บทที่13
ยังมีความรักให้เธอผู้เดียว ตั้งแต่แรกเจอ
ในใจพร่ำเพ้อละเมอถึงเธอ ทุกคืนหลับฝัน
แค่เพียงรอยยิ้มที่มันเบาบางทุกทีที่เจอ ฉันมีแต่เธอไม่อาจเปลี่ยนผัน
ยังมีความรักให้เธอผู้เดียว แม้นานเท่าใด ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นเช่นไร ก็ไม่เปลี่ยนฉัน
และยังคงหวังว่ามีสักวันที่เธอเปิดใจ แม้จะวันใดฉันรอเพียงเธอ
‘ติง ติง ติ๊ง ติง ติง’
เสียงกีตาร์ที่ถูกเล่นไปตามจังหวะของท่วงทำนอง เสียงใสๆ ที่ถูกเปร่งออกมาจากริมฝีปากสวยที่ทำให้ไม่สามารถละสายตาออกจากภาพตรงหน้าไปได้ ...จนกระทั่งเมื่อนิ้วเรียวดีดจังหวะถึงท่อนสุดท้ายของเพลง ก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงที่กำลังฟังอยู่ได้จบลงไปแล้ว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นเดินไปเก็บกีตาร์ลงบนข้าตั้งกีตาร์อย่างทนุถนอมนั่นล่ะถึงได้มีสติขึ้นมา
ดูเหมือนว่ากีตาร์ตัวนั้นจะเป็นของรักของหวง
“น้องสมุทรร้องเพราะไหม”
“อืม” ตอบรับออกไปแค่นั้น อีกฝ่ายก็สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้กัน ผมที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานที่มุมห้องของมันได้แต่มองตามเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังโน้มตัวก้มลงมาจ้องหน้ากันใกล้ๆ พร้อมรอยยิ้มในแบบที่มันชอบทำ
“น้องสมุทรร้องให้พี่พระจันทร์เลยนะ ร้องจีบล่ะ” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วทำสายตาวิบวับส่งมาให้พร้อมพยายามจะยกยิ้มมุมปากเท่ๆ มันคงคิดว่าเป็นสายตาและท่าทางที่จะทำให้ใจสั่น ... แต่มองยังไงมันก็ห่างไกลคำว่าแสนเท่ไปเยอะ
“เนื้อเพลงทั้งหมดคือความในใจน้องสมุทรเลยนะ จะช่วยทำหน้าไหวหวั่นให้กันหน่อยไม่ได้รึไง”
“ไหวหวั่นอะไรของมึง” ผมบอกออกไปแบบนั้น แล้วยกมือไปดันหน้าไอ้เด็กที่เอาแต่ยื่นหน้าเข้ามาหากันเรื่อยๆ เป็นท่าทีหลอกล่อที่ตั้งใจทำให้ผมกระโจนเข้าใส่มันได้ง่ายๆ แต่ในครั้งนี้ไม่อยากทำแบบนั้น ... รู้สึกเป็นคนไม่ดีที่จะล่อลวงเด็กมากไป โดยเฉพาะเด็กที่ในหัวคิดอะไรง่ายๆ และใสซื่อแบบมัน
ผมเลือกจะละสายตาออกจากใบหน้าใสซื่อนั่นแล้วเลือกจะมองไปรอบๆ ห้องแทน หลังจากเดินห้างจนพอใจ สุดท้ายก็ไม่มีที่ไปแล้วมาจบลงที่ตรงนี้ ...บ้านของมัน ห้องนอนของมันที่ครั้งนึงเคยมาแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจจะมอง
ห้องนอนขนาดไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับห้องนอนของผม แต่มันถูกจัดแต่งออกมาได้อย่างน่ามอง เป็นห้องนอนสไตล์มินิมอลที่เดี๋ยวนี้คนชอบกัน ผนังห้องสีโทนอุ่น มีผ้าม่านสีอ่อนยาวจากเพดานจรดพื้นพร้อมด้วยไฟตกแต่งเป็นรูปดาวกับพระจันทร์หอยเรียงกันลงมาเป็นเหมือนโมบายเรียงรายตลอดแนวผ้าม่านอย่างเป็นระเบียบ เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่ทำให้ห้องดูโปร่งสบายส่วนใหญ่เป็นเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้และชั้นวางของแบบติดผนังก็วางกรอบรูปเล็กๆ และดอกไม้ประดับสีสดใส โต๊ะทำงานของมันถูกตั้งวางไว้ที่สุดมุมห้องใกล้ระเบียงที่สามารถเปิดออกไปได้ มีต้นไม้ปลอมถูกจัดใส่กระถางวางอยู่ใกล้ๆ ขาโต๊ะ บนโต๊ะมองเห็นหนังสือคอร์ดเพลงสมัยเก่าถูกจัดวางเรียงคู่กันกับหนังสือเรียนอีกหลายเล่มอย่างเป็นระเบียบ และตามมุมห้องถูกเพิ่มสีเขียวของต้นไม้ปลอมอีกหลายชิ้นให้ดูน่ามองมากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญที่สุดในห้องนี้คงจะเป็นกีตาร์ตัวโปรดของมันที่ถูกวางไว้บนขาตั้งกีตาร์อย่างดีที่ข้างเตียงนอนนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ให้บรรยากาศอบอุ่น มีระเบียบ และสดใสไม่ต่างจากเจ้าของห้อง
“มึงชอบกีตาร์หรอ”
“ครับ น้องสมุทรชอบมากเลย” มันฉีกยิ้มกว้างออกมาตอนที่ตอบคำถามของผม สมุทรละสายตาจากหน้าของผมไปมองกีตาร์ตัวนั้นอีกครั้งก่อนจะเปิดปากพูดต่อ
“ที่ชอบมากๆ ก็เพราะว่าพ่อน้องสมุทรเป็นคนสอนเล่น” สายตาเป็นประกายขึ้นมาตอนที่ได้พูดถึงพ่อ
“กีตาร์ตัวนั้นก็เป็นของพ่อนะครับ แล้วพวกหนังสือเพลงเก่าๆ บนโต๊ะนั่นก็เป็นของพ่อด้วยเหมือนกัน น้องสมุทรชอบเอามาแกะคอร์ดเล่น”
“มึงคงสนิทกับพ่อมาก” เห็นท่าทางของมันแล้วก็อดพูดออกมาไม่ได้ สีหน้าแล้วสายตาเป็นประกายมีความสุขอย่างปิดไม่มิด
“พ่อเป็นไอดอลของน้องสมุทร เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง ใจดี แล้วคอยปกป้องน้องสมุทรและครอบครัวเราเสมอเลย” ยิ้มจนตาปิดตอนที่เล่าออกมาแบบนั้น ผมที่มองมันจากตรงนี้ เหมือนได้รู้เรื่องราวของมันมากขึ้นอีกในตอนนี้
“จนถึงวันสุดท้ายที่พ่อจากไป ก็ยังคงบอกว่าไม่เป็นไรเลย เค้าเลือกจะปกป้องความรู้สึกของผมไว้ล่ะ”
“ขอโทษทีที่ถาม” เบอกมันไปแบบนั้น ไม่ได้ต้องการไปรื้อฟืนการสูญเสียของใคร เพราะการพูดถึงคนที่จากไป คงไม่ใช่เรื่องสุขใจสำหรับคนที่สูญเสียนักหรอก
“ไม่เป็นไรเลยครับๆ” หันมาโบกไม้โบกมือปฏิเสธผมด้วยเสียงที่ร่าเริงก่อนมันจะพูดต่อ
“การที่ได้นึกถึงคนที่เรารักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว มันก็ไม่ได้แย่นักหรอกครับ เพราะอย่างน้อยเรื่องราวดีๆ ที่เคยมี มันยังทำให้น้องสมุทรได้คิดถึง”
“คิดถึง แต่กลับมาไม่ได้ คว้าเอาไว้เค้าก็ไม่อยู่แล้วแบบนั้น มันไม่ยิ่งทำให้เจ็บปวดหรอวะ” ฟังแล้วอดแย้งออกมาแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่จริงหรอกกับคำว่าไม่เสียใจจากสิ่งที่สำคัญของเราแต่ตอนนี้ไม่มีมันอยู่แล้ว ... ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว
“พ่อเคยบอกน้องสมุทรว่า คนที่เรารักเค้าไม่เคยจากเราไปไหน มันแค่อยู่ที่ว่า เราจะเลือกเก็บเค้าเอาไว้ที่ตรงไหน เพื่อให้ชีวิตเราไปต่อได้ก็แค่นั้นเอง” มันว่าออกมาง่ายๆ เป็นคำพูดสบายๆ ที่ทำให้ใจผมกระตุก สมุทรละสายตาจากกีตาร์ตัวโปรดแล้วหันมามองหน้ากันอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ผม สายตาท่าทางที่มองตรงมาทำให้ผมต้องเสตาหลบแล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกที ... รู้สึกสับสนมากกว่าทุกที มากกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิตนี้ที่เคยเป็น
“หรอ” ไม่มีคำพูดดีๆ จะตอบกลับไปมากกว่านั้น แต่เหมือนได้ตกตะกอนบางอย่างจากปากเล็กๆ นั่นที่เอาแต่พูดเรื่องที่น่าเศร้าออกมาอย่างมีความสุข เป็นคนตัวเล็กที่ดูเข้มแข็งมากกว่าที่คิด
“สมุทร”
“หื้ม ว่าไงครับ” เลิกคิ้วแล้วเอียงคอมองผมอย่างสงสัย เห็นแบบนั้นก็เดินขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ มัน
“กูเข้ามาใกล้มึงขนาดนี้ มึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบบ้างหรอวะ” จ้องตาเด็กตรงหน้าที่ก็มองตอบกลับมาด้วยแววตาใสซื่อแบบไม่ได้แกล้งทำส่งมาให้เหมือนเดิม
“เสียเปรียบอะไรของพี่วะ นี่มันคือกำไรของน้องสมุทรต่างหากเล่า” ยิ้มออกมาพร้อมขำนิดๆ ท่าทางที่เหมือนกำลังบอกว่าผมพูดเรื่องไร้สาระอะไร ทำเอาต้องถอนหายใจ
“กับการที่สุดท้ายแล้วกูไม่รู้สึกอะไร จะไม่ทำให้มึงยิ่งเสียใจหรอวะ ถลำลึกมากๆ กูรู้ดีว่ามันมีแต่จะเจ็บ” กับเรื่องราวของตัวเอง พอมองมาที่สมุทรแล้ว สุดท้ายก็คิดว่าควรจะพูด ถึงยังไงผมก็โตกว่ามัน และเด็กที่ไม่คิดอะไรแบบมัน กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นมันที่ต้องเสียใจ
“เป็นห่วงน้องสมุทรหรอ”
“สมุทร” เป็นเรียกชื่อมันออกมาด้วยเสียงดุๆ ปนเหนื่อยใจ ใช่เวลาไหมกับการที่จะหยอดจีบกู
“ถามว่าเป็นห่วงน้องสมุทรหรอ” มันยังคงถามย้ำออกมาด้วยคำถามเดิม ผมถอนหายใจหน่อยๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยความจริง ... ยิ่งรู้จักมันมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เริ่มต้นตอนแรกกับมัน ตอนนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม
“วันนี้กูเจออัยย์มา”
“อ๋า” มันตอบรับออกมาแค่นั้น ไม่มีท่าทางตกใจกับคำบอกเล่าที่ผมพึ่งบอกว่าเจอกับใครอีกคนนึงมาสักนิด
“กูเลยรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสมุทร ไม่รู้ดิ...ตอนนี้กูแค่ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้มึงเจ็บ กูรู้ดีว่าความรู้สึกที่ต้องเจอแบบนั้นมันแย่แค่ไหน” บอกกับมันออกไปตรงๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองดีขนาดนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ความสัมพันธ์กับคนตรงหน้ามันก้าวไปแค่ไหน แต่รู้แค่ว่า ผมไม่อยากให้มันต้องเสียใจ
ไม่มีคำพูดคุยอะไรออกมาจากปากของเราสองคนเพิ่มเติมต่อจากนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาหลายนาทีที่ความเงียบเข้าครอบคลุม และในทีสุดก็เป็นมันที่ขยับตัวเข้ามาหากันให้ใกล้กว่าเดิม ผมมองหน้าเด็กตาซื่อหน้าใสที่ควรจะถอยออกห่างกันให้ไกล แต่เป็นมันที่ขยับเข้ามาใกล้กันอีกแล้ว
“แล้วทำไมถึงมาหาน้องสมุทรล่ะครับ” นั่นสิ
“น้องสมุทรรู้ว่าพี่พระจันทร์มีตัวเลือกมากพอที่ไม่ต้องมาหาน้องสมุทรก็ได้ ... แต่ทำไมสุดท้ายยังมาหากันล่ะ” ฝ่ามือเรียวที่ช้อนใบหน้าของผมให้มองตรงมาที่มัน สมุทรยิ้มออกมาน้อยๆ รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้หัวใจของผมสั่นแปลกๆ กับท่าที การกระทำที่เข้าใกล้กันมากอีกนิดนึง ริมฝีปากอิ่มแนบลงมาที่ริมฝีปากของผมเบาๆ ท่าทางเงอะงะของคนที่จูบไม่เก่ง แต่ก็ยังอยากจะทำ
“ก็แค่...” หยุดคำพูดลงที่ตรงนี้ สายตาที่มองกันแบบรอลุ้นคำตอบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเป็นคำไหนที่จะตรงกับใจของมัน
“อยู่กับมึงแล้วสบายใจดี” เลือกคำตอบที่ตรงใจที่สุดในตอนนี้ คนตรงหน้าที่วูบนึงสายตาของมันวูบไหว แต่ก็แว๊บเดียวเท่านั้น ก่อนที่ตาใสจะมีประกายสดใสขึ้นมาเหมือนกัน มันยิ้มออกมากว้างๆ
“พี่พระจันทร์”
“อะไร”
“ไม่รู้ตัวบ้างหรอครับ ... พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ ความสัมพันธ์ของเราสองคนน่ะ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วส่งยิ้มให้กันกว้างขึ้นอีกหน่อย หัวใจของผมถูกบีบรัดขึ้นทีละนิด สบสายตาใสที่เหมือนน้ำเย็นๆ ที่สาดใส่กัน เป็นความรู้สึกที่เหมือนคนพึ่งโดนสะกิดให้เริ่มรู้ตัว ...
ขยับใกล้กันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ...อาจจะเป็นตอนนี้มั้ง
ตอนที่ริมฝีปากของเด็กดื้อช่างตื๊อที่มีความมั่นใจมากๆ แบบมัน แนบลงมาที่ริมฝีปากของผมเบาๆ ท่าทางเงอะงะของคนที่ไม่เป็นงานแต่ก็ยังอยากจะทำตามใจตัวเอง เอื้อมมือไปกอดรอบเอวบางให้ขยับตัวเข้ามาใกล้กันมากกว่าเก่า แล้วปล่อยให้สมุทรนำทางไปตามใจที่มันต้องการ
“งั้นคืนนี้กูนอนนี่ได้ไหมวะ”
“ถ้าสบายใจแบบนั้น ก็นอนนี่เถอะครับ” สบตาให้กันแล้วยิ้มออกมานิดๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความสบายใจของผมในตอนนี้
...
ลงมาจากรถคันหรูในช่วงเที่ยงของวันศุกร์ รู้สึกสบายตูดเพราะไม่ต้องไปเบียดกับใครบนรถไฟฟ้า เพราะวันนี้มีคนขับมาส่งกันถึงหน้าคณะ บอกแล้วว่าจะเดินเข้ามาเอง แต่ติดตรงเจ้าของรถก็เอาแต่ถลึงตาใส่กันแล้วบอกกันสั้นๆ ว่า ‘อย่าดื้อ’ พูดมาขนาดนั้นแล้วก็เลยตามใจ เพราะน้องสมุทรน่ะเป็นพ่อบ้านใจกล้า ไม่ดื้อไม่สนกับคนสวยหรอกกูน่ะ
“ทำไมมาช้าจังวะวันนี้” ไอ้เฮงเจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่งชันขายกขึ้นมากับม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกวางแบบเดิมอย่างสบายใจ ท่านั่งที่ทำให้ไข่ได้รับลมแบบที่มันชอบ
“รถติดว่ะ”
“ทำไมน้องหมุดถึงรถติดได้ครับ รถไฟฟ้ามีไฟแดงหราสาด” ไอ้จิมที่พึ่งเดินเข้ามาก็เปิดปากเสือกเลย สองมือของมันหอบของกินมาเต็มแขน ดูก็รู้ว่ามีของกินของไอ้เฮงอยู่ด้วย
“เสือกจังวะจิ๋ม”
“จิมไอ้สัด จิ๋มนั่นแม่กูครับ” ว่าพร้อมเอื้อมมือมาตบหัวผมไปทีนึง เจ็บฉิบหาย ล้อนิดล้อหน่อยแค่นี้ต้องทำร้ายกัน ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้มาร์ช มันที่นั่งอยู่นั่นมาตลอดแต่ก็ยังเงียบ เอื้อมมือไปกอดไหล่มันเหมือนปกติที่ชอบทำ
“เห้ย เงียบทำเหี้ยไรสาด” พยักหน้าให้มันไปที
“ก็เปล่า...” ว่าออกมาแบบนั้น บรรยากาศเงียบๆ ก็โรยตัวลงมาระหว่างเราสองคน น่าอึดอัดนิดหน่อยแต่น้องสมุทรก็ยังเลือกที่จะมองเมินมันไปแบบนั้น แล้วทำทุกอย่างให้ปกติ
“สมุทร”
“ว่าไงครับพ่อมาร์ช เป็นอะไรไอ้เหี้ยเรียกเสียงกูจริงจังเลย”
“เอาล่ะ กูจะทำเป็นตาบอด” ไอ้จิมว่าทะเล้นออกมาแล้วพยักหน้าพูดกับไอ้เฮง
“งั้นกูหูหนวก”
“หูหนวกแล้วพูดออกมาได้ไงวะไอ้โง่”
“เออน่า เรื่องกู หันมานี่ไอ้เหี้ยจิม เสนอหน้าไปมองเค้าทำเหี้ยไร” ไอ้เฮงที่เอื้อมมือไปกอดคอไอ้จิมให้หันหน้าไปอีกทาง มันสองคนที่เริ่มต้นแบ่งลูกชิ้นกินกันแล้วก็หันหลังให้ผมกับไอ้มาร์ช
“กูขอโทษนะมึง” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวที่พูดออกมาแบบนั้น สีหน้าท่าทางที่ดูจะรู้สึกไม่ค่อยดีของมันทำให้ผมพลอยอึดอัดไปด้วย
“จริงๆ มึงไม่จำเป็นต้องขอโทษกูหรอก กูรู้มึงเป็นห่วงกู”
“อืม กูห่วง แต่บางทีก็ลืมว่าหน้าที่เพื่อนมันควรจะทำได้แค่ไหน” มันสบตากับผมตรงๆ แล้วบอกออกมาแบบนั้น
“กูก็อยากให้มึงเจอกับคนที่ดี คนที่มึงจะใช้ทุกความรู้สึกของมึงให้เค้าอย่างมีค่า”
“กูไม่รู้เรื่องอะไรพวกนั้นหรอกว่ะ ไม่รู้ว่าให้ใครไปแล้วจะมีค่ามากกว่ากัน แต่กูก็แค่เลือกให้คนที่กูรู้สึกมากที่สุดก็แค่นั้น”
“แล้วคนนั้นก็คือพี่พระจันทร์” มันเลิกคิ้วถามกัน เหมือนเป็นคำถามที่จริงๆ ตัวมันก็มีคำตอบอยู่แล้ว แต่เหมือนแค่อยากได้ยินจากปากผมชัดๆ อีกที เพราะแบบนั้นเลยเลือกจะตอบมันไป
“ใช่”
“แล้วมึงจะทำยังไงกับใครอีกคนวะ”
“มึงหมายถึง”
“ก็ไอ้พี่ยอร์ชไง มันก็ดูจริงจังกับมึงนะ แล้วกูก็คิดว่ามันก็ไม่ได้แย่”
“มึงดูเชียร์พี่ยอร์ชนะ” ผมถามตอนที่เห็นหน้าตากระตือรือร้นของมันที่อยากจะพูดถึงใครอีกคนที่จริงๆ มันเองก็ไม่น่าจะสนิทอะไร
“ก็...มันก็ดูชอบมึงจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่กล้าเข้าหามึงโดยที่มึงไม่ต้องวิ่งตาม”
“เอาจริงๆ เหมือนมึงตะล่อมกูอ่ะ” หรี่ตามองหน้ามันแบบขอคำตอบ
“มึงก็บอกความจริงมันไปสิไอ้เหี้ย” ไอ้เฮงที่หันมาเสือก แล้วโพร่งออกมาแบบนั้น ผมเลิกคิ้วถามมัน แต่ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร ไอ้เฮงก็โดนไอ้จิมตบหัวแรงๆ หนึ่งที
“มึงหูหนวกอยู่ไอ้เหี้ย”
“อ่อขอโทษ กูลืมบท”
“ไม่ต้องเล่นบทแล้วไอ้เหี้ย สรุปมีไร” ผมแหวใส่พวกมันที่ทำท่าทีมีลับลมคมในกันจนออกนอกหนา ปรายตามองไอ้มาร์ชที่ยกมือขึ้นเกาหัวนิดๆ
“ยังไง”
“ก็แค่...พี่มันเส้นกู...”
“กับกู”
“และก็กู”
“ด้วยอะไร” ผมหันหน้าไปมองเพื่อนๆ ผมสลับกันไปมา ไอ้สามคนที่ยิ้มแหยส่งกลับมา
“ตั๋วบอล”
“ตั๋วบอลไรวะ”
“ตั๋วแมนยูกับลิเวอร์พูล ที่จัดที่ราชมังอ่ะมึง” ไอ้มาร์ชบอกออกมาเสียงอ่อย ส่วนผมก็ตาเบิกกว้างขึ้นมาทั้งแบบนั้น ตั๋วบอลนัดนี้แม่งแพงจะตาย
“มึงได้บัตรไหนจากพี่มัน”
“ตั๋วชมพู” ไอ้จิมยิ้มแผละออกมา
“คือราคาเท่าไหร่” ผมคาดคั้น มองพวกมันทีละคนอย่างต้องการคำตอบ
“ตั๋วที่ดีที่สุด ตอนนี้อัพราคาที่ห้าหมื่นจะเพื่อน”
“เหี้ย! พ่องตาย! มึงเอาตั๋วไปคืนเลยไอ้เหี้ย” ผมตะโกนออกมาเสียงดัง ตกใจกับราคาและการแลกมาในครั้งนี้ มึงจะจับน้องสมุทรไปเซ้นไหว้ไม่ได้นะไอ้พวกเพื่อนเหี้ย
“เห้ยๆ พี่มันให้มาแบบสเน่ห์หา”
“สเน่ห์หาเหี้ยไร ไม่ตลกนะไอ้สัด พี่มันให้พวกมึงทำไร”
“เห้ยใจเย็นๆ มึง พี่มันไม่ได้ให้ทำไรหรอก” ไอ้จิมเป็นคนที่พูดออกมาแบบนั้น ท่าทางของมันที่พยายามทำให้ผมใจเย็น ผมว่ามันมากเกินไป
“กูขอความจริง ถ้ายังเห็นกูเป็นเพื่อนก็บอกกูมาดีๆ” เท้าสะเอวใส่แล้วชี้หน้ามันทีละคน ไอ้มาร์ชถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วส่งตั๋วมาให้ผม
“กูไม่ได้จะขายเพื่อนนะเว้ย แต่กูเห็นว่ามันแค่ให้กูมาพูดเชียร์มันให้ กูเลยยอมรับมา” มันว่าแบบนั้น สีหน้าที่รู้สึกผิดของมันทำให้ผมต้องถอนหายใจ
“จริงๆ กูไม่ดูก็ได้ อะ เอาไปๆ แต่อย่าโกรธพวกกูเลยนะเว้ย” ไอ้จิมรีบว่าออกมาสัมทับ มันที่ยื่นตั๋วของมันกับไอ้เฮงส่งมาให้ผมด้วยอีกคนละใบ พวกแม่งนี่จริงๆ
“พี่มันก็แค่กลัวว่ามึงจะไม่ไปงานวันเกิดมัน” ไอ้เฮงพูดออกมาแบบนั้น
“กลัวเหี้ยไร กูก็จะไปอยู่แล้ว” ใช่...แค่ไปกับพี่พระจันทร์ด้วยอีกคนเฉยๆ
“ของขวัญอะไรกูก็ซื้อแล้ว” ใช่...ถึงแม้กูจะไม่ได้เป็นคนเลือกแต่ก็มีแล้ว เพราะเมื่อวานพี่พระจันทร์เป็นคนไปซื้อไว้เรียบร้อยตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำที่ห้าง
“ก็คนมันไม่มั่นใจนี่หว่า”
“ไร้สาระไอ้เหี้ย พวกมึงก็อย่าไปรับอะไรแบบนี้มาสิวะ กูซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะสัด”
“โทษๆ มึง พวกกูคิดน้อยไปหน่อย” ไอ้มาร์ชยกมือขึ้นไหว้ขอโทษกัน ผมส่ายหน้าระอาใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้สามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“มึงแบกกระเป๋ากูขึ้นห้องไปด้วย เดี๋ยวกูมา”
“มึงจะไปไหน”
“เอาตั๋วเหี้ยนี่ไปคืนพี่ยอร์ช”
“งั้นกูไปด้วย” ไอ้มาร์ชทำท่าจะลุกขึ้นตาม แต่โดนผมกดไหล่ให้นั่งลงไปซะก่อน รู้ดีว่ามันมีท่าทีงี้เพราะรู้สึกผิดอยู่ด้วย จริงๆ ผมไม่ได้โกรธพวกมันสามคนหรอก ผมรู้จักนิสัยเพื่อนผมดี มันไม่ได้คิดจะขายผมเพราะแค่ตั๋วบอลหรอก พวกมันแต่ละคนก็รวยครับ ถึงแม้จะชอบทำตัวสถุนแต่จริงๆ มันมีเงิน ลูกคนมีเงินฐานะไม่แย่เลย
“ไม่ต้อง กูจัดการเอง” บอกออกไปเด็ดขาดไอ้มาร์ชเลยไม่กล้าขัด ผมรู้ดีว่าที่มันไม่ขัดเพราะมันมีชนักติดหลังตั้งสองเรื่อง เรื่องเมื่อวานที่เราเถียงกัน และวันนี้กับตั๋วบอลของพี่ยอร์ช
ผมหยิบมือถือพร้อมตั๋วบอลสามใบมา แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่คณะวิศวะ โชคดีที่ตอนนี้ยังมีเวลา และคณะพี่มันก็ไม่ได้ห่างจากคณะผมมากเท่าไหร่เลยยังพอเดินไปได้ ถ้าให้รอรถเวียนในมอก็ไม่ต้องไปมันแล้วชาตินี้
คณะวิศวะยังคงเหมือนครั้งก่อนที่เคยมา เป็นบรรยากาศเท่ๆ ที่มีเสียงเอะอ่ะโวยวายและเสียงหัวเราะดูคึกคักตลอดเวลา ผมสอดส่ายสายตาไปตามซุ้มของคณะวิศวะ และก็เจอจริงๆ พี่ยอร์ชมันนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนมันเหมือนเคย ใบหน้าหล่อเท่ที่อยู่ในชุดเสื้อช็อปนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูดี
“หวัดดีพี่ๆ” ผมทักทายออกไปแบบนั้นแล้วคนทั้งกลุ่มก็หันมามองกัน เหมือนว่าตอนนี้ทุกคนจะกำลังสนใจงานตรงหน้าของตัวเองอยู่ ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เหมือนจะเป็นโมเดลอะไรสักอย่างที่มีวงจรไฟฟ้ายั้วเยี้ย
“เชี่ย มึงมาหากูหรอสมุทร” พี่ยอร์ชหันมาเจอกันแล้วเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มให้กันแบบดีใจสุดๆ ขายาวกระโดดข้ามเก้าอี้ม้าหินมา เท้าพี่แกเกือบเตะโดนหัวพี่นิว
“เหี้ยยอร์ช K ตีนเกือบโดนกู”
“มันไม่ฟังมึงหรอกสัดนิว ตอนนี้หัวใจคงติดปีกบินไปหาน้องสมุทร”
“ฮิ้ววว” เสียงโห่แซวของกลุ่มเพื่อนพี่ยอร์ชร้องเฮฮาออกมาแบบนั้น มีแกนนำคือพี่ทอยและพี่วินเจ้าเก่า พี่ยอร์ชยกยิ้มเท่ๆ ออกมาแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนๆ ของตัวเอง
“อย่าแซวครับๆ เดี๋ยวพ่อยอดนักเยดเค้าเขิน”
“เยดพ่องสัดวิน หุบปาก” พี่ยอร์ชเขวี้ยงปากกาที่อยู่ในมือตัวเองไปใส่หัวพี่วินแรงๆ ทีนึง แต่อีกฝ่ายกลับหลบทัน พี่ยอร์ชพูดเบาๆ ว่าKส่งไปให้ ก่อนที่คนตรงหน้าจะเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินเลี่ยงออกมาให้ห่างจากเพื่อนๆ ของเค้า ใบหน้าเท่ๆ ของพี่ยอร์ชยังประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างของคนที่ดีใจที่ได้เห็นกัน
“เมื่อเช้ากูไปหามึง แต่มึงยังไม่มา”
“อ่าหะ”
“กูไม่มีตารางเรียนมึงนี่หว่า ไปรอเก้อเลย” มันบ่นออกมาอีกแบบนั้น สีหน้าท่าทางละห้อยเหมือนหมาตัวใหญ่ที่หางลู่หูตกทำผมถอนหายใจอีกครั้ง ... จริงๆ พี่เค้าเป็นคนน่ารัก
“พี่ยอร์ช”
“ว่าไง ทำไมทำเสียงแบบนั้นวะ”
“ผมเอานี่มาคืน” บอกแบบนั้นแล้วเอาตั๋วสามใบออกมาจากกระเป๋ากางเกง พี่มันมองมาก่อนจะทำสีหน้าเหวอออกมาเล็กๆ
“พี่พอเถอะผมว่า...”
“พออะไรของมึงวะสมุทร” เสียงเข้มขึ้นพร้อมมองหน้าผมอย่างคนไม่เข้าใจ
“พี่จะเอาเงินมาลงเพราะเรื่องของผมแบบนี้ไม่ได้” ผมตอบกลับไปอย่างจริงจัง ผมว่ามันมากเกินไป เค้าต้องการอะไรจากตัวผมวะ ถึงต้องมาเสียเงินที่ละมากๆ แบบนี้ บางทีมันก็ทำให้ผมอึดอัดใจ
“ทำไมจะไม่ได้ กูทำได้ ถ้ามันเป็นเรื่องของมึง กูอยากให้”
“พี่ ถ้าจะต้องจีบใครสักคนแล้วทุ่มเงินมาให้แบบนี้ ผมว่าไม่มีใครเค้าทำกันหรอก”
“ทำไมจะไม่มี...” พี่ยอร์ชมันแย้งออกมาแบบนั้นแล้วมองหน้ากันอีกที
“ไอ้พระจันทร์ก็ทำงี้กับอัยย์เหมือนกัน มึงไม่รู้หรอ” เสียงเข้มที่พูดออกมา มองหน้าของผมเหมือนกำลังถามว่าผมได้เท่าที่พี่อัยย์ได้หรือเปล่า ผมไม่เคยรู้เรื่องราวพวกนี้บางเลยหรอ ท่าทางของพี่ยอร์ชมันเป็นแบบนั้น ผมเม้นริมฝีปากเข้าหากันในตอนนี้แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“แล้วเพราะแบบนั้น กูเองก็ทุ่มให้มึงได้เหมือนกัน โดยที่มึงไม่จำเป็นต้องรับเศษเงินจากมันเลยก็ได้”
“พี่!...” ผมเรียกเค้าเสียงดัง ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้านิ่งๆ อีกที
“ผมมันซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะเว้ย!” ขมวดคิ้วจ้องหน้าพร้อมกระแทกเสียงใส่ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาได้ยินอะไรแบบนี้สักหน่อย
“แล้วจะบอกอีกที ผมไม่ใช่พี่อัยย์ ต่อให้พี่พระจันทร์เอาอะไรมาให้มากมายแบบนี้ ผมก็รับไว้ไม่ได้หรอกว่ะ มันเกินไป ผมไม่อยากได้” บอกแบบนั้นแล้วยัดตั๋วนั่นใส่มืออีกคนอย่างหงุดหงิดใจ ผมแค่ไม่เข้าใจว่าพี่ยอร์ชจะพูดแบบนี้กับผมทำไม อยากให้ผมเทียบตัวเองกับพี่อัยย์หรอ .... ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้น
และคำพูดที่ฟังมา มันก็ไม่ได้บอกให้ผมรู้สึกดี
“กูไม่ได้คิดจะซื้อมึงด้วยเงินนะสมุทร” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาดึงแขนของผมไว้ในตอนที่กำลังจะเดินจากมันไป
“แต่คำพูดของพี่แม่งทำให้ผมคิดไปแบบนั้นว่ะ” ดึงแขนของตัวเองออกจากมือของอีกฝ่าย คิดว่ายังไม่พูดกันตอนนี้คงจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่ผมหงุดหงิดแบบนี้ แต่เหมือนพี่ยอร์ชจะไม่ยอมเข้าใจ เค้ายังวิ่งมาดักหน้าของผมเอาไว้แล้วไม่ยอมถอยหนี
“ทำไมวะ ทำไมพอเป็นกูมึงต้องโกรธขนาดนี้”
“ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นพี่ผมเลยโกรธ แต่เพราะมันเป็นพี่ที่พูดแบบนี้กับผมต่างหากผมเลยโมโห พี่กลับไปทบทวนคำพูดของตัวเองก่อนไหม แล้วค่อยมาคุยกับผม”
“แล้วกูพูดอะไรผิดตรงไหน อะไรที่ไอ้พระจันทร์ทำได้ กูเองก็ทำได้เหมือนกัน”
“แล้วพี่เคยถามผมสักคำหรือเปล่าว่าต้องการแบบนั้นไหม ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพี่ชอบผมจริงๆ หรือพยายามหักหน้ากันและกันเพื่อความสะใจโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือกันแน่!”
“เห้ยๆ ...กูได้ยินว่ามีเด็กมาหาหรอวะไอ้ยอร์ช ไหนๆ วันนี้กูมาทัน ขอเจอหน่อยสิจ๊ะ” เสียงของคนมาใหม่ที่ค่อนข้างจะคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังของผม มองเห็นพี่ยอร์ชที่ถอนหายใจหนักๆ ออกมาในตอนนี้ ผมหันหลังกลับไปตามเสียงนั่น ก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นมาในตอนที่เห็นคนที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ในชุดเสื้อช็อปแบบเดียวกันกับพี่ยอร์ช พร้อมผมสีชมพูอ่อนๆ กลับใบหน้าที่ดูคุ้นเคย ไม่ได้ต่างไปจากคนที่พึ่งส่งผมลงรถที่หน้าคณะเมื่อตอนเทียงเลยสักนิด
“พี่อาทิตย์” ผมพูดออกมาเสียงเบา ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่ พี่อาทิตย์แฝดพี่พระจันทร์ คนที่เกลียดพี่ยอร์ชมากขนาดนั้น แต่เค้าดันเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่ยอร์ชงั้นหรอวะ
นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน
“น้องสมุทร...เชี่ย อย่าบอกนะว่านี่เด็กมึง” พี่อาทิตย์ทำหน้าอึ้งๆ เบิกตากว้างขึ้นแล้วหันไปหาพี่ยอร์ชอย่างเอาเรื่อง สีหน้าที่บอกได้ว่าไม่โอเคมากๆ นั่นกำลังทำให้ผมสงสัยและไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง หันหน้าไปมองคนที่พึ่งจะทะเลาะกันช้าๆ ก็เห็นพี่ยอร์ชแค่พยักหน้าตอบคำถามพี่อาทิตย์
“อืม ... กูชอบน้อง แต่น้องชอบแฝดมึง”
“เล่นเหี้ยไรกันเนี่ยไอ้สัด!”
อาทิตย์ด่าออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางเอาเรื่อง เสียงเข้มๆ ที่ไม่มีคำพูดคะขาหวานๆ เหมือนที่ได้คุยกันเมื่อครั้งก่อน แทบจะเหมือนคนละคนกับที่ผมเคยเจอเลยด้วยซ้ำ ดวงตาสวยในแบบเดียวกับพี่พระจันทร์ที่ผมชอบเข้มขึ้นแล้วมองตรงไปที่พี่ยอร์ชอย่างเอาเรื่อง
ผมไม่เข้าใจว่าท่าทีแบบนี้ของพวกเค้าคืออะไร แต่บางอย่างก็สะกิดใจผมเหมือนกัน ในตอนนี้ก็อยากจะรู้เรื่องราวระหว่างพวกเค้ามากขึ้นเหมือนกัน ทั้งพี่พระจันทร์ พี่ยอร์ช พี่อัยย์และพี่อาทิตย์
#รักอยู่รู้ยัง-------------------------------------------
สำหรับตอนนี้จะนำพาไปสู่หายนะในตอนหน้าๆนี้จ้าา
พระจันทร์: หายนะอะไรวะ ไม่ใช่กูแล้วหนึ่ง
แคท: เธอนั่นแหล่ะตัวดีเลยอิพระเอก! ว่าแต่มีเรื่องอะไรระหว่างพวกเธอกันหรอ ไหนกระซิบ
พระจันทร์: ไม่เสือกสักเรื่องได้ไหมคนเขียน
แคท: เอ้าอินี่! อยากปลดพระเอ๊ก!
สมุทร: ปลดเลยจ๊ะ แล้วขึ้นป้ายเลยว่าเรื่องนี้มัน สมุทรพระจันทร์
พระจันทร์: มั่นให้สุด แล้วหยุดที่เป็นเมียกู
ฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง และคอมเม้นท์ให้กันด้วยนะคะ
ปล. สพหรับตอนที่ผ่านมา ขอบคุณคอมเม้นท์จากคุณNattie69ที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ
