     เพื่อนๆ ผมถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่กลั้นยิ้มกันสุดชีวิต ส่วนผมน่ะเหรอ...ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าตอนนี้แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศแล้ว

     ถ้าจะชมก็บอกกันก่อนสิครับ ให้ผมมีเวลาตั้งตัวบ้างได้ไหม...


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     “มึงจะพากูไปไหนเนี่ย”

     “หยุดถามแล้วเดินตามมาก็พอ”

     “แต่นี่ใกล้เวลาเรียนแล้วนะ หรือฝนกับควีนอยากเข้าห้องน้ำก่อน” ข้าวหอมที่โดนควีนจูงมืออยู่ถามขึ้นมา ส่วนผมที่โดนฝนจูงมือเหมือนกันก็ได้แต่ทำหน้างง จนกระทั่งมาถึงพุ่มไม้หน้าตึกเรียนพวกมันถึงได้ปล่อยมือ

     “ตอนนี้เรื่องเรียนช่างมันก่อน เรื่องไอ้เดือนสำคัญกว่าเยอะ”

     “เรื่องของกู?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “เรื่องอะไรวะ”

     “มึงไม่ได้ยินที่พี่คลื่นพูดเหรอ”

     “ได้ยิน แล้ว...มันมีอะไรอ่ะ”

     “คุณเดือนคะ มึงช่วยหยุดอ๊องสักห้านาทีแล้วตามคนอื่นให้ทันได้ไหม” ควีนยื่นมือมาจับไหล่ผมเบาๆ ทำหน้าจริงจังจนผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ “กูขอพูดกับมึงตรงๆ เลยนะ”

     “อะ...เออ”

     “ตอนแรกกูกับอีฝนแค่มโนกันเกินเหตุ อันนี้กูยอมรับ แต่พอเห็นสายตาที่พี่คลื่นมองมึง ได้ยินคำพูดที่พี่คลื่นพูดกับมึง พวกกูก็รู้ทันทีว่าพี่คลื่นเขาชอบมึงอยู่จริงๆ”

     “เรื่องนี้อีกแล้วเหรอ เห็นทำหน้าซะจริงจังกูก็นึกว่า...”

     “หยุด อย่าเพิ่งเถียง” ฝนพูดแทรกขึ้นมา มันเดินมาจับไหล่ผมอีกคน “เดือน มึงเลิกคิดว่าพวกกูเพ้อเจ้อแล้วลองคิดทบทวนดีๆ ก่อนได้ไหม เขาชวนมึงคุยในไลน์ เขาพาเพื่อนมานั่งโต๊ะเดียวกับมึง เขามองมึงด้วยสายตาหวานเยิ้ม เขาพูดจาชวนให้มึงเขิน ทั้งหมดนี้ยังชัดไม่พออีกเหรอว่าเขาชอบมึง”

     “กูก็บอกแล้วไงว่าเขาทำไปเพราะเอนเตอร์เทนผู้ชนะเฉยๆ เรื่องโต๊ะเขาก็แค่มานั่งด้วยเพราะโต๊ะอื่นเต็ม แล้วเมื่อกี้เขาก็แค่ชมว่ารูปกูสดใสป่ะ ขนาดพี่ทิวยังชมว่ากูน่ารักเลย”

     “แล้วทำไมตอนพี่ทิวชมมึงเฉยๆ แต่พอพี่คลื่นชมมึงกลับเขิน”

     “กูไม่ได้...”

     “มึงเขินค่ะ กูดูออก” ฝนทำหน้ามั่นใจ ผมอยากเถียงแต่ก็เถียงไม่ออกเพราะมันคือเรื่องจริง

     “บอกแล้วไงว่าเซนส์เรื่องผู้ชายของพวกกูไม่เคยพลาด มึงเชื่อกูสิว่าพี่คลื่นเขาชอบมึง” ควีนหันไปหาข้าวหอมที่ยืนฟังเงียบๆ มาตลอด “ข้าว มึงก็คิดเหมือนกันใช่ไหม”

     “เอ่อ...”

     “ใช่ไหม”

     ข้าวหอมมองพวกผมอย่างอึกอัก แต่พอโดนกดดันทางสายตาก็ทนไม่ไหว “อะ...อือ ข้าวก็คิดว่าพี่คลื่นชอบเดือน”

     “เห็นไหม ข้าวยังคิดเหมือนกูเลย”

     มันใช่ซะที่ไหน!

     “พวกมึงสองคนว่างมากใช่ไหม ถึงได้มาจิ้นกูกับพี่คลื่นอยู่ได้”

     “ถึงกูจะบ้าผู้ชายแต่กูไม่เคยมโนอะไรโดยไม่มีมูลนะเดือน มึงเชื่อกูสิ กูรู้สึกได้ว่าพี่คลื่นชอบมึงจริงๆ”

     “แต่เขาเป็นถึงเดือนมหา’ลัยเลยนะ มึงจะให้กูเชื่อจริงๆ เหรอว่าคนระดับนั้นจะมาชอบกู”

     “เดือนมหา’ลัยก็คนธรรมดาป่ะวะ ทำไมเขาจะชอบมึงไม่ได้” ฝนกับควีนทำหน้าจริงจังกว่าเดิม ผมเห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดีแปลกๆ “คอยดูนะ พวกกูนี่แหละจะพิสูจน์ให้ดูว่ามึงกำลังถูกผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลกชอบ!”


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     [เป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าแบบนั้น] พี่คลื่นเอ่ยทักเมื่อเห็นผมรับสายวิดีโอคอลด้วยใบหน้าเนือยๆ

     “พรุ่งนี้ผมต้องสอบมิดเทอมแล้วเลยเครียดนิดหน่อยน่ะครับ”

     [หืม? พี่ก็เหมือนกันครับ นี่ก็เพิ่งหยุดอ่านหนังสือแล้วมาคอลกับเรา]

     ผมยิ้มให้พี่คลื่น แต่น่าจะเป็นยิ้มที่ดูเจื่อนมาก ผมเครียดเรื่องสอบก็จริง แต่มันมีเรื่องอื่นที่ผมเครียดด้วย แต่ผมบอกพี่คลื่นไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของเขาเอง

     จะให้บอกได้ไงว่าเพื่อนตัวดีมันหาว่าพี่คลื่นชอบผม ขืนบอกไปนะเขาได้ตกใจบล็อกไลน์ผมกันพอดี

     ผมไม่รู้ว่าฝนกับควีนเอาอะไรมามั่นใจว่าเดือนมหา’ลัยอย่างพี่คลื่นจะชอบผมจริงๆ เท่าที่สังเกตผมยังไม่เห็นอะไรที่พอจะสื่อไปในทางนั้นได้เลย ผมเลยไม่ไว้ใจคำว่า ‘จะพิสูจน์ให้ดู’ ของพวกมัน เพราะดูจากลางสังหรณ์ของผมแล้วไม่น่าจะได้พิสูจน์ แต่น่าจะได้หายนะมากกว่า

     “งั้นคืนนี้วางสายเร็วหน่อยก็ได้ครับ พี่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือเยอะๆ”

     [นี่เดือนกำลังไล่พี่อยู่หรือเปล่า]

     เวรกรรม ทำไมพี่คลื่นคิดไปทางนั้นได้ล่ะเนี่ย

     “ไม่ใช่นะครับ ผมแค่เกรงใจพี่คลื่นเฉยๆ”

     [ถ้าเดือนอยากคอลนานๆ พี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ไม่ต้องคิดมาก] พี่คลื่นยกแขนมาหนุนหัว มองผมยิ้มๆ [พี่ต่างหากที่ต้องถาม มาคุยกับพี่แบบนี้เดือนจะมีเวลาอ่านหนังสือหรือเปล่า]

     “ผมตั้งใจว่าถ้าคุยกับพี่เสร็จแล้วจะไปอ่านหนังสือครับ และน่าจะต้องโต้รุ่งเพราะยังอ่านไปไม่ถึงไหนเลย”

     หลายวันที่ผ่านมานี้ผมโดนเพื่อนลากไปนู่นไปนี่จนอยู่ไม่ติดหอ แถมพอจะนัดกันอ่านหนังสือ เพื่อนแสนดีของผมก็เอาแต่พูดเรื่องผู้ชายจนไม่เป็นอันอ่านเลย ผมเลยต้องมารับกรรมโดยการอดนอนคืนนี้ยังไงล่ะ

     [แล้วพรุ่งนี้จะไปสอบไหวเหรอ พี่ว่านอนสักหน่อยดีไหมครับ]

     “ไม่ได้หรอกครับ ขืนไปนอนผมอ่านไม่ทันกันพอดี” ผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะถามอย่างสงสัย “ทำไมพี่คลื่นพูดเหมือนไม่เคยมีอดนอนไปสอบเลยอ่ะครับ”

     [ใช่ครับ พี่ไม่เคย]

     เฮ้ย! พี่คลื่นโกหกผมเปล่าเนี่ย นี่มันโมเมนต์ที่นักศึกษาทุกคนต้องเคยเจอเลยนะ ไม่ต้องพูดถึงอื่นไกล ตอนปีหนึ่งพวกผมก็แย่เหมือนกัน อดหลับอดนอนอยู่หลายวันกว่าจะได้เอมา

     แต่พอมาคิดดูดีๆ พี่คลื่นจะไม่เคยอดนอนเลยก็ไม่แปลก เขาเรียนเก่งซะขนาดนั้น แถมยังเป็นถึงเดือนมหา’ลัยอีก มันก็เป็นปกติที่เขาจะ...

     [แต่คืนนี้จะเป็นคืนแรกที่พี่จะอดนอน]

     “อะ...อะไรนะครับ?” ผมถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง พี่คลื่นยิ้มมุมปาก เอาโทรศัพท์ไปใกล้ปากให้ผมได้ยินชัดขึ้น

     [คืนนี้พี่จะอดนอนเป็นเพื่อนน้องเดือนครับ]

     “หา!” พี่คลื่นต้องเพี้ยนไปแล้วแน่เลย คิดอะไรของเขาอยู่เนี่ยถึงพูดออกมาแบบนี้ “พี่จะมาอดนอนเป็นเพื่อนผมทำไมครับ”

     [เดือนจะได้มีเพื่อนอ่านหนังสือไงครับ ไม่ดีเหรอ]

     “ผมไม่เหงาเลยครับ พี่ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนผมก็ได้ ผมว่าพี่คลื่นไปนอนเอาแรงไว้สอบพรุ่ง...”

     [พี่อยากลองอดนอนดูสักครั้ง แต่ไม่อยากอยู่คนเดียวทั้งคืน]

     “…”

     [นะครับเดือน...คอลกับพี่นะ พี่สัญญาว่าจะไม่รบกวนอะไร เพราะพี่ก็จะอ่านหนังสือเหมือนกัน]

     ผมทำหน้าคิดหนัก ไม่รู้จะเอายังไงดี ใจหนึ่งก็เกรงใจพี่คลื่น อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง พี่คลื่นนึกยังไงถึงอยากอดนอนเนี่ย มันไม่ใช่สิ่งที่ควรลอกเลียนแบบเลยนะ

     “พี่แน่ใจนะครับ”

     [แน่ใจครับ]

     “งั้น...แล้วแต่พี่เลยครับ ถ้าพี่พูดแบบนั้นผมก็คงขัดอะไรไม่ได้”

     ทันทีที่ผมอนุญาตพี่คลื่นก็ยิ้มกว้าง รีบลุกไปเปิดไฟแล้วเอาโทรศัพท์มาตั้งบนโต๊ะหนังสือ ส่วนผมก็ทำแบบเดียวกัน

     [ถ้าเดือนเผลอหลับจะให้พี่ปลุกไหม]

     “ปลุกก็ได้ครับ แล้วพี่คลื่นล่ะอยากให้ผมปลุกไหม”

     [พี่ไม่หลับง่ายๆ หรอก พี่แข็งแรงจะตายไป]

     ผมอมยิ้ม ในใจนี่รอดูคนแข็งแรงหลับคาสายเลย คนที่ไม่เคยอดนอนกับคนที่อดนอนมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครจะอยู่นานกว่ากัน คอยดูนะ ถ้าพี่คลื่นหลับเมื่อไหร่ผมจะเอาเรื่องนี้มาแซวไปจนจบเกมเลย พี่คลื่นอุตส่าห์ให้แคปหน้าจอตอนวิดีโอคอลกันทั้งที งั้นผมไม่เกรงใจแล้วกัน





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.4 [13/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 13-04-2022 16:50:23
 :z13:ขออีกค่าาา
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.4 [13/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-04-2022 00:26:46
น่ารักสุด
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 5 [15/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 15-04-2022 22:10:45
ตอนที่ 5 : ตุ๊กตาหมีแทนคำขอโทษ





     “เฮ้อ!! หมดเวรหมดกรรมสักที ตอนแรกกูนึกว่าจะตายคาห้องสอบซะแล้ว” ฝนยกแขนยืดเส้นยืดสายหลังออกมาจากห้องสอบ

     “กูว่าอาจารย์แค้นอะไรกูอยู่แน่นอน เล่นจ้องมาแต่ทางกูจนไม่เป็นอันทำข้อสอบเลย”

     “เขากลัวมึงจะหันไปลอกคนข้างๆ หรือเปล่า”

     “มึงพูดเหมือนคนที่นั่งข้างกูฉลาดมากอ่ะ มันก็ทำตาปริบๆ ตอนเห็นข้อสอบเหมือนกันแหละค่ะ”

     “ทุกคน ไปกินไอติมหลังมหา’ลัยกันไหม ฉลองที่สอบวันสุดท้ายเสร็จแล้ว” ข้าวหอมพูดขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม ผิดกับฝนที่สภาพไม่ต่างจากซอมบี้เดินได้

     “มึงไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนวะข้าว กูนี่อยากวาร์ปไปบนเตียงนอนตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”

     “มึงยังไม่ชินอีกเหรอ ในกลุ่มเราก็มีแต่ไอ้ข้าวนี่แหละที่ไม่เคยเครียดเรื่องสอบเลย”

     “แต่กูว่าไปกินไอติมก็ดีเหมือนกันนะ กินของเย็นๆ จะได้สดชื่นขึ้นไง” ผมยิ้มให้เพื่อนๆ ฝนเลยมองผมแปลกๆ ไปด้วย

     “มึงนี่ก็อีกคน ไหนตอนแรกบ่นว่าอ่านหนังสือไม่ทันไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงกระปรี้กระเปร่าจัง”

     “แหม มึงลืมไปแล้วเหรอฝน” ควีนกอดคอผมกับฝนแล้วเอาหน้ามาใกล้ ข้าวหอมก็ยื่นหน้ามาฟังด้วย “เดือนมันจะไปหมดแรงได้ไง ก็มันมีกำลังใจส่วนตัวอย่างพี่คลื่นอยู่นี่คะ”

     “ว้ายยยยยย พูดได้ดีมากค่ะอีควีน”

     “แน่นอนค่าาาา”

     “มึงแม่งเพ้อเจ้อ พูดอะไรก็ไม่รู้” ผมหุบยิ้มเมื่อได้ยินชื่อที่ควีนพูดออกมา เอามือมันออกจากไหล่ ดึงมือข้าวหอมมาจับพลางทำหน้าบอกบุญไม่รับ “กูกับข้าวจะไปรอที่ร้านไอติม ถ้าพวกมึงจะมาด้วยก็รีบตามมา ถ้าไม่อยากมาก็กลับหอไปเลย”

     พูดจบผมก็พาข้าวหอมเดินหนีทันที ปล่อยให้พวกมันยืนเคว้งกันอยู่สองคน ฝนกับควีนหันไปมองหน้ากันอย่างงงๆ

     “มันหงุดหงิดอะไรวะ”

     “กูก็ไม่รู้ สงสัยน้ำตาลในเลือดตกมั้ง”

     “แล้วนี่มึงกับกูจะเอายังไงต่อ”

     “รีบตามมันไปสิคะ มึงจะกลับหอไปทั้งที่มันยังงอนพวกเราอยู่เหรอ”

     “เออว่ะ” พอตกลงกันได้แล้วฝนกับควีนก็รีบวิ่งตามมา “ไอ้เดือน รอกูด้วย!”


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ผมตักไอศกรีมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ไม่ได้ละเลียดกินเหมือนทุกทีแต่จ้วงเอาๆ เหมือนจะรีบกลับไปตากผ้า เพื่อนทั้งสามคนที่มองมาต่างก็งงกันหมด

     “เอ่อ...เดือน มึงจะรีบกินไปไหนวะ”

     “นั่นสิ ผ้าที่หอมึงยังไม่ได้ซักหรือไง”

     ผมไม่ตอบเพื่อน แต่หยิบแก้วน้ำมาดูดก่อนจะยกมือเรียกเจ้าของร้าน

     “พี่ครับ! ขอบลูเบอร์รี่กับช็อกโกแลตอีกอย่างละถ้วย”

     “เดือนจะกินอีกเหรอ”

     “ใช่”

     “แต่เดือนกินไปสามถ้วยแล้วนะ”

     ผมไม่สนคำเตือนของข้าวหอม เอาแต่ดูดน้ำเหมือนกระหายมาเป็นวัน ฝนกับควีนที่นั่งฝั่งตรงข้ามหันไปมองหน้ากัน

     “ตกลงมันน้ำตาลในเลือดตกจริงเหรอวะ ตั้งแต่เดินเข้าร้านมาก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนไปกินรังแตนมา”

     “มึงก็ลองถามมันสิ”

     “อ้าว ทำไมมึงไม่ถามเองอ่ะ”

     “แล้วทำไมกูต้องถาม”

     “มึงนั่นแหละไปถามมันเลย”

     “เดี๋ยวข้าวถามให้เอง” ข้าวหอมจับแขนผมเขย่าไปมาเบาๆ “เดือนหงุดหงิดเรื่องอะไรอยู่ บอกข้าวได้ไหม เผื่อข้าวจะช่วยอะไรได้บ้าง”

     เจ้าของร้านเดินมาเสิร์ฟไอศกรีมทำให้ข้าวหอมต้องหยุดพูด ผมกำลังจะหยิบช้อนมากินต่อ แต่คนข้างๆ ก็ยกถ้วยไอศกรีมไปไว้ที่ตัวเอง

     “ตอบข้าวมาก่อนว่าเดือนเป็นอะไร โกรธที่ฝนกับควีนแซวหรือเปล่า”

     คนโดนพาดพิงสะดุ้งโหยง หันมามองผมพร้อมทำหน้าสลด ผมมองเพื่อนๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา

     “เราไม่ได้โกรธฝนกับควีนหรอกข้าว”

     “อ้าว ถ้าไม่ได้โกรธพวกกูแล้วมึงหงุดหงิดอะไรวะ”

     “กูดูเหมือนคนหงุดหงิดอยู่เหรอ”

     “โอ้โห ชัดซะยิ่งกว่าชัดค่ะ หน้ามึงตอนนี้หงิกงอยิ่งกว่าปลาทูอีก”

     ผมถอนหายใจอีกรอบเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองนอยด์อยู่ตอนนี้ “กู...โกรธพี่คลื่นอยู่”

     “ก็แค่เนี้ย กูก็นึกว่าโกรธอะไรกู ที่แท้ก็...ฮะ!?” ฝนทำหน้างง ควีนกับข้าวหอมก็ไม่ต่างกัน “เดือน มึงโกรธใครอยู่นะ”

     “พี่คลื่น”

     “มึงโกรธเขาทำไมวะ เขาทำอะไรให้มึงไม่พอใจเหรอ”

     “ใช่ ไม่พอใจมากๆ ด้วย” ผมสูดหายใจลึกๆ มองหน้าเพื่อนแต่ละคนก่อนจะเล่าออกมาอย่างสุดจะทน “พวกมึงคิดดูนะ ทั้งที่กูบอกเขาแล้วว่าถ้ากูเผลอหลับให้ช่วยปลุก และเขาก็สัญญากับกูแล้ว แต่พอถึงเวลากลับปล่อยให้กูหลับถึงเช้าโดยไม่ปลุกสักคำ แถมยังแคปรูปกูตอนหลับมาบอกฝันดีย้อนหลังอีก เหมือนต้องการจะล้อกูงั้นแหละ กูไม่คิดเลยนะว่าพี่คลื่นจะเป็นคนแบบนี้ ถ้าไม่ทำตามสัญญาแล้วจะพูดทำไมแต่แรก...”

     “เดี๋ยวๆๆๆ กูงงไปหมดแล้ว” ควีนยกมือมากุมขมับ อีกมือก็ยกมาห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ “มึงช่วยเล่าเท้าความหน่อยได้ไหม เพื่อนทำหน้าเอ๋อตามไม่ทันกันหมดแล้วค่ะ”

     เออว่ะ ผมยังไม่ได้เล่าเลยว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น มัวแต่หงุดหงิดพี่คลื่นเลยเผลอระบายความในใจยาวไปหน่อย

     “คือเมื่อสามวันก่อนกูจะอ่านหนังสือสอบ”

     “อ่าฮะ”

     “แต่พี่คลื่นวิดีโอคอลมาก่อน กูเลยคิดว่าจะเริ่มอ่านหนังสือหลังคุยกับเขาเสร็จ”

     “อ่าฮะ”

     “แล้วพอกูบอกว่าจะอ่านหนังสือโต้รุ่ง เขาก็ขอคอลกับกูทั้งคืน ที่จริงกูก็งงเหมือนกันว่า...”

     “อะไรนะ!!” เพื่อนทั้งสามคนอุทานลั่นร้านเป็นเสียงเดียวกันจนผมอดตกใจไม่ได้ พอโต๊ะอื่นเริ่มหันมามองพวกมันก็หันไปยิ้มให้เป็นเชิงขอโทษ

     “เมื่อกี้เดือนพูดว่าไงนะ พี่คลื่น...ขอวิดีโอคอลกับเดือนทั้งคืนเหรอ” ข้าวหอมถามด้วยใบหน้าอึ้งๆ

     “ใช่”

     “พี่คลื่นเป็นคนขอเองเลยเหรอ”

     “ใช่ เขาบอกว่าอยากอยู่เป็นเพื่อนเรา ตอนแรกเราปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็ตื๊อจะคอลกับเราทั้งคืนให้ได้”

     ข้าวหอมหันไปสบตากับฝน ส่วนควีนอ้าปากค้างไปแล้วเรียบร้อย

     “ยังไม่จบนะๆ พอตกลงกันได้แล้วเขาก็ถามว่าถ้าเราหลับจะให้เขาปลุกไหม เราก็บอกว่าให้ปลุก แล้วทีนี้เราก็เผลอหลับไปจริงๆ ข้าวเชื่อไหม เขาปล่อยให้เราหลับถึงเช้าโดยไม่คิดจะปลุกเลยแม้แต่นิดเดียว”

     “…”

     “เราโคตรเสียดายเวลาเลยอ่ะข้าว ถ้าคืนนั้นเขาปลุกสักหน่อยเราก็อ่านหนังสือต่อได้อีกตั้งหลายวิชา แต่นี่เขาไม่ปลุกเลยทั้งที่สัญญากันไว้อย่างดี แบบนี้จะไม่ให้โกรธได้ยังไง”

     จริงๆ ผมรู้สึกเสียเซลฟ์ด้วย ผมที่อดนอนเพื่ออ่านหนังสือจนชินกับพี่คลื่นที่ทั้งชีวิตไม่เคยอดนอนเลย ใครๆ ก็ต้องคิดว่าพี่คลื่นต้องผล็อยหลับไปก่อนแน่นอน แต่คนที่หลับกลับกลายเป็นผมแทน ผมรับไม่ได้ครับ

     “เอ่อ...มึงใจเย็นๆ ก่อนนะ บางทีเขาอาจจะปลุกแล้วแต่มึงไม่ได้ยิน...”

     “ไม่มีทาง เขาขอเบอร์กูไปเพื่อจะโทรมาปลุกเลยนะเว้ย ถ้าเรียกแล้วไม่ได้ยินเขาก็ต้องโทรมา...”

     “อะไรนะ! พี่คลื่นขอเบอร์มึง!?”

     ฝนกับควีนอุทานลั่นร้านอีกรอบ คราวนี้มันไม่หันไปขอโทษคนอื่นแล้ว เอาแต่ตกใจเรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง

     “ไอ้เดือน มึงพูดว่าไงนะ กูขออีกรอบ พูดช้าๆ ชัดๆ”

     “พี่คลื่นขอเบอร์กูเพื่อจะโทรมาปลุก”

     ฝนที่ยื่นหน้ามาใกล้เพื่อจะฟังให้ชัดๆ ถอยกลับไปนั่งที่เดิม มันยกมือมากุมขมับ ทำหน้าแปลกๆ แบบที่ผมไม่เข้าใจ

     “กูควรตกใจอะไรก่อนดี เรื่องพี่คลื่นขอวิดีโอคอลกับมึงทั้งคืน เรื่องพี่คลื่นขอเบอร์มึง เรื่องพี่คลื่นแคปรูปมึงตอนหลับ หรือเรื่องที่มึงโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟเพราะเรื่องแค่นี้”

     “มันไม่ใช่เรื่องแค่นี้นะเว้ย มึงรู้ไหมวันนั้นกูตั้งใจจะอ่านหนังสือมากเลยนะ แล้วมึงดูเขาทำกับกูดิ”

     “เดือน ฟังข้าวนะ” ข้าวหอมเอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองข้าง ไม่บ่อยนักที่ข้าวหอมจะทำหน้าจริงจังแบบนี้ ผมเลยไม่กล้าตีโพยตีพายต่อ “เขาจะผิดสัญญาเพราะอะไรข้าวไม่รู้ แต่เท่าที่ฟังเดือนเล่า ข้าวว่ามันไม่ปกติแล้วนะ”

     “ก็มันไม่ปกติไงข้าว เขาเป็นคนถามว่าจะให้ปลุกไหมแต่เขากลับไม่ยอมปลุกซะเอง เราถึงได้โกรธ...”

     “ไม่ใช่เรื่องนั้นสิเดือน” ข้าวหอมทำหน้าเหนื่อยใจ แต่ไม่รู้ว่าเหนื่อยใจเรื่องอะไร “ตอนแรกข้าวไม่พูดอะไรเพราะยังไม่มั่นใจ แต่พอฟังเดือนเล่าวันนี้ ข้าวก็เริ่มคิดเหมือนฝนกับควีนแล้ว”

     “แล้วข้าวคิดอะไรอ่ะ”

     “ก็คิดว่าพี่คลื่นชอบมึงอยู่ไงคะ!” ฝนกับควีนประสานเสียงกันตอบแทนข้าวหอม “ไอ้เดือน มันชัดเจนขนาดนี้แล้วมึงยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ หรือต้องให้เขามาคุกเข่าขอแต่งงานก่อนมึงถึงจะตาสว่าง”

     “กูว่านะ ที่เขาบอกว่าอยากอยู่เป็นเพื่อนอ่านหนังสือนั่นน่ะข้ออ้าง ที่จริงเขาคงอยากเห็นหน้ามึงนานๆ มากกว่า แล้วที่บอกว่าจะปลุกให้มันก็แค่ข้ออ้างใช้ขอเบอร์เท่านั้นแหละ”

     “กูก็บอกแล้วไงว่าพี่คลื่นไม่ได้ชอบกู พวกมึงจะเถียงให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ”

     “มึงนั่นแหละที่เอาแต่เถียง ดูปากกูนะ เขา ชอบ มึง ค่ะ”

     “เขาไม่ได้ชอบกู”

     “เขาชอบมึง”

     “เขาไม่ได้ชอบ!”

     “เขาชอบ!”

     “หยุดเลย! ทั้งคู่นั่นแหละ” ข้าวหอมยกมือมาห้ามผมกับฝนที่แทบจะแยกเขี้ยวใส่กันอยู่แล้ว “จะทะเลาะให้มันได้อะไรขึ้นมา คนเขามองทั้งร้านแล้วเนี่ย ฝนกับเดือนไม่อายบ้างเหรอ”

     พอข้าวหอมพูดขึ้นมาผมเลยเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังโดนคนทั้งร้านมอง ขนาดพี่เจ้าของร้านยังมองด้วยเลย พวกผมยิ้มแห้งๆ ให้คนในร้านเป็นเชิงขอโทษอีกรอบ ก่อนที่เราสี่คนจะยื่นหน้ามาสุมหัวกันกลางโต๊ะโดยไม่ลืมลดระดับเสียง

     “เรื่องชอบหรือไม่ชอบช่างมันก่อน เอาเป็นว่าถ้ามึงโกรธพี่คลื่นมากนักคืนนี้มึงก็ไปเคลียร์กับเขาให้มันจบๆ ไป เข้าใจไหม”

     “กูไม่ได้คุยกับพี่คลื่นอีกเลยตั้งแต่คืนนั้น”

     “เฮ้ย! มึงโกรธเขาขนาดนี้เลยเหรอ”

     “เปล่า วันนั้นพอกูตื่นมาเขาก็บอกว่ามีงานที่คณะต้องไปทำ อาจจะหายหน้าหายตาไปสักพักเพราะเป็นงานด่วนมาก”

     “อ้าว งั้นมึงก็ไม่ได้วิดีโอคอลกับพี่คลื่นมาสามคืนแล้วอ่ะดิ”

     “ใช่”

     “แล้วแบบนี้เขาจะชดเชยเวลาให้ไหมอ่ะ ระยะเวลาในเกมคือหนึ่งเดือน ถ้าขาดไปสามวันมันก็ไม่ครบเดือนดิ”

     “อีควีน! มันใช่เวลามาห่วงเรื่องนี้ไหม” ฝนตีมือควีนเบาๆ ก่อนจะหันมากำชับผม “งั้นถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่มึงก็รีบไปเคลียร์กับเขาซะ จะได้ไม่ต้องมานั่งโกรธเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก”

     ฝนพูดไม่รู้เรื่องอ่ะ ต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมมาก คอยดูนะ ถ้าได้วิดีโอคอลกับพี่คลื่นเมื่อไหร่ผมจะทำหน้าบึ้งใส่เขาอย่างเดียว ให้เขารู้ไปเลยว่าคนอย่างอิงเดือนน่ะ ฆ่าได้ผิดสัญญาไม่ได้!


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ผมนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง หยิบโทรศัพท์มาดูไลน์ วางกลับไปที่เดิม แล้วก็หยิบมาดูใหม่อีก ทำแบบนี้มาเป็นชั่วโมงแล้ว สาเหตุก็ไม่ใช่อะไร แค่กำลังรอทำหน้าบึ้งใส่ใครบางคนอยู่

     จู่ๆ เสียงไลน์ก็ดังขึ้นมา ผมเลยรีบหยิบโทรศัพท์มาดูเพราะนึกว่าพี่คลื่นทักมาชวนวิดีโอคอล แต่พอผมกดเข้าไปในไลน์...

     [สี่สหายสายเสมอ]

     ฝนน้อยคอยรัก : พวกมึง

     ราชินีหิมะผู้สวยและรวยมาก : ว่า?

     ฝนน้อยคอยรัก : กูว่าเดือนมันง้องแง้งอ่ะ โกรธอะไรไม่โกรธ ดันไปโกรธพี่คลื่นที่ไม่ยอมปลุก

     ฝนน้อยคอยรัก : ถ้ากูเป็นพี่คลื่นแล้วโดนโกรธด้วยเรื่องแค่นี้นะ กูไม่คงไม่คอลแม่งแล้ว ตัดสิทธิ์ไอ้เดือนแล้วให้คนอื่นมาเล่นเกมแทนเลย

     ราชินีหิมะผู้สวยและรวยมาก : มึงใจเย็น ลืมไปแล้วเหรอว่าเดือนมันอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

     ฝนน้อยคอยรัก : มันชอบดองแชทจะตายไป กว่าจะมาอ่านก็ตอนเช้านู่นแหละ

     ฝนน้อยคอยรัก : เอ๊ะ แต่ถ้าพี่คลื่นตัดสิทธิ์ไอ้เดือน เรือที่กูสร้างมากับมือก็พังหมดอ่ะดิ ไม่ได้ๆๆ กูขอถอนคำพูด

     ราชินีหิมะผู้สวยและรวยมาก : จริงค่ะ เพื่อนจะได้ผู้งานดีทั้งที พวกเราต้องส่งเรือมันไปถึงฝั่งให้ได้

     KhaoHom.iii : ฝนกับควีนจะสร้างเรือทำไมอ่ะ ถ้าจะไปทะเล เช่าเรือเขามาใช้ไม่ง่ายกว่าเหรอ

     ราชินีหิมะผู้สวยและรวยมาก : โอ๊ย! คุณข้าวคะ มันคือศัพท์เฉพาะในวงการชิปเปอร์ค่ะเข้าใจไหม

     ฝนน้อยคอยรัก : ยังไงก็ตาม พวกเราสามคนต้องทำหน้าที่กามเทพสื่อรักให้สำเร็จ งานนี้กูเอาศักดิ์ศรีความบ้าผู้ชายของตัวเองเป็นเดิมพัน ไม่เกินสองเดือนไอ้เดือนต้องได้คบกับพี่คลื่นแน่นอน

     KhaoHom.iii : เดี๋ยวนะ เราสามคนนี่รวมข้าวด้วยเหรอ

     ฝนน้อยคอยรัก : ใช่ มึงคิดเหมือนกูก็เท่ากับมึงลงเรือลำเดียวกับกูแล้ว เราสามคนนี่แหละที่จะช่วยให้ไอ้เดือนเป็นฝั่งเป็นฝา


     นี่แหละครับกลุ่มไลน์ของเพื่อนสนิทผม ทุกวันนี้ผมยังงงตัวเองอยู่เลยว่าทนอยู่ในกลุ่มนี้มาได้ยังไงตั้งนาน

     ผมอ่านข้อความพวกมันแล้วก็ได้แต่กำโทรศัพท์แน่น ไอ้พวกนี้...ถามผมหรือยังว่าอยากให้มาช่วยเหลือเปล่า

     Ing-Duean : ถ้ายังไม่หยุดเพ้อเจ้อกูจะโกรธจริงๆ แล้วนะ บอกแล้วไงว่าพี่คลื่นเขาไม่ได้ชอบกู

     ฝนน้อยคอยรัก : อุ๊ยตาย คุณเดือนตอบไลน์เพื่อนตอนกลางคืนด้วย กูว่าพรุ่งนี้ประเทศไทยหิมะตกแน่นอน

     ราชินีหิมะผู้สวยและรวยมาก : ที่มาตอบพวกกูได้เนี่ยได้ปรับความเข้าใจกับพี่คลื่นแล้วเหรอคะ

     Ing-Duean : ยัง เขายังไม่ทักอะไรมาเลย

     ฝนน้อยคอยรัก : มึงก็ทักเขาไปเลยสิ

     Ing-Duean : แล้วทำไมกูต้องเป็นฝ่ายทักไป กูโกรธเขาอยู่นะ

     ฝนน้อยคอยรัก : งั้นแล้วแต่เพื่อนสุดที่รักเลยค่ะ ขอให้มึงหายโกรธเขาไวๆ แล้วกัน


     ไม่มีทาง ผมไม่หายโกรธพี่คลื่นง่ายๆ แน่นอน วิชาที่สอบวันแรกผมคาดหวังเกรดกับมันมาก ถ้าเกรดออกมาไม่ดี ส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดของพี่คลื่นนั่นแหละ ถึงแม้ผมจะผิดที่เผลอหลับไป แต่พี่คลื่นก็ผิดที่ไม่ยอมปลุกเหมือนกัน

     ว่าแต่พี่คลื่นยังไม่ทักมาอีกเหรอ นี่ก็ปาไปห้าทุ่มแล้วนะ หรือวันนี้เขาก็จะไม่วิดีโอคอลอีกเหมือนเคย ถ้างั้นผมไปนอน...

     KhluenKhram : เดือน

     KhluenKhram : หลับยังครับ


     เย้ย! พี่คลื่นทักมาแล้ว!!

     พอคิดถึงก็ทักมาทันทีเลยนะ พี่คลื่นมีสัมผัสที่หกหรือเปล่าเนี่ย

     Ing-Duean : ยังครับ ผมรอพี่คลื่นอยู่

     ทันทีที่อ่านข้อความผม พี่คลื่นก็วิดีโอคอลมาเลย พอผมกดรับสายใบหน้าพี่คลื่นก็ปรากฏขึ้นมาบนจอ

     [ขอโทษนะครับที่หายไปหลายวัน พอดีงานที่คณะพี่ยุ่งมากเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำอีก เดือนไม่โกรธใช่ไหม]

     เสื้อกล้ามสีขาวที่พี่คลื่นใส่อยู่ทำให้ช่วงต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโผล่พ้นออกมา บวกกับหุ่นอันกำยำของพี่คลื่นที่เสื้อกล้ามตัวเดียวไม่สามารถปิดบังได้ทำให้ผมเผลอใจเต้นแรง แต่ไม่นานผมก็ดึงสติกลับมาได้

     อย่าเพิ่งเคลิ้ม ตอนนี้ต้องแสดงให้เขาเห็นก่อนว่ากำลังโกรธ!

     ผมไม่ตอบคำถามพี่คลื่น เอาแต่ทำหน้าบึ้งตามที่ตั้งใจไว้ คนตัวสูงที่เห็นผมเงียบใส่เลยเริ่มหน้าเสีย

     [เดือน...โกรธพี่อยู่เหรอครับ]

     ไม่ตอบ

     [น้องเดือน พูดอะไรบ้างสิ]

     ไม่ตอบๆๆ

     [เงียบแบบนี้แสดงว่าโกรธพี่อยู่จริงๆ สินะ]

     พี่คลื่นลุกจากเตียงแล้วย้ายมานั่งที่โต๊ะหนังสือโดยที่ยังวิดีโอคอลกับผมอยู่ เอาโทรศัพท์ตั้งไว้แล้วหันมาคุยกับผมต่อ

     [พี่งานยุ่งจริงๆ นะเดือน ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากคอลกับเราทุกวัน แต่พักหลังมานี้พี่กลับมาถึงห้องก็สลบเลย มันเหนื่อยมากๆ]

     “...”

     [พี่แทบไม่มีเวลาว่างเลย โชคดีที่วันนี้งานไม่หนักมากพี่เลยมีแรงมาคอลกับเราได้...เดือนเข้าใจพี่หน่อยนะครับ]

     น้ำเสียงออดอ้อนกับสีหน้าง้องอนของคนตรงหน้าทำให้ผมเริ่มไขว้เขวว่าจะเอายังไงต่อ ตอนแรกผมแอบกลัวอยู่นิดหน่อยว่าพี่คลื่นจะมองว่าผมงี่เง่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันกลับตรงกันข้ามเลย ผมเม้มปากแน่น คิดหนักว่าจะตีหน้าเข้มต่อไปหรือจะยอมใจอ่อนดี จนกระทั่งพี่คลื่นพูดมาอีกหนึ่งประโยคผมถึงกับไปไม่เป็น

     [เดือนครับ...หายโกรธพี่นะ]

     อย่ามาพูดตอนทำหน้าแบบนั้นได้ไหมครับ ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้คนมองเขินแค่ไหน...

     “ผม...ไม่ได้โกรธเรื่องที่พี่หายไป” สุดท้ายผมก็ตีหน้าเข้มไม่ไหว ยอมเปิดปากพูดจนได้

     [แล้วเดือนโกรธพี่เรื่องอะไรอ่ะครับ]

     “ทำไมวันนั้นพี่ไม่ยอมปลุกผม”

     [หืม?]

     “วันที่เราจะอ่านหนังสือกันถึงเช้าทำไมพี่ไม่ปลุกผมครับ เบอร์ผมพี่ก็มีแล้ว ถ้าเรียกแล้วผมไม่ได้ยินพี่โทรมาเลยก็ได้”

     [เดือน...โกรธพี่เรื่องนี้อยู่เหรอ]

     “ใช่ครับ”

     พี่คลื่นทำหน้าเหวอ เหมือนเพื่อนๆ ผมตอนได้ยินเรื่องนี้ไม่มีผิด นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม

     [เอ่อ...ตอนนั้นพี่เห็นเดือนหลับสบายเลยไม่อยากปลุกน่ะครับ พี่คิดว่าปล่อยให้เราพักผ่อนเยอะๆ น่าจะดีกว่า]

     “แต่พี่เป็นคนอาสาปลุกผมเองนะครับ แล้วไหนจะรูปตอนผมหลับที่พี่แคปมาล้อเลียนอีก พี่คลื่นทำขนาดนี้คิดว่าผมจะไม่โกรธเลยเหรอครับ”

     [พี่ไม่ได้ตั้งใจจะล้อเราเลยนะ] คนตัวสูงปฏิเสธเสียงหนักแน่น [พี่แค่คิดว่าเดือนตอนหลับน่ารักดีเลยอยากแคปไว้ก็เท่านั้นเอง]

     “…”

     […]

     เกิดความเงียบขึ้นกะทันหัน เราต่างมองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไรสักคำ ผมกะพริบตาปริบๆ คำพูดของพี่คลื่นทำให้ความโกรธที่กำลังพุ่งขึ้นสูงดิ่งลงมาทันที

     “พี่คลื่น...พูดว่าอะไรนะครับ” ผมถามย้ำ เผื่อเมื่อกี้จะหูฝาดจนได้ยินผิด

     [พี่เห็นว่าเดือนหลับแล้วน่ารักเลยอยากแคปเก็บไว้เฉยๆ แต่ถ้าเดือนไม่พอใจพี่ลบให้ได้นะครับ]

     สาบานว่าตอนโดนพี่ทิวชมว่าน่ารักผมไม่รู้สึกอะไรเลย แต่พอคนชมคือพี่คลื่นผมกลับทำอะไรไม่ถูก รู้สึกมือไม้มันเกะกะไปหมด แผนการที่จะทำท่าทางบึ้งตึงใส่อีกฝ่ายพังครืนในพริบตา

     [รู้แบบนี้แล้ว...เดือนยังโกรธพี่อยู่ไหม]

     น้ำเสียงพี่คลื่นอ่อนลงราวกับกำลังง้อผม แต่เพราะตอนแรกไปใส่อารมณ์กับเขาไว้เยอะ ผมเลยยังยอมตอนนี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียเชิงหมดกันพอดี

     “ผะ...ผมไม่หายโกรธง่ายๆ หรอก ต่อให้มีเหตุผลอะไรแต่ยังไงพี่คลื่นก็ผิดอยู่ดี”

     คนในโทรศัพท์ถอนหายใจเบาๆ ทำหน้าคิดหนักสักพักก่อนจะผละจากจอไปหยิบอะไรสักอย่าง ผมที่ต้องแสร้งทำเป็นโกรธต่อไปเลยยกมือมากอดอกแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น

     เอาไงดีวะ รู้แล้วว่าพี่คลื่นไม่ได้ผิด รู้แล้วว่าตัวเองงี่เง่าเกินไป แต่จะให้เป็นฝ่ายขอโทษซะเองอีโก้ผมมันก็ไม่ยอมอีก

     [จ๊ะเอ๋!]

     ผมหันขวับมามองกล้องทันที บนจอโทรศัพท์มีตุ๊กตาหมีสองตัวตั้งอยู่โดยมีหน้าพี่คลื่นคั่นอยู่ตรงกลาง คนตัวสูงอมยิ้ม เอาตุ๊กตามาปิดหน้าตัวเองสักพักก่อนจะเปิดหน้ามาใหม่

     [ดีกันนะครับ]

     ผมไม่ตอบ ได้แต่มองการกระทำของคนตรงหน้าด้วยความอึ้ง นี่พี่คลื่น...กำลังง้อผมอยู่เหรอ ง้อด้วยวิธีนี้เนี่ยนะ

     [ยังไม่ยอมคืนดีอีกเหรอ] พี่คลื่นทำหน้าเศร้า แต่ไม่ทันไรก็กลับมายิ้มแล้วเอาตุ๊กตามาปิดหน้าอีก ทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา [ดีกันนะครับ ดีกันน้าาาา ดีกันนะครับเดือน...]

     “พอแล้วครับ ไม่ต้องง้อผมแล้ว” ในที่สุดผมก็กลั้นยิ้มไม่ไหว พี่คลื่นที่เห็นผมหัวเราะเลยยิ้มกว้างอย่างดีใจ

     [หายโกรธพี่แล้วใช่ไหม]

     “พี่คลื่นทำขนาดนี้ ผมจะไปทนใจแข็งได้ไงล่ะครับ”

     [พี่ขอโทษนะครับ สัญญาว่าถ้ามีครั้งหน้าพี่จะรีบโทรไปปลุกเลย]

     “ไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะครับ ผมก็ไม่ได้แกร่งพอจะอดนอนได้ทุกวันนะ” ผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะถามสิ่งที่สงสัย “พี่คลื่นมีตุ๊กตาหมีด้วยเหรอ”

     [ใช่ครับ แม่พี่ซื้อมาให้ตอนเด็กๆ]

     “เหรอครับ...น่ารักจัง”

     [หมายถึงตุ๊กตาหรือพี่]

     “ตุ๊กตาสิครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ คนตัวสูงเลยหยิบตุ๊กตามาโชว์อีกรอบ ขยับแขนขาไปมาให้ดูด้วย

     [ชอบเหรอ]

     “ครับ ผมชอบตุ๊กตาหมีมาตั้งนานแล้ว”

     [แสดงว่าพี่เดาใจเดือนถูกสินะ]

     “เดาใจอะไรครับ”

     [ตอนแรกพี่ลังเลว่าจะง้อเดือนยังไงดี จนพอหันไปเห็นตุ๊กตาข้างเตียงเลยคิดว่าเดือนน่าจะชอบ แล้วพี่ก็คิดไม่ผิดจริงๆ] พี่คลื่นเอาตุ๊กตามาหนุนคาง ยิ้มกว้างจนผมเผลอใจเต้นแรงอีกรอบ [ไม่เคยมีใครได้เห็นตุ๊กตาพี่เลย เดือนเป็นคนแรกเลยนะครับรู้ตัวไหม]

     คำพูดของพี่คลื่นทำให้แก้มผมเห่อร้อนขึ้นมา หลังจากนั้นคนตัวสูงก็ชวนคุยเรื่องอื่นโดยที่ยังกอดตุ๊กตาหมีไว้ หัวใจผมยังคงเต้นแรง ไม่แน่ใจว่าเพราะรอยยิ้มหรือคำพูดของคู่สนทนากันแน่

     พี่คลื่นดาเมจแรงขนาดนี้ ผมชักเริ่มหวั่นใจแล้วสิว่าคำพูดของควีนจะเป็นจริงขึ้นมาในสักวัน...





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.5 [15/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-04-2022 23:18:38
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.5 [15/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 16-04-2022 05:30:09
อ่อยแรงได้อีก
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.5 [15/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 18-04-2022 00:11:01
มีอัพแอพไหนเพิ่มอีกไหมคะ
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 6 [18/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 18-04-2022 22:03:53
ตอนที่ 6 : ป้อนให้หน่อยได้ไหมครับ





     “กินข้าวบ้างก็ได้ค่ะเพื่อน มัวแต่ยิ้มแล้วชาตินี้จะอิ่มไหม”

     “มันเป็นอะไรวะ เอาแต่ยิ้มคนเดียวมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

     “ข้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     ผมรีบหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อโดนเพื่อนจ้องตาเขม็ง ทำเป็นไอกลบเกลื่อนก่อนจะกินข้าวต่อ

     “มองอะไรกัน ไม่กินข้าวต่ออ่ะ”

     “กูสิต้องถามมึง เป็นอะไรคะ ข้าวปลาไม่ยอมกิน เอาแต่นั่งอมยิ้มเหมือนถูกหวยมางั้นแหละ”

     “เดือนเล่นหวยด้วยเหรอ ไหนบอกข้าวว่าเล่นไม่เป็นไง”

     “โอ๊ย! กูแค่เปรียบเปรยค่ะ” ฝนกับควีนพร้อมใจกันแก้ไขให้ข้าวหอม ส่วนผมก็กินข้าวต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของเพื่อน

     “เมื่อวานยังหงุดหงิดเหมือนเมนส์มาอยู่เลย วันนี้กลับร่าเริงผิดหูผิดตาซะงั้น”

     “กูว่าแปลก”

     “กูก็ว่าแปลก”

     “ข้าวก็คิดว่าแปลกเหมือนกัน”

     ผมไม่ได้อยากทำตัวแปลกซะหน่อย แต่พอนึกถึงวิธีง้อของพี่คลื่นเมื่อคืนแล้วมันก็หุบยิ้มไม่ได้เลย พี่คลื่นที่ผมมองว่าเป็นคนเท่ๆ มาตลอดกลับมีมุมน่ารักแบบนี้ด้วย ผมประหลาดใจ...แต่ก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เห็นมุมใหม่ๆ ของพี่คลื่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

     “เออ แล้วตกลงเมื่อคืนมึงเคลียร์กับพี่คลื่นยังวะ” ควีนถาม

     “เคลียร์กันแล้ว”

     “แล้วเป็นไง จบดีหรือจบแย่”

     “แหมอีควีน มึงยังจะถามอีกเหรอ หน้ามันก็ตอบอยู่ทนโท่” ฝนยิ้มเหมือนรู้ทัน จนผมอดระแวงไม่ได้

     “กูไม่ได้ยิ้มเพราะพี่คลื่นง้อเมื่อคืนซะหน่อย มึงอ่ะมั่ว”

     “กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วกูก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อคืนพี่คลื่นง้อมึง”

     “ฮั่นแน่ กูพบคนร้อนตัวแล้วหนึ่ง”

     โอเคครับ ผมพลาดเอง ผมลืมไปว่ามีเพื่อนฉลาด ฝนกับควีนยิ้มแบบมีเลศนัย ผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไงเลยหันไปชวนข้าวหอมคุยซะเลย

     “ข้าว เย็นนี้ไปกินหมูกระทะกันไหม”

     “หือ? วันก่อนก็เพิ่งกินไปนะเดือน วันนี้ยังจะกินอีกเหรอ”

     “เราติดใจหมูร้านนั้นอ่ะ มันนุ่มดี อยากไปกินอีก”

     “ร้านที่ฝนมันพาไปเลี้ยงน่ะเหรอ” ควีนพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ลืมเรื่องพี่คลื่นไปทันที “ไปดิๆๆ กูอยากไปเหมือนกัน”

     “แต่เมื่อวานควีนบอกว่าจะลดความอ้วนไม่ใช่เหรอ”

     “มันไม่ได้จะไปกินหรอก” ฝนเหลือบมองควีนอย่างเอือมๆ “มันจะไปส่องพนักงานร้านหมูกระทะ”

     “อีฝน! กูบอกแล้วไงว่าให้เก็บเป็นความลับ”

     “วันนั้นมึงเล่นจ้องซะจนตัวน้องเขาแทบพรุน ต่อให้กูไม่บอกไอ้เดือนกับไอ้ข้าวก็รู้อยู่แล้วป่ะ”

     “ก็น้องเขาหล่อล่ำตรงสเป็กกูอ่ะ หรือมึงไม่ชอบ?”

     “ไม่อ่ะ น้องคนนั้นล่ำเกินไป อย่างกูต้องแบบพี่องศา หุ่นกำลังดีน่ากอดน่าหม่ำ”

     “ถามเขายังว่าเขาให้มึงหม่ำหรือเปล่า”

     “น้องที่ร้านหมูกระทะเขาก็ไม่ให้มึงหม่ำเหมือนกันแหละค่ะ”

     บางทีผมก็ไม่แน่ใจว่าฝนกับควีนใช่เพื่อนสนิทกันแน่เหรอ เดี๋ยวก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เดี๋ยวก็ตีกันด้วยฝีปาก หลากหลายอารมณ์จริงๆ

     “ตกลงว่าฝนกับควีนจะไปด้วยใช่ไหม”

     “ใช่ค่ะ” ควีนหันมาตอบอย่างมั่นใจ

     “โอเค งั้นข้าวไปด้วยก็ได้”

     “แต่รอบนี้กูไม่เลี้ยงแล้วนะ” ฝนพูดดักขึ้นมา

     “เออ มึงไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว วันนี้มึงทำหน้าที่เป็นแม่สื่อให้กูกับน้องคนนั้นพอ”

     “ผู้ของมึง มึงก็จัดการเองสิ กูจะไปแดกอย่างเดียว”

     “อ้าวอีนี่ ทำไมไม่รู้จักช่วยเพื่อนเลย”

     “ตอนนี้กามเทพฝนคิวเต็ม ช่วยคู่ไอ้เดือนกับพี่คลื่นอยู่ค่ะ”

     ผมจำไม่ได้เลยว่าไปขอให้มันช่วยตอนไหน ถ้าจะขอให้ช่วยผมขอให้มันเลิกคิดอะไรเพ้อเจ้อแบบนี้ดีกว่า

     ระหว่างที่ฝนกับควีนเถียงกันอยู่โดยมีข้าวหอมนั่งมองไปหัวเราะไป โทรศัพท์ผมก็มีเสียงไลน์ดังขึ้นมา พอหยิบขึ้นมาดูผมก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

     KhluenKhram : เดือนครับ

     KhluenKhram : ตอนนี้อยู่ไหน


     พี่คลื่นถามทำไมวะ ทำอย่างกับจะมาหาผมงั้นแหละ

     Ing-Duean : โรงอาหารอักษรฯ ครับ กำลังกินข้าวกับเพื่อนอยู่

     พี่คลื่นอ่านแต่ไม่ตอบ ผมเลยไม่รู้ว่าเขาถามทำไม แต่ถ้าให้เดาก็น่าจะชวนคุยตามปกติล่ะมั้ง

     ผมเลิกสนใจพี่คลื่นแล้วหันไปคุยกับเพื่อนต่อ ฝนบอกว่ารอบนี้มันจะกินแต่ของคาวอย่างเดียว ตู้ไอศกรีมที่ร้านหมูกระทะตักยากมาก คราวก่อนที่ไปกินมันตักซะจนกล้ามแขนแทบขึ้น โชคดีที่มีพนักงานอาสาตักให้ ไม่งั้นมันคงต้องยืนตักเป็นชั่วโมง

     จู่ๆ คนในโรงอาหารก็หันไปมองด้านหลังผม เหมือนมีดารามาถ่ายละครในมหา’ลัย ผมที่มัวแต่คุยกับเพื่อนจนไม่เป็นอันกินข้าวก็ไม่ได้สนใจ ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว

     “เฮ้ยมึงๆๆ” ฝนสะกิดแขนควีน บุ้ยปากไปด้านหลังผม “มึงว่าใช่ป่ะ”

     “...กูว่าใช่”

     ข้าวหอมทำหน้างงก่อนจะหันไปมองอีกคน แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นตกใจ “เดือน”

     “ว่า?” ผมพูดทั้งที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นอยู่เต็มปาก

     “พี่คลื่นมา”

     “แค่กๆๆๆ!” ชื่อที่เพื่อนพูดออกมาทำให้ผมสำลักจนลูกชิ้นติดคอ ข้าวหอมหยิบแก้วน้ำมาให้ ผมรับมาดื่มขณะเดียวกับที่พี่คลื่นมายืนข้างโต๊ะพอดี

     “เอ่อ...สวัสดีค่ะพี่คลื่น” ฝนยกมือมาไหว้พี่คลื่นด้วยใบหน้างงๆ

     “สวัสดีครับน้องฝน กินข้าวกันอยู่เหรอ”

     “ใช่ค่ะ แล้ว...พี่คลื่นมาคณะหนูทำไมเหรอคะ”

     คนตัวสูงหันมามองผมพลางยิ้มบางๆ พอได้สบตากับพี่คลื่นแล้วภาพที่เขาง้อผมเมื่อคืนก็ลอยเข้ามาในหัว พาให้แก้มทั้งสองข้างร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

     ห้ามยิ้มนะอิงเดือน ห้ามหลุดเด็ดขาดเลยนะเว้ย!

     “พี่มีเรื่องอยากมาขอร้องพวกเราหน่อย”

     “ขอร้อง...พวกหนูเหรอคะ?” ควีนชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพลางทำหน้างงอีกคน

     “ใช่ครับ รบกวนเวลากินข้าวหรือเปล่า”

     “ไม่เลยค่ะๆ พี่คลื่นอยากขอร้องอะไรพวกหนูบอกมาได้เลย”

     “พอดีคณะพี่จะจัดค่ายอาสาเดือนหน้าน่ะ แล้วตอนนี้กำลังทำป้ายไวนิลรับสมัครคนอยู่”

     “อ๋อ เรื่องค่ายหนูก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน พี่คลื่นจะให้พวกหนูไปประชาสัมพันธ์เด็กอักษรฯ เหรอคะ”

     “เปล่าครับ คือพี่ต้องทำสองป้าย แล้วพรุ่งนี้ต้องเอาป้ายไปติดบนบอร์ดแล้ว แต่ตอนนี้ยังทำป้ายอันที่สองไม่เสร็จเลย...” พี่คลื่นเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม เอามือมาวางบนไหล่เบาๆ “พี่เลยอยากขอร้องน้องๆ มาช่วยพี่ทำป้ายเย็นนี้หน่อย ได้ไหมครับ”

     ประโยคหลังพี่คลื่นก้มมามองผม เหมือนจะสื่อว่าเขากำลังถามผมอยู่

     “เอ่อ...พี่คลื่นถามผมเหรอครับ”

     “ถามทุกคนครับ” คนตัวสูงยิ้มมุมปาก “แต่อยากฟังคำตอบจากเราเป็นพิเศษ”

     ผมอึกอักอย่างตอบไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากช่วยพี่คลื่น แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าถ้าไม่ไปกินหมูกระทะแล้วจะโดนเพื่อนโกรธ

     “เอ่อ...คือพอดีตอนเย็นพวกผม...”

     “ได้เลยค่ะพี่คลื่น”

     ขวับ!

     “เย็นนี้พวกหนูไม่มีอะไรทำพอดี พี่คลื่นมาชวนไปทำป้ายแบบนี้หนูยินดีมากๆ เลยค่ะ”

     ผมมองหน้าฝนพลางขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้ ไหนตกลงกันว่าเย็นนี้จะไปกินหมูกระทะกันไง มันลืมเหรอ

     “ขอบคุณนะครับ” พี่คลื่นยิ้มกว้าง

     “โอ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ พวกหนูเต็มใจกันอยู่แล้ว เดือนมหา’ลัยอย่างพี่คลื่นมาขอร้องทั้งทีใครจะกล้าปฏิเสธ”

     “ไอ้ฝน เย็นนี้พวกเรา...”

     “ว้ายยยยย! พี่คลื่นจะทำป้ายกันที่ไหนเหรอคะ” จู่ๆ ควีนก็เอื้อมมือมาปิดปากทั้งที่ผมยังถามไม่จบ

     “แล้วที่เราคุยกันไว้ว่า...”

     “เอ้อออออ! นั่นสิคะ พวกพี่ๆ ทำป้ายกันที่ไหนคะหนูจะได้ไปหาถูก” ฝนเอื้อมมือมาปิดปากข้าวหอมอีกคน กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกับข้าวหอมได้แต่ส่งเสียงอู้อี้พูดอะไรไม่ได้เลย

     “เอ่อ...ใต้ตึกบริหารฯ ครับ น้องๆ ไปกันถูกไหม”

     “ไปถูกค่ะ หนูไปส่องผู้ชายที่นั่นประจำ ไว้เจอกันเย็นนี้นะคะพี่คลื่น เรียนเสร็จแล้วพวกหนูจะรีบไปช่วยเลย” ควีนตอบพี่คลื่นขณะที่ยังปิดปากผมอยู่ คนตัวสูงมองมาอย่างงงๆ แต่พอฝนกับควีนยิ้มให้พี่คลื่นก็นัดแนะสถานที่และเวลาอีกครั้งก่อนจะขอตัวไปเรียน

     “พวกมึงมาปิดปากกูกับข้าวทำไมเนี่ย” ผมถามหลังจากมันปล่อยมือแล้ว

     “ถ้ากูไม่ห้ามไว้มึงสองคนก็หลุดปากออกมาแล้วสิ”

     “แล้วฝนกับควีนไปรับปากพี่คลื่นทำไม เย็นนี้พวกเราต้องไปกินหมูกระทะไม่ใช่เหรอ”

     “เรื่องหมูกระทะพับเก็บไปก่อนค่ะ ตอนนี้พวกเราต้องทำหน้าที่กามเทพสื่อรักให้ไอ้เดือนก่อน” ฝนกับควีนหันไปยิ้มกันสองคน แต่เป็นยิ้มที่ผมมองแล้วรู้สึกหวั่นใจยังไงไม่รู้

     “อย่าบอกนะว่าฝนกับควีน...”

     “ถูกต้องค่ะ เริ่มฉลาดขึ้นมาแล้วสินะคุณข้าวหอม” ฝนยิ้มกริ่ม ต่างกับผมที่อยากจะหงายหลังลงไปเป็นลมกับพื้น

     “เดี๋ยวนะ นี่พวกมึงถึงกับเทนัดหมูกระทะแค่เพราะจะมาเชียร์กูกับพี่คลื่นเนี่ยนะ”

     “นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่พี่เขาลงทุนมาหามึงถึงคณะเพื่อมาขอร้องมึงเลยนะเว้ย มึงกล้าปฏิเสธเขาลงคอเหรอเดือน”

     “จริง แล้วยิ่งตอนเขาถามมึงนะ สายตานี่เหมือนคนเป็นแฟนกำลังอ้อนกันอยู่เลยอ่ะมึง กูเห็นแล้วละลายแทน”

     “มึงรู้ได้ไงว่าเขามาคณะเราเพื่อมาขอร้องกูโดยเฉพาะ”

     “ไอ้เดือน กูบอกแล้วไงว่าให้อ๊องอย่างเดียวแต่อย่าโง่ เขาพูดซะขนาดนั้น มองจากดาวอังคารยังรู้เลยค่ะว่าเขาอยากให้มึงไป”

     ผมถลึงตาใส่ฝน พูดแบบนี้มันหลอกด่ากันชัดๆ เลยนี่หว่า

     “แล้วไหนมึงบอกจะไปส่องพนักงานร้านหมูกระทะไง”

     “น้องคนนั้นไว้ไปส่องทีหลังก็ได้ค่ะ วันนี้กูเอาเวลามาส่องมึงกับพี่คลื่นดีกว่า”

     ผมส่ายหัวให้ควีนอย่างเหนื่อยใจ ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาพูดกับมันดี

     “เอาเถอะเดือน ฝนกับควีนตอบตกลงพี่คลื่นไปแล้ว ยังไงเราก็คงแคนเซิลไม่ทันแล้วล่ะ อีกอย่างพี่คลื่นก็ดูเหมือนกำลังลำบากด้วย เราไปช่วยให้งานเขาเสร็จไวๆ มันก็ดีเหมือนกันนะ”

     ผมหันไปมองข้าวหอมก่อนจะพยักหน้าให้อย่างช่วยไม่ได้ ที่จริงผมก็อยากช่วยพี่คลื่นเหมือนกัน เท่าที่ฟังเมื่อคืนแล้วผมเชื่อว่างานเขามันหนักจริงๆ แต่ที่ผมกำลังหนักใจคือผมไม่รู้ว่าตอนไปช่วยพี่คลื่นทำงาน เพื่อนตัวดีของผมมันจะทำอะไรบ้าง

     “แค่ไปช่วยเขาทำป้ายอย่างเดียวนะมึง ห้ามทำอะไรแผลงๆ เด็ดขาด” ผมชี้หน้าฝนกับควีนอย่างคาดโทษ ซึ่งพวกมันก็เอาแต่ยิ้มไม่ยอมรับปาก ผมล่ะกลุ้มจริงๆ มีเพื่อนบ้าผู้ชายอย่างเดียวไม่พอยังจะชอบเป็นแม่สื่อให้คนอื่นไปทั่วอีก ก่อนจะคบใครเป็นเพื่อนต้องคิดดีๆ นะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวจะพลาดเหมือนผม


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ตั้งแต่เรียนมาสองปีผมไม่เคยมาตึกบริหารฯ เลยไม่รู้ว่ามันกว้างและใหญ่ขนาดนี้ ฝนบอกว่าผู้ชายคณะนี้งานดีทั้งนั้น ตอนเลิกเรียนมันชอบมานั่งส่องกับควีนประจำ พอมันพูดแบบนี้ผมถึงได้รู้ว่าเวลาผมกับข้าวหอมชวนไปกินข้าวหลังเลิกเรียนทำไมพวกมันถึงไม่ค่อยไปด้วย

     “อีควีน ดูคนนั้นดิ มึงว่าหล่อป่ะ” ฝนชี้ผู้ชายที่เพิ่งเดินผ่านตึกบริหารฯ ไปให้ควีนดู

     “หูย หล่อล่ำไม่แพ้น้องที่ร้านหมูกระทะเลยอ่ะ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วมึงไปขอเบอร์เขาให้หน่อยนะ กูอยากได้”

     “อ้าวอีนี่ อยากได้ก็ไปขอเองสิคะ”

     “ก็มึงสวยกว่ากูอ่ะ หัดใช้ความสวยที่มีให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนบ้างสิคะ”

     “ฝน ควีน เอาแต่ดูผู้ชายอยู่ได้ ที่ข้าวบอกให้ลงสีตัวอักษรอ่ะเสร็จยัง”

     ผมหลุดขำเมื่อพวกมันโดนข้าวหอมดุ ตัวเองเป็นคนบอกพี่คลื่นว่าจะมาช่วยงานแท้ๆ แต่พอถึงเวลากลับเอาแต่ส่องคนหล่อซะงั้น

     “ใกล้จะเสร็จแล้วนี่ไงคะ มึงก็ขยันเร่งจัง”

     “ใกล้จะเสร็จที่ไหน ยังลงสีพยางค์แรกไม่เสร็จเลยไม่ใช่เหรอ” ข้าวหอมชี้ไปยังคำว่า ‘บริหารรัก ปันสุขให้น้อง’ บนป้ายไวนิลที่เพิ่งถูกลงสีไปนิดเดียวเอง

     “ไอ้ข้าว มึงจะรีบไปไหนวะ พวกพี่เขาก็บอกอยู่ว่าให้ทำไปเรื่อยๆ”

     “รีบทำให้เสร็จเร็วๆ ไม่ดีเหรอฝน เราจะได้กลับไม่ดึกกันไง”

     “ถ้าเป็นวันอื่นน่ะใช่” ฝนเหลือบมามองผมที่ตกแต่งบอร์ดอยู่พลางยิ้มแปลกๆ “แต่วันนี้กูขอกลับดึกวันนึง กูอยากรอดูโมเมนต์หวานๆ ของพี่คลื่นกับคนแถวนี้”

     เล่นจ้องซะขนาดนี้พูดชื่อผมเลยก็ได้นะ มันพูดเหมือนข้าวหอมไม่รู้เลยว่าคนแถวนี้ที่มันพูดถึงคือผม

     “ไม่ได้สิ ถ้าวันนี้เรากลับดึกกันแล้วข้าวจะกลับยังไง”

     “เออว่ะ” ควีนรีบหันไปมองฝน ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “อีฝน มึงลืมไปแล้วเหรอว่าข้าวมันกลับเกินสองทุ่มไม่ได้”

     “โอ๊ย ไม่ต้องห่วง นี่เพิ่งหกโมงเย็น ยังมีเวลาเหลือเฟือ”

     “เหลือเฟือกับผีอ่ะดิ บอร์ดยังตกแต่งไม่เสร็จ ป้ายก็ยังลงสีไม่ถึงไหน มึงคิดว่าแค่สองชั่วโมงมันจะพอเหรอ” ผมหันไปช่วยข้าวหอมดุ ใช้ของตกแต่งชี้หน้าพวกมันเรียงตัว “รีบทำไปเลยนะ อย่ามัวแต่อู้งาน ถ้างานไม่เสร็จกูจะฟ้องพี่คลื่นจริงๆ ด้วย”

     “ค่าาาา กูรู้แล้วววว ได้ทีสั่งกูใหญ่เลยนะมึง”

     ผมแลบลิ้นให้ฝน เป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ที่มันไปรับปากพี่คลื่นโดยไม่ปรึกษาผมก่อน ข้าวหอมที่เห็นเพื่อนเริ่มลงมือทำงานจริงๆ เลยกลับมาช่วยผมตกแต่งบอร์ดต่อ

     ค่ายอาสาที่จะมีเดือนหน้าเป็นค่ายที่จัดขึ้นมาโดยรุ่นพี่คณะบริหารฯ นักศึกษาแต่ละชั้นปีจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป อย่างพี่คลื่นที่อยู่ปีสามจะมีหน้าที่ประชาสัมพันธ์หาคนมาร่วมค่าย แต่เนื่องจากกลุ่มพี่คลื่นมีคนไปค่ายไม่กี่คน การเตรียมตัวประชาสัมพันธ์จึงค่อนข้างล่าช้า เขาถึงต้องให้พวกผมมาช่วยทำป้ายไวนิลเพื่อให้เสร็จทันเวลา

     ผมกับข้าวหอมมีหน้าที่ตกแต่งบอร์ด ฝนกับควีนมีหน้าที่ลงสีป้ายไวนิล ส่วนพี่คลื่นกับเพื่อนๆ ที่เป็นผู้ชายกำลังซ่อมแซมบอร์ดที่ซุ้มคณะที่ใช้ติดป้ายไวนิลอีกอันอยู่ ที่จริงเรื่องบอร์ดไม่ต้องตกแต่งก็ได้ แต่ตอนนี้ใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว พี่คลื่นเลยอยากได้ป้ายไวนิลที่มีธีมเข้ากับเทศกาล

     “เดือน ข้าวว่าอันนี้ไม่ต้องติดดีไหม” ข้าวหอมดึงตุ๊กตาซานตาคลอสที่ผมเพิ่งติดไปเมื่อครู่ออกมา

     “ทำไมอ่ะ ไม่สวยเหรอ”

     “มันดูรกไปอ่ะ เราตกแต่งข้างล่างแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนะ”

     ผมถอยหลังออกมาเพื่อดูภาพรวมของบอร์ด อืม...จะว่าไปแค่นี้มันก็ดูดีแล้วนะ

     “งั้นเดี๋ยวเราตกแต่งข้างบนกันเลยก็ได้ ข้าวไปหยิบเทปใสกับกรรไกรมาให้หน่อยสิ”

     “อีกแล้วเหรอ เมื่อกี้เดือนเพิ่งใช้ข้าวไปหยิบน้ำเองนะ”

     “ก็เราไม่รู้อ่ะว่าของอยู่ตรงไหน”

     “แล้วตอนพี่ยี่หวาอธิบายทำไมเดือนไม่ฟัง”

     “ตอนนั้นฝนชวนคุยอยู่เราเลยไม่ได้ฟังอ่ะ” ผมเข้าไปกอดแขนข้าวหอม เอาหน้าถูไปมาด้วย “น้าาาา ไปหยิบให้เราหน่อยนะข้าว สัญญาจะไม่ใช้อีกแล้ว นะๆๆๆ”

     ข้าวหอมทำหน้างอเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าในที่สุด ผมยิ้มกว้าง ปล่อยแขนเพื่อนให้ไปหยิบอุปกรณ์ จุดอ่อนของข้าวหอมที่ทุกคนในกลุ่มรู้กันดีคือข้าวหอมแพ้ลูกอ้อนมากๆ ตั้งแต่คบกันมาไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมพูดเพราะๆ ใส่แล้วข้าวหอมจะไม่ตามใจ

     ระหว่างที่รอข้าวหอมผมก็เดินไปหาฝนกับควีน อยากรู้ว่าพวกมันลงสีป้ายกันไปถึงไหนแล้ว แต่พอผมเดินไปถึง...

     “กูบอกว่าเขียวแดง”

     “ไม่ได้ ต้องชมพูเท่านั้น”

     “อีควีน คริสต์มาสบ้านมึงเขาใช้สีชมพูเหรอ มันต้องเขียวแดงเท่านั้นค่ะ”

     “บอร์ดก็เขียวแดงแล้ว มึงยังจะให้ป้ายเป็นเขียวแดงอีกเหรอ เชื่อกูสิ สีชมพูนี่แหละเวิร์ก”

     “ไม่เอา กูไม่ชอบสีชมพู”

     “ไม่ชอบก็เรื่องของมึง กูจะระบายแล้ว มึงมาช่วยด้วยเลย”

     “นี่พวกมึงยังเถียงกันไม่จบอีกเหรอ” ผมนั่งยองๆ ข้างควีนก็จะถอนหายใจเบาๆ พวกมันเถียงเรื่องสีพื้นหลังป้ายมาเป็นชั่วโมงแล้ว พอกลับมาสามัคคีกันส่องผู้ชายผมเลยนึกว่าตกลงเรื่องสีได้แล้วซะอีก

     “ไอ้เดือน มึงเลือกมาเลยว่าจะเอาสีไหน”

     “ใช่ บอกมันไปเลยว่าคริสต์มาสต้องเขียวแดงเท่านั้น”

     เอาแล้วไง อยู่ดีไม่ว่าดีโยนงานหนักมาให้ผมอีกแล้วไอ้พวกนี้

     “เด็กๆ เหนื่อยกันไหม” ในตอนที่ผมโดนเพื่อนกดดันอยู่ พี่ยี่หวากับพี่ทิวก็เดินถือถุงข้าวกล่องกับขนมเข้ามาใต้ตึก เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้าวหอมกลับมาพอดี

     “อุ๊ย พี่ทิวซื้อข้าวมาให้หนูเหรอ ขอบคุณนะคะ หนูกำลังหิวอยู่พอดี” พอได้เห็นผู้ชายอาการอยากชนะก็หายไปทันที ฝนรีบเข้าไปออดอ้อนพี่ทิว แต่ก็ไม่วายโดนควีนตามไปขัด

     “เขาซื้อมากินเองค่ะ มึงน่ะมาเคลียร์กับกูก่อน สีพื้นหลังป้ายยังตกลงกันไม่ได้เลย”

     “เอ๊ะ มึงนี่มารผจญจริงๆ กูจะให้พี่ทิวป้อนข้าวซะหน่อย” ฝนทำหน้าเซ็ง พวกพี่ทั้งสองคนเลยหลุดขำ

     “พี่ซื้อมาให้พวกเรานั่นแหละ พักงานแล้วมากินข้าวกันก่อนก็ได้ ทำงานมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” พี่ยี่หวาชูถุงข้าวกล่องในมือพลางยิ้มกว้าง

     “เอ่อ...มาเลี้ยงข้าวพวกผมแบบนี้มันจะดีเหรอครับ”

     “พี่ให้พวกเรามาช่วยงาน พี่ก็ต้องดูแลพวกเราสิ แล้วคนที่ให้ซื้อข้าวมาเลี้ยงก็คือไอ้คลื่น เพราะงั้นไม่ต้องเกรงใจหรอก”

     พอพี่ยี่หวาพูดแบบนั้นฝนกับควีนก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม หันมาแซวทางสายตาจนผมต้องมองค้อนกลับไป

     “แหม...พี่คลื่นนี่หล่อแล้วยังใจดีอีก ใครได้ไปเป็นแฟนคงโชคดีไปทั้งชีวิตเลย ใช่ไหมเดือน”

     แล้วจะมาถามทำไมล่ะ ผมไม่ใช่ผู้โชคดีคนนั้นซะหน่อย

     “แต่ตรงนี้มืดแล้วยุงเยอะ แสงไฟก็ไม่ค่อยมีด้วย พี่ว่าเราย้ายไปที่ซุ้มกันดีกว่า ที่นั่นมีพัดลมด้วย”

     “แต่ผมกับเดือนยังตกแต่งบอร์ดไม่เสร็จเลยนะครับ” ข้าวหอมชี้ไปยังบอร์ดที่พวกผมสองคนตกแต่งไปได้ครึ่งเดียว

     “เดี๋ยวพวกพี่ทำต่อเอง ส่วนเราสี่คนย้ายไปทำงานที่ซุ้มเถอะ เผื่อไอ้คลื่นจะเรียกให้ช่วยอะไรด้วย” พี่ทิวพูดพร้อมกับแจกข้าวกล่องกับขนม พอได้ยินชื่อพี่คลื่น ฝนกับควีนก็หันไปมองตากันทันที

     “แต่ผมว่า...”

     “โอเคค่ะ งั้นหนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ” ผมกำลังจะขออยู่ช่วยพี่ยี่หวาที่นี่ แต่ก็ถูกฝนขัดขึ้นมาซะก่อน “ไปกันเร็วพวกมึง ตรงนี้ยุงเยอะมากเลย กูโดนกัดจนตัวลายไปหมดแล้วเนี่ย”

     “ใช่ๆ รีบไปหาพี่คลื่น...เอ้ย รีบไปกินข้าวกันที่ซุ้มเถอะ ตอนนี้กูหิวจนแทบจะกินช้างได้แล้ว”

     เมื่อสองนาทีก่อนยังทะเลาะกันอยู่เลย ตอนนี้กลับพูดเป็นเสียงเดียวกันซะงั้น ผมรู้เลยว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ เพราะเวลามันสองคนเข้ากันได้ดีทีไรมักจะมีเรื่องให้ผมปวดหัวทุกที





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 6 [18/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 18-04-2022 22:04:29
     “อีควีน”

     “ว่า?”

     “ทำไมพี่คลื่นขยันจังวะ กูเห็นซ่อมบอร์ดมาตั้งนานแล้วยังไม่หยุดพักเลย” ฝนบุ้ยปากไปทางพี่คลื่นที่กำลังยืนอยู่บนบันไดเหล็ก ข้างล่างคือพี่องศาที่ทำหน้าที่คอยส่งอุปกรณ์ให้

     “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอมึง มันแสดงให้เห็นว่าเพื่อนเราฝากชีวิตไว้กับเขาได้ไง”

     “จริง พี่คลื่นขยันแบบนี้กูค่อยยกไอ้เดือนให้อย่างสบายใจหน่อย”

     “มันใช่เวลามาพูดเพ้อเจ้อไหม รีบลงสีไปเลยนะ อีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็จะสองทุ่มแล้วเนี่ย” ผมเร่งพวกมันเพราะกลัวข้าวหอมจะกลับบ้านไม่ได้ ปกติข้าวหอมจะให้พ่อมารับส่งที่มหา’ลัย แต่วันนี้พ่อข้าวหอมต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัดเลยมารับได้ไม่เกินสองทุ่ม

     “ไม่ต้องรีบหรอกเดือน ข้าวโทรไปบอกพ่อแล้วว่าไม่ต้องมารับ”

     “อ้าว ทำไมอ่ะข้าว” พวกผมสามคนหันไปมองข้าวหอมอย่างตกใจ

     “ข้าวคิดว่ามันคงไม่เสร็จภายในสองทุ่มหรอก”

     “แล้วแบบนี้จะทำยังไงอ่ะ”

     “ข้าวก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน”

     “งั้นคืนนี้มึงมานอนห้องกูไหม” ควีนเสนอไอเดียขึ้นมา “ส่วนพรุ่งนี้มึงยืมชุดกูใส่ไปก่อนก็ได้ ตัวมึงกับกูน่าจะพอๆ กัน”

     “อืม เอางั้นก็ได้”

     ก็ยังดีที่ควีนยังรู้จักรับผิดชอบ เพราะที่งานเสร็จช้าส่วนหนึ่งก็เพราะมันกับฝนนั่นแหละ ผมไม่ได้โทษเพื่อนนะครับแต่มันคือความจริง

     “โอเค เรื่องไอ้ข้าวหายห่วงแล้ว...” ควีนหันมายิ้มแปลกๆ มันวางพู่กันก่อนจะหยิบกล่องขนมปังมาให้ “ส่วนมึงน่ะ รีบเอาขนมไปให้พี่คลื่นกินซะ”

     ผมหยุดมือที่กำลังลงสีป้ายไวนิล หันไปขมวดคิ้วใส่มัน “แล้วทำไมกูต้องเอาไปให้เขาด้วย”

     “มึงไม่สงสารพี่คลื่นเหรอ ทำงานมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้กินข้าวเลย”

     “ใช่ๆ เกิดเขาหิวข้าวจนเป็นลมตกบันไดขึ้นมา ได้เจ็บตัวกันพอดี”

     ความคิดเพื่อนผมทุเรศมาก มันพูดเหมือนกำลังแช่งพี่คลื่นอยู่เลย

     “แต่เมื่อกี้พี่องศาชวนพี่คลื่นกินข้าว เขาก็บอกว่ายังไม่หิวไม่ใช่เหรอ”

     “มันไม่เหมือนกัน”

     “ไม่เหมือนยังไงวะ”

     “เอาเถอะน่ะ ตอนนี้มึงเอาขนมไปให้เขาก่อน มึงเชื่อกูสิว่าพี่คลื่นกินแน่นอน”

     “แล้วทำไมมึงไม่เอาไปให้เขาเอง”

     “ก็มึงสนิทกับพี่คลื่นที่สุดอ่ะ เพิ่งโดนเขาง้อมาด้วยไม่ใช่เหรอคะ”

     เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเกี่ยวกันที่ไหนล่ะ!

     ผมมองขนมในมือควีนอย่างชั่งใจ ก่อนจะหันไปมองคนที่กำลังซ่อมบอร์ดอย่างขะมักเขม้น ที่จริงผมก็ห่วงพี่คลื่นอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเห็นเขาบอกพี่องศาว่ายังไม่หิว ผมเลยคิดว่าปล่อยให้เขาทำงานต่อไปน่าจะดีกว่า

     แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ต่อให้พี่คลื่นจะบอกว่าไม่หิว แต่ผมคิดว่ายังไงก็ควรกินอะไรรองท้องไว้ก่อนอยู่ดี

     “อือ กูเอาไปให้ก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่กินนะกูจะกลับมาคิดบัญชีพวกมึง”

     “ดีมากกกกก มันต้องอย่างนี้สิเพื่อนกู”

     “รีบเอาไปให้เขาเร็ว กูมั่นใจว่าพี่คลื่นต้องกินแน่นอนค่ะ”

     ผมทำหน้าเอือมใส่ควีนแต่ก็ยอมรับกล่องขนมมา กำลังจะลุกไปหาพี่คลื่นแต่ข้าวหอมก็จับแขนไว้ก่อน

     “เดี๋ยวเดือน เอาไปให้พี่องศาด้วยสิ พี่องศาก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

     “เออจริงด้วย”

     ผมรับขนมมาจากข้าวหอมอีกกล่องก่อนจะเดินไปหาพี่คลื่นกับพี่องศา ตอนรับปากเพื่อนไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้เริ่มประหม่าขึ้นมาซะงั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่พอคิดว่าต้องเอาขนมไปให้พี่คลื่นผมก็รู้สึกเขินยังไงไม่รู้

     “อ้าวน้องเดือน มีอะไรหรือเปล่าครับ” พี่องศาที่หันมาเห็นผมเอ่ยทักขึ้นมา พี่คลื่นที่อยู่บนบันไดเลยหยุดมือแล้วมองลงมาด้วย

     “เอ่อ...คือ...ผมเห็นว่าพวกพี่ยังไม่ได้กินอะไร ก็เลย...เอาขนมมาให้น่ะครับ” ผมยิ้มเขินๆ ก่อนจะยื่นขนมไปตรงหน้า พี่องศายิ้มกว้างพลางเดินมาหา

     “ขอบคุณนะครับ น้องเดือนนี่น่ารักแล้วยังใจดีอีก...” พี่องศากำลังจะหยิบขนมไปกิน แต่ก็ชักมือกลับไป เหลือบขึ้นไปมองพี่คลื่น “แต่ตอนนี้มือพี่เปื้อนอยู่ ถ้ายังไงรบกวนน้องเดือนป้อนให้หน่อยได้ไหมครับ”

     “ปะ...ป้อนเหรอครับ” ผมเบิกตากว้าง พี่องศาพยักหน้ายิ้มๆ แล้วอ้าปากรอ

     “เร็วครับ ตอนนี้พี่หิวมากเลย”

     ผมหันไปหาเพื่อนเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่พวกมันก็เอาแต่ทำหน้าลุ้นว่าผมจะทำยังไงต่อ ให้ตายสิไอ้พวกนี้ พึ่งพาอะไรไม่เคยได้เลย

     ผมจิ้มขนมปังขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ ยื่นไปที่ปากพี่องศา แต่ในตอนที่ขนมกำลังจะเข้าปาก หน้าพี่องศาก็โดนพี่คลื่นที่ลงมาเมื่อไหร่ไม่รู้ผลักให้หลบไปซะก่อน

     “มีมือก็กินเองสิวะ ไปใช้น้องเขาป้อนทำไม”

     “อ้าวไอ้นี่ ก็กูมือเปื้อนอยู่อ่ะ”

     “ไปล้างมือก่อนสิ เรื่องแค่นี้คิดเองไม่ได้เหรอ” พี่คลื่นแย่งกล่องขนมไปยัดใส่มือพี่องศา แต่แทนที่จะโกรธพี่องศากลับยิ้มมุมปาก ตบไหล่พี่คลื่นเบาๆ แล้วเดินจากไป

     “งั้นกูไปนั่งกินกับพวกน้องๆ ดีกว่า ส่วนมึงก็อยู่ตรงนี้กับน้องเดือนไปละกัน”

     พี่องศาเดินไปหาเพื่อนผมแล้ว ทิ้งให้ผมอยู่กับพี่คลื่นสองคน เอาล่ะสิ...ตอนนี้เขินหนักกว่าเก่าอีก ผมไม่ได้แพ้คนหน้าตาดีเหมือนฝนกับควีน แต่เพราะเพิ่งโดนเขาง้อด้วยตุ๊กตาหมีมา ผมเลยไม่กล้ามองหน้าพี่คลื่นตรงๆ

     จะพูดยังไงดีล่ะ...มันเขินจริงๆ นะครับ

     “เอ่อ...ผมได้ยินพี่บอกพี่องศาว่ายังไม่หิว งั้นผมวางขนมไว้ตรงนี้นะครับ ถ้าพี่หิวก็หยิบไปกินได้เลย” ผมละล่ำละลักบอกคนตัวสูง วางขนมไว้ที่โต๊ะก่อนจะหันหลังเดินกลับไปหาเพื่อน แต่จู่ๆ พี่คลื่นก็จับข้อมือผมไว้พร้อมกับพูดเสียงอ่อน ไม่เหมือนตอนพูดกับเพื่อนตัวเอง

     “ใครบอกว่าพี่ไม่หิว”

     “อ้าว ก็ตอนพี่องศาชวนกินข้าว...”

     “ตอนนั้นไม่หิว แต่ตอนนี้หิวแล้ว”

     ผมเอียงคอด้วยความงง พี่คลื่นชูมือทั้งสองข้างที่เปื้อนขึ้นมาพลางยิ้มบางๆ

     “เผอิญพี่ขี้เกียจเดินไปล้างมือ เดือนป้อนให้พี่หน่อยได้ไหม”

     ผมทำหน้างงกว่าเก่า พี่คลื่นส่งสายตามายังขนมในมือเหมือนจะเร่งให้ป้อนเร็วๆ เดี๋ยวก่อนนะ แบบนี้ก็ได้เหรอครับ

     “พี่บอกให้พี่องศาไปล้างมือ แต่พี่ขี้เกียจเดินไปล้างมือเองเนี่ยนะครับ”

     “พี่ยืนทำงานมาตั้งนาน มันก็ต้องเมื่อยขากันบ้างสิ” พี่คลื่นยื่นหน้ามาใกล้ ทำหน้าเหมือนกำลังออดอ้อน “นะครับ...ป้อนขนมพี่หน่อย เมื่อวานพี่อุตส่าห์ให้เดือนดูตุ๊กตาหมีสุดรักสุดหวงของพี่เลยนะ”

     แล้วจะรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมเล่า แค่นี้ผมก็เขินจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ!

     ผมอยากเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก สุดท้ายเลยต้องยอมป้อนขนมตามที่คนตัวสูงต้องการ พยายามข่มใจที่มันเต้นโครมครามในอกแล้วคิดซะว่าตอบแทนที่เขาเลี้ยงข้าวแล้วกัน

     พี่คลื่นก้มมากินขนมในมือผม แต่กลับค้างไว้แบบนั้นไม่ยอมเอาหน้าออกไป จนผมต้องเอ่ยทักเขาถึงจะยอมปล่อย

     “กรี๊ดดดดดด มันป้อนขนมพี่คลื่นด้วยว่ะ!!”

     “เพื่อนกูนี่ร้ายไม่เบาจริงๆ ไม่เสียแรงที่คบกับกูมานาน”

     “อีควีน มึงได้ถ่ายไว้ไหม”

     “ไม่ต้องห่วงค่ะ คนอย่างกูเคยพลาดด้วยเหรอ”

     “ไอ้เดือน! ป้อนอีกคำไปเลย!!”

     ผมถลึงตาใส่เพื่อนให้เงียบๆ แต่ก็น่ารู้นะครับว่าพวกมันเคยฟังผมซะที่ไหน เสียงโห่แซวยังคงดังต่อไป แต่ก็ไม่เท่าคำพูดของคนตรงหน้าที่ทำให้ผมอยากหายตัวไปจากตรงนี้ซะเลย

     “มีคนเชียร์เยอะแบบนี้ เดือนคงต้องป้อนพี่จนกว่าจะหมดแล้วล่ะครับ”

     พี่คลื่นจะเห็นดีเห็นงามกับเพื่อนผมทำไมครับ ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ผมเขินมากกว่าเดิม!





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.6 [18/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 18-04-2022 22:35:49
 :hao6:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.6 [18/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-04-2022 01:06:41
 o13 :hao6:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.6 [18/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 19-04-2022 22:08:54
รักกัน รักกัน กรี๊ดดด  :mew2:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 7 [21/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-04-2022 16:39:33
ตอนที่ 7 : จากไกลกลายเป็นใกล้





     -ข้าวหอม-


     มนุษย์ทุกคนล้วนเกลียดความผิดหวัง

     ถึงจะบอกว่าความผิดหวังทำให้เราเติบโตขึ้น แต่ลึกๆ แล้วไม่มีใครอยากผิดหวังหรอก

     ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาผมถึงไม่เคยมีความรักเลย ผมรู้ว่าตัวเองไม่ดีพอที่ใครจะมาสนใจ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางสมหวัง การไม่คาดหวังตั้งแต่แรกจึงเป็นทางเลือกที่ผมยึดมั่นมาตลอด

     แต่จู่ๆ วันหนึ่งผมก็ดันพลาดท่า เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปชอบคนที่ไม่สมควรชอบที่สุด ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่และเกิดได้ยังไง แต่พอรู้ตัวอีกที สายตาผมก็มองเห็นแต่เขาไปซะแล้ว...

     ผมรับซองสีน้ำตาลมาจากพี่คลื่น เพื่อนคนอื่นๆ ก็ยื่นหน้ามาดูด้วย ข้างในเป็นธนบัตรจำนวนหนึ่ง พอผมคลี่ออกมานับก็ตกใจจนต้องเงยหน้าไปมองคนให้

     “พี่คลื่นครับ มันไม่เยอะเกินไปเหรอครับ”

     “ไม่หรอก เราอุตส่าห์มาช่วยงานพี่ทั้งที”

     “แต่พวกผมแค่ลงสีป้ายกับตกแต่งบอร์ดเองนะครับ พี่ให้เงินมาขนาดนี้...”

     “รับไว้เถอะ พี่อยากให้” พี่คลื่นดันมือผมที่กำลังจะคืนซองน้ำตาลกลับมา “ถ้าไม่มีทุกคนงานคงไม่เสร็จเร็วขนาดนี้ พี่สิที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณพวกเรา เพราะงั้นรับไว้เถอะนะ เอาไปแบ่งกันสามคนเลย”

     “เอ่อ...เงินนี้พี่คลื่นให้สำหรับสามคนเหรอคะ” ฝนถามพลางหันมามองพวกผมหน้าเหลอหลา

     “ใช่ครับ”

     “คือหนูไม่ได้จะขอเพิ่มนะคะ แต่พวกหนูมีกันสี่คน...”

     “สามคนถูกแล้วครับ” พี่คลื่นเดินมาคล้องไหล่เดือนที่ยืนข้างผมไว้หลวมๆ “เงินนั้นพี่ให้น้องข้าวหอม น้องฝน น้องควีน ส่วนน้องเดือน...พี่จะพาไปตอบแทนเป็นอย่างอื่นครับ”

     พวกผมสามคนต่างทำหน้างง แต่ก็ไม่เท่ากับเดือนที่รีบหันไปมองคนพูดอย่างไว

     “พี่คลื่นจะพาผมไปไหนครับ”

     “ไว้ถึงแล้วก็รู้เองครับ” พี่คลื่นพูดจบก็กระชับไหล่ให้แนบแน่นขึ้น หันมาพูดกับพวกผมยิ้มๆ “พี่ขอยืมเพื่อนเราหน่อยนะครับ เสร็จธุระแล้วจะพาไปส่งแน่นอน ไม่ต้องห่วงครับ”

     ผมทำหน้าอึกอัก ยังไม่ทันได้พูดอะไรฝนกับควีนก็ตอบพี่คลื่นไปซะก่อน

     “ยินดีค่ะ จะยืมไปทั้งคืนเลยก็ได้ค่ะหนูอนุญาต”

     “ฝากส่งเพื่อนหนูให้ถึงหอเลยนะคะ”

     เดือนมองมาเหมือนอยากขอความช่วยเหลือ แต่ฝนกับควีนก็เอาแต่ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย ส่วนผมที่ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ยิ้มส่งกำลังใจไปให้

     “ว่าแต่น้องๆ กลับกันยังไงครับ”

     “เอ่อ...” เราสามคนหันมามองตากัน พ่อผมมารับไม่ได้แล้ว ผมเลยต้องกลับกับควีนเพราะจะไปนอนที่หอควีน แต่เรื่องกลับยังไงนี่ยังไม่ได้คุยกันเลย

     “กลับยังไงดีวะ แท็กซี่ไหม”

     “มึงลืมไปแล้วเหรอว่าตอนกลางคืนแบบนี้แท็กซี่หน้ามหา’ลัยแม่งหาโคตรยาก”

     “ถ้างั้นจะกลับยังไง มึงคิดไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ใครบอกว่ากูคิดไว้”

     “อ้าว ก็กูเห็นมึงอยากกลับดึกมากที่สุดอ่ะ”

     “งั้นให้พี่ไปส่งไหมครับ” จู่ๆ พี่องศาที่มาเมื่อไหร่ไม่รู้ก็เสนอขึ้นมา ผมยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ ส่วนพี่คลื่นก็พยักหน้าเห็นด้วย

     “เออ งั้นกูฝากน้องๆ หน่อยนะองศา กลับกับเพื่อนพี่ได้ใช่ไหมครับ” ประโยคหลังพี่คลื่นหันมาถามพวกผม ฝนกับควีนที่จู่ๆ ก็มีหนุ่มหล่อจะไปส่งทั้งทีเลยรีบตอบตกลงด้วยความดีใจ...

     โดยไม่ถามผมเลยสักคำว่าผมอยากให้พี่องศาไปส่งหรือเปล่า

     “กลับดีๆ นะคะพี่คลื่น อย่าพาเพื่อนหนูไปเถลไถลจนดึกนะคะ”

     “พี่ไม่พาเดือนไปที่ไกลๆ หรอกครับ รับรองถึงหอไม่เกินสี่ทุ่มแน่นอน” พี่คลื่นพูดจบก็ขยิบตาให้หนึ่งทีก่อนจะพาเดือนไปขึ้นรถ ฝนกับควีนโบกมือบ๊ายบายตามหลัง พอพี่คลื่นกับเดือนขึ้นรถไปแล้วก็หันมามองตากัน

     “มึงว่าพี่คลื่นจะพาไอ้เดือนไปไหนวะ”

     “กูก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือเรือของเราสองคนเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่ะ”

     “สามค่ะ ไม่ใช่สอง” ฝนหันมามองผมที่กำลังยืนฟังอยู่เงียบๆ “มึงก็คิดเหมือนพวกกูใช่ไหมข้าว ที่พี่คลื่นชวนไอ้เดือนไปกันสองคนมันต้องมีซัมติงอะไรสักอย่าง”

     “เอ่อ...คือข้าว...”

     “เด็กๆ ไปกันได้แล้วครับ เดี๋ยวมันจะดึกไปกว่านี้นะ” พี่องศาที่เดินนำไปที่รถแล้วเอ่ยเรียกขึ้นมา ฝนกับควีนเลยเลิกสนใจเรื่องของเดือนชั่วคราว

     “ค่าาาา จะรีบตามไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”

     ควีนมากอดแขนผมขณะที่กำลังเดินไปที่รถพี่องศา ใบหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างจากฝน มีแต่ผมคนเดียวที่ยิ้มไม่ออก

     “พวกเรานี่โชคดีชะมัดเลยว่ะ อยู่เฉยๆ ก็มีผู้ชายอาสาขับรถไปส่ง”

     “จริง แล้วยิ่งผู้ชายคนนั้นคือพี่องศานะ กูแทบอยากจะตีลังกากรี๊ดสามตลบ”

     “พี่องศาไปส่งแบบนี้มึงก็กลับบ้านตัวเองได้แล้วสิข้าว”

     “อะ...อืม”

     “เป็นอะไรวะ ยิ้มหน่อยดิ มึงกำลังจะได้นั่งรถพี่องศาเชียวนะเว้ย” ฝนยื่นมือมาจับแก้มผมให้ยิ้ม ผมเลยต้องแสร้งยิ้มเพื่อไม่ให้เพื่อนสงสัย “คอยดูนะ พรุ่งนี้กูจะไปประกาศทั่วมหา’ลัยเลยว่าได้นั่งรถสุดหรูของพี่องศา”

     “เห็นด้วยค่ะ เอาให้ชะนีทุกคนอิจฉาตาร้อนกันไปเลย”

     “กูขอพี่องศาเซลฟี่บนรถได้ป่ะวะ อยากถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งกูเคยนั่งรถเขา”

     “กูเอาด้วยๆ จะถ่ายไปดูเช้ากลางวันเย็นให้ฟินสมใจไปเลย”

     เพื่อนๆ พูดคุยกันสนุกสนาน แต่ผมกลับอยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเร็วๆ ผมไม่อยากกลับกับพี่องศา แต่ผมก็ไม่รู้จะกลับยังไงแล้วเหมือนกัน จะให้บอกเพื่อนไปตรงๆ ยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่

     เพื่อนพี่คลื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไมคนที่จะไปส่งถึงต้องเป็นพี่องศาด้วยนะ...


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     หอของฝนกับควีนอยู่ใกล้มหา’ลัย ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึง ต่างกับบ้านผมที่อยู่ไกลกว่ามาก ผมเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พี่องศาจะไปส่งโดยปริยาย

     ตลอดทางที่ผ่านมาผมเอาแต่นั่งมองตักตัวเอง ไม่หันไปมองหรือพูดกับคนข้างๆ ที่กำลังขับรถอยู่เลย ที่จริงผมอยากนั่งหลัง แต่ฝนกับควีนอยากนั่งด้วยกันเลยไม่มีใครยอมนั่งหน้า ผมเลยต้องนั่งข้างพี่องศาที่ขยันชวนเพื่อนผมคุยเหลือเกิน

     “พี่องศาก็เล่นเกมในไอจีพี่คลื่นด้วยเหรอคะ” ฝนถามขึ้นมาตอนที่กำลังคุยเรื่องเกมของพี่คลื่นกันอยู่

     “ใช่ครับ ไม่ได้อยากชนะหรอก แค่จะกวนตีนมันเฉยๆ”

     “แหม แล้วทำไมพี่องศาไม่สร้างเกมเหมือนพี่คลื่นบ้างล่ะคะ หนูจะรีบไปเล่นคนแรกเลย”

     “อย่าเลยครับ พี่ไม่ถนัดทำอะไรแบบนี้เหมือนไอ้คลื่น ที่จริงพี่แปลกใจด้วยซ้ำตอนเห็นเกมของมันในไอจี ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่”

     “แต่ก็ต้องขอบคุณพี่คลื่นนะคะที่เลือกไอ้เดือน พวกหนูเลยได้มานั่งรถพี่องศาแบบนี้ไง” ฝนกับควีนยิ้มกริ่ม ทำหน้าฟินอย่างที่พูดไว้จริงๆ ต่างกับผมที่ได้แต่คัดค้านในใจว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย

     “เรื่องในวันนี้พี่ก็งงอยู่เหมือนกัน”

     “พี่องศางงอะไรเหรอคะ”

     “เมื่อวานมีรุ่นพี่ที่รู้จักกันจะมาช่วยงาน แต่ไอ้คลื่นปฏิเสธไปเพราะไม่อยากให้คนนอกมายุ่งวุ่นวายงานของตัวเอง แต่วันนี้มันกลับชวนพวกเราที่อยู่คณะอื่นมาช่วยงานซะงั้น ไม่ใช่แค่พี่หรอก ไอ้ทิวกับยี่หวาก็งงกันเป็นแถว”

     พอพี่องศาพูดจบฝนกับควีนก็หันไปมองตากัน ผมไม่รู้หรอกว่าเพื่อนๆ คิดอะไรอยู่ แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเรื่องที่ทั้งสองคนกำลังจิ้นเดือนกับพี่คลื่น ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้จริงจังเท่าฝนกับควีนที่เหมือนจะอยากให้เดือนกับพี่คลื่นคบกันจริงๆ

     “เออจริงสิ พูดถึงเรื่องขอบคุณแล้ว...” จู่ๆ พี่องศาก็พูดขึ้นมาอีกพลางมองเพื่อนผมผ่านกระจก “ฝากขอบคุณน้องเดือนสำหรับขนมเมื่อตอนเย็นด้วยนะครับ”

     “ถ้าเป็นเรื่องขนม พี่องศาต้องขอบคุณข้าวค่ะถึงจะถูก”

     “หืม?” คราวนี้คนตัวสูงหันมามองผมแทน ผมรีบหันไปส่งสายตาให้ฝนหยุดพูด แต่ดูเหมือนฝนจะไม่เข้าใจผมเลย

     “ตอนนั้นพวกหนูให้เดือนเอาขนมไปให้พี่คลื่นคนเดียว แต่ข้าวมันบอกว่าพี่องศายังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน เดือนเลยเอาขนมไปให้พี่ด้วย”

     “เหรอครับ...” มุมปากของพี่องศายกยิ้ม สายตาที่มองมาทำให้ผมรู้สึกร้อนที่แก้มทั้งที่แอร์ในรถเย็นฉ่ำ “ขอบคุณสำหรับขนมนะครับ...น้องข้าวหอม”

     “มะ...ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบหันหน้าหนีไปมองกระจก ทำแก้มพองลมเพื่อบรรเทาความรู้สึกในอกตอนนี้

     ไม่น่าบอกเดือนไปแบบนั้นเลย รู้อย่างนี้ตอนนั้นนั่งเฉยๆ ไม่พูดอะไรดีกว่า

     “น้องฝนกับน้องควีนนี่คุยเก่งจังเลยนะครับ”

     “พี่องศารำคาญเหรอคะ”

     “เปล่าครับ กำลังจะชมต่างหาก ตั้งแต่ขึ้นรถมาพี่คุยกับพวกเราไม่เบื่อเลย”

     “อุ๊ย พี่องศาปากหวานอีกแล้ว” ฝนยิ้มอย่างเขินอาย บิดจนตัวจะเป็นเลขแปดอยู่แล้ว “พวกหนูคุยเก่งแค่กับคนหล่อเท่านั้นแหละค่ะ”

     “พูดอย่างนี้คือกำลังชมว่าพี่หล่อใช่ไหมครับ”

     “แหมพี่องศา เรื่องแบบนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

     “เอ...แต่เหมือนจะมีคนไม่คิดเหมือนกันนะครับ”

     “ใครเหรอคะ”

     พี่องศาไม่ตอบ แต่เหลือบมามองผมเหมือนจะบอกอ้อมๆ ว่ากำลังพูดถึงผมอยู่ ควีนเลยหลุดขำออกมา

     “เว้นไอ้ข้าวไว้คนนึงเถอะค่ะ เพื่อนหนูคนนี้ไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรอก มันกลัวดอกพิกุลร่วง”

     “ควีน! พูดเกินไปแล้วนะ ข้าวไม่ได้มนุษยสัมพันธ์แย่ขนาดนั้นซะหน่อย” ผมรีบหันไปแก้ตัวกับเพื่อน

     “ก็กูเห็นมึงเอาแต่นั่งเงียบอ่ะ นี่ถ้ามึงไม่ได้นั่งข้างพี่องศากูนึกว่ามึงลงจากรถไปแล้ว”

     “เออ มึงเป็นอะไรวะข้าว ปกติก็เงียบอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งเงียบเหมือนลืมพกปากมามหา’ลัยงั้นแหละ”

     ผมอึกอัก ไม่รู้จะตอบฝนยังไงดี ผมว่าผมพยายามทำตัวปกติที่สุดแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไมฝนกับควีนถึงยังสังเกตเห็นอยู่อีก

     ระหว่างที่ผมกำลังโดนเพื่อนคาดคั้นคำตอบ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงดังขึ้นมา ผมเลยถือโอกาสนี้หยิบโทรศัพท์มารับเพื่อเปลี่ยนเรื่องซะเลย

     “ฮัลโหลครับพ่อ”

     [ข้าวหอม กลับบ้านหรือยังลูก]

     ผมเหลือบไปมองคนที่อาสาขับรถมาส่ง ตอนนี้พี่องศาไม่ได้ยิ้มแล้ว แต่กำลังตั้งใจขับรถด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

     “ตอนนี้รุ่นพี่กำลังไปส่งครับ”

     [เฮ้อ...โล่งอกไปที พ่อนึกว่าลูกจะกลับบ้านไม่ได้ซะแล้ว] พ่อผมชอบเป็นห่วงแบบนี้ตลอดแหละครับ ฝนกับควีนที่รู้เรื่องนี้ดีเลยตั้งฉายาให้ผมว่าลูกคุณหนูอยู่ช่วงหนึ่ง [แล้วรุ่นพี่ไว้ใจได้หรือเปล่า]

     “ไว้ใจได้ครับ ฝนกับควีนก็มาด้วย เขาไม่พาข้าวไปทำอันตรายหรอก”

     ‘รุ่นพี่ที่ไว้ใจได้’ กระแอมในลำคอเบาๆ ฝนกับควีนที่นั่งอยู่ข้างหลังเลยได้แต่ยิ้มแหะๆ ให้

     [ถ้างั้นก็ดีไป อย่าลืมขอบคุณเขาด้วยล่ะ]

     “ครับ ว่าแต่ย่าเป็นยังไงบ้างครับพ่อ”

     เมื่อเช้าคุณปู่โทรมาบอกว่าคุณย่าที่อยู่ต่างจังหวัดล้มป่วยกะทันหัน พ่อผมเลยต้องรีบเคลียร์งานเพื่อไปดูแลคุณย่า

     [ย่าเราป่วยหนักอยู่เหมือนกัน แต่พ่อให้หมอมาดูอาการแล้ว ที่พ่อโทรมาหาก็เพราะจะคุยเรื่องนี้แหละ]

     “คุยอะไรเหรอครับ”

     [พ่อต้องอยู่ดูแลย่าที่นี่ไปอีกสักพัก ระหว่างนี้ข้าวไปมหา’ลัยเองได้ไหมลูก]

     คำพูดของพ่อทำให้ผมได้แต่นิ่งเงียบอย่างพูดไม่ถูก ฝนกับควีนที่เงี่ยหูมาฟังก็ตกใจเหมือนกัน สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่สำหรับผมที่ทั้งชีวิตมีพ่อคอยขับรถรับส่งมาตลอดมันคือเรื่องใหญ่มาก ผมไม่เคยไปไหนมาไหนเอง แม้แต่รถเมล์ยังนั่งไม่เป็นเลย แล้วจู่ๆ พ่อก็มาบอกว่าให้ไปมหา’ลัยเอง ผมจะทำยังไงล่ะครับทีนี้

     “เอ่อ...พ่อจะอยู่ที่นั่นนานไหมครับ”

     [ประมาณหนึ่งสัปดาห์น่ะ ที่จริงปู่บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่พ่ออยากอยู่ดูแลย่าด้วยอีกคน]

     “ถ้างั้นพ่อก็ดูแลย่าไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงข้าวหรอก ข้าวเอาตัวรอดได้”

     ฝนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น ควีนทำท่าจะแย้งขึ้นมาแต่ผมหันไปเอานิ้วจ่อปากส่งสัญญาณว่าห้ามพูดไว้ก่อน

     [พ่อขอโทษนะข้าว]

     “ไม่เป็นไรครับ ข้าวเข้าใจ โทรมาบอกอาการย่าบ้างนะครับ ข้าวเป็นห่วง”

     เราสองคนคุยกันอีกนิดหน่อยพ่อก็วางสายเพราะต้องไปดูแลคุณย่าต่อ พอเห็นผมคุยกับพ่อเสร็จแล้วควีนก็โพล่งขึ้นมาเหมือนรอเวลานี้มานาน

     “ไอ้ข้าว! มึงไปพูดแบบนั้นกับพ่อทำไม”

     “ใช่ ถ้าพ่อไม่อยู่แล้วมึงจะไปมหา’ลัยยังไงวะ”

     “ข้าวก็ไม่รู้ แต่พ่อเขาต้องไปดูแลย่า ฝนกับควีนจะให้ข้าวห้ามพ่อเหรอ”

     คนโดนถามทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เห็นไหมครับ ขนาดเพื่อนผมยังรู้เลยว่าเรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ แล้วผมที่เป็นลูกจะไปห้ามพ่อได้ยังไง

     “ทำไมน้องข้าวไม่ไปมหา’ลัยเองล่ะครับ” จู่ๆ พี่องศาก็ถามขึ้นมา ขณะที่ผมไม่รู้จะตอบยังไงฝนก็ชิงพูดไปซะก่อน

     “ข้าวนั่งรถเมล์ไม่เป็นค่ะพี่องศา มันไม่เคยเดินทางไปไหนเอง อย่าว่าแต่รถเมล์เลย หนูเคยให้มันลองนั่งวินมอเตอร์ไซค์ครั้งนึง ทุลักทุเลมากกว่าจะมาหาหนูที่มหา’ลัยได้”

     “ฝน!” ผมเรียกเพื่อนเสียงขุ่น ฝนที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดมากเกินไปเลยหันมายิ้มเจื่อนๆ เหมือนจะขอโทษ

     “ถ้ากูมีรถก็คงมารับมึงได้อยู่หรอก แต่นี่กูไม่มีอ่ะ”

     “ไม่ใช่ความผิดของควีนซะหน่อย อย่าคิดมากเลย”

     “แล้วแบบนี้มึงจะเอายังไงอ่ะ”

     “ข้าวก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน” แต่ยังคิดไม่ออกเลยครับ มืดแปดด้านไปหมดเลยตอนนี้

     “น้องควีนครับ ใช่หอที่อยู่ข้างหน้านี้ไหม” พี่องศาชี้ไปยังหอพักที่อยู่ตรงหัวมุม ฝนกับควีนเลยพักเรื่องของผมไว้แล้วหันไปมองทางแทน ข้างหน้าคือหอพักของควีนที่ผมเคยมาแล้ว และถ้าเลยไปอีกหน่อยก็จะเป็นหอพักของฝน

     “พี่องศาจอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพวกหนูเดินไปเอง”

     “น้องฝนก็อยู่หอนี้เหมือนกันเหรอครับ”

     “เปล่าค่ะ หนูอยู่ข้างๆ หออีควีน พอดีหอพวกหนูสองคนเขาแยกชายหญิง”

     พี่องศาจอดรถเทียบฟุตบาธตรงหน้าหอ พอฝนกับควีนลงไปจากรถแล้วก็หันมาโบกมือให้ผม

     “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะมึง ถ้าไปมหา’ลัยไม่ได้ก็โทรมานะ เดี๋ยวกูมารับ”

     “อืม ขอบคุณนะควีน”

     “พวกหนูไปก่อนนะคะพี่องศา ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”

     “ยินดีครับ”

     ฝนกับควีนแยกย้ายกันกลับหอตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ภายในรถเลยเหลือแค่ผมกับพี่องศา บรรยากาศเงียบเชียบผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับ คนตัวสูงขับรถไปยูเทิร์นตรงโค้งข้างหน้า ส่วนผมก็พยายามนั่งให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้คนข้างๆ รู้ว่ากำลังเกร็งแค่ไหน

     ที่จริงผมไม่ได้อยากให้พี่องศามาส่งเลย แต่ถ้าผมปฏิเสธออกไปมันจะดูน่าสงสัย แถมฝนกับควีนก็จะกลับไม่ได้อีก ผมเลยจำใจต้องยอมให้พี่องศามาส่งอย่างช่วยไม่ได้

     อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้เกลียดพี่องศา แต่มันตรงกันข้ามเลยต่างหาก เพราะผมไม่เกลียดเขา ผมเลยไม่อยากอยู่ใกล้เขาแม้แต่วินาทีเดียว

     “น้องข้าวครับ” ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรกับตัวเองคนเดียวพี่องศาก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ผมเลยแอบสะดุ้งเล็กน้อย

     “วะ...ว่าไงครับ”

     คนตัวสูงยิ้มมุมปาก ส่งเสียงหึในลำคอ “อย่าเสียงสั่นแบบนั้นสิครับ พี่ไม่พาเราไปทำอันตรายหรอก วางใจได้”

     พูดแบบนี้แสดงว่าไม่พอใจเรื่องที่ผมคุยกับพ่ออยู่แน่เลย ที่จริงผมก็แอบกลัวอยู่นิดหน่อย แต่ไม่นึกว่าเขาจะโกรธจริงๆ

     “ขอโทษนะครับ ปกติผมไม่เคยไปไหนกับรุ่นพี่ในมหา’ลัย พ่อผมเลยเป็นห่วงเฉยๆ”

     “พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย พี่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นหรอกครับ”

     ทำไมผมรู้สึกเหมือนพี่องศากำลังประชดอยู่เลย หรือผมจะคิดมากเกินไปนะ

     “ว่าแต่พี่องศาเรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

     “พี่จะถามว่าปกติข้าวให้พ่อไปรับส่งทุกวันเลยเหรอ”

     “ใช่ครับ”

     “แต่พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่พ่อเราจะมารับส่งไม่ได้...ใช่ไหมครับ”

     “…ใช่ครับ”

     “แล้วเราจะทำยังไงครับ”

     ผมหันไปมองคนถามพลางขมวดคิ้ว พี่องศาจะถามทำไม ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาใส่ใจซะหน่อย

     “ยังไม่รู้เลยครับ มันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องหัดนั่งรถเมล์แล้วก็ได้” ถึงจะไม่รู้ว่าเขาถามทำไมแต่ผมก็ตอบกลับไปในที่สุด ผมเดาว่าพี่องศาคงอึดอัดเลยอยากหาเรื่องมาชวนคุยเฉยๆ

     พี่องศาเหลือบมามองนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปตั้งใจขับรถโดยไม่พูดอะไรอีก จะมีก็แต่คอยถามทางจากผมบ้าง ผมก็ไม่ได้ชวนเขาคุยอะไรต่อ เขาถามอะไรมาผมก็ตอบไปแค่นั้น

     ในสายตาพี่องศาผมอาจจะดูเหมือนคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธหรอกครับ เพราะผมก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ...แต่แค่กับเขานะ

     ผมบอกแล้วไงครับ ถ้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางสมหวังก็ไม่ควรคาดหวังตั้งแต่แรก ดังนั้นการเอาตัวไปใกล้เพื่อสร้างความคาดหวังให้ตัวเองจึงไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย

     หลังผ่านไปสิบนาทีรถของพี่องศาก็มาจอดอยู่หน้าบ้านผม แม่ของผมเสียไปตั้งแต่เด็ก บ้านนี้เลยมีผมกับพ่อแค่สองคน ผมหันไปขอบคุณพี่องศาพร้อมกับถอดเข็มขัดนิรภัย กำลังจะเปิดประตูรถแต่คนตัวสูงก็ยื่นของอย่างหนึ่งมาตรงหน้าผมซะก่อน

     “อะไรครับ”

     ร่างสูงมองมายังโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ เหมือนจะบอกอ้อมๆ ว่าให้ผมรับมา “เมมฯ เบอร์ของข้าวไว้แล้วใช้โทรศัพท์พี่โทรเข้าเครื่องตัวเอง ข้าวจะได้มีเบอร์พี่ด้วย”

     “อะ...อะไรนะครับ!?” ผมเผลอพูดเสียงดังด้วยความตกใจ พี่องศาเลยขมวดคิ้ว

     “ตกใจอะไรครับ พี่แค่ขอเบอร์เราเอง”

     มันใช้คำว่า ‘แค่’ ได้ด้วยเหรอครับ พี่องศากำลังขอเบอร์ผมเชียวนะ!

     “พี่จะขอเบอร์ผมไปทำไมครับ”

     “พรุ่งนี้พี่จะมารับไงครับ ข้าวไปมหา’ลัยเองไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

     คำอธิบายของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ผมหายตกใจเลย พี่องศาพูดหน้าตายเหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ต่างกับผมที่มีคำถามเต็มหัวไปหมด

     “ผมไปได้ครับ พี่ไม่ต้องมารับหรอก”

     “จะไปยังไงครับ เรานั่งรถเมล์ไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”

     “ผม...ผมจะหัดนั่งรถเมล์”

     “แล้วถ้าเราหลงไปที่อื่นจะทำยังไงครับ”

     “…”

     “ให้พี่มารับนี่แหละดีแล้ว พี่มารับให้ฟรี ไม่คิดเงินหรอก”

     ผมไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่องศาจะเสนอตัวมาช่วยเหลือทำไม เราสองคนไม่ได้สนิทกัน เพิ่งคุยกันวันนี้ด้วยซ้ำ เขาจะเพิกเฉยแล้วไม่สนใจเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรแบบนี้เลย

     “อย่ามัวแต่มองพี่สิครับ รีบเมมฯ เบอร์ตัวเองเร็ว”

     ผมกะพริบตาปริบๆ พอรู้ตัวว่าเผลอจ้องนานเกินไปเลยรีบหันหน้าหนี “ผมเกรงใจครับ ไม่อยากรบกวนพี่องศา”

     “บ้านข้าวเป็นทางผ่านคอนโดฯ พี่พอดี ไม่รบกวนเลยครับ”

     “ไม่เอาครับ ผมอยากไปเองมากกว่า”

     เมื่อเห็นผมยังยืนยันคำเดิมพี่องศาก็ถอนหายใจเล็กน้อย เขาถอดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง

     “พี่องศา! จะทำอะไรครับ”

     ร่างสูงยกแขนมายันกระจกไว้ ยื่นหน้ามาใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ผมพยายามถอยห่างเพื่อที่ปลายจมูกจะได้ไม่ชนกัน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่

     “ตอนแรกนึกว่าเป็นเด็กเงียบๆ โลกส่วนตัวสูง ที่ไหนได้...ดื้อเหมือนกันนะเราอ่ะ”

     “…”

     “ให้พี่มารับเถอะครับ ข้าวจะได้ไม่ต้องลำบาก เพื่อนๆ ข้าวจะได้หายห่วงด้วยไง”

     “…”

     “หรือว่า...” พี่องศายิ้มมุมปาก ทำหน้าเจ้าเล่ห์แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “ข้าวมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่อยากให้พี่รู้ เลยให้พี่มารับไม่ได้”

     “มะ...ไม่ใช่นะครับ!” ผมรีบปฏิเสธทันทีอย่างคนมีชนักติดหลัง พี่องศาที่ได้ยินแบบนั้นเลยผละหน้าออกไป แต่ก็ยังเอาโทรศัพท์มาใส่มือผม

     “ถ้างั้นก็รีบให้เบอร์พี่ได้แล้วครับ จะได้เข้าบ้านไปพักผ่อน”

     ผมมองโทรศัพท์ในมือพลางเม้มปากแน่น คิดหนักอยู่สักพักก่อนจะเขียนเบอร์ตัวเองลงไปในที่สุด พี่องศายิ้มกว้าง ถอยกลับไปนั่งที่ตัวเองเหมือนเดิม พอผมเขียนเสร็จแล้วก็ใช้โทรศัพท์พี่องศาโทรเข้าเครื่องตัวเอง

     “พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมงครับ” คนตัวสูงถามหลังจากรับโทรศัพท์คืนไปแล้ว

     “...เก้าโมงครับ”

     “งั้นพี่จะมารับตอนแปดโมงนะครับ อย่าสายล่ะ”

     ผมไม่ตอบอะไร เปิดประตูแล้วลุกออกมาเลย นาทีนี้คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องรีบหนีหน้าพี่องศาให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเผลอแสดงพิรุธออกไปอีก

     “น้องข้าว” พี่องศาเปิดกระจกแล้วยื่นหน้ามา ผมที่กำลังจะเดินเข้าบ้านเลยต้องหยุดหันไปมอง “ขอบคุณนะครับที่มาช่วยงานพี่วันนี้”

     “…”

     “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

     ผมยังยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน ถึงแม้รถพี่องศาจะหายไปจากสายตาแล้วผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม สองมือผมกำสายกระเป๋าแน่น หัวใจยังคงเต้นแรงไม่หยุด ในหัวเอาแต่คิดถึงคำพูดที่คนตัวสูงทิ้งท้ายไว้ซ้ำไปซ้ำมา

     จากที่ได้แต่มองอยู่ในที่ไกลๆ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งผมกับเขาจะได้มาใกล้กันแบบนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมตั้งตัวไม่ทันก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือหลังจากนี้ผมต้องพยายามให้มากกว่าเดิม...

     เพื่อที่ความลับจะยังคงเป็นความลับต่อไป





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 7 [21/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-04-2022 16:40:09
     -อิงเดือน-

     “ตกลงพี่คลื่นจะพาผมไปไหนกันแน่ครับ” ผมถามคำถามเดิมเป็นรอบที่สิบแล้ว แต่คนที่จูงมือผมอยู่ก็เอาแต่เดินไปยิ้มไปโดยไม่พูดจาอะไรเลย ผมมอบไปรอบๆ ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัย ห้างนี้มีแต่ของแพงๆ ผมเลยไม่ค่อยได้มาบ่อยนัก

     ตลอดทางที่นั่งรถมาผมเอาแต่ถามว่าเรากำลังจะไปไหนกัน ซึ่งพี่คลื่นก็เอาแต่ตอบว่าเดี๋ยวถึงแล้วก็รู้เอง แต่ถึงแม้ตอนนี้เราสองคนจะเข้ามาในห้างแล้วผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าพี่คลื่นจะพาผมไปไหน

     หลังจากโดนเมินมานานในที่สุดผมก็หมดความอดทน ผมชะงักสองขาที่กำลังเดินอยู่ ดึงมือออกจากมือพี่คลื่นแล้วยกมากอดอกยืนนิ่งๆ พี่คลื่นเลยต้องหยุดเดินด้วย

     “ถ้าพี่คลื่นไม่บอกว่าจะพาไปไหนผมก็จะยืนอยู่ตรงนี้นี่แหละครับ”

     ผมพยายามทำหน้าโหดเพื่อให้ดูน่าเกรงขาม แต่คนตัวสูงที่หันมามองกลับหลุดขำซะงั้น “เดือนครับ อย่างอแงสิ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว”

     “ผมไม่ได้งอแงซะหน่อย พี่คลื่นนั่นแหละที่ไม่ยอมบอกอะไรเลย จะพาผมไปฆาตกรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้”

     “ใครเขาจะพาเหยื่อมาฆาตกรรมกลางห้างล่ะครับ เรานั่นแหละดูหนังมากเกินไปแล้ว” พี่คลื่นส่ายหน้ายิ้มๆ ผลักหน้าผากผมเบาๆ

     “ถ้างั้นก็บอกมาสิครับว่าจะพาผมไปไหน”

     “ก็พาไปตอบแทนที่วันนี้เดือนมาช่วยงานพี่ไง”

     ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ แต่ไม่ได้ช่วยให้กระจ่างขึ้นเลยสักนิดเดียว

     “ไปเร็วครับ ใกล้จะถึงแล้ว”

     พี่คลื่นดึงมือผมไปจับอีกครั้ง ผมที่ไม่มีทางเลือกเลยต้องยอมเดิมตามอีกฝ่ายไปที่ไหนก็ไม่รู้ สักพักคนตัวสูงก็พาผมมาหยุดอยู่ตรงโซนตุ๊กตา ข้างหน้าผมตอนนี้คือตุ๊กตาสัตว์หลากหลายชนิดที่วางเรียงกันอยู่อย่างละลานตา

     “พี่คลื่น...พาผมมาดูตุ๊กตาเหรอครับ” ผมหันไปถามอย่างไม่แน่ใจ คนโดนถามยิ้มมุมปาก ล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง

     “ใช่ครับ พอดีเมื่อวานมีเด็กบอกพี่ว่าชอบตุ๊กตามาก”

     “ผมไม่เด็กซะหน่อย อายุยี่สิบแล้วนะครับ” อย่าถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่าพี่คลื่นพูดถึงผม ก็ผมนี่แหละที่บอกเขาเองว่าชอบตุ๊กตาหมี ว่าแต่แค่พามาดูตุ๊กตาทำไมต้องปิดเป็นความลับด้วยล่ะ บอกมาตั้งแต่แรกเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ

     ผมเลิกสนใจคนตัวสูงแล้วหันไปเล่นกับตุ๊กตาบนชั้นแทน เป็นเพราะเคยมาห้างนี้ไม่กี่ครั้งผมเลยไม่รู้ว่าที่นี่มีตุ๊กตาสัตว์ขายด้วย แต่ละตัวก็โคตรจะน่ารักจนผมอยากซื้อกลับไปนอนกอดทุกตัว แต่พอเห็นราคาที่อยู่บนป้ายผมก็ได้แต่แอบถอนหายใจกับตัวเอง

     ระหว่างที่ผมกำลังหยิบจับตุ๊กตามากอด พี่คลื่นก็เอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาหมีจากชั้นบนสุดมาถือไว้

     “น่ารักไหมครับ”

     ผมหันไปมองตุ๊กตาหมีในมือพี่คลื่นก่อนจะยิ้มจนตาหยี “น่ารักครับ”

     “อะไรน่ารัก พี่หรือตุ๊กตา”

     “ก็ต้องตุ๊กตาสิครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ พี่คลื่นถามแบบนี้สองรอบแล้วนะ

     คนตัวสูงยิ้มกว้าง ขยับมาใกล้พลางยกตุ๊กตาหมีขึ้นมาที่อก “เดือนชอบหรือเปล่า”

     “ชอบครับ ผมชอบทุกตัวเลย แต่ชอบตุ๊กตาหมีเป็นพิเศษ”

     “แล้วอยากได้ไหมครับ”

     “ที่จริงก็อยากได้แหละครับ แต่มันแพงเกินไป ผมซื้อไม่ไหวหรอก”

     พี่คลื่นไม่พูดอะไรต่อ ผมเลยหันมาเล่นกับตุ๊กตาแมวที่เล่นค้างไว้ แต่จู่ๆ พี่คลื่นก็เอาตุ๊กตาในมือผมไปวางที่เดิมก่อนจะดึงมือผมไปจับ

     “ไปจ่ายเงินกันครับ”

     “หืม? จ่ายอะไรครับ”

     พี่คลื่นไม่ตอบแต่กลับจูงมือผมไปที่แคชเชียร์แทน ผมเลยได้แต่เดินตามด้วยความงง จนกระทั่งคนตัวสูงวางตุ๊กตาหมีลงบนเคาน์เตอร์แล้วทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ผมเลยรีบเอื้อมมือไปห้ามไว้

     “พี่คลื่นจะทำอะไรครับ”

     “ก็จะซื้อตุ๊กตาไงครับ”

     “ซื้อไปทำอะไรครับ”

     “ซื้อให้เดือนไงครับ เดือนอยากได้ไม่ใช่เหรอ”

     คราวนี้ผมไม่ตอบอะไร แต่รีบจูงมือพี่คลื่นกลับมาที่โซนตุ๊กตาทันที ปล่อยให้พนักงานแคชเชียร์มองมาอย่างงงๆ

     “พี่คลื่นจะมาซื้อให้ผมทำไมครับ”

     ร่างสูงทำหน้าเหลอหลา เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ เดือนไม่อยากได้ตุ๊กตาหมีแล้วเหรอ งั้นเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีไหม”

     “ไม่ใช่แบบนั้นครับ ที่ผมถามคือพี่จะซื้อตุ๊กตาให้ผมทำไม ตัวนึงไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ”

     พอได้ยินผมพูดพี่คลื่นก็นิ่งไปสักพักก่อนจะหลุดขำออกมา ขำอะไรวะ ผมไม่ขำด้วยเลยนะ

     “ไอ้เราก็นึกว่าอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง”

     “อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องเล็กสิครับ พี่วางตุ๊กตากลับไปที่เดิมเลยนะ”

     “เดือนครับ” พี่คลื่นย่อตัวลงมาจนสายตาเราสองคนอยู่ในระดับเดียวกัน “พี่บอกแล้วไงว่าอยากตอบแทนเรื่องวันนี้”

     “พาผมไปเลี้ยงข้าวก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องมาซื้ออะไรแพงๆ แบบนี้เลย”

     “แต่พี่อยากซื้อตุ๊กตาหมีให้”

     “ไม่เอาครับ ผมเกรงใจ”

     พี่คลื่นยืดตัวเต็มความสูง ยิ้มบางๆ ก่อนจะเอาตุ๊กตาหมีมาให้ผมถือ “พี่ซื้อให้ด้วยความเต็มใจ เพราะงั้นเดือนไม่ต้องเกรงใจเลยครับ”

     “แต่...”

     “รับไว้เถอะนะครับ คิดซะว่าเป็นของดูต่างหน้าว่าครั้งนึงเราเคยเล่นเกมด้วยกันก็ได้”

     ผมกำลังจะปฏิเสธอีกรอบ แต่พอเห็นสายตาของคนตรงหน้าคำพูดทั้งหมดมันก็ไหลลงไปในคอ พี่คลื่นเอื้อมมือมาวางบนหัวผม โยกไปมาเบาๆ เหมือนผมเป็นเด็กน้อย

     “เดือนไม่เห็นตุ๊กตาเหรอ มันน่ารักขนาดนี้เดือนจะทิ้งไปลงคอเหรอครับ”

     ผมก้มมองตุ๊กตาในอ้อมกอดตัวเอง ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลที่มีขนปุกปุย...ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันน่ารักมาก แต่จะให้ผมรับไว้จริงๆ เหรอ ราคาขนาดนี้เอาไปซื้อข้าวกินได้ตั้งหลายมื้อเลยนะ

     “พี่คลื่นจะซื้อให้ผมจริงๆ เหรอครับ” ผมเงยหน้าไปถามอีกฝ่ายอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

     “พามาขนาดนี้แล้วก็ต้องซื้อให้สิครับ”

     “แต่มันแพงมากเลยนะครับ”

     “ถ้ามันทำให้เดือนยิ้มได้ ต่อให้แพงกว่านี้พี่ก็จ่ายไหวครับ”

     น้ำเสียงนุ่มทุ้มของคนตัวสูงทำให้หัวใจผมกระตุกวูบไหว พี่คลื่นเลื่อนมือลงมาจับแก้มผมก่อนจะลูบไปมาอย่างแผ่วเบา

     “อย่าเอาแต่ทำหน้านิ่งสิครับ พี่อุตส่าห์ซื้อตุ๊กตาหมีให้ทั้งที ยิ้มให้ดูหน่อยไม่ได้เหรอ”

     ไม่รู้ว่าเพราะสายตา คำพูด สัมผัสที่แก้ม หรือใบหน้ากระเง้ากระงอดของคนตรงหน้า แต่ตอนนี้หัวใจผมกำลังเต้นแรงกว่าเดิม เราสองคนมองตากันสักพัก หลังจากนั้นผมก็หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     ทำไมชอบพูดให้คนอื่นเขินอยู่เรื่อยเลยนะ คนหน้าตาดีเป็นแบบนี้กันทุกคนเลยหรือเปล่าเนี่ย...

     “อยากเห็นผมยิ้มขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ถ้าพี่ตอบว่าใช่ เดือนจะยิ้มให้ดูบ่อยๆ ไหมครับ”

     “ผมก็วิดีโอคอลกับพี่อยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอครับ”

     พี่คลื่นยิ้มกว้างเหมือนถูกใจคำตอบผม แย่งตุ๊กตาไปถือไว้ก่อนจะพาไปคิดเงิน ระหว่างนั้นผมก็หันไปมองคนตัวสูงอีกรอบ

     “พี่คลื่นครับ”

     “หืม?”

     ผมยิ้มเขินๆ แต่สุดท้ายก็พูดออกไปจนได้ “ขอบคุณนะครับ...ผมจะดูแลตุ๊กตาตัวนี้อย่างดีเลย”





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.7 [21/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-04-2022 17:27:47
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.7 [21/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-04-2022 01:16:31
 :hao5:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 8 [25/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 25-04-2022 20:51:56
ตอนที่ 8 : อะไรน่ารักกว่ากัน





     วันนี้ผมมามหา’ลัยแต่เช้า ไม่ได้ขยันอะไรหรอกครับ แค่เมื่อคืนเลิกวิดีโอคอลกับพี่คลื่นเร็ววันนี้เลยตื่นเช้ากว่าปกติ บวกกับได้นอนกอดตุ๊กตาหมีที่พี่คลื่นซื้อให้เลยทำให้ผมหลับสบายกว่าเดิม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะครับ

     พอมาถึงตึกเรียนแล้วผมก็เดินไปที่โต๊ะประจำก่อนเลย ปกติผมกับเพื่อนๆ จะมีโต๊ะที่ไว้ใช้นัดรวมตัวกันอยู่ใต้ตึก ซึ่งทุกครั้งที่มาถึงผมจะเห็นข้าวหอมเป็นคนแรกเสมอ

     ผมเดินฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ แต่พอกำลังจะถึงโต๊ะผมก็ต้องหยุดฮัมเพลงแล้วขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ นอกจากข้าวหอมที่มาเช้าทุกวันเป็นปกติแล้ว ฝนกับควีนก็มาถึงก่อนผมเหมือนกัน นัดกันมาหรือเปล่าเนี่ย หรือวันนี้เป็นวันตื่นเช้าแห่งชาติ

     “ทำไมวันนี้มาเช้าจังวะ อยู่กันพร้อมหน้าเชียว” ผมวางกระเป๋าแล้วนั่งลงข้างฝน แต่แทนที่จะตอบคำถามผม ฝนกับควีนกลับเอาแต่จ้องข้าวหอมตาไม่กะพริบ

     “ถ้ากูไม่มาแต่เช้าก็ไม่ได้เห็นของดีน่ะสิ”

     “เดือน มึงมาก็ดีแล้ว มาช่วยพวกกูสอบสวนไอ้ข้าวหน่อย”

     “สอบสวนอะไรวะ” ผมทำหน้างง หันไปมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาเพื่อนอย่างเดียว “ข้าวเป็นอะไรอ่ะ ไปทำอะไรมาเหรอ”

     “จะอะไรซะอีกล่ะ ก็เมื่อเช้ากูเห็นมันลงมาจากรถพี่องศา”

     “ใช่ กูก็เห็นเหมือนกัน”

     “อ้าว ทำไมข้าวถึงมากับพี่องศาได้อ่ะ ปกติข้าวให้พ่อมาส่งไม่ใช่เหรอ”

     คนโดนถามเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไรสักคำ ฝนกับควีนเลยหันมาตอบผมแทน

     “พ่อมันต้องไปดูแลย่าที่ต่างจังหวัดหนึ่งสัปดาห์ ตอนแรกกูก็ห่วงว่ามันจะมามหา’ลัยได้ไหม แต่พอเห็นพี่องศามาส่งมันเมื่อเช้ากูเลยไม่ห่วงแล้ว แต่สงสัยแทน”

     “แล้วทำไมจู่ๆ พี่องศาถึงมาส่งข้าวได้อ่ะ”

     “กูก็ถามอยู่เหมือนกัน แต่มันเอาแต่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรเลย”

     ผมหันไปมองข้าวหอม กำลังจะเอ่ยปากถามแต่ข้าวก็พูดขึ้นมาก่อน

     “ข้าวไม่ตอบได้ไหมอ่ะ”

     “ไม่ได้ค่ะ เพื่อนอยากรู้ มึงรีบเล่ามาเลย ก่อนที่กูกับอีควีนจะจินตนาการไปไกลเหมือนคู่ของไอ้เดือน”

     “กูไปเกี่ยวอะไรด้วยวะ” ผมถามฝนแบบงงๆ

     “มึงไม่รู้เหรอว่าที่มึงกับพี่คลื่นไปไหนกันสองต่อสองเมื่อวานน่ะ พวกกูคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

     “จริง แต่เรื่องของมึงเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพวกกูค่อยถามทีหลัง” ควีนหันไปยิ้มให้ข้าวหอมเหมือนนางร้ายในตัวละคร “ตอนนี้เราต้องมาเค้นความจริงจากคุณข้าวหอมก่อนค่ะ”

     ข้าวหอมที่โดนฝนกับควีนจ้องอยู่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหลือบมามองผมเหมือนต้องการความช่วยเหลือ แต่บอกตรงๆ ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกัน ลองฝนกับควีนอยากรู้อะไรสักอย่างไม่มีใครห้ามพวกมันได้หรอกครับ

     “บอกไอ้พวกนี้ไปเถอะข้าว พี่องศาแค่มาส่งเอง มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรสักหน่อย”

     พอโดนผมเกลี้ยกล่อม ข้าวหอมเลยทำหน้าเหมือนลังเลว่าจะบอกดีไหม จนสุดท้ายก็มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นแล้วยอมอธิบายในที่สุด

     “คือ...เมื่อวานพอฝนกับควีนลงไปจากรถแล้ว พี่องศาก็บอกว่าจะมารับข้าวไปมหา’ลัยระหว่างที่พ่อไม่อยู่…”

     “กรี๊ดดดดด!!!” ฝนกับควีนร้องเสียงดังทั้งที่ข้าวหอมยังพูดไม่จบ แต่พอรู้ว่าแสดงออกนอกหน้าเกินไปพวกมันเลยรีบเอามือมาปิดปาก “ข้าว มึงพูดจริงเหรอ”

     “อะ...อืม”

     “โหย ต่อจากไอ้เดือนก็เป็นไอ้ข้าวเหรอเนี่ย พวกมึงสองคนไปทำบุญวัดไหนกันมาวะ กูอิจฉาาาา”

     “มึงมีบุญมากนะข้าว รู้ไหมว่ากูอยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้พี่องศามาตั้งนานแล้ว” ฝนทำหน้าตื่นเต้นเหมือนมันเป็นข้าวหอมซะเอง แต่จู่ๆ มันก็หุบยิ้ม “เดี๋ยวนะ แล้วเขาจะมารับส่งมึงทำไมอ่ะ ไม่ใช่ธุระของเขาซะหน่อย”

     “คือเรื่องนั้น...ข้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     “หรือเขาจะสงสารไอ้ข้าววะ”

     “กูว่าไม่ใช่ กูเคยได้ยินมาว่าพี่องศาเกลียดการตื่นเช้าจะตาย ขนาดวันไหนที่มีเรียนเช้าพี่เขายังชอบใช้เพื่อนจดเลกเชอร์ให้เลย”

     ฝนกับควีนทำหน้าจริงจังเหมือนกำลังแก้โจทย์สมการอยู่ เมื่อเห็นเพื่อนๆ เอาแต่เครียดกันผมเลยพูดขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไรมาก

     “จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ แต่พี่องศาไปรับไปส่งข้าวแบบนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ เราต้องขอบคุณเขานะเว้ย”

     “แต่มันคาใจนี่หว่า กูไม่ได้บอกว่าพี่องศาไร้น้ำใจนะ แต่ปกติเขาไม่น่าจะยอมตื่นเช้าเพื่อคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน...” จู่ๆ ควีนก็ตาโต ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก หันไปมองฝนที่ทำหน้าไม่ต่างกัน “อีฝน!”

     “มึงก็คิดเหมือนกูใช่ไหม”

     “กูว่าใช่”

     “กูก็ว่าใช่”

     และแล้วมันสองคนก็หันไปมองข้าวหอมพร้อมเพรียงกัน ยิ้มแบบมีเลศนัยจนคนโดนมองอดสะดุ้งไม่ได้

     “เอ่อ...ฝนกับควีนคิดอะไรเหรอ”

     “ข้าว มึงตั้งสติแล้วฟังดีๆ นะ กูว่าที่พี่องศาทำแบบนี้เพราะเขา...”

     “หยุด!” ผมยกมือมาห้ามฝนที่กำลังจะพล่ามเรื่องไร้สาระออกมา

     “มึงจะมาห้ามกูทำไมวะเดือน”

     “เพราะกูรู้ไงว่ามึงกำลังจะพูดอะไร”

     “แสดงว่ามึงก็คิดเหมือนกูใช่ไหม”

     “เปล่า เพราะกูไม่คิดเหมือนมึงต่างหากกูเลยต้องห้าม” ผมมองฝนกับควีนอย่างเหนื่อยใจ “เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกจิ้นคนอื่นไปทั่วสักทีวะ”

     “ไอ้ข้าวไม่ใช่คนอื่นนะเว้ย มันคือเพื่อนสนิทเราเลยนะ”

     “จะสนิทหรือไม่สนิทก็ไม่ควรจิ้นสุ่มสี่สุ่มห้าทั้งนั้นแหละ”

     “งั้นมึงหาเหตุผลที่พี่องศามารับส่งไอ้ข้าวได้ไหมล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาชอบไอ้ข้าวอ่ะ”

     คนโดนพาดพิงทำหน้าตกใจ รีบโพล่งขึ้นมาทันที “มะ...ไม่ใช่นะ! พี่องศาไม่ได้ชอบข้าว!”

     พวกผมสามคนหันไปมองคนพูดตาปริบๆ ข้าวหอมที่รู้ตัวว่าพูดเสียงดังเกินไปเลยหลบตาหันไปทางอื่น

     “ข้าว...มึงมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

     “นั่นดิ มึงพูดเหมือนเคยโดนพี่องศาหักอกมาจริงๆ งั้นแหละ”

     “ไม่เคยหรอก แต่ข้าวคิดว่าพี่องศาไม่มีทางมาชอบคนอย่างข้าวแน่นอน ฝนกับควีนคงคิดไปเองมากกว่า”

     จู่ๆ บรรยากาศก็มาคุขึ้นมากะทันหัน พวกผมหันมามองกันอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกเหมือนข้าวหอมกำลังเศร้าอยู่เลย

     “เอ่อ...โอเคๆ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ เนอะอีควีน” ถึงจะยังงงอยู่แต่ฝนก็พูดขึ้นมายิ้มๆ เหมือนมันรู้ว่าข้าวหอมไม่ปกติเลยพยายามช่วยให้ร่าเริงขึ้น

     “ใช่ๆ พี่องศาอาจจะใจดีเฉยๆ ก็ได้ พวกกูคงมโนกันไปเอง”

     อย่าเอาผมไปเหมารวมสิ ผมไม่ได้ชอบจับคู่ให้คนอื่นเหมือนพวกมันซะหน่อย

     “เรื่องไอ้ข้าวได้บทสรุปเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้น...” ควีนหันมายิ้มให้ผมเหมือนที่ยิ้มให้ข้าวหอม “ตอนนี้ถึงตามึงแล้วค่ะคุณเดือน”

     “ตากูอะไร”

     “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ เมื่อวานไปไหนกับพี่คลื่นสองต่อสอง เล่ามาเดี๋ยวนี้ค่ะ”

     “แล้วทำไมกูต้องเล่าด้วย”

     “อ้าว ก็พวกกูอยากรู้อ่ะ”

     “กลุ่มเราห้ามมีความลับต่อกัน มึงลืมแล้วเหรอ”

     เรื่องอะไรผมจะเล่า ไม่มีทางซะหรอก เพื่อนในกลุ่มทุกคนต่างก็รู้ว่าผมชอบตุ๊กตาหมีมาก ดังนั้นถ้าพวกมันรู้ว่าพี่คลื่นซื้อตุ๊กตาหมีให้ผมคงไม่พ้นโดนแซวอีกแน่นอน

     ผมทำเป็นไม่เห็นสายตาจับผิดของเพื่อน ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมจะหนี

     “ไอ้เดือน มึงจะไปไหน”

     “ห้องน้ำ”

     “มึงจะหนีพวกกูใช่ไหม”

     “หนีบ้าหนีบออะไร กูจะไปฉี่โว้ยยยย”

     “มึงอั้นไว้แล้วเล่ามาก่อน ต่อมเผือกพวกกูกระตุกยิกๆ แล้วเนี่ย”

     นาทีนี้ผมไม่สนต่อมเผือกของเพื่อนแล้ว รีบเดินหนีออกมาจากโต๊ะทันที ฝนกับควีนส่งเสียงเรียกไม่หยุด แต่ยังดีที่พวกมันไม่ตามมา


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ตอนแรกผมแค่ยกเรื่องห้องน้ำมาอ้าง แต่ไปๆ มาๆ กลับปวดจริงขึ้นมาซะงั้น ผมเลยแวะห้องน้ำที่อยู่ใกล้สุดเพื่อทำธุระส่วนตัว พอเสร็จแล้วก็มาล้างมือที่อ่าง

     จังหวะที่ผมเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำ ไม่รู้ว่าผมบิดแรงไปหรือมันหลวมอยู่แล้ว แต่ก๊อกน้ำมันถูกบิดจนสุด น้ำเลยพุ่งออกมาแรงเต็มที่ ผมที่ยืนชิดอ่างล้างมือเลยโดนเข้าไปเต็มๆ

     “เฮ้ย!!”

     โอ้โห เปียกตั้งแต่ข้างนอกยันข้างในเลยครับ สภาพผมในกระจกไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำเลย ให้มันได้อย่างนี้สิ ดวงซวยแต่เช้าเลยเหรอวะเนี่ย

     ผมจับเสื้อที่เปียกปอนไปหมดขึ้นมาดูก่อนจะทำหน้าเซ็งสุดชีวิต หันรีหันข้างเพื่อหาทิชชูมาซับน้ำบนตัวออก แต่ห้องน้ำนี้ดันไม่มีทิชชูอีก

     “เอาของพี่ไปใช้ก่อนไหม”

     ผมหันไปมองคนที่จู่ๆ ก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้อย่างงงๆ พอเห็นผมยังยืนนิ่งผู้ชายคนนั้นเลยมองผ้าเช็ดหน้าในมือตัวเองก่อนจะเอ่ยเร่งด้วยใบหน้ายิ้มๆ

     “เอาไปสิ พี่ยังไม่ได้ใช้เลย ไม่ต้องห่วงหรอก”

     “เอ่อ...ขอบคุณนะครับ” ถึงจะยังงงอยู่แต่ผมก็รับผ้าเช็ดหน้าจากเขามาเช็ดตามเสื้อและกางเกง คนแปลกหน้ายืนล้วงกระเป๋ากางเกง มองการกระทำของผมพลางยิ้มเหมือนกำลังแซวผมอยู่ในใจ

     “ห้องน้ำนี้เขาห้ามเปิดก๊อกน้ำแรง ไม่รู้เหรอ”

     “แหะๆ ไม่รู้เลยครับ ผมไม่ค่อยมาเข้าที่นี่เท่าไหร่”

     “เปียกแบบนี้จะไปเรียนได้เหรอ มีชุดมาเปลี่ยนหรือเปล่า”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมแข็งแรงอยู่แล้ว เปียกแค่นี้ไม่เป็นหวัดง่ายๆ หรอก” ผมพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก พอเช็ดเสื้อเสร็จแล้วเลยหันไปฉีกยิ้มให้คนตรงหน้า “ขอบคุณนะครับ เอ่อ...”

     “พี่ชื่อเมศครับ น้องเดือนขอบคุณพี่สองรอบแล้วนะ”

     “พี่รู้จักผมด้วยเหรอครับ”

     “ก็ต้องรู้จักสิ เป็นถึงผู้ชนะเกมของเดือนมหา’ลัยทั้งที จะไม่รู้จักได้ยังไง” พี่เมศยิ้มบางๆ ผมที่ทำตัวไม่ถูกเลยยกมือมาแตะท้ายทอยแก้เขิน

     นี่ผมกลายเป็นคนดังไปแล้วเหรอเนี่ย ผมควรไปขอบคุณพี่คลื่นไหมนะที่เกมของเขาทำให้คนรู้จักผมขนาดนี้

     “เอ่อ...แล้วผ้าเช็ดหน้านี่...”

     “น้องเดือนเอาไปเลยก็ได้ครับ”

     “ได้ไงล่ะครับ มันเป็นของพี่นะ ผมใช้เสร็จแล้วก็ต้องคืนพี่สิ”

     “แต่น้องเดือนใช้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “...นั่นสิ จริงด้วยครับ” ผมยิ้มเจื่อนๆ ในใจก็ก่นด่าความไม่รู้เรื่องของตัวเองไปด้วย “งั้นเอาแบบนี้ไหมครับ เดี๋ยวผมเอากลับไปซักให้ พอซักเสร็จแล้วผมจะรีบเอามาคืนพี่เลย”

     “ไม่เป็นไรครับ น้องเดือนเก็บไว้เลยก็ได้ พี่ไม่ซีเรียส”

     “ปกติผมไม่ชอบพกผ้าเช็ดหน้าอยู่แล้วครับ พี่เมศบอกมาดีกว่าว่าจะให้ผมไปคืนที่ไหน เดี๋ยวเย็นนี้ผมกลับไปซักให้เลย”

     “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ มันรบกวนเราเปล่าๆ”

     “ไม่รบกวนเลยครับ ผมสิที่เป็นฝ่ายรบกวน ผมเอาผ้าเช็ดหน้าของพี่มาใช้นะ”

     เมื่อเห็นว่ายังไงผมก็จะคืนผ้าเช็ดหน้าให้ได้ พี่เมศเลยถอนหายใจเล็กน้อยแต่ยังคงยิ้มอยู่ “ถ้างั้น...พี่จะยอมรับผ้าเช็ดหน้าคืนก็ได้ แต่น้องเดือนต้องคืนตอนที่บังเอิญเจอพี่อีกครั้งนะครับ”

     ผมเอียงคอด้วยความงง พี่เมศจะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไม นัดสถานที่คืนผ้าเช็ดหน้ามาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว

     “แล้วถ้าผมไม่บังเอิญเจอพี่อีกล่ะครับ”

     “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นก็จะกลายเป็นของน้องเดือนไงครับ ให้โชคชะตาตัดสินดีกว่าว่าเราควรจะคืนผ้าเช็ดหน้าพี่ไหม”

     ผมเห็นพี่เมศหน้าตาดี ไม่นึกเลยว่าเขาจะพูดจาลิเกแบบนี้เป็นด้วย เป็นคนหล่อที่แปลกเหมือนกันแฮะ

     “พี่เมศแน่ใจเหรอครับ”

     “แน่ใจครับ”

     “โอเคครับ ถ้าพี่พูดแบบนั้นผมก็ตกลง” ผมเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้ากระเป๋าก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่เมศอีกรอบ “ผมไปก่อนนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ”

     “ครับ พี่ก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

     ผมเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่เสื้อผ้ายังไม่แห้งสักเท่าไหร่ ในหัวก็นึกถึงความแปลกของพี่เมศไปด้วย จนกระทั่งกลับมาถึงโต๊ะแล้ว ฝนที่สังเกตเห็นก่อนใครเพื่อนเลยทักขึ้นมา

     “ไอ้เดือน! มึงไปเล่นน้ำที่ไหนมาวะ ทำไมเปียกไปทั้งตัวแบบนี้อ่ะ”

     “คือ...กูซุ่มซ่ามนิดหน่อยอ่ะ เลยโดนน้ำในอ่างล้างมือสาดเอา”

     เพื่อนทั้งสามคนหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่ควีนจะเท้าเอวพูดกับผมอย่างเอือมๆ “มึงนี่มันอ๊องได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ อีกหน่อยกูคงต้องตามไปดูแลเป็นผู้ปกครองแล้วมั้ง”

     ผมอยากเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก ได้แต่แลบลิ้นให้มันกลับไป ถ้าควีนไปห้องน้ำกับผมจริงๆ มันคงมัวแต่มองพี่เมศจนไม่มีเวลามาดูแลผมแน่นอน


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     โชคดีที่วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเช้า ผมเลยไม่ต้องทนนั่งตัวเปียกเรียนในห้องแอร์นานมากนัก พอเรียนเสร็จก็รีบตรงดิ่งกลับหอเลย แต่ถึงจะไม่มีเรื่องเสื้อเปียกผมก็ตั้งใจจะกลับหออยู่แล้ว เพราะผมคิดถึงเจ้าตุ๊กตาหมีที่พี่คลื่นซื้อให้มากๆ เลย

     ไม่รู้จะเรียกว่าเห่อได้ไหม แต่พอได้ตุ๊กตาจากพี่คลื่นมาผมก็เอาแต่นอนกอดมันจนแทบจะรวมร่างกับเตียงได้อยู่แล้ว เวลาเอาหน้าไปถูกับตัวตุ๊กตาที่มีขนปุกปุยนุ่มนิ่มมันรู้สึกดีจริงๆ นะครับ ยิ่งกลับมาจากมหา’ลัยเหนื่อยๆ แล้วได้กอดตุ๊กตา ความเหนื่อยล้านี่หายไปหมดเลย

     ถ้าตุ๊กตาหมีเป็นคนจริงๆ ผมคงขอเป็นแฟนไปแล้ว อยากกอดมันทั้งวันไม่ต้องทำอะไรกันเลย

     โทรศัพท์บนหัวเตียงส่งเสียงดังขึ้นมา พอหยิบมาดูก็เห็นว่าพี่คลื่นวิดีโอคอลมา ผมเลยกดรับทั้งที่ยังนอนกอดตุ๊กตาหมีอยู่

     [ชอบจริงๆ นะครับ ตุ๊กตาหมีเนี่ย] คำทักทายแรกของพี่คลื่นทำให้ผมยิ้มเพราะเขินนิดหน่อย

     “ก็มันน่ารักนี่ครับ วันนี้ผมเกือบเอาไปมหา’ลัยด้วยเลยนะ”

     [จะเอาไปนั่งเรียนด้วยหรือไง]

     “ตุ๊กตาเรียนได้ที่ไหนล่ะครับพี่คลื่น” ผมหลุดขำ พี่คลื่นเลยขำตาม

     [วันนี้เป็นไงบ้างครับ อยากเล่าอะไรให้พี่ฟังไหม]

     “วันนี้ผมโคตรซวยเลยครับ เผลอเปิดน้ำในห้องน้ำแรงไป เสื้อผ้าเลยเปียกหมดเลย” ผมทำหน้าเศร้าประกอบคำพูด แต่ไม่ได้เศร้าจริงๆ หรอกครับ พอมองย้อนกลับไปผมคิดว่ามันเป็นเรื่องขำขันมากกว่า

     [อ้าว แล้วเดือนทำยังไงอ่ะครับ ได้เอาชุดไปเปลี่ยนไหม]

     “ใครจะพกชุดนักศึกษาไปมหา’ลัยด้วยล่ะครับ พอดีมีคนใจดีให้ผ้ามาเช็ดเสื้อ ผมเลยไม่ลำบากอะไรมาก” ผมนึกขำในใจ พี่คลื่นถามเหมือนพี่เมศเลย

     [เดือนน่าจะโทรมาบอก พี่จะได้ซื้อชุดใหม่ไปให้ นั่งเรียนทั้งที่ชุดเปียกแบบนั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก]

     “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอกครับ พี่คลื่นเป็นห่วงผมเกินไปแล้วนะ”

     [สำหรับเดือน ไม่มีคำว่าห่วงเกินไปหรอกครับ]

     “…”

     [คืนนี้กินยาดักไว้ด้วยนะครับ พรุ่งนี้จะได้ไปเรียนได้]

     ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่กอดตุ๊กตาหมีแน่นเพื่อระบายความรู้สึกในอก เอาอีกแล้ว...ชอบพูดให้ผมใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย ก็รู้อยู่หรอกว่าพี่คลื่นแค่เทคแคร์ผมเพราะเล่นไปตามเกมเฉยๆ แต่เล่นพูดแบบนี้หัวใจผมก็รับไม่ไหวเหมือนกันนะ...

     [เดือนครับ ได้ยินพี่ไหม]

     “พะ...พี่คลื่นว่าไงนะครับ” ผมสะบัดหัวสองสามทีเพื่อไล่ความคิดในหัวออกไป

     [พี่บอกว่าคืนนี้ให้กินยาดักไว้ด้วย]

     “อะ...โอเคครับ”

     [เป็นอะไรครับ ใจลอยไปถึงไหน]

     “เปล่าครับ แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” คิดเรื่องพี่นั่นแหละครับ ไม่ได้คิดเรื่องคนอื่นเลย

     [พี่น้อยใจนะเนี่ย คุยอยู่กับพี่แต่ใจลอยไปหาคนอื่น] คนตัวสูงยกแขนมาหนุนหัว ทำหน้าเหมือนกำลังเสียใจ

     “ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมกำลังคุยกับเดือนมหา’ลัยเชียวนะ จะใจลอยไปหาคนอื่นได้ยังไง” นี่ถ้าไม่ได้เล่นเกมอยู่ผมนึกว่าพี่คลื่นหึงผมนะเนี่ย แต่เรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก

     [ดีแล้วครับ คุยกับพี่ก็ต้องคิดถึงแต่พี่ ห้ามไปคิดถึงคนอื่นนะครับ] พี่คลื่นยิ้มบางๆ หลังพูดประโยคที่ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นประโยคคำสั่งหรือเปล่า ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่มุมปาก

     “พี่คลื่นมีลักยิ้มด้วยเหรอครับ”

     คนตัวสูงยกมือมาแตะมุมปากตัวเองก่อนจะพยักหน้า [ใช่ครับ พี่มีมานานแล้ว]

     ผมไปอยู่ไหนมาเนี่ยถึงไม่รู้ว่าพี่คลื่นมีลักยิ้มด้วย เห็นรูปเขาในอินสตาแกรมก็ออกจะบ่อย แต่ไม่เคยสังเกตเลยสักครั้ง

     [วิดีโอคอลกับพี่มาตั้งหลายวันแต่เพิ่งจะเห็นเหรอครับ หืม]

     “แหะๆ ขอโทษนะครับ”

     [แล้ว...เดือนคิดว่าลักยิ้มพี่เป็นยังไง] พูดจบพี่คลื่นก็ยิ้มอีก เหมือนตั้งใจจะโชว์ลักยิ้มของตัวเอง ผมใจเต้นแรงกว่าเดิมเมื่อเห็นภาพตรงหน้า พอได้รู้แล้วว่าพี่คลื่นมีลักยิ้ม ผมก็รู้สึกว่ารอยยิ้มพี่คลื่นน่ามองมากยิ่งขึ้น

     “เอ่อ...ก็...น่ารักมั้งครับ” ผมตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ พอโดนพี่คลื่นยิ้มใส่แบบนี้แล้วจู่ๆ ผมก็เขินขึ้นมา

     [ฮ่าๆๆๆ เดือนเป็นคนแรกเลยนะครับที่ชมว่าลักยิ้มพี่น่ารัก ปกติคนอื่นจะชมว่าหล่อ]

     “เหรอครับ...”

     [แล้วถ้าให้เลือกระหว่างตุ๊กตากับลักยิ้มพี่ อะไรน่ารักกว่ากันครับ] คนตัวสูงยงคงโชว์ลักยิ้มอยู่ พอได้ยินแบบนั้นผมเลยหลุดขำเบาๆ

     “พี่ถามผมสามรอบแล้วนะ”

     [ก็เราเอาแต่ตอบว่าตุ๊กตาอ่ะ]

     “พี่จะมาจริงจังทำไมครับ มันก็แค่คำถามธรรมดาเท่านั้นเอง”

     [ตอบมาเถอะครับ พี่อยากได้ยินคำตอบจากเราอีก]

     ผมทำทีเป็นยกมือมาลูบคางเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่ ที่จริงในใจผมมันตอบว่าพี่คลื่นตั้งแต่เขาถามครั้งแรกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะนึกสนุกหรืออะไร ตอนนี้ผมรู้สึกอยากแกล้งคนในกล้องที่กำลังรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

     “อืม...ผมคิดว่าตุ๊กตาน่ารักกว่าครับ” ผมยกตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดตัวเองขึ้นมาโชว์ พี่คลื่นเลยหุบยิ้มแล้วทำหน้าเศร้าๆ แทน

     [เดือนครับ...ทำไมใจร้ายจัง ไม่คิดจะให้พี่น่ารักกว่าตุ๊กตาเลยเหรอ]

     “ฮ่าๆๆๆ พี่คลื่นทำหน้าตลกอ่ะ” ตอนแรกผมแค่อยากแกล้งนิดเดียว แต่พอเห็นหน้าพี่คลื่นผมถึงกับขำพรืดเลยครับ อะไรจะอยากชนะตุ๊กตาขนาดนี้เนี่ย ไม่ได้แข่งกีฬาระดับชาติอยู่ซะหน่อย

     พี่คลื่นทำหน้าเศร้าอยู่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นยิ้มมุมปาก สายตาที่เปลี่ยนไปทำให้ผมหยุดขำแล้วมองอย่างหวั่นๆ

     [แล้วเดือนไม่อยากถามบ้างเหรอครับ ว่าระหว่างเดือนกับตุ๊กตาอะไรน่ารักกว่ากัน]

     “ผมจะถามไปทำไมครับ ผมไม่ได้อยากรู้ซะหน่อย”

     [ถามหน่อยเถอะครับ พี่อยากตอบ]

     “พี่จะตอบว่าตุ๊กตาเพื่อแกล้งผมคืนใช่ไหมครับ ผมรู้ทันนะ”

     [ใครบอกล่ะครับ พี่จะตอบว่าเดือนน่ารักกว่าต่างหาก]

     คำตอบของคนในกล้องทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น ใบหน้าร้อนอย่างกับเอาไปอิงเตาผิงไว้ พี่คลื่นยกแขนมาเท้าคางมองผมยิ้มๆ สายตาที่มองมาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จนต้องหลบตา

     “...ไม่เห็นต้องโกหกเลยครับ ตอบมาเลยก็ได้ว่าตุ๊กตาน่ารักกว่า ผมไม่โกรธหรอก”

     [พี่ไม่ได้โกหกครับ ในสายตาพี่เดือนน่ารักกว่าจริงๆ]

     ใครช่วยบอกพี่คลื่นหน่อยครับว่าหยุดพูดได้แล้ว ตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูกไปหมดแล้วนะ...

     [บอกแล้วไงครับว่าพี่ชอบรอยยิ้มของเดือน เวลาเดือนยิ้ม...ต่อให้ตุ๊กตาสิบตัวก็น่ารักไม่เท่าหรอก]

     “…”

     [พี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ พี่ชอบรอยยิ้มของเดือนจริงๆ เพราะงั้นแล้ว...]

     “…”

     [อยู่ยิ้มให้พี่มองไปอีกนานๆ ได้ไหมครับ]





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.8 [25/Apr/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 26-04-2022 01:51:20
อ่อยทุกวัน
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 9 [04/May/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 04-05-2022 16:26:31
ตอนที่ 9 : รูปคู่ของเราสองคน





     “มึงคิดหัวข้อออกยัง”

     “ใครจะไปคิดทันวะ เพิ่งเรียนเสร็จไม่ถึงห้านาทีเอง” ควีนทำหน้าเซ็งขณะที่กำลังเดินออกจากห้องเรียน

     “กูเหลือเชื่อเลย สอบเสร็จไม่ทันไรสั่งงานอีกแล้ว อาจารย์กลัวไม่มีคะแนนให้เหรอวะ” ฝนบ่นกระปอดกระแปด ผมก็พยักหน้าเห็นด้วยกับมัน นาทีนี้ไม่มีใครยิ้มออกหรอกครับ

     พวกผมสอบมิดเทอมเสร็จยังไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ วันนี้อาจารย์สั่งให้ทำรายงานคู่แล้ว แถมกำหนดส่งสัปดาห์หน้าด้วย ฝนคู่กับควีน ส่วนผมคู่กับข้าวหอม เราสี่คนตกลงกันคร่าวๆ ว่าจะทำเรื่องวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในต่างประเทศ แต่ยังเลือกไม่ได้เลยว่าจะเอาประเทศอะไรกัน

     “ลองไปหาข้อมูลที่ร้านหนังสือกันไหม เผื่อจะช่วยไกด์ไลน์ให้คิดออก” ข้าวหอมเสนอไอเดียขึ้นมา

     “ก็ดีนะ แต่ตอนนี้กูหิวอ่ะ อาจารย์ทำกูเสียพลังงานไปเยอะเลย”

     “งั้นไปกินข้าวก่อนก็ได้”

     “เอาโรงอาหารอักษรฯ นะ ขี้เกียจไปโรงอาหารกลาง”

     “ปกติเราก็กินที่อักษรฯ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “กูก็แค่พูดไว้เผื่อใครบางคนอยากไปหาพี่คลื่น” ฝนทำหน้ากรุ้มกริ่ม ส่วนควีนก็มองผมยิ้มๆ

     “กูจะคิดว่ามึงชอบพี่คลื่นเองแล้วนะ เอาแต่พูดถึงเขาอยู่ได้”

     “แล้วมึงไม่ชอบหรือไง”

     “ก็กูบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเขาแบบนั้น”

     “มึงแน่ใจเหรอ” ควีนยื่นหน้ามาใกล้ ทำหน้าเหมือนจะจับผิดผม “นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว มึงได้วิดีโอคอลกับคนหล่อๆ อย่างพี่คลื่นทุกวัน ไม่หวั่นไหวสักนิดเลยเหรอวะ”

     “ถ้ากูเป็นมึงนะ กูตกหลุมรักพี่คลื่นรอบที่ล้านแล้วมั้ง คนอะไรไม่รู้โคตรมีเสน่ห์เลย นี่กูยังอิจฉามึงอยู่เลยนะเนี่ย”

     “เอาจริงๆ ข้าวว่าถ้าเดือนจะชอบพี่คลื่นก็ไม่แปลกนะ เขาตรงสเป็กเดือนขนาดนั้น เดือนจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

     ผมได้แต่มองเพื่อนๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไร คำถามของควีนเป็นอะไรที่ตอบง่ายมาก แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงลังเลที่จะตอบออกไป พอเห็นผมเอาแต่เงียบพวกมันเลยยิ่งจ้องกันใหญ่ จนสุดท้ายผมต้องทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย

     “ถามอะไรก็ไม่รู้อยู่ได้ พวกมึงหิวข้าวกันไม่ใช่เหรอ ขืนชักช้าเดี๋ยวไอ้ฝนก็เป็นลมไปก่อนหรอก”

     พอโดนเมินคำถาม ฝนกับควีนก็กลอกตามองบนใส่

     “เปลี่ยนเรื่องเก่ง”

     “หนีความจริงเก่ง”

     “ตกลงจะไม่ไปกินข้าวแล้วใช่ไหม”

     “เออๆๆ ไปก็ไป กูไม่ถามต่อก็ได้วะ”

     ผมยกยิ้มที่เห็นเพื่อนยอมแพ้ แต่ที่มันยอมง่ายๆ คงเพราะหิวข้าวมากกว่า ไม่งั้นมันคงเอาแต่ถามจนกว่าจะได้คำตอบนั่นแหละ ผมส่ายหน้าให้ฝนกับควีนเล็กน้อย หันหลังกลับเพื่อจะเดินไปโรงอาหาร แต่ก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของข้าวหอมที่ยืนนิ่งเหมือนเป็นรูปปั้น

     “หยุดทำไมอ่ะข้าว ไม่ไปกินข้าวเหรอ”

     ข้าวหอมไม่ตอบ เอาแต่มองตรงไปข้างหน้า พวกผมเลยหันไปมองบ้าง และพอเห็นว่าข้าวหอมมองอะไรอยู่ฝนกับควีนก็หันไปกรี๊ดใส่กันแบบไม่มีเสียง

     “มึง! นั่นพี่คลื่นกับพี่องศาไม่ใช่เหรอวะ”

     “กูว่าเขามาหาไอ้เดือนแน่เลย”

     “วันก่อนมาหาที่โรงอาหาร วันนี้มารอหน้าตึกเรียนเลยอ่ะมึง”

     “เห็นไหม กูบอกแล้วว่างานนี้มันต้องมีซัมติงค่ะ”

     พี่คลื่นกับพี่องศาที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพิงเสาอยู่ พอหันมาเห็นพวกผมก็ยิ้มกว้างพลางสาวเท้าเข้ามาหา ข้าวหอมยังยืนนิ่ง ฝนกับควีนแซวผมอยู่ด้านหลัง ส่วนผม...รีบก้มหน้าสิครับ ใครจะไปกล้ามองหน้าพี่คลื่นกันล่ะ

     ตั้งแต่วันที่พี่คลื่นพูดจาแปลกๆ ผมก็ไม่ค่อยกล้าสบตากับเขา ผมโดนคนชมว่าน่ารักบ่อยก็จริง แต่ไม่เคยมีใครพูดเหมือนพี่คลื่นเลย ถ้าคนพูดไม่ใช่พี่คลื่นผมคิดแล้วนะว่าเขากำลังชอบผมอยู่

     “พี่ๆ สวัสดีค่ะ” เพื่อนผมยกมือไหว้รุ่นพี่กันหมด มีแต่ผมคนเดียวที่ยืนก้มหน้าอยู่

     “เรียนเสร็จกันยังครับ”

     “เสร็จแล้วค่ะ พี่คลื่นถามทำไมเหรอคะ”

     “พอดีวันนี้พี่จะขอยืมตัวน้องเดือนอีก ได้ไหมครับ”

     ผมรีบเงยหน้ามองพี่คลื่นทันที ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความสงสัย “ผมเหรอครับ”

     “ใช่ครับ หรือเดือนมีธุระต้องไปทำต่อ”

     “คือผม...”

     “ยืมไปได้เลยค่ะพี่คลื่น มันว่างอยู่แล้ว จะยืมข้ามวันเลยก็ได้ค่ะ”

     ผมหันไปมองฝนที่พูดอะไรก็ไม่รู้ออกมา มันลืมแล้วเหรอว่าเรากำลังจะไปร้านหนังสือกัน

     “ว่าแต่พี่คลื่นจะพาเพื่อนหนูไปไหนเหรอคะ”

     “แม่พี่อยากได้รูปสวยๆ ไปแขวนบนผนังบ้านน่ะครับ แล้วพี่เห็นว่าเดือนถ่ายรูปในไอจีสวยดีเลยคิดว่าน่าจะช่วยเลือกรูปได้”

     ผมทำหน้าเหลอหลาใส่พี่คลื่น ในอินสตาแกรมส่วนใหญ่จะมีแต่รูปผมซึ่งผมก็ให้เพื่อนถ่าย ไม่ได้ถ่ายเอง ส่วนรูปวิวทิวทัศน์ธรรมชาติผมก็แค่ถ่ายเพราะบรรยากาศพาไปเฉยๆ ไม่ได้จริงจังอะไรเลย

     “ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ที่ถ่ายลงไอจีก็ไม่ได้ตั้งใจถ่ายเหมือนตากล้องมืออาชีพด้วย ผมอาจจะช่วยอะไรได้ไม่มาก”

     “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ เดือนช่วยพี่ได้แน่นอน เชื่อสิ”

     “แต่...”

     “มึงจะมัวอมพะนำทำไมวะ ก็บอกน้องไปเลยสิว่ามึงอยากให้น้องไปเป็นเพื่อน” พี่องศาดึงพี่คลื่นไปกอดคอ หันมาพูดกับผมยิ้มๆ

     “อุ๊ย เพื่อนพี่คลื่นมีตั้งหลายคน ทำไมถึงมาชวนเพื่อนหนูเหรอคะ” ฝนถามพลางบิดตัวไปมา ลืมหิวข้าวไปสนิทใจ เหมือนพี่คลื่นชวนมันซะเอง

     “พวกพี่จะไปเลือกรูปเป็นเพื่อนมันก็ไม่ยอมนะครับน้องฝน เอาแต่บอกว่าจะพาน้องเดือนไปคนเดียว พอถามเหตุผลก็บอกแค่ว่าน้องเดือนถ่ายรูปสวยดี ทั้งที่ไอ้ทิวมันก็รับงานถ่ายแบบตั้งหลายครั้ง น่าจะมีความรู้เรื่องรูปมากกว่าแท้ๆ”

     “พูดเยอะเกินไปแล้วนะมึงอ่ะ พอเลย” พี่คลื่นผลักพี่องศาให้ออกห่าง ก่อนจะเดินมาอยู่ตรงหน้าผม “ตกลงเดือนจะไปกับพี่ไหมครับ”

     “เอ่อ...ที่จริงผมต้องไปร้านหนังสือกับเพื่อน...” ผมยังไม่ทันพูดจบก็โดนฝนกับควีนลากคอไปสุมหัว มันหันไปขอเวลากับพี่คลื่นสักครู่ก่อนจะทำหน้าจริงจังใส่ผม

     “เดือน ฟังกูนะ มึงต้องไปกับพี่คลื่นค่ะ”

     “แต่เรากำลังจะไปร้านหนังสือกันไม่ใช่เหรอ”

     “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้พี่คลื่นสำคัญกว่ารายงาน”

     “สำคัญยังไงวะ”

     “โอ๊ย มึงยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกเหรอ” ควีนพูดพลางเหลือบไปมองรุ่นพี่ทั้งสองคน “พี่องศาก็บอกอยู่ว่าพี่คลื่นอยากให้มึงไปด้วย ประเด็นมันอยู่ที่ต้องเป็นมึงคนเดียวเท่านั้น แค่นี้ก็ชัดแล้วป่ะว่าเขากำลังชอบมึง”

     “เขาก็บอกอยู่ว่าเห็นกูถ่ายรูปสวยเลยอยากพาไปด้วย”

     “มึงคิดจริงๆ เหรอว่าเขาจะลงทุนมารอมึงเลิกเรียนเพราะเหตุผลเพียงแค่นั้น”

     ผมอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไง ควีนที่เห็นผมจนมุมเลยรีบพูดต่อ “จำที่กูบอกว่าให้มึงรุกพี่คลื่นได้ไหม กูว่านะ...มึงไม่ต้องรุกแล้วล่ะ เพราะเท่าที่กูเห็นเหมือนพี่คลื่นกำลังรุกมึงแทน”

     “มึงแม่งเพ้อเจ้อ ไม่ต้องพูดแล้ว เงียบไปเลย”

     “ไม่ต้องมาเขินกลบเกลื่อนเลย กูรู้นะว่าลึกๆ แล้วมึงก็คิด” ฝนเอาศอกมากระทุ้งเบาๆ หันไปยิ้มให้พี่คลื่นที่รอฟังคำตอบอยู่ “พี่คลื่นพาเพื่อนหนูไปได้เลยค่ะ หนูเคลียร์กันเรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง”

     “แล้วที่เดือนบอกว่าต้องไปร้านหนังสือล่ะครับ”

     “เดี๋ยวพวกหนูไปกันสามคนก็ได้ค่ะ” ควีนรีบพูดขึ้นมา มันผลักผมไปหาพี่คลื่นแล้วหันไปมองข้าวหอมที่ยืนเงียบมาสักพักแล้ว “ใช่ไหมข้าว”

     “อะ...อืม เดือนไม่ต้องห่วงนะ ถ้าข้าวได้หัวข้อรายงานแล้วจะไลน์ไปบอก”

     เพื่อนผมสามัคคีกันมากครับ เหมือนพวกมันอยากให้ผมไปกับพี่คลื่นให้ได้เลย ผมควรร้องไห้ด้วยความซึ้งใจหรือความแค้นดีวะเนี่ย

     “น้องๆ จะไปร้านหนังสือที่ไหนกันครับ” พี่องศาถามเพื่อนผม

     “ตรงห้างที่เพิ่งเปิดใหม่อ่ะค่ะ ร้านนั้นพวกหนูไปกันประจำ มีหนังสือให้เลือกเยอะดี”

     “ทำไมไม่ไปดูหนังสือที่ห้องสมุดล่ะครับ”

     “หนูไปทีไรก็ไม่มีหนังสือที่ต้องการเลยค่ะพี่องศา คนที่ยืมไปส่วนใหญ่ไม่ค่อยเอามาคืนกันหรอก”

     “งั้นนั่งรถพี่ไปไหมครับ พี่ต้องไปส่งน้องข้าวอยู่แล้ว”

     “ว้าย จะดีเหรอคะ” ฝนถามเหมือนเกรงใจ แต่มันพุ่งเข้าไปกอดแขนพี่องศาแล้ว “ขอบคุณนะคะพี่องศา หน้าตาดีไม่พอยังใจดีอีกนะคะเนี่ย”

     “อ่ะ หนูสรุปให้ พวกหนูสามคนไปกับพี่องศา ส่วนเดือนไปกับพี่คลื่น ตามนี้นะคะ” ควีนขยิบตาให้ผม มันเดินไปกอดแขนพี่องศาอีกคน

     “ผมต้องไปกับพี่คลื่นเหรอครับ”

     “ทำไมเดือนถามอย่างนั้นล่ะ” พี่คลื่นดึงมือผมไปกุม ทำหน้าเว้าวอนเหมือนอยากให้ผมไปด้วยมากๆ “พี่อุตส่าห์มายืนรอตั้งนาน เดือนจะไม่ไปกับพี่จริงๆ เหรอ”

     “แต่ว่าผม...”

     “ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะครับ เดี๋ยวพี่พาไปกินของอร่อยหลังเลือกรูปเสร็จ”

     ฝนกับควีนหลุดขำเมื่อได้ยินแบบนั้น ผมอยากหันไปถลึงตาใส่พวกมันแต่ติดตรงที่โดนพี่คลื่นมองอยู่

     “นี่พี่เอาของกินมาล่อผมเหรอ”

     “แล้วได้ผลไหมล่ะครับ”

     “ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะครับ”

     “งั้นคิดซะว่าเห็นแก่พี่ก็ได้”

     “…”

     “ไปกับพี่นะครับ...ไปเลือกรูปให้แม่พี่กัน”

     เชื่อเถอะครับว่าพอโดนมองด้วยสายตาแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยเป็นต้องปฏิเสธไม่ลงแน่นอน ผมเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่าผมยอมไปด้วยพี่คลื่นเลยยิ้มกว้าง

     แค่ยืนคุยกันเฉยๆ ยังโดนดาเมจขนาดนี้ เข้าใจหรือยังครับว่าทำไมผมถึงไม่อยากไปด้วย...



     พี่คลื่นพาผมมาร้านแกลอรีรูปภาพที่อยู่ไกลจากมหา’ลัยพอสมควร พอผมถามว่าทำไมต้องมาไกลขนาดนี้ พี่คลื่นก็บอกว่าร้านนี้เป็นร้านประจำของคุณแม่ แถมเจ้าของร้านยังสนิทกับคุณแม่ด้วย

     พอเข้ามาในร้านผมก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ บนผนังมีรูปภาพหลากหลายแขวนอยู่เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์รูปภาพเลย ผมเดินไปดูรูปนั้นรูปนี้จนพี่คลื่นที่เดินตามหลังอดหัวเราะไม่ได้

     “วิ่งเล่นเป็นเด็กๆ เลยนะเรา”

     “ก็บอกว่าผมไม่ใช่เด็กแล้วไงครับ”

     “ถ้างั้นก็กินเยอะๆ หน่อยสิจะได้โตไวๆ” คนตัวสูงเดินมาประชิด เอามือมาวางบนหัวผม “ตัวแค่นี้ถ้าบอกว่าเรียนมัธยมอยู่พี่ก็เชื่อนะ”

     “พี่คลื่นนั่นแหละที่ตัวโตเกินไป”

     “พี่ออกกำลังกายบ่อย ก็ไม่แปลกที่จะหุ่นดีนี่ครับ”

     ผมอยากเถียงกลับไปจริงๆ แต่ติดตรงที่มันคือความจริงเลยเถียงไม่ออก

     พี่คลื่นก้มหน้ามาใกล้ จนสายตาของเราสอดประสานกัน “ไว้ว่างๆ พี่จะพาเดือนไปออกกำลังกายด้วยกัน เดือนจะได้หุ่นดีเหมือนพี่...ดีไหมครับ”

     สายตาพี่คลื่นเหมือนกำลังหยอกล้อมากกว่าจะชักชวนจริงๆ ผมลอบกลืนน้ำลาย ระหว่างที่คิดไม่ตกว่าจะตอบกลับไปยังไงดีก็มีคนเข้ามาทักทายซะก่อน พี่คลื่นเลยผละหน้าออกไป

     “ไม่เจอกันนานเลยนะคลื่นคราม โตเป็นหนุ่มแล้วนี่ คุณแม่สบายดีไหม”

     คุณลุงที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านเดินเข้ามากอดพี่คลื่น พอได้ยินคำพูดของคุณลุงผมเลยคิดว่าพี่คลื่นน่าจะไม่ได้มาร้านนี้นานแล้ว

     “สบายดีครับ วันนี้แม่ฝากความคิดถึงมาให้ลุงอินด้วย”

     “เหรอ งั้นฝากไปบอกแม่เราหน่อยนะว่าลุงก็คิดถึงเหมือนกัน ว่าแต่คลื่นมีน้องชายด้วยเหรอ ลุงไม่เห็นรู้เลย” คุณลุงหันมามองผมอย่างพิจารณา ผมเลยรีบยกมือไหว้แทบไม่ทัน

     “ไม่ใช่น้องหรอกครับ เป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย ผมพามาเป็นเพื่อนเฉยๆ”

     “หน้าหวานดีนะเราน่ะ นี่ถ้าไม่ดูดีๆ ลุงนึกว่าเป็นผู้หญิงซะแล้ว”

     ผมได้แต่ยิ้มแหะๆ อย่างไม่รู้จะตอบอะไร ลุงไม่ใช่คนแรกหรอกครับที่พูดแบบนี้ ผมโดนทักว่าหน้าเหมือนผู้หญิงมาหลายครั้งจนชินแล้ว

     “แล้วมาวันนี้อยากได้รูปอะไรเป็นพิเศษไหมล่ะ”

     “พอดีแม่ผมจัดห้องนั่งเล่นใหม่แล้วเขาอยากได้กรอบรูปไปแขวนตกแต่งน่ะครับ”

     “งั้นเลือกรูปกันตามสบายเลยนะ ลุงขอไปจัดของหลังร้านก่อน ถ้าเลือกได้แล้วตะโกนเรียกลุงได้เลย”

     “ได้ครับ”

     คุณลุงหายเข้าไปในหลังร้านแล้ว ผมเลยเดินไปดูรูปต่อ ขณะเดียวกันก็ถามพี่คลื่นเพื่อประกอบการตัดสินใจไปด้วย

     “ห้องนั่งเล่นบ้านพี่เป็นแบบไหนเหรอครับ”

     “สไตล์มินิมอล โทนสีน้ำตาลครับ”

     “แล้วปกติแม่พี่ชอบสะสมรูปภาพไหมครับ”

     “ชอบครับ บ้านพี่มีรูปแขวนเต็มผนังเลย ส่วนใหญ่แม่พี่จะชอบรูปแนวธรรมชาติอย่างพวกดอกไม้หรือสัตว์น่ารักๆ”

     “อืม...” ผมเดินดูรูปบนผนังแต่ละรูปพลางใช้ความคิด ในหัวก็จินตนาการห้องนั่งเล่นบ้านพี่คลื่นเพื่อเลือกรูปที่น่าจะเข้ากันมากที่สุด คนตัวสูงเดินตามผมไม่ห่าง พอเห็นผมทำหน้าจริงจังพี่คลื่นก็หัวเราะเบาๆ

     “เครียดขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “แน่นอนสิครับ พี่คลื่นอุตส่าห์ไว้ใจให้ผมเลือกรูปทั้งที ขืนผมเลือกรูปไม่สวยแม่พี่ได้มาว่าผมกันพอดี”

     “คิดมากเกินไปแล้ว” พี่คลื่นเดินมายืนข้างหน้ารูป ผมเลยต้องละสายตาจากรูปภาพบนผนังแล้วเงยหน้ามองคนที่มาบังแทน “แม่พี่ไม่ได้เรื่องมากซะหน่อย แล้วที่พี่พาเดือนมาเพราะพี่มั่นใจในเซนส์ของเดือนจริงๆ เพราะงั้นเดือนเลือกรูปที่ตัวเองชอบเถอะครับ”

     มือหนาเอื้อมมาลูบหัวเบาๆ ทั้งสายตาและรอยยิ้มของพี่คลื่นราวกับอยากช่วยปลอบให้ผมเลิกคิดมาก หลังมองตากันอยู่สักพักผมก็หันหน้าหนีแล้วทำเป็นเดินดูรูปต่อ พี่คลื่นก็เดินตามมาโดยไม่พูดอะไรอีก

     จู่ๆ คำพูดของเพื่อนๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมแอบชำเลืองมองพี่คลื่นนิดหนึ่ง แต่พอเห็นว่าเขามองผมอยู่ก็รีบหันหน้ากลับมาทันที ผมสะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดในหัวออกไปก่อนจะหันมาตั้งใจเลือกรูปต่อ

     “แน่ใจนะครับว่าจะให้เลือกรูปที่ผมชอบ”

     “แน่ใจครับ ถ้าเดือนเป็นคนเลือกแม่พี่ต้องชอบแน่นอน”

     ผมตะหงิดใจกับคำพูดของพี่คลื่น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพราะคิดว่าเขาคงพูดเพื่อไม่ให้ผมคิดมากเฉยๆ หลังจากเดินดูอยู่หลายรูปผมก็มาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปดอกทานตะวัน ผมค่อยๆ หยิบมันลงมาแล้วหันไปยิ้มให้ร่างสูง

     “พี่คลื่นว่ารูปนี้สวยไหมครับ”

     คนถูกถามมองรูปภาพในมือผม ก่อนจะถามกลับมายิ้มๆ “เดือนชอบรูปนี้เหรอ”

     “ตอบให้ตรงคำถามสิครับ พี่คลื่นคิดว่ารูปนี้สวยไหม”

     พอโดนถามอีกรอบพี่คลื่นก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม ยื่นหน้ามาใกล้จนผมเผลอก้าวเท้าถอยหลัง “สวยครับ...ทั้งสวยทั้งน่ารักเลย”

     “อะ...อะไรสวยครับ”

     “ก็รูปที่เรากำลังถืออยู่ไงครับ”

     แล้วทำไมไม่มองรูปล่ะครับ จะมามองหน้าผมทำไม แถมรูปในมือผมมันไม่เห็นมีอะไรน่ารักเลยด้วย

     พี่คลื่นยิ้มมุมปากก่อนจะถอยไปยืนเต็มความสูง ผมเลยรีบวกกลับมาเรื่องเดิมก่อนจะออกทะเลไปมากกว่านี้ “เอ่อ...ผมว่ารูปนี้น่าจะเข้ากับห้องนั่งเล่นบ้านพี่นะครับ ถ้าห้องเป็นโทนสีน้ำตาล รูปดอกทานตะวันที่เป็นสีเหลืองก็น่าจะแมตซ์กัน แถมแม่พี่ก็ชอบดอกไม้ด้วย”

     “ถ้าเดือนคิดว่าเหมาะพี่ก็ว่าเหมาะครับ”

     “พี่คลื่นจะไม่ออกความเห็นอย่างอื่นเลยเหรอครับ”

     “ก็พี่บอกแล้วไงว่าไว้ใจเซนส์ของเดือน”

     “แต่แบบนี้เหมือนผมกำลังบังคับพี่อยู่เลยอ่ะ”

     “คิดมากอีกแล้ว” คนตัวสูงเอื้อมมือมาบีบจมูกผมเบาๆ “พี่พาเดือนมาเลือกรูปนะครับ ถ้าพี่ไม่ไว้ใจพี่จะพาเรามาทำไมล่ะจริงไหม”

     ทั้งที่พี่คลื่นไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ แต่ผมกลับเขินสิ่งที่เขาพูดออกมา พอทำอะไรไม่ถูกผมเลยก้มมองรูปภาพที่ถืออยู่พลางถามเสียงเบา

     “งั้น...เราไปจ่ายเงินกันเลยไหมครับ”

     “โอเคครับ เดี๋ยวพี่ไปเรียกลุงอินก่อน”

     พี่คลื่นเดินไปหลังร้าน ส่วนผมก็ยืนกอดรูปภาพอยู่ที่เดิม ผมมองตามแผ่นหลังของคนตัวสูงพลางเม้มปากแน่น ในหัวก็คิดทบทวนความรู้สึกในอกที่ยังคงปะทุอยู่

     มันเป็นเรื่องปกติหรือเปล่านะที่พออยู่ใกล้คนหล่อแล้วหัวใจจะเต้นแรงทุกที หรือว่า...



     หลังจากเลือกรูปได้แล้วพี่คลื่นก็พาผมมาเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ผมไม่ได้เป็นคนเลือกร้านนะครับ พี่คลื่นต่างหากที่จู่ๆ ก็จูงมือผมเดินเข้าร้านมาเลย เขาบอกว่ามากินร้านนี้ประจำ รับรองว่าอร่อยทุกเมนู ผมที่ไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้วเลยไม่ได้ทักท้วงอะไร

     ระหว่างที่กำลังกินข้าวอยู่ผมก็เหลือบมองพี่คลื่นที่นั่งตรงข้ามกันเป็นระยะ ตอนแรกก็เนียนอยู่หรอก แต่มองไปมองมาอีกฝ่ายดันรู้ตัวได้ยังไงก็ไม่รู้

     “อยากกินไข่หวานเหรอครับ”

     ผมสะดุ้งเมื่อโดนถามแบบไม่ทันตั้งตัว พี่คลื่นใช้ตะเกียบคีบไข่หวานในจานตัวเองมาจ่อปาก

     “ปะ...เปล่าครับ”

     “อ้าวเหรอ พี่เห็นเดือนเอาแต่มองเลยนึกว่าอยากกินด้วย” พี่คลื่นพูดยิ้มๆ เอาไข่หวานที่จะป้อนไปกินเอง “ถ้างั้นเดือนมองพี่ทำไมอ่ะครับ”

     “ผมมองไม่ได้เหรอครับ”

     “มองได้ แต่เดือนเล่นมองจนพี่เขินเลย ทำไมครับ กำลังคิดว่าพี่หล่ออยู่เหรอ”

     ถ้าไม่ติดว่าพี่คลื่นมีดีกรีระดับเดือนมหา’ลัยผมหมั่นไส้ไปแล้วนะครับ คิดดูเถอะว่าพูดประโยคนี้แล้วผมเถียงไม่ได้นี่คือต้องหล่อขนาดไหน

     “ผมแค่ไม่ชินกับลักยิ้มพี่น่ะครับ”

     “หืม? พี่ก็มีมาตั้งนานแล้วนะ” คนตัวสูงวางตะเกียบแล้วยกมือมาจับลักยิ้มตัวเอง

     “ก็ผมเคยเห็นแค่ในกล้องนี่ครับ เพิ่งมาเห็นใกล้ๆ วันนี้เอง”

     “แล้วระหว่างในกล้องกับของจริง เดือนชอบอะไรมากกว่าครับ”

     “ก็ต้องของจริงสิครับ แบบนี้เห็นชัดกว่าตั้งเยอะ”

     พี่คลื่นยิ้มกว้างเหมือนถูกใจคำตอบของผม ยื่นหน้ามาใกล้แล้วถามเสียงเบา “อยากลองจับไหมครับ”

     ผมนิ่งงันไปกับคำถามของคนตรงหน้า พี่คลื่นไม่รอฟังคำตอบ ดึงมือผมไปทาบบนลักยิ้มของตัวเอง

     ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

     “เป็นไงครับ ลักยิ้มพี่นุ่มไหม”

     สาบานเลยว่าต่อให้เอาความเขินตอนวิดีโอคอลทั้งหมดมารวมกันยังไม่เท่าความเขินที่ผมมีในตอนนี้เลย พี่คลื่นขยับมือผมให้ลูบไล้ไปตามลักยิ้ม ยิ่งสัมผัสแก้มอีกฝ่ายเท่าไหร่หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงเท่านั้น นานทีเดียวกว่าผมจะได้สติแล้วชักมือกลับมา คนตัวสูงอมยิ้ม เหมือนกำลังสนุกที่ได้เห็นผมเสียอาการ

     “ทะ...ทำอะไรของพี่เนี่ย เดี๋ยวคนอื่นเขาก็มองหรอก”

     “เราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย จะกลัวทำไมครับ”

     ผิดสิครับ ผิดต่อหัวใจผมนี่ไง แกล้งให้หัวใจผมทำงานหนักแบบนี้เป็นความผิดมหันต์เลยนะ

     “อย่าเล่นแบบนี้อีกนะครับ”

     “ทำไมครับ เดือนไม่ชอบเหรอ”

     “ไม่ใช่แบบนั้นครับ แต่...” พอเผลอไปสบตากับพี่คลื่นผมก็เขินเกินกว่าจะพูดออกมา ได้แต่นั่งหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศอยู่อย่างนั้น

     “แต่อะไรครับ”

     ‘แต่ถ้าพี่ทำแบบนี้อีกผมอาจจะเขินจนหัวใจวายเลยไงครับ’ แน่นอนว่าผมไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไป ได้แต่เถียงอีกฝ่ายอยู่ในใจคนเดียว

     “ผม...ผมอิ่มแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะครับ” ในเมื่อทำอะไรไม่ถูกก็มีแต่ต้องชิ่งเท่านั้น ผมรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีออกมาทันที แต่ก่อนจะเดินออกมาเหมือนจะได้ยินพี่คลื่นขำเบาๆ ด้วย

     ผมไม่ได้หนีกลับหออย่างที่พูดไว้หรอก แค่เดินมาหน้าแคชเชียร์เพื่อรอให้พี่คลื่นมาจ่ายเงิน ถึงจะอยากชิ่งแค่ไหนแต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ยังไม่ได้จ่ายค่าอาหารเลยจะให้เดินออกจากร้านได้ไง

     ขณะที่ยืนรอพี่คลื่นจ่ายเงินผมก็พยายามลืมความเขินไป คิดซะว่าเขาอยากอวดลักยิ้มเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น พอพี่คลื่นจ่ายเงินเสร็จแล้วผมก็คิดว่าเขาจะพาผมเดินออกจากร้าน แต่พี่คลื่นกลับยืนคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานต่อ หลังจากนั้นพนักงานก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาบนแคชเชียร์

     “เดือนครับ มาถ่ายรูปกัน”

     “หือ?” ผมร้องเสียงหลงด้วยความงง พนักงานแคชเชียร์ที่เห็นหน้าเหลอหลาของผมเลยอธิบายให้ฟัง

     “ตอนนี้ร้านเรามีโปรโมชั่นพิเศษอยู่ค่ะ สำหรับลูกค้าที่มียอดชำระเกินหกร้อยบาทจะได้รับสิทธิ์แลกซื้อพวงกุญแจตุ๊กตาหมี โดยคุณลูกค้าต้องถ่ายรูปคู่กับป้ายหน้าร้านแล้วสแกน QR code ของทางร้าน หลังจากนั้นจะได้รับพวงกุญแจคนละหนึ่งอันค่ะ”

     พอได้ยินคำว่าตุ๊กตาหมีผมก็ตาลุกวาว ยิ่งเห็นพวงกุญแจที่พนักงานหยิบมาให้ดูแล้วผมก็ลืมไปสนิทว่ากำลังเขินคนข้างๆ อยู่

     “อยากได้ไหมครับ” พี่คลื่นหันมาถามผม

     “อยากสิครับ พวงกุญแจน่ารักขนาดนี้”

     “งั้นเราไปถ่ายรูปกันเร็ว”

     พี่คลื่นจูงมือผมมายังป้ายหน้าร้าน ผมเดินไปอยู่หน้าป้ายพร้อมกับเตรียมโพสต์ท่าให้พี่คลื่นถ่าย แต่พี่คลื่นกลับเดินมาโอบเอวผมพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

     “เดี๋ยวนะครับ” ผมร้องห้ามคนตัวสูงที่กำลังจะกดถ่ายรูป “พี่คลื่นไม่ได้จะถ่ายให้ผมเหรอครับ”

     “พี่ก็กำลังถ่ายให้อยู่นี่ไงครับ”

     “ผมหมายถึงถ่ายผมคนเดียวอ่ะครับ พี่จะมาถ่ายด้วยทำไม”

     พี่คลื่นหันมามอง เป็นเพราะเขายืนชิดผมอยู่ทำให้ตอนหันมาใบหน้าเราสองคนเลยแทบจะชนกัน

     “แล้วทำไมพี่ถึงถ่ายคู่กับเราไม่ได้ล่ะครับ”

     “กะ...ก็ผม...”

     “ถ่ายด้วยกันนี่แหละดีแล้ว ไม่อยากได้พวงกุญแจเร็วๆ เหรอครับ” พี่คลื่นถาม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทำหน้าเศร้า “หรือเดือนรังเกียจพี่จนไม่อยากถ่ายรูปด้วย”

     พอโดนถามแบบนี้ผมถึงกับไปไม่เป็น รีบปฏิเสธจนลิ้นแทบพัน “ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจพี่คลื่นเลย”

     “ถ้างั้นก็มาถ่ายรูปกันได้แล้วครับ อย่าลืมยิ้มด้วยล่ะ เดี๋ยวภาพออกมาไม่สวยพี่ไม่รู้ด้วยนะ”

     คนตัวสูงพูดจบก็หันไปมองกล้อง ผมที่ทำอะไรไม่ได้เลยจำต้องหันไปยิ้มให้กล้องด้วยเหมือนกัน อ้อมแขนที่โอบเอวผมอยู่กระชับแน่นขึ้น ใบหน้าคมคายเคลื่อนมาใกล้จนแก้มของเราสองคนสัมผัสกันเล็กน้อย หัวใจผมเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง มันแรงซะจนผมกลัวว่าคนข้างๆ จะรู้สึกได้

     ไม่รู้ว่าพี่คลื่นใช้เวลาถ่ายรูปนานแค่ไหน แต่สำหรับผมมันโคตรจะนานเลย แต่ละวินาทีที่ผ่านไปผมเหนื่อยมาก ไม่ได้เหนื่อยที่ต้องฉีกยิ้มให้กล้อง แต่เหนื่อยที่ต้องยืนแนบชิดกับคนที่ทำให้หัวใจผมปั่นป่วนได้ตลอดเวลาอย่างพี่คลื่นต่างหาก

     รู้อย่างนี้ผมไปร้านหนังสือกับเพื่อนดีกว่า ไม่น่าให้พี่คลื่นพามาทรมานหัวใจเล่นเลย





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.9 [04/May/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 05-05-2022 23:27:42
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.9 [04/May/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 04-06-2022 22:24:29
อ่านไปยิ้มไป จนปวดแก้มหมดละ มาต่อไวๆ น๊าาา  :pig4:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.9 [04/May/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 07-06-2022 23:09:11
น่ารักตัวเท่าโลกกก
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.9 [04/May/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 29-06-2022 01:47:44
รออยู่เด้อ รอน้อนหายอ๋องก่อน :hao7:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 10 [03/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 03-08-2022 17:28:08
ตอนที่ 10 : คนที่อยากสนิทด้วย





     -ข้าวหอม-


     “เอ่อ...หนูว่าพี่องศาไปรอที่รถดีกว่านะคะ”

     “ใช่ค่ะ พี่องศาอุตส่าห์เลี้ยงข้าวพวกหนูแล้ว จะให้มาเดินเลือกหนังสือด้วยอีกหนูคงเกรงใจแย่” ฝนกับควีนพูดขึ้นมาตอนที่พวกเรากำลังจะเดินเข้าร้านหนังสือ

     “ไม่เป็นไรครับ อยู่ในรถเฉยๆ น่าเบื่อจะตาย และปกติพี่ก็ชอบเข้าร้านหนังสืออยู่แล้วด้วย”

     “พี่องศา...ชอบอ่านหนังสือเหรอคะ” ฝนมองคนตัวสูงอย่างไม่เชื่อสายตา ผมเข้าใจนะ เพราะถ้าดูเผินๆ พี่องศากับหนังสือไม่ใช่อะไรที่ไปด้วยกันได้เลย

     “เห็นแบบนี้แต่พี่เป็นเด็กเรียนนะครับ อย่ามัวแต่ยืนคุยกันเลย รีบเข้าไปดูหนังสือดีกว่า” คนที่ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นเด็กเรียนเดินนำเข้าร้านไปก่อนแล้ว ทิ้งให้พวกผมมองตามด้วยความงุนงง

     “เด็กเรียนอะไรวะ ฝากเพื่อนจดเลกเชอร์ให้แทบทุกคาบ”

     “ไม่เป็นไร พี่เขาหล่อ กูให้อภัย” ควีนยิ้มกริ่ม รีบจูงมือฝนตามพี่องศาไปโดยไม่ลืมหันมาเรียก ผมถอนหายใจบางเบาก่อนจะเดินตามไป หันซ้ายหันขวามองหนังสือในร้านไปด้วย

     ตอนแรกผมนึกว่าพี่องศาจะขับรถมาส่งอย่างเดียว แต่เขากลับขอเลี้ยงอาหารกลางวันพวกผมด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่าเขาไม่อยากกินข้าวคนเดียว แน่นอนว่าฝนกับควีนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่

     ร้านหนังสือแห่งนี้มักจะมีกลิ่นอายของหนังสือลอยฟุ้งไปทั่วร้าน นี่คือจุดเด่นที่ทำให้ผมชอบมาร้านนี้บ่อยๆ พอได้อยู่ท่ามกลางชั้นหนังสือแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

     แต่...คงไม่ใช่กับวันนี้แน่นอน ต้องมากับคนที่ผมพยายามตีตัวออกห่างมาตลอด ใครจะไปสบายใจได้กันล่ะ

     ถึงจะบอกว่าชอบดูหนังสือ แต่พอเข้ามาในร้านพี่องศากลับเอาแต่ยืนคุมเชิงเหมือนเป็นบอดี้การ์ดพวกผมอย่างนั้นแหละ ผมพยายามไม่สนใจ แต่พอหันไปมองทีไรเป็นต้องสบตาด้วยกันตลอด ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา

     “กูอยากเอาประเทศอเมริกาอ่ะ ผู้ชายประเทศเขางานดีทุกคนเลย”

     “แต่กูไม่ชอบอ่ะ ถ้าจะให้เลือกกูว่าจีนดีกว่า หนุ่มตี๋ๆ ดูดีกว่าเยอะ”

     “ทำไมมึงชอบขัดใจกูจังวะ”

     “มึงนั่นแหละขัดใจกู”

     ผมยืนฟังเพื่อนเถียงกันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ สงสัยฝนกับควีนคงลืมไปแล้วว่าอาจารย์ให้ทำรายงานหัวข้อวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ไม่ใช่สิบอันดับผู้ชายต่างประเทศที่หล่อที่สุด

     “แต่กูว่าเกาหลีก็ดีนะ กูดูซีรีส์เกาหลีมาเยอะ วัฒนธรรมประเทศเขากูรู้หมดทุกซอกทุกมุม”

     “คนอย่างมึงเนี่ยนะเรียนรู้วัฒนธรรมประเทศเกาหลีผ่านซีรีส์ เวลาดูมึงเคยสนใจอย่างอื่นนอกจากพระเอกด้วยเหรอ”

     “แหม พูดอย่างกับมึงไม่เป็นอ่ะฝน”

     “ไม่ค่ะ กูไม่ได้สนใจแค่พระเอก แต่พระรองกูก็สน”

     “กูคิดถูกหรือผิดวะที่มาจับคู่ทำรายงานกับมึง”

     “อีควีน กลุ่มเราก็มีกันอยู่แค่นี้ มึงคิดว่าพวกเรามีคนคบเยอะนักเหรอ” ฝนเหน็บแนมเพื่อนแบบไม่จริงจังเสร็จก็หันมาถามผมที่กำลังยืนเหม่อลอยอยู่ “แล้วมึงอ่ะข้าว เลือกได้ยังว่าจะเอาประเทศอะไร”

     “…”

     “ข้าว”

     “…”

     “ไอ้ข้าว!!”

     “วะ...ว่าไง” ผมหันไปทำหน้าเหลอหลา ฝนที่เห็นว่าผมไม่ได้ฟังเลยถามอีกครั้ง

     “กูถามว่ามึงเลือกได้ยังว่าจะเอาประเทศอะไร”

     “อ๋อ ยังเลย ที่จริงก็มีที่สนใจอยู่เหมือนกัน แต่ไลน์ไปถามเดือนแล้วเดือนยังไม่ตอบเลย”

     ฝนเอียงคอมองผมพลางขมวดคิ้ว เหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง

     “มึงเป็นอะไรวะ ท่าทางทะแม่งๆ ตั้งแต่บนรถพี่องศาแล้วนะ”

     “เปล่า ข้าวไม่ได้เป็นอะไร”

     “ไม่จริงอ่ะ วันนี้มึงทำตัวแปลกๆ มาสักพักแล้ว” ควีนยื่นหน้ามาใกล้ กระซิบแบบพอให้ได้ยินกันแค่สามคน “ตอนพี่คลื่นกับพี่องศามาหาที่หน้าคณะก็เหมือนกัน อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะว่ามึงทำหน้าประหลาด”

     “ข้าวยังไม่ได้ทำหน้าประหลาดซะหน่อย”

     “ทำสิ ยิ่งตอนมองพี่องศานะ หน้ามึงยิ่งประหลาด”

     “ประหลาดยังไงวะ”

     “ก็หน้ามันเหมือนคนกำลังเขินพี่องศาอยู่เลยอ่ะ”

     “มะ...ไม่ใช่นะ! ข้าวไม่ได้ทำหน้าแบบนั้น!” ผมรีบเถียงเพื่อนทันที ผมเนี่ยนะทำหน้าเขินพี่องศาต่อหน้าคนอื่น ไม่มีทางเด็ดขาด ผมมั่นใจว่าตัวเองเก็บอาการเก่ง

     “มึงทำค่ะ กูเห็นเต็มสองตาเลย และไม่ใช่แค่นั้นนะ เวลาอยู่ใกล้พี่องศามึงชอบเหม่อลอยตลอดเลย”

     “ทำอะไรกันเหรอครับ”

     “ก็ข้าวมันทำ...ว้าย! พี่องศา” ควีนสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ พี่องศาก็ยื่นหน้ามากลางวง คนตัวสูงยิ้มอารมณ์ดี ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมองพวกผม

     “พี่เห็นพวกเรากำลังคุยกันสนุกเลย ขอพี่คุยด้วยสิ”

     “เอ่อ...มันเป็นเรื่องไร้สาระน่ะค่ะ พี่องศาไม่ต้องสนใจหรอก” ฝนยิ้มแห้ง พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่พี่องศาไม่ไปดูหนังสือเหรอคะ หนูเห็นพี่เอาแต่ยืนเฉยๆ มาตั้งนานแล้ว”

     “พอดีไม่มีหนังสือที่ถูกใจเลยน่ะครับ”

     โกหก ตั้งแต่เข้ามาในร้านผมเห็นเขาเอาแต่เดินตามพวกผม ยังไม่เห็นไปดูหนังสือสักเล่มเลย แล้วรู้ได้ไงว่าไม่มีหนังสือที่ถูกใจ

     “น้องฝนถามแบบนี้คืออึดอัดเหรอครับ ถ้างั้นพี่ไปรอในรถก็ได้นะครับ”

     “ว้าย! ฝนไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ ใครจะไปอึดอัดเวลาอยู่กับพี่ล่ะ มีแต่อยากอยู่ใกล้นานๆ ล่ะสิไม่ว่า” ฝนหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนจะหันไปสั่งควีนที่ยืนยิ้มแห้งไม่ต่างกัน “มัวยืนนิ่งทำไมล่ะ มึงจะเอาประเทศเกาหลีไม่ใช่เหรอ รีบไปหยิบหนังสือมาสิ”

     “เมื่อกี้มึงยังเถียงกูอยู่เลย”

     “ก็ตอนนี้กูเห็นด้วยกับมึงแล้วไง ไม่ต้องพูดมาก รีบไปหยิบหนังสือมาได้แล้ว”

     ควีนทำหน้างงที่จู่ๆ ก็โดนใช้ แต่ก็ยอมเดินไปหยิบหนังสือแต่โดยดี คราวนี้ฝนเลยหันมาหาผมบ้าง

     “ส่วนมึง ไอ้เดือนตอบยังว่าตกลงจะเอาประเทศอะไร”

     “ยังเลย”

     “งั้นกูเลือกให้ จะได้ไม่เสียเวลา” ฝนยกมือมาลูบคาง ไล่สายตาไปตามสันหนังสือบนชั้น “อืม...เอาเป็นประเทศญี่ปุ่นแล้วกัน มึงกับเดือนชอบกินอาหารญี่ปุ่นทั้งคู่เลยนี่”

     พอสรุปกับตัวเองเสร็จโดยไม่ถามอะไรผมเลย ฝนก็เขย่งเท้าเอื้อมมือไปหยิบหนังสือวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่อยู่ชั้นบนสุด แต่เพราะมันอยู่สูงเกินไปเลยหยิบไม่ถึงสักที

     “เดี๋ยวข้าวหยิบเองก็ได้” ผมบอกเพื่อนก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือแทน แต่เพราะส่วนสูงของผมกับฝนแทบไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะยืดแขนเท่าไหร่ก็เลยหยิบไม่ถึงเหมือนกัน “ฝนรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวข้าวไปบอกพนักงานให้มาหยิบ...!!!”

     แผ่นหลังของผมถูกดันไปข้างหน้าเล็กน้อย ตัวผมเลยแนบชิดไปกับชั้นหนังสือ พี่องศายกมือไปหยิบหนังสือที่ผมต้องการโดยไม่ต้องเขย่งเท้าเลยแม้แต่น้อย พอได้หนังสือมาไว้ในมือแล้วคนตัวสูงก็ใช้มืออีกข้างพลิกตัวผมให้หันมาเผชิญหน้า ตอนนี้พี่องศากำลังใช้แขนข้างหนึ่งยันชั้นหนังสือไว้ ก้มมองผมพลางทำหน้านิ่ง ไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนคุยกับเพื่อนผม

     “พี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน...ทำไมไม่ขอให้พี่ช่วย”

     ผมลอบกลืนน้ำลาย มองใบหน้าคมคายด้วยความตกใจ ควีนที่เดินถือหนังสือมากำลังจะอ้าปากเรียกฝน แต่พอเห็นภาพตรงหน้าก็ชะงักไป ไม่ต่างกับฝนที่มองมาอย่างตกใจเช่นกัน

     อะไรของเขาเนี่ย...จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป เหมือนไม่พอใจอยู่งั้นแหละ แล้วจะเอาหน้ามาใกล้ทำไม กลัวไม่ได้ยินหรือไงกัน

     “ผมก็แค่เกรงใจเฉยๆ”

     “พี่ขับรถไปรับส่งเราทุกวัน เพิ่งจะมาเกรงใจเอาป่านนี้หรือไง”

     “เรื่องนั้นผมไม่ได้ขอสักหน่อย พี่อาสามารับส่งผมเองไม่ใช่เหรอครับ”

     “ข้าวควรขอบคุณพี่สิ ไม่ใช่มาพูดกับพี่แบบนี้”

     “เอ่อ...” ก่อนที่เราสองคนจะลากบทสนทนาให้ยาวไปกว่านี้ ฝนก็ทักขึ้นมาพลางค่อยๆ หยิบหนังสือในมือพี่องศาไป “ถ้าข้าวมันไม่พูดหนูพูดเองก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่หยิบหนังสือให้ พี่องศานี่ใจดีตลอดเลย”

     คนตัวสูงหันไปมองเพื่อนผมก่อนจะผละออกไป ไหวไหล่เบาๆ แล้วยิ้มมุมปาก “ใช่ครับ...พี่เป็นคนใจดี แต่น่าเสียดายที่คนบางคนไม่เห็นความใจดีของพี่เลย”

     ถ้าพี่จะใจดีจริงๆ ก็ช่วยออกไปจากชีวิตผมสักทีเถอะครับ พี่ไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน มันทำให้ผมทั้งสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกันมากแค่ไหน...



     “มึงว่ามันมีอะไรแหม่งๆ ป่ะวะ”

     “ไม่ใช่แค่แหม่งๆ หรอก อาการอย่างนี้กูว่าใช่แน่นอน”

     “มึงมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอวะฝน”

     “สายตากูซะอย่าง ไม่มีทางมองพลาดแน่นอน”

     “ฝนกับควีนคุยอะไรกันอยู่เหรอ”

     “ไม่เห็นต้องถาม ก็เรื่องที่มึงกับ...”

     “อีฝน!” ควีนตีขาฝนดังเพียะ ฝนสะดุ้งเล็กน้อย หันมามองผมที่นั่งอยู่เบาะหน้าพลางยิ้มแห้งให้

     “คือ...พวกกูกำลังปรึกษากันเรื่องรายงานน่ะ ไม่ได้นินทามึงหรอก สบายใจได้”

     ผมคบกับฝนมานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าที่พูดมานั่นน่ะโกหกทั้งหมด แต่เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรผมเลยไม่ใส่ใจ ได้แต่พยักหน้ารับแล้วหันมามองถนนด้านหน้าเหมือนเดิม

     หลังจากซื้อหนังสือเสร็จแล้วฝนก็นึกขึ้นได้ว่ามีของที่ต้องซื้ออีก จากที่ควรจะได้กลับเร็ว ดันลากยาวมาจนถึงหกโมงเย็นอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พี่องศาไม่มีธุระที่ไหน ไม่อย่างนั้นพวกผมคงรู้สึกผิดแย่

     พี่องศาหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยหอของฝนกับควีน ในตอนที่รถกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ควีนที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ถามขึ้นมา

     “จริงสิ ทำไมพี่องศาถึงมารับส่งข้าวแทนพ่อมันเหรอคะ”

     “ทำไมจู่ๆ น้องควีนถึงถามแบบนี้ล่ะครับ”

     “หนูเคยได้ยินว่าพี่เกลียดการตื่นเช้า แต่กลับมาส่งเพื่อนหนูตอนเช้าได้ทุกวัน พวกหนูสองคนเลยสงสัยน่ะค่ะ”

     ผมเหลือบมองคนถูกถามนิดหนึ่ง ที่จริงผมก็อยากรู้เหตุผลเหมือนกัน แต่พอสบโอกาสทีไรผมมักจะลืมถามทุกที

     คนตัวสูงยิ้มมุมปาก เท้าแขนกับกระจกรถแล้วยกมือข้างหนึ่งมาลูบคาง “อีกเดี๋ยวน้องควีนกับน้องฝนก็จะรู้เองครับ ตอนนี้รู้แค่ว่าพี่เต็มใจมารับส่งเพื่อนน้องก็พอแล้ว”

     พอได้ยินคำตอบแล้วควีนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่หันไปมองหน้าฝนเหมือนกำลังสื่ออะไรกันสักอย่าง จนกระทั่งพี่องศาขับรถมาถึงหอ เพื่อนผมทั้งสองคนก็ทยอยลงไปจากรถโดยไม่ลืมหันมาบอกลา

     “กูไปก่อนนะมึง ขับรถดีๆ นะคะพี่องศา”

     “ครับผม”

     พอพี่องศาขับรถออกมาแล้ว หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผมก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีคนไลน์มา แต่ผมขี้เกียจหยิบมาดูเลยไม่ได้สนใจ ได้แต่มองวิวนอกกระจกพลางคิดย้อนไปถึงคำถามของควีนเมื่อครู่

     ผมมั่นใจว่าพี่องศาไม่มีทางรู้จักผมมาก่อนแน่นอน และผมก็ไม่เคยไปสร้างบุญคุณอะไรไว้ด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงยอมลำบากขับรถมารับส่งผมทุกวันแบบนี้

     “หืม?” ผมส่งเสียงอุทานเมื่อเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่าง หันไปมองคนขับรถที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านผมนะครับ”

     “พี่รู้ครับ”

     ตอบแค่นี้เนี่ยนะ?

     “พี่องศาจะพาผมไปไหนครับ”

     “นั่นสิ พี่ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน”

     ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจคำตอบเลยแม้แต่น้อย พี่องศาเหลือบมามองผม มุมปากกระตุกยิ้มอีกครั้ง

     “พี่หิวครับ เลยว่าจะแวะกินข้าว แต่ขับมาสักพักแล้วยังไม่เจอร้านที่ถูกใจเลย”

     “ไปส่งผมก่อนไม่ได้เหรอครับ แล้วพี่จะไปกินข้าวหรือทำอะไรต่อผมจะไม่ว่าเลย”

     “ใจคอคิดจะทิ้งให้พี่นั่งกินข้าวคนเดียวหรือไง” คนตัวสูงพูดเหมือนกำลังน้อยใจ แต่รอยยิ้มกลับไปกันคนละทางเลย “ข้าวหอมไม่เห็นใจพี่บ้างเลยเหรอครับ”

     หัวใจผมเริ่มเต้นแรง มันแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมทนมองใบหน้าคมคายนั้นไม่ไหว ต้องรีบเบือนหน้าหนีก่อนจะเผลอแสดงพิรุธออกไป

     “ผมไม่หิวครับ”

     “แค่ไปนั่งเป็นเพื่อนอย่างเดียวก็ได้”

     “ไม่เอาครับ ผมต้องรีบกลับไปทำรายงาน”

     “ไม่เกินหนึ่งทุ่มแน่นอน พี่สัญญา”

     “ไม่เอาครับ”

     “ดื้ออีกแล้ว” ปากว่าผม แต่ตายังมองถนนตรงหน้า “คราวที่แล้วกว่าจะยอมให้พี่มารับส่งก็ดื้ออยู่ตั้งนาน คราวนี้ยังไม่หายดื้อกับพี่อีกเหรอ”

     “ผมไม่ได้ดื้อครับ ผมแค่ไม่อยากไปกินข้าวกับพี่”

     “…”

     “ถ้าพี่หิวมากแวะจอดให้ผมลงข้างทางก็ได้ครับ เดี๋ยวผมหาทางกลับบ้านเอง”

     พี่องศาไม่พูดอะไรต่อ ผมเลยไม่รู้ว่าเขาจะเอายังไงกันแน่ สักพักเขาก็ค่อยๆ ลดความเร็วก่อนจะเลี้ยวรถจอดข้างทางในที่สุด ผมเข้าใจว่าพี่องศาทำตามคำพูดผมเลยตั้งใจจะถอดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ แต่จู่ๆ คนตัวสูงก็ยื่นหน้ามาใกล้พลางจับมือผมไว้แน่นทำให้ไม่สามารถถอดเข็มขัดได้

     “แค่ไปกินข้าวกับพี่มันยากมากเหรอครับ”

     ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างตามอารมณ์ไม่ทัน รอยยิ้มพี่องศาหายไปแล้ว ใบหน้านิ่งเรียบเหมือนกำลังโกรธใครสักคน

     “พี่แค่จะพาไปกินข้าว ไม่ได้จะพาไปทำอะไรไม่ดี ทำไมข้าวต้องปฏิเสธพี่ขนาดนี้ด้วย”

     “…”

     “ที่บอกว่าไม่อยากกินข้าวกับพี่หมายถึงเกลียดพี่ใช่ไหมครับ ถ้าข้าวหอมเกลียด...พี่จะได้ไม่มายุ่งกับเราอีก”

     ที่เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะผมพูดว่าไม่อยากไปกินข้าวด้วยแค่นั้นเหรอ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่องศาจะอ่อนไหวขนาดนี้

     “ตอบครับ อย่าเงียบอย่างเดียว”

     ผมเม้มปากแน่น ยิ่งสบตากับพี่องศาผมก็ยิ่งลำบากใจ ที่จริงผมอยากตอบว่าใช่ เพื่อที่เขาจะได้ไม่มาให้ผมเห็นหน้าอีก แต่ผมกลับพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้ เพราะผมรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่แท้จริงมันตรงกันข้ามเลย...

     “ผม...ไม่ได้เกลียดพี่ครับ”

     เกลียดตัวเองชะมัด ทำไมผมถึงโกหกไม่เก่งเอาซะเลยนะ

     “แน่ใจนะครับ”

     “…ครับ”

     “งั้นพี่จะถามอีกครั้ง” น้ำเสียงพี่องศาอ่อนลง พร้อมกับที่มือของเขาสอดเข้ามาในมือของผม “ข้าวหอมครับ...ไปกินข้าวกับพี่หน่อยได้ไหม”

     พี่องศาไม่ได้มองผมด้วยความโกรธอีกแล้ว แต่มองด้วยสายตาวิงวอนที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงกว่าเดิม

     ผมค่อยๆ ดึงมือออกมาก่อนจะหันหน้าหนี ทำแก้มพองลมแล้วพยายามพูดเสียงแข็งให้มากที่สุด “ให้เวลาถึงแค่หนึ่งทุ่มนะครับ”



     ถ้าผมกำลังฝันอยู่ ผมก็อยากให้ใครสักคนเขย่าตัวผมแรงๆ ผมจะได้ตื่นจากความฝันนี้เสียที

     ความฝันที่ทำให้ผมไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือร้องไห้ดี

     “ได้มากินข้าวกับคนหล่อทั้งที จะเอาแต่ทำหน้านิ่งตลอดเลยเหรอครับ”

     ผมเบือนหน้าหนีแทนการตอบคำถาม พี่องศาที่รู้ตัวว่าโดนเมินยิ้มมุมปาก ตักข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี ท่าทางผิดกับบนรถลิบลับ

     “นั่งมองพี่กินอย่างเดียวไม่หิวเหรอครับ”

     “ไม่ครับ”

     “เสียใจนะเนี่ย คนเขาอุตส่าห์อยากเลี้ยงข้าวแท้ๆ”

     “พี่ก็เลี้ยงไปเมื่อตอนกลางวันแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     “ตอนนี้ก็เลี้ยงอีกได้”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

     คนตัวสูงยกแก้วน้ำมาดูด ก่อนจะกระตุกยิ้มส่งเสียงหึในลำคอ “นอกจากดื้อเงียบแล้วยังขี้เกรงใจอีกแฮะ”

     คราวนี้ผมหันไปมองคนพูดเต็มสองตา แต่พี่องศาก็ยังไม่สะทกสะท้าน เอาแต่ยิ้มระรื่นจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าจะอารมณ์ดีอะไรนักหนา

     “ไม่กินต่อเหรอครับ” ผมถามเมื่อเห็นเขามองหน้าผมนานเกินไปแล้ว พี่องศาหันไปตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำ แล้วก็เงยหน้ามามองผมต่อ

     แค่ต้องมานั่งกินข้าวด้วยกันผมก็ทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว นี่เล่นจ้องกันไม่กะพริบตาเลย พี่องศาคิดจะแกล้งผมหรือไงเนี่ย

     “มะ...มองอะไรครับ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ต้องถามออกไปจนได้

     “มองคนใจร้ายครับ”

     ผมขมวดคิ้วด้วยความงง พี่องศาว่าผมใจร้ายเหรอ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลยนะ

     “พี่สังเกตมาสักพักแล้วนะ เราชอบแทนตัวเองว่าข้าวกับคนอื่น แต่กลับแทนตัวเองว่าผมกับพี่ตลอด”

     “ก็ผมกับพี่ยังไม่สนิทกัน แล้วผมก็แทนตัวเองว่าข้าวแค่กับเพื่อนเท่านั้น กับคนอื่นผมก็พูดว่าผมเหมือนกันนั่นแหละครับ”

     “หมายความว่าถ้าเราสองคนสนิทกันมากกว่านี้ เราจะแทนตัวเองว่าข้าวกับพี่ใช่ไหม”

     รอยยิ้มกับคำถามของคนตรงหน้าทำให้ผมลืมไปสนิทว่าจะพูดอะไรต่อ พี่องศายกมือมาเท้าคาง มองมาด้วยสายตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

     จู่ๆ ก็มาถามอะไรแบบนี้ พี่องศาตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ ผมงงไปหมดแล้วนะ

     “เอาแต่เงียบแบบนี้ พี่จะถือว่าข้าวหอมอนุญาตให้พี่ตีสนิทนะครับ”

     ผมกะพริบตาปริบๆ เพื่อเรียกสติกลับมา แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งมองรอยยิ้มพี่องศาเท่าไหร่ผมก็ยิ่งคิดคำพูดไม่ออกเท่านั้น

     “พะ...พี่พูดอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่อง”

     “พี่อยากได้ยินเราแทนตัวเองว่าข้าวกับพี่” คำพูดที่ตรงไปตรงมาทำให้ผมนิ่งงันไป คนตัวสูงเอื้อมมือมากุมมือผมบนโต๊ะ แต่พอเห็นผมรีบชักมือออกเขาก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

     “มันไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขนาดที่พี่ต้องมาตีสนิทกับผมหรอกครับ อย่าไปใส่ใจเลย” ผมหันหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้พี่องศารู้ว่าตอนนี้ข้างในอกมันปั่นป่วนแค่ไหน วันนี้เขาเป็นอะไรนะ ชอบทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงบ่อยเหลือเกิน

     “อย่าคิดแทนพี่สิครับ พี่บอกว่าอยากได้ยินก็คืออยากได้ยินจริงๆ” พี่องศาเปลี่ยนเอาสองมือมารองคาง มองผมด้วยสายตาแบบเดิมอีกครั้ง “หลังจากนี้พี่จะทำให้ข้าวหอมมองพี่เป็น ‘คนสนิท’ ให้ได้ เพราะงั้นเตรียมตัวไว้ดีๆ นะครับ”

     “ตะ...เตรียมตัวอะไรครับ”

     คนโดนถามกระตุกยิ้ม ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเบาๆ ทว่าชัดเจนทุกคำ “เดี๋ยวเราก็รู้เอง”





     TBC


     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.10 [03/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-08-2022 18:00:38
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.10 [03/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 08-08-2022 00:15:53
 :hao3:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 11 [14/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 14-08-2022 17:41:44
ตอนที่ 11 : หอมแก้มเรียกสติ





     “ฝน มึงเอาจริงเหรอวะ”

     [กูจะล้อเล่นทำไมล่ะ เชื่อกูสิ กูกับอีควีนคุยกันมาสักพักแล้วว่าอยากไป]

     “พวกมึงไม่อยากไปที่อื่นบ้างเหรอวะ อย่างทะเลหรือน้ำตกอะไรทำนองนี้น่ะ”

     [โอ๊ย ที่แบบนั้นมันจะไปเร้าใจอะไร ต้องบ้านผีสิงสิถึงจะสนุก] ควีนรีบสวนขึ้นมาทันควัน ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่ผมก็พอเดาได้ว่ามันต้องแสยะยิ้มอยู่แน่นอน

     [มึงต้องไปกับพวกกูนะเดือน ไอ้ข้าวปฏิเสธไปแล้ว ถ้ามึงปฏิเสธอีกคนกูกับอีควีนคงเหงาตาย]

     พวกมันกลัวเหงาตาย แต่ไม่กลัวผมหัวใจวายตายบ้างเลยเหรอ

     “เดี๋ยวนะ ก่อนจะมาชวนกูพวกมึงไปชวนข้าวด้วยเหรอ”

     [ก็ใช่น่ะสิ แล้วมันก็ปฏิเสธแบบหัวชนฝาด้วย]

     ไม่ปฏิเสธน่ะสิแปลก ข้าวหอมกลัวผีมาก จู่ๆ เพื่อนมาชวนไปบ้านผีสิง เป็นใครก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ที่แปลกคือพวกมันสองคนนี่แหละ รู้ทั้งรู้ว่าข้าวหอมกลัวผียังจะไปชวนอีก

     [เพราะงั้นมึงต้องไปกับกู เข้าใจไหม ถือว่ากูขอร้องเถอะเดือน]

     “ทำไมกูต้องไปกับมึง”

     [มึงจะให้กูไปกับอีควีนสองคนเหรอ ขนลุกตายชัก แค่ต้องแกล้งเป็นแฟนกันกูก็กล้ำกลืนฝืนทนมากพอแล้ว]

     [แหม พูดเหมือนกูเต็มใจมากมั้งคะ ถ้าไม่ใช่เพราะตั๋วราคาถูก ชาตินี้ทั้งชาติกูก็ไม่คิดจะเอาชะนีมาเป็นแฟนหรอกค่ะ]

     ผมฟังเพื่อนคุยกันแล้วก็ได้แต่ยกมือมากุมขมับ ทำไมวันหยุดที่ผมควรจะได้นอนดูซีรีส์อย่างสุขสบายกลับต้องมาปวดหัวเพราะไอ้พวกนี้ด้วยเนี่ย

     เรื่องมันเริ่มจากฝนโทรมาหาตอนที่ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ มันดึงควีนเข้ามาประชุมสายด้วย ตอนแรกเราคุยกันเรื่องพี่องศากับข้าวหอม ฝนบอกว่าระหว่างสองคนนี้มันต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่นอน ผมก็ฟังมันพูดแบบไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะรู้ดีว่าพวกมันสองคนชอบจับคู่ให้คนอื่นไปเรื่อยอยู่แล้ว แต่จู่ๆ มันกลับหันเหมาพูดเรื่องบ้านผีสิง เล่นเอาผมที่กำลังนอนกลิ้งบนเตียงรีบลุกมานั่งแทบไม่ทัน

     ฝนบอกว่าในวันคริสต์มาสที่ใกล้จะถึงนี้ สวนสนุกที่อยู่ใกล้มหา’ลัยจะมีโปรโมชันลดราคาตั๋ว พอพูดถึงสวนสนุกหลายคนคงนึกถึงเครื่องเล่นทอร์นาโด สกายโคสเตอร์ กระเช้าลอยฟ้า หรืออะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่นิยมเล่นกัน แต่สิ่งที่เพื่อนผมสนใจจริงๆ คือบ้านผีสิงในสวนสนุก ที่ถ้าหากไปกันเป็นคู่รักจะได้ส่วนลดแบบ ‘มาสองจ่ายหนึ่ง’ แต่เงื่อนไขคือต้องโชว์รูปถ่ายที่แสดงให้เห็นว่าเป็นคู่รักกันจริงๆ ฝนกับควีนเลยตั้งใจจะแกล้งคบกันเพื่อจะได้ส่วนลดค่าตั๋ว

     ประเด็นคือพวกมันไม่อยากไปกันแค่สองคน แต่เพราะข้าวหอมกลัวผี มันเลยมาชวน (แกมบังคับ) ผมแทน ผมเองก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดจะเมินเพื่อนได้ลงคอหรอก ถ้าไม่ติดว่าผมมีปัญหาอยู่สองอย่าง

     หนึ่ง ผมยังไม่มีแฟน ถ้าผมไปด้วยก็ต้องจ่ายค่าตั๋วเต็มจำนวน

     สอง พวกมันอาจจะคิดว่าบ้านผีสิงก็แค่เครื่องเล่นธรรมดา แต่สำหรับผมที่กลัวผีเหมือนข้าวหอม มันคือสถานที่ที่ผมไม่เคยอยากเข้าไปใกล้เลยแม้แต่น้อย!

     ...แต่ผมพูดออกไปไม่ได้ เพราะด้วยความอายบวกกับความกลัวว่าเพื่อนจะแกล้ง ผมเลยเผลอไปลั่นวาจาเมื่อนานมาแล้วว่าไม่กลัวผีเลยสักนิด ฝนกับควีนที่เข้าใจแบบนั้นเลยคิดว่าถ้ามาชวนแล้วผมต้องไปด้วยแน่ๆ โดยหารู้ไม่ว่าพวกมันกำลังจะฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

     [งั้นเอาตามนี้นะ พรุ่งนี้สิบโมงเจอกันหน้าสวนสนุก ห้ามเบี้ยวพวกกูเด็ดขาดนะเดือน]

     ซวยแล้วไง เผลอนิดเดียวเพื่อนผมมันสรุปเองเสร็จสรรพโดยไม่ถามอะไรเลย “เดี๋ยวดิ กูต้องไปด้วยจริงๆ เหรอ”

     [ใช่ค่ะ นี่กูคิดถึงมึงนะถึงได้ชวนไปด้วย เรื่องสนุกแบบนี้จะปล่อยให้เพื่อนพลาดได้ยังไง]

     ให้กูพลาดหน่อยก็ได้ กูไม่โกรธหรอก จะขอบคุณด้วยซ้ำ

     ผมอยากยกเท้ามาก่ายหน้าผากจริงๆ คริสต์มาสที่ไหนเขาไปฉลองกันที่บ้านผีสิงวะ ไม่แปลกเท่าเพื่อนผมทำไม่ได้นะครับ แล้วไอ้บ้านผีสิงนี่มันยังไง ตั้งโปรโมชันไม่สอดคล้องกับเทศกาลเอาซะเลย หรือเจ้าของสวนสนุกเขาจำวันคริสต์มาสสลับกับวันวาเลนไทน์ถึงได้ทำอะไรแบบนี้

     อยากปฏิเสธใจจะขาด แต่ก็กลัวเพื่อนจับได้ว่ากลัวผี

     “แล้วเรื่องค่าตั๋วอ่ะ กูไม่ได้ไปเป็นคู่เหมือนพวกมึงนะ” ที่จริงตั๋วราคาเต็มไม่ได้แพงมากมาย แต่แค่คิดว่าผมต้องเสียเงินเต็มจำนวนเพื่อเข้าไปในบ้านผีสิงน่าขนลุกขนพอง ผมก็อยากจะโบกมือบ๊ายบายแล้ว

     [กะแล้วว่ามึงต้องถามแบบนี้ ไม่ต้องห่วง กูเตรียมทางออกให้แล้ว] พูดแบบนี้แสดงว่าพวกมันเตรียมตัวมาขอร้องผมอย่างดีเลยสินะ แต่ถึงจะได้ยินแบบนั้นผมกลับรู้สึกไม่ไว้ใจน้ำเสียงของเพื่อนตัวเองสักนิด

     “ทางออกอะไรของมึง”

     [พี่คลื่นไง]

     “ฮะ!?”

     [ไม่ต้องฮะ กูพูดจริงๆ]

     “อย่าบอกนะว่ามึงจะให้กูไปขอร้องพี่คลื่นให้มาแกล้งเป็นแฟน”

     [อุ๊ยตาย เพื่อนกูเริ่มจะฉลาดขึ้นมาแล้วสินะ] ฝนจีบปากจีบคอพูด พอผมจะเถียงควีนก็แทรกขึ้นมาอีก

     [แต่มึงพูดผิดไปอย่างนึงนะเดือน กูไม่ได้จะให้มึงแกล้งเป็นแฟนกับพี่คลื่น เพราะอีกเดี๋ยวมึงกับเขาก็ต้องคบกันจริงๆ อยู่ดี]

     สงสัยผมคงต้องพาเพื่อนไปเคาะสนิมที่สมองหน่อยแล้ว บอกกี่ครั้งไม่เคยจำว่าผมกับพี่คลื่นไม่ได้มีอะไรกัน

     ผมกำลังจะพูดออกไปตามที่ใจคิด แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้ผมเลือกที่จะเงียบไว้ อีกเดี๋ยวผมกับพี่คลื่นก็ต้องคบกันอยู่ดีงั้นเหรอ...ทั้งที่มันไม่มีความเป็นไปได้ ทั้งที่ผมควรรีบแก้คำพูดให้เพื่อน แต่ผมกลับใจเต้นแรงเหมือนมันกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ หรือไม่...ก็เป็นผมเองที่อยากให้มันเกิดขึ้น

     “แล้วถ้าพี่คลื่นไม่ยอมช่วยล่ะ” ผมหันเหพูดถึงประเด็นอื่นแทน พยายามไม่สนใจความคิดบ้าๆ ในหัวตัวเอง

     [มึงก็อ้อนให้เขายอมให้ได้สิ]

     ผมกำลังจะเถียงฝนกลับไป แต่จู่ๆ ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ซะก่อน ตอนนี้คนที่รู้ว่าผมกลัวผีมีแค่พี่คลื่น ถ้าหากผมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงในบ้านผีสิงจริงๆ การมีพี่คลื่นไปด้วยมันอาจจะดีกว่าไปกับไอ้พวกนี้ก็ได้

     ...แต่มันติดตรงที่ต้องแกล้งเป็นแฟนกันนี่แหละ

     ถึงพี่คลื่นจะชอบทำให้ผมใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้กันบ่อยๆ แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ไม่น่าจะคิดอะไรกับผู้ชายด้วยกันอย่างผมในทางลึกซึ้งอยู่แล้ว ถ้าจู่ๆ ผมไปขอร้องให้เขามาแสดงละครว่าเป็นแฟนกัน ดีไม่ดีผมกับเขาอาจจะมองหน้ากันไม่ติดไปอีกเลยก็ได้

     [ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้กูกับฝนจะไปรอหน้าสวนสนุก ส่วนมึงก็พาพี่คลื่นมาให้ได้ล่ะ เข้าใจไหม] ถึงแม้ประโยคหลังจะเป็นคำถาม แต่ควีนก็ไม่รอให้ผมตอบ หลังจากมัดมือชกเสร็จมันก็หันไปคุยกับฝนด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวบ้านผีสิง ต่างกับผมที่ห่อเหี่ยวเหมือนกำลังจะถูกประหารชีวิต

     ทำไมชีวิตของนายอิงเดือนถึงได้น่าสงสารแบบนี้วะ รู้อย่างนี้ตอนนั้นบอกไปเลยก็ดีว่ากลัวผี ไม่น่าฟอร์มจัดเลยไอ้เดือนเอ๊ย!



     [ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า] พี่คลื่นเอ่ยทักตอนที่ผมเพิ่งกดรับสายวิดีโอคอล ผมฝืนยิ้มให้คนตัวสูงขณะที่ในใจกำลังคิดมากเรื่องพรุ่งนี้

     “ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่คลื่นอย่าใส่ใจเลย”

     พี่คลื่นจ้องผมนิ่งๆ สักพักก็ยิ้มบางเบา

     [เคยมีคนบอกพี่ว่าเวลาคนเราพูดว่าไม่มีอะไร มันแปลว่าเขามี แต่กำลังโกหกอยู่]

     ใช่ครับ ผมกำลังโกหก แต่ผมไม่กล้าบอกพี่ ผมอาย

     “ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ครับ พี่คลื่นไม่ต้องสนใจหรอก” ถึงจะอยากขอความช่วยเหลือมากแค่ไหน แต่ผมก็อายเกินกว่าจะพูดออกมาได้ตรงๆ เลยตั้งใจว่าจะลุยเดี่ยวพรุ่งนี้แทน ส่วนจะตายหรือจะรอดไว้ไปลุ้นกันหน้างานอีกที

     [เดือนครับ]

     “คะ...ครับ” จู่ๆ ก็มาพูดเสียงเข้ม ผมตกใจนะครับพี่

     [เราสองคนวิดีโอคอลกันมานานแค่ไหนแล้ว]

     “เอ่อ...ผมไม่ได้นับอ่ะครับ น่าจะประมาณสองสัปดาห์แล้ว”

     [ถึงจะแค่สองสัปดาห์ แต่พี่ก็คุยกับเดือนทุกวัน เดือนเปลี่ยนไปทำไมพี่จะไม่รู้]

     “…”

     [บอกพี่ได้ไหมว่าคิดมากเรื่องอะไรอยู่ เผื่อพี่จะช่วยอะไรได้บ้าง]

     “…”

     [หรือว่า...] ขณะที่ผมไม่รู้จะพูดอะไร พี่คลื่นก็หรี่ตาทำหน้าหม่นลง [เดือนมองพี่เป็นคนนอก เลยไม่อยากให้พี่เข้าไปยุ่งกับชีวิตของเดือน]

     “ไม่ใช่นะครับ! ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย” ผมรีบแก้ตัวเพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด ทั้งที่ในความเป็นจริงเราสองคนไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นปรึกษาได้ทุกเรื่อง ถ้าผมจะคิดแบบนั้นจริงๆ มันก็ไม่ผิด แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่อยากให้พี่คลื่นเข้าใจแบบนั้น

     [แล้วทำไมถึงไม่อยากพูดกับพี่]

     “คือผม...มีเรื่องอยากขอร้องพี่น่ะครับ แต่ผมเกรงใจก็เลย...”

     [พูดมาได้เลยครับ] พี่คลื่นพูดยิ้มๆ ใบหน้าหม่นหมองหายไปในพริบตา เหมือนกำลังดีใจที่จะถูกขอความช่วยเหลือ [ถ้าเป็นเรื่องที่ช่วยได้ พี่ยินดีช่วยหมดเลย]

     “แต่มันเป็นเรื่องที่แปลกมากเลยนะครับ”

     [ขอแค่เดือนขอร้อง ต่อให้แปลกแค่ไหนพี่ก็ยังยืนยันที่จะช่วยครับ]

     เป็นอีกครั้งที่พี่คลื่นทำให้หัวใจผมเต้นแรงโดยไร้สาเหตุ ผมเม้มปากแน่น ลังเลว่าจะพูดออกไปดีไหม แต่พอถูกจ้องด้วยสายตาที่กำลังรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ผมก็ต้องยกธงขาวแล้วยอมเล่าออกไปในที่สุด

     “คือ...”

     ผมเล่าทุกอย่างให้พี่คลื่นฟัง ทั้งเรื่องที่ผมโดนเพื่อนบังคับให้ไปบ้านผีสิง เรื่องที่ตัวเองกลัวผีแต่กลับไปโกหกเพื่อนว่าไม่กลัว และเรื่องที่เพื่อนผมอยากให้พี่คลื่นมาแกล้งเป็นแฟนเพื่อจะได้ส่วนลดค่าตั๋ว พี่คลื่นตั้งใจฟังผมโดยไม่พูดแทรกอะไรเลย พอผมเล่าจบเขาก็เอาแต่มองผมนิ่ง มอง...จนผมรู้สึกเก้อเขินทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา

     “เอ่อ...พี่คลื่นจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอครับ”

     คนตัวสูงยกมือมาเท้าคาง มุมปากยกยิ้ม สายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าผม

     [ไหนลองขอพี่เป็นแฟนหน่อยสิครับ]

     “อะ...อะไรนะครับ!!”

     [อยากให้พี่ช่วยไม่ใช่เหรอ นี่ไง พี่กำลังช่วยอยู่] พอเห็นอาการตกใจของผม พี่คลื่นก็ยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก [ถ้าไม่มีพี่ไปด้วย เดือนก็ต้องเข้าบ้านผีสิงคนเดียว แถมยังต้องจ่ายค่าตั๋วเต็มจำนวนอีก]

     “มันก็ใช่ครับ แต่...”

     [แต่อะไรครับ ไม่อยากให้พี่ช่วยแล้วเหรอ]

     “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” ผมก้มหน้างุด เลื่อนสายตามามองตักตัวเองแทนหน้าอีกฝ่าย “พี่แค่ตอบมาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยไม่ได้เหรอครับ ทำไมต้องให้ผมขอด้วย”

     [ก็ถ้าเดือนอยากให้พี่ไปด้วยในฐานะแฟน เดือนก็ต้องขอพี่เป็นแฟนก่อนสิ]

     “พี่คลื่น...” ผมพูดเสียงอ่อนเผื่อเจ้าของชื่อจะเห็นใจ แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีประโยชน์เลย

     [เร็วครับ ขืนชักช้าพี่เปลี่ยนใจขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ]

     ตกลงพี่คลื่นจะช่วยผมหรือจะแกล้งผมกันแน่ แค่ตอบมาว่าจะยอมแกล้งเป็นแฟนหรือเปล่ามันยากนักเหรอ ทำไมต้องให้ผมขอเป็นแฟนจริงๆ ด้วยก็ไม่รู้

     เอาวะ เพื่อความอยู่รอดในวันพรุ่งนี้ ครั้งนี้ผมจะยอมพี่เขาก็ได้

     “ปะ...เป็นแฟนกับผมนะครับ” ท่องเอาไว้ว่ามันคือการแสดง ผมกับพี่คลื่นไม่ได้จะเป็นแฟนกันจริงๆ

     [อะไรนะครับ พูดเสียงดังฟังชัดหน่อยพี่ไม่ค่อยได้ยินเลย]

     “เป็นแฟนกับผมนะครับ” ผมพูดเสียงดังขึ้นมาอีกนิด แต่ก็ยังไม่ถูกใจพี่คลื่นอยู่ดี

     [ใครเป็นแฟนกับใครครับ ระบุชื่อด้วยสิ พูดแค่นี้ใครจะไปเข้าใจ]

     โอเค ชัดเจนแจ่มแจ้ง พี่คลื่นกำลังแกล้งผมอยู่แน่นอน ผมได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ อยากเอาคืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ รอให้พ้นพรุ่งนี้ไปก่อนเถอะ ผมจะกลับมาคิดบัญชีกับเขาทีหลัง

     “พี่คลื่น...มาเป็นแฟนกับเดือนนะครับ”

     พอได้ยินประโยคที่รอคอยอยู่ คนตัวสูงก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ต่างกับผมที่แทบจะมุดแผ่นดินหนีด้วยความอายระดับสิบริกเตอร์

     [ได้ครับ พี่จะเป็นแฟนกับเดือน แต่...] พี่คลื่นอมยิ้ม เหมือนกำลังสนุกที่ได้เห็นผมหน้าแดง [เดือนต้องไปค่ายอาสากับพี่สัปดาห์หน้า]

     “ฮะ!?” ผมร้องเสียงหลง รีบเงยหน้ามองคนในสายโดยลืมความอายไปชั่วคราว “ค่ายอาสามาเกี่ยวอะไรด้วยครับ”

     [ก็ไม่เกี่ยวอะไร พี่แค่อยากให้เดือนไปด้วย]

     “พี่คลื่นกำลังแกล้งผมอยู่ใช่ไหมครับ”

     [พี่ไม่ได้แกล้ง พี่อยากให้เดือนไปด้วยจริงๆ]

     “ทำไมล่ะครับ”

     [ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ อืม...พี่อยากไปค่ายกับเดือน แค่นี้พอจะเป็นเหตุผลได้ไหมครับ]

     ผมยังทำหน้ามึนอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก พี่คลื่นที่เห็นผมเงียบไปก็ไม่ปล่อยให้ผมได้ไตร่ตรอง รีบหว่านล้อมอย่างต่อเนื่อง

     [ถ้าเดือนยอมไปค่าย พรุ่งนี้พี่จะทำตัวเป็นแฟนที่ดี คอยปกป้องเดือนในบ้านผีสิงทุกฝีก้าว แต่ถ้าเดือนไม่ยอมไป...] ร่างสูงหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะเอามือลูบคาง จ้องผมอย่างกดดันไม่วางตา

     “ก็ได้ครับ! ผมไปค่ายกับพี่ด้วยก็ได้ พอใจหรือยังครับ” ผมยกธงขาวรอบที่สอง พี่คลื่นที่หว่านล้อม (แกมบังคับ) ผมสำเร็จแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม รีบพูดเสียงหวานขัดกับการกระทำตัวเองชัดๆ

     [งั้นพรุ่งนี้เราไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกันนะครับ พี่จะไปรับเราตอนเก้าโมง ห้ามสายเด็ดขาดเชียวล่ะ...คุณแฟน]

     จากที่เคยคิดว่าพี่คลื่นเป็นผู้ชายน่ารักอบอุ่น สงสัยผมคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ซะแล้วสิ ยิ่งเห็นรอยยิ้มตรงหน้าผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนปั่นหัวอยู่เลย





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 11 [14/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 14-08-2022 17:42:24
     “ยิ้มอะไร”

     “กูไม่ได้ยิ้ม”

     “เห็นชัดๆ ว่ายิ้มอยู่ยังจะมาโกหก”

     “อ่ะก็ได้ กูยิ้ม” ฝนยื่นหน้ามาใกล้หู กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “ยิ้มเพราะดีใจที่เพื่อนมีแฟนซะทีไง”

     “ไอ้ฝน!” ผมเรียกชื่อเพื่อนด้วยเสียงลอดไรฟัน แต่ยังไม่ทันจะด่าให้สมใจ คนตัวสูงที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างหน้าก็หันมาซะก่อน

     “เดือนหิวไหมครับ พี่ไปซื้อของรองท้องมาให้ดีไหม”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมกินมาบ้างแล้วเลยยังไม่หิวเท่าไหร่”

     “แหมพี่คลื่น พวกหนูก็อยู่ด้วยทำไมถึงถามแต่ไอ้เดือนล่ะคะ” ควีนพูดยิ้มๆ ไอ้นี่ก็อีกคน สมแล้วที่ตัวติดกับฝนตลอดเวลา

     พี่คลื่นยิ้มมุมปาก ดึงผมไปใกล้ก่อนจะโอบไหล่ไว้หลวมๆ “ไม่เห็นต้องถาม แฟนต้องมาก่อนเพื่อนแฟนอยู่แล้วสิครับ”

     พอได้ยินคำพูดสองแง่สองง่ามเพื่อนผมก็ได้แต่มองมาอย่างอึ้งๆ จนผมทนไม่ไหวต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่ตัวต้นเหตุที่เอาแต่ยิ้มร่า

     “พี่คลื่น! พูดอะไรน่ะครับ เราไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ซะหน่อย”

     “ชู่ว อย่าเสียงดังสิครับ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หรอกว่าเราแสดงละครกันอยู่” อ้อมแขนที่โอบไหล่ผมอยู่กระชับแน่นขึ้น ผมอยากจะเถียงแต่ก็ทำได้แค่ข่มอารมณ์ไว้ในใจ เพราะแค่นี้คนก็หันมามองเยอะแล้ว

     ตอนนี้พวกผมกำลังยืนต่อแถวเพื่อซื้อบัตรเข้าบ้านผีสิงกันอยู่ ยืนมาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ซื้อเลยครับ อาจจะเพราะโปรโมชั่นค่าตั๋วที่คุ้มแสนจะคุ้มเลยทำให้มีคนมาอุดหนุนกันเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคู่รักที่จูงมือกันมาท้าทายความน่ากลัวของบ้านผีสิงแห่งนี้

     ผมพยายามหันรีหันข้างเพื่อสอดส่อง แต่ก็พบว่าคนที่มาต่อแถวนั้นล้วนเป็นคู่รักชายหญิงกันหมด ไม่มีผู้ชายด้วยกันเหมือนผมกับพี่คลื่นเลย นั่นทำให้ผมยิ่งประหม่ากว่าเดิม

     ต้องเข้าบ้านผีสิงก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังต้องมาแกล้งเป็นแฟนกับพี่คลื่นอีก ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าควรกลัว ดีใจ สับสน หรือควรร้องไห้ดี

     “เป็นอะไรครับ” ร่างสูงหันมาถามเสียงเบาตอนที่ฝนกับควีนกำลังสนใจอย่างอื่นอยู่ด้านหลัง

     “ปะ...เปล่าครับ”

     “กลัวเหรอ” ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือน แต่พี่คลื่นกลับรู้ทันเหมือนอ่านความคิดผมได้ทะลุปรุโปร่ง “ถ้ากลัวก็บอกสิครับ พี่อยู่ตรงนี้” มือหนาที่วางอยู่บนไหล่เคลื่อนมากุมมือผมแทน ความอุ่นจากฝ่ามืออีกคนทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลขึ้นมานิดหนึ่ง

     “พี่คลื่นครับ”

     “หืม?”

     “พวกเราจะไม่ดูแปลกเกินไปใช่ไหมครับ คือ...ผมไม่เห็นคู่ไหนที่เป็นผู้ชายด้วยกันเหมือนคู่เราเลย”

     “อย่าคิดมากสิครับ พี่ยังไม่คิดอะไรเลย แล้วทำไมเดือนต้องไปแคร์สายตาคนอื่นด้วยล่ะ”

     ผมไม่ได้แคร์คนอื่น แต่ผมแคร์พี่คลื่นต่างหาก การที่ต้องมาแสดงตัวว่าคบกับผู้ชายด้วยกันต่อหน้าคนอื่น ถึงจะไม่ใช่เรื่องจริงแต่มันก็อาจสร้างความลำบากใจให้ผู้ชายอย่างพี่คลื่นได้ไม่น้อย แต่ในเมื่อพี่คลื่นพูดเองว่าเขาไม่คิดอะไรผมก็ค่อยโล่งใจหน่อย

     “แล้วที่ผมให้พี่มาทำอะไรแปลกๆ แบบนี้ มันจะไม่รบกวนเกินไปใช่ไหมครับ”

     “หมายถึงเรื่องที่พามาบ้านผีสิงหรือเรื่องที่ให้แกล้งเป็นแฟน”

     “ทั้งคู่ครับ”

     “ไม่รบกวนทั้งสองอย่างครับ” พี่คลื่นยิ้ม ยิ้มเหมือนอยากจะปลอบผมอยู่ในที “พี่บอกแล้วไงว่าอะไรที่ช่วยเดือนได้พี่ยินดีช่วย”

     “ถ้างั้น...” ผมบีบมือหนากลับไป จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่ตัวสูงกว่า “อยู่ข้างผมตลอดนะครับ ห้ามปล่อยมือผมเด็ดขาดนะ”

     ยิ่งแถวเหลือน้อยเท่าไหร่ความกลัวในใจผมยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกทีเท่านั้น ผมรู้สึกแปลกๆ กับการที่ต้องแกล้งเป็นแฟนพี่คลื่นก็จริง แต่สำหรับตอนนี้ผมอดยอมรับไม่ได้ว่าการมีเขามันทำให้ผมอุ่นใจขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม

     คนโดนขอร้องยิ้มอย่างอ่อนโยน ยกมืออีกข้างมากุมมือผมไว้อีกที “พี่จะจับมือเดือนแบบนี้ไปตลอด...ขอสัญญาด้วยเกียรติของแฟนกำมะลอคนนี้เลยครับ”



     และแล้วช่วงเวลาที่ผมไม่อยากให้มาถึงมากที่สุดก็มาถึงจนได้ ตอนนี้พวกผมสี่คนได้ตั๋วมาไว้ในมือแล้ว โชคดีที่พี่คลื่นยังมีรูปที่เราถ่ายด้วยกันตอนไปร้านอาหารญี่ปุ่นเลยใช้มันเป็นหลักฐานได้ แต่ที่ทำผมเกือบหลุดขำคือตอนที่ควีนแอ๊บแมนว่าเป็นแฟนฝน เสียงเข้มๆ ที่มันแกล้งทำไม่เข้ากับแก้มแดงๆ ของมันเลยสักนิด

     “เอาล่ะ ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง” ฝนชูแขนขึ้นฟ้า ทำท่าเหมือนกำลังจะไปออกรบ “ไปอีควีน! บ้านผีสิงรอพวกเราอยู่!”

     พวกมันสองคนรีบวิ่งเข้าไปในบ้านผีสิงที่มีเสียงกรีดร้องออกมาจากทางเข้า ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นเสียงคนหรือผี แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ความกล้าอันน้อยนิดที่ผมพยายามรวบรวมมาตลอดหายเข้ากลีบเมฆไปในพริบตา

     ไอ้ฝนไอ้ควีน กูรู้ว่าพวกมึงเก็บกดมานาน แต่มึงช่วยหันมาสนใจเพื่อนคนนี้หน่อยได้ไหม ฉี่จะราดกางเกงอยู่แล้วเนี่ย

     “เดือนครับ ไปกันเถอะ” พี่คลื่นบีบมือผมแรงขึ้น เหมือนอยากจะสื่อว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

     ผมพยักหน้าเบาๆ แอบลอบกลืนน้ำลายก่อนจะเดินตามคนตัวสูงเข้าไป ความมืดค่อยๆ เข้าปกคลุมทุกครั้งที่เราก้าวเท้าเข้ามาในบ้านผีสิง และเมื่อผ่านพ้นประตูทางเข้ามาแล้ว รอบตัวผมก็มืดสนิทโดยมีแสงจากหลอดไฟเล็กๆ สีเขียวที่แขวนไว้บนเพดานตามทางเท่านั้น

     ทำไมต้องสีเขียวด้วย ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้บรรยากาศน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม เปลี่ยนเป็นสีชมพูไม่ได้เหรอ อย่างน้อยผมจะได้หลอกตัวเองว่ากำลังอยู่ในบ้านตุ๊กตา

     “พี่จะเดินนำไปก่อน เดือนจับมือพี่ไว้แล้วค่อยๆ เดินตามมา...”

     ตึง!!

     “เฮ้ย!!!” ผมร้องลั่นเมื่อจู่ๆ อะไรก็ไม่รู้ตกลงมาจากด้านบน สิ่งนั้นกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า พี่คลื่นยื่นมือไปแตะมันเบาๆ โดยมีผมคอยกอดแขนอีกข้างไว้อย่างแนบแน่น

     “แค่ตุ๊กตาน่ะครับ ไม่ต้องตกใจนะ ค่อยๆ ตามมาอย่าปล่อยมือพี่เด็ดขาด”

     “คะ...ครับ” สาบานได้ว่าผมพยายามพูดไม่ให้เสียงสั่นแล้ว แต่นาทีนี้แค่กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลมันก็ยากพอแล้วสำหรับผม

     เราสองคนเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความกลัวดังมาให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย พาให้ขาทั้งสองข้างที่สั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นเข้าไปอีก ตรงหน้าผมตอนนี้คือกรงขังที่เหมือนจะมีอะไรอยู่ด้านหลังลูกกรง ขณะที่ผมเถียงกับตัวเองว่าจะหลับตาเดินดีไหม คนตัวสูงที่กำลังจูงมือผมเดินก็เอื้อมมืออีกข้างมาปิดตา

     “พะ...พี่คลื่น! ทำอะไรอ่ะครับ!!”

     “เชื่อพี่เถอะ ทำแบบนี้แล้วดีกว่าเยอะ”

     “แต่ว่าผมมองไม่เห็นทาง...”

     “จับมือพี่ไว้แล้วค่อยๆ เดินตามมาก็พอ เดี๋ยวพี่นำทางให้เอง”

     “แต่...”

     “เชื่อใจแฟนคนนี้สิครับ พี่บอกแล้วไงว่าจะไม่มีวันปล่อยมือเดือน”

     ถึงแม้มือที่เราจับกันอยู่ตอนนี้จะชื้นเหงื่อ แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมา ผมเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าเบาๆ โดยไม่ได้ติดใจสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียก รู้แค่ว่าตอนนี้ผมจะขอเชื่อใจผู้ชายที่ชื่อคลื่นคราม

     ผมค่อยๆ เดินไปข้างหน้าตามแรงจูงมือของพี่คลื่น พยายามไม่สนใจเสียงกรี๊ดของผู้หญิงกับเสียงตุ้งแช่ของผีที่โผล่มาหลอกเป็นระยะ ในใจก็เอาแต่ภาวนาให้ทางเดินมันสิ้นสุดซะที แต่เหมือนคำภาวนาของผมจะไม่เป็นผล เพราะถึงแม้เราจะเดินกันมานานแล้วก็ยังไม่ถึงทางออกเสียที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทางมันไกลหรือพวกผมสองคนเดินช้า

     “พะ...พี่คลื่น ยังไม่ถึงทางออกอีกเหรอครับ”

     “อีกนิดเดียวครับ ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้กับเดือนเสมอ”

     คำปลอบประโลมของพี่คลื่นช่วยให้ผมผ่อนคลายก็จริง แต่บรรยากาศสุดหลอนในบ้านผีสิงก็ทำให้ผมอยากร้องไห้เช่นกัน คอยดูนะ ออกไปได้เมื่อไหร่ผมจะไปสารภาพกับเพื่อนให้หมดเปลือกเลย ไม่ต้องกลัวเสียหน้าแล้ว กลัวมันจะชวนมาครั้งหน้าดีกว่า ถ้าผมต้องมาเหยียบสถานที่นี้อีกครั้ง สู้ให้โดนเพื่อนล้อยังจะดี...

     แฮ่!!!

     “เฮ้ย!! อะไร! อะไรมาโดนผม!! พี่คลื่นช่วยผมด้วย!!!” ผมร้องเสียงดังอย่างเสียสติเมื่ออะไรไม่รู้เย็นๆ มาปะทะที่ต้นแขน ด้วยความตกใจผมจึงคว้าร่างสูงมากอดไว้แน่นแล้วรีบซุกหน้าเข้ากับอกกว้างทันที น้ำตาที่กลั้นมานานไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     “เดือนครับ ใจเย็นก่อน มันก็แค่...”

     “ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮือๆๆ พี่คลื่นพาผมออกไปหน่อยครับ ผมขอร้อง ผมกลัว ฮือๆๆๆๆ”

     “เดือน ตั้งสติก่อน มันเป็นแค่หุ่นไม่ใช่ผีจริงๆ”

     ตอนนี้ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น เอาแต่ซุกหน้ากับอกคนตัวสูงพลางร้องไห้ขี้มูกโป่งเหมือนเด็กสามขวบไม่มีผิด เสียงร้องของผมดังจนกลบเสียงกรี๊ดอื่นไปจนมิด อาการตกใจตัวสั่นของผมทำให้คนที่ผ่านมาเห็นเป็นต้องหยุดดูด้วยความประหลาดใจ ขนาดผีที่กำลังหลอกอยู่ยังต้องหยุดหันมาเอียงคอมองผมเลย

     “เดือน คนอื่นมองกันหมดแล้ว หยุดร้องไห้ก่อนครับ”

     “ช่างคนอื่นเขาสิครับ! พี่คลื่นรีบพาผมออกไปเดี๋ยวนี้เลย ฮือๆๆๆ”

     “เรากอดพี่อยู่แบบนี้จะพาออกไปยังไงล่ะ ปล่อยก่อนครับ พี่เดินไม่ถนัด”

     ผมไม่สน ผมไม่ฟัง ตอนนี้อกพี่คลื่นคือที่พึ่งเดียวที่ผมมีอยู่ แค่คิดว่าต้องลืมตาไปเจอผีหน้าตาน่ากลัวที่มีเลือดไหลลงมาจากหัว น้ำตามันก็ยิ่งไหลเหมือนเขื่อนทำนบแตก

     เมื่อเห็นว่าทำยังไงผมก็ไม่หยุดร้องซะที คนตัวสูงจึงยกมือมาประคองแก้มผมที่เปรอะคราบน้ำตาอย่างแผ่วเบา ใบหน้าผมเงยขึ้นตามแรงของอีกฝ่าย แต่ผมก็ยังไม่ยอมลืมตา พี่คลื่นไม่พูดพร่ำทำเพลง โน้มหน้าลงมาใกล้ก่อนจะ...

     ฟอด~

     ราวกับถูกมนต์สะกด ผมรีบลืมตาโพลงทันที สิ่งแรกที่เห็นผ่านม่านน้ำตาคือใบหน้าคมคายที่กำลังมองผมยิ้มๆ ผมกะพริบตาปริบๆ ยกมือมาแตะแก้มที่ยังหลงเหลือความอุ่นอยู่

     “ไงเรา หยุดโวยวายได้แล้วเหรอ”

     “เมื่อกี้พี่คลื่น...”

     “หอมแก้มเรียกสติครับ ทีนี้จะหยุดร้องได้ยัง ดูสิทั้งคนทั้งผีมองเรากันหมดแล้ว”

     ผมหันไปมองรอบตัวตามที่ร่างสูงบอก ก่อนจะพบกับสายตานับสิบที่กำลังมองมา บางคนยกมือมาปิดปาก บางคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บางคนหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย ขนาดผีบางตัวยังยืนมองมานิ่งๆ เหมือนลืมว่าหน้าที่ตัวเองคือการหลอกคนที่เดินผ่านมา

     “ปะ...ปล่อยผมได้แล้วครับ” พอสติกลับเข้าร่างแล้วความกลัวก็ลอยหายไป เข้ามาแทนที่ด้วยความอายที่มารวมตัวกันอยู่บนแก้มทั้งสองข้าง พี่คลื่นยังไม่หุบยิ้ม ถึงจะผละออกมาแล้วแต่เราสองคนยังจับมือกันอยู่

     “พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย เดือนต่างหากที่เอาแต่กอดพี่ไม่ปล่อย”

     “ทำไมจะไม่ได้ทำครับ ก็เมื่อกี้พี่...” ผมก้มหน้าหลบตาเมื่อคิดถึงการกระทำเมื่อครู่ของคนตรงหน้า ก่อนจะพูดให้จบประโยคด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะกระซิบ “พี่หอมแก้มผม”

     “ถ้าพี่ไม่ทำแบบนั้นเดือนก็ไม่หยุดร้องน่ะสิ”

     “แต่มันก็มีอีกตั้งหลายวิธีนี่ครับ ทำไมต้องหอมแก้มด้วย”

     “แล้วทำไมพี่จะหอมแก้มเราไม่ได้” พี่คลื่นขยับเข้ามาใกล้ สายตาวาบหวามกับรอยยิ้มมุมปากพาให้ผมใจเต้นแรง “เราเป็นแฟนกันนะครับ แฟนจะหอมแก้มกันมันก็ปกติไม่ใช่เหรอ”

     ผมอยากเถียงกลับไปว่าไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ แต่พอนึกได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา ผมก็ได้แต่เม้มปากแน่นแล้วรีบจูงมือคนตัวสูงออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ไม่นึกว่าผมจะพูดแบบนี้ แต่ต้องขอบคุณบรรยากาศสลัวๆ ของบ้านผีสิง ถ้าไม่ได้ความมืดป่านนี้พี่คลื่นคงเห็นไปแล้วว่าแก้มผมแดงขนาดไหน นาทีนี้ไม่กลัวผีแล้ว กลัวหน้าจะระเบิดเพราะความร้อนบนแก้มดีกว่า

     ให้ตายสิอิงเดือน กลัวผีมาทั้งชีวิต โดนหอมแก้มไปหนึ่งทีอาการกลัวหายเป็นปลิดทิ้งเลย แล้วพี่คลื่นนี่ก็จริงจังไปได้ แค่แกล้งเป็นแฟนกันไม่ต้องแสดงสมจริงขนาดนี้ก็ได้มั้ง

     “เดินเร็วเชียวนะครับ ทีเมื่อกี้ยังกอดแขนพี่อยู่เลย”

     “ก็ใครใช้ให้พี่หอมแก้มผมต่อหน้าคนอื่นล่ะครับ!”

     “ทำไมครับ เดือนโกรธเหรอ หรือว่า...” พี่คลื่นเงียบไปนิดหนึ่ง มุมปากยกยิ้มแบบที่ชอบทำประจำ “กำลังเขินที่โดนแฟนตัวเองหอมแก้ม”

     คำก็แฟน สองคำก็แฟน พี่คลื่นนี่น่าจะเข้ากันได้ดีกับเพื่อนผมนะครับ พูดอะไรไปไม่เคยจำเหมือนกันเลย!





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.11 [14/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-08-2022 20:48:30
 :a5: o22
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.11 [14/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-08-2022 23:11:45
ตกน้องสุดชีวิต
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 12 [15/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 15-08-2022 17:07:17
ตอนที่ 12 : ยังไม่แน่ใจ





     “เดือน กูขอโทษ”

     “…”

     “ยกโทษให้กูเถอะ กูไม่รู้จริงๆ”

     “…”

     “มึงไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอวะ”

     ภาพตรงหน้าเกือบจะเดจาวู ถ้าไม่ติดว่ามีคนเพิ่มมาอีกคน ตอนนี้ฝนกับควีนกำลังขอโทษที่พาผมไปบ้านผีสิง และที่ที่พวกเรานั่งกันอยู่นี้คือร้านไอศกรีมเจ้าโปรดที่อยู่หลังมหา’ลัย สถานการณ์เดียวกับตอนที่พวกมันทำกางเกงผมหลุดกลางโรงอาหารไม่มีผิด

     “เรื่องนี้ข้าวว่าฝนกับควีนไม่ผิดนะ ถ้าฝนกับควีนรู้อยู่ก่อนว่าเดือนกลัวผีคงไม่ชวนไปบ้านผีสิงหรอก” ข้าวหอมช่วยพูดกล่อมผมอีกคน ก่อนจะหันไปทำหน้าดุใส่เพื่อน “ใช่ไหม”

     คนถูกถามรีบพยักหน้ารัวๆ เหมือนกลัวผมเข้าใจคำตอบไปอีกแบบ

     “ขนาดมึงรู้อยู่แล้วว่าข้าวกลัวผียังชวนข้าวไปเลย”

     “กูก็แค่ชวนเล่นๆ เชิงหยอกล้อ ไม่คิดจะลากมันไปจริงๆ ซะหน่อย” ฝนพูดเสียงอ่อย หลังจากนั้นควีนก็ถามต่อ

     “แล้วทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ากลัวผีวะ ถ้าบอกแต่แรกกูก็ไม่ชวนไปบ้านผีสิงหรอก”

     ผมลังเลว่าจะพูดออกไปดีไหม พลันสายตาก็เหลือบไปมองคนตัวสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่ตั้งใจ พี่คลื่นส่งยิ้มมาให้ ผมถอนหายใจนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจพูด

     “กูกลัวพวกมึงแกล้งกูเหมือนที่เคยแกล้งข้าวตอนปีหนึ่ง”

     ฝนกับควีนนิ่งงันไป หันไปมองหน้ากันสักพักก่อนที่ฝนจะกวักมือให้ผมยื่นหน้าไปใกล้

     “เอาหน้ามานี่หน่อย”

     “มึงจะทำอะไร”

     “เถอะน่า”

     ถึงแม้จะงงอยู่แต่ผมก็ยอมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ฝนเอื้อมมือมาทางผมก่อนจะ...

     “โอ๊ย! ดีดหน้าผากกูทำไมเนี่ย”

     “ให้มึงหายอ๊องไง”

     “นี่มึงจะขอโทษหรือจะแกล้งกูกันแน่”

     “ถึงกูกับอีควีนจะชอบแกล้งคนอื่นแต่พวกกูก็รู้ขอบเขตนะ ตอนปีหนึ่งที่กูแกล้งไอ้ข้าวมันงอนไปเป็นสัปดาห์ คิดว่ากูจะกล้าแกล้งเพื่อนเรื่องเดิมได้ลงคอเหรอ”

     “ถ้ามึงเข็ดแล้วทำไมถึงยังไปชวนข้าวอยู่อีกอ่ะ”

     “ก็บอกแล้วไงว่าแค่แหย่เล่น แล้วข้าวมันก็บอกเองว่าไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้วด้วย ทำไม มึงคิดว่าข้าวมันเก็บเรื่องนั้นไปเป็นปมด้อยหรือไง”

     ผมหันไปหาข้าวหอมเพื่อขอคำยืนยัน ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าสมทบทันที

     “ข้าวกลัวผีก็จริงแต่ไม่ได้อ่อนไหวถึงขนาดพูดถึงไม่ได้ซะหน่อย เดือนคิดมากเกินไปแล้ว”

     กลายเป็นว่าที่ผ่านมาผมระแวงไปเองทั้งนั้น หลงนึกมาตั้งนานว่าถ้าบอกไปแล้วจะโดนเพื่อนล้อเพื่อนแกล้ง

     “เดือนครับ จะไม่พูดอะไรกับเพื่อนบ้างเหรอ” พี่คลื่นทักขึ้นมาหลังจากนั่งฟังพวกผมคุยกันอยู่นาน

     “เออ...กูยกโทษให้พวกมึงก็ได้ แต่หลังจากนี้ห้ามชวนกูไปทำกิจกรรมที่มีผีอีกนะ”

     “โอ้โห ถึงไม่บอกพวกกูก็ไม่คิดจะชวนอยู่แล้วค่ะ แค่เห็นสภาพตอนมึงออกมาจากบ้านผีสิงกูก็แทบจะพาไปส่งโรงพยาบาลแล้ว”

     ผมมองค้อนเพื่อนไปหนึ่งที สภาพผมตอนนั้นไม่ได้แย่ขนาดนั้นซะหน่อย แค่ตอนถึงทางออกขาผมล้มพับไปกับพื้นเพราะมันสั่นจนเดินไม่ไหว ลำบากพี่คลื่นที่ต้องพยุงผมไปหาที่นั่งพักเท่านั้นเอง

     แต่ผมจะไม่บอกมันหรอกว่าสาเหตุที่ทำให้ผมล้มทั้งยืนไม่ใช่ผี แต่เป็นสัมผัสอุ่นร้อนบนแก้มที่ใครบางคนแถวนี้ทิ้งไว้ให้ต่างหาก

     ราวกับอ่านความคิดผมออก พี่คลื่นสบตากับผมอีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาคู่นั้นเปลี่ยนไป เหมือนกำลังชวนให้ผมคิดถึงเหตุการณ์ในบ้านผีสิงจนผมต้องเสไปมองทางอื่น

     “อ่ะ เรื่องมึงถือว่าเคลียร์แล้วนะ ทีนี้...” ควีนลากสายตาไปมองคนตัวสูง “พี่คลื่นจะบอกได้ยังคะว่าเรียกพวกหนูออกมาทำไม”

     คนที่เสนอให้มาร้านนี้คือเพื่อนของผมก็จริง เพราะพวกมันอยากง้อผมเลยเลือกร้านโปรดที่ผมชอบ แต่สาเหตุหลักที่พวกผมมารวมตัวกันในวันเสาร์แบบนี้เพราะจู่ๆ พี่คลื่นก็ทักมาบอกให้ผมนัดเพื่อนในกลุ่มออกมาหาหน่อย เขามีเรื่องอยากจะถามพวกผมทุกคน

     “พี่อยากคุยเรื่องค่ายอาสากับทุกคนครับ”

     “ค่ายอาสา...เหรอคะ?” ฝน ควีน และข้าวหอมหันไปมองหน้ากันอย่างงุนงง ขณะที่ผมเผลอเกร็งตัวนั่งหลังตรงโดยอัตโนมัติ จริงด้วยสิ ผมลืมบอกเรื่องนี้กับเพื่อนไปสนิทเลย

     “ใช่ครับ พี่จะถามว่าพวกเราอยากไปด้วยไหมพี่จะได้ลงชื่อให้ ที่มาถามเพราะพี่กลัวเดือนไปคนเดียวแล้วจะเหงา”

     ฝนหันมามองผม ถึงจะไม่พูดอะไรแต่ผมก็รู้ว่ามันมีคำถามเป็นสิบอยู่ในหัว ควีนกับข้าวหอมก็เช่นกัน

     “พี่คลื่นจำอะไรผิดหรือเปล่าครับ พวกผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ข้าวหอมเป็นหน่วยกล้าตายที่ถามพี่คลื่นออกมาตรงๆ ไม่ได้สนใจหน้าที่กำลังเหงื่อแตกของผมเลยสักนิด

     “อ้าว เดือนไม่ได้บอกพวกเราเหรอว่าจะไปค่ายอาสากับพี่ แลกกับที่พี่จะแกล้งเป็นแฟนเดือนให้”

     คราวนี้ไม่ใช่แค่ฝน แต่ทั้งสามคนพร้อมใจกันหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ผมได้แต่ยิ้มแหะๆ กลับไปให้ เริ่มเห็นหายนะอยู่ลางๆ พวกมันสามคนหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่ฝนกับควีนจะพยักหน้าให้กันเบาๆ

     “อะไรนะควีน มึงปวดฉี่เหรอ”

     “เออ อั้นมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้เข้าห้องน้ำเลย”

     “ตายแล้ว! อั้นไว้นานๆ เดี๋ยวก็เป็นนิ่วหรอก รีบไปเลย เกิดฉี่ราดกางเกงขึ้นมากูไม่รู้ด้วยนะ”

     ควีนรีบกุลีกุจอลุกขึ้น ขณะที่ผมกำลังงงฝนก็เดินอ้อมมาจับไหล่ผมอยู่ด้านหลัง

     “พี่คลื่นคะ พวกหนูขอไปห้องน้ำกันแป๊บนึงนะคะ พอดีอีควีนไม่เหมือนชาวบ้านน่ะค่ะ ถ้าไม่ได้เข้าห้องน้ำพร้อมเพื่อนมันจะฉี่ไม่ออก”

     “อ๋อ ได้สิครับ พี่นั่งรอได้ไม่มีปัญหา”

     ฝนออกแรงดึงให้ผมลุกตามไป กว่าผมจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรก็สายไปเสียแล้ว ผมลอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกตำรวจสอบสวนในไม่ช้า



     “จะเล่าเองหรือจะให้กูถามเกริ่นนำ”

     “ใช่ ห้ามปกปิดเชียวนะ มีเท่าไหร่พูดมาให้หมด”

     เป็นไปตามคาดครับ ควีนมันไม่ได้ปวดอะไรหรอก แค่หาทางลากผมออกมาจากพี่คลื่นเพื่อเค้นความจริงอย่างที่ผมคิดไว้

     “พี่คลื่นก็บอกไปหมดแล้ว ยังจะเอาอะไรอีกวะ”

     “กูอยากฟังจากปากมึงมากกว่า เล่ามาเร็วๆ ไม่งั้นวันนี้มึงไม่ได้ออกจากห้องน้ำแน่”

     ไอ้อาการหน้าหงอยตอนขอโทษผมมันหายไปไหนแล้ววะ ทำไมตอนนี้ผมเห็นแต่คนที่พร้อมจะเขกหัวเพื่อนได้ทุกเวลาหากไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

     “พี่คลื่นบอกว่าจะช่วยแกล้งเป็นแฟนกูตอนไปบ้านผีสิง แต่กูต้องไปค่ายอาสากับเขาเป็นข้อแลกเปลี่ยน”

     “ทำไมวะ”

     “เขาบอกว่าอยากให้กูไปด้วย”

     “เหี้ย!!”

     “อะไรของมึง กูก็ยอมบอกแล้วไงยังจะมาด่าอีก”

     “เขาเรียกว่าอุทาน”

     พวกมันสามคนหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง ผมไม่ชอบเลยเวลาที่มันทำเหมือนปรึกษากันทางสายตาอยู่ เพราะหลังจากนั้นจะต้องมีอะไรวุ่นๆ ตามมาอีกแน่นอน

     ฝนเอื้อมมือมาจับไหล่ผมทั้งสองข้าง ทำหน้าตาน่ากลัวที่พอเห็นแล้วผมชักจะใจคอไม่ดี “ไอ้เดือน”

     “หือ?”

     “สิ่งที่จะออกจากปากกูหลังจากนี้ไม่ใช่การมโนหรือเพ้อฝัน แต่มันคือความจริงที่มึงต้องยอมรับสักที”

     “...มึงจะทำหน้าจริงจังทำไม กูกลัวนะเว้ย”

     “พี่คลื่นเขากำลังจีบมึง”

     “พะ...พูดอะไรของมึง!!”

     “มันคือเรื่องจริง ขนาดไอ้ข้าวที่นิสัยไม่เหมือนกูยังคิดเหมือนกันเลย”

     ข้าวหอมพยักหน้ายืนยันโดยไม่ต้องรอให้ถาม ผมจ้องหน้าเพื่อนอย่างตกใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา

     “ไม่ต้องเป็นพวกกูก็ได้ มึงลองเดินไปสุ่มถามคนในคณะเลย กูมั่นใจว่าร้อยทั้งร้อยต้องคิดเหมือนกัน”

     “มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ พวกมึงคิดมากเกินไปหรือเปล่า”

     “เดือน กูถามจริงๆ เถอะ ทำไมมึงถึงเอาแต่ปฏิเสธวะ” ควีนเท้าเอวถาม ข้าวหอมไม่ได้พูดอะไรแต่ก็มองมาอย่างสงสัยเช่นกัน

     “คือ...” ผมเม้มปากแน่น เรียบเรียงคำพูดในหัวสักพักก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา “กูแค่รู้สึกว่ามันเร็วไปอ่ะ”

     “อะไรเร็ว”

     “ไม่รู้” ผมตอบไปตามที่ใจคิด “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนกูไม่มีเวลาถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันคืออะไรกันแน่ กูไม่เคยสงสัยในสิ่งที่พี่คลื่นทำ แต่พอพวกมึงจุดฉนวนให้กูเกิดสงสัยขึ้นมา พวกมึงก็เอาแต่เร่งเร้าให้มันเป็นแบบนั้นจนกูไม่เคยคิดจริงจังสักทีว่าตกลงมันใช่จริงๆ หรือเปล่า”

     เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเพื่อนตั้งใจฟังโดยไม่พูดแทรก ปกติมันจะเถียงกลับมาทำนองว่าพี่คลื่นชอบผมอยู่แล้ว พี่คลื่นกำลังจีบผมอยู่แน่นอน

     “แต่การกระทำพี่คลื่นมันก็ชัดเจนอยู่แล้วนะเว้ยว่าเขากำลังจีบ หรืออย่างน้อยที่สุดคือเขากำลังสนใจมึง”

     “ไม่หรอก ข้าวว่ายังชัดเจนได้มากกว่านี้” ข้าวหอมพูดขึ้นมาหลังจากยืนฟังมานาน “เอาแบบนี้ดีไหม ตราบใดที่พี่คลื่นไม่พูดออกมาตรงๆ เราจะยังไม่ด่วนไม่ตัดสินอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรเป็น เดือนโอเคหรือเปล่า”

     ผมพยักหน้าเบาๆ นาทีนี้หัวสมองคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น

     “ถ้างั้นก็ให้มันจบแค่นี้ หลังจากนี้ห้ามฝนกับควีนพูดถึงเรื่องฝั่งพี่คลื่นอีก แค่พูดเล่นก็ไม่ได้”

     “ฝั่งพี่คลื่น?”

     “ใช่ เฉพาะฝั่งพี่คลื่น” ข้าวหอมยิ้มบางๆ “แต่ฝั่งเดือนต้องตอบมาว่ารู้สึกยังไงกับพี่คลื่น เราจะได้ช่วยกันถูก”

     หลังข้าวหอมพูดจบก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทั้งสามคนต่างมองมาที่ผมเพื่อรอฟังว่าผมจะตอบยังไง ผมหลับตานิ่ง ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่ารู้สึกยังไงกับพี่คลื่น...คนที่ช่วงนี้มักจะมีอิทธิพลกับความรู้สึกของผมโดยไม่รู้ตัว

     “เรา...ไม่รู้” ผมพูดคำเดิมออกไปอีกครั้ง ส่งสายตาขอโทษไปให้ข้าวหอม “เรารู้สึกดีกับพี่คลื่น แต่มันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกทั่วไปเวลาที่ได้อยู่ใกล้คนที่ตรงสเป็กทุกอย่าง ยิ่งพี่คลื่นมาทำดีด้วยแบบนี้ ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นแค่เกมแต่เราคิดว่าเป็นใครก็ต้องหวั่นไหวกันทั้งนั้น เราถึงไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเขาคือ ‘พี่คลื่น’ หรือ ‘คนที่ตรงสเป็กเรา’ กันแน่”

     ผมไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจสิ่งที่ผมพูดไหม ผมหมายถึงว่าถ้าคำตอบมันคือพี่คลื่น นั่นแปลว่าผมชอบพี่คลื่นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าคำตอบคือคนที่ตรงสเป็กผมเฉยๆ แปลว่าไม่จำเป็นต้องเป็นพี่คลื่น แค่สูงยาวเข่าดีหน้าตาหล่อเหลา จะเป็นใครผมก็ชอบหมด

     “งั้น...” ข้าวหอมเอื้อมมือมาจับไหล่ผมเหมือนที่ฝนทำ “ถ้าเดือนยังไม่แน่ใจก็ทำให้แน่ใจซะสิ”

     “ยังไงวะ” ฝนถามขึ้นมา

     “พาตัวเองไปอยู่ใกล้พี่คลื่นบ่อยๆ ไม่นานเดือนก็จะรู้ใจตัวเองแน่นอนว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคืออะไร”

     “แล้วถ้าเกิดมันไม่ใช่แบบที่พวกเราคิดล่ะ”

     “ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที เราต้องทำเท่าที่ทำได้ก่อน” ข้าวหอมขยิบตาให้ผม เหมือนอยากจะให้กำลังใจ “ไม่ต้องห่วง เดือนยังมีพวกเราอยู่ หลังจากนี้มาปรึกษาหรือระบายเท่าที่ต้องการได้เลย”

     “ขอบคุณนะข้าว พวกมึงด้วย ขอบคุณมากๆ”

     เพื่อนทั้งสามคนยิ้มกลับมาให้ผม ไม่บ่อยนักหรอกที่พวกเราจะทำตัวซึ้งกันแบบนี้ ที่เห็นผมเอาแต่บ่นเพื่อนแต่ไม่ยอมเลิกคบสักทีน่าจะรู้แล้วนะครับว่าเพราะอะไร ถึงภายนอกจะบ้าบอจนดูเหมือนไม่น่ามาคบกันได้ แต่พอถึงตอนคับขันพวกมันกลับเป็นคนกลุ่มแรกที่ผมเลือกจะมาพักพิงใจโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

     “งั้นกูว่าเรากลับไปตอบตกลงพี่คลื่นกันเถอะ ถ้าอยากให้ไอ้เดือนรู้ใจตัวเองเร็วๆ การไปค่ายอาสากับเขาก็น่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย”

     “พวกมึงจะไปกับกูด้วยใช่ไหม”

     “แน่นอน เรื่องเสือกน่ะขอให้บอก ต่อให้ขึ้นเขาลงห้วยพวกกูก็ไม่หวั่น จะตามไปเสือกทุกที่เลยคอยดู”

     เอากับมันสิครับ ทำตัวดีได้ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมากวนตีนอีกแล้ว ผมล่ะเหนื่อยใจกับเพื่อนตัวเองจริงๆ

     พวกเราสี่คนรีบออกจากห้องน้ำเพราะกลัวว่าถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้พี่คลื่นอาจสงสัยเอาได้ ระหว่างที่เดินกลับโต๊ะผมก็ได้แต่ภาวนาในใจคนเดียว

     ขอให้การตัดสินใจครั้งนี้ถูกต้องด้วยเถอะ ผมไม่อยากย้อนกลับมาก่นด่าตัวเองทีหลังว่าถ้ารู้แบบนี้ไม่ถลำลึกไปตั้งแต่แรกก็คงดี



     “พอได้แล้วครับ”

     “แต่พี่ว่าอันนั้นก็จำเป็นนะ”

     “แค่นี้ผมก็จ่ายไม่ไหวแล้วนะครับ”

     “แล้วใครบอกจะให้เดือนจ่าย พี่จะซื้อให้เดือนต่างหาก”

     “ลองทำจริงสิครับ ผมไม่ไปค่ายกับพี่จริงๆ ด้วย”

     เพื่อนทั้งสามคนมองของในตะกร้ารถเข็นก่อนจะหันมามองผม ผมได้แต่ส่ายหัวทำนองว่าไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ที่ทำกันอยู่นี่พี่คลื่นไม่ได้เตรียมกับผมมาก่อนเลย

     “พี่คลื่นครับ เราเอายาสระผมมาแล้วนะ” ผมร้องทักเมื่อคนตัวสูงทำท่าจะหยิบขวดยาสระผมลงตะกร้า พี่คลื่นมองขวดในมือตัวเองสลับกับอีกขวดในตะกร้าก่อนจะหันมาพูดหน้าตาเฉย

     “แต่มันคนละสูตรกันนะครับ ซื้อไปเผื่อไม่ดีกว่าเหรอ เดือนจะได้ใช้หลายแบบไง”

     “เราไปค่ายกันแค่สี่วันสามคืนนะครับ แล้วอีกอย่างห้องผมก็มีของพวกนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ด้วยซ้ำ”

     “ซื้อใหม่นี่แหละดี ซื้อแล้วเอามาเก็บไว้ที่พี่ วันออกเดินทางพี่จะเอาไปให้เอง เดือนจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าหนัก”

     คำพูดที่ดูเหมือนไม่คิดอะไรของพี่คลื่นกลับทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นแรงอย่างที่เป็นประจำเวลาอยู่ใกล้กัน เพื่อนๆ ผมเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน ถ้าไม่โดนข้าวหอมห้ามไว้ป่านนี้พวกมันคงเอ่ยแซวไปนานแล้ว

     “ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมไม่ได้บอบบาง ไม่อยากรบกวนพี่ด้วย”

     “พี่เต็มใจครับ แล้วพี่ก็เป็นคนบังคับให้เราไปค่าย พี่ต้องรับผิดชอบสิ”

     ฟังแล้วผมชักรู้สึกแหม่งๆ จากที่ตั้งใจจะไม่คิดบัญชีเริ่มอยากเปลี่ยนใจซะแล้วสิ เพิ่งจะมารู้สึกผิดตอนนี้เหรอครับ ทีตอนให้ผมขอเป็นแฟนนี่แกล้งกันใหญ่เลยนะ

     ผมตัดสินใจเงียบไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้พี่คลื่นเดินเลือกของใช้ต่อไป ถ้าอยากรับผิดชอบมากนักก็เชิญให้เต็มที่เลยครับ อย่ามาบ่นปวดหลังแล้วกัน ผมไม่นวดให้ด้วยบอกไว้ก่อน

     “อีควีน กูอึดอัดอ่ะ”

     “คิดว่ากูไม่เป็นหรือไง ปากนี่คันยิบๆ อยากแซวเต็มแก่แล้วค่ะ”

     ฝนกับควีนซุบซิบกันอยู่สองคน แต่พอโดนข้าวหอมมองด้วยสายตาดุๆ พวกมันก็รีบแยกตัวออกจากกันทันที

     หลังจากโทรไปฝากเพื่อนลงชื่อให้พวกผมเรียบร้อยแล้ว พี่คลื่นก็พาผมมาซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผมห้ามแล้วแต่พี่คลื่นก็ไม่ฟัง เอาแต่บอกว่าเต็มใจอย่างเดียว สุดท้ายผมจึงต้องปล่อยเลยตามเลย มิน่าล่ะถึงได้นัดพวกผมออกมาหา ถ้าจะถามเรื่องค่ายอาสาอย่างเดียวฝากผมมาถามเพื่อนเองก็ได้

     ที่จริงกำหนดการไปค่ายอาสาคือเดือนหน้า แต่เพราะมันดันตรงกับช่วงสอบของมหา’ลัย พวกรุ่นพี่เลยเปลี่ยนกำหนดการมาเป็นสัปดาห์หน้าแทน คนในคณะเขาน่ะไม่มีปัญหาหรอก จะมีก็แต่พวกผมนี่แหละ วันที่กลับมาจากค่ายเป็นวันเดียวกับที่อาจารย์นัดส่งรายงานคู่ พวกผมเลยมีเวลาทำรายงานน้อยกว่าคนอื่นในเซคฯ เดียวกัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเพื่อนผมกลับไม่มีใครบ่นสักคน แค่รู้ว่าจะได้ตามไปดูผมกับพี่คลื่นแบบใกล้ชิด ฝนกับควีนก็แทบจะลืมความเหนื่อยที่ต้องทำรายงานข้ามวันข้ามคืนไปสนิทใจ

     ไม่สิ ผมว่าพวกมันไม่ได้ตามมาดูแค่ผมคนเดียวหรอก...

     “จริงด้วยสิ หนูลืมถามไปเลย พี่มาชวนพวกหนูไปค่ายด้วยแบบนี้มันจะดีเหรอคะ”

     “แล้วมันจะไม่ดียังไงเหรอครับน้องฝน”

     “หนูนึกว่าค่ายนี้เขารับแต่เด็กบริหารฯ น่ะค่ะ”

     “จริงอยู่ที่คนในค่ายส่วนใหญ่เป็นเด็กบริหารฯ แต่ไม่มีกฎว่าห้ามคนนอกคณะไปด้วยครับ ไม่ใช่แค่พี่หรอก มีหลายคนเหมือนกันที่ชวนเพื่อนต่างคณะไปด้วย”

     “แล้ว...ค่ายนี้พี่องศาไปด้วยไหมคะ” ปากถามพี่คลื่น แต่ตามันเหลือบไปมองคนข้างตัวที่สะดุ้งขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อเพื่อนพี่คลื่น

     “ไปด้วยครับ มันอยู่ฝ่ายสวัสดิการ มีอะไรก็เรียกใช้ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

     “ได้ยินไหมอีควีน เรียกใช้พี่องศาได้ทุกเวลาเลยนะ” ฝนพูดเสียงดังกว่าเดิมเหมือนจงใจให้คนที่ทำเป็นหันไปมองทางอื่นได้ยิน พอแซวผมไม่ได้มันเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นข้าวหอมแทนสินะ

     ผมพอจะได้ฟังเรื่องของข้าวหอมกับพี่องศามาบ้าง ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าได้ยินมาจากใคร แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อย บางทีอะไรๆ มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้

     อย่างเช่นเรื่องของผมกับพี่คลื่นในตอนนี้ไง...

     หลังจากเดินเลือกของอยู่นานจนไม่เหลือที่ว่างในตะกร้าแล้ว พี่คลื่นก็เดินนำพวกผมไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์อย่างอารมณ์ดี ผมเห็นว่าของที่ซื้อมามันเยอะมากเลยเสนอจะช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง แต่พี่คลื่นก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะขอจ่ายเองทั้งหมด แต่แลกกับเงื่อนไขเพิ่มเติม

     “ตอนอยู่ในค่ายเดือนต้องมาทำงานฝ่ายเดียวกับพี่ ห้ามไปทำกับคนอื่น เข้าใจไหมครับ”

     ผมเอียงคอทำหน้างง ขณะที่เพื่อนๆ เม้มปากกลั้นเสียงกรี๊ดไว้สุดพลัง

     “ทำไมครับ”

     “พี่อยากทำงานใกล้เดือน เหตุผลแค่นี้น่าจะเพียงพอนะครับ”

     ไม่น่าถามเลย ไม่น่าเลยจริงๆ

     ”เอ่อ...คงไม่ดีมั้งครับ เอาผมไปอาจจะเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ก็ได้” ผมไม่อยากพูดติดอ่าง แต่มันทำได้ยากเหลือเกินเมื่อโดนพี่คลื่นพูดแบบนี้ใส่ นอกจากอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แล้วพี่คลื่นยังอยู่ฝ่ายแรงงานด้วย หน้าที่หลักๆ คือการซ่อมแซมตัวอาคารเรียน ผมที่ไม่เคยทำงานหนักมาก่อนเลยกลัวว่าจะเป็นตัวเกะกะเปล่าๆ

     “แค่ช่วยหยิบจับของให้ก็พอครับ ยังไงซะพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะพาเราไปทำงานอยู่แล้ว”

     “ถ้างั้นพี่คลื่นจะให้ผมไปทำไมอ่ะครับ”

     ตอนแรกผมนึกว่าคนไม่พอพี่คลื่นเลยมาชวนผม แต่พอเขาพูดแบบนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเดาถูกหรือเปล่า

     คนตัวสูงไม่พูดอะไร แต่หันไปจ่ายเงินกับพนักงานเหมือนตั้งใจจะหยุดบทสนทนาไว้เท่านี้ ผมลอบถอนหายใจบางเบา ก็เป็นซะแบบนี้ไงผมถึงได้สับสนหาคำตอบไม่เจอสักที ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดอะไร แต่พอลองได้คิดแล้วผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าการกระทำของพี่คลื่นมีหลายอย่างมากที่คลุมเครือ

     หวังว่ามันจะคลุมเครือไปอีกไม่นานนะครับ ผมอยากรู้ใจเร็วๆ แล้ว ทั้งใจของพี่คลื่นและของตัวเอง



     ตามที่คุยกันไว้คือพี่คลื่นจะขับรถไปส่งพวกผมทุกคน แต่จู่ๆ พี่ยี่หวาก็โทรมาบอกว่าอาจารย์อยากคุยธุระเกี่ยวกับงบประมาณที่จะใช้ในค่ายอาสา เมื่อคนที่จะไปส่งเกิดไม่ว่างขึ้นมากะทันหันพวกผมเลยตั้งใจว่าจะกลับเอง แต่พี่คลื่นกลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น

     “ฮัลโหลองศา ตอนนี้มึงว่างหรือเปล่า มารับน้องๆ ไปส่งบ้านแทนกูหน่อยได้ไหม”

     ข้าวหอมตาโตเมื่อเห็นว่าพี่คลื่นกำลังโทรไปขอความช่วยเหลือใคร พอกำลังจะอ้าปากคัดค้านก็โดนฝนกับควีนปิดปากแน่นไม่ให้ส่งเสียงออกมาสักแอะ จนกระทั่งพี่คลื่นวางสายพี่องศาแล้วมันถึงจะยอมปล่อย

     “อีกสิบนาทีองศามันจะมารับ ไปรอกันตรงทางเข้าก่อนนะครับ”

     “ได้ค่ะพี่คลื่น ขอบคุณมากเลยนะคะ”

     “ขอโทษนะครับน้องๆ ที่จริงพี่อยากไปส่งเอง แต่อาจารย์เขาอยากคุยธุระกับพี่ตอนนี้เลย”

     “ไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่นี้พวกหนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว พี่คลื่นไปเถอะ พวกหนูรอพี่องศาได้”

     คนตัวสูงยิ้มให้พวกผมส่งท้าย กำลังจะเดินไปชั้นจอดรถแต่โทรศัพท์ที่เพิ่งเก็บไปเมื่อครู่ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

     “ว่าไงครับหวาน”

     ชื่อที่ออกจากปากพี่คลื่นพาให้ฝนกับควีนรีบหันขวับไปมองหน้ากันทันที ท่าทางพวกมันเปลี่ยนไปจนข้าวหอมที่งอนอยู่ยังอดสงสัยไม่ได้

     “หวานจะไปค่ายด้วยเหรอ ไหนบอกคลื่นว่าไม่อยากไปเจอความลำบากไง...ครับ...ได้ครับ...เดี๋ยวคลื่นบอกไอ้ทิวให้ลงชื่อหวานให้”

     พอคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วพี่คลื่นก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม หันมายิ้มให้พวกผมอีกครั้ง

     “พี่ไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันตอนวันไปค่าย”

     “คะ...ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะพี่คลื่น”

     พอพ้นสายตาคนตัวสูงแล้วฝนกับควีนก็หันไปซุบซิบกันใหญ่ มันทำหน้าเคร่งเครียดจนผมกับข้าวหอมได้แต่มองตากันอย่างงุนงง

     “ฝนกับควีนเป็นอะไรไปอ่ะ ทำหน้าเหมือนโดนอาจารย์ให้เอฟเลย”

     “นั่นปากเหรอไอ้ข้าว ถึงพวกกูไม่ค่อยตั้งใจเรียนแต่ก็ไม่เคยโดดเรียนนะคะ”

     “ถ้างั้นทำไมพวกมึงต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นวะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

     พวกมันสองคนไม่ตอบผมในทันที แต่หันไปทำตาปริบๆ ใส่กันเหมือนกำลังปรึกษาอะไรสักอย่าง ก่อนที่ควีนจะยอมพูดออกมาในที่สุด

     “พี่น้ำหวานที่โทรมาหาพี่คลื่นเมื่อกี้น่ะ กูได้ยินมาว่าเคยคบกับพี่คลื่นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอพี่คลื่นไม่ออกมาพูดหรือแสดงออกอะไรคนก็ค่อยๆ ลืมกันไป แต่ช่วงนี้ก็ยังเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด”

     ผมฟังเพื่อนอธิบายเงียบๆ ไม่ได้แสดงสีหน้าแบบไหนออกไปทั้งนั้น ข้าวหอมที่เริ่มจับอะไรบางอย่างได้หันมามองอย่างตกใจ ขณะที่ฝนกับควีนมองผมอยู่ก่อนแล้ว

     “มีแค่นี้เหรอที่มึงได้ยินมา”

     “อะ...เออ”

     ท่าทางผมคงนิ่งไปจนเพื่อนๆ อดเป็นห่วงไม่ได้ พวกมันมองเหมือนผมถูกผู้ชายหักอกมาอย่างนั้นแหละ

     “เดือน มึงคิดมากเหรอวะ”

     “ข้าว...ข้าวว่าเราไปนั่งกินเค้กรอพี่องศาดีไหม เค้กที่เดือนชอบกินไง”

     “ไม่เป็นไรข้าว อีกเดี๋ยวพี่องศาก็จะมาถึงแล้ว เราไม่อยากให้เขารอนาน”

     เพื่อนทั้งสามคนยังไม่หยุดมองผมด้วยความเป็นห่วง จนผมยิ้มออกมาแล้วตีแขนควีนไปหนึ่งที

     “กูจะคิดมากไปทำไมล่ะ เรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย พี่น้ำหวานจะคบกับพี่คลื่นหรือเปล่าไม่ใช่เรื่องที่กูต้องเก็บมาคิด อย่าลืมสิว่ากูกับพี่คลื่นไม่ได้เป็นอะไรกัน”

     “มึงคิดอย่างนั้นเหรอ”

     “อืม”

     “ถ้ามึงคิดได้แบบนั้นพวกกูค่อยสบายใจหน่อย” ฝนถอนหายใจยืดยาว เหมือนมันกลั้นหายใจรอผมพูดประโยคนี้มานาน

     พวกเราไปยืนรอที่ทางเข้าห้างไม่นานพี่องศาก็มาถึง รอบนี้ฝนกับควีนขยันชงบทสนทนาให้พี่องศาพูดคุยกับข้าวหอมเป็นพิเศษ มองเผินๆ อาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ผมรู้ดีว่าแผนการแม่สื่อคู่ที่สองของเพื่อนผมได้เริ่มขึ้นแล้ว ข้าวหอมหันไปนอกหน้าต่างพลางทำแก้มพองลม ฝนกับควีนชวนพี่องศาคุยไปตลอดทาง ส่วนผมก็คอยตอบบางครั้งที่มีคนพูดด้วย แต่ถ้าเพื่อนผมช่างสังเกตสักนิดจะเห็นว่าผมกำลังฝืนยิ้มอยู่

     แต่ผมว่าพวกมันไม่มีทางรู้หรอกครับ เพราะขนาดผมเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจจริงๆ

     ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิด...ผมว่าผมพูดถูกแล้วนะ แต่ทำไมสมองกับหัวใจมันไม่สามัคคีกันเอาซะเลย





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.12 [15/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-08-2022 20:34:23
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.12 [15/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 16-08-2022 04:07:28
 :-[ งื้อขอบคุณนะคะที่กลับมาลงต่อ แอบลุ้นตอนหน้าไม่ไหวว่านังหวานๆจะมาทำไรเดือนหรือเป่า แบบนี้ต้องตบก่อนค่อยถามทีหลังค่ะ!!!
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 13 [16/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 16-08-2022 17:05:32
ตอนที่ 13 : รับผิดชอบ





     “ไอ้เดือน! ทางนี้ๆ”

     ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นเพื่อนๆ ที่มายืนรอหน้าตึกคณะบริหารฯ อยู่ก่อนแล้ว สองเท้าเดินเข้าไปหาขณะที่มุมปากอดยิ้มไม่ได้

     “ดูมึงตื่นเต้นจังนะที่จะได้ไปค่ายอาสา” เห็นอาการยิ้มแป้นแล้นของไอ้ฝนแล้วมันคันปาก ไม่แซวคงไม่ได้ ท่าทางมันไม่เหมือนคนที่เพิ่งหามรุ่งหามค่ำทำรายงานมาเลย

     “ก็แน่สิคะ กูไปแอบส่องมาแล้ว พวกผู้ชายที่จะไปค่ายด้วยหล่อๆ กันทั้งนั้น คราวนี้แหละกูจะหว่านเสน่ห์ไปให้ทั่วเลย” ฝนหันไปยิ้มกริ่มกับควีนที่น่าจะคิดเหมือนกัน ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมๆ ให้พวกมัน

     “เดือนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าตาไม่สดชื่นเลย” ผมว่าผมพยายามทำตัวเป็นปกติแล้วนะ แต่ข้าวหอมก็ยังสังเกตเห็นอีก พอข้าวหอมทักแบบนั้นผมเลยยิ้มกว้างกว่าเดิมเพื่อกลบเกลื่อน

     “เมื่อคืนตื่นเต้นไปหน่อยเลยนอนไม่ค่อยหลับน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

     “แหม แล้วมาว่ากูตื่นเต้น มึงก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ”

     “เดือนเอาของมาครบใช่ไหม ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นจนลืมจัดกระเป๋านะ”

     “ไม่ต้องห่วงข้าว เราเช็กกระเป๋าก่อนออกมาแล้ว”

     “แน่ใจเหรอ ค่ายอาสารอบที่แล้วมึงก็พูดแบบนี้ สุดท้ายต้องมาขอยืมกางเกงอีควีนใส่”

     “ไอ้ฝน!” ผมถลึงตาใส่มันพลางหันไปมองรอบตัวว่ามีใครได้ยินหรือเปล่า เรื่องน่าอายแบบนี้มีแค่เพื่อนตัวแสบของผมรู้ก็เกินพอแล้ว

     “โอ๊ย ไม่ต้องห่วง กูไม่พูดเสียงดังหรอก ใครจะอยากเอาเรื่องอ๊องๆ ของมึงไปประจานล่ะ กูไม่ใช่คนเลวแบบนั้น”

     ขอบคุณมากครับเพื่อน แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ช่วยหยุดพูดคำว่าอ๊องสักที ได้ยินแล้วเท้ามันกระตุก

     “ไปลงทะเบียนเลยไหม ข้าวเห็นคนอื่นไปกันเยอะแล้ว”

     ผมพยักหน้าให้ข้าวหอม ก่อนที่เราสี่คนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปลงทะเบียนข้างในตึก แต่ยังเดินไปไม่ถึงไหนก็มีคนเรียกซะก่อน

     “เดือน!”

     เสียงทุ้มอันคุ้นหูทำให้เพื่อนผมหันกลับไปมอง มีแค่ผมคนเดียวที่ยืนนิ่งไม่ขยับตัว เมื่อเห็นว่าผมไม่หันไปหาพี่คลื่นเลยเดินมาอยู่ตรงหน้าแทน พี่องศา พี่ทิว พี่ยี่หวาก็มาด้วย

     “พี่ๆ สวัสดีค่ะ” เพื่อนผมยกมือไหว้รุ่นพี่กันใหญ่ ส่วนผมเอาแต่มองคนตรงหน้าโดยไม่ทำอะไรเลย

     “พี่บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวจะไปรับ ทำไมถึงหนีมาเองล่ะครับ”

     “ผม...เกรงใจน่ะครับ ไม่อยากให้พี่เปลืองน้ำมันรถ”

     “โธ่ เกรงใจอะไรไม่เข้าเรื่องเลยนะเรา” พี่คลื่นเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตผมเลยต้องฝืนยิ้มออกไป

     “น้องเดือนนี่เป็นคนดีจัง รู้จักเกรงอกเกรงใจคนอื่น ไม่เหมือนบางคน...” พี่ยี่หวาเหลือบไปมองพี่องศาที่มายืนข้างข้าวหอมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “เอาแต่จะไปรับส่งเขาท่าเดียว ไม่ถามเขาสักคำว่าเต็มใจหรือเปล่า”

     “อะไรของมึงยี่หวา ถ้าไม่มีกูคอยเป็นสารถีข้าวหอมจะมาเรียนยังไง กูออกจะเป็นคนดี” พี่องศายืดอกชมตัวเองอย่างภูมิใจ ขณะที่ข้าวหอมหันหน้าไปอีกทางพลางเม้มปากแน่น

     “แล้วเมื่อเช้าพี่องศาไม่ได้มาส่งข้าวเหรอคะถึงได้มาพร้อมเพื่อน”

     “เมื่อเช้าพ่อข้าวมาส่งน่ะ พอดีพ่อกลับมาแล้ว พี่องศาเลยไม่ต้องมารับส่งข้าวอีก” ฝนถามพี่องศาแต่ข้าวหอมตอบแทน

     “อ้าว มึงตกกระป๋องแล้วเหรอวะองศา” พี่ทิวเอ่ยแซวเพื่อน แต่แทนที่จะโกรธพี่องศากลับยิ้มมุมปาก

     “ตกไม่นานหรอก มึงคอยดูหลังจากนี้แล้วกัน”

     พวกผมต่างทำหน้างงกับคำพูดของพี่องศา แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรพี่ยี่หวาก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน

     “ไหนๆ ก็มาเจอน้องๆ แล้ว พวกมึงพาไปลงทะเบียนเลยแล้วกัน เดี๋ยวพวกกูไปคุยธุระกับคนขับรถก่อน ฝากลงทะเบียนให้ด้วย”

     “เออๆ”

     พี่ทิวกับพี่ยี่หวาเดินแยกไปอีกทาง ตอนนี้เลยเหลือรุ่นน้องสี่คนกับรุ่นพี่สองคน พี่องศาเอ่ยปากชวนพวกผมไปลงทะเบียนก่อนจะแย่งกระเป๋าของข้าวหอมไปถือ

     “พี่จะเอากระเป๋าผมไปไหนครับ”

     “พี่ถือให้ ตัวแค่นี้แต่แบกของมาซะเยอะเดี๋ยวก็เมื่อยแขนหรอก”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมถือเองได้ มันไม่หนักเท่าไหร่”

     พี่องศาไม่สนใจเพื่อนผม รีบเดินไปจุดลงทะเบียนทันที ข้าวหอมที่ทำอะไรไม่ได้เลยจำต้องเดินตามไปโดยมีฝนกับควีนคอยแซวไม่ห่างกาย ผมกำลังจะตามไปบ้างแต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกคนตัวสูงดึงมือไปจับ

     “พี่คงถือกระเป๋าให้ไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่มีมือไว้จับเดือน อย่าโกรธกันนะครับ” พี่คลื่นยิ้มก่อนจะกระตุกมือเบาๆ พาผมเดินตามคนอื่นไป ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่เลื่อนสายตามามองมือของเราสองคนที่จับกันอยู่

     นี่ไงครับสาเหตุที่ทำให้ผมนอนไม่หลับเมื่อคืน ไม่ได้รู้ตัวเลยสินะว่ากำลังทำให้หัวใจคนอื่นผิดปกติ...



     ถึงแม้จะลงชื่อสมัครค่ายไปแล้ว แต่ก่อนออกเดินทางทุกคนที่ไปค่ายจะต้องลงทะเบียนอีกครั้งเผื่อว่าใครติดธุระไม่สามารถมาได้แล้ว ในตอนที่ผมเดินมาถึงโต๊ะลงทะเบียน ใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้าง

     “อ้าว! พี่เมศ”

     เจ้าของชื่อผละจากกระดาษในมือเงยหน้ามามองก่อนจะยิ้มกว้าง “น้องเดือนไม่ใช่เหรอครับ มาค่ายนี้ด้วยเหรอเรา”

     “ใช่ครับ พี่ก็มาด้วยเหรอ” อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่ให้ผมยืมผ้าเช็ดหน้าเมื่อวันก่อนอีกครั้งในฐานะคนร่วมค่าย แต่แทนที่จะตอบคำถามพี่เมศกลับขำออกมา ทำไมอ่ะ ผมถามอะไรผิดเหรอ

     “จะเรียกว่ามาก็ไม่เชิงหรอก เผอิญว่าพี่เป็นประธานค่าย เป็นคนจัดค่ายนี้ขึ้นมาครับ”

     เอาล่ะสิ ความอ๊องเล่นงานผมเข้าแล้วไง อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปถามประธานค่ายแบบนั้น ขณะที่ผมได้แต่ยืนหัวเราะแหะๆ ฝนกับควีนก็เขยิบมาใกล้พลางกระซิบเสียงเบา

     “มึงกับพี่เมศรู้จักกันเหรอวะ”

     “เรื่องมันยาว เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังทีหลัง” พอตอบเพื่อนเสร็จผมก็นึกขึ้นมาได้ทันที “จริงด้วย!”

     ผมรีบเปิดกระเป๋าแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งคืนเจ้าของทันที พี่เมศมองมาอย่างงุนงง จะงงอะไรครับ นี่ผ้าเช็ดหน้าพี่ไม่ใช่เหรอ

     “พี่บอกว่าให้ผมคืนพี่ตอนที่เราบังเอิญเจอกันอีกครั้ง นี่ไงครับ เราบังเอิญเจอกันแล้ว”

     ผมพกผ้าเช็ดหน้าพี่เมศไปไหนมาไหนด้วยทุกครั้ง เผื่อบังเอิญเจอกันในมหา’ลัยจะได้คืนให้เขาได้เลย พอผมพูดจบพี่เมศก็หลุดขำเป็นรอบที่สอง ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าพี่เมศหล่อ ทำอะไรก็ดูดีไปหมด แต่บางทีพี่ก็ขำบ่อยเกินไปนะครับ

     “ไม่นึกว่าน้องเดือนจะยังจำได้นะเนี่ย แต่ก็ขอบคุณครับที่เอามาคืน” พี่เมศรับผ้าเช็ดหน้าไป ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนข้างผม “เดือนมากับคลื่นเหรอ”

     “ครับ ผมเป็นคนชวนเดือนมาเอง”

     ผมหันไปมองคนที่เพิ่งพูดประโยคแรกหลังจากเงียบมานาน จนถึงตอนนี้พี่คลื่นก็ยังไม่ปล่อยมือผม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงที่พี่คลื่นพูดกับพี่เมศมันดูแข็งกระด้างยังไงไม่รู้

     “ในค่ายไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ พอวิดีโอคอลไม่ได้เลยจะพาไปเข้าค่ายด้วยกันสินะ”

     “ลงชื่อเสร็จหรือยังครับ ผมจะพาเดือนไปขึ้นรถ” พี่คลื่นตอบคำถามด้วยคำถามกลับไป

     “ใจเย็นสิ พี่ยังไม่ได้ถามชื่อน้องเขาเลย” พี่เมศหันมาถามชื่อนามสกุลและเบอร์โทรศัพท์ สองอย่างแรกผมพูดไปตามปกติ แต่พอจะบอกเบอร์พี่คลื่นก็ขัดขึ้นมา

     “ไม่ต้องกรอกเบอร์ก็ได้ครับ”

     มือที่เตรียมจดเบอร์หยุดค้างในอากาศ พี่เมศเงยหน้ามองพี่คลื่นพลางเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ”

     “ผมเป็นคนพาเดือนมา และผมก็มีเบอร์เดือนอยู่แล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเดือนเดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง”

     “แต่ในฐานะประธานค่ายพี่ต้องห่วงความปลอดภัยของคนในค่ายไว้ก่อน อย่างน้อยถ้ามีปัญหาอะไรพี่จะได้ติดต่อเดือนได้”

     “ผมดูแลเดือนได้ครับ พี่เมศคอยดูแลคนอื่นในค่ายเถอะ คิดซะว่าผมช่วยแบ่งเบาภาระพี่สิครับ”

     พี่เมศไม่พูดอะไรต่อ เอาแต่จ้องหน้ากับพี่คลื่นอย่างไม่มีใครยอมใคร ดีนะที่พวกผมมาลงทะเบียนเป็นกลุ่มสุดท้าย ไม่งั้นทุกอย่างคงล่าช้าไปกว่านี้

     เพื่อนผมหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกมันก็คงสัมผัสถึงบรรยากาศมาคุได้เหมือนกัน และก่อนที่ผู้ชายทั้งสองคนจะจ้องกันนานไปกว่านี้ พี่องศาที่ยืนดูสถานการณ์เงียบๆ ก็เข้ามาแทรกกลางวง

     “เอาน่าพี่เมศ ถือว่าหยวนๆ ให้หน่อย ไอ้คลื่นเป็นคนชวนเดือนมา มันคงอยากดูแลเดือนด้วยมือตัวเองจริงๆ”

     พี่เมศเหลือบมามองผมนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ แต่เหมือนผมจะเห็นเขายิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเดือนนายต้องรีบโทรหาพี่ทันที เข้าใจไหม”

     “เข้าใจครับ” คนตอบคือพี่องศา ส่วนคนที่โดนถามอย่างพี่คลื่นยังเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา แถมยังจับมือผมแน่นขึ้นด้วย

     “งั้นก็ไปขึ้นรถเถอะ ใกล้ถึงเวลาล้อหมุนแล้ว”



     “มึงรีบเล่ามาเดี๋ยวนี้เลยว่าไปรู้จักคนระดับนั้นได้ยังไง” ทันทีที่ก้นแตะเบาะ ควีนก็รีบพุ่งเข้าประเด็นโดยมีฝนมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่แพ้กัน

     “ใคร พี่เมศน่ะเหรอ”

     “เออ”

     “ก็ไม่มีอะไร ตอนที่กูตัวเปียกในห้องน้ำเมื่อวันก่อนพี่เขาให้ยืมผ้าเช็ดหน้า”

     “มึงรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร”

     ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ ฝนทำหน้าเหมือนอยากแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเฉลย

     “พี่เมศคืออดีตเดือนมหา’ลัยปีสี่ แถมยังเป็นอดีตเดือนบริหารฯ เหมือนพี่คลื่นของมึงไง”

     ข้อมูลใหม่ที่ได้รับจากเพื่อนทำให้ผมตาโตโดยลืมสนใจท้ายประโยคไปสนิท ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่เมศอยู่มหา’ลัยเดียวกันแถมยังหน้าตาดี แต่ไม่นึกว่าจะเป็นคนดังขนาดนี้

     “น้องคะ พี่ขอนั่งตรงนี้ได้ไหม” ระหว่างที่ผมคุยกับเพื่อนก็มีผู้หญิงสามคนเข้ามาทัก ผมเงยหน้าไปมองเธอก่อนจะมองกลับมายังที่นั่งข้างตัวที่พี่คลื่นฝากกระเป๋าของเขาให้ผมมาจองที่เอาไว้

     “พอดีตรงนี้มีคนจองแล้วอ่ะครับ”

     “พี่ไม่ได้จะนั่งตรงนี้ แต่หมายถึงให้น้องย้ายไปนั่งที่อื่นแล้วพี่จะนั่งแทนที่น้อง ได้ไหมคะ”

     “เอ่อ...คือ...”

     “นี่กระเป๋าคลื่นใช่ไหม” คนที่ยืนอยู่ไม่สนใจอาการติดอ่างของผม เอาแต่มองกระเป๋าที่ผมวางไว้ข้างๆ “พี่จะนั่งกับคลื่น น้องไปนั่งหลังรถนะคะ”

     ผมไม่ใช่คนมองโลกในแง่ลบ แต่สายตาและน้ำเสียงที่ผู้หญิงคนนี้ใช้บ่งบอกว่าไม่ได้มาดีแน่ แต่ผมไม่รู้จักเธอเลยงงว่าทำไมจู่ๆ ถึงโดนหาเรื่อง เมื่อไม่รู้จะทำยังไงผมเลยจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้ว เพราะตอนนี้ไอ้ฝนยืนเท้าเอวดึงหน้าใส่พวกพี่เขาเรียบร้อย

     “พี่ไม่เคยได้ยินสำนวน ‘ใครมาก่อนก็ได้ก่อน’ เหรอคะ เพื่อนหนูมันมานั่งก่อนพี่ แล้วเรื่องอะไรต้องยอมลุกให้พี่ด้วย”

     เสียงไอ้ฝนใช่ว่าจะเบาซะที่ไหน เล่นเอาคนทั้งรถหันมามองพวกผมเป็นจุดเดียว ผมกับข้าวหอมที่นั่งด้านหลังหันมามองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ต้องพูดอะไรเราสองคนก็รู้กันดีว่าถ้าลองฝนได้มีเรื่องกับใครแล้วความวุ่นวายจะต้องตามมาแน่นอน

     “แค่ลุกให้มันยากมากเหรอน้อง” เพื่อนของคนที่หาเรื่องผมเริ่มเข้ามาร่วมวงด้วย

     “แล้วแค่ไปหาที่นั่งใหม่มันยากมากเหรอคะพี่” ไอ้ควีนที่นั่งข้างฝนก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน

     “ก็พี่อยากนั่งตรงนี้ นี่พี่ขอดีๆ แล้วนะ”

     “จะขอยังไงก็ไม่ให้ทั้งนั้นแหละค่ะ ที่ว่างอื่นก็มีเยอะแยะ จะมาแย่งที่คนอื่นทำไมก็ไม่รู้”

     รุ่นพี่ทั้งสามคนมองเพื่อนผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่พี่คนแรกจะหันมามองกระเป๋าพี่คลื่น

     “ก็ได้ ถ้าน้องหวงนักก็เชิญนั่งที่เดิมไปเลย แต่พี่จะเอากระเป๋าคลื่นไปด้วย”

     “ทำอะไรกันน่ะหวาน” ในตอนที่พี่ทิวกับพี่ยี่หวากำลังจะเข้ามาช่วยเพราะเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดี พี่คลื่นกับพี่องศาที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำก็เดินขึ้นมาบนรถ ชื่อที่พี่คลื่นใช้เรียกคนที่มาหาเรื่องทำให้หัวใจผมกระตุกแปลกๆ ผมรีบเงยหน้ามองเธออีกครั้งทันที

     ผู้หญิงคนนี้คือพี่น้ำหวานงั้นเหรอ...

     “คลื่นมาแล้วเหรอ หวานรอตั้งนานแต่ไม่เห็นคลื่น นึกว่าคลื่นจะทิ้งให้หวานไปค่ายคนเดียวซะแล้ว” พี่น้ำหวานเลิกสนใจผม เดินไปคล้องแขนพี่คลื่นพลางพูดเสียงอ่อนไม่เหมือนตอนคุยกับผม ผมรีบเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้าทันที ทึกทักเอาเองว่าด้านหน้ารถแดดส่องจนทำให้แสบตา

     “หวานรีบไปหาที่นั่งเถอะ เดี๋ยวรถจะออกแล้ว”

     “คลื่นนั่งกับหวานนะ วันนี้หวานรู้สึกเพลียๆ เหมือนจะเมารถยังไงไม่รู้”

     “ขนาดรถยังไม่ออกยังเมาแล้วเลย นี่ถ้าขับไปสองชั่วโมงพี่ไม่หัวใจวายเลยเหรอคะ” ไอ้ฝนยังไม่ยอมเลิกรา พี่น้ำหวานตวัดสายตามามองจิก แต่แวบเดียวก็หันไปออดอ้อนพี่คลื่นต่อ

     “ข้างคนขับมีที่ว่างอยู่ หวานไปนั่งตรงนั้นแล้วกัน นั่งหน้ารถไม่เมาชัวร์เชื่อคลื่น”

     ฝนกับควีนแกล้งหัวเราะเสียงดังเมื่อพี่คลื่นปฏิเสธพี่น้ำหวาน ขนาดพี่ยี่หวาที่ยืนอยู่ไม่ไกลยังหลุดขำเบาๆ เลย พี่น้ำหวานเริ่มชักสีหน้า ยังไม่ยอมปล่อยมือจากแขนพี่คลื่น

     “คลื่นจะทิ้งให้หวานนั่งคนเดียวเหรอ”

     “หวานก็มากับเพื่อนไม่ใช่เหรอ”

     “แล้วคลื่นจะนั่งกับใคร อย่าบอกนะว่าน้องคนนั้น” พี่น้ำหวานชี้มาทางผม

     “ใช่ครับ คลื่นจะนั่งกับเดือน”

     “น้องเดือนมากับเพื่อน น่าจะอยากนั่งกับเพื่อนมากกว่า คลื่นมานั่งกับหวานเถอะค่ะ เดี๋ยวจะอึดอัดกันเปล่าๆ”

     พี่คลื่นไม่ตอบอะไรพี่น้ำหวาน หันมามองทางที่พวกผมอยู่ “น้องข้าวหอม น้องฝน น้องควีนครับ”

     “คะ!?” ฝนสะดุ้งที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ อีกสองคนก็ไม่ต่างกัน

     “พี่ขอนั่งกับเพื่อนน้องได้ไหมครับ”

     พวกมันหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่ควีนจะเป็นคนตอบ “พวกหนูยังไงก็ได้ค่ะ พี่ไปถามไอ้เดือนเถอะ”

     คราวนี้คนตัวสูงหันมามองผม สายตาที่มองมาดูจริงจังกว่าทุกครั้ง “เดือนครับ ถ้าพี่ขอนั่งด้วยจะอึดอัดไหม”

     จากที่พยายามหลบตา พอโดนถามตรงๆ แบบนี้ผมจึงต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ ผมอึกอัก ลืมไปว่าพี่คลื่นกำลังถามอยู่ จนกระทั่งคนตัวสูงใช้สายตากดดัน ผมเลยเผลอตอบออกไป “ไม่...ไม่อึดอัดครับ”

     พี่คลื่นทำสีหน้าพอใจ หันไปแกะมือพี่น้ำหวานออกจากแขน “ขอบคุณนะครับหวานที่เป็นห่วงเดือน แต่ก็อย่างที่ได้ยิน เดือนเขาอยากให้คลื่นไปนั่งด้วย”

     เดี๋ยวนะครับ ถึงผมจะอ๊องแต่ผมไม่ได้ขี้ลืม ผมว่าผมไม่ได้พูดแบบนั้นนะ

     “แต่ว่า…”

     “หวานรีบไปนั่งเถอะ เดี๋ยวพี่เมศมาแล้วเห็นว่ายังไม่เรียบร้อยจะโดนดุเอานะ”

     พี่น้ำหวานทำหน้าไม่พอใจ แต่เพราะทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่เดินไปนั่งหลังรถพร้อมกับเพื่อนๆ ด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก ไม่ไปนั่งหน้ารถตามที่พี่คลื่นแนะนำ

     “นั่งหลังรถระวังอ้วกแตกนะคะ บนรถไม่มีถุงให้ด้วย”

     “ฝน! พอได้แล้ว” ข้าวหอมดุเพื่อนที่ไม่ยอมหยุดเสียที พี่คลื่นเดินมานั่งข้างผม ส่วนพี่องศาเดินไปนั่งข้างข้าวหอมที่อยู่เบาะหลัง

     อย่าเข้าใจผิดนะครับ ตอนแรกผมกับข้าวหอมจะนั่งด้วยกัน แต่พี่คลื่นบอกว่าเขาจะนั่งกับผม พอผมไม่ยอมก็เจอเข้ากับสายตาดุๆ เลยจำต้องยอมในที่สุด และเมื่อเห็นว่าข้างข้าวหอมไม่มีคนนั่งพี่องศาก็รีบจับจองทันที

     ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่คลื่นกำลังหงุดหงิด แต่ผมไม่เคยเห็นพี่คลื่นเป็นแบบนี้มาก่อน ผมเลยไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงในสถานการณ์อย่างนี้

     ตอนที่พี่คลื่นนั่งลงมาแขนของเราสองคนแตะกันนิดหน่อย ผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ปั้นหน้าเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

     “ไม่ไปนั่งกับพี่น้ำหวานเหรอครับ” ผมเอ่ยถามเสียงเรียบ อย่าถามว่าทำไมถึงถามเพราะตัวผมเองยังไม่รู้เลย จู่ๆ ปากมันก็โพล่งออกไปเอง

     “ทำไมครับ ไม่อยากนั่งกับพี่เหรอ ไหนบอกว่าไม่อึดอัดไง”

     “เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าพี่น่าจะอยากนั่งกับพี่น้ำหวานมากกว่าผม”

     “เดือนจะมาคิดแทนพี่ทำไม ถ้าพี่ไม่อยากนั่งกับเราพี่จะฝากกระเป๋าไว้ที่เราเหรอ”

     ผมกำลังจะตอบกลับไป แต่ก็เปลี่ยนใจเงียบแล้วหันหน้าหนีแทน ผมคิดว่าบทสนทนาระหว่างเราจะจบลงแค่นี้ แต่ไม่นานพี่คลื่นก็พูดขึ้นมาอีก

     “ไปสนิทกับพี่เมศตั้งแต่เมื่อไหร่”

     “ไม่ได้สนิทครับ”

     “ไม่สนิทแต่มีผ้าเช็ดหน้าของเขา?”

     “เรื่องมันยาวครับ”

     “ยาวถึงขนาดเล่าให้พี่ฟังไม่ได้เลย?”

     ผมหันไปมองคนตัวสูง ก่อนจะพบว่าเขากำลังมองผมอยู่ก่อนแล้ว มองใกล้เสียด้วย

     “พี่คลื่นเป็นอะไรครับ”

     คนถูกถามทำหน้าเหลอหลา เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังพูดเสียงแข็งใส่ผมอยู่

     “เปล่าครับ ไม่มีอะไร เดือนนอนพักไปเถอะ หน้าตาเราดูอิดโรยมากเลยนะ”

     พี่คลื่นพูดเสียงอ่อนลง ทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด ผมไม่ตอบอะไร หันตัวเข้าหน้าต่างเพื่อบอกอ้อมๆ ว่าผมอยากหยุดบทสนทนาไว้เท่านี้ ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร มันรู้สึกหงุดหงิดไปหมด ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงนึกว่าประจำเดือนมาไปแล้ว

     พี่คลื่นบอกให้ผมนอนพัก เขาพูดเหมือนเป็นห่วงผม แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ ทั้งเมื่อคืนและตอนนี้



     “พี่คลื่นครับ”

     “…”

     “พี่คลื่น ตื่นมาก่อน”

     “…”

     “พี่คลื่น”

     ไม่ว่าผมจะเรียกหรือเขย่ายังไง ใบหน้าคมคายที่ซบไหล่ผมอยู่ตอนนี้ก็ไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวเลย ผมถอนหายใจเบาๆ ตัวเองเป็นคนบอกให้เขานอนพักแท้ๆ แต่ดันมาหลับซะเอง ผมลองเขย่าแรงขึ้นพลางเรียกเสียงดังกว่าเดิมเผื่อว่าพี่คลื่นจะตื่น

     “พี่คลื่นหันไปนอนดีๆ ครับ นอนแบบนี้เดี๋ยวปวดคอเอานะ”

     ด้วยระดับความสูงที่ต่างกัน ผมเลยกลัวว่าถ้านอนท่านี้นานๆ พี่คลื่นจะปวดคอ พอโดนเขย่าตัวแรงๆ คนตัวสูงก็เหมือนจะรู้สึกตัว แต่หลังจากเงยหน้ามามองผมก็ฟุบหลับลงกับไหล่ผมอีก แต่รอบนี้เลื่อนขาไปข้างหน้าทำให้ใบหน้าเขาอยู่ระดับเดียวกับไหล่ผมแล้ว

     “ถ้าง่วงก็ไปนอนที่ตัวเองสิครับ จะมาซบผมทำไม”

     “ทำผิดแล้วยังไม่รับผิดชอบอีก”

     “หือ?” ผมร้องเสียงหลงเพราะไม่มั่นใจว่าพี่คลื่นพูดถึงผมหรือเปล่า ผมไปทำความผิดตอนไหน วันนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย

     “เดือนเพิ่งทำความผิดมานะครับ”

     “ผมทำอะไร”

     “ทำให้พี่หงุดหงิด”

     “หา!” ผมคงร้องเสียงดังไปหน่อยฝนกับควีนเลยหันมามอง ผมรีบส่ายหน้าให้พวกมันก่อนจะลดระดับเสียงลง “พี่หงุดหงิดแล้วเกี่ยวอะไรกับผม”

     “ไม่รู้ครับ รู้แต่ว่าเดือนทำให้พี่หงุดหงิด เดือนต้องรับผิดชอบ”

     เอากับเขาสิครับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมผิดอะไร แต่กลับเรียกร้องให้ผมรับผิดชอบ

     “รับผิดชอบโดยการให้พี่นอนซบไหล่เนี่ยนะครับ”

     “ใช่”

     “ไม่คิดว่าผมจะเมื่อยไหล่บ้างเหรอครับ”

     “ถ้าเมื่อยก็บอก พี่จะได้ให้เรามาซบไหล่พี่ สลับกัน”

     ผมอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่าอะไรของพี่วะเนี่ย แต่ก็เกรงใจคนอื่นในรถที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน

     “ไปนอนที่ตัวเองเลยครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น” ผมพูดอย่างแข็งขัน แต่แทนที่จะยอมลุกไปดีๆ พี่คลื่นกลับเลื่อนมือมาประสานเข้ากับมือผมบนตัก

     “สองวันที่ผ่านมาพี่แทบไม่ได้นอนเลย มัวแต่เคลียร์งานส่วนตัวกับช่วยคนอื่นเตรียมค่าย”

     “...”

     “ขออีกสิบนาทีนะครับ พี่ง่วงมาก ถ้าไม่ได้นอนมีหวังไปหลับในตอนทำงานแน่ๆ”

     เสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ข้างหูพาให้หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก พี่คลื่นโคตรขี้โกงเลย พอมัดมือชกไม่สำเร็จก็เปลี่ยนมาขอร้องแทน แล้วเล่นพูดซะขนาดนี้ ใจผมไม่ใช่หินนะครับที่จะได้แข็งทื่อไม่รู้สึกอะไรเลย

     หลังจากเถียงกับตัวเองเสร็จผมก็ลอบถอนหายใจ บีบมือหนาของอีกคนกลับไปเบาๆ “ให้แค่สิบนาทีนะครับ”

     กลุ่มผมสีดำสนิทเคลื่อนขึ้นลงเบาๆ คล้ายกับกำลังพยักหน้า ผมหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง พยายามนั่งหลังตรงเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้นอนสบาย

     พอหัวใจกลับมาสงบลงแล้วก็เริ่มโดนความง่วงเล่นงาน จากที่นอนไม่หลับก็กลายเป็นจะหลับเสียให้ได้ ผมพยายามฝืนตาไม่ให้ปิด แต่สุดท้ายเปลือกตาก็ต้านแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ไหว ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน ไม่รู้ว่าสิบนาทีจะยาวนานถึงสองชั่วโมง ไม่รู้ว่ามือที่ประสานกันมันจะอยู่แบบนั้นไปจนถึงค่าย และไม่รู้ว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาจากคนให้ซบไหล่จะกลายเป็นคนซบไหล่แทน





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.13 [16/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-08-2022 19:18:59
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.13 [16/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 17-08-2022 02:47:09
 o18 นังหวานๆเกียมโดนตบได้เลอ ว่าแต่ มีพี่เมศมาแบบนี้ จะช่วยให้พี่คลื่นรู้ใจตัวเองมากขึ้นแน่นวล
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 14 [17/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 17-08-2022 19:07:09
ตอนที่ 14 : เพราะอยากอยู่ใกล้กัน





     โรงเรียนที่พวกเรามาจัดกิจกรรมค่ายอาสาอยู่ในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พอมาถึงที่หมายแล้วพี่เมศที่เป็นประธานค่ายก็สั่งให้มารวมตัวกันที่สนามเด็กเล่นเพื่อกล่าวทักทายคุณครูและเด็กนักเรียนที่มารอต้อนรับ

     รุ่นน้องปีหนึ่งกับปีสองจะอยู่ด้วยกัน ส่วนรุ่นพี่ปีสามกับปีสี่จะไปยืนกล่าวพิธีเปิดค่ายที่หน้าสนาม พอมายืนด้วยกันแบบนี้แล้วผมเพิ่งสังเกตว่ารุ่นพี่ที่มาค่ายนี้หน้าตาดีกันหมดเลย มิน่าล่ะฝนกับควีนถึงได้ตื่นเต้นนัก

     “สวัสดีครับน้องๆ ทุกคน พวกพี่มาจากมหา’ลัย MXN นะครับ จะมาบูรณะโรงเรียนของน้องๆ ในวันนี้ครับ” หลังพี่เมศพูดจบนักเรียนทุกคนก็ยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกัน เป็นภาพที่น่ารักมากในความคิดผม พอแนะนำตัวกับเด็กๆ เสร็จแล้วพี่เมศก็หันมาแนะนำตัวกับคนในค่ายต่อ “ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ค่ายบริหารรัก ปันสุขให้น้องครั้งที่หกอย่างเป็นทางการนะครับ พี่ชื่อเมศ อยู่คณะบริหารธุรกิจปีสี่ เป็นประธานค่ายอาสาในครั้งนี้ครับผม”

     ผมได้ยินเสียงคนคุยกันเลยหันไปมองด้านหลัง ฝนกับควีนกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพลางหัวเราะคิกคัก ยิ้มจนกลัวว่าจะปวดแก้มแทน

     “ด้านนั้นจะเป็นห้องน้ำ ส่วนด้านนี้จะเป็นห้องพักครับ แยกฝั่งชายหญิงและชั้นปีด้วย”

     พี่เมศผายมือไปยังห้องน้ำและห้องพักที่เป็นอาคารเรียนสี่หลังติดต่อกัน แต่ละหลังก็จะมีห้องแยกไปอีก คิดว่าเดิมทีคงเป็นห้องเรียนของเด็กๆ

     “เนื่องจากตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว เดี๋ยวพี่จะให้เวลาทุกคนเอาของไปเก็บแล้วมารวมกันตรงนี้อีกทีเพื่อจะได้ไปทานข้าวกันนะครับ แล้วก็ถ้ามีปัญหาหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกพี่ได้ตลอดนะ”

     พอทุกคนพยักหน้ารับทราบพี่เมศก็สั่งให้แยกย้าย ห้องพักเด็กปีสองอย่างผมอยู่อาคารถัดไปอีกสามหลัง ผมกับข้าวหอมกำลังจะเดินเอาของไปเก็บ แต่พอหันไปอีกทีฝนกับควีนยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เอาแต่สุมหัวกันดูโทรศัพท์

     “ฝนกับควีนไม่ไปเหรอ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวพี่เมศสั่งรวมตัวซะก่อนนะ”

     พอข้าวหอมตะโกนเรียกพวกมันก็กุลีกุจอเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า รีบเดินตามมาพลางยิ้มเห็นเหงือกเหมือนกำลังกลบเกลื่อนบางอย่าง

     “เป็นอะไรกันเหรอ ทำไมยิ้มแปลกๆ อ่ะ”

     “หึ ไม่มีอะไรเลย พวกกูก็ยิ้มเป็นปกติอยู่แล้ว” ครับ ไม่มีเลย อีกนิดหัวจะหลุดจากคอแล้ว เล่นส่ายหน้าแรงขนาดนั้น

     “เอาโทรศัพท์มานี่” ผมแบมือไปตรงหน้า ควีนสะดุ้งนิดๆ ว่าแล้วว่าต้องมีอะไรในโทรศัพท์

     “จะเอาไปทำไม”

     “เอามาดูว่าพวกมึงปิดบังอะไรไว้ไง” ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่าสิ่งที่พวกมันดูไปเมื่อครู่ต้องเกี่ยวกับผมแน่นอน

     “บ้า! ใครปิดบังอะไร มึงคิดมากเกินไปแล้ว”

     ควีนคงสังเกตจากสีหน้าว่าผมจริงจังไม่เล่น มันเลยทำหน้าเจื่อนก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ ฝนกำลังจะห้ามแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว ผมรับมาดูพลางกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ต่อไปนี้แกล้งทำหน้าโหดบ่อยๆ ดีกว่า พวกมันจะได้ไม่กล้าว่าผมอ๊องอีก

     “เฮ้ย!” จากที่จะแกล้งเล่นๆ ตอนนี้หน้าผมตึงขึ้นมาจริงๆ ในโทรศัพท์ควีนมีรูปพี่คลื่นนอนซบไหล่ผมบนรถอยู่ประมาณสิบกว่ารูป และไม่ใช่แค่นั้น ยังมีรูปผมนอนซบไหล่พี่คลื่นด้วย

     “ไม่ใช่กูนะ อีฝนบอกให้กูถ่าย” เมื่อโดนผมจ้องตาเขม็งควีนก็รีบโยนความผิดให้พ้นตัวทันที ข้าวหอมยื่นหน้ามาดูบ้างก่อนจะอุทานคำเดียวกัน

     “อ้าวอีควีน ตอนทำสามัคคีกันดิบดี พอโดนจับได้ถีบหัวกูส่งเลยนะ”

     “มึงสองคนถ่ายรูปกูกับพี่คลื่นทำไม”

     ผมไม่ได้โกรธถึงขนาดอยากฟาดงวงฟาดงา แต่ที่พูดกระแทกเสียงเพราะต้องการให้พวกมันตอบความจริง ฝนกับควีนที่นึกว่าผมโกรธจริงๆ เดินมาเกาะแขนคนละข้าง ทำท่าทางออดอ้อนสุดฤทธิ์จนผมอดขนลุกไม่ได้

     “กูก็แค่หวังดีกับมึงเฉยๆ เห็นมึงกับพี่คลื่นมีโมเมนต์น่ารักๆ เลยอยากถ่ายเก็บไว้ให้เป็นความทรงจำไง มึงอยากได้ไหมล่ะ เดี๋ยวกูส่งให้ในไลน์”

     “กูไปซบไหล่พี่คลื่นได้ยังไง” ผมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอของเพื่อน แต่เปลี่ยนไปถามเรื่องที่สงสัยแทน

     “กูไม่รู้ ตอนแรกเห็นพี่คลื่นซบมึงอยู่ดีๆ พอหันไปอีกทีกลายเป็นมึงซบพี่เขาแทนแล้ว และไม่ใช่แค่ซบนะ ก่อนจะมาถึงค่ายไม่นานหัวมึงลงไปอยู่บนตักเขาเลยค่ะ”

     “ฮะ!?”

     “ไม่ต้องฮะ มันคือเรื่องจริง นี่กูยังเสียดายไม่หายเลย ตอนซบกันพี่คลื่นหลับด้วยแต่ตอนนอนตักพี่คลื่นตื่นพอดี กูเลยอดถ่าย” ฝนระบายความในใจเหมือนลืมไปว่าผมกำลังโกรธเรื่องที่มันแอบถ่ายรูปอยู่ ถ้าเป็นปกติผมก็จะโกรธอยู่หรอก แต่ตอนนี้จิตใจผมเหมือนลอยออกไปจากตัวแล้ว

     “กู...กูนอนตักเขานานหรือเปล่า”

     “ก็ไม่นานเท่าไหร่”

     ค่อยยังชั่ว…

     “แค่อีควีนเล่นคุกกี้รันจบไปสิบตา”

     ค่อยยังชั่วกับผีน่ะสิ!!

     “คุยไปเดินไปเถอะ ข้าวกลัวจะไม่ทันเวลากินข้าว” ข้าวหอมเสนอไอเดีย พวกเราสี่คนเลยเดินถือกระเป๋าไปยังห้องพัก ผมเดินตามเพื่อนไปทั้งที่สติยังไม่กลับเข้าร่างเต็มร้อย ผมไปนอนตักพี่คลื่นได้ยังไง จะว่านอนดิ้นก็ไม่น่าใช่ จะว่ารถโคลงเคลงจนหัวโหม่งไปบนตักเองพี่คลื่นก็น่าจะจัดท่าให้ผมนอนดีๆ ไม่น่าปล่อยให้นอนตักตัวเองนานขนาดนั้น

     “พูดถึงเรื่องบนรถ กูยังแค้นอีพี่น้ำหวานไม่หายเลย” ฝนพูดถึงคู่กรณีพลางทำหน้าขึงขัง นอกจากควีนแล้วถ้ามันเรียกใครว่าอีแปลว่ามันเกลียดคนนั้นมาก “ก็เคยได้ยินอยู่หรอกว่าพี่แกคลั่งรักพี่คลื่นมาก แต่ไม่นึกว่าจะถึงขนาดมาหาเรื่องคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกได้ลงคอ”

     “ถ้าเขามาหาเรื่องอีกมึงสวนกลับไปเลยนะ เอาให้รู้ซะบ้างว่ากำลังเล่นกับใครอยู่”

     “ข้าวว่าเขาไม่น่ามาหาเรื่องแล้วนะ ที่เขาทำแบบนั้นคงเพราะอยากนั่งกับพี่คลื่นเฉยๆ ไม่ได้เกลียดอะไรเดือนหรอก”

     “นั่นมันก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ค่ะคุณข้าวหอม” ฝนมองข้าวหอมเอือมๆ เหมือนอยากพูดว่าช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย “มึงเห็นสายตาที่พี่คลื่นมองไอ้เดือนไหม ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยลองได้เห็นผู้ชายที่ตัวเองชอบมองคนอื่นหวานหยดย้อยขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องอิจฉาทั้งนั้นแหละ”

     “จริง กูว่าหลังจากนี้พี่น้ำหวานคงคิดว่าไอ้เดือนเป็นศัตรูหัวใจ ดีไม่ดีตอนนี้อาจจะกำลังวางแผนแก้แค้นไอ้เดือนที่ทำนางหน้าแตกกลางรถบัสก็เป็นได้”

     “ฝนกับควีนคิดมากเกินไปแล้ว มันอาจจะไม่ขนาดนั้นก็ได้ ใช่ไหมเดือน”

     “…”

     “เดือน”

     “…”

     เพื่อนทั้งสามคนหยุดเดิน ผมเลยพลอยหยุดตาม ควีนหันไปพยักหน้าให้ฝนกับข้าวหอม ชูนิ้วขึ้นมานับหนึ่งสองสามช้าๆ

     “เดือน!!”

     “อะ...อะไร” ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ พวกมันก็เล่นปรบมือเสียงดังใส่ ข้าวหอมโบกมือไปมาตรงหน้าผม

     “เดือนเป็นอะไร ข้าวเรียกตั้งนานไม่ได้ยินเลยเหรอ”

     “อ๋อ...พอดีเราเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ เดินทางมาตั้งนานไม่ได้แวะที่ไหนเลย”

     “มันจะใช่เหรอ” ฝนยิ้มกริ่มเหมือนรู้ทันความคิดผม “มึงน่ะสบายสุดในรถแล้วมั้ง ได้ซบไหล่นอนตักเดือนมหา’ลัยสุดหล่อ เอาอะไรมาเหนื่อย”

     “ไอ้ฝน!!”

     และแล้วผมกับฝนก็มาถึงห้องพักเป็นคนแรก ไม่ได้เดินไวนะครับ แต่วิ่งไล่จับจนมาถึงนี่เลยต่างหาก รู้อยู่แล้วว่าผมกำลังเขินยังจะมาใส่ไฟให้เขินกว่าเดิมอีก!



     หลังทานข้าวเสร็จพี่เมศก็ปล่อยให้แต่ละคนแยกไปทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย พี่คลื่นอยู่ฝ่ายแรงงานต้องไปซ่อมหลังคา พี่องศาอยู่ฝ่ายสวัสดิการคอยเอาน้ำกับขนมไปแจกจ่ายทุกคน พี่ทิวกับพี่ยี่หวาอยู่ฝ่ายสวัสดิการเหมือนกัน แต่เหมือนตอนนี้จะออกไปซื้ออุปกรณ์ทาสีมาเพิ่มอยู่ ส่วนพวกผมได้รับหน้าที่ให้มาทาสีโต๊ะเก้าอี้ในห้องเรียนพร้อมกับน้องปีหนึ่งอีกสองคน

     ตอนแรกผมนึกว่าพี่คลื่นจะให้ผมไปซ่อมหลังคาด้วยตามที่เคยคุยกันไว้ แต่พี่คลื่นกลับให้ผมมาทำงานกับเพื่อนโดยให้เหตุผลว่าบนหลังคาแดดร้อน ไม่อยากให้ผมลำบาก ผมเองก็นึกดีใจเลยไม่ได้คัดค้านอะไร ไม่ได้ดีใจเพราะไม่ต้องตากแดดแต่เพราะจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพี่คลื่นต่างหาก

     จากที่ปกติก็สับสนอยู่แล้ว พอมีเรื่องบนรถเพิ่มเข้ามาผมยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ความรู้สึกในอกผมมันผสมปนเปกันไปหมด แยกไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร ถ้านับแค่ตอนอยู่ในค่าย วันนี้ผมไม่ได้คุยอะไรกับพี่คลื่นเลย พยายามหลบหน้าหลบตาจนผมยังงงว่านี่ผมเป็นอะไรไปวะ

     ตอนแรกผมคิดว่าพี่องศาจะเอาขนมมาให้ แต่พอถึงเวลาจริงคนที่มากลับเป็นพี่คลื่น ผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าเลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พูดไม่คุยกับใครทั้งนั้น โชคดีที่พี่คลื่นไม่เข้ามาทักถึงในห้อง ไม่งั้นผมคงหลบหน้าต่อไปไม่ไหว

     “กูบอกว่าสีฟ้า”

     “ไม่ได้ ต้องชมพูเท่านั้นค่ะ”

     “มึงนี่ขัดกูตั้งแต่ตอนทำป้ายไวนิลแล้วนะ เอะอะก็สีชมพูอย่างเดียว”

     “ก็กูชอบสีชมพูอ่ะ”

     “แต่กูชอบสีฟ้า”

     “พอทั้งคู่นั่นแหละครับ พี่จะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา”

     น้องบาสเข้ามาแยกฝนกับควีนออกจากกันหลังจากมันยืนเถียงกันอยู่นานว่าจะทาเก้าอี้สีอะไรดี ข้าวหอมที่ยืนทาสีโต๊ะอยู่ข้างผมมองเพื่อนอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็ดีที่อย่างน้อยไม่ต้องเมื่อยปากห้ามเอง พี่ทิวนี่ก็เหมือนแกล้งกันเลย สีมีเป็นสิบเป็นร้อยแต่ดันเอามาให้เฉพาะสีฟ้ากับสีชมพูที่เพื่อนผมชอบ

     “เก้าอี้สีฟ้า โต๊ะสีชมพู แบบนี้โอเคไหมครับ”

     “ทำไมน้องบาสไม่ให้เก้าอี้สีชมพูอ่ะ” ควีนทำปากยื่น มันคงคิดว่าทำแล้วน่ารักมาก

     “จะให้เก้าอี้สีอะไรเดี๋ยวก็ต้องมีคนไม่พอใจอยู่ดี เอาตามนี้แหละครับ ขืนชักช้าถ้าพี่เมศมาดูแล้วเห็นว่างานไม่เดิน โดนดุผมไม่รู้ด้วยนะ”

     น้องบาสทิ้งคำขู่ไว้ก่อนจะกลับไปทำงานในส่วนของตัวเองต่อ ควีนถอนหายใจแต่ก็ยอมฝืนใจทาเก้าอี้สีฟ้าแต่โดยดี จะว่าไปน้องบาสเป็นเด็กปีหนึ่งที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนผมอีก ด้วยความที่น้องเขาหล่อมาก ตอนแรกฝนเลยตั้งใจจะอ่อยเด็ก แต่พอเห็นนิสัยขี้บ่นของน้องบาสมันก็เปลี่ยนใจอ่อยไม่ลง

     “เออไอ้เดือน”

     ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ เลยสะดุ้งนิดหน่อยตอนโดนเพื่อนเรียก

     “เป็นอะไรวะ คิดถึงพี่คลื่นอยู่เหรอ”

     ผมว่าจะไม่เอาเรื่องไอ้ฝนแล้วนะ แต่เล่นแซวสองครั้งติดแบบนี้คงปล่อยผ่านไปไม่ได้

     “ถ้ายังไม่หยุดพูดถึงพี่คลื่นกูจะทาทุกอย่างในห้องนี้ให้เป็นสีชมพูจริงๆ ด้วย”

     “เฮ้ย! ห้ามเด็ดขาดเชียวนะยะ”

     “งั้นก็หยุดนอกเรื่องแล้วบอกมาได้แล้วว่ามึงเรียกกูทำไม”

     “กูจะถามว่าเรื่องของมึงกับพี่เมศมันมีแค่ที่เล่ามาจริงๆ เหรอ”

     “พี่เดือนกับพี่เมศมีเรื่องอะไรกันเหรอครับ” น้องแชมป์เพื่อนน้องบาสถามขึ้นมาขณะทาสีเก้าอี้อยู่ แต่ก็โดนตบหัวไปหนึ่งทีโดยเพื่อนสนิทตัวเอง

     “แล้วมึงจะไปเสือกอะไรพี่เขา มีหน้าที่ทำงานก็ทำไป”

     “มึงนี่บ่นตั้งแต่รุ่นพี่ยันรุ่นเพื่อนเลยนะ”

     “กูบ่นหมดแหละถ้าไม่ยอมตั้งใจทำงาน” เห็นไหมครับ ฝนมันคิดถูกแล้วที่ไม่คิดจะอ่อยน้องบาสแบบจริงจัง

     “แล้วพี่คุยกับเพื่อนได้ไหม” ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่ใช่อะไรครับ ที่ตบหัวเมื่อครู่น่ะเสียงดังมาถึงนี่ ผมกลัวว่าจะโดนตามน้องแชมป์ไปอีกคน

     “ได้ครับ ผมไม่ได้โหดขนาดนั้นซะหน่อยพี่เดือน”

     ผมอยากต่อประโยคให้น้องบาสมากครับว่าไม่ได้โหดขนาดนั้นแต่โหดมากกว่านั้น

     “มีแค่ตามที่กูเล่านั่นแหละ ถามทำไมวะ” ผมหันไปตอบคำถามที่ค้างไว้ของฝน มันอ้าปากเหมือนจะพูด แต่ก็หุบปาก แล้วก็อ้าปากอีก เป็นอะไรของมัน

     “กูไม่พูดละกัน ตอนนี้มึงกำลังสับสนเรื่องพี่คลื่นอยู่ กูไม่อยากให้มึงปวดหัวไปมากกว่านี้”

     อ้าวคุณฝน มึงจะมาทำให้อยากรู้แล้วจากไปไม่ได้นะครับ

     “อีฝน มึงก็คิดเหมือนกูเหรอ” ควีนหันไปถามฝน

     “มึงก็ด้วย?”

     “เออ กูแอบสงสัยอยู่นิดหน่อย”

     พวกมันสองคนทิ้งแปรงทาสีไปจับมือกัน ลืมศึกชิงสีไปสนิทใจ ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง มันคุยอะไรกันทำไมผมไม่รู้เรื่อง

     เมื่อเห็นว่าฝนไม่ยอมพูดผมเลยเลิกสนใจแล้วหันมาทาสีเก้าอี้ต่อ แต่ทาไปได้สักพักหน้าของใครบางคนก็ลอยเข้ามาในหัวอีก เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มทำงานจนไม่มีสมาธิเลย

     “เดือนเป็นอะไรหรือเปล่า ถอนหายใจหลายครั้งแล้วนะ” ข้าวหอมทักขึ้นมาเมื่อเห็นความผิดปกติของผม

     “เปล่าๆ สงสัยบนรถคงนอนไม่พอน่ะ” ผมโกหกเพื่อไม่ให้เพื่อนจับได้

     “ให้ข้าวพาไปห้องพยาบาลไหม”

     “ไม่เป็นไร ไม่ได้อาการหนักขนาดนั้น”

     “คุณข้าวหอมคะ คนที่มึงควรพาไอ้เดือนไปหาน่ะไม่ใช่พยาบาล แต่เป็นคนที่กำลังซ่อมหลังคาต่างหาก”

     ผมหันขวับไปมองฝน ตั้งใจจะด่ามันเต็มที่โทษฐานที่ยังไม่เลิกแซว แต่มันก็ยกนิ้วชี้หน้าผมซะก่อน

     “กูเป็นเพื่อนมึงนะเดือน ทำไมจะไม่รู้ว่าที่มึงถอนหายใจเฮือกๆ อยู่นี่แปลว่าอะไร”

     ผมอ้าปากพะงาบๆ จะเถียงก็เถียงได้ไม่เต็มปากเพราะสายตาฝนกำลังบอกว่ามันรู้จริงๆ

     “ถ้าสับสนนักก็ไปพิสูจน์ตรงๆ เลย มัวแต่หลบหน้าเขาแล้วชาตินี้จะรู้ใจตัวเองไหม”

     “กู...กูไม่ได้หลบหน้าพี่คลื่น” ถึงจะถูกจับได้แล้วผมก็ต้องแถต่อไป ใครจะยอมรับง่ายๆ ล่ะ

     “อ๋อ ไม่ได้หลบหน้าเลย แค่ตอนกินข้าวมึงมากินกับพวกกูทั้งที่พี่คลื่นชวนให้ไปนั่งโต๊ะเขา”

     “ก็พวกมึงเป็นเพื่อนสนิทกู จะให้กูไปนั่งกับคนอื่นได้ไง”

     “ตอนที่พี่คลื่นเอาขนมมาให้ มึงให้ไอ้ข้าวไปรับแทนแล้วมึงก็เอาแต่ทาสีไม่มองหน้าเขา”

     “ก็ตอนนั้นกูกำลังตั้งใจทำงาน ไม่อยากให้ใครมารบกวน”

     “ตอนที่พี่คลื่นถามมึงว่าอยากได้อะไรเพิ่มไหมจะให้พี่ทิวไปซื้อให้ มึงก็เอาแต่เงียบจนอีควีนต้องตอบแทน”

     “ก็กูนึกว่าเขาถามพวกมึง ไม่ได้ถามกู”

     “ตอนที่พวกกูพูดถึงพี่คลื่นมึงสะดุ้งทุกครั้ง ขนาดอีควีนบ่นว่าอยากลองเล่นกระดานโต้คลื่นมึงยังสะดุ้งเลย”

     “ก็กู...กู...” กูอะไรดีวะ ไอ้ฝนพูดเร็วเกินไป ผมคิดข้อแก้ตัวไม่ทันเลย

     “มึงกำลังเขินเรื่องนอนตักอยู่ใช่ไหม”

     นั่นไง มันรู้จริงๆ ด้วย บางทีผมก็สงสัยนะว่าที่มันได้เกรดไม่ค่อยดีเป็นแค่การแสดงหรือเปล่า ทำไมกับเรื่องนี้ฉลาดเป็นกรด

     “มึงทำตัวแบบนี้มีแต่จะยิ่งผิดใจกับพี่คลื่นนะ ถึงจะยังไม่ถึงวัน แต่มึงเปลี่ยนไปขนาดนี้คิดเหรอว่าพี่คลื่นจะไม่รู้” ฝนหยุดหายใจก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นผมเอาแต่เงียบ “พวกกูไม่ได้ถ่อมาถึงนี่เพื่อมาดูมึงหลบหน้าพี่คลื่นนะ มึงมาเพราะเขาขอก็จริง แต่มึงก็อยากรู้ใจตัวเองด้วยไม่ใช่เหรอ”

     ผมวางแปรงทาสีก่อนจะก้มหน้าหลบตาเพื่อน น้ำเสียงที่ฝนพูดทำให้ผมรู้ว่าครั้งนี้มันไม่ได้พูดเล่นเหมือนที่ผ่านมา ข้าวหอมนั่งลงบนเสื่อรองพื้นข้างกัน เอื้อมมือมาจับไหล่เบาๆ

     “เดือนกังวลอะไรอยู่ บอกข้าวได้ไหม”

     “เรารู้ว่าถ้าอยากรู้ใจตัวเองเร็วๆ ก็ต้องไปอยู่ใกล้พี่คลื่นเข้าไว้ แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กันจริงๆ กลับมีแต่เรื่องให้สับสนเพิ่ม แล้วอีกอย่าง...”

     “อีกอย่างอะไร” ข้าวหอมถามเมื่อเห็นผมเงียบไปนาน

     “ถ้าสมมติเรารู้ใจตัวเองแล้ว แล้วใจของพี่คลื่นล่ะ”

     “ถ้าเดือนอยากรู้เรื่องนั้น เดือนก็ต้องถามเขาออกไปตรงๆ”

     “แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างที่พวกเราคิดล่ะ เรากับพี่คลื่นอาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกเลยก็ได้นะ”

     “เดือน ฟังกูนะ” ฝนมานั่งตรงหน้าผม ควีนก็ตามมาเหมือนกัน พวกมันทำหน้าจริงจังเหมือนเป็นกูรูด้านหัวใจ “มึงอาจจะคิดว่ากูกับควีนชอบจิ้นคนอื่นไปเรื่อย ซึ่งมันก็จริง”

     “อ้าวอีนี่” ควีนเผลอหลุดปากออกมาเพราะมันกำลังตั้งใจฟังอย่างดี

     “แต่นั่นมันก่อนที่มึงจะได้ใกล้ชิดกับพี่คลื่นจริงๆ พอมึงกับเขาอยู่ด้วยกันแล้วมันมีอะไรบางอย่างที่กูก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สิ่งนั้นกำลังบอกกูว่าพี่คลื่นไม่ได้มองมึงแค่ผู้ชนะเกมของเขา”

     “เขาอาจจะเอ็นดูกูเหมือนน้องคนนึงก็ได้”

     “พี่ชายที่ไหนจะดูแลน้องชายดีขนาดนี้ ถึงขนาดกล้าโกหกคนอื่นว่าเป็นแฟนกันกูว่าเกินไปหน่อยมั้ง”

     “เอาแบบนี้ไหมมึง” ควีนพูดขึ้นมาบ้าง “ตอนนี้อย่าเพิ่งไปสนใจพี่คลื่นเลย มึงสนแค่ความรู้สึกของตัวเองก็พอ ตอบกูมาว่ามึงอยากอยู่ใกล้พี่คลื่นไหม”

     “ก็บอกไปแล้วไงว่าพออยู่ใกล้พี่คลื่นแล้วมันมีเรื่องสับสน...”

     “มึงอาจไม่ได้สับสนว่ามันคืออะไร แต่สับสนว่าจะยอมรับมันยังไงหรือเปล่า” ผมจุกไปเลยครับ คำพูดไอ้ควีนเหมือนหมัดหนักๆ ที่ต่อยเข้ามากลางท้องเลย “อย่าเพิ่งนอกเรื่อง ตอบมาก่อนว่ามึงอยากอยู่ใกล้พี่คลื่นไหม”

     “กู...”

     “ขอคำตอบแรกสุดที่ผุดขึ้นมาในหัว ไม่ต้องเอาเรื่องอื่นมาคิดรวมทั้งนั้น”

     ผมหลับตานิ่งไปสักพัก ก่อนจะลืมตามองเพื่อนพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “กูอยากอยู่ใกล้พี่คลื่น กูอยากอยู่ข้างๆ เขา”

     “งั้นจะรออะไรล่ะคะ วิ่งสี่คูณร้อยไปหาเขาเลย”

     “จะบ้าเหรอ เขาทำงานอยู่นะ แล้วจะให้กูทิ้งงานตัวเองไปได้ยังไง” ผมเหลือบสายตาไปมองน้องบาสเพื่อให้เพื่อนรู้ว่าทำไมผมถึงไปไม่ได้

     “ผมไม่ว่าหรอกครับถ้าพี่จะไป ถึงอยู่ที่นี่พี่ก็ไม่มีสมาธิทำงานอยู่ดี พี่เล่นถอนหายใจจนสีจะลอกหมดแล้วไม่รู้ตัวเหรอ”

     ผมสะดุ้งโหยงที่โดนรุ่นน้องจับได้ บาสยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง

     “ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะครับ แต่พวกพี่คุยกันเสียงดังเอง”

     “แปลว่าให้ไอ้เดือนไปหาพี่คลื่นได้ใช่ไหม” ฝนถามรุ่นน้องเหมือนมันลืมไปว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่

     “ไปเถอะครับ นี่ก็จะห้าโมงเย็นแล้ว อีกเดี๋ยวผมกับไอ้แชมป์จะไปอาบน้ำเหมือนกัน”

     “ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ รีบไปสิมัวแต่อืดอาดอยู่ได้”

     “มึงจะให้กูไปหาเขาด้วยเหตุผลอะไรล่ะ ผมอยากช่วยพี่ซ่อมหลังคาครับแบบนี้เหรอ ค้อนกูยังจับไม่เป็นเลย”

     ฝนทำหน้าคิดหนักว่าจะเอายังไงต่อดี พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นพี่ทิวที่น่าจะเพิ่งกลับมาจากซื้อของกำลังเดินถือถุงขนมผ่านห้องไป มันไม่รอช้ารีบเข้าไปขวางทันที

     “พี่ทิวคะ”

     “ว่าไงครับน้องฝน”

     “กำลังจะเอาขนมไปให้ใครเหรอคะ”

     “พอดีน้องๆ ที่ล้างห้องน้ำยังไม่ได้ของว่างเลยว่าจะเอาไปให้น่ะ อาหารเย็นเสร็จตอนหกโมง พี่กลัวเขาจะหิวกันก่อน”

     ฝนยิ้มเหมือนนึกอะไรดีๆ ออก มันค่อยๆ หยิบขนมในถุงมาพลางทำหน้าประจบสุดชีวิต

     “หนูขออันนึงได้ไหมคะ พอดีตอนพี่คลื่นเอามาให้อีควีนมันแย่งกินหมดเลย”

     คนโดนพาดพิงทำหน้าเหลอหลา พี่ทิวทำตาปริบๆ แต่ก็พยักหน้าด้วยท่าทางงุนงง

     “เอ่อ...ได้สิครับ พี่เอามาเกินจำนวนคนพอดี”

     “ขอบคุณค่ะ พี่ทิวใจดีที่สุดเลย”

     พอพี่ทิวเดินจากไปแล้วฝนก็หันมายิ้มให้ผม ยัดขนมที่เพิ่งขอจากรุ่นพี่มาใส่มือ

     “อะไรวะ”

     “ข้ออ้างในการไปหาพี่คลื่นไง”

     “มึงจะให้กูเอาของว่างไปให้พี่คลื่นเหรอ”

     “ทีเขายังเอามาให้มึงได้เลย แล้วทำไมมึงจะเอาไปให้เขาบ้างไม่ได้” มันพูดจบก็ผลักผมให้ออกจากห้อง ผลักแรงจนหลังผมแทบยุบลงไป “ไม่ต้องรีบกลับมานะ อยู่ช่วยเขาทำงานไปเลย ไปนอนกับเขาได้ยิ่งดี”

     “ไอ้ฝน!!” ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษไว้ก่อนจะรีบเดินไปหาพี่คลื่นเพื่อแก้เขิน ควีนกับข้าวหอมโบกมือมาตามหลังเหมือนอยากบอกว่าขอให้โชคดี

     หวังว่าพี่คลื่นจะยังไม่ได้ทานของว่างนะครับ เพราะการเอาขนมไปให้ครั้งนี้ผมต้องรวบรวมความกล้าตั้งนาน





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 14 [17/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 17-08-2022 19:07:39
     ผมรู้แค่ว่าพี่คลื่นมีหน้าที่ซ่อมหลังคา แต่ไม่รู้ว่าอยู่อาคารไหน ขณะที่กำลังเดินตามหาอยู่นั้นพี่เมศที่ไม่รู้มาจากไหนก็เข้ามาทัก

     “อู้งานเหรอเรา”

     “ฮะ! เปล่า! ผมไม่ได้อู้” ผมรีบยกมือส่ายหน้ารัวๆ แต่ยิ่งปฏิเสธพี่เมศยิ่งขำ

     “ตอนแรกก็ไม่คิดว่าอู้หรอก จนเราพูดเสียงสูงนี่แหละพี่ถึงได้คิด”

     “ผมไม่ได้อู้จริงๆ นะครับ” แค่พักงานมาหาใครบางคน การหยุดพักไม่ถือเป็นการอู้นี่ครับ

     “ไม่ได้อู้ก็ไม่ได้อู้ แล้วนี่มาทำอะไรแถวนี้ เดือนทาสีห้องเรียนอยู่อาคารสองไม่ใช่เหรอ”

     “เอ่อ...” ซวยล่ะสิ ลืมคิดเหตุผลสำรองมาเลย จะตอบว่ามาหาผู้ชายก็ไม่ได้ซะด้วย

     “หรือจะเอาขนมมาให้พี่” พี่เมศเห็นขนมในมือผมแล้วยิ้มกว้าง กำลังจะยื่นมือมาหยิบ แต่ตัวผมก็เซไปด้านหลังตามแรงกระชากของใครบางคนก่อน พี่เมศเลยคว้าได้แต่อากาศ

     “พอดีผมนัดเดือนมาอาบน้ำด้วยกันน่ะครับ ส่วนขนมนี่ผมขอให้เดือนหยิบติดมือมาให้”

     ผมหันไปมองเจ้าของวงแขนแกร่งที่กำลังโอบตัวผมไว้ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรหันไปมองก็สายไปเสียแล้ว พี่คลื่นที่กำลังเปลือยท่อนบนพูดกับพี่เมศเสียงเรียบ รั้งผมเข้าไปแนบชิดจนแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงกล้ามหน้าท้องที่เรียงตัวสวย

     “พี่ว่าพี่บอกให้แบ่งเวรอาบน้ำตามชั้นปีไม่ใช่เหรอ” พี่เมศหุบยิ้ม สบตากับพี่คลื่นตรงๆ

     “อะลุ่มอล่วยนิดหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมอุตส่าห์ช่วยพี่เตรียมค่ายตั้งหลายวัน”

     “คิดจะทวงบุญคุณกันหรือไง”

     “ถ้าตอบว่าใช่พี่จะยอมให้เดือนมาอาบกับผมไหมล่ะครับ”

     ผมได้แต่ฟังรุ่นพี่ทั้งสองคนคุยกันด้วยใจที่ไม่เป็นส่ำ ผมไม่ว่าถ้าจะยืนคุยกันนะครับ แต่ช่วยเอาแขนออกไปก่อนได้ไหม ให้ยืนท่านี้นานๆ มันไม่ปลอดภัยต่อหัวใจของผมเลย

     หลังจากจ้องตากันอยู่นาน ในที่สุดพี่เมศก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “พี่ยอมให้แค่ครั้งนี้นะ”

     “ไม่ว่าครั้งไหนๆ ผมก็ไม่ยอมให้พี่ทั้งนั้นครับ”

     คนตรงหน้าผงะไป ก่อนจะแค่นยิ้มอีกครั้ง “ประกาศชัดเจนอย่างนี้เลยเหรอ”

     “ผิดด้วยเหรอครับที่ผมไม่ชอบพูดอ้อมค้อม”

     ไอ้ฝนไอ้ควีน มาเอากูออกไปที กูจะเป็นลมตายแล้วโว้ยยยย

     “หึ” พี่เมศหัวเราะในลำคอก่อนจะเป็นฝ่ายเดินจากไป แต่ก็ยังทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ “พี่ไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่นะน้องเดือน”

     ทันทีที่พี่คลื่นคลายอ้อมกอดให้เป็นอิสระ ผมก็รีบเด้งตัวออกมาเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต พอพักหายใจหายคอแล้วจึงหันไปยิ้มแหะๆ ให้คนตัวสูง

     “เอ่อ...คือ...”

     ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะชวนคุยอะไรดีไม่ให้เดดแอร์เกินไป พี่คลื่นก็คว้าข้อมือผมแล้วลากผมเข้าไปในป่าหลังโรงเรียน

     “พี่คลื่นจะพาผมไปไหนครับ”

     “จะมาอาบน้ำกับพี่ไม่ใช่เหรอ กำลังจะพาไปนี่ไง”

     “ตลกแล้วครับ! ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะ”

     “ก็เห็นตอนพี่พูดเราไม่คัดค้าน”

     “ก็ตอนนั้นผม...” ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะถ้าขืนพูดต่อคงไม่เป็นผลดีกับตัวเอง คนตัวสูงพาผมมาหยุดอยู่หน้าน้ำตกที่ห่างจากโรงเรียนไม่มาก ผมมองทิวทัศน์ตรงหน้าด้วยความตะลึง เกือบลืมว่าไม่ได้มาคนเดียวถ้าไม่มีเสียงพี่คลื่นดังขึ้นมา

     “มาหาพี่เมศเหรอ”

     “ครับ?” ผมหันไปทำตาปริบๆ เพราะมัวแต่สนใจน้ำตกเลยไม่ทันฟัง พี่คลื่นถอนหายใจนิดหน่อยแต่ก็ยอมถามซ้ำ

     “มาหาพี่เมศเหรอเราน่ะ”

     “เปล่าครับ”

     “แล้วขนมในมือนั่นอะไร ไม่ได้จะเอามาให้พี่เมศหรอกเหรอ”

     ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่คลื่นในตอนนี้ดูหงุดหงิดยังไงไม่รู้ ตอนกลางวันยังปกติอยู่เลย กลับมาเหมือนเดิมอีกแล้วเหรอ

     ผมหลุบตามองขนมในมือตัวเอง เม้มปากแน่นอย่างคิดหนักว่าจะพูดดีไหม จนกระทั่งคนตรงหน้าพูดขึ้นมาอีกผมเลยต้องเงยหน้าไปมอง

     “เอามาให้พี่เมศจริงๆ สินะ ทำไมครับ เดือนกลัวพี่เมศลืมทานของว่างเหรอ”

     “ใช่ครับ ผมกลัวลืมทานของว่าง” ผมสบตาอีกฝ่ายไปด้วยขณะพูด “แต่ไม่ใช่พี่เมศ พี่คลื่นต่างหาก”

     “หืม?” คนตัวสูงชะงักไป เหมือนตั้งตัวไม่ทันที่จู่ๆ ผมก็พูดชื่อเขา “เดือนเอาขนมมาให้พี่เหรอ”

     “ใช่ครับ แต่ถ้าพี่หงุดหงิดอยู่ผมรอให้พี่เย็นลงก่อนก็ได้” พูดจบก็เตรียมหันหลังเดินกลับโรงเรียน แต่ข้อมือผมก็ถูกพี่คลื่นคว้าไปกุมรอบที่สองซะก่อน

     “พี่ไม่ได้หงุดหงิดครับ”

     “หงุดหงิดสิครับ แถมกำลังพาลใส่ผมด้วย”

     “พี่ไม่ได้...” พี่คลื่นกำลังจะปฏิเสธอีกรอบ แต่สุดท้ายก็ยอมรับแต่โดยดี “ก็ได้ครับ พี่หงุดหงิด”

     และระหว่างเราสองคนก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ผมไม่รู้ว่าพี่คลื่นคิดอะไรอยู่ แต่ผมกำลังคิดถึงเรื่องเขา ผมแค่อยากมาหาพี่คลื่นเฉยๆ แต่ไม่ได้คิดว่ามาแล้วจะทำอะไรต่อ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าพอมาแล้วต้องมายืนทะเลาะกันแบบนี้

     “ขอพี่กินเลยได้ไหม”

     “ครับ?” จู่ๆ พี่คลื่นก็โพล่งขึ้นมาผมเลยไม่เข้าใจ คนตัวสูงมองมายังขนมในมือ เพียงเท่านั้นผมก็เข้าใจในทันที “พี่หิวเหรอครับ”

     “ไม่ได้หิวขนาดนั้น แค่ไม่อยากให้ความตั้งใจของใครบางคนเสียเปล่า” สายตาพี่คลื่นกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว สายตาวาบหวามที่ทำให้ผมทั้งอยากและไม่อยากมองในเวลาเดียวกัน

     เปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไปแล้วนะ...

     คนตัวสูงรับขนมไปแกะกินพลางยิ้มไม่หุบ ท่าทางหงุดหงิดก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น กลายเป็นผมเองที่จู่ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกมือไม้เกะกะไปหมด

     “พี่คลื่นไม่ไปอาบน้ำแล้วเหรอครับ”

     “ก็บอกแล้วไงว่าจะมาอาบกับเรา”

     “พี่คลื่น!”

     “โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วครับ พี่กำลังจะไปอาบน้ำจริงๆ แต่ห้องน้ำเต็มทุกห้องเลยว่าจะกลับไปทำงานต่ออีกหน่อย แต่ก็มาเจอเราซะก่อน”

     “ตอนนี้ห้องน้ำน่าจะว่างแล้ว พี่กลับไปอาบน้ำเถอะครับ”

     “ไม่ครับ พี่อยากอยู่คุยกับเดือนก่อน”

     ผมเองก็มีเรื่องอยากคุยกับพี่เหมือนกัน แต่มันติดตรงที่ผมปากหนักนี่สิ กลับไปให้ไอ้ฝนเอาค้อนมาทุบปากตอนนี้ทันไหม เผื่อจะช่วยง้างปากผมได้บ้าง

     ผมรวบรวมความกล้าสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา เอาวะ พูดออกไปก็ไม่เห็นเป็นไรซะหน่อย

     “พี่ขอโทษ / ผมขอโทษนะครับ”

     หืม?

     “พี่คลื่นขอโทษผมทำไมครับ”

     “เดือนนั่นแหละขอโทษพี่ทำไม”

     “ผมถามก่อน พี่ก็ต้องตอบก่อนสิครับ”

     คนตัวสูงหลุดขำ ก่อนจะยอมตอบโดยไม่อิดออด “ขอโทษที่หงุดหงิดแล้วพาลใส่ครับ”

     “หมายถึงเมื่อกี้หรือตอนเช้าครับ”

     “ทั้งคู่”

     “พี่หงุดหงิดอะไรครับ บอกผมได้ไหม”

     “บอกได้ครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” ผมคงแสดงออกทางสีหน้าเกินไปว่าผิดหวังที่อุตส่าห์รอฟัง พี่คลื่นเลยหลุดขำอีกครั้ง “แล้วเดือนล่ะขอโทษพี่ทำไม”

     ผมกัดปากตัวเองนิดๆ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ “ขอโทษที่วันนี้ผมเอาแต่หลบหน้าพี่ตลอด”

     “หลบหน้าจริงด้วยสินะ” พี่คลื่นพูดเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว “ทำไมครับ บอกพี่ได้ไหม”

     “บอกได้ครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

     พอโดนคำพูดตัวเองย้อนกลับไปคราวนี้พี่คลื่นเลยขำหนักกว่าเดิม “งั้นบอกหน่อยได้ไหมว่าเป็นเพราะพี่หรือเปล่าเดือนถึงต้องคอยหลบหน้า”

     “ไม่ใช่ครับ ผมผิดเองถึงเอาแต่หลบหน้า พี่ไม่ผิดอะไรเลย”

     “โอเคครับ รู้อย่างนี้แล้วค่อยสบายใจขึ้นหน่อย” พี่คลื่นพูดยิ้มๆ ไม่เซ้าซี้ถามเหตุผลต่อ ผมเองก็ไม่คิดจะถามต่อเหมือนกัน ผมอยากให้เขาเต็มใจที่จะบอกมากกว่า

     “ขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหมครับ”

     “หลายอย่างก็ได้ครับ พี่ยินดีตอบ”

     “ตอนอยู่บนรถ พี่คลื่น...เอ่อ...พี่ให้ผมนอนตักเหรอครับ”

     “พี่กลัวไหล่ตัวเองจะแข็งเกินไปจนเราหลับไม่สบาย เลยให้มานอนหนุนตักแทน”

     ผมทำเป็นพยักหน้ารับรู้เหมือนกำลังคุยเรื่องทั่วไป พูดขอบคุณเบาๆ แล้วหันหน้าหนี แต่ในใจอยากจะเอามือมาปิดหน้าให้รู้แล้วรู้รอด พี่คลื่นจะได้ไม่เห็นแก้มแดงๆ ของผม

     “เอ่อ...ไม่นึกเลยนะครับว่ากลางป่าจะมีน้ำตกที่สวยขนาดนี้” เพราะไม่รู้จะคุยอะไรต่อผมจึงทำเป็นชมน้ำตก พี่คลื่นหันไปมองก่อนจะยิ้มบางๆ เผยให้เห็นลักยิ้มที่ผมมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

     “ใช่ครับ สวย...” ร่างสูงเว้นวรรคแล้วหันกลับมามองผม “สวยจนละสายตาไปไหนไม่ได้เลย”

     “นะ...นั่นสิครับ นี่ถ้าเอาโทรศัพท์มาด้วยผมคงหยิบมาถ่ายรูปไปนานแล้ว”

     ผมว่ากล้ามหน้าท้องที่ได้สัมผัสเมื่อครู่อันตรายแล้วนะ แต่สายตาพี่คลื่นตอนนี้อันตรายกว่าอีก มันแพรวพราว มันชวนหลงใหล มันทำให้ผมไม่อยากละสายตาไปไหนเหมือนที่พี่คลื่นพูด...

     “อยากกลับเลยไหมครับ หรือจะอยู่ดูต่อ” คำถามของคนตรงหน้าดึงสติผมให้กลับมา ผมทำเป็นหันไปมองทางอื่น ไม่อยากให้รู้ว่าสายตาคู่นั้นกำลังทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง

     “พี่คลื่นรีบไปอาบน้ำไหมครับ”

     “ไม่ครับ”

     “ถ้างั้น...อยู่ดูน้ำตกกับผมต่ออีกหน่อยได้ไหม”

     คนที่ยืนข้างกันไม่ตอบอะไร แต่เลื่อนมือมาประสานเข้ากับมือผมก่อนจะกุมไว้หลวมๆ เสียงน้ำกระทบโขดหินดังมาก แต่ไม่เท่าเสียงหัวใจผมที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนี้ ไม่มีคำพูดออกจากปากเราสองคนที่กำลังยืนมองน้ำตกอยู่ แต่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย

     ตอนพูดกับควีนผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองพูดได้เต็มปากแล้ว

     ผมอยากอยู่ใกล้พี่คลื่น...อยากอยู่ข้างเขาแบบนี้ไปนานๆ





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.14 [17/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-08-2022 19:22:55
 :jul1: :haun4: :pighaun:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ... รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.14 [17/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 18-08-2022 13:42:59
 :-[ ใครๆก็ชอบ 6 แพ๊คแหละ
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.14 [17/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 19-08-2022 00:49:17
 :hao6:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 15 [19/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 19-08-2022 17:49:05
ตอนที่ 15 : ใจดี & เอาแต่ใจ





     -คลื่นคราม-


     “ยิ้มหน่อยก็ได้ หน้ามึงตึงจนน้องๆ ไม่กล้าเข้าใกล้กันหมดแล้ว”

     ผมละสายตาจากมือที่กำลังตอกตะปู หันไปมององศาที่ยืนอยู่ด้านล่างบันได วันนี้มันย้ายมาอยู่ฝ่ายแรงงานช่วยผมติดป้ายชื่อโรงเรียน แต่เอาจริงๆ มันมาช่วยผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าไม่ได้มันกับคนอื่นๆ คิดเหรอว่าซ่อมหลังคาวันเดียวจะเสร็จทัน

     “กูทำงาน ไม่ได้ดูหนังตลก ทำไมต้องยิ้มด้วย”

     “ประเด็นไม่ได้อยู่ที่มึงไม่ยิ้ม แต่มึงเล่นทำหน้าโหดเหมือนโกรธใครตลอดเวลา ขนาดเมื่อกี้น้องจะเอาค้อนมาให้ยังต้องฝากกูให้มึงเลย”

     ช่วยไม่ได้ ผมกำลังโกรธคนอยู่จริงๆ แต่ผมทำอะไรไม่ได้เพราะคนที่ผมโกรธยังไม่เผยธาตุแท้ออกมา

     “ทำหูทวนลมนะมึง เดี๋ยวพ่อก็ผลักบันไดล้มซะเลย” องศาว่าเมื่อเห็นผมไม่ตอบ

     “เอาตะปูมาเพิ่มให้หน่อย” ผมสั่งมันโดยไม่สนคำขู่ ไม่หันไปมองด้วยซ้ำ

     “กูถามจริงเถอะคลื่น มึงหงุดหงิดเพราะเรื่องแค่นั้นจริงเหรอวะ” องศาถามตอนที่ส่งถุงตะปูขึ้นมาให้

     “แล้วเรื่องแค่นั้นมันคือเรื่องอะไรล่ะ” ผมพูดไปด้วยตอกตะปูไปด้วย เสียงค้อนกระทบแผ่นไม้ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แต่เพราะ     ใบหน้าของผมเลยไม่มีใครอยู่แถวนี้ให้กลัวว่าจะรำคาญ

     “มึงอย่ามาทำไม่รู้ คิดว่ากูโง่นักเหรอ ไอ้ทิวกับยี่หวาก็ดูออก แต่ที่พวกกูไม่พูดอะไรเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมึงเลยไม่อยากยุ่ง”

     “แต่ตอนนี้มึงกำลังยุ่ง”

     “กูไม่ยุ่งไม่ได้ มึงกำลังทำตัวขี้ระแวงเกินไป”

     “เอาค้อนอันใหม่มาให้กูหน่อย อันนี้เล็กเกินไป เฉียดทุบนิ้วกูหลายรอบแล้ว” ผมหันไปสั่งมันอีกครั้ง องศาทำหน้าเหนื่อยใจแต่ก็ยอมเดินไปหยิบแต่โดยดี

     ระหว่างที่รอเพื่อนไปหยิบของผมก็คิดทบทวนคำพูดของมัน ผมไม่ได้ระแวงเกินไปหรอก ควรจะระแวงมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แววตาของพี่เมศเมื่อวานเป็นของจริง ถ้าผมยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อไป สิ่งที่ผมทำมาตลอดอาจสูญเปล่าก็เป็นได้

     “องศาล่ะ” ทิวเดินเอาน้ำมาให้พลางถามถึงคนที่ควรจะอยู่ช่วยงาน ผมพยักพเยิดหน้าไปทางที่องศาเพิ่งเดินไป มันหันไปมองก่อนจะหันกลับมา “เอาหมวกไหมมึง บนนั้นแดดแรงไม่ใช่เล่น”

     “ไม่เป็นไร ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่” ผมพูดพลางยกขวดน้ำขึ้นดื่ม

     “ร้อนใจมากกว่าร้อนกายสินะ”

     ผมเผลอชักสีหน้านิดหนึ่ง ริมฝีปากผละออกจากปากขวดทันที สองคนแล้วนะที่ทักผมวันนี้ หรือผมจะแสดงออกชัดเกินไป

     “ไม่ต้องทำหน้างง กูได้ยินรุ่นน้องคุยกันว่าเมื่อวานมึงกับพี่เมศมีปากเสียงกัน แล้วตอนนั้นเดือนอยู่ด้วย ได้ยินแค่นี้กูก็พอปะติดปะต่อเรื่องได้แล้ว”

     ข่าวไปไวเหมือนกันแฮะ ก็ดีเหมือนกัน ให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าผมกับพี่เมศเป็นศัตรูกัน จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมรวมถึงคนของผมอีก

     “ถ้าจะมาบอกให้เลิกระแวงมึงหยุดเลย ไอ้องศาก็คนนึงแล้ว” ผมลงมานั่งพักข้างล่างระหว่างที่เพื่อนยังไม่กลับมา

     “กูไม่พูดให้เปลืองน้ำลายหรอก คนอย่างมึงเคยฟังคนอื่นด้วยเหรอ” มันว่า ก่อนจะหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่สิ ลืมไปว่ามีคนนึงที่มึงฟัง”

     “หยุดเห่าแล้วกลับไปทำงานตัวเองได้แล้ว มึงโดดงานในครัวมาแบบนี้ยี่หวาไม่ด่าเหรอ” เมื่อวานทิวทำหน้าที่ไปซื้ออุปกรณ์กับแจกของว่าง มีแวบมาช่วยงานพวกผมบ้างนิดหน่อย ส่วนยี่หวาทำหน้าที่ช่วยแม่ครัวสองคนทำอาหาร แต่เช้านี้ป้าน้อมที่เป็นแม่ครัวเกิดป่วย ป้าจิตลูกชายตกบันไดขาหักต้องพาไปหาหมอในตัวเมือง ยังดีที่ทิวพอจะทำอาหารเป็นบ้าง ไม่งั้นยี่หวาคงต้องแสดงฝีมือแม่บ้านแม่เรือนคนเดียว

     “ก็เพราะเรื่องนี้แหละยี่หวาเลยให้กูมาหามึง”

     “เกิดอะไรขึ้นวะ”

     “คลื่น” ยังไม่ทันที่ทิวจะอธิบายเสียงน้ำหวานก็ดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาหาผม ดึงแขนผมไปคล้องโดยไม่สนสายตาคนอื่น

     “หวานมาทำอะไรแถวนี้ ไหนบอกว่าอยากไปช่วยยี่หวาทำอาหารไง”

     “ก็มาหาคลื่นนั่นแหละ ยี่หวาสอนไม่ได้เรื่องเลย หวานทำอะไรก็โดนดุไปหมด”

     “อย่าหาว่ากูนินทาผู้หญิงเลยนะ น้ำหวานเล่นหั่นมะเขือเท่าลูกปิงปอง หั่นเนื้อแครอททิ้งเหลือแต่แกนไว้ให้ เอาหมูไปใส่ต้มจืดแต่ไม่ล้างก่อน นี่ยี่หวาให้กูมาขอความช่วยเหลือจากมึงก็บุญแล้วนะ ที่จริงมันอยากไล่น้ำหวานกลับกรุงเทพฯ วันนี้ด้วยซ้ำ” ทิวโน้มตัวมากระซิบข้างหู ผมเลยหันไปถามมันเบาๆ

     “จะให้กูช่วยอะไร”

     “ยี่หวาบอกว่ามึงเป็นคนเดียวที่น้ำหวานเชื่อฟัง เลยอยากให้มึงคุมตัวน้ำหวานไว้ไม่ให้ไปป่วนในครัวอีก”

     ยี่หวานะยี่หวา แค่นี้ชีวิตผมยังยุ่งเหยิงไม่พอใช่ไหมถึงได้หาเรื่องมาเพิ่มให้

     “คลื่นกับทิวคุยอะไรกันน่ะ ให้หวานคุยด้วยคนสิ”

     “เรื่องไร้สาระน่ะ ว่าแต่หวานลองไปหาอย่างอื่นทำไหม งานในครัวอาจไม่เหมาะกับหวานเท่าไหร่”

     “หวานก็คิดแบบนั้นถึงได้หาอย่างอื่นทำ และหวานก็เจอแล้ว”

     “งานอะไรเหรอ”

     “คอยช่วยคลื่นไง”

     ไอ้ทิวเกือบหลุดขำแต่ยังดีที่ยั้งปากไว้ทัน ต่างกับผมที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

     “กูมาบอกแค่นี้แหละ โชคดีนะมึง”

     มันตบไหล่ผมสองทีแล้วก็เดินจากไป ทิ้งน้ำหวานให้อยู่กับผมโดยไม่ถามความสมัครใจจากผมสักคำ

     “คลื่นเหนื่อยไหม เหงื่อตัวเต็มเลย หวานไปเอาน้ำมาให้ดีไหม” ปากถามแต่มือไม่อยู่นิ่ง เอื้อมมาคล้องคอผมก่อนจะลูบไล้เบาๆ ผมค่อยๆ ดึงมือน้ำหวานออกก่อนจะมีคนมาเห็นแล้วเข้าใจผิด

     “คลื่นไม่เหนื่อย คลื่นให้องศาเอาน้ำมาให้แล้ว” ผมจำเป็นต้องโกหก

     “งั้นคลื่นอยากให้หวานช่วยทำอะไรล่ะ เพื่อคลื่นหวานยินดีทำทุกอย่างเลย” ใบหน้าสวยไร้ที่ติเคลื่อนเข้ามาใกล้ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงเคลิ้มจนไม่อยากตื่น แต่ทว่าไม่ใช่กับผม

     “หวานไปพักในห้องตัวเองเถอะ ตรงนี้แดดร้อน เดี๋ยวคลื่นจะทำงานต่อแล้ว” ผมเบี่ยงหน้าหลบเมื่อปลายจมูกเราสองคนกำลังจะชนกัน น้ำหวานทำหน้างอเง้า เป็นใบหน้าที่ผมมักจะเห็นประจำเวลาที่น้ำหวานไม่ได้ดั่งใจ

     “พักนี้คลื่นเปลี่ยนไปนะรู้ตัวไหม”

     “คลื่นก็ยังเป็นคนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนทั้งนั้น”

     “เปลี่ยนสิ คลื่นไม่ใส่ใจหวานเหมือนเมื่อก่อน ไปไหนมาไหนกับหวานน้อยลง ยิ่งช่วงหลังมานี้คลื่นไม่มากินข้าวกับหวานเลย”

     “เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะหวาน” ผมพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่ดูเหมือนถ้าไม่พูดตรงๆ น้ำหวานจะไม่ยอมหยุด

     “หวานแค่อยากรู้ว่าใครทำให้คลื่นเปลี่ยนไป”

     “บอกแล้วไงว่าคลื่นไม่ได้เปลี่ยนไป หวานแค่รู้จักคลื่นด้านเดียว”

     “งั้นคลื่นจะอนุญาตไหมถ้าหวานอยากรู้จักด้านอื่นๆ ของคลื่นด้วย” ฝ่ามือเรียวเอื้อมมาลูบแผ่นอกผมเบาๆ ผมจับมือนั้นให้อยู่นิ่ง หันไปมองคนที่กำลังยิ้มหยอกเย้า

     “หวานน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์ของเราไม่มีทางไปถึงจุดนั้นได้ คลื่นพูดไปรอบนึงแล้วและไม่อยากพูดซ้ำ”

     รอยยิ้มน้ำหวานหายไปทันทีที่ผมพูดจบ ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้เราไม่เคยคุยกัน ผมมั่นใจว่าวันนั้นผมพูดเสียงดังฟังชัด

     “คลื่นเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่สร้างเกมบ้าบอนั่นขึ้นมาในไอจี”

     “ถ้าหวานอยากให้เปลี่ยนนัก คลื่นก็จะยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนไป”

     “คลื่น!” น้ำหวานเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม

     “และมันก็ไม่ใช่เกมบ้าบอด้วย อย่าเรียกแบบนั้นอีก”

     “ทำไมจะไม่ใช่ คลื่นมีหวานอยู่ทั้งคนยังจะไปเอาใครก็ไม่รู้มาวิดีโอคอลด้วยอีก คิดว่าหวานไม่รู้เหรอว่าคลื่นทำลงไปเพราะอยากเขี่ยหวานออกจากชีวิต”

     “คลื่นไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น เพราะหวานไม่ได้อยู่ในชีวิตคลื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว”

     “คลื่น!!” สีหน้าน้ำหวานแสดงออกชัดว่ากำลังโกรธ ผมรู้ว่าพูดแบบนี้มันแรงและใจร้ายเกินไป แต่ผมพูดถนอมน้ำใจไปครั้งหนึ่งแล้ว น้ำหวานบีบบังคับให้ผมเลิกถนอมน้ำใจเอง

     “คลื่นไม่เคยคิดอะไรกับหวานแบบนั้น หวานคือเพื่อนคนนึงของคลื่นมาตลอด”

     “แต่หวานไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับคลื่น”

     “คลื่นให้ได้แค่เพื่อน ถ้าหวานอยากล้ำเส้นเกินกว่านั้น เราสองคนคงต้องจบกันแค่นี้”

     “เพราะเด็กที่ชื่อเดือนใช่ไหม! เพราะมันใช่ไหมคลื่นถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้” เสียงแหลมๆ ของน้ำหวานทำให้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามอง ชื่อที่ออกจากปากคนตรงหน้าทำให้ผมขมวดคิ้ว

     “เดือนมาเกี่ยวอะไรด้วย”

     “อย่าคิดว่าหวานไม่รู้นะว่าคลื่นมีใจให้มัน หวานแค่คิดว่าคลื่นคงไม่จริงจังกับผู้ชายด้วยกันเลยอยู่เงียบๆ มาตลอด จนหวานมาเห็นกับตาว่าคลื่นหลงมันขนาดไหน”

     “เรื่องที่คลื่นจะชอบใครคลื่นขอให้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่คลื่นยังยืนยันคำเดิมว่าต่อให้ไม่มีเดือนมันก็จะไม่มีทางเป็นอย่างที่หวานหวังไว้”

     “แล้วคลื่นจะมาให้ความหวังหวานทำไมแต่แรก คลื่นผิดเองนะที่ทำให้หวานรู้สึกถึงขนาดนี้”

     “คลื่นไม่เคยให้ความหวัง ทุกการกระทำคลื่นพูดชัดเจนเสมอว่ามันไม่มีอะไรแอบแฝง ถ้าหวานจะหลอกตัวเองด้วยการเชื่อข่าวลือที่มาจากคนไม่รู้จัก คลื่นก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน” ข่าวลือที่บอกว่าเราสองคนคบกันผมพอจะได้ยินมาบ้าง แต่ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยไม่ได้สนใจมาตลอด จนกระทั่งผมรู้ใจตัวเอง ผมถึงคิดได้ว่าจะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปไม่ได้

     “นี่คลื่นกล้าพูดกับหวานขนาดนี้เลยเหรอ!!”

     ผมเคยคิดว่านางร้ายที่แผดเสียงน่ารำคาญจะมีอยู่แค่ในละคร ไม่นึกว่าวันหนึ่งจะต้องมาเจอในชีวิตจริง และยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนั้นกลับเป็นคนที่ผมเชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด

     “มีอะไรกันวะ” องศาที่เดินกลับมาพร้อมค้อนอันใหม่ในมือทำหน้างง มองผมกับน้ำหวานสลับไปมา ผมไม่ตอบคำถาม แต่ออกคำสั่งกับมันก่อนจะเดินออกมา

     “ฝากจัดการป้ายโรงเรียนต่อที กูไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัวว่ะ”

     “คลื่นจะไปไหน! เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ!”

     ผมไม่สนใจเสียงที่ดังตามหลังมา ผมถือว่าได้พูดสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว ถ้าน้ำหวานจะยังไม่จบนั่นไม่ใช่ปัญหาของผมแล้ว ปัญหาของผมจริงๆ มันต่อจากนี้ต่างหาก



     “สงสัยที่ออกตัวชัดเจนมันจะยังชัดไม่สุดสินะ”

     สองเท้าที่กำลังจะเดินออกจากห้องหยุดอยู่กับที่ ผมหันไปมองคนที่กอดอกยืนพิงประตู พี่เมศแค่นยิ้ม เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

     “จะทำอะไรก็ให้มันเป็นอย่างๆ ไปสิ รักพี่เสียดายน้องแบบนี้ระวังสุดท้ายจะพังทั้งหมดนะ”

     “ขอบคุณครับที่แนะนำ แต่ผมไม่ขอรับไว้” พูดจบผมก็เดินออกมาตรงไปยังห้องน้ำ แต่ประโยคที่ไล่หลังมาทำให้ต้องหยุดเดินเป็นรอบที่สอง

     “พี่ถูกใจเดือน”

     ผมหันกลับไปโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำ ความหงุดหงิดที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดด้วยท่าทางสบายๆ พี่เมศเอาสองมือล้วงกระเป๋าเดินเข้ามาหา สายตาที่มองมาราวกับกำลังท้าทาย

     “ผมคิดว่าเดือนไม่น่าจะอยากมีพี่ชายนะครับ” ผมมองกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว

     “อ่า...ใช้คำผิดไปหน่อยสินะ โทษที พี่จะบอกว่าชอบเดือน ชอบแบบเดียวกับที่นายชอบนั่นแหละ”

     พี่เมศกำลังยิ้มอยู่ก็จริง แต่แววตาไม่เหมือนคนกำลังล้อเล่นเลย ผมแค่นยิ้มบ้าง ในเมื่อพูดกันขนาดนี้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป

     “ไม่เหมือนกันครับ พี่ชอบเดือน แต่ผมรักเดือน

     “หึ พูดว่ารักเต็มปากเต็มคำขนาดนี้แสดงว่าที่เดือนชนะเกมในไอจีไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ”

     “พี่มาบอกเรื่องนี้กับผมทำไมครับ อยากใช้อำนาจรุ่นพี่สั่งให้ผมถอยให้หรือไง” ผมไม่ตอบคำถามแต่พุ่งเข้าประเด็นสำคัญแทน

     “ถ้าทำได้คงทำไปแล้ว เสียดายที่นายไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังใครง่ายๆ ที่มาบอกก็แค่อยากให้รู้ไว้ว่ากำลังมีคู่แข่ง”

     “ผมไม่เคยคิดจะแข่งกับใคร ผมจริงจังกับเดือนมากกว่าจะมองเรื่องนี้เป็นแค่เกม”

     “ถ้าไม่คิดจะแข่งก็หลบไปสิ ปล่อยให้คนที่พร้อมกว่าได้ดูแลเดือนไม่ดีกว่าเหรอ”

     “ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนๆ นั้นให้เดือนได้”

     “กล้าพูดนะ แล้วที่ยืนกอดกับผู้หญิงอื่นเมื่อกี้นั่นอะไรล่ะ”

     ผมชักสีหน้าใส่คนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำไมพี่เมศต้องเอาน้ำหวานมาเกี่ยวด้วย เรื่องของผมกับเดือนคือเรื่องของเราสองคน ไม่ว่าจะพี่เมศหรือน้ำหวานก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งทั้งนั้น

     “ผมกับน้ำหวานไม่เคยมีอะไรต่อกัน”

     “นายไม่มีแต่น้ำหวานมี เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าอดีตของตัวเองจะย้อนกลับมาทำร้ายคนที่นายรัก”

     “เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น ผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันเกิด” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

     “แล้วที่น้ำหวานไปหาเรื่องเดือนเมื่อวานล่ะ ไม่ใช่เพราะนายเป็นต้นเหตุหรอกเหรอ”

     “พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ผมขมวดคิ้วมุ่น จำได้ว่าตอนนั้นพี่เมศไม่ได้อยู่บนรถด้วย แล้วจะรู้เรื่องได้ยังไง

     “มีคนมาบอกพี่ทีหลัง ตอนแรกพี่คิดว่าคงบังเอิญเลยไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่”

     “คิดจะใช้เรื่องนี้มาเหยียบผมเหรอครับ”

     “พี่ไม่ทำอะไรสกปรกแบบนั้น และพี่ก็เป็นผู้ใหญ่พอสมควร ถ้าเดือนเลือกนายพี่จะถอยทันที แต่ตราบใดที่นายกับเดือนยังไม่เป็นอะไรกัน จำไว้ว่าพี่มีสิทธิ์เหมือนนายทุกอย่าง” รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกว่าคนพูดเอาจริงแค่ไหน พี่เมศตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ผมจมอยู่กับคำพูดที่สร้างความกังวลใจได้ไม่น้อย

     ผมรีบเดินไปอาบน้ำด้วยจิตใจที่ฟุ้งซ่าน จำได้ว่าวันนี้กลุ่มเดือนไปทาสีโรงอาหาร ถ้าอย่างนั้นคงต้องรีบหน่อยแล้ว

     ผมจะยังไม่บอกรักเดือนเพราะมันยังไม่ถึงเวลา แต่ดูเหมือนว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง หัวใจที่ควรจะเป็นของผมมันจะไม่ใช่ของผมอีกต่อไป



     -อิงเดือน-

     ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนมอบหน้าที่ให้พวกผมมาทาสีโรงอาหาร เมื่อวานอยู่กับสีทั้งวัน วันนี้ยังหนีสีไม่พ้นอีก ถ้ากลับไปแล้วเป็นมะเร็งปอดไม่ต้องสงสัยนะครับ เล่นสูดกลิ่นสีเข้าปอดทุกวันขนาดนี้

     โชคดีที่วันนี้มีแต่สีเขียวอ่อน ฝนกับควีนเลยไม่ต้องทะเลาะกัน แต่พอพวกมันไม่เถียงกันแล้วรู้สึกเงียบเหงายังไงชอบกล หรือผมจะชินกับเสียงแหลมๆ ของเพื่อนไปแล้ววะ พอไม่ได้ยินมันเลยเหงาหู

     “พวกมึงทะเลาะกันหน่อยดิ แบบนี้มันเงียบเกินไปอ่ะ” ผมหันไปพูดทีเล่นทีจริงกับฝนที่ก้มๆ เงยๆ ทาสีบนเสาอยู่

     “เมื่อคืนลืมกินยาระงับประสาทเหรอมึง จู่ๆ ถึงมาขอให้เพื่อนทะเลาะกันเอง”

     “ก็พวกมึงเอาแต่ทำงานอย่างเดียวไม่พูดไม่จา มันเงียบเกินไปอ่ะ”

     “แล้วไม่ดีเหรอวะ ปกติมึงชอบทำท่ารำคาญกูกับอีควีนออกจะบ่อย”

     “สงสัยพี่เดือนเขาคงไม่ชินกับลุคเรียบร้อยของพี่น่ะครับ น่าจะอยากให้พี่กลับไปแหกปากเหมือนเดิมมากกว่า” น้องบาสที่เพิ่งถือกระป๋องสีมาเติมคงได้ยินพวกผมคุยกัน มาถึงก็ร่วมวงทันทีไม่รีรอ ผมรับกระป๋องสีมาจากน้องแชมป์ที่ไปด้วยกัน เอามาเปลี่ยนกับกระป๋องเก่าที่ใกล้จะหมดแล้ว

     “อยากโดนแหกปากด่าไหมล่ะคะน้องบาส เดี๋ยวพี่จะไปด่าใกล้ๆ ให้หูหนวกกันไปข้างนึงเลย”

     “ถ้าพี่กล้าด่าคนที่พี่คิดจะอ่อยก็เชิญเลยครับ ดีซะอีก ผมจะได้ไม่หลงกลพี่ง่ายๆ”

     ฝนใช้แปรงทาสีชี้หน้าน้องบาส หน้ามันแดง หูมันก็แดง คงเถียงไม่ออกเพราะรู้อยู่เต็มอกว่างานนี้มันพลาดเอง เมื่อวานตอนกินข้าวเสร็จมันบ่นให้พวกผมฟังระหว่างเดินกลับห้องพักว่าดีแล้วที่ตัดใจไม่อ่อยน้องบาส มันเสียดายหน้าหล่อๆ ของน้องบาสที่มีนิสัยไม่เข้ากับใบหน้าเลย และจะเรียกว่าโชคร้ายหรือกรรมตามสนองก็ไม่รู้ที่ตอนนั้นน้องบาสผ่านมาได้ยินพอดี ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้มันเลยโดนน้องบาสเอาเรื่องนี้มาเล่นงานไม่หยุด

     อืม...ผมว่าผมไม่เหงาหูแล้วล่ะ ไอ้ควีนเองก็จะได้พักปากด้วย

     “เดือนกับควีนเอาน้ำไหม เดี๋ยวข้าวไปเอามาให้” ข้าวหอมที่เพิ่งกลับมาจากล้างมือเอ่ยถาม ที่ไม่ถามฝนด้วยคงเพราะเห็นว่ากำลังประลองฝีปากกับน้องบาสอย่างเมามัน

     “มึงจะไปเอาทำไมข้าว”

     “ก็เรายืนทาสีกันมาตั้งนาน ข้าวเลยกลัวเดือนกับควีนจะเหนื่อย”

     “กูไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ” ควีนยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะบุ้ยปากไปด้านหลังผม “มีราชรถมาเกยถึงที่ทั้งที มึงจะเดินไปเองให้เหนื่อยทำไม”

     พี่องศาเดินถือขวดน้ำเข้ามาในโรงอาหาร ใบหน้าดูอารมณ์ดีเมื่อหันมามองเพื่อนผม พี่องศาน่ะผมไม่แปลกใจ เพราะเขาอยู่ฝ่ายสวัสดิการเลยต้องเอาน้ำเอาขนมมาให้อยู่แล้ว แต่คนที่เดินตามหลังมานี่สิทำให้ผมแปลกใจ เห็นฝนบอกว่ากำลังติดป้ายโรงเรียนอยู่หน้าอาคารหนึ่งไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมากับพี่องศาล่ะ

     “เด็กๆ เหนื่อยกันไหม พี่เอาน้ำมาให้”

     “แหม ใจตรงกันเลยค่ะพี่องศา คนบางคนแถวนี้ก็กำลังจะไปหยิบน้ำเหมือนกัน” ควีนเหล่ไปมองข้าวหอมเหมือนจะสื่อทางอ้อมว่ากำลังพูดถึงใคร ฝน น้องบาส น้องแชมป์เดินมารับขวดน้ำด้วย ไอ้ฝนไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดฝาได้ก็ยกดื่มเอาๆ ถ้าให้เดามันคงยืนเถียงกับน้องบาสจนคอแห้ง

     “ข้าวจะเดินไปเองทำไม มีพี่อยู่ทั้งคนทำไมไม่ใช้”

     “พี่องศาไม่อยู่ตอนที่ผมอยากกินน้ำนี่ครับ จะให้ผมใช้ยังไง”

     “ข้าวกำลังจะพูดว่าอยากให้พี่อยู่ด้วยตลอดจะได้เรียกใช้ได้ทุกเวลาใช่ไหมครับ”

     ผมโง่เองหรือคิดตามไม่ทันพี่องศาวะ ทำไมผมเข้าใจว่าเพื่อนผมจะสื่อไปอีกแบบ ข้าวหอมไม่พูดอะไรต่อ หันไปทาสีที่ค้างไว้ แต่ผมเห็นว่าข้าวหอมแอบทำแก้มพองลมตอนพี่องศาหันไปทางอื่น

     เพราะมัวแต่สนใจคนอื่นคุยกันเลยไม่ทันรู้ตัวว่าใครบางคนเดินมาอยู่ข้างหลัง จนกระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นข้างหูผมถึงได้หันไปมอง

     “เดือน”

     “พะ...พี่คลื่น เอาหน้ามาใกล้ทำไมครับ” ผมยกมือผลักใบหน้าคมคายเบาๆ ให้ถอยออกไป พี่คลื่นยืดตัวเต็มความสูง ยิ้มบางๆ จนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง

     “ไปซื้อของกับพี่หน่อย”

     “หืม? ของอะไรครับ แล้วทำไมถึงมาชวนผม”

     “จะเอาคำตอบจริงๆ หรือคำตอบตามใจพี่ครับ”

     อะไรของพี่คลื่นวะ แค่คำถามง่ายๆ ทำไมถึงมีคำตอบเยอะจัง

     “เอาคำตอบจริงๆ ก่อนครับ”

     “พรุ่งนี้กลุ่มเดือนต้องไปทำงานกลางแจ้ง แต่พี่เห็นว่าพวกเรายังไม่มีหมวกกันสักคนเลยจะพาไปซื้อ”

     “ที่ไหนครับ”

     “ตลาดในตัวเมือง พี่ยืมรถครูมาขับ เห็นว่าประมาณสิบห้านาทีก็ถึง”

     “แล้วถ้าคำตอบตามใจพี่คลื่นล่ะครับ”

     คราวนี้คนตัวสูงยิ้มมุมปาก ก้มหน้ามาแนบชิดหู กระซิบให้ได้ยินเฉพาะผมกับเขา “อยากอู้งานไปเดินเที่ยวกับเดือนสองคน”

     ผมไม่น่าถามออกไปเลยจริงๆ ตั้งแต่ตอนไปซื้อของที่ห้างแล้ว ถามทีไรเป็นต้องหน้าแดงทุกที

     ผมรีบขยับตัวถอยออกมา ได้ยินเสียงคนตรงหน้าหัวเราะในลำคอเบาๆ พี่คลื่นหันไปพูดกับคนอื่นๆ ต่อเหมือนเป็นการสรุปทางอ้อมว่าผมยอมไปกับเขาแล้ว

     “พี่จะไปซื้อของที่ตลาดกับเดือน ใครจะฝากซื้ออะไรไหมครับ”

     เพื่อนๆ ผมรีบกรูกันเข้ามาทันที พวกมันสั่งเหมือนกำลังอยู่ในร้านกาแฟ พี่คลื่นจำไม่ไหวเลยต้องหากระดาษมาจด ผมมองร่างสูงที่กำลังโดนทุกคนล้อมหน้าล้อมหลัง ริมฝีปากเผลอยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว

     จะพูดว่ามัดมือชกคงไม่ได้สินะ เพราะถ้าถามซ้ำอีกครั้งผมก็คงตอบตกลงอยู่ดี ไม่อยากปฏิเสธใจตัวเอง





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 15 [19/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 19-08-2022 17:49:44
     “เดือนทำอาหารเป็นไหม”

     “อะไรนะครับ” ผมหันไปถามร่างสูงขณะที่เราสองคนกำลังเดินซื้อของอยู่ในตลาด ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ พอพี่คลื่นถามเลยไม่ได้ฟัง

     “เหม่ออะไรอยู่ครับ” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาลูบหัวเบาๆ

     “เปล่าครับ เมื่อกี้พี่ถามว่าอะไรนะครับ” ผมทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย ใครจะกล้าบอกล่ะว่ากำลังคิดเรื่องพี่คลื่นอยู่

     “เดือนทำอาหารเป็นไหม”

     “เอ่อ...นับต้มมาม่าด้วยไหมครับ ถ้านับผมก็น่าจะทำเป็นอยู่” ผมยิ้มแหยๆ ใส่คนถาม พี่คลื่นหลุดขำก่อนจะถามต่อ

     “แล้วเพื่อนๆ เราล่ะ มีใครทำเป็นไหม”

     ผมทำหน้านึกนิดหนึ่งก่อนจะหันไปตอบ “เหมือนควีนจะทำเป็นอยู่นะครับ พี่คลื่นถามทำไมเหรอ”

     “พอดีแม่ครัวเขาลาป่วยน่ะ ตอนนี้ในครัวเลยเหลือแค่ยี่หวากับทิวสองคน เหลือเวลาอีกตั้งสองวัน พี่กลัวพวกมันเหนื่อยเลยอยากหาคนไปช่วย”

     “ได้สิครับ เดี๋ยวผมไปคุยกับควีนให้”

     พี่คลื่นพูดขอบคุณ ก่อนจะพาผมแวะร้านขายขนมครก ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าคนตัวสูงขณะที่กำลังถามราคา ไม่ว่ามุมไหนๆ พี่คลื่นก็ดูดีไปหมด ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนธรรมดาอย่างผมจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายที่ดีไปทุกอย่างขนาดนี้

     “เดือนอยากลองชิมไหม”

     “ครับ?” พอโดนถามแบบไม่ทันตั้งตัวผมเลยได้แต่กะพริบตาปริบๆ เวรแล้วไง มัวแต่ชื่นชมเขาในใจ ไม่ได้ฟังเลยว่าเขาพูดอะไร

     “เหม่ออีกแล้ว ขยันเหม่อจังนะเรา” พี่คลื่นเอื้อมมือมาเขกหัวเบาๆ ถ้าเป็นเพื่อนผมมันคงด่าว่าอ๊องไปนานแล้ว “อยากลองชิมไหม คนขายเขาใจดีให้ชิม”

     ผมหันไปมองขนมครกบนเตาที่มีหลากหลายสี คนขายอธิบายว่าสีม่วงทำมาจากมันม่วง สีเขียวทำมาจากใบเตย สีเหลืองทำมาจากข้าวโพด และสีขาวทำมาจากกะทิหรือก็คือสีที่เรากินอยู่ทุกวัน

     “ขอชิมใบเตยหน่อยแล้วกันครับ”

     คนขายใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มขนมครกสีเขียวใส่ถ้วยโฟมก่อนจะส่งมาให้ ผมกำลังจะรับมาชิม แต่คนข้างๆ กลับเอาไปถือไว้เองเสียก่อน

     “พี่ป้อน”

     อะ...อะไรนะ!!

     “ผม...ผมกินเองได้ครับ”

     “อ้าปากเร็วครับ เรายืนบังหน้าร้านเขานานแล้วนะ”

     ฟังที่คนอื่นพูดบ้างสิครับ ไม่ใช่จะเอาแต่ป้อนอย่างเดียว!

     “แต่ว่า...”

     “เร็วครับเดือน”

     เมื่อถูกเร่งมากๆ ผมเลยต้องยอมอย่างช่วยไม่ได้ พี่คลื่นยิ้มกว้างเมื่อผมยอมให้ป้อนแต่โดยดี

     “อร่อยไหม”

     พยักหน้าส่งๆ ไปก่อนครับ นาทีนี้ต่อมรับรสผมไม่ทำงานแล้ว มัวแต่เขินสายตาที่คนขายมองมา อารมณ์ไหนของพี่คลื่นวะ จู่ๆ ก็มามัดมือชกป้อนขนมให้

     “เอาทุกรสอย่างละสองกล่องครับ ขอไม้จิ้มหกอันนะครับ” พี่คลื่นหันไปพูดกับคนขาย ผมเลยอดสงสัยไม่ได้

     “ทำไมซื้อเยอะจังครับ พี่คลื่นชอบกินเหรอ”

     “พี่ซื้อให้เดือนกับเพื่อนๆ ครับ จะได้เอาไปแบ่งกันกิน”

     ผมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เดินตามพี่คลื่นเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ นอกจากขนมครกแล้วพี่คลื่นยังแวะซื้ออีกหลายอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อให้ผมกับเพื่อนซะมากกว่า ผมลอบยิ้มโดยไม่ให้อีกคนเห็น รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

     ถึงแม้ผมจะยังสับสนอยู่หลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือพี่คลื่นเป็นคนใจดี



     “ไปซื้อหมวกกันเถอะครับพี่คลื่น เราออกมานานแล้วนะ ผมไม่อยากกินแรงเพื่อน” ผมพูดเสียงอ่อน มองของในมือแล้วถอนหายใจออกมา พี่คลื่นบอกว่าจะพาผมมาซื้อหมวก แต่เอาเข้าจริงกลับได้ของกินมาแทนซะอย่างนั้น จนผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ซื้อหมวกจริงๆ สักที

     “เดือนไม่อยากได้อะไรเพิ่มแล้วเหรอ”

     “แค่นี้ก็พอแล้วครับ แทบจะเอาไปแจกให้ทุกคนในค่ายได้อยู่แล้ว” ผมว่าพลางชูถุงขนมขึ้นมาให้ร่างสูงดู

     “ห้ามเอาไปแจกคนอื่นครับ พี่ซื้อให้เดือนกับเพื่อนๆ เท่านั้น”

     ผมพยักหน้ารับคำ กำลังจะเดินไปหาร้านขายหมวก แต่พี่คลื่นมายืนบังไว้ทำให้เดินต่อไม่ได้

     “คำตอบล่ะ”

     “ครับ?”

     “เดือนยังไม่สัญญากับพี่เลยว่าจะไม่เอาขนมไปแจกคนอื่น”

     ผมเอียงคอทำหน้างง พี่คลื่นจะจริงจังอะไรขนาดนี้ ที่พูดนั่นผมแค่พูดเล่นไปตามอารมณ์ และผมก็พยักหน้าให้แล้วยังไม่พออีกหรือไง

     “ตอบครับ จะสัญญากับพี่ไหม ถ้าไม่สัญญาก็ยืนกันตรงนี้ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”

     อ้าว! ไม่ได้สิครับ ใจคอพี่จะทิ้งให้เพื่อนทำงานแทนเหรอ

     “สัญญาครับ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเน้นย้ำ แต่เพื่อความสบายใจของพี่คลื่นผมจึงยอมสัญญาตามที่เจ้าตัวต้องการ พี่คลื่นยิ้มพอใจ เอื้อมมือข้างที่ว่างมาจับมือผมแล้วพาไปร้านขายหมวก

     ผมซื้อหมวกไปฝากน้องบาสกับน้องแชมป์ด้วย เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานร่วมกันอีกหรือเปล่าเลยกันเหนียวไว้ก่อน ตอนเดินออกจากร้านขายหมวกจู่ๆ พี่คลื่นก็หยุดเดิน หยิบเอาหมวกของผมที่เพิ่งซื้อมาในถุงมาใส่ให้

     “ใส่ไว้ครับ ตอนนี้แดดเริ่มออกแล้ว”

     “แล้วพี่คลื่นล่ะ”

     “พี่แข็งแรงกว่าเราเยอะ แดดแค่นี้ทำอะไรไม่ได้หรอก”

     กำลังจะบอกว่าผมอ่อนแอสินะ ได้ครับได้ หลังกลับจากค่ายผมจะไปฟิตหุ่นให้พี่คลื่นสบประมาทไม่ได้อีกเลย

     “มีอะไรอยากซื้อเพิ่มไหม”

     “ไม่น่ามีแล้วนะครับ ถ้ามีจริงๆ เดี๋ยวพวกผมมาซื้อกันเองอีกรอบก็ได้”

     “จะมากันยังไง ขับรถเป็นเหรอ”

     พอพี่คลื่นขัดขึ้นมาผมเลยได้แต่ยิ้มแหะๆ ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิทเลยแฮะ ในกลุ่มผมไม่มีใครขับรถเป็นเลย จะให้เดินกันมาเองก็ไม่ไหว ถึงจะใช้เวลาจากโรงเรียนมาถึงตัวเมืองแค่สิบห้านาทีแต่ก็ใช่ว่าระยะทางจะไม่ไกล

     “ถ้าจะมาตลาดอีกก็บอกพี่ จะพามาส่ง”

     “อย่าเลยครับ ผมเกรงใจพี่คลื่น เดี๋ยวผมขอให้คนอื่นมาส่งก็ได้”

     พี่คลื่นขมวดคิ้วตอนผมพูดคำว่าคนอื่น รอยยิ้มเริ่มหายไปจากใบหน้า พาให้ผมงงว่าพูดอะไรผิดหรือเปล่า

     “เดือนมากับพี่ มีอะไรก็เรียกพี่สิ จะไปเรียกคนอื่นทำไม”

     แล้วทำไมต้องพูดเสียงเข้มด้วยเนี่ย ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

     ผมทำตาปริบๆ เพราะตามอารมณ์คนตรงหน้าไม่ทัน พี่คลื่นไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไร ขยับหน้ามาใกล้เหมือนลืมไปว่ากำลังอยู่ในตลาด

     “สัญญาก่อนว่าถ้ามีอะไรจะมาเรียกพี่คนเดียว จะไม่ไปขอความช่วยเหลือคนอื่น”

     “พี่องศาก็ไม่ได้เหรอครับ”

     “ถ้าเป็นเพื่อนของเดือนอนุโลมให้เรียกเพื่อนพี่ได้ แต่เดือนต้องเรียกพี่คนเดียวเท่านั้น เข้าใจไหมครับ”

     ผมไม่ตอบเพราะกำลังงงกับคำพูดของพี่คลื่น คนตัวสูงที่เห็นผมเอาแต่เงียบเลยขยับเข้ามาใกล้อีก คราวนี้ไม่ใช่แค่หน้าแต่เป็นทั้งตัว ผมเลยต้องยกมือมาห้ามเพราะแค่นี้คนก็จะมองทั้งตลาดแล้ว

     “พี่คลื่น! ถอยไปเลยครับ คนอื่นมองแล้วเห็นไหม”

     “สัญญากับพี่ก่อน”

     นี่ไม่ใช่พี่คลื่นแล้ว นี่มันเด็กชายคลื่นครามชัดๆ!

     “กะ...ก็ได้ครับ ผมจะเรียกพี่คลื่นแค่คนเดียว จะไม่ไปขอให้คนอื่นช่วย”

     เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้วร่างสูงก็ยิ้มมุมปากก่อนจะยอมผละใบหน้าออกไป แววตาพี่คลื่นกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม กลายเป็นผมเองที่ทำหน้าไม่ถูกกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของอีกฝ่าย

     พี่คลื่นเป็นคนใจดี...ผมไม่เถียง แต่ที่ผมได้รู้เพิ่มอีกอย่างวันนี้คือพี่คลื่นชอบเอาแต่ใจ





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.15 [19/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-08-2022 20:48:51
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 16 [21/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-08-2022 18:41:13
ตอนที่ 16 : คำตอบที่ตามหา





     “นี่มันอะไรกันวะเดือน ไหนพี่คลื่นบอกว่าจะให้เรามาทำงานกลางแจ้งไง” ฝนถามเบาๆ ตอนที่พวกเรากำลังกินข้าวกันอยู่ ผมหันไปส่ายหน้าทำนองว่าไม่รู้เหมือนกัน

     “ที่เราทำกันไปก็เป็นงานกลางแจ้งนะฝน”

     “กลางแจ้งน่ะใช่ แต่มันเรียกว่างานได้ด้วยเหรอ คอยส่งน้ำส่งผ้าเย็นให้คนทำงานเนี่ย” ฝนถอนหายใจเบาๆ เหมือนมันอยากถามเรื่องนี้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที ผมกับข้าวหอมเลยหันไปมองหน้ากัน

     “จะว่าไปมันก็จริงนะ”

     “ใช่ไหมล่ะ แล้วพวกมึงไม่นึกสงสัยกันบ้างเหรอ”

     ผมส่ายหน้าให้ฝนอีกรอบ “กูไม่เลือกงานเหมือนมึงไง เขาให้ทำอะไรก็ทำ”

     ฝนมองค้อนก่อนจะหันไปกินข้าวต่อโดยไม่ถามอะไรอีก วันนี้พวกผมไม่ต้องทำงานเกี่ยวกับสีแล้ว ไม่สิ เรียกว่าแทบจะไม่ได้ทำงานเลยด้วยซ้ำ วันนี้ผม ข้าวหอมและฝนมีหน้าที่แค่คอยส่งน้ำกับผ้าเย็นให้พี่คลื่น พี่องศา น้องบาสและน้องแชมป์ที่กำลังติดหลอดไฟบนโรงอาหารกับโรงปลูกผัก ที่จริงผมก็สงสัยไม่ต่างกับฝนหรอก สองวันที่ผ่านมาใช้งานผมซะหนัก แต่วันนี้กลับให้ทำงานเบาๆ พอผมจะไปช่วยงานคนอื่นพี่คลื่นก็รีบห้ามไว้ ไม่ให้ผมไปไหนเลยยกเว้นห้องน้ำ

     ส่วนควีน...วันนี้มันผันตัวไปเป็นแม่ครัวช่วยพี่ทิวกับพี่ยี่หวาทำอาหาร ผมเพิ่งรู้จากพี่คลื่นว่าพี่ทิวทำอาหารเป็นแถมทำเก่งด้วย เห็นหน้าหล่อๆ แบบนั้นไม่นึกเลยว่าจะเข้าครัวเป็นด้วย

     “แกงจืดเต้าหู้ไข่ร้อนๆ กับไก่ทอดรสเด็ดมาแล้วค่าาาา” ควีนเดินถือกับข้าวออกมาจากห้องครัว เอามาวางไว้กลางโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่รวมกับกับข้าวอย่างอื่น พี่ทิวกับพี่ยี่หวาเดินเอากับข้าวไปแจกโต๊ะอื่นจนครบก่อนจะมานั่งรวมตัวกับพวกผมเหมือนกัน

     “นี่มึงทำเองเหรอควีน” ฝนถามพลางทำหน้าไม่อยากเชื่อ ควีนเคยบอกว่าทำอาหารเป็นก็จริง แต่มันไม่เคยทำให้พวกผมกินเลยสักครั้ง พอเห็นกับข้าวตรงหน้าที่จัดจานซะสวยฝนเลยอดทึ่งไม่ได้

     “ใช่ครับน้องฝน พี่ชิมไปหน่อยนึงแล้ว น้องควีนทำอร่อยจนพี่ที่มั่นใจในฝีมือตัวเองยังอายเลย”

     พอโดนคนหล่ออย่างพี่ทิวชม เพื่อนผมก็ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียม รีบรับคำชมไว้โดยไม่คิดจะถ่อมตัว “คนสวยๆ เขาก็ทำอาหารเก่งกันทุกคนแหละค่ะ ถ้าพี่ทิวอยากชิมบ่อยๆ ก็มาบ้านหนูสิคะ จะทำให้กินทุกวันจนเบื่อเลย”

     ทุกคนที่นั่งกันอยู่ส่งเสียงหัวเราะเมื่อหนุ่มหล่อโดนเชิญชวนให้เข้าบ้าน ฝนอาศัยช่วงที่คนอื่นคุยกันยื่นมือไปจะหยิบไก่ทอด แต่ก็โดนน้องบาสที่นั่งตรงข้ามกันตีมือก่อน

     “ช้อนส้อมก็มี พี่จะใช้มือทำไม”

     “ไก่ทอดมันต้องใช้มือกินสิถึงจะอร่อย ไม่รู้เรื่องเลย”

     “พี่ล้างมือแล้วเหรอ เกิดกินเชื้อโรคเข้าไปแล้วป่วยขึ้นมาจะทำยังไง แถวนี้ไม่มีโรงพยาบาลนะพี่”

     “ล้างตั้งนานแล้วย่ะ นายนั่นแหละล้างมือหรือยัง ทำมาเป็นสอนคนอื่น”

     “ผมสะอาดกว่าพี่เยอะ ไม่เหมือนพี่หรอกที่ต้องคอยบอกทุกอย่าง ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด”

     ผมนึกว่าพอฝนได้ห่างกับควีนแล้วจะโล่งหูขึ้น แต่เปล่าเลยครับ วันแรกที่ทำงานด้วยกันฝนกับน้องบาสขยันกัดกันยังไง วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมหันไปคุยกับข้าวหอมเพื่อตัดรำคาญ แต่พอเห็นข้าวหอมหันซ้ายหันขวาเลยอดสงสัยไม่ได้

     “ข้าวเป็นอะไรอ่ะ หาใครอยู่เหรอ”

     “พี่องศาน่ะ ข้าวไม่เห็นเขามากินข้าวเลย พอทำงานเสร็จแล้วไปไหนก็ไม่รู้” ข้าวหอมตอบเหมือนไม่ได้ตั้งใจตอบ แต่พอรู้ตัวว่าเผลอพูดออกมาก็รีบหันมาแก้ตัว “เอ่อ...ข้าวไม่ได้เป็นห่วงเขานะ แค่สงสัยเฉยๆ ไม่มีอะไรจริงๆ”

     “เรายังไม่ได้พูดอะไรเลย ข้าวร้อนตัวไปไหม” ผมพูดกลั้วหัวเราะ เริ่มคิดซะแล้วสิว่าที่ฝนกับควีนสงสัยบางทีอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อเจ้อก็ได้ “พี่คลื่นกับพี่องศาไปไหนเหรอครับ” ผมหันไปถามพี่ยี่หวาแทนคนข้างตัวที่ไม่ยอมรับว่าเป็นห่วง แต่เอาจริงๆ คือผมอยากถามเองด้วยส่วนหนึ่ง

     “ไปคุยกับผู้อำนวยการน่ะ พรุ่งนี้เราจะกลับกันแล้ว คืนนี้พวกคุณครูเลยอยากจัดกิจกรรมรอบกองไฟเพื่อขอบคุณพวกเรา”

     “กิจกรรมรอบกองไฟเหรอคะ” ฝนที่หยุดทะเลาะกับน้องบาสแล้วหันมาทำตาเป็นประกาย มันชอบอะไรแบบนี้ครับ ฝนเคยเล่าว่าตอนไปเข้าค่ายลูกเสือมันเป็นคนนำแสดงละครรอบกองไฟเองเลย

     “พวกพี่กินข้าวเสร็จแล้วจะไปอาบน้ำกันเลยไหมครับ” น้องแชมป์หันมาถาม ผมกำลังจะตอบแต่เสียงคนข้างหลังดังขึ้นมาซะก่อน

     “เดือนครับ”

     ผมและคนอื่นหันไปมองตามเสียงเรียก พี่เมศเดินมายืนข้างโต๊ะกินข้าว ยื่นถุงที่มีขนมหลายอย่างมาให้

     “วันนี้พี่ไปทำธุระที่ตลาดมา คิดว่าเดือนน่าจะชอบกินขนมพวกนี้เลยซื้อมาฝาก”

     เพื่อนๆ ผมหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ผมยื่นมือไปรับขนมมาถึงจะยังงงอยู่ว่าทำไมจู่ๆ พี่เมศถึงซื้อมาฝาก

     “เอ่อ...ขอบคุณนะครับ แต่ที่จริงพี่ไม่ต้องซื้อมาฝากก็ได้ ผมเกรงใจ”

     “ไม่เป็นไรครับ พี่เต็มใจ”

     ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ คนอื่นๆ ในโต๊ะต่างมองมาแต่ไม่มีใครพูดอะไร

     “พี่เมศกินข้าวหรือยังครับ” ผมถามออกไปตามมารยาท คิดว่าถ้ารับขนมมาเฉยๆ มันจะดูไม่ดี

     “กำลังจะไปกินครับ แต่ถ้าเดือนกับคนอื่นๆ ไม่ว่าอะไร พี่ขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยคนได้ไหม” พี่เมศมองไปยังเก้าอี้สองตัวข้างพี่ทิวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร เสียงเข้มของใครบางคนก็ดังขึ้นมา

     “ขอโทษนะครับ เผอิญไอ้ทิวมันจองที่ไว้ให้พวกผมสองคน พี่เมศคงต้องไปกินข้าวโต๊ะอื่นแทน” พี่คลื่นกับพี่องศาที่มาจากไหนไม่รู้เดินมานั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ คนตัวสูงหันไปยิ้มให้รุ่นพี่ แต่เป็นยิ้มที่ดูกวนๆ ยังไงไม่รู้

     “ไม่เป็นไร พี่แค่พูดไปงั้นๆ” พี่เมศพูดเสียงเรียบ หน้านิ่งผิดกับเมื่อครู่ที่มีรอยยิ้มประดับ

     “ส่วนขนมนี่ผมขอกินด้วยนะครับ พี่คงไม่ได้ซื้อมาให้เดือนคนเดียวใช่ไหม” พี่คลื่นหยิบขนมในมือผมไปทั้งถุง พอผมจะทักท้วงก็เจอเข้ากับสายตาดุๆ เลยต้องยอมอยู่เงียบๆ

     “พี่ซื้อมาให้เดือนกับเพื่อนๆ กิน” เสียงพี่เมศเริ่มห้วน

     “ให้กินขนมบ่อยๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ เมื่อวานผมก็เพิ่งซื้อให้เดือนกินตั้งเยอะ แถมเดือนยังกินหมดเลยด้วย ใช่ไหมครับ” ประโยคหลังพี่คลื่นหันมาถามผม ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่าถ้าไม่ยอมเออออตามอาจจะโดนหงุดหงิดใส่เอาได้

     “ใช่ครับ พี่คลื่นซื้อขนมให้ผมเยอะเลย”

     ร่างสูงยิ้มมุมปาก เหลือบไปมองคนที่ยืนอยู่ที่ยังหน้านิ่งไม่เปลี่ยน

     “ถ้าเดือนไม่กินจะแบ่งให้เพื่อนกินก็ได้ครับ พี่ไม่ว่าอะไร” พี่เมศพูดจบก็ยิ้มให้ เอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ “พี่ไปกินข้าวก่อนนะครับ ไว้มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่”

     พอรุ่นพี่เดินจากไปแล้วทั้งโต๊ะก็ถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน ผมทำหน้างงว่าคนอื่นเป็นอะไรกัน ขณะที่ฝนกับควีนหันไปซุบซิบกันเสียงเบา

     “มึงกับกูคงไม่ต้องมโนกันแล้วล่ะ แม่งชัดระดับ Full HD ขนาดนี้”

     “จริง มึงว่าไอ้เดือนจะรู้ป่ะว่าผู้ชายสองคนกำลังแย่งมันอยู่”

     “โอ๊ย พี่คลื่นแสดงออกขนาดนี้มันยังไม่รู้เลย แล้วกับพี่เมศมันจะไปรู้ได้ยังไง”

     “หรือเราควรช่วยมันดีวะ ขืนปล่อยให้มันรู้ใจตัวเองกูว่าชาตินี้แม่งขึ้นคานตายก่อนพอดี”

     “ฝนกับควีนคุยอะไรกันอยู่เหรอ”

     “ไม่น่าถาม ก็ไอ้เดือนมัน...”

     “อีฝน!” ควีนตีแขนฝนดังเพียะก่อนจะมองค้อนใส่ “เคลิ้มตอบไอ้ข้าวอีกแล้วนะมึง ระวังหน่อยสิวะ”

     ข้าวหอมมองเพื่อนอย่างงุนงง ส่วนผมที่ไม่มีใครคุยด้วยก็กินข้าวของตัวเองไปเงียบๆ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนจ้องเลยเผลอมองคนตรงหน้าโดยไม่ตั้งใจ

     “พี่คลื่นไม่กินข้าวเหรอครับ”

     คนตัวสูงสบตากับผมสักพัก ก่อนจะถอนหายใจตามคนอื่นพลางหยิบช้อนมาถือ “กินสิครับ”



     “เดือน มึงไม่เอะใจอะไรเลยเหรอวะ”

     ผมหันไปเลิกคิ้วใส่ควีนที่เดินไปเช็ดผมไป “หมายถึงเรื่องอะไรอ่ะ”

     “ก็...อะไรก็ได้อ่ะ ช่วงนี้มึงไม่มีเรื่องที่สงสัยบ้างเลยเหรอ”

     “นอกจากเรื่องพี่คลื่นก็ไม่มีนะ ทำไมมึงถามแบบนี้อ่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

     ควีนทำหน้าเหมือนอยากเขกหัวผม หันไปมองตากับข้าวหอมก่อนจะถอนหายใจ “ช่างเถอะ กูลืมไปว่ามึงอ๊อง ขอโทษที่คาดหวังแล้วกัน”

     “อ้าว นี่มึงหลอกด่ากูเหรอ” ผมทำหน้าหาเรื่องใส่ควีน เดินอยู่ดีๆ ดันโดนด่าซะงั้น มันน่าโกรธไหมล่ะครับ “เดี๋ยวก็พูดจาน่าสงสัย เดี๋ยวก็ด่าว่ากูอ๊อง ตกลงมึงอยากพูดอะไรกันแน่”

     “มึงรู้แค่ว่าตอนนี้มึงเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในมหา’ลัยเท่านั้นพอ ที่เหลือกูไม่บอก ให้มึงรู้เอาเอง”

     ถ้าไม่คิดจะบอกแล้วจะมาเกริ่นให้สงสัยทำไม เพื่อนผมนี่แปลกคนชะมัด

     ผมเลิกสนใจควีนเพราะรู้ว่าถามยังไงมันก็ไม่บอกอยู่ดี หันไปคุยกับข้าวหอมเรื่องรายงานที่ต้องส่งตอนกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า

     ผม ข้าวหอมและควีนกำลังเดินกลับห้องพักหลังจากอาบน้ำเสร็จ ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงครึ่ง แดดกำลังโพล้เพล้ไม่ร้อนจนเกินไป ที่จริงต้องอาบน้ำก่อนถึงจะกินข้าวเย็น แต่วันนี้ทุกคนในค่ายนอกจากพวกผมใช้แรงเยอะ เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายเลยต้องทำทุกอย่างให้เสร็จ พี่เมศเลยอนุโลมให้กินข้าวเติมพลังก่อนอาบน้ำได้

     “เดือน!”

     ร่างสูงกำยำที่กำลังวิ่งมาทางนี้ตะโกนเรียกชื่อผมจนคนแถวนี้หันมามอง พอมาหยุดอยู่ตรงหน้าพี่คลื่นก็ดึงสองมือผมไปกุมไว้หลวมๆ พูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ

     “ไปเล่นน้ำตกกัน”

     “หืม? ที่ไหนครับ”

     “น้ำตกที่พี่เคยพาเดือนไปไง ป่ะ ไปด้วยกันนะครับ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว”

     ผมหันไปมองข้าวหอมกับควีนอย่างขอความเห็น ก่อนจะพบว่าเพื่อนทั้งสองคนยิ้มให้ผมอยู่ก่อนแล้ว

     “พี่คลื่นไม่ต้องขอหรอกค่ะ หน้ามันฟ้องอยู่ทนโท่ว่าอยากไปจะแย่แล้ว”

     ผมมองค้อนใส่เพื่อนไปหนึ่งที ข้าวหอมขยับมาใกล้ก่อนจะพูดเสียงเบา “ไปเถอะเดือน จะได้รู้ใจตัวเองเร็วๆ ไง โฮกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนะ”

     ผมหันไปมองคนที่รอคำตอบแบบใจจดใจจ่อ แต่พอเห็นสีหน้าพี่คลื่นในใจก็อดโอดครวญไม่ได้ อย่ายิ้มจนเห็นลักยิ้มแบบนั้นได้ไหมครับ มันเหมือนพี่ไม่ได้ขอร้องแต่กำลังมัดมือชกผมทางอ้อมเลย…

     “แต่ผมอาบน้ำแล้วนะครับ”

     “แค่เอาเท้าจุ่มน้ำไม่ต้องลงเล่นก็ได้ ไปนะครับ พี่อยากไปกับเราสองคน”

     ถ้าหน้าผมเป็นภูเขาไฟ ป่านนี้มันคงระเบิดไปแล้ว ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ พี่คลื่นเลยยิ้มกว้างกว่าเดิม

     “งั้นข้าวกับควีนจะไปห้องพักก่อนนะ เจอกันอีกทีตอนก่อกองไฟเลยแล้วกัน”

     เพื่อนๆ โบกมือให้ผมก่อนจะเอ่ยขอตัวกับพี่คลื่น ไม่นานหลังจากนั้นข้อมือผมก็ถูกดึงเบาๆ

     “ไปเร็วครับ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวจะมืดซะก่อน”

     “คิดยังไงถึงชวนผมไปเล่นน้ำตกครับเนี่ย” ผมชวนคุยระหว่างที่เราสองคนเดินเข้าป่า พี่คลื่นหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ

     “ไม่ได้คิดครับ แค่ทำตามความรู้สึกตัวเอง”

     พอได้ยินแบบนั้นผมก็หลุดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เราสองคนคุยกันไปตลอดทางพร้อมกับหัวใจผมที่ค่อยๆ พองโต

     บังเอิญจังเลยครับ...ที่ตอบตกลงตามมาด้วยผมก็ใช้ความรู้สึกตอบเหมือนกัน



     “พี่คลื่นพอจะรู้เรื่องพี่องศากับข้าวหอมบ้างไหมครับ” ผมเอ่ยถามคนข้างๆ ที่ตอนนี้กำลังแกว่งเท้าเล่นในน้ำ ผมกับพี่คลื่นมานั่งบนโขดหินข้างน้ำตก หยดน้ำที่แตกกระเซ็นเพราะไหลจากที่สูงลงที่ต่ำลอยมากระทบผิวเป็นระยะ ให้ความรู้สึกสดชื่นจนต้องสูดกลิ่นอายธรรมชาติเข้าปอด

     “ข้าวหอมพี่ไม่รู้ แต่ถ้าองศาพี่ว่ามันน่าจะคิดกับข้าวหอมมากกว่ารุ่นน้อง” คนตัวสูงหันมามองพลางยกยิ้ม “ถามทำไมครับ อยากหาแฟนให้เพื่อนหรือไง”

     “เปล่าครับ ผมแค่ถามเฉยๆ เผื่อพี่คลื่นจะรู้อะไรบ้าง” พูดจบผมก็กัดปากตัวเองนิดหน่อย “แล้ว...พี่คลื่นคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ”

     “ก็ไม่คิดอะไร ถ้าองศามันคิดดีแล้วพี่ก็จะไม่ห้าม ข้าวหอมก็ดูเป็นคนดีเหมือนกัน”

     “ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง...พี่คิดยังไงกับการที่เพื่อนชอบผู้ชายด้วยกัน”

     ผมแทบจะกลั้นหายใจตอนถามออกไป ลุ้นยิ่งกว่าผลสอบว่าพี่คลื่นจะตอบกลับมาว่าอะไร ผมอยากรู้ความคิดของพี่คลื่นก่อนจะได้รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป ถ้าพี่คลื่นไม่โอเคกับอะไรแบบนี้ผมจะได้โยนความรู้สึกในอกทิ้งไปแล้วทำเป็นลืมเรื่องทั้งหมด

     คนตัวสูงเหลือบมามองอีกครั้ง ลักยิ้มที่มุมปากยังไม่จางหายไป “พี่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเพศ พี่สนแค่ความรู้สึกเท่านั้นครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อน...หรือเรื่องของตัวพี่เองก็ตาม”

     ผมหันไปมองคนพูดแทบจะทันที พี่คลื่นไม่หลบหน้า สบตากับผมเหมือนอยากสื่ออะไรบางอย่าง กลับเป็นผมเองที่หันเหไปทางอื่น ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยขณะที่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

     “เอ่อ...แล้วพี่น้ำหวานล่ะครับ พี่คลื่นคบกับพี่น้ำหวานอยู่หรือ...”

     “ไม่ได้คบครับ” ร่างสูงชิงตอบก่อนที่ผมจะถามจบ “พี่กับหวานเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

     น้ำเสียงที่หนักแน่นทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ หน้าพี่คลื่นจริงจังต่างกับตอนคุยเรื่องพี่องศา เหมือนกำลังกลัวผมจะเข้าใจผิดจริงๆ

     “ได้ยินหรือเปล่า”

     “ครับ?” ผมทำหน้าเหลอหลา

     “พี่บอกว่าพี่กับหวานไม่ได้เป็นอะไรกัน เข้าใจไหม”

     “เข้า...เข้าใจแล้วครับ”

     ร่างสูงยกยิ้มพอใจ หันไปมองน้ำตกโดยไม่พูดอะไรอีก พอคุยเรื่องพี่น้ำหวานแล้วพี่คลื่นเหมือนจะหงุดหงิดขึ้นมาเลย ไม่ได้การ ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุยด่วน

     “จริงด้วยครับ ผมว่าจะถามอยู่ กับข้าวฝีมือควีนเมื่อตอนเย็น...”

     “เดือนครับ” พี่คลื่นขยับหน้ามาใกล้ ปลายจมูกเราสองคนแตะกันเบาๆ “พูดเรื่องของเราบ้างไม่ได้เหรอ”

     “…”

     “ตอนนี้เดือนอยู่กับพี่นะครับ ทำไมต้องเอาแต่พูดถึงคนอื่นด้วย พูดแค่เรื่องของเราได้ไหมครับ”

     ผมกะพริบตาปริบๆ ถอยหน้าออกมาเพื่อจะได้เห็นอีกคนชัดๆ พี่คลื่นกำลังรำคาญหรือเปล่านะ...แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนเขากำลังอ้อนมากกว่าเลยล่ะ

     “โอเคครับ ผมจะพูดแต่เรื่องของเรา ไม่พูดถึงคนอื่นอีก” ผมตอบเสียงเบากลับไป เป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นลักยิ้มที่มุมปากของพี่คลื่น คนตัวสูงจับมือผมไปวางบนตักตัวเอง บีบเบาๆ ลูบไล้ไปมา

     “มือเดือนนุ่มจัง จับกี่ครั้งก็ไม่อยากปล่อยเลย”

     “มือพี่คลื่นก็อุ่นเหมือนกันครับ จับแล้วไม่รู้สึกหนาวเลย”

     หัวใจผมกำลังเต้นรัว ใบหน้าผมกำลังร้อนผ่าว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีความสุข...เป็นความสุขที่เอ่อล้นจนผมต้องระบายออกมาทางรอยยิ้ม

     “ขอถามอะไรอย่างนึงได้ไหมครับ”

     “ได้ครับ” พี่คลื่นตอบโดยไม่ละสายตาจากทิวทัศน์ตรงหน้า

     “ทำไมถึงสร้างเกมในไอจีขึ้นมาเหรอครับ พี่แค่อยากขอบคุณคนติดตามแค่นั้นเหรอ” เรื่องนี้ผมสงสัยมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ถามเสียที จะถามทีไรก็ลืมตลอด

     “อันที่จริงพี่มีเหตุผลลับที่สร้างเกมนี้ขึ้นมา แต่ยังบอกตอนนี้ไม่ได้ครับ บอกได้แค่ว่าสักวันเดือนจะรู้เอง”

     ผมพยักหน้ารับรู้ ไม่ถามต่อเพราะไม่อยากบังคับอีกฝ่าย

     “พี่มีความสุขนะครับ”

     “หืม? มีความสุขอะไรครับ”

     “ตอนวิดีโอคอลกับเดือนพี่มีความสุขมาก” พี่คลื่นหันมามองผมอีกครั้ง ผมเองก็หันไปมองพี่คลื่นเช่นกัน “แล้วเดือนล่ะครับ ได้วิดีโอคอลกับพี่ทุกวันมีความสุขหรือเปล่า”

     คำถามง่ายๆ ของพี่คลื่นกลับทำให้ผมนิ่งงันไป พี่คลื่นคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโง่มาก โง่ที่ไม่เคยถามตัวเองอย่างนี้มาก่อน โง่ที่มองข้ามสิ่งสำคัญตรงหน้าไป โง่ที่มัวแต่อ้อมไปคิดเรื่องอื่นจนลืมไปว่าอะไรกันแน่ที่ควรคิดจริงๆ

     ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทตรงหน้า ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ภาพพี่คลื่นชวนผมเล่นเกมกระชับมิตร ภาพพี่คลื่นอยู่เป็นเพื่อนผมตอนอ่านหนังสือสอบ ภาพพี่คลื่นเอาตุ๊กตาหมีมาง้อผม ภาพพี่คลื่นพาผมไปซื้อตุ๊กตา ภาพพี่คลื่นคอยจับมือผมในบ้านผีสิง ภาพพี่คลื่นซบไหล่ผมบนรถ และอีกหลายๆ ภาพที่ผมพูดไม่หมด ภาพเหล่านั้นทำให้ความสับสนที่มีมานานหายไปหมดสิ้น เหลือไว้เพียงคำตอบที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามันอยู่ใกล้กว่าที่คิด

     แค่คิดว่าคนในภาพจะไม่ใช่พี่คลื่น ในใจก็ปวดแปลบจนรู้สึกทรมาน พอคิดแบบนั้นผมเลยยิ้มออกมา ยิ้มให้ความอ๊องของตัวเองที่ไม่ได้รู้อะไรกับเขาเลย…

     “เดือนครับ?” พี่คลื่นโบกมือไปมาตรงหน้า ผมจับมือนั้นให้อยู่นิ่งก่อนจะถาม

     “พี่คลื่นถามว่าอะไรนะครับ”

“พี่ถามว่าตอนวิดีโอคอลกับพี่เดือนมีความสุขไหม”

     ผมยิ้มกว้างจนตาแทบปิด พยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ “มีความสุขครับ มีมากๆ เลยด้วย”

     ตอนนี้ผมได้คำตอบที่ตามหามานานแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะดีหรือตรงสเป็กแค่ไหนก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะทั้งสายตาและหัวใจของผมตอนนี้มีแต่พี่คลื่น ผมชอบพี่คลื่น...ต้องเป็นพี่คลื่นคนเดียวเท่านั้น





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 16 [21/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-08-2022 18:41:56
     แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคุณแจว แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคุณแจว แจวเรือไปซื้อ...

     “อะไรนะ!!!”

     “ชู่ว เบาๆ กันสิวะ” ผมเอานิ้วจ่อปากให้เพื่อนๆ ลดเสียงลง ดีนะที่คนรอบข้างกำลังร้องเพลงกันเลยไม่มีใครได้ยินคำอุทานของเพื่อนผม

     “มึงมานี่เลย มานั่งข้างๆ กูเลย” ควีนลากแขนผมที่นั่งอยู่แถวหน้าให้ถอยมาอยู่แถวเดียวกับตัวเอง ข้าวหอมกับฝนก็ขยับมานั่งล้อมวงจนกลายเป็นวงกลม แถวที่ควีนนั่งอยู่เป็นแถวหลังสุด เลยไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนคนอื่น

     “ไอ้เดือน มึงพูดให้พวกกูได้ยินชัดๆ อีกทีซิ”

     “กูชอบพี่คลื่น”

     “เชี่ย!!” ฝนกับควีนเอามือทาบอก หันไปทำตาโตใส่กัน

     “เดือนแน่ใจแล้วเหรอ” ข้าวหอมถาม สีหน้าไม่ได้ตกใจน้อยไปกว่าอีกสองคนเลย

     “เราแน่ใจแล้วข้าว เราคิดมาดีแล้ว ตอนนี้เรากำลังชอบพี่คลื่น”

     “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง! วันที่ฝันกูจะเป็นจริงสักที!”

     “กูตัวสั่นไม่หยุดเลยอ่ะมึง โอ๊ยยยย ไอ้เดือน มึงทำพวกกูฟินจนสุดหยุดไม่อยู่เลยเนี่ย”

     ถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ระหว่างกิจกรรมรอบกองไฟ ผมว่าฝนกับควีนคงลุกขึ้นวิ่งพล่านไปทั่วแล้ว พวกมันยิ้มระรื่นเหมือนชอบพี่คลื่นเสียเอง จนผมที่เป็นคนพูดชักจะเอือมระอาขึ้นมานิดๆ

     “พอเลยพวกมึง กูแค่รู้ใจตัวเองว่าชอบพี่คลื่น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรซะหน่อย”

     “ไม่ใหญ่กับผีน่ะสิ กว่าพวกกูจะแงะปากให้มึงพูดได้เนี่ยใช้เวลานานมากเลยนะคะ ได้ยินแบบนี้แล้วอีฝนภูมิใจ”

     เอากับมันสิครับ อะไรจะดีใจออกนอกหน้าขนาดนั้น

     “แล้วเดือนจะทำยังไงต่อ จะบอกพี่คลื่นเลยไหม”

     ผมส่ายหน้าให้ข้าวหอมเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เรากลัวโดนปฏิเสธน่ะ เลยอยากให้ความสุขตอนนี้มันดำเนินต่อไปอีกหน่อย ยังไม่อยากตื่นจากความฝัน”

     “มึงกลัวอะไรไม่เข้าเรื่องมากค่ะ ดูปากกูนะ พี่คลื่นเขาก็ชอบมึงเหมือนกัน เชื่อกูสิ กูเป็นคนนอก”

     “จะให้กูเชื่อมึงเพราะมึงเป็นคนนอกเนี่ยนะ”

     “ก็เพราะคนนอกอย่างกูนี่แหละถึงได้มองเห็นสิ่งที่คนในสนามอย่างมึงไม่เห็น ไม่ต้องคิดมากแล้ว รีบไปบอกชอบพี่คลื่นเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่อีพี่น้ำหวานจะแย่งไปซะก่อน”

     “ใครแย่งอะไรใครเหรอครับ”

     “ก็ไอ้เดือนน่ะสิคะ มัน...ว้าย! พี่คลื่น” ฝนสะดุ้งโหยงเมื่อหันไปเห็นว่าใครกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างตัว “พี่คลื่น...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

     “เมื่อกี้ครับ พี่จะมาชวนเดือนไปดูดาว”

     “ดูดาว?” ผมทวนคำพูดอย่างงงๆ หันไปมองพวกรุ่นพี่ปีสี่ที่กำลังนำร้องเพลงอยู่หน้ากองไฟกับคุณครู “แต่ตอนนี้เรากำลังทำกิจกรรมรอบกองไฟอยู่นะครับ”

     “ก็แอบไปไงครับ พวกรุ่นพี่ไม่รู้หรอก” คนตัวสูงพูดเสียงเบาพลางขยิบตาให้ ผมกำลังจะคัดค้านแต่ฝนกับควีนก็รั้งผมไปสุมหัวก่อน

     “มึงจะมัวเล่นตัวทำไม โอกาสลอยมาแล้วรีบๆ คว้าไว้สิ”

     “โอกาสอะไรวะ”

     “โอ๊ย ใจคอมึงจะให้กูบอกทุกครั้งเลยเหรอ ก็โอกาสที่จะได้บอกชอบพี่คลื่นไง”

     “เฮ้ย ไม่เอา กูยังไม่พร้อม”

     “มึงเชื่อกูสิเดือน พี่คลื่นเขาชอบมึงจริงๆ รีบบอกออกไปเถอะ กูมั่นใจว่ามึงต้องสมหวังแน่นอน”

     บางทีผมก็อยากถามเหมือนกันว่ามันไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ขนาดผมยังไม่มั่นใจในตัวเองเลย

     “ข้าวเห็นด้วยกับฝนนะ จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ต้องบอกอยู่ดี บางทีที่พี่คลื่นมาชวนเขาอาจจะอยากสารภาพรักเดือนก็ได้”

     ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสามคน พวกมันยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไงพี่คลื่นก็ต้องชอบผมแน่นอน ขณะที่ผมคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงดี พี่คลื่นที่ขยับมาอยู่ข้างหลังก็เอามือมาวางบนไหล่

     “ไปดูดาวกันนะครับเดือน”

     รอยยิ้มที่ส่งมาทำให้ตาผมพร่ามัวไปชั่วขณะ ผมหันไปมองเพื่อนเพื่อขอความเห็นอีกครั้ง พอพวกมันพยักหน้าให้เลยหันกลับมามองคนที่รอคำตอบอยู่

     “...ก็ได้ครับ”

     ในเมื่อเพื่อนมั่นใจขนาดนี้ ผมก็ต้องมั่นใจในตัวเองเหมือนกัน



     เป็นเพราะไม่มีควันหรือมลพิษคอยรบกวน ตอนกลางคืนที่นี่เลยเห็นดาวชัดเจน หมู่ดาวนับร้อยที่เรียงตัวกันบนท้องฟ้านั้นสวยงามจนผมเริ่มไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ขึ้นมา

     “ชอบไหม” พี่คลื่นหันมาถามผมที่เอาแต่เงยหน้ามองดาวไม่พูดไม่จา

     “ชอบครับ อยู่กรุงเทพฯ ผมไม่เคยได้เห็นท้องฟ้าสวยๆ แบบนี้เลย”

     “ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยรู้สึกคุ้มค่ากับที่ชวนโดดกิจกรรมมาหน่อย”

     ผมหันไปสบตากับคนตัวสูง ก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน พี่คลื่นดึงมือผมไปกุมก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าบ้าง

     “มะรืนนี้จะวันปีใหม่แล้ว” จู่ๆ คนข้างตัวก็พูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน “ปีนี้เดือนเคานต์ดาวน์กับใครเหรอครับ”

     “ยังไม่รู้เลยครับ ปีใหม่นี้ผมไม่ได้กลับบ้าน แล้วปกติกลุ่มผมก็ไม่ค่อยสนอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เลยไม่เคยมีโมเมนต์เคานต์ดาวน์ข้ามปีกับเพื่อนเลย”

     “มาเคานต์ดาวน์กับพี่ไหม”

     “ครับ?” ผมหันไปทำหน้าตาตื่นใส่พี่คลื่น

     “พี่หมายถึงวิดีโอคอลข้ามปีด้วยกัน ดีไหมครับ”

     อ๋อ...หมายถึงวิดีโอคอลนี่เอง ไอ้เราก็ตกใจนึกว่าจะชวนไปค้างที่ห้องด้วยกัน พูดให้มันครบสิครับพี่

     “เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”

     ลมเย็นยามกลางคืนพัดมากระทบผิวเบาๆ แต่ผมกลับไม่รู้หนาวเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเพราะฝ่ามือหนาที่กุมมือไว้หรือไออุ่นจากคนข้างๆ ที่นั่งด้วยกัน

     “เขาว่ากันว่าถ้าเราบอกความในใจตอนสิ้นปี เราจะสมหวังในปีหน้า”

     “เหรอครับ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะกำลังเคลิ้มกับดาวบนฟ้าอยู่

     “เดือนมีคนที่ชอบหรือยัง”

     “ครับ!?” ผมหันขวับมามองคนถามทันที เลิกสนใจดาวไปในพริบตา “เอ่อ...คือ...”

     หัวใจผมเริ่มเต้นแรง จู่ๆ คำพูดของเพื่อนก็ลอยเข้ามาในหัว ที่พี่คลื่นถามเพราะกำลังจะบอกชอบผมหรือเปล่า หรือเขาแค่ถามไปเรื่อยเพราะอยากชวนคุยเฉยๆ

     “ว่าไงครับ เดือนมีคนที่ชอบยัง”

     “ยะ...ยังครับ ยังไม่มี...” เพราะไม่รู้ว่าพี่คลื่นถามทำไม ผมเลยเลือกที่จะโกหกไปก่อน

     “แต่พี่มีแล้วนะ คนที่ชอบน่ะ...ไม่สิ ต้องพูดว่าคนที่พี่รัก”

     “พี่คลื่น...รักใครเหรอครับ” ผมไม่รู้เลยว่าเสียงตัวเองสั่นแค่ไหน รู้แค่ว่าตอนนี้หัวใจผมมันเต้นอย่างบ้าคลั่งมากกว่าที่เคยเป็นมาทุกครั้ง ถ้าสิ่งที่เพื่อนๆ พยายามกรอกหูเป็นความจริง ก็แปลว่าพี่คลื่นกำลังจะบอกรักผม พอคิดแบบนั้นหัวสมองมันก็ขาวโพลนไปหมด

     พี่คลื่นที่ผมเคยคิดว่าอยู่สูงเกินเอื้อม...กำลังจะบอกรักผม...

     ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม...

     “พี่ยังบอกไม่ได้ครับ”

     “…”

     พี่คลื่นยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปดูดาวต่อ ปล่อยให้ผมทำหน้าเหวอแบบที่ผมก็ไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองตอนนี้เป็นยังไง

     “เขาเป็นคนน่ารัก มองแล้วให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา เวลาเห็นเขายิ้มพี่มักจะยิ้มตามทุกที”

     “…”

     “พี่ชอบอยู่ใกล้เขา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากอยู่ด้วยกันตลอด แต่ตอนนี้พี่ยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เลยทำได้แค่สร้างสถานการณ์เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับเขาบ่อยๆ”

     ร่างสูงยังคงพูดไปเรื่อยๆ เหมือนอยากถ่ายทอดความรู้สึกตัวเองให้ใครสักคนฟัง โดยไม่ได้รู้เลยว่ายิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ หัวใจคนฟังยิ่งถูกกรีดลมให้หดเล็กลงเท่านั้น

     “เดือนคิดว่าถ้าพี่เดินหน้าจีบเขา พี่จะจีบติดไหมครับ” พี่คลื่นหันมาถามพร้อมรอยยิ้ม แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกไม่ชอบรอยยิ้มตรงหน้าเอาเสียเลย

     รอยยิ้มนั้นไม่ใช่ของผม แต่เป็นของคนที่พี่คลื่นรักต่างหาก

     “ผมไม่รู้ครับ ผมอ่านใจใครไม่ได้ แต่ถ้าพี่คลื่นรักเขาขนาดนั้นก็ไม่ต้องกลัวหรอกครับ พี่เป็นคนมีเสน่ห์ จีบใครก็ติดอยู่แล้ว” ผมไม่เคยพูดกับพี่คลื่นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างนี้มาก่อน แต่เหมือนคนฟังจะไม่รู้สึกอะไร เพราะพอผมพูดจบพี่คลื่นก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม

     “เดือนคิดว่าพี่ควรจีบเขาเหรอ”

     “เวลาเรารู้สึกดีกับใคร เราก็ต้องอยากอยู่ใกล้เขาเป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ”

     พี่คลื่นคงคิดว่าประโยคนี้ผมพูดถึงเขา แต่ที่จริงผมพูดเพราะอยากตอกย้ำความอ่อนต่อโลกของตัวเอง ผมรู้สึกดีกับพี่คลื่นเลยอยากอยู่ใกล้เขา และเพราะได้อยู่ใกล้กันผมถึงรู้ใจตัวเอง ทั้งหมดที่ทำนี้ก็เพื่อจะพูดออกไปได้เต็มปากว่าผมชอบพี่คลื่น...แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็โดนเขาชิงบอกรักคนอื่นก่อนซะอย่างนั้น

     ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองดีเลิศเหนือกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่เคยดูถูกตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่พี่คลื่นในสายตาผมเป็นคนที่เพอร์เฟกต์เกินไป จนคนธรรมดาอย่างผมไม่คิดว่าจะได้อยู่ในสายตาเขา

     แต่สิ่งที่พี่คลื่นทำอยู่ตอนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...ในหัวมีแต่คำว่าน่าสมเพชจนผมแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

     “โอเคครับ ถ้าเดือนอนุญาตแล้ว งั้นหลังจากนี้พี่จะจีบเขาแบบเต็มตัวแล้วนะ”

     ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่คลื่นถึงต้องขออนุญาตก่อน แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะในอกมันจุกจนพูดไม่ออก พี่คลื่นหันไปดูดาวต่อพร้อมรอยยิ้มที่ใครมาเห็นก็ต้องตกหลุมรัก และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน แต่ตอนนี้ผมอยากปีนขึ้นมาจากหลุมนั้น...ซึ่งก็ดูเหมือนจะปีนกลับขึ้นมาได้ยากเหลือเกิน

     ช่วงเวลาที่ผมคิดว่าจะมีความสุขที่สุด กลับเป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานเหมือนตายทั้งเป็น มือของเราสองคนยังจับกันอยู่ แต่ผมกลับสัมผัสถึงความอบอุ่นไม่ได้อีกต่อไป

     ช่างเป็นเรื่องน่าขำที่ขำไม่ออกจริงๆ วันที่ผมรู้ตัวว่าชอบพี่คลื่นเป็นวันเดียวกับที่รู้ว่าพี่คลื่นรักคนอื่น

     ผมขอถอนคำพูดนะครับ...ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่สวยงามเลยสักนิด





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.16 [21/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-08-2022 19:13:31
 :o8: :sad4:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.16 [21/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 21-08-2022 23:18:22
 :hao3:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 17 [23/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 23-08-2022 16:53:08
ตอนที่ 17 : ได้ยินหรือเปล่า





     “เดือน มึงพูดอะไรบ้างเถอะ อย่าเงียบแบบนี้ดิวะ”

     “พวกกูมาหาทั้งที มึงจะเอาแต่นั่งกอดเข่าไม่เงยหน้ามามองจริงๆ เหรอ”

     ผมทำเป็นไม่ได้ยินฝนกับควีน นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อนทั้งสามคนหันไปมองหน้ากันอย่างหนักใจ ก่อนที่ข้าวหอมจะคลานขึ้นมาบนเตียง

     “ข้าวซื้อเค้กร้านโปรดเดือนมาฝาก เดือนอยากกินไหม เดี๋ยวข้าวเอาไปใส่จานให้”

     ผมส่ายหน้าให้ข้าวหอมสองสามทีแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา

     “เอาไงดีวะมึง”

     “กูก็ไม่รู้ถึงได้ยืนหน้าเครียดอยู่นี่ไง มันเคยเป็นแบบนี้ซะที่ไหนล่ะ”

     ข้าวหอมเอื้อมมือมาลูบหลังเบาๆ ฝนกับควีนขึ้นมานั่งบนเตียงเหมือนกัน วันนี้มีเรียนตอนบ่าย พวกมันเลยมาหาผมที่ห้องได้ ผมบอกว่าอย่ามามันก็ไม่ฟัง ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมไม่อยากให้เพื่อนมาเห็นสภาพผมในตอนนี้

     หลังกลับมาจากค่ายอาสาผมก็ซึมตลอดเวลา ใครถามอะไรก็ไม่ตอบ จนเพื่อนๆ ต้องไล่ผมกลับมานอนพักที่ห้องแล้วปล่อยให้ข้าวหอมไปส่งรายงานคนเดียว ตอนที่ผมเล่าเรื่องพี่คลื่นพวกมันทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ฝนกับควีนที่มั่นใจมากว่าพี่คลื่นต้องชอบผมแน่นอนถึงกับจะไปถามพี่คลื่นตรงๆ แต่ผมห้ามไว้เพราะไม่อยากเจ็บไปกว่านี้แล้ว

     ได้ยินครั้งเดียวก็เจ็บมากพอแล้ว ผมไม่อยากได้ยินมันเป็นครั้งที่สองอีก ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ากำลังหนีความจริง...ความจริงที่ว่าพี่คลื่นรักคนอื่นที่ไม่ใช่ผม

     พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ คนอื่นเขากินเหล้าข้ามปี อยู่กับคนรักข้ามปี สวดมนต์ข้ามปี ส่วนผมร้องไห้ข้ามปี พี่คลื่นทั้งวิดีโอคอลทั้งส่งข้อความมาผมก็ไม่สนใจ เอาแต่ร้องไห้หนักจนเผลอหลับไป ไม่มีอะไรน่าสมเพชกว่านี้อีกแล้ว

     “เป็นไปได้ไหมว่าคนที่พี่คลื่นรักจะหมายถึงไอ้เดือน” ควีนตั้งข้อสงสัย

     “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทำไมเขาไม่บอกมาเลยล่ะ ไม่เห็นต้องโกหกว่าบอกไม่ได้เลย”

     “เออ จริงของมึง”

     “เดือนคิดอะไรอยู่บอกข้าวได้ไหม” ข้าวหอมถาม มือยังลูบหลังผมไม่หยุด

     “มึงระบายกับพวกกูได้นะ กูสัญญาว่าจะไม่พูดเพ้อเจ้อ จะเป็นผู้ฟังที่ดี”

     “กูด้วย”

     ผมค่อยๆ เงยหน้าจากเข่าตัวเอง พอเห็นใบหน้าผมแล้วพวกมันต่างก็ผงะกันไป

     “เดือน! ทำไมหน้ามึงโทรมแบบนี้วะ”

     “กูโทรมขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “โอ้โห กูอยากลากมึงไปส่องกระจกในห้องน้ำซะตอนนี้เลย หน้ามึงเหมือนคนอดหลับอดนอนมาสิบวันอ่ะ”

     “เดือนยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานใช่ไหม” ข้าวหอมถาม คงเห็นเกาเหลาที่ซื้อมาให้ผมเมื่อวานยังอยู่ในถุงไม่ได้แกะออกมากิน ผมส่ายหน้าไปมาจนผมที่ยุ่งเหยิงกระเซิงหมด

     “เรากินไม่ลง”

     “รู้ไหมว่าตอนนี้หน้ามึงเศร้ามาก เศร้าจนพวกกูอยากร้องตามเลยเนี่ย”

     “เดือนอยากพูดอะไรไหม เดือนพูดได้นะ อย่าลืมสิว่าเราเป็นเพื่อนกัน” ข้าวหอมยิ้มบางๆ เพียงเท่านั้นน้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วก็กลับมารื้นอีกรอบ ผมกระโจนเข้าหาข้าวหอมพลางสะอื้นจนตัวโยน น้ำตาแห่งความเสียใจพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ข้าวหอมที่รับผมทันโอบกอดผมไว้หลวมๆ

     “ฮึก...เราเจ็บ...เจ็บมากๆ เลยข้าว...”

     “อืม ข้าวรู้” ข้าวหอมลูบผมเบาๆ เหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็ก

     “ทำไมอ่ะ ทำไมคนที่เขารักถึงไม่เป็นเรา ทำไมเขาต้องไปรักคนอื่นด้วย ฮึก...”

     ฝนกับควีนทำหน้าไม่ถูก คงเพราะตั้งแต่คบกันมามันไม่เคยเห็นผมร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน พวกมันมองผมอย่างสงสาร ก่อนที่ฝนจะเอามือมาแตะไหล่เบาๆ

     “กูขอโทษนะที่พูดไปแบบนั้น กูเห็นพี่คลื่นเทคแคร์มึงดีมากเลยคิดว่าเขาต้องชอบมึงแน่ๆ ไม่คิดว่า...เอ่อ...เขาจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

     “กูก็ขอโทษเหมือนกัน ถ้ามึงโกรธพวกกูมึงด่ามาเลยก็ได้ ถ้ามันจะทำให้มึงหายเจ็บได้บ้างพวกกูก็ยอม”

     ผมผละตัวออกจากข้าวหอม ยกมือปาดน้ำตาลวกๆ “กูไม่โกรธพวกมึงหรอก กูอยากขอบคุณด้วยซ้ำที่ช่วยให้กูรู้ใจตัวเอง”

     “อ้าว แล้วที่มึงร้องไห้อยู่นี่...” ฝนมองมาอย่างงุนงง

     “กูแค่โมโหตัวเองน่ะ โมโหที่ตัวเองหวั่นไหวง่ายเกินไป รู้ทั้งรู้ว่าเขาแค่เล่นไปตามเกม รู้ทั้งรู้ว่าเขาอยู่สูงเกินไป ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่กูก็ยังเผลอใจไปชอบเขาอีก”

     “มึงตั้งสติก่อน ที่พูดมานั่นน่ะมึงไม่ผิดเลยนะเว้ย พี่คลื่นเป็นคนมีเสน่ห์มาก ต่อให้ไม่ใช่มึงแต่ถ้าได้วิดีโอคอลกันทุกวัน เป็นใครก็ต้องหวั่นไหวทั้งนั้นแหละ”

     “จริงอย่างที่อีฝนพูด กูว่านะ ถ้าจะมีคนผิดจริงๆ ก็พี่คลื่นนั่นแหละที่ผิด มึงเป็นแค่ผู้ชนะเกมแต่เขากลับตามดูแลขนาดนี้ กูกล้าพูดเลยว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีคิดเข้าข้างตัวเองกันบ้าง”

     “ข้าวเห็นด้วยกับควีนนะ เดือนอย่าโทษตัวเองเลย เดือนไม่ได้หลงตัวเองหรอก การกระทำของพี่คลื่นมันทำให้เราคิดแบบนั้นจริงๆ”

     น้ำตาผมยังไหลไม่หยุด ความเสียใจที่ผมคิดว่าจบลงไปเมื่อคืนแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนผิด สิ่งเดียวที่ผมรู้และคอยตามหลอกหลอนมาทั้งคืนคือพี่คลื่นไม่ได้รักผม

     “มึงหยุดร้องเถอะเดือน กูใจจะขาดจริงๆ นะ” ฝนเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ “ตอนมึงบอกว่าชอบพี่คลื่น กูแอบกลัวเหมือนกันว่ามึงอาจจะไม่ได้ชอบเขาจริงๆ แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ากูคิดผิด”

     “ทำไมวะ”

     “ก็หน้ามึงตอนนี้มันตอบกูเรียบร้อยแล้วไง แค่กูกับอีควีนเห็นมึงร้องไห้ก็รู้แล้วว่ามึงชอบพี่คลื่นมากจริงๆ”

     ข้าวหอมดึงผมไปกอดอีกรอบ คราวนี้ผมยอมให้เพื่อนกอดโดยไม่สะอื้น “แล้วเดือนจะเอายังไงต่อ ยังอยากบอกชอบพี่คลื่นอยู่ไหม”

     “คงไม่บอกอ่ะ บอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

     “แล้วเรื่องวิดีโอคอลล่ะ มึงยังอยากเล่นเกมกับพี่คลื่นต่อไหม ถ้าไม่อยากกูไปพูดกับเขาให้ได้นะ”

     “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะมีปัญหากันเปล่าๆ เหลืออีกแค่ไม่กี่วันเอง”

     “มึงแน่ใจเหรอว่าจะทนได้ การต้องเห็นหน้าคนที่หักอกเราทุกคืนมันไม่สนุกเลยนะ”

     ผมเงยหน้ามองควีนที่ถามอย่างเป็นห่วง พยายามยิ้มให้กว้างที่สุด “กูจะโฟกัสแค่ความสุขของตัวเอง กูยังอยากใกล้ชิดกับเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่มึงไม่ต้องห่วง วันไหนที่กูตักตวงความสุขเต็มที่แล้วกูจะเดินออกมาเอง กูไม่ทนรักข้างเดียวไปตลอดชีวิตหรอก”

     “เดือนแน่ใจนะว่าจะเอาแบบนี้” ข้าวหอมถามข้างหูผม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

     “อืม เราคิดมาทั้งคืนแล้ว”

     “ถ้าเดือนแน่ใจแล้วก็ลุยเลย ข้าว ฝน ควีนจะคอยให้กำลังใจอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”

     ผมพยักหน้ากับไหล่ของข้าวหอม ฝนกับควีนเข้ามาโอบกอดข้าวหอมไว้อีกที กลายเป็นว่าตอนนี้พวกเราสี่คนกำลังกอดกันเป็นก้อนกลมๆ อยู่บนเตียง

     หลังจากนี้ผมจะไม่พูดถึงเรื่องคนที่พี่คลื่นรักอีก ผมจะสนใจแค่เกมวิดีโอคอลที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราสองคนมารู้จักกัน อาจจะดูเป็นวิธีขี้ขลาด แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ ที่จริงผมอยากตัดพี่คลื่นออกไปจากชีวิตเลย แต่เผอิญผมไม่ใช่คนเด็ดเดี่ยวขนาดนั้น

     ฝนบอกว่าผมชอบพี่คลื่นมาก ผมเองก็คิดแบบนั้น แต่หลังจากเกมนี้จบลงผมจะลืมความรู้สึกทั้งหมดนี้ไป ผมไม่รู้หรอกว่าจะทำได้จริงไหม แต่ผมจะพยายามทำให้ได้



     ปกติมหา’ลัยจะให้นักศึกษาหยุดวันปีใหม่ แต่คนในเซคฯ ที่ผมเรียนดันได้คะแนนสอบย่อยไม่ถึงครึ่งเยอะมาก อาจารย์เลยให้โหวตว่าอยากมาเรียนชดเชยเก็บคะแนนในวันหยุดไหม และเพราะเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย ตอนนี้พวกผมเลยมาอยู่ที่มหา’ลัยอย่างที่เห็น

     วันนี้อาจารย์สอนติดลม กว่าจะปล่อยให้นักศึกษาแบกร่างที่ไร้วิญญาณออกจากห้องเรียนเวลาก็ล่วงเลยไปห้าโมงเย็น พวกผมสี่คนเดินลงมาจากตึกเรียน ก่อนจะเห็นคนที่นั่งอยู่ใต้ตึกโบกมือมาให้แต่ไกล

     “วันนี้เลิกเรียนช้ากันเหรอครับ” พี่องศาลุกจากที่นั่งเดินเข้ามาทักทาย ด้านหลังมีพี่ทิวกับพี่ยี่หวาตามมาด้วย พวกผมทำหน้างงกันหมดยกเว้นข้าวหอมที่พยายามหลบหน้า ก่อนที่ฝนจะเป็นตัวแทนตอบคำถามพี่องศา

     “ที่จริงต้องเลิกสี่โมงครึ่งค่ะ แต่อาจารย์วิชานี้ชอบสอนเลยเวลา” ฝนมองหน้ารุ่นพี่ทุกคนไปมา “แล้ว...พี่รู้ได้ไงคะว่าวันนี้พวกหนูมีเรียนชดเชย”

     “ข้าวหอมบอกพี่ครับ”

     และทุกสายตาก็หันไปมองเจ้าของชื่อทันที ข้าวหอมสะดุ้งเล็กน้อย ทำหน้าเลิ่กลั่กเหมือนคนมีความผิด

     “ข้าว...ข้าวไม่ได้ตั้งใจจะบอกนะ ก็พี่องศาเอาแต่ถามอยู่ได้ ข้าวเลยตอบให้จบๆ ไปเท่านั้นเอง”

     “พี่มารอพวกหนูเหรอคะ” ฝนหันไปถามพี่องศาอีกครั้ง

     “ครับ พี่จะมาชวนไปกินเลี้ยงย้อนหลังปีใหม่ พี่คิดว่าไปกันเยอะๆ คงสนุกกว่าเลยอยากมาชวนพวกเราด้วย”

     “แหมพี่องศา ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอกค่ะ พูดมาเลยก็ได้ว่าตั้งใจมาชวนใครบางคนโดยเฉพาะ” ควีนเหลือบไปมองข้าวหอมยิ้มๆ พี่ยี่หวากับพี่ทิวที่ยืนฟังอยู่หลุดขำ

     “ฮ่าๆๆ ไม่เถียงครับ” พี่องศาเดินมาโอบไหล่ข้าวหอม ก้มหน้าไปถามใกล้ๆ “ไปด้วยกันนะครับข้าว”

     “ผม...ผมไม่ไปดีกว่า พี่องศาไปกับเพื่อนๆ ผมเลยครับ”

     “ไม่ได้สิครับ พี่ตั้งใจมาชวนข้าวโดยเฉพาะเหมือนที่น้องควีนบอกเลยนะ”

     แก้มของข้าวหอมขึ้นสีระเรื่อ ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่นผมว่าข้าวหอมคงทำแก้มพองลมไปแล้ว พี่องศาชัดเจนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกผมจะได้ไม่ต้องคิดกันไปเอง

     “แล้วพี่คลื่นไม่ได้ไปด้วยกันเหรอคะ” ฝนถามพี่องศาเมื่อไม่เห็นพี่คลื่นมาด้วยกัน มีการหันมามองผมก่อนนิดหนึ่ง ที่จริงผมก็สงสัยเหมือนกันตั้งแต่พี่องศาเดินเข้ามาทักแล้ว แต่แค่ไม่อยากถามออกไป

     “มันป่วยครับ ก่อนไปค่ายมันโหมทำโปรเจกต์หนักติดกันหลายวัน ไปถึงค่ายยังทำแต่งานหนักๆ อีก ที่จริงพวกพี่จะรอมันหายก่อนแล้วค่อยไปกินเลี้ยงด้วยกัน แต่มันบอกว่ากว่าจะหายคงอีกนานเลยให้ไปกันก่อนเลย” พี่องศาพูดพลางเหลือบมามองผมที่เผลอทำหน้าตกใจ “พรุ่งนี้พี่ว่าจะแวะเอายาไปให้มันที่คอนโดฯ ไอ้คลื่นไม่ชอบกินยาเลยไม่เคยซื้อยาติดห้องไว้เลย”

     แค่รู้ว่าพี่คลื่นไม่สบายผมก็ตกใจมากพอแล้ว นี่พี่คลื่นยังไม่มียาด้วยอีก แล้วตอนนี้จะไม่อาการหนักแย่เหรอ

     “เอ่อ...แล้วพี่คลื่นเป็นอะไรมากไหมคะ” ฝนถามพี่องศา มันคงรู้ว่าผมอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุดเลยเอ่ยปากถามให้

     “เมื่อเช้าที่โทรไปมันบอกว่าตัวร้อน เจ็บคอ รู้สึกหนาวตลอดเวลา พี่จะเอายาไปให้วันนี้เลยมันก็ไม่ยอม เอาแต่บอกว่าอยากให้ไปสนุกกันเต็มที่แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอาไปให้ แต่พี่คิดว่ามันน่าจะไม่อยากกินยามากกว่า”

     ยิ่งได้ยินอาการของพี่คลื่นสีหน้าผมก็แย่ลงไปทุกที แค่คิดว่าพี่คลื่นกำลังนอนซมอยู่บนเตียงคนเดียวในห้อง ในใจผมมันก็ร้อนรนขึ้นมา

     “พี่องศาครับ”

     “หืม?”

     ผมกัดปากอย่างลังเล แต่ก็พูดออกไปในที่สุด “คอนโดฯ พี่คลื่นอยู่ที่ไหนเหรอครับ”



     ด้วยความเป็นห่วงและความกลัวว่าพี่คลื่นจะเป็นอะไรไป ผมเลยรีบไปร้านขายยาทันทีที่พี่องศาบอกที่อยู่ของพี่คลื่น ผมซื้อมาทุกอย่างจนแทบจะเหมาร้านขายยามา ทั้งยาแก้ไข้ ยาแก้ไอ ยาบรรเทาเสมหะ ยาอมที่ช่วยให้ชุ่มคอ จนกระทั่งผมมาถึงหน้าคอนโดฯ พี่คลื่นถึงได้รู้ตัวว่าลืมเรื่องสำคัญอีกอย่างไป

     ผมจะให้ยากับพี่คลื่นได้ยังไงในเมื่อไม่มีคีย์การ์ดและไม่รู้หมายเลขห้อง

     ก็ไม่อยากพูดแบบนี้หรอก แต่ผมนี่มันอ๊องเหมือนที่เพื่อนบอกจริงๆ

     ผมยืนคิดหัวแทบแตกอยู่หน้าคอนโดฯ ว่าจะทำยังไงดี จนยามเฝ้าคอนโดฯ เริ่มมองมาเหมือนระแวงว่าผมจะเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า เมื่อไม่มีทางเลือกผมจึงต้องโทรไปขอให้พี่คลื่นลงมาหา ตอนรับสายเสียงพี่คลื่นแหบมาก แต่พอได้ยินว่าผมมาอยู่หน้าคอนโดฯ แล้วพี่คลื่นก็บอกว่าจะรีบลงมาหา ให้ผมยืนรออย่าเพิ่งกลับไปซะก่อน

     ผมรออยู่ประมาณห้านาทีก็เห็นพี่คลื่นเดินลงมาจากคอนโดฯ คนตัวสูงอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขายาวสีน้ำเงินเนื้อบาง น่าจะกำลังนอนพักอยู่ก่อนผมโทรไป พอคิดแบบนั้นผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ให้เขาฝืนร่างกายลงมารับ

     “เดือนรอนานไหม” ใบหน้าที่อ่อนเพลียพยายามฝืนยิ้มให้ ผมส่ายหน้าก่อนจะมองกลับไปอย่างเป็นห่วง

     “ขอโทษที่ให้ลงมารับนะครับ ผมไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน”

     “พูดอะไรอย่างนั้นครับ พี่สิต้องขอโทษที่รบกวนเรา” ร่างสูงโยกหัวผมไปมา ถึงจะไม่สบายแต่พี่คลื่นก็ยังดูดีไม่เปลี่ยนแปลง

     “ผมซื้อยามาให้ครับ พี่องศาบอกว่าห้องพี่ไม่มียาเลย” ผมพูดพร้อมกับยื่นถุงยาไปข้างหน้า แต่แทนที่จะรับไว้พี่คลื่นกลับเอาแต่ยิ้ม

     “องศาบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่ป่วยหนัก”

     “บอกแล้วครับ”

     “พี่ตัวร้อน เจ็บคอ ไข้ขึ้นสูงตลอดเวลา”

     “ครับ ผมเป็นห่วงเลยมาหานี่ไง”

     “เดือนเป็นห่วงพี่ใช่ไหม”

     “ก็ต้องห่วงสิครับ”

     “อืม งั้นขึ้นห้องกันเถอะ” พี่คลื่นพูดจบก็จับมือผมพาเข้าไปในคอนโดฯ ผมที่โดนลากไปแบบไม่รู้เรื่องเลยได้แต่ถามด้วยความงง

     “จะให้ผมขึ้นไปทำไมครับ”

     “เดือนจะมาดูแลพี่ไม่ใช่เหรอ”

     “ครับ!?” ผมทำหน้าเหลอหลา แต่คนตัวสูงก็ไม่ได้สนใจน้ำเสียงตกใจของผม

     “ไหนเมื่อกี้บอกว่าเป็นห่วงพี่ไง”

     “ก็ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้บอกว่าจะมาดูแล ผมซื้อยามาให้แล้วนี่ไง”

     พี่คลื่นทำหูทวนลม หลังจากลิฟต์ลงมาแล้วเขาก็จูงมือผมเข้าไปในลิฟต์ กดหมายเลขชั้นเองเสร็จสรรพจนผมได้แต่มองตาค้าง

     “พี่คลื่น…”

     คนตัวสูงดึงผมไปยืนพิงผนังลิฟต์ก่อนจะตามมายืนพิงข้างๆ เอาหัววางไว้บนหัวผมอีกที “พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า มันปวดหัวไปหมด แค่จะลุกจากเตียงยังทำไม่ได้เลย”

     “…”

     “อยู่กับพี่ก่อนนะครับ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว ถ้าไม่มีคนดูแลพี่ต้องแย่แน่ๆ เลย”

     น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าทำให้ผมต้องกลืนคำพูดที่จะปฏิเสธลงไปในคอ ผมลองเอามือไปอังหน้าผากก่อนจะพบว่ามันร้อนมาก พี่คลื่นกำลังยืนหลับตา เหงื่อที่ซึมอยู่บนขมับบ่งบอกว่าเจ้าตัวป่วยหนักจริงๆ

     ตัวเองมีคนในใจอยู่แล้วแท้ๆ ยังจะมาขอให้คนอื่นดูแลอีก พี่คลื่นนี่แปลกคนชะมัด...

     ผมมองคนตัวสูงอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ทนใจแข็งไม่ไหว ดึงมือใหญ่มากุมไว้หลวมๆ “ถ้าพี่คลื่นอนุญาต...งั้นผมขอดูแลพี่นะครับ”





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 17 [23/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 23-08-2022 16:53:52
     ห้องของพี่คลื่นมีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องน้ำ และหนึ่งห้องนั่งเล่น เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องมีไม่เยอะ เลยทำให้รู้สึกว่าห้องกว้างขวางน่าอยู่ พี่คลื่นให้ผมช่วยพยุงตัวเองเข้าไปในห้องนอน ผมอึกอักนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะตอนนี้ร่างกายพี่คลื่นต้องมาก่อน

     “ไปหาหมอดีไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป” ผมโน้มหน้าลงไปใกล้คนป่วยที่ตอนนี้นอนหมดสภาพอยู่บนเตียง

     “ไม่เป็นไรครับ เดือนซื้อยามาให้พี่แล้วไม่ใช่เหรอ ได้นอนพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย” พี่คลื่นพูดจบก็เหลือบมามองผมที่ยืนอยู่ข้างเตียง “ตอนได้ยินว่าเดือนมาอยู่หน้าคอนโดฯ พี่นึกว่ากำลังฝันอยู่ซะอีก”

     “ทำไมครับ”

     “ก็เดือนโกรธพี่อยู่ไม่ใช่เหรอ”

     “…”

     “เมื่อวานพี่ทั้งโทรทั้งวิดีโอคอลหา แต่เดือนไม่รับสายพี่เลย ทั้งที่สัญญาไว้ว่าจะอยู่เคานต์ดาวน์ด้วยกันแท้ๆ”

     “คือ...ผม...เมื่อวานผมโดนอาจารย์สั่งแก้รายงานน่ะครับ ผมเลยไปค้างบ้านข้าวเพื่อทำรายงานแต่ลืมเอาโทรศัพท์ไป” ผมโกหกเพราะไม่กล้าบอกความจริง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องไม่ให้อีกฝ่ายมีเวลาสงสัย “พี่องศาบอกว่าพี่คลื่นไม่ชอบกินยา ถึงจะไม่ชอบยังไงก็ต้องกินนะครับ ไม่งั้นไม่หาย”

     พี่คลื่นยิ้มบางๆ เอื้อมมือที่ร้อนผ่าวมาทาบแก้มผม “ถ้ากลัวพี่ไม่กินยาเดือนก็ป้อนพี่สิครับ”

     หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อโดนขอร้องแบบนั้น ผมรีบยืนขึ้นเต็มความสูง หันหน้าหลบเพื่อซ่อนอาการเอาไว้ “ผม...ผมขอเข้าไปดูในครัวหน่อยนะครับ เผื่อมีอาหารแช่แข็งจะได้เอามาอุ่นให้พี่กิน”

     ผมรีบเดินมาตั้งหลักในครัว ภายในอกข้างซ้ายยังปั่นป่วนไม่หยุด พี่คลื่นพูดอะไรก็ไม่รู้ ถ้าคนที่ตัวเองรักมาได้ยินเข้าจะรู้สึกยังไง ไม่คิดบ้างหรือไง

     ผมส่ายหน้าไปมาแรงๆ พยายามโยนเรื่องไร้สาระออกไปจากหัว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องนั้น ต้องตั้งสมาธิกับการดูแลพี่คลื่นอย่างเดียว พี่คลื่นอุตส่าห์ไว้ใจให้ผมมาดูแลทั้งที ผมต้องทำให้ดีที่สุด

     พอเปิดตู้เย็นดูก็เจอแต่ของสด ไม่เจออาหารแช่แข็งเลยสักกล่อง อุปกรณ์ในครัวก็มีพร้อม ผมเลยเดาเอาว่าปกติพี่คลื่นน่าจะทำอาหารกินเอง อันที่จริงการทำอาหารให้คนป่วยมันเป็นเรื่องง่ายมากเมื่อมีอุปกรณ์และวัตถุดิบครบครันขนาดนี้ แต่ไม่ใช่กับผมที่ทั้งชีวิตทำเป็นแต่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมยืนคิดจนคิ้วแทบผูกกันว่าจะเอายังไงดี ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อนึกวิธีดีๆ ขึ้นมาได้

     ผมหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อนสนิท มันรับสายแทบจะทันทีเหมือนกำลังรอผมอยู่

     [กว่าจะโทรกลับมาได้นะมึง กูโทรไปหลายสายจนโทรศัพท์จะพังอยู่แล้ว] ควีนพูดรัวๆ เหมือนอัดอั้นมานาน ผมต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูไม่งั้นอาจหูหนวกเอาได้ มีเสียงเพลงดังมาตามสายด้วย พี่องศาน่าจะพาพวกมันไปกินเลี้ยงปีใหม่ที่ผับไหนสักแห่ง

     “พอดีกูตั้งสั่นไว้เลยไม่ได้ยินเสียงอ่ะ มึงอย่าเพิ่งบ่นเลย ช่วยกูก่อน”

     [โทรมาก็มีเรื่องให้ช่วยเลยเหรอ ไม่คิดจะอธิบายก่อนหรือไง แล้วนี่มึงอยู่ที่ไหน อย่าบอกนะว่าคอนโดฯ พี่คลื่น]

     “ก็ไม่เชิง ตอนนี้กูอยู่ในห้องพี่คลื่น”

     [ฮะ!?] ปลายสายมีเสียงฝนกับข้าวหอมปนมาด้วย ผมเลยรู้ว่าควีนกำลังเปิดสปีกเกอร์โฟน [มึงไปอยู่ในห้องเขาได้ไงวะ]

     “เรื่องมันยาวน่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้มึงช่วยสอนกูทำข้าวต้มหน่อย” ถึงจะไม่เคยทำอาหาร แต่พอเห็นวัตถุดิบในครัวผมก็คิดว่าน่าจะทำข้าวต้มได้

     [ข้าวต้ม? เดือน กูงงไปหมดแล้วนะ มึงคิดจะทำอะไรกันแน่]

     “กูสัญญาว่ากลับไปแล้วจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่ตอนนี้มึงช่วยกูก่อนเถอะ กูขอร้อง”

     ควีนเงียบไปสักพัก ก่อนที่เสียงถอนหายใจจะดังมาตามสาย [เออ สอนก็สอน แล้วนี่มึงมีวัตถุดิบยัง]

     “มี...” ผมไล่พูดชื่อวัตถุดิบที่มีทั้งหมดในครัวให้เพื่อนฟัง

     [ตอนนี้มึงอยู่ในครัวหรือเปล่า]

     “อยู่”

     [ดีมาก กูจะได้สอนถนัดๆ หน่อย ตั้งใจฟังล่ะกูจะพูดแค่รอบเดียว]

     และหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็เอาแต่ง่วนอยู่ในครัวกับเพื่อนสนิทที่ผันตัวมาเป็นอาจารย์ชั่วคราว ไม่ต้องถามถึงความทุลักทุเลนะครับ ครัวไม่พังก็บุญโขแล้ว



     “พี่คลื่นครับ ลุกมากินข้าวก่อน ผมทำข้าวต้มมาให้” ผมเดินถือชามข้าวต้มเข้ามาในห้องนอน ร่างสูงที่นอนสลบอยู่บนเตียงเหลือบมามองก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย

     “เดือนทำเองเหรอ”

     “ครับ”

     “พี่ก็คิดอยู่ว่าทำไมหายไปนาน นึกว่าจะทิ้งพี่ซะแล้ว” พี่คลื่นพูดเสียงแหบ ลุกขึ้นนั่งเอาหลังพิงพนักเตียง ผมลากเก้าอี้ในห้องมานั่งข้างๆ พอเห็นหน้าตาอาหารคนตัวสูงก็ทำหน้าประหลาดใจ “นี่เดือนทำจริงๆ เหรอ ไหนบอกว่าทำอาหารไม่เป็นไง”

     “ผมโทรไปถามวิธีทำจากควีนครับ ห้องพี่ไม่มีอาหารแช่แข็งผมเลยต้องทำเอง”

     “แล้วทำไมไม่มาบอก ข้างล่างคอนโดฯ มีร้านอาหารเยอะแยะ เดี๋ยวพี่ฝากเงินให้เราไปซื้อก็ได้”

     “ถ้าผมออกไปจากคอนโดฯ แล้วจะกลับเข้ามายังไงล่ะครับ”

     “พี่ก็จะให้คีย์การ์ดกับบอกรหัสห้องให้เราไง”

     “อย่าเลยครับ ผมไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้ขนาดนั้น”

     “ทำไมครับ เดือนจะมาขโมยของในห้องตอนพี่ไม่อยู่เหรอ” พี่คลื่นพูดยิ้มๆ

     “เปล่าครับ ผมแค่พูดตามความจริง ตกลงที่ชวนคุยซะยาวนี่คือพี่ไม่กล้ากินข้าวต้มฝีมือผมใช่ไหมครับ ผมจะได้เอาไปทิ้งแล้วลงไปซื้อข้าวกล่องมาให้”

     “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” พี่คลื่นรีบจับมือผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะเอาข้าวต้มไปทิ้งจริงๆ “พี่แค่ไม่อยากให้เดือนลำบาก ถึงจะรู้ว่าเดือนเต็มใจก็เถอะ ส่วนข้าวต้มนี่พี่จะกินครับ เดือนอุตส่าห์ทำมาให้ทั้งที ต่อให้เอาข้าวหมูกรอบสิบจานมาแลกพี่ก็ไม่ยอมหรอก”

     ผมรู้ว่าพี่คลื่นพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ผมเสียความตั้งใจ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าลึกๆ แล้วผมรู้สึกดีกับคำพูดนั้นมาก

     “กินเองไหวไหมครับ”

     “ที่จริงก็ไหวครับ แต่อยากมีคนป้อน” คนตัวสูงยิ้มกริ่ม สายตาที่มองมาทำให้แก้มผมเห่อร้อนโดยไร้สาเหตุ

     “กินเองไปเลยครับ เรื่องอะไรผมต้องป้อน”

     “ไหนบอกว่าจะดูแลพี่ไง คิดจะผิดคำพูดเหรอครับ”

     “…”

     “เดือน...ป้อนพี่หน่อยนะครับ มีคนป้อนจะได้หายเร็วกว่ากินเองไง”

     ถึงจะฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ผมกลับใจอ่อนกับคำพูดนั้นทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะไม่ยอม ผมตักข้าวมาเป่าเบาๆ แล้วยื่นช้อนไปจ่อปากอีกฝ่าย ก่อนเอามาให้คนป่วยกินผมลองชิมไปแล้ว ผมคิดว่ามันพอกินได้ ไม่ได้อร่อยจนน้ำตาต้องไหล แต่พี่คลื่นกลับชมผมไม่หยุด แถมยังกินหมดชามไม่รู้ว่าเพราะอร่อยหรือเพราะหิวกันแน่



     “ไหนพี่องศาบอกว่าพี่คลื่นไม่ชอบกินยาไงครับ” ผมถามขณะที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดไปตามท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทแล้ว ผมเลยตั้งใจว่าพอเช็ดตัวให้พี่คลื่นเสร็จแล้วจะกลับเลย

     “ใช่ครับ พี่ไม่ชอบกินยา”

     “แต่ท่าทางตอนพี่กินยาไม่เหมือนคนไม่ชอบเลยนะครับ ผมนึกว่าจะได้เห็นพี่ย่นหน้าหลับตาปี๋ซะอีก”

     “ปกติพี่ก็เป็นแบบนั้นนะ” คนที่ดูโทรทัศน์อยู่เหลือบมามองผมก่อนจะยิ้มมุมปาก “สงสัยวันนี้มีคุณหมอตัวน้อยคอยดูแล พี่เลยไม่กล้าเป็นเด็กดื้อ”

     มือที่กำลังเช็ดไปตามตัวชะงักอยู่กับที่ ผมทำเป็นหยิบผ้าไปชุบน้ำในกะละมัง ในใจก็ก่นด่าตัวเองที่ขยันเขินกับคำพูดของอีกฝ่ายได้ทุกประโยค

     “ต่อให้ไม่มีคนดูแลพี่คลื่นก็ต้องกินยาให้ตรงเวลานะครับ แล้วเรื่องงานก็เอาแต่พอดีๆ อย่าหักโหมจนต้องป่วยแบบนี้อีก ที่บอกว่าไม่เคยอดนอนไปสอบเพราะปกติทำงานจนอดนอนใช่ไหมครับ หลังจากนี้ต้องนอนเยอะๆ นะครับรู้ไหม ไม่สบายทีนึงมันทรมานมากนะ” ผมพูดติดกันแทบไม่หยุดหายใจ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นห่วง อีกส่วนเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่อยากให้พี่คลื่นรู้ว่ากำลังเขิน

     ผมเช็ดตัวพี่คลื่นไปอีกสักพักก็ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะตอบอะไรกลับมา ผมเลยละสายตาจากผ้าในมือหันไปมองใบหน้าคมคาย พี่คลื่นที่ผมคิดว่าดูโทรทัศน์อยู่กำลังนอนมองผมพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย ดึงมือผมไปจับเบาๆ ลูบไล้หลังมือไปมา

     “แต่อย่างน้อยการป่วยครั้งนี้ก็ทำให้พี่รู้ว่าเดือนเป็นห่วงพี่มากแค่ไหน”

     “…”

     “ถ้ากลัวพี่ดูแลตัวเองไม่ดี เดือนก็มาดูแลพี่แทนสิครับ”

     ผมไม่รู้ว่าพี่คลื่นพูดเล่นหรือพูดจริง แต่คำพูดเขาทำให้หัวใจที่กลับมาปกติแล้วเต้นถี่กว่าเก่าจนผมกลัวว่าตัวเองจะเหนื่อย ผมค่อยๆ ชักมือกลับ เอากะละมังไปวางบนโต๊ะหัวเตียงแล้วลุกขึ้นยืน

     “ผม...ผมกลับก่อนดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว พี่คลื่นจะได้พักผ่อน”

     ผมกำลังจะเดินไปที่ประตู แต่แรงมหาศาลที่กอดเอวผมไว้ทำให้ผมเสียหลักจนต้องลงไปนอนบนเตียง ร่างสูงคว้าตัวผมไปกอดไว้แน่น ไอร้อนจากร่างกายอีกคนแผ่มาถึงตัวผม กว่าจะตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้นผมก็มาอยู่ในอ้อมกอดพี่คลื่นแล้ว

     “พี่คลื่น! ทำอะไรครับ”

     “ชู่ว อย่าเสียงดังสิครับ เดือนอยากให้พี่พักผ่อนไม่ใช่เหรอ พี่ก็กำลังจะนอนนี่ไง”

     “ถ้าจะนอนก็นอนดีๆ สิครับ จะมากอดผมทำไม ผมจะกลับแล้ว”

     “คืนนี้ค้างกับพี่นี่แหละ เผื่อพรุ่งนี้เช้าพี่ยังไม่หายดีจะได้มีคนช่วยเช็ดตัว”

     ผมตาโตกับคำพูดที่ดังอยู่บริเวณต้นคอ ดิ้นไปมาหวังจะหลุดจากอ้อมกอดให้ได้ “ไม่เอาครับ ผมจะกลับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมบอกให้เพื่อนพี่มาดูแลแทน”

     “ตาไปโดนอะไรมาครับ” คำถามนอกเรื่องทำให้ผมหยุดดิ้นชั่วคราว เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบพี่คลื่นเลยพูดต่อ “พี่เห็นนะว่าตาเราบวม ตอนแรกนึกว่าตาฝาดไปเองซะอีก”

     “…”

     “ร้องไห้มาเหรอครับ หรือโดนใครต่อยมา”

     ผมเผลอยกมือมาแตะใต้ตาโดยไม่รู้ตัว ก่อนไปเรียนผมให้เพื่อนๆ เอาน้ำแข็งมาประคบแล้วนะ ยังไม่หายอีกเหรอเนี่ย “ผม...เผลอทำหนังสือตกใส่น่ะครับ ตาเลยช้ำอย่างที่เห็น”

     “ดูแลตัวเองดีๆ สิครับ ก่อนจะมาดูแลพี่เดือนต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อน เข้าใจไหม”

     ผมกะพริบตาปริบๆ รู้สึกทะแม่งๆ กับคำพูดของอีกฝ่าย “อย่าเพิ่งนอกเรื่องครับ รีบปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นผมโกรธจริงๆ ด้วย”

     “เดือนจะทิ้งพี่ไปจริงๆ เหรอ”

     “…”

     “เดือนไม่เป็นห่วงพี่แล้วเหรอครับ”

     พี่คลื่นไม่รู้หรือไงว่าน้ำเสียงนี้ควรเก็บไว้พูดกับคนที่ตัวเองรัก ไม่ใช่ผมที่เป็นแค่รุ่นน้อง...

     “ถ้าไม่ห่วง...ผมจะมาหาพี่ถึงนี่เหรอ” ผมพูดเสียงเบาจนเหมือนกระซิบ เรี่ยวแรงที่ใช้ดิ้นหายไปไหนไม่รู้

     “ถ้าเป็นห่วงก็อยู่ที่นี่กับพี่นะครับ พี่ไม่รู้ว่าตอนกลางคืนอาการจะกำเริบอีกหรือเปล่า มีเดือนอยู่ด้วยพี่จะได้อุ่นใจ”

     พี่คลื่นพลิกตัวผมให้หันไปประจันหน้า โทรทัศน์ถูกปิดไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนนี้เราสองคนกำลังนอนมองตากัน

     ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ผมเกลียด สิ่งนั้นคงเป็นสายตาที่พี่คลื่นกำลังใช้มองผมตอนนี้ มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นมันทำให้ผมอิจฉาคนที่ได้ครอบครองหัวใจของพี่คลื่นมากกว่าเดิม...

     “ก็ได้ครับ แต่แค่คืนเดียวนะ”

     คนตัวสูงยิ้มทันทีที่ผมตอบตกลง ลักยิ้มทั้งสองข้างนั้นพาให้ใจสั่นเหมือนกินกาแฟเข้าไป “ขอบคุณนะครับเดือน...ราตรีสวัสดิ์ครับ”

     ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะฤทธิ์ของยา พอพูดกับผมเสร็จพี่คลื่นก็หลับสนิทไปเลย ผมนอนมองพี่คลื่นสักพักก็หลุดยิ้มออกมา พอนึกอะไรดีๆ ออกก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดกล้องถ่ายรูป หันโทรศัพท์ไปทางพี่คลื่นก่อนจะกดถ่ายโดยไม่ลืมปิดเสียง

     พี่คลื่นมีรูปผมตอนหลับแล้ว ผมก็ขอมีรูปพี่คลื่นตอนหลับบ้างแล้วกัน อย่าโกรธกันนะครับ ทีใครทีมัน

     ผมรอจนแน่ใจว่าพี่คลื่นหลับแล้วจริงๆ ถึงได้ลุกมาปิดไฟแล้วกลับมานอนบนเตียงอีกรอบ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าหาพี่คลื่น เอื้อมมือไปลูบแก้มเนียนตามแบบฉบับผู้ชายเบาๆ ถึงจะอยู่ในความมืดแต่ผมกลับมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาชัดเจน

     จู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลลงมา ผมยกมือมาปาดแล้วมันก็ยังไหลไม่ยอมหยุด ยิ่งได้อยู่ใกล้กันแบบนี้ความรู้สึกในอกยิ่งเด่นชัดกว่าเดิม มันชัดเสียจนผมกลัวว่าจะตัดใจอย่างที่สัญญากับตัวเองไว้ไม่ได้

     ผมค่อยๆ ดึงมือพี่คลื่นมาทาบบนอกตัวเอง ส่วนมือผมก็ยื่นไปทาบบนอกของพี่คลื่นเหมือนกัน

     พี่ได้ยินหรือเปล่าครับ...หัวใจผมมันกำลังบอกชอบพี่อยู่นะ มันบอกว่าอยากเป็นคนที่พี่รัก อยากเป็นคนที่ได้เข้าไปอยู่ในใจพี่ อยากเป็นคนดูแลพี่แบบนี้ตลอดไป ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจดวงนี้กลับไม่ยอมฟังอะไรเลย พี่บอกหน่อยสิครับว่าผมควรทำยังไง...ผมควรจัดการกับหัวใจที่ไม่รักดีดวงนี้ยังไงดี

     น้ำตาผมไหลอาบแก้มจนหมอนที่ผมหนุนอยู่เปียกไปหมด ผมเคลื่อนตัวเข้าใกล้ร่างสูงอีกนิด เอื้อมมือไปกอดเอวแกร่งไว้หลวมๆ ซุกหน้าเข้ากับอกกว้าง พยายามฟังเสียงหัวใจของคนที่คิดกับผมแค่รุ่นน้อง แต่ผมกลับคิดมากกว่านั้น

     พี่บอกว่าชอบให้ผมยิ้ม แต่พี่รู้ไหมครับ...ตอนนี้ผมกำลังร้องไห้เพราะพี่





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide

     P.S. ขอย้ำว่านิยายเรื่องนี้เน้น feel good เป็นหลักนะครับ ทุกตัวละครมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง อีกไม่กี่ตอนจะคลายปมดราม่าแล้ว อดทนกันนิดนึงน้าาา ><
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.17 [23/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-08-2022 18:05:06
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.17 [23/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 23-08-2022 23:52:45
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.17 [23/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 24-08-2022 03:02:24
ร้องห้ายไปกับเดือนเลยวว
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 18 [25/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 25-08-2022 18:04:25
ตอนที่ 18 : คำพูดที่คอยย้ำเตือน





     -ข้าวหอม-


     “ไอ้เดือนว่าไงบ้างวะ” ฝนถามเมื่อเห็นควีนเดินกลับเข้ามาในร้าน ตอนแรกก็นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยกัน แต่พอเดือนขอให้ทำอะไรสักอย่างควีนก็ลุกออกไปนอกร้านเลย

     “มันให้กูสอนทำข้าวต้ม”

     “ฮะ? ข้าวต้มเนี่ยนะ”

     “เออ ไม่ต้องถามแล้ว กูก็งงเหมือนมึงนั่นแหละค่ะ”

     “เดือนจะทำให้พี่คลื่นกินหรือเปล่า” ผมพูดตามความเป็นไปได้ เพื่อนทั้งสองคนหันมามองพร้อมกัน

     “มึงจะบอกว่าที่ไอ้เดือนรีบไปหาพี่คลื่นเพราะจะไปดูแลเขาเหรอ”

     “ข้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     ฝนกับควีนทำหน้าหนักใจ ผมเองก็หนักใจไม่แพ้กัน เดือนบอกว่าระหว่างที่เกมวิดีโอคอลยังไม่จบจะทำตัวเหมือนเดิมกับพี่คลื่น เกมจบเมื่อไหร่ค่อยตัดใจจากเขา แต่พอเห็นสิ่งที่เดือนทำวันนี้ บอกตรงๆ ว่าผมกลัวเดือนจะกลืนน้ำลายตัวเอง

     “เดี๋ยวนะมึง ไอ้เดือนมันทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่เหรอ พี่คลื่นจะกินได้เหรอวะ” ฝนถามหน้าตาตื่น

     “โอ๊ย ไม่ต้องห่วงค่ะ มีปรมาจารย์อย่างกูคอยช่วยทั้งที ต่อให้เป็นไอ้เดือนที่ไม่มีเสน่ห์ปลายจวักก็ทำได้แน่นอน”

     พี่ทิวหลุดขำกับคำเยินยอตัวเองของเพื่อนผม เคลื่อนตัวไปใกล้ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนต้องการหยอกล้อ “พูดแบบนี้แปลว่าน้องควีนมีเสน่ห์ปลายจวักเยอะมากเลยสินะครับ”

     “แหมพี่ทิว ตอนไปค่ายอาสาก็ได้ชิมฝีมือหนูแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

     “ชิมไปแค่ครั้งเดียวมันตัดสินไม่ได้หรอกนะครับ”

     “พี่ทิวไม่รู้อะไรซะแล้ว ตอนเด็กๆ หนูช่วยแม่เปิดร้านอาหาร โต๊ะว่างแทบไม่มี ลูกค้าเต็มร้านทุกวันเลยนะคะ”

     “พูดซะพี่อยากลองไปอุดหนุนเลย”

     “ถ้าพี่ทิวมาจริงหนูให้ทานฟรีเลยค่ะ โปรโมชันพิเศษเฉพาะคนหน้าตาดี”

     ผมส่ายหัวให้กับโปรโมชันพิเศษของเพื่อน คิดว่าควีนคงพูดเล่นๆ กับพี่ทิวเท่านั้น ฝนที่นั่งข้างผมหันมาคุยกับพี่องศาโดยมีผมนั่งอยู่ตรงกลาง ถึงจะอยู่ในผับแต่เพราะตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งทุ่มทำให้มีเพียงเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ พวกเราเลยไม่ต้องตะโกนคุยกัน

     “เอ่อ...พี่องศาคะ”

     “ครับ?”

     “อย่าหาว่าหนูเรื่องมากเลยนะคะ แต่พี่พาพวกหนูมานั่งที่วีไอพีแบบนี้มันจะดีเหรอคะ หนูกลัวจ่ายไม่ไหว” ฝนทำหน้าปั้นยาก ผมเองก็กำลังคิดแบบเดียวกับฝนเหมือนกัน ตอนเข้ามาในร้านพี่องศาพาพวกผมมาตรงโซนวีไอพีโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย พอผมจะทักท้วงพี่องศาก็พูดหน้าตายว่าจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าแล้ว โต๊ะอื่นในร้านก็เต็มหมดแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนโต๊ะต้องทำเรื่องยุ่งยาก

     “น้องฝนไม่ต้องห่วง เจ้าของร้านนี้เป็นพ่อของเพื่อนไอ้องศา เขาให้นั่งฟรีไม่จำกัดเวลา” พี่ยี่หวาขยิบตาให้ ฝนเลยพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง

     “พี่แม่งเรื่องมากว่ะ เขาพามาเที่ยวแล้วยังจะมีปัญหาอีก” น้องบาสยกเหล้าขึ้นดื่ม ยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนผม

     “เขาเรียกเกรงใจย่ะ ไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย นายนั่นแหละสะกดคำว่าเกรงใจเป็นไหม คนชวนก็ไม่มียังจะขอตามมาด้วยอีก”

     “ฝน” ผมปรามเพื่อนเบาๆ เมื่อเห็นว่าพูดแรงเกินไป

     “แล้วพี่จะเดือดร้อนทำไม ผมขอพี่องศาไม่ได้ขอพี่สักหน่อย”

     “นี่นายหาว่าพี่เสือกเหรอ”

     “ผมยังไม่ได้พูดเลย พี่ร้อนตัวเองนะ”

     “เด็กบ้า พี่องศาไม่น่าชวนมาด้วยเลย” ฝนขยับปากเหมือนพูดกับตัวเอง แต่น้องบาสดันหูดีกว่าที่คิด

     “บ้าไม่บ้าก็ทำให้พี่อยากอ่อยได้แล้วกัน” พูดจบก็กระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง ยิ้มกวนๆ จนเพื่อนผมได้แต่นั่งควันออกหู

     ตอนที่พวกผมกำลังจะเดินเข้าร้าน น้องบาสที่ผ่านมาแถวนี้พอดีก็เข้ามาทักทาย พอพี่ยี่หวาบอกว่าจะมาเลี้ยงฉลองปีใหม่ย้อนหลังน้องเขาก็ขอตามมาด้วย พวกรุ่นพี่น่ะไม่มีปัญหาอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาเพิ่ม มีแต่คนข้างผมนี่แหละที่ไม่รู้ไปเกลียดอะไรเขานักหนาถึงได้เอาแต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

     “มึงจะอยู่ถึงร้านปิดเลยไหมวะองศา กูจะได้โทรบอกรูมเมทให้นอนไปก่อนเลย” พี่ทิวถามเพื่อนตัวเอง แต่คนโดนถามกลับหันมาถามผม

     “ว่าไงครับข้าว อยากอยู่ถึงร้านปิดไหม”

     “มาถามผมทำไมครับ” ผมพูดเสียงเรียบพลางยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ พี่องศาเลยสั่งน้ำอัดลมมาให้แทน

     “ก็พี่บอกแล้วไงว่าตั้งใจชวนเรามาโดยเฉพาะ พี่ก็ต้องตามใจเราสิ”

     เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เงียบไม่ตอบอะไร ควีนเลยเป็นคนอาสาตอบแทน “พวกหนูยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่องศาเลย”

     “งั้นอยู่จนร้านปิดเลยนะครับ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนชดเชยกันแล้วใช่ไหม”

     “ไม่มีค่ะ” เพื่อนผมทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

     “ดีเลย นานๆ ทีจะได้มาสนุกพร้อมหน้าพร้อมตากัน” พี่องศาชวนเพื่อนผมชนแก้ว ทุกคนล้วนหัวเราะอย่างสนุกสนาน ผมลุกขึ้นยืนโดยไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า ฝนที่นั่งข้างกันเลยหันมาทำหน้างง

     “มึงยืนทำไมวะข้าว จะไปห้องน้ำเหรอ”

     “ข้าวจะกลับแล้ว”

     “ฮะ!?” ฝนกับควีนส่งเสียงพร้อมกัน

     “มึงจะรีบกลับทำไมวะ พวกพี่เขาอุตส่าห์ชวนมานะเว้ย”

     “ข้าวไม่ได้บอกพ่อไว้ ถ้ากลับดึกเดี๋ยวพ่อว่า”

     “ไหนมึงบอกว่าคืนนี้จะไปค้างห้องไอ้เดือน เลยขอพ่อไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านไง”

     ผมทำหน้าอึกอักเมื่อโดนจับได้ว่าโกหก ทุกคนบนโต๊ะมองมาเหมือนรอให้ผมพูดอะไรสักอย่าง จริงอยู่ที่วันนี้ผมจะไปค้างกับเดือน ผมกลัวเดือนคิดมากเรื่องพี่คลื่นเลยตั้งใจจะไปอยู่เป็นเพื่อน แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่เลยต้องโกหกออกไปแบบนั้น จะให้ยกเรื่องอื่นมาอ้างผมก็นึกไม่ออก

     มือผมถูกดึงไปจับไว้ พอหันไปมองก็เจอเข้ากับใบหน้าเป็นห่วงของพี่องศา “ข้าวไม่สนุกเหรอครับ”

     ใช่ครับ ผมไม่สนุกเลย การต้องอยู่ใกล้คนที่เรารักแต่ไม่สามารถบอกรักได้มันไม่สนุกเลยสักนิด

     ผมได้แต่ตอบคำถามอีกฝ่ายในใจ ขณะที่คิดว่าจะทำยังไงดีก็มีผู้หญิงเดินมากอดคอพี่องศาจากด้านหลัง ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นดึงมือออกพลางหันหน้าหนี

     “องศามากินเหล้าร้านนี้ด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกแพรวกันบ้างเลย”

     “เอ่อ...เรามากับเพื่อนในคณะน่ะ มันกะทันหันเลยไม่ทันได้ชวน” พี่องศาเหลือบมามองผม พยายามเอามือคนที่ชื่อแพรวออกไปจากตัวแต่ก็ไม่สำเร็จ

     “วันนี้แพรวยกโทษให้ แต่วันหลังองศาห้ามลืมชวนแพรวนะ”

     “แพรว...คือว่าเรา...”

     “นี่เพื่อนๆ ขององศาเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นหันมายิ้มให้ผมกับคนอื่นๆ “ยินดีที่รู้จักค่ะ แพรวเป็นเพื่อนคนละคณะขององศา ถ้าไม่รังเกียจขอร่วมโต๊ะด้วยคนนะคะ”

     พี่ทิวกับพี่ยี่หวาได้แต่ทำหน้าลำบากใจ พี่แพรวไม่รอให้ใครตอบ เดินมานั่งข้างพี่องศาแทนผมที่กำลังยืนอยู่

     “ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ อยากไปล้างหน้าล้างตาหน่อย” ผมหันไปบอกพี่ยี่หวาก่อนจะเดินออกมาทันที ได้ยินเสียงฝนกับควีนเหมือนจะขอตามมา แต่ผมไม่สนใจจะหันกลับไปมอง ลำพังอยู่ใกล้พี่องศาหัวใจผมก็ทรมานพอแล้ว นี่ยังต้องมาเห็นภาพที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดอีก แค่ควบคุมตัวเองไม่ให้เดินออกจากร้านได้ก็เกินพอแล้วสำหรับผม

     ได้อยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วจะมีความสุข...ประโยคนี้ไม่เป็นจริงเสมอไปหรอก



     ผมวักน้ำขึ้นมาลูบหน้า หวังให้มันช่วยกลบเกลื่อนคราบน้ำตาไปได้บ้าง ผมไม่รู้ว่าน้ำตาไหลลงมาเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าพอเข้ามาในห้องน้ำภาพตรงหน้าก็เบลอไปหมด

     “ข้าว!” ฝนกับควีนที่เข้ามาในห้องน้ำมองผมหัวจรดเท้าอย่างตกใจ เป็นเพราะยืนคิดอะไรเพลินไปหน่อยผมเลยเผลอทำน้ำกระเด็นเปียกเสื้อกับกางเกง

     “ข้าวซุ่มซ่ามเองน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวก็แห้ง”

     “มึงเป็นอะไรวะ ไม่สบายเหรอ สีหน้าดูไม่ดีตั้งแต่เข้าร้านมาแล้วนะ”

     “ข้าวสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร” ผมฝืนยิ้มให้เพื่อนสนิท “แล้วฝนเข้ามาได้ไง นี่มันห้องน้ำชายนะ”

     “ถามมาได้ กูก็กลัวมึงจะเป็นลมในห้องน้ำน่ะสิ รู้ไหมว่าตอนเดินออกมาหน้ามึงซีดมากเลยนะ”

     เห็นภาพบาดตาซะขนาดนั้น ใครจะไปทนยิ้มอยู่ได้ล่ะครับ

     “วันนี้มึงดูแปลกไปนะ พี่องศาพามาเที่ยวทั้งทีแต่มึงไม่ยิ้มเลย”

     “ข้าวไม่ชอบเที่ยวตอนกลางคืนควีนก็รู้”

     “ไม่จริงอ่ะ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” ควีนยื่นหน้ามาใกล้เหมือนกำลังจับผิด “มึงหึงพี่องศากับพี่แพรวใช่ไหม”

     “ขะ...ข้าวจะไปหึงเขาทำไม ข้าวไม่ได้เป็นอะไรกับพี่องศาซะหน่อย”

     “ข้างนอกน่ะใช่” คนพูดเอามือมาจิ้มตรงอกข้างซ้ายของผม “แต่ข้างในนี้มึงไม่คิดอะไรจริงเหรอ มึงกล้าพูดหรือเปล่าว่าไม่ได้ชอบพี่องศา”

     ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าเพื่อนๆ กำลังสงสัยเรื่องของผมกับพี่องศา เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ พอควีนถามขึ้นมาผมเลยเผลอแสดงสีหน้าตกใจออกไป ผมไม่ตอบอะไร เอาแต่เงียบจนเพื่อนทั้งสองคนเริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก ฝนหันไปตีควีนเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้

     “พวกกูไม่ได้เร่งเร้าให้มึงพูดนะเว้ย ที่ถามเพราะเป็นห่วงเฉยๆ ถ้ามึงไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”

     ผมหลบตาเพื่อนก้มมองเท้าตัวเอง ระหว่างนั้นก็มีคนเดินเข้าออกห้องน้ำไม่หยุด ฝนเลยชวนผมกลับไปที่โต๊ะเพราะไม่อยากยืนขวางทาง และเกรงว่าถ้าออกมานานคนอื่นๆ อาจจะสงสัย

     “ฝนกับควีนอย่าบอกพี่องศานะ”

     “หือ? บอกอะไร”

     “เรื่องที่ข้าวชอบเขา”

     คนที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำรีบย้อนมาหาทันที ฝนที่ลืมเรื่องยืนขวางทางไปสนิทเอื้อมมือมาจับแขนผมทั้งสองข้าง “ไอ้ข้าว! เมื่อกี้มึงบอกว่าชอบพี่องศาเหรอ!”

     “อืม” ผมเห็นว่าปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์ บอกไปตรงๆ เลยดีกว่า

     “ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

     “ข้าวก็ไม่รู้”

     “แล้วทำไมที่ผ่านมามึงไม่บอกพวกกูเลยอ่ะ”

     “ขอโทษนะ ข้าวไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหรอก แต่ข้าวคิดว่าถึงบอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดี เลยเก็บเงียบคนเดียวมาตลอด”

     ควีนถอนหายใจ เดินมาจับไหล่ผมอีกคน “ที่จริงกูก็พอจะดูออกว่าพี่องศาชอบมึง แต่มึงจะชอบพี่องศาด้วยไหมกูไม่มั่นใจเลย ไม่คิดเลยว่ามึงจะพูดออกมาเองอย่างนี้”

     “พี่องศาไม่ได้ชอบข้าวหรอก” ผมเถียงเพื่อนกลับไปทันควัน

     “แต่การกระทำของเขามันทำให้พวกกูคิดแบบนั้น”

     “ฝนกับควีนไม่เห็นพี่คลื่นเหรอ เขาทำดีกับเดือนขนาดนั้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ชอบเดือน”

     “มันไม่เหมือนกัน กรณีพี่คลื่นยังเอาเรื่องเกมวิดีโอคอลมาอธิบายได้ แต่กรณีพี่องศามันจะเป็นอะไรได้อีกถ้าไม่ใช่ว่าเขาชอบมึง”

     ผมเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นระริก น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกำลังจะไหลลงมาอีกครั้ง ฝนที่เห็นสีหน้าผมไม่ดีมองมาอย่างเป็นห่วง

     “ข้าว...ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้นอ่ะ”

     “ฝนกับควีนเข้าใจผิดแล้วล่ะ พี่องศาเขาไม่ได้คิดอะไรกับข้าว” ผมพูดเสียงสั่น

     “มึงมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ไม่ใช่มั่นใจ แต่มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ข้าวไม่น่ารัก พี่องศาไม่มีทางชอบข้าวได้หรอก



     พอผมกับเพื่อนๆ กลับมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่แพรวแล้ว พี่ยี่หวาบอกว่าระหว่างที่ผมไปห้องน้ำ พี่องศาพาพี่แพรวออกไปคุยกันนอกร้าน แต่ตอนกลับมามีแค่พี่องศาคนเดียว

     “พอแล้วพี่ กินเยอะเกินเดี๋ยวก็กลับไม่ได้หรอก” น้องบาสแย่งเหล้าในมือฝนไปถือ ทำหน้าเหมือนพ่อกำลังดุลูก

     “ปล่อยให้มันกินไปเถอะน้องบาส อีนี่มันคอแข็ง ช้างสิบตัวยังล้มมันไม่ได้เลย”

     “ใช่ อีควีนพูดถูก เพราะงั้นเอาเหล้าคืนมาได้แล้ว” ฝนคว้ามือไปจะหยิบแก้วเหล้า แต่น้องบาสเอาไปวางข้างตัวเองฝนเลยหยิบไม่ได้

     “พี่กินเยอะแล้ว กินเหล้ามากๆ มันไม่ดี”

     “มาร้านเหล้าก็ต้องกินเหล้าสิยะ นายจะให้สั่งผัดกะเพราหมูกรอบมากินหรือไง”

     “เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะพี่ ถามจริงเถอะ ปกติเพี้ยนแบบนี้อยู่แล้วป่ะ”

     ฝนหน้าแดง คงโกรธที่โดนรุ่นน้องว่าเพี้ยน น้องบาสกระดกเหล้าที่ยังเหลืออยู่ของฝนรวดเดียวหมดก่อนจะรินน้ำเปล่าลงไปแทน

     “ถ้าจะกินก็กินน้ำเปล่า คืนนี้ผมไม่ให้กินเหล้าแล้ว”

     “สั่งเหมือนเป็นพ่อเชียวนะ นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ” ฝนเหน็บแนมรุ่นน้องเสร็จก็แลบลิ้นใส่ หันไปคุยกับคนอื่นต่อ “พี่ยี่หวาคะ ฝนว่าเราไปแดนซ์กันดีกว่า เบื่อคนขี้บ่นแถวนี้”

     ฝนจูงมือพี่ยี่หวาไปเต้นบนเวทีด้วยกัน น้องบาสส่ายหน้าก่อนจะตามไปอีกคน พอฝนไม่อยู่แล้วควีนก็ลุกมานั่งข้างผมแทน โน้มหน้ามาพูดใกล้หูเพราะตอนนี้เสียงดนตรีเริ่มดังแล้ว

     “ข้าว มึงยังจะไปค้างห้องไอ้เดือนอยู่ป่ะวะ”

     “ไม่แล้ว เดือนส่งข้อความมาบอกว่าคืนนี้ไม่สะดวก”

     “แล้วทีนี้มึงจะกลับยังไงอ่ะ”

     “ข้าวก็ไม่รู้” ผมตอบเพื่อนอย่างหมดหนทาง ที่ผมอยู่ถึงห้าทุ่มนี่ไม่ใช่เพราะอยากอยู่ แต่ยังหาวิธีกลับบ้านไม่ได้ต่างหาก จะโทรให้พ่อมารับโทรศัพท์ผมก็แบตฯ หมด พอจะยืมของฝนกับควีน คนหนึ่งก็แบตฯ หมดเหมือนกัน อีกคนก็ไม่มีเงินโทรศัพท์

     “กูว่ามีทางเดียวแล้วล่ะ มึงต้องให้พี่องศาไปส่ง”

     “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” ถึงจะไม่เต็มใจแต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

     “งั้นขอให้โชคดีนะมึง”

     “หือ? ทำไมควีนพูดเหมือนจะไม่กลับกับข้าวเลยล่ะ”

     “กูกับฝนแล้วก็น้องบาสจะให้พี่ทิวไปส่ง พวกกูคุยกันแล้ว”

     “อ้าว! ทำไมทิ้งให้ข้าวกลับกับพี่องศาแค่สองคนอ่ะ”

     “ก่อนจะถามมึงหันไปดูหน้าพี่องศาก่อน ตั้งแต่มึงกลับมาจากห้องน้ำเขาก็เอาแต่มองมึงหน้าบึ้ง พวกกูคงกล้ากลับด้วยหรอก”

     ผมลองหันไปมองตามที่ควีนบอก ก่อนจะพบว่าพี่องศากำลังมองผมอยู่จริงๆ ใบหน้านิ่งเรียบเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง

     “เหมือนเขามีเรื่องอยากคุยกับมึงนะ”

     “ไม่ใช่หรอก ควีนคิดมากเกินไปแล้ว”

     “มึงนั่นแหละคิดน้อยเกินไป” ควีนพูดจบก็ลุกขึ้นยืนทันที “กูหนีก่อนดีกว่า เคลียร์กันเองนะมึง”

     “อ้าวควีน!”

     “พี่ทิวคะ เราไปแดนซ์กันด้วยดีกว่า หนูเห็นอีฝนโชว์ลีลาอยู่คนเดียวแล้วยอมไม่ได้”

     พี่ทิวทำหน้างง แต่ก็ยอมเดินตามควีนไปรวมกลุ่มกับพวกฝนที่กำลังเต้นบนเวทีอย่างเมามัน ตอนนี้ทั้งโต๊ะเลยเหลือแค่ผมกับพี่องศา ผมชำเลืองหางตาไปมองอีกครั้ง พี่องศายังมองผมเหมือนเดิมไม่ละสายตาไปไหน ผมทำเป็นยกน้ำอัดลมมาดื่ม ในใจรู้สึกอึดอัดจนอยากเดินออกจากร้านให้รู้แล้วรู้รอด

     “ข้าวเป็นอะไร” พี่องศาพูดประโยคแรกหลายจากนั่งเงียบมาหลายชั่วโมง

     “ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”

     “ไม่จริงอ่ะ ข้าวกำลังไม่พอใจพี่”

     “พี่องศาไม่ได้ทำอะไร ทำไมผมต้องไม่พอใจด้วยล่ะครับ”

     “ก็นั่นแหละที่พี่ไม่รู้ พี่คิดมาตั้งนานแล้วยังคิดไม่ออกเลย ข้าวโกรธอะไรบอกพี่มาตรงๆ สิครับ”

     “ผมไม่ได้โกรธพี่องศา”

     “พี่ไม่เชื่อ” ร่างสูงเคลื่อนตัวมาแนบชิดจนแทบไม่มีช่องว่าง พอผมจะขยับหนีพี่องศาก็เอื้อมมือมาโอบเอวเอาไว้ “โกรธเรื่องแพรวเหรอ”

     “ปะ...เปล่าครับ”

     “แล้วทำไมข้าวดูไม่ค่อยสนุกเลย”

     “ผม...ผมไม่ชอบเที่ยวกลางคืน” ผมไม่กล้าพูดเหตุผลที่แท้จริงเลยยกเรื่องนี้มาอ้าง

     “อ้าว แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ” พี่องศาทำหน้าเหลอหลา

     “พี่เคยถามผมไหมล่ะครับ เอาแต่จะพาผมมาท่าเดียว”

     “งั้นข้าวอยากกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมกลับแท็กซี่ได้”

     “จะกลับยังไง กลับไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”

     “กลับเองบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเองครับ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกจากร้าน แต่แรงกระตุกที่ฝ่ามือทำให้ผมเสียหลักจนล้มไปนั่งตักคนตัวสูง

     “พี่จะไปส่ง”

     “ไม่เป็นไร...”

     “ข้าวหอม” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหู ใบหน้าที่โน้มมาใกล้ฉายแววไม่พอใจ “อย่าดื้อกับพี่ครับ เราก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเถียงพี่ไปก็ไม่ชนะ”

     ผมเม้มปากแน่น รู้สึกพ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างหมดท่า พี่องศาที่เห็นผมไม่ตอบอะไรยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะบอกให้ผมรออยู่ที่นี่แล้วเดินไปบอกลาคนที่อยู่บนเวที

     กับพี่องศาผมไม่เคยชนะหรอก ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันชนะ ไม่สิ...ไม่ต้องเป็นพี่องศาก็ได้ จะกับใครผมก็เอาชนะใจไม่ได้ทั้งนั้น





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 18 [25/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 25-08-2022 18:05:27
     “พ่ออยู่บ้านไหมครับ” จู่ๆ คนที่ขับรถอยู่ก็พูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมเลยต้องถามซ้ำเพราะไม่แน่ใจ

     “พ่อผมเหรอครับ”

     “ใช่”

     “อยู่ครับ”

     “แล้วเขานอนหรือยัง”

     “ยังครับ พ่อผมเป็นบรรณาธิการนิตยสารต่างประเทศ ชอบทำงานตอนดึก กว่าจะนอนก็ตีหนึ่งตีสองเป็นอย่างต่ำ” ผมพูดจบก็ขมวดคิ้ว “พี่องศาถามทำไมครับ”

     “ไม่มีอะไรครับ พี่อยากรู้เฉยๆ”

     ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองถนนต่อ ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ผมเลยอดเป็นห่วงฝนกับควีนไม่ได้ ถึงพี่ทิวจะเอารถมาด้วยแต่ผมก็ยังห่วงเพื่อนอยู่ดี ไม่อยากให้เมามากเพราะกลัวจะเสียสุขภาพ

     แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วน้องบาสน่าจะดูแลเพื่อนผมได้อยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมน้องเขาถึงดูแลเพื่อนผมดีขนาดนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง

     “พี่กับแพรวเป็นแค่เพื่อนกัน”

     คำพูดของพี่องศาทำให้ผมหันไปมองอย่างแปลกใจ “มาบอกผมทำไมครับ”

     “แค่อยากบอกเฉยๆ พี่เคยควงแพรวก็จริง แต่ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ และมันก็ผ่านมานานแล้ว”

     “พี่ไม่จำเป็นต้องบอกผมหรอกครับ ต่อให้พวกพี่ยังควงกันอยู่ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไร”

     “คิดซะว่าฟังเรื่องดินฟ้าอากาศก็ได้ครับ พี่บอกเพราะไม่อยากให้ข้าวเข้าใจผิด ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม”

     ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนคำพูดพี่องศาจะมีความนัยบางอย่าง แต่เพราะผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองเลยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

     “ตรงไปอีกหน่อยแล้วเลี้ยวซ้ายครับ” ผมบอกทางเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงบ้านแล้ว

     “พี่จำได้ครับ มารับส่งเราตั้งหลายครั้ง ถ้าจำไม่ได้ก็แย่แล้ว”

     รถของพี่องศาขับมาจอดหน้ารั้วบ้าน ผมบอกขอบคุณเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูลงมา แต่คราวนี้คนตัวสูงลงมาจากรถด้วย ไม่ขับออกไปอย่างที่ควรจะเป็น ผมเลยหันไปทำหน้างง

     “พี่องศามีอะไรหรือเปล่าครับ”

     “ข้าว”

     เสียงเรียกที่ดังมาจากประตูบ้านทำให้ผมหันไปมอง คุณพ่อกำลังเดินมาทางนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง ผมเดินเข้าบ้านไปทางประตูเล็ก พี่องศาก็ตามมาด้วย

     “ไหนลูกบอกว่าจะไปค้างห้องเดือนไง”

     “พอดีมีปัญหานิดหน่อยเลยไปค้างไม่ได้แล้วน่ะครับ”

     “แล้วทำไมถึงกลับเอาป่านนี้ล่ะ ไม่โทรมาบอกพ่ออีกต่างหาก”

     “ขอโทษนะครับ พอดีโทรศัพท์ข้าวแบตฯ หมด”

     พ่อผมหันไปมองพี่องศาที่มายืนข้างๆ ผมก็หันไปมองเหมือนกัน นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก ทำไมถึงยังอยู่ล่ะเนี่ย

     “สวัสดีครับ”

     พ่อผมรับไหว้พี่องศาก่อนจะถามผม “ข้าว ผู้ชายคนนี้...”

     “พี่องศาครับ รุ่นพี่ที่มารับมาส่งข้าวตอนที่พ่อไม่อยู่” ผมแนะนำพี่องศาให้คุณพ่อรู้จัก สายตาคุณพ่อเปลี่ยนไปทันทีที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร พ่อผมมองคนตรงหน้าหัวจรดเท้าเหมือนกำลังพิจารณา

     “ขอบใจนะที่คอยมารับมาส่งลูกชายฉัน”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ แต่ถ้าคุณพ่อจะกรุณา ผมอยากขออะไรอย่างนึงได้ไหมครับ”

     “ว่ามาสิ”

     “หลังจากนี้ผมขอมารับมาส่งข้าวหอมอีกได้ไหมครับ”

     “พี่องศา!” ผมเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจ ต่างกับพ่อผมที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งนั้น

     “ผมรู้ครับว่าคุณพ่อเป็นห่วงข้าวหอมมากถึงได้คอยไปรับไปส่งที่มหา’ลัยทุกวัน แต่ผมก็ห่วงข้าวหอมไม่แพ้กัน ผมอยากดูแลข้าวหอมและอยากแบ่งเบาภาระคุณพ่อด้วย”

     ผมได้แต่ยืนอึ้ง หัวสมองไม่ทำงานไปชั่วขณะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมจู่ๆ พี่องศาถึงทำแบบนี้ล่ะ ไม่เห็นบอกผมก่อนเลยสักคำ

     “แล้วฉันจะไว้ใจนายได้ยังไง อะไรจะทำให้ฉันมั่นใจว่าถ้าอนุญาตให้นายมารับส่งลูกชายฉันแล้วจะไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง” พ่อผมนี่ก็อีกคน แทนที่จะปฏิเสธกลับไปดันเอาแต่ถามหาความไว้ใจ พูดเหมือนกำลังจะอนุญาตให้พี่องศามารับส่งผมจริงๆ อย่างนั้นแหละ

     “คุณพ่ออยากพิสูจน์ยังไงบอกมาได้เลยครับ”

     ผมมองผู้ชายสองคนที่กำลังยืนคุยกันอย่างทำอะไรไม่ถูก ใจจริงอยากไล่พี่องศากลับไปตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าพอเพราะมันจะดูเสียมารยาท

     “ข้าว จำเบอร์ฝนได้ไหม” จู่ๆ คุณพ่อก็หันมาถามผม

     “จะ...จำได้ครับ”

     “โทรหาฝนให้พ่อที พ่ออยากคุยอะไรด้วยหน่อย”

     “คุณพ่อครับ...” ผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่เผลอพูดความจริงกับพ่อ

     “ทำตามที่พ่อบอกครับ”

     คุณพ่อยื่นโทรศัพท์มาให้ ผมที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้ พ่อรู้ว่าผมคบกับเดือน ฝนและควีนมานาน พ่อเลยไว้ใจเพื่อนทั้งสามคนนี้มาก ถ้ารู้ว่าผมอยู่กับเพื่อนพ่อจะไม่ถามอะไรเพราะมั่นใจว่าเพื่อนๆ จะดูแลผมได้ดีพอ

     [ฮัลโหลค่าาาา] เสียงฝนดังออกมานอกโทรศัพท์จนผมได้ยิน เสียงยานคางแบบนี้แสดงว่าหลังจากผมกลับมาแล้วคงดื่มเหล้าไปอีกแน่นอน

     “ฝนใช่ไหม”

     [ช่ายยยค่ะ แล้วคุณล่ะคะเป็นครายยยย]

     “พ่อเอง”

     [พ่อ? พ่อครายยค้าาา พ่อหนูตายไปตั้งนานแล้วค่าาาา]

     “พ่อข้าวหอม”

     [อ๋อ พ่อข้าว...ฮะ!? พ่อไอ้ข้าว!! อะ...เอ่อ...สวัสดีค่ะคุณพ่อ] พอรู้ว่าใครโทรมาเสียงเพื่อนผมก็กลับมาปกติทันที พ่อผมกระแอมสองสามทีก่อนจะเข้าประเด็นสำคัญ

     “รู้จักรุ่นพี่ของข้าวหอมที่ชื่อองศาไหม”

     [รู้...รู้จักค่ะ]

     “นิสัยเป็นยังไง” ระหว่างที่ถามเพื่อนผมตาก็มองคนตรงหน้าไปด้วย

     [นิสัยดีค่ะ]

     “ดียังไง อธิบายมาให้ชัดๆ”

[เอ่อ...ก็เป็นสุภาพบุรุษ ใจดี คอยดูแลพวกหนูอยู่บ่อยๆ ให้เป็นคนขับรถตั้งหลายครั้งก็ไม่เคยบ่นสักคำ อ้อ! พี่องศาคือคนที่ไปรับไปส่งข้าวตอนพ่อไม่อยู่นั่นแหละค่ะ พ่อลองถามไอ้ข้าวก็ได้]

     “พ่อรู้อยู่แล้ว”

     [อ้าว แล้วที่คุณพ่อมาถามหนู...]

     “ขอบใจมาก อย่าเมาให้มากล่ะเรา เดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ได้” คุณพ่อพูดจบก็วางสายทันที ผมคิดว่าหลังจากนี้ต่อให้น้องบาสไม่ห้ามฝนก็คงไม่กล้ากินเหล้าอีกแล้วล่ะ พ่อผมเล่นพูดเสียงเย็นขนาดนี้

     “พ่อถามฝนเรื่องพี่องศาทำไมครับ” ผมถามเรื่องที่สงสัยโดยไม่อ้อมค้อม ในใจก็ภาวนาอย่าให้สิ่งที่กำลังกลัวเป็นจริงเลย

     “พ่อแค่อยากรู้ว่ารุ่นพี่ของลูกไว้ใจได้แค่ไหน” คุณพ่อเดินเข้าไปหาพี่องศาที่ยืนตัวตรง มองตากันสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “หลังจากนี้ฝากมารับข้าวหอมไปมหา’ลัยด้วยล่ะ อย่าให้ความไว้ใจที่ฉันให้นายต้องเสียเปล่า”

     “ขอบคุณครับ ผมจะดูแลข้าวหอมอย่างดีแน่นอน”

     “พ่อครับ!”

     คุณพ่อเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ ไม่สนใบหน้าที่กำลังตกใจของผมเลย “ฝากยืนส่งพี่เขาหน่อยนะ พ่อขอกลับไปทำงานในห้องก่อน”

     ผมกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนทุกอย่างผ่านไปเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน พอคุณพ่อเข้าไปในบ้านแล้วผมก็หันไปหาคนตัวสูงที่ยืนอารมณ์ดีอยู่

     “พี่องศาทำแบบนี้ทำไม”

     “บอกแล้วไงว่าพี่อยากมารับมาส่งเรา”

     “ผมไม่เข้าใจครับ พี่ลงทุนทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร” ผมถามคนตรงหน้าก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “พี่อยากให้ผมแทนตัวเองว่าข้าวใช่ไหมครับ ถ้าเหตุผลมีแค่นี้เดี๋ยวผมทำให้ตอนนี้เลยก็ได้ พี่จะได้ไม่ต้องพยายามตีสนิทกับผมให้เหนื่อย”

     “นี่ข้าวยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” พี่องศาผ่อนลมหายใจ เอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองข้าง “พี่กำลังจีบข้าวอยู่ แบบนี้พอจะเข้าใจขึ้นบ้างหรือยัง”

     !!!!!!

     นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา รู้แค่ว่าในหัวมันขาวโพลนไปหมด จนกระทั่งพี่องศายื่นหน้ามาใกล้ผมถึงได้สติ

     “ข้าวเป็นอะไรครับ”

     “พะ...พี่พูดว่าอะไรนะครับ”

     “พี่กำลังจีบเราอยู่” คนตัวสูงจิ้มหน้าผากผมเบาๆ

     “พี่ชอบผม...เหรอครับ”

     “พี่รู้สึกสนใจเรา อยากทำความรู้จักกับเรา ถ้าทั้งหมดนี้มันคือการชอบใครสักคน...ก็ใช่ครับ พี่ชอบข้าว”

     “พี่ตัดใจเถอะครับ” ผมถอยออกมายืนห่างๆ ร่างสูงที่มองมารีบหุบยิ้มทันที

     “ทำไมครับ ข้าวมีแฟนแล้วเหรอ”

     “ผมยังไม่มีแฟนและไม่คิดจะมีด้วยครับ”

     “พี่ไม่ทำให้ข้าวเสียคนแน่นอน ไม่ต้องห่วงนะครับ ข้าวยังไม่ต้องตอบรับก็ได้ แค่ให้โอกาสพี่จีบก็พอ”

     “พี่องศา ผมขอร้องล่ะครับ” ผมสบตากับคนตรงหน้า ของเหลวที่กระบอกตากำลังจะไหลลงมา แต่ผมต้องกลั้นมันไว้ “ลืมที่พี่พูดแล้วกลับไปเถอะครับ แล้วผมจะคิดซะว่าเราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้”

     “ข้าว...” เสียงของพี่องศาช่างแผ่วเบา มันเต็มไปด้วยความตกใจและเสียใจ

     “เราสองคนคบกันไม่ได้หรอกครับ อย่าพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย พี่มีตัวเลือกที่ดีกว่าผมเยอะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างผมเลยครับ” ไม่รู้ว่าสองประโยคหน้าผมพูดถึงพี่องศาหรือตัวเอง แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สองขาของผมรีบวิ่งเข้ามาในบ้าน ไม่แม้กระทั่งหันไปมองคนที่เรียกชื่อผมไม่หยุด และเมื่อประตูถูกปิดเรียบร้อยน้ำตาที่กลั้นมานานก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

     ผมทิ้งตัวคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดสภาพ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ เพื่อให้ประโยคบอกชอบในหัวหายไปเสียที นอกจากคำพูดของพี่องศาแล้วยังมีอีกหลายคำพูดที่ผุดขึ้นมาในหัว คำพูดเหล่านั้นคอยย้ำเตือนให้ผมปฏิเสธใจตัวเองเหมือนที่ทำมาตลอด

     ‘คนนี้น่ะเหรอเพื่อนของน้องเดือน’

     ‘ไม่เห็นจะน่ารักเหมือนน้องเดือนเลย คบเพราะผลประโยชน์หรือเปล่า’

     ‘หน้าตาก็งั้นๆ สู้น้องเดือนไม่ได้สักนิด’

     ‘จะสวยก็ไม่ใช่ จะหล่อก็ไม่ใช่อีก น้องเดือนคิดยังไงถึงเลือกคนแบบนี้มาเป็นเพื่อนนะ’


     ผมไม่เหมาะกับพี่องศา ไม่เหมาะกับใครเลยแม้แต่น้อย คนอย่างผมน่ะ...สมควรอยู่คนเดียวที่สุดแล้ว





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.18 [25/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 25-08-2022 21:41:00
 :z3: :z2:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.18 [25/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 25-08-2022 22:25:39
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.18 [25/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 26-08-2022 05:29:21
เห้อ พี่คลื่นก็อธิบายไม่เคลียก็รู็นะว่าน้องอ๋อง เป็นงะ น่าให้น้องงอลให้เข็ด :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.18 [25/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-08-2022 12:15:31
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 19 [26/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 26-08-2022 21:48:03
ตอนที่ 19 : สิ่งที่ควรเลือก





     หลังจากได้หยุดยาวถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม พวกผมก็ต้องกลับมาชดใช้กรรมที่มหา’ลัยกันต่อ วันนี้ผมตื่นเช้าเพราะเผลอตั้งนาฬิกาปลุกเร็วกว่าปกติ พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วผมเลยมานั่งแกว่งเท้ารอบรรดาเพื่อนรักอยู่ใต้ตึกเรียนเป็นคนแรก

     ผมหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนดูข้อความในไลน์ มุมปากทั้งสองข้างยกยิ้ม ตั้งแต่วันที่ผมชนะเกมในอินสตาแกรมของพี่คลื่น นี่ก็ผ่านมาจะครบหนึ่งเดือนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาแค่นี้จะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องที่ชวนยิ้มและเรื่องที่ชวนร้องไห้...

     ผมกับพี่คลื่นยังวิดีโอคอลกันทุกคืน ถึงแม้จะมีคนในใจแล้วแต่พี่คลื่นก็ยังเอนเตอร์เทนผมเหมือนวันแรกที่เรารู้จักกัน แต่นั่นกลับทำให้ผมลำบากกว่าเดิม เพราะผมต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าพี่คลื่นแค่เล่นไปตามเกม ห้ามหวั่นไหว ห้ามคิดเข้าข้างตัวเองเด็ดขาด ต้องมีความสุขอยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเท่านั้น

     “วันนี้ลมอะไรเหาะมาคะเนี่ย มาเช้าขนาดนี้มึงจะมาช่วยภารโรงกวาดพื้นเหรอ” ควีนที่มาพร้อมฝนเอ่ยทักทายก่อนที่ตัวจะมาถึงโต๊ะ คำทักทายของมันทำเอาผมอยากกระโดดถีบขาคู่มาก

     “เออ ว่าจะกวาดขยะแถวนี้หน่อย มีอยู่สองชิ้นขนาดพอดีถังขยะเลย”

     “มึงตาต่ำมากนะที่เห็นพวกกูเป็นขยะ สวยขนาดนี้กระเป๋าแบรนด์เนมยังต้องชิดซ้าย” ฝนเชิดหน้าใส่ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม “เมื่อเช้ากูแทบไม่อยากตื่นเลย ได้นอนตื่นสายมาตั้งหลายวัน จู่ๆ ต้องตื่นเช้าโคตรทรมาน”

     มาถึงก็บ่นเป็นอย่างแรกเลยครับ หน้าง่วงๆ ของคนพูดทำให้ผมรู้ว่ามันพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น

     “งั้นมึงคงต้องทนหน่อยนะ เพราะหลังจากนี้มึงต้องทรมานไปอีกยาวๆ จนปิดเทอมเลย”

     “ถ้ามีแฟนคอยโทรปลุกก็ดีน่ะสิ กูจะได้ไม่ต้องตื่นเอง แถมยังหน้าตาสดชื่นทุกเช้าด้วย” ฝนยิ้มหวานเหมือนกำลังฝันกลางวันอยู่

     “มึงก็เอาน้องบาสมาทำแฟนซะเลยสิ ไหนๆ ก็จะอ่อยเขาแล้วไม่ใช่เหรอ”

     คนอยากมีแฟนรีบหุบยิ้มเหมือนฝันสลาย หันไปมองตาขวางใส่เพื่อนตัวเอง “มึงหยุดพูดเรื่องนี้ได้ไหม แค่เด็กบ้านั่นคนเดียวกูก็จะกระอักแล้วนะ ไม่รู้เกลียดอะไรกูนักหนาถึงขยันขุดเรื่องนี้มาพูดอยู่ได้”

     “แต่เท่าที่กูเห็นเหมือนมึงจะเกลียดน้องเขามากกว่านะ”

     “จะไม่ให้เกลียดได้ไง ก็หมอนั่นทั้งขี้บ่น เจ้ากี้เจ้าการ ทำตัวเหมือนพ่อกูเข้าไปทุกวัน”

     “น้องเขาอาจจะอยากเป็นพ่อจริงๆ ก็ได้นะ” ผมยิ้มล้อเลียน “พ่อทูนหัวน่ะ”

     “ไอ้เดือน!” ฝนชี้หน้าผม หน้าแดงไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออาย “พอกูไม่แซวเรื่องพี่คลื่นได้ใจใหญ่เลยนะ อย่าให้เห็นว่ามึงไปสนิทกับผู้ชายคนอื่นล่ะ แม่จะชงให้แต่งงานกันพรุ่งนี้เลย”

     “อีฝน” ควีนรีบตีมือฝนเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก มันดึงแขนฝนไปใกล้ พูดเสียงเบาไม่ให้ผมได้ยิน “เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ”

     “จะชงให้ไอ้เดือนแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น” ฝนขมวดคิ้วมุ่น

     “นั่นไง! มึงกับกูมัวแต่ห่วงไอ้เดือนจนลืมเรื่องสำคัญอีกอย่างไปเลย”

     “เรื่องอะไรวะ”

     “ก็เรื่องพี่เมศไง”

     “เออว่ะ กูลืมไปได้ไงว่าพี่เมศชอบไอ้เดือน”

     “พวกมึงคุยอะไรกันอ่ะ” ผมทำหน้างงเมื่อจู่ๆ ท่าทางพวกมันก็เปลี่ยนไป ฝนหันมามองผมด้วยใบหน้าจริงจัง แววตาล้อเล่นหายไปแล้ว

     “เดือน กูถามจริงๆ นะ”

     “ถะ...ถามอะไร” ไม่ต้องทำเสียงเข้มก็ได้ กูกลัวนะเว้ย

     “ถ้าสมมติมีคนอื่นที่โปรไฟล์ดีไม่แพ้พี่คลื่นมาชอบมึง มึงจะยอมตัดใจจากพี่คลื่นไปหาเขาไหม”

     “ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาวะ”

     “เอาน่า ตอบมาเถอะ กูอยากรู้”

     ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า “พวกมึงคงไม่ได้มีเรื่องปิดบังกูอยู่ใช่ไหม”

     “ปิดบงปิดบังอะไร กูก็แค่สงสัยเฉยๆ รีบตอบสักทีสิพวกกูรอฟังอยู่” ฝนพูดเหมือนรำคาญ แต่มันคงไม่รู้ตัวว่ากำลังเสียงสูง ผมรู้ว่ามันมีเรื่องปิดบังแน่นอนแต่ขี้เกียจจะไล่ถามเลยยอมตอบให้มันจบๆ ไป

     “ถ้าเป็นตอนนี้กูคงยังไม่ตัดใจอ่ะ กูชอบพี่คลื่นมาก กูยังอยากมีความสุขกับเขาถึงแม้จะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน”

     “แล้วถ้าเกมของพี่คลื่นจบลงแล้วล่ะ”

     “อืม...” ผมนิ่งคิดสักพัก “ก็คงไม่เปิดใจให้คนใหม่อยู่ดี ถึงตอนนั้นกูคงกำลังเสียใจอยู่ กูไม่อยากเอาใครมาเป็นเครื่องมือรักษาแผลใจตัวเอง แบบนั้นมันใจร้ายกับคนที่ชอบกูมากเกินไป เพราะยังไงกูก็คงไม่แกร่งพอที่จะอกหักจากผู้ชายคนนึงแล้วไปรักผู้ชายอีกคนได้ทันทีอยู่แล้ว”

     ฝนกับควีนยกมือทาบอก ทำหน้าซาบซึ้งจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้

     “สุดยอดเลยเพื่อนกู เวทีนางงามปีหน้ากูจะส่งมึงเข้าประกวด”

     “รู้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน กูจะได้ไม่ต้องเป็นกามเทพสื่อรักช่วยมึงในทางที่ผิด”

     “พูดแบบนี้แปลว่ามีเรื่องปิดบังอยู่จริงๆ สินะ” ผมหรี่ตามองฝนอีกรอบ

     “เปล่า! ไม่มี! มึงคิดมากเกินไปแล้ว!”

     ผมคิดมากจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่เสียงไอ้ฝนอ่ะ ถ้าสูงกว่านี้อีกนิดคือยอดเขาเอเวอเรสต์แล้วนะ

     “เฮ้ยพวกมึง” ควีนพยักพเยิดให้หันไปมองหน้าตึก ผมกับฝนเลยหยุดเกมถามตอบกันชั่วคราว ภาพที่ข้าวหอมกำลังลงมาจากรถพี่องศาทำให้พวกผมสามคนขมวดคิ้วพร้อมกัน พอพี่องศาขับรถออกไปแล้วข้าวหอมก็เดินมาทางนี้ แต่พอเห็นพวกผมกำลังมองตาไม่กะพริบเจ้าตัวก็สะดุ้งเล็กน้อย

     ผมว่าผมมีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าเรื่องที่ไอ้ฝนปิดบังอยู่แล้วล่ะ

     ข้าวหอมเดินมานั่งข้างผมแต่ไม่ยอมสบตาใครสักคน ฝนกับควีนยิ้มกริ่ม เห็นหน้าพวกมันแล้วผมรู้เลยว่าข้าวหอมกำลังจะถูกสอบสวนในไม่ช้า

     “ไหนมึงบอกว่าพ่อกลับมาแล้ว พี่องศาเลยไม่ต้องมาส่งอีกไง” ควีนเริ่มเปิดประเด็น

     “หรือพ่อมึงกลับไปบ้านย่าอีกแล้ว”

     “ปะ...เปล่า”

     “แล้วทำไมเช้านี้มึงถึงมากับพี่องศาได้คะ”

     ข้าวหอมหันซ้ายหันขวา เหมือนกำลังหาทางหนีทีไล่ “ข้าว...ข้าวไปซื้อข้าวก่อนนะ พอดีเมื่อเช้ารีบไปหน่อยเลยลืมกินข้าวมา”

     พอพูดจบก็รีบลุกออกไปทันที ไม่เปิดโอกาสให้พวกผมอ้าปากถามอะไรอีก ฝนมองตามข้าวหอม คิ้วยังขมวดไม่หาย

     “ไอ้ข้าวแม่งมีเรื่องปิดบังอยู่แน่นอน คราวก่อนที่พ่อมันโทรมาหากูยังไม่อธิบายอะไรเลย”

     “เดี๋ยวๆๆ พ่อข้าวโทรหามึงเหรอ” ผมถามฝน

     “ใช่ วันที่มึงไปคอนโดฯ พี่คลื่นนั่นแหละ วันนั้นไอ้ข้าวกับพี่องศากลับไปก่อน ประมาณเที่ยงคืนพ่อไอ้ข้าวก็โทรมาหากู”

     “เขาโทรหามึงทำไมวะ”

     “เขาถามเรื่องพี่องศา ประมาณว่านิสัยดีไหม ไว้ใจได้หรือเปล่า”

     ได้ยินฝนพูดแล้วผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ “ทำไมจู่ๆ เขาก็โทรมาถามเรื่องนี้กับมึงอ่ะ”

     “จะไปรู้ไหมล่ะ กูทักไปถามไอ้ข้าวมันก็ไม่ตอบ นี่ก็ตั้งใจจะมาเค้นคำตอบจากมันเหมือนกัน แต่ดันมีเรื่องน่าสงสัยเพิ่มขึ้นมาอีก ทำเอากูเลือกไม่ถูกเลยว่าจะถามเรื่องไหนก่อนดี”

     ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่องศาชอบข้าวหอมแน่นอน ส่วนข้าวหอมนั้นผมรู้จากฝนมาว่าชอบพี่องศาอยู่แล้ว ชอบมานานแล้วด้วย ตอนแรกผมนึกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือทั้งสองคนจะประกาศคบกัน แต่รอมาหนึ่งสัปดาห์แล้วยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงผมเลยนึกว่าพี่องศากำลังรอจังหวะดีๆ ในการขอคบอยู่ แต่พอมาได้ยินฝนเล่าเรื่องพ่อข้าวหอม บอกตรงๆ ว่าผมงงไปหมดแล้วตอนนี้

     ข้าวหอมวางจานข้าวลงบนโต๊ะ นั่งลงข้างผมเหมือนเดิมก่อนจะลงมือกินข้าวโดยไม่พูดจากับใคร พวกผมสามคนมองหน้ากัน ถกเถียงกันทางสายตาว่าใครจะเป็นคนถาม ฝนที่อยากรู้มากที่สุดทนไม่ไหวเลยอาสาถามด้วยตัวเอง

     “ข้าว มึงไม่คิดจะบอกอะไรพวกกูหน่อยเหรอ”

     มือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากค้างอยู่กับที่ ข้าวหอมมองจานข้าวตรงหน้าพลางเม้มปากแน่น

     “หรือต้องให้กูไปถามพี่องศาเอาเอง”

     คราวนี้ข้าวหอมหันมาส่ายหน้ารัวๆ จนผมกลัวคอจะหลุดจากไหล่ “ห้ามไปถามพี่องศานะ!”

     “งั้นมึงก็อธิบายมา ทั้งเรื่องที่พ่อมึงโทรมาหากูแล้วก็เรื่องที่มึงมากับพี่องศา”

     ข้าวหอมทำหน้าอึกอัก ยังไม่ยอมพูดอะไร ขณะที่พวกผมรอให้ข้าวหอมเปิดปากอยู่นั้นคนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนาก็โผล่มาจากด้านหลัง

     “ขอพี่นั่งด้วยคนนะครับเด็กๆ” พี่องศานั่งลงข้างข้าวหอม เอื้อมมือมาโอบไหล่ก่อนจะมองจานข้าวบนโต๊ะ “ข้าวผัดน่ากินจัง พี่ขอกินด้วยได้ไหมครับ”

     “พี่องศา! มาทำไมครับ”

     “ก็มากินข้าวกับเราไงครับ”

     “โรงอาหารคณะพี่ก็มี จะมาคณะผมทำไม”

     “คณะพี่มีโรงอาหารแต่ไม่มีข้าวหอม พี่กินไม่ลงหรอกครับ”

     พี่องศาคุยกับเพื่อนผมโดยไม่สนสีหน้างุนงงของพวกผมเลย จนกระทั่งควีนพูดขึ้นมาทั้งสองคนถึงได้หยุดคุยกัน

     “เอ่อ...นี่มันอะไรกันคะพี่องศา”

     คนตัวสูงที่กำลังทำหน้ากระเง้ากระงอดหันมาเลิกคิ้วใส่คนถาม “อะไรยังไงเหรอครับ”

     “ก็ที่พี่มาหาไอ้ข้าวนี่ไงคะ”

     “อ้าว ข้าวยังไม่ได้บอกพวกเราเหรอว่ากำลังถูกพี่ตามจีบอยู่”

     “หา!! จีบ!?” พวกผมสามคนอุทานพร้อมกัน ฝนรีบหันไปหาข้าวหอมที่ก้มหน้าหลบตาทันที

     “ไอ้ข้าว นี่มันหมายความว่ายังไง”

     “ทำไมมึงไม่บอกเรื่องนี้กับกูสักคำ”

     “พี่องศาเขาล้อเล่นน่ะ เราคุยกันแล้ว เขาไม่ได้จีบข้าวจริงๆ”

     “ไม่ครับ พี่จีบข้าวจริงๆ จริงจังมากด้วย” พี่องศารีบแก้ไขคำพูดเพื่อนผม

     “ผมบอกแล้วไงครับว่าให้พี่ลืมมันไป”

     “พี่จะไม่ลืมและไม่ถอนคำพูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าข้าวจะบอกเหตุผลให้พี่รู้”

     “ผมก็บอกไปตั้งแต่วันนั้นแล้วไงครับ”

     “เหตุผลแบบนั้นพี่ไม่ยอมรับครับ พี่ไม่รู้นะว่าข้าวคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าจะปฏิเสธพี่เพราะเรื่องแค่นั้นพี่ไม่มีวันยอมเด็ดขาด”

     ผมหันไปมองฝนกับควีนอย่างต้องการคำอธิบาย แต่มันก็มองหน้าผมกลับประมาณว่ากูก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าวหอมกับพี่องศาคุยอะไรกันอยู่วะ หันมาอธิบายหน่อยได้ไหม พวกผมตามไม่ทันแล้วนะ

     “สรุปก็คือพี่กำลังจีบเพื่อนหนูใช่ไหมคะ” ฝนรวบยอดถามเข้าประเด็นสำคัญ พี่องศาหันมาพยักหน้ายิ้มๆ

     “ใช่ครับ”

     “พี่ชอบไอ้ข้าวเหรอคะ”

     คนถูกถามหันมามองเพื่อนผมที่กำลังหน้าแดงแบบปิดไม่มิด “ครับ...พี่ชอบข้าว”

     “กรี๊ด!!!” ฝนกับควีนส่งเสียงแหลมๆ พร้อมกัน ทำเอาแก้วหูผมเกือบแตก

     “แสดงว่าที่พ่อไอ้ข้าวโทรมาเมื่อวันก่อนคือพี่องศาไปขอคบกับลูกชายเขาใช่ไหมคะ” ฝนถามด้วยท่าทางตื่นเต้น

     “อ๋อ วันนั้นพี่คุยกับพ่อเรื่องขอมารับมาส่งข้าวเหมือนเดิมครับ พ่อข้าวคงอยากรู้ว่าพี่ไว้ใจได้หรือเปล่าเลยโทรไปถามน้องฝน”

     “แล้วยังไงคะ คบกันแล้วใช่ไหม”

     “ยังครับ”

     “อ้าว ทำไมล่ะคะ”

     “ข้าวไม่ยอมให้พี่จีบ”

     และทุกสายตาก็หันไปมองข้าวหอมอีกรอบ คำพูดของพี่องศาทำให้พวกผมงงยิ่งกว่าเดิม

     “ทำไมมึงไม่ให้พี่องศาจีบวะข้าว ไหนมึงบอกว่า...”

     “ฝน อย่าพูดนะ” ข้าวหอมทำหน้าจริงจังจนฝนไม่กล้าพูดต่อ หันไปหาคนตัวสูงก่อนจะพูดเสียงหนักแน่น “ผมพูดจริงๆ นะครับ พี่อย่าพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เราสองคนต่างกันเกินไป ต่อให้ได้คบกันจริงพี่ก็ไม่มีความสุขหรอก”

     ข้าวหอมลุกเดินออกไปทันที ทิ้งคำพูดชวนงงให้คนที่ยังอยู่ขมวดคิ้วเล่น พี่องศามองตามไปก่อนจะหันกลับมาหาพวกผม สีหน้าแสดงออกชัดว่ากำลังเสียใจและสับสน

     “ข้าวหอมเป็นอะไรเหรอครับ เอาแต่พูดว่าคบกันไม่ได้มาสองครั้งแล้ว”

     “หนูก็ไม่รู้ค่ะ ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”

     พวกผมรีบเดินตามข้าวหอมไป ส่วนพี่องศาก็ขอตัวไปเรียน ในใจผมตอนนี้มีแต่คำถามเต็มไปหมด

     เป็นอะไรไปนะข้าวหอม ชอบพี่องศาเหมือนกันแท้ๆ แต่กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยได้ลงคอ



     ถึงจะโดนข้าวหอมพูดแบบนั้นใส่ แต่ความตั้งใจของพี่องศาก็ไม่ลดลงเลย ตอนกลางวันพี่องศาพาเพื่อนๆ มากินข้าวที่โรงอาหารคณะผม ข้าวหอมจะแยกตัวไปก็โดนฝนกับควีนรั้งไว้ อันที่จริงตลอดคาบเรียนพวกผมก็พยายามถามเหตุผลแล้ว แต่ข้าวหอมไม่ยอมบอกอะไรเลย

     “เบาๆ หน่อยก็ได้องศา จานน้องเขาแทบจะไม่เห็นข้าวแล้ว” พี่ยี่หวาแซวยิ้มๆ เมื่อเห็นเพื่อนตักกับข้าวของตัวเองมาใส่จานเพื่อนผมไม่หยุด

     “พี่องศา พอได้แล้วครับ”

     “ข้าวตัวเล็กเกินไป ต้องกินเยอะๆ เข้าใจไหมครับ”

     “ปกติผมก็กินเยอะอยู่แล้ว”

     “งั้นก็ต้องกินให้เยอะมากขึ้น”

     “นี่มึงห่วงน้องเขาจริงๆ หรือหวังทำคะแนนวะ” พี่ทิวเอ่ยแซวอีกคน ดูจากคำพูดแล้วผมคิดว่าพวกพี่เขาน่าจะรู้เรื่องที่พี่องศากำลังจีบข้าวหอมแล้ว

     “เป็นห่วงจริงๆ ไม่ได้หวังอย่างอื่นเลย แต่ถ้าได้คะแนนด้วยก็จะดีใจมาก” ประโยคหลังพี่องศาหันมาส่งสายตาให้เพื่อนผม ข้าวหอมรีบเบือนหน้าหนี แต่ผมเห็นว่าข้าวหอมแอบทำแก้มพองลม

     ต่อให้ปากปฏิเสธยังไงแต่ในใจก็อดเขินไม่ได้สินะ แสดงว่าที่บอกว่าชอบพี่องศาคงไม่ใช่เรื่องโกหก

     “ไม่คิดจะทำให้พี่บ้างเหรอ”

     “ครับ?” ผมทำหน้าเหลอหลา พี่คลื่นที่นั่งตรงข้ามผมพยักพเยิดหน้าไปทางพี่องศากับข้าวหอม

     “องศายังดูแลข้าวหอมได้เลย แล้วเดือนไม่คิดจะดูแลพี่บ้างเหรอครับ”

     “พี่คลื่นหมายถึง...อยากให้ผมทำเหมือนพี่องศาเหรอครับ”

     “ไหนใครกันนะที่บอกให้พี่กินข้าวเยอะๆ จะได้หายไวๆ” พี่คลื่นไม่ยอมตอบคำถามตรงๆ เอาแต่เฉไฉไปพูดเรื่องอื่น “ตอนนี้พี่ดีขึ้นแล้วแต่ยังไม่หายสนิท เดือนดูแลพี่แล้วก็ต้องดูแลให้ตลอดสิครับ”

     พี่คลื่นไม่ได้พูดเสียงดังก็จริง แต่เพราะโต๊ะไม่ได้กว้างทำให้ทุกคนที่นั่งกินข้าวอยู่ได้ยินที่เราสองคนคุยกัน ฝนกับควีนหันมามองตาปริบๆ ส่วนพี่ยี่หวากับพี่ทิวก็เลิกแซวพี่องศาแล้วหันมาแซวพี่คลื่นแทน

     “ไข้หวัดสายพันธุ์อะไรวะ เป็นหนึ่งสัปดาห์แล้วยังไม่หายเลย”

     “อยากให้น้องเขาเอาใจก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเอาหวัดมาอ้างหรอก”

     จริงอยู่ที่หลายวันมานี้พี่คลื่นอาการดีขึ้นมาก แต่ทุกครั้งที่วิดีโอคอลกันพี่คลื่นมักจะบอกว่ายังไม่หายดี สงสัยจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ผมบอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป สุดท้ายเลยจบที่ผมต้องทำหน้าที่คุณหมอชั่วคราวคอยกำชับให้กินข้าวเยอะๆ และกินยาให้ตรงเวลาอยู่ทุกวัน

     “ตกลงมันยังไงกันแน่วะ ไหนพี่คลื่นบอกว่ามีคนในใจแล้วไง ทำไมถึงทำท่าเหมือนจีบไอ้เดือนอยู่เลย” ฝนกระซิบกับควีนสองคน

     “กูก็งงเหมือนมึงนั่นแหละค่ะ ตอนนี้หัวจะระเบิดอยู่แล้ว คู่นั้นก็ชวนงงคู่นี้ก็ชวนปวดหัว ไม่รู้จะช่วยใครก่อนดี”

     ผมตักทอดมันของตัวเองจะเอาไปใส่จานพี่คลื่น แต่คนตัวสูงกลับจับมือผมไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น

     “ไม่เอาตักให้ครับ อยากให้ป้อนมากกว่า”

     “ปะ...ป้อนเหรอครับ” ผมทวนคำพูดอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าพี่คลื่นจะขออะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น

     “นะครับ”

     สงสัยผมคงต้องพูดกับพี่คลื่นอย่างจริงจังแล้วว่าอย่ามองคนอื่นแบบนี้อีก พี่ควรเก็บสายตานี้ไว้มองคนที่พี่รักคนเดียวนะครับ...

     ผมค่อยๆ ยื่นช้อนไปตรงหน้า พยายามทำเหมือนไม่คิดอะไรทั้งที่ในใจกำลังเต้นโครมคราม พี่คลื่นยิ้มจนลักยิ้มโผล่ก่อนจะอ้าปากกินทอดมัน

     “หูยยยยย ไอ้คลื่นแม่งสุดยอดเลยว่ะ”

     “กูเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าไข้หวัดก็ทำให้เป็นง่อยได้”

     “หวานกันไม่เกรงใจสถานที่เลยนะมึง”

     เสียงแซวจากรอบโต๊ะทำให้ผมรีบชักมือกลับมา ขณะที่ผมทำหน้าไม่ถูก พี่คลื่นกลับเอาแต่ยิ้มสบายๆ เหมือนไม่คิดอะไรจนผมอดสงสัยไม่ได้

     ไม่คิดจะแก้ตัวเลยหรือไงวะ คนอื่นกำลังเข้าใจผิดว่าพี่กับผมสวีทกันอยู่นะ

     “อีควีน มึงอยู่กับไอ้ข้าวไปก่อน” ฝนพูดกับควีนพอให้ได้ยินสองคนก่อนจะหันมาสั่งผม “เดือน มากับกูหน่อย”

     “มึงจะไปไหน”

     “เถอะน่า ตามมาเงียบๆ ก็พอ” ฝนหันไปขอตัวกับคนอื่นก่อนจะจูงมือผมเดินออกมา ผมได้แต่เดินตามมันไปด้วยความงง





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 19 [26/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 26-08-2022 21:48:38
     “มึงมีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าให้กูฟังอีกหรือเปล่า” พอออกมาพ้นโรงอาหารแล้วฝนก็ยิงคำถามใส่ผมทันที

     “เรื่องอะไร”

     “ก็เรื่องของมึงกับพี่คลื่นไง”

     “กูก็เล่าให้ฟังไปหมดแล้วไง จะเอาอะไรอีก”

     ฝนยกมือมาลูบคาง เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “กูว่ามันแปลกๆ”

     “อะไรแปลกวะ”

     “ท่าทางที่พี่คลื่นมีต่อมึง ดูยังไงก็เหมือนเขากำลังจีบมึงไม่มีผิด”

     “มึงจะบ้าเหรอ เขาก็บอกอยู่ว่ามีคนที่รักแล้ว” พูดไปก็เจ็บไป ทำไมไอ้ฝนต้องให้ผมมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย

     “ก็นั่นแหละที่กูงงอยู่ตอนนี้ พี่คลื่นบอกว่ารักคนอื่น แต่การกระทำแม่งสวนทางกันชัดๆ”

     “มึงคิดมากเกินไปแล้ว พี่คลื่นคงเห็นว่าใกล้จะครบหนึ่งเดือนเลยอยากเซอร์วิสกูเป็นพิเศษก็ได้” ผมเองก็อยากให้สิ่งที่ฝนสงสัยเป็นจริงเหมือนกัน แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ ผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าคนที่พี่คลื่นรักคือผม

     “กูพูดตรงๆ นะเดือน ก่อนพี่คลื่นจะบอกว่ามีคนในใจแล้ว กูเคยคิดเล่นๆ ว่าเขาสร้างเกมวิดีโอคอลขึ้นมาเพื่อหลอกจีบมึง”

     “เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะมึงอ่ะ” ผมว่าฝนพร้อมกับดีดหน้าผากมันไปหนึ่งที ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงตอนอยู่ในค่ายอาสาพี่คลื่นต้องบอกรักผมแล้วสิ

     “เดือน”

     ผมหันไปมองคนที่เข้ามาทัก พี่เมศส่งยิ้มมาให้ผมกับฝน

     “สวัสดีครับพี่เมศ”

     “มาซื้อน้ำเหรอครับ” ฝนพาผมมายืนคุยกันบริเวณหน้าร้านขายน้ำ พี่เมศเลยเข้าใจว่าพวกผมมาซื้อน้ำ

     “ใช่ครับ” ผมยิ้มกลับไป “แล้วพี่เมศมาทำอะไรที่คณะผมเหรอครับ”

     “พี่แวะมาหาเพื่อนน่ะ คิดเล่นๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเจอเดือนหรือเปล่า ไม่คิดว่าจะได้เจอจริงๆ”

     “เหรอครับ” ผมรู้สึกว่าเสียงหัวเราะตัวเองฟังดูแห้งๆ ยังไงชอบกล “งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ”

     “อ้าว ไม่ซื้อน้ำแล้วเหรอ”

     “เอ่อ...พอดีผมให้เพื่อนยืนรออยู่น่ะครับ กลัวพวกมันรอนาน” ไม่รู้ว่าทำไม แต่พักหลังมานี้ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาอยู่ใกล้พี่เมศ ผมเลยคิดว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าทำตัวสนิทกันจะดีกว่า

     “เดี๋ยวครับ” พี่เมศเรียกผมไว้ตอนที่กำลังจะเดินกลับไปในโรงอาหาร “พี่มีเรื่องอยากคุยกับเดือนหน่อย สะดวกไหมครับ”

     “ตอนนี้เหรอครับ”

     “ใช่ครับ ที่จริงพี่อยากรอให้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่ถ้าไม่พูดตอนนี้พี่กลัวว่ามันจะสายเกินไป”

     ฝนทำหน้าตกใจ ขณะที่ผมทำหน้างงกับคำพูดของอีกฝ่าย “พี่เมศมีอะไรเหรอครับ”

     คนตรงหน้าขยับมาใกล้จนผมเผลอก้าวถอยหลัง สายตาที่พี่เมศมองมาดูจริงจังต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ

     “พี่ชอบเดือน”

     !!!!!!

     ตอนแรกผมนึกว่าพี่เมศจะคุยเรื่องเรียน เรื่องค่ายอาสา หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เราสองคนพอจะคุยกันได้ ไม่คิดเลยว่าพี่เมศจะคุยเรื่องความรัก และที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือพี่เมศจะบอกชอบผม ประโยคของคนตรงหน้าดังก้องอยู่ในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา ฝนที่ยืนฟังอยู่ด้วยกันเบิกตาโพลง พี่เมศดึงมือผมไปกุม ไม่สนใจคนรอบข้างที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

     “พี่รู้ว่ามันเร็วไปที่จะพูดคำนี้ แต่พี่มั่นใจว่าความรู้สึกนี้เป็นของจริงแน่นอน ถ้าพี่บอกว่าอยากจีบ...เดือนพอจะให้โอกาสพี่ได้ไหม”

     ผมไม่ตอบเพราะยังไม่หายตกใจ จนกระทั่งฝนใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ สติผมถึงได้กลับมา

     “พะ...พี่ชอบผมเหรอครับ”

     “พี่ชอบเดือนจริงๆ ครับ อาจจะตั้งแต่ตอนอยู่ในค่าย หรือไม่ก็ตอนที่พี่ให้ผ้าเช็ดหน้าเราในห้องน้ำ”

     “พี่จะบอกว่าชอบผมตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกเหรอครับ”

     “คงแบบนั้นครับ ตอนรู้ตัวพี่เองก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่ารักแรกพบจะมีอยู่จริงจนกระทั่งมาเจอกับตัวเอง”

     ยิ่งได้ฟังความรู้สึกของคนตรงหน้าผมก็ยิ่งตกใจ จู่ๆ อดีตเดือนมหา’ลัยก็มาบอกชอบท่ามกลางผู้คนมากมาย ใครไม่ตกใจก็แปลกแล้วครับ ผมลองนึกทบทวนการกระทำของพี่เมศที่ผ่านมา ก่อนจะพบว่าพี่เมศแสดงออกว่าชอบผมมาตลอด แต่ผมซื่อบื้อเกินไปเลยดูไม่ออกเท่านั้นเอง

     ไม่ใช่ว่าทั้งชีวิตไม่เคยมีคนมาบอกชอบ แต่ผมไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีพี่เมศด้วย นี่มันเกินความคาดหมายของผมไปมากจริงๆ

     “ว่าไงครับ ให้โอกาสพี่จีบเดือนได้ไหม” พี่เมศถามซ้ำเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร ผมหันไปหาฝนเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่มันกลับส่ายหน้าเบาๆ เหมือนอยากให้ผมตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

     ผมค่อยๆ ดึงมือออกมา เงยหน้ามองคนที่กำลังรอคำตอบ “ผมขอตัดสินใจก่อนได้ไหมครับ”

     “ได้ครับ พี่ไม่ได้จะเร่ง แค่อยากบอกความรู้สึกให้เดือนรับรู้เฉยๆ” พี่เมศยิ้มพลางเอื้อมมือมาลูบหัว เรายืนคุยกันอีกนิดหน่อยพี่เมศก็ขอตัวไปหาเพื่อน

     “มึง...โอเคป่ะวะ” ฝนจับมือผมไปเขย่า มันคงเห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดีเลยเป็นห่วง

     “มึงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหม เมื่อเช้าถึงได้ถามกูอย่างนั้น”

     “ไม่ใช่แค่กูหรอก ทุกคนเขาก็รู้กันหมดนั่นแหละ มีแต่มึงที่เอาแต่อ๊องไม่ได้รู้อะไรกับเขาเลย”

     ผมยกมือมากุมขมับ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน

     “มึงจะเอายังไงต่อ” ฝนถามผม

     “ไม่รู้ ตอนนี้กูไม่รู้อะไรเลย”

     “ไม่รู้ก็ยังไม่ต้องตอบ ค่อยๆ คิดไม่ต้องรีบ”

     “ฝน”

     “หือ?”

     “สมมตินะ ถ้ากูตัดใจจากพี่คลื่นแล้วหันไปหาพี่เมศแค่เพราะไม่อยากอกหัก กูจะดูเลวไหมวะ” ถึงแม้เมื่อเช้าผมจะตอบฝนไปอย่างนั้น แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ ผมก็เริ่มไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเอง

     “ไม่หรอก ทุกคนก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองทั้งนั้นแหละ มึงไม่ได้เลว มึงแค่รักตัวเอง การรักตัวเองไม่ผิดสักหน่อย แต่ถ้าจะทำแบบนั้นจริงๆ มึงต้องพูดกับพี่เมศให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นคนที่เจ็บจะไม่ได้มีแค่มึงคนเดียว”

     ฝนตบไหล่เบาๆ สองที ผมพยักหน้าให้มันก่อนที่เราสองคนจะเดินกลับไปในโรงอาหาร ถ้าให้อธิบายความรู้สึกผมตอนนี้ มันทั้งตกใจ ว้าวุ่น สับสน มองไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้เลย

     ผมควรทำยังไงดี...คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเลย



     ผมคว้าตุ๊กตาหมีบนหัวเตียงมากอด ซุกหน้าเข้ากับขนนุ่มๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจเบาๆ วันนี้ผมแทบไม่มีสมาธิกับการเรียนเลย ในหัวเอาแต่คิดเรื่องพี่คลื่นกับพี่เมศตลอดเวลา ถ้าพ่อแม่ผมรู้เข้าคงรีบหยิบไม้เรียวมาไล่ตีแทบไม่ทัน

     ฝนเล่าเรื่องพี่เมศให้ข้าวหอมกับควีนฟังแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทางตกใจ แค่แปลกใจนิดหน่อยที่พี่เมศบอกชอบผมเร็วขนาดนี้

     ผมยังชอบพี่คลื่นอยู่ ดีไม่ดีตอนนี้อาจจะพัฒนาไปถึงขั้นรักแล้วก็ได้ แต่เพราะผมรู้สึกกับพี่คลื่นมาก ความกลัวที่จะต้องอกหักเลยมีมากขึ้นตามไปด้วย มันก็เหมือนกับการปีนยอดเขา ยิ่งปีนขึ้นไปสูงเท่าไหร่ความกลัวว่าจะตกลงมาก็ยิ่งมีมากเท่านั้น และเพราะความกลัวนี้ผมเลยลังเลว่าควรซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองต่อไป หรือควรเปิดใจให้คนที่จะไม่มีวันทำให้ผมเสียใจดี

     จริงอยู่ที่ผมตั้งใจจะเลิกรักพี่คลื่นหลังเกมจบอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันมาไกลเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ง่ายๆ แต่จะให้ผมทิ้งโอกาสนี้ไปเลยก็กลัวจะดูใจร้ายกับตัวเองและพี่เมศเกินไป

     ผมเป็นแค่คนธรรมดาที่กลัวเจ็บเป็นและมีความขี้ขลาดอยู่ไม่น้อย ไม่ได้โลกสวยถึงขนาดจะมั่นคงกับรักข้างเดียวไปตลอด ผมพูดแบบนี้อาจจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างคนที่รักเรากับคนที่เรารัก หากไม่อยากเสียใจภายหลังใครๆ ก็ต้องเลือกคนที่รักเราอยู่แล้ว

     แต่ถ้าผมให้โอกาสพี่เมศ ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าเราสองคนจะไปกันรอด ผมไม่อยากให้ความหวังใครลมๆ แล้งๆ และยิ่งไปกว่านั้นผมไม่อยากดึงใครมาเจ็บแค่เพราะผมอยากเลิกรักใครสักคน

     โอ๊ยยยย ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด!!

     ระหว่างที่นอนคิ้วขมวดอยู่นั้นโทรศัพท์ข้างตัวก็สั่น ผมหยิบมาดูก่อนจะเม้มปากแน่น พี่คลื่นวิดีโอคอลมาหาเหมือนอย่างทุกคืน แต่คืนนี้ผมกลับไม่อยากรับสาย ผมกลัวว่าถ้าได้เห็นหน้าพี่คลื่นจะทำให้ตัดสินใจยากเข้าไปอีก

     “ครับพี่คลื่น” เกลียดตัวเองชะมัด ปากบอกไม่อยากรับแต่มือกดปุ่มสีเขียวไปแล้ว อะไรที่เกี่ยวกับพี่คลื่นผมปฏิเสธไม่ลงทุกที พี่คลื่นทำของใส่ผมหรือเปล่าวะ

     [เป็นอะไรครับ สีหน้าดูไม่ดีเลย]

     ผมลุกขึ้นนั่งให้เรียบร้อย หยิบตุ๊กตามากอดต่อพร้อมกับถือโทรศัพท์ให้อยู่ระดับเดียวกับใบหน้า “มีเรื่องเครียดนิดหน่อยน่ะครับ”

     [ใช่เรื่องเดียวกับเมื่อตอนกลางวันหรือเปล่า]

     “พี่รู้เหรอครับ” ผมถามกลับไปอย่างตกใจ อย่าบอกนะว่าตอนพี่เมศบอกชอบผมพี่คลื่นผ่านมาได้ยิน

     [ไม่ครับ พี่แค่เห็นว่าหลังกลับมากับน้องฝนเดือนก็เปลี่ยนไป เหมือนมีอะไรในใจตลอดเวลา]

     ผมลอบถอนหายใจนิดหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้พี่คลื่นรู้เรื่องนี้

     [อยากปรึกษาหรือระบายกับพี่ไหม]

     “ขอบคุณนะครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมเท่าไหร่” อันที่จริงต้องพูดว่าปรึกษาไม่ได้มากกว่า พี่คลื่นคงนึกไม่ถึงหรอกว่าผมกำลังเครียดเรื่องของเขาเอง “ห่วงแต่ผม แล้วพี่คลื่นล่ะครับเป็นไงบ้าง ยังปวดหัวหรือมีไข้อยู่ไหม” ผมชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศมาคุเกินไป

     [มีคนคอยบอกให้กินยาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่หายก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ] คนในสายพูดยิ้มๆ

     “ตอนกลางวันยังทำเหมือนไม่สบายอยู่เลย ตอนนี้หายดีแล้วเหรอครับ”

     [อันนั้นเขาเรียกอ้อนครับ ถ้าพี่ไม่ทำอย่างนั้นเดือนก็ไม่ป้อนพี่น่ะสิ]

     เห็นไหมครับ บอกแล้วว่าตอนอยู่กับพี่คลื่นผมมักจะลำบากกว่าเดิม ต้องคอยเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามหวั่นไหวไปกับคำพูดเขาเด็ดขาด...

     [เดือนจะไม่ปรึกษาพี่จริงๆ เหรอ]

     “ปรึกษาอะไรครับ”

     [เรื่องที่เดือนกำลังเครียดไง] พี่คลื่นวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง [พี่ไม่อยากเห็นเราทำหน้าเครียดแบบนี้เลย]

     “ผมขอเวลาหน่อยนะครับ ยังไม่อยากพูดถึงตอนนี้”

     เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรอีก พี่คลื่นนั่งมองหน้าผม ผมก็นั่งกอดตุ๊กตาหมีที่พี่คลื่นซื้อให้ ผ่านไปสักพักคนตัวสูงก็ลุกออกจากกล้องไป ผมเลยคิดเอาเองว่าเขาคงไปห้องน้ำ

     มีวูบหนึ่งที่ผมอยากบอกพี่คลื่นไปตรงๆ เหมือนกัน ให้ความสัมพันธ์ของเรายุติเพียงเท่านี้แล้วผมก็ไปเริ่มต้นใหม่กับพี่เมศ แต่พอคิดว่าผมจะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้คุย ไม่ได้บอกฝันดีพี่คลื่นอีก ผมก็รู้สึกกลัวจนไม่กล้าขึ้นมา พี่คลื่นคือคนสำคัญสำหรับผม ไม่ว่าปลายทางข้างหน้าจะเป็นยังไงผมก็ไม่อยากเสียพี่คลื่นไป...

     เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าพอเกมจบลงแล้วผมจะตัดใจจากพี่คลื่นได้จริงหรือเปล่า

     [หวัดดีครับ]

     ผมกะพริบตาปริบๆ มองตุ๊กตาหมีที่กำลังโบกมือในกล้องอย่างงุนงง เจ้าของตุ๊กตาที่หลบอยู่ข้างหลังขยับลำตัวกับแขนให้ดูเหมือนตุ๊กตามีชีวิตจริงๆ เสียงที่ปกติจะนุ่มทุ้มถูกบีบเล็กลงจนผมรู้สึกว่าน่ารักไปอีกแบบ

     [พี่คลื่นบอกว่าพี่เดือนมีเรื่องคิดมากอยู่แต่ไม่อยากปรึกษาเขา ถ้างั้นมาปรึกษาผมแทนได้นะครับ]

     จากที่ตั้งใจจะไม่หัวเราะ พอได้ยินแบบนั้นผมก็หลุดขำอย่างห้ามไม่อยู่

     “พี่คลื่นเล่นอะไรครับเนี่ย”

     [ผมไม่ใช่พี่คลื่น ผมคือน้องหมีต่างหาก]

     เอากับเขาสิครับ ทำอย่างกับกำลังปลอบเด็กอยู่งั้นแหละ

     [ผมเก่งนะ ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่องเลย ไม่เชื่อพี่เดือนลองปรึกษาผมสิ]

     “อืม...จะเชื่อดีไหมนะ น้องหมีเป็นที่ปรึกษาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมแกล้งทำเป็นลังเล ในเมื่อพี่คลื่นเล่นมาแบบนี้ผมก็ต้องเล่นกลับ ในใจเอาแต่คิดว่าพี่คลื่นน่ารักจนผมหุบยิ้มไม่ได้เลย

     [แน่นอนครับ ทั้งเก่งทั้งหล่อเลยจะบอกให้]

     “ถ้างั้นน้องหมีอยู่ฟังพี่เดือนหน่อยได้ไหมครับ พี่มีเรื่องอยากเล่าให้น้องหมีฟัง” พี่คลื่นอุตส่าห์ทำเพื่อผมขนาดนี้ ใครจะไปใจแข็งอยู่ได้ล่ะครับ แต่ไม่ต้องห่วง ผมไม่เล่าทั้งหมดหรอก ผมจะเล่าเฉพาะส่วนที่เล่าได้

     [ยินดีครับ ให้อยู่ฟังทั้งคืนน้องหมีก็อยู่ได้]

     ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มเล่า

     “พี่เดือนไปดูหนังเรื่องนึงมา นางเอกแอบหลงรักพระเอก แต่พระเอกมีคนในใจอยู่แล้ว นางเอกเลยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่บอกพระเอกมาตลอด” ผมเลือกที่จะเล่าให้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลไหม แต่ก็ยังดีกว่าให้บอกตรงๆ ว่าเป็นเรื่องของตัวเอง “หลังจากนั้นก็มีผู้ชายอีกคนมาสารภาพรักกับนางเอก เธอเลยเกิดความลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี”

     […]

     “นางเอกรักพระเอกมาก เธอไม่อยากเสียพระเอกไปเลยแม้แต่นิดเดียว...” เสียงของผมเริ่มสั่น แต่ผมก็ยังพยายามพูดต่อไป “แต่เพราะรักมาก นางเอกเลยกลัวว่าถ้าวันนึงพระเอกทิ้งตัวเองไปแล้วจะทนอยู่โดยไม่มีเขาได้หรือเปล่า”

     […]

     “นางเอกไม่เคยคิดจะนอกใจพระเอก แต่เพราะความกลัวเธอเลยเกิดความสับสนว่าควรจะเลือกอะไรดี ระหว่างคนที่เรารัก...หรือคนที่รักเรา”

     […]

     “ถ้าน้องหมีเป็นนางเอก น้องหมีจะเลือกใครครับ” ผมฝืนยิ้มให้ตุ๊กตาหมีตรงหน้า พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในคอ ผมรออยู่สักพักแต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมาให้ ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายกำลังคิดอยู่หรือรู้แล้วว่าผมเอาเรื่องตัวเองมาสมมติ ผมรอฟังด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ มือที่กอดตุ๊กตาอยู่กระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

     [ถ้าเป็นน้องหมีอาจจะตอบไม่ได้...] ในที่สุดคนในโทรศัพท์ก็ตอบกลับมาแล้ว แต่ขณะที่ผมงงกับคำตอบอยู่ ตุ๊กตาตรงหน้าก็ถูกยกออกไปพร้อมกับเสียงเล็กๆ ที่กลับมานุ่มทุ้มเหมือนเดิม [แต่พี่ตอบได้นะครับ]

     “พี่คลื่น!”

     [น้องหมีบอกว่าง่วงแล้วเลยให้พี่มาตอบแทน]

     ดูพูดเข้าสิครับ ผมไม่ใช่เด็กสามขวบนะจะได้เชื่ออะไรแบบนี้

     “ไหนน้องหมีบอกว่าอยู่ฟังได้ทั้งคืนไงครับ”

     [พี่ก็อยู่ฟังเดือนได้ทั้งคืนเหมือนกัน]

     เอาเถอะ ยังไงซะผมก็เล่าออกไปแล้ว จะพี่คลื่นหรือน้องหมีตอบก็ไม่ต่างกัน ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วผมก็มีแต่ต้องไปให้สุด

     [เดือนฟังดีๆ นะครับ พี่จะตอบแล้ว]

     “…ครับ”

     [พี่จะเลือกทำตามหัวใจตัวเอง พี่จะฟังแค่เสียงหัวใจตัวเองเท่านั้น ต่อให้เขาคนนั้นจะมีคนในใจอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาสองคนยังไม่ได้คบหรือแต่งงานกัน พี่จะทำทุกวิถีทางให้คนในใจของเขากลายเป็นพี่ให้ได้ พี่ไม่สนว่าจะเป็นคนที่รักเราหรือคนที่เรารัก เพราะสุดท้ายแล้วคนสองคนนี้ก็ต้องเป็นคนเดียวกันอยู่ดี]

     ขณะที่กำลังพูดพี่คลื่นสบตากับผมตลอด แววตาตรงหน้าดูมุ่งมั่น ราวกับพี่คลื่นไม่ได้พูดถึงนางเอกในเรื่อง แต่กำลังพูดความรู้สึกของตัวเองให้ผมฟัง...

     [พี่อาจจะดูมั่นใจในตัวเองสูง หัวรั้น ไม่ยอมคน แต่เพราะพี่รักเขามากเลยไม่อยากเสียเขาไป พี่จะไม่ยอมแพ้จนกว่าคำว่าไม่ชอบจะออกมาจากปากเขา ตราบใดที่เขายังไม่พูดคำนั้น พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เขารักพี่ให้ได้]

     คำพูดของพี่คลื่นเปรียบเสมือนสายลมที่พัดความลังเลในใจผมให้ลอยหายไปในพริบตา จากที่ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไร ตอนนี้ผมกลับได้คำตอบทุกอย่างเหมือนเอาเรื่องตัวเองมาปรึกษาจริงๆ ผมสบตาพี่คลื่นกลับไป ริมฝีปากยกยิ้มด้วยความโล่งใจ ทั้งที่พี่คลื่นไม่ได้ให้กำลังใจแม้แต่น้อย แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจมาแล้วเรียบร้อย

     “ผมก็คิดแบบนั้นครับ ผมเองก็ไม่อยากเสียคนที่ตัวเองรักไปเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ ผมคิดว่านางเอกคนนั้นได้คำตอบที่ต้องการแล้ว”

     ข้าวหอม ฝน ควีน กูขอโทษนะ แต่กูคงตัดใจจากพี่คลื่นอย่างที่บอกพวกมึงไว้ไม่ได้แล้ว

     ผมจะไม่ยอมแพ้คนในใจของพี่คลื่น ผมจะทำให้พี่คลื่นเปลี่ยนใจมารักผมให้ได้...





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.19 [26/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-08-2022 16:41:04
คือเนื้อเรื่องดีนะครับ  แต่ว่าเรื่องปากแข็งของตัวละคร มันดูน่าอึดอัดและน่ารำคาญเกินไปหน่อยนะครับ เอาแต่พอดีก็พอแล้วมั่งครับ
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.19 [26/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 27-08-2022 19:02:09
ปกติแหละนะ ถ้าคนที่มาบอกชอบเราเขาดูเกินเอื้อมมือมันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา o22
ส่วนพี่คลื่นเนี้ย ถ้าไม่รีบล่ะก็ เสร๊จพี่เมศแน่นวล o18
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.19 [26/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 28-08-2022 10:34:07
สนุกมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย วางไม่ลงจริงๆ
เรารู้สึกสงสัยน้องข้าวอ่ะ เข้าใจความรู้สึกน้องเลยอ่ะ
เอาใจช่วยให้น้องคลายปมออกมาได้นะ
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 20 [29/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 29-08-2022 17:54:46
ตอนที่ 20 : ใจตรงกัน





     “หา!!” ฝนกับควีนอุทานพร้อมกัน ผมเลยเอามือไปปิดปากพวกมันพลางหันไปรอบตัวว่ามีใครมองไหม

     “จะเสียงดังกันทำไม”

     “ก็ดูมึงพูดสิ ใครบ้างจะไม่ตกใจ”

     “ผีเข้าสิงมึงอยู่ใช่ไหม เอาไอ้เดือนคนอ๊องของกูคืนมานะอีผีบ้า”

     “ผีไม่ได้เข้าสิงกู แต่ถ้ามึงยังไม่หยุดพูดคำว่าอ๊อง กูนี่แหละจะเสกควายเข้าท้องมึง”

     “เดือนพูดจริงเหรอ” ข้าวหอมถามเหมือนไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ผมพูด

     “เราพูดจริงข้าว และจะทำจริงด้วย”

     “ทำไมจู่ๆ มึงถึงอยากจีบพี่คลื่นขึ้นมาวะ ไหนบอกว่าหลังเกมวิดีโอคอลจบแล้วจะตัดใจจากเขาไง” ฝนขมวดคิ้วมอง ควีนกับข้าวหอมก็ทำหน้าแบบเดียวกัน

     “กูรักพี่คลื่น”

     เพื่อนทั้งสามคนต่างเบิกตาโพลง ไม่รู้ว่าตกใจคำพูดหรือท่าทางจริงจังของผม

     “ตอนนั้นกูกำลังเสียศูนย์ พอรู้ว่าพี่คลื่นมีคนในใจแล้วกูเลยคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องตัดใจ แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ากูรักเขาเกินกว่าจะตัดใจได้ กูอยากเป็นคนในใจเขา กูไม่อยากยอมแพ้คนที่พี่คลื่นรักตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำอะไร”

     ทุกคำที่ผมบอกเพื่อนผมคิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว ผมรักพี่คลื่น...รักมากจนไม่อยากคิดว่าถ้าวันหนึ่งเขาไปคบกับคนอื่นแล้วผมจะเป็นยังไง ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่พี่คลื่นรักคือใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือความรู้สึกที่ผมมีให้พี่คลื่นไม่แพ้ใครแน่นอน

     “มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมเดือน”

     “อืม”

     ฝนทำหน้าปลื้มปริ่ม เอื้อมมือมาจับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ “ตั้งแต่คบกับมึงมากูไม่เคยภูมิใจในตัวมึงเท่านี้มาก่อนเลย”

     “ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนกู ไม่เสียแรงที่กูกับอีฝนเชียร์มานาน ลุยเลยมึง กูเอาใจช่วยเต็มที่ ใช้เสน่ห์กับความอ๊องของมึงพิชิตใจพี่คลื่นให้ได้”

     ผมว่าผมจะได้เสกควายเข้าท้องควีนจริงๆ ก็วันนี้แหละ เลิกว่าผมอ๊องสักวันมันจะตายหรือไง

     “ว่าแต่มึงจะทำยังไงวะ พรุ่งนี้ก็จะครบหนึ่งเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ” คำถามของฝนทำให้ใจที่กำลังฮึกเหิมกลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง

     “กูก็ไม่รู้ พี่คลื่นไม่เคยพูดเลยว่าถ้าเกมจบแล้วเขาจะเอายังไงต่อ”

     “แต่ถึงจะไม่ได้วิดีโอคอลด้วยกันมึงก็ยังไปมาหาสู่กับเขาได้ไม่ใช่เหรอ”

     “กูกลัวพี่คลื่นจะเอาเวลาไปให้คนที่เขารักหมดอ่ะดิ ที่ช่วงนี้เขาไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยคงเพราะกำลังเอนเตอร์เทนผู้ชนะเกมอย่างกูอยู่”

     “มึงอย่าเพิ่งคิดมากเกินไป ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมึงก็รีบทำคะแนนแซงหน้าไปเลย น้ำหยดลงหินทุกวัน เดี๋ยวหินก็ต้องใจอ่อนสักวันแหละ” ฝนตบไหล่ผมเบาๆ

     “แต่ก่อนจะไปสู้กับคนในใจของพี่คลื่น มึงไม่อยากรู้เหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

     “กูก็อยากรู้ แต่พี่คลื่นไม่บอกอะไรเลย จะให้กูถามออกไปตรงๆ ก็คงไม่เหมาะ”

     “ชักอยากเห็นขึ้นมาแล้วสิ ต้องน่ารักขนาดไหนวะถึงมัดใจพี่คลื่นได้”

     “อีควีน!” ฝนตีแขนเพื่อนเต็มแรง เหลือบมามองผมอย่างเป็นห่วง

     “ไม่เป็นไร กูไม่หวั่นไหวเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะน่ารักแค่ไหนกูก็จะไม่ยอมแพ้จนกว่าพี่คลื่นจะพูดออกมาเองว่าไม่ชอบกู”

     “มันต้องอย่างนี้สิคะ วันนี้มึงแกร่งถูกใจกูจริงๆ” ควีนมองผมอย่างภูมิใจเหมือนมันส่งลูกเรียนจบปริญญาเอกได้สำเร็จ

     พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้วิดีโอคอลกับพี่คลื่น ที่จริงผมอยากถามมานานแล้วว่าถ้าครบหนึ่งเดือนแล้วพี่คลื่นจะเอายังไงต่อ แต่ทุกครั้งที่จะถามผมก็เกิดกลัวคำตอบขึ้นมา เลยกลายเป็นว่าผมไม่เคยคุยเรื่องนี้กับเขาเลยทั้งที่เกมใกล้จะจบแล้ว

     เราสามคนคุยเรื่องพี่คลื่นต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ฝนจะสังเกตถึงความผิดปกติ ฝนบุ้ยปากให้ผมกับควีนหันไปมองข้าวหอมที่นั่งเงียบมาสักพักแล้ว สายตาข้าวหอมที่กำลังมองทางอื่นดูเหม่อลอย สีหน้าเหมือนมีเรื่องเครียดในใจ

     “ข้าว”

     “หือ?” คนถูกเรียกหันมามอง

     “มึงเป็นอะไรอ่ะ ทำหน้าน่ากลัวเชียว”

     “เปล่า ข้าวแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

     มองหน้าก็รู้แล้วว่าโกหก ตั้งแต่คบกันมาข้าวหอมไม่เคยปิดบังอะไรพวกผมได้หรอก ผมว่าถ้าข้าวหอมจะเครียดก็คงมีอยู่เรื่องเดียวแหละ

     “ว่าแต่พี่องศาจีบมึงไปถึงไหนแล้ววะ” ควีนพูดขึ้นมาเหมือนมันรู้ว่าข้าวหอมกำลังเครียดเรื่องนี้

     “ก็ไม่ถึงไหน ข้าวกับพี่องศาไม่มีอะไรทั้งนั้น”

     “กูว่าแล้วว่ามึงต้องตอบแบบนี้” ฝนถอนหายใจเล็กน้อย “ตกลงมึงจะไม่บอกพวกกูจริงเหรอว่าทำไมถึงไม่ให้พี่องศาจีบ มึงเองก็ชอบเขาไม่ใช่หรือไง”

     “ใช่ ข้าวชอบพี่องศา แต่แค่ชอบอย่างเดียวมันคบกันไม่ได้หรอก”

     “ทำไมวะ”

     พอมาถึงคำถามนี้ข้าวหอมก็เอาแต่เงียบเหมือนทุกครั้ง ผมเลยลองพูดหยั่งเชิงอีกเผื่อข้าวหอมจะหลุดปากออกมาบ้าง

     “ข้าวกลัวพี่องศาไม่จริงจังเหรอ” ผมหยุดพูดเพื่อรอดูปฏิกิริยา เมื่อเห็นข้าวหอมไม่แสดงอาการอะไรผมเลยพูดต่อ “พี่องศาอาจจะเคยเจ้าชู้ก็จริง แต่ตอนนี้เขาถึงขั้นไปขอร้องพ่อข้าวเพื่อจะมารับมาส่งข้าวเลยนะ ข้าวคิดว่าคนที่เกลียดการตื่นเช้าอย่างพี่องศาจะยอมทำขนาดนี้ทำไมถ้าไม่จริงจัง”

     “กูเห็นด้วยกับไอ้เดือนนะ มึงลองให้โอกาสพี่องศาหน่อยไหม อย่าเพิ่งด่วนตัดสินเขาเลย”

     ข้าวหอมไม่ตอบอะไร พวกผมสามคนเลยได้แต่ทำหน้าหนักใจ ดูท่าข้าวหอมคงไม่ยอมพูดความในใจง่ายๆ แล้วแบบนี้พวกผมจะช่วยยังไงดีล่ะเนี่ย

     “ไม่ว่ายังไงมึงก็จะไม่พูดใช่ไหม”

     ข้าวหอมเม้มปากแน่น ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ

     “โอเค กูยอมแพ้ ถ้ามึงไม่อยากพูดกูก็จะไม่เซ้าซี้ แต่มึงรู้ใช่ไหมว่าพวกกูรักมึง” ที่ฝนถามอย่างนี้คงเพราะมันเป็นห่วงข้าวหอมจริงๆ นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมคบฝนเป็นเพื่อนสนิท ถึงเวลาปกติมันจะปากหนักแถมยังชอบหยาบคายกับเพื่อน แต่ลึกลงไปนั้นฝนเป็นคนที่รักและแคร์เพื่อนมากๆ

     “อืม ข้าวรู้”

     “งั้นก็รู้ไว้ด้วยว่าที่กูถามบ่อยๆ เนี่ยเพราะเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าอยากเสือกเลย”

     “เหรอคะ” ควีนรีบสวนขึ้นมาเสียงสูง

     “เออ ก็อยากเสือกนิดนึง แต่หลักๆ คือกูไม่อยากให้มึงคิดมากอยู่คนเดียว กูอยากให้มึงมีความสุข อยากให้มึงได้ทำตามใจตัวเอง กูไม่รู้นะว่ามึงคิดมากเรื่องอะไร แต่สัญญาได้ไหมว่าถ้ามันเกินกำลังเมื่อไหร่มึงจะมาปรึกษาพวกกู”

     คราวนี้ข้าวหอมพยักหน้าเล็กน้อยแต่ใบหน้ายังไม่คลายกังวล ผมเลยส่งยิ้มปลอบใจไปให้ เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ข้าวหอมก็รับปากแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่พี่องศาแล้วล่ะว่าจะทำให้เพื่อนผมใจอ่อนได้เมื่อไหร่

     เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาเรียนแล้ว ควีนเลยชวนทุกคนขึ้นไปนั่งตากแอร์รออาจารย์บนห้องเรียน ข้าวหอมกับฝนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ผมกลับขอตัวแยกออกมา

     “มึงจะไปไหนวะเดือน”

     “ห้องน้ำ” ผมตอบเพื่อนสั้นๆ แล้วเดินออกมาทันที ห้องน้ำอยู่ทางซ้าย แต่ผมกลับเดินเลี้ยวไปทางขวา เพราะสถานที่ที่ผมจะไปจริงๆ คือคณะบริหารฯ

     ตอนนี้เรื่องข้าวหอมเอาไว้ทีหลัง ผมต้องจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ในเมื่อผมมั่นใจว่าจะรักพี่คลื่นต่อไป ผมก็ต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจน



     พี่เมศเป็นถึงอดีตเดือนมหา’ลัย คนส่วนใหญ่เลยรู้จักพี่เขากันหมด การจะให้เพื่อนที่อยู่คณะบริหารฯ ช่วยสืบตารางเรียนของพี่เมศให้จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น

     คนตัวสูงกำลังเดินลงมาจากตึกเรียน ผมที่นั่งรออยู่ใต้ตึกเลยเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า มองจากระยะไกลยังเห็นรังสีความหล่อแผ่ออกมาชัดเจนเลย พี่เมศกับพี่คลื่นนี่กินกันไม่ลงจริงๆ หล่อพอกันทั้งคู่

     “พี่เมศครับ”

     เจ้าของชื่อที่กำลังจะเดินผ่านไปหันมามอง ก่อนจะยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นผม

     “เดือนมาหาพี่เหรอครับ” พี่เมศย่างสามขุมเข้ามาหา ผมยืนขึ้นแล้วเงยหน้าสบตา

     “ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย พี่สะดวกหรือเปล่าครับ”

     “ได้สิ ถ้าเป็นเดือนพี่มีเวลาให้ทั้งวันเลย”

     พี่เมศพาผมเดินลัดเลาะมายังสวนที่อยู่ติดกับมหา’ลัย ที่จริงผมตั้งใจจะคุยกันใต้ตึกเลย แต่พอพี่เมศรู้ว่าผมจะคุยเรื่องอะไรเขาก็บอกว่าอยากเลือกสถานที่ให้เข้ากันหน่อย

     “วันนี้เดือนมีคำตอบให้พี่แล้วใช่ไหม” พอนั่งลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนแล้วพี่เมศก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเข้าประเด็นสำคัญทันที

     “อย่าคาดหวังมากนะครับ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่พี่อยากฟังก็ได้”

     “จะคำตอบแบบไหนพี่ก็รับได้หมดครับ”

     ผมยิ้มให้คนตรงหน้าเล็กน้อย ส่งคำขอโทษผ่านไปให้ทางสายตา “ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่พี่มีให้ผมนะครับ พี่เมศเป็นคนมีเสน่ห์ ใจดี ดูแลเอาใจใส่คนอื่นเก่ง”

     “ชมกันก่อนแบบนี้แปลว่ากำลังจะหักอกพี่สินะ” พี่เมศพูดยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทางเสียใจอย่างที่ผมกังวล

     “ผมชมเพราะอยากให้รู้ว่าพี่เมศไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พี่ดีกับผมทุกอย่าง แต่ผมผิดเองที่ตอบรับความรู้สึกของพี่ไม่ได้”

     “ที่บอกว่าตอบรับความรู้สึกของพี่ไม่ได้เพราะเดือนมีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม”

     คำถามของคนตรงหน้าทำให้ผมนิ่งงัน พี่เมศที่เห็นสีหน้าผมเปลี่ยนไปยิ้มมุมปากเล็กน้อย

     “พี่จีบคนมาเยอะ ทำไมจะไม่ดูไม่ออกล่ะว่าเดือนปฏิเสธพี่เพราะอะไร”

     “ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “ก็ไม่เชิงหรอก พี่แค่ถือแต้มเหนือกว่าเรานิดหน่อย”

     “ถือแต้ม?” ผมขมวดคิ้ว พี่เมศผ่อนลมหายใจเบาๆ แต่ยังคงยิ้มอยู่

     “พี่เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าแข่งจีบสาวกับคลื่นพี่คงชนะได้สบายๆ แต่กลายเป็นว่าพอมาแข่งจีบหนุ่มพี่กลับแพ้ราบคาบซะงั้น”

     “พี่เมศ...รู้เหรอครับว่าผมชอบพี่คลื่น”

     คนตัวสูงลุกขึ้นยืน เดินอ้อมมาฝั่งผมก่อนจะวางมือลงบนหัว “เดือนรู้ไหมว่าเวลาที่เดือนมองคลื่น สายตาเดือนมันฟ้องหมดเลยว่าชอบคลื่นมากแค่ไหน”

     ผมเงยหน้ามองพี่เมศอย่างตกใจ นี่ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลยสักนิด

     “แปลว่าพี่เมศรู้อยู่ก่อนแล้วเหรอครับว่าผมชอบพี่คลื่น”

     “ใช่”

     “แล้วทำไมพี่ถึง...” คำถามผมคงเดาง่ายไป พี่เมศเลยตอบกลับมาโดยไม่รอให้ผมพูดจบ

     “พี่รู้ว่ามันเป็นการหวังลมๆ แล้งๆ แต่พี่ก็อยากเดิมพันกับความหวังนั้น เผื่อเดือนเห็นความจริงใจของพี่แล้วจะใจอ่อน แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่หวัง”

     “ผมขอโทษครับ”

     “ขอโทษทำไม พี่สิต้องเป็นคนพูดคำนั้น กว่าจะมาพูดกับพี่ได้นี่คงลำบากใจไม่น้อยเลยใช่ไหม”

     ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ผมกลับรู้สึกว่าพี่เมศเป็นคนดีและอบอุ่นมากๆ ถ้าผมไม่ได้รักพี่คลื่นอยู่อาจจะให้โอกาสพี่เมศจีบไปแล้ว คนตัวสูงยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและดูเศร้าในเวลาเดียวกัน

     “แล้วยังไง เรากับคลื่นคบกันหรือยัง”

     “ยังครับ พี่คลื่นเขามีคนในใจอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะสู้คนๆ นั้นได้หรือเปล่า แต่ผมจะพยายาม”

     “หืม? คนในใจ? เดือนจะสู้คนในใจของคลื่นไปทำไม” พี่เมศทำหน้างง

     “ผมอยากให้พี่คลื่นเปลี่ยนใจมารักผมครับ”

     “เปลี่ยนใจ?” ยิ่งผมพูดพี่เมศยิ่งงงกว่าเดิม จนผมอดคิดไม่ได้ว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ผ่านไปสักพักคนที่ยืนอยู่ก็เผยยิ้มมุมปาก โยกหัวผมไปมาเบาๆ “อย่างนี้เองเหรอเนี่ย”

     “ครับ?” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายทำหน้างงบ้าง

     “คลื่นเอ๊ย ไม่รู้ตัวเลยสินะว่ามัวแต่ปากแข็งจนเรื่องเลยเถิดไปใหญ่แล้ว”

     “พี่เมศหมายถึงอะไรครับ”

     “เดี๋ยวเราก็รู้เอง พี่คิดว่าคลื่นมันน่าจะบอกเร็วๆ นี้แหละ” พี่เมศพูดจบก็ถอนมือออกไป “ขอบคุณนะครับที่มาบอกตรงๆ พี่เสียใจเหมือนกันนะ แต่มันโล่งมากกว่า เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกเลย”

     พี่เมศขอตัวไปเรียนต่อ ส่วนผมนั่งอยู่ที่เดิม ยังงงกับคำพูดของคนตัวสูงไม่หาย อะไรคือเลยเถิดไปกันใหญ่ แล้วพี่คลื่นจะบอกอะไรผม นี่ผมมาปฏิเสธพี่เมศหรือมาหาเรื่องให้ตัวเองปวดหัวกันแน่เนี่ย

     ระหว่างที่กำลังนั่งเครียดอยู่นั้นก็มีคนโทรมา พอกดรับสายเท่านั้นแหละหูผมแทบหนวก

     [ไอ้เดือน มึงตกส้วมตายไปแล้วเหรอ อาจารย์เขาจะเช็กชื่อแล้วนะ!]

     “เชี่ย!!” ผมรีบลุกขึ้นยืนเหมือนเป็นริดสีดวง สองขารีบจ้ำอ้าวไปตึกเรียนอย่างไม่คิดชีวิต “ไอ้ฝน ฝากเช็กชื่อให้กูด้วย!!”



     ผมบอกว่าจะจีบพี่คลื่นก็จริง แต่เพราะทั้งชีวิตไม่เคยจีบใครมาก่อน ผมเลยไม่รู้ว่าการจีบใครสักคนต้องทำยังไง บวกกับตอนนี้มีเรื่องอื่นให้คิด ผมเลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องจีบพี่คลื่นมากนัก

     “ไม่อร่อยเหรอครับ”

     ผมกะพริบตาปริบๆ มองข้าวแกงกะหรี่สลับกับคนตรงหน้า “อร่อยครับ”

     “ถ้าอร่อยแล้วทำไมไม่กินล่ะครับ เอาแต่มองพี่อยู่นานแล้ว” พี่คลื่นเอามือคลำไปทั่วหน้าตัวเอง “หรือหน้าพี่มีอะไรติดอยู่”

     “เปล่าครับ ผมแค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เลยเหม่อไปหน่อย”

     “บอกแล้วไงครับว่าเวลาอยู่กับพี่ห้ามคิดถึงคนอื่น”

     “ผมไม่ได้คิดถึงคนอื่นสักหน่อย” แค่กำลังคิดว่าทำไมพี่ดูปกติจัง ประโยคหลังผมพูดในใจนะครับ

     “ถ้างั้นก็รีบกินได้แล้วครับ จะได้ไปซื้อของกันต่อ” พี่คลื่นว่าจบก็ลงมือกินข้าวต่อ ผมเลยไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น

     วันนี้พี่คลื่นชวนผมมาเดินเที่ยวห้างหลังเลิกเรียน ผมยอมมาด้วยเพราะส่วนหนึ่งผมว่างอยู่แล้ว อีกส่วนคือผมคิดว่าพี่คลื่นจะมีเซอร์ไพรส์เนื่องในโอกาสที่เราสองคนเล่นเกมกันจะครบหนึ่งเดือนแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงพี่คลื่นกลับพาผมมากินข้าวเฉยๆ ผมที่ตั้งความหวังไว้เยอะเลยอดนอยด์ไม่ได้

     “พี่คลื่นครับ”

     “หืม?”

     “พี่ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเลยเหรอครับ” ผมลองพูดเกริ่นนำ เผื่อพี่คลื่นอยากพูดบางอย่างจริงๆ แต่ลืม

     “ไม่มีนะครับ” ท่าทางที่ตอบกลับมาทันทีทำให้ผมนอยด์หนักเข้าไปอีก “เดือนมีอะไรหรือเปล่า”

     “…เปล่าครับ ไม่มีอะไร พี่คลื่นกินต่อเถอะครับ”

     ข้าวแกงกะหรี่ของโปรดไร้รสชาติไปในพริบตา ยิ่งพี่คลื่นทำตัวปกติมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งกระวนกระวายมากเท่านั้น

     พรุ่งนี้ก็จะครบหนึ่งเดือนแล้วนะครับ พี่จะไม่พูดหรือทำอะไรเลยจริงๆ เหรอ

     “เดือนอิ่มแล้วเหรอ” ร่างสูงถามเมื่อเห็นผมวางช้อนลงบนจาน

     “อิ่มแล้วครับ”

     “งั้นคิดเงินเลยนะ”

     ผมพยักหน้าเล็กน้อย พยายามทำหน้านิ่งเข้าไว้ ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมกำลังไม่พอใจ

     ไหนบอกว่ามีความสุขที่ได้วิดีโอคอลกับผมไง แล้วทำไมพี่ดูไม่เสียใจเลยล่ะครับ





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 20 [29/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 29-08-2022 17:55:34
     [มึงก็เลยโทรมาหากูตอนสี่ทุ่มด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ]

     “ก็กูไม่รู้จะระบายกับใครแล้วอ่ะ ข้าวหอมนอนไปแล้ว ไอ้ควีนก็ไม่รับสาย เหลือแต่มึงที่กูพอจะพึ่งได้” ผมพูดอย่างเซ็งๆ กับคนในสาย ฝนถอนหายใจเสียงดังเหมือนตั้งใจให้ผมได้ยิน

     [แล้วมึงไม่คิดว่ากูจะนอนแล้วบ้างเหรอ]

     “ถ้ามึงไม่รับสายกูก็คงไม่ว่าอะไรหรอก แต่มึงดันรับสายไง มึงเลยต้องอยู่ฟังกูบ่น” ผมโยนความผิดให้เพื่อนหน้าตาเฉย เดาได้เลยว่าตอนนี้ไอ้ฝนคงกรอกตามองบนอยู่

     [แล้วทำไมถึงโทรมาหากูอ่ะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายไม่ใช่เหรอ กูนึกว่ามึงจะรีบชวนพี่คลื่นวิดีโอคอลตั้งแต่หกโมงเย็นซะอีก]

     “พี่คลื่นทำงานกลุ่มอยู่ แต่เขาบอกว่าจะรีบเคลียร์งานแล้วมาวิดีโอคอลให้ทัน”

     [ผัวมึงนี่ขยันดีเนอะ เกมจะจบอยู่แล้วยังห่วงงานมากกว่าผู้ชนะเกมตัวเองอีก]

     “นั่นน่ะสิ กูก็ไม่อยากงี่เง่าแบบนี้หรอก แต่พอเห็นพี่คลื่นทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรกูก็อดเสียใจไม่ได้” ผมพูดเสียงอ่อยอย่างน้อยใจ ก่อนจะรีบโพล่งขึ้นมาเมื่อรู้สึกตัว “เดี๋ยวก่อน พี่คลื่นไม่ใช่ผัวกูสักหน่อย!”

     [อีกหน่อยเดี๋ยวก็เป็น มึงบอกว่าจะจีบเขาไม่ใช่เหรอ]

     “มันก็ใช่ แต่กูยังไม่ได้เริ่มจีบเลย และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะจีบติดหรือเปล่า เพราะงั้นพี่คลื่นเลยยังไม่เป็นผัวกู”

     [นี่มึงยังไม่เริ่มจีบเขาอีกเหรอ]

     “เออ”

     [ทั้งที่เมื่อวานกับวันนี้มึงตัวติดกับเขาแทบจะตลอดเวลาเนี่ยนะ]

     “กะ...ก็กูกำลังน้อยใจเขาอ่ะ” ผมไม่ยอมพูดเหตุผลที่แท้จริงว่าจีบไม่เป็น กลัวไอ้ฝนจะเอามาล้อทีหลัง แต่ที่พูดไปนั่นก็ไม่ได้โกหก ผมน้อยใจพี่คลื่นจริงๆ เมื่อวานหลังจากมาส่งผมแล้วเราสองคนก็วิดีโอคอลกันจนถึงเที่ยงคืน แถมวันนี้ยังมานั่งกินข้าวกับผมทั้งตอนกลางวันและตอนเย็นอีก เพิ่งจะแยกกันก็ตอนที่พี่ทิวเรียกพี่คลื่นให้ไปช่วยงาน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันพี่คลื่นทำตัวปกติมาก ไม่พูดเรื่องเกมวิดีโอคอลแม้แต่นิดเดียว จากที่เมื่อวานแค่นอยด์นิดหน่อย ตอนนี้ผมเลยน้อยใจมากถึงขนาดต้องโทรไประบายกับเพื่อนสนิท

     [เดือน กูรู้นะว่ามึงอยากให้พี่เขามีท่าทางเสียใจบ้างที่จะไม่ได้วิดีโอคอลกับมึงอีกแล้ว แต่มึงอย่าลืมว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับมึง สิ่งที่มึงควรทำตอนนี้คือจีบเขาให้ติด ไม่ใช่มานั่งน้อยใจด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขืนมึงมัวชักช้าเดี๋ยวพี่คลื่นก็หันไปหา...]

     “เฮ้ยมึงๆๆ พี่คลื่นทักมาแล้ว” ผมรีบร้องบอกเพื่อนเมื่อเห็นข้อความในไลน์เด้งขึ้นมา “แค่นี้ก่อนนะ ขอบใจมากที่อยู่เป็นเพื่อน”

     [เดี๋ยวไอ้เดือน มึงคิดจะวางก็...]

     ผมวางสายฝนก่อนจะกดเข้าไปอ่านข้อความ พี่คลื่นทักมาถามว่าหลับหรือยัง ผมดีใจจนเนื้อแทบเต้นแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะยังน้อยใจอยู่ พอเห็นผมตอบแล้วพี่คลื่นก็วิดีโอคอลมาทันที ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักก่อนจะกดรับ ไม่อยากให้เขารู้ว่าผมตั้งหน้าตั้งตารอแค่ไหน

     “ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ” ผมถามเสียงเรียบ แต่ข้างในปั่นป่วนไม่หยุด

     [เสร็จแล้วครับ เพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อกี้เอง ยังไม่ได้อาบน้ำเลย กลัวเดือนหลับไปก่อนเลยรีบมา]

     “พี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ ผมไม่ว่าอะไร”

     [ไม่เอาครับ อยากคุยกับเราก่อน]

     “เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เล่นเกมด้วยกันสินะครับ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวพูดออกไปจนได้ ในเมื่อพี่คลื่นไม่ยอมพูดสักทีผมพูดเองเลยแล้วกัน

     [เปล่าครับ เพราะพี่คิดถึงเดือนจนรอไม่ไหวต่างหาก]

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่อย่างหนึ่งที่รู้คือมันต้องแดงมากแน่ๆ พี่คลื่นพูดประโยคเดียวความน้อยใจผมแทบจะหายไปหมดสิ้น ผมรีบตั้งสติ แอบตบแก้มตัวเองเบาๆ ไม่ให้หวั่นไหวไปกับคำพูดนั้น

     “เอ่อ...แล้ว...คืนนี้พี่จะทำอะไรบ้างเหรอครับ ไหนๆ เราก็จะวิดีโอคอลกันครั้งสุดท้ายทั้งที” ผมพยายามพูดให้ดูเหมือนไม่ได้คาดหวังอะไร

     [เดือนอยากรีเควสอะไรเป็นพิเศษไหมครับ อย่างเช่นให้พี่ร้องเพลงหรือเล่าเรื่องส่วนตัว]

     “แล้วแต่พี่คลื่นเลยครับ ผมได้หมด”

     [งั้น...] พี่คลื่นยิ้มแปลกๆ เหมือนมีเลศนัย [พี่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังแล้วกัน เรื่องนี้พี่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน เดือนเป็นคนแรกเลยนะครับที่จะได้ฟัง]

     ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าพี่คลื่นไม่ได้คิดอะไร แต่ผมก็อดรู้สึกดีกับคำพูดนั้นไม่ได้ ผมเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้ม ทำตัวนิ่งๆ ไว้ทั้งที่ในใจอยากฟังจะแย่แล้ว

     [เมื่อประมาณสองเดือนก่อนพี่ต้องไปทำธุระที่ตึกอักษรฯ พี่จำไม่ได้แล้วว่าธุระอะไร แต่จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงกลางวัน]

     “ตึกอักษรฯ เหรอครับ ก็คณะผมน่ะสิ” ผมแอบแปลกใจนิดหน่อย เห็นพี่คลื่นบอกว่าจะเล่าเรื่องส่วนตัวผมเลยนึกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติตัวเอง ความชอบ หรือวีรกรรมตอนเด็กอะไรทำนองนั้น

     [ใช่ครับ พอพี่ทำธุระเสร็จแล้วและเดินลงมาจากตึกก็เห็นรุ่นน้องปีสองกลุ่มนึงกำลังนั่งคุยกันอยู่ใต้ตึก]

     ผมฟังคนตัวสูงพลางคิดตามไปด้วย รุ่นน้องที่นั่งอยู่ใต้ตึกอักษรฯ ก็น่าจะเป็นนักศึกษาคณะอักษรฯ แถมยังอยู่ปีสองเหมือนผมด้วย ใครกันนะ อยากเห็นหน้าจังเผื่อผมรู้จัก

     [ตอนนั้นพี่ไม่ได้สนใจอะไร กำลังจะเดินผ่านไปเพราะมีนัดกับเพื่อนต่อ แต่พอผู้ชายหนึ่งในกลุ่มนั้นยิ้มขึ้นมา พี่ก็เผลอมองตาค้างจนเดินไปชนคนอื่น]

     พี่คลื่นความจำดีมาก นี่คือสิ่งที่ผมได้รู้ในวันนี้ เหตุการณ์ผ่านมาถึงสองเดือนแต่พี่เขายังจำรายละเอียดได้ขนาดนี้ ผมอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆ

     [พี่ชอบรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น มันเป็นรอยยิ้มที่พี่เห็นแค่แวบเดียวยังรู้เลยว่าเขายิ้มออกมาจากใจจริงๆ เวลาเขายิ้มมันดูสดใส ไม่มีพิษมีภัย เห็นแล้วก็อยากเห็นอีกเรื่อยๆ ถ้าจ้างเขามานั่งยิ้มให้มองได้พี่คงทำไปแล้ว นี่คือสิ่งที่พี่คิดตอนนั้น]

     เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมยิ่งฟังผมยิ่งรู้สึกแหม่งๆ อย่าบอกนะว่าพี่คลื่น...กำลังเล่าถึงคนที่ตัวเองรัก

     คนที่พี่คลื่นรัก!! คนนั้นเขาอยู่คณะเดียวกับผมเองเหรอเนี่ย มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายอีก นี่มันอะไรกัน!!

     ผมอยากจะถามออกไปแต่ก็ไม่กล้าพูดแทรก ได้แต่นั่งฟังคนในโทรศัพท์เล่าไปเรื่อยๆ เอาเถอะ รอให้พี่คลื่นเล่าจบแล้วค่อยถามก็ได้

     [หลังจากนั้นพี่ก็แวะไปตึกอักษรฯ อยู่บ่อยๆ ก็เจอเขาบ้างไม่เจอบ้าง บางวันไม่มีธุระก็ยังจะไป คิดแค่ว่าได้เห็นรอยยิ้มเขาก็คุ้มแล้ว จนวันนึงเพื่อนพี่เอาไอจีรุ่นน้องในมหา’ลัยที่กำลังเป็นกระแสมาให้ดู และก็เหมือนโลกกลมเพราะน้องคนนั้นคือเจ้าของรอยยิ้มที่พี่ตกหลุมรัก พี่เลยรู้ว่าเขาดังพอสมควร]

     ผมไม่น่าให้พี่คลื่นเล่าเรื่องส่วนตัวเลย รู้อยู่หรอกว่าพี่คลื่นมีคนในใจแล้ว แต่พอต้องมาฟังจากปากเจ้าตัวแบบนี้มันก็อดเสียใจไม่ได้ ยิ่งพี่คลื่นชมผู้ชายคนนั้นมากเท่าไหร่หัวใจผมยิ่งเหมือนถูกกรีดมากเท่านั้น ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาให้พี่คลื่นเล่าจบเร็วๆ

     [ยิ่งนานวันเข้าพี่ก็ยิ่งตกหลุมรักเขามากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ได้แต่แอบมองพี่ก็อยากทำมากกว่านั้น แต่จะให้เข้าไปจีบตรงๆ พี่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง พี่คิดอยู่หลายวันจนในที่สุดก็นึกวิธีที่จะได้ใกล้ชิดกับเขาออก]

     “วิธีอะไรเหรอครับ” ผมถามให้ดูเหมือนกำลังตั้งใจฟัง ทั้งที่ในใจแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

     [พี่คิดว่าถ้าได้เห็นเขายิ้มก่อนนอนทุกคืนคงจะดีไม่น้อย แล้วพอดีตอนนั้นไอจีพี่มีคนติดตามครบหนึ่งแสนคน พี่เลยคิดเกมสนุกๆ ขึ้นมาในไอจี เป็นเกมที่ผู้ชนะจะได้วิดีโอคอลกับพี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน]

     หืม???

     จากที่กำลังคิดว่าจะขอตัวไปนอนแล้วแอบไปร้องไห้ดีไหม ตอนนี้ผมถึงกับหูผึ่งเมื่อจู่ๆ คนตัวสูงก็พูดถึงเกมวิดีโอคอลขึ้นมา

     [พี่ประกาศไปว่าเกมนี้ถูกจัดขึ้นมาเพื่อขอบคุณทุกคนที่ติดตามพี่ แต่จุดประสงค์จริงๆ คือพี่อยากหาข้ออ้างที่จะได้วิดีโอคอลกับเขาคนนั้นทุกคืน]

     ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ผมเผลอกัดปากตัวเอง

     อย่าบอกนะว่าคนที่พี่คลื่นรักก็คือ...

     ไม่จริงใช่ไหม...เรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง...

     [พี่กดเข้าไปดูคอมเมนต์ทุกห้านาที เลื่อนขึ้นเลื่อนลงอยู่ทั้งวันเพราะหวังว่าเขาคนนั้นจะมาเล่นเกมของพี่ แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นเขามาคอมเมนต์เลย พี่เลยตั้งใจจะไปขอให้เพื่อนของเขาช่วยเกลี้ยกล่อม แต่ตอนนั้นเองพี่ก็เห็นคอมเมนต์ของใครบางคนเด้งขึ้นมา...เขาคนนั้นชมว่ารอยยิ้มของพี่ดูสดใส]

     ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอกลั้นหายใจตั้งแต่ตอนไหน ทุกคำพูดของพี่คลื่นทำให้ผมลุ้นได้ตลอดเหมือนกำลังดูการแข่งขันฟุตบอล พี่คลื่นหยุดพูดแค่นั้น เอาแต่มองยิ้มๆ จนผมทนไม่ไหวต้องถามออกไป ทั้งที่ความจริงแล้วพอจะเดาได้แต่ผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง

     “ละ...แล้วยังไงต่อครับ”

     ร่างสูงยื่นหน้ามาใกล้จนแทบจะเต็มจอ เสียงนุ่มทุ้มที่ออกมาจากโทรศัพท์เหมือนจะพาให้สติของผมหลุดลอยไป [พี่ให้เจ้าของคอมเมนต์นั้นเป็นผู้ชนะ...เพราะเขาคือคนที่พี่ตกหลุมรักไงครับ]

     “พี่คลื่น!!”

     คนในโทรศัพท์ประสานสายตากับผม ดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้แก้มของผมเห่อร้อนยิ่งกว่าเดิม [พี่รักเดือนนะครับ]

     ราวกับโลกใบนี้หยุดนิ่ง ราวกับสิ่งรอบข้างหยุดเคลื่อนไหว ผมไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่เสียงหายใจของตัวเอง สิ่งเดียวที่ผมได้ยินตอนนี้คือคำสารภาพรักของคนตรงหน้าที่ดังซ้ำไปซ้ำมาในหัว

     “คนที่พี่รัก...คือผมเองเหรอครับ” เสียงของผมแผ่วเบาเหมือนกระซิบ คนถูกถามพยักหน้าเล็กน้อย แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีจางๆ ไม่ต่างกับผม

     [เป็นไงครับ ชอบเรื่องที่พี่เล่าให้ฟังไหม]

     “นี่มันเรื่องจริงเหรอครับ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะเป็นแบบนี้ คือผม...คือมันแบบ...ผมคิดว่า...”

     [ใจเย็นๆ ครับเดือน ตั้งสติก่อน] พี่คลื่นพูดกลั้วหัวเราะ [ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ]

     “ก็แน่สิครับ! พี่คลื่นกำลังบอกรักผมเชียวนะ!!”

     [พี่ว่าพี่แสดงออกชัดเจนมาตลอดเลยนะ]

     “ก็ตอนที่ดูดาวด้วยกันพี่บอกว่ามีคนที่รักแล้ว”

     [คนๆ นั้นก็คือเดือนไงครับ]

     ผมขมวดคิ้วมุ่น พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัว “แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมตั้งแต่ตอนนั้นล่ะครับ ปล่อยให้ผมเข้าใจผิดว่าพี่รักคนอื่นอยู่ตั้งนาน”

     [พี่ไม่กล้าครับ] คนพูดค่อยๆ หุบยิ้ม ผมที่กำลังจะโวยวายเลยชะงักไป [พี่กลัวว่าถ้าบอกไปตั้งแต่ตอนนั้น เดือนอาจจะลำบากใจจนขอเลิกวิดีโอคอล พี่เลยอยากรอให้ครบหนึ่งเดือนก่อนแล้วค่อยบอก อย่างน้อยพี่จะได้มีความทรงจำว่าครั้งหนึ่งพี่ได้เห็นรอยยิ้มของเดือนก่อนนอนทุกคืน]

     ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย มันตื้นตันในอกจนพูดไม่ออก อยากลุกไปหยิบหนังสือมาตีหัวตัวเองตอนนี้ด้วยซ้ำ ผมจะได้แน่ใจว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน

     คนที่พี่คลื่นรักมาตลอดคือผมเองงั้นเหรอ แถมพี่คลื่นยังแอบรักผมมาตั้งสองเดือนอีก...

     [แต่ไม่ใช่ว่าพี่จะยอมแพ้นะครับ บอกแล้วไงว่าถ้าพี่รักใครแล้วพี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เขารักพี่ให้ได้ ถ้าหนึ่งเดือนยังจีบไม่ติดพี่ก็จะจีบไปเรื่อยๆ ต่อให้นานแค่ไหนพี่ก็จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจจนกว่าเขาคนนั้นจะรักพี่]

     กระบอกตาผมเริ่มร้อนผ่าว หลังสบตากับพี่คลื่นได้ไม่นานน้ำตาผมก็ไหลลงมา คนตัวสูงที่เห็นอย่างนั้นเลยรีบถามอย่างตกใจ

     [เดือน! ร้องไห้ทำไมครับ]

     ผมยกมือมาปาดน้ำตาลวกๆ แต่ยิ่งเช็ดเท่าไหร่มันก็ยิ่งไหลลงมาไม่หยุด

     [เดือนอึดอัดเหรอครับ พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เราลำบากใจเลย]

     “ที่พี่คลื่นบอกว่าขออนุญาตจีบ หมายถึงจะจีบผมใช่ไหมครับ”

     [เอ่อ...ใช่ครับ]

     “งั้นพี่ก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะลำบากใจหรอกครับ...” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งน้ำตา “เพราะพี่จีบสำเร็จแล้ว”

     [เดือน!] พี่คลื่นยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง [พูดจริงเหรอครับ]

     ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ ยกมือเช็ดน้ำตาไปด้วย “ไม่รู้เลยเหรอครับว่าพี่ทำให้ผมหวั่นไหวแค่ไหน”

     [ที่จริงก็พอดูออกครับ แต่พี่ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง เดือนเป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้]

     “งั้นหลังจากนี้ก็มั่นใจในตัวเองให้มากๆ นะครับ เพราะผมเองก็รักพี่คลื่นเหมือนกัน” น้ำตาผมจะไหลลงมาอีก แต่ผมกลั้นเอาไว้เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะอึดอัดหรือเสียใจ แต่ผมกำลังดีใจจนไม่รู้จะพูดออกมายังไงเท่านั้นเอง

     [อะไรนะครับ พี่ไม่ค่อยได้ยินเลย พูดอีกทีได้ไหม]

     ผมหลุดขำกับการแสดงของคนในกล้อง เอาปากไปใกล้จอโทรศัพท์ก่อนจะพูดช้าๆ ทว่าชัดเจนทุกคำ “ผมรักพี่คลื่นครับ”

     ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าระหว่างผมกับพี่คลื่นใครยิ้มกว้างกว่ากัน รู้แค่ว่ามันมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้เลย

     จากที่ตั้งใจจะจีบพี่คลื่น ตอนนี้ผมล้มเลิกความคิดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องจีบ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใจพี่คลื่นแล้ว เพราะคนที่อยู่ในใจพี่คลื่นคือผม...ไม่ใช่ใครอื่น

     [ขอบคุณนะครับเดือน ขอบคุณจริงๆ พี่ไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย]

     “ผมก็ขอบคุณเหมือนกันครับ ขอบคุณที่พี่รักผม” ผมพูดอย่างเขินๆ ก่อนจะถามเรื่องที่สงสัย “แล้วเรื่องเกมล่ะครับ พี่จะเอายังไงต่อ”

     [เราสองคนใจตรงกันขนาดนี้ คิดว่าพี่จะให้เกมจบลงจริงๆ เหรอ] พี่คลื่นพูดไปยิ้มไป [พี่ไม่ให้เราไปไหนหรอกนะ เดือนต้องยิ้มให้พี่มองทุกคืน ห้ามหนีพี่ไปยิ้มให้คนอื่นเข้าใจไหมครับ]

     แล้วคิดว่าผมจะไปไหนรอดเหรอ ไม่รู้ตัวหรือไงว่าผมหลงรักพี่จนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว

     ผมได้แต่พูดในใจคนเดียว ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ พี่คลื่นยกมือมาเท้าคาง มองมาด้วยสายตาที่ทำให้ผมแทบละลาย

     [เดือนรักพี่ พี่ก็รักเดือน ถ้างั้นเรา...เป็นแฟนกันนะครับ]

     คำพูดที่ตรงไปตรงมาทำให้ผมอยากหายตัวได้ขึ้นมาทันที พี่คลื่นไม่รู้เลยเหรอว่าการขอคนอื่นเป็นแฟนด้วยใบหน้าแบบนั้นมันอันตรายกับหัวใจของเขาแค่ไหน

     ผมยกสองแขนมาวางบนโต๊ะ ยื่นหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มไปใกล้ ก่อนจะตอบคำถามให้คนที่รอฟังอยู่ได้ยินชัดๆ

     “ไม่ครับ”





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.20 [29/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-08-2022 19:47:58
 :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.20 [29/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 29-08-2022 23:22:08
 :serius2:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 21 [31/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 31-08-2022 18:42:46
ตอนที่ 21 : ของแปลก





     -ข้าวหอม-


     “แล้วมึงก็ปฏิเสธเขาไปอ่ะนะ?” ฝนถามเดือนเสียงสูง ข้างๆ คือควีนที่กำลังเท้าเอวมองคนถูกถามตาเขียว

     “ก็กูอยากเอาคืนเขาอ่ะ” เดือนพูดไปดูดชานมไข่มุกไป ไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่ถ้าผมโดนฝนทำหน้าแบบนั้นใส่น่ะเหรอ คงอึกอักจนพูดไม่ออกไปนานแล้ว

     “พี่คลื่นก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าทำไมถึงบอกมึงไม่ได้ มึงจะงอนอะไรเขาอีก”

     “แล้วมึงจะโมโหทำไมเนี่ย กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

     “เดือน รู้ไหมว่าตอนนี้มึงเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุด มึงโดนเดือนมหา’ลัยอย่างพี่คลื่นขอเป็นแฟนทั้งที แต่มึงกลับปฏิเสธเขาหน้าตาเฉย มึงคิดว่าพวกกูจะไม่หงุดหงิดเหรอคะ” คราวนี้ควีนเป็นคนพูดแทนฝน ส่วนผมนั้นได้แต่ตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่า นั่งมองเพื่อนสนิทโต้วาทีกันอย่างไม่มีความคิดเห็น

     เมื่อเช้าเดือนมาเล่าให้พวกผมฟังว่าความจริงแล้วคนที่พี่คลื่นรักมาตลอดก็คือเดือน แต่เพราะเหตุผลบางอย่างพี่คลื่นเลยอยากเก็บไว้บอกวันสุดท้ายของการวิดีโอคอล เมื่อได้ยินดังนั้นฝนกับควีนก็กรี๊ดลั่นมหา’ลัยด้วยความดีใจที่เพื่อนสมหวังเสียที แต่พอเดือนบอกว่ายังไม่ตอบรับคำขอเป็นแฟนของพี่คลื่นเพราะอยากเอาคืนที่เขาทำให้เดือนคิดมากอยู่หลายวัน ฝนกับควีนเลยเอาแต่บ่นเดือนตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ที่พวกเรากำลังทานข้าวกลางวัน

     ผมเองก็คิดเหมือนฝนกับควีนว่าพี่คลื่นไม่ได้ผิดอะไร แต่ผมรู้ว่าเดือนไม่ได้โกรธพี่คลื่นจริงๆ แค่แกล้งพอหอมปากหอมคอเฉยๆ ผมเลยไม่ได้ว่าอะไร ต่างกับฝนกับควีนที่แทบจะกินหัวเดือนอยู่แล้ว

     “มึงไม่ต้องห่วง กูไม่ใจร้ายกับพี่คลื่นนานหรอก อย่าลืมสิว่ากูก็รักพี่คลื่นเหมือนกัน”

     “แล้วมึงคิดจะปฏิเสธไปถึงเมื่อไหร่”

     “จนกว่ากูจะพอใจล่ะมั้ง” เดือนยิ้มเหมือนกำลังสนุก ส่วนควีนกลอกตามองบน

     “เล่นตัวมากๆ ระวังเขาจะหนีไปหาคนอื่น”

     “นั่นปากเหรอไอ้ควีน ถ้าปากดีนักเดี๋ยวกูเรียกพี่ทิวมาปิดปากให้ดีไหม”

     “หืม? ทำไมต้องเป็นพี่ทิวอ่ะเดือน” ผมถามอย่างสงสัย

     “นั่นสิ พี่ทิวมาเกี่ยวอะไรด้วยวะ” ฝนก็สงสัยเหมือนกัน

     “อ้าว มึงยังไม่ได้เล่าให้ข้าวกับฝนฟังเหรอ” เดือนหันไปถามควีนที่จู่ๆ ก็หน้าซีดขึ้นมา ไม่รู้เป็นอะไร “ไม่เป็นไร กูเล่าเองก็ได้ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...”

     “ไอ้เดือน หยุด!”

     “เสียใจ มึงอยากแช่งให้พี่คลื่นนอกใจกูก่อนเอง ไอ้ฝน ถ้ามึงอยากฟังก็ล็อกตัวมันไว้” เดือนสั่งฝนพลางยิ้มชั่วร้าย ซึ่งฝนก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดีด้วยการล็อกแขนควีนทั้งสองข้างไว้แน่น

     “อีฝน ปล่อยกู ปล่อยยยย”

     “ขอโทษนะมึง แต่ความเสือกไม่เข้าใครออกใครจริงๆ อ่ะ มึงรีบเล่ามาเลยก่อนที่กูจะเอาอีควีนไม่อยู่”

     “ไอ้เดือน อย่าเล่า!” ควีนร้องห้ามเสียงดัง แต่รู้สึกเหมือนจะช้าไปแล้ว

     “เมื่อคืนก่อนที่กูจะโทรไปหามึง กูโทรหาไอ้ควีนก่อนแต่มันไม่รับ ตอนแรกกูนึกว่ามันนอนไปแล้ว แต่พอเมื่อเช้ากูลองถามเล่นๆ มันดันหลุดปากมาว่าคุยโทรศัพท์กับพี่ทิวอยู่เลยรับสายไม่ได้”

     ฝนอ้าปากตาโต หันมามองคนที่ตัวเองล็อกแขนไว้ “อีควีน มึงไปได้เบอร์พี่ทิวมายังไงคะ ตอบ”

     “กะ...กูไม่ได้ขอนะ เขาให้กูเอง”

     “พี่ทิวให้เบอร์มึงเอง!?” เดือนกับฝนพูดเสียงดังพร้อมกันจนผมสะดุ้งข้าวเกือบติดคอ

     “อือ เขาบอกว่าตอนเข้าค่ายเห็นกูทำอาหารอร่อย เลยอยากโทรมาขอสูตรอาหาร”

     “กูไม่เชื่อว่ามันจะมีแค่นี้ ไม่งั้นมึงจะปิดบังพวกกูทำไม” ฝนไล่จี้เมื่อควีนไม่พูดต่อ ควีนทำหน้าลังเล แต่พอโดนจ้องมากๆ ก็ยอมเล่าต่อในที่สุด

     “ตอนแรกก็คุยเรื่องสูตรอาหารกันอยู่หรอก แต่คุยไปคุยมาพี่ทิวก็ชวนคุยนอกเรื่อง จากที่คิดว่าไม่กี่นาทีเลยคุยกันเป็นชั่วโมง แล้วพอจะวางสาย…” ควีนหยุดเล่าไปดื้อๆ จนเดือนต้องถามออกมาเอง

     “จะวางสายแล้วทำไม รีบเล่าต่อเร็วๆ”

     “พะ...พอจะวางสายพี่ทิวก็ถามกูว่าขอโทรมาคุยแบบนี้ทุกวันได้ไหม เขาบอกว่าคุยกับกูแล้วสนุก”

     “กรี๊ด!!” เสียงแหลมๆ ของฝนทำให้ผมสะดุ้งอีกรอบ ฝนปล่อยมือจากแขนควีนแล้วยกมาปิดปากตัวเอง “อีควีนกำลังจะมีแฟน!!!”

     “ใครจะเป็นแฟนใครเหรอครับน้องฝน”

     “ก็อีควีนไงคะ มันกับพี่...ว้าย! พี่องศา” ฝนหยุดคำพูดไว้เมื่อหันไปเห็นว่าใครถาม “มะ...ไม่มีอะไรค่ะ ว่าแต่พี่องศามานี่ได้ไงคะ”

     “เดินมาครับ พี่มาเป็นเพื่อนไอ้คนที่กำลังโดนว่าที่แฟนงอน” พี่องศาพยักพเยิดหน้าไปทางพี่คลื่นที่นั่งลงข้างเดือนทันที มีการเอาหน้าไปซบไหล่ด้วย

     “เดือนครับ หายงอนพี่ยัง”

     “ใครงอนครับ ไม่มี”

     “ถ้าไม่ได้งอนแล้วทำไมถึงไม่ยอมเป็นแฟนกับพี่”

     “เอาคืนที่เมื่อวานพี่ทำตัวปกติเกินไปจนผมน้อยใจไงครับ”

     “ก็พี่ไม่อยากให้เดือนรู้นี่ครับว่าพี่กำลังตื่นเต้น” พี่คลื่นทำหน้ากระเง้ากระงอดแบบที่พวกผมไม่เคยเห็นมาก่อน “สรุปเดือนยอมรับแล้วใช่ไหมว่างอน”

     “ผมไม่ได้งอน”

     “เมื่อกี้เรายังพูดว่าน้อยใจอยู่เลย”

     “น้อยใจกับงอนมันคนละอย่างกันครับ”

     “เดือนนนน”

     “ถ้าอยากให้เลิกน้อยใจพี่คลื่นก็เอาใจผมให้มากๆ สิครับ”

     ผมมองภาพตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเช้าผมพูดแสดงความยินดีกับเดือนไปแล้ว และตอนนี้ผมก็อยากพูดมันอีกครั้ง ผมดีใจแทนเดือนจริงๆ ที่สมหวังกับพี่คลื่นในที่สุด

     “ยิ้มแบบนี้คืออยากมีแฟนเหมือนเพื่อนหรือไง” พี่องศาที่มานั่งข้างผมเมื่อไหร่ไม่รู้ถามขึ้นมา ผมรีบหุบยิ้มก่อนจะเบือนหน้าหนีทันที

     “เปล่าครับ”

     “อย่าปากแข็งสิครับ ถ้าข้าวอยากมีแฟนก็ไม่เห็นยากเลย แค่ยอมให้พี่จีบ รับรองไม่เกินสองวันข้าวจะได้แฟนสุดหล่อแน่นอน”

     “ผมไม่ได้อยากมีแฟน และผมก็พูดเรื่องนี้ไปแล้วครับ ผมไม่อยากพูดซ้ำ” ผมตอบคนตัวสูงเสียงเบาเพราะไม่อยากขัดคู่รักที่กำลังง้องอนกันอยู่

     “แต่พี่อยากพูดซ้ำ จะให้พูดบ่อยแค่ไหนก็ได้ พี่ยังยืนยันคำเดิมว่าจะจีบข้าว เหตุผลเดียวที่พี่จะหยุดจีบคือข้าวไม่ชอบพี่”

     “แปลว่าถ้าผมบอกว่าไม่ชอบพี่ก็จะหยุดใช่ไหมครับ” ผมหันไปสบตากับอีกฝ่าย ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ

     “ถ้าคิดจะพูดเพื่อให้พี่หยุดเฉยๆ ก็อย่าเลยครับ มันไม่ได้ผลหรอก”

     “เมื่อไหร่พี่จะเข้าใจสักทีครับว่าเราสองคนคบกันไม่ได้”

     “ข้าวก็บอกเหตุผลมาสิครับว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น” ร่างสูงเคลื่อนตัวมาใกล้ ผมจะถอยหนีก็ไม่ได้เพราะนั่งอยู่ริมโต๊ะ “หรือข้าวไม่มั่นใจในตัวพี่”

     ผมเม้มปากแน่น หลุบตามองตักตัวเอง พี่องศาที่เห็นผมไม่ตอบเลยพูดขึ้นมาอีก

     “ตั้งแต่พี่รู้ใจตัวเองว่าชอบข้าวพี่ก็ไม่เคยมองคนอื่นอีกเลย พี่ตามดูแลเช้ากลางวันเย็น ไปรับไปส่งข้าวทุกวัน พี่เอาใจใส่ขนาดนี้ข้าวยังไม่ไว้ใจพี่อีกเหรอครับ”

     “ผม...ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ในที่สุดผมก็ต้องพูดออกไป ขืนยังเงียบต่อไปผมกลัวว่าพี่องศาจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ผมแอบชอบพี่องศามานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ถึงที่ผ่านมาจะมีผู้หญิงไม่ห่างกาย แต่พี่องศาก็ไม่เคยคบซ้อน เขาให้เกียรติผู้หญิงทุกคนที่เขาคุยด้วย

     “ถ้างั้นข้าวหมายถึงเรื่องอะไรครับ”

     “เรื่องที่ผมไม่อยากบอกให้ใครรู้ครับ”

     พี่องศาทำหน้างง แต่ผมไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติม เลยหันไปหาฝนกับควีนที่กำลังแซวเดือนอย่างสนุกสนาน

     “ข้าวไปร้านถ่ายเอกสารก่อนนะ”

     “ไปทำไมวะ”

     “เมื่อเช้าข้าวลืมชีทไว้ที่นั่นน่ะ ไปไม่นานหรอก เดี๋ยวมานะ” ผมพูดจบก็ลุกเดินออกมาทันที พี่องศามองมาไม่วางตา แต่ไม่ได้เดินตามมาด้วย

     ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่เพื่อนสนิทก็เช่นกัน ผมไม่อยากให้ใครมาเห็นความอ่อนแอในตัวผม...



     “ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้ป้าร้านถ่ายเอกสาร รับชีทเรียนมาถือไว้ก่อนจะหันตัวเดินกลับโรงอาหาร แต่พอเห็นทางเดินที่คับแน่นไปด้วยผู้คน ผมเลยอ้อมไปอีกทางที่มีคนน้อยกว่า

     เมื่อเช้าผมเอาชีทเรียนมาถ่ายเอกสาร แต่เพราะรีบไปหน่อยเลยลืมต้นฉบับไว้ที่ร้าน ผมมานึกขึ้นได้ตอนคุยกับพี่องศา ตอนนั้นผมคิดหาเหตุผลที่จะปลีกตัวออกมาอยู่พอดี

     โรงอาหารคณะผมจะมีทางเข้าอยู่สองทางคือด้านหน้ากับด้านหลัง ทางที่ผมกำลังเดินอยู่เป็นด้านหลังโรงอาหาร บริเวณนี้ไม่ค่อยมีร้านขายอาหาร คนส่วนใหญ่เลยมักจะไปเข้าด้านหน้ามากกว่า

     ระหว่างที่เดินทอดน่องผมก็หวนคิดถึงคำพูดของพี่องศา จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่องศาจะชอบผมจริงๆ ผมพยายามหาเหตุผลมารองรับว่าทำไมเขาถึงชอบผม แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที ไม่เข้าใจเลยว่าคนอย่างผมมีอะไรดีด้วยเหรอพี่องศาถึงอยากจีบขนาดนี้

     ที่ผมไม่ยอมให้พี่องศาจีบทั้งที่ผมเองก็มีใจให้เขา ไม่ใช่ว่าผมอยากเล่นตัว เพียงแต่ผมแค่ไม่กล้าหวังอะไรที่เกินตัว ยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูงเท่าไหร่ตอนตกลงมาก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น ผมเจ็บมามากพอแล้ว ดังนั้นเพื่อไม่ให้เจ็บไปมากกว่านี้ผมจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

     ตอนที่เดือนเข้าใจผิดเรื่องพี่คลื่น เดือนบอกว่าจะจีบพี่คลื่นให้ได้ ผมฟังแล้วก็รู้สึกอิจฉาเพื่อนขึ้นมา ถ้าผมมีความกล้าได้อย่างเดือนก็คงดีสิ...ผมจะได้ก้าวข้ามความกลัวของตัวเองไปเสียที

     “โอ๊ะ!”

     ไม่รู้ว่าเพราะผมเหม่อเกินไปหรือคู่กรณีเดินไม่ดูทาง จู่ๆ ผมก็ชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งจนชีทเรียนกระจัดกระจายเต็มพื้น ผมรีบตามไปเก็บก่อนที่มันจะโดนลมพัดไป ปากก็พร่ำขอโทษไว้ก่อนทั้งที่ไม่รู้ว่าใครผิด

     “ขอโทษนะครับ”

     ผมนั่งยองๆ ทยอยเก็บชีทบนพื้นจนเหลือแค่แผ่นเดียว แต่พอกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น

     !!!!!!

     ผมได้แต่นิ่งงันอย่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ผู้หญิงที่เดินชนผมกำลังเอาเท้าเหยียบชีทเรียนจนกระดาษเต็มไปด้วยรอยรองเท้า พอเงยหน้าไปมองก็เจอเข้ากับสายตาเย้ยหยันที่มองมา และไม่ใช่แค่คนเดียว นอกจากคนที่ชนผมแล้วยังมีผู้หญิงอีกสองคนยืนข้างกันและกำลังทำหน้าแบบเดียวกัน

     “อุ๊ยตาย ขอโทษนะ ตั้งใจจะช่วยเก็บแต่เผลอเหยียบซะก่อน” น้ำเสียงและท่าทางตรงหน้าทำให้ผมรู้ว่าคนพูดกำลังแสดงละคร ขณะที่ปากขอโทษผมแต่ใบหน้ายังคงเหยียดยิ้ม ผมยืนขึ้นเต็มความสูง ผ่อนลมหายใจเบาๆ เพื่อระงับความรู้สึกภายในอก

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมพูดจบก็เดินเลี่ยงออกมา ทิ้งชีทเรียนให้อยู่ใต้เท้าของผู้หญิงคนนั้นต่อไป โชคดีที่ชีทแผ่นนั้นไม่ได้สำคัญอะไร เอาไว้ผมไปถ่ายเอกสารเพิ่มทีหลังก็ได้

     “จะรีบไปไหนล่ะน้อง ไม่อยากได้ชีทคืนเหรอ” ผู้หญิงอีกสองคนเดินมาล้อมหน้าล้อมหลังผมไว้ ก่อนที่ผู้หญิงคนแรกจะหยิบชีทที่มีรอยเปื้อนขึ้นมาโชว์ ฟังจากสรรพนามที่ใช้เรียกแล้วผมเลยคิดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ต่างกับในใจที่กำลังโอดครวญด้วยความเบื่อหน่าย

     อีกแล้วเหรอ

     “เป็นใบ้หรือไง รุ่นพี่ถามไม่ยอมตอบ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย” หลังจากพูดจาถากถางผมแล้วรุ่นพี่คนนั้นก็ขยำชีทเรียนเป็นก้อนกลมๆ แล้วโยนมาให้ ก้อนกระดาษลอยมากระทบอกผมเบาๆ ก่อนที่มันจะหล่นลงพื้น แต่ผมไม่คิดจะชายตามองหรือเก็บมันขึ้นมา

     “พี่ต้องการอะไรครับ” ผมถามทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนหาเรื่อง ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้สาเหตุมักจะไม่พ้นเรื่องที่ผมหน้าตาขี้เหร่แต่ดันมีเพื่อนสนิทเป็นถึงคนดังของมหา’ลัย...ใช่แล้วครับ ผมกำลังหมายถึงเดือน

     เจ้าตัวอาจจะไม่รู้หรือไม่ได้สนใจ แต่ความจริงแล้วเดือนมีชื่อเสียงในมหา’ลัยอยู่ไม่น้อย พอเดือนเริ่มดังขึ้นพวกผมเลยมีคนรู้จักตามไปด้วย และนั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงโดนหาเรื่องบ่อยๆ

     เพราะผมไม่น่ารักเหมือนเดือน คนส่วนใหญ่เลยพากันตัดสินว่าผมไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนของเดือน

     “อืม...นั่นสินะ อีส้ม ต้องการอะไรดีวะ” คนตรงหน้าหันไปถามเพื่อนตัวเองเหมือนตั้งใจจะยั่วโมโห ส่วนคนถูกถามก็รับมุกด้วยการตอบกลับมาพร้อมกับแสยะยิ้ม

     “ต้องการให้น้องอยู่ห่างจากองศา น้องทำให้พี่ได้ป่ะล่ะ”

     คำตอบของคนที่ชื่อส้มทำให้ผมแปลกใจ ผมนึกว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องเดือนมาหาเรื่องเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นเรื่องพี่องศาแทน

     “คงมีความสุขมากสินะที่มีผู้ชายหล่อๆ เดินตามทั้งวัน แถมยังได้นั่งรถเขามามหา’ลัยทุกวันอีก แต่ขอโทษนะคะ หน้าตาแบบน้องเนี่ยไม่รู้เหรอว่าไม่เหมาะจะเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ใครทั้งนั้น ดันทุรังคบเพื่อนคนละระดับกับตัวเองแล้วยังคิดจะจับผู้ชายที่อยู่สูงเกินเอื้อมอีก”

     ถ้อยคำทำร้ายจิตใจถูกพ่นออกมาจากปากสีสวยคู่นั้น คนตรงหน้าพูดราวกับผมเป็นสิ่งของที่ไม่มีความรู้สึก ผมยืนนิ่ง ไม่ตอบโต้หรือแสดงความโกรธออกไป ไม่ใช่ว่าผมไม่สู้คน แต่ผมสู้มาจนเหนื่อยแล้วต่างหาก

     ผู้หญิงที่ชนผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากยิ้มกว้างเหมือนหวังดี แต่แววตากำลังเชือดเฉือนผม “จำใส่กะลาหัวไว้ด้วยว่าองศาเขาชอบผู้หญิงน่ารักๆ ไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาหมาไม่แดกอย่างน้อง”

     น่าแปลกที่โดนว่าขนาดนี้แต่ผมกลับไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองเข้มแข็งเกินไปหรือเพราะโดนว่าบ่อยๆ จนหัวใจมันด้านชาไปหมดแล้ว

     “ทำอะไรกัน!”

     เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่แขนของใครบางคนจะมาพาดบนไหล่ของผม พี่องศารั้งผมไปชิดตัวเอง จ้องมองผู้หญิงทั้งสามคนอย่างหาเรื่อง

     “เมย์แค่จะช่วยน้องเขาเก็บชีทเรียน องศาอย่าเพิ่งดุสิ” คนที่ผมเพิ่งรู้จักชื่อยิ้มบางๆ ให้คนที่ยืนอยู่ข้างผม แต่เหมือนพี่องศาจะไม่เชื่อคำพูดนั้น เพราะพอเขาเหลือบไปเห็นก้อนกระดาษบนพื้น ดวงตาก็ฉายความโกรธชัดยิ่งกว่าเดิม

     “ด้วยการขยำชีทเขาแบบนี้น่ะเหรอ”

     “ก็เมย์เผลอเหยียบไปแล้ว จะให้เอาไปใช้ต่อก็คงไม่เหมาะ เมย์เลยขยำเป็นก้อนให้น้องเขาเอาไปทิ้งสะดวกไง”

     “อย่ามัวแต่เล่นลิ้นอยู่เลยเมย์ บอกมาเถอะว่ากำลังทำอะไรข้าวหอม”

     พี่เมย์ชักสีหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะรีบยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนเดิม “เมย์เห็นว่าช่วงนี้องศาอยู่กับเด็กคนนี้บ่อย เลยอยากมาเตือนน้องเขาให้ทำใจรอไว้เฉยๆ”

     “หมายความว่ายังไง” พี่องศาทำหน้างง

     “เมย์รู้นะว่าองศาแค่อยากลองของแปลก ไม่ได้คิดจริงจังกับน้องเขา ก็องศาชอบคนน่ารักๆ ไม่ใช่เหรอ เด็กคนนี้ไม่ตรงสเป็กองศาเลยสักนิด”

     “เมย์อย่าพูดแบบนี้ ถ้าไม่รู้อะไรจริงก็เงียบไว้ดีกว่า” วงแขนที่โอบไหล่ผมอยู่กระชับแน่นขึ้น ผมหันไปมองคนข้างตัวที่พูดเหมือนกำลังปกป้องผม

     “ทำไมเมย์จะไม่รู้ ไม่ใช่แค่เมย์นะ ทุกคนในมหา’ลัยเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าน้องคนนี้ไม่มีอะไรดีสักอย่าง หน้าตาก็น่ารักสู้เพื่อนตัวเองไม่ได้ยังหวังสูงจะเอาผู้ชายหล่อรวยมาทำผัวอีก”

     “เมย์!” พี่องศาตวาดเสียงลั่น พาให้คนที่อยู่แถวนี้หันมามอง

     “องศาอย่ามาว่าเมย์เลย ถามน้องเขาเองเถอะว่าที่ผ่านมาโดนอะไรมาบ้าง ถ้าเลือกคบเพื่อนให้เข้ากับหนังหน้าตัวเองสักนิดก็คงไม่โดนคนค่อนมหา’ลัยแอนตี้ขนาดนี้หรอก”

     พี่องศาที่กำลังจะเถียงกลับชะงักไปเล็กน้อย แววตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงหันมามองผม

     “เมย์ไปก่อนนะ องศาก็รีบเบื่อของเล่นชิ้นใหม่เร็วๆ ล่ะ ถึงจะขี้เหร่แค่ไหนแต่ก็มีหัวใจ เมย์กลัวน้องเขาจะเสียใจจนเผลอคิดสั้นไปซะก่อน”

     พี่เมย์พูดจบก็พาเพื่อนตัวเองเดินจากไป ปล่อยให้ผมอยู่กับพี่องศาสองคน ผมหยิบก้อนกระดาษขึ้นมาเพื่อจะเอาไปทิ้ง แต่ยังไม่ทันเดินไปหาถังขยะพี่องศาก็ลากแขนผมไปอีกทางซะก่อน

     “พี่จะพาผมไปไหนครับ”

     ไม่มีคำตอบกลับมา มีเพียงใบหน้าบึ้งตึงถูกส่งมาให้ ผมพยายามดึงมือออกแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้เลยจำต้องเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก พี่องศาพาผมมาด้านหลังตึกเรียนที่ผมไม่เคยมา พอเห็นว่าแถวนี้ไม่มีใครคนตัวสูงจึงปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ

     “โดนแบบนี้กี่ครั้งแล้ว”

     “ครับ?” ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจคำถามของอีกคน

     “พี่ถามว่าโดนหาเรื่องแบบนี้กี่ครั้งแล้ว”

     “พี่จะถามทำไม”

     “พี่ให้ตอบครับ ไม่ได้ให้ถามกลับ”

     ผมไม่อยากตอบเลยสักนิด แต่เพราะสายตาดุดันที่มองมาผมเลยต้องตอบอย่างช่วยไม่ได้ “...ไม่รู้ครับ ไม่ได้นับ”

     “ไม่ได้นับ? แปลว่าบ่อยมากเลยเหรอ”

     “ครับ”

     พี่องศาผงะไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น สายตาของเราสองคนประสานกัน ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วคราว

     “พี่ไม่ต้องสงสารหรือเห็นใจผมหรอกครับ เพราะที่พี่เมย์พูดมันเป็นความจริงทั้งนั้น” ผมรีบพูดดักไว้เมื่อเห็นพี่องศาอ้าปากจะพูดอะไร ผมไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร เพราะมันทำให้ผมสมเพชตัวเองยิ่งกว่าเดิม

     “ที่เมย์บอกว่าให้เลือกคบเพื่อน อย่าบอกนะว่าหมายถึงน้องเดือน”

     “ใช่ครับ” ไหนๆ พี่องศาก็ได้ยินหมดแล้ว ผมเลยไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

     “ถ้างั้นก็หมายความว่าข้าว...”

     “ผมโดนด่าว่าไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนเดือนมาหลายครั้งแล้ว เหตุผลคือผมไม่น่ารักเท่าเดือน” ผมพูดออกไปด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้สั่น “นี่ใช่ไหมครับคือคำตอบที่พี่ต้องการ ถ้าได้คำตอบแล้วผมขอตัวนะครับ”

     ที่ผมไม่บอกเรื่องนี้กับเพื่อนสนิทเพราะผมไม่อยากให้เดือนคิดมาก ตอนแรกผมสู้กลับทุกคน ไม่เคยเก็บคำพูดแย่ๆ มาคิดแง่ลบกับตัวเอง แต่พอโดนหลายครั้งเข้าผมก็เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับเดือน และมันก็ทำให้รู้ว่าผมไม่น่ารักเท่าเดือนจริงๆ

     เดือนเป็นคนที่มีรอยยิ้มสวย ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนเห็นต่างก็ต้องตกหลุมรัก ส่วนตัวผมนั้นไม่มีอะไรดีเลย เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีค่าพอให้ใครมาสนใจ

     ถึงแม้จะรู้ถึงความจริงเรื่องนี้ ผมกับเดือนก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม ผมไม่เคยคิดร้ายกับเดือน ไม่เคยอิจฉาเดือนสักครั้ง เดือนยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม เพียงแต่ผมต้องยอมรับว่าผมไม่ได้หน้าตาดีเหมือนเดือนอย่างที่ทุกคนพูด

     ผมกำลังจะเดินไปโรงอาหาร แต่ข้อมือผมก็ถูกจับไว้อีกครั้ง ผมเลยต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนตัวสูงที่มองมานิ่งๆ

     “เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ข้าวถึงเอาแต่บอกว่าเราสองคนไม่เหมาะสมกัน”

     ผมเผลอกัดปากตัวเองเมื่อถูกแทงใจดำ สายตาของพี่องศาราวกับอ่านความคิดผมได้ทะลุปรุโปร่ง สายตานั้นมันอันตรายเกินไปจนผมต้องเบือนหน้าหนี

     “ผมไม่น่ารักเหมือนเดือน ขืนคบกันจริงๆ ดีไม่ดีพี่จะโดนสังคมแอนตี้ด้วย ปล่อยให้ของแปลกอย่างผมถูกด่าทอคนเดียวก็พอแล้วครับ”

     “ข้าวอย่าคิดแบบนั้น พี่ไม่เคยมองว่าข้าวเป็นของแปลกเลย”

     “เดี๋ยวพี่ก็เบื่อผมเหมือนที่พี่เมย์บอก”

     “พี่ไม่มีวันเบื่อข้าวแน่นอน สำหรับพี่แล้วข้าว...”

     “พอเถอะครับ!” ผมหันไปตวาดใส่ร่างสูง เนื้อตัวเริ่มสั่นเทิ้มตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น “ผมไม่รู้นะว่าพี่ชอบผมเพราะอะไร แต่พี่ช่วยตาสว่างสักทีเถอะครับ ผมไม่ได้มีความน่ารักเลย พี่ตัดใจจากผมแล้วไปหาคนอื่นเถอะ บนโลกนี้ยังมีคนที่น่ารักกว่าผมอีกเยอะ...อย่ามัวแต่สนใจคนขี้เหร่อย่างผมเลยครับ”

     น่าแปลกที่เวลาโดนคนอื่นต่อว่าผมไม่เคยร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่พอต้องมาพูดเรื่องนี้กับพี่องศา หัวใจที่ผมคิดว่าตายด้านไปแล้วกลับรู้สึกปวดแปลบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คงเพราะพี่องศาทำให้ผมมีความหวัง แต่ผมเข็ดขยาดกับความเจ็บปวดจนไม่กล้าไขว่คว้าความหวังนั้นไว้ เลยทำได้แค่ผลักไสเขาทั้งที่ส่วนลึกในใจผมไม่ต้องการจะทำอย่างนี้เลย

     ผมพูดจบก็เดินออกมาทันที เพราะถ้ายืนนานไปกว่านี้พี่องศาต้องเห็นน้ำตาของผมแน่ๆ ผมยกมือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มอย่างลวกๆ เม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา คนที่เดินสวนกันต่างมองผมอย่างแปลกใจ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาสนใจใครแล้ว

     ของบางอย่างควรมีไว้ชื่นชม แต่ไม่ควรมีไว้ครอบครอง กับคนบางคนก็เช่นกัน





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 21 [31/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 31-08-2022 18:43:28
     -อิงเดือน-

     “ไอ้ข้าวไปนานจังวะ” ฝนชะเง้อคอมองอย่างเป็นห่วง ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันที่ข้าวหอมยังไม่กลับมา ทั้งที่ร้านถ่ายเอกสารก็อยู่ใกล้แค่นี้

     “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่องศาก็ไปดูให้แล้วไม่ใช่เหรอ อาจจะแวะเข้าห้องน้ำก็ได้”

     “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ กูกลัวมันจะไปทะเลาะกับพี่องศาน่ะสิ”

     “ทำไมคิดแบบนั้นอ่ะ” ผมถามฝน

     “คนนึงยืนกรานว่าจะจีบ อีกคนก็เอาแต่ยืนกรานว่าจะไม่ให้จีบ มึงคิดว่าจะไม่ทะเลาะกันเลยหรือไง”

     “น้องฝนอย่าคิดมากครับ เพื่อนพี่เป็นคนมีเหตุผล ไม่ชวนใครทะเลาะเพราะเรื่องแค่นั้นแน่นอน” พี่คลื่นออกตัวแทนเพื่อน ก่อนจะเหลือบมามองผม “ไม่เหมือนใครบางคน ใจร้ายกับแฟนตัวเองโดยไม่มีเหตุผลเลย”

     “อ้าว พี่คลื่นมีแฟนแล้วเหรอครับ คนไหนเหรอผมจะได้ไปทำความรู้จัก” ผมแกล้งทำหน้าตื่นเต้น คนตัวสูงยิ้มกริ่มก่อนจะเอานิ้วมาจิ้มแก้ม

     “ถามมาได้ ก็คนนี้ไง”

     “งั้นพี่คงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ผมยังไม่ใช่แฟนพี่ซะหน่อย”

     “ตกลงเราจะน้อยใจเพราะเรื่องนี้จริงๆ เหรอ”

     “ถ้าพี่คลื่นไม่อยากง้อผมก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ว่าอะไร” ผมพูดพลางจิ้มขนมปังเนยมากิน ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ให้คนตัวสูง

     “พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าไม่อยากง้อ” พี่คลื่นอาศัยช่วงที่ผมวางส้อมแล้วคว้าตัวผมไปนั่งตักตัวเอง ผมตกใจจนเกือบอุทานออกมาแต่ยังดีที่ยั้งปากไว้ทัน

     “พี่คลื่น! ทำอะไรครับเนี่ย ปล่อยเลยนะ” ผมพูดไปหน้าแดงไป ถ้าตรงนี้มีแค่เพื่อนๆ ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เรากำลังอยู่ในโรงอาหาร แถมยังมีน้องบาสที่มาขอนั่งกินข้าวด้วย ถึงผมจะรู้สึกดีที่ได้นั่งตักพี่คลื่นแต่ผมก็อายคนอื่นเหมือนกันนะ

     “นั่งแบบนี้จะได้ป้อนถนัดไง” คนที่ซ้อนหลังผมอยู่เอื้อมมือไปจิ้มขนมปังเนยมาจ่อปาก

     “ผมกินเองได้ครับ”

     “ไม่ได้ครับ พี่กำลังง้อเดือนอยู่ พี่ต้องเอาใจเดือนให้มากๆ”

     ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าการแกล้งน้อยใจพี่คลื่นเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือเปล่า ยิ่งเห็นสายตาที่มองมาผมยิ่งรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงไม่รู้

     “ตกลงพี่คลื่นกับพี่เดือนเป็นแฟนกันใช่ไหมครับ” น้องบาสถามยิ้มๆ น้ำเสียงที่อยากแซวอยู่ในทีทำให้ผมเขินอายกว่าเดิม ผมไม่ตอบอะไร อ้าปากกินขนมปังที่พี่คลื่นป้อนแล้วเคี้ยวเอาๆ

     “ตอนนี้ไอ้เดือนมันเล่นตัวอยู่ แต่อีกไม่นานคบกันแน่นอนค่ะน้อง” ควีนจีบปากจีบคอพูด หันมามองแซวผมอีกคน

     “ผมก็คิดอยู่ว่าพวกพี่สองคนน่าจะมีซัมติงกัน ยังไงก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ”

     “แล้วน้องบาสล่ะคะ ไม่คิดจะมีแฟนกับเขาบ้างเหรอ”

     คนถูกถามไม่ตอบทันที แต่เหลือบไปมองเพื่อนผมที่ตั้งหน้าตั้งตาดูดน้ำเหมือนกำลังกลบเกลื่อน “ก็อยากมีอยู่นะครับ แต่คนบางคนแถวนี้ไม่ยอมมาอ่อยผมสักที ทั้งที่ตัวเองพูดไว้เองแท้ๆ”

     “แค่กๆๆ!!” ฝนสำลักน้ำที่ดูดอยู่จนหน้าแดง แต่คิดไปคิดมาผมว่ามันคงหน้าแดงเพราะอายมากกว่า

     “พี่ฝนเป็นอะไรเหรอครับ หน้าแดงเชียว” น้องบาสได้โอกาสแกล้งไอ้ฝนใหญ่

     “เมื่อไหร่นายจะหยุดพูดเรื่องนี้สักที ก็บอกแล้วไงว่าแค่พูดเล่นๆ”

     “แต่ผมไม่เล่นนะ ผมอยากให้พี่อ่อยผมจริงๆ” น้องบาสพูดจบก็หยิบขนมเข้าปากหน้าตาเฉย ต่างกับพวกผมที่ตะลึงกันหมดทุกคน

     “น้องบาสชอบไอ้ฝนเหรอครับ” ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงอาสาเป็นตัวแทนหมู่บ้านเอ่ยปากถาม น้องบาสยักคิ้วให้เพื่อนผมหนึ่งทีก่อนจะตอบ

     “ถ้าพี่ฝนยอมสารภาพว่าสนใจผม ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว ถึงจะเพี้ยนไปหน่อยแต่พี่เขาก็น่ารักดี ผมชอบ”

     น้องบาสพูดโดยไม่สนเลยว่าเพื่อนผมกำลังหน้าแดงลามไปถึงใบหู ปกติถ้ามีคนหล่อมาให้ท่าขนาดนี้ฝนจะรีบลงไปเล่นด้วยทันที แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ถึงเอาแต่เงียบ ดูแล้วไม่สมเป็นมันเลย

     “กูว่า...คงไม่ได้มีแค่กูแล้วล่ะที่กำลังจะมีแฟน” ผมเอ่ยแซวเพื่อนสนิท นึกว่ามันจะตวาดกลับมาเหมือนทุกครั้ง แต่น่าแปลกที่ฝนกลับไม่พูดอะไร เอาแต่หันหน้าหนีเหมือนไม่อยากให้ใครบางคนเห็นหน้าแดงๆ ของมัน

     น้องบาสนี่สุดยอดเลย ทำให้คนบ้าผู้ชายอย่างไอ้ฝนพูดไม่ออกได้ ไม่ธรรมดาเลยแฮะ

     “เมื่อกี้เดือนว่าไงนะครับ” พี่คลื่นถามด้วยตาเป็นประกาย ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองพลาดซะแล้ว

     “ผม...ผมไม่ได้พูดอะไร”

     “มันพูดว่ากำลังจะมีแฟนค่ะ” ควีนรีบโพล่งขึ้นมาทันที ยิ้มแถมมาให้ด้วย

     “แปลว่าไม่ได้งอนพี่จริงๆ สินะ แกล้งพี่เหรอครับ หืม?” พี่คลื่นหัวเราะในลำคอ กระชับอ้อมแขนที่เอวให้แน่นขึ้น ขณะที่ผมไม่รู้จะตอบอะไรดีข้าวหอมก็กลับมาซะก่อน ผมเลยหันไปคุยกับข้าวหอมเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

     “ทำไมไปนานจังอ่ะข้าว”

     ข้าวหอมนั่งลงข้างฝนเหมือนเดิม ดวงตาที่แดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักทำให้พวกผมตกใจกันเป็นแถว

     “ข้าว มึงร้องไห้มาเหรอ” ควีนเอ่ยถาม ฝนที่หลบหน้าน้องบาสอยู่รีบหันขวับมามองเหมือนกัน

     “ปะ...เปล่า พอดีฝุ่นเข้าตาน่ะ ข้าวเลยไปล้างหน้าในห้องน้ำมา”

     ไม่นานหลังจากนั้นพี่องศาก็กลับมาเหมือนกัน ใบหน้าบึ้งตึงของพี่องศาทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     “เป็นอะไรวะมึง ทำหน้าเหมือนจะไปต่อยใครงั้นแหละ” พี่คลื่นทักเพื่อนตัวเอง

     “เออ กูอยากต่อย พวกที่มันเที่ยวว่าคนอื่นไปทั่วกูจะต่อยให้ปากแตกแม่งหมดเลย” พี่องศาตอบพี่คลื่นแต่ตากลับมองเพื่อนผม บรรยากาศแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวพาให้ผมกับคนอื่นหันมามองหน้ากันอย่างงุนงง

     ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง ระหว่างข้าวหอมกับพี่องศาต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.21 [31/Aug/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 01-09-2022 01:54:58
ไม่ให้เป็นแฟนแต่ให้เป็นผัวแน่นวล :hao7:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 22 [01/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 01-09-2022 19:16:25
ตอนที่ 22 : แค่นอนกอดเฉยๆ





     “คิดอะไรอยู่ครับ”

     เสียงทุ้มที่เอ่ยถามทำให้ผมหันไปมองคนที่เดินข้างกัน พี่คลื่นมองผมอยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากหนายกยิ้มอย่างสงสัย

     “เรื่องพี่องศากับข้าวหอมครับ”

     “หืม?” คนตัวสูงเลิกคิ้ว “สองคนนั้นทำไมครับ”

     “วันที่พี่มากินข้าวกับผมที่โรงอาหาร ผมรู้สึกว่าสองคนนั้นดูแปลกๆ น่ะครับ”

     “อืม พี่ก็คิดเหมือนกันว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่าง”

     “แล้วพี่คลื่นไม่สงสัยเหรอครับว่าเรื่องอะไร”

     คนถูกถามส่ายหัวไปมาเบาๆ “พี่ก็ห่วงไอ้องศานะ แต่ชีวิตใครชีวิตมัน ถ้ามันไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือก็แสดงว่ามันอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”

     “แต่ผมห่วงข้าวหอมอ่ะครับ ผมอยากช่วยเพื่อนแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง”

     “ถ้าข้าวหอมอยากให้ช่วยเดี๋ยวเขาก็มาปรึกษาเองครับ ระหว่างนี้เราอย่าเพิ่งคิดมากเลย มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ได้”

     มือซ้ายพี่คลื่นจับมือผมอยู่ เขาเลยยกมือขวามาลูบหัวผมเบาๆ ผมคิดตามก่อนจะพยักหน้าให้นิดหนึ่ง หันไปมองรอบตัวที่มีผู้คนเดินสวนกันไปมา

     วันนี้ผมกับพี่คลื่นไม่มีเรียน เราสองคนเลยนัดกันมาเดินห้าง พี่คลื่นจะมาซื้อของเข้าห้อง ส่วนผมไม่ได้ซื้ออะไร พอถึงเวลาบ่ายสองโมงพี่คลื่นก็พาผมมาที่โซนร้านอาหาร แต่เดินมาสักพักแล้วยังไม่เจอร้านที่ถูกใจเลย

     “อันที่จริง คนที่ควรคิดมากน่าจะเป็นพี่มากกว่านะ”

     “ครับ?” ผมหันไปทำหน้างง

     “ตามง้อมาหลายวันแล้ว แต่เด็กแถวนี้ยังไม่ยอมเป็นแฟนด้วยเลย”

     พี่คลื่นพูดเท่านั้นผมก็เข้าใจได้ทันที ผมหลุดขำ นึกเอ็นดูใบหน้ากระเง้ากระงอดของอีกฝ่าย คิดดูสิครับว่าคนหน้าตาหล่อเหลาระดับเดือนมหา’ลัยแต่กลับทำหน้าแบบนี้ มันดูไม่เข้ากันเลยสักนิด

     “ขำอะไรครับ พี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พี่คิดมากจริงๆ ด้วย”

     “เดี๋ยวนะครับ คนที่งอนต้องเป็นผมสิไม่ใช่พี่”

     “เดือนเลิกงอนไม่ได้เหรอ พี่อยากเป็นแฟนเดือนแล้ว”

     “ทำไมถึงอยากเป็นขนาดนั้นครับ”

     หลังผมถามจบ มือหนาที่จับมือผมไว้ก็เลื่อนมาอยู่ที่เอวแทน พี่คลื่นรั้งผมไปแนบชิดตัวเอง โน้มหน้ามากระซิบข้างใบหู “พี่จะได้ทำอะไรๆ ที่แฟนเขาทำกันได้ซะทีไง”

     “พะ...พี่คลื่น!! พูดอะไรของพี่เนี่ย” ผมผลักคนตัวสูงออกห่างตัวอย่างรวดเร็ว คนรอบข้างหันมามองเพราะเสียงของผม แต่ผมไม่สนใจ รีบเดินหนีเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นทันที

     ไม่ได้เลือกร้านนี้เพราะอยากกินนะครับ แต่เห็นว่ามันใกล้ที่สุดผมเลยเดินเข้ามาเพื่อหนีคนลามก

     “กินอาหารญี่ปุ่นบ่อยๆ ไม่เบื่อเหรอครับ” พี่คลื่นถามตอนที่พนักงานพาเรามานั่งโต๊ะด้านในสุด

     “เบื่อครับ”

     “แล้วเลือกร้านนี้ทำไม”

     “อยากหนีคนบางคนที่พูดอะไรไม่ดูสถานที่เลย”

     คนโดนว่ากระทบส่งเสียงขำในลำคอ มือหนาเอื้อมมาจับมือผมอีกครั้ง ลูบไล้ไปมาเบาๆ ให้ความรู้สึกวาบหวิวแปลกๆ

     “อยากให้พี่ ‘ทำอะไร’ โดยไม่ดูสถานที่ด้วยไหมล่ะครับ”

     “หยุดเลยนะครับ ถ้าขืนยังพูดลามกอยู่ผมโกรธจริงๆ นะ”

     “พี่ยังไม่ได้พูดลามกเลย”

     “ทำไมจะไม่ได้พูด ก็เมื่อกี้ไง”

     “พี่หมายถึงหอมแก้มครับ”

     เหมือนมีเสียงกระจกแตกดังขึ้นในหัว เพียงแต่ที่แตกไม่ใช่กระจกแต่เป็นหน้าผมเอง ผมอายจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ชักมือหนีสัมผัสอันอ่อนโยน พี่คลื่นยิ้มมุมปาก แววตาล้อเลียนทำให้ผมอายยิ่งกว่าเดิม

     “คิดไปไกลเชียวนะครับ หมกมุ่นเหมือนกันนะเราเนี่ย”

     ผมถลึงตาใส่คนตรงหน้า โชคดีที่พนักงานเอาเมนูมาให้พอดีผมเลยรอดพ้นจากบทสนทนานี้ได้ พอสั่งอาหารเสร็จแล้วผมก็ทำเป็นหันไปมองอย่างอื่น ไม่อยากสบตาให้พี่คลื่นจับได้ว่ากำลังอาย

     “เดือนครับ”

     ผมหันไปตามเสียงเรียก แต่กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรก็สายไปเสียแล้ว พี่คลื่นกำลังมองดูโทรศัพท์ตัวเอง รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพอใจกับรูปถ่ายในนั้น

     “พี่คลื่น! ลบเลยนะครับ จะถ่ายก็บอกกันดีๆ สิ” ผมยื่นมือไปข้างหน้าจะแย่งโทรศัพท์ แต่คนตัวสูงก็ยกมือหลบไม่ให้ผมหยิบได้ มีการหันหน้าจอมาโชว์รูปอีกด้วย

     “แบบนี้แหละธรรมชาติดี ดูสิ น่ารักจะตาย”

     “น่ารักตรงไหน หน้าผมเหวอมากเลยนะนั่น”

     “ก็เพราะเหวอไงครับถึงน่ารัก”

     ผมอยากโวยวายก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะเกรงใจลูกค้าคนอื่นในร้าน หลังจากยื้อยุดฉุดกระชากอยู่สักพักผมก็จำต้องยอมแพ้เพราะแขนพี่คลื่นยาวกว่าเยอะ ผมได้แต่นั่งกระฟัดกระเฟียดอย่างทำอะไรไม่ได้ ขณะที่อีกคนยิ้มระรื่นเหมือนสนุกมากที่ได้แกล้งผม

     “ห้ามโพสต์ลงโซเชียลนะครับ ไม่งั้นผมจะงอนเป็นเดือนจริงๆ ด้วย” ผมต้องขู่ไว้ก่อน เดี๋ยวพวกเพื่อนตัวดีเอารูปมาล้อเลียนผมทีหลัง

     “ถึงเดือนไม่บอกพี่ก็ไม่ทำอยู่แล้วครับ รูปน่ารักขนาดนี้พี่ไม่ให้คนอื่นเห็นหรอก เก็บไว้ดูคนเดียวดีกว่า”

     พี่คลื่นพูดเหมือนไม่คิดอะไร ต่างกับผมที่แทบจะแทรกพื้นหนีอยู่แล้ว ทำไมถึงชอบทำให้ผมเขินนักนะ ได้เห็นผมหน้าแดงแล้วมีความสุขมากหรือไง

     ใช้เวลารอไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ผมตั้งหน้าตั้งตากินไม่พูดอะไรกับพี่คลื่นเลย ส่วนหนึ่งเพราะหิว อีกส่วนเพราะความเขินอายยังไม่หายไป

     “ค่อยๆ กินก็ได้ครับ ไม่ต้องรีบ วันนี้พี่มีเวลาให้เดือนทั้งวัน”

     ผมไม่ได้รีบ ผมเขิน เข้าใจไหม ผมเขินโว้ยยยย!!



     หนึ่งในกิจกรรมที่เวลาคู่รักมาเดินห้างต้องทำกันก็คือดูหนัง คราวนี้ผมเป็นคนชวนเพราะผมมีหนังที่อยากดูมานานแล้วแต่หาเวลาว่างไม่ได้เสียที แต่พอมาถึงหน้าโรงหนังผมก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าหนังที่ผมอยากดูถูกถอนออกจากโรงฯ ไปนานแล้ว ผมจะชวนพี่คลื่นไปเดินเล่นแก้ช้ำใจแต่พี่คลื่นก็รั้งไว้

     “ไหนๆ ก็มาแล้ว ดูเรื่องอื่นก็ได้ครับ”

     “ไม่เอาครับ ผมไม่รู้จะดูเรื่องอะไร” ผมบอกอย่างเซ็งๆ

     “งั้นเดี๋ยวพี่เลือกให้” พี่คลื่นว่าจบก็หันไปมองรายการหนังที่มีกำหนดการฉายวันนี้ ดวงตาสีดำสนิทไล่ดูหนังทีละเรื่องก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เรื่องสุดท้าย “ฆ่าซ่อนศพ…”

     “ผมไม่ดูนะ” ผมรีบบอกอย่างไวเมื่อเห็นสายตาไม่น่าไว้ใจของคนตัวสูง พี่คลื่นเหลือบมามองก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

     “เดือนไม่อยากดูเหรอ”

     “ไม่อยากครับ พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมกลัวผี”

     “เรื่องนี้ไม่มีผีครับ เป็นแค่หนังฆาตกรรม”

     “มันก็น่ากลัวอยู่ดีครับ”

     “แต่พี่อยากดูนี่ครับ”

     “งั้นพี่ก็ดูไปคนเดียวเลยครับ หนังจบแล้วโทรมาบอกด้วย ผมจะไปเดินเล่นรอ” ผมกำลังจะเดินออกจากโรงหนัง แต่ก็ถูกพี่คลื่นดึงแขนไว้ก่อน

     “ดูเป็นเพื่อนพี่หน่อย”

     “ไม่เอาครับ”

     “แต่พี่อยากดูกับเดือน...” ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนมาใกล้ เสียงทุ้มต่ำข้างหูทำให้หน้าผมเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง “เวลาเดือนกลัวผีพี่จะได้หลอกหอมแก้มเหมือนในบ้านผีสิงไง”

     “อะ...ไอ้พี่บ้า!” สาบานว่าผมไม่เคยอยากหยาบคายกับพี่คลื่นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทนไม่ไหวจริงๆ ก็ดูคำพูดเขาสิครับ พูดมาแต่ละคำมีแต่ชวนผมเขินทั้งนั้น ขนาดโดนผมตีแขนไปเต็มแรงยังหัวเราะร่าได้อยู่เลย

     “ไม่ชอบให้พี่หอมแก้มเหรอ งั้นเปลี่ยนเป็นหอมแก้มพี่แทนก็ได้นะ”

     “เงียบไปเลยครับ ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าพี่พูดอีกคำเดียวผมหนีกลับหอแน่!!”



     “เดือน”

     “…”

     “เดือนครับ”

     “…”

     “เฮ้อ งอนพี่อีกแล้วเหรอ”

     ผมทำหูทวนลม หันหน้าเข้าหากระจกรถเพื่อหลบหน้าใครบางคน เสียงถอนหายใจดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่พี่คลื่นจะเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้บังคับพวงมาลัยมาดึงมือผมไปกุม

     “เป็นอะไรครับ วันนี้พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

     “แน่ใจเหรอครับ” ผมรีบสวนกลับไปทันควัน หวังให้อีกฝ่ายรู้ความผิดด้วยตัวเอง

     “วันนี้พี่ทำตัวดีทั้งวัน คอยดูแลเอาใจใส่เดือนตลอดเวลาเลยนะ”

     “พี่ชอบแกล้งให้ผมเขิน” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รู้ตัวซะทีผมจึงต้องเอ่ยปากด้วยตัวเอง

     “ก็เวลาเดือนเขินมันน่ารักดี”

     “เห็นไหม ขนาดตอนนี้พี่ยังไม่หยุดทำผมเขินเลย”

     พี่คลื่นหัวเราะในลำคอ ยื่นมือมาเปิดเพลงคลอเบาๆ ในรถ ก่อนจะจับมือผมไปกุมไว้เหมือนเดิม

     “แล้วเดือนมีความสุขไหม”

     คำถามที่ดูจริงจังทำให้ผมหันหน้าไปมอง พี่คลื่นกำลังขับรถอยู่ แต่ก็เหลือบมามองผมเป็นระยะ

     “ว่าไงครับ ตอบให้พี่ชื่นใจหน่อย”

     ผมหลุบตามองต่ำ อ้อมแอ้มตอบเสียงเบาเพราะไม่กล้าพูดตรงๆ “มาเที่ยวกับคนที่ตัวเองรักมันก็ต้องมีความสุขอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     “พี่ไม่ได้แกล้งให้เดือนเขินเล่นๆ ทุกอย่างที่พี่ทำวันนี้เพราะอยากให้เดือนมีความสุข และพี่ก็อยากทำแบบนี้ทุกวัน เดือนเข้าใจไหมครับ”

     “เข้าใจครับ และผมก็ไม่ได้จะงอนจริงๆ ผมแค่...” ผมหันหน้าหนี เสียงที่เบาอยู่แล้วยิ่งเบาเข้าไปอีก “ผมแค่เขินจนทำอะไรไม่ถูก”

     “แต่ก็รู้สึกดีใช่ไหม”

     “...ครับ”

     ตอนที่พี่คลื่นบอกว่าจะดูหนังผีผมเกือบงอนจริงๆ แต่สุดท้ายพี่คลื่นก็เลือกหนังตลกแทน พี่คลื่นมาเฉลยตอนกลับว่าไม่คิดจะดูหนังผีอยู่แล้ว แค่อยากแกล้งให้ผมนึกถึงตอนโดนเขาหอมแก้มเฉยๆ ผมเลยสบายใจหน่อยที่อย่างน้อยเขาก็จำรายละเอียดของผมได้และไม่บังคับให้ผมทำสิ่งที่ไม่ชอบ

     “ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” ผมพูดเสียงเบาจนคำพูดเกือบลอยหายไปกับเสียงเพลง วันนี้พี่คลื่นออกเงินให้ผมทุกอย่าง ผมจะขอออกบ้างเขาก็ไม่ยอม ผมเลยคิดว่าควรพูดอะไรบ้างเพื่อไม่ให้ดูเอาเปรียบเกินไป

     “เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”

     “อะไรครับ”

     คนตัวสูงไม่ตอบ แต่ทำแก้มป่องแล้วเอียงหน้ามาใกล้เหมือนจะบอกทางอ้อมว่าต้องการอะไร ผมหลุดขำนิดหน่อย ถึงจะรู้แล้วแต่ก็ยังนั่งนิ่งทำเป็นไม่เข้าใจท่าทางของอีกฝ่าย

     “เร็วสิครับ”

     “อะไรเร็วครับ”

     “หอมแก้มพี่ไง”

     “ผมก็พูดขอบคุณไปแล้วไง”

     “ไม่พอครับ อยากให้หอมแก้มด้วย”

     ผมหลุดขำอีกรอบ เอาแต่ใจเป็นเด็กสามขวบไม่เข้ากับหน้าตาเลยแฮะ ผมเคลื่อนใบหน้าไปใกล้ กำลังจะกดจมูกลงไปบนแก้ม แต่จู่ๆ พี่คลื่นก็หันหน้ามาโดยไม่บอกกล่าว ริมฝีปากของเราสองคนเลยแตะกันเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ

     ผมรีบหันมานั่งเหมือนเดิม เกิดความเงียบระหว่างเราสองคน ทั้งรถมีเพียงเสียงเพลงดังเบาๆ ถ้าตอนอยู่ในห้างว่าเขินแล้ว ตอนนี้ผมเขินมากกว่าเป็นร้อยเท่า

     ผมยกมือมาแตะริมฝีปากเบาๆ สัมผัสอันแผ่วเบาที่ได้รับเมื่อครู่ยังคงชัดเจนในความรู้สึก ผมเหลือบมองคนที่ขับรถอยู่ว่ามีอาการเดียวกันไหม แต่พี่คลื่นกลับทำหน้าสบายๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร

     “ขะ...ขอโทษนะครับ” เป็นเพราะอึดอัดจนทนไม่ไหวผมเลยคิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่าง

     “เรื่องอะไรครับ”

     “ที่ปากเราชนกันเมื่อกี้...”

     “ขอโทษทำไมครับ พี่ตั้งใจ” คนตัวสูงหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าที่จอด พอได้ยินดังนั้นผมก็เบิกตาโพลง กำลังจะหันไปโวยวายแต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าพี่คลื่นขับรถมาจอดที่ไหน

     “นี่ไม่ใช่หอผมนะครับ”

     “แล้วพี่บอกเหรอว่าจะพาเราไปส่งที่หอ” พี่คลื่นพูดหน้าตาย ดับเครื่องยนต์แล้วลงไปหยิบของท้ายรถที่ซื้อมาจากห้าง พอผมลงมาจากรถบ้างถึงได้รู้ว่าที่เรากำลังยืนอยู่คือลานจอดรถใต้คอนโดฯ ของพี่คลื่น

     “พี่พาผมมาที่นี่ทำไมครับ” ผมพูดเสียงสั่น ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่าไม่ควรไว้ใจพี่คลื่น

     “ก็พาเดือนมานอนห้องพี่ไงครับ”

     “แต่พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะ”

     “เรียนตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพอตื่นแล้วพี่ขับรถไปส่งที่หอก็ได้”

     “ไม่เอาครับ ผมอยากกลับตอนนี้”

     ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตาของพี่คลื่นทำให้ผมไม่กล้าพูดต่อ “เดือนไม่อยากนอนกับพี่เหรอครับ”

     เอาอีกแล้ว น้ำเสียงกับสายตาแบบนี้มาอีกแล้ว

     “ไม่ใช่แบบนั้นครับ...”

     “แปลว่าเดือนก็อยากนอนกับพี่เหมือนกัน?”

     “คือผม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยครับ รู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวงยังไงไม่รู้

     “พี่สัญญาว่าจะนอนกอดเฉยๆ จะไม่ทำอะไรมากกว่านี้ตราบใดที่เดือนยังไม่พร้อม” พี่คลื่นพูดเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจเขาก็พูดขึ้นมาอีก “นะครับ ให้พี่นอนกอดวันนึงนะ แค่เห็นหน้าตอนวิดีโอคอลมันไม่หายคิดถึง”

     ถ้าจะอ้อนขนาดนี้ก็ไม่ต้องขอหรอกครับ อุ้มผมขึ้นห้องเลยน่าจะง่ายกว่า

     ผมพยักหน้าเบาๆ อย่างปฏิเสธไม่ลง พี่คลื่นยิ้มกว้างทันที รีบดึงมือผมไปจับเหมือนกลัวผมจะเปลี่ยนใจ

     “รีบขึ้นห้องกันเถอะครับ พี่อยากนอนกอดเดือนจะแย่แล้ว”

     ผมได้แต่ลอบถอนหายใจระหว่างที่เดินตามคนตัวสูงไป เห็นสายตาของพี่คลื่นแล้วผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่หยุดอยู่แค่กอด



     ถึงแม้จะเคยมานอนห้องพี่คลื่นแล้ว แต่ตอนนี้สถานะระหว่างเราสองคนเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้เลยต่างกันอย่างสิ้นเชิง

     ผมได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตู ไม่กล้าเดินเข้าไปในห้อง ขามันสั่นไปหมด จนพี่คลื่นที่เข้าไปแล้วเอ่ยปากเรียกผมจึงต้องตามไปอย่างไม่มีทางเลือก

     “เป็นอะไรครับ” พี่คลื่นที่เอาของไปวางไว้บนโซฟาเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นสีหน้าของผม

     “เปล่าครับ”

     “โกหก เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังตื่นเต้น”

     ถ้าพี่รู้อยู่แล้วจะมาถามผมทำไมวะ

     ผมได้แต่ตั้งคำถามในใจ พี่คลื่นเดินมาหยุดตรงหน้า ใช้มือเชยคางผมให้เงยหน้าไปสบตา “ทำตัวให้ชินไว้นะครับ เพราะไม่ใช่แค่คืนนี้หรอกที่เดือนต้องมานอนกับพี่”

     “ผมมีหออยู่นะครับ ไม่จำเป็นต้องมาค้างคอนโดฯ พี่สักหน่อย”

     “ไม่อยากนอนกอดคนที่ตัวเองรักทุกวันเหรอครับ”

     ตกลงพี่คลื่นจะให้ผมเขินจนขาดอากาศหายใจตายไปเลยใช่ไหม ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เขาหยอดผมเยอะเกินไปแล้วนะ!!

     ผมกำลังจะพูดกลับไป แต่เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นซะก่อน พี่คลื่นหยิบโทรศัพท์มาดู รอยยิ้มหายไปทันทีเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรมา

     ผมเอียงคอทำหน้างง พี่คลื่นเหลือบมามองผมนิดหนึ่ง ก่อนจะกดรับสายทั้งที่กำลังอยู่กับผม “ว่าไงหวาน”

     ชื่อที่ออกจากปากคนตัวสูงทำให้ใจผมกระตุกวูบไหวแปลกๆ เหมือนพี่คลื่นจะรู้ทันความคิดผม เขาดึงมือผมไปจับไว้แน่น สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าผมตลอดการสนทนา

     “เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะหวาน คลื่นไม่อยากพูดซ้ำ”

     “…”

     “ไม่เป็นไร ถ้าหวานจะคิดแบบนั้นคลื่นก็ไม่เถียง”

     “…”

     “หวานได้ยินมายังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

     “…”

     “ใช่ คลื่นรักเดือน รักมานานแล้ว และหวานก็รู้ไว้ด้วยว่าความรักของคลื่นกับเดือนมันไม่เกี่ยวกับหวานมาตั้งแต่แรกแล้ว”

     ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่น้ำหวาน แต่ฟังจากคำพูดพี่คลื่นผมก็พอจะเดาออกว่าเขาสองคนคุยอะไรกัน ผมกุมมือพี่คลื่นทับไว้อีกที บีบเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มไปให้

     “ไม่ว่าหวานจะทำอะไรคลื่นก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจทั้งนั้น หวานตัดใจเถอะ ยังมีคนอื่นที่อยากได้ความรักจากหวานอยู่นะ”

     “…”

     “โอเค ถ้าหวานพูดขนาดนี้เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก คลื่นไม่รู้นะว่าหวานคิดจะทำอะไร แต่คลื่นจะไม่ยอมให้หวานมาพังความรักของคลื่นเด็ดขาด”

     พี่คลื่นกดตัดสายก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปบนโซฟา คนตัวสูงมองลึกเข้ามาในตาผม รั้งผมเข้าไปกอดหลวมๆ

     “ทะเลาะกับพี่น้ำหวานเหรอครับ” ผมถามขณะที่กำลังซบอกพี่คลื่นอยู่

     “ไม่รู้ว่าเรียกทะเลาะได้ไหม แต่พี่แค่พูดความรู้สึกตัวเองให้หวานเข้าใจ ส่วนเขาจะคิดยังไงพี่ไม่อยากรับรู้” พี่คลื่นผละใบหน้าออกไป เอื้อมมือมาลูบแก้มผม “พี่รักเดือนนะ เดือนเชื่อใจพี่ไหม”

     “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ”

     “พี่กลัวเดือนคิดมาก”

     “เผื่อพี่ลืม พี่ไม่ได้รักผมฝ่ายเดียวนะ ผมก็รักพี่เหมือนกัน คนรักกันต้องเชื่อใจกันสิครับ” ผมพูดจบก็สวมกอดพี่คลื่นต่อ รู้สึกเขินกับคำพูดตัวเองจนไม่กล้ามองหน้า “ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้คิดอะไรกับพี่น้ำหวาน พี่เคยบอกผมแล้ว และผมก็เต็มใจที่จะเชื่อคำพูดของพี่ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ว่าจะตอนไหนผมก็ไว้ใจพี่คลื่นเสมอ”

     ร่างสูงกดจมูกลงบนหัวของผม สูดเอากลิ่นหอมเข้าปอดสลับกับประทับจูบบนกลุ่มผมอย่างแผ่วเบา

     “พี่รู้ว่าเดือนน่ารัก แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วเดือนดูน่ารักขึ้นเยอะเลย”

     พี่คลื่นกอดผมอยู่สักพักก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นก็ให้ผมเข้าไปรอในห้องนอน ผมทำตัวว่าง่ายเชื่อฟังอย่างดี แต่ตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านประตูไปพี่คลื่นก็เอ่ยเรียกอีกครั้ง

     “เดือน”

     “ครับ?”

     “มาอาบด้วยกันไหม เดี๋ยวพี่ถูหลังให้”

     จากที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้เข้าห้องนอนพี่คลื่น สองขาผมรีบก้าวเข้าห้องไปทันทีโดยไม่คิดอะไรอีก เสียงหัวเราะลอยมาให้ได้ยิน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องน้ำ ทิ้งให้ผมยืนกุมหน้าอกตัวเองพร้อมใบหน้าที่แดงซ่านภายในห้องนอน

     ซึ้งได้ไม่ถึงห้านาทีก็ส่อแววทะลึ่งอีกแล้ว ตกลงผมคิดผิดสินะที่ยอมมาค้างกับพี่คลื่น…



     คราวก่อนที่มาผมเอาแต่ดูแลพี่คลื่น เลยไม่ได้สังเกตเห็นตุ๊กตาหมีที่วางอยู่ข้างเตียง ผมหยิบมากอดพร้อมกับขึ้นไปนั่งบนเตียง เล่นตุ๊กตาอยู่นานโดยลืมไปเลยว่าพี่คลื่นอาบน้ำอยู่

     ผมชอบตุ๊กตาหมีมาก เลยเล่นซะเพลินจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ กระทั่งแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความเย็น ผมถึงได้รู้ตัวว่ากำลังถูกพี่คลื่นที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จโอบกอดไว้

     “เอาตุ๊กตามาเล่นขออนุญาตเจ้าของหรือยัง”

     “เอ่อ...ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อยเพราะนึกว่าอีกฝ่ายโกรธจริงๆ พี่คลื่นเห็นผมหน้าเสียก็ยกยิ้ม เอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ

     “พี่ล้อเล่นครับ เดือนอยากเล่นก็เล่นไปเถอะ ของทุกชิ้นในห้องนี้พี่ไม่หวง หยิบได้ตามใจชอบเลย”

     ผมทำแก้มพองลมเลียนแบบข้าวหอม แต่ไม่ได้ทำเพราะเขิน เพราะผมงอนพี่คลื่นต่างหาก เล่นทำหน้าจริงจังผมก็นึกว่าโกรธซะอีก

     “แกล้งผมอีกแล้วนะ”

     “หยอกเล่นนิดหน่อยไม่ได้เหรอ”

     “พี่คลื่น!” ผมเอ่ยอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ คนตัวสูงก็โน้มใบหน้ามาหอมแก้มแรงๆ

     “คนอะไรยังไม่อาบน้ำแต่ตัวโคตรหอม” ว่าจบก็ขโมยหอมแก้มอีกหนึ่งที ผมเลยรีบยกมือมาห้ามก่อนจะมีครั้งที่สาม

     “พอแล้วครับ”

     “ไม่พอครับ ถือเป็นค่าที่พี่ให้เล่นตุ๊กตา”

     “ไหนบอกว่าไม่หวงของไง”

     “ไม่หวงของแต่ก็ต้องคิดค่าเล่นด้วยครับ” พี่คลื่นยกตุ๊กตาไปวางที่เดิม ขยับไปพิงหัวเตียงก่อนจะรวบตัวผมไปนั่งซ้อนด้านหน้าตัวเอง สองแขนที่กอดเอวผมอยู่มันแน่นเสียจนหนีไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่ดิ้นไปมาหลบหลีกใบหน้าคมคายที่จ้องจะฉวยโอกาสทุกขณะ

     “พอแล้วครับ ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”

     “ตัวหอมขนาดนี้ไม่ต้องอาบก็ได้ นอนกันเลยดีกว่า”

     “ไม่เอาครับ ผมเหนียวตัว พี่คลื่นปล่อยผมก่อน”

     “เรื่องอะไรจะปล่อย”

     มือพี่คลื่นอย่างกับปลาหมึก ผมแงะเท่าไหร่ก็ไม่หลุดเสียที แถมใบหน้ายังโน้มลงมาไม่หยุด สุดท้ายผมเลยโดนหอมไปอีกหลายทีจนแก้มแทบจะช้ำไปหมดแล้ว

     “อยากกอดแบบนี้ทุกคืนเลย” พี่คลื่นพูดขึ้นมาเมื่อผมยอมอยู่นิ่งๆ ให้เอาหน้ามาเกยไหล่ ไม่ใช่ว่าผมยอมแพ้นะครับ แต่ผมเหนื่อยที่จะดิ้นแล้วต่างหาก

     “ถามผมหรือยังว่าอยากด้วยไหม”

     “เดือนไม่อยากนอนกอดพี่เหรอ”

     “ถ้ากอดเฉยๆ ก็อยากอยู่หรอกครับ แต่นี่พี่คลื่นเล่นรังแกผมไม่หยุดเลย”

     “ช่วยไม่ได้ เดือนอยากน่ารักเอง”

     คนตัวสูงโยนความผิดให้ผมหน้าตาเฉย ผมหันหน้าไปตั้งใจจะเถียงกลับ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาที่พี่คลื่นมองมา

     “เดือน...ขอจูบได้ไหมครับ”

     !!!!!!

     คำขอที่ไม่อ้อมค้อมทำให้ผมนิ่งงันไปชั่วขณะ แววตาพี่คลื่นสื่อความต้องการออกมาอย่างชัดเจน หัวใจผมเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ ยิ่งเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังอ้อนวอนผมก็ยิ่งพูดอะไรไม่ถูก

     “ไม่ตอบแปลว่าอนุญาตใช่ไหมครับ” พี่คลื่นว่าก่อนจะเคลื่อนใบหน้ามาใกล้ ผมเลยรีบดึงสติกลับมา ยกมือขึ้นมาบังเอาไว้

     “ดะ...เดี๋ยวก่อนครับ”

     “พี่อยากจูบจริงๆ นะครับเดือน”

     “ในรถก็จูบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     “นั่นมันแค่ปากแตะกันครับ”

     “แต่ผมยังไม่พร้อม…”

     “แค่จูบครับ ไม่เกินเลยกว่านี้แน่นอน พี่สัญญา”

     ใบหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก ใกล้เสียจนปลายจมูกแตะกันเล็กน้อย ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำ ภายในนั้นเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธได้...

     ผมค่อยๆ พยักหน้า พี่คลื่นที่ได้รับอนุญาตแล้วยื่นหน้ามาใกล้มากขึ้น ลมหายใจอุ่นรินรดใบหน้าผม ก่อนที่ริมฝีปากเราสองคนจะแตะกัน คราวนี้พี่คลื่นไม่ได้ถอนหน้าหนีเหมือนในรถ แต่กลับออกแรงบดเข้ามาจนสติผมเลือนหายไปทีละนิด

     คนตัวสูงไม่เพียงแค่ประกบปากลงมา แต่ยังไล้เลียริมฝีปากเหมือนต้องการหยอกเย้าให้ผมรู้สึกมากขึ้น ผมเผลอเผยอปากออกด้วยอารมณ์ที่กำลังล่องลอย พี่คลื่นจึงใช้โอกาสนี้ส่งลิ้นร้อนเข้ามาทักทายภายในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดไปมาจนในหัวผมขาวโพลนไปหมด

     ผมเอื้อมมือไปจับไหล่อีกคนไว้แน่น หวังใช้มันเป็นที่ระบายความรู้สึกในอก พี่คลื่นไม่ได้เร่งเร้าก็จริง แต่ลิ้นของเราสองคนที่เกี่ยวพันกันอยู่มันก็ทำให้ผมอ่อนแรงได้ไม่น้อย

     “อะ...อื้อ...” ผมส่งเสียงร้องเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ อีกฝ่ายจึงผละใบหน้าออกไปให้ผมโกยออกซิเจนเข้าปอด ผมหอบหายใจเหมือนวิ่งมาราธอนติดต่อกันเป็นชั่วโมง ต่างกับอีกคนที่มองมาพลางยกยิ้มเหมือนชอบใจ

     “สงสัยคงต้องฝึกบ่อยๆ จูบเหมือนเด็กอนุบาลแบบนี้พี่ไม่ให้ผ่านนะครับ”

     ผมไม่ได้อ่อนประสบการณ์ แต่พี่คลื่นจูบเก่งเกินไปต่างหาก

     “ผม...ผมจะไปอาบน้ำ” ผมรีบพูดจนลิ้นแทบพัน เอามือพี่คลื่นออกจากเอว เดินไปหยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวที่พี่คลื่นเตรียมไว้ให้แล้วหายเข้าไปในห้องน้ำทันที หัวใจผมยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งนึกถึงความเร่าร้อนที่ได้สัมผัสใบหน้าผมก็ยิ่งเห่อร้อนเหมือนกำลังอยู่หน้าเตาผิง พี่คลื่นจูบเก่งมาก...มากเสียจนถ้าได้จูบกันอีกครั้งผมกลัวว่าจะหัวใจวายไปซะก่อน

     ไหนบอกแค่นอนกอดเฉยๆ ไง นี่ขนาดยังไม่นอนผมยังโดนทั้งหอมแก้มทั้งจูบเลย ถ้าถึงเวลานอนจริงๆ ไม่อยากคิดเลยว่าจะโดนอะไรอีกบ้าง

     พี่คลื่นชอบแกล้ง แถมยังชอบโกหกอีกด้วย





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.22 [01/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-09-2022 22:45:05
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.22 [01/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 02-09-2022 23:24:37
 :hao6:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.22 [01/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 04-09-2022 20:58:57
อ้า ฟิล
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.22 [01/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 05-09-2022 01:16:39
อ่านตอนแรก รู้สึกลำไยเพื่อนน้องเดือนมาก แบบเฮ้อออออ
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 23 [07/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 07-09-2022 17:15:12
ตอนที่ 23 : ให้โอกาส





     -องศา-


     “พี่องศาจะพาผมไปไหนครับ”

     คำถามเดิมถูกถามรอบที่สาม แต่ผมก็ทำเหมือนทุกครั้งคือเอาแต่ยิ้มกลับไปอย่างเดียว ข้าวหอมที่ไม่ได้คำตอบสักทีเลยถอนหายใจเบาๆ หันไปมองถนนตรงหน้าเหมือนเดิมแต่ปากยังพูดกับผม

     “ผมจะกลับบ้านครับ รบกวนไปส่งผมด้วย”

     “พี่ไปส่งแน่ครับ” ผมพูดประโยคแรกหลังจากเมินคำถามเจ้าตัวเล็กมานาน “แต่ต้องหลังจากที่เราทำธุระกันเสร็จแล้ว”

     “ธุระ?” คิ้วบางๆ เลิกขึ้นพร้อมกับหันมาส่งสายตางุนงง “พี่องศาจะไปทำธุระอะไรครับ”

     “เดี๋ยวเราก็รู้”

     “ถ้าพี่จะทำธุระก็ไปส่งผมก่อนสิครับ”

     “ไม่ได้ครับ เพราะมันคือธุระของเราสองคน ไม่ใช่พี่คนเดียว”

     “ผมไปมีธุระอะไรกับพี่ตอนไหน”

     ผมหันไปยิ้มให้คนถามอีกครั้ง ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม นิ้วชี้เคาะพวงมาลัยรถพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงธุระที่เรากำลังจะไปทำกัน ข้าวหอมขมวดคิ้วมุ่น คงหงุดหงิดที่ผมไม่ยอมบอกเหตุผลสักที

     ใครจะยอมบอกล่ะครับ ขืนบอกไปตรงๆ คงไม่พ้นหนีกลับบ้านแน่นอน สู้มัดมือชกพามาด้วยแบบนี้เลยดีกว่าเยอะ

     วันนี้กลุ่มข้าวหอมมีเรียนแค่ตอนเช้า พอถึงเวลาเลิกเรียนผมก็รีบโดดวิชาของตัวเองไปรับข้าวหอมมาขึ้นรถทันที ตอนแรกเจ้าตัวไม่ได้เอะใจอะไร คงคิดว่าผมมารับกลับบ้านเหมือนทุกครั้ง แต่พอเห็นเส้นทางกลับที่ไม่คุ้นเคยก็หันมาถามทันที ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่คิดจะบอกก่อนถึงจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว

     นักศึกษาปีสามที่มีชื่อเสียงในมหา’ลัยอย่างผมไม่ควรโดดเรียนก็จริง แต่เพราะปัญหาที่กำลังรบกวนจิตใจทำให้ผมต้องพิสูจน์บางอย่างให้เจ้าตัวเล็กเห็น...ผมอยากให้ข้าวหอมรู้ว่าสำหรับผม เขาสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด

     “ถึงแล้วครับ” ผมบอกคนข้างๆ ในตอนที่ขับรถมาจอดชั้นใต้ดินแล้ว ข้าวหอมมองไปรอบๆ ใบหน้าที่ผมชอบมองเต็มไปด้วยความสงสัย

     “พี่พาผมมาห้างทำไม”

     “บอกแล้วไงครับว่ามาทำธุระ”

     “ธุระอะไรอยู่ในห้างครับ”

     “ก็ธุระ ‘พาว่าที่แฟนมาเดต’ ไงครับ”

     คนตัวเล็กตาโตเมื่อรู้ว่าธุระของผมคืออะไร แก้มเนียนใสขึ้นสีระเรื่อ ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยเหมือนอยากพูดอะไรแต่พูดไม่ออก ภาพตรงหน้าช่างน่ารักจนผมอยากจับมาฟัดให้หายมันเขี้ยว แต่ต้องข่มใจไว้เพราะสถานะของเราสองคนตอนนี้ยังไม่เอื้ออำนวย

     “งั้นพี่ก็พามาผิดคนแล้วครับ คนที่พี่ควรพามาคือพี่แพรว ไม่ใช่ผม”

     “บอกแล้วไงว่าพี่กับแพรวไม่มีอะไรกันแล้ว” ผมรีบแก้ตัวทันที ตั้งใจจะพูดให้เขิน ทำไมจู่ๆ ถึงงานเข้าได้วะเนี่ย

     “ถ้างั้นก็ไปพาคนอื่นมาครับ ผมไม่ใช่ว่าที่แฟนของพี่”

     “ทำไมจะไม่ใช่ ที่จีบอยู่นี่ก็เพราะอยากให้ข้าวมาเป็นแฟนพี่นะ” ผมจับมืออีกคนไว้ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูลงไปจากรถ

     “พี่องศา ผมพูดไปหลายรอบแล้วนะครับ พี่ก็รู้เหตุผลแล้วไม่ใช่เหรอว่าทำไมเราถึงคบกันไม่ได้” ข้าวหอมหันมาจ้องหน้าผม สายตาที่มองมาทำให้ผมอยากถอนหายใจสักร้อยรอบ ตัวก็เล็กแค่นี้ทำไมถึงดื้อนักนะ ผมกล้าพูดเลยว่าเด็กสามขวบยังไม่ดื้อเท่าคนตรงหน้าผมในตอนนี้เลย

     “ข้าวมีเหตุผลที่คบกับพี่ไม่ได้ พี่ก็มีเหตุผลที่ตัดใจจากข้าวไม่ได้เหมือนกัน” ผมสบตากลับไป หวังให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความจริงใจของผม

     “เหตุผลอะไรครับ”

     “พี่ชอบข้าว ชอบจนไม่อยากตัดใจไปหาคนอื่น แค่นี้พอจะเป็นเหตุผลได้ไหม”

     ข้าวหอมนิ่งงันไป แววตาวูบไหวเมื่อได้ยินคำว่าชอบจากปากผม คนตัวเล็กหลบตามองไปทางอื่น ไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก ผมเลยถือโอกาสนี้ทึกทักเอาเองว่าข้าวหอมยอมไปกับผมแล้ว

     “ไปกันเถอะครับ พี่หิวแล้ว เมื่อเช้ารีบไปรับข้าวพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

     ถึงแม้จะดื้อแค่ไหน แต่ผมก็รู้ว่าจุดอ่อนของข้าวหอมอยู่ที่ความใจอ่อน เถียงกันไปมาไม่มีประโยชน์หรอกครับ ต้องเล่นทางน่าสงสาร รับรองว่าได้ผลแน่นอน

     ข้าวหอมเม้มปากแน่นเหมือนกำลังคิดอะไรในหัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผมจะถือว่ามากินข้าวเป็นเพื่อนคนขี้เหงา จะไม่นับว่านี่คือการเดตนะครับ”

     “แล้วแต่ข้าวเลยครับ” ผมยิ้มกว้าง แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ที่จริงการมาห้างครั้งนี้ผมก็ไม่คิดว่าเป็นการเดตเหมือนกัน แต่มันคือการแสดงความรักของผมให้ข้าวหอมเห็น

     ขอเวลาแค่หนึ่งวัน แล้วผมจะเปลี่ยนความคิดของเจ้าตัวเล็กให้ดู



     “ไหนบอกจะมากินข้าวไงครับ”

     “พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะกินข้าว พี่แค่บอกว่าหิว”

     “แต่อาหารมื้อแรกของวันควรเป็นข้าวไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมพี่ถึงพาผมมาร้านไอติม”

     ผมส่งยิ้มไปให้คนถาม ระหว่างนั้นพนักงานก็ยกไอศกรีมที่ผมสั่งไปมาเสิร์ฟ พอเห็นของโปรดมาอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวเล็กก็ตาลุกวาวทันที แต่คงเพราะอยู่กับผมเลยไม่อยากแสดงอาการอะไรมากนัก ผมแอบขำกับท่าทางของข้าวหอม พยักพเยิดหน้าให้เป็นการอนุญาต

     “กินสิครับ”

     “ไม่ครับ ผมแค่มาเป็นเพื่อนพี่เฉยๆ”

     “ถ้ามาเป็นเพื่อนจริงๆ ก็ต้องกินเป็นเพื่อนด้วยครับ ให้พี่กินคนเดียวมันเหงามากเลยนะ”

     ผมว่าจบก็ตักไอศกรีมเข้าปากนำ ข้าวหอมยังไม่ยอมหันมามอง แต่ผมเห็นว่าแอบชำเลืองมามองถ้วยไอศกรีมนิดหนึ่ง

     “อร่อยนะครับ ไม่กินจริงๆ เหรอ” ผมแกล้งทำหน้าตกใจกับความอร่อยของไอศกรีม ข้าวหอมยังคงนั่งนิ่ง ผมเลยตักไอศกรีมเข้าปากอีกคำเพื่อยั่วคนที่วางท่าว่าไม่อยากกินแต่ที่จริงน้ำลายแทบไหลแล้ว

     ข้าวหอมมองผมกินอยู่สักพักก็ทนไม่ไหว ค่อยๆ ยื่นมือมาตักไอศกรีมเข้าปาก ใบหน้าดูมีความสุขมากเมื่อกินไอศกรีมคำแรกเข้าไป แต่ที่ไม่ยอมยิ้มออกมาคงเพราะไม่อยากให้ผมรู้ว่ากำลังอร่อย

     คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ยอมเสี่ยงโดนบาทาไอ้คลื่นด้วยการขอเบอร์น้องเดือนเพื่อจะโทรไปถามความชอบของข้าวหอม

     เมื่อเช้าผมกินข้าวมาแล้ว แต่ที่ต้องโกหกเพราะผมอยากพาข้าวหอมมากินไอศกรีมที่เป็นของโปรดของเจ้าตัว วันนี้ผมอยากทำให้ข้าวหอมมีความสุขมากที่สุด ข้าวหอมจะได้ลืมเรื่องที่ไม่สมควรจำ

     “อร่อยไหม” ผมถามทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ข้าวหอมพยักหน้ารัวๆ ตอนนี้ไอศกรีมหายไปครึ่งถ้วยแล้ว เจ้าตัวเล็กคงกำลังเพลิดเพลินกับของหวานตรงหน้าจนลืมไปแล้วว่าผมอยู่ด้วย

     ผมยกมือมาเท้าคาง มองคนที่กำลังตักไอศกรีมเข้าปากแล้วก็ได้แต่สงสัยในใจ พวกคนที่มาว่าข้าวหอมนี่ไม่รู้ว่าลืมตัดแว่นหรือยังไง จะมองมุมไหนข้าวหอมก็น่ารักไปหมดสำหรับผม เจ้าตัวอาจจะไม่เคยคิดว่าตัวเองน่ารักเพราะเจอคำพูดบั่นทอนจิตใจมาเยอะ แต่ไม่เป็นไร วันนี้ผมจะทำให้ข้าวหอมรู้เองว่าเขาน่ารักแค่ไหน

     “พี่องศาไม่กินเหรอครับ” คนตัวเล็กเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเอาแต่นั่งเฉยๆ

     “พี่อิ่มแล้ว”

     “แต่พี่กินไปนิดเดียวเองนะ”

     “แค่ดูข้าวกินพี่ก็อิ่มแล้วครับ”

     พอได้ยินอย่างนั้นข้าวหอมก็ชะงักไปนิดหนึ่ง “เอ่อ...ผมกินมูมมามมากไปเหรอครับ”

     เวรกรรม ทำไมถึงคิดว่าผมจะด่าได้ล่ะเนี่ย

     “เปล่าครับ พี่หมายถึงตอนกินไอติมข้าวดูมีความสุขมาก พี่เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจที่พามา”

     ข้าวหอมชะงักไปอีกรอบ คราวนี้หลบตาไปมองทางอื่น แก้มเนียนใสพองออกเล็กน้อยอย่างที่ชอบทำประจำเวลาเขิน ผมอมยิ้ม ตักไอศกรีมไปจ่อปากอีกฝ่าย ข้าวหอมเลยหันมาทำหน้างง

     “อะไรครับ”

     “จะป้อน”

     ตากลมๆ เบิกกว้างทันที ข้าวหอมมองไอศกรีมในช้อนอย่างลังเล ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น

     “พี่อยากให้ข้าวลองชิม ไอติมรสนี้อร่อยมากเลยนะ” ผมพูดเมื่อเห็นว่าข้าวหอมไม่ยอมให้ป้อนเสียที

     “มะ...ไม่เป็นไรครับ”

     “ชิมหน่อยเถอะ มาร้านไอติมทั้งที กินอยู่รสเดียวเดี๋ยวไม่คุ้มนะ”

     “...ก็ได้ครับ” ข้าวหอมทำท่าจะเอื้อมมือมาหยิบช้อน แต่ผมชักมือหลบมาก่อน

     “พี่ป้อนครับ”

     “ผมกินเองได้ครับ อีกอย่างในร้านมีคนเยอะ” ข้าวหอมหันไปมองรอบตัวอย่างระแวง

     “แล้วไงครับ ไม่เห็นเกี่ยวเลยว่าจะมีคนอื่นเห็นไหม พี่แค่อยากป้อนข้าว”

     “…”

     “อย่าดื้อสิครับ อ้าปากเร็ว เดี๋ยวมันละลายก่อนนะ”

     พอโดนเร่งมากๆ ข้าวหอมก็ยอมแพ้ในที่สุด ผมยิ้มกริ่ม แอบซ่อนใบหน้าดีใจไว้เมื่อข้าวหอมยอมกินไอศกรีมที่ผมป้อน

     “อร่อยไหมครับ”

     คนตัวเล็กพยักหน้า แก้มทั้งสองข้างแดงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้น่ามองเข้าไปอีก

     “เห็นไหม มีคนคอยป้อนอร่อยกว่ากินเองตั้งเยอะ”

     “เพราะร้านเขาทำไอติมอร่อยหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับที่พี่ป้อนซะหน่อย”

     “ใจร้าย คนเขาอุตส่าห์ป้อนยังมาพูดหักน้ำใจกันได้ลงคอ”

     ข้าวหอมทำหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ ก็โดนผมตัดพ้อ ผมแสร้งทำหน้าเศร้า บุ้ยปากไปยังไอศกรีมอีกถ้วยที่ใกล้จะหมดแล้ว

     “ป้อนพี่บ้างเลย โทษฐานที่ทำให้พี่น้อยใจ”

     “เดี๋ยวนะครับ มันเกี่ยวกันเหรอ”

     “เกี่ยวสิครับ” ไม่รู้ว่าเกี่ยวจริงไหม แต่นาทีนี้อะไรเอามาอ้างได้ผมทำหมด “ป้อนพี่หน่อย พี่อยากชิมไอติมของข้าวบ้าง”

     “ถ้าอยากชิมก็ตักกินเองเลยครับ” ข้าวหอมเลื่อนถ้วยตัวเองมาตรงหน้าผม

     “ข้าวววว ป้อนพี่หน่อยสิครับ”

     “ไม่เอาครับ บอกแล้วไงว่ามีคนเยอะ”

     “พี่ยังป้อนข้าวได้เลย”

     “ก็พี่ไม่แคร์คนอื่นแต่ผมแคร์”

     “ข้าวแคร์คนอื่น แล้วพี่ล่ะครับ ข้าวเคยแคร์บ้างไหม”

     “…”

     “ตอนนี้ข้าวนั่งอยู่กับพี่ ข้าวสนแค่พี่ไม่ได้เหรอครับ ทำไมต้องสนคนอื่นด้วย”

     ข้าวหอมทำหน้าอึกอัก มองมาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าข้าวหอมคิดอะไรอยู่ แต่ผมคิดตามที่พูดไปจริงๆ ผมไม่อยากให้ข้าวหอมสนใจคนอื่น คนเดียวที่อยากให้ข้าวหอมสนใจคือผมเท่านั้น

     “พี่องศา...ไม่อายเหรอครับถ้าจะให้ผมป้อน” คนถามหลุบตามองต่ำ ท่าทางเหมือนไม่แน่ใจว่าควรถามดีไหม ผมเลยดึงมือบนโต๊ะมาจับเพื่อปลอบประโลม

     “ทำไมถึงคิดว่าพี่จะอายล่ะครับ”

     “ก็ผมมันขี้เหร่ ถ้าคนอื่นเห็นว่าพี่ถูกคนอย่างผมป้อนไอติม...”

     “คนอื่นจะคิดยังไงก็เรื่องของเขาสิครับ สำหรับพี่ข้าวสำคัญกว่าคนอื่น ทำไมพี่ต้องแคร์สายตาคนอื่นด้วยล่ะจริงไหม”

     ข้าวหอมไม่ชักมือกลับ ยอมให้ผมจับอยู่อย่างนั้น ผมเลยใช้โอกาสนี้ดึงมือเล็กมาทาบแก้มตัวเองพลางพูดอ้อนอย่างที่อีกฝ่ายแพ้ทาง

     “ข้าวครับ...ป้อนไอติมพี่หน่อยนะ พี่อยากให้ข้าวป้อนจริงๆ”

     คนตัวเล็กกัดปากตัวเอง ทำหน้าลังเลสักพักก่อนจะค่อยๆ ตักไอศกรีมมาจ่อปาก ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ยื่นหน้าไปกินไอศกรีมที่ผมคิดว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

     “อร่อยจัง” ผมพูดยิ้มๆ ทั้งที่ของหวานยังเต็มปาก ข้าวหอมเสมองไปทางอื่น แก้มที่ขึ้นสีระเรื่อพองออกอีกครั้ง

     ผมเริ่มไม่อยากให้ข้าวหอมเขินบ่อยๆ แล้วสิ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็น แต่กลัวเห็นแล้วอดใจไม่ไหวเผลอยื่นหน้าไปฟัดแก้มนุ่มๆ



     อีกหนึ่งเหตุผลที่มาห้างวันนี้นอกจากจะพาข้าวหอมมากินไอศกรีม คือผมตั้งใจจะมาซื้อนาฬิกาเรือนใหม่แทนเรือนเก่าที่พังไป ผมตระเวนไปดูตามห้างอื่นมาแล้ว แต่ไม่ว่าร้านไหนก็ไม่มีแบบที่ผมถูกใจเลย ในเมื่อไม่รู้จะเลือกยังไง วันนี้ผมเลยนึกสนุกให้เจ้าตัวเล็กมาเลือกให้แทน

     “พี่มาจับมือผมทำไมครับ” ข้าวหอมท้วงตอนที่เดินออกมาจากร้านไอศกรีม ผมยกมือที่จับกันอยู่ขึ้นมาดูก่อนจะแกล้งทำหน้าใสซื่อ

     “ทำไมจะจับไม่ได้ล่ะครับ”

     “ก็มันไม่มีเหตุผลให้จับไงครับ”

     “รู้ได้ไงว่าไม่มีเหตุผล”

     “กลัวผมหลงทางเหรอครับ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

     “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ พี่แค่อยากจับเฉยๆ” ผมพูดจบก็กระชับมือของเราสองคนให้แน่นขึ้น “มือข้าวนุ่มดี อยากจับทั้งวันทั้งคืนเลย”

     เจ้าตัวเล็กทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนผมพูดตรงๆ มือบางพยายามดึงออกจากมือของผม “พี่องศา ปล่อยก่อนครับ”

     “ไม่ครับ”

     “เดี๋ยวคนอื่นเขามอง”

     “พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องไปสนคนอื่น”

     “แต่ผู้ชายสองคนมาเดินจับมือในห้างมันจะดูแปลกๆ นะครับ อีกอย่างห้างนี้ก็อยู่ใกล้มหา’ลัย ถ้ามีคนรู้จักมาเห็นเข้าพี่จะโดนนินทาเอาได้”

     สองขาที่กำลังเดินอยู่หยุดกะทันหัน ข้าวหอมที่กำลังเดินตามผมเลยต้องหยุดเหมือนกัน ผมหันไปมองคนที่ขยันคิดมากได้ตลอดเวลา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ

     “พี่จะพูดอีกแค่รอบเดียว คนที่ข้าวควรแคร์และสนใจคือพี่คนเดียว คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างหัวเขา”

     “ผมช่างหัวไม่ได้ครับ ผมไม่อยากให้พี่โดนด่าเหมือนผม ยิ่งถ้าผมเป็นต้นเหตุด้วยผมคง...”

     “ข้าวหอม” ผมเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงดุ “ถ้าการที่พี่จะโดนนินทาเพราะพี่ป้อนไอติมเราหรือเดินจับมือกับเรา รู้ไว้นะครับว่าพี่ไม่เคยเสียใจเลย พี่สนแค่ว่าตอนเราอยู่ด้วยกันพี่ทำให้ข้าวมีความสุขได้ก็พอใจแล้ว เพราะงั้นอย่ามาคิดแทนพี่ อะไรที่พี่บอกว่าอยากทำก็คืออยากทำจริงๆ เข้าใจไหมครับ”

     คนรอบข้างหันมามองเราสองคน คงนึกว่าผมกับข้าวหอมยืนทะเลาะกันอยู่ แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ผมสนคือคำตอบของคนตรงหน้า

     ผมตั้งใจว่าจะคุยเรื่องนี้ตอนกลับ แต่ดูเหมือนถ้าไม่รีบเคลียร์กันให้รู้เรื่องวันนี้คงไม่เป็นอันเที่ยวกันพอดี

     “ตอบครับ เข้าใจที่พี่พูดไหม”

     เมื่อโดนถามอีกครั้งเจ้าตัวเล็กก็เม้มปากแน่นพลางพยักหน้าเล็กน้อย ผมเอ่ยถามย้ำเพราะอยากมั่นใจว่าข้าวหอมเข้าใจจริงๆ

     “เข้าใจว่าอะไรครับ”

     “ขะ...เข้าใจว่าพี่ไม่แคร์คนอื่น”

     “อะไรอีกครับ”

     “พี่แคร์แค่ผมคนเดียว”

     “ถูกต้องครับ” ผมยกยิ้ม เอื้อมมือไปลูบหัวอีกคน “แต่แค่นั้นยังไม่พอ พี่อยากให้ข้าวแคร์พี่คนเดียวด้วย ข้าวทำให้พี่ได้ไหมครับ”

     คราวนี้คนตัวเล็กหลบสายตา ปากบางยื่นออกมาจนน่าเอ็นดู “ขอมากเกินไปแล้วนะครับ ผมก็ให้จับมือแล้วไงยังจะเอาอะไรอีก”

     ผมหลุดขำกับน้ำเสียงของอีกคน อารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา เอาเถอะ ยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ผมยังมีเวลาทำความเข้าใจกับข้าวหอมอีกเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ระหว่างนี้ผมไม่ยอมให้เจ้าตัวเล็กไปทำความเข้าใจกับคนอื่นแน่นอน

     ผมจับมือข้าวหอมเดินนำไปยังร้านนาฬิกา ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนรอบนี้ข้าวหอมจะจับมือผมกลับมาด้วย



     ตอนนี้เราสองคนอยู่ในร้านขายนาฬิกา ข้าวหอมกำลังยืนมองนาฬิกาข้อมือที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกโดยมีผมยืนอยู่ข้างๆ เจ้าตัวเล็กหันมามองผม ทำหน้าแปลกๆ แบบที่ผมเห็นแล้วเกือบหลุดขำ

     “พี่แน่ใจเหรอครับว่าจะให้ผมเลือกจริงๆ”

     “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ”

     ข้าวหอมเขย่งเท้ามากระซิบใกล้ๆ เพราะเกรงใจคุณลุงเจ้าของร้านที่ยืนมองอยู่ “มันมีแต่เรือนแพงๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ ถ้าผมเลือกให้แล้วไม่ถูกใจเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าพี่เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์”

     “อะไรที่ข้าวเลือกให้พี่ถูกใจหมดนั่นแหละครับ ไม่ต้องคิดมากหรอก คิดซะว่าเลือกให้ตัวเองก็ได้”

     “จะดีเหรอครับ”

     ผมพยักหน้าเล็กน้อย ข้าวหอมมองหน้าผมสักพักก่อนจะหันไปเลือกนาฬิกาต่อ ใบหน้าขะมักเขม้นที่กำลังเลือกนาฬิกาอย่างตั้งใจทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ ยิ่งรู้จักผู้ชายคนนี้มากเท่าไหร่ผมยิ่งตกหลุมรักมากเท่านั้น

     ยอมรับว่าตอนเข้าหาข้าวหอมครั้งแรกผมคิดแค่ว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่ารัก แต่พอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นผมก็รู้ว่าสิ่งที่น่ารักไม่ได้มีเพียงแค่หน้าตา ภายใต้บุคลิกนิ่งๆ เหมือนเด็กเรียนนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความหวังดี บ่อยครั้งที่ผมเห็นข้าวหอมห่วงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ จากที่อยากได้มาควงเฉยๆ ผมก็เริ่มรู้สึกมากกว่านั้น ยิ่งวันเวลาผ่านไปความรู้สึกข้างในก็ยิ่งเด่นชัดว่าผมคงหลงรักผู้ชายคนนี้เข้าแล้ว

     ผมเคยถามตัวเองว่าจริงจังกับข้าวหอมมากแค่ไหน แต่จากการที่ผมยอมขับรถไปรับข้าวหอมทุกเช้าทั้งที่ตัวเองเกลียดการตื่นเช้ามากๆ ยอมขับรถไปส่งข้าวหอมที่บ้านไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม ยอมตามจีบเขาอยู่เป็นสัปดาห์ทั้งที่ปกติผมเกลียดการถูกตามจีบ การกระทำเหล่านี้มันบ่งบอกได้ชัดเจนกว่าคำพูดว่าผมจริงจังกับข้าวหอมขนาดที่ตัวผมเองยังคาดไม่ถึงเลย

     เป็นเพราะคิดอะไรเพลินไปหน่อย พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นข้าวหอมกำลังโบกมือไปมาตรงหน้า เจ้าตัวเล็กมองผมพลางทำหน้าเป็นห่วง

     “พี่องศาเป็นอะไรครับ”

     “...เปล่าครับ พี่แค่เหม่อไปหน่อย”

     “ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนาฬิกาที่ผมเลือกให้เหรอครับ”

     “หืม? ข้าวเลือกได้แล้วเหรอ”

     คนถูกถามบุ้ยปากไปยังนาฬิกาสีเงินที่อยู่ในมือเจ้าของร้าน ข้าวหอมคงชอบเรือนนี้เลยขอให้คุณลุงหยิบออกมาให้ดู

     “ผมถามว่าชอบไหมพี่องศาก็ไม่ตอบเลย ผมเกือบคิดว่าพี่หลับกลางอากาศไปแล้ว”

     ผมรับนาฬิกามาจากคุณลุง พลิกไปมาอย่างพิจารณา ปากก็เอ่ยถามอีกคนไปด้วย “ทำไมถึงเลือกสีนี้ให้พี่ล่ะครับ ข้าวชอบเหรอ”

     “ไม่ใช่ครับ ผมเลือกให้เพราะคิดว่ามันน่าจะเข้ากับพี่”

     “ยังไงครับ”

     “เอ่อ...ผมแค่รู้สึกว่าพี่องศาเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีตลอดเวลา หันไปมองทีไรก็มักจะมีรอยยิ้มติดใบหน้าเสมอ ผมเลยคิดว่าถ้าใส่นาฬิกาสีเงินที่ข้อมือน่าจะเข้ากับลุคหนุ่มสดใสมากๆ”

     ผมไม่รู้ว่าริมฝีปากตัวเองยกยิ้มเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าคำพูดของเจ้าตัวเล็กมันน่ารักเสียจนผมอยากอุ้มไปฟัดในรถให้หนำใจซะตอนนี้เลย ข้าวหอมที่เห็นผมเอาแต่ยิ้มเอียงคอมองอย่างสงสัย ผมโน้มใบหน้าไปใกล้โดยทำเป็นไม่เห็นสายตาของเจ้าของร้าน

     “เพิ่งรู้ว่าข้าวคอยสังเกตพี่อยู่ตลอดเวลานะเนี่ย”

     คนที่รู้ข้อมูลผมอย่างดีทำหน้าเลิ่กลั่ก คงกำลังคิดหาคำแก้ตัวอยู่ในหัว

     “คะ...คนอื่นเขาก็รู้เรื่องนี้กันหมดนั่นแหละครับ พี่องศาดังจะตาย ไม่รู้ตัวหรือไงครับ”

     “รู้ครับว่าตัวเองดังจนมีคนสนใจเยอะ แต่ที่ไม่รู้คือข้าวก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

     ใบหน้าข้าวหอมแดงซ่านจนเห็นได้ชัด ผมยกยิ้ม ใช้เวลาที่อีกฝ่ายคิดคำเถียงไม่ออกหันไปคุยเรื่องราคากับเจ้าของร้าน หลังจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วผมก็จูงมือคนตัวเล็กออกมาจากร้าน ยกข้อมือข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นมาอย่างต้องการจะอวด

     “อืม...เข้ากับพี่จริงๆ ด้วย คิดไม่ผิดเลยที่ให้เรามาช่วยเลือก ขอบคุณนะครับ” ผมหันไปยิ้มให้คนที่เดินข้างกัน ข้าวหอมไม่ยอมมองตาผม เอาแต่หลบหน้าพลางพูดไปถึงเรื่องอื่น

     “อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้สนใจพี่ แค่บุคลิกของพี่มันชัดเจนเท่านั้นเอง”

     “ที่ผ่านมาข้าวอาจจะไม่เคยสนใจพี่ แต่หลังจากนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแน่นอน พี่มั่นใจ”

     ผมสอดมือหนาของตัวเองเข้ากับมือเล็กของข้าวหอม กระชับให้แน่นขึ้นเพื่อบอกทางอ้อมว่าผมจะไม่ยอมให้มือของเราสองคนปล่อยออกจากกันเด็ดขาด



     หลังจากเดินเล่นไปทั่วห้างจนไม่มีที่ไหนให้เดินแล้ว ผมก็พาข้าวหอมไปเลี้ยงอาหารเกาหลีเพื่อตอบแทนที่เลือกนาฬิกาให้ เป็นเพราะตอนกลางวันกินไปแค่ไอศกรีม เราสองคนจึงสั่งอาหารมาเยอะจนแทบจะล้นโต๊ะ กว่าจะกินเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม

     “อิ่มไหมครับ” ผมถามคนข้างๆ ขณะที่กำลังขับรถ ข้าวหอมหันมามองเหมือนผมถามอะไรที่ไม่ควรถาม

     “กินไปตั้งขนาดนั้น ถ้ายังไม่อิ่มก็ไม่ใช่คนแล้วครับ”

     “ที่จริงเราควรกินข้าวเยอะๆ แบบนี้ทุกวันนะ ผอมจนแทบจะเห็นกระดูกแล้วนั่น” ผมเหลือบไปมองเรือนร่างที่อยู่ภายใต้ชุดนักศึกษา ข้าวหอมตัวเล็กจนผมกลัวว่าจะถูกพัดไปตามลม

     “เกินไปครับ ขืนกินเหมือนวันนี้บ่อยๆ ผมได้กลิ้งไปเรียนกันพอดี”

     “จะกลิ้งไปเรียนทำไม มีคนคอยขับรถไปรับส่งให้ทั้งที”

     ผมคิดว่าข้าวหอมน่าจะเขินจนต้องตอบอะไรกลับมาบ้าง แต่น่าแปลกที่คราวนี้เจ้าตัวเล็กไม่ส่งเสียงอะไรเลย ผมอาศัยจังหวะที่ถนนโล่งหันไปมองคนด้านข้าง ใบหน้ากลมหม่นลงเหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง

     “ข้าวเป็นอะไรครับ”

     เจ้าของชื่อค่อยๆ หันมามองผม สายตาของข้าวหอมเต็มไปด้วยความสับสนและไม่มั่นใจ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร

     “พี่จริงจังหรือแค่เล่นๆ ครับ”

     “เรื่องอะไรครับ”

     “ที่พี่บอกว่าชอบผมไงครับ”

     คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้ผมผงะไปเล็กน้อย ข้าวหอมมองผมตาไม่กะพริบราวกับกำลังรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

     “พี่ตามจีบขนาดนี้ ข้าวยังคิดว่าพี่ไม่จริงจังอีกเหรอ”

     “พี่อาจจะเพิ่งเคยสนใจผู้ชายครั้งแรก เลยเข้าใจผิดว่าความแปลกใหม่ในการจีบผู้ชายด้วยกันคือความชอบก็ได้ครับ”

     “ข้าวหอม” ผมเอ่ยเสียงแข็งก่อนที่ปากเล็กๆ นั่นจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ “อย่ามาดูถูกความรู้สึกของพี่ครับ พี่บอกว่าชอบก็คือชอบจริงๆ ไม่ได้เข้าใจผิดอะไรเลย”

     “ผมไม่ได้ดูถูก ผมแค่ไม่อยากให้เราสองคนถลำลึกเกินไปจนสุดท้ายต้องมาเสียใจกันทั้งคู่”

     “มันจะเสียใจยังไงครับ ข้าวลองบอกพี่มาหน่อย” ผมใจเย็นลง เปลี่ยนเป็นค่อยๆ ตะล่อมถามเหตุผลแทน

     “เราสองคนต่างกันเกินไป”

     “ต่างยังไงครับ”

     “พี่หน้าตาดี มีคนชอบเยอะแยะ ส่วนผมหน้าตาขี้เหร่ มีแต่คนบอกว่าไม่น่ารัก ต่อให้พี่ได้คบกับผมจริงๆ วันนึงเราก็ต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้อยู่ดี เราอยู่ในสังคมที่มีผู้คนมากมาย จะให้เมินคำพูดของคนอื่นแล้วทำตามใจตัวเองอย่างเดียวมันไม่ได้หรอกครับ”

     ผมชะลอความเร็วของรถลง เพราะกลัวว่าถ้าขับเร็วกว่านี้ผมอาจหุนหันพลันแล่นจนเผลอไปชนคันอื่นเอาได้ แค่ฟังน้ำเสียงของข้าวหอมผมก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังเจ็บปวดไม่น้อย ยิ่งรู้ว่าข้าวหอมคิดแง่ลบกับตัวเองมาทั้งชีวิตเพราะโดนคนรอบข้างบีบบังคับให้เป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกโมโหจนอยากจอดรถแล้วหากำแพงต่อยสักหมัดสองหมัด

     ข้าวหอมไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้ จริงอยู่ที่ต่างคนต่างความคิด ทุกคนมีสิทธิ์คิดว่าคนอื่นไม่น่ารัก แต่การไปดูถูกหรือด่าทอเขาแค่เพราะไม่ชอบรูปร่างหน้าตามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย

     “ข้าวหอมครับ ฟังพี่นะ” ผมดึงมือเจ้าตัวเล็กมาวางบนตัก บีบกุมเบาๆ เผื่อมันจะช่วยสร้างความมั่นใจให้เจ้าของได้ “เราไม่ควรเมินคนในสังคมเดียวกันก็จริง แต่นั่นมันในกรณีที่เราทำให้คนอื่นเดือดร้อน การที่พี่กับข้าวจะคบกันมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย หรือถ้ามีคนเดือดร้อนจริงๆ นั่นเป็นปัญหาที่เขาต้องแก้เอง ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเก็บมาใส่ใจ”

     ข้าวหอมมองตรงไปข้างหน้า ผมเลยไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทางจะโต้แย้งผมเลยพูดต่อไปอีก

     “ส่วนที่ข้าวบอกว่าตัวเองไม่น่ารัก พี่เถียงหัวชนฝาเลยครับว่าไม่จริง ข้าวไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเทียบกับน้องเดือนหรือคนอื่นเพราะข้าวมีความน่ารักในแบบของตัวเองอยู่แล้ว คนอื่นจะคิดยังไงพี่ไม่รู้ แต่สำหรับพี่ข้าวน่ารักที่สุดและจะน่ารักตลอดไป”

     คนน่ารักหันมามองทันที ผมเลยหันไปสบตาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดเป็นความจริง คำว่าน่ารักของผมไม่ได้หมายถึงแค่หน้าตา แต่ทุกอย่างที่หลอมรวมมาเป็นเด็กผู้ชายที่ชื่อข้าวหอมนั้นน่ารักไปหมดในสายตาผม

     “ที่ข้าวบอกว่าเราคบกันไม่ได้ พี่ไม่รู้นะครับว่าทำไมเราถึงคิดแบบนั้น ถ้าสาเหตุมันมาจากพี่ พี่ยินดีพิสูจน์ตัวเองให้ข้าวเห็น ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตพี่ก็ยอม แต่ถ้าสาเหตุมาจากตัวข้าวเอง อยากให้รู้ไว้นะครับว่าข้าวเป็นเด็กน่ารักที่ใครได้ไปเป็นแฟนคงโชคดีมากๆ และพี่ก็อยากเป็นคนที่โชคดีคนนั้น”

     ที่ผมพาข้าวหอมมาห้างวันนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่เคยอายเลยถ้าเราสองคนจะคบกัน จะให้เดินจับมือ ป้อนข้าว หอมแก้ม หรือให้ทำอะไรต่อหน้าคนหมู่มากผมก็ยินดีเสมอถ้าเป็นข้าวหอม ผมคิดว่าคนอื่นต้องอิจฉาผมด้วยซ้ำ มันน่าภูมิใจจะตายที่มีแฟนน่ารักขนาดนี้

     ผมจอดรถเมื่อขับมาถึงหน้าบ้านของข้าวหอม ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็ยังไม่ปล่อยมือ ผมขยับเข้าหาคนตัวเล็ก เอื้อมมือไปประคองแก้มให้หันมาสบตา แววตาของข้าวหอมดูดีใจและลังเลในเวลาเดียวกัน ผมยกยิ้มก่อนจะเอ่ยอ้อนวอนด้วยใบหน้าจริงจัง

     “ก่อนหน้านี้ข้าวอาจจะเสียใจมาเยอะ แต่หลังจากนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว ให้โอกาสพี่นะครับ...พี่สัญญาว่าจะทำให้ข้าวมีแต่ความสุข”





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.23 [07/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-09-2022 18:43:50
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.23 [07/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-09-2022 00:34:18
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.23 [07/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 08-09-2022 04:01:15
 :impress2:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 24 [09/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 09-09-2022 19:07:52
ตอนที่ 24 : เราเป็นแฟนกันแล้วนะ





     “การยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการอยู่ร่วมกันของสังคม สิ่งที่จะทำให้มนุษย์เป็นระเบียบมากขึ้นคือกฎระเบียบที่เรียกว่าประเพณี หากพูดกันตามตรงแล้วประเพณีที่บรรพบุรุษของเราสืบทอดกันมา...”

     “มึง ไอ้ข้าวเป็นอะไรวะ” ฝนที่นั่งด้านหลังยื่นหน้ามากระซิบ ผมเลยละความสนใจจากอาจารย์ที่กำลังอธิบายเนื้อหาแล้วหันไปมองคนด้านข้าง

     ข้าวหอมยกมือมาเท้าคาง แววตาที่กำลังมองไปยังหน้าต่างดูเหม่อลอย ปกติข้าวหอมจะตั้งใจเรียนทุกคาบ ยิ่งช่วงไหนใกล้สอบอย่าได้ชวนคุยระหว่างเรียนเชียวไม่งั้นมีโกรธ แต่ข้าวหอมที่ไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอนอย่างในตอนนี้พวกผมไม่เคยเห็นมาก่อน

     “ทะเลาะกับพี่องศาเหรอวะ กูเห็นตั้งแต่เช้ามันไม่พูดอะไรกับใครเลย” ควีนตั้งข้อสงสัย ผมเหลือบมองว่าอาจารย์ทำอะไรอยู่ เมื่อเห็นแกกำลังพูดเนื้อหาบนสไลด์อย่างติดลมผมเลยหันไปถามข้าวหอม

     “ข้าวเป็นอะไรหรือเปล่า เครียดอะไรอยู่บอกเราได้นะ”

     ข้าวหอมหันมามองพวกผม ใบหน้าหม่นหมองทำให้ผมมั่นใจว่าเจ้าตัวกำลังมีเรื่องคิดมากอยู่แน่นอน

     “ไม่มีอะไรหรอก เดือนอย่าสนใจเลย”

     “ไม่จริงค่ะ ท่าทางมึงมันฟ้องว่ากำลังคิดมาก พี่องศาทำอะไรมึงหรือเปล่า เมื่อวานมึงไปกับเขาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมกลับมาถึงเอาแต่ซึมแบบนี้” ฝนพูดยาวเป็นหางว่าว ผมเดาว่ามันคงเป็นห่วงกับอยากเสือกเท่าๆ กัน

     คนถูกถามถอนหายใจเล็กน้อย ลองไอ้ฝนถามอย่างนี้ผมว่าข้าวหอมคงปิดไม่มิดแล้วล่ะ “ข้าวแค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”

     “เรื่องอะไร”

     “เอาไว้เรียนเสร็จก่อนดีกว่า ตอนนี้ฝนกับควีนหันไปฟังอาจารย์ก่อนเถอะ” ข้าวหอมว่าเมื่อเห็นอาจารย์มองมาทางนี้ ฝนกับควีนที่กลัวอาจารย์คนนี้ยิ่งกว่าแม่แท้ๆ เลยรีบนั่งหลังตรงตั้งใจเรียนขึ้นมาทันที ระหว่างนั้นผมก็ลอบมองข้าวหอมเป็นระยะ ถึงจะบอกว่าไม่ต้องสนใจแต่ผมก็อดห่วงไม่ได้

     เมื่อวันก่อนผมอุตส่าห์บอกข้อมูลของข้าวหอมให้พี่องศารู้ ผมนึกว่าทุกอย่างจะไปได้สวยซะอีก ไม่คิดเลยว่าข้าวหอมจะมีท่าทางอย่างนี้



     “มึงทะเลาะกับพี่องศาเหรอ” ฝนถามเกริ่นนำเมื่อเห็นว่านั่งกินข้าวกันมานานแล้วข้าวหอมยังไม่ยอมพูดอะไรสักที คนถูกถามเขี่ยน้ำแข็งไสในถ้วยไปมา ไม่แน่ใจว่าไม่ได้ยินหรือไม่ยอมตอบ “ไอ้ข้าว”

     “หือ?”

     “กูถามว่าทะเลาะกับพี่องศาเหรอ”

     “เปล่า”

     “แล้วมึงเป็นอะไร”

     ข้าวหอมหลุบตามองต่ำ กัดปากตัวเองเหมือนกำลังคิดอะไรในหัว ผมเลยลองช่วยไอ้ฝนพูดอีกแรงเผื่อข้าวหอมจะยอมบอก

     “ตอนอยู่ในห้องเรียนข้าวบอกว่ามีเรื่องคิดมากใช่ไหม ข้าวคิดอะไรอยู่ บอกได้ไหมเผื่อเราช่วยได้”

     ปกติถ้าผมพูดดีๆ แบบนี้ข้าวหอมจะยอมบอก หรืออย่างน้อยถ้าเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้จริงๆ ข้าวหอมก็จะบอกมาตรงๆ แต่คราวนี้ข้าวหอมกลับมองผมนิ่งๆ ก่อนจะเข้ามาสวมกอดโดยไม่พูดอะไร

     “ข้าว...เป็นอะไรไป”

     ฝนกับควีนต่างมองมาอย่างตกใจ ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าข้าวหอมจะทำอะไรแบบนี้ สองมือผมเอื้อมไปกอดหลังก่อนจะลูบขึ้นลงตามสัญชาตญาณ ไม่รู้หรอกว่าข้าวหอมเป็นอะไร แต่ผมคิดว่าทำแบบนี้แล้วน่าจะช่วยให้ข้าวหอมรู้สึกดีขึ้น

     “ข้าว มึงโดนรังแกมาใช่ไหม บอกมานะว่าใครทำ เดี๋ยวกูไปตบมันให้” ควีนเห็นสีหน้าข้าวหอมเลยคิดว่าโดนหาเรื่องมา มันทำหน้าจริงจังจนฝนต้องบอกให้ใจเย็นๆ

     “มึงเป็นอะไรก็พูดมาสิวะ พวกกูอยากช่วยมึงนะเว้ย ไหนสัญญาว่าถ้าเกินกำลังมึงจะมาปรึกษาพวกกูไง”

     ผมยังคงลูบหลังข้าวหอมต่อไป บริเวณปกเสื้อสัมผัสได้ถึงความชื้น ผมเลยรู้ว่าข้าวหอมกำลังร้องไห้ ผมหันไปมองหน้าฝนกับควีนอย่างไม่รู้จะทำยังไง นี่มันยิ่งกว่าผิดปกติแล้ว เมื่อวานต้องเกิดอะไรขึ้นกับข้าวหอมแน่ๆ

     “ข้าว ใจเย็นๆ แล้วตั้งสติก่อน บอกมาว่ากำลังคิดมากเรื่องอะไร ถ้าข้าวไม่บอกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”

     โต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามอง คงเห็นว่าข้าวหอมกำลังร้องไห้จนไหล่สั่น ฝนกับควีนที่ทำอะไรไม่ถูกเลยยื่นมือมาลูบหลังด้วย สีหน้าพวกมันทั้งเป็นห่วงเพื่อนและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

     “เดือน...” เสียงอู้อี้ของคนที่กอดผมอยู่ดังขึ้นมา

     “ว่าไง”

     “เดือนรักข้าวไหม”

     ฝนกับควีนทำตาปริบๆ คงไม่นึกว่าข้าวหอมจะถามอะไรแบบนี้ ผมเองก็งงเหมือนกัน แต่เพราะไม่อยากขัดจึงต้องตามน้ำไปก่อน

     “ก็ต้องรักสิ ข้าวเป็นเพื่อนเรานะ”

     “แล้วฝนกับควีนล่ะรักข้าวไหม”

     “ถามอะไรแปลกๆ ถ้าไม่รักจะคบมาจนถึงตอนนี้เหรอวะ”

     “ใช่ อีฝนพูดถูก ถึงกูจะปากหมา หยาบคาย เอาแต่ใจ ชอบด่ามึงทุกเช้าเย็น แถมยังขยันจับมึงใส่พานให้พี่องศา แต่กูก็รักมึงมากเลยนะเว้ย”

     “แค่บอกว่ารักก็พอไหม ไม่ต้องพ่วงสรรพคุณมาด้วยก็ได้”

     “กูกลัวไอ้ข้าวไม่เชื่อไง คนอย่างอีควีนพูดอะไรจริงจังเสมอค่ะ”

     “ทำไมจู่ๆ ข้าวถึงถามอย่างนี้ล่ะ” ผมรีบวกกลับมาเรื่องเดิมก่อนที่พวกมันสองคนจะพาออกนอกทะเล

     “ข้าวแค่อยากรู้น่ะว่ายังมีคนรักข้าวอยู่หรือเปล่า”

     พวกผมสามคนมองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมว่ามันต้องมีคนมาพูดจาแย่ๆ ให้ข้าวหอมคิดมากแน่นอน อย่าให้รู้นะว่าใคร ผมจะไปขโมยรองเท้าส้นสูงของไอ้ฝนมาปาใส่หน้าแม่งเลย

     “แล้วทุกคนคิดว่าข้าวน่ารักไหม”

     “เอ่อ...” ฝนกับควีนถึงกับพูดไม่ถูกเมื่อเจอคำถามไม่คาดคิดข้อที่สอง

     “ตอบมาตามตรงนะ ห้ามโกหก”

     “น่ารักที่ข้าวถามหมายถึงหน้าตาหรือนิสัย” ผมถามข้าวหอม

     “ทั้งหมดเลย”

     “งั้นข้าวฟังเรานะ” ผมจับข้าวหอมให้นั่งดีๆ เพื่อจะได้คุยกันถนัด ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มอย่างแผ่วเบา “ถ้าพูดถึงหน้าตาเราคิดว่าข้าวน่ารัก แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดเหมือนเราก็ได้ ข้าวก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเก็บมาคิดมากเลย ส่วนเรื่องนิสัย เรากล้าพูดว่าข้าวนิสัยน่ารักมากๆ ข้าวพูดเพราะ เป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร แสนดีขนาดนี้ถ้าไม่น่ารักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”

     ฝนกับควีนพยักหน้าเห็นด้วย ผมไม่รู้ว่าพูดตรงประเด็นหรือเปล่า แต่ผมเดาว่าที่ข้าวหอมกำลังคิดมากคือเรื่องไม่มั่นใจในตัวเอง

     “เดือนคิดว่าข้าวน่ารักเหรอ”

     “อืม ไม่ใช่แค่เรานะ พวกมันสองคนก็คิดเหมือนกัน”

     “ถูกค่ะ มึงต้องมีความมั่นใจให้มากๆ ใครจะว่าอะไรก็โนสนโนแคร์เข้าไว้ เราน่ารักซะอย่าง อย่าให้ลมปากเหม็นๆ มาพัดความมั่นของเราลอยหายไปได้”

     ถึงคำพูดไอ้ควีนจะทุเรศไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ทำให้ข้าวหอมหลุดยิ้มได้ ผมเอื้อมมือไปจับไหล่ข้าวหอม ยิ้มบางๆ ให้กำลังใจ

     “เราถามจริงๆ นะ ข้าวกำลังคิดมากเรื่องพี่องศาใช่ไหม”

     คนคิดมากสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าดูตกใจกับคำถามของผม เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ผมสงสัยเป็นความจริง บอกแล้วไงว่าข้าวหอมปิดบังอะไรพวกผมไม่ได้หรอก คบกันมาตั้งนานเรื่องแค่นี้ทำไมจะดูไม่ออก

     “เมื่อก่อนพี่องศาเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่ตอนนี้เรามั่นใจว่าเขาชอบข้าวมากๆ ข้าวก็ชอบเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อใจตรงกันขนาดนี้แล้วจะเอาแต่คิดมากทำไม ทำตามเสียงหัวใจไปเลย”

     ฝนพยักหน้ารับ ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอีกคน “มึงเชื่อกูสิ ที่พี่องศาชอบมึงเพราะเขาเห็นความน่ารักในตัวมึงแน่นอน กูไม่รู้นะว่ามึงเจออะไรมา แต่มึงอย่าให้คำพูดของใครก็ไม่รู้มาสำคัญกว่าความรู้สึกของตัวเองสิวะ”

     ข้าวหอมเม้มปากแน่น คงกำลังเก็บคำพูดของพวกผมไปคิด ผมเลยดึงมืออีกฝ่ายมากุมแล้วบีบเบาๆ

     “ค่อยๆ คิดก็ได้ พี่องศาไม่หนีไปไหนหรอก เทียวรับเทียวส่งทุกวันขนาดนี้ยังไงข้าวก็หนีเขาไม่พ้นอยู่แล้ว”

     ข้าวหอมหน้าแดงเมื่อโดนผมเอ่ยแซว ฝนกับควีนที่ถนัดเรื่องแบบนี้อยู่แล้วเลยเข้ามาร่วมวงด้วยทันที พอได้เห็นข้าวหอมที่กำลังถกเถียงกับเพื่อนผมก็ลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าหายคิดมากหรือยัง แต่อย่างน้อยสีหน้าก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลับมาเป็นข้าวหอมคนเดิมของผมแล้ว

     ข้าวหอมคอยให้กำลังใจผมตอนเข้าใจผิดเรื่องพี่คลื่น ผมเองก็อยากเป็นกำลังใจให้ข้าวหอมเหมือนกัน



     “เป็นอะไรครับ คิ้วผูกกันเป็นโบว์เชียว”

     ร่างสูงที่กำลังลวกเส้นสปาเกตตีเอ่ยถามขึ้นมา ผมเลยละสายตาจากการแกะเปลือกกุ้งหันไปทำหน้างง

     “คิ้วผูกกันอะไรครับ”

     “ไม่รู้เหรอว่าตัวเองกำลังทำหน้าเครียด คิ้วย่นไปหมดแล้วครับ” พี่คลื่นยื่นมือมานวดหว่างคิ้วผมเบาๆ ผมได้แต่ยิ้มแหะๆ กลับไปให้

     “สงสัยผมคงเครียดว่าจะทำครัวพี่พังหรือเปล่า”

     “พูดอะไรอย่างนั้น ข้าวต้มเราก็ทำให้พี่กินมาแล้ว แค่ช่วยพี่ทำอาหารแค่นี้ไม่เกินความสามารถเดือนหรอก พี่รู้”

     พี่คลื่นโยกหัวผมไปมาก่อนจะหันไปสนใจเส้นสปาเกตตีในหม้อต่อ ผมแอบถอนหายใจเบาๆ หันมาแกะเปลือกกุ้งที่ทำค้างไว้โดยที่เรื่องเครียดในหัวยังไม่จางหายไป

     ผมไม่ได้เครียดเรื่องทำอาหารหรอก แต่กำลังเป็นห่วงเพื่อนสนิท ถึงแม้จะพูดปลอบข้าวหอมไปแล้วแต่ผมก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดีว่าป่านนี้ข้าวหอมกับพี่องศาจะเปิดอกคุยกันหรือยัง ท่าทางของข้าวหอมเมื่อตอนกลางวันมันเหมือนคนที่คิดมากเรื่องนี้มานานแล้ว พอคิดว่าเพื่อนเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้กับตัวเองมาตลอดโดยที่ผมไม่เคยช่วยอะไรเลย ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดของผมที่ไม่สังเกตอาการของเพื่อนให้ดี

     ผมอยากช่วยข้าวหอมมากกว่านี้ แต่ผมเป็นคนนอก ทำได้มากสุดแค่คอยให้กำลังใจกับคำปรึกษา ผมถึงได้หงุดหงิดอยู่ในตอนนี้ที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

     “พี่คลื่นครับ ผมแกะเสร็จแล้ว” ผมเอาเนื้อกุ้งไปล้างน้ำอีกรอบก่อนจะเอามาใส่ถ้วยเล็กพร้อมกับที่เส้นสุกพอดี คนตัวสูงตักเส้นขึ้นมาวางพักไว้ รับกุ้งไปเทลงในหม้อ หยิบไส้กรอกมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

     “เดือนไปหยิบนมสดกับวิปครีมในตู้เย็นให้พี่หน่อย”

     ผมทำตามที่พี่คลื่นสั่ง พอมีวัตถุดิบครบแล้วพี่คลื่นก็จัดการเอาเส้นและเนื้อสัตว์ลงไปในกระทะ เทวิปครีมที่ผสมกับไข่แดงแล้วตามลงไปแล้วค่อยๆ คนให้ทุกอย่างเข้ากัน กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว ผมมองสปาเกตตีคาโบนาร่าในกระทะแล้วอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเพื่อนๆ มากินด้วยก็คงจะดี

     วันนี้ตอนเลิกเรียนพี่คลื่นชวนผมมาค้างที่คอนโดฯ โดยบอกว่าอยากทำคาโบนาร่าให้กิน ตอนแรกพี่คลื่นจะให้ผมไปนั่งรอที่โต๊ะเหมือนทุกที แต่วันนี้ผมมีเรื่องเครียดเยอะเลยอยากหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ผมเลยอาสาเป็นลูกมือในครัวโดยให้พี่คลื่นคอยบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งเจ้าของห้องก็รีบตอบรับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้ผมเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

     ‘ช่วยกันทำอาหารก็ดีเหมือนกัน จะได้เหมือนสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้ว’

     สาบานว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะช่วยพี่คลื่นทำอาหาร ผมเกรงใจพี่คลื่นก็จริง แต่ก็กลัวตัวเองจะเขินตายก่อนวัยอันควรเหมือนกัน

     พักหลังมานี้ผมมาค้างห้องพี่คลื่นบ่อยจนเริ่มเสียดายค่าหอที่จ่ายไป ยิ่งนานวันเข้าห้องพี่คลื่นก็มีข้าวของของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนมันแทบจะเป็นห้องของเราสองคนไปแล้ว ทุกครั้งที่พี่คลื่นชวนมาค้างผมปฏิเสธไม่เคยได้เลย คนตัวสูงชอบเอาลักยิ้มกับน้ำเสียงออดอ้อนมาใช้ ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมตกลงถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่เคยได้หลับสนิทสักคืนก็เถอะ

     เอ่อ...ผมหมายถึงพี่คลื่นชอบขโมยหอมแก้มบ่อยๆ นะครับ ส่วนเรื่องอย่างว่าเรายังไม่เคยทำกันเลย มากสุดก็แค่จูบ ผมเคยพูดไปว่ายังไม่พร้อมและพี่คลื่นก็ไม่เคยเร่งรัด ผมเลยคิดว่าให้มันค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า

     ที่จริงวันนี้พี่คลื่นชวนเพื่อนกลุ่มผมและกลุ่มตัวเองมาเที่ยวคอนโดฯ ด้วย คงตั้งใจจะทำคาโบนาร่าเลี้ยงทุกคน แต่ข้าวหอมต้องรีบกลับบ้าน พี่องศาที่เป็นสารถีขับรถให้ข้าวหอมเลยพลอยมาไม่ได้ไปด้วย ฝนถูกน้องบาสลากไปเดินซื้อของเป็นเพื่อน พี่ทิวชวนควีนไปบ้านตัวเองโดยอ้างว่าอยากให้ควีนไปช่วยทำอาหาร (คู่นี้ผมคงต้องนัดสอบสวนทีหลังซะแล้ว) ส่วนพี่ยี่หวาที่ว่างอยู่คนเดียวก็บอกว่าไม่อยากมาดูผมกับพี่คลื่นสวีทกันให้ช้ำใจคนโสด ทั้งห้องตอนนี้จึงมีแค่ผมกับเจ้าของห้องอย่างที่เห็น

     “ชิมให้พี่หน่อยครับ”

     พี่คลื่นตักเส้นสปาเกตตีใส่ช้อนแล้วยื่นมาป้อน ผมพยักหน้ายิ้มๆ ให้เมื่อเห็นว่ารสชาติโอเคแล้ว คนตัวสูงปิดไฟก่อนจะหยิบจานมาสองใบ ระหว่างที่ตักคาโบนาร่าใส่จานปากก็พูดกับผมไปด้วย

     “อยากปรึกษาพี่ไหม”

     “ปรึกษาอะไรครับ”

     “เรื่องที่เดือนกำลังเครียดอยู่ไง”

     ผมตกใจนิดหน่อยเมื่อพี่คลื่นทำท่าเหมือนดูออกว่าผมกำลังเครียดเรื่องอื่น คนตัวสูงยังคงพูดกับผมขณะที่กำลังโรยผงพาร์สลีย์ลงไปบนอาหาร

     “ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรครับ แต่อยากให้รู้ไว้ว่าพี่อยู่ข้างเดือนเสมอนะ ปัญหาของเดือนก็คือปัญหาของพี่ เดือนรู้ใช่ไหม”

     “รู้ครับ” ผมพูดไปยิ้มไป รู้สึกอุ่นวาบในอกเมื่อได้ยินคำพูดของพี่คลื่น

     “ยิ้มแล้ว” ร่างสูงเอื้อมมือมาลูบแก้มผม “พี่ชอบเดือนตอนยิ้ม ไม่อยากเห็นเดือนทำหน้าเครียดเลย”

     “แค่พี่อยู่ข้างๆ ผมก็ยิ้มออกแล้วครับ” ผมพูดออกไปตามความรู้สึก เสียงนุ่มทุ้มของพี่คลื่นทำให้ผมลืมไปแล้วว่ากำลังคิดมากเรื่องอะไร

     “ถ้าอย่างนั้นเดือนคงต้องเมื่อยแก้มหน่อยนะ”

     “ทำไมครับ”

     “พี่จะอยู่ข้างเดือนไปตลอด ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็จะไม่ไปไหน จะตัวติดกับเดือนไปทั้งชีวิตเลย”

     ละลายสิครับ พี่คลื่นเล่นพูดขนาดนี้ ถ้าระเหยกลายเป็นไอน้ำได้ผมคงทำไปแล้ว คนตัวสูงเห็นผมเขินก็มองมาใหญ่ จนผมต้องแกล้งโวยวายเพื่อกลบเกลื่อน

     “ตักเสร็จหรือยังครับ ผมหิวแล้ว ถ้าพี่มัวแต่ชักช้าเดี๋ยวผมทำเองซะเลย”

     “ฮ่าๆๆ หิวขนาดนั้นเลยเหรอ” สายตาแพรวพราวที่มองมาทำให้ผมเริ่มระแวง “ถ้าหิวมากกินพี่รองท้องก่อนได้นะครับ เผลอๆ เดือนจะอิ่มจนไม่อยากกินอะไรต่อเลย”

     “พี่คลื่น!” ผมตีแขนอีกฝ่ายไปเต็มแรง รีบเดินออกมานั่งรอที่โต๊ะทันที รู้หรอกว่าเขาพูดเล่นแต่ผมอดเขินไม่ได้นี่นา ใครใช้ให้พูดพร้อมกับทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นล่ะ

     สงสัยผมคงต้องหัดปฏิเสธที่จะมาค้างห้องพี่คลื่นอย่างจริงจังแล้ว ยิ่งมาค้างบ่อยเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่านั้น



     “เดือน” จู่ๆ คนที่นอนตักผมอยู่ก็เอ่ยเรียก ผมเลยขานรับขณะที่ตามองโทรทัศน์

     “ว่าไงครับ”

     “ย้ายมาอยู่กับพี่ไหม”

     ผมที่กำลังตั้งใจดูสารคดีสัตว์โลกถึงกับต้องก้มหน้ามามองคนพูดทันที พี่คลื่นมองผมอยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง

     “พี่คลื่น...ว่ายังไงนะครับ”

     “ย้ายมาอยู่กับพี่ไหม” คำถามเดิมถูกถามรอบที่สองพร้อมกับมือของผมที่ถูกคนตัวสูงดึงไปทาบแก้มตัวเอง

     “พูดจริงหรือพูดเล่นครับ”

     “จริงสิ เดือนจะได้ไม่ต้องไปๆ มาๆ ให้เหนื่อย อีกอย่างพี่ไม่อยากวิดีโอคอลแล้ว ได้นอนกอดกันแบบนี้ดีกว่าเยอะ” พูดจบก็วาดมือมากอดรอบเอว เหมือนกลัวผมไม่รู้ว่าการนอนกอดมันเป็นยังไง

     ช่วงนี้ผมกับพี่คลื่นไม่ค่อยได้วิดีโอคอลกันแล้ว ไม่ใช่ว่าเบื่อนะครับ แต่เพราะเราสองคนนอนด้วยกันแทบทุกคืนเลยไม่มีความจำเป็น แต่วันไหนที่ผมมาค้างห้องพี่คลื่นไม่ได้เราก็ยังวิดีโอคอลกันเหมือนเดิม มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว ที่จริงพี่คลื่นเคยขอมาค้างห้องผมเหมือนกัน แต่เพราะมันแคบเกินไปสำหรับสองคนผมเลยกลัวว่าจะอึดอัดกันเปล่าๆ

     “มันจะไม่เร็วไปเหรอครับ”

     “ไม่หรอก จะช้าหรือเร็วเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี พี่ไม่ให้เดือนหนีไปไหนหรอกนะ” สายตาที่คนด้านล่างมองมาทำให้ผมรู้สึกดีและเขินอายพร้อมกัน ผมยกยิ้มพลางบีบจมูกคนตัวสูงเบาๆ

     “แต่ผมยังติดสัญญาเช่าหออยู่เลย”

     “เรื่องนั้นเดี๋ยวพี่จัดการให้”

     “บ้านผมไม่ได้รวย คงจ่ายค่าเช่าห้องให้พี่ไม่ไหวหรอกครับ ไหนจะค่าน้ำค่าไฟอีก”

     “แล้วใครบอกให้จ่ายล่ะครับ บ้านพี่รวย แค่เดือนคนเดียวพี่ดูแลได้อยู่แล้ว และพี่ก็ชวนเดือนมาเป็นคนรักไม่ได้ชวนมาเป็นรูมเมทซะหน่อย”

     ผมตีแขนคนขี้โมเมไปหนึ่งที ไม่เขินบ้างหรือไงตอนพูดออกมา ขนาดผมเป็นคนฟังยังเขินจนอยากจะมุดผ้าห่มหนีเลย

     “พี่คลื่นลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ” ผมยิ้มเย็น “เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยนะ”

     อีกฝ่ายรีบหุบยิ้มทันทีเมื่อผมพูดจบ เปลี่ยนมาทำหน้ากระเง้ากระงอดเหมือนเด็กอนุบาลไม่มีผิด

     “ถ้างั้นก็เป็นกันตอนนี้เลย”

     “ไม่เอาครับ ผมชอบโดนขอเป็นแฟนแบบโรแมนติก แบบนี้มันธรรมดาเกินไป”

     “เอาไว้คบกันแล้วค่อยโรแมนติกก็ได้ครับ เดือนอยากโรแมนติกบนเตียง ระเบียง หรือในห้องน้ำพี่ให้เลือกตามใจชอบเลย โอ๊ย! เดือน พี่เจ็บนะ พอแล้วครับแขนพี่แดงไปหมดแล้ว”

     ผมไม่สนท่าทางสำออยของคนตัวสูง แรงมีเท่าไหร่ผมฟาดลงไปไม่ยั้ง เดี๋ยวนี้คำพูดคำจาชักจะหื่นขึ้นทุกวัน ไม่เหมือนพี่คลื่นที่ผมรู้จักตอนแรกเลย

     “เดือน พี่ถามจริงๆ นะ ยังไม่หายงอนพี่อีกเหรอ” พี่คลื่นรวบสองมือผมไว้ด้วยมือเดียว ใบหน้าจริงจังไม่มีแววล้อเล่นแล้ว

     “ตอนแรกว่าจะหาย แต่เห็นพี่คลื่นหื่นแบบนี้แล้วผมเลยเปลี่ยนใจ”

     “เอาดีๆ สิครับ เดือนไม่อยากเป็นแฟนพี่เหรอ”

     สายตาตัดพ้อของคนถามทำให้ผมไม่กล้าแกล้งต่อ ความจริงคือผมไม่ได้งอนพี่คลื่นแล้ว เพียงแต่หลังจากวันที่สารภาพรักพี่คลื่นก็ไม่เคยขอผมเป็นแฟนอีกเลย ส่วนผมก็รู้สึกดีกับการกระทำที่พี่คลื่นแสดงออกจนหลงลืมไปว่าเรายังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการ

     “ถ้าคบกันแล้วจะต่างจากตอนนี้ยังไงครับ” ผมลองถามหยั่งเชิง

     “ต่างสิครับ ถ้าเราเป็นแฟนกันพี่จะได้มีสิทธิ์หึงหวงเดือน”

     “พูดอย่างกับผมมีคนมาชอบเยอะงั้นแหละ”

     “น้อยไปสิครับ รู้ไหมว่าตอนซื้อของที่ซูเปอร์ฯ พวกผู้ชายในร้านมองเราตาเป็นมันขนาดไหน ดีเท่าไหร่แล้วที่พี่ไม่เดินไปควักลูกตามันมาเตะแทนฟุตบอล”

     ผมเริ่มไม่กล้าขัดใจพี่คลื่นแล้วสิ รู้สึกอยากขอโทษที่กระหน่ำตีไปเมื่อครู่ขึ้นมาทันที

     “เขามองพี่คลื่นหรือเปล่าครับ”

     “จะมองใครก็ช่าง พี่อยากเป็นแฟนกับเดือนจะได้ประกาศความเป็นเจ้าของได้อย่างเต็มตัวซะที”

     “อยากคบกับผมเพราะเรื่องแค่นั้นเหรอครับ” ผมแสร้งทำหน้าน้อยใจ

     “อยากกอด อยากเดินจับมือ อยากหอมแก้ม อยากทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องกังวลเวลามีใครถามว่าเป็นอะไรกัน และที่สำคัญคืออยากให้โลกรู้ว่าเจ้าของรอยยิ้มน่ารักนี้คือใคร” พี่คลื่นเอื้อมมือมาลูบแก้มเหมือนต้องการบอกว่าเขากำลังพูดถึงรอยยิ้มของผม คำพูดของคนตัวสูงทำให้ผมร้อนไปทั้งหน้า แต่ผมต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเพราะอยากได้ยินอย่างอื่นอีก

     “พี่คลื่นเห็นผู้ชายมองผมเลยอยากมีสิทธิ์หึง แล้วทีตัวเองล่ะครับ”

     “พี่ทำไมครับ”

     “พี่เป็นถึงเดือนมหา’ลัย เดินไปไหนก็มีแต่สาวๆ มองตาม” ผมหยุดพูดเพื่อรอดูปฏิกิริยา คนตัวสูงกระตุกยิ้ม ลุกออกไปจากตักก่อนจะเคลื่อนตัวมาคร่อมผมไว้

     “แล้วยังไงต่อครับ”

     ปัดโธ่ เห็นหน้าก็รู้ว่าพี่คลื่นรู้แล้วว่าผมต้องการอะไร แต่ที่ไม่ยอมพูดออกมาคงเพราะอยากให้ผมเป็นฝ่ายพูดล่ะสิ เรื่องอะไรจะยอม

     “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่หมั่นไส้ที่พี่คลื่นเสน่ห์แรง” ผมว่าอย่างง้องอน กำลังจะลงไปจากเตียงแต่อีกฝ่ายก็เอาแขนมาขวางไว้

     “ถ้าอยากหึงหวงพี่ก็มาเป็นแฟนกันสิครับ แล้วพี่จะให้เดือนหึงตามสบายเลย”

     ผมแอบยิ้มในใจเมื่ออีกฝ่ายพูดสิ่งที่ผมต้องการออกมาแล้ว แต่ยังทำเป็นลังเลต่อไปเพราะกำลังสนุก “เอ...ถ้าเป็นแฟนพี่คลื่นแล้วผมจะมีสิทธิ์อะไรบ้างเหรอครับ”

     “ทุกอย่างครับ” ใบหน้าคมคายโน้มลงมาหอมแก้มเร็วๆ หนึ่งฟอด “เดือนอยากแสดงความเป็นเจ้าของพี่แค่ไหนก็เชิญเลย ทั้งร่างกายและหัวใจพี่เป็นของเดือนคนเดียวและจะเป็นตลอดไป”

     หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ จากที่คิดว่าจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นๆ ดันเขินขึ้นมาจริงซะอย่างนั้น พี่คลื่นไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบอะไร ก้มหน้าลงมามอบจูบอันวาบหวามโดยไม่ให้ตั้งตัว นานทีเดียวกว่าจะผละออกไป ตอนพี่คลื่นถอนใบหน้าออกราวกับเอาสติของผมไปด้วย

     “เป็นแฟนกันนะครับ” คนด้านบนเอ่ยวิงวอนด้วยเสียงแหบพร่า

     “ผม...คือผม...”

     “ไม่ยอมเหรอ สงสัยต้องจูบนานกว่านี้ถึงจะยอมตกลงสินะ”

     “ดะ...เดี๋ยวครับ ให้ผมตั้งสติก่อน...” ผมรีบยกมือมาปิดปากร่างสูงไว้ ในใจก็อดเหน็บแนมไม่ได้ ถ้าอยากได้คำตอบก็เปิดโอกาสให้ตอบด้วยสิครับ เล่นเอาปากมาปิดกันแบบนี้จะให้ตอบยังไงได้

     “เป็นแฟนกับพี่นะ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด พี่รักเดือนนะครับ”

     ต่อให้ใจแข็งแค่ไหน แต่ถ้าโดนเข้าไปขนาดนี้เป็นใครก็ต้องปฏิเสธไม่ลง หลังจากทนมองใบหน้าออดอ้อนไม่ไหวผมก็พยักหน้าช้าๆ พี่คลื่นที่ได้คำตอบพอใจแล้วยิ้มกว้างจนตาแทบปิด คนตัวสูงก้มลงมาจูบอีกครั้ง แต่รอบนี้อ่อนโยนกว่าเดิม เนิ่นนานกว่าเดิม และชวนมวนท้องมากกว่าเดิม

     “คราวนี้คบจริงๆ แล้ว ไม่ได้แกล้งคบเหมือนตอนไปบ้านผีสิง” ร่างสูงพูดยิ้มๆ หลังจากถอนจูบออกไป ผมเอื้อมมือไปลูบสันกรามพลางยกยิ้มเช่นกัน “เราเป็นแฟนกันแล้วนะ หลังจากนี้ขอฝากตัวด้วยนะครับคุณแฟน”

     ผมกำลังจะตอบกลับไปว่าขอฝากตัวด้วยเหมือนกัน แต่ริมฝีปากร้อนที่ทาบทับลงมาอีกครั้งทำให้ผมไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกไปได้ พี่คลื่นจูบลงมาซ้ำๆ จนผมคิดว่าพรุ่งนี้ปากต้องช้ำแน่ แต่ช่างเรื่องพรุ่งนี้ก่อนเถอะ เอาตัวรอดจากคืนนี้ไปให้ได้ก่อนดีกว่า

     ผมโดนแฟนหมาดๆ รุกรานจนลืมเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยไปสนิท สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผมตอนนี้คือรสจูบของพี่คลื่นที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเสพติดมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.24 [09/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-09-2022 19:53:36
 :haun4: :pighaun:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.24 [09/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-09-2022 22:23:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.24 [09/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 10-09-2022 02:42:36
เป็นแฟนกันแล้วว
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.24 [09/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 10-09-2022 18:19:58
 :hao6:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 25 [11/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 11-09-2022 17:36:04
ตอนที่ 25 : ดอกทานตะวันกับคุณดวงอาทิตย์





     -ข้าวหอม-


     ผมนั่งเอาคางเกยบนแขน ตามองคุณพ่อที่กำลังจดจ่ออยู่กับงานในคอมพิวเตอร์ เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะก็แกว่งไปมา

     “ไม่เบื่อหรือไง พ่อเห็นลูกนั่งเฉยๆ มาเป็นชั่วโมงแล้วนะ” คุณพ่อหันมาทักพลางยกยิ้ม ผมส่ายหัวกลับไป ได้นั่งมองพ่อแบบนี้ก็เพลินดี

     “ข้าวอยากอยู่กับพ่อครับ”

     “เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ลูกดูแปลกไปนะ”

     ผมยิ้มให้คุณพ่ออีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าผมจะไม่ตอบอะไรพ่อก็หันไปสนใจงานของตัวเองต่อ ในตอนนั้นเองรอยยิ้มก็ค่อยๆ หายไปจากใบหน้าผม ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับความคิดมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในหัวอีกครั้ง

     คุณแม่ผมเสียตั้งแต่ผมอายุห้าขวบ ผมเลยโตมากับคุณพ่อที่แทบจะเป็นทุกอย่างให้ในชีวิต ถึงภายนอกพ่อผมจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่ผมที่ใกล้ชิดกับพ่อมาทั้งชีวิตรู้ว่าจริงๆ แล้วท่านเป็นคนที่ทั้งใจดีและอ่อนโยน คุณพ่อเลี้ยงดูผมมาอย่างดีชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม อาจจะเพราะต้องการทดแทนส่วนของคุณแม่ที่ขาดหายไปด้วย การมีคุณพ่ออยู่เคียงข้างในทุกช่วงเวลาจึงทำให้ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรเลย

     ผมเคยคิดว่าถ้าจะมีแฟนก็อยากได้แฟนที่มีนิสัยคล้ายคุณพ่อ แต่ยังไม่ทันได้หาก็ต้องมาเจอคำด่าทอมากมายจนผมล้มเลิกความคิดนั้นไปนานแล้ว จนกระทั่งสายตาผมหันไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง...ประตูหัวใจที่คิดว่าถูกปิดตายไปแล้วก็เปิดออกได้ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ

     ความคิดแรกที่ผมมีต่อพี่องศาคือผู้ชายคนนี้ช่างดูสดใสเหลือเกิน เวลาเห็นเขายิ้มผมมักจะรู้สึกเหมือนได้พลังบวกกลับมา ราวกับดอกทานตะวันที่กำลังหันหน้ารับแสงอาทิตย์ นับตั้งแต่นั้นผมก็คอยเฝ้ามองเขามาตลอด เก็บเอารอยยิ้มของเขามาเป็นกำลังใจเพื่อต่อสู้กับสังคมอันโหดร้ายที่ผมต้องเผชิญทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งคนที่ผมมองอยู่ห่างๆ กลับเดินเข้ามาหาเสียเอง กลายเป็นผมที่ถูกความกลัวสั่งให้หนีออกห่างจากเขาให้มากที่สุด

     ดอกทานตะวันต้องการแสงแดดเพื่อดำรงชีวิต แต่หากดวงอาทิตย์เคลื่อนมาใกล้มากเกินไป แสงแดดที่เป็นคุณมาตลอดอาจเปลี่ยนเป็นโทษที่จะแผดเผาดอกทานตะวันไม่ให้เหลือแม้แต่เศษเมล็ด

     ผมไม่เคยมองคนในสังคมเป็นมิตร จะมีข้อยกเว้นก็แค่คุณพ่อ เพื่อนสนิททั้งสามคน รวมถึงพี่องศาที่ผมไม่รู้ว่าเผลอให้ใจไปตอนไหน การได้แอบมองพี่องศาจากที่ไกลๆ มันดีมากพอแล้วสำหรับผม เพราะอย่างนั้นเมื่อพี่องศาบอกว่าชอบผม จิตใต้สำนึกที่หวาดกลัวความผิดหวังจึงทำให้ผมปฏิเสธกลับไปทันที

     ผมให้พี่องศาเป็นเซฟโซนมาตลอด ถ้าเราสองคนพัฒนาความสัมพันธ์มากไปกว่านี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะทำใจไม่ได้หากวันหนึ่งเราต้องเลิกรากันจนเขาไม่สามารถเป็นเซฟโซนของผมได้อีกต่อไป

     “หิวหรือเปล่า พ่อทำอะไรให้กินไหม”

     ผมส่ายหัวอีกครั้ง เดินไปนั่งบนพื้นข้างเก้าอี้ที่คุณพ่อนั่งอยู่ เอาหน้าวางบนตักอย่างที่ชอบทำประจำ วันนี้ไม่มีเรียนผมจึงอยู่บ้านกับพ่อทั้งวัน ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มก็จริง แต่คุณพ่อคงเห็นผมทานข้าวเย็นน้อยเลยถามอย่างนี้

     ผมมองดูงานของคุณพ่อในคอมพิวเตอร์ ตัวอักษรอะไรก็ไม่รู้ที่เต็มหน้าจอทำให้ผมเผลอย่นคิ้ว คุณพ่อเอามือมาวางบนหัว ลูบไปมาเบาๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ

     “เป็นอะไรหืม ปกติไม่เคยอ้อนพ่อขนาดนี้นะ”

     “มีเรื่องคิดมากนิดหน่อยน่ะครับ” ผมวาดมือไปกอดเอวพ่อไว้หลวมๆ พ่อก็ยังเป็นพ่อวันยังค่ำ ต่อให้ลูกเปลี่ยนไปนิดเดียวก็รู้ได้ทันที

     “เรื่องเรียนเหรอ หรือเรื่องเพื่อน”

     ผมส่ายหัวกับหน้าตักของคุณพ่อ ได้อยู่อย่างนี้แล้วสบายใจจัง คิดไม่ผิดที่ปฏิเสธคำชวนไปว่ายน้ำของฝนแล้วอยู่กับพ่อที่บ้าน

     “หรือจะเป็นเรื่องขององศา”

     ผมผละใบหน้าออกจากตักทันที เงยหน้าไปมองคนที่ยิ้มเหมือนรู้ทุกอย่าง “พ่อรู้ได้ไงครับ”

     “ชีวิตลูกมีอยู่ไม่กี่อย่าง ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วจะเป็นอะไรได้ล่ะ”

     ผมกับคุณพ่อสนิทกันก็จริง แต่ผมไม่เคยเอาเรื่องโดนบูลลี่หรือเรื่องพี่องศามาปรึกษาพ่อเลย ถึงแม้ผมจะอายุยี่สิบแล้วแต่พ่อก็ยังดูแลผมไม่ต่างจากตอนเด็กๆ ผมจึงอยากพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุดเพื่อที่พ่อจะได้เห็นว่าผมโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว พอคุณพ่อมาพูดเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วแบบนี้ผมเลยอดตกใจไม่ได้

     “ไม่พอใจที่พ่อให้เขามารับส่งลูกเหรอ”

     “เปล่าครับ ข้าวแค่สงสัยว่าทำไมพ่อถึงยอม ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อไม่เคยจ้างคนขับรถเลย”

     ผมไม่ได้กำลังคิดมากเรื่องนี้ แต่ที่ถามไปเพราะผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ตอนผมอยู่มัธยมปลายเคยมีช่วงหนึ่งที่คุณพ่องานยุ่งมาก เมื่อไม่มีเวลาไปส่งผมที่โรงเรียนจึงจ้างคนขับรถมาแทน แต่คนที่คุณพ่อจ้างมากลับนิสัยไม่ดี ชอบขูดรีดเงินค่าขนมผมทุกวันแถมยังข่มขู่ไม่ให้ผมบอกเรื่องนี้กับใคร เมื่อคุณพ่อรู้ความจริงจึงไล่คนขับรถออกทันที หลังจากนั้นต่อให้ตารางชีวิตจะยุ่งแค่ไหนพ่อก็จะไปรับส่งผมด้วยตัวเองตลอด ผมถึงได้แปลกใจที่คุณพ่อกล้าไว้ใจพี่องศาที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก

     “อืม...นั่นสินะ คงเพราะสายตาที่ข้าวมองพี่เขาล่ะมั้งถึงทำให้พ่อยอมให้เขามารับส่งลูก” คุณพ่อยิ้มบางๆ ต่างกับผมที่ตะลึงตาค้างไปเรียบร้อย

     “พะ...พ่อรู้เหรอครับ”

     “พ่อเลี้ยงข้าวมากับมือ ข้าวชอบใครรักใครทำไมพ่อจะไม่รู้” คนพูดหันเก้าอี้มาทางผม อะไรบางอย่างในแววตากำลังบอกว่าคุณพ่อรู้ความในใจผมจริงๆ ไม่ได้โกหก

     “พ่อรู้เหรอครับว่าข้าวชอบพี่องศาแบบไหน”

     “รู้สิ”

     “แล้วพ่อผิดหวังในตัวข้าวไหมครับ”

     “พ่อไม่เคยผิดหวังในตัวลูกเลยสักครั้ง” คำพูดของคุณพ่อเหมือนจะเหมารวมเรื่องทุกอย่างในชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องนี้

     “พ่อรู้ว่าข้าวชอบเขาเลยอนุญาต แล้วพ่อไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีบ้างเหรอครับ”

     “พ่อเชื่อว่าลูกไม่มีทางชอบคนไม่ดีแน่นอน และเหนือสิ่งอื่นใดคือพ่อรู้ว่าองศาเองก็ใจตรงกับลูก พ่อถึงกล้าไว้ใจเขา” คุณพ่อพูดอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน สายตาที่มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งกำลังมองมาอย่างสงสัย “เรื่องนี้เหรอที่ลูกกำลังคิดมาก พ่อว่าไม่น่าใช่นะ”

     “ข้าว...ข้าวไม่กล้าทำตามใจตัวเองครับ” ผมยอมรับว่าการกระทำของพี่องศาทำให้กำแพงในใจอ่อนยวบลงไปได้เยอะ แต่ถึงอย่างนั้นความกลัวที่กัดกินหัวใจมาเนิ่นนานก็ยังไม่หายไปซะทีเดียว

     “ทำไมล่ะ ถ้าลูกจะมีแฟนพ่อไม่เคยกีดกันนะ ขอแค่ลูกไม่ทิ้งการเรียนและเขาคนนั้นดูแลลูกของพ่อได้ก็พอ”

     ผมหลบตาคุณพ่อ ก้มหน้าลงแนบบนตัก เม้มปากแน่นเมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ผมกังวลอยู่ตอนนี้ “ข้าวคิดว่าข้าวไม่ดีพอสำหรับเขาครับ”

     “อะไรทำให้ลูกคิดแบบนั้น”

     “ข้าวไม่น่ารัก ข้าวหน้าตาไม่ดี ข้าวไม่อยากให้พี่องศาโดนคนอื่นนินทาว่ามีแฟนขี้เหร่”

     คุณพ่อทำหน้าตกใจ รีบช้อนตัวผมขึ้นมามองหน้าทันที “ทำไมลูกคิดแง่ลบกับตัวเองแบบนี้ล่ะ”

     “ข้าว...” ผมอึกอัก ไม่มั่นใจว่าควรบอกความจริงดีไหม

     “ข้าวหอม ลูกเป็นอะไรไป”

     น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงทำให้น้ำตาผมไหลลงมาอย่างสุดจะกลั้น ผมตั้งใจจะไม่ทำตัวอ่อนแอให้พ่อเห็น แต่กับเรื่องนี้มันเกินจะทนจริงๆ ผมร้องไห้เหมือนอัดอั้นมานานจนคุณพ่อเริ่มทำหน้าไม่ถูก

     “ข้าวหอมฟังพ่อนะ” คุณพ่อดึงผมเข้าไปกอด สัมผัสแผ่วเบาที่กำลังลูบหลังราวกับต้องการปลอบโยน “พ่อไม่รู้ว่าทำไมลูกถึงคิดอย่างนั้น แต่พ่อกล้ายืนยันว่าข้าวเป็นเด็กน่ารัก น่ารักในที่นี้หมายถึงนิสัยไม่ใช่หน้าตา พ่อไม่ได้ชมในมุมมองของพ่อลูก แต่เป็นมุมมองของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กคนนึง พ่อดูแลลูกมาทั้งชีวิต พ่อรู้ดีที่สุดว่าลูกของพ่อน่ารักแค่ไหน”

     ผมค่อยๆ ยื่นมือไปกอดคุณพ่อ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุดจนเสื้อของคนที่ถูกผมกอดเปียกไปหมด ผมรู้มาตลอดว่าพ่อกับเพื่อนๆ ไม่เคยคิดร้ายกับผม แต่ผมกลับเลือกที่จะฟังเสียงของคนอื่นมากกว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เสียงเหล่านั้นเข้ามามีอิทธิพลจนผมหลงลืมไปว่าเสียงที่ควรฟังที่สุดคือเสียงของคนที่รักเราจริงๆ

     “ข้าวหอมของพ่อควรค่าแก่การถูกรักและรักใครสักคน ความรักของลูกไม่เคยไร้ค่า และพ่อเชื่อว่าองศาเองก็คิดเหมือนกัน เพราะงั้นลูกจงเป็นลูกในแบบนี้เถอะ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการปิดกั้นหัวใจเลย”

     “ข้าวขอโทษ...ฮึก...ข้าวขอโทษครับพ่อ...”

     คุณพ่อดึงผมออกจากตัว เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาพลางยกยิ้ม “คนที่ลูกควรขอโทษคือตัวเองต่างหาก หลังจากนี้ก็ให้โอกาสตัวเองได้มีความสุขบ้าง พ่ออยากเห็นลูกมีความสุขนะ”

     ทุกประโยคที่คุณพ่อเอื้อนเอ่ยราวกับเป็นสายน้ำที่ชะล้างคราบโคลนออกไป เหลือไว้เพียงหัวใจอันบอบบางที่รอใครสักคนมาเยียวยา ผมโผกอดพ่อตัวเองอีกรอบ ยิ่งได้ยินคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดีผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ทั้งที่พ่อคอยเฝ้าดูแลทะนุถนอมผมมาทั้งชีวิต แต่ผมกลับปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาทำร้ายหัวใจได้ง่ายๆ

     “รู้ไหมว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงตั้งชื่อลูกว่าข้าวหอม”

     ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมากับท้องของคุณพ่อ ตอนนี้ผมหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังสะอื้นอยู่เลยไม่อยากพูดอะไร

     “คนเราต้องกินข้าวทุกวัน ข้าวเป็นอาหารหลักที่คนไทยขาดไม่ได้ พ่ออยากให้ลูกเป็นคนสำคัญของใครสักคนเหมือนที่เป็นให้พ่อแม่เลยตั้งชื่อนี้ให้ และคนๆ นั้นก็ต้องให้ลูกเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเช่นกัน”

     ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความรักของคุณพ่อที่ถูกส่งมาทางคำพูด ไม่ต้องพูดอะไรต่อผมก็เข้าใจความหมายได้ทันที คนสำคัญที่คุณพ่อหมายถึงคงเป็นคนที่พร้อมจะดูแลผมถึงแม้พ่อจะไม่อยู่แล้วก็ตาม ผมคิดว่าผมเจอแล้วนะ...แต่จะใช่จริงหรือเปล่าคงต้องดูกันไปอีกหน่อย

     นับแต่นี้ไปผมจะเลิกใจร้ายกับตัวเอง ผมจะหันมารักตัวเองให้สมกับที่ทุกคนคอยมอบความรักให้ผมเสมอมา



     “มึงว่ามันเป็นไบโพล่าร์หรือเปล่า” ฝนถาม

     “กูวางสองร้อย ใช่แน่นอน” ควีนพยักหน้า

     “พวกมึงจะจิกกัดทำไม เพื่อนเลิกคิดมากก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” เดือนหันไปดุทั้งสองคน

     “เออ มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ แต่กูแค่อยากรู้ว่าอะไรทำให้มันเลิกคิดมากแล้วอารมณ์ดีได้ขนาดนี้”

     ไม่ต้องงงกันหรอกครับ คนที่เพื่อนๆ กำลังพูดถึงคือผมเอง วันนี้ตั้งแต่เช้าผมเอาแต่ยิ้ม อาการผมคงชัดเจนจนเพื่อนๆ สังเกตเห็น ฝนกับควีนเลยซักถามไม่หยุดแต่ผมก็ไม่คิดจะตอบอะไร

     ไม่ได้จะปิดบังนะครับ เพียงแต่ผมอยากคิดทบทวนให้ตัวเองมั่นใจจริงๆ ก่อนถึงค่อยบอกเพื่อน

     “มีเรื่องดีๆ เหรอคะคุณข้าวหอม ถึงได้ยิ้มไม่หุบทั้งวันแบบนี้” ควีนเอื้อมมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ ทั้งปากทั้งตาแซวผมเต็มที่

     “หรือเมื่อวานมึงแอบไปเดตกับพี่องศาสองคน ถึงได้ไม่ไปว่ายน้ำกับกู” ฝนจ้องหน้าอย่างคาดคั้น แต่แทนที่จะกลัวผมกลับหัวเราะออกมา

     “ไม่ใช่ซะหน่อย เมื่อวานข้าวอยู่บ้านทั้งวัน”

     “งั้นก็ไม่ใช่เรื่องพี่องศา” ฝนยกมือมาลูบคาง “หรือพ่อมึงให้ค่าขนมเพิ่มวะ”

     “อีฝน ข้าวมันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะที่จะมาดีใจกับเรื่องแค่นี้ ถ้าบอกว่าพ่อถูกหวยยังพอจะเป็นไปได้มากกว่า”

     “แต่พ่อข้าวไม่เคยเล่นหวยนะ”

     “โอ๊ย! กูแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ ค่ะ พอแล้ว ถามมึงไปก็ไม่ได้คำตอบ ดูผู้ชายในไอจีให้กระชุ่มกระชวยหัวใจดีกว่า” ควีนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำท่าจะกดเข้าไปดูอินสตาแกรมจริงๆ แต่พอเห็นคนที่กำลังเดินมาทางนี้เดือนก็กระตุกยิ้ม

     “จะดูผู้ชายในไอจีทำไมในเมื่อมีผู้ชายในชีวิตจริงมาหามึงถึงที่”

     “ใครมาหากู?”

     “สวัสดีครับน้องๆ”

     ควีนรีบหันไปมองเจ้าของเสียงจนผมกลัวว่าคอจะเคล็ด พี่ทิวยิ้มรับพวกผมที่ยกมือไหว้ก่อนจะนั่งลงข้างควีน เพื่อนผมยังเอาแต่มองพี่เขาตาค้าง สงสัยจะลืมผู้ชายในอินสตาแกรมไปแล้วเรียบร้อย

     “แหม เดี๋ยวนี้ขยันมาคณะหนูบ่อยจังเลยนะคะ พี่ทิวตั้งใจมาหาใครหรือเปล่า” ฝนถามพี่ทิวแต่ตาจ้องเพื่อนตัวเอง ควีนก็เอาแต่ส่งสายตาให้หยุดพูด แต่คิดเหรอครับว่าฝนจะยอมฟัง

     “ไอ้คลื่นให้พี่มาหาน้องๆ ก่อนครับ พวกมันคุยงานกับอาจารย์อยู่ อีกสักพักคงตามมา” คำว่าพวกมันของพี่ทิวคงไม่ได้มีแค่พี่คลื่นแน่ ผมใจเต้นแรงนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าพี่องศาจะมากินข้าวด้วย

     “อ้าว งั้นพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจมาหาใครน่ะสิคะ” ฝนทำหน้าเซ็งเมื่อตั้งใจจะชงแต่ไม่สำเร็จ

     “ใครบอกครับ” พี่ทิวพูดจบก็เอื้อมมือไปโอบไหล่คนข้างๆ “พี่อยากมาหาแม่ครัวมือฉมังต่างหาก วันก่อนช่วยแม่พี่ทำกับข้าวเสร็จแล้วหนีกลับบ้านไปเลย ไม่ยอมอยู่กินข้าวด้วยกัน”

     พวกผมสามคนหันไปมอง ‘แม่ครัวมือฉมัง’ เป็นตาเดียว ควีนหันไปส่ายหน้าให้พี่ทิวรัวๆ ราวกับไม่อยากให้เจ้าตัวพูดอะไรไปมากกว่านี้

     “ควีนมันหนีกลับทำไมเหรอคะ” ฝนฉลาดนะครับ คงรู้ว่าถามเพื่อนตัวเองไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยถามพี่ทิวแทน

     “น่าจะเพราะพี่แนะนำควีนกับแม่ว่าเป็นคนที่พี่กำลังจีบ ควีนเลยไม่พอใจพี่”

     “หา!!!” ฝนกับเดือนอุทานพร้อมกัน ผมไม่ได้อุทานแต่ก็เบิกตาโพลงเช่นกัน ถึงจะพอเดาได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาได้ยินจากปากเจ้าของเรื่องตรงๆ พวกผมก็อดตกใจไม่ได้

     “พี่ทิวชอบไอ้ควีนเหรอครับ”

     “ครับ พี่ชอบควีน” ปากตอบเดือนแต่ตาหันไปมองเจ้าของชื่อ ควีนรีบแย้งขึ้นมาทันทีถึงแม้จะหน้าแดงก่ำก็ตาม

     “พี่จะมาชอบหนูได้ไง หนูเป็นกะเทยนะ”

     “เรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรด้วยครับ พี่ชอบน้องควีนเพราะน้องน่ารัก ไม่ได้ชอบเพราะเพศซะหน่อย”

     “แต่...แต่หนูบ้าผู้ชายนะ พี่คลุกคลีกับกลุ่มหนูมานานน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าหนูแรดแค่ไหน”

     “เพราะรู้ว่าน้องเป็นคนยังไงพี่ถึงได้ชอบไงครับ” พี่ทิวยิ้มให้ควีนเหมือนลืมไปว่าพวกผมนั่งอยู่ด้วย “เวลาอยู่กับควีนรู้ไหมว่าพี่หุบยิ้มไม่ได้เลย ควีนเป็นคนอารมณ์ดี ชอบทำให้คนรอบข้างหัวเราะตลอด เวลาทำอาหารก็ตั้งใจสุดฝีมือ พี่ชอบควีนเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้สนว่าควีนจะเป็นเพศอะไรเลย”

     แก้มทั้งสองข้างของควีนแดงยิ่งกว่าเดิม ท่าทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ ปกติเวลาควีนถูกใจใครจะเข้าไปจีบหรือแซวเล่นตลอด ซึ่งทุกครั้งก็มักจะได้แห้วกลับมาเสมอ ควีนบอกว่าไม่เคยเสียใจกับเรื่องพวกนี้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พี่ทิวเป็นคนแรกที่ทำให้ควีนเสียอาการได้ขนาดนี้ คงเพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับควีนมาก่อน

     “พี่จริงจังกับมันไหมคะ หรือเห็นมันชอบเต๊าะเล่นๆ พี่เลยเล่นไปตามน้ำเฉยๆ” ถึงแม้จะเพิ่งแซวเพื่อนไป แต่ฝนคงเป็นห่วงความรู้สึกของควีนเหมือนกัน ถ้าพี่ทิวพูดถึงขนาดนี้แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าทุกอย่างคือเรื่องขำๆ ต่อให้เป็นคนสบายๆ อย่างควีนก็คงขำไม่ออก

     “ถ้าไม่จริงจังพี่จะพาเข้าบ้านไปหาแม่ทำไมล่ะครับ”

     แค่หนึ่งประโยคของพี่ทิวก็ทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาทันที พวกเราสามคนหันมามองหน้ากัน เห็นแววสละโสดของเพื่อนอยู่รำไร

     “ละ...แล้วแม่พี่ว่ายังไงบ้างคะ” ควีนถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     “ก็ไม่ว่ายังไง” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เพื่อนผมหน้าเสีย “แค่บอกว่าจีบให้ติดให้ได้ แม่จะได้มีลูกสะใภ้คอยช่วยงานในครัว”

     “พี่ทิว!” ตอนนี้ใบหน้าควีนแดงไปหมด อย่าว่าแต่ควีนเลย พวกผมฟังเฉยๆ ยังอดเขินไม่ได้

     “เรายังไม่ตอบพี่เลยนะ ที่ถามวันก่อนว่าขอจีบได้ไหม ตกลงคำตอบว่ายังไงครับ”

     “พี่ไม่ต้องถามอีควีนหรอกค่ะ มันอยากมีผัวมานานแล้ว หนูว่าพี่ไปเตรียมค่าสินสอดไว้เลยดีกว่า”

     “อีฝน! พูดมากเกินไปแล้ว” ควีนหันไปดุฝน ส่วนพี่ทิวก็เอาแต่ขำ

     “ตกลงอนุญาตนะครับ พี่จะได้เดินหน้าจีบเต็มกำลัง”

     พี่ทิวพูดซะขนาดนี้ แถมยังมีสายตาพวกผมคอยแซวอีก ควีนที่ทำอะไรไม่ถูกเลยลุกขึ้นทำท่าจะหนี

     “อ้าว จะไปไหนล่ะ ตอบพี่มาก่อนสิครับ”

     “จะไปซื้อหวานเย็น หนูหิว”

     “งั้นพี่ฝากซื้อหวานเย็นเหมือนกัน” พี่ทิวยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่บอกคนขายให้ใส่หวานใจที่ชื่อควีนมาด้วยนะ”

     “พี่ทิว...บ้า” คนไม่บ้าพูดแค่นั้นแล้วรีบเดินหนีไปร้านน้ำแข็งไสทันที พี่ทิวได้แต่ขำตามไป ก่อนจะทำหน้างงเมื่อหันมาเห็นพวกผมมองยิ้มๆ

     “ครับ?”

     “รู้ไหมครับว่าพี่เป็นคนแรกที่ทำให้ไอ้ควีนเขินได้ ปกติมันสู้ผู้ชายทุกคนไม่ถอย แต่พอเป็นพี่มันกลับเอาแต่เขินพูดผิดๆ ถูกๆ”

     “งั้นเหรอครับ พี่ควรดีใจสินะ” พี่ทิวพูดไปยิ้มไป “แต่พี่ว่าเดือนน่าจะดีใจกว่าพี่นะ”

     “หืม? ทำไมครับ”

     “คบกับไอ้คลื่นแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อเช้าหน้ามันบานเป็นจานดาวเทียมเลย พอถามว่าเป็นอะไรก็บอกว่าง้อคนงอนสำเร็จจนได้เป็นแฟนแล้ว”

     ผมอมยิ้มเมื่อเดือนโดนแซวไปด้วยอีกคน เดือนได้แต่ยิ้มเขินๆ กลับไป เมื่อวานเดือนส่งข้อความมาบอกพวกผมแล้วว่าเพิ่งตกลงคบกับพี่คลื่น ฝนบอกว่าตอนรู้ข่าวกรี๊ดซะลั่นหอจนเจ้าของหอนึกว่าโจรขึ้นห้อง

     หลังจากที่ควีนกลับมาไม่นานเพื่อนพี่ทิวก็ตามมา พี่คลื่นนั่งข้างเดือน พี่ยี่หวานั่งข้างฝน ส่วนพี่องศา...ไม่ต้องบอกก็คงรู้นะครับว่ารายนี้เลือกนั่งข้างใคร

     “เดือน ฝน ควีน” คนถูกเรียกชื่อหันมามองพร้อมกัน ผมส่งยิ้มไปให้ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ”

     ไม่ใช่แค่เพื่อนผมที่ทำหน้างง คนอื่นในโต๊ะก็งงไม่ต่างกัน พี่องศาหันมามองผม คงห่วงว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจอีกหรือเปล่า

     “พี่องศาด้วย ขอบคุณนะครับ”

     คนตัวสูงทำตาปริบๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย “ข้าวขอบคุณพี่ทำไมครับ”

     ผมได้แต่ยิ้มก่อนจะหันมากินข้าวเหมือนเดิม ปล่อยให้คนถูกขอบคุณทั้งสี่คนงงกันต่อไป

     ขอบคุณที่ช่วยดึงผมขึ้นมาจากฝันร้าย ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้ว่าในความมืดมิดยังมีแสงสว่างที่คอยโอบกอดผมอยู่





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 25 [11/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 11-09-2022 17:36:36
     “ข้าวเป็นอะไรหรือเปล่า”

     “ครับ?” ผมละความสนใจจากไอศกรีมของโปรด เงยหน้ามองคนที่กำลังขมวดคิ้ว

     “วันนี้ข้าวดูแปลกไปนะ”

     “แปลกยังไงครับ” ถามคนขี้สงสัยเสร็จก็ตักไอศกรีมเข้าปากต่อ

     “ไม่รู้สิ วันนี้เราดูอารมณ์ดีผิดปกติ”

     “แล้วไม่ดีเหรอครับ ผมนึกว่าพี่องศาอยากให้ผมยิ้มเยอะๆ ซะอีก”

     “เปล่า ข้าวมีความสุขก็ดีแล้ว พี่แค่สงสัยว่าอะไรที่ทำให้ข้าวอารมณ์ดี”

     ผมอมยิ้ม หนีการตอบคำถามด้วยการกินไอศกรีมต่อ พี่องศายังทำหน้าสงสัยไม่หยุด สักพักก็หรี่ตาลงแล้วเอาหน้ามาใกล้

     “อย่าบอกนะว่ามีผู้ชายคนอื่นมาจีบ”

     “จะเป็นไปได้ยังไงครับ นอกจากพี่แล้วจะมีใครมาชอบผมได้”

     “ก็ไม่แน่ พี่ยังหลงเสน่ห์ความน่ารักเราเลย แล้วกับคนอื่นจะไปเหลืออะไร”

     ผมหัวเราะกับอาการระแวงจนเกินเหตุของคนตัวสูง แต่ดูเหมือนพี่องศาจะตีความเสียงหัวเราะของผมไปอีกแบบ

     “ตกลงว่ามีจริงๆ เหรอ ไม่ได้นะ พี่บอกชอบก่อน ขอจีบก่อน ข้าวจะให้คนอื่นมาจีบแซงหน้าพี่ไม่ได้” พี่องศาโวยวายเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ

     “ไปกันใหญ่แล้วครับ ไม่มีใครมาจีบผมทั้งนั้นแหละ”

     คนตรงหน้ายังไม่หายระแวง มองมาเหมือนไม่ไว้ใจ “พูดจริงนะ”

     “จริงสิครับ”

     “ถ้างั้นก็แล้วไป ข้าวห้ามนอกใจพี่เด็ดขาด พี่ให้ใจไปแล้วข้าวต้องรับผิดชอบ”

     “เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ใช้คำว่านอกใจไม่ได้นะครับ”

     “อีกหน่อยเดี๋ยวก็เป็น”

     สายตาที่ดูมั่นใจทำให้ผมชักจะไปต่อไม่ถูก ได้แต่หันมาสนใจไอศกรีมในถ้วยเพื่อกลบเกลื่อน

     “ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วข้าวอารมณ์ดีเรื่องอะไร”

     “ผมอารมณ์ดีโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้เหรอครับ”

     พอได้ยินคำตอบพี่องศาก็ทำหน้าผิดหวัง พลอยให้ผมงงตามไปด้วย ผมว่าผมไม่ได้พูดอะไรผิดนะ

     “ไอ้เราก็นึกว่าอารมณ์ดีเพราะได้อยู่ด้วยกัน เฮ้อ น่าน้อยใจชะมัด อุตส่าห์พามาเลี้ยงไอติมยังไม่ได้ยินคำขอบคุณเลยสักคำ”

     ผมหลุดขำอีกครั้ง ไม่รู้ว่าพี่องศาน้อยใจจริงหรือเปล่าแต่ขอขำไว้ก่อน วันนี้คนตัวสูงพาผมมากินไอศกรีมที่ร้านหลังมหา’ลัยตอนเลิกเรียน ผมจะชวนเพื่อนๆ มาด้วยเพราะเห็นว่าเป็นร้านประจำของพวกเรา แต่ทุกคนก็โดนแฟนกับคนที่กำลังตามจีบลากไปคนละที่เสียก่อน จะว่าไปก็รู้สึกว่าพักหลังๆ มานี้พวกผมมักจะรวมกลุ่มกันน้อยลง เดือนตัวติดกับพี่คลื่น ฝนตัวติดกับน้องบาส ควีนตัวติดกับพี่ทิว ส่วนผมก็มีพี่องศาคอยตามติดไปทุกที่ไม่ห่าง

     “ผมต้องง้อไหมครับ” ผมถามยิ้มๆ คนแกล้งงอนทำหน้างอง้ำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อลดน้อยลงเลย

     “ถ้าพี่บอกว่าข้าวต้องง้อด้วยการหอมแก้มพี่ ข้าวจะยอมทำไหม”

     “ไม่ครับ” ผมตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด ในร้านไม่ได้มีแค่เราสองคน จะให้ผมกล้าทำได้ยังไง

     “งั้นแค่ป้อนไอติมพี่ก็ได้”

     “วันก่อนก็ป้อนไปแล้วนี่ครับ”

     “วันก่อนก็ส่วนวันก่อนสิ วันนี้พี่อยากให้ข้าวป้อนอีก”

     เอากับเขาสิครับ ดูก็รู้ว่าเอาเรื่องง้อมาเป็นข้ออ้างให้ผมยอมป้อนเฉยๆ คนอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัด

     ผมมองถ้วยไอศกรีมตรงหน้าพลางคิดหนัก ถึงแม้ผมจะสลัดความคิดแง่ลบทิ้งไปแล้ว แต่จู่ๆ จะให้มาทำอะไรแบบนี้โจ่งแจ้งมันก็ออกจะเร็วเกินไป ผมต้องการเวลาปรับตัวอีกหน่อย ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำเพียงแต่ผมแค่ยังไม่ชิน

     “ผม...ผมไม่กล้าป้อนพี่องศา ขอโทษนะครับ”

     ร่างสูงที่เห็นผมหน้าเจื่อนก็ทำหน้าเจื่อนตาม รีบโบกไม้โบกมือไม่ให้ผมคิดมาก “พี่ก็แกล้งน้อยใจไปงั้นแหละครับ ถ้าข้าวไม่อยากป้อนก็ไม่เป็น...”

     “เปลี่ยนเป็นพี่องศาป้อนผมแทนได้ไหมครับ ถ้าแบบนี้ผมกล้าทำต่อหน้าคนอื่น”

     คนถูกขอร้องสตันไปสักพัก มองเหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะพูดอะไรอย่างนี้ออกมา ผมหลุบตามองต่ำ แก้มพองออกเล็กน้อยเพื่อระบายความรู้สึกในอก อย่าจ้องนักได้ไหม แค่นี้ผมก็อยากกัดลิ้นตัวเองที่พูดอะไรน่าอายออกไปจะแย่แล้วนะ

     “ข้าว...อยากให้พี่ป้อนไอติมเหรอ”

     ผมค่อยๆ พยักหน้าถึงแม้จะกำลังเขินอยู่ก็ตาม “ครับ แต่ถ้าพี่ไม่อยากป้อนก็ไม่เป็นไร”

     “ใครบอกว่าไม่อยาก พี่แค่กำลังดีใจจนตั้งตัวไม่ทัน”

     ไอศกรีมรสวานิลลาถูกยื่นมาจ่อปากพร้อมกับรอยยิ้มของคนป้อน ผมลังเลนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปาก พี่องศายกยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ผมชอบมองมาตลอด เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่ได้แอบมองจากที่ไกลๆ แล้ว เพราะเจ้าของรอยยิ้มนั้นกำลังขยับเข้ามาใกล้หัวใจผมทีละน้อย

     “อยากป้อนข้าวแบบนี้ทุกวันเลย” คนตัวสูงพูดยิ้มๆ

     “พี่ก็พาผมมาเลี้ยงไอติมทุกวันสิครับ”

     “ถ้าชวนมาทุกวันข้าวจะยอมมาเหรอ”

     “พูดอย่างกับทุกวันนี้ผมไม่ยอม พี่พาไปไหนผมเคยปฏิเสธได้ด้วยเหรอครับ”

     พี่องศายิ้มกว้างกว่าเดิม ดึงมือผมไปกุมไว้หลวมๆ “ถูกครับ ข้าวไม่มีทางปฏิเสธพี่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องพามากินไอติม...หรือแม้แต่เรื่องหัวใจก็ตาม”

     ผมหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายแฝง หันไปมองทางอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าพี่องศาอ่านใจคนได้คงรู้ไปนานแล้วว่าผมไม่เคยปฏิเสธเขาได้สักครั้ง เหมือนกับดอกทานตะวันที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องการแสงแดดจากดวงอาทิตย์เพื่อการเติบโต



     “วันนี้มีความสุขจัง” จู่ๆ คนที่ขับรถอยู่ก็เปรยขึ้นมา ผมเลยหันไปมองเสี้ยวใบหน้าคมคายที่กำลังมีรอยยิ้มประดับ

     “มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “อยากให้พี่แสดงให้ดูไหมล่ะครับ แต่เราคงต้องจอดรถกันก่อนนะ”

     ผมเอียงคอเล็กน้อย ไม่เข้าใจประโยคของอีกฝ่าย จนกระทั่งคนตัวสูงหันมามองด้วยสายตาวาววับ ผมถึงได้เข้าใจทุกอย่างทันทีโดยไม่ต้องถามอะไร

     “ขับรถไปเลยครับ ถ้าไปส่งผมช้าโดนพ่อผมดุไม่รู้ด้วยนะ” ผมพูดเสียงดังกลบเกลื่อนอาการเห่อร้อนบนแก้มทั้งสองข้าง

     “ฮ่าๆๆ พี่ล้อเล่นครับ ขืนชิงสุกก่อนห่ามคงโดนพ่อตายัดลูกซองเข้ากลางหน้าผากกันก่อนพอดี”

     ยิ่งฟังพี่องศาพูดผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ชิงสุกก่อนห่ามอะไรกัน นี่คิดไปถึงขั้นนั้นแล้วเหรอ พี่องศาเจ้าเล่ห์จริงๆ ด้วย

     “รู้ไหมว่าวันนี้ข้าวทำให้พี่ประหลาดใจหลายครั้งเลยนะ” คนเจ้าเล่ห์ดึงมือผมไปวางบนตัก ผมเหลือบมองอย่างหวาดระแวงว่าเจ้าตัวจะมาไม้ไหนอีก

     “เรื่องอะไรครับ”

     “ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่พี่รู้สึกว่าวันนี้ข้าวกล้าแสดงออกมากกว่าปกติ อาจจะเพราะคำพูดของพี่เมื่อวันก่อนหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่พี่ดีใจนะครับที่ข้าวเลิกแคร์สายตาคนอื่น เพราะนั่นหมายความว่าข้าวแคร์พี่มากขึ้น”

     ถึงแม้ตาจะมองถนนอยู่ แต่แค่คำพูดก็ทำให้ผมรู้ว่าพี่องศากำลังดีใจจริงๆ ผมเอาแต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ได้แต่คิดในใจว่าพี่องศาพูดผิดไปอย่างหนึ่ง ผมยังแคร์และกลัวสายตาที่คนอื่นมองมา เพียงแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผมเปิดใจรับฟังความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น ผมยอมรับความต้องการของตัวเอง และเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ผมต้องการไม่ทำให้ใครเดือดร้อนผมก็ไม่ลังเลที่จะทำมัน อย่างเช่นการกระทำของผมในวันนี้

     ผมอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปในทันที แต่ผมจะพยายามมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้นทุกๆ วัน นั่นก็เพื่อตัวผมและเพื่อตอบแทนความรู้สึกที่ผู้ชายคนนี้มอบให้ผมอย่างสุดหัวใจ

     พี่องศาดับเครื่องยนต์เมื่อขับมาถึงหน้าบ้าน ผมเปิดประตูลงมาพร้อมกับพี่องศาที่ตามมาส่ง ผมหันไปเงยหน้ามองร่างสูง สายตาของเราสองคนประสานกัน ภายในนั้นเต็มไปด้วยความรักที่พี่องศามีให้ผมมาตลอด

     “ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

     “อย่าลืมฝันถึงพี่ด้วยล่ะ ห้ามฝันถึงผู้ชายคนอื่นเข้าใจไหม”

     ผมหลุดขำกับอาการหึงหวงที่ยังไม่หายไป ยกมือมาเกาแก้มเล็กน้อยก่อนจะพูดประโยคที่ตั้งใจจะพูดมาทั้งวันด้วยเสียงเบา “อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ข้าวจะไปฝันถึงคนอื่นได้ยังไงล่ะครับ”

     “ข้าว!!” สีหน้าของพี่องศาทั้งดีใจและตกใจในเวลาเดียวกัน “เมื่อกี้ข้าวแทนตัวเองว่าไงนะครับ”

     “ถ้าไม่ได้ยินก็ไม่ต้องได้ยินครับ ข้าวพูดแค่รอบเดียวพอ”

     คราวนี้ผมพูดเสียงดังกว่าเดิม พี่องศาที่ได้ยินเต็มสองหูเลยยิ้มกว้าง เข้ามายกตัวผมแล้วหมุนไปรอบๆ

     “พี่องศา! ทำอะไรครับเนี่ย ปล่อยเลยนะ”

     “น่ารักขนาดนี้ใครจะยอมปล่อย รู้ไหมว่าพี่รอฟังคำนี้มานานแค่ไหน”

     “ข้าวก็พูดให้ฟังแล้วนี่ไงครับ พี่องศารีบปล่อยเลยนะ ถ้าพ่อออกมาเห็นจะทำยังไง”

     “แทนตัวเองว่าข้าวแบบนี้แปลว่าให้โอกาสพี่จีบแล้วใช่ไหม” พี่องศาเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ยังคงกอดผมแน่นไม่ยอมปล่อย

     “ข้าวต้องบอกด้วยเหรอครับ พี่องศารู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “พี่อยากได้ยินจากปากเรา นะครับ พูดให้พี่ฟังหน่อย”

     เหมือนพี่องศารู้เลยว่าผมแพ้ลูกอ้อน พักหลังมานี้พอไม่ได้ดั่งใจอะไรก็มักจะออดอ้อนตลอด แล้วผมก็ดันปฏิเสธไม่ลงด้วยสิ

     “อื้อ...ยอมให้จีบแล้ว จะปล่อยได้ยังครับ ข้าวอยากเข้าบ้านแล้วนะ”

     คนตัวสูงทำหูทวนลม ยังคงจับผมหมุนไปมาเหมือนผมเป็นเด็กๆ จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน พี่องศาถึงได้หยุดหมุนแล้วหันไปมอง

     “พาลูกฉันมาส่งช้าแล้วยังทำอะไรไม่เกรงใจเจ้าของบ้านอีกนะ”

     พี่องศาวางผมลงกับพื้น ยกมือไหว้คุณพ่อแล้วยิ้มแห้ง “ผมขอโทษครับ พอดีลูกชายคุณพ่อน่ารักเกินไปผมเลยอดใจไม่ไหว”

     ผมหันไปตีแขนคนที่อดใจไม่ไหว พี่องศาลูบแขนตัวเองป้อยๆ ทำหน้าโอดครวญจนผมชักจะหมั่นไส้อยากตีให้แรงกว่าเดิม

     “พาข้าวหอมไปกินข้าวมาเหรอ”

     “ครับ”

     “ส่งเสร็จแล้วก็รีบกลับไปซะ พ่อลูกเขาจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน” คุณพ่อเอ่ยแค่นั้นก่อนจะเดินหันหลังเข้าบ้าน แต่ตอนที่กำลังจะพ้นประตูไปก็พูดขึ้นมาอีก “ถ้าจะกลับช้าทีหลังก็โทรมาบอกก่อน ขอเบอร์ฉันจากข้าวหอมเอาก็ได้ นายต้องมาส่งข้าวหอมอีกนาน มีเบอร์ไว้จะได้ติดต่อกันสะดวก”

     พี่องศามองตามคุณพ่อที่หายเข้าไปในบ้าน ริมฝีปากยกยิ้มเหมือนกำลังดีใจอะไรบางอย่าง

     “เอาแต่ยืนยิ้มอยู่คนเดียว ไม่กลับหรือไงครับ”

     “ถ้าพี่บอกว่าไม่กลับข้าวจะให้พี่นอนด้วยไหมล่ะ”

     “ตลกแล้วครับ พ่อข้าวคงจะยอมหรอก พี่องศารีบกลับไปพักผ่อนเลย พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ” ผมรุนหลังคนตัวสูงไปที่รถ พี่องศาหัวเราะนิดหน่อยแต่ก็ยอมขึ้นรถไปโดยดี

     “ข้าวหอม”

     “ครับ?” ผมเลิกคิ้วให้คนที่เปิดกระจกรถแล้วยื่นหน้ามาเรียก

     “ขอบคุณที่ให้โอกาสนะครับ พี่จะไม่ทำให้ข้าวผิดหวังที่ยอมเปิดใจให้แน่นอน”

     พี่องศาพูดจบก็ขับรถออกไป ผมมองตามจนกระทั่งรถทั้งคันหายไปจากสายตา มุมปากทั้งสองข้างยกยิ้มพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆ พองโตในอก

     ถ้าหากผมคือดอกทานตะวันที่เหี่ยวเฉา พี่องศาก็คงเป็นดวงอาทิตย์อันอบอุ่น ที่ผ่านมาผมเอาแต่หันหน้าหนีดวงอาทิตย์ แต่หลังจากนี้ผมจะไม่หลบสายตาไปไหนอีกแล้ว เหมือนกับที่ในสายตาพี่องศาก็มักจะมีผมอยู่ตลอดเช่นกัน

     คุณดวงอาทิตย์...ผมจะขอเชื่อใจคุณก็แล้วกัน ช่วยทำให้ดอกทานตะวันต้นนี้กลับมาเบ่งบานอีกครั้งหน่อยนะครับ





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.25 [11/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-09-2022 01:30:30
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.25 [11/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 12-09-2022 03:02:00
 :hao6:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 26 [13/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 13-09-2022 18:52:51
ตอนที่ 26 : ปฏิบัติการลับป่วนหัวใจคุณแฟนสุดหล่อ





     “เดือน”

     “ว่า?”

     “มึงได้เสียกับพี่คลื่นยังวะ”

     พรวดดดด

     “ว้าย!! ไอ้เดือน มึงทำอะไรเนี่ย”

     ผมรีบหยิบทิชชูมาเช็ดหน้าเช็ดตาควีนทันที ปากก็พร่ำขอโทษมันไปด้วย ฝนมองมาอย่างงุนงงว่าผมเป็นอะไรไป ต่างกับข้าวหอมที่กำลังทำหน้าเหวอ ไอ้ฝนนะไอ้ฝน ทำคนอื่นเดือดร้อนยังไม่รู้ตัวอีก

     “มึงโกรธอะไรอีควีน ไปพ่นน้ำใส่หน้ามันทำไม”

     “ก็เพราะมึงนั่นแหละ! จู่ๆ มาถามอะไรไม่รู้ กูไม่พ่นใส่หน้ามึงก็บุญแค่ไหนแล้ว”

     ฝนยังทำหน้างง เหมือนไม่รู้เลยว่าตัวเองผิดอะไร “กูแค่ถามเฉยๆ ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย”

     บางทีผมก็อยากถามน้องบาสนะครับว่าชอบคนอย่างมันเข้าไปได้ยังไง พูดอะไรแต่ละทีทำเอาผู้ชายแท้ๆ ยังอาย

     “เดี๋ยวนะ” ฝนหรี่ตาลงพร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ น้ำเสียงจับผิดของมันทำให้ผมสะดุ้งเบาๆ “ที่มึงขวัญอ่อนแบบนี้ อย่าบอกนะว่ามึงกับพี่คลื่นยังไม่เคยมีอะไรกัน”

     “ละ...แล้วมันผิดด้วยหรือไง” ผมตะคอกกลับไป หน้าแดงไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออาย

     “มึงพูดจริงป่ะเนี่ย” ควีนเบิกตากว้างไม่ต่างจากฝน สงสัยมันยังโดนพ่นน้ำใส่ไม่พอ

     “ทำไม พวกมึงคิดว่ากูไวไฟขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “กูไม่ได้สงสัยมึง กูสงสัยพี่คลื่นต่างหาก”

     “มึงสงสัยอะไร” ผมขมวดคิ้วมุ่น

     “เขาทั้งรักทั้งหลงมึงขนาดนั้น ไปไหนมาไหนแทบจะขี่คอแสดงความเป็นเจ้าของ แถมช่วงนี้มึงก็เข้าออกห้องเขาเป็นว่าเล่น พวกกูเลยนึกว่ามึงถูกเขากินแล้วซะอีก”

     “อะ...ไอ้พวกบ้า ใครถูกจับกิน ยังไม่มีโว้ยยยย”

     “งั้นก็น่าแปลกนะที่พี่คลื่นอดทนอดกลั้นมาได้ถึงขนาดนี้โดยไม่ตบะแตก” ฝนกับควีนยกมือมาลูบคาง หน้าเครียดๆ ของพวกมันทำให้ผมอยากกระโดดถีบขึ้นมาทันที มึงอย่าจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ไหม เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าเยอะ

     “พี่คลื่นอาจจะอยากให้เกียรติเดือนหรือเปล่า” ข้าวหอมที่นั่งเงียบมานานเอ่ยปากช่วยในที่สุด ผมกำลังจะก้มกราบด้วยความซึ้งใจ แต่ไอ้ฝนก็พูดขึ้นมาอีก

     “ทำไมต้องให้เกียรติวะ ตอนนี้เขากับไอ้เดือนเป็นแฟนกันแล้วนะ ถ้าจะทำเรื่องอย่างว่ามันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอ” ฝนพูดพลางทำหน้าคิดหนัก “หรือพี่คลื่นจะเป็นพวกตายด้าน”

     “กูว่าไม่ใช่ น่าจะเพราะไอ้เดือนไม่ยอมบริหารเสน่ห์ พี่คลื่นเลยไม่จับมันกินซะที” คำพูดไอ้ควีนทุเรศมากครับ เดี๋ยวผมก็เรียกว่าไอ้คิงตามชื่อจริงๆ ที่พ่อมันตั้งให้ซะเลย

     “อาจจะเป็นไปได้ ทุกวันนี้กูเห็นมึงเอาแต่แต่งตัวเชยๆ ไม่เข้ากับหน้าตาเลย ถ้ากูเป็นพี่คลื่นก็คงเบื่อเหมือนกัน” ไอ้ฝนอยู่ดีไม่ว่าดีดันมาแช่งให้คนเป็นแฟนเขาเบื่อกัน ผมกำลังจะเถียงกลับไปแต่สมองก็เผลอคิดตามคำพูดของมัน

     ผมแต่งตัวเชยเหรอ...?

     ผมก้มมองเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่กำลังใส่อยู่ มีเสื้อเชิ้ตแขนสั้นทับไว้ข้างนอกอีกที ผมว่าแบบนี้มันก็ดูดีอยู่นะ เรียบง่ายแต่มีสไตล์ ไม่เคยได้ยินกันหรือไง

     “ปกติตอนอยู่ด้วยกันมึงกับพี่คลื่นทำอะไรกันบ้างวะ”

     “ทำอาหาร ดูทีวี เล่นเกม นอนกอดกัน” ผมจงใจเลี่ยงหอมแก้มกับจูบไว้ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทแต่ผมก็คิดว่าเรื่องพวกนี้มันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมาอยู่ดี

     “ไม่มีนอกเหนือจากนี้เลยเหรอ”

     ผมส่ายหน้าไปมา ฝนทำหน้าเหมือนอยากพุ่งมาบีบคอผมซะตอนนี้เลย ผมผิดอะไรอ่ะ นี่มันเป็นกิจวัตรประจำวันของคนธรรมดาไม่ใช่เหรอ จะให้ผมลุกมาชวนพี่คลื่นเต้นแอโรบิกยามเช้าหรือไง

     “มึงจะคาดหวังอะไรคะ รู้ๆ กันอยู่ว่าไอ้เดือนมันอ๊องจะตาย ทั้งชีวิตมันเคยอ่อยใครด้วยเหรอ”

     เสียดายที่เมื่อครู่ผมยั้งปากไว้ น่าจะพ่นน้ำใส่ปากไอ้ควีนไปด้วยเลยจะได้ด่าผมอ๊องไม่ได้อีก

     แต่เดี๋ยวนะ...

     “มึงจะให้กูอ่อยพี่คลื่น?”

     “ใช่ ในเมื่อเขาไม่เริ่มสักที มึงก็ต้องเป็นฝ่ายยั่วยวนให้เขาเกิดอารมณ์แทน”

     ข้าวหอมสำลักข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่ ไอหน้าดำหน้าแดงจนผมต้องรีบหาน้ำพลางลูบหลังให้ ผมแทบจะแยกเขี้ยวใส่คนที่พูดออกมาได้หน้าตาเฉย มึงไม่มียางอายแต่กูมีนะ

     “ฝนเอาจริงเหรอ ข้าวว่าเรื่องแบบนี้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าไหม”

     “กูไม่ได้จะให้ไอ้เดือนไปข่มขืนพี่คลื่นซะหน่อย แค่จะให้มันลองอ่อยดู ได้ไม่ได้ยังไงค่อยว่ากันอีกที”

     “ทำไมต้องให้อ่อยด้วยวะ มันเป็นแฟนพี่คลื่นแล้วไม่ใช่เหรอ สู้เดินไปชวนเขาทำตรงๆ เลยไม่ง่ายกว่าหรือไง”

     “สภาพจืดชืดซะขนาดนี้มึงยังกล้าให้มันไปชวนพี่คลื่นอีกเหรอ คิดจะอ่อยทั้งทีมันก็ต้องเปลี่ยนลุคกันหน่อย เอาให้พี่คลื่นตะลึงตาค้างไปเลยยิ่งดี”

     พวกมันสองคนหารือกันเหมือนลืมไปว่าผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ผมกับข้าวหอมมองตากันอย่างเหนื่อยใจ ขอเป็นเพื่อนมันแค่ชาตินี้พอนะครับ อย่าตามไปหลอกหลอนชาติหน้าอีกเลย

     “ตัดสินใจได้แล้ว กูจะเป็นกามเทพช่วยเพื่อนทำภารกิจอ่อยแฟนตัวเอง”

     เห็นหน้าเอือมระอาของกูไหม หันมาถามหน่อยก็ดีนะว่ากูอยากได้กามเทพหรือเปล่า

     “กูขอตั้งชื่อแผนการนี้ว่า ‘ปฏิบัติการรักควักหัวใจออกมารับประทาน’ คิดค้นโดยคุณนายฝน สาวสวยสุดฮอตแห่งคณะอักษรฯ” ฝนลุกขึ้นยืนโปรยมือเหมือนตอนนางงามแนะนำตัว ไม่อายคนที่เดินผ่านไปมาเลยสักนิด

     “ชื่อแผนการมึงอุบาทว์มาก กูรับไม่ได้” ผมรีบคัดค้านทันที แต่มีเหรอที่มันจะฟัง

     “ถึงชื่อแผนการจะติดลบแต่ถ้าได้ลองแล้วพี่คลื่นต้องติดใจแน่นอน” สีหน้าคนพูดแลดูมั่นใจจนแม้แต่ไอ้ควีนที่เป็นเหมือนพาร์ทเนอร์ของมันยังงง

     “อย่างน้อยมึงเปลี่ยนชื่อแผนการหน่อยเถอะ กูรับไม่ได้จริงๆ เหมือนกูเป็นแวมไพร์จะไปดูดเลือดพี่คลื่นยังไงไม่รู้”

     ฝนทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมเปลี่ยนให้ตามที่ผมขอ “เรื่องมากนะมึง งั้นเอาเป็นชื่อ ‘ปฏิบัติการลับป่วนหัวใจคุณแฟนสุดหล่อ’ ก็ได้”

     ผมลอบกลืนน้ำลาย เห็นสายตามุ่งมั่นของคนคิดแผนการแล้วรู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้ เดาได้เลยว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องวุ่นๆ ตามมาแน่นอน ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย ผมแค่ยังไม่พร้อมจะทำเรื่องอย่างว่ากับพี่คลื่นซึ่งเขาก็เข้าใจดีและไม่มีปัญหาอะไร แต่จะให้บอกเพื่อนไปตรงๆ ผมก็ไม่กล้า ขืนบอกไปมีหวังโดนล้อว่าปอดแหกแน่นอน

     หวังว่าแผนการของไอ้ฝนจะไม่สร้างความลำบากให้ผมนะครับ



     วันนี้พวกผมมีเรียนช่วงเช้า แต่อาจารย์เกิดท้องเสียกะทันหันเลยจำเป็นต้องยกคลาส ผมกับเพื่อนๆ เลยลงมติกันว่าจะกลับไปเปลี่ยนชุดแล้วมาเจอกันที่ห้างเพื่อนัดกันเดินเที่ยว ตอนแรกผมก็สนุกอยู่หรอก แต่ตอนนี้ชักเริ่มไม่สนุกแล้ว

     “ใส่ตัวนี้แล้วออกมาให้กูดูด้วยนะ” ฝนยื่นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวตัวบางที่มีไม้แขวนเสื้อมาให้ รอยยิ้มของมันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่

     “พี่จะบ้าหรือไง ตัวมันใหญ่เกินขนาดพี่เดือนไปมากเลยนะนั่น” น้องบาสแย้งขึ้นมา ไม่ต้องงงหรอกครับว่าน้องเขามาได้ยังไง ตอนที่เราทานอาหารกลางวันกันอยู่น้องบาสที่เพิ่งเรียนเสร็จก็โทรมาหาไอ้ฝน พอรู้ว่ามันอยู่ในห้างใกล้มหา’ลัยก็รีบมาหาทันที ผมว่าฝนน่าจะมีใจให้น้องบาสอยู่บ้าง ไม่งั้นคงไม่ยอมให้น้องเขามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ตัวแบบนี้หรอก ถึงฝนจะบ้าผู้ชายแต่ถ้ามันไม่สนใจจริงๆ จะไม่เสียเวลาทำความรู้จักด้วยเด็ดขาด

     “ใหญ่เกินน่ะสิดี ถ้าไซส์พอดีตัวมันจะไปเซ็กซี่ได้ยังไง”

     “เซ็กซี่อะไรของมึงวะ”

     “เออน่ะเดี๋ยวมึงก็รู้ รับรองว่าแผนนี้เวิร์ก ตอนนี้ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ ให้ไวด้วย”

     ผมทำหน้าหงิกใส่มัน แต่ก็ยอมรับเสื้อมาแล้วเดินไปห้องลองเสื้อเพื่อตัดรำคาญ ไม่รู้หรอกว่าไอ้ฝนคิดจะทำอะไร แต่ถ้ามันจะให้ลองชุดแค่นี้ผมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

     ผมใช้เวลาเปลี่ยนชุดไม่นานก่อนจะเดินออกมาหากลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ เป็นเพราะเสื้อตัวใหญ่มากชายเสื้อเลยร่นไปอยู่บริเวณหัวเข่า พอเห็นผมในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ทุกคนก็มีท่าทางเปลี่ยนไป จู่ๆ น้องบาสก็ผิวปากขึ้นมา ขณะที่เพื่อนผมทั้งสามคนเอาแต่มองมาอย่างตะลึง ควีนกระทุ้งศอกใส่ฝนเบาๆ โน้มหน้าไปกระซิบใกล้ๆ

     “อีฝน สายตามึงเฉียบคมมาก แค่เสื้อตัวเดียวเปลี่ยนห่านให้เป็นหงส์ได้ในพริบตา”

     “ฝีมือระดับนี้ไม่มีพลาดอยู่แล้วค่ะ” ฝนยิ้มอย่างภูมิใจ เดินมาจับๆ ดึงๆ เสื้อผมให้เข้าที่เข้าทาง

     “ตกลงจะบอกได้ยังว่าให้กูลองเสื้อตัวนี้ทำไม” ผมถามฝนอย่างสงสัย อุตส่าห์ได้ยกคลาสทั้งทีมันต้องไปกินข้าวดูหนังกันสิ นี่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในร้านเสื้อผ้า แล้วจะไม่ให้ผมหงุดหงิดได้ยังไง

     “มึงยังไม่รู้อีกเหรอ”

     “ถ้ารู้แล้วกูจะถามไหมล่ะ”

     “ตอนอยู่ในห้องลองเสื้อมึงไม่ได้ส่องกระจกเลยหรือไง”

     ผมส่ายหน้าให้คนถาม ผมรีบเปลี่ยนรีบออกมาเลยไม่ทันได้ดูตัวเองในกระจก ฝนยกมือมาตีหน้าผากตัวเอง รีบจูงมือผมไปที่หน้ากระจก มันยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วจับไหล่ผมไว้ทั้งสองข้าง

     “มึงเห็นตัวเองในลุคนี้แล้วรู้สึกยังไง บอกกูหน่อย”

     ผมไม่ตอบคำถามเพื่อนเพราะกำลังตกใจกับภาพในกระจก เสื้อสีขาวเนื้อบางจนแทบจะเห็นเรือนร่างข้างใน แขนเสื้อที่ยาวจนแทบจะไม่เห็นมือ ปกเสื้อสีขาวที่แทบจะกลืนไปกับลำคอที่มีสีผิวใกล้เคียงกัน ภาพตรงหน้านี้คือผมจริงๆ เหรอ ทำไมมันดู...

     “เซ็กซี่จนตาค้างไปเลยเหรอมึง เป็นไงล่ะ กูบอกแล้วว่าต้องเวิร์ก”

     “ไอ้ฝน อย่าบอกนะว่ามึง...”

     “ใช่ กูจะให้มึงอ่อยพี่คลื่นด้วยการใส่เสื้อเชิ้ตไปนอนบนเตียง”

     “ไม่เอา!!” ผมรีบคัดค้านโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว สมองเจ้ากรรมก็ดันไปคิดภาพตาม ทำเอาหน้าผมแดงลามไปยันใบหู

     “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงว่าได้ผลหรือเปล่า เอาน่า เชื่อมือกูสิ ต่อให้ไร้ความรู้สึกแค่ไหนแต่ถ้าได้เห็นแฟนแต่งตัวแบบนี้รับรองว่าต้องมีดีดมีเด้งกันบ้าง”

     ภาพในหัวที่ชัดอยู่แล้วยิ่งชัดมากกว่าเดิมเมื่อเจอคำพูดไอ้ฝนเข้าไป ผมอยากหันไปเตือนคนข้างหลังเหลือเกินว่ามึงเป็นกุลสตรีนะเว้ย จะพูดจาอะไรช่วยเกรงใจกระโปรงที่ใส่อยู่บ้าง

     “มึงว่างมากใช่ไหมถึงได้มาคิดแผนการบ้าๆ นี่ให้กู”

     “กูก็แค่อยากให้เพื่อนมีความสุข นี่กูหวังดีกับมึงนะ”

     ถามผมหรือยังว่าอยากได้ความหวังดีไหม...

     “มึงไม่ต้องห่วง กูจะให้มึงใส่เสื้อนักศึกษาพี่คลื่น มึงไม่ต้องเสียเงินซื้อตัวใหม่หรอก แค่มีหน้าที่แปลงร่างเป็นนางแมวยั่วสวาทรอพี่คลื่นอยู่บนเตียงก็พอ”

     ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นอยู่ซะหน่อย!!

     ผมได้แต่ทำหน้าเหนื่อยใจ รู้สึกว่าน้องบาสโชคดีเหลือเกินที่ไม่โดนไอ้ฝนอ่อยอย่างที่มันเคยพูดไว้จริงๆ แค่มันคิดแผนการให้คนอื่นยังสุดโต่งขนาดนี้ ไม่อยากนึกเลยว่าถ้ามันอยากอ่อยน้องบาสด้วยตัวเองจะสุดโต่งขนาดไหน

     ฝนบอกให้ผมเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิม มันเลือกเสื้อบนชั้นมาให้ตัวเองหนึ่งตัวแล้วเดินไปจ่ายเงิน มันให้เหตุผลว่าถ้าเข้ามาลองเสื้อเฉยๆ แต่ไม่ซื้อเลยจะดูน่าเกลียด

     “เหนื่อยหน่อยนะครับ มีคนเพี้ยนอย่างพี่ฝนคิดแผนการให้ก็แบบนี้แหละ” น้องบาสเดินมาตบไหล่ผมเบาๆ สายตาที่มองคนกำลังจ่ายเงินทั้งขบขันและเอ็นดูในเวลาเดียวกัน

     “เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ กับเพื่อนมันยังบ้าบิ่นขนาดนี้ ถ้าเราคบกับมันจริงๆ พี่กลัวว่าบ้านจะแตกเข้าสักวัน”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมทำใจไว้แล้ว อีกอย่างคนอย่างพี่ฝนต้องเจอผมถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”

     ก็จริงนะครับ ทุกวันนี้ผมไม่เคยเห็นฝนเถียงน้องบาสชนะเลย กับคนอื่นมันปากดีไม่มีตก แต่กับน้องบาสมันจนมุมทุกที

     ผมลอบถอนหายใจระหว่างที่เดินออกจากร้านเสื้อผ้า ไอ้ฝนยิ้มระรื่นเหมือนมันจะอ่อยพี่คลื่นเสียเอง ต่างกับผมที่ยังไม่หายเหนื่อยใจกับแผนการบ้าบอของมัน

     “จริงด้วย กูลืมบอกไปอีกอย่าง” ฝนเอาหน้ามาใกล้ กระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน “ตอนอยู่บนเตียงใส่แค่เสื้อตัวเดียวก็พอ ห้ามใส่กางเกงเชียวล่ะ เดี๋ยวมันจะไม่เซ็กซี่”

     ผมรีบผลักเพื่อนตัวดีไปหาว่าที่แฟนมันทันที ในใจก็ก่นด่าตัวเองที่เผลอคิดภาพตามอีกแล้ว

     ผมไม่มีทางอ่อยพี่คลื่นด้วยวิธีนี้เด็ดขาด ขอเอาหัวตัวเองเป็นประกันเลย!





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 26 [13/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 13-09-2022 18:53:26
     “อาหารไม่อร่อยเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเอาแต่ทำหน้าย่น ผมเลยรีบยกยิ้มเพื่อกลบเกลื่อน

     “เปล่าครับ”

     “แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” พี่คลื่นวางช้อนลง มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง “หรือยังเครียดเรื่องเมื่อวันก่อนอยู่อีก”

     ผมส่ายหน้าให้คนถาม ผมไม่ได้เครียดเรื่องข้าวหอมแล้ว เมื่อวันก่อนพี่องศาบอกว่าข้าวหอมอนุญาตให้จีบแล้ว พอรู้ว่าเพื่อนเลิกคิดมากแล้วทำตามใจตัวเองได้เสียทีผมก็พลอยดีใจไปด้วย แต่ที่ผมกำลังทำหน้าเหมือนถ่ายไม่ออกอยู่ตอนนี้ก็เพราะแผนการอ่อยผู้ชายของไอ้ฝนต่างหาก

     “โกรธที่พี่ไม่ไปเที่ยวด้วยหรือเปล่า” พี่คลื่นเห็นผมไม่ยอมบอกเลยนึกว่าเป็นความผิดของตัวเอง วันนี้พี่คลื่นโดนรุ่นพี่ขอร้องให้ไปเป็นคู่ซ้อมบาสเกตบอลเลยไม่ว่างมาเดินห้างด้วย ผมเลยชวนมาทานอาหารเย็นข้างนอก พี่คลื่นจะได้ไม่ต้องทำกินเองให้เหนื่อย

     “เห็นผมเป็นคนยังไงครับ ผมไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นนะ”

     “ถ้างั้นเครียดอะไรอยู่ครับ บอกพี่หน่อยได้ไหม”

     “พี่คลื่นคิดว่าผมแต่งตัวเชยไหมครับ”

     “หืม?” คนตัวสูงเลิกคิ้ว มองชุดที่ผมกำลังใส่ “พี่ว่าแต่งแบบนี้น่ารักออก ไม่เห็นเชยเลย”

     “จริงนะครับ” ผมยิ้มด้วยความโล่งอก

     “พี่จะโกหกทำไมล่ะ” พี่คลื่นพูดยิ้มๆ พอได้ยินคำตอบที่พอใจแล้วผมก็ตักข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี “อย่าบอกนะว่ากำลังเครียดเรื่องนี้”

     “ก็ผมอยากดูดีในสายตาพี่คลื่นนี่ครับ” ผมต้องพูดให้ห่างตัวเข้าไว้พี่คลื่นจะได้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมเครียดเรื่องอะไร

     “เดือนจะแต่งตัวยังไงก็ดูดีในสายตาพี่อยู่ดีครับ” คำพูดของคนตัวสูงเกือบทำให้ผมรู้สึกดีแล้วถ้าไม่มีประโยคต่อมา “แต่ถ้าไม่ใส่อะไรเลยจะดูดีขึ้นไปอีก”

     “พี่คลื่น! นี่มันในร้านอาหารนะครับ”

     คนพูดจาลามกหัวเราะร่า ไม่มีท่าทางสำนึกผิดแม้แต่นิดเดียว ทำไมพี่คลื่นต้องชวนเข้าเรื่องสิบแปดบวกด้วยนะ สมองผมยิ่งมีแต่ภาพอกุศลอยู่ ไม่ได้การ ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุยโดยด่วน

     “แล้ววันนี้เล่นบาสฯ เป็นยังไงบ้างครับ”

     “ชนะแต่ไม่ดีใจ”

     “อ้าว ทำไมล่ะครับ”

     “คนบางคนเอาแต่ไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่มาให้กำลังใจพี่ข้างสนามเลย”

     ผมหลุดขำกับใบหน้าน้อยใจของคนพูด พักนี้พี่คลื่นชักจะน้อยใจบ่อยเกินไปแล้วนะ

     “ผมนัดเพื่อนๆ ไว้แล้ว ไม่อยากผิดนัดครับ” เดี๋ยวนี้มีโอกาสรวมตัวกันนอกเหนือจากในมหา’ลัยทั้งทีต้องใช้ให้คุ้มครับ พอแต่ละคนมีความรักแล้วไม่ค่อยว่างมาเจอกันหรอก

     “ถ้างั้นเดือนต้องไถ่โทษด้วยการมานอนห้องพี่คืนนี้ พี่ถึงจะหายน้อยใจ”

     ถ้าเป็นปกติผมคงตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมกลับลังเลเหมือนคนมีชนักติดหลัง เป็นเพราะไอ้ฝนคนเดียวผมถึงเอาแต่นึกภาพตัวเองบนเตียงพี่คลื่นตลอดเวลา ผมรีบส่ายหน้าไปมาเพื่อสลัดภาพในหัวทิ้ง แต่ดูเหมือนพี่คลื่นจะเข้าใจว่าผมกำลังปฏิเสธ

     “ไม่อยากนอนกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

     เสียงหงอยๆ ของคนตัวสูงทำให้ผมต้องรีบแก้ตัวก่อนจะเข้าใจผิด “เปล่านะครับ ผมแค่...เอ่อ...ผมสะบัดหน้าไล่แมลงวันเฉยๆ ใครจะไม่อยากนอนกับแฟนตัวเองล่ะครับ”

     “งั้นคืนนี้มาค้างห้องพี่นะ พี่อยากนอนกอดเดือน”

     ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ พลางพยักหน้ากลับไป ในใจก็อดหวั่นไม่ได้ว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดหรือเปล่า

     ไม่สิ! มันต้องไม่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ผมสาบานแล้วว่าจะไม่ทำตามแผนการของไอ้ฝน ให้ตายยังไงผมก็ไม่ยอม



     [พี่คลื่นกลับมาหรือยัง]

     “ยัง ถ้ามึงถามอีกทีกูจะวางสายแล้วนะ”

     [อย่าเพิ่งโมโหสิ กูแค่สงสัยเฉยๆ ปกติป่านนี้น่าจะมาได้แล้วนะ]

     “มึงพูดว่าอะไรนะ กูไม่ค่อยได้ยินเลย”

     [เปล่าๆๆ กูแค่บอกว่าตื่นเต้น พอคิดว่าเพื่อนจะโดนสามีจับกินเลือดในตัวกูก็พลุ่งพล่านขึ้นมา]

     “ยังไม่ใช่สามีโว้ย!” ผมเถียงเพื่อนหน้าดำหน้าแดง นอกจากฝนแล้วยังมีควีนกับข้าวหอมในสายด้วย วันนี้ฝนชวนพวกผมประชุมสายในไลน์ มันบอกว่าอยากให้ทุกคนมาร่วมส่งผมเข้าเรือนหอ ตั้งแต่คุยกันมามันถามถึงพี่คลื่นสามรอบแล้ว จนผมอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าถ้ามันอยากรู้มากนักไม่มาค้างด้วยกันเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องถามบ่อยๆ

     เผื่อใครงงว่าทำไมผมถึงอยู่คนเดียว ตอนที่ผมกับพี่คลื่นกำลังกินข้าวอยู่ พี่ยี่หวาก็โทรมาขอให้พี่คลื่นไปช่วยขนของที่หอ เหมือนพี่ยี่หวาจะมีปัญหากับรูมเมทเลยต้องย้ายจากหอในไปอยู่หอนอก นอกจากพี่คลื่นก็มีพี่องศากับพี่ทิวไปช่วยด้วย พี่คลื่นเลยให้ผมกลับมาก่อนเพราะไม่อยากให้ผมไปนั่งรอ

     [แล้วนี่มึงเอาเสื้อพี่คลื่นมาใส่ยัง]

     “อะ...เอามาใส่แล้ว” อย่าเพิ่งแซวผมกันนะครับ แค่นี้ผมก็อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว ถึงปากจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับแผนการของเพื่อน แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้วผมก็แอบอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าพี่คลื่นมาเห็นผมกำลังใส่ชุดตัวเองจะเป็นยังไง

     ทำไมผมดูย้อนแย้งจังวะ วันก่อนบอกเขาว่ายังไม่พร้อม แต่มาวันนี้กลับแต่งตัวยั่วยวนเขา ไอ้ฝนนะไอ้ฝน อยู่ดีไม่ว่าดีดันหาเรื่องให้ผมก่อจนได้

     [สู้ๆ นะคะน้องเดือน ขอให้ปฏิบัติการอ่อยสามีครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดี ถ้าพรุ่งนี้ไปเรียนไม่ไหวก็โทรมาบอกนะ]

     “ก็บอกว่ายังไม่ใช่สามีไง!” สมกับเป็นไม้เบื่อไม้เมาของไอ้ฝนจริงๆ กวนประสาทไม่มีใครเกินใครเลย

     [ข้าวต้องให้กำลังใจเดือนด้วยไหมอ่ะ]

     [แน่นอนสิมึง เพื่อนเรากำลังจะไปออกศึกเชียวนะคะ]

     [ใช่ นี่กูเตรียมเอายาลดไข้ไปให้มันพรุ่งนี้แล้วนะ เขาว่ากันว่าคนรับจะอาการหนักกว่าคนรุก ยิ่งไอ้เดือนบอบบางอยู่แล้วด้วยต้องดูแลให้ดี]

     “พวกมึงหยุดพูดเถอะ ยังไม่แน่ซะหน่อยว่าถ้าพี่คลื่นเห็นกูใส่เสื้อนี้แล้วจะเกิดอารมณ์ เขาอาจจะตลกก็ได้”

     ผมก้มมองเสื้อนักศึกษาของพี่คลื่นที่แอบหยิบมาจากตู้เสื้อผ้า พอได้มาใส่แบบนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าขนาดตัวของผมกับพี่คลื่นช่างต่างกันเหลือเกิน ท่อนล่างผมใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ไม่ได้ตั้งใจจะเชื่อฟังไอ้ฝนนะครับ แค่วันนี้อากาศร้อนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลยจริงๆ

     [มึงอย่าดูถูกสายตากูสิ กูบอกว่าเวิร์กมันก็ต้องเวิร์ก]

     [อยากรู้จังว่าพี่คลื่นจะทำหน้ายังไงตอนเห็นเดือนใส่เสื้อของตัวเอง] ข้าวหอมพูดอย่างตื่นเต้น

     [ก็ต้องตาลุกวาวอยู่แล้วค่ะ หื่นขึ้นหน้าแน่นอนกูมั่นใจ ขนาดกูไม่สนพวกเดียวกันยังคิดเลยว่าไอ้เดือนตอนใส่เสื้อเชิ้ตแม่งโคตรน่ารัก แล้วพี่คลื่นที่หลงมันหัวปักหัวปำจะไปเหลืออะไร ยิ่งถ้าเสื้อนั้นเป็นของตัวเองแล้วด้วย เชื่อสิว่าคืนนี้ไอ้เดือนไม่ได้นอนหรอก]

     ผมวางสายตอนนี้เลยได้ไหมครับ ยิ่งฟังเพื่อนพูดหน้าผมก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ผมยอมรับว่าตื่นเต้นไม่แพ้ไอ้ฝน เหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังหลายทีแล้ว แต่มันก็ไม่ควรพูดออกมาตรงๆ โดยไม่มีท่าทางกระดากปากเลยหรือเปล่า ถึงผมจะยอมทำตามแผนมันแต่ผมก็ยังมีความอายอยู่นะ

     ผมเดินไปเปิดตู้เย็นในครัว ยกขวดน้ำขึ้นดื่มเผื่อจะช่วยดับความตื่นเต้นลงได้ ระหว่างนั้นเพื่อนๆ ในสายก็ยังคุยกันไม่หยุด

     [จริงด้วย กูว่าจะถามอยู่ ไอ้เดือน มึงยังไม่เคยใช่ไหม]

     น้ำในปากแทบพุ่งเมื่อได้ยินคำถามของไอ้ควีน ผมสำลักน้ำจนแสบจมูกไปหมด นึกก่นด่าเพื่อนในใจที่ถามอะไรไม่ดูจังหวะเลย

     [มึงจะรู้ไปทำไมวะ] ฝนเอ่ยปากถามแทนผม

     [กูก็ไม่เคยมีประสบการณ์หรอก แต่กูได้ยินมาว่าครั้งแรกจะเจ็บสุด ถ้าจะให้ชัวร์มึงบอกพี่คลื่นไว้ก่อนก็ดีว่าให้ทำเบาๆ กูไม่อยากให้การเสียตัวครั้งแรกทำให้ผมหวาดผวาเซ็กส์ไปตลอดชีวิต]

     ไอ้ควีนพูดเหมือนเป็นห่วงผม แต่มันไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดของมันสร้างความกลัวให้ผมมากขึ้นไปอีก

     “จะ...เจ็บมากเลยเหรอวะ” ผมถามเสียงสั่น

     [บอกแล้วไงว่ากูไม่เคย แค่ฟังคนอื่นพูดมาอีกที ถ้ามึงอยากรู้ก็รอทดสอบกับสามีคืนนี้สิ แต่ระวังตอนเช้าจะลุกไม่ขึ้นนะคะ]

     ขอบคุณนะสำหรับความเป็นห่วง แต่กูฟังแล้วรู้สึกหดหู่มากกว่าซาบซึ้งอีก

     [อาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้ พี่คลื่นเขาดูรักเดือนมากนะ คนรักกันคงไม่ทำอะไรรุนแรงหรอก] ข้าวหอมพยายามพูดปลอบใจ แต่นาทีนี้ไม่มีอะไรมาหยุดความกังวลของผมได้อีกแล้ว

     “กู...กูไปเปลี่ยนชุดดีกว่า”

     [เฮ้ย! ไม่ได้นะเว้ย แผนการใกล้สำเร็จแล้ว มึงจะมาปอดแหกตอนนี้ไม่ได้]

     “มึงไม่ใช่คนที่จะโดนก็พูดได้สิ ไม่เอาแล้ว กูไม่ขอเสี่ยงดีกว่า”

     [แต่พี่คลื่นกำลังกลับมาแล้วนะ]

     “ถึงได้ต้องรีบไปเปลี่ยนชุดไง ถ้าพี่คลื่นมาเห็นกูตอนนี้เข้ามีหวัง...”

     “เดือน”

     !!!!!!

     เสียงทุ้มจากข้างหลังทำให้ผมตกใจจนเผลอทำขวดน้ำหลุดมือ ผมค่อยๆ หันไปมองเจ้าของเสียงด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ พี่คลื่นกำลังยืนอยู่หน้าห้องครัว สายตาที่มองมาทั้งตกใจและแปลกใจกับชุดที่ผมใส่

     ซวย

     แล้ว

     ไง!!


     [ไอ้เดือน นั่นเสียงพี่คลื่นหรือเปล่า] เสียงฝนดังออกมาจากโทรศัพท์ ผมรีบกุลีกุจอตัดสายก่อนที่มันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ พี่คลื่นย่างสามขุมเข้ามาหา สีหน้ายังไม่หายแปลกใจ

     “กะ...กลับมาแล้วเหรอครับ” นี่เป็นคำทักทายเดียวที่ผมพอจะนึกออกในเวลานี้ แต่ดูเหมือนพี่คลื่นจะไม่สนใจ เพราะเขาเอาแต่มองผมหัวจรดเท้าจนผมรู้สึกอายขึ้นมา

     “เอาเสื้อพี่มาใส่ทำไมครับ”

     “คือ...คือผม...” ผมพยายามคิดหาเหตุผลที่จะทำให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอาย แต่หน้านิ่งๆ ของพี่คลื่นทำให้ผมคิดอะไรไม่ออกเลย เมื่อเห็นผมเอาแต่อึกอักคนตัวสูงเลยขยับมาใกล้มากขึ้น จนกางเกงนักศึกษาที่พี่คลื่นใส่อยู่มาสัมผัสโดนขาของผมที่ไม่มีอะไรปกปิด

     จู่ๆ พี่คลื่นก็อุ้มผมขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ ผมตกใจจนเกือบจะอุทาน แต่ร่างสูงที่เบียดตัวมาแนบชิดทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรออกไป

     “ที่ฝนบอกว่าให้รีบกลับเพราะมีอะไรดีๆ รออยู่หมายถึงแบบนี้เองสินะ”

     ผมกะพริบตาปริบๆ พยายามประมวลคำพูดด้วยหัวสมองอันน้อยๆ ฝนมันไปบอกอะไรพี่คลื่นวะ ทำไมไม่เห็นบอกผมเลย

     “คิดจะอ่อยพี่เหรอครับ” พี่คลื่นกระตุกยิ้ม ผมเบิกตาโพลงอย่างตกใจ นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ หมดกันภาพลักษณ์ที่สั่งสมมานาน

     “ปะ...เปล่านะ ผมแค่...”

     “ถึงกับเอาชุดพี่มาใส่แล้วยังจะปากแข็งอีก” เสียงพี่คลื่นเบาลงพร้อมกับใบหน้าที่โน้มมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่มองไปทั่วร่างกายทำให้ผมอยากหายตัวไปซะตอนนี้เลย “อ่อยกันขนาดนี้แปลว่าพร้อมแล้วสินะ”

     “อ๊ะ!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อมือเย็นๆ ของร่างสูงลูบไล้ไปมาบริเวณต้นขา ลมหายใจของพี่คลื่นร้อนระอุ ดวงตาสีดำคู่นั้นราวกับจะแผดเผาผมให้มอดไหม้ไปในพริบตา

     “ว่าพี่ไม่ได้นะครับ เดือนอยากเริ่มก่อนเอง รู้ไหมว่าตัวเองตอนนี้ดูดีแค่ไหน”

     พี่คลื่นไม่ให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจ ยื่นหน้ามาเป่าลมข้างหูเบาๆ ทว่าสร้างความเสียวซ่านจนผมต้องหดคอหนี ริมฝีปากก้มลงมาประทับบนลำคอ มือหนารั้งสะโพกทั้งสองข้างเข้าหาตัวเอง ผมจะยกมือมาดันตัวออกแต่เรี่ยวแรงก็เริ่มหายไปทีละนิด

     “ดะ...เดี๋ยวก่อนครับ...”

     พี่คลื่นขบเม้มติ่งหูเหมือนไม่อยากให้ผมเอ่ยปากท้วง คนตัวสูงอาศัยจังหวะที่ผมเผยอปากส่งเสียงหันมามอบจูบอันเร่าร้อน สติของผมราวกับถูกพายุพัดพาให้หายไป ยิ่งเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการผมก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก พี่คลื่นจูบผมจนพอใจก่อนจะถอนปากออกแล้วช้อนตัวผมอุ้มไปที่เตียงนอน

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นคนตัวสูงกำลังไล่ถอดกระดุมเสื้อ ผมจะยกมือมาห้ามพี่คลื่นก็รวบสองมือผมไว้ด้วยมือเดียว จนกระทั่งสาบเสื้อถูกเปิดออกหมดคนบนร่างก็จ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของผมราวกับจะกลืนกินเข้าไปในคราวเดียว

     “ทำไมถึงได้น่ารักอย่างนี้” ร่างสูงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะก้มลงมาทักทายหน้าท้องของผมด้วยลิ้นร้อน สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยทำให้ผมเผลอแอ่นตัวขึ้น พี่คลื่นไล่ลิ้นมาจนถึงยอดอก ไล้วนไปมาบนตุ่มไตสร้างความกระสันจนผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว

     “พะ...พี่คลื่น...อ๊า...”

     “พี่ขอได้ไหมครับคนดี” ใบหน้าที่กำลังหยอกล้อกับแผ่นอกเอ่ยขึ้นมา แต่เวลานี้ผมไม่มีสติพอที่จะตอบกลับไป ทำได้เพียงกอบกุมเส้นผมของอีกคนไว้เพื่อระบายความรู้สึกที่กำลังปะทุในอก

     พี่คลื่นเลื่อนใบหน้ามาจูบผมอีกครั้ง ระหว่างที่ลิ้นของเราสองคนเกี่ยวพันกันมือหนาก็ถกบ็อกเซอร์ลงไปด้วย ผมอยากร้องห้ามแต่ก็ทำไม่ได้เพราะคนตัวสูงไม่เปิดช่องว่างให้ผมพูดอะไรเลย จนกระทั่งร่างกายของผมไม่มีสิ่งปกปิดอีกฝ่ายถึงได้ถอนปากออกไป พี่คลื่นยืดตัวเต็มความสูงก่อนจะถอดเสื้อผ้าของตัวเอง สายตาที่จ้องมองมาทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

     “พี่รักเดือนนะครับ” พี่คลื่นพูดแค่นั้นก่อนจะก้มลงมากอดผมแน่น แก่นกายที่กำลังเสียดสีกันชวนให้อารมณ์แตกกระเจิงยิ่งขึ้น ผมเอื้อมมือไปโอบรอบลำคอแกร่ง ยิ่งช่วงล่างสัมผัสกันมากเท่าไหร่เราสองคนยิ่งเปล่งเสียงร้องออกมาเท่านั้น ร่างสูงขยับตัวขึ้นลงสักพักก่อนจะหันมาสบตา ลมหายใจสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน

     “พี่คลื่น...” ผมละเมอเรียกชื่อคนด้านบน ดวงตาฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำ

     “เป็นของพี่นะครับ พี่อยากทำให้เดือนมีความสุข”

     ผมเผลอกัดปากตัวเองเมื่อรู้ว่าพี่คลื่นกำลังจะมอบความสุขแบบไหนให้ แต่มาถึงขนาดนี้ผมคงหนีไปไหนไม่ได้แล้วสินะ ผมส่งสายตาไปออดอ้อนคนตัวสูง อายก็อายแต่เพื่อความปลอดภัยต้องพูดไว้ก่อน

     “ทำเบาๆ ได้ไหมครับ ผมกลัว...”

     คนถูกขอร้องหัวเราะในลำคอ มือหนาเอื้อมมาลูบหัวราวกับอยากปลอบประโลม “พี่จะทะนุถนอมเดือนให้มากที่สุด ไม่ต้องกลัวนะครับ เชื่อใจแฟนคนนี้สิ”

     น้ำเสียงนุ่มทุ้มทว่าหนักแน่นของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอพยักหน้าตอบรับ พี่คลื่นก้มลงมาประทับจูบอีกครั้ง โหมกระหน่ำเปลวเพลิงในจิตใจให้ลุกโชนขึ้นไปอีก

     ผมถูกพี่คลื่นชักนำไปตามแรงอารมณ์แห่งความปรารถนา กว่าพายุจะสงบเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงตีสามของอีกวัน ผมไม่รู้ว่าทะนุถนอมของผมกับพี่คลื่นมันเหมือนกันไหม แต่บอกได้อย่างเดียวว่าตอนนี้ผมระบมไปทั้งร่าง แค่จะลุกไปห้องน้ำยังต้องให้พี่คลื่นอุ้มไปเลย

     “ไหนบอกว่าจะทะนุถนอมผมไง” ผมพูดขึ้นมาเบาๆ เมื่อคนตัวสูงวางผมลงในอ่างอาบน้ำ

     “พี่ก็ทะนุถนอมแล้วไงครับ”

     “ทำผมเจ็บแบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่ารังแกนะครับ”

     แทนที่จะสำนึกผิด คนที่เป็นต้นเหตุกลับเอาแต่หัวเราะเหมือนภูมิใจในผลงานตัวเอง พี่คลื่นเอนหลังไปพิงขอบอ่างก่อนจะรั้งตัวผมตามลงไปจนแผ่นหลังผมแนบชิดกับอกแกร่ง

     “ตอนแรกว่าจะทำเบาๆ แต่เสียงครางของคนแถวนี้โคตรน่ารัก ได้ยินแล้วเครื่องมันติดจนหยุดไม่ได้”

     “พอเลยครับ ไม่ต้องพูดแล้ว คิดว่าผมอายไม่เป็นหรือไง”

     “อายทำไมพี่ชอบจะตาย ถ้ารู้ว่าเดือนใส่เสื้อพี่แล้วจะเซ็กซี่ขนาดนี้พี่ให้ใส่ไปนานแล้ว”

     รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของคนด้านหลังทำให้ผมอยากลุกหนีไปซะตอนนี้ แต่เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้าจึงไม่สามารถทำได้ดั่งใจ พี่คลื่นวักน้ำมาลูบตามตัวผม ทำความสะอาดให้ทั่วทั้งร่างกาย สักพักก็เอาคางมาเกยบนไหล่ก่อนจะพ่นลมหายใจใส่หู

     “อื้อ...อย่าแกล้งกันสิครับ อ๊ะ!” ผมอุทานเมื่อตรงก้นสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง กำลังจะลุกขึ้นยืนแต่มือหนาก็กดสะโพกผมไว้แน่น

     “เดือนครับ...” เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ข้างๆ ทำให้ผมรู้ทันทีว่าพี่คลื่นกำลังจะพูดอะไร

     “พอได้แล้วครับ ผมเพลียจนไม่มีแรงแล้ว”

     “รอบนี้พี่จะทำเบาๆ สาบานเลยก็ได้”

     “จะเบาหรือแรงก็ไม่เอาทั้งนั้นครับ พี่คลื่นปล่อยเลยนะผมอยากไปนอนแล้ว” แฟนผมไปอดอยากมาจากไหนวะเนี่ย ทำกันไปตั้งหลายรอบแล้วยังคึกได้อยู่อีก ผมนี่แทบจะหลับกลางอากาศให้ได้เลย

     “เด็กขี้อ่อยที่ขโมยเสื้อพี่ไปใส่หายไปไหนแล้วนะ ทำไมตอนนี้พี่เห็นแต่เด็กดื้อ”

     “ผมไม่ได้...” ผมกำลังจะหันหน้าไปเถียง แต่คนตัวสูงที่เหมือนรอโอกาสนี้อยู่แล้วรีบบดริมฝีปากมาประกบอย่างไว รสจูบของพี่คลื่นทำให้เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดหายไปจนหมด ทำได้แค่ทิ้งตัวซบหน้าลงไปบนอกกว้าง

     “วันนี้หยุดเรียนสักวันนะครับ เดี๋ยวพี่จะให้นอนทั้งวันเลย แต่ตอนนี้มาเหนื่อยกันต่ออีกหน่อยเถอะ โรแมนติกบนเตียงไปแล้วพี่อยากลองในห้องน้ำบ้าง”

     ผมอยากเถียงกลับไปเหลือเกินว่าคนที่เหนื่อยน่าจะมีแค่ผม แต่ลิ้นร้อนที่รุกรานไปทั่วทำให้ผมไม่มีแรงประท้วงแม้แต่น้อย และแล้วความโรแมนติกในห้องน้ำก็เริ่มขึ้นอีกครั้งโดยมีเสียงกระเส่าของเราสองคนดังประสานกัน ความสุขที่พี่คลื่นมอบให้ในค่ำคืนนี้มันเอ่อล้นจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้

     คราวหลังผมจะไม่ทำตามคำสั่งเพื่อนอีกแล้ว ปฏิบัติการบ้าบออะไรก็ไม่รู้ นอกจากภาพพจน์อันแสนเรียบร้อยจะหายไปแล้วผมยังต้องเจ็บตัวฟรีอีก





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.26 [13/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-09-2022 11:31:22
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 27 [16/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 16-09-2022 18:42:12
ตอนที่ 27 : เมื่อความอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นความเย็นชา





     “จะสารภาพออกมาเองหรือต้องให้กูเค้น” ผมโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อเดินมาถึงโต๊ะประจำที่มีเพื่อนๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว ควีนกับข้าวหอมมองมาด้วยความงง ต่างกับอีกคนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงยิ้มแย้มให้ผมเหมือนปกติ

     “โดนสามีขังอยู่แต่ในห้องจนสมองเบลอไปแล้วหรือไง มาถึงก็พูดอะไรไม่รู้”

     “อย่ามาทำไขสือ วันก่อนมึงทักไปบอกพี่คลื่นใช่ไหมว่าให้รีบกลับห้องเพราะมีอะไรดีๆ รออยู่”

     ควีนกับข้าวหอมตาโต ส่วนไอ้ตัวการยิ้มเหมือนภูมิใจในความผิดที่ตัวเองก่อ ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังจะถูกผมกินหัวอยู่รอมร่อ

     “อยากขอบคุณกูล่ะสิ ไม่ต้องๆ เพื่อความสุขของเพื่อนเรื่องแค่นี้มันเล็กน้อย...โอ๊ย! กูเจ็บนะ มาดีดหน้าผากกูทำไม”

     “โทษฐานที่ทำให้กูเจ็บตัว” ผมมองค้อนฝนก่อนจะนั่งลงข้างข้าวหอม มันยังเอามือกุมหน้าผากด้วยสีหน้าเจ็บปวด เพราะที่ผมดีดไปเมื่อครู่ไม่ได้เบาเลย

     “มึงเจ็บตัวเหรอ” ควีนทำหน้าตกใจ แต่ผมคบกับมันมานานเลยรู้ว่ามันแกล้งทำ

     “กูค่ะ กูเจ็บตัวไม่ใช่มัน ดีดมาซะเต็มแรงแค้นเลยนะ ไม่เอาให้หน้าผากกูยุบไปเลยล่ะ”

     ควีนไม่สนใจเสียงโอดครวญของฝน เอาแต่มองผมพลางยิ้มกริ่ม “เพื่อนกูเจ็บหนักถึงขั้นมาเรียนไม่ได้ แสดงว่าลีลาพี่คลื่นไม่ธรรมดาสินะ นี่ไอ้เดือน เล่าให้กูฟังหน่อยสิว่าสามีมึงเด็ดแค่ไหน”

     ผมทำท่าจะดีดหน้าผากคนถามด้วยอีกคน แต่มันไหวตัวทันเลยหลบได้ซะก่อน ไอ้สองคนนี้พึ่งพาไม่เคยได้เลย คนหนึ่งสร้างวีรกรรมไว้เจ็บแสบ ส่วนอีกคนก็เอาแต่สนใจเรื่องใต้สะดือแทนที่จะถามไถ่อาการเพื่อนสนิทก่อน

     “แล้ววันนี้เดือนมาเรียนหายดีแล้วเหรอ ข้าวว่าหยุดพักอีกสักวันดีกว่าไหม” นี่ครับ ต้องเพื่อนแท้ตลอดกาลของผมคนนี้ ดีแสนดีขนาดนี้ไม่เสียแรงที่พี่องศาทั้งรักทั้งหลง

     “เราแค่ไม่สบายนิดหน่อย แต่เมื่อวานได้นอนพักทั้งวันเลยหายดีแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”

     “เมื่อวานมึงได้พักเหรอ โห่ อะไรวะ กูนึกว่าพี่คลื่นจะเครื่องติดสองวันซ้อนซะอีก โอ๊ย!”

     คราวนี้ไม่พลาดครับ ไอ้ควีนโดนเข้าไปเต็มหน้าผากเหมือนที่ไอ้ฝนโดน ผมถลึงตาใส่พวกมันสองคน ยกนิ้วชี้หน้าเมื่อเห็นมันอ้าปากจะแซวอีก

     หลังจากที่พี่คลื่นรังแกผมทั้งคืนจนไข้ขึ้นสูง วันต่อมาเขาก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการหยุดเรียนเป็นเพื่อนแล้วอยู่ดูแลผมที่ห้องทั้งวัน ยังดีที่พี่คลื่นรู้ว่าผมป่วยอยู่ เมื่อวานเลยไม่มีการลวนลามใดๆ ทั้งสิ้น แต่วันนี้ตอนเช้าจู่ๆ พี่คลื่นก็พูดขึ้นมาว่าจะรอคิดทบต้นทบดอกตอนผมหายทีเดียว เล่นเอาผมอยากไข้ขึ้นไปทั้งชีวิตไม่ต้องหายมันซะเลย

     ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ครั้งแรกมันควรอ่อนโยนและค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่เหรอ แต่นี่พี่คลื่นเล่นใส่มาเต็มแรงจนผมลุกไม่ขึ้นไปหนึ่งวันเต็มๆ ไม่ปล่อยให้ผมพักหายใจหายคอเลย

     “แล้ววันนี้มึงไม่ได้มากับพี่คลื่นหรอกเหรอ เห็นมึงไปค้างคอนโดฯ เขากูก็นึกว่าเขาจะมาส่งมึงซะอีก”

     “พี่คลื่นมาส่งกูแล้วก็กลับบ้านไปแล้ว เห็นบอกว่าแม่ให้กลับไปหาเพราะมีธุระ”

     “พูดถึงแม่พี่คลื่น มึงว่าแม่เขาจะรู้ไหมวะว่าลูกชายมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน” ฝนถาม ก่อนจะรีบแก้ตัวเหมือนกลัวผมคิดมาก “กูแค่ถามเฉยๆ นะ ไม่ได้จะพูดให้มึงเครียด”

     “ไม่เป็นไร กูก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ที่จริงกูก็อยากถามพี่คลื่น แต่กูเห็นว่าเราเพิ่งคบกันไม่นานเลยว่าจะรออีกสักพัก”

     ผมกับพี่คลื่นต่างก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวตัวเอง ผมเลยไม่รู้ว่าพ่อแม่พี่คลื่นเป็นคนยังไง ฝั่งผมไม่น่าเป็นห่วงหรอก พ่อแม่ผมรู้อยู่แล้วว่าผมชอบผู้ชาย ทุกวันนี้ยังเชียร์ให้หาแฟนหล่อๆ อยู่เลย แต่พ่อแม่พี่คลื่นนี่สิ พวกท่านจะรับได้หรือเปล่าถ้ารู้ว่าเราสองคนคบกัน

     “อย่าคิดมากนะเดือน แม่พี่คลื่นคงไม่หัวโบราณถึงขนาดเอาเรื่องเพศมากีดกันลูกชายหรอก”

     “ทำไมมึงพูดเหมือนมั่นใจเลยวะข้าว”

     “ไม่มั่นใจหรอก ข้าวแค่รู้สึกว่ามันจะเป็นแบบนั้น พี่คลื่นนิสัยดีขนาดนี้ข้าวเลยคิดว่าแม่พี่คลื่นต้องเลี้ยงดูมาอย่างดีแน่นอน แล้วแม่ที่รักลูกเขาจะกล้าขัดความสุขของลูกเหรอ”

     ผมยิ้มให้ข้าวหอมที่ช่วยพูดปลอบใจ ฝนกับควีนก็พยักหน้าเห็นด้วยเหมือนกัน

     “อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยมึง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่คลื่นเถอะ” ฝนว่าอย่างปลงๆ ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ ทำเอาผมตกใจเกือบหงายหลังไปกับพื้น “เรื่องที่ควรสนใจตอนนี้คือเรื่องบนเตียงของมึงกับพี่คลื่นต่างหาก”

     “ถูกค่ะ” ควีนรีบพูดเสริมทันทีเหมือนมันรอเวลานี้อยู่แล้ว “ตกลงมึงจะเล่าได้ยังว่าลีลาสามีมึงเด็ดแค่ไหน”

     ใครจะยอมเล่าให้โง่ เรื่องแบบนี้มันเอามาพูดได้ซะที่ไหน พวกมันต่างหากที่ถามอะไรไม่อายเลย

     “เดี๋ยว นั่นมึงจะไปไหน คิดจะหนีเหรอ”

     ผมไม่สนใจเสียงไอ้ฝน สองเท้ารีบเดินไปยังห้องน้ำโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไป

     “ไอ้เดือน กูอุตส่าห์ช่วยให้มึงขึ้นสวรรค์นะ ใจคอจะไม่บอกอะไรเลยหรือไง!”

     เออ ไม่เถียงหรอกว่าผมได้ขึ้นสวรรค์เพราะมันจริงๆ แต่ถ้าจะให้ดีช่วยพาผมลงมาด้วยได้ไหม พี่คลื่นเล่นกักขังผมอยู่บนสวรรค์ทั้งคืนไม่ปล่อยให้ลงมายังโลกมนุษย์เลย


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ผมไม่ได้ปวดอะไร แค่ตั้งใจจะหนีคำถามของเพื่อนบังเกิดเกล้าเท่านั้น แต่ไหนๆ ก็ลุกออกมาแล้วผมเลยว่าจะไปล้างหน้าล้างตาซะหน่อย เผื่ออาการอ่อนเพลียที่ยังหลงเหลืออยู่จะหายไปบ้าง

     ระหว่างที่เดินไปห้องน้ำผมก็หวนกลับมาคิดเรื่องพี่คลื่นอีกรอบ พี่คลื่นบอกรักผมทุกวัน ทั้งคำพูดและการกระทำของพี่คลื่นทำให้ผมเชื่ออย่างหมดใจว่าเขารักผมจริงๆ แต่ความรักที่พี่คลื่นมีให้ผมมันมากพอที่เขาจะบอกเรื่องนี้กับครอบครัวหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังกังวล แล้วถ้าพ่อแม่ไม่โอเคขึ้นมาพี่คลื่นจะทำยังไงต่อ เราสองคนต้องเลิกกันไหม หรือเขาจะยอมผิดใจกับครอบครัวเพื่อผม แต่ไม่ว่าทางไหนผมก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย มันจะเป็นไปได้ไหมนะที่เราจะคบกันโดยไม่มีคนเสียใจ

     พลั่ก!!

     ร่างของผมล้มลงกับพื้น ความเจ็บบริเวณท้ายทอยลามไปทั่วร่างกายจนผมไม่มีแรงหันไปมองด้านหลัง ผมกำลังจะเอามือไปกุมแผลแต่ของแข็งๆ บางอย่างก็ฟาดลงมาอีก ก่อนจะตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้นตัวผมก็ปลิวไปตามแรงกระชากของใครบางคน หลังจากนั้นหมัดหนักๆ ก็พุ่งเข้ามาหลายต่อหลายครั้งจนผมชาไปทั้งหน้า

     เกิดอะไรขึ้น...

     ผมได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาในหัว ครั้นจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือคนที่กำลังประเคนหมัดใส่ผมก็ไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรเลย เมื่ออีกฝ่ายปล่อยมือจากคอเสื้อผมก็ทรุดลงไปนอนบนพื้นอย่างหมดสภาพ และในตอนที่ผมกำลังโดนกระทืบซ้ำจนสติแทบขาดผึง เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมา

     “พอแค่นั้นแหละ เอาแค่สาหัสพอไม่ต้องถึงตาย”

     ผมอยากเหลือบไปมองว่าใครคือเจ้าของเสียง แต่แค่จะขยับใบหน้าผมยังทำไม่ได้เลย ผมรู้แค่ว่าคนที่พูดเป็นผู้หญิง และน่าจะเป็นคนที่ผมรู้จัก เพราะผมรู้สึกคุ้นเสียงนั้นอย่างบอกไม่ถูก

     ผมถูกมือปริศนาบีบคางออกแรงให้แหงนหน้าขึ้นไป ผมพยายามลืมตาเผื่อจะรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่ไม่ว่ายังไงก็ลืมไม่ขึ้นเลย

     “อยากรนหาที่ตายก็ต้องเจอแบบนี้แหละ จำไว้นะไอ้เด็กเหลือขอ อะไรที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่าสาระแนแย่งไปจากคนอื่น”

     ใบหน้าผมถูกผลักลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง เสียงฝีเท้าที่กำลังห่างออกไปบ่งบอกว่าคนพวกนั้นได้จากไปแล้ว ผมอยากกลับไปหาเพื่อน แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงกระดิกนิ้วนิดหน่อยเท่านั้น ความเจ็บจากการถูกทำร้ายร่างกายทำให้สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนหายไป ผมทำได้แค่นอนเฉยๆ รอคอยใครสักคนผ่านมาเห็น

     ก่อนที่ผมจะหมดสติจนไม่รับรู้อะไร ใบหน้าของคนที่ผมรักก็ผุดขึ้นมาในหัว

     พี่คลื่นครับ...ผมเจ็บเหลือเกิน รีบมาช่วยผมที


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     -คลื่นคราม-

     “เดือน!!”

     ผมโพล่งเสียงดังเมื่อเปิดประตูห้องคนไข้เข้ามา ภาพที่เห็นตรงหน้าแทบทำให้หัวใจหยุดเต้น เดือนกำลังนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล บนหัวและตามร่างกายมีทั้งผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำ ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างหันมามองผมเป็นจุดเดียว มีทั้งองศา ทิว ยี่หวา น้องข้าวหอม น้องฝน น้องควีน น้องบาส และคนที่ผมไม่คิดว่าจะอยู่ด้วย...พี่เมศ

     “มาช้าจังวะ กูโทรไปบอกตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” องศาเอ่ยถามเป็นคนแรก มันโอบไหล่ข้าวหอมที่กำลังสะอื้นอยู่ ผมกำลังจะตอบกลับไปแต่คนที่เดินดุ่มๆ มาหาก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรเลย

     ผัวะ!!

     “คลื่น!” ยี่หวารีบเข้ามาประคองผมที่กำลังจะล้มลงไป ผมยกมือมากุมปากพลางหันไปมองคนชก พี่เมศยืนกำหมัดจ้องผมไม่วางตา สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด

     “ไหนบอกว่าจะดูแลเดือนให้ดี แล้วทำไมถึงปล่อยให้เดือนโดนทำร้ายแบบนี้วะ!!” พี่เมศทำท่าจะเข้ามาซ้ำแต่ก็ถูกองศากับทิวล็อกแขนไว้คนละข้าง ด้านหลังคือเหล่ารุ่นน้องที่กำลังมองมาอย่างตื่นตระหนก ผมผลักยี่หวาให้ถอยห่างก่อนจะหันไปสบตากับพี่เมศ

     “ผมเพิ่งรู้เรื่องเพราะองศาโทรมาบอก พอรู้ว่าเดือนโดนทำร้ายผมก็รีบมาทันที”

     “คิดว่าคำพูดแค่นั้นจะใช้แก้ตัวได้เหรอ ถ้าฉันไม่บังเอิญผ่านไปแถวห้องน้ำเดือนก็คงนอนจมกองเลือดอยู่ทั้งอย่างนั้น นายเป็นแฟนประสาอะไรวะคลื่นถึงยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ ถ้าดูแลเดือนอย่างที่พูดไว้ไม่ได้ก็เลิกกับเดือนซะ ฉันจะดูแลเดือนเอง!!”

     พอได้ฟังคำพูดจากปากพี่เมศผมก็ยิ่งรู้สึกแย่มากกว่าเดิม แค่นึกภาพว่าเดือนกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นโดยมีบาดแผลทั่วร่างกาย หัวใจมันก็เหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก

     “พี่เมศใจเย็นๆ ครับ ไอ้คลื่นเองก็ไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอก ผมว่าพี่เบาเสียงลงก่อนดีกว่า มันจะรบกวนเดือนเปล่าๆ”

     พี่เมศชะงักไป เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองเสียงดังแค่ไหน ผมเลิกสนใจพี่เมศแล้วเดินไปยังเตียงคนไข้ ร่างบางที่กำลังหลับไม่ได้สติทำให้ผมใจเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

     “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเดือนถึงโดนทำร้ายได้” ผมหันไปถามกลุ่มเพื่อนของเดือนเพราะคิดว่าน่าจะรู้เรื่องมากที่สุด

     “หนูนั่งอยู่ใต้ตึกเรียน รอไอ้เดือนที่กำลังไปเข้าห้องน้ำ จู่ๆ พี่เมศก็อุ้มเดือนเข้ามาหาแล้วบอกว่าเดือนนอนหมดสติอยู่หน้าห้องน้ำ พวกเราเลยรีบพามันมาโรงพยาบาล” ควีนเป็นคนตอบผมเพราะอีกสองคนไม่อยู่ในสภาพที่จะตอบได้ ข้าวหอมยังร้องไห้ไม่หยุด ส่วนฝนก็น้ำตาคลอเบ้าจนน้องบาสต้องคอยกอดปลอบไว้

     “พอจะรู้ไหมว่าใครทำ”

     “ไม่รู้เลยค่ะ พี่เมศบอกว่าตอนไปถึงก็ไม่มีใครอยู่แล้ว”

     “ช่วงนี้เดือนมีเรื่องกับใครอยู่หรือเปล่า”

     “โธ่พี่คลื่น ใครจะกล้ามีเรื่องกับมันล่ะคะ ทั้งคณะเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าไอ้เดือนเป็นคนดีไม่เคยคิดร้ายกับใคร มีแต่คนชอบมันด้วยซ้ำ”

     ผมหันมามองคนบนเตียงอีกรอบ รอยฟกช้ำบนแก้มเนียนใสทำให้ผมเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ทำไมเด็กอ๊องของผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย รู้อย่างนี้ผมพาเดือนกลับบ้านไปหาแม่ด้วยกันก็ดี ไม่น่าปล่อยให้คลาดสายตาเลย

     ท่ามกลางความเงียบในห้องจู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พี่เมศหยิบมากดรับแต่ตายังมองเดือนไม่ห่าง

     “ครับอาจารย์...ตอนนี้เลยเหรอครับ...ได้ครับ...ประมาณสิบนาทีครับ...โอเคครับ” พี่เมศวางสายก่อนจะหันไปหาองศา “พี่ต้องกลับมหา’ลัยก่อน อาจารย์มีธุระจะคุยด้วย ถ้าอาการเดือนดีขึ้นแล้วโทรมาบอกหน่อยนะ”

     “ครับ”

     คนที่ฝากรอยแผลไว้ตรงมุมปากผมเดินไปที่ประตู แต่ตอนที่กำลังจะผ่านผมไปพี่เมศก็พูดขึ้นมาโดยไม่หันมามอง

     “รู้ใช่ไหมว่าเดือนรักนายมากแค่ไหน”

     “รู้ครับ”

     “ฉันอยากแย่งเดือนมาจากนาย เพราะฉันมั่นใจว่าดูแลเดือนได้ดีกว่าแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ฉันคงแย่งมาได้แค่ตัว เพราะอะไรนายน่าจะรู้ดี”

     “…”

     “อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ไม่งั้นฉันจะแย่งเดือนกลับมาโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น นายเป็นคนฉลาด คงรู้นะว่านี่ไม่ใช่แค่คำขู่”

     เมื่อได้พูดความในใจหมดแล้วพี่เมศก็ออกไปจากห้อง บรรยากาศกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เอื้อมมือไปวางบนแขนคนรักเบาๆ

     “ไม่มีเลือดคั่งใช่ไหม” ผมถามองศาแต่สายตายังไม่ละไปจากคนบนเตียง

     “ไม่มี หมอบอกว่าไม่เป็นอันตรายแต่ยังอยู่ในระยะเฝ้าระวัง ต้องนอนพักฟื้นสองสามวันถึงจะกลับบ้านได้”

     “จะบอกพ่อแม่เดือนไหม” คราวนี้ผมหันไปถามควีน

     “คงไม่บอกค่ะ ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ หมอก็บอกแล้วว่าไม่เป็นอันตราย”

     “อืม คืนนี้ใครจะอยู่เฝ้า”

     เพื่อนเดือนทั้งสามคนรีบอาสาพร้อมกัน แต่ผมประเมินจากขนาดตัวแต่ละคนแล้วคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่

     “พี่อยู่เฝ้าเองดีกว่า อย่างน้อยตอนเข้าห้องน้ำจะได้อุ้มไปเลยไม่ต้องประคอง”

     “งั้นผมอยู่ด้วยครับ ผมก็เป็นห่วงเดือนเหมือนกัน”

     “อย่าเลย โซฟามีตัวเดียว ขืนอยู่กันเยอะจะลำบากเปล่าๆ” ข้าวหอมทำท่าจะแย้ง ผมเลยหันไปพูดกับองศาแทน “ฝากมึงสืบหน่อยได้ไหมว่าใครทำ กูคิดว่าน่าจะเป็นคนในมหา’ลัยที่รู้จักเดือนอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนนอกมันคงรอดักตีข้างนอกแทนที่จะบุกเข้ามาเสี่ยงให้คนจำหน้าได้”

     “ได้ ไม่มีปัญหา”

     “ขอบใจ ฝากไปเอาของที่ห้องกูมาให้ด้วย” ผมโยนคีย์การ์ดให้องศา มันรู้รหัสห้องผมอยู่แล้วเลยไม่ต้องบอก “เอาแค่เสื้อผ้ากับของจำเป็นมาก็พอ เฝ้าไม่กี่คืนเอง”

     “เออ เดี๋ยวกูจัดการให้”

     ผมพยักหน้าให้องศา ก่อนจะหันมาหาน้องๆ ที่พากันมายืนขอบเตียง “พี่ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษานะ พี่จะจัดการให้ทั้งหมด”

     “ไม่ใช่ความผิดพี่คลื่นหรอกค่ะ ถ้าพูดกันตามตรงพวกหนูนี่แหละที่ผิด ถ้าตอนนั้นหนูไปห้องน้ำกับเดือนมันก็คงไม่โดนทำร้าย” ควีนพูดพลางทำหน้ารู้สึกผิด ทิวเลยเข้ามาจับไหล่เป็นเชิงปลอบ

     “ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ ไอ้หมาลอบกัดนั่นต่างหากที่ผิด อย่าให้รู้นะว่าใคร แม่จะตบให้หน้าหันเลย” ยี่หวาพูดอย่างคับแค้นใจ มันเคยบอกว่ารักเดือนเหมือนน้องชายแท้ๆ คนหนึ่ง พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมันเลยโกรธมาก

     “แล้วนี่จะอยู่รอเดือนตื่นไหม หรือจะกลับกันเลย” ผมถามน้องๆ อีกรอบ

     “อยู่ค่ะ พวกหนูอยากคุยกับเดือนให้สบายใจก่อน ไม่งั้นคืนนี้คงหลับกันไม่ลง”

     เพื่อนผมขอตัวกลับกันก่อน เหลือแต่ทิวที่รอขับรถไปส่งน้องๆ ก่อนกลับผมกำชับองศาอีกรอบว่าหาตัวคนทำมาให้ได้ แล้วหลังจากนั้นผมจะเป็นคนจัดการเอง

     ผมนั่งลงข้างเตียงอีกรอบ ดึงมือคนเจ็บมาแนบแก้มตัวเอง ถ้าไปนอนบนเตียงแทนได้ผมคงทำไปแล้ว เดือนเป็นคนตัวเล็ก ร่างกายก็บอบบาง แถมเพิ่งหายไข้ได้แค่วันเดียว โดนไปขนาดนี้คงเจ็บไม่ใช่น้อย

     รีบตื่นมาแจกความสดใสให้พี่เร็วๆ นะครับ พี่อยากเห็นรอยยิ้มของเดือน ไม่อยากเห็นภาพทรมานหัวใจอย่างนี้เลย


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     เดือนฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องคงเพราะยังตื่นไม่เต็มตา ประจวบกับพยาบาลเข้ามาดูอาการพอดี เดือนเลยหลับไปอีกครั้งด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับ

     ผมบอกให้พวกน้องๆ กลับกันไปก่อน แล้วถ้าเดือนตื่นเมื่อไหร่จะให้วิดีโอคอลไปหา หลังจากที่ทุกคนกลับไปกับทิวแล้วผมก็กลับมาเฝ้าเดือนอีกรอบ ถึงแม้หมอจะบอกว่าไม่อันตรายแต่ผมก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

     เมื่อเช้าแม่โทรมาบอกให้ผมกลับบ้าน พ่อผมกำลังจะย้ายไปทำงานต่างประเทศ แม่เลยอยากให้ผมไปลาท่านก่อน ระหว่างที่กำลังขับรถกลับมหา’ลัยองศาก็โทรมาบอกว่าเดือนโดนทำร้ายร่างกาย พอถามชื่อโรงพยาบาลแล้วผมก็รีบมาทันที แต่เพราะถนนเส้นที่ใช้มาโรงพยาบาลเกิดอุบัติเหตุทำให้รถติด ผมเลยมาถึงช้ากว่าที่ตั้งใจไว้

     ผมจับมือเดือนมากุมเบาๆ ในใจเอาแต่ขอโทษที่เมื่อเช้าผมไม่ได้อยู่ด้วย ผมไม่โกรธพี่เมศเลยสักนิด กลับกันผมอยากโดนชกอีกด้วยซ้ำ ทั้งที่สัญญาไว้ว่าจะดูแลเดือนอย่างดี แต่ผมกลับไม่อยู่ในเวลาที่เดือนต้องการผมมากที่สุด

     ผมนั่งมองหน้าเดือนอยู่เป็นชั่วโมง มันกระวนกระวายจนไม่เป็นอันทำอะไร จนกระทั่งมือที่ผมกุมอยู่ขยับเบาๆ ผมเลยรีบยื่นหน้าไปใกล้ทันที เดือนค่อยๆ ลืมตามองเพดานก่อนจะหันมาทางผม สีหน้ามึนงงเหมือนตอนตื่นครั้งแรกไม่มีผิด ผมคลี่ยิ้มให้คนบนเตียง เอามือมาแนบแก้มตัวเอง

     “พี่คลื่น...?”

     “ครับพี่เอง”

     “พี่มาได้ยังไง”

     “องศาโทรมาบอกพี่ครับ”

     เดือนหันไปมองรอบๆ แต่ปากยังพูดกับผม “ผมอยู่ในโรงพยาบาลเหรอ”

     “ใช่ครับ”

     ตอนตื่นครั้งแรกเดือนก็ถามคำถามพวกนี้แต่สงสัยคงจำไม่ได้ ผมเลื่อนเก้าอี้ไปใกล้เตียงมากขึ้น นึกโล่งอกที่คราวนี้เดือนพูดโต้ตอบได้แล้ว

     “หิวน้ำไหมครับ” เดือนส่ายหน้าเล็กน้อย ผมเลยถามต่อไปอีก “เจ็บหัวไหม อยากให้พี่เรียกหมอหรือเปล่า”

     “ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ครับ ยังไม่ต้องเรียกหมอก็ได้ ผมอยากอยู่กับพี่คลื่นมากกว่า”

     ผมจูบลงบนหลังมือเล็กๆ เพื่อให้เดือนรู้ว่าผมอยู่กับเขาตรงนี้แล้ว

     “แล้วนั่น...ปากไปโดนอะไรมาครับ”

     ผมรีบยกมือมากุมแผลที่มุมปากทันที ทำเป็นยิ้มให้คนถามเพื่อกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรครับ ตอนนี้ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ตอนองศาโทรมารู้ไหมว่าพี่ใจสลายแค่ไหน”

     เดือนหันไปมองแขนตัวเองที่มีผ้าพันไว้ หลังจากนั้นก็โพล่งขึ้นมาตาโต “จริงด้วย! ผมโดนคนตีหัว”

     “ยังไม่ต้องพูดตอนนี้ก็ได้ เดี๋ยวจะปวดหัวหนักกว่าเดิม”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรีบเล่าตอนที่ยังจำเหตุการณ์ได้”

     “งั้นถ้าปวดหัวรีบบอกพี่เลยนะ”

     เดือนพยักหน้าให้ผม “แต่ช่วยพยุงผมก่อนได้ไหมครับ ผมอยากนั่งจะได้เล่าถนัด”

     ผมพยุงเดือนให้ลุกขึ้นนั่ง เอาหลังพิงพนักเตียงโดยใช้หมอนรองหัวไว้ ผมพยายามทำให้เบามือที่สุดเดือนจะได้ไม่เจ็บ

     “ผมกำลังเดินไปห้องน้ำ จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างฟาดมาที่ท้ายทอย พอผมล้มลงกับพื้นมันก็ฟาดลงมาอีก หลังจากนั้นมันก็ดึงคอเสื้อให้ผมลุกขึ้นแล้วชกเข้ามาที่หน้า”

     ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังสั่น ในหัวมีแต่คำหยาบเต็มไปหมด มือที่กำแน่นอยากจะชกอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์ แค่ฟังแล้วนึกภาพตามผมยังโกรธขนาดนี้ ถ้าได้ไปเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตัวเองผมคงขาดสติจนเผลอฆ่าคนขึ้นมาจริงๆ

     “ผมลืมตาไม่ขึ้นเลยไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนที่ผมกำลังโดนกระทืบก็มีผู้หญิงเข้ามาหา”

     “ผู้หญิงเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว ปกติพวกที่ชอบดักตีชาวบ้านน่าจะเป็นผู้ชายมากกว่านะ

     “ใช่ครับ ผมได้ยินเสียงคนๆ นั้นคุยกับคนที่ทำร้ายผมเลยรู้ว่าเป็นผู้หญิง”

     “พวกมันคุยกันว่าไงบ้าง”

     “ผมจำไม่ได้ครับ ตอนนั้นมันเบลอๆ เหมือนจะวูบได้ตลอดเวลา แต่ผมรู้สึกคุ้นเสียงผู้หญิงอยู่เหมือนกัน”

     “ถ้าให้นึกตอนนี้เดือนนึกไหวไหมครับ”

     “ไหวครับ ขอผมนึกแป๊บนึงนะ” เดือนหลับตาลง คงกำลังนึกอยู่ว่าเป็นเสียงใคร ขณะที่ผมรอคำตอบอยู่นั้นองศาก็เปิดประตูเข้ามา

     “อ้าว ฟื้นแล้วเหรอน้องเดือน”

     “ครับ”

     องศาเอากระเป๋าเสื้อผ้าของผมไปวางที่โซฟา ก่อนจะเดินมาหาผมด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

     “คลื่น ไปคุยกันข้างนอกหน่อย”

     “มีอะไรวะ”

     “กูรู้แล้วว่าใครทำร้ายเดือน”

     “พูดตรงนี้เลยก็ได้ครับ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

     องศามองหน้าเดือนอย่างสองจิตสองใจ ผมเลยพยักหน้าให้มันพูด “ไม่เป็นไรหรอก กูกำลังคุยเรื่องนี้กับเดือนอยู่พอดี”

     “เอางั้นเหรอวะ”

     “อืม”

     “โอเค พูดก็พูด” เพื่อนผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเล่า “กูลองไปถามคนที่อยู่แถวห้องน้ำเผื่อมีใครเห็นเหตุการณ์ตอนนั้น ห่างจากตรงนั้นไปไม่ไกลมีลุงคนนึงกวาดพื้นอยู่ เขาบอกว่าเห็นผู้ชายกับผู้หญิงเดินควงแขนกันมาจากทางห้องน้ำ ที่เขาจำได้เพราะมือของผู้ชายเปื้อนเลือดจนเห็นได้ชัด”

     “เขารู้หรือเปล่าว่าสองคนนั้นเป็นใคร”

     “เขาบอกว่าไม่รู้จัก แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนของมหา’ลัยเพราะใส่ชุดนักศึกษา กูเลยไปขอดูภาพกล้องวงจรปิดที่อยู่แถวนั้นจากรปภ. หลังจากให้ลุงยืนยันแล้วกูก็ได้รู้ว่าคนที่ทำร้ายเดือนเป็นคนที่มึงก็รู้จักดี”

     “คนที่กูรู้จัก?” ผมทวนคำพูดองศาด้วยหัวใจที่เริ่มเต้นแรง ถ้าเป็นคนที่ผมรู้จักแถมยังมีความแค้นกับเดือนจนถึงกับต้องทำร้ายร่างกาย เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้ก็มีแต่...

     “ผู้ชายคือไอ้โจที่อยู่วิศวะ กูบอกแค่นี้มึงก็คงรู้นะว่าผู้หญิงคือใคร”

     ผมเบิกตาโพลงอย่างตกใจกับชื่อที่ออกจากปากเพื่อน ในตอนนั้นเองเดือนก็พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าตกใจไม่แพ้กัน

     “พี่คลื่นครับ ผมจำได้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร”

     พวกผมสองคนหันไปมองคนบนเตียงพร้อมกัน เดือนทำหน้าลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา ซึ่งชื่อที่เดือนบอกมานั้นตรงกับชื่อที่อยู่ในใจผมพอดี

     “ผู้หญิงคนนั้น...คือพี่น้ำหวานครับ”





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 27 [16/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 16-09-2022 18:42:52
     ผมประมาทน้ำหวานเกินไป วันก่อนที่น้ำหวานโทรมาเธอบอกว่าจะขัดขวางความรักของผมกับเดือนให้ถึงที่สุด ผมนึกว่าน้ำหวานพูดเพราะความโกรธเฉยๆ แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากตัวเอง

     ไอ้โจที่องศาบอกคือแฟนใหม่ของน้ำหวาน ผมเคยคุยกับมันแค่ครั้งเดียวคือตอนที่ไปผับกับน้ำหวาน (ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเดือน) เท่าที่ผมฟังมาจากยี่หวาคือน้ำหวานไปคบกับมันหลังจากที่ผมคบกับเดือนได้ไม่นาน ผมน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ ถ้าผมระวังให้มากกว่านี้เดือนก็คงไม่เจ็บตัว ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมคนเดียว

     “พี่คลื่นครับ”

     ผมทำหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ คนบนเตียงก็เอาหน้ามาใกล้ เดือนเอียงคอมองผมอย่างงุนงง ในมือผมถือส้อมที่กำลังจิ้มแอปเปิลค้างอยู่

     “เป็นอะไรครับ ผมเรียกหลายครั้งแล้วพี่ก็เอาแต่เงียบ”

     “...เปล่าครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไร”

     เดือนเลื่อนสายตามามองแอปเปิลในมือผม “ถ้าพี่ขี้เกียจป้อนแล้วผมกินเองก็ได้นะครับ”

     “ไม่ได้ขี้เกียจครับ สำหรับเดือนให้ป้อนทั้งวันพี่ก็ไหว” ผมพูดยิ้มๆ พลางยื่นส้อมไปจ่อปากอีกคน เดือนยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะกินแอปเปิลที่ผมป้อน

     “กำลังคิดมากเรื่องพี่น้ำหวานอยู่เหรอครับ”

     คำถามของคนบนเตียงทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะจิ้มแอปเปิลชิ้นใหม่ เดือนเอื้อมมือมาวางบนแขนผม รอยยิ้มที่ผมชอบมองถูกส่งมาให้

     “ห้ามโทษตัวเองนะครับ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของพี่เลย”

     ผมคงแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปเดือนเลยจับได้ หรือไม่เดือนก็คงรู้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ผมยกจานแอปเปิลไปวางบนโต๊ะข้างเตียง เลื่อนเก้าอี้ไปใกล้มากขึ้นก่อนจะดึงมือที่วางอยู่บนแขนมากุม

     “ทำไมจะไม่ใช่ครับ ที่หวานมาทำร้ายเดือนเพราะพี่เป็นต้นเหตุจริงๆ ถ้าพี่พูดกับหวานให้ชัดเจนเดือนก็ไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้”

     “พี่ก็พูดกับเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     “แต่มันยังชัดเจนไม่พอ”

     “คนที่คิดร้ายกับคนอื่น ต่อให้พูดยังไงเขาก็คิดร้ายอยู่ดีนั่นแหละครับ เรื่องนี้พี่คลื่นไม่ผิดอะไรเลย อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”

     ยิ่งเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าผมก็ยิ่งละอายใจ ผมไม่รู้สึกดีกับคำปลอบโยนของเดือนเลยแม้แต่น้อย ผมอยากให้เดือนด่าผม ตบหน้าผม หรือจะกระทืบผมเหมือนที่ตัวเองโดนก็ได้ แบบนั้นอาจจะช่วยให้ความรู้สึกผิดในใจหายไปได้มากกว่า

     “ทำไมเดือนดูไม่กลัวหรือตกใจเลยล่ะ”

     “ใครบอกครับ ผมโคตรจะตกใจเลยต่างหาก เกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเองทั้งทีจะไม่ให้กลัวได้ยังไง” ถึงแม้ปากจะบอกว่ากลัวแต่คนพูดกลับยกยิ้ม

     “แต่ท่าทางเราไม่เหมือนคนกำลังกลัวเลยนะ”

     “ก็ตอนนี้ผมอยู่กับพี่คลื่น ทำไมผมต้องกลัวด้วยล่ะครับ”

     “…”

     “ผมรู้ว่าพี่คลื่นจะปกป้องผมไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอีก พอคิดแบบนี้ผมก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ผมภาวนาอยู่ตลอดว่าอยากให้พี่คลื่นมาช่วย และพี่คลื่นก็มาจริงๆ ถึงจะมาช้าไปหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มานะครับ”

     คำพูดไร้เดียงสาของคนตรงหน้าทำให้ความรู้สึกผิดในใจเพิ่มขึ้นทวีคูณ ผมโน้มใบหน้าไปจูบหน้าผากคนป่วยอย่างแผ่วเบา ค้างไว้อย่างนั้นเนิ่นนานก่อนจะผละออกแล้วดึงอีกฝ่ายมากอด

     “พี่ขอโทษนะครับ”

     “ขอโทษเรื่องอะไรครับ”

     “ขอโทษที่เป็นแฟนที่ไม่เอาไหน ขอโทษที่ไม่อยู่ในเวลาที่เดือนต้องการ ขอโทษที่ทำให้เดือนต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ พวกนี้” เสียงของผมสั่นอย่างเห็นได้ชัด ตอนองศาโทรมาในรถหัวใจผมเหมือนจะหยุดเต้นได้ทุกเมื่อ ขณะที่กำลังเหยียบคันเร่งผมคิดอยู่ตลอดว่าถ้าเสียเดือนไปผมจะอยู่ยังไง ผมวาดภาพอนาคตตัวเองไว้เยอะ แต่มันจะไปมีความหมายอะไรถ้าในภาพเหล่านั้นไม่มีเดือนอยู่ด้วย

     คนในอ้อมกอดเอื้อมมือมาลูบหลังผม เสียงเล็กๆ ดังอู้อี้ออกมาจากอก “ผมไม่รับคำขอโทษครับ”

     “เดือน...” ผมผละตัวออกทันที จ้องมองอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่หดเล็กลง “โกรธพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ไม่ได้โกรธครับ ผมแค่รับคำขอโทษไว้ไม่ได้”

     “หมายความว่ายังไงครับ”

     “หมายความว่าสิ่งที่พี่พูดมาทั้งหมดมันไม่จริงไงครับ” คนตัวเล็กยกมือมาทาบแก้มผม นิ้วโป้งไล้วนบนแผลที่มุมปากราวกับกำลังปลอบประโลม “พี่คลื่นเป็นแฟนที่ดีที่สุดสำหรับผม พี่คลื่นคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ พี่คลื่นทำให้ผมได้เจอเรื่องราวดีๆ มากมาย และการที่เราสองคนมาเป็นแฟนกันก็คือเรื่องราวที่ดีที่สุดในชีวิตผม”

     ผมรั้งคนพูดเข้ามากอดอีกรอบ คราวนี้ผมกอดแน่นขึ้นเพื่อตอบแทนความรู้สึกทั้งหมดที่เด็กคนนี้มีให้ผม ถึงแม้จะเจ็บหนักแค่ไหนแต่เดือนก็ไม่เคยโทษผมเลย กลับเป็นผมซะเองที่เอาแต่ยึดติดว่าเป็นความผิดของตัวเอง

     ความรักที่ผมคิดว่าไม่มีทางมากไปกว่านี้ได้แล้ว กลับยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเมื่อผมได้รู้ว่าเดือนรักผมแค่ไหน เป็นโชคดีของผมเหลือเกินที่ได้มาเจอ ได้รู้จัก และได้รักผู้ชายคนนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่ล้ำค่ากว่านี้อีกแล้ว

     “ถ้าไม่รับคำขอโทษ งั้นช่วยรับคำบอกรักของพี่ไปแทนได้ไหมครับ”

     คนในอ้อมกอดพยักหน้าขึ้นลง ผมกดจูบลงไปบนกลุ่มผมที่มีผ้าพันแผลก่อนจะพูดคำที่ออกมาจากหัวใจ

     “พี่รักเดือน รักถึงขนาดที่ว่าถ้าโดนทำร้ายแทนได้พี่จะยินดีมากๆ เดือนคือเรื่องราวที่ดีที่สุดในชีวิตพี่เช่นกัน ขอบคุณที่เกิดมาให้พี่รักนะครับ”

     “ผมก็ขอบคุณพี่คลื่นเหมือนกันครับ ขอบคุณที่คอยมอบความรักให้ผมเสมอมา”

     เราสองคนกอดกันจนพอใจก่อนจะผละตัวออก ผมยกมือไปลูบไล้แก้มเนียนของอีกฝ่าย ถึงแม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ารักของเดือนลดลงเลย

     “ย้ายมาอยู่กับพี่นะครับ”

     ผมเคยชวนเดือนไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ผมพูดจริงและจะทำจริงๆ คนตรงหน้าเบิกตากว้าง ผมยกยิ้มให้ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นว่าเดือนทำท่าจะแย้ง

     “พี่อยากดูแลเดือนให้ดีกว่านี้ อยากเป็นแฟนที่ดีกว่านี้ ให้โอกาสผู้ชายคนนี้ดูแลเดือนอีกครั้งได้ไหมครับ”

     คนถูกอ้อนวอนเอาแต่มองผมอย่างตกตะลึง เดือนไม่พูดอะไรเลยสักคำ สักพักน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลลงมา ผมเลยตกใจจนหน้าเสีย

     “เดือนเป็นอะไรครับ”

     “ผม...ผมกำลังมีความสุขครับ”

     ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกว่าเด็กขี้แยตรงหน้าช่างน่ารักจนต้องดึงมากอดอีกรอบ “พี่แปลความหมายคำว่ามีความสุขเป็นการอนุญาตได้ไหมครับ”

     “ผมเคยไม่อนุญาตด้วยเหรอครับ ให้ไปทั้งตัวทั้งหัวใจแล้วไม่รู้หรือไง”

     “พูดแบบนี้แปลว่ายอมย้ายมาอยู่กับพี่แล้วใช่ไหม”

     “ทุกวันนี้ไม่ย้ายก็เหมือนย้ายอยู่แล้วนะครับ ผมนอนคอนโดฯ พี่มากกว่าหอตัวเองอีก ป่านนี้ตุ๊กตาหมีที่พี่ซื้อให้คงเหงาตายแล้ว”

     “งั้นต้องรีบพามานอนกับตุ๊กตาพี่แล้วสิจะได้ไม่เหงา”

     ผมกอดเดือนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน การได้กอดคนที่เรารักเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุดแล้ว ผมอยากกอดเดือนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากผละออกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว แต่สงสัยคนที่กำลังถูกผมกอดจะไม่ได้คิดเหมือนกัน

     “เดือน! มึงเป็นไงบ้างวะ กูโทรหาก็ไม่...อุ้ย”

     เด็กขี้แยรีบถอนตัวออกไปทันที เดือนยกมือมาปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะหันไปหากลุ่มเพื่อนที่มาเยี่ยม น้องฝนที่กำลังมองมาทางนี้ยิ้มกริ่ม คงเห็นฉากเมื่อครู่แล้วแน่นอน

     “เอ่อ...พวกหนูเข้ามาขัดจังหวะหรือเปล่าคะ”

     “เปล่าครับ” ผมพูดยิ้มๆ ใจจริงอยากตอบว่าใช่แต่กลัวคนแถวนี้จะเขินจนต้องมุดไปหลบใต้ผ้าห่ม

     “เดือนเป็นไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง”

     “อะ...อืม ไม่เป็นไรแล้ว หมอบอกว่าพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ”

     “กูซื้อโจ๊กมาฝาก คิดว่ามึงยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่สงสัย...คงไม่จำเป็นแล้วล่ะมั้ง” น้องฝนพูดแค่นั้นแล้วเอาแต่ยิ้ม ยังไม่ทันที่คนบนเตียงจะได้ถามอะไรน้องควีนก็เฉลยขึ้นมา

     “โดนกอดไปเต็มรักซะขนาดนั้น อย่าว่าแต่ข้าวเย็นเลย กูว่าคงอิ่มไปถึงพรุ่งนี้เช้า”

     “อะ...ไอ้พวกบ้า!!”

     และแล้วบรรยากาศในห้องก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที ผมมองคนไข้ที่กำลังโดนเพื่อนแซวอย่างโล่งใจ เด็กอ๊องของผมกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว

     ที่บอกว่าอยากให้เดือนมาอยู่ด้วยผมไม่ได้พูดเล่น เพียงแต่ผมไม่คิดจะทำเรื่องย้ายมาทันทีเพราะมีอีกเรื่องที่ต้องสะสางก่อน รอยยิ้มผมค่อยๆ หายไปเมื่อนึกถึงสาเหตุที่เดือนต้องมานอนโรงพยาบาล ดูเหมือนว่าถ้าผมไม่ลงมือขั้นเด็ดขาดปัญหานี้ก็คงไม่จบสินะ

     ผมยังไม่ให้เดือนบอกเพื่อนว่าเป็นฝีมือน้ำหวาน เพราะผมกลัวว่าน้องๆ จะผลีผลามทำอะไรลงไป ผมอยากจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เดือนต้องมาเจ็บตัวเพราะผม คนที่จะทำให้เรื่องนี้จบลงได้ก็ต้องเป็นผมเท่านั้น

     หลังจากนี้จะไม่มีพี่คลื่นที่แสนอ่อนโยนอีกแล้ว แต่จะมีแค่นายคลื่นครามที่พร้อมจะเย็นชากับใครก็ตามที่บังอาจมาสร้างบาดแผลให้คนรักของผม


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     วันนี้เดือนออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมให้เดือนมาอยู่คอนโดฯ เพราะจะได้ดูแลสะดวก ที่จริงผมก็อยากดูแลเดือนด้วยตัวเอง แต่วันนี้ผมติดธุระสำคัญเลยไหว้วานให้ยี่หวาไปดูแลแทน นอกจากเพื่อนผมแล้วยังมีพวกข้าวหอมตามไปด้วย ผมเลยมาทำธุระได้อย่างสบายใจ

     ผมใช้เส้นสายอดีตเดือนมหา’ลัยสืบความเคลื่อนไหวของไอ้โจ จนได้รู้ว่ามันมักจะมาจอดรถในลานจอดรถหลังมหา’ลัย ผม องศาและทิวเลยมาดักรอมันล่วงหน้า ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงคนที่ผมกำลังรออยู่ก็มาจริงๆ แต่มากับสาวสวยที่ผมไม่รู้จัก

     หึ...ดูเหมือนว่าน้ำหวานจะไม่ได้ฉลาดอย่างที่ผมเคยคิดไว้สินะ ถึงได้โดนผู้ชายพันธุ์นี้หลอกอย่างง่ายดาย

     ผมเปิดประตูลงมาจากรถที่ใช้ซ่อนตัว ด้านหน้าลานจอดรถมีเพื่อนในคณะที่รู้จักกันยืนดูต้นทางอยู่ ไอ้โจผงะไปเมื่อเห็นผม แต่มันคงไม่คิดว่าผมจะมาสะสางบัญชีแค้นเลยส่งยิ้มมาให้

     “วันนี้สงสัยกูจะโชคดีนะเนี่ย ได้เจอเดือนมหา’ลัยสุดหล่อที่ปกติหาตัวโคตรจะยาก”

     “ก็ไม่ยากนะ ถ้ามึงอยากเจอกูมาหาที่คณะก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปดักรอหน้าห้องน้ำหรอก”

     ไอ้โจเริ่มหน้าเสียเมื่อผมพูดเกริ่นถึงวีรกรรมที่มันก่อไว้ ผู้หญิงที่มันกำลังโอบไหล่มองมาอย่างงุนงง

     “พี่โจรู้จักกับพี่คลื่นด้วยเหรอคะ”

     “กะ...ก็นิดนึงจ้ะ แต่น้องดาวไม่ต้องสนใจหรอก เราเคยคุยกันแค่ตอนบังเอิญเจอกันในร้านเหล้าครั้งเดียว”

     “ทำไมไม่บอกไปล่ะว่ามึงเป็นผัวคนที่เคยควงกับกู หรือมึงเลิกกับหวานแล้ว?”

     มันหน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อโดนแฉความเจ้าชู้ต่อหน้าผู้หญิง น้องดาวที่ได้ยินคำพูดผมเต็มสองหูรีบหันไปมองคนข้างๆ ทันที

     “พี่โจ นี่มันหมายความว่ายังไงคะ”

     “คือพี่...”

     “ทิว” เจ้าของชื่อลงมาจากรถเมื่อโดนผมเรียก องศาเองก็ตามมาด้วย “พาน้องดาวไปที่อื่นก่อน พี่ขอตัวไอ้โจหน่อยนะครับ พอดีมีธุระจะคุยกับมัน”

     “ไม่ต้องขอหรอกค่ะ ผู้ชายแบบนี้ดาวไม่อยากลดตัวลงไปยุ่งด้วยอยู่แล้ว” น้องดาวสะบัดมือเพื่อนผม ผลักไอ้โจให้ออกห่างแล้วเดินออกไปจากลานจอดรถด้วยตัวเอง เหลือไว้แต่คนที่กำลังหน้าซีดเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้มาคนเดียว

     “คลื่น...มึงจะคุยอะไรกับกูวะ หรือจะเป็นเรื่องหวาน” ไอ้โจละล่ำละลักพูดด้วยท่าทางหวาดระแวง “กูไม่ได้นอกใจหวานนะ แต่หวานบอกกูเองว่าที่คบกับกูก็เพื่อฆ่าเวลาเฉยๆ ไม่ได้จริงจังอะไร”

     “มึงก็เลยมาเดินควงผู้หญิงอื่นอย่างสบายอารมณ์?”

     “หวานไม่จริงจังกับกู แล้วทำไมกูต้องจริงจังกับหวานด้วยล่ะ ถ้ามึงจะมาหาเรื่องกูเพราะแค่นี้กูว่ามันไม่ถูกนะ”

     “เสียใจด้วย ที่กูมาหามึงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก มึงกับหวานจะไปทำอะไรที่ไหนไม่ใช่เรื่องที่กูต้องสนใจ สาเหตุที่กูลงทุนมาดักรอมึงถึงนี่มันใหญ่กว่านั้นเยอะ”

     ไอ้โจเบิกตาโพลง มันคงเริ่มรู้แล้วว่าธุระที่ผมจะคุยด้วยจริงๆ คือเรื่องอะไร

     “เป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ อย่าบอกนะว่าเกิดสำนึกผิดขึ้นมาตอนนี้” ผมเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าอย่างช้าๆ ไอ้โจหันรีหันขวางเหมือนกำลังหาทางหนีทีไล่ แต่ด้านหลังมันเป็นทางตัน ซ้ายกับขวาก็โดนองศากับทิวยืนประกบไว้ ตอนนี้มันเลยหนีไปไหนไม่ได้

     “อะ...ไอ้คลื่น ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ คุยกันก่อนนะ”

     “คุยอะไร ตอนนั้นมึงให้โอกาสเดือนคุยเหรอตอนนี้ถึงมาขอกับกู” น้ำเสียงผมเหี้ยมเกรียมแบบที่ผมไม่เคยใช้กับใครมาก่อน ไอ้โจเป็นคนแรกที่ปลุกด้านมืดในตัวผมขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้

     “เดือนไหน กู...กูไม่รู้จัก”

     “มึงจะบอกว่าลืมคนที่เมียมึงใช้ให้มาดักตีไปแล้ว?”

     “กูไม่รู้จักจริงๆ มึงเชื่อกูเถอะ”

     “ได้ ถ้ามึงยังยืนยันว่าไม่รู้จักกูจะทำให้มึงรู้จักเอง”

     ผมพูดจบก็ไม่ปล่อยโอกาสให้คนตรงหน้าตั้งตัว พุ่งเข้าไปต่อยท้องมันเต็มแรงอย่างรวดเร็ว ไอ้โจจุกจนตัวงอ มันเงื้อหมัดขึ้นตั้งใจจะสวนกลับ ผมเลยหักหน้าหลบแล้วสอดมือไปข้างล่างก่อนจะเสยคางขึ้นมา ไอ้โจเซไปด้านหลัง ผมตามไปถีบเข้าที่ท้องจนมันหงายหลังลงไปนอนกับพื้น ผมยกเท้าเหยียบหน้าอกมันไว้ เสื้อนักศึกษาสีขาวของมันเต็มไปด้วยรอยรองเท้าของผม

     “จำใส่หัวมึงไว้ให้ดี เดือนคือแฟนกู คือคนที่มึงกับเมียมึงไม่สมควรแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ ทีนี้มึงรู้หรือยังว่าวันนั้นมึงทำแฟนกูเจ็บแค่ไหน สิ่งที่มึงโดนวันนี้ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ”

     ผมก้มลงไปต่อยหน้ามันไม่ยั้ง เสียงเนื้อกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ องศากับทิวทำหน้าเหมือนอยากเข้ามาห้าม แต่ตอนอยู่ในรถผมสั่งไปแล้วว่าถ้าผมไม่เอ่ยปากเองห้ามเข้ามายุ่งเด็ดขาด ไอ้โจพยายามตอบโต้ผม หมัดหนักๆ ของมันพุ่งเข้ามาที่แก้มผมสองสามที แต่แค่นี้เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เดือนเจอ ยิ่งนึกภาพว่าเดือนโดนทำร้ายยังไงบ้าง แรงที่ใช้ประทุษอีกฝ่ายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

     ผมลุกขึ้นยืนอีกครั้งเมื่อใบหน้าของไอ้โจนองไปด้วยเลือด ตอนนี้มันหายใจรวยรินไม่มีแรงแม้แต่ยกแขนมาปกป้องตัวเอง ผมหยิบโทรศัพท์มาโทรหาใครบางคน ระหว่างนี้ก็ยกเท้าไปเหยียบหน้าคนใต้ร่างไว้เพื่อไม่ให้มันหนี นี่ถือว่าผมใจดีแล้วนะที่ไม่ออกแรงบดขยี้มันให้จมฝ่าเท้า ถ้าผมไม่ยั้งมือจริงๆ ไอ้โจไม่มีชีวิตรอดเอาใบปริญญาไปให้พ่อแม่มันหรอก

     [หวานฝันไปหรือเปล่า คลื่นเป็นคนโทรมาหาหวานเอง] น้ำเสียงอารมณ์ดีของคนปลายสายทำให้ผมแค่นยิ้มออกมา

     “ทำไมครับ คลื่นโทรหาไม่ได้เหรอ”

     [ก็ต้องได้อยู่แล้วสิ โทรมาหาหวานแบบนี้แปลว่าเบื่อเด็กที่ชื่อเดือนนั่นแล้วสินะ]

     “ใช่ คลื่นเบื่อเต็มทนแล้ว” ผมยีเท้าไปมาบนแก้มไอ้โจ มันเหลือบมามองเหมือนอยากอ้อนวอนแต่ผมไม่สนใจ “แต่ไม่ได้เบื่อเดือน เบื่อการตีสองหน้าของหวานต่างหาก”

     [คลื่น!!] น้ำหวานอุทานเสียงดัง [นี่คลื่นหลอกด่าหวานเหรอ หมายความว่าไงที่บอกว่าหวานตีสองหน้า]

     “หมายความว่าไงเหรอ คลื่นว่าหวานน่าจะรู้อยู่แก่ใจนะ อย่ามัวแต่เล่นละครอยู่เลย รีบแสดงธาตุแท้ออกมาเถอะ”

     [ธาตุแท้อะไร หวาน...หวานไม่เห็นรู้เรื่อง] น้ำหวานพูดเสียงสั่น น่าจะรู้ตัวแล้วว่าผมโทรมาหาทำไม

     “หวานโชคดีนะที่เกิดมาเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายคลื่นคงเรียกกูมึงไปแล้ว เพราะงั้นหวานรีบสารภาพมาดีกว่า ก่อนที่ความอดทนอันน้อยนิดของคลื่นจะหมดลง”

     [หวานไม่รู้จริงๆ ว่าคลื่นพูดเรื่องอะไร]

     ผมแค่นยิ้มอีกรอบ ก็ได้...ในเมื่อไม่คิดจะสารภาพทั้งผัวทั้งเมีย ผมก็จะบีบเค้นให้พูดออกมาเอง

     “หวานรู้ไหมว่าคลื่นกำลังทำอะไรอยู่”

     [อะ...อะไรเหรอ]

     ผมก้มมองคนที่กำลังโดนเหยียบย่ำจนสภาพใกล้เป็นศพเข้าไปทุกที “คลื่นกำลังทักทายแฟนหวาน...ด้วยเท้าของคลื่น”

     ผมเอาโทรศัพท์ไปจ่อตรงหน้าไอ้โจ แกล้งกดน้ำหนักลงไปที่เท้าจนมันร้องเสียงดังด้วยความเจ็บ

     [เดี๋ยวนะ นั่นเสียงโจไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าตอนนี้คลื่นอยู่กับโจ!!?]

     “อ้าว ไอ้โจเป็นแฟนหวานหรอกเหรอ คลื่นนึกว่าเป็นแค่คนฆ่าเวลาซะอีก” ผมหัวเราะในลำคอ จงใจพูดเสียงดังให้ไอ้โจได้ยิน นึกขอบคุณตัวเองที่ไม่หลงหน้ามืดตามัวคว้าผู้หญิงคนนี้มาเป็นแฟน

     [คลื่น...ใจเย็นๆ ก่อนนะ หวานอธิบายได้]

     “อธิบาย? หวานคิดว่าคลื่นยังต้องการคำอธิบายอีกเหรอ ทำถึงขนาดนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วมั้ง”

     [หวานทำลงไปเพราะรักคลื่นนะ หวานไม่อยากเสียคลื่นไปจริงๆ หวานผิดไปแล้ว หวานขอโทษ]

     “คลื่นไม่รับคำขอโทษ ถ้ารู้สึกผิดจริงๆ หลังจากนี้อย่ามาให้คลื่นกับเดือนเห็นหน้าอีก แต่ถ้าหวานยังกล้าอยู่อีกล่ะก็...คนที่จะมานอนใต้เท้าคลื่นรายต่อไปก็คือหวาน จำเอาไว้”

     [คลื่น...] เสียงน้ำหวานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ยังดีที่น้ำหวานฉลาดพอจะรู้ว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริง นาทีนี้ผมไม่แยกชายหญิง ผมแยกแค่คนดีหรือคนเลว ซึ่งน้ำหวานเป็นคนประเภทหลังอย่างไม่ต้องสงสัย

     “ที่คลื่นอยากพูดมีแค่นี้ ถ้าว่างเมื่อไหร่หวานก็มารับคนฆ่าเวลาของหวานกลับไปด้วยล่ะ ให้มันกลับเองคงไม่ไหวหรอก นอนจมกองเลือดอยู่กลางลานจอดรถซะขนาดนี้”

     [นอนจมกองเลือด? นั่นคลื่นกำลังทำอะไรโจน่ะ!!]

     “ทำเหมือนที่มันทำกับเดือนไง แต่ไม่ต้องห่วง คลื่นไม่เอาถึงตายหรอก คลื่นยังมีความเมตตาพอที่จะไว้ชีวิตสัตว์เดรัจฉาน” ผมใช้เท้าเขี่ยใบหน้าไอ้โจให้พ้นไปจากตัว ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายให้คนที่ผมไม่คิดจะเป็นเพื่อนอีกต่อไป “หลังจากนี้เราคือคนไม่รู้จักกัน อย่าโทรหรือเข้ามาทักอีก และถ้าหวานยังคิดจะยุ่งกับคนของคลื่นอยู่อีก คลื่นจะไม่ไว้หน้าเหมือนครั้งนี้แน่”

     ผมกดวางสายก่อนจะลบเบอร์น้ำหวานทิ้ง องศาเดินเอาขวดน้ำมาให้ ผมรับมาเทน้ำใส่มือเพื่อล้างเลือดสกปรกของคนที่น่าจะสลบไปแล้ว จากนั้นก็บอกทิวให้โทรหาเพื่อนของไอ้โจ ผมคิดว่าน้ำหวานคงไม่เสียเวลามาเก็บศพคนที่ตัวเองเห็นเป็นของเล่นฆ่าเวลาหรอก

     เมื่อเสร็จธุระแล้วผมก็บอกให้เพื่อนๆ กลับขึ้นมาบนรถ องศามองผมอย่างหวาดหวั่น มันยอมรับว่าตกใจเพราะไม่เคยเห็นผมโกรธขนาดนี้มาก่อน ผมเลยตอบกลับไปว่าถ้าข้าวหอมโดนบ้างมันก็ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับผม

     ที่ผมไม่บอกเดือนว่าวันนี้มาทำอะไร ส่วนหนึ่งคือผมอยากให้เดือนนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ห้อง และอีกส่วนคือผมไม่อยากให้เดือนมาเห็นภาพพวกนี้ ในสายตาเดือนผมคือพี่คลื่นที่ใจดีและอ่อนโยน ปกติผมก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คนรักของผมถูกทำร้าย...ความอ่อนโยนนั้นจะเปลี่ยนเป็นความเย็นชาทันที

     หลังจากนี้ใครจะทำอะไรเดือนก็คิดให้ดีๆ นะครับ ถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่ก็อย่าทำดีกว่า ผมขอเตือน





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.27 [16/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 17-09-2022 01:26:00
 :hao6:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.27 [16/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-09-2022 17:03:08
 :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.27 [16/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 17-09-2022 18:13:12
 :impress2:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 28 [19/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 19-09-2022 18:20:46
ตอนที่ 28 : อยู่ด้วยกันตลอดไป





     ผมนอนเฉยๆ อยู่ในห้องพี่คลื่นมาสี่วันแล้ว อาการโดยรวมถือว่าดีขึ้นมาก แต่ยังมีปวดหัวกับลำตัวนิดหน่อย พี่คลื่นคอยดูแลผมไม่ห่างกาย จะมีหายหน้าไปบ้างก็แค่วันแรกที่ผมออกจากโรงพยาบาล วันนั้นพี่คลื่นให้พี่ยี่หวากับเพื่อนๆ มาดูแลผมแทน พอผมถามก็บอกแค่ว่าไปทำธุระที่มหา’ลัย แต่ใบหน้าฟกช้ำตอนกลับมาทำให้ผมรู้ว่าพี่คลื่นโกหก

     ผมตั้งใจจะถามพี่คลื่นอย่างจริงจังอีกครั้ง แต่พอจะพูดเรื่องนี้ทีไรพี่คลื่นก็มักจะเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกที สิ่งเดียวที่พี่คลื่นยอมบอกคือหลังจากนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว พี่น้ำหวานกับพี่โจไม่มีทางมาระรานผมอีกแน่นอน เขาพูดอย่างมั่นใจจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนั้น

     แต่...ในเมื่อคนที่ผมเชื่อใจมากที่สุดพูดมาอย่างนี้ ทำไมผมต้องไม่เชื่อด้วยล่ะครับ พี่คลื่นว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้น ขอแค่มีพี่คลื่นคอยอยู่เคียงข้างผมก็ไม่กลัวอะไรแล้ว

     ผมรู้มาจากฝนว่าพี่เมศเป็นคนไปเจอผมหน้าห้องน้ำและพาไปโรงพยาบาล ผมเลยแอบขอเบอร์พี่เมศมาจากพี่ทิวเพื่อโทรไปขอบคุณ ที่ต้องแอบขอเพราะพี่คลื่นหึงหวงผมหนักมาก ยิ่งกับพี่เมศคือหวงมากกว่าคนอื่นสองเท่า ผมเลยให้พี่คลื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าผมมีเบอร์พี่เมศอยู่ในเครื่อง (ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าอาการหงุดหงิดของพี่คลื่นตอนไปค่ายอาสามีสาเหตุมาจากเรื่องนี้)

     “ไอ้เดือน” ฝนเขยิบมาใกล้ผม กระซิบเสียงเบาเหมือนกลัวคนในครัวได้ยิน “วันที่มึงออกจากโรงพยาบาล พี่คลื่นแอบไปเอาเรื่องกับพี่น้ำหวานใช่ไหม”

     “กูว่ากับพี่โจมากกว่า มึงไม่เห็นแผลบนหน้าเขาเหรอ คนอย่างพี่คลื่นไม่น่าจะชกต่อยกับผู้หญิงหรอก” ควีนยื่นหน้ามาร่วมวงด้วยอีกคน “ใช่หรือเปล่า”

     “คงเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง”

     “มั้ง? หมายความว่าไง พี่คลื่นไม่ได้บอกมึงเหรอ”

     “ไม่”

     “แล้วทำไมมึงไม่ถามเขาอ่ะ”

     “ถามแล้วแต่เขาไม่ยอมบอก”

     “แล้วมึงไม่โกรธพวกมันเลยหรือไงถึงเอาแต่ทำเฉย นั่นคนที่ทำร้ายมึงเชียวนะ”

     “ก็พี่คลื่นจัดการให้แล้ว ทำไมกูต้องโกรธด้วยล่ะ” ถึงพี่คลื่นจะไม่บอกแต่ผมก็พอเดาได้ไม่ต่างจากเพื่อน ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่คลื่นถึงไม่บอกมาตรงๆ แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้คือพี่คลื่นกำลังปกป้องผมอยู่แน่นอน

     “พี่คลื่นน่าจะบอกกูก่อน กูจะได้ไปกระทืบไอ้พี่โจด้วยอีกคน” ฝนพูดอย่างเจ็บใจ ผมว่าที่พี่คลื่นไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพวกมันตอนแรกคงเพราะอย่างนี้แหละ

     “ให้มันน้อยๆ หน่อย มึงเป็นผู้หญิงจะไปสู้แรงผู้ชายได้ไง”

     “นี่มึงดูถูกกูเหรอ กูกำลังโกรธแทนมึงอยู่นะ”

     “ไม่ได้ดูถูก แต่มึงจะเอาอะไรไปสู้เขา พี่คลื่นตัวใหญ่กว่ามึงตั้งเยอะยังได้แผลกลับมาเลย” โชคดีที่พี่คลื่นไม่เป็นอะไรมาก ผมทำแผลให้นิดหน่อยก็หายแล้ว รู้ไหมครับว่าตอนผมถามเขาตอบว่ายังไง

     ‘พี่เหม่อไปหน่อยเลยสะดุดบันไดล้ม’

     ...ครับ สะดุดล้มแต่มีร่องรอยโดนชกบนหน้า ไปหลอกเด็ก เด็กยังไม่เชื่อเลย

     “กูก็จะรอให้พี่คลื่นสอยมันร่วงก่อนไงแล้วค่อยเข้าไปซ้ำ” ฝนตอบคำถามที่ผมถามค้างไว้ คำพูดของมันทำให้ควีนเบะปากมองบน

     “ค่ะ เพื่อนกูเก่งมาก เป็นสุดยอดหญิงแกร่งไม่มีใครเทียบเทียม มึงเก็บความเก่งนี้เอาไปใช้กับน้องบาสบ้างนะ ทุกวันนี้แค่เถียงน้องมันให้ทันยังไม่ได้เลย”

     “มึงก็ปากเก่งกับพี่ทิวให้เหมือนที่เก่งกับกูด้วยสิ ปกติโดนผู้ชายอื่นแซวนี่ยิ้มแย้มเบิกบาน แต่พอโดนพี่ทิวแซวกลับเอาแต่หน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ”

     พวกมันสองคนเลิกโกรธพี่น้ำหวานกับพี่โจแล้วหันมากัดกันเองแทน ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่ามันมาช่วยพี่คลื่นดูแลผมหรือมาก่อกวนไม่ให้ผมพักผ่อน ข้าวหอมขยับมานั่งข้างผมอีกฝั่ง เอื้อมมือมาจับแขนเบาๆ

     “ข้าวขอโทษนะที่วันนั้นไม่ได้ไปห้องน้ำด้วย”

     “ไม่เป็นไรเลยข้าว ไม่ใช่ความผิดของข้าวซะหน่อย”

     “แต่ข้าวรู้สึกผิดอ่ะ มันอดโทษตัวเองไม่ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า เดือนอยากได้อะไรบอกมาเลย ข้าวยินดีทำให้ทุกอย่าง”

     ผมเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของข้าวหอมแล้วก็ซาบซึ้งใจ แต่พอนึกอะไรดีๆ ออกผมก็แอบยิ้มมุมปาก

     “ทุกอย่างแน่เหรอข้าว”

     “ใช่ ทุกอย่างเลย”

     “งั้น...” ผมเอาหน้าไปใกล้คนที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกแกล้ง “หอมแก้มพี่องศาให้ดูหน่อย”

     “เดือน!” ข้าวหอมตาโต ทำหน้าเหมือนไม่รู้จะโกรธหรืออายดี นี่ถ้าผมไม่ได้เจ็บอยู่คงโดนตีแขนแก้เขินไปแล้ว

     “จะอายอะไร เดี๋ยวคบกันแล้วข้าวก็ต้องทำอยู่ดี”

     “ยังไม่แน่ซะหน่อยว่าจะได้คบ”

     “เหรอคะ แต่ทุกวันนี้มึงกับพี่องศาหวานกันไม่แพ้คู่ไอ้เดือนเลยนะ” ฝนที่หยุดเถียงกับควีนแล้วเอาหมอนไปหนุนตัก มันทำหน้าล้อเลียนข้าวหอม “ข้าวอย่างนั้น ข้าวอย่างนี้ ผมหายไปไหนแล้วล่ะ ทุกวันนี้เห็นเอาแต่แทนตัวเองว่าข้าว”

     ข้าวหอมได้แต่อ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนอยากเถียงกลับแต่นึกคำแก้ตัวไม่ออก

     “กูถามจริงเถอะข้าว มึงชอบเขา เขาก็ชอบมึง แล้วทำไมมึงถึงไม่ยอมคบให้มันจบๆ ไปวะ”

     “จริง มึงรีบใจอ่อนเถอะข้าว พี่องศาตามจีบเช้ากลางวันเย็นขนาดนี้ ถ้ามึงไม่ใจอ่อนกูจะอ่อนระทวยแทนแล้วนะ”

     ข้าวหอมถอนหายใจเล็กน้อย มองหน้าพวกผมสลับไปมา “ข้าวแค่อยากรอให้มั่นใจก่อนว่าพี่องศาจริงจังกับข้าวจริงๆ”

     “ทุกวันนี้ยังจริงจังไม่พอเหรอวะ อีกนิดพี่เขาจะเปลี่ยนจากผัวเป็นพ่อแล้วนะ ตามดูแลแทบทุกฝีก้าว”

     “ฝน!” ข้าวหอมหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศเหมือนที่ฝนเหน็บแนมควีน

     “มึงไม่ต้องเขิน กูนี่สิควรเขิน สายตาพี่องศาเวลามองมึงแม่งโคตรชัดเจนว่าอยากกินมึงจะแย่แล้ว กูเห็นทีไรเขินแทนทุกที”

     “หรือถ้ามึงกลัวชัดเจนไม่พอจะให้อีฝนเป็นกามเทพให้ก็ได้นะ คู่ไอ้เดือนยังสำเร็จมาแล้ว นับประสาอะไรกับคู่มึง รับรองไม่เกินสามวันมึงโดนพี่องศากินแน่นอน”

     “ฝนกับควีนพอเลย พูดอะไรก็ไม่รู้อยู่ได้ เรามาดูแลเดือนนะแล้วทำไมถึงเอาแต่รุมข้าวล่ะ”

     “ไอ้เดือนมันหายแล้ว กูเลยว่างมารุมมึงไง”

     คนโดนรุมทำแก้มพองลม แต่ผมว่ารอบนี้ข้าวหอมน่าจะงอนมากกว่าเขิน ขณะที่พวกผมกำลังคุยเล่นกันอยู่บนเตียง คนที่ผันตัวมาเป็นพ่อครัวชั่วคราวก็เดินเข้ามาเรียก

     “เด็กๆ ข้าวผัดเสร็จแล้ว รีบมากินเร็วเดี๋ยวเย็นหมด”

     ฝนกับควีนเลิกสนใจข้าวหอม รีบลุกจากเตียงเดินตามพี่คลื่นไปทันที วันนี้พี่คลื่นบอกว่าจะเลี้ยงข้าวทุกคนตอบแทนที่มาช่วยดูแลผม ฝนกับควีนเลยดีใจเป็นพิเศษ เพราะเมื่อวันก่อนมันทานอาหารฝีมือพี่คลื่นไปครั้งหนึ่งแล้วบอกว่าอร่อยมาก ผมได้ยินแล้วก็อดภูมิใจแทนคนทำไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรครับ คนเป็นแฟนกันถือว่าเป็นคนเดียวกัน พวกมันชมพี่คลื่นก็เหมือนชมผมด้วย

     “พี่คลื่นไม่คิดจะเปิดร้านอาหารเหรอคะ ฝีมือดีขนาดนี้หนูว่าลูกค้าเต็มร้านแน่นอน” ควีนพูดขึ้นมากลางโต๊ะกินข้าว มันไม่ค่อยชมใครเรื่องทำอาหาร แต่ที่มันชมพี่คลื่นเพราะมันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

     “เคยคิดเล่นๆ เหมือนกันครับ แต่ดูท่าแล้วคงไม่มีเวลาว่าง”

     “งานพี่เยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

     “เปล่าครับ” คนตัวสูงเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมที่นั่งข้างๆ “พี่กลัวไม่มีเวลาให้ภรรยาต่างหาก”

     “แค่กๆๆ!!” ผมสำลักเม็ดข้าวจนต้องรีบยกแก้วน้ำดื่ม แต่แทนที่จะขอโทษคนที่เป็นต้นเหตุกลับเอาแต่หัวเราะ

     “เอ่อ...ภรรยาเลยเหรอคะ” ฝนถามอย่างอึ้งๆ

     “ถามอะไรอย่างนั้นครับน้องฝน เราเองไม่ใช่เหรอที่บอกให้เดือนมาอ่อยพี่ จะว่าไปพี่ยังไม่ได้ขอบคุณเลยที่ทำให้รู้ว่าต่อไปควรซื้อเสื้อแบบไหนให้เดือนใส่”

     “พี่คลื่น! ไม่ต้องพูดแล้วครับ ถ้ายังไม่หยุดผมโกรธจริงๆ นะ” ไม่ต้องส่องกระจกยังรู้เลยว่าตอนนี้หน้าผมคงแดงมาก พี่คลื่นนะพี่คลื่น ทานข้าวอยู่แท้ๆ ยังจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก

     “ล้อเล่นเฉยๆ ครับ พี่อยากเห็นเดือนอารมณ์ดีจะได้ยิ้มบ่อยๆ เคยบอกแล้วไงว่าเวลาเดือนยิ้มโคตรน่ารัก”

     มือหนาที่วางอยู่บนไหล่เลื่อนมาจับแก้มผมเล่น และโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวพี่คลื่นก็โน้มใบหน้ามาหอมแก้มต่อหน้าสายตาตกตะลึงของทุกคน ผมได้แต่นั่งเหวอเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง พี่คลื่นยิ้มพอใจก่อนจะหันไปทานข้าวต่อ ความเงียบเข้าปกคลุมห้องชั่วขณะ ฝนค่อยๆ หันไปพูดกับควีนด้วยใบหน้าที่เหวอไม่ต่างกัน

     “มึง...มึงว่าข้าวผัดมันหวานแปลกๆ ป่ะวะ”

     “นั่นสิ หวานจนกูแสบตา...เอ้ย แสบคอไปหมดแล้วเนี่ย”

     “ขะ...ข้าวก็แสบคอเหมือนกัน พี่คลื่น...เอ้ย ข้าวผัดวันนี้หวานมากๆ เลย”

     ถ้าจะพูดกันขนาดนี้ก็แซวมาตรงๆ เลยเถอะ เอาให้ผมระเหยหายไปกับอากาศเลยก็ได้

     “ว้า...หวานขนาดนั้นเลยเหรอ ขอโทษนะครับ ปกติพี่ชอบกินหวานถึงได้ขยันหวานทุกวัน”

     ผมชักเริ่มเป็นห่วงอนาคตตัวเองแล้วสิ เพื่อนผมอยู่ด้วยพี่คลื่นยังรุ่มร่ามขนาดนี้ ถ้าย้ายมาอยู่ด้วยกันสองคนจริงๆ ผมไม่ต้องเป็นเบาหวานกันเลยเหรอ...


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     วันนี้พี่ยี่หวาเป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้าเนื่องในโอกาสที่ผมหายดีแล้ว ควีนบอกว่าเคยมาร้านนี้แล้วตอนที่ผมไปเฝ้าไข้พี่คลื่น ผมเพิ่งรู้ว่าพี่ยี่หวารักพวกผมเหมือนน้องแท้ๆ ยิ่งกับผมพี่ยี่หวาจะรักมากเป็นพิเศษ เคยมีครั้งหนึ่งผมถูกพี่ยี่หวากอดทักทาย พี่คลื่นรีบหันมามองตาขวางทันที

     พวกผมรวมถึงน้องบาสที่ขอตามฝนมาด้วยกำลังสนุกกันอยู่ในผับหลังจากที่เมื่อวานเหนื่อยกันมาทั้งวัน เมื่อวานพี่คลื่นไปทำเรื่องย้ายออกจากหอให้ผมแล้ว แต่เนื่องจากของในห้องผมเยอะมากเลยต้องให้เพื่อนๆ มาช่วยขน

     หลังจากนี้ผมจะได้เห็นหน้าพี่คลื่นเป็นคนแรกและคนสุดท้ายทุกวัน...พอคิดแบบนี้แล้วมันก็อดเขินไม่ได้ ฝนบอกว่าตอนยกของขึ้นห้องพี่คลื่นมันรู้สึกเหมือนกำลังส่งผมเข้าห้องหอ ผมได้แต่ด่ามันกลับไปทั้งที่ในใจก็แอบคิดเหมือนกัน

     “เต็มที่เลยนะเด็กๆ งบวันนี้มีไม่จำกัด ถือซะว่ามาปล่อยผี” พี่ยี่หวาที่กำลังลุกขึ้นเต้นหันมาตะโกนแข่งกับเสียงเพลง ผมว่าไม่ต้องบอกเพื่อนผมก็น่าจะเต็มที่กันอยู่แล้ว ฝนกับควีนเต้นจนเอวแทบหัก ลีลาพวกมันเอาไปประกวดได้สบาย ส่วนผมกับข้าวหอมเป็นสายนั่งชิลๆ ข้าวหอมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ผมกลัวข้าวหอมว้าเหว่เลยดื่มน้ำอัดลมเป็นเพื่อน

     “อีควีน ผู้ชายตรงนั้นกล้ามโคตรใหญ่”

     “ไหน” ควีนหันไปมองตามมือฝน ก่อนจะยกมือทาบอกเมื่อเห็นผู้ชายที่ตรงสเป็กมัน

     “ย้ายไปเต้นข้างเขากันเถอะมึง จะได้แกล้งทำเนียนเอาหน้าไปซบไหล่”

     “ความคิดมึงแจ่มมาก ไม่เสียแรงที่กูลดตัวลงมาคบ”

     “แหมอีนี่ พูดซะกูอยากเลิกคบกับมึงเลย”

     “หยอกเล่นค่ะคุณเพื่อน รีบไปเถอะอย่ามัวแต่กัดกัน เดี๋ยวผู้ชายหนีซะก่อน”

     อย่าถือสาเลยครับ ผมเห็นพวกมันหยอกกันแบบนี้มานานแล้วแต่ก็ยังรักกันดีมาจนถึงตอนนี้ น้องบาสกับพี่ทิวหันไปมองหน้ากันอย่างหนักใจ ก่อนที่คนอายุน้อยกว่าจะลุกไปดึงแขนฝนให้มานั่งตักตัวเอง

     “จะมาห้ามทำไม คนกำลังสนุกได้ที่” ฝนโวยวายเมื่อพยายามดิ้นออกจากตักน้องบาสทว่าไม่สำเร็จ

     “จะไปอ่อยใคร”

     “ถามมาได้ ก็ผู้ชายคนนั้นไง” เพื่อนผมพยักพเยิดหน้าไปยังเป้าหมาย ไม่ได้สนใบหน้าบึ้งตึงของคนที่มันนั่งตักอยู่เลย ผมขมวดคิ้วมุ่น จำได้ว่ามันเคยบอกว่าไม่ชอบผู้ชายกล้ามใหญ่เพราะดูน่ากลัวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงได้พูดออกมาอย่างนี้

     “พี่ชอบแบบนั้นเหรอ”

     “ก็เขาหล่อดี”

     “ผมก็หล่อ ถ้าอยากอ่อยก็มาอ่อยผมนี่”

     “อ่อยนายแล้วจะได้อะไร”

     “ได้เป็นแฟนผมไง ไม่อยากเป็นเหรอ”

     ฝนสะบัดหน้าหนี ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แถมยังยอมนั่งตักน้องบาสเฉยๆ แล้วด้วย มันหันหน้ามาทางนี้ น้องบาสเลยไม่เห็นแต่ผมเห็นว่ามันกำลังยิ้ม ผมกับข้าวหอมหันมามองตากันเมื่อเริ่มจับอะไรบางอย่างได้ ไอ้เพื่อนคนนี้...ทำไมไม่บอกไปตรงๆ เลยล่ะว่าอยากให้น้องเขาหึง

     “สงสัยกูคงคบมึงไม่ได้แล้วล่ะฝน โดยผู้ชายคุมจนมาดตกแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร กูลุยเดี่ยวก็ได้” ควีนทำท่าจะเดินไปหาผู้ชายที่มันหมายปอง แต่เสียงเย็นๆ ของพี่ทิวก็ดังขึ้นมาก่อน

     “น้องควีนครับ”

     สามพยางค์สั้นๆ แต่กลับทำให้เพื่อนผมหยุดกึกเหมือนมีตะปูตอกเท้าไว้ ควีนค่อยๆ หันมายิ้มให้คนเรียก เห็นหน้ามันแล้วผมอยากค่อนขอดเหลือเกินว่าไม่ใช่แค่ไอ้ฝนหรอกที่มาดตก

     “จะมานั่งข้างพี่ดีๆ หรือจะให้พี่อุ้มมาครับ”

     ไม่ต้องรอให้พี่ทิวพูดซ้ำ ไอ้ควีนรีบเดินมาซบไหล่พี่ทิวแทนผู้ชายกล้ามโตทันที พี่ทิวกระตุกยิ้ม วาดมือไปโอบไหล่เพื่อนผม

     “กล้ามพี่ก็มี ถ้าอยากดูมากนักกลับไปพี่จะถอดให้ดู”

     “พี่ทิว!” คนอยากดูกล้ามผู้ชายตวาดหน้าแดง ผมกับข้าวหอมหัวเราะกันใหญ่ เลยโดนมันหันมามองค้อนไปหนึ่งที คราวหลังผมต้องเอาเรื่องนี้มาแซวบ้างแล้ว ตอบแทนที่พวกมันว่าผมอ๊องไว้ซะเยอะ

     วันนี้พี่คลื่นกับพี่องศาติดธุระที่มหา’ลัย แต่บอกว่าจะตามมาทีหลัง ผมกับข้าวหอมเลยต้องนั่งมองเพื่อนสวีทกับเหล่าบรรดาว่าที่แฟนไปก่อน แต่ไม่ต้องห่วงว่าพวกผมจะเคว้งนะครับ เพราะมีคนที่เคว้งกว่าผมแล้ว

     พี่ยี่หวาที่เพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีเพื่อนเต้นแล้วหันมาทำหน้าเซ็ง ปากเอาแต่พึมพำประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา

     “นี่กูพาน้องมาเลี้ยงฉลองหรือพามาให้ตัวเองเห็นภาพบาดตาเล่นวะเนี่ย”


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     “ไอ้เดือน สามนาฬิกา” จู่ๆ ฝนที่ย้ายจากตักน้องบาสมานั่งข้างผมก็เอ่ยขึ้นมา ทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก

     “สามนาฬิกาอะไรวะ”

     “มึงนี่ไม่เข้าใจศัพท์กะเทยเลย” ควีนมองบนใส่ผมก่อนจะบุ้ยปากไปอีกทาง “นู่น สามนาฬิกาของอีฝนหมายถึงให้หันไปมองทางขวามือค่ะ”

     ผมมองตามที่ควีนบอก ก่อนจะเห็นว่าพี่น้ำหวานกับเพื่อนของเขากำลังมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว สายตาไม่เป็นมิตรที่อีกฝ่ายส่งมาทำให้ผมรู้ว่าคำพูดของพี่คลื่นไม่เป็นจริงซะทีเดียว

     “มองมาขนาดนี้ เดินเข้าไปตบเลยดีไหม” ฝนทำท่าจะลุกขึ้นยืน ผมกับข้าวหอมเลยต้องรีบห้ามไว้

     “ฝนใจเย็นก่อน”

     “มึงไม่เห็นสายตาอีพี่น้ำหวานเหรอข้าว ทำเพื่อนกูเจ็บแล้วยังกล้ามาชูคอแบบนี้มันต้องโดนตบสั่งสอนสักที”

     “อย่าเลยมึง กูไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”

     “แต่เขาสั่งคนมากระทืบมึงเชียวนะ”

     “พี่คลื่นก็จัดการให้กูแล้วไง”

     “คนที่โดนมีแค่ไอ้พี่โจ อีพี่น้ำหวานมันโดนด้วยซะที่ไหน ไม่งั้นจะมีชีวิตรอดมามองจิกมึงแบบนี้เหรอ” ควีนที่อยู่ฝั่งเดียวกับฝนเอ่ยขึ้นมา มันทำหน้าอยากเข้าไปตบพี่น้ำหวานมากกว่าคนต้นคิดอีก

     “ถือว่ากูขอร้อง ต่างคนต่างอยู่เถอะ กูขอบใจนะที่พวกมึงเดือดร้อนแทนกู แต่กูไม่อยากให้มีเรื่องกันอีกจริงๆ”

     ฝนกับควีนทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ยอมนั่งลง พี่ยี่หวาที่เห็นเหตุการณ์เหมือนกันเลยเข้ามาบอก

     “เราก็อยู่ส่วนเรา ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก มาสนุกกันต่อดีกว่า เนอะทิวเนอะ”

     พี่ทิวพยักหน้าเห็นด้วย พวกพี่ๆ คงคิดเหมือนผมว่าถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง พี่ยี่หวาชวนทุกคนชนแก้ว พยายามหาเรื่องมาชวนคุยไม่ให้บรรยากาศอึมครึม แต่พวกผมต่างรู้กันดีว่าความสนุกมันหมดไปตั้งแต่เห็นหน้าพี่น้ำหวานแล้ว

     ผับในกรุงเทพฯ มีตั้งเยอะ ทำไมต้องบังเอิญมาเจอกันด้วยนะ





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 28 [19/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 19-09-2022 18:21:38
     ผมกับเพื่อนๆ หมดสนุกกันแล้วก็จริง แต่เพราะไม่อยากให้ความตั้งใจของพี่ยี่หวาเสียเปล่าเลยต้องฝืนทำหน้ายิ้มแย้ม ข้างนอกผมยิ้มก็จริงแต่ข้างในกระวนกระวายไปหมด เอาแต่หันไปมองทางเข้าผับว่าเมื่อไหร่พี่คลื่นจะมาเสียที

     ผมภาวนาให้คืนนี้ผ่านไปด้วยดี อย่างน้อยก็ก่อนที่พี่คลื่นจะมา แต่ดูเหมือนคำขอของผมจะไม่เป็นผล เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสักพักพี่น้ำหวานก็เดินเข้ามาหาเองถึงที่

     “แย่งแฟนคนอื่นไปหน้าด้านๆ แล้วยังมีหน้ามายิ้มระรื่นอยู่อีกนะ” พี่น้ำหวานแผดเสียงดังไปทั่ว ยืนจ้องผมอยู่กับเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้าหาเรื่อง ผมถอนหายใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนเพื่อประจันหน้ากับอีกฝ่าย เลี่ยงไม่ได้จริงๆ สินะ อุตส่าห์อยากมาเที่ยวแบบไม่ต้องคิดอะไรแท้ๆ

     “หนูว่าคนที่หน้าด้านน่าจะเป็นพี่มากกว่านะคะ พี่คลื่นเขาเคยคบกับพี่ด้วยเหรอถึงได้เรียกว่าแฟนเต็มปากเต็มคำ” ผมจะห้ามไอ้ฝนแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว รู้ว่ามันปากไว แต่ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้

     “ถ้าไม่รู้จริงก็อย่ามาทำปากดีค่ะน้อง พี่ว่าข่าวพี่กับคลื่นก็ดังไปทั่วมหา’ลัยนะ หรือน้องเอาแต่มุดหัวอยู่ในรูเลยไม่ได้ยินที่คนเขาลือกัน”

     “อ๋อ ที่คนทั้งมหา’ลัยลือกันว่าพี่คลื่นทิ้งพี่แล้วมาคบกับเพื่อนหนูน่ะเหรอ” ไอ้ควีนลุกขึ้นยืนแล้วแค่นยิ้มอีกคน “หนูได้ยินสิคะ พี่นั่นแหละได้ยินหรือเปล่า หรือวันๆ เอาแต่หลอกตัวเองว่าผู้ชายเขามีใจให้”

     “แก!!...” พี่น้ำหวานจ้องไอ้ควีนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ยังไม่ทันจะได้ด่าอะไรพี่ยี่หวาก็เข้ามาห้ามไว้ก่อน

     “หวานพอแล้ว กลับโต๊ะตัวเองไปซะ ฉันไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย”

     “แกไม่ต้องมาพูดเลยยี่หวา รู้ทั้งรู้ว่าคลื่นเป็นของฉันแต่แกกลับปล่อยให้อีเด็กผิดเพศนี่มาแย่งไปหน้าตาเฉย”

     “เรื่องนี้เดือนไม่ผิด ไอ้คลื่นมันรักของมันเอง เราว่าหวานกลับไปสงบสติอารมณ์เถอะ ขืนทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์” พี่ทิวช่วยเกลี้ยกล่อมอีกคน ตอนนี้คนรอบข้างเริ่มหันมามองพวกเราแล้ว

     “แล้วที่คลื่นรักฉันพวกแกมองไม่เห็นหรือไง! ที่คลื่นทิ้งฉันไปหาไอ้เด็กเวรนี่ก็เพราะแกสองคนคอยเสี้ยมใช่ไหม!!”

     “พี่คลื่นเขารักผมครับ” ผมโพล่งขึ้นมาในที่สุด “ผมไม่เคยคิดจะแย่งแฟนใคร แต่ผมมั่นใจว่าพี่คลื่นไม่เคยคบกับพี่ เขาไม่เคยรักพี่ด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ผมกับพี่คลื่นคบกัน ผมกล้าพูดเลยว่าไม่รู้สึกผิดหรือเห็นใจพี่สักนิด”

     “อีเดือน...”

     “ผมว่าพี่เมาแล้ว คุยกันต่อไปก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี พี่กลับไปให้สร่างเมาก่อนเถอะครับ แล้วถ้าอยากเคลียร์เรื่องนี้จริงๆ ไว้วันหลัง...”

     เพียะ!!

     ใบหน้าผมหันไปตามแรงตบ ความเจ็บบริเวณแก้มค่อยๆ ลามไปทั่วจนชาไปทั้งหน้า พี่น้ำหวานมองมาอย่างสะใจโดยมีเพื่อนอีกสองคนยืนแสยะยิ้มอยู่ข้างหลัง ผมยกมือมากุมแก้มก่อนจะหันกลับไปมอง

     “อ้าวอีนี่! มาตบเพื่อนกูแบบนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับไปง่ายๆ” ฝนตะคอกใส่คนตรงหน้า นาทีนี้มันคงลืมรุ่นพี่รุ่นน้องไปหมดแล้ว มันกับควีนถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมตบกลับเต็มที่ ข้าวหอมรีบดึงแขนผมให้ถอยห่างออกมา

     “เพื่อนแกอยากปากหมาก่อนเอง โดนตบล้างหมาในปากสักทีสองทีคงไม่ตายหรอก จะบอกอะไรให้นะ ฉันกับคลื่น...”

     เพียะ!!!

     ฝนกับควีนได้แต่มองคนที่ชิงตัดหน้าตัวเองอย่างงุนงง ใบหน้าพี่น้ำหวานที่หันไปตามแรงตบขึ้นสีระเรื่อจนเห็นรอยนิ้วชัดเจน เพื่อนอีกสองคนทำท่าจะเข้ามารุม แต่พอเจอสายตาพี่ยี่หวาเข้าไปก็ชะงักกันหมด พี่ยี่หวามองคนที่ตัวเองตบด้วยแววตาน่ากลัวแบบที่ถ้าผมโดนมองคงกลัวหัวหด

     “ฉันอุตส่าห์ไม่ไปเอาเรื่องถึงคณะเพราะเห็นว่าแกกับคลื่นเคยสนิทกัน แต่ในเมื่อแกกล้าทำกับน้องฉันขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป”

     พี่น้ำหวานยกมือมากุมแก้ม ตวัดสายตามามองคนประทุษร้ายด้วยความโกรธและตกใจ

     “อย่าคิดนะว่าคลื่นไม่อยู่แล้วแกจะทำอะไรเดือนก็ได้ คิดจะหมาลอบกัดเหมือนผัวตัวเองทั้งทีมีปัญญาทำได้แค่นี้เองเหรอ”

     “ยี่หวา แก...แกกล้าตบฉันเหรอ!”

     “ฉันกล้ากว่านี้อีกถ้าแกยังไม่หยุดหาเรื่องเดือน ยอมรับความจริงได้แล้วว่าคลื่นไม่เคยรักแก ในสายตามันไม่เคยมีแกด้วยซ้ำ”

     “ก็เพราะอีเด็กเปรตนี่ไม่ใช่เหรอคลื่นถึงทิ้งฉัน!! ถ้าไม่มีมันสักคนฉันคง...”

     เพียะ!!!

     คนตบคนเดิม ตบไปที่จุดเดิม คนถูกตบหันหน้าไปทางเดิม แต่แรงที่ใช้ตบไม่เหมือนเดิมเพราะน่าจะแรงกว่าตอนแรก ผมเดาจากเสียงเนื้อที่กระทบกันกับมุมปากของพี่น้ำหวานที่มีเลือดออก พี่น้ำหวานเจ็บจนพูดไม่ออก ได้แต่มองพี่ยี่หวาอย่างโกรธเคือง

     “ถ้ายังด่าเดือนอีกแม้แต่คำเดียวฉันจะจิกหัวแกไปตบในห้องน้ำแล้วกดหัวลงไปกินน้ำในชักโครก”

     “อียี่หวา...” พี่น้ำหวานเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบพี่ยี่หวากลับ แต่เสียงเข้มที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้พี่น้ำหวานชะงักไป

     “หวาน! นั่นจะทำอะไร!!”

     พี่คลื่นกับพี่องศาเข้ามากลางวง ใบหน้าตึงเครียดของพี่คลื่นหันมามองผมก่อนเป็นอย่างแรก และเมื่อเห็นรอยตบบนหน้าผมดวงตาสีดำก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที

     “คลื่น...” สีหน้าพี่น้ำหวานเปลี่ยนไปเมื่อเห็นพี่คลื่น เหมือนคนที่กำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง ร่างสูงไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินไปหยุดตรงหน้าพี่น้ำหวานแล้วตะคอกถามด้วยเสียงที่ดังจนกลบเสียงเพลงในผับไปจนหมด

     “ตบหน้าเดือนใช่ไหม”

     “คือหวาน...”

     “คลื่นถามว่าตบหน้าเดือนใช่ไหม!!”

     “ชะ...ใช่! มันแย่งคลื่นไปจากหวาน มันทำให้หวานกลายเป็นตัวตลก มันทำให้หวานไม่มีคนรัก...!!!”

     พี่น้ำหวานพูดได้แค่นั้น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อจู่ๆ ก็โดนพี่คลื่นบีบคาง อย่าว่าแต่พี่เขาเลย ผมที่ยืนมองอยู่ตรงนี้ยังตกใจไม่แพ้กัน ถ้าสายตาพี่ยี่หวาว่าน่ากลัวแล้ว สายตาพี่คลื่นตอนนี้ก็พร้อมจะฆ่าคนได้ตลอดเวลา ผมไม่เคยเห็นพี่คลื่นเป็นอย่างนี้มาก่อน ที่ผ่านมาผมมักจะเห็นแต่ใบหน้าอ่อนโยนของพี่คลื่น แต่สีหน้าที่ทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยมขนาดนี้ผมเพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรก

     “จำได้ไหมที่คลื่นเคยพูดว่าถ้าหวานมาให้คลื่นกับเดือนเห็นหน้าอีก คนที่จะมานอนใต้เท้าคลื่นแทนไอ้โจก็คือหวาน”

     พี่น้ำหวานมองคนพูดอย่างหวาดกลัว ครั้นจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนตัวเองก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ผมได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ในหัวเอาแต่ถามซ้ำๆ ว่าผู้ชายที่กำลังบีบคางพี่น้ำหวานคือพี่คลื่นคนนั้นแน่เหรอ

     “ดูเหมือนหวานจะอยากรู้สินะว่าความรู้สึกของไอ้โจตอนที่โดนเท้าคลื่นเหยียบหน้าไว้มันเป็นยังไง”

     พี่คลื่นกำลังยิ้ม แต่แววตาเลือดเย็นเหมือนพร้อมจะทำตามที่พูดได้ทุกเมื่อ พี่น้ำหวานรีบส่ายหน้าไปมาอย่างหมดท่า ผมได้ยินเสียงฝนกับควีนลอบกลืนน้ำลาย พวกมันจะพลอยกลัวไปด้วยก็ไม่แปลก น้ำเสียงพี่คลื่นตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าเหี้ยมมาก

     “ปะ...ปล่อยก่อน หวานเจ็บ...” พี่น้ำหวานพยายามเอามือพี่คลื่นออกจากคางแต่ไม่สำเร็จ

     “แค่นี้เจ็บ? แล้วที่ตบเดือนเมื่อกี้คิดว่าเดือนไม่เจ็บเหรอ หวานอยากโดนตบดูบ้างไหมจะได้รู้ว่าเจ็บของจริงมันเป็นยังไง”

     “ยะ...อย่านะ หวานขอโทษ หวานจะไม่ทำอีกแล้ว” เห็นหน้าพี่น้ำหวานแล้วผมก็เริ่มสงสารขึ้นมานิดหนึ่ง ใครมาได้ยินพี่คลื่นพูดต่างคงรู้กันทั้งนั้นว่าเขาไม่ได้ขู่เฉยๆ แน่นอน

     “ถ้าไม่อยากโดนแล้วหวานทำแบบนี้ทำไม คลื่นว่าวันนั้นตัวเองพูดชัดแล้วนะ หรือหวานอยากให้คลื่นพูดซ้ำ หืม?”

     “ไม่เป็นไร...ไม่ต้อง...”

     “ถ้างั้นก็รีบไสหัวไปให้พ้น ก่อนที่คลื่นจะเลิกเป็นสุภาพบุรุษแล้วกระทืบผู้หญิงโชว์คนทั้งผับ” พี่คลื่นพูดจบก็ผลักใบหน้าอีกฝ่ายออกแรงๆ พี่น้ำหวานมองมาทางผมด้วยความแค้น แต่เพราะพี่คลื่นยืนบังผมอยู่เลยทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้

     เสียงกรีดร้องดังไปทั่วผับ ก่อนที่เจ้าของเสียงจะกระทืบเท้าเดินออกไปจากร้านเหมือนนางร้ายในละคร ผมยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอรู้ตัวอีกทีฝ่ามือหนาก็มาแตะบนแก้มข้างที่โดนตบ

     “โอ๊ย...”

     “เจ็บเหรอครับ พี่ขอโทษ” เสียงพี่คลื่นกลับมานุ่มทุ้มเหมือนเดิมแล้ว ใบหน้าที่กำลังมองมาอย่างเป็นห่วงทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าหรือเมื่อครู่จะเป็นฝาแฝดพี่คลื่นปลอมตัวมา

     “เอานี่ไปซับแผลก่อนครับ อาการเจ็บจะได้เบาลง” น้องบาสยื่นผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้ คงไปขอมาจากพนักงานในร้าน พี่คลื่นรับมาก่อนจะเอามาซับแก้มผมเบาๆ

     เราสองคนมองตากันอยู่อย่างนั้น หลังจากแน่ใจว่าความเจ็บลดลงแล้วพี่คลื่นก็เอาผ้าออกไปก่อนจะใช้นิ้วโป้งไล้วนบนแก้มแทน สัมผัสอันแผ่วเบาจากคนตรงหน้าทำให้หัวใจผมกลับมาสงบอีกครั้ง

     “ยังเจ็บอยู่ไหม”

     “ไม่ค่อยแล้วครับ ว่าแต่พี่คลื่นทำธุระเสร็จแล้วเหรอ”

     “ทิวโทรมาบอกว่าเราโดนหวานหาเรื่องในผับ คิดว่าพี่ยังจะทำธุระได้อีกเหรอ”

     “เอ่อ...ผมขอโทษครับ”

     “ขอโทษทำไม พี่ต่างหากต้องพูดคำนั้น” พี่คลื่นโน้มหน้าลงมาจรดริมฝีปากบนหน้าผาก ราวกับอยากปลอบโยนเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ “ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือนต้องเจ็บตัวอีกแล้ว”

     “ไม่ใช่ความผิดพี่ซะหน่อย ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ อีกอย่างพี่ยี่หวาก็ตบคืนให้ผมแล้ว คืนสองเท่าด้วย” ผมพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้พี่คลื่นโทษตัวเอง คนตัวสูงหันไปหาพี่ยี่หวาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม

     “แม่นั่นมาด่าน้องกูซะเจ็บแสบ กูไม่ตบให้เลือดกบปากก็บุญแค่ไหนแล้ว”

     “จำไว้นะคลื่นว่าอย่าทำให้เดือนเสียใจเด็ดขาด ไม่งั้นโดนยี่หวาตบกูไม่รู้ด้วย แค่เห็นหน้าน้ำหวานกูก็รู้แล้วว่ามือโคตรหนัก”

     คำพูดพี่องศาทำให้ทั้งกลุ่มหัวเราะกันครืน สีหน้าทุกคนดูดีขึ้นราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย ผมหลุดยิ้มออกมาหลังจากทำหน้าเจ็บมานาน ก่อนจะต้องหุบยิ้มอีกครั้งเมื่อมีลมพัดมาเบาๆ ที่แก้ม

     พี่คลื่นที่กำลังเป่าลมคลี่ยิ้มนิดๆ แต่ลักยิ้มที่มุมปากยังไม่ทำให้ผมรู้สึกดีได้เท่าประโยคถัดมา

     “ความเจ็บเอ๋ยจงหายไป คนดีของพี่จงหายเจ็บ”

     กลับมาเป็นพี่คลื่นที่อ่อนโยนคนเดิมแล้วสินะครับ...


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     [สี่สหายสายเสมอ]

     ฝนน้อยคอยรัก
: เดือน กูขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะ

     ราชินีหิมะผู้สวยและรวยมาก : หลังจากนี้กูจะไม่ด่ามึงอ๊องอีกแล้ว ขอเอาหน้าสวยๆ ของกูเป็นประกันเลย

     KhaoHom.iii : ทำไมจู่ๆ ฝนกับควีนถึงมาขอโทษเดือนอ่ะ

     ฝนน้อยคอยรัก : มึงไม่เห็นพี่คลื่นตอนอยู่ในผับเหรอ ถ้าตอนนั้นมีมีดอยู่ในมือกูว่าพี่น้ำหวานพรุนไปทั้งตัวแล้ว

     ราชินีหิมะผู้สวยและรวยมาก : จริง เหตุการณ์วันนี้ทำให้กูรู้แล้วว่าพี่คลื่นน่ากลัวฉิบหาย

     ฝนน้อยคอยรัก : ทางที่ดีเราอย่าทำอะไรให้ไอ้เดือนโกรธดีกว่า ขืนมันไปฟ้องสามีพวกเราจะฉิบหายตามพี่น้ำหวานไปด้วย


     ผมขำจนปอดโยกกับบทสนทนาในกลุ่มไลน์ แต่ก็เข้าใจว่าทำไมพวกมันถึงกลัวขนาดนี้ น้ำเสียงที่พี่คลื่นใช้พูดกับพี่น้ำหวาน ต่อให้ใจแข็งแค่ไหนก็ต้องมีขนลุกกันบ้าง ผมกดออกจากแชทแล้วปิดโทรศัพท์เมื่อพี่คลื่นเดินเข้ามาในห้องพร้อมยาทาแผลในมือ

     “ทายาก่อนนะครับจะได้หายไวๆ”

     พี่คลื่นนั่งลงปลายเตียงพลางตบที่ว่างข้างๆ ตัวเองให้ผมขยับไปนั่ง คนตัวสูงจับคางผมให้เอียงหน้าไปหา ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ารอยตบยังหลงเหลืออยู่

     “คงโดนแรงมากเลยสินะ พี่ขอโทษนะครับที่มัวแต่ทำธุระช้าจนมาห้ามไม่ทัน” พี่คลื่นพูดขณะที่กำลังทายาให้ผม

     “บอกแล้วไงครับว่าไม่ใช่ความผิดของพี่”

     “พี่คิดว่าหวานจะหยุดแล้ว ไม่นึกเลยว่าหวานจะกล้าก่อเรื่องอีก เพราะพี่คนเดียวเดือนถึงต้องเจ็บตัวติดๆ กัน”

     ผมรอให้พี่คลื่นทายาจนเสร็จแล้วถึงเคลื่อนตัวไปบนตัก ร่างสูงมองมาอย่างงุนงง ผมยกยิ้มก่อนจะยื่นหน้าเอาปากไปทาบทับบนปากอีกฝ่าย ออกแรงบดลงไปแล้วค้างไว้สักพัก

     “ผมไม่เคยโกรธพี่คลื่นเลยสักครั้ง พี่ก็ต้องไม่โกรธตัวเองด้วยสิครับ อีกอย่างผมก็ไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นจะมาคุยกับพี่อยู่แบบนี้ได้เหรอ”

     พี่คลื่นยังมองผมเหมือนตั้งตัวไม่ทัน คงกำลังตกใจที่ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายจูบก่อน ไม่ใช่ไม่อายนะครับที่ทำอย่างนี้ เพียงแต่ผมไม่อยากให้พี่คลื่นคิดมาก พี่คลื่นไม่ใช่คนผิดแต่เป็นฮีโร่ของผมต่างหาก

     “วันที่ผมออกจากโรงพยาบาล พี่ไปมีเรื่องกับพี่โจมาใช่ไหมครับ”

     “...ใช่ครับ” คราวนี้พี่คลื่นตอบความจริง เหมือนยังเบลอๆ ที่โดนผมจูบ

     “ที่ไม่บอกผมตรงๆ เพราะไม่อยากให้ผมเห็นพี่ตอนกำลังโกรธเหมือนวันนี้หรือเปล่า”

     ดวงตาของคนตรงหน้าหม่นลง ผมเลยรู้ว่าตัวเองเดาถูก “พี่แค่กลัว”

     “กลัวอะไรครับ”

     “กลัวว่าเดือนจะกลัวพี่ กลัวว่าพี่จะไม่ใช่พี่คลื่นที่อ่อนโยนของเดือนอีกต่อไป”

     “โธ่” ผมวาดมือไปโอบรอบลำคอแกร่ง ซบหน้าลงไปบนไหล่คนที่ผมคิดว่าน่ารักมากๆ “ตอนพี่โกรธดูน่ากลัวก็จริง แต่ผมไม่รู้สึกกลัวหรือคิดว่าพี่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ผมรู้ว่าพี่โกรธมากเพราะรักผมมาก ยิ่งเห็นสิ่งที่พี่ทำวันนี้ผมก็ยิ่งรักพี่ขึ้นไปอีก ไม่ว่าเมื่อไหร่พี่คลื่นก็ยังอ่อนโยนและใจดีสำหรับผมเสมอนั่นแหละครับ”

     คำพูดผมอาจจะไม่สวยหรู แต่ทุกคำผมพูดออกมาจากหัวใจจริงๆ คนที่หล่อกว่าพี่คลื่นอาจจะมี คนที่ฉลาดกว่าพี่คลื่นอาจจะมี แต่คนที่รักผมมากกว่าพี่คลื่น ผมมั่นใจว่าหายังไงก็ไม่เจอ พี่คลื่นคอยบอกรักผมด้วยคำพูดและการกระทำทุกวันจนหัวใจผมไม่มีที่ว่างให้ใครอีกแล้ว

     “ขอบคุณนะครับที่ไม่กลัวพี่ ที่ทำไปทุกอย่างเพราะพี่รักเดือนจริงๆ รักมากจนไม่รู้เลยว่าถ้าวันนึงไม่มีเดือนขึ้นมาพี่จะใช้ชีวิตอยู่ยังไง”

     “ไม่มีวันนั้นแน่นอนครับ เพราะผมจะอยู่ตรงนี้กับพี่ไม่ไปไหน”

     คนตัวสูงจับมือผมขึ้นมาก่อนจะประทับจูบลงไปบนหลังมือ พี่คลื่นช้อนสายตามามองผม ภายในนั้นสื่อถึงทุกความรู้สึกที่เขามีให้ผมอย่างชัดเจน

     “อยู่กับพี่นะ” พี่คลื่นเอาหน้าผากตัวเองมาแนบชิดกับหน้าผากผม “อยู่ด้วยกันตลอดไป”

     ผมพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ประสานมือเข้ากับฝ่ามือใหญ่ เราสองคนหลับตาพร้อมกัน ราวกับกำลังซึมซับความสุขที่ลอยอยู่รอบตัวเข้าไปเติมเต็มในหัวใจ

     ประโยคสั้นๆ ของพี่คลื่นอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นคำสัญญาของพวกเรา พี่คลื่นสัญญากับผม ผมสัญญากับพี่คลื่น เราสองคนจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป



     “เดือน”

     “ครับ?” ผมขานรับแต่ยังไม่ถอนหน้าออกจากลำคอ ได้นั่งตักพี่คลื่นแบบนี้มีความสุขชะมัด

     “ย้ายมาอยู่ห้องพี่ทั้งที มาทำกิจกรรมต้อนรับสมาชิกใหม่กันดีไหม”

     “กิจกรรมอะไรครับ อ๊ะ!” ผมลืมตาโพลงเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังดุนดันขึ้นมาที่ก้น พอตวัดสายตาไปมองก็เจอเข้ากับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ

     “อยากให้พี่ตอบด้วยคำพูดหรือการกระทำดีครับ”

     “หยุดเลยนะครับพี่คลื่น”

     “หยุดไม่ได้แล้วครับ เดือนนั่งมาขนาดนี้แถมยังจูบพี่ก่อนอีก พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะจะได้ไร้ความรู้สึก”

     ไอ้เดือนนะไอ้เดือน ไม่น่าเลือกวิธีนี้มาปลอบเลย พี่คลื่นหายเสียใจก็จริงแต่มันกำลังจะทำให้ผมเสียตัวแทน

     “ผม...ผมเจ็บแก้มอยู่”

     “พี่ไม่ได้ทำตรงแก้มซะหน่อย” พี่คลื่นตบก้นผมเบาๆ เหมือนอยากบอกเป็นนัยว่าจะทำตรงไหน

     “ผมเพิ่งหายดี ไม่อยากกลับไปป่วยซ้ำ”

     “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้วันหยุด มีเวลาให้พักฟื้นเยอะ”

     “ผมนึกขึ้นได้ว่ามีงานค้าง ขอตัวไปทำก่อนนะครับ” เมื่อไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างแล้วผมจึงคิดจะชิ่งหนี แต่แรงกอดจากวงแขนแกร่งกลับไม่ยอมให้ทำอย่างนั้น

     “อย่าเพิ่งทำ รอให้พี่คิดดอกเบี้ยเสร็จก่อน”

     “ดอกเบี้ย?”

     “อ้าว ลืมแล้วหรือไง” คนความจำดีหัวเราะในลำคอ ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู “พี่บอกว่าจะรอคิดทบต้นทบดอกตอนเดือนหายป่วย จำไม่ได้เหรอครับ”

     ผมเบิกตาโพลงอีกครั้ง สายตาพี่คลื่นไม่เหมือนคนกำลังล้อเล่นเลย คนตัวสูงไม่รอช้า เอื้อมมือมาปลดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว ผมพยายามดึงไว้แต่ก็สู้แรงไม่ไหว

     “คุณภรรยา...มาให้สามีคิดดอกเบี้ยซะดีๆ”





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.28 [19/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-09-2022 14:02:38
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.28 [19/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 22-09-2022 04:51:07
 :-[
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 29 [23/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 23-09-2022 20:43:51
ตอนที่ 29 : น่ารักที่สุด





     “ถ้าตัดคำช่วยข้างหน้าออกไปประโยครูปสุภาพก็จะกลายเป็นรูปกันเองทันที คำช่วยที่สามารถถูกตัดเพื่อเปลี่ยนรูปประโยคได้มีอยู่สามตัวหลักๆ อันได้แก่...”

     “เหี้ย!!”

     พวกผมสามคนหันไปมองคนข้างหลังทันที ฝนกำลังยืนถือโทรศัพท์ สีหน้าตกใจของมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกคนทั้งเซคฯ มอง แต่เชื่อเถอะครับว่าสายตานับสิบจากที่นั่งนักศึกษาไม่น่ากลัวเท่าสายตาคู่เดียวจากคนที่อยู่หน้าชั้นหรอก เอาเป็นว่าผมไว้อาลัยให้เพื่อนล่วงหน้าเลยแล้วกัน

     “นางสาววาลิณี”

     “ขะ...ขาอาจารย์”

     “ฉันเพิ่งรู้ว่าคำว่าเหี้ยก็เป็นคำช่วยเหมือนกัน ไหนเธอลองอธิบายมาหน่อยว่าคำช่วยตัวนี้ต้องใส่ไว้ส่วนไหนของประโยค”

     “หนู...หนูขอโทษค่ะอาจารย์ พอดีหนูตกใจเลยเผลออุทานเสียงดัง”

     “เธอตกใจอะไร”

     ฝนอึกอักเหมือนไม่กล้าตอบ แต่อาจารย์คงเดาได้ว่ามันน่าจะตกใจสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์

     “ฉันไม่ว่าถ้าจะเล่นโทรศัพท์ในห้องเรียนเพราะฉันไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้เธอ แต่กรุณาอย่ารบกวนสมาธิคนที่เขาตั้งใจเรียนแบบนี้”

     “ค่ะ...”

     “อย่าให้มีครั้งหน้าอีก ไม่งั้นฉันจะเชิญเธอออกไปเล่นโทรศัพท์ข้างนอก”

     ฝนยกมือไหว้อาจารย์ก่อนจะนั่งลงพร้อมใบหน้าที่หดเหลือแค่สองนิ้ว ควีนที่เป็นเจ้าแม่แห่งความอยากรู้อยากเห็นรีบยื่นหน้าไปถามทันที

     “อีฝน มึงดูอะไรอยู่คะถึงตกใจซะลั่นห้องเลย”

     ควีนถามด้วยน้ำเสียงทั่วไป ไม่ได้ตะคอกเหมือนเจ้าหนี้ตามทวงเงิน ออกจะเบากว่าปกติด้วยซ้ำเพราะมันกลัวจะโดนอาจารย์เรียกอีกคน แต่คนถูกถามกลับสะดุ้งโหยง ทำหน้าเลิ่กลั่กยิ่งกว่าตอนคุยกับอาจารย์เสียอีก สีหน้าของมันทำให้ผมที่ตอนแรกไม่ได้สนใจเริ่มสงสัยขึ้นมา

     “ปะ...เปล่า กูไม่ได้ดูอะไรเลย กูแค่เปิดกล้องหน้าจะถ่ายรูปเลยตกใจความสวยของตัวเองเฉยๆ”

     บางทีผมก็งงกับมันเหมือนกันนะ เวลาเป็นเรื่องคนอื่นนี่ฉลาดผิดหูผิดตา พอเป็นเรื่องตัวเองกลับไม่เคยเอาตัวรอดได้สักครั้ง คิดมาได้ยังไงข้อแก้ตัวแบบนี้

     “จะโกหกทั้งทีคิดได้แค่นี้เหรอคะ เอามานี่” ควีนแย่งโทรศัพท์ฝนไปดู แต่สักพักมันก็เปลี่ยนเป็นหน้าเจื่อนเหมือนเจ้าของโทรศัพท์ ผมเลยยิ่งสงสัยกว่าเดิม

     “พวกมึงสองคนดูอะไรกันอยู่”

     “เอ่อ...คือว่า...”

     พูดติดอ่างขนาดนี้ ผมวางห้าร้อยเลย ต้องมีบางอย่างอยู่ในโทรศัพท์แน่นอน ผมอาศัยจังหวะที่ควีนหันไปปรึกษาฝนแย่งโทรศัพท์จากมือมันมาอย่างรวดเร็ว

     “ไอ้เดือน!” ฝนทำท่าจะร้องห้าม แต่ไม่ทันแล้ว ผมได้เห็นสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์ไปแล้วเรียบร้อย…

     “ในโทรศัพท์ฝนมีอะไรเหรอเดือน” ข้าวหอมถามด้วยแววตาใสซื่อ พวกผมสามคนเลยรีบหันไปส่ายหน้าพร้อมกัน

     “ไม่มีอะไรหรอกข้าว มัน...มันแค่รูปผู้ชายน่ะ”

     “ชะ...ใช่ กูกำลังดูรูปในเพจคิวท์บอย พอเจอผู้ชายถอดเสื้อเลยออกอาการมากไปหน่อย”

     ผมไม่รู้ว่าฝีมือการแถของตัวเองอ่อนลงหรือฝีมือการจับผิดของข้าวหอมเพิ่มมากขึ้น แต่ดูจากสายตาที่มองมาแล้วเห็นได้ชัดว่าข้าวหอมไม่เชื่อผม

     “ปิดบังอะไรข้าวอยู่สินะ” ข้าวหอมยื่นมือมาหยิบโทรศัพท์ แต่ผมออกแรงยื้อไว้ไม่ให้เอาไปได้

     “มันไม่มีอะไรหรอกมึง แค่รูปผู้ชายทั่วไปนั่นแหละ”

     “ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมถึงไม่ให้ข้าวดู”

     “คือเรื่องนั้น...”

     “ที่ทุกคนกำลังดูอยู่เกี่ยวกับข้าวใช่ไหม”

     พวกผมหน้าซีดกว่าเดิมเมื่อคนที่กำลังสงสัยพูดได้ตรงจุดพอดี ข้าวหอมยังพยายามขอโทรศัพท์ฝนไปดู ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา

     “อย่าดูเลยข้าว เชื่อเราเถอะ”

     “ก็ข้าวอยากดูนี่นา”

     “แต่ว่า...”

     “ให้ข้าวดูเถอะ ข้าวขอร้อง”

     ใบหน้าจริงจังของข้าวหอมทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธต่อ ผมหันไปมองเพื่อนอีกสองคน ซึ่งพวกมันก็ทำหน้าปั้นยากเหมือนกัน แรงที่ดึงโทรศัพท์ไว้ค่อยๆ เบาลงจนข้าวหอมหยิบไปได้ในที่สุด

     ข้าวหอมมองโทรศัพท์ฝนแล้วก็เงียบไม่พูดอะไรอีกเลย ปากบางที่เม้มเข้าหากันแน่นทำให้พวกผมเริ่มเป็นห่วง สิ่งที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์ไม่ใช่เพจคิวท์บอย แต่เป็นเพจที่น่าจะถูกสร้างโดยคนในมหา’ลัยผม เพราะชื่อเพจมันคือ ‘แอนตี้ข้าวเน่าๆ เพื่อปกป้องพี่องศา’

     ภายในเพจมีทั้งรูปเดี่ยวของข้าวหอมและรูปคู่กับพี่องศา รูปไหนที่มีแต่ข้าวหอมจะมีกากบาทสีแดงอันใหญ่แปะทับไว้ บนรูปทุกรูปมีแคปชันที่ส่อไปในทางด่าทอข้าวหอม รูปทั้งหมดเป็นรูปแอบถ่าย ผมไม่รู้ว่าใครคือตัวการ แต่ดูจากจำนวนรูปในเพจแล้วน่าจะเพิ่งตามถ่ายมาได้ไม่นาน

     ข้าวหอมเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ดวงตายิ่งสั่นระริกมากเท่านั้น ฝนที่ทนเห็นสีหน้าเพื่อนไม่ไหวเลยรีบแย่งโทรศัพท์คืนไป

     “พอแล้ว มึงจะดูให้จิตตกเลยหรือไง”

     “ใครมันกล้าทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้วะ ทำกันขนาดนี้เดินมาด่าตรงๆ เลยดีกว่า” ควีนสบถอย่างหัวเสีย ทั้งคำพูดและน้ำเสียงมันดูแมนขึ้นมาทันที ถ้าไม่กลัวอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่มันคงอาละวาดมากกว่านี้

     “อาจจะเป็นแฟนคลับพี่องศาที่ไม่พอใจข้าวก็ได้” ผมวิเคราะห์ตามความเป็นไปได้ ช่วงนี้พี่องศาตัวติดกับข้าวหอมแทบตลอดเวลา ตามดูแลอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ถ้าจะมีคนอิจฉาเพื่อนผมมันก็ไม่แปลก

     “มึงอย่าคิดมากนะ ก็แค่พวกเห็บไรที่มีดีแค่อิจฉาตาร้อน ยังไงพี่องศาก็รักมึงเหมือนเดิมอยู่ดี” ฝนจับไหล่ข้าวหอมเป็นเชิงปลอบ แต่ดูจากสีหน้าแล้วผมว่าข้าวหอมไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย

     “เออ เย็นนี้มึงจะไปกินไอติมกับพี่องศาใช่ไหม” ควีนชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ข้าวหอมไม่หันมามองแต่พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบคำถาม

     “ให้ไอ้เดือนไปเป็นเพื่อนไหม”

     “ไม่ต้องหรอก เย็นนี้เดือนต้องไปดูพี่คลื่นไม่ใช่เหรอ”

     วันนี้ตอนบ่ายสามโมงพี่คลื่นมีนัดซ้อมบาสเกตบอลกับพวกรุ่นพี่ปีสี่ คราวที่แล้วผมไม่ได้ไป วันนี้ผมเลยสัญญากับพี่คลื่นไว้ว่าจะตามไปเชียร์ถึงขอบสนาม ฝนกับควีนก็ไปด้วยเพราะพี่คลื่นชวนพี่ทิวกับน้องบาสมาแข่งเหมือนกัน มีแต่พี่องศาที่ไม่ใช่สายกีฬาเลยไม่ลงแข่ง

     “งั้นเดี๋ยวกูไปกับมึงก็ได้ หรือมึงจะไปกับอีควีนล่ะ”

     “ไม่เป็นไร ฝนกับควีนไปกับเดือนเถอะ พี่ทิวกับน้องบาสอยากให้ไปเชียร์ไม่ใช่เหรอ”

     พวกผมสามคนมองหน้ากันอย่างหนักใจ ดูท่าแล้วข้าวหอมคงไม่คิดจะรับความช่วยเหลือง่ายๆ

     “มึงไปคนเดียวได้แน่นะ”

     “อืม”

     เห็นหน้าคนตอบแล้วผมไม่รู้สึกอยากเชื่อเลย สีหน้าข้าวหอมตอนนี้เหมือนพร้อมจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา แต่ที่ไม่ร้องออกมาคงกำลังพยายามกลั้นไว้อยู่

     “มึงว่าพี่องศาจะเห็นเพจนี้ยังวะ” ควีนหันไปถามฝนเบาๆ

     “กูก็ไม่รู้ แต่ถ้าพี่องศาเห็นจริงๆ เขาไม่มีทางปล่อยให้คนทำลอยนวลแน่นอน เขารักไอ้ข้าวจะตาย ไม่งั้นจะตามจีบขนาดนี้เหรอ”

     ผมเองก็คิดอย่างนั้น พี่องศาดูไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ใครมาทำร้ายคนที่ตัวเองรักได้ง่ายๆ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะปกป้องเพื่อนผมได้ดีพอให้สมกับที่ผมไว้ใจเขา


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     -ข้าวหอม-

     ผมกำลังเดินไปคณะบริหารฯ ด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

     ผมรู้ว่าเส้นทางความรักของผมกับพี่องศาไม่มีทางราบรื่นอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าอุปสรรคจะมาเร็วจนตั้งตัวไม่ทันแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าพี่องศาเห็นเพจนั้นหรือยัง แต่ผมไม่อยากให้เขาเห็น รูปที่ผมถูกแอบถ่ายล้วนมีแต่รูปน่าเกลียดทั้งนั้น ขนาดผมเป็นเจ้าของรูปยังอดรู้สึกแย่ไม่ได้เลย ถ้าพี่องศาได้เห็นจริงๆ ผมกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้จนอยากหนีไปจากผม

     ...และความสุขของผมก็จะจบลงในที่สุด

     ผมนัดกับพี่องศาตรงพุ่มไม้หน้าตึกเรียน พี่องศาโทรมาบอกว่าอยู่ตรงที่นัดแล้ว ที่จริงผมควรจะไปถึงพร้อมกันแต่เพราะอาจารย์สอนติดลมเลยเลิกเรียนช้า

     “เฮ้ยองศา เด็กของมึงดังใหญ่แล้วนะ”

     เสียงที่ลอยมาให้ได้ยินทำให้สองขาของผมหยุดชะงัก ผมเดินใกล้ถึงพุ่มไม้ที่นัดกันไว้แล้ว จากมุมนี้พี่องศาไม่เห็นผม แต่ผมสามารถเห็นเขากับเพื่อนได้ชัดเจน

     “ดังอะไร?”

     “อ้าว มึงยังไม่เห็นเหรอ มาดูนี่ๆ”

     พอรู้ว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอะไรหัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นมาทันที ผมขยับเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อจะได้ฟังถนัดยิ่งขึ้น พี่องศาโน้มใบหน้าไปดูโทรศัพท์เพื่อน ทันใดนั้นคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน

     “กูเห็นแล้ว”

     พี่องศาเห็นแล้ว!?

     ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ นี่ผมมาห้ามไม่ทันเหรอ แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ เขาจะมาขอเลิกจีบผมไหม หรือจะหายหน้าหายตาไปเลยทำเหมือนเรื่องระหว่างเราไม่เคยเกิดขึ้น

     “แล้วมึงไม่มีอาการอะไรเลยเหรอ”

     “ทำไมกูต้องมี”

     “โห่ กะจะยุให้ของขึ้นสักหน่อย แกล้งมึงนี่ไม่สนุกเลย” เพื่อนพี่องศาทำหน้าเซ็งแต่ยังคงพูดต่อไป “รูปก็น่ารักอยู่หรอก แต่แคปชันโคตรเจ็บเลยว่ะ แอดมินเพจแม่งปากร้ายฉิบหาย”

     ผมนิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนพี่องศา เขาบอกว่ารูปผมน่ารักเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผมคิดมากเกินไปสินะ ค่อยยังชั่ว...

     “อย่าชมว่าน่ารัก” พี่องศาพูดเสียงเรียบ ดับทุกความคิดของผมในพริบตา

     “อ้าว มึงไม่คิดว่าน่ารักหรอกเหรอ”

     พี่องศามองรูปในโทรศัพท์อีกครั้ง ก่อนจะส่งคืนให้เพื่อนด้วยใบหน้าเฉยชา “กูไม่ชอบ”

     เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกเหมือนโลกตรงหน้าดับวูบ สมองไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป ผมไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกันต่อ ผมไม่รู้ว่าขาตัวเองกำลังสั่น ผมไม่รู้ว่าน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือหัวใจผมแตกสลายไปแล้วเรียบร้อย

     พี่องศาไม่ชอบรูปผม พี่องศาบอกว่าผมไม่น่ารัก

     ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนด่าอย่างนี้ กลับกันผมโดนมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนคิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานกับเรื่องพวกนี้แล้ว แต่พอคนพูดคือพี่องศาผมกลับทำใจได้ยินไม่ได้ แค่คำพูดไม่กี่คำกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนล้มทั้งยืน มันเคว้งคว้างไปหมดไม่รู้จะทำยังไงต่อ

     ผมค่อยๆ เดินออกมาจากตรงนั้น น้ำตายังไหลลงมาไม่หยุดแต่ผมไม่คิดจะยกมือมาปาดออก ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน ผมรู้แค่ว่าต้องไปให้ไกลจากคนขี้โกหก

     ผมตั้งใจจะมาถามพี่องศาว่าผมน่ารักไหม เพราะผมเชื่อว่าเขาจะต้องตอบกลับมาเหมือนทุกทีว่าน่ารัก คำชมของพี่องศาเปรียบเสมือนยาชั้นดีที่จะมาเยียวยาความรู้สึกของผม แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกต่อไป

     ไหนบอกว่าผมน่ารักที่สุดไง หรือเพราะรูปพวกนั้นมันน่าเกลียดเกินไป ผมเลยไม่น่ารักสำหรับเขาแล้ว


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ผมอยากกลับไปหาเพื่อน แต่อีกใจก็ไม่อยากผิดนัด หลังจากลังเลอยู่นานสุดท้ายผมก็เดินมารอที่รถพี่องศาแทนโดยไม่ลืมโทรบอกเจ้าของรถ

     “ทำไมไม่ไปหาพี่ก่อนล่ะ ไหนว่าจะเดินมาพร้อมกันไง” พี่องศาเอ่ยถามเมื่อมาถึง ผมตอบกลับไปด้วยเสียงที่พยายามให้ปกติที่สุด

     “พอดีข้าวมาทำธุระแถวนี้เลยไม่อยากเดินย้อนไปย้อนมาน่ะครับ” ผมโกหก

     “แล้วเราทำธุระเสร็จยัง”

     “เสร็จแล้วครับ”

     “งั้นไปกันเลยไหม”

     ผมควรถามพี่องศาเรื่องรูปในเพจไปตรงๆ เลยดีไหม อย่างน้อยถ้าเรื่องระหว่างเราต้องจบลงจริงๆ ให้มันจบตอนนี้ไปเลยยังจะดีเสียกว่าปล่อยให้ยืดเยื้อจนผมเผลอถลำลึกไปมากกว่านี้

     “ข้าวหอม”

     “ครับ?” ผมสะดุ้งเมื่อคนตรงหน้าเอ่ยเรียก

     “เหม่ออะไรอยู่ พี่ถามสองรอบแล้วเราก็เอาแต่นิ่ง”

     ผมกัดปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “พี่องศาครับ คือ...ข้าวมีเรื่องอยากคุยด้วย”

     “หืม? อะไรครับ”

     ‘ข้าวไม่น่ารักสำหรับพี่แล้วใช่ไหมครับ’ นี่คือประโยคที่ผมตั้งใจจะถาม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

     “พี่องศาคะ”

     เราสองคนหันไปมองเจ้าของเสียงพร้อมกัน เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ผมไม่รู้จักแต่รู้สึกคุ้นหน้าแปลกๆ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพี่องศาก่อนจะยิ้มให้

     “บังเอิญจัง ได้เจอพี่องศาที่นี่ด้วย”

     “น้องพีชมาทำอะไรในลานจอดรถครับ ไหนเคยบอกว่าไม่ได้ขับรถมาเรียนไง” คำพูดที่ดูสนิทสนมทำให้ผมหันกลับไปมองคนตัวสูงทันที พี่องศาพูดอย่างนี้แปลว่ารู้จักกับเด็กคนนี้อยู่แล้วเหรอ

     “พีชมารอเพื่อนค่ะ แต่เมื่อกี้มันโทรมาแคนเซิล ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อดี” น้องพีชพูดด้วยใบหน้าเศร้าๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มเหมือนเดิมเมื่อหันมามองผม “ถ้าพี่องศากับพี่ข้าวหอมไม่รังเกียจพีชขอติดรถไปด้วยคนนะคะ”

     “แต่พวกพี่กำลังจะไปกินไอติมกันนะครับ”

     “งั้นดีเลยค่ะ พีชอยากกินไอติมอยู่พอดี ขอไปกินด้วยคงไม่เป็นไรนะคะ” น้องพีชยิ้มให้ผมเหมือนเกรงใจ แต่คำพูดกลับไปคนละทาง ผมไม่แปลกใจว่าทำไมน้องพีชถึงรู้จักผม แต่ผมแปลกใจมากกว่าที่น้องเขากล้าพูดออกมาตรงๆ ขนาดนี้

     “เอาไงครับข้าว” พี่องศาหันมาถามผม

     “แล้วแต่พี่เลยครับ ข้าวไม่มีปัญหาอะไร” ผมพูดเสียงเรียบ อยากรอดูว่าพี่องศาจะจัดการยังไง

     “งั้นน้องพีชไปด้วยกันก็ได้ครับ กินไอติมหลายๆ คนสนุกดี”

     คำตอบของพี่องศาทำให้ผมอดผิดหวังไม่ได้ ถึงผมจะชอบมองโลกแง่บวกแต่ก็ไม่ได้ซื่อจนแปลสายตาผู้หญิงคนนี้ไม่ออก ขนาดผมยังดูออกพี่องศาก็น่าจะดูออกเหมือนกัน แต่ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกแล้วทำไมถึงยังยอมให้มาด้วยล่ะ

     หรือการอยู่กับคนไม่น่ารักอย่างผมมันน่าเบื่อเกินไป เลยต้องหาคนน่ารักไปด้วยเพื่อที่หัวใจจะได้กระชุ่มกระชวย

     น้องพีชยิ้มดีใจ รีบพูดขอบคุณก่อนจะเดินไปเปิดประตูหน้ารถ ผมที่โดนแย่งที่นั่งด้านหน้าไปเรียบร้อยเลยต้องเดินไปนั่งด้านหลังอย่างทำอะไรไม่ได้

     “ข้าวไปทำอะไรตรงนั้นครับ มานั่งหน้ากับพี่สิ” เสียงของพี่องศาทำให้น้องพีชชะงักขาที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอหันมายิ้มให้ผมแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม

     “เชิญค่ะพี่ข้าวหอม”

     ผมเดินไปนั่งหน้ารถโดยมีน้องพีชเปิดประตูให้ ตอนที่ผมผ่านตัวเธอเหมือนจะเห็นสายตาจิกกัดแวบหนึ่ง ผมไม่ได้รู้สึกดีเลยกับการที่พี่องศาให้ผมมานั่งเบาะหน้า เพราะถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้มีใครนั่งเบาะหลังเลย โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างน้องพีช

     ...แต่ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ ผมไม่ใช่เจ้าของรถซะหน่อย แถมตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ายังใช่คนที่พี่องศามีใจให้อยู่หรือเปล่า

     “ว่าแต่เมื่อกี้ข้าวจะคุยอะไรกับพี่นะ” พี่องศาหันมาถามตอนที่เพิ่งออกรถได้ไม่นาน แต่ผมโกหกกลับไปเพราะตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันสองคน

     “ข้าวลืมไปแล้วครับ แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พี่ไม่ต้องสนใจหรอก”

     คนตัวสูงไม่ถามอะไรต่อ หันไปมองถนนตามเดิม เราสามคนเดินทางไปห้างสรรพสินค้าโดยมีคนข้างหลังชวนคุยตลอดเวลา ส่วนใหญ่พี่องศาจะเป็นคนตอบ มีผมตอบบ้างเฉพาะเวลาที่น้องพีชพูดด้วย ผมหันมามองหน้าต่าง ปล่อยให้คนขับรถกับแขกรับเชิญคุยกันไปสองคน ความรู้สึกอึดอัดค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนในอกมันทรมานไปหมด

     ผมรักพี่องศา ผมรักการกินไอศกรีม ทั้งที่ผมกำลังจะไปทำสิ่งที่รักพร้อมกับคนที่รักแต่ผมกลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     วันนี้พี่องศาทำให้ผมเสียใจและแปลกใจพร้อมๆ กัน

     เหตุผลที่ผมเสียใจคือคำพูดที่เขาพูดกับเพื่อน วินาทีที่ได้ยินผมยอมรับว่าอยากกลับบ้านไปขังตัวเองในห้องแล้วร้องไห้อยู่อย่างนั้นข้ามวันข้ามคืน

     ส่วนเหตุผลที่ผมแปลกใจน่ะเหรอ...

     “ข้าวกินเองได้ครับ” ผมบอกคนที่เอาแต่คะยั้นคะยอ พี่องศาทำหน้างอง้ำเหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่น

     “ไหนบอกว่าถ้าพี่พามากินไอติมอีกข้าวจะให้พี่ป้อนไง”

     “มันก็ใช่ครับ แต่...” ผมเหลือบไปมองน้องพีชเป็นการบอกทางอ้อมว่าเราไม่ได้อยู่กันสองคน แต่ดูเหมือนพี่องศาจะไม่เข้าใจ หรือไม่ก็ไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า

     “เลือกเอาครับว่าจะให้พี่ป้อนหรือข้าวจะป้อนพี่ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าพี่กินจุ ถ้าข้าวจะป้อนก็ต้องป้อนจนกว่าพี่จะอิ่ม”

     เล่นขู่กันขนาดนี้ ผมจะไปทำอะไรได้นอกจากยอมอ้าปากให้ป้อนไอศกรีม พี่องศายิ้มพอใจเมื่อขู่สำเร็จ ต่างกับผมที่ได้แต่ทำหน้าบึ้ง

     “พี่องศาดูแลพี่ข้าวหอมดีจังเลยค่ะ” น้องพีชพูดยิ้มๆ แต่แววตาไม่เป็นมิตรมากกว่าตอนขึ้นรถอีก

     “น้องพีชก็ลองหาคนมาดูแลบ้างสิครับ”

     “คนที่พีชอยากให้ดูแลเขาไม่มองมาที่พีชเลยน่ะสิคะ” น้องพีชพูดจบก็ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความนัยมาให้ แต่พี่องศาเพียงแค่ยิ้มบางเบากลับไป

     “น้องพีชเป็นคนสวย สักวันต้องเจอคนที่อยากดูแลแน่นอนครับ” ปากพูดกับน้องพีชแต่มือกลับเอื้อมมาลูบหัวผม “เหมือนที่ข้าวหอมน่ารักพี่เลยอยากดูแลไง”

     นี่ล่ะครับสาเหตุที่ทำให้ผมแปลกใจ ทั้งคำพูดและการกระทำของพี่องศามันไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาพูดกับเพื่อนเลยสักนิด ราวกับว่าพี่องศาที่นั่งข้างผมตอนนี้กับพี่องศาที่บอกว่ารูปผมไม่น่ารักเป็นคนละคนกันอย่างนั้นแหละ

     “จะว่าไปไอติมพี่องศาดูน่าอร่อยจังเลย พีชขอชิมหน่อยนะคะ” น้องพีชเอ่ยปากขอแต่มือนำไปก่อนหน้านั้นแล้ว พอตักไอศกรีมไปชิมเสร็จก็เบิกตาโตด้วยท่าทางน่ารักๆ “ว้าว ไอติมพี่องศาอร่อยจังเลย เสียดายที่พีชไม่ได้สั่งรสนี้มา งั้นพีชขอกินกับพี่องศาเลยนะคะ”

     ผมได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงพูดกันว่าอย่าไว้ใจคนที่หน้าตา ใครจะไปนึกว่าเด็กน่ารักๆ อย่างน้องพีชจะกล้าถึงขนาดนี้ น้องเขาทำเหมือนผมเป็นเพียงอากาศที่ไม่มีตัวตน

     “น้องพีชชอบเหรอครับ”

     “ชอบค่ะ”

     “งั้นพี่ยกถ้วยนี้ให้ก็ได้ครับ” พี่องศาพูดจบก็เลื่อนถ้วยไอศกรีมตัวเองไปให้

     “อ้าว แล้วพี่จะกินอะไรล่ะครับ” ถึงผมจะเงียบมาตลอดเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่การที่พี่องศาเสียสละขนาดนี้ผมว่ามันมากเกินไป

     “ก็กินกับเราไง” พี่องศาพูดหน้าตาย ขยับเก้าอี้มาใกล้ผมมากขึ้น “ข้าวคงไม่หวงพี่ใช่ไหมครับ อีกหน่อยเราเป็นแฟนกันก็ต้องใช้ของร่วมกันอยู่ดี”

     คำพูดของพี่องศาทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ทำแก้มพองลมเพื่อไม่ให้หน้าแดงไปมากกว่านี้ ถ้าน้องพีชไม่อยู่ผมว่าไปนานแล้วนะ มีอย่างที่ไหนมาพูดเรื่องพวกนี้ในร้านไอศกรีมที่มีคนเยอะแยะ

     ถึงพี่องศาจะบอกว่ากินกับผม แต่เอาจริงๆ เขากลับป้อนผมอย่างเดียว ส่วนตัวเองกินไปแค่ไม่กี่คำ ตอนนี้รอยยิ้มบนหน้าน้องพีชหายไปแล้ว ไอศกรีมที่พี่องศาให้ไปก็ไม่ลดลงเลย

     “ไม่กินเหรอครับ” พี่องศาเอ่ยถามเมื่อไอศกรีมในถ้วยผมหมดแล้ว

     “พีชอิ่มแล้วค่ะ”

     “งั้นกลับกันเลยนะ”

     พี่องศายกมือเรียกพนักงานให้มาคิดเงิน ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่ก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกล้องถ่ายรูป พอหันไปมองก็พบว่าน้องพีชกำลังชูสองนิ้วโดยที่โทรศัพท์หันมาทางผม

     “พีชเห็นแสงตรงนี้สวยดีเลยจะถ่ายรูปลงไอจีน่ะค่ะ”

     ผมทำหน้ารับรู้ ไม่ได้สนใจอะไรต่อเพราะฝนก็ชอบถ่ายรูปตัวเองลงโซเชียลเหมือนกัน คิดแค่ว่ามันคือนิสัยของวัยรุ่นผู้หญิงสมัยนี้

     ตอนที่เรากำลังจะกลับกันน้องพีชก็เอ่ยขอร้องให้พี่องศาไปส่ง เป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรที่พี่องศายอมไปส่ง เพราะในสถานการณ์อย่างนี้ถ้าปฏิเสธไปมันจะดูไม่เหมาะ เรื่องที่ผมกำลังคิดมากจริงๆ คือเรื่องพี่องศาต่างหาก

     ตกลงเขาคิดว่าผมน่ารักหรือไม่น่ารักกันแน่ ช่วยทำให้มันชัดเจนหน่อยไม่ได้หรือไง มาตบหัวแล้วลูบหลังแบบนี้ผมทำตัวไม่ถูกนะ





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 29 [23/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 23-09-2022 20:44:31
     “กูจะทวงไอ้ข้าวคืน” ฝนพูดด้วยใบหน้าจริงจัง

     “กูด้วยค่ะ” ควีนพยักหน้าเห็นด้วย

     “พวกมึงใจเย็นก่อน พี่องศาอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำแบบนี้ก็ได้” เดือนพยายามแก้ตัวให้พี่องศา

     “เหตุผลอะไรวะถึงต้องทำกันขนาดนี้ แค่มาว่าเพื่อนกูไม่น่ารักก็แย่พอแล้วนะ นี่ถึงกับชวนอีน้องพีชอะไรนั่นไปกินไอติมด้วยอีก ไม่รู้แหละ กูไม่ยกไอ้ข้าวให้แล้ว”

     อย่าหาว่าผมขี้ฟ้องเลยครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำยังไงถึงต้องเอาเรื่องตัวเองมาปรึกษาเพื่อน ซึ่งพอปรึกษาแล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ตอนแรกฝนกับควีนจะไปถามพี่องศาตรงๆ ด้วยซ้ำแต่ผมห้ามไว้ก่อน

     “ตอนที่อยู่ด้วยกันพี่องศาไม่พูดเรื่องเพจแอนตี้เลยเหรอ” เดือนหันมาถาม ผมเลยส่ายหน้ากลับไป

     “ไม่ถามสักนิดเลยเหรอว่ามึงโอเคหรือเปล่า” ควีนถามอีกคน ผมก็ส่ายหน้าไปให้เหมือนกัน

     “จีบประสาอะไรวะ ไอ้ข้าวโดนหนักขนาดนี้แต่ไม่มีแม้แต่ท่าทางเป็นห่วง ตกลงพี่องศารักมึงแน่เหรอ”

     “ไอ้ฝน!”

     “แต่จะว่าไปอีฝนก็พูดถูกนะ กูไม่ได้จะพูดให้มึงรู้สึกแย่นะข้าว แต่ถ้าพี่องศารักมึงจริงเขาไม่มีทางปล่อยให้มึงโดนรังแกอย่างนี้หรอก”

     “พวกมึงพอเลย ไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติมอีก” เดือนชี้หน้าบอกเพื่อนก่อนจะถามผมอีกรอบ “พี่องศาพูดว่าข้าวไม่น่ารักจริงๆ เหรอ”

     “มึงถามอย่างนี้ทำไม คิดว่าไอ้ข้าวกุเรื่องขึ้นมาเหรอ”

     “เปล่า แต่บางทีมันอาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันก็ได้ ว่าไงข้าว พี่องศาพูดว่าไม่น่ารักจริงหรือเปล่า”

     “คือ...มันก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอก”

     ควีนทำหน้างง คิ้วผูกกันเป็นโบว์ “หมายความว่าไงคะ ขยายความด่วน”

     ผมพูดสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมดให้เพื่อนฟัง เดือนนั่งฟังโดยไม่พูดอะไร แต่ฝนกับควีนยังโวยวายเหมือนเดิม

     “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ แค่พูดว่าไม่ชอบมันก็ชัดแล้วป่ะว่าเขากำลังว่าเพื่อนเราไม่น่ารัก”

     เดือนยังทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อว่าพี่องศาจะทำอะไรอย่างนี้ ผมเองก็คิดเหมือนเดือน แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากพี่องศามันยากที่จะปฏิเสธจริงๆ

     “ข้าว มึงโทรไปบอกพ่อเลยว่าต่อไปนี้ไม่ต้องให้พี่องศามารับส่งแล้ว ปล่อยให้เขาไปกับอีน้องพีชนั่นเถอะ”

     “จริงค่ะ”

     “กูบอกให้ใจเย็นก่อนไง พวกมึงนี่ชอบทำอะไรผลีผลาม” เดือนดุฝนกับควีนก่อนจะหันมาถามผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “พูดถึงน้องพีช ข้าวบอกว่าคุ้นหน้าน้องเขาใช่ไหม”

     “อืม ข้าวพยายามนึกแล้วแต่นึกไม่ออกซะทีว่าเคยเจอที่ไหน บางทีอาจจะจำผิดคนก็ได้”

     “ผู้หญิงนิสัยเสียแบบนั้นมึงไม่ต้องเปลืองสมองไปจำหรอกค่ะ มีอย่างที่ไหน รู้ว่าเขาจีบกันอยู่ยังจะตามไปเป็นก้างขวางคออีก” ควีนพูดอย่างไม่พอใจ หยิบโทรศัพท์มาเล่นเพื่อระบายอารมณ์ แต่ผ่านไปสักพักก็ส่งเสียงขึ้นมาอีก “อีฝน!”

     “มีอะไร เรียกอย่างกับอยู่คนละซีกโลก” ฝนทำหน้ารำคาญ แต่พอควีนยื่นโทรศัพท์ให้ดูก็เปลี่ยนเป็นตาโต “เหี้ย!”

     ผมกับเดือนมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนที่เดือนจะเป็นคนถาม “มีอะไรกันวะ”

     คราวนี้ควีนหันโทรศัพท์มาให้พวกผมดูบ้าง พอเห็นรูปตรงหน้าแล้วผมก็เข้าใจทันทีว่าทำไมฝนถึงอุทานดังขนาดนั้น สิ่งที่ควีนให้ดูคือรูปผมที่กำลังนั่งอยู่ในร้านไอศกรีม รูปนี้ถูกโพสต์โดยเพจที่แอนตี้ผม แน่นอนว่าบนรูปต้องมีแคปชันว่าร้ายผมอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้พวกผมตกใจคือลักษณะของรูปต่างหาก

     รูปที่เพจเอามาลงส่วนใหญ่จะเป็นรูปแอบถ่ายจากระยะไกล แต่ครั้งนี้กลับเป็นรูปถ่ายในระยะประชิด แถมตรงขอบรูปยังติดแขนพี่องศามาด้วยอีก ที่ผมรู้ว่าเป็นแขนพี่องศาเพราะบนข้อมือมีนาฬิกาสีเงินสวมอยู่ ผมเป็นคนเลือกนาฬิกาให้พี่องศากับมือดังนั้นจึงไม่ผิดแน่นอน

     “ข้าว นี่รูปที่มึงไปกับพี่องศาเมื่อวานหรือเปล่า”

     “แบ็กกราวน์เป็นร้านไอติมขนาดนี้ ไม่ต้องถามแล้วค่ะ ใช่แน่นอน”

     “ถ่ายใกล้จนเห็นรูขุมขนขนาดนี้ ก็แปลว่าคนที่ถ่ายรูปนี้คือ...” ฝนละคำพูดไว้แค่นั้น แต่แค่มองตากันผมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเรากำลังคิดเหมือนกัน ในตอนนั้นเองผมก็เบิกตากว้างเมื่อนึกบางอย่างออก เดือนคงเห็นสีหน้าตกใจของผมเลยถามขึ้นมา

     “มีอะไรเหรอข้าว”

     ผมหันไปมองทุกคนพลางพูดด้วยความมั่นใจ “ข้าวจำได้แล้วว่าเคยเจอน้องพีชที่ไหน”


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     ผมนั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ครั้งเดียวยังพอทน แต่สองครั้งติดกันมันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ พี่องศาคิดจะทำอะไรกันแน่

     “พี่องศาชอบกินไก่ทอดใช่ไหมคะ เดี๋ยวพีชตักให้นะ”

     “ไม่เป็นไรครับน้องพีช”

     คนหวังดีไม่สนคำปฏิเสธ เอาแต่ตักไก่ทอดให้จนพูนจาน หลังจากปรนนิบัติคนตัวสูงเสร็จแล้วน้องพีชก็หันมาทางผม

     “พี่ข้าวหอมไม่กินเหรอคะ หรืออยากให้พีชตักให้ด้วย”

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามไม่กระแทกกระทั้น แต่ดูเหมือนน้องพีชจะไม่สนใจ

     “ไม่ต้องเกรงใจค่ะ พีชเต็มใจ พี่ข้าวหอมกินเยอะๆ นะคะร่างกายจะได้แข็งแรง”

     พอเห็นสิ่งที่น้องพีชตักมาให้แล้วผมอยากถามกลับไปเหลือเกินว่าเอาอะไรมาแข็งแรง น้องเขาเล่นตักแต่พริกในผัดเผ็ดมาให้ไม่มีหมูเลยสักชิ้น ผมกำลังจะเขี่ยออกแต่พี่องศาก็ยกจานผมไปวางไว้หน้าตัวเอง ก่อนจะยกจานที่มีไก่ทอดมาให้

     “ข้าวหอมไม่กินเผ็ด กินจานพี่ไปแทนแล้วกันนะครับ ส่วนจานนี้เดี๋ยวพี่กินเอง” พี่องศาตักไก่ทอดไปบางส่วนเพื่อให้ผมทานได้สะดวกขึ้น

     “อ้าว พีชไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่ข้าวหอมกินเผ็ดไม่ได้ ขอโทษนะคะ” น้องพีชทำหน้ารู้สึกผิด ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนหน้าตาใสซื่อหลอกไปนานแล้ว แต่ผมรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออก

     ผมชอบอยู่กับเดือนที่มีแฟนเป็นถึงอดีตเดือนมหา’ลัย แถมยังมีพี่องศาที่ดังไม่แพ้พี่คลื่นคอยตามดูแลอีก ผมเลยเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกคนมองอยู่บ่อยๆ แต่ในบรรดาคนที่มองมานั้นเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้มองเฉยๆ

     ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนในมหา’ลัยผมก็มักจะเห็นน้องพีชผ่านตาเสมอ แต่ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักกันผมเลยไม่ได้สนใจอะไร ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดมันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของน้องพีชที่อยากถ่ายรูปผมเพื่อจะเอาไปตั้งเพจแอนตี้

     ที่จริงวันนี้เพื่อนผมขอมาด้วย โดยเฉพาะฝนกับควีนที่อยากเคลียร์กับน้องพีชเป็นพิเศษ แต่ผมปฏิเสธไปเพราะพวกพี่คลื่นยังมีแข่งบาสเกตบอลวันนี้กับพรุ่งนี้อีก และผมก็คิดว่าน้องพีชไม่น่าจะมากินข้าวกับผมสองวันติด แต่ดูเหมือนผมจะประมาทน้องพีชเกินไป

     “อร่อยไหมครับ” พี่องศาเอ่ยถามเมื่อเห็นผมตักไก่ทอดเข้าปาก เขาบอกว่าไก่ทอดร้านนี้อร่อยมากเลยตั้งใจสั่งมาให้ผมโดยเฉพาะ

     “อร่อยครับ” ผมตอบเสียงเรียบ อร่อยจริงครับแต่นาทีนี้ปากมันยิ้มไม่ขึ้น

     “ถ้าอร่อยแล้วทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะ ยิ้มหน่อยสิครับ” พี่องศาไม่พูดเปล่า ยื่นมือมาจับแก้มผมให้คลี่ยิ้ม ไม่ได้รู้เลยว่าสาเหตุที่ทำให้ผมยิ้มไม่ออกก็เพราะตัวเองนั่นแหละ

     “คนเขาไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องไปบังคับหรอกค่ะ ถ้าพี่องศาอยากเห็นรอยยิ้มหันมามองพีชก็ได้” น้องพีชพูดจบก็ยิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ ผมยอมรับว่าน้องพีชหน้าตาน่ารักมาก แต่พอคิดถึงสิ่งที่น้องเขาทำกับผม ความน่ารักก็เลือนหายไปทันที

     “ไม่เกี่ยวหรอกครับว่าใครจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม มันอยู่ที่ว่าพี่อยากมองรอยยิ้มใครต่างหาก” พี่องศาพูดพร้อมรอยยิ้ม น้ำเสียงปกติทั่วไปเลยไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

     “ข้าวอิ่มแล้วครับ” ผมพูดขึ้นมาเพราะอยากทดสอบอะไรบางอย่าง

     “อ้าว อิ่มแล้วเหรอ ไหนบอกว่าอร่อยไงครับ”

     “ตอนกลางวันข้าวกินเยอะไปหน่อย ตอนนี้เลยยังอิ่มอยู่น่ะครับ”

     “แล้วน้องพีชล่ะครับ”

     “อิ่มเหมือนกันค่ะ”

     “ถ้างั้นพี่คิดเงินเลยนะ”

     พี่องศาหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาก่อนจะยกมือเรียกพนักงาน ผมทำเป็นหันไปทางอื่นแต่แอบเหลือบมองว่าน้องพีชจะทำอะไรต่อไป และเมื่อเห็นว่าน้องพีชหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาผมก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวตั้งใจจะแอบถ่ายเหมือนครั้งก่อน แต่ในตอนที่ผมกำลังจะหันไปถามตรงๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา

     !!!!!!

     ผมกับน้องพีชได้แต่มองคนที่กำลังเลื่อนดูโทรศัพท์อย่างสบายใจ พี่องศายิ้มอยู่ก็จริง แต่ผมกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาดูน่ากลัวต่างจากตอนคุยกับผมโดยสิ้นเชิง

     “เอ่อ...พี่องศาเอาโทรศัพท์พีชไปทำไมคะ”

     ร่างสูงเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ตายังมองโทรศัพท์ “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ พีชถ่ายรูปข้าวหอมไว้เยอะเลยไม่ใช่เหรอ พี่ขอดูนิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

     น้องพีชเริ่มหน้าเสีย ส่วนผมกะพริบตาปริบๆ เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก พี่องศาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เขารู้เรื่องแอบถ่ายอยู่แล้วเหรอ

     “ถะ...ถ่ายอะไรกันคะ พีชจะถ่ายรูปพี่ข้าวหอมไปทำไม พีชไม่ได้ชอบเขาซะหน่อย”

     “ใช่ครับ น้องพีชไม่ได้ชอบข้าวหอม เพราะไม่ชอบถึงได้ถ่าย หรือพี่พูดผิดครับ?”

     พี่องศาหันโทรศัพท์มา ทำให้ผมเห็นว่าภายในอัลบัมของน้องพีชมีรูปผมอยู่เยอะพอสมควร และแทบทุกรูปก็ตรงกับรูปที่เพจแอนตี้โพสต์ด้วย

     “พี่ยังมีมารยาทพอเลยไม่กดเข้าไปดูในเฟซบุ๊ก แต่น้องพีชน่าจะรู้นะครับว่าการตามหาแอดมินเพจ ‘แอนตี้ข้าวเน่าๆ เพื่อปกป้องพี่องศา’ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพี่เลย”

     ชัดเจนเลยครับ พี่องศารู้เรื่องแอบถ่ายจริงๆ ด้วย แถมยังรู้อีกว่าน้องพีชเป็นแอดมินเพจที่แอนตี้ผม น้องพีชหน้าเสียกว่าเดิมเมื่อได้ยินอย่างนั้น กำลังจะคว้ามือไปแย่งโทรศัพท์แต่พี่องศาก็หลบได้ทัน

     “อยากได้โทรศัพท์คืนเหรอครับ กลัวพี่รู้เหรอว่าแอดมินเพจคือใคร”

     “พี่องศา พีช...พีชอธิบายได้นะคะ”

     “พี่ไม่ต้องการคำอธิบาย แต่พี่จะให้น้องพีชเลือกระหว่างลบเพจเดี๋ยวนี้กับไปคุยเรื่องนี้กันต่อที่โรงพัก” พี่องศาพูดจบก็ยกยิ้ม ต่างกับน้องพีชที่หน้าซีดจนแทบไม่มีสี

     “พีชขอโทษค่ะ พีชจะไม่ทำอีกแล้ว อย่าให้เรื่องนี้ถึงตำรวจเลยนะคะ” น้องพีชละล่ำละลักพูด น้ำตาเริ่มคลอเบ้าเมื่อได้ยินคำว่าโรงพัก

     “น้องพีชไม่มีสิทธิ์ขอร้องครับ ถ้าไม่อยากไปนอนในคุกก็ต้องลบเพจทิ้งต่อหน้าพี่ตอนนี้เท่านั้น ทำได้ไหมครับ?”

     “ดะ...ได้ค่ะ พีชทำได้แน่นอน”

     พี่องศาคืนโทรศัพท์ให้เจ้าของ น้องพีชรับไปด้วยมืออันสั่นเทา กดยุกยิกอยู่สักพักก่อนจะหันโทรศัพท์มาให้ดู

     “พีชลบเพจแล้ว รูปพี่ข้าวหอมก็ลบหมดแล้วด้วย พี่องศาพอใจแล้วใช่ไหมคะ”

     “ยังครับ” คนตัวสูงพยักพเยิดหน้ามาทางผม “ขอโทษข้าวหอมด้วย”

     “อะไรนะคะ!”

     “แน่ใจเหรอว่าจะให้พี่พูดซ้ำ พี่ไม่ได้มีความอดทนสูงนะครับ”

     น้องพีชหันมามองผมเหมือนไม่เต็มใจ แต่เพราะความกลัวเลยทำให้ต้องพูด “พีชขอโทษค่ะ”

     “ข้าวอยากยกโทษให้ไหมครับ” พี่องศาถามผม “ถ้าไม่อยากก็บอกมาได้เลย พี่พร้อมโทรหาตำรวจตลอดเวลา”

     “พี่องศา!” น้องพีชทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ ผมเลยรีบยกมือห้ามเพราะไม่อยากให้เรื่องใหญ่ไปกว่านี้

     “ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ น้องเขาก็ขอโทษแล้ว แค่สัญญาว่าจะไม่ทำอีกก็พอ โอเคไหมครับ”

     “ค่ะ พีชจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว” น้องพีชรีบพูดเสียงสั่น ผมยกยิ้มอย่างพอใจ พี่องศาลุกขึ้นยืนก่อนจะจับมือผมให้ลุกตาม

     “ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับกันเถอะครับข้าว ส่วนน้องพีช...กลับดีๆ นะครับ”

     “อ้าว! พี่องศาไม่ไปส่งพีชเหรอคะ”

     “น้องพีชยังกล้าถามอย่างนี้อีกเหรอครับ แค่พี่ยอมไม่เอาเรื่องก็น่าจะมากพอแล้วนะ” พี่องศายังยิ้มให้เหมือนเดิม แต่คนถูกยิ้มให้น่าจะกลัวมากกว่ารู้สึกดี “ขอบคุณนะครับที่อยากปกป้องพี่ แต่พี่ไม่เคยต้องการ ถ้าน้องพีชชอบพี่จริงก็น่าจะรู้ว่าพี่ไม่ได้ใจดีเหมือนครั้งนี้บ่อยๆ”

     พี่องศาพูดด้วยท่าทางสบายๆ แต่ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ใบหน้าคนฟังยิ่งหดเล็กลงเท่านั้น

     “อย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกเลยนะครับ พี่ไม่อยากตัดอนาคตใคร น้องพีชดูเป็นคนฉลาด คงรู้นะว่าพี่หมายถึงอะไร”


     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


     “นี่มันอะไรกันครับ” ผมหันไปถามร่างสูงทันทีที่เข้ามาในรถ พี่องศาออกรถก่อนจะเหลือบมามองผม

     “เรื่องอะไรครับ”

     “พี่องศา ข้าวจริงจังนะครับ”

     “พี่ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าวพูดถึงเรื่องอะไร มันเยอะไปหมดจนพี่อธิบายไม่ถูก”

     ผมหันมาถอนหายใจกับตัวเอง เปลี่ยนเป็นค่อยๆ ถามไปทีละเรื่องแทน “พี่รู้เรื่องเพจแอนตี้ใช่ไหมครับ”

     “รู้สิ”

     “แล้วทำไมถึงไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยล่ะ ไม่เป็นห่วงข้าวเหรอครับ”

     “ตรงกันข้ามต่างหาก เพราะพี่ห่วงข้าวมากถึงไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย พี่อยากให้ตอนเราอยู่ด้วยกันข้าวมีแต่ความสุข ยิ่งเกิดเรื่องแบบนี้พี่ยิ่งอยากทำให้ข้าวมีความสุขมากกว่าเดิม”

     คำตอบของพี่องศาทำให้ความน้อยใจลดลงไปเกินครึ่ง น้ำเสียงที่ใช้พูดอ่อนลงทันทีเมื่อได้รับรู้เหตุผลของอีกฝ่าย

     “แล้ว...พี่ไปรู้จักน้องพีชได้ยังไงครับ แถมยังรู้อีกว่าน้องเขาเป็นแอดมินเพจ”

     “ตอนที่เราไม่อยู่น้องพีชเข้ามาชวนพี่คุยสองสามครั้ง ตามประสาผู้หญิงที่สนใจผู้ชายนั่นแหละ ที่จริงพี่จะไม่เล่นด้วย แต่เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้นและพี่ก็เห็นน้องพีชมาป้วนเปี้ยนใกล้เราสักพักแล้ว พี่เลยทำเป็นตีสนิทเพื่อจะพิสูจน์ว่าน้องพีชเป็นคนต้นเรื่องจริงหรือเปล่า และลางสังหรณ์พี่ก็ไม่ผิด”

     เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็กระจ่างทันที ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่องศาถึงชวนน้องพีชมากินข้าวด้วยกัน คงอยากจับให้ได้คาหนังคาเขาจะได้ไม่มีข้อแก้ตัว คำพูดของพี่องศาเกือบทำให้ผมรู้สึกดีแล้ว ถ้าไม่ติดว่าผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ซะก่อน

     “ที่พี่ทำแบบนี้เพราะแค่สงสารข้าวใช่ไหมครับ”

     พี่องศาหุบยิ้มแล้วเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแทน “ทำไมถามอย่างนั้นครับ”

     “พี่พูดความจริงมาเถอะครับ ข้าวสัญญาว่าจะไม่โกรธ ข้าวรู้ดีว่ารูปตัวเองไม่ได้น่ารักอยู่แล้ว”

     “รูป? รูปอะไร”

     “รูปที่น้องพีชเอามาลงเพจไงครับ ถ้าพี่องศาจะเลิกจีบเพราะอายรูปข้าวจริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ ข้าวเข้าใจ”

     “เดี๋ยว เราพูดเรื่องอะไรอยู่ พี่งงไปหมดแล้วนะ”

     “ข้าวบอกแล้วไงว่าให้พูดความจริง ไม่ต้องสงสารจนถึงกับต้องโกหกหรอกครับ พี่พูดมาตรงๆ เลยมันจะเจ็บน้อยกว่าด้วยซ้ำ”

     พี่องศาไม่ตอบอะไร แต่ค่อยๆ ชะลอความเร็วก่อนจะจอดรถเข้าข้างทางในที่สุด คนตัวสูงปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันมาประจันหน้า

     “ข้าวหอม พี่ไม่รู้นะว่าเราไปได้ยินอะไรจากใครมา แต่พี่ยังยืนยันคำเดิมว่าเราน่ารักที่สุดสำหรับพี่”

     คำพูดของอีกฝ่ายทำให้น้ำตาที่พยายามกลั้นมานานไหลลงมาในที่สุด พี่องศาผงะไปเมื่อเห็นอย่างนั้น มือหนาเอื้อมมาจะเช็ดน้ำตาให้แต่ผมปัดมันออกอย่างไม่ไยดี

     “จนป่านนี้แล้วยังจะโกหกอีกเหรอครับ! พี่คิดว่าข้าวโง่มากเลยหรือไง!”

     “โกหกอะไร ที่พี่พูดไปมีแต่ความจริงทั้งนั้น”

     “แล้วที่พี่บอกเพื่อนว่าไม่ชอบรูปข้าวล่ะครับ!!”

     พี่องศาชะงักแล้วนิ่งไป คงกำลังนึกคำพูดของตัวเองอยู่ ผ่านไปสักพักดวงตาก็เบิกกว้างเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกออก

     “อย่าบอกนะว่าเราได้ยินที่พี่คุยกับไอ้เคน”

     ผมไม่รู้ว่า ‘ไอ้เคน’ คือผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า แต่นาทีนี้ผมไม่สามารถหยุดอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ความจริงแล้วผมทั้งโกรธ เสียใจ น้อยใจ ผิดหวัง ความรู้สึกมากมายผสมปนเปจนกลายเป็นหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด

     “ข้าวอุตส่าห์เปิดใจให้พี่ แล้วพี่ก็ตอบแทนด้วยคำโกหกแบบนี้เหรอครับ! ถ้าไม่รักกันแล้วก็บอกมาตรงๆ สิครับ มันยากนักหรือไง แค่พูดว่าข้าวไม่น่ารักในสายตาพี่แล้วแค่นี้ทำไม่ได้เหรอครับ!!”

     ผมพูดออกมาด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี น้ำตายังไหลอย่างต่อเนื่องจนภาพตรงหน้าเบลอไปหมด ผมรู้ว่ารูปตัวเองน่าเกลียด และรู้ด้วยว่าการที่คนๆ หนึ่งจะคิดว่าคนอื่นไม่น่ารักมันไม่ใช่เรื่องผิดเลย แต่เพราะคนๆ นั้นคือพี่องศาผมเลยทำใจยอมรับไม่ได้ ผมไม่เคยขอให้ใครมองผมน่ารัก ผมขอแค่พี่องศาคนเดียว พอได้ยินพี่องศาพูดกับเพื่อนอย่างนั้นผมเลยรู้สึกเหมือนไม่เหลือใครอีกต่อไป

     พี่องศามองมานิ่งๆ ผมยกมือปาดน้ำตาพลางสูดน้ำมูกไปด้วย สภาพผมตอนนี้คงน่าสมเพชมากพี่องศาถึงได้พูดอะไรไม่ออก เอาเถอะ คิดซะว่าลองอกหักเพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิตแล้วกัน อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าหลังจากนี้ไม่ควรเปิดใจให้ใครอีก...

     “จะ...จะทำอะไรครับ”

     ผมถามตะกุกตะกักเมื่อจู่ๆ คนที่ไม่พูดอะไรเลยก็เอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัย พี่องศาไม่ตอบอะไร พอปลดเข็มขัดให้ผมเสร็จแล้วก็ลงไปจากรถ ร่างสูงเดินอ้อมมาฝั่งผมพลางเปิดประตูหลังออก ผมมองตามอย่างงุนงง ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูที่นั่งผมแล้วเข้ามาช้อนตัวผมอุ้มขึ้น

     “พี่องศา!!”

     เจ้าของชื่อโยนผมเข้ามาในเบาะหลังก่อนจะตามมาคร่อมทับไว้อีกที ผมกำลังจะร้องเรียกซ้ำแต่ริมฝีปากที่ทาบทับลงมาทำให้ผมไม่สามารถส่งเสียงออกไปได้แม้แต่นิดเดียว

     พี่องศา...กำลังจูบผม

     ผมไม่รู้ว่าเราจูบกันนานแค่ไหน แต่มันก็นานพอที่จะทำให้ผมหยุดร้องไห้ พี่องศาค่อยๆ ถอนใบหน้าออกไป แววตาที่มองมาคล้ายกับกำลังหงุดหงิด

     “เด็กดื้อ”

     ผมหูฝาดไปหรือเปล่า เมื่อกี้พี่องศาว่าผมดื้อเหรอ

     “ข้าว...ข้าวไม่ดื้อสักหน่อย” ผมปฏิเสธลิ้นพัน จูบของพี่องศาชวนให้เมามายและมึนงงจนแทบพูดไม่รู้เรื่อง

     “ดื้อสิ ดื้อมากด้วย ขนาดพี่พูดกรอกหูอยู่ทุกวันว่าน่ารักข้าวยังไม่ยอมจำเลย”

     “ถ้าพี่คิดว่าข้าวน่ารักจริงๆ แล้วทำไมถึงพูดกับเพื่อนแบบนั้นล่ะครับ หรือข้าวน่ารักแค่ตัวจริงแต่ในรูปน่าเกลียดจนดูไม่ได้” พอสติกลับเข้าร่างผมก็สวนกลับไปเป็นชุด ผมมั่นใจว่าตัวเองได้ยินไม่ผิด พี่องศาพูดว่าไม่ชอบรูปผมจริงๆ

     “ก่อนที่พี่จะตอบคำถาม ข้าวบอกมาก่อนว่าได้ยินอะไรบ้าง”

     ผมย่นคิ้ว มองคนที่ถามกลับด้วยความงง พี่องศาจำคำพูดตัวเองไม่ได้หรือไงถึงต้องให้ทวนความจำ

     “เร็วครับ บอกมาว่าข้าวได้ยินพี่พูดอะไรบ้าง พี่จะได้อธิบายถูก”

     “...ตอนที่พี่เคนชมว่าข้าวน่ารัก พี่องศาก็บอกว่าอย่าชม”

     “ใช่ครับ พี่ไม่อยากให้ไอ้เคนชม แต่ไม่ใช่เพราะข้าวไม่น่ารัก เพราะพี่หวงเราต่างหาก”

     หือ???

     “พี่องศา...ว่าไงนะครับ”

     “พี่หวง” คนตัวสูงรวบรัดตัดตอนเหลือสองพยางค์ น้ำเสียงห้วนกว่าเดิมเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “ไม่มีใครอยากได้ยินผู้ชายอื่นชมคนที่ตัวเองกำลังตามจีบหรอกนะครับ ต่อให้เป็นเพื่อนพี่ก็ไม่ชอบอยู่ดี”

     ผมกะพริบตาปริบๆ รู้สึกตั้งตัวไม่ทันกับคำตอบที่ไม่คาดคิด “ละ...แล้วที่บอกว่าไม่ชอบรูปข้าวล่ะครับ”

     “พี่ไม่ชอบจริงๆ แต่ที่ไม่ชอบเพราะรูปพวกนั้นมันน่ารักเกินไป พี่จีบข้าวมาตั้งนานยังไม่เคยได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย แต่ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้กลับเอารูปเรามาโพสต์หราไปทั่วโซเชียล แล้วจะให้พี่ชอบได้ยังไง”

     น้ำตาผมเหือดแห้งไปแล้ว เหลือแต่หน้าเหวอๆ ที่จู่ๆ ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรไปหมด ผมยังนิ่งงันเหมือนสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ พี่องศายกมือมาเกลี่ยผมหน้าม้าเบาๆ ความหงุดหงิดในแววตาหายไปแล้ว

     “ทีหลังอย่าคิดไปเองนะครับ มีอะไรก็มาถามพี่ตรงๆ เลย เข้าใจไหม”

     เมื่อความเสียใจหายไปหมดแล้วความอายก็เข้ามาแทนที่ ผมไม่ตอบคำถาม รีบก้มหน้างุดเพราะทนสู้หน้าไม่ไหว ตกลงที่ผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเพราะคิดไปเองหมดเลยสินะ กัดลิ้นตายตอนนี้เลยได้ไหม เกิดมาไม่เคยอายอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

     “ว่าไงครับ เข้าใจที่พี่พูดไหม” พี่องศาถามซ้ำเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร ผมเลยต้องตอบออกไปอย่างช่วยไม่ได้

     “ขะ...เข้าใจครับ”

     คนที่ได้คำตอบไปแล้วเชยคางผมให้เงยหน้าขึ้นสบตา ดวงตาคมเข้มที่จ้องมาแลดูจริงจังกว่าทุกครั้ง

     “พี่อาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ปากหวานเท่าไหร่ แต่ขอให้ข้าวจำไว้ว่าพี่จะเป็นผู้ชายที่มั่นคงและซื่อสัตย์ที่สุดต่อคำว่าน่ารักที่พี่บอกข้าว ไม่ว่าใครจะเข้ามาหรือพูดอะไรอย่าได้กังวล ในสายตาพี่มีข้าวแค่คนเดียว ข้าวคือคนที่น่ารักที่สุดสำหรับพี่ ประโยคนี้เป็นจริงเสมอและจะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้”

     ประโยคยืดยาวกับน้ำเสียงหนักแน่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัว พี่องศาส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มนั้นทำให้น้ำตาผมไหลลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันและความสุข สุขที่รู้ว่ายังมีคนที่รักเราอยู่ สุขที่รู้ว่ามีคนคอยปกป้องเรา สุขที่รู้ว่าต่อให้เจอเรื่องแย่ๆ มามากแค่ไหน พอหันกลับไปมองก็จะเจอรอยยิ้มของพี่องศาอยู่ที่เดิมเสมอ

     คนตัวสูงค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้ผม โน้มใบหน้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

     “อย่าเพิ่งร้องไห้ครับ จูบปลอบพี่ก่อน”

     “...จูบปลอบอะไรครับ” ผมที่กำลังซึ้งถึงกับหยุดร้องไห้ทันที

     “ที่เราพูดเมื่อกี้รู้ไหมว่าพี่เสียใจแค่ไหน จู่ๆ มาบอกให้เลิกจีบใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว”

     “ก็ตอนนั้นข้าวเข้าใจผิดอยู่นี่ครับ”

     “พี่ถึงได้ให้เรารับผิดชอบด้วยการจูบอยู่นี่ไง”

     “เมื่อกี้ก็จูบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ผมพูดเสียงเบาอย่างเขินอาย หันหน้าหนีพร้อมกับทำแก้มพองลม คนเสียใจหัวเราะในลำคอก่อนจะเอาปากมาขบแก้มเบาๆ “พี่องศา!”

     “เดือนบอกว่าเวลาข้าวเขินจะชอบทำแก้มพองลม” พี่องศาอาศัยจังหวะที่ผมกำลังตกใจ เอามือมารั้งต้นคอไม่ให้ผมหันหนีได้อีก “แถมยังบอกอีกว่าข้าวมักจะแพ้ลูกอ้อน”

     ผมอยากเถียงกลับไปแต่ก็เถียงไม่ออกเพราะมันคือความจริง ได้แต่เม้มปากแน่นอย่างไม่รู้จะพูดอะไร พี่องศายื่นหน้ามาชิดริมหูก่อนจะเอ่ยขอร้องด้วยเสียงแตกพร่า

     “ข้าวหอมครับ...จูบพี่หน่อยนะ”

     ผมเข้าใจแล้วว่าที่คนเขาพูดกันว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะออกมานอกอกมันเป็นยังไง ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกแบบนั้นเลย...

     คำพูดของพี่องศาราวกับมีเวทมนตร์ เพียงแค่เขาออดอ้อนผมก็ลืมความอายไปหมดแล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้ แต่เพราะผมไม่เคยจูบใครมาก่อนภาพที่ออกมาเลยดูเก้ๆ กังๆ พี่องศาที่รู้ดีว่าผมไม่ถนัดอะไรแบบนี้เลยเป็นฝ่ายจูบลงมาแทน ปากของเราสองคนประกบกันอีกครั้ง คนตัวสูงค่อยๆ เล็มเลาะเหมือนอยากให้เวลาผมทำความคุ้นชิน แรงที่ใช้บดเคล้าไม่ได้หนักหน่วงแต่ก็พอจะทำให้ผมร้อนรุ่มไปทั่วร่างกาย

     ความรู้สึกที่เพิ่งเคยสัมผัสครั้งแรกทำให้ผมเผลอครางออกมาอย่างลืมตัว เพียงเท่านั้นคนบนร่างก็ตอบสนองต่อเสียงของผมทันที จากที่ค่อยเป็นค่อยไปกลับเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนในหัวขาวโพลนไปหมด ท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายทำให้ผมต้องส่งเสียงประท้วงในลำคอเพราะหายใจไม่ทัน พี่องศาจูบผมอยู่เนิ่นนานก่อนจะผละออกไปอย่างอ้อยอิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความพอใจเมื่อเห็นหยาดน้ำสีขาวยืดออกมาจากปาก

     “หวานมาก...” คนตรงหน้าแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ชวนให้ใบหน้าร้อนผ่าวกว่าเดิม “หวานจนไม่อยากหยุดชิมเลย”

     “พะ...พอแล้วครับ” ผมรีบยกมือมาปิดปากก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มลงมาชิมความหวานอีก พี่องศาที่รุกรานปากผมไม่ได้เลยพรมจูบไปทั่วหน้าแทน

     “น่ารัก”

     จุ๊บ

     “น่ารักมากๆ”

     จุ๊บ

     “น่ารักที่สุดเลยรู้ตัวไหม”

     จุ๊บ

     “อื้อ...พอได้แล้ว แค่นี้ข้าวก็เขินจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนะครับ” ผมพูดออกมาอย่างหมดท่า พี่องศาที่กำลังจะก้มลงมาอีกถึงได้ยอมหยุดรังแก

     “พอก็ได้ครับ ดีเหมือนกัน ขืนจูบอีกทีพี่กลัวจะไปส่งเราไม่ถึงบ้านซะก่อน”

     ผมตีแขนคนทะลึ่งไปเต็มแรง แต่ดูเหมือนคนถูกตีจะไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย พี่องศาอุ้มผมกลับมานั่งด้านหน้าตามเดิม ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างกำลังอารมณ์ดี

     “คราวหลังพี่คงต้องเสียใจบ่อยๆ แล้วสิ มีคนจูบปลอบดีขนาดนี้ชักอยากจะเสียใจทุกวันเลย”

     ผมไม่พูดอะไร ได้แต่หันหน้าหนีอย่างเดียว พี่องศาหัวเราะหึๆ ก่อนจะออกรถอีกครั้ง ระหว่างนั้นผมก็ทำเนียนยกมือมาแตะปากตัวเองเบาๆ

     จูบแรก กับคนที่สอนให้รู้จักความรักครั้งแรกในชีวิต...ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันจะให้ความรู้สึกดีขนาดนี้





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- EP.29 [23/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-09-2022 22:56:44
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 30 [28/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 28-09-2022 19:49:32
ตอนที่ 30 : รักนะครับ





     เฮ้อ…

     “เป็นอะไร”

     เฮ้อออ…

     “กูถามว่าเป็นอะไร”

     เฮ้อออออ…

     ป้าบ!!

     “โอ๊ย! ตบหัวกูทำไมเนี่ย”

     “ตบให้สติกลับเข้าร่าง อยากโดนอีกทีไหมเดี๋ยวกูให้อีควีนมาช่วยตบ”

     คนถูกขอให้ช่วยเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบลงมาจริงๆ ผมเลยรีบยกมือมากุมหัวพลางถลึงตาใส่

     “เป็นอะไรคะ ถอนหายใจจนคาร์บอนไดออกไซด์จะล้นมหา’ลัยอยู่แล้ว”

     ว่าแล้วผมก็ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือกเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้หน้ายู่เหมือนถ่ายไม่ออกอยู่ตอนนี้

     “ก็พี่คลื่นน่ะสิ...”

     “ทำไม พี่คลื่นนอกใจมึงเหรอ มึงไม่ต้องห่วงเดี๋ยวกูแก้แค้นให้ กล้ามาย่ำยีหัวใจเพื่อนอ๊องของกูได้ยังไง” ควีนทึกทักเอาเองโดยไม่เว้นช่องให้ผมโต้แย้ง ก่อนจะร้องด้วยความเจ็บเมื่อโดนลูกคู่ของมันตบหัวเหมือนที่ผมโดน แต่ต่อให้ฝนไม่ตบผมก็จะตบเองอยู่แล้ว ไหนมันบอกว่าจะไม่ด่าผมอ๊องแล้วไง โกหกกันชัดๆ เลย

     “มึงยังไม่เข็ดจากเรื่องไอ้ข้าวอีกเหรอ พวกเราเกือบจะสาปส่งพี่องศาแล้วนะ”

     หลังจากรู้ว่าพี่องศาทำเพื่อข้าวหอมแค่ไหน พวกมันก็รีบถอนคำพูดกันแทบไม่ทัน นอกจากพี่องศากับเพื่อนผมยังรักกันดีแล้วเพจแอนตี้ข้าวหอมก็หายไปแล้วด้วย ผมคิดอยู่เหมือนกันว่าจะไปขอบคุณเขาสักหน่อย แต่ตอนนี้ขอเอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนครับ เครียดมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วยังหาทางออกไม่ได้เลย

     คนที่พึ่งพาได้ที่สุดในกลุ่มหันมาถามเรื่องที่คุยค้างไว้ เหมือนไม่อยากให้ออกทะเลไปมากกว่านี้

     “พี่คลื่นเขาทำไมเหรอเดือน อย่าบอกนะว่าทะเลาะกัน”

     ผมถอนหายใจใส่ข้าวหอม ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเหมือนอาจารย์เพิ่งให้เอฟมา “ไม่ได้ทะเลาะหรอก แค่พี่คลื่นบอกว่าวันศุกร์นี้จะพาไปหาแม่ที่บ้าน”

     “กรี๊ด!!!”

     อาการเซื่องซึมของผมหายไปในพริบตาเมื่อเจอเสียงประสานระดับหนึ่งร้อยเดซิเบลเข้าไป ฝนกับควีนทำหน้าตื่นเต้น แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว

     “เดี๋ยวนะ พี่คลื่นจะพามึงไปหาแม่เขา มึงก็ต้องดีใจไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงทำหน้าหงอยเหมือนหมาถูกทิ้งแบบนี้ล่ะ”

     เปรียบกูเป็นหมาวัดเลยนะ เดี๋ยวหมาตัวนี้ก็กระโดดกัดขาซะเลยไอ้เพื่อนเวร

     “ก็กูไม่มั่นใจอ่ะ”

     “เรื่อง?”

     “ข้าวว่าข้าวพอรู้นะ” ข้าวหอมพูดยิ้มๆ เหมือนอ่านความคิดผมออก “เดือนกำลังกลัวแม่พี่คลื่นไม่ยอมรับใช่ไหม”

     ผมพยักหน้าเนือยๆ ให้คนฉลาด ฝนกับควีนเลยรีบนั่งลงจากที่ตอนแรกลุกขึ้นกรี๊ดกันสนั่นหวั่นไหว

     “มึงยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับพี่คลื่นอีกเหรอ”

     ผมส่ายหน้าให้ไอ้ควีน

     “กูนึกว่าพวกมึงเคลียร์เรื่องครอบครัวกันแล้วซะอีก”

     “ฝั่งกูอ่ะไม่มีปัญหา กูเคยให้พี่คลื่นโทรคุยกับพ่อแม่แล้ว เข้ากันดียิ่งกว่าลูกแท้ๆ อย่างกูอีก แต่พี่คลื่นนี่สิ ไม่เคยเกริ่นอารัมภบทถึงพ่อแม่ตัวเองให้กูทำใจเลย มาบอกโป้งเดียวตอนเมื่อคืนว่าวันศุกร์ให้ทำตัวว่างๆ เพราะจะพาไปหาแม่”

     ฝนกับควีนทำหน้าเหมือนเข้าใจ ไม่รู้ว่าพวกมันเข้าใจจริงหรือเปล่า แต่พอได้ระบายแล้วผมก็ไม่อยากหยุดเลยพูดต่อไปอีก

     “กูคิดไม่ตกเลยว่าถ้าครอบครัวพี่คลื่นไม่ยอมรับกูจะทำยังไง ไหนจะเรื่องที่กูมาอยู่คอนโดฯ กับพี่คลื่นโดยไม่ขออนุญาตก่อนอีก แต่พี่คลื่นดูรักกูมากนะ เขาจะยอมเลิกกับกูเพราะครอบครัวกีดกันแน่เหรอ แต่ถ้ากูเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวทะเลาะกันกูก็คงไม่สบายใจ...”

     “หยุด” ควีนยกมือมาห้าม ทั้งสีหน้าและท่าทางเหมือนกำลังเหนื่อยใจกับผม “ที่พล่ามมาทั้งหมดเนี่ย มึงได้ปรึกษาพี่คลื่นหรือยังคะ”

     “ปรึกษาแล้ว เขาบอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ทุกอย่างจะเรียบร้อยแน่นอน”

     “แล้วมึงจะมานั่งอมทุกข์ให้เปลืองเวลาชีวิตทำไม” ฝนทำหน้าเหนื่อยใจอีกคน เอาเข้าไปไอ้พวกนี้ “เขาเป็นลูกแท้ๆ ยังไม่เครียดเลย แล้วทำไมมึงต้องมาคิดเล็กคิดน้อยด้วย”

     “พวกมึงไม่คิดว่าพี่คลื่นแค่พูดเพื่อให้กูหายคิดมากบ้างเลยเหรอ”

     “มึงกำลังจะบอกว่าพี่คลื่นโกหก?”

     “ไม่ใช่แบบนั้น แต่...มึงเข้าใจกูหน่อยดิ กูก็ไม่รู้จะพูดยังไง มันอดกระวนกระวายไม่ได้อ่ะ”

     “เดือน ตั้งสติแล้วฟังข้าวนะ” ข้าวหอมจับสองไหล่ผมไว้แน่น ใบหน้าจริงจังทำให้ผมไม่กล้าโวยวายต่อ “คำตอบของข้าวน่าจะครอบคลุมมากพอ เพราะงั้นเดือนฟังแล้วต้องหยุดคิดมากเข้าใจไหม”

     ผมพยักหน้ารับไว้ก่อน จะหยุดคิดมากได้ไหมค่อยมาดูกันอีกที

     “เดือนไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่คลื่นก็พอ ข้าวเชื่อว่าพี่คลื่นไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่นอน ข้าวเป็นคนนอกยังรู้เลยว่าพี่คลื่นรักเดือนมาก แล้วทำไมเดือนถึงไม่คิดจะเชื่อใจคนที่รักเดือนมากขนาดนี้เลยล่ะ”

     ข้าวหอมยิ้มให้ผม ตบไหล่เบาๆ ให้กำลังใจ ฝนกับควีนเองก็พยักหน้ารัวๆ อย่างเห็นด้วยเหมือนกัน

     “กูคิดว่าพี่คลื่นไม่น่าจะใช่คนที่โกหกนะ ถ้าเขาบอกว่าไม่ต้องกังวลมึงก็อย่ากังวลเลย”

     “จริงค่ะ กูเห็นด้วย”

     ผมได้แต่ครุ่นคิดตามคำพูดของเพื่อนสนิท แค่อยู่เฉยๆ แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยได้จริงเหรอ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่คลื่น แต่เรื่องแบบนี้มันไม่มีใครสบายใจอยู่ได้หรอก ยิ่งผมกับพี่คลื่นเป็นผู้ชายเหมือนกัน ครอบครัวพี่คลื่นจะรับได้แน่เหรอ

     “กูเข้าใจนะว่าทำไมเดือนมันถึงคิดมาก ถึงจริงๆ แล้วไม่ควรคิดเลยก็เถอะ แต่...” ฝนหันไปหรี่ตามองคนที่ให้คำแนะนำผม “ที่กูทึ่งมากกว่าคือมึงนี่แหละ”

     “ฝนทึ่งอะไร”

     “แหม จะอะไรซะอีก พอตัวเองสมหวังเข้าหน่อยดูเข้าอกเข้าใจความรักขึ้นมาเลยนะคะคุณข้าวหอม” ควีนเอ่ยแซวข้าวหอมอีกคน พวกมันคงนึกว่าเคลียร์ปัญหาผมเรียบร้อยแล้วเลยเปลี่ยนเรื่องคุย

     “ฝนกับควีนหยุดเลยนะ เรากำลังช่วยเดือนอยู่ อย่าเพิ่งหลงประเด็นสิ”

     “มึงช่วยมันไปแล้วไม่ใช่เหรอ กูก็กำลังจะช่วยมึงต่อนี่ไง”

     “มึงจะไปช่วยอะไรมันคะอีฝน”

     “ช่วยแนะนำวิธีอ่อยพี่องศา”

     “ฝน!”

     “ไม่ต้องมองแรงขนาดนั้น กูแค่จะให้มึงจูบพี่องศา ไม่ได้จะให้ไปขอมีอะไรด้วยซะหน่อย กูมั่นใจว่าต้องมีคนแบบอีน้องพีชอยู่อีกแน่นอน เพราะงั้นมึงต้องจูบจองพี่องศาไว้ คนอื่นจะได้มาแย่งไม่ได้”

     “ทำไมมึงพูดเหมือนพี่องศาเป็นเสาไฟฟ้าแล้วไอ้ข้าวเป็นหมาที่จะไปฉี่รดเสาเลยวะคะ”

     “มึงก็เปรียบซะน่าเกลียด ภาพโรแมนติกในหัวกูหายหมด” ฝนทำหน้าระอาใส่ควีน ก่อนจะทักขึ้นมาเมื่อเห็นความผิดปกติ “ข้าว ทำไมมึงหน้าแดงวะ”

     “เออ ไม่สบายเหรอ”

     ข้าวหอมก้มหน้างุด หลบสายตาเพื่อนทุกคน ฝนจ้องอยู่สักพักก่อนจะอ้าปากตาโต

     “อย่าบอกนะว่ามึงเคยจูบพี่องศาแล้ว”

     ตอนแรกผมนึกว่าฝนเดาไปมั่ว แต่พอเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของข้าวหอมผมก็รู้ในทันทีว่าคราวนี้ฝนเดาถูก

     “ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง แล้วใครเป็นคนเริ่มก่อนคะ เล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้”

     และแล้วคนที่เพิ่งเสียจูบแรกไปก็ถูกเพื่อนซักจนละเอียดยิบ ส่วนผมก็เอาแต่คิดไม่ตกว่าจะจัดการความกังวลในใจยังไงดี

     ผมก็ดีใจอยู่หรอกที่พี่คลื่นจริงจังกับผมขนาดนี้ แต่เพราะผมเองก็จริงจังกับพี่คลื่นเหมือนกัน เลยอดหวั่นไม่ได้ว่าถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวังจะทำยังไงต่อไป



     “ออกมานานๆ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ”

     สองแขนที่โอบเอวมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง พี่คลื่นโน้มใบหน้ามาหอมแก้มแรงๆ ก่อนจะส่งยิ้มชวนละลายมาให้

     “วันนี้ลมเย็นสบายเลยอยากออกมาสูดอากาศน่ะครับ”

     “แน่ใจเหรอว่าอยากตากลมเฉยๆ ไม่ใช่ว่าเครียดเรื่องที่พี่จะพาไปหาแม่นะ”

     ผมสะดุ้งนิดหน่อยที่โดนจับได้ อ้อมแอ้มตอบกลับไปเสียงเบา “รู้ทันผมอีกแล้ว”

     “คนรักคิดอะไรอยู่ทำไมพี่จะไม่รู้” พี่คลื่นหันตัวผมไปประจันหน้า จรดริมฝีปากลงมาบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา “บอกแล้วไงว่าอย่ากังวล ไม่มีอะไรต้องคิดมากเลย”

     “จะไม่ให้คิดมากได้ไงครับ ถ้าเกิดแม่พี่คลื่นไม่ยอมรับผมล่ะ”

     “ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นแน่นอน พี่สัญญา”

     “ทำไมพี่คลื่นถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะครับ” ผมถามกลับ แววตาคนตรงหน้าดูมั่นใจจนผมอดสงสัยไม่ได้

     “เพราะพี่รักเดือน ความรักที่พี่มีให้เดือนแน่วแน่และมั่นคงเกินกว่าจะมีอะไรมาสั่นคลอนได้”

     “แต่นี่คือแม่พี่เลยนะครับ พี่จะบอกว่าต่อให้ท่านคัดค้านก็จะฝืนคบกับผมต่อไปเหรอ”

     “คิดมากอีกแล้ว ตัวก็เล็กแค่นี้ทำไมขยันคิดมากจัง” พี่คลื่นจูบหน้าผากผมอีกครั้ง แต่เดี๋ยวนะครับ ที่พูดนั่นไม่ได้หลอกด่าผมเตี้ยอยู่ใช่ไหม

     “ผมคิดมากเพราะผมรักพี่มาก และเพราะรักพี่มากผมเลยกลัวว่าถ้าเราต้องเลิกคบกันเพราะผู้ใหญ่กีดกันจริงๆ ผมคง...”

     “ไม่เอาไม่พูดแล้ว พูดแต่อะไรก็ไม่รู้ไม่รื่นหูเลย”

     พี่คลื่นก้มลงมาจูบอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นตรงปากไม่ใช่หน้าผาก รสจูบของพี่คลื่นยังทำผมเคลิบเคลิ้มได้เสมอ พอได้จูบกันแล้วผมมักจะลืมเรื่องที่คิดอยู่ไปหมด เหมือนสมองไม่รับรู้อะไรชั่วขณะ

     “ชอบจังเวลาเดือนบอกรักพี่ ได้ยินกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ” คนตัวสูงเอ่ยเบาๆ เมื่อถอนปากออกไป ผมซุกหน้าเข้ากับอกกว้างเพราะความเขิน บวกกับลมที่เริ่มแรงจนรู้สึกหนาวขึ้นมา

     “ผมก็ชอบเวลาพี่คลื่นบอกรักผมเหมือนกัน”

     “เดือนชอบให้พี่บอกรักเหรอ”

     “ครับ”

     “ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ชอบเหมือนกันใช่ไหมครับ”

     ตอนแรกผมไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้ชักรู้สึกแหม่งๆ ยังไงไม่รู้ ผมผละใบหน้าออกจากอก เงยหน้าขึ้นไปมองคนพูด และเมื่อเห็นสายตาวาววับผมก็รู้ได้ทันทีว่าคำถามนั้นแฝงความนัยอะไรเอาไว้

     “กำลังคิดเรื่องทะลึ่งอยู่ใช่ไหมครับ” ผมหรี่ตาคาดคั้นเอาคำตอบ

     “พี่คิดเรื่องโรแมนติกอยู่ต่างหาก”

     “เรื่องอะไรครับที่ว่าโรแมนติก”

     พี่คลื่นยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นลักยิ้มที่ผมชอบมอง วงแขนแกร่งรั้งผมเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมอาบน้ำ “โรแมนติกบนเตียงแล้ว ในห้องน้ำก็ไปแล้ว แต่ริมระเบียงเรายังไม่เคยโรแมนติกด้วยกันเลย”

     “พี่คลื่น!” ผมดิ้นขลุกขลักจะหนีกลับเข้าห้องเมื่อรู้ว่าเรื่องโรแมนติกของอีกฝ่ายคืออะไร แต่ขนาดตัวที่ต่างกันทำให้ผมสู้แรงเจ้าของอ้อมแขนไม่ได้เลย

     “ไม่ชอบผู้ชายโรแมนติกเหรอครับ” ใบหน้าคมคายถามด้วยความซื่อ แต่ดวงตาฉายแววอันตรายมากกว่าเดิม

     นี่ไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติกแล้ว นี่มันผู้ชายหื่นกามชัดๆ!!

     “ห้ามรังแกผมครับ เรากำลังจะไปบ้านพี่กันนะ”

     “อีกตั้งสองวัน มีเวลาให้พักฟื้นเหลือเฟือ”

     “ยังไงก็ไม่ได้ครับ เกิดมีคนออกมาเห็นได้โดนด่าว่าอนาจารกันพอดี”

     “แปลว่าถ้าเป็นในห้องก็ได้ใช่ไหม”

     คำถามที่เหมือนเตรียมมาอย่างดีทำให้ผมหยุดดิ้นแล้วหันไปมอง พี่คลื่นกำลังยิ้ม ยิ้มเหมือนพอใจที่ทำให้ผมตกลงไปในหลุมได้สำเร็จ

     “ในห้องมีผ้าม่านปิดไว้ รับรองไม่มีใครเห็นแน่นอน”

     เจ้าเล่ห์อะไรขนาดนี้เนี่ย!

     “พี่คลื่นหลอกผม”

     “หลอกอะไร เราก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าห้องพี่มีผ้าม่าน”

     ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นซะหน่อยยยย

     “อย่ามัวแต่ยืนคุยกันเลย ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไปหาความอบอุ่นในห้องกันดีกว่า” คนขี้หนาวอุ้มผมขึ้นพาดบ่า ผมจะโวยวายก็ไม่ได้เพราะกลัวห้องข้างๆ เปิดระเบียงมาด่าเอา พี่คลื่นพาผมกลับเข้ามาในห้อง จัดการปิดผ้าม่านให้เรียบร้อย ก่อนจะเริ่มกิจกรรมคลายความหนาวทันที

     อืม...ผมว่าผมคงไม่หนาวไปอีกนานเลยล่ะ ขนาดเปิดแอร์ยี่สิบองศาเหงื่อยังท่วมตัวเลย นี่ไม่ใช่แค่อบอุ่นแล้ว แต่ร้อนรุ่มไปทั้งกายทั้งใจเลยด้วยซ้ำ



     วันศุกร์ที่ใครหลายคนรอคอย วันศุกร์ที่พรุ่งนี้คือวันเสาร์ มันคือศุกร์ที่ควรจะยิ้มแย้ม แต่ไม่ใช่กับผม

     ผมหันไปมองสารถีขับรถ พี่คลื่นผิวปากไปตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ท่าทางสบายอกสบายใจที่จะได้พาลูกสะใภ้ไปไหว้แม่ตัวเอง แต่ไม่ได้สนเลยว่าลูกสะใภ้กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

     “พี่คลื่นครับ เรา...เรากลับกันก่อนดีไหม แล้วค่อยมาวันหลังก็ได้”

     “จะกลับทำไม มาถึงขนาดนี้แล้ว นี่แม่พี่เพิ่งโทรมาบอกว่าให้แม่บ้านทำอาหารรอไว้แล้ว มีแต่ของชอบเดือนทั้งนั้นเลย”

     “ก็ผมทั้งตื่นเต้นทั้งกลัวนี่ครับ ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะทักทายแม่พี่ยังไงดี” ผมพูดอย่างลนลาน เพราะความกลัวสารพัดอย่างเลยทำให้ลืมเอะใจว่าแม่พี่คลื่นรู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานอะไร

     “ทำไมต้องคิด เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว”

     “ไม่ได้สิครับ ผมต้องทำให้แม่พี่ประทับใจเข้าไว้ เฟิร์สอิมเพรสชันสำคัญมากนะ”

     “เดือนน่ารักอยู่แล้ว แค่ยิ้มเหมือนที่ยิ้มให้พี่แล้วพูดเพราะๆ แค่นี้แม่พี่ก็รักตายแล้วครับ”

     “แค่นั้นมันจะไปพออะไรครับ มันต้องมีวิธีมัดใจแม่แฟนมากกว่านี้สิ ที่จริงเมื่อคืนผมลองซ้อมพูดกับกระจกแล้วแต่ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่เลย นี่ถ้ามีเวลาซ้อมอีกหน่อย...เอ๋? พี่คลื่นจอดรถทำไมครับ”

     คนตัวสูงดับเครื่องยนต์ก่อนจะเอื้อมมือมาปิดเพลงตาม ผมเอียงคอมองอย่างงุนงง หรือพี่คลื่นจะปวดฉี่เลยอยากแวะเข้าห้องน้ำ แต่แถวนี้ไม่เห็นมีปั๊มเลย

     “พี่จะทำอะไร...อื้อ!” ผมได้แต่ส่งเสียงในลำคอเมื่อจู่ๆ พี่คลื่นก็รั้งท้ายทอยผมเข้าไปหาแล้วประกบริมฝีปากลงมา ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาในปาก ควานหาลิ้นของผมก่อนจะเกี่ยวกระหวัดรัดพันจนเกิดเป็นเสียงขึ้นมา จูบไม่มีที่มาที่ไปของพี่คลื่นทำให้ผมอ่อนระทวย ลืมไปสนิทว่ากำลังพูดอะไรค้างไว้ จนกระทั่งพอใจแล้วพี่คลื่นถึงถอนใบหน้าออกไป ผมมองตามอย่างเบลอๆ สมองอ๊องไปเรียบร้อยเหมือนที่เพื่อนชอบว่าบ่อยๆ

     “เดือนเป็นเดือนแบบนี้ดีที่สุดแล้วครับ”

     “…”

     “อย่าเกร็ง อย่ากังวล เชื่อมั่นในความน่ารักและความสดใสของตัวเองเข้าไว้ รับรองว่าแม่พี่จะต้องรักเดือน...เหมือนที่พี่รัก”

     น่าแปลกที่คำพูดไม่กี่ประโยคของพี่คลื่นกลับทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้ พี่คลื่นพูดด้วยน้ำเสียงทั่วไป แต่ผมรู้สึกได้ว่าเสียงนั้นกำลังสร้างความมั่นใจให้ผม

     “เดือนเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นต่างก็ต้องตกหลุมรักทั้งนั้น เพราะงั้นเลิกขมวดคิ้วและยิ้มได้แล้วครับ พี่บอกแล้วไงว่าชอบเห็นเดือนยิ้ม” พี่คลื่นเอานิ้วมาจิ้มหว่างคิ้วผม รอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น

     “...ทุกอย่างจะเรียบร้อยใช่ไหมครับ”

     “ใช่ ทุกอย่างจะเรียบร้อย เราจะจับมือไปด้วยกัน”

     มือหนาประสานเข้ากับมือผม ในอกรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่เป็นดั่งคำสัญญา ผมคลื่ยิ้มกลับไปอย่างที่อีกคนต้องการ พี่คลื่นสตาร์ทรถอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าผมดีขึ้นแล้ว แต่มือที่จับกันไว้ยังไม่ปล่อยออกจากกัน

     ผมไม่รู้หรอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยจริงไหม แต่ผมมีพี่คลื่นคอยอยู่เคียงข้าง และผมมั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยมือผม เพียงเท่านี้ผมก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว



     ผมกำลังมองสิ่งก่อสร้างตรงหน้าอย่างสับสน ความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นทำให้มือที่ถูกพี่คลื่นจับอยู่ชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมลอบกลืนน้ำลาย หันไปถามคนข้างๆ เสียงเบา

     “พี่คลื่นครับ”

     “ว่าไง”

     “คนที่นี่เขาเรียกกันว่าบ้านหรือคฤหาสน์เหรอครับ ผมจะได้เรียกถูกไม่ไปปล่อยโป๊ะต่อหน้าแม่พี่”

     “หืม?” พี่คลื่นทำหน้างง งงแบบที่งงจริงๆ ไม่ได้แกล้ง ก่อนจะตามมาด้วย... “ฮ่าๆๆๆ”

     “ขำอะไรครับ นี่ผมจริงจังนะ” ผมถลึงตาใส่ แต่คนที่เอาแต่ขำยิ่งขำหนักเข้าไปอีก

     “ก็รู้อยู่หรอกว่าเราอ๊อง แต่ไม่นึกว่าจะอ๊องขนาดนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมฝนกับควีนถึงชอบพูดคำนี้บ่อยๆ”

     “พี่คลื่น!” นี่ผมหนีจากเพื่อนแล้วยังต้องมาเจอแฟนอีกเหรอเนี่ย ตกลงชาตินี้ผมจะหนีคำว่าอ๊องไม่พ้นเลยใช่ไหม

     “เรียกว่าบ้านนี่แหละ ไม่ต้องเรียกหรูหราขนาดนั้นหรอก” พี่คลื่นเอื้อมมือมาลูบหัว ทำท่าโอ๋เหมือนกลัวผมงอนที่โดนว่าเป็นเด็กอ๊อง “เข้าไปกันเลยเถอะ แม่พี่รออยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว”

     “เดี๋ยวครับ” ผมดึงแขนคนที่กำลังจะเดินเข้าบ้านไว้

     “เป็นอะไรครับ ยังตื่นเต้นอยู่อีกเหรอ”

     ผมพยักหน้าเบาๆ ถึงพี่คลื่นจะพูดปลอบใจในรถมาเยอะแต่พอถึงเวลาจริงๆ มันก็ยังประหม่าอยู่ดี

     “แม่พี่เป็นคนสบายๆ รับรองไม่อึดอัดแน่นอน”

     “แต่...แต่ผมกลัวว่า...”

     “อ้าว มาถึงแล้วทำไมไม่เข้าบ้านล่ะลูก มัวแต่ยืนคุยกันอยู่ได้”

     เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนทำให้ผมนิ่งงันไปโดยอัตโนมัติ มือจับแขนอีกคนแน่นขึ้น ร่างกายเกร็งขึ้นมาทันที พี่คลื่นหันไปมองต้นเสียงก่อนจะยิ้มกว้างให้คนที่กำลังเดินมาทางนี้

     “ไหนว่าจะรออยู่ในห้องนั่งเล่นไงครับ”

     “ก็พวกลูกไม่ยอมเข้าบ้านกันซะที ชักช้าไม่ทันใจแม่เลยออกมาหาเองเลย” ผู้หญิงตรงหน้าพูดยิ้มๆ สรรพนามที่ใช้แทนตัวเองทำให้ผมรีบยกมือไหว้

     “สะ...สวัสดีครับ”

     “สวัสดีจ้ะ เราคือหนูอิงเดือนใช่ไหม”

     “เอ๋? เอ่อ...ใช่ครับ”

     “ตายจริง ตัวจริงน่ารักยิ่งกว่าที่ตาคลื่นโฆษณาไว้อีก” แม่พี่คลื่นเข้ามาจับหน้าจับแขนผม สายตาที่มองไปทั่วร่างกายดูเหมือนชื่นชมมากกว่าจะพิจารณา ทั้งคำพูดและการกระทำที่เหนือความคาดหมายทำให้ผมที่กำลังประหม่าเปลี่ยนมาประหลาดใจแทน เดี๋ยวก่อนนะครับ ตามที่คิดไว้มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ

     “น้องทรายไม่อยู่เหรอครับ”

     “ออกไปหาเพื่อน แต่เห็นว่าจะรีบกลับมาทักทายแฟนพี่ชาย ตอนนี้คงใกล้ถึงแล้ว” คุณแม่ตอบลูกชายเสร็จก็หันมายิ้มให้ผมที่หน้าเหวอไปแล้วเรียบร้อยเมื่อได้ยินคำว่าแฟนพี่ชาย “ทานอะไรกันมาหรือยัง แม่ให้คนเตรียมอาหารไว้เยอะแยะเลย”

     “ยังครับ ตั้งใจจะพามาทานที่นี่เลย” พี่คลื่นเป็นคนตอบเพราะผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

     “ทำไมดูแลน้องไม่ดีเลยตาคลื่น ป่านนี้คงหิวแย่เลยสิ ไปๆ ไปทานข้าวกันเร็ว แม่ให้คนตั้งโต๊ะรอไว้แล้ว”

     คุณแม่เดินนำเข้าบ้านไปแล้ว แต่ผมยังยืนเอ๋อรับประทานอยู่กับที่ จนกระทั่งข้อมือถูกกระตุกเบาๆ ผมเลยหันไปมองคนข้างๆ

     “เข้าบ้านกันเถอะครับ”

     ผมเดินตามพี่คลื่นไปอย่างงุนงง ในใจเอาแต่คิดว่านี่ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า ภาพที่ผมจินตนาการไว้คือห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุ มีผมนั่งก้มหน้าคอยตอบคำถามผู้ใหญ่ด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ กลับตรงกันข้ามทุกอย่าง นอกจากผมจะไม่โดนซักถามอะไรแล้วแม่พี่คลื่นยังทำท่าเหมือนพอใจผมตั้งแต่แรกพบด้วย ตกลงมันเป็นมายังไงกันแน่ ใครก็ได้ช่วยอธิบายให้ผมที





(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 30 [28/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 28-09-2022 19:50:06
     “อาหารถูกปากไหมหนูเดือน” คุณแม่หันมาถามหลังจากทานข้าวกันมาสักพักแล้ว

     “อร่อยครับ”

     “นี่แม่อุตส่าห์โทรไปถามตาคลื่นเลยนะว่าหนูชอบกินอะไร มาครั้งแรกทั้งทีอยากให้ได้ทานแต่ของอร่อย”

     ผมหันขวับไปมองคนที่นั่งข้างกันทันที กำลังจะอ้าปากถามแต่พี่คลื่นก็ตักแกงจืดกับหมูทอดมาให้เสียก่อน

     “ทานเยอะๆ นะครับ เมื่อกลางวันพี่เห็นเราทานข้าวไปนิดเดียวเอง”

     “อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”

     “เดือนเป็นคนทานข้าวน้อยครับ ผมต้องคอยกำชับอยู่ตลอด”

     “ไม่ได้นะ วัยกำลังกินกำลังโต ยิ่งเรียนอยู่ด้วยต้องทานให้เยอะเข้าไว้จะได้มีสารอาหารไปเลี้ยงสมอง”

     ผมได้แต่ค้อมศีรษะให้แม่พี่คลื่นเป็นเชิงขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ในใจนี่มึนงงกว่าตอนอยู่หน้าบ้านอีก ดูจากที่เรียกผมว่าแฟนพี่ชาย คุณแม่น่าจะรู้แล้วว่าผมกับพี่คลื่นคบกัน ทั้งที่รู้อยู่แล้วแต่กลับไม่ว่าอะไรสักคำแถมยังพูดเหมือนเป็นห่วงผมอีก จะไม่ให้แปลกใจได้ไงล่ะครับ

     “น้องทรายยังไม่มาอีกเหรอครับ”

     “น่าจะใกล้ถึงแล้วนะ คลื่นมีอะไรกับน้องหรือเปล่า”

     “ผมแค่อยากรู้น่ะครับว่าน้องจะมาตอนไหน จะได้ให้เดือนระวังไว้”

     หือ? ระวังอะไร เท่าที่ฟังพี่คลื่นกำลังพูดถึงน้องสาวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมต้องระวังด้วย

     “กับน้องกับนุ่งยังจะหวงได้อีกนะเรา”

     “แฟนผมทั้งคนก็ต้องหวงเป็นธรรมดาสิครับ”

     ผมกำลังจะถามไปตรงๆ ว่าไอ้ที่ให้ระวังน่ะหมายความว่ายังไง แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไปก็มีเสียงเล็กๆ ดังมาจากด้านหลังเสียก่อน

     “พี่~ เดือน~ ค้าาาา!!~”

     ผมจะไม่สะดุ้งเหมือนโดนน้ำร้อนลวกเลยถ้าเสียงนั้นไม่ได้มาพร้อมกับการจุ๊บแก้มแรงๆ ผมหันไปมองคนที่มาใหม่อย่างตกใจ เด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่ารักกำลังยืนยิ้มเผล่มองมาที่ผม

     “ทราย พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามทักทายแฟนพี่แบบนี้” พี่คลื่นพูดเสียงดุปนถอนหายใจ

     “ก็แฟนพี่คลื่นน่ารักขนาดนี้ จะให้ทรายอดใจไม่จุ๊บแก้มไหวยังไงล่ะคะ”

     “ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น เรากับเดือนเพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ทักทายแบบนี้ได้ไง”

     “อีกหน่อยก็ต้องเจอกันบ่อยๆ อยู่ดี ทำตัวสนิทกันเข้าไว้ก็ไม่เสียหายนี่คะ”

     ผมได้แต่มองคนซ้ายที คนขวาทีอย่างงุนงง ฮัลโหล ผมนั่งอยู่ตรงนี้นะ ไม่มีใครคิดจะอธิบายเลยเหรอว่านี่มันอะไรกัน

     “พี่คลื่นโกรธเพราะอิจฉาพี่เดือนใช่ไหมล่ะคะ บอกดีๆ ก็ได้ทรายจุ๊บแก้มให้ได้ทุกคนอยู่แล้ว” น้องทรายพูดจบก็รีบเดินไปจุ๊บแก้มพี่ชายทันที ก่อนจะตามด้วยคุณแม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

     “พี่เขาหวงแฟนเราไม่รู้เหรอ” คุณแม่พูดยิ้มๆ น้องทรายเลยหันมาทำหน้าโอดครวญ

     “กับน้องแท้ๆ ยังหวงได้ลงคอ พี่คลื่นใจร้าย”

     “น้องก็ส่วนน้อง แฟนก็ส่วนแฟน มันเอามาเทียบกันได้ที่ไหน”

     “หูยยย งั้นทรายไม่ยุ่งก็ได้ เชิญพี่คลื่นหวงพี่เดือนไปเลย” น้องทรายแลบลิ้นใส่พี่ชาย นั่งลงข้างแม่ตัวเองแล้วเรียกคนให้มาจัดจานให้

     “เอ่อ...” ผมส่งเสียงนำออกไป ทุกสายตาเลยหันมามอง “คุณแม่กับน้องทรายไม่ว่าอะไรเหรอครับ เรื่อง...เรื่องที่ผมกับพี่คลื่นคบกัน”

     คนถูกถามต่างทำหน้างง จะงงอะไรกันครับ ผมสิที่ควรงง ก่อนมาบ้านพี่คลื่นผมเตรียมซ้อมบทมาอย่างดี กะว่าต้องเจอคำถามโขดหินจากแม่แฟนแน่ๆ แต่พอทุกอย่างราบรื่นแบบนี้ผมเลยอดแปลกใจไม่ได้ เรียกว่าอึ้งเลยมากกว่า

     “พี่คลื่นยังไม่ได้บอกพี่เดือนเหรอคะ” น้องทรายถามคนข้างๆ ผมด้วยใบหน้าที่ยังไม่หายงง

     “ยัง”

     “อ้าว! ตายแล้ว แม่ก็ว่าอยู่ทำไมเอาแต่หน้าซีดไม่พูดไม่จาเลย คงกังวลอยู่ล่ะสิ”

     “พี่คลื่นแกล้งพี่สะใภ้ทรายเหรอ โอ๋ๆ นะคะพี่เดือน ไม่ต้องคิดมากนะคะ เดี๋ยวทรายตีพี่คลื่นให้” น้องทรายลุกจากที่นั่งตัวเอง เดินมากอดแขนแล้วเอาหน้าซบลงมา ท่าทางที่ทุกคนแสดงออกทำให้ผมงงกว่าเดิม

     “พี่คลื่นครับ นี่มันหมายความว่ายังไง” ผมหันไปถามคนข้างๆ อย่างต้องการรู้คำตอบ ในเมื่อแม่กับน้องสาวไม่ยอมอธิบายก็มีแต่ต้องถามเจ้าตัวนี่แหละ

     “ตามที่เราเห็น”

     ไอ้เดือนอยากยกมือมาตบหน้าผากเหลือเกิน แต่กลัวทำแล้วจะดูไม่งาม ก็เพราะเห็นแล้วไม่เข้าใจไงครับถึงได้ถาม พี่จะอมพะนำทำไม พูดมาตรงๆ เลยไม่ได้เหรอ

     “แม่กับทรายรู้มานานแล้วว่าเราสองคนคบกัน รู้ด้วยว่าตอนนี้หนูมาอยู่คอนโดฯ กับตาคลื่น”

     ผมหันไปหาคนอธิบายทันที แม่พี่คลื่นพูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่ผมช็อกตาตั้งไปแล้ว

     ไม่ใช่แค่รู้ธรรมดา แต่รู้มานานแล้วด้วย แถมยังรู้อีกว่าผมย้ายมาอยู่กับพี่คลื่น นี่มันเรื่องอะไรกัน!

     “ทำหน้าแบบนั้นคืองงอยู่ใช่ไหมว่าแม่รู้ได้ยังไง”

     “…ครับ” ผมพยักหน้ายอมรับ

     “ก็พี่คลื่นน่ะสิคะ ชอบมาเพ้อถึงพี่เดือนให้ทรายกับแม่ฟังบ่อยๆ จะจีบให้ติดบ้างล่ะ ถ้าจีบติดแล้วจะพามาเปิดตัวบ้างล่ะ”

     วันนี้ผมคงคอเคล็ดแน่นอน เล่นหันไปหันมาทุกสองนาทีไม่มีพัก ผมรีบหันไปมองพี่คลื่นเมื่อน้องทรายช่วยเฉลยความจริง แต่คนถูกมองกลับเบือนหน้าหนี แก้มขึ้นสีจางๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น

     “พี่คลื่นชอบพูดว่าพี่เดือนน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ ก่อนจะมานี่ยังกำชับอีกว่าห้ามพูดหรือทำอะไรให้พี่เดือนไม่สบายใจ ทรายว่าพ่อคลั่งรักแม่แล้วนะคะ แต่พี่ชายทรายน่าจะคลั่งรักแฟนมากกว่าอีก”

     “ทรายพอแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าเอาเรื่องผู้ใหญ่มาพูด” คนที่โตกว่าหันมาดุแบบไม่จริงจัง ซึ่งน้องทรายก็หาได้กลัวไม่ แลบลิ้นใส่อีกรอบก่อนจะเอาหน้ามาแนบแขนผมเหมือนเดิม

     ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองเหรอ...

     ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา แต่พอนึกได้ว่ายังไม่ได้คำตอบเรื่องสำคัญเลยรีบถามซ้ำทันที

     “แล้วคุณแม่อนุญาตให้ผมคบกับพี่คลื่นไหมครับ”

     “ถามอะไรอย่างนั้น แม่จะไปมีสิทธิ์ตัดสินชีวิตลูกได้ยังไง ตาคลื่นรักใครแม่ก็รักด้วย ไม่เกี่ยงหรอกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ขอแค่คนๆ นั้นเป็นคนดีก็พอ หนูเดือนเป็นคนดีใช่ไหม”

     “เอ่อ...ผม...” คุณแม่ถามมาอย่างนี้ก็ตอบลำบากสิครับ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนเลว แต่จะให้ชมว่าตัวเองเป็นคนดีก็กระดากปากเกินกว่าจะพูดออก

     “เดือนเป็นทั้งคนดีและเด็กดีครับ ผมกล้ายืนยัน” จู่ๆ คนที่เหมือนจะเขินอายก็เกิดมีปากมีเสียงขึ้นมา

     “งั้นก็ดีแล้ว รักลูกแม่ให้มากๆ ล่ะ คลื่นเขารักหนูมากนะ นี่แม่ยังเครียดอยู่เลยว่าถ้าจีบไม่ติดลูกแม่จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า โชคดีที่ได้เชื้อจากพ่อมาเยอะ”

     “แม่ครับ” เจ้าของเรื่องพูดเสียงเข้มเหมือนอยากปรามแม่ตัวเอง ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะยกมือไหว้

     “ขอบคุณนะครับที่อนุญาตให้ผมคบกับพี่คลื่น ผมสัญญาว่าจะตั้งใจรักพี่คลื่นให้ดีที่สุดเท่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะรักได้”

     พี่คลื่นหันมามองก่อนจะยิ้มกว้างราวกับถูกใจคำพูดของผม น้องทรายเดินมาหยุดอยู่ตรงกลาง ดึงมือผมกับพี่คลื่นไปจับกัน

     “ห้ามเลิกกันนะคะ ทรายถูกใจพี่เดือน ไม่อยากมีพี่สะใภ้คนใหม่ จะเอาคนนี้เท่านั้น”

     “ไม่เลิกหรอก ไม่มีวันเลิก ต่อให้เอาอะไรมาบังคับก็ไม่เลิก”

     ทั้งคำพูดทั้งสายตา คิดจะให้ผมละลายตรงนี้เลยเหรอครับ แค่พูดอย่างเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องทำตาหวานขนาดนั้นเลย

     “นี่ถ้าพ่ออยู่ด้วยก็ดีสิ เสียดายที่ไปทำงานต่างประเทศซะก่อน พ่อเขาก็อยากเจอหนูเหมือนกัน”

     “ไว้พ่อกลับมาแล้วผมพาเดือนมาไหว้อีกครั้งก็ได้ครับ”

     “จะจริงเหรอ เราน่ะไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่อง นี่ถ้าแม่ไม่บอกให้พาหนูเดือนมาเยี่ยมก็ไม่คิดจะกลับเลยใช่ไหม”

     “โธ่แม่ครับ ผมเรียนหนักแม่ก็รู้”

     “จริงเหรอคะ ไม่ใช่ว่าอยากอยู่กับพี่เดือนที่คอนโดฯ สองต่อสองเหรอ”

     “ทราย เดี๋ยวเถอะ”

     และแล้วพี่ชายก็โดนน้องสาวแลบลิ้นใส่เป็นรอบที่สามของวัน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนบนโต๊ะได้เป็นอย่างดี ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งอก รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่คนรอบข้างเข้าใจความรักของเรา ความกังวลในใจหายไปหมดสิ้น เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกเลย

     ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นผมกับพี่คลื่นหันมาสบตากัน ผมขยับปากแบบไม่มีเสียงว่าขอบคุณนะครับ พี่คลื่นเองก็ตอบกลับมาด้วยคำเดียวกัน

     ขอบคุณที่เป็นผม ขอบคุณที่พยายามอย่างไม่ย่อท้อจนเข้ามาอยู่ในใจผมได้ในที่สุด



     “เป็นอะไรครับ”

     ผมไม่ตอบ สะบัดหน้าหนีอย่างเดียว พี่คลื่นเลยรวบตัวผมไปนั่งตักแล้วเอาหน้ามาใกล้

     “ทำหน้าอย่างนี้ อย่าบอกนะว่างอนพี่อยู่”

     “รู้ด้วยเหรอครับว่าผมงอน” ผมหันไปถามด้วยเสียงกึ่งงอนกึ่งประชด คนตัวสูงหัวเราะในลำคอ วาดมือมาโอบรอบเอวแล้วกระชับแน่น

     “ไหน เด็กดีของพี่งอนอะไรพูดให้ฟังหน่อย”

     “อย่ามาตีมึนครับ ผมรู้ว่าพี่คลื่นรู้”

     “เรื่องที่พี่พากลับมาคอนโดฯ ไม่ได้ค้างที่บ้านหรือเปล่า”

     ผมส่ายหน้า

     “หรือเรื่องที่ไม่ได้เจอพ่อพี่ แต่พี่บอกแล้วไงว่าพ่อก็เหมือนแม่ พวกท่านไม่มีปัญหาที่เราคบกันเลย”

     ผมส่ายหน้าอีกรอบ

     “หรือจะเป็นเรื่อง...”

     “ทำไมไม่บอกผมแต่แรกครับว่าครอบครัวพี่รู้เรื่องเราอยู่แล้ว แถมยังไฟเขียวด้วย” ตอนแรกผมคิดว่าพี่คลื่นรู้แต่เล่นตัว แต่ไปๆ มาๆ น่าจะไม่รู้จริงๆ ขืนปล่อยให้เดาต่อไปคืนนี้คงไม่ได้นอนกันพอดี ผมเลยพูดออกไปเองดีกว่า

     “เรื่องนี้เองเหรอที่เรางอนอยู่”

     “ทำไมครับ ผมงอนไม่ได้?” ว่าจบก็สะบัดหน้าหนีอีกครั้ง อะไรที่ผู้หญิงทำเวลางอนผมทำหมดตอนนี้ ถึงผมจะดีใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะลืมคิดบัญชีเรื่องนี้นะครับ

     “พี่แค่ไม่อยากให้เรารู้เรื่องน่าอายพวกนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเลย”

     “ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลยครับ”

     “พี่นี่ไงอาย โดนแม่กับน้องสาวแฉต่อหน้าแฟน ใครบ้างจะไม่อาย”

     “พี่กลัวอาย แต่ไม่กลัวผมคิดมากเลยเหรอครับ”

     “ตกลงเราจะงอนด้วยเรื่องนี้จริงๆ เหรอ”

     ผมหน้ามุ่ยกว่าเดิมเมื่อพี่คลื่นพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาไม่รู้เหรอว่าผมวิตกกับเรื่องนี้อยู่หลายวัน เอาแต่เครียดว่าถ้าครอบครัวพี่คลื่นไม่ยอมรับผมจะทำยังไงดี

     “ผมงอนจริง โกรธจริง และพี่คลื่นก็ต้องง้อผมจริงด้วย” ผมยกมือกอดอก แต่แทนที่จะได้ยินคำขอโทษกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ

     “ง้อยังไงดี ง้อด้วยนี่ได้ไหม”

     คนพูดเอื้อมมือไปหยิบบางอย่างมาจากใต้หมอน ตอนแรกผมไม่ได้สนใจ แต่พอเหลือบไปเห็นว่าเป็นอะไรก็อ้าปากค้างทันที ในมือพี่คลื่นมีกล่องกำมะหยี่สีดำขนาดกะทัดรัด หัวใจผมเริ่มเต้นแรง กล่องแบบนี้จะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้ไงล่ะครับ ถ้าไม่ใช่...

     “เอามือมาหน่อยครับ”

     ผมยื่นมือไปให้ราวกับตกอยู่ในภวังค์ ลืมไปสนิทเลยว่ากำลังงอน พี่คลื่นเปิดกล่อง หยิบแหวนในนั้นมาสวมนิ้วนางข้างซ้ายของผม พลิกมือผมไปมาพลางพูดชมตัวเองไปด้วย

     “พอดีเลย ไม่เสียแรงที่แอบกะขนาดตอนเราหลับ”

     “พี่คลื่นครับ นี่มัน...”

     “พี่จองเดือนแล้วนะ” พี่คลื่นจับตัวผมหันหน้าเข้าหาตัวเอง หยิบอีกกล่องที่เหมือนกันแต่ขนาดใหญ่กว่าออกมาจากใต้หมอน “ทีนี้ถึงตาเดือนจองพี่บ้าง”

     ผมรับกล่องนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทา พี่คลื่นยื่นมือมาให้ กว่าผมจะเปิดกล่อง กว่าจะสวมแหวนให้พี่คลื่นได้ใช้เวลาอยู่พอสมควร มันสั่นไปหมดครับ ภายในอกตื้นตันจนพูดไม่ออก

     “อาจจะยังไม่ทางการเท่าไหร่ แต่พี่อยากให้แหวนนี้เป็นเหมือนคำสาบานว่าเราจะมั่นคงต่อกันตลอดไป หลังจากนี้เดือนมีสิทธิ์ในตัวพี่ทุกประการ คิดซะว่าแหวนบนนิ้วคือใบสมรสของเราสองคน ความรักของพี่ทั้งหมดนับแต่นี้ไปเป็นของเดือนคนเดียว ไม่มีอดีต ไม่มีคนอื่น มีแค่เดือนเท่านั้น”

     พี่คลื่นดึงมือผมไปจูบ เพียงเท่านั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมพยักหน้ารับคำพูดของอีกฝ่าย ขยับตัวเข้าหาก่อนจะสวมกอดด้วยความสุขที่กำลังเอ่อล้น

     “นี่หมั้นผมอยู่หรือเปล่าครับ” ผมถามแก้เขิน

     “หมั้นไว้ก่อน เรียนจบแล้วค่อยแต่ง เดือนจะได้หนีพี่ไปไหนไม่ได้”

     “แล้วใครบอกจะหนีล่ะครับ ผมจะเกาะติดพี่ไปทั้งชีวิตเลยคอยดู”

     “ฮ่าๆๆ ให้เกาะด้วยความยินดีเลยครับ”

     พี่คลื่นประสานมือเข้ากับมือผม แหวนที่เราสวมอยู่สัมผัสกันเล็กน้อย ราวกับเป็นเครื่องหมายว่าเจ้าของมันจะอยู่เคียงข้างกันไปตลอด

     “พี่รักเดือนนะครับ” ประโยคที่ได้ยินอยู่ทุกวันแต่ไม่รู้สึกเบื่อเลยถูกเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง ผมยิ้มกว้าง ยกมือมาปาดน้ำตา ก่อนจะตอบกลับไปด้วยถ้อยคำเดียวกัน

     “ผมก็รักพี่คลื่น รักมากๆ รักที่สุด รักมากที่สุดเลยครับ”

     “รักขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมพยักหน้ารัวๆ “อืม...จะเชื่อดีไหมนะ”

     “พี่คลื่นนน” ผมลากเสียงยาว โรแมนติกอยู่ดีๆ ทำไมวกกลับมาแกล้งผมได้ล่ะเนี่ย

     “พิสูจน์สิครับว่าเดือนพูดความจริง”

     แววตาที่เป็นประกายทำให้ผมรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายอยากให้พิสูจน์ด้วยวิธีไหน ผมอมยิ้ม นิดๆ หน่อยๆ ยังจะเอาอีกนะ แฟนผมนี่เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกินจริงๆ

     ผมเคลื่อนตัวไปใกล้อีกนิด ประคองใบหน้าคมคายไว้ด้วยสองมือ บดเบียดริมฝีปากลงไป ใช้การกระทำของร่างกายเพื่อบอกให้พี่คลื่นรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน

     ผมจูบขึ้นไปบนหน้าผาก แล้วไล่ลงมายังเปลือกตา แก้ม สันจมูก ก่อนจะหยุดอยู่ที่ริมฝีปากอีกครั้ง ผมออกแรงบดเคล้าลงไป ไม่นานคนที่ร้องขอให้พิสูจน์ก็ตอบสนองกลับมา พี่คลื่นจูบผมอย่างดูดดื่มจนสติแทบแตกกระเจิง ฝ่ามือหนาสำรวจไปทั่วร่างกาย เพียงเสี้ยวพริบตาเราสองคนก็เปลือยเปล่าไปทั้งตัว

     ผมเหลือบมองสิ่งที่อยู่บนนิ้วอีกครั้ง ภายในแหวนวงเล็กๆ เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่พี่คลื่นมีให้ แต่ที่เหนือกว่านั้นมันคือสิ่งยืนยันว่าต่อจากนี้ไป ทุกช่วงเวลาทุกข์สุขของผมจะมีพี่คลื่นคอยอยู่เคียงข้างเสมอ

     ผมหลับตาลง ปล่อยให้พี่คลื่นเป็นคนนำทาง ถึงแม้ระหว่างเราจะไม่มีใครพูดอะไร แต่ผมรับรู้ได้ว่าภายในใจเราต่างกำลังบอกรักกันอยู่

     รักนะครับ...คนดีของผม





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 30 [28/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 29-09-2022 03:28:28
 :impress2: ฟินเวอร์
หัวข้อ: Re: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- ตอนที่ 30 [28/Sep/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-10-2022 15:40:41
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- Special Part 1 [05/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 05-10-2022 20:25:35
Special Part 1 : ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด





     -บาส-


     ผมไม่ชอบผู้หญิงอเลิร์ท

     ผมคิดมาตลอดว่าผู้หญิงประเภทนี้น่ารำคาญ อาจเป็นเพราะรอบตัวผมรายล้อมไปด้วยคนพวกนี้ ผมเลยค่อยๆ ชินชา เบื่อหน่าย จนไม่รู้สึกอะไรในที่สุด

     ผมไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่มันคือความจริงที่หน้าตาผมเป็นตัวดึงดูดผู้หญิงทั้งหลายให้เข้ามาหา และมันก็จะมีคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีนี้บ่อยๆ แต่ช่างไม่รู้เลยว่ายิ่งเรียกร้องเท่าไหร่ผมยิ่งหมดความสนใจมากเท่านั้น

     จะเรียกว่าโรคจิตก็ได้ แต่ผมกลับคิดว่าผู้หญิงที่ไม่สนใจผมนั้นน่าสนใจกว่าเยอะ ผมเป็นคนชอบความท้าทายมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งใครชอบเมินผม ผมยิ่งอยากเอาชนะให้ได้ อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันไม่สนุกหรอกครับ

     “กินป่ะ?”

     ไอ้แชมป์ เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมยื่นถุงขนมมาให้ ผมรับมาพลางล้วงมือเข้าไปข้างใน แต่พอควานได้แต่อากาศเลยเปิดถุงดู ชัดเลยครับ มีแต่ถุงเปล่าๆ แม้แต่เศษผงขนมก็ไม่เหลือ

     “เอาไปทิ้งให้ด้วย” คำพูดของคนข้างๆ ทำให้ผมเหลือบไปมองอย่างเอือมระอา โตเป็นควายซะเปล่า เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้

     “ลากกูมาลำบากแล้วยังใช้งานอีก ไม่สำนึกเลยนะมึง” ผมยัดถุงขนมกลับไปในมือมันเหมือนเดิม แถมลูกเขกให้ด้วยหนึ่งทีแรงๆ ไอ้แชมป์ทำท่าทางสำออยจนผมหมั่นไส้อยากเปลี่ยนจากเขกหัวเป็นถีบมันลงจากรถ

     “กูหวังดีหรอกถึงพามึงมาค่ายด้วย ขืนปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวมีหวังโดนสาวๆ ลากไปแดกเรียบ”

     “กูเป็นคนไม่ใช่อาหาร”

     “ก็เพราะเป็นคนไงสาวๆ ถึงได้อยากแดก ยิ่งคนหล่อๆ แบบมึงด้วย”

     “ไม่ต้องมาชม เพราะมึงคนเดียวกูถึงต้องแหกขี้ตาตื่นมามหา’ลัยแต่เช้า”

     “แล้วใจคอมึงคิดจะนอนให้แดดเลียตูดเลยหรือไง”

     ผมหันหน้าหนีเพื่อนสนิทเมื่อรู้สึกว่ายิ่งเถียงยิ่งเข้าตัวเอง ด้วยความที่คบกันมานาน ไอ้แชมป์จึงรู้ดีว่าผมเป็นคนขี้เกียจชนิดที่สลอธยังต้องยกมือไหว้ ผมเคยถูกทาบทามให้ไปเป็นเดือนคณะ ด้วยหน้าตาและความสามารถในการเล่นกีฬาของผม ทุกคนจึงลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด แต่ทุกคนก็ต้องหงายเงิบเช่นกันเมื่อผมปฏิเสธกลับไปทันควันพร้อมให้เหตุผลว่า...

     ขี้เกียจทำกิจกรรมเดือนคณะ มันเปลืองเวลาพักผ่อนอันมีค่าของผม

     ถึงผมจะขี้เกียจแต่ตัวไม่เป็นขนนะครับ ถ้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบจริงๆ ผมจะตั้งใจทำอย่างเต็มที่จนกว่างานจะเสร็จ ผมถือคติงานเสร็จเร็วก็ได้นอนเร็ว และถ้าจะให้นอนแบบเต็มอิ่มต้องไม่มีการกลับไปแก้งานซ้ำสอง

     ...แต่ค่ายอาสาที่กำลังจะไปกันนี้ผมไม่ได้มองว่ามันคือหน้าที่เลยสักนิด พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือผมไม่ได้เต็มใจที่จะไป แต่ไอ้เพื่อนเวรที่นั่งข้างๆ นี่สิดันเอาชื่อผมไปสมัครหน้าตาเฉย ตอนมันเดินมาบอกผมไม่เตะก้านคอให้ก็บุญแล้ว

     “พี่ไม่เคยได้ยินสำนวน ‘ใครมาก่อนก็ได้ก่อน’ เหรอคะ เพื่อนหนูมันมานั่งก่อนพี่ แล้วเรื่องอะไรต้องยอมลุกให้พี่ด้วย”

     จู่ๆ ผู้หญิงที่นั่งข้างหน้าผมก็ยืนขึ้นแล้วแผดเสียงไปทั่ว จากที่นั่งหลับตาหัวพิงหน้าต่างอยู่ผมเลยต้องหันไปมอง

     “แค่ลุกให้มันยากมากเหรอน้อง”

     “แล้วแค่ไปหาที่นั่งใหม่มันยากมากเหรอคะพี่”

     “เขามีเรื่องกันเหรอวะ” ไอ้แชมป์ยื่นหน้ามากระซิบ

     “เปล่า เขากำลังบอกรักกัน” ผมตอบกลับไปอย่างเพื่อนที่นิสัยดี

     “บอกรักเหี้ยอะไร มึงไม่เห็นเหรอว่าเขาแทบจะแดกหัวกันอยู่แล้ว”

     “มึงรู้อยู่แล้วจะมาถามกูทำไม กูก็นั่งอยู่กับมึงตรงนี้”

     ไอ้แชมป์ทำหน้าขัดใจก่อนจะหันไปสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ ส่วนผมก็เอนหัวพิงหน้าต่างเหมือนเดิม ตาหลับก็จริงแต่หูยังฟังบทสนทนาอันแสนดุเดือดไปด้วย ไม่ได้สนใจเรื่องชาวบ้านนะครับ แต่นั่งใกล้ขนาดนี้ถึงปิดหูก็ยังได้ยินอยู่ดี

     คนกลุ่มนั้นยังทะเลาะกันต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่ผมพอจับใจความได้เหมือนรุ่นพี่ที่มาหาเรื่องต้องการแย่งที่นั่งของพี่เดือน (อย่าแปลกใจว่าผมรู้จักพี่เดือนได้ยังไง เกมวิดีโอคอลของพี่คลื่นที่เป็นอดีตเดือนมหา’ลัยคณะผมดังไปทั่ว ขนาดผมที่ไม่ค่อยติดตามข่าวยังรู้ไปด้วยเลย) โชคดีที่พี่คลื่นเข้ามาห้ามไว้เสียก่อน สงครามจึงได้ยุติลงโดยไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น

     “ทำไมไม่ตบกันวะ” เสียงบ่นของคนข้างๆ ทำให้ผมหันไปขมวดคิ้ว

     “โรคจิตเหรอมึง ถึงได้อยากดูคนตบกัน”

     “เปล่า กูอยากทำตัวเป็นฮีโร่เข้าไปห้ามพวกสาวๆ”

     “หึ หน้าอย่างมึงมีแต่จะเข้าไปให้เขาประทับรอยตบล่ะสิไม่ว่า”

     ไอ้แชมป์ทำหน้าย่น ปากยื่นจนน่าถีบมากกว่าน่าเอ็นดู “ใครจะไปเลิศเลอเหมือนมึงล่ะคร้าบบบ แค่เปล่งเสียงนิดหน่อยสาวๆ ก็หันมาตั้งใจฟังกันเป็นแถว”

     ผมส่ายหน้าให้คำพูดที่เกินจริงก่อนจะหันมานอนเอาแรงอีกรอบ ไม่ลืมกำชับไอ้แชมป์ด้วยว่าถ้าใกล้ถึงเมื่อไหร่ให้รีบปลุก

     ผู้หญิงที่หลงเสน่ห์ผมง่ายขนาดนั้นมันจะไปมีความหมายอะไร ที่ผมต้องการคือผู้หญิงที่ทำให้ผมสนุกได้ตลอดเวลาต่างหาก



     “ทำดีมากค่ะ เอาอีก ซูมให้ชัดๆ อย่าให้เป้าหมายรู้ตัวนะมึง”

     “ฝีมือระดับนี้แล้ว ไม่มีทางพลาดค่ะบอกเลย”

     เสียงซุบซิบที่ดังอยู่ด้านหน้าทำให้ผมที่กำลังหลับสบายต้องลืมตา ผู้หญิงที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้ชายที่ท่าทางเหมือนผู้หญิงกำลังหันโทรศัพท์ไปทางพี่คลื่น น่าจะกำลังแอบถ่ายรูปล่ะมั้ง ผมหลับตาลงเมื่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ แต่ไม่ทันไรเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     “กูว่าพอเถอะ มองไอ้เดือนซบไหล่พี่คลื่นนานๆ แล้วอิจฉาว่ะ”

     “จริง มาดูรูปผู้ชายกับกูดีกว่า วันก่อนกูไปส่องพี่ต่อคณะนิติฯ ถ่ายแบบงานมหา’ลัยมา มีซีนถอดเสื้อด้วยนะมึง”

     “กรี๊ดดดด ไหนคะ มึงนี่นะ ไปส่องที่รักกูไม่ชวนกันบ้างเลย”

     ผู้หญิงหนอผู้หญิง พอเจอผู้ชายหุ่นดีเข้าหน่อยก็เนื้อเต้นเป็นเจ้าเข้า ผมได้แต่แอบคิดคนเดียวในใจ อย่าหาว่าผมไม่มีมารยาทแอบฟังคนอื่นนะครับ เจ้าตัวเล่นเมาท์เผาขนขนาดนี้ เสียงก็ไม่ใช่เบาๆ ใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท

     “หูย พอเห็นหุ่นชัดๆ แบบนี้แล้วกูยิ่งอยากเป็นเมียเขากว่าเดิมอีก”

     “ตั้งสติค่ะคุณเพื่อน เบ้าหน้าเขากับเราห่างกันมาก ถ้ามึงอยากใกล้ชิดเขาจริงๆ นู่น ไปสมัครเป็นคนรับใช้บ้านเขาสิคะ”

     “เอ๊ะอีควีน ไม่ขัดกูสักเรื่องจะตายไหม ให้กูได้มโนถึงโลกแห่งจินตนาการอันสวยงามบ้าง”

     “หยุดฝันกลางวันแล้วกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้แล้วค่ะ มึงลืมไปแล้วเหรอว่าหน้าที่เราตอนนี้คือหาผัวให้เพื่อน ไม่ใช่อยากมีผัวเป็นของตัวเอง”

     “ทำไมผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวจังวะ” ไอ้แชมป์คงได้ยินบทสนทนาของคนข้างหน้าเหมือนกัน มันถึงได้หันมาทำหน้าแหยๆ ใส่ผม

     “คงเพราะผู้ชายดีๆ อย่างกูดันเรื่องมาก ผู้หญิงเลยต้องเปลี่ยนมารุกแทน” ผมตอบอย่างไม่จริงจังเพราะอยากกวนประสาท

     “เออ พ่อคนหน้าตาดี พ่อคนเพอร์เฟกต์ เดี๋ยวกูก็จับมึงใส่พานไปให้พี่เขาทำผัวซะเลย ดูซิยังจะเรื่องมากอีกไหม”

     “ระดับกูหาดีกว่านี้ได้ถมเถ”

     “กูไม่เถียงว่ามึงหาได้ แต่มึงแม่งไม่ยอมหาสักที คิดจะโสดให้ผู้หญิงเสียดายเล่นไปจนตายเลยหรือไง”

     “ยุ่งไม่เข้าเรื่องนะมึงอ่ะ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ไหนใครนะที่โดนพี่จิ๊บบอกเลิกจนต้องมาชวนกูแดกเหล้าย้อมใจตอนตีสองเมื่อวันก่อน”

     “มึงจะขุดเรื่องนี้มาทำไม กูอุตส่าห์ทำใจได้แล้วเชียว”

     ผมยักคิ้วกวนตีนให้มัน ก่อนจะหันมามองวิวนอกหน้าต่างโดยไม่คิดจะหลับอีก มีทั้งเสียงพูดและเสียงขำลอยมาให้ได้ยินขนาดนี้ ใครหลับลงก็เก่งแล้วครับ ผมชำเลืองมองผู้หญิงข้างหน้าอีกรอบ ถึงจะไม่สนใจยังไงแต่ก็อดคิดไม่ได้

     เบ้าหน้าก็ไม่ได้แย่อะไร ออกจะน่ารักสมวัยด้วยซ้ำ เสียดายเป็นคนประเภทที่ผมไม่ชอบ ผมเลยไม่คิดจะให้ไอ้แชมป์ใส่พานเอาไปให้ง่ายๆ



     เหมือนพระเจ้าต้องการลงโทษที่ผมแอบนินทาบนรถบัส เลยส่งผมมาทำงานกลุ่มเดียวกับพี่ผู้หญิงที่ทำให้ผมนอนไม่หลับมาตลอดทาง แต่ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีที่อย่างน้อยพวกพี่เขาก็ตั้งใจทำงาน ถึงจะมีนอกลู่นอกทางบ้างแต่งานก็ดำเนินไปเร็วกว่าที่คิด

     “มึงว่าจะไปได้สวยไหมวะ” พี่ฝนที่เพิ่งไล่เพื่อนตัวเองไปหาพี่คลื่นหันมาถามพี่ควีน ผมได้ยินเพราะยืนทาสีผนังอยู่ไม่ไกล

     “มีความเป็นไปได้สูง อาการแบบนี้กูว่ามันตกหลุมรักพี่คลื่นแล้ว แค่ยังไม่รู้ใจตัวเอง”

     “โถ ทำไมเพื่อนกูช่างไร้เดียงสาอย่างนี้”

     “พวกเราถึงต้องคอยช่วยมันไง ขืนปล่อยให้มันจัดการเองมีหวังพี่คลื่นโดนอีพี่น้ำหวานคาบไปซะก่อน”

     “ควีน พี่คลื่นไม่ใช่กระดูกนะ ดูพูดเข้า”

     “กูพูดเอาอรรถรสเฉยๆ ค่ะ งานดีเกรดพรีเมียมขนาดนั้นใครจะกล้าเอาไปเปรียบกับกระดูกหมา”

     “พวกพี่ไม่ทาสีกันต่อเหรอครับ ยังเหลือโต๊ะกับเก้าอี้ตรงมุมห้องอีกนะ” ผมเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าพี่ๆ ชักจะคุยติดลมกันเกินไปแล้ว

     “ขอพักนิดหน่อยไม่ได้หรือไง ใครจะไปแรงเยอะเหมือนน้องล่ะคะ ยืนทาสีมาตั้งนานยังไม่เมื่อยเลย” พี่ฝนหันมายิ้มให้ผม แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันดูกวนๆ ยังไงไม่รู้

     “ใครบอกไม่เมื่อย ผมแค่อยากให้งานเสร็จเร็วๆ จะได้รีบไปอาบน้ำ”

     “ว้าย น้องบาสเมื่อยเหรอคะ เมื่อยตรงไหนขาหรือแขนเอ่ย เดี๋ยวพี่นวดให้ฟรีไม่คิดเงิน” พี่ควีนทำท่าจะเดินมาหาผม แต่ก็ถูกดึงหูไว้โดยผู้หญิงคนเดียวในห้อง

     “หน้าที่มึงอยู่มุมห้องค่ะ โน่น ไปทาสีโต๊ะเลย ชอบสีชมพูนักไม่ใช่หรือไง”

     “ยังไม่หยุดกัดกูอีกนะ น้องบาสอนุญาตให้ทาเก้าอี้สีฟ้าหน่อยเดียวทำมาเบ่งกูใหญ่”

     “ใครสนเรื่องนั้นไม่ทราบ ต่อให้น้องเขาบอกให้ทาสีชมพูกูก็จะทาสีฟ้าอยู่ดี ไม่ใช่พ่อซะหน่อยทำไมต้องฟัง”

     “เอาไงดีมึง สถาปนาตัวเองเป็นพ่อเลยดีไหมพี่เขาจะได้เชื่อฟัง” ไอ้แชมป์เดินมาประชิดก่อนจะกระซิบเสียงเบา ผมยกขาถีบมันให้กลับไปทำงานตัวเองเหมือนเดิม เห็นช่องว่างไม่ได้เลยนะมึง แซวกูตลอด

     ผมเหลือบไปมองคนที่กำลังทาสีเก้าอี้ด้วยใบหน้าอารมณ์ดีอีกครั้ง พอเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้

     ผมไม่ได้บังคับเสียหน่อย เรียกว่าช่วยออกความเห็นจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันดีกว่า ส่วนเหตุผลที่บอกให้ทาเก้าอี้สีฟ้าตามความต้องการของพี่ฝนก็ไม่มีอะไรมาก แค่บังเอิญผมชอบสีฟ้าเหมือนกันเฉยๆ เท่านั้นเอง



     “อิ่มโคตรๆ เลยว่ะ” ไอ้แชมป์ที่เดินข้างกันเปรยขึ้นมาเบาๆ มันพูดจบก็เรอต่อ น่าเกลียดจริงๆ ไอ้เพื่อนคนนี้

     “กินเข้าไปตั้งสามจาน ถ้าไม่อิ่มก็ไม่ใช่คนแล้ว”

     “วันนี้ใช้แรงไปตั้งเยอะ มันก็ต้องเติมพลังกันหน่อยดิวะ”

     “มึงเติมเยอะเกินไปไหม เล่นมูมมามซะจนโต๊ะข้างๆ หันมามองเลย”

     “ก็ใครใช้ให้อาหารถูกปากล่ะ ไม่นึกเลยว่าจะได้กินของอร่อยๆ ในที่แบบนี้”

     ผมส่ายหน้าให้เพื่อนสนิทที่ตอนนี้ท้องนำหน้าไปแล้วเรียบร้อย ปกติไอ้แชมป์กินจุอยู่แล้ว ยิ่งอาหารเย็นวันนี้มีแต่ของอร่อย เพื่อนผมเลยซัดเรียบจนแม่ครัวแทบไม่ต้องล้างจานกันเลยทีเดียว

     เราสองคนกำลังเดินกลับห้องพัก ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มโพล้เพล้แล้ว เพราะเป็นฤดูหนาวแถมยังอยู่ในชนบท อากาศเลยหนาวเร็วจนผู้ชายร่างกำยำอย่างผมยังอดสั่นไม่ได้

     “มึง นั่นพวกพี่เดือนนี่หว่า” ไอ้แชมป์ชี้ไปยังกลุ่มรุ่นพี่ที่เดินอยู่ข้างหน้า มันกำลังจะเข้าไปทักแต่ผมดึงคอเสื้อไว้ “มาห้ามทำไม กูจะไป...”

     ผมยกนิ้วแตะริมฝีปากเพื่อบอกให้มันหยุดส่งเสียง ไอ้แชมป์ทำหน้างง ผมค่อยๆ พามันเดินเข้าไปหากลุ่มรุ่นพี่โดยไม่ให้รู้ตัว ผมไม่ได้เดินใกล้จนประชิด แค่พอให้ได้ยินบทสนทนาที่พวกเขาคุยกัน

     “ผู้ชายอะไรวะ ขี้บ่น จู้จี้จุกจิก แถมยังชอบออกคำสั่งอีก กูเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังไม่ขนาดนี้เลย” ผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มหันไปบ่นกับเพื่อนตัวเอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงอัดอั้นมานาน

     “เกินไปไหม น้องเขาอาจจะอยากให้งานออกมาดูดีเลยจริงจังก็ได้”

     “มึงไม่รู้อะไร ตอนมึงไปหาพี่คลื่นกูกับอีควีนโดนขัดไปซะทุกอย่าง ทาสีไม่เรียบร้อยบ้าง จับแปรงไม่ถูกบ้าง ทำสีหกเลอะเทอะเหมือนเด็กๆ บ้าง จนกูอยากถามกลับไปเหลือเกินว่าถ้าจะเรื่องมากขนาดนี้มาเป็นพ่อกูเลยไหม”

     “ฝนกับควีนทำงานไม่เรียบร้อยจริงๆ น้องบาสจะดุก็ไม่แปลก” พี่ข้าวหอมเอ่ยขึ้นมา ไอ้แชมป์หันมาทำตาโตเมื่อรู้ว่าคนที่พวกเขากำลังพูดถึงคือผม

     “กูก็ไม่ได้ชุ่ยถึงขนาดต้องเดินมาคุมทุกห้านาทีไหม”

     “แล้วไม่ดีเหรอวะ มีคนหล่อคอยดูแล มึงน่าจะชอบมากกว่านะ”

     “ไอ้เดือน น้องมันหล่อจริงกูยอมรับ แต่ที่ทำอยู่เนี่ยไม่ใช่ดูแล เขาเรียกว่าเจ้ากี้เจ้าการ”

     “มึงก็ทำตัวดีๆ สิจะได้ไม่โดนน้องบาสบ่น”

     “โอ๊ย ต่อให้กูนั่งพับเพียบทำงานก็คงหาเรื่องมาบ่นกูจนได้น่ะแหละ ไม่รู้กูไปทำอะไรให้ถึงเอาแต่ชวนทะเลาะตลอดเวลา”

     “ฝนอย่าพูดอย่างนี้ น้องเขาอาจจะหวังดีเฉยๆ ก็ได้ ดูควีนสิ โดนเหมือนกันแต่ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย”

     “กูจะเดือดร้อนทำไม น้องบาสออกจะหล่อ ต่อให้บ่นแค่ไหนกูก็โกรธไม่ลงหรอก” คำพูดของพี่ควีนทำให้ผมหลุดขำเบาๆ แต่ก็ต้องหุบยิ้มอีกครั้งเมื่อพี่ฝนแย้งขึ้นมา

     “หล่อแต่นิสัยติดลบก็ไม่ไหวนะคะ ดีนะที่กูไหวตัวทัน มารยากูต้องเก็บไว้ใช้กับคนที่คู่ควรเท่านั้น”

     “มารยาอะไร” พี่เดือนทำหน้างง ก่อนจะเบิกตากว้างในเวลาต่อมา “อย่าบอกนะว่าที่มึงพูดว่าจะอ่อยน้องบาส...”

     “เออ ตอนแรกกูกะจะอ่อยจริงๆ น้องมันหล่อดี แต่พอเห็นนิสัยวันนี้แล้วกูขอบายดีกว่า”

     “โอ้โห แม่คนสวยเลือกได้ พูดเหมือนถ้ามึงอ่อยจริงๆ น้องบาสจะเอามึงอย่างนั้นแหละ”

     “จะมาแขวะกูทำไม มึงน่าจะดีใจนะที่ไม่มีคู่แข่ง ถ้ามึงชอบน้องมันนักกูยกให้เลย ใช่ว่าคนหล่อในค่ายจะมีคนเดียวซะเมื่อไหร่”

     “คนหล่อในค่ายอาจจะมีเยอะ แต่คนหล่อที่เอาใจใส่เก่งอย่างผมหาไม่ได้ง่ายๆ นะครับ”

     !!!!!!

     ถ้าให้อธิบายสีหน้าของพี่ๆ แต่ละคนตอนนี้ก็คงเป็นเหมือนเครื่องหมายตกใจนี่แหละครับ สี่คนข้างหน้าหันมามองผมพร้อมกัน แต่ผมเลือกส่งยิ้มไปให้คนเดียว พวกเราทั้งหมดหยุดเดินอยู่กับที่ ไอ้แชมป์เองก็ตกใจเหมือนกันที่จู่ๆ ผมก็โพล่งออกไปอย่างนั้น

     “นะ...น้องบาส มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” พี่เดือนได้สติเป็นคนแรก ในขณะคนที่ผมยิ้มให้ทำหน้าเหมือนวิญญาณลอยออกจากร่างไปแล้วเรียบร้อย

     “ไม่นานเท่าไหร่ครับ แต่ก็นานพอจนผมได้รู้ว่าตัวเองขี้บ่น จู้จี้จุกจิก แถมยังชอบออกคำสั่ง ใช่ไหมครับพี่ฝน” ผมพูดจบก็กระตุกยิ้ม ต่างกับคนโดนถามที่หน้าซีดกว่าเดิม

     “ถ้ามาตั้งแต่ตอนนั้น แถวบ้านพี่เรียกมานานแล้วค่ะ” พี่ควีนพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะโดนพี่ข้าวหอมหันไปทำตาดุใส่

     “เอ่อ...พี่ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะครับที่พูดไปแบบนั้น พี่รู้ว่าบาสหวังดี ไม่ได้มีเจตนาจะหาเรื่องเลย”

     “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมเองก็ผิดเหมือนกันที่เป็นแค่รุ่นน้องแต่ดันทำตัวเหมือนเป็นเจ้านายรุ่นพี่”

     “ไม่ครับ น้องบาสทำถูกแล้ว เพื่อนพี่มันทำงานไม่เรียบร้อยก็ต้องโดนว่าเป็นธรรมดา” พี่เดือนหันไปหาคนที่พยายามจะหลบหน้าผมอย่างเดียว “ยืนเงียบทำไมล่ะ รีบขอโทษน้องเขาสิ”

     “มึงพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “แล้วมึงไม่คิดจะขอโทษด้วยตัวเองเลยหรือไง”

     “ก็กู...”

     “สงสัยพี่ฝนคงเขินน่ะครับ ขนาดจะอ่อยผมยังไม่กล้าเลย” ผมพูดยิ้มๆ ยักคิ้วหลิ่วตาประกอบ แต่พี่ๆ กลับทำหน้าตกใจกันเป็นแถวอีกครั้ง

     “นี่นาย...ได้ยินหมดเลยเหรอ” พี่ฝนเอ่ยปากพูดกับผมครั้งแรก ใบหน้าแดงๆ ของอีกฝ่ายกลับทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งแทนที่จะโกรธเพราะโดนต่อว่า

     “ผมไม่ได้หูหนวกนะ แล้วเสียงพี่ก็ใช่ว่าจะเบาซะที่ไหน พูดทีนึงได้ยินไปครึ่งโรงเรียนแล้วมั้ง”

     พี่ฝนทำหน้าแปลกๆ เหมือนจะโกรธก็ไม่ใช่จะอายก็ไม่เชิง ผมก็พูดยั่วโมโหไปอย่างนั้นแหละ ที่จริงเจ้าตัวไม่ได้พูดเสียงดังหรอก แต่เพราะผมคอยเงี่ยหูฟังเลยได้ยินทุกคำ

     “น้องบาสอย่าไปสนใจเลยค่ะ อีนี่มันปากดีไปเรื่อย คนอย่างมันเคยอ่อยใครจริงจังซะที่ไหน”

     “อ้าวเหรอครับ ผมก็นึกว่าจะโดนคนสวยๆ อย่างพี่ฝนอ่อยซะอีก อุตส่าห์ดีใจจนเนื้อเต้นเลยนะเนี่ย”

     ดูท่าพวกพี่ๆ คงขี้ตื่นตูมกันไม่น้อยเลยนะครับ ผมพูดอะไรไปขยันตกใจได้ทุกที ยิ่งคนที่บอกว่าจะอ่อยผมแต่กลับโดนผมจับได้ซะก่อนนี่สะดุ้งเป็นเจ้าเข้าเลย

     “ไอ้บาส มึงเล่นอะไรอยู่วะ พวกพี่เขางงกันหมดแล้วนะเว้ย ถ้ามึงไม่พอใจก็พูดไปตรงๆ ไม่ใช่เอาแต่เล่นลิ้นอย่างนี้”

     “หน้ากูเหมือนคนไม่พอใจเหรอ”

     “มึงจะบอกว่าอยากโดนพี่ฝนอ่อยจริงๆ?”

     “ของอย่างนี้ต้องดูกันไปเรื่อยๆ ให้ตัดสินใจทันทีมันไม่ได้หรอก” ผมตอบเพื่อนเสร็จก็หันไปยิ้มให้ผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้ง พยายามกลั้นขำไว้เมื่อเห็นใบหน้าตกตะลึง “ผมจะรอนะครับ รีบมาอ่อยเร็วๆ ล่ะ ขืนชักช้าเดี๋ยวคิวเต็มไม่รู้ด้วยนะ ยิ่งมีคนอยากทอดสะพานให้ผมเยอะด้วย”

     ผมส่งยิ้มชวนใจละลายไปให้อีกครั้ง ก่อนจะลากไอ้แชมป์ออกมาโดยปล่อยให้รุ่นพี่ทั้งสี่คนยืนตาค้างกันต่อไป จากที่ตอนแรกหงุดหงิดเพราะคิดถึงเตียงนอนที่หอ ตอนนี้ผมกลับอยากให้พี่เมศเลื่อนเวลากลับไปเป็นสัปดาห์หน้าซะอย่างนั้น

     “มึงทำอะไรอยู่รู้ตัวไหม”

     “รู้สิ”

     “รู้ห่าอะไร กูเชียร์ให้หาแฟนมาเป็นชาติไม่เคยสนใจ แต่จู่ๆ กลับไปท้าผู้หญิงให้มาอ่อยตัวเอง มึงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

     “มึงจะโวยวายทำไม กูก็กำลังหาแฟนตามที่มึงต้องการอยู่นี่ไง”

     “กับคนนี้มึงจริงจัง? กูว่าไม่ใช่ เพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่ แถมบนรถมึงยังทำหน้าเอือมใส่เขาอยู่เลย”

     “ก็นั่นมันบนรถ นี่มันตอนนี้” ผมพูดยิ้มๆ ไอ้แชมป์เหมือนเหนื่อยจะคุยกับผมมันเลยหันหน้าหนี ใบหน้าผมยังเปื้อนยิ้ม รู้สึกอารมณ์ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ค่ายอาสาที่คิดว่าน่าเบื่อกลับไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

     ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะมีเรื่องสนุกๆ แบบนี้ ผมไม่เสียเวลาบ่นไอ้แชมป์อยู่ตั้งนานหรอก



     สองวันที่ผ่านมาผมกับไอ้แชมป์ถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกพี่เดือนตลอด ผมเลยมีโอกาสแกล้งคนได้บ่อยเท่าที่ต้องการ พอได้มาทำงานด้วยกันแล้วผมเลยสังเกตว่าพี่ฝนมักจะต่อปากต่อคำเก่งกับทุกคน แต่คนเดียวที่เขาไม่เคยชนะเลยคือผม ก็แน่ล่ะครับ ผมเล่นเอาเรื่องอ่อยมาพูดทุกครั้งที่ปะทะฝีปากกัน พี่ฝนจะเถียงไม่ออกก็ไม่แปลก

     เพิ่งรู้ว่าการแกล้งคนมันสนุกขนาดไหนก็วันนี้เอง

     “ส่งมาเร็วๆ ดิพี่ ผมร้อนนะ” ผมเอ่ยเร่งคนที่อยู่ใต้บันได พี่ฝนทำหน้าบึ้งแต่ก็ยื่นผ้าเย็นขึ้นมาให้

     “เป็นผู้ชายซะเปล่า เจอแดดแค่นี้ก็บ่นแล้ว”

     “พี่ลองมายืนดูไหม จะได้รู้ว่าการติดหลอดไฟบนหลังคาท่ามกลางแดดตอนเที่ยงมันเป็นยังไง” ผมพูดไปใช้ผ้าเช็ดตามลำคอไป ร้อนจริงๆ ครับวันนี้ ร้อนจนผมอดงงไม่ได้ว่าทำไมอากาศถึงแปรปรวนได้ขนาดนี้ เมื่อวานหนาวจนตัวสั่น แต่วันนี้กลับร้อนจนอยากแก้ผ้าโดดลงคลอง

     วันนี้ผมกับไอ้แชมป์มาติดหลอดไฟในโรงปลูกผัก ส่วนพี่คลื่นกับพี่องศาแยกไปทำที่โรงอาหาร โชคดีที่พวกผมเคยผ่านงานช่างมาบ้างเลยพอจะทำเป็นอยู่ แต่อากาศและสถานที่กลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย หลังคาของโรงปลูกผักเป็นแบบโปร่งแสง แดดเลยส่องลงมาเต็มที่ ถึงจะใส่หมวกไว้ก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้พี่ฝนเลยต้องมาทำหน้าที่คอยส่งน้ำกับผ้าเย็นให้พวกผม ส่วนพี่เดือนและพี่ข้าวหอมไปกับพี่คลื่นและพี่องศา

     “พี่ฝนครับ ผมขอน้ำหน่อย ร้อนจะตายอยู่แล้ว” ไอ้แชมป์ลงไปจากบันไดเหล็ก กระพือปกเสื้อด้วยความร้อน พี่ฝนหยิบหลอดใส่ขวดน้ำก่อนจะยื่นให้มัน แต่พอเห็นว่ามือไอ้แชมป์เปื้อนอยู่เลยเปลี่ยนเป็นจับหลอดแล้วทำท่าจะป้อนแทน

     “เฮ้ยแชมป์ ไปเปิดสวิตซ์ให้กูหน่อย จะลองว่าไฟติดหรือยัง” ผมพูดขึ้นมาตอนที่ปากมันกำลังจะถึงปลายหลอด

     “ทำไมต้องกูวะ มึงก็เดินไปเปิดเองดิ”

     “ไหนๆ มึงก็ลงไปแล้ว มึงไปเปิดนั่นแหละจะได้ไม่เสียเที่ยว”

     ไอ้แชมป์หน้าหงิกหน้างอ ก่อนจะเดินไปอย่างไม่เต็มใจเมื่อโดนผมสั่งซ้ำ เหมือนจะได้ยินมันบ่นด้วยว่าขอกินน้ำก่อนก็ไม่ได้ ผมอาศัยจังหวะที่เพื่อนยังไม่กลับมาลงไปหาคนที่ถือขวดน้ำอยู่ พี่ฝนขมวดคิ้วเมื่อโดนผมจ้องแต่ไม่พูดอะไรสักที

     “มีอะไร”

     “ผมจะกินน้ำ”

     “ก็กินสิ ใครห้าม” พี่ฝนยื่นขวดน้ำมาตรงหน้า ผมส่ายหน้าเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นมา

     “ไม่เห็นเหรอว่ามือผมเปื้อน”

     “ไปล้างก่อนสิ อายุสามขวบหรือไงถึงแก้ปัญหาเองไม่ได้”

     “ทำไมทีไอ้แชมป์ยังป้อนได้เลย ไม่เห็นไล่มันไปล้างมือก่อน”

     “ก็น้องแชมป์เป็นเด็กดี”

     “แล้วผมไม่ดีตรงไหน”

     “กวนประสาท ขี้บ่น จู้จี้จุกจิก ตามรังควานไม่เลิก ไล่ยังไงก็ไม่ไป ทำตัวเหมือนพ่อ...”

     “พอแล้วครับ เลิกพูดแล้วรีบป้อนน้ำซะที ผมคอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย” ผมรีบเบรกไว้ก่อนที่พี่ฝนจะเยินยอผมมากไปกว่านี้

     “ใครบอกว่าจะป้อน”

     “นี่ผมเปิดโอกาสให้อ่อยอยู่นะ ไม่มีใครโชคดีแบบนี้บ่อยๆ หรอก มีโอกาสทั้งทีรีบทำคะแนนไว้ดีกว่านะพี่”

     “เด็กบ้า!” คนด่าหน้าแดง หูก็แดง เห็นอย่างนี้แล้วผมยิ่งอยากโดนด่ามากกว่าเดิม

     “เร็ว เดี๋ยวไอ้แชมป์จะกลับมาแล้วนะ พี่คงไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นภาพตัวเองกำลังป้อนน้ำผู้ชายหรอกใช่ไหม”

     พี่ฝนทำหน้าเหมือนอยากบีบคอผม แต่เพราะทำอะไรไม่ได้จึงยอมยื่นหลอดมาให้ ผมอมยิ้ม เอาหน้าไปใกล้ก่อนจะอ้าปากดูดน้ำ ระหว่างนั้นก็ช้อนตาไปมองอีกฝ่ายด้วย พี่ฝนหันหน้าไปทางอื่น แต่สีหน้าเห็นได้ชัดว่ากำลังเขิน

     คนอะไรอ่านง่ายชะมัด แค่ยุนิดหน่อยก็ของขึ้นซะแล้ว

     “ขอบคุณนะครับ ชื่นใจสุดๆ เลย” ผมส่งยิ้มกวนๆ ไปให้ พอดีกับที่ไอ้แชมป์เดินกลับมา ผมเลยต้องยุติการแกล้งไว้เท่านี้

     “พี่ฝน ผมขอน้ำ...”

     “มึงกินขวดนี้ไป” ผมหยิบน้ำขวดใหม่ไปยัดใส่มือมัน ไม่สนว่ามือจะเปื้อนอยู่หรือเปล่า

     “กูจะให้พี่ฝนป้อน”

     “เป็นง่อยหรือไงถึงกินเองไม่ได้”

     “อ้าวไอ้นี่ จู่ๆ มาว่ากูเฉย เป็นอะไรของมึง”

     “กูไม่ได้เป็น แต่ถ้าขืนยังชักช้าอยู่มึงได้เป็นแน่ รีบกินจะได้รีบไปช่วยพวกพี่คลื่นต่อ”

     ไอ้แชมป์มองมาอย่างงงๆ แต่ก็ยอมเดินไปล้างมือแต่โดยดี ผมกำลังจะเอาบันไดไปเก็บแต่พี่ฝนก็เรียกขึ้นมาซะก่อน พอผมหันกลับไปก็เจอเข้ากับผ้าเย็นผืนใหม่ที่ซับลงมาตามใบหน้า

     “ติดหลอดไฟประสาอะไรหน้าถึงเปื้อนขนาดนี้”

     “ก็เหงื่อมันจะไหลเข้าตา ถ้าไม่ให้ใช้มือเช็ดแล้วจะให้ผมใช้อะไร เท้าเหรอ”

     “อยู่นิ่งๆ แล้วเลิกกวนสักหนึ่งนาทีได้ไหม มันเช็ดไม่ถนัด”

     เมื่อโดนสั่งมาแบบนั้นผมเลยได้แต่ยืนยิ้มๆ ปล่อยให้อีกคนเช็ดไปเรื่อยๆ พี่ฝนสอดสายตาไปตามรอยเปื้อน เปิดโอกาสให้ผมได้สำรวจใบหน้ารูปไข่ที่นับวันผมยิ่งคิดว่าน่ามอง พอได้มาเห็นใกล้ๆ แบบนี้แล้วผมยิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างน่ารัก แต่ไม่รู้ทำไมถึงเอาแต่พูดเล่นกับเพื่อนว่าตัวเองไม่สวยพอให้ใครมาสนใจ

     “อ่ะ เสร็จแล้ว ทีหลังถ้าเหงื่อจะเข้าตาอีกก็บอก”

     “บอกแล้วพี่จะเช็ดให้ผมเหรอ”

     “แล้วที่ทำอยู่นี่ไม่เรียกว่าเช็ดให้หรือไง” พี่ฝนพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงก็ดูแข็งๆ แต่ผมกลับคิดว่ามันน่ารักมากจนต้องยิ้มกว้างกว่าเดิม

     “ขอบคุณนะครับ อ่อยกันขนาดนี้ถ้าผมหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ รับผิดชอบด้วยนะ”

     “นี่นาย!”

     ผมรีบหนีก่อนที่ผ้านุ่มๆ จะเปลี่ยนเป็นฝ่ามือหนักๆ ฟาดลงมาที่แขน พี่ฝนมองตามมาอย่างคนโกรธปนเขิน เมื่อแกล้งต่อไม่ได้ผมเลยเดินมาช่วยไอ้แชมป์เก็บอุปกรณ์แทน แต่ปากยังยิ้มไม่หุบ

     “ได้แกล้งคนแล้วยิ้มระรื่นเชียวนะ”

     “คนกำลังสนุกก็ต้องยิ้มสิ”

     “ระวังเถอะ แกล้งเขามากๆ สักวันจะเข้าตัวเอง”

     “เข้าก็เข้าไปดิ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง”

     ไอ้แชมป์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เก็บของต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก มันคงคิดว่าผมปากดีไปอย่างนั้น พี่ฝนเองก็อาจจะคิดว่าผมอยากกวนประสาทเฉยๆ มีแต่ผมคนเดียวที่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนมาจากความตั้งใจของผมจริงๆ

     พอมาคิดดูอีกที ผู้หญิงอเลิร์ทก็ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดแฮะ





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide