“พี่ไม่ได้ลืมอะไรใช่ไหม พาสปอร์ตเอามาแล้วนะ”
“ถืออยู่นี่”
“กระเป๋าตังค์ มือถือ ดูแล้วใช่ไหม”
“อืม...กูเอามาหมดแล้ว”
“งั้นโอเค”
ณ ตอนนี้เรามาอยู่กันที่สถามบินฝูโจว เป็นรู้สึกเป็นความวูบโหวงอย่างประหลาด เมื่อตอนนั้นพี่พระจันทร์ยังเป็นคนยืนส่งผมจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้มาอยู่ที่นี่ แต่ถัดมาในตอนนี้ ดันเป็นตัวผมซะเองที่กำลังจะเป็นคนยืนส่งเขาจากสนามบินฝูโจวให้เขาไปที่สุวรรณภูมิ
“ไม่น่าออกมาเร็วเลย” เค้าบ่นออกมาแบบนั้น เพราะในตอนนี้เราดันมาถึงสนามบินไวกว่าที่คิด เพราะถนนในประเทศนี้ไม่ได้รถติด และจากมหาลัยที่ผมอยู่ เดินทางมาถึงที่นี่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงแล้ว
“อยากมีเวลาอยู่กับมึงให้นานกว่านี้หน่อย”
“ต่อให้นานแค่ไหน ก็ต้องไปอยู่ดี ... อย่ารั้งเลยครับ ผมจะยิ่งคิดถึงพี่มากกว่าเดิม” บอกออกไปแบบนั้น และทุกอย่างก็เงียบลง พี่พระจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่สุดท้ายเค้าก็พยักหน้ายอมรับได้ในที่สุด เค้าที่ยกมือลูบหัวของผมเบาๆ
“โตขึ้นเยอะเลยนะสมุทร”
“ก็โตพอจะเป็นแฟนพี่ได้นั่นล่ะนะ”
“ดูคำพูดคำจาของมึงนะ กูไม่อยากกลับละแม่ง” พี่พระจันทร์ทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพยายามดึงกระเป๋าเดินทางออกไปจากสนามบิน ลำบากน้องสมุทรต้องดึงแขนคนคิดไวทำไวไว้อีกครั้ง...จะบ้าหรือไงเล่า
“ได้ที่ไหนเล่า” ตีแขนแกร่งอีกคนเบาๆ อย่างหมั่นไส้ และในตอนนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ยอร์ชและไอ้มาร์ชเดินเข้ามาพอดี
“คืนรถเรียบร้อยแล้วหรอ”
“อืม” ไอ้มาร์ชพยักหน้าบอก
“มึงเช็คอินยัง”
“ยัง รอคนหน้าเหี้ยแบบมึงอยู่”
“กล้าที่จะ มึงก็หน้าเหี้ย”
ผมกับไอ้มาร์ชหันมองกันในทันที สองคนนี้ที่กลับมาเป็นเพื่อนกันอย่างไม่เป็นทางการ เหมือนจะสนิทกันดี แต่ถึงแบบนั้นก็ชอบกวนตีนกันแบบนี้ตลอด ก็หวังว่าไฟท์ขากลับนี้จะไม่ไปตีกันบนเครื่องให้เป็นข่าวดังหรอกนะ
“พอๆ ผมว่าเชิญไอ้หน้าเหี้ยทั้งสองไปเช็คอินเถอะครับ”
“อ้าว มึงต้องเข้าข้างกูสิมาร์ช”
“ไปๆ พี่ยอร์ช มึงรีบไปเลย ไอ้พี่พระจันทร์นำมึงไปแล้ว” ไอ้ยอร์ชบอกแบบนั้นแล้วพยักเพยิกให้หันไปมอง พอพี่ยอร์ชเห็นแบบนั้นก็กระชากกระเป๋าตัวเองแล้ววิ่งตามไปทันที
“ไอ้ห่าพระจันทร์รอกูด้วยโว้ย”
“เฮ้อ กูล่ะระอาจริงๆ”
“เงียบๆ มึง อย่าทำเหมือนเรามากับสองคนนั้นสิวะ”
“ถูกของมึง” ผมตอบรับไอ้มาร์ชแล้วหันหน้าหนีทันที อายครับ คนหันมาทั้งสนามบินแล้ว
การเช็คอินใช้เวลาไม่นาน เพราะพวกเรามาถึงไว พอเช็คอินเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก เราทั้งคู่ไม่มีอะไรให้ทำมากกว่านั่งจับมือกันเงียบๆ กอบกุมมือกันเอาไว้ รับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่ยังมีกันอยู่ในตอนนี้ ส่วนไอ้มาร์ชกับพี่ยอร์ชผละตัวออกไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ห่างออกไป ... เราต่างเข้าใจกันดีว่าในเวลานี้ทุกคนอยากใช้เวลาของตัวเอง
“ถอนหายใจทำไม” เขาถามผมออกมาแบบนั้นในตอนที่หันมามองกันก็ยื่นมือยกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ อีกครั้ง สายตาคมที่กำลังจ้องมองผมทำให้ไม่กล้าเงยหน้าไปมอง พอใกล้เวลาเข้ามามันก็รู้สึกวูบโหวงไปหมด
“ดูแลตัวเองดีๆ อย่าไปไหนกับใครมั่วซั่ว ที่ตรงซอยข้างๆ หอไอ้เขียนฟ้าห่านั่น ดึกๆ มันเปลี่ยว มึงอย่าไปคนเดียว กูไม่อยู่ด้วยแล้ว ถ้าอยากไปไหนก็ชวนไอ้มาร์ชไปด้วยเข้าใจไหม และที่สำคัญอย่าลืมเปิดvpnก็จะได้คอลหามึงได้ ตั้งใจเรียน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ให้มาก เวลาอีกหนึ่งเดือนมันเหมือนจะไม่นาน แต่มันก็มากพอให้มึงได้รู้จักรสชาติของการเติบโต ... แล้วก็...รีบกลับมาหากูนะ เข้าใจไหม กูจะรอ” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดเขาไว้แน่นๆ ความรู้สึกที่เหมือนกำลังอยากจะร้องไห้ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง พี่พระจันทร์ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นๆ แล้วจูบเบาๆ ลงบนหัว
“อย่าร้อง เดี๋ยวก็เจอกันแล้ว”
“น้องสมุทรไม่ได้จะร้อง”
“แต่ตาแดงไปหมดแล้ว...กูไม่อยากเห็นน้ำตามึงแล้วสมุทร ไม่ร้องนะครับ” ว่าแบบนั้นแล้วกอดกระชับผมเข้าไปหาตัวแน่นมากขึ้นอีกครั้ง ก่อนเค้าจะหันไปหาไอ้มาร์ชที่พึ่งดันตัวพี่ยอร์ชที่กอดและขยี้ผมมันแรงๆ ให้ออกห่างจากตัวเอง
“ไอ้มาร์ช กูฝากสมุทรมันด้วย”
“ครับพี่ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ส่วนกูไม่ฝากไอ้มาร์ชกับมึงหรอกนะ เพราะนี่มันของกู” พี่ยอร์ชพูดขึ้นมาแบบนั้นตอนหันมาหาผม เห็นแบบนั้นแล้วก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา พี่พระจันทร์ส่ายหน้ากับคำพูดนั้นพร้อมทำสีหน้าระอาออกมาแบบไม่ปิดบัง ส่วนไอ้มาร์ชแค่หันไปต่อยท้องอีกฝ่ายแรงๆ ... แต่ผมรู้ดีว่าไอ้ท่าทางแบบนั้น แม่มาร์ชของผมกำลังเขินล่ะครับ
“อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เจอกันนะ”
“ครับ...เจอกันในอีก1เดือนข้างหน้านะ”
“กูรักมึง” พี่พระจันทร์พูดออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับก้มลงมาจูบผม ท่ามกลางผู้คนมากมายของสนามบิน ไม่มีใครสนใจเรา เช่นเดียวกับที่เราในตอนนี้ไม่ได้สนใจใครเช่นกัน น้ำตาของผมไหลลงมาในตอนที่ริมฝีปากอีกคนเม้มลงเบาๆ ไม่ใช่จูบที่ดูดดื่มลึกซึ้ง แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึก
เขาว่ากันว่าจูบที่สนามบิน เป็นจูบที่คนเราจะได้เห็นถึงความจริงใจมากที่สุด เพราะมันอาจจะเป็นจูบลา หรืออาจจะเป็นจูบที่โหยหากันมากที่สุด
“พี่ไปแล้วนะ” เค้าว่าแบบนั้นในตอนที่เราผละออกจากกัน ผมยกมือขึ้นโบกลา สายตาของเราที่มองสบกัน และได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังกว้างๆ นั่นก้าวเดินผ่านผู้คนมากมายและค่อยๆ หายไปในที่สุด นึกย้อนไปถึงวันที่ผมจากเขามา ในวันนั้นพี่พระจันทร์ก็คงรู้สึกว่างเปล่าแบบนี้เหมือนกันสินะ
ผมหันไปมองหน้าไอ้มาร์ช มองเห็นน้ำตาของมันที่คลออยู่ที่หางตานิดๆ มันที่ทำเป็นเข้มแข็งที่บอกว่าต่อให้พี่ยอร์ชกลับไปก็ไม่รู้สึกอะไร คือคนที่กำลังเขย่งปลายเท้าชะเง้อคอมองหาคนที่เดินเข้าเกตไปแล้วในตอนนี้
“ไม่เป็นไรนะมึง ก็แค่เดือนเดียว”
“มึงบอกตัวเองหรอ กู...กูไม่รู้สึกอะไรหรอก”
“อยากจะถ่ายหน้าคนตอแหลส่งไปให้พี่ยอร์ชดูเลยล่ะ”
“อย่ามาร้ายกับกูครับไอ้ลูกเหี้ย”
ก็นะ...คิดซะว่าฝึกความอดทน ความสัมพันธ์ที่เริ่มขึ้นของการเป็นผู้ใหญ่ มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนพวกเราเป็นเด็กหรอก ถือซะว่าเป็นก้าวแรกของการเรียนรู้ จนกว่าจะพบกันใหม่อีกครั้ง
...
2ปีต่อมา
“ไปรายงานตัวหรือยังวะ มึงมัวแต่ชะเง้อชะแง้คอมองเหี้ยอะไรนักหนาวะไอ้พระจันทร์”
“แล้วมึงไปเสือกอะไรกับเค้าก่อนเอ่ย มึงอ่ะพี่ยอร์ช รีบๆ ไปรายงานตัว มึงจะช้ากว่าคนทั้งคณะมึงแล้วนะเว้ย”
“อะไรวะ นี่งานรับปริญญากูนะมาร์ช พูดหวานๆ ให้พี่ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรอครับ มึงรักกูบ้างไหมเนี่ย”
“หวานที่ตีนกูนี่ กูแหกขี้ตาตื่นมาจัดเตรียมทุกอย่างให้มึงตั้งแต่ตี3ครับพี่ยอร์ช ไม่รักเหี้ยไรล่ะ ตอนนั้นมึงยังนอนดูดน้ำลายจุ๊บๆ อยู่เลย”
“โอเคพี่จะไม่ว่าแล้ว มาร์ชอย่าเสียงดังพี่อายเค้า”
“เออ ให้มันรู้บ้างนะ อย่ามาหือกับกูครับ” ไอ้มาร์ชถลึงตาใส่แฟนมัน แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเอื้อมมือขึ้นไปเซ็ตผมให้ไอ้ยอร์ชอยู่ดี ...เห็นแบบนี้ ก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกมันครบกันมาได้สองปีแล้ว
“โหดฉิบหาย” ได้ยินเสียงไอ้ยอร์ชบ่นงึมงำเบาๆ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากแซวก็ได้ยินเสียงโห่ฮาดังตามมาจากกลุ่มเพื่อนของมันแทน
“ว๊ายยย ไอ้ยอร์ชกลัวเมียว่ะมึง ออกจากแก๊งเราไปเลย” ไอ้วินไอ้ทอยกับไอ้นิวที่เดินเข้ามาสบทบพูดล้อไอ้ยอร์ช ผมที่หันไปพยักหน้าให้พวกมันนิดหน่อย เวลาที่ผ่านมา ทำให้อะไรหลายๆ อย่างคลี่คลายลง เลยทำให้ทั้งเพื่อนกลุ่มผมกับเพื่อนกลุ่มของไอ้ยอร์ชสนิทกันไปโดยปริยาย เรียกได้ว่าชวนกันมากินเหล้าด้วยกันบ่อยเลยล่ะ
“ฮัลโหลซิส มาเทคอะโฟโต้วิทน้องชายสุดหล่อแบบกูหน่อยสิวะครับ มาเร็วมึง” ไอ้อาทิตย์ที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง แล้วกอดคอผม
“พี่ทิตย์ พี่จันทร์ เดี๋ยวผมถ่ายให้ครับ” เป็นไอ้เฮงเพื่อนของไอ้มาร์ชที่วันนี้รับหน้าที่ตากล้องของไอ้ยอร์ชเป็นฝ่ายอาสาขึ้นมา
“ดีน้อง พี่ขอหล่อกว่าไอ้หน้าเหี้ยนี่นะคะ” ไอ้อาทิตย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวผมว่าออกมาแบบนั้นพร้อมขยิบตาให้ไอ้เฮงทีนึง น้องจิมที่นั่งอยู่ข้างๆ ไอ้เฮงถึงกับหลุดขำกับท่าทางของไอ้น้องชายตัวดีของผมออกมาทั้งแบบนั้น แต่มันเหมือนจะไม่สนใจอะไรกับนิสัยชอบแหย่ไปเรื่อยของมันเนี่ย
“มึงสิหน้าเหี้ย” ผมหันไปถลึงตาด่า แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคงฉีกยิ้มกว้างๆ ให้กล้องแบบไม่เสียด่าของผมสักนิด แถมยังเอามือมาดันหน้าผมให้หันไปหากล้องอีกต่างหาก มันกวนตีนได้ใครวะ...ผมที่หันไปถ่ายภาพแค่ยกยิ้มมุมปากนิดๆ เท่านั้น ใครมันจะยิ้มกว้างโชว์ฟันครบทุกซี่แบบไอ้อาทิตย์วะ น่ากลัว
“แล้วนี่แฟนซิสยังไม่มาหรอวะ”
“อืม กูห่วงอยู่เนี่ย ทำไมป่านนี้มันยังมาไม่ถึงวะ” ผมว่าออกไปแบบนั้นแล้วก้มลงมองโทรศัพท์มือถือ ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องเข้ารับปริญญา แต่ช่วงเวลาแบบนี้เค้าก็มาถ่ายรูปกันทั้งนั้น
“เสียใจว่ะ อยากเห็นหน้าตาน่ารักของพี่สะไภ้”
“เสือก” หันไปถลึงตาใส่ ไอ้อาทิตย์ก็แค่หัวเราะคิกคักชอบใจตามสไตล์ของมัน ในตอนที่ยังไม่ทันจะได้ด่าหรืออะไร โทรศัพท์มือถือที่ผมถืออยู่สั่นขึ้นมา พอยกขึ้นมาดูก็เป็นชื่อของคนที่กำลังคิดถึงอยู่ในตอนนี้
[[พี่พระจันทร์ น้องสมุทรอยู่ตรงนี้] ]
เสียงใสๆ ปลายสายว่าออกมาแบบนั้น มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ หันซ้ายหันขวามองแต่ก็ไม่เจอคนที่อยู่ปลายสาย อยากจะถามไอ้น้องสมุทรเหลือเกินว่า ไอ้ที่พูดว่าอยู่ตรงนี้มันคือตรงไหนงั้นหรอ
“อยู่ตรงไหน ทำไมมึงช้าจัง”
[[พี่พระจันทร์มารับน้องสมุทรหน่อยสิ] ]
“อย่าบอกว่าหลงจริงๆ นะสมุทร”
[[อ่า ก็ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย] ] ปลายสายตอบกลับมาอย่างอึกอัก ท่าทางที่ต่อให้ไม่เห็นก็รู้ดีว่ามันคงเลิ่กลั่กเพราะเดินหลงทางแบบที่คิดจริงๆ นั่นล่ะ เฮ้อ...ทำให้ห่วงแม่งได้ตลอด
“รออยู่นั้นเลย เดี๋ยวกูเดินออกไปรับ”
[[โอเคเล้ย] ] ตอบรับออกมาด้วยเสียงร่าเริงสดใสแบบสุดๆ ดูไม่ออกเลยว่าดีใจที่จะไปรับ นี่หรอวะคนที่บอกว่าไม่หลงทาง ผมกดวางสายจากเจ้าตัวดื้อของผม ก่อนจะหันไปหาพวกเพื่อนของผม
“เดี๋ยวกูมานะมึง” บอกออกไปแบบนั้น ไอ้ปุ่นที่นั่งพักเล่นมือถืออยู่ที่ม้านั่งก็เงยหน้าขึ้นมามอง
“ไปรับน้องสมุทรหรอวะ” มันถาม ซึ่งผมก็แค่พยักหน้าตอบรับกลับไปแค่นั้น
“เออ แม่งหลงอยู่ตรงลานจอดรถ”
“น้องสมุทรเนี่ยนะ”
“เออ ดีใจใหญ่ที่กูจะไปรับ”
“งั้นพี่พระจันทร์รีบไปรับมันมาเหอะพี่ เดี๋ยวแม่งเดินหลงไปที่อื่นแย่เลย ลำบากตามหาอีกนะพี่” ไอ้น้องจิมว่าออกมาแบบนั้น ผมเลยพยักหน้า สวนกลับไอ้มีนที่พึ่งเดินกลับมาหลังจากออกไปซื้อน้ำดื่มกับญาติๆ ของมัน งานรับปริญญามักจะเป็นแบบนี้เสมอ ถือเป็นงานที่ทำให้คนในครอบครัวภูมิใจมากกว่าคนที่เรียนจบเองซะอีก ใจจริงไม่ได้สนใจจะมารับ เพราะงานรับปริญญานอกจากจะมีค่าใช้จ่ายเยอะแล้ว มันยังเหนื่อยมากๆอีกด้วย
แบบผมกับไอ้อาทิตย์ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ก็ยังโดนอาเมลปลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่ตี4เลย ใจอยากจะไม่รับแต่พอมองสีหน้าของผู้ส่งเสียผมมาตั้งแต่เด็กๆ มันเหมือนกับเป็นวันนึงที่พวกท่านรู้สึกว่าส่งเราถึงฝั่ง เพราะแบบนั้นผมเลยมารับปริญญาเพื่อพวกท่าน ทั้งอาเมลและป๊าทัพ
ผมเดินออกจากลานที่นั่งหน้าหอประชุมใหญ่ ตัดผ่านรั้วคณะออกมาที่หน้าถนนก็มอง ท่ามกลางผู้คนมากมายผมกลับมองเห็นคนๆ นึงที่ยืนอยู่บนฟุตบาตธของถนนฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ใบหน้าเรียวภายใต้กรอบแว่นตาทรงกลม ในอ้อมกอดถือช่อดอกกุหลาบสีขาวขนาดใหญ่ไว้เต็มอ้อมแขนจนแทบจะบังตัวของมันจนมิด มันที่ก้มหน้าลงไปดมดอกไม้ในอ้อมกอดของตัวเองก่อนจะผละหน้าขึ้นมาพร้อมๆ กับรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ผมมองเห็นแล้วต้องยิ้มตามไปด้วย
เหมือนความทรงจำในอดีตหมุนวนกลับมาอีกครั้ง ในตอนที่สมุทรมันเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันพร้อมรอยยิ้ม คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งถนนกำลังส่งยิ้มกว้างๆ มาให้ผม มันที่โบกมือให้กันท่ามกลางผู้คนมากมาย สายตาภายใต้กรอบแว่นนั่นยังคงเอาแต่มองมาทางผม ไม่ต่างจากวันแรกที่เราได้เจอกันที่หน้าโรงเรียน บรรยากาศไม่ต่างจากในวันนั้น แต่ทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปคงเป็นในวันนี้ไม่มีเด็กอ้วนที่วิ่งลงไปบนถนนให้ผมไปช่วย มีแต่สมุทรที่ก้าวขาเดินข้ามทางม้าลายตรงมา และตัวของผมเองที่ก็ก้าวข้ามถนนเพื่อเดินไปรับมัน
วินาทีนี้ พื้นที่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังเร่งรีบ เสียงดังๆ และความวุ่นวายรอบตัวเหมือนทุกอย่างหยุดลงอย่างกระทันหัน มีเพียงเสียงจังหวะการการเต้นของหัวใจของผมที่มากขึ้น ในตอนที่สบตากับอีกคน สมุทรมันยิ้มกว้างก้าวขาไวๆ เพื่อเดินมาให้ถึงผมที่หยุดยืนอยู่ที่กลางถนน และเพราะความเร่งรีบของมัน เลยทำให้จังหวะก้าวเดินเผลอสะดุดเข้า เป็นเหมือนภาพสโลวโมชั่นที่เห็นได้ชัดเจน ตัวผมที่ตรงไปโอบรับตัวของมันเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะมีคนลงไปนอนวัดพื้น
“เหวอ! ก...เกือบไปแล้วเชียว” มันที่ว่าออกมาแบบนั้น มือข้างนึงที่กอดตัวของผมเอาไว้แน่น ส่วนวงแขนอีกฝั่งก็ยังคงกอดช่อดอกไม้ใหญ่นี้เอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ห่วงอะไรกับแค่ดอกไม้ ทำไมไม่ห่วงตัวเองก่อน” จ้องหน้าดุคนตรงหน้า แต่สมุทรมันแค่ยิ้มร่าส่งกลับมาให้กัน
“จะห่วงไปทำไม เพราะสุดท้ายก็เป็นพี่พระจันทร์ที่มารับน้องสมุทรไว้ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง” มันที่บอกออกมาแบบนั้น แล้วเอื้อมมืออีกข้างเข้ามากอบกุมฝ่ามือของผมเอาไว้ สอดนิ้วเข้าไปแล้วกระชับฝ่ามือกับมันแน่นๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะพากันออกเดิน ก้าวผ่านทางม้าลายข้ามไปอีกฝั่งของถนนพร้อมๆกัน
ในตอนนี้ที่มาหยุดยืนอยู่ข้างฟุตบาต ก้มลงมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า กลัวว่าจะเจ็บที่ตรงไหน หรือขาแพลงไปหรือเปล่า แต่ถึงแบบนั้นสมุทรมันก็เอาแต่อมยิ้มและส่ายหน้า ฝ่ามือเรียวที่เอื้อมขึ้นมาจับที่ใบหน้าของผม สายตากลมโตภายใต้กรอบแว่นนั่นจ้องมองกันในตอนนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นดอกไม้ช่อโตที่อุ้มมาส่งมาให้ผม
“ยินดีด้วยนะครับกับบัณฑิตใหม่”
“ขอบคุณครับ ไม่เห็นต้องลำบากหอบมาเลย เห็นไหมว่าเกือบจะสะดุดล้มลงไปเพราะถือมันมาเนี่ย” ผมต่อว่าออกไป แต่อีกฝ่ายก็ยังคงส่งยิ้มให้กัน ใบหน้าน่ารักพยักเพยิกไปทางอีกฝั่งของถนน ให้ผมได้หันมองตามไป
“คิดๆ ไปแล้ว วันนี้มันก็เหมือนกับวันนั้นเลยนะครับ” คนตรงหน้าว่าออกมาแบบนั้น ทำให้ผมนึกย้อนไปเห็นภาพของเด็กนักเรียนม.4คนนึงที่ยืนรอข้ามถนนอยู่หน้าโรงเรียน ตั้งใจจะทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยเด็ก แต่สุดท้ายกลับสะดุดล้มลงไปนอนวัดกับพื้นถนน แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังไม่ลืมสายตาที่อีกฝ่ายมองกันที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ... และนั่นก็เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของเราสองคน
“แต่ไม่รู้ว่าวันนี้พี่จะรู้หรือยังนะ”
“รู้อะไรงั้นหรอ”
“รู้ว่าในตอนนี้ผมก็รักพี่อยู่ พี่รู้หรือยังครับ” ดวงตากลมโตภายใต้แว่นกรอบกลมช้อนตาขึ้นมาสบตากับผมพร้อมๆ รอยยิ้มน่ารักที่ส่งมาให้กัน ผมเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน
“ครับ รู้แล้วครับ...พี่ก็รักอยู่เหมือนกัน”
และนั่นก็คือคำตอบสุดท้าย ที่กลั่นกรองมาจากความรู้สึกที่ผ่านวันเวลาดีร้าย ถ่ายทอดออกมาด้วยหัวใจ ส่งผ่านไปบอกให้เค้าได้รู้ว่าวันนี้ ผมเองก็รักเค้าอยู่เหมือนกัน...
-THE END-
#รักอยู่รู้ยัง
-------------------------------------
ในที่สุด เราก็เดินทางมาจนถึงตอนสุดท้ายของเรื่องราวนี้แล้ว เย้!!
แคทขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรก คนอ่านใหม่ๆที่พึ่งได้รู้จักและเปิดอ่านเรื่องราวนี้
หรือแม้กระทั่งบางท่านที่ได้เดินจากกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นใครที่แวะมาเปิดอ่าน หรืออยู่ด้วยกันมาตลอด
แคทขอขอบคุณอย่างจริงจังและจริงใจจริงๆค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ การโดเนทสนับสนุนนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณคำแนะนำบอกกล่าวให้แคทพัฒนาขึ้นไปอีก ... แคทรู้ดีว่า มันอาจยังมีเรื่องราวที่ผิดพลาด หรือไม่สนุกอยู่บ้าง
แคทจะนำทุกคำติชม ไปพัฒนาให้มากยิ่งขึ้นนะคะ ...
ขอบคุณทุกคนจริงๆที่ร่วมเดินทางกับพี่พระจันทร์และน้องสมุทร
วันเวลาเลื่อนผ่าน แต่พวกเค้าจะก้าวเดินต่อไป เติบโต เติมเต็มความรู้สึกซึ่งกันและกัน ในจิตนาการของทุกคนไม่มีวันหมดไป
ตราบใดที่ยังคิดถึง แค่ย้อนกลับมาเปิดอ่าน และเดินไปด้วยกันอีกนะคะ
ปล. นิยายเรื่องนี้เปิดจองพรุ่งนี้น้าาา หวังว่าทุกท่านจะสนับสนุนนิยายทำมือของนักเขียนตัวเล็กๆคนนี้อยู่นะคะ (ไหว้ย่อ)