Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]  (อ่าน 25341 ครั้ง)

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ


บทที่21

 

           เสียงบรรยายของอาจารย์หน้าชั้นเรียน ที่กำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ไม่ได้ดังเข้าไปถึงประสาทการรับรู้แต่อย่างใด ในตอนนี้ที่ทำแค่นั่งหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ปากกาที่ถือค้างอยู่ในมือทำแค่เคาะไปมากับสมุดเลคเชอร์ของตัวเองไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วในหัวตอนนี้มันกำลังนึกไปถึงใครอีกคนที่เมื่อตอนเที่ยงพึ่งไปส่งมันถึงที่คณะ ใครอีกคนที่ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำให้นึกถึงแต่มันตลอด

 

เพราะแบบนั้น พอได้ลองคิดทบทวนซ้ำๆ ในตอนนี้เลยอยากจะทำอะไรดีๆ ที่มันชัดเจนเพื่อมันขึ้นอีกอย่าง...

 

“มึงยิ้มเหี้ยไรของมึงวะไอ้พระจันทร์ เรื่องซัพพลายเชนนี่มันสนุกมากหรอวะ” ไอ้ปุ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ ละสายตาจากกระดานไวท์บอร์ด แล้วเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบ

 

“เสือก” พูดออกไปแค่นั้น ส่วนมันก็แค่ยิ้มใส่แบบไม่สะท้านกับคำด่า

 

“แน่ะ ทำเป็นด่ากู ทีมึงยังนั่งยิ้มหลอนอยู่คนเดียว จนกูนึกว่าผีเข้า”

 

“ไร้สาระว่ะ ตั้งใจเรียนไปดิมึง”

 

“บอกให้กูเรียน มึงเรียนตายล่ะ ไหนกูขอดูหน่อยว่ามึงจดอะไรลงไปบ้าง” พูดแล้วก็ชโงกหน้าเข้ามามองทันทีแบบที่ไม่ได้เชื้อเชิญ เสือกแบบไม่ปิดบัง รวดเร็วจนเอามือดึงหน้ากระดาษปิดหน้าที่เขียนค้างไว้ไม่ทันด้วยซ้ำ กรอกตาใส่มันหนึ่งที ที่พอมันผละหน้าออกไปแล้วก็เอาแต่ทำหน้ากรุ้มกริ่มล้อใส่ ... K

 

“เห้ยๆ ไอ้มีน ไอ้พระจันทร์มันไม่จดอะไรที่อาจารย์วิโรจน์สอนเลยว่ะ มันจดแต่....”

 

“จดแต่อะไรวะ” ไอ้มีนเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดแลคเชอร์ของมันอย่างสอดรู้ วางปากกาลงทันทีเหมือนรอเวลาให้มีอะไรสักอย่างมาขัดขวางการเรียนของมันอยู่นานแล้ว ดูก็รู้เลยว่าเพื่อนผมทุกคนเป็นเด็กตั้งใจเรียน

 

“มันเอาแต่จดแต่คำว่า ‘สมุทร’ เต็มหน้ากระดาษเลยว่ะ ฮ่าๆ”

 

“ง่อวววว เพื่อนผมมันตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว”

 

“น้องสมุทรใช่ไหมเป็นคนถีบมัน” ร้องเพลงรับส่งกันเป็นคู่ เหมือนพ่อกับแม่มันตั้งใจให้พวกมันเกิดมาเป็นนักร้อง นักร้องเสียงเพี้ยนน่ะสิไอ้สัด ผมได้แต่ส่ายหัวแล้วหันหน้าหนีพวกมันที่เอาแต่ตั้งท่าล้อกันไม่ยอมเรียน ...

 

แต่สิ่งที่พวกมันพูด ก็อาจจะจริง

 

ถีบแรงอยู่นะ ไอ้เด็กนั่นน่ะ...

 

“นี่ๆ ไอ้เพื่อนจันทร์ครับ” ไอ้ปุ่นยังตามมาสะกิดแขนกันยิกๆ อย่างไม่ลดละ ปรายสายตากลับไปมองมันอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้าไม่ตอบสนอง ก็คงไม่เลิกสะกิดกูหรอกวันนี้

 

“อะไร”

 

“แหม่ กับกูนี่พูดน้อยจังนะครับ”

 

“แล้วมึงชื่อสมุทรหรอ กูถึงต้องพูดเยอะ” เลิกคิ้วแล้วมองหน้ามันเป็นเชิงถาม

 

“เชี่ย เอาว่ะ มันขนาดนี้แล้วนะ”

 

“ไร้สาระ” ด่ามันออกไป แต่ถึงแบบนั้นก็อาจจะเป็นตัวเองที่อาจจะไร้สาระกว่าพวกมันทั้งคู่ เพราะแค่พวกมันล้อ กูก็กลับยิ้มออกมาซะแล้ว แค่คิดถึงไอ้เด็กนั่น มุมปากมันก็ยิ้มออกมาเองซะแบบนั้น โคตรคุมตัวเองไม่อยู่

 

“นี่ไอ้พระจันทร์ มึงกับน้องสมุทรนี่คือคบกันแล้วหรอวะ”

 

“ทำไมมึงถามแบบนั้น” เหลือบสายตาไปมองไอ้ปุ่น ที่ตอนนี้เอาข้อศอกค้ำลงกับโต๊ะแลคเชอร์แล้วยกมือขึ้นค้ำตรงข้างขมับเพื่อหลบสายตาของอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ อีกนิดมันคงจะไหลลงไปนอน ท่าทางการเรียนที่ทำตัวเหมือนอยู่บ้าน สบายแบบไม่แคร์สายตาใคร อาจารย์หน้าห้องนั่นมันก็คงไม่แคร์

 

“ก็ดูมึงกับน้องตอนนี้ดิ ยังกับคนที่คบกันอยู่”

 

“มันไม่ง่ายขนาดนั้น”

 

“เพราะพี่อัยย์หรอวะ เหี้ยว่ะไอ้สัด” มันสบถประโยคสุดท้ายออกมาแบบฉุนๆ

 

“แล้วมึงโมโหอะไร” เลิกคิ้วหันไปมองมันที่ก็ทำหน้าหงุดงหงิดใส่ ท่าทางที่เหมือนอยากเอาตีนยกมาฟาดปากกัน มันแสดงออกมาชัดเจน

 

“กูว่าจะไม่พูดแล้วนะไอ้พระจันทร์ แต่มึงควรทิ้งเรื่องพี่อัยย์ไปได้แล้ว มึงจะเป็นหมูเป็นหมาเป็นลาให้เค้าสนตะพายอีกนานป่ะ เค้าพูดกับมึงถึงขนาดนั้นอ่ะ พร่ำเพ้อเหี้ยไรอยู่กับคนๆ เดียววะ” ไอ้ปุ่นด่าออกมารัวๆ ไอ้มีนถึงกับวางปากกาแล้วมองหน้าผมแบบหงุดหงิด เห็นพวกมันออกอาการขนาดนั้นแล้วก็ได้แต่หลุดหัวเราะออกมา มันคงชอบสมุทรมาก เด็กนี่มันเก่งว่ะ มันมีพลังนะ

 

“ขำเหี้ยไร มึงดูตัวเองบ้างนะ ยิ้มยังกับคนพี้ยาเพราะน้องมัน แล้วจะยังอาลัยอาวรณ์พี่อัยย์ทำเหี้ยไร”

 

“กลัวไม่ได้เป็นควายแบบพระเอกนิยายมั้ง” ไอ้มีนด่าต่อจากไอ้ปุ่นตามมาอีก ผมส่ายหัวหน่อยๆ กับคำด่าของพวกมัน ก็ด่ากันรัวๆ แบบไม่เปิดทางให้กูได้พูด แล้วมาเอาไร

 

“เลิกไปได้แล้วกับไอ้การยึดติดของมึงอ่ะ”

 

“เค้าไม่ได้รักมึง แล้วถ้ามึงจะใช้สมองสักนิดอ่ะ มึงก็จะได้รู้ ว่ามึงเองก็ไม่ได้รักเค้าแล้ว”

 

“ใช่ ... ภาพพี่อัยย์ในใจมึงมันจางไปตั้งนานแล้วเพราะน้องสมุทรเหอะ”

 

“พวกมึงสองคนนี่คิดเองเออเองแบบไม่ให้กูได้พูดเลยนะ ด่ากูไม่พัก ไม่เหนื่อยหรอสัด”

 

“กูไม่เหนื่อย กูกลัวตัวเองเหนื่อยตอนมึงหอนเป็นหมาเวลาที่น้องมันไม่อยู่รอแล้วมากกว่า”

 

“ใช่ เอาแต่หลอกตอดนิดตอดหน่อยน้องอยู่ได้ เมื่อไหร่จะคบ” ไอ้มีนขมวดคิ้วแล้วมองแรงใส่ผม ท่าทางที่ว่าถ้ามันนั่งใกล้คงตบหัวผมไปแล้ว

 

“เมื่อหมาคาบไปแดกมั้ง” ไอ้ปุ่นว่าต่อ แต่ไอ้มีนมันกลับส่ายหน้า

 

“ไม่น่าใช่ ... กูว่าน่าจะเมื่อน้องมันถอดใจมากกว่า อย่าลืมนะมึง รักได้ก็เลิกได้ หัวใจมันก็มีลิมิตในการรอ ขนาดมึงตอนนี้ยังไม่รอพี่อัยย์แล้วเลย”

 

“รู้แล้วน่า พวกมึงจะบ่นไรนัก”

 

“ก็มึงแม่งK” ไอ้ปุ่นยกนิ้วกลางชูขึ้นมาใส่หน้าผม เหอะ...Kก็เล็กนิดเดียว เบ้หน้าใส่มันก่อนจะพูดต่อ

 

“กูไม่ยอมให้สมุทรมันถอดใจหรอก”

 

“ไม่ยอมก็ขอคบสักทีสิวะ”

 

“กูรู้แล้วน่า” บอกออกไปแบบนั้น พวกมันสองคนก็ชะงัก ไอ้ปุ่นหรี่ตามองกันแล้วรีบขยับเข้ามาใกล้หลังจากตอนด่ามันเขยิบหนีออกไปซะไกล สายตาเป็นประกายวาบวับมองหน้าผมอย่างมีความหวัง

 

“อย่าบอกนะว่า....”

 

“อืม แต่กูไม่จำเป็นต้องบอกพวกมึง คนที่กูจะต้องบอกมันคือสมุทร”

 

“เชี่ยยย เหยดแม่ ได้เอาแล้วครับงานนี้ เพื่อนเราต้องได้แล้วว่ะ”

 

“หึ ได้มาแล้วเหอะ” กดยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วนึกไปถึงเรื่องคืนนั้นที่เหมือนจะเมาแต่ไม่งง เป็นความสับสนที่สุดท้ายก็รู้สึกดี ยังจำความรู้สึกลื่นมือที่เวลาลูบไปที่แผ่นหลัง หรือแม้แต่ช่องทางด้านหลังที่ขมิบตอนรัดแกนกายกันไว้ถี่ๆ ร่างกายของมันที่บอกทุกอย่างให้ได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไงนั่นทำให้เสียววูบไปทั้งตัว ...แต่ก็เพราะเรื่องนี้ที่ทำให้รู้สึกผิดอยู่ดี เพราะแบบนั้น เลยตัดสินใจกับตัวเองว่าจะทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง

 

“อะไรนะ!” ไอ้มีนแหกปากออกมาเสียงดังแล้วโยนปากกามาใส่ผม แต่เสียใจกูหลบทันครับ มันถลึงตามองกันอย่างตกอกตกใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทั้งห้องก็เงียบเสียงลง พร้อมๆ กับเสียงเคาะไมค์ที่ดังมาจากหน้าห้อง

 

“นายมีรณัฐน์! ลุกมานั่งข้างหน้าเดี๋ยวนี้ ... รู้สึกว่าเธอจะมีความสุขมากไปแล้วนะ” เสียงของอาจารย์ไพโรจน์ที่ดังขึ้น พร้อมสายตาที่มองลอดแว่นส่งมาให้ไอ้มีน

 

“เชี่ยแล้วกู” ไอ้มีนก้มหน้าบ่นพึมพำออกมาเหมือนกับพึ่งนึกขึ้นได้ว่ามันอยู่ในห้องเรียน ผมกับไอ้ปุ่นโบกมือเป็นกำลังใจให้มัน พร้อมภาวนาให้มันไปนั่งตรงนั้นอย่างโชคดีมีชัย ไอ้มีนเดินคอตกพร้อมกับหอบสมุทรของมันออกไปนั่งที่โต๊ะข้างหน้าอย่างน่าสงสาร แต่ถึงแบบนั้น อืม...กูไม่สงสารหรอก กูสมน้ำหน้า

 

“นี่มึงจะขอน้องมันคบหรอวะ” ไอ้ปุ่นหันมาซักกันต่อ ดูอยากรู้เรื่องของผมกับไอ้สมุทรซะเหลือเกิน อยากรู้ว่าไอ้สมุทรซื้อพวกมันด้วยอะไร เพื่อนผมถึงชอบมันขนาดนี้ ... กับอัยย์ พวกมันสองคนไม่เคยชอบเลย

 

“แล้วให้กูรออะไร”

 

“แล้วพี่อัยย์”

 

“กูจะเคลียร์กับเค้า” ผมบอกออกไปตามที่ใจคิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตกค้างอยู่ในใจ ถึงมันจะไม่ได้มากมายในใจผมเท่าแต่ก่อนแล้วก็ตาม แต่คิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักมากพอดูในใจของไอ้สมุทร เพราะแบบนั้นจะปล่อยเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้

 

“เชี่ย จริงป่ะ”

 

“เออจริง ... กูรู้ว่าอัยย์ไม่ได้คิดอะไรกับกู จริงๆ มันไม่จำเป็นที่จะต้องเคลียร์ แต่กูไม่อยากค้างคาว่ะ อยากน้อยก็อยากพูดออกไปให้ชัดๆ อยากบอกกับอัยย์ว่าไม่ต้องห่วงว่ากูจะวุ่นวายอะไรกับเค้าอีก ตอนนี้กูมีคนที่กูพร้อมจะเดินไปด้วยแล้ว และคิดว่าเรื่องนี้ มันก็คงสำคัญกับไอ้สมุทรเหมือนกัน อยากทำให้มันได้รู้ว่ากูชัดเจน”

 

“กูดีใจว่ะ” มันว่าออกมาแบบนั้น มองหน้าผมทำสายตาเหมือนพ่อที่ส่งลูกถึงฝั่ง ผมถอนหายใจกับท่าทางโอเวอร์แบบนั้นของมัน

 

“มึงอย่าเวอร์”

 

“ไอ้เหี้ย กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี กูอยากเห็นวันนี้เกือบตาย พอกูได้เห็นแล้ว มึงก็ให้โอกาสกูดีใจหน่อยเหอะว่ะ”

 

“มึงรอดีใจ ตอนกูขอมันเป็นแฟนเหอะว่ะ ...ถึงมันจะข้ามไปเป็นเมียแล้วก็เถอะ”

 

“เหยด พี่พระจันทร์เค้าก็แรงจังเลยอ่ะครับ”

 

“กูก็ไม่เคยเบานะรู้สึก โดยเฉพาะบนเตียง”

 

“K ถ้าได้แค่ครั้งเดียวก็อย่ามาขิง”

 

“ต่อให้ได้หลายครั้งกูก็ไม่บอกมึงหรอก ... กูหวงของกู” บอกมันแบบนั้นแล้วยักคิ้วใส่พร้อมกดยิ้มมุมปาก ไอ้ปุ่นทำท่าทางจะอ้วกใส่ แต่ใครจะสน

 

อย่างน้อยถ้าไอ้สมุทรไม่เดือดร้อน กูก็ไม่สนใจหรอก

 

เพราะคิดแบบนั้นผมเลยตัดสินใจกดโทรศัพท์เข้าแอพแล้วพิมพ์ข้อความไปหาอัยย์

 

[[พระจันทร์: อัยย์ ... เย็นนี้เจอกันหน่อยได้ไหม] ] รอเวลาไม่นาน หน้าจอก็ขึ้นข้อความให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้เปิดอ่านแล้ว

 

[[อัยย์: มีอะไรหรอ] ]

 

[[พระจันทร์: จันทร์มีเรื่องสำคัญอยากจะคุย] ]

 

[[พระจันทร์: ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้อัยย์ลำบากใจหรอก] ]

 

พิมพ์บอกออกไปแบบนั้น เพราะกลัวว่าอัยย์จะคิดว่าผมจะมารุงรังกับชีวิตเค้าแบบทุกที แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ ผมไม่ได้กำลังตัดใจ ผมตัดอัยย์ไปได้นานแล้วโดยที่ผมไม่รู้ตัวเหมือนที่ไอ้ปุ่นกับไอ้มีนมันว่านั่นแหล่ะ ที่ยังยื้อไว้มาตั้งนาน ผมขอเรียกมันว่าความผูกพันธ์ และสันดานดันทุรังที่ไม่อยากยอมแพ้ของตัวเองก็แค่นั้น

 

แต่ถ้าขืนยังทำแบบนั้น มันจะมีใครอีกคนที่ต้องเจ็บกับเรื่องนี้ ... และผมไม่อยากให้สมุทรมันต้องรออีก

 

[[อัยย์: อ่า...แต่วันนี้อัยย์ไม่ได้เอารถมา] ]

 

[[อัยย์: จันทร์มารับอัยย์หน่อยได้ไหม] ]

 

ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่ายออกมานิดหน่อย แบบนี้ก็อดไปรับไอ้สมุทร แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ก็คงไม่แย่อะไรเท่าไหร่

 

[[พระจันทร์: งั้นเดี๋ยวจันทร์ไปรับ] ]

 

[[อัยย์: เย้ ขอบคุณนะ ... จันทร์ยังน่ารักกับอัยย์เหมือนเดิมเลย] ]

 

[[อัยย์: จันทร์มารับอัยย์ที่หน้าคณะแบบที่เคยมาทุกทีนะ] ]

 

[[อัยย์: อัยย์รอนะ] ]

 

[[พระจันทร์: อืม] ]

 

พิมพ์ตอบรับไปแค่นั้นแล้วกดออกจากแชทของอัยย์ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงส่งสติ๊กเกอร์กลับมาให้กัน แต่ผมก็ไม่ได้เปิดเข้าไปอ่าน เลือกที่จะเปิดอีกแชทนึงของคนที่คิดถึงมากกว่าขึ้นมาแทน

 

[[พระจันทร์: สมุทร...วันนี้กูไม่ได้ไปรับมึงนะ กูมีธุระสำคัญ] ]

 

[[น้องสมุทร: อ้าว มีธุระหรอครับ] ]

 

[[น้องสมุทร: แต่ไม่เป็นไรนะ น้องสมุทรกลับเองได้] ]

 

มันตอบกลับมาแบบนั้นพร้อมสติ๊กเกอร์รูปหมีทำนิ้วโอเค ก็เป็นสติ๊กเกอร์ที่น่ารักเหมาะกับมันฉิบหาย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแค่ได้เห็นข้อความตอบกลับของมัน

 

[[พระจันทร์: น่ารัก] ] อดไม่ได้ จนต้องพิมพ์ออกไปตามที่ใจคิด ข้อความที่ส่งไปถูกเปลี่ยนเป็นอ่านแล้ว แต่ไอ้เด็กก็ยังไม่ยอมพิมพ์อะไรตอบกลับมาอีกอยู่ดี ผมได้แต่ยกยิ้มมุมปากออกมาแบบนั้นเพราะนึกออกว่ามันจะเป็นยังไง เวลาเขินทีไรก็ชอบทำหูแดงๆ เม้มปากแน่นๆ แล้วยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นตาของตัวเองแบบทำอะไรไม่ถูก และคิดว่าตอนนี้มันก็คงจะทำแบบนั้นอยู่

 

[[พระจันทร์: กูหมายถึงสติ๊กเกอร์มึงน่ารักดี] ]

 

[[น้องสมุทร: โว๊ะ คิดแล้วเชียว] ]

 

มันตอบออกมาแบบนั้น ทำเอาผมอยากหลุดขำออกมาเสียงดัง แต่ถ้าทำแบบนั้นคงจะโดนอาจารย์วิโรจน์เรียกไปนั่งกับไอ้มีนแหง ผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมด นึกหน้างอๆ ของมันออกเลย แม่ง...น่ารักว่ะ

 

[[พระจันทร์: งอนหรือไง] ]

 

[[น้องสมุทร: ก็เปล่าสักหน่อยอ่ะ] ]

 

[[พระจันทร์: เสียดายว่ะ นึกว่ามึงงอน] ]

 

[[น้องสมุทร: ถ้าน้องสมุทรงอนแล้วจะทำไม] ]

 

[[พระจันทร์: จะง้อด้วยน้ำเขียวโซดา] ]

 

[[น้องสมุทร: โถ่เอ๊ย น้องสมุทรไปซื้อเองก็ได้เถอะ] ]

 

[[พระจันทร์: มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ] ]

 

[[น้องสมุทร: ต่างตรงไหนก่อน] ]

 

[[พระจันทร์: ก็ต่างตรงที่ ถ้ามึงไปซื้อเขาจะใส่น้ำแข่งมาให้ แต่ถ้ากูทำให้ กูจะใส่ใจกูลงไปให้มึงแทน] ]

 

พิมพ์ตอบกลับไปแบบนั้น นานหลายนาทีที่สมุทรมันอ่านแล้วไม่ตอบผม เคาะปากกาลงบนกระดาษสมุดที่เขียนคำว่าสมุทรจนเต็มไปหมดนั่นฆ่าเวลา

 

‘ตื่อดึ้ง’

 

ขอความถูกตอบกลับมาอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มของผมที่กลั้นต่อไปไม่ได้แล้ว

 

[[น้องสมุทร: ลาก่อน อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย คนแถวนี้มันเล่นกับใจน้องสมุทรนัก!] ] มันน่านัก อยากจะฟัดให้มันจมเตียง

 

[[น้องสมุทร: น้องสมุทรเรียนต่อก่อนนะครับ] ]

 

[[พระจันทร์: ครับ] ]

 

กดปิดแชทหน้าของไอ้สมุทรลงพร้อมรอยยิ้มกว้างมากกว่าเคย ที่ผมเคยคิดมาตลอดว่าอยู่กับมันแล้วสบายใจ จริงๆ แล้วมันก็คือ เราจะสบายใจได้ก็ต่อเมื่อ เราอยู่กับคนที่เรารักก็เท่านั้นล่ะ

 

อืม ... ควายพระจันทร์

 

.

.

.

 

         ในช่วงเวลาสี่โมงตรงผมก็มารับอัยย์ที่หน้าคณะ จอดรถเทียบที่หน้าตึก อีกฝ่ายก็เปิดประตูแล้วขึ้นมานั่ง ใบหน้าน่ารักของอัยย์ยังคงเหมือนทุกครั้งที่เคยเห็น มันไม่ต่างจากครั้งไหนๆ ที่เคยเจอ อัยย์หันมายิ้มให้กันด้วยท่าทางสบายๆ และสดใส แต่ผมกลับไม่สบายใจนักที่เห็นแบบนั้น

 

“จันทร์เลิกนานแล้วหรอ อัยย์หิวมากเลยอ่ะ แวะไปห้างหน่อยได้ไหม ไปร้านประจำที่จันทร์ชอบพาอัยย์ไปไง”

 

“หิวหรอ” ถามออกไปแบบนั้น จริงๆ ตั้งใจว่าจะคุยกันบนรถ แล้วตรงกลับพาไปส่งบ้านเลยด้วยซ้ำ ผมถอนหายใจออกมาหน่อยๆ

 

“ใช่ หิวมากๆ เลย นะๆ จันทร์นะ” คนข้างตัวที่พูดอ้อนแบบที่ชอบทำเวลาอยากให้ผมใจอ่อน ฝ่ามือเรียวสวยที่เอื้อมมาคว้าเข้าที่ต้นแขนซ้ายของผมแล้วเขย่ามันนิดๆ แบบอ้อน ปรายตามองนิดๆ ก่อนจะจับมืออัยย์เอาไว้ พอทำแบบนั้นรอยยิ้มสวยที่ผมเคยชอบก็ปรากฏออกมาให้เห็นกันชัดๆ ทั้งหูทั้งตา ผมจับมืออัยย์ออก แล้วดันตัวเค้ากลับไปนั่งที่เบาะเดิมดีๆ

 

“นั่งดีๆ” อัยย์ชะงักรอยยิ้มของตัวเองไปเล็กน้อย ก่อนจะมองตรงมาที่หน้าของผมอย่างสงสัย แต่ถึงแบบนั้นผมก็เลือกจะเมินหน้าหนีแล้วหันกลับไปตั้งใจมองถนนตามเดิม

 

“เดี๋ยวจันทร์พาไป”

 

“อื้ม ขอบคุณนะ ... พระจันทร์น่ารักกับอัยย์ไม่เปลี่ยนเลย เหมือนที่จันทร์เคยบอกกับอัยย์ว่าจะไม่เปลี่ยนไปจากอัยย์ไง”

 

“อัยย์”

 

“หื้ม ว่าไงหรอ”

 

“เรื่องที่จันทร์อยากจะคุยกับอัยย์ก็คือเรื่องของจันทร์กับสมุทร ตอนนี้...”

 

“เดี๋ยวก่อนสิ ไปถึงร้านแล้วเราค่อยไปคุยกันก็ได้นี่นา” เค้าพูดขัดผมออกมาแบบนั้น ปรายสายตามองคนที่นั่งอยู่ข้างตัว ใบหน้าน่ารักนั่นยังดูใสซื่อเหมือนอย่างเคย

 

“คุยไปด้วยก็ไม่เห็นเป็นอะไร จันทร์อยากบอกให้ชัดว่า...”

 

“แต่อัยย์ยังไม่อยากฟัง” เสียงใสที่พูดขึ้นเสียงมากกว่าเคยออกมาอย่างจริงจังจนผมต้องหันไปมอง อัยย์ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้รู้สึกดี

 

“จันทร์จะรีบร้อนไปทำไม ยังไงก็จะพูดไม่ใช่หรอ รออีกหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง” เจ้าตัวกอดอกแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ การกระทำที่เมินคำพูดกันอย่างชัดเจน ทำให้ผมถอนใจออกมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ...

 

ไม่เป็นไร ถึงร้านก่อนค่อยคุยกันก็ได้ถ้าแบบนั้น เพราะยังไงผมก็จะพูดมันอยู่ดี

 

ใช้เวลาไม่นานนักก็ขับรถมาถึงห้างดังใจกลางกรุงเทพ เพราะมันเป็นห้างที่ไม่ได้อยู่ไกลจากมหาลัยมากนักเลยใช้เวลาไม่นาน ผมก้าวขาเดินนำอัยย์เข้าห้าง ตั้งใจจะตรงไปที่ร้านอาหารไทยที่เค้าชอบกินในทันที ไม่อยากเสียเวลา อยากกลับบ้านไปโทรหาไอ้สมุทร

 

“จันทร์ เดินรอกันบ้างสิ” เสียงใสๆ ของคนที่วิ่งตามมาทำให้ผมชะงักขา พอหันไปมองก็เห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของอัยย์ที่มองตรงมา ... ลืมไป ก็นึกว่าเดินตามมาแล้วนี่หว่า

 

“โทษที”

 

“จะรีบไปไหนนัก” อัยย์บ่นออกมาแบบนั้น ผมที่หันหน้าไปมองร้านประจำที่แค่เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ก่อนจะหันกลับมามองอัยย์ที่ตอนนี้มองไปทางอื่น ใบหน้าน่ารักนั่นขมวดคิ้วเข้าหากันนิดๆ

 

“เป็นอะไร” ผมถามออกไปแบบนั้น มองตามสายตาสวยไปก็ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าดู

 

“เปล่าหรอก”

 

“งั้นก็ไปดิ จะถึงร้านแล้ว”

 
(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
“เดี๋ยวก่อน” เค้าคว้าข้อมือของผมเอาไว้ ตัวผมที่จะก้าวขาออกไปก็ต้องชะงักอีกครั้ง หันไปมองหน้าคนข้างตัวอย่างไม่เข้าใจว่ามีอะไร แต่อัยย์ก็แค่ยิ้มออกมา

 

“ใกล้จะถึงวันเกิดจันทร์แล้วนี่นา เมื่อเช้าอัยย์บังเอิญเจออาเมล อาเมลเลยเล่าให้ฟัง”

 

“อ่อ ก็ใช้”

 

“งั้นไปหาซื้อของขวัญให้จันทร์กับทิตย์กันเถอะ” พูดออกมาอย่างร่าเริงด้วย ใบหน้าน่ารักนั่นยิ้มทั้งหูทั้งตา อัยย์เป็นคนขาวตัวบางแล้วมีตายิ้มที่พอยิ้มก็เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ใบหน้าที่ทำให้ใครเห็นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันน่ารัก และอัยย์ก็มักจะใช้ความน่ารักของตัวเองเสมอ

 

“แล้วไม่กินข้าวก่อน”

 

“ไม่ อัยย์ไม่หิว”

 

“แล้วไหนตอนขึ้นรถบอกว่าหิว” ผมขมวดคิ้วถามออกไป จริงๆ อยากจะถามว่าเอายังไงกันแน่วะ แต่คิดว่าอย่าพูดออกไปเลยจะดีกว่า

 

“อ่อ...ก็ มันยังทนได้ ไปเลือกของก่อนแล้วค่อยมากินดีกว่า นะๆ ไปๆ”

 

“จันทร์ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น ก็แค่วันเกิด อัยย์ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”

 

“ได้ไงเล่า วันเกิดทั้งทีก็ต้องมีของขวัญสิ” เค้ายังคงดื้อดึง แต่ใจผมอยากไปกินข้าวแล้วพูดกับอัยย์ให้มันจบๆ ไม่ได้อยากเสียเวลาไปเดินเลือกของขวัญอะไรนั่น

 

“น่า มาเร็วๆ เข้า” บอกเสียงเข้มขึ้นแล้วเดินนำผมเข้าไปทางช็อปน้ำหอม ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกว่าตั้งแต่เจออัยย์เหมือนแก่ขึ้นอีกสามปี ถอนหายใจมากขนาดนี้ อีกนิดกูคงตาย

 

ผมเดินตามอัยย์ไปอย่างไม่ได้อยากไปมากนัก มองหาคนที่เดินนำเข้ามาก่อน ไม่รู้ว่ารีบร้อนอะไรนักหนา อัยย์ดูรีบยิ่งกว่าตอนจะพาไปกินข้าวซะอีก มองเห็นคนร่างบางที่ยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ตรงนั้นเลยเดินเข้าไปแตะไหล่ ไอ้ยิ้มกว้างขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะคว้าข้อมือผมมาจับเอาไว้แน่น การกระทำที่ผมไม่เข้าใจนัก ยังไม่ทันได้ถามอะไร เจ้าตัวก็ลากผมให้เดินไปด้วยกัน

 

“จะรีบไปไหนวะอัยย์”

 

“ก็นั่นไง” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วชี้ๆ ไปที่เคาเตอร์น้ำหอมแบรนด์นึง จำได้ลางๆ ว่าจริงๆ แล้วไม่ชอบกลิ่นแบบนั้นเท่าไหร่หรอก แต่เป็นเพราะว่าคนตรงหน้านี้ซื้อให้ ก็เลยอดทนใช้มันตั้งนาน

 

“มาๆ ทางนี้ๆ” อัยย์ว่าแบบนั้นแล้วดึงตัวผมให้เดินเข้าไปในช็อปนั้น ผมไม่ได้อยากมาสักนิด แต่ก็ออกปากไม่ทัน อัยย์ที่เดินเข้าไปถึงตรงนั้นแล้ว

 

“พระจันทร์ชอบไหม ขวดนี้แบบที่เคยใช้เมื่อก่อนไง” อัยย์พูดออกมาแบบนั้นด้วยเสียงใสที่ดังกว่าเดิม ผมถอนหายใจออกมาแล้วหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ ไอ้ขวดขาวๆ ที่มีฝาจุกสีส้มตัดกับเหลืองๆ และเป็นน้ำหอมกลิ่นแป้งเด็ก ในตอนที่ตั้งใจจะอ้าปากบอกออกไปว่าตอนนี้ไม่ชอบแล้ว สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตากลมโตในกรอบแว่นตาทรงกลมใสแจ๋วกำลังมาตรงมาที่ผมพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผมมองออกว่ามันไม่ได้อยากจะยิ้ม

 

“สมุทร” เรียกชื่อมันออกไปแบบนั้นอย่างตกใจ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ตอนนี้วะ

 

“หื้ม...อ้อ น้องคนวันนั้น” แล้วก็เป็นอัยย์ที่เดินเข้ามายืนข้างกันพร้อมๆ กับวงแขนเรียวสวยนั่นก็เกี่ยวเข้ามากับแขนของผมเอาไว้แน่น ผมที่กำลังจะดึงแขนตัวเองออก ไม่อยากให้มันเข้าใจผิด แล้วก็ไม่เข้าใจว่าอัยย์กำลังทำเหี้ยอะไร เรื่องแม่งวนมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันวะ น่าหงุดหงิดฉิบหาย

 

“มีอะไรวะมึง” เสียงของคนมาใหม่ที่เดินเข้ามาหาไอ้สมุทร ทำให้ทั้งผมและอัยย์ชะงักไป ... ไอ้ยอร์ช

 

ไอ้เหี้ยนี่มาอยู่นี่ได้ยังไง

 

...

 

         ในบางช่วงเวลาของคนเรา ในบางฉากบางตอนหนึ่งของชีวิต เราก็อาจจะเคยได้เจอช่วงเวลาที่เหมือนกับว่าโลกทั้งหมดหยุดหมุน ตัวผมเคยสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรอ ช่วงเวลาแบบในหนังที่เค้าชอบสโลโมชั่นให้เราดู จนได้มาเจอกับตัวในตอนนี้ ถึงได้รู้ว่า ช่วงเวลาแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นจริง และมันกำลังเกิดขึ้นกับผมอยู่ในตอนนี้

 

ใบหน้าติดจะเย็นชาที่ยืนทำหน้านิ่งๆ อยู่ข้างๆ กับคนน่ารักที่เอาแต่พูดถึงความหลังอยู่แบบนั้น ในช่วงจังหวะที่ผมยืดตัวขึ้นไปเต็มความสูงของตัวเอง และจ้องมองทั้งคู่ ใบหน้าได้รูปของคนที่ผมชอบก็ค่อยๆ หันมา ก่อนที่ดวงตาคู่คมจะมองสบกัน ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยตอนที่มองเห็นใบหน้าของผม

 

“สมุทร...”

 

“หื้ม...อ้อ น้องคนนั้น” พี่อัยย์พูดออกมาแบบนั้นแล้วกดรอยยิ้มน่ารัก ท่าทางน่ารักที่ต่างจากวันนั้นที่แทบจะพุ่งเข้ามาแดกหัวน้องสมุทรฉิบหาย ผมเลื่อนสายตาลงไปมองคนที่เขยิบตัวเข้าไปหาพี่พระจันทร์แล้วคล้องแขน ... ไม่เนียน กูเห็นเนี่ย

 

“มีอะไรวะมึง” เสียงของพี่ยอร์ชดังขึ้นมาจาก ก่อนที่ร่างสูงของเค้าจะเดินเข้ามายืนซ้อนหลังผม ในมือของพี่ยอร์ชมีถุงที่น่าจะเป็นของขวัญที่ผมซื้อติดมือพี่เค้ามาด้วย สงสัยจะไปรับมาจากพนักงาน ผมยังไม่ทันได้พูดตอบอะไรออกไป พี่พระจันทร์ก็ก้าวยาวๆ ตรงมาหากันพร้อมใบหน้าติดจะหงุดหงิด

 

“มึงมาอยู่นี่ได้ไง”

 

“แล้วพี่มาทำธุระสำคัญที่นี่หรอ” ผมถามออกไปแบบนั้น เหมือนเป็นครั้งแรกที่กล้าพูดกับเค้าแบบนั้น ผมเลื่อนสายตาไปมองที่ด้านหลังของเค้าที่มีพี่อัยย์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าใสซื่อและน่ารัก

 

“เอ่อคือว่า พี่มาทานข้าวกับพระจันทร์น่ะ”

 

“อ่อ ธุระสำคัญที่ว่าของพี่คือมากินข้าว”

 

“มันไม่ใช่...”

 

“พอดีจันทร์ไปรับพี่ที่คณะน่ะ พี่หิวเค้าเลยพามาน่ะ” พี่อัยย์พูดแทรกขึ้นมาแบบไม่มีใครร้องขอ ที่แน่ๆ ก็ไม่ใช่กูแล้วที่ขอ ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีสิทธิที่จะโกรธ แต่พูดตรงๆ ผมก็โกรธๆ มากฉิบหาย ถ้าเค้าคิดอยากไปหาพี่อัยย์จริงๆ ก็แค่บอกผมมาก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องโกหกผมแบบนี้เลย

 

“เงียบเหอะอัยย์”

 

“เอ้า ก็เรื่องจริงนี่นา จันทร์ทักมานัดอัยย์จริงๆ นี่นา” พี่อัยย์เอียงคอเถียงพี่พระจันทร์ออกมาอย่างน่ารัก อืม...ท่าทางน่ารักที่วันนี้น้องสมุทรดูออกว่าตอแหลนะ พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นแบบนั้น เค้าถอนหายใจนิดหน่อยแล้วหันกลับมามองหน้าผม

 

“กูมีเรื่องต้องคุยกับอัยย์” บอกผมแบบนั้น สายตาคมๆ นั่นที่มองมาที่ผมอย่างไม่สบายใจ ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นๆ แล้วจ้องตาใส่

 

“แล้วคุยหรือยัง”

 

“ยัง กูพึ่งมาถึง”

 

“อ่อ งั้นพี่ก็ไปคุยเหอะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น แล้วหันหลังหนี ตั้งใจเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ติดที่แขนยาวของอีกคนคว้ามือของผมเอาไว้ซะก่อน

 

“สมุทร...” เค้าเรียกชื่อผม ท่าทางอึดอัดที่คิ้วสวยของพี่พระจันทร์ขมวดเข้าหากันแน่นๆ

 

“มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ กูมาคุยกับอัยย์แค่นั้น”

 

“งั้นพี่ก็ไปคุย ผมจะกลับแล้ว” บอกแบบนั้นแล้วดึงแขนตัวเองออกมาจากมือของพี่พระจันทร์

 

“แล้วมึงจะกลับยังไง”

 

“ผมมากับพี่ยอร์ช...”

 

“สมุทร มึงอย่ามากวนกู” เค้าพูดออกมาเสียงเข้มอย่างคนที่ไม่พอใจ อ่อจ้า แล้วกูพอใจตายเลยล่ะ

 

“โอเค ผมจะไม่กวน งั้นพี่ก็ปล่อยแขนผม ผมจะกลับแล้ว”

 

“มึงจะกลับกับมันไม่ได้”

 

“ผมกลับได้” เถียงกลับออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์มองผมอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าท่าทางที่กำลังบอกกันว่าเค้ากำลังจะไม่อยากทนและโมโห เออเอาสิ กูก็โมโหเป็นเหมือนกัน ถึงแม้ผมจะไม่มีสิทธิสักนิดที่จะโมโหเค้าเลยก็ตาม ...

 

“แต่กูไม่ให้กลับ”

 

“ก็เรื่องของพี่พระจันทร์สิ!”

 

เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักอย่าง นอกจากผมที่เป็นคนวิ่งตามเพราะชอบเค้า กับเค้าที่กำลังทำดีกับผมเพราะเผลอได้กัน เรื่องราวมันมีอยู่แค่นั้น

 

แต่แล้วไงวะ คนชอบก็มีความรู้สึกหรือเปล่า หรือมันมีใครมากำหนดเอาไว้ว่าถ้าชอบใครไป ไม่มีสิทธิโกรธอะไรเพราะวิ่งไปชอบเค้าเองหรอ ใครกำหนดก็ช่าง น้องสมุทรจะฉีกมันให้กระจุย ... กูมีความรู้สึก และกูอดทนเก่ง แต่ก็ไม่ตลอด

 

“อ่า ... งั้นก็มากินข้าวด้วยกันสิ ดีไหม” พี่อัยย์เดินยิ้มน่ารักเข้ามาใกล้ แล้วเอามือจับที่ต้นแขนพี่พระจันทร์อย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สายตาใสนั่นมองมาที่ผมอย่างเหนือกว่า ก่อนจะปรายตาไปมองพี่ยอร์ชอีกนิดหน่อย ร่างสูงข้างตัวของผมเบ้ปากออกมาเหมือนรำคาญ อืม ผมไม่แปลกใจที่พี่ยอร์ชจะทำท่าทางแบบนั้น เพราะผมเองก็รู้สึกเหมือนกับเค้าไม่ต่าง

 

“ผมไม่กิน” หันไปตอบกลับเค้าแบบนั้น พี่อัยย์ที่ทำหน้าเหลอหลาออกมาอย่างตกใจ

 

“อ...อ้าว”

 

“ผมไม่อยากกินข้าวร่วมกับคนแบบพี่อัยย์ เลิกทำหน้าใสซื่อแล้วหลอกพี่พระจันทร์วนไปวนมาสักทีเหอะ”

 

“สมุทร” พี่พระจันทร์เรียกชื่อผมเสียงเข้ม เค้ามองหน้าผมแล้วส่ายหัวหน่อยๆ ท่าทางที่กำลังปรามให้ผมหยุดทำตัวแบบนี้กับคนที่อายุมากกว่า แต่แล้วไง แค่เกิดก่อนแล้วคิดว่าจะทำทุกอย่างได้ ทำทุกอย่างถูกหมดหรอวะ

 

“พี่ก็เหมือนกัน เลิกเรียกชื่อผมสักที ถ้าพูดอะไรที่ดีกว่าเรียกกันไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด!” ว่าออกไปเสียงดัง เป็นครั้งแรกที่เห็นพี่พระจันทร์ตกใจ สีหน้านิ่งๆ ของเค้าหลุดเหวอออกมานิดนึง แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่สน กระชากแขนของตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของเค้าอยู่ดี

 

“มึงใจเย็นก่อนสิวะเพื่อนหมุด” เป็นไอ้มาร์ชที่เดินเข้ามาร่วมวงตอนที่ผมเริ่มเสียงดัง คนรอบข้างเริ่มหันมามองกลุ่มของเราเป็นตาเดียว พี่อัยย์ที่ชะงักไปตอนที่เห็นหน้าไอ้มาร์ช มันเดินเข้ามาจับต้นแขนของพี่ยอร์ชในท่าทางเดียวกันกับที่พี่อัยย์ทำกับพี่พระจันทร์ ดวงตาของไอ้มาร์ชที่ติดจะหยิ่งมองตรงไปที่พี่อัยย์แล้วกดยิ้มมุมปากนิดๆ

 

“อุ๊ยตายล่ะ มีส่วนเกินอยู่ในพื้นที่นี้ด้วยสินะ” ไอ้มาร์ชพูดออกมาแบบนั้นแล้วช้อนตามองหน้าพี่ยอร์ชที่เลิกคิ้วมองมัน ก่อนที่ใบหน้าหล่อนั่นจะยกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ ท่าทางแบบนั้นของเพื่อนตัวเองที่ผมไม่เคยเห็น ไอ้มาร์ชปลายตามองพี่อัยย์อย่างจงใจ คนน่ารักที่ก่อนหน้านี้ยังยิ้มใส่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดทันที สีหน้าที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่โอเคเอามากๆ

 

“พี่พระจันทร์ เดี๋ยวให้หมุดกลับกับผมกับพี่ยอร์ชก็ได้ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก”

 

“สมุทรมันมากับมึงหรอวะ...”

 

“ผมก็มากับเพื่อนผมไง ผมไม่ได้มากับใครแค่สองคนแบบที่พี่ทำหรอก” ผมตอบออกไปแบบนั้นแล้วจ้องตาพี่มันเขม็ง พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นๆ ในตอนที่มองหน้าผม ท่าทางที่อยากจะพูดอะไรออกมามากกว่านั้น แต่เป็นผมที่ยกมือห้าม

 

“พี่ไปจัดการธุระสำคัญของพี่เหอะ ไม่ต้องห่วงผม”

 

“แต่กูแคร์มึง...”

 

“ถ้าพี่แคร์ผม พี่ก็คงไม่มากับเค้าแค่สองคนหรอก”

 

ผมทิ้งคำพูดนี้ไว้แค่นั้น แล้วหันหลังเดินจากมา ไม่รู้ด้วยว่าพี่พระจันทร์จะทำหน้ายังไง ไม่รู้ว่าเค้าจะโมโหหรือเปล่ากับการกระทำของผมในครั้งนี้ คำพูดไม่ดีที่พูดว่าคนที่เค้ารัก ผมรู้...ผมไม่มีสิทธิพูดออกไป แต่แล้วไง กูห้ามปากกับใจที่มันตรงกันได้ที่ไหนล่ะ

 

...


“แม่งเอ้ย กูว่าแล้ว!” สบถออกมาแบบนั้นอย่างหัวเสีย ผมเอาแต่มองตามแผ่นหลังบางของไอ้สมุทรที่เดินออกไปไกลแล้ว โดยมีไอ้ยอร์ชและมาร์ชเพื่อนของมันที่เดินตามออกไปด้วย

 

“ใจเย็นก่อนสิจันทร์ ให้อัยย์ไปคุยกับน้องให้ไหม”

 

“ไม่ต้อง” ผมพูดออกมาเสียงเข้ม และดึงแขนตัวเองออกมาจากมือของอัยย์ อัยย์ชะงักไปนิดหน่อยที่เห็นผมทำแบบนั้นกับตัวเอง

 

“จันทร์”

 

“อัยย์ยังจะกินข้าวอยู่ไหม” ผมถามออกไปแล้วมองหน้าเค้าตรงๆ ดวงตาสวยที่ช้อนมองตาผมนิ่งๆ

 

“ไม่กินแล้วล่ะ”

 

“งั้นดี” พูดแค่นั้นแล้วผมก็หันหลังเดินออกมา ถ้าไม่ติดว่ามากับอัยย์แล้วอัยย์ไม่มีรถกลับ ผมจะไม่ยอมให้ไอ้สมุทรไปกับไอ้ยอร์ชหรอก

 

“ถ้าอัยย์ไม่กิน จันทร์ก็ไม่กินหรอ จันทร์ไม่หิวหรอ” อัยย์ที่วิ่งตามมาก่อนดึงแขนของผมเอาไว้

 

“ไม่ จันทร์ไม่ได้อยากกินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” หยุดเดินแล้วตอบคนตรงหน้าออกไป ผมกำมือตัวเองแน่นๆ ในตอนนี้ที่จ้องหน้าคนตรงหน้าที่เตี้ยกว่ากัน ผมไม่รู้ว่าอัยย์กำลังทำอะไร แต่ผมไม่ได้โง่ขนาดที่มองไม่ออกว่าอัยย์ตั้งใจพาผมเดินเข้าไปตรงนั้น ตรงที่มีไอ้สมุทรอยู่ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่อยากจะพูดมันออกมา ไม่อยากทำให้คนตรงหน้าต้องเสียหน้า

 

“เรื่องที่จันทร์จะพูดกับอัยย์วันนี้...”

 

“จันทร์ อัยย์อยากไป...” อัยย์ที่กำลังจะเดินหันหลัง ขาเล็กๆ ที่ตั้งใจเดินออกห่างจากผมทันทีที่ผมกำลังจะพูดนั่นทำให้เริ่มโมโห ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำเพื่ออะไร

 

“หยุด! แล้วฟัง” เอื้อมมือไปกระชากแขนของอีกคนไว้ แล้วดึงให้หันมามองหน้ากัน

 

“จันทร์อยากบอกกับอัยย์ ว่าตอนนี้อัยย์กำลังจะจริงจังกับสมุทร อัยย์ไม่ต้องห่วงว่าจันทร์จะมาวุ่นวายกับอัยย์อีกแล้วนะ”

 

“อัยย์ไม่เคยคิดว่าจันทร์วุ่นวายนะ” เขาเอื้อมมือมาจับมือของผมเอาไว้ ดวงตาใสนั่นสั่นตอนที่มองหน้ากัน แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่สนใจแล้วเลือกจะพูดต่อ

 

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาขอโทษที่คงทำให้อึดอัดใจ”

 

“อัยย์ไม่...”

 

“จันทร์เคยชอบอัยย์จริงๆ แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว”

 

“อืม ... เลือกจะจริงจังกับน้องคนนั้นแล้วสินะ” อัยย์เสหน้าหลบตาผม แล้วก้มหน้าลงต่ำ มองไม่เห็นว่าเค้าทำหน้าตาแบบไหน หรือคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องกังวล

 

“ใช่ ... ตอนนี้จันทร์รักสมุทร และแน่นอนว่าจะจริงจังกับมัน จันทร์รู้ว่าไม่จำเป็นต้องมาบอกอัยย์ก็ได้ แต่จันทร์ไม่อยากให้สมุทรมันคิดมาก แต่สุดท้ายแม่งก็มาเจออยู่ดี”

 

“แคร์เค้ามากเลยนะ”

 

“อืม”

 

“มากกว่าที่เคยแคร์อัยย์หรือเปล่า” น้ำเสียงเบาๆ ที่ถามออกมาเบาหวิว ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง อัยย์เหมือนย้อนตัวเองกลับไปตอนเป็นเด็ก ท่าทางที่เคยถามผมในตอนที่เค้า5ขวบว่าจะไม่ทิ้งกันไปใช่ไหม แต่วันนี้มันต่างออกไป เค้าไม่ได้5ขวบ และตัวผมก็ไม่ใช่เด็ก4ขวบอีกแล้ว

 

“มันไม่เหมือนกันหรอกอัยย์ จันทร์เคยแคร์อัยย์มากที่สุด วันนี้ก็ยังแคร์อยู่เหมือนเดิม แต่แค่แคร์อัยย์ ในสถานะที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว และใช่...จันทร์แคร์สมุทรมากกว่าอัยย์ ในฐานะที่จันทร์กำลังรักมัน ไม่ใช่คนที่กำลังรักอัยย์”

 

“อืม เข้าใจแล้ว”

 

เค้าตอบรับกลับมาแค่นั้น และเป็นผมที่หมุนตัวกลับหลังหันเดินนำเขาออกไปจากห้างก่อน อยากจะรีบออกไปจากตรงนี้ อยากจะตรงกลับไปหาสมุทรแล้วบอกให้มันเข้าใจว่าผมมาทำอะไรที่นี่ อยากจะบอกออกไปไวๆ เพื่อให้มันเข้าใจว่าผมต้องการจะเริ่มต้นใหม่กับมันจริงๆ

 

#รักอยู่รู้ยัง

สำหรับตอนนี้น้านนนนน....

พี่พระจันทร์:(สะกิดทีมแม่ๆน้องสมุทร)




พี่พระจันทร์: จันทร์ไม่ใช่ลูกแม่หรอ นี่จันทร์เองไง จันทร์ที่แม่ๆเคยรักเคยใส่ใจตอนอยู่เรื่อง #หลงร้าย น่ะ


ฝากคนอ่านเข้าไปเล่แทค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แคทตามอ่านทุกข้อความเลยค่ะ

แล้วสามารถเข้ามาทักทายพูดคุยกับแคทได้เช่นเดิมทาง

TWITTER: YoghurtCatty

FACEBOOK: YoghurtCatty

และใหม่ล่าสุดทาง

IG: yoghurtcatty จ้า

 :pig4: :3123:

ขอขอบคุณคอมเม้นท์จากทางเล้าเป็ด

:n1: :a5:
  ขอบคุณมากๆนะคะ :mew1: :pig4:

ไอพี่พระจันทร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :beat: :beat: :z6: :z6:
มาอ่านตอนนี้ต่อก่อนนะคะทีมแม่น้องสมุทร :กอด1:


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ชอบความฟิวส์ขาดของน้องสมุทรจ้าาาาา :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่22



“สมุทร มึงโอเคป่ะวะ” ผมหันไปถามคนที่ตอนนี้นั่งเอาหัวพิงกระจกรถแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยอยู่ที่เบาะด้านหลัง ตั้งแต่ที่เดินออกมาจากห้างมันก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมกับสมุทรรู้จักกันมานานมากพอที่จะรู้ว่าตอนนี้เพื่อนผมมันไม่ปกติ ไม่มีเสียงร้องไห้สักแอะ หรือน้ำตาสักหยด ไม่มีอะไรจากมันเลยสักอย่าง มีแค่เพียงความเงียบที่ผมไม่คุ้นชิน ถ้าเป็นเมื่อสี่ปีก่อน เวลาที่มันเสียใจที่พี่พระจันทร์ไปเดตกับใคร หรือหายไปไหนกับพี่อัยย์สองคน มันก็ต้องมาโวยวายกับผมแล้ว



แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ... ต่างออกไปจากทุกที



“อย่าคิดมากไปก่อนเลย กูว่ามึงรอคุยกับไอ้จันทร์เถอะ” คนข้างตัวผม ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถพูดออกมาแบบนั้น คำพูดที่ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมอง ก็ไม่เคยมองว่ามันจะเป็นคนดีขนาดเข้าข้างพี่พระจันทร์ได้



“มองไรกูไอ้มาร์ช”



“ตกใจในความดีของพี่มึง ที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมา เหมือนกูเจอบ่อน้ำกลางทะเลทรายเลย” ผมว่าออกมาแบบนั้นแล้วทำตาโตพร้อมยกมือขึ้นทาบอก



“มึงอย่าเว่อร์ได้ไหม” ปรายตามามองกันแล้วพูดแบบนั้น ผมที่แค่ยักไหล่ใส่มันไปแบบไม่แคร์แล้วกอดอกพูดต่อแบบหน้าตาเฉย



“เรื่องจริงเลย กูนี่ขนลุกไปหมด”



“ขนลุกอะไร มึงเสียวหรอ”



“สัด” หันหน้าไปถลึงตาใส่มันทันทีที่มันพูดจบ ด่าออกไปแบบนั้นก็เห็นมันหันมามองกันแล้วด้วยสายตาวาววับ สายตาที่บอกให้รู้ว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมาต่อหน้าเพื่อนผม ถ้าอยู่กันสองคนกูจะตบให้หัวมึงทิ่มติดพวงมาลัย โชคดีหน่อยที่ไอ้สมุทรดูจะไม่ได้สนใจกับคำพูดของเรา



“หิวกันไหม เมื่อกี้ก็ไม่ได้กินอะไรนี่” มันเปลี่ยนเรื่องพร้อมรอยยิ้มที่ถูกจุดอยู่ที่มุมปาก สายตาคมๆ ของมันที่เอาแต่มองไปที่กระจกมองหลัง นั่นทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ได้ใส่ใจจะถามว่าผมหิวหรือเปล่า จริงๆ ก็คงเป็นห่วงไอ้สมุทรมันมากกว่าก็แค่นั้น



“สมุทรว่าไงมึง หิวไหม ถ้ามึงหิวปลาฉลาม ไอ้พี่ยอร์ชมันก็จะโดดลงทะเลไปจับให้มึงกินนะ” บอกออกไปแบบนั้น ไอ้พี่ยอร์ชก็แค่ปลายตามามองกันนิดหน่อย



“ไม่อ่ะ กลับบ้านเลยเถอะ” สมุทรมันตอบกลับมาด้วยเสียงเนือยๆ สภาพร่างกายที่ดูปกติดี แต่น้ำเสียงกลับดูอ่อนล้ามากเต็มที บางทีผมก็สงสัย มันจะมีวันนั้นไหม วันที่ไอ้สมุทรมันเหนื่อยกับการวิ่งตามคนๆ นึงมานาน จนรู้สึกไม่อยากทำอีกแล้ว



“เสียดายว่ะ กูอุตส่าห์นึกว่าจะได้ปล้นคนจะเลี้ยงสักหน่อย กูกำลังหิวพอดีเลย”



“เห็นแก่แดกนะมึงอ่ะ”



“เรื่องกูครับ” ตอบมันออกไปแบบนั้น ไอ้พี่ยอร์ชที่ส่ายหัวนิดๆ ให้กับคำตอบของผม ก่อนมันจะพูดประโยคต่อไปขึ้นมาทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว



“งั้นเดี๋ยวกูไปส่งสมุทร แต่ว่าบ้านมึงถึงก่อนบ้านไอ้สมุทรว่ะ งั้นเดี๋ยวกูส่งมึงก่อน”



“แล้วรถกูอ่ะ” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จริงๆ วันนี้มันสัญยาว่าจะมารับผมไปเอารถที่ไปเปลี่ยนยาง แต่พอเจอไอ้สมุทรก็ผิดแผนจากที่คิดไปหมด จริงๆ ผมไปเอาเองก็ได้ แต่มันดันสัญญากันไว้ แล้วตอนนี้กลับจะทำแบบนี้ มันก็น่าหงุดหงิดไหมล่ะ



“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปเอาได้ป่ะวะ” หันมามองหน้าผมแบบขอความเห็น แต่เป็นความเห็นที่กูไม่เห็นด้วย



“แล้วพรุ่งนี้กูจะไปมอยังไง”



“มึงก็ไปบีทีเอสก่อนไม่ได้หรอวะ บ้านสมุทรมันตั้งไกล กูต้องวนไปวนกลับ”



“มึงนี่แม่ง” กระแทกเสียงใส่มันแบบนั้น อยู่ๆ ก็รู้สึกฉุนขึ้นมา ถ้ามันไม่บอกไม่สัญญากันเมื่อเช้าผมคงไม่รู้สึกไม่ดีขนาดนี้ ทำไมจะไม่เข้าใจว่าจริงๆ มันคงอยากอยู่กับไอ้สมุทร



“เฮ้อ งั้นเดี๋ยวกูวนกลับมารับมึง” อยากจะพูดออกไปว่ามันจะง่ายกว่าไหมถ้าตรงไปส่งไอ้สมุทรแล้วเลยไปเอารถผม แล้วเราค่อยแยกย้ายกันไป มึงจะทำให้เรื่องง่ายๆ ให้กลายเป็นยากทำไม แต่ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะพูดอะไรกลับมันอีกแล้วในตอนนี้



“ไม่ต้อง”



“งั้นมึงจะเอายังไง”



“ไม่เอายังไง มึงไปส่งกูที่คอนโด แล้วจะไปไหนก็เรื่องของมึง”



“นี่มึงกำลังโมโหกูหรอวะ” ถ้ามึงเป็นเพื่อน กูคงพูดออกไปแล้วว่าสมองมึงไม่มีคิดเองหรอไอ้สัด แต่เพราะมันเป็นรุ่นพี่ที่ก็ไม่ได้สนิทอะไรมาก นอกจากที่เราเจอกันบ่อยๆ ตามผับ หรือที่ขยับมากขึ้นมาอีกหน่อยก็คงจะเป็นผู้ชายคนนึงที่ผมเผลอไปสแคลชไข่ช่วยกันให้เอาน้ำออก ... เรื่องราวระหว่างผมกับมันก็มีอยู่แค่นั้น แล้วจะไปโกรธมันทำไม



ผมไม่ตอบอะไรแค่หันหน้าหนีแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถแทน ... กูไม่มีอะไรจะพูดกับคนอย่างมึงแล้ว จบลงแค่นี้



“มาร์ช” มันกดเสียงต่ำพร้อมยื่นมือมาจับต้นแขนของผมเหมือนอยากให้ผมหันกลับไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง แต่เป็นผมเองที่สะบัดออกมือของมันออก



“ขับรถมึงไป แค่นั้น”



“ก็ถ้ามึงจะเอางั้น” ได้ยินเสียงมันสบถหงุดหงิดออกมานิดหน่อย ก็ช่างหัวมึงสิ มึงมีสิทธิอะไรมาหงุดหงิดกู



เหมือนที่กูก็ไม่มีสิทธิโมโหมึงเหมือนกัน...



กำมือเข้าหากันให้แน่น แล้วลืมมันไปซะ กับไอ้คำสัญญาดีๆ ตอนที่เรานอนกอดกันแล้วมันจูบลงมาที่หน้าผากแล้วกระซิบบอกกันว่าจะพามาเอารถในตอนเช้าที่ผ่านมานั่น ... ลืมมันไปซะ



รถบีเอ็มคันหรูที่เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าโถงทางเข้าคอนโด ผมปลดเบลท์ออกทันทีที่รถมันยังไม่ทันจะจอดสนิทดี หันไปบอกลาไอ้สมุทรที่ดูท่าทางเหม่อๆ มันพยักหน้าตอบรับผมน้อยๆ แบบขอไปที ท่าทางที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ของมัน ทำให้ผมไม่อยากเซ้าซี้ให้มันรำคาญใจ



“ถ้ามึงไม่สบายใจ โทรมาหากูได้นะ”



“ขอบใจนะ” มันที่ทำแค่พยักหน้าตอบรับผม แล้วลงจากรถมานั่งข้างหน้าแทนที่ของผม ผมหันหลังกลับออกมาจากตรงนั้นแล้วเดินตรงดิ่งเข้ามาในล็อบบี้ของคอนโดตัวเองทันที ตั้งใจจะขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดตรงที่ฝ่ามือหยาบของใครอีกคนที่มาคว้าข้อมือของผมเอาไว้ซะก่อน



“มาร์ช”



“มึงมีอะไรอีก” หันกลับไปมองมันพร้อมขมวดคิ้ว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังรู้สึกอะไร ก็แค่ไม่อยากพูดกับมันในตอนนี้



“เดี๋ยวกูกลับมารับ” มันบอกแบบนั้น สายตาคมๆ ของมันมองสบเข้ากับตาของผม อ่านไม่ออกสักอย่างว่าไอ้คิ้วเข้มๆ ของมันที่กำลัวขมวดเข้าหากันอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะอะไร แล้วก็ไม่อยากทำความเข้าใจอะไรกับมันมากไปกว่านี้ด้วย ผมดึงแขนของตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของมัน



“ไม่ต้อง กูจัดการเองได้”



“มึงจะไม่พอใจอะไรขนาดนั้นวะ ก็เดี๋ยวกูกลับมารับไง” ผมถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วจ้องหน้ามันเขม็งตอนที่ได้ยินมันถามออกมาแบบนั้น



“มึง ... กูจะไม่อะไรเลยนะ ถ้ามึงไม่บอกว่าจะมารับกูแล้วพากูไปเอารถ มึงสัญญากับกูไว้แบบนั้นไม่ใช่หรือไง”



“ก็ใช่ คือกูขอโทษ กูก็แค่...”



“มึงก็แค่อยากใช้เวลากับไอ้สมุทรเพิ่มอีกหน่อย จนลืมไปเลยว่าเมื่อเช้ามึงสัญญาอะไรไว้กับกู”



“เห้ยมาร์ช โอเคกูผิด กูไม่ได้คิดว่ามึงจะโมโหขนาดนี้” มันเดินเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อย สีหน้าของมันไม่สู้ดี แต่กูไม่สน ไม่สนสีหน้าหรือคำพูดอะไรของมึงทั้งนั้นแหล่ะ



“ก็เพราะมึงแม่งไม่เคยคิดอะไรนอกจากความเห็นแก่ตัวของตัวเองไงมันเลยเป็นอยู่แบบนี้”



“ไอ้มาร์ช แรงไปนะมึง” มันขมวดคิ้วแน่นตอนที่โดนผมด่าแบบนั้น พอโดนด่าจากความจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำเป็นรับไม่ได้ ผมแค่นยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะยิ้ม



“นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับคนที่ไม่คิดจะรักษาสัญญาแบบมึง”



“มึงแม่งไม่เคยคิดจะรักษาอะไรเลย มึงถึงไม่เคยมีอะไรเหลือไว้กับตัวเองสักอย่าง ไม่ว่าจะความรัก หรือเพื่อนของมึงไง” พูดกับมันจบแค่นั้น อีกคนที่ยังดื้อดึงพยายามจะเอื้อมมือมาจับกันไว้ แต่ผมไวกว่า ยกขาขึ้นเตะลงไปที่ข้อพับขาของมันที่นึงจนคนตรงหน้าเข่าทรุดลงไปกับพื้น เห็นแบบนั้นแล้วเดินหนี เห็นรปภ.ประจำคอนโดวิ่งตรงเข้ามา แต่ผมแค่เดินผ่านออกไป มันไม่ใช่การทะเลาะวิวาท มันก็แค่การไม่พอใจของผมคนเดียวล้วนๆ ผมไม่ใช่ไอ้สมุทร ผมไม่มีนิสัยจะทนรับความเจ็บปวดเอาไว้ฝ่ายเดียวหรอก



ถ้ากูรู้สึกแย่ มึงก็ต้องรู้สึกแย่ไปด้วยกัน จำเอาไว้!



...



“ขอบคุณนะครับพี่ยอร์ช” ผมยกมือไหว้คนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับตอนที่รถของเค้าจอดเทียบลงที่หน้าประตูบ้านของผม มองเข้าไปด้านในบ้านที่เงียบสงบ คิดว่าทะเลกับแม่คงขึ้นห้องนอนแล้ว ละสายตาจากตรงนั้นหันกลับมามองหน้าคนข้างๆ ตัวอีกครั้ง ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากกว่าการส่งยิ้มบางๆ อย่างขอบคุณไปให้ พี่ยอร์ชพยักหน้ารับนิดๆ สายตาของพี่เค้าที่เอาแต่จ้องมองหน้ากัน ท่าทางที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาสักอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็หุบปากลง พี่ยอร์ชดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวตลอดตั้งแต่ตอนที่ขับรถออกมาจากคอนโดของไอ้มาร์ช จริงๆ ก็งงนิดหน่อยที่สองคนนี้ไปสนิทกันจนถึงขั้นรู้คอนโดกันได้ยังไง



ถึงสงสัยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของผม



เพราะผมในตอนนี้ก็มีเรื่องให้ตัวเองต้องคิดมากพอแล้ว



“งั้นผมไปก่อนนะ”



“สมุทร” และในตอนที่กำลังจะลุกออกไป เสียงทุ้มเข้มจากอีกฝ่ายก็ดังออกมาขัดกันไว้ซะก่อน



“ครับ” ผมตอบรับแล้วหันไปมองอีกครั้ง พี่ยอร์ชที่ทำหน้าชั่งใจ สุดท้ายเค้าก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ เหมือนตัดสินใจอะไรได้สักอย่างก่อนจะส่ายหน้านิดๆ ใบหน้าหล่อเท่ของพี่ยอร์ชเสหน้าหันมองออกไปนอกรถอย่างที่ผมไม่เข้าใจว่าเค้าเป็นอะไร



“เคลียร์กับมันดีๆ” เค้าว่าออกมาแบบนั้น ผมมองตามสายตาเค้าออกไป ก็มองเห็นรถหรูอีกคันที่ผมคุ้นเคยดี มันถูกจอดเอาไว้ที่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของผม ละสายตากลับมาจากภาพตรงหน้านั่นแล้วพยักหน้าตอบรับพี่ยอร์ชนิดๆ ก่อนจะลงจากรถ ผมยืนส่งพี่ยอร์ช มองตามจนสุดสายตาแล้วจึงหันกลับมามองที่รถคันสีขาวที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกมาพร้อมๆ กับขายาวของคนร่างสูงที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี มีเรื่องสงสัยแค่เรื่องเดียวว่าทำไมเค้าถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ในตอนนี้ เหมือนว่าเค้าจะมาถึงบ้านผมนานแล้วด้วยซ้ำ



ขายาวๆ ก้าวเดินตรงมาหาผมไม่ช้าไม่เร็ว ก้าวยาวๆ ที่ดูหนักแน่นและไม่มีเสียงทักทายระหว่างผมกับเค้า แตกต่างไปจากทุกทีที่ผมมักจะเอ่ยทักเค้าพร้อมรอยยิ้มเสมอ แต่ในครั้งนี้ เวลานี้ ผมทำไม่ไหว



“ทำไมถึงพึ่งมาถึง” พี่พระจันทร์ถามออกมาแบบนั้น เค้าจ้องหน้าผมนิ่ง มองผมแบบไม่ละสายตา ต่างจากผมที่ทนมองหน้าเค้าไม่ไหวจนต้องเสหน้าหนี



“กูมาถึงที่นี่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว รอมึงมาครึ่งชั่วโมงแล้ว”



“แล้วยังไงล่ะครับ” ไม่รู้เพราะความน้อยใจ หรือภาพบาดตาผมตอนอยู่ที่ห้าง มันเลยทำให้ผมกล้าถามเค้าออกไปแบบนั้น ... พี่พระจันทร์มารอผมตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วยังไง ผมรอเค้ามาสี่ปีผมไม่เห็นจะมีสิทธิว่าอะไรเค้าสักคำ



“สมุทร”



“ผมบอกแล้วไงว่าถ้าพี่ไม่มีอะไรดีๆ จะพูดกับผมนอกจากเรียกชื่อ ก็อย่าพึ่งมาคุยกัน”



“แต่กูอยากคุยกับมึง”



“แล้วพี่จะอยากมาคุยกับผมทำไมวะ! คนที่พี่อยากคุยด้วยคือพี่อัยย์ไม่ใช่หรือไง ตอนนี้พี่ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ไม่น่ามายืนอยู่ตรงหน้าผมเลยสักหน่อย” สุดท้ายก็เผลอตะคอกเสียงดังออกไป ผมช้อนตามองหน้าเค้า รู้สึกร้อนๆ ที่หัวตาตอนที่พูดออกไปแบบนั้น ได้ยินน้ำเสียงของตัวเองที่พูดออกไปชัดเจนทุกคำ ทั้งๆ ที่ผมก็พยายามห้ามตัวเองแล้ว แต่สุดท้ายน้ำเสียงนั่นก็ยังเจือความเสียใจน้อยใจของตัวเองจนปิดไม่มิด น้องสมุทรมึงแม่งไม่เก่งเลยว่ะ



เหมือนเป็นความเสียใจที่ไม่อยากพูดออกไป เหมือนว่าก่อนหน้าผมจะพยายามเก็บเรื่องราวเอาไว้ให้ถึงที่สุด มากที่สุดเท่าที่คนแบบน้องสมุทรจะทำได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ผมเองก็เป็นแค่คนๆ นึง มีความรู้สึก และเสียใจเป็น ความรักมันมักจะทำให้เราคาดหวังเสมอ และเพราะว่าในทุกๆ วันก่อนหน้านี้ของเรามันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมก็เริ่มเผลอใจไปความสุขนั้น พอมาเจอเรื่องในตอนนี้ ผมเลยอ่อนไหวจนน่ารำคาญ



“ตอนนี้กูไม่มีอะไรจะคุยกับอัยย์แล้ว และกูก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่บอกมึง” พี่พระจันทร์พูดออกมาเสียงอ่อน



“ถ้าผมไม่บังเอิญไปเจอก็คงจะไม่บอกก็ได้อะไรแบบนั้นใช่ไหมล่ะ”



“ไม่ใช่แบบนั้น มึงฟังกันก่อนได้ไหม...สมุทร อย่าทำหน้าแบบนั้น” หน้าแบบนั้นคือหน้าแบบไหน



ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมทำหน้าแบบไหนออกไป แต่ฝ่ามืออุ่นของพี่พระจันทร์ก็เอื้อมมาจับที่ข้างแก้ม หัวแม่มือที่ลูบไล้ไปตามข้างแก้มของผมเบาๆ นั่นทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมา



มันเป็นความอบอุ่นที่ผมชอบ แค่จับกันเบาๆ ผมก็รู้สึกว่าตัวของผมจะละลาย



เป็นเหมือนสัมผัสที่ผมโหยหาอยากได้ แต่ก็ไม่เคยได้มันจริงๆ สักที



บางครั้งผมก็เหนื่อย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังฝืนหรือเปล่า แต่ถ้ายังอยากทำอยู่ก็คงจะไม่ฝืนหรอกจริงไหม



“ฟังกันก่อนได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มที่ติดปลายเสียงเว้าวอนกันนิดๆ ผมช้อนตามองหน้าพี่พระจันทร์ก่อนจะหลับตาลงแล้วเอียงหน้าเข้ากับฝ่ามือที่ยังสัมผัสอยู่ที่แก้มของผม พยายามจะใจเย็นแบบที่เคยเป็น เป็นน้องสมุทรของพี่พระจันทร์ที่พร้อมจะรับฟังเค้าเสมอ



“กูไม่ได้ตั้งใจจะปิดมึงเรื่องวันนี้อยู่แล้ว กูแค่อยากไปเคลียร์กับอัยย์ให้จบ แล้วกลับมาเล่าให้มึงฟัง” ผมปรายตามองหน้าเค้าตอนที่พูดออกมาแบบนั้น



“จริงๆ กูไม่ได้คิดจะปิดมึงเลย” ฝ่ามืออุ่นที่ไล่จากกรอบหน้าของผม เลื่อนลงมาที่ลำคอ ต้นแขน แล้วหยุดลงที่ฝ่ามือ



“กูจะบอก ตั้งใจจะบอกมึงทุกอย่างเลย” พี่พระจันทร์พูดออกมาด้วยเสียงหนักแน่นและใจเย็น เหมือนเป็นครั้งแรกที่คนตรงหน้าผมไม่ใจร้อนใส่กัน



“ทุกอย่าง...” ผมทวนคำเหมือนคนโง่ ช้อนตามองสบสายตาคมที่มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่เจอกันเค้าก็เอาแต่สบตาไม่ละสายตาไปไหน มีแต่ผมด้วยซ้ำที่เอาแต่หลบสายตานี่



“อืม ทุกอย่าง...ทุกอย่างจริงๆ เพราะงั้นช่วยฟังกันก่อนได้ไหม”



“......” ผมไม่มีคำพูดอะไรให้กับเค้า นอกจากความเงียบที่โรยตัวลงมาระหว่างเรา เพราะแบบนั้นคนตรงหน้าเลยเปิดปากพูดต่ออย่างใจเย็น



“จะโกรธกันก็ได้ แต่อยากให้มึงฟังก่อน ... นะ”



“ตอนแรกตั้งใจจะนัดเจอกันธรรมดาๆ ที่บ้าน ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปเดินเล่นที่ห้างกินข้าวหรืออะไรกันแบบที่มึงเห็น แต่อัยย์ไม่มีรถ และเค้าขอให้กูพาไป กูแค่คิดว่าถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย กูก็ทำให้ได้”



“ครั้งสุดท้าย” ผมหลุดปากพูดออกไป จ้องตาพี่พระจันทร์ที่ยังคงนิ่งจ้องหน้าผมอย่างใจเย็น สายตาสวยของเค้าที่จ้องมองตรงมาที่ผมอย่างจริงใจ น้ำเสียงหนักแน่นและใจเย็นในทุกๆ คำพูดของเค้าทำให้ผมสั่นไหว เหมือนอะไรบางอย่างที่ถูกกดทับอยู่ในใจ มันกลับเบาลงเหมือนถูกเค้ายกมันออก



“ใช่ กูตั้งใจไปคุยอัยย์”



“คุย อะไรครับ”



“กูไปบอกกับอัยย์ ว่าตอนนี้กูจริงจังกับมึงอยู่ อยากให้เค้าเข้าใจว่ากูคงทำอะไรกับเค้าแบบที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว จริงๆ กูจะไม่ทำแบบนั้นก็ได้ แต่กูไม่อยากให้มึงรู้สึกว่ากูยังไม่จบกับอัยย์จริงๆ แต่ก็ยังมายุ่งกับมึง กูรู้ว่าเรื่องนี้มันสำคัญกับมึง สำคัญกับเราที่จะเริ่มต้นกันใหม่ เพราะแบบนั้นกูเลยไปเจออัยย์วันนี้” พูดพระจันทร์พูดมันออกมาง่ายๆ เหมือนตั้งใจมาบอกเล่า มาถ่ายทอดเรื่องราววันนี้ให้ผมฟังจริงๆ แต่ทุกถ้อยคำที่เค้าพึ่งพูดออกมาเมื่อกี้มันกลับทำให้ผมสับสน มึนงง และใจสั่น เค้ากำลังหมายความว่าเค้าแคร์กัน ที่พยายามทำอยู่คือทำเพื่อผมงั้นหรอ



“ล...แล้ว...ทำไมตอนนี้พี่ถึงมาอยู่ตรงนี้” พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเค้าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้สิ ผมออกมาจากห้างก่อนเค้าด้วยซ้ำ แต่ก็พึ่งมาถึง แล้วพี่พระจันทร์มาถึงก่อนผมได้ยังไง



“ก็กูรีบมาหามึง อยากมาอธิบายให้เข้าใจ แค่เห็นหน้ามึงที่ห้าง ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดไปใหญ่โต”



“น้องสมุทรก็แค่...” ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ครุ่นคิดว่าควรจะพูดมันออกมาไหม ผมมีสิทธิจะพูดมันไหม



“หื้ม” พี่พระจันทร์ตอบรับด้วยเสียงทุ้มในลำคอ ใบหน้าหล่อที่ก้มมองต่ำลงมาที่หน้าของผมเพื่อหาคำตอบอย่างใจเย็น



“...น้องสมุทรแค่ไม่ชอบเห็นพี่อยู่กับเค้า ไปส่งเค้า เดินไปด้วยกันในที่ๆ ผมตามไปไม่ได้...” บอกออกไปเสียงเบา เม้มปากและกำมือเข้าหากันแน่นๆ ความรู้สึกบางอย่างเสียดขึ้นมาที่อก เวลาที่เห็นเค้าสองคนอยู่ด้วยกัน คนที่ผมรู้ดีอยู่เต็มอกว่าเค้าเคยรักมาก่อน ผมรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองอ่อนไหวมากเกินไป รู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตา และปลายจมูกก็แสบร้อนขึ้นมาเหมือนอยากจะร้องไห้แค่นึกถึง



“กูไม่ได้ไปกับเค้า กูไม่ได้ไปส่งอัยย์แล้ว”



“พี่หมายความว่ายังไง”



“กูโทรเรียกให้ไอ้อาทิตย์ไปส่งอัยย์”



“ได้ไง”



“ก็ทำไมจะไม่ได้ ยิ่งช้ามึงก็ยิ่งคิดมากไม่ใช่หรือไง” เขาเลือกจะกลับมาหาผม เพราะว่ากลัวว่าผมจะคิดมากอย่างงั้นหรอ ... หัวใจของน้องสมุทรมันก็เหมือนมหาสมุทร ที่แค่โดนหินก้อนเล็กๆ กระทบใส่ผิวน้ำ ก็กระเพื่อมแตกกระจายเป็นวงกว้าง แต่แค่คำพูดไม่กี่คำของคนตรงหน้า มันก็กลับมาสงบได้เหมือนเดิม



“ขอโทษที่ผมงี่เง่านะ” เลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้น ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้ ในตอนที่แสดงท่าทีแบบนี้แล้วใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วน้อยๆ มองหน้ากัน



“ใครบอกว่ามึงงี่เง่า”



“น้องสมุทรบอก...”



“แต่กูไม่ได้บอก กูเข้าใจที่มึงจะไม่พอใจ หรือไม่สบายใจที่เห็นกูอยู่กับอัยย์” ฝ่ามืออุ่นกระชับเข้ากับฝ่ามือของผมแน่นขึ้น ท่าทางที่พยายามจะทำให้ผมมั่นใจ



“มันก็เป็นความงี่เง่าไม่ใช่หรอครับ ก็ผมกับพี่เราไม่ได้...” ผมหยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้แค่นั้นในตอนที่มองเห็นใบหน้าตรงหน้าขมวดคิ้วและจ้องตาดุ เค้าไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่ผมก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนดุ



“กูชอบมึง”



“...ครับ”



คำบอกชอบกันที่ถูกพูดออกมาแบบที่ผมไม่ได้เตรียมใจมารับฟัง ทำให้ความรู้สึกสับสนจนพูดอะไรไม่ออก เหมือนคนบื้อใบ้ที่ความเข้าใจสับสน พี่พระจันทร์จับจ้องทุกส่วนบนหน้าของผม ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นลูบใล้ข้างแก้มของผมเบาๆ อีกที



“มันอาจจะช้าไปสักหน่อยที่จะมาพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้กูชอบมึง และเพราะว่ากูชอบขนาดนี้ มึงจะเป็นคนที่ไม่มีสิทธิในตัวกูได้ยังไง”



“พี่พระจันทร์” รู้สึกว่าเสียงของผมสั่น ความรู้สึกกดดันเสียใจเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เคยเกิดขึ้นเหมือนมันไม่เคยมีอยู่จริง ฝ่ามือแกร่งที่ดึงตัวผมเข้าไปกอด และผมเองก็กอดตอบเค้ากลับไปเช่นกัน ไม่มีความรู้สึกสนใจว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน จะมีใครเห็นเราหรือเปล่า ...ผมไม่สน



“ขอโทษที่ให้รอนาน แต่ตอนนี้มึงไม่ต้องรอแล้วนะ ... ที่บอกว่าเริ่มต้นใหม่ กูไม่เคยล้อเล่น กูอยากเริ่มกับมึงจริงๆ”



“ฮึก...พี่ชอบผม”



“ใช่”



“พี่ ผม...”



“สับสนไปหมด ก็เพราะมึงเป็นแบบนี้ไง ถ้าขืนไม่พูดชัดๆ ออกไปก็ยังคงคิดว่ากูรู้สึกผิดอยู่ล่ะสิ”



“ก็พี่” ผมผละตัวออกมาจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า ช้อนตาที่มีน้ำตาคลออยู่ขึ้นมอง พี่พระจันทร์ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมส่ายหัว ก่อนจะส่งนิ้วเรียวมาเช็ดน้ำตาของผมให้หมดไป



“กูไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกผิด ก็นั่นมันครั้งแรกของมึงไม่ใช่หรือไง”



“แต่ผมไม่ได้เสียใจ”


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ


“แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะแบบนั้น นั่นล่ะคือเรื่องที่กูรู้สึกผิด แต่ที่กูทำให้มึงอยู่ทุกวันนี้ ไปรับไปส่งไปหาพากินข้าว เพราะใจกูอยากทำ ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกอยากชดเชยอะไรหรอก แต่ถ้าจะให้กูชดเชย ก็ให้กูชดทั้งชีวิตกูไปเลยละกัน”



“นี่พี่จะขอผมเป็นแฟนหรอ”



“เปล่า”



“อ่า...” อ้าปากค้างกับคำพูดตรงๆ แบบนั้น เผลอคิดไปมากมายอีกแล้วไอ้น้องสมุทร หน้าอายฉิบหายเลยว่ะ พี่

พระจันทร์ยกยิ้มมุมปาก ท่าทางมีเลศนัยของเค้าทำให้ผมไม่เข้าใจ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่เค้าก็เอาแต่ทำอยู่แบบนั้น



“ยังไม่ใช่วันนี้ ... แต่เร็วๆ นี้รอหน่อยได้หรือเปล่า” หัวใจของผมเต้นตึกตักกับคำพูดแบบนั้นของเค้า



หมายความว่ายังไง หมายความว่าเค้าจะขอผมเป็นแฟนเร็วๆ นี้หรอ



“พี่หมายถึง...”



“ไม่บอก”



“พี่พระจันทร์อ่ะ” อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนต้องยกมือขึ้นต่อยที่อกแกร่งแรงๆ หนึ่งทีอย่างไม่สบอารมณ์ คนที่ปั่นหัวปั่นอารมณ์ของผมให้ปั่นป่วนได้ขนาดนี้มันก็มีแค่เค้า พี่พระจันทร์หัวเราะออกมาแล้วเริ่มยิ้มกว้างขึ้น ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปฟัดอีกครั้ง



“ขอโทษที่ทำให้มึงต้องมาเห็นกูกับอัยย์วันนี้ ต่อจากนี้ถ้ามึงไม่อยากให้กูเจอ กูก็จะพยายามทำให้”



“แบบนั้นพี่จะทำให้ผมกลายเป็นคนที่บังคับและบงการความรู้สึกพี่นะครับ” แบบนั้นมันก็ไม่แฟร์สิ ถ้าใจเค้ายังอยากเจอ แต่เป็นเพราะผมสั่ง มันจะมีประโยชน์อะไร



“แค่พูดมาว่าอยากให้กูไปเจอไหม อยากให้กูไปเจอกับอัยย์อีกหรือเปล่า”



“ผม ...” สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวที่พี่พระจันทร์ชอบใช้ สูดเข้าไปลึกๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกนี้



“ผมคิดว่าควรเอาตามความรู้สึกที่พี่อยากทำเถอะ ถ้าพี่อยากไปหาพี่อัยย์ พี่ก็แค่ไปหาเค้า...แต่แค่ไม่ต้องให้ผมรู้ก็พอ”



“มึงพูดอะไรแบบนั้นวะ ถ้าทำแบบนั้น ความเชื่อใจของมึงที่มีให้กูมันก็จะหายไปทุกครั้งที่กูไม่อยู่กับมึงไม่ใช่หรอ ถึงแม้ว่ากูจะไปหาอัยย์หรือไม่ได้ไป แต่มึงก็คงคิดว่ากูต้องไปหาเค้าอยู่แล้ว จินตนาการมันน่ากลัวนะสมุทร”



สิ่งที่พี่พระจันทร์พูดออกมามันเป็นเรื่องจริงที่ผมลืมนึกถึง เพราะต่อให้ผมจะบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องมาบอกกัน แต่สุดท้ายผมก็คงคิดแบบนั้น คิดว่าเค้ากลับไปหากันอยู่ดี



“กูจะพยายามเจออัยย์ให้น้อยที่สุด และถ้าเจอ กูจะไม่อยู่กับเค้าแค่สองคน โอเคไหม...และอีกเรื่องที่กูสัญญากับมึงได้ คือกูจะไม่โกหกมึง”



“สัญญานะครับ” ผมช้อนตามองคนตรงหน้า คนที่พึ่งบอกกันว่าวันนี้เค้าก็ชอบผมเหมือนกัน ความรู้สึกฟูในใจมากขึ้นไปทุกทีๆ ในตอนที่นิ้วเรียวยาวของคนตรงหน้ายื่นมาเกี่ยวก้อยสัญญากับนิ้วก้อยของผม การทำตัวเป็นเด็กๆ ที่ไม่คิดว่าคนแบบพี่พระจันทร์จะทำ ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้



“สัญญา”



“พี่พระจันทร์ ผมถามได้ไหม”



“อื้ม ถามสิ” วงแขนแกร่งที่โอบกระชับแผ่นหลังของผมแน่นๆ ทำให้ตัวของเราแนบชิดหากันมากขึ้นกว่าเดิม นิ้วเรียวสวยของพี่พระจันทร์ที่ลูบเบาๆ ไปตามแผ่นหลังเหมือนปลอบประโลมนั่นทำให้ผมรู้สึกดี รู้สึกดีจนกล้าที่จะถามคำถามนี้ออกไป



“พี่บอกว่าพี่ชอบผม แล้วกับพี่อัยย์ตอนนี้...”



“กับอัยย์ทำไม”



“ยังชอบอยู่ไหมครับ” พอถามออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็ดึงตัวผมออกมาจ้องตากับเค้า



“สมุทร กูอาจจะเคยชอบอัยย์ และใช่ กูเคยชอบอัยย์มากที่สุด ตอนนี้กูอาจจะยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กับอัยย์ แต่มันใช่ความรู้สึกที่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่างน้อยๆ ในตอนนี้กูไม่ได้รู้สึกอยากอยู่กับอัยย์ เหมือนที่อยากอยู่กับมึง ไม่ได้รู้สึกห่วงอัยย์เหมือนที่ห่วงมึง ไม่ได้รู้สึกอยากกอดอัยย์เหมือนที่อยากกอดมึง” พี่พระจันทร์ใช้หน้าผากชนเข้ากับหน้าผากของผม สายตาสวยที่มีขนตางอนยาวจ้องตาผมไม่กระพริบ ก่อนจะพูดต่อออกมาว่า



“ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันพวกนี้ มันพอจะอธิบายให้มึงเข้าใจได้ไหม ว่ามึงแตกต่างกับอัยย์ยังไง”



“สมุทร...ตอนนี้คนที่ทำให้กูอยากเริ่มต้นใหม่และไปต่อได้ มันไม่ใช่อัยย์อีกแล้ว แต่มันคือมึง...เข้าใจหรือยัง”



“เข้าใจแล้วครับ” ผมพยักหน้าตอบรับ ความรู้สึกแย่ๆ ที่มีก่อนหน้านี้ถูกเป่าทิ้งไปเพราะคำพูดง่ายๆ ที่หนักแน่นและชัดเจนของพี่พระจันทร์แค่ไม่กี่ประโยค พี่พระจันทร์คลี่ยิ้มสวยแบบที่ผมไม่เคยได้รับ แล้วกอดกระชับโอบกอดตัวผมให้จมเข้าไปอยู่ในอกแน่นขึ้นไปอีกไม่ต่างจากตัวผมที่ก็กอดเค้าเอาไว้แน่นๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งตกใจเมื่อฝ่ามือใหญ่ตีลงที่ก้นของผมจนสะดุ้งหน้าแดง



“โอ๊ย”



“แล้วไปกับไอ้ยอร์ชทำไม”



“ผมเปล่าไปกับพี่ยอร์ชนะ”



“ยังจะดื้อเถียงกูอีก ไปกับมันทำไม หึงนะ”



“พูดอะไรของพี่ครับเนี่ย น้องสมุทรก็ไปเพราะเรื่องของพี่ต่างหากล่ะ” บ่นออกมาอุบอิบก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลุดพูดถึงของขวัญออกไปซะแล้ว พอช้อนตามองคนตรงหน้าก็จ้องตากันแบบสงสัย ผมเม้มปากนิดๆ ส่วนพี่พระจันทร์ก็ยกยิ้มมุมปาก ยื่นหน้าเข้ามาเอาจมูกเข้ามาคลอเคลียที่ข้างแก้มกันจนผมหน้าแดง



“พี่พระจันทร์ ทำไรเนี่ย”



“ไหนล่ะคำตอบ มึงยังพูดไม่หมดเลย สรุปไปเพราะกู เพราะเรื่องอะไร”



“อ่า”



“จะตอบไหม” กระซิบออกมาเสียงพร่าแล้วกดปลายจมูกลงบนแก้มผมทีนึงจนผมสะดุ้ง มองซ้ายมองขวา ดีที่ว่าทุกบ้านในตอนนี้ปิดไฟเงียบกันไปหมดแล้ว



“พี่พระจันทร์อย่าแกล้ง” พยายามดึงตัวออกมาจากอกแกร่งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อย ปลายจมูกได้รูปไล้มาตามกรอบหน้าจนมาถึงที่ลำคอ ผมขนลุกไปทั้งหลัง พยายามเม้มปากให้แน่นที่จะไม่สงเสียงแปลกๆ ออกไป แต่สุดท้ายที่ริมฝีปากสวยกดลงที่ลำคอจนสะดุ้ง ผมก็ยอมแพ้ตะโกนออกมาเสียงดัง



“ยอมแล้วๆ! น้องสมุทรไปซื้อของขวัญให้พี่พระจันทร์ไง!”



“หื้ม” ผละหน้าออกมาจ้องตากันพร้อมรอยยิ้มที่ชอบอกชอบใจและในตาสวยที่ผมมองเห็น มันกำลังบอกว่าเค้าดีใจ



“พังหมดเลยแผนการเซอร์ไพร์สของผม” บ่นออกมาแบบนั้นแต่พี่พระจันทร์กลับยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้า



“รู้ก่อนแล้วไง แค่นี้กูก็ดีใจแล้ว สรุปไปซื้ออะไรมา” เค้าถามออกมาแบบนั้น ส่วนผมก็แค่ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยื่นถุงกระดาษที่ผมถือเอาไว้อยู่แล้วส่งไปให้



“พี่พระจันทร์อาจมีทุกอย่างแล้ว แต่น้องสมุทรก็ยังอยากให้”



“หื้ม...น้ำหอม”



“ครับ น้ำหอมกลิ่นสมุทร” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ซอกคอแกร่ง เอียงหน้าเป่าลมเบาๆ ลงที่ข้างหู รับรู้ได้ว่าพี่พระจันทร์ชะงักตัวไปนิดๆ เห็นแบบนั้นแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะพูดออกไปต่อว่า



“ฉีดแล้วจะได้รู้สึกเหมือนกอดน้องสมุทรอยู่ไง” บอกออกไปแบบนั้นและเหมือนกับกำลังท้าทายตัวเองที่สุดเท่าที่เคยทำมา ในตอนนี้ที่ผมตัดสินใจยืดตัวขึ้นไปจูบเบาๆ ที่สันกรามได้รูป ก่อนจะใช้ฝ่ามือเอื้อมลงไปลูบไล้เบาๆ ที่แกนกายอีกฝ่ายผ่านกางเกงนักศึกษาที่พี่พระจันทร์ใส่อยู่ รับรู้ได้ถึงการเกร็งสะท้านผ่านมือของผม ยิ้มออกมาน้อยๆ ในตอนที่ลูบไล้เน้นย้ำจนมันขึ้นรูปชัดเจน ก่อนจะผละออกมา



“สมุทร” เค้าว่าเสียงเข้ม จ้องตาผมด้วยสายตาวาววับ แต่ผมกลับถอยตัวหนี



“น้องสมุทรง่วงแล้วล่ะ พี่พระจันทร์กลับไปได้แล้วนะครับ” บอกแบบนั้นแล้วส่งยิ้มหวานไปให้ พี่พระจันทร์ชะงักแล้วมองผมอย่างคนทำอะไรไม่ถูก



“ไปๆ กลับๆ”



“มึงนี่มัน...”



“น้องสมุทรทำอะไรพี่ยัง”



“ทำ ทำเยอะเลยล่ะ...อย่าให้ถึงทีกูบ้างก็แล้วกัน” ว่าออกมาเบาๆ อย่างคนอดทนอดกลั้น ส่วนผมแค่ยักไหล่ทำทีเป็นไม่สนใจก่อนจะพูดต่อ



“ถือเป็นการทำโทษที่ทำให้ผมเสียใจไงล่ะ”



“เฮ้อ ก็ได้ ยอมหมดเลย ยอมมึงหมดเลยครับ” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นเสยผมแบบลวกๆ ท่าทางอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้นั่นทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ยกมือขึ้นโบกมือบ๊ายบายให้คนตรงหน้าที่ทำท่าเดินละล้าละลัง เหมือนอยากกลับ แต่ก็อยากพุ่งเข้ามาขย้ำกันมากกว่า ท่าทางตลกแบบนั้นที่ทำให้ผมยิ่งอารมณ์ดี นานๆ ทีคนแบบพี่พระจันทร์จะไปไม่เป็น



“กูกลับก็ได้ ... เดี๋ยวพรุ่งนี้มารับไปเรียน”



“ฝันดีนะครับ”



“อืม ฝันดี” ว่าแบบนั้นแล้วในที่สุดก็ตัดใจหันหลังกลับไปที่รถอย่างยอมจำนน



“สมุทร”



“ครับ”



“ตอนนี้กูชอบมึง มีแค่มึง...ชอบแค่มึงจริงๆ ไม่มีใครแล้ว”



ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง มองจ้องสายตาสวยที่มองตรงมาที่ผม น้ำเสียงหนักแน่นที่อยากบอกให้ผมมั่นใจ พยักหน้าตอบกลับไปเบาๆ และยิ้มออกมา เป็นความรู้สึกเบาใจที่ความกังวลความเสียใจก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง ก็เพราะแค่คนนี้ คนที่ชื่อว่าพระจันทร์บอกว่าชอบกันอยู่คนเดียวในตอนนี้



“ครับ ผมก็รักเหมือนกัน”



#รักอยู่รู้ยัง



กรี๊ดดดด น้องสมุทรอย่าเล่นกับของใหญ่ลูก!!

ไฮ เฮลโหล อันยอง!!

มาแล้วเธอจ้า เรื่องราวบ้าๆที่หนูอยากให้(อ่าน) อิอ๊ะ

คิดถึงฉันไหมคนดี (ใครถึงมึงมุงเอ่ย)

คิดถึงแค่ไหนขอฟังงงงง (ก็คนอ่านบอกไม่คิดถึง เซ้าซี้อิไรท์คนนี้!)

ถึงไม่มีใครคิดถึง แต่แคทคิดถึงทุกคนนะคะ ขอโทษที่อาทิตย์ที่แล้วหายไปด้วยนะคะ

-------------------

ฝากคนอ่านเข้าไปเล่แทค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แคทตามอ่านทุกข้อความเลยค่ะ

แล้วสามารถเข้ามาทักทายพูดคุยกับแคทได้เช่นเดิมทาง

TWITTER: YoghurtCatty

FACEBOOK: YoghurtCatty

และใหม่ล่าสุดทาง

IG: yoghurtcatty จ้า


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Love ewan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พี่พระจันทร์ยอมทุกอย่าง คนคลั่งรัก

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่23



“เฮ้อ เหนื่อยจังโว้ย ทำไมอาจารย์ชอบหาเรื่องยากๆ มาให้ทำรายงานเรื่อยเลยวะ” ผมบ่นออกมาแบบนั้น แล้วเอาหน้าแนบลงไปกับโต๊ะ นี่เป็นเวลาผ่านมาสามวันแล้วที่ต้องขลุกตัวอยู่ที่ห้องสมุดกลางของมหาลัย ขลุกอยู่แทบจะทั้งวันจนน้องสมุทรแทบจะทนไม่ไหวแล้ว



“ชู่ว เงียบหน่อยสิวะไอ้สมุทร นี่มันห้องสมุดนะเว้ย”



“ก็แล้วทำไมต้องเงียบอ่ะ มึงก็บอกอยู่ว่านี่มันห้องกู ห้องสมุทร เพราะงั้นตามสบายเลยนะมาร์ช ทำตัวเหมือนบ้านมึงเลยเพื่อน”



“มุขเหี้ย ถ้าถูกจับโยนออกไป กูจะทำเป็นไม่รู้จักมึงเลย” มันทำหน้าดุพร้อมด่าออกมาแบบนั้น ปัดโถ่เอ๊ย



“ดุจังเลยอ่ะแม่ วันนี้ไปกินรังแตน แดกอุ้งตีนหมีที่ไหนมาหรอ” ผมเอียงหน้าเข้าไปถามพร้อมยิ้มกว้างออกมาอย่างล้อๆ มองเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของมันที่ขมวดคิ้วเข้าหากันจนมุ่นไปหมด มันที่วางหนังสือในมือตัวเองลงแล้วหันมาจ้องหน้าผม



“กูจริงจัง”



“จอมแก่นหรอ”



“สัด!”



“โอ๊ย” ร้องออกมาเพราะไอ้มาร์ชเอื้อมมือมาตับหัวกันเสียงดัง ลูบหัวปอยๆ แล้วมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครสนใจเรา



“กวนตีนกูนักนะ งานจะเสร็จไหม”



“จริงๆ มันก็น่าจะเสร็จมาหลายวันแล้วไหม มีแต่มึงนั่นแหล่ะบอกต้องหาตรงนั้นตรงนี้เพิ่ม จนกูงงว่ามึงรักห้องสมุดอะไรนักหนา ทำตัวเหมือนไม่อยากเจอใครเลยต้องมาสิงอยู่ที่นี่”



“กูไม่ได้หลบหน้าใคร!”



“นักศึกษาโต๊ะนั้น ช่วยเบาเสียงด้วยค่ะ” ทั้งผมทั้งไอ้มาร์ชสะดุ้งตกใจกับเสียงเข้มๆ นั่นทันที พอหันกลับไปก็เจออาจารย์บรรณารักษ์ที่กำลังมองมาทางเราด้วยสีหน้าข่มขู่ ผมยกมือขึ้นไหว้ปรกๆ เลยทันที หันกลับไปถลึงตาใส่ไอ้เพื่อนมาร์ชทันที



“แล้ว มึงตะโกนขึ้นมาทำห่าไร” กระซิบลอดไรฟันบอกออกไปแบบนั้น ไอ้มาร์ชก็เอาแต่ขมวดคิ้ว



“ก็มึงพูดจากวนตีน”



“กูทำอะไรยัง แค่ถามเนี่ย” ว่าแต่ผมถามอะไรถึงไปขยี้ใจมันนักหนา มองหน้ามันแบบขอคำตอบ แต่ไอ้มาร์ชก็ทำแค่ส่ายหน้าแบบหัวเสีย มันที่ปิดหนังสือเล่มหนาในมือแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้



“กูจะไปหาหนังสือมาเพิ่มเพื่ออ้างอิง” บอกแบบนั้นแล้วก็ลุกจากโต๊ะไปเลย ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างๆ ของเพื่อนตัวเองที่เดินจากไป ขายาวๆ ของมันที่เอาแต่จ้ำพรวดๆ หายไปในดงหนังสือนั่นทำให้ผมมองไม่เห็นมันแล้ว น้องสมุทรได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวเลยในจุดๆ นี้



“ไม่ได้สระผมหรือไง เกาอะไรนักหนา” เสียงของคนมาใหม่ทำให้ผมสะดุ้ง ช้อนตาเงยหน้าไปมองก็เห็นใบหน้าหล่อๆ ที่ผมคุ้นเคยดี และเจอใบหน้านี้ตามมานั่งเฝ้าที่หอสมุดกลางในทุกๆ วัน



“พี่พระจันทร์เลิกไวหรอครับวันนี้” ผมถามออกไปพร้อมรอยยิ้มแบบที่ชอบทำเสมอ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนตรงหน้าก็วางมือลงมาที่หัวของผม ความอบอุ่นแล่นวาบจากจุดที่เค้าวางมือลงไปถึงหัวใจของผม พี่พระจันทร์ยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบกลับ



“เลิกไว เลยบอกให้อาจารย์รีบปล่อย อยากมาหาคนที่ชอบ” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วเก็กหน้าหล่อที่ทำให้สาวเหลียว ส่วนน้องสมุทรเผลอเสียวอยู่นิดหน่อย ง่อว~ มุกเสี่ยวเกี่ยวใจเลยไหมล่ะ



“ทำหน้าอะไรแบบนั้น”



“น้องสมุทรทำหน้าอะไร”



“ทำหน้าหื่นกาม”



“พูดไป! ใครทำ”



“ใครล่ะทำนอกจากมึงน่ะ คิดไม่สื่อกับกูใช่ไหม” ยกยิ้มมุมปากมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ย์ ก่อนจะยื่นมือมาบีบจมูกผมเบาๆ ท่าทางที่บอกผมว่าเค้ากำลังหมั่นเขี้ยวผมเหมือนเด็กๆ



“คิดไม่ซื่ออะไรของพี่กันเล่า น้องสมุทรเปล่าสักหน่อย” ย่นจมูกใส่คนตรงหน้านิดๆ ที่โดนหาว่าคิดไม่ซื่อ มันจะมีใครใสซื่อไปมากกว่าน้องสมุทรหรอครับ ผมล่ะอยากจะถามจริงๆ



“แล้วนี่ทำงานใกล้เสร็จหรือยัง”



“จริงๆ มันก็ควรจะเสร็จตั้งแต่หลายวันแล้วครับ แต่ไอ้มาร์ชมันเกิดบ้าอะไรไม่รู้ เดี๋ยวอยากแก้นู่นแก้นี่ เฮ้อ”



“เหนื่อยมากเลยสิ”



“มาก แต่น้องสมุทรเก่ง น้องสมุทรไหว” ตอบรับกลับไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง จริงๆ มันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น ผมแค่หาเรื่องเอียงหัวเข้าไปซบไหล่พี่พระจันทร์เฉยๆ ช้อนตามองหน้าเค้าจากมุมนี้ คนตรงหน้าที่ก้มหน้าลงมามองตาผมอย่างรู้ทันแล้วยกยิ้มมุมปาก



“ร้ายนะมึง”



“เห้ย ไอ้เรามันก็ตัวแค่นี้ เล็กๆ น่ารัก จะไปร้ายอะไรกันอ่ะครับ”



“แล้ววันนั้นที่ลูบไข่กู...”



“เห้ยๆ เงียบนะ พูดอะไรออกมาเนี่ย” ตาลีตาเหลือกลุกลี้ลุกลนจนต้องยื่นมือขึ้นไปปิดปากเค้า แต่พี่พระจันทร์ที่ใช้สายตาแพรวพราวมองหน้ากัน เค้ายอมหยุดพูดแต่ก็ใช้มือข้างซ้ายของตัวเองดึงมือของผมออกจากปาก ก่อนที่มือข้างขวาของเค้าจะช้อนปลายคางของผมให้เงยหน้ามากขึ้น พร้อมๆ กับใบหน้าคมที่เลื่อนเข้ามาใกล้



“พูดความจริง” กระซิบคำพูดนั้นออกมาเบาๆ แล้วก้มหน้าลงเอาริมฝีปากแนบไวๆ ลงมาที่ปากของผมก่อนจะผละออก ความรู้สึกร้อนหน้าลามขึ้นมาจนร้อนไปหมด รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นถี่ๆ เหมือนมันอยากจะกระเด็นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด



แล้วพี่พระจันทร์จะแรงเพื่อ!



“น่ารักว่ะ”



“อ...อะไรเล่า”



“ป่ะ กลับกันเหอะ อยากฟัดมึงว่ะ”



“พูดอะไรของพี่พระจันทร์เนี่ย” ผมผละตัวออกมา แต่มือก็คว้าสมุดจดและหนังสือต่างๆ มาเก็บใส่กระเป๋า ... ก็น้องสมุทรไม่อยากให้พี่พระจันทร์คอยนานนี่นา



“อ้าว มานานแล้วหรอพี่” ในตอนนั้นไอ้มาร์ชก็เดินกลับมาพร้อมหนังสือที่หอบมาจนเต็มวงแขนของมัน พี่พระจันทร์พยักหน้ารับ ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วกับสิ่งที่เห็น



“นี่พ่อมาร์ช มึงเอาหนังสือมาทำห่าไรอีก”



“มึงกลับไปกับพี่พระจันทร์เลย อันนี้กูแค่เอามาอ่านเล่น” มันบอกผมแบบนั้นแล้วนั่งลงอย่างมุ่งมั่น กับกองหนังสือที่เล่มใหญ่เท่าวิทยานิพนธ์อีกสามสี่เล่มนั่นของมัน



“เพื่อน มึงเป็นไรหรือเปล่าวะ” เป็นห่วงนะเนี่ย อยู่ๆ ก็ดูเป็นคนรักเรียน เอาแต่ขลุกอยู่กับห้องสมุทรมาสามวันแล้ว แปลกฉิบหาย ปกติไอ้มาร์ชไม่มาอยู่แถวนี้หรอกครับ สุ่มหามันตามผับยังมีหวังได้เจอได้ง่ายกว่า



“กูไม่เป็นไรมึง แค่อยากอ่านหนังสืออ่ะ”



“กูว่ามึงแปลก” ขมวดคิ้วแล้วนะ น้องสมุทรขมวดคิ้วเลย แต่พี่พระจันทร์แค่ยื่นมือมายีหัวกัน แล้วดึงกระเป๋าของผมไปถือเอง



“งั้นกูพามันกลับก่อนละกัน”



“ครับพี่ หวัดดีครับ” บอกพี่พระจันทร์แบบนั้นพร้อมยกมือไหว้ ผมยังคงไม่ไปไหน ปักหลักยืนอยู่กับที่จ้องหน้าไอ้มาร์ชแบบคาดคั้นอยู่ตรงนี้ มันมีอะไร ทำไมไม่บอกผมที่เป็นเพื่อนสนิทของมันล่ะ



“ไปได้แล้วน่าสมุทร”



“แต่ผม...”



“ไปๆ ผัวมึงตามแล้ว” ไอ้มาร์ชว่าออกมาแบบนั้น ท่าทางที่ดูลำคาญผมเต็มที่นั่นอีก แต่อะไรก็ไม่เท่าคำพูดของมันอีกแล้ว



“ผัวพ่อง” ถลึงตาใส่มันแบบนั้น แต่เจ้าตัวก็ทำแค่ยกยิ้มลอยหน้าลอยตาใส่ผมอย่างคนกวนประสาท อยากจะหันไปยื่นมือตีหัวมันอีกสักที แต่มือข้างนั้นก็ถูกพี่พระจันทร์ดึงมาจับเอาไว้ก่อน นิ้วเรียวสวยของพี่เค้าสอดเข้ากับนิ้วสั้นป้อมของกูเอง อนาถอยู่นะว่าไป แต่พอเลื่อนสายตาไปมองหน้าอีกฝ่าย ก็ถึงรู้ว่านิ้วจะสั้นจะยาวจะเรียวจะสวยหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ความสำคัญมันอยู่ที่นิ้วของเราได้กุมมันไว้กับใครต่างหาก



“พอแล้ว อย่าดื้อ” น้องสมุทรดื้อตรงไหนกันเล่า



อยากเถียงนะ แต่เลือกจะเงียบไปดีกว่า ไม่อยากกลายเป็นเด็กดื้อแบบที่พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้น ... วงแขนแกร่งที่วางลงบนบ่าของผม ท่าทางสนิทสนมที่ดูเหมือนว่าจะคุ้นชินกันมากๆ ของเรา ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองมาไม่วางตา



“พี่พระจันทร์”



“ว่า”



“ไม่เดินดีล่ะพี่”



“แล้วแบบนี้ไม่ดีตรงไหน” ถามออกมาแบบนั้นพร้อมก้มหน้าลงมาใกล้ หนักกว่าเก่า!...ใกล้ชิดสนิทเหมือนแฟน แต่ยังไม่ถูกขอ รออะไรวะ น้องสมุทรพร้อมมากเลยนะตอนนี้ อยากโดดขึ้นเตียงพี่พระจันทร์ครับ!!



“คิดอะไรอยู่ ทำไมไม่ตอบ”



“ก็เปล่าๆ ...แค่คิดว่าเดินแบบนี้มัน...” ลากเสียงยาวในตอนท้ายแล้วหันซ้ายหันขวาดูรอบๆ จนพี่พระจันทร์หันมองตาม เค้าที่ทำหน้าเข้าใจขึ้นมา เห็นแบบนั้นน้องสมุทรก็สบายใจ ...



แต่



ติดตรงที่พี่พระจันทร์ขยับวงแขน ดึงให้ตัวของน้องสมุทรเบียดแนบเข้าไปชิดมากกว่าเดิมนี่สิ อะไรของเค้าวะนั่นน่ะ!



“พี่พระจันทร์!...”



“อะไร กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ใครจะมองยังไงก็ช่างดิ กูแค่เดินกอดคอมึง กูไม่ได้เอามึงสักหน่อย จะมาเสือกไรกันอ่ะ” ว่าออกมาแบบลอยหน้าลอยตา ท่าทางที่กำลังบอกกันว่ากูไม่สนใครจะทำไม โอเค...พี่พระจันทร์เค้าใหญ่มาก



.

.

.



“ไม่ทานหรอครับ” ผมถามคนที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปอาหารตรงหน้าไม่หยุด ท่าทางที่ไม่คิดว่าผู้ชายแบบพี่พระจันทร์จะสนใจทำ



“เดี๋ยว กูเก็บภาพก่อน”



“เก็บทำไมหรอครับ ก็แค่อาหารบ้านๆ”



“ไม่ได้ดิ อาหารมันจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่นี่มึงเป็นคนทำ มันจะไปเหมือนอะไรธรรมดาทั่วๆ ไปได้ยังไง”



“พี่พระจันทร์ปากหวาน”



“แล้วมึงหวานไหม ไหนมาลองชิมดิ๊ เผื่อรสไม่เหมือนเดิม”



“พูดอะไรของพี่เนี่ย” ผมเสหน้าหลบสายตาวาบวับของคนตรงหน้า พี่พระจันทร์ที่ยิ้มมุมปากออกมานิดๆ เหมือนคนที่ถูกใจกับท่าทางของผม เค้าก้มหน้าลงไปมองหน้าจอมือถือของตัวเองอีกทีหลังจากนั้น ... วันนี้ผมมานอนที่ห้องพี่พระจันทร์ เพราะอีกฝ่ายขอร้องแกมบังคับว่าหิวข้าวและไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน สุดท้ายผมก็หลวมตัวมาคอนโดของพี่เค้า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดนอนเรียบร้อย เป็นการหลวมตัวที่น้องสมุทรค่อนข้างจะเต็มใจ ...



“ทำไมมึงทำกับข้าวเก่งล่ะ”



“ปกติต้องอยู่กับทะเลสองคน แม่ชอบมีงานดึกๆ กลับมืด เลยเป็นผมที่ดูน้องตลอดเลยทำบ่อย”



“งี้กูก็สบายเลยดิ” พี่พระจันทร์พูดแบบนั้น ไม่เข้าใจจนต้องเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงอย่างสงสัย เค้าที่วางช้อนกินข้าวแล้วสบตากับผมตรงๆ ก่อนจะพูดตอบผม



“ได้มึงเป็นเมีย ก็ไม่มีทางอดได้อยู่แล้วกู”



“กินไปเลย!” เบิดคำสิเว่า ... น้องสมุทรไม่มีอะไรจะเถียง เพราะไม่ไหว กลัวตาย เขินตาย



เราสองคนกินข้าวต่อไปด้วยกันอย่างไม่รู้สึกอึดอัด บรรยากาศสบายๆ ที่มาพร้อมกับเสียงพูดคุยด้วยเรื่องธรรมดาๆ ของเราสองคน เหมือนฝันเลยจริงๆ



“ทำไมพี่พระจันทร์ถึงไม่ทำผมสีชมพูอีกล่ะ”



“ทำไม” พี่พระจันทร์วางช้อนกินข้าวลง แล้วจ้องตาถามผม ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าสีหน้าเค้าดูจะเครียดขึ้นมาเล็กน้อย แต่แค่วูบเดียว คิ้วสวยที่เหมือนจะผูกกันก็คลายออก



“มึงชอบกูผมสีชมพูหรอ”



“ก็เปล่านะ ... พี่พระจันทร์ผมสีไหนน้องสมุทรก็ชอบหมดแหล่ะ แต่แค่...เหมือนเป็นเลิฟแอทเฟิร์สทไซท์มั้ง ก็ที่น้องสมุทรเจอพี่พระจันทร์ตอนนั้นแล้วตกหลุมรักทันทีก็ตอนผมสีชมพูนี่นา” ผมพูดไปยิ้มไป นึกไปถึงวันนั้นที่ได้เจอกันแล้วก็ต้องยิ้มออกมา พี่พระจันทร์คนสวยขาขนตายาวแล้วก็ใจดี



“แล้วถ้าวันนั้นกูไม่ได้ทำผมสีชมพู ไม่ได้เป็นคนใจดีแบบนั้น แล้ววันนี้มึงจะชอบกูไหม”



“ถามอะไร ตอนนี้หัวดำปี๋แล้วก็ปากร้ายจะตายน้องสมุทรก็ยังชอบอยู่ดีไหมอ่ะ เรียกได้ว่าคลั่งรักนะรู้เปล่า อ๊าย เขินจัง” ยกมือปิดหน้าแล้วแกล้งเอียงไปเอียงมา



“ไร้สาระ” พี่พระจันทร์ส่ายหัวหน่อยๆ แล้วลุกขึ้นเก็บจานต่างๆ ที่พวกเราสองคนกินเสร็จแล้ว



“ไม่ต้องล้างนะ พรุ่งนี้แม่บ้านจะเข้ามาอยู่แล้ว”



“แต่น้องสมุทรทำได้ มันรกอ่ะ” ผมบอกออกไป พร้อมๆ กับเอาจานที่กินเสร็จแล้วพวกนั้นมาล้างให้เรียบร้อย พี่พระจันทร์ไม่ได้ว่าอะไรทำแค่พยักหน้า แล้วยืนเอาสะโพกพิงเคาเตอร์ใกล้ๆ อ่างล้างจาน แล้วก็เอาแต่จ้องกันไม่เลิก



“สมุทร”



“หื้ม พี่พระจันทร์อยากได้อะไร” ผมหันหน้าไปถาม แต่อีกคนก็เงียบ งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจว่าต้องการจะสื่อสารอะไรออกมา



“สมุทร”



“ครับ ว่าไง”



“.............”



หมายเลขที่ท่านเรียกไม่ส่งเสียงมาอีกแล้ว มันทำไมนักนะ เริ่มจะหงุดหงิดเลยรีบล้างจานใบสุดท้ายที่อยู่ในมือให้เรียบร้อยก่อนจะปิดน้ำ ตั้งใจจะหันไปสะสางว่าคุณพี่เป็นอะไรครับ แต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่วางลงบนที่สะโพกทั้งสองข้าง รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากแผ่นอกแกร่งที่กำลังแนบชิดกับแผ่นหลังของผมในตอนนี้



“พี่พระจันทร์” ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำเสียงตัวเองถึงแผ่วเบาแบบนี้ มันสั่นไหวแปลกๆ อาจเป็นเพราะลมหายใจอุ่นๆ จากคนที่แนบแผ่นหลังอยู่ด้วยกันในตอนนี้หรือเปล่านะ รู้สึกขนอ่อนที่ต้นคอลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่



“สมุทร” เค้ายังคงเรียกชื่อผมแบบเดิมอยู่แบบนั้นซ้ำๆ แตกต่างไปจากเดิมตรงที่ฝ่ามืออุ่นเลื่อนจากสะโพกมาเป็นที่เอวของผมช้าๆ พร้อมๆ กับใบหน้าหล่อที่เลื่อนมาที่ข้างแก้ม ไล้แผ่วๆ ไปที่ซอกขอขาว ผมรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวจนต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอไปอย่างทำตัวไม่ถูก



“คิดถึง...”



“พี่หมายถึง”



“ทุกอย่าง” สิ้นสุดคำพูดง่ายๆ สองคำนั้น ผมที่ก็เงยหน้าขึ้นไปช้อนตามองคนที่ยืนซ้อนกันอยู่ด้านหลัง ใบหน้าหล่อที่โน้มลงมาใกล้ แต่ยังคงอ้อยอิ่งไม่ได้กดจูบลงมาที่ริมฝีปากของผม ทั้งๆ ที่มันก็อยู่ห่างกันไม่ไกล ผมเหลือบสายตามองไปอย่างย่ามใจ พี่พระจันทร์ที่มองสบตากลับมาเหมือนรอให้ผมอนุญาต เหมือนเป็นสิ่งที่ผมรู้มาก่อนล่วงหน้า เป็นเรื่องราวที่ว่าตัวของน้องสมุทรเองก็คิดถึง และโหยหาคนตรงหน้าไม่ต่างกัน



น้องสมุทรที่พลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับพี่พระจันทร์ตรงๆ แผ่นอกที่แนบชิดกันจนไม่มีอะไรกั้น แขนยาวของผมที่ยกขึ้นไปคล้องคอของพี่พระจันทร์ สายตาวูบวาบของเค้าที่มันกำลังบอกผมว่าเจ้าตัวกำลังตื่นเต้น ผมเอียงใบหน้าเข้าไปใกล้ ลมหายใจร้อนๆ ที่รินรดไปตามข้างแก้มของพี่พระจันทร์แบบที่เจ้าตัวชอบทำกับผมเป็นประจำ



“สมุทร” เสียงแหบพร่าที่ดูไม่เป็นตัวเองของผม ทำให้ผมต้องยกยิ้ม



“น้องสมุทรเก่งไหม ... ทำตามที่พี่พระจันทร์เคยสอนเลยนะ”



“ยังจำได้หรอวะ”



“ไม่เคยลืม”



“ซี๊ด” เสียงซี๊ดริมฝีปากของร่างสูงที่ดังออกมาในตอนที่ผมเลื่อนมือลงไปลูบใล้อย่างตั้งใจที่กลางแกนกายของเค้า พลิกตัวให้อีกฝ่ายเป็นคนไปยืนเอาสะโพกพิงอยู่ที่ขอบอ่างแทนตัวของผม จ้องตากับพี่พระจันทร์หน่อยๆ ในตอนนี้ ทั้งๆ ที่มือก็ยังไม่หยุดลูบไล้ตัวตนของเค้าผ่านกางเกงนอนขายาวเนื้อบางเบาที่เจ้าตัวใส่หลังจากอาบน้ำเสร็จ



“สมุทร...ได้ไหม” เป็นการร้องขอที่ไม่ได้บังคับ สายตาเว้าวอนของพี่พระจันทร์ทำให้น้องสมุทรทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า เอื้อมมือไปดึงกางเกงผ้านั่นลงช้าๆ ใช้มือกอบกุมแกนกายที่ขึ้นลูบชัดเจนจากฝีมือของน้องสมุทรเองจนแทบจะทิ่มหน้า ก่อนจะเริ่มรูดรั้งมันเบาๆ รับรู้ได้ถึงการเกร็งตัวของพี่พระจันทร์ ดวงตาคมสวยที่มองลงมาสบตากับผม ในตอนนั้นที่ตัดสินใจอ้าปากออกกว้าง แล้วกลืนกินตัวตนของเค้าเข้าไปให้ได้มากที่สุด



“อือ ซี๊ด...” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พร้อมๆ กับใบหน้าได้รูปที่เชิดขึ้น ฝ่ามือหนายกขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆ สีหน้าของพี่พระจันทร์ที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติ ก่อนจะเอื้อมมือมาวางลงที่หลังคอของผม



“ตอนกูม.6 สอนมึงดีเกินไปหรือเปล่า”



ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำแค่แลบลิ้นเลียไปทั่วตั้งแต่โคนจรดปลาย ดูดย้ำตรงส่วนหัวหนักๆ แต่ไม่ให้ฟันโดนส่วนใดของแกนกาย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นขยับริมฝีปากไวๆ สลับเปลี่ยนเป็นดูดย้ำๆ ซ้ำไปพร้อมกัน



“เชี่ย แม่ง” ได้ยินเสียงสบถจากพี่พระจันทร์ดังออกมาเบาๆ หัวตาของผมร้อนผ่าวในตอนที่กำลังย่ามใจว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมาก แต่น่าจะมากไปตรงที่พี่พระจันทร์ก็สวนสะโพกเด้งตัวขึ้นสูงตามความต้องการของตน



“สมุทร...สมุทรครับ” เสียงเข้มของพี่พระจันทร์แหบพร่า เป็นความรู้สึกเขินอายที่ผมพอใจมากๆ ที่ได้ยินเสียงนี้เรียกชื่อของผม



“อึก ซี๊ด....แม่ง” เค้าสบถออกมาอีกครั้งก่อนจะดึงตัวผมให้ลุกขึ้นยืน มองหน้าอีกฝ่ายงงๆ แต่ก็งงได้ไม่นานเมื่อถูกอุ้มเดินไปได้ไม่ไกล แผ่นหลังของผมถูกวางให้นอนราบไปกับโต๊ะหินอ่อนเย็นๆ ที่ก่อนหน้านี้เราพึ่งนั่งกินข้าวกันอยู่



“พี่พระจันทร์...” พูดและตกใจได้แค่นั้นก็ถูกริมฝีปากของคนบนตัวบดเบียดลงมา ไม่ได้หยาบโลนแต่ร้อนแรง เราจูบกันอย่างดูดดื่ม ทั้งๆ ที่สถานที่ตอนนี้ไม่ใช่ที่ๆ ควรจะทำ แต่ถึงแบบนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุด มือหนาที่เอื้อมมาดึงกางเกงนอนตัวใหญ่ของผมดึงออกจากเอวไปอย่างง่ายดาย มันหล่นลงไปที่พื้นตามแรงโน้มถ่วงและถูกขายาวของคนที่ยืนอยู่เตะออกไปไกลๆ สะโพกแกร่งที่เริ่มบดเบียดตัวตนเข้ามาหา เป็นความรู้สึกเสียวซ่านบนตื่นเต้น เมื่อผมมองช้อนสายตาขึ้นไป ก็มองเห็นประตูห้องบานใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น



“พี่พระจันทร์...เดี๋ยวพี่อาทิตย์ อื้อ...”



“ไม่ต้องห่วง วันนี้มันไม่กลับ”



“แต่ถ้ากลับล่ะครับ อื้มมม” เสื้อนอนของผมถูกถอดออกไปทางหัว คนที่ไม่ได้ตั้งใจตอบคำถามของผมโยนเสื้อของผมไปให้พ้นทาง แล้วครอบริมฝีปากขบเม้มลงบนยอดอกจนผมสะดุ้ง ผมที่พยายามดันไหล่แกร่งให้หลุดออกไป หัวใจสั่นสะท้านจากความกลัวและความตื่นเต้นของสถานที่โล่งแจ้งแบบนี้



“ถ้ามันกลับมาก็ดีสิ จะได้รู้ว่ามึงเป็นของใคร” บอกออกมาแบบนั้นแล้วใช้ริมฝีปากจูบสลับขบเม้มไปทั่วข้างแก้ม ซอกคอ หัวไหล่ และปลายยอดอก ได้แต่แอ่นตัวขึ้นรับอย่างห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ฝ่ามือหนาที่เลื่อนลงมารูดรั้งแกนกายให้กันจนมันตั้งชันตามความรู้สึก ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวส่วนจะลูบไล้ไปตามรอยจีบที่ช่องทางด้านหลัง นิ้วแกร่งที่สอดเข้าไปทีละนิ้ว เพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม มันไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บ แต่มันจุกและอึดอัด ผมได้แต่เม้มปากจนตัวสั่น น้ำตาคลออยู่ที่หน่วยตา เสียวซ่านไปทั้งตัวจนต้องจิกนิ้วระบายลงที่ลาดไหล่แกร่ง พี่พระจันทร์ที่ยังไม่ดึงนิ้วออกมาจากช่องทางของผม เค้าทำแค่ใช้มืออีกข้างหยิบถุงยางขึ้นมาจากกระเป๋าหลังของกางเกงนอนตัวที่ใส่อยู่ ....



คือเตรียมตัวมาแล้วว่างั้นเถอะว่าต้องเยเย่มารูโกะน้องสมุทรให้ได้ เธอมันคนร้ายกาจ!



เห็นแบบนั้นก็ฉีกขาตัวเองออกให้กว้างขึ้น สายตาคมที่เลื่อนขึ้นมามองท่าทางของผม สายตาที่คาดโทษมาพร้อมๆ กับเรียวลิ้นร้อนที่เลียไปตามริมฝีปาก



“ร้ายนะ”



ว่าแบบนั้นแล้วก็ใช้ปากฉีกถุงยางแล้วสวมลงบนแกนกายแกร่งด้วยมือข้างเดียวอย่างชำนาญ นิ้วเรียวที่ยังค้างคาในตัวผมก็กดย้ำที่จุดจนผมสั่นสะท้านย้ำๆ ก่อนจะดึงออก แกนกายแกร่งที่ถูกฝ่ามือของตัวเองขยับรูดรั้งอีกสองสามครั้งก่อนจะดันมาจ่อที่ช่องทางด้านหลังของผม ก่อนจะค่อยๆ สอดใส่เข้ามาอย่างไม่รีบร้อน พี่พระจันทร์ที่ขบกรามจนแน่นอย่างพยายามใจเย็น ฝ่ามือหนาเอื้อมขึ้นมาลูบไล้เบาๆ ไปตามเส้นผมอย่างปลอบใจ



"ผ่อนแรงหน่อยสมุทร..."



"อึก ผม..." พูดไม่ออก อธิบายไม่ได้ มันรู้แต่ว่าสะท้านเสียวซ่านไปทั้งตัว แต่ถึงแบบนั้นก็พยายามผ่อนแรงลงช้าๆ ช่องทางด้านหลังที่ตอดตุบๆ บอกให้รู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายกำลังลุกล้ำเข้ามามากแค่ไหน และยิ่งผ่อนแรงลงไปเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสอดลึกเข้ามามากขึ้นๆ เป็นความรู้สึกดีที่เสียวซ่านไปทั้งตัว พี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ ขยับสอดตัวเนิบนาบเข้ามาช้าๆ สลับไว ในตอนที่ผมผ่อนตัวได้ แรงกระแทกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง แรงกระแทกที่กดย้ำเน้นๆ ซ้ำๆ



“อ๊ะๆ พี่พระจันทร์”



“อึกซี๊ด....”



สะโพกแกร่งที่ขยับไปพร้อมๆ กับแขนแกร่งที่ยกขาของผมข้างนึงไปพาดบ่า สายตาคมที่มองลงมาสบตาไปพร้อมๆ กับกระแทกแกนกายเข้าใส่ ใบหน้าหล่อโน้มลงกดจูบไปที่ต้นขาได้ใน ขบเม้มแผ่วๆ ยิ่งทำให้ใจสั่นกระตุก เชิดหน้าขึ้นรับแกนกายใหญ่ที่กระแทกถี่ๆ เข้ามาถึงจุด



“พี่พระจันทร์...อึก อ๊า” ร้องครางออกมาเสียงสั่นในตอนที่แกนกายในมือแกร่งกระตุกปลดปล่อยหยาดน้ำอุ่นออกมาเลอะหน้าท้องตัวเอง พร้อมๆ กับช่องทางด้านหลังของผมที่กระตุกบีบรัดถี่ๆ จนพี่พระจันทร์เองก็ปลดปล่อยตามออกมา ไม่ได้เหนียวเนอะหน่ะเพราะพี่พระจันทร์ใส่ถุงยาง แต่ถึงแบบนั้นความหนักหน่วงจากการร่วมรักก็ไม่ได้เบาลง ฝ่ามืออุ่นที่ลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของผม เขายิ้มออกมานิดๆ อย่างอบอุ่น ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มของผม ก่อนจะถอนตัวตนของเค้าออกไปช้าๆ เราสบตากันแล้วยิ้มออกมาในตอนนี้



“พี่จะขอสมุทรเป็นแฟน...ในวันเกิดพี่นะ”



“พี่พระจันทร์...พี่ ...พี่...”



“อยากให้วันนั้น เป็นวันที่เราจะจดจำกันไปตลอด ...และครั้งหน้า พี่สัญญาว่าจะบอกรักเราแรงๆ กว่าวันนี้”



“อื้ม...รักแรงๆ จนทำให้น้องสมุทรไปรักใครไม่ได้อีกเลยนะ”



“สัญญาครับ”





#
รักอยู่รู้ยัง



น้องสมุทรลูกกกกกกกกก เบา หนูต้องเบากว่านี้!! :pighaun:

แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็เอาให้พี่มันชักตายไปเลยสิคะ

อิอิ

ปล.ขอโทษจริงๆค่ะ เมื่อคืนยังมีไข้แล้วก็ปวดหัว ส่วนแขนยังบวมอยู่ แต่เจ็บน้อยลง แคทเลยมาลงทันทีค่ะ

หวังว่าจะถูกใจนะคะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
บทที่24



‘คลิก’



เสียงปิดประตูที่ทำให้ผมที่กำลังยืนอยู่กลางห้องนอนใหญ่ได้แต่เลิ่กลั่ก หันซ้ายหันขวายืนทำหน้าโง่ๆ อยู่ตรงนี้ เสียงก้าวเดินช้าๆ ที่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และหยุดลงอยู่ตรงด้านหลังของผม ฝ่ามืออุ่นแตะเข้าที่สะโพกเบาๆ และสัมผัสนั่นก็ทำให้ผมสะดุ้ง หัวใจเต้นถี่ๆ แม้รู้ดีว่านั่นคือสัมผัสจากใคร



“เอ่อ...”



“เข้าอาบน้ำล่างตัวก่อนไป เดี๋ยวกูลงไปเก็บของข้างล่างเอง” เสียงทุ้มที่ดูขบขันกับท่าทางของผม และเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีความสุขมากกว่าที่เคยเป็น ไอ้อาการแบบนี้มันทำให้ผมสงสัยจนต้องหันไปมอง ใบหน้าหล่อๆ ของพี่พระจันทร์ที่ดูอารมณ์ดี มุมปากยังคงยกยิ้มอยู่ให้เห็น และสายตาอบอุ่มปนเอ็นดูที่ทอดมองผมอยู่ในตอนนี้



ได้กันแล้วมันมีความสุขขนาดนั้นเลยหรอ ... อื้มมม~ น้องสมุทรนี่มันเด็ดจริงๆ เลยนะ



“พี่พระจันทร์หมายถึงเก็บอันนั้น”



“เก็บถุงยาง”



“ผมรู้แล้วน่า! พี่จะพูดมันออกมาทำไมเล่า” อดไม่ได้ที่ตะโกนบอกออกไปแบบนั้น พอความรู้สึกจางหาย ยางอายก็เข้ามาทดแทน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเลย แต่ตอนนี้อายแล้ว ผีในห้องจะอยู่ยังไงกับฉากเมื่อกี้ที่เราเยเย่มารูโกะกันอย่างโจ่งแจ้งกลางห้องอาหาร งื้อออ อายเว้ย



“หึ ที่ตอนนี้มาทำอาย”



“ก็น้องสมุทรขี้เขิน”



“จากเมื่อกี้ มึงก็ไม่น่าเขินแล้วไหม”



“ไม่อยากพูดด้วยแล้ว!” ผมตะโกนออกมาเสียงดังอีกรอบ พี่พระจันทร์จะมาล้อกันทำไม แถมยังมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วสายตาคมๆ นั่นก็อ้อยอิ่งอยู่แถวหัวนมของผมไม่เลิก แล้วแบบนั้นใครมันจะทนยืนอยู่เฉยๆ ไหว เห็นแบบนั้นน้องสมุทรเลยวิ่งหนีเข้าห้องน้ำไปแทนโดยไม่พูดอะไรอีกแล้ว เป็นบ้าอะไรชอบมาทำให้อายทุกทีเลย



น้องสมุทรที่เข้าไปอาบน้ำ ทำความสะอาดตัวเองใหม่ ออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่บอกกันว่าจะลงไปเก็บของทำความสะอาด มันคือยังไงนะ หรือว่าเมื่อก่อนหน้านี้มันเลอะเทอะมากหรอถึงใช้เวลานานจัง พอนึกมาถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกอายแบบบอกไม่ถูก นั่นมันโต๊ะทานข้าว แล้วต่อจากนี้จะมองโต๊ะทานอาหารนั่นเหมือนเดิมได้ยังไง บ้าจริง ทำไปได้ยังไงเนี่ยน้องสมุทร!



แบบนี้ น้องสมุทรก็ควรเป็นคนลงไปรับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้ด้วยตัวเองไหมนะ .... ก็ที่มันเลอะเทอะอยู่ตอนนี้ ก็เป็นอะไรๆ ของน้องสมุทรเองนี่นา แค่คิดไปถึงตรงนี้ ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็แล่นเข้ามาที่หัวเป็นฉากๆ ภาพล่อแหลมที่เห็นตัวเองฉีกขาออกกว้างเพื่อให้ส่วนกลางกายของอีกฝ่ายสอดใส่เข้ามาได้ถนัด หรือแม้แต่ภาพแกนกายแกร่งที่ค่อยๆ แทรกเข้ามา รอยจีบที่ช่องทางด้านหลังยังรู้สึกเต้นตุบๆ เหมือนมีท่อนเอ็นใหญ่สอดใส่อยู่เลยตอนนี้



“เชี่ย ลามกว่ะไอ้น้องสมุทร” พูดกับตัวเองออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาปิดหน้า ร้อนหน้าไปหมด แต่สุดท้ายผมเลือกที่จะขยับตัว สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วตัดสินใจที่จะลงไปรับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้ร่วมกันกับอีกฝ่ายที่ครัว



เสียงพูดคุยที่ดังมาจากด้านล่างในตอนที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องนอนทำให้ต้องขมวดคิ้วออกมาอย่างสงสัย ขาของผมที่ค่อยๆ ก้าวเดินลงไปตามทางของบันไดอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมองลงไปเห็นคนมาใหม่ได้ชัดถนัดตา กับพี่พระจันทร์ที่ยืนหันหลังมาทางบันได เค้ายังคงใส่แค่กางเกงนอนขายาวตัวสบายและไม่สวมเสื้อ เพราะแบบนั้นแผงอกแกร่งและหน้าท้องได้รูปสวยจึงอวดสายตาของคนมาใหม่ได้อย่างถนัดตา ผมเลือกที่จะไม่ก้าวขาลงไปแล้วหยุดยืนอยู่ที่ตรงนี้แทน ใช้ผนังปูนเปลือยนี้บดบังตัวเองเอาไว้ ... อะไรบางอย่างมันหยุดผมไว้ และบอกให้ตัวเองเลือกที่จะยืนฟังอยู่ตรงนี้



“อัยย์มาที่นี่มีอะไร”



“แล้วอัยย์มาไม่ได้แล้วงั้นหรอ รหัสห้องของพระจันทร์ก็ไม่เห็นว่าจะเปลี่ยนใหม่นี่ มันยังเป็นวันเกิดของอัยย์อยู่เลย” หัวใจผมเต้นระส่ำ รู้สึกเหมือนมีมือบางอย่างบีบรัดเข้าที่ก้อนเนื้อหัวใจด้านซ้ายของผมที่ละนิด มันไม่ได้เจ็บปวด แต่เป็นความรู้สึกอึดอัดที่ทำให้เราค่อยๆ หายใจไม่ออก



“จันทร์ยังไม่ว่างเปลี่ยนรหัส แต่ถึงแบบนั้นอัยย์ก็ควรโทรมาบอกเราหรืออาทิตย์ก่อนหรือเปล่าว่าจะมา”



“อัยย์คงมาผิดจังหวะสินะ พระจันทร์ถึงแต่งตัวแบบนี้ แล้วก็ดูหัวเสียแบบนี้” พี่อัยย์เลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เค้าแค่พูดออกมาแบบนั้นแล้วจ้องไปที่ตัวพี่พระจันทร์อย่างไม่วางตา



“...........” พอพี่อัยย์พูดแบบนั้น คราวนี้เป็นพี่พระจันทร์ที่เลือกจะไม่ตอบ มองจากมุมนี้ผมเห็นร่างสูงถอนหายใจออกมานิดหน่อย แต่พี่อัยย์ก็เลือกที่จะเมินมันแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะทานข้าว ร่างบางในชุดธรรมดาที่ไม่ใช่ชุดนักศึกษาแบบที่คุ้นชิน เค้าอยู่ในเสื้อไหมพรหมแขนยาวเนื้อบางเบาทรงโอเวอร์ไซส์สีชมพูอ่อน เข้าคู่กับกางเกงส์ยีนส์พอดีตัว ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าถนุถนอมมากกว่าทุกที



“จันทร์สบายดีไหม จันทร์เงียบหายไปเลยตั้งแต่วันนั้น”



“จันทร์สบายดี”



“อยู่กับน้องคนนั้นมีความสุขมากเลยว่างั้นสินะ” น้ำเสียงสบายๆ ที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีอะไรเลย ผมเผลอขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นในตอนนี้



“น้องเค้าคือคนที่ทำให้พระจันทร์เมินเราหรอ ... โทรศัพท์หาก็ไม่รับ ไลน์หาก็ไม่ค่อยอ่าน ไม่ไปรับอัยย์แม้ว่าอัยย์จะลำบากไม่มีรถกลับด้วยน่ะ”



“อัยย์” พี่พระจันทร์เรียกชื่ออีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงที่ผมเข้าใจว่ามันเป็นน้ำเสียงของการเหนื่อยหน่าย แต่ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่พระจันทร์กำลังเหนื่อยหน่ายในเรื่องอะไรกันแน่ เขาที่เรียกชื่อพี่อัยย์ออกมาแค่นั้นมันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนหัวใจ ความทรงจำเก่าๆ มันวูบเข้ามาเป็นระยะๆ ภาพเก่าๆ ที่ตอกย้ำว่าคนทั้งคู่สนิทสนมกันในระดับไหน ทั้งความใกล้ชิดและความรู้สึกของพวกเค้า ความไม่มั่นคงทางความรู้สึกระหว่างผมกับพี่พระจันทร์มันกลับมาอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เรายังกอดกันอยู่ตรงนั้น ตรงที่เค้ายืนอยู่ด้วยกันในตอนนี้



“จริงใช่ไหมล่ะ...”



“เราบอกอัยย์ไปแล้ว ว่าสมุทรคือคนที่เรากำลังจริงจังด้วย”



“ก่อนหน้านั้นจันทร์ก็เคยพูดกับเราแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอ ตอนที่จันทร์อยู่ม.6ก็มาบอกอัยย์แบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอว่าอยากจริงจังด้วย จะทำทุกอย่างให้อัยย์ พระจันทร์พูดแบบนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรอ”



“อัยย์ ... จะมาพูดแบบนี้เพื่ออะไร”



“ก็เพื่อให้พระจันทร์ได้เข้าใจไง” ดวงตากลมสวยของพี่อัยย์ช้อนขึ้นมองพี่พระจันทร์ มันใสแจ๋ว กระจ่างชัดดูน่ารักเหมาะกับเครื่องหน้าสวยของเจ้าตัว



“เข้าใจอะไร จันทร์ไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรมากไปกว่านี้ เราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะอัยย์”



“ยังหรอก พระจันทร์ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำอ่ะว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันคือการประชดกันน่ะ”



“เราไม่ได้ประชดอัยย์ นี่ไม่ใช่ละครนะ จันทร์ไม่ว่างมาทำอะไรแบบนั้นหรอก อีกอย่าง...จันทร์ว่าจันทร์ทำมามากพอแล้วด้วยกับเรื่องของอัยย์ และตอนนี้จันทร์อยากบอกว่าจันทร์มีความสุขดี”



“ความสุขปลอมๆ น่ะสิ น้องเค้ารู้หรือเปล่าล่ะ ว่าจันทร์เคยชอบเรามากแค่ไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเราสนิทกันขนาดไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเค้ากำลังเป็นตัวแทนเราในวันที่เธออยากยอมแพ้จากเราแล้วน่ะ”



“อัยย์ ขอร้องเหอะ...”



“เราสิต้องเป็นคนขอร้อง”



“อะไร...”



“เราผิดหรอที่ตอนนั้นเราไม่เลือกจันทร์”



“ไม่ผิด จันทร์ไม่เคยโทษอัยย์เลย” พี่พระจันทร์ตอบออกไปแบบนั้นด้วยเสียงราบเรียบ



“แล้วถ้าแบบนั้นมันทำไม ทำไมจันทร์ถึงต้องทำแบบนี้กับอัยย์ล่ะ ทำไมต้องห่างเหินแบบนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่เคยบอกว่าจะอยู่กับอัยย์เสมอไม่ใช่หรอ จันทร์ก็รู้เรื่องของเราดีไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงยังทำแบบนี้ล่ะ”



“อัยย์กำลังต้องการอะไรจากจันทร์วะ” พี่พระจันทร์ถอยหลังออกมาก้าวนึงให้ห่างจากคนตรงหน้าของเค้า ที่ตอนนี้ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้ามาประชิดตัว เสียงของพี่พระจันทร์ยังคงราบเรียบเช่นเดิม แต่ผมรับรู้ได้ถึงความไม่มั่นคงของเค้า ฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นเสยผมตัวเองแบบคนกำลังหัวเสีย คนร่างสูงที่กำลังข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่



“อัยย์ก็แค่อยากได้พระจันทร์คนเดิมกลับมา”



“..............”



“ทำไมล่ะ ทำไมพระจันทร์ถึงไม่ตอบอัยย์ล่ะว่าจะกลับมา” พี่อัยย์พูดออกมา ท่าทางของเค้าที่ผมกำลังเห็นว่านัยย์ตาสวยกำลังสั่นไหว ความเสียใจทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาทางสีหน้า



“ก็ไหนว่าจะไม่มีวันทิ้งกันไง!”



“อัยย์...”



“อัยย์ยืนหลบอยู่ตรงนั้น....” เสียงใสที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ พร้อมกับใช้มือชี้ไปทางโซนด้านหน้าทางเข้าที่เป็นเส้นทางทอดยาวเพื่อนำไปสู้ประตูหน้าห้อง มันมีรูปปั้นประดับ รวมถึงตู้โชว์วางเรียงรายอยู่แถวนั้น ...



ผมจิกมือเข้าหากันตอนที่ได้ยินพี่อัยย์พูดออกมา หัวใจของผมสั่นกับการที่ได้รับรู้ว่าก่อนหน้านี้มีใครอีกคนกำลังยืนมองดูเราทำอะไรกันอยู่ ... เขาต้องเป็นคนแบบไหน



“อัยย์ใช้เวลาหลายนาทีมองภาพพวกนั้น เพื่อทำความเข้าใจว่าที่พระจันทร์กำลังเปลี่ยนไป ไม่สนใจอัยย์เหมือนเดิมเพราะกำลังกอดอยู่กับเค้า เพราะน้องคนนั้นที่ทำให้พระจันทร์เปลี่ยนไปแบบนี้ ... ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเคยบอกว่าไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยน แต่พระจันทร์จะไม่เปลี่ยนไป แล้วทำไมสุดท้ายพระจันทร์ถึงยังทิ้งเราไปเหมือนทุกคนอยู่ดี”



“มันไม่ใช่ความผิดของสมุทร อัยย์อย่าพูดแบบนี้ออกมาเลยจะดีกว่า”



“ถ้างั้นมันเป็นความผิดของใครล่ะ จะบอกว่าเป็นความผิดของอัยย์หรอ!” พี่อัยย์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน มองเห็นใบหน้าน่ารักที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มแต่ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินสักนิด มีแต่ท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเสียใจและโกรธ เป็นความโกรธที่แฝงมาด้วยความประชดประชัน



“จันทร์ไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดของอัยย์เหมือนกัน ไม่เคยคิดแบบนั้น” เสียงทุ้มที่ตอบออกไป ผมมองไม่เห็นสีหน้าของพี่เค้าว่ากำลังแสดงออกมาแบบไหน



“แล้วคิดแบบไหน...อัยย์จะต้องทำยังไงให้ได้พระจันทร์คนเดิมกลับมา” พี่อัยย์ถามออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับฝ่ามือเล็กที่เอื้อมมือจับฝ่ามืออุ่นที่ก่อนหน้านี้เป็นผมที่ได้กุมมันเอาไว้



“อัยย์ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วทบทวนอยู่หลายอย่าง มีอะไรที่อัยย์ทำไม่ได้บ้าง ทั้งๆ ทุกอย่างที่น้องคนนั้นทำ อัยย์ก็เคยทำมันมาก่อนไม่ใช่หรอ จันทร์จะให้อัยย์ทำมันก็ได้ ถ้าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม จันทร์ชอบอัยย์ไม่ใช่หรอ”



หัวของผมเหมือนถูกตีด้วยของแข็งๆ คำพูดของพี่อัยย์เหมือนค้อนหรือท่อนไม้ใหญ่ๆ ที่ทุบเข้าที่ท้ายทอยของผมจากทางด้านหลัง คำพูดที่ว่าเค้าเคยทำมันมาก่อนนั่น ผมไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร



“อัยย์พอเหอะว่ะ ถ้าจะมาพูดอะไรแบบนี้ เราไม่สดวกจะคุยกับอัยย์แล้วว่ะ”



“เพราะอะไรล่ะ เพราะอะไรถึงไม่สดวกล่ะ”



“อัยย์กลับไปเหอะ จันทร์ไม่ไปส่งนะ” พี่พระจันทร์พูดออกมาแค่นั้นแล้วหันหลัง ผมหลบตัววูบแล้วเอาแผ่นหลังพิงลงกับผนังปูนเปลือย



“จันทร์จะทิ้งอัยย์ไปจริงๆ สินะ”



“เราไม่เคยทิ้งอัยย์ แต่มันแค่จะไม่กลับไปเป็นในแบบนั้นแล้ว”



“จันทร์ไม่เหมือนเดิมเลย ไม่เลยสักนิด จันทร์โกหก! จำเอาไว้เลยนะว่าจันทร์กำลังฆ่าอัยย์ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เลย!!” เสียงตะโกนที่ปนมากับเสียงสะอื่น ก่อนมันจะดังตามมาด้วยเสียงตึงตังอย่างคนที่ออกวิ่ง และสุดท้ายก็เป็นเสียงประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรง ความเงียบถูกก่อตัวขึ้นในตอนนี้ ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวอะไรนานอยู่หลายนาทีหลังจากที่พายุอารมณ์ถูกซัดให้พัดกระจายไปทั้งห้อง รวมถึงพัดมาถึงผมด้วย ผมนิ่งอึ้งและยืนอยู่ตรงนี้ เรื่องราวที่ได้รับรู้เหมือนหมัดน็อคที่ทำให้มึนงงจนทำให้ต้องยืนโง่งมอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน นานหลายนาทีกว่าที่ผมเองจะต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดมา อยากจะก้าวกลับขึ้นไปบนห้อง ทำเหมือนว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังได้รับรู้อะไรมาก่อนหน้านี้เลย แต่ก็ไม่ทัน



พี่พระจันทร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ เค้าเบิกตามองผมอย่างตกใจวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด



“มานานหรือยัง”



“เอ่อผม ผมหิวน้ำน่ะ...” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วยิ้มออกไป ท่าทางที่พยายามทำเหมือนน้องสมุทรคนโง่ที่ทุกคนคิดว่าแบบนั้น มันเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือไง ที่จะแกล้งทำเป็นบ้าใบ้แล้วไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเมื่อกี้



พี่พระจันทร์ช้อนตามองผม ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดมาอีกคั่น แล้วเอื้อมมือมาจับมือของผมเอาไว้ ฝ่ามืออุ่นที่กุมกระชับให้แน่นขึ้นนั่นทำให้ผมเกือบเผลอร้องไห้ออกมา มันเป็นความรู้สึกและอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าต้องจัดการกับมันยังไงในตอนนี้



“สมุทร...เรื่องของอัยย์น่ะ” เค้าเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มอบอุ่น ผมเสตาหลบหน้าของเค้า เลี่ยงที่จะไม่มองตาคมสวยที่ผมชอบนั่น



“อยากคุยกันไหม” เค้าถามผมออกมาแบบนั้น คำพูดที่เกริ่นออกมาแบบนั้น แล้วรอให้ผมเป็นคนตัดสินใจ การกระทำแบบนั้นมันบอกได้ชัดว่าเค้ารู้ว่าผมได้ยินอะไรมาบาง ขายาวที่ก้าวขึ้นมาที่บันได้อีกขั้นให้ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกันแล้วในตอนนี้



“พี่ปล่อยพี่อัยย์กลับไปแบบนั้นจะดีหรอครับ” ผมถามออกไปแบบนั้น พยายามทำท่าทีว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องราวก่อนหน้านี้ หน้าตาโง่ๆ ซื่อๆ ผ่านกรอบแว่นตาอันใหญ่ที่มักจะปกปิดความรู้สึกของผมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ผิดกับความรู้สึกในใจของผมตอนนี้ที่มันร้อนรนไปหมด ผมเป็นใคร ผมมีน้ำหนักในใจเท่าคนที่พึ่งเดินออกไปก่อนหน้านี้หรือเปล่า



“อัยย์ไม่ใช่เด็กแล้ว เค้าไม่เป็นอะไรหรอก”



“แต่นี่มันดึกแล้ว...แล้วเค้าก็กลับไปด้วยสภาพแบบนั้น พี่จะไม่คุยกับเค้า...”



“อยากให้กูไปคุยหรอ อยากให้กูตามไปหรอ”



“ผม...” เม้มปากแน่นๆ แล้วพูดออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไม่อยาก ผมทรยศความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้ามองตามเหตุผล เค้าก็ไม่ควรจะปล่อยพี่อัยย์ไปด้วยสภาพเสียใจแบบนั้นหรือเปล่า แต่ผมเองก็ไม่อยากจะบอกว่าไปเถอะ ไปคุยให้เรียบร้อยเถอะ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไปส่งบ้านนะ ผมไม่อยากทำแบบนั้น



“กูไม่ไปหรอก...เคยสัญญากับมึงไว้แล้วนี่ จะไม่ทำผิดสัญญากับมึงหรอก อีกอย่าง...มึงเองก็อยู่ตรงนี้ จะให้กูหันหลังไปจากมึง ทำไม่ได้หรอกครับ”



“พี่พระจันทร์”



“โอเคนะ ... ขึ้นห้องนอนกันเถอะ วันนี้มึงเหนื่อยมามากแล้ว” เค้าพูดออกมาแบบนั้น แม้ว่าสายตาและท่าทางของเค้าจะยังคงดูกังวล แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ผม พร้อมๆ กับฝ่ามืออุ่นๆ ที่วางลงมาบนหัวของผม ความอบอุ่นแล่นวาบลงมาถึงหัวใจ ความรู้สึกไม่มั่นคงทั้งหลายเหมือนจะเลือนหายไป เมื่อมีเค้าอยู่ตรงนี้



...



“ฮาย เฮลโหล อันยอง...เมื่อคืนน้องสมุทรมานอนที่นี่หรอคะ” เสียงทักทายดังขึ้นมาทันทีที่ผมเดินลงมาจากชั้นสองในตอนเช้าของวันใหม่ พร้อมกับใบหน้าหล่อคมที่มีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่ที่กรอบหน้านั่นทำให้ผมยิ้มออกมาทักทายอีกฝ่ายไปเช่นกัน



“สวัสดีครับพี่อาทิตย์” ยกมือไหว้คนที่โบกมือทักทายกันอย่างอารมณ์ดี วันนี้พี่อาทิตย์ก็อยู่ในเสื้อช็อปเหมือนทุกที แต่ว่าไม่ได้ เค้าเป็นนักศึกษาคณะวิศวะที่มีลุคนายแบบเท่ๆ อยู่ในตัว แม้ว่าจะใส่เสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์สีดำเข้มๆ มันดันเหมือนนายแบบที่ใส่ชุดถ่ายซีรี่ย์มากกว่าคนจะไปเรียน



“เป็นเช้าที่สดใสมาเลยสินะ พี่พนันได้เลยว่าหน้าตาของไอ้พี่เหี้ยต้องดูสดใสมากแน่ๆ” คนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้บาร์หน้าเคาเตอร์ที่ประจำของพี่เค้าว่าออกมาแบบนั้นพร้อมหรี่ตามอง ผมยิ้มออกมาบางๆ แล้วส่ายหน้านิดๆ ก่อนจะเดินลงไปหาพี่อาทิตย์แทน



“พี่อาทิตย์ทานอะไรหรือยังครับ”



“พึ่งได้กาแฟมาแก้วนึงค่ะ” บอกแบบนั้นพร้อมยกแก้วกาแฟขึ้นมาให้ผมเห็น พี่อาทิตย์ที่โยกหัวนิดๆ ไปตามเพลงอาร์แอนด์บีที่เจ้าตัวเปิดคลอเอาไว้เบาๆ



“งั้นน้องสมุทรทำแซนวิชอะโวคาโดไข่ให้ทานคู่กับกาแฟดีไหมครับ”



“เยี่ยมเลยค่ะ น้องสมุทรนี่น่ารักที่สุดในหัวใจของพี่” ผมยิ้มขำออกมานิดๆ กับท่าทางขี้เล่นแบบนั้นของเค้า



“พี่หมายถึงในใจของไอ้พี่ชายเหี้ยของพี่นะ ขืนมันได้ยินพี่บอกว่าน้องสมุทรน่ารักที่สุดในหัวใจพี่ หัวไอ้อาทิตย์คนนี้ต้องหลุดจากบ่าแน่ๆ ค่ะ” ยกมือขึ้นป้องปากกระซิบกระซาบกับผมแบบนั้น ท่าทางที่ทำเหมือนว่ากลัวพี่พระจันทร์จะมาได้ยินนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ ... ก็ท่ามันจริงแบบที่พี่อาทิตย์ว่าก็คงจะดีสินะ



เมื่อคืนนี้เราสองคนหลังจากที่ขึ้นไปถึงห้องนอน เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ทำแค่ล้มตัวลงนอน โดยมีพี่พระจันทร์กอดผมเอาไว้ไม่ปล่อย จนสุดท้ายผมก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของเค้า จนที่ได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เค้าก็ยังคงไม่ปล่อยกอดออกจากตัวผม สุดท้ายเลยต้องแงะตัวเองออกมา อยากให้เค้าได้นอนสบายๆ คิดว่าเหน็บคงกินมือมาทั้งคืน



ผมหันหลังไปหันอะโวคาโด้และปิ้งขนมปัง ส่วนไข่ก็จัดการต้มแล้วในตอนนี้ เป็นเมนูง่ายๆ ที่ไม่ได้ทำยากอะไร แต่ถึงแบบนั้นในหัวสมองของผมมันก็อดคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้ คำพูดของพี่อัยย์มันยังคงดังอยู่ในหัวของผมมาตลอดทั้งคืน ในทุกๆ ประโยคเหมือนถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า



“น้องสมุทรเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงของพี่อาทิตย์ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ ผมสะบัดหัวไล่เรื่องราวเหล่านั้นออกจากหัวก่อนจะหันมาหาพี่อาทิตย์ที่นั่งเอามือเท้าคางมองกันอยู่ในตอนนี้



“อ่ะเอ่อ...เปล่าหรอกครับ”



“มีใครเคยบอกไหมว่าโกหกไม่เก่ง หน้าน้องสมุทรเหมือนมีป้ายแปะเอาไว้ว่า กูคิดมากอยู่นะไอ้สัด อะไรแบบนี้เลย” มันขนาดนั้นเลยนะ



“ทะเลาะกับไอ้พระจันทร์หรอ”



“เปล่าครับ ไม่ได้ทะเลาะกับพี่พระจันทร์ครับ” ผมบอกออกไปแบบนั้น และมันก็เป็นความจริงที่ว่า เราสองคนไม่ได้ทะเลาะกัน แต่มันเป็นความอึดอัดที่เกิดขึ้น เพราะเหมือนกับว่าเราสองคนเอาแต่คิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในใจ



“งั้นหรอ แล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นล่ะ น้องสมุทรถึงมีสีหน้าแบบนี้” พี่อาทิตย์สบตากับผม สายตาคมๆ นั่นจ้องผมไม่ละสายตา แต่มันกลับไม่ทำให้อึดอัดเพราะในกรอบหน้ายังมีรอยยิ้มนิดๆ ที่ไม่เร่งเร้าให้ผมต้องพูด เค้ากำลังทำเหมือนว่าเรื่องที่ถามก็แค่ถามดู ไม่ได้อยากซักไซ้หรือบังคับให้ผมต้องตอบ ผมรู้สึกว่า พี่อาทิตย์เป็นคนจับความรู้สึกคนอื่นเก่ง เค้าแตกต่างจากพี่พระจันทร์ แม้ว่าคนทั้งคู่จะหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะก็ตาม



พี่พระจันทร์จะนิ่งกว่า แล้วชอบทำหน้าตานิ่งๆ เหมือนคนไม่อยากรับแขก พี่พระจันทร์มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างคนที่สนิทกับคนที่ไม่สนิท นึกไปถึงช่วงแรกๆ ที่ผมพยายามเข้าหา ทั้งเฉยชาและไม่ใส่ใจความรู้สึกกัน แถมยังบอกชัดเจนว่าให้ผมรับผิดชอบความรู้สึกตัวเองด้วยซ้ำ แต่พอได้สนิทกันแล้วหัวใจด้วงนั้นก็คล้ายกับว่าจะเปิดออก มันราวจะเป็นอีกเรื่องนึงเลย และจากที่อยู่กับพระจันทร์มาหลายเดือน การกระทำต่างๆ ของเค้าก็พอบอกได้ว่า เค้าไม่ได้จับความรู้สึกของคนอื่นเก่ง และเลือกจะทำทุกอย่างออกไปอย่างตรงไปตรงมา ถ้าชอบเค้าก็บอกว่าชอบ แต่ไม่พอใจเค้าก็ด่าออกมา

ทว่า พี่อาทิตย์คือตรงกันข้ามกันเลย พี่อาทิตย์มีเสน่ห์ และมักจะมีรอยยิ้มที่หลากหลาย นัยย์ตาของเค้าเป็นประกายสดใสที่แฝงไว้ด้วยความวาววับของคนที่ชอบแกล้งชอบกวนอยู่นิดๆ เป็นคนที่เหมือนว่าถ้าอยู่ท่ามกลางงานปาร์ตี้ เราจะเห็นว่าเค้าจะตกเป็นจุดสนใจก่อนใครเสมอ นั่นล่ะพี่อาทิตย์



“ผมแค่...มีเรื่องคิดนิดหน่อยครับ”



“ถ้ามันเป็นเรื่องที่น้องสมุทรคิดคนเดียวแล้วไม่ได้คำตอบ พี่แนะนำว่าน้องสมุทรควรถามนะ”



“ถามหรอครับ”



“อืม ไม่ถามแล้วจะรู้หรอ ถ้าเลือกจะเก็บทุกอย่างมาคิดไปเอง แล้วมั่นใจมากแค่ไหนว่ามันคือคำตอบที่ถูกล่ะ”



“แล้วถ้าผมถามออกไปแล้ว คำตอบที่ได้จะทำให้ผมเสียใจล่ะครับ” ผมจ้องตาคนตรงหน้า พี่อาทิตย์ที่ยกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ ด้วยท่าทางเท่ๆ ที่ทำผมรู้ตัวว่ากำลังโดนจับความรู้สึกได้อีกแล้ว



“ถึงจะต้องเสียใจ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ ... อย่ากลัวที่จะเสียใจเลย กลัวที่จะไม่ได้รู้สึกเถอะ



คำพูดของพี่อาทิตย์เหมือนกุญแจที่แกะสลักบางอย่างในหัวใจของผมถอดทิ้ง เลื่อนสายตาขึ้นไปมองหน้าเค้าตรงๆ อีกครั้ง พี่อาทิตย์ทำแค่ยิ้มให้ผมอย่างใจดี ท่าทางที่ไม่ได้เหมือนกำลังพูดสอนอะไร เหมือนเป็นแค่การพูดคุยกันในวันธรรมดาๆ วันนึงทำให้ผมรู้สึกดี เค้าเลื่อนมือไปยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ทั้งๆ ที่สายตาก็ยังเอาแต่จ้องมาที่ผม ก่อนสายตานั้นจะเปลี่ยนเป็นความแพรวพราววาววับที่ผมรู้สึกได้ สะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะหันหลังหนี



“อย่ามาจ้องน้องสมุทรแบบนั้นนะ”



“ว้า แย่จัง โดนจับได้ซะละ แหม ว่าจะอ้อนใส่ซะหน่อยนะเนี่ย”



‘เพี้ยะ’



“โอ๊ย!”



เสียงร้องของพี่อาทิตย์ทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปมองก็พบกับคนที่พึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง พี่พระจันทร์ที่ทำหน้านิ่งๆ เหมือนอย่างเคย แต่คิ้วสวยนั่นขมวดเข้าหากันในตอนที่จ้องหน้าน้องชายตัวเอง ผมเลื่อนสายตาไปมองพี่อาทิตย์ที่ก็กำลังยกมือลูบหัวตัวเองปอยๆ



“เจ๊าะแจ๊ะเหี้ยไร”



“เจ๊าะแจ๊ะอะไรอ่าซิส ทิตย์แค่คุยกับน้องอ่า” ร้องออกมาแบบนั้น จีบปากจีบคอใส่พี่ชายตัวเอง แล้วแกล้งยกมือขึ้นซับน้ำตาอย่างน่าสงสาร ท่าทางที่ทำให้ผมหลุดขำออกมานิดๆ



“น้องสมุทร ไอ้เหี้ยนี่มันตบตีทุบหัวพี่ค่ะ พี่เสียใจอ่ะ ใจร้าว เบาๆ ก็ขาดเบาๆ ก็ปลิวเลยค่ะ” หันมาทำตาละห้อยฟ้องผมอย่างน่าสงสาร เห็นแบบนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งไม่ได้



“งั้นรับแซนวิชอะโวคาโดไข่ไปทานปลอบใจดีไหมครับ นี่นะ น้องสมุทรทำเสร็จแล้ว” ผมบอกออกมาแบบนั้น แล้วส่งแซนวิชร้อนๆ ที่พึ่งจัดใส่จานเสร็จส่งไปให้



“น้องสมุทรน่ารักที่สุดเลยค่ะ”



“น่ารำคาญ” พี่พระจันทร์พึมพำออกมาแบบนั้น พร้อมหน้าที่งอลงเหมือนปลาทูแม่กลอง หน้างอคอหักแบบสุดๆ



“ว๊าย งอนถือว่าแพ้”



“กูไม่ได้งอนไอ้สัด” พี่พระจันทร์กระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กัน พอมองแบบนี้แล้วเห็นคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะนั่งเถียงกันอยู่แบบนั้น มันเป็นภาพที่ชวนตกตะลึงอยู่หน่อยๆ แต่ถ้าได้เจอบ่อยๆ ก็จะรู้ว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันเอามากๆ



“น้องสมุทรดูไอ้หน้าเหี้ยที่บอกว่าไม่งอนดิ”



“มึงสิหน้าเหี้ย หุบปากแล้วแดกไปเลย!”



“ว๊าย งอนๆ” ร้องออกมาแบบนั้นแล้วเอานิ้วชี้ไปเขี่ยที่ข้างแก้มพี่ตัวเอง แต่โดนพี่พระจันทร์เอามือปัดออก



“สัดทิตย์” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นด้วยเสียงเข้ม พี่อาทิตย์หดคอหนีแล้วเขยิบตัวออกห่างอีกนิด ผมเห็นพี่เค้ายังทำปากพงาบๆ พึมพำว่าพี่พระจันทร์อยู่ไม่เลิก แค่ไม่มีเสียงก็เท่านั้น



ผมอมยิ้มออกมากับท่าทางแบบนั้นของเค้า และในตอนที่เค้าละสายตาออกมาจากพี่อาทิตย์ ... เราสบตากัน



เป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ผมเลือกที่จะยิ้มออกมาบางๆ ส่งไปให้เค้าก่อน พี่พระจันทร์ที่เห็นท่าทางของผมแบบนั้น เค้าดูเบาใจลง แล้วใช้ฝ่ามืออุ่นเอื้อมมาจับมือของผมที่วางอยู่ที่เคาน์เตอร์



“ว่าไงครับ”



“แล้วไม่มีของกูหรอ...ทำไมทำให้แต่มันล่ะ ของกูล่ะ ของพี่ล่ะสมุทร” พูดออกมาแบบนั้น ท่าทางและน้ำเสียงที่ทำให้ผมหลุดยิ้ม พูดได้ไหมว่าพี่พระจันทร์ในตอนนี้ดูอ้อนกันสุดๆ สายตาที่มองผมแฝงด้วยความอ้อนนิดๆ และหงุดหงิดหน่อยๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่กำลังถามว่าทำไมไม่ได้รับบ้าง



“ทำไมจะไม่มีล่ะ ของพี่พระจันทร์อยู่นี่ครับ” ผมละตัวออกมานิดนึง แล้วยกจานที่ทำเตรียมไว้ให้ก่อนแล้วส่งไปให้อีกคน พี่พระจันทร์ยิ้มกว้างออกมา แล้วปรายตาไปมองพี่อาทิตย์ที่มองมาอยู่ก่อน



“กูได้ไข่ต้มชิ้นใหญ่กว่า” พี่พระจันทร์หันไปพูดแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้น้องตัวเองหนึ่งที ท่าทางเย้ยๆ แบบนั้นของพี่พระจันทร์ ทำเอาพี่อาทิตย์เบ้ปากใส่ พี่อาทิตย์หันมามองหน้าผมแล้วพูดต่อ



“แค่นี้มันก็อวด...เด็กสัด”



.

.

.




ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
         เราแยกย้ายออกมาจากคอนโดของพี่พระจันทร์พร้อมๆ กับพี่อาทิตย์ แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะขับรถไปเอง เพราะเจ้าตัวไม่รู้ว่าคืนนี้จะกลับกี่โมง เพราะแบบนั้นในตอนนี้ ผมกับพี่พระจันทร์ถึงมานั่งอยู่บนรถคันเดิมของเค้าที่ผมคุ้นเคยดี นั่งบ่อยจนชินตูด บรรยากาศเงียบๆ ที่ไม่ได้เร่งรีบมากนัก เพราะวันนี้ออกไว คิดว่าคงไปถึงมหาลัยได้ไม่สาย



         ภายในรถยังคงอบอวลไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมที่หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนพี่พระจันทร์ก็เอาแต่มองไปที่ถนน มันคงจะน่าอึดอัดมากกว่านี้ ถ้ามือขวาของผมไม่ถูกฝ่ามืออุ่นของเจ้าของรถกอบกุมเอาไว้มาตลอด เค้าที่เอามือของผมไปวางไว้บนหน้าขา แล้วใช้มือขวาบังคับพวงมาลัยไปแบบนั้น



“พี่พระจันทร์ครับ” หลังจากทบทวนคำพูดของพี่อาทิตย์นานอยู่หลายนาที สุดท้ายก็เป็นผมเองที่เลือกจะเรียกชื่อของเค้าออกไป



“หื้ม ว่าไงครับ” พี่พระจันทร์ตอบรับด้วยเสียงทุ้มชวนให้เขินอยู่แปลกๆ



“น้องสมุทรถามได้ไหม” ผมกลั้นใจพูดออกไปแบบนั้น คนที่ขับรถอยู่ข้างกันละสายตาจากท้องถนนหันมามองกันเล็กน้อย ผมมองเห็นรอยยิ้มในกรอบหน้าของเค้าในตอนนี้



“ได้สิ ถามได้ทุกอย่างเท่าที่อยากจะถามนั่นล่ะ” เหมือนกับว่าเค้ารู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดเรื่องอะไร พี่พระจันทร์กระชับฝ่ามือของผมในแน่นขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้ และไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจ



“พี่ไม่คุยกับพี่อัยย์เลยหรอครับ ตั้งแต่ตอนนั้น”



“อืม ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยเลย ถ้าเค้าไลน์มาก็ยังตอบบ้าง แต่ถ้าโทรมาก็ไม่ค่อยได้รับหรอก บางทีก็ติดเรียน แล้วจริงๆ ก็เคยรับ แต่อัยย์ก็เป็นแบบนั้น แบบที่มึงคงได้ยินแล้วเมื่อคืนนี้” ผมพยักหน้านิดๆ นึกถึงบทสนทนาเมื่อคืนที่เค้าเอาแต่ต่อว่าพี่พระจันทร์



“แล้ว...พี่รู้ไหมว่าพี่อัยย์จะมา คือผมไม่เข้าใจ เค้าคิดจะมาก็มาหาพี่ได้เลยแบบนั้นหรอ” ผมเม้มปากแน่น พยายามอย่างมากที่จะไม่พูดต่อว่าเค้ามากเท่าความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง



“กูขอโทษ” พี่พระจันทร์ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง นิ้วหัวแม่มือที่ลูบเบาๆ ที่หลังมือของผมอย่างปลอบประโลม



“กูไม่รู้จริงๆ ว่าอัยย์จะมา จริงๆ แล้วเค้าไม่ค่อยมาที่คอนโดหรอก นานมากแล้ว ปกติถ้าจะมา ก็มากับกู หรือไม่ก็ไอ้อาทิตย์ เค้าไม่เคยมาเองแบบเมื่อคืนหรอก”



“แต่รหัส...”



“อืม ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าก็เป็นรหัสที่อัยย์รู้ดี ขอโทษนะสมุทร กูจะกลับไปเปลี่ยนรหัส”



“คือผมไม่ได้อะไรกับรหัสหรอก...” เลือกจะบอกออกไปแบบนั้น แม้จริงๆ ไม่อะไรของผม ก็คือยังรู้สึกอะไรอยู่นิดนึง แต่ไม่อยากกลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลมากขึ้นไปในทุกที ใจนึงผมรู้ดีว่าพี่อัยย์เคยเป็นคนที่พี่พระจันทร์รู้สึกด้วยมากขนาดนั้น อย่าว่าแต่รหัสประตู ถ้ารหัสมือถือเค้าเป็นวันเกิดพี่อัยย์ผมก็ไม่แปลกใจ แต่พี่พระจันทร์ไม่มีรหัสโทรศัพท์



“แล้ว...แล้วพี่ยังรู้สึก...” ผมเม้มปากแน่นแล้วเสหน้าออกไปมองนอกรถตอนที่พูดแบบนี้ออกมา ผมควรกล้าแบบที่พี่อาทิตย์บอก อย่างน้อยผมก็ควรจะได้รู้ว่าผมควรทำยังไงต่อ



“กับพี่อัยย์ พี่ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ไหม กับคนที่พี่เคยรู้สึกที่สุด เคยกอดมาก่อนผม” รถที่ถูกตบไฟเลี้ยวแล้วจอดลงที่ข้างทาง พี่พระจันทร์หันมาจ้องผมค้าง เค้าเงียบและเลือกจะเอื้อมมือมาดึงตัวผมให้หันไปมองหน้าเค้า



“สมุทร...”



“คือผมแค่อยากรู้ และต้องการที่จะรู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไป จะต้องจัดการกับเรื่องนี้ยังไงต่อไป”



“สมุทรกูเสียใจ กูขอโทษที่ต้องให้มึงมาได้ยินอะไรต่อมิอะไรที่มึงไม่จำเป็นต้องรู้”



ทุกคนมีอดีต ผมไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพี่พระจันทร์เคยชอบใคร ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเค้าเคยกอดใครมาก่อนผม และมีใครเคยยืนอยู่ข้างเค้า หรือนั่งบนรถนี้มาก่อนผม ... ใช่ ผมไม่จำเป็นต้องรู้แบบที่เค้าว่า แต่ให้ทำไงได้ ในวันนี้ผมรู้มันแล้ว



“อัยย์เป็นคนที่กูรู้สึกด้วยมากที่สุด ใช่ เป็นความรู้สึกที่มากจนยอมทำอะไรก็ได้เพื่อเค้าได้มากที่สุดเหมือนที่มึงเคยรู้เคยเห็นมาตลอด4ปีนั่นแหล่ะ” ผมพยักหน้ารับแล้วเสหน้าหนี พยายามจะแค่นยิ้มออกมาให้ได้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดี คำตอบของเค้าจริงๆ มันเหมือนเป็นคำตอบที่ผมเองก็รู้ดีแบบที่ไม่จำเป็นต้องถามให้ความจริงมันกระแทกหน้าแบบนี้ด้วยซ้ำ มันจริงแบบพี่พระจันทร์ว่า ผมรู้ดีว่าเค้ารู้สึกกับพี่อัยย์มากแค่ไหน



“แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เคยรู้สึก ช่วงเวลานั้นมันอาจจะอยู่กับกูมานาน แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลานึงที่ตอนนี้กูเลือกจะก้าวผ่านมันมาแล้ว กูไม่ปฏิเสธว่าในตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกดีๆให้อัยย์ แต่มึงเข้าใจไหม มันเป็นความรู้สึกดีที่กูมอบให้ในฐานะอื่น กูไม่ได้อยากวิ่งตามเค้าอีกแล้ว ไม่ได้อยากกอด ไม่ได้อยากจูบ ไม่ได้อยากมาหามาเห็นหน้าหรืออยากอยู่กับเค้าตลอดเวลาเหมือนที่รู้สึกกับมึงในตอนนี้ ถ้าถามว่ากูแน่ใจตอนไหนว่ากูชอบมึง และไม่ได้ชอบเค้าอีกแล้ว คำตอบง่ายๆ ของกู ก็คือกูตอบคำถามตัวเองจากพวกความรู้สึกที่พูดมาเมื่อกี้ มันไม่ได้ตอบเป็นชื่ออัยย์อีกแล้ว แต่มันตอบเป็นชื่อมึง



พี่พระจันทร์พูดทุกอย่างนั่นออกมาพร้อมกับสายตาคมที่เอาแต่จ้องมองผมตลอดเวลา ผมช้อนสายตามองหน้าของเขากลับไป ไม่มีแววล้อเล่นอยู่บนใบหน้าหล่อนี้ เป็นความรู้สึกที่ว่าก่อนหน้านี้มีเมฆฝนคลึ้มปกคลุมไปรอบรถ แต่ในวินาทีนี้ กับทุกถ้อยคำที่เค้าพูดออกมาเหมือนกับว่ามันปัดเป่าเมฆฝนพวกนั้นให้หายไปได้หมด ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจของผมทั้งคืนที่ผ่านมา มันหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แค่เพราะคำพูดของเค้าแค่ไม่กี่ประโยค



“ผมขอโทษที่ทำตัวแบบนี้ครับ ผมแค่....”



“มันไม่ใช่ความผิดของมึงเลยสมุทร ถ้าใครสักคนจะเป็นคนผิดในเรื่องนี้ ก็คงเป็นกูเองที่ทำให้มึงไม่มั่นใจสักที แต่อยากให้รู้จริงๆ ว่าต่อจากนี้ ไม่ว่าอะไร กูจะเลือกมึงก่อนใครเสมอ”



“พี่พระจันทร์...” วงแขนแกร่งที่ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นๆ ผมที่เอื้อมวงแขนกอดตอบอีกคนแน่นๆ ได้แต่ซึมซับความอบอุ่นนี้เอาไว้ ความไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ มันหายไปเมื่อผมได้อยู่กับเค้าจริงๆ ... ความอบอุ่นแบบนี้หรือเปล่า ที่ผมไขว่คว้ามาตลอด



ริมฝีปากได้รูปกดจูบลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากของผม มันบดเบียดเข้ามาหาและขบเม้มเบาๆ ลงที่กลีบปาก เป็นจูบธรรมดาที่ไม่มีการสอดสัมผัสเข้ามา แต่กลับอบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ ไม่รู้แล้วว่าเป็นเพราะจูบนี้ หรือคำพูดดีๆ จากเค้ากันแน่ ฝ่ามืออุ่นที่สอดนิ้วเข้ามาสัมผัสกับนิ้วของผม เราประสานมือกันไว้ในตอนที่ผละออกมาจ้องตา



“น้องสมุทรจะเชื่อใจพี่พระจันทร์นะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น แล้วเป็นฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบตอบอีกฝ่ายอีกครั้ง พี่พระจันทร์ที่ยิ้มออกมากว้างๆ ในตอนที่ได้ยินประโยคนี้ นัยย์ตาคมที่มองสบกับดวงตาของผม แววตาที่ทอประกายความดีใจ สบายใจออกมาให้ผมเห็นอย่างปิดไม่มิด และตัวผมเอง ก็ไม่ต่างกัน



...



เสียงดังของเด็กคณะบริหารกลุ่มใหญ่ ดังลั่นไปทั่วห้องประชุมขนาดย่อมที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เด็กในคณะได้ใช้สำหรับประชุมงาน หรือแม้แต่เอาไว้ติวกันในช่วงสอบ ... นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วหลังจากวันนั้นที่ผมกับสมุทรเคลียร์ใจกันไปในรถด้วยเรื่องของอัยย์ในวันนั้น เราทั้งคู่เหมือนจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งความรู้สึกทางใจและทางกาย ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา สมุทรมักจะไปนอนที่ห้องผม เราใช้เวลาด้วยกันในช่วงกลางคืน ทำอาหารดูหนัง หรือแม้กระทั่งพูดคุย เป็นความสบายใจที่ทำให้ผมใจเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็น และเพราะแบบนั้น ผมเลยยิ่งอยากจะหมุนปุ่มเวลาเร่งให้มันไปถึงวันเสาร์นี้ไวๆ สักที อีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะถึงวันเกิดของผม



วันที่ผมอยากให้มันเป็นความทรงจำของผม และก็ของเรา...



‘ครืดๆ’



“ไอ้สัดจันทร์ เมียมึงโทรตามหรอวะ ไม่ได้บอกน้องสมุทรหรอวะว่าวันนี้มีติว”



“บอกแล้ว น้องรู้แล้ว” ผมหันหน้าออกมาจากกระดานไวท์บอร์ด ที่กำลังสรุปที่กำลังอธิบายให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง ... เพราะการสอบไฟนอลของเทอมหนึ่งมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วจริงๆก็เหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวด้วยซ้ำ เพราะแบบนี้ทั้งไอ้ปุ่นไอ้มีนถึงเร่งผมยิกๆ ให้มาติวให้ แล้วยังมีเพื่อนในเอกอีกหลายคนที่มารวมตัวกันติวในวันนี้



“น้องรู้แล้ว แล้วใครโทรหามึงนักหนา ทำตัวเหมือนจะมีใครตาย” ไอ้มีนว่าแบบนั้นแล้วปรายตามองโทรศัพท์ของผมที่ผมคว่ำหน้าจอเอาไว้ที่บนโต๊ะ



“จันทร์ พักก่อนก็ได้นะเว้ย ตอนนี้กูเริ่มล้าๆ แล้ว”



“จริงค่ะคุณเพื่อน กูขอไปดื่มน้ำปัสวะหน่อยได้ป่ะ มึนหัวฉิบหาย”



เพื่อนผู้หญิงอีกสองคนในเอกของผมบอกออกมาแบบนั้น เมื่อหันไปมองเพื่อนๆ ที่เหมือนเริ่มจะไม่ไหว เห็นแบบนั้นผมเลยบอกให้พักเบรกกันได้ครึ่งชั่วโมง ไอ้มีนอ้าปากหาวออกมาแบบมีความสุข ก่อนมันจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเหมือนคนหมดแรง



“เวลาเอาหญิงมึงไม่เห็นจะเหนื่อย”



“มึงจะเอาความแข็งแรงของKกับสมองมาเทียบกันไม่ได้ป่ะเพื่อน Kแข็งแรง แต่สมองกู...”



“สมองมันนิ่ม มึงต้องเข้าใจเพื่อนด้วย” ไอ้ปุ่นพูดแทรกออกมาแบบนั้น ผมยกยิ้มขำขึ้นมาทันที



“ใช่สิไอ้ปุ่น สมองมึงอาจจะแข็งแรงกว่ากู แต่Kมึงนิ่มกูยังไม่ล้อเลย”



“ท้าทายKกูหรอไอ้เหี้ยมีน กูเอาฟาดปากมึงดีไหม”



“พอๆ พวกมึงแม่งกามว่ะ”



“โถ่จ้า อย่าให้กูรู้ว่ามึงเยดไม่พัก” ไอ้มีนเบ้หน้าด่า ส่วนผมแค่ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ



“เสือกเหี้ยอะไรกับการเยดของกู”



“อ่อหอววว มันงุบงิบๆ มึงได้กลิ่นคนคลั่งรักป่ะครับเพื่อนปุ่น” ไอ้มีนหันไปกระแทกไหล่ไอ้ปุ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนไอ้ปุ่นก็รับมุกต่อไปทันที มันที่ยกมือขึ้นมาปิดจมูกตัวเองเอาไว้แล้วพูดต่อ



“ฉุนจัดๆ ไปเลยครับเพื่อนมีน”



“พอ ไอ้สัด บันเทิงมากไปละ ถ้ากูถามโจทย์ข้อสองแล้วพวกมึงตอบไม่ได้ กูจะเอาสันหนังสือฟาดหน้าให้” เลือกที่จะตัดบทออกไปแบบนั้น ไอ้มีนกับไอ้ปุ่นก็ไหลลงไปกองกันบนโต๊ะทันที สภาพที่บอกให้ได้รู้ว่าเป็นคนรักเรียนฉิบหาย



“โหดไม่ไหว ทำไมไม่อ่อนโยนเหมือนอยู่กับน้องสมุทรบ้างอ่ะครับ”



“กับไอ้สมุทรกูก็ไม่เคยอ่อนโยนนะ บอกเลย” ยักคิ้วให้พวกมันทีหนึ่ง แล้วไอ้สองตัวก็โห่แซวเหมือนว่าเรื่องความรักของกู จะถูกจริตพวกมันมาก แต่เอาจริงๆ ผมรู้ว่าเพราะเพื่อนของผมชอบไอ้สมุทร แต่พวกมันไม่เคยชอบอัยย์เลย



“ไอ้สัดจันทร์ มึงมารับโทรศัพท์มึงเถอะ โคตรน่ารำคาญ สั่นจนKกูจะแข็ง” ไอ้มีนกวักมือเรียกพร้อมทำหน้ารำคาญ



“โคตรเหี้ย” ผมส่ายหน้าหน่อยๆ ให้กับคำพูดของมัน แต่ถึงแบบนั้นก็เลือกจะเดินเข้าไปหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดู สายเรียกเข้าไม่ต่ำกว่าห้าสาย จากคนที่ผมไม่คิดว่าจะเห็นเบอร์ของเค้า ทำให้ต้องขมวดคิ้ว



...



“มึงถือไหวแน่นะสมุทร ขนเหี้ยอะไรมานักหนา”



“ถือไหวน่า กูไม่ได้ผอมแห้งขนาดนั้น” ผมหันไปบอกไอ้มาร์ชที่ตอนนี้ขับรถมาส่งผมถึงหน้าคณะบริหาร วันนี้พี่พระจันทร์บอกว่ามีติวกับเพื่อนๆ จริงๆ เค้าไม่ได้บอกให้ผมมาหา หรือเอาอะไรมาให้ แต่ด้วยความที่น้องสมุทรเป็นสายเปย์มาตั้งแต่ม.4 ในจุดๆ นี้เลยขนอาหารเครื่องดื่มต่างๆ มาให้พี่พระจันทร์และเพื่อนของพี่ๆ เค้าด้วย



อาหารพร้อม กำลังใจพร้อม



เรียกเค้าว่าเมียดีเด่น!



ถุย!!



เมียพ่อง!



อนาคตคนเคยอยากเป็นผัวอย่างน้องสมุทรน่ะนะ พูดไปก็สะเทือนใจไปถึงตูด แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ถึงจะเป็นฝ่ายรับ แต่น้องสมุทรก็ยังเป็นคนทำหน้าที่ปกป้องดูแลพี่พระจันทร์ได้เหมือนที่ตั้งใจไว้แต่ก่อนอยู่ดี ... เหมือนในเช่นตอนนี้ที่น้องสมุทรหอบของกินมานี่ไงเล่า



“ไม่ให้กูลงไปส่งแน่นะ”



“กูไปได้ แค่ของกินสามสี่ถุงเองป่ะ” ผมบอกอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม ไอ้มาร์ชที่มองหน้ากันแล้วขมวดคิ้ว สายตาของผมที่อ่านได้จากสายตาของมันว่า มึงแบกมาหาพ่องมึงหรอเยอะแยะ ... อ่านได้แต่น้องสมุทรจะเลือกทำเป็นไม่รู้ละกันนะ



“ว่าแต่มึงเหอะ ทำไมถึงรีบหนีออกจากคณะจังวะ หลายอาทิตย์แล้วนะที่มึงทำตัวแปลกๆ”



“กูเปล่า! กูไม่ได้หนีใคร”



“มึงจะเสียงดังทำไม ถามทีไรตะโกนใส่กูทุกที” ผมมองมันอย่างแปลกใจ แต่มาร์ชก็ทำแค่ถอนหายใจออกมานิดๆ ก่อนมันจะส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง ไอ้ห่านี่ก็เป็นแบบนี้ทุกที พอเป็นเรื่องของตัวเองก็ชอบเก็บเงียบ



“กูไม่ได้เป็นไรหรอก แค่อยากกลับบ้าน”



“มึงไม่ได้เป็นคนติดบ้านอ่ะ แล้วที่สำคัญมึงอยู่คอนโดครับ” ผมเถียงมันออกไปพร้อมหรี่ตามองใส่อย่างจับผิด



“แต่ตอนนี้กูกลับไปนอนที่บ้านชั่วคราว”



“จริงจังไหม”



“เออ”



“ไม่จอมแก่นนะ”



“มุกเหี้ยนี่ขอให้พอนะ ถ้าไม่พอกูจะถีบมึงติดประตูรถ” มันขมวดคิ้วมองกันอย่างหงุดหงิด ท่าทางที่บอกว่าจะทำแบบนั้นจริงๆ ทำให้น้องสมุทรต้องยิ้มอ่อน



“โอเคๆ แต่มึงรู้ใช่ไหม”



“รู้ว่า” เลิกคิ้วมองหน้าผมแบบไม่เข้าใจ



“รู้ว่ามึงมีกูเสมอ ถ้าพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่ กูอยู่ตรงนี้กับมึงนะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น จ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาคู่สวยของมัน ไอ้มาร์ชชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะพยักหน้าออกมาแล้วยิ้มบางๆ ตอบกลับมา



“ขอบใจ”



“โอเค้ งั้นตอนนี้กูไปก่อนละกัน”



“แล้วแน่ใจว่าไม่ให้กูอยู่รอ นี่ฝนก็ทำท่าจะตกแล้วนะมึง”



“อื้ม ไม่ต้องอ่ะ เดี๋ยวกูกลับพร้อมพี่พระจันทร์เลย”



“ให้มันได้แบบนี้ ลูกกูแม่งโตแล้วใจแตกฉิบหาย” มันเอื้อมมือมายีหัวผมเล่นจนหัวสั่น สัด เสียทรงไม่ไหว บอกกูสิว่าเมื่อกี้มีนกเหี้ยอะไรมาทำรังบนหัวน้องสมุทรหรือเปล่า



“ไปๆ ลงไปจากรถกูได้ละ”



“เหอะ ไล่จัง ใช่สิ กูไม่ใช่ผัวมึงนี่”



“ผัวพ่อง!”



รีบวิ่งลงจากรถมันก่อนที่ไอ้มาร์ชจะแจกหมัดใส่กัน ถึงแบบนั้นก็ยังได้ยินคำด่าของมันไม่เลิกอยู่ดี ผมหัวเราะขำกับท่าทางแบบนั้นของมันน้อยๆ ก่อนจะหันหน้าเดินเข้าไปที่ตึกของคณะบริหาร คณะนี้แตกต่างจากคณะผมตรงที่ด้านหน้าของตัวตึกจะเป็นลานจอดรถทั้งหมด มีช่องจอดรถเยอะมากๆ ส่วนคณะของผมจะทำที่จอดรถไว้ที่ด้านหลังตึกคณะแทน



ผมที่กำลังเดินตัดผ่านลานจอดรถ เพื่อจะไปที่ตัวคณะ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ใครอีกคน ที่วันนี้ผมตั้งใจจะมาหาวิ่งสวนออกมาที่ลานจอดรถ ผมยิ้มกว้างขึ้นมาในตอนที่เห็นเค้า



“พี่พระจันทร์!!” ผมตะโกนเรียกพร้อมพยายามโบกมือหา ทั้งๆ ที่ติดไอ้พวกถุงกับข้าวที่ขนมาให้แต่น้องสมุทรก็พยายาม พี่พระจันทร์ชะงักขาที่กำลังวิ่งนั่นแล้วมองมาที่ผมอย่างตกใจ



“พี่พระจันทร์จะรีบไปไหนหรอครับ นี่น้องสมุทรซื้อของมาฝากเยอะเลย กลัวพี่พระจันทร์กับพี่ๆ จะเหนื่อยตอนติวอ่ะ หรือจะรีบออกไปซื้อของกินหรอ ไม่ต้องนะ นี่ๆ น้องสมุทรเอามาให้ละ” ผมว่าแบบนั้นแล้วยิ้มกว้างขึ้นไปอีกตอนที่เดินเข้าไปถึงตัวของเค้า



“สมุทร”



“หื้มว่าไง ไปกัน ไม่ต้องไปซื้อละ ซื้อมาเผื่อครบจบทุกคนแน่นอน มียำทูน่าด้วยถ้าอยากได้อะไรจัดจ้าน หรือจัดกว่านั้นก็เป็นตัวน้องสมุทรเองแล้วนะ ง่อววว จัดไปอีกหนึ่งมุก” ผมพูดออกไปอย่างอารมณ์ดี เพราะในตอนนี้เห็นอีกคนดูจะเครียดจัด เพราะคิ้วสวยๆ ของเค้าก็ขมวดเข้าหากันอยู่แบบนั้น



“กูมีเรื่องที่ต้องไปที่อื่น” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้น ผมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ



“โอเค แล้วพี่พระจันทร์จะไป งั้นไปกันเลยไหม พี่ดูเครียดๆ นะ” ผมเดินนำไปที่รถของเค้าที่จอดอยู่ไม่ห่างจากเรานัก แต่ฝ่ามืออุ่นก็มาจับมือของผมเอาไว้ซะก่อน ผมหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ



“อะไรหรอครับ”



“กูจะไปคนเดียว”



“อ้าว...แต่ฝนจะตกแล้วนะ พี่ดูร้อนใจแปลกๆ น้องสมุทรไม่อยากให้ขับรถคนเดียวอ่ะ”



“ไม่เป็นไร กูไปได้ แต่ตอนนี้กูรีบ รีบมากจริงๆ ... ขอโทษได้ไหมที่ไม่ได้ไปส่ง” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นพร้อมเอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มของผม แล้วลูบไล้มันแผ่วๆ สายตาท่าทางของเค้าที่กำลังทำให้ผมกังวล ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือของพี่พระจันทร์ก็ดังขึ้นมาขัดก่อนอีกครั้ง พี่พระจันทร์ชะงักไป เค้าลังเลที่จะหยิบมือถือขึ้นมาดู แต่สุดท้ายก็หยิบมันออกมาอยู่ดี ชื่อที่หน้าจอทำให้ผมชะงักไปในตอนนี้

‘อัยย์’




#รักอยู่รู้ยัง



ส่วนตัวแคทชอบตอนนี้มากๆค่ะ เพราะรู้สึกว่าเขียนเข้าไม้เข้ามือตัวเองมากๆ

แต่ไม่รู้คนอ่านจะชอบไหม และใดๆคือเห็นด้วยกับพี่พระจันทร์

อัยย์ แกต้องการอะไรวะ

ง่อวววว

นิยายเรื่องนี้ไม่ขาว ไม่ดำ เป็นนิยายเทาๆ ที่อยากให้ทุกคนสนุก และก้าวไปพร้อมกัน

หวังว่าจะสนุก และมาหวีดร้องกันที่คอมเม้นท์ หรือทางแฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ได้เลยนะคะ

แคทรออ่านข้อความจากทุกคนอยู่เสมอเลยนะ

พระจันทร์: จริงๆอยากถามคนอ่านแม่งต้องการอะไรจากกูวะ

แคท: ไม้หน้าสามหรือเปล่าที่แกต้องการ ว๊าย



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Koyokid16

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :call: อ่านนี้รอนั่งลุ้นกับ อีพี่พระจันทร์ จะได้ไปต่อ หรือจะพอแค่นี้
ตอนกลางๆเรื่องเกือบ หมาละ แต่พอท้ายเรื่อง จันทรรรรร
คนอ่านยังจะไม่ รุมนะจร้า ยังให้โอกาส ตามไปดูกันยาวๆ ฮิฮิ :m16:

เป็นน้องสมุทร นี้ต้องทน กับเข้าใจเบอร์ไหนเนี้ย ถ้า(ว่าที่)แฟน จะไม่เคยเล่าหรือ อธิบายอะไรให้ฟังก่อน แล้วให้ไปรู้ทีหลังทุกที แค่เล่าอะ หรือ พาไปด้วยก็จบนะ !!

มาต่อเร็วๆนะคุณแคท / เม้นน้อยแต่รักนานน้า Thank you ja.  :mew1:

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่25

 

บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือปรากฏชื่อของสายที่โทรมาให้เห็นอย่างชัดเจน ผมรับรู้ได้ว่ามือของตัวเองในตอนนี้มันกำลังสั่น ไม่รู้แล้วว่าที่เป็นแบบนั้น มันเป็นเพราะว่ากำลังหอบข้าวของพะรุงพะรังไว้จนเต็มสองแขน หรือเพราะว่าหัวใจมันกำลังหวาดกลัว กับคนตรงหน้าที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

 

“ใคร...” ถามออกไปแบบนั้น แม้ว่าจะมองเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นใครที่โทรมา

 

“สมุทรมึงสำคัญกับกูนะ มึงรู้ใช่ไหม” เค้าหันมามองกันแล้วว่าออกมาแบบนั้น ฝ่ามืออุ่นที่เอื้อมมากุมมือเอาไว้ สายตาของผมยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ของเค้าและไม่ตอบอะไรกลับออกไป พี่พระจันทร์ที่ดูทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายเค้าก็ละสายตาไปกดรับสายด้วยท่าทีรีบร้อน ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรกับเค้า เสียงที่ดังลอดออกมาไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจว่าเค้ากำลังพูดอะไรกัน เพราะมันฟังจับใจความไม่ได้ แต่แววตาของพี่พระจันทร์ในตอนนี้ มันกำลังบอกได้ว่าเค้ากำลังร้อนใจ

 

“เดี๋ยวก่อนอัยย์ รอจันทร์ก่อน...เข้าใจที่พูดไหม” พี่พระจันทร์พูดออกไปแบบนั้น ขายาวของเค้าที่เริ่มขยับตัวทั้งๆ ที่มือข้างนึงยังถือสายโทรศัพท์ค้างเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็กุมมือของผมเอาไว้เช่นกัน

 

“พี่พระจันทร์จะไปไหน” ถามออกไปแบบนั้น แล้วคว้ามืออุ่นที่ตอนนี้มันกำลังคลายออกจากมือของผมเอาไว้แน่นๆ

 

“กู คือ คือกูขอโทษ แต่เดี๋ยวกูจะกลับมาหานะสมุทร”

 

“ไม่...พี่จะไปไหน จะไปหาพี่อัยย์หรอ” ผมกระชับฝ่ามือของเค้าเอาไว้อีกครั้ง คนที่ยังละล้าละลังหันมองหน้าผมสลับกับมองไปที่รถของตัวเอง ท่าทางที่ดูอึดอัดไม่ตอบกลับแบบนั้น ยิ่งทำให้ผมจับมือเค้าเอาไว้แน่นๆ มันเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่กำลังยึดเหนี่ยวเอาไว้ได้

 

“มันจำเป็น รอกู ขอร้องนะสมุทร”

 

“รออะไร” ผมถามทั้งๆ ที่รู้สึกสับสน ความเสียใจตีตื้นขึ้นมาในความรู้สึก ไม่เข้าใจเค้า ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย ...

เค้าบอกว่าผมสำคัญ สำคัญสำหรับเค้าที่สุดในตอนนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนเค้าก็พูดคำดีๆ เอาไว้มากมาย และวันนี้ก็ยังคงพูดมันแบบนั้นอยู่

แต่ถ้าสำคัญแบบที่เค้าว่า ตอนนี้เค้าต้องอยู่กับผมสิ เค้าต้องเลือกที่จะอยู่ตรงนี้สิ

 

“สมุทร...นะ ครั้งนี้กูขอร้อง”

 

“ไม่!...ขอร้องอะไร พี่จะให้ผมรออะไร ทำไมพี่ต้องไปหาเค้า” เสียงของผมสั่น แต่มือก็ยังคงคว้าฝ่ามืออุ่นของเค้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พี่พระจันทร์ที่มีท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนที่เสียงปลายสายที่ยังไม่ได้วางจะดังลอดออกมาจากสายโทรศัพท์อีกครั้ง และเช่นเดิม ผมไม่ได้ยินมัน ได้ยินแต่เสียงดังๆ ที่ยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูร้อนใจมากขึ้นไปอีก พี่พระจันทร์เบิกตากว้างขึ้นในตอนนี้แล้วดึงมือออกจากการเกาะกุมของผม

 

ผมที่พยายามไขว่คว้าฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ ความร้อนในดวงตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พร้อมๆ กับที่หัวใจของผมเหมือนมันกำลังร่วงหล่นตกลงไปจากที่สูง

 

“พี่พระจันทร์...”

 

“สมุทร...ขอโทษ มันจำเป็นจริงๆ”

 

“ไม่..อย่าไป...นะ” แขนของผมที่หนักไปหมดเพราะของที่กำลังถือเอาไว้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังยกมือทั้งสองข้างเอื้อมมันออกไป ก้าวขาอีกข้างขยับเข้าไปใกล้

 

เป็นความรู้สึกเหมือนว่ากำลังพยายามเอื้อมมือไปคว้าอะไรบางอย่างที่สำคัญเอาไว้อย่างสุดแรง ยื้อยุดกับบางสิ่งที่มันกำลังจะหายไปจากสายตา พยายามดึงรั้งมันเอาไว้กับตัวให้ได้นานที่สุด แต่สุดท้ายแล้วมันกลับไม่เหลืออะไรเลยเมื่อเขาผละตัวออกห่างไปไวๆ สายตาคมที่มองสบกับผม มันกำลังบอกว่าเขาเสียใจ

 

แต่สิ่งที่สงสัยก็คือว่ามันเป็นความเสียใจที่เท่ากับความเสียใจของผมในตอนนี้หรือเปล่า

 

“ไม่ ... พี่พระจันทร์ ไม่ อย่าไป ได้โปรด...” เสียงร้องขอของผมไม่ดังเท่ากับเสียงปิดประตูรถยนต์ที่อีกฝ่ายปิดลง เขาหันมามองกันเป็นครั้งสุดท้ายผ่านกระจกกั้น ดวงตาคู่สวยที่ผมชอบนั้นมันกำลังสั่นไหว แต่สุดท้ายใบหน้าได้รูปก็เป็นฝ่ายหันหน้าหนี ก่อนจะตามมาด้วยรถคันหรูที่เค้านั่งอยู่ทะยานออกไปด้วยความเร็ว เสียงล้อรถที่บดไปกับพื้นถนนยังคงดังอยู่ในหู

 

ส่วนตัวผมในตอนนี้ได้แต่มองตามรถคันนั้นขับออกไปไกลๆ ได้แต่แค่นยิ้มออกมาอย่างสับสน ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นถนน ความรู้สึกเหมือนโดนถีบตกลงมาจากหน้าผาแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศมันน่ากลัวขนาดไหน กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็เป็นตอนที่ตกลงมาถึงพื้นตาย มองไม่เห็นอะไรสักอย่างนอกจากความมืดที่เข้ามาเยี่ยมเยียนในจิตใจอย่างเงียบๆ

 

“หึ ฮ่าๆ ....” แค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างฝืดฝืน ก้มมองฝ่ามือตัวเองที่ตกลงข้างตัว ข้าวของที่ซื้อมาหล่นลงพื้นเกลื่อนกระจาย แต่ก็ไม่คิดที่จะเก็บมันแม้แต่น้อย ฝ่ามือของผมสั่นระริก ไม่ต่างจากทั้งตัวที่ก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเย็นวาบไปตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ความอบอุ่นที่เคยกุมมือกันเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว มันเหลือทิ้งไว้แค่ความหวาดหวั่นและตัวผมที่กำลังกอดตัวเองอยู่ในตอนนี้ มองไปรอบข้างมีแค่ความอ้างว้างที่ว่างเปล่าชวนให้หายใจไม่ออก

 

กูมาทำอะไรที่นี่ กูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้

 

ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

 

มีแค่สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้ มันเป็นความจริงที่ตีเข้าแสกหน้าเข้าอย่างจังว่า ... สุดท้ายเค้าก็ไม่ได้เลือกผม

 

ถ้าคำว่าชอบมีค่าเอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจ ตอนนี้มันคงไม่เหลือสิ่งใดที่จะอุ้มชูหัวใจผมไว้อีกแล้ว ในตอนที่เค้าหันหลังเดินจากกันไป มันเป็นความเจ็บที่เรียกได้ว่าเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก ผมเคยมั่นใจมาตลอด ว่าสุดท้ายต่อให้เค้าไม่รู้สึกอะไร ก็คงจะยอมรับมันไหว คิดว่าจะรับมันไว้ได้ทั้งหมด แต่ความเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ตอกย้ำกันซ้ำๆ จนผ่านมาถึงวันนี้ มันถึงได้เข้าใจจริงๆ ว่ามันยากที่จะทำใจแค่ไหน

 

ที่คิดว่าได้ก้าวเข้าไปเป็นคนสำคัญของเค้า คิดว่าตัวเองในตอนนี้พิเศษมากกว่าใครๆ ... แต่สุดท้ายมันก็ยังสำคัญและไม่พิเศษเท่ากับคนในใจของเค้ามาตลอดอยู่ดี

 

“อึก...ฮึก” กอดตัวเองแน่นๆ แล้วเม้มปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้ให้มากที่สุด ปล่อยให้น้ำตาตอกย้ำความจริง น้องสมุทรควรเข้าใจได้แล้ว ว่าต่อให้อยากข้ามสมุทรไปหาพระจันทร์มากแค่ไหน สุดท้ายมันก็ไกลเกินตัวอยู่ดี

 

‘จะไม่ทำผิดสัญญากับมึงหรอก อีกอย่าง...มึงเองก็อยู่ตรงนี้ จะให้กูหันหลังไปจากมึง ทำไม่ได้หรอก’

 

ในหูมันอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร กอดตัวเองเอาไว้แล้วกำมือเข้าหากัน หัวใจมันบีบรัดในทุกจังหวะที่ยังหายใจ มันเจ็บจนปวดไปหมด ได้แต่พยายามที่จะหายใจ แต่จมูกมันแน่นไปหมด หายใจไม่ออกจนต้องเผยอริมฝีปากแล้วหายใจเข้าออกทางปากแทน

 

‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’

 

เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอมาพร้อมกับเงาที่คล่อมทับตัวผมเอาไว้ รองเท้าผ้าใบยี่ห้อแพงที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า ใช้สายตาที่มีม่านน้ำตากั้นไล่มองมันช้าๆ ตั้งแต่รองเท้าขึ้นไปถึงกางเกงยีนส์ขาดเข่า มองเห็นชายเสื้อช็อปและแผงอกกว้าง จนสุดท้ายก็เลื่อนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าได้รูปในแบบที่ผมหลงรัก แววตาคมสวยที่กระจ่างชัดปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า พร้อมๆ กับน้ำตาที่ทะลักออกมาอย่างหนัก

 

“ฮึก ...ฮื่อออ” ผมร้องไห้ออกมาเสียงดังอย่างสุดจะกลั้นในตอนที่ได้มองคนตรงหน้านี้ชัดๆ ใบหน้าแบบเดียวกันกับที่ผมต้องการให้เค้ามายืนอยู่ตรงนี้ แต่ในตอนนี้เค้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่มีอีกแล้ว

 

“เห้ย! ร้องทำไม”

 

“ฮึก ทำไม...ฮื่อ ทำไม...”

 

“ทำไมอะไร ร้องไห้ทำไมวะ ใครทำอะไรบอกพี่มาค่ะ” ร่างสูงที่ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าถามออกมาอย่างร้อนรน ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมาจับที่ต้นแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะเป็นผมเองที่พุ่งเข้าไปกอดเค้าเอาไว้ ตั้งอกตั้งใจร้องไห้อย่างสุดจะกลั้น....ขอแค่เปลี่ยนกันให้กลายเป็นเค้า เปลี่ยนเป็นพี่พระจันทร์ได้ไหมที่จะอยู่ตรงนี้กับผม

 

“ฮึก...ฮื่ออ”

 

“ชู่วว ใจเย็นๆ ...”

 

“ฮึก ทำไม ทำไมไม่เป็นพี่พระจันทร์ ฮึก ...ฮื่อออ ทำไมตอนนี้ถึงไม่เป็นเค้า ฮื่อออ”

 

“อ่า...” เสียงตอบรับเบาๆ ที่ดังมาจากลำคอ ก่อนจะตามมาด้วยวงแขนอุ่นที่กอดกระชับทั้งตัวเข้าไปในอ้อมกอด ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมือมาดันหัวให้ลงไปซบลงบนบ่าแกร่ง แล้วลูบหัวปลอบเบาๆ

 

“เดี๋ยวพี่อาทิตย์จะดูแลเอง ไม่ต้องร้องแล้วนะคะ”

 

.

.

.

 

“โอเคขึ้นไหม”

 

“ดีขึ้นแล้วครับ” พอตอบออกไปแบบนั้นก็ได้รับสายตารู้ทันแบบที่เค้าชอบทำส่งมาให้ในทันที มุมปากยกยิ้มขึ้นนิดๆ ที่มองมาอย่างอบอุ่น พี่อาทิตย์ส่ายหน้าหน่อยๆ หลังจากได้รับคำตอบ ก่อนจะยื่นแก้วโกโก้อุ่นตามมาให้กัน

 

“พี่เคยบอกไปแล้วไงคะว่าอย่าโกหก มันไม่เนียน มันดูออก”

 

“ผม...” ไม่รู้จะเถียงออกไปยังไง ในเมื่อทุกคำพูดของเค้ามันเป็นความจริง มันไม่ได้โอเค ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเหมือนที่ปากว่าเลยสักนิด

 

“ทะเลาะกับไอ้พระจันทร์ซิสเหี้ยของพี่หรอคะ”

 

“เปล่าครับ” ครั้งนี้ผมไม่ได้โกหก มันเรียกว่าเป็นการทะเลาะกันไม่ได้ด้วยซ้ำ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คืออะไร ตัวผมเองยังสับสน ยังคงเรียบเรียงเรื่องราวเพื่อให้บอกเล่าออกมาดีๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ในหัวสมองมันตื้อมันตันพอๆ กับหัวใจที่แห้งแล้งลง สวนทางกับขอบตาที่เหมือนจะมีน้ำเอ่อคลอขึ้นมาตลอดเวลาที่นึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้

 

เรื่องราวของเรา เรื่องราวของน้องสมุทรกับพี่พระจันทร์

 

“เราไม่ได้ทะเลาะกันหรอกครับ” ผมเปิดปากพูดมากขึ้นอีกหน่อย ในตอนนี้ที่พี่อาทิตย์ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาฝั่งตรงกันข้าม และยังคงใช้สายตาที่ไม่ได้บีบคั้นจ้องมองกันเหมือนอย่างเคย ... สายตาที่ทำให้ต้องเปิดปากเล่าเรื่องราวออกมา ทั้งๆ ที่เค้าไม่เคยได้บังคับอะไร

 

“แล้วทำไมถึงไปนั่งร้องไห้อยู่แบบนั้น ไอ้ซิสเหี้ยมันไปไหน”

 

“เค้า...”

 

“หื้ม”

 

“ก็แค่ พี่พระจันทร์ไปหาพี่อัยย์” พูดออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่สายตาก็ยังเอาแต่ทอดมองลงไปที่แก้วเซรามิกสีขาวที่ถูกเพ้นท์ลายเป็นรูปพระอาทิตย์ที่ถืออยู่ในมือ เพ่งมองเหมือนว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจนักหนา

 

“ไปหาอัยย์” พี่อาทิตย์ย้อนถามพร้อมขมวดคิ้ว ส่วนผมทำแค่พยักหน้าตอบรับแล้วยิ้มตอบกลับไปให้บางๆ

 

“มันไปทำเหี้ยอะไร”

 

“ฮ่า ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย ผมรู้แค่ว่าผมขอเค้าว่าอย่าไป ขอร้องเพราะคำสัญญาของเค้าที่บอกกันไว้ แต่สุดท้ายเค้าก็ทิ้งไปอยู่ดี พี่พระจันทร์ไม่ได้ฟังแม้กระทั่งคำขอจากปากของผมเลยด้วยซ้ำ เค้าบอกแค่ว่าเค้าต้องไป เค้าขอร้องให้ปล่อยให้เค้าไป” ในตอนนั้นที่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่อาทิตย์ มองเห็นคนตรงหน้าที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กๆ

 

“ผมสู้ไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า...กับคนแบบพี่อัยย์ที่อยู่ในใจพี่พระจันทร์น่ะ” ถามออกไปแล้วก็ยิ้ม ยิ้มทั้งที่หัวใจไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด คำถามที่เหมือนกับแค่อยากพูดย้ำกับตัวเองให้ได้รู้ว่าต่อให้สู้มามากแค่ไหน สุดท้ายคนแบบน้องสมุทรมันก็ไม่มีทางสู้คนในใจของเค้าได้

 

“คำถามที่น้องสมุทรถาม พี่ตอบไม่ได้หรอก...เพราะพี่ไม่ใช่ไอ้พระจันทร์” พี่อาทิตย์ว่าแบบนั้น แต่ถึงเค้าไม่ตอบ ผมก็พึ่งได้รับคำตอบจากการกระทำของพี่พระจันทร์มาอยู่ดี ... มันชัดเจนมากอยู่แล้ว

 

“ที่นี่คือที่ไหนหรอครับ” เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง ดันกรอบแว่นตาหนาให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหันมองไปรอบๆ พื้นที่ที่เราสองคนกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ มันเป็นบริเวณชั้นสองของบ้านที่พี่อาทิตย์พามา มันเหมือนเป็นทาวโฮมส์สามชั้นที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ชั้นนี้มีทั้งครัว พื้นที่ส่วนกลาง และโซฟาเข้าชุด ทีวีจอใหญ่ยักษ์ที่ถูกแขวนเอาไว้ที่ผนัง แถมยังมีมุมทานอาหาร เป็นสถานที่ที่ให้ความอบอุ่นเหมือนบ้านจริงๆ

 

“บ้านพี่เอง”

 

“บ้านพี่?”

 

“พี่เก็บเงินซื้อไว้เองน่ะค่ะ เคยคิดเอาไว้ว่าจะมาอยู่...แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มา” คำพูดท้ายประโยคเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน ยกมือดันกรอบแว่นของตัวเองนิดหน่อย แต่พี่อาทิตย์ก็ไม่ได้พูดซ้ำ

 

“พี่แค่คิดเอาเองว่าเราคงไม่อยากกลับบ้านไปในสภาพแบบนี้ ใช่ไหมล่ะ” ทำได้แค่พยักหน้าตอบรับกับคำถามนั้น มันถูกของพี่อาทิตย์ ผมไม่อยากกลับบ้านไปในตอนนี้ ถ้าเลือกได้ก็อยากจะหนีไปให้ไกล ไม่ต้องมีใครที่ตามหาตัวเจอ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คาดหวังว่าพี่พระจันทร์จะตามหา ไม่ได้คาดหวังว่าเค้าจะกลับมาเหมือนที่เค้าบอกกันไว้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่อยากไปอยู่ในที่ๆ เค้ารู้จัก

 

“ถ้างั้นน้องสมุทรก็อยู่ที่นี่เถอะ พี่รับรองค่ะว่าอิซิสจันทร์มันไม่มีทางรู้หรอก” เหมือนกับอ่านใจออก ถึงรีบพูดดักกันไว้แบบนั้น

 

“ที่ชั้นนี้มีห้องนอนแขกอยู่ทางนู้นค่ะ ส่วนชั้นสามก็ยังมีอีกสามห้อง ห้องพี่อยู่บนนั้น”

 

“ผมเกรงใจพี่อาทิตย์ครับ ผมไม่สมควรมารบกวนพี่แบบนี้ด้วยซ้ำ”

 

“เห้ย พูดอะไรแบบนั้นคะ เกรงจงเกรงใจอะไร พี่ควรดูแลน้องสมุทรให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำมันถึงจะถูกนะ แค่นี้มันชดเชยน้ำตาของเราที่เสียไปให้กับพี่ชายของพี่ยังไม่ได้เลยค่ะ” ได้แต่ยิ้มบางๆ ออกมากับคำพูดของเขา พี่อาทิตย์ใจดี

 

“โอเคตามนี้ น้องสมุทรอยู่ได้นานเท่าที่ใจอยากเลย เพราะปกติมันก็ไม่มีคนอยู่อยู่แล้วค่ะ มีพี่มาบ้างเป็นครั้งคราว ... คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของน้องสมุทรเหมือนกันก็ได้ บ้านแบบแชร์เฮ้าส์ของเด็กฝรั่งเป็นไง เกร๋ๆ”

 

“แบบนั้นมันต้องจ่ายค่าเช่าบ้านนะครับ”

 

“งั้นพี่ขอเปลี่ยนจากค่าเช่าบ้าน เป็นอาหารฝีมือน้องสมุทรแทนก็พอค่ะ...แบบนั้นโอเคไหม”

 

“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับสั้นๆ แล้วพี่อาทิตย์ก็ยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้าพอใจกับคำตอบที่ได้ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนแล้วพยักหน้าให้ผมลุกขึ้นเดินตามไปที่ห้องพักที่อยู่ติดกับทางขึ้นของบันไดที่จะนำไปสู่ชั้นสาม

 

“ตามสบายเลยนะ”

 

“ขอบคุณพี่มากๆ นะครับ”

 

“เล็กน้อย” พูดแบบนั้นพร้อมยกยิ้มมุมปากเท่ๆ ในแบบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าโดนคุกคาม แต่เป็นความรู้สึกสบายใจและพึ่งพาได้

 

“น้องสมุทรเข้าไปอาบน้ำแล้วนอนพักผ่อนเถอะ วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว”

 

“ครับ” ตอบรับด้วยคำสั้นๆ แค่นั้นพี่อาทิตย์ก็เบี่ยงตัวหลบทางจากประตูห้องให้กัน ไฟสว่างที่ถูกเปิดขึ้นทำให้มองเห็นห้องนอนขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็อยู่ได้อย่างสบาย ห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีอุ่นด้วยสีขาวเบจ

 

“น้องสมุทร...” ผมถูกเรียกเอาไว้อีกครั้งก่อนที่จะได้ปิดประตูห้อง พี่อาทิตย์ที่ยืนมองมาจากด้านนอกห้อง สายตาคมๆ นั่นจ้องกันไม่ละสายตา พร้อมๆ กับกรอบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่นิดๆ

 

“สำหรับไอ้พระจันทร์ คนแบบมันไม่เคยขอร้องใครเลย แม้แต่กับอัยย์ สักครั้งมันก็ไม่เคย ถ้าในวันนี้มันเลือกที่จะขอร้องให้สมุทรเข้าใจมัน...พี่ว่าการลองฟังมันสักครั้ง ก็คงไม่แย่นะ” พี่เค้าพูดออกมาแบบนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม หัวใจของผมมันกลับบีบรัด ความรู้สึกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าไม่ได้บอกให้ผมพาตัวเองกลับไปในจุดเก่า เพราะแบบนั้นถึงเลือกที่จะถามเขาออกไป

 

“พี่อาทิตย์เคยเสียใจเพราะความรักไหมครับ”

 

“พี่เคย” เค้าตอบกลับมา แววตาที่ผมอ่านมันไม่ออกสักนิดว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่

 

“แต่ผมไม่เคย...และเพราะว่าไม่เคยเลย มันถึงได้เจ็บมากขนาดนี้ เพราะไม่ทันได้ระวังตัวเลยสักนิด ความเสียใจของผมในวันนี้ มันยังเทียบไม่ได้กับความผิดหวังที่พี่พระจันทร์ทำลายมันทิ้ง มันเหมือนกับว่าเค้ากำลังตอกย้ำให้เข้าใจ ว่าสุดท้ายแล้วผมเองก็ไม่มีทางพิเศษไปกว่าคนในใจเค้า ถ้าวันนี้เค้าบอกว่าไม่รัก มันคงไม่เสียใจขนาดนี้ ไม่เสียใจเท่าที่เค้าบอกว่าชอบกันมากๆ แต่สุดท้ายก็เลือกกลับไปหาใครอีกคนที่พิเศษกว่าอยู่ดี”

 

“พี่อยากบอกว่าการเสียใจ มันไม่น่ากลัวเท่าการเสียเวลานะสมุทร...เพราะเวลาเป็นสิ่งเดียวที่เราจะหาคืนกลับมาไม่ได้ อย่าทิ้งเวลาให้เดินไปอย่างเปล่าประโยชน์ล่ะ” ผมเม้มปาก ไม่ตอบรับ ไม่ถามกลับว่าที่เค้าพูดมาคือกำลังอยากให้ผมกลับไปคืนดีกับพี่ชายเค้าหรือเดินจากไปให้ไวกันแน่ ผมไม่ทำอะไร นอกจากเก็บคำพูดของพี่อาทิตย์มาไว้ในใจ ปิดประตูลงกลอนเอาไว้ ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงและปล่อยให้ความเงียบเริ่มทำงาน

 

คิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ ถึงได้คาดหวังและวาดฝันไปกับพูดต่างๆ นาๆ ของเค้า พี่พระจันทร์ชอบน้องสมุทรที่สุด อยากเดินต่อไปด้วยกันและเริ่มต้นใหม่ เค้าจะมาขอคบ และเราจะได้เป็นแฟนกันอย่างมีความสุข มาคิดๆ ดูแล้วกับทั้งหมดนั่น เค้ากำลังรออะไรอยู่ ไม่เคยฉุกคิดถึงมันสักนิด แต่พอเรื่องราวเดินมาถึงตรงนี้ ก็เริ่มคิดถึงคำพูดของพี่อัยย์ คำพูดที่ว่า ‘เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเราสนิทกันขนาดไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเค้ากำลังเป็นตัวแทนเราในวันที่เธออยากยอมแพ้จากเราแล้วน่ะ’

 

“ฮึก...” ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วหลับตาลงแน่นๆ ปล่อยให้น้ำตาอุ่นไหลลงมาที่ข้างแก้มพร้อมๆ กับหัวใจที่บีบรัดจนทรมาน

 

พอได้แล้วสมุทร หยุดคิดได้แล้ว

 

บอกตัวเองแบบนั้นซ้ำๆ แต่มันก็ไม่เคยทำได้เลยสักที แค่นี้มันยังทรมานไม่มากพอหรอ ชัดเจนไม่พออีกหรอ ถ้าพิเศษจริงยิ่งกว่าใคร ทำไมถึงต้องมานอนร้องไห้เดียวดายอยู่ตรงนี้ ได้แต่ถามตัวเองว่ามันถึงเวลาที่ควรพอหรือยัง เหนื่อยเกินไปหรือเปล่าน้องสมุทร

 


ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
.

.

.


โชคดีที่วันนี้ไม่มีคลาสเรียน เพราะไม่อย่างงั้นพวกเพื่อนๆ มันคงตกใจกับสภาพในตอนนี้แน่ๆ ผมไม่ได้โทรไปเล่าให้ไอ้มาร์ชฟัง ไม่แม้แต่จะบอกไอ้เฮงหรือไอ้จิม เพราะพวกมันเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทด้วยมากเกินไป และเพราะแบบนั้น เลยไม่อยากให้ความใกล้ชิดช่วยในการตัดสินใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ตอนนี้แค่อยากหนีออกห่าง ออกไปให้ไกลๆ ทำได้แค่โทรบอกแม่เมื่อคืนว่าจะมาติวหนังสือกับเพื่อนสักระยะก็เท่านั้น

 

น้องสมุทรตื่นนอนในตอนเช้า ที่ค่อนข้างเช้ามากกว่าเคย เพราะเมื่อคืนนี้มันนอนไม่ค่อยหลับ เอาแต่นอนร้องไห้สลับกับการสะดุ้งตื่นขึ้นมารับรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง อาการแบบนั้นเกิดขึ้นอยู่ทั้งคืนจนทำให้เหนื่อยอ่อนและมาหลับไปจริงๆ ในตอนตีห้า แต่ถึงแบบนั้นในตอนนี้ที่ยังไม่เก้าโมงดี ผมก็ตื่นขึ้นมาแล้ว อาบน้ำ แปรงฟัน และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นชุดที่มีไว้ในตู้ เสื้อผ้าง่ายๆ ที่ผมใส่ได้พอดีตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเสื้อผ้าของใคร

 

ตั้งใจว่าจะเดินออกไปจากห้องนอน แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักก้าวของการเดิน เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชั้นตู้โชว์ที่วางกรอบรูปลายกราฟฟิกสวยๆ ไว้เพื่อประดับ ณ ที่ตรงนั้นมีทั้งงานวาดที่ถูกวางเอาไว้ สลับไปกับรูปภาพของเจ้าของบ้าน และพี่ชายของเจ้าของ ... เห็นแบบนั้นแล้วก็อดขมวดคิ้วจนเป็นปมไม่ได้ เมื่อเลื่อนสายตาไปเจอภาพของพี่พระจันทร์ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเค้าอยู่เสมอ ทำไมสายตาของผมถึงมีเอาไว้เพื่อมองเห็นพี่พระจันทร์อยู่เสมอเลย ภาพบนชั้นเป็นภาพสมัยม.ปลายของคนทั้งคู่ที่อยู่ในอิริยาบทต่างๆ ตั้งใจว่าจะเลิกสนใจ ถ้าไม่ติดว่าสายตาดันเลื่อนไปเห็นภาพสุดท้ายที่ถูกวางแอบๆ ไว้ที่ข้างหลังรูปวาดภาพหนึ่งนั่นซะก่อน เอื้อมมือไปหยิบมันออกมาดูด้วยความสงสัย ภาพตรงหน้าเป็นรูปของแฝดไม่ต่างจากภาพก่อนๆ ภาพที่กำลังบอกช่วงเวลาว่ามันถูกถ่ายเอาไว้ในตอนเย็นของวันหนึ่ง คนนึงอยู่ในชุดมัธยมปลายขาสั้นแบบเดียวกับที่ผมเคยใส่ในสมัยเรียน เค้ายิ้มกว้างแล้วใช้แขนคล้องคอแฝดตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกคนอยู่ในชุดนักบอล สีหน้านิ่งๆ ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเท่น้อยลง ทั้งสองคนกอดคอกันอยู่กลางสนาม ผมจะไม่สนใจอะไรกับภาพๆ นี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนทั้งสองในช่วงวัยมัธยมปลายนี้ไม่ได้ทำผมสีเดียวกัน

มันเป็นผมสีชมพู

 

“นี่มัน....”

 

ไม่เคยรู้เลยว่าตอนม.ปลายพี่อาทิตย์ก็เคยทำผมสีนี้มาแล้ว ไม่เคยคิดหรือแม้แต่จะสนใจ ฝ่ามือของผมสั่นไหว หัวใจรู้สึกกระตุกเพราะความคิดน่ากลัวบางอย่างถาโถมเข้ามา วางกรอบรูปนั่นกลับไปไว้บนชั้นทั้งๆ ที่สมองยังคงเบลอ มันเหมือนกับว่าผมกำลังช็อคและหวาดกลัวกับอะไรสักอย่างที่พึ่งนึกสงสัยและเคยเชื่อมาตลอดหมดหัวใจ

 

“ไม่หรอก...ไม่ใช่หรอก” พูดกับตัวเองแบบนั้น ก่อนจะเดินออกมาจากห้องด้วยหัวใจสั่นๆ รู้สึกเหนื่อยล้ามากเต็มที ได้ยินเสียงดังมาจากโซนครัว มองเห็นพี่อาทิตย์ที่เงยหน้าขึ้นมาจากจานสปาเก็ตตี้แล้วส่งยิ้มมาให้กัน ใบหน้าหล่อคมที่นัยย์ตาสดใส คิ้วได้รูปสวย และ...ผมสีชมพูพาสเทลอ่อนๆ ที่เค้าทำมาตลอดตั้งแต่ได้กลับมาเจอกันนั่น แต่ผมไม่เคยจะสนใจ เพราะในทุกๆ ครั้งสายตาของผมมันเอาแต่จ้องมองไปที่พี่พระจันทร์คนเดียวเสมอ

 

“ตื่นแล้วหรอ พี่คงไม่ได้ทำเสียงดังรบกวนใช่ไหมคะ” ผมส่ายหน้าโดยที่ไม่ได้ตอบคำถามเค้าสักคำ ได้แต่เดินขาสั่นๆ ไปนั่งลงที่หน้าเคาน์เตอร์ตรงหน้าเค้าด้วยความรู้สึกเหม่อลอย

 

พี่อาทิตย์เป็นคนใจดี ... ผมพูดมาตลอดว่าพี่อาทิตย์ใจดี

 

และคนที่ผมตกหลุมรักตอนม.สี่ในวันแรกของการเปิดเทอม...เค้าก็ใจดี

 

“มองหน้าพี่ทำไมคะ” เลิกคิ้วนิดๆ เป็นเชิงถาม เขายังคงส่งยิ้มมาให้กันเหมือนเคย บรรยากาศรอบตัวของพี่อาทิตย์ที่ไม่ได้เปลี่ยนไป เป็นคนมีบรรยากาศรอบตัวที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด ในทุกครั้งที่ผ่านมามันก็เป็นเช่นนั้น แต่ไม่ใช่กับในตอนนี้ที่มันกำลังทำให้ผมรู้สึกแทบหายใจไม่ออก

 

พี่อาทิตย์เลื่อนจานคาโบนาร่าที่เจ้าตัวพึ่งทำเสร็จใหม่ส่งมาให้กันตรงหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมซอสที่ผสมผสานเข้ากับชีสและเบคอนทอดกรอบลอยมาแตะจมูก บนจานถูกประดับตกแต่งด้วยใบพาสลีย์เล็กน้อยที่ทำให้สวยงาม แต่ทั้งหมดนั่นกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกอยากอาหารแม้ว่าจะเป็นของโปรดก็ตาม ผมในตอนนี้ที่เอาแต่จ้องหน้าของพี่อาทิตย์ให้ชัดๆ ... เหมือนกันมาก เขาเหมือนกันกับพี่พระจันทร์แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างเลยสักนิด

 

“น้องสมุทรเป็นอะไรหรือเปล่า”

 

“พี่อาทิตย์เคยทำผมสีชมพูมาก่อนหน้านี้ไหมครับ” ถามออกไปแบบนั้น แล้วก็ได้เห็นพี่อาทิตย์ชะงักมือที่กำลังจะตักเส้นสปาเก็ตตี้ให้ตัวเอง ใบหน้าหล่อได้รูปนั่นหันมามองหน้าผมพร้อมเลิกคิ้วมองกัน ดวงตาคมสวยนั่นสบเข้ากับตาของผมในตอนนี้ ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นเค้าที่ละสายตาออกไปแล้วหันไปจัดการกับจานตรงหน้าของเขาต่อ

 

“ทำไมน้องสมุทรถึงถามแบบนี้ล่ะคะ”

 

“ผมก็แค่อยากรู้ ว่าพี่เคยทำมันไหมตอนมัธยมปลาย” พยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้มันไม่สั่นมากจนอีกฝ่ายสังเกตได้ และภาวนาให้ความคิดในแง่ลบของตัวเองไม่เป็นเรื่องจริง

 

“เคยค่ะ...พี่ชอบสีชมพู” คำตอบเรียบง่ายของอีกฝ่าย มันหมือนกับเศษแก้วบางๆ ที่กรีดลงมาที่ใจ พี่อาทิตย์ที่หันมามองหน้ากันนิ่งๆ สายตาคมสวยนั่นแทบจะไม่ต่างเลยกับพี่พระจันทร์ เค้ามองตรงมาเงียบๆ ไม่เร่งรีบเหมือนอย่างเคย ไม่ได้กดดันให้ต้องพูดออกไป และเค้าก็ทำได้เหมือนเก่า ที่ท่าทางแบบนั้นมันมักจะทำให้เราต้องคายความคิดในใจออกไปจนหมด

 

“คนที่ผมเจอวันนั้น ... บอกทีสิว่ามันไม่ใช่พี่” เสียงของผมสั่นในตอนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแรงอย่างคนหมดความอดทน เก้าอี้บาร์ทรงสูงหล่นโครมลงพื้นด้วยเสียงที่ดังสนั่น ก้าวถอยหลังออกห่างจากเคาน์เตอร์บาร์ไปก้าวหนึ่ง แล้วจ้องหน้าคนที่เมื่อคืนนี้ผมเชื่อหมดหัวใจว่าเค้าใจดี แต่ในตอนนี้เสียงตะโกนในใจมันกำลังบอกให้ถอยหลังหนี

 

“สมุทรเป็นอะไร”

 

“บอกสิว่าคนที่ผมตกหลุมรักตอนม.สี่ตั้งแต่แรกเจอในวันนั้น จริงๆ แล้วมันไม่ใช่พี่แต่คือพี่พระจันทร์! พูดมันออกมา พูดมันออกมาสิ!...” เสียงของผมขาดห้วงคล้ายคนจะหมดแรง รู้สึกไม่อยากยอมรับและเริ่มจะสติแตก พี่อาทิตย์ขมวดคิ้วมองกันนิดๆ เค้าไม่ได้มีท่าทางตกใจหรือสั่นไหวกับสภาพคล้ายคนบ้าของผมสักนิด พี่อาทิตย์ที่ทำแค่ถอนหายใจนิดๆ แล้วขมวดคิ้วหน่อยๆ

 

“แล้วทำไมน้องสมุทรถึงคิดว่ามันจะไม่ใช่พระจันทร์”

 

“แล้วพี่จะมาย้อนถามผมทำไม แค่ตอบมาว่ามันไม่ใช่พี่ ได้โปรดเถอะ” ผมร้องขอ ก็แค่ตอบผมมา ตอบให้ได้รู้ว่า ความรักและความเชื่อตลอดสี่ปีของผมมันยังคงอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะโดนพี่พระจันทร์ทำให้แตกสลายมาแล้ว แต่ก็ขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ยังเหลืออยู่ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ตัวผมเองในตอนนี้คงไม่เหลืออะไรสักอย่างที่พอจะหลอกตัวเองได้ว่าช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านมากับพี่พระจันทร์มันคือเรื่องจริง ... เพราะคงทนมันไม่ไหว ถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่พระจันทร์หลอกผมมาตลอด

 

“มึงชอบกูผมสีชมพูหรอ”

 

“แล้วถ้าวันนั้นกูไม่ได้ทำผมสีชมพู ไม่ได้เป็นคนใจดีแบบนั้น แล้ววันนี้มึงจะชอบกูไหม”

 

“พี่ไม่รู้ว่าสมุทรกำลังพูดถึงวันไหนค่ะ แต่ถ้าจะให้พูด พี่พูดก็ได้ มันไม่ใช่พี่หรอก” พี่อาทิตย์ว่าออกมาแบบนั้น คำพูดที่เหมือนกำลังทำให้สบายใจนั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย ผมก้าวถอยหลังมากขึ้นไปอีก จนมันไปหยุดอยู่ที่หน้าบันไดที่ทอดยาวเป็นทางลงไปยังชั้นหนึ่ง

 

“สมุทร ใจเย็นๆ ก่อน”

 

น้ำตาไหลออกมาในตอนนี้ อะไรที่ยังเหลืออยู่บ้าง ความรู้สึก หัวใจ หรือแม้แต่ตัวของผม มันมีอะไรสักอย่างที่ยังเหลืออยู่บ้าง ... น้องสมุทรคนโง่มันยังคงเป็นคนโง่อยู่วันยังค่ำแบบนั้นไหม อยากจะหลอกตัวเองให้ได้แบบที่ผ่านมา แต่ในตอนนี้ก็รู้สึกสับสนมากกว่าทุกที หัวใจผมกำลังสับสนและเจ็บปวด มันแค่ร้องตะโกนบอกให้หนีไป หนีไปจากตรงนี้ และสุดท้ายในตอนที่พี่อาทิตย์จะเดินเข้ามาจับตัวกันได้ทัน ผมก็เลือกจะหันหลังแล้วออกวิ่ง วิ่งออกไปโบกแท็กซี่แล้วตรงกลับบ้าน ด้วยหัวใจที่บอบช้ำซ้ำๆ จากคนที่ผมเชื่อใจ

 

ใช้เวลาไม่นานรถแท็กซี่เขียวเหลืองก็มาหยุดลงที่หน้าบ้านของผม บรรยากาศในบ้านตอนนี้เงียบสงบเพราะทะเลไปโรงเรียน และแม่ของผมก็คงไปทำงาน ความเงียบกำลังทำงานในแบบของมันอีกครั้ง กระพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่เกะกะอยู่บนดวงตาให้หายออกไป เดินขึ้นไปบนห้องนอน แล้วหยิบโทรศัพท์ที่แบตหมดจนเครื่องดับออกมาเสียบสายชาร์ต นั่งชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะเปิดเครื่องอีกครั้ง

 

‘ตื่อดึงๆๆๆ’

 

เสียงแจ้งเตือนดังรัวๆ เข้ามาทันทีที่โทรศัพท์ถูกเปิดเครื่อง เป็นข้อความจากแอพพลิเคชั่นที่เอาไว้สนทนา บนหน้าจอมันบอกผมว่าคนที่ติดต่อมาคือพี่พระจันทร์ รวมถึงสายที่ไม่ได้รับอีกเป็นสิบก็มาจากเขาเช่นกัน

 

[[พระจันทร์: สมุทร มึงอยู่ไหน กูมาหาที่บ้านแต่น้องมึงบอกว่ามึงไม่อยู่] ]

 

[[พระจันทร์: ทำไมถึงไม่รับสาย...] ]

 

[[พระจันทร์: กูขอโทษ แต่รับสายกันหน่อยได้ไหม] ]

 

[[พระจันทร์: สมุทร ฟังกันก่อนได้ไหม] ]

 

[[พระจันทร์: ขอร้อง อย่างน้อยก็แค่บอกกันว่ามึงปลอดภัย] ]

 

[[พระจันทร์: สมุทร ช่วยอ่านหน่อยก็ยังดีนะ กูอยากมั่นใจว่ามึงไม่ได้เป็นอะไร] ]

 

น้ำตาของผมคลอขึ้นมาที่ขอบตาในขณะที่กำลังเลื่อนปลายนิ้วลงไปอ่านข้อความที่เค้าส่งมา หลายข้อความถูกส่งมาเมื่อคืนนี้ คงเป็นตอนที่มือถือผมแบตหมดจนดับไปแล้ว และตัวผมในตอนนั้นคงกำลังนอนร้องไห้อย่างโด่ดเดี่ยวอยู่ล่ะมั้ง และข้อความสุดท้าย มันพึ่งถูกส่งมาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว คงเป็นตอนที่ผมกำลังสติแตกอยู่กับพี่อาทิตย์

 

ผมรู้ดีว่าการวิ่งหนีมันไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง มันแก้ปัญหาเรื่องของเราไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเรื่องของเราในตอนนี้ ถ้าทั้งหมดที่ผ่านมามันไม่เคยจริง ผมไม่ได้พิเศษมากมายสำหรับเค้า และตลอดเวลาที่ผ่านมาเค้าไม่ใช่ใครคนนั้นที่ผมตกหลุมรัก แต่เค้าก็เลือกที่จะหลอกและปิดบังตลอดมาล่ะ

 

หลอกน้องสมุทรเพื่ออะไร หรือเพราะว่ากูมันเป็นคนหลอกง่าย ดูคล้ายตัวโง่งมตัวนึงแบบนั้นหรือเปล่า หรือเพราะว่ากูพร้อมจะให้เขาเสมอ ไม่ว่าจะตัวหรือใจ แค่เค้าหันมาเมื่อไหร่ก็จะเจออยู่แบบนั้นหรอ พอคิดมาได้ถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกบีบรัดที่หัวใจอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างมันกำลังตอกย้ำว่าโง่มากแค่ไหน

 

นี่ไงไอ้สมุทร สุดปลายทางที่มึงอยากได้ ความรักดีๆ ที่มึงอยากจะสู้ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทางที่วิ่งมาตั้งไกล มันไม่เคยมีเส้นชัยรออยู่

 

ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่นานหลายนาทีในตอนที่กำลังใช้ความคิด มันไม่ควรจะค้างคาเรื่องราวทั้งหมดไว้แบบนี้ การทำแบบนั้นมีแต่มันจะค้างคาและยืดเยื้อต่อไปไม่จบไม่สิ้น สุดท้ายผมเลยตัดสินใจกดส่งข้อความตอบกลับไปหาพี่พระจันทร์

 

[[น้องสมุทร: ผมอยู่บ้าน] ] พี่พระจันทร์กดอ่านมันแทบจะในทันทีที่ข้อความถูกส่งไป ก่อนสุดท้ายจะตามมาด้วยเสียงเรียกเข้าจากคนที่พึ่งอ่านข้อความของผม

 

((ฮัลโหล! สมุทร! ปลอดภัยดีใช่ไหม) ) น้ำเสียงร้อนรนที่ดังออกมาจากปลายสายทำให้กระบอกตาของผมร้อนผ่าว ก็ถ้าจะเลือกทิ้งกันไป ในตอนนี้จะมาทำเหมือนเป็นห่วงเป็นไยอะไรขนาดนี้ ถ้าห่วงกันมาก จะเลือกทิ้งไปหาเค้าทำไม

 

“ครับ” ตอบรับสั้นๆ ด้วยเสียงที่แหบแห้งเต็มที ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาที่ลำคอ ผมได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจเหมือนคนโล่งอกดังมาจากปลายสาย

 

((กูไปหาได้ไหม) ) เค้าถามออกมาแบบนั้น และนั่นมันก็เป็นสิ่งที่กำลังตรงกับใจของผมในตอนนี้ ผมอ่อนล้าและกำลังจะฝืนมันต่อไปไม่ไหว แต่ถึงยังไงเราก็ควรจะคุยกัน

 

((จันทร์จะไปไหน... พอเราตื่นแล้ว จันทร์ก็จะไม่กอดเราแล้วใช่ไหม) ) เสียงแหบพร่าจากใครอีกคนดังเข้ามาผ่านปลายสาย หัวใจของผมร่วงลงไปที่ปลายเท้า พร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้า ความเจ็บร้าวแทรกซึมเข้ามาที่หัวใจ มันเหมือนโดนมีดกรีดเข้าที่เนื้อตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บจนแทบทนไม่ไหว แต่ถึงแบบนั้นความเจ็บนี้ก็ยังไม่ทำให้สลบไป ผมยังคงรับรู้ถึงความทรมานนี้อยู่

 

((อัยย์ พูดอะไร พอ...) )

 

“พี่พระจันทร์...”

 

((สมุทร เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูไปห...) )

 

“พอสักที” ความเจ็บช้ำถูกซาดออกไปเหมือนคลื่นทะเลซัดกระทบฝั่ง ความเสียใจของผมกำลังล้นทะลักออกมาอย่างห้ามไม่ไหว มันสาดเอาทุกความรู้สึกที่ผมพยายามหลอกตัวเองก่อนหน้านี้จนพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี

 

((สมุทร มันไม่ใช่...) )

 

พอกันสักที ฮึก ฮื่ออ...ผม ผมไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว!!” ยกมือที่สั่นเทาของตัวเองขึ้นมาขยำลงบนหน้าอก หัวใจของผมสั่นมันเจ็บมันปวดจนแทบหายใจไม่ออก ทรมานไปหมด ผมไม่ได้ยินเสียงปลายสายจากพี่พระจันทร์อีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่ได้ยินในตอนนี้มันคือเสียงกรีดร้องของตัวเอง ได้แต่กัดฟันแน่นพร้อมๆ กับที่พยายามหอบหายใจ ทรุดตัวลงนอนกับพื้นกระเบื้องของห้องรับแขกอย่างทรมาน ก่อนจะเอื้อมมือไปกดวางสาย ผมไม่ไหว ผมไม่ไหวแล้ว

 

ความผิดหวังมันหน้าตาเป็นแบบนี้ เหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่เจอมาตลอดเป็นแค่บททดสอบเล่นๆ ผมพึ่งรู้ว่าของจริงมันเป็นแบบนี้ ความเสียใจในบางครั้งที่เค้าอยู่กับพี่อัยย์ หรือเค้าบอกว่าไม่ได้สนใจความรู้สึกของผม หรือแม้แต่ตอนที่เค้าหันหลังจากกันไปเมื่อวานนี้ หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าเค้าโกหกผมหรือเปล่าเรื่องคนที่ผมเจอเมื่อสี่ปีก่อน ในตอนนี้ทุกๆ เรื่องเทียบไม่ได้กับตอนนี้ ทุกอย่างมันชัดเจน เค้าอยู่ด้วยกันมาทั้งคืน เค้ารีบออกไปหากันแล้วกอดกันมาทั้งคืน!

 

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนอนร้องไห้แล้วปล่อยให้เวลามันหมุนผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่พึ่งจะมาหลุดออกจากภวังค์ที่เอาแต่คิดถึงเรื่องราวเจ็บปวดนั่นซ้ำๆ ก็ในตอนที่ประตูบ้านถูกเปิดออกด้วยฝ่ามือของพี่พระจันทร์ เขาที่เดินเข้ามาหากันช้าๆ ในทุกย่างก้าวดูหนักอึ้งไปทั้งหัวใจของผม ใบหน้าหล่อคมนั่นดูอ่อนล้าและอ่อนเพลีย สภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยเหมือนมันถูกถอดและใส่มาอย่างลวกๆ ผมกำมือแน่นๆ เข้าหากันในตอนที่เห็น หัวสมองมันกำลังจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน

 

“มาทำไม” ลุกขึ้นนั่งแล้วขยับตัวหนีเค้าที่พยายามจะเข้ามาใกล้ แต่ผมทำแค่ขยับหนีออกไปให้ไกลและเดินไปนั่งลงที่โซฟา แค่เห็นหน้าเค้า หัวใจของผมก็ถูกบีบรัดแล้ว มันปวดยอกในใจไปหมด

 

“มันไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิด...”

 

“พี่รู้หรอว่าผมคิดอะไร รู้หรอ!” ตะคอกออกไปเสียงดัง พร้อมๆ กับที่น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งเหมือนเขื่อนแตก ภาพตรงหน้าเริ่มพล่ามัวเพราะน้ำตามันทำให้ฝ้าขึ้นแว่น แว่นเฮงซวยที่พอสวมใส่ลงไปทีไร ผมยิ่งดูโง่มากเข้าไปทุกที หรือเพราะแบบนี้ผมถึงโดนหลอกมาตลอดหรอ

 

“พี่ทิ้งผมไปหาเค้า...”

 

“กูไม่ได้อยากทำแบบนั้น ...”

 

“แต่พี่ก็ทำนี่ พี่ทำมันลงไปทั้งหมดเลย ผมได้เห็นกับตาของตัวเองเมื่อวานนี้ และได้ยินกับหูของตัวเองเมื่อกี้! พี่ผิดสัญญา...” ปลายเสียงของผมขาดห้วง มันสะอื้นจนสั่น ความร้อนผ่าวไหลลงสู่ลำคอลามไปถึงปลายจมูกที่ทำให้หายใจไม่ออก

 

“กี่ครั้งแล้วที่พี่ทำให้ผมเจ็บ พี่ทำมันพังหมดเลย ความเชื่อใจของผม ความรักของผม” กัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นๆ ยกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าที่โซฟาอย่างคนหมดสิ้นหนทาง

 

“สมุทร กูขอโทษ” เค้าว่าออกมาแบบนั้น คำขอโทษดังก้องอยู่ในหู ความอึดอัดโรยตัวลงมาถาโถมเข้าใส่ คำขอโทษที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีอะไรเลย เค้าขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนสุดท้ายจะทรุดตัวลงนั่งลงที่พื้นข้างล่างโซฟาที่ผมนั่ง เสียงกระซิบแผ่วๆ ไม่ดังไปกว่าเสียงร้องไห้ของผม

 

“พี่โกหกน้องสมุทรกี่เรื่องกันหรอ ฮึก...ทั้งเรื่องที่บอกว่าจะไปต่อด้วยกัน แล้วเรื่องที่ว่าไม่ได้รู้สึกกับพี่อัยยแล้ว และแม้แต่เรื่องคนหัวชมพูคนนั้นที่ผมตกหลุมรัก มันมีอะไรจริงบ้าง”

 

“สมุทร มึงพูดอะไร...”

 

“กี่เรื่องกันที่ไม่ได้บอกความจริงกับผม ผม...อึก ผมเคยสงสัยว่าตัวเองมีค่าแค่ไหนในหัวใจพี่ ผมไม่เคยได้คำตอบเลย จนถึงเมื่อวานนี้ถึงได้รู้ ฮึก” พี่พระจันทร์ที่ช้อนตามองหน้ากันอย่างคนสับสน แววตาอ่อนล้าที่เหมือนกับว่ามันกำลังร้องขอ แต่ผมไม่รู้แล้ว ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่เค้าอยากจะบอกกัน ผมเอื้อมมือสั่นๆ ของตัวเองช้อนเข้าที่ใบหน้าหล่อนั่นไว้ทั้งสองมือ ก่อนที่น้ำตาของผมจะไหลลงมาอีกครั้ง

 

“สมุทร...ฟังกูก่อน”

 

“มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าผมได้ฟังมันก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ในเวลานี้ที่ผมไม่อยากฟังมันอีกแล้ว”

 

“สมุทร ขอร้อง” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเขา แต่ผมกลับส่ายหน้า มองเห็นน้ำตาใสๆ ไหลลงมาจากหางตาของคนตรงหน้า พี่พระจันทร์กำลังร้องไห้ แต่ผมไม่เข้าใจมันสักอย่าง ร้องทำไมล่ะ คนที่เจ็บปวดเสียใจจากการกระทำทั้งหมดมันคือผมนะ เพราะแบบนั้นเลยใช้ปลายนิ้วแตะลงที่ผิวแก้ม ปาดน้ำตาที่กำลังไหลของพี่พระจันทร์ให้หมดไป ผมยังคงอยากปกป้องเค้า ... แต่ในวันนี้ก็ได้ตระหนักรู้แล้วว่า ผมควรปกป้องตัวเองมากกว่าใคร

 

“ผมพึ่งรู้วันนี้เอง ว่าสู้กับอะไรมันก็ไม่ยากเท่ากับสู้กับคนในใจของพี่ ผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่ไม่เคยบอกรักกันเลย ทั้งๆ ที่บอกว่าจะเริ่มต้นกันใหม่ ทั้งๆ ที่มันเป็นคำตอบง่ายๆ ว่าก็เพราะไม่รักไง แต่ผมก็คิดไม่ได้” พี่พระจันทร์จ้องหน้ากันไม่วางตา แม้ว่าน้ำตาของเค้าจะยังคงไหลไม่หยุด ผมเองก็จ้องมองใบหน้าที่ผมชอบ คุณคนสวยขาในความฝันครั้งหนึ่งของน้องสมุทร

 

“สมุทร...ไม่ ไม่เอา กูไม่ได้โกหก กูชอบมึงจริงๆ” เค้าพูดออกมาแบบนั้น และเป็นผมที่ก็ยิ้มออกมานิดๆ ทั้งน้ำตา อย่างน้อยในตอนจบของเรา ผมเองก็อยากจะเป็นคนเดิมที่จะส่งยิ้มให้พี่พระจันทร์เสมอ

 

“แต่ก็ไม่รักใช่ไหมล่ะ พี่พระจันทร์พูดว่ารักน้องสมุทรไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

 

“กู...” เค้าพูดออกมาได้แค่นั้น และนั่นทำให้ผมแค่นยิ้มออกมาอีกนิดหน่อย

 

ต่อจากนี้ น้องสมุทรขอรักตัวเองบ้างนะ รักตัวเองแทนที่จะรักพี่...ถึงเวลาที่น้องสมุทร จะต้องดูแลความรู้สึกตัวเองแล้ว” พี่พระจันทร์นั่งอึ้งค้างกับคำพูดของผมอย่างคนสับสน แววตาของเค้าเศร้า ก่อนที่สุดท้ายผมจะโดนดึงรั้งเข้าไปในอ้อมกอดที่โหยหา ได้แต่เม้มปากกัดฟันแล้วร้องไห้เงียบๆ ต่อสู้กับหัวใจของตัวเองอย่างทรมาน วงแขนแข็งแกร่งของพี่พระจันทร์มันกำลังสั่นไหว มันเหมือนกับว่าตัวเค้าเองกำลังสั่น และน้ำตาอุ่นๆ จากดวงตาคมของเค้านั่นก็กำลังไหลลงมาที่บ่าให้ผมได้รู้ พี่พระจันทร์ดูหลุดจากการควบคุมของตัวเองไม่ต่างจากตัวผมเองในตอนนี้

 

ได้แค่หลับตานิ่งค้าง ซึมซับความอบอุ่นในอ้อมกอดนี้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ก่อนที่ในวันพรุ่งนี้ มันจะกลายเป็นควันจางๆ ที่หลงเหลือเอาไว้ได้แค่...ความทรงจำ

 

#รักอยู่รู้ยัง

---------------------------------

มาแล้วเธอจ๋า เรื่องราวดราม่าที่เธออยากได้ ฮื่ออออ

แคทหวังว่าตอนนี้จะเป็นตอนที่ทุกคนอินไปด้วยกัน ฝากโอบกอดหัวใจน้องสมุทรและพี่พระจันทร์ด้วยนะคะ

มากรีดร้องโวยวายกันได้ที่แฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ได้เช่นเคยนะคะ

แคทรออ่านข้อความจากทุกๆคนอยู่น้าาา

 

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Koyokid16

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :ling2:
ใจเราแค่ไม่เท่ากัน

น้องหมุดจะ Move on เป็นวงกลมไหม....ก่อนจะวนกลับไปหาอิพี่พระจันทร์ ขอบทแซ่บๆ+ผู้ใหม่โดนๆ เอาคืนอิพี่พระจันทร์แสบๆ หน่อยได้ไหมค่ะ คุณแคท ที่นางไม่เคยเห็นค่าน้องหมุด มากเท่าที่น้องหมุดให้ ไม่ใช่อิพี่พระจันทร์ไม่รู้สึก...แต่มันยังไม่มากพอที่จะใช่คำว่ารักกับน้อง ขอบทโบ้ให้นางเจ็บๆหน่อยค่ะ คนอ่านเคืองๆๆๆๆ

 :mew1:

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ยังเบาไปขอหนักว่านี้อีก

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เห็นด้วยกับการตัดสินของน้องสมุทร เอาคืนบ้างให้มาสาสมกับความใจร้ายของพระจันทร์ สู้ๆนะลูกแม๊ :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่26

 

          ฝ่ามือที่กำลังจับแล้วควงแก้วเหล้าในมือเล่นอย่างใจลอย ในหูได้ยินเสียงเพลงคลอเอื่อยๆ กับบรรยากาศคุ้นชินที่รอบตัวมีแต่คนกลางคืนออกมาเที่ยวสนุก ใช้เวลาในช่วงกลางคืนเพลิดเพลินไปกับแสงสี เครื่องดื่มมึนเมา หรือแม้แต่ความต้องการส่วนลึกกับคนในประเภทเดียวกัน ภาพที่คุ้นชินไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากใส่ใจอะไรมากนัก และเพราะแบบนั้นเลยได้แต่นั่งใจลอย มองรอบตัวไปเรื่อยๆ อย่างคนกำลังใช้ความคิดที่ตัวเองก็หาคำตอบมาไม่ได้ในหลายอาทิตย์แล้ว

 

“เฮ้อ...น่าเบื่อจังวะ”

 

“เบื่อแล้วมานั่งหลบอะไรอยู่ที่นี่วะ วันพฤหัสก็ยังจะมาแดกเหล้านะ” เสียงเข้มๆ ที่ทำให้ต้องสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ คนมาใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญเป็นคนๆ เดียวกับที่ตัวเขาพยายามหลบหน้ามาหลายอาทิตย์ ไม่อยากจะเห็นหน้าหล่อๆ ของมันเลยให้ตาย

 

ไอ้สัด มาอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ

 

“เสือก” ตอบกลับออกไปแบบนั้นแล้วหันหน้าหนี ยกแก้วเหล้าออนเดอะร็อคที่สั่งมายกดื่ม แต่ยังไม่ทันได้กระดกดื่ม ก็ถูกมือดีของคนตรงหน้ายื่นมาหยิบออกไปจากมือซะแบบนั้น ขมวดคิ้วไม่พอใจแล้วช้อนตามองคนที่เอาแต่ยืนมองค้ำหัวกันอยู่ในตอนนี้

 

“นี่คือจะกวนตีนกู” เลิกคิ้วถามมันออกไปตรงๆ แบบนั้น แต่ไอ้สัดพี่ยอร์ช จมูกหมาปัญญาควาย ลมอะไรหอบมึงมาตรงนี้วะแม่ง ไม่น่ามาเจอกันเลย

 

“มึงหลบหน้ากู” มันถาม ส่วนผมแค่เสหน้าหนี

 

“สำคัญตัวผิดมากไหมให้ทาย ทำไมกูต้องหลบหน้าพี่มึงวะ” จริง...ทำไม กูทำแบบนั้นทำไม

 

เลื่อนสายตามองไปที่ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสวย ใบหูที่ประดับด้วยต่างหูแฟชั่น และการแต่งตัวสบายๆ ที่ทำให้มันดูหล่อฉิบหายแค่เสื้อเชิดแบรนดังกับกางเกงยีนส์สีซีด รวมๆ แล้วเท่ฉิบหายจนอยากข่วนหน้า ภาพความทรงจำเร่าร้อนบนรถย้อนกลับมาอีกครั้งเป็นฉากๆ ฉายเล่นซ้ำๆ จนต้องเม้มปาก

 

“อ๊ะๆ อ๊า..."

"เรียกชื่อกู ไอ้มาร์ช"

"อ๊า อึก พ..พี่ยอร์ช อึก..."

"เด็กดี อื้ม"

 


“กัดปากตัวเองทำไม อย่าทำ ปากมึงช้ำหมด” มันบอกแล้วก็ทำตามคำพูดของตัวเองทันที โดยที่ฝ่ามือหนาถูกยื่นตรงมาหาแล้วใช้หัวแม่มือมาสัมผัสที่ริมฝีปากกันอย่างถือวิสาสะ ใบหน้าหล่อที่ก็เลื่อนเข้ามาใกล้ เผลอสบตากับมันไปเต็มๆ ในตอนนี้ รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกันที่หน้าแก้ม มันใกล้ถึงขนาดนั้นเลย

 

“มาใกล้ทำเหี้ยอะไรนักหนา” สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ตั้งสติได้ก่อนจะผลักอกคนที่ก้มเข้ามาใกล้ให้ออกห่าง ดวงตาคมที่ผมอ่านไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไรจ้องมองตากันไม่เลิก มองอะไรนักหนา หน้ากูก็ไม่ได้เหมือนไอ้สมุทรสักหน่อย

 

“ใกล้กว่านี้กูก็เคย” มันพูดพร้อมทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวข้างๆ ถลึงตาขมวดคิ้วมองหน้าแต่อีกคนแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วยักไหล่อย่างสบายอกสบายใจกับการกระทำของตัวเอง

 

“ใกล้แค่นั้นจะอวดเพื่อ คนได้ใกล้กูมากกว่านี้มันยังไม่กล้าอวดเลย”

 

“ใคร”

 

“แล้วเสือกอะไรไม่ทราบ” ปรายตามองมัน ที่ตอนนี้คนข้างตัวก็หันหน้ามามองกัน วูบนึงที่สายตาคมๆ นั่นจ้องตรงมาเขม็ง มองเห็นสายตาวาวโรจน์ที่ส่งมาวูบนึง รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งสันหลัง แต่มันก็แค่วูบเดียวเท่านั้นที่ได้เห็น

 

“ปากมึงดีอยู่นะ” อยากจะตอบกลับไปว่า ก็ดีจริงไม่ใช่หรือไง แต่คิดเอาไว้ว่าควรเงียบปากไปแล้วไม่ต้องพูดถึงมันอีกจะดีกว่า...

 

“พี่มึงมีอะไรกับกูกันแน่วะ” เปลี่ยนเรื่องที่จะพูดกับมัน เลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับคนตรงหน้า เราก็ไม่ได้มีเรื่องมากมายให้เสวนาไม่ใช่หรือไง ส่วนใหญ่ก็แค่เรื่องของไอ้สมุทร

 

“แต่ถ้าจะมาพูดเรื่องไอ้สมุทรก็ขอที ชีวิตมันตอนนี้กำลังดี มึงแทรกไม่ได้หรอก”

 

“แล้วทำไมกูต้องมาพูดเรื่องไอ้สมุทรวะ กูมาหามึงเฉยๆ ไม่ได้หรือไง”

 

“ก็ปกติมึงมาถามหาเรื่องไอ้สมุทรกับกูไหมล่ะ แล้วอีกอย่าง จะอยากมาหากูเพื่อ”

 

“ก็มึงหลบหน้ากู ถามจริงเหอะมึงเป็นอะไร” มันสวนกลับมา พร้อมสายตามองนิ่ง สายตาท่าทางที่ตั้งแต่เจอกันผมไม่อยากจะมองตามันมากที่สุด ... นั่นสิกูเป็นอะไร

 

“ถ้ามึงโกรธกูเรื่องที่ไม่ไปเอารถวันนั้น โอเค กูขอโทษ วันนั้นกูกลับมาจากส่งไอ้สมุทรมาหามึง มึงก็ไม่อยู่ห้องแล้ว กูไปส่งมันเฉยๆ แล้วกลับมาเลย ไม่ได้ทำไรมากกว่านะจริงๆ นะมึง แต่ถ้าจะต้องให้กูพูดอีกที กูก็จะบอกมึงว่ากูขอโทษมาร์ช กูคิดน้อย กูเหี้ยเองแบบมึงว่าแหล่ะ กูขอโทษที่ไม่รักษาสัญญา” มันว่าออกมาแบบนั้น สายตาที่กำลังบอกผมว่ามันขอโทษจริงๆ แต่นั่นล่ะ เรื่องนี้ก็ทำให้ผมหัวเสียกับตัวเองมาตลอดเหมือนกัน มันก็แค่คนๆ นึงที่ผมไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจกับความไม่รักษาสัญญานี้เลย ทำไมวะ ทำไมผมต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้น

 

“มาร์ช...”

 

“เออ ช่างเหอะ” เลือกที่จะไม่คิดต่อแล้วตอบกลับออกไปแบบนั้น เราสองคนมันเหมือนคนที่สนิทกัน แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้สนิทอะไร เหมือนมีเส้นบางๆ ที่คลุมเคลือในความสัมพันธ์นี้อยู่ แต่ถ้าข้ามมันไป ...เออช่างเถอะ ผมไม่ควรสงสัย หรืออยากได้คำตอบอะไรจากตัวเองมากไปกว่านี้ เรื่องบางอย่าง เราก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบมากขนาดนั้น ยิ่งชัดเจน มันจะยิ่งน่ากังวล

 

เหมือนกับคำถามที่ว่า ผมรู้สึกแย่อะไรนักหนา กับอิแค่มันที่อยากใช้เวลาอยู่กับไอ้สมุทรแล้วลืมสัญญาที่ให้กัน กับแค่คนที่ไม่สนิทมากขนาดนั้น จะโกรธอะไร... หรือเพราะความสัมพันธ์ทางกายที่เคยมีในคืนนั้นมันเลยทำให้เป็นแบบนี้

 

ไม่! ... กูไม่ได้อ่อนขนาดนั้น ... หัวสมองของผมมันเอาแต่บอกแบบนี้ เพราะแบบนั้นเลยทำแค่ถอนหายใจออกอย่างแรงแล้วเลือกที่จะดึงแก้วเหล้าที่อยู่ในมือของมันขึ้นมากระดกไปที ก่อนจะยอมหันกลับไปจ้องตาคนที่นั่งมองกันอยู่นานแล้ว

 

“ไม่มีอะไร กูไม่ได้หลบหน้าพี่มึงหรอก กูจะทำแบบนั้นทำไมวะ”

 

“นั่นสิ มึงจะทำทำไม”

 

“กูไม่ได้ทำ ... กูก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว กินขี้ปี้นอนเที่ยว อย่าสนใจเลยว่ะ” พยายามทำบรรยากาศระหว่างผมกับมันให้กลับมาดีด้วยการยกยิ้มตอบมัน กวักมือเรียกพนักงานแล้วสั่งเหล้าแรงๆ บาดคอไปอีกแก้วเพื่อให้มัน

 

“ผมเลี้ยงเอง โทษฐานที่ทำให้มึงวิ่งตามหาเหมือนหมาบ้า”

 

“ปากดีนะมึงอ่ะ”

 

“พูดสิว่ามึงไม่ได้วิ่งตามกู” เลื่อนมือไปตบลงข้างแก้มมันเบาๆ สองที ช้อนตามองคนที่ก้มหน้ามองสบตาตอบกันในตอนนี้ มีประกายบางอย่างสะท้อนมันอยู่ในดวงตาของเราสองคน แต่เป็นผมอีกเช่นเคยที่เลือกจะผละหนี แล้วเมินสายตามันไป

 

“อะ ชน...กูเลี้ยงเองเลยนะ แดก”

 

“เหอะ” มันแค้นหัวเราะออกมาหน่อยๆ แต่ถึงแบบนั้นก็รับแก้วเหล้าชงใหม่ที่ผมพึ่งสั่งให้ไว้ ก่อนจะยื่นแก้วมาชนกัน ความรู้สึกในอกมันสั่นไหวตอนที่เราเอาแต่นั่งใกล้ ช่วงเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ เราสองคนทำบรรยากาศให้ผ่านไปอย่างไม่อึดอัด แล้วไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่จากการนั่งคนละที่จากโซฟาข้างตัว ถูกเปลี่ยนขยับมาอยู่ข้างกาย ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดอยู่ที่ข้างหู ตามมาด้วยเสียงกระซิบแผ่วๆ ที่ทำให้ต้องละสายตาขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

 

“อะไร” ปลายจมูกที่ชนกันของเรา ทำให้ผมผงะเล็กน้อย ใครให้ไถหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้วะ ถอยหน้าหนี แต่ไอ้รุ่นพี่ตรงหน้าก็ยังจ้องเขม็งอยู่ที่โทรศัพท์ของผม

 

“มึงทำอะไร สนใจเหี้ยอะไรกับโทรศัพท์นั่นนักหนาวะ” มันว่าออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางหงุดหงิดเล็กๆ

 

“หาแมทกับคน”

 

“แมทอะไรวะ” ขมวดคิ้วอีกนิด แล้วเลื่อนสายตามามองหน้าผม เห็นแบบนั้นเลยยกมือขึ้นดันอกของมันให้ขยับตัวออกห่าง และอีกฝ่ายก็ยอมทำตามอย่างง่ายดาย แม้ว่าหัวคิ้วสวยจะยังคงย่นเข้าหากันก็ตาม

 

“แอพนัดเย เหมือนกูจะเคยเล่าให้พี่มึงฟังนะว่ากูเล่นอยู่” ตอบออกไปแบบนั้น มันก็ทำแค่พยักหน้า สีหน้าที่กำลังบอกผมได้ว่ามันกำลังครุ่นคิดอย่างนัก สงสัยจะนึกไม่ออกล่ะมั้งว่าผมเคยเล่าให้ฟังตอนไหน

 

“ว่าแต่มึงจะหาคนมานอนด้วยในคืนนี้หรอ”

 

“อืม...ก็ปกติเปล่าวะ” ยักไหล่นิดๆ ทำท่าทีไม่สนใจ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็รู้สึกแปลกๆ และเพราะความรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ที่ผมอธิบายกับตัวเองไม่ได้ มันเลยทำให้ผมต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่จะต้องเดินหน้า และถอยห่างจากไอ้คนที่กำลังขมวดคิ้วไม่เลิกนี่

 

“แล้วมึงแมทกับใครยัง”

 

“ยังนะ” ส่ายหัวตอบมันกลับไป ก็ยังไม่เห็นจะเจอใครที่แมทกันในตอนนี้เลย แต่ปกติ ถ้ามาร้านแบบนี้ ยังไงก็ต้องเจอแหล่ะ

 

“แล้วเวลามึงเล่นแอพนี่ มันบอกหน้าตาคนเปล่าวะ”

 

“ก็แล้วแต่ บางคนก็ใส่รูปตัวเอง บางคนก็ใส่รูปอื่น แต่ปกติเวลาจะเจอกันก็คุยกันก่อน มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นเปล่าวะ ก็แค่คนสองคนอยากปล่อยน้ำ” ผมตอบกลับไป ไม่ได้โลกสวยอะไร ก็เรื่องปกติที่เกิดขึ้นจนชินตา พี่ยอร์ชพยักหน้านิดๆ แล้วยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ผมมองการกระทำของมันอย่างไม่เข้าใจ

 

“มองอะไรกู”

 

“ก็เปล่าหรอก แต่พอบอกจะเลี้ยงพี่มึงก็แดกแบบไม่เกรงอกเกรงใจกูเลยนะครับ” แกล้งว่ามันออกไปแบบนั้นแล้วปรายตาไปมองขวดเหล้าบลูเลเบิ้ลที่หายไปมากกว่าครึ่ง ก็คิดดูว่าเราสองคนจะมึนเมามากขนาดไหน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูเมามากขนาดนั้นนะ

 

“มึงยังไม่แมทกับใครใช่ไหม” มันถามย้ำออกมาอีกครั้ง ผมถอนหายใจแล้วยกโทรศัพท์ให้มันดู

 

“ยัง เซ้าซี้ไรนักวะพี่ มึงกลัวไม่มีเพื่อนกินเหล้าหรอ”

 

“ก็คงงั้น”

 

“เออๆ ยังๆ กูยังอยู่แดกเป็นเพื่อนมึงนี่แหล่ะ แต่ถ้ามีกูไปแบบไม่ลา จำ” เอื้อมมือตบบ่ามันเบาๆ แล้วยกยิ้มให้ สายตาคมของคนข้างตัวที่ปรายตามามองกันนิดๆ ก่อนที่มันจะหันมาหาผมทั้งตัวแล้วขยับตัวเลื่อนเข้าหาอีกครั้ง บรรยากาศสลัวๆ และเสียงดังๆ รอบตัวในตอนนี้เหมือนจะเงียบหายไปเมื่อมีมันอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ ใกล้ในระยะที่ว่าผมต้องยกมือขึ้นมาดันอกแกร่งของมันเอาไว้

 

“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บ...”

 

“อะ เออๆ” ตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก เหมือนคนที่ตามหาเสียงตัวเองไม่เจอ ไอ้พี่ยอร์ชที่ใช้สายตากวาดไปทั่วใบหน้าของผม จากดวงตา มาที่ปลายจมูก ก่อนที่สายตามันจะอ้อยอิ่งอยู่ที่รูปปากของผม และหลังจากที่ผมตอบกลับไปแบบนั้น มันก็ย้ายสายตาคมนั่นกลับมาจ้องตากัน พร้อมยกยิ้มมุมปากแบบชอบใจ ก่อนจะผละตัวออกไปทั้งแบบนั้น

 

ตึกตักๆ เสียงหัวใจไม่รักดีก็ดังขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นจับที่หน้าอก เต้นอะไรของมันวะแม่ง

 

ส่วนไอ้บ้านั่น แค่จะไปห้องน้ำแล้วเป็นห่าอะไรทำไมต้องท่ามากขนาดนั้นวะแม่ง หงุดหงิดจนต้องยกนิ้วกลางส่งไล่หลังไปให้มัน แต่ถึงแบบนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้หรอก ... ผมละสายตาจากมันแล้วมานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ ตัวแทน เพลงที่เริ่มเข้าสู่จังหวะเอื่อยๆ เพราะเริ่มดึกแล้วในตอนนี้ เหล่านักท่องราตรีที่ไม่มีคำว่าดึกยังคงโยกย้ายไปตามเสียงเพลง นั่นรวมถึงตัวผมด้วยที่ก็โยกหัวไปตามจังหวะเพลงเบาๆ ในตอนนี้

 

‘ครืด’

 

เสียงสัญญาณแจ้งจากมือถือทำให้ต้องเลิกคิ้วมอง ก่อนที่แอพนัดเยนั่นจะเด้งขึ้นมาบอกว่าผมได้แมทกับใครบางคนแล้วในตอนนี้ ภาพโปรไฟล์ที่ไม่ได้ใช้รูปจริงนั่นทำให้ต้องเลิกคิ้ว


 
‘ดีลไหมคืนนี้’

 

เป็นอีกฝ่ายที่ทักมาก่อน เจ้าของรูปภาพโปรไฟล์รูปเรือที่ลอยอยู่ในทะเล ผมช่างใจอยู่สักพัก ก่อนที่สุดท้ายจะค่อยๆ ขยับนิ้วพิมพ์ตอบข้อความสั้นๆ นั่นกลับไป

 

‘ดีล’

 

อย่างน้อยก็ถอยออกไปจากตรงนี้ แล้วไปใช้ชีวิตในแบบปกติที่ไม่คิดอะไรมากเหมือนแบบที่ตัวกูเคยเป็นจะดีกว่าไอ้มาร์ช ...ใช่ มึงทำถูกแล้ว

 

“นั่งเหม่ออะไรวะมึง” เสียงของคนที่กลับมาจากห้องน้ำทำเอาผมสะดุ้ง ช้อนตามองดวงตาคมนั่นอีกครั้ง พี่มันหล่อ หล่อเกินไปจริงๆ นั่นแหล่ะ หลายครั้งก็เคยสงสัยว่าทำไมไอ้สมุทรถึงไม่ชอบให้มันจบๆ ไปวะ แต่เรื่องของหัวใจมันซับซ้อน ผมเข้าใจดี มันซับซ้อนพอๆ กับดวงตาคมคู่นี้ที่กำลังจ้องตอบผมเช่นกัน

 

“เปล่า แต่กูมีดีลแล้วว่ะคืนนี้”

 

“หมายถึง”

 

“กูแมทคนในแอพได้ละ คงต้องขอตัวให้คนเปลี่ยวเหงาแบบมึงไปตามทางนะครับ” บอกมันแบบนั้นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเอง ส่วนคนตรงหน้าก็ไม่แม้แต่จะนั่งลง มันยังคงเอาแต่จับจ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น

 

“เดี๋ยวกูจ่ายเงินไว้ให้ละกันพี่”

 

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูจ่ายเอง”

 

“ได้ไง กูบอกไปแล้วนี่ว่าจะเลี้ยง”

 

“แค่นี้สบาย กูจ่ายได้ ... แต่มึงน่ะแน่ใจนะว่าจะไปนัดนั่น” มันถามแล้วมองไปที่มือถือของผม ภาพหน้าจอยังค้างอยู่ที่แอพนั่นที่ล่าสุดเป็นข้อความจากคนที่นัดกัน ที่บอกสถานที่เอาไว้ว่าจะเจอกันที่ไหน

 

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูจะไม่ไป”

 

“แล้วถ้ามึงเจอคนไม่ตรงไทป์จะทำไงวะ”

 

“ก็แค่เอาไหม จะคิดไรมากขนาดนั้น มันก็แค่เรื่องคืนเดียวเปล่าว่ะ” ผมยิ้มนิดๆ แล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ โดยปกติผมจะนัดกับคนที่ไปก่อนว่าทำอะไรได้แค่ไหน เป็นแบบไหน แต่ในคืนนี้ ตอนนี้ ผมแค่ต้องการพาตัวเองออกไปให้ห่างจากคนตรงหน้าให้ได้ก่อนก็แค่นั้น

 

“งั้นหรอ” มันถามออกมาเบาๆ สายตาซับซ้อนที่ผมไม่เข้าใจ ยังคงจ้องตากันไม่เลิก

 

“อืม...ไปละ”

 

“เจอกัน” มันบอกแบบนั้น เราสองคนที่จ้องตากันอีกครั้ง ความรู้สึกวูบวาบบางอย่างแล่นขึ้นมาที่อกจนทำให้ผมต้องเสหน้าหนี เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นๆ กับสายตาของอีกคน ไม่ได้การละ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ผมเสหน้าหนีและในตอนที่กำลังจะก้าวเดินออกมา ก็นึกบางอย่างขึ้นได้เลยหันกลับไปหา มันที่ยืนกอดอกมองกันอยู่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ในตอนนี้

 

“พี่มึงรู้ไหม ตอนนี้ไอ้สมุทรกับพี่พระจันทร์มันเลิกกันแล้ว”

 

“หื้ม” สีหน้าที่ดูแปลกใจหน่อยๆ ของมันแสดงออกมาให้เห็นในตอนนี้

 

“แล้วมาบอกกูทำไมวะ”

 

“ก็คิดว่า เผื่อมึงอยากจะเสียบน่ะนะ”

 

“อ่อ...”

 

“กูไปล่ะ” แล้วก้าวเดินออกมาจากที่ตรงนี้ ปล่อยให้ไอ้พี่ยอร์ชยืนอยู่ตรงนั้น เป็นเพียงเบื้องหลังของความรู้สึกบางอย่าง ที่ทิ้งไว้โดยไม่ไปแตะต้องหรือค้นหาคำตอบของความรู้สึกตัวเอง รวมถึงคำพูดแปลกๆ ของมันในประโยคสุดท้ายที่ได้ยินนั่นด้วย

 

“กูเสียบแน่”

 

...

 

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

           ช่วงเวลาห้าโมงเย็นของวันศุกร์ยังคงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจที่ดังไปทั่วหอประชุมของคณะ เพราะว่าวันนี้ทั้งสี่ชั้นปีของเอกเรามีนัดประชุมจากอาจารย์หัวหน้าสาขา และเพราะการนัดรวมกันในครั้งนี้ ทำให้ได้เจอรุ่นพี่และสายรหัสกันให้วุ่นวาย เสียงดังจากการทักทายและพูดคุยเฮฮาเหล่านั้นไม่ได้ทำให้น้องสมุทรสนใจมากไปกว่าเสียงพูดคุยของกลุ่มเพื่อนสนิทที่ดังเซ้าซี้อยู่ข้างตัว

 

“ไอ้สมุทร มึงอยากไปกินหวานเย็นไหมตอนเลิก”

 

“บ้านนอกฉิบหาย ไอตงไอติมบิงซงบิงซูก็เรียกได้ไหม มาเรียกหวานเย็นอะไร มึงโบราณอยู่นะไอ้จิม”

 

“ไม่ค่อนแคะกูสักวันมึงจะตายห่าหรอสัดเฮง”

 

“หรือมึงอยากกินปิ้งย่าง ไปไหมกูเลี้ยงเอง”

 

“เออๆ ไอ้เฮงบอกจะเลี้ยงเราต้องไปแล้วนะเว้ยเพื่อน”

 

“กูจะเลี้ยงไอ้สมุทรคนเดียว มึงจ่ายเอง”

 

“โหยยย คำว่าเพื่อนอ่ะสัดเฮง~~~”

 

ผมหันหน้าไปมองหน้าพวกมันที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือ แล้วก็เอาแต่เถียงกันไม่เลิก ได้แต่ถอนหายใจออกมานิดหน่อยในตอนที่มองหน้าพวกมัน ไล่สายตามองไอ้จิมที่พยักหน้ายิ้มกว้างส่งมาให้ ไอ้เฮงที่ยื่นหน้าข้ามตัวไอ้จิมมาหาแถมมองมาแบบคนกำลังลุ้นเต็มที่ รู้ดีกว่าใครเลยว่าไอ้พวกนี้เป็นอะไร

 

“พวกมึงไม่ต้องพยายามขนาดนี้ก็ได้” ผมบอกออกไปแบบนั้นแล้วส่งยิ้มบางๆ ไปให้พวกมันที่ทำหน้าตาแบบไม่เชื่อกลับมาให้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังตอบรับกลับมา

 

“เห้ย! เพื่อนหมุดใครว่ามึงเป็นอะไรวะเพื่อน”

 

“จริง ใครคิดแบบนั้น พวกกูเปล่าเลยนะ” ไอ้จิมเถียงต่อจากไอ้เฮงออกมาแล้วทำสายตาล่อกแล่ก มองจากดาวอังคารก็รู้ว่ามันโกหก ผมรู้ดีว่าเพื่อนๆ คงกลัวว่าจะเศร้า พวกมันถึงพยายามมาอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ชวนทำนั่นทำนี่ไม่เลิกมาเป็นอาทิตย์แล้ว

 

ใช่ เรื่องราวหลังจากวันนั้นมันก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว

 

เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ผมไม่ได้รับรู้เรื่องราวของอีกฝ่าย เราสองคนหายจากกันไปเหมือนเรื่องราวหลายเดือนก่อนหน้าเป็นแค่เรื่องโกหก ผมไม่ได้เดินกลับเข้าไปในวงโคจรของพี่พระจันทร์อีก และนั่นทำให้รู้ตัวว่า ตลอดมามีแต่ผมที่วิ่งเข้าไปหา เราถึงเหมือนได้อยู่ใกล้กันขนาดนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย เราไม่เคยใกล้กัน แต่มันเป็นเพราะผมที่ พยายามยัดเยียดตัวเองเข้าไปเสมอต่างหาก พอถอยหลังออกมาในตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ตลอดมามันไม่มีจริง

 

“ไอ้สมุทร มึงโอเคแน่นะ” เป็นเสียงของไอ้มาร์ช มันที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากพนักพิงด้วยสภาพหัวยุ่งๆ วันนี้ตั้งแต่เช้ามันก็เอาแต่นอน ไม่รู้เมื่อคืนไปอดหลับอดนอนมาจากไหนของมันนักหนา

 

“กูโอเค”

 

“แต่กูว่ามึงไม่โอเค”

 

“ก่อนจะว่ากูไม่โอเค มึงน่ะดูตัวเองก่อน กูว่ามึงไม่โอเคกว่ากูอีกมาร์ช” สบตากับมันแล้วพูดออกไปตามใจคิด สภาพมันดูเหนื่อยๆ มากกว่าทุกที ขอบตาก็คล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน

 

“กูไม่ได้เป็นอะไร” มันตอบกลับผมมาเบาๆ แล้วเสหน้าหนี ท่าทางที่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ที่เหมือนมีอะไรปิดบังเอาไว้อยู่แบบนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ และพอผมพูดออกไปแบบนั้น ไอ้มาร์ชก็แค่เสหน้าหนีแล้วพูดออกมาเบาๆว่า

 

“ไม่มีอะไร”

 

‘ตึกๆ’

 

เสียงเคาะไมค์เรียกสายตาและความสนใจของคนทั้งหอประชุมไปทางหน้าเวทีได้เป็นอย่างดี อาจารย์หัวหน้าสาขาของเรา รวมถึงบรรดาอาจารย์ในคณะทั้งหลายต่างมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้

 

“大家好 ,今天老师有很多的事儿告诉你们。。。” (สวัสดีนักศึกษาทุกคน ในวันนี้อาจารย์มีเรื่องหลายเรื่องที่อยากจะมาบอกเล่ากับพวกเธอ...)

 

เสียงสำเนียงจีนที่ดังมาจากเหล่าซือหัวหน้าสาขาที่กำลังบรรยายเรื่องราวที่ต้องการบอกเล่าในวันนี้ จริงๆ แล้วเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักศึกษาปี1อย่างพวกเรามากนัก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังถูกเรียกตัวเข้ามาฟังร่วมกับรุ่นพี่ในเอก ผมปรายมามองไอ้จิมกับไอ้เฮงที่ตอนนี้ที่กำลังหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์ ส่วนไอ้มาร์ชก็เริ่มกลับไปนั่งสัปหงกอีกแล้วในตอนนี้

 

“你们明白了吗?” (ทุกคนเข้าใจแล้วใช่ไหม)

 

“好” (ครับ/ค่า)

 

“ok…所以今天没事儿了,回家吧” (โอเค งั้นวันก็หมดเรื่องแล้วล่ะ กลับบ้านได้จ๊ะ)

 

“谢谢老师。” (ขอบคุณค่ะ/ครับอาจารย์)

 

เสียงการบรรยายที่กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมงจบลงแค่ตรงนี้ บรรดานักศึกษาทั้งสี่ชั้นปีทยอยลุกออกจากที่นั่ง บางคนก็ยังยืนพูดคุยกับเพื่อนหรือรุ่นพี่เกี่ยวกับเรื่องราวที่พึ่งฟังบรรยายจบไป ส่วนตัวผมก็หันไปสะกิดปลุกไอ้มาร์ชให้มันตื่นและกลับบ้านสักที แต่ก่อนที่จะได้ลุกออกไป ก็ถูกสะกิดที่หัวไหล่จากทางด้านหลังเข้าสะก่อน

 

“ไอ้น้องรัก” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังพนักเก้าอี้ยิ้มกว้างออกมาอย่างเท่ ผู้ชายหน้าตาดีมีดรีกรีเป็นพี่รหัสของผมที่ยืนทำหน้าหล่อแล้วฉีกยิ้มกว้างๆ ให้ได้เห็นอยู่ในตอนนี้ คนที่ไม่ได้เจอกันมานานแทบจะทั้งเทอม

 

“เห้ยพี่เดส”

 

“กูชื่อเอสไอ้สัด เลิกเอาชื่อกูไปรวมกับไอ้พี่โด๊สสักทีเหอะ มึงกวนตีนจังวะ”

 

“ฮ่า หยอกน่า” ยกมือไหว้พี่มันเป็นเชิงล้อเล่น ส่วนอีกคนก็ทำแค่ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ

 

“หายหน้าหายตาไปเลยนะมึง”

 

“ผมต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้น เป็นพี่รหัสภาษาไรวะ ไม่เคยคิดจะมาดูแลกันเลย” เบ้ปากใส่ ส่วนพี่มันก็แค่ส่ายหน้าขำๆ กับท่าทีของผม

 

“มากับกู เดี๋ยววันนี้กูดูแลเองไอ้ลูกหมา มึงจะกลับยัง”

 

“ก็กำลังจะกลับนะ”

 

“งั้นดี เดี๋ยวกูไปส่งเอง”

 

“ดีเลย ผมจะได้ไม่ต้องเสียค่าบีทีเอสกลับเอง แพงฉิบหายอ่ะ”

 

“มึงกลับกับพี่เอสใช่เปล่าไอ้หมุด” ไอ้มาร์ชที่ลุกขึ้นยืนแล้วถามแทรกเข้ามา ปรายตามองเห็นพี่เอสมองไอ้มาร์ชที่สภาพมึนๆ งงๆ นั่นอย่างแปลกใจ ส่วนผมแค่พยักหน้าตอบรับมันน้อยๆ

 

“ดี งั้นฝากมันด้วยนะพี่ พาเพื่อนผมกลับดีๆ ล่ะ”

 

“เออ ฝากมันด้วยนะพี่ มันต้องการการดูแลเป็นอย่างดี” ไอ้จิมว่าออกมาสัมทับ พร้อมพยักหน้าหงึกหงักอย่างมุ่งมั่น ท่าทางที่ทำให้ผมรู้สึกอายตัวเองขึ้นมาหน่อยๆ

 

“เออๆ กูดูแลมันเอง ส่วนพวกมึงก็กลับกันดีๆ ล่ะ เอ้อแล้วมึงอ่ะก็ดูแลตัวเองดีๆ ไอ้มาร์ช” พี่เอสหันไปบอกไอ้เฮงกับไอ้จิมในตอนแรก ก่อนสุดท้ายจะหันหน้ามามองไอ้มาร์ชตรงๆ สายตาที่บอกว่าพี่เค้าเป็นห่วงมันจริงๆ

 

“สบ๊าย” มันว่าแบบนั้นด้วยเสียงสูงๆ พร้อมยักคิ้วส่งไปให้พี่เค้านิดๆ ท่าทางที่บอกว่าตัวเองกำลังสบาย สวนทางกับสภาพร่างกายของมันที่กำลังเดินออกไปช้าๆ พร้อมๆ กับไอ้เพื่อนของผมอีกสองคน

 

“งั้นมึงกลับเลยไหม”

 

“กลับเลยพี่” ตอบรับแบบนั้นแล้วเดินตามหลังพี่เอสออกไป พี่รหัสที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก ครั้งสุดท้ายที่เจอคงเป็นเลี้ยงสายรหัสเมื่อตอนเปิดเทอม

 

“ไอ้หมุด กูถามอะไรหน่อยได้ไหมวะ” หันหน้าไปมองคนที่เดินมาด้วยกันนิดๆ ก่อนพยักหน้าตอบรับ

 

“เรื่องพี่พระจันทร์หรอ”

 

“มึงลำบากใจที่จะตอบหรือเปล่า” เค้าที่ทำสีหน้าไม่สู้ดี เหมือนว่าอยากรู้แต่พอถามก็รู้สึกไม่ดี แต่ถึงแบบนั้นผมก็ส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้

 

“ไม่ได้ลำบากใจ พี่จะถามเรื่องอะไรล่ะ”

 

“คือกูเห็นคนพูดกันทั้งคณะว่ามึงกับเค้าเลิกกัน เอาจริงๆ กูก็ตกใจตั้งแต่วันที่มึงไปจูบเค้าวันนั้นแล้วนะ ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดกันมาถึงวันนี้ แล้วยิ่งมาเห็นมึงวันนี้...”

 

“ผมวันนี้มันทำไมหรอ” ถามออกไปแบบนั้นก็ได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่รหัสตัวเองชัดๆ

 

“มึงเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนน้องรหัสที่สดใสของกูคนนั้นเลยรู้หรือเปล่า”

 

“ผมว่าผมไม่ได้เป็นอะไรนะ” อยากน้อยในทุกๆ วันที่ผ่านมา ผมก็ยังคงใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างปกติ พยายามนึกถึงเรื่องของพี่พระจันทร์ให้น้อยลง แม้ว่ามันจะทำได้ยาก แต่ถ้าใน24ชั่วโมงที่ต้องนึกถึงเค้าตลอด ตอนนี้ผมก็ลดลงมาเหลือแค่23ชั่วโมงได้แล้วล่ะ

 

“แต่สีหน้ามึงไม่ได้เป็นแบบนั้น สีหน้ามึงมันทุกข์มากนะ”

 

“ผมไม่...”

 

“ไม่ต้องตอบคำถามกูก็ได้ ตอบใจมึงเองก็พอ การจมอยู่กับอะไรเก่าๆ บางทีมันก็ทำให้มึงเดินหน้าไม่ได้ กูจำคำพูดมึงวันเลี้ยงสายได้”

 

“ผมพูดอะไรวะ...”

 

“มึงบอกมึงชอบเค้ามานาน นานมากๆ และก็ตามมาเรียนที่นี่เพราะเค้าเหมือนกัน ... กูขอพูดในฐานะพี่นะไอ้สมุทร ถ้าตลอดเวลามึงทำทุกอย่างเพื่อเค้าขนาดนั้น มึงไม่ลองเปลี่ยนมาทำเพื่อตัวเองดูบ้างวะ”

 

“พี่หมายถึงอะไร” ช้อนตามองสบตากับคนตรงหน้า รู้สึกได้ว่าดวงตาของตัวเองมันกำลังสั่นไหวไม่ต่างจากหัวใจของผมที่กำลังเต้นรัว ความรู้สึกบีบรัดที่พยายามข่มมันเอาไว้ตลอดทั้งอาทิตย์เหมือนมันจะแสบร้อนขึ้นมาอีกแล้ว แผลเก่าที่ยังไม่หายสนิท มันก็เจ็บได้ง่ายแบบนี้

 

“เอกสารนี่ ไม่ลองไปคิดดูวะ...กูก็ไปนะ ถ้ามึงไป อาจเจออะไรใหม่ๆ แล้วทำให้มึงลืมเค้าก็ได้นะ”

 

“พี่หมายถึงให้ผมไป..”

 

“กูก็แค่พูดในฐานะพี่ ที่ครั้งนึงกูก็เคยเจ็บเพราะอกหักมาเหมือนกัน” เขาว่าออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มออกมานิดหน่อย เอกสารที่พี่เอสยื่นมาให้กัน ผมรับมันเอาไว้ ก้มหน้ามองช่องกรอกชื่อที่จะต้องใส่ลงไป ... ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าพี่เอสอีกครั้ง เค้าแย่ส่งยิ้มให้กันแล้วเดินนำหน้าไป ผมถอนหายใจกับเอกสารนี่นิดๆ

 

ตั้งใจว่าจะเดินตามไปแต่สายตาก็บังเอิญมองเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่ข้างๆ ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคาร คนร่างสูงในชุดนักศึกษาที่แตกต่างไปจากทุกที ใบหน้าที่ดูอ่อนแรงและเหนื่อยอ่อน เค้ายืนหลบมุมแอบๆ อยู่ตรงนั้น ในมือที่ถือแก้วน้ำจากร้านที่ผมรู้จักดี ‘แก้วน้ำเขียวโซดา’ ที่ในตอนนี้ น้ำแข็งละลายจนระเหยกลายเป็นไอน้ำเกาะอยู่ที่ขอบแก้ว ไอน้ำที่หยดลงกับพื้น พร้อมๆ กับดวงตาคมที่ฉายแววอ่อนล้ากำลังมองมาที่ผม สายตาที่มองกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ และช่างใจ เราสบตากันหลังจากที่ไม่ได้เห็นกันมาเป็นอาทิตย์

 

พี่พระจันทร์ในวันนี้ต่างจากที่ผมเคยเจอมาก ขายาวที่ทำท่าจะขยับเดินออกมา แต่เป็นผมที่ขยับก้าวถอยหลัง ผมคิดว่าผมเข้มแข็งและไม่เป็นไร แต่แค่มองเห็นหน้าเค้าไกลๆ จากตรงนี้ความเจ็บก็ตีตื้นขึ้นมาอีกแล้ว ผมบอกตัวเองว่าควรตัดใจ แต่สุดท้ายแล้วการตัดใจจากคนที่รักมาตลอด มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น ... และในขณะเดียวกัน เค้าที่เห็นผมก้าวถอยหลังหนีก็หยุดชะงักก้าวของตัวเองเช่นกัน สีหน้าไม่สู้ดียิ่งดูเศร้ายิ่งกว่าเคย ผมไม่เข้าใจเลย เค้าจะดูเสียใจมากมายขนาดนี้ทำไม เพราะสุดท้ายคนที่ทำให้เราต้องกลายมาเป็นแบบนี้ ก็คือตัวเค้าเอง

 

บางที ... ผมควรรับข้อเสนอของพี่เอส ได้แต่กระชับเอกสารในมือจนมันยับไปหมด ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจถอนหายตาออกจากอีกฝ่าย คนที่ผมอยากมีเค้าไว้ในสายตาตัวเองมาตลอด ตัดสินใจหันหลังเดินหนีทิ้งเค้าเอาไว้ทั้งแบบนั้น ไม่อยากเห็นอีกแล้ว ไม่อยากรู้สึกไปมากกว่านี้แล้ว

 

จะทำท่าเสียใจเหมือนความรักมันพังลงทำไม ทั้งที่จริงแล้วเค้าก็เป็นคนปาความรักที่ผมให้ทิ้งไปเองกับมือ... .

 

#รักอยู่รู้ยัง

----------------------------

เอ๊ะไหม เอ๊ะไหมเอ่ยยยย มีใครเอ๊ะในจุดไหนไหมน้าาา อยากให้คนอ่านเอ๊ะไปด้วยกัน

และขอโทษจริงๆที่หายไปหนึ่งอาทิตย์เลย แคทจะเฉลยให้ฟังว่าทำไมแคทหายไปนะคะ

คือสภาพโน๊ตบุ๊คที่ตีลังกาลงจากโต๊ะทำงานจนจอแตกยับค่ะ ฮื่ออ ตอนนี้เลยใช้คอมPCอีแก่ทำงานค่ะ มันเลยช้า

เพราะฉะนั้นขออนุญาตขายของหาเงินมาซ่อมDellค่ะ เพราะมันไม่อยู่ในประกัน

หากท่านใดต้องการหนังสือเซ็ตไหน สามารถสั่งซื้อกับแคทได้เลยค่ะ ทักมาทางไหนได้เลยค่ะ

หนังสือพร้อมส่งทั้งหมดค่ะ (กราบ)

Twitter: YoghurtCatty

Facebook: YoghurtCatty




ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด