“เพื่อนมึงสีหน้าโคตรจะไม่ดี” ไอ้คนข้างตัวผมที่มองตามแผ่นหลังของไอ้สมุทรไปพูดแบบนั้นทำให้ผมต้องหันไปมองมัน
“อ๊ะๆ ไม่อย่ามาคิดมากว่ากูยังชอบไอ้หมุดอยู่อีกล่ะ” พี่ยอร์ชมันเอานิ้วมาชี้หน้าแล้วว่าออกมาดักความคิดกัน รู้ดีไอ้สัด
“กูไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ แต่มึงเห็นหน้ามันไหม อย่างแย่”
“มึงห่วงมันมากเลยเหรอว่ะ”
“กูห่วงมันพอกับไอ้พระจันทร์ ไอ้ห่านั่นก็สภาพไม่ต่าง มึงว่าพวกมันสองคนไม่น่าห่วงหรอวะ” มันมองหน้าผมแต่ผมไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไป เรื่องแบบนี้ผมเข้าใจไม่มากเท่าเจ้าตัวหรอก แต่การที่ไอ้สมุทรตัดสินใจหนีอยู่แบบนี้ อาจเป็นเพราะมันกลัวที่จะผิดพลาดอีกล่ะมั้ง ก็มันเสียเวลาไปการคลั่งรักคนที่เค้าไม่รักมาตั้ง4ปี มันคงกลัวว่าถ้าตัดสินใจพลาดอีกในคราวนี้ มันอาจจะเสียเวลาไปทั้งชีวิตล่ะมั้ง
“เราช่วยได้เท่านี้แหล่ะ ที่เหลือก็แค่พวกมันต้องตัดสินใจเอง ถ้ามันคิดว่าอยากจบก็ต้องทนเจ็บให้ได้” บอกมันแบบนั้นแล้วหันมองหน้ากัน
“ที่มึงพูดก็จริงเหมือนกัน แต่บางครั้งกูก็คิดว่าพวกมันทำอะไรให้ยากไปว่ะ แค่คุยกันก็จบแล้วไหม”
“มันก็ง่ายเสมอแหล่ะถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น พอเป็นเรื่องของตัวเอง ทุกคนแม่งก็โง่ด้วยกันทั้งนั้นล่ะ”
“แต่มึงกับกูไม่เห็นจะโง่ ฉลาดฉิบหาย รักกันดีแบบสุดๆเลยว่ะ” มันทำตาแพรวพราวใส่ ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาหอมแก้มอีกแล้ว สัด!
“โอ๊ยยย ปากมึงมันอ่ะไอ้เหี้ยพี่ยอร์ช เลิกหอมกูสักทีสิโว้ยยย” ตะโกนด่าออกไปแบบนั้นแล้วเอาทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้า ทั้งมันไก่ และมันพริกในหม้อชาบู เยิ้มไปหมดแล้วมั้งหน้ากูเนี่ย
“ก็มันน่าอ่ะมาร์ช มึงอย่าเอาแก้มมายั่วปากกูสิวะ"
“Kเอ้ย รำคาญอิควายนี่อ่ะ!”
“ทำเป็นพูดดีไป ไม่เห็นจะรำคาญกูจริงๆ สักที”
“พูดมาก แดกไปเลย” หันไปถลึงตาใส่ ส่วนคนข้างตัวก็ทำแค่หัวเราะนิดๆ ในลำคอ มือข้างนึงของมันยังโอบเอวผมไว้ไม่เลิก ใช้มือข้างเดียวพยายามจิ้มๆ หมูขึ้นมาเข้าปาก ก็มีความพยายามมากๆ เห็นแล้วขัดสายตาจนต้องหยิบไปป้อนให้มันเอง พอทำแบบนั้นแล้วมันก็ชิน
“อ้า ป้อนอีกหน่อยครับ”
น่ารำคาญ น่ารำคาญฉิบหาย!...มีแฟนหรือมีควายก็ไม่รู้ เบื่อมันจนต้องตักอีกคำเข้าปากของมันไป เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่น่ารำคาญ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังอยากจะมีเรื่องราวน่ารำคาญแบบนี้ต่อไปอีกในทุกๆ วัน ...ควายพี่ยอร์ช
...
"เฮือก"
สะดุ้งตื่นขึ้นมาสุดตัวเมื่อรู้สึกว่าได้ยินเสียงดังแปลกๆ บางอย่างที่รบกวนการนอน แต่ถึงแบบนั้นผมไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน ลืมตาขึ้นมองหานาฬิกา มันบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาตี1แล้ว แต่ผมยังอยู่ในชุดเดิม ลุกขึ้นยืนอย่างมึนๆ งงๆ เซนิดหน่อยเพราะรู้สึกมึนหัวนิดๆ อยากจะไปอาบน้ำสักหน่อย
เปิดประตูออกไปนอกห้อง พื้นที่ส่วนกลางไม่มีใครอยู่แล้ว หม้อชาบูถูกล้างคว่ำไว้เรียบร้อย ส่วนไก่ก็ไม่อยู่แล้ว มองเห็นซากกล่องถูกผูกลงถังขยะเอาไว้อย่างดี นึกมาถึงตรงนี้ความรู้สึกอิจฉาก็ตีตื้นเข้าที่หัวอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของพวกมันดูแล้วง่ายดาย ผมอยากปรึกษาเรื่องนี้กับไอ้มาร์ชอีกครั้งกับเรื่องที่กำลังจะตัดสินใจ ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรหนีและปล่อยเวลาทิ้งไปให้เสียเปล่าอีกต่อไป ...รวมๆ คืออิจฉาพวกมันแล้ว
แต่ถึงแบบนั้นก็อยากปรึกษาพ่อมาร์ชก่อน ปกติเวลานี้มันยังไม่นอน คิดแบบนั้นขาของผมเลยก้าวเข้าไปใกล้ห้องของมัน แต่เสียงแปลกๆ ก็ทำให้ผมขมวดคิ้ว เสียงดังกึกๆ ที่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นกำลังดังอยู่ที่หน้าประตูห้องของไอ้มาร์ช ผมชะงักอยู่ที่หน้าประตูห้องของมันในตอนนี้ มือที่ถูกยกขึ้นมาเตรียมจะเคาะชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
“อ๊ะเบาๆ ไอ้พี่ยอร์ช กูบอก อื้อ ตรงนั้น อ้า~” อ่าาา ได้แต่กระพริบตาปริบๆ พร้อมทั้งเลือดจากทุกส่วนในร่างกายก็วิ่งขึ้นมาที่กองรวมกันอยู่ที่หน้าของผมอย่างทำอะไรไม่ถูก ... ดูเหมือนว่าพ่อมาร์ชของน้องสมุทรจะอยู่ในช่วงที่กลายเป็นแม่มาร์ช สถานการณ์ดุเดือดที่ดูติดพันจนได้ยินเสียงหอบหนักๆ อยู่ตรงหน้าประตู เสียงดังกึกๆ และประตูที่สั่นนิดๆ
บอกน้องสมุทรสิว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้แปลว่าพวกมึงเอากันตรงประตูหรอกนะเห้ย!!
โอ้วมายพระพุทธเจ้า! ร่างกายของผมร้อนขึ้นมาแบบแปลกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ได้อยากจะตกใจกับเหตุการณ์นี้ เพราะจริงๆ กูก็เคยทำกันบนโต๊ะกินข้าวในครัวเหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้น...
“อ๊ะ ยอร์ช ลึกๆ อ๊ะ” เสียงครางกระเส่าของเพื่อนตัวดีที่ทำให้รู้ว่าในตอนนี้สะโพกแข็งแกร่งของอีกฝ่ายคงกำลังกระแทกหนักๆ เพื่อสอดใส่แกนกายเข้าไปในตัวมันหนักๆ นั่นทำให้น้องสมุทรต้องเม้มปาก
“ลึกพอยัง อ่า ท่านี้น่ะ ยกขามึงขึ้นข้างนึงแบบนี้ แล้วกระแทกเข้าไปแบบนี้ ลึกพอไหม ซี๊ด” ประตูสั่นน้อยๆ พร้อมๆ กับเสียงครางของไอ้มาร์ชที่ผสมปนเปไปกับเสียงทุ้มเข้มของพี่ยอร์ชทำผมขนลุกเกรียว
“อ๊า ยอร์ช”
“เรียกพี่ยอร์ชดีๆ ก่อนมาร์ช”
“อ๊ะ ตรงนั้น แรงอีก อื้ออ พ...พี่ยอร์ช” ผมชะงักกับเสียงครางของเพื่อนตัวเอง ร้อนหน้าวูบวาบที่ไม่ใช่ฤดูร้อน กูทนอยู่ด้วยต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกมึงจะมาเยเย่มารูโกะอะไรกันตอนนี้วะแม่ง เสียงดังขนาดนี้กูจะหลับได้ยังไง แม่งเอ๊ย
ผมตัดสินใจก้าวถอยหลังหนี แล้วปล่อยให้มันสองคนได้ทำกิจกรรมส่วนตัวกันต่อไปแบบที่มันจะไม่รู้ว่าผมบังเอิญผ่านมาได้ยิน ในตอนนี้ผมไม่คิดจะปรึกษาเพื่อนของตัวเองอีกแล้ว
สุดท้ายแล้วคนเรามันก็ต้องเลือกเดินและก้าวต่อไปด้วยตัวของเราเองทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ ... ใช่ เหมือนไอ้มาร์ชที่ก้าวไปแล้ว ก้าวแรงมากจนประตูแทบจะรับไม่ไหว หวังว่าพรุ่งนี้ประตูห้องมึงยังจะอยู่ดีนะ
.
.
.
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’
ผมที่เดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องของเพื่อนบ้างห้องข้างๆ กันและลงมือเคาะประตูอย่างห้าวหาญ แทนที่จะอยู่ในห้องของตัวเอง ยืนรออยู่สักพักก็ยังไม่มีคนมาเปิดประตู เลยตัดสินใจเคาะประตูดูอีกครั้ง ตั้งใจว่าถ้าไม่มีใครมาเปิด ก็จะฝืนกลับไปนอนที่ห้องพร้อมเสียบหูฟังนอน
‘แอ๊ดดด’
ประตูบานตรงหน้าถูกเปิดออกมาพร้อมๆ กับใบหน้ายุ่งเหยิงของเจ้าของห้อง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจในตอนที่เห็นกัน ดวงตาคมสวยคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นในตอนที่เห็นผม เส้นผมสีชมพูที่ครั้งนึงผมเคยชอบชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง พี่พระจันทร์ที่รีบยกมือขึ้นจัดๆ ทรงผมของตัวเองอย่างเร่งรีบ
“ส...สมุทร”
“ครับ”
“มีอะไรหรอ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือมีปัญหาอะไรให้พี่ช่วย” เค้าว่าออกมาอย่างรีบร้อน สายตาร้อนรนที่หันรีหันขวางทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นๆ ก่อนจะเอ่ยปากตอบคนตรงหน้าออกไป
“คือ ผม...ผมขอเข้าไปได้ไหม”
“ห๊ะ...เข้าห้องหรอ อ่อ ได้ๆ ...” อีกฝ่ายทำหน้างงนิดๆ แต่ถึงแบบนั้นก็ยอมเปิดทางให้ผมเข้าไปอยู่ดี บรรยากาศในห้องของเค้าไม่ต่างจากห้องของผมมากนัก พี่พระจันทร์ที่ยืนเก้ๆ กังๆ อย่างคนงงๆ อยู่ด้านหลังของผม
“ไอ้ยอร์ชมันไม่อยู่น่ะ...” เรื่องนั้นผมรู้ดีเลยล่ะ จะอยู่ได้ไง ก็กำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะอยู่ที่ห้องผมนู้น
“ผมรู้ เค้าอยู่ที่ห้องของผม”
“อ่อ คงไปหาไอ้มาร์ชอ่ะดิ...หมั่นไส้ฉิบหาย” ท้ายประโยคเค้าพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามามองหน้ากันอย่างสงสัยว่าผมต้องการอะไรถึงมาที่นี่กันแรก ผมเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน
“อื้ม ... แล้วคือตอนนี้พี่ยอร์ชกับไอ้มาร์ชก็....ก็....กำลัง....”
“หื้ม” พี่พระจันทร์เลิกคิ้วออกมานิดๆ อย่างคนไม่เข้าใจ เค้าที่มองตาผมสักพักอย่างสงสัย ผมที่ก็พยายามจะสื่อความหมายกลับไปโดยไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ผ่านไปหลายนาทีดวงตาคมสวยก็เบิกกว้างขึ้นอีกนิดแบบคนที่เข้าใจแล้ว
“เชี่ย อย่าบอกนะว่าไอ้เหี้ยนั่นแม่งกำลัง เย็...”
“คือผมนอนไม่หลับ!” รีบพูดแทรกออกมาก่อนที่พี่พระจันทร์จะโพร่งออกมาเสียงดังว่าคนคู่นั้นกำลังทำอะไรอยู่ ขยี้เพื่อ
“คือมันเสียงดังน่ะ เอ่อ...”
“อ่า เข้าใจแล้ว งั้นสมุทรเข้าไปนอนในห้องพี่ก็ได้...ถ้าไม่รังเกลียดน่ะนะ เดี๋ยวพี่จะนอนตรงนี้ ที่ที่โซฟานี่เอง” เค้าว่าแบบนั้นแล้วผายมือไปที่ประตูห้องของเขาที่ตอนนี้ถูกเปิดไว้อยู่ ผมละสายตากลับมาจากห้องนอนของเขา แล้วหันไปมองพี่พระจันทร์อย่างประหลาดใจ ความรู้สึกหลากหลายจู่โจมเข้ามาอีกครั้งจนทำให้ผมหยุดตัวเองไม่ได้ในตอนนี้
“ทำไม...” ผมถามออกไป แล้วเหมือนกับว่าอีกฝ่ายก็จะงงกับคำถามของผมเหมือนกัน ... พี่พระจันทร์ในตอนนี้เปลี่ยนไปมากเลยจริงๆ ในความรู้สึกของผม หนึ่งเดือนผ่านไปเขาเปลี่ยนไปเพราะผมได้ขนาดนี้เลยหรอ
“ถ้าเป็นแต่ก่อนพี่คงเข้าไปนอนด้วยกันโดยไม่สนแล้วล่ะว่าผมจะยินดีหรือเปล่า เพราะผมคนนั้นมันก็คงอยากให้พี่นอนด้วยอยู่แล้ว กับคนแบบพี่ที่อยู่ๆ ก็เคยมานอนกอดกัน เพราะบอกว่าพี่อาทิตย์นอนดิ้นคนนั้นน่ะ ทำไมตอนนี้ถึงพูดว่าจะยอมออกมานอนที่โซฟาเล็กๆ แบบนี้ล่ะ”
“ก็พี่บอกแล้วไง ว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พี่จะไม่ทำอะไรที่ฝืนใจสมุทร จะไม่ทำอะไรโดยไม่ถามก่อน เคยบอกไปแล้วนี่” ผมเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง ก่อนจะสบตาของพี่พระจันทร์ที่มองจ้องกันอย่างไม่วางตา สายตาที่เหมือนกำลังบอกว่าเค้าอ่านผมออกแล้วในตอนนี้
เวลาหนึ่งเดือนที่ห่างกันมันไม่ได้นาน แต่ความหนักอึ้งในใจที่เราจากกันมาอย่างไม่เข้าใจ มันทำให้ทรมานมากไปในทุกๆ วัน เวลาหนึ่งเดือนไม่ทำให้ผมลืมพี่พระจันทร์ได้ มันไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ ความรู้สึกสี่ปีของผมมันยังฝังแน่น รวมทั้งเรื่องราวอีกหนึ่งเทอมที่ผ่านมาระหว่างผมกับเค้ายิ่งติดแน่นอยู่ในใจแบบที่แกะยังไงก็ไม่ออก
“สมุทร อยากจะฟังพี่แล้วหรือยัง”
“ผม...”
“รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงมาที่นี่ มาถึงที่จีนนี่”
“ผม...ม...ไม่รู้”
“พี่มาเพราะพี่จริงจัง” พี่พระจันทร์ตอบกลับมาแทบจะทันที
“พี่อยากทำให้สมุทรรู้ว่าพี่ไม่ได้ล้อเล่นกับความสัมพันธ์ของเราสองคนอีกแล้ว...ที่ผ่านมาพี่รู้แล้วว่าตัวเองมันเฮงซวยแค่ไหน แต่ในตอนนี้ เวลานี้ พี่ไม่คิดจะล้อเล่นกับเรื่องของเราอีกแล้ว พี่ไม่ได้พยายามเคลียร์งาน เคลียร์เรื่องสอบ เคลียร์กับที่บ้านแล้วบินจากกรุงเทพมาถึงที่นี่เพื่อจะโกหกหรือล้อเล่นกับความรู้สึกของสมุทรหรอกนะ”
“พี่มาที่นี่เพื่อพูดในสิ่งที่พี่รู้สึกจริงๆ ...ความรู้สึกนั้นที่สมุทรไม่มั่นใจ และพี่ไม่เคยพูดออกไปเลยสักที” เขาว่าออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นในแบบที่ทำให้ผมเถียงไม่ได้หรือพูดไม่ออก ผมที่ทำได้แค่เม้มปากตัวเองเข้าหากันอีกครั้ง รู้สึกปั่นป่วนไปหมดทั้งตัว ทั้งหัวใจของผมที่ก็เริ่มเต้นแรงขึ้นมาหลังจากที่มันเต้นเอื่อยๆ มานานเป็นเดือนๆ
“ผม ผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะหวังอะไรที่มันมากเกินตัวอีก และถ้าครั้งนี้ผมผิดหวังอีก ผมคงรับมันไม่ไหวอีกแล้ว” ผมบอกความรู้สึกกลับไปตรงๆ ที่พยายามหนีอยู่ทุกวัน ที่พยายามทำเป็นไม่ชอบใจในพี่พระจันทร์ก็เพราะผมกลัวความผิดหวัง ผมคงทนรับมันไม่ไหว ถ้าต้องผิดหวังจากคนที่เรารักมากที่สุดเป็นครั้งที่สอง
“พี่รักสมุทร ถ้าสมุทรกำลังหวังกับเรื่องนี้ พี่ก็จะบอกว่าสมุทรจะไม่มีทางผิดหวังกับมันอีก” เสียงเข้มทุ้มย้ำชัดส่งมาถึงหัวใจผม จ้องลึกเข้าในดวงตาคู่สวยที่ฉายแววจริงจังหนักแน่น ที่มีประกายความขอร้องอยู่ในดวงตาคู่นั้น
พี่พระจันทร์บอกว่าเค้ารักผมงั้นหรอ...
“ขอโทษ พี่ขอโทษจากใจจริงๆ ที่เคยทำให้สมุทรเสียใจ ร้องไห้ และผิดหวัง มันอาจจะดูเป็นคำพูดมักง่ายที่ทำให้ความรู้สึกเสียใจในตอนนั้นหายไปไม่ได้ แต่พี่ขอโทษจริงๆ ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ได้ตั้งใจให้สมุทรเสียใจแบบนั้นก็ตาม แต่มันก็แก้ความจริงไม่ได้ว่าพี่ผิดสัญญา ถ้าวันนั้นพี่เลือกจะรักษาความรู้สึกของสมุทรเอาไว้ ไม่มักง่ายทิ้งเราไปแบบนั้น เรื่องของเรามันคงจะดีกว่านี้ คงไม่ต้องมีวันที่สมุทรเสียใจแบบนั้น และไม่มีวันที่พี่ต้องเสียใจแบบนี้เหมือนกัน”
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยในตอนที่พูดออกมา ผมมองเห็นในแววตาของคนตรงหน้าที่กำลังแสดงความเสียใจออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง พี่พระจันทร์หายใจเข้าลึกๆ แล้วกระพริบตาถี่ๆ นิ่งอยู่แบบนั้นสักพักก่อนที่สุดท้ายจะเงยหน้าขึ้นมามองผมใหม่อีกครั้ง
“ทำไมพี่ถึงคิดว่าพี่รักผมล่ะ คนแบบผมน่ะ มันไม่มีอะไรเลยสักอย่าง เป็นแค่ไอ้เด็กในแว่นตาโต” ผมถามออกไปแบบนั้น ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้ของน้องสมุทรจะได้กลายเป็นคนถามคำถามนี้กับพี่พระจันทร์ พี่พระจันทร์คนที่ผมชอบเค้ามาตลอดหลายปีคนนั้น กับคำถามที่ว่า ทำไมถึงรักผม มันเกินกว่าฝันมากไปไหม
“ทำไมจะไม่มีล่ะ แค่ความรู้สึกที่พี่เคยได้รับมา นั่นไม่เรียกว่ามีอีกหรอ”
“ความรู้สึกหรอ”
“อืม ความรู้สึกที่พี่เคยคิดว่ามันคือความรักที่เกิดขึ้นกับอัยย์ มันเทียบไม่ได้เลยกับที่เกิดขึ้นกับเรา มันเป็นความรู้สึกสูญเสียที่พี่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันเจ็บปวดอยู่ในทุกเวลา วนเวียนอยู่ในจิตสำนึกของพี่ในทุกๆ วัน มันมากกว่าความคิดถึงแต่เป็นความโหยหา ในทุกครั้งที่พี่มองหาเราแต่ก็ไม่เห็นแม่งโคตรทรมาน พี่คิดถึงรอยยิ้ม เสียหัวเราะของสมุทรในทุกๆ ครั้งที่หยุดทำงานหรือหยุดอ่านหนังสือสอบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่เราในทุกๆ ที่ที่เคยอยู่ด้วยกัน ทุกสัมผัสทุกอ้อมกอดมันยังติดอยู่ในตัวพี่ เหมือนกับว่าเรายังกอดกันเอาไว้ แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่มี มันอาจจะดูเว่อร์นะ แต่มันเหมือนพี่ทำความรู้สึกของตัวเองหายไป มันหายไปพร้อมกับวันที่ไม่มีสมุทร ทุกนาทีมันยาวนานจนทนแทบไม่ไหว และในตอนที่เห็นว่าเราจูบกับใครมันแทบทนไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิแม่งโคตรแย่ ... ถ้าความรู้สึกพวกนี้ที่เกิดขึ้นกับพี่ สมุทรยังบอกว่านี่มันไม่ใช่ความรัก งั้นชีวิตนี้พี่ก็ไม่อยากมีมันแล้วล่ะไอ้ความรักที่ใครๆ ก็อยากได้น่ะ”
เป็นอีกครั้งที่ผมเม้มปากเข้าหากันแล้วช้อนสายตาขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย น้ำตาของผมเอ่อคลอขึ้นมา ก่อนจะปล่อยให้มันไหลลงไปอาบใบหน้า คำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของคนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกวูบไหวในอก อ่อนยวบอ่อนแรงอยู่ตรงนี้ เป็นความรู้สึกหลายหลายที่ถาโถมเข้ามาหา
“ผม...ผมไม่อยากเจ็บแบบที่เคยเจ็บอีกแล้วพี่พระจันทร์ ผม...น้องสมุทรไม่อยากเป็นคนไม่สำคัญของพี่อีกแล้ว” พูดออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็ค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาหาผมช้าๆ เป็นก้าวสั้นๆ ที่เหมือนกับว่าเขาเองก็กำลังดูท่าทีความยินยิมของผม พี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบแก้มแล้วเช็ดน้ำตาออกให้เบาๆ สีหน้าของเค้าที่มองเห็นผมร้องไห้ในตอนนี้ดูเสียใจไม่ต่างกัน
“สมุทรจะไม่เจ็บอีก มันจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม” พี่พระจันทร์โน้มหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากของเราสัมผัสกัน สายตาคมสวยที่จ้องมองผม ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดใบหน้าของกันและกันตอกย้ำให้ผมเข้าใจชัดว่านี่คือเรื่องจริง
“ต่อจากนี้จะไม่มีใครสำคัญกว่าสมุทรอีกแล้ว เพราะตอนนี้พี่รักสมุทรแค่คนเดียว” แผ่วเบาแต่หนักแน่น ย้ำชัดเข้าไปในหัวใจของผม ฝ่ามือของพี่พระจันทร์ที่เลื่อนมาสัมผัสกอบกุมอยู่ที่ฝ่ามือของผม ก่อนที่วงแขนอีกข้างจะถูกโอบรัดดึงรั้งตัวผมให้เข้าไปในอ้อมกอดแกร่ง ... เรากอดกันอย่างโหยหา ระบายทุกความรู้สึก ความคิดถึง ความรักและทุกอย่างโดยกระชับอ้อมกอดซึ่งกันและกัน ผมที่ซบหน้าลงที่อกอุ่น ... คิดถึง
“พี่รักสมุทร รักจริงๆ”“ผมอยากจะเริ่มต้นใหม่กับพี่...แต่ผมยังมีอีกเรื่อง....อีกเรื่องที่ยัง...” พูดออกมาเบาๆ ในอ้อมกอดของเขา อีกหนึ่งเรื่องราวที่ยังติดอยู่ในใจของผม นอกจากเขาเคยผิดสัญญา เขายังเคยปิดบังผมไว้
“เรื่องนั้นเราเข้าใจผิดไปเอง”
“เอ๊ะ พี่รู้หรอว่าผมจะพูดถึงเรื่องไหน” ผละตัวออกมาจากวงแขนแกร่ง ความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่คิดถึงทำให้ไม่อยากผละออกจากอ้อมกอดนี่ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังอยากจะมองหน้าเขาอยู่ดี อยากรู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องเดียวกับผมหรือเปล่า
พี่พระจันทร์ที่ผละออกมาจ้องหน้าผมพร้อมถอนหายใจหนักๆ เขาที่ดึงมือผมให้เดินตามไปทรุดตัวลงนั่งข้างกันบนโซฟา ฝ่ามืออุ่นนั่นยังคงกุมมือของผมเอาไว้ให้ไปวางอยู่บนตักของเขา
“ไอ้อาทิตย์เดาว่าเราคงเข้าใจผิดเรื่องคนผมสีชมพู”
“แล้วมันไม่จริงหรือไง ... ผมเจอรูปที่พี่อาทิตย์ทำผมสีชมพูแบบนี้ แต่ตอนนั้นพี่ไม่ได้ทำ”
“ตอนเช้าของวันเปิดเทอม มีเด็กแว่นคนนึงกำลังยืนรอข้ามถนน มันอยู่ในชุดนักเรียนนักเรียนตัวใหม่ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเด็กใหม่ เรื่องมันคงไม่น่าสนใจอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เด็กแว่นนั่นเกิดอยากเป็นฮีโร่ มันวิ่งจะไปช่วยเด็กอนุบาลคนนึงที่เผลอปล่อยมือแม่แล้วจะวิ่งข้ามถนน ไอ้เด็กแว่นนั่นจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่เสือกล้มหน้าคว่ำนอนอยู่บนฟุตบาตร มันเอาแต่นอนจ้องกันตาค้าง แล้วมันก็ถามแค่ว่ากูชื่ออะไร”
พี่พระจันทร์หยุดบอกเล่าทั้งหมดนั่นเอาไว้ตรงนี้ ก่อนที่ดวงตาคมจะหันมาสบตากันช้าๆ หัวใจผมเต้นตึกตักในตอนที่มองตาเค้า สายตาที่เหมือนจะดึงดูดผมเข้าหา ตรึงผมไว้อยู่แค่ตรงหน้าเขาเท่านั้น สายตาที่เหมือนกับที่ผมเคยเห็นในวันนั้น ... วันแรกที่ได้เจอกัน
“ทำไมถึงไม่มั่นใจ ว่าไอ้ผู้ชายที่เจอคนนั้นมันคือพระจันทร์หรืออาทิตย์กันแน่”
“พี่...” ใบหน้าได้รูปเลื่อนเข้ามาใกล้ พร้อมเอียงใบหน้าหล่อนั่นกระซิบเสียงแผ่วที่ทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“ทำไมถึงยังกล้าสงสัยว่าไอ้ผู้ชายที่ได้เจอเมื่อวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียนที่ห้องชมรมบาส คนที่ได้สัมผัสตัวตนกันขนาดนั้น ทำไมยังคิดว่าเป็นไอ้อาทิตย์ไปได้ล่ะ”
“คือ...นั่น แต่...แต่พี่อาทิตย์ทำผมสีชมพู”
“เฮ้อ รูปนั่นมันตอนม.ห้า”
“หา!” เบิกตากว้างขึ้นในตอนที่ได้ยินแบบนั้น พี่พระจันทร์ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกพร้อมทั้งส่ายหัวหน่อยๆ ในตอนนี้
“ส่วนคนที่ทำผมสีชมพูเมื่อตอนม.6มันคือพี่ ... พี่คนเดียวคนนี้ไง ที่สมุทรชอบมาตลอด ไม่ใช่ไอ้ห่าอาทิตย์สักหน่อย” พูดออกมาแบบนั้น จับที่ปลายเสียงของอีกฝ่ายได้ว่าเขากำลังน้อยใจ พี่พระจันทร์ที่ทิ้งตัวลงพิงกับพนักพิง ทำให้ผมต้องเลื่อนหน้าเข้าไปหา
ความรู้สึกหนักๆ ตลอดเวลาเป็นเดือนๆ ที่ผ่านมาหายไปจนหมด เหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นมายกความหนักใจพวกนั้นออกไปจนหมด
“พี่พระจันทร์โกรธหรอ”
“ไม่ได้โกรธสักหน่อย แต่น้อยใจนิดนึง” ว่าแบบนั้นแล้วกอดอกใส่กันพร้อมหันหน้าหนี ไอ้ท่าทางแบบนี้เค้าไปได้มาจากไหนหรอ
“จะน้อยใจอะไรล่ะครับ”
“ก็เราจำพี่ไม่ได้ แถมเรายังคิดว่าคนที่เกือบจะได้เอาเราในตอนนั้นเป็นไอ้อาทิตย์”
“พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย” ผมร้องออกมาแบบนั้น คำพูดคำจาชวนให้บรรยากาศดีๆ หายไปจนหมด โพร่งเรื่องแบบนั้นออกมาได้ยังไงกันวะ
“ก็มันจริง พี่หล่อกว่ามันตั้งเยอะ จะบอกความลับให้นะ จริงๆ ป๊าเก็บไอ้อาทิตย์มาจากถังขยะข้างบ้าน” ผมหลุดยิ้มขำออกมาในที่สุด คำพูดคำจาไร้สาระที่มาพร้อมกับหน้าตาไม่สบอารมณ์ของเขาทำให้ผมหลุดขำ พี่พระจันทร์ที่แกล้งทำหน้าตึงอยู่ก่อนหน้านั้นหันหน้ามามองกัน ก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมาบางๆ ... นั่นทำให้รู้ว่าก่อนหน้านี้เค้าแค่แกล้งงอนเล่นๆ
“พี่พระจันทร์”
“ครับ”
“พี่ไม่ต้องพูดจาแบบนี้กับสมุทรก็ได้นะ”
“แบบนี้ หมายถึง” หันมามองหน้ากันงงๆ ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ครับๆ พี่ๆ อะไรแบบนี้น่ะ”
“พูดจาดีๆ ด้วย มันไม่ดีตรงไหน หื้ม” ว่าออกมาแบบนั้น พร้อมเอื้อมมือขึ้นมาลูบแก้มของผมเบาๆ
“มันก็ดี แต่น้องสมุทรก็คิดถึงพี่พระจันทร์คนปากห...หมายถึงคนพูดตรงๆ คนนั้นน่ะ”
“มึงนี่เรื่องมากนะ” พูดออกมาจบประโยค ผมก็ระบายรอยยิ้มกว้างๆ ออกมา เหมือนกับว่าได้เจอคนที่คิดถึง
“สมุทร”
“หื้ม...”
“เราเข้าใจกันแล้วใช่ไหมตอนนี้ มึงให้โอกาสกูแล้วใช่ไหมตอนนี้” ผมพยักหน้าสองสามครั้งแทนการตอบรับ
“มึง...ไม่สิ สมุทร คบกับพี่นะ เป็นแฟนกับพี่นะครับ” เขาว่าออกมาแบบนั้น ความรู้สึกอบอุ่นวาบขึ้นมาจากกลางศีรษะไล่ลงไปสุดปลายเท้า ... ถ้อยคำนี้หรือเปล่าที่น้องสมุทรรอมาตลอด ถ้อยคำนี้หรอ ที่ตอนนี้มันกำลังร้องขอด้วยชื่อของผมเอง
ช้อนสายตามองตาอีกฝ่ายที่สบตากับผมในตอนนี้อย่างคาดหวัง สายตาคมสวยที่กำลังส่งผ่านข้อความมากมายมาให้ผม มันทั้งเว้าวอนทั้งวอนขอและจริงจัง เราสบตากันนิ่งๆ อย่างไร้เสียง เข็มวินาทีเดินไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นตัวผมเอง ที่ค่อยๆ พยักหน้าลงสองสามครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจในคำตอบรับของผม
“...ตำแหน่งแฟนของผม มันก็เป็นของพี่คนเดียวมาตั้งนานแล้วนี่” ว่าออกไปแบบนั้นพร้อมส่งรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิมส่งไปให้คนตรงหน้า พี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในตอนที่ได้ยินคำตอบ ฝ่ามือสวยของเขาที่ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองอีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะหลุดรอยยิ้มโล่งใจออกมาให้เห็น ฝ่ามือหนาที่กุมอยู่ที่ฝ่ามือของผมยกมันขึ้นมาก่อนจะประทับจูบเบาๆ ลงไปที่หลังมือของผม
แทนความรู้สึกอบอุ่น แทนความรู้สึกหวงแหน แทนคำว่าคิดถึง
“ขอบคุณครับ...ขอบคุณ” กระซิบเสียงแผ่วพร้อมค้างจูบนั่นอยู่อีกสักพัก รับรู้สัมผัสอุ่นๆ ที่กระทบลงที่ฝ่ามือ ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละตัวขึ้นมา ผมมองหน้าเขาพร้อมส่งยิ้มไปให้ เอื้อมมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาที่ยังคงเปราะเลอะใบหน้าหล่อ
พี่พระจันทร์มีเวลาแค่สองอาทิตย์ในการที่จะอยู่กับผมที่นี่ เขาพยายามเคลียร์ทุกอย่าง รวมถึงเคลียร์ความรู้สึกของตัวเองเพื่อมายืนยันต่อหน้าผมตรงนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรในการที่ผมจะคอยแต่วิ่งหนี และยัดเยียดความเจ็บปวดให้เค้าเหมือนที่ตัวเองเคยเจอ ... ผมไม่อยากฝืนตัวเองอีกต่อไปแล้ว
ความรัก และความหวังครั้งสุดท้ายของผม น้องสมุทรยังเป็นคนเดิมที่ขอเลือกความรักก่อน และเททุกอย่างลงไปจนหมดหน้าตัก ยังคงเลือกจะบอกว่ารักอยู่ เพียงแค่ในตอนนี้แตกต่างออกไปจากเดิมที่ว่า ... เค้ารู้แล้วว่าผมรัก
#รักอยู่รู้ยัง
อ๊ากกกกก เค้ารักกันแล้วจ้าคุณผู้โช้มมมม เค้าคืนดีกันแล้วนะเอิ๊วว กรู๊วววว
ตอนหน้าคือบทสรุปสุดท้ายของเรื่องแล้ว
อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานเลย
แคทหวังว่าคนอ่านจะยังสนุก และมีความสุขกับเรื่องนี้นะคะ
มาจับมืออยู่ด้วยกันไปถึงตอนสุดท้ายเลยนะคะ
ขอฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง ในTwitterด้วยนะคะ
แล้วก็สามารถติดตามข้อมูลและข่าวสารของนิยายในทุกๆเรื่อง และทักทายพูดคุยกับแคทได้ทาง
Facebook :
Yoghurt CattyTwitter:
Yoghurt CattyIG:
Yoghurt Catty