พิมพ์หน้านี้ - Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Yoghurt ที่ 22-05-2021 20:40:01

หัวข้อ: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 22-05-2021 20:40:01
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

- - - -- - - - - -- - - - - - -


Love you...รักอยู่รู้ยัง


(https://sv1.picz.in.th/images/2021/05/22/PqjgBQ.jpg)


(https://sv1.picz.in.th/images/2021/05/22/PqjBNI.jpg)


(https://sv1.picz.in.th/images/2021/05/22/Pqj5F1.jpg)


(https://sv1.picz.in.th/images/2021/05/22/PqjblD.jpg)


ทั้งหัวใจดวงใหญ่เบิ้มของน้องสมุทรคนนี้

มีแต่พี่พระจันทร์ตัวเล็กตัวน้อยคนสวยขาของน้องสมุทรแค่คนเดียวเท่านั้น!

ต่อให้ใครจะพูดว่าพี่พระจันทร์ไม่มีทางเป็นเมียน้องสมุทรได้

ขอบอกเอาไว้เลยว่าไม่มีทางเชื่อ!

จนได้มาพบกับตาตัวเองเท่านั้นล่ะ ก็คือ...เอ่อ ช่วยด้วยจ๊ะแม่!!

“พี่พระจันทร์ใหญ่มาก!”


#รักอยู่รู้ยัง

-------------------------------------------------


:3123:สารบัญ :3123:

สวยๆเป็นผัว ครั้งที่1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4057294#msg4057294)

INTRO (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4057294#msg4057294)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4057319#msg4057319)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4057458#msg4057458)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061117#msg4061117)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061198#msg4061198)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061256#msg4061256)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061324#msg4061324)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061392#msg4061392)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061445#msg4061445)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061502#msg4061502)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061528#msg4061528)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061546#msg4061546)

รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72706.msg4061612#msg4061612)

:L2:**ใครไม่มียูสในเล้าเป็ด อ่านแล้วฝากแท็ก #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ :pig4: **
 


-----------------------------

ผลงานที่ผ่านมา (จบแล้ว)

:L2: One Night...คืนเดียวก็เสียวได้ [รุกฆาตxเลิฟ] (http://www.tunwalai.com/story/37025/one-night%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-the-end-boys-love-yaoi?page=1)

:L2: No limit...แรงรัก|กระแทก♥|ลึก [นักรบxฝา] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61195.0)

:L2:Mistakes หลงร้าย [ทัพหน้าxคาราเมล] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68386.msg3886641#msg3886641)

:L2:Beauty and the boy สวยๆเป็นผัว[ดาบxเอม] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71066.0#gsc.tab=0)


แฟนเพจอัปเดทนิยาย พูดคุยและทวงนิยายกันได้ทางนี้ทางเดิมนะจ๊ะ
Yoghurt Duchy (https://www.facebook.com/Yoghurt-Duchy-1592952994260862/)

-------------------------------------------------

พูดคุยกับคนเขียน

สวัสดีค่ะ!! ...กลับมาพบกับ โยเกิร์ตแคทตี้ (Yoghurt Catty) หรือจะเรียกว่า 'แคท'

ไรเตอร์คนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือความบ้า

เป็นไรเตอร์หน้าเก่า ที่คนไม่ค่อยรู้จักเพราะเขียนไม่เก่งเท่าไหร่ ฮ่าๆ แต่เราก็จะเขียนต่อไปนะเออ

คราวนี้แคทขอมาเปิดเรื่องที่5ค่ะ เป็นเรื่องของพี่พระจันทร์ หรือลูกชายฝาแฝดคนโตของเฮียทัพ

จากเรื่องMistake หลงร้ายนั่นเองค่ะ

ถ้าใครที่เคยได้อ่าน จะต้องจำเด็กแฝดน้องพระจันทร์และน้องอาทิตย์ในวัยเบบี้ได้แน่นอน แต่ถ้าใครไม่เคยอ่าน ไม่เป็นไรจ๊ะ

เรื่องไม่ได้ต่อกันนะเออ สามารถอ่านแยกได้จ้า ^_^

คราวนี้เป็นเรื่องราวของฝาแฝดคนพี่อย่างพระจันทร์ ที่โดนน้องสมุทรตามจีบ

แต่จีบในที่นี้ไม่ได้จีบมาเป็นสามี แต่น้องดันอยากได้พี่พระจันทร์สุดหล่อไปเป็นเมียซะนี่สิ

น้องสมุทรตัวแสบจะมาพลิกโพพี่สุดหล่อของเราได้ไหม ยังไง?

ถ้าอยากรู้ต้องมาติดตามไปพร้อมๆ กันนะคะ ...

และเช่นเดิม แคทหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนอ่านของแคทจะชอบเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยนะคะ

หวังว่าจะยิ้มและมีความสุขไปด้วยกันจนจบเรื่องเลย

แคทฝากพี่พระจันทร์กับน้องสมุทรไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน้าา จุ๊บๆ



** นิยายเรื่องนี้ไม่โหดไม่โฉดไม่เถื่อนไม่ดราม่าไม่ฮามากมาย ไม่มีอะไรมากหรือน้อยเกินไป

แต่ก็เป็นนิยายที่ถูกกลั่นกรองออกมาด้วยหัวใจของคนเขียน

หวังว่าคนอ่านทุกคนจะเป็นกำลังใจ และติดตามนิยายเรื่องนี้ และเติบโตไปพร้อมๆ กันนะจ๊ะ ^_^

*เม้นสักนิดเพื่อการเขียนที่ไหลลื่น แม้เราจะต้องการคอมเม้นแต่ก็ต้องการคอมเม้นที่เป็นมิตรนะจ๊ะ

 :L2: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง [Boy's love] [YAOI]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 22-05-2021 20:42:49

MINI INTRO




MINI INTRO



“น้องสมุทรรักพี่พระจันทร์ อยากได้พี่พระจันทร์เป็นเมียจริงๆนะ!”

“ตัวโตเท่าพุ่มต้นเข็ม โตให้ได้มากกว่านี้ค่อยไถหน้ามาบอกรักกู”

.

.

.

“พี่พระจันทร์คนสวยขาจะเป็นของใครไปไม่ได้หรอกนะ นอกจากน้องสมุทรคนนี้ บอกไว้ตรงนี้!”

“มั่นใจมากเลยเพื่อนกู คือมึงอยากได้พี่เค้ามาเป็นผัวมึงขนาดนั้นเลย”

“สัด พูดอะไรแบบนั้น อยากไดเมาเป็นเมียกูสิวะ ปั๊ดโถะ!”

“โถ่อี ... กล้าที่จะนะมึงอ่ะ“

“เอ๊า”

.

.

.

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกพยายามเรื่องกู”

“อยากจะบอกให้พี่พระจันทร์รู้ไว้นะ น้องสมุทรน่ะนะเป็นคนรักแบบมีสเต็ป ถ้าจะเจ็บก็ขอเจ็บแบบมีสไตล์ เอิ๊วกรู๊ว คำพูดเรานี่มันเท่สุดๆไปเลยว่ะ”

“สัด น่ารำคาญ”

.

.

.



“เลิกคิดจะเอากูไปเป็นเมียมึง”

“ทำไมล่ะพี่พระจันทร์ น้องสมุทรคนนี้รักพี่พระจันทร์คนสวยขาคนเดียวเลยนะ อยากเอาพี่แค่คนเดียว”

“อยากเอากู?”

“อือหือๆ”

“จะเอากูน่ะก็ได้....”

“จริงไหมๆๆๆ”

“จริง แต่มีข้อแม้...”

“ว่ามาเล้ยๆ น้องสมุทรรับได้ทุกสิ่งอย่าง พร้อมมากอยากได้เธอ”

“หึ จะเอากูน่ะก็ได้ แต่กูต้องได้เอามึงก่อนนะ”

“เหยดแหม่!”



.

.

.



“มึงหลบหน้ากู”

“บ้าน่า ใครมันจะไปทำแบบนั้นกันอ่ะตัวเธอ”

“สมุทร”

“อย่าทำเสียงดุจะได้ไหม หัวใจบอบบางไม่อยากได้ยินน้ำเสียงจริงจังหรอกนะ”

“หนีกูทำไม ไหนบอกว่าอยากได้กูเป็นเมีย”

“ก...ก็.....”

“สมุทร ... ว่าไง”

“ก็อยากได้เป็นเมียไงวะ กูไม่ได้อยากได้พี่พระจันทร์เป็นผัวไหมอ่ะ!”

“กูเป็นผัวแล้วมันทำไม”

“มันใหญ่มากไงล่ะ เสียบเข้ามาทีนึงถึงไส้ใน ถามมาได้ ปัดโถะ!”

“มึงเจ็บ?”

“มันฟิน!”

“หึ”



.

.

.

“ผมพึ่งรู้วันนี้ว่ะพี่ สู้กับอะไรมันก็ไม่ยากเท่ากับสู้คนในใจพี่ ผมเคยคิดว่าที่พี่ไม่เปิดใจเพราะผมยังพยายามไม่มากพอ แต่จริงๆมันไม่ใช่เลยว่ะ ... ขอโทษที่เข้าไปเป็นเรื่องมะลิงกิงกองในชีวิตพี่นะ”



ข้ามสมุทรเด็กชายที่ตกหลุมรักพี่พระจันทร์มาตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมาเรียนม.4ที่โรงเรียนใหม่ ครั้งแรกที่ได้เจอกันคือตอนที่พี่พระจันทร์

ช่วยน้องเด็กอนุบาลพร้อมๆกับเจ้าตัวที่พยายามทำตัวเป็นพระเอกไปช่วยน้องจนเกือบจะโดนรถชน และตั้งแต่วันนั้นมา พี่พระจันทร์ก็ได้

กลายมาเป็นนางฟ้าคนสวยในใจน้องสมุทรตลอดกาล

พยายามแล้วพยายามเล่าแต่สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาก็มีแค่ปฏิกริยาไม่รับรู้ของพี่พระจันทร์ก็เท่านั้น ...

 หึ่ย! แต่น้องสมุทรคนนี้ก็ไม่ย่อท้อหรอกนะ ได้แต่รอเวลาจนถึงวันนี้ วันที่น้องสมุทรจะโตมากพอ

มากพอที่พี่พระจันทร์จะรักได้! ...

ยังคงจะพยายามบอกรักอยู่ แล้วพี่พระจันทร์จะยอมรับรู้ได้หรือยัง?

เรื่องราวแสนตลกร้ายของหนึ่งเด็กชายที่พยายามมอบความรักไป กับอีกหนึ่งชายหนุ่มที่ไม่เคยแม้แต่จะสนใจความรักที่ได้มา

ความรักในครั้งนี้ ใครที่จะเป็นคนรู้ตัวก่อนกัน

กับ

Love You…รักอยู่รู้ยัง

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-



แคทกลับมาแล้วววว กลับมาพร้อมเรื่องใหม่ เรื่องของลูกชายฝาแฝดคนโตของเฮียทัพ

เรื่องราวระหว่างพี่พระจันทร์คนเท่กับน้องสมุทรคนดื้อจะเป็นยังไง

แน่นอนว่า เรายังคงคอนเซ็ปนิยายใสๆสไตล์หอบหื่นกันต่อไป

แคทหวังว่าคนอ่านจะสนุก และอยู่ติดตามไปด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายเช่นเดิมนะคะ

และใครที่มาอ่านแล้ว แคทขอให้รอดปลอดภัยจากโควิด19และไม่ปวดหลังค่ะ

ปล. มีใครลงผิดเรือไหมน้าาา อิอ๊ะเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง [Boy's love] [YAOI]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 22-05-2021 20:44:45

รักอยู่รู้ยัง

INTRO




ถ้าคุณรักใคร ก็แค่ปล่อยใจไปกับมัน

ต่อให้มันจะเป็นความรักที่เหมือนกับพระจันทร์ลอยอยู่บนฟ้า ไม่มีทางจะหล่นลงมาสู่มหาสมุทรก็ตาม

แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้น ก็ยังอยากจะลองบอกให้รู้ว่ารักดูสักที

....ถ้าลองบอกว่ารักอยู่ แล้วเธอจะรับรู้ได้หรือยัง....



-*-*-*-*-*-*-*-*-



ผ่านมาก็นานหลายปี แต่เหตุการณ์ในวันนั้น รอยยิ้ม สายตา ความใจดีของเขา มันกลับยังตรึงอยู่ในหัวใจของผม ไม่ลืมเลือน...



เสียงจอแจที่ดังมาจากผู้คนรอบข้าง รถราที่วิ่งผ่านไปผ่านมาในช่วงเวลาเช้าของวันจันทร์ที่ร้อนระอุ ตัวผมที่กำลังรอข้ามถนนไปอีกฝั่งของถนนเพื่อเริ่มต้นบทเรียนชีวิตใหม่ วันแรกของการเป็นนักเรียนชั้นม.4 วันแรกกับโรงเรียนใหม่ เครื่องแบบใหม่ และ...



“เห้ย ไอ้น้องจิ๋ว อย่าพึ่งข้ามถนนสิโว้ย!!” ผมที่สายตาเหลือบไปเห็นเด็กตัวเล็กในชุดนักเรียนอนุบาลที่ปล่อยมือจากคุณแม่ของตัวเอง แล้วกำลังจะวิ่งลงไปบนถนนเลยตะโกนออกไปแบบนั้น



“น้องงงง” ร้องตะโกนออกไปพร้อมๆ กับที่ออกวิ่ง มือที่พยายามเอื้อมออกไปข้างหน้า แต่ผู้คนแถวป้ายรถเมล์นี่ก็ดูจะเบียดเสียดจอแจซะเหลือเกิน ... ไม่มีตามองเห็นเด็กกันหรอวะ



‘กึก ฟุบ แอ๊ก’



“โอ๊ย!”



‘เอี๊ยดดดดดด” เสียงล้อรถบดกับพื้นถนนดังลั่นไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของบรรดาเหล่าคนรอบข้างในบริเวณนี้ ผมได้แต่เงยหน้าขึ้นมาจากพื้นฟุตบาตรที่ตัวเองนอนหน้าคว่ำวัดพื้นอยู่ตอนนี้ สัด! เมื่อกี้กูสะดุดเชี่ยอะไรวะ พื้นถนนประเทศไทยมันแสนจะเหี้ย!



แต่ว่า ... แล้วไอ้น้องจิ๋วนั่นล่ะ



หัวใจของผมสั่นอย่างหวาดกลัว กลัวว่าไอ้เด็กตัวเล็กๆ เมื่อกี้ที่ผมตั้งใจจะวิ่งเข้าไปช่วยจะเป็นอะไรไป และก็พอดีกับที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่กำลังอยู่ตรงหน้าผม คนที่อยู่ในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับผม และมีเส้นผมสีชมพูอ่อนๆ แขนได้รูปที่กอดตัวเด็กจิ๋วนั่นเอาไว้แนบอก พร้อมๆ กับที่เจ้าของแผ่นหลังนั่นจะค่อยๆ หันทั้งตัวมาทางผมช้าๆ เป็นช่วงเวลาสโลโมชั่นที่เหมือนในซีรี่ย์รักที่เคยได้ดู ... เจ้าของเรือนผมสีชมพูอ่อนที่มีใบหน้าเรียวได้รูป มีคิ้วเรียงตัวสวยสีเข้ม พร้อมๆ กับขนตางอนยาวที่ทำให้ดวงตาคู่นั้นมีสเน่ห์มากขึ้นไปกว่าเดิม ริมฝีปากบางสีส้มละมุนนั่นก็อีกที่เหมือนกับยิ่งสะกดสายตาของผมให้ถอนไปทางไหนไม่ได้เลย



ตึกตักๆ หัวใจมันเต้นมันสั่นมันไหว อาการเหมือนอยากจะมอบใจไปให้เค้า



“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” คนตรงหน้าย่อตัวลงถามเจ้าเด็กจิ๋วนั่น พร้อมฝ่ามือที่ยกขึ้นลูบหัวเด็กนั่นเบาๆ ...งุ้ย คนสวยใจดี



“ข...ขอบคุณมากๆ ฮะพี่สุดหล่อ” เอ๊ะ อะไรนะ เดี๋ยวไอ้จิ๋ว!หล่ออะไรของมึง สวยสิเห้ย ละมุนใจขนาดนี้ มาหล่ออะไร คนหล่อต้องกูนี่ กูที่นอนแหมะอยู่ที่พื้นถนนนี่!



“คราวหลังอย่าปล่อยมือแม่อีก”



“ฮับ” เด็กจิ๋วตอบรับพร้อมๆ ที่แม่ของเจ้าตัวรีบวิ่งตามมารับลูกชาย และขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ สุดท้ายเจ้าเด็กจิ๋วนั่นก็เดินจากไปพร้อมๆ กับแม่ของเจ้าตัว คนตรงหน้าของผมที่ละสายตาจากเจ้าจิ๋วและแม่ของมัน ก่อนจะหันมามองหน้าผม ตาสองตาที่จ้องประสานกันในตอนนี้ หัวใจของผมสั่นไหว รู้สึกเหมือนกับว่าละสายตาจากเค้าไม่ได้เลย เขาที่ลุกขึ้น ก่อนจะค่อยๆ เดินตรงเข้ามาหาผมช้าๆ ... เห้ยๆๆๆ เค้ามีใจให้กูรึเปล่า ทำตัวยังไงดีวะ เก็กหน้าขรึมก่อนไหม เค้าชอบกูแน่ๆ อ่ะแบบนี้



“จะนอนอยู่อีกนานไหม มึงคิดว่าฟุตบาตรเป็นทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์หรอ ถ้ารู้ว่าไม่มีปัญญาจะช่วยใครไหว คราวหลังก็อยู่เฉยๆ เถอะ ตัวเองจะตายเอา” ริมฝีปากบางๆ นั่นเจื้อยแจ้วออกมาแบบนั้น หัวใจของผมเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง เค้าพูดมาแบบนี้ แม่ง!



เค้าเป็นห่วงเป็นใยกูแน่ๆ เลยอ่า



“เป็นห่วงกันสินะ งึ่ย ชื่ออะไรหรอเธอ เราน่ะนะพึ่งเข้ามาใหม่อยู่ม.4วันนี้วันแรกเลย”



“กูม.6 ไม่ใช่เพื่อนเล่นมึง ... จะสายแล้ว รีบไปเข้าเรียน”



“ด..เดี๋ยวครับ” ผมโพร่งออกไปแบบนั้นในตอนที่คนตรงหน้าจะเดินจากกันไป สายตาเย็นชาที่มองมาที่ผมเหมือนเป็นสิ่งน่ารำคาญนิดหน่อย แต่ผมเข้าใจ คนสวยก็ต้องสงวนท่าที่เป็นธรรมดา



“อะไร” ปรายสายตาคมที่มีแพรขนตางอนยาวหันมามองผมนิดๆ



“พี่ชื่ออะไรหรอ”



“ถามเพื่อ”



“ผมอยากรู้นี่ครับ น้า พี่บอกผมหน่อยนะๆๆ” คนตรงหน้าที่ทำแค่ถอนหายใจแรงๆ ใส่ผมหนึ่งที



“น่ารำคาญ”



“ห๊ะ...ชื่ออะไรนะพี่”



“...กูชื่อ...”



“เห้ย...มึงอยู่นี่เองไอ้....” เสียงของใครอีกคนที่วิ่งเข้ามาตะโกนเรียกชื่อของคนตรงหน้าที่ผมอยากรู้จัก เจ้าตัวที่ทำหน้าเหวอไปนิดๆ ตอนมองเพื่อนคนนั้นที่ตะโกนเรียกชื่อแล้ววิ่งเข้ามากอดคอ เขาไม่ตอบคำถามของผม ... แต่ถึงแบบนั้น ชื่อของเค้าที่ออกจากปากของใครอีกคน ก็ทำให้ผมจำได้ไม่เคยลืม




.

.

.


“ชื่ออออออ~~~.......”



“เห้ยๆ มึง พูดเพ้ออะไรวะ” แรงเขย่าข้างๆ ตัวที่ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมา สายตาพร่าเบลอมองไปรอบๆ อย่างไม่รู้จะโฟกัสที่ตรงไหน เหมือนก่อนหน้านี้จะคิดย้อนไปไกลถึงเหตุการณ์ในอดีตอย่างไงอย่างงั้น ก้มหน้าลงมามองตัวเองตรงนี้ ตัวผมที่อยู่ในชุดนักศึกษาสภาพหลุดลุ่ย และในมือก็กอดขวดเหล้าอยู่ เสียงเพลงรอบๆ ตัวที่ทำให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้นมากกว่าเรื่องในฝันเมื่อกี้



“เอิ๊กกกก” สะอึกหนึ่งทีเป็นการเกริ่นนำ เรียกสายตารังเกียจจากคนรอบข้างได้นิดหน่อย แต่ใครสนล่ะ ผมทำแค่พูดต่อไป



“เรื่องราว....มานก็เป็นแบบเน้ เรื่องราวความ เอิ๊ก ความรักเศร้าๆ ขอเหล้าขมๆ มาให้หน่อยคร๊าบ”



“มันเล่าเรื่องอะไรของมันวะพี่ ทำไมกูไม่เข้าใจที่มันพูด”



“มึงคาดหวังอะไรจากน้องรหัสสดๆ ร้อนๆ ของมึงวะสัดเอส มึงว่าสภาพมันตอนนี้ดูปกติไหม”



“ซุบซิบไรกานนนนน เล่าให้ฟังบ้างสิจ๊ะๆ”



“อะ เมาแล้ว แต่ยังอยากเสือกอยู่อ่ะเนอะ เอาให้เต็มที่ไปเลยครับไอ้น้อง ไม่ต้องเกรงใจกูหรอกจริงๆ”



“งั้นจัดไปน้าไอ้เอสไอ้โดส!”



“อะ ไอ้เหี้ยเอ้ย เล่นกูละ น้องรหัสมึงมันเอาเรื่องจังวะไอ้เอส”



“มันก็หลานรหัสพี่มึงเหมือนกันป่ะวะพี่โดส”



เสียงสองเสียงที่ดังงุบงิบๆ อยู่ข้างๆ มันช่างน่ารำคาญหู เพราะแบบนั้นก็เลยลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับชูขวดที่อุ้มอยู่ขึ้นไปบนฟ้า อยากจะไปแตะขอบฟ้า~



“เต็มเท้! ฉุดหย่ายยยยปิ๊บๆ” จังหวะมันได้ ดนตรีมันเด้งโดนหัวจิตหัวใจกันแบบสุดๆ เพราะแบบนั้นเลยรู้สึกว่าไม่อยากจะหยุด อยากจะลุกขึ้นตะโกนไปตามเสียงเพลงพร้อมโยกๆ ตัวไปมาท่ามกลางเสียงดนตรีจังหวะEDMตื๊ดหัวใจ เอาเว้ย เต็มที่กันหน่อยงานนี้ ไม่เมาไม่เลิกไม่เมาไม่กลับ แต่ถ้ากูหลับก็หิ้วกูกลับด้วย!



“ปิ๊บพ่อปิ๊บแม่มึงไอ้สัดน้อง พูดไม่รู้เรื่องมึงก็นั่งนิ่งๆ สิวะ ลุกขึ้นเต้นหาพ่อมึง กูอายคน”

เสียงดุที่ดังอยู่ข้างๆ ตัว พร้อมมือที่เอื้อมมาคว้าแขนของผม ดึงให้ตัวทั้งตัวของผมต้องล้มหงายหลังลงไปนั่งแหม่ะอยู่บนโซฟาอีกครั้ง ทำไมต้องขัด ก็คนมันอยากจะโยกๆๆ สักหน่อย ทำไมต้องขัดกันวะ ผมที่พยายามจะลืมตาขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ภาพตรงหน้าก็ยิ่งเบลอมากขึ้นทุกที... เกิดอะไรขึ้นวะคร๊าบบบ มืดๆ เบลอชอบกล



“ช่วยโด้ยยย ทำไมภาพไม่ตรง ทำไมภาพมันเบลอหรือเธอไม่ชัดเจน ทำไมๆ ทำไมใครมันปิดไฟ!”



“สัด! ไม่มีใครปิดไฟ แว่นมึงเบี้ยว!”



“โอ้ว แว่นเบี้ยวนี่เองสินะ เอิ๊ก”



“ไอ้ซาหมุดเอ๊ย มึงแม่ง”



“สมุทร! ชื่อว่าสมุทรครับ น้องข้ามสมุทรคนหล่อเอง ซาพ่อซาแม่มึงอ่อพี่โดส” โมโห ชอบเรียกชื่อกันผิดๆ ยกมือขึ้นดันกรอบแว่นตาที่ตกคาลงไปที่ปลายจมูกให้ขึ้นมาอยู่ที่ลูกตาดีๆ ไปด้วยทีนึง ... โอ้โห ภาพชัดระดับเอชดีปรากฏตรงหน้า นมพี่สาวโต๊ะข้างๆ กระแทกดวงตา แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่สามารถทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของน้องสมุทรคนนี้ไหวหวั่นได้ เพราะอะไรน่ะเรอะ!



“อะ ถ้าจะด่ากูขนาดนี้มึงไม่ต้องเรียกกูพี่แล้วก็ได้ไอ้น้องหมุด”



“ฮื่อออ สมุทรอยากได้เค้าๆๆๆ เข้าใจหมายยย เอิ๊ก” เวลากูเศร้าก็ช่วยฟังกูหน่อยสิวะ ปั๊ดโถะ! เอาแต่เรียกชื่อผิดๆ อยู่ได้



“เมาก็อยู่เฉยๆ กูอายจนอยากตายแล้วนะ”



“ปล่อยมันเหอะไอ้เอส กูก็อายพอๆ กับมึงแหล่ะ” เสียงสองเสียงที่ยังคงดังอยู่ข้างๆ ตัวไม่เลิกไม่ลา ทำให้ผมต้องฝืนตัวเอียงหัวไปมอง ซุบซิบๆ กันอยู่นั่น แถวบ้านเรียกว่านินทาหรือเปล่า ไอ้พี่สองตัวนี้ไม่น่ารักนินทากันหรือเปล่า



“พี่มึงสองตัว”



“สองคนไอ้สัด”



“นั่นล่ะ...ผมน่ะนะ เจ็บยอดหัวนม”



“ห๊ะ!”



“น้องสมุทรอยากได้เค้า แบบว่าคนมันคลั่งไข่มากๆ”



“คลั่งไคล้!”



“ก็คล้ายกัน งื้ออ อยากได้ ...น้องสมุทรสุดแสนจะอยากได้คนสวยขาของน้อง!!” ตะโกนออกมาแบบนั้นแล้วทิ้งตัวนอนลงบนโซฟายาวอีกครั้ง หลับตาลงไปเพราะรู้สึกเริ่มจะเวียนหัวไม่ไหวแล้วในตอนนี้ แต่พอยิ่งหลับตา ภาพที่เคยคิดถึงมาตลอดหลายปีก็หลั่งไหลเข้ามา คนที่มีใบหน้าเรียวยาวรูปไข่ ริมฝีปากเล็กๆ จุ๊บจิ๊บสีชมพูอมส้ม จมูกโด่งได้รูป และมีดวงตาเฉี่ยวคมบาดจิตบาดใจ ที่พอมองรวมๆ แล้วมีสเน่ห์เหลือเกินคนนั้น น้องสมุทรอยากจะร้องออกมาเป็นเพลงเลย



“สวยขนาดนั้นเลยหรอวะ คนที่ทำให้มึงวิ่งตามมาตั้งแต่ม.4น่ะ” พี่โดสถามขึ้นมาแบบนั้นเลยต้องจำใจเปิดตาข้างนึงหรี่สายตาไปมองพี่มัน พร้อมพยักหน้าเป็นคำตอบส่งไปให้



“ที่สุดในหัวใจน้องสมุทร”



“คือมึงชอบเค้ามากจนตามเค้ามาสอบให้ติดม.นี้เลยอ่ะนะ”



“ช่าย! สมุทรสุดแสนจะชอบ สุดรักสุดดวงใจคนสวยขาของน้องหมุด”



“กูล่ะอยากจะเห็นหน้าจริงๆ คนสวยคนไหนทำให้มึงคลั่งรักได้ขนาดนั้นวะ” พี่โดสพูดออกมาอีกพร้อมหันไปมองหน้าพี่เอส พอเห็นแบบนั้นตัวเราก็ยกยิ้มมุมปากแบบแสนจะเท่ห์ใส่พี่ๆ ยกมือขึ้นดันกรอบแว่นแบบสุดคูลใส่มันไปอีกนิด ฮั่นน่อ แสนเท่



“หึ คนสวยคนดังคนนั้นน่ะ รับรองว่าถ้าพูดชื่อออกไป พี่ๆ ต้องรู้จัก”



“อะไหนมึงลองว่ามา กูค่อนข้างจะกว้างขวาง กูมีเพื่อนมันทุกคณะแหล่ะ”



“ไงล่ะน้องรหัสกู สายเสือกในตำนาน นักเอาทุกคณะ ไหนมึงพูดชื่อมาไอ้สมุทร รับรองพี่รหัสมึงต้องรู้จัก”



“เห้ย คุณโดสก็พูดไปครับ นี่กูน้องมึงไง”



“ฟังนะๆๆ คนสวยขาพิกกี้บูบู้ของนายข้ามสมุทรคนนี้น่ะ เค้าชื่อ....พระจันทร์”



“.........................”



“.........................”



“อ๊ะนะๆ อึ้งเลยๆ แค่ชื่อก็หวานกรุบ”



“เดี๋ยวนะ กูขอถามมึงอีกทีนะไอ้น้องสมุทร...พระจันทร์ไหนนะ” หลังจากเงียบเดสแอร์ใส่กันไปนานสองนาน พี่โดสทำตาเหลือกใส่แล้วเอ่ยออกมาอีกที



“กูขอร้องเลยนะ อย่าบอกกูนะว่า....”



“พี่พระจันทร์บริหาร คนสวยคะคนสวยขาคนนั้นไง พวกพี่มึงรู้จักใช่รึป่ะล่ะ! แสนฮ็อต!”



“เชี่ย!”



“กูอยากตาย”



พี่เอสพี่โดสพูดขึ้นมาพร้อมกัน แถมพี่โดสยังเอามือยกขึ้นตบหน้าผากด้วยทีนึง ตบยุ่งแหล่ะกูว่า



“ทำไมต้องอยากตายว้า พี่จะบอกว่าน้องสมุทรน่ะหลงรักคนที่สวยเกินตัวไปใช่ไหมล่า ฮึก แล้วไงว้า ไอ้แว่นแบบผมก็มีหัวใจ ไอ้แว่นแบบผมจะหลงรักคนสวยไม่ได้รึไง ใครแม่งเป็นคนห้าม!”



“กูถามจริงๆ นะไอ้หมุด”



“สมุทร! เรียกชื่อกูให้ถูกๆ พี่มึงจะตายอ่อ”



“เออๆ แต่ไอ้พระจันทร์บริหารที่มึงว่าน่ะ...มันคือคนนั้นหรือเปล่า...”



“หื้มมม หนาย” ปรือตาพร้อมๆ กับที่เอียงหน้าหันไปมองตามฝ่ามือของพี่โดสมัน มองแล้วมองอีก เพ่งแล้วเพ่งอีกก็หาไม่เจอ จนพี่เอสมันต้องเอื้อมมือมาจับหน้า แล้วดันให้หันไปมองตรงมุมหนึ่งของร้าน ตรงโซนที่เป็นพื้นต่างระดับ มีมุมโซฟาแบบครึ่งวงกลมสีแดงหันหน้ามาทางเวทีตรงด้านที่พวกผมนั่งอยู่ คนร่างสูงที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงกลางโซฟาตอนนี้ แขนข้างนึงที่พาดไปตามพนักพิงโซฟา ส่วนมืออีกข้างก็ทำแค่ยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าแบบผู้ดี รอบๆ ตัวของเค้ามีผู้คนหน้าตาดีมากมาย พร้อมๆ กับที่ส่งเสียงเฮฮาเหมือนว่ากำลังสนุกกันอย่างเต็มที่ แต่ถึงแบบนั้น...สายตาของผมก็เอาแต่จับจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงกลางตรงนั้น คนที่ครั้งนึงเคยทำผมสีชมพูอ่อนๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนมันไปหมดแล้ว และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมที่เอาแต่จ้องหรือเปล่า อยู่ๆ สายตาคู่นั้นก็ละจากแก้วเหล้า ก่อนจะหันมาสบตากับผมนิ่งๆ ผ่านระยะทางที่ไกลกันขนาดนี้ แต่ถึงจะไกลมากแค่ไหน สายตานั่นก็ยังทำให้ผมต้องหันหน้าหนีมาหลบอย่างไวเหมือนเดิม



ใจสั่นไปหมดจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าเลย น้องสมุทรเขิน



“อะไรของมึงวะไอ้สมุทร เป็นเหี้ยอะไร แล้วสรุปว่าใช่ไหม ไอ้ห่านั่นใช่พี่พระจันทร์คนสวยขาของมึง”



“น่านน่ะ....”



“นั่นน่ะอะไรวะ มึงช่วยประคองสติหน่อยได้ไหม”



“น่านน่ะ คือพี่พระจันทร์คนสวยคะคนสวยขาของโผ้ม! ทำไงดีว้าโอ๊ดพี่เดส! อยากด้าย”



“พี่เอสพี่โดสไอ้สัด เรียกชื่อพวกกูพันกันไปหมด”



“ช่างหัวชื่อพวกพี่มึงสิ น้องสมุทรอยากด้ายยยย แค่เห็นตาสวยๆ นั่นก็อยากตาย แม่ยอดดวงใจของน้องสมุทร”



“กูขอร้องเลยไอ้สมุทร นั่นมันไอ้พระจันทร์เลยนะเว้ย”



“พี่พระจันทร์! ให้เกียรติคนสวยของผมด้วย อย่ามาเรียกว่าไอ้นะ!”



“สวยก็เหี้ยแล้วแบบนั้นน่ะ” พี่เอสพูดออกมาแบบนั้นพร้อมส่ายหน้า



“พอๆ กูจะพามึงกลับแล้ว วันนี้ไม่ไหวแล้วมึงอ่ะ เมาเป็นลูกหมา”

พี่โดสพูดออกมาพร้อมๆ กับเอื้อมมือมาคว้าแขนของผมแล้วดึงขึ้น มีพี่เอสอีกคนที่ทำท่าจะลุกขึ้นมาประคองตัวผมอีกด้าน ผมที่ลุกขึ้นมาแต่สายตาก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองพี่พระจันทร์ของผม ดวงตาคมนิ่งที่ยังไม่หันหนีไปทางไหน ไม่รู้ว่ามองใคร แต่เหมือนว่าสายตาคู่นั้น ก็กำลังมองสบกันอยู่ในตอนนี้ ความรู้สึกบางอย่างมันก็ตีตื้นขึ้นมาอีกแล้ว ผมที่ผลักตัวพี่เอสกับพี่โดสออกไปจนพี่มันหงายหลังลงไปนั่งที่โซฟากันอีกครั้ง



“โอ๊ยเจ็บนะโว้ยไอ้สมุทร แล้วนี่มึงจะไปไหน” ได้ยินเสียงตามหลังมาไกลๆ หันมองไปแว๊บนึง เหมือนว่าพี่ๆ จะตามมา แต่ติดที่ว่าร้านนี้คนมันเยอะ จะเดินทีก็โดนดักหน้าดักหลัง โชคดีที่ผมน่ะมันตัวไม่ใหญ่เป็นควายแบบพี่ๆ เลยผ่านมาง่ายหน่อย แต่รู้สึกเหมือนโดนลูบตูดไปหนึ่งที แย่มาก กูปวดตดเลย!



“หือ...” เสียงอุทานแบบนั้นดังออกมาจากตรงหน้า สายตาหลายคู่ที่มองมาที่ผมเป็นตาเดียว คือเข้าใจว่าหล่อเท่อ่ะนะ แต่มองงี้ก็เขินหมดอ่ะดิ



“เมาแล้วมาผิดโต๊ะหรอคะ”



“แต่มองพี่พระจันทร์ขนาดนั้น พี่พระจันทร์รู้จักหรอคะ” เสียงหวานๆ ของสาวๆ ที่นั่งขนาบข้างซ้ายขวาพี่พระจันทร์ผลัดกันพูดเป็นลูกคู่ สวยอยู่นะ แต่เอานมเบียดแขนคนสวยขาแบบนั้นได้ไงอ่ะ น้องสมุทรไม่ชอบเลย ... ผมนี่ขมวดคิ้วเลย แต่สุดท้ายก็ละสายตาไปจ้องคนตรงหน้าที่ทำให้ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้แทน คนตรงหน้าที่ในวันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ทหนังสีดำตัดแดงแบบมีสไตล์ พี่พระจันทร์เปลี่ยนไปมาก แตกต่างจากสามปีก่อนที่ผมเคยจำได้ ตอนนี้ไม่มีแล้วคนที่เคยทำผมสีชมพูอ่อนๆ เส้นผมสวยเปลี่ยนมาเป็นสีดำสนิท แต่ถึงแบบนั้นก็ดูแซ่บๆ เหมาะแก่การเป็นเมียน้องสมุทรที่สุดอยู่ดี



“พ...พี่พระจันทร์” ผมเปิดปากพูดออกมาแบบนั้น คนรอบๆ ข้างพี่พระจันทร์ก็หันมามองผมเป็นตาเดียว



“น้องรู้จักไอ้จันทร์หรอวะ มาๆ มานั่งด้วยกันสิ” พี่ผู้ชายหน้าหล่อที่นั่งถัดไปจากพี่พระจันทร์นิดหน่อยพูดออกมาแบบนั้น เป็นคนรูปร่างสมส่วนที่หน้าตาออกไปทางญี่ปุ่น หล่อแบดยากูซ่า ทรงผัวไม่เหมือนพี่พระจันทร์ ไม่สวยครับ น้องสมุทรไม่สนใจ แค่อิจฉาในหน้าตาของพี่เค้านิดหน่อย



“ใครวะไอ้พระจันทร์” เพื่อนผู้ชายอีกคนที่ถัดไปกับพี่หล่อแบดนั่นถามขึ้น มองมาที่ผมอย่างสงสัย แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะใครๆ ก็สนใจผมเป็นตาเดียว แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่ละสายตาไปไหน นอกจากมองแค่พี่พระจันทร์คนสวยขาคนเดียวเท่านั้น



“ผมน่ะ! ...ไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ” จ้องสายตาคมสวยนั่นแล้วว่าออกมาแบบนั้น คนตรงหน้าที่เอาแต่เงียบไม่พูดอะไรตอบมาเหมือนกัน ปฏิกริยาแบบนั้นทำเอาหัวใจน้องสมุทรห่อเหี่ยว ... หรือพี่พระจันทร์จะลืมกันไปแล้วนะ



“หื้ม เปลี่ยนใจไม่เปลี่ยนใจไรวะ”



“สรุปมึงรู้จักไหมเนี่ยไอ้จันทร์ เอาแต่เงียบไอ้สัด” เพื่อนพี่สมุทรว่าออกมาแบบนั้น สายตาดูจะงงนิดๆ แต่ถึงแบบนั้นพี่สมุทรก็ไม่พูดอะไรออกมา เค้าแค่มองตรงมาที่หน้าผมนิ่งๆ เหมือนเดิม ก่อนที่เวลาจะเดินผ่านไปอีกนิด ขายาวที่นั่งไขว่ห้างอยู่นั่นก็ ส่วนตัวผมก็แค่ก้าวเดินเข้าไปหาพี่เค้าทีละก้าวๆ ด้วยขาสั่นๆ แต่น้องสมุทรสู้ และสุดท้ายก็...



“สรุปมึงรู้จักไหมเนี่ยไอ้จันทร์ เอาแต่เงียบไอ้สัด” เพื่อนพี่สมุทรว่าออกมาแบบนั้น สายตาดูจะงงนิดๆ แต่ถึงแบบนั้นพี่สมุทรก็ไม่พูดอะไรออกมา เค้าแค่มองตรงมาที่หน้าผมนิ่งๆ เหมือนเดิม ก่อนที่เวลาจะเดินผ่านไปอีกนิด ขายาวที่นั่งไขว่ห้างอยู่นั่นก็วาดลงมาวางที่พื้นเสมอกัน เป็นปฏิกริยาแรกที่ได้เห็นเค้าทำอะไรมากกว่าการมองตาผม และไม่รู้ว่าอะไร ไม่รู้ว่าความกล้ามาจากไหน อาจจะเป็นเพราะอาการมึนเมาที่มีมาแต่เดิม หรือเพราะสายตาคมที่มีขนตายาวๆ นั่นดึงดูดผม เหมือนกับมันกำลังท้าทาย เหมือนกับมันกำลังบอกผมผ่านสายตานั่นว่า  ‘แน่จริงมึงก็ลองก้าวมานั่งตักกูดู’



พรึบ



“นี่ นี่ทำอะไรย๊ะ” เสียงโวยหึ่งๆ เหมือนผึ้งแตกรักดังอยู่รอบๆ ข้าง แต่สายตาของผมก็เอาแต่จับจ้องคนที่ยังอยู่ตรงหน้า คนที่ผมเบียดตัวเข้าหานั่งคล่อมลงบนตักของเค้า พี่พระจันทร์คนสวยขาของผมไม่ได้ว่าอะไร เค้าแค่เลื่อนมือขึ้นมาโอบเอวผมไว้ก็เท่านั้น เนี่ย กลัวผัวในอนาคตอย่างผมล่วงตกลงไปแหล่ะ มีใจๆๆๆๆ



“ผม...ผมไม่เปลี่ยนใจหรอกน้า แล้วก้ออออ...” ช้อนตามองตาสวยของพี่เค้า ดวงตาสีดำสนิทที่มีแพรขนตายาวมองสบมาแบบไม่หลบตาผม



“ตอนนี้น่ะนะ...น้องสมุทรไม่เด็กแล้วน้า จริงๆ”



ผมพูดออกไปแล้วมันก็ตามมาด้วยความเงียบระหว่างผมกับเค้า ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เราสองคนนั่งจ้องตากันอยู่ท่ามกลางเสียงวุ่นวายของคนรอบตัว แต่ถึงแบบนั้น ตัวผมเองกลับไม่ได้ยินเสียงอะไร หรือจริงๆ อาจจะเรียกว่าไม่ได้สนใจอะไรนอกจากพี่พระจันทร์เลยถึงจะถูก



“หรอ” คำเดียวสั้นๆ ที่ถูกเปร่งออกมาจากริมฝีปากสวยเป็นประโยคแรกระหว่างผมกับเค้า



“ถ้างั้นมึงก็พิสูจน์สิ...ว่ามึงไม่ได้เด็กเหมือน3ปีก่อน”



จบคำพูดนั้น ริมฝีปากของผมก็โน้มลงไปแนบที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย เป็นแรงดึงดูดที่พอได้เริ่มก็พยายามดูดเม้มริมฝีปากอีกฝ่าย ค่อยๆ ละเลียดไล้ลงไปกดจูบดูดดึงซ้ำอย่างพยายามสุดๆ เอาลิ้นเล็กๆค่อยๆชอนไชเข้าหาริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ไม่ให้ความร่วมมือกันสักนิด พอเป็นแบบนี้แล้วก็ใจฝ่อ ค่อยๆผละใบหน้าออกมาช้าๆ ช้อนสายตามองคนตรงหน้าที่ก็กดสายตาลงมามองกันอยู่ตอนนี้

“มึงไม่ได้เก่งขึ้นเลย”



“ก็น้องสมุทรน่ะ.....”

ฝ่ามือหนาที่เลื่อนขึ้นมาประคองต้นคอทางด้านหลังของผม สัมผัสเบาๆของอีกฝ่ายทำผมสะดุ้งและชะงักคำพูดของตัวเองไปในทันที รับรู้ถึงนิ้วมือแกร่งทั้งห้าที่ประคองอยู่ที่ต้นคอ ดวงตาสวยที่มีขนตางอนยาวคู่นั้นกระพริบช้าๆพร้อมๆกับที่ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นจนลมหายใจของผมสะดุด เอียงหน้าทำมุมช้าๆพร้อมๆกับเลื่อนสายตาลงมามองที่กลีบปากของผม สายตาที่ทำเอาตัวของผมร้อนไปหมด ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆในตอนนั้น พร้อมๆกับนิ้วหัวแม่มือที่ไล้ไปตามกรอบหน้าของผม และสุดท้ายก็มาหยุดที่แว่นสายตาของผมที่ถูกฝ่ามือใหญ่นั่นถอดออก ยังไม่ทันได้พูดจาอะไรก็ถูกริมฝีปากได้รูปนั่นประกบจูบลงมา ฝ่ามือหนาที่ดึงตัวผมเข้าไปแนบชิด รับรู้ได้ถึงตัวอุ่นๆของอีกคนที่ผมคิดถึง ลิ้นร้อนชื้นของคนตรงหน้ากรีดแทรกริมฝีปากผมเข้ามาช้าอย่างมีจังหวะ รับรู้ได้ถึงฝ่ามือหนาที่แทรกเข้ามาจากชายเสื้อ บีบขยับเบาๆอยู่ที่ช่วงเอวจนอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงครางออกมา



"อื้ออ" 



หน้าของผมเห่อร้อนไปทั้งหน้า ตาของผมเบิกกว้างขึ้นในตอนที่พี่พระจันทร์ค่อยๆผละริมฝีปากออกช้าๆ ดวงตามีสเน่ห์นั่นเอาแต่จับจ้องที่ริมฝีปากของผม ใบหน้าหล่อนั่นที่ก็เลื่อนเข้ามาคลอเคลียร์เบาๆที่ข้างแก้ม รับรู้ได้ถึงริมฝีปากของเค้าที่กดเบาๆย้ำที่แก้มของผม ... ช่วยด้วย ช่วยน้องสมุทรด้วย น้องสมุทรรู้สึกแปลกๆ



“ต้องให้กูสอนอีกกี่ที ถึงจะรู้ว่าเป็นผัวที่ดีต้องทำยังไง”



“ผ...ผมทำได้ ผมทำได้จริงๆนะ” ปรือตาขึ้นมามองหน้าอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ภาพตรงหน้าค่อนข้างจะพร่าเบลอนิดๆ ดีตรงที่สายตาของผมมันไม่ได้สั้นมากขนาดนั้น เลยทำให้มองเห็นกรอบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แว่นตาของผม ตอนนี้มันก็ยังยังคงอยู่ในมือของพี่พระจันทร์



“ถ้าอยากเป็นผัวกูนักน่ะก็ได้...แต่มึงต้องยอมเป็นเมียกูก่อน”




#รักอยู่รู้ยัง



--------------------------------------------

น้องสมุทรหนีไปลูกกกก ... ขอทางเดินให้ผัวพี่พระจันทร์คนแพรวพราวด้วยจ้า :-[ :impress2: :กอด1:
​​​​​​​
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {อัพ รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่1 (230521)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 23-05-2021 20:09:17
บทที่1



โอ้ เเม่คุณ คนสวย

ทำใจผมระทวย ตั้งเเต่ครั้งนั้นที่เราจ้องตา

เหตุฉไหน ผมคิดทันใดว่าเป็นนางฟ้า

ติดปีกลงมา จากสรวงสวรรค์ความฝันหรือไร





‘ติ๊งติงติ๊งติง’





เสียงดีดกีต้าร์ที่คลอแผ่วๆ ไปกับเสียงร้องสดใสวิบวับประดุจดังแก้วบาดหัวใจในความรู้สึกของตัวเอง มันช่างเหมาะเจาะกับบรรยากาศเอื่อยๆ ลมโชยๆ และแดดร้อนเปรี้ยงๆ แสนจะระอุในเวลาเที่ยงวันแบบนี้เสียจริงเชียวทีเดียวนะ ถามตัวเองอีกครั้งว่าเหมาะหรอ แต่เอานะ ถ้าใจเราว่าเหมาะ ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเราได้หรอกครับ ... ผู้คนรอบข้างที่เดินขวั่กไขว่หันมามองผมเป็นตาเดียว แป๊บๆ ก็หันไปซุบซิบกัน บอกตรงๆ ว่ามั่นใจมากว่าเค้าต้องชื่นชมผมอยู่แน่ๆ





“ไอ้เหี้ย” เสียงอุทานที่ดังมาไม่ใกล้ไม่ไกลทำเอาผมต้องรีบเก๊กหน้าฉีกยิ้มกว้างรอไว้ก่อนเลย หล่อเท่มั่นใจ มีสไตล์ให้คนเค้ารู้ ในตอนนี้ที่สายตาของผมก็มองไปเห็นนักศึกษากลุ่มใหญ่กลุ่มใหม่ที่กำลังเดินออกมาจากตัวตึกของคณะ โป๊ะเชะ ตรงต่อเวลาไม่ขาดไม่เกิน กูดีดต่อเลยเพลินๆ อีกหนึ่งจังหวะ จัดไป



‘ติ๊งติงติ๊งติง’



อยากบอกให้คุณนั้นได้เข้าใจว่าทั้งดวงใจผมมีเเค่คุณ

ทำงานเก็บเงินไปสู่ขอคุณ

วอนพ่ออย่าพึ่งยกคุณให้ใคร

ทรัพย์สินเงินทองมันของนอกกาย

ข้าฟันกันตายไปหลายคน

ให้นามสกุลผมเป็นของคุณ

ทั้งชีวานี้ยอมพลีให้เลย





ร้องจบท่อนสุดท้ายของเพลงพร้อมเก็กหน้าหล่อหลอกล่อหัวใจ ละมือออกจากกีต้าร์แล้วทำท่าผายมือพร้อมเป่าหัวใจไปหาเป้าหมายที่ผมตั้งใจมาร้องเพลงจีบเค้าในวันนี้ ขยิบตาให้หนึ่งทีเป็นของแถม วิ๊ง! ~~



“ไอ้เหี้ย น้องมันเอาจริงว่ะ”



เสียงทุ้มต่ำที่ติดจะทะเล้นนิดๆ พูดออกมาพร้อมๆ กับเสียงกลั้วหัวเราะที่เหมือนเจ้าตัวจะพยายามกลั้นขำเอาไว้ตอนที่เห็นหน้าผม ผู้คนรอบๆ ข้างที่กำลังเดินเข้าเดินออกคณะบริหารเริ่มหันมามองผมกันมากขึ้นตามไปด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ ก็กลุ่มชนหน้าตาดีตรงหน้าผมที่ก็ทั้งหล่อเท่ จะตกเป็นเป้าสายตาก็ไม่แปลก และเหตุผลนั้นมันก็ไม่ต่างกับตัวผมเอง สายตาของผมเองก็ถูกดึงดูดไปที่คนๆ เดียวในกลุ่มนั้นเหมือนกัน ผู้ชายร่างสูงที่ในสายตาและหัวจิตหัวใจของผมเค้าเป็นคนสวย หวานกรุบ คนที่เป็นเจ้าของดวงตาหวานเพราะมีขนตายาวๆ นั่นประกอบอยู่ ถึงแม้ว่าสายตานั้นในตอนนี้จะมองมาที่ผมนิ่งๆ เรียกได้ว่านิ่งฉิบหายเลยล่ะแม่ เค้าที่มองตรงมาที่ผมเหมือนสายตาคู่สวยนั่นกำลังจะบอกว่า มึงทำเหี้ยอะไรของมึง! … แต่ผมคิดว่าผมน่าจะคิดไปเองแหล่ะ คนสวยคะคนสวยขาของผมอ่ะนะจะมาหยาบโลนแบบนั้นได้ไงก่อนเอ่ย



“พี่พระจันทร์” เป็นผมที่พูดออกมาก่อน และในตอนนั้นรอบๆ ตัวก็เหมือนจะเงียบเสียงลงไปด้วยเช่นกัน แหน๊ อยากเสือกอ่ะดิรู้น้า งั้นดึงไว้ก่อนไหมเอาให้คนได้ลุ้นกัน พูดดีไหม พูดดีรึเปล่า หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัว ไอ้ฉิบหาย อย่างฮา สีหน้าแต่ละคนลุ้นสุด โอ๊ย ปวดขี้หรือเปล่า ยังไงเอ่ย ... อะๆ งั้นไม่แกล้งละดีกว่า



“น้องสมุทรมาทำตามสัญญา แต่ไม่ขอเวลานานนะ”



“น้องเค้าเอาจริงนะเว้ยไอ้พระจันทร์ พูดอะไรหน่อยสิวะเพื่อน” เพื่อนในกลุ่มของพี่พระจันทร์ ที่ผมจำได้ว่าชื่อพี่ปุ่นพูดขึ้นมาแบบนั้น พร้อมๆ กับแขนหนานั่นที่กระทุ้งเข้าที่แขนพี่พระจันทร์ของผมเบาๆ เป็นการเร่งให้เจ้าตัวเปิดปาก แต่ถึงแบบนั้น พี่พระจันทร์คนสวยขาของผมที่ยังคงทำหน้านิ่งๆ มองตรงมาด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ได้อีกแล้ว ... เป็นแบบนี้ทุกที



“มาทำเหี้ยไร” ประโยคแรกสุดจับจิตจับใจที่พี่เค้าพูดขึ้นมากับผม ทำเอากูขนลุกชูชัน



“ผมมาจีบพี่พระจันทร์ครับ” ถามมาก็ตอบไป ใจน้องสมุทรน่ะยิ่งใหญ่เหมือนชื่ออ่ะแหล่ะนะบอกไว้เลย



“จีบกู”




“ใช่! อยากได้พี่พระจันทร์เป็นเมียที่สุดเลย!!” โพร่งออกมาแบบฮึกเหิม ก่อนจะตามมาด้วยเสียงซุบซิบหึ่งๆ เหมือนผึ้งแตกรังของคนรอบข้างที่กำลังมุงดูพวกเราอยู่ บางทีก็เป็นเรื่องของเราบ้างได้ไหม ทำไมคนไทยขี้เสือก



“แล้วถามกูไหมว่ากูอยากได้มึงเป็นผัวหรือเปล่า”



จุกไปนิดๆ รู้สึกคันยิบๆ ที่หัวใจตอนที่ได้ฟังคำพูดตรงๆ แบบนี้ของพี่พระจันทร์ แต่ถึงแบบนั้นน้องสมุทรก็ทำแค่หายใจเข้าปอดลึกๆ หนึ่งที



“ผม...ผมจะพยายามทำให้พี่ตกหลุมรักขึ้นไหมไหว น้องสมุทรใช่ไหมเป็นคนถีบพี่ลงไปให้ดู!” พี่พระจันทร์ที่ได้ฟังคำพูดของผมปุ๊บก็ขมวดคิ้วเข้มมองหน้าผมปั๊บ หึ้ย ขมวดคิ้วแล้วดูน่ารัก ไอ้ต้าวความรักของน้องสมุทร



“มึงเพ้ออะไร กลับไป มันน่ารำคาญ”



“น้องสมุทรจะทำให้พี่พระจันทร์ใจอ่อนให้ได้เลย จะพิสูจน์ให้ดูว่าตอนนี้น้องสมุทรน่ะไม่เด็กเหมือนตอนนั้นแล้วนะ” กำมือแน่นๆ แล้วโพร่งออกมาอีก ตอนที่เห็นอีกฝ่ายทำสายตาเย็นชาใส่แล้วตั้งท่าจะเดินหนี เป็นอีกครั้งแล้วที่พี่พระจันทร์ตั้งท่าจะหนีกัน ... แต่ไม่รู้ว่าคำพูดของผมมันไปสะกิดอะไร แต่สุดท้ายเค้าก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองกันอีกที



เยส! เห็นแบบนั้นก็ฉีกยิ้มหวานใส่ไปเลยหนึ่งกระบวนท่า ยิ้มหวานของผัวแบบน้องสมุทร



“มึงมันก็แค่เด็ก และกูไม่คิดจะชอบเด็กแบบมึง”



“น้องสมุทรไม่เด็ก น้องสมุทรโตมาก อยากเป็นผัวพี่พระจันทร์!”



“ยากหน่อย กูไม่ชอบคนไม่แซ่บ”



“พูดงี้ลองชิมกันรึยัง สักครั้งดูไหมเอ่ย” มาลองครวญครางใต้ร่างน้องสมุทรดูสักที มามะ



“เด็กที่จูบก็ยังต้องให้นำ มึงมาเอาไร”



“มาเอาพี่พระจันทร์!”



“เชรด กูชอบน้องเค้าวะ อย่างได้ใจสัด”



“ไอ้พระจันทร์เงียบเลยว่ะ มึงลงข้างไหนไอ้ปุ่น กูลงข้างน้องสมุทร ต้องได้แล้วว่ะกูเชียร์”




“สัด ลงข้างเดียวกันแล้วจะพนันยังไง”



เสียงเพื่อนสนิทสองคนของพี่พระจันทร์ที่ซุบซิบกันดังจนกูได้ยิน ถ้าจะพูดดังขนาดนี้อย่าทำท่ากระซิบให้เหนื่อยเลยเถอะ ผมมองเลยหัวไหล่พี่พระจันทร์ไปส่งยิ้มให้พวกพี่เค้านิดๆ อย่างน้อยๆ เหมือนว่าเพื่อนพี่เค้าก็เชียร์ผมว่ะ เอาว่ะๆ น้องสมุทรจะได้ลูกสมุนเพิ่มนะ ผมละสายตาออกมาจากพี่ๆ ทั้งสองก็ต้องสะดุ้งตอนที่เห็นพี่พระจันทร์หันมองตามสายตาของผม แล้วจ้องผมนิ่งๆ ตกใจหมดเลย! มองเพื่อนแค่นี้ก็หวงหรอวะ



“อยากเป็นผัวกู” พี่พระจันทร์เลิกคิ้วและถามออกมานิ่งๆ



“ครับ!”



“กูยอมเป็นเมียให้ก็ได้” เดินตรงมาข้างหน้าของผม ดวงตาคู่สวยที่มีขนตายาวมองตาผมพร้อมยกยิ้มมุมปาก ก่อนฝ่ามือหนาจะเลื่อนขึ้นมาเชยปลายคางของผมให้ขึ้นมามองตา เหยดแม่! ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้ว่าพี่พระจันทร์ของน้องสมุทรน่ะแสนจะสูงยาว แต่ไม่ต้องห่วงนะ จะผัวจะเมียมันไม่ได้อยู่ที่การขึ้นคล่อมหรอก นอนๆ ลงไปก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน! เดี๋ยวตอนนั้นน้องสมุทรก็ผัวเอง



“จริงหรอ!”



“แต่กูเคยบอกมึงไปแล้วนะ เงื่อนไขของกู” เงื่อนไขอะไรวะ พี่พระจันทร์บอกอะไรวะ บอกกูตอนไหนทำไมน้องสมุทรจำไม่ได้!! อยากยกมือขึ้นทุบหัวว่ะ น้องสมุทรไม่เคยจะลืมเรื่องพี่พระจันทร์สักเรื่องเดียวเลยนะ ขนาดกางเกงบ็อกเซอร์ลายพระจันทร์ยิ้มตอนพี่พระจันทร์ใส่มางานกีฬาสีตอนม.6 น้องสมุทรยังจำได้เลยนะเว้ยว่าใส่กลับตะเข็บมาอ่ะ



“มึงลืม...”



“อ่า เอ่อ ผม เอ่อ”



“ไม่ได้เรื่อง”



“เดี๋ยวก่อนสิพี่พระจันทร์ สมองน้องสมุทรไม่ดีมันก็ลืมกันได้ แต่จะมาตัดสินว่าผมเด็กไปเพราะเรื่องนี้ไม่ได้นะ! พี่พระจันทร์บอกน้องสมุทรมาอีกครั้งได้หรือเปล่า น้า นะๆๆ” เลื่อนมือไปจับต้นแขนที่ใส่เสื้อนักศึกษาอยู่ ช้อนตามองอ้อนปริบๆ ทำแบบนี้ทีไรแม่ใจอ่อนทุกที แต่พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วแน่นแล้วหันหน้าหนีกูเลยทีนึง เอ้า!



“สัด...แบบนี้แล้วยังอยากจะเป็นผัวกู”



“อะไรนะ พี่พระจันทร์ขอเสียงดังๆ หน่อยจะได้หรือเปล่า”



“ถ้าอยากเป็นผัวกู ... มึงต้องยอมให้กูเป็นผัวมึงก่อน”



เหยดแม่! อะไรกันครับนี่ ... เหมือนจะหูฝาดรึไม่ ยังไงนะ ... น้องสมุทรถอยเท้าขยับหนีพี่พระจันทร์หนึ่งก้าวครึ่งเลย



ช้อนสายตาเลื่อนขึ้นไปมองหน้าคนที่เอ่ยวาจาอุกอาจกับหัวใจน้องสมุทรเมื่อกี้แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อพี่พระจันทร์เอาแต่จ้องหน้าผมไม่วางตา ก็เหมือนจะเจอกับคำตอบที่ว่า คำพูดเมื่อกี้มันคือเรื่องจริง



“แต่ผม...แต่น้องสมุทรน่ะรั...”



“มึงอย่าพูดคำนั้นออกมาเลย มึงก็รู้ว่ากูจะไม่รับฟัง ... สิ่งที่มึงต้องทำ คือไปคิดว่ายอมรับกับข้อเสนอกูได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้ กูคิดว่ามึงควรถอยไปให้ห่างจากกู เพราะบางคำพูดมันอาจมีค่าสำหรับมึงมาก แต่กับกู...กูอาจจะไม่ได้เห็นค่าอะไรของมันเลย”



สายตาคมสวยของพี่พระจันทร์ที่ไล้มองกันจนผมต้องเผลอกลืนน้ำลาย ดวงตาคมในขนตางอนยาวจับจ้องมาที่ดวงตาของผม เลื่อนลงมาที่ปลายจมูก และสุดท้ายสายตาก็ถูกไปวางไว้อ่อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของผม รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า เขินสายตาของคนสวยขาจนต้องขบเม้มริมฝีปากเข้าด้วยกันและหลุบสายตาหนีพี่พระจันทร์ลงมามองตีน ได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอของเค้าไปทีนึง และสุดท้ายก็เป็นผมที่ได้แต่ยืนนิ่งไม่ติงไหว ตอนที่เงยหน้าขึ้นมามองใหม่ ก็ได้แต่เห็นแผ่นหลังของพี่พระจันทร์ที่เดินจากไปเหมือนทุกที ปล่อยผมทิ้งไว้ตรงนี้ เป็นมหาสมุทรที่แสนโง่งมอยู่ที่เดิม



‘ปุปุ’



“พยายามเข้านะน้อง พี่ล่ะอย่างชอบความแอ๊วเอินของน้องเมื่อกี้เลยว่ะ” แอ๊วเอินคือไร หมายถึงการจีบเมื่อกี้น่ะหรอ



“สู้ล่ะ กูเชียร์อยู่...กูก็หวังว่ามึงจะเป็นคนที่มาเปลี่ยนใจของมันได้เหมือนกัน”



“สู้เข้าล่ะ ถึงมันอาจจะปากหมาหน่อย แต่จริงๆ มันไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้นหรอก” อยากเถียงว่าปากหมาไม่หน่อย แต่พูดไม่ได้ ความรักพี่พระจันทร์มันจุกปาก



“ผมรู้...”



ตอบรับเพื่อนพี่พระจันทร์สองคนที่เดินเข้ามาหาผม คนนึงส่งรอยยิ้มมาให้ ส่วนพี่ปุ่นก็เอื้อมมือมาตบไหล่ให้กำลังใจกันแบบนั้น ผมสูดลมหายใจเข้าปอด มองตามแผ่นหลังพี่พระจันทร์ที่เดินห่างออกไปทุกทีๆ แต่ถึงแบบนั้น ผมก็อยากจะบอกให้เค้าได้รู้อยู่ดี



“พี่พระจันทร์ ผมชอบพี่จริงๆ นะ!”



ตะโกนออกไปแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้เห็นพระจันทร์จะหันมามองสมุทรอยู่ดี



เหมือนกับนับจันทร์ ที่ไม่เคยคิดจะข้ามสมุทรมาซักที



ส่วนคนที่เอาแต่มองกูอยู่ตอนนี้...ก็คืออิพวกมนุษย์ป้าข้างบ้านที่เป็นตัวประกอบนี่แหล่ะ ถ่ายรูปถ่ายคลิปกูใหญ่เลยน้า รู้สึกได้รับแสง เป็นคนเด่นดัง ... แต่เดี๋ยวก่อนนะเออ ...เหมือนจะพึ่งระลึกบางอย่างขึ้นมาได้ว่า น้องสมุทรซวยแล้วล่ะมึง!



...




ภาษาไทยวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า ‘งามหน้า’ ... งามจนผมไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แค่ก้าวเท้าเข้ามาในตึกคณะก็เหมือนจะกลายเป็นคนเด่นคนดังจนใครๆ ก็แทบจะรู้จักซะแบบนั้น ก็แหม โลกออนไลน์สมัยนี้มันไปไวอ่ะเนอะ เล่นเอาไม่ว่าจะเป็นไอ้ด่างหน้าตึก ลุงยามหน้าป้อม ป้าร้านขายน้ำหน้าซุ้ม หรือแม้แต่ภารโรงที่มีหน้าที่กวาดใบไม้ พอเห็นผม ไอ้น้องสมุทรคนนี้เดินผ่านไป ก็เอาแต่ทำปากงุบงับๆ ผงาบๆ ทุกครั้งที่เห็น เหยดแหม่ อิพวกช่างสอด ปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวกูบ้างก็ไม่ได้หรือไงครับ!



“มาแล้วหรอไอ้ตัวดี”   เสียงดังที่ทำเอาขาผมชะงัก เสียงคุ้นๆ เหมือนคนคุ้นเคย ปั๊ดโถ่เอ๊ย ... ใครอยากเจอมึงก่อนเอ่ยไอ้เพื่อนเหี้ย



“ดีจ้าตัวเธอ มาทำอะไรแถวนี้เอ่ยเพื่อนมาร์ช” ฉีกยิ้มกว้างๆ แล้วถามมันออกไป แต่อีกฝ่ายที่ยืนพิงเสากอดอกมองตรงมาไม่มีทีท่าว่าจะเล่นด้วย หน้าแม่งแข็งโป๊ก อยากจะถามจังเลยว่าหน้ากับKอะไรของเธอแข็งกว่ากัน เอิ๊กอ๊ากขำๆ ไม่เอาๆ ไม่เล่นอ่ะเนาะ



“กูเรียนคณะนี้ มาแถวนี้ก็ถูกแล้ว ใครมันจะเหมือนไอ้ห่าหน้ามึนบางคนที่แล่นไปแรดที่คณะอื่นมา” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วปรายตามามองแรงใส่ผมทีนึง ทำเอาขนลุกชูชันไปทั้งแผ่นหลังกันเลยทีเดียว



“โอ๊ย เจ็บไปทั้งหัวใจ ทำไมยังทน เหมือนถูกด่าเลยจ้า”



“ไม่เหมือน กูด่ามึงไอ้สัด!” ทำขึ้นเสียงใส่ ไม่พอใจมันแค่นั้นยังเดินแบกกำปั้นเข้ามาโบกหัวผมให้ลั้นโยกๆๆ โยกเข้าไปให้มันหลุดโลกอีกหนึ่งที



‘แป๊ะ’



“อู้ย เจ็บนะไอ้สัดมาร์ช”



“เจ็บ แค่นี้มึงเจ็บ มึงเจ็บเท่าที่ไอ้เหี้ยนั่นทำให้มึงขายหน้าไหม” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วจ้องตาผมเขม็ง เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่เม้มปากเงียบ พ่อด่าจะให้น้องสมุทรเถียงยังไง แต่ถึงงั้นก็ไม่ถอดใจเรื่องพี่พระจันทร์หรอกนะ ... แต่กูจะไม่พูดออกไปหรอกครับ กลัวโดนไอ้มาร์ชซัดปาก



ไอ้มาร์ช เด็กหนุ่มรูปหล่อพ่อรวยที่เวลาอยู่บ้านจะมีคนงานเรียกคุณหนูมาร์ช ผิวขาวราวไข่ในหิน ผิดกับสันดานที่ค่อนข้างป่าเถือนแล้วบ้าพลัง วันหยุดว่างๆ มันชอบไปเล่นบาส เพราะแบบนั้นมันเลยตัวสูงกว่าผม เหอะ อยากเตะตัดขา หมั่นไส้ ...แต่ทำงั้นไม่ได้ เพราะเดี๋ยวไม่มีเพื่อน มันเป็นเพื่อนสนิทซี้ปึกที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ม.4 รู้จักกันเพราะแอบขโมยยางลบของมันมาใช้แล้วมันแอบจับได้ โคตรจะซวย...มันเป็นคนที่อยู่ในทุกวีรกรรมสมัยมัธยมกับผมมาเสมอ มันรู้ดีว่าผมชอบพี่พระจันทร์มากแค่ไหน และเพราะแบบนั้น มันเลยเป็นคนนึงที่ค้านหัวชนฝาว่าอยากให้ผมตัดใจ อยากจะให้ผมพอสักทีกับพี่คนนี้ที่ผมตกหลุมรัก



แต่ตกหลุมรักนะไม่ใช่ปวดขี้ ที่ขออนุญาตครูเข้าห้องน้ำไปเบ่งพรวดไม่กี่นาแล้วออกมาก็บอกว่าหายปวดแล้ว สบายตูด ...เออมันก็ไม่ใช่ไหมอ่ะ ยังไง



“เค้าไม่เคยห้ามให้กูจีบ”



“แต่เค้าก็ไม่เคยบอกว่าจะหยุดอยู่กับมึงไอ้หมุด...เค้าไม่เคยชอบมึง”



“ถึงแบบนั้นกูก็ยังอยากจะลองดูนี่หว่ามาร์ช” เม้มปากแน่นๆ แล้วช้อนตาบอกมันเพราะมันสูงกว่าผมครับ ตัวก็หนากว่าผมด้วย แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้สูงเท่าพี่พระจันทร์คนสวยขาของผมหรอก



“มึงลองมากี่ทีแล้ว”



“ถ้าพูดตรงๆ ก็แค่2 ครั้งแรกก็ที่แหกปากบอกรักไปกลางสนามบอล อีกครั้งก็....” ลากเสียงยาวก่อนจะเม้มปากแน่นๆ เข้าหากันเมื่อคิดถึงเรื่องตอนนั้น ...อีกครั้งก็คงเป็นตอนที่ไม่มีใครอยู่ มีแค่ผมกับพี่เค้า ในวันสุดท้ายก่อนพี่พระจันทร์จะเรียนจบม.6



และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายของผมกับเค้าเช่นกัน ... เรียกได้ว่า 3ปีไม่ลืมเลือน



“อีกครั้งตอนไหน มึงเงียบทำเหี้ยไร” ทำเสียงเข้มดุจนเผลอสะดุ้งออกจากความทรงจำในตอนนั้น โถ่อิเพื่อนตัวมาร



“โถ่เพื่อนมาร์ชครับ เลิกหวงเป็นผัวกูได้ไหมอ่ะ ใจสั่นหวั่นไหวไปหมดแล้วนา”



“มึงนี่แม่งกวนส้นตีนจริงๆ!” ว่าแบบนั้นแล้วผลักหัวผมอีกทีแบบไม่ออมแรง รักกูมากแหล่ะ ถ้าไม่คิดว่ารู้จักกันมานาน กูก็จะคิดว่ามันเกลียดกัน



“ทำอะไรกันอยู่พวกมึง” เสียงใสๆที่มาพร้อมร่างของใครอีกคน พอหันไปก็มองเห็นรองเท้าผ้าใบกับกางเกงยีนส์ขายาวขาดเข่าแสนเซอร์ ขายาวๆเดินก้าวฉับๆ มาพร้อมกระเป๋าเป้ขาดๆ ไม่ต่างจากกางเกงของมัน เหมือนเป็นคอลเลคชั่นแห่งความโสมม ติดอย่างเดียวตรงหน้าหล่อๆ ของมันที่ทำให้ใครต่อใครมองตามมันจนคอเคร็ด หล่อสกปรกมีหนี้ ชื่อของเค้าคือ เฮง ซึ่งเพื่อนๆ ชอบเรียกมันว่า ไอ้เฮงซวย! ส่วนข้างหลังที่เดินกันมาคือ จิม สูงยาวเข่าดีหน้าตาเกาหลีสะอาดสะอ้าน มันทั้งคู่เป็นเพื่อนในกลุ่มเรา สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย ไม่ต่างจากผมกับมาร์ช และพวกเราก็สนิทกันมาตั้งแต่วันเข้าค่ายรับน้องของมหาลัย รวมพลคนหน้าตาดี ที่ไอ้มาร์ชบอกว่าไม่นับรวมผมเข้าไปในกลุ่มแค่คนเดียว สัด!



“รีบขนาดเดินไปเหยียบตีนหมาก็ยังไม่ขอโทษ ทำไมใจโฉดแบบนี้วะไอ้เฮงซวย”



“ถ้าช้า ก็จะเดินมาถามเรื่องไอ้สัดสมุทรทันหรอ มึงอย่าโง่สัดจิม สมุทรมึงไปไหนเมื่อเช้านี้ หนังหน้ามึงถึงว่อนเต็มเฟสบุ๊คเลยสัด” ไอ้เฮงว่าออกมาแบบนั้น ทำเอาผมต้องยกมือตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ ... กูว่าแล้วว่าโลกออนไลน์มันไปไวตลอด



“คอมเม้นท์ถึงมึงสนั่นหวั่นไหวไปหมดเลยกูขอบอก กล้ามากนะที่ไปเล่นกีต้าร์จีบพี่พระจันทร์ถึงคณะอ่ะ” ไอ้จิมว่าตามออกมา แล้วยกมือขึ้นตบไหล่ผมไม่เบาไม่แรงไปหนึ่งที



“เออ พวกมึงมาช่วยกูด่ามันเลย โง่ฉิบหายไอ้สัด” ไอ้มาร์ชว่าออกมาสำทับแบบนั้นแล้วมองผมตาแข็ง คือแข็งอะไรขนาดนั้นอ่ะตัวเธอ



“กูไม่ได้ด่ามันที่โง่นะ” ไอ้เฮงว่าว่าแล้วเดินนำพวกเราทั้งสามขึ้นตึกเรียนไป ไอ้จิมเองก็เดินขนาบข้างผมพร้อมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น



“ใช่ ที่ด่ามึงก็เพราะว่านั่นน่ะมันคือพี่พระจันทร์คนหล่อเลยนะไอ้สัด หมุดมึงก็กล้าไปจีบสมบัติคณะบริหารไม่ดูหนังหน้ามึงเลยนะ”



“เดี๋ยวๆ ไอ้จิม นี่มึงพูดว่าใครหล่อ” ผมขมวดคิ้วแล้วหันมองหน้าเพื่อนทั้งสามคน ... มองเห็นไอ้มาร์ชที่กรอกตาใส่แล้วถอนหายใจใส่ผมหนึ่งที



“ถามโง่ๆ อิหมุด จะใครหล่อ ก็พี่พระจันทร์สมบัติของชาติ ผัวคณะที่รักขาไงล่ะอิโง่”



“จริง แล้วยังกล้าจะไปบอกปาวๆ ว่าอยากได้เป็นเมีย หมุดมึงไม่ดูตัวเองอ่ะเพื่อน” จิมเสริมคำพูดไอ้พร้อมพยักหน้าอีกหนึ่งทีเป็นลูกคู่กัน



“ไม่ดูตัวเองอะไรวะ! แล้วพี่พระจันทร์อ่ะสวยน่ารักขาขนาดนั้นอ่ะ จะให้มาเป็นผัวกูได้ยังไง!” ผมเถียงออกไปอยากขัดใจ ไอ้มาร์ชก็กรอกตาใส่อีกหนึ่งที



“ทั้งโลกก็มีแค่มึงคนเดียวล่ะไอ้สมุทรที่เห็นว่าพี่มันสวย”



“ก็พี่พระจันทร์สวยน่ารักครับอ่ะ!”



“ตอนมันจูบมึง ขยี้จนมึงระทวยคาอกมันที่ร้านเหล้าวันนั้น...มึงก็ยังมองว่ามันสวยงั้นหรอไอ้สมุทร” ไอ้มาร์ชพูดออกมาแบบนั้น ผมเลื่อนสายตาไปมองมันแล้วได้แต่อ้าปากค้าง สายตาคมๆ ของมันที่บอกให้ผมรู้ว่า เดี๋ยวมึงได้เจอกูจัดการอีกทีแน่ไอ้ลูกแรด! ... เชี่ย เรื่องคืนนั้นพ่อมาร์ชกูรู้ได้ยังไง!



“กรี๊ดดดด มึงจูบกับพี่พระจันทร์หรอไอ้หมุด!” เพื่อนเฮงก็กรี๊ดซะสาวแตก หมาที่นอนอยู่ข้างตึกตกใจวิ่งหนีเลย



“มึงเตรียมตัวโดนอิแฟนคลับเพจคิ้วบอยขย้ำหัวได้เลยกูบอกไว้ตรงนี้! ไปจูบกันได้ยังไงวะ”



ไอ้เฮงกับไอ้จิมหันไปขมวดคิ้วถามไอ้มาร์ชหน้าตาเครียด รู้สึกเหมือนมีพ่อสามคนขึ้นมาเลยทีเดียว เห็นแบบนั้นทำเอาผมได้แต่ส่ายหน้ารัวๆ จูบกันได้ยังไง



กูเปล่า...กูไม่ได้จูบกับพี่พระจันทร์ ...



คือหมายถึงไม่ได้จูบกับพี่พระจันทร์ครั้งนี้ครั้งแรก ... เพราะจริงๆ เมื่อ3ปีก่อน มันก็อาจจะเรียกได้ว่า ...มากกว่าจูบไปอีกเยอะแล้วก็ได้มั้ง







#รักอยู่รู้ยัง

------------------------------

สเปเชียลทอร์ค




สมุทร: พูดเลยว่าคนสวยก็ต้องหยิ่งเป็นธรรมดา น้องสมุทรเข้าใจ น้องสมุทรจะสู้นะ

มาร์ช: หนึ่งเลยคือเค้าไม่ได้สวย และสองเลยเค้าไม่ได้หยิ่ง เค้าแค่ไม่ชอบมึง

สมุทร: มาร์ชเหมือนอยากโดนฟาดปากอ่ะ จริง

พระจันทร์: น่ารำคาญ

สมุทร: จริง ไอ้มาร์ชใช่ไหมพี่พระจันทร์

พระจันทร์: มึงนี่แหล่ะ!

สมุทร: เอ้า! คนสวย~~

พระจันทร์: Kวยกูก็สวยนะจะดูไหม อ้อ...คงเคยเห็นแล้ว

มาร์ช,ไรเตอร์,คนอ่าน: ยังไงเธอออออ!!

-*-*-*-*-

เอาบทที่1มาหย่อนค่ะ แคทฝากเอ็นดูน้องสมุทรกับพี่พระจันทร์ด้วยนะคะ เปิดตัวแก๊งค์เพื่อนน้องสมุทร ก็จะมีแต่คนปกติอยู่ด้วยกัน

พี่พระจันทร์ เธอจะเอายังไงกับน้อนนนน อย่าใจร้ายกับน้องสมุทรจะได้หรือเปล่า~



 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ (290521)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 29-05-2021 19:30:32

บทที่2


...คนโง่...



              คำๆนี้ที่ได้ยินมาจนชินชาจากปากของเพื่อนสนิทแบบไอ้มาร์ชเป็นครั้งที่สองพันห้า ทำเอาหัวใจของน้องสมุทรล่ะแสนจะเจ็บแปร๊บ มันด่าเช้าด่าเย็นด่ากันไม่เว้นวัน ดีที่ผมไม่ได้อยู่หอเพราะว่ามีบ้านอยู่ที่กทม. ไม่อย่างงั้นมันคงตามมาด่าผมถึงตอนกลางคืนด้วย แต่ถึงมันจะด่ายังไง น้องสมุทรแบบกูก็ไม่ถอยหรอกนะจะบอกให้ ... ยังคงอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์อยู่ดี แอ๊วอ๊าววววว~~~



และเค้าว่ากันว่า...ถ้าเราชอบใคร ก็ให้เอาตัวเองไปอยู่ในที่ๆเปิดโอกาสให้เค้าได้มองเห็น



ชัดเจน !



วันนี้น้องสมุทรเลยมานั่งอยู่ในที่ๆพี่พระจันทร์จะมองเห็นชัดๆเลย อย่างเช่น ... โรงอาหารคณะบริหารในเวลายามเช้าตรู่



“ไอ้สัดหมุด สรุปจะแดกไหมข้าว เป็นเหี้ยอะไรต้องชะเง้อคอยาวอยู่ได้” ไอ้มาร์ชขมวดคิ้ว มันมองมาดุๆ จ้องหน้ามาที่ผมแบบไม่พอใจ



“นั่งเหมือนเจ้าเข้าไข่อยู่ได้ ยุกยิกไม่เลิกเลย กูอายคนไอ้สัด” ไอ้เฮงว่าแบบนั้นพร้อมส่ายหน้าหน่ายๆ วันนี้มันก็ยังคงคอนเซ็ปหล่อเท่สกปรกไม่เปลี่ยน เจ้าตัวยกขาข้างนึงขึ้นมายันไว้บนเก้าอี้ม้านั่งยาวด้วยแบบเป็นกันเอง กูอยากจะถามเหลือเกินว่านี่บ้านมึงหรอ



“กูมองหาพี่พระจันทร์ยังไงเล่า วันนี้พี่พระจันทร์มีเรียนเช้านะ”



“แล้วทำไมถึงเสือกรู้ขนาดนั้นวะ” ไอ้จิมเงยหน้าขึ้นมาจากชามถ้วยก๋วยเตี๋ยวของตัวเองแล้วเอียงคอถามผมอย่างสงสัย



“มีอะไรบ้างที่สมุทรคนนี้จะไม่รู้บ้าง”



“จริง ก็มึงแสนซอกซอนอ่ะสัดหมุด อีกนิดกูจะคิดว่ามึงเป็นผีในห้องของพี่พระจันทร์” ไอ้เฮงจีบปากจีบคอว่าผมแบบนั้น จริงๆเป็นเพื่อนกันนะครับ แต่ก็เหมือนมันสามคนจะเกลียดกู



“มึงไม่น่าถามว่ามีอะไรที่มึงไม่รู้ไอ้สมุทร” ไอ้มาร์ชว่าออกมาแบบนั้น ทำเอาผมต้องเลิกคิ้วลุ้นตามเลย ... หน้าหล่อๆของมันมองตรงมาที่ผมแล้วยกยิ้มนิดๆ



“ก็เรื่องที่ไอ้พี่พระจันทร์ไม่ชอบมึงไง...ที่มึงไม่รู้”



จึก



เจ็บกระดองใจ เหมือนใครเอาขี้มาเหยียบหน้า



‘ปึก’



ผมที่ลุกขึ้นยืนพร้อมเอามือตบโต๊ะ จ้องหน้าไอ้มาร์ชเขม็ง บอกให้รู้ตรงนี้เลยว่าน้องสมุทรไม่พอใจเอามากๆแล้วนะ ไอ้มาร์ชที่ละสายตาออกมาจากเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มันกำลังเอาลูกชิ้นกุ้งเข้าปาก เงยหน้ามองผมนิดๆ



“มึง...ใจร้ายมาก” บอกมันออกไปแบบนั้น เพื่อนๆอีกสองคนที่เริ่มวางช้อนกินข้าว ไอ้จิมที่ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆผม เพราะมันเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างกัน มือหยาบๆของมันที่เอื้อมมาจับข้อศอกของผมเอาไว้แล้วลูบเบาๆ



“มึงอย่าคิดมากน่าสมุทร มึงก็รู้ว่าไอ้มาร์ชมันปากหมานี่” ไอ้เฮงว่าออกมาแบบนั้นแล้วหันไปตบหัวไอ้มาร์ชแรงๆหนึ่งทีแบบไม่ออมแรง ไอ้มาร์ชมองหน้าผมอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมานิดๆแบบเสียไม่ได้ เหอะ



“เออๆ กูขอโทษๆ กูมันปากหมาเอง”



“จริง! กูเสียใจ มึงปากหมามากอ่ะมาร์ช”



“เออๆ ต่อไปกูจะไม่พูดแบบนี้แล้ว” ไอ้มาร์ชว่าออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงหน่อยๆ ท่าทางของมันที่ทำเหมือนว่ารู้สึกผิดอยู่นิดๆทำผมรู้สึกดีขึ้นจิ๊ดนึง



“ดีมาก! มึงอย่ามาเรียกพี่พระจันทร์ของกูว่าไอ้อีกนะ กูทำใจไม่ได้เลย เสียใจมาก มาขึ้นไอ้ขึ้นอีกับคนสวยขาของกูแบบนี้ได้ไงวะ แม่ง มึงมันคนบาปหนา” บอกมันออกไปแบบนั้นแล้วขมวดคิ้วมองแรงใส่มันอีกดอก หึ อย่ามาอวดดีกับคนรักของน้องสมุทรอีกเชียวนะ



“เดี๋ยวนะ....” 



“นี่มึงโกรธไอ้มาร์ชเพราะ...”



“เพราะมันเรียกพี่พระจันทร์ว่า ‘ไอ้’ หรอ”



ทั้งสามคนมันมองหน้ากันเอง ก่อนจะผลัดกันพูดออกมากันทีละประโยคๆแบบนั้น ผมมองหน้าพวกมันแล้วทำหน้าจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้งเป็นคำตอบว่า ใช่เลย



“สัด!” ไอ้มาร์ชร้องด่าผมออกมาแบบนั้น รุนแรงจนกระทั่งน้ำลายเป็นฝอยของมันกระเด็นเข้าตาผมเลย หึ่ย สกปรก เชื้อโรค โควิด!!



“อะไรของมึงล่ะ ยังจะมาด่ากูอีก”



“มึงนั่งลงเลยไอ้สมุทร”



“จะมาบังคับกูนั่งทำไม กูกำลังมองหาพี่พระจันทร์คนสวยของกูอยู่นะ เนี่ยๆเห็นไหม กูรอเอาอาหารให้พี่พระจันทร์อยู่เนี่ย” บอกออกไปแบบนั้นแล้วปรายตาไปมองถุงที่ผมพูดถึง เตรียมมาพร้อมซ้อมมาเป๊ะ



“อาหาร พูดเหมือนพี่มันเป็นหมา” ไอ้จิมส่ายหน้าแล้วก้มหน้าไปกินก๋วยเตี๋ยวของแม่งต่อ ปากไม่ดี กูอยากตบให้หัวจุ่มก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของมัน



“ข้าวเหนียวหมูปิ้งเนี่ยนะ กระจอก พี่พระจันทร์มึงคุณชายขนาดนั้น จะมาแดกอะไรแบบนี้เพื่อ” ไอ้เฮงว่าแบบนั้นแล้วส่ายหน้า มันที่เอื้อมมือมาที่ถุงหมูปิ้งของผม ยังไม่ทันจะได้จับถุง ผมก็ตีมือมันไปแรงๆทีนึงจนอีกฝ่ายต้องชักมือกลับ



“เจ็บนะสัดหมุด”



“แล้วมึงจะมาแตะต้องหมูปิ้งพี่พระจันทร์กูทำไมเล่า”



“ก็ไอ้พี่พระจันทร์มึงยังไม่มา ขอแดกก่อนไม้นึงดิ” ว่าออกมาหน้าตาย แต่สายตายังคงจับจ้องมองกันอยู่ที่หมูปิ้งในอ้อมกอดของผมไม่เลิก



“สารเลว กูไม่ให้หรอกนะ นี่ของพี่พระจันทร์คนสวยขาของกูนะ”



“เค้าจะแดกของมึงไหมดีกว่า ก็แค่หมูปิ้งเนี่ย ในโรงอาหารนี้มีของน่าแดกมากกว่าหมูปิ้งมึงอีกเยอะนะน้องหมุด” ไอ้จิมว่าแล้วส่ายหน้า



“นี่ไม่ใช่หมูปิ้งธรรมดาๆนะเว้ย”



“ทำไม หมูปิ้งมึงแดกแล้วจะเหาะได้เป็นพระสังฆ์ทองตอนถอดรูปหรือไง” ดูแม่งเปรียบเทียบ



“มันเป็นหมูปิ้งนมสดเจ้าดังเลยเหอะ กูน่ะนะมาต่อแถวซื้อตั้งแต่ร้านเค้าพึ่งเปิดเถอะ” บอกแบบนั้นแล้วยักคิ้วใส่ไอ้จิมอีกหนึ่งที แสนเท่ไปเลยว่ะน้องสมุทร กูนี่มันผัวตัวอย่างจริงๆเลย คิดแบบนั้นแล้วก็ยกมือขึ้นดันแว่นตาที่กรอบหน้าขึ้นนิดๆ



“มึงอย่าบอกว่าคือหมูปิ้งหลังมอที่มันเปิดขายตอนหกโมงครึ่ง”



“ใช่จ้า อุ๊ย!” ตอบออกไปอย่างมีความสุข กูยิ้มจนตาปิดเลยก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วต้องเบิกตากว้างๆยกมือขึ้นมาอุดปากตัวเองทันที ค่อยๆเลื่อนสายตาไปมองคนที่ถามกันเมื่อตะกี้ เฮือก



“เอ่อ...เพื่อนมาร์ช กูน่ะนะ ไม่ได้มาตอนร้านเปิดหรอก จริ๊ง” หันไปบอกมันแบบนั้นแล้วยิ้มประจบ แต่ไอ้มาร์ชเหมือนจะไม่เล่นด้วยกับน้องสมุทรเลย



“มันเป็นพ่อมึงหรอ ทำไมมึงต้องถ่อออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าขนาดนั้นเพื่อมาต่อคิวซื้อไอ้หมูห่านี่ให้มันแดกด้วยวะ”



“เค้าไม่ได้เป็นพ่อกูหรอก” และกูก็ไม่ได้อยากให้เค้าเป็นพ่อนะ ... น้องสมุทรอยากให้เค้าเป็นเมียน้องสมุทรอ่ะ ทำไมมาร์ชไม่เข้าใจวะ



“ก็ใช่ไง แล้วมึงจะทำไปทำไม ซอยบ้านมึงตอนเช้าๆกับตอนดึกน่ากลัวจะตาย ทำไรคิดถึงตัวเองบ้างสิวะสมุทร”



“มึงไม่เข้าใจหรอกมาร์ช” ผมเม้นปากแน่นๆแล้วหันไปจ้องตามัน ... มาร์ชมันไม่เข้าใจน้องสมุทรเลยว่ะ



“เออกูไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจมึงเลยว่ามึงจะทำเพื่อคนๆนึงไปทำไม ทั้งๆที่มันไม่เคยจะรับรู้ความรักของมึงเลยด้วยซ้ำ” มันว่าออกมาอีกอย่างฉุนๆ มันหัวเสียตลอดเวลาที่ต้องพูดถึงเรื่องของพี่พระจันทร์ เป็นมาแบบนี้ตั้งแต่ตอนม.4หลังจากผมตะโกนบอกรักพี่พระจันทร์กลางสนามบอลละ



“ไอ้มาร์ชพอ” เป็นไอ้เฮงที่พูดขัดออกมาแบบนั้น มันที่เอาขาข้างนึงชันขึ้นมาบนเก้าอี้พร้อมๆกับยกมือขึ้นเสยผมปรกหน้าของตัวเองขึ้นเพราะบรรยากาศตอนนี้เริ่มจะร้อน อาจจะร้อนทั้งจากอากาศ และร้อนจากการโต้เถียงกันของผมกับไอ้มาร์ชล่ะมั้ง



“เออ มึงใจเย็นดิวะเพื่อน อย่าทะเลาะกันๆ” ไอ้จิมที่นั่งข้างๆผมว่าแบบนั้นพร้อมโบกไม้โบกมือห้ามไอ้มาร์ชซะยกใหญ่ หน้าตาไอ้จิมเรียกได้ว่าเลิ่กลั่กสุด



“กูไม่ได้ทะเลาะ กูก็แค่เป็นห่วงมัน”



“กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกูเว่ยเพื่อนมาร์ช แต่เรื่องพี่พระจันทร์กูขอล่ะ กูชอบเค้า มากๆ...” บอกมันออกไปแบบนั้น จ้องตามองเข้าไปในตาของไอ้มาร์ชนิ่งๆ



“มึงก็ขอกูแบบนี้ทุกที”



“อื้ม...เพราะงั้นก็ยอมกูเหมือนทุกทีเถอะ” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วฉีกยิ้มกว้างๆให้มัน ไม่แค่นั้นยังเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนอีกสองคนด้วย ทั้งไอ้เฮงและไอ้จิม พวกมันที่ทำหน้าชะงักไปนิดหน่อยตอนที่มองหน้าผม ไอ้เฮงสะบัดหน้าหนีไปมองอีกฝั่ง มองเห็นมันที่กำลังเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มตัวเองอยู่ตอนนี้ ไอ้จิมที่หน้ากับหูแดงขึ้นมาพร้อมยกมือเกาหัวตบหน้าตัวเอง มีแค่ไอ้มาร์ชที่ยังทำหน้าปกติอยู่ได้ มันที่ทำแค่ถอนหายใจหนักๆให้อย่างจำยอม เห็นแบบนั้นยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก อารมณ์ดีครับ เหมือนเวลาพ่อยอมรับในตัวแฟนเรา



“เลิกยิ้มได้แล้วมึงอ่ะ”



“อ๊ะนะๆ เขินความหล่อของพี่สมุทร พูดมันออกมา พูดคำนั้นออกมาเลยเพื่อนๆ พูดครับ พูดเลยว่า...”



“K!” เสียงประสานทั้งสามกระแทกเข้าหน้าน้องสมุทรเต็มๆ เหมือนจะเป็นKที่ยิ่งใหญ่ แย่ๆ น้องสมุทรไม่ได้อยากได้คำนี้โว้ย!!



“อ๊ะ...” หางตาของผมเหลือบเห็นอะไรแว๊บๆ เหมือนกับจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผมกำลังตามหาอยู่ เห็นแบบนั้นเลยร้องออกมาแล้วละสายตาออกจากเพื่อนๆของตัวเองทันที



“พี่พระจันทร์!” ผมยิ้มแล้วตะโกนเรียกคนที่กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร วันนี้พี่พระจันทร์ก็ยังอยู่ในชุดนักศึกษาที่พับแขนเสื้อร่นขึ้นมาที่ข้อศอก ใส่เข้าคู่มากับกางเกงยีนส์สีดำแบบที่เจ้าตัวชอบใส่ตลอดๆดูดีเหมือนเคย เรียกได้ว่าแกะความเป็นลูกคนรวยออกมาทั้งดุ้น ทั้งเสื้อกางเกงหรือกระเป๋าเป้ที่สะพายมา ... พี่พระจันทร์ชะงักขาแล้วหันมามองตามเสียงเรียก แน่นอนว่าน้องสมุทรก็ลุกขึ้นยืนโชว์ตัวแล้วโบกมือให้ไหวๆ ฉีกยิ้มกว้างๆส่งไปให้เลยหนึ่งที เอามือดันแว่นตาตัวเองด้วยอีกหน่อยนึง



น่ะ มันแสนจะเท่



งี้แหล่ะ ช่วงนี้ผัวฮอตเนิร์ดกำลังมาแรง ... แต่เอาจริงๆกูก็ไม่ได้เนิร์ดเลยครับ กูแค่สายตาสั้นเท่านั้นเอง ...



กลับมาที่พี่พระจันทร์ สายตาคมสวยที่มีขนตางอนยาวของพี่เค้าที่หันมาเห็นกัน ใบหน้าเรียบสนิทนั่นเรียกได้ว่ายิ่งนิ่งสนิทมากขึ้นไปอีก ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับหลังหันแล้วเดินหนีออกจากโรงอาหารไป .. เอ้า!



“งง เพื่อนเรายืนงง”



“ทรงดูจะเป๋ๆ เค้าเห็นแล้วหนีมึงเลยว่ะน้องหมุด” ไอ้เฮงกับไอ้จิมรับส่งกันเป็นลูกคู่ ผมหันไปมองค้อนพวกมันคนละที แต่กลับได้รับเสียงหัวเราะกลับมาเป็นการตอบแทน เพื่อนเหี้ย



“แล้วนั่นมึงจะไปไหน” เสียงเข้มๆของพ่อน้องสมุทรดังขัดขากูขึ้นมาอีกแล้ว หันหน้าไปมองก็เจอพ่อตั้งท่าจะลุกขึ้นยืนตาม เห็นแบบนั้นกูนี่รีบยกมือขึ้นทำปางห้ามมึงตามกูเลย



“มึงไม่ต้องตามมาเลยเพื่อนมาร์ช กูจะไปตามหาหัวใจกูครับ” พูดออกมาเร็วๆ แล้วขยิบตาใส่มันทีหนึ่ง ไอ้มาร์ชที่ชะงักไปกับความเท่ของผม เห็นแบบนั้นก็เข้าทางกูเลย พลิกตัวลุกจากเก้าอี้ม้านั่งตัวยาวแล้ววิ่งจ้ำอ้าวตามพี่พระจันทร์ออกไปแทน ได้ยินเสียงด่าดังไล่หลังของไอ้มาร์ชตามมาเหมือนเดิม เรียกได้ว่าคุ้นชินมากๆ แต่ใครจะสนกันล่ะ หัวใจดวงนี้มีแต่มอบให้พี่พระจันทร์เท่านั้นล่ะ



“พี่พระจันทร์!” ตะโกนเรียกเสียงดังในตอนที่วิ่งตามออกมาแล้วมองเห็นแผ่นหลังกว้างนั่นไวๆ เหมือนจะเดินไปทางสวนหย่อมที่อยู่ด้านข้างของโรงอาหารคณะ ว่าแต่ขายาวอะไรขนาดนั้นเอ่ย น้องสมุทรสับตีนจะแหกแล้วยังแทบตามไม่ทัน ดีนะตอนเด็กวิ่งหนีเพื่อนเก่ง เพราะว่าน้องสมุทรน่ะชอบขโมยยางลบเพื่อน อิจฉาครับ ยางลบมันมีกลิ่นหอมๆ ของน้องสมุทรลบแล้วชอบดำแล้วกระดาษก็ขาดเป็นขุยๆ หึ่ย



‘หมับ’



“พ..พี่พระจันทร์!แฮ่ก....เดี๋ยว เดี๋ยวครับ” เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมก้มตัวลงไปเอามือเท้าไว้กับหัวเข่าตัวเองแล้วหอบหนักๆ สภาพไม่ต่างจากหมาหน้าร้อนที่หอบแดด ... แม่งเอ้ย หมดเลยความเท่น้องสมุทร



“อะไรของมึง”



“ทำไมต้องหนีน้องสมุทรด้วย” พยายามปรับลมหายใจให้กลับมาสม่ำเสมอตามเดิมแล้วเก๊กหน้าให้เท่ที่สุดต่อหน้าพี่พระจันทร์ ผัวยอดตัวอย่าง ผัวยอดพีระมิด เรียกเค้าว่าน้องสมุทร



“กูไม่อยากเจอมึง ... มาทำไม” พูดออกมาเสียงนิ่ง แล้วจ้องตาผมอย่างรำคาญ ... ฮึกเสียใจ แต่ไม่แคร์! น้องสมุทรด้านกว่านั้นกูพูดเลย



“เอาข้าวเหนียวหมูปิ้งมาให้ครับ!” พูดออกไปแบบมุ่งมั่นแล้วยืดตัวขึ้น แอ่นอกแน่นๆเชิดขึ้นพร้อมยื่นถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ถือมาด้วยส่งไปให้ พี่พระจันทร์ปรายสายตามองลงมาที่ถุงข้าวเหนียวในมือผมแว๊บเดียวแล้วตะหวัดสายตาไปทางอื่นทันที



“ไม่กิน”



“เอ้า ทำไม!”



“กูไม่ชอบ มึงเอาไปให้หมาข้างตึกกินเถอะ”



“เห้ย นี่มันเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งยี่ห้อดังจากหลังมอเลยนา พี่พระจันทร์ลองกินนิดนึงสิ” บอกออกไปพร้อมดันข้าวเหนียวหมูปิ้งนั่นไปทางอีกฝ่ายอย่างเชิญชวน โยกถุงไปมาแถวๆหน้าแถวๆจมูกของอีกฝ่าย หอมมาก อยากให้ลอง



“กูไม่ชอบ มึงอย่ามาเซ้าซี้” อีกฝ่ายที่โยกหน้าหลบซ้ายหลบขวาจากถุงข้าวเหนียวหมูนั่นก่อนจะตวัดสายตาสวยๆคู่นั้นมามองทางผมอย่างไม่ชอบใจ ดวงตาคู่นั้นที่มองมาอย่างรำคาญทำเอาผมชะงักมือที่พยายามจะเอื้อมถุงข้าวเหนียวหมูส่งไปให้อีกครั้งต้องหยุดลง สายตาที่มันกำลังบอกว่าไม่ชอบเอามากๆเริ่มทำให้น้องสมุทรรู้สึกใจเสีย



“น้องสมุทรแค่อยากทำหน้าที่...” บอกออกมาเสียงอ่อยๆตอนที่ช้อนสายตาหลังแว่นตาอันใหญ่นี้มองตอบอีกคน พี่พระจันทร์ที่ถอนหายใจออกมาหนักๆเหมือนกำลังข่มอารมณ์ไม่ให้เตะผมให้ออกห่างจากตัวอย่างเต็มกำลัง



“หน้าที่อะไรของมึง กูเคยร้องขอมึงหรอ เคยบอกให้มึงมาทำอะไรให้กูแบบนี้หรอวะ”



“ก็น้องสมุทรจีบพี่พระจันทร์นี่...น้องสมุทรรักพี่พระจันทร์ อยากได้พี่พระจันทร์เป็นเมียจริงๆนะ!”



“ตัวโตเท่าพุ่มต้นเข็ม โตให้ได้มากกว่านี้ค่อยไถหน้ามาบอกรักกู” พูดออกมาพร้อมๆกับสายตาคมที่มีแพรขนตางอนยาวนั้นจับจ้องมาที่ใบหน้าของผม ดวงตาคู่คมที่ค่อยๆเลื่อนสายตามองหน้าของผมช้าๆไปทีละส่วน ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ดวงตา เลื่อนลงมาที่ปลายจมูก และสุดท้ายก็หยุดอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปาก สายตาของพี่พระจันทร์ที่ทำเอาผมต้องเผลอกลืนน้ำลาย และเม้มริมฝีปากของตัวเองซะแบบนั้น ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สายตาคู่สวยนี้ก็ยังทำหน้าที่ให้น้องสมุทรได้อายอยู่เสมอ .... ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรตอบกลับไป คนตรงหน้าก็ก้าวขาเข้ามาประชิดตัว น้องสมุทรที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเผลอถอยขาหนีได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้น พี่พระจันทร์ก็เลื่อนวงแขนแกร่งล็อคเอวกันไว้ซะแล้ว



“พ...พี่พระจันทร์เข้ามาใกล้ขนาดนี้มาเอาอะไร มาเอาหัวใจน้องสมุทรรึเปล่า ถ้าใช่ก็ได้ไปแล้วไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้ หรือว่าอยากแดกหมูปิ้งแล้วหรอ” 



“กูไม่ชอบแดกหมูปิ้ง” เอียงหน้าก้มลงมากระซิบเบาๆทำเอาขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว ทำไมนะมันทำไม หรือจะเป็นเพราะว่าสายตาสวยๆนั่นที่เอาแต่มองไปทั่วหน้าของน้องสมุทรกันนะ



“ต...แต่...แต่เมื่อก่อนบางครั้งพี่พระจันทร์ก็รับหมูปิ้งน้องสมุทรไปกินนะ น้องสมุทรจำได้อ่ะ”  เถียงออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ชะงักไปนิดหน่อยแล้วขมวดคิ้วตอบกลับมา ดูท่าเหมือนจะโมโหกันอีกแล้ว มันทำไมนักนะ ก็จำได้จริงๆว่าช่วงตอนมัธยม บางครั้งพี่พระจันทร์ก็รับไปกินอยู่หน้าตาเฉย ทำไมต้องมาตั้งแง่ผลักไสกันตอนนี้ด้วยเล่า ใจร้าย...แต่ไม่แคร์อีกอยู่ดี



“นั่นมันเมื่อก่อน นี่มันกูตอนนี้”



“โว๊ะ ทำไมเอาใจยากจัง แต่ไม่เป็นไร งั้นพรุ่งนี้น้องสมุทรจะเปลี่ยนเมนูใหม่มาให้นะ” ว่าออกไปแบบนั้นแล้วฉีกยิ้มกว้างๆให้พี่พระจันทร์อีกที เป็นไงล่ะครับ ผัวเอาใจ ผัวใส่ใจ เนี่ย น้องสมุทรมันแสนเท่ว่ะ หลงรักเลยดิ หลงรักน้องสมุทรเลยดิพี่พระจันทร์น่ะ อิ๊



“เมื่อไหร่มึงจะเลิกพยายามเรื่องกูสักที” อีกคนไม่ได้ยิ้มตอบแต่ถามออกมาแบบนั้นแทน วงแขนหนาที่ยิ่งดึงตัวผมให้ขยับเข้าไปใกล้ตัวของอีกฝ่ายมากขึ้นไปกว่าเดิม ใกล้กันมากจนใจของน้องสมุทรเต้นตึกตักๆจนกลัวว่าพี่พระจันทร์จะได้ยินเลยด้วยซ้ำ



“พ..พี่พระจันทร์”



“กูบอกไปแล้ว มีแต่มึงถ้าอยากลองก็ต้องให้กู”



“น...น้องสมุทร” อึกอักๆ น้องสมุทรรู้สึกเป็นเลิ่กเป็นลั่กมากขึ้นตอนที่ถูกดึงตัวเข้าไปชิดตัวของคนตรงหน้า ใกล้ขนาดที่รับรู้ได้ถึงอกแกร่ง แผ่นท้องแข็งๆ ที่เหมือนจะนับลอนที่หน้าท้องได้เลยนั่นล่ะ...



“ว่าไง พร้อมจะแลกไหมล่ะ” พูดพร้อมเชยคางผมขึ้นมาให้สบตาตรงๆกับอีกฝ่าย



“น้องสมุทรน่ะ...”



“กูฟังอยู่”



“น้องสมุทรยังไม่ยอมแลก แต่! แต่ๆ...อยากจะบอกให้พี่พระจันทร์รู้ไว้นะ น้องสมุทรน่ะนะเป็นคนรักแบบมีสเต็ป ถ้าจะเจ็บก็ขอเจ็บแบบมีสไตล์ เอิ๊วกรู๊ว คำพูดเรานี่มันเท่สุดๆไปเลยว่ะ” พูดออกไปแบบนั้นแล้วเต๊ะท่ายกมือขึ้นสะบัดปรอยผมของตัวเอง พี่พระจันทร์ที่ผละวงแขนออกจากเอวของผมแล้วกลับมาทำหน้าเอือม



“สัด น่ารำคาญ”



“เอ้า! ว่าน้องสมุทรทำไม”



“กลับคณะมึงไปได้แล้ว” ทำหน้าเบื่อใส่ผมแล้วโบกมือไล่ เห็นแล้วขัดใจหน่อยๆจนอดไม่ได้ที่จะทำหน้างอลง แต่พอก้มหน้าลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเก้าโมงสิบห้า กูก็ตาโตขึ้นมาเลย เหยดแหม่ อีกสิบหน้านาทีจะสับตีนไปถึงคณะทันไหม ไม่ทันโดนล็อกประตูห้องแน่ๆ



“งั้น...งั้นน้องสมุทรไปก่อนนะ รักนะจ๊ะจุ๊บๆ เอิ๊ว กรู๊ว” โบกมือบ๊ายบายแล้ววิ่งจากมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรอีกอย่างเลยวิ่งกลับไปหาใหม่



“พี่พระจันทร์!”



“เชี่ย! มึงกลับมาอีกทำไมอีก” คนตรงหน้าที่สะดุ้งตกใจจนทำบุหรี่มวนนึงหลุดมือหันมามองหน้าผมแบบหงุดหงิด



“นี่น่ะ ถึงไม่ชอบแต่มันก็ลองท้องได้นะ พี่พระจันทร์ก็จะขึ้นเรียนแล้วนี่นา น้องสมุทรรู้ว่าพี่พระจันทร์ยังไม่ได้กินไรหรอก เอาไปเถอะครับ” ยัดถุงหมูปิ้งเจ้าดังหลังมอใส่มืออีกคนแล้วฉีกยิ้มกว้างๆ มองเห็นปากหยักที่กำลังจะอ้าขึ้นมาด่ากันแน่ๆ แบบนั้นเลยรีบขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วยืดตัวขึ้นไปจุ๊บเบาๆลงที่ริมฝีปากหยัก คนร่างสูงตรงหน้าดวงตาคมวาวขึ้นนิดๆ ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมาจะจับเข้าที่แขนกันแต่เป็นผมที่ดันตัวออกมาก่อน รู้สึกร้อนหน้าไปหมด



“อ๊ากกกก ขอโทษที่น้องสมุทรลวนลามพี่พระจันทร์ แต่ต่อจากนี้จะเป็นผัวที่ดีให้ได้เลย!!” ตะโกนบอกออกมาแบบนั้นแล้วกลับหลังหันวิ่งออกมาแบบไม่ยอมหันกลับไปมองหน้าคนที่ตอนนี้ยืนนิ่งเอาหลังพิงกำแพงอยู่ว่าทำหน้ายังไง ... เขินมากๆ น้องสมุทรหน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดูร้อนไปหมดแล้ว

น้องสมุทรสมควรตาย น้องสมุทรเผลอลวนลามพี่พระจันทร์ไปแล้วอ่ะ!! ผิดผีๆ

เอาแม่มาขอพี่พระจันทร์เลยได้ไหม ยังไงดีนะ!!


.

.

.



              ริมฝีปากอิ่มที่ผละออกจากริมฝีปากของกัน ในตอนที่ตั้งใจจะเอื้อมมือไปรั้งแขนเล็กนั่นไว้ก็ไม่ทันซะแล้ว ในเมื่อเจ้าตัวเด้งตัวหนีออกไปไกลขนาดนั้น แถมยังกลับหลังหันแล้วออกวิ่งอย่างตั้งหน้าตั้งตาเหมือนกับว่ามันจะไปลงวิ่งแข่งกับใครเพื่อเอาเหรียญทอง ได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่นจากไปด้วยสายตานิ่งๆ



สมุทร ในความทรงจำของผม มันไม่ได้ต่างอะไรไปจากสามปีก่อนเท่าไหร่ในด้านนิสัย แต่ด้านรูปร่างก็ถือว่ามันแตกต่างไปจากเดิมมากอยู่ มันสูงขึ้น มีกล้ามเนื้อมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าเดิมจนตัวหนาอะไร กลับกันมันกลับโปร่งบางเพราะสูงกว่าเมื่อก่อน หน้าของมันที่เคยมีสิวเยอะแยะตอนนี้ก็ขาวเนียนอมชมพูจนอดแปลกใจไม่ได้ และไอ้แว่นตาโตๆนั่นก็ยังอยู่เหมือนเดิมแต่แตกต่างตรงกรอบแว่นทรงโบราณถูกเปลี่ยนมาเป็นแว่นกรอบบางๆเหมือนพวกไอดอลเกาหลีชอบใส่ เลยขับให้ใบหน้าของมันดูหน้าเอ็นดูขึ้นมาล่ะมั้ง



 ...จะว่าเหมือนเดิมก็เหมือน จะว่าต่างก็ต่างไปเยอะ โดยเฉพาะเอวบางๆนั่น ที่เหมือนจะต่างจากที่เคยจับเมื่อตอนนั้นไปเยอะอยู่ ... เหมือนจะจับถนัดมือมากกว่าเดิม



 สุดท้ายก็ละสายตากลับมาก้มหน้าลงมองข้าวเหนียวหมูปิ้งในมือแทนคนที่หายไปจากสายตาแทน



“หึ”



“ยิ้มเหี้ยอะไรอ่ะหรอครับเพื่อน หลอนสัดๆ นี่มึงพี้ยามาหรืออะไร” เสียงของคนมาใหม่ที่ดังขึ้นมาพร้อมกับขายาวๆและหน้างงๆของมันในตอนที่มองมาอย่างสงสัย พอเห็นหน้าก็ทำเอาเสียอารมณ์ แล้วพูดเหี้ยอะไร ใครมันยิ้ม



“เสือก”



“แหม่ ไม่อ่อนโยนกับกูเหมือนเวลาอ่อนโยนกับจุดซ่อนเร้นเลยนะครับพี่พระจันทร์”



“ไปไกลๆตีนไอ้ปุ่น”



“เอ้อ กับกูน่ะมันหยาบนัก ว่าแต่ทำไมในโรงอาหารกูไม่เจอมึง แดกมาแล้วหรอวะ” ไอ้ปุ่นที่เดินเข้ามาใกล้ มันที่ทรุดตัวลงนั่งยองๆแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วจุดสูบ



“เปล่า”



“แล้วทำไมไม่ไปแดก เดี๋ยวต้องขึ้นเรียน”



“มีของแดกแล้ว”



“หื้ม” ไอ้ปุ่นที่คาบบุหรี่อยู่ในปากเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ก่อนสายตาของมันจะเลื่อนไปมองมืออีกข้างของผมที่ไม่ได้ถือบุหรี่เอาไว้ แต่กลับมีถุงบางอย่างที่ก่อนหน้านี้โดนบังคับให้รับเอามา



“ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” เลิกคิ้วพร้อมเบิกตากว้าง ลงเสียงสูงในตอนท้ายแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อ



“มึงเห็นเป็นก้ามปูอลาสก้าหรือไง”



“สัด ไม่ใช่แบบนั้น แต่มึงเนี่ยนะแดกข้าวเหนียวหมูปิ้ง กูเคยซื้อมาให้แทบปาใส่หน้ากู บอกว่ามันเยอะคาร์ปก็มากแดกแล้วอ้วนเดี๋ยวกล้ามหด ...แล้วคิดไงวันนี้ถึงซื้อมา”



“ไม่ได้คิด”



“พูดเหี้ยอะไรเข้าใจยากจังวะ แต่ถ้าไม่แดกก็เอามาได้นะ” มันที่พูดพร้อมกับเอื้อมมือมาตั้งท่าจะแยกไป ติดตรงตีนที่ยื่นไปเกือบฟาดหน้ามันซะก่อน ไอ้ปุ่นเลยมาไม่ถึง



“หวงเหี้ยอะไรขนาดนั้น กับเพื่อนมึงก็จะกระทืบเพราะหมูปิ้งหรอ! กูฟ้องแน่!”



“ปัญญาอ่อน” ปรายตามองมันที่ทำหน้างอไม่เหมาะกับหนังหน้าส่งมาให้กัน ไอ้ปุ่นมันหล่อในสายตาสาวๆ แต่ในสายตาของเพื่อนกันมันเป็นคนกวนตีน



“มึงจะกินจริงอ่ะ”



“อืม ... วันนี้จะกิน” บอกออกไปแบบนั้นแล้วก้มหน้าลงมองข้าวเหนียวหมูปิ้งในมืออีกครั้ง ก็แค่อยากจะกิน



“เออ จะกินก็กิน เจ้าดังหลังมอเลยนี่หว่า” มันว่าออกมาอีก ได้ยินแบบนั้นเลยต้องหันหน้าไปมองมันอีกที หมูปิ้งเจ้าดัง รู้ได้ไง เจ้าไหนๆก็เหมือนกัน



“มึงมองโลโก้ที่ถุงหน่อยครับเพื่อน นั่นเจ้าดังหลังมอ ถ้าไม่มาต่อแถวตั้งแต่เช้าๆมึงฝันว่าจะได้แดก ปกติไม่เกินแปดโมงก็หมดแล้วครับ เออ ว่าแต่มึงมาต่อซื้อเองหรอวะ ไม่จริงอ่ะ”



“เสือกไม่มีที่สิ้นสุด” ด่ามันจบแล้วเดินหนี



“เอ้า จะทิ้งกูไปไหน รอกูดูดมวนนี้หมดก่อนสิวะ”



“จะไปแดกหมูปิ้ง”



“หมูปิ้งเหี้ยนั่นสำคัญกว่ากูหรอสัดจันทร์!”



“เออ” ... วันนี้มันเกิดสำคัญขึ้นมา



...


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ (290521)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 29-05-2021 19:30:57


‘ซ่า’



ฝนหลงฤดู



ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในเวลาสี่โมงครึ่ง ท้องฟ้าที่ควรจะสว่างสดใสให้เหมาะกับความหล่อเหลาของน้องสมุทร แต่ตอนนี้มันกลับมืดครึ้มเหมือนสีเสื้อผ้าสกปรกของไอ้เฮงที่มันไม่ค่อยจะซัก ปัดโถ่เว้ย! ตกมาทำไมใครบอกให้ตกมา



“เอาไงดีวะตัวกู” บ่นออกมาแบบนั้นแล้วหันซ้ายหันขวา เรียกได้ว่าหว่าเว้แบบสุดๆ เพราะว่ารอบตัวแทบจะไม่เหลือคนแล้ว หน้าหอสมุดกลางตอนนี้เลยมีแค่น้องสมุทรและหมาตัวใหญ่หนึ่งตัวที่วิ่งมาหลบฝน ขอบคุณมากที่ยังมีพี่หมามาอยู่เป็นเพื่อนกัน ส่วนเพื่อนๆของผมนั้นกลับไปหมดแล้ว ไอ้มาร์ชต้องรีบกลับไปรับน้องสาวแทนแม่ที่โรงเรียนครับ ไอ้มาร์ชมันมีน้องสาวที่อายุห่างกันมากอยู่คนนึง เป็นลูกหลงที่แม่มันดันท้องตอนที่ไอ้มาร์ชมันโตแล้ว ตอนนี้น้องมันพึ่งจะอยู่ป.1เอง ส่วนไอ้เฮงไอ้จิมก็กลับตั้งแต่เลิกแล้วครับ รีบกลับไปตีป้อมกูรู้เลย มันเลยเหลือแต่ผมที่วันนี้ตั้งใจมาหาข้อมูลทำรายงานเพิ่ม เพลินไปหน่อยจนติดฝนอยู่ตอนนี้



‘ครืดๆ’



โทรศัพท์สั่นๆขึ้นมาเลยได้ละสายตาออกมาจากท้องฟ้า มองเห็นปลายสายที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อน้องสมุทรเอง คนดีคนเดิมนามว่าเพื่อนมาร์ช



“ฮัลโหลพ่ออออ”



((มึงกลับจากหอสมุดหรือยังวะ))



“ทำไมหรอ มึงลืมอะไรหรือเปล่า”



((เปล่า แต่กูเห็นว่าฝนตก มึงออกมาหรือยัง กูไปรับไหม))



“มึงอยู่ไหนเนี่ยตอนนี้”



((กูมารับน้องมิลินแล้วพึ่งถึงบ้าน แต่ห่วงมึงขึ้นมา กลัวว่ามึงจะไปลื่นตายอยู่แถวไหน สรุปว่าไงให้กูไปรับไหม)) เป็นคนปากหมา บางครั้งน้องสมุทรก็รู้สึกเหมือนว่าเพื่อนแช่งกัน แต่จริงๆคงไม่ใช่หรอก



“ไม่ต้องหรอกๆ กูออกมาแล้ว อยู่บีทีเอสหนูด่วนแล้วมึง” เลือกที่จะโกหกมันออกไปแบบนั้น เพราะถ้าบอกว่ายังติดแหง็กอยู่ตรงนี้ ผมรู้ดีว่าไอ้มาร์ชมันก็คงบึ่งมอไซค์ของมันออกมารับผมแน่ๆ แล้วแบบนั้นจะทำให้คนต้องเปียกถึงสองคนเพื่ออะไรวะ มันเองก็ถึงบ้านแล้ว น้องสมุทรเปียกคนเดียวยังดีกว่า



((จริงใช่ไหม))



“หลอกมึงแล้วกูได้พี่พระจันทร์มาเป็นเมียไหมเอ่ย ยังไง”



((สัด เมียทิพน่ะสิ))



“อิทิพนี่มันคือใคร! มันแย่งพี่สมุทรกูเรอะ!”



((ขอร้องอย่าปัญญาอ่อน ถ้ามึงถึงรถไฟฟ้าแล้วงั้นก็กลับบ้านดีๆ))



“จ้าพ่อ ปลายปีนี้มึงต้องได้รางวัลพ่อดีเด่นจากกูแล้วล่ะเพื่อนมาร์ช เดี๋ยวน้องสมุทรทำสายสะ....ตู๊ดดด ตู๊ด ตู๊ด”



“ยังพูดไม่จบเลยนะโว้ย”



ตะโกนใส่มือถือไปแบบนั้นทั้งที่รู้ว่าป่านนี้ไอ้มาร์ชมันก็คงไม่ได้ยินแล้ว เพราะชิงวางสายไปตั้งแต่น้องสมุทรยังพูดไม่จบ ไร้มารยาทจริงๆเลย หึ่ย ... น้องสมุทรที่เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงให้เรียบร้อยแล้วกระชับกระเป๋าเป้บนไหล่ให้เข้าที่เข้าทาง ขืนยืนอยู่แบบนี้ทั้งคืนก็คงจะไม่ได้กลับอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝนมันจะหยุดตก และตอนไหนที่จะมีรถเวียนมารับ เพราะงั้นเลยเลือกที่จะวิ่งตากฝนฝ่าไปเลยจะดีกว่า คิดแบบนั้นแล้วก็ออกวิ่งไปตามฟุตบาททั้งๆที่ฝนก็เริ่มตกหนัก รู้สึกหนาวจนตัวเริ่มสั่น แต่ถึงแบบนั้นก็ยังวิ่งตรงไปเรื่อยๆตามทาง บางช่วงของถนนก็มีอุโมงกันแดดพอให้ได้หลบฝนได้บ้าง



“เกลียดฝนจริงๆเลยโว้ย!” ร้องออกมาแบบนั้นตอนที่แว่นเริ่มขึ้นฝ้าแล้วเริ่มจะมองไม่เห็นทาง ความลำบากของคนใส่แว่น ความลำบากของแว่นที่มีฝ้าขึ้นมาเป็นไอน้ำ สัดเอ้ย รำคาญ ... และเพราะว่ามองอะไรข้างหน้าได้ไม่ชัดเท่าไหร่เลยไม่ได้รู้เลยว่ามีรถคันนึงที่ขับมาตามทางแบบไม่เบานัก



‘ซ่า!!’



เปียกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวยันไข่ไหลลงไปถึงถุงเท้า ชุ่มไปหมดทุกสัดส่วน



“สัด เหยดแม่! พ่องตาย!! ขับรถไวขนาดนี้มึงไม่รีบไปตายก่อนใครเลยล่ะ กูจะโทรบอกยมบาลให้!!” โกรธจัดจนต้องแหกปากด่าไล่หลังออกไปแบบนั้น มองก็มองไม่เห็นแถมยังเปียกไปทั้งตัว น้องสมุทรที่ดึงแว่นออกมาจากหน้าแล้วพยายามเอาเสื้อนักศึกษาเปียกๆนั่นเช็ดแว่นที่ขึ้นฝ้า



‘ตึก ตึก ตึก’



ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้ มองเห็นเป็นภาพเบลอลางๆในตอนที่ยังไม่ใส่แว่นเหมือนว่าจะมาหยุดอยู่ตรงหน้า รู้สึกแบบนั้นเลยเบี่ยงตัวหลบ แต่อีกคนก็ไม่ยอมเดินผ่านไป ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมเงยหน้ามอง แต่มองไม่เห็นอะไรนอกจากภาพเบลอๆ สุดท้ายเลยเอาแว่นยกขึ้นมาใส่ ก่อนภาพของคนตรงหน้าจะทำให้ต้องเบิกตาค้าง



“พ...”



“ขอโทษที กูมองไม่เห็นคนเลยขับแรงไปหน่อย”



“ม..ไม่! ไม่ พี่พระจันทร์ไม่ผิดเลย จิ๊บๆเบาๆ” งื้ออ เมื่อกี้กูบอกจะโทรเรียกยมบาล ไอ้สัดน้องสมุทร มึงแช่งว่าที่เมียในอนาคตตัวเองอยู่นะ กูล่ะอยากจะตบตีตัวเองแรงๆจริงๆ ฮื่ออ



“ทำไมมึงมาอยู่ตรงนี้” ถามผมออกมาแบบนั้นแล้วมองไล่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าช้าๆ รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าทั้งตัวตอนที่พี่พระจันทร์เอาแต่มองกันไม่หยุดแบบนี้ ... คนเป็นผัวไม่ควรจะเขินง่ายๆ แต่ถึงแบบนั้นก็เสหน้าไปมองถนนแทนดีกว่า บางทีพื้นถนนมหาลัยกูมันก็สวยดีเหมือนกันนะ



“น้องสมุทรจะกลับบ้าน”



“แล้วเพื่อนมึงไปไหนกันหมด ทำไมปล่อยมึงมาอยู่คนเดียว”



“เพื่อนกลับหมดแล้วน่ะสิ พอดีน้องสมุทรอยู่หอสมุดเพลินน่ะ” พี่พระจันทร์พยักหน้านิดๆแบบเข้าใจและไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาอีก บรรยากาศระหว่างเราเหมือนกับช่วงเวลาของฝ้าที่ขึ้นแว่น เบลอๆและอึดอัดแปลกๆ อาจเป็นเพราะไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างกันและกัน และเพราะแบบนั้นเลยเป็นผมเองที่เลือกทำลายความเงียบนี้แทน



“พี่พระจันทร์กลับเถอะครับ เดี๋ยวน้องสมุทรก็จะกลับแล้วล่ะ” บอกออกไปแบบนั้นแต่อีกคนก็ยังไม่ได้ขยับตัวไป ผมเอียงคอมองหน่อยๆ

 

“ฮัลโหลพี่พระจันทร์ยังอยู่ไหม ใครโทรมาแล้วใครโทรไป” โบกมือไปมาใส่คนตรงหน้าที่เอาแต่จ้องมองกันแต่ไม่ยอมพูดอะไร พี่พระจันทร์กรอกตาใส่เล็กๆแล้วเอื้อมมือจับแขนของผมที่โบกไปมาอยู่ตรงหน้าของอีกคนเอาไว้



“มึงกลับกับกู เดี๋ยวกูไปส่ง”



“ห๊ะ!!” ฝัน...ฝันหรือเปล่า ฝันที่ไม่กล้าฝัน



“ไป” พูดออกมาสั้นๆแค่นั้นแล้วดึงมือผมให้เดินตามกันไป



“เห้ยๆ พี่พระจันทร์ ไม่เป็นไรครับ” ถึงจะอยากเอาตูดไปแนบกับเบาะรถพอร์ชสปอร์ตสองที่นั่งสีเทาคันที่จอดเปิดไฟฉุกเฉินอยู่ข้างถนนตอนนี้ก็ตามเถอะ แต่จะให้พี่พระจันทร์ไปส่งก็เกรงใจ



“ทำไม” หันกลับมามองหน้ากันนิ่งๆ แต่ปลายเสียงที่พูดออกมาติดจะไม่พอใจเล็กๆ



“ก็...ก็น้องสมุทรเกรงใจ” ช้อนตามองบอกออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็ถอนหายใจออกมานิดหน่อย มือหนาที่เสยผมที่เปียกน้ำของตัวเองขึ้นไปด้านบน ... กรี๊ดดด ว่าที่เมียน้องสมุทรแสนจะโซฮอตจัดๆ



“ถือเป็นค่าตอบแทนข้าวเหนียวหมูปิ้ง” บอกแค่นั้นแล้วไม่ยอมให้ผมได้พูดปฏิเสธอะไรออกมาอีก รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่พระจันทร์ยัดตัวผมเข้าไปนั่งในรถของเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว หันซ้ายหันขวามาอีกที พี่พระจันทร์ก็ออกตัวรถเรียบร้อย



“บอกทางไปบ้านมึงมา”


ผมพยักหน้ารับแล้วบอกออกไป เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับนิดหน่อย แล้วบรรยากาศโดยรอบของเราก็เงียบลงมาอีกครั้ง พี่พระจันทร์ที่ทำแค่เอามือนึงเท้าแขนกับกรอบหน้าต่างรถ และอีกมือก็จับพวงมาลัยนิดๆ ขับไปด้วยท่วงท่าที่เรียกได้ว่าจะสบาย ... แต่น้องสมุทรไม่สบาย หันไปมองทีไรก็อยากจะหน้าแดงทุกทีเลยว่ะแม่ง ก็ไอ้เสื้อนักศึกษาบางๆที่เปียกน้ำของพี่พระจันทร์มันแนบไปกับหน้าท้องแกร่งจนเห็นซิกแพ็คเป็นลอนๆอย่างชัดเจนเลยอ่ะดิ หืดหาด เป็นคนสวยขารักสุขภาพแหล่ะ!



“ถ้าอยากมองมึงก็มองเถอะ หันไปหันมาแบบนั้นคิดว่ากูไม่รู้หรือไง”



“เอ่อ...” อึกอักเลย น้องสมุทรโดนจับได้หรือนี่ น้องสมุทรก็ว่าเนียนในระดับนึงอยู่นา



“พี่ดูออกด้วยหรอจ๊ะ”



“หึ ไม่ออกเลยมั้ง จ้องกล้ามท้องกูขนาดนั้นน่ะ”



“อุ้ย” สะดุ้งเลยกู แต่ให้ทำไงได้อ่ะ ก็กล้ามมันเตะตาโดนใจผมมากๆ น้องสมุทรน่ะไม่มีกล้ามอะไรเลยสักนิด ทั้งๆที่พยายามออกกำลังกาย เคยโดฟเวย์โปรตีนแล้วด้วย แต่สุดท้ายก็เลิกไปเพราะรถชาติมันเหี้ยเกินไปไม่อร่อยเหมือนขนม และสุดท้ายแผนการสร้างกล้ามเนื้อก็ถูกพับไปในที่สุด



“ชอบกล้ามกูหรือไง”



“อื้มม น้องสมุทรอยากมีบ้าง แต่มันไม่มาเลยสักนิด” บ่นออกไปแบบนั้นแล้วก้มลงมองพุงตัวเอง อย่าว่าแต่ซิกแพ็คที่จะโผล่ขึ้นมาเลย ทุกวันนี้ก้มลงไปก็เจอแต่วันแพ็คล้วนๆ กูนึกว่าพุงเด็กอิ่มนม ปัดโถะ!



“เอ๊ะ พี่พระจันทร์เลี้ยวเข้ามาที่สวนนี่ทำไมอ่ะ” ร้องบอกออกมาแบบนั้นตอนที่รู้ว่ารถคันแพงนี่เลี้ยวเข้ามาจอดที่สวนสาธารณะใจกลางกรุงเทพนี่แทนที่จะขับต่อไป



“ฝนตกหนักมาก กูไม่อยากเสี่ยง มันมองไม่เห็น มึงรีบหรือเปล่า”



“ไม่ครับ”



“ก็ดี...เพราะถ้ามึงรีบมาก ก็วิ่งไปละกัน” เอ้า สัดนี่! เอ้ย...หยอกจ้า ใครจะกล้าพูดหยาบๆใส่พี่พระจันทร์คนสวยขาของน้องสมุทรได้กันล่ะ ผมที่หันหน้าออกไปจากรถ มองกระจกทางฝั่งซ้าย บรรยากาศเงียบๆในรถเกิดขึ้นอีกครั้ง ได้ยินแต่เสียงแอร์ที่ดังอยู่ในรถเพียงอย่างเดียว



‘ฟึบ’



“อ๊ะ”



“เช็ดหัวซะ เดี๋ยวเป็นหวัด” เสียงเข้มที่มาพร้อมๆกับผ้าขนหนูที่โยนลงมาใส่หัวของผม



“ข...ขอบคุณครับ” ผมยิ้มออกมาน้อยๆตอนที่เริ่มเอาผ้าผืนนั้นมาเช็ดผมเช็ดตัวตามที่อีกคนว่า เหมือนว่าก่อนหน้านี้พี่พระจันทร์จะเอี้ยวตัวไปหยิบของจากหลังรถมา เห็นเป็นกระเป๋ากีฬาอยู่ตรงนั้น



“แล้วพี่พระจันทร์ล่ะครับ”



“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเปลี่ยนเสื้อเอา”



“ห๊ะ” ผมร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจ แต่กลับต้องเบิกตากว้างขึ้นไปอีกในตอนที่เจ้าตัวเริ่มแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาออกจากตัวในตอนนี้



“มองอะไร มองหัวนมกูหรือไง”



“เห้ย...ปล๊าว” สัด ทำไมต้องเสียงสูง!



“หึ”  พี่พระจันทร์ที่ขำในลำคอแบบนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแล้วเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น เห็นแบบนั้นก็เผลอช้อนตามองอีกฝ่าย แล้วแนบแผ่นหลังไปกับเบาะรถให้มากที่สุดอย่างตกใจและทำอะไรไม่ถูก



‘ครืด’



“พี่...พระ...จันทร์” เรียกชื่ออีกคนอย่างกระท่อนกระแท่นในตอนที่เบาะที่นั่งของผมถูกปรับเอนให้นอนลงแบบไม่รู้ตัว และต้องกลืนน้ำลายเหนวๆลงไปในลำคอตอนที่อีกคนจ้องมาที่ร่างกายของผมที่พึ่งรู้ว่าเสื้อนักศึกษาของตัวเองก็เปียกจนแนบและเห็นไปถึงไหนต่อไหนไม่ต่างไปจากใครอีกคนที่ตอนนี้กำลังเอนตัวมาคล่อมทับกันไว้ ดวงตาสวยคมที่สบกับสายตาของผมในตอนนี้วาววับแบบที่ผมเคยเห็น .... เคยเห็นแบบนี้ในครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอพี่พระจันทร์...



“รื้อฟื้นกันหน่อยดีไหมวะ เรื่องของมึงกับกูน่ะ”



#รักอยู่รู้ยัง

---------------------------------------

กรี๊ดดด รื้อฟื้นอะไรกันคะ มันยังไง มันทำไม...เคยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ

แต่พี่พระจันทร์ช่วยใจเย็นกับน้องหน่อยค่ะ คิดอะไรอยู่กันคะเนี่ยผู้ชายคนนี้

งึ่ยย ... แคทฝากพี่พระจันทร์กับน้องสมุทรไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ

ฝากคนอ่านคอมเม้นท์เป็นกำลังให้กันด้วยน้า แคทตามอ่านทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ

และสามารถมาหวีดร้องกันได้ทางทวิตเตอร์ได้ที่แฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ด้วยนะคะ จุ๊บๆ

 
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ (290521)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 11-07-2021 22:24:29
ขอเสนอชื่อตอนว่าหมูปิ้งสื่อรักค่ะ ><
แต่.....เดี๋ยวก๊อน เดี๋ยวก่อน ทำไมตัดจบแบบนี้!!!! เค้าจะมารื้อฟื้นความหลังอะไรกันอ่ะแม๊!!!
รีบโทรไปฟ้องพ่อมาร์ชด่วนๆ ว่าลูกสาวคนดีจะถูกทำมิดีมิร้ายจากเมีย(ทิพย์)แล้ว
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ (290521)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-07-2021 18:56:07
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ (290521)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 08-01-2022 19:12:26
 

บทที่3

 

แผ่นหลังของผมที่ค่อยๆ แนบสนิทลงไปกับเบาะรถราคาแพง ที่มันถูกเอนลงไปด้วยฝีมือของคนที่คล่อมทับกับตัวผมอยู่ในตอนนี้ เสียงทุ้มเข้มไม่ดังไม่เบาที่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากสวยสีอมส้มนั้นทำเอาขนลุกไปทั้งแผ่นหลัง

 

“รื้อฟื้นกันหน่อยดีไหมวะ เรื่องของมึงกับกูน่ะ”

 

จบคำพูดประโยคนี้ ดวงตาคู่สวยนั้นก็วาววับขึ้นมา พอๆ กับหัวใจของน้องสมุทรที่มันเต้นไม่หยุดเลยในตอนนี้ นึกย้อนกลับไป ในวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน วันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนชั้นม.6ของพี่พระจันทร์ ...

 

และใช่ มันเป็นวันสุดท้ายที่เราได้เจอกัน

 

แต่ถึงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน แต่วันนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกันมากกว่าหนึ่งประโยค ได้พูดคุย ได้ใกล้ชิด ได้สนิทมากกว่าทุกที...และจบลงที่ จากไป ทิ้งไว้แค่ตะกอนความทรงจำในใจของน้องสมุทรตลอดมา

 

แค่นึกย้อนกลับไปก็ขนลุกซู่ซ่าหน้าแดงเหมือนตูดลิงแล้วอ่ะ ก็เรื่องตอนนั้นมัน....

 

“บางทีกูก็สงสัย ว่ามันเป็นเพราะเรื่องครั้งนั้นหรือเปล่า...”

 

“..............”

 

“ที่ทำให้มึงยังติดอยู่กับกูจนถึงตอนนี้”

 

“ม...ไม่...” อยากจะเถียงออกไปว่าไม่ใช่ แต่พอลองนึกๆ กลับไป ก็ทำแบบนั้นกับน้องสมุทรไว้ มาสอนกันไว้กับคนที่มันชอบพี่ฉิบหาย แล้วบอกว่าให้ลืมมันไป มันจะทำได้ยังไงล่ะวะ โถ่อิ!...อิคนสวยหน้าคมยอดดวงใจของน้องสมุทร

 

“ทำไม มึงเถียงไม่ออก?”

 

“ป...เปล่า แต่....” แต่มันก็ใช่ อยากเถียงยังไงก็ยาก

 

“แบบนี้มันจะดีแน่หรอสมุทร” ใบหน้าคมนั่นที่เลื่อนเข้ามาใกล้ คำพูดที่ไม่ได้ดังไม่ได้เบามากเท่าไหร่ แต่พอช้อนตาขึ้นมองใบหน้านั้นที่หยุดนิ่งค้างไม่ใกล้ไม่ไกล ฝ่ามืออุ่นๆ ที่ก็เลื่อนเข้ามาประคองใบหน้าของผมเอาไว้ ดวงตาคู่สวยในขนตายาวๆ นั่นที่ก็จับจ้องมามองกันไม่ละสายตา

 

“ผม....”

 

“อย่าเอาใจมาเททิ้งไว้ให้กูเลย”

 

“ผมยังไม่ได้เริ่มลอง พี่ก็จะปฏิเสธกันอีกแล้วหรอ” กี่ครั้งที่ผมยังไม่ทันได้เริ่มก็โดนปัดทิ้งไปแบบนี้

 

“มันเสียเวลา”

 

“แต่ผมก็อยากลอง พี่พระจันทร์...” ตอนที่เรียกชื่ออีกคนออกไปแบบนั้น ก็เป็นตอนที่ช้อนตามองหน้าอีกฝ่าย มือของผมที่ผวาเอื้อมไปจับต้นแขนของคนที่เลื่อนตัวเข้ามาคล่อมทับผมเอาไว้ ในนาทีนี้ที่เราสบตากัน มองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ ที่อีกฝ่ายส่งมาให้กันสักนิด แต่ถึงแบบนั้น

 

“ขอน้องสมุทรลองอีกสักครั้งได้ไหม ให้ครั้งนี้น้องสมุทรได้ลอง ในแบบที่พี่พระจันทร์จะไม่หายไปก่อนที่น้องสมุทรจะได้ทำอะไรเลย จะได้หรือเปล่า”

 

“ถึงแม้ว่าสุดท้ายมึงจะต้องเป็นคนเสียใจ...” เสียงทุ้มเข้มถามออกมาแบบนั้น สายตาที่ผมก็ช้อนตามอง ในแววตายังคงเหมือนเดิม สายตาที่มองผม แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

 

“อืม”

 

“มึงเลือกเองนะ เพราะถ้าสุดท้ายกูไม่รู้สึก กูก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปรับผิดชอบความเสียใจของมึง

 

“อื้ม ... น้องสมุทรไม่เป็นไรหรอก” ตอบออกไปแบบนั้น พร้อมส่งยิ้มจนตาหยีผ่านเลนแว่นตาหนาๆ ไปให้พี่พระจันทร์

 

ไม่เป็นไรหรอก ไม่เห็นมันจะต่างกันตรงไหน เมื่อก่อนก็เคยเสียใจเพราะไม่ได้เริ่มลงมืออะไรสักอย่าง ถ้าครั้งนี้ได้ลองแล้วมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด อย่างน้อยก็จะไม่เสียใจที่ได้ลองเข้าใกล้พี่พระจันทร์มากกว่าเดิม ... น้องสมุทรจะไม่เป็นเด็กขี้ขลาดที่ทำได้แค่ตะโกนบอกรักจากกลางสนามบอลอีกแล้ว

 

“น้องสมุทรเลือกเอง”

 

“งั้นก็ดี” ว่าแบบนั้น ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ มุมปากหยักที่ยกยิ้มขึ้นมาในตอนนั้นแตกต่างออกไปจากปกติที่อีกฝ่ายชอบทำหน้านิ่งๆ ไม่สนโลก แววตาแพรวพราวที่เหมือนหมาป่าที่จ้องจะตะครุบเหยื่อ ทำเอาใจน้องสมุทรเต้นโครมคราม พี่พระจันทร์ในแบบใหม่ ในแบบที่น้องสมุทรไม่เคยเห็น ... ต่างจากสามปีก่อนไปเยอะเลย

 

“เพราะเวลาที่กูได้เริ่ม...กูจะได้ไม่รู้สึกผิดอะไรที่จะไม่หยุด” จบคำพูดพร้อมแววตาเป็นประกาย น้องสมุทรที่จะอ้าปากตอบกลับอะไรออกไปก็ไม่ได้พูดสักคำ เพราะมันติดตรงริมฝีปากตรงหยักที่โฉบทับลงมาแบบที่ไม่ทันให้ตั้งตัว รุนแรงดุดันพร้อมที่จะรุกล้ำจนหัวใจน้องสมุทรเต้นโครมๆ ... นี่มันริมฝีปากสวยของพี่พระจันทร์!

 

“อึก”

“เปิดปากหน่อยสมุทร” เสียงกระซิบแหบพร่าที่เรียกชื่อของผม มาพร้อมๆ กับปลายจมูกโด่งที่คลอเคลียไปตามข้างแก้ม ลมหายใจร้อนๆ ของอีกฝ่ายที่เป่ารดกันจนผมต้องเอียงหน้าหลบ แต่ถึงแบบนั้นอีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่ยอมให้ผมทำตามความต้องการ


“สมุทร”

 

“อึก...อื้ม” เสียงครางเบาๆ ที่ดังแผ่วออกมาจากลำคออย่างห้ามไม่อยู่นั่นยิ่งทำให้รู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้น ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาช้าๆ มองเห็นพี่พระจันทร์ตรงหน้าในระยะที่เรียกได้ว่าใกล้ชิดจนใจสั่น นานมากเลยที่ไม่ได้เห็นใกล้ๆ กันขนาดนี้


“เกะกะ” คนที่ผละริมฝีปากออกจากปากอิ่มพูดออกมาเบาๆ แบบนั้นพร้อมหัวคิ้วที่ย่นเข้าหากัน ท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง ทำให้น้องสมุทรไม่เข้าใจ


“แว่นมันเกะกะ”


“อื้อ ไม่เอา” ร้องห้ามออกมาในตอนที่ฝ่ามือหนาเริ่มจะทำตามใจตัวเองด้วยการทำท่าจะดึงแว่นออกจากหน้าน้องสมุทร แต่ติดที่ฝ่ามือเรียวเอื้อมไปคว้าข้อมือแกร่งเอาไว้ได้ทัน

 

“ทำไม” ขมวดคิ้วนิดๆ พร้อมถามออกมาด้วยเสียงที่เข้มขึ้น

 

“กะ...ก็น้องสมุทรอยากเห็นหน้าพี่พระจันทร์ชัดๆ ถอดออกแล้วมองไม่ชัดนี่” เลือกจะตอบออกไปแบบนั้นแทนความจริงที่ว่า ไม่อยากให้เห็นหน้าชัดๆ หรอก ก็น้องสมุทรไม่หล่อเท่นี่หว่า อยากเป็นไอ้เด็กสุดหล่อในแว่นตาโตของพี่พระจันทร์

 

“หึ ... มึงนี่มัน...” อีกคนที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอียงหน้าเข้ามาหากันอีกครั้ง ริมฝีปากหยักที่กดจูบเบาๆ ย้ำชัดแนบที่รูปปากแล้วผละออกแล้วกดย้ำลงไปอีกครั้ง ทำซ้ำๆ อยู่แบบนี้อีกสองสามครั้งจนน้องสมุทรเขินกับท่าทางแบบนั้น

 

“พ...พี่”

 

“3ปีที่ผ่านมา ที่กูเคยสอนไว้ ... มึงได้เอาไปลองใช้กับใครบ้างรึเปล่า”

 

ริมฝีปากหยักที่อ้อยอิ่งอยู่ข้างๆ แก้ม ลมหายใจร้อนที่รินรดอยู่ตรงนั้นทำเอาขนอ่อนๆ ตามใบหน้าและลำคอลุกชันอย่างห้ามไม่อยู่ ร้อนหน้าที่ไม่ใช่หน้าร้อนจนรู้สึกว่าหน้าแดง ... ฮึบไว้น้องสมุทรคนเท่ เราจะเขินอายไปมากกว่านี้ไม่ได้นะเห้ย

แต่ให้ทำไงได้ น้องสมุทรเขินไปแล้วนี่หว่า เขินสีหน้า เขินท่าทาง เขินมุมปากที่กำลังยกยิ้มนั่น ... แล้วน้องสมุทรก็เขินสายตาหวานๆ แต่ติดจะคมดุนั่นที่กำลังมองกันแบบรอฟังคำตอบอยู่ตอนนี้

 

“ผ...ผม”

 

“ว่าไง”

 

“แน่นอน น้องสมุทรน่ะนะเคย...อึก อื้มม”

 

ริมฝีปากของคนตรงหน้าที่โฉบลงมาประกบจูบ ขบเม้มหนักๆ รุนแรงมากกว่าเก่า ความรู้สึกเหมือนเป็นการลงโทษซะด้วยซ้ำ

น้องสมุทรยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยคเลยนะ ...

 

ในตอนที่ตกใจจนต้องยกมือขึ้นดันอกแกร่งนั่นไว้ แต่อีกฝ่ายก็เลื่อนมือขึ้นมาจับมือกันเอาไว้ซะก่อน ฝ่ามือหนาที่รวบแขนทั้งสองข้างของน้องสมุทรขึ้นไปไว้เหนือหัวอย่างช่ำชอง ลิ้นร้อนชื้นที่ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี พยายามจะแทรกเข้ามาในโพร่งปากอย่างช้าๆ ในตอนที่ตั้งใจจะเบี่ยงหน้าหนี มันก็ดันติดตรงที่รับรู้ได้ถึงว่าฝ่ามือหนาของคนตรงหน้าที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาจากชายเสื้อ ฝ่ามือเย็นชื้นที่วางลงบนเอว ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาช้าๆ แล้ววางแนบลงมาที่กลางหน้าอก ... หัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความทรงจำที่ผ่านมานานแล้ววิ่งมากระแทกหน้าไม่ขาดสาย

 

“อ๊ะ...” นิ้วมือเย็นที่แนบลงบนยอดอกข้างขวา ปลายนิ้วชี้และหัวแม่มือที่ค่อยๆ บีบคลึงมันช้าๆ จนทำให้ต้องร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ปรือสายตาสั่นๆ ของตัวเองมองหน้าคนที่แนบริมฝีปากหยักขบเม้มอย่างมีชั้นเชิง พี่พระจันทร์ที่พอได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของผมก็ทำแค่ผละหน้าออกในระยะสั้นๆ ก่อนจะแบลงมาแนบริมฝีปากอย่างร้อนแรงมากกว่าเดิม และถึงแบบนั้นในช่วงจังหวะนึง ผมก็ยังทันเห็นริมฝีปากยกยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ชนะของเค้าได้ชัดเจน

 

“มึงกำลังโกหกใครอยู่สมุทร”

 

“อึก....”

 

“คนที่เคย เค้าไม่อ่อนแบบนี้หรอก” เสียงกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหู ปลายจมูกโด่งที่ไล้คลอเคลียอยู่ข้างแก้มทำเอาน้องสมุทรหน้าแดงทุกที

 

“อ๊ะ...ม ไม่...” พยายามร้องห้ามแต่ไม่ทัน ได้แต่ร้องออกมาแค่นั้นพร้อมเชิดหน้าขึ้นมอง แว่นที่สวมใส่อยู่ถูกถอดออกไปด้วยฝีมือคนตรงหน้า สายตาที่เริ่มพล่าเบลอมองเห็นหน้าอีกคนไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ภาพลางๆ ที่มองเห็นก็คือพี่พระจันทร์ที่ชะงักไปตอนที่มองหน้ากันแบบไม่มีแว่น

 

แม่งเอ้ย พลาดแล้ว น้องสมุทรไม่เท่อย่างแรงเลยอ่ะดิ

 

“พี่พระจันทร์ขอแว่นสมุทรคืน”

 

“มึงแม่ง ...พอไม่ใส่แล้ว....”

 

“รู้แล้วน่าว่าน่าเกลียด อย่ามาขยี้ปมได้เปล่า น้องสมุทรขอแว่นนะ” โพล่งออกไปแบบนั้น แล้วช้อนตามอง พยายามทำหน้าน่าสงสาร สองมือที่ก็ยื่นออกไปกำๆ แบๆ แบบขอแว่นคืน ภาพเบลอๆ ที่คนไม่สายตาสั้นไม่เข้าใจ แต่น้องสมุทรเข้าใจมาก เบลอขนาดนี้เอาลูกตากูออกจากเบ้าไปเลยเถอะ

 

“ไม่”

 

“พ...พี่พระจันทร์อ่....อึก” เป็นอีกครั้งที่คนขโมยแว่นโฉบปากลงมาบดขยี้ริมฝีปากของน้องสมุทร เป็นช่วงเวลาที่ทั้งมึนทั้งงงปนเขินจนใจสั่น ฝ่ามือหนาที่เลิกจับข้อมือของน้องสมุทรแล้วถูกเปลี่ยนมาจับใบหน้าล็อคเอาไว้บังคับให้เอียงหน้าทำมุมองศาเพื่อรับจูบพี่พระจันทร์ให้ได้มากกว่าเดิม ... พี่พระจันทร์ยังจูบเก่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือร้อนแรงจนน้องสมุทรหายใจไม่ทัน

 

“อ๊ะ...” เสียงในลำคอที่เปล่งออกมาอย่างตกใจ เมื่อเบาะรถที่นั่งอยู่ถูกปรับเอนนอนราบลงไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ผวาจนต้องเอื้อมมือไปเกาะไหล่กว้างของคนตรงหน้าเอาไว้ แต่ถึงแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยังเอาแต่ใจไม่ยอมถอนจูบออกมาแม้แต่น้อย ลิ้นร้อนยังคงทำหน้าที่เกี่ยวกวัดไล่ต้อนลิ้นของน้องสมุทรอยู่อย่างเดิม รับรู้ได้ว่าขาของน้องสมุทรถูกดันให้อ้าออกด้วยท่อนขาแกร่ง แล้วตามมาลำตัวท่อนล่างของคนบนตัวที่ตามทาบทับลงมาแบบแนบแน่น เนื้อแนบเนื้อกับเสื้อผ้าที่ก็ต่างฝ่ายต่างเปียก ยิ่งทำให้รับรู้ไปทุกสัดส่วน โดยเฉพาะในเวลาที่ร่างกายส่วนล่างของพี่พระจันทร์เริ่มขยับเนิบนาบช้าๆ ผ่านกางเกงนักศึกษาที่เนื้อผ้าบางๆ เหมือนจงใจแกล้งให้น้องสมุทรรู้สึกมากไปกว่าเดิม

 

“สมุทร”

 

“อึก...ด...เดี๋ยว”

 

“ไม่เดี๋ยว”

 

ไม่เดี๋ยวคืออะไร เดี๋ยวก่อนสิเห้ย! คนเป็นผัวต้องเป็นผู้นำไหมยังไง พี่พระจันทร์จะมานำกันแบบนี้ไม่ได้ไหมเห้ย ... ใจเย็นก่อนพ่อหนุ่มคนสวยของน้องสมุทร

 

“อ๊ะ อึก...อย่..อื้ม” คำพูดร้องห้ามหายเข้าไปในลำคออีกครั้งเมื่อโดนกดจูบย้ำๆ ซ้ำๆ อีกที ฝ่ามือหนาที่เลื่อนไปวางลงบนเป้ากางเกงของผมอย่างรุกล้ำ นิ้วเรียวยาวของพี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ ลูบไล้มันเบาๆ ไปตามความยาวอย่างช้าๆ ก่อนจะผละมือออกมาแล้วแนบลำตัวท่อนล่างของตัวเองลงบนตำแหน่งนั้นแทน ท่อนเอ็นแข็งขืนของอีกฝ่ายที่ขึ้นรูปชัดเจนในทุกๆ ครั้งที่ขยับเอว อยากจะร้องห้าม แต่อารมณ์วาบหวามก็ปิดปากน้องสมุทรเอาไว้แน่น

 

พี่พระจันทร์ในตอนนี้ น้องสมุทรก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดีเหมือนอย่างเคย

 

คนจะเป็นผัว ... นอนครางอยู่ข้างล่างก็คงไม่แปลกใช่ไหมวะ แบบว่าพี่พระจันทร์อาจจะอยากออนท็อป

 

“อ๊ะ”

 

‘ครืด ครืดดดด’

 

เสียงมือถือที่ถูกวางทิ้งไว้จากหน้าคอนโซลรถไม่ทำให้คนบนตัวผมเลิกขยับช่วงเอวให้เสียดสีกันมากขึ้นกว่าเดิม พี่พระจันทร์ยังคงพยายามปลุกปั่นแกล้งกันอยู่แบบนั้น ใบหน้าคมที่ผละออกมาเอาสันจมูกไล้ไปตามข้างแก้ม ลมหายใจร้อนๆ ที่ตัดกับแอร์เย็นฉ่ำของรถราคาแพง ทำให้ขนอ่อนทั่วร่างกายชูชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

‘ครืด ครืดดดด’

 

เสียงโทรศัพท์มือถือของพี่พระจันทร์ที่ยังคงสั่นเหมือนเจ้าเข้าไม่เลิกไม่ลา ทำให้คนบนตัวของผมชะงักใบหน้าอยู่ที่ข้างแก้ม ได้ยินเสียงลมหายใจดังฟืดฟาดเหมือนคนที่กำลังไม่สบอารมณ์ของพี่พระจันทร์ดังอยู่ข้างๆ หู ใบหน้าคมที่ค้างนิ่งอยู่แบบนั้น ก่อนที่พี่พระจันทร์จะผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา แล้วค่อยๆ ดันตัวผละออกจากผมเล็กน้อย เราสองคนที่สบตากันนิ่งโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร เป็นช่วงเวลาที่โคตรจะเขินอาย น้องสมุทรอยากมุดเบาะรถ ... ก็เมื่อกี้นี้เราพึ่ง

 

‘ครืด ครืดดดด’

 

แม่ง! มือถือผีเปรต น้องสมุทรอยากจะถามว่ามีใครตายหรอโทรจังเลย อิมือถือขี้ขัด หึ่ย!

 

พี่พระจันทร์ที่เอี้ยวตัวกลับไปคว้าโทรศัพท์มาดู ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากัน ผมที่ได้แต่มองตามท่าทางนั้นไปแบบไม่เข้าใจ พี่พระจันทร์ผละตัวกลับไปนั่งที่เบาะนั่งคนขับของตัวเองตามเดิม แล้วกดๆ จิ้มๆ ก้มหน้าลงไปกับโทรศัทพ์ น้องสมุทรเองไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าพูดตามตรงก็ออกจะเก้อเขินอยู่เหมือนกัน ก็อีกฝ่ายเล่นผละออกไปแบบนั้นนี่หว่า

 

“อ่ะ เอ่อ พี่พระจั...”

 

“มึงเงียบก่อน” เสียงเข้มที่ติดจะหงุดหงิดบอกกับผมแบบนั้น สายตาคมนั่นยังไม่ยอมละออกจากหน้าจอมือถือ พี่พระจันทร์ที่เอาแต่กดๆ จิ้มๆ พิมพ์ข้อความบางอย่างลงไปแต่เหมือนจะไม่มีอะไรตอบกลับมา

 

“แม่ง” คนตรงหน้าผมสบถออกมาแบบนั้น แล้วตัดสินใจกดโทรออก ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนพี่พระจันทร์จะร้อนใจน่าดู สังเกตได้จากสีหน้าและท่าทางที่เปลี่ยนไป

 

“ทำไมไม่ตอบ อยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า!” เสียงร้อนใจที่แทบจะเป็นตะโกน กรอกเข้าไปในสายโทรศัพท์ยิ่งทำให้ผมตกใจ ไม่เคยเห็นพี่พระจันทร์ในโหมดนี้ โดยปกติก็เป็นแค่คนสวยหน้านิ่งที่ดูจะรำคาญทุกสิ่งแค่นั้นเอง

 

“ได้ รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวจันทร์ไปรับ...ครับ จันทร์จะรีบไป” เสียงทุ้มนุ่มที่พูดออกมาแบบนั้น เสียงในแบบที่ผมไม่เคยได้ยิน พี่พระจันทร์ที่กดวางสายโทรศัพท์แล้วหันมามองหน้าผม อะไรบางอย่างทำให้รู้แล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ผมยิ้มออกมาแบบที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกไม่ดี

 

“กูไปส่งมึงไม่ได้แล้....”

 

“ไม่เป็นไรเลยครับ พี่พระจันทร์ส่งน้องสมุทรตรงBTSข้างหน้านี้ก็ได้ เดี๋ยวสมุทรไปต่อเอง”

 

“กูต้องไปอีกทางนึงว่ะ มึงไปเอง...”

 

“ได้เลย! น้องสมุทรเดินออกไปตรงนี้นิดเดียวได้สบายมาก พี่พระจันทร์ไม่ต้องห่วงนะ” ผมที่รีบสวนคำพูดออกมาแบบนั้น พี่พระจันทร์พยักหน้านิดๆ ก่อนจะยื่นแว่นตามาสวมให้ผมตามเดิม ใบหน้าคมที่ผมชอบมองเห็นได้ชัดมากกว่าเดิม ผมที่ยกมือขึ้นขยับแว่นตาตัวเองอย่างเคยชิน ก้มลงหยิบกระเป๋าที่ตอนนี้มันไหลตกลงไปอยู่ที่พื้น พี่พระจันทร์ไม่พูดอะไรออกมาอีกสักคำ เป็นความรู้สึกที่วูบโหวงในใจ แต่ไม่พูดออกมาจะดีที่สุด

 

ในเมื่อรอแล้วอีกฝ่ายไม่พูดอะไร ผมเลยตัดสินใจเปิดประตูรถ

 

“สมุทร”

 

“ค..ครับ”

 

“มึงอย่าถอดแว่นออกอีกนะ” บอกออกมาแบบนั้น ผมเลยเผลอยกมือขึ้นจับแว่นตาตัวเองอีกครั้ง เม้มปากนิดๆ อย่างไม่มั่นใจ ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าตามันจะลอยๆ อบาทย์หน่อยๆ เวลาถอดแว่น

 

“อื้ม รู้แล้วน่า มันน่าเกลียด แหะๆ”

 

“มึงมันไม่รู้อะไรเลยเถอะ”

 

“หื้ม” ส่งหน้างงๆ ไปให้แต่พี่พระจันทร์ไม่ตอบ อีกฝ่ายแค่เอี้ยวตัวไปที่เบาะรถด้านหลัง แล้วหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่กว่าผมส่งมาให้

 

“ครับ?”

 

“มึงไม่รู้จักเสื้อหรือไง ใส่คลุมไปสิวะ เสื้อนักศึกษามึงมันบาง เห็นไปถึงหัวนมมึงแล้ว” บ่นออกมาแบบนั้นแล้วโยนเสื้อตัวนั้นมาให้ ใจที่เคยห่อเหี่ยวเมื่อก่อนหน้านี้กลับฟูขึ้นมาอีกครั้งซะอย่างงั้น ... ไอ้น้องสมุทร มึงนี่มันใจง่ายจริงๆ เลยนะ

 

“ข...ขอบคุณครับ”

 

“มึงรีบๆ ไปได้แล้ว กูรีบ” อีกฝ่ายที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกแขนท้าวเข้ากับกระจกรถแล้วหันหน้าไปทางอื่น ผมพยักหน้าอย่างแข็งขันแล้วส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย แม้ว่าพี่พระจันทร์จะไม่ได้มองก็ตาม

 

“ผมไปนะครับ ...”

 

“.................”

 

“ขอบคุณนะครับพี่พระจันทร์” พูดบอกออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมามากไปกว่าคำว่า “อืม” สั้นๆ ที่ไม่ดังอะไร

 

           และสุดท้ายน้องสมุทรก็มายืนตัวเปียกอยู่กลางสวนสาธารณะ มองตามรถคันหรูที่ขับออกไปอย่างรีบร้อน ผมที่กอดกระเป๋าเป้ตัวเองเอาไว้แน่นๆ แล้วยิ้มบางออกมานิดๆ ....

 

“อย่างน้อยวันนี้ก็ได้ใกล้ชิดมากกว่าเดิมแหล่ะวะ” สู้เค้าโว้ยไอ้น้องสมุทร อนาคตผัวพี่พระจันทร์อยู่ไม่ไกลหรอก ฮ่าๆๆ

 

‘ซ่า ซ่า’

 

อืม....แต่อนาคตผัวของพี่พระจันทร์ตอนนี้เปียกมาก เปียกไปยันไข่ ไหลไปตามร่องตูด ฝนตกรุนแรงมากๆ แม่งเอ๊ย ทำไมไม่พกร่ม หงุดหงิดกับตัวเองนิดๆ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไป ถ้าออกจากสวนนี้ได้ ข้างหน้าสวนก็เป็นบันไดข้ามไปสถานีรถไฟฟ้าได้แล้วล่ะ

 

“นี่”

 

“อ่ะเอ่อ...คือ” ผมที่ค่อยๆ หันไปมองทางด้านข้างตัว รับรู้ได้ถึงเงาของร่มคันใหญ่ที่กำลังกางให้ผม

 

“มึงกำลังจะไปBTS?” ผู้ชายร่างสูงในชุดนักศึกษามหาลัยที่บอกไม่ได้ว่ามหาลัยอะไร มองไม่เห็นหัวเข็มขัดเพราะเจ้าตัวปลดเสื้อออกมาจากกางเกง เสื้อนักศึกษาแขนยาวที่ถูกพับไว้ที่ข้อศอกอย่างลวกๆ กับทรงผมทันสมัยและเจาะหูอย่างเท่ ตัวที่สูงกว่าผมนั่นทำให้ต้องเงยหน้ามอง

 

“เอ่อ...กะ ก็ใช่” ตอบกลับไปอย่างงงๆ ว่าแต่มึงใครเนี่ย...

 

“งั้นไป”

 

“ห๊ะ เห้ย เดี๋ยวๆ” ร้องบอกออกมาแบบนั้น ตอนที่คนข้างตัวเริ่มเดิน มันที่เอาร่มมาเกี่ยวหัวผมให้เดิมตามไปข้างๆ ...

 

อะไรกันครับเนี่ย!!

 

“ไม่ต้องทำหน้ากลัวกูขนาดนั้น” อ๋อหรอ...กูต้องไม่กลัวคนที่ไม่รู้จักหรอ ยังไง โอ้สังคมเมืองพุทธ

 

“ก็แค่เห็นมึงยืนเปียกเป็นลูกหมา ไหนๆ ก็จะมาทางเดียวกันอยู่แล้ว ช่วยกัน” เค้าพูดเสริมออกมาแบบนั้น หลังจากที่เห็นสีหน้าของผม

 

“อ่า...เอ่อ...ขอบใจ” อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ทำแค่พยักหน้ารับ แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า ผมที่แอบเงยหน้ามองเขานิดๆ แม่งเอ้ย หล่อว่ะยอมรับเลย

 

“ชอบกูหรอ”

 

“ห๊ะ!”

 

“ก็เห็นแอบมองไม่เลิก”

 

“แค่มองนี่ต้องชอบเลยรึไงวะ อาจจะมองเพราะแค่คิดว่าหน้ามีขี้มูกติดเฉยๆ ก็ได้ไหมอ่ะ” มั่นหน้าไปไหนวะ ได้แต่เถียงมันออกไปแบบนั้นแล้วหันหน้าหนีไปมองทางข้างหน้าแทน ได้ยินเสียงหัวเราะของอีกคนนิดๆ

 

“หึ”

 

“ถึงแล้ว” คนข้างๆ ที่หันหน้ามาประจันหน้ากับผมพร้อมลดร่มที่ถืออยู่ลง ผมได้แต่เงยหน้ามองใบหน้าของเขาได้ชัดๆ มากกว่าก่อนหน้านี้ อืม...ไอ้นี่มันหล่อจริงๆ ว่ะ

 

“ขอบใจนะ”

 

“ไม่เป็นไร มึงไปได้แล้วมั้ง มัวแต่มองหน้ากูอยู่ได้ กูเริ่มจะคิดว่ามึงชอบกูจริงๆ แล้วนะ” เขาว่าออกมาแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ยิ่งเสริมให้เจ้าตัวดูเท่ยิ่งขึ้น ... แต่พอแม่งอ้าปากออกมา อยากบอกให้หุบปากไปเหอะจะได้หล่อเหมือนเดิม หลงตัวเองไรขนาดนั้นก่อน

 

“ฮ่า ล้อเล่นนิดเดียวดูมึงทำหน้า” แล้วกูทำหน้ายังไงวะ

 

“มึงชื่ออะไร กูยอร์ช

 

“จำเป็นต้องบอกหรอ” ผมขมวดคิ้วพร้อมพูดออกไปแบบนั้น มองหน้าคนที่ยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นในตอนนี้

 

“ถือเป็นค่าตอบแทนผู้มีพระคุณที่กางร่มมาให้มึง”

 

“ก็มึงบอกว่าทางผ่านอ่ะ”

 

“แล้วสรุปชื่ออะไร”

 

“เฮ้อ เจ๊าะแจ๊ะจัง ... ชื่อ สมุทร พอใจยัง”

 

“ถามแค่นี้มึงถึงกับต้องบอกชื่อนามสกุลด้วยหรอวะ แต่ก็ดีนะ กูคงจำขึ้นใจกับชื่อแบบนี้ นายสมุทร พอใจยัง”

 

“ห๊ะ”

 

“กูไปล่ะนะ นายสมุทรพอใจยัง”

 

“ด...เดี๋ยวๆ ไม่ๆ ...คือ...” ผมที่อ้าปากพงาบๆ พร้อมกวักมือเรียกคนที่หันหลังแล้วเดินจากไปคนละทางด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน ห่างออกไปเรื่อยๆ ที่แผ่นหลังกว้างนั่นจากไปพร้อมร่มพับสีน้ำเงิน แต่คือ... กูชื่อสมุทรเฉยๆ จ้าพ่อมึง พอใจยังนั่นกูถามไหมเอ่ย

 

แม่งเอ๊ย! กวนตีนฉิบหายเลย

 
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่3 (080122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 08-01-2022 19:14:55
.

.

.

 

“น้องสมุทรกลับมาแล้วจ้าคนสวย”

 

“กลับมาแล้วหรอไอ้ตัวดี เปิดเทอมวันแรกเป็นยังไงบ้างน่ะเรา”

 

เสียงวิ่งตึงตังๆ ที่ดังออกมาจากในครัว พร้อมเสียงร้องตะโกนที่ถามออกมาแบบนั้น ทำเอาคิ้วน้องสมุทรกระตุก มองคนตรงหน้าที่วิ่งมายืนจังก้าในปากยังคาบขนมปังและช้อนตามองผมตาแป๋ว

 

‘เพี้ยะ’

 

“โอ๊ย เจ็บนะ”

 

“ก็ตีให้เจ็บไง ใครสั่งใครสอนให้พูดกับพี่แบบนี้วะไอ้ทะเล” ผมด่าออกไปแบบนั้น ไอ้เด็กตรงหน้าที่ตอนนี้ตัวเริ่มโตจะถึงไหล่ผมแล้วทำแค่ยกมือขึ้นลูบหัวปอยๆ ... ไอ้ทะเล น้องชายของผมเอง อายุค่อนข้างห่างกันมากอยู่ เพราะมันเป็นลูกหลง ตอนนี้ผมอยู่ปี1 ส่วนไอ้ทะเลพึ่งจะขึ้นม.1 แต่ความแก่แดดของมันทะลุอายุไปมากเลย

 

“หยอกแค่นี้ทำไมต้องกริ้วโกรธ”

 

“กวนตีนนัก”

 

“แม่! พี่สมุทรว่าน้องทะเลกวนตีน!!” มันร้องออกมาเสียงดังอีกครั้ง ผมที่กำลังจะยกมือโบกหัวมันอีกที แต่ไอ้เด็กนี่ก็ร้องออกมาเสียงดังพร้อมใส่เกียร์หมาวิ่งหนี มันน่าตามไปโบกให้หัวสั่นจริงๆ

 

“น้องสมุทร!” แต่ติดตรงที่ว่าเสียงของใครอีกคนทำให้น้องสมุทรต้องชะงักขา ชะงักมือ แล้วลดแขนลงมาวางข้างตัวอย่างสงบเสงี่ยม

 

“แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดคำหยาบกับน้อง” แม่ของน้องสมุทรเป็นหญิงสาววัย50ปีที่ยังคงสวยทันสมัยและใส่ใจรูปร่าง ตากลมโตของแม่ ที่น้องสมุทรได้มาจากแม่เด๊ะๆ เลยล่ะ แม่น่ารัก แม่คนสวย และแม่ก็...

 

“ถ้ายังได้ยินอีกแม่จะตีน้องสมุทรแล้วนะ” ดุฉิบหาย ... น้องสมุทรได้แต่ทำหน้าเบ้ ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปกอดอ้อน

 

“ก็ทะเลมันกวนสมุทรก่อน”

 

“ให้ตายเถอะ น้องสมุทรโตกว่าทะเลตั้งเยอะ อย่าไปใส่ใจอะไรทะเลเลย ก็รู้อยู่ว่าน้องชายเรามันเป็นยังไง”

 

“ก็มันแก่แดด”

 

“ทะเลไม่ได้อยากแก่แดดเลยนะ พูดกันจริงๆ แต่มันช่วยไม่ได้นี่นาที่แดดประเทศเรามันจะร้อนมากเกินไปอ่ะนะ ทะเลก็จะร้อนๆ แดดนิดหน่อย จะแก่แดดไปบ้างมันก็ปกติอ่ะนะ”   

 

ไอ้เจ้าเด็กทะเลที่พูดออกมาฉอดๆ จากตรงโซฟาที่ห้องรับแขก มันที่นอนเอาขากระดิกเท้ายิกๆ เหมือนว่าเท่มากเหลือเกิน ผมได้แต่ช้อนตามองหน้าแม่ ก่อนที่เราสองคนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังกับคำพูดของไอ้เด็กนี่

 

“ให้ตายเถอะลูกฉัน”

 

“น้องสมุทรเสียใจมากที่มีน้องแปลกๆ”

 

“ทะเลก็เสียใจเหมือนกันที่มีพี่แปลกๆ”

 

“คืนนี้คอยดู กูจะโทรฟ้องเฮียคลื่น

 

“แน่นอนว่าทะเลจะบอกว่าไม่ได้ว่าเฮียคลื่นเลย ว่าเฮียหมุดล้วนๆ ล่ะนะ”

 

“แม่ทะเลว่าสมุทร!”

 

“แม่ หมุดแอบหยิกทะเล!!”

 

“แม่ ไอ้ทะเลเรียกชื่อน้องสมุทรเฉยๆ ไม่มีคำว่าพี่เลยสักนิด”

 

“โอ้ย พ่อสักทีเด็กๆ มากินข้าวได้แล้ว ขอร้องล่ะ”

 

“คร๊าบบบ”

 

“ทะเลไป ทะเลวิ่งนำ”

 

และใช่...นี่คือครอบครัวของผม เรามีกันอยู่4คน แม่ ผม ทะเล และพี่ชายของผม เฮียคลื่น ที่ตอนนี้เรียนปี4อยู่ที่มหาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ เพราะฉะนั้นเฮียเลยไม่ได้อยู่ที่นี่...พ่อของพวกเราเสียไปตอนที่ทะเลอายุได้5ขวบ เราพักอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่มีพื้นที่จอดรถหน้าบ้าน มีสนามหญ้าหน้าบ้านและหลังบ้านที่พอให้พื้นที่สีเขียวได้บ้าง เป็นบ้านสองชั้นที่ไม่เคยขาดเสียงดังจากผมและทะเล ครอบครัวของผม แม่ เฮียคลื่น น้องสมุทร และทะเล

 

.

.

.

 

‘ครืด ครืดดด’

 

เสียงสั่นๆ ที่ดังต่อเนื่องจากโทรศัพท์มือถือที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงข้างๆ ตัวผมที่กำลังนอนคว่ำหน้าดูซีรี่ย์อย่างสบายอารมณ์นั้นทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว ปลายสายตาไปมองนาฬิกาแขวนผนัง มันบอกเวลาว่าตอนนี้ห้าทุ่ม ...

 

ห้าทุ่ม ... ห้าทุ่มแล้วใครแม่งยังมีหน้าโทรมากวนน้องสมุทรอีกวะ คือมันกำลังถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง มันไม่ควรมีอะไรมารบกวนไงครับ ปัดโถ่เว้ย มามึงมา โทรมาขัดกูขนาดนี้ ไอ้สมุทรคนนี้จะด่าให้เละ!!

 

ผมที่เอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมาดูอย่างหงุดหงิด เบอร์ที่โชว์ขึ้นกลางหน้าจอทำให้ต้องขมวดคิ้ว

 

“ใครวะแม่ง หรือมาส่งของ น่านามคาน*จริงๆ” คว่ำหน้ามือถือลงแล้วกลับมาฉีกยิ้มกับซีรี่ย์ต่อ เอาเลย จังหวะนี้พระเอกต้องได้จูบ จะ...จูบ จ๊ว...

 

‘ครืด ครืดดด’

 

“ให้มันได้แบบนี้สิเหยดแหม่!” ร้องออกมาแบบนั้น ตอนที่เสียงสั่นครืดๆ แบบต่อเนื่องจะดังขึ้นมาอีก คือถ้าสั่นขนาดนี้ มึงไม่โผล่ออกมาจากโทรศัพท์แล้วมาเขย่าเรียกกูเลยล่ะ สั่นแรง สั่นนาน สั่นเป็นไข่สั่นเลยโว้ย!

 

“ฮัลโหล โทรมาทำไม ที่นี่ไม่ได้โทรไปแล้วไอ้หน้าไหนโทรมาขัดน้องสมุทรตอนดูซีรี่ย์วะ!!” ตะโกนกรอกเข้าไปปลายสาย หลับหูหลับตา หงุดหงิดจริงๆ

 

((.......................) )

 

ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสายที่โทรเข้า อั๊ยย๊ะ ... งงจนต้องดึงหูโทรศัพท์ออกมาดู หน้าจอขึ้นวินาทีที่สนทนาอยู่ แสดงว่ายังไม่วาง แต่ไม่พูด เห้ย...ยังไง จะยังไง

 

“เห้ยๆ โหลๆ ได้ยินไหม ถ้าไม่พูดจะวางแล้วนะโว้ย กวนจริงๆ!”

 

((นอนดูซีรี่ย์ได้สบายแบบนี้ แสดงว่ามึงก็คงถึงบ้านแบบปลอดภัยดีสินะ) )

 

“...........” กะพริบตาปริบๆ สองที ดึงโทรศัพท์ที่แนบหน้าอยู่ออกมาดูสายที่โทรเข้า เป็นเบอร์หมายเลขที่ไม่รู้จัก...แต่เสียงเมื่อกี้คุ้นมาก คุ้นแบบจับจิตจับใจน้องสมุทร

 

“สมุทร”

 

“เชี่ย!”

 

((ด่ากูหรอสมุทร) ) เสียงเข้มๆ ปลายสายที่เรียกชื่อผมออกมาอีกครั้ง ทำเอาหัวใจของน้องสมุทรสั่นตุบๆ แต่สั่นสู้นะ อยากเป็นผัวเธอจัง นี่พี่พระจันทร์ของน้องชิมิ

 

“พ...พี่พระจันทร์หรอ”

 

((อืม) )

 

“เชี่ย!! โทรหา มีใจๆๆๆ ....”

 

((มึงว่าอะไรนะ) )

 

“เปล่าๆ ครับ ว่าแต่พี่มีเบอร์น้องสมุทรได้ยังไง งื้อ เขินในจุดจุดหนึ่งเลยนะ พี่พระจันทร์โทรมาหาน้องสมุทร” พูดออกไปแบบนั้นแล้วทิ้งตัวลงนอนกลิ้ง สิงตัวเองเข้าไปในผ้าห่มนวมผืนหนา แล้วซุกหน้าลงไป น้องสมุทรสุดแสนจะเขินอาย

 

((ถึงบ้านแล้วงั้นก็แค่นี้) )

 

“เห้ย...ด...เดี๋ยวๆ สิครับ”

 

((ทำไมอีก) ) เสียงปลายสายที่ติดจะรำคาญเล็กๆ ว่าออกมาแบบนั้น แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสายทิ้งไป

 

“ก็เปล่า น้องสมุทรแค่อยากคุยด้วย ก็พี่พระจันทร์โทรมาทั้งทีนี่นา ... ว่าแต่ที่โทรมาคือห่วงน้องสมุทร กลัวว่ายังไม่ถึงบ้านหรอ” ถามออกไปแบบนั้น คนที่อยู่อีกฟากฝั่งของสายโทรศัพท์ไม่ได้ตอบอะไรออกมาอีก เสียงรอบๆ ตัวของผมเงียบลงไป แต่เสียงจากอีกฝั่งเหมือนเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่ผมก็ไม่เข้าใจนัก ... ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่พระจันทร์อยู่ไหน ...

 

((อืม) )

 

“เชี่ย! มีใจจริงๆ ว่ะๆ” ว่าแบบนั้นแล้วนอนดิ้นไปมาอยู่บนเตียง

 

((ไร้สาระ กูแค่กลัวว่าเด็กอ๊องนมผงแบบมึงจะไปหลงอยู่ตรงไหนก็แค่นั้น) )

 

“ปัดโถ่เอ๊ย ขอมโนยิ้มอีกนิดนึงก็ไม่ได้ ทำไมชอบดับฝันกัน” ผมว่าออกไปแบบนั้น แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มที่หุบลงไม่ได้ เหมือนฝันเลย ฝันที่ว่าเมียโทรมาเช็กว่าอยู่ไหนทำอะไร พี่พระจันทร์คนสวย อนาคตเมียของน้องสมุทร อิอิ

 

“พี่พระจันทร์ครับ”

 

((อืม...ว่าไง) )

 

“น้องสมุทรดีใจที่พี่พระจันทร์โทรมานะ” บอกออกไปแบบนั้นในตอนที่ตัวเองโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม ยิ้มออกมาน้อยๆ ในตอนที่ได้พูดออกไป ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง แต่น้องสมุทรมีความสุขมากๆ ในตอนนี้

 

((มึงดีใจง่ายดีนะ กับเรื่องแค่นี้ก็ดีใจ) )

 

“เปล่าสักหน่อย แต่ที่ดีใจแบบนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นพี่พระจันทร์ต่างหาก”

 

((อืม...) )

 

“อืมอะไรเล่า พูดให้เยอะกว่านี้หน่อยสิครับ”

 

((เรื่องมากอะไรนักวะมึงอ่ะ) )

 

“ฮ่าๆ พี่พระจันทร์คนสวยขาน่ารักจัง ยอมพูดยาวขึ้นตั้งเยอะ”

 

((มึงจะเอาขาไหนล่ะสมุทร กูฟาดให้ได้นะ สวยห่าไร) )

 

((เอาขาพาดบ่าได้เปล่า อิอิ) ) ผมพูดติดทะลึ่งออกไป ไม่รู้ว่าพี่พระจันทร์จะแก้มแดงอ่องต่องเหมือนตูดลิงไหมน้า แบบว่าจะเขินน้องสมุทรหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ หน้าน้องสมุทรน่ะแดงแล้ว แค่นึกไปถึงว่าถ้าขาพี่พระจันทร์พาดบ่าน้องสมุทร เอิ๊ววว อ๊าววว จุ๊กกรู๊มากๆ

 

((ได้) )

 

“ห๊ะ!”

 

((แต่เป็นขามึงนะที่พาดบ่ากู เวลาใส่เข้าไปแรงๆ น้องสมุทรอย่าร้องละกัน) ) เสียงทุ้มเข้มที่กรอกเสียงปลายสายออกมา ทำเอาหูน้องสมุทรร้อนยังกับว่าพี่พระจันทร์มากระซิบกันอยู่ข้างหู

 

“อ...อ่ะ เอ่อ...”

 

((หึ ถึงกับติดอ่าง) )

 

“น้อ...น้องสมุทรเปล่า”

 

((เปล่าก็เปล่า ไว้เจอกันจะลองพิสูจน์ดูนะครับน้องสมุทร) ) พี่พระจันทร์บอกแบบนั้น ไม่ได้เห็นสีหน้า แต่กลับรับรู้ได้ว่าพี่พระจันทร์กำลังขำและสนุกกับการได้แกล้งกันอยู่แบบนี้ ผมที่ได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดหน้า ร้อนอีกแล้ว ร้อนหน้าที่ไม่ใช่หน้าร้อน อาการแบบนี้คงไม่ได้ติดโรคระบาดทางเดินหายใจรุนแรงอะไรหรอกใช่ไหม งื้อ ใจเต้นเหมือนจะเด้งออกมาจากอกเลย

 

((จันทร์...) )

 

“พี่พระจันทร์”

 

เสียงเรียกชื่อพี่พระจันทร์ที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงของผมดังลอดออกมาจากปลายสาย เสียงไม่ทุ้มเข้มติดจะกังวาลใสที่ผมไม่เคยได้ยิน

 

((แค่นี้ก่อนนะ) )

 

“ด...เดี๋ยวครับ” ผมที่ละล่ำละลักออกมาแบบนั้น แต่อีกฝั่งกลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมได้พูดมากไปกว่านี้

 

((ฝันดี) )

 

สองคำสุดท้ายก่อนเสียงตัดสัญญาณจากปลายสายจะดังขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่พระจันทร์จะรีบร้อนไปไหน แต่สิ่งที่เกินคาดมากกว่าอะไร ก็คือสองคำสุดท้ายจากปลายสายเมื่อสักครู่

 

“ฝันดี ... พี่พระจันทร์บอกฝันดีหรอวะ ....” กะพริบตาปริบๆ อยู่บนเตียง ก้มมองมือถือที่หน้าจอกลับมาเป็นปกติแล้วเพราะอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองอีกที ...เจ็บว่ะ

 

น้องสมุทรไม่ได้ฝัน

 

“อ๊ากกกก พี่พระจันทร์บอกฝันดี!!!” ดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียงด้วยความตื่นเต้น พรุ่งนี้ต้องรีบไปเล่าให้เพื่อนมาร์ชฟังแล้ว กูน่ะนะ น้องสมุทรก้าวหน้าในการเป็นผัวพี่พระจันทร์มาอีกก้าวแล้วนะเห้ย

 

‘โป๊ก’

 

“โอ๊ย! เจ็บโว้ย!” ยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองแน่นๆ เพราะตอนที่ดิ้นดันเอาหัวไปโขกกำแพงที่หัวเตียง เจ็บจนน้ำตาเล็ด เมื่อกี้ดีที่ตดไม่แตกออกมาด้วย

 

‘ปักๆๆ’

 

“ทำเสียงดังอะไรของหมุด! ทะเลจะฟ้องแม่นะ!!”

 

เสียงตบกำแพงห้องดังมาจากบริเวณแถวๆหัวเตียงของผม พร้อมๆ กับเสียงตะโกนของไอ้ทะเล ได้ยินไอ้เด็กมันว่าแบบนั้นแล้วก็ได้แต่กลอกตาวนไปหนึ่งทีติด

 

หนทางแห่งการเป็นผัวพี่พระจันทร์ของน้องสมุทรมันช่างไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยจริงๆ

 

#รักอยู่รู้ยัง

 

สวัสดีค่าาาา แคทกลับมาแล้วค่าาาา

ขอโทษจริงๆที่หายไปนานมากๆ หลังจากที่ที่บ้านติดโควิดไป คิดว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ง่ายๆ แต่จริงๆแล้วมันยากมากๆเลยค่ะ

แคทได้แต่หวังว่า คนอ่านของแคทจะห่างไกลจากโควิดนะคะ ...

และแคทก็ขอขอบคุณคนอ่านที่ยังอยู่ด้วยกัน ยังคอยทักทายมาพูดคุยกับแคทเสมอๆ รวมถึงบางท่านที่ยังโดเนท

รวมถึงของขวัญวันปีใหม่ หรือแม้กระทั่งยาในตอนที่ติดโควิด ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ

ส่วนตอนนี้!! กลับมาแล้วจ้าาา กลับมาพาพี่พระจันทร์กับน้องสมุทรคนมั่นใจว่าจะได้เป็นผัวพี่พระจันทร์มาแล้วค่ะ

แคทหวังว่าคนอ่านจะยังคงสนุก และติดตามไปด้วยกันจนจบนะคะ

มารอดูคนที่ขึ้นอย่างหงส์ และจะลงอย่างหมาหรือเปล่ากันนะ อิอิ

ใครตกหลุมรักก่อนแพ้นะ รู้ยัง?



ปล. ขอขอบคุณคนอ่านทั้ง2ท่านของแคทจริงๆที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ให้กันนะคะ ดีใจที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ

ขอเสนอชื่อตอนว่าหมูปิ้งสื่อรักค่ะ ><
แต่.....เดี๋ยวก๊อน เดี๋ยวก่อน ทำไมตัดจบแบบนี้!!!! เค้าจะมารื้อฟื้นความหลังอะไรกันอ่ะแม๊!!!
รีบโทรไปฟ้องพ่อมาร์ชด่วนๆ ว่าลูกสาวคนดีจะถูกทำมิดีมิร้ายจากเมีย(ทิพย์)แล้ว
  << ชอบมากค่ะ ชอบตรงเมียทิพย์นี่ล่ะ 55555 พ่อมาร์ชต้องรู้เรื่องนี้แล้ว!


:pig4:
 :3123:
ขอบคุณมากๆนะคะ ถ้ากลับมาเปิดเจอเรื่องนี้ แคทหวังว่าเรื่องนี้จะยังทำให้มีรอยยิ้มได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

:pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่3 (080122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 09-01-2022 19:35:10
สนุกจ้า มารอมารอ
เราชอบมากเลยนะ เราน่ะสายดราม่า 55  อ่านแล้วเจ็บจิ๊ด แต่เรื่องนี้ หลายอารมณ์ดี ม่าก็ได้ ตลกด้วย น้องหมุดนี้ สายมโนตัวแม่เลย อยากให้น้อง ถอดแว่นแล้วดิ อยากเห็นอิพี่พระจันทร์คลั่งบ้าง

รอ นะค่า แล้วรักษาสุขภาพน่าคุณแคท  :mew1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่3 (080122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 10-01-2022 12:06:11
สนุกมากกกก เป็นกำลังให้หนูนะลูกน้องสมุทร :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่3 (080122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 11-01-2022 01:30:04
รอครับผม
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่4 (150122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 15-01-2022 20:19:05

บทที่4



เช้าวันใหม่ที่สดใสซาบซ่า น้องสมุทรที่มีเรียนบ่ายกลับแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก เรื่องของเรื่องคือมันนอนไม่หลับ ไม่ได้เป็นคนขยันตื่นอะไรขนาดนั้นหรอก พอเช้าปุ๊บมันก็ดีดลุกจากเตียงปั๊บ ตื่นเต้นแบบสุดๆ อยากวิ่งมาบอกเล่าเรื่องราวที่พบเจอมาเมื่อวานกับเพื่อนมาร์ช ... อยากจะบอกให้มันรู้ว่าน้องสมุทรคนนี้ใกล้จะได้เป็นผัวพี่พระจันทร์แล้วนะรู้ยัง เพราะแบบนั้นตอนนี้น้องสมุทรเลยกำลังเดินเล่นชิวๆ ในรั้วมหาลัยในเวลา10โมงเช้า ... ใช่จ๊ะ แต่กูมีเรียนบ่าย



แล้ววันนี้พี่พระจันทร์ก็มีเรียนบ่าย ผมเลยเดินไปซื้อข้าวเหนียวไก่ แซนวิชทูน่า แล้วก็มีคุกกี้มาไว้ให้พี่พระจันทร์ด้วย ก็จะจีบเค้า เราต้องเอาเรื่องหน่อย เปย์หนักแบบทรงเสี่ย



น้องสมุทรเดินเล่นเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าคณะวิศวกรรม ผู้ชายใส่ช็อป ผู้หญิงใส่กางเกงยีนส์เดินเท่ๆ กันไปมา เท่แบบนี้ใช่ไหมวะ สาวๆ เค้าถึงกรี๊ดกัน นี่ถ้าน้องสมุทรใส่บ้าง พี่พระจันทร์จะกรี๊ดกันบ้างป่ะ อยากเป็นผัวเท่ๆ ของพี่พระจันทร์



“เห้ย!” เสียงร้องเรียกที่ไม่เป็นมิตรนักดังขึ้น



ผมที่หันไปมองทางลานว่างที่มีแผ่นป้ายหินอ่อนสลักบอกชื่อคณะเด่นหราพร้อมมีอนุสรณ์สถานรูปฟันเฟืองใหญ่ๆ ตั้งไว้อยู่ทางด้านหน้าของคณะ รอบๆ ลานโล่งนั่นประกอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ปลูกเพิ่มความร่มรื่นและโต๊ะม้านั่งที่ตั้งไว้สำหรับเด็กคณะนี้รอบบริเวณ



อ่า...นี่ป่ะวะที่เค้าเรียกว่าลานเกียร์ เกียร์คือเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ครับ น้องสมุทรไม่สนิท



“เห้ย มึงมาทำไรที่นี่” คนที่เหมือนจะคุ้นหน้าลุกเดินออกมาจากโต๊ะใต้ต้นไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลกำลังเดินตรงมาหาผม



“เห้ย มึงจำกูได้ป่ะเนี่ย ไอ้นายสมุทร พอใจยัง” ชัดเจน ... ไอ้คนใจดีหลงตัวเองที่เอาร่มเกี่ยวหัวผมให้เดินไปพร้อมมันเมื่อวานนี้



“ไม่ได้ชื่อนั้นเว้ย”



“หึ ตลกดีว่ะ ทำเป็นฟึดฟัดนะนายสมุทร พอใจยัง” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมแรงๆ ทีนึง ...



“เจ็บนะโว้ย” มึงกับกูสนิทสนมกันเบอร์นี้เลยเรอะ! มึงใครเนี่ย



“มึงเรียนคณะไร” คนตรงหน้าที่วันนี้อยู่ในชุดกางเกงยีนกับเสื้อช็อป ต่างจากเมื่อวานที่ใส่ชุดนักศึกษาที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย และเพราะแบบนั้น วันนี้มันเลยยิ่งดูดีมากกว่าเมื่อวานไปอีก



“ถามทำไม”



“ถามไม่ได้หรอวะ กูผู้มีพระคุณมึงนะ” ว่าแบบนั้นแล้วยกยิ้มมุมปาก สายตาคมที่มองดูผมเหมือนกับว่ามันกำลังเล่นกับกระต่ายขนปุกปุย



“เออๆ ก็เรียนอยู่ที่นี่ล่ะ สินสาด”



“แล้วเด็กศิลปศาตร์ทำไมมาเดินเล่นแถวนี้”



“แล้วมึงเป็นยามหรือไง ถึงถามเยอะถามแยะจังวะ” ผมว่าใส่ แต่อีกฝ่ายแค่ยกยิ้มขำ สายตาของมันดูไม่มีแววโกรธอะไร



“กูอยากรู้ ก็ถามสิวะ แล้วนี่มึงกินไรหรือยัง” พอโดนถามปุ๊บ ท้องก็ร้องปั๊บ



“คำตอบมึงชัดเจนดีนะ” มันว่าออกมาล้อๆ เอาซะกูอายหน้าเบ้ ไอ้ท้องไม่รักดีแม่งก็ครวญครางซะดังเชียว



“มากินข้าวกับกูมา กูจะพามึงชิมของดีวิศวะ” มันที่ว่าออกมาแบบนั้น แล้วยกแขนหนักๆ ขึ้นมาวางพาดไหล่ผมอย่างสนิทสนม



“มึงเรียนปีไรสมุทร”



“ปี1 แต่คือมึงกับกูนี่สนิทกันหรอวะ”



“มึงไม่เคยดูหนังจีนหรอวะ ช่วยชีวิตหนึ่งครั้ง เป็นสหายกันตลอดไป”



“มึงดูอินนะ” แล้วคือมึงแค่ช่วยกูไม่ให้เปียกฝนไหม ยังไง...แต่ก็นะ รู้จักคนไว้ก็ถือว่ามีคอนเน็คชั่น อีกอย่าง ดูท่าทางมันก็ไม่ได้จะมีพิษมีภัยอะไรกับผม หน้าตาดูไม่ใช่คนชั่ว ... แต่ติดไปทางกวนตีนนะไอ้นี่น่ะ



“กูปี3 เป็นพี่มึง ไหนเรียกกูพี่ยอร์ชให้ชื่นใจหน่อย”



“จำเป็นหรอวะ” กรอกตามองหน้าพี่มันนิดๆ มันที่มองสบตาผมไม่ได้มีแววโกรธอะไร จริงๆ เค้าว่ากันว่าพวกวิศวะส่วนใหญ่ค่อนข้างเคร่งเรื่องลำดับอาวุโส ในคณะก็มีโซตัสกันเข้มข้น ตอนแรกนึกว่าจะโดนพี่มันด่าซะแล้ว แต่คนตรงหน้ากลับยกยิ้มถูกใจซะงั้น



“มึงไม่อยากเป็นน้องสินะ”



“มีน้องแล้ว” ก็เรื่องจริง แค่มีไอ้ทะเลคนเดียวทุกวันนี้ก็ปวดหัวฉิบหายละ



“งั้นเป็นไร เมียกูไหม”



“ไม่โว้ยยยย พี่ยอร์ชสวัสดี พอใจยัง!” ห่านี่



“ฮ่าๆ มึงนี่ตลกวะสมุทร พอใจยัง”



“เลิกล้อผมสักทีเถอะว่ะ ผมชื่อสมุทรเฉยๆ เว้ย”



“โอเคๆ ปะ ไปกินข้าวกัน”



“นี่ผมถามจริงนะ พี่ไม่มีเพื่อนครบหรอวะ” เดินตามมันไปทางโรงอาหารของคณะวิศวะ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามา ปกติไม่ค่อยออกจากคณะตัวเองหรอกครับ ยกเว้นแต่จะวิ่งไปคณะบริหารอ่ะนะ ก็ที่นั่นมีพี่พระจันทร์นี่นา



“เพื่อนน่ะกูมี แต่กูอยากพามึงไปกินด้วย”



“พี่ก็แปลกคนดีนะ”



“กูจะบอกความฝันในวัยเด็กของกูให้” ใบหน้าหล่อๆ ของมันที่เอียงหน้าลงมากระซิบเข้าที่ข้างหูของผมเบาๆ ลมหายใจอุ่นๆ นั่นทำเอาขนลุกนิดๆ



“ตอนเด็กกูอยากเป็นไกด์”



“แล้ว” หันหน้าไปถามแบบโคตรจะสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่ถอยหน้าหนี เพราะแบบนั้นปลายจมูกของผมกับพี่ยอร์ชถึงชนกัน ในไม่กี่วินาทีนั่นผมผงะออกมาทันที แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำอะไรนอกจากอมยิ้มนิดๆ



“เชี่ย แล้วพี่จะเอาหน้าเข้ามาใกล้ทำห่าไรขนาดนี้วะ”



“ก็กูจะกระซิบไง มันเป็นความลับนะเว้ย” มันว่าแบบนั้น ... อะ กระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของกูอีก



“พี่มึงแม่งประสาทว่ะ” ผมบ่นอุบอิบเบาๆ อีกฝ่ายแค่หัวเราะในลำคอ



“เพราะแบบนั้นกูเลยจะพามึงทัวร์คณะกูนี่ไง” มันพูดต่อไปแบบไม่รู้สึกขัดเขินอะไร พอเห็นแบบนั้นผมเลยต้องทำนิ่งๆ เหมือนเมื่อกี้ไม่เกิดอะไรขึ้น คนอื่นเค้าไม่รู้สึกแปลกอะไร ไอ้ผมจะโวยวายขึ้นมา มันก็ดูไม่ใช่ป่ะวะ งั้นมึงเงียบไว้ดีกว่าน้องสมุทร



“ข้าวมันไก่วิศวะอย่างเด็ด” พี่มันว่าแบบนั้นตอนที่เราเหยียบเท้าเข้าไปในโรงอาหาร ผู้คนไม่พลุกพล่านในช่วงเวลานี้



“อะไรที่ว่าเด็ดวะพี่”



“ลูกสาวแม่ค้า กูบอกเลยว่าอย่างงี้! สัด...เล่นมุกเหี้ยไรของมึง”



“ฮ่าๆ แล้วพี่เล่นตามทำไมวะ อย่างเหี้ย” ผมหลุดขำออกมา ไอ้พี่ยอร์ชส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนจะเดินนำไปสั่งข้าวมันไก่ที่มันว่าเด็ดสุดๆ มองเห็นว่าวันนี้ลูกสาวป้าร้านข้าวมันไก่ที่มันว่าก็มาขายด้วยครับ อื้ม...เด็ดจริงว่ะ



แฮร่ๆ หยอกๆ ไม่มีใครเด็ดสู้พี่พระจันทร์ของน้องสมุทรได้อีกละ



“ไอ้สมุทรปะ” พี่มันเดินมาหาผมที่กำลังยืนรออยู่ เห็นข้าวมันไก่สองจานควันฉุยหน้าตาน่ากิน น้องสมุทรนี่เผลอกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เห็นไอ้พี่ยอร์ชมันยกยิ้มขำเลย



“เห้ย มึงพาใครมาด้วยวะ” เสียงตะโกนดังๆ เหมือนเวลารถขายผักขับผ่านดังขึ้นตอนที่ผมกับพี่ยอร์ชเดินเข้าไปที่โต๊ะนั่ง สามหน่อรูปหล่อแต่ดูเถื่อนนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมจ้องตรงมาที่ผมแบบไม่ละสายตา ผมที่เหมือนสิ่งแปลกประหลาดในบริเวณนี้ทำเอาเลิ่กลั่ก



“นี่ไอ้สมุทร ... ส่วนมึง พวกเหี้ยนั่นเพื่อนกู ไอ้นิว ไอ้ทอย ไอ้วิน” ประโยคแรกมันแนะนำเพื่อนมันให้ผมรู้จัก ส่วนประโยคหลังนั่นเป็นการอธิบายกับผม พร้อมชี้มือไล่ไปทางเพื่อนมันทีละคน



“สวัสดีครับ” ผมพูดออกมาพร้อมยกมือไหว้ พี่ๆ มันยกมือไหว้แต่สีหน้าก็ยังติดจะดุ คุณพี่ไม่สบอารมณ์อะไรกันมาหรอจ๊ะ อยากจะทราบ



“พวกมึงเลิกดึงหน้ากันสักทีไอ้สัด น้องมันไม่ใช่เด็กคณะเรา”



“เอ้าหรอ โทษทีนะ พอดีมันเป็นคาแรคเตอร์” พี่นิวว่าออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มแผละ ... โซว้าว ไอ้เหี้ย พอยิ้มออกมาแล้วก็หน้าดูชม หล่อฉิบหาย เป็นผู้ชายมีลักยิ้มอยู่ที่ฝั่งขวา



“พวกมันเป็นเฮดวาร์คเลยต้องคีพคูล แต่จริงๆ เป็นพวกประสาทแดก มึงอย่าไปกลัว” ไอ้พี่ยอร์ชว่าแบบนั้นแล้วดึงผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มัน



“ว่าแต่น้องมารู้จักกับไอ้เหี้ยนี่ได้ไง” พี่วินถามออกมาแบบนั้น พร้อมยกแก้วน้ำแข็งขึ้นมาเคี้ยวกร้วมๆ



“รู้จักมันเมื่อวานพี่ พี่ยอร์ชมันกางร่มไปส่งผมที่บีทีเอสอ่ะพี่ ส่วนวันนี้พอดีเจออีก พี่มันก็ลากผมมากินข้าว” บอกออกไปแบบนั้น เห็นพวกเพื่อนพี่มันมองหน้ากัน แล้วหันไปมองหน้าไอ้พี่ยอร์ชสายตาเหมือนล้อๆ แต่เอาจริงๆ ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่อ่ะนะ



“แหม่ คุณยอร์ชช่างเป็นคนดีจริงๆ เลยนะครับเนี่ย” พี่ทอยที่หรี่ตามองพี่ยอร์ชแล้วจีบปากจีบคอว่าออกไปแบบนั้น



“จริงครับ ผมนี่ตกใจแทบจะเอามือทาบอก” พี่วินว่าต่อกันเป็นลูกคู่ รับส่งมุกกันโบ๊ะบ๊ะจนผมนึกถึงไอ้เฮงกับไอ้จิมเลย



“สัด แล้วนี่ไอ้ทิตย์ยังไม่มาหรอวะ” พี่ยอร์ชด่าเสร็จพร้อมเปลี่ยนเรื่อง



“มึงควรชินไหม ป่านนี้แม่งคงสิงอยู่ห้องหญิงคนไหนสักคนนั่นล่ะ” พี่ทอยว่าออกมาขำๆ เหมือนว่าพวกเค้ากำลังพูดถึงเพื่อนของเขาอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ล่ะนะ



ส่วนผมที่เหมือนส่วนเกินตรงนี้ มาอยู่แบบผิดที่ผิดทาง โดนล้อมไว้ด้วยเด็กวิศวะหน้าโหดแต่จริงๆ แล้วใจดี กูเลยทำได้แค่ก้มหน้าลงกินข้าวมันไก่ที่พี่มันสั่งมาให้ ... เชี่ย อร่อยจริงว่ะ น้ำจิ้มอย่างเด็ด รสชาติเค็มตัดเปรี้ยวและหวานกลมกล่อม หอมขิงหน่อยๆ ได้กลิ่นเต้าเจี้ยวขึ้นมาเตะจมูกนิดๆ โอ้โหหห สมแล้วที่เป็นของดีวิศวะ!!



“ไงมึง อร่อยใช่ไหมล่ะ” พี่ยอร์ชที่ใช้ไหลมันดันไหล่ผมนิดๆ ถามออกมาตอนเห็นสีหน้าเป็นประกายของผม



“เด็ดมากพี่”



“จริงมึง โดยเฉพาะน้องหวานใจคนงาม กูล่ะอยากถามว่าหวานจริงไหม”



“มึงอย่ามาเซ็กชวล ฮาราสเมนต์ไอ้เหี้ย สังคมมันเหี้ยก็เพราะมีผู้ชายแบบมึงไอ้สัดทอย ใช้Kนำทางแทนสมองหรอ” พี่วินว่าออกมารัวๆ แบบนั้น พร้อมๆ กับพี่นิวที่ยกมือขึ้นตบหัวพี่ทอยแรงๆ ทีนึง แรงขนาดที่หัวพี่ทอยเกือบจุ่มลงไปในจานข้าวขาหมูของพี่มัน



“โอ๊ยๆ ขอโทษๆ กูแค่จะถามว่าน้ำจิ้มหวานไหม”



“K” พี่ยอร์ช พี่นิว พี่วินด่าออกมาพร้อมกัน เอาซะบนโต๊ะเต็มไปด้วยคำว่าK อื้ม Kเต็มไปหมดเลยครับ



พี่ทอยที่รีบยกมือขึ้นทำท่าไหว พร้อมบอก “ไม่เล่นงี้แล้ว ผิดไปแล้วๆ”



แต่เพราะเรื่องนี้เลยทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้วพวกพี่มันก็เป็นสุภาพบุรุษชนกันค่อนข้างมากอยู่นะ เพราะว่าประเทศเราแม่งชอบเล่นมุกแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องเคยชิน จนบางทีก็ลืมไปแล้วว่า มุกแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากการคุกคามทางเพศดีๆ นี่เอง



พ่อของผมน่ะเน้นเรื่องนี้กับผมมาตลอดเลย เพราะแบบนั้น ผมเลยเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ชายที่อยากจะเท่เหมือนพ่อ พร้อมจะดูแลคนที่รักและให้เกียรติคนอื่นเสมอ ... เชี่ย อนาคตผัวพี่พระจันทร์มันแสนเท่เลยว่ะ!





“อะ น้ำ”



“ขอบคุณพี่” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่ยอร์ชตอนที่มันส่งแก้วน้ำแคนตาลูปปั่นมาให้ผม ผมที่ยืนรอมันอยู่แถวลานเกียร์ หลังจากกินเสร็จก็แยกจากเพื่อนของพี่มัน แก้วนี้พี่ยอร์ชมันถ่อไปซื้อมาให้ บอกว่าร้านน้ำปั่นข้างคณะมันก็คือที่สุดของน้ำปั่น ฮาวทูพรีเซ้นท์คณะไม่เลิกเลยจริงๆ



“พี่ ค่าข้าวค่าน้ำกี่บาท” ผมควักเงินออกมาจากในกระเป๋า แต่พี่ยอร์ชมันเอาแต่ส่ายหน้า



“กูไม่คิด”



“ได้ไงวะ กี่บาทบอกมาไวๆ” ผมเร่งมันยิกๆ สายตาก็เหลือบมองนาฬิกาไปด้วย มันใกล้จะเที่ยงแล้ว ผมต้องรีบไปหาพี่พระจันทร์



“ถือว่ากูเลี้ยงทำความรู้จักกัน”



“อะไรของพี่วะน่ะ แต่ไม่เอาจริงๆ แน่นะ”



“เออ ไม่เอา...แต่ถ้ามึงอยากจะให้ กูขอเป็นเบอร์โทรมึงแทนได้ไหมล่ะ”



“เบอร์โทรผม” กูนี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างงงงวยจนคิ้วแทบจะขึ้นไปแปะกับไรผมแล้วนะ มึงจะเอาเบอร์กูไปทำไมเอ่ย ซื้อหวยหรอวะ



“เออ เบอร์มึง ... เอามา” นี่มึงขอหรือข่มขู่ จริงๆ ก็งงนิดหน่อย แต่มาขนาดนี้แล้ว แถมเวลาก็ใกล้จะเที่ยงเข้ามาเรื่อยๆ ผมเลยไม่อยากเสียเวลาบอกเบอร์มันไป สักพักพี่ยอร์ชมันก็ยิงเข้ามา



“เมมไว้ มีปัญหาอะไรก็โทรมา หรือว่าถ้าคิดถึงเหงาๆ เปลี่ยวๆ อยากเสียวก็โทรได้”



“Kเถอะ!” ด่ากระแทกหน้ามันออกไปแบบนั้น ไอ้พี่ยอร์ชมันยืนขำหน้าดำหน้าแดง ถูกใจกับKที่กระแทกหน้ามั้ง



“ผมไม่คุยกับพี่ละ ไปล่ะผมรีบ” ว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นไหว้มันอีกทีพร้อมออกวิ่ง



“ไปดีๆ นะมึง”



“เออ ดูแลตัวเองได้น่า โตแล้วโว้ย”



“มึงแม่งไม่รู้อะไรหรอกไอ้สมุทร” ได้ยินเสียงพี่ยอร์ชมันตะโกนไล่หลังตามมาแบบนั้น เล่นเอาน้องสมุทรถึงกับขมวดคิ้วเลย แม่ง ประโยคนี้อีกแล้ว เมื่อวานก็เหมือนจะได้ยินพี่พระจันทร์ว่าแบบนี้เหมือนกัน ... กูไม่รู้อะไรวะ พวกแม่งไม่เคยจะพูดให้เคลียร์เลย



...





หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่4 (150122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 15-01-2022 20:20:03
สับตีนมาไวๆ จนสุดท้ายก็มายืนหอบแดดอยู่หน้าคณะบริหาร มองนิดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นคณะบริหาร บรรยากาศแม่งโคตรจะต่างจากคณะวิศวะเมื่อกี้ ทางบริหารนี่จะมีแต่พวกหน้าตาเกลี้ยงเกลา ขาวๆ หล่อๆ เดินถือกระเป๋าหรูใส่ส้นสูงและกระโปรงทรงเอสั้นๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ โอเคอาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่น้อยครับที่จะเห็นใส่ผ้าใบแบบวิศวะเมื่อกี้ อาจเพราะวิชาเรียนต่างกันก็เป็นได้ล่ะนะ



“เห้ย น้องที่มาร้องเพลงจีบไอ้จันทร์นี่หว่า” ถือได้ว่าผมเป็นคนดังคนหนึ่ง



“วันนี้จะมาทำอะไรอีกล่ะเรา มาร้องเพลงไม่เอาแล้วนะ หน้ามึงนี่เด่นหราไปทั่วแล้ว” เพื่อนพี่พระจันทร์ที่ผมจำได้ว่าชื่อพี่ปุ่นเดินตรงเข้ามาทักผมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เอาล่ะ หล่อน่ารักจนตาพร่า ญี่ปุ่นสมชื่อเลยครับคนนี้อ่ะ



“เปล่าครับพี่ น้องสมุทรซื้อข้าวกับขนมมาฝากพี่พระจันทร์” ผมว่ายิ้มๆ พี่ปุ่นที่มองตามมือของผมที่ยกถุงขึ้นมาให้ดู พยักหน้านิดๆ



“งั้นเราไปนั่งรอมันกับพี่กัน เดี๋ยวมันคงมาแหล่ะ” ผมพยักหน้ารัวๆ เลย งื้อ นี่คือเพื่อนพี่พระจันทร์ยอมรับกูแล้วใช่ไหมเอ่ย วันหลังจะซื้อขนมมาฝากพี่ปุ่นด้วย เรียกได้ว่าเป็นการติดสินบน



“อ้าวเห้ย น้องคนนี้มันน่าคุ้นๆ มึงหนีบมาจากไหนวะไอ้ปุ่น” ผมกับพี่ปุ่นเดินไปถึงโต๊ะใต้ตึกของคณะบริหาร เพื่อนอีกคนนึงกลุ่มเดียวกับพี่พระจันทร์ก็ทักขึ้นมา คณะนี้จะจัดม้านั่งไว้ใต้อาคารครับ ...ผมยกมือไหว้พี่เค้า



“ไหว้พระครับ”



“เอ่อ...ผมไม่ได้ไหว้พระ ผมไหว้พี่”



“ฮั่นแหน่ะ ไอ้เด็กนี่มันเล่นมุก มันแพรวพราวว่ะ” พี่เค้าว่าออกมาพร้อมยิ้มถูกใจ แล้วหันไปพูดงั้นกับพี่ปุ่น



“พี่ชื่อมีนนะ เป็นเพื่อนกับไอ้จันทร์”



“ผมสมุทรครับ”



“โอ๊ย ไม่ต้องแนะนำก็รู้จักว่ะ หน้าน้องนี่เด่นหราในเฟสครับ เสียงดีดกีต้าร์มันยังซาบซ่าในหัวใจพี่ว่ะ ฮ่าๆ”



“ผมก็ว่าผมค่อนข้างที่จะดีดได้ดีนะ” ผมบอกออกไปแบบนั้นเลยเรียกเสียงหัวเราะจากพี่ปุ่นและพี่มีนได้ดังลั่น ผมหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ รู้สึกเหมือนโดนจับจ้องยังไงก็ไม่รู้



“อึดอัดหรือเปล่าสมุทร ต้องทำใจหน่อยนะ ก็เราเล่นประกาศจีบไอ้จันทร์ดังลั่นหน้าตึก”



“เออ ใจกล้าฉิบหาย”



“ก็...เคยอายแล้วมันไม่ได้นี่หว่าพี่” ผมยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อ



“แล้วไม่อายแบบนี้คิดว่าจะได้หรอวะ” พี่มีนถามออกมาอีกพร้อมยักคิ้ว สีหน้าท่าทางของพี่เค้าดูจะเป็นคนที่ค่อนข้างทะเล้นและตลกมากกว่าใครในกลุ่ม



“ผมว่าได้นะ” ผมขยิบตาใส่เค้าทีนึง



“บ๊ะ...ไอ้เด็กนี่มันเอาเรื่องแท้ ว่าแต่มาวันนี้มาทำไรวะ”



“ผมซื้อของมาฝากพี่พระจันทร์ครับ”



“ไหนๆ มีอะไรให้กินบ้าง” พี่มีนว่าแบบนั้นแล้วเอามือเอื้อมมาเปิดถุงที่ผมซื้อมา แต่ติดตรงที่ว่าพี่ปุ่นไวกว่า มือยาวๆ ของพี่เค้าที่เอื้อมไปฟาดหน้าผากพี่มีนแรงๆ



“ทำเหี้ยไรของมึง สันดาน มันของเพื่อน”



“โอ๊ย...เดี๋ยวเพื่อนมึงก็เอาให้เรากินอยู่ดีป่ะ” พี่มีนว่าแบบนั้นพรางยกมือลูบหน้าผากตัวเองปรอยๆ ... แต่ว่านะ พี่พระจันทร์ไม่กินหรอ



ผมที่ช้อนตามองสบกับพี่ปุ่น ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่มีนบ้าง ทันเห็นพี่ปุ่นถลึงตาใส่พี่มีนทีหนึ่ง พี่มีนที่ทำปากพงาบๆ จับใจความได้ว่า ‘กูไม่ได้ตั้งใจ’



“อ่า...พี่พระจันทร์ไม่กินหรอครับ ฮ่าๆ” ผมว่าออกมาพร้อมรอยยิ้ม ก้มมองถุงข้าวเหนียวไก่ย่างของตัวเองนิดๆ



“ไอ้มีนมันจะไปรู้อะไร จริงๆ มันก็กินนะ พี่เห็น” พี่ปุ่นบอกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ท่าทางที่อยากจะบอกผมว่ามันคือเรื่องจริง ผมคิดว่าพี่เค้าคงอยากจะให้กำลังใจผมมากกว่าถึงได้บอกออกมาแบบนั้น ... แต่ถึงจะไม่กินก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะความสัมพันธ์ของผมกับพี่พระจันทร์ ดูเหมือนมันจะก้าวหน้าขึ้นมากอยู่นะ อิอิ



“แล้วนั่นถุงอะไรวะ พี่เห็นเดินกอดมาแต่ไกล” พี่มีนถามพร้อมชะเง้อชะแง้มองของที่ผมกอดไว้อยู่



“อ๋อ...ผมเอาเสื้อมาคืนพี่พระจันทร์ครับ”



“เสื้อ” พี่ปุ่นกับพี่มีนพูดออกมาพร้อมกันด้วยสีหน้าที่ออกจะตกใจนิดๆ ส่วนผมก็ทำแค่พยักหน้าหงึกหงัก ก็เสื้อคลุมเมื่อวานที่พี่พระจันทร์ให้ผมใส่กลับ น้องสมุทรน่ะเอาไปซักจนหอมฟุ้งเลย



“เชี่ย ไม่ธรรมดาว่ะ” พี่มีนว่าเบาๆ พร้อมเอามือลูบอก ส่วนพี่ปุ่นก็ทำแค่ยกยิ้มนิดๆ แบบเข้าใจกันสองคน ... ทำไมวันนี้กูเจออะไรแบบนี้บ่อยจังวะ ตั้งแต่เพื่อนพี่ยอร์ชละ แล้วนี่ยังมาเพื่อนพี่พระจันทร์อีก



“แล้วนี่เรากินไรมายัง พี่พาไปกินเปล่า ก๋วยเตี๋ยวหมูสับต้มยำบริหารอร่อยมากนะบอกเลย” พี่ปุ่นว่าออกมาอย่างใจดี แต่วันนี้มันเป็นอะไร มีแต่คนอวดของดีหนึ่งคณะหนึ่งผลิตภัณฑ์ให้ผมไม่เลิก



“ผมกินมาแล้วพี่ ไปกินที่โรงอาหารคณะวิศวะมาล่ะ”



“เชี่ย มึงไปกินอะไรที่นั่นวะ อย่าบอกว่าไปหลีหนุ่มคณะนั้นมานะมึง”



“บ้าเปล่าพี่ ผมมีพี่พระจันทร์แล้วนะ! อยากเป็นผัวพี่พระจันทร์คนเดียวแหล่ะผมอ่ะ” บอกออกมาเสียงดังแบบมั่นอกมั่นใจ พร้อมยืดออกแมนๆ ขึ้นตบอกโชว์ไปอีกที พี่มีนถึงกับขำจนน้ำแข็งไหลลงคอ เป็นสภาพที่เรียกได้ว่าอุบาทย์มาก



“คืองี้นะ พอดีมีพี่ที่รู้จักชวนไปอ่ะ แต่ข้าวมันไก่วิศวะก็เด็ดจริงพี่”



“หรอวะ วันหลังกูจะลองไปดู”



“ได้เลย พี่ชวนผมก็ได้นะ ผมเป็นไกด์ให้ได้เลย” ผมพูดเอาใจ พยายามตีซี้เข้าไป เข้าทางเพื่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง



“มึงเรียนคณะอะไรกันแน่ถึงไปรู้เรื่องของวิศวะเค้า” พี่ปุ่นว่าออกมา เค้ามองหน้าผมแล้วยิ้ม ไม่อยากจะพูดเลยว่ะ ผมว่าพี่ปุ่นต้องเอ็นดูน้องสมุทร แผนเข้าทางเพื่อนพี่พระจันทร์ น้องสมุทรว่าได้ใจพวกพี่ๆ เค้าไปแล้ว80เปอร์เซ็นต์



ไม่ต้องถามว่ารู้ได้ยังไง น้องสมุทรตัดสินใจเอาเองครับ!



“โหย ก็วันนี้พี่ยอร์ชสอนผมมาหมดแล้ว แทบจะรู้จักทุกซอกของวิศวะแล้วพี่”



“ยอร์ช” พี่มีนวางแก้วน้ำแข็งของตัวเองแล้วเลิกคิ้วมองหน้าผม



“อื้ม พี่ยอร์ชคือพี่คนที่ผมรู้จักอ่ะพี่” บอกออกไปอีกครั้ง กลัวพี่เค้าไม่เข้าใจ เพราะเห็นหน้าพี่มีนดูจะยังข้องใจนิดๆ



“อย่าบอกว่าไอ้ยอร์ชปี3 วิศวะโยธานะ”



“เอ่อ...ไม่แน่ใจว่ะพี่ปุ่นว่าพี่เค้าเรียนสาขาไร แต่ถ้าปี3อ่ะใช่เลยพี่ .. ทำไมอ่ะ พี่รู้จักหรอ”



“เชี่ย”



“หื้ม” ผมเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจตอนที่เห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของพี่ปุ่นกับพี่มีน คือทำไมชอบมองหน้ากันแล้วเหมือนพูดคุยกันทางโทรจิต คนไม่เข้าใจแบบกูมันก็อึดอัดนะครับ ... แต่ก่อนที่จะได้คำตอบอะไร เสียงของคนมาใหม่ที่ผมรอก็ดังขึ้นมาขัดสะก่อน



“มึงมาทำไม” เป็นคำพูดที่มีเอกลักษณ์ของคนซึนแหล่ะผมว่า พี่พระจันทร์วันนี้อยู่ในเสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์ดำ ในมือถือกระเป๋าclutch bagของผู้ชายลายกราฟฟิค แต่มองดูรู้ว่าเป็นของแบรนด์บาเลนเซียกา



“น้องสมุทรเอาของมาฝาก พี่พระจันทร์กินอะไรหรือยัง หิวไหม” ผมพูดออกไปพร้อมรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปหา พี่พระจันทร์กรอกตาออกมานิดหน่อยตอนเห็นท่าทางของผมแบบนั้น



“กูไม่กิน มึงเอากลับไปเหอะ”



“แล้วพี่พระจันทร์อยากกินอะไรล่ะ น้องสมุทรไปซื้อให้เอาไหม” ผมยังคงตื้อถามเพราะเป็นห่วง แอบลอบช้อนตามองพี่มันนิดๆ แอบนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อวานที่เกิดขึ้นแล้วรู้สึกว่าหน้าจะแดง แต่ดูเหมือนว่าพี่พระจันทร์จะเก็บซ่อนความเขินอายเอาไว้ได้ดีกว่าผมเยอะเลย เพราะสีหน้าเรียบเฉยของเค้า มันไม่ได้แสดงออกว่ากำลังรู้สึกอะไร หรือเขินอะไรกับเรื่องเมื่อคืนแบบผมสักนิด ... คนซึนแหล่ะผมว่า



“ไม่เอา มึงกลับไปได้แล้วไป จะมาหากูทำไมวะ” ขมวดคิ้วมองหน้าผมนิดๆ สีหน้าที่ติดว่าอยากให้ผมกลับไปให้พ้นๆ สักที



“อ่า แต่น้องสมุทรยังอยากอยู่กับพี่พระจันทร์นี่นา” ผมพูดแบบนั้นแล้วเดินไปเกาะแขนพี่เค้าแล้วเอียงหน้ามองยิ้มๆ



“ขอน้องสมุทรอยู่กับพี่พระจันทร์ก่อนไม่ได้หรอ นะๆ น้า”



“มึงเป็นไรวะ มางอแงเหี้ยไร” พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วก้มลงมองหน้าผม ดวงตาคมสวยที่มีขนตางอนยาวในแบบที่ผมชอบจ้องตาผมแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่



“เห้ยๆ ไอ้จันทร์ มึงเป็นไรของมึงเนี่ย น้องมันก็แค่เอาขนมมาให้เฉยๆ” พี่ปุ่นที่ดูเหมือนรู้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีพูดขึ้นมาแบบนั้น



“เออจริงมึง แล้วน้องมันก็เอาเสื้อมาคืนมึงด้วย แหม่ๆ” พี่มีนพูดว่าออกมาแบบนั้นทำให้พี่พระจันทร์ต้องหันไปมองแล้วขมวดคิ้วนิดๆ



“ปากทำมาไล่ แต่จริงๆ ก็ให้เสื้อตัวหวงของมึงไปเลยหรอวะ” พี่มีนว่าล้อๆ แล้วหันมายักคิ้วให้กับผม ... นั่น ทีมน้องสมุทรแล้วหนึ่ง



“เสื้อตัวนี้พี่พระจันทร์หวงหรอ แต่ว่าก็ให้น้องสมุทรใส่หรอ” ช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น พี่พระจันทร์ที่ทำหน้านิ่งๆ แล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ



“มึงมาหากูแค่นี้ใช่ไหมสมุทร” พี่มันถามออกมานิ่งๆ ผมที่ยกมือดันแว่นตาตัวเองนิดๆ แบบไม่เข้าใจ แล้วก็พยักหน้าออกมาให้พี่มันนิดๆ จริงๆ มันเป็นนิสัยเวลาที่ไม่มั่นใจแล้วจะชอบทำ



“งั้นกูก็ได้ของทุกอย่างที่มึงเอามาแล้ว มึงกลับไปได้ละ”



“ทำไมชอบไล่ผมนักล่ะ คนเค้าจีบนะรู้ยัง”



“เออ กูรู้แล้วพอใจยัง! ถ้าพอใจมึงก็กลับไปสักทีสิวะ”



“ทำไมอ่ะ ทำไมต้องอยากให้กลับขนาดนั้นด้วย” ผมว่าวันนี้พี่พระจันทร์แปลกๆ ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็ไม่เป็นแบบนี้สักหน่อย เอาจริงๆ เหมือนว่าเราจะตกลงกันไปแล้วด้วยซ้ำว่าเค้ายอมให้ผมจีบ ... แล้วถ้ายอมให้จีบ แต่ไม่ยอมให้ใกล้ มันจะไปคืบหน้าอะไรล่ะวะ



“จันทร์ พี่ปิดรถให้แล้วนะ”

เสียงใสๆ ของคนมาใหม่ที่เดินตามเข้ามาสมทบพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าของพี่พระจันทร์เพื่อไปมองคนมาใหม่ ก่อนที่ใบหน้าขาวใสอมชมพู ที่มาพร้อมๆ กับสีผมสุดน่ารักอย่างสีชมพูเฟดอ่อนๆ ดูพาสเทลยิ่งขลับให้ใบหน้านั่นน่ารักเข้าไปใหญ่ คนตัวบางสูงโปร่งที่อยู่ในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาใกล้แล้วมาหยุดอยู่ข้างๆ พี่พระจันทร์ ก่อนที่นิ้วเรียวสวยนั่นจะยื่นกุญแจรถราคาแพงส่งมาให้พี่พระจันทร์



น้องสมุทรได้แต่อ้าปากค้างในตอนที่เห็นใบหน้าของคนมาใหม่คนนี้ชัดๆ ...



คนที่ผมจำได้ดีว่าเป็นใคร



คนที่คอยมารับมาหาพี่พระจันทร์เสมอตอนที่พี่เขาอยู่ม.6 ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะขึ้นมหาลัยไปแล้วก็ยังมาหากันทุกเย็น



“พี่อัยย์”



“เอ๋ รู้จักพี่ด้วยหรอครับ สวัสดีนะ” คนมาใหม่หันมาเห็นผมแล้วทำหน้างงๆ เหมือนกับสงสัยว่าผมเป็นใคร ก่อนที่จะพูดออกมาแบบเป็นกันเองอย่างน่ารัก ... 4ปีผ่านไป พี่เค้าก็ยังดูน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง



ผมหันไปมองหน้าพี่พระจันทร์นิดๆ อีกฝ่ายขมวดคิ้วนิดๆ แต่ก็เลือกจะเมินหน้าหนีจากผมไปหาพี่อัยย์



“พี่อัยย์สวัสดีครับ” พี่มีนที่เหมือนจะตั้งสติได้ก่อนใคร ยกมือขึ้นไหว้พี่อัยย์ด้วยรอยยิ้มแหะๆ แบบไม่สู้ดีนัก



“ทำไมพี่ถึงมากับไอ้จันทร์มันได้” พี่ปุ่นถามออกไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ามันแข็งฉิบหาย ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ แล้วยกมือขึ้นดันกรอบแว่นอีกครั้ง เหมือนว่าพวกเค้าจะรู้จักและสนิทกันดีทั้งหมด



“อ้อ เมื่อคืนพี่ขอให้จันทร์ไปรับน่ะ แล้วก็เลยอยู่ด้วยกัน วันนี้มีเรียนบ่ายพร้อมกันเลยมาพร้อมจันทร์เลย” พี่อัยย์ว่าออกมาแบบนั้นแบบไม่ได้คิดอะไร ... แต่คนที่คิดอะไรกลับเป็นผมเอง



พี่อัยย์บอกว่าเขาให้พี่พระจันทร์ไปรับ ... ไปรับตอนไหน มันจะใช่ตอนที่เขาทำสีหน้ากระวนกระวายใจแล้วผละไปจากผมหรือเปล่า



แล้วที่บอกว่าอยู่ด้วยกัน ... จะใช่ตอนที่ผมได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากปลายสายเมื่อคืนนี้หรือเปล่า



อยู่ๆ ความคิดด้านลบของตัวเองก็เข้าครอบงำแปลกๆ ผมได้แต่เงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่พระจันทร์ด้วยใจสั่นๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเป็นคนสวยขาแล้วผมเขินหรอกนะ ...



แค่เหมือนว่าความรู้สึกของน้องสมุทรในตอนนี้ มันจะคล้ายๆ กับเวลาที่เราโดนดึงขาให้จมลงไปที่ก้นสมุทร ความรู้สึกของที่เงยหน้าขึ้นมองด้านบน พยายามจะตะกายขึ้นไปให้พ้นน้ำ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ขึ้นไปหายใจให้พ้นน้ำไม่ได้สักที...



“เอ่อ...” ผมที่หาเสียงตัวเองเจอในที่สุดเอ่ยออกไปแบบนั้น ทำให้ทุกคนหันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน พี่พระจันทร์มองหน้าผมนิ่งๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร สายตาของเขายังคงเป็นเช่นเดิม นั่นคือไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมเลยเหมือนเดิม



“ผม...ผมขอตัวก่อนนะครับ ฮ่าๆ เพื่อนน่าจะมารอแล้ว” บอกออกไปแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มที่ส่งไปให้ทุกคนเหมือนทุกที ไม่ได้รอให้ใครตอบรับอะไร เพราะรู้ดีว่าคนที่ผมอยากให้เค้าพูดอะไรออกมาสักหน่อยจะไม่มีทางพูดมันออกมา ผมเลยรีบคว้ากระเป๋าตัวเองมา แล้วหันหลังวิ่งหนีออกมาทันทีที่พูดจบ



.

.

.



“สัด! ไหนมึงบอกกูว่ามึงกลับออกมาแล้วไงวะ”



“กูก็ไม่อยากให้ลำบากนี่หว่า” ผมที่เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนตัวเองที่ทำหน้าเหมือนอยากแดกหัวผมลงไปให้มันจบๆ ไอ้มาร์ชขมวดคิ้วเป็นปมแน่นๆ จนผมกลัวว่าหน้ามันจะแก่ก่อนวัย



“แล้วมึงเลยไปกับไอ้เหี้ยนั่นแทนว่างั้น!”



“อย่าเรียกพี่พระจันทร์ของกูว่าไอ้เหี้ยนั่นได้ไหมวะ” ผมว่าออกมาแบบนั้นด้วยเสียงอ่อยๆ หลังจากกลับมาจากคณะบริหาร ก็มาเจอไอ้มาร์ชนั่งรอที่คณะอยู่ก่อนแล้ว มันที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผมก็เอาแต่เค้นความจริงออกมาจนหมด หลังจากที่เล่าจบ ก็เลยได้เห็นสีหน้าเหมือนคนหิวตับหมาส่งมาให้ผมแทน ... พ่อโมโห พ่อโกรธา



“มึงแม่ง”



“เอาน่าเพื่อนมาร์ช ยังไงกูก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยนี่หว่า”



“แล้วไอ้เหี้ยนั่น เออๆ กูหมายถึงไอ้สัดพี่พระจันทร์ของมึงน่ะ มันไม่พูดเหี้ยอะไรเลยรึไง” คำพูดคำจา ขนาดถลึงตาใส่มันยังเรียกไอ้สัดพี่พระจันทร์อีก หึ่ย หัวใจน้องสมุทรมันเจ็บปวดว่ะ คนสวยขาโดนเรียกแบบหยาบคาย



“ไม่นะ” ผมตอบออกไปหงอยๆ จะให้พูดอะไรวะ ในเมื่อพี่มันเอาแต่มองหน้าพี่อัยย์



“K กูอยากจะไปต่อยให้หน้าแม่งแหก”



“ไม่ได้นะเว้ย มึงจะไปต่อยหน้าสวยๆ งั้นได้ไง”



“สัด มึงเลิกเอาตาตุ่มมองสักทีไอ้เหี้ยสมุทร”



“แล้วพ่อจะโมโหอะไรขนาดนั้น มึงก็น่าจะรู้ว่าลูกมึงมันสติปกติที่ไหนล่ะไอ้มาร์ช” ไอ้เฮงว่าแบบนั้น มันที่กำลังพับแขนเสื้อนักศึกษาของมันให้เข้าที่ แต่เอาดีๆ ยิ่งพับก็ยิ่งแย่ครับ



“เรื่องโพมันยังดูยากขนาดนี้ แล้วเรื่องนี้มันจะดูออกไหม” ไอจิมมองมาที่ผมแล้วถอนหายใจ



“มองออกไม่ออกอะไรวะ” ผมขมวดคิ้วมองหน้าพวกมันพร้อมกันแบบนั้น ไอ้มาร์ชกรอกตาแบบหมดความอดทนเต็มที



“สมุทร กูว่ามึงควรพอว่ะ พอกับพี่แม่งได้แล้ว”



“กูพึ่งได้ลองเองนะเว้ยมาร์ช~~ กูก็เล่าให้มึงฟังแล้วไงว่าพี่พระจันทร์อ่ะพึ่งตกลงให้กูจีบได้ แล้วมึงจะให้กูพอได้ยังไง กูอุตส่าห์อดทนรอมาตั้ง4ปี”



“4ปีของมึงมันยังสูญเปล่าไม่พอหรอวะ มึงยังจะต้องเสียเวลาไปมากแค่ไหนกับคนแบบมันอ่ะ” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วมองผมแบบไม่สบอารมณ์



“เห้ยๆ ไอ้มาร์ช มึงจะฉุนเฉียวแล้วว่าพี่พระจันทร์เค้าแบบนั้นมันก็ไม่ถูกนา” เป็นไอ้จิมแย้งออก



“ทำไมกูจะโทษแม่งไม่ได้ มันทำแบบนี้ก็เท่ากับให้ความหวังไอ้สมุทร ให้ความหวังมัน แล้วดูสุดท้ายแม่งทำดิ K!”



“มึงต้องเข้าใจก่อนว่าเพื่อนเรามันไปชอบเค้าเอง แล้วถ้ามันจะเสียใจกลับมาเอง มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา มึงดึงดันไปขอความรักจากเค้า ถ้าสุดท้ายสิ่งที่ได้ตอบกลับมามันไม่ตรงใจมึง แล้วจะพาลไปโทษว่าเค้าเหี้ย มึงสิเหี้ยที่จัดการความรู้สึกของตัวเองไม่ได้แล้วยังเสือกไปโทษเขาอีก ... เขาขอให้มึงไปรักหรอ?”



ไอ้เฮงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ผมยกมือขึ้นดันกรอบแว่นให้เข้าที่อีกครั้งตอนที่ได้ฟังคำพูดนั้น ... ยอมรับว่าวันนี้รู้สึกจุกๆ ที่ใจนิดหน่อย เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่าคนที่ยืนข้างพี่พระจันทร์ตรงนั้น คือพี่อัยย์น่ะสิ พี่อัยย์ที่ผมรู้ว่าตลอดมา พี่พระจันทร์ไม่เคยละสายตาจากเค้าได้เลย



“เห้ยๆ มึงอย่าพึ่งตีโพยตีพายทั้งไอ้หมุดทั้งมึงเลยเพื่อนมาร์ช นี่มันพึ่งเริ่มต้นเองไม่ใช่หรอวะ ... เอางี้ คืนนี้กูเลี้ยงเอง ไปคลายเครียดกันเถอะเพื่อนๆ” ไอ้จิมว่าออกมาพร้อมยิ้มกว้างๆ มันที่ไม่อยากเห็นผมเศร้า และคงไม่อยากเห็นไอ้มาร์ชตึงเลยเสนอวิธีที่มันชอบที่สุด



“แดกเหล้าย้อมใจ แล้วพรุ่งนี้เอาใหม่สิครับมึง...ไอ้หมุดเพื่อนกูมันจะยอมแพ้เพราะแค่นี้หรอวะ”



ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ อีกหนึ่งที ก็ถูกของมัน ไม่มันใช่เวลาที่ผมจะมานั่งหงอย พึ่งเริ่มแท้ๆ ...กูจะยอมแพ้ได้ไง



น้องสมุทรจะเป็นผัวพี่พระจันทร์ให้ได้!



แม้ตอนนี้หนทางจะริบหรี่ก็ตาม



“สัด พวกมึงแม่งชอบให้ท้ายมันว่ะ” ไอ้มาร์ชบ่นออกมาแบบไม่สบอารมณ์ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผมแรงๆ เก้าอี้หินนี่ถึงกับสะเทือน รุนแรงแท้



“มึงต้องปล่อยให้มันเดินเองได้แล้วไอ้มาร์ช มึงปกป้องมันทั้งชีวิตไม่ได้หรอก” ไอ้เฮงมองหน้าไอ้มาร์ชนิ่งๆ ผมไม่ได้ยินว่ามาร์ชมันตอบอะไรกลับไป เห็นแค่มันถอนหายใจหนักๆ แล้วหันหน้าหนี



นั่นสินะ ... ผมต้องเดินเองได้แล้ว ล้มแค่นี้ทำไมจะต้องท้อ รอมา4ปี จะจบด้วย4วันหรอวะไอ้สมุทร

หึ่ย! ใครมันจะไปยอมวะ!







ควันจางๆ ลอยเอื่อยๆ ไปตามสายลม ตรงสถานที่ที่เอาไว้สำหรับรมควันกันโดยเฉพาะ ผมที่ยืนพิงกำแพงแล้วพ่นควันสีเทาให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างใจลอย ในหัวยังนึกถึงแผ่นหลังที่วิ่งจากไปเมื่อตอนกลางวันไม่เลิก ... ไม่รู้จะมาทำห่าอะไร



“มึงเอาอีกแล้วหรอวะไอ้พระจันทร์”



“มึงพูดอะไร” ลดมวนบุหรี่ออกจากปาก ก่อนจะปรายสายตาไปมองคนข้างๆ ไอ้ปุ่นที่โยนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้ตีนขยี้ก้นบุหรี่ให้ดับสนิท



“กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี แค่มองตามึงก็เห็นไปถึงK” มันที่จ้องตาผมนิ่งๆ แล้วพูดออกมาแบบนั้น



“เกินไปไอ้สัด” ด่ามันออกไปแบบนั้นแล้วหันหน้าหนีจากไอ้ปุ่น



“เมื่อไหร่มึงถึงจะพอกับพี่อัยย์” ไอ้ปุ่นที่ว่าออกมาแบบนั้น มันเหมือนจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ให้กันสักที แม่งโคตรน่ารำคาญ

น่ารำคาญพอๆ กับใครบางคนที่ตื้อมาหากันไม่เลิก วันนี้ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะเจอมันที่คณะ ... แต่ลืมไปเลยว่า มันที่บอกกันเสียงแข็งแบบนั้นว่าชอบกัน มันคงไม่เลิกพยายามง่ายๆ



“หรือถ้ามึงไม่พอกับพี่อัยย์ มึงก็ไม่ควรดึงสมุทรมันเข้ามาเกี่ยวด้วย” ผมขมวดคิ้วแล้วหันไปมองหน้ามัน



“เกี่ยวเหี้ยอะไรกับมัน” ผมถามมันออกไปอย่างหงุดหงิด ไอ้ปุ่นบางทีมันก็น่ารำคาญเกินกว่าจะเสวนาด้วย



“หึ มึงหวงเสื้อตัวนั้นจะตาย ขนาดพี่อัยย์จะใส่มึงยังไม่ให้เลยเพราะป๊าทัพซื้อมาให้จากฝรั่งเศส แล้วน้องสมุทรเป็นใครมึงถึงให้ใส่”



“น้อง?” ผมขมวดคิ้วกับคำที่มันเรียกไอ้สมุทร สนิทกันขนาดไหนไปเรียกแม่งว่าน้อง



“นี่มึงโฟกัสตรงจุดไหนของมึงเนี่ยไอ้สัด”



“จุดไหนก็เรื่องของกูเหอะ หุบปากมึงดิไอ้ปุ่น รำคาญ” ยกมือขึ้นเสยผม รู้สึกร้อนและหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้วในวันนี้



“เหอะ ทำเป็นหงุดหงิดไปเหอะ คนที่ตามชอบมึง ไม่ใช่ว่าวันนึงเขาจะเลิกชอบไม่ได้นะ กูขอเตือน”



“แล้วกูต้องสนหรอ กูได้ขอให้มันมาชอบกูหรอ ... มึงที่มาจี้เหมือนกูทำผิดนักหนา ทั้งๆ ที่กูก็เป็นแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว กูเคยใส่ใจความรู้สึกใครมากกว่าอัยย์หรอวะ มึงเองก็น่าจะรู้” ผมสะบัดหน้าปรายสายตามามองมันตรงๆ



“เออ เพราะกูรู้นี่แหล่ะ กูถึงอยากให้มึงพอสักทีไอ้พระจันทร์”



“อัยย์ต้องมีกู!”



“หรอ มึงคิดว่างั้นหรอ” ไอ้ปุ่นแสยะยิ้มออก รอยยิ้มของมันที่กำลังบอกว่ามันรู้ดีในทุกๆ เรื่อง เป็นรอยยิ้มที่ผมโคตรจะเกลียด



“พี่อัยย์เค้าต้องมีมึงเสมอแหล่ะ เวลาที่เค้าไม่มีใครอ่ะ แต่เวลาที่เค้ามี เค้าก็ไม่เคยต้องการมึงหรอก” ผมปาบุหรี่ในมือลงพื้นแรงๆ เป็นความจริงที่เถียงมันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ต้องการจะฟัง ก่อนจะสะบัดหน้ามองไอ้ปุ่นอย่างไม่สบอารมณ์



“แล้วกูจะบอกอะไรให้มึงรู้อีกอย่าง ... วันนี้น้องสมุทรไปกินข้าวกับไอ้ยอร์ชที่วิศวะมาว่ะ”



“มึงว่าอะไรนะ!” กระชากคอเสื้อไอ้ปุ่นให้เข้ามาใกล้ ขมวดคิ้วมองมัน รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นไปอีกเท่าตัวตอนที่ไอ้เพื่อนรักตรงหน้าทำแค่ส่งยิ้มออกมาแบบไม่รู้ไม่ชี้ อ่านสายตามันออกมาได้ว่า ‘ก็ไม่รู้สิน้า’



“K”



“กูว่ามึงหลุดแล้วนะพระจันทร์เพื่อนรัก”



“สัด! น่ารำคาญ”



...



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่4 (150122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 15-01-2022 20:22:56

ผม นายข้ามสมุทร ที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าของร้านอาหารผับกึ่งในเวลาสามทุ่มกว่าๆ ตามเวลานัดกันของพวกเพื่อนๆ ป้ายชื่อร้านที่อยู่ด้านบนสุดของตัวตึกเป็นสีชมพูนีออนแสบตา เขียนชื่อไว้ว่า ‘DANIWORLD’ เห็นพวกมันบอกว่าร้านนี้เป็นร้านดัง ในรีวิวก็มีบอกไว้ว่าอาหารอร่อย เพลงดี และเจ้าของร้านเด็ด กูงงมากๆ ว่าทำไมมันถึงไปเกี่ยวกับเจ้าของร้านได้วะ แต่ถ้ารีวิวขนาดนี้ หรือว่าจะสวยวะ ระริกระรี้ขึ้นไปนิดนึง เพราะน้องสมุทรน่ะชอบคนสวย



“มาถึงนานยังวะไอ้สมุทร” หันไปมองตามเสียง เห็นไอ้เฮงลงมาจากรถพร้อมๆ กับไอ้มาร์ช บ้านพวกมันอยู่ทางเดียวกันเลยรับกันมา ส่วนไอ้จิมมันคงอยู่ในร้านเพราะมาจองโต๊ะ



“ไปมึง เข้าไปเมาให้ลืมเศร้า” ไอ้เฮงว่าแบบนั้น มันเดินมากอดคอผมแล้วยีหัวไปด้วย



“ไอ้สัดเฮงซวย กูอุตส่าห์เซ็ตผมมาไอ้ห่า” ผมร้องออกไปแบบนั้น กูเซ็ตมานานมาก แต่จะมาโดนทำลายลงเพราะไอ้เพื่อนเฮงซวย



“หึ มึงไม่หล่อไปมากกว่าเด็กม.4หรอก ไม่ต้องเสียดาย” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้น มันในวันนี้เรียกว่าหล่อบาดใจนะครับ เสื้อเชิ๊ตไม่ติดกระดุมสามเม็ดของมันเปิดโชว์ให้เห็นแผงอกขาวๆ นั่น กูว่าวันนี้จะต้องมีคนได้หิ้ว



“พ่อแม่งใจร้ายกับกูจังเลยว่ะเพื่อนเฮง” ผมแกล้งทำหน้าเบะปากอยากร้องไห้



“โอ๋ๆ นะมึง แต่เชื่อกูเถอะ วันนี้พ่อมึงอาจจะหาแม่ใหม่ให้มึงว่ะ ฮ่าๆ”



“ขอโทษที กูไม่มีลูกแบบมึง อ้อ เพื่อนแบบมึงด้วยไอ้สัด” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นเรียกเสียงโห่ฮาจากพวกเราสองคนได้เป็นอย่างดี



เข้าไปในร้าน ไอ้จิมจองโต๊ะที่อยู่ชั้นล่างแถวๆ โซนด้านหน้าเวทีเอาไว้ให้ คืนนี้มันคงกะหูดับไม่เมาไม่เลิกให้สมกับที่วันพรุ่งนี้เราไม่มีเรียนครับ



“โอ้ๆ น้องหมุดของกูมาแล้ว มาด้วยลุคขาวใสไฉไลกว่าเดิม”



“แน่นอน คอนเซ็ปกูคือหล่อแบบเจ้าชาย”



“ให้ตาย ไอ้เหี้ยกูนึกว่าคอนเซ็ปแม่ชีมาตลอด ไหว้สา”



“แม่ชีพ่อง!” ยกนิ้วกลางให้ไอ้จิมไป แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งชอบอกชอบใจมากกว่าเดิม ... พวกเรานั่งกินกันไปเรื่อยๆ พูดคุยเรื่องเฮฮาสารพัดที่จะงัดมุกออกมาตบใส่กันได้ เล่นและดื่มกันไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ กว่าจะมีใครใส่ใจเวลา สติของแต่ละคนก็พัดพาไปที่อื่นเรียบร้อยแล้ว



วันนี้ไอ้เฮงกับไอ้จิมได้ชนแก้วกับสาวๆ กันไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ส่วนไอ้มาร์ชตอนนี้ลุกไปนั่งที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกล ผมยกหัวขึ้นมาจากโต๊ะทรงสูงที่เรานั่งกันอยู่ พยายามปรือตามองให้ได้มากที่สุด มองเห็นว่าข้างตัวของมันกำลังมีสาวสายกระซิบอยู่ข้างหู สายตาเจ้าชู้ที่กำลังส่งไปให้เธอ บอกให้รู้ว่าวันนี้แม่งต้องแยกกันกลับกับไอ้เฮง



“เห้ยๆ ไอ้หมุด มึงไหวไหมเนี่ย”



“กูไม่มาวจ้า”



“สัด ถ้าพูดแบบนี้เมาทุกที ครั้งนี้พ่อมึงก็ไม่อยู่ห้ามนะโว้ย” ไอ้จิมว่าออกมาแบบนั้น ผมที่ทำแค่ยกมือขึ้นดันแว่นที่ไหลออกจากกรอบหน้าไปให้เข้าที่....แค่นี้น้องสมุทรไม่เมาหรอกว่ะ ถ้าเมารักพี่พระจันทร์ก็ไม่แน่หรอก เอิ๊ก



“เห้ยมึง ไอ้สมุทรพอใจยัง” เสียงเรียกที่มาพร้อมกับแรงสะกิด ผมยกหัวตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะได้ในที่สุด หันไปมองก็เห็นผู้ชายหน้าหล่อที่แต่งตัวด้วยเครื่องประดับหูเป็นสายโซ่คล้องกันไปมาหลายรูอย่างเท่ ริมฝีปากที่มีรอยยิ้มกวนๆ ยกยิ้มอยู่ที่มุมปากแม่งอย่างคุ้น



“ไอ้สมุทร”



“เชี่ย มึงหน้าเหมือนพี่ยอร์ช”



“หึ ไม่ใช่แค่เหมือน กูนี่แหล่ะยอร์ชเลย”



“เอ้า โลกกลมฉิบหาย ดีพี่ยอร์ช มาชนแก้ว” บอกมันแบบนั้นแล้วคว้าแก้วตัวเองมาชนกับแก้วที่มันถือมา ก่อนจะกระดกเข้าปากไปอีกอึก



“เห้ยเบาหน่อยไอ้ลูกหมา มึงเมาแล้วเนี่ย” มันว่าแบบนั้น แล้วดึกแก้วออกจากปากผม สายตามันดูจะแวววาวมากกว่าตอนกลางวัน หรือว่าเป็นเพราะมันเป็นตอนกลางคืนที่มืดๆ แล้วมีแสงไฟวูบวาบกันวะ



“ไม่เมาๆ นี่ๆ พวกมึง นี่พี่ยอร์ช ... ส่วนพี่ยอร์ช นี่ไอ้เฮง ไอ้จิม แล้วนู้นนนนที่อยู่ตรงโต๊ะนู้น หรี่ตามองเห็นมะ นั่นไอ้มาร์ช เพื่อนสมุทรเองจ้า” พี่มันมองตามมือผมที่ชี้ไปหาไอ้มาร์ชพร้อมพยักหน้านิดๆ ประมาณว่าเห็นแล้ว



“อื้ม ไหว้เพื่อนสมุทรยางงง”



“เชี่ย ไหว้เหี้ยไรล่ะ พวกกูนี่ต้องไหว้พี่เค้า” ไอ้จิมว่าออกมาแบบนั้น แต่พี่ยอร์ชก็ทำแค่หัวเราะหึๆ



“เออดีพวกมึง เพื่อนมึงดูเมาแล้วนะ”



“มากอ่ะพี่”



“ทำไมกินเยอะจนเหมือนหมาขนาดนี้วะ” พี่ยอร์ชถาม และเพราะว่าเสียงมันดัง มันถึงก้มลงต่ำจนต้องเอียงหน้าเข้ามาใกล้ๆ แก้มของผมเพื่อกระซิบให้ได้ยิน



“ผมมีเรื่องเสียจายยยย เลยอยากดื่มไงเพ้”



“มึงมีเรื่องทุกข์ไร ไหนเล่าสิ” ไอ้พี่ยอร์ชว่าแบบนั้นแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ของไอ้มาร์ช



“คือว่าผมน่ะนะ...คือผมน่ะ...โอ๊ย เชี่ย มือถือขัดจังหวะ” ผมว่าออกมาแบบนั้นตอนที่รู้สึกว่ามือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงมันสั่นจนไข่เต้นในกางเกงหมดแล้ว พยายามจะดึงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแต่แม่งยากเหลือเกิน สงสัยวันนี้จะใส่กางเกงเดฟไปหน่อย แม่งเอ๊ย ล้วงยาก



“นี่ๆ พี่มอส”



“กูชื่อยอร์ช”



“เออๆ ...นั่นล่ะ เดี๋ยวสมุทรมานะ ไปรับโทรศัพท์แป๊บ เดววววมาเล่าให้ฟังใหม่น้า” ผมบอกแบบนั้น พร้อมๆ กับลุกออกจากที่นั่ง แต่มือของพี่มันก็เอื้อมมาจับแขน



“กูไปเป็นเพื่อน”



“ไม่ต้องๆ เดวมา แป๊บเดววว แม่คงโทรมาอ่ะ พี่ไปด้วยเดี๋ยวดูไม่เท่ ...ไอ้เฮงไอ้จิม กูฝากพี่ด้วยแป๊บนุง” บอกแบบนั้นพรางโบกมือไปมา พร้อมๆ กับดันไหล่หนาให้ทรุดตัวลงนั่งที่เดิม พี่ยอร์ชทำหน้าเหมือนไม่อยากจะทำตาม แต่ติดตรงไอ้เพื่อนทั้งสองคนของผมเข้าประกบพี่มันทันที ได้ยินเสียงพวกมันถามถึงคณะที่พี่มันเรียน จริงๆ แล้วน้องสมุทรคิดว่าพวกมันแค่สนใจสาวๆ คณะวิศวะเท่านั้นล่ะ



ผมที่เดินเป๋ไปเป๋มา ค่อยๆ เกาะกำแพงของร้านเดินออกมาที่ทางด้านหลังร้าน ตรงเป็นโซนลานจอดรถ ลมแรงๆ ที่เป่ารถหน้าทันทีที่เปิดประตูด้านหลังออกมา ทำให้ตื่นตัวขึ้นมานิดนึง ร้านนี้บรรยากาศดีและจัดร้านสวยจริงๆ ดูรู้เลยว่าเจ้าของร้านใส่ใจ ขนาดด้านหลังตรงนี้ยังมีที่นั่งพัก และจัดเป็นซุ้มดอกไม้เอาไว้ให้ดูสบายตา ผมที่ทรุดตัวลงนั่งแถวๆ นั้นแล้วพยายามหยิบมือถือออกมา จนถึงตอนนี้ก็ยังสั่นไม่เลิก



“รู้แล้วๆ จารับแล้วจ้า” ทำไมเสียงกูมันอ้อแอ้แปลกๆ นะ



“มึงไม่ต้องรับแล้ว!” เสียงเข้มๆ ที่ติดจะขุ่นมัวแปลกๆ ดังอยู่ที่ด้านหลังของผม พอหันหน้าไปมองก็เจอเข้ากับคนที่ผมคิดถึงตลอดเวลา แต่สายตาของคนตรงหน้าดูจะไม่เป็นมิตรนัก



“....พี่ พระจันทร์”



“เออ! กูเอง” ว่าแบบนั้นแล้วย่างสามขุมตรงเข้ามาหาผม หึ่ย แต่น้องสมุทรสะบัดหน้าหนี คิดถึงนะแต่ขอพักก่อน วันนี้มาเที่ยว กะว่าจะย้อมใจให้แข็งแรง แต่ตอนนี้ยังไม่แข็งนี่หว่า



“มึงสะบัดหน้าหนีกูหรอวะ”



“เออสิ สมุทรสะบัดเองแหล่ะ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วเบ้ปากใส่



“ทำไม ต้องเป็นไอ้เหี้ยยอร์ชใช่ไหม มึงถึงจะเอียงหัวใส่น่ะห๊ะ”



“เอ้า แล้วเกี่ยวไรกับพี่ยอร์ชอ่า” ผมหันหน้าไปมองมันในที่สุด เอียงหัวตะคองมองมันเพราะรู้สึกว่าหัวมันหนักๆ โอ๊ยๆ ตาลาย



“งื้อ ภาพมันเบลอหรือเธอไม่ชัดเจนน้า”



“สัด มึงนี่แม่ง”



“อาไร จะด่าไรอีก เดี๋ยวก็ไล่อีก งั้นวันนี้พี่พระจันทร์ไปเลยนะ สมุทรยังไม่พร้อมเป็นผัวพี่”



“เมาแล้วเพ้อไรของมึงวะ เงยหน้าขึ้นมาคุยกับกูดีๆ สมุทร” คนตรงหน้าว่าพร้อมดึงแขนผมไว้ก่อนที่ผมจะไหลลงไปกองกับพื้น เพราะรู้สึกอยากนอน .... น้องสมุทรอยากทิ้งตัว อยากอยู่ในสภาวะทิ้งดิ่ง



“มาอาวววว สมุทรอยากนอน นอนตรงนี้”



“นอนเหี้ยไรล่ะ ตรงนี้นอนไม่ได้!” พี่พระจันทร์ทำเสียงเหมือนรำคาญ แต่ก็เป็นพี่มันที่ดึงตัวผมเข้าไปกอด เอาหน้าของผมทิ้งตัวลงบนไหล่ของมัน แล้วจับตัวของผมให้ยืนดีๆ แม้ว่าตัวผมในตอนนี้แทบจะไม่รู้จักคำว่ายืนดีๆ แล้วก็ตาม



รับรู้ได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆ ที่เอื้อมมาปัดผมที่ปรกหน้าของผมออกเบาๆ อื้ม กลิ่นน้ำหอมเย็นๆ นี่มันทำให้ยิ่งอยากนอน หอมจนเอาหน้าซุกเข้าไป กอดอะไรตรงหน้าให้แน่นขึ้นไปอีก หมอนข้างหรือเปล่านะ งื้อ น้องสมุทรอยากกอดแน่นๆ เลย



“สัด อย่ามาซุกกูแบบนี้สมุทร”



“อื้ม อยากนอน”



“เออๆ กูจะพาไปนอนนี่ล่ะ อยู่เฉยๆ”



“หื้ม ... พระจันทร์หรอ” เสียงเข้มๆ ของใครบางคนที่ผมไม่รู้จักดังขึ้นเรียกชื่อของพี่พระจันทร์ ผมพยายามปรือตาขึ้นมามอง สภาพแว่นที่อยู่ตรงลูกตาแค่ด้านเดียว อีกด้านตกไปอยู่ที่โหนกแก้ม เลยทำให้มองเห็นคนที่เรียกพี่พระจันทร์ไม่ชัด พอมองออกว่าเห็นใบหน้าคมหล่อ ดวงตาคมที่ถูกเขียนด้วยอายไลน์เนอร์เฉี่ยว และเปลือกตาทาด้วยอายแชโดว์ที่มีกลิตเตอร์วิวับ เลื่อนสายตาลงมาก็มัดกล้ามและแผ่นอกกว้างๆ บนไหล่หนานั่นเห็นขนเฟลอร์สีชมพูแปร๊ดวางพาดอยู่บนไหล่ รู้สึกเหมือนมีอะไรที่มันไม่ถูกต้อง อะไรเอ่ยที่ไม่เข้าพวก ผู้ชายหล่อ ดูผัวมาก อยู่บนจุดสูงสุดของหวงโซ่ แต่ปากแดง และแต่งหน้าจัด...แต่มันจะใช่หรอ หรือน้องสมุทรตาลายนะ ไม่ไหวตาจะปิด ตาจะปรือ อยากทิ้งตัว



.

.

.



“อาดาบ” ผมเรียกคนตรงหน้าออกมาแบบนั้น ชายร่างสูงที่อยู่ในชุดฉูดฉาด แต่งหน้าจัดและมีริมฝีปากสีแดง แต่ริมฝีปากของเขากลับยกยิ้มเจ้าเล่ห์และมองตรงมาที่ผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก สายตาของคนที่ผ่านโลกมาก่อน



ใช่แล้ว อาดาบ เป็นลูกพี่ลูกน้องของป๊าผม และเป็นเจ้าของร้านนี้



“นี่เราหิ้วใครอยู่คะ” อาถามแบบนั้นด้วยเสียงสอง หรี่ตามองผมพร้อมยกยิ้มมุมปาก



“เอ่อ...”



“เอาว่ะ เด็กสมัยนี้มันเอาเรื่องจังเลยนะคะ มีอะไรให้คนสวยช่วยไหมเอ่ย” ขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อยแล้วขยิบตาให้ จริงๆ คือขยิบตาใส่ไอ้สมุทรที่เสือกปรือตาขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้อาของผม เห็นแบบนั้นเลยเบี่ยงตัวมันหนี



“หึๆ”



“อาเปิดห้องให้จันทร์หน่อย จันทร์จะ...”



“โอ๊ยอิดอก หลานกูโตขนาดนี้แล้วหรอ โอ้ไม่นะ! กูยังมองเห็นมึงตัวแค่นิ เล็กๆ ตัลร๊าก ที่ไหนได้ แม่งร้ายเหมือนป๊ามัน แต่พระจันทร์คะ...ร้านกูไม่ใช่โรงแรมนะมึง”



“อาดาบ จันทร์แค่จะพาน้องไปนอนเฉยๆ น่า น้องเมาแล้ว”



“นอนจับมือกันใสๆ ไม่มีอาราย ตอแหลได้อิเฮียทัพมาเลย”



“นะครับอาดานี่คนสวย นะ ช่วยจันทร์หน่อยนะ”



“กรี๊ดดด พระจันทร์เรียกอาว่าดานี่ มึงเอาไปเลยค่ะ กุญแจห้องชั้น3ไปเปิดเลยค่ะ!! วันนี้กูจะกลับไปนอนกับไอ้เอม ไม่อยู่รบกวนขุ่นหลานหรอกนะคะ” อาดานี่ที่กรี๊ดออกมาแล้วควักกุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงส่งมาให้ผม เอาดีๆ เหมือนว่าเจ้าของร้านนี้กำลังเตรียมตัวกลับบ้านทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา ติดตรงที่ว่าดันมาเจอผมซะก่อน



“แต่ว่า น้องแน่หรอวะ หน้าตาน่ารักนะ” อาดาบว่าแบบนั้นโดยที่เลิกทำเสียงสองเสียงสาม พร้อมมองสำรวจใบหน้าใส ที่ตอนนี้เอาหน้าซุกซอกคอผมไปแล้วตอนนี้



“อืมน้อง”



“พี่น้องไม่นัวกันคะอย่าลืม”



“แล้วใครจะไปนัวกับมันวะอาดาบ”



“อิดอก พอกูให้กุญแจเรียกดาบเลยนะอิเด็กสร้างบ้าน!” แหวใส่ผมตอนที่ได้ยินชื่อเรียกจริงๆ ของตัวเองที่เจ้าตัวไม่ชอบ อาผมเป็นคนหล่อที่ตลก แต่ป๊าชอบบอกว่าสติไม่ดี



“อากลับไปได้แล้วไป จันทร์จะพาน้องไปนอน...กลับช้าแบบนี้อาเอมหนีไปมีผัวใหม่แล้วมั้ง”



“ตบปากเท่าอายุมึงเลยพระจันทร์ มึงนี่แม่งไม่น่ารักเหมือนอาทิตย์เลยว่ะ” อาดาบว่าออกมาแบบนั้น ทำเสียงฟึดฟัดขัดใจ ไม่ได้น่ารักเท่าไหร่เมื่อผู้ชายกล้ามใหญ่ๆ อกแน่นๆ มาทำแบบนี้ แล้วคำพูดของอาก็ทำเอาผมกรอกตา อาดาบก็ต้องชอบไอ้อาทิตย์อยู่แล้ว ก็เลี้ยงกันมาเหมือนตัวเองนี่หว่า



“เออๆ ไม่ต้องถลึงตาใส่กู กูกลับแล้ว ส่วนมึงก็อย่ารุนแรงนะ กูพึ่งซื้อเตียงมาใหม่”



“รู้แล้วน่า ถ้าพังก็จะให้ป๊ามาเปลี่ยนให้”



“เชี่ย แม่งเอาเรื่องว่ะ...แต่เด็กมึงก็น่ารักอยู่นะ”



“อา มองไรวะ ผมจะฟ้องอาเอม”



“หึ ... พี่น้องเค้าไม่หวงดิพระจันทร์”



“รำคาญ”



“ปากแข็งไปเหอะ กูเห็นคนเป็นหมามานักต่อนักละ” อาดาบว่าแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้



“พ่อมึงแล้วหนึ่ง” พูดจบแล้วก็หันหลังเดินแกว่งกุญแจรถในมือเดินจากไป ผมได้แต่ถอนหายใจหนักๆ มองเห็นรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่พุ่งตัวออกไปจากลานจอด เสียงเร่งเครื่องทำให้ท่อดังไปตามทาง ... อืม รถอากูเอง



.

.

.



“อื้อ” ร้องออกมาแบบนั้นตอนที่รู้สึกว่าตัวเองที่ทิ้งให้หงายหลังลงไป รู้สึกผวาจนต้องลืมตาตื่น ภาพบรรยากาศรอบๆ ที่ไม่คุ้นเคยทำให้ขมวดคิ้วออกมา



“ตัวหนักฉิบหาย” เสียงเข้มๆ คุ้นหูดังขึ้นจากปลายเตียง พอเพ่งมองดีๆ ก็ถึงได้รู้ว่านั่นมัน



“พี่พระจันทร์”



“เออ กูเอง ไม่ใช่ไอ้สัดยอร์ชหรอก” เสียงติดจะขุ่นว่าออกมาอีก ยอร์ช...ยอร์ชไหนกันวะ



“พ..พี่พระจันทร์”



“อะไรอีก”



“น้องสมุทรน่ะ...”



“อะไร”



“น้องสมุทรไม่ยอมแพ้หรอกนะ น้องสมุทรจะปกป้องพี่พระจันทร์เองนะ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วส่งยิ้มให้อีกคนน้อยๆ รู้สึกถึงเสียงยวบยาบและเตียงนอนที่ยุบลงไป ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายดันตัวขึ้นมาบนเตียง มองเห็นใบหน้าของคนที่ผมหลงรักลอยอยู่ตรงหน้า



“กูบอกแล้วว่าให้มึงถอยจากกู”



“ไม่เอาหรอก ไม่ถอย” เถียงออกไปแบบนั้นพร้อมๆ กับสายหน้ารัวๆ อื้อ ยิ่งส่ายก็ยิ่งมึน



“ถ้ามึงไม่ถอย มึงจะไม่มีสิทธิ์ถอยแล้วนะ”



“อืม ไม่เอาสิทธิ์ถอย เอาสิทธิ์ผัว ให้ได้ไหม อยากเป็นผัว อึก...อื้ม” คำพูดของผมถูกกลืนหายลงไปพร้อมๆ กับลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามาแทน ลมหายใจอุ่นร้อนตัดกับแอร์เย็นๆ เพิ่มความรู้สึกวูบวาบแบบบอกไม่ถูก ริมฝีปากหยักที่ดูดดุนแทรกริมฝีปากเข้ามาแบบรุนแรงทำเอาผมผวา ฝ่ามืออุ่นๆ ที่สอดเข้ามาในเสื้อของผม ค่อยๆ ไล้มือขึ้นมาที่หัวนมและบีบมันเล่นอยู่แบบนั้น



“อ๊ะ อึก”



“อยากเป็นผัว กูคงให้ไม่ได้ว่ะ” เสียงทุ้มเข้มที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับใบหน้าคมที่ก้มลงจูบไปตามลำคอของผม ลิ้นร้อนๆ ที่ขบเม้มที่ติ่งหู สัมผัสวูบวาบที่เล่นงานจนได้แต่หลับตา รู้สึกหัวหนักๆ จนกว่าจะลืมตาขึ้นมาห้าม



“ถ้าเป็นเมียกู อันนั้นน่ะอีกเรื่อง”



เมียหรอ ... เมียอะไร เมียใครวะ ...น้องสมุทรอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์ต่างหากล่ะ “อ๊ะ...” ยอดอกที่ถูกริมฝีปากเย็นๆ ครอบลงบนหัวนม อกแอ่นสะท้านขึ้นพร้อมๆ กับที่ส่วนยอดถูกดึงเม้มก่อนจะปล่อยออก แผ่นหลังถึงได้ทิ้งตัวลงแนบกับพื้นเตียง สัมผัสวูบวาบรุกเร้ามากกว่าที่เคย น้องสมุทรว่าน้องสมุทรไม่ไหว



“สมุทร” เสียงเข้มๆ ที่ดังอยู่ข้างหู ทำเอาขนลุกซู่และเสียวไปทั้งร่าง แต่ถึงแบบนั้น...ถึงแบบนั้นก็ยากเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมามอง ... น้องสมุทร ...ง่วง



.

.

.



ดวงตาที่ปิดสนิทโดยไร้กรอบแว่นให้เกะกะสายตาหลับพริ้มลงไปในที่สุด ผมได้แต่คล่อมทับร่างที่หลับสนิทไปต่อหน้าต่อตากันนิ่งๆ



“แม่ง....ไอ้สมุทรแม่ง” สบถออกมาแบบนั้นตอนที่เอื้อมมือไปตบแก้มใสๆ เบาๆ สงสัยว่ามันหลับจริงๆ ไหม และใช่ หลับแบบกรนเบาๆ ด้วยนิดนึง ผมที่ผละตัวลุกออกมานั่งข้างๆ ร่างของเด็กที่หลับสนิทไปแล้ว พยายามหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ ก้มมองส่วนกลางลำตัวที่เด่นนูนออกมาดันกางเกงยีนส์แล้วได้แต่ซี๊ดปาก



“แค่จูบกันนิดหน่อย กูเป็นขนาดนี้เลยหรอวะ แม่ง” ยกมือขึ้นเสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้นแบบไม่อยากจะเชื่อกับตัวเอง หันไปมองไอ้เด็กที่ตอนนี้หันหน้ามาทางผม หลับสนิทแบบไม่สนใจจะระวังตัว



“แดกเหี้ยไรจนเมาขนาดนี้วะ” บ่นมันแบบนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบแก้มใสของมันเบาๆ คนที่หลับอยู่เหมือนจะรำคาญที่โดนกวน



“อื้อ อย่าแกล้งน้อง” มันว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาเกาแก้ม ท่าทางแบบนั้นโคตรจะหน้าหมั่นไส้ แต่สุดท้ายก็ทำแค่เอื้อมเอาผ้าห่มมาคลุมตัวมันไว้ดีๆ ตั้งใจว่าจะลุกขึ้นไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ถ้าตื่นมึงเจอกูแน่สมุทร ค้างจนปวดฉิบหาย



‘ครืด ครืดดด’



เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงไอ้สมุทรสั่น ตั้งใจว่าจะไม่สนใจแต่มันก็ยังสั่นไม่เลิก คิดว่าอาจจะเป็นแม่มันเลยเอื้อมมือล้วงหยิบออกมาดู แต่ข้อความที่เด้งขึ้นมากลางหน้าจอนั่นทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นฉิบหาย



[[พี่ยอร์ชวิศวะ: สมุทรอยู่ไหนวะ] ]

[[พี่ยอร์ชวิศวะ: อยู่ตรงไหนเดี๋ยวกูไปรับ] ]

[[พี่ยอร์ชวิศวะ: เป็นอะไรหรือเปล่า] ]

[[พี่ยอร์ชวิศวะ: สมุทรกูเป็นห่วง] ]





“เหอะ เสือกไอ้สัด” ว่าแบบนั้นแล้วกดเปิดเข้าโปรแกรมแชทนั่นไป โชคดีที่ไอ้สมุทรมันไม่ได้ล็อคมือถือเลยเข้าไปได้สบายๆ ไอ้เด็กนี่แม่งไม่เคยจะระวังตัว



[[พี่ยอร์ชวิศวะ: อ่านแล้วก็ตอบกูสิวะ] ]

[[พี่ยอร์ชวิศวะ: สมุทร] ]



[[น้องสมุทร: เสือกไอ้สัด อย่ามายุ่งกับกูอีก] ]

[[น้องสมุทร: เสียเวลาอยู่กับผัว] ]



ตอบกลับไปแค่นั้นแล้วกดปุ่มบล็อคแม่งไปทันที ไม่พอแค่นั้นกูลบแชทด้วยเรียบร้อย



“เหอะ อย่าหวังจะมาเสนอหน้าอีกไอ้สัดยอร์ช” โยนมือถือไอ้สมุทรลงไปบนเตียง ก่อนจะหันไปมองไอ้เจ้าของเครื่องที่นอนหลับเป็นตายแบบไม่รู้อะไร ใบหน้าขาวใสของมันที่นอนทับบี้ไปกับหมอนให้เห็นแก้มป่องๆ นั่น



‘ฟอดดดดด’



กดปลายจมูกหนักๆ บี้ไปกับแก้มของมันแรงๆ สมน้ำหน้า เอาให้เด็กมันเจ็บแก้มตอนตื่นไปเลย

“ทำโทษมึงที่น่ารำคาญนัก”



#รักอยู่รู้ยัง



มาแล้วจ้าาา มาพร้อมกับเปิดตัวตัวละครใหม่ๆมาเต็ม โบ้มๆ ตอนนี้ยาวจัดสุดจัดสุดใจ อาจมีคำผิดนะคะเพราะแคทยังไม่ได้ตรวจทานให้ละเอียด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ส่วนตอนนี้มีอาดาบคนสวยโผล่มาด้วยยยย อั๊ย แคทหวังว่าจะมีคนคิดถึงพี่เค้านะคะ ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน ไปจ๊ะเอ๋พี่แกได้ที่ #สวยๆเป็นผัว จ้า

ส่วนพี่พระจันทร์น้านนนนน...อิพี่นี่มันร้ายนะคะหัวหน้า อย่ามารังแกลูกฉันนะอิตาพระจันทร์ ไม่งั้นจะแจ้งงงงง



พระจันทร์: แจ้งไร ...ไอ้สมุทรมันสมยอม

แล้วก็ แคทฝากคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ฝากบอกเล่ากันเข้ามาว่านิยายเรื่องนี้ดีสนุกถูกใจ หรือไม่ชอบตรงไหนเข้ามานะคะ แคทตามอ่านทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ ... สำหรับท่านที่ไม่ชอบใจในตัวละคร เนื้อเรื่อง หรืออะไรต่างๆในเรื่องแคทต้องขออภัยด้วยจริงๆนะคะ แต่ก็ขอบคุณและดีใจที่เปิดเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ

สุดท้ายนี้ ยังหวังเช่นเดิมว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านทุกท่าน มีความสุขและยิ้มได้ไปด้วยกันในทุกครั้งที่เปิดอ่านนะคะ


ปล. แคทขอขอบคุณคนอ่านจากทางเล้าเป็ดทั้ง3ท่านมากๆนะคะที่มาคอมเม้นท์ให้แคทในตอนที่ผ่านมา
ดีใจมากๆค่ะ คิดว่าที่นี่จะไม่มีใครอ่านแล้วววว ขอบคุณมากๆจริงๆนะคะ

สนุกจ้า มารอมารอ
เราชอบมากเลยนะ เราน่ะสายดราม่า 55  อ่านแล้วเจ็บจิ๊ด แต่เรื่องนี้ หลายอารมณ์ดี ม่าก็ได้ ตลกด้วย น้องหมุดนี้ สายมโนตัวแม่เลย อยากให้น้อง ถอดแว่นแล้วดิ อยากเห็นอิพี่พระจันทร์คลั่งบ้าง

รอ นะค่า แล้วรักษาสุขภาพน่าคุณแคท  :mew1:
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ แคทดีใจที่ชอบนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ


สนุกมากกกก เป็นกำลังให้หนูนะลูกน้องสมุทร :a2: :a2:
แคทดีใจมากๆเลยค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ มาอ่านอีกน้าา


รอครับผม
งื้ออ แคทมาแล้วนะคะ มาอ่านอีกน้าาา
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่4 (150122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 16-01-2022 23:45:40
พบคนปากแข็งแล้ว1
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่5 (220122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 22-01-2022 19:42:41


บทที่5



เครื่องปรับอากาศเย็นๆ ที่ทำให้รู้สึกหนาวจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นมากระชับกาย รู้สึกนอนไม่ค่อยสบายเพราะอากาศเย็นเกินกว่าปกติที่เคยเปิดแอร์ที่ห้องนอน ความรู้สึกแบบนั้นทำให้คิ้วสวยต้องขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเอาหน้าได้รูปซุกลงบนหมอนนิ่ม แขนเรียวที่เอื้อมไปตั้งใจจะไปดึงตุ๊กตาหมีที่หัวเตียงมากอดซะหน่อย แต่ทำไมวันนี้พี่หมีของน้องสมุทรมันถึงแข็งๆวะ



“อื้ม..ม” ขมวดคิ้วนิดๆ แต่ตาก็ยังไม่ลืม ความรู้สึกหนักๆ หัว อยากจะอ้วกนิดๆ นี่มันคุ้นๆ เหมือนเวลามันเมา



“แจ๊บๆ” ขยับปากทำเสียงแบบเวลาที่น้ำลายจะไหล แล้วเอื้อมมือไปเกาตูด ... ทำตัวตามสบายแบบเวลาที่เราอยู่บ้าน

“สบายมากไหม”



“หื้ม” ได้ยินเหมือนเสียงแปลกๆ ที่ไม่ควรจะมาอยู่ในห้องน้องสมุทร ...เสียงใครวะ



“ตื่นแล้วก็ลืมตา”



ทำตามคำสั่งใน สาม สอง หนึ่ง



“เชี่ย!!” ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาตามเสียงที่ว่า ภาพตรงหน้าเบลอๆ มัวๆ ในตอนแรกเป็นแบบที่เวลาตื่นนอนมักจะเป็น แต่จากสายตาของน้องสมุทร มันยิ่งเบลอมากขึ้นไปอีกเพราะแว่นคู่ใจไม่ได้ใส่อยู่เหมือนเคย ห้องทั้งห้องไม่ได้มีแสงสว่างอะไรลอดเข้ามา หากแต่ว่ามันยังพอมีแสงรำไรจากไฟดาวน์ไลท์ดวงเล็กๆ ที่ติดอยู่4มุมรอบๆ ห้องนี้ มองดูดีๆ แล้วแม่งไม่ใช่ห้องตัวเอง ... แม่จ๋าช่วยด้วย น้องสมุทรอยู่ไหนวะ



“มองอะไร” เสียงทุ้มที่ดังใกล้ๆ ชิดใบหู มาพร้อมๆ กับลมร้อนๆ ที่เป่ารดทำเอาขนลุกซู่ รีบสะบัดหน้ามามอง ในจังหวะนั้นที่ปลายจมูกแตะเบาๆ กับคนที่ไม่ยอมถอยห่างออกไป ภาพตรงหน้าพร่าเบลอเพราะว่าไม่มีแว่นคู่ใจของน้องสมุทรอยู่บนหน้า ... “มึงใครเนี่ย!” ตะโกนออกไปแบบนั้นพร้อมๆ กับยกมือขึ้นดันอกอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้า ภาพเบลอๆ มองแล้วคุ้นๆ แต่ถึงแบบนั้นก็ดันอกมันไว้ก่อน



“เมาแล้วมึงลืมกูเลยรึไง”



“เอ๊ะ...” เสียงแบบนี้นี่มัน ... กระพริบตาสองปริบ ประมวณความทรงจำในหัว เสียงแบบนี้นี่มันคือเสียงที่น้องสมุทรชอบ



‘พรึบ’



“อ๊ะ” แผ่นหลังของผมถูกดันให้ลงไปนอนราบกับเตียงอีกครั้ง เงาดำๆ ที่คล่อมทับตัวของผมอยู่ตอนนี้ทำเอาตาเบิกกว้าง ... ไม่ใช่ผีชิป่ะจ๊ะ ไม่ใช่ผีจะอำน้องสมุทรชิป่ะจ๊ะ



“ผ...ผีเหรอจ๊ะ”



“ผีทะเลมั้งกูน่ะ” เงาตะคลุ่มๆ วูบไหว เลื่อนลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู ขนอ่อนๆ แถวข้างแก้มขนลุกซู่ ฝ่ามืออุ่นๆ ที่จับอยู่ที่ข้างเอวน้องสมุทรถูกบีบและลูบเบาๆ เป็นจังหวะ หัวใจเต้นตึกตักตอนที่ได้ยินเสียงนี้



“พ พี่พระจันทร์”



“ถ้าบอกว่าไม่ใช่”



“งั้นมึงคือใครล่ะอิเหี้ย จ้อจี้กูหรอ!”



“หึ มึงนี่แม่ง” เสียงของคนบนตัวที่เหมือนจะขำกับท่าทางของผม ก่อนหน้านี้รู้สึกกลัวกว่านี้ แต่ยิ่งได้ยินเสียงพูด เสียงขำของอีกฝ่ายมากขึ้น ผมก็ยิ่งมั่นใจ แล้วความตกใจในตอนที่ตื่นขึ้นมาในที่แปลกๆ ที่ไม่ใช่บ้านตัวเองก็ลดน้อยลง ... เหลือแต่หัวใจน้องสมุทรที่สั่นอยู่แบบนี้



สั่นสู้อยากเป็นผัว เอิ๊ว อ๊าววว



“น้องสมุทรหนัก” ว่าแบบนั้นพร้อมดันอกแกร่งที่คล่อมทับกันอยู่ให้ลุกออกจากตัว



“รู้แล้วหรอกูคือใคร” ใบหน้าคมที่ก้มลงมาใกล้หน้าของผมมากขึ้น ทำให้เห็นชัดมากขึ้น ถึงจะยังไม่ชัดมาก แต่ก็พอมองออกแบบมั่นใจได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกลจริงๆ



“พี่พระจันทร์...”



“เก่งดีนี่”



“น้องสมุทรแค่เห็นไรผมพี่พระจันทร์ก็รู้แล้วเถอะ เพราะอะไรรู้ป่ะ เพราะพี่พระจันทร์ไม่ได้อยู่แค่ในสายตาน้องสมุทรไง แต่พี่พระจันทร์อยู่ในหัวใจน้องสมุทรด้วย” โอ้โหหห คำพูดคำจาเต๊าะเข้าไปหนึ่งดอก เป็นไงล่ะ เขินอายแก้มแดงเป็นตูดลิงเลยอ่ะดิ๊



“หึ ปากเก่งจังนะมึงอ่ะ”



“เห้ย รู้ได้อ่ะตะเอง”



“อืม นั่นดิ กูรู้ได้ไงวะ เคยลองมั้ง” คนบนตัวที่ไม่ยอมขยับออกไปไหนตามที่ผมออก แต่กลับตอบคำถามผมเล่นอย่างสนุก



“ว่าไปนั่น ... ว่าแต่ตอนนี้พี่พระจันทร์ลุกออกจากตัวน้องสมุทรก่อนได้ไหมเนี่ย” บ่นออกมาอีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นดันอกอีกฝ่ายอีกทีแต่ก็เหมือนเดิม ... ไม่ขยับ



“สมุทร”



“ว่าไงครับ”



“มึงสายตาสั้นมากเลยดิ”



“อื้ม ก็สั้นอ่ะ แบบตอนนี้ก็มองไม่ชัดนะ พี่พระจันทร์ช่วยหยิบแว่นให้หน่อยได้ไหมครับ”



“กูอยากรู้ว่าสั้นแค่ไหน”



“หื้ม ก็สั้น....”



“ตอนนี้มองเห็นหน้ากูไหม”



“ไม่อ่ะ” ผมสายหัว ก็มองเห็นหน้าพี่พระจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือร่างขึ้นไปได้แบบลางๆ



“แล้วแบบนี้อ่ะ” พี่พระจันทร์ที่ถามออกมาอีกครั้ง พร้อมใบหน้าที่เลื่อนลงมาใกล้มากกว่าเดิม ผมกระพริบตาปริบๆ เผลอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกแปลกๆ



“พ...พี่พระจันทร์”



“ว่าไง”



“ใกล้...ใกล้ไป”



“ใกล้แล้วเห็นหน้ากูชัดหรือยัง” ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกัน บอกให้รู้ว่ามันใกล้มากแค่ไหน ใกล้ในระดับที่ผมมองเห็นสายตาคมสวยที่มีขนตางอนยาวนั่นได้อย่างชัดเจน มองเห็นรูปปากสวยที่กำลังยกยิ้มมุมปากมองหน้าผมตาวาว



“ชัด ชัดแล้ว...”



“กูทำให้ชัดได้อีก”



ริมฝีปากสวยที่แนบลงมาบนริมฝีปากของผมหลังจากที่เจ้าตัวพูดประโยคนั้นจบ ลิ้นอุ่นที่ไล้เลียขบเม้นไปตามริมฝีปากทั้งบนและล่างของผมอย่างมีชั้นเชิงนั่นทำเอาผมต้องเกร็งตัว มือที่วางอยู่บนอกของพี่พระจันทร์ได้แต่กำเสื้อของอีกฝ่ายจนยับในตอนที่ริมฝีปากอุ่นที่ขบเม้มริมฝีปากล่างของผมทีนึงแรงๆ จนทำเอาความรู้สึกเสียวซ่านตีขึ้นมาที่อกจนเผลอเผยอปากออกด้วยความตกใจ และเพราะแบบนั้นเลยทำให้ลิ้นของอีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาได้ตามที่เจ้าตัวต้องการ พี่พระจันทร์ที่แทรกลิ้นอุ่นเข้ามาแตะกับลิ้นของผมและกวาดต้อนไปทั่วภายในอย่างชำนาญ ทั้งเกี่ยวทั้งดูดสลับกันไปจนผมเริ่มหายใจไม่ทัน เป็นความรู้สึกที่ว่าพี่พระจันทร์กำลังรุนแรงมากขึ้น สัมผัสทุกอย่างที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้กันมันแทบจะทำให้ทั้งร่างของผมละลาย ขนอ่อนที่ลุกชันขึ้นมาเมื่อฝ่ามือหนาที่ในตอนแรกวางอยู่ที่เอวผม ตอนนี้มันกำลังสอดมือเข้ามาในเสื้อของผมแทน ฝ่ามือหนาที่ลูบไปตามแผ่นหลังของผมไม่ต่างจากการจูบที่แสนจะจาบจ้วงและล้ำลึก



“อื้อ” ร้องครางออกมาแบบนั้นตอนที่รับรู้ได้ถึงสัมผัสวาบหวามที่ไล่ไปตามสันหลัง ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาวางเบาๆ และเคล้นคลึงทางด้านหน้าที่ยอดหัวนม นิ้วชี้และนิ้วโป้งอุ่นๆ ที่บีบคลึงมันเบาๆ สลับแรง พร้อมๆ กับที่ลิ้นอุ่นของพี่พระจันทร์ก็ยังคงดูดดันขบเม้นปลายลิ้นของผมไม่ยอมปล่อย ... เป็นความรุกล้ำที่เร่าร้อนจนตัวสั่น วาบหวามจนอารมณ์ต่างๆ ถูกปลุกขึ้นมากแบบที่ผมไม่ได้ตั้งใจ สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังตื่นตัว ความหน่วงตรงกลางหว่างขาของผมทำให้ผมร้อนหน้าไปหมด



คนบนตัวที่ผละใบหน้าออกให้ผมได้หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด และในไม่กี่วินาทีต่อมาก็ถูกริมฝีปากเดิมประกบเข้าหาอีกรอบ พร้อมกับลิ้นที่แทรกเข้ามาฉกฉวยภายในคราเดียว



ทุกสัดส่วนของร่างกายเราเบียดเสียดกันอยู่ภายใต้ผ้าห่ม เสียงจูบดูดดื่มที่ดังก้องอยู่ในหูของผมมันทำให้หน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ความอายอะไรก็คงจะไม่เท่าในตอนที่ผมสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของ ‘เขา’ คนที่อยู่ด้านบน ... พี่พระจันทร์ เป็นพี่พระจันทร์ที่กำลังจูบน้องสมุทรอยู่จริงๆ



เป็นอีกครั้งที่เราได้ใกล้กันมากกว่าเคย มากกว่าจินตนาการที่น้องสมุทรเคยฝันเอาไว้



ความแข็งขืนจากกลางหว่างขาของพี่พระจันทร์ที่เบียดสะโพกแนบตัวลงมาชิดนั้นทำให้ผมอายจนหน้าแทบจะระเบิด รู้สึกได้ว่ามันดันออกมานอกกางเกงของเขา



"อืม" ได้ยินเสียงครางต่ำดังออกมาเบาๆ ในตอนที่เราเสียดสีกัน เสียงของพี่พระจันทร์ทำให้ภายในช่องท้องของผมบิดเกร็งไปหมดเลย



“สมุทร” พี่พระจันทร์ผละหน้าออกมามองหน้าผม ผมตาพร่าไปหมด ทำไมถึงรู้สึกว่าพี่เค้าหล่อเท่เซ็กซี่ขึ้นมาแบบที่ไม่เคยรู้สึกเลยวะ ฝ่ามือหนาของพี่พระจันทร์ที่เกี่ยวอยู่ที่ขอบกางเกงบ็อกเซอร์ของผม ... เชี่ย กางเกงยีนส์ที่ใส่มาเมื่อคืนไปไหนแล้ว ยังไม่ทันได้นึกอะไรออก ผมก็ต้องกดสะโพกลงไปกับเตียงอีกครั้งเมื่อนิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายแตะนิ้วลากไปตามท้องน้อยในขณะที่เอ่ยปากถามออกมาแบบนั้น



“กูอยาก เมื่อคืนมึงทำกูค้าง”



“ผ...ผม....น้องสมุทร ไม่” ผมกัดริมฝีปากตอนที่ได้ยินคำพูดตรงๆ ออกมาจากปากของพี่พระจันทร์ หน้าร้อนไปหมดจนคิดว่าตัวเองแทบจะระเบิด ลิ้นเหมือนจะพันกันไปหมดจนไม่รู้ว่าต้องตอบอะไรออกไป ยิ่งมองหน้าพี่พระจันทร์ที่จ้องมองกันนิ่งๆ เหมือนว่าต้องการคำตอบจากผม แต่ว่า...



“อ๊ะ...พี่ พระ จันทร์” ได้ยินเสียงตัวเองที่เรียกชื่อพี่พระจันทร์แบบกระเซ่าอะไรได้ขนาดนั้น ได้แต่เงยหน้ามองเพดานที่เห็นเป็นสีชมพูพาสเทลอ่อนๆ รู้สึกว่าตาพร่าไปหมดตอนที่ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปตามส่วนกลางลำตัวของผม ฝ่ามืออุ่นๆ ที่เอาแต่บดคลึงเบาๆ ปลุกปั่นความรู้สึกของผมให้ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่ฝ่ามือที่คลึงอยู่ที่ส่วนหัวความเสียวก็แล่นขึ้นมาถึงท้องน้อย ฝ่ามือที่เน้นหนักมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างผู้เชี่ยวชาญที่รู้ว่าจะทำยังไงให้ผมรู้สึกได้มากขึ้นอีก



“กูอยาก”



“มะ...ไม่” ผมที่กัดฟันพูดออกมาแบบนั้นได้ในที่สุด แม้ว่าในตอนนี้น้ำตาของผมจะค่อยๆ ไหลออกมาจากหางตาอย่างเสียวซ่าน ความรู้สึกที่มากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่สามารถทำให้มันไปถึงจุดได้โดยไว แทบจะขาดใจในตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้



“ทำไม” เสียงเข้มที่มาพร้อมดวงตาคมดุก้มลงมองหน้ากัน



“กูนึกว่ามึงกับกูตกลงกันรู้เรื่องตั้งแต่บนรถวันนั้นแล้ว”



“ก...ก็ใช่ แต่” เม้มริมฝีปากแน่นๆ เอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดเสียงครางออกมา เพราะถึงจะปฏิเสธออกไปแบบนั้น แต่คนบนตัวก็ยังคงขยับฝ่ามือไม่หยุด หนำซ้ำเหมือนว่าจะยิ่งขยับให้เน้นหนักมากขึ้นไปอีกจนผมได้แต่หอบสั่นไปหมดทั้งตัว



“อะไร”



“ก็...”



“อะไร หรือเป็นเพราะไอ้เหี้ยยอร์ช” สามคำสุดท้ายเน้นหนักพร้อมกับฝ่ามือที่ขยับรูดรั้งแกนกายของผมหนักๆ จนสะโพกของผมขยับตามฝ่ามือหนา ...ว่าแต่อะไรนะเมื่อกี้



“ยอร์ช...อะไร”



“ไอ้เหี้ยยอร์ชวิศวะนั่น มันเป็นอะไรกับมึง” ก้มหน้าลงมาใกล้กับหน้าผมมากกว่าเดิม เหมือนมองเห็นแววตาลุกวาวขึ้นมาในตอนนั้น ผมปรือตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตาเพราะแรงอารมณ์ที่โดนปลุกขึ้นและยังไม่สงบลงในตอนที่ฝ่ามือพี่พระจันทร์ละออกมา

“อื้ออ”



“ว่ายังไง ถ้ามึงไม่ตอบมา มึงก็ไม่ต้องเสร็จ ปวดหำตายไปซะมึง” พี่พระจันทร์ที่พูดจริง และเหมือนจะทำจริงตอนที่อีกคนทำท่าจะลุกออกจากตัวกันไป .... เดี๋ยวสิโว้ย! ถ้าจะไม่ทำให้แล้วมาปั่นมันขึ้นทำไมล่ะโว้ย



“คำตอบ” ใช่เวลาที่เสือกอยากเอาคำตอบนี้ไหมเอ่ย น้องสมุทรล่ะไม่เข้าใจว่าไอ้พี่ยอร์ชมันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ฮื่อ น้องสมุทรปวดหำนะ



“ก็เป็นพี่ไง ก็แค่พี่ที่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นอะไรเลย เป็นแค่พี่ๆๆๆๆ พี่ร่วมมหาลัยอ่ะ อื้ออ...” ผมที่ไม่สนความอายอะไร และก็ไม่สนพี่พระจันทร์ที่ยังคล่อมทับกันในตอนนี้เลื่อนฝ่ามือตัวเองลงไปที่แกนกาย ตั้งใจจะทำให้มันเสร็จๆ ไปโดยไม่สนอะไรแล้ว แต่มันก็ติดตรงฝ่ามือแกร่งของพี่พระจันทร์



“งื้อ” ผมครางเบาๆ แบบไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่มีแรงสู้อยู่ดี ... มองเห็นใบหน้าของพี่พระจันทร์ที่จะผ่อนคลายขึ้น แต่กูนี่ที่ไม่ผ่อนคลายอะไรทั้งนั้น



“แล้วกูล่ะ”



“อ...อะไร...”



“กูเป็นอะไรสำหรับมึง”



“โว้ย! ถามอะไรนัก ฮื่ออ น้องสมุทรอยากเสร็จๆ อ่ะ”



“ถ้าอยากเสร็จก็ตอบกูมาสมุทร” ผมมองเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะต้องการแกล้งกันอยู่นัยที แต่ฝ่ามืออุ่นๆ ก็เลื่อนมาเช็ดน้ำตาให้กัน



“เป็นคนที่น้องสมุทรชอบไง ตามจีบขนาดนี้ น้องสมุทรเห็นพี่พระจันทร์เป็นผีในมหาลัยมั้ง!!” มูหู โมโหๆ ...มันใช่เวลามาสอบถามกูในเรื่องนี้ไหมเอ่ย



“ถือว่าคำตอบมึงดี” ว่าแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มที่มาทั้งหน้าทั้งตาแบบที่ผมไม่เข้าใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่อยากจะเข้าใจอะไรอีกแล้วในตอนที่ฝ่ามือหนาของพี่พระจันทร์เกี่ยวกางเกงบ็อกเซอร์ของผมที่ค้างอยู่ที่สะโพกลงไปกองที่ปลายเท้า และขาของพี่พระจันทร์ก็เตะมันลงไปจากเตียงแบบไม่ใส่ใจ ก่อนที่ท่อนขาของพี่พระจันทร์จะแทรกขาของผมให้กางออกกว้างในตอนที่ท่อนล่างของพี่พระจันทร์จะแทรกเข้ามา ผมมองเห็นท่อนล่างเปลือยเปล่าของพี่พระจันทร์เต็มๆ ตา ... มันค่อนข้างแตกต่างจากเมื่อหลายปีก่อนมาก แบบมากๆ



“เชี่ย! แม่!!” พี่พระจันทร์ใหญ่มาก!!



ร้องออกมาแบบนั้นแล้วเหลือบไปมองท่อนล่างของตัวเองเต็มๆ ตาเหมือนได้เปรียบเทียบอย่างเห็นภาพชัดๆ เห็นชัดแบบนั้นแล้วก็เริ่มขยับตัวหนีในตอนที่รู้สึกว่าท่าทางแบบนี้มันไม่ค่อยจะดี ไม่ดีมากๆ



ไม่ดีสำหรับน้องสมุทรแบบสุดๆ ไปเลย


(มีต่อจ้า)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่5 (220122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 22-01-2022 19:44:39
“อย่าดิ้นสมุทร”



“ไม่...ไม่เอาพี่พระจันทร์”



“ทำไมอีก” อีกคนที่ถอนหายใจหนักๆ เหมือนกำลังใช้เหตุผลกับผมอย่างที่สุด



“น้อ....น้องสมุทร”



“อย่าทำเหมือนว่ากูจะปล้ำมึงได้ไหมวะ แต่ถ้ามึงยังแบบนี้อีก กูอาจจะปล้ำจริงๆ นะ” ใบหน้าของพี่พระจันทร์ที่เลื่อนมากระซิบ พร้อมๆ กับริมฝีปากอุ่นที่กดจูบเบาๆ ที่ข้างแก้ม



“ก็น้องสมุทร”



“อะไรวะสมุทร”



“ก็น้องสมุทรอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์นี่!” หลับหูหลับตาตะโกนออกไปเสียงดังในท่าทางที่โคตรจะล่อแหลมแบบนี้ ไม่รู้เมื่อกี้น้ำลายกระเด็นเข้าตาพี่พระจันทร์หรือเปล่า ฮื่ออ ไม่ได้ตั้งใจนะ



เป็นช่วงเวลาที่ความเงียบโรยตัวลงมาจนน่าใจหาย พี่พระจันทร์ไม่พูดอะไรจนผมที่หลับตาปี๋อยู่ต้องค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทีละข้าง เริ่มจากซ้าย หยีตาดูนิดๆ แล้วค่อยๆ เปิดตามาเต็มสองตามองเห็นดวงตาคมสวย ที่ตอนนี้ติดจะดุและเรียบนิ่ง



ฮื่อออ กลัวนะ



“ทำไมมึงยึดติดกับการเป็นผัวกูขนาดนั้นวะ มันทำไมนัก” พี่พระจันทร์ที่ดันตัวขึ้นจากการคล่อมตัวผม ยกมือขึ้นเสยผมที่ชื้นเหงื่อของตัวเองให้เสยขึ้นไป



“ก็น้องสมุทรอยากปกป้องพี่พระจันทร์นี่....”



“ปกป้องกู ... ตัวเท่าพุ่มต้นเข็มแบบมึงจะปกป้องกูจากอะไรวะ”



“ก็จาก...” จากคนที่ทำร้ายหัวใจพี่พระจันทร์ไงวะ น้องสมุทรอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์ อยากเป็นคนที่จะคอยปกป้องหัวใจพี่พระจันทร์เอง เหมือนที่พ่อของผมที่คอยปกป้องหัวใจของแม่และพวกเราทุกคนในครอบครัว อยากเป็นคนเท่ๆ แบบนั้น



“กูไม่ใช่คนที่มึงจะต้องมาปกป้องสมุทร”



"แล้วอีกอย่าง มึงรู้อะไรไหมว่าการที่เราจะปกป้องคนที่เรารักได้ มันไม่จำเป็นว่ามึงจะเป็นผัวหรือเมียหรือเป็นอะไร ... ไม่ว่าอยู่ในตำแหน่งไหนบนเตียง มึงก็ปกป้องคนที่มึงรักได้ทั้งนั้นสมุทร"



“ผม...” เม้มปากแน่นๆ ตอนที่ได้ยินพี่พระจันทร์พูดขึ้นแบบนั้น หัวใจของน้องสมุทรสั่น รู้สึกเหมือนถูกค้อนอันใหญ่ๆ ทุบลงมาที่หัว มึนจนงงแต่ก็เหมือนได้รับคำเฉลยข้อสอบที่ไม่เคยหาคำตอบได้



“และกูก็เคยบอกมึงไปแล้ว ว่าถ้าจะเอากูน่ะก็ได้ แต่กูต้องได้เอามึงก่อน” คำพูดเน้นย้ำส่งไปถึงความทรงจำในอดีตที่พี่พระจันทร์เคยพูดแบบนั้นจริงๆ ขนลุกซู่ซ่า



พี่พระจันทร์โน้มหน้าลงมาจูบที่ข้างขมับตอนที่พูดประโยคนี้จบ พร้อมๆ กับที่ขยี้ปลายนิ้วเข้าหาส่วนปลายของผมอีกครั้งแบบที่ผมไม่ทันตั้งตัว พร้อมๆ กับการนวดคลึงแบบรัวเร็วจนเกิดเสียงน่าอาย น้ำใสๆ ที่ซึมออกมาเรื่อยๆ จากส่วนปลาย ความลื่นและชื้นแฉะเกิดขึ้นไปตามจังหวะมือ ความรู้สึกที่ยังไม่เคยหายไปไหนถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งจากฝีมือคนเดิมๆ ผมกัดริมฝีปากกลั้นครางไม่ไหว มันมากจนเกินไป จนไม่รู้ตัวว่าเผลอปล่อยเสียงร้องออกไปมากแค่ไหน



“อ๊ะ พ...พี่พระจันทร์” จิกปลายเท้าเข้ากับปลายเตียงด้วยความเสียวซ่าน รับรู้ได้ถึงปลายนิ้วยาวๆ ที่ลูบไล้เบาๆ ไปตามแก้มก้น ความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะรับรู้เกิดขึ้นจนเกร็งไปทั้งตัว



“สมุทร...มารื้อฟื้นกันหน่อยไหมวะ”



“อ๊ะ พี่พระจันทร์ อื้ออ”



“อย่าเกร็ง กูไม่ทำไรหรอก” พี่พระจันทร์ละมือออกมาจากช่องทางด้านหลังของผมในตอนที่ผมตัวสั่นไปทั้งตัว ฝ่ามือหนาที่เปลี่ยนมาจับเอวผมแน่นๆ พร้อมๆ กับฝ่ามือหนาของพี่พระจันทร์ที่รูดรั้งแกนกายของผมพร้อมๆ กับนิ้วหัวแม่มือของพี่มันที่ถูวนไปที่ส่วนปลายของผมไปด้วย น้ำหนักมือที่ยังเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากเมื่อ4ปีก่อนเลยทำเอาตาผมพร่า ฝ่ามือแกร่งที่รูดส่วนกลางของผมขึ้นลงและเน้นย้ำตรงส่วนปลายถี่ๆ และขยับมืออีกไม่กี่ที ความรู้สึกที่ถูกอัดอั้นไว้นานสองนานของผมก็ล้นทะลักออกมาอย่ากลั้นเอาไว้ไม่อยู่ น้ำขาวขุ่นที่พุ่งออกมาเลอะมือของพี่พระจันทร์และหน้าท้องของผมเอง เสียงหอบหนักๆ ไม่ได้มาจากใครนอกจากผมเอง



“อ๊ะ...พี่พระจันทร์ ม...ไม่เอา น้องสมุทร...ไม่พร้อม” ร้องบอกอย่างเหนื่อยหอบและผวาในตอนที่ตัวของผมถูกอีกคนจับตัวให้พลิกไปนอนคว่ำหน้าลง ฝ่ามือหนาของพี่พระจันทร์ที่ดึงสะโพกของผมให้สูงขึ้น ท่าทางที่บ่งบอกอนาคตทำผมร้องออกมาเสียงดัง



“กูไม่ใส่เข้าไปหรอก”



“.....แม้ว่าจะอยากมากก็เถอะ” พี่พระจันทร์พึมพำเบาๆ เป็นประโยคที่ฟังไม่ชัดเท่าไหร่



“แล้ว...แล้ว”



“นิ่งๆ” ว่าแบบนั้นพร้อมจัดท่าทางของผมให้ขาทั้งสองข้างหุบเข้าหากันจนชิด พร้อมกับที่ผมรับรู้ว่าท่อนเอ็นแกนกายของพี่พระจันทร์ที่ถูกสอดใส่เข้ามาระหว่างหว่างขาของผมแทนการสอดใส่ในช่องทางรัก ท่าทางที่เลียนแบบท่าสอดใส่จากทางด้านหลังปลุกเร้าอารมณ์ของผมให้สูงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อส่วนอ่อนไหวของผมและพี่พระจันทร์เสียดสีกันอย่างใกล้ชิด ริมฝีปากอุ่นๆ ของพี่พระจันทร์ที่กดจูบลงที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าของผม



“อื้มม” ท่อนเอ็นแข็งของพี่พระจันทร์ที่เสียดสีกับขาอ่อนด้านในของผม ก้มลงมองเห็นส่วนปลายของพี่พระจันทร์ที่ผลุบเข้าออกผ่านช่องว่างระหว่างขาของผม เสียดสีกับท่อนเอ็นและลูกบอลอันน่ารักของผมจนต้องสูดปากเสียว พี่พระจันทร์ที่กระแทกกระทั้นเข้ามาเป็นจังหวะหนักๆ แก้มก้นและหน้าขาของผมและเขาที่กระทบกันจนเกิดเป็นเสียงน่าอายไม่ต่างจากการโดนสอดใส่จริงๆ ทำเอาหน้าเห่อร้อน ความรู้สึกชื้นแฉะที่ถูกขบเม้นเบาๆ ไปตามลาดไหล่และลำคอ ฝ่ามืออุ่นๆ ของพี่พระจันทร์ที่เอื้อมมือข้างนึงลงมาขยับแกนกายให้ผมอีกครั้ง ส่วนมืออีกข้างก็เอาแต่บีบขยี้หัวนมของผมอยู่แบบนั้น



พี่พระจันทร์ร้ายกาจ!



‘พลับ’



“อ๊ะ” ร่างทั้งร่างถูกพลิกให้นอนหงาย ท่อนขาทั้งสองข้างของผมถูกรวบให้แนบชิดกันอีกครั้ง โดยพี่พระจันทร์รวบขาทั้งสองข้างของผมไปพาดบ่าไว้แน่นๆ เหลือบสายตาลงไปมองเห็นแกนกายของพี่พระจันทร์ที่ถูกสอดเข้ามาในช่องว่างระหว่างหว่างขาเข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นแบบด้านหน้า มันเลยทำให้ผมมองเห็นพี่พระจันทร์ได้เต็มๆ ตา ภาพที่ร้อนแรงจนตาพร่า ผมคนที่อยากจะเป็นผัวพี่พระจันทร์มองเห็นหน้าท้องมีแพ็คตัววีของพี่พระจันทร์ ท่อนเอ็นที่ขึ้นอยู่ตรงท่อนแขนในตอนที่เจ้าตัวเกร็งตัวจับขาของผมไว้แน่นๆ แกนกายของกันและกันที่เสียดสีกันมากขึ้นเรื่อยๆ ลอนหน้าท้องที่ยิ่งมองเห็นได้ชัดในตอนที่พี่พระจันทร์เกร็งตัวสอดกระแทกผ่านหว่างขาเข้ามา ผมเสียวไปทั้งตัวจนต้องเอื้อมมือลงไปขยับแกนกายของตัวเอง ในครั้งนี้พี่พระจันทร์ไม่ได้ห้าม ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของอีกคนที่ดูเหมือนจะชอบใจ



“ดี ... ทำแบบนั้นแหล่ะ แบบที่กูเคยสอนมึงตอนม.4”



ร้องครางออกมาแบบนั้นตอนที่ความต้องการพุ่งทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ ปรือตามองเห็นการสอดใส่ของพี่พระจันทร์ที่กระแทกกระทั้นช่วงล่างเข้ามา เป็นความคิดที่พร่าเบลอ เหมือนกระซิบผ่านสายลมมาเงียบๆ ว่าเท่านี้มันไม่พอ ต้องการมากกว่านี้ ...น้องสมุทรต้องการมากกว่านี้



“อ๊ะ อ้า” อยากให้พี่พระจันทร์กระแทกเข้าในตัวของน้องสมุทร ความคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนทำเอาต้องหลับตาแล้วส่ายหน้าไปมากับตัวเอง



“ซี๊ด” เสียงครางต่ำๆ ของพี่พระจันทร์ในตอนที่น้ำขุ่นข้ำถูกฉีดพุ่งออกมาจากส่วนปลายแข็งขืนพร้อมๆ กับที่ตัวผมกระตุกเกร็งอีกครั้งและปลดปล่อยออกมาพร้อมๆ กับพี่พระจันทร์ น้ำขุ่นเหนียวจากพี่พระจันทร์และของตัวผมเองเปรอะเลอะไปทั่วหน้าท้องของผม ปรือตามองสภาพตัวเองกับคนตรงหน้าที่หอบหายใจหนักๆ แล้วยิ่งร้อนหน้า พี่พระจันทร์ที่ปล่อยเรียวขาของผมให้เป็นอิสระ ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงมาจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากช้ำของผมเบาๆ



“กูจะเชื่อคำพูดมึง ว่าไอ้เหี้ยยอร์ชไม่ได้สำคัญอะไรนอกจากเห็บหมา” พี่พระจันทร์พูดออกมาเบาๆ ในตอนที่ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ผม ท่อนแขนของพี่พระจันทร์ที่ดึงตัวผมเข้าไปกอดใกล้ๆ โดยไม่สนใจว่าเราจะเลอะเทอะไปด้วยกัน



ว่าแต่กูเคยพูดแบบนั้นหรอ กูบอกว่าพี่ยอร์ชเป็นเห็บเมื่อไหร่?



“แล้วอีกอย่าง”



“หื้ม”



“มึงเป็นผัวใครไม่ได้หรอกสมุทร โดยเฉพาะเป็นผัวกู” ว่าแบบนั้นแล้วยกยิ้มมุมปาก



...



เดินเข้ามาในมหาลัยในวันที่มีเรียน หลังจากเมื่อวานไม่มีตารางเรียน ถือว่าโคตรโชคดีเพราะว่าดันไปเมา เมาจนเกิดเรื่องแบบนั้นกับพี่พระจันทร์ แค่คิดขึ้นมาก็เขินอีกแล้วแม่ง น้องสมุทรยกมือขึ้นลูบหน้าแดงๆ ของตัวเองเลย หลังจากตอนนั้นเรื่องราวจบลงที่ผมกับพี่พระจันทร์หลับกันไปอีกรอบ และตื่นขึ้นมาในช่วงบ่าย พี่พระจันทร์พาไปกินข้าว และสุดท้ายก็อาสาไปส่งผมที่บ้าน เป็นความรู้สึกที่โคตรจะเหมือนฝัน ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้อ่ะ เพราะงั้นในตอนนี้ น้องสมุทรเลยเดินยิ้มเป็นคนบ้าเข้ามาในคณะตัวเอง แต่รอยยิ้มก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นคนที่หน้าจะคุ้นๆ ยืนทำหน้าถมึงทึงเหมือนจะกระวนกระวายหน่อยๆ ตอนที่ผมยิ้มกว้างและยกมือขึ้นโบกให้ เจ้าตัวก็ย่างสามขุมตรงเข้ามาหาผม



“สมุทร”



“พี่ยอร์ช ทำไมทำหน้าตาเหมือนคนเหม็นขี้แบบนี้อ่ะพี่ ฮ่าๆ” ผมว่าออกมาแบบขำๆ แต่เหมือนไอ้คนใส่ช็อปและถือหนังสือเรียนเล่มควายของมันอยู่จะไม่ตลกด้วย อ่าจ๊ะ...



“มีไรวะพี่ ทำไมมาถึงคณะเลยอ่ะ”



“กูหามึงไม่เจอ”



“ห๊ะ หาผมไม่เจอ แล้วพี่หาผมทำไมวะ” ผมยกมือขึ้นดันกรอบแว่นตาตัวเองอย่างงงๆ มันมีเรื่องอะไร



“คืนนั้นมึงหายไปเลย กูติดต่อก็ไม่ได้ มึงหายไปไหนของมึงวะ” มันว่าออกมาแบบฉุนๆ ใจเย็นหนุ่ม จะไม่ต่อยกันใช่ไหม สีหน้าท่าทางที่ดูจะหงุดหงิดสุดๆ ไปเลยล่ะ



“แม่งกูไลน์ไปโทรไปก็ไม่ติด มึงรู้ไหมว่ากูเป็นห่วง!” มันว่าออกมาเสียงดัง เล่นเอาเด็กคณะผมที่กำลังเดินเข้าเดินออกสะดุ้งไปกับเสียงของพี่มัน ดุดันอะไรขนาดนั้น มึงเป็นพี่วาร์คหรือเปล่า อะไรเอ่ย



แต่เห็นท่าทางของมันที่ดูจะเป็นห่วงกันขนาดนั้นแล้วก็ทำเอารู้สึกผิด ...แต่



“แต่มันไม่มีเบอร์พี่โทรมาหาผมเลยนะเว้ย” ผมว่าแบบนั้นแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเปิดให้พี่มันดูสายโทรเข้าซึ่งไม่มีเบอร์พี่มันจริงๆ



“แปลกว่ะ” ผมว่าออกมาแบบนั้น มองเห็นพี่ยอร์ชที่ถอนหายใจออกมาหนักๆ มันที่ทำท่าทางเหมือนพยายามสงบสติ



“ช่างแม่งเหอะ มึงไม่เป็นไรก็ดี”



“ผมจะเป็นไรล่ะวะพี่ ฮ่า”



“ก็วันนั้นมึงเมาฉิบหาย กูก็นึกว่ามึงจะถูกใครฉุดไปปล้ำน่ะสิไอ้สัด” พี่มันว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมเบาๆ ไม่ได้แรงมาก ...แต่ถ้าพูดถึงว่าฉุดไปปล้ำ ก็ไม่ต่างเปล่าวะ คิดถึงแบบนั้นแล้วได้แต่ยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เขิน



“ผมขอโทษที่ทำให้พี่เป็นห่วงนะครับ พอดีว่าผมไปเจอ...”



“หื้ม เจอ เจออะไรวะ” พี่ยอร์ชเลิกคิ้วเป็นคำถาม หน้าตาหล่อๆ ของพี่มันที่ดูผ่อนคลายลงนิดหน่อยแล้วถามออกมาแบบนั้น และในตอนที่ผมกำลังจะอ้าปากออกไป เสียงของคนมาใหม่ก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของผม



“เจอกู...และก็อยู่กับกูทั้งคืน” หันไปมองก็พบกับร่างสูงๆ ของพี่พระจันทร์ที่ยกยิ้มมุมปากมองมาทางผมกับพี่ยอร์ชด้วยรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าโคตรจะกวนอวัยวะเบื้องล่างของคนที่พบเห็นมาก ฉากเปิดตัวที่แม่งโคตรจะเหมือนตัวร้ายในละคร ... ใครปล่อยตัวพี่พระจันทร์มาตอนนี้วะเนี่ย!



พี่พระจันทร์ที่มาพร้อมพี่ปุ่นกับพี่มีนเดินตรงเข้ามาหาผม แต่พี่พระจันทร์ดันไว้กว่า ขายาวๆ ของพี่พระจันทร์เดินมาหยุดอยู่ข้างผม พร้อมๆ กับวงแขนยาวนั่นที่โอบไหล่ของผม ท่าทางที่ดูสนิทสนมจนออกนอกหน้าของพี่พระจันทร์ทำเอาผมร้อนหน้าและงงไปพร้อมๆ กัน ผมช้อนตามองพี่พระจันทร์ที่ยังยิ้มมีความสุขมากๆ สายตาคมสวยที่ก้มลงมามองผมพร้อมรอยยิ้ม



“เนอะน้องสมุทรเนอะ” หันมาพยักหน้าใส่ผมไปอีก .... แม่! โคตรน่ารัก



“ไอ้สัดพระจันทร์โคตรกวนตีน”



“หวงก้างฉิบหายไอ้เหี้ย”



ได้ยินเสียงพี่ปุ่นกับพี่มีนกระซิบกันมาจากที่ไกลๆ แต่ถึงแบบนั้นพี่พระจันทร์ก็ยังทำให้ผมอึ้งขึ้นไปอีก ในตอนที่ริมฝีปากสวยนั่นอ้าปากออกมาอีก



“มึงมาเสือกอะไรกับเด็กกูวะไอ้เหี้ยยอร์ช” ยักคิ้วส่งไปให้พี่ยอร์ชทีนึง หน้าตาพี่พระจันทร์ในตอนนี้จัดได้ว่าโคตรกวนตีน ถ้าพี่ยอร์ชจะอยากตีนกระตุกผมก็ไม่แปลกใจเลยครับ



“สมุทรมันบอกมึงหรือไงว่าเป็นเด็กมึง” พี่ยอร์ชที่จ้องตาพี่พระจันทร์นิ่งๆ สีหน้าที่ไม่ได้บอกอะไรให้ผมเข้าใจ แต่ถึงแบบนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นท่าทางที่เหมือนจะเข้ามาต่อยใครสักคนของพี่ยอร์ชเป็นครั้งแรก



“ไม่เชื่อกู...ก็ลองถามสมุทรมันเองสิว่าใช่ไหม” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกยิ้มเหนือกว่าส่งไปให้พี่ยอร์ช



“บอกไอ้เห็บมันสิสมุทรว่าใช่หรือเปล่า อ๊ะๆ แต่อย่าเสียใจจนวิ่งไปร้องไห้ล่ะมึงอ่ะ” พูดออกไปแบบนั้นอย่างเหนือกว่า พี่พระจันทร์ที่ปรายสายตาไปมองพี่ยอร์ชพร้อมยกยิ้มมุมปากเย้ยอีกฝ่าย



“ว่าไงสมุทร มึงเป็นเด็กมันหรอวะ” พี่ยอร์ชหันมามองหน้าผม ในสายตาของพี่มันที่ผมอ่านได้ว่ามันกำลังร้องขอ ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่สายตาแบบนั้นทำเอาผมรู้สึกใจหาย

ว่าแต่...นี่มันเรื่องอะไรกันหรอจ๊ะแม่สาวน้อย ใครก็ได้บอกน้องสมุทรทีจ้า!



#รักอยู่รู้ยัง

ทีมมัมหมีแม่น้องสมุทรใจเย็นก่อนนะคะ ย้ำกันอีกที พี่พระจันทร์เป็นพระเอก นางเป็นคนน่ารักนะคะจริงๆ

แต่พี่พระจันทร์เป็นพระเอกจริงๆ นะคะทุกคน ถึงแม้ว่าพี่มันจะเป็นคนรว้ายๆ

ที่มีนิสัยชอบตะล่อม เอ้ย หากิน เอ่อ หมายถึงทำให้น้องสมุทรคล้อยตามได้ง่ายเฉยๆ

แต่ยังเน้นย้ำกันอีกทีว่ามันเป็นพระเอกค่ะ จริงๆ ... หลังจากที่ตอนที่แล้ว มีคนอ่านหลายท่านเตรียมอาหารเม็ด

และเปลี่ยนเรือไปยอร์ชสมุทรกันแล้ว อยากบอกให้ใจเย็นๆน้าาา อนาคตค่อยหาไม้มาตีอิพี่พระจันทร์มันก็ยังทันน้า 555555

และเช่นเดิม แคทหวังว่าทุกคนจะสนุกไปด้วยกัน ส่วนตอนนี้ มามะ โฮกฮากไปด้วยกันนะคะ

ฝากแท็คในทวิตเตอร์ #รักอยู่รู้ยัง ด้วยนะคะ

คอมเม้นท์ให้กำลังใจกันสักนิดเพื่องานเขียนที่ลื่นไหล ทุกกำลังใจและทุกข้อความแคทตามอ่านเสมอ

และมีความสุขไปกับทุกข้อความของทุกๆคนจริงๆค่ะ



แคท: ใช่ไหมพระจันทร์ บอกแม่ๆน้องสมุทรไปไวๆ เร็วๆ!

พระจันทร์: จำเป็น? เหนื่อยจะพูด

แคท: อ๊ากอิเด็กนี่ ฉันกำลังช่วยแกอยู่น้าาา

พระจันทร์: ถ้าไม่ได้ชื่อสมุทรก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย จบนะ


ปล. ขอขอบคุณคุณmeteexpมากๆนะคะที่มาคอมเม้นท์ให้แคทนะคะ 
พบคนปากแข็งแล้ว1


เชิงอรรถ

ชิป่ะจ๊ะ หมายถึง  ใช่รึเปล่าจ๊ะ

ตะเอง หมายถึง ตัวเอง (เป็นอรรถรสเพื่อเสียง)

มูหู หมายถึง โมโห (เป็นอรรถรสเพื่อเสียง)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่5 (220122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-01-2022 21:26:23
 :sad4:ภ :o12:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่5 (220122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-01-2022 23:06:33
ตามอ่านต่อไปน่ะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่5 (220122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 23-01-2022 12:26:21
 :pighaun: เลือดเกือบหมดตัวละจ้า ฮีฮี
รอบทเต็ม บทอัศจรรย์

มารอทุกวันเลยนะค่า สนุกมาก เป็นกำลังใจให้เสมอจ้า
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่5 (220122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 29-01-2022 17:13:54
หมั่นไส้พระจันทร์ ไอต้าวปากแข็งเอ้ยยย :katai4:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่6 (290122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 29-01-2022 20:34:09
บทที่6



“ว่าไงสมุทร”



“คือ...แล้วมันทำไมหรอวะพี่” ผมที่ตอบออกไปแบบนั้น อยู่ๆ สถานะการณ์ตรงหน้ามันก็แปลกๆ อึมครึมยังกับว่าพี่พระจันทร์กับพี่ยอร์ชกำลังหาเรื่องกัน เพราะมีผมเป็นตัวแปร .... ซึ่งนั่นมันไม่ถูกต้องป่ะ



ผมหันไปมองหน้าพี่พระจันทร์ที่ยืนอยู่ข้างตัว สลับกับพี่ยอร์ชที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่พี่พระจันทร์ที่เอาแต่มองหน้าพี่ยอร์ชแบบกวนตีน พี่ยอร์ชขมวดคิ้ว ท่าทางที่เหมือนอยากจะพุ่งเข้ามาตั๊นหน้าพี่พระจันทร์สักทีนึง



“พวกพี่สองคนรู้จักกันหรอวะ”



“มันไม่สำคัญหรอก สำคัญคือคำตอบมึง” พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้น น้ำเสียงไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับบรรยากาศขมุกขมัวนี้เลย แถมใช้อกตัวเองมาดันไหล่ผมให้รีบตอบอีก



“สมุทร” พี่ยอร์ชพูดขึ้นมาอีก ดวงตาคมดุของพี่มันที่มองตรงมาที่ผม ผมไม่เข้าใจความหมายนั่น



“ผมไม่ใช่เด็กของพี่พระจันทร์หรอกครับ” ผมถอนหายใจแล้วพูดออกไปแบบนั้น



“ไอ้สมุทร!” พี่พระจันทร์ที่โอบไหล่ผมไว้ว่าออกมาเสียงดัง แก้วหูข้างขวาของน้องสมุทรนี่แทบจะเต้นระบำ เงยหน้ามองคนที่สูงกว่า ก็เห็นพี่คนสวยขาของผมถลึงตามองหน้าดุๆ หันไปมองหน้าพี่ยอร์ชบ้างที่ตอนนี้เปลี่ยนจากหน้าจ๋อยๆ เป็นยิ้มออกมากว้างๆ แทน ... คือพวกพี่มันสองคนอารมณ์เปลี่ยนไว้จังวะ



“เหอะ ได้ยินชัดแล้วนะไอ้จันทร์...มึ...”



“แต่คือ....” ผมสอดปากพูดออกไปก่อนที่พี่ยอร์ชจะพูดได้จบประโยค



“ผมกำลังจีบพี่พระจันทร์น่ะครับพี่ยอร์ช”



“อะไรนะ” พี่ยอร์ชขมวดคิ้วมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ ขายาวที่ก้าวตรงเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น สีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจ ติดตรงที่ก่อนที่พี่ยอร์ชจะถึงตัวผม ก็ถูกพี่พระจันทร์คนสวยขาของผมเดินขึ้นมายืนตรงหน้าผมขว้างผมระหว่างพี่ยอร์ชเอาไว้ซะก่อน เชี่ย...บังกูมิดเลย อนาคตเมียสายสุขภาพแหล่ะ



“เหอะ คราวนี้มึงเองก็ได้ยินชัดแล้วเหมือนกันนะไอ้ยอร์ช” ว่าจบพร้อมยื่นมือไปผลักไหล่พี่มันแรงๆ



“มึงจะเอาไง”



“เห้ยๆ พวกมึงสองคนพอ” เป็นพี่ปุ่นกับพี่มีนที่เข้ามาขวางตอนพี่ยอร์ชจะตรงเข้าใส่ ผมมองภาพตรงหน้าแบบไม่เข้าใจเลยว่าสองคนนี้เป็นอะไร และพวกเค้ามีเรื่องอะไรกัน



“กูพอก็ได้ ... แต่มึงก็ต้องพอเหมือนกัน” พี่พระจันทร์สะบัดตัวเองออกจากพี่ปุ่นแล้วชี้หน้าพี่ยอร์ช ท่าทางที่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแต่ติดตรงพี่มีนที่ตัวใหญ่กว่าดึงเอาไว้



“ไปไอ้สมุทร” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นแล้วดึงมือผมไป พร้อมดึงให้เดินตามเค้าไป



“เห้ยๆ เดี๋ยวๆ พี่พระจันทร์ พี่ยอร์ช คือ...” ผมว่าอย่างละล้าละลัง หันไปมองพี่ยอร์ชสลับกับโดนพี่พระจันทร์ลากให้เดินไปด้วยกัน ปัดโถ่เอ๊ย ปกติก็ไม่เห็นจะอยากให้กูไปไหนมาไหนด้วย วันนี้ลากจังโว้ย



“อย่าดื้อกับกูสมุทร” พี่มันว่าแบบนั้น ก้มหน้าลงมามองหน้าผมดุๆ ก่อนฝ่ามือของพี่พระจันทร์จะเอื้อมมาจับหน้าผมให้หันไปมอง



“มองแต่กูนี่ ไปมองไอ้ห่านั่นทำไม ขี้เหร่” คนเรามันจะมั่นหน้าอะไรขนาดนั้นวะ!แต่ไม่ปฏิเสธหรอกครับ เพราะพี่พระจันทร์น่ะสวยที่หนึ่ง ที่สุดในใจน้องสมุทร



“แต่ผมยังไม่ได้ลาพี่ยอร์ช”



“ช่างแม่งสิ ใครสน” กูสนจ้า .. . ผมที่ยังไม่ทันจะได้ค้านอะไรออกมาอีกก็ต้องเดินตามพี่พระจันทร์ไป เพราะสู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหว แต่ในตอนที่เรากำลังจะเดินไป เสียงของพี่ยอร์ชก็ดังไล่หลังตามมาซะก่อน คำพูดที่ทำให้พี่พระจันทร์กับผมต้องหยุดเดิน



“กูรู้นะว่ามึงทำแบบนี้เพื่ออะไรไอ้พระจันทร์!”



“มึงอย่าคิดว่ามึงจะทำได้ แล้วสมุทรก็ไม่เกี่ยว”



“กูจะทำอะไรมันก็เรื่องของกู และมึงก็อย่าเสือกคิดว่ารู้ดีไปทุกเรื่องนักเลย ... คนแบบมึงแม่งไม่เคยรู้อะไร”



“มึงก็เหมือนกัน! ไม่เคยรู้เหี้ยอะไรสักอย่าง”



“แต่กูรู้อยู่เรื่องนึง” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้น ดวงตาคมของพี่พระจันทร์ที่จ้องมองพี่ยอร์ชนิ่ง ก่อนริมฝีปากสวยนั่นจะแสยะยิ้มมุมปากส่งไปทางพี่ยอร์ช



“ครั้งนี้มึงจะไม่มีทางชนะ”



.

.

.



“มึงเลิกไปยุ่งกับไอ้เหี้ยนั่นเลย”



ผมว่าแบบนั้นตอนที่เงยหน้าขึ้นมาจากจานแซนวิสทูน่าของตัวเอง ในปากยังคาบผักสลัดเคี้ยวหยับๆ ไปด้วย ตอนที่ผมได้แต่มองหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันที่ลากผมมานั่งที่ร้านกาแฟเงือกเขียวที่อยู่ในคณะของผม



“เอ้า มันได้ยังไงเล่า” บอกออกไปแบบนั้นตอนที่กลืนแซนวิชคำโตนั่นลงท้อง พี่พระจันทร์ถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหยิบทิชชู่ที่วางอยู่ข้างตัวพี่เค้าแล้วยื่นมาเช็ดที่มุมปากของผม สายตาคมๆ ที่มองมาเหมือนรำคาญกันเต็มที แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงเช็ดปากให้ผมไม่หยุด



“พ...พี่พระจันทร์”



“แดกเลอะเทอะนะมึงอ่ะ”



“ผม...” หัวใจน้องสมุทรมันสั่นอีกแล้ว ช้อนตามองหน้าของพี่พระจันทร์อีกที อยู่ๆ มันก็ดันเผลอนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน นึกถึงท่าทางของคนตรงหน้าตอนที่เปลือยเปล่าและเอาแต่กระแทกกระทั้นแกนกายเข้ามากลางหว่างขาของผม ... พี่พระจันทร์ในตอนนั้น กับพี่พระจันทร์ในตอนนี้มัน....



“ทำไมมึงหน้าแดง” ว่าแบบนั้นพร้อมหรี่ตาลงมองจับผิด



“หรือมึงคิดถึงไอ้เหี้ยยอร์ช” ขมวดคิ้วแล้วว่าออกมาเสียงดัง ผมนี่เลิ่กลั่ก มองไปที่โต๊ะอื่นๆ อย่างขอโทษ



“เปล่าสักหน่อย แล้วพี่จะเสียงดังออกมาทำไมล่ะครับ น้องสมุทรอายคนเค้า”



“กูสนที่ไหนล่ะ” จ๊ะ เชิดเนอะ ... แบบสวยแล้วหยิ่งไม่อะไรกับใคร



“ว่าแต่พี่พระจันทร์กับพี่ยอร์ชรู้จักกันมาก่อนหรอครับ” ผมเลือกที่จะถามออกไป เพราะไม่เข้าใจท่าทีของสองคนนี้มากๆ ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเค้าทะเลาะอะไรกัน



“อืม ...”



“แล้วพี่สองคนทะเลาะกันหรอ”



“เปล่า แต่มึงอย่าไปยุ่งกับมัน ไอ้ขยะมีพิษนั่นน่ะ” ว่าไปนั่นแล้วยกแก้วอเมริกาโน่เย็นของตัวเองขึ้นมาดูดหน้าตาเฉย



“ผมก็ไม่ได้สนิทกับพี่เค้าขนาดนั้น แต่พี่เค้าก็นิสัยดีนะ”



“ดีเหี้ยไร ถ้ามึงไม่อยากเสียใจก็อย่าไปยุ่งกับมัน” บอกผมแบบนั้นด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่าจริงจังมากๆ



“แล้วผมจะไปเสียใจกับพี่เค้าทำไม”



“ก็มันแค่จะมาหลอกมึงไง เดี๋ยวได้มึงแล้วก็ทิ้ง”



“เกินไปน่าพี่พระจันทร์ พี่ยอร์ชไม่ได้ชอบน้องสมุทรสักหน่อย” ผมบอกออกไปแบบนั้นแล้วยิ้มน่าระรื่น ก็เรื่องจริงไหม พี่ยอร์ชจะมาชอบผมได้ยังไงวะ คนแบบผมอ่ะนะ ใครมันจะมาชอบวะ



“อีกอย่างนะ ... คนที่จะทำให้น้องสมุทรเสียใจได้มันก็มีแค่คนเดียว” บอกออกไปแบบนั้นแล้วยื่นหน้าเข้าไปหาคนที่นั่งทำหน้านิ่งๆ มองหน้ากันอยู่ในตอนนี้



“คนที่น้องสมุทรชอบ ... ก็มีแค่พี่พระจันทร์เท่านั้นล่ะ”



“เพราะงั้นคนที่จะทำให้น้องสมุทรเสียใจได้ก็ต้องมีแค่คนเดียว ... ที่หนึ่งของหัวใจคนสุดท้ายของชีวิต”



“หึ”



“เอิ๊ววว เขินเลยว่ะ เท่จัดเลยตัวกู” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นปิดหน้า ปัดโถะ น้องสมุทรนี่มันสุดจ๊าบนะว่าไป



“หึ มึงนี่แม่งเสี่ยว” บ่นออกมาแบบนั้นแล้วยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ผมเห็นได้แป๊บเดียว เพราะพี่พระจันทร์ถอยตัวหนีไปพิงพนักเก้าอี้แล้วหันหน้าหนีกันซะงั้น



... มองจากตรงนี้เหมือนคนกำลังหน้าเบี้ยวเพราะกลั้นยิ้มจนปวดกราม



เอาเป็นว่าน้องสมุทรจะทำเป็นไม่เห็น อาการเริ่มตกหลุมรักน้องสมุทรไม่ไหวก็แล้วกันนะ



...



“มึงนี่แม่งทำแต่เรื่อง อยากเป็นดารานักหรอไอ้สัด เรื่องมึงนี่ดังหน้าเฟสอีกแล้ว” เสียงไอ้มาร์ชที่บ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ มันขมวดคิ้วมองผมทันทีที่ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆ มัน



“ก็คนในคณะเราขี้เสือกอ่ะ”



“ไม่ใช่คนในคณะเราขี้เสือกหรอกโว้ย แต่มึงเล่นมีหนุ่มมาวิวาทแย่งกันจีบมึงถึงคณะ แล้วสองคนนั้นก็ตัวท็อปบริหาร กับอีกหนึ่งนั่นเดือนคณะโยธา มันก็ต้องดังสิวะ” ไอ้เฮงว่าแบบนั้นตอนที่เงยหน้าขึ้นมาจากเกมส์ที่มันกำลังเล่นอยู่ในมือถือ



“จีบเหี้ยไรล่ะ” ผมว่าออกไปแบบนั้นแล้วปาแท่งลิควิดใส่หัวไอ้เฮง แต่มันเสือกรับทันด้วยท่าเท่ๆ ขยิบตาให้ผมทีนึง



“ขอบใจมึงมากน้องหมุด กูไม่มีพอดี”



“K”



“Kพี่พระจันทร์หรอ” ไอ้จิมเสือกออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มหรี่ตาหน้าระรื่น



“Kพี่พระจันทร์มันทำไม!”



“ใหญ่มั้ง กูเดาๆ เอาอ่ะนะ ฮ่าๆ”



“ก็ใหญ่ไง แต่ไม่รู้ยังว่าเป็นไงยังไม่ได้ลอง” พูดพร้อมเบ้หน้า ทำไมเพื่อนๆ น้องสมุทรถึงต้องวอแวKพี่พระจันทร์ด้วยวะ นึกขึ้นมาแล้วมันร้อนๆ หน้าแปลกๆ เลยเนี่ย



“หื้มมม แล้วมึงจะไปลองที่ไหนไม่ทราบวะ” ไอ้จิมพูดแบบนั้นแล้วเอื้อมมือมาผลักหัวผม เอาซะแว่นก็เลื่อนออกจากลูกตาเลยแม่ง



“ก็ลอง...”



“ลองเหี้ยอะไรไอ้สมุทร” ไอ้มาร์ชว่าออกมาเสียงแข็งๆ หันไปมองหน้ามันที่ตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นๆ มองกันแล้วผมสะดุ้งเลย เหมือนพ่อจับได้ว่าแอบไปเยเย่กับผัวมา



“เปล่า กูเปล่าลองอะไรเลย” บอกมันแบบนั้น แล้วกระดึบตัวเข้าไปหา เอื้อมมือไปกอดแขนมันไว้แน่นๆ แล้วเอาหน้าไปถูอ้อนๆ



“แล้วคืนนั้นมึงหายไปไหน” ไอ้มาร์ชที่ถอนหายใจทำหน้าเบื่อๆ ถามออกมาแบบนั้น เล่นเอาน้องสมุทรใจหายแว๊บ



“คืนไหน กูไม่ได้หายนี่นา น้องสมุทรก็อยู่ตรงหน้าพ่อนี่”



“กูไม่มีลูกแรด เอาดีมึงหายไปไหนมา”



“จริง พวกกูนี่ตามหามึงแทบแย่ แล้วยังเสือกปล่อยพี่ยอร์ชไว้กับพวกกูอีก” ไอ้จิมเห็นด้วยกับไอ้มาร์ช แล้วจะให้กูตอบออกไปยังไงว่ากูหายไปชั้นบนของผับจ้า พี่พระจันทร์พาไป กูก็ตอบออกมาแบบนี้ไม่ได้ไหมอ่ะ



“แต่ว่าไป ไอ้พี่ยอร์ชนี่มันก็นิสัยดีอยู่นะ ดูเป็นห่วงมึงมากด้วย” ไอ้เฮงที่วางมือถือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม

“ดูก็รู้แล้วว่าพี่มันคิดอะไร”



“คิดอะไรวะ” ผมเอียงคอถาม ไอ้เฮงยกยิ้มมุมปากแล้วยักไหล่ เอ้า นี่มึงกวนตีนน้องสมุทรหรอ



“มึงนี่แม่งไม่เคยรู้เหี้ยไรเลยจริงๆ”



“โอ๊ย มึงผลักหัวกูอีกแล้วนะไอ้สัดจิม มึงจะเอาใช่มะ”



“ไม่เอาโว้ย กูไม่อยากเอาเด็กแบบมึงหรอก เด็กเหี้ยอะไรไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง” มันว่าแบบนั้นแล้วเอี้ยวตัวหลบหมัดของผมที่เอื้อมไปตีหลังมัน น้องสมุทรจะตีมันให้กระอักเลย



“ไม่รู้เหี้ยอะไรสักอย่างแล้วเสือกอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์”



“จริง ... ยังไม่ทันได้ขึ้น ก็คงโดนคล่อมแล้วล่ะกูว่า” ไอ้เฮงไอ้จิม สองคู่หูเฮงซวยพูดกันรับส่งไปมา เหมือนว่ากูไม่ได้นั่งอยู่ด้วย ถ้าจะนินทาดังขนาดนี้ มึงไม่เดินไปห้องเสียงตามสายแล้วประกาศออกไมค์เลยล่ะแม่ง



ผมเบ้หน้าหนีจากพวกมัน แล้วหันมามองหน้าไอ้มาร์ชที่ตอนนี้เอาแต่ขมวดคิ้ว ผูกโบว์ทำหน้าเครียดเหมือนปวดท้องขี้แต่ไม่มีส้วมให้เบ่ง



“เป็นไรวะมึง” เอื้อมมือไปสะกิดไหล่มัน ไอ้มาร์ชที่หันหน้ามามองกันนิดๆ แล้วถอนหายใจหนักๆ



“มึงแม่งไม่รู้อะไรสักอย่างเลยว่ะสมุทร”



“เอ้า! เหี้ยไรเนี่ย” ยกมือขึ้นเกาหัวเลยกู



“แต่ถ้าให้กูเลือก มึงเลือกไอ้พี่ยอร์ชเหอะ ยังไงมึงก็ไม่เหนื่อยเหมือนวิ่งตามแบบไอ้พี่พระจันทร์เฮงซวยนั่นหรอก”



“มึงอย่าด่าพี่พระจันทร์สิวะ ตอนนี้กูกับพี่มันน่ะนะเรา...” ผมขยับเข้าไปกระซิบมันแบบนั้น รู้สึกร้อนๆ หน้าเกินกว่าจะพูดออกมาดังๆ ด้วย



“ทำไม” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นแล้วหันหน้ามาหากัน ปลายจมูกของเราสองคนที่ชนกันเข้าพอดี ผมสะดุ้ง มันสะดุ้ง แล้วเราก็ผละออกจากกันทันที มองเห็นหน้าของมันที่ขึ้นสีนิดๆ เชี่ย!



“แก้มมึงแดงเป็นตูดลิง!” ผมพูดออกไปดังๆ พร้อมชี้หน้าไอ้มาร์ชไปด้วย มันที่เบิกตากว้างขึ้นแล้วขมวดคิ้วใส่อย่างหงุดหงิด คำพูดของผมทำเอาไอ้จิมกับไอ้เฮงหลุดขำก๊ากออกมาดังลั่น ...โชคดีที่ยังไม่มีใครเข้าคลาสเรียนมา ไม่งั้นคงโดนอาจารย์ด่าไปแล้ว



“ฮ่าๆ มึงความรู้สึกไวหรอวะมาร์ช”



“น่ารักน่ะมึงอะ”



“หุบปากไปไอ้พวกเหี้ย ส่วนมึงสมุทร! เลิกได้เลิก เลิกตามวอแวไอ้ห่านั่นเหอะ ถ้ามันชอบมึงบ้างมันคงไม่เล่นเป็นหมาหยอกไก่กับมึงแบบนี้หรอก”



“พี่พระจันทร์ไม่ได้หยอกไก่กูนะมึง! เค้าหยอกอันอื่นกูเลยเถอะ”



“หยอกอะไร!”



เสียงสามเสียงของเหล่าเพื่อนสนิทจอมขี้เสือกตะโกนออกมาพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย แล้วจะให้บอกออกไปยังไงอ่ะ...ว่าพี่มัน



“หยอกไข่กูจ้า!~~” ยิ้มตาปิดแล้วบอกเพื่อนอย่างภูมิใจ กูน่ะนะ เริ่มเข้าใกล้หัวใจพี่พระจันทร์แล้วเถอะ!อิอิ


...



“พี่ยอร์ช” ผมที่เดินลงมาจากคณะตอนสี่โมงเย็น ก็เจอเข้ากับพี่ยอร์ชเจ้าเก่าเจ้าเดิมในชุดเสื้อช็อปเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือรังสีคนอารมณ์เคร่งขรึม ปกติจะเจอแต่พี่มันในโหมดของคนร่าเริง



“กูมีเรื่องอยากคุยด้วย” พี่มันว่าออกมาแบบนั้น สีหน้าท่าทางจริงจังจนทำให้ผมต้องหยุดมอง



“แต่ผมสัญญากับไอ้มาร์ชว่าจะไปกินซูชิด้วยกันอ่ะ” ว่าออกไปแบบนั้นแล้วพยักหน้าไปใส่ไอ้มาร์ชที่เดินตามมา มันยกมือขึ้นไหว้พี่ยอร์ชที่ก็ยกมือรับไหว้มัน



“มึงไปกับพี่เค้าก็ได้ วันหลังค่อยไปกับกู” มันบอกแบบนั้นแล้วยิ้มให้อีกคน ผมมองอย่างชั่งใจ ก่อนที่สุดท้ายจะพยักหน้าตกลง



“ขอบใจมึง” พี่ยอร์ชหันไปบอกไอ้มาร์ช



“ไม่เป็นไรพี่” ไอ้มาร์ชพยักหน้าให้พี่ยอร์ช แล้วหันมาตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่มันจะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง คิดว่ามันน่าจะเดินไปลานจอดรถ



“พี่ยอร์ชมีอะไรกับผมหรอพี่”



“มึงไปกับกูก่อน เดี๋ยวกูไปส่งบ้าน”



“แต่...”



“กูไม่ทำไรมึงหรอก” พี่มันมองหน้าผม สายตาจริงจังของมันทำให้ผมพยักหน้าตอบรับ จริงๆ ไม่ได้กลัวมันทำอะไรสักหน่อย แค่คิดว่าถ้าไปกับพี่ยอร์ชแล้วพี่พระจันทร์รู้จะโกรธหรือเปล่า แต่คงไม่เป็นไรหรอก ก็พี่มันไม่รู้นี่นา



ผมเดินตามพี่มันไปถึงรถ ก่อนจะต้องเบิกตากว้างๆ แล้วทำปากโอ้โห เบนซ์สปอร์ตสองประตูสีขาวทำเอาผมมองสลับกับพี่ยอร์ช คิดว่าต้องเป็นรถราคาแพงฉิบหายไม่ต่างจากรถของไอ้มาร์ชแน่ๆ อ่ะ จริงๆ ดูจากหน้าตาก็รู้ว่ามันไม่น่าจะจน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีฐานะเบอร์นี้ ... ไอ้ฉิบหาย น้องสมุทรจะเกาะพี่มันไว้ครับ เลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าสาธุ

“นี่กูจะมีบุญตูดได้นั่งหรอวะเนี่ย”





“ก็แค่รถไหม มึงตลก” มันว่าแบบนั้นแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ ผมเข้าไปนั่งข้างๆ ที่เบาะข้างคนขับแบบเบามากๆ กลัวเบาะเค้าเป็นรอยครับ



“มึงไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น ก็แค่รถ”



“รถราคาแพงโว้ยพี่ ทำไมไม่บอกให้ไวกว่านี้ กูนี่จะเกาะไว้แน่นๆ ไม่ยอมให้พี่มึงหนีหายเลยจ๊ะ” ผมว่าแบบนั้นแล้วยิ้มจนตาปิด พี่ยอร์ชหัวเราะแล้วส่ายหน้าหน่อยๆ พี่มันที่เอนตัวเข้ามา ใบหน้าคมหล่อของมันที่ห่างจากหน้าของผมไปหน่อย เรามองตากัน ในตอนที่ผมไม่เข้าใจและรู้สึกตกใจหน่อยๆ ก็รู้สึกถึงสายเบลท์ที่ถูกคาดผ่านอก



“อ่า...”



“ปลอดภัยไว้ก่อนไง หรือมึงคิดว่ากูจะทำไร”



“เปล๊า...” ว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นไปดันกรอบแว่นตาหนาเตอะของผมแก้เก้อ



“แล้วมึงไม่ต้องเหนื่อยเกาะกูหรอก ... กูไม่ได้คิดจะหายไปจากมึง”



“แหม่ ปากหวานแบบนี้สาวๆ ติดตายเลย”



“กูไม่ได้อยากให้สาวติด กูอยากให้มึงติด”



“ห๊ะ...” เมื่อกี้พี่มันพูดอะไรวะ จริงๆ กูเริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะประมวนผลออกมาติดๆ ขัดๆ นะ ... เพราะผมเริ่มคิดว่าคำพูดของพี่มันจะแปลกหน่อยๆ



พี่ยอร์ชมันไม่ได้ตอบคำถามอะไรของผม ทำแค่ยักไหล่แล้วขับรถออกไปจากคณะก็แค่นั้น ตลอดทางไม่ได้มีบรรยากาศเคร่งเครียดอะไร พี่ยอร์ชมันเปิดเพลงทำลายบรรยากาศระหว่างเราด้วยเพลงปลุกเร้าอารมณ์ เพลงของศิริพร ชื่อเพลงโบว์รักสีดำ บรรยากาศคอนทราสจนผมต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง รถหรูกับเพลงหมอรำที่เจ้าของรถหน้าตาออกลูกครึ่งญี่ปุ่นในชุดเสื้อช็อป ... บรรยากาศแบบนี้มันอะไรกันล่ะครับเนี่ย



จนเมื่อรถขับไปได้ถึงครึ่งทาง



‘ครืด ครืดดดด’



เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นให้แปลกใจ พี่ยอร์ชที่อยู่ข้างๆ ตัวไม่ได้สนใจอะไรในตอนที่ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย อดแปลกใจไม่ได้กับคนที่โทรมา



“ฮั...ฮัลโหลครับ” ปัดโถะ! ไอ้สมุทรมึงอย่าเสียงสั่นสิวะ



((อยู่ไหน) )



“เอ่อ...อยู่บนรถครับ” ผมตอบออกไปแบบนั้นในตอนที่ได้ฟังเสียงปลายสายที่ดุเหมือนว่ากำลังหงุดหงิด ... ก็ถ้าหงุดหงิดแล้วจะโทรมาหากันทำไมนะ กลัวนะเว้ย แอบปลายตาไปมองคนขับข้างๆ ตัวที่ยังเอนจอยกับเพลงหมอรำต่อไป มีโยกหัวตามจังหวะดนตรีไปนั่นอีก อืม มีความสุขอ่ะเนาะ



((มึงอย่ากวนกูนะสมุทร มึงกลับกับใคร) )



“อ่า ...เอ่อ..”



“มีอะไรเปล่าวะสมุทร” พี่ยอร์ชที่ถามผมออกมาแบบนั้นในตอนที่เห็นท่าทีอึกอักของผม ปัดโถ่เว้ย เก็บความหวังดีมึงไว้ก่อนไม่ได้หรือไงวะ



((เสียงไอ้เหี้ยยอร์ช! นี่มึงไปไหนกับมันห๊ะ!!) )



“ไม่ได้ไปไหนพี่ ผมจะกลับบ้าน”



((มึงลงจากรถมันเลย ลง!) )



“ได้ที่ไหนเล่าพี่พระจันทร์ ผม...”



“ไอ้พระจันทร์โทรมาหรอ” พี่ยอร์ชที่คงได้ยินผมเรียกชื่อเลยถามออกมาแบบนั้น ผมมองเห็นตาคมของพี่ยอร์ชวาวขึ้นมา เอ่อคือ



“ครับ...”



“คุยกับมันทำไมไร้สาระ”



((ไอ้เหี้ยนั่นมันว่าใคร ห๊ะ มึง...) )



“เอามือถือมานี่สมุทรกูวางให้” พี่ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้นแล้วดึงโทรศัพท์ออกมาจากหูผม ได้ยินเสียงพี่พระจันทร์โวยวายดังออกมาจากในสายแม้ว่ามือถือจะไปอยู่ในมือพี่ยอร์ชแล้วก็ตาม



((มึงจะเล่นกับกูหรอวะ!....) )



“กูไม่เล่นกับมึงให้เหนื่อยหรอก...กูเล่นกับไอ้สมุทรดีกว่าอีก”



((ไอ้เหี้ยยอร์ช!) )



ตู๊ด....



เสียงสัญญาณหายไปพร้อมๆ กับนิ้วแกร่งของพี่ยอร์ชที่กดตัดสาย แล้วกดปิดเครื่องมือถือผมหน้าตาเฉย



“เห้ยพี่ยอร์ช”



“ปิดเครื่องไปเถอะ พี่ขออยู่กับเราสองคนก่อนไม่ได้หรอวะ...” สายตาคมของพี่ยอร์ชที่หันมามองผมในตอนที่เราติดไฟแดง



“แต่พี่พระจันทร์...”



“สมุทร ถ้ามึงไม่รู้กูจะบอกให้”



“บอก...บอกอะไรวะพี่”



“บอกให้รู้ว่ากูชอบมึง”



“เชี่ย!” อุทานเสียงดัง จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยตาโตๆ แต่พี่ยอร์ชก็ยังเอาแต่พูดต่อไป สายตาคมๆ ที่ไม่สั่นไหวนั่นจริงจังจนมากกว่าคำว่าล้อเล่นได้



“กูซีเรียสนะ”



“งั้นสวัสดีนะ ผมแฮรี่ แฮรี่พ็อตเตอร์” ว่าออกไปพร้อมยิ้มแหย่



“เล่นมุขเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ฮ่าๆ ...สัดเอ้ย” พี่ยอร์ชมันว่าแล้วขำออกมาเสียงดัง อีกฝ่ายที่หลุดหน้าจริงจังจนผมขำตาม ก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยนี่หว่า



“แต่พี่ยอร์ช ...ผม...”



“มึงจะบอกกูว่ามึงชอบไอ้พระจันทร์อ่ะดิ” ผมพยักหน้ารับกับคำถามนั้น



“แต่ตราบใดที่มึงยังไม่ได้คบกับมัน กูก็มีสิทธิ์จะสู้ไม่ใช่หรอวะ ... ก็ขอแค่อย่าเอาแต่ปิดใจมองแต่คนที่ไม่ได้รักมึงเลย หันมามองคนที่พร้อมจะรักมึงตรงนี้บ้างก็พอ”



“พี่...”



“กูไม่รีบหรอกนะ .. แต่กูเร่งว่ะ” ยกยิ้มมุมปากหันเปลี่ยนไปเปลี่ยนเกียร์ เหยียบคันเร่งในตอนที่ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ท่าทางเท่ๆ แบบนั้น แม่งเอ๊ย คนพวกหน้าตาดีนี่มันทำเขินอายจังวะ ... ยกหน้าขึ้นดันกรอบแว่นแล้วหันหน้าออกไปมองนอกรถแม่ง



“ขอบคุณที่มาส่งครับพี่”



“กูชอบมึง มากกว่านี้ก็ทำให้ได้”



เชี่ยเอ๊ย รุกอะไรกูจังอ่ะ



“พี่ยอร์ช...” ผมลากเสียงอ่อย อยากจะให้เบาๆ บ้าง ใจจริงไม่อยากให้เค้ามาทุ่มเท่อะไรกับผม เพราะยังไงผมก็คงไม่เปลี่ยนใจจากพี่พระจันทร์มาชอบพี่ยอร์ชหรอก น้องสมุทรที่รักพี่พระจันทร์มาสี่ปี กับพี่ยอร์ชที่พึ่งเจอกันไม่กี่วัน ถ้ามันเปลี่ยนง่ายขนาดนั้น ผมคงไม่ชอบพี่พระจันทร์มาถึงตอนนี้หรอก



“อะ ขนมเค้ก” มันหยิบกล่องขนมเค้กออกมาจากเบาะหลังที่ไม่รู้ว่าซื้อมาตั้งแต่ตอนไหน มองเข้าไปเห็นเป็นเค้กสตอเบอรี่จากร้านดังร้านนึง



“เห็นว่านัดไปกินซูชิกับเพื่อน แต่อดเพราะกู เอาเค้กไปกินแทนก่อนละกัน”



“ขอบคุณครับพี่” ผมยกมือไหว้แล้วเดินลงจากรถ อีกคนที่เลื่อนกระจกลงมามองผม



“ฝันถึงกูบ้างล่ะ” ยกยิ้มหล่อส่งท้าย ก่อนจะถอยรถออกไปทั้งแบบนั้น ... ไอ้เหี้ยเอ๊ย คนหน้าตาดีทำอะไรแต่ละทีก็หล่อจังอ่ะ เสียดายว่ะ ถ้าพี่ยอร์ชมันอยากมาเป็นเมียน้องสมุทร อันนี้ยังน่ารับพิจารณามากกว่าเยอะเลย ผมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในบ้านแบบใจลอยๆ



“กลับมาแล้วครับ” พูดออกมาแบบนั้นแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากแม่ หรือว่าวันนี้แม่จะยังไม่กลับ ผมเดินเข้าไปวางเค้กไว้ในตู้เย็น ก็ได้ยินเสียงตึงตังวิ่งออกจากห้องดูหนัง เป็นไอ้ทะเลน้องรัก ผมไม่ได้สนใจอะไรมันได้แต่เดินเบลอๆ ขึ้นห้องไป



“เห้ยพี่หมุดๆ ทะเลมีเรื่องจะบอกนะ คือว่า...”



“อืม เดี๋ยวกูลงมาเล่นด้วย แต่ตอนนี้ไว้ก่อนนะ”



“คือว่ามันไม่ได้ไหมอ่ะ มันแบบว่า...”



“ไว้ก่อนทะเล หัวใจกูทำงานหนัก” เดินหนีมันขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ ไอ้ทะเลที่ตะโงนแง้วๆ อยากจะตามขึ้นมา แต่ผมเอาขาเขี่ยมันไว้ เลิกสนใจไอ้เด็กกระโปกนั่นก่อน ทะเลมันเป็นแบบนี้เสมอ เหมือนเด็กเล็กๆ มีเรื่องมาเล่าให้ฟังทุกวัน แต่บางวันกูก็ไม่ไหว ขอพี่สมุทรมึงพักหัวใจแป๊บสิวะ



“ตามแต่ใจเลย ทะเลถือว่าพยายามละ!”



“เออ ตามสบายมึงจ้า”



ว่าแบบนั้นแล้วเปิดประตูเข้าห้องนอนตัวเองไป เหนื่อยหัวใจ ใจผมมันยังเต้นตึงตังเหมือนเวลาได้เต้นหน้าเวทีคอนเสิร์ต ความรู้สึกเหมือนตอนที่ได้สบตานักร้องเกาหลีที่ชอบตอนที่ได้นั่งบัตรหกพันห้าแถวหน้าสุด ... พี่ยอร์ชมันทำผมเป๋นะเอาจริงๆ



“เฮ้อ...เขินว่ะ” ผมว่าออกไปแบบนั้นแล้ววางของลงบนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน ร้อนหน้าแปลกๆ อ่ะเอาจริงๆ



“เขินมากไหมวะ ... มากเท่าตอนมึงนอนใต้ตัวกูหรือเปล่า” เสียงเข้มๆ ที่ดังมาจากด้านหลังของผมทำเอาขนลุกซู่ หันหน้าไปมองทันที มีร่างของแขกไม่ได้รับเชิญนั่งกระดิกตีนอยู่บนที่นอนของผมหน้าตาเฉย สายตาคมสวยที่ผมชอบนักชอบหนา ในตอนนี้จองมาที่ผมนิ่งๆ เป็นความรู้สึกเสียวสันหลังวาบในตอนที่สายตานั่นจ้องผมไปทั่วทั้งตัว



มา...ได้ไงวะ!



“พ พี่พระจันทร์”



“เออ กูเอง...พี่พระจันทร์ของมึงไง” ยกยิ้มเหี้ยมพร้อมก้าวลงมาจากเตียง สองขายาวที่ก้าวตรงมาหาน้องสมุทร

ไอ้ทะเล!! ช่วยพี่มึงด้วยจ้า!!!

#รักอยู่รู้ยัง



ตะโกนออกมาพร้อมกันค่ะว่าเรื่องนี้ใครเป็นตัวร้าย!! ตัวร้ายมันมาบุกรุกแล้วจ้า เอิ๊ววว

แคทยังคาดหวังเหมือนเดิมว่าเรื่องราวนี้จะทำให้คนอ่านทุกคนมีความสุขไปได้ด้วยกันนะคะ

หวังว่าจะเข้ามาอ่าน มาเม้นท์ให้กำลังใจแคทนะคะ คนละเม้นท์สองเม้นท์ก็ดีใจค่ะ

หรือคอมเม้นท์กันได้ทางทวิตเตอร์ แฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง

แคทตามอ่านอยู่น้า มีความสุขทุกครั้งที่เห็นข้อความจากคนอ่านค่ะ

 :mew1: :3123:


แคทขอขอบคุณ คนอ่านจากเล้าเป็ดมากๆนะคะ ดีใจจจจ แคทนึกว่าจะไม่มีคนอ่านแล้วค่ะ

:sad4:ภ :o12:
  แคทมาแล้วนะคะ มาอ่านอีกน้าาาา

ตามอ่านต่อไปน่ะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
ขอบคุณมากๆนะคะ แคทดีใจมากๆเลยค่ะ :mew1:


:pighaun: เลือดเกือบหมดตัวละจ้า ฮีฮี
รอบทเต็ม บทอัศจรรย์

มารอทุกวันเลยนะค่า สนุกมาก เป็นกำลังใจให้เสมอจ้า
  อ๊ากกก เขินเลย แคทพยายามเขียนอย่างเต็มที่ หวังว่าบทเกือบอัศจรรย์จะไม่ทำให้ผิดหวังนะคะ อิอิ


หมั่นไส้พระจันทร์ ไอต้าวปากแข็งเอ้ยยย :katai4:
ไอ้ต้าวปากแข็งแบบนี้มันต้องโดนอะไรค๊าาา (ยื่นไม้)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่6 (290122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 30-01-2022 00:25:48
สู่ขิต ร่วมไว้อาลัยใน 3 2 1
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่6 (290122)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-02-2022 10:44:35
โอ้ยขำไม่ไหวแล้วจ้าาาาา :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่7 (050222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 05-02-2022 20:27:45

บทที่7



“ว่าไง ตกใจมากหรอ” เสียงทุ้มที่เข้มขึ้นมากกว่าทุกทีที่เจ้าตัวชอบพูด ขายาวๆ ที่ก้าวตรงมาหาผมช้าๆ ทุกก้าวที่เดินใกล้เข้ามาหนักแน่นจนน้องสมุทรขาสั่นพับๆ กลัวอะไรกันวะไอ้น้องสมุทร ไอ้เรามันเป็นคนเท่ๆ นะเว้ย อนาคตผัวที่แสนองอาจ



“พ พี่พระจันทร์มาได้ไง” ปัดโถะไอ้สมุทรมันเสียงสั่น ฮึบไว้สิ ความองอาจของมึงน่ะ สู้เค้าสิวะไอ้ชาย!



“กูขับรถมา” คืออันนั้นน้องสมุทรก็รู้จ้า อยากจะด่าออกไปแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้านิ่งๆ กับดวงตาคมๆ เวลากระพริบตาแต่ละที ขนตางอนยาวนั้นขยับขึ้นลงพรึบพรับ ทำเอาหัวใจน้องสมุทรสั่นไหว ความสวยกระแทกตาหรอ...เปล่า รังสีความไม่พอใจในตัวกูมันกระแทกตา ฮื่อออ ไอ้ทะเลช่วยด้วย!



“คืออันนั้นน้องสมุทรก็รู้...” กลืนน้ำลายหนึ่งเอือกแล้วขยับเท้าถอยหนีไปหนึ่งก้าว



“มึงรู้แล้ว แต่กูยังไม่รู”



“พี่พระจันทร์ไม่รู้อะไรเบ๋อ” เบ๋อเลยนะ อยากเป็นผัวสไตล์แบ๊วๆ น่ารัก กระพริบตาปริบๆ ไปสองทีด้วยความคาวาอี้เดส ปิ๊งๆ



“ไม่รู้ว่ามึงจะกล้ากลับมากับไอ้เหี้ยยอร์ชไง!” กระแทกเสียงใส่พร้อมฝ่ามือแกร่งที่เอื้อมมือมาจับแขนน้องสมุทรแล้วดึงรั้งให้ตัวน้องสมุทรเข้าไปใกล้ ใกล้ชนิดที่เรียกได้ว่าในวงแขน



“พ พี่พระจันทร์” อึกๆ อักๆ กับบรรยากาศตรงหน้า นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เห็นพี่พระจันทร์โกรธขนาดนี้



“ทำไม มึงกลัวกูหรือไง”



“พี่พระจันทร์เสียงดัง” ช้อนตามองคนตรงหน้าแล้วตอบเสียงอ่อยๆ ไม่รู้จะวางสายตาไปไว้ตรงไหน ก็ตีหน้ายักษืขนาดนี้ แล้วมาถามว่ากลัวหรือไง ก็กลัวน่ะสิวะ น้องสมุทรแม่งต้องเป็นพ่อบ้านใจกล้าแน่ๆ ไม่กล้าหือกับอนาคตเมียหรอกครับ



“เออ! กูดังได้กว่านี้อีก ถามจริงๆ ที่มึงบอกว่าชอบกูนี่เรื่องตอแหลหรอวะ” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้นด้วยเสียงขุ่นๆ แต่คำพูดประโยคนี้ก็ทำให้ผมชะงักไปเหมือนกัน ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้ามองคนตรงหน้า



“น้องสมุทรไม่เคยตอแหลเรื่องที่ชอบพี่พระจันทร์นะ!” ว่าอะไรน้องสมุทรก็ได้ แต่อย่ามาว่าว่าเรื่องที่น้องสมุทรชอบพี่พระจันทร์เป็นเรื่องล้อเล่น น้องสมุทรไม่ยอมหรอก



“ไม่ตอแหลแล้วมึงมากับมันทำไม! กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าให้ออกห่างจากมัน ถ้าเรื่องแค่นี้มึงยังทำให้กูไม่ได้ มึงคิดว่ามึงจะเขยิบเข้ามาใกล้กูได้รึไงสมุทร”



“แล้วพี่เคยคิดจะเปิดใจให้ผมจริงๆ บ้างไหมล่ะ จะให้ผมเขยิบเข้าไปบ้างหรือยังล่ะ!”



“ไม่เขยิบแล้วกูจะมายืนอยู่ตรงหน้ามึงตอนนี้ไหม แม่ง!” พี่พระจันทร์สบถออกมาเสียงดัง เราสองคนที่ยืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงแบบที่ไม่มีใครยอมใคร จนมาจบลงที่ประโยคนี้ของพี่พระจันทร์ที่ทำเอาผมชะงักค้าง ผมกระพริบตาปริบๆ สองทีจ้องหน้าคนตัวสูงตรงหน้าพร้อมประมวนผม ดูเหมือนว่าก็ไม่ต่างจากพี่พระจันทร์เท่าไหร่ที่ก็ดูจะชะงักค้างไปกับคำพูดของตัวเองเหมือนกัน พี่พระจันทร์ที่ถอยเท้าขยับหนีผมไปนิดๆ ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น



“พี่ พระจันทร์”



“อย่ามาเรียกกู” เค้าว่าแบบนั้นแล้วหันหลังหนี แต่มีหรอที่น้องสมุทรจะปล่อยจังหวะนี้ไป มันคือทางของผมแล้วว่ะ รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องในหัวใจก็ตอนนี้ ผมก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเค้าแทน เรียกได้ว่ารุกเข้าไปเลยน้องสมุทรมึงทำได้



“เดินตามกูมาทำไม” เค้าว่าแบบนั้นตอนที่ทรุดตัวลงนั่งที่เตียงของผม ท่าทางที่ดูหัวเสียแบบสุดๆ พี่พระจันทร์ที่ดูหงุดหงิดและสับสนกับตัวเอง



“ก็น้องสมุทรอยากอยู่ใกล้ไง” ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปหาใกล้ๆ ใช้ไหล่กระแซะคนข้างตัวนิดๆ พี่พระจันทร์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเขยิบตัวหนีไปนั่งอยู่กลางที่นอน ใช้แผ่นหลังพิงหัวเตียงเอาไว้ ขายาวๆ ที่ข้างนึงชันขึ้น พร้อมๆ กับที่เจ้าตัวเริ่มใช้แขนข้างขวายกขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาด้วยมือเดียว เป็นภาพที่เท่ เอ้ย สวยงามบาดใจ ... ว่าแต่เค้ากำลังยั่วยวนน้องสมุทรใช่ไหมวะ อั๊ย พี่พระจันทร์ร้อนแรงว่ะ



“ทำอะไรของมึง จะรุกกูหรือไง” พี่พระจันทร์ปลายสายตามามองผมที่กำลังคลานเข้าไปหาเค้านิดๆ



“ใช่แล้วล่ะ น้องสมุทรกำลังรุกพี่พระจันทร์คนสวยไงครับ” ตอบออกไปแบบนั้นตอนที่ก้มตัวลงไปคล่อมทับอีกฝ่ายเอาไว้ ยกยิ้มนิดๆ เหมือนพระเอกนิยายวาย โอ้โห ไอ้เรานี่มันแสนเท่ไปเลยว่ะ จำเอาไว้ จะรุกจะรับเค้าไม่ได้วัดกันที่ความสูงว่ะ พอนอนทาบลงไปก็เท่ากันหมดล่ะ!



“พี่พระจันทร์หึงน้องสมุทรกับพี่ยอร์ชหรอ”



“เรียกมันไอ้เหี้ยยอร์ช มันเป็นลูกแม่มึงหรอถึงต้องเรียกว่าพี่”



“ก็เค้าอายุมากกว่าน้องสมุทร”



“สมุทร อย่าขัดใจกูไปมากกว่านี้” ว่าออกมาเสียงเข้มๆ ก่อนที่วงแขนแกร่งจะดึงเอวน้องสมุทร ทำให้ทั้งตัวของผมจากที่คล่อมตัวกั้นพี่พระจันทร์ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ ตอนนี้เป็นผมที่ถูกทิ้งตัวลงไปนั่งคล่อมทับพี่พระจันทร์



“เชี่ย ท่าทางของผัว” พูดออกมาเบาๆ กับตัวเองด้วยใจเหิมเกริม วันนี้เข้าใกล้อีกนิด น้องสมุทรอยู่บนตัวพี่พระจันทร์ว่ะ!



“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนใต้ร่างผมเบาๆ เอียงคอมองพี่พระจันทร์นิดๆ ว่าขำอะไร



“พี่พระจันทร์ขำน้องสมุทรหรอ”



“อืม กูขำหมาขำแมวมั้ง”



“ทำไมต้องกวนตีนน้องสมุทรด้วยนะถามจริงๆ”



“ปากมึงนี่แม่งน่าดีด กวนใจกูอยู่ได้โครตน่ารำคาญเลยว่ะสมุทร” ไม่ว่าเปล่ายังยื่นมือมาบีบปากผมแรงๆ ด้วยทีนึง เจ็บไปหมด แต่คิดว่าปากยังใช้การได้ดี สามารถทำเธอสุขขีขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดได้อยู่นะจ๊ะคนสวย



คิดแบบนั้นเลยเอื้อมมือไปช้อนปลายคางพี่พระจันทร์ให้ขึ้นมามองหน้ากัน



“เลิกซึนเถอะน่า หลงรักความผัวของน้องสมุทรก็พูดมา”



“ผัวเลยนะ”



“คล่อมขนาดนี้เมียมั้งแหม่เธอก้อ” ยกยิ้มเท่ๆ ส่งไปอีกนิด ขยิบตาให้หน่อยนึง ผมเห็นพี่พระจันทร์ทำหน้าเหมือนคนกลั้นยิ้มแล้วหันหน้าหนีกันมองออกไปนอกหน้าต่างห้องผม



“สมุทร”



“จ๋าคนสวยขา”



“กูจริงจังนะ มึงอย่ายุ่งกับไอ้ยอร์ชเลย มันเป็นคนไม่ดี”



“ยังไง” เอียงคอถาม พร้อมก้มมองหน้าคนที่เงยหน้าขึ้นมามองกันในตอนนี้ “น้องสมุทรไม่เข้าใจ พี่ยอร์ชก็ดีกับสมุทร ถึงน้องสมุทรจะไม่ได้ชอบเค้าแบบที่ชอบพี่พระจันทร์ แต่น้องสมุทรก็มองว่าเป็นพี่คนนึงนะ”



“มันเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่ดีแต่จะทำให้คนที่มันคบด้วยเสียใจ”



“แล้วพี่เค้าจะมาคบกับสมุทรที่ไหนล่ะ”



“มันชอบมึง”



“แต่น้องสมุทรชอบพี่พระจันทร์ อย่าดูถูกความรักของน้องสมุทรนักเลย 4ปีเลยนะที่พยายามมาอยู่ตรงหน้าพี่พระจันทร์แบบนี้ เชื่อน้องสมุทรเถอะ น้องสมุทรไม่ได้คิดอะไรกับพี่ยอร์ชจริงๆ” ก้มหน้าเข้าหาคนใต้ร่างช้าๆ พร้อมพูดอย่างจริงจัง ผมที่ใช้ปลายจมูกเขี่ยที่ปลายจมูกโด่งของพี่พระจันทร์เบาๆ เป็นการลองเชิง แต่เห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรเลยได้แต่ยิ้มกว้างออกมาแล้วเอาปลายจมูกเขี่ยอีกทีแบบอ้อนๆ



“มึงนี่แม่ง”



“หล่อเท่บาดใจ บาดไข่ บาดอารมณ์ใช่เปล่าล่ะ”



“ทะลึ่ง” ว่าแบบนั้นแล้วเอื้อมมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมเบาๆ ไปที



“อะไรว้า เค้าบอกว่าผัวเท่ๆ ทะลึ่งตึงตังมันจะได้ใจ เสียวว๊าบไม่ใช่หรอ” ผมถามแบบนั้นแล้วถอนหายใจออกมาแบบเซ็งๆ



“ใครมันบอกมึง”



“พี่กู”



“กูอะไรของมึง”



“กูเกิ้ลไง” ว่าแบบนั้นแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงนั่งบนตัวพี่พระจันทร์อีกนิดอย่างเซ็งๆ นี่ที่พยายามรีเสิร์ชขอมูลมุกเสี่ยวเกี้ยวสาวมาเต๊าะพี่พระจันทร์มันได้ผลบ้างไหมวะ หรือน้องสมุทรจะโดนหลอก



“ซี๊ด”



“พี่พระจันทร์เป็นอะไร”



“มึงจะกระแทกตัวลงมาทำไมวะสมุทร”



“ทำไมอ่ะ น้ำหนักน้องสมุทรเยอะไปใช่เปล่า ขอโทษนะ เชี่ยเอ๊ย น้องสมุทรจะไปฝึกซิกแพคมาให้ได้เลย”



“เออ อ้วน” อีกคนว่าออกมาแบบนั้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี สงสัยจะหนักมากจริงๆ ว่ะ



“งั้นน้องสมุทรลงละ เดี๋ยวค่อยมาคล่อมพี่พระจันทร์ใหม่วันหลังละกันนะ” บอกแบบนั้นแล้วตั้งท่าจะปีนลงมาจากตัว แต่โดนวงแขนแกร่งของพี่พระจันทร์โอบเอาไว้ก่อน



“หื้ม ปล่อยดิ ไม่หนักหรอ น้องสมุทรจะลง”



“มึงมันอ้วน”



“อย่าบูลลี่ได้ไหม ไม่มีใครสอนหรอว่าอย่าเอาเรื่องน้ำหนักมาล้อเล่นอ่ะ”



“แต่ไม่ใช่ตัวอ้วน...”



“ห๊ะ”



“แต่แก้มอ้วน”



“แก้มน้องสมุทรอ้วนหรอ” ผมถามแบบนั้นพร้อมยกมือขึ้นไปจับแก้มตัวเองอย่างงงๆ พี่พระจันทร์ที่เขยิบตัวเข้ามาใกล้ผม ใบหน้าของอีกฝ่ายที่เลื่อนเข้ามาใกล้ กระซิบเบาๆ ข้างหูจนได้รับรู้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รินรดกันอยู่ที่ข้างแก้ม



“ไม่ใช่แก้มที่หน้า แต่เป็นแก้มที่ก้น ...มันอ้วน”



“อ๊ะ” ร้องออกมาแบบนั้นตอนที่จบประโยคแล้วฝ่ามืออีกฝ่ายจับเข้าที่ก้นตามคำพูดเต็มแรง ฝ่ามือแกร่งที่บีบมันเบาๆ ตามจังหวะ ก่อนที่พี่พระจันทร์จะพลิกตัวดันร่างของผมให้ลงไปนอนแผ่ที่กลางเตียงแทนเจ้าตัว และใช่ ... ผมได้แต่เบิกสายตากว้างมากขึ้น มองพี่พระจันทร์ที่กำลังคล่อมทับอยู่ตรงหน้า



“พี่พระจันทร์”



“เลิกกวนใจกูไม่ได้หรอวะสมุทร”



“ยังไง”



“ก็แค่กลับไปใช้ชีวิตของมึง แล้วเลิกยุ่งกับกู”



“น้องสมุทรทำไม่ได้หรอก จะไล่หรอ” จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง พี่พระจันทร์ที่แค่ยกยิ้มมุมปากออกมาน้อยๆ



“เปล่า...กูแค่รู้สึกว่ามึงกวนใจกูมากไปแล้ว”



“มันทำไมนัก น้องสมุทรยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากเข้าไปวิ่งเล่นในหัวใจพี่พระจันทร์แค่นั้นเองนะ”



“ดื้อด้านนัก”



“ก็มันจริงนี่ อย่ามาไล่กันซะให้ยาก”



“เคยเตือนมึงแล้วนะ ถ้ากูไม่รู้สึก...”



“ก็ขอให้น้องสมุทรได้ลอง” ผมว่าแบบนั้นแล้วเอื้อมมือขึ้นไปจับใบหน้าของคนตรงหน้านิ่งๆ



“พี่พระจันทร์ใช้ชีวิตตามสบายได้เลย น้องสมุทรเองก็จะทำเหมือนกัน”



“ก็กูใช้ชีวิตตามสบายไม่ได้ก็เพราะมึงนี่ล่ะ”



“เอ๋ ยังไงนะ อึก อื้ม...” ความสงสัยที่ถูกตัดจบไปเพราะริมฝีปากที่โฉบลงมาบดขยี้ริมฝีปากกัน ดูดเม้มริมฝีปากจน เกิดเป็นเสียงดังก้องเข้ามาในหู ผมเผยอปากหอบหายใจตอนที่อีกฝ่ายผละริมฝีปากออกไป แต่วินาทีถัดไปอีกฝ่ายก็รีบทาบทับเข้าหาใหม่แล้วตวัดลิ้นเข้าไปรุกแบบหนักหน่วง จนเผลอยกมือกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่นๆ พี่พระจันทร์จูบผมซ้ำๆ ผมได้แต่หลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายผละหน้าออกมาแล้วกดจมูกซุกไซร้ไปตามซอกคอ กดริมฝีปากจูบไปตามใบหูและลำคอ ในใจของผมที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกบางอย่างกำลังบอกให้ตัวเองเอ่ยปากห้าม



แต่ไม่..



ปากของผมไม่ขยับพูดอะไรออกไปทั้งนั้น



นอกจากนอนหลับตานิ่งปล่อยให้พี่พระจันทร์ล่วงเกินอยู่แบบนั้น จนกระทั่งมันเลยเถิดไปไกล รู้ตัวอีกทีมือของอีกฝ่ายก็สอดเข้ามาในเสื้อนักศึกษาตัวบางและวางอยู่บนหน้าอก ปลายนิ้วเรียวยาวลากไปตามผิวกายเก่อนจะหยุดอยู่ที่ตุ่มไตนูนแข็งตรงกลางนั้น



“ฮื่อ..”



ผมร้อง.. ร้องออกมาไม่ใช่คำห้ามปรามที่คิดว่าอยากจะพูด



ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะหยุดชะงักไปในนาทีต่อมา ผมได้ยินเสียงกลั้นใจและอีกฝ่ายที่ถอนตัวเองออกมาจากตัวของผม การหอบหายใจที่รุนแรงมากขึ้นของพี่พระจันทร์ทำให้ผมต้องลืมตามองหน้าอีกฝ่ายแบบไม่เข้าใจ เลื่อนสายตาลงไปมองที่แกนกายใหญ่ที่ดุดดันออกมาจากกางเกงที่ยังไม่ถูกถอด เป็นผู้ชายด้วยกันก็รู้เลยว่ามันคงปวดหน่วงๆ บริเวณกลางลำตัวแน่ๆ สภาพของคนตรงหน้า เป็นสิ่งที่ตอกย้ำได้ชัดเจนว่าเมื่อกี๊ผมกับพี่เค้า เราเกือบจะไปถึงไหนต่อไหนกันอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าผมจะนอนนิ่งๆ เป็นไอ้แว่นตาแตกอยู่แบบนี้ ผมเผลอไผลไปกับพี่พระจันทร์อีกครั้ง และอีกครั้ง และอีกครั้ง...



“ผม...พี่...”



“หยุดแค่นี้ เพราะถ้าไม่หยุด กูเองก็คงหยุดไม่ได้ ... และมึงเองก็คงห้ามไม่ไหว ทั้งๆ ที่ตัวมึงไม่พร้อม”



“ผม...” อยากจะแย้งประโยคคำพูดของเค้า แต่ผมทำได้แค่อ้าปากพงาบๆ พูดได้แค่คำว่าผมสั้นๆ คำเดียว เพราะคำพูดของพี่พระจันทร์ เป็นอะไรที่เถียงไม่ออก ผมไม่พร้อม...



“กูเป็นเมียให้มึงไม่ได้สมุทร จะเป็นได้ ก็เป็นแค่ผัวที่มีหน้าที่เอามึง...”



“น้องสมุทรไม่...”



“และถ้ามึงยังทำได้โดนกูเอาไม่ไหว ก็อย่าเล่นกับใจกูให้มาก เพราะกูไม่ใจดีกับมึงทุกครั้งหรอกนะ” บอกแบบนั้นแล้วดวงตาสวยคมดุของพี่พระจันทร์ก็หลับลงช้าๆ แบบอดกลั้นอารมณ์ ก่อนที่จะเคลื่อนตัวออกแล้วลุกไปนั่งอยู่ปลายเตียง ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน ผมไม่พร้อมจะเป็นเมียพี่พระจันทร์เหมือนกัน ทำใจไม่ลงเพราะประกาศมาตั้ง4ปีว่าจะเป็นผัวพี่พระจันทร์ให้ได้ แล้วทำไมถึงต้องมาสั่นคลอนเอาตอนนี้วะ



“กูจะกลับแล้ว ... ทิ้งพวกไอ้ปุ่นมาก็เพราะมึงเลย แม่ง”



“พี่พระจันทร์” ผมเรียกชื่อเค้าเสียงอ่อยอีกครั้ง



“ช่วยไม่ได้ก็อย่าเรียกสมุทร” ว่าแบบนั้นแล้วลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางดีๆ แล้วเดินไปจับลูกบิดประตู ผมที่เห็นแบบนั้นแล้วถลาตามลงจากเตียง ก่อนจะวิ่งไปจับมืออีกฝ่ายไว้แบบงงๆ พี่พระจันทร์มองหน้าผมนิ่งๆ แบบอดกลั้นอดทน ส่วนผมก็งงร่างกายมันไปแบบอัตโนมัติ



“ผม ผม...”



“อะไรอีก” มองผมนิ่งๆ แล้วถอนหายใจพิงหลังกับบานประตู พี่พระจันทร์เดาะลิ้นเป็นจังหวะในตอนที่รอคอยว่าผมจะพูดอะไร



“ผม ผมช่วยได้” กลั้นใจพูดออกไปด้วยเสียงที่ไม่ดังเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นก็พูดออกไปอยู่ดี



“ยังไง” พี่พระจันทร์พูดออกมาแบบนั้น ก็เป็นตอนที่ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้าเค้าพอดี ก่อนจะค่อยๆ ยกมือสั่นๆ ขึ้นไปจับที่เข็มขัดราคาแพง



“สมุทร” พี่พระจันทร์เรียกชื่อผมเข้มขึ้นในตอนที่เห็นการกระทำของผม ผมช้อนตาสั่นไหวมองเค้าอีกที



“น้องสมุทรช่วยนะ ...” บอกแบบนั้นแล้วปลดกระดุมกางเกง พร้อมทั้งรูดซิบลงช้าๆ กางเกงนักศึกษาเนื้อผ้าดีที่วันนี้พระจันทร์ใส่ไป ถูกปลดลงไปที่ปลายเท้าพร้อมกางเกงชั้นในยี่ห้อCkที่พี่พระจันทร์ใส่แล้วแม่งโคตรเซ็กซี่ ตอนนี้ถูกถอดลงไปกองที่ข้อเท้าด้วยฝีมือน้องสมุทรเอง ก่อนจะตามมาด้วยแกนกายแข็งขืนที่ดีดตัวออกมาโดนหน้าน้องสมุทร



“อึก...” ได้ยินเสียงพี่พระจันทร์กลืนน้ำลายในลำคอนิดๆ แบบนั้น ก็ได้แต่ยกมือสั่นๆ ขึ้นไปจับแกนกายตรงหน้าเอาไว้ ขยับฝ่ามือไปตามความยาวของมันช้าๆ แค่ขยับนิดๆ ก็ได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ของอีกฝ่าย ไล้จากส่วนหัวไปยังส่วนปลาย มืออีกข้างที่ก็เลื่อนลงไปบีบเฟ้นเบาๆ อยู่ที่ลูกบอลกลมกลึงข้างล่างนั่น ทำตามแบบในความทรงจำที่ครั้งนึงพี่พระจันทร์เคยสอนมา ....



“อึก ทำตามที่กูเคยสอนได้ดีนี่” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้น เหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะนึกถึงเรื่องราวนั้นขึ้นมาพร้อมๆ กัน ความทรงจำสุดท้ายตอนผมม.4ที่มีร่วมกันกับเค้า



“งั้นวันนี้กูจะสอนมึงอีกอย่างสมุทร”



“หื้ม” ผมขยับมือไปพร้อมๆ กับช้อนตามองหน้าอีกฝ่ายไปด้วย พี่พระจันทร์ที่ยืนพิงประตูเดาะลิ้นน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมที่ชื้นเหงื่อให้พ้นออกจากใบหน้า สายตาคมที่มองกันอยู่ตอนนี้ทำเอาผมเขินหน้าแดง



“อ้าปากมึงสิสมุทร”



“ห๊ะ...น้องสมุทร...”



“มึงรู้ไหมว่าการใช้ปาก ทำให้เมียบนเตียงมึงรู้สึกดีนะ”



“จริงหรอ”



“อืม” ยักคิ้วนิดหน่อย แล้วเอื้อมมือมาคว้าเข้าที่ปลายคางของผม



“อ้าปากสมุทร” พี่พระจันทร์ที่บีบปากกระตุ้นผมน้อยๆ สุดท้ายผมก็ค่อยๆ อ้าปากแล้วรับตัวตนของอีกคนเข้ามาช้าๆ ความรู้สึกเฝื่อนๆ ที่ไม่เคยพบเจอแทรกเข้ามาให้ได้ชิม



“ซี๊ด เก็บฟันมึงด้วย อย่าให้โดน” พี่พระจันทร์บอกออกมาแบบนั้น และผมก็พยายามทำตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี



“ขยับตามความยาวหน่อยสมุทร ซี๊ด อ่าส์....ปากมึงอุ่นว่ะ” พี่พระจันทร์สูดปากครางไม่ได้สนใจว่าตรงนี้ที่เราทำอยู่จะเป็นหน้าประตูห้อง ผมที่ดูดเม้มอย่างไม่ประสา ซึ่งพยายามทำมากแค่ไหน ก็ทําได้เพียงส่วนปลายเพราะไม่เคยทํามาก่อน



“อ้าปากกว้างๆ หน่อยสมุทร เอาเข้าไปอีก” พี่พระจันทร์ที่สอดกลางกายของตัวเองให้ลึกเข้าไปอีก ขนาดของแกนกายที่เกินไปมาก ทำให้รับมันเข้ามาได้เพียงครึ่งเดียว สะโพกสอบที่เริ่มต้นขยับไปตามจังหวะเหมือนว่าอีกฝ่ายก็เริ่มเผลอไผล ทำให้ในทุกครั้งที่สอดใส่เข้ามาก็ชนเข้ากับเพดานปาก จนเกือบจะลงคอเล็กไปอยู่แล้ว



“อึก ซี๊ด...สมุทร"



“อึก..." เผลอร้องออกมาแบบนั้น ตอนที่รู้สึกจุกแน่นไปหมดจนน้ำตาคลอ ได้แต่ช้อนตาขึ้นไปมองหน้าสุขสมของพี่พระจันทร์ เป็นตอนเดียวกันที่พี่พระจันทร์เอื้อมมือลงมาดึงแว่นตาให้ออกไปจากหน้าของผม



"ร้องไห้ทำไมวะ ซี๊ด" พี่พระจันทร์ที่ยืนอยู่ถอนกลางกายของตัวเองออกจากปากเล็ก



"น้องสมุทรทำได้..."



"ชู่ววว" พี่พระจันทร์พูดออกมาแบบนั้น พร้อมๆ ที่ฝ่ามือหนากําลังใช้มือขยับช่วยตัวเองโดยเน้นตรงส่วนปลายยอดอยู่ และไม่ได้บังคับให้เขาต้องใช้ปากให้อีก



“ซี๊ดด...สมุทรเงยหน้าหน่อย” พูดบอกออกมาแบบนั้น ก่อนที่ผมจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง



ซึ่งพอคนที่ยืนใช้มือช่วยตัวอยู่เห็นใบหน้าเล็กที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ําตาช้อนขึ้นมอง ร่างสูงก็ถึงจุดสุดยอดทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของอีกคนนั้นยั่วอารมณ์จนเผลอปลดปล่อยออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ



“อะ...อ่าา เชี่ย อึก"เนื่องจากการปลดปล่อยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทําให้น้ําสีขาวขุ่นบางส่วนพุ่งไปโดนหน้าของคนร่างบางตรงหน้า



"อึก" เมื่อปลดปล่อยออกชจนหมดทุกหยาดหยดฝ่ามือหนาก็ออกแรงดึงแขนน้องสมุทรให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ที่กระเป๋ากางเกงข้างหลังของตัวเองมาเช็ดให้น้องสมุทรจนหมด



"กูขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจ ใครแม่งใช้ให้มึงทำหน้ายั่วแบบนั้นวะ"



"น้องสมุทรเปล่า...น้องสมุทรไม่รู้ อึก" คำพูดที่สับสนหายไปพร้อมๆ กับริมฝีปากอุ่นที่ตามลงมาทาบทับที่ปากสวยของน้องสมุทรอีกครั้ง สอดแทรกเข้ามาเบาๆ นวดคลึงดูดดึงอยู่ที่ริมฝีปากล่างอย่างหยอกล้อ ก่อนจะผละออกมามองหน้าน้องสมุทรพร้อมรอยยิ้มมุมปาก



"ขอบคุณครับ" พี่พระจันทร์ว่าออกมาด้วยเสียงทุ้มเข้มในแบบที่น้องสมุทรไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นความรู้สึกอุ่นๆ จนต้องก้มหน้าหนีคนที่กำลังกอดกันไว้ในตอนนี้



.

.

.

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่7 (050222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 05-02-2022 20:28:11
(ต่อ)



“โอ้ววว ในที่สุดก็ลงมากันสักที ฮื่อ” ในตอนที่ผมกับพี่พระจันทร์เดินลงมาจากห้องก็เห็นไอ้ทะเลเดินสับตีนไปมาอยู่ที่หน้าบันไดชั้นล่างเป็นหนูติดจั่นเลย มันที่ทำหน้าทำตาเหมือนอยากจะร้องไห้รีบวิ่งเข้ามาหาผม



“เป็นอะไรทะเล” ผมถามออกไปแบบนั้น มันที่กอดผมแน่นๆ แล้วช้อนตามองหน้า



“พี่หมุดๆ บ้านเราน่ากลัวมากเลยอ่ะ ทะเลกลัว”



“ทำไม มีอะไร” พี่พระจันทร์ถามออกมาแบบนั้นแล้วมองไปรอบๆ บ้าน



“ทะเลจะขึ้นไปเรียก แต่เจอผีอ่ะ!” มันว่าออกมาแบบนั้นด้วยสีหน้าตาตื่น ผี...ผีในบ้านหรอวะ?



“ห้องพี่หมุดมีผีไอ้โบ๋แน่ๆ กุ๊กๆ กู๋อ่ะ ฮื่อ”



“มึงพูดถึงอะไรเนี่ยทะเล ไม่เข้าใจเลยเว้ย” ผมถามมันออกไปอีกที พี่พระจันทร์เดินมาหยุดลงข้างๆ ทะเลแล้วยื่นมือไปลูบหัวมันเบาๆ งุ้ยยยย ว่าที่พี่สะใภ้ดูแลน้องผัวแหล่ะเนอะ! หยุด อย่ามาค้านความฝันผม



“ก็ทะเลเห็นว่าพวกพี่หายขึ้นไปนานแล้วอ่ะ เลยขึ้นไปตาม กะว่าจะให้มาเล่นเกมส์ที่พี่สุดหล่อซื้อมาฝากด้วยอ่ะ”



“ห๊ะ” พี่สุดหล่อ มันหมายถึงกูชิมิ ... แต่ดูจากสายตาของไอ้ทะเลที่กำลังมองไปที่พี่พระจันทร์ เค ไอ้น้องทรยศ! มึงกล้ามองคนสวยขาของกูหล่อได้ยังไง!



“ขึ้นไปตามพวกพี่บนห้องหรอ” พี่พระจันทร์ถามออกมาด้วยเสียงน่าฟัง เชี่ย! เสียงแบบนี้ไม่เคยมีให้กันมาก่อนเลยนะ แต่ใช้กับไอ้ทะเล พี่พระจันทร์น่ารักกับเด็กเสมอเลย เหมือนตอนที่ผมตกหลุมรักเค้าในครั้งแรกเป๊ะ



“ใช่ๆ แต่พอจะเคาะประตู ทะเลก็ได้ยินเสียงผีอ่ะ” เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ



“มันร้องยังไง” พี่พระจันทร์เลิกคิ้วถามทะเล แต่สายตาคมสวยนั่นเอาแต่หันมาจ้องผมไม่เลิก



“อ๊า อึก อื้อออ อะไรแบบนี้ โหยหวนจับใจ ห้องผีสมุทรมีผีนะพี่สุดหล่อ!!” ไอ้ทะเลแหกปากออกมาเสียงดัง ก่อนมันจะกระโดดไปที่โซฟาแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมหัวไว้ เหมือนว่าก่อนหน้านี้มันจะเอามาเตรียมไว้อยู่แล้ว เอ่อ...



ผมหันไปมองพี่พระจันทร์ที่ยกยิ้มมุมปาก สายตาแวววาวของเค้าทำเอาผมร้อนหน้า ร่างสูงๆ ของพี่พระจันทร์ที่เดินมายืนซ้อนหลังของผม ก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบกันที่ข้างหูเบาๆ



“ไม่เสียงกูก็เสียงมึงแล้วว่ะสมุทร แต่ทำไงได้วะ ก็ปากมึงมันทำกูเสียวอ่ะ”



“ไอ้พี่...” ยกมือขึ้นทุบอกอีกคน แต่อีกฝ่ายดันเบี่ยงหลบทันแบบสบายๆ ขายาวๆ ที่ตรงไปหาสมุทรแล้วลูบผมมันเบาๆ



“ไม่ต้องกลัวหรอกทะเล ห้องพี่สมุทรไม่มีผีหรอก”



“แต่ผมได้ยินน้า อ๊ากกก”



“ถ้าจะมี ก็มีแค่ผีผัวสมุทรแหล่ะมั้ง”



“ห๊ะ อะไรหรอ คล้ายๆ ผีเสื้อสมุทรในพระอภัยหรือเปล่า ไม่ได้การละ ทะเลจะโทรบอกเล่าเก้าสิบกับเฮียคลื่นนนน” ไอ้ทะเลแหกปากออกมาอีกครั้งแล้ววิ่งหายไปเอามือถือ



“เนอะสมุทรเนอะ” ไม่ต้องหันมาเนอะกับกู! หึ่ยยย อย่าเขินอายไอ้สมุทร ทำหน้าให้มันด้านๆ ไว้ สู้...สู้...สู้ไม่ไหวโว้ย!!



...



“ไอ้สัด! หายออกไปไหนมาวะ อย่าบอกกูว่าไปรับพี่อัยย์อีกนะ” เสียงของไอ้ปุ่นที่ดูไม่สบอารมณ์มากๆ ว่าออกมาแบบนั้นในตอนที่ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มัน



“สีหน้ามึงดูอิ่มเอิบมากนะไอ้สัด หรือจริงแบบที่ไอ้ปุ่นมันว่า” เป็นไอ้มีนที่ว่าออกมาด้วย มันที่วางแก้วเหล้าที่พึ่งรินใหม่ส่งมาวางไว้ที่หน้าผม



“แต่กูว่าไม่น่าใช่ กูได้ยินมึงคุยโทรศัพท์กับน้องสมุทรนี่หว่าเมื่อเย็น” ไอ้มีนว่าแบบนั้นแล้วยกยิ้ม K พวกสัดรู้ดี



“แล้วทำไม”



“ก็ไม่ทำไมหรอกพ่อ แค่อยากรู้...”



“อยากเสือกมึงก็พูดออกไปให้ชัดๆ ครับไอ้มีน”



“อย่าพูดเหมือนมึงไม่อยากได้ไหมครับเพื่อนปุ่น แล้วกรุณาอย่าเรียกว่าการเสือก ให้เรียกว่า สอดรู้เรื่องราวชีวิตของเพื่อนอย่างใกล้ชิด”



“โถ่ไอ้สัด ชื่อจริงของคำว่าอยากเสือกแม่งยาวจัง”



“มึงนี่ก็ขัดจัง จะเอากับกูไหม”



“ไม่นะ กูไม่เล่นเพื่อน โพเดียวกันมันผลัดกันเอายาก” ไอ้ปุ่นว่าแบบนั้นแล้วกระดกเหล้าเข้าปากไปอีกแก้ว พร้อมๆ กับที่ไอ้มีนยื่นตีนไปถีบขามันเข้าให้อีกที



“กูก็ไม่เอากับมึงไอ้สัด เดี๋ยวต้องแย่งกันดันลงข้างล่าง เหนื่อย”



“แต่กูว่าก็ไม่เหนื่อยขนาดนั้น ถ้าพวกมึงไม่อ่อน” บอกออกไปแบบนั้นแล้วเผลอยกยิ้ม นึกไปถึงเด็กอีกคนที่ก่อนหน้านี้คุกน้ำตาคลอเพราะพยายามจะกลืนกินตัวตนกันเข้าไปทั้งๆ ที่ไม่เคย



“หึ”



“ยิ้มเหี้ยอะไรของมึงไอ้สัดพระจันทร์ กูหลอนนะไอ้เหี้ย”



“มึงพี้ยา แดกกระท่อมมาหรือเปล่า ไม่ได้นะไอ้สัด ถึงตอนนี้จะถูกกฏหมายของอิหนู แต่กูก็ไม่แนะนำ”



“พวกเหี้ย กูไม่เล่นยาอะไรทั้งนั้นแหล่ะ” ผมทำหน้าเบื่อใส่พวกมันก่อนจะยกแก้วขึ้นจิบบ้าง บรรยากาศดีๆ ในร้านอาดาบยิ่งทำให้อารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก



“แล้วอารมณ์ดีอะไรครับ ยังกับคนได้ปล่อยน้ำ”



“ก็ได้ปล่อยจริงๆ” ผมว่าแบบนั้นแล้วยักคิ้วใส่พวกมันที่อ้าปากค้าง



“เชี่ย! มึงเสร็จน้องสมุทรแล้วหรอวะ!!” ไอ้มีนแหกปากดังลั่น แล้วเอามือยกขึ้นมาทาบอก ท่าทางโอเว่อร์เกินจริงที่ตั้งใจกวนตีนผมแบบสุดๆ เพื่อนเหี้ย



“พ่องมึงไอ้สัด มาลองกับกูไหม กูบอกเลยว่าต่อให้เป็นมึงก็เอากูไม่ลง”



“อู้ยยย ขอโทษครับพี่ ไม่กล้าแล้วครับ” ไอ้มีนยกมือไหว้ปรกๆ ปะหลก



“แต่ถ้าแบบนั้น มึงจะหมายถึง มึงได้น้องแล้วหรอวะ”



“ใช่เรื่องของมึงไหมไอ้สัด เสือก” ผมไม่ชอบพูดเรื่องบนเตียงของคู่นอน มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาบรรยายให้ใครต่อใครได้รู้ มันไม่ใช่นิสัยผม และยิ่งกับสมุทร ผมยิ่งไม่อยากให้ใครเอามันมาพูดเล่น เพราะแบบนั้นเลยปรายตามองไอ้มีนแรงๆ ทีนึง



“ไอ้พระจันทร์” เป็นไอ้ปุ่นที่เรียกผมออกมาด้วยเสียงจริงจัง มองไปทางมันที่จ้องมองกันนิ่งๆ อยู่ก่อนแล้ว



“มึงกับสมุทรนี่ยังไงวะ”



“ก็ไม่ยังไง มันจีบกู”



“แล้วมึงก็ปล่อยให้น้องมันจีบอ่ะนะ”



“อืม...ก็แล้วไง ไล่มันก็ไม่ไปหรอกไอ้สมุทรน่ะ” ยักไหล่นิดๆ ก่อนจะเอนตัวลงพิงพนักโซฟา เอาแขนข้างนึงพาดไปกับพนักโซฟาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้างมองสีหน้าจริงจังของไอ้ปุ่น



“ขอร้องไอ้พระจันทร์ มึงอย่าดึงน้องเข้ามาเลย ถ้ามึงยังรู้สึกกับพี่อัยย์ คนที่เข้ามาไม่ได้รู้สึกสบายๆ ไปกับมึงหรอกนะ”



“แต่อันนี้จริง ตอนนี้มึงทำตัวข้ามเส้นแบบที่กูไม่เคยเห็นมึงเป็นกับใครมากๆ เลยนะมึงรู้ตัวไหม” เป็นไอ้มีนที่หันมาพูดจริงจังกับผมด้วย เห็นพวกมันสองคนเป็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ



“มึงหวงน้องมันนะ รู้ตัวบ้างเหอะ”



“ใช่ พอเป็นไอ้ยอร์ช มึงก็เลือกพุ่งเข้าใส่แบบไม่คิดเลย เห็นใจน้องมันบ้างเหอะว่ะ ถ้ามึงไม่ได้รู้สึกหวงจริงๆ ก็อย่าทำให้น้องมันคิดไปเอง คนรู้สึกมันไม่สนุกกับมึงหรอกนะ” ไอ้ปุ่นว่า



“หรือมึงห่วงน้องมัน ชอบมันหรอวะ”



“คำถามที่พวกมึงถามกู ถึงเวลากูจะตอบไอ้สมุทรมันเอง ไม่ใช่มาตอบพวกมึง” ผมพูดออกไปนิ่งๆ จ้องตาเพื่อนสองคนแบบไม่หลบสายตา



“กูรู้แต่ว่า อยู่กับมันแล้วกูสบายใจ”



“สบายใจกว่าพี่อัยย์หรอวะ”



“กับอัยย์มันไม่ใช่ความสบายใจมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว” ผมบอกออกไปแบบนั้นแล้วนึกไปถึงหน้าใครอีกคนที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็น คนที่ทำให้ผมใจเต้นมาตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนเป็นความแก่แดดที่รู้สึกและยึดติดมาไม่เลิก ...



แต่ต่อให้ยึดติดแค่ไหน ก็ไปต่อไม่ได้อยู่ดี



“ไอ้พระจันทร์ ถ้ามึงยังลืมเค้าไม่ได้ มึงต้องใช้เวลา ไม่ใช่ใช้ใครอีกคนมาแทนใคร



แล้วกูเคยพูดหรือไง ว่าจะใช้ใครมาแทนกัน


#รักอยู่รู้ยัง



คุณค๊าาา รอพี่พระจันทร์ก่อนค๊าาาา อย่าพึ่งรีบลงเรืออื่นเลยน้าาา

พี่พระจันทร์ รีบบอกทีมแม่น้องหมุดไปว่าแกตกหลุมรักน้องแล้ว!

อย่ามาปากแข็ง!!

พระจันทร์: เคยพูดหรอว่าตกหลุมรักมัน

แคท: แล้วแกจะบอกว่าไม่ตกหลุมรักนน้อง แต่จะไปเยเย่น้องเรอะ!

พระจันทร์: ก็ไม่เคยพูดเหมือนกันว่าไม่ตกหลุมรักป่ะ

เอ้า อินี่!!


ขอขอบคุณคนอ่านจากทางเล้าเป็ด ที่ยังอยู่ด้วยกันกับแคทเสมอนะคะ นึกว่าจะไม่มีใครอ่านแล้ว ขอบคุณนะคะ

สู่ขิต ร่วมไว้อาลัยใน 3 2 1
อย่าพึ่งขิตค่าาา มามะ มาต่อน้าาา อิอิ :3123:


โอ้ยขำไม่ไหวแล้วจ้าาาาา :laugh: :laugh:
งื้อออ ขอบคุณมากๆนะคะ แคทดีใจที่รู้สึกสนุกไปด้วยกันนะคะ มาอ่านอีกนะคะ :3123:

ปล. ฝากแฮชแท็คในทวิตเตอร์ #รักอยู่รู้ยัง ไว้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่7 (050222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-02-2022 22:09:28
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่8 (120222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 12-02-2022 19:59:53
บทที่8



“ฮัลโหลจ้าเด็กๆ เอาอะไรเพิ่มไหมคะ หรือต้องการคนสวยๆ มานั่งด้วยไหมเอ่ย ... ว่าแต่ทำไมทำหน้าพวกมึงหน้าตาเครียดกันจังวะ” เสียงสองที่มาพร้อมร่างกายหนา ที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีชมพูปลดกระดุมสามเม็ดจนเห็นแผ่นอกแกร่งของคนที่ดูก็รู้ว่าเข้าฟิตเนสเป็นประจำ ประโยคแรกพูดออกมาด้วยเสียงสองที่เจ้าตัวชอบทำ แต่ในตอนที่สายตาคมที่กรีดอายไลน์เนอร์มาคมเฉียบหันไปมองรอบๆ กลุ่ม ก็ทำเสียงปกติเข้มขึ้นมาทันที



“อาดาบ” ผมว่าแบบนั้นตอนที่ร่างสูงๆ กำยำนั่นนั่งลงข้างๆ กัน



“กรี๊ดดด อิพระจันทร์ อิหลานไม่น่ารัก ปากมึงนี่น่าหาอะไรมายัดมากๆ คืนนี้จ่ายค่าเหล้ากูเลยนะคะ ข้อหาพูดจาแสลงรูหู” ดวงตาคมที่บนเปลือกตามีกลิตเตอร์วิ้งๆ เป็นประกายปรายตามามองแรงใส่ผม



“ไอ้พระจันทร์ มึงแม่งควาย ทำไมมาว่าเจ๊ดานี่ของกูแบบนี้” ไอ้มีนว่าแบบนั้นแล้วหันไปยิ้มประจบ



“จริง คนสวยอย่าโมโหไปเลยนะครับ” ไอ้ปุ่นรีบว่าออกมาสำทับ ประจบประแจงขั้นสุดยอด เห็นแบบนั้นเลยได้แต่กรอกตาใส่พวกมันไปที



“อั๊ย สองหนุ่มสองมุมพูดจาน่ารัก คืนนี้อยากกินอะไรอีกไหมเอ่ย เดี๋ยวเจ๊เลี้ย....”



“อิเจ๊พี่มึง! มึงทำอะไรอยู่ตรงนี้ไม่ทราบ!” เสียงใสๆ ของคนมาใหม่ ทำให้พวกผมทั้งโต๊ะต้องหันไปมอง ร่างโปร่งบาง ที่ส่วนสูงน่าจะประมาณ170ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนๆ กับกางเกงยีนส์ขายาวขาดริ้วตรงหน้าขาแบบนั้น ยิ่งขับให้ผิวขาวๆ ของคนใส่โดดเด่นขึ้นมา ไม่ต่างจากใบหน้าใสๆ ไม่มีริ้วรอย รูปร่างหน้าตาที่เรียกได้ว่าถ้าใส่ชุดนักศึกษาก็ยังคิดว่าเรียนปี4



“อาเอม” ผมยิ้มกว้างขึ้นพร้อมเอ่ยเรียกใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา ดวงตาสดใสที่กำลังจ้องไปที่อาดาบของผมเขม็งค่อยๆ หันมามองผมช้าๆ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นสดใสน่ารัก รอยยิ้มสวยๆ ที่ผมเห็นมาตั้งแต่ตอนอายุ3ขวบ



“พระจันทร์ของอา มาได้ยังไงครับ” คนน่ารักพูดว่าออกมาแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มกว้างๆ แล้วก้าวขาตรงมาหาผมพร้อมกางมือออกกว้าง



‘พรึบ’



“ทำอะไรของมึงอิหนู” แต่ก่อนที่อาเอมจะวิ่งมากอดผมได้ ก็ติดที่มืออาดาบคว้าร่างโปร่งนั่นเอาไว้ซะก่อน อาเอมเลยโดนดึงไปยืนข้างๆ อาดาบที่ยืนโอบเอวบางนั่นไว้ก่อน



“ทำอะไรของเจ๊เนี่ย”



“แล้วมึงจะทำอะไรไม่ทราบ”



“จะกอดหลานไงวุ้ย พระจันทร์ไม่มาหาอาเลยครับ คิดถึงนะเรา หรือว่าโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเลยติดสาว หื้ม”



“จันทร์ไม่มีสาวที่ไหนหรอกครับอาเอม”



“จริงหรือเปล่าน้า”



“จริงสิ จันทร์รักอาเอมคนเดียว”



“สาระแนมาเจ๊าะแจ๊ะเมียกู” อาดาบที่ว่าแบบนั้น พร้อมจีบปากถลึงตามองผมดุๆ



“ก็อาเอมรักจันทร์”



“มันรักกูมากกว่ามึงเถอะ”



“พอๆ พี่ดาบเลิกไร้สาระได้ไหม” อาเอมที่ขัดผมกับอาดาบว่าขึ้นแบบนั้นพร้อมยกมือขึ้นตีไหล่แฟนตัวเอง มองเห็นอาดาบฟึดฟัดๆ แต่เถียงไม่ได้อยู่ดี อาเอมเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัว ท่าทางแบบเดิมๆ ที่เหมือนเห็นผมเป็นเด็กสามขวบเหมือนเคย



“สวัสดีครับเด็กๆ อาขอนั่งด้วยแป๊บนึงได้ไหม” อาเอมว่าออกมาแบบนั้นแล้วส่งยิ้มหวานไปรอบโต๊ะ แอบมองเห็นอาดาบคิ้วกระตุกไปนิดหน่อย ผมชอบเวลาเห็นอะไรแบบนี้ที่สุด ช่วงเวลาที่อาดาบจะเลิกแอ๊บเป็นคนสวยในมโนจิตตัวเอง



“โห อาเอมนั่งทั้งคืนพวกผมก็ไม่โกรธหรอกครับ” ไอ้มีนว่าออกมาแบบนั้น



“จริงครับ นั่งทีออร่าจับโต๊ะเลยครับ”



“ก็ใช่สิคะ ก็อินี่มันเมียเจ้าของร้าน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเมียกู พวกมึงเลิกหม้อเมียกูได้ไหมไอ้สัด ... พระจันทร์มึงจัดการเพื่อนมึงดิ๊” อาดาบกระแทกตัวลงนั่งโซฟาตัวเดียวแบบไม่สบอารมณ์



“ไร้สาระจริงๆ เล้ย” อาเอมว่าแบบนั้นแล้วส่ายหน้า ก่อนจะหันมามองผม



“พี่เมลบอกอาว่าพระจันทร์ไม่กลับบ้านเลยนะ”



“ก็จันทร์ยุ่ง”



“ยุ่งจริงหรือเปล่า ไอ้อาทิตย์ยังกลับ” อาดาบพูดลอยๆ ออกมา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ตอนที่นึกถึงหน้าน้องชายตัวเองที่เหมือนกันอย่างกับแกะ แต่นิสัยนี่อย่าให้เอ่ย ไม่เหมือนกันสักอย่างแม้กระทั่งสีที่ชอบ ผมชอบสีดำ ส่วนอาทิตย์มันชอบสีชมพู



“ไอ้ห่านั่นมันก็ลอยไปลอยมาตลอด”



“มันไม่ได้ลอยไปลอยมาหรอก มันแค่กลับไปเล่นที่บ้านได้ เพราะมันไม่รู้สึกอะไรกับคนข้างบ้านมากกว่า” อาดาบพูดขึ้นมาแบบนั้น ผมหันไปมองใบหน้าคมหล่อที่ยกยิ้มมุมปากมองผม ริมฝีปากที่ทาด้วยลิปเฉดแดงอมส้มนั่นไม่ทำให้หน้าของอาดาบหล่อน้อยลง แถมในตอนที่พูดออกมาแบบนั้นแล้วจ้องหน้ากันก็ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดจนต้องเสหน้าหนี ... ไม่ชอบเลยว่ะ



“ผมก็ไม่ได้อะไร”



“หึ ถ้าทำได้แบบที่มึงพูดก็ดีพระจันทร์ ... ก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว เพราะคนที่มึงคอย มันก็ไม่เคยจะคอยมึงนะ”



“อาอย่าพูดถึงอัยย์แบบนั้น”  พูดออกไปด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ก็มันไม่พอใจ แต่ก็ได้รับสายตานิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปากส่งกลับมาแทน



“กูยังไม่ได้พูดสักคำว่าหมายถึงอัยย์”



“เหอะ” ได้แค่แค่นเสียงออกมาแบบเสียไม่ได้ แล้วหันหน้าหนี



“เจ๊ พอแล้วน่า นานๆ ผมจะเจอหลานนะ อย่ามาพูดให้เสียบรรยากาศสิ” อาเอมที่ขัดขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สอง



“กูไม่พูดก็ได้ ... แต่อย่าให้อะไรสายไปซะล่ะ มันแก้ยาก” อาดาบที่ยักคิ้วส่งมาให้ผมครั้งนึง ก่อนที่ฝ่ามือแกร่งจะกวักเรียกลูกน้องให้หยิบขวดเหล้าขวดใหม่มาแกะ อาดาบที่ยกบลูเลเบิ้ลขึ้นมาเทใส่แก้วใบใหม่ เทเพียวๆ แล้วกระดกเข้าไปอึกใหญ่



“ฮ้า รสชาติดี ... ขวดนี้กูเปิดให้มึงกับเพื่อนเอง คืนนี้กูเลี้ยง” อาดาบว่าแบบนั้น ตามมาด้วยเสียงโห่ฮาของไอ้มีนกับไอ้ปุ่นที่รีบขอบคุณอย่างดีอกดีใจ อาดาบที่ลุกขึ้นยืนแล้วดึงอาเอมให้ลุกขึ้นตามด้วย



“ถ้ามึงมูฟไปไกลแล้วก็ดี เจ้าเด็กคืนนั้นจะได้ไม่เสียใจ” อาดาบว่าแบบนั้นแล้วก้มลงมากระซิบข้างหูผมเบาๆ



“โว๊ะ ไร้สาระวะอา”



“จ้าๆ อิดอก งั้นกูไม่กวนละดีกว่า เอมปะ ปล่อยเด็กๆ มันไว้นี่ล่ะ มึงขึ้นไปข้างบนกับกูได้แล้ว มัวแต่มาเดินเล่นนะอิหนู”



“ผมมากกว่าที่ต้องด่าพี่แบบนั้น มัวแต่ลงมาแรด”



“เดี๋ยวเถอะ กล้าด่ากูแบบนี้หรอคะ กูผัวสวยๆ ของมึงนะคะ!”



“โอ๊ย รุงรังจริงๆ เลย...อาไปก่อนนะเด็กๆ” อาเอมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่อาดาบ ก่อนจะมาส่งยิ้มหวานให้พวกผม



อาเอมกับอาดาบที่เดินออกไป มองตามหลังของคนทั้งคู่ที่เหมือนจะเถียงกันไปมา แต่อาเอมก็ไม่เคยหลุดออกจากวงแขนแกร่งของอาดาบเลยสักที เป็นความรักแบบนี้ที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กจนชินตา



“อามึงแม่งอย่างเจ๋ง” ไอ้มีนว่าออกมาแบบนั้นตอนที่ทั้ง2คนเดินขึ้นไปยังชั้นบนของผับแล้ว



“เค้าก็เป็นของเค้าแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”



“จริงๆ ความรักแม่งไม่เกี่ยวกับเพศหรอกว่ะ ใช่ว่าเป็นเกย์แล้วจะคบกันไม่ยืดป่ะวะ คำพูดแบบนั้นแม่งโคตรโบราณ ดูคู่อามึง หรือคู่ป๊ามึงดิ แม่งอย่างเจ๋ง”



“อืม แต่กว่าจะเจอความรักดีๆ พวกเค้าก็ผ่านอะไรกันมาเยอะว่ะ”



“มึงเองก็จะเจอความรักดีๆ แบบนั้นว่ะเพื่อน” ไอ้มีนเอื้อมมือมาตบไหล่ผมปุๆ สองที “กูกับไอ้ปุ่นก็ด้วย เพราะว่าพวกเราแม่งเป็นชายหนุ่มที่โคตรหน้าตาดียกแก๊งว่ะ ฮ่าๆ”



“อวยตัวเองฉิบหาย”



“แต่ก่อนที่มึงจะเจอเรื่องดีๆ แบบนั้น มึงต้องเลิกยึดติดให้ได้ก่อนนะ มึงถึงจะเจอ” ไอ้ปุ่นหันมามองหน้าผมแล้วพูดออกมาแบบนั้น สายตาของมันที่กำลังบอกบางอย่าง เห็นแบบนั้นแล้วได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ



“มึงดูเหมือนจะเชียร์ไอ้สมุทรจนออกนอกหน้าจังเลยนะ ทำไมวะ แค่ของแดกที่มันส่งให้กูทุกวันนี่มันซื้อมึงได้ขนาดนั้นเลย” ผมยักคิ้วมองมันนิดๆ



“ของแดกก็ส่วนของแดก แต่น้องมันจริงจังกับมึงขนาดนั้น มองมาจากนอกโลกก็ยังดูออกว่ะว่าน้องมันรักมึงมากอ่ะ”



“แต่กูเห็นด้วยกับไอ้ปุ่นนะเว้ย เห็นว่าน้องมันชอบมึงมาตั้งแต่ม.4 ถ้าเป็นกู กูไปชอบคนอื่นแล้วไอ้เหี้ย ไม่มานะพยายามจนได้มาเรียนที่เดียวกับมึงแบบนี้หรอกว่ะ แถมคนที่ชอบยังเป็นมึง ชีวิตโคตรเศร้าอ่ะ”



“เป็นกูแล้วมันทำไม”



“กล้าถามนะไอ้สัด เย็นชา ปากหมา มักง่าย ได้หมดแต่ไม่เอาเค้าจริงๆ อ่ะ แก้ได้แก้นะครับ สงสารความรู้สึกเค้าว่ะ”



“กูไม่เคยบังคับใครมาเอานะไอ้สัด แล้วอีกอย่าง มึงเอาอะไรมาแน่ใจว่าไอ้สมุทรมันรักกูจริงๆ วะ ตัวกูยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำ ว่า จริงๆ มันแค่อาจจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าคำว่ารัก กับติดใจ อะไรที่ติดอยู่กับมัน”



“มึงหมายความว่าอะไรวะ” ไอ้มีนมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแบบงงๆ ไม่คิดจะอธิบายอะไรกับความสงสัยของมัน ทำแค่ยักไหล่แล้วนั่งพิงพนักฟังเพลงไปเงียบๆ มองเห็นไอ้ปุ่นกรอกตาใส่ส่งมาให้ทีนึง ไอ้ห่านี่ก็เยอะ



“เห้ย เชี่ย นั่นมันพี่อัยย์นี่หว่า”



“ไหน” ผมหันหน้าไปตามคำพูดแทบจะทันที มองออกไปตรงทางออกของร้าน เห็นแผ่นหลังบางที่คุ้นตา กำลังยื้อยุดฉุดแขนกับใครบางคนอยู่ในตอนนี้



“เชี่ย ทำไมต้องมาที่นี่วันนี้ด้วยวะแม่ง” ไอ้ปุ่นพูดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ผมรู้ว่ามันไม่ค่อยจะชอบอัยย์ แล้วก็เข้าใจดีด้วยว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็แค่ความคิดของไอ้ปุ่น ไม่ใช่ของผม



“มึงจะลุกไปไหนไอ้เหี้ยพระจันทร์”



“กูจะไปดูอัยย์”



“ไหนมึงบอกว่ามูฟแล้วไง”



“ปล่อยมือกู” กดเสียงแข็งพร้อมขมวดคิ้วส่งไปให้ไอ้ปุ่น ก่อนจะดึงแขนตัวเองออกจากมือมันแบบไม่สบอารมณ์



"” มึงจะห่วงอะไรพี่อัยย์นักวะ ถ้าไอ้สมุทรมาเห็นแม่งเสียใจตาย”



“มันจะเสียใจไม่เสียใจแล้วกูต้องแคร์แม่งหรอ พวกมึงเลิกเชียร์แม่งขนาดนี้ดิ๊ ใจกู กูรู้ตัวเองดี” พูดออกไปแค่นั้น ก่อนจะผลักไอ้ปุ่นที่ยืนขวางทางให้หนีออกไปทางอื่น



.

.

.



“ไอ้สมุทร ทำไมหน้าซีดๆ วะมึง เมาหรอ”



“ป เปล่า...”



“เปล่าเหี้ยไร ทำหน้าทำตาเหมือนมึงเห็นผีมาอ่ะ”



“จริง มาแดกเหล้ากับเพื่อนทั้งที ทำหน้าให้มันมันส์ๆ หน่อยสิคร๊าบ”



“จริง หรือไม่งั้นก็ลุกขึ้นเต้นดื่อดึ๊งๆ กับกูก็ได้นะเว้ย”



“ไอ้สัดเฮงลงมาไอ้เหี้ย” ไอ้จิมที่รีบตะโกนเรียกแล้วดึงแขนไอ้เฮงให้ลงมานั่งข้างมันดีๆ ก่อนที่มันจะปีนขึ้นโต๊ะไปเต้นจริงๆ



“มีไรเปล่าวะ” ไอ้มาร์ชกรอกตาอย่างรำคาญใส่ไอ้เฮง ก่อนที่มันจะหันหน้ามาถามผมอีกครั้ง สายตาที่มองมาเหมือนเป็นห่วงของมัน เป็นอะไรที่ผมคุ้นเคยดี



“เปล่าหรอก ... กูแค่คิดว่า จริงๆ วันนี้กูไม่น่ามาเลยว่ะ” ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้มาร์ชอย่างใจลอยๆ เป็นความรู้สึกตามที่พูดออกไปเมื่อกี้นี้เลยว่า ผมไม่น่ามาวันนี้เลยจริงๆ หรืออาจจะเป็นความผิดที่เมื่อกี้ผมเสือกออกจากห้องน้ำเร็วไปสักหน่อย มันเลยไปได้ยินประโยคนั้นของใครบางคนแบบไม่ได้ตั้งใจเข้า ... คนเราไม่มีใครรู้อนาคตจริงๆ ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ผมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขที่สุดอยู่เลย แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ผมกลับรู้สึกว่า มือที่ผมเอื้อมออกไปไขว่คว้า มันไม่เคยคว้าอะไรกลับมาได้สักอย่างเดียว



...



“ปล่อยดิวะอัยย์”



“ทำไมถึงไม่คุยกับอัยย์ล่ะ คุยกับอัยย์ก่อนนะ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ”



“คนที่ไม่รู้เรื่องมันคืออัยย์เปล่าวะ เราคุยกันไปหมดแล้วอัยย์” เสียงเข้มที่เริ่มจะไม่สบอารมณ์ว่าออกมาแบบนั้น ฝ่ามือหนาที่พยายามดึงแขนเรียวของคนตรงหน้าออก แต่คนตัวเล็กกว่ากลับไม่ยอม ดวงตากลมโตน่ารักที่ตอนนี้เริ่มแดงขึ้นมาเพราะน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้



“ยังไม่หมด เรื่องของเรามันยังไม่จบอ่ะ!”



“มันจบไปนานมากแล้วอัยย์ ยอมรับเหอะว่าเราสองคนมันไปกันไม่ได้อีกแล้ว”



“ไม่จริง! ทำไมเราจะไปกันไม่ได้ อัยย์ไม่เลิกนะ”



“ปัดโถ่เว้ย! ปล่อยดิวะอัยย์” สบถออกมาเสียงดัง พร้อมสะบัดอีกฝ่ายที่เอาแต่เกาะแขนให้ปล่อยออกไปสักที

‘พลัก’



“โอ๊ย” ร่างเล็กที่ถูกสะบัดตัวออกแบบไม่ทันตั้งตัวจึงเซล้มลงไปบนพื้นแข็งๆ เต็มแรง ด้วยความเจ็บเลยเผลอร้องออกมาเสียงดังแบบนั้น



“เชี่ย มึงทำไรอัยย์ไอ้สัด!” เสียงตะโกนก้องที่ดังมาพร้อมๆ กับขายาวที่กระโดดถีบเข้าร่างของอีกฝ่ายเต็มแรงจนเซล้มลง



‘พรึบ’



“ไอ้สัดจันทร์”



“เออ มึงจะทำไมกูล่ะ ไอ้เหี้ยยอร์ช!” คนมาใหม่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วตามไปคล่อมทับตัวคนที่โดนถีบจนลุกยังไม่ขึ้น ก่อนจะสวนหมัดหนักๆ ซัดเข้าที่ข้างแก้มอีกฝ่ายไปอีกจังๆ



“มึง ไอ้สัดจันทร์!”



‘ผลัว ผลัก’



ยอร์ชที่ไม่ยอมสบถด่าออกมาเสียงดัง ก่อนจะสะบัดตัวพระจันทร์ออกก่อนจะเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นคล่อมทับแล้วสวนหมัดกลับเข้าที่หน้าพระจันทร์แบบไม่ยอมเช่นกัน ในจังหวะที่พระจันทร์จะลุกขึ้นมาต่อยสวนคืน ก็โดนร่างเล็กของคนที่ล้มกองอยู่บนพื้นก่อนหน้านี้รีบวิ่งมาดึงเอาไว้ซะก่อน



“อย่า! พระจันทร์หยุด อย่า ฮึก อย่าทำยอร์ชนะ!!” แรงทุบตีพร้อมกับผลักไส้จากอัยย์ทำให้พระจันทร์ต้องชะงักหมัดค้างไว้กลางอากาศ สายตาคมที่มีขนตายาวเป็นแพรจับจ้องไปที่ดวงหน้าเรียวสวยที่มีริมฝีปากอิ่ม ที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังเม้มปากแน่นอย่างอดทนอดกลั้น แล้วดวงตากลมโตคู่นั้นก็เอาแต่มองมาที่ผมแบบคาดโทษ



แล้วถามว่ากูผิดอะไร



คนแบบไอ้พระจันทร์ที่ทำทุกอย่างเพื่อคนตรงหน้ามาตลอดมันผิดอะไรวะ



“แล้วที่มันทำอัยย์เจ็บ มันต่อยจันทร์เจ็บอ่ะ ทำไมอัยย์ไม่พูดห้ามมันบ้างวะ มันทำเหี้ยกับอัยย์นะเว้ย!”



ความรู้สึกที่เรียกได้ว่าสุดจะทนทำให้เลือดขึ้นหน้าจนตะโกนออกมาแบบนั้น สายตาคมที่จ้องตามองแบบไม่ลดละ มองไปที่หน้าของไอ้ยอร์ชที่ไม่ได้ดูสนใจอัยย์เลยด้วยซ้ำ



“อย่ามาว่ายอร์ชนะ จันทร์ดิเหี้ย จันทร์ต่อยยอร์ชทำไมวะ นี่มันเป็นเรื่องของอัยย์นะ มันเกี่ยวอะไรกับจันทร์ด้วยอ่ะ!” ร่างเล็กตรงหน้าที่ตรงมาผลักอกเขา สายตากลมสวยที่เค้าชอบกำลังมองมาอย่างด่าทอ ร่างเล็กที่วิ่งชนไหล่ของเค้าไปประคองตัวของไอ้ยอร์ชให้ลุกขึ้น



“จันทร์เหี้ยหรอวะ อัยย์ว่าจันทร์เหี้ยหรอวะ! ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอัยย์งั้นหรอวะ!!” ผมตะโกนออกมาอย่างอดไม่ไหว มองหน้าคนที่ผมบอกตัวเองว่ารู้สึกกับเค้ามาทั้งชีวิต แต่คนตรงหน้าไม่ได้มองมาที่ผมด้วยความรู้สึกอะไรเลย เป็นความเจ็บที่โคตรจะสมเพชตัวเอง ทั้งหมดที่ทำมามันเพื่ออะไรวะ



“ถ้าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอัยย์ แล้วทุกครั้งทำไมอัยย์ต้องร้องหาแค่จันทร์วะ อัยย์จะดึงจันทร์ไว้ทำไมวะ!”



“ก็อัยย์เห็นจันทร์เป็นเพื่อนอัยย์ เป็นคนที่อัยย์คิดว่าเป็นครอบครัว ฮึก” ร่างเล็กตรงหน้าพูดออกมาแบบนั้นพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสาย ท่าทางที่บอกว่าตัวเองกำลังเสียใจ น้ำตาของเค้าที่ผมไม่เคยอยากจะเห็น ...



แต่ถ้ามันจะพังยับแบบนี้



ก็พังแม่งไปทุกอย่างเลยละกัน



พระจันทร์ที่อยู่สูงสุดฟ้า ถ้ามันจะร่วงลงมา ก็คงหล่นลงได้แค่พื้นสมุทรเท่านั้น ... มันจะไม่ยอมตกลงมาเจ็บตรงหน้าไอ้ยอร์ชแบบนี้หรอก



“ถ้าจะบอกว่าจันทร์เหี้ย บางทีอัยย์ก็น่าจะย้อนมองตัวเองบ้างนะ อัยย์ก็เหี้ยเหมือนกันว่ะ เหี้ยที่โคตรเห็นแก่ตัว”



“พระจันทร์!”



“เออ เรียกไปให้พอใจไปเลยนะ เพราะครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อัยย์เรียกชื่อจันทรื แล้วจันทร์จะวิ่งไปหาอัยย์เหมือนตัวโง่งม!” ผมที่ไม่เคยขึ้นเสียงใส่อัยย์ หรือแม้แต่จะว่าสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าผมทนไม่ไหวอีกแล้ว กูแม่งเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างๆ เค้าแต่เค้าไม่เคยเห็นค่าอะไรเลย ผมไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เพื่อมาถูกทำตัวเป็นไอ้ตัวน่าสมเพชแบบนี้หรือเปล่าวะ



ถ้ามันจะพัง ก็พังแม่งให้หมดทุกอย่างไปเลย



“พระจันทร์ ฮึก” อัยย์ร้องไห้ออกมาเสียงสั่นในตอนที่ได้ยินผมตะโกนว่าออกมาแบบนั้น เค้าที่ทำท่าอยากจะปล่อยมือจากไอ้ยอร์ชแล้ววิ่งมาหาผม แต่ถึงแบบนั้น ... มันก็คือแค่ทำท่า แต่ไม่ได้วิ่งมาอยู่ดี



เห็นแบบนั้นก็ได้แต่แค่นยิ้มให้ตัวเอง เป็นความรู้สึกที่บอกให้ตัวเองยิ้มออกมาซะ แต่ก็ยิ้มไม่ออกอยู่ดี



ผมอยู่กับอัยย์มาตั้งแต่4ขวบ เติบโตมาด้วยกันจนถึงมัธยมไม่เคยห่างกันเลยสักครั้ง ได้มองเห็นรอยยิ้มของกันและกันมาตลอดทุกช่วงเวลาของชีวิต ประคับประคองความรู้สึกที่ขาดหายไปเพราะครอบครัวของอัยย์ที่ไม่เหมือนคนอื่น เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่มีชีวิต พยายามเติมเต็มส่วนที่ขาดให้อัยย์ได้มีรอยยิ้มมาเสมอ



จนเข้าสู่ชีวิตช่วงม.ปลายปีสุดท้าย ที่อัยย์ได้ไปรู้จักเพื่อนใหม่แบบไอ้ยอร์ชตอนไปเรียนกวดวิชา และมันก็กลายเป็นว่าพวกเราก็ได้กลายเป็นเพื่อนกันแม้ว่าเรากับมันจะเรียนกันคนละโรงเรียนก็ตาม ความสนิทสนมที่ไม่รู้ว่ามันไปเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าผมพลาดไปตอนไหน สุดท้ายหัวใจของอัยย์ที่ผมทะนุถนอมมาอย่างดี มันก็กลายเป็นของไอ้ยอร์ชมันแทน และไม่ว่ากี่ครั้งที่อัยย์กับมันทะเลาะกันเมื่อไหร่ สุดท้ายก็จบลงที่ผมคอยปลอบใจมาเสมอ



ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ รอคอยความรักที่เค้าให้มาแค่บ้างที เวลาที่เค้าทะเลาะกัน หรือแม้กระทั่งวันสุดท้ายที่อัยย์จับได้ว่าไอ้ยอร์ชแอบคุยกับคนอื่น ก็ยังเป็นผมที่ยังยืนกอดปลอบใจอัยย์ เป็นผม ผมเสมอ ... ผมที่อัยย์ไม่เคยมองเห็นความสำคัญเลย



“ถ้าอยากเลือกมันนักก็ตามใจ เพราะต่อจากนี้ จันทร์ก็จะไม่เลือกอัยย์ก่อนใครแล้วเหมือนกัน”



...



“ไอ้สมุทร ไอ้เหี้ยมึงอย่าเข้าไป”



“ปล่อยกูไอ้เหี้ยมาร์ช มึงเห็นไหมพี่พระจันทร์ของกูหน้าแหกหมดแล้ว!” ผมหันมาแยกเขี้ยวใส่ไอ้มาร์ชที่ดึงแขนผมไว้เต็มแรง



เรื่องราวนี้มันเกิดขึ้นในตอนที่ผมเดินซึมกระทือไม่อยากหืออือกับใครออกมาจากร้าน ตั้งใจจะกลับบ้านเพราะผมเริ่มไม่จอยกับสิ่งรอบข้าง เพราะแบบนั้นไอ้มาร์ชเลยอาสาจะไปส่ง เราสองคนทิ้งไอ้เฮงกับไอ้จิมไว้ในร้าน เพราะเหมือนว่าคืนนี้พวกมันจะได้ใช้ความใจร่านของมันอย่างเต็มที่ แต่ในตอนที่เราเดินออกมาถึงนอกร้าน ทางเดินที่กำลังจะไปขึ้นรถของไอ้มาร์ชก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะวิวาทย์กันซะก่อน ด้วยความเสือก ...เอ่อ ด้วยความอยากรู้และใส่ใจเรื่องราวที่เป็นไปของคนรอบข้าง ทำให้ผมหันไปมองอย่างใส่ใจ และสิ่งที่เห็นก็ทำให้วิญญาณน้องสมุทรกลับเข้าร่าง



‘ผลัว!’



เสียงต่อยอย่างรุนแรงที่ทำให้พี่พระจันทร์หน้าหัน ใบหน้าขาวใสไร้รอยสิวที่ผมเคยชื่นชมโดนต่อยเข้าเต็มหน้า เห็นแบบนั้นเลยตั้งใจจะพุ่งออกไปช่วยพี่พระจันทร์ไว้แบบหล่อๆ แต่ติดที่หลังคอถูกมือไอ้มาร์ชกระชากปกเสื้อเอาไว้ก่อน มันที่กดหัวผมลงข้างๆ พุ่มไม้แถวนั้น และเราก็ซุ่มดูกันมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ที่พี่พระจันทร์หันหลังเดินหนีออกมาอย่างฉุนเฉียว เสี้ยวหน้าที่ผมชอบนิ่งสนิทแต่ดวงตาคู่นั่นกลับเหมือนมีไฟสุมอยู่ในดวงตา ผมหันกลับไปมองตรงลานนั่นอีกครั้ง พี่อัยย์ยืนเรียกชื่อพี่พระจันทร์อยู่ตรงนั้นทั้งน้ำตา ผมหันกลับไปมองพี่พระจันทร์อีกครั้ง แผ่นหลังกว้างๆ ที่เดินหายไปอย่างรวดเร็วจะเสียใจแค่ไหนกับเรื่องราวในวันนี้ ก่อนหน้านี้ผมก็เสียใจที่ได้ยินคำพูดของพี่พระจันทร์ตอนอยู่ในร้าน แต่ให้ทำไงได้ละวะ ผมรักเค้ามากกว่าที่จะนึกถึงมัน



ที่เค้าว่ากันว่า ความรักทำให้คนตาบอด ผมว่ามันไม่ใช่หรอก ความรักทำให้เรานึกถึงใครก่อนตัวเองต่างหาก


(มีต่อหน้าต่อไปค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่12 (050322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 12-02-2022 20:00:15

“เชี่ยไอ้สมุทร ไอ้สัดมึงจะวิ่งไปไหน” เสียงของไอ้มาร์ชที่ดังตามไล่หลังมา มันที่พยายามจะคว้าแขนผมไว้แต่ไม่ทัน ผมที่วิ่งตามพี่พระจันทร์ออกมา ห่างจากไอ้มาร์ชมากขึ้นทุกทีๆ ... ไอ้มาร์ชไม่มีทางวิ่งทันน้องสมุทรอยู่แล้ว ตอนมัธยมน้องสมุทรน่ะได้ฉายาว่า ไอ้เล็กสั้นขยันซอย!! ซอยตีนยิกๆ วิ่งหนีครู เพราะมารร.สาย กูไม่เคยทันเข้าแถวเลยสักที แสนเท่! แบดบอยรว้ายๆ



ผมที่วิ่งตามพี่พระจันทร์มา แต่มองหาแล้วไม่เจอ ไม่รู้ว่ารถพี่พระจันทร์คันไหน จนเห็นรถหรูคันนึงที่กำลังขับออกไปด้วยความไวกว่าปกติก็รู้ได้ทันที แบบนี้ผมจะปล่อยพี่พระจันทร์ไปคนเดียวได้ยังไงวะ



‘เอี๊ยดดดดด’



เสียงล้อรถบดไปกับพื้นถนนของลานจอดรถดังลั่นในตอนที่น้องสมุทรวิ่งข้ามฝั่งลานจอดไปอีกด้านของถนนที่กลับรถไปที่ทางออก ผมที่มีความกล้าบ้าบิ่นแบบสุดๆ วิ่งไปกลางถนนพร้อมกางแขนออกกว้าง ไฟหน้ารถสว่างจ้าที่สาดส่องมาทั่วทั้งตัว มองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำนอกจากความเป็นกับความตายที่อยู่ห่างกันแค่คืบ



“ทำเหี้ยอะไรของมึง!”



“พี่พระจันทร์” ผมที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ขาสองข้างสั่นเหมือนเจ้าเข้า หัวใจตกลงไปถึงตีน แต่ทุกอย่างมันก็ทำลงไปแล้วแบบอัตโนมัติ ร่างสูงขายาวที่ก้าวจ้ำมาพรวดๆ ด้วยใบหน้าถมึงทึงมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความโกรธ



“สัดสมุทร!! ถ้ากูชนมึงตายจะทำยังไง เล่นเหี้ยอะไรวะ!”



“ก็น้องสมุทรอยากมาห้ามพี่พระจันทร์”



“วิธีเหี้ยอะไรของมึงไม่เข้าท่า ถ้ามึงเป็นน้องเป็นนุ่งก็จะตบให้หัวมึงโยก สัด!” สบถออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปเตะเข้าที่ไฟหน้ารถของตัวเองแรงๆ อิเหี้ยยย รถเป็นรอยเลย ฮื่อออ รถหรูด้วยอ่ะ ...เอ่อ กูต้องห่วงตีนพี่พระจันทร์ กับชีวิตกูก่อนสินะ



“ถอยออกไป” พี่พระจันทร์จ้องหน้าผมนิ่งๆ แล้วว่าออกมาแบบนั้น เขาที่ทำท่าจะเดินกลับไปขึ้นรถ เห็นแบบนั้นน้องสมุทรก็วิ่งตามไปเปิดประตูข้างคนขับเลย



“ทำเหี้ยอะไร กูไม่มีอารมณ์เล่นกับมึงตอนนี้”



“น้องสมุทรไม่ได้เล่นนะ”



“ไม่ได้เล่นมึงก็ลงไป!”



“น้องสมุทรไม่ลง น้องสมุทรจะไปด้วย น้องสมุทรไม่ปล่อยพี่พระจันทร์ที่ขาดสติแบบนี้ไปตายห่าหรอกนะโว้ย!!” ผมที่เถียงเสียงดังกลับไป ผมพระจันทร์ที่เห็นผมตะโกนใส่ผงะไปนิดหน่อยเหมือนกับพึ่งเคยเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ถลึงตากลับมามองผมแบบดุๆ น้องสมุทรนี่ยิ้มแหยใส่เลย แต่ถ้าถามว่าน้องสมุทรจะลงจากรถแล้วปล่อยพี่พระจันทร์ไปไหม ก็ตอบได้เลยว่าไม่! กูดื้อด้านกว่าที่พี่มึงคิดเยอะ



“มึงแม่ง น่ารำคาญว่ะ”



“เออ รำคาญก็ได้ แต่น้องสมุทรจะไปด้วย” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่จำใจขึ้นมาบนรถแล้วขับออกไปด้วยความแรง กระชากตัวออกแต่ละทีหัวกูเกือบพุ่งไปชนคอนโซลรถ ติดตรงที่มือพี่พระจันทร์มาขวางเอาไว้ได้ทัน



“ข...ขอบคุณครับ” ผมหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ พร้อมยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นที่หล่นลงไปจากจมูกนิดๆ พี่พระจันทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้แขนขวายกขึ้นไปท้าวไว้กับขอบกระจก แล้วใช้มือซ้ายมือเดียวในการขับรถ



“ขนาดกูอยากหนีไปไกลๆ ก็ยังโดนมึงมาขวาง”



“ก็น้องสมุทรเป็นห่วงพี่พระจันทร์นี่”



“ห่วงกูหรอวะ ทำไมมึงต้องมาห่วงกูด้วยวะ”



“ถามโง่ๆ ทำไมอ่ะ ก็น้องสมุทรชอบพี่พระจันทร์นี่ ไม่ห่วงพี่พระจันทร์แล้วจะห่วงใคร” บอกออกไปแบบนั้นแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้ ... คำตอบของคำว่ารักมันคืออะไรไม่รู้ แต่สำหรับน้องสมุทร ขอให้ได้ลองให้รู้ ว่าผมรักพี่อยู่แบบสุดตัว หวังว่าสักวันนึงพี่จะรู้ ว่ายังมีผมที่รักพี่อยู่ก็พอ


.

.

.

“เข้าไปดิ”



“เชี่ย พี่พาน้องสมุทรเข้าห้องหรอ เชี่ยๆ ไม่ได้เตรียมใจมาเป็นผัวเลยจริงๆ นะ” ช้อนตามองคนตรงหน้าที่เท้าแขนลงกับกรอบประตูแล้วจ้องมองหน้าผมนิ่งๆ



“ก็แค่อยากให้ตลก ขำๆ ลืมเศร้า”



“รำคาญ” พูดแค่นั้นแล้วเดินนำผมเข้าไปด้านใน ผมที่ก้าวเท้าตามเข้าไปแล้วได้แต่อ้าปากค้าง ห้องดูเพล็กซ์สองชั้นที่ถูกตกแต่งออกมาเรียบและดูดิบๆ หน่อยด้วยการตกแต่งผ้าม่านเน้นไปทางโทนสีเข้ม โซฟารูปตัวแอลกลางห้องกว้างสีดำที่หนังขัดเงามันวาว ห้องเพดานสูงแบ่งระดับเป็น2 ชั้นด้วยบันไดลอยตัว ชั้นบนคงเป็นพื้นที่ส่วนตัวและมีมุมชั้นหนังสือ ด้านล่างเป็นโซนนั่งเล่นและห้องครัว ตกแต่งห้องด้วยโคมไฟเล่นระดับและเฟอร์นิเจอร์คุมโทนสีเดียวกับผนังในโทนสีดำที่เรียบหรู มองออกไปด้านข้างถูกตกแต่งด้วยกระจกบานใหญ่สูงจรดเพดานมองเห็นวิวด้านนอกหน้าต่างในยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน แสงสว่างยามค่ำคืนของใจกลางกรุงเทพไม่เคยหลับไหลให้ได้เห็นชัดๆ อยู่ในตอนนี้



ก็รู้ว่าพี่พระจันทร์รวยอ่ะนะ ... แต่น้องสมุทรก็ไม่ได้คิดว่าจะรวยเบอร์นี้



เชี่ย! กูจะมีเมียรวยว่ะ



พักโหมดความเศร้าโศกของตัวเองเอาไว้ แล้วมามุ่งมั่นจะเอาพี่พระจันทร์เป็นเมียต่อเถอะว่ะไอ้น้องสมุทร มึงจะสบายไปทั้งชาติเลยนะโว้ย



“แดกเบียร์ไหม” เสียงของคนที่ผมลืมไปแล้วเดินออกมาจากครัว พร้อมเบียร์คราฟกระป๋องใหญ่ออกมาหลายกระป๋อง ยี่ห้อภาษาอังกฤษที่บอกให้รู้ว่าเป็นเบียร์นอก



“พี่พระจันทร์พักอยู่ที่นี่หรอครับ”



“อืม” ตอบออกมาแค่นั่นแล้วก็นั่งนิ่งๆ กระดกเบียร์มองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศเงียบๆ ที่ชวนให้อึดอัดทอดลงมาปกคลุมเราไว้แบบนั้น สายตาคมสวยของพี่พระจันทร์ที่เหม่อมองออกไปที่ไหนที่ผมไม่รู้ แต่เดาได้ว่าคงเป็นในอดีตสักทีนึงที่เค้าจดจำ



“ทำไมมึงถึงมาชอบคนแบบกูวะสมุทร” เค้าถามผมออกมาแบบนั้น ทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าเค้า เสี้ยวหน้าด้านข้างที่ผมเคยมองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมถอนหายใจแล้วตัดสินใจลุกขึ้นยืนเดินตรงไปที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของพี่พระจันทร์แทน ดวงตาคมสวยที่มีขนตางอนยาวในแบบที่ผมชอบ กระพริบช้าๆ ในตอนที่เจ้าของมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ ผมเอื้อมมือลงไปประคองใบหน้านั้นเอาไว้เบาๆ



“น้องสมุทรตกหลุมรักความใจดีของพี่พระจันทร์ตั้งแต่วันที่เจอพี่ครั้งแรกแล้ว แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ น้องสมุทรก็ทำได้แค่ยืนอยู่ไกลๆ คอยมองแต่ด้านข้างกับด้านหลังของพี่เสมอเลย สักครั้งไม่ได้หรอวะ ที่น้องสมุทรจะเป็นคนเดียวที่พี่พระจันทร์จะมองหา แล้วละสายตาไปจากน้องสมุทรไม่ได้”



“ถ้าคนเราได้ทุกอย่างแบบที่ตัวเองต้องการ มันคงไม่มีคนต้องเสียใจ”



“น้องสมุทรไม่ได้ขอให้พี่พระจันทร์มารักน้องสมุทรในวันนี้นะ น้องสมุทรแค่ขอให้เปิดใจให้กันบ้างไม่ได้หรอ ขอให้ผมได้อยู่ข้างๆ พี่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ในตอนที่พี่ไม่มีใคร”



เหมือนเป็นการเดิมพันกับตัวเองในครั้งสุดท้าย เดิมพันลงไปแบบหมดหน้าตักที่ผมจะมี ... โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่า การร้องขอในครั้งนี้ ผมจะถอนตัวกลับไปไม่ได้อีกเลย ...รวมทั้ง อาจจะไม่เหลืออะไรติดตัวผมกลับไปอีกเลย



“กูเคยบอกมึงแล้วนะสมุทร กูไม่ปฏิเสธหรอกนะถ้ามึงจะเสนออะไรมาให้ นิสัยของกูมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่มึงก็ต้องรับรู้เอาไว้ด้วยว่า นิสัยของกูอีกข้อก็คือ...ถ้าสุดท้ายกูไม่รู้สึกอะไร ต่อให้มึงจะเสียใจกูก็ไม่สนใจหรอกนะ หรือแม้แต่ถ้าวันนึงกูไม่ต้องการและบอกให้มึงไป มึงก็จะยอมหรอวะ”



“อืม ... ถ้าถึงวันนั้นน้องสมุทรจะไปเอง” ผมพยักหน้าลงช้าๆ เป็นการรับคำ พี่พระจันทร์ในตอนนี้ที่ไม่ต่างจากตอนไหนๆ ที่ผมเคยเห็น สายตาไม่แสดงออกใดๆ ยังคงจ้องมองมาที่ผม ฝ่ามือแกร่งที่เอื้อมมาเกี่ยวรั้งเอวของผมให้ขยับเข้าไปใกล้ๆ จนสุดท้ายก็เป็นผมเองที่นั่งคล่อมทับลงไปบนหน้าตักของเค้า พี่พระจันทร์ที่วางกระป๋องเบียร์กระป๋องที่สองลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า ปลายจมูกที่ละกรอบหน้าของผมอย่างแผ่วเบาทำให้หน้าแดงซ่าน แต่ผมก็ไม่หลบหนี มองเห็นมุมปากที่ยกยิ้มออกมาที มันทำให้หัวใจดวงนี้ของผมรู้สึกดีขึ้นมาตาม ... พี่พระจันทร์ยิ้มแล้ว เป็นยิ้มแรกหลังจากที่ออกจากร้านมาเลย เป็นรอยยิ้มที่ให้กับผม





“มึงมันดื้อเงียบสุดๆ เลยสมุทรรู้ตัวไหม” อีกคนจ้องหน้าผมแล้วเอียงหน้ามากดจมูกลงบนแก้มผมเบาๆ



“มีคนเคยบอกน้องสมุทรเอาไว้ว่า ถ้าเราใช้หัวใจให้กับใครก่อน เราก็จะได้รับมันตอบแทนกลับมาไม่ต่างกัน น้องสมุทรก็เลยตั้งใจจะลองใช้มันดูสักครั้ง กับความรักครั้งนี้กับพี่พระจันทร์ของสมุทร ... ขอแค่พี่พระจันทร์ลองเปิดใจให้กันก็พอ”



“งั้นถ้ากูบอกว่าจะลองดู มึงจะยอมไหม”



“ยอม ...ยอมอะไรหรอ?”



“ยอมเอากันกับกู...”



“ห๊ะ!” บรรยากาศแผ่วเบามลายหายไปพร้อมคำพูดตรงๆ ที่แทบจะเรียกว่าหน้าด้านถูกส่งมาจากคนตรงหน้า ผมกระพริบตาปริบๆ จ้องมองดวงตาคมสวยที่ไม่มีท่าทีจะล้อเล่น มุมปากหยักยกยิ้มขึ้นนิดๆ ตอนที่เห็นสีหน้าและท่าทางของผม



“ถ้ากูบอกว่ากูอยากเป็นคนเอามึง หัวใจมึงจะยอมให้กูไหมล่ะ กูที่เป็นคนกดไม่ใช่มึงที่จะเป็นคนทำ”



“...............”



เสียงเครื่องปรับอากาศดังแทนเสียงคำพูดของเราในตอนที่ไม่มีใครพูดอะไร และในตอนที่มันผ่านไปหลายนาที ผมที่เม้มปากนิ่งๆ เป็นความรู้สึกกระสับกระส่ายที่พี่พระจันทร์ไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ คนตรงหน้าที่นั่งจ้องหน้าผมนิ่งๆ รอคอยเหมือนรู้ว่าอีกไม่นาน เค้าจะได้รับคำตอบที่เค้าต้องการ



“แล้วถ้าน้องสมุทรบอกว่ายอม...”



“ก็เริ่มกันเลยไหมล่ะ มึงกับกู...กับการเริ่มต้นใหม่ของเราสองคน”



“งั้นก็มาเริ่มเลยละกัน” พูดจบคำนั้นก่อนจะเป็นผม ที่ยกแขนขึ้นไปคล้องเข้าที่คอของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ดึงดูดเข้าหากันช้าๆ สายตา ลมหายใจ ริมฝีปากที่ชิดใกล้กันพร้อมๆ กับฝ่ามือแกร่งที่สอดเข้ามาใต้เสื้อของผม ลากผ่านหน้าท้องทำให้ลมหายใจกระตุก เผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืด หลับตาลงช้าๆ พร้อมๆ กับหัวใจที่เต้นแรงๆ พร้อมคำพูดในหัวว่า มึงกำลังจะเป็นของเค้าแล้วนะ คนที่มึงรักมาตลอดสี่ปีน้องสมุททร ... วันนี้มึงกำลังจะเป็นของเค้า



‘ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด แกร่ก’



“กรี๊ด! เชี่ย!! ซิสจันทร์ มึงพาใครมาเอาที่ห้องของเราหรออิซิสสสส~~~~~”



ผมที่เด้งออกจากพี่พระจันทร์สุดแรงจนหงายหลังลงกับพื้นห้อง หันหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ยืนเบิกตากว้างอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าที่คุ้นเคยกันดีเหมือนกับเห็นกันบ่อยๆ ใบหน้าในแบบที่ผมชอบ ติดจะแตกต่างออกไปตรงสีผมที่คนตรงหน้าประตูนั้นทำเป็นสีชมพูพาสเทลอ่อนๆ กับริมฝีปากสีชมพูอ่อนเหมือนคนทาลิปเปลี่ยนสีให้ปากชมพู ... นั่น ...นั่นมัน...



“มึงมาตอนนี้ทำเหี้ยอะไรไอ้อาทิตย์!

#รักอยู่รู้ยัง



จริงๆในทุกครั้งในตอนที่เขียน แคทรู้สึกว่าเรื่องราวที่กำลังถ่ายทอดมันสนุกมากๆเลย เป็นความมั่นหน้ามั่นใจของตัวเองคนเดียว

จนเวลาที่ได้มาอัพเดทและลงให้คนได้อ่าน ถึงรู้ว่ามันไม่ได้สนุกอย่างที่คิด แคทเองก็อยากเป็นคนนึงที่เขียนงานออกมา

แล้วประสบความสำเร็จเหมือนใครต่อใครเหมือนกันค่ะ อยากนำพาเรื่องราวที่อยู่ในหัวนี้ไปให้สนุก

แต่มันก็ยากเหมือนกัน เวลาที่มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า ฉันเขียนงานมา6 7ปีแล้ว แต่ไม่พัฒนาขึ้นเลย มันก็เป็นอะไรที่เสียใจ

แต่แคทก็รู้สึกขอบคุณคนอ่านของแคทที่คอยเป็นกำลังใจ และคอยเชียร์อัพแคทเสมอ แคทรู้สึกผิดกับคนอ่านเหล่านี้มากๆ

เค้าบอกว่างานแคทมันดีมากๆและรอมาตลอด แคทอยากจะทำให้มันสนุกจริงๆนะคะ

แคทได้แต่หวังว่า ตอนนี้มันจะไม่แย่จนเกินไป

ความรักที่ไม่ได้หวือหวา และนำพาให้เราตกลงไปในหลุมลึก ด่ำดิ่งสู่ความกล้าที่เราแทบจะไม่รู้สึกตัว

นั่นล่ะคือเรื่องราวของน้องสมุทรและพี่พระจันทร์

ปล. พี่อาทิตย์ที่ทุกคนถามหา มาแล้วจ้าทางนี้

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่8 (120222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 12-02-2022 20:15:34

สำหรับตอนที่7ที่ผ่านมา ขอขอบคุณ 
:impress2: :-[ :o8:
ที่ยังอยู่ด้วยกันกับแคทนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่8 (120222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-02-2022 23:04:58
 :z6: :a5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่8 (120222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-02-2022 01:35:09
สู้ๆครับเป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่8 (120222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-02-2022 13:56:15
มูฟออนสักทีเถอะพระจันทร์ จะโกรธแล้วนะ ฮึ่ยยยย  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่9 (190222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 19-02-2022 20:11:27
บทที่9



“น้องคนนี้คือใครวะซิส”  เสียงทุ้มเข้มน่าฟังถามออกมาแบบนั้น พร้อมๆ กับที่ปรายสายตาไปทางพี่พระจันทร์ที่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ในตอนนี้ ไม่หือไม่อือ แถมไม่ตอบคำถามด้วย ทำเอาผมพูดไม่ออกได้แต่นั่งทำตาปริบๆ แบบทำตัวไม่ถูกอยู่ตอนนี้



“น้องชื่ออะไร ไหนบอกพี่หน่อยสิคะ” ขายาวๆ ที่อยู่ในชุดกางเกงยีนรัดรูปสีดำขาดตั้งแต่ช่วงหน้าขาลงมาถึงหัวเข่า พร้อมกับเสื้อทรงฮาวายลายกราฟิกสีเขียวที่เปิดกระดุมสามเม็ดโชว์แผงอกนิดๆ ผมกะพริบตาปริบๆ ผ่านกรอบแว่นเลนส์ใหญ่ของตัวเองตอนที่เห็นเขาเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งชันเข่าองหน้าผมอยู่ตอนนี้ พี่อาทิตย์ส่งยิ้มนิดๆ มาให้ หน้าตาแกะกันมาเหมือนพี่พระจันทร์เด๊ะๆ แตกต่างตรงที่คนตรงหน้านี้มีรอยยิ้มประดับบนหน้ามากกว่าพี่พระจันทร์เยอะเลย



สายตาคมที่มีแพรขนตายาวกะพริบเป็นจังหวะ แต่สายตาที่มองตรงมาที่ผมกลับวาววับ ไม่ว่าสายตาคู่นี้จะมองไปตรงจุดไหนของใบหน้า ผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทุกครั้งจนต้องเสหน้าหลบ น้ำเสียงนุ่มๆ น่าฟังของพี่อาทิตย์ เป็นเสียงปกติที่ไม่ได้ดัดให้เป็นเสียงสองเสียงสามอะไรเวลาที่พูดกับผม เค้าแค่พูดลงท้ายด้วยคำพูดน่ารักๆ ว่าคะ ขา เวลาพูดกับผม



แล้วกูเขินอะไรกันวะเนี่ยไอ้น้องสมุทร .... ร้อนสายตาของพี่เค้า



“กลับมาห้องทำเหี้ยอะไรวะอาทิตย์”



“นี่มันก็ห้องกูเหมือนกันไหมอ่ะซิส” พี่อาทิตย์ตอบกลับแบบนั้น แล้วดัดเสียงใส่พี่พระจันทร์เป็นเสียงสองอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะแบบนั้นเลยโดนหมอนอิงข้างตัวพี่พระจันทร์เขวี้ยงเข้าใส่ไปเต็มๆ



“อ๊ายๆ เจ็บจุง” เจ็บอะไรก่อน พี่อาทิตย์เอื้อมมือจับหมอนได้ทันก่อนจะโดนตัวเองด้วยซ้ำเถอะ



“...น้องดูมันสิ อิซิสจันทร์มันทำร้ายพี่ค่ะ” เป็นผู้ชายพูดคะขาที่ทำให้ผมรู้สึกเขินแบบแปลกๆ พี่อาทิตย์ที่โยนหมอนทิ้งแล้วเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้พร้อมเขย่ามือฟ้องว่าตัวเองกำลังถูกแฝดตัวเองแกล้ง ตัวเล็กตัวน้อยอ่ะเนอะ



“อะ...เอ่อ...”



“ว่าแต่เราชื่ออะไร เรายังไม่ได้บอกพี่เลยนะคะ”



“เอ่อ ..ส สวัสดีครับ ผมสมุทรครับ” ยกมือขึ้นไหว้แบบทำอะไรไม่ค่อยถูกตอนที่โดนสายตาคนตรงหน้ามองกันไม่หยุด ... น้องสมุทรก็ยกมือไหวปลกๆ เลย



“ชื่อน่ารักเหมือนตัวนะ” ยกยิ้มมองหน้าผมตอนที่พูดแบบนั้น สายตาคมสวยของพี่อาทิตย์ที่ไล่มองไปตามหน้าผาก ตาของผม มาจนถึงริมฝีปากช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน ท่าทางที่คล้ายกับเป็นคนใจร้อนที่พยายามใจเย็นอยู่



‘พรึบ’



“โอ๊ยยย ซิสจันทร์ มึงถีบหลังกูไอ้เหี้ย” พี่อาทิตย์ที่ล้มลงไปนอนหน้าแนบพื้นอยู่บนพรมสวยร้องออกมาเสียงดัง แต่พี่พระจันทร์คนสร้างเรื่องกลับไม่สนใจ เค้าแค่ทำหน้าตาเหม็นเบื่อใส่แฝดตัวเองแบบไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันมาดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากพื้นมายืนข้างๆ กัน ผมได้แต่หันซ้ายหันขวามองหน้าพี่พระจันทร์ทีมองหน้าพี่อาทิตย์ที ... น้องสมุทรทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์นี้สุดๆ



“ไป” ฝ่ามืออุ่นของพี่พระจันทร์ที่เอื้อมมาจับที่ข้อมือของผม ตามมาด้วยคำพูดสั้นๆ คำเดียวแค่นั้นที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ



“เดี๋ยวๆ มึงจะลากน้องเค้าไปไหนคะซิส”



“เลิกเรียกกูซิสๆ สักทีไอ้ห่าอาทิตย์” พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วใส่ มองแฝดตัวเองที่ค่อยๆ ลากสังขารขึ้นมาจากพื้นอย่างทุรักทุเล



“ทำไมอ่ะ ก็น่ารักดีมะ ... น้องสมุทรว่าพี่เรียกแบบนี้แล้วน่ารักไหมคะ” ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาหาผม ยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ จนผมตกใจเผลอขยับตัวหนีไปอยู่ข้างหลังพี่พระจันทร์ คนข้างหน้าตัวผมขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะใช้มือดันหน้าพี่อาทิตย์ให้ออกไปไกลๆ



“เจ็บนะไอ้แรงควาย มึงทำกับน้องที่บอบบางของมึงแบบนี้ได้ยังไง ... หึ่ย ว่าแต่น้องสมุทร ว่าไงคะ พี่เรียกมันแบบนี้น่ารักใช่ไหม” แม้ตัวอยู่ไกล แต่ยังใส่ใจผมไม่เปลี่ยน พี่อาทิตย์ยังชะเง้อคอมามองกัน แม้ว่าเจ้าตัวจะไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมแล้วก็ตาม สายตาคมสวยของพี่อาทิตย์ที่ยังจับจ้องมองมาที่ผมแบบรอคำตอบ เหมือนว่ายิ่งช้า สายตาของพี่เค้าก็ยังคงลากมองไปตามหน้า คอ หน้าอก และ...พี่พระจันทร์ยืนมาบังอยู่ข้างหน้ากู เอ่อ....



“จิ๊” พี่อาทิตย์จิ๊ปากขัดใจนิดหน่อย แล้วหันหลังเดินกลับไปกระแทกตัวลงนั่งที่โซฟาตอนที่เห็นพี่พระจันทร์ทำแบบนั้น



“นี่ซิสจันทร์”



“อะไร”



“สรุปมึงพาน้องสมุทรมาทำไม ไหนเคยตกลงกันไว้ว่าจะไม่พาใครมาเอาที่ห้องไงไอ้สัด สัญญาเมื่อสายัญตอนสมัยมึงใส่กางเกงในลายโดเรม่อนของเรามันไม่มีค่าหรอวะ”



“K! โดเรม่อนพ่อง”



พี่อาทิตย์ที่โดนด่าขมวดคิ้วนิดๆ แล้วถอนหายใจออกมาหน่อยๆ ท่าทางที่ดูหนักอกหนักใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาหัวนิดๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะมองกลับมาที่หน้าพี่พระจันทร์แบบเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาต่อ



“โอเคๆ จริงๆ คือลายพริตตี้เคียว ขอโทษก็ได้ที่พูดผิดลาย”



“ไอ้สัดอาทิตย์ กวนตีนแล้วนะมึง”



“จ้าๆ ว่าแต่ยังไงไหนคำตอบของมึง ทำไมพามาเอาที่ห้อง”



“เอาเหี้ยไร นี่รุ่นน้องกู” ผมหันไปมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่พระจันทร์ที่พูดออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ท่าทางจริงจังที่ทำให้ผมรู้สึกหน่วงๆ ที่ใจขึ้นมานิดๆ ก่อนหน้านั้นที่บอกว่ากำลังจะเปิดใจ แต่พอได้มาฟังแบบนี้แล้วก็รู้สึกจุกนิดหน่อย แต่ว่ามันก็ถูกของพี่เค้า ... เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักอย่าง ดีแค่ไหนที่ในวันนี้พี่เค้ายังถือว่าเป็นรุ่นน้องอยู่



“รุ่นน้องอะไรทำไมกูไม่เคยเจอ” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหรี่ตาลงมาจับผิด



“มึงจะต้องเจอรุ่นน้องกูทุกคนหรือไงไอ้สัด”



“เอ๊ะซิส อาทิตย์เป็นน้องนะ ทิตย์ต้องรู้ทุกเรื่องของซิสด้วยจ้า”



“เสือกไอ้สัด” พี่พระจันทร์เสหน้าหนีแล้วบ่นออกมาเบาๆ ท่าทางที่ดูรำคาญมากๆ ถึงขั้นไม่อยากเสวนากับน้องตัวเองแสดงออกแบบชัดเจน แต่เหมือนพี่อาทิตย์จะไม่สนใจ



“กูได้ยินนะไอ้ซิสเหี้ย”



“พอ เลิกไร้สาระ ถ้ามึงจะมานอนก็ขึ้นไปนอน”



“แล้วน้องสมุทรล่ะ” พี่อาทิตย์เลิกคิ้วมองมาทางผมนิดๆ ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ หันหน้ามองเสี้ยวหน้าของพี่พระจันทร์ที่ยังคงทำหน้านิ่งๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนสักนิด



“ก็นอนนี่ วันนี้ดึกแล้ว จะให้มันกลับเองก็อันตราย ... อีกอย่างมันก็ช่วยมาส่งกูเพราะกูเมา” อ่อ กูมาส่งหรอ พึ่งรู้ตัว



“มึงเมา โอ้โหหห เหลือจะเชื่อ แดกไปเป็นโรงงานหรอซิส”



“ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง กูง่วงจะไปนอน”



“นอนห้องไหน ข้างบนมีสองห้องคือห้องมึงกับกู ส่วนข้างล่างห้องแขกที่ไม่เคยทำความสะอาดเหี้ยไรเลย ฝุ่นเยอะยิ่งกว่าฝุ่นที่เชียงใหม่ตอนมีpm2.5 แล้วดึกขนาดนี้อย่ามาบอกว่าจะขยันปัดฝุ่นนะ น้ำหน้าอย่างมึงอ่ะ”



“พูดมาก ก็ให้นอนห้องกู ... ไปสมุทร”



“เดี๋ยวๆ ไหนบอกไม่เอาไงคะ!” พี่อาทิตย์แหวออกมาเสียงดังพร้อมหรี่ตามองมือพี่พระจันทร์ที่กำข้อมือของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่ตอนที่ตั้งใจจะดึงมือผมให้เดินตามขึ้นไปชั้นบน



“ก็ไม่ได้จะเอา มึงจะเอายังไงอาทิตย์” เสียงฉุนขาดที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะทน ไม่สบอารมณ์แบบสุดๆ



“เอาเป็นว่าให้น้องสมุทรไปนอนห้องมึง ส่วนมึงก็มานอนกับกูค่ะซิสจันทร์ ป้องกันการเอา” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาด้วยหน้าตาสุขใจที่สุด พี่อาทิตย์ยิ้มออกมากว้างๆ อย่างชอบใจตอนที่มองตรงมาที่พี่พระจันทร์ ยักคิ้วส่งให้อีกสองที พี่พระจันทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่



“เออ!”



“เย้!! ซิสจันทร์จะนอนกับน้องทิตย์แล้ว”



“K”



“กูมีนะ ใหญ่ด้วย ซิสจะดูไหม” ว่าจบก็ดึงเข็มขัดออกจากกางเกงทันทีจนผมสะดุ้ง พี่พระจันทร์จับมือผมไว้แล้วดึงตัวผมให้เดินขึ้นไปชั้นสองโดยที่ไม่สนใจเสียงของพี่อาทิตย์ที่ด่าไล่หลังตามมาอีก “อิซิสเหี้ย ทำไมไม่สนใจน้องสาวมึงค๊า”



“น่ารำคาญชะมัด”



“ปล่อยไว้แบบนั้นจะดีหรอครับ” ผมกระตุกแขนเสื้อของคนข้างตัวเบาๆ ตอนที่หันไปมองพี่อาทิตย์ที่เริ่มถอดกางเกงยีนขายาวของตัวเองออกแล้วจริงๆ



“อย่าไปสนใจมัน” บอกผมแค่นั้นแล้วดึงให้ผมเดินตามไป เพราะแบบนั้นเราเลยปล่อยพี่อาทิตย์ยืนแก้ผ้าเล่นไปคนเดียวตรงนั้น หวังว่าพี่เค้าจะไม่แก้หมดหรอกนะ ... ช่างเป็นคนที่มีเอกลักษณ์อะไรขนาดนั้น แต่ว่านะ ผมสีชมพูอ่อนๆ ของพี่เค้าก็ทำให้ผมนึกถึงพี่พระจันทร์ในครั้งแรกที่ได้เจอเลยอ่ะ



“มึงนอนห้องกูละกัน”



“โห น้องสมุทรจะได้นอนเตียงพี่พระจันทร์หรอ น้องสมุทรอยากจะกรี๊ด แต่ต้องฮึบไว้เพราะอยากเป็นผัวเท่ๆ ครับ”



“มึงอย่าเยอะได้ไหม”



“ฮ่าๆ ก็มันน่าตื่นเต้นจริงๆ นี่ น้องสมุทรไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เข้ามาในห้องพี่พระจันทร์อ่ะ โลกส่วนตัวของพี่พระจันทร์” บอกออกไปแบบนั้นแล้วมองไปรอบๆ ห้องด้วยสายตาล่อกแล่ก เอิ่ม...กูเริ่มจะดูเหมือนโจรมากกว่าคนที่อยากเป็นผัวเค้า



“นี่ผ้าเช็ดตัว แล้วก็ชุดนอน มึงเอาของกูไปใส่ก่อนละกันคืนนี้ ห้องน้ำอยู่นั่น” บอกแบบนั้นแล้วโยนเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวลงบนเตียงนอนสีน้ำเงินเข้มของตัวเอง



“ขอบคุณนะครับ”



“อืม” พี่พระจันทร์ตอบรับออกมาสั้นๆ แค่นั้น เราสองคนต่างมองหน้ากันเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรกันออกมา เป็นสถานการณ์แปลกๆ ก็เพราะก่อนหน้านี้พวกเราเกือบจะ....



“มึงนอนซะ กูจะไปจัดการไอ้เหี้ยอาทิตย์”



“พี่อาทิตย์น่ารักดีนะครับ ทำสีผมเหมือนพี่พระจันทร์ตอนที่ผมเจอพี่ครั้งแรกเลย” ผมว่าออกไปแล้วยิ้มออกมานิดๆ ที่นึกไปถึงช่วงเวลานั้น



“มึงเจอกูตอนทำผมสีชมพูหรอวะ”



“อื้ม น้องสมุทรยังไม่เคยเฉลยใช่เปล่าว่าชอบพี่ตอนไหน อิอิ จริงๆ ก็เพราะตอนนั้นที่พี่ช่วยน้องที่จะข้ามถนนน่ะ ทำเอาน้องสมุทรประทับใจมากๆ จนตกหลุมรักเลยล่ะ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วยิ้มกว้างๆ ส่งไปให้พี่พระจันทร์ คนตรงหน้าที่มองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนที่จะหลุบสายตาเสมองไปที่อื่นก่อนจะตอบรับออกมาเบาๆ



“งั้นหรอ”



“ครับ ตอนนั้นพี่พระจันทร์ก็น่ารักมากๆ เหมือนกันนะ” ผมบอกออกไปเพราะเห็นเค้าทำหน้าตาแปลกๆ คิดเอาเองว่าพี่พระจันทร์อาจจะหึงหวงที่คนหล่อๆ แบบกูชมแต่น้องชายเค้าอ่ะนะ อิอิ



“กูเป็นคนใจดีแบบนั้นเลย”



“ที่สุดเลยล่ะ เหมือนตอนนี้ไง พี่พระจันทร์ก็ยอมให้น้องสมุทรได้เขยิบมาใกล้ขนาดนี้แล้ว ใจดีสุดๆ เลย ... ขอบคุณนะครับ”



“กูไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกสมุทร มึงไม่ต้องมาขอบคุณอะไรกูหรอก”



“หื้ม” ผมกะพริบตาปริบๆ ผ่านแว่นตาหนาเตอะของตัวเองมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ พี่พระจันทร์ไม่ได้ตอบอะไรออกมาอีกนอกจากจะยกมือขึ้นมาวางบนหัวของผมเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านลงมาแบบที่ผมไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าหัวใจของผมเองก็รู้สึกดีมากๆ จนมันเต้นไวขึ้นมา



“ไปอาบน้ำนอนซะ” บอกแค่นั้นแล้วก็หันหลังเดินหนีกันออกไป ผมยิ้มตามแผ่นหลังกว้างๆ ของอีกคนที่ในวันนี้อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง



“คืนนี้ฝันดีนะครับ” ก่อนที่พี่พระจันทร์จะเปิดประตูออกไป ก็เป็นผมเองที่โพล่งออกไปแบบนั้น ขายาวๆ นั่นชะงักไปนิด ก่อนที่เสียงเข้มๆ จะตอบกลับมาเบาๆ ให้ผมได้ยิน



“อืม ... ฝันดีสมุทร”




หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่9 (190222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 19-02-2022 20:14:10

             หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกมาเดินสำรวจห้องพี่พระจันทร์อย่างตื่นเต้น ห้องนอนสไตล์โมเดิร์น สีผนังเทาอ่อนที่ ปลายเตียงมีทีวีขนาดใหญ่วางเคียงคู่กับตุ๊กตาฟิกเกอร์ทันจิโร่ กิยู และเนซึโกะจากเรื่องดาบพิฆาตอสูร ผมแอบขำเล็กๆ กับฟิกเกอร์การ์ตูนดังที่ถูกวางอยู่อย่างไม่ค่อยเข้ากัน แต่ก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายชอบ และเหมือนว่าพี่พระจันทร์จะเป็นแฟนพันธุ์แท้การ์ตูนดังอีกหลายเรื่อง เพราะมีฟิกเกอร์ดังๆ ตั้งไว้เยอะมากบนชั้นตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ โต๊ะเขียนหนังสือสีขาวตรงมุมห้อง ผมไม่เคยคิดเลยว่าพี่พระจันทร์จะมีมุมน่ารักๆ แบบนี้กับเค้าเหมือนกัน



ผมเดินมาดูที่ตู้โชว์อีกอัน มีรูปใส่กรอบน่ารักๆ อยู่ตรงนั้นเยอะเลย เหมือนจะเป็นรูปของพี่พระจันทร์กับพี่อาทิตย์หลายช่วงเวลา เห็นที่กรอบรูปอันนึงเป็นเด็กแฝดหน้าตาน่ารักสองคนในช่วงอายุประมาณ3ขวบ คนนึงใส่ชุดเอี๊ยมยีนเสื้อด้านในเป็นเสื้อยืดสีเหลืองมีรูปแมวอยู่ที่กลางอก เด็กคนนั้นกำลังส่งยิ้มกว้างๆ มองมาที่กล้อง ส่วนอีกคนที่กำลังนั่งทำหน้านิ่งๆ มึนๆ ในชุดเอี๊ยมเหมือนกัน แตกต่างกันตรงที่เสื้อยืดข้างในเป็นสีน้ำเงินและมีรูปสิงโตอยู่กลางอกแทน



“ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าคนไหนคือพี่พระจันทร์” ก็ไอ้หน้าตาไม่สบอารมณ์แบบนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้หรอก ทำหน้าเหมือนโดนบังคับมาถ่ายรูป ตรงนั้นยังมีกรอบรูปอีกหลายอัน หนึ่งในนั้นคือรูปของผู้ชายตัวสูงอีกสองคนที่อุ้มพี่พระจันทร์กับพี่อาทิตย์ตอนเด็กๆ ไว้แล้วส่งยิ้มมาที่กล้อง ไม่รู้เหมือนกันว่านั่นคือใคร แต่มองดูแล้วเหมือนเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ เลย แล้วก็ยังมีรูปแปลกๆ อีกกรอบ เป็นรูปสิงโตตัวใหญ่ที่กำลังนอนอยู่บนฟูกนวมสีแดง แล้วก็มีเจ้าแมวสีขาวตัวนึงซุกขนของมันอยู่ข้างๆ ด้วย ผมมองนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนเริ่มจะง่วง มองไปที่นาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของพี่พระจันทร์ มันบอกเวลาว่าตอนนี้ตี1กว่าๆแล้ว เพราะแบบนั้นเลยเดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนหกฟุตของพี่พระจันทร์ ผ้าห่มนวมหนาๆ ที่ตัดกับบรรยากาศเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศทำให้หนังตาหนักลงมากๆ จนต้องเอาหน้าซุกลงไปบนหมอน มุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม



“เฮ้อออ ฟินจังเว้ย กลิ่นของพี่พระจันทร์” ดิ้นไปดิ้นมาตอนที่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เหมือนว่าผมจะเคยได้กลิ่นแบบนี้จากตัวของพี่พระจันทร์ล่ะ เขินอ่ะๆ น้องสมุทรเขินจังโว้ย ว่าแล้วก็ซุกหน้าลงไปสูดกลิ่นอีกหนึ่งที อาการคล้ายคนโรคจิตนิดๆ แต่ฟินสุดๆ



“ฮ้า หอมหวนชวนดม กูขโมยหมอนกลับบ้านดีไหมวะเนี่ย” ผมนอนกลิ้งพลิกตัวไปซ้ายทีขวาทีอย่างสบายอารมณ์ ฟินสุดๆ กับการที่ได้นอนในห้องพี่พระจันทร์และมีกลิ่นของพี่พระจันทร์เต็มไปหมดแบบนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าน้องสมุทรจะได้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเค้ามากขนาดนี้ เหมือนฝันเลยว่ะ



ผมดิ้นไปดิ้นมาก่อนที่สายตาจะไปสะดุดที่รูปภาพภาพนึงที่โต๊ะข้างๆ หัวเตียง ภาพในกรอบไม้สี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก เป็นรูปของคนสามคนที่อยู่ในชุดโรงเรียนมัธยมแบบที่ผมเคยใส่ ผู้ชายฝั่งซ้ายมือที่ทำผมสีชมพูอ่อนๆ กอดคอคนตัวเล็กตรงกลางและส่งยิ้มมาให้กล้อง และคนที่อยู่ฝั่งขวาก็กำลังโอบเอวบางนั่นพร้อมยกยิ้มมุมปากออกมาน้อยๆ ท่าทางที่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมามาก แต่สายตาของเค้าก็บอกให้รู้ว่ากำลังมีความสุขมากๆ มันเป็นรูปของพี่อาทิตย์ พี่พระจันทร์...และคนตรงกลางนั่นที่ผมรู้ดีว่าคือพี่อัยย์



“คนที่อยู่ในใจของพี่พระจันทร์มาแต่ไหนแต่ไร...” ผมยิ้มออกมานิดๆ ให้ตัวเอง พี่อัยย์ก็น่ารักสมกับที่พี่พระจันทร์จะชอบจริงๆแหละ ถ้าพูดตรงๆ เค้าก็ดูเหมาะสมกันมากๆ แบบที่คนแบบผมเทียบไม่ติดเลยล่ะ ดวงตากลมโตใสแจ๋วแตกต่างจากไอ้แว่นตาโตหนาเตอะแบบผมสุดๆ ...



ผมถอดแว่นตาออกก่อนจะวางมันไว้ข้างๆ กรอบรูปนั้น ได้แต่บอกตัวเองว่าจะคิดมากไปทำไมวะ ก็ในวันนี้พี่พระจันทร์บอกแล้วว่าจะเปิดใจ เค้าที่พูดออกมาชัดๆ ต่อหน้าพี่อัยย์ว่าจะตัดใจแล้วเราก็ได้ยิน



จะมาท้อแท้กับตัวเองตอนนี้ไม่ได้นะไอ้สมุทร ...



ผมรู้ดีว่ามันไม่ง่ายหรอกที่พี่พระจันทร์จะตัดใจจากพี่อัยย์ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยสักนิดนึงในวันนี้ ... เค้าก็บอกว่าจะทำ และหนึ่งในเรื่องราวมากมายเหล่านั้น เค้ายอมให้ผมก้าวเข้าไปยืนข้างๆ ได้ในช่วงเวลาที่เค้ากำลังจะละทิ้งใครอีกคนให้ออกไปจากใน แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องทิ้งโอกาสนี้ ก็บอกตัวเองเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าจะลองดู และใครจะไปรู้ว่าในตอนสุดท้าย คนที่จะได้เข้าไปยืนในใจพี่พระจันทร์ใหม่ อาจจะเป็นผม ผมคนนี้ก็ได้นะ



ผมยิ้มรับกับเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา บอกตัวเองไว้ว่าจะไม่ถอดใจง่ายๆ อีกแล้ว ก่อนสายตาหนักๆ จะค่อยๆ ปิดลงช้าๆ พร้อมๆ กับกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นน้ำหอมที่ชื่อกลิ่นว่าวู้ดเซจแอนด์ซีซอลท์ลอยฟุ้งไปรอบตัว ...

กลิ่นนั้นล่ะ กลิ่นติดตัวของพี่พระจันทร์



.

.

.


‘ยวบ’



ความรู้สึกยวบยาบของพื้นเตียงนุ่มทำให้ต้องขมวดคิ้ว เพราะเป็นคนที่ความรู้สึกไวเลยตื่นขึ้นมาแบบนั้น ผมที่กำลังจะพลิกตัวไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง ก็ได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยแต่รู้สึกว่ากลิ่นมันจะชัดขึ้นมากกว่าเดิม พร้อมๆ กับวงแขนแกร่งที่สอดเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง



“พ...พี่พระจันทร์”



“กูทำมึงตื่นหรอ” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ มาจากทางด้านหลังของผมทำให้ใจสั่นขึ้นมาแปลกๆ



“เปล่าครับ ผมนอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว...สงสัยแปลกที่ แหะๆ”



“อืม งั้นมึงก็นอนต่อเถอะ” บอกแบบนั้นแล้วกระชับวงแขนแกร่งมากขึ้น ผมเกร็งตัวขึ้นมาทันที แบบว่าดึกแล้วน้องสมุทรรับมือกับสถานการณ์นี้ไม่ค่อยได้ หัวสมองช้ากูคิดไม่ทันครับ



“แล้ว แล้วทำไมพี่ เอ่อ...”



“ไอ้อาทิตย์นอนดิ้นเหมือนควายเล่นโคลน นอนไม่หลับ”



“อ่า”



ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปมากกว่านั้น เพราะในตอนนี้ที่คนที่นอนซ้อนหลังกันก็ไม่ยอมผละอ้อมแขนออกจากเอวผมไปสักที ใกล้ชิดกันมากจนรับรู้ได้ถึงแผ่นอกแกร่งที่แนบชิดอยู่ที่แผ่นหลังของผมในตอนนี้



“มึงนอนได้แล้ว”



“เอ่อ...”



“กูติดหมอนข้าง ขอกอดหน่อย” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงมึนๆ อยากจะถามว่าแค่ประโยคบอกเล่า หรือประโยคคำสั่ง แต่ไม่ว่าจะทางไหนปลายทางก็ดูจะเหมือนกันตรงที่วงแขนแข็งแกร่งนั่นไม่ยอมผละออกจากเอวของผมเลยตลอดคืน



...



‘ก๊องแก๊งๆ’



เสียงก๊อกแก๊งที่ดังมาจากในครัวตอนที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องนอนของตัวเองทำให้ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะตามมาด้วยเสียงคุ้นเคยของคนคุ้นเคยที่ผมรู้ดีว่าเป็นใครกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน



“ฮ่าๆ ถ้าพี่ว่าอร่อยผมก็ดีใจครับ”



“มาทำให้พี่กินบ่อยๆ สิ พี่ชอบนะคะ”



“พูดแบบนี้ผมดีใจแล้วนะครับ”



“พี่พูดเรื่องจริงนะ แต่ตอนนี้พี่ต้องรีบแล้ว มีเรียนเช้าค่ะ”



“งั้นรีบไปเถอะครับ ส่วนนี้ผมจะทำใส่กล่องให้นะครับ”



“น่ารักจังเลยค่ะ พี่อยากยัดใส่กระเป๋าเอาไปเล่นด้วยที่มหาลัยเลย”



“ฮ่าๆ ผมหล่อเท่มากๆ เลยนะครับ ลองมองอีกทีนะๆ”



“ถ้าน้องว่าดี พี่ก็จะไม่ขัดในจินตนาการค่ะ”



“โอ๊ย น้องสมุทรเจ็บหัวใจไปหมดเลยนะ”



“ฮ่าๆ”



เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่นานๆทีจะได้กลิ่นแบบนี้ในบ้านของตัวเองสักที ค่อยๆ ก้าวยาวๆ ในชุดนอนเดินลากเท้าลงมาช้าๆ ก็มองเห็นไอ้อาทิตย์ในชุดเสื้อช็อปแบบที่มันชอบใส่เป็นประจำ กับร่างเล็กๆ ในชุดนอนสีน้ำเงิน ผมหน้าม้าของมันที่เริ่มยาวแล้วถูกผูกเป็นจุกน้ำพุให้เห็นหน้าผากใส่ มันกำลังหันหน้าหันหลังให้วุ่นอยู่ที่หน้าเตาในครัวเปิดโล่งที่ชั้นล่าง ... ครัวที่แทบจะไม่มีใครเคยใช้



“ทำอะไร” ผมถามออกไปแบบนั้นตอนที่เดินเข้าไปใกล้ เสียงติดจะแหบนิดๆ เพราะพึ่งตื่นนอน



“อ๊ะ พี่พระจันทร์ตื่นแล้วหรอ ดื่มนี่ก่อนสิครับ” ไอ้สมุทรที่หันมาเห็นผม มันยิ้มออกมากว้างๆ แบบที่ชอบทำในทุกๆ ครั้งที่เห็นหน้าผม ไม่ว่าเมื่อไหร่มันก็จะยิ้มแบบนี้เสมอ



“อะไร”



“น้ำมะนาวครับ กำลังอุ่นๆ เลย พี่พระจันทร์กินสิ มันแก้เมาค้างได้ดีเลยนะ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วยัดแก้วน้ำมะนาวอุ่นๆ มาไว้ในมือให้ผม ก่อนที่เจ้าตัวจะหันตัวกลับเข้าไปในครัวอีกรอบ ผมหันมามองไอ้คนที่ยังนั่งหน้าสลอนอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วเบ้หน้ามองผมอยู่ตอนนี้



“มองกูทำไมไอ้อาทิตย์”



“ซิสแย่มาก ซิสทิ้งน้องไป”



“อะไรของมึง”



“น้องตื่นมาแบบเปลี่ยวเหงา ไร้เงาซิสจันทร์ข้างกายเลยอ่ะ!” มันโวยออกมาแล้วทำหน้าเศร้า แกล้งยกมือขึ้นมาซับหัวตาที่ไม่มีน้ำตาของมันด้วยนิดนึง



“ทำไมไม่ไปเรียนสักทีวะ ไหนบอกมีเรียนเช้า”



“นี่มึงกำลังเปลี่ยนเรื่องกูนะคะซิสจันทร์” ถลึงตาใส่ผมแล้วแหวออกมาเสียงดัง ผมยักไหล่ใส่มันนิดหน่อยอย่างไม่สนใจ



“รำคาญว่ะอาทิตย์” ผมไม่ตอบมันแต่ยกแก้วน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งอุ่นๆ ของสมุทรดื่มเข้าไปแทน รสชาติเปรี้ยวๆ อมหวานหอมของน้ำมะนาวที่ไหลลงคอ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาแบบไม่น่าเชื่อ หัวสมองโล่งขึ้น แม้ว่าจริงๆ เมื่อคืนผมจะไม่ได้เมามากมายก็ตาม ... ที่ทำให้ซึมๆ ก็น่าจะเป็นความรู้สึกบางอย่างตกค้างมากกว่า



“พี่พระจันทร์บอกพี่อาทิตย์นอนดิ้นครับ” ไอ้สมุทรเดินกลับมาพร้อมจานไข่ต้มหั่นชิ้นพอดีคำ พร้อมขนมปังโฮลวีตปิ้ง และมีกล้วยหอมราดน้ำผึ้งหั่นชิ้นส่งมาให้ผม



“เอ๊ะๆๆๆ กูนอนดิ้นหรอคะซิส” ไอ้อาทิตย์ทำหน้าทำตาแบบคนใช้ความคิดพร้อมยกนิ้วขึ้นเกี่ยวหัวสีชมพูของมันนิดๆ บ้องแบ๊วแบบสาวญี่ปุ่นที่กำลังทำหน้างง



“อืม”



“จริงเรอะ! เกิดมาก็นาน ตัวฉันพึ่งรู้ โอ้ววว” ปรายตาไปมองไอ้อาทิตย์ที่ยกมือขึ้นมาทาบอก ท่าทางที่ดูตกใจแบบปั้นแต่งของมันทำเอาผมคิ้วกระตุก



“น้องสมุทร พี่นอนดิ้นค่ะ” ยื่นหน้าไปทำตาเศร้าสร้อยใส่ไอ้สมุทรแบบขอความเห็นใจ



“ฮ่าๆ เพราะแบบนั้นไงล่ะครับ พี่พระจันทร์เลยนอนไม่หลับเลย”



“แย่จัง ไอ้อาทิตย์นี่มันแย่จริงๆ แบบนี้พี่ต้องโดนตีเพี้ยะๆ เลย น้องสมุทรตีพี่ทีค่ะ ตีที่แก้มของพี่ด้วยปากนุ่มนิ่มของหนูก็ได้ค่ะ”



‘เพี้ยะ’



“โอ๊ย! ไอ้เหี้ยซิสจันทร์ กูเจ็บนะโว้ย” มันโวยออกมาแบบนั้นตอนที่ผมยื่นมือไปตบแก้มมันทีนึง เอาให้มันได้สติตื่น



“อืม กูเตือนสติมึงไงว่ามันสายแล้ว” ปรายตามองมันนิ่งๆ ไอ้คนหน้าเหมือนกันข้างๆ นี่ก็เบ้ปากใส่



“อ๋า นี่แปดโมงครึ่งแล้วนะครับพี่อาทิตย์ รีบไปเถอะครับ”



“รถไฟฟ้าหนูด่วนปรื๊ดเดียวก็ถึง พี่ไม่รีบค่ะ”



“แต่อาจารย์มึงรีบ รีบๆ ไปได้แล้ว”



“ไล่ๆๆ ทำไมซิสชอบไล่น้อง คนเหี้ย!”



“กวนตีนกูนักนะ”



“เออๆ กูไปก็ได้! ... พี่ไปก่อนนะน้องสมุทร ไว้พี่ทักไลน์หานะคะ”



“ครับ สวัสดีครับพี่อาทิตย์” ไอ้สมุทรขำออกมานิดๆ ก่อนจะยกมือไหว้ ไอ้อาทิตย์ที่ทำสายตาละห้อย ท่าทางเหมือนอยากจะปีนโต๊ะไปจุ๊บเหม่งไอ้สมุทรสักที เห็นแบบนั้นเลยต้องเอ่ยปากไล่มันอีกที ... ไม่ได้อะไรหรอกนะ แค่คิดว่ามันสายแล้ว



“ไป!”



“ไล่อยู่ได้ไอ้ขี้เหร่”



“มึงสิขี้เหร่ ป๊าไม่น่าเก็บมึงมาจากถังขยะเลย”



“ป๊าสิเก็บมึงๆๆๆ อย่ามาว่ากูน้า!!~~”



“อะ พอๆ ครับเลิกเถียงกัน อะนี่ครับพี่อาทิตย์ สมุทรใส่กล่องแล้วก็ใส่ถุงให้แล้ว เอาไว้กินกลางวันเผื่อหิวนะครับ”



“น่ารักที่สุด ... พี่ไปก่อนนะ”



“ครับผม” อ้อยอิ่งอยู่นานกว่าจะยอมออกจากห้องไป ไอ้สมุทรที่ยืนโบกมือไล่หลังให้มันหยอยๆ ก่อนจะหันมามองผมที่นั่งมองมันอยู่ตรงนี้ รอยยิ้มค้างของมันยังมีอยู่บนใบหน้า



“เอ่อ อะไรหรอครับ...”



“เอาอะไรให้มัน”



“หื้ม” มันทำหน้างงๆ ส่งมาให้ตอนที่ถามออกไปแบบนั้น หน้าตาเหลอหลาที่คิดว่าถ้าไม่ขยายความต่อก็คงจะไม่ได้คำตอบจากมันในวันนี้



“ในถุงอ่ะ มึงทำไรให้มัน”



“อ่อ แซนวิสอะโวคาโดไข่กุ้งน่ะครับ พอดีพี่อาทิตย์บอกว่าอยากกิน สมุทรเลยทำให้”



“แล้วทำไมกูไม่มีบ้าง!”



“เอ้า...พี่พระจันทร์จะเสียงดังทำไมล่ะครับ” มันสะดุ้งนิดๆ ตอนที่ผมเผลอพูดเสียงดังใส่ แต่เห็นท่าทางของมันที่ชอบทำไรให้คนนั้นคนนี้แล้วรำคาญ กูพามานอนค้างที่ห้องแท้ๆ อ่ะ ได้แค่ขนมปังกับไข่ ไม่เห็นมีไข่กงไข่กุ้งเลยวะ กูซื้อเองแท้ๆ ไอ้ไข่กุ้งในตู้เย็นนั่นน่ะ



“เดี๋ยวน้องสมุทรทำให้น่า แต่ตอนนี้พี่กินของตรงหน้าไปก่อนเลยจะได้แก้แฮงค์” มันเดินเข้ามาใกล้และหยุดลงตรงหน้าของผมก่อนจะส่งยิ้มออกมาให้ รอยยิ้มของมันเป็นรอยยิ้มที่เปร่งประกาย มันเป็นแบบนั้นเสมอแหล่ะ ถ้าในการ์ตูนคงเห็นแสงออร่าออกมาทุกครั้งเวลาที่มันยิ้ม



“ขมวดคิ้วทำไมเนี่ย หิวหรอ โอ๋ๆ เดี๋ยวน้องสมุทรไปทำให้เดี๋ยวนี้เลย” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วยื่นนิ้วมาคลึงๆ อยู่ที่หว่างคิ้วของผม เอียงหน้าเล็กๆ ของมันไปซ้ายทีขวาที ท่าทางที่เหมือนอยากจะทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น



“อึฮึ่ม ... งั้นก็รีบไปทำเลยไป” กระแอมไอออกมานิดๆ แล้วหันเก้าอี้หนี พอดีเป็นเก้าอี้ทรงสูงที่หมุนได้รอบทิศ ผมเลยหันหนีมันมางับกล้วยหอมราดน้ำผึ้งบนเคาน์เตอร์นั่นเข้าปากไป



“กล้วยหอมกินแล้วจะทำให้สดชื่นขึ้นนะครับ เค้าบอกว่า มันช่วยลดสารพิษที่ตกค้างในตับได้ด้วยน้า เพราะงั้นกินเข้าไปเยอะๆ เลยนะ”



“แดกจนหน้ากูจะเป็นลิง” บ่นออกมาแบบนั้น แล้วหยิบเข้าปากไปอีกชิ้น ไอ้สมุทรที่เดินเข้าไปในโซนครัว มันอยู่อีกฝั่งนึงของเคาน์เตอร์แล้วยกมือขึ้นเท้าคางกับเคาน์เตอร์ครัว มันที่เอียงคอแล้วส่งยิ้มมาให้ผม



“ลิงจั๊กๆ เค้าบอกว่ารักจริงๆ นะ น้องสมุทรเองก็รักอยู่นะ...รู้ยัง” มันว่าออกมาแบบนั้น มองเห็นแก้มแดงๆ ของมันที่เหมือนจะแดงขึ้นไปถึงหูเพราะคำพูดของตัวเอง



หึ...ก็น่าจะเริ่มรู้แล้วมั้ง” ยกยิ้มตอบมันออกไปแบบนั้น เราที่สบตากันนิ่งๆ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า การตื่นมาตอนเช้า แล้วมีอาหารเช้าแก้แฮงค์วางอยู่ตรงหน้ามันก็ไม่ได้แย่ ... อย่างน้อยก็ดีกว่าเวลานอนมองเพดานแล้วรอให้อาการมันหายไปเอง

ก็คงเรียกได้ว่า มันดีกว่าทุกวัน


#รักอยู่รู้ยัง



ขยับเข้ามาได้ไหม ขยับมาใกล้กัน ขยับความสัมพันธ์มารักกับฉันนะเธอ เอิ๊ววว~

 :3123: :pig4:

ขอขอบคุณคนอ่านในเล้าเป็ดที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ แคทดีใจที่อย่างน้อยก็ยังมีคนอ่านในนี้ค่ะ

:z6: :a5:
  มาอ่านต่ออีกนะคะ จะพยายามให้มากขึ้นนะคะ

สู้ๆครับเป็นกำลังใจให้นะครับ
  ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ขอบคุณที่มอบกำลังใจดีๆให้แคทนะคะ

มูฟออนสักทีเถอะพระจันทร์ จะโกรธแล้วนะ ฮึ่ยยยย  :katai1: :katai1:
ใจเย็นนะคะ มามูฟไปพร้อมๆกันนะคะ แต่ถ้าจะโกรธ โกรธพระจันทร์ได้เลยค่ะ อย่าโกรธแคทน้าา 5555
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่9 (190222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-02-2022 22:02:45
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่9 (190222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 20-02-2022 13:39:39
ผมสีชมพู....น้องสมุทร ลูก (นี้ก็แอบเดาจากตอนแรก แล้วนะ ว่าอาจเป็นประเด็น)
ลุ้นค่าคุณแคท รอ รอ

ตัดใจได้จริงไหมเนี้ย พี่พระจันทร์ ถ้าคนนั้น อยากกลับมา ?

ดีทุกอย่างเลยคุณแคท แอบขัดใจอย่างเดียวเลย .....มาทีหลายๆ ตอนได้ไหมค้า คนอ่านจะลงแดงเพราะรอ รอ รอ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่9 (190222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 21-02-2022 10:12:20
เอ็นดูน้องอาทิตย์ตัวเล็กน่ารักปุ๊กปิ๊ก :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่9 (190222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-02-2022 16:53:13
พี่พระจันทร์หวงแหละแต่ปากแข็ง!!
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่10 (220222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 22-02-2022 19:47:17
บทที่10

 

เสียงดังจอแจในโรงอาหารกลางของคณะบริหารยังคงวุ่นวายเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากในทุกๆ วันที่เคยเห็น และมันก็มักจะวุ่นวายมากขึ้นไปอีกในช่วงเที่ยงวันเหมือนเช่นตอนนี้ ผมไม่ได้ใส่ใจสายตารอบตัวที่กำลังมองมามากนัก เหมือนเป็นความเคยชินที่เจอกับตัวบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยมัธยม แต่เหมือนว่าวันนี้จะต่างออกไปจากทุกวันตรงที่ผมดูจะยิ่งเป็นที่สนใจมากกว่าทุกที อาจเป็นเพราะ...

 

“โอ้โหไอ้เหี้ย เมื่อคืนกูโทรหากี่สาย ทำไมไม่รับ” ไอ้ปุ่นที่เดินจ้ำอ้าวเข้ามาพร้อมคำด่าที่พ่นออกมาใส่หน้ากัน มันด่าออกมาก่อนที่ตัวของมันจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผมด้วยซ้ำ วางกระเป๋าลงเสียงดังแล้วทำท่าหาเรื่อง เห็นแบบนั้นเลยเลิกคิ้วมองหน้ามันนิดหน่อย

 

“กูไม่ได้ดูโทรศัพท์ โทษทีว่ะ”

 

“แม่ง แต่มึงไม่ตายกูก็ดีใจแล้วไอ้สัด”

 

“ปากมึงนะ”

 

“กูวิ่งตามมา รถมึงก็พุ่งออกไปแล้ว กูห่วงว่ามึงจะไปชนใครตายฉิบหาย” ไอ้มีนที่เดินตามเข้ามาสมทบ ด่าผมออกมาแบบนั้น มันที่วางจานข้าวไก่เทอริยากิผัดซอสของมันลงแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้ปุ่น

 

“กูไม่ชนใครตายหรอก ไม่ได้ขับเร็ว”

 

“ไม่ได้ขับเร็วก็เหี้ย คนแบบมึงอ่ะ ใจร้อนจะตายถ้าโมโห”

 

“จริง แล้วยิ่งเรื่องเมื่อคืนอ่ะ ที่มึงพูดออกไปแบบนั้น มันโอเคหรอวะ” ไอ้มีนมองหน้าผมแล้วถามออกมาตอนที่มันกำลังใช้ช้อนตักไก่เข้าปากคำโตไปด้วย

 

“สัด พูดขึ้นมาหาพ่อง” ไอ้ปุ่นหันไปตบหัวไอ้มีนแรงๆ ทีนึงจนช้อนที่มันกำลังเอาเข้าปากร่วงลงบนจานเสียงดัง

 

อายคนฉิบหาย...

 

ผมเข้าใจดีว่ามันคงไม่อยากให้ผมต้องนึกถึง แต่ต่อให้มันไม่พูดถึง ผมก็ไม่ลืมอยู่ดี ก็ยังคงเป็นแผลสดใหม่ที่พึ่งผ่านไปยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง จะให้กูไม่รู้สึกได้ยังไง

 

“ไม่เป็นไรมึง มันก็ถึงเวลาที่ต้องพูดไหมวะ มึงดูที่อัยย์พูดกับกู”

 

“คือมันก็จริง พี่อัยย์ก็พูดแรงฉิบหาย” ไอ้มีนเห็นด้วยกับที่ผมว่า มันยังคงยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองปอยๆ สงสัยจะเจ็บจากที่โดนไอ้ปุ่นตบ

 

“อัยย์ไม่ได้พูดแรงหรอก อัยย์แค่พูดเรื่องจริง” ความจริงที่ผมก็รู้ แต่แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้

 

“แต่มึงก็นะ ปากหมาฉิบหาย กูไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่มึงกล้าพูดกับพี่อัยย์แบบนั้น” ไอ้มีนมองมาทางผมแบบเหมือนเจอเรื่องราวน่าเหลือเชื่อ

 

“อืม มึงด่าเค้าว่าเหี้ยด้วย” ไอ้ปุ่นพูดพร้อมกับใช้หลอดคนแก้วกาแฟในมือตัวเองไปด้วย

 

“กูก็แค่พูดเรื่องจริงออกมา” ผมแค้นยิ้มออกมานิดๆ ความจริงที่ว่าอัยย์ก็เห็นแก่ตัว แต่ผมไม่เคยพูดมันออกไปสักครั้งก็แค่นั้น

 

“ไอ้ความตรงๆ ของมึงนี่ล่ะน่ากลัว ซอฟหวานบ้างก็ได้ไอ้เหี้ย” ไอ้มีนถึงกับส่ายหน้าส่งมาให้ ก่อนจะหันไปแย่งแก้วกาแฟแบรนด์เงือกเขียวของไอ้ปุ่นมาดูดอย่างหน้าด้านๆ เจ้าของมอง มันก็ไม่สนหรอก

 

“แล้ววันนี้แม่งอะไรนักหนา คนมองมึงแล้วซุบซิบๆ กันเพื่ออะไรนัก”

 

“กูหล่อ”

 

“Kครับ อันนั้นกูก็หล่อเหมือนกันไหม แต่นี่มองไม่เลิกไม่ลา...”

 

“ก็จริงของไอ้มีนนะ ... หรือมึงไปสร้างเรื่องอะไรไว้อีกวะ” ไอ้ปุ่นขมวดคิ้ว หรี่ตามองผมอย่างจับผิด ได้แต่ยักไหล่ตอบกลับไปให้พวกมัน ... กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย

 

“พี่พระจันทร์น้ำมาแล้วจ้า น้องสมุทรไปต่อแถวมายาวมากกกก” เสียงสดใสที่ผมเริ่มจะคุ้นชินดังมาจากด้านหลังของไอ้ปุ่นและไอ้มีน นี่ล่ะมั้ง เหตุผลที่ทำให้วันนี้ผมเป็นที่สนใจมากกว่าเคย คงเป็นเพราะมัน ไอ้เด็กที่เคยแบกกีตาร์มาร้องเพลงจีบกันจนดังไปทั่วเพจมหาลัย แต่วันนี้มันกลับได้เข้าใกล้ผมมากกว่าเคยจนคนสงสัย

 

อืม คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างขี้เสือก

 

“อ้าว พี่ปุ่นพี่มีนมาแล้วหรอครับ สวัสดีจ้า” ไอ้สมุทรส่งยิ้มสดใสให้กับเพื่อนผมที่กำลังทำตาปริบๆ มองผมสลับกับมันอย่างข้องใจ แต่สมุทรมันก็ไม่ได้สนใจกับท่าทางตื่นๆ ของพวกเพื่อนผม ไอ้สมุทรมันก็เป็นคนแบบนี้มาตลอด สายตาของมันไม่เคยสนใจอะไร นอกจากเอาแต่มองตรงมาที่ผม ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันที่เดินเข้ามานั่งข้างๆ ผมแบบไม่สนใจอะไร ไม่สนใจแม้แต่คนรอบๆ โรงอาหารที่เอาแต่มองแล้วซุบซิบกัน ...

 

“พี่พระจันทร์กินนี่นะ น้องสมุทรรับรองว่าต้องสดชื่น”

 

“ขนาดนั้น” ผมปรายตามองแก้วน้ำแดงที่มันยื่นมาให้ เป็นแก้วน้ำแดงใส่ในแก้วพลาสติกธรรมดาๆ น่าจะซื้อมาจากร้านชงสักร้านในโรงอาหารนี้ที่ผมไม่เคยกิน

 

“ขนาดนั้นเลยล่ะ อากาศร้อนๆ ก็ต้องแดงโซดาดิ” มันบอกแบบภูมิใจนำเสนอ ยิ้มออกนอกหน้าจนตาปิด โคตรน่าหมั่นไส้

 

“แล้วทำไมมึงกินเขียวโซดา” เหล่ตามองไปที่อีกแก้วในมือของมันที่เป็นน้ำเขียวโซดาแบบเห็นได้ชัด เขียวมาแต่ไกลขนาดนั้น

 

“ก็น้องสมุทรชอบ”

 

“มึงชอบเขียวโซดาแล้วทำไมให้กูกินแดงโซดา”

 

“แล้วมึงเรื่องมากไรเนี่ยไอ้เหี้ยพระจันทร์ ปกติมึงก็ไม่แดกทั้งแดงทั้งเขียวอ่ะ” ไอ้มีนพูดขึ้นมาขัดแบบเสือกมากๆ มีใครขอให้มึงเสนอความคิดไม่ทราบ ปรายตาไปมองมันที่กำลังมองมาที่ผมแบบข้องใจ สายตาของมันมองกลับไปกลับมาระหว่างแก้วในมือไอ้สมุทรกับแก้วตรงหน้าของผม

 

“อ่า พี่พระจันทร์ไม่กินหรอครับของแบบนี้”

 

“ไอ้เหี้ยคุณชายนี่ไม่ชอบของหวานหรอก สันดานเข้มๆ แบบมันแดกแต่เอสเปรสโซ่เงือกเขียวจ้า” ไอ้มีนลอยหน้าลอยตาล้อผม แล้วยกแก้วของไอ้ปุ่นขึ้นมาโบกไปโบกมาให้สมุทรมันดู

 

“อ่า แบบนั้นหรอครับ” ปรายตามองไอ้เด็กข้างๆ ตัวที่ตอนนี้ยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นของตัวเองนิดๆ ท่าทางของมันที่บอกได้ว่ากำลังไม่มั่นใจ ผมสังเกตมาหลายที่แล้วว่าเวลาที่มันทำแบบนี้ น่าจะเป็นท่าทางของมันในตอนที่ประหม่า

 

“แต่วันนี้กูอยากแดก”

 

“หื้ม”

 

“อืม อยากแดก แต่อยากแดกเขียวโซดา” บุ้ยหน้าไปทางแก้วน้ำเขียวในมือของมัน สมุทรมันช้อนตาขึ้นมามองกันแล้วขมวดคิ้วนิดๆ ท่าทางที่ใช้ความคิดแบบสุดๆ ว่าจะยื่นมาให้ผมดีไหม

 

“งั้นเดี๋ยวน้องสมุทรไปซื้อให้ใหม่นะ”

 

“ทำไม”

 

“ก็แก้วนี้น้องสมุทรกินแล้วอ่ะดิ พี่พระจันทร์รอก่อน” มันบอกออกมาแบบจริงจัง ทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะไปจริงๆ เห็นแบบนั้นก็อดถอนหายใจใส่มันไปไม่ได้ ดีที่คว้ามือมันไว้ได้ทัน ไม่งั้นมันคงวิ่งไปถึงร้านน้ำแล้วล่ะดูทรง

 

“พี่พระจันทร์ปล่อยน้องสมุทรซี่ นี่รีบนะ จะกินไหมน้ำเขียวน่ะ”

 

“กิน...แต่จะกินแก้วนี้” พูดจบก็คว้าแก้วมันมาดูดเข้าปาก ผมที่จ้องตามันตอนที่ริมฝีปากจรดลงไปที่หลอดของมันที่เคยดูดไปก่อนหน้านี้ มันที่ค่อยๆ เบิกตากลมๆ ที่อยู่หลังกรอบแว่นขึ้นทีละนิดๆ ก่อนที่จะได้เห็นแก้มขาวๆ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเป็นสีแดงจนลามไปแดงถึงหู ท่าทางแบบนั้นทำให้พอใจแล้วเลยเลิกกิน

 

“อื้ม สดชื่นดี” บอกแบบนั้นแล้วปล่อยแขนมัน ก่อนจะหันกลับมาเจอเข้ากับหน้าตาตกใจเหมือนเห็นผีของไอ้มีน ส่วนไอ้ปุ่นก็มองมาที่ผมนิดๆ พร้อมยกยิ้มล้อๆ ...Kน่ารำคาญ

 

“มองเหี้ยไรไอ้สัดมีน”

 

“ไอ้เหี้ยมึงยิ้มครับเพื่อน ยิ้มหน้าเหี้ยเลย กูตกใจนึกว่าผีหลอก”

 

“สัด”

 

...

 

          น้องสมุทรเดินฮัมเพลงกลับมาที่คณะตัวเองในช่วงเวลาเที่ยงครึ่ง อากาศร้อนๆ ร้อนขนาดที่ว่าต้องตายห่าแน่ๆ ถ้ายังไม่เข้าร่ม ก้าวขายาวๆ จ้ำไปให้ถึงโต๊ะม้าหินใต้ต้นหูกว้างหน้าตึกคณะให้เร็วที่สุด พอเดินเข้าไปใกล้ก็มองเห็นไอ้เฮงที่กำลังนั่งเอาขาข้างนึงชันขึ้นมาบนเก้าอี้มาหินอย่างสบายใจ ปากก็ขยับเคี้ยวอะไรไม่รู้เสียงดังแจ๊บๆ แบบโคตรอุบาทย์ มือข้างนึงของมันกอดคอไอ้จิมเอาไว้ชิลๆ ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้าน

 

“นู่นไง มันมานู่นละ” ไอ้มาร์ชว่าออกมาแบบนั้นแล้วพยักหน้าบุ้ยใบ้มาทางผม มองเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างมันในชุดเสื้อช็อปสีน้ำเงินที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี

 

“อ้าว พี่ยอร์ช” ยกมือไหว้พี่มันไปที อีกคนก็ยิ้มรับ เป็นรอยยิ้มเท่ๆ แบบที่เคยเห็นทุกครั้ง

 

“กูมาหามึง”

 

“มาหาผม...” มาทำไมก่อนเอ่ย ชีวิตพี่มึงน่าจะรุงรังอยู่พอตัวนะ ยังจะมาหากูอี๊ก น้องสมุทรได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ มันดูเสือก

 

“อืม พี่เค้าเอาอาหารมาให้ มาเร๊วน้องหมุดลูก มาแดกไวๆ นะ โม่ๆๆ” ไอ้เฮงรีบพูดออกมาเสียงดัง พร้อมทำท่าทางตบๆ มือเรียกผมไปด้วย

 

“สัด กูไม่ใช่หมานะไอ้เฮงซวย” ด่ามันออกไปแบบนั้นแล้วก็ได้รับเสียงโห่ฮาของเพื่อนเหี้ยสามตัวที่ดังออกมาครื้นเครงเป็นที่สุด ถือเป็นความสนุกของพวกมันสามตัวที่ได้กวนตีนกวนใจผมได้แหล่ะ พี่ยอร์ชมันยิ้มขำน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาผมแทน

 

“มึงกินอะไรหรือยัง”

 

“กินแล้วพี่ อิ่มแล้วเนี่ย” กลัวมันไม่เชื่อก็ลูบท้องโชว์วันแพ็คของตัวเองไปที

 

“น่ารักนะมึงอ่ะ ยังกินได้อีกไหม”

 

“ทำไมวะ พี่เอาอะไรมาให้ผมหรอ” ถามออกไปแบบนั้น ทั้งที่จริงๆ ก็มองเห็นถุงในมือที่มันถือมาอยู่แล้ว แต่ดูแล้วมันไม่เหมือนของที่กินได้เท่าไหร่

 

“แดกไม่ได้นะ แต่เห็นแล้วคิดถึงมึง” มันบอกพร้อมทั้งยื่นถุงกระดาษที่ดูก็รู้ว่าราคาแพงส่งมาให้ รับมาแบบงงๆ เปิดออกแล้วต้องตาโต

 

“เชี่ย พี่เอามาให้ผมทำไมวะ ผมรู้จักนะยี่ห้อนี้อ่ะ แพงๆ”

 

“เมื่อวานกูไปซื้อของ เห็นแล้วคิดว่าน่าจะเหมาะกับมึง” พี่ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้น สายตาที่ดูมีความหวังของมันทำเอาผมต้องเม้มปาก

 

“พี่เก็บไว้ใส่เองเหอะ” ไม่กล้ารับครับ ก็ถุงเสื้อยี่ห้อนี้แม่งแพง ที่สำคัญผมจำได้ด้วยว่ามันคล้ายๆ กับเสื้อของพี่มันที่ใส่เมื่อคืน แค่คนละสี ที่พี่ยอร์ชซื้อมาให้ผมคือสีขาว มีลายกราฟิกเท่ๆ

 

“ผู้ใหญ่ให้ของก็อย่าให้เสียน้ำใจสิวะ กูตั้งใจซื้อมาให้มึงจริงๆ”

 

“แต่...”

 

“รับไปเหอะน่า” มันดันถุงกระดาษแบรนด์นั้นเข้ามาที่ตัวผมอีกครั้ง กลัวหล่นจนต้องรีบรับเอาไว้ พี่ยอร์ชเห็นแบบนั้นเลยยกยิ้มถูกใจ

 

“เอาไว้ใส่ไปเที่ยวกับกู”

 

“เที่ยว เที่ยวไรวะพี่”

 

“ก็พี่เค้าชวนไปเลี้ยงวันเกิดอ่ะดิ” ไอ้จิมที่นั่งอมลิ้นไม่มีบทอยู่ตั้งนานสอดปากขึ้นมาแบบนั้น ผมหันกลับไปมองพี่ยอร์ช

 

“วันเกิดพี่หรอวะ เมื่อไหร่”

 

“อืม วันเกิดกู อีกสามวันอ่ะ...มึงต้องไปนะ กูอยากให้มึงไป” สายตาที่มองมาที่บอกได้ว่ากูห้ามปฏิเสธ

 

“อ่า...”

 

“เพื่อนๆ มึงก็ไปกันหมด กูไม่ได้หลอกมึงไปทำมิดีมิร้ายหรอกน่า” พี่มันว่าแบบนั้นแล้วยิ้มขำ ผมถอนหายใจใส่ที่นึงเลย กูไม่ได้กลัวพี่มึงทำมิดีมิร้ายโว้ย กูกลัวใครบางคนที่ไม่ถูกกับพี่มึงจะมาหยุมหัวกูต่างหากเล่า แต่ถึงแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับแล้วตอบตกลงพี่มันไป

 

“โอเค ผมไป ... ดีนะยังไม่ถึง ต้องไปหาของขวัญให้พี่ซะแล้ว”

 

“ของขวัญอะไรไม่ต้องหรอกว่ะ แค่มึงอ่ะ ก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของกูแล้ว” มันบอกออกมาแบบนั้น สายตาคมๆ ของมันที่ก็เอาแต่จ้องตาผมไม่ละไปไหน รู้สึกขนลุกขึ้นมานิดๆ จนต้องยกมือขึ้นเกาหลังคอแก้เก้อ

 

“มึงไปพูดหวานๆ ที่อื่นเลยเว้ยพี่ยอร์ช กูไม่ใช่สาวๆ ของมึงน้า”

 

“แล้วกูมีสาวที่ไหนล่ะวะ ตอนนี้กูมีแต่มึงเนี่ย” พี่มันส่ายหัวว่าออกมาขำๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เบาจนหัวกูเสียทรง จิ๊ปากขัดใจใส่มันไปทีหนึ่ง

 

“ฮ่าๆ มีแต่กูเลยนะ” ผมหัวเราะออกไปแบบนั้น ในหัวนึกไปถึงภาพเมื่อคืนที่มันยื้อยุดกับพี่อัยย์อยู่หน้าร้านแล้วไม่น่าพูดได้ว่ามีแต่กูอ่ะ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่พูดออกไปดีกว่า

 

“ตอนนี้กูต้องไปละ มีเข้าช็อป ไว้เดี๋ยวกูโทรหา” มันบอกแบบนั้นตอนที่ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะยกมือไหว้มันไปที

 

“เออพวกมึง กูไปละ” พี่ยอร์ชหันไปบอกพวกเพื่อนๆ ผม ไอ้เฮงไอ้จิมเฮโลส่งเสียงพร้อมยกมือไหว้พี่มันเย้วๆ ส่วนไอ้มาร์ชก็มองหน้าพี่ยอร์ชนิ่งๆ ก่อนจะก้มหัวตอบรับนิดๆ

 

“ขอบใจนะพี่เรื่องเสื้อนี่” ผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกรอบ อีกฝ่ายก็ทำแค่ยกยิ้มหล่อๆ แล้วเดินทำหน้าเท่ๆ จากไป มองตามไปจนเห็นพี่มันเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ฟีโน่สีชมพูแปร๊ดแล้วขับออกไป ... นึกถึงตอนนั้นมันมารับผมด้วยรถหรูมากแต่เปิดหมอลำร้องในรถ ส่วนวันนี้เอาเสื้อแบรนด์แพงฉิบหายมาให้ แต่เสือกขับมอเตอร์ไซค์สีชมพูกลับคณะ บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจรสนิยมของพี่ยอร์ชมันเท่าไหร่

 

“แหมๆ มันสวยมากเลยว่ะเพื่อนกู”

 

“จริงครับเพื่อนเฮง ไหนขอหยิกแก้มคนสวยหน่อยสิ ฮิ้ว” ไอ้จิมรับส่งลูกคู่กับไอ้เฮงอย่างออกรสออกชาติ พร้อมทั้งยื่นมือมาหยิกแก้มผมด้วยทีนึง ทำท่าทำทางเหมือนมันเขี้ยวมากๆ มึงเอาแก้มกูไปเล่นที่บ้านด้วยเลยดิ

 

“พอๆ พวกมึงก็ล้อมันจัง” เป็นไอ้มาร์ชที่ยกมือขึ้นปัดมือไอ้จิมออกให้ ฮื่อ มีแค่พ่อมาร์ชเท่านั้นล่ะที่ดีต่อหัวใจน้องสมุทรเสมอ

 

“แหม่ ทำลูกมันไม่ได้เลยนะครับ”

 

“ใช่ครับเพื่อนเฮง มันเป็นปกเป็นป้อง มันตีมือเพื่อนจิมดังป๊าบ เฮงๆ เป่าให้จิมหน่อยครับ” เล่นบทตัวเล็ก ทำตัวสำออย ทั้งๆ ที่ตัวแม่งใหญ่กว่าผมกับไอ้มาร์ชซะอีก ยื่นมือไปให้ไอ้เฮงเป่าให้แบบเด็กๆ

 

“กูขอถีบซักที สำออยนัก”

 

“เห้ยๆ เบาครับพ่อ กูไม่ล้อลูกมึงแล้วไอ้เหี้ย แตะนิดแตะหน่อย อารมณ์มันขึ้นว่ะ”

 

“K” สมน้ำหน้า โดนKพ่อมาร์ชกูไปเต็มหน้าเลย

 

ผมแลบลิ้นใส่ไอ้เฮงกับไอ้จิมที่โดนไอ้มาร์ชด่า ก่อนจะก้มลงมองถุงกระดาษในมืออย่างหนักใจ ราคาไม่รู้เท่าไหร่ แต่ถ้าแบรนด์นี้ผมเคยเดินผ่านในห้างใหญ่ตอนไปซื้อของกับไอ้มาร์ช ก็รู้เลยครับว่าราคาจุกๆ

 

“มึงจะทำหน้าแบบนั้นทำไมวะ” ไอ้มาร์ชมองหน้าผมแล้วถามออกมาแบบนั้น กูถอนหายใจใส่หน้าพ่อไปทีนึงเลย

 

“ก็มันแพงนี่หว่ามึง”

 

“แต่มันอยากให้ ให้ทำไงได้วะ มึงไม่ได้ไปขู่ให้มันซื้อให้นี่” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นด้วยท่าทีชิลๆ มันเอื้อมมือไปจิ้มลูกชิ้นที่อยู่ในถุงตรงหน้าไอ้เฮงขึ้นมากินหน้าตาเฉย

 

“แล้วมึงรู้ได้ไงไอ้น้องหมุดว่ามันแพง ปกติกูไม่เห็นมึงจะสนใจแบรนด์อะไรเลยนี่หว่า” ไอ้จิมถามออกมาพร้อมๆ กับที่เอียงหัวหลบน้ำแข็งของไอ้เฮงที่เป่าจากหลอดมาใส่หัวมันไปด้วย กูระอาใจมาก ผมบอกแล้วว่าไอ้เฮงแม่งเฮงซวยสมชื่อและโคตรจะโสโครก

 

“แม่ง กูไม่ได้โง่นะเว้ย แบรนด์ลานวินนี่มันแพง ใช่ไหมวะไอ้มาร์ช” หันไปถามพ่อก่อน พ่อผู้ใช้ของแพงเสมอมา เพราะที่บ้านมันมีเงิน ... ไอ้มาร์ชเงยหน้าขึ้นมาจากลูกชิ้นปิ้งแล้วหันมาขมวดคิ้วมองหน้าผม

 

กูงง มึงงง มองกูทำไมก่อน

 

“แบรนด์ไรนะ”

 

“ลานวิน กูเคยเดินไปซื้อเสื้อกับมึง กูจำได้ว่าอยู่ในห้างใหญ่ที่สยาม”

 

“อืม...ลานวินเลยนะ” ไอ้มาร์ชกะพริบตาสองทีแล้วทำท่าทางกลั้นขำ มันที่หันหน้าไปมองไอ้เฮงกับไอ้จิมแบบขอความช่วยเหลืออย่างทนไม่ไหวเต็มที่ ก่อนจะเป็นไอ้จิมเองที่โพล่งออกมาแบบไม่ไหวก่อนใคร

 

“โอ๊ยย ลานวินพ่องมึงไอ้เชี่ยน้องหมุด ลองแวงไอ้สัด มันอ่านว่าลองแวง มึงจะทำให้แบรนด์ฝรั่งเศสกลายเป็นแบรนด์บ้านหนองผักกระโดนไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ”

 

“กูยอมใจเลย” ไอ้มาร์ชตบเข้าที่ไหล่ผมปุๆ เหมือนให้กำลังใจ แต่กูเห็นมึงเกร็งจนไหล่สัด เหี้ยเหมือนกันหมด แอบขำกูจนหน้าแดง

 

“ไอ้สัดเอ๊ย อย่าไปพูดที่ไหนนะ กูอายคน”

 

“ฮ่าๆๆ”

 

“แม่ง กูจะไปรู้ได้ยังไง วันก่อนกูยังอ่านครีมแม่ว่าชื่อลานคัมอยู่เลย ... ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” เกลียดฉิบหาย กับความหน้าแตกน่าอายของกูที่กลายเป็นที่ขบขันของหมู่คณะ ... เหยดเป็ด แล้วใครใช้ให้แม่งทำแบรนด์เป็นภาษาฝรั่งเศสล่ะไอ้เหี้ย มึงอ่านยากเอง กูไม่ผิดนะ!

 

...

 
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่10 (220222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 22-02-2022 19:47:57
“พี่พระจันทร์ คิดถึงน้องสมุทรไหมคร๊าบบ~” ผมที่ตะโกนเสียงดังพร้อมวิ่งเข้าไปหาคนที่พึ่งเดินมาจากตึกเรียน และยืนเด่นสง่าอยู่ที่ขั้นบันไดหินอ่อนหน้าตึกนั่น น้องสมุทรส่งยิ้มละลายหัวใจไปให้พี่พระจันทร์ด้วยอีกหนึ่งที เป็นไงล่ะ ผัวอบอุ่น

 

“จะคิดถึงเหี้ยอะไร ตอนกลางวันก็พึ่งเจอหน้ามึง” แป่ว .. ตอบกลับมาด้วยหน้าตานิ่งๆ ตามเคย สายตาที่หลุบลงต่ำเพื่อมองหน้าผมดูเหยียดหยามจนน่าตี ปกติพี่พระจันทร์ก็สูงกว่าน้องสมุทรอยู่แล้ว นี่ยิ่งยืนที่บันไดขั้นสูงกว่าน้องสมุทรขั้นนึง ...กูดูเหมือนคนแคะเลย

 

“แต่น้องสมุทรคิดถึงพี่พระจันทร์มากมาย หัวใจอยู่ที่เธอนะ” บอกออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็ส่ายหัวใส่กัน แต่แอบมองเห็นรอยยิ้มนิดๆ ที่ถูกจุดอยู่ตรงมุมปาก เห้ยน่ะ! เธอไหวหวั่นกับเราแล้วอ่ะดิพระจันทร์จ๋า งี้ล่ะ โดนผัวสุดคิ้วท์อ้อร้อมันก็ต้องหัวใจยวบยาบกันบ้างแหละวะ

 

“เยอะละ มึงมาทำไมอีก”

 

“ก็มารับพี่พระจันทร์ไปเดท” ตอบออกไปเสียงดังฟังชัด วันนี้ตั้งใจจะมาพาพี่พระจันทร์ไปเดทเลยนะ!

 

“เดทเหี้ยอะไร ไร้สาระ กูจะกลับบ้านไปนอน ง่วงฉิบหาย” บอกผมแบบนั้นแล้วพร้อมยกมือขึ้นมากวักไล่แบบไม่สนใจอะไร นอกจากตั้งใจอ้าปากหาวแบบไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์ ... เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นท่าทางแบบนี้ของอีกคน ท่าทางสบายๆ ทำตามความรู้สึกที่ไม่ได้ดีแต่ทำหน้านิ่งแบบที่ผ่านมา เห็นแบบนั้นแล้วน้องสมุทรก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ขนาดหาวอ้าปากกว้างจนแทบจะเห็นลิ้นไก่ก็ยังน่ารัก งื้อ ไอ้ต้าวน่ารักของน้องสมุทร

 

“อ้าว งั้นเดี๋ยวน้องสมุทรพาไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยแทนละกัน” เป็นไงล่ะ หล่อ สปอร์ต ใจดี เทคแคร์เก่ง เรียกผมว่า ผัวน้องสมุทร

 

“จะพากูไปส่งบ้าน”

 

“ใช่ฮับ” พยักหน้าหงึกหงัก น้องสมุทรน่ะจริงจังไม่จิงโจ้ พี่พระจันทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนที่เห็นท่าทางแบบนั้น ก่อนจะก้มหน้าต่ำลงมาหากัน น้องสมุทรช้อนตามองพี่พระจันทร์แบบไม่เข้าใจ ใกล้ไปไหม ใกล้ไปแล้วนะ ... ก็ใบหน้าของอีกฝ่ายเล่นเลื่อนเข้ามาใกล้จนจมูกแทบจะชนกัน

 

“แล้วมึงจะเอารถอะไรไปส่งกู”

 

‘เพล้ง’

 

เหมือนได้ยินเสียงเศษหนังหน้าตกกระจายลงบนพื้น ... กูไม่มีรถจ้า

 

ช้อนตามองหน้าพี่พระจันทร์พร้อมยกมือดันกรอบแว่นตาแล้วยิ้มให้แหย่ๆ ในสมองก็คิดไป เอาไงดีๆๆๆ เรียกแกรปไหม ยังไง

 

“หึ มึงนี่นะ”

 

“แหะ ก็น้องสมุทรอยากทำหน้าที่คนจีบนี่ เอาไงดี กลับแท็กซี่ก็ได้ป่ะ” เสนอออกไปแบบนั้นแล้วพี่พระจันทร์ก็ถอนหายใจใส่หน้ากัน ขายาวๆ ที่ก้าวลงมายืนที่บันไดขั้นเดียวกัน

 

“กูมีรถครับ เผื่อมึงลืม”

 

“อ่า...งั้นน้องสมุทรไปส่งพี่พระจันทร์โดยรถพี่พระจันทร์ โอเคป่ะ”

 

“หึ แถไปเรื่อยนะมึง” ว่าแบบนั้นแล้วก็เอาแขนของตัวเองมาพาดลงบนบ่าของน้องสมุทร แอ๊ก! หนักจังโว้ย

 

“จะไปไหม”

 

“ไปๆ น้องสมุทรจะไปส่งพี่พระจันทร์ให้ถึงห้องเลยนะ” ร้องบอกออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ที่ก้มหน้าลงมามองในตอนที่ผมแหงนหน้าขึ้นไปยิ้มให้ เค้ากระชับแขนที่กอดคอผมเอาไว้มากขึ้นอีกนิด ช้อนตาขึ้นไปมองก็เห็นพี่พระจันทร์เม้มปากนิดๆ แล้วหันหน้าหนีไปมองทางอื่น ... เป็นอะไรอ่ะ

 

“พี่พระจันทร์กลั้นยิ้มหรอ”

 

“มั่ว! กูเปล่า!”

 

“เอ้า เสียงดังทำไมตกใจหมดนะ” ตะโกนซะคนแถวนั้นหันมามอง กูงง คนรอบข้างงง ส่วนคนข้างๆ ก็กลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ปัดโถ๊ะ

 

“พี่พระจันทร์นี่แข็งเก่งจริงๆ ... แหะๆ น้องสมุทรหมายถึงหน้าน่ะ” ยิ้มแผละตอนที่คนที่เดินอยู่ข้างๆ ตัวปรายตามองลงมา อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ แบบบอกไม่ถูก

 

“อยากรู้ไหมล่ะว่ากูแข็งเก่งแค่หน้าหรือที่อื่นด้วย” ยักคิ้วใส่กันที่นึง น้องสมุทรกลืนน้ำลายลงคอทีนึงแล้ว...

 

“ถึงรถแล้วจ้า อากาศร้อนมาก พี่พระจันทร์เปิดรถเลย!” ดันแขนของอีกคนออกแล้วสับตีนวิ่งไปที่รถทันทีเมื่อมีอาการเสียวตูด ปัดโถะเว้ย ไม่ได้หนีอะไรหรอกนะ น้องสมุทรแค่เดินมาตั้งหลัก

 

พี่พระจันทร์ที่ยืนกอดอกมองกันอยู่ที่เดิมยกยิ้มนิดๆ ตอนที่น้องสมุทรหันไป ใบหน้าร้ายๆ ที่มาพร้อมริมฝีปากที่อ่านได้ว่า ‘อ่อนเอ๊ย’

 

หึ! เค้าเรียกว่าทำการใหญ่ใจต้องนิ่งเถอะ คนสวยขาแบบพี่พระจันทร์จะไปรู้อะไร๊

 

รถคันหรูเลี้ยวเข้าจอดที่ลาดจอดรถที่ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง น้องสมุทรรีบปลดสายเบลท์ออกจากตัวทันทีที่รถถอยหลังเข้าซอง ก่อนจะรีบเปิดประตูรถลงไปตอนที่รถจอดสนิท มองเห็นพี่พระจันทร์ที่ขมวดคิ้วนิดๆ มองตามผมที่วิ่งอ้อมหน้ารถมาที่ประตูข้างคนขับฝั่งพี่พระจันทร์นั่งอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตูด้วยท่วงท่าที่คิดว่าเรานี่มันผัวที่เท่ที่สุดเลยว่ะไอ้สมุทร และออกแรงเปิดประตู

 

‘กริ๊ก’

 

ประตูรถเปิดไม่ออก~~!

 

‘ฟืดดด’

 

บานกระจกด้านข้างคนขับเลื่อนลงมา พร้อมๆ กับสายตานิ่งๆ ของพี่พระจันทร์ที่มองมาที่ผมพร้อมมองมานิ่งๆ แต่สายตานั่นมันดูจะถูกอกถูกใจกับหน้าตาเหลอหลาของผมจนอ่านได้ชัด

 

“ทำอะไรของมึง”

 

“ก็...น้องสมุทรจะมาเปิดประตูให้” ย่นหน้านิดๆ แล้วตอบแบบกลับไปแบบอ้อมแอ้ม พี่พระจันทร์ยกยิ้มเหมือนสะใจนิดๆ ตอนที่เห็นท่าทีแบบนั้นของผม ก่อนนิ้วยาวสวยของพี่เค้าจะเอื้อมไปกดที่ปุ่มอะไรสักสิ่ง และน้องสมุทรก็ได้ยินเสียงดังฟังชัดเลยว่า ‘คลิ๊ก’ ...รถปลดล็อกประตูทั้งคัน

 

“ผมลงเองได้ครับไอ้หนู ถอยออกไปเลยมึง” บอกแบบนั้นแล้วเลื่อนกระจกขึ้นต่อหน้าต่อตา พร้อมเปิดประตูลงมาด้วยท่วงท่าสุดกร๊าวใจ แม่งเอ๊ย แสนอาย น้องสมุทรยืนคอตกเลย

 

“หึ” ขยี้ความหน้าแตกของกูด้วยเสียงหัวเราะสะใจกันไปอีกหนึ่งที หึ่ย

 

“อย่าพยายามเลยมึง น่าอาย”

 

“หึ่ย อย่ามาล้อน่า” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแต่ทำอะไรไม่ได้ อย่าให้ถึงที่น้องสมุทรนะ พ่อจะจับตีก้นบนเตียงให้เจ็บๆ เลย เอิ๊ว อ๊าว

 

“ไป มึงจะยืนมึนอยู่ทำไม”

 

“ก็น้องสมุทรมาส่งแล้ว เดี๋ยวน้องสมุทรกลับเลย”

 

“กลับยังไง” ยกมือขึ้นเท้ากับหลังคารถแล้วจ้องหน้าผมแบบขอคำตอบ ผมที่กรอกตาไปซ้ายทีขวาทีแล้วก็ปิ๊งไอเดียร์

 

“เดี๋ยวเดินไปขึ้นวินตรงหน้าคอนโดพี่พระจันทร์ไปลงบีทีเอสแล้วก็กลับบ้าน”

 

“เพื่อ ไร้สาระ” ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่คำตอบของผม แล้วก็เดินตรงมาเอาแขนพาดคอของผมแล้วลากขึ้นไปบนห้องด้วยกันหน้าตาเฉย

 

“เด...เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนเห้ย” พยายามจะยื้อตัวไว้ แบบใจเย็นกันก่อนแม่คนสวยขา แต่ว่าแรงกูมีแค่นี้ ผลสุดท้ายเลยมาหยุดยืนอยู่กลางห้องเดิมที่เมื่อเช้าพึ่งจะเดินออกไปพร้อมพี่พระจันทร์

 

“หาไรกินก่อน เดี๋ยวเย็นๆ กูไปส่ง” อยากถามว่าเย็นกี่โมงก่อนเอ่ย เหลือบมองนาฬิกาที่อยู่ในห้องรับแขกของพี่พระจันทร์บอกเวลาตอนนี้ห้าโมงครึ่ง เย็นของพี่เริ่มตอนกี่โมงวะ อยากจะถาม แต่เงียบไว้ดีกว่าตอนที่เห็นสายตานิ่งๆ ที่มองมา

 

“พี่พระจันทร์จะกินอะไร” ผมถามพร้อมวางกระเป๋าลงบนโซฟา ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวที่ค่อนข้างจะคุ้นชิน เปิดตู้เย็นมองเห็นของสดที่เหมือนจะถูกเติมให้เต็มแล้วทั้งๆ ที่เมื่อเช้ามันยังไม่ค่อยจะมีอะไร

 

“อาเมลคงเอามาเติมให้” เหมือนนั่งอยู่ในใจ พี่พระจันทร์ก็พูดออกมาแบบนั้น

 

“อาเมล”

 

“อืม อากูเอง คนที่เลี้ยงกูมาตั้งแต่เด็ก” เค้าบอกผมแบบนั้น หันไปมองหน้าอีกคนที่นั่งลงที่เก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์ครัวเหมือนเมื่อเช้าเด๊ะๆ ผมยื่นแก้วน้ำเย็นๆ ที่พึ่งเปิดมาเทส่งไปให้เค้า พี่พระจันทร์รับมันไปดื่มก่อนจะหมุนแก้วที่ถืออยู่ในมือเล่น ผมเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อแต่หันกลับไปมองของในตู้เย็นแทน ... คิดว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรไปเซ้าซี้ถาม โดยเฉพาะกับเรื่องของครอบครัวคนอื่น

 

“พ่อกับแม่กูตายน่ะ อาเมลเลยเป็นคนเลี้ยงกูกับอาทิตย์มาตั้งแต่ตอนสองสามขวบ” ผมหันกลับไปมองหน้าพี่พระจันทร์นิ่งๆ ไม่ได้คิดว่าเค้าจะเปิดปากเล่าให้ฟัง ... ตอนที่เด็กขนาดนั้น และต้องห่างกับพ่อแม่แบบไม่มีวันกลับ มันจะต้องเป็นความรู้สึกที่ยากแค่ไหนกันนะ

 

“แต่กูไม่เคยรู้สึกขาดเลยมึงรู้ป่ะ อาเมลกับป๊าทัพก็คือพ่อกับแม่ของกู คือครอบครัวของกูในตอนนี้” พี่พระจันทร์พูดไปก็ระบายรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมา เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น เป็นอีกมุมที่ดูมีความสุขแบบที่ผมไม่เคยเห็น

 

“อากูเค้าเป็นเกย์นะ ป๊าที่กูว่าก็คือแฟนของเค้าที่ช่วยกันเลี้ยงกูมา” ผมสบตากับเค้าในตอนที่พี่เค้าบอกออกมาแบบนั้น ผมค่อนข้างจะตกใจนิดหน่อยที่ได้ยินเรื่องราวนี้ แต่ก็ไม่แปลกใจอะไร นอกจากดีใจที่พี่เค้าได้เติบโตมาเป็นเค้าในทุกวันนี้ได้ คงจะเป็นครอบครัวที่ดีมากๆ เลย

 

“ตกใจไหม”

 

“ครับ ก็นิดหน่อย” ตอบออกไปตรงๆ

 

“รังเกียจไหมล่ะ”

 

“แล้วทำไมต้องรังเกียจล่ะครับ” ผมพูดโพล่งสวนออกไปแบบนั้นพร้อมขมวดคิ้วกับคำถามแบบนั้น

 

“ผมแค่รู้สึกทึ่งมากๆ ที่พี่เติบโตขึ้นมาได้ดีขนาดนี้ จากการเลี้ยงดูของผู้ชายสองคนน่ะ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากเลยนะ คนชอบพูดว่าความรักของชายรักชายมันไม่ยืนยาวหรอก ผมก็สงสัยนะ คนพวกนั้นเป็นใครวะถึงมาตัดสิน ดูอย่างครอบครัวพี่ดิ เค้ายังรักกันมาอย่างยาวนานและเลี้ยงดูพี่ให้เติบโตขึ้นมาเป็นพี่ได้อย่างดีแบบนี้ แล้วคนอื่นมีสิทธิอะไร ถึงมาลงความเห็นว่ามันไม่ถูก มันน่ารังเกียจ”

 

ขมวดคิ้วและหอบหายใจตอนที่รู้สึกว่าอารมณ์เริ่มจะพลุ่งพล่าน มองหน้าพี่พระจันทร์ที่กำลังมองมา แล้วก็รู้สึกว่ากูพูดมากเกินไปแล้วว่ะไอ้น้องสมุทร เห็นแบบนั้นเลยยกมือขึ้นดันกรอบแว่น เลิ่กลั่กเลยกู

 

“หึ ขอบใจนะ” พี่พระจันทร์บอกออกมาแบบนั้นพร้อมจ้องตาผม มองเห็นรอยยิ้มที่ถูกจุดที่มุมปากของพี่เค้า สายตาที่ไม่ได้แข็งกระด้างจนอ่านไม่ออกแบบทุกทีทำให้ผมรู้ว่าเค้ากำลังขอบคุณแบบที่ว่า สายตาที่อ่อนโยนแบบนั้น เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ได้เห็น งื้อ...ใจเต้นแรงหน้าแดงอีกแล้ว

 

“น้องสมุทร...เอ่อ ทำกับข้าวต่อดีกว่า ฮ่า” หัวเราะแก้เก้อไปที หันหลังหนีอย่างไว โปรดอย่ามองน้องสมุทรด้วยสายตาแบบนั้นจะได้ไหม รู้สึกอยากเสียตัว เอ๊ย! อยากให้พี่พระจันทร์เสียตัวให้น้องสมุทรสิถึงจะถูก

 

“ถ้าคนอื่นๆ คิดแบบมึงได้ก็คงดี” ได้ยินเหมือนพี่พระจันทร์พูดอะไรสักอย่าง แต่พอหันกลับไปมอง ก็เห็นพี่พระจันทร์นั่งเล่นเกมแล้ว คิดว่าน้องสมุทรน่าจะหูเพี้ยนแหล่ะ

 

แต่วันนี้จะโชว์เสน่ห์ปลายจวักให้สุดฝีมือเลย พ่อครัวผัวป่า!!~~~

 

.

.

.


        เสียงดังของจานชามและกระทะตะหลิวที่ไม่เคยถูกใช้งาน กำลังดังประสานเป็นจังหวะที่น่ามองอยู่ในตอนนี้ ถ้าอาเอมรู้ว่าของพวกนี้ได้ใช้งานคงจะน้ำตาซึม เพราะตั้งแต่มีมันมา ก็ไม่เคยคิดจะเอามาใช้เลยสักที


“มึงทำอะไร กูช่วยไหม”

 

 

“น้องสมุทรว่าจะทำบล็อคโคลี่ผัดกุ้ง แล้วก็สเต๊กอกไก่ครับ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วก็ยิ้มออกมากว้างๆ ผมสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมถึงทำเมนูพวกนี้ แต่ไม่ต้องถามต่อก็เป็นมันที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน

 

“น้องสมุทรเห็นพวกดัมเบล ลูกกลิ้งเพิ่มกล้ามอะไรอยู่ตรงมุมนั้นอ่ะ เลยคิดว่าพี่พระจันทร์น่าจะไม่อยากทานอะไรหนักๆ กินพวกนี้น่าจะดี คาร์บน้อย โปรตีนเยอะ แล้วก็มีไฟเบอร์ด้วย รับรองลอนหน้าท้องพี่พระจันทร์ไม่หายหรอกครับ” ยิ้มแฉ่งตบท้ายเมื่อพูดจบ ทำท่าทำทางเหมือนกำลังภูมิใจกับความเก่งกาจของตัวเอง แต่ว่าไม่ได้ ผมไม่เคยบอกอะไรพวกนี้กับมัน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนช่างสังเกตและจับความรู้สึกคนได้เก่ง

 

“รู้ได้ไงว่ากูมีลอนหน้าท้อง”

 

“ปั๊ดโถะ ก็น้องสมุทรน่ะเคยเห็น แล้วก็จับมันมากับมืออ่ะดิ แข็งปั๊ก!” มันว่าแบบนั้นตอนที่สาละวนอยู่ที่หน้าเตา เห็นมันกดปุ่มเปิดฮูดดูดควันให้ทำงานตอนที่เริ่มเอากุ้งลงไปผัด

 

“มันเปิดตรงนี้หรอวะ”

 

“เชี่ย! พี่พระจันทร์จะมายืนซ้อนหลังน้องสมุทรทำไมเล่า!” มันโวยวายออกมาเสียงดัง มองจากด้านหลังแบบนี้มองเห็นหูเล็กๆ น่ารักของมันแดงขึ้นมา ท่าทางอึกอั่กที่เหมือนอยากจะหนี แต่ก็ถอยไม่ได้เพราะโดนกักไว้และอีกอย่างคงห่วงเตาไฟตรงหน้า เห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกสนุกดี เลยเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ

 

“เมื่อกี้มึงบอกว่าเคยจับ แข็งปั๊กที่ว่ามันคืออะไรหรอวะ” เลื่อนหน้ากระซิบลงเบาๆ ข้างๆ หูของมัน ตั้งใจเป่าลมเบาๆ เข้าที่ใบหูนั่นด้วย แก้มใสแดงระเรื่อขึ้นมานิดๆ ถือว่าประสบความสำเร็จ

 

“ท้องไงเล่า! น้องสมุทรไม่ได้หมายถึงจู๋พี่หรอกน่า!!” หลับหูหลับตาร้องออกมาเสียงหลง เห็นแบบนั้นแล้วมันก็อดไม่ไหว ไอ้เด็กนี่มันตลกจนต้องหลุดขำ

 

“ฮ่าๆ กูล่ะเชื่อมึงเลยว่ะ” ยกมือขึ้นยีหัวมันไปทีแบบอัตโนมัติ ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากอยากยีให้หัวมันไม่เป็นทรงเล่นก็แค่นั้น

 

“อ๊ากก อย่ามาแกล้งน้องสมุทรนะ พี่พระจันทร์ถอยออกไปนั่งรอเลยไป” ไล่ด้วย อยากถามบ้านกูหรือบ้านมึง แต่แกล้งมากกว่านี้เดี๋ยวลูกกระต่ายจะเฉามือ เลยยอมเดินกลับมานั่งรอที่โต๊ะดีๆ แต่นึกขึ้นได้อย่างนึงเลยตะโกนบอกมัน

 

“เออไอ้สมุทร”

 

“จ๋าาา”

 

“กูแค่จะบอกว่า ไม่แค่ท้องกูนะที่แข็ง จู๋กูก็แข็งด้วยเหมือนกัน”

 

‘เคร้ง’

 

เสียงตะหลิวหล่นลงพื้น มองแผ่นหลังบางๆ นั่นก้มๆ เงยๆ ชนขอบโต๊ะอยู่ตอนนี้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอีกหนึ่งที เหมือนว่าการแกล้งมันได้ จะทำให้ผมลืมเรื่องบางเรื่องไปได้อย่างดีเลย

 

“มาแล้วๆ พี่พระจันทร์ รีบมากินเลยครับ ข้าวสวยร้อนๆ สวยเหมือนพี่พระจันทร์เลย มาๆ” มันว่าออกมาด้วยเสียงสดใสแบบทุกที พร้อมๆ กับจานผัดบล็อคโคลี่ใส่กุ้งหอมๆ ควันที่ลอยออกจากจานตรงหน้าก็บอกได้ว่าเป็นอาหารทำสดใหม่จริงๆ ผมไม่ค่อยได้กินอาหารทำเองสดๆ แบบนี้มานานแล้ว ปกติก็หากินข้างนอก หรือบางทีก็ซื้อพวกอกไก่ทำสำเร็จมากินก็แค่นั้น

 

“อ๊ากก น่ากินสุดๆ ไปเลยว่ะ”

 

“มึงจะไม่ให้คำชมมันมาจากกูบ้างเลยหรือไง มีอย่างที่ไหนทำเองชมเอง”

 

“ก็พี่พระจันทร์ไม่ชมสักที น้องสมุทรเลยชมนำไปก่อนไง” มันที่ตักข้าวกล้องใส่จานมาวางลงตรงหน้าผม ปริมาณไม่ได้มากนัก สมกับที่มันบอกว่าวันนี้จะเป็นคาร์บน้อยๆ

 

“พี่พระจันทร์ชิมเลยสิๆ” ท่าทางที่คาดหวังของมันจ้องตรงมาที่ผม ดวงตากลมโตหลังแว่นตานั่นจ้องกันแบบไม่กะพริบ เห็นแบบนั้นเลยตักผัดบล็อคโคลี่นั่นเข้าปากไป

 

“เป็นไงๆ อร่อยไหมครับ”

 

“อื้ม อร่อย” ท่าทางลุ้นๆ ของมันทำให้ผมแกล้งอีกไม่ลง เลยต้องบอกมันออกไปตามตรง ผักที่ผัดมารสชาติกลมกล่อมกำลังดี บวกกับผักที่สดกรอบ ไม่ได้ผัดนานจนเหี่ยวเลยยิ่งทำให้รสชาติดีบวกกับกุ้งเด้งๆ ในปากก็ยิ่งอร่อย

 

“เย้ ดีใจจังเลย” มันยิ้มออกมากว้างตอนที่ได้รับคำชม ไอ้สมุทรยกมือถือของมันขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ ขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่ามันทำอะไรของมัน

 

“เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำไง ก็พี่พระจันทร์บอกว่าอร่อยนี่นา” ก็ไม่อยากขัดศรัทธาเลยพยักหน้าเข้าใจมัน

 

“ส่งมาให้กูด้วยแล้วกัน”

 

“หื้ม พี่พระจันทร์หมายถึง”

 

“รูปนั่นไง มึงจะโมเมเป็นความทรงจำของมึงคนเดียวได้ไงวะ ในรูปนั่นก็มีกู” บอกมันออกไปแบบนั้นแล้วหั่นอกไก่เข้าปาก สัมผัวกลมกล่อมไม่ด้านฝืดคอเหมือนอกไก่ทั่วไป ทำให้ยิ่งเจริญอาหารมากขึ้นไปอีก เห็นไอ้สมุทรยิ้มกับมือถือของมันไปก่อนที่แจ้งเตือนมือถือของผมจะดังขึ้นข้างๆ ตัว

 

“น้องสมุทรส่งให้แล้วนะ...ความทรงจำแรกของเราที่อยู่ด้วยกัน

 

ไม่ได้พูดแย้งคำพูดของมันออกไป ก็เพราะว่าจริงแบบที่สมุทรมันว่า ... ก็นี่มันเป็นความทรงจำแรกที่น่าจดจำของเราสองคนจริงๆ

 

#รักอยู่รู้ยัง

 

สวัสดีวันที่22เดือน02ปี22ค่าาา เค้าว่ากันว่า เราต้องรออีก200ปี ถึงจะมีวันที่ตัวเลขเรียงกันดีๆแบบนี้เลยน้า

แคทเลยตั้งใจว่าจะลงตอนนี้ในวันนี้ เพื่อฉลองให้เป็นวันดีๆสำหรับคนอ่านที่น่ารักของแคททุกๆคนเลยค่ะ

หวังว่าตอนนี้ จะเป็นอีกหนึ่งตอน ที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้ และฝากกำลังใจส่งมาให้น้องสมุทรกับพี่พระจันทร์ด้วยนะคะ

 

ปล1. น้องสมุทรอยากไปส่งสาวพระจันทร์กลับบ้าน แต่สาวพระจันทร์ขับรถให้น้องสมทุรนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถแล้วหนึ่ง

ปล.2 พี่ยอร์ชเปย์น้องหนักจังเลยจ้าา ฉันรักเค้าาาา

ใครใช้ทวิตเตอร์ ฝากคอมเม้นท์ รีวิวต่างๆ ได้ที่แฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยังด้วยนะคะ

 :mew1: :mew3: :katai4:


ขอขอบคุณคนอ่านจากเล้าเป็ดที่ยังอยู่ด้วยกัน ตอนที่ผ่านมาคนเม้นท์เยอะกว่าทุกที แคทดีใจแล้วนะคะ

:o8: :-[ :impress2:
ขอบคุณที่อยู่ให้กำลังใจแคทในทุกๆตอนเลยนะคะ วันนี้มาอัพแล้ว มาอ่านต่อน้าา :mew1:


ผมสีชมพู....น้องสมุทร ลูก (นี้ก็แอบเดาจากตอนแรก แล้วนะ ว่าอาจเป็นประเด็น)
ลุ้นค่าคุณแคท รอ รอ

ตัดใจได้จริงไหมเนี้ย พี่พระจันทร์ ถ้าคนนั้น อยากกลับมา ?

ดีทุกอย่างเลยคุณแคท แอบขัดใจอย่างเดียวเลย .....มาทีหลายๆ ตอนได้ไหมค้า คนอ่านจะลงแดงเพราะรอ รอ รอ  :hao5:
แคทดีใจที่ได้รับคอมเม้นท์จากคุณนะคะ ดีใจจริงๆที่บอกว่ารอนิยายเรื่องนี้นะคะ ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ดีใจที่ได้คอมเม้นท์ยาวๆบอกเล่าอารมณ์ที่รู้สึกมาให้กันนะคะ ส่วนเรื่องที่ถามน้านนน แคท...แคทไม่รู้ๆๆๆๆ (เอามือปิดปาก) อิอิ มาอ่านตอนใหม่อีกนะคะ ~~~~ :mew1:

เอ็นดูน้องอาทิตย์ตัวเล็กน่ารักปุ๊กปิ๊ก :m20: :m20: :m20:
น้องอาทิตย์ก็ตัวแค่นี้ ซิสจันทร์ก็ชอบทำรุนแรงกับน้องงงงง  :hao7:

พี่พระจันทร์หวงแหละแต่ปากแข็ง!!
  ต้องเอาอะไรไปงัดปากพี่เค้าดีคะ ต้องดักตีสักทีแล้วไหมเนี่ย  :hao3:

 
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่10 (220222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-02-2022 21:22:22
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่10 (220222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 24-02-2022 19:10:04
โอ้ยชอบอ่ะ ชอบความอ้อล้อของน้องสมุทร ชอบนางงงง :jul3:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 24-02-2022 20:40:37

บทที่11

 

‘เคร้ง’

 

“เชี่ยแม่ง”

 

เสียงดังที่ทำให้ผมต้องตกใจตอนที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ ตามมาด้วยเสียงสบถที่บ่งบอกอารมณ์ของคนพูดว่าเริ่มจะหงุดหงิดแล้ว ได้ยินแบบนั้นน้องสมุทรเลยรีบเดินเข้าไปดู แล้วก็ได้เห็นแผ่นหลังกว้างที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่อ่างล้างจาน มือข้างนึงที่ถือฟองน้ำล้างจานชูขึ้นแบบไม่รู้จะทำยังไงดี

 

“พี่พระจันทร์ทำอะไร”

 

“ล้างจาน มึงเห็นว่ากูกำลังเต้นโคฟเวอร์วงBTSอยู่หรอวะ” อะ ยอกย้อนกูไปอีก

 

ผมมองสภาพพี่พระจันทร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ต้องพยายามกลั้นยิ้มไว้จนสุดความสามารถ ไม่รู้ว่ามาล้างจานหรือมาอาบน้ำกันแน่ ยังมีฟองติดอยู่ตรงหางคิ้วด้วย แล้วเสื้อชุดนักศึกษาที่ใส่อยู่ก็เปียกไปเป็นแถบจนมองเห็นหัวนมกับซิกแพ็คเป็นลูกๆ หืดหาดดดดด ใจเย็นไอ้น้องสมุทร ถึงพี่พระจันทร์จะเซ็กซี่ฉิบหาย แต่จงบอกตัวเองเอาไว้ว่าพี่เค้าก็แค่เป็นเมียสายนักกีฬารักสุขภาพเท่านั้นล่ะ

 

“พี่พระจันทร์ออกมานี่ดีกว่าครับ เดี๋ยวน้องสมุทรทำเอง” ผมเดินเข้าไปลากตัวอีกฝ่ายให้ออกมาจากในครัว ก่อนที่อะไรสักอย่างจะพังไปมากกว่านี้ เหลือบมองเห็นจานข้าวที่พึ่งใช้กินกันไปก่อนหน้านี้มีรอยบิ่นเล็กๆ ตรงข้างจานแล้วด้วย

 

“อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้นนะมึง กูล้างเป็น”

 

“น้องสมุทรยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเถอะ”

 

“สายตามึงมันฟ้อง มันกำลังบอกว่ากูเป็นไอ้งั่งที่แค่ล้างจานก็ทำไม่ได้ กูพูดเลยว่า กู ทำ เป็น!” เน้นๆ สามคำหลังแบบช้าๆ ชัดๆ คืออะไรมันจะขนาดนั้นว่ะนั่น ผมยังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพยายามไม่ขำออกมาให้พี่พระจันทร์รู้สึกเสียเซลฟ์แค่นั้นเอง

 

“ครับๆ ทำเป็นครับ”

 

“เนี่ย มึงกวนตีนกู มึงไม่เชื่อ”

 

“น้องสมุทรเชื่อน่า” บอกออกไปอีกครั้งแล้วหันไปหยิบผ้ากันเปื้อนที่ผมใส่ประจำตั้งแต่เข้าครัวที่นี่ ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายลูกแมว งงเหมือนกันว่าใครซื้อมาให้

 

“มึงแม่งไม่เชื่อ” เอ้า ทำเสียงหงุดหงิดกูไปอีก หันกลับไปมองก็เห็นอีกฝ่ายเดินย่ำเท้าแรงๆ ไปกระแทกตัวลงนั่งตรงโซฟาด้วยใบหน้าบึ้งๆ ผมเผลออมยิ้มออกมาแบบห้ามไม่อยู่ วันนี้น้องสมุทรจะมีความสุขมากไปแล้วไหมวะ ผมปล่อยพี่พระจันทร์ไว้ ก่อนจะหันมาจัดการจานที่พวกเราใช้ไปแล้วให้เรียบร้อย เวลาผ่านไปไม่นานผมก็ล้างจานเสร็จ

 

“เลิกทำหน้าแบบนั้นเถอะครับ น้องสมุทรน่ะเชื่อพี่พระจันทร์คนเดียวแหละน่า” ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาข้างๆ คนที่นั่งไขว่ห้างทำหลังตรง นั่งทำหน้านิ่งอยู่ตอนนี้ ... ยโสโอหังอะไรขนาดนั้นก่อนเอ่ย

 

“เหอะ” ปรายตามามองแล้วสะบัดเสียงใส่น้องสมุทรไปอีกที นั่นแน่ะ...นี่ไงล่ะครับ เมียน้องสมุทรงอนครับ ไงล่ะ แสนน่ารักเลยว่ะ งื้ออ ไอ้ต้าวความรัก ตะมุตะมิตัวเล็กๆ สามเซ็น

 

ผมยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้นของพี่พระจันทร์ ถือเป็นความแปลกใหม่ที่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ของอีกคน ... ผมเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา แล้วหยิบบางอย่างออกมาจากในนั้น แอบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ กัน ก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้าของอีกคน

 

“อะไร” พี่พระจันทร์ว่าออกมาพร้อมขมวดคิ้วจ้องมองของตรงหน้า

 

“สร้อยข้อมือเชือกไงครับ เนี่ย พี่ดูดิ มีจี้รูปมหาสมุทรด้วยนะ น้องสมุทรตั้งใจซื้อมาให้เลยน้า ... งั้นตอนนี้เอามาง้อละกันนะ โอ๋ๆ ยิ้มหน่อยคร๊าบ~” แกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าของคนข้างๆ พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอนตัวมาพิงพนักพิงแล้วหันมามองหน้าผมแทน

 

“คือมึงเอามันมาง้อกู”

 

“แล้วได้ผลป่ะล่ะ”

 

“เหอะ ง้อกูด้วยของแบบนี้เนี่ยนะ” ทำเสียงสูงใส่กันแล้วปรายตามองสร้อยข้อมือในมือผมอีกที

 

“เอ้า นี่ลิมิเตดเลยนะ”

 

“ลิมิเตดเหี้ยอะไร มึงซื้อมาจากตลาดหลังม.ป่ะ ใครๆ แม่งก็มี” เบ้หน้าใส่กันพร้อมว่าออกมาแบบนั้น

 

“เห้ยอย่ามาด้อยค่ากันนะพี่ แล้วอันนี้มันก็ไม่เหมือนใครด้วย เพราะว่ามันมาจากมือน้องสมุทรที่มอบให้พี่พระจันทร์ไง มันก็ต้องลิมิเตดพิเศษใส่ไข่ใส่เครื่องในเพิ่มเส้นอยู่แล้วดิ” เถียงออกไป แต่อีกคนก็ยังมองมันนิ่งๆ ไม่ยอมรับไปใส่หรือทำอะไรสักอย่าง

 

“มันไม่น่ารักหรอ ...น้องสมุทรอุตส่าห์คิดว่าจะหาซื้ออีกลายไปเป็นของขวัญให้พี่ยอร์ชนะเนี่ย” ผมบ่นออกไปเบาๆ ...

 

“มึงว่าไรนะ จะเอาไปให้ไอ้เหี้ยยอร์ช!”

 

“เชี่ย ตกใจหมดเลย อยู่ใกล้กันแค่นี้พี่พระจันทร์ตะโกนทำไม” ผมยกมือขึ้นอุดหูซ้ายตัวเองเลย ขี้หูลุกขึ้นมาเต้นระบำเลย

 

“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เมื่อกี้มึงบอกว่าจะเอาไอ้นี่ไปให้ไอ้ยอร์ชหรอ มึงกวนตีนกูหรอสมุทร เอามานี่! ของกู กูไม่ให้เหี้ยไรกับมันทั้งนั้นอีกแล้วเว้ย!” ทำสีหน้าขึงขังจ้องตามองผมแบบดุๆ ก่อนจะคว้าสร้อยข้อมือเชือกเส้นสีดำที่มีจี้วงกลมเล็กๆ ด้านในเป็นรูปเกลียวคลื่นตัวแทนของมหาสมุทรไปใส่ไว้ที่ข้อมือตัวเองหน้าตาเฉย ใส่เสร็จแล้วก็หันมามองกันด้วยใบหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเก่า

 

“แล้วมึงก็ห้ามไปซื้อเหี้ยอะไรให้มัน มันเป็นพ่อมึงหรอถึงต้องไปซื้อให้มันน่ะห๊ะ!” ตะโกนออกมาอีกด้วยเสียงที่ไม่สบอารมณ์แบบสุดๆ สายตาคมสวยนั่นจ้องมองผมแบบดุๆ ... น้องสมุทรย่นตัวห่อไหล่เลย

 

“ก็ไม่ใช่แบบนั้น...” ผมพูดเสียงอ่อย ตอนที่มองหน้าพี่พระจันทร์ที่ดูจะเริ่มอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก

 

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมึงจะซื้อให้มันทำเหี้ยไร ไม่ต้องซื้อ!” ถลึงตาใส่ผมตอนที่ว่าออกมา

 

“แต่ว่าพี่ยอร์ชเค้าซื้อเสื้อให้สมุทรนี่ แพงด้วยอ่ะ” ก็แค่คิดว่ามันต้องมีของขวัญวันเกิดตอบแทน แล้วก็เงินไม่ค่อยจะมีอ่ะ ซื้อสร้อยคล้ายๆ แบบนี้ก็น่ารักดีแค่นั้นเอง

 

“เหอะจะแพงสักแค่ไหนวะ แล้วมึงก็อย่าเอาไปใส่นะ อี๋ เชื้อโรค” เบะปากออกมาพร้อมว่าออกมาอย่างรังเกียจ คือเค้ายังไม่ได้ใส่เลยนะ มือหนึ่งจากช็อป จะมาเชื้อโรคอะไรกันล่ะวะนั่น

 

“แล้วไอ้เหี้ยนั่นมันเอาเสื้อมาให้มึงทำไม เนื่องในโอกาสห่าอะไรไม่ทราบ” พี่พระจันทร์ทำเสียงฟึดฟัดแบบคนไม่สบอารมณ์แล้วยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองด้วยท่าทางที่พยายามสงบสติอารมณ์ เห็นแบบนั้นน้องสมุทรเลยตอบกลับคำถามนั้นไปด้วยเสียงอ่อยๆ

 

“พี่ยอร์ชชวนไปงานวันเกิดเค้า”

 

“ไม่ต้องไป!” มองแรงใส่พร้อมตะคอกออกมาเสียงดัง ทั้งสีหน้า สายตา และน้ำเสียงมาเต็ม บ่งบอกให้รู้ว่าระวังตัวให้ดีนะไอ้น้องสมุทร พี่พระจันทร์คนสวยของมึงกำลังจะงับหัวแล้วถ้าพูดผิดหู ... ผมช้อนตามองคนข้างๆ ตัวที่ทำหน้าตาไม่เป็นมิตรอย่างทำตัวไม่ถูก ยกมือขึ้นดันกรอบแว่นนิดๆ แล้วบอกออกมาเสียงอ่อย

 

“แต่เพื่อนน้องสมุทรไปกันทุกคนเลยนะ พี่เค้าชวน”

 

“แล้วไง”

 

“มันก็ต้องไปสิ น้องสมุทรรับปากไปแล้ว”

 

“รับปากแล้วไม่ทำก็ได้!” ใครสอนพี่พระจันทร์มาแบบนั้นวะ กูล่ะอยากจะไปตีมันจริงๆ

 

“ได้ที่ไหนกันเล่า”

 

“ได้ที่นี่ ได้ที่กูนี่ไง!...นี่มึงกำลังทำให้กูหงุดหงิดนะสมุทร” เสียงเข้มๆ ที่ว่าแบบนั้นพร้อมจ้องตาผม อารมณ์ดีๆ ของเราก่อนหน้านี้ถูกทำลายด้วยพลังอารมณ์ของพี่พระจันทร์ เห็นแบบนั้นแล้วก็เสียใจนิดหน่อยที่ผมเป็นต้นเหตุให้วันดีๆ ของเค้าต้องเสียไป เฮ้อ...ไม่น่าบอกเลยไอ้น้องสมุทรเอ๊ย

 

“ทำหน้าแบบนั้นเป็นเหี้ยไร เสียใจมากหรือไงที่ไม่ได้ไปงานไอ้เหี้ยนั่น” พี่พระจันทร์ถามออกมาแบบนั้นหลังจากที่เราสองคนเงียบกันไปสักพักใหญ่ บรรยากาศน่าอึดอัดเล็กน้อย แต่ผมก็เลือกจะเงยหน้ามองพี่เค้า อดไม่ได้ที่ต้องยกมือดันกรอบแว่นของตัวเองไปด้วย

 

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยครับ”

 

“ไม่ใช่แล้วมึงนั่งทำแก้มอ้วนหูตกทำไม เหมือนกระต่ายอ้วนอุบาทว์ย์”

 

“เป็นกระต่ายก็ต้องน่ารักสิ อยากบอกว่าน้องสมุทรน่ารักก็บอกเถอะครับ หัวใจพี่เรียกร้อง น้องสมุทรรู้” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ พร้อมฉีกยิ้มออกมากว้างๆ อยากทำให้บรรยากาศระหว่างเรามันดีขึ้น แต่ติดตรงที่

 

“มึงไม่ต้องมาทำหน้าแป้นแล้นใส่กูเลย” ว่าแบบนั้นแล้วใช้ฝ่ามือยาวเรียวของตัวเองมาดันหน้าน้องสมุทรให้ออกไปห่างๆ เล่นเอาหน้าน้องสมุทรหงายเงิบไปข้างหลังเลยอ่ะ หึ่ย

 

“มึงอยากไปงานมันมากเลย” พี่พระจันทร์ถามออกมาพร้อมเลิกคิ้วเป็นคำถามตอนที่มองมาที่ผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบที่ชอบทำ อ่านไม่ได้สักนิดว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่

 

“น้องสมุทรไม่ได้อยากไปขนาดนั้น แต่ว่าพี่ยอร์ชเค้าไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับน้องสมุทรนี่ อีกอย่าง น้องสมุทรรับปากเค้าไว้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกนะ ที่รับปากแล้วจะไม่ทำตาม”

 

“อ๋อ นี่มึงด่ากูเป็นคนเหี้ยสินะ” เอ้า ไปถึงนั่นได้ยังไงเอ่ย

 

“น้องสมุทรไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อยอ่ะ”

 

“ถ้ามึงอยากไปงานมันน่ะก็ได้...”

 

“หื้ม” ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองหน้าอีกฝ่ายแบบไม่อยากจะเชื่อหู เพราะจริงๆ น้องสมุทรเข้าใจที่พี่พระจันทร์จะไม่พอใจเรื่องที่ผมจะไปงานวันเกิดพี่ยอร์ช ก็คนเขาไม่ถูกกันซะขนาดนั้น ถึงผมจะรู้แค่ผิวเผินว่าที่ทะเลาะกันคงเป็นเพราะเรื่องของพี่อัยย์ แต่แค่นั้นมันก็เข้าใจได้ที่เค้าจะไม่ชอบ

 

แต่ในความคิดของผม เรื่องนั้นมันก็เป็นเรื่องระหว่างพี่พระจันทร์ พี่ยอร์ชและพี่อัยย์ เรื่องไม่ถูกกันของพวกเค้า มันไม่ควรรวมผมไปอยู่ในนั้น ใช่ว่าคนที่เราชอบไม่ถูกกับใคร เราจะต้องไปเกลียดด้วยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ตราบใดที่พี่ยอร์ชไม่ได้ทำอะไรไม่ดีใส่ผม เค้าก็ถือว่าเป็นคนดีที่น่าคบหาด้วยคนหนึ่ง ... แต่เรื่องนี้น้องสมุทรจะไม่พูดออกไปเพื่อเสี่ยงให้พี่พระจันทร์หักคอหรอกนะ

 

“แต่...”

 

“แต่อะไรหรอครับ” เอียงคอลุ้นตามคำว่าแต่ที่พี่แกเอาแต่ลากเสียงใส่ให้ได้ลุ้นตาม

 

“แต่กูจะไปด้วย”

 

“ห๊ะ” ผมร้องออกมาอย่างตกใจ กะพริบตาปริบๆ ส่งไปให้สองที บอกกูทีว่าเมื่อกี้น่ะแค่ล้อเล่น แต่คนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่อยากร่วมมือด้วย ก็ในเมื่อพี่พระจันทร์ทำแค่ยกยิ้มมุมปากส่งมาให้ ท่าทางที่ดูเหมือนว่าตัวเองกำลังคิดอะไรดีๆ ได้ออกแล้ว

 

“ถ้ามึงจะไป กูจะไปด้วย กูไม่ไว้ใจให้มึงไปงานมันเองหรอว่ะ”

 

“แต่เค้าไม่ได้เชิญพี่นี่ครับ”

 

“แล้วไง กูเชิญตัวเองได้”

 

“เอ่อ...” กูล่ะเชื่อเค้าเลยจริงๆ ผมได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวแบบยอมใจในความเป็นพี่พระจันทร์ เจ้าตัวที่ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเป็นเรื่องใหญ่อะไรสักนิด เค้าแค่ยักคิ้วส่งมาให้ผมแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก หน้าตาที่ดูร้ายขึ้นมาทันทีตอนที่ทำแบบนั้น มันบอกผมได้ว่า คนตรงหน้าคงกำลังคิดจะทำเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ ...

 

“แล้วนี่อ่ะ มึงก็ห้ามซื้อให้มันนะ มันเป็นของกู” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขวาข้างที่สวมสร้อยข้อมือที่ผมให้เอาไว้มาให้ผมดู

 

“น้องสมุทรก็ไม่ได้คิดว่าจะซื้อเส้นที่มีรูปนี้ไปให้พี่ยอร์ชสักหน่อย” ผมพูดแบบนั้นแล้วยื่นนิ้วไปเขี่ยๆ ตรงจี้กลมๆ รูปมหาสมุทรนั่น ในจังหวะนั้นที่ช้อนตาขึ้นมองหน้าพี่พระจันทร์ที่ก็ก้มลงมามองหน้าผมเหมือนกัน

 

“จี้รูปสมุทร ก็ต้องเป็นของพี่พระจันทร์คนเดียวอยู่แล้วสิ” ผมบอกออกไปพร้อมส่งยิ้มไปให้นิดๆ อีกฝ่ายที่ก็ไม่ได้ถอยหน้าหนีห่างออกไป สายตาของเราสองคนที่มองกันอยู่แบบนั้น

 

“คิดแบบนั้นได้ก็ดี ... เพราะกูจะไม่ยอมให้อะไรกับไอ้เหี้ยนั่นอีกแล้ว” บอกผมออกมาแบบนั้นแล้วก็เป็นฝ่ายที่ผละออกไปนั่งเอนหลังพิงโซฟาอย่างอารมณ์ดี ไม่ค่อยเข้าใจความหมายนั่นเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ดีใจที่พี่พระจันทร์ดูจะไม่หงุดหงิดใจเหมือนเดิมแล้ว

 

“นี่พี่พระจันทร์ดูนี่สิ น้องสมุทรก็มีนะ ใส่เป็นสร้อยคู่ไง” ผมร้องบอกออกไปตอนที่ดึงสร้อยอีกเส้นมาใส่ที่ข้อมือซ้ายของตัวเองเสร็จ แล้วยื่นไปให้พี่พระจันทร์ดู

 

“ของมึงสีฟ้า” เลิกคิ้วถามออกมา ผมก็พยักหน้าให้ยิ้มๆ

 

“หรือพี่พระจันทร์อยากได้เส้นสีฟ้าหรอ” สร้อยเชือกที่เหมือนกันทุกตรง แตกต่างแค่เส้นนึงสีดำและอีกเส้นเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ถ้าพี่พระจันทร์ชอบเส้นนี้ น้องสมุทรก็เสียสละให้ได้นะ

 

“ไม่ล่ะ มึงใส่เส้นนั้นอ่ะดีแล้ว” เค้าบอกผมออกมาแบบนั้น ส่วนสายตาก็เอาแต่มองมาที่ข้อมือของผมไม่เลิก ... คือยังไง คือใจชอบสีฟ้าหรือเปล่า ผมที่กำลังจะถามออกไปแบบนั้นแต่ก็เป็นพี่พระจันทร์ที่พูดต่อออกมาซะก่อน

 

“เพราะมันดูสดใสเหมือนตัวมึงดี” ผมหันไปมองคนพูดที่ตอนนี้ก็เสหน้าออกไปมองกระจกบานใหญ่บานใสนั่นมองออกไปดูวิวของใจกลางกรุงเทพแทนที่จะมองหน้ากัน แต่พอสังเกตดูดีๆ ก็เห็นว่าใบหูสวยนั่นตอนนี้ขึ้นสีชมพูระเรื่อๆ อยู่เหมือนกัน ผมยิ้มออกมาเล็กๆ กับท่าทางแบบนั้นของเค้า ก่อนจะวางมือลงบนที่นั่งของโซฟาข้างๆ ตัวพี่พระจันทร์โดยที่ไม่ได้พูดล้ออะไรออกไป ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นๆ จากมือขวาของคนข้างกันที่วางทับลงบนมือของผม ก่อนที่นิ้วเรียวทั้งห้านั่นจะกระชับฝ่ามือของผมเบาๆ ผมที่หันมองภาพของจี้รูปมหาสมุทรสองอันจากมือขวาของเค้าและมือซ้ายของผมที่สัมผัสกันนิดๆ อยู่ตอนนี้ เห็นแบบนั้นแล้วก็เผลอยิ้มกว้างๆ ออกมา ...

 

มันไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของเรา ที่เข้าใกล้กันมากขึ้นไปอีกขั้นนึงแล้วสินะ

 

.

.

.


           กรุงเทพมหานคร มหานครแห่งความวุ่นวายและรถติดฉิบหายในทุกช่วงเวลา เพราะแบบนั้นในตอนที่รถคันหรูของพี่พระจันทร์ตบไฟเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าประตูบ้านของผม มันก็เลยเป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆ แล้วน่ะสิ

 

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง จริงๆ ผมกลับมาเองก็ได้”

 

“พูดมากทำเหี้ยไรล่ะ ยังไงกูก็มาจอดอยู่หน้าบ้านมึงแล้วนี่ไง” คนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ กันว่าออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับเท้าแขนเข้ากับพวงมาลัยรถแล้วหันมามองกัน

 

“งั้น ... ขอบคุณมากๆ นะครับที่มาส่ง” ยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายที่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ตอนที่ลงจากรถมาแล้ว ตั้งใจจะหันกลับไปโบกมือลาก็ต้องงงตาแตกที่พี่พระจันทร์ก็เดินตามลงมาด้วยเหมือนกัน

 

“พี่ลงมาทำไม” กะพริบตาปริบๆ สองทีในตอนที่เค้าเดินมาหยุดยืนตรงหน้าของผม

 

“มึงลืม”

 

“น้องสมุทรลืมของหรอ ไม่นะ เอากระเป๋ามาแล้วนี่ไง” บอกแบบนั้นแล้วหันกระเป๋าเป้สะพายหลังให้ดูด้วยเพื่อยืนยัน น้องสมุทรสะพายอยู่จ้า ไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้นป่ะจ๊ะ

 

“มึงลืม” พี่พระจันทร์ยังคงย้ำคำเดิมอีกครั้งก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีกสองก้าว

 

“ผมลืม...ลืมอะไรหรอ” ช้อนตามองอย่างไม่เข้าใจ กูลืมอะไรก่อนเอ่ย ไม่ได้ลืมนะเอาจริงๆ

 

“ลืมบอกลากูอย่างเป็นทางการ”

 

“ห๊ะ” สีหน้าหมางงได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของน้องสมุทรแล้วในตอนนี้ ตั้งใจจะอ้าปากถามออกไปแต่ทุกคำถามก็ถูกกลืนลงไปในลำคอของผมทั้งแบบนั้น ในตอนที่ริมฝีปากอุ่นของคนตรงหน้าแนบลงมาทาบทับที่ริมฝีปากของกันเบาๆ ไม่ได้รุกร้ำ ไม่ได้บังคับอะไรให้ผมทำตามใจเค้า พี่พระจันทร์แค่แนบริมฝีปากลงมาเบาๆ แต่อบอุ่นไปทั้งใจของน้องสมุทร หัวใจของน้องสมุทรสั่น มันเต้นแรงมากๆ จนกลัวว่าเค้าจะได้ยิน

 

ในตอนที่ผมลืมตาขึ้นมามอง สายตาของพี่พระจันทร์ก็มองกันอยู่ก่อนแล้วในตอนนี้ เขาที่แค่ผละริมฝีปากออกห่างน้อยๆ ให้พอแตะโดนกันบ้างไม่โดนกันบ้าง ก่อนจะถามผมออกมาเบาๆ

 

“ได้หรือเปล่า อยากจูบ” เป็นคนตรงๆ ที่ทำและพูดอะไรออกมาแบบที่ใจคิดทุกที จะถามย้ำกันอีกทีให้ผมต้องตอบทำไม แต่สายตาเชิญชวนของเค้า ก็ทำให้ผมทำได้แค่เอียงหน้าเข้าไปใกล้ เป็นการตอบรับกลายๆ ที่อีกฝ่ายก็จุดรอยยิ้มมุมปากขึ้นมาตอนที่วงแขนแกร่งเลื่อนมาโอบรอบเอวของผม ดึงรั้งตัวผมให้แนบกระชับกันมากขึ้น ฝ่ามือขวาที่เลื่อนขึ้นมาจับที่หลังคอ ใบหน้าคมสวยของพี่เค้าที่เอียงหน้าทำมุมเข้ามาพร้อมๆ กับริมฝีปากอุ่นที่กดจูบย้ำๆ ปลายลิ้นที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามาในโพลงปากของผมช้าๆ แผ่วเบาแต่กลับทำให้รู้สึกร้อนผ่านไปทั้งหน้า

 

“อึก” ร้องออกมาเบาๆ ในตอนที่ลิ้นโดนเกี่ยวรัด รู้สึกเสียววาบไปทั้งตัวจนเผลอคล้องแขนเข้าที่ต้นคอของอีกคน เป็นการกระทำที่ผมห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ได้ และเหมือนอีกฝ่ายจะชอบใจมากในตอนที่ผละริมฝีปากออกห่างกันช้าๆ ปลายจมูกโด่งนั่นที่เขี่ยไปมาอยู่ที่ปลายจมูกของผม ช้อนตามองตาของอีกคนที่ตอนนี้ก็วาววับขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ

 

“ฝันดี” สองคำสั้นๆ นั่นที่ว่าออกมาแล้วผละตัวออกไป ผมยังไม่ได้สติเท่าไหร่ในตอนที่อีกคนขึ้นไปนั่งบนรถและลดกระจกลงมามองหน้ากัน

 

“อย่าเขินมาก ยุงจะกัดมึงตาย เข้าบ้านไปได้แล้ว” เค้าว่าออกมาแบบนั้นแล้วยักคิ้วใส่กันอีกหนึ่งที ท่าทางที่ดูมีความสุขแบบออกนอกหน้าของอีกคนทำผมได้สติ ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไป รถของพี่พระจันทร์ก็คอยๆ ขับออกไปซะแล้ว

 

“อ๊ากกก น้องสมุทรอยากตาย เขินม้วนเป็นกิ้งกือ กูแม่งเป็นผัวที่อ่อนยวบยาบมากๆ เลยโว้ย” ผมร้องออกมาแบบนั้นพร้อมยกมือปิดหน้า แต่ให้ทำไงได้วะ เขินจะตายอยู่แล้ว ปิดประตูเล็กล็อกลงกลอนอย่างใจลอย พอหันหลังกลับไปก็ต้องตกใจจนเกือบหัวใจวายตาย

 

“เชี่ย!”

 

“หนอยยย ริอาจกลับบ้านดึกๆ นะเรา! มันยังไง มันมีผู้ชายมาส่ง!” เท้าสะเอวมองหน้ากันแล้วว่าผมออกมาแบบนั้น ท่าทีที่เหมือนว่าจับได้ทำเอาเหงื่อตก

 

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“ตั้งแต่จูจุ๊บกัน”

 

“เชี่ย!”

 

“ด่าทะเลหรอ หน็อยๆ ทะเลจะฟ้องแม่ แต่ทะเลจะไม่ฟ้องหรอกนะว่าพี่พระจันทร์จูจุ๊บ อึก อื้อออ”

 

“หุบปากไปเลยไอ้เด็กบ้า ใครใช้ให้มึงพูดออกมาห๊ะไอ้ทะเล๊” คว้าตัวมันไว้ได้ทันแล้วปิดปากมันทั้งแบบนั้น ไอ้น้องมหาภัยที่ทำตัวเหมือนแม่บวกป้าข้างบ้านทำเอาผมปวดหัว มันต้องเจอแบบนี้ แก่แดดดีนัก ปิดปากมันเอาไว้แล้วจับตัวมันโยกไปโยกมาในอ้อมกอดของผม แล้วก้มหน้าลงไประดมหอมแก้มมันให้ช้ำ ไอ้เด็กนี่มันไม่ชอบครับ มันบอกโตเป็นหนุ่มแล้ว โดนหอมแล้วมันไม่เท่ ... โถ่เอ๊ย ไอ้เด็ก

 

“อ๊ากกก ช่วยด้วยจ้า พี่สมุทรอย่ามาจูจุ๊บทะเลน้า ฮ่าๆๆ ยอมแล้วๆ”

 

“มึงต้องโดนท่าไม้ตาย ระดมจุ๊บดับวิญญาณ”

 

“อ๊ากกก ฮ่าๆๆ ทะเลยอมแล้วววว”

 

เสียงร้องขอชีวิตของไอ้ทะเล ดังคลอไปกับเสียงหัวเราะดังลั่นของผม เสียงของเราที่ดังก้องไปทั่วหน้าลานบ้าน ถือว่าเป็นความเบิกบานอีกหนึ่งอย่างที่ได้รับมาในวันนี้ ทั้งความรู้สึกดีๆ จากคนที่ผมรัก และครอบครัวที่รักเรา ครอบครัวของน้องสมุทร

 

...

 
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 24-02-2022 20:40:58

“อะไรคือการมาเรียนเช้าขนาดนี้วะครับเพื่อน”

 

“อะไรคือการนั่งกระดิกตีนดิ๊กๆ หน้าตึกคณะในช่วงเวลาเที่ยงๆ ที่อากาศร้อนฉิบหาย แต่ทำตัวเหมือนอารมณ์ดีนักหนา”

 

“อะไรคือ.. โอ๊ย”

ไอ้มีนร้องออกมาเสียงดังตอนที่ผมเอื้อมมือไปตบหัวมันฉาดใหญ่ เป็นKอะไรพูดรับส่งกับไอ้ปุ่นอยู่ข้างหูจนน่ารำคาญ ปรายตาไปมองไอ้ปุ่นที่ยกมือขึ้นสองข้างทำท่าทางยอมแพ้

 

“น่ารำคาญ”

 

“แหม่ๆ กับกูทำมาบอกน่ารำคาญ มึงดูสภาพตัวเองก่อนครับ” มันปุ่นว่าออกมาแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้ ท่าทางที่อ่านได้ว่า ‘กูรู้ทันมึงนะครับไอ้สัดเพื่อน’

 

“กูทำไรมึงยัง”

 

“มึงไม่ได้ทำไรกูครับ แต่มึงอัพอะไรก่อนเอ่ย”

 

“จริง กูเห็นแจ้งเตือนแล้วตกใจฉิบหาย แอคเค้าท์ แอดmoonอันเดอร์สกอร์nabchanอยู่ๆ เค้าก็อัพสตอรี่ไอจีเฉย” ไอ้มีนว่าออกมาแบบนั้นแล้วหยิบมือถือของมันมาวางลงตรงหน้าของผม ภาพตรงหน้าที่ถูกโพสต์ขึ้นเป็นรูปที่คุ้นตาดี ภาพกุ้งผัดบล็อกโคลี่กับสเต๊กอกไก่ที่มีแขนข้างนึงที่ใส่นาฬิกาที่ผมจำได้ดีว่าผมเลือกซื้อมาใส่เองกับมือ กับรูปนิ้วเรียวยาวสองนิ้วของคนที่กำลังทำท่ายอดนิยมที่มีความหมายว่าสู้ๆ นั่นก็รู้ว่าเป็นนิ้วของใคร ..

 

“มึงไปแดกข้าวกับใคร แต่กูจำได้นะว่านั่นมันโต๊ะในครัวของห้องมึง” พวกขี้เสือกก็จำดีเทลละเอียดเสมอ กลอกตาใส่ไอ้มีนไปที

 

“เสือก”

 

“อย่าเรียกว่าเสือกครับจันทร์ โปรดเรียกว่าเราใส่ใจเรื่องราวของเพื่อนอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า” ไอ้ปุ่นว่าพร้อมยักคิ้วอีกหนึ่งที กวนตีนจนกูอยากหาอะไรมาไถขนคิ้ว

 

“ว่าไงๆ สรุปคือ...”

 

“คนที่พวกกูก็รู้ว่าใครใช่ป่ะ” ไอ้ปุ่นเอานิ้วมาเขี่ยไหล่ผมยิกๆ จ้องจะเอาคำตอบ

 

“อืม...กูแดกข้าวกับโวลเดอร์มอร์”

 

“สัด!”

 

“เฮงซวย กวนตีนจังวะ”

 

ไอ้ปุ่นกับไอ้มีนร้องออกมาแบบโมโห ผมยกยิ้มออกมาตอนที่เห็นว่าพวกมันเสียอารมณ์กันมากแค่ไหน นี่แหละนะ เวรกรรมของพวกขี้เสือก อยากรู้จนทนไม่ไหว พอไม่บอกแล้วแม่งเหมือนจะตาย

 

สมน้ำหน้ามัน

 

“เดี๋ยวๆ นั่นมึงจะลุกไปไหน” ไอ้ปุ่นร้องทักตอนที่ผมลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป

 

“ซื้อน้ำ พวกมึงจะเอาไรป่ะ”

 

“เอสเปรสโซ่แก้วดิ กูร้อนฉิบหาย ง่วงด้วย ถ้าขึ้นไปเรียนกูมีหวังหลับ” ไอ้ปุ่นบอกแบบนั้นแล้วยื่นเงินมาให้ผม แต่ผมไม่รับ

 

“โทษทีวะ ถ้ามึงอยากแดกเงือกเขียวมึงเดินไปซื้อเองเลย”

 

“เอ้าไอ้สัด ทำไมงั้น”

 

“ก็วันนี้กูไม่อยากแดกเงือกเขียว” ผมบอกออกไปแบบนั้น ไอ้มีนไอ้ปุ่นก็ขมวดคิ้วมองหน้ากันเหมือนว่าผมกำลังไม่สบายหรือผิดปกติอะไรสักอย่าง

 

“มึงไม่แดกเงือกเขียวแล้วมึงจะแดกอะไร”

 

“จริง ปกติไปไหนไม่มีเงือกเขียว ไม่มีเมซโซ่มึงบ่นฉิบหาย”

 

“วันนี้ไม่อยากแดก อยากแดกเขียวโซดา” บอกออกไปก็ได้รับคำตอบรับกลับมาด้วยเสียงตอแหลแบบที่ไอ้อาทิตย์ชอบทำบ่อยๆ เวลาที่มันกวนตีนว่า

 

“อ๋ออออ วันนี้พี่พระจันทร์เค้าจะแดกเขียวโซดา”

 

“ใช่จ๊ะ สงสัยจะติดใจอ่ะเนอะ”

 

“เออจริงจ้า แต่ไม่รู้ว่าติดใจน้ำเขียวโซดา หรือติดใจคนที่เคยมาซื้อให้อ่ะเนอะ”

 

“ฮิ้ววว/ฮิ้ววว”

 

ฮิ้วพ่อฮิ้วแม่มึง โห่แซวยิ่งกว่ามีบวชนาค ผมส่ายหัวแล้วไม่ได้พูดตอบอะไรพวกแม่งออกไปอีก รำคาญครับ พูดอะไรแม่งก็โห่ฮาไปซะหมด กูยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะซื้อกินเพราะไอ้สมุทรมันสักคำ

 

“อายๆ พี่พระจันทร์เค้าอายเดินหนีไปแล้วว่ะมึง”

 

“อย่าล้อเค้านะครับ เดี๋ยวหน้าเค้าแดงเป็นตูดลิง ฮ่า”

 

เสียงไอ้ปุ่นไอ้มีนดังไล่หลังมาแบบที่ว่าคนทั้งคณะคงได้ยินด้วย ผมหันกลับไปหาพวกมัน ก่อนจะยกนิ้วกลางส่งกลับไปให้ แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาก็เป็นแบบที่คิด พวกมันไม่สนใจนิ้วกลางอะไร นอกจากหัวเราะสะใจอยู่ตรงนั้น

 

“น่ารำคาญไอ้พวกชอบแซว” ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แต่ถึงแบบนั้นก็เผลออมยิ้มออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ชอบใจหรอกนะที่ถูกล้อ ก็แค่นึกไปถึงไอ้ตัวต้นเหตุที่เป็นคนทำให้ต้องโดนล้อก็เท่านั้น

 

เผลอเลื่อนสายตาลงไปมองที่ข้อมือขวาข้างที่ตัวเองไม่ได้ใส่นาฬิกา มีสร้อยเชือกโง่ๆ สีดำเส้นนึงอยู่ตรงนั้น ผมยกมันขึ้นมาดู

 

“สร้อยโง่ๆ” อืม ... เป็นสร้อยโง่ๆ เหมือนตัวเจ้าของที่ให้มา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอได้มองแล้วก็สดชื่นดี อาจเป็นเพราะจี้รูปมหาสมุทรที่มันบอกว่าเป็นลิมิเตดอิดิชั่นเพราะมันเป็นคนให้

 

อืม หนึ่งเดียวในโลกจริงๆล่ะมั้งที่จะให้ของขวัญมัดใจผมด้วยเชือกราคาไม่ถึงร้อยแบบนี้ ... แต่ถึงแบบนั้นก็ยอมใส่มันไว้อยู่ดี ไม่ได้ชอบอะไร ก็แค่คิดว่ามือข้างนี้ก็ว่างอยู่ ใส่ๆ ไปไม่เห็นเป็นอะไรก็แค่นั้นเอง

 

คิดแบบนั้นแล้วเดินเข้าไปในโรงอาหารกลาง ตั้งใจมองหาร้านน้ำที่สมุทรมันเคยไปซื้อให้ แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักขาของตัวเอง หยุดยืนอยู่ตรงนี้ มองตรงไปข้างหน้าที่เห็นใบหน้าสวยของคนที่คุ้นเคยกันดี สีหน้าท่าทางที่ดูอ่อนล้า คนที่ผมไม่ได้รับสายโทรศัพท์เค้ามาหลายวันมาแล้ว

 

“พระจันทร์ ... อัยย์ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”

 

“ถ้าตอบว่าไม่ได้ อัยย์จะเดินกลับไปให้พ้นหน้าจันทร์หรือเปล่า”

 

บอกออกไปแบบนั้น มองจ้องคนตรงหน้าที่ผมเคยคิดถึงเค้าก่อนใครเสมอ ยกมือขึ้นมากอดอกตัวเองแล้วยักคิ้วส่งไปให้ ในตอนนั้นที่รูปจี้มหาสมุทรก็ขยับไปตามแรงขยับแขนของผม เผลอปรายสายตามองมันที่กระทบเข้ากับผิวเนื้อตัวเองเบาๆ เหมือนมันกำลังบอกผมว่า ผมเองก็มีใครอีกคนที่ควรนึกถึงอยู่ด้วยในตอนนี้เช่นกัน

 

#รักอยู่รู้ยัง

 

-------------------------

ไม่ยาวเท่าไหร่ แต่ก็อยากมาให้ทุกคนค่ะ

อยากบอกว่าอย่าพึ่งตัดสินนิยายเรื่องนี้เลยนะคะ นิยายของแคทมันไม่ค่อยมีอะไรเหมือนใครหรอกค่ะ

เพราะว่าเราบ้ามากกว่าใครยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

แคทหวังว่าทุกคนจะอยู่ด้วยกันไปจนจบเรื่อง ค่อยๆได้เรียนรู้และยิ้มไปด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายของเรื่องราว

หวังว่าในช่วงเวลาที่รุงรังของสภาพเศรษฐกิจ และโรคภัย นิยายเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่ทำให้ยิ้มได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

ฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

ไม่ว่าจะช่องทางไหน แคทก็รออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนอยู่นะคะ

ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

 :mew1: :3123:

จากตอนที่10ที่อัพเมื่อวันอังคารที่220222ที่ผ่านมา แคทขอขอบคุณ

:impress2: :-[ :o8:
   มาเม้นท์ให้กันเสมอๆเลย ขอบคุณมากๆนะคะ

โอ้ยชอบอ่ะ ชอบความอ้อล้อของน้องสมุทร ชอบนางงงง :jul3:
  น้องขอสักนิดนึง เป็นคนมุ่งมั่นจะเอาพี่พระจันทร์มาเป็นเมียค่ะ 5555 ฝากรักน้องด้วยนะคะ :hao7:

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-02-2022 23:45:33
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 25-02-2022 13:51:55
งุ้ยยยยยยยยย  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 26-02-2022 00:16:47
มาขัดอีกล่ะ
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 05-03-2022 17:48:58

บทที่12

 

          ใบหน้าสวยได้รูปพร้อมดวงตากลมโตสวยที่กำลังมองมาที่ผมด้วยแววตาสั่นๆ กับขอบตาที่เริ่มจะแดงขึ้นเหมือนคนที่กำลังพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล ริมฝีปากอิ่มสีส้มสวยก็เม้มเข้าหากันอย่างอดกลั้น เป็นภาพชินตาที่ผมเคยเห็นอยู่บ่อยๆ ตอนที่เจ้าตัวเป็นเด็ก ... หรือแม้แต่เป็นตอนที่เจ้าตัวทะเลาะกับแฟนเก่าอย่างไอ้ยอร์ช ก็เห็นภาพนี้จนชิน

 

ผมถอนหายใจหนักๆ แล้วเสหน้าหนีจากภาพตรงหน้า

 

“อัยย์มีอะไร” เลือกที่จะถามออกไป อย่างน้อยก็อยากรู้ว่ามีอะไรถึงมาหากันถึงคณะ

 

“จันทร์ไม่รับสายอัยย์เลย” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วช้อนตามองมาที่หน้าของผม ท่าทางที่อยากให้ผมหันไปสบตานั่นทำให้ผมถอนหายใจออกมาหนักๆ ไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องวันนั้นแต่ก็จะพูดมันออกไป

 

“ก็จันทร์บอกไปแล้ว วันนั้น...”

 

“แต่อัยย์ไม่ได้หมายความว่าอัยย์ไม่อยากมีจันทร์นะ” อัยย์เถียงแทรกคำพูดของผมออกมาก่อนที่ผมจะพูดจบประโยคของตัวเองด้วยซ้ำ ท่าทางร้อนรนน่าสงสารของคนที่กำลังเสียงใจ

 

“อัยย์ไม่เคยไม่อยากมีจันทร์เลย ...” ฝ่ามือเรียวของอัยย์ที่เอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมบอกออกมาเบาๆ ท่าทางที่ทำเหมือนกับกลัวว่าผมจะสะบัดทิ้งนั่นทำให้ผมยอมหันไปมองมือสวยที่จับมือผมอยู่ตอนนี้

 

“ไม่อยากให้จันทร์โกรธอัยย์ด้วย อัยย์ขอโทษที่วันนั้นพูดไม่ดี” ค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ กันมากขึ้นอีกนิด ส่วนผมก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ขยับหนีไปไหน

 

“ยกโทษให้อัยย์ได้ไหมจันทร์ ขอโทษนะที่พูดจาแบบนั้นกับจันทร์นะ” เสียงเล็กๆ น่ารักนั่นพูดออกมาพร้อมๆ กับที่โถมตัวเข้ามาและวงแขนเรียวที่เอื้อมเข้ามากอดตัวผมเอาไว้ทั้งตัว หัวทุยซุกอยู่ที่อกของผมนิ่งๆ ก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวของไหล่เล็กๆ นั่น มันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้และเสียใจ น้ำตาร้อนๆ รินไหลอยู่ที่อกผมในตอนนี้ ... อัยย์เป็นแบบนี้เสมอ เค้ารู้ดีว่าอะไรที่จะทำให้ผมแพ้

 

“อัยย์”

 

“นะๆ นะจันทร์นะ” ผละตัวออกมานิดหน่อยในตอนนี้แล้วช้อนตาแดงๆ ที่น้ำตาไหลลงมาอย่างน่าสงสาร

 

“อัยย์ไม่อยากทะเลาะกับจันทร์เลย อัยย์ขอโทษนะ” ผมไม่ได้อยากจะเห็นภาพๆ นี้ น้ำตาของอัยย์ก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามปกป้องมันมาตลอดหลายปี ได้แต่ถอนหายใจกับท่าทางแบบนั้น เอื้อมมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้าเบาๆ อยู่หลายนาที จนน้ำตาของอีกฝ่ายหยุดไหลได้ในที่สุด

 

“อย่าร้อง”

 

“ก็อัยย์เสียใจ” บอกออกมาแบบนั้นด้วยตาแดงๆ ที่บอกให้รู้ว่าเค้าเสียใจอย่างที่พูด ผมเองก็เสียใจ เลื่อนฝ่ามือลงมาเกลี่ยที่ใบหน้าช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือปัดเส้นผมยาวที่ละอยู่ข้างแก้มอีกฝ่ายออกให้ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นรอยอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องขมวดคิ้ว

 

“นี่อะไร” จ้องเขม็งไปที่คอของอีกฝ่าย

 

“ห๊ะ” อัยย์ยกมือขึ้นมาจับที่แถวด้านต้นคอของตัวเองอย่างลืมตัว ก่อนสะดุ้งตัวน้อยๆ และดวงตาสวยนั่นก็เบิกกว้างขึ้นตอนที่มองตรงมาที่หน้าของผม

 

“มะ...ไม่มีอะไร” บอกแบบนั้นแล้วขยับปกเสื้อให้มันมาปิดรอยสีจางๆ นั่นเอาไว้ ... แต่ผมเห็นชัดไปแล้ว

 

“นี่อัยย์ไปให้มันเอามาหรอวะ!” เป็นความรู้สึกที่จู่ๆ ก็เลือดขึ้นหน้า จ้องหน้าอีกฝ่ายแบบไม่อยากจะเชื่อ

 

“จันทร์...” เขาที่เรียกชื่อผมเสียงอ่อย และมือเล็กๆ นั่นที่ก็พยายามจะเอื้อมมาจับมือผมเอาไว้อีกครั้ง แต่ผมถอยหนี

 

“ไม่ต้องมาเรียก!”

 

“จันทร์ไม่เอา อย่าเป็นแบบนี้”

 

“อัยย์ มึงแม่ง โง่ฉิบหาย!” ตะคอกออกไปแบบนั้น แค่ได้รู้ว่าคนตรงหน้ากลับไปมีอะไรกับแฟนเก่าที่เลิกกันไปนานแล้วแบบนั้น พูดอะไรไม่ออกแต่โกรธจนมือสั่น คนๆ นึงแม่งจะทำตัวสิ้นคิดได้มากแค่ไหนกันวะ

 

“รู้บ้างไหมว่ามันแค่เอาเฉยๆ มันไม่ได้รู้สึกห่าอะไรนอกจากเงี่ยน!”

 

“แล้วจะให้อัยย์ทำยังไง” เถียงออกมาแบบนั้นพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มสองข้างอีกครั้ง น้ำตาที่เมื่อกี้ผมเป็นคนเช็ดมันให้หายไป แต่ตอนนี้กลับไหลลงมาใหม่เพราะเรื่องเดิมๆ และตัวผมเองก็ได้รับคำพูดตอบกลับมาแบบเดิมๆ

 

“อัยย์เคยบอกจันทร์ว่าเสียใจเพราะมันมากแค่ไหน แล้วอัยย์ไปทำเหี้ยอะไรกับมันวะ!”

 

“ก็เรารักเค้าอ่ะ เรารักยอร์ช

 

คำตอบที่ทำเอาผมหน้าชา ผมไล่สายตามองตามรอยจางๆ นั่นแล้วก็สูดลมหายใจ เลื่อนสายตาไปมองมือเล็กที่จับแขนเสื้อของผมเอาไว้พร้อมน้ำตาไหลลงมาแบบกลั้นไม่อยู่

 

“นี่อัยย์มาหาจันทร์ เพื่อมาพูดเรื่องนี้หรอวะ เพื่อบอกว่ารักไอ้เหี้ยนั่นแค่ไหนหรอวะ มาบอกทำเหี้ยไรวะอัยย์!”

 

“ไม่...ฮึก ไม่ คืออัยย์ แค่อยากให้จันทร์เข้าใจ ฮึก อัยย์ไม่อยากเสียจันทร์ไป”

 

“ขอร้องเหอะอัยย์ ถ้าจะมาพูดแค่นี้ก็ไม่ต้องว่ะ เสียเวลาฉิบหาย” ผมบอกออกไปแบบนั้น โดยที่ไม่คิดจะระวังคำพูดเพื่อรักษาน้ำใจของคนตรงหน้า นี่คงเป็นครั้งที่สองในชีวิตของอัยย์ ที่โดนผมพูดใส่ไม่ดีขนาดนี้

 

“ไม่จันทร์ ฮึก...จันทร์พึ่งอย่าไป”

 

“ต่อจากนี้อยากทำอะไรก็ทำไป จันทร์จะไม่ยุ่งกับเรื่องของอัยย์อีก เอาให้พอใจ เชิญโง่ให้พอเหอะว่ะ กูพอละ” พูดจบแค่นั้นแล้วเดินหันหลังออกมา ได้ยินเสียงร้องไห้ดังๆ แบบไม่อายใครดังห่างออกไปจากทางด้านหลังที่ผมพึ่งเดินจากมา ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากออกมาให้ไกลจากตรงนั้น ตรงที่มีอัยย์ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น คนที่ผมทิ้งไว้ตรงนั้นเสียใจมากมายแค่ไหนผมไม่รู้

 

แต่ความเสียใจของเค้า มันไม่เคยเท่ากับความเสียใจของผมเลยสักที

 

และครั้งนี้ก็เช่นกัน

 

“เห้ยๆ เกิดไรขึ้นวะไอ้จันทร์” ไอ้ปุ่นลุกขึ้นจากโต๊ะตอนที่ผมเดินเข้ามาคว้ากระเป๋าตัวเองไป

 

“เสียงดังเลยไอ้เหี้ย นั่นพี่อัยย์หรอวะ” ไอ้มีนที่ทำหน้าเลิ่กลั่กหันรีหันขวางแบบไม่รู้จะทำตัวยังไง แต่ผมไม่มีอารมณ์ตอบคำถามของใคร ไม่สนว่าเรื่องราวในวันนี้จะถูกแชร์ส่งต่อมากแค่ไหน เพราะเราทะเลาะกันที่หน้าโรงอาหาร

 

“ไอ้พระจันทร์” ไอ้ปุ่นที่พยายามจะคว้าตัวผมไว้ แต่ผมหลบมันพ้นและสุดจะทนกับตอนนี้

 

“ช่างเรื่องแม่ง!”

 

ตะคอกออกไปแบบนั้น แล้วพาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้น โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองมันอีกสักที

 

ปล่อยทุกอย่างทิ้งไว้ตรงนั้น

 

แต่ความเสียใจมันกลับมาอยู่ตรงนี้...

 

...

 

 

“แอมออนเดอะเนคเลวึว! ~”

 

“พอ! ขืนมึงยังร้องประโยคนี้ซ้ำอีกรอบกูโบกหัวมึงทิ่มแน่ไอ้สมุทร” ไอ้มาร์ชที่นั่งอยู่ข้างๆ ตะโกนออกมาใส่หูน้องสมุทรเสียงดัง พร้อมๆ กับที่มันก็ยกฝ่ามือขึ้นมาทำท่าจะง้างมาตบหัวกันจริงๆ เห็นแบบนั้นเลยต้องหุบปากลงทันที

 

เราสองคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนที่ตอนนี้ยังไม่มีใครมาเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้าคลาส พวกผมก็แค่มาก่อนเพื่อมาตากแอร์เย็นๆ

 

“ให้ทำไงได้วะ ก็ทั้งเพลงกูร้องได้แค่ประโยคเดียวอ่ะ”

 

“มึงจะร้องทั้งเพลงได้แค่ประโยคเดียวก็ได้ แต่มึงจะร้องซ้ำไปซ้ำมาด้วยประโยคเดิมๆ ทุกวินาทีไม่ได้ไอ้สัด มันน่ารำคาญ!”

 

“พ่อ นี่น้องสมุทรไง น้องสมุทรลูกพ่อมาร์ชเองไง ทำไมพ่อต้องใจร้ายกับน้องล่ะ” ช้อนตามองหน้ามันด้วยท่าทางน่าสงสาร ก่อนจะใช้หัวไปไถๆ ตรงไหล่มันแบบออดอ้อน แต่คิดว่าน่าจะเป็นอ้อนมืออ้อนตีนไอ้มาร์ชมากกว่า เพราะมันมองกลับมาแบบสายตารังเกียจกัน

 

“มีลูกแบบมึง กูขอบาย กูจะฆ่าให้ตายยังแต่คลอด”

 

“เอ้า! นี่เฉลยกูแล้วหรอว่าจริงๆ เป็นแม่ไม่ใช่พ่อมาตลอด งื้อ แม่มาร์ช~” ผมแกล้งเบิกตากว้างๆ ผละหัวที่ไถ่อยู่ที่ไหล่มันออกมามองหน้ามันแบบโอเว่อร์ ไอ้มาร์ชเลยหันมาถลึงตาใส่กัน เห็นแบบนั้นแล้วน้องสมุทรก็ชอบอกชอบใจ

 

“สวยจังเลยนะครับเพื่อนครับ แม่มาร์ชคนสวยของน้องสมุทร” หยิกแก้มมันสองข้างแล้วจับส่ายไปส่ายมา ไอ้มาร์ชมันเป็นคนตาโตครับ เวลามันถลึงตาใส่ยิ่งน่ารัก ดวงตาแป๋วแหววที่ติดจะไม่พอใจกัน ดูหยิ่งๆ ดื้อๆ แบบขี้รำคาญ แต่จริงๆ แล้วมันใจดี แล้วก็แคร์เพื่อนแบบน้องสมุทรมากๆ

 

มันเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกผมมากกว่าใคร โดยเฉพาะในวันที่ผมไม่แคร์ความรู้สึกของตัวเอง

 

“เลิกกวนตีนกูไอ้เหี้ยนี่”

 

“เอ้าๆ มันฉุนเฉียวอะไรนักวะนั่น อะๆ กูมาแล้วครับเพื่อนครับ แดกน้ำเย็นๆ ชื่นใจก่อนครับมึง เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น” ไอ้จิมที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ตะโกนออกมาแบบนั้น วันนี้ก็แต่งตัวมาแบบดูดีเหมือนเดิม เสื้อนักศึกษาทับในกางเกงดูดีสะอาดสะอ้านเช่นเคย ทรงผมทันสมัยของมันยังคงถูกเซตด้วยเจลแต่งผมแบบทุกๆ วัน และใช่ ไอ้ตัวข้างหลังที่เดินตามมันมาก็คงคอนเส็ป หล่อ เซอร์สกปรกเช่นเคย ไอ้เฮงที่ถือถุงลูกชิ้นเจ้าโปรดของมันมา และกำลังเอาไม้จิ้มฟันแคะขี้ฟันเดินตามไอ้จิมเข้ามาแบบชิลๆ

 

“อี๋ สกปรกไอ้สัด” ผมเบ้หน้าใส่ตอนเห็นแบบนั้น

 

“กูแคะฟันกู แล้วกูก็แดกเอง มึงมาเดือดร้อนอะไรด้วยไอ้สมุทร” มันขมวดคิ้วแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม ก่อนจะยกขาขึ้นนั่งชันเข่าข้างนึงบนเก้าอี้แบบท่านเจ้าพระยาในสมัยก่อน ชอบมากท่านี้ มันบอกนั่งแล้วไข่ไม่โดนทับ เลยชอบนั่ง

 

“มึงกะไม่แบ่งใครกินด้วยเลยว่างั้น”

 

“แล้วมึงกล้าแดกป่ะล่ะ ไม้จิ้มมีไม้เดียว กูใช้แคะขี้ฟันไปแล้ว อะ เอาไปๆ แดกไหมๆ แดกสิ”

 

“อี๋ อย่าเอามา กูไม่เอาแล้วไอ้เหี้ยนี่” ดันถุงลูกชิ้นที่มันพยายามจะยื่นมาให้ออกไปให้ห่าง เฮงซวยจริงๆ สมฉายาของมัน

 

“อะ เอาไป แตงโมปั่นของเพื่อนมาร์ชที่ไลน์สั่งกูเหมือนกูเป็นเจ้าของร้าน รับไปครับไอ้สัด” ไอ้จิมยื่นแก้วแตงโมปั่นที่ถือมาให้ไอ้มาร์ช มันที่เลิกเก๊กแล้วรีบหยิบไปดูดทันที

 

“ชอบมากเลยหรอวะ” ผมถามออกไปแบบนั้น ตอนที่เห็นหน้ามันฟินสุดๆ กับน้ำแตงโมปั่นของมัน

 

“มาก กูชอบ”

 

“ไม่ต้องบอกว่ามึงชอบกูก็เห็น แดกได้ทุกวันไอ้สัด” ไอ้เฮงมองเหยียดใส่แก้วแตงโมปั่นในมือไอ้มาร์ชแล้วว่าออกไปแบบนั้น มันไม่ชอบน้ำแตงโมปั่นของไอ้มาร์ชแบบสุดๆ มันบอกมันไม่ชอบผลไม้สีเขียวแดง

 

“คนไม่ชอบแบบมึงจะไปรู้อะไรไอ้โง่ นี่มันของอร่อย หวานหอม” มันเคลมออกมาแบบนั้น ดูภูมิใจแบบสุดๆ มันเคยบอกน้องสมุทรว่าความฝันของมันตอนเด็กคืออยากมีไร่แตงโมเป็นของตัวเอง ตอนเด็กมันเคยแดกเม็ดแตงโมเข้าไปแล้วคิดว่าลูกแตงโมจะเติบโตในท้อง โถ่ๆ น้องมาร์ชนี่มันน่าเอ็นดู

 

“ว่าแต่มึงไอ้น้องหมุด หนังหน้าดูมีความสุขพิกล” ไอ้จิมนั่งลงข้างๆ ไอ้เฮงอีกที แต่ก็ยังเสนอหน้ามาถามผม ดูขี้เสือกแต่ก็จับความรู้สึกคนอื่นเก่ง

 

“ไม่อยากจะพูดเลยว่ามันอิ่มความสุขจนจะล้นออกปาก จะนอนตะแคงยังไม่ได้เลย มันจะไหลออกทางหู”

 

“สัด เวอร์ฉิบหาย”

 

“ว่าแต่มึงเป็นเหี้ยไร อย่าบอกว่ามึงได้เป็นเมียไอ้พี่พระจันทร์แล้วนะ” ไอ้มาร์ชละสายตาออกมาจากแก้วสุดรักสุดใจของมันแล้วถามออกมาแบบนั้นด้วยใบหน้านิ่งๆ

 

“ก็เหี้ยแล้วไอ้สัด!” ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันก็อยากจะด่าว่าไอ้เหี้ย เมียพ่อง! น้องสมุทรอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์มาตลอด ถ้าจะเป็นเมียเมื่อไหร่ก็ขอให้ได้ออกมาทำใจตั้งตัวสักแป๊บ แค่กๆ หยอกจ้า ผัวเท่านั้นที่น้องสมุทรต้องการ!

 

“ก็หน้าตามึงดูอิ่มน้ำ ก็นึกว่าได้น้ำสิวะ” ไอ้เฮงสอดปากออกมาทันทีแล้วยกยิ้ม หน้าตาหล่อๆ ของมันวาววับจนอยากจะยกตีนขึ้นมาลูบหน้า เกลียดสายตามากๆ ไอ้เหี้ย

 

“กูไม่ได้น้ำเว้ย แบบกูต้องได้ปล่อยน้ำสิวะ”

 

“อ๋อ ก็อาจจะปล่อยนะ แต่อาจจะปล่อยที่หน้าท้องพี่พระจันทร์” ไอ้จิมทำหน้ากรุ้มกริ้ม ผมอ้าปากพูดเบาๆ แบบไม่มีเสียงส่งไปให้มันว่า ‘K’ ก็ได้รับเสียงตามมาจากมันและไอ้เฮงอย่างชอบใจ

 

“ฮ่าๆๆ”

 

แม่ง ชอบล้อน้องสมุทร ล้อตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าน้องสมุทรอยากได้พี่พระจันทร์คนสวยคะคนสวยขามาเป็นเมีย น่าโมโหจริงๆ

 

“อะๆ หน้างอแล้ว แดกน้ำแตงโมปั่นของกูไหม”

 

“ไม่เอาอ่ะ กูไม่อยากแย่งเด็ก” ยกมือขึ้นดันแก้วแตงโมปั่นแสนรักของไอ้มาร์ชให้กลับไปหามัน ไม่ได้อยากกินเท่าไหร่

 

“เด็กพ่อง กูโตกว่ามึงเยอะครับไอ้หมุด ... ว่าแต่ที่มึงดูมีความสุขแบบนี้ก็เพราะไอ้เหี้ยพี่พระจันทร์หรอวะ”

 

“โปรดอย่าเรียกหวานใจกูว่าไอ้เหี้ยแบบนั้นนะ!”

 

“จริง มึงนี่ไม่รู้เรื่องเลยนะพ่อมาร์ช ไปเรียกอนาคตผัวลูกแบบนั้นได้ไงครับ” พูดออกมาแล้วหันมาพยักหน้าใส่น้องสมุทรหนึ่งที หน้าตาของไอ้เฮงที่เหมือนกำลังถามว่า กูทำดีใช่ไหมเพื่อน ... กวนตีนฉิบหาย อยากหยุมหัวไอ้เฮง

 

“แล้วยังไง วันนี้กูจะได้รู้เรื่องไหมวะ” ไอ้มาร์ชที่เริ่มหงุดหงิด ย่นหัวคิ้วหันไปมองทางไอ้เฮงกับไอ้จิมที่ยักไหล่ใส่แบบไม่สนใจท่าทีของมัน ไอ้สองตัวนั้นที่หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วเริ่มตั้งท่าเล่นเกมโดยที่ไม่สนใจเราสองคน ผมหันไปยิ้มให้ไอ้มาร์ชน้อยๆ รู้ดีว่ามันเองก็คงเป็นห่วง

 

“กูมีความสุขดีมึง” บอกมันออกไปแบบนั้น ตอนที่เห็นสายตาของมันที่มองมานิ่งๆ แบบเป็นกังวล

 

“กูมีความสุขที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรอบสี่ปีเลย” ผมยิ้มออกไปนิดๆ พรางนึกไปถึงช่วงเวลาสี่ปีก่อน ตอนนั้นมันก็ไม่แย่ แต่การที่ผมได้แต่แอบเดินตาม แอบมองพี่พระจันทร์ตามที่ต่างๆ ของโรงเรียนในตอนนั้น มันเทียบไม่ได้กับตอนนี้เลย ตอนนี้มันเกินความคาดหวังของผมไปเยอะเลย

 

แต่เค้าว่ากันว่า คนเรามันไม่เคยรู้จักพอ ยิ่งได้มากเท่าไหร่ เราก็รู้สึกยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีกเท่านั้น

 

และผมเองก็เป็นคนแบบนั้นเช่นกัน ... ใจจริงในครั้งแรกแค่คิดว่าได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ได้ลองบอกให้เค้ารู้มันก็พอแล้ว แต่พอยิ่งได้ใกล้ชิด เข้าใกล้ สัมผัส หรือแม้แต่ขยับเข้าไปในโลกของเขามากแค่ไหน ผมก็ยิ่งอยากขยับเข้าไปมากขึ้นกว่าเดิม

 

นั่นล่ะคำว่าไม่รู้จักพอ ... แต่ถามว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง ก็คงบอกได้ว่า มันมีความสุขสุดๆ ไปเลย

 

“กูได้อยู่ใกล้เค้า และเค้าก็บอกกำลังจะเปิดใจให้กูมากขึ้น มึงว่ากูที่หวังให้มันมีวันนี้มาตลอดจะมีความสุขมากแค่ไหนวะ” หันไปมองหน้าไอ้มาร์ชที่ก็มองสบตากับผมนิ่งๆ สีหน้าที่อ่านไม่ได้ของมันเอาแต่จ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น มันเงียบ แต่ผมเลือกที่จะยังคงส่งยิ้มไปให้ อยากให้มันรู้ และไม่เป็นห่วงว่าตอนนี้ผมมีความสุขดีจริงๆ

 

“อืม...ถ้ามึงมีความสุข มันก็ดี” มันพูดออกมาในที่สุดหลังจากที่เงียบไปหลายนาที ก่อนจะถอนสายตาหนีกลับไปนั่งมองกระดาษนิ่งๆ

 

“ขอบใจนะมึง”

 

“เรื่องไรวะ”

 

“ที่มึงอยู่เป็นเพื่อนกูมาตลอดสี่ปี คอยปลอบคอยเป็นกำลังใจดีๆ วันนี้กูมีความสุขสุดๆ เลยอยากขอบคุณมึง” ผมบอกออกไปแบบนั้น แต่ไอ้มาร์ชไม่ได้หันมามอง มองไปที่เสี้ยวหน้าด้านข้างของมันที่ก็ค่อยๆ ยกยิ้มออกมานิดๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ

 

“ถ้ามีผัวดีๆ แล้ว กูก็จะได้เลิกห่วงมึงสักที”

 

“ผัวพ่อง กูอยากได้พี่พระจันทร์มาเป็นเมียเถอะโว้ย”

 

“อย่าพยายามให้เหนื่อยเลยไอ้ห่า เสียท่าง่ายๆ เข้าสักวันมึงจะร้องไม่ออกนะ” มันส่ายหน้านิดๆ

 

“แบบกูอ่ะหรอจะร้องไม่ออก กูจะร้องสุดเสียงขึ้นไฮโน๊ตเลยล่ะจะบอกให้” ผมตอบกลับออกไปแบบนั้น ก็ได้รับสายตามองเหยียดกลับมาเป็นคำตอบ โถ่เอ๊ย ไอ้พวกชอบดูถูกน้องสมุทร

 

“นี่ไอ้น้องหมุด มึงทำการบ้านอันนี้มายังวะ ข้อ10ต้องตอบเหี้ยอะไร” ไอ้จิมที่เงยหน้าขึ้นมาจากมือถือ หน้าตาที่เหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมทำการบ้านมาส่ง ตาเป็นประกายวิ้งๆ แบบคนเจอที่พึ่ง ...เป็นกูทุกที

 

“มึงสาบานมาดิว่าแค่ข้อ10”

 

“สาบานให้เกิดอะไรขึ้นกับกูครับเพิ่ล”

 

“ให้มึงเป็นเมียไอ้เฮงถ้ามึงโกหก”

 

“Kไอ้สัด กูยังไม่ได้ทำสักข้อ ขอดูหน่อยคร๊าบบ” แหกปากออกมาเสียงดังพร้อมยกมือไหว้ผมแบบยอมแพ้ ท่าทางแบบนั้นของมันทำเอาผมขำออกมา

 

“ทำไมต้องไม่อยากเป็นเมียกูขนาดนั้นครับคุณกมล” ไอ้เฮงขมวดคิ้วถามไอ้จิมที่ลุกขึ้นมาหยิบสมุดของผมกลับไปลอก ไอ้จิมมองเพื่อนรักของมันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนตอบ

 

“เพราะคุณชนธัญKเล็กครับ ผมไม่ชอบ”

 

“สัด เดี๋ยวกูเอายัดปาก”

 

“อี๋ มึงนี่แม่งเฮงซวยสกปรกจริงๆ ไอ้สัด”

 

“แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ ที่พอได้อมไม่เห็นจะพูดงี้”

 

“ไอ้สัดเดี๋ยวกูยันติดพื้น อย่ามาใกล้กูนะไอ้หน้าเหี้ย~~” ไอ้จิมที่ร้องโหยหวนแล้วพยายามเอาตีนดันไอ้เฮงที่ทำท่าจะเข้าไปกอดมันแบบสุดความสามารถ เห็นแล้วสงสาร แต่ไม่ห้ามเพราะสมน้ำหน้ามันดี ... ผมละสายตาจากพวกมันสองคนมา ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นของมันในตอนนี้ ข้อความที่โชว์ขึ้นมา เป็นชื่อสุดเจ๋งที่ผมตั้งเอาไว้สำหรับใครอีกคนที่กำลังทักมาหากันในตอนนี้

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: มึงอยู่ไหน] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: น้องสมุทรอยู่ในห้องเรียน] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: ทักมาก่อนแบบนี้มีใจใช่ป่ะ ยังไง หลงเสน่ห์คนเท่แบบน้องสมุทรแล้วอ่ะดิ] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: ยอมเป็นเมียพี่ยังจ๊ะคนสวย] ]

 

ตอบกลับไปแล้วแอ๊วเอินใส่ไปแบบนั้น น้องสมุทรเผลอยิ้มให้กับข้อความของใครอีกคนที่ทักมา แม้จะเป็นเพียงข้อความเดียว แต่น้องสมุทรก็ดีใจ เงยหน้าขึ้นมาจากแชทเพราะอีกฝ่ายยังไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ก็พบกับสายตาสามคู่จอมขี้เสือกที่หันมาจ้องกันตาเขม็ง คือไม่ทำงานทำการเล่นเกมของพวกมึงแล้วหรอครับเพื่อน

 

“มองกูอะไรกันวะ”

 

“มึงยิ้มแป้นแร้นใส่โทรศัพท์” ไอ้จิมว่าพร้อมหรี่ตามองกัน

 

“มึงคุยกับใคร” ไอ้เฮงก็เสริมต่อออกมาแบบนั้น โดยมีไอ้จิมที่นั่งอยู่ข้างๆ มันพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ทำไมมึงสองตัวขี้เสือกจังวะ” ด่ามันออกไปแบบนั้น ไอ้จิมก็หันหน้าหนีไปสะกิดกับไอ้เฮงแล้วหันไปคุยกันสองคน

 

“มึงมาพนันกับกูไอ้เฮง กูว่ามันคุยกับพี่พระจันทร์ ใครแพ้จ่ายพันนึง”

 

“Kไรล่ะ ลงข้างเดียวกันแล้วใครจะได้เงิน”

 

ผมเลิกสนใจพวกมันสองคนไป ปล่อยให้มันเถียงไร้สาระไปแบบนั้น หันมามองคนข้างตัวที่มองกันนิดๆ แล้วมันก็ละความสนใจไป ไอ้มาร์ชแค่หยิบโทรศัพท์มากดๆ จิ้มๆ ของมันตามเรื่อง เดาเอาเองว่ามันคงรู้ว่าผมกำลังคุยกับใคร

 

ผมก้มลงไปมองข้อความแชทอีกครั้ง มันถูกอ่านแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตอบกลับมา ... หื้ม น้องสมุทรรุกแรงไปหรอวะ พี่พระจันทร์อาจจะเขินใจเต้นรัวเลยหนีหายไปแบบนี้หรอ ฮ้วย! อิหยังนิ

 

[[น้องสมุทรเอง: พี่พระจันทร์ ไม่ชอบที่น้องสมุทรแอ๊วเอินหรอ ขอโทษครับ] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: งั้นวันนี้น้องสมุทรไม่เต๊าะแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเต๊าะใหม่ ผ่าม! จัดไปอีกดอก] ]

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: สมุทร] ] เค้าตอบกลับมาในที่สุด ด้วยคำสั้นๆ คำเดียว

 

[[น้องสมุทรเอง: จ๋า~~] ]

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: มาหากูได้ไหม] ]

 

ผมขมวดคิ้วแปลกใจกับข้อความสั้นๆ ที่ส่งมาแบบนั้น พี่พระจันทร์ไม่เคยเป็นแบบนี้ ถ้าปกติดีคงด่ากลับมาว่ารำคาญ หรืออะไรเถือกๆ นั้น ผมชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะส่งตอบ

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: อยู่ไหนครับ] ]

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: ใต้คณะมึง] ]

 

ผมปิดแชทข้อความพร้อมๆ กับลุกขึ้นยืดแล้วเก็บกระเป๋า ไอ้มาร์ชวางมือถือของมันลงในตอนที่เห็นผมลุกขึ้นแบบนั้น

 

“มึงจะไปไหน” มันถามออกมานิ่งๆ

 

“กูฝากส่งงานด้วย ยังไงวิชานี้ก็ไม่เช็คชื่ออยู่แล้ว”

 

“เอ้า แล้วมึงจะไปไหนวะ” ไอ้จิมเงยหน้าขึ้นมาจากการลอกงานของผมถามออกมา

 

“มีธุระว่ะ”

 

“ไอ้สมุทร มึงจะไปหาไอ้พี่พระจันทร์ใช่ไหม แต่มึงมีเรียนนะไอ้เหี้ย” ไอ้มาร์ชว่าออกมาเสียงแข็ง ท่าทางที่จะไม่ยอมของมันไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนใจ

 

“กูต้องไป” ผมตอบออกไปพร้อมมองหน้าพวกมันทุกคนเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง ไอ้เฮงเองก็มองกลับมาด้วยท่าทางที่ดูจะไม่เข้าใจกับการกระทำของผมแต่มันก็เลือกที่จะไม่พูด ... แต่นั่นไม่ใช่กับไอ้มาร์ช

 

“มึงอย่าโง่ให้มากได้ไหมวะสมุทร มึงจะรักแม่งอะไรมากมายนักหนา มึงวิ่งตามมันเป็นหมารู้ตัวบ้างไหม อย่าคิดว่ามึงบอกว่ามีความสุขแล้วกูจะปล่อยไปนะ สิ่งที่มึงทำอยู่มีแค่มึงที่วิ่งตามมัน หัดรักตัวเองบ้างไอ้สัด”

 

“เห้ยๆ มึงใจเย็นๆ ไอ้มาร์ช” เป็นไอ้จิมที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่มันให้ใจเย็นๆ ผมกับมันจ้องตามองกันอยู่แบบนี้

 

“ก็มึงดูเพื่อนมึงดิ แม่งมีความรักจนโง่!”

 

“บางทีกูคงดูโง่มากเลยใช่มั้ยล่ะในสายตาของพวกมึง แต่กูรักพี่เค้ามาสี่ปีเลยนะเว้ย” ผมแค้นยิ้มออกมานิดๆ ตอนที่มองหน้าพวกมันทุกคน

 

“แล้วตอนนี้กูมีโอกาสมากกว่าเดิมตั้งเท่าไหร่ แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่กูจะไม่คว้ามันไว้ว่ะ”

 

“แต่ว่ามึง...” ไอ้มาร์ชที่ทำหน้าไม่พอใจและพยายามจะพูดขัดออกมา

 

“เอาไว้มึงลองมีความรัก แล้วมึงจะเข้าใจเองแหละ ที่คนชอบพูดกันว่าเห็นนรกเป็นสวรรค์ มันเป็นยังไง” อีกคนเงียบลงไปตอนที่ผมพูดออกมาแบบนั้น

 

ปล่อยให้กูได้รักเค้าเถอะ กูก็แค่อยากรักเค้า ไปจนถึงวันสุดท้ายที่กูจะมีโอกาสได้รัก ปล่อยให้กูไปมีความสุขในแบบที่ใครก็มองว่ากูโง่เถอะ” ผมบอกออกไปแบบนั้นแล้วหันหลังเดินออกมา ไอ้มาร์ชที่ลุกขึ้นมา ท่าทางที่เหมือนอยากจะเอื้อมมือมาคว้าตัวของผมเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เป็นไอ้เฮงที่ลุกขึ้นมาขวางมันเอาไว้ซะก่อน

 

“ปล่อยมันไปเถอะไอ้มาร์ช”

 

“แต่มึง...”

 

“มันเป็นเพื่อนมึงนะ ... ปล่อยให้มันได้ไปมีความสุขในแบบของมันเถอะว่ะ”

 

...

 
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 05-03-2022 17:49:19

“พี่พระจันทร์” ผมเรียกชื่อของคนที่ยืนเอาแผ่นหลังพิงกำแพงรออยู่ที่หน้าทางลงบันไดที่ชั้นหนึ่ง ดวงตาคมสวยของเขาก็ช้อนขึ้นมองกันตอนที่ได้ยินเสียงเรียกของผม สายตาคู่คมสวยที่ดูอ่อนล้าและก็แปลกใจนิดๆ ตอนที่มองเห็นผม

 

“รอน้องสมุทรนานไหม” ผมถามออกไปพร้อมส่งยิ้มไปให้ในตอนที่เดินไปถึงตัวเขา พี่พระจันทร์ยังคงมองมาที่หน้าผมไม่เลิกสักที

 

“ทำไมถึงมาวะ” เค้าถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่เข้าใจ น้องสมุทรเองก็งงนิดหน่อยกับคำถามนี้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มออกไปให้ก่อนจะตอบคำถาม

 

“ก็แล้วทำไมถึงจะไม่มาหาพี่พระจันทร์ล่ะครับ”

 

“แค่กูบอกให้มา มึงก็ไม่จำเป็นต้องมา”

 

“ก็แล้วทำไมถึงไม่จำเป็นต้องมาล่ะ พี่พระจันทร์เป็นคนสำคัญของน้องสมุทรนะเว้ย” ผมตอบคำถามนั่นออกไป แล้วมันยากตรงไหนกับคำถามนี้

 

“กับบางคน ต่อให้กูเรียกเค้าแค่ไหน เค้าก็ไม่มาหรอก” พี่พระจันทร์ที่เสหน้าไปทางอื่นพูดออกมาเบาๆ แต่ผมก็ยังคงได้ยินมันอยู่ดี

 

“ก็นั่นมันคนอื่น แต่นี่น้องสมุทรนะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องมาหาพี่พระจันทร์ก่อนใครอยู่แล้วสิครับ” เค้าหันมามองหน้าผม เราที่สบตากันอยู่นิ่งๆ แบบนั้น ท่าทางที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาของเขา แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ

 

“อยากกินอะไรไหมครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องพร้อมส่งยิ้มไปให้เค้าแทน

 

“ว่าไงครับ”

 

“อยากกินน้ำเขียวโซดา” ตอบกลับมานิ่งๆ ใบหน้าอึนๆ ที่บอกอยากกินน้ำเขียวนั่นทำเอาผมหลุดขำออกมา...น่ารักดีเหมือนกันนะพี่พระจันทร์โหมดนี้เนี่ย

 

“ติดใจอะดิ๊ โอเค เดี๋ยวน้องสมุทรไปซื้อให้ เจ้าโรงอาหารน้องสมุทรก็อร่อยไม่แพ้ของบริหารนะบอกก่อน มาๆ ตามน้องสมุทรมาเลยจ้า” บอกออกไปแบบนั้นแล้วคว้าข้อมือของอีกคนเอาไว้ ก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายเดินตามมาด้วยกัน

 

“พี่พระจันทร์นั่งรอน้องสมุทรตรงนี้แป๊บ เดี๋ยวไปซื้อมาให้”

 

“ไม่ กูอยากไปด้วย” ผมมองหน้าคนที่ตอบกลับออกมานิ่งๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วตามใจเขา คนที่เดินตามกันมาไม่พูดอะไรนอกจากยืนอยู่ข้างๆ และในตอนที่ผมยื่นแก้วน้ำเขียวโซดาไปให้ ก็ทำแค่รับไปดูดเข้าปากเงียบๆ

 

จนตอนนี้ที่เราเดินออกมาถึงลานจอดรถที่พี่พระจันทร์จอดเอาไว้ หรือแม้แต่ตอนที่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็ยังทำแค่ดูดน้ำจากแก้วตัวเองต่อไปแบบนั้น

 

“น้ำเขียวโซดา มันสดชื่นนะ มันจะทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น” หันไปบอกคนข้างๆ ตัวเพื่อทำลายความเงียบ และเพราะแบบนั้น พี่พระจันทร์เลยหันมามองหน้ากันสักที

 

“ว่าแต่ เราจะไปไหนกันดีครับ” ผมถามออกไปหันซ้ายหันขวาแบบอยากรู้อยากเห็น พี่พระจันทร์ถอนหายใจออกมานิดๆ ก่อนจะวางแก้วน้ำไว้ที่ช่องวางแก้ว

 

“มึงไม่ถามหรอ”

 

“ถาม ถามอะไรครับ” หันไปถามอีกคนที่กำลังทำสีหน้าที่ไม่สู้ดี

 

“ถามว่าทำไมกูถึงมาหามึงตอนนี้ ถามว่ากูเป็นอะไร”

 

“พี่พระจันทร์คงคิดถึงน้องสมุทรมั้ง” ผมตอบออกมาหน้าระรื่น แล้วขำออกมานิดๆ จินตนาการสำคัญกว่าความจริงนะพูดเลย

 

ผมเอื้อมมือไปจับมือของคนข้างๆ ตัว เค้าหันมามองมือของผมนิดๆ ก่อนที่ฝ่ามืออุ่นนั่นจะกระชับมือของผมให้แน่นมากขึ้น

 

“น้องสมุทรไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้นี่จริงไหม ถ้าพี่พระจันทร์อยากบอกเมื่อไหร่ ค่อยรู้ตอนนั้นก็แล้วกัน”

 

“ขอบใจนะ”

 

“อืม เอางี้ดีกว่า เราไปหาข้าวกินกันดีกว่าครับ น้องสมุทรจะพาพี่พระจันทร์ไปเดทเองน้า” ผมยิ้มกว้างแล้วส่งหน้าระรื่นไปให้

 

“เดทอีกแล้ว เดทของมึงเป็นแบบนี้หรอวะ”

 

“ใช่สิ เดทที่พี่พระจันทร์ขับรถให้ แล้วพี่พระจันทร์ก็อาจจะต้องเลี้ยงข้าวน้องสมุทรด้วยนะ เป็นไง เท่ป่ะ” เอียงคอไปถามพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยี พี่พระจันทร์มองหน้าผมอยู่แบบนั้น ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะส่ายหัวออกมานิดๆ แอบเห็นมุมปากของอีกคนถูกจุดรอยยิ้มขึ้นมานิดๆ ในตอนนี้ ... พี่พระจันทร์ที่ยิ้มออกมาเป็นอะไรที่ดีต่อใจที่สุดเลย

 

          บรรยากาศภายในรถที่คลายตัวลงมานิดหน่อยหลังจากที่พี่พระจันทร์ยิ้มออกมา ผมเลยเอี้ยวตัวมาทางขวาเพื่อจะหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงกลางช่องวางแก้วน้ำเพื่อยื่นให้พี่พระจันทร์อีกที หวังให้น้ำเขียวโซดาเจ้านี้ทำให้เค้าอารมณ์ดีขึ้นอีกหน่อย แต่อีกคนก็เหมือนจะมีความคิดเดียวกันเพราะแบบนั้นปลายจมูกโด่งของอีกคนถึงชนเข้ากับกับปลายจมูกของผมแบบพอดิบพอดี จังหวะเหมือนในละครที่เคยเห็นบ่อยๆ ก็ไม่คิดว่าพอเป็นชีวิตจริงแล้วมันจะทำให้รู้สึกโหวงๆ ในท้องน้อยแบบที่มีคนเคยบอกเอาไว้ได้จริงๆ ... ผีเสื้อบินรอบท้องน้องสมุทร

 

“อะ เอ่อ...”

 

“กูอยากกินน้ำเขียวโซดา”

 

“เอ่อ น้องสมุทรจะหยิบให้พอดีเลย แหะๆ” กะพริบตาปริบๆ แล้วบอกออกไปแบบนั้นด้วยใบหน้าร้อนๆ เพราะพี่พระจันทร์เอาแต่จ้องมองกันไม่เลิก

 

“อะ น้องสมุทรหยิบให้แล้ว” ยื่นแก้วส่งไปให้ แต่พี่พระจันทร์ก็ไม่ขยับตัวไปหรือรับแก้วจากมือผมสักที เค้าทำแค่ขยับใบหน้าเอียงเข้ามาใกล้ๆ เห็นแบบนั้นก็หลับตาปี๋ลงทันที ทำไงดีกับเหตุการณ์นี้ น้องสมุทรควรเอียงแก้มให้เขาเลยไหม แบบว่าหอมลงมาเลยสิจ๊ะ เอ้ย! ไม่ใช่สิเว้ย

 

“หอมนะ มึงใส่น้ำหอมหรอ” เสียงกระซิบทุ้มต่ำดังอยู่ข้างใบหู รู้สึกร้อนวาบจนขนอ่อนทั่วใบหน้าก็ลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลืมตาขึ้นมามองช้าๆ เห็นหน้าพี่พระจันทร์ที่ยังอยู่ใกล้ๆ และก็เป็นเราที่สบตากันอยู่ในตอนนี้ พี่พระจันทร์ยกยิ้มออกมาหนึ่งทีที่ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าเดิม

 

“แก้มมึงแดงว่ะ” ... กูรู้แล้วจ้า ขยี้กูเพื่ออะไรเอ่ย!

 

“ไปหาอะไรกินกันดีกว่าว่ะ เผื่อมันจะทำให้มึงเลิกแก้มแดงได้” พูดแค่นั้นก็หันตัวกลับไปเข้าเกียร์และออกรถทั้งอย่างนั้น แก้วน้ำเขียวโซดาที่ละเหยจนเป็นไอน้ำเกาะอยู่ข้างขอบแก้วแล้วตอนนี้ แต่เจ้าของมันก็ดูเหมือนเลิกสนใจที่จะกิน

 

“น้ำนั่นไม่กินแล้วนะ เพราะมันหอมไม่เท่าแก้มมึง”

 

จ้า!! ตามสบาย ขยี้ให้หัวใจกูวายตายไปเลยเถอะ!

 

.

.

.


            บรรยากาศของห้างใหญ่ใจกลางเมืองในช่วงเวลาที่ยังไม่เที่ยงแบบนี้ไม่วุ่นวายเท่าไหร่ ผมและพี่พระจันทร์ที่เดินอยู่ข้างกันอย่างไม่เร่งรีบด้วยเพราะว่าเราไม่ได้จะไปทำอะไร เลยเดินเรื่อยๆ มองนั่นมองนี่หาของกินกันไปได้อย่างสบายใจ

 

“มึงแพ้อาหารอะไรไหม”

 

“ไม่นะ น้องสมุทรกินได้ทุกอย่าง กินพี่พระจันทร์ด้วยก็ได้นะจริงๆ” เก๊กหน้าทำหน้าเท่แล้วยกยิ้มมุมปากส่งไปให้ ง่อว มันแสนจะจ๊าบใจ พี่พระจันทร์ที่เดินอยู่ข้างกันหยุดเดินแล้วปรายตามามองหน้านิดๆ

 

“กินเลยไหมล่ะ แต่ถ้ากินไม่ไหว กูกินมึงคืนนะ และรับรองกูกินหมดตัว” ว่าออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเหี้ยม ก่อนจะยกวงแขนแกร่งขึ้นมากอดคอผมเอาไว้ พร้อมขยับให้ตัวผมไปชิดเค้ามากขึ้น อยากจะดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงไม่ไหว ปัดโถะ

 

“อ๊าก น้องสมุทรหยอก หยอกจ้า~” ร้องออกมาพร้อมหดคอหนี ตอนที่ใบหน้าคมนั่นเอียงเข้ามาใกล้

 

“หยอกก็เรื่องของมึง กูเอาจริง”

 

“ไม่ ไม่เอาจริงสิ”

 

“อย่ามาทำเป็นเล่น ถ้ามึงสู้ไม่ไหวสมุทร” มือข้างที่กอดคอกันไว้ยกขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เอาให้หัวกูพอเสียทรง

 

พี่พระจันทร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เค้าทำแค่กอดคอผมเอาไว้แล้วลากให้เดินไปพร้อมกัน โดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะเลิกกอดคอกัน แอบช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ตอนนี้ก็ยกยิ้มออกมานิดๆ ... เหมือนฝันจริงๆ เลยว่ะ

 

“อยากกินอะไรไหนว่ามาดิ๊”

 

“อยากกินสปาเกตตี แต่เค้าบอกว่าเวลามาเดทอย่ากินเส้น”

 

“ทำไมวะ” พี่พระจันทร์ขมวดคิ้ว ก้มลงมามองหน้า ท่าทางที่ดูไม่เข้าใจมากๆ นั่นทำให้ผมถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะอธิบาย

 

“ก็เค้าบอกว่ามันจะเลอะเทอะอ่ะดิ แบบดูดๆ เส้นแล้วน้ำสปาเกตตีกระเด็นไปเข้าตาพี่พระจันทร์ทำไงอ่ะ เนี่ย ก็ไม่โอเคป่ะ เดี๋ยวเสียภาพลักษณ์”

 

“คือมึงกลัวเสียภาพลักษณ์ต่อหน้ากู”

 

“ก็ใช่อ่ะดิ” พยักหน้าแข็งขันตอบกลับไปแบบจริงจังสุดๆ แต่อีกคนแค่ทำหน้าละเหี่ยใจส่งมาให้กันแทน

 

“มึงไม่ต้องห่วงหรอก มึงไม่เหลือภาพลักษณ์ตั้งแต่วันที่เมาแล้วเดินมาคล่อมตักจูบปากกูแล้ว นี่ยังไม่รวมที่มึงแบกกีตาร์ไปร้องเพลงที่หน้าคณะกูอีกนะ มึงมาห่วงอะไรเอาห่วงตอนนี้วะ”

 

“เอ่อ...มันก็ไม่ขนาดนั้นป่ะวะ” น้องสมุทรก็แค่เป็นคนจริงใจ กับบางช่วงบางทีก็แค่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปแค่นั้นเองอ่ะ

 

“ไปๆ กูจะพาไปกินร้านนั้น เดี๋ยวมึงจะติดใจ”

 

“แต่ว่า...”

 

“ไม่ต้องมางอแง จะกินไม่กิน”

 

“อร่อยแน่นะ”

 

“รับประกัน” ยักคิ้วให้กันหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ส่งมาให้ เราสองคนที่เดินเข้ามาในร้านอาหารบรรยากาศดี ที่เน้นโทนสีดำและสีอิฐเป็นหลัก เป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนที่คิดว่าราคาไม่น่าจะถูก พี่พระจันทร์จัดการสั่งเมนูสองสามอย่าง โดยที่สั่งสปาเกตตีไข่กุ้งมาให้ผมโดยเฉพาะ

 

“โอ๊ยๆ หิวๆ”

 

“ลองกินดูดิ กูว่ามึงต้องชอบ” พี่พระจันทร์ที่ยกแก้วน้ำข้างตัวขึ้นดื่มด้วยท่วงท่าผู้ดี แขนกับไหล่ทำมุมองศาตกกระทบกับจานตรงหน้าได้มุมแบบสุดๆ เห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที

 

“กินไปเหอะ มึงจะเกร็งทำไม ผีเข้าหรอวะ”

 

“ก็ดูพี่ดิ พามาร้านไรวะเนี่ย แล้วเนี่ย เกิดกระเด็นใส่ทำไงอ่ะ” ผมบ่นออกไปนิดๆ แล้วหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ

 

“ถ้ากระเด็นใส่ก็เช็ดสิวะ”

 

“น้องสมุทรกลัวพี่พระจันทร์อาย ไม่อยากทำให้ขายหน้าที่พาคนเด๋อด๋ามาด้วยนี่หว่า” บ่นออกไปแบบนั้นแล้วก้มหน้าลงหมุนเส้นสปาเกตตีในจานเข้าปากแบบเรียบร้อยที่สุดในชีวิต

 

“กูเป็นคนพามึงมากูยังไม่อาย แล้วมึงจะมาอายแทนกูทำไม ตรงนี้ก็มีแค่มึงกับกูไหม สนใจแค่กูก็พอ” เค้าบอกออกมาแบบนั้น สีหน้าที่บอกชัดๆ ว่าไม่สนใจอะไร โดยเฉพาะไม่สนใจใครจริงๆ แม้ว่าตัวเค้าจะดึงดูดความสนใจของสาวๆ นักศึกษาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตรงมุมนู้น หรือแม้แต่พนักงานที่มารับเมนูที่ส่งยิ้มหวานมาให้ก็ตาม

 

คันยุบยิบในอกจังโว้ย

 

หึ่ย ไม่สนใจแล้ว!

 

ผมก้มหน้าก้มตาลงกินแล้วพบว่า งื้ออ แสงออกปาก!~~

 

“อร่อยใช่ไหมล่ะ”

 

“อากๆ เอย”

 

“เคี้ยวก่อนสิวะแล้วค่อยพูด” บ่นออกมาแบบไม่จริงจัง พร้อมๆ กับยื่นทิชชูมาเช็ดให้ผมที่มุมปาก ผมชะงักนิดๆ ตอนที่โดนทำแบบนั้นให้ เราสบตากัน แต่พี่พระจันทร์เหมือนไม่ได้สนใจอะไร เช็ดปากให้ผมเสร็จ ก็ยื่นมือกลับไปหั่นสเต๊กอกไก่ของตัวเองกินต่อ

 

การกระทำที่เป็นธรรมชาติ ที่ทำให้หัวใจน้องสมุทรทำงานหนักชะมัดเลย

 

“โอ๊ยย อิ่มจนพุงกาง” ผมร้องออกมาแบบนั้นพร้อมลูบท้องตัวเองปอยๆ ตอนที่เราเดินออกมาจากร้านอาหาร ไม่รู้ว่าอาหารมื้อนี้ราคากี่บาท เพราะตอนจะจ่ายเงิน ก็เป็นพี่พระจันทร์ที่หยิบบิลไปก่อน พอถามว่าเท่าไหร่จะได้หารถูก พี่เค้าก็แค่ตอบกลับมาว่า ‘ไม่เป็นไร กูรวย’

 

หึ่ย... อยากตะโกนออกไปว่าชอบจังเลยนะผู้ชายนิสัยรวย! อยากได้เป็นเมีย~~

 

‘ตุบ’

 

“โอ๊ย” ผมร้องออกไปตอนที่โดนตีเข้าที่กลางหลังจากฝีมือคนข้างๆ ตัว ฝันสลายหายไปจากหัวเลยแม่ง

 

“เข้าไปดูเสื้อร้านนั้นกัน” คือเมื่อกี้สะกิดหรอ ... พี่พระจันทร์บอกออกมาแบบนั้นแล้วเดินนำผมเข้าไปในร้าน เป็นร้านเสื้อผ้าแนวสตรีทที่มีลายกราฟิกเท่ๆ เนื้อผ้านิ่มดี คิดว่าเวลาใส่แล้วน่าจะสบาย แอบเดินไปพลิกป้ายราคาดู แล้วกูวางเลย เสื้อเหี้ยอะไรราคาสี่พัน

 

“มึงชอบตัวนั้นหรอ”

 

“เปล่าอ่ะ น้องสมุทรแค่อยากดูราคา” บอกคนที่เดินกลับมาพร้อมเสื้อในมือที่ถืออยู่สองตัว

 

“แพงฉิบหาย” ผมขยับตัวกระดึบๆ ไปกระซิบใส่ข้างหูอีกฝ่ายเบาๆ ไม่อยากพูดเสียงดังเพราะพนักงานยืนเฝ้าเป็นผีเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เวลาที่เราไปเดินซื้อของ แล้วพนักงานจะต้องเดินตามตลอดแบบไม่ไปไหน อยากตะโกนบอกไปว่ากูไม่ขโมยหรอกจ้า ยิ่งทำแบบนี้มันยิ่งอึดอัดจนไม่อยากจะซื้อ เลือกแทนกูเลยไหม ถ้าจะตามติดเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันขนาดนี้

 

“ก็แพง แต่ใส่สบาย”

 

“ถ้าแพงขนาดนี้ก็ไม่เป็นไร น้องสมุทรใส่แบบไม่สบายได้” ฉีกยิ้มกว้างๆ ส่งไปให้ พี่พระจันทร์ยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอาเสื้อที่ถือมาทาบไปบนตัว

 

“มึงว่าสีไหนเหมาะกับกู” เสื้อลายกราฟิกเท่ๆ ที่ตัวนึงเป็นพื้นหลังสีดำ กับอีกตัวเป็นพื้นสีขาว ต่างกันก็แค่ตรงนั้น ถ้าพูดกันตามตรง ที่เค้าบอกว่า ถ้าไม้แขวนดี ใส่อะไรก็ดูดี ผมพึ่งเข้าใจวันนี้ว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

จะสีดำสีขาว ก็ดูดีมันทั้งหมด

 

“อืม...จริงๆ ก็ดูดีทั้งสองสีเลยนะ แต่น้องสมุทรว่าพี่พระจันทร์ใส่สีดำดูขึ้นกว่านะ” ต้องยอมรับจริงๆ ว่าพอเป็นสีดำแล้วคนตรงหน้าดูเท่ขึ้นมาจนผมปฏิเสธไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่ความรู้สึกของผมยอมรับออกมาแบบนั้น กลิ่นอายที่ผมเคยนึกถึงคนผมสีชมพูมันต่างออกไปมากๆ แต่ถึงแบบนั้นคนตรงหน้าของผมในตอนนี้ ก็กลายเป็นคนที่ทำให้ใจสั่นอยู่ดี

 

“โอเค งั้นเอาตัวนี้ครับ” พี่พระจันทร์หันไปยื่นเสื้อให้พนักงาน ไม่ได้คิดว่าเค้าจะยอมเชื่อในความคิดของผมเลยจริงๆ

 

“ส่วนตัวนี้ก็เอา”

 

“อ้าว พี่พระจันทร์จะซื้อฝากพี่ทิตย์หรอครับ”

 

“มันไม่ใส่หรอกเสื้อผ้าสีปกติ เป็นมันต้องเขียวหรือสายรุ้ง” เบ้หน้าออกมาตอนที่พูดถึงน้องชายฝาแฝดของตัวเอง

 

“ตัวสีขาวเอาไซต์น้องคนนี้นะครับ” พี่พระจันทร์หันไปบอกพนักงานพร้อมชี้มือมาทางผม

 

“เห้ย พี่พระจันทร์ครับ...” ร้องออกไปแบบนั้น แต่คนข้างๆ ตัวก็เดินเข้าไปยื่นบัตรให้พนักงานรูดเรียบร้อยหน้าตาเฉย เค้าเดินกลับมาหาผมตอนที่มีถุงกระดาษสองถุงอยู่ในมือเรียบร้อย ก่อนเจ้าตัวจะยืนถุงกระดาษใบนึงส่งมาให้ผม

 

“ถ้ามึงจะคิดมากเรื่องราคา ก็ถือว่าตอบแทนกับเจ้านี่เป็นไง” พูดออกมาแบบนั้นพร้อมยกข้อมือขึ้นมาให้ผมดู เห็นสร้อยเชือกสีดำถูกสวมอยู่ที่ตรงนั้น สร้อยเส้นที่ผมให้ไว้กับพี่เค้า

 

“มันเทียบกันได้ที่ไหนเล่า”

 

“ทำไมจะเทียบกันไม่ได้วะ” เลิกคิ้วมองหน้าผมที่ตอนนี้ก็เอาแต่ทำหน้างอ ของแพงแบบนั้นใครมันจะไปกล้ารับกันล่ะวะ

 

“ก็ของที่ผมซื้อให้พี่มันแค่ไม่กี่บาท แต่เสื้อนี่มันตั้งสี่พันเลยนะครับ”

 

“แล้วมึงเป็นไรต้องเทียบของกับราคาวะ มึงให้สร้อยนี่กับกูด้วยใจไม่ใช่หรอวะ แล้วมันจะเป็นอะไรมากไหม ถ้ากูจะให้คืนกลับไปบ้าง” เค้าพูดออกมาแบบนั้น ทั้งๆ ที่มือก็ยังยื่นของถุงนั้นมาให้ผม ก้มหน้ามองมันนิ่งๆ แบบไม่กล้าที่จะรับ แม้จะรู้สึกเขินแปลกๆ กับคำพูดก่อนหน้าของพี่พระจันทร์ก็ตาม

 

“มึงกล้าปฏิเสธใจกูหรอวะ”

 

“ก็ถ้าพี่จะทำแบบนี้แล้วผมจะไม่รับได้ยังไงเล่า” ย่นหน้าใส่อีกคนนิดๆ แล้วเอื้อมมือไปรับถุงนั้นมากอดเอาไว้ มองเห็นเสื้อสีขาวลายเดียวกันกับเสื้อของพี่พระจันทร์อยู่ในถุง อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้เลยจริงๆ

 

“แบบนี้ เราก็ใส่เสื้อคู่กันไปงานไอ้เหี้ยยอร์ชได้แล้ว ส่วนเสื้อของมันที่ให้มึงมาก็เอาไปทำผ้าเช็ดตีนซะนะ ของสกปรก”

 

บอกออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มออกมานิดๆ ....

 

ไอ้ท่าทางร้ายๆ แบบนี้มันเรียกว่าอะไรกันวะเนี่ย

 

#รักอยู่รู้ยัง

--------------------------------------

 



ขยับเข้ามาใกล้กันอีกสักนิดนึง อีกนิดดดด ... ถามใจตัวเองอีกที ว่าไม่มีน้องสมุทรอยู่ในความคิดแน่หรออิตาพระเอก!

แล้วก็อยากพูดถึงตัวละครของน้องสมุทรสักหน่อย น้องเป็นคนที่เต็มที่กับความรู้สึกของตัวเองมากๆ

และเป็นคนที่ค่อนข้างยึดติดกับความคิดของตัวเอง และในบางครั้งมันเลยทำให้น้องดูซื่อบื้อ และหัวทึบอยู่สักหน่อย

แต่เพราะเป็นคนที่มุ่งไปตามความรู้สึกของตัวเองเสมอ แคทเลยเขียนออกมาในรูปแบบนี้ค่ะ

แคทอยากให้ทุกคนได้เห็นพัฒนาการของน้องต่อจากนี้ ว่าสักวัน น้องจะข้ามสมุทรของตัวเองไปได้จริงๆ

ปล. ฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

ฝากคนอ่านช่วยแชร์ ช่วยรีวิวบอกต่อนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ

แล้วก็ต้องขอโทษจริงๆที่วันส.ที่แล้วไม่ได้มาอัพต่อ พอดีดาวน์มากๆเรื่องคุณแตงโม นอนไม่หลับ ฝันยังเห็นแต่น้ำเลยค่ะ

แล้วก็ หลังจากนี้แคทตั้งใจจะอัพนิยายอาทิตย์ละ2ครั้ง หรือถ้ามาไม่ได้จริงๆ เราจะเจอกันยืนพื้นในทุกๆวันส.เช่นเดิม

ยังไงฝากทุกคนติดตามเรื่องนี้ต่อด้วยนะคะ แคทฝากจริงๆค่ะ

บางทีก็ถามตัวเองว่า จะทำยังไงให้คนอ่านกลับมาเหมือนเรื่องอื่นๆเค้า แต่ก็ยังหาคำตอบไม่เจอเลย

ได้แต่จะพยายาม แต่ก็ไม่รู้ว่ามันดีพอไหม ...


ขอขอบคุณคนอ่านจากทางเล้าเสมอที่ยังอยู่ด้วยกันในทุกๆตอนที่ผ่านมานะคะ

:o8: :-[ :impress2:
อยู่ด้วยกันมาทุกตอน ขอบคุณมากๆนะคะ

งุ้ยยยยยยยยย  :katai2-1: :katai2-1:
แคทหวังว่าจะชอบนะคะ มาอ่านอีกน้า

มาขัดอีกล่ะ
เอ้อ มาทำไม มาเอาอะไรรรรร :hao7:


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่11 (240222)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-03-2022 19:42:25
 :z2: :z3: :z10: :z13:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่13 (120322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 12-03-2022 20:42:21

บทที่13



ยังมีความรักให้เธอผู้เดียว ตั้งแต่แรกเจอ

ในใจพร่ำเพ้อละเมอถึงเธอ ทุกคืนหลับฝัน

แค่เพียงรอยยิ้มที่มันเบาบางทุกทีที่เจอ ฉันมีแต่เธอไม่อาจเปลี่ยนผัน

ยังมีความรักให้เธอผู้เดียว แม้นานเท่าใด ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นเช่นไร ก็ไม่เปลี่ยนฉัน

และยังคงหวังว่ามีสักวันที่เธอเปิดใจ แม้จะวันใดฉันรอเพียงเธอ



‘ติง ติง ติ๊ง ติง ติง’



          เสียงกีตาร์ที่ถูกเล่นไปตามจังหวะของท่วงทำนอง เสียงใสๆ ที่ถูกเปร่งออกมาจากริมฝีปากสวยที่ทำให้ไม่สามารถละสายตาออกจากภาพตรงหน้าไปได้ ...จนกระทั่งเมื่อนิ้วเรียวดีดจังหวะถึงท่อนสุดท้ายของเพลง ก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงที่กำลังฟังอยู่ได้จบลงไปแล้ว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นเดินไปเก็บกีตาร์ลงบนข้าตั้งกีตาร์อย่างทนุถนอมนั่นล่ะถึงได้มีสติขึ้นมา



ดูเหมือนว่ากีตาร์ตัวนั้นจะเป็นของรักของหวง



“น้องสมุทรร้องเพราะไหม”



“อืม” ตอบรับออกไปแค่นั้น อีกฝ่ายก็สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้กัน ผมที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานที่มุมห้องของมันได้แต่มองตามเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังโน้มตัวก้มลงมาจ้องหน้ากันใกล้ๆ พร้อมรอยยิ้มในแบบที่มันชอบทำ



“น้องสมุทรร้องให้พี่พระจันทร์เลยนะ ร้องจีบล่ะ” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วทำสายตาวิบวับส่งมาให้พร้อมพยายามจะยกยิ้มมุมปากเท่ๆ มันคงคิดว่าเป็นสายตาและท่าทางที่จะทำให้ใจสั่น ... แต่มองยังไงมันก็ห่างไกลคำว่าแสนเท่ไปเยอะ



“เนื้อเพลงทั้งหมดคือความในใจน้องสมุทรเลยนะ จะช่วยทำหน้าไหวหวั่นให้กันหน่อยไม่ได้รึไง”



“ไหวหวั่นอะไรของมึง” ผมบอกออกไปแบบนั้น แล้วยกมือไปดันหน้าไอ้เด็กที่เอาแต่ยื่นหน้าเข้ามาหากันเรื่อยๆ เป็นท่าทีหลอกล่อที่ตั้งใจทำให้ผมกระโจนเข้าใส่มันได้ง่ายๆ แต่ในครั้งนี้ไม่อยากทำแบบนั้น ... รู้สึกเป็นคนไม่ดีที่จะล่อลวงเด็กมากไป โดยเฉพาะเด็กที่ในหัวคิดอะไรง่ายๆ และใสซื่อแบบมัน



ผมเลือกจะละสายตาออกจากใบหน้าใสซื่อนั่นแล้วเลือกจะมองไปรอบๆ ห้องแทน หลังจากเดินห้างจนพอใจ สุดท้ายก็ไม่มีที่ไปแล้วมาจบลงที่ตรงนี้ ...บ้านของมัน ห้องนอนของมันที่ครั้งนึงเคยมาแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจจะมอง



ห้องนอนขนาดไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับห้องนอนของผม แต่มันถูกจัดแต่งออกมาได้อย่างน่ามอง เป็นห้องนอนสไตล์มินิมอลที่เดี๋ยวนี้คนชอบกัน ผนังห้องสีโทนอุ่น มีผ้าม่านสีอ่อนยาวจากเพดานจรดพื้นพร้อมด้วยไฟตกแต่งเป็นรูปดาวกับพระจันทร์หอยเรียงกันลงมาเป็นเหมือนโมบายเรียงรายตลอดแนวผ้าม่านอย่างเป็นระเบียบ เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่ทำให้ห้องดูโปร่งสบายส่วนใหญ่เป็นเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้และชั้นวางของแบบติดผนังก็วางกรอบรูปเล็กๆ และดอกไม้ประดับสีสดใส โต๊ะทำงานของมันถูกตั้งวางไว้ที่สุดมุมห้องใกล้ระเบียงที่สามารถเปิดออกไปได้ มีต้นไม้ปลอมถูกจัดใส่กระถางวางอยู่ใกล้ๆ ขาโต๊ะ บนโต๊ะมองเห็นหนังสือคอร์ดเพลงสมัยเก่าถูกจัดวางเรียงคู่กันกับหนังสือเรียนอีกหลายเล่มอย่างเป็นระเบียบ และตามมุมห้องถูกเพิ่มสีเขียวของต้นไม้ปลอมอีกหลายชิ้นให้ดูน่ามองมากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญที่สุดในห้องนี้คงจะเป็นกีตาร์ตัวโปรดของมันที่ถูกวางไว้บนขาตั้งกีตาร์อย่างดีที่ข้างเตียงนอนนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ให้บรรยากาศอบอุ่น มีระเบียบ และสดใสไม่ต่างจากเจ้าของห้อง



“มึงชอบกีตาร์หรอ”



“ครับ น้องสมุทรชอบมากเลย” มันฉีกยิ้มกว้างออกมาตอนที่ตอบคำถามของผม สมุทรละสายตาจากหน้าของผมไปมองกีตาร์ตัวนั้นอีกครั้งก่อนจะเปิดปากพูดต่อ



“ที่ชอบมากๆ ก็เพราะว่าพ่อน้องสมุทรเป็นคนสอนเล่น” สายตาเป็นประกายขึ้นมาตอนที่ได้พูดถึงพ่อ



“กีตาร์ตัวนั้นก็เป็นของพ่อนะครับ แล้วพวกหนังสือเพลงเก่าๆ บนโต๊ะนั่นก็เป็นของพ่อด้วยเหมือนกัน น้องสมุทรชอบเอามาแกะคอร์ดเล่น”



“มึงคงสนิทกับพ่อมาก” เห็นท่าทางของมันแล้วก็อดพูดออกมาไม่ได้ สีหน้าแล้วสายตาเป็นประกายมีความสุขอย่างปิดไม่มิด



“พ่อเป็นไอดอลของน้องสมุทร เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง ใจดี แล้วคอยปกป้องน้องสมุทรและครอบครัวเราเสมอเลย” ยิ้มจนตาปิดตอนที่เล่าออกมาแบบนั้น ผมที่มองมันจากตรงนี้ เหมือนได้รู้เรื่องราวของมันมากขึ้นอีกในตอนนี้



“จนถึงวันสุดท้ายที่พ่อจากไป ก็ยังคงบอกว่าไม่เป็นไรเลย เค้าเลือกจะปกป้องความรู้สึกของผมไว้ล่ะ”



“ขอโทษทีที่ถาม” เบอกมันไปแบบนั้น ไม่ได้ต้องการไปรื้อฟืนการสูญเสียของใคร เพราะการพูดถึงคนที่จากไป คงไม่ใช่เรื่องสุขใจสำหรับคนที่สูญเสียนักหรอก



“ไม่เป็นไรเลยครับๆ” หันมาโบกไม้โบกมือปฏิเสธผมด้วยเสียงที่ร่าเริงก่อนมันจะพูดต่อ



“การที่ได้นึกถึงคนที่เรารักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว มันก็ไม่ได้แย่นักหรอกครับ เพราะอย่างน้อยเรื่องราวดีๆ ที่เคยมี มันยังทำให้น้องสมุทรได้คิดถึง”



“คิดถึง แต่กลับมาไม่ได้ คว้าเอาไว้เค้าก็ไม่อยู่แล้วแบบนั้น มันไม่ยิ่งทำให้เจ็บปวดหรอวะ” ฟังแล้วอดแย้งออกมาแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่จริงหรอกกับคำว่าไม่เสียใจจากสิ่งที่สำคัญของเราแต่ตอนนี้ไม่มีมันอยู่แล้ว ... ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว



“พ่อเคยบอกน้องสมุทรว่า คนที่เรารักเค้าไม่เคยจากเราไปไหน มันแค่อยู่ที่ว่า เราจะเลือกเก็บเค้าเอาไว้ที่ตรงไหน เพื่อให้ชีวิตเราไปต่อได้ก็แค่นั้นเอง” มันว่าออกมาง่ายๆ เป็นคำพูดสบายๆ ที่ทำให้ใจผมกระตุก สมุทรละสายตาจากกีตาร์ตัวโปรดแล้วหันมามองหน้ากันอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ผม สายตาท่าทางที่มองตรงมาทำให้ผมต้องเสตาหลบแล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกที ... รู้สึกสับสนมากกว่าทุกที มากกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิตนี้ที่เคยเป็น



“หรอ” ไม่มีคำพูดดีๆ จะตอบกลับไปมากกว่านั้น แต่เหมือนได้ตกตะกอนบางอย่างจากปากเล็กๆ นั่นที่เอาแต่พูดเรื่องที่น่าเศร้าออกมาอย่างมีความสุข เป็นคนตัวเล็กที่ดูเข้มแข็งมากกว่าที่คิด



“สมุทร”



“หื้ม ว่าไงครับ” เลิกคิ้วแล้วเอียงคอมองผมอย่างสงสัย เห็นแบบนั้นก็เดินขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ มัน



“กูเข้ามาใกล้มึงขนาดนี้ มึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบบ้างหรอวะ” จ้องตาเด็กตรงหน้าที่ก็มองตอบกลับมาด้วยแววตาใสซื่อแบบไม่ได้แกล้งทำส่งมาให้เหมือนเดิม



“เสียเปรียบอะไรของพี่วะ นี่มันคือกำไรของน้องสมุทรต่างหากเล่า” ยิ้มออกมาพร้อมขำนิดๆ ท่าทางที่เหมือนกำลังบอกว่าผมพูดเรื่องไร้สาระอะไร ทำเอาต้องถอนหายใจ



“กับการที่สุดท้ายแล้วกูไม่รู้สึกอะไร จะไม่ทำให้มึงยิ่งเสียใจหรอวะ ถลำลึกมากๆ กูรู้ดีว่ามันมีแต่จะเจ็บ” กับเรื่องราวของตัวเอง พอมองมาที่สมุทรแล้ว สุดท้ายก็คิดว่าควรจะพูด ถึงยังไงผมก็โตกว่ามัน และเด็กที่ไม่คิดอะไรแบบมัน กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นมันที่ต้องเสียใจ



“เป็นห่วงน้องสมุทรหรอ”



“สมุทร” เป็นเรียกชื่อมันออกมาด้วยเสียงดุๆ ปนเหนื่อยใจ ใช่เวลาไหมกับการที่จะหยอดจีบกู



“ถามว่าเป็นห่วงน้องสมุทรหรอ” มันยังคงถามย้ำออกมาด้วยคำถามเดิม ผมถอนหายใจหน่อยๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยความจริง ... ยิ่งรู้จักมันมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เริ่มต้นตอนแรกกับมัน ตอนนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม



“วันนี้กูเจออัยย์มา”



“อ๋า” มันตอบรับออกมาแค่นั้น ไม่มีท่าทางตกใจกับคำบอกเล่าที่ผมพึ่งบอกว่าเจอกับใครอีกคนนึงมาสักนิด



“กูเลยรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสมุทร ไม่รู้ดิ...ตอนนี้กูแค่ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้มึงเจ็บ กูรู้ดีว่าความรู้สึกที่ต้องเจอแบบนั้นมันแย่แค่ไหน” บอกกับมันออกไปตรงๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองดีขนาดนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ความสัมพันธ์กับคนตรงหน้ามันก้าวไปแค่ไหน แต่รู้แค่ว่า ผมไม่อยากให้มันต้องเสียใจ



ไม่มีคำพูดคุยอะไรออกมาจากปากของเราสองคนเพิ่มเติมต่อจากนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาหลายนาทีที่ความเงียบเข้าครอบคลุม และในทีสุดก็เป็นมันที่ขยับตัวเข้ามาหากันให้ใกล้กว่าเดิม ผมมองหน้าเด็กตาซื่อหน้าใสที่ควรจะถอยออกห่างกันให้ไกล แต่เป็นมันที่ขยับเข้ามาใกล้กันอีกแล้ว



“แล้วทำไมถึงมาหาน้องสมุทรล่ะครับ” นั่นสิ



“น้องสมุทรรู้ว่าพี่พระจันทร์มีตัวเลือกมากพอที่ไม่ต้องมาหาน้องสมุทรก็ได้ ... แต่ทำไมสุดท้ายยังมาหากันล่ะ” ฝ่ามือเรียวที่ช้อนใบหน้าของผมให้มองตรงมาที่มัน สมุทรยิ้มออกมาน้อยๆ รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้หัวใจของผมสั่นแปลกๆ กับท่าที การกระทำที่เข้าใกล้กันมากอีกนิดนึง ริมฝีปากอิ่มแนบลงมาที่ริมฝีปากของผมเบาๆ ท่าทางเงอะงะของคนที่จูบไม่เก่ง แต่ก็ยังอยากจะทำ



“ก็แค่...” หยุดคำพูดลงที่ตรงนี้ สายตาที่มองกันแบบรอลุ้นคำตอบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเป็นคำไหนที่จะตรงกับใจของมัน



“อยู่กับมึงแล้วสบายใจดี” เลือกคำตอบที่ตรงใจที่สุดในตอนนี้ คนตรงหน้าที่วูบนึงสายตาของมันวูบไหว แต่ก็แว๊บเดียวเท่านั้น ก่อนที่ตาใสจะมีประกายสดใสขึ้นมาเหมือนกัน มันยิ้มออกมากว้างๆ



“พี่พระจันทร์”



“อะไร”



“ไม่รู้ตัวบ้างหรอครับ ... พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ ความสัมพันธ์ของเราสองคนน่ะ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วส่งยิ้มให้กันกว้างขึ้นอีกหน่อย หัวใจของผมถูกบีบรัดขึ้นทีละนิด สบสายตาใสที่เหมือนน้ำเย็นๆ ที่สาดใส่กัน เป็นความรู้สึกที่เหมือนคนพึ่งโดนสะกิดให้เริ่มรู้ตัว ...



ขยับใกล้กันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ...อาจจะเป็นตอนนี้มั้ง



ตอนที่ริมฝีปากของเด็กดื้อช่างตื๊อที่มีความมั่นใจมากๆ แบบมัน แนบลงมาที่ริมฝีปากของผมเบาๆ ท่าทางเงอะงะของคนที่ไม่เป็นงานแต่ก็ยังอยากจะทำตามใจตัวเอง เอื้อมมือไปกอดรอบเอวบางให้ขยับตัวเข้ามาใกล้กันมากกว่าเก่า แล้วปล่อยให้สมุทรนำทางไปตามใจที่มันต้องการ



“งั้นคืนนี้กูนอนนี่ได้ไหมวะ”



“ถ้าสบายใจแบบนั้น ก็นอนนี่เถอะครับ” สบตาให้กันแล้วยิ้มออกมานิดๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความสบายใจของผมในตอนนี้



...



           ลงมาจากรถคันหรูในช่วงเที่ยงของวันศุกร์ รู้สึกสบายตูดเพราะไม่ต้องไปเบียดกับใครบนรถไฟฟ้า เพราะวันนี้มีคนขับมาส่งกันถึงหน้าคณะ บอกแล้วว่าจะเดินเข้ามาเอง แต่ติดตรงเจ้าของรถก็เอาแต่ถลึงตาใส่กันแล้วบอกกันสั้นๆ ว่า ‘อย่าดื้อ’ พูดมาขนาดนั้นแล้วก็เลยตามใจ เพราะน้องสมุทรน่ะเป็นพ่อบ้านใจกล้า ไม่ดื้อไม่สนกับคนสวยหรอกกูน่ะ



“ทำไมมาช้าจังวะวันนี้” ไอ้เฮงเจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่งชันขายกขึ้นมากับม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกวางแบบเดิมอย่างสบายใจ ท่านั่งที่ทำให้ไข่ได้รับลมแบบที่มันชอบ



“รถติดว่ะ”



“ทำไมน้องหมุดถึงรถติดได้ครับ รถไฟฟ้ามีไฟแดงหราสาด” ไอ้จิมที่พึ่งเดินเข้ามาก็เปิดปากเสือกเลย สองมือของมันหอบของกินมาเต็มแขน ดูก็รู้ว่ามีของกินของไอ้เฮงอยู่ด้วย



“เสือกจังวะจิ๋ม”



“จิมไอ้สัด จิ๋มนั่นแม่กูครับ” ว่าพร้อมเอื้อมมือมาตบหัวผมไปทีนึง เจ็บฉิบหาย ล้อนิดล้อหน่อยแค่นี้ต้องทำร้ายกัน ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้มาร์ช มันที่นั่งอยู่นั่นมาตลอดแต่ก็ยังเงียบ เอื้อมมือไปกอดไหล่มันเหมือนปกติที่ชอบทำ



“เห้ย เงียบทำเหี้ยไรสาด” พยักหน้าให้มันไปที



“ก็เปล่า...” ว่าออกมาแบบนั้น บรรยากาศเงียบๆ ก็โรยตัวลงมาระหว่างเราสองคน น่าอึดอัดนิดหน่อยแต่น้องสมุทรก็ยังเลือกที่จะมองเมินมันไปแบบนั้น แล้วทำทุกอย่างให้ปกติ



“สมุทร”



“ว่าไงครับพ่อมาร์ช เป็นอะไรไอ้เหี้ยเรียกเสียงกูจริงจังเลย”



“เอาล่ะ กูจะทำเป็นตาบอด” ไอ้จิมว่าทะเล้นออกมาแล้วพยักหน้าพูดกับไอ้เฮง



“งั้นกูหูหนวก”



“หูหนวกแล้วพูดออกมาได้ไงวะไอ้โง่”



“เออน่า เรื่องกู หันมานี่ไอ้เหี้ยจิม เสนอหน้าไปมองเค้าทำเหี้ยไร” ไอ้เฮงที่เอื้อมมือไปกอดคอไอ้จิมให้หันหน้าไปอีกทาง มันสองคนที่เริ่มต้นแบ่งลูกชิ้นกินกันแล้วก็หันหลังให้ผมกับไอ้มาร์ช



“กูขอโทษนะมึง” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวที่พูดออกมาแบบนั้น สีหน้าท่าทางที่ดูจะรู้สึกไม่ค่อยดีของมันทำให้ผมพลอยอึดอัดไปด้วย



“จริงๆ มึงไม่จำเป็นต้องขอโทษกูหรอก กูรู้มึงเป็นห่วงกู”



“อืม กูห่วง แต่บางทีก็ลืมว่าหน้าที่เพื่อนมันควรจะทำได้แค่ไหน” มันสบตากับผมตรงๆ แล้วบอกออกมาแบบนั้น



“กูก็อยากให้มึงเจอกับคนที่ดี คนที่มึงจะใช้ทุกความรู้สึกของมึงให้เค้าอย่างมีค่า”



“กูไม่รู้เรื่องอะไรพวกนั้นหรอกว่ะ ไม่รู้ว่าให้ใครไปแล้วจะมีค่ามากกว่ากัน แต่กูก็แค่เลือกให้คนที่กูรู้สึกมากที่สุดก็แค่นั้น”



“แล้วคนนั้นก็คือพี่พระจันทร์” มันเลิกคิ้วถามกัน เหมือนเป็นคำถามที่จริงๆ ตัวมันก็มีคำตอบอยู่แล้ว แต่เหมือนแค่อยากได้ยินจากปากผมชัดๆ อีกที เพราะแบบนั้นเลยเลือกจะตอบมันไป



“ใช่”



“แล้วมึงจะทำยังไงกับใครอีกคนวะ”



“มึงหมายถึง”



“ก็ไอ้พี่ยอร์ชไง มันก็ดูจริงจังกับมึงนะ แล้วกูก็คิดว่ามันก็ไม่ได้แย่”



“มึงดูเชียร์พี่ยอร์ชนะ” ผมถามตอนที่เห็นหน้าตากระตือรือร้นของมันที่อยากจะพูดถึงใครอีกคนที่จริงๆ มันเองก็ไม่น่าจะสนิทอะไร



“ก็...มันก็ดูชอบมึงจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่กล้าเข้าหามึงโดยที่มึงไม่ต้องวิ่งตาม”



“เอาจริงๆ เหมือนมึงตะล่อมกูอ่ะ” หรี่ตามองหน้ามันแบบขอคำตอบ



“มึงก็บอกความจริงมันไปสิไอ้เหี้ย” ไอ้เฮงที่หันมาเสือก แล้วโพร่งออกมาแบบนั้น ผมเลิกคิ้วถามมัน แต่ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร ไอ้เฮงก็โดนไอ้จิมตบหัวแรงๆ หนึ่งที



“มึงหูหนวกอยู่ไอ้เหี้ย”



“อ่อขอโทษ กูลืมบท”



“ไม่ต้องเล่นบทแล้วไอ้เหี้ย สรุปมีไร” ผมแหวใส่พวกมันที่ทำท่าทีมีลับลมคมในกันจนออกนอกหนา ปรายตามองไอ้มาร์ชที่ยกมือขึ้นเกาหัวนิดๆ



“ยังไง”



“ก็แค่...พี่มันเส้นกู...”



“กับกู”



“และก็กู”



“ด้วยอะไร” ผมหันหน้าไปมองเพื่อนๆ ผมสลับกันไปมา ไอ้สามคนที่ยิ้มแหยส่งกลับมา



“ตั๋วบอล”



“ตั๋วบอลไรวะ”



“ตั๋วแมนยูกับลิเวอร์พูล ที่จัดที่ราชมังอ่ะมึง” ไอ้มาร์ชบอกออกมาเสียงอ่อย ส่วนผมก็ตาเบิกกว้างขึ้นมาทั้งแบบนั้น ตั๋วบอลนัดนี้แม่งแพงจะตาย



“มึงได้บัตรไหนจากพี่มัน”



“ตั๋วชมพู” ไอ้จิมยิ้มแผละออกมา



“คือราคาเท่าไหร่” ผมคาดคั้น มองพวกมันทีละคนอย่างต้องการคำตอบ



“ตั๋วที่ดีที่สุด ตอนนี้อัพราคาที่ห้าหมื่นจะเพื่อน”



“เหี้ย! พ่องตาย! มึงเอาตั๋วไปคืนเลยไอ้เหี้ย” ผมตะโกนออกมาเสียงดัง ตกใจกับราคาและการแลกมาในครั้งนี้ มึงจะจับน้องสมุทรไปเซ้นไหว้ไม่ได้นะไอ้พวกเพื่อนเหี้ย



“เห้ยๆ พี่มันให้มาแบบสเน่ห์หา”



“สเน่ห์หาเหี้ยไร ไม่ตลกนะไอ้สัด พี่มันให้พวกมึงทำไร”



“เห้ยใจเย็นๆ มึง พี่มันไม่ได้ให้ทำไรหรอก” ไอ้จิมเป็นคนที่พูดออกมาแบบนั้น ท่าทางของมันที่พยายามทำให้ผมใจเย็น ผมว่ามันมากเกินไป



“กูขอความจริง ถ้ายังเห็นกูเป็นเพื่อนก็บอกกูมาดีๆ” เท้าสะเอวใส่แล้วชี้หน้ามันทีละคน ไอ้มาร์ชถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วส่งตั๋วมาให้ผม



“กูไม่ได้จะขายเพื่อนนะเว้ย แต่กูเห็นว่ามันแค่ให้กูมาพูดเชียร์มันให้ กูเลยยอมรับมา” มันว่าแบบนั้น สีหน้าที่รู้สึกผิดของมันทำให้ผมต้องถอนหายใจ



“จริงๆ กูไม่ดูก็ได้ อะ เอาไปๆ แต่อย่าโกรธพวกกูเลยนะเว้ย” ไอ้จิมรีบว่าออกมาสัมทับ มันที่ยื่นตั๋วของมันกับไอ้เฮงส่งมาให้ผมด้วยอีกคนละใบ พวกแม่งนี่จริงๆ



“พี่มันก็แค่กลัวว่ามึงจะไม่ไปงานวันเกิดมัน” ไอ้เฮงพูดออกมาแบบนั้น



“กลัวเหี้ยไร กูก็จะไปอยู่แล้ว” ใช่...แค่ไปกับพี่พระจันทร์ด้วยอีกคนเฉยๆ



“ของขวัญอะไรกูก็ซื้อแล้ว” ใช่...ถึงแม้กูจะไม่ได้เป็นคนเลือกแต่ก็มีแล้ว เพราะเมื่อวานพี่พระจันทร์เป็นคนไปซื้อไว้เรียบร้อยตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำที่ห้าง



“ก็คนมันไม่มั่นใจนี่หว่า”



“ไร้สาระไอ้เหี้ย พวกมึงก็อย่าไปรับอะไรแบบนี้มาสิวะ กูซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะสัด”



“โทษๆ มึง พวกกูคิดน้อยไปหน่อย” ไอ้มาร์ชยกมือขึ้นไหว้ขอโทษกัน ผมส่ายหน้าระอาใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้สามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก



“มึงแบกกระเป๋ากูขึ้นห้องไปด้วย เดี๋ยวกูมา”



“มึงจะไปไหน”



“เอาตั๋วเหี้ยนี่ไปคืนพี่ยอร์ช”



“งั้นกูไปด้วย” ไอ้มาร์ชทำท่าจะลุกขึ้นตาม แต่โดนผมกดไหล่ให้นั่งลงไปซะก่อน รู้ดีว่ามันมีท่าทีงี้เพราะรู้สึกผิดอยู่ด้วย จริงๆ ผมไม่ได้โกรธพวกมันสามคนหรอก ผมรู้จักนิสัยเพื่อนผมดี มันไม่ได้คิดจะขายผมเพราะแค่ตั๋วบอลหรอก พวกมันแต่ละคนก็รวยครับ ถึงแม้จะชอบทำตัวสถุนแต่จริงๆ มันมีเงิน ลูกคนมีเงินฐานะไม่แย่เลย



“ไม่ต้อง กูจัดการเอง” บอกออกไปเด็ดขาดไอ้มาร์ชเลยไม่กล้าขัด ผมรู้ดีว่าที่มันไม่ขัดเพราะมันมีชนักติดหลังตั้งสองเรื่อง เรื่องเมื่อวานที่เราเถียงกัน และวันนี้กับตั๋วบอลของพี่ยอร์ช



ผมหยิบมือถือพร้อมตั๋วบอลสามใบมา แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่คณะวิศวะ โชคดีที่ตอนนี้ยังมีเวลา และคณะพี่มันก็ไม่ได้ห่างจากคณะผมมากเท่าไหร่เลยยังพอเดินไปได้ ถ้าให้รอรถเวียนในมอก็ไม่ต้องไปมันแล้วชาตินี้



คณะวิศวะยังคงเหมือนครั้งก่อนที่เคยมา เป็นบรรยากาศเท่ๆ ที่มีเสียงเอะอ่ะโวยวายและเสียงหัวเราะดูคึกคักตลอดเวลา ผมสอดส่ายสายตาไปตามซุ้มของคณะวิศวะ และก็เจอจริงๆ พี่ยอร์ชมันนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนมันเหมือนเคย ใบหน้าหล่อเท่ที่อยู่ในชุดเสื้อช็อปนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูดี



“หวัดดีพี่ๆ” ผมทักทายออกไปแบบนั้นแล้วคนทั้งกลุ่มก็หันมามองกัน เหมือนว่าตอนนี้ทุกคนจะกำลังสนใจงานตรงหน้าของตัวเองอยู่ ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เหมือนจะเป็นโมเดลอะไรสักอย่างที่มีวงจรไฟฟ้ายั้วเยี้ย



“เชี่ย มึงมาหากูหรอสมุทร” พี่ยอร์ชหันมาเจอกันแล้วเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มให้กันแบบดีใจสุดๆ ขายาวกระโดดข้ามเก้าอี้ม้าหินมา เท้าพี่แกเกือบเตะโดนหัวพี่นิว



“เหี้ยยอร์ช K ตีนเกือบโดนกู”



“มันไม่ฟังมึงหรอกสัดนิว ตอนนี้หัวใจคงติดปีกบินไปหาน้องสมุทร”



“ฮิ้ววว” เสียงโห่แซวของกลุ่มเพื่อนพี่ยอร์ชร้องเฮฮาออกมาแบบนั้น มีแกนนำคือพี่ทอยและพี่วินเจ้าเก่า พี่ยอร์ชยกยิ้มเท่ๆ ออกมาแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนๆ ของตัวเอง



“อย่าแซวครับๆ เดี๋ยวพ่อยอดนักเยดเค้าเขิน”



“เยดพ่องสัดวิน หุบปาก” พี่ยอร์ชเขวี้ยงปากกาที่อยู่ในมือตัวเองไปใส่หัวพี่วินแรงๆ ทีนึง แต่อีกฝ่ายกลับหลบทัน พี่ยอร์ชพูดเบาๆ ว่าKส่งไปให้ ก่อนที่คนตรงหน้าจะเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินเลี่ยงออกมาให้ห่างจากเพื่อนๆ ของเค้า ใบหน้าเท่ๆ ของพี่ยอร์ชยังประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างของคนที่ดีใจที่ได้เห็นกัน



“เมื่อเช้ากูไปหามึง แต่มึงยังไม่มา”



“อ่าหะ”



“กูไม่มีตารางเรียนมึงนี่หว่า ไปรอเก้อเลย” มันบ่นออกมาอีกแบบนั้น สีหน้าท่าทางละห้อยเหมือนหมาตัวใหญ่ที่หางลู่หูตกทำผมถอนหายใจอีกครั้ง ... จริงๆ พี่เค้าเป็นคนน่ารัก



“พี่ยอร์ช”



“ว่าไง ทำไมทำเสียงแบบนั้นวะ”



“ผมเอานี่มาคืน” บอกแบบนั้นแล้วเอาตั๋วสามใบออกมาจากกระเป๋ากางเกง พี่มันมองมาก่อนจะทำสีหน้าเหวอออกมาเล็กๆ



“พี่พอเถอะผมว่า...”



“พออะไรของมึงวะสมุทร” เสียงเข้มขึ้นพร้อมมองหน้าผมอย่างคนไม่เข้าใจ



“พี่จะเอาเงินมาลงเพราะเรื่องของผมแบบนี้ไม่ได้” ผมตอบกลับไปอย่างจริงจัง ผมว่ามันมากเกินไป เค้าต้องการอะไรจากตัวผมวะ ถึงต้องมาเสียเงินที่ละมากๆ แบบนี้ บางทีมันก็ทำให้ผมอึดอัดใจ



“ทำไมจะไม่ได้ กูทำได้ ถ้ามันเป็นเรื่องของมึง กูอยากให้”



“พี่ ถ้าจะต้องจีบใครสักคนแล้วทุ่มเงินมาให้แบบนี้ ผมว่าไม่มีใครเค้าทำกันหรอก”



“ทำไมจะไม่มี...” พี่ยอร์ชมันแย้งออกมาแบบนั้นแล้วมองหน้ากันอีกที



“ไอ้พระจันทร์ก็ทำงี้กับอัยย์เหมือนกัน มึงไม่รู้หรอ” เสียงเข้มที่พูดออกมา มองหน้าของผมเหมือนกำลังถามว่าผมได้เท่าที่พี่อัยย์ได้หรือเปล่า ผมไม่เคยรู้เรื่องราวพวกนี้บางเลยหรอ ท่าทางของพี่ยอร์ชมันเป็นแบบนั้น ผมเม้นริมฝีปากเข้าหากันในตอนนี้แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด



“แล้วเพราะแบบนั้น กูเองก็ทุ่มให้มึงได้เหมือนกัน โดยที่มึงไม่จำเป็นต้องรับเศษเงินจากมันเลยก็ได้”



“พี่!...” ผมเรียกเค้าเสียงดัง ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้านิ่งๆ อีกที



“ผมมันซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะเว้ย!” ขมวดคิ้วจ้องหน้าพร้อมกระแทกเสียงใส่ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาได้ยินอะไรแบบนี้สักหน่อย



“แล้วจะบอกอีกที ผมไม่ใช่พี่อัยย์ ต่อให้พี่พระจันทร์เอาอะไรมาให้มากมายแบบนี้ ผมก็รับไว้ไม่ได้หรอกว่ะ มันเกินไป ผมไม่อยากได้” บอกแบบนั้นแล้วยัดตั๋วนั่นใส่มืออีกคนอย่างหงุดหงิดใจ ผมแค่ไม่เข้าใจว่าพี่ยอร์ชจะพูดแบบนี้กับผมทำไม อยากให้ผมเทียบตัวเองกับพี่อัยย์หรอ .... ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้น



และคำพูดที่ฟังมา มันก็ไม่ได้บอกให้ผมรู้สึกดี



“กูไม่ได้คิดจะซื้อมึงด้วยเงินนะสมุทร” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาดึงแขนของผมไว้ในตอนที่กำลังจะเดินจากมันไป



“แต่คำพูดของพี่แม่งทำให้ผมคิดไปแบบนั้นว่ะ” ดึงแขนของตัวเองออกจากมือของอีกฝ่าย คิดว่ายังไม่พูดกันตอนนี้คงจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่ผมหงุดหงิดแบบนี้ แต่เหมือนพี่ยอร์ชจะไม่ยอมเข้าใจ เค้ายังวิ่งมาดักหน้าของผมเอาไว้แล้วไม่ยอมถอยหนี



“ทำไมวะ ทำไมพอเป็นกูมึงต้องโกรธขนาดนี้”



“ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นพี่ผมเลยโกรธ แต่เพราะมันเป็นพี่ที่พูดแบบนี้กับผมต่างหากผมเลยโมโห พี่กลับไปทบทวนคำพูดของตัวเองก่อนไหม แล้วค่อยมาคุยกับผม”



“แล้วกูพูดอะไรผิดตรงไหน อะไรที่ไอ้พระจันทร์ทำได้ กูเองก็ทำได้เหมือนกัน”



“แล้วพี่เคยถามผมสักคำหรือเปล่าว่าต้องการแบบนั้นไหม ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพี่ชอบผมจริงๆ หรือพยายามหักหน้ากันและกันเพื่อความสะใจโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือกันแน่!”



“เห้ยๆ ...กูได้ยินว่ามีเด็กมาหาหรอวะไอ้ยอร์ช ไหนๆ วันนี้กูมาทัน ขอเจอหน่อยสิจ๊ะ” เสียงของคนมาใหม่ที่ค่อนข้างจะคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังของผม มองเห็นพี่ยอร์ชที่ถอนหายใจหนักๆ ออกมาในตอนนี้ ผมหันหลังกลับไปตามเสียงนั่น ก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นมาในตอนที่เห็นคนที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ในชุดเสื้อช็อปแบบเดียวกันกับพี่ยอร์ช พร้อมผมสีชมพูอ่อนๆ กลับใบหน้าที่ดูคุ้นเคย ไม่ได้ต่างไปจากคนที่พึ่งส่งผมลงรถที่หน้าคณะเมื่อตอนเทียงเลยสักนิด



“พี่อาทิตย์” ผมพูดออกมาเสียงเบา ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่ พี่อาทิตย์แฝดพี่พระจันทร์ คนที่เกลียดพี่ยอร์ชมากขนาดนั้น แต่เค้าดันเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่ยอร์ชงั้นหรอวะ



นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน



“น้องสมุทร...เชี่ย อย่าบอกนะว่านี่เด็กมึง” พี่อาทิตย์ทำหน้าอึ้งๆ เบิกตากว้างขึ้นแล้วหันไปหาพี่ยอร์ชอย่างเอาเรื่อง สีหน้าที่บอกได้ว่าไม่โอเคมากๆ นั่นกำลังทำให้ผมสงสัยและไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง หันหน้าไปมองคนที่พึ่งจะทะเลาะกันช้าๆ ก็เห็นพี่ยอร์ชแค่พยักหน้าตอบคำถามพี่อาทิตย์



“อืม ... กูชอบน้อง แต่น้องชอบแฝดมึง”



“เล่นเหี้ยไรกันเนี่ยไอ้สัด!”



อาทิตย์ด่าออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางเอาเรื่อง เสียงเข้มๆ ที่ไม่มีคำพูดคะขาหวานๆ เหมือนที่ได้คุยกันเมื่อครั้งก่อน แทบจะเหมือนคนละคนกับที่ผมเคยเจอเลยด้วยซ้ำ ดวงตาสวยในแบบเดียวกับพี่พระจันทร์ที่ผมชอบเข้มขึ้นแล้วมองตรงไปที่พี่ยอร์ชอย่างเอาเรื่อง



ผมไม่เข้าใจว่าท่าทีแบบนี้ของพวกเค้าคืออะไร แต่บางอย่างก็สะกิดใจผมเหมือนกัน ในตอนนี้ก็อยากจะรู้เรื่องราวระหว่างพวกเค้ามากขึ้นเหมือนกัน ทั้งพี่พระจันทร์ พี่ยอร์ช พี่อัยย์และพี่อาทิตย์



#รักอยู่รู้ยัง

-------------------------------------------

สำหรับตอนนี้จะนำพาไปสู่หายนะในตอนหน้าๆนี้จ้าา

พระจันทร์: หายนะอะไรวะ ไม่ใช่กูแล้วหนึ่ง

แคท: เธอนั่นแหล่ะตัวดีเลยอิพระเอก! ว่าแต่มีเรื่องอะไรระหว่างพวกเธอกันหรอ ไหนกระซิบ

พระจันทร์: ไม่เสือกสักเรื่องได้ไหมคนเขียน

แคท: เอ้าอินี่! อยากปลดพระเอ๊ก!

สมุทร: ปลดเลยจ๊ะ แล้วขึ้นป้ายเลยว่าเรื่องนี้มัน สมุทรพระจันทร์

พระจันทร์: มั่นให้สุด แล้วหยุดที่เป็นเมียกู

ฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง และคอมเม้นท์ให้กันด้วยนะคะ


ปล. สพหรับตอนที่ผ่านมา ขอบคุณคอมเม้นท์จากคุณNattie69ที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ :mew1:


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่13 (120322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-03-2022 22:02:48
 :jul1: :serius2: :a5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่13 (120322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 13-03-2022 12:55:12
 :z3: คุณแคทททท ตัดจบได้ค้างมากค่ะ
มาต่อ มาต่อ เร็วๆนะจร้า

#รออยู่รู้ยัง 555
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่13 (120322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 13-03-2022 22:36:13
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่13 (120322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 14-03-2022 20:02:45
เด่วววว มันเป็นความสัมพันธ์แบบไหน ยังไงก๊อนนนนนน :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่14 (190322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 19-03-2022 21:00:32

บทที่14

 

ในช่วงเวลาที่ชวนให้น่าอึดอัดใจที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ผมที่ยืนอยู่ตรงกลางของสามเหลี่ยมนี้ได้แต่หันซ้ายหันขวามองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทนต่อไปไม่ไหวเลยเลือกจะโพร่งออกไปเพื่อทำลายความน่าอึดอัดนี้

 

“พวกพี่เป็นเพื่อนกันหรอวะ”

 

“น้องสมุทรคะ..” พี่อาทิตย์ถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วหันมาสบสายตาผม ดวงหน้าที่เป็นพิมพ์เดียวกับคนที่ผมชอบมากๆ หันมามองกัน เขาที่เลิกตีหน้าดุแล้วพูดออกมาด้วยเสียงหวานๆ นั่นอย่างคนใจเย็น แต่เหมือนว่าจะไม่มีคำพูดอะไรที่อยากจะพูดเลยได้แค่เรียกชื่อผมเท่านั้น

 

“ผมรู้มาว่าพี่พระจันทร์ไม่ชอบพี่ยอร์ชเท่าไหร่ แต่พวกพี่สองคนก็ยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันงั้นหรอครับ”

 

แปลกฉิบหาย อย่างน้อยผมก็ไม่เคยคิดว่าพี่อาทิตย์จะเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่พี่ของตัวเองไม่ชอบมากขนาดนั้น

 

“มันก็ไม่เคยชอบใครนอกจากชอบอัยย์อยู่แล้ว” พี่อาทิตย์ยังไม่ทันได้พูดตอบอะไรออกมา ก็เป็นพี่ยอร์ชที่พูดแทรกออกมาแบบนั้น สายตาที่ดูจะค่อนขอดคนที่พูดถึงอยู่นิดๆ เหยียดยิ้มออกมาหน่อยๆ แล้วมองหน้าผม สายตาของพี่ยอร์ชที่มองมา เหมือนมันกำลังบอกว่าผมรู้เรื่องนี้บ้างไหม

 

“สัดยอร์ช หุบปากไปเหอะ” เป็นพี่อาทิตย์ที่พูดออกมาอย่างฉุนๆ สีหน้าสายตาที่กำลังบอกให้เพื่อนตัวเองหุบปาก แต่อีกฝ่ายก็คงไม่อยากทำตามใจ

 

“ทำไม กูพูดไม่จริงตรงไหน หรือว่าเพราะมันเป็นพี่มึง มึงเลยเข้าข้างหรอวะ”

 

“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่มึงก็ไม่ควรพูดแบบนั้นกับน้องสมุทร” พี่อาทิตย์ว่าแบบนั้นแล้วปรายสายตามามองตั๋วฟุตบอลในมือของผม เค้าคงหมายถึงเรื่องที่บอกว่าจะให้ของแพงๆ กับผม เพราะตัวเองก็มีปัญญาให้ได้ไม่ต่างจากพี่พระจันทร์

 

“ยิ่งกับไอ้สมุทรกูยิ่งต้องพูด เพราะสมุทรมันเป็นคนที่กูตามจีบอยู่ กูอยากให้มันรู้ว่าคนที่มันกำลังวิ่งตามน่ะไม่เคยสนใจใครนอกจากอัยย์หรอก...จริงๆ ควรจะต้องสงสัยด้วยซ้ำป่ะ ว่าทำไมคนแบบแม่งถึงยอมให้สมุทรมันจีบ” ว่าออกมาแบบชัดถ้อยชัดคำก่อนจะหันมามองสบตากับผมนิ่งๆ ใบหน้าหล่อนั่นมองกันด้วยสายตาหนักแน่นที่สื่อความหมายแบบที่ผมคิดอย่างชัดเจน

 

“แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของมึง”

 

“อ๋อ กูก็เลยไม่ต้องพูดเรื่องจริงออกมางั้นหรอวะ”

 

“แล้วเรื่องจริงที่มึงว่า มึงพูดออกมาหมดไหมล่ะ”

 

“ทำไมกูจะพูดไม่หมด หรือว่ากูต้องบอกด้วยว่ามันอยากคบกับอัยย์แทบตายแต่ก็ไม่เคยได้ เลยเต้นฉิบหายแล้วพาลมาเกลียดกู”

 

“มันไม่ได้พาลไปเกลียดมึงเพราะมึงคบกับพี่อัยย์ มึงก็รู้ดี”

 

 

“กูไม่รู้ เรื่องที่กูรู้ก็เป็นแบบนี้”

 

“เหอะ ไอ้สัด งั้นมึงเคยบอกน้องมันไหมล่ะว่าจริงๆ แล้วมึงก็เป็นแฟนเก่าอัยย์ และเป็นแฟนเก่าที่ตอนนี้ก็ยังคั่วกันอยู่ แต่ก็ยังเสนอหน้าวิ่งไปจีบน้องมันน่ะ มันเพราะอะไร”

 

“ไอ้อาทิตย์ มึงจะมากไปแล้วนะ!” พี่ยอร์ชตะคอกออกมาเสียงดัง พร้อมๆ กับช่วงขายาวที่เดินตรงเข้าไปหาพี่อาทิตย์ ผมมองเหตุการณ์นี้อย่างสับสนและตกใจ ตกใจทั้งกับท่าทางของพี่ยอร์ชที่ไม่เคยเห็น รวมถึงคำพูดของพี่อาทิตย์ที่บอกออกมาแบบนั้น ... คำพูดที่ทำให้ผมนึกไปถึงใครอีกคนที่เมื่อวานนี้ดูเศร้ากว่าทุกที

 

สงสัยคงจะเป็นเพราะเรื่องนี้สินะ

 

เสียงดังโวยวายของคนสองคนที่ทะเลาะกันอยู่ตรงหน้าทำให้ผมหยุดคิดเรื่องราวนั่นไปชั่วขณะ หันไปมองเห็นพี่นิว พี่ทอยที่รีบวิ่งมาดึงตัวพี่ยอร์ชที่กำลังตรงเข้ามากระชากเสื้อพี่อาทิตย์ออก

 

“เห้ยๆ พวกมึงทะเลาะกันทำเหี้ยอะไรวะ” พี่วินที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายยืนอยู่ตรงกลางแล้วยกมือห้ามเพื่อน สีหน้าของพวกเค้าที่บอกว่าไม่เข้าใจเรื่องราวแบบสุดๆ

 

“อะไรกันวะพวกมึง”

 

“มึงก็ถามมันดิ” พี่ยอร์ชตะคอกออกมาเสียงดัง จ้องพี่อาทิตย์ด้วยสายตาโกรธๆ แต่คนหัวชมพูในชุดช็อปก็ทำแค่ยกยิ้มไม่สะท้าน สีหน้าท่าทางที่ผมเคยเห็นว่าเป็นคนที่มีรอยยิ้มประดับเสมอตอนนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกวนๆ ซึ่งผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าพี่ยอร์ชจะอยากยกตีนถีบหน้า ก็แม่งน่าหมั่นไส้ฉิบหาย

 

“มาถามกูทำเหี้ยไร ก็มึงเล่นเกมส์ไม่แฟร์เองป่ะวะ”

 

“ถ้ากูไม่แฟร์ พี่มึงก็ไม่แฟร์เหมือนกันไอ้สัด แค่ไอ้สมุทรชอบมันแม่งก็ไม่แฟร์กับเกมส์นี้แล้วป่ะ”

 

เกมส์....เกมส์เหี้ยไร

 

“คำพูดของมึงที่พูดว่าไอ้พระจันทร์มันก็ไม่แฟร์เหมือนกันป่ะ มึงจะใส่ไฟยังไงก็ได้เว้ย แต่มึงก็ต้องพูดถึงมึงด้วยเหมือนกัน ว่าจริงๆ มึงเองก็ไม่ได้ดี”

 

“มึงแม่งเป็นเหี้ยไร!”

 

“พอ! พวกพี่พอให้หมดทุกคน!” เป็นเสียงของผมที่ตะโกนออกมาดังกว่าทุกที คนสองคนที่กำลังเถียงกันอย่างดุเดือดชะงักค้างไปในตอนนี้ เหมือนจริงๆ แล้วพวกเค้าก็น่าจะลืมไปแล้วว่าผมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้

 

ยืนฟังพวกเค้าพูดถึงเรื่องที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แบบไม่แคร์เลยว่าผมจะรู้สึกยังไง

 

“พอสักทีเถอะ ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ มีความรู้สึกเหมือนกันนะเว้ย!” ว่าออกไปแบบนั้นพร้อมมองหน้าทุกคน เลื่อนสายตาช้าๆ มองแต่ละคนชัดๆ รู้สึกเหมือนมือมันสั่นจนต้องกำมือตัวเองเอาไว้แน่นๆ

 

“ผมไม่เข้าใจว่าพวกพี่พูดถึงเรื่องเหี้ยอะไรกันอยู่ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ผมแม่งไม่ตลกด้วยเลยเว้ย! ... แล้วพี่น่ะ...” หันหน้าไปเผชิญหน้ากับพี่ยอร์ชตรงๆ จ้องหน้าเค้าผ่านแว่นตาหนาเตอะของตัวเองนิ่งๆ ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ

 

“ถ้าอยากจะเป็นพี่เป็นน้องเป็นคนรู้จักกันอยู่ อย่ามาซื้อของแพงๆ แบบนี้ให้ผมหรือเพื่อนผมอีก ต่อให้พี่พระจันทร์เค้าจะเคยซื้อของแพงๆ แบบนี้เพื่อซื้อใจใครก็ช่าง แต่มันใช้ไม่ได้กับผม แล้วผมก็ไม่เคยคิดจะอยากได้” พูดออกไปยาวๆ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นแร็ปครั้งแรกของกูก็ว่าได้ สูดลมหายใจเข้าปอดถี่ๆ เหมือนเวลาที่เราโกรธมากๆ แล้วจะหายใจไม่ทัน อาการผมมันก็แบบนั้นไม่ต่าง

 

“และที่สำคัญผมก็ไม่เคยขอให้พี่มาทำแบบนั้นให้ด้วย ถ้าพี่คิดว่าผมเป็นคนที่อยากได้อยากมีของหรูๆ แพงๆ พวกนั้นแล้วล่ะก็นะ พี่ก็อย่าเป็นมากกว่าคนร่วมมหาลัยกับผมเลยว่ะ”

 

ทั้งๆ ที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะแค่เอาบัตรมาคืน ไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาถึงตรงนี้ ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับพี่ยอร์ช หรือไม่แม้แต่จะคิดว่าจะได้เจอกับพี่อาทิตย์ที่นี่ ความรู้สึกตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ความรู้สึกตอนนี้ที่บอกได้แค่ว่ามันรู้สึกไม่ดี รู้สึกไม่ดีกับทั้งพี่ยอร์ชที่เค้าซื้อของแพงๆ มาให้ คำพูดที่เหมือนว่าผมอยากจะได้ อยากจะเป็นแบบที่พี่อัยย์เคยได้ ... เหี้ยไรล่ะ กูเคยบอกหรอ

 

รู้สึกไม่ดีกับทั้งคำพูดของพี่ยอร์ชที่พูดกับพี่อาทิตย์ สองคนที่กำลังพูดถึงใครอีกคนว่ามีความสำคัญกับพี่พระจันทร์มากแค่ไหน

 

“นี่ของพี่ พี่เอาคืนไปเถอะ” ยัดตั๋วใส่ในมือของพี่ยอร์ช แล้วหันหลังเดินออกมา ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมาจะดึงแขนกันไว้ แต่ติดที่พี่อาทิตย์มาขวางเค้าเอาไว้ก่อน ซึ่งผมคิดว่าดีแล้ว เพราะต่อให้จับไว้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเค้าในตอนนี้ ... อย่างน้อยก็ในตอนที่อารมณ์แบบนี้ ก็อย่าคุยกันเลย

 

 

...

 

“เป็นอะไรป่ะวะไอ้สมุทร” ประโยคเดิมๆ ถูกถามออกมาจากปากของไอ้มาร์ชเป็นครั้งที่ห้าตั้งแต่ผมเดินกลับมาจากคณะวิศวะนั่นเมื่อตอนกลางวัน

 

“เปล่า” และก็ยังเป็นคำตอบเดิมที่ผมตอบกลับไป

 

“แต่ตั้งแต่มึงกลับมา มึงก็มีท่าทีแปลกๆ นะเว้ย ไม่มีอะไรจริงๆ หรอวะ”

 

“อืม” ตอบรับไอ้มาร์ชกลับไปเงียบๆ ทั้งๆ ที่ยังเอาแต่นั่งเหม่อมองชีสเรียนตรงหน้า เนื้อหาไม่ได้เข้าหัวอะไร เป็นการเรียนที่แม่น่าจะอยากเอาไม้มาตี เพราะเหมือนทำงานส่งควายน้ำอย่างน้องสมุทรมาเรียน แต่โดยปกติน้องสมุทรเป็นคนตั้งใจเรียนและเรียนเก่ง แต่มันคงไม่ใช่วันนี้ ... วันที่สมาธิทั้งหมดถูกดึงไปที่บทสนทนาก่อนหน้านี้ของพี่ยอร์ชกับพี่อาทิตย์

 

‘จริงๆ ควรจะต้องสงสัยด้วยซ้ำป่ะ ว่าทำไมคนแบบแม่งถึงยอมให้สมุทรมันจีบ’

 

“ไม่มีอะไรแล้วทำไมมึงเอาแต่เหม่อวะ”

 

“มึงก็เรียนไปเถอะน่า” ไอ้มาร์ชยังเซ้าซี้ไม่เลิกลา เซ้าซี้ในระดับที่อยากจะเค้นกันให้พูดความจริงออกมาจนผมถอนหายใจออกมาหน่อยๆ

 

“กูเพื่อนมึงนะเว้ย มีอะไรก็บอกกันดิวะสมุทร” ไอ้มาร์ชเอื้อมมือมาสะกิดไหล่กันยิกๆ หันไปมองหน้ามันที่เอาแต่จ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว สายตาที่กดดันให้เล่า เป็นนิสัยของมันมาแต่ไหนแต่ไร คือถ้าอยากรู้ต้องได้รู้

 

“มึง”

 

“ว่าๆ กูฟังอยู่” ตอบรับกันด้วยเสียงกระตือรือร้นแล้วขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นอีก

 

“มึงว่า ทำไมพี่พระจันทร์ถึงยอมให้กูจีบเค้าวะ” ผมหันไปมองหน้ามันแล้งถามคำถามที่ผมอยากได้คำตอบมากๆ ในตอนนี้ จ้องตาไอ้มาร์ชอยู่แบบนั้นแล้วรอคอยคำตอบของมันที่คิดว่าจะตอบกันได้ เวลาผ่านไปหลายนาทีมันก็กระพริบตาปริบๆ สองทีก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ

 

“หน้ากูเหมือนไอ้พี่พระจันทร์ของมึงหรอ”

 

“ไม่ช่วยเหี้ยอะไรเลย”

 

“เอ้า”

 

ผมถอนหายใจใส่มันที่ทำแค่ยกมือขึ้นมาเกาหัว ท่าทางที่ไม่เข้าใจว่าผมกำลังเป็นอะไรทำให้ผมเสหน้าหนี หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างในตอนนี้ เสียงบรรยายของอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องยังดังเข้าหู แต่ตัวน้องสมุทรกลับไม่เข้าใจอะไรเลย ในใจมีแต่คำถามนี้วนเวียนอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยฉุกคิดอะไรเลยสักอย่าง

 

ทำไมเค้ายอมให้คนแบบกูเข้าไปใกล้ได้ขนาดนั้น ... คนแบบน้องสมุทร

 

ใช้เวลาในการเรียบคาบบ่ายอย่างยาวนาน แถมยังได้งานมาทำเพิ่มอีกหนึ่งโปรเจคใหญ่ วิชาวรรณกรรมที่ต้องเขียนโครงเรื่องส่งให้อาจารย์ตรวจ ไม่ว่าจะพล็อตเรื่องหรือแรงบรรดาลใจ งานที่เหมือนจะง่าย แต่ถ้าใครได้เรียนจริงๆ จะบอกว่า เหยดแม่ไอ้ควาย ใครจะมีแรงบรรดาลใจในงานเขียนทุกวัน

 

“วันนี้กลับบ้านเลยป่ะวะมึง”

 

“อืม กูอยากกลับไปนอนละ” หันไปบอกไอ้จิมที่เดินกอดคอผมพร้อมผิวปากลงมาจากบันได

 

“วันนี้กูขอโทษนะมึง ไม่ได้ตั้งใจให้มึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งของหรอกนะเว้ย กูกับไอ้เฮงซวยไม่ได้ตั้งใจจริง” เหมือนเรื่องนี้เองก็ยังจะติดอยู่ในใจของพวกมัน ผมเหลือบไปมองทางด้านหลังที่ไอ้เฮงเดินตามหลังมากับไอ้มาร์ช

 

“ช่างเถอะ กูรู้ว่าพวกมึงไม่ได้คิดแบบนั้น”

 

“จริงๆ พวกกูก็แค่เห็นแก่ของฟรี เลยลืมคิดว่าจริงๆ แม่งก็เหมือนกำลังขายเพื่อนแลกของอ่ะ ขอโทษจริงๆ นะมึง” มันว่าออกมาเบาๆ สีหน้าท่าทางของคนที่กอดคอกันอยู่รู้สึกผิดจนผมต้องยิ้มออกมานิดๆ

 

“พอเหอะน่า ขอโทษมากกว่านี้กูจะคิดว่ามึงมีใจแล้วนะ” กระแซะมันออกไปพร้อมยิ้มน้อยๆ เพราะรู้นิสัยของมันดีเลยกล้าเล่นออกไปแบบนั้น ไอ้จิมส่ายหัวหน่อยๆ ก่อนมันพูดต่อ

 

“กูไม่กล้าเชื่อว่ามึงมีใจหรอกครับ ... เพราะคนที่อยู่ในใจมึง ยืนอยู่นู่นแล้ว” มันบอกแบบนั้นพร้อมทำปากยื่น ผมที่หันหน้ามองตามไป เห็นพี่พระจันทร์ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ที่เดิม ท่าเดิม ไม่ต่างจากเมื่อวานเลยสักนิด อีกฝ่ายที่เห็นผมแล้วก็ก้าวเท้าขยับเข้ามาหากันทันที

 

“สมุทร”

 

“พี่มาที่นี่ มีเรื่องไรหรอครับ” ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะวันนี้เจอเรื่องราวมากเกินไปเลยเปิดปากถามออกไปแบบนั้น เพราะแบบนั้นเลยได้คิ้วขมวดของพี่พระจันทร์เป็นคำตอบ

 

“ไม่มีเรื่องแล้วกูมาไม่ได้หรอ” เค้าถามผมกลับเสียงแข็ง สายตาคมนั่นจ้องมองกันเขม็ง บรรยากาศแปลกๆ ที่ทำให้ไอ้จิมรีบยกแขนออกจากบ่าของผม มันหันมองไปทางพี่พระจันทร์ที่ยังทำตาแข็งอย่างเลิ่กลั่ก

 

“แหะๆ ไอ้น้องหมุด ยังไงกูกลับก่อนนะเว้ย ไปก่อนนะครับพี่พระจันทร์” ว่าแบบนั้นแล้วรีบยกมือไหว้อีกคน ไอ้จิมกวักมือเรียกไอ้เฮงให้เดิมตามมันไปไวๆ แล้วรีบสับตีนหนีไปจากตรงนี้ มืออีกข้างของมันก็เอื้อมไปคว้าแขนไอ้มาร์ชให้เดินตามมันไปด้วย ผมเห็นไอ้มาร์ชขมวดคิ้วมองนิดหน่อย แต่ก็ต้านแรงควายของไอ้จิมกับไอ้เฮงไม่ไหว

 

ผมละสายตาจากแผ่นหลังของพวกเพื่อนๆ กลับมามองหน้าคนตรงหน้าอีกครั้ง เค้าขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินตามออกไปด้วยกัน สายตาของชาวคณะอักษรศาสตร์มองตามหลังของผมกับเค้าเป็นตาเดียว ...หลายคนคงมีคำถามสงสัย ทำไมคนหล่อจากคณะบริหาร ถึงมาจับมือไอ้เด็กแว่นอักษรกลับไปแบบนั้นได้

 

คำถามพวกนั้นก็คงไม่ต่างจากที่พี่ยอร์ชสงสัย คำถามที่ผมไม่เคยสงสัย เพราะไม่เคยเจียมตัวเอง

 

“ขึ้นรถ”

 

“พี่พระจันทร์มีอะไรหรอครับ วันนี้น้องสมุทรอยากกลับบ้านไปนอน” เลือกที่จะพูดแบบนั้น เพราะตอนนี้อยากขออยู่คนเดียวเงียบๆ ก่อน หัวใจมันถูกสั่นคลอน แบบว่าอยากขอกลับไปตั้งหลัก

 

“ขึ้นรถสมุทร” ก้าวขายาวๆ ขยับเข้ามาใกล้ตัวผมแบบกดดันกัน ผมที่ก้าวขาถอยหลังจนสุดท้ายแผ่นหลังก็ไปชนเข้ากับประตูรถของอีกคนอย่างจนใจ

 

“อย่าดื้อ” ย้ำคำสั้นๆ อีกทีพร้อมเปิดประตูให้ และสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้าวขึ้นรถไป และตามมาด้วยเสียงปิดประตูรถจากคนที่ขึ้นมานั่งข้างคนขับ รับรู้ถึงสายตาของอีกคนที่เอาแต่จ้องมามองกัน แต่ถึงแบบนั้นผมก็เลือกจะหันไปมองนอกหน้าต่างแบบเงียบๆ แทน ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างตัวนิดหน่อย แต่ถึงแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็เลือกที่จะเข้าเกียร์แล้วขับรถออกไปทั้งแบบนั้น

 

“สมุทร”

 

“ครับ” ผมขานรับคนข้างตัวในตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมาจากมหาลัย ถนนที่กำลังบอกทางให้ผมได้รู้ว่าเป็นทางกลับบ้านของผม

 

“อาทิตย์มันโทรบอกกู” อ๋อ...เพราะแบบนี้สินะเค้าถึงมาอยู่ตรงนี้ในตอนนี้

 

“อ่อ ครับ” ผมตอบรับออกไปแบบนั้น แล้วบรรยากาศในรถก็เงียบลง พี่พระจันทร์ไม่ได้พูดต่อ เหมือนกับเค้ากำลังรอให้ผมเป็นคนพูด บรรยากาศเงียบๆ โรยตัวรอบคนรถ เป็นครั้งแรกที่เราสองคนอยู่ด้วยกันแต่ไม่มีใครพูดอะไร มาคิดๆ ดูปกติมันจะเป็นผมซะมากกว่าที่เอาแต่พูดแล้วหาทางก้าวเข้าไปใกล้เค้ามากขึ้น

 

พอผมไม่ขยับ เราก็เลยไม่ไปไกลกว่าทุกทีสินะ

 

ผมเบือนสายตาไปทางซ้าย มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ส่วนคนข้างๆ ตัวก็ทำแค่มองตรงไปข้างหน้าที่ถนนเหมือนอย่างเคย

 

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่14 (190322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 19-03-2022 21:00:54
“มึงอยากจะถามอะไรกูหรือเปล่า” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวที่เลือกถามกันออกมาก่อน แบบที่ผมไม่คิดว่าเค้าจะทำ คิดว่าเค้าจะแค่ปล่อยให้เราสองคนเงียบกันไปแบบนี้ มันไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่คนถูกจีบแบบเค้า ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาแคร์ความรู้สึกของคนแบบผม

 

“แล้วพี่ล่ะครับ มีอะไรที่จะบอกผมหรือเปล่า”

 

“ที่มึงถามกูแบบนี้ เป็นเพราะไปฟังคำพูดไอ้ยอร์ชมันมาล่ะสิ”

 

“ผม....”

 

“มันบอกมึงว่าไง ถึงได้มาสงสัยอะไรกูตอนนี้”

 

“น้องสมุทรไม่...”

 

“อย่าปฏิเสธ หน้าตามึงบอกกูว่ามึงสงสัยและไม่สบายใจ” เค้าค้านผมออกมาก่อน ทั้งๆ ที่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่ถนนเหมือนเคย ... แล้วแบบนั้นมาแอบมองกันตอนไหนถึงรู้ว่าผมรู้สึกยังไงวะ

 

“น้องสมุทรแค่สงสัย”

 

“ถ้าสงสัยก็แค่ถามออกมา มึงอยู่กับกูมาระยะนึงแล้วนะ มึงเองก็น่าจะรู้ว่ากูตรงๆ อยู่แล้ว” แบบพี่พระจันทร์ใครเรียกตรงๆ เค้าเรียกปากหมา ...ขนาดพี่อัยย์ยังด่า แล้วกับน้องสมุทรจะเหลืออะไรวะ

 

“ผม...”

 

“ถ้าอึกๆ อักๆ แบบนี้กูจะจูบให้ปากแตกเลยเป็นไง รำคาญฉิบหาย”

 

“งั้นจูบก่อนเลยก็ได้ จริงๆ น้องสมุทรก็พร้อมนะ”

 

“สมุทร” เสียงเข้มที่เรียกชื่อกันเหมือนจะบอกให้ผมเลิกเล่นนั่นทำเอาผมหน้าสลด ใจอยากถามออกไป แต่จริงๆ แล้วน้องสมุทรก็แค่กลัวคำตอบในคำถามที่จะถามออกไป

 

“พี่ยอร์ชบอกว่า คนที่พี่พระจันทร์รักมาตลอดก็คือพี่อัยย์” ผมกลั้นใจถามออกไปแล้วก้มหน้านิ่ง ฝ่ามือสองข้างที่กำเข้าหากันแน่นๆ ในตอนที่รอฟัง แต่อีกคนก็เงียบไป ความเงียบโรยตัวลงมาแบบนั้นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนข้างๆ ตัว

 

“พี่พระจันทร์...”

 

“อืม มันพูดถูก กูรักอัยย์ตลอด”

 

“อ่า...ครับ” พูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่ผมก็รู้เรื่องนี้ดีมาตลอดอยู่แล้ว ก็ตั้งแต่ม.4ก็เห็นเค้าเอาแต่มองตามแผ่นหลังบางๆ นั่นเสมอ พี่อัยย์ที่เรียนจบไปก่อนก็ยังมาที่โรงเรียนเพื่อมาหาพี่พระจันทร์ที่สนามบอลในตอนเย็นของทุกวัน เค้านั่งอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งซ้ายเสมอ ส่วนผมก็นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งขวาตลอด เราสองคนมาดูพี่พระจันทร์ซ้อมบอลเหมือนกันในทุกเย็น ที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามที่ตรงกันในทุกๆ วัน แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวก็ตรงที่ สายตาของคนในสนาม มีแต่เงยหน้ามองขึ้นไปที่อัฒจันทร์ฝั่งซ้ายมาตลอด เค้าไม่เคยหันมาที่อัฒจันทร์ฝั่งขวา ว่าจริงๆ ก็มีผมอีกคนที่มองเค้าจากตรงนี้เหมือนกัน

 

ไม่น่าถามออกไปให้ใจเจ็บเลยนะไอ้น้องสมุทรเอ๊ย

 

“แต่มันไม่ใช่ว่าวันนึงกูจะเลิกรักอัยย์ไม่ได้”

 

“คะ ครับ?”

 

“ไม่ได้ยินก็เรื่องของมึง”

 

“พี่พระจันทร์” ผมเอื้อมมือไปจับต้นแขนของคนขับแล้วเขย่าเบาๆ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน แต่อยากได้ยินให้ชัดๆ

 

เคยเป็นไหม ความรู้สึกที่เสียใจฉิบหาย เหมือนคนใกล้ตายที่หายใจไม่ออก แต่อยู่ๆ ก็ได้ถังออกซิเจนมาส่งอากาศเข้าปอด ในช่วงเวลาที่จะจากไป แต่สุดท้ายก็โดนมือใครดึงให้ตื่นขึ้น ... มันเป็นความรู้สึกของผมในตอนนี้

 

“ที่กูเคยบอกจะพยายามกูไม่ได้ล้อเล่น”

 

“แต่พี่ยอร์ชบอกว่า เกมส์นี้มันไม่แฟร์ แล้วก็น่าสงสัยที่พี่พระจันทร์ยอมให้น้องสมุทรจีบ ... น้องสมุทรแค่...”

 

“เกมส์พ่อเกมส์แม่มัน กูไม่เคยเล่นเกมส์เหี้ยอะไรกับมันทั้งนั้น แต่สำหรับมันกูไม่รู้”

 

“พี่พระจันทร์หมายถึง...”

 

“กูจะเล่าให้มึงฟังชัดๆ ก็ได้สมุทร กูกับอัยย์รู้จักกันมาแต่เด็ก เด็กมากๆ จริงๆ เค้าเป็นคนน่าสงสารนะ เป็นเด็กคนนึงที่น่ารักแต่ก็มักจะร้องไห้อยู่เสมอเลย ตอนเด็กๆ ก็ต้องวิ่งหนีหมาบ่อยๆ เพราะเมียน้อยพ่อชอบแอบมาเปิดกรง”

 

“ห๊ะ...”

 

“อืม กูเจออัยย์ครั้งแรกเพราะตกลงมาจากกำแพงบ้าน บ้านเขากับบ้านกูติดกันน่ะ” พี่พระจันทร์พูดถึงความทรงจำนั้นพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มอุ่นๆ ในตอนที่เค้ากำลังคิดถึงใครอีกคน

 

“กูไม่รู้หรอกว่าจริงๆ กูรักอัยย์ตอนไหน อาจจะเพราะอยู่ใกล้กัน ความรู้สึกที่ว่า กูอยากปกป้องมันก็เกิดขึ้นมาเอง สักช่วงม.ต้นล่ะมั้ง”

 

“พี่พระจันทร์เคยบอกความรู้สึกออกไปไหมครับ”

 

“เคย”

 

“เมื่อไหร่หรอครับ”

 

“หลังจากที่มึงตะโกนบอกรักกูกลางสนามบอลวันครบรอบสถาปนา60ปีของโรงเรียนเรา”

 

“ห๊ะ....”

 

“จริงๆ กูตั้งใจว่าจะไม่ออกอะไรอัยย์ เพราะตอนนั้นยังไงมันก็ไม่ทันแล้ว มันไม่มีประโยชน์จะไปบอกชอบคนที่มีแฟนไปแล้ว แต่เพราะมึง...ความกล้าของคนที่กูมองตามหลังไม่ทัน แต่ก็ยังกล้าแหกปากบอกรักกู นั่นล่ะ...กูเลยบอกรักอัยย์ไป แต่มันก็ไม่ต่างจากเดิม เค้ารักไอ้ยอร์ช”

 

“แล้วพี่กับพี่ยอร์ช...จริงๆ เป็นเพื่อนกัน”

 

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ ตอนช่วงม.5ป๊าส่งกูไปเรียนติว ติดที่สถาบันที่เด็กม.ปลายเค้าไปกันน่ะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะช่วงจะเข้ามหาลัยผมก็ไปเรียนเหมือนกัน ทำยังไงได้ ในเมื่อประเทศนี้ ออกข้อสอบของประเทศจากการเรียนในห้องเรียนมันไม่เคยพอ ออกข้อสอบเหมือนตามหานายก แต่มักได้ควายไปแทนเพราะทำข้อสอบไม่ได้

 

“กูไปเรียนแล้วเจอกับมัน มันเรียนอีกโรงเรียนนึง แต่ว่ารสนิยมคล้ายๆ กัน ก็เลยคุยกันถูกคอ ไปเที่ยวเตะบงเตะบอลด้วยกัน จนวันที่มันเจออัยย์ แล้วก็ไม่รู้อิท่าไหน มันก็คบกัน...ทั้งๆ ที่มันเป็นคนแรกที่กูยอมบอกว่าชอบอัยย์ ขนาดไอ้อาทิตย์ยังรู้ทีหลังมันเลย”

 

“เชี่ย” ผมอุทานออกมาตอนได้รู้เรื่องนี้

 

“มึงคิดว่ากูจะต้องรู้สึกไง คนนึงคือคนที่กูรักมาเกือบทั้งชีวิต ส่วนอีกคนคือเพื่อนสนิทที่กูไว้ใจ”

 

“เชี่ยดี” หลุดปากพูดออกไปตามใจคิด หันมองหน้าอีกคนที่มีแววเสียใจฉาบไว้ในดวงตาคมสวยนั่น

 

“แต่ถึงอัยย์ไม่รักกู กูก็ยังอยู่ข้างเค้า คอยปลอบ คอยหาเวลาที่เค้าต้องการ เพียงเพราะกูหวังว่าสักวันมันจะมีวันของกูบ้าง แต่จนถึงตอนที่เลิกกัน อัยย์ก็ยังไม่เลิกรักมันอยู่ดี”

 

“อ่า...”

 

“กูรักอัยย์ แต่ไม่ใช่สักวันกูจะเลิกรักไม่ได้สมุทร ... กูเคยบอกมึงแล้วว่าจะพยายาม นั่นหมายความว่ามึงก็รู้ใช่ไหมว่ากูยังทำไม่ได้ในตอนนี้” เค้าหันมาสบตากับผม แววตาสื่อตรงที่ผมเองก็รู้ดี รู้ว่าเค้ายังไม่ลืมพี่อัยย์ แต่ผมก็เลือกจะเดินเข้าไปตามใจของตัวเองเหมือนกัน

 

“แต่ต่อให้กูชอบอัยย์มากแค่ไหน กูก็ไม่เคยคิดจะดึงใครเข้ามาเป็นเกมส์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์แบบที่ไอ้หน้าเหี้ยนั่นมันพูดหรอก ... โดยเฉพาะกับมึงที่ชอบกูมาสี่ปี แค่ตอนนี้ที่มึงอยู่ข้างกัน ก็เสียเปรียบกูมากแล้ว กูไม่คิดจะทำให้มึงเสียใจมากกว่านี้หรอก”

 

“น้องสมุทรไม่ได้คิดว่าเสียเปรียบพี่พระจันทร์นะครับ ทุกวันนี้น้องสมุทรคิดว่าเป็นกำไรด้วยซ้ำ”

 

“เพราะมึงเป็นแบบนี้ไง”

 

“แบบไหนอ่ะ”

 

“โง่”

 

“เอ้า” ยกมือขึ้นดันกรอบแว่นตานิดๆ หลังโดนด่า แต่คำพูดหนักแน่นของคนที่นั่งข้างกันก็เหมือนเป้นยารักษา ที่ทำให้ความกังวลในใจที่มีมาทั้งวันหายไปแบบไม่รู้ตัว

 

“กูไม่รู้จะอธิบายเรื่องของมึงกับกูยังไง ... แต่ให้มึงรู้ไว้ ตอนนี้มึงเองก็เป็นคนนึงที่มีอิทธิพลกับใจกูเหมือนกัน”

 

“พี่พระจันทร์..อ่า เขินจัง.” ผมพูดออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเบาๆ คำที่ทำให้หัวใจของผมสั่น และเต้นแรงมากกว่าทุกที

 

คนแบบน้องสมุทรเนี่ยนะที่มีอิทธิพลกับใจของพี่พระจันทร์ ... น้องสมุทรอย่างงั้นหรอ

 

“หึ เขินคนเดียวมั้งสัด” บ่นออกมาเบาๆ แต่ถึงแบบนั้นน้องสมุทรก็ได้ยินอยู่ดี หน้าตาของพี่พระจันทร์ที่ยังทำหน้านิ่งๆ เหมือนทุกที แต่หูสวยนั่นกลับแดงขึ้นมามากกว่าเคย ... อยากล้อจัง แต่กูก็อายมาก เลยเลิกจะเงียบและคันยุบยิบในหัวใจอยู่คนเดียวแทนละกัน

 

เสียงตบไฟเลี้ยว พร้อมๆ กับรถคันหรูที่เข้ามาจอดเทียบที่หน้าบ้านของผมอย่างคุ้นเคย ไม่คิดว่าจะถึงไวขนาดนี้ แต่บางทีก็ลืมความตีนผี และความเงียบที่ปล่อยให้เวลาเดินไปไวจนกว่าจะได้คุยกัน น้องสมุทรถอนหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งที แล้วละสายตาไปมองที่หน้าบ้าน ก่อนจะต้องเบิกตากว้างๆ เมื่อเห็นใครอีกคนมายืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว

 

“ไอ้สัดที่น่าโดนต่อยปาก เสนอหน้ามาให้ตีนกูฟาดถึงที่เลย” เสียงฉุนจัดออกมาจากปากของพี่พระจันทร์ทำให้ผมหันไปมองตาม คนข้างๆ ตัวที่ก็ถอดสายเบลออกอย่างไวแล้วก้าวลงไปจากรถไปไวๆ เห็นแบบนั้นน้องสมุทรเลยทิ้งความเขินอายไว้บนรถแล้วรีบวิ่งตามอีกฝ่ายลงไป เพราะดูจากหน้าตาของพี่พระจันทร์แล้ว ผมว่านี่น่ากังวลกว่า

 

“เดี๋ยวๆ พี่ครับ” วิ่งตามคนก้าวอาดๆ ไปแล้วดึงแขนพี่พระจันทร์เอาไว้ พี่ยอร์ชที่เอาตัวยืนพิงรถอยู่พอเห็นพวกเราก็ทำแค่โยนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับไฟให้เรียบร้อย ท่าทางเอาเรื่องที่ก็เดินเข้ามาหาทันทีเหมือนกัน

 

“กูจะซัดหน้าไอ้ปากหมาเนี่ย”

 

“ไม่ๆ พี่พระจันทร์น้องสมุทรขอนะ”

 

“มึงก็มาดิ มึงคงไม่คิดว่ากูจะยอมโดนมึงต่อยคนเดียวหรอกใช่ไหม” พี่ยอร์ชเองก็ก้าวอาดๆ เข้ามาพร้อมความปากดี แต่ใช่เรื่องไหมเอ่ย พี่พระจันทร์ที่ดูของขึ้นง่ายกว่าทุกทีตั้งท่าเดินเข้าไปหา แต่น้องสมุทรก็เอื้อมมือกอดเอวเข้าไว้แน่นๆ แล้วส่ายหน้าไปมาอยู่กลางแผ่นหลังเค้าทั้งแบบนั้น ฝ่าตีนในร้องเท้าผ้าใบก็จิกเข้ากับพื้นถนนแน่นๆ .... แรงควายๆ ช่วยด้วย อย่าไป๊ๆ

 

“น้องสมุทรขอนะ นี่มันหน้าบ้านน้องสมุทรนะ” ผมบอกแบบนั้น คนที่กอดไว้ก็หยุดเดิน เค้าเอี้ยวหน้ามามองผมในจังหวะที่ผมก็ช้อนตามองพอดี

 

“นะครับ”

 

“มึงอ้อนกู”

 

“หา” กระพริบตาปริบๆ สองที คือเปล่าอ้อน น้องสมุทรแค่อ่อนใจฉิบหายในการฉุดรั้งแรงควายของพี่พระจันทร์ไม่ให้เข้าไปต่อยหน้าพี่ยอร์ชเฉยๆ ... แต่ถ้าพี่พระจันทร์คิดแบบนั้น ขอถามกันว่าได้ผลไหม?

 

“เฮ้อ แม่ง” บ่นออกมาเบาๆ พร้อมยกมือขึ้นเสยผมอย่าหงุดหงิด ท่าทางที่อ่อนลงพร้อมแรงที่อ่อนตาม เจ้าตัวที่ทำแค่ยืนตรงๆ แล้วไม่ขยับไปไหน ทำให้ผมเลิกกอดเค้าไว้ทั้งตัว ... ได้ผลหรอวะ

 

“จะพูดเหี้ยไรกับไอ้สัดนี่ก็รีบพูดดิ” บอกแบบนั้นแล้วเขม่นสายตามองพี่ยอร์ชแบบไม่เป็นมิตร

 

“กูจะคุยกับมึงสองคนสมุทร”

 

“เรื่อง Kไรล่ะ” โพล่งออกมาพร้อมกับขาที่ก้าวเดินไปจะหาเรื่องพี่ยอร์ชอีกที ผมคว้าแขนเค้าไว้ได้ทัน พี่พระจันทร์ที่หันมามองกันแล้วขมวดคิ้ว ผมส่ายหน้าหน่อยๆ เป็นคำขอ

 

“แม่ง”

 

“พี่พระจันทร์เข้าไปรอในบ้านน้องสมุทรก่อนนะ”

 

“เรื่อง!”

 

“นะครับ” ผมใช้เสียงอ่อนที่ก่อนหน้านี้ได้ผลดี ช้อนตามองเค้าผ่านกรอบแว่นหนานี้ พี่พระจันทร์ถอนหายใจเหมือนคนหงุดหงิดใส่กันอีกที แล้วสบถออกมาเสียงดัง

 

“อย่าช้านะมึง แล้วถ้าไอ้เหี้ยนี่ทำอะไรมึง แหกปากดังๆ” บอกออกมาหน้านิ่งคิ้วขมวด คำพูดคำจาของเค้าที่ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ คำพูดคำจาที่เหมือนว่าจะเป็นห่วงกัน

 

“ครับๆ”

 

“ส่วนมึง...” หันไปหาพี่ยอร์ชแล้วใช้นิ้วชี้หน้าอีกฝ่าย

 

“ถ้ามึงกล้าแตะไอ้สมุทรสักนิดล่ะก้อนะ ... โดนตีนกูแน่”

 

พี่พระจันทร์หันหลังแล้วเดินก้าวฉับๆ เข้าไปในบ้านของผม ที่ตอนนี้มีไอ้ทะเลโผล่หัวออกมามองด้วยสายตาตื่นๆ ผมคิดว่ามันคงได้ยินเสียงเอะอ่ะ พี่พระจันทร์ที่เดินเข้าไปหาน้องผมก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ ก่อนจะจูงมือมันเดินเข้าบ้านไป หันมองตามไปก็เห็นทั้งพี่พระจันทร์และทะเลที่กำลังลากเก้าอี้ม้าหินช่วยกันให้เข้ามาใกล้กำแพงบ้าน ...ไม่เข้าใจว่าทำอะไร

 

แต่ไม่กี่วินาทีต่อไปก็เข้าใจเมื่อร่างสูงๆ ของพี่พระจันทร์ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้แล้วกอดอกยืนมองผมจากตรงนั้น ... จับตาดูอย่างใกล้ชิด ที่แปลว่าดูติดขอบกำแพง ... ถ้าจะขนาดนี้ก็ไม่ต้องเดินเข้าบ้านไปหรอกพี่ครับ!

 

#รักอยู่รู้ยัง

 



(ปล. พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของแคท แคทหวังว่าตอนนี้จะเป็นของขวัญตอบแทนให้ทุกคนมีความสุขไปด้วยกันนะคะ)

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่14 (190322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-03-2022 22:32:55
 :-[ :impress2: HBD ค่า
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่14 (190322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 21-03-2022 14:14:27
โอ้ยยย เอ็นดูความอยากรู้อยากเห็นของพี่พระจันทร์ เอ็นดู้วววววววววววววว :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่14 (190322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 21-03-2022 22:12:45
สุขสันต์วันเกิดนะครับ  :mc4:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่14 (190322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 26-03-2022 20:30:01

บทที่15

 

สายลมอ่อนๆ ในช่วงเวลาห้าโมงปลิวแผ่วๆ ช่วยทำให้ไม่รู้สึกร้อน พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกแย้มปีนัง ที่โชยมาตามสายลมให้ได้รู้สึกสดชื่น เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนละต้นคอก็ปลิวไสวจนคนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากันต้องเอื้อมมือมาทำท่าเหมือนจะหยิบออกให้

 

“เห้ยๆ มึงจะทำเหี้ยอะไร!” แต่ติดตรงที่เสียงดังจากแขกไม่ได้รับเชิญที่ตะโกนเย้วๆ ดังมาจากกำแพงบ้านของผม ปลายสายตาไปมองนิดๆ ก็เห็นพี่พระจันทร์ยืนเขย่งตัวลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงนั้น

 

“เสือกฉิบหาย”

 

“กูได้ยินะไอ้เหี้ยนี่!” ยังไม่ยอมแพ้ตะโกนเสียงดังออกมาอย่างหาเรื่อง พร้อมยกนิ้วกลางส่งมาให้พี่ยอร์ชอีกหนึ่งที ผมส่ายหัวน้อยๆ อย่างปลงตก ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้จากพี่พระจันทร์ ... ผู้ชายนิ่งๆ ที่ดูไม่ค่อยจะสนใจใคร ทำไมวันนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ครับเนี่ย

 

“มาทางนี้เถอะครับ” ผมเป็นคนออกปาก เพราะขืนยังยืนกันอยู่ตรงนี้ก็คงไม่มีวันคุยกันรู้เรื่องอยู่ดี ผมบุ้ยหน้าไปทางหลังรถของพี่ยอร์ชให้เค้าเดินตามมา แต่ก็เลือกที่จะไม่เข้าไปนั่งในรถของเค้าตามสายตาเชิญชวนของพี่ยอร์ชอยู่ดี

 

“เห้ย จะไปไหนกันวะ!” พี่พระจันทร์ยังตะโกนตามมา ผมที่แค่หันไปมองแล้วจ้องตากับเค้านิ่งๆ อย่างมีความหมาย อย่างน้อยผมก็อยากคุยกับพี่ยอร์ชว่าเค้ามีเรื่องอะไร เพราะแบบนั้นพี่พระจันทร์ถึงได้ยอมเงียบไป แม้เจ้าตัวจะทำสายตาขัดใจแต่ก็ยังคงเกาะกำแพงอยู่ตรงนั้นตามเดิมไม่ไปไหนอยู่ดี

 

“พี่ยอร์ช…พี่มาหาผมถึงนี่มีอะไรหรอครับ” ผมที่ยืนเอาหลังพิงหลังรถของเค้าเอ่ยถามออกมาก่อนคนที่เดินตามมาจะได้พูด

 

“กูขอโทษ” เค้าว่าออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเบาๆ ที่ผมฟังแล้วรู้ดีว่าเค้ากำลังรู้สึกผิดแบบที่พูด หันหน้าไปมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั่นนิดๆ ตอนที่ได้ยินคำพูดนี้

 

“ขอโทษที่กูทำตัวเหมือนดูถูกมึงแบบนั้น กูไม่ได้ตั้งใจ”

 

“อ่าครับ ผมจะรับคำขอโทษของพี่ไว้นะ จริงๆ ผมไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ก็อยากให้พี่รู้ไว้ว่าผมไม่ได้รู้สึกดีกับมันเหมือนกัน”

 

“ขอโทษที่ทำให้มึงรู้สึกไม่ดี ทั้งๆ ที่กูก็พยายามอยากจะให้มันออกมาดี ในทุกๆ อย่างเพื่อมึง” เข้าจ้องตาผม สายตาที่สื่อความหมายมากมายแต่ผมไม่เข้าใจมันสักอย่าง เห็นแบบนั้นเลยถอนหายใจหนักๆ แล้วเปิดปากพูดต่อ

 

“พี่ยอร์ช”

 

“หื้ม...”

 

“ผมพูดตรงๆ นะพี่ ผมดีใจที่ได้รู้จักพี่นะ แต่ว่า....”

 

“อย่าพึ่งพูดอะไรออกมาได้ไหมวะสมุทร” สายตาและสีหน้าของเค้าที่กำลังขอร้องผมอย่างจริงจัง ท่าทางที่บอกกันแบบนั้นจนผมต้องหุบปากลง ข้อเสียของผมคือการใจอ่อนและใจดีมากเกินไปล่ะมั้ง แต่ถึงแบบนั้นผมก็ทำร้ายน้ำใจคนตรงหน้านี้ไม่ลง เพียงเพราะเค้าขอร้องด้วยน้ำเสียงแบบนี้

 

“กูเคยบอกมึงไปแล้ว ว่าถึงแม้มึงจะชอบมัน แต่ตราบใดที่มึงกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันกูก็ยังมีสิทธิ...เพราะแบบนั้นมึงอย่าพึ่งพูดมันออกเลยว่ะ คำปฏิเสธของมึงน่ะ”

 

“ผมไม่อยากให้พี่เสียเวลา...”

 

“กูไม่เคยรู้สึกเสียเวลา และมึงไม่ต้องมาห่วงแทนกู”

 

“พี่...มันจะดีกว่าหรอวะ ถ้าพี่จะกลับไปชัดเจนกับความสัมพันธ์ของพี่ แทนที่จะมาวิ่งตามผมแบบนี้” ผมเลือกจะพูดแบบอ้อมๆ แต่คิดว่าเค้าก็คงเข้าใจ พี่ยอร์ชที่ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าไปในวินาทีต่อมา

 

“กูไม่มีหรอก ไอ้ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนั้นน่ะ” หรอวะ...อยากจะถามคำถามนี้ออกไปแต่ก็ไม่ได้พูด ผมเลือกทำแค่มองหน้าเค้าตรงๆ และอีกฝ่ายก็ทำแค่ส่งรอยยิ้มมาให้กันแบบแนบเนียน แต่มันคงจะเนียนกว่านี้ ถ้าผมไม่ได้ความจริงเรื่องของเค้ากับพี่อัยย์ไปแล้ว

 

“อย่าสนใจคำพูดไอ้อาทิตย์เลย มันก็แค่พูดเข้าข้างแฝดมัน”

 

เค้าพูดออกมาแบบนั้นแล้วแค่นยิ้มใส่ ผมได้แต่ถอนหายใจออกมานิดๆ แล้วเลือกจะพยักหน้า ทำเหมือนคนที่ไม่เคยรู้อะไรมา ตามที่พี่ยอร์ชคิด เอาเถอะ สำหรับเรื่องของพี่ยอร์ชกับพี่อัยย์ยังไงผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายเรื่องนั้น และผมเองก็ไม่เคยคิดอยากได้สิทธิอะไรจากพี่ยอร์ชเลยสักที

แต่ถ้าถามว่าเสียความรู้สึกไหม ก็เสียอยู่นะ ... เพราะมันเห็นชัดเลยว่า สุดท้ายแล้วพี่ยอร์ชก็เลือกที่จะปิดบังผมอยู่ดี มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเค้ายอมรับกับผมตรงๆ ว่าตอนนี้เรื่องของเค้ากับพี่อัยย์มันเป็นยังไงกันแน่ เพราะอย่างน้อยในตอนนี้ พี่พระจันทร์ก็ยังกล้ายอมรับกับผมตรงๆ ว่าเค้ายังตัดพี่อัยย์ไม่ได้ ไม่ใช่เลือกที่จะโกหกผม แล้วแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนที่พี่ยอร์ชกำลังพยายาม

 

“สมุทร กูจะรอเจอมึงที่งานวันเกิดกูนะ” พี่ยอร์ชเลือกที่ตัดบทผม เหมือนไม่ฟังอะไรจากผมอีกแล้วมองตาผม สายตาที่กำลังร้องขอรอคำตอบรับ และสุดท้ายผมก็ทำเพียงพยักหน้าให้น้อยๆ แล้วส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้เค้า พี่ยอร์ชทิ้งสายตามองผมอีกเล็กน้อย ในตอนที่ผมขยับตัวออกจากหลังรถของพี่เค้า เจ้าตัวก็คงรู้แล้วว่าถึงเวลาที่ต้องกลับไป เค้าเดินกลับไปขึ้นรถ แม้สายตาอยากจะทำมากกว่านั้น แต่เป็นผมเองที่ไม่เปิดโอกาสให้ ไม่ว่าจะจับมือหรือกอดลา

 

“เจอกันวันเสาร์ ...”

 

“ครับ” ตอบรับอีกครั้ง ก่อนที่พี่ยอร์ชจะขึ้นรถไปสายตาคมก็ปลายตาไปมองคนที่กำลังยืนเกาะกำแพงบ้านผมอยู่ในตอนนี้เล็กน้อย

 

“ไอ้เหี้ย นี่มึงจะเอาใช่มะ!”

 

“พี่ยอร์ช กลับเถอะครับ ถือว่าผมขอนะ” รีบพูดแทรกก่อนที่จะเกิดสงครามน้ำระหว่างสองคนนี้จะเกิดขึ้นอีกรอบ น้องสมุทรล่ะกลัวเหลือเกินว่าจะมีป้าข้างบ้านออกมายืนมองก็เพราะเสียงทะเลาะของสองคนนี้

 

“ถือว่ากูทำตามเพราะมึงขอนะสมุทร” เค้าว่าแบบนั้นแล้วขึ้นรถไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของใครอีกคน ผมมองตามรถคันหรูที่ขับออกไปแล้ว ในใจก็ได้แต่คิดว่าที่ทำอยู่มันถูกใช่ไหม กับการไม่ยอมพูดตรงๆ ออกไปเพราะกลัวเค้าจะเสียน้ำใจแบบนี้

 

.

.

.

 

เดินกลับเข้ามาในบ้านหลังจากยืนส่งพี่ยอร์ชไปแล้ว ก็พบกับคนที่ลากเก้าอี้ม้าหินกลับมาไว้กลางสวนตามเดิมเรียบร้อยแล้ว พี่พระจันทร์นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกับที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเองไปปีนนั่นล่ะด้วยใบหน้าบึ้งๆ สีหน้าที่บอกให้คนมองเห็นรู้ว่าเจ้าตัวกำลังหงุดหงิด ... ว่าแต่มาหงุดหงิดอะไรก่อนเอ่ย

 

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ” ผมที่เดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถามออกไปแบบนั้น แต่คนตรงหน้ากลับส่งสายตาขวางๆ ที่เหมือนหมาไซบีเรียนหงุดหงิดมาให้แทน ทำเอาผมอดอมยิ้มขำๆ ไม่ได้เลยจริงๆ

 

“อะไร”

 

“ก็ไม่ทำไมหรอกครับ ว่าแต่พี่อยากถามอะไรหรือเปล่า”

 

“กูเปล่า!” กระแทกเสียงใส่หนึ่งทีแล้วบอกว่าเปล่าออกมาเสียงดังแล้วเสหน้าหนี อ๋อจ้า เปล่าแหล่ะเนอะ...

 

“เฮ้อ พี่พระจันทร์ก็ถามไปซี่ว่าพี่หมุดไปคุยอะไรกับพี่คนนั้นมา อะ อุ๊บ อื้อ” ไอ้ทะเลที่พูดออกมาแบบนั้นยังไม่ทันจะจับประโยคดี ก็โดนพี่พระจันทร์คว้าคอไปปิดปากมันไว้แน่น ตายๆ ...น้องกูจะตายไหม

 

“เชี่ย บอกว่าอย่าพูดไงทะเล”

 

“อื้อๆ ไอ้อูดๆ”

 

“แต่มึงพูดไปแล้วแม่ง” สบถออกมาหงุดหงิดแล้วยอมปล่อยตัวน้องผมที่ดิ้นไปดิ้นมาออก พร้อมเขกหัวมันไปทีนึง ไอ้ทะเลเบ้ปากใส่แล้วยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองปลอยๆ

 

“ทะเลไม่พูดแล้ว แต่พี่พระจันทร์เรื่องเกมส์อ่า อย่ามาโปปดทะเลนะ” มันว่าแบบนั้นแล้วยื่นหน้าเข้าไป ... เห้ยๆ ใกล้คนสวยของกูไปแล้วไอ้เด็กนี่ เห็นแบบนั้นเลยคว้าคอเสื้อมันไว้แล้วลากมันให้มายืนข้างๆ กัน

 

“ไปไหนก็ไปเลยปะไอ้ทะเล”

 

“อะไรเล่า ทะเลคุยกับพี่พระจันทร์อยู่เนี่ยพี่หมุด ปัดโถะ ขัดจัง อิลูกช่างขัด”

 

“เดี๋ยวมึงจะโดนตีนกูนะไอ้เด็กแก่แดด”

 

“พี่พระจันทร์~~” ลากเสียงอ่อย แล้วเอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อคนที่นั่งหน้าบูดอีกสองที หนอยๆ ...จะมาไปแล้วนะเว้ย

 

“เออๆ กูไม่ลืมหรอกน่า”

 

“เย้! งั้นทะเลไปก็ได้ เคลียร์กันดีๆ น้า”

 

“ไปไหนก็ไปเลยมึงอ่ะ” ผมว่าไล่หลัง ไอ้ทะเลก็ทำแค่วิ่งหนีทำหน้าทะเล้นเข้าบ้านไปแบบอารมณ์ดี คือมาทำไม มาให้มีบท มาให้พอกวนประสาทน้องสมุทรหรอ หึ่ย หนหวยนัก

 

“น้องมึงแม่งพูดมากเหมือนมึงฉิบหาย”

 

“ไม่เห็นจะเหมือนเลย น้องสมุทรน่ารักกว่าเยอะเถอะ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้พร้อมรอยยิ้ม พี่พระจันทร์ที่เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อช้าๆ

 

“อืม ก็จริง...มึงน่ารักกว่า” พูดออกมาพร้อมสายตาที่ทำให้ผมต้องเสตาหลบ อยู่ๆ ก็รู้สึกร้อนวาบทั่วทั้งหน้า พี่พระจันทร์วันนี้เป็นอะไรของเค้าวะเนี่ย อยู่ๆ จะมาแพรวพราวทำสายตาแบบนี้ใส่ไม่ได้นะเว้ย

 

"อ่ะ..เอ่อ ... แล้วพี่สัญญาอะไรกับไอ้ทะเลไว้ครับ”

 

“เปลี่ยนเรื่องหรอวะ” ก็เออน่ะสิ ใครจะอยู่ให้ไล่ต้อนวะ

 

“อะไรเล่า แล้วว่าไง ตกลงพี่สัญญาอะไรกับมัน จะปิดบังผมหรอ”

 

“มึงหรือเปล่าที่กำลังปิดบังกู” อยู่ๆ พี่พระจันทร์ก็เหมือนคนที่พึ่งนึกอะไรได้ เปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นบึ้งตึงเฉยเลย เอาล่ะ พี่พระจันทร์เมียรักของน้องสมุทร น้องสมุทรเลือกโพที่ถูกแล้วล่ะ อารมณ์เปลี่ยนยิ่งกว่าผู้หญิงตอนเป็นเมนส์ น้องสมุทรยกมือขึ้นเกาหัวเลยในจุดๆ นี้ กูไปปิดบังอะไรก่อนเอ่ย

 

“อะไรนะครับ?”

 

“มึง..”

 

“อ่ะหะ”

 

“เดินหนีออกไปจากระยะสายตาและการได้ยินของกูเมื่อกี้นี้ ปิดบังเหี้ยไรกูวะ”

 

“ใช่ที่ไหนกันเล่า” ผมตอบออกไปแบบนั้น พร้อมๆ กับที่ก็ยื่นนิ้วชี้ขึ้นไปคลึงระหว่างคิ้วของพี่พระจันทร์ที่กำลังขมวดไม่เลิกไปด้วย

 

“ไม่ใช่แล้วมึงคุยอะไร”

 

“ก็แค่คิดว่าถ้ายืนอยู่ตรงนั้นแล้วพี่ยอร์ชจะคุยไม่สดวก”

 

“ไม่สดวกก็เรื่องของโคตรพ่อมันดิ มึงจะสนใจมันทำเหี้ยไรล่ะ”

 

“ผมก็อยากคุยกับเค้า”

 

“ไอ้สมุทร มึงกำลังทำกูอารมณ์เสียนะ” กดเสียงเข้มใส่กัน แล้วจ้องหน้าผมเขม็ง ถอนหายใจออกไปนิดๆ พร้อมส่งยิ้มให้หน่อยๆ ผมไม่ได้โมโหที่พี่พระจันทร์ทำท่าทีแบบนี้ใส่หรอก

 

“แต่ไม่ว่ายังไงน้องสมุทรก็ไม่มีทางชอบพี่ยอร์ชหรอก” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น และนั่นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นประโยคปลอบใจที่ทำให้คนตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย

 

“แล้วมันถ่อมาหามึงเพื่อ”

 

“เพื่อขอโทษครับ เค้าขอโทษที่พูดกับผมไม่ได้”

 

“เหอะ คนใช้Kแทนสมองแบบมันก็คงต้องขอโทษอยู่แบบนั้นทั้งชีวิต” ปากคอเราะร้ายอะไรขนาดนั้นก่อน ผมที่นั่งลงข้างๆ เค้าได้แต่ยิ้มรับกับคำพูดใส่อารมณ์ของพี่เค้า

 

“แล้วมึงมองไรกูนักวะ”

 

“ก็พี่พระจันทร์ยังไม่บอกน้องสมุทรเรื่องที่สัญญากับไอ้ทะเลเลยอ่ะ”

 

“เฮ้อ เซ้าซี้ว่ะ”

 

“แล้วจะบอกไหม” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วยิ้มแผละใส่อีกคนที่ก็ถอนหายใจใส่กันด้วยท่าทีเบื่อหน่าย แต่พอพี่พระจันทร์เสหน้าหนี ผมแอบเห็นรอยยิ้มมุมปากของเค้าอีกที แหน๊...มีใจๆๆๆ

 

“กูก็แค่บอกจะซื้อเกมส์ให้ แลกกับ...”

 

“แลกกับ”

 

“เซ้าซี๊เพื่อ...”

 

“พี่พระจันทร์”

 

“เออๆ แลกกับช่วยกูลากเก้าอี้เหี้ยนี่ไปไว้ตรงกำแพงน่ะสิวะ เก้าอี้ห่าไรหนักชะมัด” บ่นอุบอิบออกมาแบบนั้น แต่ก็นั่นล่ะ ผมก็อดยิ้มกับคนตรงหน้าไม่ได้ คนที่บอกไม่สนใจอะไร แต่ก็อยากรู้จะตายว่าผมไปคุยอะไรกับพี่ยอร์ชจนถึงขั้นต้องไปปีนกำแพงแบบนั้น

 

“อ้อ แต่นี่ไม่ถือว่ากูเอาเงินฟาดหัวอะไรมึงกับน้องมึงนะ แต่ถือเป็นการทำงาน ถ้าใช้แรง ก็ต้องได้ของตอบแทน”

 

“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่ครับ” บอกเค้ายิ้มๆ

 

“ไม่รู้แหล่ะ เผื่อมึงเอากูไปเปรียบเทียบกับไอ้เหี้ยนั่น กูกับมันไม่เหมือนกันหรอกนะบอกเลย”

 

“ผมก็ไม่เคยเอาพี่กับพี่ยอร์ชมาเทียบกันอยู่แล้วครับ บอกเลย” พูดพร้อมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ สบสายตากับคนที่นั่งทำหน้านิ่งคิ้วขมวดที่ต้องพูดถึงคนที่ตัวเองไม่ชอบ ในตอนที่เค้าหันมาสบตากับผม ใบหน้าตึงๆ นั่นก็คลายออก ก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิมแบบไม่มีใครยอมใคร

 

“เป็นงั้นก็ดี”

 

“กูหมายถึงที่เราสองคนเป็นอยู่ตอนนี้ มันก็ดีเหมือนกัน” กระซิบเสียงแผ่วในตอนที่ขยับเข้ามาพูดชิดริมฝีปากของผม สายตาของเราที่สบกัน แต่ไม่มีใครผละออกจากกันในครั้งนี้ ทำให้ริมฝีปากอุ่นๆ แนบลงมาบนอวัยวะเดียวกัน ฝ่ามือหนาที่เอื้อมขึ้นมาจับกรอบหน้าของผม บังคับทิศทางให้หันซ้ายทำมุมให้ริมฝีปากอิ่มของคนตรงหน้าเคล้นคลึงแผ่วๆ ก่อนจะกดจูบหนักๆ จนต้องผวาตัวเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย สอดลิ้นตอบรับกันกันอย่างดูดดื่ม ท่ามกลางแสงไฟจากโคมไฟที่หัวเสาหน้าบ้าน สายลมแผ่วๆ และกลิ่นดอกแย้มปีนังที่โอบกอดเราทั้งสองคนไว้ในค่ำคืนนี้

 

...

 
(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่15 (260322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 26-03-2022 20:31:19
“เห้ยๆ ไอ้หมุดทางนี้เว้ยๆ” เสียงเรียกเย้วๆ ที่ดังมาจากไอ้จิมที่โบกไม้โบกมืออยู่หน้าร้านที่ข้างในจัดงานวันเกิดของพี่ยอร์ช ร้านดังย่านทองหล่อ ที่เห็นว่าชั้นบนโซนต่อกับดาดฟ้าถูกปิดโดยอำนาจเงินของพี่ยอร์ช

 

“รีบมาขนาดนั้นเลยนะมึง”

 

“กูไม่ได้รีบเว้ย แต่มึงต่างหากที่ช้าฉิบหาย ไอ้เหี้ยเฮงกับไอ้มาร์ชมาถึงตั้งนานแล้วเหอะอยู่ข้างใน” ไม่บอกก็รู้ว่ารีบมากแค่ไหน

 

“รีบมาแดกเหล้าฟรีหรอวะ”

 

“โถ่น้องหมุด มึงไม่น่าถามป่ะวะ ของฟรีของดีแล้วเราจะช้าอยู่ทำไมล่ะคร๊าบ” มันยิ้มกว้างแล้วส่งแขนมาโอบรอบคอผมไว้ ท่าทางที่บอกให้ผมเดินตามมันไป แต่เป็นผมที่หยุดขาเอาไว้ก่อน

 

“เดี๋ยวๆ มึง ยังไปไม่ได้”

 

“รอเหี้ยอะไร รอพ่อมึงมาตัดริบบิ้นหรอวะ”

 

“เอ่อ....ก็น่าจะใช่นะ” ยิ้มแหยๆ ส่งไปให้เพื่อนจิมที่ก็ขทวดคิ้วใส่แบบไม่เข้าใจ ก่อนผมจะหันหน้าไปมองคนมาใหม่ที่พึ่งเดินเลี้ยวมาจากลานจอดรถของร้านนี้ ร่างสูงในชุดเสื้อยืดลายกราฟฟิกพื้นสีดำใส่เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาดเข่าเท่ๆ และเซ็ตผมเปิดหน้าผากนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวกลายเป็นที่จับจ้อง ... ก็ไม่เข้าใจว่าเสื้อแบบเดียวกันแท้ๆ ทำไมน้องสมุทรใส่แล้วไม่ฮ็อตแบบนั้นบ้างวะ

 

“เชี่ย พี่พระจันทร์”

 

“อ่าหะ”

 

“อย่าบอกนะว่า ว่า...มากับ...”

 

“มากับกู” พี่พระจันทร์ที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ผม และคงทันฟังประโยคนั้นพอดีเลยตอบออกไปแบบนั้น ฝ่ามือของคนมาใหม่ที่ยกขึ้นผลักแขนของไอ้จิมให้ออกจากคอของผมไป แล้วแทนทีด้วยแขนแกร่งของตัวเองแทนที่พาดลงมาที่คอของผม

 

“อ่ะ เอ่อ พี่พระจันทร์สวัสดีครับ”

 

“อือ” ปรายตามองเพื่อนผมนิดๆ แล้วพยักหน้าตอบรับหน่อยๆ ก่อนจะหันมาทางผม

 

“ไปมึง เข้าไปหาเรื่องสนุกๆ ทำกัน”

 

“เชี่ย กูว่าหายนะแน่ๆ งานนี้” ได้ยินเสียงไอ้จิมดังพึมพำตามมาจากข้างหลังเบาๆ แต่พี่พระจันทร์ก็ไม่ได้สนใจอะไร เค้าทำแค่โอบไหล่ผมเดินเข้าไปในงานอย่างชิลๆ ... บางทีไอ้จิมก็อาจจะคิดมากไป

 

“มึงเข้าไปกับเพื่อนนะ กูจะนั่งแดกเหล้ารอที่ชั้นล่าง” ใบหน้าคมเอียงเข้ามากระซิบข้างหูผมในตอนที่เราเดินเข้ามาในร้านแล้ว เสียงเพลงดังๆ และผู้คนมากมายทำให้ได้ยินไม่ชัดจนเค้าต้องเอียงหน้ามาหา ผมได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มตอบรับพี่พระจันทร์ ก่อนจะเดินตามไอ้จิมขึ้นไปชั้นบน

 

“มึงนี่แน่ฉิบหายเลยนะไอ้สมุทร”

 

“อะไรวะ”

 

“ก็มึงเอาพี่พระจันทร์มาเย้ยพี่ยอร์ชในงานวันเกิดเค้าเนี่ย มึงแม่งอย่างแสบ”

 

“พูดเหี้ยอะไร กูไม่ได้คิดแบบนั้นนะเว้ย” ผมบอกออกไปตามจริง เพราะจริงๆ พี่พระจันทร์ก็แค่ตั้งใจจะมาส่งผมเฉยๆ อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนไอ้จิมจะไม่เชื่อกัน มันยังคงหรี่ตาทำหน้าล้อเลียนกันไม่เลิกอยู่แบบนั้น เห็นแล้วอยากยกมือขึ้นข่วนหน้าแม่ง

 

“สมุทร” เสียงเข้มของคนมาใหม่ทำให้ทั้งผมและไอ้จิมต้องหันไปมองตาม พี่ยอร์ชยืนอยู่ตรงทางเข้าของงานวันเกิดเค้า ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ๊ตฮาวายสีเข้มเข้าคู่กับกางเกงยีนส์สีดำยิ่งขับให้ผิวขาวของพี่เค้าเท่ขึ้นมากกว่าเดิม รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเค้ายิ่งกว้างมากขึ้นในตอนที่เค้าเห็นผม

 

“เชี่ย สวยจังวะเพื่อนกู ผู้ชายชมชอบว่ะ”

 

“หุบปากไอ้สัดจิม”

 

“กูดีใจมากนะที่มึงมา” พี่ยอร์ชพูดออกมาแบบนั้นตอนที่ก้าวเข้ามาหาผม

 

“ผมก็ต้องมาสิพี่ ก็สัญญาเอาไว้แล้วนี่”

 

“วันนี้มึงน่ารักมากนะ แต่ทำไมไม่ใส่เสื้อที่กูซื้อให้มาล่ะวะ” เค้าว่าพร้อมมองมาที่เสื้อสีขาวลายกราฟฟิคดำของผม ส่วนเสื้อของเค้าที่ใส่อยู่ ไม่ต่างจากเสื้อที่พี่เค้าซื้อให้ผมในครั้งก่อนเลย ถ้าใส่มา ก็คงจะเป็นเสื้อคู่กัน

 

“อ่า...ผมลืมซักอ่ะพี่” เลือกที่จะแก้ตัวแบบนั้นออกไปแทนบอกความจริงว่าพี่พระจันทร์บอกให้เอาไปเป็นผ้าเช็ดตีน

 

“ช่างเถอะ แค่ไม่ได้ใส่เสื้อคู่กันยังไงก็ไม่สำคัญเท่าคืนนี้กูมีเรื่องเซอร์ไพรซ์มึงหรอก” บอกออกมาพร้อมรอยยิ้มและสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะยื่นมาจับมือผมเอาไว้แน่นๆ สายตาเป็นประกายของเค้าก็เอาแต่มองมาที่ผมไม่วางตา รู้สึกประหม่ากับสายตาของคนตรงหน้าจนต้องยกมือข้างที่ไม่ถูกกอบกุมไว้มาดันแว่นตาเพื่อแก้เก้อ

 

“เห้ๆ ปล่อยมือเพื่อนกูได้แล้วมั้งพี่ มากไป” เสียงของคนมาใหม่ที่ผมคุ้นเสียงดีคือไอ้มาร์ช มันเดินมาพร้อมๆ กับในมือก็ถือแก้วคอกเทลไว้แล้ว ดูจากสีหน้าเหมือนว่ามันก็จะกึ่มๆ อยู่พอตัว

 

“จับนิดจับหน่อย”

 

“ไม่หน่อยหรอกคนแบบมึงอ่ะพี่” ไอ้มาร์ชเดินชนไหล่พี่ยอร์ชไปที ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เหมือนฝ่ายที่โดนชนจะไม่ติดใจอะไร พี่เค้าทำแค่ยิ้มอย่างมีความสุข เห็นแบบนั้นผมเลยยื่นของขวัญออกไปให้ กล่องไม่ใหญ่ไม่เล็กที่พี่พระจันทร์บอกว่าแบรนด์นี้น่าจะเหมาะกับผู้ชายแบบพี่ยอร์ช ผมที่เห็นว่าสวยดีเลยตัดสินใจซื้อมา

 

“สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่ ขอให้พี่มีความสุขมากนะ”

 

“ขอบใจนะมึง จริงๆ ไม่ต้องมีอะไรมาให้กูก็ได้ เพราะแค่มีมึงก็ถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดของกูแล้วว่ะ”

 

“ฮิ้วววว เบาหน่อยเว้ยๆ”

 

“จริง เว่อร์เหี้ยไรตลอดก่อนเอ่ย มึงรู้สึกอยากอ้วกเหมือนกูไหมครับไอ้นิว”

 

“กูแทบจะสำรอก แต่ต้องฮึบไว้ครับเพื่อนทอย เหล้าแพง มันเปลือง”

 

“พอไอ้สัด อะไรขนาดนั้นวะ” พี่ยอร์ชยกเท้ายันพี่ทอยเบาๆ แต่ได้รับเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลับมาให้แทน

 

“เว่อร์จริงว่ะพี่ ทีตอนกูมา ไอ้เหี้ยพี่ยอร์ชแม่งแบมือทวงของขวัญยิกๆ”

 

“เอ้า แล้วมึงใช่ไอ้สมุทรหรือไงล่ะ” พี่ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโห่แซวจากคนรอบข้าง ทำเอาผมรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก แม่งเอ๊ย มันจะอะไรกับกูขนาดนี้วะ หันไปมองไอ้มาร์ชที่ก็แค่เบะปากใส่พี่ยอร์ชไปที

 

“ไปมึง กูพาไปนั่งโต๊ะ”

 

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมไปนั่งกับไอ้เพื่อนผม”

 

“จริง มาทางนี้เลยไอ้สมุทร ไอ้เหี้ยเฮงจองโต๊ะแถวหน้าไว้ให้มึงแล้ว” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นแล้วเดินแทรกพี่ยอร์ชมาคว้าแขนผมให้เดินตามมันไป พี่ยอร์ชกรอกตาใส่มันนิดหน่อย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวก็กำลังติดพันกับแขกของตัวเองที่มางานนี้เหมือนกัน ผมเลยปลีกตัวมาได้ พอมาถึงโต๊ะก็พบกับเสี่ยเฮง วันนี้ที่แต่งหล่อในเสื้อฮาวายลายแบบที่เสี่ยเค้าชอบใส่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพื่อนผมมันหล่อ

 

“เมาแล้วหรอวะมึง”

 

“โถ่ๆ น้องหมุดของกู เอาไรมาเมาก่อนเอ่ย มึงอ่ะแหล่ะ มาช้าอย่าเสือกเมาไปก่อนล่ะ”

 

“ไอ้หมุดมันเมาก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ามึง เพราะว่าเค้ามีคนมารับว่ะ”

 

“ใครวะ อย่าบอกว่ามึงจะกลับกับไอ้เหี้ยพี่ยอร์ชนะ” ไอ้มาร์ชขมวดคิ้วหันมามองผม ท่าทางเอาเรื่องของมันบอกให้รู้ว่าตั้งแต่มีเรื่องตั๋วครั้งก่อน มันก็เหมือนจะเลิกเข้าข้างพี่ยอร์ชไปซะแบบนั้น

 

“ไม่ใช่จ้าพ่อมาร์ช วันนี้ลูกมึงควงหนุ่มมา”

 

“หนุ่มพ่อง”

 

“ก็หนุ่มจริงๆ อ่ะไอ้สัด มันควงพี่พระจันทร์มาว่ะ”

 

“แค่กๆ ...เอาจริงดิไอ้เหี้ย” ไอ้เฮงถึงกับสำลักเหล้าที่กำลังกระดกเข้าปาก พ่นน้ำออกมาหน่อยนึงใส่หน้าไอ้จิมไปเต็มๆ

 

“สกปรกฉิบหายเลยไอ้เหี้ยเอ้ย” ไอ้จิมบ่นพร้อมๆ กับรีบเอาทิชชู่มาเช็ดอย่างรังเกียจ

 

“ลูกมึงแม่งร้ายกาจ”

 

“กูไม่ได้ควงมา พี่เค้าแค่มาส่ง”

 

“ก็หวังว่าจะแค่มาส่งนะมึง” ไอ้มาร์ชหันมาสบตากับผม ซึ่งน้องสมุทรก็ทำได้แค่พยักหน้าตอบกลับไป ก็มาส่งกับมารับสิวะ จนถึงตอนนี้พี่พระจันทร์ก็ยังไม่ได้ขึ้นมาที่นี่สักหน่อย

 

.

.

.

 

เวลาล่วงเลยไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่ชั่วโมง จำได้ลางๆ ว่าผมมาถึงที่นี่ตอนประมาณ3ทุ่ม นั่งเล่นอยู่ตรงนี้ทั้งกินทั้งดื่มและคุยไร้สาระไปเรื่อยๆ มีพี่ยอร์ชที่เข้ามานั่งแจมกับพวกเราบ้าง บางครั้งก็ต้องลุกไปดูเพื่อนๆ โต๊ะอื่นๆ ของเค้าบ้าง จนตอนนี้รู้สึกว่าหัวเริ่มจะปวด เหมือนว่าเริ่มจะกินเยอะไปแล้ว

 

“น้องสมุทรคะ ไหวหรือเปล่าเรา” เสียงที่มาพร้อมๆ กับแรงสะกิดที่หัวไหล่ทำให้หันไปมอง ก่อนจะต้องยิ้มออกมากว้างๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่ผมรัก แต่พอลองยื่นเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นชัดๆ เลยว่าหัวชมพู

 

“พี่อาทิตย์”

 

“ใช่ค่ะพี่เอง เมาแล้วหรอคะ”

 

“เปล่าสักหน่อย น้องสมุทรยังไหวเถอะ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วเอียงคอส่งยิ้มไปให้ ไม่รู้ทำไมถึงยื่นมือขึ้นไปจับหัวพี่เค้า

 

“ผมสีชมพู”

 

“ชอบหรอคะ”

 

“เคยชอบ ชอบตอนพี่พระจันทร์ทำครับ” ผมตอบพรางนึกไปถึงพี่พระจันทร์ตอนนั้นแล้วก็ต้องยิ้มออกมา ใจดี...แต่พอหลังจากวันนั้นพี่พระจันทร์ก็กลับไปทำผมดำ พอตามอยู่ห่างๆ เจ้าตัวก็ทำหน้านิ่งๆ ใส่ แต่ถึงแบบนั้นพี่พระจันทร์ตอนนั้นก็ยังสวยจับใจน้องสมุทรอยู่ดี

 

“ไอ้พระจันทร์ผมสีชมพูหรอคะที่หนูชอบ”

 

“ช่ายยย...แต่ว่า ไม่ว่าจะสีอะไรถ้าเป็นพี่พระจันทร์สมุทรก็ชอบหมด ฮี่ๆ”

 

“อิจฉาจังเลยค่ะ”

 

“โอ๋ๆ กอดๆ นะ น้องสมุทรกอดไหม แต่ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวพี่พระจันทร์หึง อิอิ”

 

“น้องสมุทรน่ารักจัง” ว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาลูบแก้มกันเบาๆ เบาจนรู้สึกแปลกๆ จนต้องเอียงแก้มหนี พี่อาทิตย์ที่มองหน้ากันนิดๆ ก่อนจะละมือออกแล้วยกยิ้มน่ารักส่งมาให้ งื้อ บ้านนี้มีแต่คนสวยหรอวะ พี่พระจันทร์ก็สวย พี่อาทิตย์หัวสีชมพูก็ยิ่งส๊วยสวย

 

“โหลๆ เทสๆ หนึ่งสองๆ เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของไอ้เหี้ยยอร์ช...เอ้ย เพื่อนยอร์ชที่รักของชาวเรา” เสียงของพี่ทอยดังมาจากหน้าเวทียกพื้นที่ถูกทางร้านจัดขึ้นให้เป็นพิเศษในวันนี้

 

“กระผมขอเชิญไอ้เหี้ยยอร์ช เอ้ย เพื่อนยอร์ชที่รักขึ้นมาร้องเพลงในงานหน่อยครับโผ้มมม”

 

“ก็ถ้าจะเรียกกูเหี้ยก็ไม่ต้องแก้ก็ได้นะไอ้สัด” พี่ยอร์ชที่เดินขึ้นไปบนเวทีว่าเพื่อน ทำให้เรียกเสียงโห่ฮาจากคนด้านล่างได้เป็นอย่างดี ใบหน้าหล่อๆ ที่วันนี้ดูจะมีความสุขมากกว่าทุกวันหยุดยืนอยู่ตรงนั้น สายตาคมวาววับที่เอาแต่จับจ้องมาที่ผม ริมฝีปากหยักกดยิ้มมุมปากไม่ละสายตาไปจากผม

 

“ไอ้เหี้ยนั่นมองเหมือนอยากแดกน้องสมุทรเลยนะคะ” พี่อาทิตย์ที่ยืนอยู่ข้างตัวกระซิบบอกผมเบาๆ

 

“ไม่ใช่หรอกครับ”

 

“ใช่ค่ะ มองจากนอกโลกใครก็รู้ พี่สะกิดถามมนุษย์ต่างดาวนอกโลก มันก็จะตอบพี่ว่าเออใช่โอเย้!” อะไรของพี่อาทิตย์เค้าวะนั่นน่ะ

 

“สำหรับงานวันเกิดในปีนี้ เป็นปีที่มีความสุขมากๆ สำหรับกูเลย ที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะมีใครคนนึงในงานนี้ ที่เป็นหัวใจของกู”

 

“ฮิ้ววว” เสียงลูกคู่โห่แซวที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายในตอนที่พี่ยอร์ชพูดจบ คำพูดและสายตาที่มองมา เรียกให้คนในงานหันมามองผมได้ไม่ยากเย็น สายตาที่เหมือนกับคอยมองมาแล้วบอกกันว่าเป็นคนนี้นี่เองที่เค้ากำลังพูดถึง มันเป็นผมนี่เองที่เป็นคนๆ นั้นของพี่ยอร์ช ซึ่งนั่นมันเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเลย รู้สึกประหม่าจนต้องยกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วก้มหน้าลงต่ำ

 

“กูอยากบอกให้เค้าได้รู้ความรู้สึกของกูที่มีต่อเค้าว่ากูรักเค้า รักแค่เค้าคนเดียว ... สมุทร”

 

เสียงที่เอ่ยเรียกชื่อผมแบบนั้นทำให้ทุกคนหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว ชื่อของผมที่อยากทำให้มันถูกกลืนหายไปในตอนนี้ รู้สึกอึดอัดจนต้องบีบมือ ... และผมก็ได้แต่หวัง หวังว่าเค้าจะไม่ใช้วิธีนั้นกับผม

 

“กูชอบมึง คบกับกูเถอะนะ”

 

“ฮิ้วววว เอาเรื่องเว้ยๆ”

 

“คบเลยๆๆๆ”

 

“ตอบเลยๆๆๆ”

 

เสียงของคนในงานรอบข้างที่ดังประสานเสียงขึ้นมาไม่ต่างจากการกดดันเอาคำตอบจากผม เงยหน้าไปมองคนที่ยืนอยู่บนเวทีที่กำลังส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่มีความสุขของเค้า มันแตกต่างจากความรู้สึกของผมตอนนี้ แม้ว่าจะหวังเอาไว้ว่าเค้าจะไม่ใช้วิธีนี้กับผม การกดดันเอาคำตอบกันในวันสำคัญของตัวเอง ถ้าผมตอบว่าไม่ มันก็จะกลายเป็นคนใจร้ายที่มาหักอกเจ้าของงาน ในวันเกิดของเค้าเอง ... อย่างเหี้ย!

 

 

ทำไมถึงต้องเลือกใช้วิธีแบบนี้กับผมด้วย นี่หรอวะ สิ่งที่เค้าบอกว่าจะพยายาม ...ความพยายามที่เหมือนเป็นทางลัดเพื่อเอาเปรียบกันแบบนี้น่ะหรอวะ”

 

“สมุทร” พี่อาทิตย์หันมามองหน้าผมอย่างเข้าใจ

 

“ว่าไงมึง คบกับกูเถอะนะสมุทร” พี่ยอร์ชยังคงพูดออกไมค์ และมอบรอยยิ้มใจร้ายที่ดูเหนือกว่าผมส่งมาให้กันอย่างไม่เลิกลา ... ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเค้าต้องการอะไร ต้องการความรักจากผมไป หรืออยากชนะอะไรมากกว่ากัน

 

“ผม....” เสียงของผมสั่นอย่างที่รู้ตัวเองดี มองไปรอบๆ สายตาที่จ้องมองกันด้วยความคาดหวังและกดดันจากทุกคนทำให้ผมอึดอัด ผมควรจะตอบกลับไปว่ายังไงดี อยู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่มางานนี้ซะแบบนั้น

 

“นะ...”

 

“คงจะไม่ได้หรอกว่ะ เพราะพอดีว่าคนที่มึงขอคบ มันคบกับกูอยู่ว่ะ”

 

เสียงของคนมาใหม่ที่ก้าวเข้ามาในงานพร้อมรอยยิ้มมุมปาก สายตาคมสวยของพี่พระจันทร์ที่มองตรงไปที่พี่ยอร์ชอย่างเย้ยหยัน ก้าวตรงเข้ามาหาผมช้าๆ ก่อนที่สุดท้ายแล้วข้างตัวของผม จะมีเค้าที่มายืนอยู่ข้างๆ

 

“ไอ้สัดพระจันทร์”

 

“มึงแม่งก็จะหน้าด้านไปหน่อยนะไอ้ยอร์ชที่มาขอคบกับคนของกู” พี่พระจันทร์ที่วาดแขนโอบไหล่ผมเอาไว้แน่นๆ พูดออกไปแบบนั้นด้วยคำพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วยิ้มร้ายส่งไปให้พี่ยอร์ช

 

“ถ้าไม่เกรงใจอะไร ก็ช่วยเกรงใจชุดคู่แสดงสถานะของกูกับไอ้สมุทรหน่อยครับ ... ส่วนคนที่อยากให้มันใส่มาคู่ด้วยจนตัวสั่น ผมก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ... วันนี้ มึงเป็นคนอื่นนะ รู้ตัวยัง”

 

#รักอยู่รู้ยัง

 

เอ้อ รู้ยังว่าเรื่องนี้ใครมันเป็นตัวร้ายยยย รู้ยังจ้าาา

พี่พระจันทร์: พวกเธอกำลังพูดถึงใคร ไม่ใช่ฉันชิป่ะ?




ปล. ต้องขออภัยที่มาลงช้านะคะ พอดีแคทพึ่งกลับมาจากงานฌาปนกิจคุณย่าที่ต่างจังหวัด เลยทำให้ลงงานล่าช้า

และอาจมีคำผิดค่อนข้างเยอะ แต่หวังว่าคนอ่านจะยังมีความสุขที่ได้อ่าน และคอยร่วมลุ้นไปด้วยกันจนถึงตอนจบเลยนะคะ

ขอขอบคุณคนอ่านจากทางเล้าเป็ดที่ยังอยู่กับแคทมาในทุกๆตอนเลยนะคะ

:-[ :impress2: HBD ค่า
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ

โอ้ยยย เอ็นดูความอยากรู้อยากเห็นของพี่พระจันทร์ เอ็นดู้วววววววววววววว :oni1: :oni1:
พี่พระจันทร์ก็คือยอมไม่ได้ ขอให้ได้รู้เรื่องด้วย 5555555

สุขสันต์วันเกิดนะครับ  :mc4:
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ :L2:

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่15 (260322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-03-2022 23:13:19
 :sad4: :o12: :a5: o22
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่15 (260322)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 29-03-2022 18:55:18
เป็นยังไงละพี่ยอร์ช  :laugh:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่16 (020422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 02-04-2022 19:17:05

บทที่16



“ไอ้สัด!มึงโกหก”



“รับไม่ได้ก็กลั้นใจตายซะสิมึง” จ้องหน้าคนที่กำลังยืนตัวสั่นกำมือของมันแน่นอย่างอดกลั้นอยู่บนนั้น บนเวทีที่มันเป็นเจ้าของงาน เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเหยียดออกมา จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้สีหน้าบ่งบอกว่าสมน้ำหน้าขนาดนี้ แต่บางทีคนเราก็มักจะแสดงออกตามความรู้สึกมากกว่าที่จะควบคุมมันเอาไว้ ยิ่งเวลาที่เห็นสีหน้าเจ็บใจเหมือนฟ้าถล่มจะเป็นจะตายแบบนั้นแล้วยิ่งห้ามมุมปากของตัวเองไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้เลยจริงๆ



“มึงโกหกกู! ไอ้สมุทร ไอ้เหี้ยนี่มันโกหกใช่ไหม มึงพูดสิวะ” ขายาวๆ ของมันที่ก้าวลงมาจากเวทีแล้วเดินตรงมาผลักอกกันแรงๆ ได้ยินเสียงฮือฮาดังมาจากคนรอบข้างแล้วยิ่งชอบใจ มองเห็นมือถือของคนในงานที่ยกขึ้นมาถ่ายเอาไว้



ดี ถ่ายไว้เยอะๆ หลังจากนี้ไอ้ยอร์ชจะได้เห็นว่าเวลามันเสียใจ มันน่าสมเพชแค่ไหน ... สมน้ำหน้ามึง



“เห้ยๆ ไอ้ยอร์ชใจเย็น” เพื่อนของมันที่ผมจำได้ดีว่าชื่อไอ้ทอยวิ่งเข้ามาก่อนใคร ดึงแขนไอ้ยอร์ชเอาไว้แต่ดูเหมือนมันจะไม่ฟัง เพราะสะบัดแขนออกจากเกาะกุมของเพื่อนมันเต็มแรง



“ทำไมวะ เพราะกูได้อัยย์มึงเลยไม่พอใจหรอวะ”



“ไอ้ยอร์ชมึงพอ” เป็นเสียงไอ้อาทิตย์ดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม มันที่เดินแทรกตัวมาอยู่ตรงหน้าระหว่างผมกับไอ้ยอร์ชเอาไว้



“กูไม่พอ พี่มึงมันเหี้ยแพ้แล้วพาล ถ้ามึงอยากได้อัยย์มันมากก็มาเอาไปดิวะ กูไม่เอาแล้ว!”



“ไอ้สัด อัยย์ไม่ใช่สิ่งของที่มึงจะมายกให้ใครเมื่อไหร่ก็ได้”



เลือดขึ้นหน้า รอยยิ้มที่ก่อนหน้านี้มีประดับใบหน้าหายไปพร้อมๆ กับที่มือกับเท้าของผมไปไวกว่าความคิด เอื้อมมือไปผลักอกไอ้อาทิตย์ให้หลบออกไปแล้วซัดหมัดเข้าหน้าไอ้ยอร์ชเต็มๆ แรง มันไม่มีสิทธิมาพูดถึงอัยย์แบบนี้ มันมีสิทธิอะไรมาดูถูกคนที่รักมันขนาดนั้น



‘ผลัวะ’ ไอ้ยอร์ชที่เซถอยหลังล้มหน้าคว่ำไปลงโต๊ะทางด้านหลังมันล้มคว่ำไปหลายตัว ผมที่ก้าวขายาวๆ เข้าไปคล่อมตัวมัน ยกหมัดซ้ำกระแทกใส่หน้ามันอีกสองสามหมัดแบบที่มันลุกมาสวนไม่ทัน



‘ตุบ ผลัวะ!’



“คนแบบมึง คนแบบมึงมันไม่สมควรได้ความรักจากใครหรอกไอ้สัด” จ้องหน้าคนที่อยู่ใต้ตัวแล้วง้างหมัดกว้างๆ อีกครั้ง แต่มันที่ตั้งตัวได้ทันแล้วรับหมัดนั้นได้ซะก่อน ก่อนที่มันจะยกเข่าขึ้นมากระแทกสีข้าง แล้วเปลี่ยนมาคล่อมตัวผมแทนด้วยแววตาเดือดดาล



“มึงคิดว่ากูจะยอมโดนฝ่ายเดียวหรอไอ้สัดพระจันทร์! แค่ก็กูอยากจะมีความรักดีๆ สักครั้งทำไมมึงต้องมาเสือกด้วยวะ!”



‘ผลัวะ!’



มันตะคอกออกมาแบบนั้น พร้อมๆ กับหมัดที่สวนมาแบบไม่ทันได้หลบ เซถอยหลังพร้อมๆ กับแรงหมัดของมันที่กระแทกมาโดนที่มุมปากของตัวเองเต็มๆ



“พอไอ้สัดพอได้แล้ว!” เป็นไอ้อาทิตย์กระชากตัวของผมออกมา และทางด้านไอ้ยอร์ชเองก็เห็นเพื่อนของมันอีกสองคนที่มาล็อคตัวมันไว้ไม่ต่างกัน ผมแค่นรอยยิ้มออกมาพร้อมมองเหยียดมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนถุยเลือดตรงมุมปากทิ้งไป



“ความรักดีๆ หรอ ถุย” ว่าออกไปแบบนั้นพร้อมหันมองไปรอบๆ งานที่ตอนนี้พังเละเทะไม่เป็นท่า โต๊ะแถวนั้นถูกล้มคว่ำกระจาย สีหน้าของคนในงานที่ดูตื่นตกใจทั้งชายทั้งหญิงที่ดูจะตกใจกับเหตุการณ์นี้ ...แต่ถึงแบบนั้นก็ยังยกกล้องมาจับภาพเหตุการณ์เอ้าไว้อยู่ดี ผมหันกลับมามองหน้าไอ้ยอร์ชอีกครั้ง คนที่ครั้งนึงมันเคยเป็นเพื่อน



“มึงวิ่งตามหาความรักดีๆ ทั้งๆ ที่มึงเองก็มีอยู่แล้ว กูถามจริงๆ เหอะ ถ้ามึงไม่อยากรักแต่แรกมึงเอาไปทำเหี้ยอะไร!” จ้องมองตามันที่วูบไหวไปวูบนึง ก่อนสายตาของมันจะเปลี่ยนเป็นนิ่งสบตากับผมอีกครั้งเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร มันไม่พูดอะไรออกมาอีกสักคำ และผมถือว่านั่นเป็นคำตอบของความเหี้ยทั้งหมดของมัน



“พวกมึงเลิกทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้สักทีเหอะว่ะ พวกมึงเป็นเพื่อนกันนะไอ้สัด” ไอ้ทอยพูดออกมาแบบนั้นทั้งๆ ที่มันยังล็อคตัวไอ้ยอร์ชเอาไว้



“กูก็ไม่มีเพื่อนเหี้ยแบบมัน! ตอนที่กูบอกว่ากูชอบอัยย์ มึงทำได้ไงถึงแอบไปมีอะไรลับหลังกู!” ผมตะคอกออกไปอย่างเดือดดาล ความรู้สึกเก่าๆ วนกลับมาเหมือนกับว่าเรื่องมันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน



หักหลังเพื่อน นอกใจแฟน แล้วตอนนี้จะยังมาตามหาความรักดีๆ จากใครอีก ทั้งๆ ที่มันไม่เคยคิดจะรักษาแล้วจะอยากได้ไปทำเหี้ยอะไร



“แน่จริงมึงก็ตอบกูมา! คนเหี้ยๆ แบบมึงที่หักหลังเพื่อนแบบกู ทำได้ไงวะ! คนแบบมึงอย่ามีเพื่อนอีกเลยเถอะใช่ชีวิตนี้!!”



‘ผลัก!!’



หงุดหงิดจนสะบัดไอ้อาทิตย์หลุดออกจากตัวอีกรอบก่อนจะกระโดดถีบไอ้ยอร์ชเต็มแรง จนทั้งมันทั้งเพื่อนมันล้มหงายไปกับพื้น



“ต่อให้มึงเจ็บแค่ไหน มันก็เจ็บได้ไม่เท่ากับความเสียใจของกูที่โดนเพื่อนแบบมึงหักหลังหรอก!”



“ไม่ว่าเรื่องตอนนั้นมันจะเป็นยังไง แต่แล้วยังไงวะ ครั้งนี้กูจะมีความรักดีๆ บ้างไม่ได้หรือไง!” ไอ้ยอร์ชค่อยๆ เกาะโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่าทางของมันที่ดูจะช้ำไปทั้งตัวจนยืนแทบไม่อยู่ แต่ปากยังดีที่สามารถตะคอกใส่ผมได้ แต่ผมทำแค่แค่นยิ้มตอบกลับไปหลังจากได้ยินคำพูดของมัน ... ความรักดีๆ หรอ



“คนแบบมึงมันไม่สมควรจะมีความรักดีๆ ครั้งนั้นกูพลาด แต่ครั้งนี้กูจะไม่ยอมให้มึงได้ไอ้สมุทรไป กูจะไม่ยอมให้มันต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตคนเหี้ยๆ แบบมึงหรอก!” ยกมือชี้หน้ามัน จ้องตามันอย่างจริงจังว่าทุกคำพูดไม่ได้ล้อเล่น ไอ้ยอร์ชที่กำมือตัวเองแน่นๆ หน้าตาช้ำพร้อมกับเสื้อสีขาวที่มันใส่อยู่มีรอยเท้าอยู่กลางเสื้อ จากฝ่าเท้าของผมเอง ยกยิ้มใส่มันอีกทีก่อนจะหันหลังกลับมา เดินตรงไปคว้าข้อมือของไอ้สมุทรที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น สีหน้าของมันที่เรียกได้ว่าไม่สู้ดี ตากลมๆ หลังกรอบแว่นตาหนาเตอะของมันช้อนมามองหน้าผม พร้อมคิ้วสวยที่ยังขมวดเข้าหากันไม่เลิก มันที่ทำท่าอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ถูกผมตัดบท



“ไป”



“แต่กูรักมัน กูรักมึงสมุทร!”



“มึงยังไม่จบใช่ไหม!” หันหน้ากลับมามองคนที่แค่ยืนยังลำบาก แต่เสือกปากดีตะโกนออกมาแบบนั้น ในจังหวะที่ผมตั้งใจจะก้าวเข้าไปซ้ำมันให้หายหงุดหงิดอีกสักที ก็ติดตรงฝ่ามือของใครบางคนกระชากแขนของผมไว้ซะก่อน



“ทำอะไร!”



“..........”



“จันทร์ทำยอร์ชทำไม!”



‘เพียะ’



เสียงตะคอกจากคนคุ้นเคยที่มาพร้อมกับสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด คำพูดเดิมๆ ที่ผมคุ้นชินมันดีและฝ่ามือที่ผมเคยสัมผัสแต่ไม่มีสิทธิได้กอบกุม วันนี้มันกระแทกเข้าหน้าของผมอย่างจังจนหน้าหัน และซีกหน้าด้านขวาขึ้นรอยมือ



“เห้ย! อย่ามาทำพี่พระจันทร์นะ!” ไอ้สมุทรที่ยืนอยู่ข้างตัวผม มันก้าวเข้ามาขวางและผลักอัยย์ให้ออกไปไกลๆ สีหน้าท่าทางเอาเรื่องที่มันตั้งท่าจะเข้าไปสวนกลับแบบจริงๆ ทำให้ผมคว้าข้อมือเล็กๆ นั่นไว้



“สมุทรอย่า”



“แต่เค้าตบพี่!” มันจ้องตาผมเขม็ง สีหน้าเอาเรื่องที่ผมไม่เคยได้เห็นและเป็นครั้งแรกที่มันกำลังโกรธ



“ตบแค่นี้ยังน้อยไป ทำไมจันทร์ต้องทำยอร์ชด้วยวะ ทำไม ทำทำไม!” โวยวายออกมาเสียงดังแล้วมองมาที่ผมอย่างคนผิด สายตาคาดโทษที่บอกผมว่าจะไม่ยอมให้อภัย ทั้งๆ ที่ผมเองก็เจ็บ ปากผมกำลังแตกและเลือดไหล แต่อัยย์ก็เป็นแบบนี้ทุกที เค้าไม่เคยเห็น ไม่เคยมองเห็นความเจ็บปวดของผม สายตาของเค้าเอาแต่มองไปที่เดิม คนที่อัยย์กำลังวิ่งเข้าไปกอดประคอง



“ยอร์ช เจ็บตรงไหน อัยย์พาไปหาหมอนะ” อัยย์ที่ถามมันออกไปแบบนั้น สายตาสวยที่มีน้ำตารื้นปริ่มขอบตาเอาแต่จ้องไปทั่วตัวของไอ้ยอร์ชอยู่แบบนั้น มันที่ก้มหน้ามองอัยย์แค่แว๊บเดียวเท่านั้น ก่อนจะยื่นมือมาดันให้ออกห่าง



“มาทำไม หลบไป!”



“เห้ย มึงจะทำเกินไปแล้วนะไอ้ยอร์ช!” ผมก้าวขาเดินกลับไปทันทีในตอนนี้ จับตดินกลับไปทันทีในตอนนี้ จับตัวประคองอัยย์ไว้ได้ทันก่อนที่เจ้าตัวจะล้มลงไปเจ็บตัว



“แล้วไง กับอัยย์กูก็จบกันไปนานแล้ว”



“ยอร์ช ไม่จริงอ่ะ เราจะจบกันได้ยังไง” ฝ่ามือเล็กๆ ที่ผลักผมออก ก่อนจะเอื้อมไปคว้าเข้าที่แขนแกร่งของคนตรงหน้า ไอ้ยอร์ชที่ขมวดคิ้วแล้วหันมามองหน้าอัยย์นิ่งๆ สายตาที่ผมเข้าใจดีว่ามันหมายความว่ายังไง



สายตาของคนที่หมดใจ คนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันอีกแล้ว



“แล้วทำไมมันจะจบไม่ได้วะอัยย์ เราเลิกกันไปเป็นปีแล้วเหอะ”



“ตอนเราคบกัน ฮึก...เราก็ตกลงกันสองคนอ่ะ แล้วทำไมตอนเราเลิกกัน มันถึงเป็นแค่ยอร์ชที่ตัดสินใจคนเดียวอ่ะ อัยย์ยังไม่ตกลงด้วยสักคำ แล้วแบบนั้นเราจะเลิกกันได้ยังไง ฮื่ออ”



“อัยย์ พอเหอะ” ผมเอื้อมมือไปดึงแขนคนที่เอาแต่พยายามเบียดตัวไปกอดไอ้ยอร์ชไว้แน่นๆ พร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสาย



“อย่ามายุ่ง! ฮึก เราขอให้จันทร์มายุ่งหรอ!!” แขนเล็กๆ นั่นสะบัดแขนผมออกมาอีกครั้งพร้อมหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตามองหน้าผม เสียงใสๆ ที่กำลังเสียใจตะคอกใส่ผมเต็มหน้า ...เหอะ กูนี่แม่ง



“พอเหอะอัยย์ ยอร์ชมีคนอื่นที่ชอบแล้ว” ไอ้ยอร์ชพูดออกมาแบบนั้น พร้อมทั้งสายตาของมันที่มองตรงมาหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของผม ทุกๆ สายตาหันไปจับจ้องไอ้สมุทรที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่เว้นแม้แต่อัยย์ที่กำลังมองมันด้วยน้ำตานองหน้า



“มันหรอ...” อัยย์ที่ก้มหน้าลงต่ำถามออกมาเบาๆ ไหล่เล็กๆ ที่กำลังสั่นไหวนั่นเสียใจเท่าไหร่ผมไม่รู้



“มันหรอ! มันหรอที่ทำให้ยอร์ชเปลี่ยนใจอ่ะ!” อัยย์ที่เงยหน้าขึ้นมาตะคอกออกมาเสียงดัง สายตาที่ผมไม่เคยเห็นกำลังมองมาทางสมุทร ขาเรียวในชุดกางเกงยีนส์ก็ก้าวฉับๆ ตรงไปหาสมุทรอย่างเอาเรื่อง เห็นแบบนั้นก็เลยมาขวางเอาไว้ก่อนที่ฝ่ามือเรียวนั่นจะฟาดเข้าที่หน้าของไอ้สมุทรเต็มแรง



‘เพี้ยะ’



“เห้ย! พี่พระจันทร์ครับ” ไอ้สมุทรที่ผวาตัวเข้ามาหาผม มือเล็กๆ นั่นเอื้อมมาเกาะแขนของผมเอาไว้ แต่ผมดันตัวมันไปไว้ข้างหลัง ส่งสายตาให้ไอ้อาทิตย์มาดึงมันไปยืนไกลๆ จากตรงนี้ ก่อนจะหันหน้ากลับมามองหน้าคนที่พึ่งเพิ่มรอยช้ำที่หน้าให้กันอีกแผล



“จันทร์! อย่ามาขวาง!!”



“เราเจ็บแค่ไหน อัยย์ไม่ถามเลยหรอ”



“พร่ามอะไรของจันทร์ หลบไป!” จ้องหน้าผมตาเขม็ง สายตาของเค้าไม่ได้โฟกัสรอยมือที่อยู่บนหน้าผมด้วยซ้ำ เอาแต่พยายามดันตัวผมให้หลบไปอยู่แบบนั้น



“ทั้งๆ ที่อัยย์ทำเราเจ็บ อัยย์ก็ไม่เคยคิดจะสน ว่าคนที่โดนมันเจ็บไหม”



“ถ้าไม่อยากเจ็บก็อย่ายุ่งดิ จันทร์เข้ามายุ่งทำไม ทุกเรื่องเลย อัยย์ขอหรอ! แต่ตอนนี้สิ่งที่อัยย์ขอคือขอให้จันทร์หลบไปไง แล้วจันทร์จะมาขวางทำไม ไหนบอกว่าทำให้อัยย์ได้ทุกอย่างไง!!” ผลักอกผมแรงๆ อีกที มือของอัยย์ที่เอาแต่ทุบลงมาบนอกของผมอย่างโกรธๆ สายตากลมใสที่แดงก่ำเพราะว่าร้องไห้หนักมองผมอย่างเอาแต่ใจ ความเสียใจบนหน้ามีมากจนสังเกตได้ แต่มันไม่มีสักเสี้ยวที่จะเสียใจที่เค้าทำให้ผมเจ็บ



“ถอยไป! อัยย์จะไปจัดการมัน”



“อย่ายุ่งกับสมุทร!” ไอ้ยอร์ชพูดขึ้นมาแบบนั้น มันที่เดินตามเข้ามากระชากแขนของอัยย์ไปหามันจนตัวปลิว



“ยอร์ชปกป้องมันหรอ! ทั้งๆ ที่อัยย์ยืนอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ”



“ตอนนี้ยอร์ชชอบสมุทร” มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาที่ไม่มีแววล้อเล่นและไม่ได้สนใจคนตรงหน้าที่กำลังน้ำตาร่วงลงมาอีกเป็นสายในตอนที่มันบอกออกมาแบบนั้น



“ถ้ายอร์ชชอบมัน ฮึก ไม่รู้สึกอะไรกับอัยย์แล้วจริงๆ งั้นยอร์ชมาเอาอัยย์อีกทำไมอ่ะ!” เสียงเล็กๆ ที่ตะโกนถามมันอย่างเจ็บปวด ไอ้ยอร์ชจ้องหน้าอัยย์นิ่งๆ มันเงียบอยู่หลายนาทีก่อนจะถามกลับออกมาใหม่



“อัยย์ถามมาแบบนี้ มั่นใจแล้วหรอว่าจะทนฟังคำตอบได้”



“ยอร์ช!” อัยย์ตะโกนใส่มันเสียงดัง แต่อีกคนทำแค่ถอนหายใจใส่อย่างรำคาญ สีหน้าและท่าทางของมันบอกคนทั้งงานได้เป็นอย่างดี



“ฮึก พระจันทร์ถอยไป!!”



“คนนี้ไม่ได้” ผมบอกออกไปแบบนั้นและยืนขวางทางอัยย์แบบไม่ขยับ จ้องหน้าอีกฝ่ายโดยที่ไม่ยอมหลบสายตาที่มองตรงมาสักนิด



“....จันทร์....อะไร”



“คนนี้จันทร์ไม่ยอม อย่ามายุ่งกับสมุทร ถ้าอัยย์ไม่พอใจมาก ก็ไปล่ามคนของอัยย์นู้น บอกมันว่าอย่ามายุ่งกับคนของเรา”



“ใครคนของมึงไอ้สัด ไอ้สมุทรไม่ใช่คนของมึง!”



“ยอมรับไม่ได้มึงก็ใจขาดตายไปดิ”



“อะไร นี่มันอะไร พระจันทร์พูดบ้าอะไรไปอีกคน! เป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรอทั้งยอร์ชทั้งจันทร์” สายตาสับสนที่มองผมสลับกับไอ้ยอร์ชทั้งน้ำตา มองหน้าผมแบบไม่เข้าใจกับคำพูดนั่น แต่ผมไม่เหลืออะไรให้อธิบาย ความรู้สึกผมเองมันก็พังลง พังลงซ้ำๆ เฝ้าถามตัวเองว่า มึงจะเป็นไอ้พระจันทร์ลูกป๊าทัพที่น่าสมเพชไปได้อีกนานแค่ไหน ...



“พี่พระจันทร์”



“กลับกันเถอะ งานเหี้ยนี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราอีกแล้ว” เดินมาตรงหน้าไอ้สมุทร เด็กที่มองมาที่ผมด้วยแววตาสั่นๆ ผ่านเลนแว่นอันใหญ่ของมันเหมือนอย่างเคย สายตาที่เอาแต่มองไล่ไปตามใบหน้าของผมอย่างเป็นห่วงและกังวล มือของมันที่เหมือนอยากจะเอื้อมมาจับกันแต่ก็ไม่กล้าทำนั่นทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปจับมันเอาไว้เอง



“เดี๋ยวจันทร์ อย่าไปนะ!”



“มึงจะไปไหน กลับมาคุยกันก่อนไอ้เหี้ยพระจันทร์”



“ยอร์ชจะไปไหน จะตามมันไปหรอ อัยย์ไม่ให้ไป!”



“หลบไปสิเว้ย อัยย์หลบ!!



“ไม่!”



เสียงวุ่นวายจากทางด้านหลังของผมสภาพเป็นยังไงผมไม่รู้ เลือกที่จะทิ้งมันไว้ที่ตรงนั้น กับความรู้สึกของผมที่โดนเหยียบซ้ำๆ แต่ก็ไม่เข็ดไม่จำมันเลยสักที



...



“อัยย์ ปล่อยดิวะ ยอร์ชจะไปตามสมุทร!” ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความสมเพชปนระอาใจ อดจะส่ายหัวออกมาไม่ได้แถมยังต้องเบ้ปาก ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงที่จบไม่ลงแต่เสือกอยากจะเพิ่มเชือกมาพันเพิ่ม ไม่รู้ว่าต้องเรียกว่าเป็นคนแบบไหน ระหว่างใจกล้า กับไม่มีสมอง



“ไอ้เหี้ยเอ๊ย เรื่องนี้แม่งวุ่นวายฉิบหาย” ไอ้จิมกระซิบผม มันที่มองภาพตรงหน้าอย่างขยาด ส่วนผมทำแค่ยักไหล่ ละสายตาจากไอ้เจ้าของงานและแฟนเก่าตัวปัญหาที่เมื่อกี้เกือบจะเข้ามาตบไอ้หมุดอยู่แล้ว เชื่อเค้าเลยนึกว่าละครสมัยเก่า เค้าไม่เอาแต่ก็ยังดึงดัน



“กลับกันเหอะไอ้สัด กูอิ่มละ” เป็นไอ้เฮงที่พูดออกมาพร้อมเสียงเรอที่ไม่เบา ไม่มีความจำเป็นที่คนแบบมันจะต้องรักษาภาพพจน์ เพราะมันไม่เคยมี



“ไอ้มาร์ช เอาไงกลับเลยป่ะ” ไอ้จิมหันมาหาผมที่ก็พยักหน้าตอบรับ ไม่รู้จะอยู่ต่อทำไมในเมื่องานมันเละเทะขนาดนี้ แถมเจ้าของงานก็ยังฉุดกระชากกับแฟนเก่าไม่เลิกสักที



“งั้นไปกันมึง”



“ไปดิ” ผมตอบรับพวกมันสองคน แล้วเดินตามมันลงไปที่ชั้นล่าง สายตาเหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยที่นั่งกระดกเหล้าอยู่คนเดียวที่หน้าบาร์



“มีอะไรวะ” ไอ้จิมหันมาถามอย่างงงๆ ในตอนที่มันไม่เห็นว่าผมเดินตามไป ไอ้เฮงเลิกคิ้วมองกันอย่างตั้งคำถาม



“พวกมึงสองคนเอารถมาใช่ไหม”



“กูไม่ได้เอามา ตั้งใจกลับกับไอ้เหี้ยเฮง”



“งั้นดี พวกมึงกลับกันไปก่อนเลย”



“แล้วมึงจะอยู่เพื่อ” ไอ้จิมขมวดคิ้วมองกัน ท่าทางเหมือนแม่ที่ตั้งใจจะมาจิกหัวลูกให้กลับบ้าน ติดตรงที่ไอ้เฮงที่หันมาจ้องตากับผม มันที่ยกยิ้มมุมปากหน่อยๆ แล้วส่ายหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอาคอไอ้จิม



“ช่างแม่งเหอะ เสือพี่มาร์ชเค้าคงเจอเหยื่อ”



“ปัดโถ่ พวกใช้Kเปลือง”



“บ่นเหี้ยไร พาเมียมึงกลับไปดิ๊ไอ้เฮง”



“ได้ครับ โชคดีไม่เจอผัวเค้าที่ห้องอีกล่ะมึง” ไอ้เฮงยักคิ้วใส่กันพร้อมยิ้มมุมปาก มืออีกข้างของมันก็ปิดปากไอ้จิมเอาไว้ เพราะมันตั้งท่าจะอ้าปากด่ากัน ผมพยักหน้าส่งพวกมันตอนที่ไอ้เฮงลากตัวไอ้จิมออกไปแล้ว



“ขอโทษนะ พี่นั่งด้วยได้ไหม” เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ คนที่ก็หันกลับมามอง



“พี่มาร์ช” เสียงอ้อแอ้ที่ดังออกมาจากปากคนเมา แต่ก็ยังจำกันได้ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา



“ดีใจที่มินจำกันได้” พยักหน้าบอกพนักงานให้เอาเครื่องดื่มมาให้แก้วนึง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเนียนๆ



“จำได้ดิ ลีลาพี่มาร์ชดีฉิบหาย ผมจะลืมลงได้ไงก่อน”



“แล้วถ้าลืมไม่ลง คืนนี้มาเพิ่มความทรงจำด้วยกันอีกรอบดีไหมครับ” ก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหู ในตอนนั้นที่สายตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นหน้าที่เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงลงมาจากชั้นบน ตามมาด้วยร่างเล็กๆ ของแฟนเก่ามันที่วิ่งตามมันไปที่ฝั่งซ้ายของร้าน ที่จะเป็นทางออกไปนอกร้าน



“จะไปหรอ ได้ดิ แต่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนน้า” น้องมินเด็กคนละมหาลัยที่เคยดีลกันได้จากแอปนัดเยแล้วดันคลิก ลีลาดีน่ารักพูดน้อย มาเจอกันครั้งนี้ไม่ไปต่อก็โง่สิวะ ... เค้าเดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำที่ฝั่งขวาของร้าน ผมยิ้มมองตาม ก่อนที่สายตาจะหันกลับไปมองทางฝั่งซ้ายอย่างอดไม่ได้ คนสองคนที่ยืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ได้ยินชื่อของไอ้สมุทรหลุดออกมาจากปากของพี่อัยย์อีกครั้งอย่างจับใจความไม่ได้จนต้องขมวดคิ้ว



อะไร



อดไม่ได้จนสุดท้ายก็ลุกตามออกไป คิดว่าเดี๋ยวขอไปเสือกสักครั้งแล้วค่อยมารับน้องมินก็ได้ ... ผมเลือกการเสือกเป็นอย่างแรก เดินตามออกไปที่ด้านนอกร้าน ที่ประจำสุดฮิตของสิงลมควัน หรือแม้กระทั่งพวกที่จะต่อยตีก็ชอบมามีเรื่องกันแถวนี้ตลอด และก็เป็นอย่างที่คิด ไอ้พี่ยอร์ชกับพี่อัยย์ยังยืนเถียงกันอยู่ตรงนี้



“พอสักทีได้ไหมวะอัยย์!”



“อัยย์ไม่พอ ทำไมอัยย์ต้องพอ”



“ก็เพราะเราเลิกกันไปแล้วไงวะ” ไอ้พี่ยอร์ชพูดออกมาอย่างหัวเสีย คำๆ นี้ผมได้ยินมันพูดมาหลายครั้งแล้ว เอาตรงๆ ถ้าผมเป็นพี่อัยย์คงไม่ทนเซ้าซี้ให้ดูโง่อยู่แบบนี้หรอกเอาจริงๆ



“แต่อัยย์ไม่เลิก ฮึก อัยย์รักยอร์ช!”



“พอเหอะอัยย์ ...ยอร์ชไม่อยากพูดงี้นะ แต่อัยย์เคยรักใครจริงด้วยหรอวะ”



“ยอร์ช! ก็อัยย์รักยอร์ช!”



“ถ้าอัยย์รักยอร์ช เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้หรอกว่ะ เราเลิกกันไปตั้งนานแล้วนะเว้ย ยอร์ชบอกกับอัยย์ตั้งแต่ที่เราไปกันไม่ได้ว่าจบกันนะ แต่อัยย์ก็ไม่ฟัง อัยย์เอายอร์ชไปพูดว่านอกใจ ทั้งๆ ที่เราเลิกกันแล้ว ยอร์ชยังไม่เคยด่าอัยย์สักคำเลยนะเว้ย!”



หื้ม ความรู้ใหม่ที่ได้จากการเสือกของกู



“ก็อัยย์ไม่เลิกอ่ะ อัยย์มีแค่ยอร์ชอ่ะ มีแค่ยอร์ชคนเดียวที่เป็นของอัยย์ ยอร์ชก็รู้นี่ ฮึก” พี่อัยย์พุ่งเข้าไปกอดตัวของไอ้พี่ยอร์ชไว้แน่นๆ แต่มันก็ดึงคนที่เกาะมันไว้ออกอยู่ดี สายตาท่าทางที่มันมอง บอกได้ชัดว่ามันไม่ไหวและไม่แคร์กับคนตรงหน้านี้อีกแล้ว ผมว่าใครมองมาก็รู้ดี มีแค่คนเดียวในตอนนี้ที่ยังไม่รู้ก็คงจะเป็นพี่อัยย์



“อัยย์ไม่ได้มียอร์ชคนเดียวเว้ย อัยย์มีไอ้พระจันทร์”



“แต่อัยย์ไม่ได้รักพระจันทร์!”



“ถ้าไม่ได้รักมันแล้วดึงมันไว้กับตัวทำไมอ่ะ ตอนที่คบกันกับเรา เวลาทะเลาะกันก็วิ่งไปหามันไม่ใช่หรอ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีนี่ว่ามันคิดกับอัยย์ยังไง ลดบ้างได้ไหมนิสัยเห็นแก่ตัวของเธออ่ะ”



“ก็พระจันทร์เต็มใจ ฮึก...”



“อัยย์เคยเป็นคนน่ารักกว่านี้นะรู้ตัวป่ะ” ไอ้พี่ยอร์ชจ้องหน้าแฟนเก่าของมัน สายตาเหนื่อยล้าและอ่อนใจกำลังมองจ้องไปในตาสวยที่น้ำตาไหลจนตาแดง



“เพราะเราไม่น่ารัก ยอร์ชเลยอยากเลิกหรอ อัยย์ต้องทำยังไง ต้องทำยังไงถึงจะเป็นคนน่ารักคนนั้น”



“ไม่ใช่เพราะอัยย์ไม่น่ารักเราเลยเลิก แต่เป็นเพราะว่าเราฝืนคบกันต่อไปไม่ได้แล้วต่างหาก”



“ไม่จริง!” ผมถึงกับกรอกตาตอนที่ได้ยินเค้าเถียงออกมาแบบนั้น ต้องยอมรับว่าพี่ยอร์ชมันก็เก่งที่คุยกับกำแพงมาได้นานขนาดนี้นะ



“จริง ... จุดเริ่มต้นของเรามันผิดพลาด ต่อให้พยายามมากแค่ไหนมันก็ไม่มีเส้นชัยหรอก”



“มันไม่ได้ผิดพลาด! มันก็แค่เมา แต่พวกเรายังรู้เรื่อง ถ้าจะโทษใครผิด ยอร์ชโทษอัยย์ก็ได้ อัยย์ผิด อัยย์ตั้งใจให้เกิดเรื่องคืนนั้นเอง”



“อืม อัยย์ทำ แต่เราก็วิ่งลงไปเล่นกับอัยย์ด้วย แล้วสุดท้ายเราต้องเสียเพื่อน ไอ้จันทร์มันเป็นเพื่อนเรา แต่เราก็เลือกหักหลังมันเพื่อเลือกเธอ แต่มันต้องพอแล้วว่ะอัยย์ ไม่ใช่เราไม่พยายาม แต่เรารักกันไม่ได้ แค่ความผิดพลาดคืนนั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากรับผิดชอบป่ะ แต่พอคบกันแล้วมันไปไม่รอด จะให้ทำยังไง”



“ไม่ต้องทำยังไงหรอก ทำใจเหอะ” ผมก้าวเท้าออกไป แสงไฟจากไฟส่องลานจอดรถสาดใส่เต็มหน้า ไม่รู้เพราะอะไรถึงก้าวเดินออกไปแบบนั้น อาจเพราะรำคาญล่ะมั้งถึงยอมเดินออกมาตรงนี้



“ไอ้มาร์ช”



“นี่ใครอีก มายุ่งไรด้วย” พี่อัยย์หันมาเห่าใส่ ผมกรอกตาอีกหนึ่งที ... คนเราจะมีความรักน่ะได้ แต่ต้องมีสติด้วย



เห็นแบบนั้นเลยยกแขนคล้องแขนไอ้พี่ยอร์ชที่มองมาทางผมด้วยสีหน้าเหวอๆ



“เมียไอ้เหี้ยพี่ยอร์ช”



“ห๊ะ!”



“นี่มึงเล่นเหี้ยอะไร” เสียงเข้มใกล้ๆ กระซิบลงมาที่ข้างใบหู ผมกัดฟันแล้วตอบกลับมันไปเบาๆ



“หุบปากแล้วตามน้ำ”



“พี่อัยย์พูดถูก ไอ้เหี้ยพี่ยอร์ชมันตอแหล มันไม่ได้ชอบไอ้สมุทรหรอก เพราะคนที่มันคบอยู่ด้วยตอนนี้คือผมจ้า”



“ไม่จริง!”



“ไม่จริงๆๆๆ พูดแต่คำนี้มาทั้งวันไม่เบื่อหรอครับถามจริง พี่รู้ตัวไหมว่าทำตัวได้ไร้ค่าฉิบหาย และขืนยังทำแบบนี้ต่อไป พี่จะไม่เหลือใครในชีวิตเลยนะ”



“แล้วมาเสือกอะไรด้วย ปล้วก็ปล่อยยอร์ชซะ”



“คนที่ต้องปล่อยไอ้เหี้ยพี่ยอร์ชน่ะคือพี่ ปล่อยอดีตไปสักทีเหอะ แต่ถ้าพี่คิดจะมาตบผมแบบไอ้สมุทรล่ะก็ บอกก่อนนะไม่ทนเว้ย กูจะสอยให้ดั้งยุบเลย มาเดะ!” ยกกำปั้นขึ้นขู่แล้วชูไปที่หัวพี่อัยย์ที่หลบวูบลง ดวงตากลมใสสั่นด้วยความตกใจ สายตาที่หันมาหาพี่ยอร์ชอย่างขอความช่วยเหลือ ผมเหลือบไปมองหน้าพี่มันที่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ



“นี่มาร์ชเมียรักยอร์ช อัยย์พอเหอะถ้าไม่อยากหน้าพัง หมัดกับตีนมันหนักนะ เชื่อยอร์ชเหอะ”



เออกูเอง เมียจำลองของไอ้เหี้ยนี่



...


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่16 (020422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 02-04-2022 19:17:28


“ปัดโถ่เอ๊ย ก็บอกแล้วว่าอย่าไปกินอีกๆ” ผมเลือกที่จะบ่นออกมาเป็นครั้งที่สามหลังจากที่พยุงร่างพี่พระจันทร์ที่ตัวหนักชะมัดลงมาจากรถคันหรูของเค้าอย่างทุลักทุเล และใช่...ไอ้น้องสมุทรคนนี้เป็นคนขับรถคันนี้มาเอง จะไม่ขับเองไม่ได้เพราะตั้งแต่ออกจากงานพี่ยอร์ชมา พี่พระจันทร์ก็พาเลี้ยวเข้าร้านเหล้าอีกที่ที่ไม่ไกลจากร้านเดิมมากเท่าไหร่ ไปถึงก็กระดกเอาๆ เมาเหมือนหมา น้องสมุทรห้ามก็ไม่หยุด สุดท้ายคนที่เก็บศพกลับมาก็คือน้องสมุทรคนเดิม ...



กูเองจ้า กูที่ก็มึนหัวในระดับหนึ่งเพราะก็ดื่มมาไม่ต่าง โชคดีที่ไม่เจอด่านตรวจ และโชคดีที่รอดตายกลับมาได้ การดื่มของมึนเมาเป็นอันตรายและก็ผิดกฏหมายที่ไม่ควรทำมากๆ ขอบคุณที่น้องสมุทรขับรถสปอร์ตคันหรูของพี่พระจันทร์มาที่50กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดทาง โดนบีบแตรด่า กูก็หน้ามึนขับไวเท่าเดิมครับ



“พี่พระจันทร์ เดี๋ยวก็ถึงห้องแล้วครับ” ผมบอกออกไปแบบนั้น พร้อมๆ กับพยายามพยุงร่างของเขาให้เดินมาด้วยกันแบบตรงๆ หันหน้าไปมองคนข้างตัวที่ตอนนี้ทำตาปรือๆ ลอยๆ เหมือนอยากจะหลับตลอดเวลา กลิ่นเหล้าที่ค่อนข้างแรงลอยเตะจมูกจนน้องสมุทรต้องย่นหน้าหนี



“อีกนิดนึง ฮึบ จะถึงแล้วๆ” พูดกับคนข้างๆ ตัวพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดรวบรวมกำลังอีกครั้ง แล้วพยุงพี่พระจันทร์ให้เดินมาจนมาถึงหน้าห้อง เหมือนรู้ว่าถึงปลายทาง เพราะเจ้าของห้องเล่นทิ้งตัวลงไปนั่งอย่างหมดสภาพพิงกำแพงอยู่แบบนี้



“น้องสมุทรขอกุญแจหน่อยครับ กุญแจๆ ห้อง” ย่อตัวลงนั่งให้อยู่ในระยะสายตา พี่พระจันทร์ที่นั่งหลับตาขมวดคิ้วอยู่ก่อนหน้าค่อยๆ ปรือตาขึ้นมามองกัน



“ทำไมวะ”



“ทำไมอะไร ก็จะเข้าห้องไง พี่จะนั่งอยู่แบบนี้ทั้งคืนหรือไงเล่า” เมื่อคุยกับคนเมาไม่รู้เรื่อง เลยตัดสินใจก้มลงไปล้วงที่กระเป๋ากางเกงแทน กางเกงที่ก็ไม่รู้จะฟิตไปไหน ฟิตไปเพื่อใครก่อน



“อ๊ะๆ เจอแล้ว” ร้องออกมาอย่างดีใจพร้อมดึงการ์ดเข้าห้องออกมาได้ในที่สุด ในตอนที่น้องสมุทรกำลังจะลุกขึ้น ความรู้สึกอุ่นๆ จากลมหายใจของใครอีกคนก็มาปะทะแถวๆ ต้นคอ ก่อนจะตามมาด้วยหัวหนักๆ ของพี่พระจันทร์ที่วางซบลงที่ไหล่ของผม



“พี่...”



ไม่มีเสียงพูดอะไรออกมาสักคำ เค้าทำแค่วางหัวลงไปซบไหล่ผมอยู่แบบนั้นพร้อมหายใจแผ่วๆ อย่างคนหมดแรง ผมเองก็ไม่มีคำพูดอะไร ทำได้แค่ยกมือขึ้นกอดแผ่นหลังนั้นไว้ ลูบหลังเค้าเบาๆ อย่างปลอบใจแค่นั้นเอง



“ไม่เป็นไรนะครับ” บนในโลกนี้มีถ้อยคำสวยหรูมากมายที่เอาไว้ปลอบใจผู้คน แต่มันจะมีสักกี่คำที่ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นตามคำปลอบประโลมเหล่านั้นได้จริงๆ



.

.

.

‘ตุบ’



ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในตอนที่ผลักพี่พระจันทร์ให้ลงไปนอนบนเตียงกว้างของเจ้าตัวได้สักที กว่าจะลากขึ้นบันไดมาได้ เกือบกลิ้งตกบันไดไปด้วยกันตั้งหลายรอบ ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่พระจันทร์กับน้องสมุทรจะตัวต่างกันขนาดนี้



“เฮ้อ กูต้องไปเพิ่มกล้ามแล้ว” บ่นออกมาเบาๆ ในตอนที่ก้มมองแขนเหี่ยวแห้งของตัวเองสลับกับกล้ามแขนที่แผ่หราอยู่กลางเตียงของพี่พระจันทร์



“ก็ต้องยอมรับว่ากูกับเค้าต่างกันเกิน” ถอนหายใจไว้อาลัยให้ความต่างของตัวเองกับเค้าอีกที



“เดี๋ยวน้องสมุทรจะเช็ดหน้าให้นะ จะได้นอนได้สบายๆ” เลือกจะทำลายความเงียบ บอกออกไปแบบนั้น แต่เหมือนอีกคนจะไม่ได้ใส่ใจฟัง พี่พระจันทร์ที่เอาแต่นอนหลับตาอยู่แบบนั้น เรื่องราววันนี้คงกระทบจิตใจของเค้ามากพอดู



น้องสมุทรเข้าใจดี ... ถึงแม้ในวันนี้ตัวผมเองจะต้องตกใจและรู้สึกไม่ดีกับอะไรหลายๆ อย่างก็ตาม



แต่ถึงแบบนั้น น้องสมุทรก็ยังคงเข้าใจความรู้สึกของเขาทั้งหมด กับหนึ่งคนที่เป็นเพื่อน และอีกหนึ่งคนที่ตัวเองหลงรักมาตั้งนาน กลับต้องโดนปฏิเสธซ้ำๆ และถูกทำลายความไว้ใจในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เค้าแบกมานานหลายปี มันคงลบหายไปจากความรู้สึกเค้าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ... น้องสมุทรเข้าใจพี่พระจันทร์ดี เข้าใจในความรู้สึกของเขาทั้งหมด และเพราะว่ามันเป็นแบบนั้น ผมเลยยังเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนี้



“เฮ้อ...” ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งที พร้อมเอื้อมมือไปลูบแก้มเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้ผมเถียงตัวเองในใจไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่าเป็นคนสวย เค้าหล่อ รวย ปากร้าย แต่จริงๆ ก็ใจดี คนที่มีพร้อมขนาดนี้ แต่ก็ยังต้องผิดหวังกับความรักงั้นหรอวะ โลกนี้มันใจร้ายกับเราชะมัดเลย



ผมยิ้มออกมาบางๆ แล้วเกลี่ยเส้นผมที่เริ่มจะยาวแล้วของพี่พระจันทร์ออกจากใบหน้า ตัดสินใจจะลุกไปหากะละมังกับน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาคนขี้เมาสักหน่อย



“ห เหวออ เห้ย!”



“ทำไม”



“ห๊ะ...ไม่ๆ คือทำไม หมายถึงพี่อ่ะดึงตัวผมลงมาทำไม” จากคนนั่งสู่คนนอน น้องสมุทรที่ถูกคนที่คิดว่าหลับดึงแขนลงมานอนข้างๆ กัน แถมวงแขนของพี่พระจันทร์ที่ก่อนหน้านี้ผมพึ่งบอกว่ามันต่างจากแขนผมมากๆ นั่นก็เอาแต่กอดกันไว้ไม่ปล่อย ลมหายใจอุ่นๆ กับแผ่นอกของเค้าที่แนบชิดกับแผ่นหลังของผมทำให้อดที่จะนอนตัวเกร็งไม่ได้



“มาส่งกันทำไม”



“ก็ต้องมาสิ ไม่งั้นจะกลับมายังไงเล่า” ไม่เข้าใจว่าถามเพื่อ



“ไม่สนใจก็จบ”



“จะจบได้ยังไง เรื่องของพี่กับผมมันเคยจบซะที่ไหนล่ะ อย่างน้อยๆ ผมเองก็ไม่ยอมจบมันหรอก” บอกออกไปตามความรู้สึกจริงๆ ของผม ทุกวันนี้ที่เราเป็นกันอยู่มันดี อย่างน้อยในความรู้สึกของผมมันก็ยังดี ไม่ว่าจะเป็นการหลอกตัวเอง หรือความหวังเล็กๆ ที่ผมมองเห็นอยู่ก็ตาม เพราะเป็นคนดื้อด้านกับความรู้สึกตัวเองแบบนี้ ผมถึงเลือกที่จะไปต่อ



‘พลึบ’



“อ๊ะ พี่พระจันทร์...” ร้องออกมาอย่างตกใจ ตอนที่ตัวของผมถูกจับพลิกให้นอนหงาย และใครอีกคนที่ก่อนหน้านี้ยังคงนอนซ้อนหลังกอดกันไว้แน่นก็เปลี่ยนมาคล่อมทับกันไว้ทั้งตัว ร่างอุ่นๆ ที่เสียดสีกันจนต้องเผลอกัดริมฝีปาก สายตาคมสวยที่มีขนตาเรียงเส้นสวยจับจ้องมาที่หน้าของผมนิ่งๆ เราสองคนมองสบตากัน ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดกันเพิ่มความรู้สึกมากมาย หัวใจของผมสั่น ร่างกายของกันและกันที่แนบชิดเข้ามาใกล้กัน ใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกขนลุก ลมหายใจของผมเริ่มติดขัดทันทีที่ท่อนขาหนาๆ ของคนบนตัวแทรกเข้ามาระหว่างขาสองข้างของผม



“พ...พี่พระจันทร์ พี่จะทำ” ...จะทำอะไร... คำถามนี้ที่ตั้งใจจะถามออกไป แต่ถูกริดรอนคำพูดนั้นด้วยรูปปากของพี่พระจันทร์ที่กำลังบดเบียดริมฝีปากของตัวเองแนบลง ดูดดุนขบเม้มริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบาแต่กลับทำให้รู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว ในตอนที่ทำอะไรไม่ถูกคนตรงหน้าก็ผละออก สายตาวูบไหวเหม่อลอยแต่เร่าร้อนนั่นกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแว่นตาของผมออกไปจากใบหน้า



"พ...พี่พระจันทร์ ผม อื้ม" เป็นอีกครั้งที่ไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคดีก็ถูกริมฝีปากแนบลงมาประกบตามเดิม ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจแต่กลับไม่ขัดขืน ภาพตรงหน้ามองเห็นโดยรอบอย่างพร่าเบลอ แต่สุดท้ายก็หลับตาลงในตอนที่คนบนตัวใช้ลิ้นดันริมฝีปากของผมให้เปิดออก ฝ่ามืออุ่นที่ก็ล้วงเข้ามาในเสื้อของผมสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เสียงลมหายใจและเสียงครางในคอ พร้อมๆ กับส่วนกลางที่ถูกเบียดกันเริ่มแข็งขึ้นทีละนิด ฝ่ามืออุ่นที่หยุดลงที่หัวนมของผมและบีบเค้นดึงและนวดอยู่แบบนั้น พร้อมๆ กับมืออีกข้างที่ล้วงเข้าไปในกางเกงของผม...



สมองเต้นตุบๆ เหมือนกำลังร้องเตือนให้ตัวผมอย่าพึ่งเร่งรีบที่จะก้าวไปในความสัมพันธ์นี้ แต่หัวใจมันกลับเต้นถี่ๆ เหมือนเป็นการบอกกันว่า จะรอช้าอยู่ทำไมล่ะสมุทร ถ้ามึงมีโอกาสได้รักแล้ว ถึงสุดท้ายจะต้องเสียใจ มันก็ยังดีกว่าที่ครั้งนึง มึงไม่เคยรู้สึกอะไรเลยไม่ใช่หรือไง



ผมหลับตาลงช้าๆ อย่างยอมจำนน เอาแต่ใจกับความรู้สึกตัวเองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ริมฝีปากของเราที่กำลังแลกจูบดูดดื่มให้กันและกันอย่างร้อนแรง จูบของพี่พระจันทร์ที่ดูดดึงปลายลิ้นของผมให้ต้องเคลิ้มฝัน ราวกับโดนยาสั่งให้ต้องเคลิ้มตาม ได้แต่พยายามจิกปลายนิ้วลงกับผ้าปูเพื่อระบายความรู้สึกที่เสียวซ่านนั่นอย่างไม่มีทางออก ฝ่ามือหนาที่เลื่อนมากระชากกางเกงของผมออก ใบหน้าได้รูปที่ไม่ต่างจากรูปปั่นแกะสลักราคาแพงที่ตอนนี้ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ต้องยอมรับออกมาทั้งใจอย่างเถียงไม่ได้อีกแล้วว่าพี่พระจันทร์หล่อมากจริงๆ นึกไปถึงการกระทำต่างๆ ของตัวเองที่มั่นใจมาตลอดว่าวันนึงจะเป็นผัวให้เค้าได้ ไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนกันสมุทร ...



ใบหน้าเรียวรูปไข่ จมูกคมโด่งเป็นสัน คิ้วคมเข้มเรียงตัวได้รูป ดวงตาคมสวยที่จ้องมองมา ริมฝีปากอุ่นๆ ที่ไล้ขบเม้มไปทั่วร่างกายของผม กล้ามที่แข็งเป็นมัดลากทำรูปเป็นตัววีลงไปจนถึงส่วนกลางกายที่มีไรขนอ่อนเรียงอย่างเป็นระเบียบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้เหมือนเป็นโดนค้อนยางที่ฟาดลงกลางกะหม่อนของผมให้รู้สึกตื่น ในตอนที่จมูกคมๆ นั่นเลื่อนผ่านไปตามขาอ่อนด้านใน มันไม่ต่างกับใบมีดคมๆ ที่กรีดไปตามร่างกายของผมให้ร้อนผ่าว ลมหายใจร้อนๆ ที่กำลังรินรดอยู่ที่ส่วนกลางของผม รู้สึกมากขึ้นจนต้องเม้มฝีปากเข้าหากันแน่นๆ อยู่แบบนั้น รับรู้ได้ถึงส่วนกลางกายของตัวเองที่เริ่มมีน้ำปริ่มอยู่ที่ส่วนปลายอย่างน่าอายจนต้องยกมือปิดหน้า



รู้สึกตัวว่าคนบนตัวละตัวออกมาถอดเสื้อและกางเกง เสื้อของผมเองก็ถูกเค้าถอดออกอย่างไม่รอช้า เป็นการกระทำที่ไม่ได้อ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้รุนแรง เรียกได้ว่าเร่งรีบตามความรู้สึกของคนใจร้อน ฝ่ามือหนาที่เลื่อนมาลูบเคล้นตรงส่วนกลาง ฝ่ามือทั้งสองข้างต้องละออกมาจากหน้ามาจับที่เส้นผมหนาเพื่อระบายความรู้สึกผ่านมือคู่นี้ นิ้วเรียวยาวที่ลากผ่านร่องก้นไปที่ช่องทางด้านหลังก่อนจะแทรกนิ้วเข้าไปช้าๆ รับรู้ได้ว่าช่องทางด้านหลังนั้นกำลังเต้นตุบๆ ในทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับนิ้วชักเข้าออก หรือเพิ่มนิ้วเข้ามาควงกระแทกจุดกระทั้นใส่กันอย่างจงใจ



"อื้ออ"



"หึ" เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอที่ผมไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร สงสัยจนต้องปรือตามามองหน้าคนที่กำลังใช้ปากฉีกซองถุงยางสีเงิน ท่าทางที่ต้องยอมรับว่าเซ็กซี่จนละสายตาไปไม่ได้ กับท่อนกลางกายที่พอเห็นขนาดแล้วอยากจะตะโกนว่า ‘พี่พระจันทร์ใหญ่มาก!’



เศษซากซองถุงยางถูกโยนทิ้งส่งๆ ปลิวมาตกใกล้ๆ ตัว พอหันหน้าไปมองก็เห็นยี่ห้อที่คุ้นตา แบรนด์หรูหราที่มีชื่อว่าชาแนล ... เป็นการโดนเยครั้งแรกที่แพงมาก ละสายตาออกมาจากเปลือกซองนั่นและมองกลับมาที่คนบนตัว



"อื้ออ" ผมครางออกมาแบบนั้นในตอนที่ช่องทางด้านหลังเริ่มตอดรัดส่วนที่กลางใหญ่ที่กำลังแทรกเข้ามาในตัวผมช้าๆ รัดแน่นจนเหงื่อชื้นไปตามกรอบหน้า เกร็งไปทั้งตัวกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นชิน ทั้งเจ็บและจุกจนขาสั่น ริมฝีปากอุ่นที่กดจูบลงมาเบาๆ ที่ขมับของผม จูบไล้ไปตามกรอบหน้าช้าๆ อย่างกำลังช่วยให้ผมผ่อนคลาย ขอบตาของผมร้อนผ่าว รู้สึกได้ว่ามีน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เราไม่เคยใกล้ชิดกันมากขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นตอนม.ปลายในวันนั้น หรือเป็นหลังจากนั้นที่ผมตามจีบเค้า ก็ไม่เคยใกล้ชิดกันขนาดนี้ ใกล้ชิดขนาดที่ว่า สามารถพูดออกมาได้ว่าผมเป็นของเค้าแล้ว



เสียงเนื้อกระแทกกันดังคลอไปพร้อมเสียงครางดังไปทั่วห้องนี้ เหงื่อที่รินไหลออกมาของกันและกัน แต่เรากลับรับรู้ได้แค่ริมฝีปากที่เชื่อมต่อและส่วนกลางที่เด้งเข้าหากันอย่างไม่ผ่อนแรง แกนกลางที่กระแทกเข้ามาจนจมมิดด้ามทุกครั้งกระแทกตรงจุดกระสันในร่างของผมอย่างชำนาน ไม่ต่างจากส่วนหลังของผมเองที่ก็ตอดรัดในทุกครั้งเป็นอย่างดี



“อ๊ะ อ้า พ..พี่พระจันทร์” สะโพกแกร่งที่ขยับเด้งตัวเข้ามาแบบไม่ผ่อนแรง แรงโยกรุนแรงจนตัวผมขยับ เอื้อมมือขึ้นไปยันหัวเตียงเอาไว้แน่นๆ พร้อมๆ กับขาที่ก็อ้าออกกว้างในคนบนร่างกระแทกกายเข้าใส่กันได้อย่างเต็มที่ ใบหน้าหล่อที่ซุกซบ ขบเม้มไปตามลำคอของผมตรงนั้นและขบเม้มใบหูแผ่วๆ แตกต่างไปจากสะโพกแกร่งที่ยังคงขยับรุนแรงเป็นจังหวะ



“ทำไมวะ อึก...”



“พ ...พี่พระจันทร์ อ๊ะๆ”



ทำไมว่ะ ทำไมถึงไม่เป็นกูว่ะ ทำไมถึงเป็นจันทร์ไม่ได้วะ อึก อ้า...” มือที่เอื้อมเข้ามากอดตัวผมแน่นๆ รู้สึกจุกที่ใจอย่างแปลกประหลาด คำพูดของเราที่เปร่งออกมาสวนไปกันคนละทาง แตกต่างจากสะโพกที่ยังเด้งตอดรับกันไปในทิศทางเดียว



“อ๊ะ ตรงนั้น อ๊ะ จะ...จะเสร็จ” ผมร้องบอกมาอย่างห้ามไม่อยู่แม้ว่าจะรู้สึกหน่วงๆ ที่หัวใจ แต่ทั้งตัวกลับรู้สึกเสียวซ่าน คนบนร่างที่ยังไม่หยุดกระแทกเข้ามาแถมยังเพิ่มความรุนแรงให้ฝังลงไปในร่างของผมมากขึ้นไปอีก ตอกย้ำซ้ำๆ ว่าตอนนี้ผมเป็นของใคร ใช่ ผมเป็นของเค้า ยิ่งเร็วยิ่งแรงมากขึ้นเท่าไหร่ผมก็ต้องกัดปากพร้อมตอดรัดช่องทางด้านหลังขมิบถี่ๆ บีบตัวรัดแกนกายใหญ่ เร่งจังหวะให้อีกคนเสร็จไปพร้อมกัน



“พ...พี่พระจันทร์ อ๊ะ อ๊า..” ผมครางออกมาเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เขาที่ผละใบหน้าขึ้นมามองหน้ากันตรงๆ เป็นครั้งแรก สายตาคมที่วาววับขึ้นมาตอนที่ผมเชิดหน้าครางอย่างเสียวซ่าน



“ส สมุทร...นี่มึง”



“อื้ม ใช่ ผมเอง อ๊ะ อ๊า~...” ตอบออกไปแบบนั้นให้กับดวงหน้าที่มองมาอย่างสับสน สะโพกแกร่งที่ยังคงทำหน้าที่ส่งแกนกายใหญ่สอดใส่เข้ามาถี่ๆ ในช่วงจังหวะอารมณ์สุดท้ายที่เราทั้งคู่ก็ไต่ระดับกันมากขึ้น มากขึ้นไปจนถึงจุดสุดท้ายของปลายยอดที่ปริ่มน้ำและกระตุกตัวปลดปล่อยออกมาในที่สุด



“อึก ซี๊ดดด~” เสียงครางสุขสมจากร่างกายที่ปลดปล่อยออกมาของเค้า และมีเพียงแค่เสียงเสียงลมหายใจถี่ๆ หลังจากจบนี้ เรียวแรงทั้งหมดที่มีก็หมดไป จนอีกฝ่ายต้องล้มทับลงมาบนตัวผม ผมยิ้มออกมาบางๆ แล้วเอื้อมมือขึ้นไปกอดแผ่นหลังกว้างๆ ของคนที่หลับไปแล้วแน่นๆ



ตัวผมในตอนนี้ที่ก็เหมือนกับคนที่ถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลใหญ่ ไม่มีอะไรที่ผมต้องเสียใจ ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมคิดผิด ไม่เป็นไรหรอกนะน้องสมุทร ตอนนี้มึงมีความสุขจะตาย ผมหลับตาลงแล้วปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลลงไปพร้อมๆ กับลมหายใจของเราสองคนที่ดังเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ



#รักอยู่รู้ยัง



------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่16 (020422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-04-2022 21:22:01
 :z3: :ling1: :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่16 (020422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 04-04-2022 12:11:56
ไอพี่พระจันทร์  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่17 (090422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 09-04-2022 21:03:21
บทที่17



        เครื่องปรับอากาศที่ถูกกดลดอุณหภูมิลงมาที่20องศา ทำให้คนที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงคิงไซส์ขนาดใหญ่เริ่มขยับตัว หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันพร้อมๆ กับเปลือกตาที่เริ่มขยับ แขนยาวที่ปัดไปรอบๆ เตียงอย่างเมื่อยล้า แต่ถึงแบบนั้นร่างกายกลับรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากกว่าปกติ สวนทางกับสมองที่รู้สึกมึนและหนักหัวมากเป็นพิเศษ



“อื้ม” เสียงทุ้มเข้มถูกเปร่งออกมาจากในลำคอ พร้อมๆ กับสายตาคมดุที่มีแพรขนตายาวก็เปิดออกช้าๆ บรรยากาศในห้องไม่ได้สว่างสดใสมากนักเพราะผ้าม่านผืนหนายังไม่ถูกเปิดออก เลื่อนสายตาไปมองนาฬิกาดิจิตอลแบบติดผนังที่กำลังเรืองแสงบอกเวลาว่าตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว



“ปวดหัวฉิบหาย” เสียงแหบแห้งที่เปร่งออกมา พร้อมๆ กับฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นเสยผมอย่างลวกๆ เอนหลังพิงหัวเตียงเอาไว้ แล้วใช้ดวงตาคมก้มมองสภาพตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทั้งตัวเปลือยเปล่าไม่ได้ใส่อะไรไว้สักอย่าง สีหน้านิ่งเฉยเรียบนิ่งกับสิ่งที่เห็น ไม่ได้ตกใจกับสภาพของตัวเองสักนิด ก่อนจะหันไปสำรวจบริเวณโดยรอบห้องต่อ สภาพค่อนข้างยับเยิน เสื้อผ้าที่ไม่ได้ถูกสวมใส่เอาไว้ถูกโยนทิ้งไว้ไกลๆ ตกอยู่ที่พื้นอย่างกระจัดกระจาย ซากถุงยางที่ใช้แล้วก็ถูกมัดไว้ส่งๆ ที่ข้างเตียง ...



อืม ... ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่กับสิ่งที่เห็น



“เฮ้อ” ถอนหายใจออกมาแบบนั้น ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับของแปลกปลอมที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของ เอื้อมมือไปหยิบสร้อยข้อมือสีฟ้าที่คุ้นหน้าคุ้นกับตามันดี มันถูกวางไว้ที่ซอกข้างหมอน ดูท่าเจ้าของก็คงจะไม่รู้ตัวว่าสร้อยได้หลุดหายไปจากข้อมือแล้ว



“แม่ง...” สบถออกมาแบบนั้นพร้อมก้าวลงจากที่นอน ก้มลงเก็บบ๊อกเซอร์ที่หล่นอยู่แถวๆ พื้นมาใส่อย่างลวกๆ ก่อนจะเดินตามหาเจ้าของสร้อยที่ตอนนี้ไม่ได้นอนอยู่ข้างกัน ภายในห้องว่างเปล่า มันไม่ได้อยู่ที่นี่หรือแม้แต่ในห้องน้ำชั้นบน เดินลงไปข้างล่าง ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยดังมา ได้ยินแค่เสียงช้อนส้อมที่กระทบเข้ากับจาน คิดว่าเป็นมันที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางตื่นๆ แต่ผิดไปจากที่คิด ที่ตรงนั้นไม่มีมันอยู่ นอกจากใครอีกคนที่มีหน้าตาเหมือนกันนั่งแดกข้าวอยู่อย่างสบายใจ



“ไฮซิส แดกอิ่มไหมคะ”



“แดกเหี้ยไรมึง” ถลึงตาใส่มัน แต่ไอ้อาทิตย์ก็ทำหน้างงๆ ตอบกลับมา เหมือนว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ได้พูดจากวนประสาทกันก่อน



“กูหมายถึงมึงนอนแดกบ้านแดกเมืองไง นอนตื่นสายขนาดนี้ คอยดูกูจะฟ้องอาเมล” อ๋อ...หมายถึงเรื่องนี้ แล้วก็ไม่เสือกพูดออกมาให้ชัดๆ กูก็นึกว่าแดก....



“มึงตื่นมานานหรือยัง” เลือกจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามมันแล้วเรียบๆ เคียงๆ ถามมันออกไป ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากมายให้ดูน่าสงสัยมากนัก ไอ้อาทิตย์เงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวผัดหมูของมันมามองกันอีกรอบ สายตาสงสัยของมันทำงานทันที



“ทำไม”



“กูถามก็ตอบ ยึกยักทำเหี้ยอะไร!”



“แล้วซิสจันทร์มาเสียงดังใส่น้องทิตย์ทำไมอ่ะ ตกใจนะ” ตกใจปลอม ตกใจตอแหลน่ะสิน้ำหน้าอย่างมัน ผมกรอกตาใส่ไปที



“เออๆ กูตื่นนานแล้ว ตั้งแต่9โมงละ วันนี้กูไม่มีเรียน พอใจในคำตอบไหมไอ้สัด ไม่รู้จะคาดคั้นกูหาอะไร” มันบ่นงึมงำๆ ตามนิสัย พูดมาก



“แล้วมึง...ไม่เจอใคร”



“เจอใครอะไร มึงพาใครมา” หรี่ตามองหน้าผมแบบจับผิด เห็นแบบนั้นเลยลุกขึ้นเดินหนีมันไปชงกาแฟแทน



“อิซิส ไม่ตอบน้องชายที่น่ารักแบบกูด้วย กูว่ามึงแปลกๆ อ่ะซิสจันทร์”



“แปลกเหี้ยไร หน้าตากูหล่อเหมือนทุกวันอยู่แล้ว” ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม เลี่ยงที่จะตอบคำถามของมัน



“ถุย มั่นหน้ามั่นกระโปกนะมึงอ่ะ ... ว่าแต่”



“อะไร”



“มึงไม่เป็นไรนะ”



“แล้วกูต้องเป็นอะไร” มองมันอย่างไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร ไอ้อาทิตย์ถอนหายใจเฮือกนึงพร้อมกรอกตาใส่กัน ก่อนที่มันจะเปิดปากพูดต่อ



“เรื่องเมื่อคืนน่ะ เรื่องอัยย์ มึงไม่เป็นไรแน่หรอวะ” มันมองจ้องลึกเข้ามาที่ตาของผม มองตอบกลับไป ไม่อยากโกหกมันในเรื่องนี้ และถึงเลือกจะโกหก ไอ้อาทิตย์ก็คงไม่เชื่ออยู่ดี เค้าว่ากันว่า ฝาแฝดมักจะรับรู้ความรู้สึกของกันและกันได้ดีโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าว



“ถ้าบอกว่าไม่เป็นมึงจะเชื่อไหม”



“ว๊าย ตอแหลไม่เก่งก็ยังพยายามอ่ะค่ะซิส” จีบปากจีบคอ พร้อมเอาส้อมยื่นมาชี้หน้ากัน กวนตีนฉิบหาย



“สัด”



“ก็คือมึงไม่โอว่างั้นเถอะ”



“ก็ไม่ถึงกับแบบนั้น”



วางแก้วกาแฟลงตามเดิมแล้วตอบออกไปตามความรู้สึก จะบอกว่าโอเคทั้งหมดกับเรื่องของอัยย์มันก็ไม่ใช่ แต่เรื่องของอัยย์กับผมมันก็เป็นแบบนี้มาหลายปี ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอกับความรู้สึกแย่ๆ แบบนี้จากเค้า เรียกได้ว่าเป็นความเจ็บที่รู้สึกแย่ แต่ก็คุ้นชินกับมันเหมือนแผลเก่าที่เป็นเพื่อนสนิท แถมในตอนนี้ ผมมีเรื่องที่ไม่โอเคมากกว่าเรื่องของอัยย์แล้ว กับใครอีกคนที่เมื่อคืนผมมีอะไรด้วย ไม่ได้ตกใจกับเรื่องที่เผลอมีอะไรกับใคร แต่เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกผิดมากกว่า ที่คนที่มีอะไรด้วยกันเมื่อคืนนี้คือไอ้สมุทร เจ้าของกำไลข้อมือเส้นนี้ที่ผมเอามาใส่ไว้ที่ข้อมือ



“แล้วเป็นเหี้ยอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ สีหน้าเครียดจัดเลยนะสัดซิส”



“ไอ้อาทิตย์” เรียกชื่อมันด้วยเสียงที่จริงจัง มันที่ก็เงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวมามองกันด้วยรอยยิ้มสดใสที่ดูยังไงก็กวนตีนเหมือนเดิม



“จ๋าซิส...ทำไมต้องทำหน้าจริงจังแบบนั้นวะ สรุปมึงมีไร”



“กูว่ากูรู้สึกผิด”



“กับอัยย์?” มันเลิกคิ้วพร้อมทำหน้าเหมือนอยากจะด่าออกมา แต่ผมไม่สนใจนอกจากส่ายหน้าส่งไปให้มันนิด



“เปล่า”



“แล้วกับใคร”



“กับสมุทร”



คนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้ เด็กคนนั้นที่มันชอบกันมาตั้งหลายปี เจอหน้าแต่ละทีก็มาตามจีบด้วยวิธีตื๊อจนน่ารำคาญ พร้อมปฏิญาณที่บอกว่าอยากจะเป็นผัวผมให้ได้ แต่สุดท้ายเมื่อคืนนี้ นอกจากจะไม่ได้เป็นผัว ผมเองก็มั่นใจว่า ผมเองก็คงจะเป็นผัวที่ไม่ได้น่ารักกับมันเท่าไหร่ เพราะจริงๆ ก็ทั้งมึนทั้งเบลอโดยเผลอลืมไปช่วงนึงด้วยซ้ำว่าคนที่ตอดรัดแกนกลางลำตัวกันจนเสียวไปหมดคือมัน ... มันที่อยู่ด้วยกันมาตลอด แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้เคยไม่อยากให้มันอยู่ แต่ตอนนี้พอมันไม่อยู่ ผมกลับไม่อยากให้มันหายไป







เสียงดังจอแจรอบๆ ห้องเรียนไม่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋าตัวเองที่เอาวางไว้แทนหมอนหนุนได้เลย ตามันหนัก และรู้สึกเหนื่อยเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมากๆ ยิ่งกว่าไปออกกำลังกายมา อาการเหนื่อยล้าที่อยากทำให้ตาปิดนี่ ต่อให้เสียงดังกว่านี้ น้องสมุทรก็หลับได้ ... ถ้าไม่ติดว่าวันนี้มีควิซ น้องสมุทรจะไม่ยอมมาเรียนจริงๆ ด้วย!



“ประทานโทษนะน้องหมุด มึงไปอดหลับอดนอนมาจากไหนไม่ทราบไอ้สัด เลิกเรียนแล้ว ลุกไอ้เหี้ย กลับไปนอนบ้านมึง”  ไอ้จิมที่เอาปากกายื่นมาเขี่ยๆ กันเหมือนเวลาเจอขี้ลอยแล้วใช้ไม้เขี่ยยังไงยังงั้น



“เปล่า” เลือกที่จะปฏิเสธออกไป ทั้งๆ ที่เสียงก็แหบแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด แม่งเอ๊ย เมื่อคืนทำไมกูต้องใช้เสียงขนาดนั้นก็ไม่รู้ ... เมื่อก่อนก็เคยสงสัยว่าทำไมนางเอกหนังโป๊ต้องครางเสียงดังน่ารำคาญขนาดนั้น จนได้เจอกับตัวเอง

ความรู้สึกที่เหมือนว่าตอนนี้ยังมีแกนกายใหญ่ของใครเสียบคาเอาไว้ที่ช่องทางด้านหลังยังไม่จางหายไปไหนเลยด้วยซ้ำ



“ถ้าเปล่าสภาพมึงไม่โทรมแบบนี้หรอก ทำไมวะ กับพี่พระจันทร์หนักหรอ” ผมสะดุ้งสุดตัวตอนได้ยินแบบนั้น เงยหน้าขึ้นมามองหน้าไอ้จิมแบบตื่นๆ เลื่อนสายตาที่กำลังมองมาของไอ้มาร์ชอย่างตกใจ ไอ้เฮงขมวดคิ้วอย่างสงสัย



ไม่นะไอ้เหี้ย น้องสมุทรทำให้เพื่อนรู้ได้ไงว่าเมื่อคืนโดนเย!



“ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้นวะ” ไอ้เฮงเลิกคิ้วถาม



“เปล่า หนักเหี้ยไรกับพี่พระจันทร์ ลามกไอ้สัด! กูเปล่าทำอะไรกัน ไม่ได้เยกันเลยนะเว้ย! พอกูพาพี่พระจันทร์ส่งบ้านกูก็วิ่งตัวปลิวออกมาเลย จริ๊ง!!”



บอกออกไปพร้อมยกมือโบกไปโบกมาแบบปฏิเสธเต็มที่ แต่เป็นไอ้มาร์ชที่ขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม น้องสมุทรเผลอถลืนน้ำลายลงคอเลยในจังหวะนั้น



“มึงปิดบังอะไรอยู่ป่ะวะ”



“เปล่าเลยเว้ยพ่อมาร์ช มึงเป็นอะไร เป็นลูกอิช่างจังผิด น้องสมุทรไม่โอเคเลยนะ” อย่าไอ้สมุทร อย่าทำตาล่อกแล่กสิวะ นิ่งไว้มึง จะให้ใครรู้ไม่ได้นะว่าเมื่อคืนเรามันเป็นคนโดนเสียบ ฮึก ฮึบเอาไว้



“หรอ”



“เออสิจ๊ะ ว่าแต่นี่เลิกเรียนแล้วใช่ป่ะวะ กูอยากกลับบ้าน กูง่วงมาก” บอกพวกมันทั้งสามคนแบบนั้นแล้วรวบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไว้ ไม่ต้องเก็บของอะไรเท่าไหร่เพราะแทบจะไม่ได้เอาอะไรออกมาจากกระเป๋า วันนี้กูมานอนล้วนๆ ไม่มีเรียนผสม



‘ครืดๆ’



รับรู้ได้ถึงความสั่นของโทรศัพท์มือถือเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวันนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครโทรมา เพราะตั้งแต่ตอนเที่ยงก็เอาแต่กระหน่ำโทรหากันไม่หยุดเหมือนมีใครตาย แต่ขอโทษเถอะ วันนี้ยังไม่พร้อมจะเจอกันนี่หว่า

ตั้งแต่เมื่อเช้าที่ผมตื่นมาในห้องของพี่พระจันทร์ แล้วอีกคนก็กอดเอวกันไว้ทั้งๆที่เปลือยเปล่า พอเห็นแบบนั้นแล้วผมก็เกิดความคิดที่ว่า มันคงจะดีกว่าถ้าเค้าไม่รู้ว่าคนที่อยู่กับเค้าทั้งคืนคือผม เพราะแบบนั้นเลยตัดสินใจหนีออกมา



“ไอ้น้องหมุด”



“อะ อะไร!” สะดุ้งตกใจตอนที่ยืนเหม่อเผลอคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน ไอ้เฮงก็เรียกกันซะดัง



“มึงจะไม่รับหน่อยหรอโทรศัพท์มึงน่ะ”



“ไม่รับอ่ะ กูว่าแม่งเป็นแก๊งค์คลอเซ็นเตอร์แหล่ะ ชอบหลอกให้โอนเงินงี้ โทรมาหากูถามหรือยังว่ากูมีโอนไปให้ไหม โถ่ๆ ความโง่กูน่ะมี แต่เงินไม่มีหรอกจ้า”



“สัด ภัยสังคม”



“พวกมันใช่มะ”



“มึงนี่แหล่ะ เสียเวลาโจรเค้า” อยากจะด่าไอ้จิมว่าสัด แต่ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวจะดูไม่สุภาพ ผมเดินนำพวกมันออกจากห้องมาก่อนใคร ไม่อยู่แล้ว น้องสมุทรง่วงมากๆ อยากจะนอน



‘เพี้ยะ!’



“โอ๊ย!” ตะโกนออกมาเสียงดัง เกร็งตัวทันทีแบบเรียกได้ว่าขาก็ก้าวไม่ออก น้ำตาซึมอยู่ที่ขอบตาทันทีที่ฝ่ามือฟาดลงมาที่ก้น หันหน้าไปมองไอ้คนที่ทำกันได้ลง ไอ้เฮงเลิกคิ้วมองกัน สายตาของมันที่จ้องผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า กลั้นหายใจเลยในตอนนั้น อยากจะอ้าปากพูดปฏิเสธออกไป แต่ถึงแบบนั้นกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ เจ็บจนขาสั่น ร้าวไปทั้งตัวเลยไอ้เหยดแหม่!



“มึงไปตีตูดไอ้สมุทรมันทำไมวะไอ้เหี้ยเฮง” ไอ้จิมมองมาอย่างงงๆ ผมที่เม้มปากแน่นมองหน้ามันน้ำตาคลอ มันยกยิ้มนิดๆ สายตาที่ทำเหมือนกับว่าแสกนตัวผมไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาต้องหลบตา



“ลูกมึงมันควรโดนทำโทษว่ะไอ้มาร์ช” ไอ้เฮงพูดออกมาแล้วยกยิ้มมุมปากก่อนจะหันไปบอกไอ้มาร์ชที่ขมวดคิ้วมองมาที่ผมไม่หยุด มองเห็นมันสองคนมองสบตากันโดยไม่พูดอะไร เหลือแค่ไอ้โง่จิมที่ทำหน้าเหลอหลาอยู่ตอนนี้คนเดียว กับอีกหนึ่งที่ยืนขาสั่นน้ำตาคลออยู่ตอนนี้ ใช่ กูเองจ้า น้องสมุทรเองไอ้พวกเหี้ย



“สัด” ด่ามันออกไปตอนที่เค้นเสียงด่าได้แล้ว ไอ้เฮงที่แค่หัวเราะเบาๆ ในลำคอออกมาทีนึง ก่อนที่หน้าหล่อๆ ของมันจะเลื่อนเข้ามาใกล้ และกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของผม



“กูว่าแล้วเชียว เด็กตั้งใจเรียนแบบมึงจะง่วงนอนอะไรนัก ที่แท้ก็....”



“หุบปากไปเลยไอ้เหี้ย” หันไปด่ามันแบบนั้น ไอ้เฮงก็ผละหน้าออก มันที่ยกยิ้มมุมปาก และดูมีความสุขกับความทุกข์ของกูเหลือเกิน ไอ้คนสกปรกที่เฮงซวยสมฉายา แต่ถึงแบบนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันร้าย ทั้งไอ้เฮงไอ้มาร์ชเลย ไอ้พวกผ่านศึกบนเตียงมาอย่างโชกโชนน่ะ



“เดินดีๆ หน่อยครับน้องสมุทร เอาฮึบ อีกก้าวๆ”



“เลิกกวนตีนมันเถอะไอ้เหี้ยเฮง” ไอ้มาร์ชเดินเข้ามาเตะมันไปที ก่อนจะเดินมาโอบเอวผม ขนลุกซู่ซ่าพร้อมสะดุ้งสุดตัว



“มึง...มึง ประคองกูทำไมวะ”



“หุบปากเหอะ ขามึงสั่นขนาดนี้ ดูไม่ออกก็โง่ละ”



“ดูออกไรวะ” ไอ้จิมเสนอหน้าเข้ามาแบบไม่มีใครร้องขอ แต่ยังโง่เหมือนเดิม ไอ้เฮงเห็นแบบนั้นเลยเป็นมันแทนที่มากอดคอแล้วลากเพื่อนรักของมันให้เดินนำไปแบบไม่ต้องให้เสือก



“ไอ้สมุทร” ไอ้มาร์ชเรียกผมเสียงเข้มจนสะดุ้งอีกที วันนี้กูก็ขวัญอ่อนง่ายเหลือเกิน ช้อนตาเงยหน้ามองมันที่ก้มหน้าลงมามองกันอยู่ก่อนแล้ว



“อย่าด่ากู”



“กูไม่ด่า ... แต่ทั้งหมดนี่มึงโอเคหรือเปล่า” มันถามออกมาแบบนั้น จ้องหน้ากันแบบเป็นห่วง ไอ้มาร์ชก็เป็นแบบนี้ทุกที คนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ผมยิ้มออกมานิดๆ



“กูโอเคสิวะ ไม่มีอะไรที่ไม่โอเค อีกอย่าง...เค้าไม่ได้บังคับกู” อืม มีแต่กูนี่แหล่ะที่ตั้งใจเดินเข้าไปเอง



“ถ้าแบบนั้นก็ดี กูไม่อยากเห็นมึงเสียใจ”



“กูไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปหรอกมึง” แม้ว่าสิ่งนั้นที่ตัดสินใจไป อีกฝ่ายเค้าจะไม่รู้ด้วยก็ตามเถอะ แต่ถึงแบบนั้น ผมก็ยังอยากจะเป็นคนที่คอยช่วยปลอบใจเค้าได้ ในวันที่เค้ารู้สึกแย่อยู่ดี



“อืม งั้นก็ดี” ผมพยักหน้ารับคำของมัน ก่อนที่ไอ้มาร์ชจะใช้นิ้วชี้ยื่นไปทางด้านหน้าให้ต้องมองตาม ก่อนที่มันจะเปิดปากพูดออกมาต่อว่า



“เพราะคนที่ทำให้มึงรู้สึกดีจนต้องเดินขาถ่าง ยืนหน้าถมึงทึงอยู่นู่นแล้ว”



“อ๋อจ้า...ห๊ะ อะไรนะไอ้สัด!” เบิกตากว้างๆ ตอนที่พึ่งเข้าใจว่ามันพูดถึงเรื่องอะไร แต่เหมือนจะไม่ทันแล้ว เมื่อพี่พระจันทร์ที่อยู่ในชุดไปรเวทย์ธรรมดาแบบที่เรียกได้ว่าแค่เสื้อยืดทับกับกางเกงยีนส์ก็ทำเอาสาวเหลียวมองกันทั้งคณะด้วยความแปลกตา แต่หล่อ...เออ มาขนาดนี้แล้วก็ฝืนชมว่าสวยไม่ไหวแล้วไหม หล่อ! มันหล่อเลยแหล่ะ



“งั้นกูขอตัวก่อนนะ ตามสบายพี่”



“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวสิวะเพื่อน” ผมที่พยายามคว้าชายเสื้อมันไว้ แต่ก็ไม่ทัน ไอ้มาร์ชหันมาบอกผมแบบนั้น และประโยคถัดไปก็หันไปบอกคนมาใหม่ที่ก้าวมายืนตรงหน้าของผม พี่พระจันทร์ที่พยักหน้ารับคำของไอ้มาร์ชนิดๆ โดยที่ไม่สนใจเพื่อนผมที่เดินจากไปเลยสักนิด สายตาคมนั่นเอาแต่ไล่มองกันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ทำเอาร้อนวูบวาบไปทุกส่วนที่อีกฝ่ายไล่มองกัน ภาพเมื่อคืนอยู่ๆ ก็แว๊บเข้ามาในหัว ความรู้สึกที่เหมือนยังเกิดขึ้นอยู่วนกลับมาอีกแล้ว ท่อนเอ็นแข็งขืนที่สอดเข้ามาทางด้านหลังผ่านรอยจีบที่ค่อยๆ ตอดรัดแกนกายแกร่งเป็นจังหวะตอดตุบๆ ทำเอาผมหน้าแดงขนลุกไปทั้งตัว



“มึงหลบหน้ากู” ประโยคแรกที่เค้าพูดกับผม แต่ผมหลบสายตาไม่ยอมมองกลับ ทำไงดีวะ ตั้งแต่ชอบพี่พระจันทร์มา ไม่เคยมีวันไหนที่รู้สึกไปไม่ถูกขนาดนี้มาก่อน ไม่อยากอยู่คุยด้วยอ่ะ กูอยากกลับบ้าน กูอยากหายตัว หรือว่าน้องสมุทรแกล้งตายดีวะ เอาไง เริ่มเลยดีป่ะ



“สมุทร” เอ่ยเรียกเสียงเข้ม ทำเอาผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ ไม่ได้เตรียมตัวมาเจอพี่พระจันทร์เลยนี่หว่า



“บ้าน่า ใครมันจะไปทำแบบนั้นกันอ่ะตัวเธอ” ผมเงยหน้าขึ้นมา ฝืนจ้องหน้าเค้าแล้วฉีกยิ้มกว้างๆ ส่งไปให้ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นด้วย กูหุบยิ้มก็ได้จ้า



“หนีกูทำไม”



“เห้ย น้องสมุทรจะหนีพี่พระจันทร์ทำไม บ้าน่า เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าล่ะพี่พระจันทร์อ่ะ” ว่าออกไปแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อ เอาจริงๆ ผมไม่รู้ว่าจะต้องตื่นกลัวเค้าทำไม จริงๆ มันก็เป็นเรื่องแค่คืนเดียว และจริงๆ พี่เค้าไม่น่าจะจำผมได้ด้วยซ้ำ ความทรงจำเมื่อคืนนั้น มันไม่ใช่ผมด้วยซ้ำอ่ะ



“สมุทรกูไม่ตลก”



“น้องสมุทรก็เปล่าตลกจ้า พี่พระจันทร์อ่ะแหล่ะ มาถึงนี่มีเรื่องอะไรหรอครับ”



“แล้วเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องที่กูจะต้องมาตามหามึงหรอวะ”



“เรื่องเมื่อคืน ที่พี่เมาอ่ะหรอ เบาๆ จิ๊บๆ สิวๆ น้องสมุทรแบกได้ แบบว่าเป็นผัวที่มาดแมนมากๆ อ่ะ ฮ่าๆ”   ฝืนหัวเราะไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ตลก แต่จะให้ทำยังไงวะ ก็คนตรงหน้าเอาแต่ทำหน้ายักษ์จ้องมองกันไม่วางตา พี่พระจันทร์ที่ดูเป็นแบบนี้กับผมน่ะไม่ชินเลย รับมือไม่ถูก และก็ไม่ได้เตรียมใจมารับด้วยโว้ย



“สมุทร”



“อย่าทำเสียงดุจะได้ไหม หัวใจบอบบางไม่อยากได้ยินน้ำเสียงจริงจังหรอกนะ” ผมย่นหน้าใส่แล้วว่าออกไปแบบนั้น สะดุ้งทุกทีที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อ แม่งเอ๊ย นี่คือลูกผู้ชายที่หมายมั่นเอาไว้ว่าจะเป็นผัวเค้ามาก่อนนะกูน่ะ



“กูจำเรื่องเมื่อคืนได้ มึงเลิกแถว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แล้ว แล้วไหนบอกว่าอยากได้กูเป็นเมียไง” ผมเบิกตากว้างขึ้นในตอนที่ได้ยินแบบนั้น อ้าปากแล้วก็หุบปากลงอีกครั้งอย่างไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ก็แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้วะ



“ก...ก็.....”



“สมุทร ... ว่าไง”



“ก็อยากได้เป็นเมียไงวะ กูไม่ได้อยากได้พี่พระจันทร์เป็นผัวไหมอ่ะ!” เชี่ย! สถานการณ์กดดันแล้วมันก็ชอบเผลอหลุดเถียงออกไปตามใจคิด ผมช้อนตาเงยหน้าแล้วเบิกตากว้างๆ แล้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอีกที



“กูเป็นผัวแล้วมันทำไม”



“มันใหญ่มากไงล่ะ เสียบเข้ามาทีนึงถึงไส้ใน ถามมาได้ ปัดโถะ!”



“มึงเจ็บ?”



“มันฟิน!”



“หึ ยอมรับแล้วสินะ”   



เออ ก็มาขนาดนี้แล้วจะเอาอะไรจากกูอีกอ่ะครับ ก็มาบีบมาคั้นให้ต้องพูดกันขนาดนี้ เรื่องราวเมื่อคืนผมก็คิดแบบเดิมมาตลอด มันไม่มีอะไรที่ผมเสียใจ และมันก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ อ่ะว่าเสียวมาก เสียวจนสูดปาก ฟินจนน้ำตาไหล แต่ถึงแบบนั้นจะให้ทำยังไง จะให้เดินยิ้มร่าแล้วทำหน้าเหมือนทุกวันที่เจอกันปกติก็ทำไม่ได้หรอกว่ะ



แต่จริงๆ ก็ไม่คิดว่า พี่พระจันทร์จะถ่อมาหากันถึงที่นี่ด้วย



“กูขอโทษ”



“ครับ?”



“สำหรับเรื่องเมื่อคืน กูขอโทษมึง”



“อ่า พี่ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก จริงๆ นะ น้องสมุทรไม่เป็นอะไร” ผมเลือกจะบอกออกไปแบบนั้นแล้วส่งยิ้มบางๆ ไปให้ เค้าไม่ควรต้องมารู้สึกผิดอะไรกับผมเลยด้วยซ้ำ เพราะคนที่มีแต่ได้กับได้ก็ผมไม่ใช่หรือไงวะ ครั้งนึงผมได้ใกล้เค้า ได้สัมผัสเค้ามากถึงขนาดนั้น



“ไม่เก็บมาคิดได้ไงวะ กูทำมึงนะ”



“แต่ผมเต็มใจนี่ พี่อย่าใส่ใจเลย”



“สมุทร”



“จริงๆ นะ พี่พระจันทร์ลองคิดตามดิ ผมชอบพี่มาตั้งนานนี่หว่า พยายามดันตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้พี่มากขนาดนั้น ผมที่ได้รับมา ก็ต้องฟินอยู่แล้วหรือเปล่า” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วฉีกยิ้มออกมากว้างๆ จ้องหน้าอีกคนบอกให้เค้ารู้ว่าผมไม่เป็นอะไร แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่คลายอารมณ์ลง



“แต่สิ่งที่มึงต้องการจากกู และควรจะได้รับคือความรักจากกูไม่ใช่การมานอนให้กูเอา โดยที่กูไม่รู้ว่ามึงเป็นใครไม่ใช่หรอวะ”



“ผม...” คำพูดชัดเจนที่ผมไม่คิดว่าจะได้ฟัง แต่ถึงแบบนั้นก็ชัดซะจนใจของผมสั่น เหมือนความจริงที่ว่านั่นกระแทกเข้ากลางใจ ผมเม้มปากแน่นๆ ไม่ได้ลืมหรอกว่าเมื่อคืนพี่พระจันทร์ต้องการกอดใคร



“กูขอโทษสมุทร ครั้งแรกของมึงมันไม่ควรเป็นแบบนั้น” สีหน้ามืดครึมของเค้าที่ทำเอาผมใจเสีย ได้แต่เม้มปากแน่นๆ ไม่ได้อยากให้เค้าต้องมาเป็นแบบนี้ เพราะความผิดพลาดแค่คืนเดียวเลยจริงๆ



“ถึงจะแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็อย่ารู้สึกผิดเลยครับ”



“ถ้ามึงไม่อยากให้กูรู้สึกผิด ... งั้นมึงกับกู มาทำให้มันถูกกันดิวะ”



“พี่หมายถึง” ช้อนตามองหน้าอีกคนกับคำพูดที่ไม่เข้าใจเลยสักอย่าง อะไรคือสิ่งที่ถูก



“มาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันจริงๆ สักทีเถอะว่ะ ... กูจะทำให้เรื่องของเรามันถูกเอง”



เค้าว่าแบบนั้น จ้องมองสายตาจริงจังนั่นผ่านเลนแว่นอันใหญ่นี้แล้วยิ่งมองเห็นได้ชัด ผมส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้ ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับออกไป และก็ไม่ได้หวังอะไรตอบกลับมาจากเค้าด้วยเช่นกัน ผมรู้ดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่พระจันทร์กำลังทำให้กัน มันก็แค่การรู้สึกผิดฉากนึง แต่ถึงแบบนั้น น้องสมุทรก็พร้อมที่จะรับมันอย่างเต็มใจ



...


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่17 (090422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 09-04-2022 21:03:42



‘ฟู่วว’



เสียงพ่นพร้อมกับควันบุหรี่สีเทาจางๆ ลอยเอื่อยๆ อยู่กลางอากาศนั่นทำให้ต้องกรอกตา ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมกูต้องมายืนดมกลิ่นนี้ด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะสูบ



“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิวะ” เสียงเข้มของคนที่ยืนเอาหลังพิงกำแพงแล้วพ่นควันออกมาพูดขึ้น นิ้วเรียวแกร่งที่คีบมวนบุหรี่ พร้อมเคาะขี้บุหรี่ลงพื้นนิดๆ ท่วงท่าที่มีสเน่ห์จนทำให้ละสายตาไปไม่ได้ คิดว่าเพราะแบบนี้แฟนเก่ามันถึงติดใจจนทิ้งไปไม่ได้สักที



“ก็แล้วทำไมต้องลากกูมาด้วยวะ”



“ก็แล้วมึงจะให้กูเดินเข้าไปหรอ” มันถามผมแบบนั้น คำถามที่ว่าคงจะหมายถึงที่ว่าจะให้มันเดินเข้าไปหาไอ้สมุทรที่ยืนคุยกับพี่พระจันทร์อยู่กลางตึกคณะน่ะหรอ ปรายตามองหน้าคนถามนิดนึงก่อนจะเบ้หน้าใส่



“ปกติก็เห็นว่าพี่มึงหน้าด้านอยู่นะ”



“ปากมึงนี่แม่ง”



“ดีใช่ไหมล่ะ”



“ไม่รู้ว่ะ กูยังไม่เคยลอง มึงก็มาให้กูลองดิ” ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมือมากระชากคอเสื้อของผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วเซเข้าไปใกล้ ใบหน้าที่ห่างกันไม่กี่คืบไม่ทำให้ความหล่อของมันลดลง ดวงตาคม คิ้วเรียงตัวสวยเข้ม ใบหน้าเรียวได้รูปรับกับใบหูที่มันเจาะเอาไว้หลายรู พร้อมกับต่างหูห่วงโซ่ที่สอดเกี่ยวกันไปหลายรู สไตล์นิยมแบบวัยรุ่นเกาหลีเท่ๆ ยิ่งเท่หนักตอนที่มันอยู่ในชุดช็อปแบบตอนนี้ ... สงสัยฉิบหายว่าทำไมไอ้สมุทรไม่ชอบมันวะ



“ลองกับตีนกูนี่” ยกเท้าเหยียบลงไปที่เท้ามันแรงๆ จนมันต้องผละออก ร่างสูงๆ ที่กระโดดเหย๋งๆ จับตีนตัวเองไปด้วย เป็นภาพที่น่าขำฉิบหาย และแน่นอนว่ากูต้องซ้ำเติมมันแน่ๆ ด้วยเสียงหัวเราะดังๆ อีกชุดใหญ่



“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า ท่าทางเหมือนไอ้หน้าโง่ฉิบหาย ฮ่าๆๆ”



“หยุดขำกูเลยนะไอ้มาร์ช” หันมาเข่นเคี่ยวเคี้ยวฟันใส่ ถลึงตามอง แต่เรื่องไรกูต้องหยุดตามคำมึงเอ่ย



“ฮ่าๆ”



“ได้ มึงไม่หยุดเองนะ”



“เห้ยๆ ทำไรวะไอ้เหี้ยพี่ยอร์ช ฮ่าๆ อย่าๆ โอ๊ยๆ ฮ่าๆ” มันที่คว้าแขนผมไว้เต็มแรง แล้วออกแรงกระชากแล้วดันตัวผมให้ไปติดชิดกับกำแพง แล้วก็ลงมือทำเรื่องเหี้ยๆ กับกูอย่างหน้าด้านๆ ด้วยการใช้นิ้วจักจี้ลงมาที่เอวทั้งสองข้างของผม แล้วคนบ้าจี้แบบกูจะไปเอาอะไรไหวเอ่ย จะหนีก็ไม่ได้ ติดตรงที่ท่อนขาแกร่งของมันสอดเข้ามาที่หว่างขาของผม แล้วลงมือจี้เอวกันไม่เลิก



“อย่าๆ พอๆ ยอมแล้วๆ ฮ่าๆๆๆ”



“เรียกกูพี่ยอร์ชก่อน บอกกูมาว่าน้องมาร์ชยอมแล้ว” กระซิบข้างหูกันเสียงเหี้ยม แต่มือของมันก็ยังทำหน้าที่จักจี้เอวกันได้ไม่หยุด เสื้อนักศึกษาที่ถูกดึงออกจากกางเกง ทำให้นิ้วอุ่นๆ ของมันเลื่อนเข้าไปจักจี้เอวกันได้แบบตรงๆ กูยิ่งดิ้นเหมือนไส้เดือนโดนคลุกขี้เถ้าเลยไอ้เหี้ย ช่วยด้วย!



“โอ๊ย ไอ้เหี้ยพี่ยอร์ช ฮ่าๆ ยอมๆ”



“พูดกับกูดีๆ เร็วๆ ไม่งั้นกูจะทำให้มึงใจขาดตายเลยไอ้มาร์ช”



“พี่ยอร์ชๆ ยอมแล้วๆ น้องมาร์ชยอมแล้วพี่ยอร์ช~”



“หึ ก็แค่นี้” สินสุดการทรมานสุดโหด ไอ้ใจหยาบ กูเหนื่อยมาก เหนื่อยจนต้องหายใจเข้าปอดหนักๆ หัวก็ซบลงตรงบ่าของคนตรงหน้าที่ไม่ยอมผละออกไปไหน แบบนั้นก็ดี กูขอพิงแป๊บไม่ไหวแล้วไอ้เหี้ย ... สายลมเย็นๆ ในช่วงสี่โมงครึ่งพัดผ่านรอบๆ ตัวเรา มันที่ไม่ยอมผละตัวไปไหน แต่ก็ไม่พูดอะไร เพราะงั้นในบริเวณนี้ จึงมีแค่เสียงหายใจหอบถี่ๆ ของผมอยู่คนเดียว ในช่วงเวลาที่เริ่มหายใจสม่ำเสมอได้แล้ว ก็เป็นผมที่เงยหน้าขึ้นมา พี่มันที่ก็ก้มหน้ามองต่ำลงมานิดหน่อย เพราะผมกับมันไม่ได้สูงต่างกันมาก มันอาจจะสูงกว่าผมสักสี่ห้าเซน



“พี่...”



“แก้มมึงแดงหมดแล้ว”



“ก็มึงแกล้งกู K” ด่าแม่งออกไป เอาให้คำว่าKกระแทกหนังหน้า แต่เหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาเพราะค่อนข้างจะหน้าด้าน



“มึงแม่งไม่น่ารักเลยว่ะ”



“เรื่องกู จำเป็นต้องน่ารักกับมึงไหมเอ่ย”



“ก็มึงคือไอ้มาร์ชเมียรักของกูนี่ครับ” เลื่อนหน้ามากระซิบประโยคนี้ข้างหู ทำเอาต้องยกมือขึ้นต่อยสีข้างแม่งแรงๆที่นึง



“โอ๊ย เจ็บนะมึง”



“ก็กวนตีนกูจัง”



“นิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นโกรธนะมึง” ว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมายีหัวผม เอาให้พอใจ เต็มที่ไปเลยสิ เล่นหัวกูเต็มที่ไปเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย!



“พี่”



“หื้ม อะไร”



“กูว่าพี่มึงพอเรื่องไอ้สมุทรเหอะ” ผมตัดสินพูดออกไปตามที่ใจคิด ไอ้พี่ยอร์ชชะงักมือที่กำลังเล่นหัวกันอยู่ สายตายิ้มๆ ของมันก่อนหน้านี้แข็งขึ้นมาทันที พร้อมมองหน้าผมอย่างหาเรื่อง



“ทำไมกูต้องพอ!”



“เสียงดังเหี้ยไรล่ะ”



“โทษที แต่มึงแม่ง...” ผละตัวออกจากผมแล้วเตะก้นบุหรี่ที่มันโยนทิ้งที่พื้นก่อนหน้านี้อย่างระบายอารมณ์ สีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านที่ผมมองออกว่ามันไม่อยากยอม



“มาโทษกูทำเหี้ยไร กูว่าจริงๆ พี่มึงก็มองออกนะ ว่าตัวเองไม่มีทางจะแทรกอะไรเข้าไปได้หรอก แต่ยังดื้อด้าน เหมือนเป็นคนยอมแพ้ไม่เป็น”



“ด่ากูขนาดนี้เลยนะ กูทำไรมึงยัง” ปรายตามองหน้าผม แล้วเอาแผ่นหลังกว้างๆ ของมันพิงลงกับกำแพง



“ยังหรอก แต่มึงดูโง่ขัดกับหน้าตา”



“จะบอกว่ากูหล่อสินะ เออ กูก็รู้ตัวอยู่”



“หล่อแต่โง่ก็ไม่อยากมีใครได้ไปทำผัวหรอกนะ รู้ยัง”



“กล้าที่จะพูดนะไอ้มาร์ชเมียรักของพี่”



“อิเหี้ย เมียรักพ่อง อย่ามากอดไหล่กู ไอ้สัดเอ้ย” ดันตัวของมันออกไปไกลๆ แต่ไอ้บ้าข้างๆ ก็ยังเบียดตัวเข้ามากอดกันไม่เลิก ที่กูพูดนี่แม่งฟังบ้างไหม เอาแต่กวนตีนกูอยู่นั่นแหล่ะ



“ดีดดิ้นๆ กูจับมึงเอายังถึงต้องดิ้นขนาดนี้” มันยักคิ้วใส่กัน แล้วกดยิ้มมุมปากถามออกมาแบบนั้น ท่าทางที่เรียกได้ว่ากวนตีนกันฉิบหาย ผมเดินเข้าไปหา แล้วใช่ฝ่ามือยันกำแพงคล่อมมันไว้ทั้งตัว ก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วตอบมันกลับไปอย่างไม่ยอมกัน



“มีปัญญาเอากูได้ก็มาดิ”

#รักอยู่รู้ยัง



---------------------------

กรี๊ดดดดด ตอนที่แล้วคอมเม้นท์เยอะมาก แบบว่าดีใจ รู้สึกเหมือนสมัยก่อนที่มีคนอ่านอยู่ด้วยกัน

คนเม้นท์ตอนที่แล้วเยอะมาก = เม้นท์ด่าพระเอก

เอิ่ม....ก๊ากกกก

​​​​​​​



หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่17 (090422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-04-2022 22:22:31
 :haun4: :pighaun: :z1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่17 (090422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 14-04-2022 21:19:04
ชอบความสดใสของอิน้องมาร์ช  :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่18 (160422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 16-04-2022 21:25:05

บทที่18

 

“ไอ้สมุทร ทางนี้ๆ มานี่ๆ” ผมในชุดเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนใหม่ ที่ได้ใส่มันเป็นครั้งแรกวิ่งเข้าไปหาเพื่อนตามเสียงเรียกนั่นอย่างดีใจ ไอ้มาร์ชยืนถือกระเป๋านักเรียนรออยู่ตรงหน้ารูปปั้นที่ชื่อว่าเซนต์อะไรสักสิ่ง ซึ่งดูเหมือนจะมีความสำคัญกับโรงเรียนนี้



“ทำไมมาช้าตั้งแต่วันแรกเลยวะมึง”



“มึงๆๆ เมื่อกี้ๆ เมื่อกี้กูเจอๆ”   วิ่งเข้ามาจับแขนไอ้มาร์ชเพื่อนรัก และละล่ำละลักจะเล่าเรื่องราวที่เจอมาเมื่อกี้ให้มันฟัง



มาร์ช เพื่อนคนเดียวที่รู้จักกับมันครั้งแรกเมื่อสองเดือนก่อน เจอกันตอนที่เข้ามาเรียนซัมเมอร์เพื่อปรับพื้นฐานและสอบวัดระดับเข้าห้องในสายที่เรียน และตั้งแต่วันนั้นเลยตกมันเป็นเพื่อนมาได้หนึ่งคนถ้วน จริงๆแล้วมาร์ชมันเรียนที่นี่มาตั้งแต่ม.ต้น แต่ที่เลือกเรียนซัมเมอร์เหมือนพวกเด็กใหม่ เพราะมันบอกว่าที่บ้านไปเที่ยวอังกฤษกันหมด มันเหนื่อยเลยเลือกที่จะมาเรียน ... คนรักเรียนแบบที่ว่าไม่เข้ากับหน้าตา



“เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะเนี่ย ใจเย็นๆ ผีสิงมึงหรอวะสมุทร”



“ผีสิสิงมึง” ถลึงตาใส่มันไปที ก็ได้รับรอยยิ้มคืนกลับมาให้ มันที่เอื้อมมือมากอดไหล่แล้วเดินเข้าโรงเรียนไปด้วยกัน



“เมื่อกี้อ่ะมึง กูว่ากูเจอ...”



“ผี!”



“เป็นเหี้ยอะไรกับผีนัก เดี๋ยวกูข่วนหน้าให้ ขัดกูเหมือนโคตรเง่ามึงเป็นสก็อตไบร์ท ขัดเก่งเหลือเกิน!” ถลึงตาใส่มันไปที แต่แทนที่จะหุบปากแล้วตั้งใจฟังกัน ไอ้มาร์ชกลับหัวเราะกับท่าทางแบบนั้นของผมแทน หน่ายหัวใจ



“อะๆ กูไม่แกล้งละ ไหนมึงเจออะไร เล่ามาดิ” เอื้อมมือมาโอบรอบคอผมพาผมเดินเข้าไปตามทางเดินเส้นตรงที่จะทะลุไปถึงสนามเข้าแถว



“คืองี้มึง กูเจอคนสวย สวยจัด!”



“สาวสหโรงเรียนตรงข้ามเราหรอวะ”



“ไม่ใช่เว้ยยย โรงเรียนเรานี่ล่ะ” เถียงออกไปพร้อมทำหน้าเคลิ้มฝัน นึกไปถึงคนที่ทำให้น้องสมุทรสนใจได้เมื่อก่อนหน้านี้ น่ารัก คนที่วิ่งไปช่วยเด็กชายตัวน้อยให้ไม่ถูกรถชนนั่น ... น่ารัก น่าสนใจ จนละสายตาไปไม่ได้เลยอ่ะ



“นี่มึงเล็งผู้ชายหรอวะ เชี่ย”



“คือ...คือ มึงไม่โอเคหรือเปล่าวะ” ช้อนตามันพร้อมยกมือขึ้นดันแว่น เป็นท่าทางที่ทำประจำเวลาที่ผมรู้สึกประหม่าหรือไม่มั่นใจ บางทีก็ลืมไป ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับได้ แม้ว่าตอนนี้ประเทศเราจะพยายามผลักดันและเปิดกว้างเรื่องนี้มากขึ้น แต่สังคมเราตอนนี้ก็ยังไม่เปิดใจมากขนาดนั้น เหมือนกับเปิดกว้างแค่ปากว่ายอมรับได้ ตราบใดที่เรื่องแบบนี้ยังไม่เกิดกับตัวเองหรือคนใกล้ตัวก็ยอมรับได้หมด



“ไม่ใช่โว้ย ทำไมกูจะต้องรับไม่ได้วะ มึงเพื่อนกูนะ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มจริงใจที่ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วส่งยิ้มรับตอบกลับไปให้มัน



“คือมึงจะหาผัวหรอวะ”



“ผัวพ่อง! เมียสิวะ” ขมวดคิ้วใส่มัน ปากแม่งนี่อะไร พี่คนที่หัวชมพูตาหวานๆ ใจดีๆแบบนั้นน่ะ ต้องเป็นเมียน้องสมุทรอยู่แล้ว น้องสมุทรมั่นใจ!



“ไอ้เหี้ย กูล่ะอยากเห็นจริงๆว่ามันคือใคร ไอ้คนที่ทำให้มึงตื่นตูมขนาดนี้เนี่ย”



“แต่กูรู้จักชื่อพี่เค้าแล้วนะเว้ย” ผมหันไปมองหน้าไอ้มาร์ชพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยี แค่นึกถึงหน้าตาน่ารักและการกระทำใจดีก่อนหน้านี้ก็ทำให้หัวใจสมุทรอยู่ๆหัวใจก็ตึกตักอยากจะบอกว่ารักๆๆ งื้ออ



“ชื่ออะไร ไหนพูดดิ๊ กูจะบอกให้มึงรู้ไว้เลยนะครับ ว่าเพื่อนมาร์ชคนนี้ของมึงรู้จักคนทั้งโรงเรียนแหล่ะ”



“โอ้โห สายเสือกในตำนานสินะครับ”



“ไอ้สัดนี่ กวนตีนจังนะตัวแค่นี้ ว่าแต่เค้าชื่ออะไรวะ” มันหันมาถามกัน และก็เป็นผมที่ส่งยิ้มกว้างๆตอบกลับไปให้อย่างเต็มใจ ชื่อของเค้าน่ะหรอ ชื่อที่จะสลักลงไปในใจน้องสมุทรต่อจากนี้



“พี่เค้าชื่อว่า ... พี่พระจันทร์”



“เชี่ย อิเหี้ย บอกกูซิว่ามึงแค่ฝันไป”  ไอ้มาร์ชเบิกตากว้างแล้วถามออกมาแบบไม่เชื่อหู ต่างจากตัวผม ที่ทำแค่ส่งยิ้มกว้างๆตอบกลับไปแล้วพยักหน้าส่งไปให้อย่างแข็งขัน



“คนที่กูชอบ และอยากได้เป็นเมีย เค้าชื่อว่าพี่พระจันทร์!”



“เชี่ย กูอยากตาย” ไอ้มาร์ชว่าออกมาแบบนั้นพร้อมทำหน้าตาเหยเก ไม่แค่นั้นมันยังยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองแรงๆทีนึงด้วย ... มันเป็นอะไรก่อนอ่ะ


.

.

.


           การใช้ชีวิตมัธยมปลายไม่ได้ยากเย็นอย่างที่น้องสมุทรเคยกลัว การเรียนที่โรงเรียนนี้ค่อนข้างสบายในความรู้สึกของผม หรืออาจเป็นเพราะน้องสมุทรค่อนข้างจะเป็นเด็กหัวดีในเรื่องของการเรียน แต่เรื่องอื่นๆรอบตัวค่อนข้างโง่ ไอ้มาร์ชมันชอบด่าแบบนั้น น้องสมุทรใช้ชีวิตในการเรียนผ่านมาด้วยดีได้ตั้งหนึ่งเทอมแล้วนะบอกก่อน โดยในทุกๆวันน้องสมุทรจะมีกิจวัตรของตัวเองก็คือการมาถึงโรงเรียนแต่เช้า เพื่อที่จะได้ไปจองที่นั่งข้างสนามบาสให้ทันเพื่อแอบมองพี่พระจันทร์เล่นบาส ส่วนตอนเย็นก็รีบไปนั่งเฝ้าที่อัฒจันทร์ของสนามบอล เพราะพี่พระจันทร์จะมาเตะบอลกับเพื่อนๆเค้าในตอนเย็น  พี่พระจันทร์เป็นคนสวยขาที่ขยันออกกำลังกาย เตะบอล เล่นบาส เล่นวอลเล่ และยาวไปถึงต่อยมวย!



ในหนึ่งเทอมที่ผ่านมา กิจกรรมจำเป็นในช่วงกลางวันของน้องสมุทรก็มีเช่นกันนะ นั่นก็คือการแกล้งๆเดินผ่านห้องเรียนม.6ของพี่พระจันทร์แบบเนียนๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ทางผ่านที่จะเดินไปห้องเรียนก็ตาม แบบว่า แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย และสุดท้ายจะจบลงที่โดนพ่อมาร์ชด่าทุกที หรือบางทีก็เจอพี่พระจันทร์ตามบันได หรือเดินสวนกันในโรงอาหาร ทุกที่ทุกทางที่บังเอิญเจอกัน ก็คือไม่ใช่เรื่องบังเอิญ น้องสมุทรจดจำไว้หมด แล้วเอาตัวเองไปยืนแถวๆนั้นมาตลอด ก็อยากจะอยู่ในสายตาของเค้าบ้างนี่นา แล้วก็ไม่อยากจะบอกว่าขนาดเวลาจะกินข้าวพี่พระจันทร์ก็ยังดูดี แขนที่ทำองศา45แล้วเลื่อนช้อนเข้าปากมันสุดยอดไปเลย น้องสมุทรเคยแอบมองอ้าปากหวอมองตาค้างในความน่ารักจนพี่พระจันทร์หันมามองกันด้วยครั้งนึง ตอนนั้นตกใจจนพ่นน้ำที่กำลังยกดื่มใส่หน้าไอ้มาร์ชไปทีนึงด้วย



ก็จะให้ทำยังไงได้อ่ะ ก็พี่พระจันทร์ของน้องสมุทรน่ะน่ารักน่าชังเป็นคนสวยขาในสายตาน้องสมุทรมากๆเลยนี่นา อยากได้ๆ อยากได้มาเป็นเมียให้แม่ได้ภูมิใจว่าเมียน้องสมุทรน่ะสุดปัง!



   กลับมาที่เรื่องเรียนของน้องสมุทร ไม่มีอะไรยากเลย แต่มันก็จะมีวิชานึง วิชาเดียวที่ทำให้น้องสมุทรอยากกัดลิ้นตายและวิ่งหนีหายกลับบ้านไปซะ เกลียดฉิบหาย เกลียดสุดๆไปเลยโว้ย!



“ไอ้สมุทร กันสิวะ กันมันเอาไว้สิวะ” 



‘ผลัก!’



ปัดโถะ แล้วจะให้กูกันไอ้แชมป์ตัวใหญ่เป็นควายแบบนั้นได้ไงไหว กูก็ตัวแค่นี้! น้องสมุทรอยากจะหันไปตะโกนบอกไอ้มาร์ชแบบนั้นเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไอ้แชมป์มันเบียดจนน้องสมุทรกระเด็น ตัวสูงใหญ่ของมันที่เลี้ยงลูกบาสผ่านตัวน้องสมุทรไปหน้าตาเฉย ง่ายๆชิวๆ ส่วนกูก็เป็นไอ้งั่งที่กันมันเอาไว้ไม่อยู่



‘ชู๊ด ตุบ’



ลงห่วงสามแต้ม



หึ้ย!



น้องสมุทรเกลียด น้องสมุทรเกลียดวิชาพละที่สุดเลยโว้ย!!



‘ตุบ’



“โอ๊ย!”



และในตอนที่กำลังยืนโง่ๆมองอีกทีมเลี้ยงลูกบาสไปอยู่นั่น ก็มีวัตถุทรงกลมบางอย่าง มองตามไม่ทัน เพราะมันหล่นมาใส่หัวน้องสมุทรแบบเต็มแรง ทำเอามึนงงๆจนร่วงทรุดลงนั่งกุมหัวกับพื้นไปในทันที



“เห้ยน้อง เป็นอะไรเปล่าวะ”  เสียงดังที่ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงนกหวีดและเสียงโวยวาย ก่อนจะตามมาด้วยเงาดำที่ทาบทับตัวของผมไว้ทั้งตัว เงยหน้าขึ้นไปมองก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น



“เลือดกำเดาไหลเลยหรอวะ สัด ลุกดิ มึงจะนั่งอยู่ทำไม” คนตรงหน้าขมวดคิ้วในตอนที่เจ้าตัวก้มลงมองหน้ากัน



“พ...พี่พระจันทร์” ได้แต่เรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆ ทำไมพี่เค้าถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ ต่อหน้าน้องสมุทรที่ล้มลงไปกองกับพื้นแบบนี้ สภาพไม่เท่ต่อหน้าคนสวยขาแบบนี้ได้ไงวะตัวกู น้องสมุทรอยากร้องไห้อุ๋งอิ๋งเลย



“พึมพำเหี้ยไร มึงจะนั่งให้เลือดไหลหมดตัวหรือไง ลุก!” ฝ่ามือแข็งแรงที่เอื้อมมาดึงแขนผมให้ลุกขึ้นยืน ผมยังมึนๆงงๆกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอโดนอีกคนดึงให้ลุกขึ้นยืนแบบไม่ทันตั้งตัวก็เลยเซไปชนเข้ากับอีกฝ่ายเต็มๆแรง โชคดีที่พี่พระจันทร์ยังเอามือโอบเอวกันไว้ได้ทัน 



“ข..ขอโทษครับ”



“เฮ้อ”  เค้าถอนหายใจออกมานิดหน่อย ก่อนที่ผมจะต้องตกใจอีกเป็นครั้งที่สาม เมื่อพี่พระจันทร์ก้มตัวลงช้อนตัวผมขึ้นมาทั้งตัวในท่าเจ้าสาว



“เหวอออ….พ พี่...” เหวอดิ เหวอมาก พี่พระจันทร์จะมาอุ้มน้องสมุทรท่านี้ไม่ได้นะครับ!



“อยู่นิ่งๆ ถ้าดิ้นตกลงไป เจ็บขึ้นมาอีกก็เรื่องของมึงแล้วนะคราวนี้” ก้มหน้ามองหน้าผมแล้วพูดออกมานิ่งๆ สายตาที่มองมาที่ผมแบบไม่ใส่ใจ คำพูดนิ่งๆที่ฟังแล้วจับใจความได้ว่าคงจะทำจริงๆ เพราะแบบนั้นผมเลยได้แต่เอามือไปโอบรอบลำคอของเค้าไว้อย่างจำใจ ฮื่อ...เชื่อเถอะ พี่พระจันทร์แค่เป็นเมียที่แข็งแรงสายสุขภาพเท่านั้นล่ะ เค้าเลยอุ้มผมได้ จริงๆพี่พระจันทร์คนสวยขาเป็นคนบอบบางน่าถนุถนอมจะตายไป



พี่พระจันทร์พาผมไปส่งที่ห้องพยายาม และคุณครูพยาบาลก็ทำการห้ามเลือดกำเดาที่ไหลให้เรียบร้อย โดยมีอีกคนที่ยืนรอกันอยู่ตรงมุมห้องนิ่งๆ สีหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร รวมทั้งไม่แสดงตัวด้วยว่าทำไมตัวเค้าถึงมาอยู่ตรงนี้ด้วย เราสองคนที่เดินออกมาจากห้องพยาบาลพร้อมกัน แล้วหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าห้องพยาบาลนั่น ผมช้อนตาขึ้นไปมองเค้า พร้อมยกมือขึ้นดันกรอบแว่นเล็กน้อย จะทำอะไรดีวะ ควรพูดอะไรออกไปดีวะ เลิ่กลั่กๆ คิดสิไอ้น้องสมุทร มึงไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้ได้ง่ายๆนะเว้ย เอาไงๆ



“ขอโทษทีที่กูเตะบอลอัดหัวมึง”



“ห๊ะ...ค ครับ?”



“เอ๋อแดกไปแล้วหรอวะ ยังไงก็โทษทีละกันที่ทำมึงเจ็บ” บอกออกมาด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา ดวงตาคมที่มีขนตายาวนั่นปรายสายตาลงมามองกันนิดๆ ก่อนจะละสายตากลับไป ในช่วงเวลาที่ผมอยากจะพูดอะไรตอบกลับไปสักอย่าง แต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อคนตรงหน้าแค่กลับหลังหันแล้วเดินแยกออกไปอีกทาง



“ผ...ผม ไม่เป็นไรครับ”  ได้แต่พูดออกมาแบบนั้นกับตัวเองด้วยเสียงเบาๆ มองตามแผ่นหลังของอีกคนที่ก้าวเดินออกไปไกลแล้ว แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอก หัวใจมันสั่นยิ่งกว่าเคย คนที่ทำผมสีชมพูอ่อนๆพาสเทลน่ารักที่ทำให้ผมตกหลุมรักในครั้งแรก และมากขึ้นทุกทีๆ แต่ก็ทำได้แค่แอบมองเค้าจากที่ต่างๆทุกทีเลย ...



แต่ครั้งนี้ได้คุยแล้วนะ ได้พูดว่าครับตั้งหนึ่งคำแหน่ะ... ดีกว่าทั้งเทอมที่ผ่านมาตั้งเยอะแหน่ะ



“ไอ้สมุทรมึงโอเคไหมวะ” ไอ้มาร์ชที่วิ่งมาหา มองดูเวลาที่ข้อมือ มันบอกเวลาว่าตอนนี้เลิกเรียนแล้ว



“...........”



“ว่าไงมึง เอาแต่ยิ้มทำเหี้ยอะไร เป็นยังไงบ้างวะ”



“มึง”



“เออๆว่าไง”



“กูได้คุยกับพี่พระจันทร์ว่ะ”



“ห๊ะ?”



“ตั้งหนึ่งประโยคแหน่ะ ... สักวันกูจะใกล้พี่เค้ามากกว่านี้ให้ได้เลย มึงคอยดูนะ”



“เออๆ เอาไงก็เอา ตอนนี้เลิกเพ้อแล้วกลับบ้านกันเถอะมึง”



คอยดูเถอะ สักวันน้องสมุทรจะมีความกล้ามากกว่านี้ ให้ได้ใกล้ชิดคนที่ชอบมากกว่านี้ให้ได้เลย...[/i][/color]



.

.

.



   ความคิดความคาดหวังในวันนั้น  ก็ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะมาเป็นจริงในวันนี้ได้  ผมหันไปมองที่หน้าคณะของตัวเอง รถคันหรูที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดีถูกจอดเทียบอยู่ที่หน้าคณะแบบเด่นสุดๆ ผมที่เดินลงมาจากตึกเรียนในเวลาสี่โมงเย็นก็ต้องชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารถคันนั้นมันเป็นของใคร



“เลิกช้าจังวะมึง อาจารย์คนไหนของมึงถึงปล่อยช้าขนาดนี้ บอกดิ๊กูจะไปจัดการให้” เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดีดังมาพร้อมๆกับเจ้าของร่างที่เดินเข้ามาหากันในชุดลำลองแบบที่ไม่ค่อยเห็นเจ้าตัวใส่มาในมหาลัย เสื้อยืดลายมัดย้อมสกรีนคำว่าCelineที่กลางอก กับกางเกงยีนส์ขายาวสีดำและรองเท้าแตะสีขาวยี่ห้อAdidas เป็นการแต่งตัวธรรมดาที่แพงฉิบหาย แถมยังปฏิเสธไม่ได้อีกว่าหล่อมากๆ



เออ ยอมรับเลยล่ะว่า เออมันหล่อ หล่อฉิบหาย ไม่อยากจะเหล่ แต่มันก็หล่อ มันหล่อเลยขอเหล่นิดนึงได้ไหมอ่ะ



“พี่พระจันทร์”



“ทำหน้าตาแปลกๆทำไมวะ อยากมองกูหรอ อ่ะ ยื่นหน้าให้มองเต็มๆไปเลยเป็นไง” คนที่มาหยุดยืนตรงหน้ากัน พูดออกมาแบบนั้นพร้อมยื่นหน้าเข้ามาหากันหน้าตาเฉย น้องสมุทรตกใจจนผงะ แต่พอช้อนตามองขึ้นไป ก็เห็นดวงตาคมดุของอีกฝ่าย พร้อมใบหน้าที่อ่อนโยนลงมากกว่าทุกที พี่พระจันทร์ที่มองตากันแล้วยกยิ้มมุมปากนิดๆ สายตาที่ทำเอาน้องสมุทรต้องหลบหน้า ก็ไม่รู้ทำไมถึงต้องร้อนหน้าขนาดนี้



“อะ กูซื้อสตอเบอรี่โยเกิร์ตสมูทตี้ปั่นมาให้” เค้าผละตัวกลับไปยืนตรงๆดีๆ พร้อมยื่นแก้วนั่นมาให้ ผมรับไว้แล้วดูดทันที มันยังเย็นอยู่เลย



“กูกะเวลาให้มึงลงมาจากตึกเรียนพอดีอ่ะ มันเลยยังเย็นอยู่ นี่ถ้ามึงลงมาไวกว่านี้ก็คงจะเย็นชื่นใจกว่านี้อีกนะ อาจารย์คนไหนของมึงปล่อยช้าขนาดนี้วะ” ว่าออกมาแบบนั้นพร้อมยกมือขึ้นมาเอาผมของผมทัดหูให้ รู้สึกร้อนข้างแก้มในจังหวะที่ฝ่ามืออุ่นๆนั่นลากผ่านไปอย่างบอกไม่ถูกเลย



“อ่า...พี่กะเวลาเพื่อไปซื้อมาให้น้องสมุทรหรอ”



“ก็ใช่น่ะสิ กินเย็นๆหลังเรียนวิชาผีบ้ามาสิถึงจะอร่อย เป็นไง ชื่นใจป่ะ”



“ครับ อร่อยครับ” ผมบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง คนตรงหน้าที่มองกันอยู่ตลอดก็พยักน้าพร้อมยกยิ้มตอบ



“อร่อยเท่ากูป่ะ”



“แค่กๆๆ” กูสำลักพรวดให้กับคำพูดของอีกคน ไอ้ค่อกไอแค่กออกมาเลยทันที



“ตายๆ ค่อยๆกินสิวะ ใครมันจะแย่งมึง”  ว่าแบบนั้นแล้วเอื้อมมือมาลูบหลังกันเบาๆ ... น้องสมุทรอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ได้กลัวใครแย่ง แต่สำลักคำพูดพี่นั่นแหล่ะ หึ่ย



“น้ำหูน้ำตาไหลหน้าแดงไปหมดแล้ว” พูดยิ้มๆแล้วยื่นมือมาลูบหัวผมอีกทีเป็นการตบท้าย ความรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ได้แต่เม้มปากแน่นๆ เลิกสำลักแล้วในตอนนี้ ถ้าจะสำลักอะไรสักอย่างอีกที น้องสมุทรก็คิดว่าคงจะสำลักความสุขจนจะล้นออกปาก นอนตะแคงยังไม่ได้เลอะ กลัวมันจะไหลออกทางหู



“ก็เพราะพี่พระจันทร์นั่นแหล่ะ ใครใช้ให้พี่พูดจาแบบนั่นเล่า”



“ก็แล้วกูพูดผิดตรงไหนวะ” เอื้อมมือมากอดคอผมเอาไว้ เอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูกันเบาๆอีกที



“มึงกินกูแล้วจริงๆ”



“พี่พระจันทร์!” น้องสมุทรแหวออกมาใส่เลย เงยหน้าคนที่เดินอยู่ข้างตัว อีกคนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เป็นครั้งแรกที่เห็นพี่พระจันทร์หัวเราะออกมาทั้งหน้าทั้งตาแบบไม่สงวนท่าที่ตัวเอง คนรอบข้างที่มองตรงมาที่เราสองคนแล้วเริ่มซุบซิบกัน แต่พี่พระจันทร์ก็ยังไม่สนใจ เค้าที่ทำแค่หันมาขำเสียงดังแล้วมองหน้าผมอยู่แบบนั้น พยักหน้าให้กันอีกที



“โอเคๆ มึงไม่ได้กินกู”



“ใช่!”



“อืมๆ ถูกของมึง...เพราะจริงๆกูกินมึงอ่ะเนาะ”



“พี่พระจันทร์!” สุดจะทนกับคนอย่างพี่มัน แหวออกมาเสียงดัง พร้อมยกมือขึ้นจะหยิกที่สีข้าง แต่คนข้างๆก็พลิ้วตัวหลบกันไปได้ก่อน ขายาวๆของพี่พระจันทร์ที่วิ่งหนีผมไปที่รถก่อนแล้วหน้าตาเฉยๆ



“เอ้า น้องหมุดวิ่งดิ วิ่งอีกหมุดวิ่งๆ”  กวนตีนไม่น้อย โดยการทำท่าปรบมือเรียกผมให้วิ่งไปหา คิดว่ากูเป็นเจ้าตูบสีขาน่ารักรึไง แต่ถึงแบบนั้น....ไอ้น้องสมุทรมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอดอยู่แล้ว แสนเชื่องของพี่พระจันทร์ กูวิ่งตามอีกฝ่ายที่ยืนรออยู่ที่ประตูรถฝั่งข้างคนขับทันทีเลย



“เชิญครับ วันนี้กูจะพามึงไปป้อนอาหารนะ” พี่พระจันทร์ที่เปิดประตูรถให้ผมแล้วบอกกันแบบนั้น มองหน้าอีกฝ่ายพร้อมถลึงตาใส่ทำหน้าดุๆ แต่พี่พระจันทร์ดูจะไม่ได้กลัวแถมยังทำแค่ยกยิ้มออกมาแบบมีลับลมคมใน



“ผมไม่ใช่สัตว์นะเว้ยพี่”



“ก็ไม่ได้ว่าเป็นสัตว์ไหมวะ มึงนี่คิดมากจัง ดูๆโมโหแล้วขนฟูเลยว่ะ”



“หึ่ย ก็สัตว์อยู่ดีไม่ใช่หรือไงวะ” ผมบ่นเบาๆออกไป แต่ถึงแบบนั้นก็เลือกที่จะไม่เถรงอะไรกับอีกฝ่ายอีก ทำแค่มุดตัวผ่านอกแกร่งนั่นเข้าไปในรถคันหรู



              คฤหาสหลังงามที่มีกำแพงบ้านสูงตระหง่านและมีเนื้อที่หลายไร่ทำเอาผมอ้าปากค้าง หน้ารั้วบ้านขนาดใหญ่มีป้ายหินสลักประดับไว้เขียนเอาไว้ให้ได้อ่านว่า ‘เตชะณรงค์กร’ บ้านสไตล์โมเดิลที่ผสมผสานกลิ่นไอของความเป็นจีนหน่อยๆทำเอาผมอ้าปากค้าง หันไปมองคนข้างๆที่ขยับมือเข้าเกียร์พร้อมๆกับที่รถคันหรูก็ค่อยๆจอดนิ่งสนิท ก็พี่พระจันทร์หันมามองหน้าผมนิดๆ พร้อมทำหน้าเหมือนว่าผมกำลังเป็นอะไร



ก็ต้องเป็นสิ ที่นี่ที่ไหน มาทำไมก่อน



“ที่นี่คือ...”



“บ้านกูเอง” ตอบออกมาง่ายๆสบายๆเหมือนบอกว่าวันนี้อากาศดีจัง มันใช่หรอวะ!



“บ้านพี่!” เผลอตะโกนขึ้นเสียงดัง ตอนแรกตกใจ นึกว่าพี่พระจันทร์จะเอากูมาขาย มองเห็นชายชุดดำอยู่ตามมุมตามทางต่างๆตั้งแต่รถคันหรูแล่นเข้ามาจอดในโรงจอดแล้ว .... ยังกับบ้านมาเฟีย!



“ใช่ บ้านกู ปะ” ปะอะไร ไปไหน กูไม่ไปจ้า



อยู่ๆก็รู้สึกเหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผม และตามฝ่ามือ การได้มาบ้านพี่พระจันทร์แบบนี้ มันก็หมายความว่าในบ้านก็ต้องมีพ่อแม่พี่เค้าสิวะ แล้วน้องสมุทรจะทำยังไง โอ้โห ไม่ไหวไหม ไม่เอาไม่อยากลงจากรถแล้วอิเหี้ย รู้สึกตื่นตกใจจนตดจะแตก



“ลงมาสิ” อีกฝ่ายที่ลงจากรถแล้วเดินมาเปิดประตูให้กัน พี่พระจันทร์วางแขนท้าวไว้ที่กรอบประตูฝั่งของผม แล้วก้มหน้าลงมามองกัน แต่ไอ้น้องสมุทรคนนี้ก็ไม่ยอมลง กูเอาตูดแนบไปกับเบาะสุดฤทธิ



“พี่พระจันทร์ ไม่เอา”



“ไม่เอาอะไร กูไม่ได้จะพามึงมาเอา พามากินข้าวเนี่ย ลงมา”



“ไม่ๆ น้องสมุทรไม่หิว”



‘จ๊อกกก~’



สัด อยากร้องไห้น้ำตาไหลพราก แล้วไอ้ท้องเหี้ยนี่มันจะมาร้องครวญครางต่อหน้าต่อตาคนที่กูชอบทำไมก่อน หน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดูร้อน แต่เป็นเพราะว่ากูอายมาก ช้อนตามองพี่พระจันทร์ที่กำลังกลั้นขำจนจมูกบาน หึ่ย เกร็งไว้สุดตัวจนหน้าเบี้ยว



“ไม่หิวๆ เชื่อแล้วล่ะ”



“ก็แล้วจะล้อกันทำไมนักเล่า!”



“โอเคๆ ไม่ล้อ” ถึงจะบอกแบบนั้นพร้อมก้มตัวลงมาปลดสายเบลล์ให้กัน แต่ก็ยังเม้มปากแน่นอย่างคนพยายามจะไม่หลุดขำออกมาอยู่ดี อายฉิบหาย น้องสมุทรที่โดนเยเย่ไปทีเดียวไม่เหลือแล้วความสง่าผ่าเผยที่จะไปเป็นผัวพี่พระจันทร์ ไม่เหลืออะไรแล้ว!



“ปะ นู้น อากูออกมารอแล้ว” พี่พระจันทร์ที่บอกออกมาแบบนั้นพร้อมเอื้อมฝ่ามือมาจับมือของผมไว้ ความรู้สึกอุ่นๆแทรกผ่านมาพร้อมกับฝ่ามือและปลายนิ้วเรียวยาวที่แทรกเข้ามาที่ฝ่ามือของผม หันหน้าไปมองคนข้างตัวที่ดึงมือผมให้เดินตามเข้าไปโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือ



“ไม่ต้องเกร็งมากหรอก ครอบครัวกูใจดี” 



“กว่าจะเสด็จกลับมาบ้านได้นะพี่พระจันทร์” ผู้ชายรูปร่างบอบบาง ใบหน้าสวยหวานที่มีดวงตาคมกำลังส่งยิ้มมาให้พี่พระจันทร์พร้อมพูดออกมาแบบนั้น ท่าทางกริยาที่เรียกได้ว่าแค่มองนิดเดียวน้องสมุทรก็รู้เลยว่าเป็นผู้ดี



“อาเมลอย่าบ่นมากไม่ได้หรอครับ”  คนข้างตัวผมว่าแบบนั้น แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่สายตากลับเป็นประกาย ท่าทางที่ผมเห็นมันบอกผมได้ว่าเค้ากำลังมีความสุข พี่พระจันทร์ปล่อยมือผม ก่อนจะเดินเข้าไปกอดคนที่เค้าเรียกว่าอาเมล



“พอๆเลิกกอดเมียป๊าได้แล้วไอ้เสือ”  เสียงเข้มของคนมาใหม่ที่เดินออกมาจากตัวบ้านพูดขึ้น ร่างสูงที่อายุน่าจะประมาณสี่สิบ หรืออาจจะยังไม่ถึงเพราะหน้าตายังหล่อมากๆ แถมบุคลิคก็ยังดูดี ร่างสูงไหล่แกร่งที่อยู่ในชุดเสื้อเชิตสีขาว ปลดกระดุมมีเนคไทน์ที่ถูกปลดเอาไว้หลวมๆกับกางเกงสแลคสีดำ มาดนิ่งๆกับสายตาคมเข้มคิ้วหนาที่แผ่อำนาจออกมาจนน้องสมุทรต้องหลบสายตา ท่าทางกริยาที่เหมือนว่าพี่พระจันทร์จะได้มาจากเค้าแบบเป๊ะๆ แต่ถึงแบบนั้นก็หล่อมากจริงๆ หล่อแบบที่เรียกว่าแด๊ดดี้ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อได้เลยล่ะ



“ป๊าทัพ นี่จันทร์เองนะ”



“รู้” ตอบรับออกมาสั้นๆในลำคอแบบไม่ยอมอ่อนข้อให้ลูกแม้แต่นิดเดียว



“ขี้งก”



“หึ” ป๊าทัพ ที่พี่พระจันทร์เรียกก่อนหน้านี้หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะปลายสายตามามองผม ทั้งอาเมล ป๊าทัพของพี่พระจันทร์ และรวมถึงเด็กตัวเล็กๆที่อายุไม่น่าจะเกินขวบครึ่งที่ผมพึ่งสังเกตเห็นว่าถูกป๊าทัพอุ้มอยู่ในอ้อมแขนนั่นหันมามองผมกันหมด



“เอ่อ...”  อึกๆอั่กๆเหงื่อแตกพลั่กๆอย่างทำอะไรไม่ถูก สถานการณ์แบบนี้ใช่หรือไม่ ที่คนเค้าเรียกว่ามาพบครอบครัวผัว หงึก .... แต่ไม่ได้รู้มาก่อนว่าครอบครัวผัวจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้ แล้วก่อนหน้านี้ในอดีตกูก็กล้าอยากจะได้เค้ามาทำเมียเนอะ! เกือบโดนยิงตายแล้วไอ้สมุทรเอ๊ย



“สมุทร”



“ค...ครับ สวัสดีครับ” สะดุ้งตกใจตอนที่พี่พระจันทร์เรียกกัน ผมช้อนตามองพวกเค้าแล้วยกมือไหว้แบบเลิ่กๆลั่กๆ



“ชื่อน้องสมุทรหรอ ชื่อน่ารักเหมือนตัวเลยนะ” อาเมลเป็นคนพูดออกมาก่อนพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มสวยๆที่ทำให้ผมละสายตาไปไม่ได้



“แล้วน้องสมุทรเป็น....”



“เป็นคนที่ชอบพี่พระจันทร์มากๆครับ!” เหยดแหม่! ตะโกนออกไปเสียงดัง ทำเอาอาเมลผงะเล็กน้อย ส่วนป๊าทัพที่มองกันอยู่ตลอดก่อนหน้านี้ก็เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย เด็กตัวเล็กที่ป๊าทัพอุ้มอยู่ก็ถึงกับเอียงคอมองผมเล็กๆ เหมือนจะงงว่าไอ้พี่คนนี้มันตะโกนออกมาทำไม ...



เออนั่นสิ แล้วกูจะตะโกนออกมาทำไม พูดออกมาเพื่อ!! ไอ้สมุทรนะไอ้สมุทร มึงจะประกาศไปเพื่อนใคร~



“อ อ่อ...ชอบพี่พระจันทร์หรอเนี่ย ฮ่าๆ น้องสมุทรน่าสงสารจังเลยครับลูก มาตกหลุมรักเจ้าเด็กดื้อคนนี้เนี่ยน้า” อาเมลที่ดูจะตั้งสติได้ก่อนใครพูดออกมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ผมที่เม้มปากเข้าหากันแน่นๆ ยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองทีนึง ทำเรื่องหน้าอายแบบนี้ออกไปได้ยังไงกันวะ ปรายสายตาไปมองหน้าพี่พระจันทร์ที่มองกันมาตลอดไม่หยุด เจ้าตัวก็ทำแค่อมยิ้มออกมา ก็แล้วจะยิ้มแบบนั้นทำไมละเว้ย ยิ่งยิ้มน้องสมุทรก็ยิ่งอาย อยากกลั้นหายใจให้ตายๆไปเลยแม่ง!



“นั่นสิ ไหนบอกมาสิไอ้เสือ เอาน้ำมันพรายดีดเค้าใช่ไหม ใช้กำลังบังคับน้องเค้ามาหรือเปล่า”



“ใครมันจะทำแบบนั้น มันช่วยไม่ได้ ก็จันทร์หล่อ”



“กูจะอ้วก” ป๊าทัพว่าออกมาแบบนั้นแล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น รวมถึงเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน



“หัวเราะอะไรเนี่ยน้องซัน รู้เรื่องหรอเรา” พี่พระจันทร์เดินเข้าไปหอมแก้ม



“ทิดๆ”



“ไม่ใช่ทิด นี่จันทร์”



“ทิดๆ จานๆ ทิดจาน”



“เฮ้อ พูดไม่ชัดก็ขยันพูดจังวะ” ผมมองภาพสุขสันต์ตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่ก็รู้สึกอดจะยิ้มกว้างๆออกมาไม่ได้เลยจริงๆ พี่พระจันทร์ที่หันกลับมามองผมแล้วยกยิ้ม สายตาและสีหน้าของเค้าที่บอกได้ว่ากำลังอารมณ์ดีแบบสุดๆ



“นี่ครอบครัวของกู ป๊าทัพ อาเมล และนี่น้องซัน ... ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวกูนะสมุทร



เค้าว่าออกมาแบบนั้นพร้อมเอื้อมมือมาหาผม ฝ่ามือที่ส่งมาเหมือนกำลังบอกว่าให้เอื้อมมือออกไปจับมันไว้ เส้นทางที่มึงรอคอยรออยู่ข้างหน้านี้แล้วไงสมุทร ก็แค่เอื้อมมือคว้าและจับมันเอาไว้ ช้อนตามองหน้าอีกฝ่ายมองตาคมสวยของพี่พระจันทร์ รอยยิ้มสีหน้าของเค้าให้ชัดก่อนตัดสินใจในครั้งนี้



‘หมับ’



“ฝากตัวด้วยนะครับ”



   แม้ผมจะรู้ดีว่าที่พี่พระจันทร์ทำให้กันอยู่ในตอนนี้ มันจะเป็นแค่เพราะความรู้สึกผิดจากเรื่องเมื่อวันนั้น แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเผลอใจอกฟูรูฟิตมีความสุขแบบสุดๆไม่ได้อยู่ดี ผมเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้มันจะดำเนินต่อไปอีกนานเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้ามันไว้ ... แม้ว่ามันจะเป็นความสุขแค่ชั่วคราว เป็นเรื่องราวแค่ชั่วคืน แต่ถึงแบบนั้นก็ให้ฝันแบบไม่ยอมตื่นสักหนึ่งคืนก็ยังดี



...

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่18 (160422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 16-04-2022 21:25:55


“พี่มาร์ชฮะ แทนอยากเข้าไปดูร้านนั้นอีก กระเป๋าใบนั้นน่ารักมากๆเลยฮะ”



“อ่อครับ งั้นก็เอานี่ไป พี่รออยู่นี่ละกันนะ” ผมพูดออกไปแบบนั้นพร้อมยื่นการ์ดส่วนตัวของผมไปให้ กูไม่ไหวจะเดินเข้าเดินออกทุกร้านหรอกนะ เหนื่อยไอ้เหี้ย แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเก็บสีหน้าได้ดีเหมือนเคยแหล่ะกูน่ะ คนตรงหน้าไม่ได้งอแงอะไรอีกรับบัตรในมือผมไปอย่างว่าง่ายแล้ววิ่งออกไปหน้าตาเฉย



K ... แอปนัดเอาแม่งสุ่มใครมาให้กูวะ



ถึงจะบอกว่าการเอาที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่เลว เอวดีใช้ได้ แต่การที่ต้องพามาเอาอกเอาใจตลอดนี่มันก็เกินไป จริงๆถ้าเป็นคนอื่นเยเสร็จก็คงทางใครทางมัน แต่ผมไม่มีนิสัยแบบนั้น ถึงจะน้ำแตกกันแบบวินวิน แต่ผมก็อยากจะเทคแคร์คู่นอนชั่วคืนของตัวเองให้ดีสักหน่อย แต่กูว่านี่เริ่มจะดีไป กูเองก็เหนื่อยเป็นไอ้สัด



‘พลัก’



โยนถุงกระดาษหลายแบรนด์ที่ใช้เงินตัวเองซื้อให้คนเมื่อกี้ลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจว่ามันจะกี่บาท ก่อนตัวเองจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยๆ ปวดตีนฉิบหาย



“เห้ย มานั่งทำไรตรงนี้วะเมียกู” เสียงคุ้นหูที่ลอยมาแบบไม่เข้าหูทำเอาขมวดคิ้วแน่น พอเงยหน้าขึ้นก็ชัดเลย กูว่าแล้ว โลกกลมเหี้ยไรนัก



“มองเห็นผัวแล้วเบ้หน้านี่มันหมายความว่า...”



“หมายความว่ามึงเป็นKอะไรล่ะสัดพี่ยอร์ชไอ้เหี้ย”



“ยศกูยาวอยู่นะว่าไป” มันว่าออกมาแบบนั้นอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ก็บอกแล้วว่ามันเป็นคนหน้าด้านมากในจุดนึง ไม่งั้นมันจะตามตื๊อไอ้สมุทรไม่เลิกทั้งๆที่รู้ว่าเค้าไม่มีใจได้หรอ



“มองหน้ากูแบบนั้น ด่าอะไรกูในใจ”  แสนรู้ฉิบหาย



“แล้วพี่มาทำไรที่นี่”



“มาห้าง คิดว่ากูคงมาเดินแบบหรอ”



“กวนตีนไอ้เหี้ย คนยิ่งเหนื่อยๆ” ขมวดคิ้วใส่แม่ง ไม่น่าเสียเวลาชวนคุยเลยไอ้สัด



“มึงเหนื่อยอะไรนักวะ แต่ว่าสีหน้ามึงก็โรยๆนะ เสียน้ำหนักหรอ” ว่าแบบนั้นพร้อมเอื้อมมือมาจับที่ปลายคางของผม แล้วจับให้เชิดขึ้นไปมองหน้าพี่มันอีกที



“เจ็บนะเว้ย”



“จับนิดจับหน่อยเป็นร้อง บอบบางจังวะ”



“ใครมันจะหนาแบบมึง”



“หมายถึงKกูหรอ หนาก็ใช่ แต่ยาวด้วยนะ มึงดูป่ะ”



“โว๊ะ รำคาญไอ้เหี้ย กูก็มียังไม่อยากจะโชว์”



“เก่งว่ะ มันสู้นะ”  พี่ยอร์ชยกยิ้มมุมปาก มันดูจะสนุกขึ้นมานิดนึงที่ได้เถียงกับผม คนตรงหน้าที่ยกแก้วไอติมสตอเบอรี่ของตัวเข้าปาก ... กูอ้าปากค้างเลย โคตรจะคอนทราส บึกบึนมากๆแต่แดกไอติมชมพูสตอเบอรี่อ่ะเนอะ



“มองแบบนั้นหมายความว่าไง บูลลี่รสนิยมกูหรอ”



“ใครว่าไรยัง”



“สีหน้ามึงแม่งดูออกง่ายว่ะ ว่าแต่มาทำไรตรงนี้วะ ไปหาไรแดกกับกูป่ะ”



“มาชวนกูนี่มึงไม่มีคนคบหรือไง” ผมยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้างแล้วกอดอกเชิดหน้าถามคนที่ยังยืนค้ำหัวกันอยู่ตอนนี้ มันทำหน้านิ่งๆออกมาพร้อมถอนหายใจ



“ก็...”



“อย่าบอกกูว่าจริงนะ” ผมเลิกคิ้วถาม



“ก็ไม่เชิง แต่ไอ้อาทิตย์แม่งไม่คุยกับกูตั้งแต่วันนั้น แล้วเพื่อนกูอีก3คนแม่งก็ไปกับแฟนหมด เลยเหลือแต่กูเนี่ย”



“เหอะ สมว่ะ”



“กวนตีนว่ะ จะไปป่ะ ไม่ไปก็แล้วแต่ไอ้สัด กูไปละ” ไม่ง้อกูด้วย ทั้งๆที่ก็ไม่มีทางเลือก ผมปรายสายตาไปมองอีกทาง มองเห็นผู้ชายร่างบางที่เดินกลับมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือถือถุงช็อปปิ้งอีกสองถุงมา หยิบมือถือที่พึ่งขึ้นแจ้งเตือนบอกว่าบัตรเครดิตถูกตัดไปอีกกี่บาท ถอนหายใจออกมาหนักๆทีนึงเลยกู



“เดี๋ยวพี่มึง” ไวเท่าความคิดก็คว้าท่อนแขนของมันเอาไว้ได้ทัน คนร่างสูงตรงหน้าเลิกคิ้วมามองกัน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เด็กแทนวิ่งกลับเข้ามาถึงตัวผมพอดี



“พี่มาร์ชฮะ น้องแทนมาแล้ว เอ๊ะ ... ว่าแต่นี่ใครหรอฮะ”  น้องเค้าถามออกมาแบบนั้น ก่อนที่ดวงตากลมจะวาววับแล้วยิ้มหวานออกมาตอนเห็นหน้าไอ้พี่ยอร์ช ... โอ้ไอ้สัด



“สวัสดีฮะ ผมแทน แล้วพี่คือ....” น้องแทนยิ้มหวานส่งไปให้ไอ้พี่ยอร์ช พร้อมฝ่ามือเรียวสวยที่ยื่นออกไปแบบตั้งใจจะจับมือทำความรู้จัก กูอุทานว่าไอ้สัดรัวๆในใจไปสิบรอบ ก็แรดเหี้ยไรนักอ่ะ



“ยอร์ช”



“ชื่อพี่ยอร์ชหรอฮะ เท่จัง พี่มาร์ชนี่ก็นะ มีเพื่อนหล่อๆแบบนี้ทำไมไม่แนะนำกันบ้างอ่า”  อ๋อ...กูจะแนะนำได้ทันได้ไง ก็ก่อนหน้านี้มึงพึ่งนอนเอากับกู กูคงมีเวลามาแนะนำหรอกมั้งครับ



ไอ้เหี้ย ช็อคกับความแรดของคู่นอนคืนเดียวของกูครับ ปลายสายตาไปมองถุงช็อปปิ้งที่อยู่ในมือและที่พื้นนั่นแล้วฉุนขึ้นมาทันที



“อ๋อ พอทีว่าพี่ก็ไม่ได้อยากให้น้องแทนรู้จักขนาดนั้นอ่ะครับ” ผมว่าออกไปแบบนั้น น้องแทนหันมามองหน้ากันแล้วทำสีหน้าเขินอาย ฝ่ามือเล็กๆนั่นยกมือขึ้นมาตีแขนผมเบาๆ



“พี่มาร์ชอ่า อย่าหึงสิครับ”



“ครับพี่หึง”



“โถ่ น้องแทนไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” จีบปากจีบคอ เอามือทัดผม โหสวยเนอะ



“ดีจังที่น้องแทนไม่ได้คิดอะไร เพราะถ้าคิดพี่คงไม่ยอม....”



“อ่า ไม่คิดฮะๆ”



“ดีละ เพราะพี่ไม่ชอบให้ใครมาเจ๊าะแจ๊ะกับผัวพี่ครับ”



“ห๊ะ....”



เหมือนบรรยากาศโดยรอบหยุดหมุน น้องแทนตรงหน้าที่ยิ้มค้าง ก่อนจะชะงักสีหน้ามามองกันแบบงงๆ ผมยกยิ้มมุมปากหรี่ตามองนิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปคล้องแขนไอ้สัดพี่ยอร์ชมันเอาไว้ และอีกคนก็เหมือนจะรับมือกับสถานการณ์ได้ดีด้วยการยกมือมาโอบรอบเอวผมในทันที



“ไม่จริง! พี่หรอกแทนแบบนี้เพราะหึงหรอ พี่พึ่งจะ...กับแทนเองนะ จะเป็นเมียพี่ยอร์ชได้ไง”



“อ่อ เด็กนี่หรอเมียรัก ที่เมียรักไปลองมา เป็นไง สู้ผัวมึงคนนี้ได้ไหม” ไอ้พี่ยอร์ชพูดโพร่งออกมาแบบนั้น ไม่มีใครคิดบท กูยังไม่ได้ส่งซิกสักนิด แต่มันต่อบทได้เองแบบเป็นธรรมชาติ ผมเงยหน้ามองมันที่ก็กดสายตามองกัน แววตาวาบหวามที่ทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ



“ว่าไงครับ ฟินสู้เวลาผัวแบบกูกระแทกมึงได้ไหม”



“นี่มัน...ไม่จริงอ่ะ” ไอ้น้องแทนว่าออกมาแบบนั้น มองทั้งผมกับไอ้พี่ยอร์ชอย่างสับสน หันไปมองหน้าเด็กนั่น แล้วเอื้อมมือไปดึงบัตรเครดิตในมือน้องมันมาถือไว้ ก่อนจะหันกลับไปกดยิ้มใส่พี่ยอร์ชมันแทน



“ฟินสู้เวลาผัวจ๋ากระแทกแรงๆเข้ามาไม่ได้เลยครับ”



“กูบอกแล้วไง ไม่มีใครถึงใจเท่ากูแล้ว ... ส่วนน้อง ขอโทษทีนะที่ต้องเป็นหนูทดลองให้เมียรักของพี่”



“ขอโทษทีนะน้องแทน ส่วนของพวกนี้ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนในการทดลองของพี่นะครับ ... แล้วก็ อย่าไปอ่อยใครแบบเปิดเผยแบบนี้อีกน้า มันดูแรด”



“พ..พี่!!”



“ไปกินข้าวกันเถอะเมียรัก กูหิวจนจะแดกมึงได้ทั้งตัวแล้วครับ” พูดออกมาเสียงดังให้น้องแทนมันได้ยิน พร้อมเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ๆแก้มผมจนต้องเบี่ยงหน้าหนี ไอ้สัดนี่ มึงชักจะเล่นเกินบทมากไปละนะ!



#รักอยู่รู้ยัง

------------------------------------

อุ๊ยยย มีตัวละครใหม่ เด็กคนนั้นเค้าคือใครคะ อิอิ ไม่รู้ๆๆๆๆๆ

ส่วนใครพึ่งมาอ่านเรื่องนี้ แล้วส่งสัยว่า ทัพเมล คือใคร

สามารถไปหาอ่านกันได้ในเรื่อง Mistakes...หลงร้าย นะคะ (ขอขายของเก่านิดนึง)

ส่วนในตอนนี้ จะพูดถึงอดีตตอนช่วงสมัยน้องอยู่ม.4 แล้วพี่พระจันทร์อยู่ม.6นะคะ จริงๆตั้งใจว่าจะเล่าทั้งหมดเลย

แต่กลัวคนอ่านจะเบื่อถ้ามีแต่เรื่องในอดีต แคทเลยตัดสลับกลับมาที่ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นต่อจากนี้

อาจจะมีเรื่องราวของอดีตที่จะเฉลยมาเรื่อยๆ รวมถึงเฉลยเรื่องในตอนต้นที่ว่า น้องสมุทรกับพี่พระจันทร์ เค้าเคยมีความหลังอะไรกันมา

ส่วนเรื่องพี่ยอร์ช และน้องมาร์ชน้าน มาในตอนนี้ หวังว่าจะมีคนถูกใจในความจัดจ้านของคู่นี้นะคะ

มาลุ้นกันว่าจะมีใครลงเรือถูก หรือเรือผิดโพกันบ้างอ่ะเปล่า อิอิ

ทั้งนี้ทั้งนั้น แคทหวังว่าคนอ่านจะอยู่ด้วยกันไปถึงในตอนสุดท้าย หวังมากๆว่าทุกคนจะยังสนุกกับงานแคทเหมือนเรื่องอื่นๆ

หวังว่างานเขียนของแคทจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้คนอ่านของแคทมีวันดีๆได้อีกหนึ่งวันนะคะ

 :pig4: :L1: :3123: :กอด1:


 
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่18 (160422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-04-2022 00:08:04
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่18 (160422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 18-04-2022 00:11:47
เต็มอิ่่มมากกกก
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่18 (160422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 21-04-2022 13:54:37
ชอบความแสบของน้องมาร์ชสุด :m20:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่19 (230422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 23-04-2022 20:51:28
บทที่19



          ในร้านอาหารญี่ปุ่นกลางห้างใหญ่แถวอโศก ที่โต๊ะตัวสุดท้ายด้านในสุดของร้าน บริเวณที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวถูกชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนจับจองอยู่ในตอนนี้ อาหารถูกสั่งมาจนเต็มโต๊ะ เนื่องจากว่ามีคนอาสาว่าจะเลี้ยง เพราะแบบนั้นก็เลยสั่งมาเอามันส์แบบที่เจ้ามือในมื้อนี้ถลึงตาใส่ แต่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ยังไม่หยุดสั่งอยู่ดี



“ตายอดตายอยากมาจากไหนนักมึงอ่ะ” มันว่าแบบนั้น เลยทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าของเมนู



“ก็กูหิว อีกอย่างพี่มึงบอกว่าจะเลี้ยงไม่ใช่หรือไง”



“แล้วมึงคิดไหมถ้ากูไม่มีจ่าย มึงก็ต้องไปล้างจ้าน”



“เหอะ ถ้าพี่ไม่มีจ่าย เดี๋ยวกูไปจ่ายเองก็ได้ แต่ก็นะ ระดับคุณยอร์ช โยธา ศิริรัตน์มงคล แค่นี้ขนคงไม่กระเด็นหรอกมั้งครับ”



“ขนที่ว่านี่คือขนตรงไหนหรอครับที่มึงหมายถึง” ถามพร้อมยกยิ้มมุมปากมองกัน สายตาที่มองออกว่ามันกำลังทะลึ่งตึงตังกับกูอีกแล้ว เห็นแบบนั้เลยทำหน้าตึงแล้วอ้าปากพงาบๆ ออกไปโดยไม่ออกเสียงส่งไปให้มันว่า ‘K’



“กูรุ่นพี่มึงนะ ดูพูดจา”



“แล้วผมทำไรพี่ยอร์ชยังครับ” จีบปากจีบคอทำหน้าตาน่าสงสารใส่ มันส่ายหัวนิดๆ อย่างยอมจำนน แบบคนที่ไม่รู้จะเถียงอะไรออกมาอีก ก็ถือว่าดีละ เพราะตอนนี้หิวจนตาลาย ไม่ไหวจะมาเถียงกับมันหรอก



“ว่าแต่...มึงเองนี่ก็สนใจไคร่รู้ในตัวกูเหมือนกันนะเนี่ย” มันที่เอามือขึ้นมาวางค้ำกับปลายคาง ดวงตาคมเข้าคู่กับดวงหน้าเท่ๆ นั่นพร้อมยกยิ้มมุมปากมองจ้องตรงมาที่ผม



“อะไร”



“ก็ถึงกับรู้ชื่อจริงนามสกุลกูขนาดนี้น่ะ”



“อย่าสำคัญตัวมากได้ไหมวะ กูขนลุกซู่ซ่าไปหมด” บอกออกไปแบบนั้นพร้อมกรอกตาใส่ไปที มันที่พอเห็นแบบนั้นก็หลุดยิ้มขำออกมา



“กูก็แค่เช็ดดู เพราะอยากรู้ว่าไอ้คนที่มาวอแวเพื่อนกูมันมีดีแค่ไหนเถอะ”



“แล้วมีดีจริงป่ะล่ะ” ผมส่ายหน้ารับคำถามของมัน ก่อนจะออกปากตอบไปแบบไม่ต้องคิดเลย “มีเหี้ยน่ะสิ”



“มึงนี่แม่ง ... ว่าแต่ทำไมมึงเรียนเอกจีนวะ”



“ก็ตอนม.ปลายเรียนศิลป์ภาษาจีน" ตอบออกไปตามความจริงที่สุดจะชิลของตัวเอง



"ง่ายๆ แค่นั้นเลย"



"แล้วต้องยากแค่ไหนอ่ะ แต่จริงๆ มันก็แค่กูไม่ชอบคณิต เลยเลือกเรียนด้านที่รู้สึกว่าตัวเองเก่งก็แค่นั้น พอตอนจะเข้ามหาลัยก็ดันติดคณะนี้"



"อ่อ แต่ก็เจ๋งว่ะ เข้าใจภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาตัวเอง"



"ไม่ได้เจ๋งเหี้ยไรหรอก เรียกได้ว่าแม่งฟลุ๊คมาติดมากกว่า เอาจริงป่ะ อายุ18 แม่งยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชอบอะไร อยากเป็นอะไร ... พี่ไม่คิดหรอวะ ว่าประเทศแม่งโคตรบีบคั้นให้เราต้องโต กูยังไม่ทันได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ความชอบตัวเอง ก็ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางอาชีพในอนาคตตัวเองแล้ว ซึ่งที่เลือกมา ก็ไม่รู้ว่ากูเลือกถูกหรือเลือกผิดด้วยซ้ำ"



"ก็จริงของมึง แต่ก็นะ ถ้าชีวิตมันง่ายขนาดนั้น มันคงไม่เรียกชีวิตหรอก"



"เออ ก็คงใช่ ... แต่จริงๆ แล้วกูอยากไปเกิดเป็นควายที่สวิสมากกว่าอ่ะ"



"สัด มึงนี่ก็ตลกเหมือนกันนะ" มันหลุดขำออกมาตอนที่ผมบอกออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง เป็นเหี้ยอะไรถึงมาตลกกับความฝันของกูวะ



“แล้วนี่มึงชอบอาหารญี่ปุ่นมากเลยหรอวะ” ถามออกมาพร้อมปรายตามองตะเกียบของผมที่กำลังคีบซูชิหน้าเอ็นกาวะเข้าปากเป็นชิ้นที่สาม



“อืม มาก กูชอบอาหารญี่ปุ่น ความฝันอยากมีเมียเป็นคนญี่ปุ่น”



“จริงป่ะ” มองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วสงสัย



“จริง”



“แล้วมึงรู้อะไรป่ะ”



“ว่า?” เงยหน้าขึ้นมาจากซูชิหน้าอุนางิมามองหน้ามันที่ทำสายตากรุ้มกริ่มพร้อมยกยิ้มส่งมาให้ ... เป็นเหี้ยอะไรของมันเอ่ย



“ว่าพ่อกูเป็นคนญี่ปุ่น” มันที่บอกกันแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้หนึ่งที สายตาวาววับที่มาพร้อมกับมุมปากที่ถูกจุดรอยยิ้มที่ทำให้เครื่องหน้าของมันยิ่งน่ามอง แต่...



“แล้วพี่มึงจะมาเป็นเมียให้กูรึไง”



“เปล่า แต่เป็นผัวให้ได้นะ ลูกครึ่งญี่ปุ่นเหมือนกันแบบที่มึงชอบ”



“กูไม่ได้ร้องขอ อย่าสาระแนเสนอตัวได้ไหม”



“อ๊ะ ก็ตามใจ ก็ไม่ได้จะยัดเยียดKให้กันอะไรขนาดนั้น” ยกยิ้มขำแล้วยักไหล่ กวนตีนจนคิ้วกระตุก ปรายสายตามองซูชิตรงหน้าตัวเองแล้วนึกอะไรดีๆ ออก



“สัด เอานี่แดกไปจะได้หุบปาก”



“ให้ด้วย มึงมีใจว่ะมาร์ช”



“แดก” กระแทกเสียงพร้อมถลึงตาใส่ มันที่หัวเราะแบบชอบอกชอบใจที่ได้กวนตีนกัน ก็คีบเอาซูชิคำนั้นเข้าปากอย่างว่าง่าย ท่าทีสบายๆ ที่แสนจะอารมณ์ดี เห็นแบบนั้นก็ยิ้มกริ่มเลยกู



“ง่ำๆๆ ...เอ๊ะ ...เชี่ย...”



“มีใจ ใส่วาซาบิให้พี่มึงจุกๆ เลยน้า อร่อยเลยดิ ซึ้งน้ำตาไหลถึงตีนเลยไหมล่ะ”



“อ๊าก สัดมึงแม่ง”



“ฮ่าๆ ควายพี่ยอร์ช” กูขำเสียงดังแบบไม่สนใจใครในร้านเลย เพราะท่าทางที่น้ำหูน้ำตาไหล พร้อมหน้าแดงหูแดงแบบนั้นเห็นแล้วตลกแบบสุดๆ ก็แค่ยัดวาซาบิใส่ลงไปใต้ฐานซูชิแบบเน้นๆ เป็นก้อนใหญ่ๆ แค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว สงสารเค้าจังเลยครับ



“อะๆ สงสารว่ะ” เลื่อนแก้วน้ำแตงโมปั่นของตัวเองไปให้ด้วยความสมเพช มันที่น้ำตาไหลหน้าแดงปรายตามองแรงใส่กัน แต่ผมก็ยังคงยิ้มตอบกลับไป



“แดกไม่แดก ยังไง”



“แดก!” กระแทกเสียงใส่กัน แต่มือก็ยังเอื้อมมาคว้าแก้วทรงยาวที่เป็นน้ำแตงโมปั่นของผมไปดูดจนหมดแก้ว ท่าทางจะเผ็ดจริง แต่ทำไมมึงไม่เปลี่ยนหลอดวะ



“หลอดนั่นกูดูดไปแล้ว”



“ช่างแม่งดิ กูเผ็ดจะตายให้คิดอะไรมากวะ” มึงไม่คิดก็ช่างดิ ... เหลือบสายตาไปมองริมฝีปากของมันที่ครอบลงที่หลอดดูดสีแดงนั่นที่ก่อนหน้านั้นผมดูดไปก่อนแล้วรู้สึกแปลกๆ แม่ง



“แกล้งกูเก่งนักนะ ถ้ากูเอาคืนบ้างอย่าร้องแล้วกัน”



“อยากจะร้องจะแย่แล้วจ้า อย่าลืมมาเอาคืนล่ะ” ตอบกลับไปแบบไม่ยอม มันที่ยังมีน้ำตาคลอๆ อยู่จ้องหน้ากันเขม็ง ก่อนจะกดยิ้มมุมปาก หน้าหล่อๆ ของมันที่เลื่อนข้ามโต๊ะมาหากัน ทำเอาผมต้องช้อนหน้ามองตามันตรงๆ



“ถ้ากูเอาคืน จะไม่ทำให้ร้องเฉยๆ”



“แล้ว”



“แต่จะทำให้ร้องบนตัวกูเลยล่ะ” สัด...



“บนตัวมึงน่ะก็ได้ ... เพราะระวังมึงจะมาร้องใต้ตัวกูบ้างก็แล้วกัน”



เหอะ อย่ามาเก่งกับกูครับไอ้พี่ยอร์ช กูไม่ใช่ไอ้สมุทร ยักคิ้วตอบมันกลับไป อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วถอยกลับไปนั่งกินของมันดีๆ ท่าทีของเราที่ไม่ได้เกร็งอะไรต่อกันสักนิด ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะสันดานของเราสองคนก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ผีเห็นผี ที่อย่าคิดว่าจะล้มกันลง



“ว่าแต่ มึงไปเจอไอ้เด็กแทนนั่นจากไหนวะ”



“ก็จากทางนี้ไง” ชี้มือลงไปที่มือถือของตัวเอง เค้าขมวดคิ้วนิดๆ อย่างไม่เข้าใจ ผมถอนหายใจใส่นิดๆ แล้วกดเปิดแอบนัดเอาชื่อดังให้เค้าดู



“อ๋อ...ง่ายๆ งี้”



“แล้วจะทำให้ยากทำไมวะ ก็แค่งี่”



“งี่ไรของมึง” มองหน้าผมแบบไม่เข้าใจศัพท์วัยรุ่น นี่ก็อยากจะถามว่าพี่มันอายุเท่าไหร่



“ผมหมายถึงมีอารมณ์อยากเอา”



“อ๋อ เงี่ยน” ขอบคุณมากที่มึงพูดซะดังขนาดนี้ มองเห็นพนักงานที่รีบเดินหนีออกไปจากบริเวณของเราสองคนอย่างไว แต่เหมือนกับว่าคนตรงหน้าของผมกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมกรอกตาแล้วส่ายหน้าให้พี่มันอย่างระอาใจ



“แล้วถ้ากูเล่นแอปนี้แล้วจับคู่ได้กับมึงขึ้นมาทำไง”



“ยากว่ะ มันต้องเขย่าในระยะใกล้ๆ กันถึงจะเจอ ถ้ากูเล่นแล้วเจอมึง มันก็พรหมลิขิตมากไปละ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก็จริงไหมล่ะ สำหรับแอปอันนี้ เวลาที่จะหาคู่ไปเยได้ จะใช้วิธีการเขย่ามือถือ แล้วแอปมันจะจับคู่ให้กับคนที่เขย่าเหมือนกันในบริเวณใกล้ๆ กัน ถ้าตกลงดีลกัน ก็ค่อยมาเจอกัน ... แล้วผมกับพี่มันจะไปเจอกันได้ยังไง



คนตรงหน้าที่พยักหน้าเข้าใจ มันมองๆ แอปที่ผมพึ่งอธิบายให้มันฟังไปแบบไม่สนใจอะไรมากนัก



“ปกติกูไม่เล่นแอปว่ะ ถ้าชอบก็ดีลเลย”



“ผมแล้วแต่อารมณ์ ถ้าเบื่อๆ หายากนักก็นัดเอาเล่นๆ”



“มึงนี่แม่งก็ร้ายเหมือนกันนะ” เค้ามองหน้าผมแล้วยกยิ้ม



“ผมร้ายได้กว่าที่พี่มึงคิดอีก”



“พี่กลัวจังเลยว่ะมาร์ช อยากลองของแรงเลย”



ฝันไปเถอะไอ้สัด! ... แต่ถ้ากูเป็นคนลอง ก็จะขอคิดดูละกันนะ



...



           คุณเคยเป็นไหม เวลาที่ไปทานข้าวที่อื่นกับคนที่คุณไม่รู้จักหรือไม่สนิทใจ แล้วจะเกิดอาการเขินอายไม่กล้าตักอะไรมาใส่จาน ทั้งๆ ที่เวลาปกติอยู่บ้านก็สวาปามแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะแดกจานเข้าไปด้วย แต่พอต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่ทำได้คือทำแค่ตักอาหารที่อยู่แค่ตรงหน้าในระยะใกล้ๆ แล้วยิ้มน้อยๆ กินนิดๆ ทั้งๆ ที่หิวฉิบหายเลยเนี่ย!



“น้องสมุทรแพ้อะไรไหมลูก” อาเมลเอ่ยถามผมขึ้นมาแบบนั้น ในตอนนี้ที่เรานั่งรวมกันอยู่ในห้องทานอาหารหรูหรา ที่มีโต๊ะหินอ่อนสีขาวตัวยาวสำหรับนั่งได้ประมาณ10ที่นั่ง ไฟดวงกลางในห้องทานอาหารนี้ถูกประดับตกแต่งไว้ด้วยช่อแชนเดอเรียอันใหญ่ ในสุดมุมห้องมีคอนโดแมวขนาดใหญ่มากๆ ตั้งอยู่ ตรงมุมห้องใกล้ๆ กับม่านสีแดงขนาดใหญ่ มีแมวสีขาวตัวหนึ่งนอนเล่นอยู่ตรงนั้น ผมละสายตามาจากมันก่อนจะส่งยิ้มอ่อนๆ กลับไปให้พร้อมส่ายหัวให้แทนคำตอบ รู้สึกตื่นตะหนกหน่อยๆ กับสถานที่หรูหรา และคนตรงหน้านี้ที่ก็ยังเป็นครอบครัวของพี่พระจันทร์อีก



“ลองทานขนมจีบกุ้งนี่ดูสิ อาทำเองเลยนะ ถือเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของบ้านเรา” อาเมลว่าแบบนั้นแล้วส่งยิ้มอย่างใจดีมาให้ พี่พระจันทร์ที่นั่งอยู่ข้างกันยกยิ้มออกมานิดๆ แล้วเอื้อมมือไปคีบขนมจีบมาใส่ไว้ในจานให้ผม



“กินดูดิ อาเมลทำอร่อย”



“ครับ”



“ตอนเด็กๆ นะ เจ้าพวกนี้ร้องจะกินบ่อยมากเลย” อาเมลบอกออกมาแบบนั้น แล้วพยักหน้าไปทางพี่พระจันทร์ที่ก็แค่ทำหน้านิ่งๆ ตามนิสัยของเค้า ผมยิ้มรับก่อนจะยกขึ้นมากัดกิน แล้วก็ได้รู้จักคำว่า แสงออกปาก~



“หื้ม อร่อยมากๆ เลยครับ” ผมบอกออกไป เป็นขนมจีบกุ้งที่อร่อยจริงๆ อร่อยไม่ตอแหลครับ เนื้อสัมผัสที่กัดเข้าไปแล้วยังรับรู้ได้ถึงเนื้อกุ้งที่สับแบบหยาบๆ ผสมกับหมูสับที่เนียนไปด้วยกัน รสชาติหอมหวานกลมกล่อม และตัดกับกระเทียมเจียวหอมๆ ที่เหมือนว่าจะทำให้มาพร้อมกัน



“ใช่ไหมล่า ใครกินก็ติดใจทั้งนั้นเลยน้า ขนาดน้องอัยย์ยังชอบเลยล่ะ” อาเมลพูดออกมาอย่างร่าเริง ท่าทางที่เหมือนกับว่ากำลังนึกย้อนไปถึงอดีต แต่คำพูดนั้นทำผมชะงักไปเล็กน้อย น้องอัยย์ที่อาเมลพูดถึง คงจะไม่ใช่ใครคนอื่น นอกจากพี่อัยย์



“เมื่อก่อนนี้มาเล่นด้วยกันบ่อยก็เพราะว่าอยู่ข้างบ้านกันนี่ล่ะ ตอนที่เลี้ยงเจ้าพวกนี้ด้วยกันนะ เหนื่อยจนหัวหมุนเลยล่ะ” อ่า...พี่เค้าอยู่บ้านหลังข้างๆ นี้เองหรอ เพราะแบบนี้สินะ พี่พระจันทร์ถึงรักเค้ามากขนาดนั้น ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กขนาดนั้นเลย เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย พอนึกได้แบบนี้แล้วก็เผลอยิ้มออกมาบางๆ



“อาเมลพูดมากว่ะ” พี่พระจันทร์ว่าออกมาเสียงเข้ม ผมสะดุ้งกับคำพูดนั้นของคนข้างตัว หันไปมองหน้าพี่พระจันทร์ที่ตอนนี้ก็ขมวดคิ้วมองหน้าอาเมลแบบไม่ชอบใจ ผมหันไปมองอาเมลที่หน้าเสียเล็กน้อย และมองมาที่พี่พระจันทร์แบบไม่เข้าใจกับท่าทางของหลานตัวเอง ... อืม ผมด้วย ก็ไม่เข้าใจว่าพี่เค้าเป็นอะไร



“พระจันทร์ อย่าขึ้นเสียงใส่อาเมลแบบนี้ ป๊าเคยสอนให้แก่ทำนิสัยแบบนี้หรอ” เสียงเข้มของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทำเอาผมสะดุ้ง หันไปมองก็เห็นป๊าทัพที่กำลังมองมาด้วยสายตาคมนิ่ง อยู่ๆ บรรยากาศในโต๊ะอาหารก็ดูเย็นยะเยือกขึ้นมาซะแบบนั้น ผมหันไปมองหน้าพี่พระจันทร์ที่ยังคงนิ่งไม่ต่างจากป๊าของเค้า ท่าทางที่เหมือนกันสมแล้วที่เลี้ยงดูกันมานั่นทำผมต้องเม้มปากแน่น ก่อนจะเลื่อนมือที่อยู่ใต้โต๊ะไปคว้าจับคนข้างๆ ตัวเอาไว้ เค้าที่ชะงักตัวไปนิดหน่อยแล้วหันมาจ้องตากับผม ส่ายหน้าหน่อยๆ ให้อีกคนที่พอเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่



“ขอโทษครับอาเมล โทษครับป๊า”



“โถ่ เรื่องแค่นี้อีก พ่อลูกทำไมต้องทำให้เสียบรรยากาศด้วยก็ไม่รู้” อาเมลบอกออกมาแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มบางๆ สีหน้าท่าทางที่ก็ดูว่ากำลังพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้นนั่น



“ขอโทษด้วยนะน้องสมุทร พอแก่แล้วก็ชอบพูดพร่ำไปเรื่อย”



“ก็นั่นน่ะสิ” พี่พระจันทร์พูดแทรกออกมาอีก จนผมต้องบีบมือให้หยุดพูด



“เดี๋ยวเถอะ ได้ยินนะพระจันทร์ว่าฉันแก่หรอห๊ะ”



“ก็มันจริงนี่ อาเมลน่ะรีบๆ กินเข้าไปเถอะ จะได้ไม่ต้องพูด”



“หน่อย เจ้าเด็กนี่ โตแล้วหือหรอ น้องสมุทรดูไว้นะลูก เลิกชอบมันแล้วไปหาคนอื่นเถอะ”



“ฝัน! อาอย่ามายุนะ” สองคนที่เถียงกันไปมา เหมือนว่าจะทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวของเราดีขึ้นมาเล็กน้อย ผมหัวเราะออกมากับท่าทางแบบนั้นที่ผมไม่เคยเห็นของพี่พระจันทร์ เหมือนกับว่าพอกลับมาที่บ้าน พี่พระจันทร์ก็จะกลายเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ชอบเถียงอาของเค้าด้วยสีหน้านิ่งๆ ที่แสนจะกวนประสาทซะอย่างนั้น



“เออ ใกล้ถึงวันเกิดแกกับไอ้อาทิตย์แล้วนี่” คุณป๊าพูดออกมาแบบนั้น ตอนที่พวกเราเริ่มทานผลไม้เป็นอาหารอย่างสุดท้ายของมื้อนี้ พี่พระจันทร์ทำหน้าคิดนิดนึงแล้วพยักหน้าตอบกลับไป ... จริงสิ ผมเองก็ลืมไปเลยว่าใกล้จะถึงวันเกิดของเค้าแล้ว



“จริงๆ จันทร์อยากเกิดคนเดียว แต่ไอ้ทิตย์เกาะไม่ปล่อย สลัดก็ไม่หลุดมันเหมือนปลิง รู้งี้เอาสายรกแม่พันคอมันตั้งแต่ในทองแม่ละ”



“นี่ อย่าว่าน้องสิ” อาเมลถลึงตาดุ แต่พี่พระจันทร์ก็ไม่สนใจอยู่ดี



“ก็จริงอ่ะ” ยักไหล่ตอบกลับอาเมลไปนิดๆ คำพูดแบบนั้นที่ผมคิดว่าถ้าพี่อาทิตย์อยู่ตรงนี้คงกรี๊ดใส่หน้าพี่พระจันทร์แน่ๆ



“แล้วคิดหรือยังว่าปีนี้จะจัดที่ไหน”



“ผมยังไม่ได้คิดอ่ะป๊า เดี๋ยวถามไอ้ทิตย์อีกทีละกัน ไม่รู้ว่ามันจะอยากจัดร้านอารุกมากกว่าร้านอาดาบหรือเปล่า”



“อืม อยากจัดที่ไหนก็ตามใจ แต่ถ้าขาดอะไรยังไงก็โทรมาบอกป๊า”



“ขอบคุณครับ” พี่พระจันทร์ยกมือไหว้ ส่วนคุณป๊าก็แค่จ้องตามองลูกด้วยสีหน้านิ่งๆ ท่วงท่าน่าเกรงขามที่เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดปากนิ่งๆ ก่อนจะปรายสายตามามองหน้าผม รู้สึกตกใจจนต้องหลบตาวูบ



“แล้วก็...”



“ครับ” พี่พระจันทร์เลิกคิ้วมองหน้าพ่อตัวเองอีกที ผมเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นป๊าทัพแค่ยกยิ้มมุมปาก แต่สายตานิ่งๆ นั่นกลับไม่มีแววล้อเล่น



“จะทำอะไรก็รีบทำ เวลาไม่เคยคอยใคร แล้วความรู้สึกของใคร ก็ไม่ได้มีไว้รอแค่คนๆ เดียว...ถ้าช้า มาเสียใจทีหลังก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว มีแค่คำว่าน่าสมเพชเท่านั้นที่จะได้รับ รู้ใช่ไหม”



“ป๊า...”



“ป๊าอิ่มละ เดี๋ยวขอขึ้นไปทำงานต่อก่อนละกัน” คุณป๊าว่าแบบนั้นพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางสง่างาม ผมขอใช้คำนี้เลย หล่อเท่โดนใจอ่ะครับ ผู้ใหญ่ที่มีมาดเท่ขนาดนี้ ผมไม่แปลกใจว่าทำไมพี่พระจันทร์ถึงเติบโตมาดี



“ส่วนเรา...”



“ค...ครับ ผมหรอครับ” สะดุ้งตกใจตอนที่ป๊าทับชี้นิ้วหันมาทางผม ดวงตาคมดุนั่นมองมาที่ผมนิ่งๆ รู้สึกอยู่ๆ ก็ต้องนั่งตัวตรงขึ้นมา เผลอกลืนน้ำลายลงคอนิดๆ แต่ก็ไม่หลบสายตา ถ้าป๊าทัพบอกว่าให้เลิกกับพี่พระจันทร์ไปซะ ผมพูดเลยนะว่า!



“ไม่ครับ ผมไม่เลิกชอบพี่พระจันทร์!” เอ้าฉิบหาย! กูพูดออกมาอีกแล้ว!!



เป็นครั้งที่สองของวันนี้ที่มาปล่อยไก่ขายหน้า แล้วเป็นห่าอะไรไอ้สมุทรถึงชอบตะโกนความในใจออกมาวะแม่ง!!ผมทำหน้าอยากจะร้องไห้ส่งออกไป เป็นอีกครั้งที่ป๊าทัพต้องหลุดสีหน้านิ่งๆ เพราะผม งื้อ น้องสมุทรไม่ได้ตั้งใจ



“อึฮึ่ม...ป๊าไม่ได้จะบอกว่าให้เลิกชอบไอ้พระจันทร์”



“อ่า ค ครับ” ช่วยด้วย น้องสมุทรอายมากๆ มองจากหางตายังเห็นพี่พระจันทร์อมยิ้มจนหน้าเบ้ อยากหัวเราะกันมากสินะ ฮื่อ อยากมุดโต๊ะว่ะแม่ง



“แค่จะบอกว่า ถ้ามันทำให้เสียใจ มาฟ้องได้ทุกเมื่อนะ บ้านนี้ไม่เข้าข้างลูกมากกว่าความถูกต้องหรอก” ป๊าทัพพูดออกมาแบบนั้น เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมก็ช้อนตาขึ้นไปมองดวงตาคมของป๊า มองเห็นรอยยิ้มอุ่นๆ ที่ส่งมาให้ผมจนเผลอยิ้มตามออกมา ใบหน้าหล่อเข้มที่ติดจะดุนั่น พอยิ้มออกมาแล้วดูใจดีจนผมอยากร้องไห้เลยล่ะ ท่าทางแบบนั้น คำพูดแบบนั้น ...



“เอาล่ะ ไม่อยู่กวนแล้ว ยังไงขอตัวก่อนล่ะ” ร่างสูงที่มีแผ่นหลังกว้างที่แบกความรับผิดชอบมากมายแค่ไหนเอาไว้บนบ่า ผมไม่รู้หรอก แต่ทวงท่าและท่าทางแบบนั้น แบกความอบอุ่นที่มีเอาไว้ให้ครอบครัวของเค้า มากจนผมสัมผัสได้เลยล่ะ พวกเรามองตามแผนหลังกว้างๆ นั่นไปจนลับสายตา หันกลับมามองหน้าอาเมลที่ก็ยิ้มบางๆ ส่งมาให้


(มีต่อค่ะ)

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่19 (230422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 23-04-2022 20:51:47

“เอาล่ะเด็กๆ เดี๋ยวอาขอขึ้นไปดูน้องซันก่อนนะ นี่ก็ดึกแล้ว คืนนี้ไม่นอนค้างที่นี่ซะเลยล่ะ”



“เอ่อ...”



“เดี๋ยวดูก่อนละกันอาเมล”



“โอเค แต่ถ้าจะกลับยังไงก็ไปส่งน้องดีๆ จำเอาไว้ จะทำอะไรลูกเค้าก็มีพ่อมีแม่ อย่าให้พ่อแม่เค้ามาถอนหงอกฉันได้ล่ะเข้าใจไหมไอ้ดื้อ”



“จันทร์รู้แล้วน่า ไปห่วงไอ้ทิตย์เถอะ”



“ปากมันดีกันจริงๆ เฮ้อ อยู่กับมันก็ทนๆ หน่อยนะน้องสมุทร ถ้าทนไม่ไหว อาอนุญาตให้ฟาดได้แรงๆ” อาเมลว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมารูปหัวผมเบาๆ แต่ติดตรงพี่พระจันทร์มาดึงมือออก



“จับเพื่อ”



“เอ๊ะ นี่ฉันอาแกนะ”



“แล้วไงอ่ะ”



“โอ๊ย ประสาทจะแดกจริงๆ” อาเมลว่าแบบนั้นแล้วจ้ำพรวดๆ เดินหนีไปแบบสุดจะทน ไม่ทันได้ยกมือไหว้เลยจริงๆ ผมหันไปมองพี่พระจันทร์ที่ก็แค่ยักไหล่แบบไม่สนใจ เค้าที่ลุกออกจากโต๊ะทานข้าวแล้วเดินไปที่มุมห้อง ก่อนจะก้มตัวลงอุ้มแมวสีขาวมาไว้แนบอก



“น่ารักจัง”



“ใช่ไหมล่ะ ไอ้เจ้าตัวนี้ชื่อหลง”



“สีขาวน่ารักจัง” ผมเอื้อมมือไปเกาคางเจ้าแมวที่ตอนนี้เอาหัวมาถูๆ อ้อนไปตามฝ่ามือของผม



“อยู่เป็น ให้มันได้แบบนี้สิ” พี่พระจันทร์ว่าแล้วยกยิ้มมุมปาก แววตาอ่อนโยนที่น้อยครั้งนักผมจะเห็น



“มันมีเพื่อนด้วยนะเจ้าตัวนี้น่ะ”



“มีแมวอีกตัวเป็นเพื่อนหรอครับ” ผมหันซ้ายหันขวามองหา แต่พี่พระจันทร์ทำแค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ



“เปล่า เป็นสิงโต”



“ห๊ะ”



“จริงๆ นอนอยู่หลังม่านเนี่ย” ชี้มือไปที่ม่านสีแดงที่ถูกปิดเอาไว้ ผมเบิกตากว้างนิดหน่อยอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ถ้ามองจากสภาพบ้านหลังนี้ ผมว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นล่ะ อย่างกับบ้านมาเฟียในหนัง



“มันชื่อเชอร์รี่ เป็นสิงโตที่ป๊าเลี้ยงไว้ ไว้วันหลังจะพามาดู นี่ดึกแล้วถ้าไปกวนมัน มันจะโมโหเอา” ไอ้เหี้ย...เรื่องจริงชัวร์ แต่คือ บ้านไหนเค้าตั้งชื่อสิงโตว่าเชอร์รี่วะไอ้เหี้ย แบ๊วกว่าชื่อหมาอีกอ่ะ เสียหมดเลย สงสารเจ้าสิงโตตัวนั้นเลยครับ



พี่พระจันทร์ก้มตัวลงวางเจ้าหลงลงที่คอนโดแมว ก่อนจะจับมือผมให้เดินตามกันออกมา



“วันนี้นอนนี่ดีไหม”



“หื้ม แต่...”



“ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว อยากอยู่...”



“แต่ผม เป็นคนนอก”



“ได้กูแล้ว ก็ถือเป็นคนใน”



“พูดบ้าอะไรของพี่เนี่ย...” ใครได้ใครวะปัดโถะ น้องสมุทรไม่ได้เป็นคนได้สักหน่อยป่ะ ถลึงตาใส่คนตรงหน้าที่ก็แค่ยกยิ้มมุมปากมาให้



“อ่อ มันไม่จริง”



“ก็...”



“เออๆ ไม่จริง เพราะมึงไม่ได้กู แต่กูได้มึง ขอโทษที่พูดไปแบบผิดโพสิชั่นนะ”



“พี่พระจันทร์!”



“แล้วมึงขึ้นเสียงทำไม”



“ก็แล้วจะทำไมเล่า!”



“ก็ไม่ทำไม แต่เสียงดังมากๆ กูก็ตกใจไง เนี่ย มึงจับดูดิ ใจเต้นเลยว่ะ”



พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้น แล้วทำสีหน้าอมยิ้มที่โคตรจะน่าตีส่งมาให้ ผมไม่รู้จะรับมือกับท่าทางแบบนี้ของเค้ายังไงเลยจริงๆ คนตรงหน้าที่เปลี่ยนไปมากๆ เอื้อมมือมาจับมือกันให้เดินตามเค้าขึ้นไปที่ข้างบนห้อง ห้องกว้างที่การตกแต่งไม่ได้แตกต่างจากที่คอนโดมากเท่าไหร่ เป็นห้องเท่ๆ ที่ดูก็รู้ว่าเป็นห้องพี่พระจันทร์ แตกต่างนิดหน่อยตรงที่บนเพดานติดดาวเรืองแสงบนเพดานเอาไว้จนเต็ม



“ตอนเด็กๆ กูชอบ มึงอย่าคิดจะล้อล่ะ” ก็ใครจะล้อกันล่ะวะ เปล่าสักหน่อย น้องพระจันทร์เค้าก็ร้อนตัวอยู่นะครับ อิอิ



แต่ว่าก็ว่าเถอะ ยิ่งรู้จักกันมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งได้เห็นมุมแปลกตาของพี่พระจันทร์มากขึ้นเท่านั้น พี่พระจันทร์ที่ดูไม่สนใจอะไร จริงๆ เค้าก็เป็นคนอบอุ่นไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ



“ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะ”



“อ่าครับ”



“เข้าไปอาบได้เลย”



“พี่พระจันทร์ไปอาบก่อนเถอะ เดี๋ยวน้องสมุทรขอโทรไปบอกที่บ้านก่อน”



“งั้นก็ตามใจ” เค้าว่าแบบนั้นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมเม้มปากแน่นๆ รู้สึกทำตัวไม่ถูกและไม่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด จะลุกจะนั่งจะเดินก็แปลกไปหมด ยิ่งได้เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ที่ห้องๆ นี้ มันเกินกว่าที่ผมเคยหวังไปไกล ถึงแม้ว่าจะเคยคิดว่าจะต้องชนะใจพี่พระจันทร์ให้ได้ก็เถอะ



แต่เรื่องในตอนนี้มันไม่ใช่การชนะใจน่ะสิ ... มันเหมือนเป็นการให้อีกฝ่ายรับผิดชอบกับเรื่องคืนนั้น



ผมหันไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท เสียงน้ำไหลตกกระทบกับพื้นห้องน้ำ ก่อนจะหันกลับออกมาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างระเบียงห้องนอนของพี่พระจันทร์ บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านซ้ายมือของบ้านหลังนี้ นั่นคงเป็นบ้านของพี่อัยย์ ใกล้กันขนาดนี้ อืม...ก็ไม่แปลกใจที่เค้าจะเสียสูญขนาดนั้น พี่พระจันทร์คงรักและผูกพันธ์กับเขามากๆ เลยจริงๆ



แล้วคนแบบน้องสมุทรจะเอาอะไรไปสู้เค้าได้วะ หน้าตา ฐานะ และความรักของพี่พระจันทร์ ถอนหายใจออกมาหน่อยๆ แล้วยกมือขึ้นตบๆ ที่แก้มของตัวเอง สู้สิวะไอ้สมุทร! จะยอมแพ้ได้ไงมาขนาดนี้แล้วนะ



ถึงตอนนี้ผมจะรู้ว่าที่พี่พระจันทร์ทำให้กันอยู่ก็เพราะความรู้สึกผิดก็เถอะ ... แต่แล้วไง เรื่องอะไรผมจะต้องปล่อยช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ไปล่ะวะ



ผมก้มหน้าลงกดไลน์ส่งไปบอกทะเลว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน ก็ได้ข้อความแก่แดดของมันกลับมาว่า ทะเลจะไม่ฟ้องแม่หรอกนะว่าพี่หมุดไปนอนค้างบ้านผู้ชาย แอร๊ย



ผมขำแล้วส่ายหน้าน้อยๆ กับความแก่แดดแก่ลมของมัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงบางอย่าง เลยเลือกที่จะกดโทรออกไปหาไอ้มาร์ช เพื่อนคู่คิด มิตรคู่สร้าง ผมรอสายอยู่นานสองนานกว่าที่มันจะรับ



“ทำไมพึ่งรับวะพ่อ”



((ป...เปล่าๆ อื้ม มึงมีอะไร) ) ไอ้มาร์ชตอบออกมาแบบนั้น เสียงมันดูแผ่วๆ เหนื่อยๆ ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่ามันเป็นอะไร แต่เสียงแบบนั้นก็ทำเอาหัวคิ้วน้องสมุทรต้องขมวด



“คือว่านะ อาทิตย์หน้าน่ะ มันจะเป็นวันเกิดพี่พระจันทร์”



((อ๊ะ...อ่า แล้วทำ.. ทำไมวะ) )



“ก็คือกูอยากจะซื้อของขวัญให้เค้าไง มึงว่ากูเอาอะไรให้เค้าดีวะ แบบว่าวันนี้นะพ่อ มึงต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าตอนนี้กูมาบ้านพี่พระจันทร์ บ้านใหญ่! บ้านที่ป๊าเค้าอยู่เลยอ่ะ”



((เชี่ย!...) )



“มึงเองตกใจเหมือนกูใช่มะพ่อมาร์ช นั่นล่ะ กูก็ตกใจ”



((อ่า...อื้มม) )



“อ่าอืมอะไรวะ นี่มึงทำอะไรอยู่วะเนี่ย สดวกคุยเปล่าวะ กูว่าเสียงมึงดูเหนื่อยๆ นะ”



((ส...สมุทร) )



“ว่าไงพ่อ!”



((โอ๊ยเชี่ย ไม่รู้แล้ว มึงก็ผูกโบว์ใส่ตัวมึงเลยละกัน อื้อออ แค่นี้ก่อนนะ!”



‘กริ๊ก’



“อ้าว....” ได้แต่อ้าปากค้างตอนที่ได้ยินเสียงวางสายสางมาให้กัน กระพริบตาปริบๆ งงๆ ตอนที่โดนตัดสายไปแบบนั้น คืออะไรวะนั่นน่ะ พ่อมาร์ชกูวางสายใส่อ่า



“มึงยืนทำหน้างงอะไรอยู่วะ ไปอาบน้ำได้แล้วปะ”



“อ้าว ออกมาแล้วอ่อ..เชี่ย!” ผมหันหน้าไปมองคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงดัง แล้วมันเรื่องอะไรกันที่เค้าต้องออกมาด้วยผ้าขนหนูผูกเอวจนเห็นซิกแพ็คกับมัดกล้ามวีไลน์ ที่เหนือขึ้นมาเป็นไรขนอ่อนๆ ด้วยล่ะวะ



“ตกใจไรวะ”



“เปล๊า!”



“มึงเสียงสูงนะ”



“เปล่า” กดเสียงต่ำใส่แม่ง ต่ำแบบสุดๆ ต่ำกว่านี้น้องสมุทรก็ติดดินแล้วนะ ว่าแต่...เห้ยๆ จะเดินเข้ามาใกล้กันทำไมวะเห้ย



“เป็นอะไร ทำไมแก้มแดงๆ” ฝ่ามือเย็นๆ ที่เอื้อมมาแตะที่ข้างแก้มทำผมสะดุ้ง ช้อนตามองหน้าคนตรงหน้าที่ยกยิ้มมุมปาก



“เปล่าเถอะ”



“อ๋อ เขิน”



“น้องสมุทรไม่ได้เขิน” เถียงออกไปแบบนั้น คนตรงหน้าที่ก็เดินขยับเข้ามาหากันมากกว่าเดิม ผมที่สะดุดทรุดตัวลงนั่งที่เตียงกว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว ช้อนตามองคนตรงหน้าที่ยืนคล่อมค้ำหัวกันอยู่ในตอนนี้



“ไม่ได้เขินแล้วเป็นอะไร”



“ก็...” ก็อะไรดีวะ คิดสิคิดสิไอ้น้องสมุทร”



“อ้อ หรือตกใจอันนี้” ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้ ก่อนจะดึงให้ไปวางลงที่กลางกายของคนตรงหน้า นิ้วเรียวยาวของพี่พระจันทร์ที่จับนิ้วของผมรูดรั้งไปตามความยาวของแกนกายที่อยู่ข้างใต้ผ้าขนหนูนั่น สัมผัสตั้งแต่โคนจรดปลายหัว รูดรั้งแผ่วๆ ผ่านเนื้อผ้าขนหนูผืนนุ่มนั่งอย่างชัดเจนและหยาบโลน ไม่รู้ว่าหน้าขึ้นสีมากแค่ไหน รู้แค่ว่าตอนนี้ก็ได้แต่นั่งทำตาเบิกตากว้างอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ พร้อมกับอ้าปากผงาบๆ กับสถานการณ์ตรงหน้านี้ ทำยังไงดี น้องสมุทรกำลังจับโจ้ยยักษ์ของพี่พระจันทร์!!



“พ...”



“จริงด้วย ตกใจพระจันทร์น้อยนี่เอง”



“น้อยบ้าอะไร มันใหญ่มาก เสียบเข้ามาทีนึงถึงไส้ใน พูดมาได้ ปัดโถะ!” เถียงออกไปแบบนั้นแบบไม่ลืมหูลืมตา แถมก็ลืมว่าพอพูดออกไปแล้วมันโคตรจะเสียเปรียบ ช้อนตามองหน้าคนตรงหน้าที่ยกยิ้มล้อ ก่อนที่ใบหน้าได้รูปของพี่พระจันทร์จะพยักหน้าขึ้นลงเหมือนว่าเข้าใจกันมากมายและตอบกลับออกมา



“อ๋อ แบบนี้นี่เองนะ มันใหญ่มากๆนี่เอง ทำน้องสมุทรตกใจเลย โอ๋ๆนะครับ



ปัดโถ่เว้ย! น้องสมุทรไม่อยากได้พี่พระจันทร์เวอร์ชั่นนี้แล้ว เถียงสู้ไม่ได้เลยแม่!



#รักอยู่รู้ยัง



---------------------------------------

คือว่า แคทรู้ว่ามันอาจจะเป็นการน่ารำคาญ และดูเรียกร้องจากคนอ่านมากเกินไป

กับนิยายเรื่องนี้ที่มันไม่ได้สนุกมากมายขนาดนั้น

แต่แคทก็ยังดึงดันและขอรบกวนคนอ่าน ถ้าใครยังอ่านเรื่องนี้อยู่ ช่วยคอมเม้นท์บอกความรู้สึกกับแคทหน่อยได้ไหมคะ

ในทุกๆครั้งที่เขียนมันออกมา แคทเองก็รู้สึกว่า เออ มันไม่ดีเลย มันไม่สนุกสินะ

ถ้าคนอ่านมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ยังไง บอกแคทได้นะคะ ถึงจริงๆจะรู้ว่าเขียนออกมาได้ไม่ดีก็ตาม

ทั้งนี้แคทยังขอบคุณคนอ่านที่โดเนทให้แคทเสมอในทุกๆตอน  ทั้งกำลังใจ และนอดสนับสนุน

ขอบคุณจริงๆค่ะ แคทเองก็อยากจะทำให้เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่คนอ่านรู้สึกสนุกมากๆเหมือนกัน

ปล. คนอ่านถามว่าน้องซันคือใคร บอกได้เลยว่า ไม่รู้ๆๆๆๆๆ อิอิ (โดนคนอ่านถีบ)

ปล.2 ขอขอบคุณคนอ่านจากทางเล้าเป็ดที่อยู่กับแคทมาในทุกๆตอนด้วยนะคะ

:impress2: :-[ :o8:
  ขอบคุณที่อยู่กับแคทมาในทุกๆตอนเลย แคทดีใจที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ

เต็มอิ่่มมากกกก
จริงไหม แคทดีใจแล้วน้าาา :mew1:

ชอบความแสบของน้องมาร์ชสุด :m20:
น้องม้าคบอกพี่ยอร์ชว่า ก็มาเดะ! :z6: (ตุบตับๆ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่19 (230422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-04-2022 22:29:20
 :jul1: :jul3:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่19 (230422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 24-04-2022 16:37:17
สนุกมากนะคุณแคท ไม่ต้องคิดมาก เป็นแบบที่คุณแคทเป็นก็สุดยอดแล้วจร้า  :L1:
ยังตามอ่านเสมอนะคะ ถึงไม่ค่อยได้เม้นแต่รักมากมายนะ (ปล.สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะจ้า  :L2:)

#ยังคงชอบความมึนกับมโนของน้องหมุด ชอบความเข้าใจโลกของนาง สุขกับปัจจุบัน อนาคต เป็นเรื่องของอนาคต / คู่น้องหมุดพี่พระจันทร์ เขาเหมาะกันนะ ยึดติดทั้งคู่
#ชอบความร้ายชนร้ายของ น้องM&พี่Y, แหมๆ ผมร้ายนะพี่ไหวเหรอ! วุ้ย ตอนหน้า NC คู่นี้ต้องมาละใช่ไหมคะ??  :hao6:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่19 (230422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-04-2022 14:29:03
น้องมาร์ชไป อืมม..อ่าา.. . กับใคร สารภาพมาาาาาาาาา :z1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่20 (300422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 30-04-2022 18:38:50

**NC ในตอนนี้จะอยู่ในระดับที่ไม่ถึงกับสอดใส่
แต่ก็หืดหาดโฮกฮากไปด้วยกัน (ไหวย่อ)


บทที่20

 

           ขาเรียวก้าวยาวๆมุ่งตรงไปยังห้องน้ำด้วยขาที่สั่นสะท้าน สองมือที่ใช้พยุงตัว เกาะไปตามกำแพงผนังทางเดินอย่างยากลำบาก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป ไม่หยุดไม่สนใจแม้แต่เสียงเรียกของคนที่พึ่งตอบปฏิเสธกันไปว่าคืนนี้จะไม่ไปด้วย

 

จะให้ไปด้วยได้ยังไง ก็มันจะเอากู...

 

“แม่ง” ได้แต่สบถออกมาแบบนั้น แม้ว่ามือและขาจะสั่นมากก็ตาม เรื่องน่าหงุดหงิดและไม่ได้ดั่งใจเต็มไปหมด แล้วคนแบบไอ้มาร์ช ทำไมถึงมาตกม้าตายง่ายๆแบบนี้วะ น่าหงุดหงิด

 

คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจกับเรื่องที่เจอ ลมหายใจที่หอบหนักมากกว่าเดิมมาพร้อมๆกับเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดขึ้นมาตามกรอบหน้าและไรผม เสียงผู้คนรอบข้างยังคงดังอยู่รอบกาย ใจแค่อยากไปให้ถึงห้องน้ำให้ไวที่สุดก็เท่านั้น

 

ในห้องน้ำมีผู้ชายยืนทำธุระส่วนตัวอยู่ประปราย ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ความสนใจทั้งหมดที่มีในตอนนี้ มีแค่ห้องน้ำห้องสุดท้ายที่ยังว่างอยู่ ขายาวทำแค่รีบก้าวตรงไปด้วยแรงที่ยังเหลืออยู่ ยกมือขึ้นดันประตูห้องน้ำให้เปิดออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในนั้น หัวใจเต้นแรงและลมหายใจที่หอบถี่ ยืนเอาตัวพิงไปกับผนังด้านข้างของห้องน้ำไว้อย่างหมดแรง ดวงตากลมสวยที่ปกติมักจะดูดื้อรั้นหลับลงอย่างหมดแรง แต่ถึงแบบนั้นมือก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีด้วยการเลื่อนไปปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงยีนที่ใส่อยู่ออกพร้อมๆกับชั้นในสีขาว ฝ่ามือเรียวได้รูปเลื่อนไปจับแกนกลางของตัวเองที่แข็งจนขึ้นรูปออกมาพร้อมลูบไล้ขยับฝ่ามือไปตามจังหวะและความต้องการของตัวเองแบบไม่สนอะไรแล้วในตอนนี้ ขอแค่ปลดปล่อยออกมาก่อนจะขาดใจตายก็พอ

 

‘ผลั้ว’

 

เสียงบานประตูที่ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง มาพร้อมๆกับใบหน้าของใครบางคนที่ไม่ควรโผล่เข้ามาในตอนนี้

 

“เห้ย ไอ้มาร์ชมึงเป็นอะไรเปล่าวะ เมื่อกี้กูเห็นมึ... เชี่ย!” เสียงเข้มที่ดูร้อนรนปนสงสัยถามออกมารัวๆก่อนจะชะงักคำพูดของตัวเองไป ดวงตาคมมีเสน่ห์ของมันที่มองจ้องหน้ากันสักพัก ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ฝ่ามือของผมที่กำลังกอบกุมแกนกายของตัวเองเอาไว้ในมือ

 

“สัด เข้ามาหาพ่อมึงหรอ!” ตะคอกออกไปเสียงดังเท่าที่แรงจะมี พร้อมยกเท้าขึ้นถีบประตูเต็มแรงให้ปิดอีกครั้ง ... สาระแนไอ้สัด ใครเชิญ

 

‘ปัง’

 

“โอ๊ย เจ็บนะโว้ย!” เสียงสบถของคนหน้าประตูที่ร้องดังออกมา สงสัยประตูจะโขกเข้ากับหัวของมันเต็มๆ ช่างมัน ตอนนี้แค่พยายามเอื้อมมือที่สั่นเทาของตัวเองไปที่กลอนประตู ตั้งใจจะล็อก แต่ก็ไม่ทันที่ประตูบานเดิมถูกเปิดออกมาอีกครั้ง พร้อมกับร่างของคนๆเดิมที่แทรกตัวเข้ามา

 

“เข้ามาทำเหี้ยอะไร!”

 

“มึงเป็นอะไร โดนยา?” ถามออกมาแบบนั้น ก้มหน้าลงมองแกนกายกันแบบพินิจพิจราณาด้วยสายตาไม่สนโลก ...คือขอโทษ แต่มึงกำลังมองKกูอยู่

 

“ออกไปไอ้เหี้ยพี่ยอร์ช!”

 

“บวมขนาดนี้ มึงไหวหรอ” เงยหน้าขึ้นมาถาม เหมือนถามว่าวันนี้กูกินข้าวหรือยัง มันใช่เรื่องไหมไอ้สัด

 

“กู..ห ไหว มึงออกไป”

 

“เกิดมึงตายคาห้องน้ำล่ะไอ้สัด” ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมกูต้องซวยมาโดนยา แล้วทำไมกูต้องซวยมาเจอไอ้เหี้ยนี่ด้วยวะแม่ง จะพินิจKของกูจนพอใจเลยไหม มองเหี้ยอะไรนัก กูอยากจะเอาฟาดหน้า

 

“กูไม่ตาย”

 

“มึงจะตาย ดูหน้ามึงด้วย ซีดฉิบหาย”

 

ก็รู้อยู่หรอกว่าสภาพตัวเองตอนนี้ไม่ดีเหมือนที่พูดจริงๆ เพราะตอนนี้ผมเหนื่อย เหนื่อยมากกว่าปกติ แล้วก็มีอารมณ์มากๆ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเหนื่อยที่จะทำ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ มันปวดไปหมด

 

“ใครแม่งทำมึงวะ โคตรเหี้ย”

 

“กู บอก ให้ออกไป” กดเสียงต่ำเหลือบสายตาขึ้นมองหน้ามันอีกครั้งอย่างฉุนจัด บรรยากาศกระอักกระอ่วนที่มันไม่รู้สึก แต่กูรู้สึก อยากปลดปล่อยแต่ต้องมาเสียเวลายืนเถียงกับมันอยู่ตอนนี้ มันใช่เรื่องหรอ

 

“กูช่วย”

 

“ไม่ต้อง อ๊ะ...” อ้าปากเถียงมัน แต่อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาปัดมือของผมออกจากแกนกายตัวเองหน้าตาเฉย แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือของมันที่ทำเอาขนลุกซู่ ...

 

“ปล่อยไอ้สัด มึงอย่าบ้....อึก..” ยื้อฝ่ามือของมันออก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อย ตัวประกันคือลูกชายตัวน้อยของกูที่มันกำลังขยับถูไถไปที่ส่วนหัวนั่นอย่างชำนาญ มือของผมสั่นมากขึ้นไปอีกในตอนที่มันขยับฝ่ามือชักให้กัน ตัวสั่นขาสั่นจนต้องเอนหัวซบลงที่ไหล่ของมัน ขาที่สั่นจนอยากจะทรุดตัวลงนั่ง ถูกขาของมันแทรกเข้ามาเป็นไม้ค้ำยันไม่ให้ผมทรุดลงไป

 

กูทำอะไรอยู่วะ กำลังเผชิญเหี้ยอะไรอยู่

 

“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวมึงก็หน้ามืดไอ้สัด”

 

“อึก...พ่อง”

 

“อย่ามาด่ากู กูช่วยชีวิตKมึงอยู่ หายใจลึกๆ” เสียงเข้มที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาผมขนลุกซู่ เอียงหน้าหนีปลายจมูกของมันที่ไล้อยู่ข้างกรอบหน้า ลมหายใจร้อนๆของมันยิ่งทำให้รู้สึกมวนในช่องท้องจนต้องเม้มปากไว้แน่นๆ ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งจากยาที่ได้รับ และความตื่นเต้นจากบรรยากาศและสถานที่ที่ด้านนอกมีคนพลุกพล่านเสียงเดินย่ำเท้า เสียงหัวเราะ และเสียงดนตรีดังกระหึ่ม แต่กลับไม่มีใครรับรู้ว่าในห้องน้ำห้องสุดท้ายกำลังทำอะไรกันอยู่

 

ฝ่ามือแกร่งที่ถูเบาๆที่ส่วนยอดทำให้มีน้ำปริ่มออกมานิดๆตามแรงอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รับรู้สึกถึงความเสียวจนต้องเกร็งหน้าท้อง ฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ขยับรูดถี่ๆไม่มีท่าทางเคอะเขินจากคนตรงหน้า มีแต่ความรู้สึกของตัวเองที่กำลังปั่นป่วน รู้สึกแปลกๆจนไม่กล้าสบสายตา

 

"ของมึงมันก็ใหญ่อยู่นะ"

 

"แน่นอน อื้อ"

 

"หึ แต่ยังใหญ่สู้ของกูไม่ได้" คำพูดกวนส้นตีนจนต้องผละหน้าออกมาจากบ่าของมันเพื่อมามองหน้ามัน อยากจะอ้าปากด่า แต่มันที่เหมือนจะรู้ทันก็ใช้นิ้วเรียวขยี้ลงไปที่ส่วนปลายถี่ๆ จุดที่ผู้ชายด้วยกันรู้กันดีว่าโดนแบบนี้ก็ไม่มีใครทนได้หรอก ยังไม่ทันได้ด่า มันที่ช่วยขยับฝ่ามือถี่รัวมากขึ้นอีกไม่กี่ ร่างทั้งร่างก็เกร็งตัวกระตุกปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมาจนเลอะมือเต็มของมันเต็มไปหมด

 

“อึก อื้ออ” ครางออกมาในที่สุด เสียวจนต้องเงยหน้าพิงหัวไปกับผนังห้องน้ำ หอบหายใจถี่ๆแล้วขบเม้มที่ริมฝีปากแน่นๆ คนตรงหน้าที่ผละตัวออกก้มลงไปดึงทิชชูมาเช็ดมือรวมไปถึงเช็ดแกนกายให้กันด้วย การกระทำที่ทำให้เบิกตากว้างและสะดุ้งตกใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีเรื่องน่าตกใจมากกว่าเรื่องนี้

 

“ไอ้สัด ยังบวมไม่เลิก” พี่มันว่าออกมาแบบนั้น ผมที่ก้มหน้าลงไปมองแกนกายของตัวเองที่ยังบวมเป่งเหมือนกับว่ายังไม่ได้ปลดปล่อยมาก่อน ทั้งๆที่พึ่งทำเสร็จไปเมื่อกี้ กัดกรามเข้าหากันแน่นๆอย่างหงุดหงิด อย่าให้กูเจอไอ้คนที่วางยากูอีกนะ จะเอาตีนทาบหน้าแม่ง สันดานเหี้ย

 

“มึงใส่กางเกงซะ” มันว่าออกมาแบบนั้น คำพูดนั่นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ามันแบบไม่เข้าใจ

 

"มึงจะอยู่ในส้วมทั้งคืนหรอไอ้สัด ไม่ไหวหรอก"

 

"กูอยู่ได้"

 

"แต่กูอยู่ไม่ได้"

 

"ไม่ได้มึงก็ออกไป กูทำเองได้" พอพูดจบออกไปแบบนั้นคนตรงหน้าก็ถอนหายใจแรงๆใส่ สายตาคมที่มองมาอย่างรำคาญใจ

 

"ใส่กางเกง อย่าให้กูพูดซ้ำนะไอ้มาร์ช"

 

"ก็..."

 

"ไปทำที่รถ จะอยู่ดมขี้หาพ่อมึงหรอ!" ว่าเสียงดังอย่างคนรำคาญ มันที่ยกมือขึ้นมาตบหัวกันด้วยทีนึง แม่ง

 

ปรายสายตาไปมองรอบๆ อืม...ส้วมอุบาทว์ย์ในผับ และข้างนอกที่ตอนนี้กำลังมีเสียงอ้วกดังอยู่ที่อ่างล้างหน้าด้านนอกมาให้ได้ยิน บรรยากาศไม่น่าปลดปล่อยได้อย่างสะดวกทำให้ผมยอมทำตาม พี่ยอร์ชที่เห็นผมจัดการตัวเองเสร็จก็เอื้อมมือมาพยุงตัวผมออกจากห้องน้ำ ก่อนจะพาเดินออกมาที่ลานจอดรถ สภาพของผมที่อารมณ์เริ่มปะทุขึ้นมาอีกแล้ว และรถของมันที่มองแล้วว่าอยู่ใกล้ที่สุด มันเลยตัดสินใจพาผมมาขึ้นรถ จับตัวผมไปนั่งที่ด้านหลังก่อนเจ้าตัวจะไปสตาร์ทรถเปิดแอร์ และสอดตัวตามเข้ามา

 

"พี่มึงกูไม่ไหวว่ะ..."

 

"เออ มึงถอดกางเกงออกเลย รถกูฟิล์มดำ"

 

“แต่...” ผมลังเล มองหน้าพี่มันที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วก็ยิ่งรู้สึกกระดากอาย แค่ครั้งเดียวก็มากพอแล้วไหม แต่นี่กำลังจะมีครั้งที่สองหรอวะ

 

"มึงอย่าเยอะนะไอ้มาร์ช มึงจะให้กูช่วยหรือปวดจนไข่มึงขาด"

 

"สัด" เรื่องแค่นี้จะขู่หาพ่อมึงหรอ บางทีไอ้พี่ยอร์ชนี่มันอาจจะกำลังใช้ความหน้าด้านของตัวเองเป็นตัวตัดสินความหน้าหนาของผมอยู่

 

ซึ่งจริงๆกูก็ไม่ได้มีเยอะเท่ามึงไหม ถอนหายใจหนักๆ แล้วหันหลังให้คนที่นั่งข้างๆเพื่อปลดกางเกงยีนส์ลงอีกครั้ง

 

"เหอะ มาทำเป็นอายกู หันมานี่ไอ้สัด"

 

"เห้ย ทำเหี้ยไร!" ร้องออกมาแบบนั้นตอนที่โดนแรงควายของมันกระชากทั้งตัวให้หันไปหา คนที่แทรกตัวเข้ามาตรงหว่างขาจ้องมองไอ้มาร์ชน้อยของกูด้วยสายตาพิจารณาอีกรอบ คือก็เข้าใจว่ามึงหวังดี แต่เลิกทำตัวเหมือนเป็นหมอสูตินารีได้ไหม มึงไม่ใช่ไอ้สัด

 

"มันเอายาปลุกเหี้ยไรใช้กับมึงวะ ยังบวมๆอยู่เลย" บ่นออกมาแบบนั้นเหมือนว่ามันพูดคนเดียว ก่อนจะเอื้อมมือมาจับแท่งร้อนของผมขึ้นมาและเริ่มต้นรูดรั้งเบาๆ

 

"อ๊ะ...พ พี่ยอร์ช" สัมผัสวาบหวามที่ทำเอาเสียวตั้งแต่ปลายยอดแกนกายลงไปถึงปลายนิ้วเท้าเรียกเสียงครางออกมาได้ไม่ยาก

 

"อืม เสียงครางมึงดีอยู่นะ"

 

“อ๊ะ อาชี้ด..พี่ยอร์ชเสียวว่ะ อึก” ร้องบอกออกไปแบบนั้นแบบลืมความอายทุกอย่างลงไปจนหมด คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าขยับฝ่ามือเร็วมากขึ้น ฝ่ามือที่เคยกำอยู่หลวมๆบีบกระชับให้แน่นมากขึ้นเพื่อเพิ่มแรงเสียดสี ผมหอบหายใจหนักๆแล้วปล่อยให้คนตรงหน้าเป็นคนนำพาความรู้สึกบินไปแทน

 

"อ๊ะ อื้ออ"

 

'ครืดๆๆ'

 

และในตอนนั้นที่เสียงสั่นบางอย่างก็ดังเข้ามาขัดจังหวะมือของพี่มันจนผมต้องขมวดคิ้ว หน้าจอมือถือของผมที่ตกลงไปอยู่ที่วางเท้าสว่างวาบขึ้นมา ชื่อของคนที่ทั้งผมและพี่มันก็รู้ดีว่าเป็นใคร ผมเมินหน้าหนีจากหน้าจอนั่นมาทั้งแบบนั้น แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอม

 

"มึง ไอ้สมุทรโทรมา" มันบอก ... อืม กูรู้ แต่ตอนนี้กูไม่อยากรับ

 

"ไอ้มาร์ช สมุทรมันโทรมา" เสียงเข้มมากขึ้น พร้อมๆกับฝ่ามือที่หยุดชะงักของมันทำเอาอารมณ์กำลังพุ่งขึ้นสูงถึงขีดสุดตกฮวบลงมาเหมือนโดนถีบลงจากที่สูง ผมสะบัดหน้าไปมองมันอย่างโมโห

 

"K!" กระแทกเสียงใส่ พร้อมยกเท้าถีบมันไปที

 

"สัดมาร์ช" มันที่ถลึงตาใส่แล้วจับปลายเท้าของผมที่ตั้งท่าจะไปถีบมันอีกรอบเอาไว้ ก่อนจะกระชากขาของผมให้เข้าไปใกล้มันมากขึ้นจนตอนนี้เรียกได้ว่าเกยตัก

 

"รับมันก่อน เผื่อมันมีธุระ" มันพูดออกมาอีกครั้งอย่างใจเย็น ฝ่ามือของมันที่กลับไปทำหน้าที่ให้ผมอีกครั้ง ความรู้สึกปลายท่อนอุ่นเสียววาบ แต่กลับรู้สึกไม่ดีเท่าเมื่อกี้

 

"มึงนี่ ... อะไรๆก็ไอ้สมุทร" พูดออกไปแบบนั้น มันก็หันมามองหน้า ผมหันหน้าหนีแล้วเอื้อมมือลงไปกดรับสายของเพื่อนสนิท สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพยายามทำเสียงให้ไม่สั่นที่สุด

 

((ทำไมพึ่งรับวะพ่อ) ) เสียงปลายสายที่ดังออกมาให้คนตรงหน้าได้ยินไปด้วยเพราะมือเผลอไปแตะกดปุ่มเปิดลำโพง มันกดยิ้มมุมปากน้อยๆตอนที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนจะขยับฝ่ามือลูบไล้ไปที่แกนกายของผมต่อ ความเสียววูบเข้ามาแทนที่จนต้องเม้มปากกลั้นอารมณ์แล้วตอบกลับไป

 

“ป...เปล่าๆ อื้ม มึงมีอะไร”

 

((คือว่านะ อาทิตย์หน้าน่ะ มันจะเป็นวันเกิดพี่พระจันทร์) ) ไอ้สมุทรมันบอกออกมาแบบนั้น ผมเหลือบสายตาไปมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้ใบหน้าเรียบตึง ฝ่ามือแกร่งที่เพิ่มแรงขยับชักรูดให้กันเพิ่มมากขึ้น ส่วนตรงนั้นของผมก็ปวดหนึบไม่หยุด มันอยากได้รับการปลดปล่อย อยากจะร้องครางตะโกนออกมาดังๆ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังต้องตั้งสติถามเพื่อนกลับไป

 

“อ๊ะ...อ่า แล้วทำ.. ทำไมวะ”

 

((ก็คือกูอยากจะซื้อของขวัญให้เค้าไง มึงว่ากูเอาอะไรให้เค้าดีวะ แบบว่าวันนี้นะพ่อ มึงต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าตอนนี้กูมาบ้านพี่พระจันทร์ บ้านใหญ่! บ้านที่ป๊าเค้าอยู่เลยอ่ะ) ) เสียงปลายสายของไอ้สมุทรดังเจื้อยแจ้วออกมา น้ำเสียงของมันที่กำลังบอกว่าทั้งตื่นเต้น ดีใจ และก็กังวล แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีความสุข แต่คำพูดเหล่านั้นของสมุทรมันไม่ได้เข้าหูผมเท่ากับเรื่องราวตรงหน้าที่เกิดขึ้น พี่ยอร์ชที่ผละฝ่ามือออกจากแกนกายของผม ก่อนจะตามมาด้วยตัวของมันที่ถอยออกไป ปลดเข็มขัดและถอดกางเกงของตัวเองออกต่อหน้าต่อตาของผม ... ส่วนนั้นของมันกำลังตื่นตัว และคำพูดก่อนหน้านี้ที่มันเคยบอกกัน ไม่ได้โกหก มันใหญ่จริง

 

“เชี่ย!...” คนตรงหน้าที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โถมตัวใส่กัน จนต้องหลังลงแนบกับเบาะรถ สายตาคมวาววับที่มองจ้องตรงมาที่หน้าขึ้นผมยกยิ้มมุมปากออกมาอย่างชอบใจ แววตาที่กึ่งขบขันกึ่งร้ายกาจนั่นทำให้ผมอยากหันหน้าหนี แต่ไม่...ถ้าทำแบบนั้นกูก็แพ้ดิ

 

((มึงเองตกใจเหมือนกูใช่มะพ่อมาร์ช นั่นล่ะ กูก็ตกใจ) )

 

“อ่า...อื้มม” ริมฝีปากอุ่นของคนบนร่างที่ครอบลงบนหัวนมของผม มันขบเม้มเบาๆก่อนจะดูดดึงเล่น ฝ่ามืออีกข้างที่เลื่อนขึ้นมาลูบไล้ที่หัวนมอีกข้างอย่างเท่าเทียมนั่นปลุกปั่นอารมณ์ของผมให้มากขึ้นไปกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งตัว

 

((อ่าอืมอะไรวะ นี่มึงทำอะไรอยู่วะเนี่ย สดวกคุยเปล่าวะ กูว่าเสียงมึงดูเหนื่อยๆนะ) )

 

((ส...สมุทร) ) เรียกชื่อคนปลายส่ายเสียงสั่นทั้งๆที่เริ่มจะพูดไม่รู้เรื่อง ปรือตามองหน้าคนบนตัวทั้งๆที่น้ำตาคลอเพราะเสียวไปหมด มองเห็นสีหน้าและแววตาหยอกล้อขบขันของพี่มันแล้วยิ่งโมโหที่ทำอะไรไม่ได้เลย ไอ้มาร์ชที่ไม่เคยต้องมานอนครางกระเส่าแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้กลับหมดสภาพแม้แต่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

 

“ว่าไงพ่อ!”

((โอ๊ยเชี่ย ไม่รู้แล้ว มึงก็ผูกโบใส่ตัวมึงเลยละกัน อื้อออ แค่นี้ก่อนนะ!) )

 

‘กริ๊ก’

 

กดวางสายแบบสุดจะทน ก่อนจะโยนมือถือของตัวเองไปที่เบาะหน้ารถแบบไม่ไหวจะทน

 

“ทนได้เก่งกว่าที่คิดนี่หว่า”

 

“มึงจะทำอะไร” เชิดหน้าถามออกไปแบบนั้นทั้งๆที่จริงๆก็นอนหอบหมดสภาพอยู่ตรงนี้ มันที่ยกตัวขึ้นมองหน้ากัน พร้อมดันลิ้นที่กระพุ้งแก้ม ก่อนที่ใบหน้าหล่อนั่นจะโฉบเข้ามาใกล้

 

“กูก็เริ่มมีอารมณ์ตามมึงแล้วว่ะตอนนี้ จูบได้ไหมวะ” ฝ่ามือแกร่งที่เลื่อนขึ้นมาช้อนใต้คางแล้วเอียงหน้าเข้ามาประกบริมฝีปากจูบทั้งๆที่ไม่ได้รอคำตอบ แต่ถึงจะรอผมก็คงไม่ตอบ เพราะเอื้อมวงแขนขึ้นไปโอบรอบลำคอของมันและบดเบียดกลีบปากนุ่มดูดดึงตอบกลับแบบไม่ยอมแพ้ ลิ้นร้อนดูดดึงไปตามเรียวลิ้นของอีกฝ่ายที่แทรกเข้ามาไต่ต้อนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร พี่มันที่เลื่อนตัวขึ้นคร่อมกันไว้ ก่อนจะใช้ฝ่ามือตัวเองกํารอบแท่งร้อนทั้งสองเอาไว้ แล้วขยับเสียดสีกันจนต้องผมต้องเชิดหน้าครางสั่น ฝ่ามือหนาที่จับเรียวขาของผมให้อ้าออกกว้าง แล้วจับมันพาดไว้ที่ท่อนแขนแกร่ง

 

ส่วนนั้นของเราทั้งคู่แนบชิดกันมากกว่าเดิม ท่อนแขนอุ่นที่โอบแผ่นหลังที่ชุ่มเหงื่อของผมเอาไว้ โดยที่อีกมือก็ขยับทําหน้าที่ต่อไปแบบไม่ขาดตอน เอวแกร่งเองที่ก็ขยับเสียดสีกันไม่หยุด เสียงครางผสมปนเปไปกับเสียงหอบหายใจกระเส่าเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ให้เพิ่มมากขึ้นได้เป็นอย่างดี

 

ทั้งผม และมัน

 

“อ๊ะๆ อ๊า..."

 

"เรียกชื่อกู ไอ้มาร์ช"

 

"อ๊า อึก พ..พี่ยอร์ช อึก แม่ง...."

 

"เด็กดี อื้ม" พี่มันข่มฟันกัดคำรามออกมาเป็นเสียงต่ำๆ ก่อนที่คนในอ้อมกอดของผมจะก้มลงมาดูดดุนลิ้นร้อนเบาๆอีกครั้ง ผมไม่ลืมที่จะเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกลับไปอย่างให้ความร่วมมือ ฝ่ามือแกร่งที่ขยับสาวรูดรั้งส่วนนั้นรัวๆ ก่อนที่สุดท้ายเราทั้งคู่จะปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน ความเสียวซ่านถูกปลดปล่อยออกมาทุกหยาดหยด เหนื่อยหอบจนเผลอซบลงที่อกแกร่งอย่างคนหมดแรง ได้แต่โอบกอดรอบคออีกฝ่ายเอาไว้แล้วหอบหายใจถี่ๆ น้ำหมดตัวมันเป็นแบบนี้นี่เอง

 

 

เสียงทุ้มกระซิบแผ่วๆอยู่ที่ข้างหู รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่แนบลงมาที่้ข้างแก้ม สัมผัสแผ่วๆที่ชวนให้ใจกระตุก ปรือตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าที่ทันเห็นอีกฝ่ายผละใบหน้าออกไปจากแก้มของผม สายตาคมวาววับพร้อมรอยยิ้มมุมปากดูอบอุ่นแปลกตา ก่อนจะตามมาด้วยคำพูดที่ทำให้ผมสั่นยิ่งกว่าที่เคยเป็น

 

"เก่งมากเด็กดี"

 

...

 

            ช่วงกลางวันของวันใหม่ สภาพบรรยากาศในรั้วมหาลัยยังคงเป็นแบบเดิมไม่ต่างออกไป ตัวของไอ้น้องสมุทรก็เหมือนเดิม ยกเว้นก็แต่ คนข้างตัวที่เดินเข้ามาที่ตึกคณะของน้องสมุทรจะต่างออกไป

 

“พี่พระจันทร์ไม่ต้องไปส่งน้องสมุทรก็ได้”

 

“ทำไม” ขมวดคิ้วหันมองหน้ากันอย่างหาเรื่อง ก็แค่บอกว่าไม่ต้องเดินมาด้วย มันจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวอะไรขนาดนั้นก่อน

 

“ก็พี่พระจันทร์จะได้รีบไปที่คณะไง”

 

“แล้วทำไมกูต้องรีบ กูไม่รีบอ่ะ” อะ ว่าไปนั่นแล้วเอากระเป๋าเป้ของผมพาดบ่า เดินลอยหน้าลอยตา บางครั้งก็ปรายตามองคนในคณะที่กำลังมองมาทางเราแบบไม่สบอารมณ์ซะอย่างงั้น

 

“แม่ง” ได้ยินเสียงสบถพึมพำตามมาเป็นระยะ เค้าไปหงุดหงิดอะไร

 

“มึงมาทางนี้ เดินข้างใน กูเดินข้างนอกเอง” บอกแบบนั้นแล้วดึงตัวผมไปเดินอีกฝั่งที่ไม่ได้อยู่ใกล้กับโต๊ะประจำซุ้มรอบๆคณะที่เด็กคณะเรานั่งจับจองกันไว้อยู่

 

“พี่พระจันทร์ น้องสมุทรมองทางไม่เห็นแล้ว จะมาเดินเบียดบังอะไรเล่า”

 

“แม่ง น่ารำคาญว่ะ”

 

“ก็แล้วน้องสมุทรทำไรผิดเล่า รำคาญก็กลับไปเลยดิ”

 

“นี่มึงไล่กูหรอ” ขายาวหยุดเท้าที่กำลังก้าวเดิน แล้วหันมาจ้องหน้ากัน ผมที่ช้อนตามองหน้าคนที่ยืนข้างกันแบบไม่เข้าใจ หยุดทำไมก่อน

“ก็เปล่า แต่พี่พระจันทร์บอกรำคาญนิ”

 

“ไม่ได้รำคาญมึงสักหน่อย” เค้าว่าออกมาแบบนั้นแล้วทำหน้าหงุดหงิดอยู่คนเดียว ก่อนวงแขนแกร่งนั่นจะเอื้อมมาโอบรอบคอของผมเอาไว้

 

“มึงแม่งไม่เคยรู้เรื่อง”


 
(มีต่อจ้า)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่20 (300422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 30-04-2022 18:39:56
“เอ้า” ด่ากูโง่ไปอีก เงยหน้ามองคนข้างตัวที่ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น ทำแค่พาผมเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงซุ้มสุดท้ายใต้ต้นหูกวาง ที่ถูกตั้งอยู่ทางด้านข้างของตัวตึก ไอ้เฮงไอ้จิมเจ้าเก่า นั่งเฝ้าเป็นผีเจ้าที่อยู่ที่เดิม ผมที่เดินเข้ามาพร้อมกับพี่พระจันทร์ พวกมันสองคนไม่ได้ทำหน้าตกใจอะไรที่เห็นแบบนั้น ... นี่กูมากับคนสวยขาในฝันกูเลยนะ ทำไมพวกมึงนิ่งจังวะ

 

“หวัดดีพี่” ไอ้เฮงยกมือไหว้พี่พระจันทร์ที่พยักหน้ารับ ส่วนไอ้จิมก็ยกมือไหว้ตาม แถมยังสาระแนหรี่ตามองล้อผมอีกด้วย

 

“วันนี้มาส่งเองเลยอ่อพี่พระจันทร์”

 

“อืม เพื่อนมึงแม่งไม่เคยรู้เรื่องไรเลย”

 

“เอ้า” ผมี่ทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามไอ้เฮงไอ้จิมอุทานออกมาแบบนั้น ด่ากูอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง กูดูโง่มากเลยหรือไง น้องสมุทรคือควายหรอ ไม่นะ น้องสมุทรว่าน้องสมุทรก็ราชสีห์ในระดับหนึ่งเลยล่ะ เป็นสัตว์กินเนื้ออ่ะ ยืดอกเลยนะจุดนี้ โฮกปิ๊บ

 

“เอาไป กระเป๋ามึง แล้วนี่น้ำเขียวโซดา ละลายหมดแล้วมั้ง ไม่แดกเข้าไปสักที” เค้าที่ยื่นทั้งกระเป๋าแล้วก็แก้วน้ำเก็บความเย็นที่ข้างในมีน้ำเขียวโซดาส่งมาให้ พี่พระจันทร์เป็นคนตื่นลงไปทำไว้ให้ผม ตกใจจนจะช็อก

 

“มันจะละลายได้ไงเล่า ใส่แก้วมาอย่างดีเลยเถอะ”

 

“แล้วมึงจะเก็บไว้ทำไม กูทำให้กิน” ก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆหน้า อยู่ๆน้องสมุทรก็ร้อนหน้าที่ไม่ใช่หน้าร้อนอีกแล้วอ่ะ เสหน้าหลบพี่พระจันทร์ที่ยกยิ้มมุมปากไปวูบนึง ก็ปะทะเข้ากับสายตาของไอ้เพื่อนสองคนตัวดีที่ทำหน้ากรุ้มกริ่มกิงก่องแก้วใส่ เห็นแบบนั้นเลยพูดว่า ‘K’ ส่งไปให้

 

“แล้วไง คือมึงจะไม่กิน”

 

“ก็น้องสมุทรไม่กล้ากินอ่ะ พี่พระจันทร์ทำให้ทั้งทีเลยนะเว้ย อยากเก็บเอาไว้บูชาอ่ะ”

 

“ไร้สาระ” ว่าออกมาแบบนั้นพร้อมเอามือมาวางลงบนหัวของผม ได้แต่หดคอลงมาเพราะตกใจ ค่อยๆช้อนตาขึ้นไปมองหน้าคนที่ยืนอยู่

 

“มันคงกลัวหมดอ่ะพี่ หวานใจนายหวานเจี๊ยบทำให้อ่ะเนอะ” ไอ้จิมสอดปากเข้ามาล้อกูอีกแล้ว พี่พระจันทร์ยืดตัวขึ้นไปยืนดีๆ แล้วหันไปมองหน้าไอ้จิมกับไอ้เฮงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของผมด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนจะตอบมันกลับไป

 

“กลัวหมดทำไมวะ กูทำให้ใหม่ได้ทั้งชีวิตอยู่ล่ะ”

 

“ง่อวววว”

 

“ฮิ้ววววว”

 

แล้วก็ตามมาด้วยเสียงโห่แซวเป็นลูกคู่ของไอ้เพื่อนตัวดีของผม เงยหน้าขึ้นไปมองคนตรงหน้าที่ละสายตาหันมามองหน้าผมตรงๆอีกครั้ง พร้อมกดมุมปากยิ้มให้กัน น้องสมุทรคิดว่าน้องสมุทรไม่ไหว ช่วยด้วยจ๊ะแม่ พี่พระจันทร์มันเล่นน้องอีกแล้วอ่ะ!

 

“กูไปเรียนก่อน ตั้งใจเรียนล่ะมึง” ขยี้หัวผมเบาๆแล้วว่าออกมาแบบนั้น ก้มหน้ามองปลายตีนแบบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาพูดจีบเต๊าะอะไรพี่มันเหมือนอย่างเคย น้องสมุทรหุบปากไว้เลย ไม่ไหวหรอก กลัวอ้าปากออกไปแล้วเผลอกรี๊ดใส่ทำไงวะ

 

“มันไม่ตอบกูแล้วว่ะเพื่อนมึง”

 

“ให้เวลามันหน่อยว่ะพี่ เขินกว่านี้แม่งมุดโต๊ะแล้วนะ”

 

“ก็คงงั้นล่ะ ... สมุทรครับ แก้มมึงแดงมากเลยว่ะ แต่กูจะไม่ล้อหรอกนะ แกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วไปเรียนก่อนละกัน” บอกกูแบบนั้นพร้อมๆกับปลายนิ้วมือที่ลูบมาที่ข้างแก้มจนแก้มร้อนไปหมด เผลอช้อนตาขึ้นสบตาวูบหนึ่ง

 

เหยดแหม่!

 

ไม่ไหวหรอก จะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาทำสายตากรุ้มกริ่มหยอกล้อกูเลย .... ใจเย็นได้ไหม วันนี้เธอเป็นอะไรของเธอเนี่ย!

 

“หึ”

 

“กูไปเรียนแล้วพวกมึง ฝากดูมันด้วย”

 

“ครับ // ครับพี่”

 

หันไปฝากฝังผมกับเพื่อนเหมือนกูเป็นลูก แล้วกดยิ้มอบอุ่นมองกันอีกครั้ง ก่อนจะเดินหันหลังก้าวยาวๆกลับไปทางเก่าที่เดินมาส่งกัน แผ่นหลังกว้างๆนั่นเข้มแข็งและเท่ห์ฉิบหาย ไม่รู้กูเคยผิดพลาดขนาดนั้นได้ยังไงที่จะไปเป็นผัวเค้า

 

“ง่อวววว ไม่ธรรมดา อ้าฮ้า ไม่ธรรมดา~” ไอ้จิมร้องออกมาเป็นเพลงล้อกันไม่เลิก พอตั้งสติได้เลยเอื้อมมือไปตบหัวแม่งแรงๆทีนึง แกล้งกูหาพ่อมึงหรอ

 

“มันเขินแล้วรุนแรงว่ะ”

 

“แบบนี้แหล่ะ ความเป็นเมียมันเริ่มแทรกซึม” ไอ้เฮงจิ้มลูกชิ้นเจ้าโปรดของมันขึ้นกินแล้วปรายตามาสาระแนออกความคิดเห็นในเรื่องของผม

 

“เมียพ่อง”

 

“จะบอกว่ามึงเป็นผัวรึไง” ยักคิ้วใส่จ้องตากันอย่างเหนือกว่า สายตาที่บอกว่ากูรู้ทุกอย่างของมันทำเอาน้องสมุทรเบ้ปากใส่

 

“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องอายหรอกว่ะ มันก็เรื่องธรรมดาไหมวะ”

 

“ก็ไม่ธรรมดาสำหรับกูอ่ะ” บ่นออกไปแบบนั้นแล้วถอนหายใจหนักๆ

 

“ความรักมันไม่ได้อยู่ที่โพสิชั่นเว้ยสมุทร แค่มึงรู้สึก แล้วมึงเข้าใจกันสองคนก็พอแล้วไหม เวลาพวกมึงเยเย่มารูโกะกันก็ไม่มีใครไปรู้ไปเห็นกับพวกมึงหรือเปล่า”

 

“เออถูกของไอ้เฮง ก็ถ้ามีใครมาสาระแนกับมึงขนาดนั้น ก็ตอบกลับไปเลย เสือกจ้า”

 

ผมฟังคำพูดของพวกมันนิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมานิดๆ ดีใจที่เพื่อนของผมมีนิสัยแบบนี้ พวกมันไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง แถมยังให้เกียรติกันเสมอ มันก็ถูกของพวกมันที่ว่า ไม่ว่าใครจะโดนเสียบ ใครจะผัวใครจะเมีย มันก็คือเรื่องของเราสองคน ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องป่าวประกาศบอกใครให้รู้สักหน่อย

 

“แต่พูดตรงๆ เรื่องของโพมันก็สำคัญอยู่นะเว้ย”

 

“ยังไงวะ” ขยับตัวแล้วเลิกคิ้วถามไอ้จิมที่กำลังทำหน้าครุ่นคิด

 

“ก็มึงลองนึกนะ แบบมึงกับพี่พระจันทร์น่ะไม่เท่าไหร่ เพราะจริงๆมึงเองแค่อยากเป็นผัวพี่เค้า แต่ตัวมึงอ่ะไม่เคยไปรุกใครเค้าสักหน่อย แค่อยากทำเท่ไม่ใช่ไง”

 

“ก็....” ก็กูมีพ่อเป็นไอดอลอ่ะ อยากปกป้องคนรัก เลยอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์ กูผิดตรงไหนล่ะ!

 

“นั่นแหล่ะ แต่กับบางคนที่เป็นรุกทั้งคู่อ่ะมึง เวลามาเจอกันจะทำไงวะ”

 

“ก็ต้องมีคนนึงยอมลง” ไอ้เฮงพูดบอก

 

“แล้วมันจะยอมยังไงวะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจรับได้ง่ายๆนะมึง รุกมาทั้งชีวิต อยู่ๆจะมาโดนเสียบอ่ะ”

 

“กูว่าถ้ารักมากพอ รู้สึกมากพอ มันคงมีคนที่รู้สึกว่ายอมได้แหละ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ช่วยกันดิ เรื่องเซ็กซ์แม่งหลากหลายจะตายห่า” ไอ้เฮงพูดออกมาชิลๆแล้วหยิบลูกชิ้นปลาระเบิดลูกใหญ่อีกชิ้นเข้าปากไปแบบไม่กัด ยัดมันเข้าไปเลยทั้งลูก

 

“ยากอยู่นะ”

 

“แล้วมึงเกิดสงสัยขึ้นมาทำห่าไร มึงไม่ใช่รุกไอ้สัดจิม”

 

“K กูจะรุกหน้ามึงให้ อย่ามาท้ากูนะ!”

 

“กูท้าอะไรยัง กูทำอะไรมึงยังเอ่ยเพื่อนจิม”

 

ผมส่ายหน้าให้กับพวกมันทั้งสองคน ที่สุดท้ายแล้วมันก็หันไปตีกันเถียงกันเหมือนอย่างเคย เป็นภาพเดิมๆที่เห็นมาตลอดเทอมจนชินตา แต่ถึงแบบนั้นน้องสมุทรก็ยังชอบอยู่ดี เพื่อนกลุ่มนี้ที่กวนตีนและคอยให้กำลังใจกันอยู่เสมอ

 

“ว่าแต่ทำไมวันนี้พ่อกูมาสายจังวะ”

 

“เออ กูก็สงสัยอยู่ ปกติแม่งมานั่งเฝ้าโต๊ะก่อนใคร”

 

“สงสัยเมื่อคืนแม่งไปหิ้วใครมั้ง ก็ปกติของมันป่ะวะ”

 

“แต่ปกติพ่อกูไม่มาสายนะ หรือมันป่วยวะ เมื่อคืนกูโทรหามันก็ทำเสียงแปลกๆด้วยอ่ะ” หันไปบอกไอ้เฮงไอ้จิมอย่างร้อนใจ ผมก็ลืมนึกไปเลยว่าเพื่อนอาจจะไม่สบายก็ได้ แต่จะให้นึกออกยังไง เมื่อคืนตอนพี่พระจันทร์ออกมาจากห้องน้ำก็ให้น้องสมุทรจับโจ๊ยยักษ์ไปที ลูบๆคลำๆเล่นอยู่แบบนั้น แม่ง! สติแตกไปหมด แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะน้องสมุทรชิงบอกพี่พระจันทร์ไปว่าปวดขี้แล้ววิ่งหนีเข้าห้องน้ำ เฮ้อ...


“กูโทรหามันดีกว่าว่ะ” ผมบอกออกมาแบบนั้นแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์

 

“ไม่ต้องละ พ่อมึงเดินมานู้นละ” ไอ้จิมบอกแบบนั้นพร้อมพยักเพยิกหน้าไปด้านหลังของผม พอหันไปมองก็เห็นไอ้มาร์ชกำลังเดินมา สีหน้าท่าทางที่ดูเพลียๆของมันทำให้ผมแปลกใจ

 

“พ่อ! ทำไมวันนี้มึงมาสายจังอ่ะ” ผมถามออกไปแบบนั้นในตอนที่ไอ้มาร์ชเดินเข้าถึง มันที่วันนี้อยู่ในชุดนักศึกษาตัวใหญ่กว่าตัวของมัน เห็นแบบนั้นแล้วก็งง ปกติมันชอบใส่เสื้อแบบพอดีตัว

 

“เออ”

 

“แล้วนี่มึงทำไมหน้าตาดูอ่อนระโหยโรยแรงจังอ่ะ กินไรมายัง”

 

“เอ่อ กูยังไม่ได้กินว่ะ” มันตอบกลับออกมาพร้อมหลบสายตาของผม ท่าทางแปลกๆของมันที่ทำให้ยิ่งสงสัย แต่เลือกที่จะทำตัวตามปกติแบบที่ผมชอบเป็น คือมองผ่านไป ทำเป็นไม่สนใจ เดี๋ยวมันก็หลุดความลับของมันออกมาเองแหละ

 

“ไอ้เชี่ยได้ไง เอาไร บอกน้องสมุทรมาได้เลยจ้า เดี๋ยวใช้ไอ้จิมไปซื้อมาให้กินนะ” บอกมันออกไปแล้วยิ้มหวาน ไอ้มาร์ชส่งยิ้มแหยๆมาให้นิดหน่อย

 

“เรื่องไรเป็นกูวะไอ้หมุด”

 

“เอาน่า ไม่เห็นหน้าพ่อกูหรอ ไร้เรี่ยวแรงอ่อนล้า มึงแม่งเป็นคนใจหมาหรอไอ้จิม”

 

“คือด่ากูขนาดนี้ กูทำไรมึงยัง”

 

“ไป๊! ไปหาอาหารมาให้พ่อกูจ้า”

 

“แบบพ่อมึงนี่อาหารเม็ดไหม”

 

“สัดนี่ พ่อกูไม่ใช่หมา แต่ขอเป็นอาหารเปียกนะ เป็นลูกแมวเมี้ยวๆ” ผมตบมุกรับกับไอ้จิม แล้วยื่นมือไปเกาปลายคางไอ้มาร์ชอย่างแกล้งๆ ชอบเห็นเวลามันหันมาทำหน้าขู่ เงี้ยวๆเหมือนลูกแมวตะเร้กตะน้อยน่ารักดี

 

“มึงนี่ตัวดีกว่าใครเลยไอ้สัดหมุด” ครั้งนี้ไม่ว่าเปล่า แม่งเอื้อมมาตบหัวน้องสมุทรเพิ่มด้วยอีกหนึ่งที

 

“โอ๊ยๆ พ่ออย่ามาตบหัวกันสิวะ ไอ้พ่อเหี้ย”

 

“มึงต้องมีพ่อเมื่อพร้อมนะไอ้หมุด” ไอ้เฮงว่าแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้ ไม่อยากพูดเลย เห็นด้วยนะเอาจริง

 

“ว่าแต่มึงจะเอาไรไอ้มาร์ช เดี๋ยวกูจะไปหาซื้อน้ำพอดี”

 

“เอาก๋วยเตี๋ยวน้ำใสลูกชิ้นพิเศษก็ได้มึง”

 

“โอเค ปรุงเลยป่ะ”

 

“ไม่ต้อง วันนี้กูอยากกินจืดๆ” มันว่าแบบนั้น ทำเอาน้องสมุทรแปลกใจ ปกติแดกเผ็ดจะตายเถอะ ไอ้มาร์ชที่หันมาเห็นผมทำหน้าสงสัยพอดี

 

“ก็แค่อยากซดน้ำ ...เสียน้ำไปเยอะมั้ง”

 

“ห๊ะ มึงพูดว่าไรวะ” งึมงำๆอยู่ในลำคอ แล้วกูจะฟังออกไหมยังไงเอ่ย

 

“เปล่าๆ แล้วนี่ทำไมมาไววะวันนี้”

 

“ประทานโทษจ้าพ่อ กูไม่ได้มาไว แต่มึงมาช้าเองเหอะ”

 

“หรอ ว่าแต่เมื่อคืนยังไงที่มึงโทรหากู มึงกับพี่พระจันทร์คบกันแล้วหรอวะ” มันหันหน้ามาถามกัน ผมที่ยิ้มออกมากว้างๆก่อนหน้านี้ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆกลับไปให้มัน มองหน้าเพื่อนสนิทคนเดียวของผมแล้วก็ส่ายหน้าเป็นการตอบกลับ

 

“เปล่า ยังไม่ได้คบ”

 

“แล้วรอเหี้ยไรล่ะ ไอ้ที่ทำกันอยู่นี่มันไม่ใช่มากกว่าคบแล้วรึไง”

 

“ก็นะ...” ก็มากกว่าคนรู้จักที่เค้าจะทำกันจริงๆ แต่ถึงแบบนั้นเราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องอยู่ดี

 

“ทุกคนต้องการสถานะไอ้สมุทร มึงจะอยู่ให้มันแดกฟรีไม่ได้ เข้าใจหรือเปล่า” พ่อมาร์ชก็คือพ่อมาร์ชของไอ้สมุทร มันที่ทำสีหน้าจริงจังเหมือนเวลาพ่อสอนลูกสาว ผมยิ้มออกมาน้อยๆแล้วพยักหน้ารับ

 

“ไม่เข้าใจพี่แม่งเลยว่ะ ได้มึงแล้ว แถมยังไปรับไปส่ง ดูแลมึงอย่างดีกว่าแต่ก่อนฉิบหาย มันรออะไรวะ รอเหี้ยคาบไปแดกหรอ”

 

“เดี๋ยวนะพ่อ มึงจะบอกว่าจะมีเหี้ยมาคาบกูหรอไอ้สัด”

 

“ไม่ตลก มึงอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง” หรี่สายตามองกันแบบดุๆ เห็นแบบนั้นผมเลยถอนหายใจออกมาหนักๆแล้วส่งยิ้มบางไปให้มันอีกที

 

“กูคิดว่า...ที่เค้ากำลังทำอยู่มันคือความรู้สึกผิดของเค้าว่ะ”

 

“ห๊ะ...” ไอ้มาร์ชขมวดคิ้วมองหน้าผมงงๆ สีหน้าท่าทางเอาเรื่องที่บอกให้รู้ว่ามันไม่เข้าใจอะไรสักนิด

 

“พี่พระจันทร์เค้าคงรู้สึกผิดที่ได้กูวันนั้นแหล่ะ เลยพยายามมาทำดีทดแทน แต่กูก็โอเคนะ ไม่ได้อะไรอ่ะ ดีซะอีก กูได้กำไรนะ”

 

“กำไรเหี้ยไร มึงพูดเหี้ยอะไรเนี่ย”

 

“ก็ตอนนี้กูก็มีความสุขฉิบหายเลยอ่ะ กูไม่อยากให้ช่วงเวลาตอนนี้แม่งหมดไปเลย แต่ถ้าวันนึงแม่งจะหมด อย่างน้อยกูก็ยังมีความทรงจำตรงนี้ให้คิดถึง”

 

“ไอ้สัด พูดเหี้ยอะไร กูอยากตบหัวมึงแรงๆฉิบหายเลยสมุทร” ไอ้มาร์ชว่าออกมาอย่างหัวเสีย คิดเอาไว้แล้วว่าท่าทางมันจะต้องออกมาแบบนี้ เห็นแล้วก็แม่นเป๊ะแบบที่คิดไว้ว่าถ้าเล่าให้ฟังมันจะต้องฟึดฟัดๆเหมือนควายเห็นผ้าแดง แล้วก็เป็นงั้นจริงๆ

 

“ฮ่าๆ กูโอเคน่า มึงรู้ไว้แค่นี้ก็พอแล้ว”

 

“พอเห็นไร โอเคเหี้ยไร” บ่นออกมาแบบนั้นแล้วฟึดฟัดๆอยู่กับตัวเองสักพัก ...

 

ผมก็ไม่ได้หวังให้ใครมาเข้าใจในการกระทำของผมหรอก ทุกอย่างที่ผมทำมันก็เหมือนเดิม เป็นแค่ไอ้น้องสมุทรที่ชอบทำตามใจตัวเองและดื้อด้าน แต่อย่างน้อยผมก็ขอให้ตัวเองได้ทำ ทำไปจนสุดทาง ถ้าผลสุดท้ายผมไม่ไหวกับมันแล้วจริงๆ ผมจะเป็นคนถอยออกมา โดยไม่ต้องลำบากให้ใครมาดึง

 

“เฮ้อ แล้วแต่มึงเลยละกัน” ไอ้มาร์ชพูดออกมาในที่สุดหลังจากที่ตบตีกับตัวเองจบแล้ว หันไปมองหน้ามันที่ก็หันกลับมามองหน้าผมพอดี

 

“ถ้ามึงเสียใจ ก็รู้ไว้ละกันว่ากูยังอยู่ที่เดิม” มันว่าออกมานิ่งๆด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมยิ้มออกมากว้างๆ มองหน้ามองตามองปากของมันให้ชัดๆ เพื่อนคนดีคนเดิมเพิ่มเติมตำแหน่งพ่อของน้องสมุทร

 

“งื้ออ น่ารักจังโว้ยไอ้เหี้ย น้องสมุทรกอดๆๆ”

 

“K! อย่ามากอดกูไอ้สัดสมุทร ปล่อยโว้ย” ไอ้มาร์ชที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของน้องสมุทร โอ๋พ่อน้องมาร์ช ไอ้ต้าวตัวเล็ก ไอ้ต้าวขี้เขินของน้องสมุทร มามะๆ น้องสมุทรจะกอดพ่อน้องมาร์ชไว้ใต้จักแร้แน่นๆเลยนะ!

 

“กอดแน่นๆ อุ๋งอิ๋งๆในหัวใจน้องสมุทร~~”



.

.

.

(มีต่อจ้า)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่20 (300422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 30-04-2022 18:40:15



“ผัวมึงจะมารับป่ะเนี่ยสมุทร”

 

“ผัวเหี้ยไรล่ะ” หันไปถลึงตาใส่ไอ้มาร์ชที่เดินกอดคอผมลงมาจากห้องเรียน มันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจที่โดนผมด่า ไอ้เฮงกับไอ้จิมแยกตัวไปก่อนแล้ว เพราะมันโดนแก้งานเลยวิ่งไปที่หอสมุดกลาง โชคดีฉิบหายที่น้องสมุทรผ่าน ไม่งั้นต้องเหนื่อยแก้ให้เหล่าซืออีก ก็ไม่รู้จะอะไรกับกูนักหนา ถามรากศัพท์วิวัฒนาการของตัวอักษร แหม่ หน้าตากูเหมือนขงจือมากมั้ง อยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เวลาอยู่ต่อหน้า น้องสมุทรก็พูดได้แค่ ‘ฮ่าวเตอะเหล่าซือ เซี่ยเซี่ย’ (ดีๆครับอาจาร์ย ขอบคุณนะครับ)

 

“แต่พี่พระจันทร์ไม่ได้มารับว่ะ อยู่ๆก็ไลน์มาบอกว่ามีธุระ”

 

“อ่อ”

 

“เออ พอดีเลยว่ะพ่อ ไหนๆวันนี้พี่พระจันทร์ก็ไม่ได้มารับ มึงช่วยพากูไปเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่เค้าหน่อยดิวะ”

 

“วันเกิดพี่พระจันทร์”

 

“อือๆ เห็นว่าอาทิตย์หน้า กูไม่อยากรอว่ะ อยากไปซื้อไว้ก่อนเลย”

 

“อ่า...”

 

“นะพ่อน้า วันนี้มึงก็ไม่มีธุระที่ไหนต่อไม่ใช่หรอวะ ไปช่วยกูหน่อยนะเพื่อน”

 

“คือว่ากูไม่ได้เอารถมาว่ะ รถยางแบน”

 

“อ้าว แล้วงี้เมื่อเช้ามึงมาไงวะ” ผมหันไปถามอย่างตกใจ รถไอ้มาร์ชยางแบน ไปทำอิท่าไหนวะ มันเป็นคนที่หวงรถจะตาย

 

“คือ...” มันที่ทำหน้าเลิ่กลั่กอึกๆอั่กๆแบบไม่กล้าจะตอบกัน น้องสมุทรเห็นแบบนั้นเลยทำหน้าเฉยๆเหมือนคนไม่อยากรู้ เพราะไอ้มาร์ชมันเป็นแบบนี้ทุกที ถ้าไปคาดคั้นอะไรมันก็ไม่ได้เรื่องอะไรออกมาหรอก แต่ถ้าทำหน้าโง่ๆแบบน้องสมุทรนะ เดี๋ยวมันก็หลุดนู้นหลุดนี่ออกมาเองแหละ

 

“เมื่อเช้ารุ่นพี่มาส่งกูว่ะ”

 

“อ่อหรอวะ แล้วทำไมรถมึงยางแบนวะ”

 

“เมื่อคืนไปกินเหล้าแล้วเกิดเรื่องว่ะ เมื่อเช้าพอจะกลับไปเอารถแม่งก็แบนหมดแล้วสี่ล้อ เหี้ยฉิบหาย” ไอ้มาร์ชว่าออกมาอย่างฉุนๆ สีหน้าท่าทางที่บอกเต็มที่ว่าอยากเอาตีนไปขยี้หน้าคนที่แอบมาปล่อยยางลูกรักของมัน

 

“แล้ววันนี้มึงกลับไงอ่ะ”

 

“อ่อ คือ....”

 

“เห้ยไอ้มาร์ช ทางนี้ๆ มาสักทีไอ้สัด กูยืนร้อนนานแล้วนะ” เสียงของคนมาใหม่ที่พึ่งเดินออกมาจากร้านกาแฟข้างตึกคณะของผมตะโกนทักไอ้มาร์ชเสียงดัง พอผมขยับตัวนิดหน่อยก็ได้เห็นว่าเป็นใคร ไอ้มาร์ชก็บังกูซะมิด

 

“พี่ยอร์ช” ผมเอียงหัวหน่อยๆตอนเห็นคนมาใหม่ที่เดินเข้ามาทัก เค้าเองที่เห็นผมก็ชะงักไปเหมือนกัน ผมมองพี่ยอร์ชกับไอ้มาร์ชสลับกันไปมาแบบงงๆ นี่มันสองคนไปสนิทกันยังไงวะ

 

“เอ่อ..สมุทร มึงก็อยู่หรอ”

 

“ใช่พี่ หวัดดีนะ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วยกมือไหว้พี่มัน อีกคนที่ก็พยักหน้ารับหน่อยๆ รับรู้ได้ถึงความอึดอัดโรยตัวลงมาแปลกๆ เพราะการกระทำครั้งที่แล้วที่จบลงไป เรียกได้ว่ามันก็ไม่ดีนัก ผมไม่ชอบใจในสิ่งที่เค้าทำกับผม การกดดันเอาคำตอบให้ได้กับสถานการณ์ตอนนั้นมันไม่ถูกต้อง

 

“คือ พี่มันช่วยกูไว้น่ะ” เป็นไอ้มาร์ชที่ดูเหมือนจะตั้งสติได้ก่อนใคร มันพูดบอกออกมาแบบนั้น ผมที่ก็ทำแค่พยักหน้ารับแบบเข้าใจ โลกกลมหรือพรหมลิขิตวะนั่นน่ะ

 

“แล้วนี่พี่เลยมารับมันหรอ”

 

“เออ ก็รถมันเสีย”

 

“คนดีนะพี่มึงเนี่ย” ผมว่าออกไปแบบพยายามทำน้ำเสียงให้ไม่จริงจังมากนัก ก็ไม่อยากให้อึดอัดกัน ถึงผมจะไม่ชอบการกระทำของพี่ยอร์ช แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นรุ่นพี่ที่ไม่ได้แย่ขนาดนั้น อย่างน้อยเค้าก็เคยดีกับผม

 

“แน่นอนว่ะ แต่คนดีไม่มีที่อยู่ อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ในใจมึง” สัด ตัดพ้อเพื่อ

 

“อะ หน้าเหวอเลย ฮ่าๆ กูพูดแกล้งมึงไปงั้นเหอะไอ้สมุทร” พี่มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาผลักหัวผมเล่นพร้อมยิ้มขำๆอย่างผ่อนคลาย

 

“กูเป็นลูกผู้ชายพอ ในเมื่อมึงเลือกมัน กูก็ถอยเอง”

 

“ขอโทษนะพี่” ก็รู้ว่าคำขอโทษไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่อย่างน้อยผมก็อยากจะพูด จ้องหน้าพี่มันที่ยิ้มออกมาบางๆแล้วพยักหน้าให้ ในดวงตาคมผมยังคงมองเห็นความรู้สึกแย่อยู่ในนั้น แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคงพยายามเก็บความรู้สึกลงไปได้อย่างแนบเนียน ผมคิดว่ามันคงไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ของเราแย่ลงไปมากกว่านี้

 

“ช่างเหอะ มึงก็เห็นว่ากูหล่อเอวดีขนาดนี้ เดี๋ยวกูก็หาคนใหม่มาดามใจได้”

 

“มึงเคลมตัวเองขนาดนี้เลยนะ”

 

“ไม่ได้เคลมปากเปล่าวะ ไม่เชื่อมึงถามไอ้มาร์ชดิ ว่ากูดีจริง” มันว่าแบบนั้นแล้วกดยิ้มมุมปากด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ มองแล้วเสียววาบไปทั้งหลัง โชคดีที่ไม่ได้หันมามองผม แต่พี่มันเบนสายตาไปมองไอ้มาร์ชที่ถลึงตาใส่พี่มันตาแทบถลน

 

“K” และได้Kไปกระแทกใส่หน้าหนึ่งอันถ้วน แรงจังจ้าพ่อกู

 

“ว่าแต่มึงจะไปไหนวะสมุทร”

 

“ผมว่าจะไปห้าง อยากไปซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่พระจันทร์ครับ กำลังชวนไอ้มาร์ชอยู่ แต่มันพึ่งบอกว่ารถมันตาย”

 

“อ่อ จะถึงวันเกิดมันแล้วหรอวะ”

 

“อ่า ครับ” แล้วกูก็ไปบอกพี่มัน มันจะคิดว่ากูไปขยี้แผลความรู้สึกมันไหมวะ ก็แค่เผลอหลุดปากออกไป หันไปมองหน้าพี่ยอร์ชที่ไม่ได้ทำหน้าเสียอกเสียใจอะไร แค่พยักหน้าแบบใช้ความคิด

 

“งั้นไปกับกูป่ะ คิดๆแล้วกูก็ต้องซื้อให้ไอ้เหี้ยอาทิตย์เหมือนกัน พวกแฝดนรก”

 

“เออจริงด้วยว่ะ ผมลืมไปเลย”

 

“เออ พอดีเลย ปะ ไปรถกู”

 

“อ่า...งั้นมึงไปกับพี่มันเลยละกันนะ เดี๋ยวกูกลับเอง” ไอ้มาร์ชพูดออกมาในตอนนั้น ทั้งผมทั้งพี่ยอร์ชที่หันไปมองหน้ามัน มันที่ยืนคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคนเงียบๆมาตลอด มันหันมายิ้มให้ผมแล้วหันไปยักคิ้วแล้วกดยิ้มมุมปากให้พี่ยอร์ช ก่อนจะหันตัวเดินออกไปอีกทาง แต่ติดตรงมือหนาของพี่ยอร์ชที่คว้าเข้าที่ต้นแขนของมันเอาไว้ได้ก่อน

 

“มึงจะไปไหน”

 

“ไปเอารถ มึงไปกับไอ้สมุทรเลย”

 

“ได้ไง กูบอกเองว่าจะมารับมึง”

 

“ไม่ต้อง มึงไปเลย กูไปเองได้” ไอ้มาร์ชเถียงออกมาแล้วขมวดคิ้วใส่ หน้าตาที่บอกว่ามันเองกำลังเริ่มหงุดหงิด แต่พี่ยอร์ชก็ดูหงุดหงิดไม่ต่างกัน ฝ่ามือพี่มันที่จับอยู่ตรงต้นแขนเพื่อนผมไม่ยอมปล่อย

 

“แต่กูไม่ให้ไป แล้วมึงจะทิ้งกูไปกับไอ้สมุทรสองคนหรอวะ”

 

“เออ แล้วมึงไม่ชอบไงล่ะ!” มันตะคอกใส่พี่ยอร์ชเสียงดังจนผมสะดุ้ง พี่ยอร์ชชะงักไปนิดนึง แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมันไป

 

“กูชอบไม่ชอบ แล้วเพื่อนมึงจะชอบไหมที่มันต้องไปกับกูสองคน” อืม...จริง เกิดพี่พระจันทร์รู้ กูโดนฆ่าแน่ๆ

 

ไอ้มาร์ชนิ่งไปตอนได้ยินคำพูดนั้นของพี่ยอร์ชพูดใส่หน้า มันหันมามองผมที่ทำตาปริบๆมองมันอยู่ ก่อนที่ไอ้มาร์ชจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเสียไม่ได้

 

“เออ ก็ได้”

 

“ก็แค่นี้...งั้นไปกันเถอะคนสวย วันนี้กูจะเป็นป๋าพาพวกมึงไปเองนะ” พี่ยอร์ชว่าแบบนั้นแล้วเอื้อมมือไปพาดไหล่ไอ้มาร์ชแบบเป็นกันเอง ส่วนเพื่อนผมที่ก็พยายามจะขืนตัวออกเต็มที่ แต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ผมมองภาพตรงหน้านี้แบบงงใจ ... มันสนิทกันเบอร์นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ?

 

“มาๆน้องสมุทร อย่าช้าไอ้หนู”

 

“คร้าบ~” ลากเสียงยาวแล้ววิ่งตามพี่ยอร์ชที่ลากไอ้มาร์ชนำหน้าไปก่อนแล้ว ... แล้วแบบนี้จะซื้ออะไรให้พี่พระจันทร์ดีน้า~

 

เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้างและต่างคนต่างเลือกซื้อของขวัญให้ทั้งพี่พระจันทร์และพี่อาทิตย์ตามที่ตัวเองต้องการ พี่ยอร์ชมันซื้อเหล้าราคาแพงกล่องสีน้ำเงินหรูหราสองขวด เป็นเหล้าจากตระกูลเลเบิ้ล

 

“มึงคิดว่ามึงจะซื้ออะไรให้มัน” พี่ยอร์ชที่เดินมายืนข้างๆกันถามผมออกไปแบบนั้น ผมหันไปยิ้มให้แล้วเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำหอมขวดนึงขึ้นมา เป็นน้ำหอขวดสี่เหลี่ยมและมีฝาสีฟ้า

 

“ผมคิดว่าอันนี้” น้ำหอมที่มีกลิ่นแบบunisex เป็นกลิ่นสดชื่นที่เหมาะกับอากาศของประเทศไทย ให้ความสดชื่นและหอมแบบติดทน เป็นกลิ่นที่พอผมเห็นมันจะทำให้นึกถึงมหาสมุทรแบบชื่อของน้องสมุทร

 

“ทำไมถึงเป็นอันนี้”

 

“ผมคิดว่ามันเหมือนตัวผมดี และก็ดูเหมาะกับพี่พระจันทร์ด้วย” บอกออกมายิ้มๆ พี่ยอร์ชที่แค่พยักหน้าให้

 

“อืม จะบอกว่าเป็นอะไรที่เหมาะกับมัน เพราะเหมือนมึงที่เหมาะกับมันหรอวะ ใจร้ายฉิบหายเลยนะมึง”

 

“อ่า พี่ ผมขอ...”

 

“กูก็แค่พูดไปงั้น อย่าทำหน้าเหี้ยสิวะ” อะ มันหลอกด่ากูหรือเปล่านะ

 

“แต่กูก็ขอบใจเรื่องสร้อยข้อมือนี้นะ” พี่มันว่าแบบนั้นแล้วชูสร้อยขึ้นมาให้ผมดู เป็นสร้อยข้อมือผู้ชายเท่ๆที่ดูเหมาะกับข้อมือของพี่มันมากๆ แต่คือ...ให้กูดูทำไมวะ

 

“ทำหน้างงแบบนี้ มึงไม่ได้เป็นคนเลือกให้กูสินะ”

 

“ห...หา”

 

“หึ ยังไงก็ขอบใจของขวัญแสนแพงนี่ละกัน อย่างน้อยมึงก็เอามาให้กู” เค้าว่าแบบนั้นแล้วเดินหมุนตัวออกไปหาไอ้มาร์ชที่กำลังก้มๆเงยๆดูน้ำหอมแบรนด์อื่นอยู่ ผมมองตามแผ่นหลังของพี่ยอร์ชไปแล้วอยากตบหัวตัวเอง นั่นคงเป็นสร้อยที่พี่พระจันทร์เลือกให้พี่ยอร์ชในวันเกิดแน่ๆเลย แม่งเอ๊ย ตอนซื้อก็เห็นแว๊บเดียว ผมจำได้ที่ไหนล่ะ

 

“ไอ้สมุทรเอ๊ย มึงแม่ง” ยกมือขึ้นตบหัวตัวเองแรงๆทีนึงอย่างหงุดหงิดหัวใจ วันนี้พลาดทำให้ใครเสียใจไปกี่รอบแล้ววะตัวกู ผมส่ายหน้าอย่างหัวเสีย ก่อนจะยื่นน้ำหอมขวดนั้นไปให้พนักงานใส่ห่อและจัดใส่กล่องเป็นของขวัญพร้อมยื่นเงินจ่าย ในตอนที่ยืนรออยู่นั่นก็ฆ่าเวลาด้วยการมองนั่นมองนี่ ก้มลงไปมองน้ำหอมกลิ่นอื่นๆไปด้วยในตัว มองเห็นขายาวของลูกค้าที่เดินเข้ามาใหม่ผ่านชั้นใส่น้ำหอม

 

“พระจันทร์ชอบไหม ขวดนี้แบบที่เคยใช้เมื่อก่อนไง” เสียงใสของคนมาใหม่ไม่เท่าชื่อของใครที่ทำให้ผมใจกระตุก ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูงของตัวเองขึ้นมายืนประจันหน้า พี่พระจันทร์ที่ยืนทำหน้านิ่งๆอยู่ตรงนั้น ที่ข้างๆกันมีพี่อัยย์ยืนถือขวดน้ำหอมส่งไปให้ดู ก่อนที่ร่างสูงนั่นจะหันมาเห็นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

 

“สมุทร....”

 

ดวงตาคมสวยที่มีขนตางอนยาวในแบบที่ผมชอบ เบิกตากว้างขึ้นในตอนที่มองเห็นผม ผมส่งยิ้มบางๆออกไปให้เค้าแบบอัตโนมัติ ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทุกครั้งที่เจอพี่พระจันทร์ ผมก็อยากจะยิ้มให้เค้าทุกที แม้ว่าในตอนนี้ใจผมจะไม่อยากยิ้มก็ตาม

 

ไหนเค้าว่ามีธุระสำคัญไง

 

หรือไม่ว่าเมื่อไหร่ ธุระสำคัญของเค้าก็คือพี่อัยย์ทุกทีหรอวะ

 

#รักอยู่รู้ยัง

------------------------------------

มาแล้วลูกจ๋าชุดโกโกวาที่หนูอยากได้ ชุดโกโกวาที่หนูอยากใส่ โกโกวาคิมิซึนิดา เอิ๊วววว~~~

แคท: (สะกิดพี่พระจันทร์แล้วถามว่า)

(https://www.img.in.th/images/054cf3916c18d824c2ff9e3eb6d7d36d.jpg)

ฝากคอมเม้นท์หวีดร้องได้ทางแฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

แล้วสามารถเข้ามาทักทายพูดคุยกับแคทได้ทาง

TWITTER: YoghurtCatty (https://twitter.com/YoghurtCatty)

FACEBOOK: YoghurtCatty (https://www.facebook.com/YoghurtCatty)

 :mew1: :pig2: :pig4:

ขอขอบคุณคุณคนอ่านทางเล้าเป็ดที่อยู่ด้วยกันกับแคทมาเสมอเลยนะคะ น่ารักมากๆ ขอบคุณจริงๆค่ะ

:jul1: :jul3:
  อยู่กับแคทมาตั้งแต่ต้นเลย ขอบคุณนะคะ แคทหวังว่าจะสนุกแล้วอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆเลยนะคะ

สนุกมากนะคุณแคท ไม่ต้องคิดมาก เป็นแบบที่คุณแคทเป็นก็สุดยอดแล้วจร้า  :L1:
ยังตามอ่านเสมอนะคะ ถึงไม่ค่อยได้เม้นแต่รักมากมายนะ (ปล.สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะจ้า  :L2:)

#ยังคงชอบความมึนกับมโนของน้องหมุด ชอบความเข้าใจโลกของนาง สุขกับปัจจุบัน อนาคต เป็นเรื่องของอนาคต / คู่น้องหมุดพี่พระจันทร์ เขาเหมาะกันนะ ยึดติดทั้งคู่
#ชอบความร้ายชนร้ายของ น้องM&พี่Y, แหมๆ ผมร้ายนะพี่ไหวเหรอ! วุ้ย ตอนหน้า NC คู่นี้ต้องมาละใช่ไหมคะ??  :hao6:

 :pig4:
  งื้ออ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ยาวๆนี้ที่มอบให้แคทนะคะ แคทดีใจมากๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับคำอวยพรวันเกิดแคทด้วยนะคะ ขอบคุณกำลังใจดีๆที่มอบให้กัน แคทอ่านแล้วมีแรงฮึดมากๆขอบคุณจริงๆนะคะ ส่วนNCต่างๆ ไม่รู้ๆๆมาอ่านตอนนี้น้าา

น้องมาร์ชไป อืมม..อ่าา.. . กับใคร สารภาพมาาาาาาาาา :z1:
  อยากรู้ว่ายังไง มาอ่านตอนนี้น้าาา อิอิ :mew1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่20 (300422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-04-2022 21:36:13
 :n1: :a5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่20 (300422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 05-05-2022 13:14:05
ไอพี่พระจันทร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :beat: :beat: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่20 (300422)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 07-05-2022 18:58:44


บทที่21

 

           เสียงบรรยายของอาจารย์หน้าชั้นเรียน ที่กำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ไม่ได้ดังเข้าไปถึงประสาทการรับรู้แต่อย่างใด ในตอนนี้ที่ทำแค่นั่งหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ปากกาที่ถือค้างอยู่ในมือทำแค่เคาะไปมากับสมุดเลคเชอร์ของตัวเองไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วในหัวตอนนี้มันกำลังนึกไปถึงใครอีกคนที่เมื่อตอนเที่ยงพึ่งไปส่งมันถึงที่คณะ ใครอีกคนที่ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำให้นึกถึงแต่มันตลอด

 

เพราะแบบนั้น พอได้ลองคิดทบทวนซ้ำๆ ในตอนนี้เลยอยากจะทำอะไรดีๆ ที่มันชัดเจนเพื่อมันขึ้นอีกอย่าง...

 

“มึงยิ้มเหี้ยไรของมึงวะไอ้พระจันทร์ เรื่องซัพพลายเชนนี่มันสนุกมากหรอวะ” ไอ้ปุ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ ละสายตาจากกระดานไวท์บอร์ด แล้วเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบ

 

“เสือก” พูดออกไปแค่นั้น ส่วนมันก็แค่ยิ้มใส่แบบไม่สะท้านกับคำด่า

 

“แน่ะ ทำเป็นด่ากู ทีมึงยังนั่งยิ้มหลอนอยู่คนเดียว จนกูนึกว่าผีเข้า”

 

“ไร้สาระว่ะ ตั้งใจเรียนไปดิมึง”

 

“บอกให้กูเรียน มึงเรียนตายล่ะ ไหนกูขอดูหน่อยว่ามึงจดอะไรลงไปบ้าง” พูดแล้วก็ชโงกหน้าเข้ามามองทันทีแบบที่ไม่ได้เชื้อเชิญ เสือกแบบไม่ปิดบัง รวดเร็วจนเอามือดึงหน้ากระดาษปิดหน้าที่เขียนค้างไว้ไม่ทันด้วยซ้ำ กรอกตาใส่มันหนึ่งที ที่พอมันผละหน้าออกไปแล้วก็เอาแต่ทำหน้ากรุ้มกริ่มล้อใส่ ... K

 

“เห้ยๆ ไอ้มีน ไอ้พระจันทร์มันไม่จดอะไรที่อาจารย์วิโรจน์สอนเลยว่ะ มันจดแต่....”

 

“จดแต่อะไรวะ” ไอ้มีนเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดแลคเชอร์ของมันอย่างสอดรู้ วางปากกาลงทันทีเหมือนรอเวลาให้มีอะไรสักอย่างมาขัดขวางการเรียนของมันอยู่นานแล้ว ดูก็รู้เลยว่าเพื่อนผมทุกคนเป็นเด็กตั้งใจเรียน

 

“มันเอาแต่จดแต่คำว่า ‘สมุทร’ เต็มหน้ากระดาษเลยว่ะ ฮ่าๆ”

 

“ง่อวววว เพื่อนผมมันตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว”

 

“น้องสมุทรใช่ไหมเป็นคนถีบมัน” ร้องเพลงรับส่งกันเป็นคู่ เหมือนพ่อกับแม่มันตั้งใจให้พวกมันเกิดมาเป็นนักร้อง นักร้องเสียงเพี้ยนน่ะสิไอ้สัด ผมได้แต่ส่ายหัวแล้วหันหน้าหนีพวกมันที่เอาแต่ตั้งท่าล้อกันไม่ยอมเรียน ...

 

แต่สิ่งที่พวกมันพูด ก็อาจจะจริง

 

ถีบแรงอยู่นะ ไอ้เด็กนั่นน่ะ...

 

“นี่ๆ ไอ้เพื่อนจันทร์ครับ” ไอ้ปุ่นยังตามมาสะกิดแขนกันยิกๆ อย่างไม่ลดละ ปรายสายตากลับไปมองมันอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้าไม่ตอบสนอง ก็คงไม่เลิกสะกิดกูหรอกวันนี้

 

“อะไร”

 

“แหม่ กับกูนี่พูดน้อยจังนะครับ”

 

“แล้วมึงชื่อสมุทรหรอ กูถึงต้องพูดเยอะ” เลิกคิ้วแล้วมองหน้ามันเป็นเชิงถาม

 

“เชี่ย เอาว่ะ มันขนาดนี้แล้วนะ”

 

“ไร้สาระ” ด่ามันออกไป แต่ถึงแบบนั้นก็อาจจะเป็นตัวเองที่อาจจะไร้สาระกว่าพวกมันทั้งคู่ เพราะแค่พวกมันล้อ กูก็กลับยิ้มออกมาซะแล้ว แค่คิดถึงไอ้เด็กนั่น มุมปากมันก็ยิ้มออกมาเองซะแบบนั้น โคตรคุมตัวเองไม่อยู่

 

“นี่ไอ้พระจันทร์ มึงกับน้องสมุทรนี่คือคบกันแล้วหรอวะ”

 

“ทำไมมึงถามแบบนั้น” เหลือบสายตาไปมองไอ้ปุ่น ที่ตอนนี้เอาข้อศอกค้ำลงกับโต๊ะแลคเชอร์แล้วยกมือขึ้นค้ำตรงข้างขมับเพื่อหลบสายตาของอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ อีกนิดมันคงจะไหลลงไปนอน ท่าทางการเรียนที่ทำตัวเหมือนอยู่บ้าน สบายแบบไม่แคร์สายตาใคร อาจารย์หน้าห้องนั่นมันก็คงไม่แคร์

 

“ก็ดูมึงกับน้องตอนนี้ดิ ยังกับคนที่คบกันอยู่”

 

“มันไม่ง่ายขนาดนั้น”

 

“เพราะพี่อัยย์หรอวะ เหี้ยว่ะไอ้สัด” มันสบถประโยคสุดท้ายออกมาแบบฉุนๆ

 

“แล้วมึงโมโหอะไร” เลิกคิ้วหันไปมองมันที่ก็ทำหน้าหงุดงหงิดใส่ ท่าทางที่เหมือนอยากเอาตีนยกมาฟาดปากกัน มันแสดงออกมาชัดเจน

 

“กูว่าจะไม่พูดแล้วนะไอ้พระจันทร์ แต่มึงควรทิ้งเรื่องพี่อัยย์ไปได้แล้ว มึงจะเป็นหมูเป็นหมาเป็นลาให้เค้าสนตะพายอีกนานป่ะ เค้าพูดกับมึงถึงขนาดนั้นอ่ะ พร่ำเพ้อเหี้ยไรอยู่กับคนๆ เดียววะ” ไอ้ปุ่นด่าออกมารัวๆ ไอ้มีนถึงกับวางปากกาแล้วมองหน้าผมแบบหงุดหงิด เห็นพวกมันออกอาการขนาดนั้นแล้วก็ได้แต่หลุดหัวเราะออกมา มันคงชอบสมุทรมาก เด็กนี่มันเก่งว่ะ มันมีพลังนะ

 

“ขำเหี้ยไร มึงดูตัวเองบ้างนะ ยิ้มยังกับคนพี้ยาเพราะน้องมัน แล้วจะยังอาลัยอาวรณ์พี่อัยย์ทำเหี้ยไร”

 

“กลัวไม่ได้เป็นควายแบบพระเอกนิยายมั้ง” ไอ้มีนด่าต่อจากไอ้ปุ่นตามมาอีก ผมส่ายหัวหน่อยๆ กับคำด่าของพวกมัน ก็ด่ากันรัวๆ แบบไม่เปิดทางให้กูได้พูด แล้วมาเอาไร

 

“เลิกไปได้แล้วกับไอ้การยึดติดของมึงอ่ะ”

 

“เค้าไม่ได้รักมึง แล้วถ้ามึงจะใช้สมองสักนิดอ่ะ มึงก็จะได้รู้ ว่ามึงเองก็ไม่ได้รักเค้าแล้ว”

 

“ใช่ ... ภาพพี่อัยย์ในใจมึงมันจางไปตั้งนานแล้วเพราะน้องสมุทรเหอะ”

 

“พวกมึงสองคนนี่คิดเองเออเองแบบไม่ให้กูได้พูดเลยนะ ด่ากูไม่พัก ไม่เหนื่อยหรอสัด”

 

“กูไม่เหนื่อย กูกลัวตัวเองเหนื่อยตอนมึงหอนเป็นหมาเวลาที่น้องมันไม่อยู่รอแล้วมากกว่า”

 

“ใช่ เอาแต่หลอกตอดนิดตอดหน่อยน้องอยู่ได้ เมื่อไหร่จะคบ” ไอ้มีนขมวดคิ้วแล้วมองแรงใส่ผม ท่าทางที่ว่าถ้ามันนั่งใกล้คงตบหัวผมไปแล้ว

 

“เมื่อหมาคาบไปแดกมั้ง” ไอ้ปุ่นว่าต่อ แต่ไอ้มีนมันกลับส่ายหน้า

 

“ไม่น่าใช่ ... กูว่าน่าจะเมื่อน้องมันถอดใจมากกว่า อย่าลืมนะมึง รักได้ก็เลิกได้ หัวใจมันก็มีลิมิตในการรอ ขนาดมึงตอนนี้ยังไม่รอพี่อัยย์แล้วเลย”

 

“รู้แล้วน่า พวกมึงจะบ่นไรนัก”

 

“ก็มึงแม่งK” ไอ้ปุ่นยกนิ้วกลางชูขึ้นมาใส่หน้าผม เหอะ...Kก็เล็กนิดเดียว เบ้หน้าใส่มันก่อนจะพูดต่อ

 

“กูไม่ยอมให้สมุทรมันถอดใจหรอก”

 

“ไม่ยอมก็ขอคบสักทีสิวะ”

 

“กูรู้แล้วน่า” บอกออกไปแบบนั้น พวกมันสองคนก็ชะงัก ไอ้ปุ่นหรี่ตามองกันแล้วรีบขยับเข้ามาใกล้หลังจากตอนด่ามันเขยิบหนีออกไปซะไกล สายตาเป็นประกายวาบวับมองหน้าผมอย่างมีความหวัง

 

“อย่าบอกนะว่า....”

 

“อืม แต่กูไม่จำเป็นต้องบอกพวกมึง คนที่กูจะต้องบอกมันคือสมุทร”

 

“เชี่ยยย เหยดแม่ ได้เอาแล้วครับงานนี้ เพื่อนเราต้องได้แล้วว่ะ”

 

“หึ ได้มาแล้วเหอะ” กดยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วนึกไปถึงเรื่องคืนนั้นที่เหมือนจะเมาแต่ไม่งง เป็นความสับสนที่สุดท้ายก็รู้สึกดี ยังจำความรู้สึกลื่นมือที่เวลาลูบไปที่แผ่นหลัง หรือแม้แต่ช่องทางด้านหลังที่ขมิบตอนรัดแกนกายกันไว้ถี่ๆ ร่างกายของมันที่บอกทุกอย่างให้ได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไงนั่นทำให้เสียววูบไปทั้งตัว ...แต่ก็เพราะเรื่องนี้ที่ทำให้รู้สึกผิดอยู่ดี เพราะแบบนั้น เลยตัดสินใจกับตัวเองว่าจะทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง

 

“อะไรนะ!” ไอ้มีนแหกปากออกมาเสียงดังแล้วโยนปากกามาใส่ผม แต่เสียใจกูหลบทันครับ มันถลึงตามองกันอย่างตกอกตกใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทั้งห้องก็เงียบเสียงลง พร้อมๆ กับเสียงเคาะไมค์ที่ดังมาจากหน้าห้อง

 

“นายมีรณัฐน์! ลุกมานั่งข้างหน้าเดี๋ยวนี้ ... รู้สึกว่าเธอจะมีความสุขมากไปแล้วนะ” เสียงของอาจารย์ไพโรจน์ที่ดังขึ้น พร้อมสายตาที่มองลอดแว่นส่งมาให้ไอ้มีน

 

“เชี่ยแล้วกู” ไอ้มีนก้มหน้าบ่นพึมพำออกมาเหมือนกับพึ่งนึกขึ้นได้ว่ามันอยู่ในห้องเรียน ผมกับไอ้ปุ่นโบกมือเป็นกำลังใจให้มัน พร้อมภาวนาให้มันไปนั่งตรงนั้นอย่างโชคดีมีชัย ไอ้มีนเดินคอตกพร้อมกับหอบสมุทรของมันออกไปนั่งที่โต๊ะข้างหน้าอย่างน่าสงสาร แต่ถึงแบบนั้น อืม...กูไม่สงสารหรอก กูสมน้ำหน้า

 

“นี่มึงจะขอน้องมันคบหรอวะ” ไอ้ปุ่นหันมาซักกันต่อ ดูอยากรู้เรื่องของผมกับไอ้สมุทรซะเหลือเกิน อยากรู้ว่าไอ้สมุทรซื้อพวกมันด้วยอะไร เพื่อนผมถึงชอบมันขนาดนี้ ... กับอัยย์ พวกมันสองคนไม่เคยชอบเลย

 

“แล้วให้กูรออะไร”

 

“แล้วพี่อัยย์”

 

“กูจะเคลียร์กับเค้า” ผมบอกออกไปตามที่ใจคิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตกค้างอยู่ในใจ ถึงมันจะไม่ได้มากมายในใจผมเท่าแต่ก่อนแล้วก็ตาม แต่คิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักมากพอดูในใจของไอ้สมุทร เพราะแบบนั้นจะปล่อยเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้

 

“เชี่ย จริงป่ะ”

 

“เออจริง ... กูรู้ว่าอัยย์ไม่ได้คิดอะไรกับกู จริงๆ มันไม่จำเป็นที่จะต้องเคลียร์ แต่กูไม่อยากค้างคาว่ะ อยากน้อยก็อยากพูดออกไปให้ชัดๆ อยากบอกกับอัยย์ว่าไม่ต้องห่วงว่ากูจะวุ่นวายอะไรกับเค้าอีก ตอนนี้กูมีคนที่กูพร้อมจะเดินไปด้วยแล้ว และคิดว่าเรื่องนี้ มันก็คงสำคัญกับไอ้สมุทรเหมือนกัน อยากทำให้มันได้รู้ว่ากูชัดเจน”

 

“กูดีใจว่ะ” มันว่าออกมาแบบนั้น มองหน้าผมทำสายตาเหมือนพ่อที่ส่งลูกถึงฝั่ง ผมถอนหายใจกับท่าทางโอเวอร์แบบนั้นของมัน

 

“มึงอย่าเวอร์”

 

“ไอ้เหี้ย กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี กูอยากเห็นวันนี้เกือบตาย พอกูได้เห็นแล้ว มึงก็ให้โอกาสกูดีใจหน่อยเหอะว่ะ”

 

“มึงรอดีใจ ตอนกูขอมันเป็นแฟนเหอะว่ะ ...ถึงมันจะข้ามไปเป็นเมียแล้วก็เถอะ”

 

“เหยด พี่พระจันทร์เค้าก็แรงจังเลยอ่ะครับ”

 

“กูก็ไม่เคยเบานะรู้สึก โดยเฉพาะบนเตียง”

 

“K ถ้าได้แค่ครั้งเดียวก็อย่ามาขิง”

 

“ต่อให้ได้หลายครั้งกูก็ไม่บอกมึงหรอก ... กูหวงของกู” บอกมันแบบนั้นแล้วยักคิ้วใส่พร้อมกดยิ้มมุมปาก ไอ้ปุ่นทำท่าทางจะอ้วกใส่ แต่ใครจะสน

 

อย่างน้อยถ้าไอ้สมุทรไม่เดือดร้อน กูก็ไม่สนใจหรอก

 

เพราะคิดแบบนั้นผมเลยตัดสินใจกดโทรศัพท์เข้าแอพแล้วพิมพ์ข้อความไปหาอัยย์

 

[[พระจันทร์: อัยย์ ... เย็นนี้เจอกันหน่อยได้ไหม] ] รอเวลาไม่นาน หน้าจอก็ขึ้นข้อความให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้เปิดอ่านแล้ว

 

[[อัยย์: มีอะไรหรอ] ]

 

[[พระจันทร์: จันทร์มีเรื่องสำคัญอยากจะคุย] ]

 

[[พระจันทร์: ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้อัยย์ลำบากใจหรอก] ]

 

พิมพ์บอกออกไปแบบนั้น เพราะกลัวว่าอัยย์จะคิดว่าผมจะมารุงรังกับชีวิตเค้าแบบทุกที แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ ผมไม่ได้กำลังตัดใจ ผมตัดอัยย์ไปได้นานแล้วโดยที่ผมไม่รู้ตัวเหมือนที่ไอ้ปุ่นกับไอ้มีนมันว่านั่นแหล่ะ ที่ยังยื้อไว้มาตั้งนาน ผมขอเรียกมันว่าความผูกพันธ์ และสันดานดันทุรังที่ไม่อยากยอมแพ้ของตัวเองก็แค่นั้น

 

แต่ถ้าขืนยังทำแบบนั้น มันจะมีใครอีกคนที่ต้องเจ็บกับเรื่องนี้ ... และผมไม่อยากให้สมุทรมันต้องรออีก

 

[[อัยย์: อ่า...แต่วันนี้อัยย์ไม่ได้เอารถมา] ]

 

[[อัยย์: จันทร์มารับอัยย์หน่อยได้ไหม] ]

 

ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่ายออกมานิดหน่อย แบบนี้ก็อดไปรับไอ้สมุทร แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ก็คงไม่แย่อะไรเท่าไหร่

 

[[พระจันทร์: งั้นเดี๋ยวจันทร์ไปรับ] ]

 

[[อัยย์: เย้ ขอบคุณนะ ... จันทร์ยังน่ารักกับอัยย์เหมือนเดิมเลย] ]

 

[[อัยย์: จันทร์มารับอัยย์ที่หน้าคณะแบบที่เคยมาทุกทีนะ] ]

 

[[อัยย์: อัยย์รอนะ] ]

 

[[พระจันทร์: อืม] ]

 

พิมพ์ตอบรับไปแค่นั้นแล้วกดออกจากแชทของอัยย์ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงส่งสติ๊กเกอร์กลับมาให้กัน แต่ผมก็ไม่ได้เปิดเข้าไปอ่าน เลือกที่จะเปิดอีกแชทนึงของคนที่คิดถึงมากกว่าขึ้นมาแทน

 

[[พระจันทร์: สมุทร...วันนี้กูไม่ได้ไปรับมึงนะ กูมีธุระสำคัญ] ]

 

[[น้องสมุทร: อ้าว มีธุระหรอครับ] ]

 

[[น้องสมุทร: แต่ไม่เป็นไรนะ น้องสมุทรกลับเองได้] ]

 

มันตอบกลับมาแบบนั้นพร้อมสติ๊กเกอร์รูปหมีทำนิ้วโอเค ก็เป็นสติ๊กเกอร์ที่น่ารักเหมาะกับมันฉิบหาย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแค่ได้เห็นข้อความตอบกลับของมัน

 

[[พระจันทร์: น่ารัก] ] อดไม่ได้ จนต้องพิมพ์ออกไปตามที่ใจคิด ข้อความที่ส่งไปถูกเปลี่ยนเป็นอ่านแล้ว แต่ไอ้เด็กก็ยังไม่ยอมพิมพ์อะไรตอบกลับมาอีกอยู่ดี ผมได้แต่ยกยิ้มมุมปากออกมาแบบนั้นเพราะนึกออกว่ามันจะเป็นยังไง เวลาเขินทีไรก็ชอบทำหูแดงๆ เม้มปากแน่นๆ แล้วยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นตาของตัวเองแบบทำอะไรไม่ถูก และคิดว่าตอนนี้มันก็คงจะทำแบบนั้นอยู่

 

[[พระจันทร์: กูหมายถึงสติ๊กเกอร์มึงน่ารักดี] ]

 

[[น้องสมุทร: โว๊ะ คิดแล้วเชียว] ]

 

มันตอบออกมาแบบนั้น ทำเอาผมอยากหลุดขำออกมาเสียงดัง แต่ถ้าทำแบบนั้นคงจะโดนอาจารย์วิโรจน์เรียกไปนั่งกับไอ้มีนแหง ผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมด นึกหน้างอๆ ของมันออกเลย แม่ง...น่ารักว่ะ

 

[[พระจันทร์: งอนหรือไง] ]

 

[[น้องสมุทร: ก็เปล่าสักหน่อยอ่ะ] ]

 

[[พระจันทร์: เสียดายว่ะ นึกว่ามึงงอน] ]

 

[[น้องสมุทร: ถ้าน้องสมุทรงอนแล้วจะทำไม] ]

 

[[พระจันทร์: จะง้อด้วยน้ำเขียวโซดา] ]

 

[[น้องสมุทร: โถ่เอ๊ย น้องสมุทรไปซื้อเองก็ได้เถอะ] ]

 

[[พระจันทร์: มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ] ]

 

[[น้องสมุทร: ต่างตรงไหนก่อน] ]

 

[[พระจันทร์: ก็ต่างตรงที่ ถ้ามึงไปซื้อเขาจะใส่น้ำแข่งมาให้ แต่ถ้ากูทำให้ กูจะใส่ใจกูลงไปให้มึงแทน] ]

 

พิมพ์ตอบกลับไปแบบนั้น นานหลายนาทีที่สมุทรมันอ่านแล้วไม่ตอบผม เคาะปากกาลงบนกระดาษสมุดที่เขียนคำว่าสมุทรจนเต็มไปหมดนั่นฆ่าเวลา

 

‘ตื่อดึ้ง’

 

ขอความถูกตอบกลับมาอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มของผมที่กลั้นต่อไปไม่ได้แล้ว

 

[[น้องสมุทร: ลาก่อน อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย คนแถวนี้มันเล่นกับใจน้องสมุทรนัก!] ] มันน่านัก อยากจะฟัดให้มันจมเตียง

 

[[น้องสมุทร: น้องสมุทรเรียนต่อก่อนนะครับ] ]

 

[[พระจันทร์: ครับ] ]

 

กดปิดแชทหน้าของไอ้สมุทรลงพร้อมรอยยิ้มกว้างมากกว่าเคย ที่ผมเคยคิดมาตลอดว่าอยู่กับมันแล้วสบายใจ จริงๆ แล้วมันก็คือ เราจะสบายใจได้ก็ต่อเมื่อ เราอยู่กับคนที่เรารักก็เท่านั้นล่ะ

 

อืม ... ควายพระจันทร์

 

.

.

.

 

         ในช่วงเวลาสี่โมงตรงผมก็มารับอัยย์ที่หน้าคณะ จอดรถเทียบที่หน้าตึก อีกฝ่ายก็เปิดประตูแล้วขึ้นมานั่ง ใบหน้าน่ารักของอัยย์ยังคงเหมือนทุกครั้งที่เคยเห็น มันไม่ต่างจากครั้งไหนๆ ที่เคยเจอ อัยย์หันมายิ้มให้กันด้วยท่าทางสบายๆ และสดใส แต่ผมกลับไม่สบายใจนักที่เห็นแบบนั้น

 

“จันทร์เลิกนานแล้วหรอ อัยย์หิวมากเลยอ่ะ แวะไปห้างหน่อยได้ไหม ไปร้านประจำที่จันทร์ชอบพาอัยย์ไปไง”

 

“หิวหรอ” ถามออกไปแบบนั้น จริงๆ ตั้งใจว่าจะคุยกันบนรถ แล้วตรงกลับพาไปส่งบ้านเลยด้วยซ้ำ ผมถอนหายใจออกมาหน่อยๆ

 

“ใช่ หิวมากๆ เลย นะๆ จันทร์นะ” คนข้างตัวที่พูดอ้อนแบบที่ชอบทำเวลาอยากให้ผมใจอ่อน ฝ่ามือเรียวสวยที่เอื้อมมาคว้าเข้าที่ต้นแขนซ้ายของผมแล้วเขย่ามันนิดๆ แบบอ้อน ปรายตามองนิดๆ ก่อนจะจับมืออัยย์เอาไว้ พอทำแบบนั้นรอยยิ้มสวยที่ผมเคยชอบก็ปรากฏออกมาให้เห็นกันชัดๆ ทั้งหูทั้งตา ผมจับมืออัยย์ออก แล้วดันตัวเค้ากลับไปนั่งที่เบาะเดิมดีๆ

 

“นั่งดีๆ” อัยย์ชะงักรอยยิ้มของตัวเองไปเล็กน้อย ก่อนจะมองตรงมาที่หน้าของผมอย่างสงสัย แต่ถึงแบบนั้นผมก็เลือกจะเมินหน้าหนีแล้วหันกลับไปตั้งใจมองถนนตามเดิม

 

“เดี๋ยวจันทร์พาไป”

 

“อื้ม ขอบคุณนะ ... พระจันทร์น่ารักกับอัยย์ไม่เปลี่ยนเลย เหมือนที่จันทร์เคยบอกกับอัยย์ว่าจะไม่เปลี่ยนไปจากอัยย์ไง”

 

“อัยย์”

 

“หื้ม ว่าไงหรอ”

 

“เรื่องที่จันทร์อยากจะคุยกับอัยย์ก็คือเรื่องของจันทร์กับสมุทร ตอนนี้...”

 

“เดี๋ยวก่อนสิ ไปถึงร้านแล้วเราค่อยไปคุยกันก็ได้นี่นา” เค้าพูดขัดผมออกมาแบบนั้น ปรายสายตามองคนที่นั่งอยู่ข้างตัว ใบหน้าน่ารักนั่นยังดูใสซื่อเหมือนอย่างเคย

 

“คุยไปด้วยก็ไม่เห็นเป็นอะไร จันทร์อยากบอกให้ชัดว่า...”

 

“แต่อัยย์ยังไม่อยากฟัง” เสียงใสที่พูดขึ้นเสียงมากกว่าเคยออกมาอย่างจริงจังจนผมต้องหันไปมอง อัยย์ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้รู้สึกดี

 

“จันทร์จะรีบร้อนไปทำไม ยังไงก็จะพูดไม่ใช่หรอ รออีกหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง” เจ้าตัวกอดอกแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ การกระทำที่เมินคำพูดกันอย่างชัดเจน ทำให้ผมถอนใจออกมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ...

 

ไม่เป็นไร ถึงร้านก่อนค่อยคุยกันก็ได้ถ้าแบบนั้น เพราะยังไงผมก็จะพูดมันอยู่ดี

 

ใช้เวลาไม่นานนักก็ขับรถมาถึงห้างดังใจกลางกรุงเทพ เพราะมันเป็นห้างที่ไม่ได้อยู่ไกลจากมหาลัยมากนักเลยใช้เวลาไม่นาน ผมก้าวขาเดินนำอัยย์เข้าห้าง ตั้งใจจะตรงไปที่ร้านอาหารไทยที่เค้าชอบกินในทันที ไม่อยากเสียเวลา อยากกลับบ้านไปโทรหาไอ้สมุทร

 

“จันทร์ เดินรอกันบ้างสิ” เสียงใสๆ ของคนที่วิ่งตามมาทำให้ผมชะงักขา พอหันไปมองก็เห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของอัยย์ที่มองตรงมา ... ลืมไป ก็นึกว่าเดินตามมาแล้วนี่หว่า

 

“โทษที”

 

“จะรีบไปไหนนัก” อัยย์บ่นออกมาแบบนั้น ผมที่หันหน้าไปมองร้านประจำที่แค่เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ก่อนจะหันกลับมามองอัยย์ที่ตอนนี้มองไปทางอื่น ใบหน้าน่ารักนั่นขมวดคิ้วเข้าหากันนิดๆ

 

“เป็นอะไร” ผมถามออกไปแบบนั้น มองตามสายตาสวยไปก็ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าดู

 

“เปล่าหรอก”

 

“งั้นก็ไปดิ จะถึงร้านแล้ว”

 
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่21 (070522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 07-05-2022 19:02:23
“เดี๋ยวก่อน” เค้าคว้าข้อมือของผมเอาไว้ ตัวผมที่จะก้าวขาออกไปก็ต้องชะงักอีกครั้ง หันไปมองหน้าคนข้างตัวอย่างไม่เข้าใจว่ามีอะไร แต่อัยย์ก็แค่ยิ้มออกมา

 

“ใกล้จะถึงวันเกิดจันทร์แล้วนี่นา เมื่อเช้าอัยย์บังเอิญเจออาเมล อาเมลเลยเล่าให้ฟัง”

 

“อ่อ ก็ใช้”

 

“งั้นไปหาซื้อของขวัญให้จันทร์กับทิตย์กันเถอะ” พูดออกมาอย่างร่าเริงด้วย ใบหน้าน่ารักนั่นยิ้มทั้งหูทั้งตา อัยย์เป็นคนขาวตัวบางแล้วมีตายิ้มที่พอยิ้มก็เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ใบหน้าที่ทำให้ใครเห็นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันน่ารัก และอัยย์ก็มักจะใช้ความน่ารักของตัวเองเสมอ

 

“แล้วไม่กินข้าวก่อน”

 

“ไม่ อัยย์ไม่หิว”

 

“แล้วไหนตอนขึ้นรถบอกว่าหิว” ผมขมวดคิ้วถามออกไป จริงๆ อยากจะถามว่าเอายังไงกันแน่วะ แต่คิดว่าอย่าพูดออกไปเลยจะดีกว่า

 

“อ่อ...ก็ มันยังทนได้ ไปเลือกของก่อนแล้วค่อยมากินดีกว่า นะๆ ไปๆ”

 

“จันทร์ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น ก็แค่วันเกิด อัยย์ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”

 

“ได้ไงเล่า วันเกิดทั้งทีก็ต้องมีของขวัญสิ” เค้ายังคงดื้อดึง แต่ใจผมอยากไปกินข้าวแล้วพูดกับอัยย์ให้มันจบๆ ไม่ได้อยากเสียเวลาไปเดินเลือกของขวัญอะไรนั่น

 

“น่า มาเร็วๆ เข้า” บอกเสียงเข้มขึ้นแล้วเดินนำผมเข้าไปทางช็อปน้ำหอม ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกว่าตั้งแต่เจออัยย์เหมือนแก่ขึ้นอีกสามปี ถอนหายใจมากขนาดนี้ อีกนิดกูคงตาย

 

ผมเดินตามอัยย์ไปอย่างไม่ได้อยากไปมากนัก มองหาคนที่เดินนำเข้ามาก่อน ไม่รู้ว่ารีบร้อนอะไรนักหนา อัยย์ดูรีบยิ่งกว่าตอนจะพาไปกินข้าวซะอีก มองเห็นคนร่างบางที่ยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ตรงนั้นเลยเดินเข้าไปแตะไหล่ ไอ้ยิ้มกว้างขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะคว้าข้อมือผมมาจับเอาไว้แน่น การกระทำที่ผมไม่เข้าใจนัก ยังไม่ทันได้ถามอะไร เจ้าตัวก็ลากผมให้เดินไปด้วยกัน

 

“จะรีบไปไหนวะอัยย์”

 

“ก็นั่นไง” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วชี้ๆ ไปที่เคาเตอร์น้ำหอมแบรนด์นึง จำได้ลางๆ ว่าจริงๆ แล้วไม่ชอบกลิ่นแบบนั้นเท่าไหร่หรอก แต่เป็นเพราะว่าคนตรงหน้านี้ซื้อให้ ก็เลยอดทนใช้มันตั้งนาน

 

“มาๆ ทางนี้ๆ” อัยย์ว่าแบบนั้นแล้วดึงตัวผมให้เดินเข้าไปในช็อปนั้น ผมไม่ได้อยากมาสักนิด แต่ก็ออกปากไม่ทัน อัยย์ที่เดินเข้าไปถึงตรงนั้นแล้ว

 

“พระจันทร์ชอบไหม ขวดนี้แบบที่เคยใช้เมื่อก่อนไง” อัยย์พูดออกมาแบบนั้นด้วยเสียงใสที่ดังกว่าเดิม ผมถอนหายใจออกมาแล้วหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ ไอ้ขวดขาวๆ ที่มีฝาจุกสีส้มตัดกับเหลืองๆ และเป็นน้ำหอมกลิ่นแป้งเด็ก ในตอนที่ตั้งใจจะอ้าปากบอกออกไปว่าตอนนี้ไม่ชอบแล้ว สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตากลมโตในกรอบแว่นตาทรงกลมใสแจ๋วกำลังมาตรงมาที่ผมพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผมมองออกว่ามันไม่ได้อยากจะยิ้ม

 

“สมุทร” เรียกชื่อมันออกไปแบบนั้นอย่างตกใจ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ตอนนี้วะ

 

“หื้ม...อ้อ น้องคนวันนั้น” แล้วก็เป็นอัยย์ที่เดินเข้ามายืนข้างกันพร้อมๆ กับวงแขนเรียวสวยนั่นก็เกี่ยวเข้ามากับแขนของผมเอาไว้แน่น ผมที่กำลังจะดึงแขนตัวเองออก ไม่อยากให้มันเข้าใจผิด แล้วก็ไม่เข้าใจว่าอัยย์กำลังทำเหี้ยอะไร เรื่องแม่งวนมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันวะ น่าหงุดหงิดฉิบหาย

 

“มีอะไรวะมึง” เสียงของคนมาใหม่ที่เดินเข้ามาหาไอ้สมุทร ทำให้ทั้งผมและอัยย์ชะงักไป ... ไอ้ยอร์ช

 

ไอ้เหี้ยนี่มาอยู่นี่ได้ยังไง

 

...

 

         ในบางช่วงเวลาของคนเรา ในบางฉากบางตอนหนึ่งของชีวิต เราก็อาจจะเคยได้เจอช่วงเวลาที่เหมือนกับว่าโลกทั้งหมดหยุดหมุน ตัวผมเคยสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรอ ช่วงเวลาแบบในหนังที่เค้าชอบสโลโมชั่นให้เราดู จนได้มาเจอกับตัวในตอนนี้ ถึงได้รู้ว่า ช่วงเวลาแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นจริง และมันกำลังเกิดขึ้นกับผมอยู่ในตอนนี้

 

ใบหน้าติดจะเย็นชาที่ยืนทำหน้านิ่งๆ อยู่ข้างๆ กับคนน่ารักที่เอาแต่พูดถึงความหลังอยู่แบบนั้น ในช่วงจังหวะที่ผมยืดตัวขึ้นไปเต็มความสูงของตัวเอง และจ้องมองทั้งคู่ ใบหน้าได้รูปของคนที่ผมชอบก็ค่อยๆ หันมา ก่อนที่ดวงตาคู่คมจะมองสบกัน ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยตอนที่มองเห็นใบหน้าของผม

 

“สมุทร...”

 

“หื้ม...อ้อ น้องคนนั้น” พี่อัยย์พูดออกมาแบบนั้นแล้วกดรอยยิ้มน่ารัก ท่าทางน่ารักที่ต่างจากวันนั้นที่แทบจะพุ่งเข้ามาแดกหัวน้องสมุทรฉิบหาย ผมเลื่อนสายตาลงไปมองคนที่เขยิบตัวเข้าไปหาพี่พระจันทร์แล้วคล้องแขน ... ไม่เนียน กูเห็นเนี่ย

 

“มีอะไรวะมึง” เสียงของพี่ยอร์ชดังขึ้นมาจาก ก่อนที่ร่างสูงของเค้าจะเดินเข้ามายืนซ้อนหลังผม ในมือของพี่ยอร์ชมีถุงที่น่าจะเป็นของขวัญที่ผมซื้อติดมือพี่เค้ามาด้วย สงสัยจะไปรับมาจากพนักงาน ผมยังไม่ทันได้พูดตอบอะไรออกไป พี่พระจันทร์ก็ก้าวยาวๆ ตรงมาหากันพร้อมใบหน้าติดจะหงุดหงิด

 

“มึงมาอยู่นี่ได้ไง”

 

“แล้วพี่มาทำธุระสำคัญที่นี่หรอ” ผมถามออกไปแบบนั้น เหมือนเป็นครั้งแรกที่กล้าพูดกับเค้าแบบนั้น ผมเลื่อนสายตาไปมองที่ด้านหลังของเค้าที่มีพี่อัยย์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าใสซื่อและน่ารัก

 

“เอ่อคือว่า พี่มาทานข้าวกับพระจันทร์น่ะ”

 

“อ่อ ธุระสำคัญที่ว่าของพี่คือมากินข้าว”

 

“มันไม่ใช่...”

 

“พอดีจันทร์ไปรับพี่ที่คณะน่ะ พี่หิวเค้าเลยพามาน่ะ” พี่อัยย์พูดแทรกขึ้นมาแบบไม่มีใครร้องขอ ที่แน่ๆ ก็ไม่ใช่กูแล้วที่ขอ ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีสิทธิที่จะโกรธ แต่พูดตรงๆ ผมก็โกรธๆ มากฉิบหาย ถ้าเค้าคิดอยากไปหาพี่อัยย์จริงๆ ก็แค่บอกผมมาก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องโกหกผมแบบนี้เลย

 

“เงียบเหอะอัยย์”

 

“เอ้า ก็เรื่องจริงนี่นา จันทร์ทักมานัดอัยย์จริงๆ นี่นา” พี่อัยย์เอียงคอเถียงพี่พระจันทร์ออกมาอย่างน่ารัก อืม...ท่าทางน่ารักที่วันนี้น้องสมุทรดูออกว่าตอแหลนะ พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นแบบนั้น เค้าถอนหายใจนิดหน่อยแล้วหันกลับมามองหน้าผม

 

“กูมีเรื่องต้องคุยกับอัยย์” บอกผมแบบนั้น สายตาคมๆ นั่นที่มองมาที่ผมอย่างไม่สบายใจ ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นๆ แล้วจ้องตาใส่

 

“แล้วคุยหรือยัง”

 

“ยัง กูพึ่งมาถึง”

 

“อ่อ งั้นพี่ก็ไปคุยเหอะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น แล้วหันหลังหนี ตั้งใจเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ติดที่แขนยาวของอีกคนคว้ามือของผมเอาไว้ซะก่อน

 

“สมุทร...” เค้าเรียกชื่อผม ท่าทางอึดอัดที่คิ้วสวยของพี่พระจันทร์ขมวดเข้าหากันแน่นๆ

 

“มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ กูมาคุยกับอัยย์แค่นั้น”

 

“งั้นพี่ก็ไปคุย ผมจะกลับแล้ว” บอกแบบนั้นแล้วดึงแขนตัวเองออกมาจากมือของพี่พระจันทร์

 

“แล้วมึงจะกลับยังไง”

 

“ผมมากับพี่ยอร์ช...”

 

“สมุทร มึงอย่ามากวนกู” เค้าพูดออกมาเสียงเข้มอย่างคนที่ไม่พอใจ อ่อจ้า แล้วกูพอใจตายเลยล่ะ

 

“โอเค ผมจะไม่กวน งั้นพี่ก็ปล่อยแขนผม ผมจะกลับแล้ว”

 

“มึงจะกลับกับมันไม่ได้”

 

“ผมกลับได้” เถียงกลับออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์มองผมอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าท่าทางที่กำลังบอกกันว่าเค้ากำลังจะไม่อยากทนและโมโห เออเอาสิ กูก็โมโหเป็นเหมือนกัน ถึงแม้ผมจะไม่มีสิทธิสักนิดที่จะโมโหเค้าเลยก็ตาม ...

 

“แต่กูไม่ให้กลับ”

 

“ก็เรื่องของพี่พระจันทร์สิ!”

 

เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักอย่าง นอกจากผมที่เป็นคนวิ่งตามเพราะชอบเค้า กับเค้าที่กำลังทำดีกับผมเพราะเผลอได้กัน เรื่องราวมันมีอยู่แค่นั้น

 

แต่แล้วไงวะ คนชอบก็มีความรู้สึกหรือเปล่า หรือมันมีใครมากำหนดเอาไว้ว่าถ้าชอบใครไป ไม่มีสิทธิโกรธอะไรเพราะวิ่งไปชอบเค้าเองหรอ ใครกำหนดก็ช่าง น้องสมุทรจะฉีกมันให้กระจุย ... กูมีความรู้สึก และกูอดทนเก่ง แต่ก็ไม่ตลอด

 

“อ่า ... งั้นก็มากินข้าวด้วยกันสิ ดีไหม” พี่อัยย์เดินยิ้มน่ารักเข้ามาใกล้ แล้วเอามือจับที่ต้นแขนพี่พระจันทร์อย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สายตาใสนั่นมองมาที่ผมอย่างเหนือกว่า ก่อนจะปรายตาไปมองพี่ยอร์ชอีกนิดหน่อย ร่างสูงข้างตัวของผมเบ้ปากออกมาเหมือนรำคาญ อืม ผมไม่แปลกใจที่พี่ยอร์ชจะทำท่าทางแบบนั้น เพราะผมเองก็รู้สึกเหมือนกับเค้าไม่ต่าง

 

“ผมไม่กิน” หันไปตอบกลับเค้าแบบนั้น พี่อัยย์ที่ทำหน้าเหลอหลาออกมาอย่างตกใจ

 

“อ...อ้าว”

 

“ผมไม่อยากกินข้าวร่วมกับคนแบบพี่อัยย์ เลิกทำหน้าใสซื่อแล้วหลอกพี่พระจันทร์วนไปวนมาสักทีเหอะ”

 

“สมุทร” พี่พระจันทร์เรียกชื่อผมเสียงเข้ม เค้ามองหน้าผมแล้วส่ายหัวหน่อยๆ ท่าทางที่กำลังปรามให้ผมหยุดทำตัวแบบนี้กับคนที่อายุมากกว่า แต่แล้วไง แค่เกิดก่อนแล้วคิดว่าจะทำทุกอย่างได้ ทำทุกอย่างถูกหมดหรอวะ

 

“พี่ก็เหมือนกัน เลิกเรียกชื่อผมสักที ถ้าพูดอะไรที่ดีกว่าเรียกกันไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด!” ว่าออกไปเสียงดัง เป็นครั้งแรกที่เห็นพี่พระจันทร์ตกใจ สีหน้านิ่งๆ ของเค้าหลุดเหวอออกมานิดนึง แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่สน กระชากแขนของตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของเค้าอยู่ดี

 

“มึงใจเย็นก่อนสิวะเพื่อนหมุด” เป็นไอ้มาร์ชที่เดินเข้ามาร่วมวงตอนที่ผมเริ่มเสียงดัง คนรอบข้างเริ่มหันมามองกลุ่มของเราเป็นตาเดียว พี่อัยย์ที่ชะงักไปตอนที่เห็นหน้าไอ้มาร์ช มันเดินเข้ามาจับต้นแขนของพี่ยอร์ชในท่าทางเดียวกันกับที่พี่อัยย์ทำกับพี่พระจันทร์ ดวงตาของไอ้มาร์ชที่ติดจะหยิ่งมองตรงไปที่พี่อัยย์แล้วกดยิ้มมุมปากนิดๆ

 

“อุ๊ยตายล่ะ มีส่วนเกินอยู่ในพื้นที่นี้ด้วยสินะ” ไอ้มาร์ชพูดออกมาแบบนั้นแล้วช้อนตามองหน้าพี่ยอร์ชที่เลิกคิ้วมองมัน ก่อนที่ใบหน้าหล่อนั่นจะยกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ ท่าทางแบบนั้นของเพื่อนตัวเองที่ผมไม่เคยเห็น ไอ้มาร์ชปลายตามองพี่อัยย์อย่างจงใจ คนน่ารักที่ก่อนหน้านี้ยังยิ้มใส่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดทันที สีหน้าที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่โอเคเอามากๆ

 

“พี่พระจันทร์ เดี๋ยวให้หมุดกลับกับผมกับพี่ยอร์ชก็ได้ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก”

 

“สมุทรมันมากับมึงหรอวะ...”

 

“ผมก็มากับเพื่อนผมไง ผมไม่ได้มากับใครแค่สองคนแบบที่พี่ทำหรอก” ผมตอบออกไปแบบนั้นแล้วจ้องตาพี่มันเขม็ง พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นๆ ในตอนที่มองหน้าผม ท่าทางที่อยากจะพูดอะไรออกมามากกว่านั้น แต่เป็นผมที่ยกมือห้าม

 

“พี่ไปจัดการธุระสำคัญของพี่เหอะ ไม่ต้องห่วงผม”

 

“แต่กูแคร์มึง...”

 

“ถ้าพี่แคร์ผม พี่ก็คงไม่มากับเค้าแค่สองคนหรอก”

 

ผมทิ้งคำพูดนี้ไว้แค่นั้น แล้วหันหลังเดินจากมา ไม่รู้ด้วยว่าพี่พระจันทร์จะทำหน้ายังไง ไม่รู้ว่าเค้าจะโมโหหรือเปล่ากับการกระทำของผมในครั้งนี้ คำพูดไม่ดีที่พูดว่าคนที่เค้ารัก ผมรู้...ผมไม่มีสิทธิพูดออกไป แต่แล้วไง กูห้ามปากกับใจที่มันตรงกันได้ที่ไหนล่ะ

 

...


“แม่งเอ้ย กูว่าแล้ว!” สบถออกมาแบบนั้นอย่างหัวเสีย ผมเอาแต่มองตามแผ่นหลังบางของไอ้สมุทรที่เดินออกไปไกลแล้ว โดยมีไอ้ยอร์ชและมาร์ชเพื่อนของมันที่เดินตามออกไปด้วย

 

“ใจเย็นก่อนสิจันทร์ ให้อัยย์ไปคุยกับน้องให้ไหม”

 

“ไม่ต้อง” ผมพูดออกมาเสียงเข้ม และดึงแขนตัวเองออกมาจากมือของอัยย์ อัยย์ชะงักไปนิดหน่อยที่เห็นผมทำแบบนั้นกับตัวเอง

 

“จันทร์”

 

“อัยย์ยังจะกินข้าวอยู่ไหม” ผมถามออกไปแล้วมองหน้าเค้าตรงๆ ดวงตาสวยที่ช้อนมองตาผมนิ่งๆ

 

“ไม่กินแล้วล่ะ”

 

“งั้นดี” พูดแค่นั้นแล้วผมก็หันหลังเดินออกมา ถ้าไม่ติดว่ามากับอัยย์แล้วอัยย์ไม่มีรถกลับ ผมจะไม่ยอมให้ไอ้สมุทรไปกับไอ้ยอร์ชหรอก

 

“ถ้าอัยย์ไม่กิน จันทร์ก็ไม่กินหรอ จันทร์ไม่หิวหรอ” อัยย์ที่วิ่งตามมาก่อนดึงแขนของผมเอาไว้

 

“ไม่ จันทร์ไม่ได้อยากกินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” หยุดเดินแล้วตอบคนตรงหน้าออกไป ผมกำมือตัวเองแน่นๆ ในตอนนี้ที่จ้องหน้าคนตรงหน้าที่เตี้ยกว่ากัน ผมไม่รู้ว่าอัยย์กำลังทำอะไร แต่ผมไม่ได้โง่ขนาดที่มองไม่ออกว่าอัยย์ตั้งใจพาผมเดินเข้าไปตรงนั้น ตรงที่มีไอ้สมุทรอยู่ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่อยากจะพูดมันออกมา ไม่อยากทำให้คนตรงหน้าต้องเสียหน้า

 

“เรื่องที่จันทร์จะพูดกับอัยย์วันนี้...”

 

“จันทร์ อัยย์อยากไป...” อัยย์ที่กำลังจะเดินหันหลัง ขาเล็กๆ ที่ตั้งใจเดินออกห่างจากผมทันทีที่ผมกำลังจะพูดนั่นทำให้เริ่มโมโห ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำเพื่ออะไร

 

“หยุด! แล้วฟัง” เอื้อมมือไปกระชากแขนของอีกคนไว้ แล้วดึงให้หันมามองหน้ากัน

 

“จันทร์อยากบอกกับอัยย์ ว่าตอนนี้อัยย์กำลังจะจริงจังกับสมุทร อัยย์ไม่ต้องห่วงว่าจันทร์จะมาวุ่นวายกับอัยย์อีกแล้วนะ”

 

“อัยย์ไม่เคยคิดว่าจันทร์วุ่นวายนะ” เขาเอื้อมมือมาจับมือของผมเอาไว้ ดวงตาใสนั่นสั่นตอนที่มองหน้ากัน แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่สนใจแล้วเลือกจะพูดต่อ

 

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาขอโทษที่คงทำให้อึดอัดใจ”

 

“อัยย์ไม่...”

 

“จันทร์เคยชอบอัยย์จริงๆ แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว”

 

“อืม ... เลือกจะจริงจังกับน้องคนนั้นแล้วสินะ” อัยย์เสหน้าหลบตาผม แล้วก้มหน้าลงต่ำ มองไม่เห็นว่าเค้าทำหน้าตาแบบไหน หรือคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องกังวล

 

“ใช่ ... ตอนนี้จันทร์รักสมุทร และแน่นอนว่าจะจริงจังกับมัน จันทร์รู้ว่าไม่จำเป็นต้องมาบอกอัยย์ก็ได้ แต่จันทร์ไม่อยากให้สมุทรมันคิดมาก แต่สุดท้ายแม่งก็มาเจออยู่ดี”

 

“แคร์เค้ามากเลยนะ”

 

“อืม”

 

“มากกว่าที่เคยแคร์อัยย์หรือเปล่า” น้ำเสียงเบาๆ ที่ถามออกมาเบาหวิว ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง อัยย์เหมือนย้อนตัวเองกลับไปตอนเป็นเด็ก ท่าทางที่เคยถามผมในตอนที่เค้า5ขวบว่าจะไม่ทิ้งกันไปใช่ไหม แต่วันนี้มันต่างออกไป เค้าไม่ได้5ขวบ และตัวผมก็ไม่ใช่เด็ก4ขวบอีกแล้ว

 

“มันไม่เหมือนกันหรอกอัยย์ จันทร์เคยแคร์อัยย์มากที่สุด วันนี้ก็ยังแคร์อยู่เหมือนเดิม แต่แค่แคร์อัยย์ ในสถานะที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว และใช่...จันทร์แคร์สมุทรมากกว่าอัยย์ ในฐานะที่จันทร์กำลังรักมัน ไม่ใช่คนที่กำลังรักอัยย์”

 

“อืม เข้าใจแล้ว”

 

เค้าตอบรับกลับมาแค่นั้น และเป็นผมที่หมุนตัวกลับหลังหันเดินนำเขาออกไปจากห้างก่อน อยากจะรีบออกไปจากตรงนี้ อยากจะตรงกลับไปหาสมุทรแล้วบอกให้มันเข้าใจว่าผมมาทำอะไรที่นี่ อยากจะบอกออกไปไวๆ เพื่อให้มันเข้าใจว่าผมต้องการจะเริ่มต้นใหม่กับมันจริงๆ

 

#รักอยู่รู้ยัง

สำหรับตอนนี้น้านนนนน....

พี่พระจันทร์:(สะกิดทีมแม่ๆน้องสมุทร)

(https://www.img.in.th/images/f621f5a4958b31d0a44c480db4b415c5.jpg)


พี่พระจันทร์: จันทร์ไม่ใช่ลูกแม่หรอ นี่จันทร์เองไง จันทร์ที่แม่ๆเคยรักเคยใส่ใจตอนอยู่เรื่อง #หลงร้าย น่ะ


ฝากคนอ่านเข้าไปเล่แทค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แคทตามอ่านทุกข้อความเลยค่ะ

แล้วสามารถเข้ามาทักทายพูดคุยกับแคทได้เช่นเดิมทาง

TWITTER: YoghurtCatty

FACEBOOK: YoghurtCatty

และใหม่ล่าสุดทาง

IG: yoghurtcatty จ้า

 :pig4: :3123:

ขอขอบคุณคอมเม้นท์จากทางเล้าเป็ด

:n1: :a5:
  ขอบคุณมากๆนะคะ :mew1: :pig4:

ไอพี่พระจันทร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :beat: :beat: :z6: :z6:
มาอ่านตอนนี้ต่อก่อนนะคะทีมแม่น้องสมุทร :กอด1:

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่21 (070522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-05-2022 19:40:06
 :jul1: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่21 (070522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 07-05-2022 22:42:09
ชอบความฟิวส์ขาดของน้องสมุทรจ้าาาาา :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่21 (070522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 08-05-2022 01:16:24
ชอบแบบนี้
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่22 (210522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 21-05-2022 20:44:51

บทที่22



“สมุทร มึงโอเคป่ะวะ” ผมหันไปถามคนที่ตอนนี้นั่งเอาหัวพิงกระจกรถแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยอยู่ที่เบาะด้านหลัง ตั้งแต่ที่เดินออกมาจากห้างมันก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมกับสมุทรรู้จักกันมานานมากพอที่จะรู้ว่าตอนนี้เพื่อนผมมันไม่ปกติ ไม่มีเสียงร้องไห้สักแอะ หรือน้ำตาสักหยด ไม่มีอะไรจากมันเลยสักอย่าง มีแค่เพียงความเงียบที่ผมไม่คุ้นชิน ถ้าเป็นเมื่อสี่ปีก่อน เวลาที่มันเสียใจที่พี่พระจันทร์ไปเดตกับใคร หรือหายไปไหนกับพี่อัยย์สองคน มันก็ต้องมาโวยวายกับผมแล้ว



แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ... ต่างออกไปจากทุกที



“อย่าคิดมากไปก่อนเลย กูว่ามึงรอคุยกับไอ้จันทร์เถอะ” คนข้างตัวผม ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถพูดออกมาแบบนั้น คำพูดที่ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมอง ก็ไม่เคยมองว่ามันจะเป็นคนดีขนาดเข้าข้างพี่พระจันทร์ได้



“มองไรกูไอ้มาร์ช”



“ตกใจในความดีของพี่มึง ที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมา เหมือนกูเจอบ่อน้ำกลางทะเลทรายเลย” ผมว่าออกมาแบบนั้นแล้วทำตาโตพร้อมยกมือขึ้นทาบอก



“มึงอย่าเว่อร์ได้ไหม” ปรายตามามองกันแล้วพูดแบบนั้น ผมที่แค่ยักไหล่ใส่มันไปแบบไม่แคร์แล้วกอดอกพูดต่อแบบหน้าตาเฉย



“เรื่องจริงเลย กูนี่ขนลุกไปหมด”



“ขนลุกอะไร มึงเสียวหรอ”



“สัด” หันหน้าไปถลึงตาใส่มันทันทีที่มันพูดจบ ด่าออกไปแบบนั้นก็เห็นมันหันมามองกันแล้วด้วยสายตาวาววับ สายตาที่บอกให้รู้ว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมาต่อหน้าเพื่อนผม ถ้าอยู่กันสองคนกูจะตบให้หัวมึงทิ่มติดพวงมาลัย โชคดีหน่อยที่ไอ้สมุทรดูจะไม่ได้สนใจกับคำพูดของเรา



“หิวกันไหม เมื่อกี้ก็ไม่ได้กินอะไรนี่” มันเปลี่ยนเรื่องพร้อมรอยยิ้มที่ถูกจุดอยู่ที่มุมปาก สายตาคมๆ ของมันที่เอาแต่มองไปที่กระจกมองหลัง นั่นทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ได้ใส่ใจจะถามว่าผมหิวหรือเปล่า จริงๆ ก็คงเป็นห่วงไอ้สมุทรมันมากกว่าก็แค่นั้น



“สมุทรว่าไงมึง หิวไหม ถ้ามึงหิวปลาฉลาม ไอ้พี่ยอร์ชมันก็จะโดดลงทะเลไปจับให้มึงกินนะ” บอกออกไปแบบนั้น ไอ้พี่ยอร์ชก็แค่ปลายตามามองกันนิดหน่อย



“ไม่อ่ะ กลับบ้านเลยเถอะ” สมุทรมันตอบกลับมาด้วยเสียงเนือยๆ สภาพร่างกายที่ดูปกติดี แต่น้ำเสียงกลับดูอ่อนล้ามากเต็มที บางทีผมก็สงสัย มันจะมีวันนั้นไหม วันที่ไอ้สมุทรมันเหนื่อยกับการวิ่งตามคนๆ นึงมานาน จนรู้สึกไม่อยากทำอีกแล้ว



“เสียดายว่ะ กูอุตส่าห์นึกว่าจะได้ปล้นคนจะเลี้ยงสักหน่อย กูกำลังหิวพอดีเลย”



“เห็นแก่แดกนะมึงอ่ะ”



“เรื่องกูครับ” ตอบมันออกไปแบบนั้น ไอ้พี่ยอร์ชที่ส่ายหัวนิดๆ ให้กับคำตอบของผม ก่อนมันจะพูดประโยคต่อไปขึ้นมาทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว



“งั้นเดี๋ยวกูไปส่งสมุทร แต่ว่าบ้านมึงถึงก่อนบ้านไอ้สมุทรว่ะ งั้นเดี๋ยวกูส่งมึงก่อน”



“แล้วรถกูอ่ะ” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จริงๆ วันนี้มันสัญยาว่าจะมารับผมไปเอารถที่ไปเปลี่ยนยาง แต่พอเจอไอ้สมุทรก็ผิดแผนจากที่คิดไปหมด จริงๆ ผมไปเอาเองก็ได้ แต่มันดันสัญญากันไว้ แล้วตอนนี้กลับจะทำแบบนี้ มันก็น่าหงุดหงิดไหมล่ะ



“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปเอาได้ป่ะวะ” หันมามองหน้าผมแบบขอความเห็น แต่เป็นความเห็นที่กูไม่เห็นด้วย



“แล้วพรุ่งนี้กูจะไปมอยังไง”



“มึงก็ไปบีทีเอสก่อนไม่ได้หรอวะ บ้านสมุทรมันตั้งไกล กูต้องวนไปวนกลับ”



“มึงนี่แม่ง” กระแทกเสียงใส่มันแบบนั้น อยู่ๆ ก็รู้สึกฉุนขึ้นมา ถ้ามันไม่บอกไม่สัญญากันเมื่อเช้าผมคงไม่รู้สึกไม่ดีขนาดนี้ ทำไมจะไม่เข้าใจว่าจริงๆ มันคงอยากอยู่กับไอ้สมุทร



“เฮ้อ งั้นเดี๋ยวกูวนกลับมารับมึง” อยากจะพูดออกไปว่ามันจะง่ายกว่าไหมถ้าตรงไปส่งไอ้สมุทรแล้วเลยไปเอารถผม แล้วเราค่อยแยกย้ายกันไป มึงจะทำให้เรื่องง่ายๆ ให้กลายเป็นยากทำไม แต่ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะพูดอะไรกลับมันอีกแล้วในตอนนี้



“ไม่ต้อง”



“งั้นมึงจะเอายังไง”



“ไม่เอายังไง มึงไปส่งกูที่คอนโด แล้วจะไปไหนก็เรื่องของมึง”



“นี่มึงกำลังโมโหกูหรอวะ” ถ้ามึงเป็นเพื่อน กูคงพูดออกไปแล้วว่าสมองมึงไม่มีคิดเองหรอไอ้สัด แต่เพราะมันเป็นรุ่นพี่ที่ก็ไม่ได้สนิทอะไรมาก นอกจากที่เราเจอกันบ่อยๆ ตามผับ หรือที่ขยับมากขึ้นมาอีกหน่อยก็คงจะเป็นผู้ชายคนนึงที่ผมเผลอไปสแคลชไข่ช่วยกันให้เอาน้ำออก ... เรื่องราวระหว่างผมกับมันก็มีอยู่แค่นั้น แล้วจะไปโกรธมันทำไม



ผมไม่ตอบอะไรแค่หันหน้าหนีแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถแทน ... กูไม่มีอะไรจะพูดกับคนอย่างมึงแล้ว จบลงแค่นี้



“มาร์ช” มันกดเสียงต่ำพร้อมยื่นมือมาจับต้นแขนของผมเหมือนอยากให้ผมหันกลับไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง แต่เป็นผมเองที่สะบัดออกมือของมันออก



“ขับรถมึงไป แค่นั้น”



“ก็ถ้ามึงจะเอางั้น” ได้ยินเสียงมันสบถหงุดหงิดออกมานิดหน่อย ก็ช่างหัวมึงสิ มึงมีสิทธิอะไรมาหงุดหงิดกู



เหมือนที่กูก็ไม่มีสิทธิโมโหมึงเหมือนกัน...



กำมือเข้าหากันให้แน่น แล้วลืมมันไปซะ กับไอ้คำสัญญาดีๆ ตอนที่เรานอนกอดกันแล้วมันจูบลงมาที่หน้าผากแล้วกระซิบบอกกันว่าจะพามาเอารถในตอนเช้าที่ผ่านมานั่น ... ลืมมันไปซะ



รถบีเอ็มคันหรูที่เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าโถงทางเข้าคอนโด ผมปลดเบลท์ออกทันทีที่รถมันยังไม่ทันจะจอดสนิทดี หันไปบอกลาไอ้สมุทรที่ดูท่าทางเหม่อๆ มันพยักหน้าตอบรับผมน้อยๆ แบบขอไปที ท่าทางที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ของมัน ทำให้ผมไม่อยากเซ้าซี้ให้มันรำคาญใจ



“ถ้ามึงไม่สบายใจ โทรมาหากูได้นะ”



“ขอบใจนะ” มันที่ทำแค่พยักหน้าตอบรับผม แล้วลงจากรถมานั่งข้างหน้าแทนที่ของผม ผมหันหลังกลับออกมาจากตรงนั้นแล้วเดินตรงดิ่งเข้ามาในล็อบบี้ของคอนโดตัวเองทันที ตั้งใจจะขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดตรงที่ฝ่ามือหยาบของใครอีกคนที่มาคว้าข้อมือของผมเอาไว้ซะก่อน



“มาร์ช”



“มึงมีอะไรอีก” หันกลับไปมองมันพร้อมขมวดคิ้ว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังรู้สึกอะไร ก็แค่ไม่อยากพูดกับมันในตอนนี้



“เดี๋ยวกูกลับมารับ” มันบอกแบบนั้น สายตาคมๆ ของมันมองสบเข้ากับตาของผม อ่านไม่ออกสักอย่างว่าไอ้คิ้วเข้มๆ ของมันที่กำลัวขมวดเข้าหากันอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะอะไร แล้วก็ไม่อยากทำความเข้าใจอะไรกับมันมากไปกว่านี้ด้วย ผมดึงแขนของตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของมัน



“ไม่ต้อง กูจัดการเองได้”



“มึงจะไม่พอใจอะไรขนาดนั้นวะ ก็เดี๋ยวกูกลับมารับไง” ผมถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วจ้องหน้ามันเขม็งตอนที่ได้ยินมันถามออกมาแบบนั้น



“มึง ... กูจะไม่อะไรเลยนะ ถ้ามึงไม่บอกว่าจะมารับกูแล้วพากูไปเอารถ มึงสัญญากับกูไว้แบบนั้นไม่ใช่หรือไง”



“ก็ใช่ คือกูขอโทษ กูก็แค่...”



“มึงก็แค่อยากใช้เวลากับไอ้สมุทรเพิ่มอีกหน่อย จนลืมไปเลยว่าเมื่อเช้ามึงสัญญาอะไรไว้กับกู”



“เห้ยมาร์ช โอเคกูผิด กูไม่ได้คิดว่ามึงจะโมโหขนาดนี้” มันเดินเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อย สีหน้าของมันไม่สู้ดี แต่กูไม่สน ไม่สนสีหน้าหรือคำพูดอะไรของมึงทั้งนั้นแหล่ะ



“ก็เพราะมึงแม่งไม่เคยคิดอะไรนอกจากความเห็นแก่ตัวของตัวเองไงมันเลยเป็นอยู่แบบนี้”



“ไอ้มาร์ช แรงไปนะมึง” มันขมวดคิ้วแน่นตอนที่โดนผมด่าแบบนั้น พอโดนด่าจากความจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำเป็นรับไม่ได้ ผมแค่นยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะยิ้ม



“นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับคนที่ไม่คิดจะรักษาสัญญาแบบมึง”



“มึงแม่งไม่เคยคิดจะรักษาอะไรเลย มึงถึงไม่เคยมีอะไรเหลือไว้กับตัวเองสักอย่าง ไม่ว่าจะความรัก หรือเพื่อนของมึงไง” พูดกับมันจบแค่นั้น อีกคนที่ยังดื้อดึงพยายามจะเอื้อมมือมาจับกันไว้ แต่ผมไวกว่า ยกขาขึ้นเตะลงไปที่ข้อพับขาของมันที่นึงจนคนตรงหน้าเข่าทรุดลงไปกับพื้น เห็นแบบนั้นแล้วเดินหนี เห็นรปภ.ประจำคอนโดวิ่งตรงเข้ามา แต่ผมแค่เดินผ่านออกไป มันไม่ใช่การทะเลาะวิวาท มันก็แค่การไม่พอใจของผมคนเดียวล้วนๆ ผมไม่ใช่ไอ้สมุทร ผมไม่มีนิสัยจะทนรับความเจ็บปวดเอาไว้ฝ่ายเดียวหรอก



ถ้ากูรู้สึกแย่ มึงก็ต้องรู้สึกแย่ไปด้วยกัน จำเอาไว้!



...



“ขอบคุณนะครับพี่ยอร์ช” ผมยกมือไหว้คนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับตอนที่รถของเค้าจอดเทียบลงที่หน้าประตูบ้านของผม มองเข้าไปด้านในบ้านที่เงียบสงบ คิดว่าทะเลกับแม่คงขึ้นห้องนอนแล้ว ละสายตาจากตรงนั้นหันกลับมามองหน้าคนข้างๆ ตัวอีกครั้ง ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากกว่าการส่งยิ้มบางๆ อย่างขอบคุณไปให้ พี่ยอร์ชพยักหน้ารับนิดๆ สายตาของพี่เค้าที่เอาแต่จ้องมองหน้ากัน ท่าทางที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาสักอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็หุบปากลง พี่ยอร์ชดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวตลอดตั้งแต่ตอนที่ขับรถออกมาจากคอนโดของไอ้มาร์ช จริงๆ ก็งงนิดหน่อยที่สองคนนี้ไปสนิทกันจนถึงขั้นรู้คอนโดกันได้ยังไง



ถึงสงสัยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของผม



เพราะผมในตอนนี้ก็มีเรื่องให้ตัวเองต้องคิดมากพอแล้ว



“งั้นผมไปก่อนนะ”



“สมุทร” และในตอนที่กำลังจะลุกออกไป เสียงทุ้มเข้มจากอีกฝ่ายก็ดังออกมาขัดกันไว้ซะก่อน



“ครับ” ผมตอบรับแล้วหันไปมองอีกครั้ง พี่ยอร์ชที่ทำหน้าชั่งใจ สุดท้ายเค้าก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ เหมือนตัดสินใจอะไรได้สักอย่างก่อนจะส่ายหน้านิดๆ ใบหน้าหล่อเท่ของพี่ยอร์ชเสหน้าหันมองออกไปนอกรถอย่างที่ผมไม่เข้าใจว่าเค้าเป็นอะไร



“เคลียร์กับมันดีๆ” เค้าว่าออกมาแบบนั้น ผมมองตามสายตาเค้าออกไป ก็มองเห็นรถหรูอีกคันที่ผมคุ้นเคยดี มันถูกจอดเอาไว้ที่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของผม ละสายตากลับมาจากภาพตรงหน้านั่นแล้วพยักหน้าตอบรับพี่ยอร์ชนิดๆ ก่อนจะลงจากรถ ผมยืนส่งพี่ยอร์ช มองตามจนสุดสายตาแล้วจึงหันกลับมามองที่รถคันสีขาวที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกมาพร้อมๆ กับขายาวของคนร่างสูงที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี มีเรื่องสงสัยแค่เรื่องเดียวว่าทำไมเค้าถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ในตอนนี้ เหมือนว่าเค้าจะมาถึงบ้านผมนานแล้วด้วยซ้ำ



ขายาวๆ ก้าวเดินตรงมาหาผมไม่ช้าไม่เร็ว ก้าวยาวๆ ที่ดูหนักแน่นและไม่มีเสียงทักทายระหว่างผมกับเค้า แตกต่างไปจากทุกทีที่ผมมักจะเอ่ยทักเค้าพร้อมรอยยิ้มเสมอ แต่ในครั้งนี้ เวลานี้ ผมทำไม่ไหว



“ทำไมถึงพึ่งมาถึง” พี่พระจันทร์ถามออกมาแบบนั้น เค้าจ้องหน้าผมนิ่ง มองผมแบบไม่ละสายตา ต่างจากผมที่ทนมองหน้าเค้าไม่ไหวจนต้องเสหน้าหนี



“กูมาถึงที่นี่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว รอมึงมาครึ่งชั่วโมงแล้ว”



“แล้วยังไงล่ะครับ” ไม่รู้เพราะความน้อยใจ หรือภาพบาดตาผมตอนอยู่ที่ห้าง มันเลยทำให้ผมกล้าถามเค้าออกไปแบบนั้น ... พี่พระจันทร์มารอผมตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วยังไง ผมรอเค้ามาสี่ปีผมไม่เห็นจะมีสิทธิว่าอะไรเค้าสักคำ



“สมุทร”



“ผมบอกแล้วไงว่าถ้าพี่ไม่มีอะไรดีๆ จะพูดกับผมนอกจากเรียกชื่อ ก็อย่าพึ่งมาคุยกัน”



“แต่กูอยากคุยกับมึง”



“แล้วพี่จะอยากมาคุยกับผมทำไมวะ! คนที่พี่อยากคุยด้วยคือพี่อัยย์ไม่ใช่หรือไง ตอนนี้พี่ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ไม่น่ามายืนอยู่ตรงหน้าผมเลยสักหน่อย” สุดท้ายก็เผลอตะคอกเสียงดังออกไป ผมช้อนตามองหน้าเค้า รู้สึกร้อนๆ ที่หัวตาตอนที่พูดออกไปแบบนั้น ได้ยินน้ำเสียงของตัวเองที่พูดออกไปชัดเจนทุกคำ ทั้งๆ ที่ผมก็พยายามห้ามตัวเองแล้ว แต่สุดท้ายน้ำเสียงนั่นก็ยังเจือความเสียใจน้อยใจของตัวเองจนปิดไม่มิด น้องสมุทรมึงแม่งไม่เก่งเลยว่ะ



เหมือนเป็นความเสียใจที่ไม่อยากพูดออกไป เหมือนว่าก่อนหน้าผมจะพยายามเก็บเรื่องราวเอาไว้ให้ถึงที่สุด มากที่สุดเท่าที่คนแบบน้องสมุทรจะทำได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ผมเองก็เป็นแค่คนๆ นึง มีความรู้สึก และเสียใจเป็น ความรักมันมักจะทำให้เราคาดหวังเสมอ และเพราะว่าในทุกๆ วันก่อนหน้านี้ของเรามันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมก็เริ่มเผลอใจไปความสุขนั้น พอมาเจอเรื่องในตอนนี้ ผมเลยอ่อนไหวจนน่ารำคาญ



“ตอนนี้กูไม่มีอะไรจะคุยกับอัยย์แล้ว และกูก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่บอกมึง” พี่พระจันทร์พูดออกมาเสียงอ่อน



“ถ้าผมไม่บังเอิญไปเจอก็คงจะไม่บอกก็ได้อะไรแบบนั้นใช่ไหมล่ะ”



“ไม่ใช่แบบนั้น มึงฟังกันก่อนได้ไหม...สมุทร อย่าทำหน้าแบบนั้น” หน้าแบบนั้นคือหน้าแบบไหน



ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมทำหน้าแบบไหนออกไป แต่ฝ่ามืออุ่นของพี่พระจันทร์ก็เอื้อมมาจับที่ข้างแก้ม หัวแม่มือที่ลูบไล้ไปตามข้างแก้มของผมเบาๆ นั่นทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมา



มันเป็นความอบอุ่นที่ผมชอบ แค่จับกันเบาๆ ผมก็รู้สึกว่าตัวของผมจะละลาย



เป็นเหมือนสัมผัสที่ผมโหยหาอยากได้ แต่ก็ไม่เคยได้มันจริงๆ สักที



บางครั้งผมก็เหนื่อย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังฝืนหรือเปล่า แต่ถ้ายังอยากทำอยู่ก็คงจะไม่ฝืนหรอกจริงไหม



“ฟังกันก่อนได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มที่ติดปลายเสียงเว้าวอนกันนิดๆ ผมช้อนตามองหน้าพี่พระจันทร์ก่อนจะหลับตาลงแล้วเอียงหน้าเข้ากับฝ่ามือที่ยังสัมผัสอยู่ที่แก้มของผม พยายามจะใจเย็นแบบที่เคยเป็น เป็นน้องสมุทรของพี่พระจันทร์ที่พร้อมจะรับฟังเค้าเสมอ



“กูไม่ได้ตั้งใจจะปิดมึงเรื่องวันนี้อยู่แล้ว กูแค่อยากไปเคลียร์กับอัยย์ให้จบ แล้วกลับมาเล่าให้มึงฟัง” ผมปรายตามองหน้าเค้าตอนที่พูดออกมาแบบนั้น



“จริงๆ กูไม่ได้คิดจะปิดมึงเลย” ฝ่ามืออุ่นที่ไล่จากกรอบหน้าของผม เลื่อนลงมาที่ลำคอ ต้นแขน แล้วหยุดลงที่ฝ่ามือ



“กูจะบอก ตั้งใจจะบอกมึงทุกอย่างเลย” พี่พระจันทร์พูดออกมาด้วยเสียงหนักแน่นและใจเย็น เหมือนเป็นครั้งแรกที่คนตรงหน้าผมไม่ใจร้อนใส่กัน



“ทุกอย่าง...” ผมทวนคำเหมือนคนโง่ ช้อนตามองสบสายตาคมที่มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่เจอกันเค้าก็เอาแต่สบตาไม่ละสายตาไปไหน มีแต่ผมด้วยซ้ำที่เอาแต่หลบสายตานี่



“อืม ทุกอย่าง...ทุกอย่างจริงๆ เพราะงั้นช่วยฟังกันก่อนได้ไหม”



“......” ผมไม่มีคำพูดอะไรให้กับเค้า นอกจากความเงียบที่โรยตัวลงมาระหว่างเรา เพราะแบบนั้นคนตรงหน้าเลยเปิดปากพูดต่ออย่างใจเย็น



“จะโกรธกันก็ได้ แต่อยากให้มึงฟังก่อน ... นะ”



“ตอนแรกตั้งใจจะนัดเจอกันธรรมดาๆ ที่บ้าน ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปเดินเล่นที่ห้างกินข้าวหรืออะไรกันแบบที่มึงเห็น แต่อัยย์ไม่มีรถ และเค้าขอให้กูพาไป กูแค่คิดว่าถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย กูก็ทำให้ได้”



“ครั้งสุดท้าย” ผมหลุดปากพูดออกไป จ้องตาพี่พระจันทร์ที่ยังคงนิ่งจ้องหน้าผมอย่างใจเย็น สายตาสวยของเค้าที่จ้องมองตรงมาที่ผมอย่างจริงใจ น้ำเสียงหนักแน่นและใจเย็นในทุกๆ คำพูดของเค้าทำให้ผมสั่นไหว เหมือนอะไรบางอย่างที่ถูกกดทับอยู่ในใจ มันกลับเบาลงเหมือนถูกเค้ายกมันออก



“ใช่ กูตั้งใจไปคุยอัยย์”



“คุย อะไรครับ”



“กูไปบอกกับอัยย์ ว่าตอนนี้กูจริงจังกับมึงอยู่ อยากให้เค้าเข้าใจว่ากูคงทำอะไรกับเค้าแบบที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว จริงๆ กูจะไม่ทำแบบนั้นก็ได้ แต่กูไม่อยากให้มึงรู้สึกว่ากูยังไม่จบกับอัยย์จริงๆ แต่ก็ยังมายุ่งกับมึง กูรู้ว่าเรื่องนี้มันสำคัญกับมึง สำคัญกับเราที่จะเริ่มต้นกันใหม่ เพราะแบบนั้นกูเลยไปเจออัยย์วันนี้” พูดพระจันทร์พูดมันออกมาง่ายๆ เหมือนตั้งใจมาบอกเล่า มาถ่ายทอดเรื่องราววันนี้ให้ผมฟังจริงๆ แต่ทุกถ้อยคำที่เค้าพึ่งพูดออกมาเมื่อกี้มันกลับทำให้ผมสับสน มึนงง และใจสั่น เค้ากำลังหมายความว่าเค้าแคร์กัน ที่พยายามทำอยู่คือทำเพื่อผมงั้นหรอ



“ล...แล้ว...ทำไมตอนนี้พี่ถึงมาอยู่ตรงนี้” พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเค้าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้สิ ผมออกมาจากห้างก่อนเค้าด้วยซ้ำ แต่ก็พึ่งมาถึง แล้วพี่พระจันทร์มาถึงก่อนผมได้ยังไง



“ก็กูรีบมาหามึง อยากมาอธิบายให้เข้าใจ แค่เห็นหน้ามึงที่ห้าง ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดไปใหญ่โต”



“น้องสมุทรก็แค่...” ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ครุ่นคิดว่าควรจะพูดมันออกมาไหม ผมมีสิทธิจะพูดมันไหม



“หื้ม” พี่พระจันทร์ตอบรับด้วยเสียงทุ้มในลำคอ ใบหน้าหล่อที่ก้มมองต่ำลงมาที่หน้าของผมเพื่อหาคำตอบอย่างใจเย็น



“...น้องสมุทรแค่ไม่ชอบเห็นพี่อยู่กับเค้า ไปส่งเค้า เดินไปด้วยกันในที่ๆ ผมตามไปไม่ได้...” บอกออกไปเสียงเบา เม้มปากและกำมือเข้าหากันแน่นๆ ความรู้สึกบางอย่างเสียดขึ้นมาที่อก เวลาที่เห็นเค้าสองคนอยู่ด้วยกัน คนที่ผมรู้ดีอยู่เต็มอกว่าเค้าเคยรักมาก่อน ผมรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองอ่อนไหวมากเกินไป รู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตา และปลายจมูกก็แสบร้อนขึ้นมาเหมือนอยากจะร้องไห้แค่นึกถึง



“กูไม่ได้ไปกับเค้า กูไม่ได้ไปส่งอัยย์แล้ว”



“พี่หมายความว่ายังไง”



“กูโทรเรียกให้ไอ้อาทิตย์ไปส่งอัยย์”



“ได้ไง”



“ก็ทำไมจะไม่ได้ ยิ่งช้ามึงก็ยิ่งคิดมากไม่ใช่หรือไง” เขาเลือกจะกลับมาหาผม เพราะว่ากลัวว่าผมจะคิดมากอย่างงั้นหรอ ... หัวใจของน้องสมุทรมันก็เหมือนมหาสมุทร ที่แค่โดนหินก้อนเล็กๆ กระทบใส่ผิวน้ำ ก็กระเพื่อมแตกกระจายเป็นวงกว้าง แต่แค่คำพูดไม่กี่คำของคนตรงหน้า มันก็กลับมาสงบได้เหมือนเดิม



“ขอโทษที่ผมงี่เง่านะ” เลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้น ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้ ในตอนที่แสดงท่าทีแบบนี้แล้วใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วน้อยๆ มองหน้ากัน



“ใครบอกว่ามึงงี่เง่า”



“น้องสมุทรบอก...”



“แต่กูไม่ได้บอก กูเข้าใจที่มึงจะไม่พอใจ หรือไม่สบายใจที่เห็นกูอยู่กับอัยย์” ฝ่ามืออุ่นกระชับเข้ากับฝ่ามือของผมแน่นขึ้น ท่าทางที่พยายามจะทำให้ผมมั่นใจ



“มันก็เป็นความงี่เง่าไม่ใช่หรอครับ ก็ผมกับพี่เราไม่ได้...” ผมหยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้แค่นั้นในตอนที่มองเห็นใบหน้าตรงหน้าขมวดคิ้วและจ้องตาดุ เค้าไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่ผมก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนดุ



“กูชอบมึง”



“...ครับ”



คำบอกชอบกันที่ถูกพูดออกมาแบบที่ผมไม่ได้เตรียมใจมารับฟัง ทำให้ความรู้สึกสับสนจนพูดอะไรไม่ออก เหมือนคนบื้อใบ้ที่ความเข้าใจสับสน พี่พระจันทร์จับจ้องทุกส่วนบนหน้าของผม ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นลูบใล้ข้างแก้มของผมเบาๆ อีกที



“มันอาจจะช้าไปสักหน่อยที่จะมาพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้กูชอบมึง และเพราะว่ากูชอบขนาดนี้ มึงจะเป็นคนที่ไม่มีสิทธิในตัวกูได้ยังไง”



“พี่พระจันทร์” รู้สึกว่าเสียงของผมสั่น ความรู้สึกกดดันเสียใจเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เคยเกิดขึ้นเหมือนมันไม่เคยมีอยู่จริง ฝ่ามือแกร่งที่ดึงตัวผมเข้าไปกอด และผมเองก็กอดตอบเค้ากลับไปเช่นกัน ไม่มีความรู้สึกสนใจว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน จะมีใครเห็นเราหรือเปล่า ...ผมไม่สน



“ขอโทษที่ให้รอนาน แต่ตอนนี้มึงไม่ต้องรอแล้วนะ ... ที่บอกว่าเริ่มต้นใหม่ กูไม่เคยล้อเล่น กูอยากเริ่มกับมึงจริงๆ”



“ฮึก...พี่ชอบผม”



“ใช่”



“พี่ ผม...”



“สับสนไปหมด ก็เพราะมึงเป็นแบบนี้ไง ถ้าขืนไม่พูดชัดๆ ออกไปก็ยังคงคิดว่ากูรู้สึกผิดอยู่ล่ะสิ”



“ก็พี่” ผมผละตัวออกมาจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า ช้อนตาที่มีน้ำตาคลออยู่ขึ้นมอง พี่พระจันทร์ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมส่ายหัว ก่อนจะส่งนิ้วเรียวมาเช็ดน้ำตาของผมให้หมดไป



“กูไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกผิด ก็นั่นมันครั้งแรกของมึงไม่ใช่หรือไง”



“แต่ผมไม่ได้เสียใจ”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่22 (210522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 21-05-2022 20:45:16


“แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะแบบนั้น นั่นล่ะคือเรื่องที่กูรู้สึกผิด แต่ที่กูทำให้มึงอยู่ทุกวันนี้ ไปรับไปส่งไปหาพากินข้าว เพราะใจกูอยากทำ ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกอยากชดเชยอะไรหรอก แต่ถ้าจะให้กูชดเชย ก็ให้กูชดทั้งชีวิตกูไปเลยละกัน”



“นี่พี่จะขอผมเป็นแฟนหรอ”



“เปล่า”



“อ่า...” อ้าปากค้างกับคำพูดตรงๆ แบบนั้น เผลอคิดไปมากมายอีกแล้วไอ้น้องสมุทร หน้าอายฉิบหายเลยว่ะ พี่

พระจันทร์ยกยิ้มมุมปาก ท่าทางมีเลศนัยของเค้าทำให้ผมไม่เข้าใจ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่เค้าก็เอาแต่ทำอยู่แบบนั้น



“ยังไม่ใช่วันนี้ ... แต่เร็วๆ นี้รอหน่อยได้หรือเปล่า” หัวใจของผมเต้นตึกตักกับคำพูดแบบนั้นของเค้า



หมายความว่ายังไง หมายความว่าเค้าจะขอผมเป็นแฟนเร็วๆ นี้หรอ



“พี่หมายถึง...”



“ไม่บอก”



“พี่พระจันทร์อ่ะ” อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนต้องยกมือขึ้นต่อยที่อกแกร่งแรงๆ หนึ่งทีอย่างไม่สบอารมณ์ คนที่ปั่นหัวปั่นอารมณ์ของผมให้ปั่นป่วนได้ขนาดนี้มันก็มีแค่เค้า พี่พระจันทร์หัวเราะออกมาแล้วเริ่มยิ้มกว้างขึ้น ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปฟัดอีกครั้ง



“ขอโทษที่ทำให้มึงต้องมาเห็นกูกับอัยย์วันนี้ ต่อจากนี้ถ้ามึงไม่อยากให้กูเจอ กูก็จะพยายามทำให้”



“แบบนั้นพี่จะทำให้ผมกลายเป็นคนที่บังคับและบงการความรู้สึกพี่นะครับ” แบบนั้นมันก็ไม่แฟร์สิ ถ้าใจเค้ายังอยากเจอ แต่เป็นเพราะผมสั่ง มันจะมีประโยชน์อะไร



“แค่พูดมาว่าอยากให้กูไปเจอไหม อยากให้กูไปเจอกับอัยย์อีกหรือเปล่า”



“ผม ...” สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวที่พี่พระจันทร์ชอบใช้ สูดเข้าไปลึกๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกนี้



“ผมคิดว่าควรเอาตามความรู้สึกที่พี่อยากทำเถอะ ถ้าพี่อยากไปหาพี่อัยย์ พี่ก็แค่ไปหาเค้า...แต่แค่ไม่ต้องให้ผมรู้ก็พอ”



“มึงพูดอะไรแบบนั้นวะ ถ้าทำแบบนั้น ความเชื่อใจของมึงที่มีให้กูมันก็จะหายไปทุกครั้งที่กูไม่อยู่กับมึงไม่ใช่หรอ ถึงแม้ว่ากูจะไปหาอัยย์หรือไม่ได้ไป แต่มึงก็คงคิดว่ากูต้องไปหาเค้าอยู่แล้ว จินตนาการมันน่ากลัวนะสมุทร”



สิ่งที่พี่พระจันทร์พูดออกมามันเป็นเรื่องจริงที่ผมลืมนึกถึง เพราะต่อให้ผมจะบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องมาบอกกัน แต่สุดท้ายผมก็คงคิดแบบนั้น คิดว่าเค้ากลับไปหากันอยู่ดี



“กูจะพยายามเจออัยย์ให้น้อยที่สุด และถ้าเจอ กูจะไม่อยู่กับเค้าแค่สองคน โอเคไหม...และอีกเรื่องที่กูสัญญากับมึงได้ คือกูจะไม่โกหกมึง”



“สัญญานะครับ” ผมช้อนตามองคนตรงหน้า คนที่พึ่งบอกกันว่าวันนี้เค้าก็ชอบผมเหมือนกัน ความรู้สึกฟูในใจมากขึ้นไปทุกทีๆ ในตอนที่นิ้วเรียวยาวของคนตรงหน้ายื่นมาเกี่ยวก้อยสัญญากับนิ้วก้อยของผม การทำตัวเป็นเด็กๆ ที่ไม่คิดว่าคนแบบพี่พระจันทร์จะทำ ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้



“สัญญา”



“พี่พระจันทร์ ผมถามได้ไหม”



“อื้ม ถามสิ” วงแขนแกร่งที่โอบกระชับแผ่นหลังของผมแน่นๆ ทำให้ตัวของเราแนบชิดหากันมากขึ้นกว่าเดิม นิ้วเรียวสวยของพี่พระจันทร์ที่ลูบเบาๆ ไปตามแผ่นหลังเหมือนปลอบประโลมนั่นทำให้ผมรู้สึกดี รู้สึกดีจนกล้าที่จะถามคำถามนี้ออกไป



“พี่บอกว่าพี่ชอบผม แล้วกับพี่อัยย์ตอนนี้...”



“กับอัยย์ทำไม”



“ยังชอบอยู่ไหมครับ” พอถามออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็ดึงตัวผมออกมาจ้องตากับเค้า



“สมุทร กูอาจจะเคยชอบอัยย์ และใช่ กูเคยชอบอัยย์มากที่สุด ตอนนี้กูอาจจะยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กับอัยย์ แต่มันใช่ความรู้สึกที่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่างน้อยๆ ในตอนนี้กูไม่ได้รู้สึกอยากอยู่กับอัยย์ เหมือนที่อยากอยู่กับมึง ไม่ได้รู้สึกห่วงอัยย์เหมือนที่ห่วงมึง ไม่ได้รู้สึกอยากกอดอัยย์เหมือนที่อยากกอดมึง” พี่พระจันทร์ใช้หน้าผากชนเข้ากับหน้าผากของผม สายตาสวยที่มีขนตางอนยาวจ้องตาผมไม่กระพริบ ก่อนจะพูดต่อออกมาว่า



“ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันพวกนี้ มันพอจะอธิบายให้มึงเข้าใจได้ไหม ว่ามึงแตกต่างกับอัยย์ยังไง”



“สมุทร...ตอนนี้คนที่ทำให้กูอยากเริ่มต้นใหม่และไปต่อได้ มันไม่ใช่อัยย์อีกแล้ว แต่มันคือมึง...เข้าใจหรือยัง”



“เข้าใจแล้วครับ” ผมพยักหน้าตอบรับ ความรู้สึกแย่ๆ ที่มีก่อนหน้านี้ถูกเป่าทิ้งไปเพราะคำพูดง่ายๆ ที่หนักแน่นและชัดเจนของพี่พระจันทร์แค่ไม่กี่ประโยค พี่พระจันทร์คลี่ยิ้มสวยแบบที่ผมไม่เคยได้รับ แล้วกอดกระชับโอบกอดตัวผมให้จมเข้าไปอยู่ในอกแน่นขึ้นไปอีกไม่ต่างจากตัวผมที่ก็กอดเค้าเอาไว้แน่นๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งตกใจเมื่อฝ่ามือใหญ่ตีลงที่ก้นของผมจนสะดุ้งหน้าแดง



“โอ๊ย”



“แล้วไปกับไอ้ยอร์ชทำไม”



“ผมเปล่าไปกับพี่ยอร์ชนะ”



“ยังจะดื้อเถียงกูอีก ไปกับมันทำไม หึงนะ”



“พูดอะไรของพี่ครับเนี่ย น้องสมุทรก็ไปเพราะเรื่องของพี่ต่างหากล่ะ” บ่นออกมาอุบอิบก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลุดพูดถึงของขวัญออกไปซะแล้ว พอช้อนตามองคนตรงหน้าก็จ้องตากันแบบสงสัย ผมเม้มปากนิดๆ ส่วนพี่พระจันทร์ก็ยกยิ้มมุมปาก ยื่นหน้าเข้ามาเอาจมูกเข้ามาคลอเคลียที่ข้างแก้มกันจนผมหน้าแดง



“พี่พระจันทร์ ทำไรเนี่ย”



“ไหนล่ะคำตอบ มึงยังพูดไม่หมดเลย สรุปไปเพราะกู เพราะเรื่องอะไร”



“อ่า”



“จะตอบไหม” กระซิบออกมาเสียงพร่าแล้วกดปลายจมูกลงบนแก้มผมทีนึงจนผมสะดุ้ง มองซ้ายมองขวา ดีที่ว่าทุกบ้านในตอนนี้ปิดไฟเงียบกันไปหมดแล้ว



“พี่พระจันทร์อย่าแกล้ง” พยายามดึงตัวออกมาจากอกแกร่งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อย ปลายจมูกได้รูปไล้มาตามกรอบหน้าจนมาถึงที่ลำคอ ผมขนลุกไปทั้งหลัง พยายามเม้มปากให้แน่นที่จะไม่สงเสียงแปลกๆ ออกไป แต่สุดท้ายที่ริมฝีปากสวยกดลงที่ลำคอจนสะดุ้ง ผมก็ยอมแพ้ตะโกนออกมาเสียงดัง



“ยอมแล้วๆ! น้องสมุทรไปซื้อของขวัญให้พี่พระจันทร์ไง!”



“หื้ม” ผละหน้าออกมาจ้องตากันพร้อมรอยยิ้มที่ชอบอกชอบใจและในตาสวยที่ผมมองเห็น มันกำลังบอกว่าเค้าดีใจ



“พังหมดเลยแผนการเซอร์ไพร์สของผม” บ่นออกมาแบบนั้นแต่พี่พระจันทร์กลับยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้า



“รู้ก่อนแล้วไง แค่นี้กูก็ดีใจแล้ว สรุปไปซื้ออะไรมา” เค้าถามออกมาแบบนั้น ส่วนผมก็แค่ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยื่นถุงกระดาษที่ผมถือเอาไว้อยู่แล้วส่งไปให้



“พี่พระจันทร์อาจมีทุกอย่างแล้ว แต่น้องสมุทรก็ยังอยากให้”



“หื้ม...น้ำหอม”



“ครับ น้ำหอมกลิ่นสมุทร” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ซอกคอแกร่ง เอียงหน้าเป่าลมเบาๆ ลงที่ข้างหู รับรู้ได้ว่าพี่พระจันทร์ชะงักตัวไปนิดๆ เห็นแบบนั้นแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะพูดออกไปต่อว่า



“ฉีดแล้วจะได้รู้สึกเหมือนกอดน้องสมุทรอยู่ไง” บอกออกไปแบบนั้นและเหมือนกับกำลังท้าทายตัวเองที่สุดเท่าที่เคยทำมา ในตอนนี้ที่ผมตัดสินใจยืดตัวขึ้นไปจูบเบาๆ ที่สันกรามได้รูป ก่อนจะใช้ฝ่ามือเอื้อมลงไปลูบไล้เบาๆ ที่แกนกายอีกฝ่ายผ่านกางเกงนักศึกษาที่พี่พระจันทร์ใส่อยู่ รับรู้ได้ถึงการเกร็งสะท้านผ่านมือของผม ยิ้มออกมาน้อยๆ ในตอนที่ลูบไล้เน้นย้ำจนมันขึ้นรูปชัดเจน ก่อนจะผละออกมา



“สมุทร” เค้าว่าเสียงเข้ม จ้องตาผมด้วยสายตาวาววับ แต่ผมกลับถอยตัวหนี



“น้องสมุทรง่วงแล้วล่ะ พี่พระจันทร์กลับไปได้แล้วนะครับ” บอกแบบนั้นแล้วส่งยิ้มหวานไปให้ พี่พระจันทร์ชะงักแล้วมองผมอย่างคนทำอะไรไม่ถูก



“ไปๆ กลับๆ”



“มึงนี่มัน...”



“น้องสมุทรทำอะไรพี่ยัง”



“ทำ ทำเยอะเลยล่ะ...อย่าให้ถึงทีกูบ้างก็แล้วกัน” ว่าออกมาเบาๆ อย่างคนอดทนอดกลั้น ส่วนผมแค่ยักไหล่ทำทีเป็นไม่สนใจก่อนจะพูดต่อ



“ถือเป็นการทำโทษที่ทำให้ผมเสียใจไงล่ะ”



“เฮ้อ ก็ได้ ยอมหมดเลย ยอมมึงหมดเลยครับ” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นเสยผมแบบลวกๆ ท่าทางอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้นั่นทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ยกมือขึ้นโบกมือบ๊ายบายให้คนตรงหน้าที่ทำท่าเดินละล้าละลัง เหมือนอยากกลับ แต่ก็อยากพุ่งเข้ามาขย้ำกันมากกว่า ท่าทางตลกแบบนั้นที่ทำให้ผมยิ่งอารมณ์ดี นานๆ ทีคนแบบพี่พระจันทร์จะไปไม่เป็น



“กูกลับก็ได้ ... เดี๋ยวพรุ่งนี้มารับไปเรียน”



“ฝันดีนะครับ”



“อืม ฝันดี” ว่าแบบนั้นแล้วในที่สุดก็ตัดใจหันหลังกลับไปที่รถอย่างยอมจำนน



“สมุทร”



“ครับ”



“ตอนนี้กูชอบมึง มีแค่มึง...ชอบแค่มึงจริงๆ ไม่มีใครแล้ว”



ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง มองจ้องสายตาสวยที่มองตรงมาที่ผม น้ำเสียงหนักแน่นที่อยากบอกให้ผมมั่นใจ พยักหน้าตอบกลับไปเบาๆ และยิ้มออกมา เป็นความรู้สึกเบาใจที่ความกังวลความเสียใจก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง ก็เพราะแค่คนนี้ คนที่ชื่อว่าพระจันทร์บอกว่าชอบกันอยู่คนเดียวในตอนนี้



“ครับ ผมก็รักเหมือนกัน”



#รักอยู่รู้ยัง



กรี๊ดดดด น้องสมุทรอย่าเล่นกับของใหญ่ลูก!!

ไฮ เฮลโหล อันยอง!!

มาแล้วเธอจ้า เรื่องราวบ้าๆที่หนูอยากให้(อ่าน) อิอ๊ะ

คิดถึงฉันไหมคนดี (ใครถึงมึงมุงเอ่ย)

คิดถึงแค่ไหนขอฟังงงงง (ก็คนอ่านบอกไม่คิดถึง เซ้าซี้อิไรท์คนนี้!)

ถึงไม่มีใครคิดถึง แต่แคทคิดถึงทุกคนนะคะ ขอโทษที่อาทิตย์ที่แล้วหายไปด้วยนะคะ

-------------------

ฝากคนอ่านเข้าไปเล่แทค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แคทตามอ่านทุกข้อความเลยค่ะ

แล้วสามารถเข้ามาทักทายพูดคุยกับแคทได้เช่นเดิมทาง

TWITTER: YoghurtCatty

FACEBOOK: YoghurtCatty

และใหม่ล่าสุดทาง

IG: yoghurtcatty จ้า

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่22 (210522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-05-2022 21:24:12
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่22 (210522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Love ewan ที่ 22-05-2022 16:21:02
 o13
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่22 (210522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-05-2022 17:57:45
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่22 (210522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 24-05-2022 00:18:52
พี่พระจันทร์ยอมทุกอย่าง คนคลั่งรัก
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่23 (300522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 30-05-2022 20:34:51

บทที่23



“เฮ้อ เหนื่อยจังโว้ย ทำไมอาจารย์ชอบหาเรื่องยากๆ มาให้ทำรายงานเรื่อยเลยวะ” ผมบ่นออกมาแบบนั้น แล้วเอาหน้าแนบลงไปกับโต๊ะ นี่เป็นเวลาผ่านมาสามวันแล้วที่ต้องขลุกตัวอยู่ที่ห้องสมุดกลางของมหาลัย ขลุกอยู่แทบจะทั้งวันจนน้องสมุทรแทบจะทนไม่ไหวแล้ว



“ชู่ว เงียบหน่อยสิวะไอ้สมุทร นี่มันห้องสมุดนะเว้ย”



“ก็แล้วทำไมต้องเงียบอ่ะ มึงก็บอกอยู่ว่านี่มันห้องกู ห้องสมุทร เพราะงั้นตามสบายเลยนะมาร์ช ทำตัวเหมือนบ้านมึงเลยเพื่อน”



“มุขเหี้ย ถ้าถูกจับโยนออกไป กูจะทำเป็นไม่รู้จักมึงเลย” มันทำหน้าดุพร้อมด่าออกมาแบบนั้น ปัดโถ่เอ๊ย



“ดุจังเลยอ่ะแม่ วันนี้ไปกินรังแตน แดกอุ้งตีนหมีที่ไหนมาหรอ” ผมเอียงหน้าเข้าไปถามพร้อมยิ้มกว้างออกมาอย่างล้อๆ มองเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของมันที่ขมวดคิ้วเข้าหากันจนมุ่นไปหมด มันที่วางหนังสือในมือตัวเองลงแล้วหันมาจ้องหน้าผม



“กูจริงจัง”



“จอมแก่นหรอ”



“สัด!”



“โอ๊ย” ร้องออกมาเพราะไอ้มาร์ชเอื้อมมือมาตับหัวกันเสียงดัง ลูบหัวปอยๆ แล้วมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครสนใจเรา



“กวนตีนกูนักนะ งานจะเสร็จไหม”



“จริงๆ มันก็น่าจะเสร็จมาหลายวันแล้วไหม มีแต่มึงนั่นแหล่ะบอกต้องหาตรงนั้นตรงนี้เพิ่ม จนกูงงว่ามึงรักห้องสมุดอะไรนักหนา ทำตัวเหมือนไม่อยากเจอใครเลยต้องมาสิงอยู่ที่นี่”



“กูไม่ได้หลบหน้าใคร!”



“นักศึกษาโต๊ะนั้น ช่วยเบาเสียงด้วยค่ะ” ทั้งผมทั้งไอ้มาร์ชสะดุ้งตกใจกับเสียงเข้มๆ นั่นทันที พอหันกลับไปก็เจออาจารย์บรรณารักษ์ที่กำลังมองมาทางเราด้วยสีหน้าข่มขู่ ผมยกมือขึ้นไหว้ปรกๆ เลยทันที หันกลับไปถลึงตาใส่ไอ้เพื่อนมาร์ชทันที



“แล้ว มึงตะโกนขึ้นมาทำห่าไร” กระซิบลอดไรฟันบอกออกไปแบบนั้น ไอ้มาร์ชก็เอาแต่ขมวดคิ้ว



“ก็มึงพูดจากวนตีน”



“กูทำอะไรยัง แค่ถามเนี่ย” ว่าแต่ผมถามอะไรถึงไปขยี้ใจมันนักหนา มองหน้ามันแบบขอคำตอบ แต่ไอ้มาร์ชก็ทำแค่ส่ายหน้าแบบหัวเสีย มันที่ปิดหนังสือเล่มหนาในมือแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้



“กูจะไปหาหนังสือมาเพิ่มเพื่ออ้างอิง” บอกแบบนั้นแล้วก็ลุกจากโต๊ะไปเลย ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างๆ ของเพื่อนตัวเองที่เดินจากไป ขายาวๆ ของมันที่เอาแต่จ้ำพรวดๆ หายไปในดงหนังสือนั่นทำให้ผมมองไม่เห็นมันแล้ว น้องสมุทรได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวเลยในจุดๆ นี้



“ไม่ได้สระผมหรือไง เกาอะไรนักหนา” เสียงของคนมาใหม่ทำให้ผมสะดุ้ง ช้อนตาเงยหน้าไปมองก็เห็นใบหน้าหล่อๆ ที่ผมคุ้นเคยดี และเจอใบหน้านี้ตามมานั่งเฝ้าที่หอสมุดกลางในทุกๆ วัน



“พี่พระจันทร์เลิกไวหรอครับวันนี้” ผมถามออกไปพร้อมรอยยิ้มแบบที่ชอบทำเสมอ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนตรงหน้าก็วางมือลงมาที่หัวของผม ความอบอุ่นแล่นวาบจากจุดที่เค้าวางมือลงไปถึงหัวใจของผม พี่พระจันทร์ยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบกลับ



“เลิกไว เลยบอกให้อาจารย์รีบปล่อย อยากมาหาคนที่ชอบ” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วเก็กหน้าหล่อที่ทำให้สาวเหลียว ส่วนน้องสมุทรเผลอเสียวอยู่นิดหน่อย ง่อว~ มุกเสี่ยวเกี่ยวใจเลยไหมล่ะ



“ทำหน้าอะไรแบบนั้น”



“น้องสมุทรทำหน้าอะไร”



“ทำหน้าหื่นกาม”



“พูดไป! ใครทำ”



“ใครล่ะทำนอกจากมึงน่ะ คิดไม่สื่อกับกูใช่ไหม” ยกยิ้มมุมปากมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ย์ ก่อนจะยื่นมือมาบีบจมูกผมเบาๆ ท่าทางที่บอกผมว่าเค้ากำลังหมั่นเขี้ยวผมเหมือนเด็กๆ



“คิดไม่ซื่ออะไรของพี่กันเล่า น้องสมุทรเปล่าสักหน่อย” ย่นจมูกใส่คนตรงหน้านิดๆ ที่โดนหาว่าคิดไม่ซื่อ มันจะมีใครใสซื่อไปมากกว่าน้องสมุทรหรอครับ ผมล่ะอยากจะถามจริงๆ



“แล้วนี่ทำงานใกล้เสร็จหรือยัง”



“จริงๆ มันก็ควรจะเสร็จตั้งแต่หลายวันแล้วครับ แต่ไอ้มาร์ชมันเกิดบ้าอะไรไม่รู้ เดี๋ยวอยากแก้นู่นแก้นี่ เฮ้อ”



“เหนื่อยมากเลยสิ”



“มาก แต่น้องสมุทรเก่ง น้องสมุทรไหว” ตอบรับกลับไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง จริงๆ มันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น ผมแค่หาเรื่องเอียงหัวเข้าไปซบไหล่พี่พระจันทร์เฉยๆ ช้อนตามองหน้าเค้าจากมุมนี้ คนตรงหน้าที่ก้มหน้าลงมามองตาผมอย่างรู้ทันแล้วยกยิ้มมุมปาก



“ร้ายนะมึง”



“เห้ย ไอ้เรามันก็ตัวแค่นี้ เล็กๆ น่ารัก จะไปร้ายอะไรกันอ่ะครับ”



“แล้ววันนั้นที่ลูบไข่กู...”



“เห้ยๆ เงียบนะ พูดอะไรออกมาเนี่ย” ตาลีตาเหลือกลุกลี้ลุกลนจนต้องยื่นมือขึ้นไปปิดปากเค้า แต่พี่พระจันทร์ที่ใช้สายตาแพรวพราวมองหน้ากัน เค้ายอมหยุดพูดแต่ก็ใช้มือข้างซ้ายของตัวเองดึงมือของผมออกจากปาก ก่อนที่มือข้างขวาของเค้าจะช้อนปลายคางของผมให้เงยหน้ามากขึ้น พร้อมๆ กับใบหน้าคมที่เลื่อนเข้ามาใกล้



“พูดความจริง” กระซิบคำพูดนั้นออกมาเบาๆ แล้วก้มหน้าลงเอาริมฝีปากแนบไวๆ ลงมาที่ปากของผมก่อนจะผละออก ความรู้สึกร้อนหน้าลามขึ้นมาจนร้อนไปหมด รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นถี่ๆ เหมือนมันอยากจะกระเด็นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด



แล้วพี่พระจันทร์จะแรงเพื่อ!



“น่ารักว่ะ”



“อ...อะไรเล่า”



“ป่ะ กลับกันเหอะ อยากฟัดมึงว่ะ”



“พูดอะไรของพี่พระจันทร์เนี่ย” ผมผละตัวออกมา แต่มือก็คว้าสมุดจดและหนังสือต่างๆ มาเก็บใส่กระเป๋า ... ก็น้องสมุทรไม่อยากให้พี่พระจันทร์คอยนานนี่นา



“อ้าว มานานแล้วหรอพี่” ในตอนนั้นไอ้มาร์ชก็เดินกลับมาพร้อมหนังสือที่หอบมาจนเต็มวงแขนของมัน พี่พระจันทร์พยักหน้ารับ ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วกับสิ่งที่เห็น



“นี่พ่อมาร์ช มึงเอาหนังสือมาทำห่าไรอีก”



“มึงกลับไปกับพี่พระจันทร์เลย อันนี้กูแค่เอามาอ่านเล่น” มันบอกผมแบบนั้นแล้วนั่งลงอย่างมุ่งมั่น กับกองหนังสือที่เล่มใหญ่เท่าวิทยานิพนธ์อีกสามสี่เล่มนั่นของมัน



“เพื่อน มึงเป็นไรหรือเปล่าวะ” เป็นห่วงนะเนี่ย อยู่ๆ ก็ดูเป็นคนรักเรียน เอาแต่ขลุกอยู่กับห้องสมุทรมาสามวันแล้ว แปลกฉิบหาย ปกติไอ้มาร์ชไม่มาอยู่แถวนี้หรอกครับ สุ่มหามันตามผับยังมีหวังได้เจอได้ง่ายกว่า



“กูไม่เป็นไรมึง แค่อยากอ่านหนังสืออ่ะ”



“กูว่ามึงแปลก” ขมวดคิ้วแล้วนะ น้องสมุทรขมวดคิ้วเลย แต่พี่พระจันทร์แค่ยื่นมือมายีหัวกัน แล้วดึงกระเป๋าของผมไปถือเอง



“งั้นกูพามันกลับก่อนละกัน”



“ครับพี่ หวัดดีครับ” บอกพี่พระจันทร์แบบนั้นพร้อมยกมือไหว้ ผมยังคงไม่ไปไหน ปักหลักยืนอยู่กับที่จ้องหน้าไอ้มาร์ชแบบคาดคั้นอยู่ตรงนี้ มันมีอะไร ทำไมไม่บอกผมที่เป็นเพื่อนสนิทของมันล่ะ



“ไปได้แล้วน่าสมุทร”



“แต่ผม...”



“ไปๆ ผัวมึงตามแล้ว” ไอ้มาร์ชว่าออกมาแบบนั้น ท่าทางที่ดูลำคาญผมเต็มที่นั่นอีก แต่อะไรก็ไม่เท่าคำพูดของมันอีกแล้ว



“ผัวพ่อง” ถลึงตาใส่มันแบบนั้น แต่เจ้าตัวก็ทำแค่ยกยิ้มลอยหน้าลอยตาใส่ผมอย่างคนกวนประสาท อยากจะหันไปยื่นมือตีหัวมันอีกสักที แต่มือข้างนั้นก็ถูกพี่พระจันทร์ดึงมาจับเอาไว้ก่อน นิ้วเรียวสวยของพี่เค้าสอดเข้ากับนิ้วสั้นป้อมของกูเอง อนาถอยู่นะว่าไป แต่พอเลื่อนสายตาไปมองหน้าอีกฝ่าย ก็ถึงรู้ว่านิ้วจะสั้นจะยาวจะเรียวจะสวยหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ความสำคัญมันอยู่ที่นิ้วของเราได้กุมมันไว้กับใครต่างหาก



“พอแล้ว อย่าดื้อ” น้องสมุทรดื้อตรงไหนกันเล่า



อยากเถียงนะ แต่เลือกจะเงียบไปดีกว่า ไม่อยากกลายเป็นเด็กดื้อแบบที่พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้น ... วงแขนแกร่งที่วางลงบนบ่าของผม ท่าทางสนิทสนมที่ดูเหมือนว่าจะคุ้นชินกันมากๆ ของเรา ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองมาไม่วางตา



“พี่พระจันทร์”



“ว่า”



“ไม่เดินดีล่ะพี่”



“แล้วแบบนี้ไม่ดีตรงไหน” ถามออกมาแบบนั้นพร้อมก้มหน้าลงมาใกล้ หนักกว่าเก่า!...ใกล้ชิดสนิทเหมือนแฟน แต่ยังไม่ถูกขอ รออะไรวะ น้องสมุทรพร้อมมากเลยนะตอนนี้ อยากโดดขึ้นเตียงพี่พระจันทร์ครับ!!



“คิดอะไรอยู่ ทำไมไม่ตอบ”



“ก็เปล่าๆ ...แค่คิดว่าเดินแบบนี้มัน...” ลากเสียงยาวในตอนท้ายแล้วหันซ้ายหันขวาดูรอบๆ จนพี่พระจันทร์หันมองตาม เค้าที่ทำหน้าเข้าใจขึ้นมา เห็นแบบนั้นน้องสมุทรก็สบายใจ ...



แต่



ติดตรงที่พี่พระจันทร์ขยับวงแขน ดึงให้ตัวของน้องสมุทรเบียดแนบเข้าไปชิดมากกว่าเดิมนี่สิ อะไรของเค้าวะนั่นน่ะ!



“พี่พระจันทร์!...”



“อะไร กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ใครจะมองยังไงก็ช่างดิ กูแค่เดินกอดคอมึง กูไม่ได้เอามึงสักหน่อย จะมาเสือกไรกันอ่ะ” ว่าออกมาแบบลอยหน้าลอยตา ท่าทางที่กำลังบอกกันว่ากูไม่สนใครจะทำไม โอเค...พี่พระจันทร์เค้าใหญ่มาก



.

.

.



“ไม่ทานหรอครับ” ผมถามคนที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปอาหารตรงหน้าไม่หยุด ท่าทางที่ไม่คิดว่าผู้ชายแบบพี่พระจันทร์จะสนใจทำ



“เดี๋ยว กูเก็บภาพก่อน”



“เก็บทำไมหรอครับ ก็แค่อาหารบ้านๆ”



“ไม่ได้ดิ อาหารมันจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่นี่มึงเป็นคนทำ มันจะไปเหมือนอะไรธรรมดาทั่วๆ ไปได้ยังไง”



“พี่พระจันทร์ปากหวาน”



“แล้วมึงหวานไหม ไหนมาลองชิมดิ๊ เผื่อรสไม่เหมือนเดิม”



“พูดอะไรของพี่เนี่ย” ผมเสหน้าหลบสายตาวาบวับของคนตรงหน้า พี่พระจันทร์ที่ยิ้มมุมปากออกมานิดๆ เหมือนคนที่ถูกใจกับท่าทางของผม เค้าก้มหน้าลงไปมองหน้าจอมือถือของตัวเองอีกทีหลังจากนั้น ... วันนี้ผมมานอนที่ห้องพี่พระจันทร์ เพราะอีกฝ่ายขอร้องแกมบังคับว่าหิวข้าวและไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน สุดท้ายผมก็หลวมตัวมาคอนโดของพี่เค้า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดนอนเรียบร้อย เป็นการหลวมตัวที่น้องสมุทรค่อนข้างจะเต็มใจ ...



“ทำไมมึงทำกับข้าวเก่งล่ะ”



“ปกติต้องอยู่กับทะเลสองคน แม่ชอบมีงานดึกๆ กลับมืด เลยเป็นผมที่ดูน้องตลอดเลยทำบ่อย”



“งี้กูก็สบายเลยดิ” พี่พระจันทร์พูดแบบนั้น ไม่เข้าใจจนต้องเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงอย่างสงสัย เค้าที่วางช้อนกินข้าวแล้วสบตากับผมตรงๆ ก่อนจะพูดตอบผม



“ได้มึงเป็นเมีย ก็ไม่มีทางอดได้อยู่แล้วกู”



“กินไปเลย!” เบิดคำสิเว่า ... น้องสมุทรไม่มีอะไรจะเถียง เพราะไม่ไหว กลัวตาย เขินตาย



เราสองคนกินข้าวต่อไปด้วยกันอย่างไม่รู้สึกอึดอัด บรรยากาศสบายๆ ที่มาพร้อมกับเสียงพูดคุยด้วยเรื่องธรรมดาๆ ของเราสองคน เหมือนฝันเลยจริงๆ



“ทำไมพี่พระจันทร์ถึงไม่ทำผมสีชมพูอีกล่ะ”



“ทำไม” พี่พระจันทร์วางช้อนกินข้าวลง แล้วจ้องตาถามผม ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าสีหน้าเค้าดูจะเครียดขึ้นมาเล็กน้อย แต่แค่วูบเดียว คิ้วสวยที่เหมือนจะผูกกันก็คลายออก



“มึงชอบกูผมสีชมพูหรอ”



“ก็เปล่านะ ... พี่พระจันทร์ผมสีไหนน้องสมุทรก็ชอบหมดแหล่ะ แต่แค่...เหมือนเป็นเลิฟแอทเฟิร์สทไซท์มั้ง ก็ที่น้องสมุทรเจอพี่พระจันทร์ตอนนั้นแล้วตกหลุมรักทันทีก็ตอนผมสีชมพูนี่นา” ผมพูดไปยิ้มไป นึกไปถึงวันนั้นที่ได้เจอกันแล้วก็ต้องยิ้มออกมา พี่พระจันทร์คนสวยขาขนตายาวแล้วก็ใจดี



“แล้วถ้าวันนั้นกูไม่ได้ทำผมสีชมพู ไม่ได้เป็นคนใจดีแบบนั้น แล้ววันนี้มึงจะชอบกูไหม”



“ถามอะไร ตอนนี้หัวดำปี๋แล้วก็ปากร้ายจะตายน้องสมุทรก็ยังชอบอยู่ดีไหมอ่ะ เรียกได้ว่าคลั่งรักนะรู้เปล่า อ๊าย เขินจัง” ยกมือปิดหน้าแล้วแกล้งเอียงไปเอียงมา



“ไร้สาระ” พี่พระจันทร์ส่ายหัวหน่อยๆ แล้วลุกขึ้นเก็บจานต่างๆ ที่พวกเราสองคนกินเสร็จแล้ว



“ไม่ต้องล้างนะ พรุ่งนี้แม่บ้านจะเข้ามาอยู่แล้ว”



“แต่น้องสมุทรทำได้ มันรกอ่ะ” ผมบอกออกไป พร้อมๆ กับเอาจานที่กินเสร็จแล้วพวกนั้นมาล้างให้เรียบร้อย พี่พระจันทร์ไม่ได้ว่าอะไรทำแค่พยักหน้า แล้วยืนเอาสะโพกพิงเคาเตอร์ใกล้ๆ อ่างล้างจาน แล้วก็เอาแต่จ้องกันไม่เลิก



“สมุทร”



“หื้ม พี่พระจันทร์อยากได้อะไร” ผมหันหน้าไปถาม แต่อีกคนก็เงียบ งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจว่าต้องการจะสื่อสารอะไรออกมา



“สมุทร”



“ครับ ว่าไง”



“.............”



หมายเลขที่ท่านเรียกไม่ส่งเสียงมาอีกแล้ว มันทำไมนักนะ เริ่มจะหงุดหงิดเลยรีบล้างจานใบสุดท้ายที่อยู่ในมือให้เรียบร้อยก่อนจะปิดน้ำ ตั้งใจจะหันไปสะสางว่าคุณพี่เป็นอะไรครับ แต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่วางลงบนที่สะโพกทั้งสองข้าง รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากแผ่นอกแกร่งที่กำลังแนบชิดกับแผ่นหลังของผมในตอนนี้



“พี่พระจันทร์” ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำเสียงตัวเองถึงแผ่วเบาแบบนี้ มันสั่นไหวแปลกๆ อาจเป็นเพราะลมหายใจอุ่นๆ จากคนที่แนบแผ่นหลังอยู่ด้วยกันในตอนนี้หรือเปล่านะ รู้สึกขนอ่อนที่ต้นคอลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่



“สมุทร” เค้ายังคงเรียกชื่อผมแบบเดิมอยู่แบบนั้นซ้ำๆ แตกต่างไปจากเดิมตรงที่ฝ่ามืออุ่นเลื่อนจากสะโพกมาเป็นที่เอวของผมช้าๆ พร้อมๆ กับใบหน้าหล่อที่เลื่อนมาที่ข้างแก้ม ไล้แผ่วๆ ไปที่ซอกขอขาว ผมรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวจนต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอไปอย่างทำตัวไม่ถูก



“คิดถึง...”



“พี่หมายถึง”



“ทุกอย่าง” สิ้นสุดคำพูดง่ายๆ สองคำนั้น ผมที่ก็เงยหน้าขึ้นไปช้อนตามองคนที่ยืนซ้อนกันอยู่ด้านหลัง ใบหน้าหล่อที่โน้มลงมาใกล้ แต่ยังคงอ้อยอิ่งไม่ได้กดจูบลงมาที่ริมฝีปากของผม ทั้งๆ ที่มันก็อยู่ห่างกันไม่ไกล ผมเหลือบสายตามองไปอย่างย่ามใจ พี่พระจันทร์ที่มองสบตากลับมาเหมือนรอให้ผมอนุญาต เหมือนเป็นสิ่งที่ผมรู้มาก่อนล่วงหน้า เป็นเรื่องราวที่ว่าตัวของน้องสมุทรเองก็คิดถึง และโหยหาคนตรงหน้าไม่ต่างกัน



น้องสมุทรที่พลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับพี่พระจันทร์ตรงๆ แผ่นอกที่แนบชิดกันจนไม่มีอะไรกั้น แขนยาวของผมที่ยกขึ้นไปคล้องคอของพี่พระจันทร์ สายตาวูบวาบของเค้าที่มันกำลังบอกผมว่าเจ้าตัวกำลังตื่นเต้น ผมเอียงใบหน้าเข้าไปใกล้ ลมหายใจร้อนๆ ที่รินรดไปตามข้างแก้มของพี่พระจันทร์แบบที่เจ้าตัวชอบทำกับผมเป็นประจำ



“สมุทร” เสียงแหบพร่าที่ดูไม่เป็นตัวเองของผม ทำให้ผมต้องยกยิ้ม



“น้องสมุทรเก่งไหม ... ทำตามที่พี่พระจันทร์เคยสอนเลยนะ”



“ยังจำได้หรอวะ”



“ไม่เคยลืม”



“ซี๊ด” เสียงซี๊ดริมฝีปากของร่างสูงที่ดังออกมาในตอนที่ผมเลื่อนมือลงไปลูบใล้อย่างตั้งใจที่กลางแกนกายของเค้า พลิกตัวให้อีกฝ่ายเป็นคนไปยืนเอาสะโพกพิงอยู่ที่ขอบอ่างแทนตัวของผม จ้องตากับพี่พระจันทร์หน่อยๆ ในตอนนี้ ทั้งๆ ที่มือก็ยังไม่หยุดลูบไล้ตัวตนของเค้าผ่านกางเกงนอนขายาวเนื้อบางเบาที่เจ้าตัวใส่หลังจากอาบน้ำเสร็จ



“สมุทร...ได้ไหม” เป็นการร้องขอที่ไม่ได้บังคับ สายตาเว้าวอนของพี่พระจันทร์ทำให้น้องสมุทรทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า เอื้อมมือไปดึงกางเกงผ้านั่นลงช้าๆ ใช้มือกอบกุมแกนกายที่ขึ้นลูบชัดเจนจากฝีมือของน้องสมุทรเองจนแทบจะทิ่มหน้า ก่อนจะเริ่มรูดรั้งมันเบาๆ รับรู้ได้ถึงการเกร็งตัวของพี่พระจันทร์ ดวงตาคมสวยที่มองลงมาสบตากับผม ในตอนนั้นที่ตัดสินใจอ้าปากออกกว้าง แล้วกลืนกินตัวตนของเค้าเข้าไปให้ได้มากที่สุด



“อือ ซี๊ด...” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พร้อมๆ กับใบหน้าได้รูปที่เชิดขึ้น ฝ่ามือหนายกขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆ สีหน้าของพี่พระจันทร์ที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติ ก่อนจะเอื้อมมือมาวางลงที่หลังคอของผม



“ตอนกูม.6 สอนมึงดีเกินไปหรือเปล่า”



ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำแค่แลบลิ้นเลียไปทั่วตั้งแต่โคนจรดปลาย ดูดย้ำตรงส่วนหัวหนักๆ แต่ไม่ให้ฟันโดนส่วนใดของแกนกาย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นขยับริมฝีปากไวๆ สลับเปลี่ยนเป็นดูดย้ำๆ ซ้ำไปพร้อมกัน



“เชี่ย แม่ง” ได้ยินเสียงสบถจากพี่พระจันทร์ดังออกมาเบาๆ หัวตาของผมร้อนผ่าวในตอนที่กำลังย่ามใจว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมาก แต่น่าจะมากไปตรงที่พี่พระจันทร์ก็สวนสะโพกเด้งตัวขึ้นสูงตามความต้องการของตน



“สมุทร...สมุทรครับ” เสียงเข้มของพี่พระจันทร์แหบพร่า เป็นความรู้สึกเขินอายที่ผมพอใจมากๆ ที่ได้ยินเสียงนี้เรียกชื่อของผม



“อึก ซี๊ด....แม่ง” เค้าสบถออกมาอีกครั้งก่อนจะดึงตัวผมให้ลุกขึ้นยืน มองหน้าอีกฝ่ายงงๆ แต่ก็งงได้ไม่นานเมื่อถูกอุ้มเดินไปได้ไม่ไกล แผ่นหลังของผมถูกวางให้นอนราบไปกับโต๊ะหินอ่อนเย็นๆ ที่ก่อนหน้านี้เราพึ่งนั่งกินข้าวกันอยู่



“พี่พระจันทร์...” พูดและตกใจได้แค่นั้นก็ถูกริมฝีปากของคนบนตัวบดเบียดลงมา ไม่ได้หยาบโลนแต่ร้อนแรง เราจูบกันอย่างดูดดื่ม ทั้งๆ ที่สถานที่ตอนนี้ไม่ใช่ที่ๆ ควรจะทำ แต่ถึงแบบนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุด มือหนาที่เอื้อมมาดึงกางเกงนอนตัวใหญ่ของผมดึงออกจากเอวไปอย่างง่ายดาย มันหล่นลงไปที่พื้นตามแรงโน้มถ่วงและถูกขายาวของคนที่ยืนอยู่เตะออกไปไกลๆ สะโพกแกร่งที่เริ่มบดเบียดตัวตนเข้ามาหา เป็นความรู้สึกเสียวซ่านบนตื่นเต้น เมื่อผมมองช้อนสายตาขึ้นไป ก็มองเห็นประตูห้องบานใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น



“พี่พระจันทร์...เดี๋ยวพี่อาทิตย์ อื้อ...”



“ไม่ต้องห่วง วันนี้มันไม่กลับ”



“แต่ถ้ากลับล่ะครับ อื้มมม” เสื้อนอนของผมถูกถอดออกไปทางหัว คนที่ไม่ได้ตั้งใจตอบคำถามของผมโยนเสื้อของผมไปให้พ้นทาง แล้วครอบริมฝีปากขบเม้มลงบนยอดอกจนผมสะดุ้ง ผมที่พยายามดันไหล่แกร่งให้หลุดออกไป หัวใจสั่นสะท้านจากความกลัวและความตื่นเต้นของสถานที่โล่งแจ้งแบบนี้



“ถ้ามันกลับมาก็ดีสิ จะได้รู้ว่ามึงเป็นของใคร” บอกออกมาแบบนั้นแล้วใช้ริมฝีปากจูบสลับขบเม้มไปทั่วข้างแก้ม ซอกคอ หัวไหล่ และปลายยอดอก ได้แต่แอ่นตัวขึ้นรับอย่างห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ฝ่ามือหนาที่เลื่อนลงมารูดรั้งแกนกายให้กันจนมันตั้งชันตามความรู้สึก ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวส่วนจะลูบไล้ไปตามรอยจีบที่ช่องทางด้านหลัง นิ้วแกร่งที่สอดเข้าไปทีละนิ้ว เพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม มันไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บ แต่มันจุกและอึดอัด ผมได้แต่เม้มปากจนตัวสั่น น้ำตาคลออยู่ที่หน่วยตา เสียวซ่านไปทั้งตัวจนต้องจิกนิ้วระบายลงที่ลาดไหล่แกร่ง พี่พระจันทร์ที่ยังไม่ดึงนิ้วออกมาจากช่องทางของผม เค้าทำแค่ใช้มืออีกข้างหยิบถุงยางขึ้นมาจากกระเป๋าหลังของกางเกงนอนตัวที่ใส่อยู่ ....



คือเตรียมตัวมาแล้วว่างั้นเถอะว่าต้องเยเย่มารูโกะน้องสมุทรให้ได้ เธอมันคนร้ายกาจ!



เห็นแบบนั้นก็ฉีกขาตัวเองออกให้กว้างขึ้น สายตาคมที่เลื่อนขึ้นมามองท่าทางของผม สายตาที่คาดโทษมาพร้อมๆ กับเรียวลิ้นร้อนที่เลียไปตามริมฝีปาก



“ร้ายนะ”



ว่าแบบนั้นแล้วก็ใช้ปากฉีกถุงยางแล้วสวมลงบนแกนกายแกร่งด้วยมือข้างเดียวอย่างชำนาญ นิ้วเรียวที่ยังค้างคาในตัวผมก็กดย้ำที่จุดจนผมสั่นสะท้านย้ำๆ ก่อนจะดึงออก แกนกายแกร่งที่ถูกฝ่ามือของตัวเองขยับรูดรั้งอีกสองสามครั้งก่อนจะดันมาจ่อที่ช่องทางด้านหลังของผม ก่อนจะค่อยๆ สอดใส่เข้ามาอย่างไม่รีบร้อน พี่พระจันทร์ที่ขบกรามจนแน่นอย่างพยายามใจเย็น ฝ่ามือหนาเอื้อมขึ้นมาลูบไล้เบาๆ ไปตามเส้นผมอย่างปลอบใจ



"ผ่อนแรงหน่อยสมุทร..."



"อึก ผม..." พูดไม่ออก อธิบายไม่ได้ มันรู้แต่ว่าสะท้านเสียวซ่านไปทั้งตัว แต่ถึงแบบนั้นก็พยายามผ่อนแรงลงช้าๆ ช่องทางด้านหลังที่ตอดตุบๆ บอกให้รู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายกำลังลุกล้ำเข้ามามากแค่ไหน และยิ่งผ่อนแรงลงไปเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสอดลึกเข้ามามากขึ้นๆ เป็นความรู้สึกดีที่เสียวซ่านไปทั้งตัว พี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ ขยับสอดตัวเนิบนาบเข้ามาช้าๆ สลับไว ในตอนที่ผมผ่อนตัวได้ แรงกระแทกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง แรงกระแทกที่กดย้ำเน้นๆ ซ้ำๆ



“อ๊ะๆ พี่พระจันทร์”



“อึกซี๊ด....”



สะโพกแกร่งที่ขยับไปพร้อมๆ กับแขนแกร่งที่ยกขาของผมข้างนึงไปพาดบ่า สายตาคมที่มองลงมาสบตาไปพร้อมๆ กับกระแทกแกนกายเข้าใส่ ใบหน้าหล่อโน้มลงกดจูบไปที่ต้นขาได้ใน ขบเม้มแผ่วๆ ยิ่งทำให้ใจสั่นกระตุก เชิดหน้าขึ้นรับแกนกายใหญ่ที่กระแทกถี่ๆ เข้ามาถึงจุด



“พี่พระจันทร์...อึก อ๊า” ร้องครางออกมาเสียงสั่นในตอนที่แกนกายในมือแกร่งกระตุกปลดปล่อยหยาดน้ำอุ่นออกมาเลอะหน้าท้องตัวเอง พร้อมๆ กับช่องทางด้านหลังของผมที่กระตุกบีบรัดถี่ๆ จนพี่พระจันทร์เองก็ปลดปล่อยตามออกมา ไม่ได้เหนียวเนอะหน่ะเพราะพี่พระจันทร์ใส่ถุงยาง แต่ถึงแบบนั้นความหนักหน่วงจากการร่วมรักก็ไม่ได้เบาลง ฝ่ามืออุ่นที่ลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของผม เขายิ้มออกมานิดๆ อย่างอบอุ่น ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มของผม ก่อนจะถอนตัวตนของเค้าออกไปช้าๆ เราสบตากันแล้วยิ้มออกมาในตอนนี้



“พี่จะขอสมุทรเป็นแฟน...ในวันเกิดพี่นะ”



“พี่พระจันทร์...พี่ ...พี่...”



“อยากให้วันนั้น เป็นวันที่เราจะจดจำกันไปตลอด ...และครั้งหน้า พี่สัญญาว่าจะบอกรักเราแรงๆ กว่าวันนี้”



“อื้ม...รักแรงๆ จนทำให้น้องสมุทรไปรักใครไม่ได้อีกเลยนะ”



“สัญญาครับ”





#
รักอยู่รู้ยัง



น้องสมุทรลูกกกกกกกกก เบา หนูต้องเบากว่านี้!! :pighaun:

แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็เอาให้พี่มันชักตายไปเลยสิคะ

อิอิ

ปล.ขอโทษจริงๆค่ะ เมื่อคืนยังมีไข้แล้วก็ปวดหัว ส่วนแขนยังบวมอยู่ แต่เจ็บน้อยลง แคทเลยมาลงทันทีค่ะ

หวังว่าจะถูกใจนะคะ

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่23 (300522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-05-2022 21:17:25
 :ling1: :ling2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่23 (300522)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 31-05-2022 15:07:06
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่24 (040622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 04-06-2022 20:36:05
บทที่24



‘คลิก’



เสียงปิดประตูที่ทำให้ผมที่กำลังยืนอยู่กลางห้องนอนใหญ่ได้แต่เลิ่กลั่ก หันซ้ายหันขวายืนทำหน้าโง่ๆ อยู่ตรงนี้ เสียงก้าวเดินช้าๆ ที่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และหยุดลงอยู่ตรงด้านหลังของผม ฝ่ามืออุ่นแตะเข้าที่สะโพกเบาๆ และสัมผัสนั่นก็ทำให้ผมสะดุ้ง หัวใจเต้นถี่ๆ แม้รู้ดีว่านั่นคือสัมผัสจากใคร



“เอ่อ...”



“เข้าอาบน้ำล่างตัวก่อนไป เดี๋ยวกูลงไปเก็บของข้างล่างเอง” เสียงทุ้มที่ดูขบขันกับท่าทางของผม และเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีความสุขมากกว่าที่เคยเป็น ไอ้อาการแบบนี้มันทำให้ผมสงสัยจนต้องหันไปมอง ใบหน้าหล่อๆ ของพี่พระจันทร์ที่ดูอารมณ์ดี มุมปากยังคงยกยิ้มอยู่ให้เห็น และสายตาอบอุ่มปนเอ็นดูที่ทอดมองผมอยู่ในตอนนี้



ได้กันแล้วมันมีความสุขขนาดนั้นเลยหรอ ... อื้มมม~ น้องสมุทรนี่มันเด็ดจริงๆ เลยนะ



“พี่พระจันทร์หมายถึงเก็บอันนั้น”



“เก็บถุงยาง”



“ผมรู้แล้วน่า! พี่จะพูดมันออกมาทำไมเล่า” อดไม่ได้ที่ตะโกนบอกออกไปแบบนั้น พอความรู้สึกจางหาย ยางอายก็เข้ามาทดแทน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเลย แต่ตอนนี้อายแล้ว ผีในห้องจะอยู่ยังไงกับฉากเมื่อกี้ที่เราเยเย่มารูโกะกันอย่างโจ่งแจ้งกลางห้องอาหาร งื้อออ อายเว้ย



“หึ ที่ตอนนี้มาทำอาย”



“ก็น้องสมุทรขี้เขิน”



“จากเมื่อกี้ มึงก็ไม่น่าเขินแล้วไหม”



“ไม่อยากพูดด้วยแล้ว!” ผมตะโกนออกมาเสียงดังอีกรอบ พี่พระจันทร์จะมาล้อกันทำไม แถมยังมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วสายตาคมๆ นั่นก็อ้อยอิ่งอยู่แถวหัวนมของผมไม่เลิก แล้วแบบนั้นใครมันจะทนยืนอยู่เฉยๆ ไหว เห็นแบบนั้นน้องสมุทรเลยวิ่งหนีเข้าห้องน้ำไปแทนโดยไม่พูดอะไรอีกแล้ว เป็นบ้าอะไรชอบมาทำให้อายทุกทีเลย



น้องสมุทรที่เข้าไปอาบน้ำ ทำความสะอาดตัวเองใหม่ ออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่บอกกันว่าจะลงไปเก็บของทำความสะอาด มันคือยังไงนะ หรือว่าเมื่อก่อนหน้านี้มันเลอะเทอะมากหรอถึงใช้เวลานานจัง พอนึกมาถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกอายแบบบอกไม่ถูก นั่นมันโต๊ะทานข้าว แล้วต่อจากนี้จะมองโต๊ะทานอาหารนั่นเหมือนเดิมได้ยังไง บ้าจริง ทำไปได้ยังไงเนี่ยน้องสมุทร!



แบบนี้ น้องสมุทรก็ควรเป็นคนลงไปรับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้ด้วยตัวเองไหมนะ .... ก็ที่มันเลอะเทอะอยู่ตอนนี้ ก็เป็นอะไรๆ ของน้องสมุทรเองนี่นา แค่คิดไปถึงตรงนี้ ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็แล่นเข้ามาที่หัวเป็นฉากๆ ภาพล่อแหลมที่เห็นตัวเองฉีกขาออกกว้างเพื่อให้ส่วนกลางกายของอีกฝ่ายสอดใส่เข้ามาได้ถนัด หรือแม้แต่ภาพแกนกายแกร่งที่ค่อยๆ แทรกเข้ามา รอยจีบที่ช่องทางด้านหลังยังรู้สึกเต้นตุบๆ เหมือนมีท่อนเอ็นใหญ่สอดใส่อยู่เลยตอนนี้



“เชี่ย ลามกว่ะไอ้น้องสมุทร” พูดกับตัวเองออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาปิดหน้า ร้อนหน้าไปหมด แต่สุดท้ายผมเลือกที่จะขยับตัว สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วตัดสินใจที่จะลงไปรับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้ร่วมกันกับอีกฝ่ายที่ครัว



เสียงพูดคุยที่ดังมาจากด้านล่างในตอนที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องนอนทำให้ต้องขมวดคิ้วออกมาอย่างสงสัย ขาของผมที่ค่อยๆ ก้าวเดินลงไปตามทางของบันไดอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมองลงไปเห็นคนมาใหม่ได้ชัดถนัดตา กับพี่พระจันทร์ที่ยืนหันหลังมาทางบันได เค้ายังคงใส่แค่กางเกงนอนขายาวตัวสบายและไม่สวมเสื้อ เพราะแบบนั้นแผงอกแกร่งและหน้าท้องได้รูปสวยจึงอวดสายตาของคนมาใหม่ได้อย่างถนัดตา ผมเลือกที่จะไม่ก้าวขาลงไปแล้วหยุดยืนอยู่ที่ตรงนี้แทน ใช้ผนังปูนเปลือยนี้บดบังตัวเองเอาไว้ ... อะไรบางอย่างมันหยุดผมไว้ และบอกให้ตัวเองเลือกที่จะยืนฟังอยู่ตรงนี้



“อัยย์มาที่นี่มีอะไร”



“แล้วอัยย์มาไม่ได้แล้วงั้นหรอ รหัสห้องของพระจันทร์ก็ไม่เห็นว่าจะเปลี่ยนใหม่นี่ มันยังเป็นวันเกิดของอัยย์อยู่เลย” หัวใจผมเต้นระส่ำ รู้สึกเหมือนมีมือบางอย่างบีบรัดเข้าที่ก้อนเนื้อหัวใจด้านซ้ายของผมที่ละนิด มันไม่ได้เจ็บปวด แต่เป็นความรู้สึกอึดอัดที่ทำให้เราค่อยๆ หายใจไม่ออก



“จันทร์ยังไม่ว่างเปลี่ยนรหัส แต่ถึงแบบนั้นอัยย์ก็ควรโทรมาบอกเราหรืออาทิตย์ก่อนหรือเปล่าว่าจะมา”



“อัยย์คงมาผิดจังหวะสินะ พระจันทร์ถึงแต่งตัวแบบนี้ แล้วก็ดูหัวเสียแบบนี้” พี่อัยย์เลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เค้าแค่พูดออกมาแบบนั้นแล้วจ้องไปที่ตัวพี่พระจันทร์อย่างไม่วางตา



“...........” พอพี่อัยย์พูดแบบนั้น คราวนี้เป็นพี่พระจันทร์ที่เลือกจะไม่ตอบ มองจากมุมนี้ผมเห็นร่างสูงถอนหายใจออกมานิดหน่อย แต่พี่อัยย์ก็เลือกที่จะเมินมันแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะทานข้าว ร่างบางในชุดธรรมดาที่ไม่ใช่ชุดนักศึกษาแบบที่คุ้นชิน เค้าอยู่ในเสื้อไหมพรหมแขนยาวเนื้อบางเบาทรงโอเวอร์ไซส์สีชมพูอ่อน เข้าคู่กับกางเกงส์ยีนส์พอดีตัว ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าถนุถนอมมากกว่าทุกที



“จันทร์สบายดีไหม จันทร์เงียบหายไปเลยตั้งแต่วันนั้น”



“จันทร์สบายดี”



“อยู่กับน้องคนนั้นมีความสุขมากเลยว่างั้นสินะ” น้ำเสียงสบายๆ ที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีอะไรเลย ผมเผลอขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นในตอนนี้



“น้องเค้าคือคนที่ทำให้พระจันทร์เมินเราหรอ ... โทรศัพท์หาก็ไม่รับ ไลน์หาก็ไม่ค่อยอ่าน ไม่ไปรับอัยย์แม้ว่าอัยย์จะลำบากไม่มีรถกลับด้วยน่ะ”



“อัยย์” พี่พระจันทร์เรียกชื่ออีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงที่ผมเข้าใจว่ามันเป็นน้ำเสียงของการเหนื่อยหน่าย แต่ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่พระจันทร์กำลังเหนื่อยหน่ายในเรื่องอะไรกันแน่ เขาที่เรียกชื่อพี่อัยย์ออกมาแค่นั้นมันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนหัวใจ ความทรงจำเก่าๆ มันวูบเข้ามาเป็นระยะๆ ภาพเก่าๆ ที่ตอกย้ำว่าคนทั้งคู่สนิทสนมกันในระดับไหน ทั้งความใกล้ชิดและความรู้สึกของพวกเค้า ความไม่มั่นคงทางความรู้สึกระหว่างผมกับพี่พระจันทร์มันกลับมาอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เรายังกอดกันอยู่ตรงนั้น ตรงที่เค้ายืนอยู่ด้วยกันในตอนนี้



“จริงใช่ไหมล่ะ...”



“เราบอกอัยย์ไปแล้ว ว่าสมุทรคือคนที่เรากำลังจริงจังด้วย”



“ก่อนหน้านั้นจันทร์ก็เคยพูดกับเราแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอ ตอนที่จันทร์อยู่ม.6ก็มาบอกอัยย์แบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอว่าอยากจริงจังด้วย จะทำทุกอย่างให้อัยย์ พระจันทร์พูดแบบนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรอ”



“อัยย์ ... จะมาพูดแบบนี้เพื่ออะไร”



“ก็เพื่อให้พระจันทร์ได้เข้าใจไง” ดวงตากลมสวยของพี่อัยย์ช้อนขึ้นมองพี่พระจันทร์ มันใสแจ๋ว กระจ่างชัดดูน่ารักเหมาะกับเครื่องหน้าสวยของเจ้าตัว



“เข้าใจอะไร จันทร์ไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรมากไปกว่านี้ เราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะอัยย์”



“ยังหรอก พระจันทร์ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำอ่ะว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันคือการประชดกันน่ะ”



“เราไม่ได้ประชดอัยย์ นี่ไม่ใช่ละครนะ จันทร์ไม่ว่างมาทำอะไรแบบนั้นหรอก อีกอย่าง...จันทร์ว่าจันทร์ทำมามากพอแล้วด้วยกับเรื่องของอัยย์ และตอนนี้จันทร์อยากบอกว่าจันทร์มีความสุขดี”



“ความสุขปลอมๆ น่ะสิ น้องเค้ารู้หรือเปล่าล่ะ ว่าจันทร์เคยชอบเรามากแค่ไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเราสนิทกันขนาดไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเค้ากำลังเป็นตัวแทนเราในวันที่เธออยากยอมแพ้จากเราแล้วน่ะ”



“อัยย์ ขอร้องเหอะ...”



“เราสิต้องเป็นคนขอร้อง”



“อะไร...”



“เราผิดหรอที่ตอนนั้นเราไม่เลือกจันทร์”



“ไม่ผิด จันทร์ไม่เคยโทษอัยย์เลย” พี่พระจันทร์ตอบออกไปแบบนั้นด้วยเสียงราบเรียบ



“แล้วถ้าแบบนั้นมันทำไม ทำไมจันทร์ถึงต้องทำแบบนี้กับอัยย์ล่ะ ทำไมต้องห่างเหินแบบนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่เคยบอกว่าจะอยู่กับอัยย์เสมอไม่ใช่หรอ จันทร์ก็รู้เรื่องของเราดีไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงยังทำแบบนี้ล่ะ”



“อัยย์กำลังต้องการอะไรจากจันทร์วะ” พี่พระจันทร์ถอยหลังออกมาก้าวนึงให้ห่างจากคนตรงหน้าของเค้า ที่ตอนนี้ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้ามาประชิดตัว เสียงของพี่พระจันทร์ยังคงราบเรียบเช่นเดิม แต่ผมรับรู้ได้ถึงความไม่มั่นคงของเค้า ฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นเสยผมตัวเองแบบคนกำลังหัวเสีย คนร่างสูงที่กำลังข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่



“อัยย์ก็แค่อยากได้พระจันทร์คนเดิมกลับมา”



“..............”



“ทำไมล่ะ ทำไมพระจันทร์ถึงไม่ตอบอัยย์ล่ะว่าจะกลับมา” พี่อัยย์พูดออกมา ท่าทางของเค้าที่ผมกำลังเห็นว่านัยย์ตาสวยกำลังสั่นไหว ความเสียใจทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาทางสีหน้า



“ก็ไหนว่าจะไม่มีวันทิ้งกันไง!”



“อัยย์...”



“อัยย์ยืนหลบอยู่ตรงนั้น....” เสียงใสที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ พร้อมกับใช้มือชี้ไปทางโซนด้านหน้าทางเข้าที่เป็นเส้นทางทอดยาวเพื่อนำไปสู้ประตูหน้าห้อง มันมีรูปปั้นประดับ รวมถึงตู้โชว์วางเรียงรายอยู่แถวนั้น ...



ผมจิกมือเข้าหากันตอนที่ได้ยินพี่อัยย์พูดออกมา หัวใจของผมสั่นกับการที่ได้รับรู้ว่าก่อนหน้านี้มีใครอีกคนกำลังยืนมองดูเราทำอะไรกันอยู่ ... เขาต้องเป็นคนแบบไหน



“อัยย์ใช้เวลาหลายนาทีมองภาพพวกนั้น เพื่อทำความเข้าใจว่าที่พระจันทร์กำลังเปลี่ยนไป ไม่สนใจอัยย์เหมือนเดิมเพราะกำลังกอดอยู่กับเค้า เพราะน้องคนนั้นที่ทำให้พระจันทร์เปลี่ยนไปแบบนี้ ... ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเคยบอกว่าไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยน แต่พระจันทร์จะไม่เปลี่ยนไป แล้วทำไมสุดท้ายพระจันทร์ถึงยังทิ้งเราไปเหมือนทุกคนอยู่ดี”



“มันไม่ใช่ความผิดของสมุทร อัยย์อย่าพูดแบบนี้ออกมาเลยจะดีกว่า”



“ถ้างั้นมันเป็นความผิดของใครล่ะ จะบอกว่าเป็นความผิดของอัยย์หรอ!” พี่อัยย์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน มองเห็นใบหน้าน่ารักที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มแต่ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินสักนิด มีแต่ท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเสียใจและโกรธ เป็นความโกรธที่แฝงมาด้วยความประชดประชัน



“จันทร์ไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดของอัยย์เหมือนกัน ไม่เคยคิดแบบนั้น” เสียงทุ้มที่ตอบออกไป ผมมองไม่เห็นสีหน้าของพี่เค้าว่ากำลังแสดงออกมาแบบไหน



“แล้วคิดแบบไหน...อัยย์จะต้องทำยังไงให้ได้พระจันทร์คนเดิมกลับมา” พี่อัยย์ถามออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับฝ่ามือเล็กที่เอื้อมมือจับฝ่ามืออุ่นที่ก่อนหน้านี้เป็นผมที่ได้กุมมันเอาไว้



“อัยย์ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วทบทวนอยู่หลายอย่าง มีอะไรที่อัยย์ทำไม่ได้บ้าง ทั้งๆ ทุกอย่างที่น้องคนนั้นทำ อัยย์ก็เคยทำมันมาก่อนไม่ใช่หรอ จันทร์จะให้อัยย์ทำมันก็ได้ ถ้าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม จันทร์ชอบอัยย์ไม่ใช่หรอ”



หัวของผมเหมือนถูกตีด้วยของแข็งๆ คำพูดของพี่อัยย์เหมือนค้อนหรือท่อนไม้ใหญ่ๆ ที่ทุบเข้าที่ท้ายทอยของผมจากทางด้านหลัง คำพูดที่ว่าเค้าเคยทำมันมาก่อนนั่น ผมไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร



“อัยย์พอเหอะว่ะ ถ้าจะมาพูดอะไรแบบนี้ เราไม่สดวกจะคุยกับอัยย์แล้วว่ะ”



“เพราะอะไรล่ะ เพราะอะไรถึงไม่สดวกล่ะ”



“อัยย์กลับไปเหอะ จันทร์ไม่ไปส่งนะ” พี่พระจันทร์พูดออกมาแค่นั้นแล้วหันหลัง ผมหลบตัววูบแล้วเอาแผ่นหลังพิงลงกับผนังปูนเปลือย



“จันทร์จะทิ้งอัยย์ไปจริงๆ สินะ”



“เราไม่เคยทิ้งอัยย์ แต่มันแค่จะไม่กลับไปเป็นในแบบนั้นแล้ว”



“จันทร์ไม่เหมือนเดิมเลย ไม่เลยสักนิด จันทร์โกหก! จำเอาไว้เลยนะว่าจันทร์กำลังฆ่าอัยย์ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เลย!!” เสียงตะโกนที่ปนมากับเสียงสะอื่น ก่อนมันจะดังตามมาด้วยเสียงตึงตังอย่างคนที่ออกวิ่ง และสุดท้ายก็เป็นเสียงประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรง ความเงียบถูกก่อตัวขึ้นในตอนนี้ ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวอะไรนานอยู่หลายนาทีหลังจากที่พายุอารมณ์ถูกซัดให้พัดกระจายไปทั้งห้อง รวมถึงพัดมาถึงผมด้วย ผมนิ่งอึ้งและยืนอยู่ตรงนี้ เรื่องราวที่ได้รับรู้เหมือนหมัดน็อคที่ทำให้มึนงงจนทำให้ต้องยืนโง่งมอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน นานหลายนาทีกว่าที่ผมเองจะต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดมา อยากจะก้าวกลับขึ้นไปบนห้อง ทำเหมือนว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังได้รับรู้อะไรมาก่อนหน้านี้เลย แต่ก็ไม่ทัน



พี่พระจันทร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ เค้าเบิกตามองผมอย่างตกใจวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด



“มานานหรือยัง”



“เอ่อผม ผมหิวน้ำน่ะ...” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วยิ้มออกไป ท่าทางที่พยายามทำเหมือนน้องสมุทรคนโง่ที่ทุกคนคิดว่าแบบนั้น มันเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือไง ที่จะแกล้งทำเป็นบ้าใบ้แล้วไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเมื่อกี้



พี่พระจันทร์ช้อนตามองผม ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดมาอีกคั่น แล้วเอื้อมมือมาจับมือของผมเอาไว้ ฝ่ามืออุ่นที่กุมกระชับให้แน่นขึ้นนั่นทำให้ผมเกือบเผลอร้องไห้ออกมา มันเป็นความรู้สึกและอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าต้องจัดการกับมันยังไงในตอนนี้



“สมุทร...เรื่องของอัยย์น่ะ” เค้าเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มอบอุ่น ผมเสตาหลบหน้าของเค้า เลี่ยงที่จะไม่มองตาคมสวยที่ผมชอบนั่น



“อยากคุยกันไหม” เค้าถามผมออกมาแบบนั้น คำพูดที่เกริ่นออกมาแบบนั้น แล้วรอให้ผมเป็นคนตัดสินใจ การกระทำแบบนั้นมันบอกได้ชัดว่าเค้ารู้ว่าผมได้ยินอะไรมาบาง ขายาวที่ก้าวขึ้นมาที่บันได้อีกขั้นให้ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกันแล้วในตอนนี้



“พี่ปล่อยพี่อัยย์กลับไปแบบนั้นจะดีหรอครับ” ผมถามออกไปแบบนั้น พยายามทำท่าทีว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องราวก่อนหน้านี้ หน้าตาโง่ๆ ซื่อๆ ผ่านกรอบแว่นตาอันใหญ่ที่มักจะปกปิดความรู้สึกของผมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ผิดกับความรู้สึกในใจของผมตอนนี้ที่มันร้อนรนไปหมด ผมเป็นใคร ผมมีน้ำหนักในใจเท่าคนที่พึ่งเดินออกไปก่อนหน้านี้หรือเปล่า



“อัยย์ไม่ใช่เด็กแล้ว เค้าไม่เป็นอะไรหรอก”



“แต่นี่มันดึกแล้ว...แล้วเค้าก็กลับไปด้วยสภาพแบบนั้น พี่จะไม่คุยกับเค้า...”



“อยากให้กูไปคุยหรอ อยากให้กูตามไปหรอ”



“ผม...” เม้มปากแน่นๆ แล้วพูดออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไม่อยาก ผมทรยศความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้ามองตามเหตุผล เค้าก็ไม่ควรจะปล่อยพี่อัยย์ไปด้วยสภาพเสียใจแบบนั้นหรือเปล่า แต่ผมเองก็ไม่อยากจะบอกว่าไปเถอะ ไปคุยให้เรียบร้อยเถอะ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไปส่งบ้านนะ ผมไม่อยากทำแบบนั้น



“กูไม่ไปหรอก...เคยสัญญากับมึงไว้แล้วนี่ จะไม่ทำผิดสัญญากับมึงหรอก อีกอย่าง...มึงเองก็อยู่ตรงนี้ จะให้กูหันหลังไปจากมึง ทำไม่ได้หรอกครับ”



“พี่พระจันทร์”



“โอเคนะ ... ขึ้นห้องนอนกันเถอะ วันนี้มึงเหนื่อยมามากแล้ว” เค้าพูดออกมาแบบนั้น แม้ว่าสายตาและท่าทางของเค้าจะยังคงดูกังวล แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ผม พร้อมๆ กับฝ่ามืออุ่นๆ ที่วางลงมาบนหัวของผม ความอบอุ่นแล่นวาบลงมาถึงหัวใจ ความรู้สึกไม่มั่นคงทั้งหลายเหมือนจะเลือนหายไป เมื่อมีเค้าอยู่ตรงนี้



...



“ฮาย เฮลโหล อันยอง...เมื่อคืนน้องสมุทรมานอนที่นี่หรอคะ” เสียงทักทายดังขึ้นมาทันทีที่ผมเดินลงมาจากชั้นสองในตอนเช้าของวันใหม่ พร้อมกับใบหน้าหล่อคมที่มีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่ที่กรอบหน้านั่นทำให้ผมยิ้มออกมาทักทายอีกฝ่ายไปเช่นกัน



“สวัสดีครับพี่อาทิตย์” ยกมือไหว้คนที่โบกมือทักทายกันอย่างอารมณ์ดี วันนี้พี่อาทิตย์ก็อยู่ในเสื้อช็อปเหมือนทุกที แต่ว่าไม่ได้ เค้าเป็นนักศึกษาคณะวิศวะที่มีลุคนายแบบเท่ๆ อยู่ในตัว แม้ว่าจะใส่เสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์สีดำเข้มๆ มันดันเหมือนนายแบบที่ใส่ชุดถ่ายซีรี่ย์มากกว่าคนจะไปเรียน



“เป็นเช้าที่สดใสมาเลยสินะ พี่พนันได้เลยว่าหน้าตาของไอ้พี่เหี้ยต้องดูสดใสมากแน่ๆ” คนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้บาร์หน้าเคาเตอร์ที่ประจำของพี่เค้าว่าออกมาแบบนั้นพร้อมหรี่ตามอง ผมยิ้มออกมาบางๆ แล้วส่ายหน้านิดๆ ก่อนจะเดินลงไปหาพี่อาทิตย์แทน



“พี่อาทิตย์ทานอะไรหรือยังครับ”



“พึ่งได้กาแฟมาแก้วนึงค่ะ” บอกแบบนั้นพร้อมยกแก้วกาแฟขึ้นมาให้ผมเห็น พี่อาทิตย์ที่โยกหัวนิดๆ ไปตามเพลงอาร์แอนด์บีที่เจ้าตัวเปิดคลอเอาไว้เบาๆ



“งั้นน้องสมุทรทำแซนวิชอะโวคาโดไข่ให้ทานคู่กับกาแฟดีไหมครับ”



“เยี่ยมเลยค่ะ น้องสมุทรนี่น่ารักที่สุดในหัวใจของพี่” ผมยิ้มขำออกมานิดๆ กับท่าทางขี้เล่นแบบนั้นของเค้า



“พี่หมายถึงในใจของไอ้พี่ชายเหี้ยของพี่นะ ขืนมันได้ยินพี่บอกว่าน้องสมุทรน่ารักที่สุดในหัวใจพี่ หัวไอ้อาทิตย์คนนี้ต้องหลุดจากบ่าแน่ๆ ค่ะ” ยกมือขึ้นป้องปากกระซิบกระซาบกับผมแบบนั้น ท่าทางที่ทำเหมือนว่ากลัวพี่พระจันทร์จะมาได้ยินนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ ... ก็ท่ามันจริงแบบที่พี่อาทิตย์ว่าก็คงจะดีสินะ



เมื่อคืนนี้เราสองคนหลังจากที่ขึ้นไปถึงห้องนอน เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ทำแค่ล้มตัวลงนอน โดยมีพี่พระจันทร์กอดผมเอาไว้ไม่ปล่อย จนสุดท้ายผมก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของเค้า จนที่ได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เค้าก็ยังคงไม่ปล่อยกอดออกจากตัวผม สุดท้ายเลยต้องแงะตัวเองออกมา อยากให้เค้าได้นอนสบายๆ คิดว่าเหน็บคงกินมือมาทั้งคืน



ผมหันหลังไปหันอะโวคาโด้และปิ้งขนมปัง ส่วนไข่ก็จัดการต้มแล้วในตอนนี้ เป็นเมนูง่ายๆ ที่ไม่ได้ทำยากอะไร แต่ถึงแบบนั้นในหัวสมองของผมมันก็อดคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้ คำพูดของพี่อัยย์มันยังคงดังอยู่ในหัวของผมมาตลอดทั้งคืน ในทุกๆ ประโยคเหมือนถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า



“น้องสมุทรเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงของพี่อาทิตย์ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ ผมสะบัดหัวไล่เรื่องราวเหล่านั้นออกจากหัวก่อนจะหันมาหาพี่อาทิตย์ที่นั่งเอามือเท้าคางมองกันอยู่ในตอนนี้



“อ่ะเอ่อ...เปล่าหรอกครับ”



“มีใครเคยบอกไหมว่าโกหกไม่เก่ง หน้าน้องสมุทรเหมือนมีป้ายแปะเอาไว้ว่า กูคิดมากอยู่นะไอ้สัด อะไรแบบนี้เลย” มันขนาดนั้นเลยนะ



“ทะเลาะกับไอ้พระจันทร์หรอ”



“เปล่าครับ ไม่ได้ทะเลาะกับพี่พระจันทร์ครับ” ผมบอกออกไปแบบนั้น และมันก็เป็นความจริงที่ว่า เราสองคนไม่ได้ทะเลาะกัน แต่มันเป็นความอึดอัดที่เกิดขึ้น เพราะเหมือนกับว่าเราสองคนเอาแต่คิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในใจ



“งั้นหรอ แล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นล่ะ น้องสมุทรถึงมีสีหน้าแบบนี้” พี่อาทิตย์สบตากับผม สายตาคมๆ นั่นจ้องผมไม่ละสายตา แต่มันกลับไม่ทำให้อึดอัดเพราะในกรอบหน้ายังมีรอยยิ้มนิดๆ ที่ไม่เร่งเร้าให้ผมต้องพูด เค้ากำลังทำเหมือนว่าเรื่องที่ถามก็แค่ถามดู ไม่ได้อยากซักไซ้หรือบังคับให้ผมต้องตอบ ผมรู้สึกว่า พี่อาทิตย์เป็นคนจับความรู้สึกคนอื่นเก่ง เค้าแตกต่างจากพี่พระจันทร์ แม้ว่าคนทั้งคู่จะหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะก็ตาม



พี่พระจันทร์จะนิ่งกว่า แล้วชอบทำหน้าตานิ่งๆ เหมือนคนไม่อยากรับแขก พี่พระจันทร์มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างคนที่สนิทกับคนที่ไม่สนิท นึกไปถึงช่วงแรกๆ ที่ผมพยายามเข้าหา ทั้งเฉยชาและไม่ใส่ใจความรู้สึกกัน แถมยังบอกชัดเจนว่าให้ผมรับผิดชอบความรู้สึกตัวเองด้วยซ้ำ แต่พอได้สนิทกันแล้วหัวใจด้วงนั้นก็คล้ายกับว่าจะเปิดออก มันราวจะเป็นอีกเรื่องนึงเลย และจากที่อยู่กับพระจันทร์มาหลายเดือน การกระทำต่างๆ ของเค้าก็พอบอกได้ว่า เค้าไม่ได้จับความรู้สึกของคนอื่นเก่ง และเลือกจะทำทุกอย่างออกไปอย่างตรงไปตรงมา ถ้าชอบเค้าก็บอกว่าชอบ แต่ไม่พอใจเค้าก็ด่าออกมา

ทว่า พี่อาทิตย์คือตรงกันข้ามกันเลย พี่อาทิตย์มีเสน่ห์ และมักจะมีรอยยิ้มที่หลากหลาย นัยย์ตาของเค้าเป็นประกายสดใสที่แฝงไว้ด้วยความวาววับของคนที่ชอบแกล้งชอบกวนอยู่นิดๆ เป็นคนที่เหมือนว่าถ้าอยู่ท่ามกลางงานปาร์ตี้ เราจะเห็นว่าเค้าจะตกเป็นจุดสนใจก่อนใครเสมอ นั่นล่ะพี่อาทิตย์



“ผมแค่...มีเรื่องคิดนิดหน่อยครับ”



“ถ้ามันเป็นเรื่องที่น้องสมุทรคิดคนเดียวแล้วไม่ได้คำตอบ พี่แนะนำว่าน้องสมุทรควรถามนะ”



“ถามหรอครับ”



“อืม ไม่ถามแล้วจะรู้หรอ ถ้าเลือกจะเก็บทุกอย่างมาคิดไปเอง แล้วมั่นใจมากแค่ไหนว่ามันคือคำตอบที่ถูกล่ะ”



“แล้วถ้าผมถามออกไปแล้ว คำตอบที่ได้จะทำให้ผมเสียใจล่ะครับ” ผมจ้องตาคนตรงหน้า พี่อาทิตย์ที่ยกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ ด้วยท่าทางเท่ๆ ที่ทำผมรู้ตัวว่ากำลังโดนจับความรู้สึกได้อีกแล้ว



“ถึงจะต้องเสียใจ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ ... อย่ากลัวที่จะเสียใจเลย กลัวที่จะไม่ได้รู้สึกเถอะ



คำพูดของพี่อาทิตย์เหมือนกุญแจที่แกะสลักบางอย่างในหัวใจของผมถอดทิ้ง เลื่อนสายตาขึ้นไปมองหน้าเค้าตรงๆ อีกครั้ง พี่อาทิตย์ทำแค่ยิ้มให้ผมอย่างใจดี ท่าทางที่ไม่ได้เหมือนกำลังพูดสอนอะไร เหมือนเป็นแค่การพูดคุยกันในวันธรรมดาๆ วันนึงทำให้ผมรู้สึกดี เค้าเลื่อนมือไปยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ทั้งๆ ที่สายตาก็ยังเอาแต่จ้องมาที่ผม ก่อนสายตานั้นจะเปลี่ยนเป็นความแพรวพราววาววับที่ผมรู้สึกได้ สะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะหันหลังหนี



“อย่ามาจ้องน้องสมุทรแบบนั้นนะ”



“ว้า แย่จัง โดนจับได้ซะละ แหม ว่าจะอ้อนใส่ซะหน่อยนะเนี่ย”



‘เพี้ยะ’



“โอ๊ย!”



เสียงร้องของพี่อาทิตย์ทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปมองก็พบกับคนที่พึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง พี่พระจันทร์ที่ทำหน้านิ่งๆ เหมือนอย่างเคย แต่คิ้วสวยนั่นขมวดเข้าหากันในตอนที่จ้องหน้าน้องชายตัวเอง ผมเลื่อนสายตาไปมองพี่อาทิตย์ที่ก็กำลังยกมือลูบหัวตัวเองปอยๆ



“เจ๊าะแจ๊ะเหี้ยไร”



“เจ๊าะแจ๊ะอะไรอ่าซิส ทิตย์แค่คุยกับน้องอ่า” ร้องออกมาแบบนั้น จีบปากจีบคอใส่พี่ชายตัวเอง แล้วแกล้งยกมือขึ้นซับน้ำตาอย่างน่าสงสาร ท่าทางที่ทำให้ผมหลุดขำออกมานิดๆ



“น้องสมุทร ไอ้เหี้ยนี่มันตบตีทุบหัวพี่ค่ะ พี่เสียใจอ่ะ ใจร้าว เบาๆ ก็ขาดเบาๆ ก็ปลิวเลยค่ะ” หันมาทำตาละห้อยฟ้องผมอย่างน่าสงสาร เห็นแบบนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งไม่ได้



“งั้นรับแซนวิชอะโวคาโดไข่ไปทานปลอบใจดีไหมครับ นี่นะ น้องสมุทรทำเสร็จแล้ว” ผมบอกออกมาแบบนั้น แล้วส่งแซนวิชร้อนๆ ที่พึ่งจัดใส่จานเสร็จส่งไปให้



“น้องสมุทรน่ารักที่สุดเลยค่ะ”



“น่ารำคาญ” พี่พระจันทร์พึมพำออกมาแบบนั้น พร้อมหน้าที่งอลงเหมือนปลาทูแม่กลอง หน้างอคอหักแบบสุดๆ



“ว๊าย งอนถือว่าแพ้”



“กูไม่ได้งอนไอ้สัด” พี่พระจันทร์กระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กัน พอมองแบบนี้แล้วเห็นคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะนั่งเถียงกันอยู่แบบนั้น มันเป็นภาพที่ชวนตกตะลึงอยู่หน่อยๆ แต่ถ้าได้เจอบ่อยๆ ก็จะรู้ว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันเอามากๆ



“น้องสมุทรดูไอ้หน้าเหี้ยที่บอกว่าไม่งอนดิ”



“มึงสิหน้าเหี้ย หุบปากแล้วแดกไปเลย!”



“ว๊าย งอนๆ” ร้องออกมาแบบนั้นแล้วเอานิ้วชี้ไปเขี่ยที่ข้างแก้มพี่ตัวเอง แต่โดนพี่พระจันทร์เอามือปัดออก



“สัดทิตย์” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นด้วยเสียงเข้ม พี่อาทิตย์หดคอหนีแล้วเขยิบตัวออกห่างอีกนิด ผมเห็นพี่เค้ายังทำปากพงาบๆ พึมพำว่าพี่พระจันทร์อยู่ไม่เลิก แค่ไม่มีเสียงก็เท่านั้น



ผมอมยิ้มออกมากับท่าทางแบบนั้นของเค้า และในตอนที่เค้าละสายตาออกมาจากพี่อาทิตย์ ... เราสบตากัน



เป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ผมเลือกที่จะยิ้มออกมาบางๆ ส่งไปให้เค้าก่อน พี่พระจันทร์ที่เห็นท่าทางของผมแบบนั้น เค้าดูเบาใจลง แล้วใช้ฝ่ามืออุ่นเอื้อมมาจับมือของผมที่วางอยู่ที่เคาน์เตอร์



“ว่าไงครับ”



“แล้วไม่มีของกูหรอ...ทำไมทำให้แต่มันล่ะ ของกูล่ะ ของพี่ล่ะสมุทร” พูดออกมาแบบนั้น ท่าทางและน้ำเสียงที่ทำให้ผมหลุดยิ้ม พูดได้ไหมว่าพี่พระจันทร์ในตอนนี้ดูอ้อนกันสุดๆ สายตาที่มองผมแฝงด้วยความอ้อนนิดๆ และหงุดหงิดหน่อยๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่กำลังถามว่าทำไมไม่ได้รับบ้าง



“ทำไมจะไม่มีล่ะ ของพี่พระจันทร์อยู่นี่ครับ” ผมละตัวออกมานิดนึง แล้วยกจานที่ทำเตรียมไว้ให้ก่อนแล้วส่งไปให้อีกคน พี่พระจันทร์ยิ้มกว้างออกมา แล้วปรายตาไปมองพี่อาทิตย์ที่มองมาอยู่ก่อน



“กูได้ไข่ต้มชิ้นใหญ่กว่า” พี่พระจันทร์หันไปพูดแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้น้องตัวเองหนึ่งที ท่าทางเย้ยๆ แบบนั้นของพี่พระจันทร์ ทำเอาพี่อาทิตย์เบ้ปากใส่ พี่อาทิตย์หันมามองหน้าผมแล้วพูดต่อ



“แค่นี้มันก็อวด...เด็กสัด”



.

.

.



หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่24 (040622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 04-06-2022 20:38:08
         เราแยกย้ายออกมาจากคอนโดของพี่พระจันทร์พร้อมๆ กับพี่อาทิตย์ แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะขับรถไปเอง เพราะเจ้าตัวไม่รู้ว่าคืนนี้จะกลับกี่โมง เพราะแบบนั้นในตอนนี้ ผมกับพี่พระจันทร์ถึงมานั่งอยู่บนรถคันเดิมของเค้าที่ผมคุ้นเคยดี นั่งบ่อยจนชินตูด บรรยากาศเงียบๆ ที่ไม่ได้เร่งรีบมากนัก เพราะวันนี้ออกไว คิดว่าคงไปถึงมหาลัยได้ไม่สาย



         ภายในรถยังคงอบอวลไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมที่หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนพี่พระจันทร์ก็เอาแต่มองไปที่ถนน มันคงจะน่าอึดอัดมากกว่านี้ ถ้ามือขวาของผมไม่ถูกฝ่ามืออุ่นของเจ้าของรถกอบกุมเอาไว้มาตลอด เค้าที่เอามือของผมไปวางไว้บนหน้าขา แล้วใช้มือขวาบังคับพวงมาลัยไปแบบนั้น



“พี่พระจันทร์ครับ” หลังจากทบทวนคำพูดของพี่อาทิตย์นานอยู่หลายนาที สุดท้ายก็เป็นผมเองที่เลือกจะเรียกชื่อของเค้าออกไป



“หื้ม ว่าไงครับ” พี่พระจันทร์ตอบรับด้วยเสียงทุ้มชวนให้เขินอยู่แปลกๆ



“น้องสมุทรถามได้ไหม” ผมกลั้นใจพูดออกไปแบบนั้น คนที่ขับรถอยู่ข้างกันละสายตาจากท้องถนนหันมามองกันเล็กน้อย ผมมองเห็นรอยยิ้มในกรอบหน้าของเค้าในตอนนี้



“ได้สิ ถามได้ทุกอย่างเท่าที่อยากจะถามนั่นล่ะ” เหมือนกับว่าเค้ารู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดเรื่องอะไร พี่พระจันทร์กระชับฝ่ามือของผมในแน่นขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้ และไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจ



“พี่ไม่คุยกับพี่อัยย์เลยหรอครับ ตั้งแต่ตอนนั้น”



“อืม ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยเลย ถ้าเค้าไลน์มาก็ยังตอบบ้าง แต่ถ้าโทรมาก็ไม่ค่อยได้รับหรอก บางทีก็ติดเรียน แล้วจริงๆ ก็เคยรับ แต่อัยย์ก็เป็นแบบนั้น แบบที่มึงคงได้ยินแล้วเมื่อคืนนี้” ผมพยักหน้านิดๆ นึกถึงบทสนทนาเมื่อคืนที่เค้าเอาแต่ต่อว่าพี่พระจันทร์



“แล้ว...พี่รู้ไหมว่าพี่อัยย์จะมา คือผมไม่เข้าใจ เค้าคิดจะมาก็มาหาพี่ได้เลยแบบนั้นหรอ” ผมเม้มปากแน่น พยายามอย่างมากที่จะไม่พูดต่อว่าเค้ามากเท่าความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง



“กูขอโทษ” พี่พระจันทร์ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง นิ้วหัวแม่มือที่ลูบเบาๆ ที่หลังมือของผมอย่างปลอบประโลม



“กูไม่รู้จริงๆ ว่าอัยย์จะมา จริงๆ แล้วเค้าไม่ค่อยมาที่คอนโดหรอก นานมากแล้ว ปกติถ้าจะมา ก็มากับกู หรือไม่ก็ไอ้อาทิตย์ เค้าไม่เคยมาเองแบบเมื่อคืนหรอก”



“แต่รหัส...”



“อืม ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าก็เป็นรหัสที่อัยย์รู้ดี ขอโทษนะสมุทร กูจะกลับไปเปลี่ยนรหัส”



“คือผมไม่ได้อะไรกับรหัสหรอก...” เลือกจะบอกออกไปแบบนั้น แม้จริงๆ ไม่อะไรของผม ก็คือยังรู้สึกอะไรอยู่นิดนึง แต่ไม่อยากกลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลมากขึ้นไปในทุกที ใจนึงผมรู้ดีว่าพี่อัยย์เคยเป็นคนที่พี่พระจันทร์รู้สึกด้วยมากขนาดนั้น อย่าว่าแต่รหัสประตู ถ้ารหัสมือถือเค้าเป็นวันเกิดพี่อัยย์ผมก็ไม่แปลกใจ แต่พี่พระจันทร์ไม่มีรหัสโทรศัพท์



“แล้ว...แล้วพี่ยังรู้สึก...” ผมเม้มปากแน่นแล้วเสหน้าออกไปมองนอกรถตอนที่พูดแบบนี้ออกมา ผมควรกล้าแบบที่พี่อาทิตย์บอก อย่างน้อยผมก็ควรจะได้รู้ว่าผมควรทำยังไงต่อ



“กับพี่อัยย์ พี่ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ไหม กับคนที่พี่เคยรู้สึกที่สุด เคยกอดมาก่อนผม” รถที่ถูกตบไฟเลี้ยวแล้วจอดลงที่ข้างทาง พี่พระจันทร์หันมาจ้องผมค้าง เค้าเงียบและเลือกจะเอื้อมมือมาดึงตัวผมให้หันไปมองหน้าเค้า



“สมุทร...”



“คือผมแค่อยากรู้ และต้องการที่จะรู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไป จะต้องจัดการกับเรื่องนี้ยังไงต่อไป”



“สมุทรกูเสียใจ กูขอโทษที่ต้องให้มึงมาได้ยินอะไรต่อมิอะไรที่มึงไม่จำเป็นต้องรู้”



ทุกคนมีอดีต ผมไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพี่พระจันทร์เคยชอบใคร ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเค้าเคยกอดใครมาก่อนผม และมีใครเคยยืนอยู่ข้างเค้า หรือนั่งบนรถนี้มาก่อนผม ... ใช่ ผมไม่จำเป็นต้องรู้แบบที่เค้าว่า แต่ให้ทำไงได้ ในวันนี้ผมรู้มันแล้ว



“อัยย์เป็นคนที่กูรู้สึกด้วยมากที่สุด ใช่ เป็นความรู้สึกที่มากจนยอมทำอะไรก็ได้เพื่อเค้าได้มากที่สุดเหมือนที่มึงเคยรู้เคยเห็นมาตลอด4ปีนั่นแหล่ะ” ผมพยักหน้ารับแล้วเสหน้าหนี พยายามจะแค่นยิ้มออกมาให้ได้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดี คำตอบของเค้าจริงๆ มันเหมือนเป็นคำตอบที่ผมเองก็รู้ดีแบบที่ไม่จำเป็นต้องถามให้ความจริงมันกระแทกหน้าแบบนี้ด้วยซ้ำ มันจริงแบบพี่พระจันทร์ว่า ผมรู้ดีว่าเค้ารู้สึกกับพี่อัยย์มากแค่ไหน



“แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เคยรู้สึก ช่วงเวลานั้นมันอาจจะอยู่กับกูมานาน แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลานึงที่ตอนนี้กูเลือกจะก้าวผ่านมันมาแล้ว กูไม่ปฏิเสธว่าในตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกดีๆให้อัยย์ แต่มึงเข้าใจไหม มันเป็นความรู้สึกดีที่กูมอบให้ในฐานะอื่น กูไม่ได้อยากวิ่งตามเค้าอีกแล้ว ไม่ได้อยากกอด ไม่ได้อยากจูบ ไม่ได้อยากมาหามาเห็นหน้าหรืออยากอยู่กับเค้าตลอดเวลาเหมือนที่รู้สึกกับมึงในตอนนี้ ถ้าถามว่ากูแน่ใจตอนไหนว่ากูชอบมึง และไม่ได้ชอบเค้าอีกแล้ว คำตอบง่ายๆ ของกู ก็คือกูตอบคำถามตัวเองจากพวกความรู้สึกที่พูดมาเมื่อกี้ มันไม่ได้ตอบเป็นชื่ออัยย์อีกแล้ว แต่มันตอบเป็นชื่อมึง



พี่พระจันทร์พูดทุกอย่างนั่นออกมาพร้อมกับสายตาคมที่เอาแต่จ้องมองผมตลอดเวลา ผมช้อนสายตามองหน้าของเขากลับไป ไม่มีแววล้อเล่นอยู่บนใบหน้าหล่อนี้ เป็นความรู้สึกที่ว่าก่อนหน้านี้มีเมฆฝนคลึ้มปกคลุมไปรอบรถ แต่ในวินาทีนี้ กับทุกถ้อยคำที่เค้าพูดออกมาเหมือนกับว่ามันปัดเป่าเมฆฝนพวกนั้นให้หายไปได้หมด ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจของผมทั้งคืนที่ผ่านมา มันหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แค่เพราะคำพูดของเค้าแค่ไม่กี่ประโยค



“ผมขอโทษที่ทำตัวแบบนี้ครับ ผมแค่....”



“มันไม่ใช่ความผิดของมึงเลยสมุทร ถ้าใครสักคนจะเป็นคนผิดในเรื่องนี้ ก็คงเป็นกูเองที่ทำให้มึงไม่มั่นใจสักที แต่อยากให้รู้จริงๆ ว่าต่อจากนี้ ไม่ว่าอะไร กูจะเลือกมึงก่อนใครเสมอ”



“พี่พระจันทร์...” วงแขนแกร่งที่ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นๆ ผมที่เอื้อมวงแขนกอดตอบอีกคนแน่นๆ ได้แต่ซึมซับความอบอุ่นนี้เอาไว้ ความไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ มันหายไปเมื่อผมได้อยู่กับเค้าจริงๆ ... ความอบอุ่นแบบนี้หรือเปล่า ที่ผมไขว่คว้ามาตลอด



ริมฝีปากได้รูปกดจูบลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากของผม มันบดเบียดเข้ามาหาและขบเม้มเบาๆ ลงที่กลีบปาก เป็นจูบธรรมดาที่ไม่มีการสอดสัมผัสเข้ามา แต่กลับอบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ ไม่รู้แล้วว่าเป็นเพราะจูบนี้ หรือคำพูดดีๆ จากเค้ากันแน่ ฝ่ามืออุ่นที่สอดนิ้วเข้ามาสัมผัสกับนิ้วของผม เราประสานมือกันไว้ในตอนที่ผละออกมาจ้องตา



“น้องสมุทรจะเชื่อใจพี่พระจันทร์นะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น แล้วเป็นฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบตอบอีกฝ่ายอีกครั้ง พี่พระจันทร์ที่ยิ้มออกมากว้างๆ ในตอนที่ได้ยินประโยคนี้ นัยย์ตาคมที่มองสบกับดวงตาของผม แววตาที่ทอประกายความดีใจ สบายใจออกมาให้ผมเห็นอย่างปิดไม่มิด และตัวผมเอง ก็ไม่ต่างกัน



...



เสียงดังของเด็กคณะบริหารกลุ่มใหญ่ ดังลั่นไปทั่วห้องประชุมขนาดย่อมที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เด็กในคณะได้ใช้สำหรับประชุมงาน หรือแม้แต่เอาไว้ติวกันในช่วงสอบ ... นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วหลังจากวันนั้นที่ผมกับสมุทรเคลียร์ใจกันไปในรถด้วยเรื่องของอัยย์ในวันนั้น เราทั้งคู่เหมือนจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งความรู้สึกทางใจและทางกาย ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา สมุทรมักจะไปนอนที่ห้องผม เราใช้เวลาด้วยกันในช่วงกลางคืน ทำอาหารดูหนัง หรือแม้กระทั่งพูดคุย เป็นความสบายใจที่ทำให้ผมใจเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็น และเพราะแบบนั้น ผมเลยยิ่งอยากจะหมุนปุ่มเวลาเร่งให้มันไปถึงวันเสาร์นี้ไวๆ สักที อีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะถึงวันเกิดของผม



วันที่ผมอยากให้มันเป็นความทรงจำของผม และก็ของเรา...



‘ครืดๆ’



“ไอ้สัดจันทร์ เมียมึงโทรตามหรอวะ ไม่ได้บอกน้องสมุทรหรอวะว่าวันนี้มีติว”



“บอกแล้ว น้องรู้แล้ว” ผมหันหน้าออกมาจากกระดานไวท์บอร์ด ที่กำลังสรุปที่กำลังอธิบายให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง ... เพราะการสอบไฟนอลของเทอมหนึ่งมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วจริงๆก็เหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวด้วยซ้ำ เพราะแบบนี้ทั้งไอ้ปุ่นไอ้มีนถึงเร่งผมยิกๆ ให้มาติวให้ แล้วยังมีเพื่อนในเอกอีกหลายคนที่มารวมตัวกันติวในวันนี้



“น้องรู้แล้ว แล้วใครโทรหามึงนักหนา ทำตัวเหมือนจะมีใครตาย” ไอ้มีนว่าแบบนั้นแล้วปรายตามองโทรศัพท์ของผมที่ผมคว่ำหน้าจอเอาไว้ที่บนโต๊ะ



“จันทร์ พักก่อนก็ได้นะเว้ย ตอนนี้กูเริ่มล้าๆ แล้ว”



“จริงค่ะคุณเพื่อน กูขอไปดื่มน้ำปัสวะหน่อยได้ป่ะ มึนหัวฉิบหาย”



เพื่อนผู้หญิงอีกสองคนในเอกของผมบอกออกมาแบบนั้น เมื่อหันไปมองเพื่อนๆ ที่เหมือนเริ่มจะไม่ไหว เห็นแบบนั้นผมเลยบอกให้พักเบรกกันได้ครึ่งชั่วโมง ไอ้มีนอ้าปากหาวออกมาแบบมีความสุข ก่อนมันจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเหมือนคนหมดแรง



“เวลาเอาหญิงมึงไม่เห็นจะเหนื่อย”



“มึงจะเอาความแข็งแรงของKกับสมองมาเทียบกันไม่ได้ป่ะเพื่อน Kแข็งแรง แต่สมองกู...”



“สมองมันนิ่ม มึงต้องเข้าใจเพื่อนด้วย” ไอ้ปุ่นพูดแทรกออกมาแบบนั้น ผมยกยิ้มขำขึ้นมาทันที



“ใช่สิไอ้ปุ่น สมองมึงอาจจะแข็งแรงกว่ากู แต่Kมึงนิ่มกูยังไม่ล้อเลย”



“ท้าทายKกูหรอไอ้เหี้ยมีน กูเอาฟาดปากมึงดีไหม”



“พอๆ พวกมึงแม่งกามว่ะ”



“โถ่จ้า อย่าให้กูรู้ว่ามึงเยดไม่พัก” ไอ้มีนเบ้หน้าด่า ส่วนผมแค่ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ



“เสือกเหี้ยอะไรกับการเยดของกู”



“อ่อหอววว มันงุบงิบๆ มึงได้กลิ่นคนคลั่งรักป่ะครับเพื่อนปุ่น” ไอ้มีนหันไปกระแทกไหล่ไอ้ปุ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนไอ้ปุ่นก็รับมุกต่อไปทันที มันที่ยกมือขึ้นมาปิดจมูกตัวเองเอาไว้แล้วพูดต่อ



“ฉุนจัดๆ ไปเลยครับเพื่อนมีน”



“พอ ไอ้สัด บันเทิงมากไปละ ถ้ากูถามโจทย์ข้อสองแล้วพวกมึงตอบไม่ได้ กูจะเอาสันหนังสือฟาดหน้าให้” เลือกที่จะตัดบทออกไปแบบนั้น ไอ้มีนกับไอ้ปุ่นก็ไหลลงไปกองกันบนโต๊ะทันที สภาพที่บอกให้ได้รู้ว่าเป็นคนรักเรียนฉิบหาย



“โหดไม่ไหว ทำไมไม่อ่อนโยนเหมือนอยู่กับน้องสมุทรบ้างอ่ะครับ”



“กับไอ้สมุทรกูก็ไม่เคยอ่อนโยนนะ บอกเลย” ยักคิ้วให้พวกมันทีหนึ่ง แล้วไอ้สองตัวก็โห่แซวเหมือนว่าเรื่องความรักของกู จะถูกจริตพวกมันมาก แต่เอาจริงๆ ผมรู้ว่าเพราะเพื่อนของผมชอบไอ้สมุทร แต่พวกมันไม่เคยชอบอัยย์เลย



“ไอ้สัดจันทร์ มึงมารับโทรศัพท์มึงเถอะ โคตรน่ารำคาญ สั่นจนKกูจะแข็ง” ไอ้มีนกวักมือเรียกพร้อมทำหน้ารำคาญ



“โคตรเหี้ย” ผมส่ายหน้าหน่อยๆ ให้กับคำพูดของมัน แต่ถึงแบบนั้นก็เลือกจะเดินเข้าไปหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดู สายเรียกเข้าไม่ต่ำกว่าห้าสาย จากคนที่ผมไม่คิดว่าจะเห็นเบอร์ของเค้า ทำให้ต้องขมวดคิ้ว



...



“มึงถือไหวแน่นะสมุทร ขนเหี้ยอะไรมานักหนา”



“ถือไหวน่า กูไม่ได้ผอมแห้งขนาดนั้น” ผมหันไปบอกไอ้มาร์ชที่ตอนนี้ขับรถมาส่งผมถึงหน้าคณะบริหาร วันนี้พี่พระจันทร์บอกว่ามีติวกับเพื่อนๆ จริงๆ เค้าไม่ได้บอกให้ผมมาหา หรือเอาอะไรมาให้ แต่ด้วยความที่น้องสมุทรเป็นสายเปย์มาตั้งแต่ม.4 ในจุดๆ นี้เลยขนอาหารเครื่องดื่มต่างๆ มาให้พี่พระจันทร์และเพื่อนของพี่ๆ เค้าด้วย



อาหารพร้อม กำลังใจพร้อม



เรียกเค้าว่าเมียดีเด่น!



ถุย!!



เมียพ่อง!



อนาคตคนเคยอยากเป็นผัวอย่างน้องสมุทรน่ะนะ พูดไปก็สะเทือนใจไปถึงตูด แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ถึงจะเป็นฝ่ายรับ แต่น้องสมุทรก็ยังเป็นคนทำหน้าที่ปกป้องดูแลพี่พระจันทร์ได้เหมือนที่ตั้งใจไว้แต่ก่อนอยู่ดี ... เหมือนในเช่นตอนนี้ที่น้องสมุทรหอบของกินมานี่ไงเล่า



“ไม่ให้กูลงไปส่งแน่นะ”



“กูไปได้ แค่ของกินสามสี่ถุงเองป่ะ” ผมบอกอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม ไอ้มาร์ชที่มองหน้ากันแล้วขมวดคิ้ว สายตาของผมที่อ่านได้จากสายตาของมันว่า มึงแบกมาหาพ่องมึงหรอเยอะแยะ ... อ่านได้แต่น้องสมุทรจะเลือกทำเป็นไม่รู้ละกันนะ



“ว่าแต่มึงเหอะ ทำไมถึงรีบหนีออกจากคณะจังวะ หลายอาทิตย์แล้วนะที่มึงทำตัวแปลกๆ”



“กูเปล่า! กูไม่ได้หนีใคร”



“มึงจะเสียงดังทำไม ถามทีไรตะโกนใส่กูทุกที” ผมมองมันอย่างแปลกใจ แต่มาร์ชก็ทำแค่ถอนหายใจออกมานิดๆ ก่อนมันจะส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง ไอ้ห่านี่ก็เป็นแบบนี้ทุกที พอเป็นเรื่องของตัวเองก็ชอบเก็บเงียบ



“กูไม่ได้เป็นไรหรอก แค่อยากกลับบ้าน”



“มึงไม่ได้เป็นคนติดบ้านอ่ะ แล้วที่สำคัญมึงอยู่คอนโดครับ” ผมเถียงมันออกไปพร้อมหรี่ตามองใส่อย่างจับผิด



“แต่ตอนนี้กูกลับไปนอนที่บ้านชั่วคราว”



“จริงจังไหม”



“เออ”



“ไม่จอมแก่นนะ”



“มุกเหี้ยนี่ขอให้พอนะ ถ้าไม่พอกูจะถีบมึงติดประตูรถ” มันขมวดคิ้วมองกันอย่างหงุดหงิด ท่าทางที่บอกว่าจะทำแบบนั้นจริงๆ ทำให้น้องสมุทรต้องยิ้มอ่อน



“โอเคๆ แต่มึงรู้ใช่ไหม”



“รู้ว่า” เลิกคิ้วมองหน้าผมแบบไม่เข้าใจ



“รู้ว่ามึงมีกูเสมอ ถ้าพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่ กูอยู่ตรงนี้กับมึงนะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น จ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาคู่สวยของมัน ไอ้มาร์ชชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะพยักหน้าออกมาแล้วยิ้มบางๆ ตอบกลับมา



“ขอบใจ”



“โอเค้ งั้นตอนนี้กูไปก่อนละกัน”



“แล้วแน่ใจว่าไม่ให้กูอยู่รอ นี่ฝนก็ทำท่าจะตกแล้วนะมึง”



“อื้ม ไม่ต้องอ่ะ เดี๋ยวกูกลับพร้อมพี่พระจันทร์เลย”



“ให้มันได้แบบนี้ ลูกกูแม่งโตแล้วใจแตกฉิบหาย” มันเอื้อมมือมายีหัวผมเล่นจนหัวสั่น สัด เสียทรงไม่ไหว บอกกูสิว่าเมื่อกี้มีนกเหี้ยอะไรมาทำรังบนหัวน้องสมุทรหรือเปล่า



“ไปๆ ลงไปจากรถกูได้ละ”



“เหอะ ไล่จัง ใช่สิ กูไม่ใช่ผัวมึงนี่”



“ผัวพ่อง!”



รีบวิ่งลงจากรถมันก่อนที่ไอ้มาร์ชจะแจกหมัดใส่กัน ถึงแบบนั้นก็ยังได้ยินคำด่าของมันไม่เลิกอยู่ดี ผมหัวเราะขำกับท่าทางแบบนั้นของมันน้อยๆ ก่อนจะหันหน้าเดินเข้าไปที่ตึกของคณะบริหาร คณะนี้แตกต่างจากคณะผมตรงที่ด้านหน้าของตัวตึกจะเป็นลานจอดรถทั้งหมด มีช่องจอดรถเยอะมากๆ ส่วนคณะของผมจะทำที่จอดรถไว้ที่ด้านหลังตึกคณะแทน



ผมที่กำลังเดินตัดผ่านลานจอดรถ เพื่อจะไปที่ตัวคณะ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ใครอีกคน ที่วันนี้ผมตั้งใจจะมาหาวิ่งสวนออกมาที่ลานจอดรถ ผมยิ้มกว้างขึ้นมาในตอนที่เห็นเค้า



“พี่พระจันทร์!!” ผมตะโกนเรียกพร้อมพยายามโบกมือหา ทั้งๆ ที่ติดไอ้พวกถุงกับข้าวที่ขนมาให้แต่น้องสมุทรก็พยายาม พี่พระจันทร์ชะงักขาที่กำลังวิ่งนั่นแล้วมองมาที่ผมอย่างตกใจ



“พี่พระจันทร์จะรีบไปไหนหรอครับ นี่น้องสมุทรซื้อของมาฝากเยอะเลย กลัวพี่พระจันทร์กับพี่ๆ จะเหนื่อยตอนติวอ่ะ หรือจะรีบออกไปซื้อของกินหรอ ไม่ต้องนะ นี่ๆ น้องสมุทรเอามาให้ละ” ผมว่าแบบนั้นแล้วยิ้มกว้างขึ้นไปอีกตอนที่เดินเข้าไปถึงตัวของเค้า



“สมุทร”



“หื้มว่าไง ไปกัน ไม่ต้องไปซื้อละ ซื้อมาเผื่อครบจบทุกคนแน่นอน มียำทูน่าด้วยถ้าอยากได้อะไรจัดจ้าน หรือจัดกว่านั้นก็เป็นตัวน้องสมุทรเองแล้วนะ ง่อววว จัดไปอีกหนึ่งมุก” ผมพูดออกไปอย่างอารมณ์ดี เพราะในตอนนี้เห็นอีกคนดูจะเครียดจัด เพราะคิ้วสวยๆ ของเค้าก็ขมวดเข้าหากันอยู่แบบนั้น



“กูมีเรื่องที่ต้องไปที่อื่น” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้น ผมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ



“โอเค แล้วพี่พระจันทร์จะไป งั้นไปกันเลยไหม พี่ดูเครียดๆ นะ” ผมเดินนำไปที่รถของเค้าที่จอดอยู่ไม่ห่างจากเรานัก แต่ฝ่ามืออุ่นก็มาจับมือของผมเอาไว้ซะก่อน ผมหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ



“อะไรหรอครับ”



“กูจะไปคนเดียว”



“อ้าว...แต่ฝนจะตกแล้วนะ พี่ดูร้อนใจแปลกๆ น้องสมุทรไม่อยากให้ขับรถคนเดียวอ่ะ”



“ไม่เป็นไร กูไปได้ แต่ตอนนี้กูรีบ รีบมากจริงๆ ... ขอโทษได้ไหมที่ไม่ได้ไปส่ง” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นพร้อมเอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มของผม แล้วลูบไล้มันแผ่วๆ สายตาท่าทางของเค้าที่กำลังทำให้ผมกังวล ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือของพี่พระจันทร์ก็ดังขึ้นมาขัดก่อนอีกครั้ง พี่พระจันทร์ชะงักไป เค้าลังเลที่จะหยิบมือถือขึ้นมาดู แต่สุดท้ายก็หยิบมันออกมาอยู่ดี ชื่อที่หน้าจอทำให้ผมชะงักไปในตอนนี้

‘อัยย์’




#รักอยู่รู้ยัง



ส่วนตัวแคทชอบตอนนี้มากๆค่ะ เพราะรู้สึกว่าเขียนเข้าไม้เข้ามือตัวเองมากๆ

แต่ไม่รู้คนอ่านจะชอบไหม และใดๆคือเห็นด้วยกับพี่พระจันทร์

อัยย์ แกต้องการอะไรวะ

ง่อวววว

นิยายเรื่องนี้ไม่ขาว ไม่ดำ เป็นนิยายเทาๆ ที่อยากให้ทุกคนสนุก และก้าวไปพร้อมกัน

หวังว่าจะสนุก และมาหวีดร้องกันที่คอมเม้นท์ หรือทางแฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ได้เลยนะคะ

แคทรออ่านข้อความจากทุกคนอยู่เสมอเลยนะ

พระจันทร์: จริงๆอยากถามคนอ่านแม่งต้องการอะไรจากกูวะ

แคท: ไม้หน้าสามหรือเปล่าที่แกต้องการ ว๊าย


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่24 (040622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 04-06-2022 22:30:11
 :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่24 (040622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 05-06-2022 14:44:51
 :call: อ่านนี้รอนั่งลุ้นกับ อีพี่พระจันทร์ จะได้ไปต่อ หรือจะพอแค่นี้
ตอนกลางๆเรื่องเกือบ หมาละ แต่พอท้ายเรื่อง จันทรรรรร
คนอ่านยังจะไม่ รุมนะจร้า ยังให้โอกาส ตามไปดูกันยาวๆ ฮิฮิ :m16:

เป็นน้องสมุทร นี้ต้องทน กับเข้าใจเบอร์ไหนเนี้ย ถ้า(ว่าที่)แฟน จะไม่เคยเล่าหรือ อธิบายอะไรให้ฟังก่อน แล้วให้ไปรู้ทีหลังทุกที แค่เล่าอะ หรือ พาไปด้วยก็จบนะ !!

มาต่อเร็วๆนะคุณแคท / เม้นน้อยแต่รักนานน้า Thank you ja.  :mew1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่24 (040622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 06-06-2022 00:57:47
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่24 (040622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 09-06-2022 12:10:45
อีกแล้วนะ :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่25 (110622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 11-06-2022 20:18:53

บทที่25

 

บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือปรากฏชื่อของสายที่โทรมาให้เห็นอย่างชัดเจน ผมรับรู้ได้ว่ามือของตัวเองในตอนนี้มันกำลังสั่น ไม่รู้แล้วว่าที่เป็นแบบนั้น มันเป็นเพราะว่ากำลังหอบข้าวของพะรุงพะรังไว้จนเต็มสองแขน หรือเพราะว่าหัวใจมันกำลังหวาดกลัว กับคนตรงหน้าที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

 

“ใคร...” ถามออกไปแบบนั้น แม้ว่าจะมองเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นใครที่โทรมา

 

“สมุทรมึงสำคัญกับกูนะ มึงรู้ใช่ไหม” เค้าหันมามองกันแล้วว่าออกมาแบบนั้น ฝ่ามืออุ่นที่เอื้อมมากุมมือเอาไว้ สายตาของผมยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ของเค้าและไม่ตอบอะไรกลับออกไป พี่พระจันทร์ที่ดูทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายเค้าก็ละสายตาไปกดรับสายด้วยท่าทีรีบร้อน ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรกับเค้า เสียงที่ดังลอดออกมาไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจว่าเค้ากำลังพูดอะไรกัน เพราะมันฟังจับใจความไม่ได้ แต่แววตาของพี่พระจันทร์ในตอนนี้ มันกำลังบอกได้ว่าเค้ากำลังร้อนใจ

 

“เดี๋ยวก่อนอัยย์ รอจันทร์ก่อน...เข้าใจที่พูดไหม” พี่พระจันทร์พูดออกไปแบบนั้น ขายาวของเค้าที่เริ่มขยับตัวทั้งๆ ที่มือข้างนึงยังถือสายโทรศัพท์ค้างเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็กุมมือของผมเอาไว้เช่นกัน

 

“พี่พระจันทร์จะไปไหน” ถามออกไปแบบนั้น แล้วคว้ามืออุ่นที่ตอนนี้มันกำลังคลายออกจากมือของผมเอาไว้แน่นๆ

 

“กู คือ คือกูขอโทษ แต่เดี๋ยวกูจะกลับมาหานะสมุทร”

 

“ไม่...พี่จะไปไหน จะไปหาพี่อัยย์หรอ” ผมกระชับฝ่ามือของเค้าเอาไว้อีกครั้ง คนที่ยังละล้าละลังหันมองหน้าผมสลับกับมองไปที่รถของตัวเอง ท่าทางที่ดูอึดอัดไม่ตอบกลับแบบนั้น ยิ่งทำให้ผมจับมือเค้าเอาไว้แน่นๆ มันเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่กำลังยึดเหนี่ยวเอาไว้ได้

 

“มันจำเป็น รอกู ขอร้องนะสมุทร”

 

“รออะไร” ผมถามทั้งๆ ที่รู้สึกสับสน ความเสียใจตีตื้นขึ้นมาในความรู้สึก ไม่เข้าใจเค้า ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย ...

เค้าบอกว่าผมสำคัญ สำคัญสำหรับเค้าที่สุดในตอนนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนเค้าก็พูดคำดีๆ เอาไว้มากมาย และวันนี้ก็ยังคงพูดมันแบบนั้นอยู่

แต่ถ้าสำคัญแบบที่เค้าว่า ตอนนี้เค้าต้องอยู่กับผมสิ เค้าต้องเลือกที่จะอยู่ตรงนี้สิ

 

“สมุทร...นะ ครั้งนี้กูขอร้อง”

 

“ไม่!...ขอร้องอะไร พี่จะให้ผมรออะไร ทำไมพี่ต้องไปหาเค้า” เสียงของผมสั่น แต่มือก็ยังคงคว้าฝ่ามืออุ่นของเค้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พี่พระจันทร์ที่มีท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนที่เสียงปลายสายที่ยังไม่ได้วางจะดังลอดออกมาจากสายโทรศัพท์อีกครั้ง และเช่นเดิม ผมไม่ได้ยินมัน ได้ยินแต่เสียงดังๆ ที่ยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูร้อนใจมากขึ้นไปอีก พี่พระจันทร์เบิกตากว้างขึ้นในตอนนี้แล้วดึงมือออกจากการเกาะกุมของผม

 

ผมที่พยายามไขว่คว้าฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ ความร้อนในดวงตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พร้อมๆ กับที่หัวใจของผมเหมือนมันกำลังร่วงหล่นตกลงไปจากที่สูง

 

“พี่พระจันทร์...”

 

“สมุทร...ขอโทษ มันจำเป็นจริงๆ”

 

“ไม่..อย่าไป...นะ” แขนของผมที่หนักไปหมดเพราะของที่กำลังถือเอาไว้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังยกมือทั้งสองข้างเอื้อมมันออกไป ก้าวขาอีกข้างขยับเข้าไปใกล้

 

เป็นความรู้สึกเหมือนว่ากำลังพยายามเอื้อมมือไปคว้าอะไรบางอย่างที่สำคัญเอาไว้อย่างสุดแรง ยื้อยุดกับบางสิ่งที่มันกำลังจะหายไปจากสายตา พยายามดึงรั้งมันเอาไว้กับตัวให้ได้นานที่สุด แต่สุดท้ายแล้วมันกลับไม่เหลืออะไรเลยเมื่อเขาผละตัวออกห่างไปไวๆ สายตาคมที่มองสบกับผม มันกำลังบอกว่าเขาเสียใจ

 

แต่สิ่งที่สงสัยก็คือว่ามันเป็นความเสียใจที่เท่ากับความเสียใจของผมในตอนนี้หรือเปล่า

 

“ไม่ ... พี่พระจันทร์ ไม่ อย่าไป ได้โปรด...” เสียงร้องขอของผมไม่ดังเท่ากับเสียงปิดประตูรถยนต์ที่อีกฝ่ายปิดลง เขาหันมามองกันเป็นครั้งสุดท้ายผ่านกระจกกั้น ดวงตาคู่สวยที่ผมชอบนั้นมันกำลังสั่นไหว แต่สุดท้ายใบหน้าได้รูปก็เป็นฝ่ายหันหน้าหนี ก่อนจะตามมาด้วยรถคันหรูที่เค้านั่งอยู่ทะยานออกไปด้วยความเร็ว เสียงล้อรถที่บดไปกับพื้นถนนยังคงดังอยู่ในหู

 

ส่วนตัวผมในตอนนี้ได้แต่มองตามรถคันนั้นขับออกไปไกลๆ ได้แต่แค่นยิ้มออกมาอย่างสับสน ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นถนน ความรู้สึกเหมือนโดนถีบตกลงมาจากหน้าผาแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศมันน่ากลัวขนาดไหน กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็เป็นตอนที่ตกลงมาถึงพื้นตาย มองไม่เห็นอะไรสักอย่างนอกจากความมืดที่เข้ามาเยี่ยมเยียนในจิตใจอย่างเงียบๆ

 

“หึ ฮ่าๆ ....” แค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างฝืดฝืน ก้มมองฝ่ามือตัวเองที่ตกลงข้างตัว ข้าวของที่ซื้อมาหล่นลงพื้นเกลื่อนกระจาย แต่ก็ไม่คิดที่จะเก็บมันแม้แต่น้อย ฝ่ามือของผมสั่นระริก ไม่ต่างจากทั้งตัวที่ก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเย็นวาบไปตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ความอบอุ่นที่เคยกุมมือกันเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว มันเหลือทิ้งไว้แค่ความหวาดหวั่นและตัวผมที่กำลังกอดตัวเองอยู่ในตอนนี้ มองไปรอบข้างมีแค่ความอ้างว้างที่ว่างเปล่าชวนให้หายใจไม่ออก

 

กูมาทำอะไรที่นี่ กูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้

 

ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

 

มีแค่สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้ มันเป็นความจริงที่ตีเข้าแสกหน้าเข้าอย่างจังว่า ... สุดท้ายเค้าก็ไม่ได้เลือกผม

 

ถ้าคำว่าชอบมีค่าเอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจ ตอนนี้มันคงไม่เหลือสิ่งใดที่จะอุ้มชูหัวใจผมไว้อีกแล้ว ในตอนที่เค้าหันหลังเดินจากกันไป มันเป็นความเจ็บที่เรียกได้ว่าเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก ผมเคยมั่นใจมาตลอด ว่าสุดท้ายต่อให้เค้าไม่รู้สึกอะไร ก็คงจะยอมรับมันไหว คิดว่าจะรับมันไว้ได้ทั้งหมด แต่ความเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ตอกย้ำกันซ้ำๆ จนผ่านมาถึงวันนี้ มันถึงได้เข้าใจจริงๆ ว่ามันยากที่จะทำใจแค่ไหน

 

ที่คิดว่าได้ก้าวเข้าไปเป็นคนสำคัญของเค้า คิดว่าตัวเองในตอนนี้พิเศษมากกว่าใครๆ ... แต่สุดท้ายมันก็ยังสำคัญและไม่พิเศษเท่ากับคนในใจของเค้ามาตลอดอยู่ดี

 

“อึก...ฮึก” กอดตัวเองแน่นๆ แล้วเม้มปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้ให้มากที่สุด ปล่อยให้น้ำตาตอกย้ำความจริง น้องสมุทรควรเข้าใจได้แล้ว ว่าต่อให้อยากข้ามสมุทรไปหาพระจันทร์มากแค่ไหน สุดท้ายมันก็ไกลเกินตัวอยู่ดี

 

‘จะไม่ทำผิดสัญญากับมึงหรอก อีกอย่าง...มึงเองก็อยู่ตรงนี้ จะให้กูหันหลังไปจากมึง ทำไม่ได้หรอก’

 

ในหูมันอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร กอดตัวเองเอาไว้แล้วกำมือเข้าหากัน หัวใจมันบีบรัดในทุกจังหวะที่ยังหายใจ มันเจ็บจนปวดไปหมด ได้แต่พยายามที่จะหายใจ แต่จมูกมันแน่นไปหมด หายใจไม่ออกจนต้องเผยอริมฝีปากแล้วหายใจเข้าออกทางปากแทน

 

‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’

 

เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอมาพร้อมกับเงาที่คล่อมทับตัวผมเอาไว้ รองเท้าผ้าใบยี่ห้อแพงที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า ใช้สายตาที่มีม่านน้ำตากั้นไล่มองมันช้าๆ ตั้งแต่รองเท้าขึ้นไปถึงกางเกงยีนส์ขาดเข่า มองเห็นชายเสื้อช็อปและแผงอกกว้าง จนสุดท้ายก็เลื่อนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าได้รูปในแบบที่ผมหลงรัก แววตาคมสวยที่กระจ่างชัดปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า พร้อมๆ กับน้ำตาที่ทะลักออกมาอย่างหนัก

 

“ฮึก ...ฮื่อออ” ผมร้องไห้ออกมาเสียงดังอย่างสุดจะกลั้นในตอนที่ได้มองคนตรงหน้านี้ชัดๆ ใบหน้าแบบเดียวกันกับที่ผมต้องการให้เค้ามายืนอยู่ตรงนี้ แต่ในตอนนี้เค้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่มีอีกแล้ว

 

“เห้ย! ร้องทำไม”

 

“ฮึก ทำไม...ฮื่อ ทำไม...”

 

“ทำไมอะไร ร้องไห้ทำไมวะ ใครทำอะไรบอกพี่มาค่ะ” ร่างสูงที่ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าถามออกมาอย่างร้อนรน ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมาจับที่ต้นแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะเป็นผมเองที่พุ่งเข้าไปกอดเค้าเอาไว้ ตั้งอกตั้งใจร้องไห้อย่างสุดจะกลั้น....ขอแค่เปลี่ยนกันให้กลายเป็นเค้า เปลี่ยนเป็นพี่พระจันทร์ได้ไหมที่จะอยู่ตรงนี้กับผม

 

“ฮึก...ฮื่ออ”

 

“ชู่วว ใจเย็นๆ ...”

 

“ฮึก ทำไม ทำไมไม่เป็นพี่พระจันทร์ ฮึก ...ฮื่อออ ทำไมตอนนี้ถึงไม่เป็นเค้า ฮื่อออ”

 

“อ่า...” เสียงตอบรับเบาๆ ที่ดังมาจากลำคอ ก่อนจะตามมาด้วยวงแขนอุ่นที่กอดกระชับทั้งตัวเข้าไปในอ้อมกอด ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมือมาดันหัวให้ลงไปซบลงบนบ่าแกร่ง แล้วลูบหัวปลอบเบาๆ

 

“เดี๋ยวพี่อาทิตย์จะดูแลเอง ไม่ต้องร้องแล้วนะคะ”

 

.

.

.

 

“โอเคขึ้นไหม”

 

“ดีขึ้นแล้วครับ” พอตอบออกไปแบบนั้นก็ได้รับสายตารู้ทันแบบที่เค้าชอบทำส่งมาให้ในทันที มุมปากยกยิ้มขึ้นนิดๆ ที่มองมาอย่างอบอุ่น พี่อาทิตย์ส่ายหน้าหน่อยๆ หลังจากได้รับคำตอบ ก่อนจะยื่นแก้วโกโก้อุ่นตามมาให้กัน

 

“พี่เคยบอกไปแล้วไงคะว่าอย่าโกหก มันไม่เนียน มันดูออก”

 

“ผม...” ไม่รู้จะเถียงออกไปยังไง ในเมื่อทุกคำพูดของเค้ามันเป็นความจริง มันไม่ได้โอเค ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเหมือนที่ปากว่าเลยสักนิด

 

“ทะเลาะกับไอ้พระจันทร์ซิสเหี้ยของพี่หรอคะ”

 

“เปล่าครับ” ครั้งนี้ผมไม่ได้โกหก มันเรียกว่าเป็นการทะเลาะกันไม่ได้ด้วยซ้ำ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คืออะไร ตัวผมเองยังสับสน ยังคงเรียบเรียงเรื่องราวเพื่อให้บอกเล่าออกมาดีๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ในหัวสมองมันตื้อมันตันพอๆ กับหัวใจที่แห้งแล้งลง สวนทางกับขอบตาที่เหมือนจะมีน้ำเอ่อคลอขึ้นมาตลอดเวลาที่นึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้

 

เรื่องราวของเรา เรื่องราวของน้องสมุทรกับพี่พระจันทร์

 

“เราไม่ได้ทะเลาะกันหรอกครับ” ผมเปิดปากพูดมากขึ้นอีกหน่อย ในตอนนี้ที่พี่อาทิตย์ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาฝั่งตรงกันข้าม และยังคงใช้สายตาที่ไม่ได้บีบคั้นจ้องมองกันเหมือนอย่างเคย ... สายตาที่ทำให้ต้องเปิดปากเล่าเรื่องราวออกมา ทั้งๆ ที่เค้าไม่เคยได้บังคับอะไร

 

“แล้วทำไมถึงไปนั่งร้องไห้อยู่แบบนั้น ไอ้ซิสเหี้ยมันไปไหน”

 

“เค้า...”

 

“หื้ม”

 

“ก็แค่ พี่พระจันทร์ไปหาพี่อัยย์” พูดออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่สายตาก็ยังเอาแต่ทอดมองลงไปที่แก้วเซรามิกสีขาวที่ถูกเพ้นท์ลายเป็นรูปพระอาทิตย์ที่ถืออยู่ในมือ เพ่งมองเหมือนว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจนักหนา

 

“ไปหาอัยย์” พี่อาทิตย์ย้อนถามพร้อมขมวดคิ้ว ส่วนผมทำแค่พยักหน้าตอบรับแล้วยิ้มตอบกลับไปให้บางๆ

 

“มันไปทำเหี้ยอะไร”

 

“ฮ่า ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย ผมรู้แค่ว่าผมขอเค้าว่าอย่าไป ขอร้องเพราะคำสัญญาของเค้าที่บอกกันไว้ แต่สุดท้ายเค้าก็ทิ้งไปอยู่ดี พี่พระจันทร์ไม่ได้ฟังแม้กระทั่งคำขอจากปากของผมเลยด้วยซ้ำ เค้าบอกแค่ว่าเค้าต้องไป เค้าขอร้องให้ปล่อยให้เค้าไป” ในตอนนั้นที่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่อาทิตย์ มองเห็นคนตรงหน้าที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กๆ

 

“ผมสู้ไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า...กับคนแบบพี่อัยย์ที่อยู่ในใจพี่พระจันทร์น่ะ” ถามออกไปแล้วก็ยิ้ม ยิ้มทั้งที่หัวใจไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด คำถามที่เหมือนกับแค่อยากพูดย้ำกับตัวเองให้ได้รู้ว่าต่อให้สู้มามากแค่ไหน สุดท้ายคนแบบน้องสมุทรมันก็ไม่มีทางสู้คนในใจของเค้าได้

 

“คำถามที่น้องสมุทรถาม พี่ตอบไม่ได้หรอก...เพราะพี่ไม่ใช่ไอ้พระจันทร์” พี่อาทิตย์ว่าแบบนั้น แต่ถึงเค้าไม่ตอบ ผมก็พึ่งได้รับคำตอบจากการกระทำของพี่พระจันทร์มาอยู่ดี ... มันชัดเจนมากอยู่แล้ว

 

“ที่นี่คือที่ไหนหรอครับ” เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง ดันกรอบแว่นตาหนาให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหันมองไปรอบๆ พื้นที่ที่เราสองคนกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ มันเป็นบริเวณชั้นสองของบ้านที่พี่อาทิตย์พามา มันเหมือนเป็นทาวโฮมส์สามชั้นที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ชั้นนี้มีทั้งครัว พื้นที่ส่วนกลาง และโซฟาเข้าชุด ทีวีจอใหญ่ยักษ์ที่ถูกแขวนเอาไว้ที่ผนัง แถมยังมีมุมทานอาหาร เป็นสถานที่ที่ให้ความอบอุ่นเหมือนบ้านจริงๆ

 

“บ้านพี่เอง”

 

“บ้านพี่?”

 

“พี่เก็บเงินซื้อไว้เองน่ะค่ะ เคยคิดเอาไว้ว่าจะมาอยู่...แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มา” คำพูดท้ายประโยคเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน ยกมือดันกรอบแว่นของตัวเองนิดหน่อย แต่พี่อาทิตย์ก็ไม่ได้พูดซ้ำ

 

“พี่แค่คิดเอาเองว่าเราคงไม่อยากกลับบ้านไปในสภาพแบบนี้ ใช่ไหมล่ะ” ทำได้แค่พยักหน้าตอบรับกับคำถามนั้น มันถูกของพี่อาทิตย์ ผมไม่อยากกลับบ้านไปในตอนนี้ ถ้าเลือกได้ก็อยากจะหนีไปให้ไกล ไม่ต้องมีใครที่ตามหาตัวเจอ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คาดหวังว่าพี่พระจันทร์จะตามหา ไม่ได้คาดหวังว่าเค้าจะกลับมาเหมือนที่เค้าบอกกันไว้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่อยากไปอยู่ในที่ๆ เค้ารู้จัก

 

“ถ้างั้นน้องสมุทรก็อยู่ที่นี่เถอะ พี่รับรองค่ะว่าอิซิสจันทร์มันไม่มีทางรู้หรอก” เหมือนกับอ่านใจออก ถึงรีบพูดดักกันไว้แบบนั้น

 

“ที่ชั้นนี้มีห้องนอนแขกอยู่ทางนู้นค่ะ ส่วนชั้นสามก็ยังมีอีกสามห้อง ห้องพี่อยู่บนนั้น”

 

“ผมเกรงใจพี่อาทิตย์ครับ ผมไม่สมควรมารบกวนพี่แบบนี้ด้วยซ้ำ”

 

“เห้ย พูดอะไรแบบนั้นคะ เกรงจงเกรงใจอะไร พี่ควรดูแลน้องสมุทรให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำมันถึงจะถูกนะ แค่นี้มันชดเชยน้ำตาของเราที่เสียไปให้กับพี่ชายของพี่ยังไม่ได้เลยค่ะ” ได้แต่ยิ้มบางๆ ออกมากับคำพูดของเขา พี่อาทิตย์ใจดี

 

“โอเคตามนี้ น้องสมุทรอยู่ได้นานเท่าที่ใจอยากเลย เพราะปกติมันก็ไม่มีคนอยู่อยู่แล้วค่ะ มีพี่มาบ้างเป็นครั้งคราว ... คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของน้องสมุทรเหมือนกันก็ได้ บ้านแบบแชร์เฮ้าส์ของเด็กฝรั่งเป็นไง เกร๋ๆ”

 

“แบบนั้นมันต้องจ่ายค่าเช่าบ้านนะครับ”

 

“งั้นพี่ขอเปลี่ยนจากค่าเช่าบ้าน เป็นอาหารฝีมือน้องสมุทรแทนก็พอค่ะ...แบบนั้นโอเคไหม”

 

“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับสั้นๆ แล้วพี่อาทิตย์ก็ยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้าพอใจกับคำตอบที่ได้ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนแล้วพยักหน้าให้ผมลุกขึ้นเดินตามไปที่ห้องพักที่อยู่ติดกับทางขึ้นของบันไดที่จะนำไปสู่ชั้นสาม

 

“ตามสบายเลยนะ”

 

“ขอบคุณพี่มากๆ นะครับ”

 

“เล็กน้อย” พูดแบบนั้นพร้อมยกยิ้มมุมปากเท่ๆ ในแบบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าโดนคุกคาม แต่เป็นความรู้สึกสบายใจและพึ่งพาได้

 

“น้องสมุทรเข้าไปอาบน้ำแล้วนอนพักผ่อนเถอะ วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว”

 

“ครับ” ตอบรับด้วยคำสั้นๆ แค่นั้นพี่อาทิตย์ก็เบี่ยงตัวหลบทางจากประตูห้องให้กัน ไฟสว่างที่ถูกเปิดขึ้นทำให้มองเห็นห้องนอนขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็อยู่ได้อย่างสบาย ห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีอุ่นด้วยสีขาวเบจ

 

“น้องสมุทร...” ผมถูกเรียกเอาไว้อีกครั้งก่อนที่จะได้ปิดประตูห้อง พี่อาทิตย์ที่ยืนมองมาจากด้านนอกห้อง สายตาคมๆ นั่นจ้องกันไม่ละสายตา พร้อมๆ กับกรอบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่นิดๆ

 

“สำหรับไอ้พระจันทร์ คนแบบมันไม่เคยขอร้องใครเลย แม้แต่กับอัยย์ สักครั้งมันก็ไม่เคย ถ้าในวันนี้มันเลือกที่จะขอร้องให้สมุทรเข้าใจมัน...พี่ว่าการลองฟังมันสักครั้ง ก็คงไม่แย่นะ” พี่เค้าพูดออกมาแบบนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม หัวใจของผมมันกลับบีบรัด ความรู้สึกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าไม่ได้บอกให้ผมพาตัวเองกลับไปในจุดเก่า เพราะแบบนั้นถึงเลือกที่จะถามเขาออกไป

 

“พี่อาทิตย์เคยเสียใจเพราะความรักไหมครับ”

 

“พี่เคย” เค้าตอบกลับมา แววตาที่ผมอ่านมันไม่ออกสักนิดว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่

 

“แต่ผมไม่เคย...และเพราะว่าไม่เคยเลย มันถึงได้เจ็บมากขนาดนี้ เพราะไม่ทันได้ระวังตัวเลยสักนิด ความเสียใจของผมในวันนี้ มันยังเทียบไม่ได้กับความผิดหวังที่พี่พระจันทร์ทำลายมันทิ้ง มันเหมือนกับว่าเค้ากำลังตอกย้ำให้เข้าใจ ว่าสุดท้ายแล้วผมเองก็ไม่มีทางพิเศษไปกว่าคนในใจเค้า ถ้าวันนี้เค้าบอกว่าไม่รัก มันคงไม่เสียใจขนาดนี้ ไม่เสียใจเท่าที่เค้าบอกว่าชอบกันมากๆ แต่สุดท้ายก็เลือกกลับไปหาใครอีกคนที่พิเศษกว่าอยู่ดี”

 

“พี่อยากบอกว่าการเสียใจ มันไม่น่ากลัวเท่าการเสียเวลานะสมุทร...เพราะเวลาเป็นสิ่งเดียวที่เราจะหาคืนกลับมาไม่ได้ อย่าทิ้งเวลาให้เดินไปอย่างเปล่าประโยชน์ล่ะ” ผมเม้มปาก ไม่ตอบรับ ไม่ถามกลับว่าที่เค้าพูดมาคือกำลังอยากให้ผมกลับไปคืนดีกับพี่ชายเค้าหรือเดินจากไปให้ไวกันแน่ ผมไม่ทำอะไร นอกจากเก็บคำพูดของพี่อาทิตย์มาไว้ในใจ ปิดประตูลงกลอนเอาไว้ ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงและปล่อยให้ความเงียบเริ่มทำงาน

 

คิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ ถึงได้คาดหวังและวาดฝันไปกับพูดต่างๆ นาๆ ของเค้า พี่พระจันทร์ชอบน้องสมุทรที่สุด อยากเดินต่อไปด้วยกันและเริ่มต้นใหม่ เค้าจะมาขอคบ และเราจะได้เป็นแฟนกันอย่างมีความสุข มาคิดๆ ดูแล้วกับทั้งหมดนั่น เค้ากำลังรออะไรอยู่ ไม่เคยฉุกคิดถึงมันสักนิด แต่พอเรื่องราวเดินมาถึงตรงนี้ ก็เริ่มคิดถึงคำพูดของพี่อัยย์ คำพูดที่ว่า ‘เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเราสนิทกันขนาดไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเค้ากำลังเป็นตัวแทนเราในวันที่เธออยากยอมแพ้จากเราแล้วน่ะ’

 

“ฮึก...” ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วหลับตาลงแน่นๆ ปล่อยให้น้ำตาอุ่นไหลลงมาที่ข้างแก้มพร้อมๆ กับหัวใจที่บีบรัดจนทรมาน

 

พอได้แล้วสมุทร หยุดคิดได้แล้ว

 

บอกตัวเองแบบนั้นซ้ำๆ แต่มันก็ไม่เคยทำได้เลยสักที แค่นี้มันยังทรมานไม่มากพอหรอ ชัดเจนไม่พออีกหรอ ถ้าพิเศษจริงยิ่งกว่าใคร ทำไมถึงต้องมานอนร้องไห้เดียวดายอยู่ตรงนี้ ได้แต่ถามตัวเองว่ามันถึงเวลาที่ควรพอหรือยัง เหนื่อยเกินไปหรือเปล่าน้องสมุทร

 

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่25 (110622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 11-06-2022 20:19:34
.

.

.


โชคดีที่วันนี้ไม่มีคลาสเรียน เพราะไม่อย่างงั้นพวกเพื่อนๆ มันคงตกใจกับสภาพในตอนนี้แน่ๆ ผมไม่ได้โทรไปเล่าให้ไอ้มาร์ชฟัง ไม่แม้แต่จะบอกไอ้เฮงหรือไอ้จิม เพราะพวกมันเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทด้วยมากเกินไป และเพราะแบบนั้น เลยไม่อยากให้ความใกล้ชิดช่วยในการตัดสินใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ตอนนี้แค่อยากหนีออกห่าง ออกไปให้ไกลๆ ทำได้แค่โทรบอกแม่เมื่อคืนว่าจะมาติวหนังสือกับเพื่อนสักระยะก็เท่านั้น

 

น้องสมุทรตื่นนอนในตอนเช้า ที่ค่อนข้างเช้ามากกว่าเคย เพราะเมื่อคืนนี้มันนอนไม่ค่อยหลับ เอาแต่นอนร้องไห้สลับกับการสะดุ้งตื่นขึ้นมารับรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง อาการแบบนั้นเกิดขึ้นอยู่ทั้งคืนจนทำให้เหนื่อยอ่อนและมาหลับไปจริงๆ ในตอนตีห้า แต่ถึงแบบนั้นในตอนนี้ที่ยังไม่เก้าโมงดี ผมก็ตื่นขึ้นมาแล้ว อาบน้ำ แปรงฟัน และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นชุดที่มีไว้ในตู้ เสื้อผ้าง่ายๆ ที่ผมใส่ได้พอดีตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเสื้อผ้าของใคร

 

ตั้งใจว่าจะเดินออกไปจากห้องนอน แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักก้าวของการเดิน เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชั้นตู้โชว์ที่วางกรอบรูปลายกราฟฟิกสวยๆ ไว้เพื่อประดับ ณ ที่ตรงนั้นมีทั้งงานวาดที่ถูกวางเอาไว้ สลับไปกับรูปภาพของเจ้าของบ้าน และพี่ชายของเจ้าของ ... เห็นแบบนั้นแล้วก็อดขมวดคิ้วจนเป็นปมไม่ได้ เมื่อเลื่อนสายตาไปเจอภาพของพี่พระจันทร์ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเค้าอยู่เสมอ ทำไมสายตาของผมถึงมีเอาไว้เพื่อมองเห็นพี่พระจันทร์อยู่เสมอเลย ภาพบนชั้นเป็นภาพสมัยม.ปลายของคนทั้งคู่ที่อยู่ในอิริยาบทต่างๆ ตั้งใจว่าจะเลิกสนใจ ถ้าไม่ติดว่าสายตาดันเลื่อนไปเห็นภาพสุดท้ายที่ถูกวางแอบๆ ไว้ที่ข้างหลังรูปวาดภาพหนึ่งนั่นซะก่อน เอื้อมมือไปหยิบมันออกมาดูด้วยความสงสัย ภาพตรงหน้าเป็นรูปของแฝดไม่ต่างจากภาพก่อนๆ ภาพที่กำลังบอกช่วงเวลาว่ามันถูกถ่ายเอาไว้ในตอนเย็นของวันหนึ่ง คนนึงอยู่ในชุดมัธยมปลายขาสั้นแบบเดียวกับที่ผมเคยใส่ในสมัยเรียน เค้ายิ้มกว้างแล้วใช้แขนคล้องคอแฝดตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกคนอยู่ในชุดนักบอล สีหน้านิ่งๆ ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเท่น้อยลง ทั้งสองคนกอดคอกันอยู่กลางสนาม ผมจะไม่สนใจอะไรกับภาพๆ นี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนทั้งสองในช่วงวัยมัธยมปลายนี้ไม่ได้ทำผมสีเดียวกัน

มันเป็นผมสีชมพู

 

“นี่มัน....”

 

ไม่เคยรู้เลยว่าตอนม.ปลายพี่อาทิตย์ก็เคยทำผมสีนี้มาแล้ว ไม่เคยคิดหรือแม้แต่จะสนใจ ฝ่ามือของผมสั่นไหว หัวใจรู้สึกกระตุกเพราะความคิดน่ากลัวบางอย่างถาโถมเข้ามา วางกรอบรูปนั่นกลับไปไว้บนชั้นทั้งๆ ที่สมองยังคงเบลอ มันเหมือนกับว่าผมกำลังช็อคและหวาดกลัวกับอะไรสักอย่างที่พึ่งนึกสงสัยและเคยเชื่อมาตลอดหมดหัวใจ

 

“ไม่หรอก...ไม่ใช่หรอก” พูดกับตัวเองแบบนั้น ก่อนจะเดินออกมาจากห้องด้วยหัวใจสั่นๆ รู้สึกเหนื่อยล้ามากเต็มที ได้ยินเสียงดังมาจากโซนครัว มองเห็นพี่อาทิตย์ที่เงยหน้าขึ้นมาจากจานสปาเก็ตตี้แล้วส่งยิ้มมาให้กัน ใบหน้าหล่อคมที่นัยย์ตาสดใส คิ้วได้รูปสวย และ...ผมสีชมพูพาสเทลอ่อนๆ ที่เค้าทำมาตลอดตั้งแต่ได้กลับมาเจอกันนั่น แต่ผมไม่เคยจะสนใจ เพราะในทุกๆ ครั้งสายตาของผมมันเอาแต่จ้องมองไปที่พี่พระจันทร์คนเดียวเสมอ

 

“ตื่นแล้วหรอ พี่คงไม่ได้ทำเสียงดังรบกวนใช่ไหมคะ” ผมส่ายหน้าโดยที่ไม่ได้ตอบคำถามเค้าสักคำ ได้แต่เดินขาสั่นๆ ไปนั่งลงที่หน้าเคาน์เตอร์ตรงหน้าเค้าด้วยความรู้สึกเหม่อลอย

 

พี่อาทิตย์เป็นคนใจดี ... ผมพูดมาตลอดว่าพี่อาทิตย์ใจดี

 

และคนที่ผมตกหลุมรักตอนม.สี่ในวันแรกของการเปิดเทอม...เค้าก็ใจดี

 

“มองหน้าพี่ทำไมคะ” เลิกคิ้วนิดๆ เป็นเชิงถาม เขายังคงส่งยิ้มมาให้กันเหมือนเคย บรรยากาศรอบตัวของพี่อาทิตย์ที่ไม่ได้เปลี่ยนไป เป็นคนมีบรรยากาศรอบตัวที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด ในทุกครั้งที่ผ่านมามันก็เป็นเช่นนั้น แต่ไม่ใช่กับในตอนนี้ที่มันกำลังทำให้ผมรู้สึกแทบหายใจไม่ออก

 

พี่อาทิตย์เลื่อนจานคาโบนาร่าที่เจ้าตัวพึ่งทำเสร็จใหม่ส่งมาให้กันตรงหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมซอสที่ผสมผสานเข้ากับชีสและเบคอนทอดกรอบลอยมาแตะจมูก บนจานถูกประดับตกแต่งด้วยใบพาสลีย์เล็กน้อยที่ทำให้สวยงาม แต่ทั้งหมดนั่นกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกอยากอาหารแม้ว่าจะเป็นของโปรดก็ตาม ผมในตอนนี้ที่เอาแต่จ้องหน้าของพี่อาทิตย์ให้ชัดๆ ... เหมือนกันมาก เขาเหมือนกันกับพี่พระจันทร์แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างเลยสักนิด

 

“น้องสมุทรเป็นอะไรหรือเปล่า”

 

“พี่อาทิตย์เคยทำผมสีชมพูมาก่อนหน้านี้ไหมครับ” ถามออกไปแบบนั้น แล้วก็ได้เห็นพี่อาทิตย์ชะงักมือที่กำลังจะตักเส้นสปาเก็ตตี้ให้ตัวเอง ใบหน้าหล่อได้รูปนั่นหันมามองหน้าผมพร้อมเลิกคิ้วมองกัน ดวงตาคมสวยนั่นสบเข้ากับตาของผมในตอนนี้ ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นเค้าที่ละสายตาออกไปแล้วหันไปจัดการกับจานตรงหน้าของเขาต่อ

 

“ทำไมน้องสมุทรถึงถามแบบนี้ล่ะคะ”

 

“ผมก็แค่อยากรู้ ว่าพี่เคยทำมันไหมตอนมัธยมปลาย” พยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้มันไม่สั่นมากจนอีกฝ่ายสังเกตได้ และภาวนาให้ความคิดในแง่ลบของตัวเองไม่เป็นเรื่องจริง

 

“เคยค่ะ...พี่ชอบสีชมพู” คำตอบเรียบง่ายของอีกฝ่าย มันหมือนกับเศษแก้วบางๆ ที่กรีดลงมาที่ใจ พี่อาทิตย์ที่หันมามองหน้ากันนิ่งๆ สายตาคมสวยนั่นแทบจะไม่ต่างเลยกับพี่พระจันทร์ เค้ามองตรงมาเงียบๆ ไม่เร่งรีบเหมือนอย่างเคย ไม่ได้กดดันให้ต้องพูดออกไป และเค้าก็ทำได้เหมือนเก่า ที่ท่าทางแบบนั้นมันมักจะทำให้เราต้องคายความคิดในใจออกไปจนหมด

 

“คนที่ผมเจอวันนั้น ... บอกทีสิว่ามันไม่ใช่พี่” เสียงของผมสั่นในตอนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแรงอย่างคนหมดความอดทน เก้าอี้บาร์ทรงสูงหล่นโครมลงพื้นด้วยเสียงที่ดังสนั่น ก้าวถอยหลังออกห่างจากเคาน์เตอร์บาร์ไปก้าวหนึ่ง แล้วจ้องหน้าคนที่เมื่อคืนนี้ผมเชื่อหมดหัวใจว่าเค้าใจดี แต่ในตอนนี้เสียงตะโกนในใจมันกำลังบอกให้ถอยหลังหนี

 

“สมุทรเป็นอะไร”

 

“บอกสิว่าคนที่ผมตกหลุมรักตอนม.สี่ตั้งแต่แรกเจอในวันนั้น จริงๆ แล้วมันไม่ใช่พี่แต่คือพี่พระจันทร์! พูดมันออกมา พูดมันออกมาสิ!...” เสียงของผมขาดห้วงคล้ายคนจะหมดแรง รู้สึกไม่อยากยอมรับและเริ่มจะสติแตก พี่อาทิตย์ขมวดคิ้วมองกันนิดๆ เค้าไม่ได้มีท่าทางตกใจหรือสั่นไหวกับสภาพคล้ายคนบ้าของผมสักนิด พี่อาทิตย์ที่ทำแค่ถอนหายใจนิดๆ แล้วขมวดคิ้วหน่อยๆ

 

“แล้วทำไมน้องสมุทรถึงคิดว่ามันจะไม่ใช่พระจันทร์”

 

“แล้วพี่จะมาย้อนถามผมทำไม แค่ตอบมาว่ามันไม่ใช่พี่ ได้โปรดเถอะ” ผมร้องขอ ก็แค่ตอบผมมา ตอบให้ได้รู้ว่า ความรักและความเชื่อตลอดสี่ปีของผมมันยังคงอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะโดนพี่พระจันทร์ทำให้แตกสลายมาแล้ว แต่ก็ขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ยังเหลืออยู่ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ตัวผมเองในตอนนี้คงไม่เหลืออะไรสักอย่างที่พอจะหลอกตัวเองได้ว่าช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านมากับพี่พระจันทร์มันคือเรื่องจริง ... เพราะคงทนมันไม่ไหว ถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่พระจันทร์หลอกผมมาตลอด

 

“มึงชอบกูผมสีชมพูหรอ”

 

“แล้วถ้าวันนั้นกูไม่ได้ทำผมสีชมพู ไม่ได้เป็นคนใจดีแบบนั้น แล้ววันนี้มึงจะชอบกูไหม”

 

“พี่ไม่รู้ว่าสมุทรกำลังพูดถึงวันไหนค่ะ แต่ถ้าจะให้พูด พี่พูดก็ได้ มันไม่ใช่พี่หรอก” พี่อาทิตย์ว่าออกมาแบบนั้น คำพูดที่เหมือนกำลังทำให้สบายใจนั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย ผมก้าวถอยหลังมากขึ้นไปอีก จนมันไปหยุดอยู่ที่หน้าบันไดที่ทอดยาวเป็นทางลงไปยังชั้นหนึ่ง

 

“สมุทร ใจเย็นๆ ก่อน”

 

น้ำตาไหลออกมาในตอนนี้ อะไรที่ยังเหลืออยู่บ้าง ความรู้สึก หัวใจ หรือแม้แต่ตัวของผม มันมีอะไรสักอย่างที่ยังเหลืออยู่บ้าง ... น้องสมุทรคนโง่มันยังคงเป็นคนโง่อยู่วันยังค่ำแบบนั้นไหม อยากจะหลอกตัวเองให้ได้แบบที่ผ่านมา แต่ในตอนนี้ก็รู้สึกสับสนมากกว่าทุกที หัวใจผมกำลังสับสนและเจ็บปวด มันแค่ร้องตะโกนบอกให้หนีไป หนีไปจากตรงนี้ และสุดท้ายในตอนที่พี่อาทิตย์จะเดินเข้ามาจับตัวกันได้ทัน ผมก็เลือกจะหันหลังแล้วออกวิ่ง วิ่งออกไปโบกแท็กซี่แล้วตรงกลับบ้าน ด้วยหัวใจที่บอบช้ำซ้ำๆ จากคนที่ผมเชื่อใจ

 

ใช้เวลาไม่นานรถแท็กซี่เขียวเหลืองก็มาหยุดลงที่หน้าบ้านของผม บรรยากาศในบ้านตอนนี้เงียบสงบเพราะทะเลไปโรงเรียน และแม่ของผมก็คงไปทำงาน ความเงียบกำลังทำงานในแบบของมันอีกครั้ง กระพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่เกะกะอยู่บนดวงตาให้หายออกไป เดินขึ้นไปบนห้องนอน แล้วหยิบโทรศัพท์ที่แบตหมดจนเครื่องดับออกมาเสียบสายชาร์ต นั่งชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะเปิดเครื่องอีกครั้ง

 

‘ตื่อดึงๆๆๆ’

 

เสียงแจ้งเตือนดังรัวๆ เข้ามาทันทีที่โทรศัพท์ถูกเปิดเครื่อง เป็นข้อความจากแอพพลิเคชั่นที่เอาไว้สนทนา บนหน้าจอมันบอกผมว่าคนที่ติดต่อมาคือพี่พระจันทร์ รวมถึงสายที่ไม่ได้รับอีกเป็นสิบก็มาจากเขาเช่นกัน

 

[[พระจันทร์: สมุทร มึงอยู่ไหน กูมาหาที่บ้านแต่น้องมึงบอกว่ามึงไม่อยู่] ]

 

[[พระจันทร์: ทำไมถึงไม่รับสาย...] ]

 

[[พระจันทร์: กูขอโทษ แต่รับสายกันหน่อยได้ไหม] ]

 

[[พระจันทร์: สมุทร ฟังกันก่อนได้ไหม] ]

 

[[พระจันทร์: ขอร้อง อย่างน้อยก็แค่บอกกันว่ามึงปลอดภัย] ]

 

[[พระจันทร์: สมุทร ช่วยอ่านหน่อยก็ยังดีนะ กูอยากมั่นใจว่ามึงไม่ได้เป็นอะไร] ]

 

น้ำตาของผมคลอขึ้นมาที่ขอบตาในขณะที่กำลังเลื่อนปลายนิ้วลงไปอ่านข้อความที่เค้าส่งมา หลายข้อความถูกส่งมาเมื่อคืนนี้ คงเป็นตอนที่มือถือผมแบตหมดจนดับไปแล้ว และตัวผมในตอนนั้นคงกำลังนอนร้องไห้อย่างโด่ดเดี่ยวอยู่ล่ะมั้ง และข้อความสุดท้าย มันพึ่งถูกส่งมาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว คงเป็นตอนที่ผมกำลังสติแตกอยู่กับพี่อาทิตย์

 

ผมรู้ดีว่าการวิ่งหนีมันไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง มันแก้ปัญหาเรื่องของเราไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเรื่องของเราในตอนนี้ ถ้าทั้งหมดที่ผ่านมามันไม่เคยจริง ผมไม่ได้พิเศษมากมายสำหรับเค้า และตลอดเวลาที่ผ่านมาเค้าไม่ใช่ใครคนนั้นที่ผมตกหลุมรัก แต่เค้าก็เลือกที่จะหลอกและปิดบังตลอดมาล่ะ

 

หลอกน้องสมุทรเพื่ออะไร หรือเพราะว่ากูมันเป็นคนหลอกง่าย ดูคล้ายตัวโง่งมตัวนึงแบบนั้นหรือเปล่า หรือเพราะว่ากูพร้อมจะให้เขาเสมอ ไม่ว่าจะตัวหรือใจ แค่เค้าหันมาเมื่อไหร่ก็จะเจออยู่แบบนั้นหรอ พอคิดมาได้ถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกบีบรัดที่หัวใจอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างมันกำลังตอกย้ำว่าโง่มากแค่ไหน

 

นี่ไงไอ้สมุทร สุดปลายทางที่มึงอยากได้ ความรักดีๆ ที่มึงอยากจะสู้ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทางที่วิ่งมาตั้งไกล มันไม่เคยมีเส้นชัยรออยู่

 

ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่นานหลายนาทีในตอนที่กำลังใช้ความคิด มันไม่ควรจะค้างคาเรื่องราวทั้งหมดไว้แบบนี้ การทำแบบนั้นมีแต่มันจะค้างคาและยืดเยื้อต่อไปไม่จบไม่สิ้น สุดท้ายผมเลยตัดสินใจกดส่งข้อความตอบกลับไปหาพี่พระจันทร์

 

[[น้องสมุทร: ผมอยู่บ้าน] ] พี่พระจันทร์กดอ่านมันแทบจะในทันทีที่ข้อความถูกส่งไป ก่อนสุดท้ายจะตามมาด้วยเสียงเรียกเข้าจากคนที่พึ่งอ่านข้อความของผม

 

((ฮัลโหล! สมุทร! ปลอดภัยดีใช่ไหม) ) น้ำเสียงร้อนรนที่ดังออกมาจากปลายสายทำให้กระบอกตาของผมร้อนผ่าว ก็ถ้าจะเลือกทิ้งกันไป ในตอนนี้จะมาทำเหมือนเป็นห่วงเป็นไยอะไรขนาดนี้ ถ้าห่วงกันมาก จะเลือกทิ้งไปหาเค้าทำไม

 

“ครับ” ตอบรับสั้นๆ ด้วยเสียงที่แหบแห้งเต็มที ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาที่ลำคอ ผมได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจเหมือนคนโล่งอกดังมาจากปลายสาย

 

((กูไปหาได้ไหม) ) เค้าถามออกมาแบบนั้น และนั่นมันก็เป็นสิ่งที่กำลังตรงกับใจของผมในตอนนี้ ผมอ่อนล้าและกำลังจะฝืนมันต่อไปไม่ไหว แต่ถึงยังไงเราก็ควรจะคุยกัน

 

((จันทร์จะไปไหน... พอเราตื่นแล้ว จันทร์ก็จะไม่กอดเราแล้วใช่ไหม) ) เสียงแหบพร่าจากใครอีกคนดังเข้ามาผ่านปลายสาย หัวใจของผมร่วงลงไปที่ปลายเท้า พร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้า ความเจ็บร้าวแทรกซึมเข้ามาที่หัวใจ มันเหมือนโดนมีดกรีดเข้าที่เนื้อตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บจนแทบทนไม่ไหว แต่ถึงแบบนั้นความเจ็บนี้ก็ยังไม่ทำให้สลบไป ผมยังคงรับรู้ถึงความทรมานนี้อยู่

 

((อัยย์ พูดอะไร พอ...) )

 

“พี่พระจันทร์...”

 

((สมุทร เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูไปห...) )

 

“พอสักที” ความเจ็บช้ำถูกซาดออกไปเหมือนคลื่นทะเลซัดกระทบฝั่ง ความเสียใจของผมกำลังล้นทะลักออกมาอย่างห้ามไม่ไหว มันสาดเอาทุกความรู้สึกที่ผมพยายามหลอกตัวเองก่อนหน้านี้จนพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี

 

((สมุทร มันไม่ใช่...) )

 

พอกันสักที ฮึก ฮื่ออ...ผม ผมไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว!!” ยกมือที่สั่นเทาของตัวเองขึ้นมาขยำลงบนหน้าอก หัวใจของผมสั่นมันเจ็บมันปวดจนแทบหายใจไม่ออก ทรมานไปหมด ผมไม่ได้ยินเสียงปลายสายจากพี่พระจันทร์อีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่ได้ยินในตอนนี้มันคือเสียงกรีดร้องของตัวเอง ได้แต่กัดฟันแน่นพร้อมๆ กับที่พยายามหอบหายใจ ทรุดตัวลงนอนกับพื้นกระเบื้องของห้องรับแขกอย่างทรมาน ก่อนจะเอื้อมมือไปกดวางสาย ผมไม่ไหว ผมไม่ไหวแล้ว

 

ความผิดหวังมันหน้าตาเป็นแบบนี้ เหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่เจอมาตลอดเป็นแค่บททดสอบเล่นๆ ผมพึ่งรู้ว่าของจริงมันเป็นแบบนี้ ความเสียใจในบางครั้งที่เค้าอยู่กับพี่อัยย์ หรือเค้าบอกว่าไม่ได้สนใจความรู้สึกของผม หรือแม้แต่ตอนที่เค้าหันหลังจากกันไปเมื่อวานนี้ หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าเค้าโกหกผมหรือเปล่าเรื่องคนที่ผมเจอเมื่อสี่ปีก่อน ในตอนนี้ทุกๆ เรื่องเทียบไม่ได้กับตอนนี้ ทุกอย่างมันชัดเจน เค้าอยู่ด้วยกันมาทั้งคืน เค้ารีบออกไปหากันแล้วกอดกันมาทั้งคืน!

 

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนอนร้องไห้แล้วปล่อยให้เวลามันหมุนผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่พึ่งจะมาหลุดออกจากภวังค์ที่เอาแต่คิดถึงเรื่องราวเจ็บปวดนั่นซ้ำๆ ก็ในตอนที่ประตูบ้านถูกเปิดออกด้วยฝ่ามือของพี่พระจันทร์ เขาที่เดินเข้ามาหากันช้าๆ ในทุกย่างก้าวดูหนักอึ้งไปทั้งหัวใจของผม ใบหน้าหล่อคมนั่นดูอ่อนล้าและอ่อนเพลีย สภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยเหมือนมันถูกถอดและใส่มาอย่างลวกๆ ผมกำมือแน่นๆ เข้าหากันในตอนที่เห็น หัวสมองมันกำลังจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน

 

“มาทำไม” ลุกขึ้นนั่งแล้วขยับตัวหนีเค้าที่พยายามจะเข้ามาใกล้ แต่ผมทำแค่ขยับหนีออกไปให้ไกลและเดินไปนั่งลงที่โซฟา แค่เห็นหน้าเค้า หัวใจของผมก็ถูกบีบรัดแล้ว มันปวดยอกในใจไปหมด

 

“มันไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิด...”

 

“พี่รู้หรอว่าผมคิดอะไร รู้หรอ!” ตะคอกออกไปเสียงดัง พร้อมๆ กับที่น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งเหมือนเขื่อนแตก ภาพตรงหน้าเริ่มพล่ามัวเพราะน้ำตามันทำให้ฝ้าขึ้นแว่น แว่นเฮงซวยที่พอสวมใส่ลงไปทีไร ผมยิ่งดูโง่มากเข้าไปทุกที หรือเพราะแบบนี้ผมถึงโดนหลอกมาตลอดหรอ

 

“พี่ทิ้งผมไปหาเค้า...”

 

“กูไม่ได้อยากทำแบบนั้น ...”

 

“แต่พี่ก็ทำนี่ พี่ทำมันลงไปทั้งหมดเลย ผมได้เห็นกับตาของตัวเองเมื่อวานนี้ และได้ยินกับหูของตัวเองเมื่อกี้! พี่ผิดสัญญา...” ปลายเสียงของผมขาดห้วง มันสะอื้นจนสั่น ความร้อนผ่าวไหลลงสู่ลำคอลามไปถึงปลายจมูกที่ทำให้หายใจไม่ออก

 

“กี่ครั้งแล้วที่พี่ทำให้ผมเจ็บ พี่ทำมันพังหมดเลย ความเชื่อใจของผม ความรักของผม” กัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นๆ ยกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าที่โซฟาอย่างคนหมดสิ้นหนทาง

 

“สมุทร กูขอโทษ” เค้าว่าออกมาแบบนั้น คำขอโทษดังก้องอยู่ในหู ความอึดอัดโรยตัวลงมาถาโถมเข้าใส่ คำขอโทษที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีอะไรเลย เค้าขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนสุดท้ายจะทรุดตัวลงนั่งลงที่พื้นข้างล่างโซฟาที่ผมนั่ง เสียงกระซิบแผ่วๆ ไม่ดังไปกว่าเสียงร้องไห้ของผม

 

“พี่โกหกน้องสมุทรกี่เรื่องกันหรอ ฮึก...ทั้งเรื่องที่บอกว่าจะไปต่อด้วยกัน แล้วเรื่องที่ว่าไม่ได้รู้สึกกับพี่อัยยแล้ว และแม้แต่เรื่องคนหัวชมพูคนนั้นที่ผมตกหลุมรัก มันมีอะไรจริงบ้าง”

 

“สมุทร มึงพูดอะไร...”

 

“กี่เรื่องกันที่ไม่ได้บอกความจริงกับผม ผม...อึก ผมเคยสงสัยว่าตัวเองมีค่าแค่ไหนในหัวใจพี่ ผมไม่เคยได้คำตอบเลย จนถึงเมื่อวานนี้ถึงได้รู้ ฮึก” พี่พระจันทร์ที่ช้อนตามองหน้ากันอย่างคนสับสน แววตาอ่อนล้าที่เหมือนกับว่ามันกำลังร้องขอ แต่ผมไม่รู้แล้ว ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่เค้าอยากจะบอกกัน ผมเอื้อมมือสั่นๆ ของตัวเองช้อนเข้าที่ใบหน้าหล่อนั่นไว้ทั้งสองมือ ก่อนที่น้ำตาของผมจะไหลลงมาอีกครั้ง

 

“สมุทร...ฟังกูก่อน”

 

“มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าผมได้ฟังมันก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ในเวลานี้ที่ผมไม่อยากฟังมันอีกแล้ว”

 

“สมุทร ขอร้อง” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเขา แต่ผมกลับส่ายหน้า มองเห็นน้ำตาใสๆ ไหลลงมาจากหางตาของคนตรงหน้า พี่พระจันทร์กำลังร้องไห้ แต่ผมไม่เข้าใจมันสักอย่าง ร้องทำไมล่ะ คนที่เจ็บปวดเสียใจจากการกระทำทั้งหมดมันคือผมนะ เพราะแบบนั้นเลยใช้ปลายนิ้วแตะลงที่ผิวแก้ม ปาดน้ำตาที่กำลังไหลของพี่พระจันทร์ให้หมดไป ผมยังคงอยากปกป้องเค้า ... แต่ในวันนี้ก็ได้ตระหนักรู้แล้วว่า ผมควรปกป้องตัวเองมากกว่าใคร

 

“ผมพึ่งรู้วันนี้เอง ว่าสู้กับอะไรมันก็ไม่ยากเท่ากับสู้กับคนในใจของพี่ ผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่ไม่เคยบอกรักกันเลย ทั้งๆ ที่บอกว่าจะเริ่มต้นกันใหม่ ทั้งๆ ที่มันเป็นคำตอบง่ายๆ ว่าก็เพราะไม่รักไง แต่ผมก็คิดไม่ได้” พี่พระจันทร์จ้องหน้ากันไม่วางตา แม้ว่าน้ำตาของเค้าจะยังคงไหลไม่หยุด ผมเองก็จ้องมองใบหน้าที่ผมชอบ คุณคนสวยขาในความฝันครั้งหนึ่งของน้องสมุทร

 

“สมุทร...ไม่ ไม่เอา กูไม่ได้โกหก กูชอบมึงจริงๆ” เค้าพูดออกมาแบบนั้น และเป็นผมที่ก็ยิ้มออกมานิดๆ ทั้งน้ำตา อย่างน้อยในตอนจบของเรา ผมเองก็อยากจะเป็นคนเดิมที่จะส่งยิ้มให้พี่พระจันทร์เสมอ

 

“แต่ก็ไม่รักใช่ไหมล่ะ พี่พระจันทร์พูดว่ารักน้องสมุทรไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

 

“กู...” เค้าพูดออกมาได้แค่นั้น และนั่นทำให้ผมแค่นยิ้มออกมาอีกนิดหน่อย

 

ต่อจากนี้ น้องสมุทรขอรักตัวเองบ้างนะ รักตัวเองแทนที่จะรักพี่...ถึงเวลาที่น้องสมุทร จะต้องดูแลความรู้สึกตัวเองแล้ว” พี่พระจันทร์นั่งอึ้งค้างกับคำพูดของผมอย่างคนสับสน แววตาของเค้าเศร้า ก่อนที่สุดท้ายผมจะโดนดึงรั้งเข้าไปในอ้อมกอดที่โหยหา ได้แต่เม้มปากกัดฟันแล้วร้องไห้เงียบๆ ต่อสู้กับหัวใจของตัวเองอย่างทรมาน วงแขนแข็งแกร่งของพี่พระจันทร์มันกำลังสั่นไหว มันเหมือนกับว่าตัวเค้าเองกำลังสั่น และน้ำตาอุ่นๆ จากดวงตาคมของเค้านั่นก็กำลังไหลลงมาที่บ่าให้ผมได้รู้ พี่พระจันทร์ดูหลุดจากการควบคุมของตัวเองไม่ต่างจากตัวผมเองในตอนนี้

 

ได้แค่หลับตานิ่งค้าง ซึมซับความอบอุ่นในอ้อมกอดนี้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ก่อนที่ในวันพรุ่งนี้ มันจะกลายเป็นควันจางๆ ที่หลงเหลือเอาไว้ได้แค่...ความทรงจำ

 

#รักอยู่รู้ยัง

---------------------------------

มาแล้วเธอจ๋า เรื่องราวดราม่าที่เธออยากได้ ฮื่ออออ

แคทหวังว่าตอนนี้จะเป็นตอนที่ทุกคนอินไปด้วยกัน ฝากโอบกอดหัวใจน้องสมุทรและพี่พระจันทร์ด้วยนะคะ

มากรีดร้องโวยวายกันได้ที่แฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ได้เช่นเคยนะคะ

แคทรออ่านข้อความจากทุกๆคนอยู่น้าาา

 
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่25 (110622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-06-2022 21:56:02
 :hao5: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่25 (110622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 12-06-2022 19:58:27
 :ling2:
ใจเราแค่ไม่เท่ากัน

น้องหมุดจะ Move on เป็นวงกลมไหม....ก่อนจะวนกลับไปหาอิพี่พระจันทร์ ขอบทแซ่บๆ+ผู้ใหม่โดนๆ เอาคืนอิพี่พระจันทร์แสบๆ หน่อยได้ไหมค่ะ คุณแคท ที่นางไม่เคยเห็นค่าน้องหมุด มากเท่าที่น้องหมุดให้ ไม่ใช่อิพี่พระจันทร์ไม่รู้สึก...แต่มันยังไม่มากพอที่จะใช่คำว่ารักกับน้อง ขอบทโบ้ให้นางเจ็บๆหน่อยค่ะ คนอ่านเคืองๆๆๆๆ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่25 (110622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 13-06-2022 23:51:56
ยังเบาไปขอหนักว่านี้อีก
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่25 (110622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 23-06-2022 13:19:54
เห็นด้วยกับการตัดสินของน้องสมุทร เอาคืนบ้างให้มาสาสมกับความใจร้ายของพระจันทร์ สู้ๆนะลูกแม๊ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่26 (250622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 25-06-2022 20:31:34

บทที่26

 

          ฝ่ามือที่กำลังจับแล้วควงแก้วเหล้าในมือเล่นอย่างใจลอย ในหูได้ยินเสียงเพลงคลอเอื่อยๆ กับบรรยากาศคุ้นชินที่รอบตัวมีแต่คนกลางคืนออกมาเที่ยวสนุก ใช้เวลาในช่วงกลางคืนเพลิดเพลินไปกับแสงสี เครื่องดื่มมึนเมา หรือแม้แต่ความต้องการส่วนลึกกับคนในประเภทเดียวกัน ภาพที่คุ้นชินไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากใส่ใจอะไรมากนัก และเพราะแบบนั้นเลยได้แต่นั่งใจลอย มองรอบตัวไปเรื่อยๆ อย่างคนกำลังใช้ความคิดที่ตัวเองก็หาคำตอบมาไม่ได้ในหลายอาทิตย์แล้ว

 

“เฮ้อ...น่าเบื่อจังวะ”

 

“เบื่อแล้วมานั่งหลบอะไรอยู่ที่นี่วะ วันพฤหัสก็ยังจะมาแดกเหล้านะ” เสียงเข้มๆ ที่ทำให้ต้องสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ คนมาใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญเป็นคนๆ เดียวกับที่ตัวเขาพยายามหลบหน้ามาหลายอาทิตย์ ไม่อยากจะเห็นหน้าหล่อๆ ของมันเลยให้ตาย

 

ไอ้สัด มาอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ

 

“เสือก” ตอบกลับออกไปแบบนั้นแล้วหันหน้าหนี ยกแก้วเหล้าออนเดอะร็อคที่สั่งมายกดื่ม แต่ยังไม่ทันได้กระดกดื่ม ก็ถูกมือดีของคนตรงหน้ายื่นมาหยิบออกไปจากมือซะแบบนั้น ขมวดคิ้วไม่พอใจแล้วช้อนตามองคนที่เอาแต่ยืนมองค้ำหัวกันอยู่ในตอนนี้

 

“นี่คือจะกวนตีนกู” เลิกคิ้วถามมันออกไปตรงๆ แบบนั้น แต่ไอ้สัดพี่ยอร์ช จมูกหมาปัญญาควาย ลมอะไรหอบมึงมาตรงนี้วะแม่ง ไม่น่ามาเจอกันเลย

 

“มึงหลบหน้ากู” มันถาม ส่วนผมแค่เสหน้าหนี

 

“สำคัญตัวผิดมากไหมให้ทาย ทำไมกูต้องหลบหน้าพี่มึงวะ” จริง...ทำไม กูทำแบบนั้นทำไม

 

เลื่อนสายตามองไปที่ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสวย ใบหูที่ประดับด้วยต่างหูแฟชั่น และการแต่งตัวสบายๆ ที่ทำให้มันดูหล่อฉิบหายแค่เสื้อเชิดแบรนดังกับกางเกงยีนส์สีซีด รวมๆ แล้วเท่ฉิบหายจนอยากข่วนหน้า ภาพความทรงจำเร่าร้อนบนรถย้อนกลับมาอีกครั้งเป็นฉากๆ ฉายเล่นซ้ำๆ จนต้องเม้มปาก

 

“อ๊ะๆ อ๊า..."

"เรียกชื่อกู ไอ้มาร์ช"

"อ๊า อึก พ..พี่ยอร์ช อึก..."

"เด็กดี อื้ม"

 


“กัดปากตัวเองทำไม อย่าทำ ปากมึงช้ำหมด” มันบอกแล้วก็ทำตามคำพูดของตัวเองทันที โดยที่ฝ่ามือหนาถูกยื่นตรงมาหาแล้วใช้หัวแม่มือมาสัมผัสที่ริมฝีปากกันอย่างถือวิสาสะ ใบหน้าหล่อที่ก็เลื่อนเข้ามาใกล้ เผลอสบตากับมันไปเต็มๆ ในตอนนี้ รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกันที่หน้าแก้ม มันใกล้ถึงขนาดนั้นเลย

 

“มาใกล้ทำเหี้ยอะไรนักหนา” สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ตั้งสติได้ก่อนจะผลักอกคนที่ก้มเข้ามาใกล้ให้ออกห่าง ดวงตาคมที่ผมอ่านไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไรจ้องมองตากันไม่เลิก มองอะไรนักหนา หน้ากูก็ไม่ได้เหมือนไอ้สมุทรสักหน่อย

 

“ใกล้กว่านี้กูก็เคย” มันพูดพร้อมทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวข้างๆ ถลึงตาขมวดคิ้วมองหน้าแต่อีกคนแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วยักไหล่อย่างสบายอกสบายใจกับการกระทำของตัวเอง

 

“ใกล้แค่นั้นจะอวดเพื่อ คนได้ใกล้กูมากกว่านี้มันยังไม่กล้าอวดเลย”

 

“ใคร”

 

“แล้วเสือกอะไรไม่ทราบ” ปรายตามองมัน ที่ตอนนี้คนข้างตัวก็หันหน้ามามองกัน วูบนึงที่สายตาคมๆ นั่นจ้องตรงมาเขม็ง มองเห็นสายตาวาวโรจน์ที่ส่งมาวูบนึง รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งสันหลัง แต่มันก็แค่วูบเดียวเท่านั้นที่ได้เห็น

 

“ปากมึงดีอยู่นะ” อยากจะตอบกลับไปว่า ก็ดีจริงไม่ใช่หรือไง แต่คิดเอาไว้ว่าควรเงียบปากไปแล้วไม่ต้องพูดถึงมันอีกจะดีกว่า...

 

“พี่มึงมีอะไรกับกูกันแน่วะ” เปลี่ยนเรื่องที่จะพูดกับมัน เลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับคนตรงหน้า เราก็ไม่ได้มีเรื่องมากมายให้เสวนาไม่ใช่หรือไง ส่วนใหญ่ก็แค่เรื่องของไอ้สมุทร

 

“แต่ถ้าจะมาพูดเรื่องไอ้สมุทรก็ขอที ชีวิตมันตอนนี้กำลังดี มึงแทรกไม่ได้หรอก”

 

“แล้วทำไมกูต้องมาพูดเรื่องไอ้สมุทรวะ กูมาหามึงเฉยๆ ไม่ได้หรือไง”

 

“ก็ปกติมึงมาถามหาเรื่องไอ้สมุทรกับกูไหมล่ะ แล้วอีกอย่าง จะอยากมาหากูเพื่อ”

 

“ก็มึงหลบหน้ากู ถามจริงเหอะมึงเป็นอะไร” มันสวนกลับมา พร้อมสายตามองนิ่ง สายตาท่าทางที่ตั้งแต่เจอกันผมไม่อยากจะมองตามันมากที่สุด ... นั่นสิกูเป็นอะไร

 

“ถ้ามึงโกรธกูเรื่องที่ไม่ไปเอารถวันนั้น โอเค กูขอโทษ วันนั้นกูกลับมาจากส่งไอ้สมุทรมาหามึง มึงก็ไม่อยู่ห้องแล้ว กูไปส่งมันเฉยๆ แล้วกลับมาเลย ไม่ได้ทำไรมากกว่านะจริงๆ นะมึง แต่ถ้าจะต้องให้กูพูดอีกที กูก็จะบอกมึงว่ากูขอโทษมาร์ช กูคิดน้อย กูเหี้ยเองแบบมึงว่าแหล่ะ กูขอโทษที่ไม่รักษาสัญญา” มันว่าออกมาแบบนั้น สายตาที่กำลังบอกผมว่ามันขอโทษจริงๆ แต่นั่นล่ะ เรื่องนี้ก็ทำให้ผมหัวเสียกับตัวเองมาตลอดเหมือนกัน มันก็แค่คนๆ นึงที่ผมไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจกับความไม่รักษาสัญญานี้เลย ทำไมวะ ทำไมผมต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้น

 

“มาร์ช...”

 

“เออ ช่างเหอะ” เลือกที่จะไม่คิดต่อแล้วตอบกลับออกไปแบบนั้น เราสองคนมันเหมือนคนที่สนิทกัน แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้สนิทอะไร เหมือนมีเส้นบางๆ ที่คลุมเคลือในความสัมพันธ์นี้อยู่ แต่ถ้าข้ามมันไป ...เออช่างเถอะ ผมไม่ควรสงสัย หรืออยากได้คำตอบอะไรจากตัวเองมากไปกว่านี้ เรื่องบางอย่าง เราก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบมากขนาดนั้น ยิ่งชัดเจน มันจะยิ่งน่ากังวล

 

เหมือนกับคำถามที่ว่า ผมรู้สึกแย่อะไรนักหนา กับอิแค่มันที่อยากใช้เวลาอยู่กับไอ้สมุทรแล้วลืมสัญญาที่ให้กัน กับแค่คนที่ไม่สนิทมากขนาดนั้น จะโกรธอะไร... หรือเพราะความสัมพันธ์ทางกายที่เคยมีในคืนนั้นมันเลยทำให้เป็นแบบนี้

 

ไม่! ... กูไม่ได้อ่อนขนาดนั้น ... หัวสมองของผมมันเอาแต่บอกแบบนี้ เพราะแบบนั้นเลยทำแค่ถอนหายใจออกอย่างแรงแล้วเลือกที่จะดึงแก้วเหล้าที่อยู่ในมือของมันขึ้นมากระดกไปที ก่อนจะยอมหันกลับไปจ้องตาคนที่นั่งมองกันอยู่นานแล้ว

 

“ไม่มีอะไร กูไม่ได้หลบหน้าพี่มึงหรอก กูจะทำแบบนั้นทำไมวะ”

 

“นั่นสิ มึงจะทำทำไม”

 

“กูไม่ได้ทำ ... กูก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว กินขี้ปี้นอนเที่ยว อย่าสนใจเลยว่ะ” พยายามทำบรรยากาศระหว่างผมกับมันให้กลับมาดีด้วยการยกยิ้มตอบมัน กวักมือเรียกพนักงานแล้วสั่งเหล้าแรงๆ บาดคอไปอีกแก้วเพื่อให้มัน

 

“ผมเลี้ยงเอง โทษฐานที่ทำให้มึงวิ่งตามหาเหมือนหมาบ้า”

 

“ปากดีนะมึงอ่ะ”

 

“พูดสิว่ามึงไม่ได้วิ่งตามกู” เลื่อนมือไปตบลงข้างแก้มมันเบาๆ สองที ช้อนตามองคนที่ก้มหน้ามองสบตาตอบกันในตอนนี้ มีประกายบางอย่างสะท้อนมันอยู่ในดวงตาของเราสองคน แต่เป็นผมอีกเช่นเคยที่เลือกจะผละหนี แล้วเมินสายตามันไป

 

“อะ ชน...กูเลี้ยงเองเลยนะ แดก”

 

“เหอะ” มันแค้นหัวเราะออกมาหน่อยๆ แต่ถึงแบบนั้นก็รับแก้วเหล้าชงใหม่ที่ผมพึ่งสั่งให้ไว้ ก่อนจะยื่นแก้วมาชนกัน ความรู้สึกในอกมันสั่นไหวตอนที่เราเอาแต่นั่งใกล้ ช่วงเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ เราสองคนทำบรรยากาศให้ผ่านไปอย่างไม่อึดอัด แล้วไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่จากการนั่งคนละที่จากโซฟาข้างตัว ถูกเปลี่ยนขยับมาอยู่ข้างกาย ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดอยู่ที่ข้างหู ตามมาด้วยเสียงกระซิบแผ่วๆ ที่ทำให้ต้องละสายตาขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

 

“อะไร” ปลายจมูกที่ชนกันของเรา ทำให้ผมผงะเล็กน้อย ใครให้ไถหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้วะ ถอยหน้าหนี แต่ไอ้รุ่นพี่ตรงหน้าก็ยังจ้องเขม็งอยู่ที่โทรศัพท์ของผม

 

“มึงทำอะไร สนใจเหี้ยอะไรกับโทรศัพท์นั่นนักหนาวะ” มันว่าออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางหงุดหงิดเล็กๆ

 

“หาแมทกับคน”

 

“แมทอะไรวะ” ขมวดคิ้วอีกนิด แล้วเลื่อนสายตามามองหน้าผม เห็นแบบนั้นเลยยกมือขึ้นดันอกของมันให้ขยับตัวออกห่าง และอีกฝ่ายก็ยอมทำตามอย่างง่ายดาย แม้ว่าหัวคิ้วสวยจะยังคงย่นเข้าหากันก็ตาม

 

“แอพนัดเย เหมือนกูจะเคยเล่าให้พี่มึงฟังนะว่ากูเล่นอยู่” ตอบออกไปแบบนั้น มันก็ทำแค่พยักหน้า สีหน้าที่กำลังบอกผมได้ว่ามันกำลังครุ่นคิดอย่างนัก สงสัยจะนึกไม่ออกล่ะมั้งว่าผมเคยเล่าให้ฟังตอนไหน

 

“ว่าแต่มึงจะหาคนมานอนด้วยในคืนนี้หรอ”

 

“อืม...ก็ปกติเปล่าวะ” ยักไหล่นิดๆ ทำท่าทีไม่สนใจ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็รู้สึกแปลกๆ และเพราะความรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ที่ผมอธิบายกับตัวเองไม่ได้ มันเลยทำให้ผมต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่จะต้องเดินหน้า และถอยห่างจากไอ้คนที่กำลังขมวดคิ้วไม่เลิกนี่

 

“แล้วมึงแมทกับใครยัง”

 

“ยังนะ” ส่ายหัวตอบมันกลับไป ก็ยังไม่เห็นจะเจอใครที่แมทกันในตอนนี้เลย แต่ปกติ ถ้ามาร้านแบบนี้ ยังไงก็ต้องเจอแหล่ะ

 

“แล้วเวลามึงเล่นแอพนี่ มันบอกหน้าตาคนเปล่าวะ”

 

“ก็แล้วแต่ บางคนก็ใส่รูปตัวเอง บางคนก็ใส่รูปอื่น แต่ปกติเวลาจะเจอกันก็คุยกันก่อน มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นเปล่าวะ ก็แค่คนสองคนอยากปล่อยน้ำ” ผมตอบกลับไป ไม่ได้โลกสวยอะไร ก็เรื่องปกติที่เกิดขึ้นจนชินตา พี่ยอร์ชพยักหน้านิดๆ แล้วยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ผมมองการกระทำของมันอย่างไม่เข้าใจ

 

“มองอะไรกู”

 

“ก็เปล่าหรอก แต่พอบอกจะเลี้ยงพี่มึงก็แดกแบบไม่เกรงอกเกรงใจกูเลยนะครับ” แกล้งว่ามันออกไปแบบนั้นแล้วปรายตาไปมองขวดเหล้าบลูเลเบิ้ลที่หายไปมากกว่าครึ่ง ก็คิดดูว่าเราสองคนจะมึนเมามากขนาดไหน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูเมามากขนาดนั้นนะ

 

“มึงยังไม่แมทกับใครใช่ไหม” มันถามย้ำออกมาอีกครั้ง ผมถอนหายใจแล้วยกโทรศัพท์ให้มันดู

 

“ยัง เซ้าซี้ไรนักวะพี่ มึงกลัวไม่มีเพื่อนกินเหล้าหรอ”

 

“ก็คงงั้น”

 

“เออๆ ยังๆ กูยังอยู่แดกเป็นเพื่อนมึงนี่แหล่ะ แต่ถ้ามีกูไปแบบไม่ลา จำ” เอื้อมมือตบบ่ามันเบาๆ แล้วยกยิ้มให้ สายตาคมของคนข้างตัวที่ปรายตามามองกันนิดๆ ก่อนที่มันจะหันมาหาผมทั้งตัวแล้วขยับตัวเลื่อนเข้าหาอีกครั้ง บรรยากาศสลัวๆ และเสียงดังๆ รอบตัวในตอนนี้เหมือนจะเงียบหายไปเมื่อมีมันอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ ใกล้ในระยะที่ว่าผมต้องยกมือขึ้นมาดันอกแกร่งของมันเอาไว้

 

“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บ...”

 

“อะ เออๆ” ตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก เหมือนคนที่ตามหาเสียงตัวเองไม่เจอ ไอ้พี่ยอร์ชที่ใช้สายตากวาดไปทั่วใบหน้าของผม จากดวงตา มาที่ปลายจมูก ก่อนที่สายตามันจะอ้อยอิ่งอยู่ที่รูปปากของผม และหลังจากที่ผมตอบกลับไปแบบนั้น มันก็ย้ายสายตาคมนั่นกลับมาจ้องตากัน พร้อมยกยิ้มมุมปากแบบชอบใจ ก่อนจะผละตัวออกไปทั้งแบบนั้น

 

ตึกตักๆ เสียงหัวใจไม่รักดีก็ดังขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นจับที่หน้าอก เต้นอะไรของมันวะแม่ง

 

ส่วนไอ้บ้านั่น แค่จะไปห้องน้ำแล้วเป็นห่าอะไรทำไมต้องท่ามากขนาดนั้นวะแม่ง หงุดหงิดจนต้องยกนิ้วกลางส่งไล่หลังไปให้มัน แต่ถึงแบบนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้หรอก ... ผมละสายตาจากมันแล้วมานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ ตัวแทน เพลงที่เริ่มเข้าสู่จังหวะเอื่อยๆ เพราะเริ่มดึกแล้วในตอนนี้ เหล่านักท่องราตรีที่ไม่มีคำว่าดึกยังคงโยกย้ายไปตามเสียงเพลง นั่นรวมถึงตัวผมด้วยที่ก็โยกหัวไปตามจังหวะเพลงเบาๆ ในตอนนี้

 

‘ครืด’

 

เสียงสัญญาณแจ้งจากมือถือทำให้ต้องเลิกคิ้วมอง ก่อนที่แอพนัดเยนั่นจะเด้งขึ้นมาบอกว่าผมได้แมทกับใครบางคนแล้วในตอนนี้ ภาพโปรไฟล์ที่ไม่ได้ใช้รูปจริงนั่นทำให้ต้องเลิกคิ้ว


 
‘ดีลไหมคืนนี้’

 

เป็นอีกฝ่ายที่ทักมาก่อน เจ้าของรูปภาพโปรไฟล์รูปเรือที่ลอยอยู่ในทะเล ผมช่างใจอยู่สักพัก ก่อนที่สุดท้ายจะค่อยๆ ขยับนิ้วพิมพ์ตอบข้อความสั้นๆ นั่นกลับไป

 

‘ดีล’

 

อย่างน้อยก็ถอยออกไปจากตรงนี้ แล้วไปใช้ชีวิตในแบบปกติที่ไม่คิดอะไรมากเหมือนแบบที่ตัวกูเคยเป็นจะดีกว่าไอ้มาร์ช ...ใช่ มึงทำถูกแล้ว

 

“นั่งเหม่ออะไรวะมึง” เสียงของคนที่กลับมาจากห้องน้ำทำเอาผมสะดุ้ง ช้อนตามองดวงตาคมนั่นอีกครั้ง พี่มันหล่อ หล่อเกินไปจริงๆ นั่นแหล่ะ หลายครั้งก็เคยสงสัยว่าทำไมไอ้สมุทรถึงไม่ชอบให้มันจบๆ ไปวะ แต่เรื่องของหัวใจมันซับซ้อน ผมเข้าใจดี มันซับซ้อนพอๆ กับดวงตาคมคู่นี้ที่กำลังจ้องตอบผมเช่นกัน

 

“เปล่า แต่กูมีดีลแล้วว่ะคืนนี้”

 

“หมายถึง”

 

“กูแมทคนในแอพได้ละ คงต้องขอตัวให้คนเปลี่ยวเหงาแบบมึงไปตามทางนะครับ” บอกมันแบบนั้นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเอง ส่วนคนตรงหน้าก็ไม่แม้แต่จะนั่งลง มันยังคงเอาแต่จับจ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น

 

“เดี๋ยวกูจ่ายเงินไว้ให้ละกันพี่”

 

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูจ่ายเอง”

 

“ได้ไง กูบอกไปแล้วนี่ว่าจะเลี้ยง”

 

“แค่นี้สบาย กูจ่ายได้ ... แต่มึงน่ะแน่ใจนะว่าจะไปนัดนั่น” มันถามแล้วมองไปที่มือถือของผม ภาพหน้าจอยังค้างอยู่ที่แอพนั่นที่ล่าสุดเป็นข้อความจากคนที่นัดกัน ที่บอกสถานที่เอาไว้ว่าจะเจอกันที่ไหน

 

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูจะไม่ไป”

 

“แล้วถ้ามึงเจอคนไม่ตรงไทป์จะทำไงวะ”

 

“ก็แค่เอาไหม จะคิดไรมากขนาดนั้น มันก็แค่เรื่องคืนเดียวเปล่าว่ะ” ผมยิ้มนิดๆ แล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ โดยปกติผมจะนัดกับคนที่ไปก่อนว่าทำอะไรได้แค่ไหน เป็นแบบไหน แต่ในคืนนี้ ตอนนี้ ผมแค่ต้องการพาตัวเองออกไปให้ห่างจากคนตรงหน้าให้ได้ก่อนก็แค่นั้น

 

“งั้นหรอ” มันถามออกมาเบาๆ สายตาซับซ้อนที่ผมไม่เข้าใจ ยังคงจ้องตากันไม่เลิก

 

“อืม...ไปละ”

 

“เจอกัน” มันบอกแบบนั้น เราสองคนที่จ้องตากันอีกครั้ง ความรู้สึกวูบวาบบางอย่างแล่นขึ้นมาที่อกจนทำให้ผมต้องเสหน้าหนี เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นๆ กับสายตาของอีกคน ไม่ได้การละ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ผมเสหน้าหนีและในตอนที่กำลังจะก้าวเดินออกมา ก็นึกบางอย่างขึ้นได้เลยหันกลับไปหา มันที่ยืนกอดอกมองกันอยู่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ในตอนนี้

 

“พี่มึงรู้ไหม ตอนนี้ไอ้สมุทรกับพี่พระจันทร์มันเลิกกันแล้ว”

 

“หื้ม” สีหน้าที่ดูแปลกใจหน่อยๆ ของมันแสดงออกมาให้เห็นในตอนนี้

 

“แล้วมาบอกกูทำไมวะ”

 

“ก็คิดว่า เผื่อมึงอยากจะเสียบน่ะนะ”

 

“อ่อ...”

 

“กูไปล่ะ” แล้วก้าวเดินออกมาจากที่ตรงนี้ ปล่อยให้ไอ้พี่ยอร์ชยืนอยู่ตรงนั้น เป็นเพียงเบื้องหลังของความรู้สึกบางอย่าง ที่ทิ้งไว้โดยไม่ไปแตะต้องหรือค้นหาคำตอบของความรู้สึกตัวเอง รวมถึงคำพูดแปลกๆ ของมันในประโยคสุดท้ายที่ได้ยินนั่นด้วย

 

“กูเสียบแน่”

 

...

 
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่26 (250622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 25-06-2022 20:32:18

           ช่วงเวลาห้าโมงเย็นของวันศุกร์ยังคงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจที่ดังไปทั่วหอประชุมของคณะ เพราะว่าวันนี้ทั้งสี่ชั้นปีของเอกเรามีนัดประชุมจากอาจารย์หัวหน้าสาขา และเพราะการนัดรวมกันในครั้งนี้ ทำให้ได้เจอรุ่นพี่และสายรหัสกันให้วุ่นวาย เสียงดังจากการทักทายและพูดคุยเฮฮาเหล่านั้นไม่ได้ทำให้น้องสมุทรสนใจมากไปกว่าเสียงพูดคุยของกลุ่มเพื่อนสนิทที่ดังเซ้าซี้อยู่ข้างตัว

 

“ไอ้สมุทร มึงอยากไปกินหวานเย็นไหมตอนเลิก”

 

“บ้านนอกฉิบหาย ไอตงไอติมบิงซงบิงซูก็เรียกได้ไหม มาเรียกหวานเย็นอะไร มึงโบราณอยู่นะไอ้จิม”

 

“ไม่ค่อนแคะกูสักวันมึงจะตายห่าหรอสัดเฮง”

 

“หรือมึงอยากกินปิ้งย่าง ไปไหมกูเลี้ยงเอง”

 

“เออๆ ไอ้เฮงบอกจะเลี้ยงเราต้องไปแล้วนะเว้ยเพื่อน”

 

“กูจะเลี้ยงไอ้สมุทรคนเดียว มึงจ่ายเอง”

 

“โหยยย คำว่าเพื่อนอ่ะสัดเฮง~~~”

 

ผมหันหน้าไปมองหน้าพวกมันที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือ แล้วก็เอาแต่เถียงกันไม่เลิก ได้แต่ถอนหายใจออกมานิดหน่อยในตอนที่มองหน้าพวกมัน ไล่สายตามองไอ้จิมที่พยักหน้ายิ้มกว้างส่งมาให้ ไอ้เฮงที่ยื่นหน้าข้ามตัวไอ้จิมมาหาแถมมองมาแบบคนกำลังลุ้นเต็มที่ รู้ดีกว่าใครเลยว่าไอ้พวกนี้เป็นอะไร

 

“พวกมึงไม่ต้องพยายามขนาดนี้ก็ได้” ผมบอกออกไปแบบนั้นแล้วส่งยิ้มบางๆ ไปให้พวกมันที่ทำหน้าตาแบบไม่เชื่อกลับมาให้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังตอบรับกลับมา

 

“เห้ย! เพื่อนหมุดใครว่ามึงเป็นอะไรวะเพื่อน”

 

“จริง ใครคิดแบบนั้น พวกกูเปล่าเลยนะ” ไอ้จิมเถียงต่อจากไอ้เฮงออกมาแล้วทำสายตาล่อกแล่ก มองจากดาวอังคารก็รู้ว่ามันโกหก ผมรู้ดีว่าเพื่อนๆ คงกลัวว่าจะเศร้า พวกมันถึงพยายามมาอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ชวนทำนั่นทำนี่ไม่เลิกมาเป็นอาทิตย์แล้ว

 

ใช่ เรื่องราวหลังจากวันนั้นมันก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว

 

เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ผมไม่ได้รับรู้เรื่องราวของอีกฝ่าย เราสองคนหายจากกันไปเหมือนเรื่องราวหลายเดือนก่อนหน้าเป็นแค่เรื่องโกหก ผมไม่ได้เดินกลับเข้าไปในวงโคจรของพี่พระจันทร์อีก และนั่นทำให้รู้ตัวว่า ตลอดมามีแต่ผมที่วิ่งเข้าไปหา เราถึงเหมือนได้อยู่ใกล้กันขนาดนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย เราไม่เคยใกล้กัน แต่มันเป็นเพราะผมที่ พยายามยัดเยียดตัวเองเข้าไปเสมอต่างหาก พอถอยหลังออกมาในตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ตลอดมามันไม่มีจริง

 

“ไอ้สมุทร มึงโอเคแน่นะ” เป็นเสียงของไอ้มาร์ช มันที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากพนักพิงด้วยสภาพหัวยุ่งๆ วันนี้ตั้งแต่เช้ามันก็เอาแต่นอน ไม่รู้เมื่อคืนไปอดหลับอดนอนมาจากไหนของมันนักหนา

 

“กูโอเค”

 

“แต่กูว่ามึงไม่โอเค”

 

“ก่อนจะว่ากูไม่โอเค มึงน่ะดูตัวเองก่อน กูว่ามึงไม่โอเคกว่ากูอีกมาร์ช” สบตากับมันแล้วพูดออกไปตามใจคิด สภาพมันดูเหนื่อยๆ มากกว่าทุกที ขอบตาก็คล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน

 

“กูไม่ได้เป็นอะไร” มันตอบกลับผมมาเบาๆ แล้วเสหน้าหนี ท่าทางที่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ที่เหมือนมีอะไรปิดบังเอาไว้อยู่แบบนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ และพอผมพูดออกไปแบบนั้น ไอ้มาร์ชก็แค่เสหน้าหนีแล้วพูดออกมาเบาๆว่า

 

“ไม่มีอะไร”

 

‘ตึกๆ’

 

เสียงเคาะไมค์เรียกสายตาและความสนใจของคนทั้งหอประชุมไปทางหน้าเวทีได้เป็นอย่างดี อาจารย์หัวหน้าสาขาของเรา รวมถึงบรรดาอาจารย์ในคณะทั้งหลายต่างมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้

 

“大家好 ,今天老师有很多的事儿告诉你们。。。” (สวัสดีนักศึกษาทุกคน ในวันนี้อาจารย์มีเรื่องหลายเรื่องที่อยากจะมาบอกเล่ากับพวกเธอ...)

 

เสียงสำเนียงจีนที่ดังมาจากเหล่าซือหัวหน้าสาขาที่กำลังบรรยายเรื่องราวที่ต้องการบอกเล่าในวันนี้ จริงๆ แล้วเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักศึกษาปี1อย่างพวกเรามากนัก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังถูกเรียกตัวเข้ามาฟังร่วมกับรุ่นพี่ในเอก ผมปรายมามองไอ้จิมกับไอ้เฮงที่ตอนนี้ที่กำลังหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์ ส่วนไอ้มาร์ชก็เริ่มกลับไปนั่งสัปหงกอีกแล้วในตอนนี้

 

“你们明白了吗?” (ทุกคนเข้าใจแล้วใช่ไหม)

 

“好” (ครับ/ค่า)

 

“ok…所以今天没事儿了,回家吧” (โอเค งั้นวันก็หมดเรื่องแล้วล่ะ กลับบ้านได้จ๊ะ)

 

“谢谢老师。” (ขอบคุณค่ะ/ครับอาจารย์)

 

เสียงการบรรยายที่กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมงจบลงแค่ตรงนี้ บรรดานักศึกษาทั้งสี่ชั้นปีทยอยลุกออกจากที่นั่ง บางคนก็ยังยืนพูดคุยกับเพื่อนหรือรุ่นพี่เกี่ยวกับเรื่องราวที่พึ่งฟังบรรยายจบไป ส่วนตัวผมก็หันไปสะกิดปลุกไอ้มาร์ชให้มันตื่นและกลับบ้านสักที แต่ก่อนที่จะได้ลุกออกไป ก็ถูกสะกิดที่หัวไหล่จากทางด้านหลังเข้าสะก่อน

 

“ไอ้น้องรัก” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังพนักเก้าอี้ยิ้มกว้างออกมาอย่างเท่ ผู้ชายหน้าตาดีมีดรีกรีเป็นพี่รหัสของผมที่ยืนทำหน้าหล่อแล้วฉีกยิ้มกว้างๆ ให้ได้เห็นอยู่ในตอนนี้ คนที่ไม่ได้เจอกันมานานแทบจะทั้งเทอม

 

“เห้ยพี่เดส”

 

“กูชื่อเอสไอ้สัด เลิกเอาชื่อกูไปรวมกับไอ้พี่โด๊สสักทีเหอะ มึงกวนตีนจังวะ”

 

“ฮ่า หยอกน่า” ยกมือไหว้พี่มันเป็นเชิงล้อเล่น ส่วนอีกคนก็ทำแค่ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ

 

“หายหน้าหายตาไปเลยนะมึง”

 

“ผมต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้น เป็นพี่รหัสภาษาไรวะ ไม่เคยคิดจะมาดูแลกันเลย” เบ้ปากใส่ ส่วนพี่มันก็แค่ส่ายหน้าขำๆ กับท่าทีของผม

 

“มากับกู เดี๋ยววันนี้กูดูแลเองไอ้ลูกหมา มึงจะกลับยัง”

 

“ก็กำลังจะกลับนะ”

 

“งั้นดี เดี๋ยวกูไปส่งเอง”

 

“ดีเลย ผมจะได้ไม่ต้องเสียค่าบีทีเอสกลับเอง แพงฉิบหายอ่ะ”

 

“มึงกลับกับพี่เอสใช่เปล่าไอ้หมุด” ไอ้มาร์ชที่ลุกขึ้นยืนแล้วถามแทรกเข้ามา ปรายตามองเห็นพี่เอสมองไอ้มาร์ชที่สภาพมึนๆ งงๆ นั่นอย่างแปลกใจ ส่วนผมแค่พยักหน้าตอบรับมันน้อยๆ

 

“ดี งั้นฝากมันด้วยนะพี่ พาเพื่อนผมกลับดีๆ ล่ะ”

 

“เออ ฝากมันด้วยนะพี่ มันต้องการการดูแลเป็นอย่างดี” ไอ้จิมว่าออกมาสัมทับ พร้อมพยักหน้าหงึกหงักอย่างมุ่งมั่น ท่าทางที่ทำให้ผมรู้สึกอายตัวเองขึ้นมาหน่อยๆ

 

“เออๆ กูดูแลมันเอง ส่วนพวกมึงก็กลับกันดีๆ ล่ะ เอ้อแล้วมึงอ่ะก็ดูแลตัวเองดีๆ ไอ้มาร์ช” พี่เอสหันไปบอกไอ้เฮงกับไอ้จิมในตอนแรก ก่อนสุดท้ายจะหันหน้ามามองไอ้มาร์ชตรงๆ สายตาที่บอกว่าพี่เค้าเป็นห่วงมันจริงๆ

 

“สบ๊าย” มันว่าแบบนั้นด้วยเสียงสูงๆ พร้อมยักคิ้วส่งไปให้พี่เค้านิดๆ ท่าทางที่บอกว่าตัวเองกำลังสบาย สวนทางกับสภาพร่างกายของมันที่กำลังเดินออกไปช้าๆ พร้อมๆ กับไอ้เพื่อนของผมอีกสองคน

 

“งั้นมึงกลับเลยไหม”

 

“กลับเลยพี่” ตอบรับแบบนั้นแล้วเดินตามหลังพี่เอสออกไป พี่รหัสที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก ครั้งสุดท้ายที่เจอคงเป็นเลี้ยงสายรหัสเมื่อตอนเปิดเทอม

 

“ไอ้หมุด กูถามอะไรหน่อยได้ไหมวะ” หันหน้าไปมองคนที่เดินมาด้วยกันนิดๆ ก่อนพยักหน้าตอบรับ

 

“เรื่องพี่พระจันทร์หรอ”

 

“มึงลำบากใจที่จะตอบหรือเปล่า” เค้าที่ทำสีหน้าไม่สู้ดี เหมือนว่าอยากรู้แต่พอถามก็รู้สึกไม่ดี แต่ถึงแบบนั้นผมก็ส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้

 

“ไม่ได้ลำบากใจ พี่จะถามเรื่องอะไรล่ะ”

 

“คือกูเห็นคนพูดกันทั้งคณะว่ามึงกับเค้าเลิกกัน เอาจริงๆ กูก็ตกใจตั้งแต่วันที่มึงไปจูบเค้าวันนั้นแล้วนะ ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดกันมาถึงวันนี้ แล้วยิ่งมาเห็นมึงวันนี้...”

 

“ผมวันนี้มันทำไมหรอ” ถามออกไปแบบนั้นก็ได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่รหัสตัวเองชัดๆ

 

“มึงเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนน้องรหัสที่สดใสของกูคนนั้นเลยรู้หรือเปล่า”

 

“ผมว่าผมไม่ได้เป็นอะไรนะ” อยากน้อยในทุกๆ วันที่ผ่านมา ผมก็ยังคงใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างปกติ พยายามนึกถึงเรื่องของพี่พระจันทร์ให้น้อยลง แม้ว่ามันจะทำได้ยาก แต่ถ้าใน24ชั่วโมงที่ต้องนึกถึงเค้าตลอด ตอนนี้ผมก็ลดลงมาเหลือแค่23ชั่วโมงได้แล้วล่ะ

 

“แต่สีหน้ามึงไม่ได้เป็นแบบนั้น สีหน้ามึงมันทุกข์มากนะ”

 

“ผมไม่...”

 

“ไม่ต้องตอบคำถามกูก็ได้ ตอบใจมึงเองก็พอ การจมอยู่กับอะไรเก่าๆ บางทีมันก็ทำให้มึงเดินหน้าไม่ได้ กูจำคำพูดมึงวันเลี้ยงสายได้”

 

“ผมพูดอะไรวะ...”

 

“มึงบอกมึงชอบเค้ามานาน นานมากๆ และก็ตามมาเรียนที่นี่เพราะเค้าเหมือนกัน ... กูขอพูดในฐานะพี่นะไอ้สมุทร ถ้าตลอดเวลามึงทำทุกอย่างเพื่อเค้าขนาดนั้น มึงไม่ลองเปลี่ยนมาทำเพื่อตัวเองดูบ้างวะ”

 

“พี่หมายถึงอะไร” ช้อนตามองสบตากับคนตรงหน้า รู้สึกได้ว่าดวงตาของตัวเองมันกำลังสั่นไหวไม่ต่างจากหัวใจของผมที่กำลังเต้นรัว ความรู้สึกบีบรัดที่พยายามข่มมันเอาไว้ตลอดทั้งอาทิตย์เหมือนมันจะแสบร้อนขึ้นมาอีกแล้ว แผลเก่าที่ยังไม่หายสนิท มันก็เจ็บได้ง่ายแบบนี้

 

“เอกสารนี่ ไม่ลองไปคิดดูวะ...กูก็ไปนะ ถ้ามึงไป อาจเจออะไรใหม่ๆ แล้วทำให้มึงลืมเค้าก็ได้นะ”

 

“พี่หมายถึงให้ผมไป..”

 

“กูก็แค่พูดในฐานะพี่ ที่ครั้งนึงกูก็เคยเจ็บเพราะอกหักมาเหมือนกัน” เขาว่าออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มออกมานิดหน่อย เอกสารที่พี่เอสยื่นมาให้กัน ผมรับมันเอาไว้ ก้มหน้ามองช่องกรอกชื่อที่จะต้องใส่ลงไป ... ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าพี่เอสอีกครั้ง เค้าแย่ส่งยิ้มให้กันแล้วเดินนำหน้าไป ผมถอนหายใจกับเอกสารนี่นิดๆ

 

ตั้งใจว่าจะเดินตามไปแต่สายตาก็บังเอิญมองเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่ข้างๆ ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคาร คนร่างสูงในชุดนักศึกษาที่แตกต่างไปจากทุกที ใบหน้าที่ดูอ่อนแรงและเหนื่อยอ่อน เค้ายืนหลบมุมแอบๆ อยู่ตรงนั้น ในมือที่ถือแก้วน้ำจากร้านที่ผมรู้จักดี ‘แก้วน้ำเขียวโซดา’ ที่ในตอนนี้ น้ำแข็งละลายจนระเหยกลายเป็นไอน้ำเกาะอยู่ที่ขอบแก้ว ไอน้ำที่หยดลงกับพื้น พร้อมๆ กับดวงตาคมที่ฉายแววอ่อนล้ากำลังมองมาที่ผม สายตาที่มองกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ และช่างใจ เราสบตากันหลังจากที่ไม่ได้เห็นกันมาเป็นอาทิตย์

 

พี่พระจันทร์ในวันนี้ต่างจากที่ผมเคยเจอมาก ขายาวที่ทำท่าจะขยับเดินออกมา แต่เป็นผมที่ขยับก้าวถอยหลัง ผมคิดว่าผมเข้มแข็งและไม่เป็นไร แต่แค่มองเห็นหน้าเค้าไกลๆ จากตรงนี้ความเจ็บก็ตีตื้นขึ้นมาอีกแล้ว ผมบอกตัวเองว่าควรตัดใจ แต่สุดท้ายแล้วการตัดใจจากคนที่รักมาตลอด มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น ... และในขณะเดียวกัน เค้าที่เห็นผมก้าวถอยหลังหนีก็หยุดชะงักก้าวของตัวเองเช่นกัน สีหน้าไม่สู้ดียิ่งดูเศร้ายิ่งกว่าเคย ผมไม่เข้าใจเลย เค้าจะดูเสียใจมากมายขนาดนี้ทำไม เพราะสุดท้ายคนที่ทำให้เราต้องกลายมาเป็นแบบนี้ ก็คือตัวเค้าเอง

 

บางที ... ผมควรรับข้อเสนอของพี่เอส ได้แต่กระชับเอกสารในมือจนมันยับไปหมด ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจถอนหายตาออกจากอีกฝ่าย คนที่ผมอยากมีเค้าไว้ในสายตาตัวเองมาตลอด ตัดสินใจหันหลังเดินหนีทิ้งเค้าเอาไว้ทั้งแบบนั้น ไม่อยากเห็นอีกแล้ว ไม่อยากรู้สึกไปมากกว่านี้แล้ว

 

จะทำท่าเสียใจเหมือนความรักมันพังลงทำไม ทั้งที่จริงแล้วเค้าก็เป็นคนปาความรักที่ผมให้ทิ้งไปเองกับมือ... .

 

#รักอยู่รู้ยัง

----------------------------

เอ๊ะไหม เอ๊ะไหมเอ่ยยยย มีใครเอ๊ะในจุดไหนไหมน้าาา อยากให้คนอ่านเอ๊ะไปด้วยกัน

และขอโทษจริงๆที่หายไปหนึ่งอาทิตย์เลย แคทจะเฉลยให้ฟังว่าทำไมแคทหายไปนะคะ

คือสภาพโน๊ตบุ๊คที่ตีลังกาลงจากโต๊ะทำงานจนจอแตกยับค่ะ ฮื่ออ ตอนนี้เลยใช้คอมPCอีแก่ทำงานค่ะ มันเลยช้า

เพราะฉะนั้นขออนุญาตขายของหาเงินมาซ่อมDellค่ะ เพราะมันไม่อยู่ในประกัน

หากท่านใดต้องการหนังสือเซ็ตไหน สามารถสั่งซื้อกับแคทได้เลยค่ะ ทักมาทางไหนได้เลยค่ะ

หนังสือพร้อมส่งทั้งหมดค่ะ (กราบ)

Twitter: YoghurtCatty

Facebook: YoghurtCatty



หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่26 (250622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 25-06-2022 21:17:45
 :angry2: :serius2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่26 (250622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 27-06-2022 09:02:11
 :n1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่26 (250622)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 28-06-2022 10:03:59
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่27 (030722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 03-07-2022 01:52:07
บทที่27



           ถ้าถามว่าความหนักอึ้งของหัวใจที่ต้องแบกรับเรื่องราวหลายๆ เรื่องมันแย่แค่ไหน คำว่าหนักอึ้งมันยังแทนความรู้สึกได้ไม่พอ มันเทียบไม่ได้สักนิดที่ได้เห็นความห่างเหินและความเสียใจที่ส่งมาให้ คว้ามันกลับมายืนข้างๆ กันเหมือนเดิมก็ไม่ได้อีกแล้ว



“ไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้วะ แล้วนั่นเพื่อนมึงเป็นอะไรอีกถึงทำหน้าเหมือนจะตายแบบนั้นวะไอ้มีน” เสียงทักของไอ้ปุ่นที่ถามออกมา ในตอนที่มันเห็นผมกับไอ้มีนเดินเข้าไปหามัน ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มันแต่ไม่ตอบอะไรออกไป เป็นไอ้มีนเองที่เลือกจะบอกเล่าต่อ



“จะอะไร เพื่อนมึงดันไปหาเด็กที่คณะเดียวกับกูมาไง เลยได้กลับมาด้วยกัน”



“ทำแบบนั้นอีกแล้วหรอวะ” ไอ้ปุ่นขมวดคิ้วแล้วหันมามองหน้าผม มันเลื่อนสายตาลงไปมองแก้วน้ำที่ผมถืออยู่ในมือ แก้วน้ำแบบที่ใครบางคนเคยบอกว่าถ้าดื่มแล้วจะสบายใจ ดื่มแล้วจะสดชื่น อยากทำให้ใบหน้าหลังกรอบแว่นทรงกลมนั่นกลับมาสดชื่นแล้วยิ้มได้บ้าง เลยพยายามจะทำมาแบบนี้เป็นอาทิตย์ๆ เดินไปที่เดิม แต่ก็ไม่เคยได้ให้ เพราะมันเอาแต่ถอยหนีและหลบหน้า สายตาของสมุทรเอง ก็ทำให้ผมไม่กล้าจะก้าวเข้าไปหามันด้วยเหมือนกัน



ในทุกๆ ครั้งที่มองตา อยากถามหาถึงความรู้สึกที่มันยังมีให้กัน แต่ก็หามันไม่เจอ ... การได้รับรู้ว่า มันกำลังลบผมออกไปจากความรู้สึกมันยากเกินไปที่ผมจะสามารถยอมรับมันได้



“อืม มันทำอีกแล้ว พร้อมแก้วน้ำเขียวโซดาโง่ๆ แก้วเดิม” ไอ้มีนตอบออกไปแทนพร้อมทำหน้าตาเยาะใส่ อืม...ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะคนแบบกูก็คงดูน่าสมเพชจริงๆ ไอ้คนที่ทำให้ทุกอย่างให้มันพังไปหมดแบบกูน่ะ



“ถามจริงเหอะ มึงไม่มีปัญญาทำอะไรมากกว่านี้แล้วหรอวะพระจันทร์”



“จริง ... อยากน้อยๆ มึงก็ควรบอกน้องออกไปไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น กูว่าสมุทรมันเป็นเด็กที่มีเหตุผลมากพอที่จะเข้าใจ”



“จริงแบบที่ไอ้ปุ่นว่า ก็แค่พูดออกไปไหมวะ” ไอ้มีนที่ขมวดคิ้วแล้วทำหน้าตาขัดใจ ท่าทางที่บอกกันได้ว่า ถ้ามันวิ่งไปเล่าทุกอย่างแทนได้ มันก็คงจะวิ่งไปแล้ว



“อย่าเอาแต่เงียบไอ้สัด”



“แล้วจะให้กูพูดอะไรวะ พูดออกไปในวันที่เค้าไม่อยากฟัง กูมันทำทุกอย่างพังมานานแล้ว รวมถึงใจของมันด้วยไง มึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกยังไงตอนที่เห็นมันร้องไห้เพราะกูวันนั้น สภาพของมันในวันนั้นมันพังจนไม่เหลืออะไรเลย ไอ้สมุทรมันเจ็บเพราะกูฉิบหาย ต่อให้กูมีเหตุผลมากเท่าไหร่ มันก็กลับไปแก้ไขไม่ได้หรอกว่าครั้งนึงกูเป็นคนทำให้มันมีสภาพเป็นแบบนั้น” คนแบบกูแม่งเหี้ย แล้วคนเหี้ยมันมีสิทธิอะไรที่จะพูดออกไป ยิ่งพูดยิ่งดูแก้ตัว



“แล้วมึงจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้หรอวะ”



“เออนั่นดิ ... มึงไม่ได้ผิดเลยนะเว้ยพระจันทร์”



“อย่างน้อยกูก็เป็นคนทำให้มันเจ็บไม่ใช่หรือไง แค่นั้นมันยังไม่ผิดอีกหรือไง”



“เห้ย ขอเหอะเพื่อน มึงจะพูดแบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมกับตัวเองเลยนะเว้ย”



“แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ว่ามันเป็นเพราะกู...ไม่ว่าจะอัยย์ หรือสมุทร แม่งก็พังไปเพราะกูกันทุกคน” พูดออกไปแบบนั้นแล้วมองหน้าพวกมันสองคนที่ทำหน้าเหมือนอยากจะเถียงออกมา แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกไปอยู่ดี ผมลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินที่พึ่งทรุดตัวนั่งได้ไม่กี่นาที โดยมีเพื่อนๆ อีกสองคนที่เงยหน้ามองตามอย่างเป็นห่วง



“กูกลับล่ะ”



“มึงจะกลับไปนอน หรือมึงจะไป...”



“ไม่ต้องห่วงหรอก กูไหว”



             หันหลังแล้วเดินออกจากคณะมาที่ลานจอดรถ ภาพเหตุการณ์วันนั้นย้อนกลับเข้ามากระแทกหน้าเหมือนกลับว่ามันพึ่งเกิดไปเมื่อไม่กี่นาที สีหน้าท่าทางของสมุทรที่พยายามเอื้อมมือมาคว้าแขนของผมไว้ เสียงสั่นๆ ของมันกับดวงตาหลังกรอบแว่นที่ทำท่าจะน้ำตาไหลนั่นเหมือนกับว่ามันกำลังยืนมองกันอยู่ต่อหน้าในตอนนี้ วันนั้นที่ผมเลือกจะทิ้งมันเอาไว้ที่ลานจอดรถนี่ แตกต่างแค่ไม่มีมันอยู่ด้วยแล้วในตอนนี้ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วสักอย่าง แม้แต่ที่นั่งฝั่งด้านข้างคนขับที่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังมีใครอีกคนคอยถามนั่นถามนี่อยู่ข้างๆ มีรอยยิ้มหวานๆ ที่ส่งมาให้เสมอ แต่ในวันนี้มันกลับว่างเปล่า ได้แต่หลับตาลงแล้วเอนศีรษะพิงเบาะรถอย่างเหนื่อยอ่อน ถอนหายใจออกมาหนักๆ กับเรื่องราวที่ได้เจอมา



“กูคิดถึงมึงสมุทร...”  ยกแขนขึ้นมาทาบปิดทับที่ดวงตาเอาไว้ แต่สุดท้ายน้ำตาก็ไหลลงมา ปกปิดร่องรอยของความเสียใจเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี พื้นที่ของสมุทรที่หายไป ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าความสำคัญของมันใหญ่แค่ไหน จนในวันนี้ถึงได้รู้ว่า มันก็คงกว้างใหญ่พอๆ กับชื่อของมัน ... สมุทร



            ย้อนกลับไปเมื่อวันนั้นที่ผมได้รับสายโทรศัพท์จากคนที่ผมไม่คิดว่าจะติดต่อมา ถ้าวันนั้นผมไม่ทำแบบนั้นมันจะดีกว่านี้หรือเปล่า หรือทุกอย่างมันจะแย่ลงมากไปกว่านี้เพราะผมเหมือนเดิม



“ฮัลโหลอัยย์ มีอะ....”



[[พระจันทร์ ช่วยน้าด้วย!] ]



“น้าอรหรอครับ” ผมขมวดคิ้วแล้วกรอกเสียงกลับลงไปที่ปลายสาย สงสัยนิดหน่อยว่าทำไมแม่ของอัยย์ถึงเอามือถือของอัยย์โทรมาหากัน



[[พระจันทร์ช่วยน้าที อัยย์ไม่ยอมออกมาจากห้องหลายวันแล้วตั้งแต่ที่กลับมาจากไปหาพระจันทร์ที่คอนโด เค้าไม่ฟังใคร ไม่ฟังน้าด้วย เอาแต่กินเหล้าเมาไม่เลิกเลย ... น้าขอร้อง ช่วยอัยย์ที] ]



“น้าอรไม่มีกุญแจสำรองหรอครับ” ก็ได้แต่สงสัยว่าโทรมาหากูทำไม กูเหาะไปช่วยแบบไอรอนแมนได้หรอวะ ถอนหายใจออกมาหนักๆ แต่ปลายสายก็ยังคงทำเสียงร้อนรนแปลกๆ



[[พระจันทร์มาช่วยน้าหน่อยเถอะนะ น้ากลัวว่าอัยย์จะคิดสั้....// ถ้ามันจะตายก็ปล่อยมันตายไปเลย! เลี้ยงกันมาให้มันวิปริตดีนักนี่!] ] เสียงปลายสายจากน้าอรถูกแทรกมาด้วยเสียงเข้มๆ ที่พูดออกมาดังๆ ผมจำได้ดีว่านั่นเป็นเสียงของพ่ออัยย์ คำพูดพวกนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วนิดๆ ในตอนที่ได้ยิน



[[คุณ! นั่นลูกเรานะ // แล้วยังไง ก็เพราะลูกที่เป็นเกย์นี่ไม่ใช่หรือไงที่ทำให้ฉันต้องติดแหง็กอยู่กับเธอแบบนี้! // ชู่ววใจเย็นๆ สิคะคุณพี่ ค่อยๆ พูดกันสิคะ เสียงดังแบบนี้เดี๋ยวก็เจ็บคอนะคะ] ] และก็มีเสียงของบุคคลที่สามที่สอดแทรกเข้ามาในบทสนทนานั่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง



ผมรู้ดีว่าเสียงหวานๆ ที่กำลังเรียกพ่อของอัยย์ว่าคุณพี่นั่นคือใคร เมียน้อยพ่อของอัยย์ เรื่องราวของหญิงสองชายหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ ผมรู้และเห็นเรื่องราวของครอบครัวนี้มาตั้งแต่เด็ก และก็รู้ดีกว่าใครว่าอัยย์ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง



[[เหอะ ก็เพราะแม่มันเลี้ยงมาแบบนี้ไง....] ] น้ำเสียงแค่นหัวเราะที่ดูจะเยาะเย้ยและถากถาง ดังคลอมากับเสียงสะอื้นไห้จากแม่ของอัยย์



‘แอ๊ด~~~~’



[[ป๊าอย่ามาว่าแม่อัยย์นะ!] ] นั่นเป็นเสียงของอัยย์ ผมได้แต่ยืนฟังเรื่องราวนี้ผ่านปลายสายเงียบๆ พร้อมทั้งขมวดคิ้วมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ยิน



[[เหอะ ออกมาได้แล้วหรอ เหม็นเหล้าไปหมด สารรูปดูไม่ได้] ]



[[แล้วใครใช้ให้ป๊ามาดู ป๊าก็ไปดูอิเมียน้อยป๊าสิ อีปากดี!] ]



‘เพี้ยะ!’



[[คุณ! นี่ลูกเรานะคะ คุณตบลูกเราได้ยังไง] ]



[[ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ถ้ามีลูกเป็นแบบนี้ก็อย่ามีจะดีกว่า] ]



[[เออ!! กูก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน ใครมันทำให้กูเกิดล่ะ ถ้าเกิดมาแล้วต้องมาเจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้ จะเอาออกมาทำไม!] ]



[[ไอ้อัยย์ มึงจะมากไปแล้วนะ] ]



[[แม่เอาโทรศัพท์อัยย์มานี่เลย เอาของๆ อัยย์มาทำไม!! อัยย์เกลียดแม่! เกลียดป๊า! แล้วก็เกลียดอินี่ด้วย เกลียดแม่งทั้งหมดเลย!พวกคนเห็นแก่ตัว!] ]



‘ปัง’



เสียงชุลมุนวุ่นวายที่ผมพอจะจับใจความได้ว่าคงเป็นการทะเลาะกันร้ายแรงในรอบหลายปีของบ้านนี้ เดาได้ว่าบรรยากาศมันคงแย่มากแค่ไหน เสียงร้องสะอื้นดังแทรกมาตามปลายสาย พร้อมๆ กับเสียงด่าท่อและเสียงปึงปังที่เดาได้ว่าน่าจะเป็นเสียงทุบประตูห้องที่กำลังดังแข่งกับเสียงสะอื้นของอัยย์อยู่ในตอนนี้



[[ใครๆ ก็ไม่ต้องการกู ไม่เคยมีใครต้องการกูจริงๆ เลย ไม่เคยมีใครรักกูเลย ฮึก ฮื่ออ] ]



“อัยย์! อัยย์ได้ยินเสียงจันทร์ไหม” ในตอนนั้นที่ผมพยายามตะเบ็งเสียงออกไป คาดหวังให้คนปลายสายได้ยินเสียงของผมลอดออกไปจากสายโทรศัพท์ เสียงสะอื้นไห้ที่ดังมาให้ได้ยินตามมาด้วยเสียงขลุกขลักเป็นระยะ



“อัยย์!”



[[ฮึก...พ...พระจันทร์หรอ] ]



“อัยย์ ฟังจันทร์ ใจเย็นๆ”



[[ฮึก...ไม่ต้องมาบอก ไม่ต้องทำเป็นมาแกล้งปลอบ สุดท้ายจันทร์ก็ทิ้งอัยย์ไปเหมือนทุกๆ คนนั่นแหล่ะ จะมาพูดเอาอะไร จะมายุ่งทำไม!ปล่อยให้อัยย์ตายๆ ไปมันอาจจะไม่ทรมานเท่านี้] ]



“พูดอะไรของอัยย์วะ ...”



[[ไม่รู้สิ...พระจันทร์จะมาสนใจทำไม ฮึก ก็ทิ้งอัยย์ไปแล้วนี่...ถ้าทิ้งไปแล้ว ก็ทิ้งไปเลย] ]



“จันทร์ไม่เคยทิ้งอัยย์...อย่าพึ่งวางสาย ฟังจันทร์อยู่ไหม ใจเย็นก่อน”



[[ถ้ามีพระจันทร์อยู่ด้วยตรงนี้...] ]



“อัยย์พูดอะไร รอจันทร์!” ผมตะคอกเสียงออกไปแบบนั้น หลังจากจับสัญญาณอะไรบางอย่างได้จากถ้อยคำแปลกๆ ผมที่ก้าวขาออกเดินแล้วในตอนนี้ ความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจผม มันไม่ได้กลัวสูญเสียความรัก เพราะผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับอัยย์มากกว่าความเป็นเพื่อนอีกแล้ว แต่เพราะสัญญาณบางอย่างจากน้ำเสียงไม่สู้ดีนั่น มันกำลังทำให้ผมกลัว



[[มันก็คงดี] ]



เสียงปลายสายที่อ่อนแรงตอบกลับมาด้วยถ้อยคำสั้นๆ ที่ไม่ช่วยให้ผมสบายใจอะไรเลย ผมรู้ดีว่าอัยย์เก็บกดกับครอบครัวตัวเองมากแค่ไหน ตั้งแต่เด็กจนโต เวลามีปัญหากับที่บ้านเค้ามักจะผ่านช่วงเวลาแย่ๆ พวกนั้นมาด้วยการที่มีผมอยู่เป็นเพื่อน แต่ถ้าพูดตามตรงแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงมากกว่าทุกที ... อย่างน้อยๆ พ่อของอัยย์ก็ไม่เคยทำร้ายร่างกายเหมือนครั้งนี้ ความรุนแรงในครอบครัวคนอื่นที่คนทั้วไปมันจะเพิกเฉย มันอาจนำมาสู่เรื่องที่ใหญ่มากขึ้นไม่ใช่หรอวะ



“มึงจะไปไหนไอ้พระจันทร์ มีอะไรวะ”



“เออ มึงพูดว่าอัยย์ๆ เกิดอะไรขึ้นวะ”



“อัยย์กำลังแย่ว่ะ กูต้องไป”



“เชี่ย มึงยังติดต่อเค้าอีกหรอวะ แล้วแบบนี้มึงจะบอกน้องสมุทรยังไง” ไอ้มีนกับไอ้ปุ่นลุกขึ้นในทันทีตอนที่ผมบอกออกไปแบบนั้น แต่ไม่มีเวลาอธิบายมากไปกว่านั้น ผมกลัว กลัวเรื่องราวแย่ๆ ที่จะเกิดขึ้นแบบห้ามไม่ได้



“กูไม่ได้คุยกับเค้ามาสักพักแล้ว แต่ตอนนี้กูต้องไป ไม่งั้นมันจะไม่ทัน”



“เชี่ยไรวะ เห้ย ไอ้พระจันทร์” วิ่งออกมาจากห้องและทิ้งเพื่อนๆ ไว้ที่ตรงนั้น วิ่งลงบันไดเพราะลิฟย์มันช้า จนมาถึงที่ลานจอดรถ ตั้งใจว่าจะขับออกไปให้ไวที่สุด แต่เรื่องราวมันแย่ลงมากกว่านั้นในตอนที่เสียงตะโกนเรียกชื่อของผมอย่างสดใสมาพร้อมฝ่ามือสวยที่โบกมือทักทายกันอย่างร่าเริงแม้ว่าสองแขนของมันจะกำลังพะรุงพะรังด้วยของที่แบกมาขนมา



“พี่พระจันทร์!!”



“พี่พระจันทร์จะรีบไปไหนหรอครับ นี่น้องสมุทรซื้อของมาฝากเยอะเลย กลัวพี่พระจันทร์กับพี่ๆ จะเหนื่อยตอนติวอ่ะ หรือจะรีบออกไปซื้อของกินหรอ ไม่ต้องนะ นี่ๆ น้องสมุทรเอามาให้ละ” สมุทรว่าออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มกว้างขึ้นไปอีกตอนที่เดินเข้าไปถึงตัวของผม



“สมุทร” เรียกชื่อมันออกไปแบบนั้นอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ผมเคยสัญญากับมันเอาไว้ว่าจะพยายามอยู่ห่างจากอัยย์ให้มากที่สุด พยายามจะรักษาน้ำใจและความเชื่อใจของมันที่มีให้กันเอาไว้อย่างเต็มที่ ผมไม่อยากผิดสัญญา แต่ถึงแบบนั้นกับสถานการณ์ในตอนนี้มันกลับต่างออกไป



“หื้มว่าไง ไปกัน ไม่ต้องไปซื้อละ ซื้อมาเผื่อครบจบทุกคนแน่นอน มียำทูน่าด้วยถ้าอยากได้อะไรจัดจ้าน หรือจัดกว่านั้นก็เป็นตัวน้องสมุทรเองแล้วนะ ง่อววว จัดไปอีกหนึ่งมุก” มันยังคงเหมือนเดิม ยังคงคุยอย่างอารมณ์ดี เป็นแบบนี้เสมอ มันมักจะหอบความสลายใจที่อบอุ่นเผื่อแผ่มาให้ผมอยู่เสมอ เป็นเหมือนสายน้ำเย็นชโลมใจผม ไม่ต่างจากชื่อของมัน



“กูมีเรื่องที่ต้องไปที่อื่น”



“โอเค แล้วพี่พระจันทร์จะไป งั้นไปกันเลยไหม พี่ดูเครียดๆ นะ” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วเดินนำกันไปที่รถของผม แต่ก็เป็นผมที่เอื้อมมือไปคว้ามือของมันเอาไว้ซะก่อน



“อะไรหรอครับ”



“กูจะไปคนเดียว” บอกมันออกไปแบบนั้นด้วยท่าทางที่ลำบากใจ ผมพาสมุทรไปด้วยไม่ได้ ที่นั่นในตอนนี้ไม่ใช่สถานที่ที่จะพาคนอื่นเข้าไปได้ ถึงแม้ว่าสมุทรจะไม่ใช่คนอื่นสำหรับผม แต่มันคงเป็นคนอื่นสำหรับเรื่องราวแตกร้าวของครอบครัวอัยย์



“อ้าว...แต่ฝนจะตกแล้วนะ พี่ดูร้อนใจแปลกๆ น้องสมุทรไม่อยากให้ขับรถคนเดียวอ่ะ”



“ไม่เป็นไร กูไปได้ แต่ตอนนี้กูรีบ รีบมากจริงๆ ... ขอโทษได้ไหมที่ไม่ได้ไปส่ง” เอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มของมัน แล้วลูบไล้มันแผ่วๆ จ้องมองใบหน้าสดใสนั่นอย่างกังวลใจ ผมไม่อยากให้สมุทรไม่สบายใจ ถ้าพูดออกไปในตอนนี้ว่าจะไปหาอัยย์ มันคงไม่มีทางสบายใจได้แน่ๆ



ผมแค่อยากจะรักษารอยยิ้มสดใสแบบนี้ของมันเอาไว้ให้ได้นานที่สุด อยากจะพูดให้มากกว่านี้ แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมาขัดก่อนอีกครั้ง ก้มลงมองที่หน้าจอมองเห็นชื่อของคนที่ก่อนหน้านี้พึ่งวางสายไปโทรกลับมาหากันอีกครั้ง



‘อัยย์’



ผมเห็นชื่อนั้น ...และมั่นใจว่าเด็กตรงหน้าของผมก็ต้องเห็นด้วยเช่นกัน



“ใคร...” เสียงสั่นๆ ของสมุทรที่พยายามจะทำให้เป็นปกติที่สุดถามออกมาแบบนั้น ผมหันหน้าไปมองมันแล้วเอื้อมฝ่ามือไปกุมมือมันเอาไว้



“สมุทรมึงสำคัญกับกูนะ มึงรู้ใช่ไหม” อยากให้มันเข้าใจจริงๆ ว่าในตอนนี้ผมไม่มีใคร ไม่มีใครสำคัญกับใจผมมากไปกว่ามัน แต่ที่กำลังเคร่งเครียดและรีบเร่งอยู่ในตอนนี้ มันเป็นเพราะเรื่องความเป็นความตาย ไม่ใช่ความรัก



[[อัยย์เหนื่อยมากเลยพระจันทร์...อัยย์พยายามมากๆ แล้ว แต่อัยย์ไม่อยากพยายามแล้ว...] ]



"เดี๋ยวก่อนอัยย์ รอจันทร์ก่อน...เข้าใจที่พูดไหม” ผมที่ยกหูโทรศัพท์ค้างไว้ได้ยินคำพูดน่ากลัวพวกนั้นได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง โมโหคนที่บ้านของอัยย์ด้วยซ้ำ เค้าไม่รู้เลยหรือไงว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าอาจจะมีคนๆ นึงกำลังจะตายอยู่ในบ้านเค้าตอนนี้!



ผมช้าไม่ได้



“พี่พระจันทร์จะไปไหน” ฝ่ามืออุ่นที่เอื้อมมาคว้ามือของผมเอาไว้แน่นๆ ท่าทางของมันที่ไม่ยอมอ่อนข้อแต่ยังพยายามใจดีสู้เสื้อของสมุทรทำให้ผมรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก



“กู คือ คือกูขอโทษ แต่เดี๋ยวกูจะกลับมาหานะสมุทร” รอหน่อยได้ไหม อยากให้มันรอและจะรีบกลับมาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง อย่างน้อยก็ในตอนที่ผมรู้เรื่องทุกอย่างจริงๆ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาสับสนที่ว่าคนๆ นึงอาจกำลังจะมีความคิดวูบเดียวแล้วทำเรื่องน่ากลัวลงไป ผมไม่มีเวลามาเล่าอธิบายมากขนาดนั้นในตอนนี้



“ไม่...พี่จะไปไหน จะไปหาพี่อัยย์หรอ” ดวงตาใต้กรอบแว่นของสมุทรมันกำลังสั่นไหวอย่างน่ากลัว สายตาที่ทำให้ผมแทบจะหยุดหายใจ แต่ก็ต้องตัดใจในตอนนี้



“มันจำเป็น รอกู ขอร้องนะสมุทร”



“รออะไร”



“สมุทร...นะ ครั้งนี้กูขอร้อง” ผมขอร้อง ทั้งๆ ที่ไม่เคยขอร้อง ผมรู้ว่าสมุทรคงจะเสียใจ แต่ผมไม่ได้คิดจะจากมันไปไหน ไม่ได้จะไปหาอัยย์เพราะความรักเลย แต่มันจำเป็น ผมเลยอยากขอร้องให้มันเข้าใจ รอ แล้วผมจะกลับมาเล่าให้มันฟัง



“ไม่!...ขอร้องอะไร พี่จะให้ผมรออะไร ทำไมพี่ต้องไปหาเค้า” เสียงของมันสั่น แต่มือก็ยังคงคว้าฝ่ามือของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดแล้วในตอนนี้ ผมอยากจะเอื้อมมือไปคว้า ดึงรั้งตัวมันมากอดเอาไว้และปลอบใจ อยากจะพามันไป แต่ทำไม่ได้สักอย่าง



[[ถ้ามีพระจันทร์อยู่ด้วยก็คงดี ถ้าพระจันทร์มาทันก็คงดี] ] เสียงปลายสายดังออกมาอีกครั้งจากอัยย์ หัวใจของผมเหมือนมันกำลังร่วงหล่นตกลงไปจากที่สูง เสียงข้าวของกระจัดกระจายที่ดังออกมาอย่างสับสนทำให้ผมช้าไม่ได้



“พี่พระจันทร์...”



“สมุทร...ขอโทษ มันจำเป็นจริงๆ”



“ไม่..อย่าไป...นะ”



“ไม่ ... พี่พระจันทร์ ไม่ อย่าไป ได้โปรด...” เสียงร้องขอของมันดังชัดเจนมาถึงหัวใจของผม ในตอนที่ปิดประตูรถยนต์ลง หันหน้าไปมองมันเป็นครั้งสุดท้ายผ่านกระจกกั้น ดวงตาคู่สวยใต้กรอบแว่นทรงกลมที่ผมชอบนั้นมันกำลังสั่นไหว แต่สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายตัดสินใจหันหน้าหนี เพราะถ้าช้ากว่านี้ คนๆ นึงอาจตายไปโดยไม่ทันได้ช่วยเหลือ



เพราะแบบนั้นผมถึงเลือกขับรถทะยานออกไปด้วยความเร็ว ในระยะห่างที่มองผ่านกระจกมองหลัง มองเห็นมันที่ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างไม่อาย ผมที่ทิ้งมันเอาไว้ตรงนั้น พร้อมความเสียใจมากมายแค่ไหน ในตอนนั้นผมไม่รู้เลย ... เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของครอบครัวอัยย์ ผมคิดว่ามันคงใช้เวลาไม่นานมากเท่าไหร่เลยทิ้งมันมาแบบนั้น



ผมขับรถออกมาด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติ เวลาหนึ่งชั่วโมงถูกย่อลงเหลือสี่สิบห้านาที มาไวที่สุดได้แค่นี้ และหวังว่ามันจะยังคงทัน บ้านหลังใหญ่ที่รั้วสูงติดกับเขตรั้วบ้านของผม เคยมาที่นี่บ่อยๆ ในสมัยเด็ก เรามักจะวิ่งไปมาระหว่างบ้านสองหลังโดยใช้เส้นทางด้านข้างของบ้านเสมอ จอดรถและก้าวเข้าไปในคฤหาสบ้านของอัยย์ คนงาน คนสวน แม่บ้านหรือแม้กระทั่งรปภ.ไม่ได้แปลกใจที่เห็นหน้าผมเพราะคุ้นชินกันดี



บรรยากาศในบ้านเงียบสงบไม่เหมือนว่าก่อนหน้านี้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรงเกิดขึ้น ผมก้าวยาวๆ ตรงขึ้นบันไดไป ห้องของอัยย์อยู่ที่ปีกซ้ายของบ้าน เป็นห้องอยู่สุดทางยาวในฝั่งขวามือที่ถูกจับจองอย่างโดดเดี่ยวอยู่ห้องเดียวในฝั่งทางนี้ ห้องนอนพ่อและแม่พร้อมกับเมียอีกคนของพ่อที่นอนในห้องของพ่ออยู่ในโซนฝั่งทางขวา และเมื่อเดินไปถึงตรงนั้น ก็เห็นน้าอรยืนเคาะประตูร้องไห้อยู่ที่ตรงนั้นคนเดียวอย่างคนที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง



“น้าอร”



“พระจันทร์ ฮึก พระจันทร์มาจริงๆ ด้วย ช่วยน้าทีนะ อัยย์ไม่เหลือใครแล้วนอกจากจันทร์นะ” น้าอรพูดออกมาแบบนั้นแล้วเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้แน่นๆ ผมถอนหายใจออกมานิดๆ กับถอยคำที่ได้ยิน ทำไมถึงต้องพูดว่าเหลือแต่ผม ทั้งๆ ที่ตัวเขาเป็นแม่ก็ยืนอยู่ตรงนี้ แต่ผมเลือกจะเมินน้าอรไปก่อน ลองเดินไปเคาะประตูด้วยความร้อนใจแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา สุดท้ายผมหันหลังแล้วเดินไปที่แจกันใบใหญ่ที่สลักลวดลายดอกโบตั๋น มันถูกวางประดับตกแต่งเอาไว้ที่หน้าห้องของอัยย์ ขยับมันออกที่ฐานมีกุญแจวางเอาไว้ ... เหมือนเคย



“นั่นมัน...”



“ครับ กุญแจห้องอัยย์” มันถูกซ่อนเอาไว้ที่เดิม แต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ทั้งๆ ที่แจกันใบนี้เหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทางกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆ แต่กลับไม่มีคนใส่ใจ ก็คงเหมือนกับตัวเจ้าของห้องนี้



“น้าพยายามหาแล้ว แต่ไม่เจอเลย ฮึก...” ไม่อยากจะพูดออกไปว่าแล้วน้ารู้อะไรบ้างล่ะ ผมขยับตัวเดินมาเปิดประตู ในตอนที่น้าอรยอมขยับเบี่ยงทางออกให้ น้าอรระล้าระลังอยู่ที่หน้าห้องและสุดท้ายก็ไม่ได้ขยับตัวตามเข้ามาในห้อง



           ในตอนที่ประตูห้องถูกเปิดออกภาพตรงหน้าที่เห็นคือขวดเหล้าราคาแพงหลายขวดกลิ้งอยู่บนพื้น รวมถึงในวงแขนของคนที่นั่งเอาหลังพิงเตียงอย่างหมดสภาพอยู่ก็มีขวดเหล้าที่พึ่งเปิดใหม่อยู่ด้วย กลิ่นเหล้าผสมปนเปไปกับกลิ่นบุหรี่ทำให้ผมต้องนิ่วหน้า


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่27 (030722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 03-07-2022 01:52:40
“อัยย์ ทำไมเมาแบบนี้วะ” เดินเข้าไปหาแล้วเขย่าแขนเจ้าของห้องที่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าดูไม่ได้ อัยย์ที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิตไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่



“บอกว่าอย่ามายุ่งไง” ริมฝีปากเล็กๆ นั่นพึมพำออกมาทั้งๆ ที่ดวงตาสวยยังปิดสนิท คนตัวบางอยู่ในสภาพโงนเงนเหมือนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ทำให้ผมต้องก้มตัวลงไปจับแขนอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อพยุง



“อัยย์” เรียกออกไปอีกครั้ง ทำให้คนตรงหน้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมามองหน้ากัน ใบหน้าซีดเซียวที่มีคราบน้ำตาที่แห้งไปแล้วเปรอะอยู่บนใบหน้า แค่มองดูแบบผ่านๆ ก็รู้ว่าเจ้าตัวคงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก พอๆ กับหัวใจที่ถูกด่าทอซ้ำๆ มันคงบอบช้ำมากเต็มทน กับรสนิยมความชอบที่ไม่ตรงใจกับคนในครอบครัว ทำให้ถูกกดทับมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมาอย่างไม่สมบูรณ์ แต่พยายามจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ



“ลุกไปล้างหน้าล้างตาเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย สงสารตัวเอง สงสารน้าอรบ้าง” บอกพร้อมๆ กับดึงขวดเหล้าในอ้อมกอดของอีกคนออกจากวงแขน และเพราะแบบนั้นคนตรงหน้าถึงโผลเข้ากอดกันไว้เต็มแรง



“เห้ย อัยย์”



“ฮึก พระจันทร์...พระจันทร์กลับมาหาอัยย์แล้ว ฮึก กลับมาแล้วใช่ไหม อัยย์ไม่เหลือใครแล้วพระจันทร์ ฮึก” เสียงสะอื้นที่ดังอยู่ข้างหู มาพร้อมๆ กับร่างกายบางที่สั่นเทาไปด้วยแรงสะอื้นหนักๆ ผมทรุดตัวลงนั่งดีๆ แต่ไม่ได้กอดตอบกลับ ก็แค่ปล่อยให้อัยย์ได้ร้องไห้ออกมา และมีผมที่อยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนของเขา



“พระจันทร์ ทำไมไม่กอด ไม่ปลอบอัยย์เหมือนทุกที ทำไม...” อัยย์ที่ผละตัวออกมาจ้องหน้าของผม น้ำตามากมายยังคงไหลออกมาเป็นสาย ดวงตากลมสวยที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ น้ำเสียงที่เข้มขึ้นมาในตอนนี้



“ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเถอะอัยย์”



“ไม่! พระจันทร์มาทำไม ถ้าจะเป็นแบบนี้แล้วมาทำไม”



“เพราะว่าอัยย์เป็นเพื่อนจันทร์ เป็นคนนึงที่จันทร์ยังเป็นห่วง และจันทร์คิดว่าอัยย์จะเข้าใจ”



“เข้าใจ ฮึก...ไม่ อัยย์ไม่เคยเข้าใจ ก็ถ้าบอกว่ารักเด็กนั่นมากนักก็ไม่ต้องสนใจอัยย์ไปเลยสิ ตัดอัยย์ออกไปเลย มาทำไม มาที่นี่ทำไมล่ะ! ต่อให้อัยย์ดื่มนี่จนตาย หรือนอนเน่าตายคาห้องก็ไม่ต้องมาสนใจ ต่อให้แม่อัยย์ร้องไห้เสียใจแค่ไหนก็ปล่อยมันไปสิ มาทำไมถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วน่ะ”



“ต่อให้จันทร์ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกับอัยย์แล้ว จันทร์ก็ยังอยากเห็นอัยย์อยู่ในชีวิต เป็นเพื่อนของจันทร์เหมือนอย่างเคย ที่จันทร์มา ก็เพราะว่าจันทร์เป็นห่วงอัยย์”



“ถ้าไม่รักแล้วก็ตัดขาดไปเลยดิ คิดว่าอัยย์อยากได้ความสงสารหรอ เหอะ...” เขาว่าแบบนั้นพร้อมลุกขึ้นยืนโงนเงนมองตรงมาที่ผม



“พระจันทร์ก็เหมือนทุกคน ไม่เคยมีใครรักอัยย์จริงๆ เลย ไม่มี ป๊าก็ไม่รักอัยย์ แม่ก็ไม่ได้รักอัยย์ พวกเค้าก็รักแต่ตัวเองนั่น



แหล่ะ! แม้แต่พระจันทร์ที่บอกว่ารักกันมากมายฉิบหาย สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนที่อีนั่นบอกอัยย์ อัยย์ไม่น่าเกิดมาเลย เกิดมาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีใครต้องการเลย ฮึก...” คำพูดของอัยย์ทำให้ผมขมวดคิ้ว รู้สึกใจกระตุกวูบแรงๆ อยู่ในอก ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง สัญญาณอะไรบางอย่างที่มันค่อนข้างชัดเจนในความรู้สึกของผม สัญญาณชัดเจนที่ทำให้ผมต้องรีบบึ่งรถมาถึงที่นี่



“การที่ได้รับรู้ว่าพระจันทร์กำลังไปรักคนอื่น มันทำให้อัยย์รู้ตัวว่าอัยย์ไม่เหลือใคร ความรู้สึกของอัยย์มันแตกสลาย เหมือนเป็นความเจ็บซ้ำๆ ที่มันพังยับยิ่งกว่าตอนที่โดนยอร์ชบอกเลิกซะอีกรู้ไหม”



“..............”



“เพราะคิดมาตลอดว่าคำพูดของพระจันทร์จะเชื่อถือได้ แต่สุดท้าย...อัยย์ก็ไม่มีใครเลยสักคน”



“อัยย์ก็ยังมีจันทร์ ... จันทร์ก็ยังอยู่ตรงนี้ เรายังเป็นเพื่อนกัน...”



“อัยย์ไม่ต้องการ! อัยย์ต้องการทั้งหมดที่เป็นของอัยย์คืน พระจันทร์ทำให้ได้ไหมล่ะ!” ผมไม่ได้ตอบคำถาม เพราะมันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ และอัยย์เองก็น่าจะรู้ดีที่สุดในข้อนี้ เพราะแบบนั้นเขาถึงเหยียดยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่มีไปไม่ถึงดวงตา



“... ขอแค่เป็นความหวังเดียว ความหวังสุดท้ายของอัยย์ไม่ได้เลยหรอพระจันทร์” น้ำตาใสไหลลงอาบแก้ม สีหน้าท่าทางที่อ่อนล้าเต็มที่มองมาที่ผมอย่างขอร้อง ถ้าเป็นปกติ ผมคงตอบรับคำนั้น แต่ในวันนี้ผมทำไม่ได้อีกแล้ว เมื่อผมเองก็มีใครอีกคนให้ต้องดูแลรักษาน้ำใจเหมือนกัน ทุกคนควรมีทางเดิน และอัยย์จะมาหวังพึ่งแค่ผมคนเดียวมันไม่ได้



“ฮ่ะๆ พูดไม่ได้หรอ ตอบรับคำขอของเราไม่ได้ ... คนโกหก!”



“อัยย์เมามากแล้วนะตอนนี้ อัยย์ไม่มีสติพอที่จะเข้าใจอะไรหรอก จันทร์คิดว่าอัยย์ควรนอนพัก”



“ฮ่ะๆ พักหรอ เราก็อยากพัก อยากหยุดทุกอย่างแล้ว พระจันทร์ไม่เข้าใจหรอก การที่ต้องตื่นมาเจอแม่ทะเลาะกับป๊า โดยมีอีนั่น อีผู้หญิงคนนั้นอยู่ในบ้านทุกวันมาตั้งแต่3ขวบมันเป็นยังไง มันที่พูดอะไรก็ถูกไปหมด ฮึก...รู้ไหม มันบอกว่าอัยย์ไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครเลย ป๊าไม่ได้ต้องการมีลูกแบบอัยย์ แม่ก็มีอัยย์ไว้ดึงป๊าไม่ให้หย่าแค่นั้น แม่ที่พยายามทำเหมือนว่าครอบครัวเรามันยังสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่มันไม่มีจริง อัยย์ไม่มีวันได้ความรักดีๆ มันบอกเราแบบนั้น ฮึก...เราไม่เคยเชื่อเลยรู้ไหม ไม่เคยเชื่อคำพูดมันเลย เรามียอร์ชนี่จริงไหม แต่สุดท้ายเค้าก็ทิ้งเรา แต่นั่นยังไม่เป็นไรหรอก เพราะเรามีพระจันทร์ไง ยังไงเราก็มีพระจันทร์ใช่ไหมล่ะ ฮึก...แต่ทุกอย่างมันพังไปหมดเมื่อมันถึงวันนั้น วันที่เราไปหาจันทร์ที่คอนโด วันนั้นมันทำให้ตอนนี้เราเสียสูญแบบนี้ไง เพราะว่าพระจันทร์เป็นคนตอกย้ำเราว่าคำพูดของอินั้นมันถูก!...”



“เราขอโทษที่ทำให้อัยย์ต้องรู้สึกแบบนั้น แต่ทั้งหมดนั่นที่พูดไปในวันนั้น เราไม่ได้ต้องการเห็นอัยย์มาอยู่ในสภาพแบบนี้เลยนะ” ผมไม่เคยอยากให้อัยย์ต้องเสียใจ ไม่ได้อยากให้เค้าต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้เลยจริงๆ



พยายามกล่อมคนตรงหน้าที่กำลังร้องไห้และพูดจาไม่รู้เรื่อง พยายามจะเดินเข้าไปหาใกล้ๆ แต่อัยย์ก็เดินถอยหลังหนี ดวงตาเลื่อนลอยที่มองมาที่ผมอย่างเสียใจและคาดโทษ ความคาดหวังที่เค้าส่งมาให้ แต่ผมไม่รับมันไว้นั่นกำลังทำให้เรื่องต่างๆ มันยุ่งเหยิงมากขึ้น



“น้าอรครับ!” ในตอนที่ตัดสินใจหันหลังตะโกนเรียกแม่ของอัยย์ เสียงแตกของขวดแก้วก็ดังเข้ามาในหู ฝ่ามือของผมเย็นเยียบลงพอๆ กับร่างกายและและความคิดต่างๆ ที่ถูกหยุดนิ่งแช่แข็งค้าง



“เราอยากหยุดแล้ว...” เขาพูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ผมที่วิ่งตรงเข้าไปคว้าร่างที่กำลังทรุดตัวหล่นลงกับพื้นต่อหน้าต่อตา ฝ่ามือข้างขวาของอัยย์ยังคงกำเศษแก้วแตกที่แตกเป็นฟันฉลามเอาไว้ ส่วนข้อมือข้างซ้ายถูกกรีดเป็นทางยาวลึก เลือดสีแดงสดและกลิ่นคาวคละคลุ้งลอยเตะจมูก เรื่องราวทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นจริง และผมทำอะไรไม่ได้เลย



ภาพทรงจำกระจัดกระจายขาดๆ หายๆ ไปด้วยเสียงดังชุลมุนวุ่นวายพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องของคนเป็นแม่ที่ดูตื่นตกใจ ตัวผมที่อุ้มคนในอ้อมแขนขึ้น หวังให้สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่เป็นแค่เรื่องโกหกฉากหนึ่งเหมือนในหนัง หรืออะไรก็ได้ ที่ไม่ได้ลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองแบบนี้



“อัยย์ อย่าหลับ...อัยย์มองจันทร์! ได้โปรดเถอะ ทุกอย่างเป็นความผิดจันทร์เองก็ได้ ตื่นมาต่อว่าจันทร์เถอะ จันทร์ขอโทษ”



มันเป็นความว่างเปล่าที่ไม่สามารถหาคำบรรยายอะไรมาเอื้อนเอ่ยได้ ทุกอย่างมันตึงเครียดไปหมดในตอนที่เราต้องนั่งอยู่เฉยๆ เพื่อรอคอยอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เสียงร้องไห้ดังระงมมาจากแม่ของอัยย์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากผม ส่วนตัวผมทำได้แค่ก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่ถูกประสานกันเอาไว้อย่างทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้เลยสักอย่าง ...



ขอร้อง ผมอยากอ้อนวอนต่ออะไรก็ตามให้สามารถช่วยชีวิตของอัยย์ไว้ได้ทัน ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าผมจะมาไว้กว่านี้ ทำทุกอย่างตามที่เค้าขอได้มากกว่านี้ เรื่องแบบนี้มันอาจจะไม่เกิดขึ้นหรือเปล่า



ความจริงมากมายกำลังตีเข้าแสกหน้าว่าผมเป็นคนทำทุกอย่างเอง ผมเป็นคนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้กับอัยย์เอง



‘ตึก ตึก ตึก’



เสียงฝีเท้าก้าวเดินกระทบไปกับพื้นกระเบื้องเป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว และสุดท้าย มันก็หยุดลงที่ตรงหน้าของผม ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง คนตรงหน้าที่อยู่ในชุดสูทผูกไทน์ สายตาคมนิ่งที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กจ้องมองผมนิ่งๆ ผมคิดว่าจะมีคำพูดมากมายด่าทอในการกระทำโง่เง่าของผม แต่เขาแค่ยกฝ่ามืออุ่นขึ้นมาวางที่หัวของผมเบาๆ



“ป๊าทัพ...”



“เป็นไงไอ้ลูกหมา”



“เป็นยังไงหรอ คนที่ควรจะต้องถามไม่ใช่ลูกของคุณ ไม่ใช่ลูกวิปริตของคุณแต่มันคือลูกของฉัน!” เสียงแหวแหวกคำตอบของผมออกมาพร้อมๆ กับคำด่าทอที่แข็งกร้าว น้าอรจ้องมาที่ผมเขม็งทั้งๆ ที่ในตายังแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มานาน



“ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ที่มันเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะลูกฉันไปเกลือกกลั้วอยู่กับบ้านวิปริตของคุณมาตั้งแต่เด็กนั่นล่ะ!”



“น้าอร พอเถอะครับ” ผมลุกขึ้นยืน ถ้าเค้าจะโทษว่ามันเป็นความผิดของผมที่ทำให้อัยย์เป็นแบบนี้น่ะก็ได้ แต่จะมาโทษครอบครัวผมไม่ได้ ผมไม่ยอม



“ทำไมฉันต้องพอ! ที่อัยย์ต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะเธอไม่ใช่หรือไง ตั้งแต่วันนั้นที่อัยย์ไปหาเธอที่คอนโด กลับมาก็มีสภาพแบบนั้น ไม่ยอมออกจากห้องแล้วก็เมา เอาแต่พูดซ้ำๆ ถึงชื่อเธอ ฮึก...มันจะเป็นเพราะใครได้ ถ้าไม่ใช่เพราะ!...”



“เพราะคุณ”  เสียงเข้มของคนข้างตัวผมพูดออกมานิ่งๆ คำพูดสั้นๆ แฝงมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเย้ยหยัน ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าป๊าช้าๆ แต่ใบหน้าของป๊าเอาแต่จับจ้องไปที่หน้าของน้าอร ริมฝีปากได้รูปของป๊ายกยิ้มขึ้นมานิดๆ แล้วเลิกคิ้วหน่อยๆ ในตอนที่มองตาแม่ของอัยย์



“นี่ นี่คุณ!...”



“คุณคิดว่าการรักร่วมเพศมันติดต่อกันทางลมหายใจหรืออาหารการกินหรือไง ผมข้องใจมานานแล้วว่าคุณเป็นพ่อเป็นแม่คนแบบไหน คิดมาตั้งแต่ไอ้พวกนี้มันเด็กๆ แต่มาได้คำตอบเอาเองในวันนี้ ...หึ เป็นประเภทพวกคนเห็นแก่ตัว ... ถ้าคุณอยากหาทางระบายจะไปลงทางไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับลูกของผม”



“แก! ไอ้พวกวิปริต”



“เยี่ยมเลย อย่าลืมส่องกระจกดูที่บ้านด้วยล่ะ สามคนผัวเมียดูจะเป็นเรื่องปกติมากงั้นสิ”



“แก! ...”



“ชู่ว อย่ากรี๊ดครับ...ที่นี่โรงพยาบาลนะ คุณอรควรจะรักษามารยาทหน่อยนะครับ ถึงแม้จะมีน้อยก็ควรจะมีนะ” เสียงคนมาใหม่ที่เดินเข้ามายืนประกบข้างของผมแล้วกล่าวคำพูดนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มนิดๆ



“อาเมล” เรียกชื่อออกไปแบบนั้น สุดท้ายก็ได้รับรอยยิ้มกลับมาพร้อมๆ กับฝ่ามืออุ่นที่เอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้แน่นๆ



“เอาล่ะ ไอ้ลูกหมา คราวนี้เราก็กลับกันเถอะ”



“แต่ผมห่วงอัยย์”



“น้องอัยย์ไม่เป็นอะไรหรอก อาจะให้อาหมอดูแลจัดการเรื่องน้องอัยย์ทั้งหมดให้เอง...อาไปเช็คมาแล้ว พระจันทร์สบายใจเถอะ”



“ดี กลับไปได้ก็ดี! ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง” น้าอรยังจ้องเขม็งและว่าไล่หลังกันกลับมาแบบนั้น ผมมองเห็นอาเมลถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปมอง



“ครับๆ ไม่มีใครทำอะไรได้สักอย่าง รวมถึงตัวคุณด้วยนะ แม้กระทั่งจะปกป้องลูกตัวเองก็ยังทำไม่ได้ แล้วมาถามหาความรับผิดชอบจากใครอยู่ไม่ทราบ!...อย่าทำให้ผมหงุดหงิดมากไปกว่านี้เลยจะดีกว่านะคุณอร” อาเมลพูดจบแค่นั้นแล้วคว้าแขนของผมให้เดินนำออกไป โดยมีป๊าทัพเดินตามหลังมาไม่ห่าง ความรู้สึกจืดจางในใจยังไม่คลายลง แต่พูดตรงๆ ว่ามันเบาบางลงในตอนนี้ ในตอนที่ได้เห็นหน้าครอบครัว



“ผม ผมขอโทษครับ”



“ไม่ต้องขอโทษ” ป๊าทัพพูดออกมาแบบนั้น ในตอนที่พวกเราหยุดยืนรอรถอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล



“ป๊าไม่ได้ทิ้งงานมาที่นี่เพื่อมาต่อว่าแก อาทิตย์ส่งข้อความมาหา บอกว่ามันน่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น เพราะงั้นป๊าถึงมาที่นี่เพื่อพระจันทร์...เพื่อลูกของป๊า”



“มันไม่ใช่ความผิดของจันทร์เลยนะลูก” อาเมลพูดต่อออกมาแบบนั้น



“อาไม่เข้าใจ อาไม่รู้ว่าจันทร์ทำอะไร จันทร์พูดอะไรกับอัยย์เค้าถึงกลายเป็นแบบนี้”



“มันไม่ใช่ความผิดของจันทร์ ไม่ใช่มาตั้งแต่ต้น จันทร์ไม่ผิดที่จะรักอัยย์ และตอนนี้จันทร์ก็ไม่ผิด ที่จะไม่รักอัยย์แล้วเหมือนกัน”



“ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ผมก็เป็นคนทำให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงจุดนี้ เค้ากรีดข้อมือนั่นเพราะผม” ได้แต่เสหน้าหนี ภาพก่อนหน้านี้ยังฝังอยู่ในจิตใจ ทั้งเลือดทั้งชิ้นเนื้อกลิ่นเลือดมันยังอบอวลไม่จางไปไหน ฝ่ามือของผมสั่นไหว ผมรู้ดีว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดจากอะไร ถึงผมจะไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น



“ไม่มีใครอยากให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อารู้ว่าพระจันทร์เองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้” อาเมลพูดออกมาแบบนั้น สายตาสวยที่ทอดมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยน พร้อมๆ กับฝ่ามืออุ่นที่แตะเข้าที่แขนของผม คำพูดของอาเมลเหมือนน้ำที่ปลอบประโลมความรู้สึกของผมให้เบาลง ...



ตอนนี้ผมคิดถึงสมุทร อยากกลับไปหามันแล้วบอกเล่าให้ฟังว่าผมเจออะไรมาบ้างในวันนี้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังกลับไปหาไม่ได้ เพราะมันคือความเป็นความตายของคนจริงๆ ที่อยู่ตรงหน้าของเรา มันไม่ได้เหมือนกับในหนังหรือละครที่เรารู้ว่าสุดท้ายใครจะรอด แต่พอเป็นคนจริงๆ ที่อยู่ในชีวิตของเรา มันกลับยากไปหมด



ในวันนี้เราอาจจะยังคงมองเห็นกัน พูดคุยสัมผัสจับต้องกันได้ แต่ในวันพรุ่งนี้ มันกลับไม่มีอีกแล้ว หายไป ไร้ซึ่งลมหายใจ ไร้ซึ่งล่องรอยการมีอยู่ แค่นึกมาถึงตรงนี้มันก็จุกไปหมด ... ผมแค่หวังว่าสมุทรจะเข้าใจ แค่หวังแบบนั้น[/i][/color]

.

.

.

แต่ในวันนั้นผมกลับลืมไปว่า สี่ปีที่สมุทรมันรอผมมา มันยาวนานมามากเกินพอแล้ว แล้วผมยังกล้าที่จะทำให้มันต้องเสียใจอีกได้ยังไง คำถามในวันนั้นที่สมุทรถามกัน ว่ารักมันหรอ ... ผมไม่กล้าพูดออกไปด้วยซ้ำ ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทั้งหมดมันใช่แล้วหรือเปล่า



ในตอนนี้ที่อยากโทรหา อยากได้ยินเสียง อยากกอดมันเหมือนที่เคยทำ แต่มันทำไม่ได้อีกแล้ว ผมจะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง โหยหาความสบายใจจากมันเสมอ แต่ผมพึ่งทำให้มันเสียใจขนาดนั้น วันนั้นที่มันตะโกนบอกกันว่าไม่ไหวแล้ว สภาพของมันแย่มาก เหมือนถ้าผมเผลอจับมันแรงขึ้นอีกหน่อย มันอาจจะแตกสลายไปเลยก็ได้ มันเป็นถึงขนาดนั้นก็เพราะผม



ผมมันโคตรจะเป็นไอ้พระจันทร์ที่โคตรห่วยแตกและเฮงซวย ...





#รักอยู่รู้ยัง



ตอนนี้เป็นตอนที่เขียนยากมากๆ แก้แล้วแก้อีก ตัดแล้วตัดอีก เพิ่มแล้วเพิ่มอีก

อยากให้มองว่าทุกตัวละครในเรื่องนี้เป็นสีเทาๆ มีความเห็นแก่ตัว โง่เขลา และอีกมากมายในความรู้สึก

แคทหวังว่าคนอ่านจะสนุก และเป็นกำลังใจคอยติดตามอยู่ด้วยกันไปถึงตอนจบเลยนะคะ

ปล.สั่งวาดปกแล้วด้วย หวังว่าคนอ่านจะติดตามและสนับสนุนหนังสือเล่มนี้นะคะ งื้อออ

ฝากแฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ด้วยนะคะ

(ปล.ยังไม่ได้แก้คำผิดเลยงับ)

ขอบคุณจ้าคิดถึง​​​​​​​


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่27 (030722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-07-2022 02:49:26
 :katai1: :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่27 (030722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 03-07-2022 22:24:45
ชอบอารมณ์แบบนี้จังเล่าได้เข้าถึงอารมณ์มากครับ
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่28 (100722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 10-07-2022 21:16:28


บทที่28

 

มองบานประตูตรงหน้าอย่างช่างใจ ก่อนที่สุดท้ายจะผลักบานประตูสีขาวเพื่อก้าวเข้าไปด้านในของห้องพักฟื้น ในตอนนี้ที่อัยย์ปลอดภัยดีแล้ว ไม่เหมือนกับในวันนั้น แต่หมอยังคงออกความเห็นว่ายังไม่ควรออกจากโรงพยาบาลแม้ว่าจะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม ในตอนนี้ใหญ่พอที่จะสามารถให้ทั้งญาติหรือเพื่อนๆ เข้ามาเยี่ยมได้ แต่ก็ต้องพูดตรงๆ ว่าแทบจะไม่มีใครมา ... แต่วันนี้อาจจะแตกต่างไปจากที่เคย เมื่อมีคนคุ้นหน้าคุ้นตากำลังนั่งอยู่ในห้องก่อนหน้าแล้ว

 

“อ้าว...มันมาพอดีเลยล่ะ ไฮซิสจันทร์” ไอ้อาทิตย์ที่หันหน้ามามองกันแล้วว่าออกมาแบบนั้น มันที่เริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้และเริ่มบิดขี้เกียจ

 

“มึงก็มาด้วยหรอ”

 

“แน่นอนสิคะ กูจะไม่มาได้ยังไงล่ะ เกิดเรื่องขนาดนี้ แต่มึงมาก็ดีเลยซิส กูจะกลับไปหาอะไรกินที่บ้านพอดี” มันหันมาบอกแบบนั้น ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองอัยย์อีกครั้ง ดวงตาคมของมันที่แทบจะไม่ต่างจากของผมจ้องมองใบหน้าของคนบนเตียงแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะเอื้อมไปยีเส้นผมของคนป่วยจนยุ่งแล้วหัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบใจ

 

“อัยย์เลือกที่จะแก้ไขได้นะ อย่าปล่อยให้อะไรมันบานปลายไปมากกว่านี้เลยค่ะ...อย่างน้อยๆ ก็เลือกทำสักอย่างให้ถูก เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองเถอะ” ไอ้อาทิตย์ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ มันที่จ้องหน้าคนที่ไม่ตอบรับอะไรมันสักคำด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะผละตัวออกมาคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองพาดบ่า มันที่เดินเข้ามาตรงหน้าของผมพร้อมรอยยิ้มบางๆ

 

“กูไม่ได้มาที่แค่เพื่อพี่อัยย์ ... แต่กูมาที่นี่เพื่อพี่อย่างมึงด้วย”

 

“ขอบใจ”

 

“ยินดีค่ะซิส” เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเสียงแด๊ะแด๋แล้วขยิบตาให้กันทีนึง ผมถอนหายใจออกมาตอนที่เห็นท่าทางของมันแบบนั้น แต่สุดท้ายฝ่ามืออุ่นๆ ของมันก็ตบลงมาที่บ่าของผมเบาๆ สองสามที จ้องใบหน้าที่เหมือนกันยังกับแกะของมันกับผมนิ่งๆ ก่อนที่อาทิตย์จะเดินสวนออกไป และทิ้งไว้แค่ความเงียบระหว่างผม กับคนในห้อง

 

ใบหน้าซีดเซียวที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงคนป่วยพร้อมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง ริมฝีปากซีดและดวงตายังคงบวมช้ำเหมือนกับว่าผ่านการร้องไห้มามากพอดู ใบหน้าได้รูปสวยที่ค่อยๆ หันหน้ามามองกันในตอนที่อาทิตย์ไม่อยู่แล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งยิ้มบางๆ มาให้ผมจากที่ตรงนั้น รู้สึกขาทั้งสองข้างมันหนักอึ้งจนแทบจะก้าวไม่ออกในตอนที่เราสบตากัน น้ำตาใสไหลลงมาจากขอบตาสวย ก่อนที่ฝ่ามือเรียวจะเอื้อมขึ้นมาเช็ดที่หน้าตัวเองออกไปอย่างลวกๆ

 

“พระจันทร์” เสียงของคนบนเตียงเอ่ยเรียกชื่อผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆ มา ตั้งแต่จำความได้ก็ได้ยินชื่อของตัวเองออกมาจากปากของอีกคนมาตลอด

 

“อืม”

 

“สภาพพระจันทร์ตอนนี้ดูแย่กว่าเราอีกนะ”

 

“หรอ ก็คงงั้นมั้ง” ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย

 

“เป็นไงบ้าง” ผมถามออกไปแบบนั้นแล้วจับจ้องไปที่ใบหน้าของอัยย์ นึกย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างผมและเค้า คนที่เคยน่ารักมากๆ ในสายตาของผม อาจเพราะความที่ผมขาดพ่อกับแม่ และอัยย์ที่มีพ่อกับแม่แต่เหมือนไม่มี นั่นเลยทำให้เราเข้ากันได้ดีกว่าใคร นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นของมันล่ะมั้ง

 

“ก็ดีนะ”

 

“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น”

 

“เราคงดูแย่มากใช่ไหม ในสายตาของพระจันทร์” ผมมองเห็นดวงตาหม่นแสงนั่นกระพริบถี่ๆ เหมือนคนที่พยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้ได้มากที่สุดในตอนที่เจ้าตัวถามผมออกมาแบบนั้น

 

“เราคงทำให้พระจันทร์รู้สึกแย่มากใช่หรือเปล่า...” น้ำเสียงสั่นเครือนั่นมาพร้อมกับน้ำตาหยดแรกที่ไหลลงมาอาบแก้ม ก่อนจะตามมาด้วยหยดที่สองและสามที่ไหลอาบแก้มอย่างหนัก แต่ผมทำเพียงนั่งมองทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้านี่อย่างเงียบๆ และพอได้คิดและตัดสินใจกับตัวเองดู ในวันนี้เลยเลือกที่จะนั่งมองอัยย์อยู่ตรงนี้อย่างนิ่งเฉย

 

ฝ่ามือสวยที่ขยุมผ้าปูที่นอนไว้ในมือจนยับย่น พร้อมๆ กับที่น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างหนัก ฝ่ามือสั่นของเจ้าตัวที่พยายามยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม

 

“เราไม่ได้อยากตาย แต่ในตอนนั้นที่ทำลงไป มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามันเหนื่อยจนไม่อยากจะอยู่แล้ว เหมือนเราไม่เหลืออะไรสักอย่างให้พึ่งพิง คิดแค่ว่า ทำไมต้องเป็นเราที่ต้องเจอกับอะไรแบบนั้น ในตอนนั้นเลยแค่อยากจะหยุด ฮึก...” เสียงสั่นสะอื้นขึ้นมาในตอนที่พูดมาถึงตรงนี้ แต่ผมทำเพียงแค่มองดูอัยย์ที่นั่งร้องไห้ มือเรียวยังคงกำผ้าปูเอาไว้แน่นๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงลุกขึ้นไปกอดปลอบ หรือกุมมืออัยย์เอาไว้แล้วบอกเขาว่ายังมีผมอยู่ข้างๆ แต่ในตอนนี้สิ่งที่ผมอยากทำ คือแค่นั่งมองอยู่ตรงนี้ โดยไม่ทำอะไรมากกว่านี้ ไม่มีการกอดปลอบ ไม่มีการสัมผัสร่างกาย และไม่มีการทำให้ตัวเองกลายเป็นความหวังหนึ่งเดียวที่อัยย์มีอยู่

 

อัยย์เหลือบสายตามามองท่าทางของผมแล้วแล้วหลับตาลงแน่นๆ อย่างพยายามจะห้ามน้ำตา ก่อนที่เจ้าตัวจะฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง ท่าทางที่ดูเค้นความรู้สึกของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่ในเวลานี้ มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมควรทำให้ชัดเจน

 

“พระจันทร์เปลี่ยนไปมากเลยนะ...รู้ตัวหรือเปล่า”

 

“................”

 

“ท่าทางของพระจันทร์ คำพูดของพระจันทร์ มันเปลี่ยนไปแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวเลย มารู้ตัวอีกที เราก็ไม่เหลือใครอยู่ข้างๆ แล้ว เราเคยคิดว่ามันจะเจ็บที่สุดตอนยอร์ชไม่เอาเราแล้ว แต่เปล่าเลย...พอมาเป็นพระจันทร์มันเจ็บกว่าเยอะเลย มันเป็นความเคยชินของอัยย์ที่มีพระจันทร์อยู่ข้างๆ เสมอน่ะ แล้วพอพระจันทร์บอกว่าจะทำแบบเดิมกับอัยย์ไม่ได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้รักคนอื่นมากกว่า ตอนที่ได้ยินแบบนั้นมันเจ็บกว่ายอร์ชเยอะเลย แค่คิดว่าจันทร์จะมาหาไม่ได้อีกแล้ว โทรหาไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเราบอกให้มาหามากอดอัยย์ไว้ แต่พระจันทร์ก็จะทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว แค่คิดมาถึงตรงนั้นมันก็แย่มากๆ จนไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเรากำลังจะไม่เหลือใคร แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ในตอนที่เรากำลังรับไม่ได้กับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องมาเจอกับเรื่องเฮงซวยของที่บ้านอีก ในตอนนั้นเราเลยพยายามจบทุกอย่าง พร้อมๆ กับที่ยังพยายามเรียกร้องหาความสำคัญจากพระจันทร์ไปด้วย”

 

“จันทร์ขอโทษนะ”

 

“ขอโทษเรื่องอะไร มันเป็นอัยย์ไม่ใช่หรอที่เอาแต่เรียกร้องอย่างเห็นแก่ตัวจากพระจันทร์มาตลอดน่ะ” เค้ามองตาผมพร้อมส่ายหน้า ดวงตากลมนั่นมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ในตอนนี้

 

“อย่าพูดแบบนั้น...”

 

“ต่อให้พระจันทร์ไม่พูดออกมา มันก็เปลี่ยนความจริงไปไม่ได้หรอก” ท่าทางที่ยังคงเสียใจแต่ก็เริ่มที่จะยอมรับความเป็นไปนั่นทำให้ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ มันเป็นความรู้สึกว่างเปล่าจนไม่รู้จะตอบกลับอีกฝ่ายออกไปยังไง

 

“อัยย์เป็นคนเห็นแก่ตัว พระจันทร์ก็รู้ใช่ไหมล่ะ ... ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงเพราะอัยย์”

 

“จริงๆ จะโทษทั้งหมดว่าที่มันแย่ลงเป็นเพราะอัยย์ก็ไม่ได้หรอก จริงๆ มันเป็นเพราะจันทร์ด้วย” ผมว่าออกไปแบบนั้น พยายามเค้นสมองเพื่อหาคำพูดดีๆ มาตอบกลับเพื่อรักษาน้ำใจของคนเจ็บ แต่ถึงแบบนั้นก็นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาไม่ได้สักอย่างเหมือนกับว่าในเวลานี้ ผมไม่มีคำพูดอะไรดีๆ จะให้อัยย์อีกแล้ว

 

อัยย์ก้มมองมือตัวเองที่วางเอาไว้บนตักของตัวเองนิ่งๆ จดจ้องมองมันอยู่แบบนั้น ทิ้งสายตาไว้ที่นั่นแต่เหมือนความคิดในสมองจะอยู่ห่างไกลจากที่ตรงนี้ ท่าทางที่เหมือนกับว่ากำลังคิดและตัดสินใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะปล่อยผ่านเวลาให้ไหลไปอีกหลายนาที สุดท้ายอัยย์ก็เปิดปากพูดออกมาต่อ

 

“ไม่หรอก พระจันทร์อาจจะรู้สึกว่าที่อัยย์ต้องมาเจ็บแบบนี้เป็นเพราะพระจันทร์มีส่วนบีบให้อัยย์ทำ แต่จริงๆ มันไม่ใช่เลย ทุกอย่างมันเป็นเพราะอัยย์...เพราะอัยย์มาตั้งแต่ต้นนั่นแหล่ะ”

 

“อัยย์หมายถึงอะไร”

 

“พระจันทร์คิดว่าอัยย์ไม่รู้จริงๆ หรอว่าตั้งแต่เด็กจนโตพระจันทร์คิดกับเรายังไง ก่อนที่พระจันทร์จะบอกชอบกันตอนม.6 คิดจริงๆ หรอว่าอัยย์ไม่รู้ว่าพระจันทร์คิดแบบนั้นมาตลอด” ผมจ้องตาคนที่เงยหน้าขึ้นมามองกัน ความเงียบระหว่างเราก่อตัวขึ้นมาในตอนนี้

 

“เพราะอัยย์รู้ แต่อัยย์ไม่ได้รัก...” เสียงพูดนั่นเงียบลงในตอนนี้ ในตอนที่ดวงตาใสมีน้ำตารื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดูน่าสงสารน่าเห็นใจ แต่ไม่ใช่กับความรู้สึกของผมในตอนนี้ สัญญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งที่ผมจะรับรู้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ไวนัก

 

“อัยย์เลยหาทางมีอะไรกับยอร์ชในคืนที่พวกเราฉลองวันสอบเสร็จของพระจันทร์นั่นล่ะ ยอร์ชเมาแล้วอัยย์ก็ตั้งใจทำให้เรื่องมันเกิด จริงๆ ยอร์ชไม่ได้อยากหักหลังพระจันทร์เลยนะ แต่เป็นอัยย์เองที่ตั้งใจทำแบบนั้น”

 

“อัยย์...” ผมเหมือนคนที่ตามหาเสียงตัวเองไม่เจอ เหมือนถูกค้อนหนักๆ ทุบลงมาที่ท้ายทอย เป็นความรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า เรื่องราวเก่าๆ ย้อนกลับมาไม่ขาดสาย เรื่องราวในวันนั้นไหลเข้ามาเป็นฉากๆ

 

“อัยย์ไม่อยากเสียทั้งยอร์ชและจันทร์ไป แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกรักพระจันทร์อยู่ดี”

 

“ตอนนั้นอัยย์บอกจันทร์ว่ารักกันไม่ใช่หรอวะ”

 

“อัยย์รัก แต่ยอร์ชไม่ได้รัก ที่เค้าคบกับเราก็เพราะว่าเลยตามเลย...มันก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ที่เรายัดเยียดให้เขาก็แค่นั้นล่ะ อัยย์ก็แค่อยากรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะได้มีรักดีๆ ที่อัยย์เลือกเองได้บ้าง”

 

“นั่นมันโคตร...”

 

“โคตรเห็นแก่ตัวเลยใช่ไหมล่ะ นั่นล่ะอัยย์เลย...ขอโทษที่ทำให้จันทร์ต้องเสียเพื่อนคนนึงไปนะ” เขาขอโทษออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเงียบๆ ผมได้แต่มองหน้าเขาพร้อมๆ กับความรู้สึกที่ยิ่งรู้สึกห่างเหินกันเข้าไปทุกที ผมไม่รู้ว่าจะต้องตอบรับกับถ้อยคำพวกนี้ว่าอะไร ผมควรตอบออกไปว่าไม่เป็นไรหรอ ตามมารยาทควรทำแบบนั้นใช่ไหม

 

“อยากให้จันทร์ตอบกลับว่าอะไรวะ” เหมือนว่าในที่สุดก็เริ่มจะตามหาเสียงของตัวเองเจอ ผมพูดออกไปแบบนั้น มองหน้าเขาเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมกับไอ้ยอร์ชทะเลาะกันมาตลอด4ปี เพราะผมคิดว่ามันหักหลัง มันที่รู้ว่าผมชอบอัยย์แต่ไปคบกันลับหลัง ผมคิดแบบนั้นมาตลอดเลยไม่คิดจะญาติดีกับมัน ตามปลอบอัยย์ทุกครั้งที่อัยย์บอกว่าไอ้ยอร์ชทิ้งเขาไปมีคนอื่น แต่จริงๆ แล้วมันคงเป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ที่ผิดตั้งแต่ก้าวแรก มันจะไปต่อกันได้ยังไง

 

“อยากให้บอกว่าไม่เป็นไรหรอ จันทร์ไม่เข้าใจเลยว่ะ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลยว่ะอัยย์”

 

“อัยย์ผิดเอง”

 

“เออ เชิญรับความผิดนั้นไว้เถอะ จันทร์คงพูดออกไปให้สบายใจไม่ได้หรอกว่าอัยย์ไม่ผิด”

 

“ฮึก...ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”

 

“จันทร์ไม่รู้จะพูดอะไรเลยว่ะอัยย์ จันทร์พยายามเข้าใจนะ ทุกเรื่องที่เกิดกับอัยย์ จันทร์รู้ว่าแม่งเหี้ยมาก ก่อนหน้านี้ที่จันทร์จะมานั่งอยู่ตรงนี้ จันทร์ยังคิดเลยว่าส่วนนึงก็เป็นเพราะจันทร์...”

 

“เรารู้ว่าจันทร์จะคิดแบบนั้น เราถึงทนเก็บไว้ไม่ได้แล้ว กับความเห็นแก่ตัวอย่างน่ารังเกียจแบบนี้ของเรา เราเลย...ฮึก คิดว่าต้องบอกมันออกไป”

 

“ที่บอกมันออกมาก็ทำเพื่อให้ตัวเองสบายใจไม่ใช่หรือไงวะ กำลังหอบความหวังแบบนั้นเอาไว้อยู่ใช่หรือเปล่าล่ะ” ผมจ้องหน้าเค้า มองหน้าคนตรงหน้าแบบไม่คิดจะรักษาน้ำใจกันอีกต่อไป ผมคิดว่าคงทนมากไปกว่านี้ไม่ไหว วันนี้หอบความรู้สึกผิดมาถึงที่นี่ เพื่อให้ได้มารับรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรจริงใจเลย

 

“ฮึก...อัยย์ อัยย์ไม่มีอะไรจะแก้ตัว อัยย์แค่ขอ...”

 

“ไม่ต้องขอ ไม่มีอะไรจะให้อีกแล้ว”

 

“พระจันทร์...”

 

“ครั้งหน้าถ้าอัยย์ยังคิดที่จะทำแบบนั้น แล้วโทรมาหาจันทร์อีก จันทร์พูดเลยนะว่าจันทร์ก็คงจะไปหาอัยย์เหมือนเดิม...”

 

“จริงหรอ” อัยย์เงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมามองกันอย่างมีความหวัง มองเห็นแสงแห่งความหวังในประกายดวงตาของเขาที่มองมา แต่ผมเพียงมองมันแค่นิ่งๆ แล้วแค่นยิ้มออกมาน้อยๆ เยอะเย้ยให้กับความโง่เขลาของตัวเอง

 

“อืม ... แต่จันทร์จะไปพร้อมคนรักของจันทร์ โดยที่ไม่สนใจอีกแล้วว่าอัยย์จะเป็นจะเป็นจะตายหรือเป็นว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของอัยย์ที่ควรจะปกปิดเอาไว้หรือเปล่า จันทร์จะยังไป แต่จันทร์จะไปเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง ถ้าเกิดว่าอัยย์ต้องตายไปจริงๆ อย่างน้อยก็ยังได้ไปช่วยอยู่”

 

“ฮึก...ข ขอโทษจริงๆ”

 

“ถ้าอยากจะทำอะไรดีๆ สักอย่างเพื่อขอโทษกัน ต่อจากนี้ก็ช่วยดูแลตัวเองให้ดี โดยไม่ต้องหวังพึ่งอะไรเราอีกเลยเถอะ...” ผมลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ ไม่มีอะไรผ่อนคลายหรือปลอดโปร่งขึ้นสักอย่าง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ดังมาจากทางด้านหลัง ผมทิ้งมันเอาไว้ตรงนั้นแบบที่ควรจะเป็น หลายต่อหลายครั้งที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ต้องเสียเพื่อน เสียใจ และสุดท้ายก็เสียสมุทรไป ก็เพราะความไม่ชัดเจนของตัวเอง

 

อย่าโทษอัยย์ทั้งหมดเลย โทษกูเถอะที่มันโง่เอง

 

...

 

“เฮ้อ” ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างคนคิดไม่ตก ในตอนที่ยืนมองป้ายที่แปะอยู่ที่หน้าประตูห้องนี้อย่างชั่งใจ ชื่อของอาจารย์หัวหน้าสาขาที่ผมเรียนอยู่ถูกแปะหราอยู่ตรงนี้ ถอนหายใจและถามตัวเองซ้ำๆ ว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม แต่ถึงแบบนั้นก็ไปคุยกับที่บ้านมาเรียบร้อยแล้ว แม่ของผมก็เห็นด้วยและไม่ได้คัดค้าน

 

แล้วแบบนั้นจะมัวรออะไร ผมควรก้าวต่อไป อย่างน้อยๆ ก็ก้าวออกไปจากวงจรชีวิตในแบบเดิมๆ ของตัวเองให้ได้ก่อน วงจรที่มีพี่พระจันทร์เป็นสูญกลาง

 

“ไอ้สมุทร” ผมที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องพักอาจารย์ของหัวหน้าสาขา ก็ต้องชะงักไปเพราะถูกเรียกเอาไว้ซะก่อน พอหันหลังกลับไปมองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้มาร์ช

 

“มึงมาทำอะไรที่ห้องเหล่าซือวะ” มันถามผมออกมาแบบนั้น ก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปมองที่ฝ่ามือของผมที่กำลังถือเอกสารสำคัญเอาไว้อยู่ในมือ มันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองหน้าของผม

 

“มึงจะไปเรียนที่จีน” จ้องตาผมแบบต้องการคำตอบ ทั้งๆ ที่คิดว่าไอ้มาร์ชคงรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่มันก็เลือกที่จะถาม ผมเม้มปากแน่นๆ ในตอนนี้ ก็แค่คิดว่าจะบอกทีหลัง

 

“กู...ขอโทษ”

 

“ไม่ต้องขอโทษ” มันว่าแบบนั้นแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ ผมได้แต่มองมันแบบไม่เข้าใจ ก่อนที่จะได้คำตอบอะไรมากไปกว่านี้ ไอ้มาร์ชก็จับมือผมไว้

 

“ไปกันเหอะมึง”

 

“ห๊ะ” เอียงคอมองมันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะต้องร้องอ๋อออกมาในตอนที่เห็นมันชูมือของมันอีกข้างขึ้นมาให้ดู

 

“มึงเองก็จะ...”

 

“อืม” มันตอบรับออกมาสั้นๆ ไม่ได้ถามกลับไปถึงเหตุผลในครั้งนี้ของมัน เหมือนกับว่าในใจของมันเองก็มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้น ถ้าไปกับเพื่อน มันก็คงเป็นอะไรที่สบายใจมากกว่าอยู่ดี

 

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

 

“เค!...ไอ้สมุทร”

 

“หื้ม” เลิกคิ้วหันมามองหน้ามันที่เอื้อมมือมากอดคอผม

 

“ผัวที่ดีคือผัวใหม่ ไปหากันเถอะ”

 

“ไอ้สัด! หุบปากไปเลย” ผัวใหม่ผัวเก่าอะไรกันอีกล่ะวะ เข็ดแล้วกับการมีผัว หรืออยากเป็นผัวเค้า น้องสมุทรก็เหนื่อยมากแล้วครับสัดเพื่อนมาร์ช ... ว่าแต่มันบอกให้ไปหาผัวใหม่กันเถอะ มันหมายถึงผม หรือหมายถึงผมกับมันกันนะ เอ๊ะ?

 

“ฮ่าๆ”

...

 

การพยายามหลับ ทั้งๆ ที่สมองยังคงคิดไม่ตก มันไม่ได้ช่วยให้ตัวเองรู้สึกดี มีแต่จะทำให้ร่างกายย่ำแย่ลงไปมาก มีบางช่วงบางครั้งที่ผมเผลอวูบหลับไปบ้าง และตื่นขึ้นมารับรู้ว่า มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว

 

“ไง มึงมานอนเน่าตายอยู่ตรงนี้อีกแล้วหรอวะซิส”

 

“เสือก” ลืมตาขึ้นมามองหน้าคนมาใหม่ที่ชะโงกหน้ามองผมที่กำลังนอนตายอยู่ที่พื้นห้องอย่างเหนื่อยอ่อน ก็แค่รู้สึกไม่ไหว รู้สึกหมดแรงซ้ำๆ จนไม่กล้าที่จะลุกขึ้นทำอะไรสักอย่าง และที่มากกว่าทุกอย่าง คือการคิดถึงคนๆ นึงที่เค้าไม่อยากเจอหน้าเรา

 

“สภาพค่ะซิส มึงเมานอนน้ำตาไหลมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วนะ” ไอ้อาทิตย์ยังคงว่าออกมาแบบนั้นพร้อมมองกันแบบขยะแขยง มันเบ้ปากใส่อีกครั้งเพื่อเป็นการเน้นย้ำว่าคงจะขยะแขยงกันจริงๆ

 

“จะไปไหนก็ไปดิ๊อาทิตย์” ยกมือขึ้นปัดไล่ไอ้อาทิตย์ที่เอาแต่ชะโงกมองหน้ากันไม่เลิก ไม่อยากเห็นหน้าแม่ง เหมือนเห็นหน้าตัวเองเหมือนมองกระจก

 

“กูกับมึงนี่หน้าเหมือนกันมากเลยนะ”

 

“เพ้อเหี้ยอะไรของมึง” มันขมวดคิ้วมองกัน พร้อมใช้เท้าเขี่ยๆ ขาผมเหมือนเขี่ยขยะ ก่อนที่มันจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาใกล้กัน ใช้สายตาในแบบเดียวกันมองมาที่ผมอย่างประเมิน

 

“มึงรู้สึกยังไงวะในตอนนี้”

 

“กูรู้สึกชา” ตอบกลับออกไปแบบนั้น พร้อมลืมตามองฝ้าเพดานอย่างความรู้สึกเลื่อนลอย ยกแขนตัวเองขึ้นมาแล้วจ้องมองเชือกสร้อยที่ถูกสวมไว้ที่ข้อมือ ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจมันกลับมาอีกแล้ว ตัวมันไม่อยู่ แต่ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ที่นี่ สร้อยนี่ กลิ่นมันที่ติดอยู่ที่หมอน ภาพมันที่โยกตัวอยู่ที่ห้องครัว เคาเตอร์ครัวที่มันทำอาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างอบอวลอยู่ที่นี่ ในหัวของผม ในทุกความรู้สึกของผม ยิ่งกว่าโหยหา ยิ่งกว่าเสียใจ



“อ่า ขนาดนั้นเลยนะ ...เพราะน้องสมุทรหรอวะ”



“เพราะทุกเรื่องทุกอย่างเลยมั้ง มึงคิดว่ากูต้องรู้สึกยังไงวะ กับกับอัยย์ที่หลอกกูมาตลอด กับเรื่องของไอ้ยอร์ชที่เกลียดหน้ามันฉิบหาย แต่สุดท้ายมันไม่ได้ทำอะไรเลย และกับสมุทรที่กูทำให้มันเสียใจขนาดนั้น”



“แล้วมึงจะปล่อยทุกเรื่องให้พังแบบนี้หรออิซิส”



“แล้วกูทำอะไรได้ ในเมื่อทุกเรื่องแม่งก็พังไปหมดแล้ว อ่อ...แล้วถ้ามึงไม่ทันสังเกต แม่งพังเพราะกู เพราะกูคนเดียวเลยไอ้สัด”



“อ่าหะ แล้วไม่คิดจะแก้อะไรหรอไอ้สัด ตั้งสติหน่อยพระจันทร์ มึงไม่ได้เป็นคนแสนดีขนาดนั้นนะจากสันดานอ่ะ”



“นี่มึงชมหรือด่ากู” ปรายตามองมันที่ก็ทำแค่ยักไหล่ ก่อนจะเอนตัวลงไปพิงกับเบาะโซฟาอย่างคนสบายอารมณ์ เห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้แม่งฉิบหาย อยากจะเอาตีนยีหน้า ไม่ชอบหน้ามัน...แต่เสือกหน้าเหมือนกันซะงั้น เพราะแบบนี้อ่ะ คนถึงชอบสับสนระหว่างผมกับมัน เอาไรมาเหมือน



“ก็แล้วแต่ซิสจะคิดจ๊ะ ... ว่าแต่มึงนี่เหมือนกูจังวะ”



“ไม่งั้นเค้าจะเรียกแฝดทำห่าอะไรล่ะ โง่เง่า” ขมวดคิ้วจ้องหน้ามันที่เอาแต่มองหน้ากันอยู่แบบนี้ เป็นKไรวะ รำคาญ



“ถ้ามึงจะมากวนกูนะอาทิตย์ ช่วยไถหน้ามึงไปไกลๆ กูหน่อย รำคาญว่ะ” ยกมือสะบัดไล่มันแล้วพลิกตัวนอนตะแคก อยากเอาหน้าแนบไปกับพื้นนี่ ไม่อยากโงหัวขึ้นมารับรู้ความจริงอะไรอีกแล้ว



“งั้นเรื่องที่กูจะนำมาแจ้งก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับซิสแล้วสินะ”



“เรื่องเหี้ยไร ไม่อยากรับรู้เหี้ยอะไรแล้ว” ตอบมันอย่างเหนื่อยๆ แต่ไอ้อาทิตย์ก็ยังคงทำน้ำเสียงระริกระรี้อยู่



“เรื่องน้องสมุทรก็ไม่อยากจะรู้จริงหรอวะ”



‘พลึบ’



พลิกตัวกลับมามองหน้ามันที่ตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มมุมปาก มันที่ปรายสายตาไปมองนาฬิกาบนผนังห้อง ทำหน้าตาอวดดีเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังตกอยู่ในมือมัน ไอ้สัดนี่ต้องเลิกดูการ์ตูนนะ



“เรื่องอะไร”



“สนใจหรอ”



“สัดทิตย์ ไม่เล่น มีอะไรก็รีบพูดมา” เด้งตัวลุกขึ้นนั่งในตอนนี้ ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมที่ไม่เป็นทรงของตัวเองอย่างลวกๆ รู้สึกมึนหัวหน่อยๆ อาการของคนแฮงค์แม่งโคตรน่าเบื่อ แต่ถึงแบบนั้นก็เลือกที่จะเมินเฉยกับสภาพของตัวเอง



“ก็ไม่มีไรอะไรมาก นอกจากว่า...”



“ถ้ามึงลีลาอีกนะ กูจะลุกขึ้นไปถีบมึงจริงๆ อาทิตย์”



“อย่ามากดดันฉัน!”



“อาทิตย์”



“เออๆ เคๆ ก็แค่กูรู้มาว่าวันนี้น้องสมุทรจะบิน” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว บิน บินอะไร มึงเห็นสมุทรมันเป็นนก เป็นผีเสื้อหรอไอ้สัด



“ทำหน้าโง่แบบนี้แสดงว่าไม่เข้าใจ”



“ก็มึงพูดไม่เคลียร์นี่ไอ้สัด บินเหี้ยไร สมุทรมันไม่ใช่นก”



“Kเอ้ย แบบนี้ไงเค้าเลยจะหนี ผัวที่ดีคือผัวใหม่จริงๆ”



‘เพี้ยะ’



“โอ๊ย เจ็บนะไอ้เหี้ยพระจันทร์” มันร้องออกมาแบบนั้นในตอนที่ผมทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นตบหัวมันแรงๆ ทีนึง เอาให้เส้นผมสีชมพูของมันกระจายเลยทีนึง



“ลีลาหาพ่อมึงหรอ มีอะไรก็รีบพูดไอ้สัด” จ้องหน้ามันแบบหงุดหงิด ไอ้แฝดนี่ก็ทำแค่ยู่ปากนิดๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหัวมันปอยๆ หายใจฟึดฟัดกับท่าทางหงุดหงิดผม



“น้องสมุทรจะบินไปจีน เค้าจะไปเรียนต่อที่นู้น”



“มึงพูดอะไร...ไม่ตลก”



“อะ ก็ถ้าไม่โง่ก็ควรจะเชื่อกูนะ เพราะน้องจะบินวันนี้จ๊ะ จริงๆ ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ไปสนามบินแล้ว” มองจ้องหน้ามันแบบต้องการค้นหาความจริง ก็เป็นไอ้อาทิตย์ที่ถอนหายใจออกมานิดๆ ขายาวของมันยกขึ้นยันขาของผมให้เซถอยไปข้างหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว



“นี่มึ...”



“ช้ากว่านี้จะไม่ทันอะไรสักอย่างนะ ถ้าน้องไปแล้วไม่กลับม...อ้าวไอ้สัด ไม่ฟังกูเลย! เอ้อ ให้มันได้แบบนี้ โอเค! วิ่งเลยจันทร์ วิ่งอีกเลยจ้า~ K...ทิ้งน้องทิตย์พูดคนเดียวเฉย”



ผมรีบวิ่งออกมาจากห้อง และขับรถออกไปที่บ้านของสมุทรให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกมากมายที่ไหลเข้ามาทำให้หัวใจของผมถูกบีบรัด มันกำลังจะไปเรียนที่อื่น ในที่ๆ ผมตามไปไม่ถึง แค่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ามันอีกแล้ว ก็ยิ่งทำให้ต้องเหยียบคันเร่งแล้วขับออกไปให้ไวที่สุด



รอกูก่อนได้ไหม อย่าพึ่งทิ้งกันไปเลยนะสมุทร



...


(ต่อ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่28 (100722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 10-07-2022 21:17:55

          ผมได้แต่มองไอ้เด็กตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังยืดกอดเอวแม่ แล้วทำหน้าอยากจะร้องไห้มองมาที่ผม เห็นแบบนั้นแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้



“เฮียหมุด ทะเลอ่ะ ...ทะเลอ่ะนะ”



“เป็นอะไร ติดอ่างขึ้นมาซะอย่างนั้นล่ะไอ้น้องทะเล” อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้หัวมันแรงๆ แต่ครั้งนี้มันไม่ยักโวยวายว่าโตแล้ว อย่ามาทำแบบนี้ ไอ้ทะเลที่ยืนให้ผมเล่นหัวไปพร้อมกับหน้าตาซึม โถ่เอ๊ยไอ้ลูกหมา



“กูไม่อยู่ ก็อย่าดื้อกับแม่นะ”



“ทะเลเคยดื้อที่ไหน ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารักแสนดี”



“ดีกับพี่อ่ะดิ”



“แม่!! พี่หมุดว่าทะเล”



“พอๆ เลยสองคนพี่น้อง จริงๆ เลยน้า” แม่ผมยิ้มออกมาขำๆ ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาผม ก่อนฝ่ามืออุ่นนั่นจะเอื้อมมาลูบแก้มผมเบาๆ



“แน่ใจหรอว่าจะไม่ให้แม่ไปส่งที่สนามบิน”



“แน่ใจ สมุทรไปเองได้ครับแม่ อีกอย่างเดี๋ยวอีกชั่วโมงแม่ก็มีประชุม ถ้าไปส่งน้องสมุทรแม่กลับมาไม่ทันหรอก” ผมไม่อยากให้ลำบาก ผมไปเองได้ มันไม่ได้อยากขนาดนั้น แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผมก็ตาม



“แม่ไม่ไปส่งพี่หมุด ทะเลไปเองก็ได้”



“ไปเองแล้วจะกลับมายังไง” แม่ก้มหน้าไปถามไอ้เด็กที่ตอนนี้เอาแต่ทำหน้าง้ำงอ เมื่อคืนก็ขอมานอนที่ห้องผมให้ได้ ได้คุยกับทะเลจนถึงดึกเลยกว่าจะหลับไป เมื่อคืนเฮียคลื่นก็โทรมาหาเหมือนกัน แล้วก็อวยพรให้เดินทางปลอดภัย เฮียมาส่งไม่ได้เพราะเฮียก็ติดเรียนเหมือนกัน ผมไม่เสียใจอะไร เพราะรู้ดีว่าทุกคนในครอบครัวรักผม



“ก็กลัวแท็กซี่...”



“ไม่ต้องเลย อยู่เฝ้าบ้านนี่แหล่ะ ถ้าพี่ถึงแล้วจะรีบโทรหา”



“แต่ว่า...”



“ไม่ต้องคิดถึงกูขนาดนั้น ไอ้เด็กติดพี่”



“ใครพูดแบบนั้น! อย่ามาขี้ตู่ อี๋! ตู่!!”



“อย่าขยี้คำนี้มาก มึงนี่นะ” ยีหัวมันไปอีกที แต่ไอ้ทะเลก็วิ่งหลบหน้าหลบหลังอยู่ดี ผมกับผม่ได้แต่หัวเราะออกมากับท่าทางเด็กๆ แบบนั้นของมัน ไอ้เด็กทะเลที่มั่นใจว่าตัวเองน่ะโตมากแล้ว จริงๆ ก็เป็นแค่ไอ้เด็กตัวน้อย น้องชายของพี่สมุทรสุดเจ๋งอยู่ดี



“สมุทร”



“ครับแม่”



“แม่ขอให้สมุทรเดินทางปลอดภัย ...และใช้เวลากับที่นั่นอย่างเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน ทิ้งความเสียใจหรืออะไรก็ตามที่ลูกอยากทิ้ง แล้วกลับมาเป็นน้องสมุทรที่สดใสของแม่นะ” ผมจ้องตากับแม่ ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านั้นหลุดออกมาจากปากของผมสักคำ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา ก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องราวของพี่พระจันทร์เกิดขึ้น ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้แสดงความเสียใจอะไรออกมาให้ที่บ้านเห็น ผมพยายามจะกลืนทุกอย่างลงไปตั้งแต่วันนั้นที่ตัดสินใจหยุดทุกอย่าง แต่เมื่อมองตาแม่ในวันนี้แล้ว ...



“แม่รู้”



“สมุทรเป็นลูกแม่ ไม่มีอะไรที่แม่จะไม่รู้” แม่พูดออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้ามากอดผมไว้แน่นๆ ได้แต่ก้มหน้าลงซบบ่าของผู้หญิงคนนี้ คนที่ทำงานหนักเพื่อดูแลให้ผมอยู่สบาย คนที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับผม ให้กับครอบครัวของเราเสมอมา ไม่ว่าผมจะคิดว่าตัวเองเติบโตขึ้นมากแค่ไหน แต่พอได้มาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ตอนนี้ จริงๆ แล้วน้องสมุทรก็ยังคงเป็นน้องสมุทรคนเก่า ที่ไม่ได้โตมากไปกว่าเมื่อวานนี้เลยสักนิด



“แม่ครับ...” ได้ยินเสียงสั่นๆ ของตัวเอง พยายามจะกลืนก้อนสะอื้นนั่นลงไปในลำคอให้หมด ได้แต่ปิดเปลือกตาตัวเองแน่นๆ เพราะกลัวว่าถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วน้ำตาจะไหลไม่หยุด



“ไม่เป็นไรลูก แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”



“ฮึก...”



“พี่หมุดร้องไห้หรอ ขี้แยว่ะ ฮื่อ” ไอ้ทะเลพูดออกมาแบบนั้นพร้อมๆ น้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม มันพุ่งตรงมากอดทั้งผมและแม่เอาไว้แน่นๆ กับท่าทางและคำพูดแก่แดดของมันที่ว่าผมออกมาแบบนั้น มันทำให้ทั้งผมและแม่หลุดขำออกมาทั้งน้ำตา



“แล้วสมุทรจะรีบกลับมาเป็นน้องสมุทรของแม่ เป็นพี่ของไอ้ทะเลคนเดิมนะ”



“แม่จะรอ” ว่าแบบนั้นแล้วยิ้มกว้างให้กัน เราสามคนกอดกันกลมในตอนนี้ เพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่นาทีผมจะต้องเรียกรถและเดินทาง ในตอนที่ผมผละตัวออกจากแม่และน้อง ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงรถที่ถูกขับมาและจอดลงไม่ไกลจากรั้วบ้าน มองออกไปที่หน้าประตูตรงนั้น มีใครคนนึงที่ดูกระหืดกระหอบและรีบร้อนวิ่งลงมาจากรถ



“อ้าว เฮียพี่พระจันทร์นี่นา!” เป็นเสียงของไอ้ทะเลที่ตะโกนออกมาแบบนั้น มันที่ยืนโบกไม้โบกมือให้กับคนที่กำลังสบตากับผมในตอนนี้



ดวงตาคมที่มีขนตาเรียงตัวสวยกำลังมองสบตากับผมอย่างไม่ละสายตา เหมือนกับว่าผมถูกดูดกลืนย้อนกลับไปในวันคืนเก่าๆ ตั้งแต่เช้าวันนั้นที่เปิดเรียน หัวใจผมสั่นกระตุกยังไงในทุกครั้งที่ได้สบตาเขา วันนี้มันก็ไม่ได้ต่างออกไปเลยแม้แต่น้อย ความคิดในหัวของผมสับสนปนเปเป็นเหมือนเกลียวคลื่น มีหลายเรื่องที่ล้นทะลักเข้ามาในหัวใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่างสักอย่างเดียว มันมีแต่ความวูบโหวงที่เกิดขึ้นกลางอก และเสียงหัวใจที่เต้นถี่ๆ และน้ำตาที่รื่นขึ้นมาก็เท่านั้น



“สมุทร” เสียงเข้มที่เอ่ยเรียกผมจากตรงนั้น ใบหน้าหล่อที่ดูอิดโรยมองตรงมาที่ผมแบบไม่ละสายตา ฝ่ามือหนาที่เอาแต่เกาะรั้วบ้านไม่ไปไหน



“เพื่อนมารับหรอลูก” แม่ผมเป็นคนทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี่ทิ้งไป แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร เสียงเข้มๆ นั่นก็ตอบรับคำพูดของแม่ของผมก่อนแล้ว และมีไอ้ทะเลที่ลากกระเป๋าออกไปให้ถึงหน้าบ้าน ... ทำเหี้ยอะไรเนี่ย



“หายไปนานนมโตเลยนะพี่เฮียพระจันทร์” มันว่าออกมาแบบนั้นตอนที่เปิดรั้วบ้านต้อนรับใครอีกคน พี่พระจันทร์ยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ แล้วยกมือไหว้แม่ของผมที่ยิ้มรับเขานิดๆ ผมช้อนตามองหน้าแล้วอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ผมจะไม่ไปกับเค้า แต่ถึงแบบนั้นแม่ก็ยังคงส่งยิ้มมาให้กัน แล้วพูดขัดกับผมขึ้นมาซะก่อน



“อย่าปล่อยให้อะไรค้างคา ถ้าลูกอยากจบ ก็ทำให้มันจบซะตั้งแต่วันนี้...แต่ถ้าไม่ มันอาจมีอะไรบางอย่างที่ลูกจะไม่เสียใจ ถ้าได้คุยกัน”



“แม่รู้...”



“นี่แม่ของน้องสมุทรทั้งคนนะ ไม่รู้แล้วจะเป็นแม่เราได้ยังไง...ไปเถอะ ไปกับเค้า อย่างน้อยแม่ก็จะได้สบายใจว่าลูกจะมีคนไปส่งถึงสนามบิน ... ชื่อพระจันทร์ใช่ไหม ฝากส่งสมุทรให้ถึงเกตอย่างปลอดภัยด้วยนะจ๊ะ”



“ครับ” เค้าตอบรับคำแม่ของผม แต่ถึงแบบนั้นสายตาคู่คมก็ยังไม่ยอมละไปจากหน้าของผมอยู่ดี ในตอนที่ผมเดินเข้าไปหาเค้าช้าๆ เป็นเวลานานมาเป็นอาทิตย์ที่เราไม่ได้คุย ไม่ได้สบตา ไม่ได้มองหน้าหรือได้ยินเสียงพูดคุย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ได้มองกันแบบนี้



“มึงจะไปเรียนที่จีนหรอ ไปวันนี้หรอ”



“ใช่ ผมมีไฟล์บินไปวันนี้” ตอบออกไปตามความจริง และพี่พระจันทร์ก็เงียบไป เขามองหน้าผมค้างอยู่แบบนั้น ก่อนที่สุดท้ายจะกระพริบตานิดๆ



“เครื่องขึ้นกี่โมง”



“เป็นไฟล์ตอนบ่ายครับ แต่พี่ไม่ต้องไปส่งผมหรอก ผมไปเองได้” บอกออกไปแบบนั้น เป็นสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้ายังไง และพอบอกออกไปแบบนั้น สีหน้าและท่าทางของพี่พระจันทร์มันก็ยิ่งดูอ่อนแรงลงมากกว่าตอนที่เค้าวิ่งลงมาจากรถเมื่อก่อนหน้านี้ซะอีก ดวงตาคู่สวยของเค้าที่ผมเคยชอบ ในตอนนี้มันดูสับสนเหมือนคนกำลังหลงทาง



“พี่พระจันทร์...” ผมเรียกชื่อของเขาออกไปครั้งแรก รู้สึกปวดหน่วงอย่างบอกไม่ถูก เป็นความโหยหา เป็นความคิดถึงในวันที่เรากอดกันไม่ได้อีกแล้ว รู้สึกหัวใจถูกบีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงต้องอดทนกับมันเอาไว้



“ขอไปส่ง...ได้ไหม” เขาช้อนสายตาขอร้องมองมาทางผม และในตอนนั้นที่ผมหันหน้ากลับไปมองแม่ของตัวเอง ท่านที่ทำแค่พยักหน้าส่งให้เบาๆ อย่างให้กำลังใจ ผมหันกลับมามองหน้าเค้าอีกครั้ง ...



บางที ถ้าการได้ใช้โอกาสช่วงสุดท้ายนี้ก่อนที่เราจะจากกันไปไกล มันก็อาจจะดีก็ได้ล่ะมั้ง ... น้องสมุทรคนดันทุรัง น้องสมุทรคนตามใจตัวเอง



“ก็ได้ครับ”



         ตอบรับออกไปแบบนั้น แล้วก็เป็นพี่พระจันทร์ที่ขยับตัวเข้ามาหยิบกระเป๋าเดินทางของผมขึ้นรถที่เบาะหลัง ก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้ผมเดินขึ้นไปนั่ง แล้วเขาเองก็เดินอ้อมไปนั่งที่ฝั่งคนขับ ดวงตาคมที่เอาแต่จ้องมองไปที่พวงมาลัย จ้องมันอยู่แบบนั้นเหมือนกับว่าไม่อยากขับมันออกไปจากตรงนี้ เหมือนกับว่าอยากจะใช้เวลาอยู่กับผมให้นานที่สุด แต่นั่นเหมือนจะเป็นการเข้าข้างตัวเองของน้องสมุทรที่ชอบทำมาเสมอ เจ็บแล้วไม่จำ จนสุดท้ายต้องเบือนหน้าหนีมองออกไปนอกกระจกรถ ลดกระจกลงแล้วโบกมือลาแม่กับน้องที่ยืนมองเราอยู่ที่หน้าบ้าน ผ่านไปหลายนาที สุดท้ายรถหรูคันนี้ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขับออกมา



บรรยากาศเงียบๆ ที่ชวนอึดอัด เหมือนกับว่าเราสองคนหวนกลับไปเป็นคนที่ไม่คุ้นหน้า เป็นเหมือนกับวันแรกที่ผมได้ขึ้นมานั่งบนรถคันนี้ แตกต่างตรงที่ในวันนั้นฝนมันตกหนัก และเค้าก็บังเอิญไปรับผมขึ้นมาจากข้างทาง



“กู...กูรู้จากอาทิตย์ว่ามึงจะไปเรียนต่อที่จีน” เป็นเค้าที่พูดขึ้นมาก่อนเพื่อขัดบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ของเรา สายตาคมนั่นที่ก็เอาแต่จ้องไปที่ถนน ผมพยักหน้ารับกับคำพูดของเขานิดๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นก็ตาม



“อ่อครับ”



“ที่ไป...เป็นเพราะกูใช่ไหม” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้น พร้อมๆ กับเหลือบสายตามามองผมในตอนที่ฝ่ามือหนาเข้าเกียร์ว่างในตอนที่รถติดไฟแดง มองเห็นความเศร้าในตาของเขาที่ส่งผ่านมาให้กัน ผมไม่รู้ว่าทำไมเค้าถึงดูเศร้าเสียใจขนาดนั้น แต่เพราะแบบนั้น มันก็ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองตาอีกฝ่ายชัดๆ เหมือนกัน



“................” พร้อมทั้งไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธออกมาสักประโยคเลยด้วยซ้ำ



“ขอโทษนะ” เสียงทุ้มเศร้าที่ชวนให้หัวใจผมร้องไห้พูดออกมาเบาๆ ผมเผลอช้อนตาขึ้นไปสบตากับเขา ก่อนจะต้องรีบเบือนหน้าหนีในตอนที่เห็นความเศร้าส่งมาให้กัน พี่พระจันทร์ปลดเกียร์ว่างในตอนที่สัญญาณไฟบอกกันว่าต้องไปต่อ



“ขอโทษทุกเรื่องเลยที่ทำให้มึงต้องเสียใจ ถ้าพูดว่าไม่ตั้งใจก็คงทุเรศเกินไป ตั้งแต่ที่มึงเดินเข้ามาหากูในวันนั้น ที่ผับในคืนนั้น กูก็ไม่สนใจใยดีความรู้สึกมึงเลยใช่ไหมล่ะ จะมาพูดว่าไม่ตั้งใจก็คงเฮงซวยมากกว่าที่เป็นอยู่ซะอีก” เค้าว่าออกมาแบบนั้น เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่คนแบบพี่พระจันทร์กำลังเอ่ยปากต่อว่าตัวเองให้ผมได้ยิน ผมรู้จักนิสัยของเขาดี เขาไม่แคร์ใครจริงๆ แบบที่เขาว่า ผมรู้ดีว่านั่นเป็นความตั้งใจบีบให้ผมถอยห่าง แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด ในตอนนั้นผมก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ก็ขอให้ได้ใกล้ชิดเขามากขึ้นอีกหน่อย มันคือการตัดสินใจของผมเอง



“แต่ที่ผ่านมา ที่ได้ใช้เวลาร่วมกับมึง ทุกเรื่องที่เคยบอกมึง กูไม่เคยโกหกมึงเลยสมุทร” พี่พระจันทร์พูดออกมาอีก พร้อมๆ กับความเสียใจที่เริ่มตีตื้นขึ้นมาในอกของผม เขาเหมือนกับว่าไม่ได้อยากถามอะไรผม แต่แค่อยากพูด อยากบอกเล่าเรื่องราวที่เค้าไม่เคยได้พูดออกมา และมีเพียงน้ำเสียงและแววตาที่ส่งมาให้ผมได้รู้ว่าเค้าเสียใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง



“เรื่องอัยย์วันนั้น กูไม่มีอะไรจะแก้ตัว แต่กูมีแค่เรื่องอยากเล่าให้ฟัง...” บอกออกมาแบบนั้นแล้วหันมามองหน้าผม เหมือนเป็นการเอ่ยถามว่าผมอยากจะฟังมันไหม



“ก็ถ้าพี่อยากจะเล่า ผมฟังมันก็ได้” ตอบรับออกไปแบบนั้น ท่าทางของผมที่ทำให้ดูเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไรมากที่ที่สุด ทั้งๆ ที่หัวใจผมกำลังเร่งรัด อยากจะรู้ว่าเค้าจะพูดถึงเรื่องอะไร จริงๆ ระยะเวลาหลายต่อหลายวัน มันไม่ทำให้ผมดึงใจออกมาจากเค้าได้เลย ทั้งๆ ที่เสียใจจนแทบบ้า แต่ก็ยังอยากจะรู้เรื่องราวของเขาอยู่ดี อยากจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้เค้าที่ควรจะมีความสุขกับพี่อัยย์ในช่วงเวลาที่ไม่มีผม มีสภาพเป็นแบบตอนนี้



“วันนั้นอัยย์เค้ากรีดข้อมือตัวเอง...”



“ห๊ะ!” ผมตะโกนออกมาแบบนั้น ความรู้สึกตกตะลึงตามมาพร้อมๆ กับหัวใจที่ร่วงหล่นลงไปที่ปลายเท้า ผมเห็นหน้าค่าตาเค้ามาตลอดพร้อมๆ กับที่เจอพี่พระจันทร์ คนที่มีใบหน้าน่ารักสดใสมาตลอดแบบพี่อัยย์ ไม่จริงน่า...ความกลัวทำให้ผมมือสั่น หันหน้าไปมองพี่พระจันทร์อย่างต้องการคำตอบ



“แล้วพี่อัยย์...”



“เขารอด กูอยู่ด้วยในตอนนั้น ก็เลยไปถึงโรงพยาบาลได้ทันเวลา” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในตอนที่ได้รู้คำตอบ ถึงผมจะไม่ชอบที่เขาต้องมาวนเวียนอยู่รอบตัวของพี่พระจันทร์ แต่ผมไม่เคยคิดอยากให้เขาตาย เข้าใจใช่ไหม มันไม่มีการจากลาไหน เท่ากับการจากลาที่เราจะไม่มีวันหาตัวเค้าเจออีกแล้วบนโลกนี้



ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวที่กำลังจดจ่อสายตาไปที่ถนน แต่ถึงแบบนั้นผมก็มองเห็นได้ว่าอีกฝ่ายมือสั่น พี่พระจันทร์ที่กำมือเข้ากับพวงมาลัยแน่นๆ



“อัยย์ทะเลาะกับที่บ้าน จริงๆ ก็เป็นการทะเลาะที่กูคุ้นเคยดีมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ อัยย์ชอบปีนต้นไม้หนีมาฝั่งบ้านกู เพราะเมียน้อยพ่อชอบปล่อยหมาให้มาไล่กัดอัยย์”



“อะไรนะ!...นี่มันเรื่องอะไรกัน บ้าป่ะวะ”



“กูไม่เคยอยากจะพูดมันออกมา เพราะมันคงไม่ดีที่จะเอาเรื่องครอบครัวคนอื่นมาพูดแบบนี้ โดยเฉพาะกับคนที่เค้าเองก็ไม่ได้อยากให้ใครรับรู้ แต่วันนี้มันคงไม่สำคัญแล้ว เพราะว่าการคิดและแคร์คนอื่นมากกว่ามึงในวันนั้น มันทำให้วันนี้กูเสียมึงไป” พี่พระจันทร์พูดออกมาพร้อมหัวเราะแผ่วๆ ท่าทางที่ไม่ได้อยากหัวเราะแต่เหมือนเป็นการหัวเราะสมเพชตัวเองมากกว่า



“วันนั้นกูทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง กูกลัวอัยย์ตายถึงได้รีบไปแล้วทิ้งมึงเอาไว้ ไม่กล้าพามึงไป ไม่กล้าบอกอะไรกับมึงเพราะไม่รู้จริงๆ ว่ากูควรพูดเรื่องนี้ออกมาหรือเปล่า แต่ในความรู้สึกจริงๆ ของกู คือวันนี้กูไม่ได้รู้สึกกับอัยย์เหมือนที่รู้สึกกับมึง”



“ผม...ผม....” ไม่รู้จะตอบอะไรกับไปเลยในตอนนี้ เรื่องจริงในวันนั้นที่ผมคิดอะไรไปไกล ถูกความจริงวิ่งชนใส่เป็นหนังคนละม้วน ทำเอาหัวสมองผมเบลอและขาวโพลนไปหมด เพราะเพราะว่าพูดอะไรออกมาไม่ได้สักอย่าง เลยได้เห็นพี่พระจันทร์ที่เหยียดยิ้มหยันออกมาน้อยๆ



“เขาอยากให้กูเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขา” พี่พระจันทร์หัวเราะฝืดๆ



“พี่ก็เป็นมันอยู่เสมอนี่”



“แต่ตอนนี้เป็นให้ไม่ได้แล้ว”



“ทำไม”



“เพราะมึง...”



เรื่องราวที่ได้รับรู้ความจริงที่ว่าวันนั้นเค้าทิ้งผมไปทำไม ทันทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่า ในวันนั้นผมทั้งน้อยใจ เสียใจ แต่เรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้มันหนักเกินไปจนไม่รู้ว่าควรตอบรับยังไง และผมคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เรื่องราวนี้ก็คงทำให้คนข้างตัวหนักใจไม่ต่างกัน



“กูขอโทษสมุทร...ถ้าทำได้ ถ้ามีโอกาสทำได้อีกสักครั้ง กูจะไม่ผิดสัญญา กูจะไม่มีความลับอะไรกับมึงอีกเลยแม้แต่อย่างเดียว”



             ความเงียบลอยตัวอยู่ในรถ พร้อมๆ กับหัวสมองของผมที่มึนงง จนกระทั่งรถหรูของพี่พระจันทร์เลี้ยวเขาที่ลานจอดของสนามบินสุวรรณภูมิ เหลือบสายตาลงมองที่นาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอยู่มาก เราจัดการเรื่องกระเป๋ากับบอร์ดดิ้งพาส มองเห็นรุ่นพี่และเหล่าซือที่รออยู่ก่อนแล้ว แต่ในตอนนี้สามารถบอกลา หรือหาของกินก่อนได้เพราะยังมีเวลาเหลือ มองเห็นไอ้มาร์ชที่มาก่อนแล้ว มันกำลังยืนอยู่กับพ่อแม่ของตัวเอง มันไม่ได้ก้าวเข้ามาหาผมในตอนที่เห็นพี่พระจันทร์มาด้วย



“พี่จะกลับเลยไหม” ถามออกไปแบบนั้น พอพี่พระจันทร์ได้ยินก็ทำหน้าเสียใจมากกว่าเก่า สีหน้าท่าทางที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้



“กูขอโทษที่เคยใจร้ายกับมึง ... แต่ขอร้องได้ไหม ในช่วงอีกแค่ไม่กี่นาที มึงอย่าใจร้ายกับกูมากไปกว่านี้เลย”



“ผมขอโทษ” ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำนี้ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ แต่แค่เห็นสีหน้าท่าทางของเขา ผมก็รู้สึกผิดไปทั้งใจ



“ขอโทษทำไม ทุกอย่างทุกเรื่องของเรามันพังก็เพราะกู ถ้าในเรื่องนี้จะมีใครสักคนที่ผิด ไม่ใช่มึงเลย มันเป็นกู” พี่พระจันทร์ฝืนยิ้มออกมาน้อยพร้อมส่ายหน้า มันเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกสมเพชตัวเอง ผมหายใจเข้าลึกในตอนนี้ ถ้าจะจากกัน มันไม่ควรมีการค้างคาใช่ไหม ผมบอกตัวเองแบบนั้นมาตลอดในตอนที่ตัดสินใจจะไปจีน แต่ในตอนนี้ที่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ความค้างคามันกลับแล่นขึ้นมาในความรู้สึก



“ถ้ามึงไปอยู่ที่นู่น เรายังจะคุยกันได้ไหม”



“ไม่รู้สิ ที่นั่นรัฐบาลเค้าบล็อคหลายเว็บ ผมไม่รู้ว่าจะคุยกันอีกได้หรือเปล่า” ตอบออกไปตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่รับรู้ได้ว่าเสียงของตัวเองเริ่มสั่น มันเหมือนมีหลายๆ อย่างที่ผิดพลาดกับเรื่องของเรา ถ้าย้อนกลับไปในวันนั้นถ้าผมยอมฟังเค้า ถ้าเค้ายอมเล่าทุกเรื่องให้ผมฟัง วันนี้เราจะยังต้องมายืนอยู่ตรงข้ามกันเหมือนตอนนี้ไหม ผมรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ ได้แต่รู้สึกว่ามันไม่ควรมาจบลงแบบนี้เลยจริงๆ



แต่ถึงจะแบบนั้น ยังไงในวันนี้เรื่องของเรา มันก็ถือว่าจบไปแล้วอยู่ดี ... จริงไหม?



ผมผ่อนลมหายใจก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก่อนจะช้อนตามองคนที่ผมหลงรักมาตลอด คนที่ผมอยากให้เค้าได้มองเห็นผม ได้รับรู้ว่าผมรักเค้าอยู่ตรงนี้มาเสมอ เฝ้ารอให้สักวันเค้ารู้ว่าผมรัก



“พี่พระจันทร์ น้องสมุทรขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ทำให้ผมมีความสุขนะครับ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เข้าไปใกล้พี่มากขนาดนั้น”



“อย่าพูดแบบนั้นสมุทร มึงอย่าพูดมันออกมา.....”



“ถึงเรื่องของเรามันจะจบลงแบบนี้ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ผมเสียดายและเสียใจมากๆ ก็ตาม แต่ทุกๆ เรื่องราวของพี่ มันจะถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำของผมตลอดไปเลยนะ” ผมกระพริบตาถี่ๆ รู้สึกปวดหน่วงในอกไปหมดในตอนที่ต้องพูดมันออกมา ผมเสียใจ ลึกๆ แล้วผมยังคาดหวัง แต่สุดท้ายแล้วมันก็จบลงไปแล้วอยู่ดี เราคงเดินมาไกลที่สุดได้เท่านี้ ต่อให้ผมรั้นเดินต่อไปมากกว่านี้ ในวันนี้ทุกอย่างมันก็ไม่เอื้ออำนวยอีกแล้ว เรากำลังจะอยู่ห่างกันไกล เดินทางออกไปกันคนละมุมโลก



“กูไม่ได้อยากให้มึงอยู่แค่ในความทรงจำสมุทร”



“หลังจากวันนี้ น้องสมุทรจะพยายามตัดใจจากพี่พระจันทร์ให้ได้...” ผมพูดออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ที่กำลังจะพูดบางอย่างต่อชะงักคำเพราะถูกผมแทรก เขาที่ดูเหมือนจะอึ้งไปกับคำพูดของผม สายตาคมที่ผมชอบนั่นมองผมค้าง แววตาสีหน้าเศร้าสร้อยถูกส่งมาให้ผม พร้อมกับขอบตาของผมที่ร้อนผ่าวขึ้นมาในตอนนี้



           ผมขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย กอดเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุด ก่อนจะชั่งใจแล้วตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายกับความดันทุรังที่อยากจะทำ กดจูบลงบนริมฝีปากของอีกคน เป็นแค่การกดจูบธรรมดาที่เนินนานกว่าครั้งไหนๆ รับรู้ได้ถึงวงแขนแข็งแกร่งของอีกฝ่ายที่รัดตัวผมแน่นขึ้นดว่าเดิม เขากระชับตัวของผมเอาไว้แน่นไม่ต่างกัน ราวกับกลัวว่าถ้าเกิดเผลอปล่อยผมออกจากอ้อมกอดนี้ ผมจะหายตัวไปในวินาทีนั้น ในตอนที่ผมจะผละใบหน้าออก กลับเป็นพี่พระจันทร์ที่เลื่อนฝ่ามือขึ้นมาจับที่ปลายคางผมเอาไว้ ก่อนจะกดจูบลึกซึ้งกว่าครั้งไหนๆ สอดเกี่ยวเรียวลิ้นเข้ามาดูดดึง พร้อมๆ กับที่น้ำตาของผมไหลลงมาอาบแก้ม



“ฮึก...” ผมพยายามที่จะกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ให้มากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ไหว ในตอนที่เราผละริมฝีปากออกจากกันอย่างเชื่องช้า ช้าจนเหมือนกับว่าเราทั้งคู่ต่างอยากให้ช่วงเวลานี้ยาวนานขึ้นอีกหน่อย



“ถ้าวันนี้พี่พระจันทร์รักผมได้จริงๆ มันคงจะดีกว่านี้” ผมกดหน้าผากตัวเองลงกับไหล่กว้าง หลับตานิ่งค้างรับรู้ถึงความอบอุ่นนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด ก่อนสุดท้ายจะตัดสินใจผละตัวออก พยายามควบคุมตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด พี่พระจันทร์มองหน้าผมค้างอย่างเลื่อนลอย ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะคว้าข้อมือของผมไปจับเอาไว้ เหมือนเป็นภาพวนลูปที่เคยเกิดขึ้น สภาพของเขาเหมือนกับตอนที่ผมพยายามดึงรั้งมือของเขาเอาไว้ไม่ให้จากไปในวันนั้นไม่มีผิด



“สมุทร”



“พี่รู้ตัวไหมว่าพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักผมหรือเปล่า ตลอดเวลาพี่ไม่เคยบอกว่ารักผมสักครั้งเดียว มีแต่คำว่าชอบที่ให้กัน ต่อให้เรื่องของพี่อัยย์จะผ่านไปแล้ว แต่น้องสมุทรในวันนี้ไม่แน่ใจอีกแล้ว กับคำว่าชอบของพี่ มันจะใหญ่พอเท่าคำว่ารักของผม”



“.............”



“เพราะแบบนั้น...ผมถึงจะตัดใจ ปล่อยให้เรื่องราวของเราจบลงที่ตรงนี้ ในวันนึงที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง ... ผมหวังว่าพี่พระจันทร์ จะรักใครเป็นสักทีนะครับ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ผมรู้ตัวดีว่าอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ความรู้สึกเสียใจกำลังเกาะกุมความรู้สึกของผม การที่เราต้องตัดใจ และรับรู้ว่าในวันพรุ่งนี้มันจะไม่มีใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้าของเราอีกต่อไปแล้ว มันเป็นการฝืนเข้มแข็งที่ไร้ประโยชน์ ฝืนตัดใจที่ยากเย็นเต็มที ผมตัดสินใจเดินหันหลัง แล้วปล่อยพี่พระจันทร์ทิ้งเอาไว้ตรงนั้น



“สมุทร!...มึงคิดว่าพี่พระจันทร์ของมึงเป็นคนดีขนาดนั้นหรอวะ กูจะไม่ยอมให้มึงตัดใจหรอกจำเอาไว้!!”



เสียงทุ้มเข้มที่ตะโกนไล่หลังตามมา ทำให้ก้าวของการเดินของผมต้องชะงักไปจังหวะนึง คนรอบข้างที่หันมามองกัน แต่ถึงแบบนั้นผมก็เลือกที่จะไม่หันหลังกลับไป ต่อให้พี่พระจันทร์จะพูดแบบนั้นออกมา แล้วจะทำอะไรได้มากไปกว่า ปล่อยให้เรื่องของเรา จบลงแค่ตรงนี้



ลาก่อนความรักสี่ปีของน้องสมุทร



#รักอยู่รู้ยัง

--------------------------------

เอ๊อออ เอาสิลูกฉัน ไปเลยจ้าน้องสมุทร ก้าวไปเลยลูก

ส่วนพระจันทร์ สงสารอ่า เหมียนหมาเลย ก๊ากกกกกกกกกก



ครบ100%แล้วจ้า ขอบคุณคนอ่านที่ยังอยู่สมน้ำหน้าพี่พระจันทร์ด้วยกันนะคะ มามะ อ้าฮ้า มาอ่านเลย

ตอนนี้ยาวพอๆกับชื่อกรุงเทพไปเลยจ้า

(ยังไม่ได้แก้คำผิดงับ)

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่28 (100722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-07-2022 22:20:00
 :hao5: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่28 (100722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 11-07-2022 12:19:26
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่28 (100722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 11-07-2022 13:07:09
 :katai2-1: ตบมือรั่วๆ ให้น้องหมุด เฉียบขาดมากลูก / ผัวที่ดีคือผัวใหม่ 55 !!

เรื่องของเรื่อง มันไม่ใช่เรื่องที่บอกหรือไม่บอกว่าทำไมรีบวิ่งไปหาอัยย์ แต่ปัญหาคือ อิพี่พระจันทร์มันไม่เคยแน่ใจว่ารักหรือเปล่า ต้องขอส่งเพลงรู้ตัวช้าให้ จมน้ำตาตายไประหว่างรอน้องเรียนอยู่เมืองจีน

ขอให้น้องหมุดกลับมาพร้อมกับ หนุ่มแซบๆสักคนสองคน เอาให้อิพี่ตายไปเลย
ชอบตอนนี้คุณแคท เฉียบมาก น้องมองประเด็นขาดมาก Move on สวยๆค่า
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่29 (170722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 17-07-2022 02:51:35
*เป็นตอนที่มีคำศัพท์เฉพาะค่อนข้างมาก

เพราะฉะนั้นเลยมีเชิงอรรถอธิบายไว้ที่ท้ายเรื่องค่ะ



บทที่29





           แผ่นหลังที่เดินหายเข้าไปทางด้านในปะปนไปกับผู้คนมากมาย แค่เผลอกระพริบตาเพียงครั้งเดียว ร่างบางๆ นั่นก็ถูกกลืนหายไปกับผู้คน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนไร้น้ำหนัก ไร้การเคลื่อนไหว และหยุดนิ่งค้างอยู่กับที่ไปชั่วขณะ สมองของผมยังคงประมวนผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่เต็มที่ มันยังคงเอาแต่แสดงความรู้สึกที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งคนยืนอยู่ตรงหน้านี้ ความอบอุ่นของผิวเนื้อที่กอดกัน รูปปากที่ดูดดึงยังไม่จากหาย แต่ในความเป็นจริง...มันไม่เหลืออะไรแล้วสักอย่างเดียว มันว่างเปล่า



คำพูดของสมุทรที่ดังอยู่ในหัว แต่ตอนนี้ตัวตนของมันไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เป็นความรู้สึกของการเสียสูญ ความผิดหวังเสียใจที่เคยคิดว่ารู้จักดีมาตลอดเพราะเรื่องของอัยย์ แต่ในความเป็นจริง มันเทียบกันไม่ติดกับความรู้สึกในตอนนี้กับเรื่องของสมุทร ...พึ่งรู้ว่าของจริงมันเป็นแบบนี้



‘ตลอดเวลาพี่ไม่เคยบอกว่ารักผมสักครั้งเดียว’ คำพูดประโยคนี้ของสมุทรทำผมอ้าปากเถียงไม่ออกสักคำเดียว มันเหมือนโดนต่อยเข้าแสกหน้า ชาไปทั้งตัวทั้งใจ ตอนนี้ได้แต่กัดฟันแน่นๆ แล้วเอนตัวถอยหลังไปพิงต้นเสาเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกเคว้งแบบทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องคิดหรือทำอะไรในตอนนี้ มองเข้าไปตรงที่ที่มันพึ่งเดินเข้าไปอีกครั้ง และความเป็นจริงก็ตอกย้ำกับผมว่า มันไม่อยู่ด้วยกันในตรงนี้แล้ว



         เดินกลับไปที่รถ ยัดตัวเองเข้าไปในรถ หันมองไปที่ด้านข้างที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า มันเคยอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกมันชืดชา แต่ใบหน้ากลับสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น พอก้มหน้าลงมองที่หน้าตัก ก็มองเห็นหยดน้ำใสเป็นหยดเป็นดวงที่กางเกง ชะงักไปสักพักในตอนที่มองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้



            สุดยอดไปเลยว่ะไอ้พระจันทร์ ไอ้คนที่ตอนแรกไม่แคร์เลยว่ามันจะรู้สึกยังไง แต่มาในวันนี้ แม่ง ... เจ็บจนน้ำตาไหล



“ฮ่ะๆๆ ...” ได้แต่แค่นยิ้มแล้วฝืนขำออกมาทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรตลกสักอย่างเดียว ฟุบหน้าลงกับแขนที่วางไว้บนพวงมาลัยรถ น่าสมเพชฉิบหายเลยไอ้พระจันทร์ เงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือ จ้องมองลงไปที่ข้อมือที่มีสร้อยเชือก2เส้นถูกสวมเอาไว้ เส้นนึงคือเส้นที่มันเป็นคนใส่ให้ ส่วนอีกเส้นคือของมันที่เคยทำตกเอาไว้ในคืนแรกที่เรามีอะไรกัน หลังจากวันนั้นคิดว่าจะเอามาคืนให้มัน แต่ก็ไม่ได้คืนสักที จนสุดท้ายในตอนนี้ อะไรที่มันทิ้งไว้ให้ก็อยู่ที่ตัวผมคนเดียว ไม่ว่าจะสร้อยคู่นี่ หรือแม้แต่น้ำหอมที่ให้ไว้ล่วงหน้าก่อนวันเกิด ไม่มีสักอย่าง ไม่ว่าจะวันเกิดที่คิดเอาไว้ หรือตัวมัน ... ผมปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาเรื่อยๆ มันรู้สึกเคว้งคว้างแบบที่ตั้งหลักไม่ถูก คำพูดของสมุทรยังคงวนเวียนอยู่ในหัว



         กับอิแค่คำว่ารัก มันติดอะไรอยู่ มันยากมากตรงไหนถึงไม่เข้าใจมันสักที ... แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เข้าใจแล้วในตอนนี้คือที่มันทิ้งกัน เรื่องของอัยย์อาจมีส่วน แต่ความที่มันไม่มั่นใจในตัวผมคือส่วนใหญ่ที่สุดของเรื่องนี้



        ตลอดระยะเวลาที่ขับรถกลับบ้าน มันเอาแต่นึกถึงสิ่งต่างๆ ทั้งภาพทั้งเสียงทุกอย่างอัดแน่นเป็นความทรงจำ เปิดประตูเข้ามาที่ห้อง เดินตรงมาที่เคาเตอร์ครัวที่ครั้งนึงเคยมีคนก้มๆ เงยๆ ส่งยิ้มมาให้กัน มันไม่ค่อยถามว่าอยากกินอะไร แต่สุดท้ายจะเลือกลงมือทำเมนูง่ายๆ ที่ถูกปากและถูกใจ มันมักจะรู้อยู่เสมอว่าผมดูแลสุขภาพมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเมนูเช้า สาย บ่ายหรือแม้แต่ตอนกลางคืน มันก็จะทำออกมาได้แบบที่ผมชอบเสมอ คนที่เคยมัดจุกผูกผ้ากันเปื้อนสีหวานอยู่ในครัว หรือแม้กระทั่งโต๊ะกินข้าวที่ครั้งนึงมันเคยนอนทอดยาว ฉีกขาให้ผมสอดใส่ในที่ตรงนั้น



มันเป็นภาพคุ้นตาที่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผมชินกับการมีตัวตนของใครอีกคนไปแล้ว ชินกับการมีเสียงใสๆ กับใบหน้าเปื้อนลอยยิ้มที่มีแว่นสายตากลมมาส่งยิ้มให้เสมอ ชินกับร่างกายอุ่นๆ ที่ได้กอดใครสักคนเอาไว้ ชินกับความใส่ใจที่อยู่ข้างกายตลอดเวลา ชินแม้กระทั่งน้ำหวานรสซ่าสีเขียวๆ ที่ไม่เคยคิดจะกิน แต่ทุกวันนี้กลับติดมันมากกว่าใคร



ในตอนนี้ เวลานี้ที่ต้องกลับมาเจอความว่างเปล่าที่คุ้นเคยเหมือนกับก่อนที่จะได้เจอมัน ... เวลานี้มันกลับว่างเปล่ายิ่งกว่าที่ผ่านมา การที่เราต้องขาดสิ่งที่เคยมี มันแย่ยิ่งกว่าไม่เคยมีมันมาก่อนซะอีก ได้แต่ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกินข้าว ซบหน้าลงกับพื้นเย็นๆ ของโต๊ะหินอ่อนแล้วหลับตาพยายามคิดและมองหาทางออกของเรื่องราวนี้ หรือบางทีผมอาจจะสมควรที่ต้องโดนแบบนี้ นี่คงไม่ได้ครึ่งนึงตลอดสี่ปีที่ผ่านมาที่ไอ้สมุทรรู้สึก ...สมควรโดนแล้ว



.

.

.



            ขายาวๆ ที่ก้าวตรงออกมาจากลิฟย์ด้วยความเร่งรีบและหงุดหงิด ในตอนนี้ไม่สนใจกระทั่งที่จะอยากรับไหว้เจ้าหน้าที่หรือเลขาที่อยู่หน้าห้อง มารยาทไม่อยากจะมีแล้วในตอนนี้ที่เจอแต่เรื่องเดิมๆ มาทั้งอาทิตย์ ฝ่ามือหนาผลักประตูห้องของผู้บริหารใหญ่เปิดออกโดยไร้ซึ่งการเคาะประตูแบบที่คนมีมารยาทเค้าทำกัน



แต่วันนี้พระจันทร์ไม่อยากจะมี



“ป๊า! ทำไมต้องทำแบบนี้กับจันทร์วะ!” ผมโพล่งออกไปแบบนั้นในตอนที่คนมีอายุแต่ยังดูดีในชุดเสื้อสูธเงยหน้าขึ้นมาจากงานเอกสารตรงหน้าพร้อมคิ้วสวยที่เลิกขึ้นมาเหมือนเป็นการถามว่า มาโวยวายอะไรเสียงดังตรงนี้



“ฝีมือป๊าใช่ไหม ทำไมต้องทำแบบนี้!”



“พระจันทร์อย่าขึ้นเสียงกับป๊า อาเคยสอนให้จันทร์โวยวายแบบนี้หรอ” เสียงของบุคคลที่สามที่อยู่ในห้องนี้ด้วย แต่ผมมองไม่เห็น เรียกได้ว่าไม่ได้มองใครเลยนอกจากป๊าถึงจะถูก อาเมลลุกขึ้นยืนจากโซฟารับแขกแล้วเดินเข้ามาหากัน



“ไม่เป็นไรเมล ปล่อยให้มันโวยวายไปแบบนั้นล่ะ”



ผมมองหน้าคนสองคนที่เอาแต่พูดกันเองด้วยความกรุ่นโกรธ นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมโดนยกเลิกตั๋วเครื่องบิน ผ่านมาเป็นอาทิตย์ยังไม่มีความคืบหน้าจากสายการบินไหนๆ ว่าเพราะอะไรถึงมีการแคนเซิลตั๋วเครื่องบินของผมโดยไร้เหตุผลแบบนี้ จนในตอนนี้ที่เริ่มเอะใจ การกระทำยิ่งใหญ่แบบนี้จะมีใครหน้าไหนทำได้ ถ้าไม่ใช่คุณทัพหน้า เตชะณรงค์กรค์



“ยังไงไอ้ลูกชาย มาถึงที่ทำงานป๊าก็มาโวยวายแบบนี้เลย ไปกินดีหมีดีควายที่ไหนมาวะ” ผมจ้องมองคนตรงหน้าที่มีอำนาจล้นมือ ผู้ชายร่างสูงที่ผมเคารพรักมากกว่าใคร คนที่สอนทุกอย่างให้ผม และทำให้ผมอยู่สุขสบายมาจนถึงทุกวันนี้ ได้แต่จ้องมองป๊าค้างไว้สักครู่ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นผมที่หลับตาลงทั้งๆ ที่มือยังคงกำหมัดแน่น ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ อย่างคนอารมณ์ดีของป๊าแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม



“พระจันทร์ที่นิ่งเฉยกับทุกสิ่งหายไปไหนแล้วนะ น่าสงสัยจังว่าไหม”



“ป๊ายกเลิกตั๋วจันทร์ทำไม”



“อ่อ เรื่องยกเลิกตั๋วเครื่องบินนี่เองที่ทำให้นิ่งไม่ไหว” ป๊าว่าออกมาแบบนั้นเบาๆ อย่างคนไม่ทุกข์ไม่ร้อน มองเห็นอาเมลที่ขมวดคิ้วมองผมกับป๊าสลับกันไปมาในตอนนี้



“แล้วจันทร์จะไปไหน จองตั๋วทำไม นี่มันเรื่องอะไรทำไมไม่มีใครบอกเมลเลย” อาเมลว่าออกมาแบบนั้น



“ก็ลองถามลูกชายตัวดีของเราดูสิว่ามันอยากไปจีนทำไม” ป๊าทัพจ้องหน้าผม สายตาคมๆ ที่มองกันเหมือนกับแสกนไปทั้งตัวนั่นทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ป๊าเลี้ยงผมมายังไง ผมก็นิสัยเหมือนป๊าแบบนั้น ... ไม่ชอบเลยว่ะที่ต้องมาเจอกับคนนิสัยเหมือนกันในช่วงเวลาแบบนี้



“อยากสารภาพไหม หรือให้ป๊าเล่าเอง” ถ้าพูดมาแบบนี้ก็มั่นใจได้เลยว่าเรื่องของผมถูกป๊ารู้แล้วในทุกเรื่องราว ผมหลับตาแน่น ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองหน้าอาเมลที่กำลังมองกันอยู่ก่อนแล้ว



“จันทร์พูดเอง”



“งั้นว่ามาสิ อาเมลคงรอฟังลูกอยู่” ป๊าทัพที่วางปากกาลงบนโต๊ะทำงานแล้วใช้มือประสานกันวางเอาไว้บนโต๊ะ สีหน้าที่ดูจริงจังขึ้นมา พร้อมๆ กับผมที่ค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมาจนหมด ถึงแม้จะไม่ได้เจาะลึกลงดีเทลระหว่างผมกับสมุทรอะไรมากนัก แต่แค่นั้นอาเมลก็เปลี่ยนสีหน้าจากสงสัยเป็นสีหน้าตึงๆ ให้เห็นในตอนนี้



“อาเมลเคยสอนให้พระจันทร์ใจร้ายและโลเลแบบนี้หรอ”



“ขอโทษครับ”



“คนที่พระจันทร์ควรขอโทษไม่ใช่อา ไม่ใช่ป๊า แต่พระจันทร์รู้ใช่ไหมว่าหมายถึงใคร” อาเมลว่าแบบนั้นแล้วนั่งไขว่ห้างอย่างคนไม่สบอารมณ์ สีหน้าท่าทางของคนที่คุมนายใหญ่ของตระกูลเตชะณรงค์กรค์ไว้ได้มันเป็นแบบนี้เอง



“ครับ จันทร์รู้ จันทร์ขอโทษน้องไปแล้ว แต่จันทร์รู้ว่ามันยังไม่พอ”



“ใช่ พระจันทร์เล่นกับความรู้สึกของน้องสมุทรมากไปนะ ไม่มีใครยอมทนอยู่ได้แบบนั้นหรอก พระจันทร์เล่นกับความรู้สึกของน้องแบบนั้นได้ยังไง อาเคยสอนหรอ”



“จันทร์ไม่ได้เห็นความรู้สึกของสมุทรเป็นของเล่นนะ จันทร์แค่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้...จันทร์ไม่ได้อยากให้น้องเสียใจแบบนั้นเลย” บอกออกไปแบบนั้น อาเมลจ้องหน้าผมด้วยสายตาดุๆ ที่มองผมนิ่งๆ นั่นดุกว่าป๊าทัพซะอีก ผ่านเวลาไปเนิ่นนาน สุดท้ายอาเมลก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ



“แล้วยังไง พระจันทร์อยากทำอะไร ต้องการอะไรจากเรื่องนี้ ถ้ายังโลเลไม่รู้ใจตัวเองก็ปล่อยน้องไป” อาเมลว่าแบบนั้นด้วยคำพูดจี้ใจดำของผม ที่ต้องพูดสวนออกมาทันที



“ไม่”



“พระจันทร์”



“จันทร์อยากไปหาน้อง...อยากไปเคลียร์กับน้อง แต่ป๊าก็เอาแต่แคนเซิลตั๋วของจันทร์”



“แล้วตอนนี้มันเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะไปงั้นหรอ” ครั้งนี้เป็นป๊าที่พูดขัดขึ้นมาเอง ผมหันไปมองหน้าป๊าที่มองตรงมานิ่งๆ ในครั้งนี้ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีน้ำเสียงหัวเราะให้ได้ยิน มีเพียงคำถามว่างเปล่าที่บีบรัดหัวใจของผม



“พระจันทร์กำลังจะเข้าช่วงสอบ และต้องไล่เคลียร์งานต่างๆ ไม่ใช่หรือไง จะทิ้งทุกอย่างไปทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง ทำไปเพื่ออะไร หัดคิดให้มากกว่านี้ได้แล้วพระจันทร์ ไม่งั้นทุกอย่างที่ต้องการจะไม่มีอะไรเหลือเลย”



“ผม...”



“เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ดี แต่ก่อนที่จะไถหน้าไปถึงจีน จัดการกับระบบความคิดของตัวเองให้ดีซะก่อนเถอะ เดินหน้าด้านไปหาเค้าทั้งๆ ที่ไม่มีคำตอบให้เค้า คิดว่าจะได้อะไรกับมาไม่ทราบ และคนที่กำลังจะเติบโตขึ้น มันใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้งได้หรอ หัดรู้จักอะไรก่อนหลังซะบ้าง ... แต่ถ้ามั่นหน้ามั่นใจว่าอยากจะไปตอนนี้ให้ได้ ก็ไปหาเงินแล้วซื้อตั๋วไปเอง”



“ป๊า...” ผมสบตากับป๊าที่กำลังบอกว่าเค้าไม่ได้ล้อเล่น ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจกับตัวเอง



“ได้...ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ จันทร์จะจัดการงานต่างๆ ให้เรียบร้อย พร้อมทั้งจันทร์จะหาคำตอบกับตัวเองให้ได้ แต่ถึงเวลานั้น ป๊าหรืออาเมลก็ไม่มีสิทธิมาห้ามจันทร์”



“ดีล” ป๊ายกยิ้มมุมปากแล้วผายมือมาให้ ผมถอนหายใจแล้วยกมือไหว้ ก่อนจะเดินหันหลังออกมาจากห้องทำงานของเค้า



            ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากว่าจะถึงวันนั้นมันจะช้าไปหรือเปล่า แต่มันไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักอย่าง ไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าทำไมป๊าทำแบบนี้ ป๊าพูดถูก ผมมีเรียนมีสอบมีงาน ฝืนไปตอนนี้ทุกอย่างคงพังทั้งเรื่องเรียนและเรื่องของไอ้สมุทร แต่ถึงจะเข้าใจแบบนั้นมันก็ยังหงุดหงิดฉิบหาย แม่งไม่ได้ดั่งใจเลยเว้ย



...



“โอ๊ย คัดจนมือจะหงิกแล้วแม่มึงเอ๊ย” เสียงตะโกนโวยวายที่ดังออกมาจากห้องของไอ้มาร์ชในช่วงเวลาหกโมงเย็น ทำให้ผมต้องเดินเข้าไปใกล้ มันที่กำลังนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องของมัน สภาพหัวฟูๆ ชี้โด่ชี้เด่กับการเอาเท้าขึ้นมานั่งนั่งขัดตะหมาดบนเก้าอี้ เป็นภาพชินตาที่ผมเห็นตั้งแต่มาถึงที่นี่ เมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน



“บ่นอะไรอีกแล้ววะไอ้มาร์ช”



“เหี้ยหมุด เหล่าซือปันกูให้กูคัดๆๆๆ แล้วพรุ่งนี้มี*ทิงเสี่ย มึงว่ากูจะรอดกลับไปที่ไทยไหมวะ แม่งเง้ย เหนื่อย”



“ปันกูก็มีเหมือนกัน แต่โชคดีที่วันนี้ไม่มีจั้วเยว่ว่ะแล้วว่ะ เพราะพรุ่งนี้จะมีทิงเสี่ยเลยไม่มีการบ้านล่ะ”



“แล้วเหล่าซือกูเป็นเหี้ยไรอ่ะ พรุ่งนี้ก็มีสอบเหมือนมึงแต่ก็ยัง ยังจะให้กูคัดอีกอ่ะ”



“แต่การคัดศัพท์ มันก็ทำให้พรุ่งนี้มึงสอบได้ไม่ใช่หรอวะ”



“แต่ลายมือกูมันเหี้ยไงเพื่อนหมุด มึงเข้าใจไหม คัดแล้วโดนแก้มาสามรอบแล้วแม่ง” บ่นออกมาแบบนั้นพร้อมยกมือขึ้นขยี้หัวของตัวเองแรงๆ อีกที สภาพน่าสงสารแต่ถึงแบบนั้นไอ้มาร์ชก็ยังทำต่อไปไม่หยุด



จริงๆ ตั้งแต่ที่เรามาถึงที่นี่ ไอ้มาร์ชก็ตั้งใจเรียนแทบจะไม่พัก ถึงมันจะบ่นไม่หยุด แต่ก็พยายามเรียนอย่างหนักอยู่เสมอ มันบอกแกมบังคับกับผมว่า ให้ตั้งใจเรียนแล้วหาอะไรทำเยอะๆ มันจะดีกับตัวเอง อย่างน้อยก็ทำให้ยุ่งจนไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งอื่นนอกจากเรื่องตรงหน้า เพราะถ้าว่างมากเกินไป มันจะทำให้โหยหาและคิดถึงสิ่งที่เราไม่มี และเพราะวิธีการนี้ของไอ้มาร์ช ตอนนี้ทั้งผมและมันเลยต้องปรับตัวกันจนหัวหมุน การมาอยู่ที่นี่ได้สองอาทิตย์ จะเรียกว่าปรับตัวได้มันก็ได้ แต่จะเรียกว่าไม่ชินเลยมันก็ใช่ ในช่วงแรกๆ ที่มาถึง ผมคิดถึงแม่และน้อง และในหลายๆ ครั้งของทุกวันนี้ ผมก็ยังคงคิดถึงพี่พระจันทร์



          การมาอยู่ที่เหมือนฝัน แทบจะไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทยอีกแล้ว มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่เมื่ออาทิตย์ก่อนผมยังนอนร้องไห้อยู่ในห้องที่บ้าน แต่มาตอนนี้ ตัวของผมกลับมาอยู่ที่นี่ ดินแดนที่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่พูดกันคนละภาษา อากาศที่ไม่ได้ร้อนอบอ้าว อาหารที่ค่อนข้างมีรสชาตแปลกใหม่ และผู้คนส่วนใหญ่ใช้การเดินเท้าเป็นหลัก หรือแม้แต่เสียงการบีบแตรรถแทบจะตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีคนเดินข้ามไปมาก็บีบอยู่ดี เป็นเมืองที่ค่อนข้างมีสีสัน และผู้คนที่นี่ก็ใจดี เป็นมิตรกับคนไทย โดยเฉพาะอาอี๋ร้านข้าวฝั่งตรงข้ามกับมหาลัยที่ต้อนรับนักศึกษาไทยเป็นพิเศษ เพราะพวกแกติดละครไทย บางครั้งเลยได้อาหารเมนูใหม่ๆ มากินที่ห้องเยอะเป็นพิเศษ



“กูซื้อฉ่าวหมีเฟิ่นมาเผื่อมึงด้วย วางไว้ที่โต๊ะในห้องรับแขกนะ”



“รักมึงไอ้หมุด กูจะไปแดกเดี๋ยวนี้!” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นแล้วปิดหนังสือเล่มใหญ่ของมันดังปัก สีหน้าท่าทางของมันที่บอกผมในตอนนี้ได้ว่า จะเลิกอดทนกับการคัดศัพท์แล้วไปแดก



“ไอ้หมุด กูขอพริกป่นด้วย”



“ใช้กูจังหน้าเหี้ย”



“นี่กูพ่อมึงนะ! กูมาที่นี่และอยู่กับมึงตอนนี้ควรสำนึกบุญคุณพ่ออย่างกูไหม ไม่งั้นตอนกลางคืนมึงจะนอนร้องไห้ตาปูดกับใครเอ่ย” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วหันหน้ามาทำปากยื่นปากยาวใส่ อยากจะโยนถุงพริกป่นที่เอามาจากไทยฟาดใส่หน้ามันแรงๆ สักที



“ปากมาก กูไม่ได้ร้องสักหน่อย” เถียงมันออกไปแบบนั้น ไอ้มาร์ชก็เบ้ปากใส่กัน ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันได้มาจากไหนวะเนี่ย



“อ๋อจ้า ไม่ได้ร้องหรอกเนอะ แต่ช่วยดูหน้ามึงบ้าง ขนาดแว่นสายตาอันใหญ่เท่าบ้านยังมองเห็นเลยว่าตามึงบวม มึงคิดถึงพี่พระจันทร์มากเลยหรอวะ”



“พูดออกมาหาพ่อง!” โยนถุงพริกป่นใส่หัวมันทันที กล้าดียังไงถึงกล้าพูดชื่อคนที่คุณก็รู้ว่าใครออกมาดังๆ แบบนั้น สัด



“เนี่ย แค่ชื่อมึงยังไม่กล้าฟังเลย ถ้าจะแบบนี้แล้วหนีมาทำไม”



“ก็ตอนนั้นกูยังไม่รู้นี่ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้...อีกอย่างกูจะฝืนต่อไปทำไมในเมื่อเค้าไม่ได้รักกู” เถียงมันออกไปแบบนั้นแล้วกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามมันแรงๆ ทีนึง หงุดหงิดนะ



“ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว แล้วทำไมยังไม่เปิดอ่านไลน์พี่เค้าวะ” มันที่ใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากพร้อมๆ กับถามออกมาแบบนั้น คำถามนั่นจะให้ตอบยังไงดี เพราะในทุกๆ วินาทีที่เลื่อนผ่าน ก็พยายามอยู่ฉิบหายที่จะไม่สนใจข้อความจากใครอีกคนที่พยายามส่งมาหากันตั้งแต่ผมมาถึง



“ก็กูกับเค้าจบกันไปแล้วนี่”



“ปากมึงบอกจบ แล้วใจมึงอ่ะจบจริงหรือเปล่าหมุด แล้วที่สำคัญที่สุด พี่เค้าจบกับมึงไหม” มันว่าออกมาแบบนั้น แล้วใช้สายตามองกันในตอนนี้ ความเงียบกินเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในตอนที่ผมไม่ตอบ ส่วนไอ้มาร์ชเองก็ไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ เหมือนแค่อยากพูดแหย่ให้ผมรู้สึกก็เท่านั้น มันก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าของมันต่อไปเหมือนกับตายอดตายอยาก ผมได้แต่เสหน้าหนีมันแล้วมองเลยออกไปนอกหน้าต่างห้อง คำถามที่ว่าปากผมบอกจบแล้วจบจริงไหม หรือคำถามที่ว่าพี่พระจันทร์เค้าจบด้วยหรือเปล่า อยากจะถามว่าต่อให้เราบอกว่าไม่จบแล้วจะทำอะไรได้ ... ความวูบโหวงเกิดขึ้นในอกอย่างกระทันหันจนผมต้องพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกดความรู้สึกพวกนั้นมันเอาไว้ ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เลยหันกลับมาจ้องหน้าไอ้มาร์ชที่ยังเอาแต่กินไม่เลิก



“มองกูทำไมวะ กูหล่อเหมือนพี่พระจันทร์หรือไงครับคุณหมุด ถ้าอารมณ์เปลี่ยวๆ ก็ไปสีหมอนข้างนะ อย่ามาใช้สายตาลวนลามกู”



“คิดเหี้ยอะไรของมึงไอ้สัดมาร์ช”



“จะรู้หรอ กูกลัวมึงหน้ามืดแล้วลุกมาปลุกปล้ำกูอ่ะครับ”



“สัด ต่อให้กูปลุก มึงจะปล้ำกูสำเร็จเปล่าเหอะ” พูดแบบนั้นแล้วจุดรอยยิ้มที่มุมปากส่งไปให้มันหนึ่งที ง่อว น้องสมุทรนี่มันหล่อเหลาไม่ใช่เล่นๆ เลยว่ะครับ



“ปากดีจังครับ ลองกับกูสักทีไหม” ไอ้มาร์ชปากดีว่าออกมาแบบนั้นแล้วเลิกคิ้วถาม สีหน้าสายตาที่บอกกันว่า ก็มาดิ ทำให้ผมอยากจะขำออกมา



“ไม่ลองดีกว่าครับ ... กลัวคนในโทรศัพท์ที่ตามมึงยิกๆ จะมาเด็ดหัวกูเอา” บอกออกไปแล้วก็นั่งรอดูปฏิกริยาของมัน และก็เป็นอย่างที่คิด ไอ้มาร์ชที่เบิกตากว้างขึ้นในตอนที่ได้ยิน ก่อนจะรีบยกมือขึ้นตะคลุบหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ไม่มีใครโทรหาหรือส่งข้อความมาสักหน่อย ท่าทางที่ดูตกอกตกใจนั่นชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายแล้วมั้งว่าข้อความที่ผมเห็นเมื่อหลายวันก่อนเป็นเรื่องจริง



ข้อความที่เด้งขึ้นมาที่หน้าจอตอนที่มันเปิดVPNเขียนเอาไว้ว่า ‘เรื่องคืนนั้นของมึงกับกู กูไม่ปล่อยไปหรอกนะ กูว่าเรา...’ อ่านได้แค่นั้น เลยไม่รู้ว่าเค้าพิมพ์อะไรมาต่อ เซ็งนิดหน่อยที่เสือกต่อไม่ได้ แต่ว่านะ คนที่ส่งมาน่ะ มันชี่อว่า พี่ยอร์ชวิศวะ



“มึงเห็นอะไร” ไอ้มาร์ชถามผมออกมาด้วยสายตาที่สั่นเล็กๆ สีหน้าท่าทางของมันที่ดูสับสน



“แล้วมึงปิดบังอะไรไว้” ไม่ได้ต้องการจะคาดคั้นอะไรจากมัน จริงๆ ในตอนแรกแค่อยากแกล้งแหย่มันคืนเฉยๆ เพราะค่อนข้างสงสัยในข้อความนั้น มันกับพี่ยอร์ชไม่ได้เหมือนคนสนิทกันด้วยซ้ำ แต่ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอมันกับพี่เค้า ก็ดูสนิทกันมากกว่ากูที่รู้จักมาก่อนซะอีก เป็นความคลุมเคลือที่เหมือนจะชัด แต่ก็เหมือนมีหมอกบางๆ คั่นอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างมันสองคน


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่29 (170722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 17-07-2022 02:52:48
“กู...”



“ว่าไง...ถ้าแบกไว้ไม่ไหว ก็พูดออกมาได้นะมึง” ผมไม่เข้าใจว่ามันอยากจะสื่อสารอะไรออกมาเลยได้แต่มองหน้ามันอยู่แบบนั้น ไอ้มาร์ชที่ทำหน้าตาดูสับสนปนเศร้านิดๆ ก่อนที่สุดท้ายมันจะวางตะเกียบในมือลง



“กู...ไม่รู้ว่ะ” มันบอกออกมาแบบนั้น พร้อมเม้มปากให้แน่นขึ้นอีกนิด และบีบมือตัวเองอย่างกังวลใจ



“มัน...มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไวมาก มันทั้งสับสน เป็นความรู้สึกที่ว่ากูไปต่อไม่ได้ แต่ก้าวถอยหลังก็ไม่ทันแล้ว กูพยายามแล้ว” มันก้มหน้าลงในตอนที่พูดออกมาแบบนั้น ไหล่ของมันสั่นนิดๆ และนั่นทำให้ผมรู้ว่ามันกำลังร้องไห้ ภาพตรงหน้าทำให้ผมตกใจ ไม่เข้าใจสักนิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างมันกับพี่ยอร์ช แต่ถึงแบบนั้นก็ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วพยายามลูบหลังปลอบมันเบาๆ



ไอ้มาร์ชเหมือนคนที่พยายามเก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัว พอมาถึงเวลานี้ที่ทนไม่ไหว ก็พร้อมจะปล่อยทุกอย่างออกมา



“...กูไม่น่าเลย ถ้าวันนั้นกูไม่ไป ถ้ากูไม่ใจอ่อน ถ้ากูไม่ง่าย อึก เหี้ย เหี้ยเอ้ย ฮือๆ”



“ใจเย็นก่อนมาร์ช”



“กูแม่ง ฮึก...ทั้งๆ ที่รู้อ่ะ กูรู้ว่ามันชอบมึง มันชอบคนแบบมึง แล้วคนแบบกูมีตรงไหนที่เหมือนมึงวะ หน้าตา น้ำเสียง นิสัย ไม่มีสักอย่าง ฮึก...พอกูคิดได้แบบนั้น ก็เลยพูดออกไปเองว่าให้ลืมมันไป ให้จบมันไปซะ อย่ามายุ่งกันอีก อย่ามาเข้าใกล้กู กูพูดแบบนั้นเองทั้งหมด แต่ทุกๆ ครั้งที่กูออกวิ่งเพื่อหนีมัน ทั้งๆ ที่แม่งเป็นคำที่กูพูดกับมันเอง แต่ตอนนี้กูเจ็บฉิบหาย กูไม่รู้เลยว่าทำไมกูถึงเป็นแบบนี้”



ผมฟังเรื่องราวของมันเงียบๆ ประติดประต่อตามความเข้าใจของตัวเอง ก้มมองมันที่ร้องไห้อยู่ข้างๆ ผม ไอ้มาร์ชเหมือนคนที่สับสนแต่กำลังเติบโตขึ้นไปเพราะความรัก คิดมาถึงตรงนี้น้องสมุทรก็เหมือนได้เห็นพ่อเติบโต ... ยิ้มออกมาบางๆ กับคำถามของมันก่อนจะตอบ



“ที่เป็นแบบนั้นมันยังไม่ชัดอีกหรอ...มันก็แค่มึงรักเค้า”



“รักหรอวะ...มึงกำลังจะบอกว่ากูรักคนที่เค้ารักมึงหรอวะ” มันเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันพร้อมน้ำตานองหน้า ผมจ้องหน้ามัน รู้สึกจุกอกในคำถาม คิดมาถึงตรงนี้ คิดว่าไอ้มาร์ชคงจมอยู่กับความรู้สึกอัดแน่นนี้มาตลอด



“กูถามได้ไหม” ผมยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้มัน ไอ้มาร์ชตัวน้อยๆ ของน้องสมุทร



“อือ ถามมาดิ”



“มึงกับพี่ยอร์ช ... คือยังไงวะ”



“ไม่ยังไง ... ก็แค่คนที่เคยเอากัน”



“ห๊ะ!” ผมอ้าปากค้าง เรียกได้ว่าตาเหลือก ก็คิดอยู่หรอกว่ามันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ก้าวกระโดด เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ไอ้มาร์ชไม่เคยร้องไห้ออกมาแบบนี้สักครั้ง แต่มึงก็ช่วยอ้อมค้อมกับใจน้องสมุทรหน่อย ตกใจนะมึง



“อืม จริงๆ ก่อนจะนอนกัน พี่มันเคยช่วยกู”



“ช่วยมึงจากเรื่องอะไร”



“กูหมายถึง ช่วยตัวเองให้กูน่ะ” อิเหี้ย! วันนี้กูต้องตกใจกี่เรื่องกัน อ้าปากค้างอีกเป็นครั้งที่สอง ไอ้มาร์ชที่เห็นผมทำหน้าแบบนั้น มันก็พูดออกมาต่อ



“คือวันนั้นกูโดนยา แล้วมันอยู่ด้วยพอดีก็เลยได้ช่วยกู...แล้วหลังจากนั้นก็บังเอิญเจอกันบ่อยๆ”



“มึงแน่ใจหรอวะว่าบังเอิญ โลกเรามันไม่มีความบังเอิญหรอก”



“มึงจะบอกว่าที่มันกับกูเจอกันบ่อยๆ เพราะมันตั้งใจมาเจอกูหรือไง ตลกว่ะ”



“อะ แล้วยังไงต่อ พอเจอกันบ่อยๆ ความรู้สึกมึงเลยเปลี่ยนว่างั้นเถอะ...”



“กูพยายามแล้ว แต่มัน...พี่มันใจดี ในหลายๆ ครั้งก็เป็นมันที่อยู่กับกู จนบางทีกูก็ลืมคิดไปว่า มันอาจจะใจดีเพราะกูเป็นเพื่อนมึง”



“ทั้งหมดนี่มึงคิดเอง หรือพี่มันบอกมึง” ผมถามออกไปตามที่ใจสงสัย จริงๆ แล้วผมกับพี่ยอร์ชเราคุยกับแล้ว และตัวพี่มันเอง ถึงจะไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ผมรู้สึกว่าครั้งหลังๆ ที่ได้เจอกัน พี่ยอร์ชก็ไม่ได้มองผมเหมือนกับแรกๆ ที่เค้ายังรู้สึก ในสายตาของเค้ามันบอกอะไรบางอย่างว่าเค้าเปลี่ยนไปแล้ว



“...ทำไมกูต้องถามวะ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วป่ะ”



“กูว่ามึงควรถามนะ บางทีสิ่งที่มึงคิด มันอาจจะไม่ใช่แบบนั้น”



“แล้วต้องเป็นแบบไหน”



“แบบที่มึงต้องได้คำตอบจากปากของพี่ยอร์ชเอาเอง บอกกูสิว่าที่มึงมาเรียนถึงที่นี่ก็เพราะว่าหนีพี่มันด้วยใช่ไหมล่ะ”



“ต่างอะไรจากมึงวะ แล้วอีกอย่างกูก็ไม่ได้หนีนะเว้ย กูแค่...ถอยออกมาทำใจ คือ...มันไม่ง่ายนะมึง กูสับสน แล้วกูก็รู้สึกอ่อนไหวกับการที่กูโดนเอาด้วย” ไอ้มาร์ชบอกแบบนั้นพร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองปอยๆ



“เชี่ย! คือมึงโดน...”



“ก็เออสิ” มันพูดขมุบขมิบ ส่วนน้องสมุทรได้แต่ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ เป็นครั้งที่สามแล้วที่กูต้องตกใจกับเรื่องของมัน ... ไอ้มาร์ชที่รุกมาตลอดคนนั้นน่ะ ... เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงหนีมา ตัวมันเองคงสับสนกับหลายๆ เรื่องมากจริงๆ



“มึงพึ่งได้กันครั้งแรกหรอวะ”



“เออ ครั้งแรกแต่ก็หลายครั้งนะ” ขอบคุณในรายละเอียด แต่ก็ไม่ต้องบอกกูขนาดนั้นไหม ยังไง!



“แม่งเอ๊ย รู้สึกเหมือนกูจะได้แม่แทนพ่อเลยว่ะ”



“ไปตายนะไอ้สัดสมุทร” ถลึงตาใส่กัน พร้อมยกตีนจะถีบ ดีนะที่กูค่อนข้างจะเป็นคนพลิ้วไหวเลยหลบตีนมันเก่ง



“แล้วมึงล่ะ กูเห็นนะว่าวันที่บินมาที่นี่มึงจูบกันที่สนามบิน แถมมึงร้องไห้ตั้งแต่ที่เครื่องบินเทคออฟเลยเถอะ”



“จูบลาไง”



“ไม่ใช่ยิ่งทำให้จำมากกว่าเดิมหรอวะ”



“กูชอบเค้ามาสี่ปี ถ้าความรู้สึกมันหายไปง่ายในไม่กี่อาทิตย์ขนาดนั้น เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดมันก็คงเป็นแค่เรื่องโกหกไม่ใช่หรอวะ”



“เวลาจะช่วยมึง”



“มึงเองก็เหมือนกัน” ไอ้มาร์ชยกยิ้มออกมาแล้วยื่นมือมายีหัวผม เราสองคนมองหน้ากันแล้วส่งยิ้มออกมาให้กันนิดๆ กับเรื่องราวของเพื่อนสนิทสองคนที่หนีมาเรียนไกลถึงนี่ บัดซบนิดหน่อย แต่ก็ไหวอยู่...มั้ง



               ผมกับไอ้มาร์ชแยกกันเข้านอนหลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกหลายชั่วโมง เหลือบมองนาฬิกามันกำลังบอกเวลาว่าตอนนี้สามทุ่ม พอได้มาอยู่คนเดียวความวูบโหวงในอกก็โจมตีเข้ามาอีกแล้ว ผมเผลอนึกไปถึงสัมผัสที่คุ้นเคย เหมือนกับว่าหลงลืมไปแล้วว่าการนอนคนเดียวมันเป็นแบบไหน ก่อนที่จะมีเรื่องของพี่อัยย์ ผมตัวติดกับพี่พระจันทร์อยู่ด้วยกันที่คอนโดของเขาแทบตลอดเวลา จนไม่รู้ตัวเลยว่า ผมหลงลืมความรู้สึกของการอยู่คนเดียวไปแล้ว มันเอาแต่นึกถึงช่วงเวลาที่โดนโอบกอดจากทางด้านหลัง คิดถึงลมหายใจอุ่นๆ ของใครอีกคนที่รินรดที่ต้นคอ อ้อมกอดอุ่นๆ หรือแม้แต่กลิ่นน้ำหอมที่เค้าชอบใช้ ... ได้พลิกตัวกลับไปกลับมาทั้งๆ ที่น้ำตาเริ่มคลอขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้มาร์ชพูดถูก ... ไม่มีวันไหนที่ตาไม่บวม



ผมร้องไห้มันอยู่แบบนี้ อยากจะรู้ว่าใครอีกคนจะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า คนที่เอาแต่ส่งไลน์มาหากัน ทั้งๆ ที่ผมไม่อ่านไม่ตอบ

‘ตื่อดึ่ง’



[[พระจันทร์: วันนี้เหนื่อยมากเลย ...แต่กูก็ยังคิดถึงมึงเหมือนเดิม] ]



           ภาวนาให้หัวใจผมไม่ต้องเต้นแรงทั้งๆ ที่น้ำตายังไหลแบบนี้ในสักวันหนึ่งเถอะนะ



...



              ผมตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้าด้วยความรู้สึกอ่อนล้าจนอยากล้มตัวลงนอนต่อ อากาศหนาวๆ นี่ก็ยิ่งทำให้ต้องทำให้ห่อตัว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงพยายามรีบลุกออกจากเตียงนอนไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่อาบน้ำในตอนเช้าก็เถอะ แต่มันทำไม่ได้ น้องสมุทรคนไทย กูต้องอาบน้ำตอนเช้าแม้จะน้ำจนแข็งกูก็จะอาบน้ำ ... โชคดีที่มันมีน้ำอุ่น



ผมจัดการแต่งตัวด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนแล้วทับด้วยแจ็คเก็ต ก่อนจะไม่ลืมเอาผ้าพันคอพันทับไปด้วย อากาศในฤดูที่ไม่ใช่ฤดูหนาวของประเทศจีนไม่ถึงกับมีหิมะ แต่ถึงแบบนั้นอากาศ9องศาก็ยังทำให้ผมรู้สึกสะท้านอยู่ดี ไทยแลนด์ดินแดนสยามกับอากาศ9องศา คงหาได้แต่หน้าหนาวของภาคเหนือ คนกรุงเทพทั่วไปแบบผมที่รู้จักแค่ร้อน ร้อนจัด กับร้อนฉิบหายไม่ชินกับเหตุการณ์นี้



“แหม่ เพื่อนกูมันสวยน่ารักครับจังเลยว่ะ หลินลี่หยางหนี่เฮิ่นเค่ออ้ายอ่ะ” ไอ้มาร์ชที่กำลังกระดกกาแฟอยู่ที่โต๊ะทานข้าวของพวกเราเรียกชื่อของผมเป็นภาษีจีนว่า หลินลี่หยาง ส่วนหนี่เฮิ่นเค่ออ้าย มันหมายความว่าผมน่ารักมากๆ เป็นการกวนตีนกันในยามเช้า



“หวงชิงหลิน ปี้จุ่ย!” ถลึงตาใส่มันแล้วเรียกชื่อมันบ้าง ไอ้มาร์ชมาอยู่จีนก็มีชื่อเพราะๆ ว่าหวงชิงหลิน แต่ถึงแบบนั้นก็บอกให้มันหุบปากซะ แทนที่มันจะสะทกสะท้านใจ เสือกขำออกมาซะแบบนั้น แต่เห็นแบบนั้นก็สบายใจ อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าที่มันจะทำหน้าเศร้าออกมาล่ะนะ ... ผมกับไอ้มาร์ชมาถึงที่มหาลัยที่เรียน และเราก็ต่างแยกย้ายกันไปเข้าห้องเรียน เพราะว่าเรียนกันคนละห้อง เลยต่างคนต่างไป ... แต่การเรียนที่นี่แตกต่างจากที่ไทยมาก เราเข้าเรียนตอน8โมงเช้า และเลิกเรียนในตอนเที่ยง พอช่วงบ่ายก็ปล่อยฟรีตามสบาย ด้วยความที่ผมเป็นชาวต่างชาติ เพื่อนๆ ในคลาสก็เลยมาจากหลายเชื้อชาติด้วยเช่นกัน เป็นตึกเรียนของพวกอินเตอร์ที่มาเรียนภาษาจีน แต่ก็ยังมีเด็กนักศึกษาจีนจริงๆ อยู่ในคลาสด้วยเช่นกัน



“ลี่หยาง เลิกเรียนแล้วไปชิวกันไหมอ่า” เพื่อนคนนึงที่อยู่ในคลาสเรียนของผม เราค่อนข้างสนิทกันเพราะหลายวันมานี้นั่งข้างกันตลอด เขาว่าจางหมิ่ง เป็นคนจีนแท้ๆ ที่มีใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้ม ไม่ได้สูงมากไปกว่าผมสักเท่าไหร่ ที่สำคัญก็ยังเป็นผู้ชายตัวบางๆ น่ารักที่อัธยาศัยดีที่หนึ่ง เขาวิ่งเข้ามาเกาะแขนผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะลุกออกจากห้องเรียนไป



“ชิวอะไรหรอ”



“แบบว่าวันนี้มีเพื่อนห้องอื่นชวนกันไปเที่ยวเล่นอ่ะ มีหลายคนนะ ถ้ารวมเราก็อาจจะห้าหกคนอ่ะ ไปนะๆ ถือว่าไปฝึกภาษาด้วยไง” ผมยิ้มออกมาน้อยๆ ตอนที่ได้ยินน้ำเสียงกระตือรือร้นของจางหมิ่งขนาดนั้น ผมเป็นเด็กไทยที่ไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมต่างชาติที่ไปเจอกับคนไม่รู้จักเป็นกลุ่มๆ แล้วชิวกันได้ แต่ถึงแบบนั้นจางหมิ่งก็ยังตื๊อไม่เลิก



“ถ้าลี่หยางไม่ไป เราก็ไม่ไปอ่ะงั้น ไม่มีเพื่อนอ่ะ”



“ไงงั้นล่ะ” ถือว่าเป็นการมัดมือชกน้องสมุทรไปในตัวใช่ไหมเนี่ยแบบนี้



“นะๆ ไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ไปเล่นไปนั่งชิวคุยกัน”



“มันมีอะไรมากกว่านั้นไหม ทำไมนายดูอยากจะไปจัง” ผมหันไปถามจ้องตากับอีกฝ่าย พอถามจี้มากขนาดนั้น เจ้าตัวก็ยิ้มแหยออกมาแล้วหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีชมพู



“ยังไง”



“ก็แค่ว่ากลุ่มที่ชวนไปน่ะ มันมีคนนึงที่ฉันแอบชอบอยู่น่ะสิ”



“หื้ม...สวยไหม”



“จะว่ายังไงดี นายจะตกใจไหมอ่ะ ถ้าฉันบอกว่าเขาเป็นผู้ชาย” จางหมิ่งว่าออกมาเบาๆ สีหน้าท่าทางที่ดูจะไม่ค่อยกล้าพูดเพราะกลัวผมจะรับไม่ได้ทำผมถอนหายใจออกมานิดๆ เข้าใจดีด้วยว่าสังคมของประเทศจีนยังไม่เปิดกว้างเท่าบ้านเราด้วยซ้ำ



“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย” ผมบอกออกไปแบบนั้น พอคนตรงหน้าได้ยินก็ยิ้มกว้างออกมาเหมือนจะสบายใจมากขึ้น

“ว่าแต่นายอยากไปจริงๆ น่ะหรอ”



“ก็อยากน่ะสิ ถึงเค้าจะไม่ได้สนใจฉันน่ะนะ แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็แอบชอบเขามาตั้งหลายปีแล้วอ่ะ ถ้าวันนี้ได้เข้ากลุ่มปาร์ตี้ด้วยกันก็ถือว่าเข้าใกล้อีกหน่อย ฉันจะไม่ยอมปล่อยโอกาสไปหรอก ... เพราะงั้นลี่หยาง ไปเป็นเพื่อนกันน้า” คนตรงหน้าผมพูดออกมาแบบนั้น แต่กลับกลายเป็นประโยคกระแทกหัวใจ ผมมองหน้าตาสดใสของจางหมิ่งแล้วเหมือนเป็นภาพสะท้อน



“นายไม่กลัวเสียใจหรอ”



“เสียใจ ทุกวันนี้ยังเสียใจไม่พอหรือไง ไม่ได้เข้าใกล้เลยสักนิดอ่ะ จะเสียใจก็ช่างดิ อย่างน้อยก็ได้ลองไม่ใช่หรือไง”



“งั้นหรอ”



“ถ้าฉันไม่สมหวัง มันเลี่ยงได้หรอที่จะไม่เสียใจ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แต่อย่างน้อยๆ ครั้งนึงเค้ายังมีฉันอยู่ในความทรงจำเลยนะเว้ย นั่นไม่เรียกว่ากำไรหรอ ถ้ายืนอยู่เฉยๆ ชาตินี้ทั้งชาติเค้าก็ไม่ได้รับรู้การมีตัวตนของฉันป่ะ ใครจะไปรู้ ถ้าฉันได้ไปอยู่ในความทรงจำของเค้า เค้าอาจจะสะบัดฉันออกจากใจไม่ได้เลยก็ได้ป่ะ” จางหมิ่งว่าแบบนั้นพรางฉีกยิ้มกว้างอย่างคนไม่กลัวที่จะเสียใจ ผมนับถือในความกล้าของเขา ความกล้าบ้าบิ่นที่ครั้งนึงผมเคยมี แต่ในตอนนี้ มันหายไปไหนนะ



“งั้นก็ได้...ฉันจะไปเป็นเพื่อนนายเอง”



“เย้! เยี่ยมไปเลยเพื่อนรัก”



.

.

.

ผมนั่งทำตัวไม่ถูกในสถานที่ที่เรียกได้ว่าห้องพักขนาดกว้างๆ มีสองห้องนอนและมีพื้นที่ส่วนกลาง คล้ายๆ ห้องที่ผมพักอยู่กับไอ้มาร์ชในตอนนี้ แต่ต่างที่ที่นี่ใหญ่กว่า บรรยากาศของการมาฝึกภาษาตามที่จางหมิ่งว่าแปลกๆ ในห้องนี้มีผู้ชายสามคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ก่อน ผู้ชายสองคนเป็นคนจีนที่เรียนอยู่คลาสระดับสูงกว่าผม ส่วนผู้หญิงเหมือนจะเป็นคนเกาหลี และผมพึ่งรู้ว่าคนที่จางหมิ่งชอบชื่อว่าเล่อ แต่ตอนนี้เขากำลังลงไปรับเพื่อนอีกคนให้ขึ้นมาที่นี่



“เป็นคนไทยหรอ”



“เอ่อใช่...ฉันเป็นคนไทย”



“ว้าว ผู้ชายไทยน่ารักแบบนายทุกคนไหมเนี่ย” คนที่กำลังพูดชื่อว่าเฉิง ประโยคของเฉิงเรียกสายตาของทุกคนให้หันมามองผมได้ในทันที เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มออกไปน้อยๆ



“เบาๆ หน่อยไอ้เฉิง แต่บังเอิญชะมัด เพื่อนเราก็เป็นลูกครึ่งไทยเหมือนกัน” ผู้ชายที่กำลังพยายามต่อลำโพงกับโน๊ตบุ๊คอยู่ในตอนนี้ว่าออกมาแบบนั้น เค้ามีชื่อว่าหยางหยาง



“ลูกครึ่งไทยจีนหรอ” ผมเลิกคิ้วถามออกไป รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อยที่พวกเค้าเลือกที่จะค่อยๆ พูดให้ผมเข้าใจในภาษาจีนได้ง่าย เพราะปกติคนจีนมักจะพูดรัวเร็ว บางทีก็อยากให้ใจเย็นๆ กับน้องสมุทรบ้าง กูไม่ใช่ลูกขงจื่อไหมอ่ะ



“ใช่แล้ว ไอ้เล่อกำลังลงไปรับมันขึ้นมานั่นล่ะ มันเป็นลูกครึ่งไทยจีน คิดว่านายคงคุยกับมันได้ง่ายล่ะ”



“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ”



“ยินดีเช่นกัน อยากรู้ภาษาไทยเหมือนกันล่ะ”



“ซาหวาดดีค่า นี่เบียร์นะ แจกๆ คนละขวดนะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องที่ชื่อว่าเยจีส่งเบียร์มาให้ผมกับเพื่อนๆ บรรยากาศโดยรวมดีขึ้นในตอนที่พวกเค้าเริ่มชวนผมคุย เวลาผ่านไปไม่นาน และผมก็ไม่ได้แตะเบียร์มากไปกว่าหนึ่งจิบเพราะไม่ได้อยากเมา ก่อนที่ประตูหน้าห้องจะถูกเปิดออกด้วยฝีมือของเล่อ ก่อนจะตามมาด้วยผู้ชายผิวขาวที่หอบเบียร์และอาหารขึ้นมาเพิ่ม ใบหน้าเรียว ดวงตาคมที่มีขนตายาวสวย



“มาได้สักทีนะไอ้เยว่เทียน





#รักอยู่รู้ยัง



เชิงอรรถ

班 (ปัน) : หมายถึงระดับชั้นในเวลาเข้าเรียน จะต้องสอบวันระดับก่อนว่าจะได้อยู่ระดับคลาสเรียนไหน จากง่ายไปยาก

听写 (ทิงเสี่ย) : หมายถึง การสอบเขียนตามคำบอก

作业 (จั้วเยว่) : หมายถึง การบ้าน

炒米粉 (ฉ่าวหมีเฟิ่น) : คืออาหารชนิดหนึ่งที่ทำจากเส้นแล้วเอามาผัด ลักษณะหน้าตาจะคล้ายๆ กับผัดหมีผักกระเฉดบ้านเรา แค่ไม่มีผัก แต่จะใส่เนื้อสัตว์ตามใจชอบแล้วแต่ลูกค้าสั่ง มีทั้งทะเล หมูและไก่

丽洋 (ลี่หยาง) : แปลว่า มหาสมุทรอันงดงาม

青琳 (ชิงหลิน) : แปลว่า หยกสีฟ้า

闭 嘴 (ปี้จุ่ย) ) : แปลว่า หุบปาก [ไม่ใช่ภาษาสุภาพ]

张敏 (จางหมิ่ง) : แปลว่า ฉลาดหลักแหลม

月天 (เยว่เทียน) : แปลว่า ท้องฟ้าและดวงจันทร์

-*-*-*-*-*-*-*

ฝากติดตามและคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้แคทด้วยนะคะ แล้วมาวี๊ดว๊ายกันได้ที่แทค #รักอยู่รู้ยัง ทางทวิตเตอร์กันได้นะคะ

ในตอนนี้แบบว่า ว๊ายตายแหล่วววว อะไรยังไงอ่ะ ไม่พูดดีกว่า

และต้องขอโทษมากๆค่ะ พอนิยายใกล้จะจบ สปีทในการพิมพ์ก็ช้าลงตลอด เลยเป็นนักเขียนที่มาลงในยาวตี2ตี3ตลอดเลย

หวังว่าคนอ่านจะชอบเรื่องราวนี้ไม่มากก็น้อยนะคะ

และนี่ค่ะ เอาพี่พระจันทร์กับน้องสมุทรภาพร่างมาอวด อิอิ

(https://www.img.in.th/images/1dabede3c492e4f1a45b335de9881a3d.jpg)

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่29 (170722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-07-2022 15:15:44
 :katai5: :ling1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่29 (170722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 18-07-2022 01:51:23
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่29 (170722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 19-07-2022 13:19:54
เปิดตัวพระเอก(ใหม่).....เยว่เทียน
อิพี่พระจันทร์ แกตายแน่ 5555 !!

Thank you ja khun Kat.... :L1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่29 (170722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 23-07-2022 23:55:02
บทที่30


“ช่วงนี้กูว่ามึงติดมือถือนะไอ้ยอร์ช” เสียงของไอ้ทอยที่ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือที่วางเอาไว้ตรงหน้าอย่างจำใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธมันออกไปอยู่ดี



“กูเปล่า”



“แน่ะ มันยังจะเถียง ก็เห็นอยู่เนี่ย” มันเถียงสู้ พร้อมใช้นิ้วชี้ไปที่หลักฐานตรงหน้าที่ผมเปิดแอพสำหรับติดต่อค้างเอาไว้ ได้แต่กรอกตาใส่มันพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ



“เซ้าซี้ว่ะ”



“มันทำไมนักวะ มีเรื่องอะไรให้มึงนอนไม่หลับหรอเพื่อน” คราวนี้เป็นไอ้นิวที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของผมบ้าง มันเอาไหล่มันมากระแซะไหล่ผม ท่าทางกวนตีนนั่นดูแล้วรำคาญลูกตา



“กูนอนหลับสบายดี”



“แน๊ะๆๆ นี่มันคนปากแข็ง” ไอ้วินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจีบปากจีบคอแล้วเซ้าซี้ผมอีกคน ในตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่ากูไม่น่ามานั่งที่โต๊ะม้าหินหน้าตึกคณะนี้เลยแม่ง เหมือนโดนไอ้เพื่อนพวกนี้ล้อมไว้หมดแล้ว ดีนะไอ้อาทิตย์ไม่อยู่ด้วย



“มีเรื่องอะไรกันวะ ทำไมไอ้ยอร์ชถึงทำหน้าเหมือนคนปวดขี้แบบนี้ล่ะคะ หื้ม”



“เฮ้อแม่ง!” คิดไม่ทันขาดคำ ไอ้ห่าอาทิตย์ก็เดินเข้ามาพร้อมหน้าตายิ้มแย้ม ในมือมันถืออเมริกาโน่ของแบรนด์เงือกเขียวมาด้วย



“ทำไม มันเป็นไรของมันวะ” ไอ้อาทิตย์หันไปถามไอ้ทอยอย่างสนใจไคร่รู้



“ไม่รู้มันว่ะ พวกกูแค่สงสัยว่าช่วงนี้มันดูติดมือถือแปลกๆ”



“อ่อ แล้วมึงติดมือถือทำไมวะ ทะเลาะกับแฟน หรือว่าอะไร” ไอ้อาทิตย์ที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้วินถามขึ้นมาแบบนั้น พร้อมเลิกคิ้วมองหน้าผม สายตาคมๆ ของมันที่มองมาไม่ได้บีบคั้นว่าต้องบอกมันไป เป็นแค่การถามไถ่กันเฉยๆ แต่ผมก็แค่ส่ายหน้า



“กูไม่ได้มีแฟนใหม่” ใช่ จะเอาอะไรมาเป็นแฟนใหม่ เพราะหลังจากคืนนั้นก็ติดต่อมันไม่ได้ หามันไม่เจอ หลบเก่งฉิบหายเลยแม่ง



“หรอ แต่สีหน้ามึงนี่โคตรเหมือนพี่ชายกูเลยว่ะ”



“มึงหมายถึงไอ้พระจันทร์”



“เออดิ สีหน้าแม่งเป็นงี้ตอนไปหาน้องสมุทรไม่ได้” มันว่าออกมาแบบนั้นพร้อมยกยิ้มขำ ...ลืมไปเลย ผมลืมไอ้สมุทรไปเลย ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่ความสำคัญของไอ้สมุทรมันลดลงไปจากใจผมขนาดนี้ ถามว่าลดลงไปขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าผมลืมมันไปเลย แต่ดันนึงถึงใครอีกคนนึงแทน ใครอีกคนนึงที่หายไปหลายอาทิตย์แล้ว



“ทำไมไปหาไม่ได้วะ”



“เรื่องมันยาวว่ะ แต่ถามถึงตอนนี้ก็คงเพราะน้องหนีมันไปจีนว่ะ” ไอ้อาทิตย์ว่าออกมาแบบนั้นแล้วดูดอเมริกาโน่ของมันอีกหนึ่งคำ แต่คำพูดของมันกลับทำให้ผมชะงักไปจนต้องหันไปมองหน้ามันชัดๆ



“มึงหมายความว่าอะไร ไปจีน ไปทำไม แล้วไปกับใคร” ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกให้ผมกลัว ความรู้สึกที่ว่านั่นทำให้ใจผมสั่น เหงื่อออกมาตามไรผมอย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนไอ้คนที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวก็แค่มองสบตากันพร้อมยกยิ้มขำน้อยๆ



“ก็น้องหนีไปเรียนที่จีนไงวะ คณะน้องเค้ามีไปเรียนต่อที่นั่นอ่ะ เห็นว่าสมุทรมันไปกับเพื่อนสนิทมันนะ ชื่อ...มาร์ชมั้ง พอดีกูหลอกถามน้องในเอกจีนเอาข้อมูลมาให้ไอ้พระจันทร์อ่ะ ฮ่าๆ”



“เชี่ย! แม่งเอ๊ย” สบถออกมาแบบนั้นพร้อมกับกำมือถือตัวเองแน่นๆ เพื่อนๆ รอบตัวที่สะดุ้งตกใจกับการกระทำนั่นของผม แต่ในตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่า ไอ้เด็กนั่นก็พยายามหนีกันในตอนนี้ แล้วผมแม่งเป็นไอ้หน้าโง่ที่ไม่รู้เลยว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วด้วยซ้ำ



“มึงเป็นอะไรวะ ยังคิดถึงน้องหมุดอยู่อีกหรอ กูบอกเลยนะมึงตัดใจเหอะ ไอ้จันทร์มันไม่ยอมมึงหรอก นี่เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้มันจะบินไปหาน้องแล้วด้วย”



“มันจะไปจีนหรอวะ สิ้นเดือนหรอ”



“เออดิ มันไม่ยอมปล่อยน้องสมุทรหรอก เพราะงั้นกูพูดตรงๆ ในฐานะที่มึงเป็นเพื่อนกู และไอ้จันทร์ก็พี่กู ... มึงตัดใจจากสมุทรเหอะว่ะ” ไอ้อาทิตย์ว่าออกมาแบบนั้น มันจ้องมองกันด้วยสายตาจริงจังในคำพูดนั่น เห็นแบบนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาหนักๆ กรอกตาใส่พวกมันสี่คนที่มองมาทางผมเป็นตาเดียว



“กูไม่ได้อะไรกับไอ้สมุทรแล้ว แต่ถ้าไอ้จันทร์ไปจีน กูจะไปด้วย!”



“ไอ้เหี้ยนี่ ไอ้ทิตย์ขอขนาดนี้แล้วมึงยังจะอีก”



“เออ ยอร์ช มึงพอเหอะ”



“มึงเองก็เห็นว่ามันวุ่นวายแค่ไหน มึงแยกเค้าสองคนไม่ได้หรอก”



“โถ่เว้ย! กูไม่ได้จะไปเอาไอ้สมุทรมา แต่กูจะไปตามเมียกูเหมือนกัน สัด!” สบถออกมาแบบนั้นแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ม้าหิน ลมเย็นๆ พัดใบของต้นหูกวางไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด เพราะแบบนั้นเลยก้าวยาวๆ เดินหนีสีหน้าตกอกตกใจของพวกมันออกมาทั้งแบบนั้น



ไอ้เหี้ยแม่ง...คิดว่ากูจะปล่อยไปหรอ!



“เห้ย เมียมึงใครวะ!”



“ไอ้เหี้ยๆๆๆ กูขอยาด๊ม”



“กูต้องโทรบอกไอ้พระจันทร์แล้ว เดี๋ยวแม่งโง่แล้วตามต่อยกันอีก”



“เชี่ยเอ๊ย ข่าวใหม่สุดๆ แต่เมียมันใครวะพวกมึง”



เสียงพวกเพื่อนๆ ดังระงมดังไล่หลังมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ กำลังอึกทึกครึกโครมตื่นเต้นกับเรื่องเมียของกู แต่ถึงแบบนั้นก็ทิ้งพวกมันเอาไว้แบบนั้น ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร และอีกไม่กี่วันก็เข้าเทศกาลสอบมิดเทอม แค่คิดก็ปวดหัว ทั้งๆ ที่อยากจะไปหาเดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้สักอย่างว่าแม่งอยู่ส่วนไหนของจีน ... บัดซบ



‘ปึก’ กระแทกประตูรถปิดลงพร้อมๆ กับที่ยกมือกุมขมับ เจ็บใจที่วันนั้นปล่อยให้มันหายตัวไปก่อนที่จะได้คุยอะไรกันให้รู้เรื่อง หงุดหงิดตัวเอง แล้วก็หงุดหงิดไอ้เด็กนั่นด้วย



“มึงจะหนีกู หนีใจตัวเองทำเหี้ยอะไรวะไอ้มาร์ช” หลับตาลงแล้วก็นึกย้อนไปถึงเรื่องราวของคืนนั้น คืนที่ผมตามมันไปที่ผับนั่น ก่อนจะเกิดเรื่องราวมากมาย นำพามาสู่การหนีไปของมันในวันนี้



.

.

.


          หลังกลับมาจากห้องน้ำ ก็ได้แต่ยืนมองจ้องตาสวยที่ดูติดจะดื้อรั้นของคนตรงหน้านิ่งๆ ริมฝีปากเล็กๆ นั่นที่กำลังบอกกันว่าจะไปที่อื่นต่อเพราะดีลกับคนอื่นเอาไว้แล้วในคืนนี้ ท่าทางที่บอกกันว่าแค่อยากหนีไปจากตรงนี้ มันเลยเลือกที่จะไปต่อกับคนอื่น ทุกการกระทำของมันแสดงออกชัดเจนจนผมดูออก ทั้งท่าทาง สายตาที่สับสนแต่ก็เลือกที่จะเมินเฉยตั้งแต่เจอหน้ากัน ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดๆ แต่ถึงแบบนั้นก็เลือกที่จะเก็บงำความรู้สึกจริงๆ ไว้ ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกไป นอกจากตอบมันกลับไปสั้นๆ



“เจอกัน”



“พี่มึงรู้ไหม ตอนนี้ไอ้สมุทรกับพี่พระจันทร์มันเลิกกันแล้ว” มันที่ว่าออกมาแบบนั้นก่อนที่จะผละตัวเดินออกไป เหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่อยากจะบอกให้ผมรู้ ได้แต่เลิกคิ้วส่งไปให้มันนิดๆ อย่างแปลกใจ



“หื้ม”



“แล้วมาบอกกูทำไมวะ”



“ก็คิดว่า เผื่อมึงอยากจะเสียบน่ะนะ”



“อ่อ...” รับคำพร้อมดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้มตัวเอง ไอ้มาร์ชมันมีความดื้อดึงจนแทบจะเรียกได้ว่าดื้อด้านอยู่เหมือนกันนะ ... เป็นความดื้อด้านที่ชวนให้หงุดหงิดซะด้วย



“กูไปล่ะ” มันไม่สนใจจะมองหน้าผม พูดแค่นั้นแล้วก้าวเดินออกมาจากที่ตรงนี้ ปล่อยให้ไอ้พี่ยอร์ชยืนอยู่แบบนี้คนเดียว ได้แต่กอดอกมองตามคนร่างโปร่งที่พยายามก้าวฉับๆ เดินหนีไป เห็นแบบนั้นแล้วได้แต่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดตามหลังมันไป



“กูเสียบแน่” ได้ยินไหมใครจะสน สนแค่ผลลัพธ์ที่จะทำให้เด็กดื้อแบบมันเข้าใจอะไรมากขึ้น และยอมรับได้สักทีก็แค่นั้น



.

.

.



‘ตื่อดึ้ง’



เสียงแจ้งเตือนจากแอพนัดเยดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงออดจากหน้าประตูห้องพักของโรงแรมหรูระดับห้าดาวย่านทองหล่อ ที่ราคาคืนนึงค่อนข้างแพงเอาเรื่อง แต่ไม่เป็นไรกับราคาเท่านี้ ถ้าจะทำให้ในคืนนี้มันพิเศษขึ้นอีกหน่อย ...



[ถึงแล้ว อยู่หน้าห้อง] ข้อความที่ถูกส่งมา ทำให้ผมต้องยกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไป



<เปิดเข้ามาเลยไม่ได้ล็อค ... พอดีอยู่ในห้องน้ำ>



'คลิ๊ก'



ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากทางด้านนอกนั่น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูถูกเปิดและปิดลงในเวลาต่อมา นั่นทำให้รู้ว่าใครอีกคนได้เข้าห้องมาแล้วเรียบร้อย มีเสียงบ่นงึมงำเบาๆ ที่พอได้ยินเข้าแล้วยิ่งทำให้อยากหัวเราะ



“ดีลมาเอากันแท้ๆ เสือกให้กูตามหาห้องเอง น่ารำคาญฉิบหาย ไม่อยากเอาแล้วแม่ง” ใจร้อน ... ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้เอาไหม



‘แกร็ก ... แอ๊ดดด’



“นี่ ช้าขนาดนี้คืออยากดีลมาเอาไหม...ถ้าออกจากห้องน้ำช้าอีกนิดเดียวผมจะกลับแล้วด้วยซ้ำ” คนที่ยืนด่ารัวๆ อยู่กล้างห้อง ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันจะมองหน้าเจ้าของห้องอย่างผมด้วยซ้ำ



“เอาสิ มาขนาดนี้แล้วทำไมจะไม่เอา” ว่าออกไปแบบนั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันที่มองเห็นเด็กตรงหน้าชะงักค้างไปแป๊บนึง ก่อนที่ใบหน้าคุ้นเคยนั่นจะค่อยๆ หันมามองกันช้าๆ ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววดื้อรั้นนั่นเบิกกว้างขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันกำลังตกใจ แตกต่างจากตัวผมที่ทำแค่ยืนพิงอยู่ที่กรอบประตูห้องน้ำเอาไว้ พร้อมกอดอกมองหน้ามันด้วยสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว



“ใช่ไหมล่ะครับน้องมาร์ช”



“มึง..พี่ยอร์ช ...ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่วะ” มันว่าออกมาอย่างคนตกใจ ส่วนผมก็ทำแค่ยกมือถืออีกเครื่องขึ้นมาให้ดูพร้อมเปิดหน้าจอของแอพนั้นให้มันเห็นชัดๆ ... โปรไฟล์รูปเรือยอร์ชกลางทะเล



“ดีลแล้วนี่ ... ก็มาสิ”



“มะ...ไม่จริงอ่ะ...”



“ลองดูไหมล่ะ มึงจะได้รู้ว่าจริงหรือไม่จริง” พูดออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับที่เดินเข้าไปหาตัวมันช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือดึงเอวมันเข้ามาหาตัวในตอนที่มันไม่ทันตั้งตัว และนั่นคือจุดเริ่มต้นเรื่องราวระหว่างผมกับมัน ....



“ทำเชี่ยไรของมึงไอ้ยอร์ช!” มันว่าออกมาเสียงดัง พร้อมฝ่ามือที่ต่อยเข้าที่อกของผมอย่างไม่ออมแรง ดวงตาสวยมองตรงมาอย่างตื่นๆ แต่ก็ดื้อที่จะสู้ หนำซ้ำยังเลิกเรียกกูว่าพี่แล้วด้วย



“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นวะ...มึงมาที่นี่ก็เพื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้วนี่ มึงบอกกูเอง”



“ก็ใช่...แต่นั่นมัน...” ไอ้มารชเถียงออกมาแบบนั้นแล้วมองหน้าผมอย่างอึกอัก เห็นแบบนั้นแล้วได้แต่ยกยิ้มมุมปากออกมา ดูออกง่ายฉิบหาย มันจะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า



“ทำไม พอเป็นกลับกูแล้วมึงกลัวหรอ กลัวอะไรวะ ... หรือว่ามึงกลัวจะรู้ใจตัวเอง”



“พูดเหี้ยอะไรของมึง”



“ถ้าไม่ได้กลัวเรื่องนั้น แล้วจะกลัวอะไร ก็มาเอากันดิ” พูดออกไปแบบนั้นพร้อมสาวเท้าขยับเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆ อีกฝ่ายที่ก็พยายามรักษาระยะห่างโดยการก้าวเท้าถอยหลังไปเรื่อยๆ เห็นแบบนั้นแล้วยิ่งนึกขำ ไอ้มาร์ชที่ไม่เคยกลัวอะไรหน้าไหน ตอนนี้มันกลับกลัวอยู่แค่เรื่องเดียว



“แต่กูไม่อยากเอามึง”



“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเอาเอง”



‘ผลัก’ ผลักคนตรงหน้าให้หงายลงไปนอนบนเตียงอย่างง่ายดาย แล้วตามขึ้นไปคล่อมทับมันเอาไว้ ดวงตาคู่สวยที่ติดจะดื้อรั้นนั่นเบิกกว้าง ฝ่ามือเรียวที่ยกขึ้นมาดันที่หน้าอกกันไว้ในตอนปลายจมูกของผมเฉียดแก้มมันไปนิดหน่อย ... เสียดายว่ะ



“มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”



“ทำอะไร” ถามมันออกไปแบบนั้น พร้อมๆ กับที่คนตรงหน้าหันกลับมามองกัน ใกล้ขนาดที่ว่าลมหายใจของผมรินรดอยู่ที่ข้างแก้มของมัน หัวใจของผมสั่น ... เป็นแบบนี้มานานแล้ว



“ทำไมต้องมาเล่นแอพนี้ มาหลอกกู”



“กูไม่ได้หลอก แอพนี้มึงบอกเองไม่ใช่หรอ ใครๆ ก็เล่นได้ บางทีก็ไม่ได้ใช้รูปตัวเอง แล้วกูทำผิดกติกาตรงไหน”



“แต่ถึงแบบนั้นมึงจะมานัดกูทำไม”



“ถามตัวเองดิมาร์ช มึงกลัวอะไร มึงหนีกูเรื่องอะไรวะ” พูดออกไปแบบนั้น มองสบตาสวยที่สั่นไหวในตอนที่ผมพูดจบ สีหน้าท่าทางของคนที่กำลังสับสนแบบสุดๆ แต่ก็เลือกจะปิดบังมันไว้ ...



ผมไม่มีนิสัยแบบนี้ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเอง ไม่เคยลังเลสักครั้ง ตั้งแต่เรื่องอัยย์ เรื่องสมุทร แค่รู้สึกว่าใช้ผมก็ลองเลย แต่ไอ้เด็กตรงหน้านี่คงจะมีนิสัยเดียวกับไอ้พระจันทร์ล่ะมั้ง คิดเล็กคิดน้อยคิดมากและไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องความรู้สึก ... ช้าแบบนี้จะทันแดกหรอ



“กูว่ารอบเดียวคนฉลาดแบบมึงก็คงรู้เรื่องมั้ง" พูดออกไปแบบนั้น ไอ้มาร์ชก็ทำแค่จ้องหน้าสู้ เหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้กลัวอะไร แต่ความจริงที่ผมมองเห็นมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ผมสอดขาแกร่งแทรกเข้าไประหว่างขาสองข้างของมัน



“มึง.. มึงจะ..." คำพูดของมันถูกผมริดรอนทันทีด้วยการกดรูปปากของตัวเองลงบดเบียดกับริมฝีปากของผม มองเห็นดวงตาสวยนั้นกำลังเบิกกว้างอย่างตกใจใช้ลิ้นดันแทรกริมฝีปากของอีกฝ่ายให้เปิดออก มือก็ล้วงเข้าไปในเสื้อของอีกฝ่าย แล้วเลื่อนมือขึ้นสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนเจอกับเม็ดกลางอกของอีกฝ่าย สะกิดมันแบบที่อยากจะทำ



“อ๊ะ..” เสียงร้องสั่นๆ นั่นมาพร้อมๆ กับมือของมันที่หยุดชะงัก ตอนแรกคิดว่าอาจจะโดนมันต่อยจนกระเด็น แต่จูบที่ดึงกำลังดูดลิ้นผมอยู่ในตอนนี้ก็น่าจะเป็นคำตอบดีแล้วหรือเปล่า



“นี่ยังไม่ชัดอีกหรอวะมาร์ช”



“กูจะเอามึง มาชัดเหี้ยไร!” มันตะคอกออกมาแบบนั้น แล้วจับตัวผมพลิกลงไปนอนหงายกับเตียงแทน ... สัด สู้ด้วย ก็ถ้าอยากลองดูก็ได้ครับ



“ถ้าคิดว่าจะกดกูได้ก็เอาดิ”



“มึงเองก็เหมือนกัน!” ว่าออกมาแบบนั้น แล้วสอดฝ่ามือเข้ามาผ่านรอยแยกของผ้าเช็ดตัวของผมที่พันท่อนล่างเอาไว้ แค่มือเรียวของมันกอบกุมเข้าที่แกนกายของผม ก็เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง รู้สึกเสียวจนต้องซี๊ดปาก ไอ้มาร์ชเองก็ช่ำชองไม่ใช่เล่น ลืมไปได้ยังไงวะ



‘ซี๊ดด’ เผลอร้องออกมาแบบนั้น แล้วเชิดหน้าขึ้น ปรายตามองเห็นไอ้เด็กที่คล่อมทับกันอยู่ยกยิ้มมุมปากสะใจ ...อืมได้



ผมเอนตัวนอนเอนราบกับที่นอนพร้อมทั้งเอาแขนทั้งสองขางสอดไว้ใต้ศรีษะ เหลือบสายตามองไอ้เด็กที่ทำสีหน้าเคืองขึ้นมาทันที



"มึงมีมีปัญญาทำแค่นี้หรอวะมาร์ช ไม่อยากจะเชื่อว่ามึงเที่ยวเอาคนอื่นไปเรื่อย" ผมพูดออกมาพลางยักคิ้วให้มันอย่างชวนกวนอารมณ์



"ถ้าทำได้แค่นี้ก็อย่า...อึก” เสียงพูดของผมหายไปในลำคอเมื่อคนตรงหน้าเริ่มขยับฝ่ามือ มองเห็นใบหน้าของมันที่ทำสีหน้าไม่รู้สึกอะไร แต่พอมองไปที่แก้มขาวนั่นมันขึ้นสีอย่างน่ามองเห็นแล้วก็นึกพอใจ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ใช้ปลายลิ้นแตะลงบนส่วนนั้นเบาๆ รู้สึกดีจนต้องครางออกมาเบาๆ ในลำคอ ได้แต่ยันตัวลุกขึ้นมาพิงกับหัวเตียง ก้มมองภาพที่เด็กตรงหน้าค่อยๆ กลืนกินแก่นกายเข้าในในริมฝีปากทีละนิด ... โคตรยั่วไอ้สัด



อดใจไม่ไหวเลื่อนปลายนิ้วไปตามเส้นผมของมันแล้วลูบเบาๆ ขณะที่ดวงตาก็เอาแต่จับจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่หลุดโฟกัส ไอ้มาร์ชแม่งน่าโดนว่ะ



"มึงถอดกลางเกงออกด้วยดิ เกะกะว่ะ"



"ทำไม" ถามออกมาเสียงห้วน มองกันแบบระแวง เห็นแบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทายในตอนที่ถามออกไป



"ทำไม มึงกลัวโดนหรอวะ"



"สัด ฝันไปเหอะ" ลุกขึ้นถอดกางเกงยีนส์ของตัวเองออกแล้วก้าวขาขึ้นมาคล่อมตัวผมไว้เหมือนก่อน มองเห็นขาเรียวขาวและเอวบางของมันแล้วได้แต่กลืนน้ำลาย ไอ้มาร์ชไม่ได้ผอมบาง มันมีกล้ามเนื้อพอประมาณ และหุ่นลีนสวยกำลังเหมาะมือ เห็นแบบนั้นเลยเอื้อมนิ้วมือที่ว่างอยู่ก็ส่งไปะสะกิดยอดอกเล็กเบาๆ



“อ๊ะ....” ไอ้มาร์ชสะดุ้งนิดๆ พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน แต่ริมฝีปากของมันก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่ปลายยอดแกนกายของผมอย่างคนที่ไม่ยอมแพ้ เห็นแบบนั้นแล้วได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ เลือดนักสู้ เห็นแล้วอยากจะมอบรางวัลให้มันเลยจริงๆ



“เอาเข้าไปลึกกว่านี้หน่อยสิวะ...” พูดออกมาเบาๆ พร้อมกับปลายนิ้วที่ขยี้ยอดอกของมันอีกครั้งอย่างจงใจกลั่นแกล้งมัน ไอ้มาร์ชที่พยายามห่อริมฝีปากตามแต่ไม่นานมันก็ผละริมฝีปากออกมา



“ว่าไง ไม่ไหวแล้วหรอวะ...” ถามมันออกไปพร้อมหัวเราะเสียงแผ่วในลำคอ มองเห็นเด็กตรงหน้าที่ถลึงตาทำสีหน้าเคืองๆ มองกลับมา ก่อนที่มันจะก้มลงไปครอบริมฝีปากเข้ากับแกนกายอีกครั้ง ครั้งนี้มันพยายามเต็มที่แบบไม่ยอมแพ้ น่าเอ็นดูว่ะ เห็นแบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จับปลายนิ้วส่งเข้าไปที่ช่องทางด้านหลังแบบไม่ให้ทันตั้งตัว..



“...ไอ้เหี้ยพี่ยอร์ช..!! ...อื้อ.....” มันร้องออกมาเบาๆ พร้อมๆ กับที่มันเอื้อมมาทุบแขนกันแรงๆ



"ไอ้เหี้ย อึก..พี่ยอร์ช!! อ๊ะ มึง...” ไอ้มาร์ชพูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆ ในตอนที่ช่องทางด้านหลังของมันกำลังตอดรับปลายนิ้วของผมตุบๆ ตัวของมันแดงและสั่นไปทั้งตัว



“ฝีมือแค่นี้อย่าหวังจะกดกูได้เลยครับ” หัวเราะออกมาเบาๆ ในตอนที่จับตัวไอ้มาร์ชคว่ำลงกับเตียงแทนที่ของผม จับตัวมันให้อยู่ในท่าคุกเข่าโก่งโค้งให้สะโพกลอยขึ้นมา



“...อื้อ...ไอ้พี่ยอ..ร์...ช ปล่อยนะ” มันครางออกมาเสียงสั่น แต่ถึงแบบนั้นก็ยังดื้ออยู่ หมั่นเขี้ยวจนต้องตีมือลงที่แก้มก้นกลมของมันอย่างหมั่นเขี้ยว



"ยอมรับออกมาได้แล้วไอ้มาร์ช"



"ม...ไม่"



"กล้าพูดว่าไม่ทั้งๆ ที่สภาพแบบนี้หรอวะ มึงแม่งดื้อว่ะ" กระซิบลงที่ข้างๆ หูของมันอย่างนึกเคือง ดื้อด้านฉิบหาย นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ก็ออกแรงดึงตัวของมันให้คร่อมทับลงบนตัวของผมที่พลิกตัวลงไปนั่งเอนพิงผนักหัวเตียงอีกครั้ง นัยน์ตาคู่สวยนั่นเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งอย่างตกใจในตอนที่ส่วนกลางของร่างกายแข็งขึงถูเบียดชิดสะโพกมนที่พยายามขยับห่าง ใช้ปลายนิ้วสะกิดเบาๆ ตรงช่องทางด้านหลังทำให้คนตรงหน้าครางออกมาไม่หยุด ใบหน้าแดงของมันที่พยายามเสหน้าหนีเพื่อหลบสายตาของผม ริมฝีปากสวยก็กัดปากตัวเองแน่น ดูในความดื้อของมัน เห็นแบบนั้นเลยกระแทกปลายนิ้วเข้าไปในร่างของมันแรงขึ้นอีก จนอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก



"ยอมรับเหอะมาร์ช" เลื่อนใบหน้าเข้าไปไล้ที่ข้างแก้มของมันเบาๆ พร้อมกระซิบเสียงแหบพร่าตามแรงอารมณ์พูดกับคนตรงหน้า



“ยอมรับเหอะ” พูดแบบนั้นพร้อมผละหน้าออกมาจ้องตากับมันพร้อมเอื้อมมือไปหยิบถุงยางออกมาแกะแล้วสวมใส่ที่แกนกายตัวเอง



"ย...ยอมรับอะไร อึก...พี่มึงจะให้กูยอมรับอะไร" มันถามเสียงสั่น สีหน้าที่แสดงออกว่ามันกำลังเสียวแบบสุดๆ เห็นแบบนั้นแล้วอดเลื่อนหน้าเข้าไปกดจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของมันเบาๆ ไม่ได้



"ยอมรับ...ว่ามึงชอบกู" จ้องตามันแล้วว่าออกมาแบบนั้น มองเห็นดวงตาของมันที่สั่นไหว ใบหน้าแดงซ่านอย่างหน้ามอง มันที่เม้มปากเข้าหากันแน่นๆ ในตอนที่ผมกำลังกดส่วนปลายที่แข็งชันเข้าไปในช่องทางด้านหลังของมันช้าๆ ..ความใหญ่โตคับแน่นที่สอดใส่เข้าไปอย่างลำบากจนต้องเบ้หน้าอย่างเสียวซ่าน จนต้องกัดฟันแน่น ไม่อยากใจร้อน กลัวมันเจ็บ



"อึก อื้ม..ช..ใช่...กูชอบมึง" เสียงแหบพร่าของคนตรงหน้าว่าออกมาแบบนั้น ผมที่กำลังพยายามสอดใส่มันเข้าไปอย่างเบาที่สุดถึงกับชะงักในตอนที่ได้ยิน ผิดจากไอ้มาร์ชที่พอพูดออกมาแบบนั้น มันก็กดตัวลงให้แกนกายของผมสอดลึกเข้าไปในตัวมันจนสุดโคน



"อึก อ๊า...จ...เจ็บ..."



"เชี่ย ...ทำไรของมึงเนี่ยมาร์ช ซี๊ด~" ร้องครางออกมาแบบนั้น เสียวยิ่งกว่าที่เคยเสียว เอื้อมมือไปกอดเอวมันเอาไว้ ประคองเอวคนที่ทำเป็นอวดเก่งแต่น้ำตาอาบแก้มเอาไว้แน่นๆ



“...ใจเย็น มึงอย่าเกร็ง....” กระซิบบอกกับไอ้ดื้อที่นั่งอยู่ข้างบนเบาๆ มือข้างหนึ่งลูบสะโพกมนและส่วนกลางลำตัวของเจ้าตัวช้าๆ อย่างช่วยปลุกอารมณ์ไปด้วย มืออีกข้างเลื่อนขึ้นมาลูบที่ท้ายทอยของคนที่กำลังตัวสั่นระริก เม็ดเหงื่อเริ่มไหลออกมาจากร่างกายบางที่หอบสั่นด้วยแรงอารมณ์



“นี่ใช่ไหมที่มึงอยากมั่นใจ อึก...ใช่ กูชอบมึงพี่ยอร์ช”



มันพูดแบบนั้นก่อนจะค่อยๆ เริ่มขยับตัวเข้าออกอย่างช้าๆ ตามแรงส่งของผม ได้แต่เอื้อมมือไปจับสะโพกแน่นของมันเอาไว้แล้วออกแรงขยับสวนขึ้นลง ได้แต่หรี่ตาลงมองร่างเพรียวตรงหน้าที่ขยับกายบนตักของผมด้วยสายตาพอใจ เพราะตอนนี้มันออกแรงขยับตัวเองโดยที่ไม่ต้องสอน ผิวขาวกลายเป็นสีชมพูระเรื่อไปทั้งตัวด้วยแรงอารมณ์ ใบหน้าของเจ้าตัวเหยเกพร้อมครางออกมาเบาๆ และยังขยับท่อนล่างอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาคู่สวยเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใส รีมฝีปากสีจัดที่ถูกขบกัดเบาๆ เพื่อกลั้นเสียงครางแผ่วที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอ..ดูยั่วอารมณ์ น่ามองจนอยู่นิ่งๆ ไม่ไหว ปลายลิ้นแตะลงบนเรียวปากสีสด แตะไล้และขบมันเบาเชิงหยอกล้อ กลืนเอาเสียงหอบครางและเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายไว้ในลำคอ ฝ่ามือก็บีบเคล้นสะโพกมนแล้วกระแทกท่อนล่างที่กลืนกินร่างกายของตนเข้าหา เรียกเสียงครางเครือหวานหูและร่างเพรียวที่สั่นสะท้าน ปลายนิ้วของมันที่จิกลงบนไหล่ของผมแรงๆ แต่ผมไม่สนใจ ยังคงจับสะโพกของมันเอสไว้แล้วขยับเป็นจังหวะเร้าอารมณ์ เสียงครางปนหอบหนักในดังขึ้นใกล้ๆ หู ก้มหน้าซุกไซร้เลียไล้ไปซอกคอขาวของมันและขบกัดลงไปให้พอขึ้นสีระเรื่อ ก่อนที่ผมจะถอนแกนกายของตัวเองออก จับมันพลิกหันหลังให้และโก่งโค้งสะโพกขึ้นมาให้ก่อนจะสอดใส่ส่วนนั้นเข้าไปอีกครั้ง



“อ๊ะๆ พี่ยอร์ช...ไม่ไหวแล้ว...” ได้ยินเสียงร้องครางของมันแบบนั้น ร่างกายก็ยิ่งกระแทกกระทั้นหนักขึ้นอีก เมื่อรู้สึกความต้องการของร่างกายของกันและกันที่ใกล้จะปลดปล่อย กระแทกกระทั้นแกนกายร้อนสอดใส่เข้ามาในตัวมันไม่หยุด



“อะ...อ๊า....” เสียงครางของมันดังออกมาพร้อมๆ กับที่ความร้อนจากแกนกายของผมจะกระตุกเกร็งและปลดปล่อยเข้ามาในตัวของมันพร้อมๆ กับส่วนนั้นของมันก็ปลดปล่อยออกมารดผ้าปูสีขาวจนเป็นดวงๆ ไอ้มาร์ชครางหอบ มือไม้อ่อนปวกเปียกแทบจะพยุงกายไม่ไหว ลมหายใจร้อนๆ รดรนลงบนผิวแก้มของมันเบาๆ



"เสร็จแล้วก็ปล่อยกู" มันว่าออกมาแบบนั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่อยากจะได้ยิน



"มึงไม่อยากถามกลับหรอวะ ว่ากูรู้สึกยังไง"



"ไม่" มันตอบออกมาแบบนั้นทำเอาต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบแผ่วเบาข้างๆ หูของมันอีกที



“แต่กูอยากบอก...มึงทั้งคืน” ไอ้มาร์ชที่หันมามองหน้าผมด้วยสายตาตื่นตระหนก แต่ผมทำแค่ยกยิ้มมุมปากส่งไปให้ พร้อมกับฝ่ามือที่เริ่มบีบคลึงสะโพกมนของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วสอดกายเข้าไปในตอนที่มันกำลังจะอ้าปากด่า และเสียงครางของมันกับผมก็ดังสลับกันไปจนถึงเช้า ...




             แต่ในวันใหม่ที่ตื่นขึ้นมา คนที่เคยนอนกอดสอดใส่กันมาทั้งคืน กลับหายตัวไปอย่างที่เรายังไม่ได้พูดคุยเรื่องของเราให้เป็นเรื่องเป็นราวสักคำเดียว

“แม่งเอ๊ย...กูไม่ยอมหรอกไอ้มาร์ช กูจะตามมึงให้เจอให้ได้” และคนๆ เดียวที่ผมคิดออกว่าควรถามเกี่ยวกับการไปจีนของไอ้มาร์ชมากที่สุดก็คือ...ไอ้พระจันทร์

.

.

.

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่30 (240722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 23-07-2022 23:57:40

“ไอ้พระจันทร์ มึงจะไปหาสมุทรใช่ไหม”



“แล้วมึงเสือกเหี้ยอะไร” เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดเลคเชอร์ที่กำลังตั้งใจอ่าน เพราะเหลือสอบอีกแค่ไม่กี่วิชา ทุกอย่างก็จะจบเรียบร้อย แล้วในตอนนั้นกูก็จะได้ทำทุกอย่างตามใจ แต่ที่สงสัยคือไอ้เหี้ยยอร์ชมาเสือกไรด้วย



“กูจะไปด้วย”



“เสือกนะมึงอ่ะ คือมาพูดกับกูแบบนี้มึงวอนโดนตีนกูอยู่นะไอ้สัดยอร์ช” รู้สึกฉุนจนต้องดันลิ้นกับกระพุ้งแก้ม มองหน้ามันแบบไม่ยอม ถ้ามันจะวัดสักหมัดก็ได้นะ ถึงตอนนี้จะรู้ว่ามันไม่ได้ตั้งใจเรื่องของอัยย์ในตอนนั้น แต่กับเรื่องของสมุทรกูไม่ยอมหรอกนะ



“ก็กูบอกว่าจะไปด้วย”



‘ผลั้ว!’



“โอ๊ย! ไอ้สัดจันทร์ เจ็บนะเว้ย”



ทนไม่ไหว ยกหนักสือหนังสือโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเล่มควายนี่ฟาดเข้าข้างกกหูมันแรงๆ ทีนึง พร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงดังโครมที่ทำให้คนมองมาที่เราทั้งห้องสมุด



“นักศึกษา พวกเธอกำลังทำอะไรกันไม่ทราบ!” เสียงของอาจารย์บรรณารักษ์ที่ดังขึ้น ทำให้ทั้งผมและไอ้ยอร์ชที่กำลังแหกปากหยุดชะงักการกระทำของตัวเองลง



“ที่นี่มันห้องสมุดกลางนะ เสียงดังแบบไร้มารยาทขนาดนี้ ครูคงต้องขอเชิญพวกเธอออกไปด้านนอกนะ”



“ขอโทษครับอาจารย์”



“ขอโทษครับ”



ผมถลึงตาใส่ไอ้คนที่ยกมือไหว้อาจารย์ตาม เสือก ชอบเลียนแบบ เป็นKไรสัด...ผมรวบหนังสือทุกเล่มของตัวเองขึ้นมาถือไว้พร้อมสะพายกระเป๋าก่อนจะเดินออกไปทันที ได้ยินเสียงวิ่งโครมครามตามหลังมาด้วย



“เดี๋ยวสิวะมึง” ไอ้ยอร์ชวิ่งตามมาดึงมือของผมเอาไว้ หันกลับไปมองมันอย่างไม่พอใจแบบสุดๆ



“นี่มึงยังไม่จบ มึงจะเอาใช่ป่ะ!”



“หยุดทำตัวเหมือนสาวน้อยให้กูวิ่งตามแบบนี้ได้ป่ะไอ้สัด ไม่เอากับมึงหรอก กูไม่อยากขัดงวง”



“ไอ้เหี้ยยอร์ช!” แค่พูดกูก็เห็นภาพ ขัดงวงพ่อมึงไอ้สัด ขนลุกซู่ซ่า เห็นกล้ามแขนแม่งก็เอาไม่ลงละ



“หยอก ก็ทำไมต้องใจร้อนขนาดนั้นล่ะวะ”



“มึงต้องให้กูยืนยิ้มแล้วบอกว่าเชิญตามสบายนะจ๊ะหรอไอ้เหี้ย เสือกเหี้ยไรกับไอ้สมุทร ถ้ามึงคิดว่ากูจะยอมมึงเหมือนเรื่องของอัยย์ มึงกลับไปนอนฝันนะไอ้สัด”



“โถ่เว้ย! ไอ้เหี้ยนี่ก็ไม่ฟังหินฟังแดดเลย กูบอกแล้วหรอว่าจะไปหาสมุทรอ่ะ”



“แล้วมึงจะไปจีนทำเหี้ยไร ขวนขายหาไร หรือมึงอยากไปวัดเส้าหลิน แต่โทษทีมันไม่ได้อยู่เมืองนั้นเว้ย!” ผลักอกมันแรงๆ หนึ่งที จ้องตามันอย่างเอาเรื่อง คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ ยังจะทำสันดานกวนกูไม่เลิก



“ใจร้อนแม่งทุกเรื่องไอ้สัด ร้อนขนาดนี้เดี๋ยวไอ้หมุดก็หาผัวใหม่หรอก”



“ไอ้เหี้ยยอร์ช!”



“เออๆ กูหยอกๆ” มันว่าแบบนั้นพร้อมยกมือขึ้นขึ้นมาทำท่าล่อแล่ๆ เหมือนกับหยอกเด็กเล็กๆ ไอ้เหี้ยนี่วันนี้มันคงอยากจะได้สักแผลจริงๆ สินะ



“เพื่อนเล่นมึงหรอสัด”



“ก็เคยเป็นเพื่อนมึงอยู่นะ” มันว่าแบบนั้นแล้วยักคิ้วส่งให้กันทีนึง ผมถอยหลังออกมาห่างๆ จากมันแล้วกอดอกมองมันอย่างจริงจัง



“มึงต้องการอะไร”



“ขอบคุณที่เข้าประเด็นสักทีครับ ... คือกูขอไปจีนกับมึงด้วยดิวะ มึงรู้ใช่ไหมว่าสมุทรมันอยู่ไหนยังไง”



“กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่ง!”



“โอ๊ยไอ้เหี้ยกูไม่ได้จะไปตามหาไอ้สมุทร กูจะไปตามหาไอ้มาร์ช!” มันตะโกนออกมาแบบนั้นด้วยเสียงที่ดังกว่าผม คนแถวหน้าหอสมุดกลางมองมาทางเราเป็นตาเดียว รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ห่านี่!



“มาร์ช”



“เออ...กูจะไปตามมัน ไม่ได้ไปตามไอ้หมุดเมียมึงหรอก” จ้องตากับมันตรงๆ อีกครั้ง แววตาของมันที่จ้องตอบกลับมาไม่ได้มีทีท่าว่ากำลังล้อเล่น มันพูดจริง และสีหน้าของมันที่แค่มองนิดเดียวก็รู้แล้วว่าคงมีอะไรในความสัมพันธ์ของมันกับเพื่อนของไอ้สมุทรแน่ๆ



“แล้วไง จะเกาะกูไป”



“กูมีเงินไอ้สัด ก็แค่ขอไปด้วย กูไม่คุ้นชินกับประเทศจีนไหม แถวนั้นถิ่นป๊ามึงไม่ใช่หรือไงวะ...อีกอย่างสองหัวดีกว่าหัวเดียวนะมึง” มันโน้มน้าว ฟังคำมันพูดแล้วกรอกตาเลยทีนึง ที่แท้ก็ไม่รู้ข้อมูลเหี้ยอะไรสักอย่างล่ะสิถึงมาขอร้องกู K... แต่ถึงแบบนั้น



“เออ มึงโอนเงินมา”



“ดีล”



“แค่นี้ใช่ไหม กูจะได้กลับ เหม็นหน้ามึง” บอกมันแบบนั้น แล้วหันหลังหนี และในตอนที่จะเดินจากมันมา แต่ก็เป็นไอ้ยอร์ชที่ดึงแขนผมไว้อีกครั้ง ท่าทางสาวแตกเหมือนโดนแฟนมาง้อทำเอาขนลุก



“เรื่องอัยย์กูขอโทษนะมึง ... คือกู...”



“ช่างแม่งเหอะ ไม่ต้องพูดออกมาหรอก”



“มึงรู้แล้วหรอวะ”



“อืม ...”



“ขอบใจ”



“เออ ปล่อยมือกูได้ยัง ขนลุกไปหมด”



“โถ่ น้องจันทร์ เขินพี่ยอร์ชหรอครับ”



“ครับ เสียววูบไปหมดเหมือนอยากเอาตีนฟาดหน้าพี่ยอร์ชเลยล่ะครับ” ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มแล้วเอื้อมมือขึ้นไปลูบแก้มมันเบาๆ ไอ้ยอร์ชเห็นแบบนั้น ก็รีบสะบัดมือผมทิ้งแล้วถอยหลังหนี



“ขนลุกไอ้เหี้ย กูฟ้องไอ้หมุดแน่ว่ามึงอ้อร้อกู”



“K!”



ด่ามันออกมาแบบนั้น แล้วก็เป็นมันที่ขำออกมาดังลั่นหน้าตึกอย่างไม่อาย เห็นมันในตอนนี้ก็อดยิ้มออกมานิดๆ ไม่ได้ ความรู้สึกเบาๆ ที่หัวใจในตอนที่มองหน้ากัน เรื่องราวต่างๆ พอถูกคลายออก ได้รับฟังคำว่าขอโทษที่ติดค้างมาอย่างยาวนาน และการได้เพื่อนคนนึงกลับมา ... เหมือนกับว่ามันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก



“แดกเบียร์ป่ะ กูเลี้ยง”



“ดีล”



...



“มานั่งนี่เร็วๆ ไอ้เยว่เทียน”



“อืม” คนร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้องช้าๆ ในมือยังมีของที่แบกมาด้วย สายตาคมที่หันมามองผมวูบนึง ก่อนที่เจ้าตัวจะผละเอาของไปวางไว้ แล้วค่อยเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกัน ผมได้แต่จ้องมองดวงตานั้นนิ่งๆ เป็นสายตาคมสวยที่มี



สเน่ห์ชวนให้คนมอง แต่ครั้งนึงผมเองก็เคยเจอสายตาที่คล้ายๆ กับแบบนี้ แต่ดึงดูดมากกว่าเยอะ...มันคือสายตาของพี่พระจันทร์ ถอนหายใจออกมาหนักๆ พร้อมๆ กับที่ถอนสายตากลับมา มันเป็นแบบนี้ทุกที เผลอไปนึกถึงอีกแล้ว



“นี่คือลี่หยางนะ เค้าเป็นคนไทยล่ะ” หยางหยางเป็นคนเอ่ยแนะนำผมให้กับคนที่มาใหม่ได้รู้จัก



“มึงพูดไทยได้นี่หว่าเหย่เทียน คุยกับเค้าสิ เค้าจะได้ไม่เกร็ง” เล่อว่าออกมาแบบนั้นแล้วพยักเพยิกมาทางผม เขาที่หันมามองกันนิดๆ แล้วส่งยิ้มมาให้



“สวัสดีนะ”



“อ่ะ..อืม ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมพูดออกไปแบบนั้นด้วยภาษาไทย เพราะเค้าเองก็เลือกที่จะทักทายกันเป็นภาษาไทย สำเนียงที่จัดได้ว่าไทยชัดแจ๋วนั่นทำให้ผมตกใจนิดๆ พอเห้นผมทำสีหน้าแบบนั้นออกไป เค้าก็ส่งยิ้มออกมาให้อีกหน่อย ผมเลือกที่จะหันไปหยิบเฟรนช์ฟรายที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมากินเพื่อเลี่ยงการสนทนา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ที่พอมองหน้าเหย่เทียนแล้วทำให้นึกถึงผู้ชายอีกคนที่ตอนนี้อยู่ไทย



บรรยากาศสนุกๆ ผ่านไปเรื่อยๆ มีการเล่นเกมส์หมุนขวด ดื่มเบียร์และเปิดเพลงคุยกันอย่างสนุกสนาน เป็นภาพบรรยากาศที่ผมไม่คุ้นชิน ถ้าเป็นที่ไทย เด็กไทยคงชวนกันไปร้านเหล้าหรือเดินห้างในอะไรแบบนี้ แต่ ณ ตอนนี้ แทบจะไม่ต่างจากเด็กนานาชาติที่อยู่ต่างประเทศ ทุกคนคุยกันอย่างชิลๆ แม้จะพึ่งรู้จักกัน ช่วงเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมมองเห็นจางหมิ่งกำลังนั่งคุยอยู่กับเล่อ ใบหน้าน่ารักของเพื่อนผมเปร่งประกายมากกว่าครั้งไหนๆ มันเหมือนกับตอนที่ผมได้เข้าใกล้พี่พระจันทร์ในช่วงแรกไม่มีผิด หัวใจคงพองโตน่าดูล่ะนะ ได้แต่หวังว่าเรื่องของเล่อกับจางหมิ่งเพื่อนผม จะไม่จบลงแบบน่าเสียดายเหมือนกับเรื่องของผมกับพี่พระจันทร์



“มารู้จักพวกนี้ได้ไง” โซฟาที่ยุบตัวลงพร้อมๆ กับเสียงของคนที่นั่งลงข้างๆ ทักกัน พอหันไปก็เจอกับสายตาแบบเดิมๆ ของเหย่เทียน



“จางหมิ่งชวนมาน่ะ”



“อ่อ ถึงว่า” คำพูดกำกวมที่ผมเดาความหมายไม่ออกนั่นทำให้ต้องเลิกคิ้ว อีกคนที่แค่ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มด้วยท่าทางที่ทำให้คนละสายตาไม่ได้ คิดว่าเหย่เทียนคงเป็นผู้ชายประเภทเดียวๆ กับพี่พระจันทร์ล่ะมั้ง คนที่ทำให้คนอื่นละสายตาไม่ได้



“แล้วทำไมถึงมาเรียนที่นี่ล่ะ”



“ก็แค่อยากมาหาประสบการณ์” นั่นคือส่วนหนึ่ง แต่ผมไม่คิดว่าจำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมายกับคนที่พึ่งเจอหน้าและรู้จักกัน พอตอบออกไปแบบนั้นเค้าก็ยกยิ้มมุมปากมองกัน สายตาคมสวยคู่นั้นจับจ้องมองกัน มันทำให้ผมนึกถึงพี่อาทิตย์ ไอ้ท่าทางที่เหมือนรู้ทุกอย่าง



“งั้นหรอ นึกว่าหนีรักมาพักซะอีก”



“พูดอะไรของนายกัน”



“ฮ่าๆ ซีเรียสไปได้ ถ้าไม่จริงก็อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้นสิ”



“ทำที่ไหนล่ะ” เถียงกลับไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นของตัวเองแก้เก้อ ในตอนที่กำลังจะเสหน้าหนี ก็เป็นอีกคนที่เลื่อนหน้าขยับเข้ามาหากันแทบจะทันที ผมตกใจผงะถอยหลัง



“ถ้าไม่ใช่แบบนั้นก็ดีน่ะสิ”



“อะ..อะไร”



“ไม่รู้สิ แต่ถ้าไม่ได้หนีรักมา ก็แสดงว่าโสด”



“ฉันพูดแบบนั้นหรอ” เถียงอีกคนออกมา พร้อมๆ กับช้อนตามองหน้าคนที่ยกยิ้มให้กันนิดๆ เค้าที่ผละตัวออกไปนั่งดีๆ แล้วในตอนนี้ รู้สึกใจเต้นแปลกๆ ไม่ได้เขินอายแต่ตกใจกับท่าทางของอีกฝ่ายมากกว่า อะไรของมันวะเนี่ย



“แล้วจะบอกว่าไม่โสดหรอ” เยว่เทียนที่ยกมือข้างนึงเท้าแขนกับพนักพิง พร้อมเอียงหน้ามามองกัน เค้ามีสเน่ห์



“ก็เปล่า...”



“หึ งั้นก็ดี”



“อะไรของนาย พูดไม่รู้เรื่อง”



“ก็ยังไม่ต้องรู้ก็ได้ ยังไงก็จะได้รู้จักกันอีกนานนี่” ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอีกอึก และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมก็วางกระป๋องเบียร์ของตัวเองแทน



“ดึกแล้ว กลับก่อนดีกว่า” ผมพูดออกไปแบบนั้นเป็นการจบบทสนทนา การอยู่ข้างๆ เยว่เทียนไม่ได้ชวนให้อึดอัดใจ แต่ถึงแบบนั้นก็เป็นความรู้สึกที่ว่ารับมือไม่ถูก สายตาของเค้าทำให้ผมนึกถึงพี่ยอร์ชสมัยเจอกันแรกๆ ไม่มีผิด



“อ้าว จะกลับแล้วหรอ” เป็นจางหมิ่งเพื่อนแสนดี ที่พอเจอผู้ชายที่ตัวเองชอบก็ทิ้งน้องสมุทรแบบกูไปเลย เยี่ยม



“อืม มันดึกแล้ว นายเองก็ควรจะกลับแล้วเหมือนกันนะ” ผมว่าออกไปแบบนั้น มองเห็นเบียร์หลายกระป๋องถูกวางอยู่ข้างๆ ที่นั่งของจางหมิ่งกับเล่อ เห็นแล้วก็อดห่วงไม่ได้ ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรก็ตามเถอะ



“งั้นไปก่อนนะทุกคน วันนี้สนุกมากเลย ไว้เจอกันนะ” ผมบอกลา และทุกคนก็หันมาทักทายกันกลับ พอเห็นแบบนั้นผมถึงเริ่มต้นเดินออกจากห้อง ไม่ได้หันไปบอกลาเยว่เทียนเป็นพิเศษ และอีกฝ่ายก็ทำแค่นั่งเงียบๆ



หอพักนี้อยู่ห่างจากหอพักของผมพอสมควร แต่ไม่ถึงขนาดต้องนั่งรถกลับไป บรรยากาศที่ประเทศจีนแตกต่างจากประเทศไทยตรงที่ผู้คนนิยมเดินกันเป็นหลัก อาจเพราะอากาศ หรือทางเท้าที่ปูพื้นไว้ดีด้วยละมั้งที่เอื้ออำนวยให้ผู้คนเดินกัน และในสภาพอากาศเย็นๆ แบบนี้ มันก็ไม่เลวร้ายเท่ากรุงเทพด้วยแหล่ะ



ผมก้าวเดินมาเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน พอเดินพ้นช่วงตึกของเล่อมาก็ได้ยินเสียงคนเดินตามมา ถนนแถวนี้ถึงจะมีไฟสว่าง แต่นี่ก็ไม่ใช่บ้านเมืองของผม เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินแบบรีบๆ เหมือนต้องการที่จะเดินให้ทันผมนั่นยิ่งทำให้ผมไม่กล้าหันกลับไปมอง หัวใจเต้นถี่ๆ ด้วยความตื่นกลัว ตั้งใจจะออกวิ่งแล้วในตอนนี้



‘เฮือก’



“เฮ้! เดินไวจังอ่ะ” ข้อมือของผมถูกดึงไว้จากคนข้างหลังที่เดินมาประชิด ผมเบิกตากว้างขึ้นพร้อมๆ กับที่หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกเหมือนหัวใจโดนกระชากออกไป แต่พอได้เห็นหน้าคนมาใหม่ก็ถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ ดึงแขนตัวเองออกจากอีกฝ่ายแล้วผลักอกแรงๆ



“เยว่เทียน!”



“โทษที ก็ไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนี้ เห็นนายรีบเดินก็เลยวิ่งตามมา”



“ฉันนึกว่าพวกโจร”



“ถ้ากลัวขนาดนั้นแล้วมั่นใจอะไรนักหนาถึงเดินออกมาคนเดียว” เขาว่าแบบนั้น มองผมที่ยังคงยกมือตัวเองขึ้นลูบอกเบาๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะออกเดินไปด้วยกัน



“ก็จางหมิ่งดูท่าจะยังไม่อยากกลับ แล้วคนอื่นฉันก็ไม่สนิทไหม ก็ต้องกลับเองดิ อีกอย่างมันก็ไม่ได้ไกล”



“ก็ต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพนะ ลืมหรือไงว่านายเป็นชาวต่างชาติ”



“ก็เปล่า...” ผมตอบรับเสียงอ่อยๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้เลยเงยหน้าถามออกไป



“แล้วทำไมนายมาอยู่ตรงนี้”



“ก็แค่เป็นห่วงนาย”



“อ่ะ..เอ่อ...”



“อย่างน้อยมีเพื่อนเดินกลับบ้าน ก็ดีกว่าเดินคนเดียวจริงไหมล่ะ” เค้าว่ายิ้มๆ เป็นรอยยิ้มทั้งหน้าทั้งตาที่ไม่ใช่การยกยิ้ม บรรยากาศสบายๆ มากกว่าตอนที่อยู่ในห้องของเล่อ ทำให้ผมคิดว่าเยว่เทียนก็ไม่แย่ อย่างน้อยเค้าก็น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้



“ขอบใจนะ”



“ยินดี”



จบบทสนทนานี่ตรงนี้ แล้วเราสองคนก็เดินมาด้วยกันเงียบๆ สายลมเย็นๆ ทำให้ผมต้องกระชับเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองเข้ากับตัวดีๆ ถ้าพูดจริงๆ นี่ก็เรียกได้ว่าหนาวจนหน้าชา



“ลี่หยาง...นายมีชื่อภาษาไทยหรือเปล่า ชื่อจริงๆ ที่คนเรียกกันที่ไม่ใช่ชื่อภาษาจีนแบบนี้”



“ก็มีสิ ฉันชื่อสมุทร” ผมหันไปบอกเค้าแบบนั้น อีกคนพึมพำชื่อผมตามที่ได้ยิน



“ถ้าฉันอยากมีชื่อไทยบ้าง จะชื่ออะไรดี ช่วยตั้งหน่อยดิ”



“นายจะอยากได้ชื่อไทยไปทำไมไม่ทราบ จะไปไทยหรือไง” ผมหันไปมองเค้าขำๆ อีกคนที่ก็ยักไหล่ออกมานิดๆ แบบไม่ยีหล่ะเท่าไหร่



“ก็แค่อยากได้ชื่อไทยจากนาย ฉันชื่อเยว่เทียน เป็นชื่อไทยจะชื่อว่าไรดี พระจันทร์ดีป่ะ”



‘พระจันทร์’



หัวใจของผมกระตุกตอนที่ได้ยินชื่อนั่น มองหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างกันพร้อมรอยยิ้มเป็นประกายระยิบระยับ ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วเยว่เทียนจะยิ้มเก่งกว่าพี่พระจันทร์เยอะเลย



“ไม่ดีหรอก” ผมหันไปมองหน้ามองตาของอีกฝ่าย ตาสวย ขนตายาว หน้าคม แต่ยังไงก็ไม่เหมือนพี่พระจันทร์



“ทำไมอ่ะ คนปกติไม่ชื่อแบบนี้หรอ”



“นายน่ะชื่ออื่นเถอะ” ผมบอกปัดไปโดยไม่บอกความจริงที่ว่า ชื่อนั้นมันสำคัญกับใจผมมากขนาดไหน และก็พอดีกับที่เรามาหยุดยืนที่หน้าตึกหอพักของผมพอดี



“นี่ ขอเบอร์หน่อยได้หรือเปล่า” ว่าแบบนั้นพร้อมแบมือออกมาขอโทรศัพท์กัน ผมมองตาเค้าอีกครั้งอย่างช่างใจ แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มออกมา



“อย่างน้อยตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือไง” ก็จริงของเขา ผมควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ตอนนี้เปลี่ยนซิมเป็นเบอร์จีนแล้วเรียบร้อย เยว่เทียนส่งยิ้มออกมาอย่างดีใจตอนที่รับโทรศัพท์ไปกดรัวๆ ก่อนจะส่งกลับมาคืนให้ผม



“ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาได้เลย”



“อ่า ขอบใจนะ”



“ไม่เป็นไร เข้าตึกกันเถอะ” เค้าว่าแบบนั้นแล้วเอื้อมมือมาโอบไหล่กันให้เดินเข้าไปในตึกพร้อมกัน ผมมองหน้าอีกฝ่ายแบบงงๆ เจ้าตัวก็แค่ยิ้มกว้างขึ้นมาอีกหน่อย พี้ยาป่ะวะ ยิ้มอะไรขนาดนั้นก่อน



“นี่ นายจะขึ้นมาด้วยทำไมอ่ะ” ผมหันไปมองเค้าแบบไม่เข้าใจ ในตอนที่เราสองคนเดินเข้ามาในลิฟด้วยกันทั้งแบบนี้ กระพริบตาปริบๆ อย่างคนงงโลก



“แล้วไงอ่ะ ทำไมมาไม่ได้”



“นี่มันหอเด็กนานาชาติ”



“แล้วฉันไม่นานาชาติตรงไหนอ่ะ” เค้าว่าแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้กันทีนึง ก่อนที่ประตูลิฟย์จะเปิดออกมาที่ชั้นของผม มองหน้าอีกฝ่ายงงๆ ในตอนนั้นเองเค้าก็ดันหลังผมให้ออกไปจากลิฟแล้ว



“นายไม่ตั้งชื่อไทยให้ฉันก็ไม่เป็นไร จริงๆ ฉันก็มีชื่อไทยอยู่แล้วล่ะ”



“หมายความว่าไง”



“พ่อกับแม่ฉันก็คนไทย แต่แค่มีเชื้อสายจีน แล้วฉันเองก็มาเรียนที่นี่ตั้งแต่อายุ13 จนคนคิดว่าเป็นคนจีนเต็มตัวไปแล้วล่ะ”



“อ่า...”



“ต่อจากนี้เรียกฉันว่าเขียนฟ้าก็ได้นะ”  เขียนฟ้า งั้นหรอ



“ยินดีที่ได้รู้จักนะ...สมุทร”



“เช่....”



“ใครมันจะยินดีแบบนั้นวะ!” เสียงของคนมาใหม่ที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าวิ่งหนีเขียนฟ้าเมื่อก่อนหน้านี้ซะอีก หัวใจของผมสั่น พอๆ กับที่มือของผมก็รู้สึกเย็นไปหมด น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขัดบทสนทนาของเราสองคนดังมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวฉับๆ ตรงมาซ้อนหลังผม .... ไม่จริง



“ถ้ามึงเป็นคนไทย ก็น่าจะรู้จักคำว่า มีเจ้าของ นะ”



“พ...พี่พระจันทร์” ผมเงยหน้ามองคนที่หลุบสายตาคมสวยลงมามองกัน ใบหน้านิ่งๆ ที่กำลังบอกอารมณ์ทุกอย่างได้อย่างดี ทำไม...ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้



“ทำไมพี่ถึง...”



“มากับกู” สามคำสั้นๆ ที่บอกอารมณ์ของคนตรงหน้าได้ทั้งหมด พร้อมๆ กับที่ฝ่ามือแกร่งก็จับเข้าที่ข้อมือของผม พร้อมตั้งต้นดึงให้เดินไปด้วยกัน นี่มันอะไรกัน นี่มันพี่พระจันทร์ตัวเป็นๆ ทำไมเค้าถึงมาอยู่ตรงนี้ .... ไม่ หรือกูฝัน หรือ



“เดี๋ยวสมุทร...” ผมกับพี่พระจันทร์ชะงักก้าวของการเดินในตอนนี้ ตอนที่ฟ้าเรียกเราเอาไว้ หันไปมองหน้าเค้าที่ขมวดคิ้วมองเราสองคนอยู่อย่างสงสัย เจ้าตัวที่ตั้งใจจะก้าวออกมาจากลิฟย์ แต่ถูกคนข้างตัวของผมชี้หน้า



“อย่าเสือก” ดวงตาคมฉายแวววาววับ สีหน้าเป็นไปตามคำพูดนั่นโดยตรง ก่อนที่อีกคนจะออกแรงดึงมือผมให้เดินตามไป ในจังหวะที่สบตากับฟ้า ผมพยักหน้าให้เค้าน้อยๆ เป็นการบอกว่าไม่เป็นไร เค้าทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นก็เลือกที่จะเดินกลับเข้าลิฟย์ไปอย่างคนมีมารยาท ... ส่วนไอ้คนไม่มีมารยาทก็คือ



‘ปัง’



“พี่พาผมมาห้องใคร” มองหน้าอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนกในตอนที่ถูกดันตัวเข้ามาในห้องพักห้องหนึ่ง ถ้าพูดจริงๆ มันเป็นห้องที่อยู่ข้างๆ กันกับห้องผมด้วยซ้ำ นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกสักอย่าง



“ห้องกู”



“ม...ไม่จริง...”



“กูคิดถึงมึง” คำพูดสั้นๆ ในแบบที่เจ้าตัวชอบพูดถูกถ่ายทอดออกมาให้ผมได้ยินอีกครั้ง นานเป็นเดือนที่ผมไม่ได้ยินเสียงนี้ ไม่ได้เห็นใบหน้านี้ แต่ถึงแบบนั้นหัวใจของผมก็ยังสั่น มันยังกระตุกทุกครั้งเหมือนที่เคยเป็นกับคนตรงหน้า และในตอนที่หันไปสบตา พี่พระจันทร์ดูเหนื่อยล้ามากกว่าทุกที แต่ถึงแบบนั้นเค้าก็ยังดูดี ผมค่อยๆ ไล่มองไปทุกรายละเอียด คิ้วเข้มเรียงตัวสวย ใบหน้าหล่อๆ กับดวงตาคมสวยที่มีขนตายาวสวยไม่ต่างไปจากความทรงจำเมื่อเดือนก่อนหรือสี่ปีก่อนที่ผมตกหลุมรัก ไม่แตกต่างสักอย่างเดียว ไม่แตกต่างจากเมื่อสี่ปีก่อนในวันแรกที่ได้เจอสักอย่างเดียว เพราะแม้แต่เส้นผมสวย

ในตอนนี้ก็ถูกย้อมใหม่ให้เป็นสีชมพูแบบที่เคยเห็น



ความรู้สึกถูกย้อนกลับไปที่เก่า ... รู้สึกเหมือนหัวใจโดนกระชากออกอีกครั้งจากฝีมือของคนๆ เดิม



“พี่พระจันทร์” ได้แต่พึมพำชื่อของเขาออกมาเบาๆ เหมือนคนสมองเบลอที่โดนค้อนทุบเข้าอย่างจัง มันทั้งสับสน ทั้งตั้งรับไม่ทัน



“ตอนนั้นมึงบอกกูว่า มึงสงสัยคำว่าชอบของกู มันใหญ่เท่ากับคำว่ารักของมึงหรือยัง...วันนี้กูมาแล้ว มึงพร้อมจะคุยเรื่องของเราหรือยัง



#รักอยู่รู้ยัง



--------------------------------------



ว๊ายยยย ตอนนี้แบบสุดจัด มาทุกรสทุกชาติเลยนะคะ ทั้งหืดหาด ตื่นตูม และเคลียร์กับเพื่อน

ชอบความพี่พระจันทร์กับพี่ยอร์ชจะแซ่บกันเอง เออ แกได้กันเลยไหมไอ้พวกหมากระเป๋า

ใดๆคือ ...พี่เยว่เทียนคือพี่เยว่เทียนจ้าาา

และใช่ ตอนนี้ตัวร้ายเค้ามาแล้วจ้าาา

ตัวร้าย = พระจันทร์

ฮ่าาาาาาา

ปล. NCตอนนี้เขียนยากมาก แคทหวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ

และในการเขียนถึงประเทศจีนในครั้งนี้ แคทเขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวในตอนที่ไปเรียนอยู่ที่นั่น

หวังว่าแคทจะเขียนและถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่านรู้สึกสนุกได้นะคะ

ฝากหวีดว๊ายกันที่แฮชแทค #รักอยู่รู้ยัง ด้วยนะคะ   

 :pighaun: :mew1:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่30 (240722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-07-2022 05:51:01
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่30 (240722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 24-07-2022 23:37:11
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่31 (300722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 30-07-2022 21:19:22

บทที่31

 

‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

 

เสียงเคาะประตูที่ทำให้ต้องหันไปมองที่หน้าประตูห้อง ขมวดคิ้วออกมานิดๆ ที่ได้ยินเสียง ได้แต่คิดในใจว่าดึกขนาดนี้ทำไมไอ้สมุทรมันถึงพึ่งกลับมา แถมมาแล้วยังเสือกมาเคาะประตูห้องอีก ก็แตะการ์ดเปิดเข้ามาเหมือนทุกทีสิวะ

 

“เปิดเข้ามาเลยโว้ยไอ้หมุด!” ตะโกนบอกออกไปแบบนั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาโซ้ยเกี๊ยวน้ำตรงหน้าเข้าปากไปอีกคำ

 

‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

 

เสียงเคาะประตูยังคงดังออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เงียบไปแล้ว ... คือไอ้สมุทรจะกวนตีนกันใช่ไหม วันนี้ยิ่งเหนื่อยๆ อยู่นะเว้ย การบ้านเยอะโคตรๆ ที่พึ่งจะทำเสร็จ แล้วไอ้เพื่อนตัวดียังจะมากวนกันอีก หนอยยย...อยากจะเจ็บตัวสินะ เดี๋ยวพ่อมาร์ชจะจั๊กจี๋ให้มันขำเหนื่อยจนตายเลยคอยดู

 

‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

 

“เคาะหาพ่อมึ...

 

“ไม่ได้มาหาพ่อ” ฝ่ามือหนาที่ยกค้างอยู่ในท่าที่กำลังจะเคาะประตูอีกครั้ง ในตอนที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เจ้าของมือนั่นก็ลดมือลงช้าๆ ก่อนเสียงเข้มๆ นั่นจะว่าออกมา พร้อมๆ กับสายตาที่ผมคุ้นเคยดีจะมองสบกัน

 

“เหี้ย!!”

 

“อืม...เป็นคำทักทายที่ค่อนข้างจะน่ารักอยู่นะ”

 

“ไอ้สัด! ...มึ...”

 

“โอเค ด่าให้ครบจบด้วยสัตว์ไปเลยสิ” คนตรงหน้าว่าออกมาอีกทั้งแบบนั้นด้วยสีหน้าท่าทางยิ้มๆ ที่ดูชินตา แต่ตัวผมกลับไม่ชินอะไรเลย ฝ่ามือที่จับอยู่ที่ลูกบิดประตูห้องแน่นๆ ก่อนที่จะถอยหลังก้าวหนึ่ง ในตอนนี้หัวสมองมันตื้อตันไปหมด นี่กูตาฝาดหรืออะไร และจังหวะนี้ที่คิดได้ก็มีแค่ ปิดประตูหนีแม่งเท่านั้นล่ะ

 

‘ปึก’

 

“มึงจะหนีอีกแล้วหรอมาร์ช” ท่อนแขนแกร่งที่ยกขึ้นมากันประตูก่อนที่จะปิดลงได้ทันเวลาพร้อมๆ กับคำพูดนั้น หัวใจผมสั่นกระตุก เต้นโครมครามไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงพยายามโถมแรงดันประตูปิดให้ได้ มองเห็นสีหน้าของไอ้พี่ยอร์ชที่ขมวดคิ้วนิดนึงในตอนนี้

 

“ปล่อยประตู แล้วจะไปไหนก็ไปไป๊ ฮึบ”

 

“มึงนี่แม่งโคตรดื้อ”

 

‘ตึง’

 

แรงควายแรงช้างแรงม้าแรงอะไรไม่รู้ แต่ก็เป็นมันที่ดันประตูเข้ามาได้ด้วยแรงทั้งหมดของมัน ผมที่เซถอยหลังไปหลายก้าว พร้อมๆ กับที่ไอ้ยอร์ชก็เดินอาดๆ เข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย สายตาคมที่จ้องตากันในตอนนี้ด้วยสีหน้าและท่าทีนิ่งๆ ... มันนิ่งแต่กูไม่!

 

“มึงออกไปเลย!”

 

“กูไม่ออก ถ้าจะออกแล้วกูจะถ่อมาถึงนี่ทำไม!” มันตะเบงเสียงสู้จนผมผงะถอยหลังอย่างตกใจ เม้มปากแน่นๆ เบิกตากว้างขึ้นแล้วมองหน้ามันในตอนนี้ อยู่ๆ ความอ่อนแอก็ถาโถมเข้ามาตอนที่เห็นหน้าคนแบบมัน ... กูก็อุตส่าห์หนีมาขนาดนี้แล้วอ่ะ

 

“แล้วมึง...มึงจะมาทำไม” ก้มหน้าลงต่ำมองแค่ที่ปลายเท้าของตัวเองแล้วกำมือแน่นๆ ผมกระซิบถามมันด้วยเสียงเบาๆ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ คนแบบมันจะมาทำไม ...

 

“อ่อ...ลืมไป”

 

“ลืมอะไร”

 

“ลืมไปว่ามึงคงมาหาไอ้สมุทร ... แต่ตอนนี้มันยังไม่กลับ มึงรอหน่อยก็แล้วกัน” สูดลมหายใจเข้าไปในปอดลึกๆ อย่างให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ายืดอกขึ้นมาอีกครั้ง มั่นใจเอาไว้ไอ้มาร์ช มึงไม่ใช่คนอ่อนแอแบบนี้สักหน่อย ... ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นจริงๆ ก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าทุกอย่างมันจะจบลงแค่ตรงนั้น ผมหันหลังหนี ตั้งใจจะเดินเข้าห้องนอนไป ถ้ามันอยากรอก็เชิญรออยู่ตรงนี้เงียบๆ ละกัน

 

“มึงจะไปไหนมาร์ช”

 

“ปล่อยกูไอ้สัด”

 

“แล้วมึงจะเอาแต่หนีให้มันได้อะไรนักวะ ทำไมไม่คุยกัน” มันที่ดึงแขนผมให้หันไปหา จ้องหน้าจ้องตาของอีกฝ่ายที่มองกันอย่างจริงจังด้วยสีหน้าดุๆ เห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา ความอ่อนแอแม่งตีตื้นขึ้นมาทุกทีที่กูอยู่กับไอ้หน้าเหี้ยนี่เลย

 

“แล้วจะให้คุยอะไรวะ เรามีอะไรต้องคุยกันอ่ะยอร์ช จะพูดเพื่อ”

 

“มึงบอกว่าชอบกู แล้วก็หายไปเลย มันใช่หรอวะ” มันพูดออกมาอีกครั้งอย่างคนเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด ฝ่ามือที่จับกุมอยู่ที่ต้นแขนของผมถูกบีบแรงขึ้นในตอนนี้ อ้อ มึงหงุดหงิดเป็นคนเดียวหรอไอ้สัด กูเป็นหินเป็นดินสินะ!

 

“แล้วจะให้อยู่ทำเหี้ยอะไรล่ะ”

 

“ก็อยู่คุยกันให้รู้เรื่องสิวะ ... กูไม่ได้ถ่อมาถึงที่นี่ เพื่อให้มึงหนีกูอีกหรอกนะ”

 

“กูไม่ได้หนี แต่กูไม่คิดว่าเราจะมีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีกแล้วว่ะ” ว่าแบบนั้นแล้วพยายามบิดแขนตัวเองออกจากฝ่ามือของมัน คนตรงหน้าที่ขมวดคิ้วจนเป็นปมแน่นขึ้นในตอนที่ได้ยินแบบนั้น

 

“ไหนมึงบอกว่ามึงชอบกูไงวะ แล้วทำไมต้องเอาแต่หนี”

 

“กูชอบมึงแล้วทำไม! ในเมื่อมึงเองก็ไม่ได้ชอบกูสักหน่อย จะสนเหี้ยอะไรนักล่ะ!”

 

“ต้องสนสิวะ แล้วกูพูดสักคำแล้วหรือไงว่ากูไม่ได้ชอบมึง!”

 

“แล้วมึงชอบกูหรอไอ้สัด ไม่เคยพูดสักคำ แล้วกูจะอยู่ทำเหี้ยอะไรล่ะ!”

 

“เออ! กูชอบมึง!!”

 

เราสองคนที่เอาแต่หลับหูหลับตาตะโกนเถียงกันอย่างคนที่สาดอารมณ์ใส่กันโดยไม่สนหน้าอินหน้าพรหม แต่สุดท้ายผมกลับต้องชะงักค้างกับประโยคสุดท้ายของมัน

 

“ม...มึงว่าอะไรนะ” ช้อนตามองหน้ามันแบบอยากจะเชื่อ เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้กูอาจจะหูเพี้ยน กระพริบตาปริบๆ สองทีอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองเห็นไอ้พี่ยอร์ชที่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากแขนข้างนึงผม ส่วนมันในตอนนี้ที่ถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างนเซ็งอารมณ์ ใช้มือขว่ยกขึ้นเสยผมตัวเองครั้งนึง ก่อนจะมองตาผมแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง

 

“กูชอบมึงมาร์ช”

 

“ม...ไม่ๆ ฮ่าๆ ไม่จริงอ่ะ หยุดตอแหลล้อเล่นกับหัวใจกู”

 

“มึงนั่นแหล่ะหยุด หยุดคิดเองเออเองสักที เลิกวิ่งหนีหัวใจตัวเองแล้วฟังกูบ้าง แม่ง...กูชอบมึง ชอบมึงจริงๆ ไม่ได้ชอบไอ้สมุทรแล้ว กูเป็นคนชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเอง ถ้ากูรู้สึกว่าใช่กูก็ไม่รอหรอก และตอนนี้ทุกอย่างมันกำลังบอกกูว่ามึงคือคนที่ใช่...เพราะงั้นกูเองก็จะบอกมึงเหมือนกันว่ากูชอบมึง แค่มึง มึงที่เป็นมึง”

 

ผมเบิกตากว้าง อ้าปากพงาบๆ กับคำพูดรัวๆ ของมัน หัวใจเต้นตึกตักๆ เหมือนกับคนที่วิ่งมาในระยะทางไกล เหนื่อยจนหอบ นี่หัวใจกูจะล้มเหลวหรือเปล่า จากสิ่งที่ได้ยิน มันกำลังทำให้ผมมั่นใจ ทั้งฝ่ามือที่ไม่ยอมปล่อยกันไป กับสายตาจริงจังทั้งหมดนี่

 

“มึง...จะชอบกูได้ไง มัน เร็วไป”

 

“เร็วไป ไอ้เหี้ยหน้าไหนเป็นคนกำหนดวันเวลาในการชอบกัน มึงบอกกูดิ๊” ถามออกมาอย่างฉุนๆ

 

“คือก็ไม่ใช่แบบนั้น...แต่มัน มันใช่หรอวะ วันนั้นมึงยังชอบไอ่สมุทร วันนี้จะมาบอกว่าชอบกู ตอแหลอ่ะ”

 

“วันนั้นกูไม่ได้บอกว่าชอบไอ้สมุทร จริงๆ กูถอยจากสมุทรมานานแล้ว วันที่กูไปส่งมันวันนั้นคือวันสุดท้ายที่กูรู้ตัวว่าควรพอจริงๆ สักที และที่หน้าแปลกกว่านั้น กูไม่กระวนกระวายใจเลยตอนมันหายไป แทบจะไม่เสียใจเลยด้วยซ้ำตอนที่ต้องถอยออกมา มันทำให้กูรู้ว่า กูคงไม่ได้ชอบมันขนาดนั้น คงเป็นความอยากเอาชนะมากกว่า...แต่มันไม่เหมือนกันกับมึง”

 

“ยังไง” หัวใจของผมสั่นในตอนที่ถามออกไปแบบนั้น ยอมรับว่ารู้สึกดีใจ พยายามเม้มริมฝีปากเอาไว้ แต่ตอนที่มองตาของมันหัวใจของผมก็รู้สึกวาบหวามเบาหวิว สายตาวาววับของมันที่จ้องมองกันไม่กระพริบแล้วพูดออกมาต่อ

 

“มึงหายไป หัวใจกูอยู่ไม่สุข กูเอาแต่ตามหามึง คอยจ้องมองโทรศัพท์ ติดต่อหาแต่มึงก็หาย กูกระวนกระวายไปหมดจนต้องตามมาถึงตรงนี้”

 

“ขอร้องไอ้สัด ศัพท์แสงลิเกมาก”

 

“ลิเกแล้วไง ได้ใจป่ะล่ะ” ยักคิ้วส่งมาให้ กวนตีนจนอยากยกมือขึ้นดึงขนคิ้วของมัน ผมเสหน้าหนีพยายามเม้มปากเข้าหากันให้มากที่สุด กลัวว่ามุมปากจะยกขึ้นมาจนมันสังเกตได้ว่ากูดีใจจนหุบยิ้มไม่เป็น

 

“กูชอบมึง”

 

“ตรงไหนที่มึงชอบกูวะ”

 

“เราเอาเข้ากันได้ดี”

 

“สัดยอร์ช!” ถลึงตาใส่คนที่พูดออกมาอย่างจริงจังด้วยเรื่องอย่างว่า หน้าสัด มันใช่เวลาที่มึงจะพูดอะไรแบบนี้ไหมวะแม่ง ... มันที่หัวเราะขำออกมาเบาๆ แล้วเลื่อนฝ่ามือจากต้นแขนของผม ลูบลงมาเรื่อยๆ จนถึงฝ่ามือ ขนลุกแปลกๆ จนต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้อีกครั้ง มันที่กระชับฝ่ามือมากุมเอาไว้ จับตัวผมให้หันหน้าเข้ามามันดีๆ แล้วมองกัน

 

“กูจริงจังมาร์ช กูไม่ได้ล้อเล่น กูชอบมึงจริงๆ ชอบในความใจดีของมึง ถึงมึงจะไม่ได้เป็นคนพูดจาหวานๆ แต่มึงก็แคร์ความรู้สึกของคนอื่นเสมอ ความรู้สึกเพื่อน รวมถึงความรู้สึกของกู กูอยู่กับมึงกูไม่ต้องพยายาม เคยได้ยินไหมที่คนเค้าเคยบอกว่าถ้าเราเจอคนที่ใช่ เราจะไม่ต้องพยายาม ...กูพึ่งเข้าใจมันตอนนี้ ตอนที่กูได้อยู่กับมึง”

 

“มึงชอบกู...”

 

“อืม กูพูดจริงๆ กูชอบมึง แต่มึงก็ถ้ามึงจะถามหาคำว่ารักในตอนนี้กูพูดไม่ได้ แต่กูรู้ว่ามึงเองก็คงพูดคำว่ารักกับกูในตอนนี้ไม่ได้เหมือนกัน” มันพูดถูก

 

“แต่มันจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ ตอนนี้...มาคบกันเหอะว่ะ เดินไปด้วยกันจนถึงวันที่เราจะรักกันมากกว่าใครๆ”

 

“มึง...”

 

“ถ้ามึงกำลังกังวลว่าเรื่องของเรามันเร็วไป กูจะบอกให้ว่ามันไม่มีอะไรเร็วไป ถ้าชอบก็คบสิวะ มึงจะรออะไร นี่ชีวิตจริงครับไม่ใช่นิยาย อย่าทำให้เรื่องมันยากเลยว่ะ”

 

“คือกูไม่ได้คิดแบบนั้น ... แต่กูตกใจ กูตั้งตัวไม่ทันไอ้เหี้ย” ด่ามันออกไปอีกที คือกูต้องทำตัวยังไงกับเหตุการณนี้ที่คิดว่าจะตัดใจจนมาเรียนที่นี่ แล้วหนึ่งเดือนผ่านไป ก็เจอมันโผล่เข้ามาจากหน้าประตูแล้วบอกกันแบบนี้ งงไปหมด...แต่ถึงแบบนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าดีใจมาก

 

“ตั้งสติแล้วฟังกู...”

 

“อืม”

 

“กูชอบมึงจริงๆ การที่กูมาถึงที่นี่ในตอนนี้ มันยังบอกมึงไม่ได้อีกหรอว่ากูไม่ได้ล้อเล่น มันไม่ง่ายหรอกนะที่กูจะต้องเร่งสอบ เร่งเคลียร์งาน แล้ววิ่งไปบอกที่บ้านว่าขอเงินหน่อยจะไปจีน มันไม่มีอะไรง่ายเลยมาร์ช แต่มันจะไม่ยากไปกว่านี้ ถ้าเราเข้าใจกันตั้งแต่ตอนนี้”

 

“มึงชอบกูจริงๆ หรอวะพี่ยอร์ช...”

 

“พูดมาขนาดนี้ ล้อเล่นมั้งไอ้เหี้ย เอาก็ตั้งหลายรอบละ”

 

“เลิกทำบรรยากาศเสียด้วยการพูดเรื่องอย่างว่าสักทีไอ้หน้าเหี้ยนี่!” ยกมือทุบอกแม่งแรงๆ อีกหนึ่งที ทำไมเราสองคนเป็นแบบนี้วะ อีกนิดนึงก็ชวนแม่งไปเตะบอลแล้ว แมนๆ เตะปากไอ้ยอร์ช

 

“แล้วจะเอายังไง ถ้ามึงยังลีลาไม่เข้าใจอีก กูจับเอานะ”

 

“อุบาทศ์!”

 

“เฮ้อ...มึงยอมรับมาเหอะน่า ว่ามึงกลับไปเอาคนอื่นไม่ได้แล้วมาร์ช...เพราะแบบนั้นรออะไรอยู่ครับ คบกับพี่เถอะ ตามมาขอขนาดนี้แล้วนะ นะครับ” มันที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เสียงห้าวๆ ที่ชอบกวนประสาทกัน เปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มนุ่มในตอนท้าย รอยยิ้มเท่ๆ ถูกส่งมาล่อลวงกัน หน้าหมา

 

“เออ...คบก็คบสิไอ้เหี้ย! ก็มาขนาดนี้แล้วไหมอ่ะ” ถลึงตาให้มันไปทีนึงแล้วว่าตะโกนใส่หน้ามันแบบนั้น ไอ้พี่ยอร์ชที่ได้ฟังแบบนั้นยกมือขึ้นมาเช็ดหน้ามันนิดหน่อย คืออะไร น้ำลายกูกระเด็นใส่หน้าหรอ...มันเบิกตากว้างขึ้นช้าๆ ผมมองเห็นมันเป็นภาพสโลวตรงหน้า สีหน้าท่าทางในแบบที่ผมไม่เคยเห็นกำลังปรากฏอยู่ในตอนนี้

 

พี่มันที่ยิ้มออกมาทั้งปากทั้งตา ก่อนที่วงแขนหนาจะโอบตัวผมเข้าไปกอดแน่นจนจมไปกับตัวของมัน กูก็ตัวใหญ่นะ แต่ไอ้ตรงหน้านี่เหมือนหมีควายตัวใหญ่ๆ เวลายืนน่ะ ถึงแบบนั้นผมเองก็ไม่ได้ต่างจากมันสักเท่าไหร่ ผมยิ้มออกมากว้างที่สุดให้สมกับหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ยิ้ม ยกแขนขึ้นโอบรอบลำตัวของมันเอาไว้แล้วซบหน้าลง

 

“เยส!!! กูมีแฟนแล้วโว้ยไอ้มาร์ชตกลงแล้วโว้ยยยย”

 

“มึงจะตะโกนให้ข้างห้องเค้าได้ยินเลยหรือไง”

 

“ก็ใช่ไง จะได้หยามมันได้ว่ามันคงทำไม่ได้แบบกูแน่ๆ ล่ะ ฮ่าๆ” มันที่หัวเราะเยาะเย้ยออกมาอย่างมีความสุข ได้แต่มองมันอย่างไม่เข้าใจว่าจะทำไปเพื่อ มึงรู้จักคนข้างห้องหรือไง แต่ถึงแบบนั้นก็เลือกจะเมินความสงสัยนี้ทิ้งไป ได้แต่ยิ้มและหัวเราะกอดมันให้แน่นขึ้นมากอีกหน่อย

 

ไม่รู้ว่าเรื่องของเรามันเริ่มขึ้นมาจากตรงไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหัวใจของผมมันเต้นแรงมากๆ เวลาที่อยู่ใกล้มันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คำพูดบางอย่างของมันก็ทำให้ผมได้คิด ถ้าผมยังเอาแต่ตั้งแง่ถามหาสิ่งเหล่านั้น วันเวลาความเหมาะสมเรื่องราวที่เกิดมากมายตรงหน้า เราต้องเสียเวลากับมันไปอีกเท่าไหร่ แค่หนึ่งเดือนที่ผ่านไปอย่างไม่สุขใจยังไม่มากพออีกหรอ

 

เพราะคิดได้แบบนั้น ก็ไม่ควรจะทำให้ชีวิตมันยากเกินไป ก็แค่กล้าขึ้นมาอีกหน่อย และก้าวไปให้ถึงคำๆ นั้นด้วยกัน...กับมัน

 

...

 

น้องสมุทรได้แต่จ้องมองคนที่พึ่งถามคำถามแบบนั้นออกมากับผมด้วยความรู้สึกหลากหลาย “มึงพร้อมจะคุยเรื่องของเราหรือยัง” เขาว่าแบบนั้น ได้แต่กระพริบตาปริบๆ อย่างคนทำตัวไม่ถูกประมวนผลไม่ได้ มันทั้งประหลาดใจ ตกใจ ปวดหน่วงในอก ดีใจ ความรู้สึกหลากหลายมากมายตีผสมปนเปกันไปหมด ผมทั้งอยากวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่อีกใจก็อยากกระโจนเข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นๆ ให้สมกับที่ผมคิดถึงเขาในทุกวัน ... ในตอนนี้ไม่รู้สักนิดว่าควรรู้สึกยังไง ควรทำอะไร ควรพูดอะไร

 

“ทำไม...” ผมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาใกล้ๆ ตัว พี่พระจันทร์ที่เห็นผมทำแบบนั้นก็ค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเว้นระยะห่างอย่างมีมารยาท ผมมองเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเปิดประตูลิฟย์มาแล้วจะเจอเขายืนอยู่ตรงหน้า ... ได้แต่ยกมือสั่นๆ ของตัวเองขึ้นลูบหน้าตัวเองอย่างลวกๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมา

 

“มึงไม่ตอบไลน์กูเลย ไม่เหลือสักช่องทางที่ให้ติดต่อ” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากก่อนหน้านี้มาก คำพูดคำจาที่ออกแนวตัดพ้อ เห็นแบบนั้นผมเลยได้แต่แค่นหัวเราะออกมาหน่อยๆ

 

“ผมบอกพี่ไปแล้วว่าผมจะตัดใจ”

 

“กูก็บอกมึงไปแล้วเหมือนกันว่าไม่ยอมให้ตัดหรอก”

 

“พี่อย่ามาเอาแต่ใจ เรื่องนี้อยู่นอกขอบเขตการตัดสินใจของพี่ มันคือการตัดสินใจขอ...”

 

“แล้วตัดได้หรือยัง ไอ้ที่ว่าจะตัดใจ” พี่พระจันทร์พูดแทรกออกมาแบบนั้น เค้าที่ทรุดตัวลงนั่งชั่นเข่าลงกับพื้น ให้ระดับสายตาอยู่ตรงหน้าของผมพอดี เราจ้องตามองกันในตอนนี้

 

“อย่างน้อยก็รู้สึกน้อยลง...” ผมตอบออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงมันตรงกันข้ามกันสิ่งที่เป็น แต่ก็ขอให้ได้ตอบเลี่ยงไปก่อนในตอนนี้ มองเห็นประกายวูบไหวที่ดูเศร้าวูบหนึ่งในดวงตาของเค้า

 

“น้อยลง...แต่ก็ยังไม่ได้เลิกชอบกูนี่” พูดออกมาแบบนั้น ในตายังมีประกายแห่งความหวังส่งมาให้กัน เห็นแบบนั้นเลยเลือกที่จะเบือนหน้าหนี ไม่อยากให้เขารู้ว่าน้องสมุทรคนนี้มันล้มเหลวอีกแล้ว ...ล้มเหลวเสมอกับคนที่ได้ชื่อว่าพระจันทร์

 

“สมุทร...ขอกอดได้ไหม”

 

“พี่จะมากอดผมทำไม” พอถามออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็หลุดสีหน้าของคนไม่มั่นใจออกมา

 

“เพราะว่าคิดถึง”

 

“มาหาถึงนี่ก็เพราะคิดถึงน่ะหรอ”

 

“ใช่...คิดถึง อยากกอด” สบตากับคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่หัวใจกำลังตอบว่า ผมเองก็อยากกอดเหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการ

 

“พี่จะมาอยู่นี่กี่วัน”

 

“เท่าที่จะทำให้มึงรับฟังความรู้สึกของกูได้”

 

เราสบตากันนิ่งในความเงียบ...หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมเอาแต่คิดถึงอีกฝ่ายไม่หยุด พอได้มาเจอกันในตอนนี้ หัวของผมกลับว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกสักอย่างเลยด้วยซ้ำ เค้าบอกว่าเค้ามาเพื่อจะคุยเรื่องของเรา แต่เรื่องของเรา...มันคือการที่เค้าจะรักผม แล้วเค้ารักแล้วหรอถึงมาอยู่ตรงนี้

 

พี่พระจันทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับดึงตัวผมให้ลุกขึ้นยืนตาม ปลายเท้าของเราสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจในตอนที่ผมลุกขึ้นยืน ความใกล้ชิดที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำมากกว่าเดิม กำมือเข้าหากันแน่นๆ กลัวว่าพี่พระจันทร์จะรู้ว่าน้องสมุทรไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เขาที่เอื้อมมือขึ้นมาแตะใบหน้าของผมเบาๆ พี่พระจันทร์มองมาที่ผมเหมือนกับว่าตัวเองไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าคนตรงหน้าของเขามันคือผมจริงๆ ในตอนนี้ ก่อนที่จะลดฝ่ามือลงมากอดเอวของผม และดึงรั้งเข้าไปโอบกอดเอาไว้แน่นๆ

 

ความคิดถึงความโหยหามันไหลเวียนไปทั้งตัว ... หนึ่งเดือนที่ผ่านมามันไม่ช่วยอะไรเลย ไม่ช่วยเลย แต่ถึงแบบนั้นในหัวใจของอีกฝั่งนึงมันกำลังร้องเตือนขึ้นมาว่าอย่าพึ่งยอม เสียงปีศาจในหัวใจมันกระซิบแผ่วๆ ข้างหูว่าอย่ายอมกับคนที่แค่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่ตรงนี้ พี่พระจันทร์รวยจะตาย ปิดท้องฟ้าด้วยฝ่ามือข้างเดียวยังทำได้ แล้วกับอิแค่บินมาหากันที่จีนทำไมจะทำไม่ได้ ... แค่นี้มันพอแล้วหรอกับสิ่งที่ผมเจอมา ความเชื่อใจที่มันพังไป เรื่องราวมากมายที่ยังไม่รู้จริง รวมถึงอิสีผมชมพูที่ทำมาตอนนี้ ทำมาทำไม

 

“สมุทร”

 

“พี่พระจันทร์”

 

เราสองคนที่เรียกชื่อกันและกันออกมาในตอนที่ผละตัวออกมา เขาที่มีทีท่าอย่างพูดอะไรมากมาย แต่เป็นผมที่ชิงเปิดปากพูดออกมาก่อน

 

“ในวันนี้ที่พี่อยากคุย แต่มันเป็นวันที่ผมไม่อยากคุยอีกแล้ว พูดตรงๆ ว่าความเชื่อใจของผมมันหายไปหมดแล้ว แล้วพี่จะทำยังไงล่ะ” บอกออกไปแล้ว พูดออกไปแบบนั้นแล้วก็ได้มองเห็นแววตาสั่นไหวเสียใจของเค้าอีกครั้งอย่างใกล้ชิด ความเสียใจในระยะประชิดทำให้ผมต้องเสหน้าหนี อย่าใจอ่อนสมุทร อย่าเสียใจกับความเสียใจของเขา

 

“ม..ไม่เป็นไร กูรอได้”

 

“แล้วถ้าพี่ต้องรอมันทั้งชีวิตล่ะ”

 

“กูก็รอ ... กูจะรอเพื่อให้ได้พูดมันออกมาต่อหน้ามึงอีกครั้งนึง” เค้าว่าออกมาแบบนั้นอย่างมั่นคง มองหน้าผมแบบไม่ละความพยายาม พอเห็นแบบนั้นแล้วมันก็อดไม่ได้ที่ยกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ สบสายตาสั่นไหวของเค้าอย่างคนที่ไม่มั่นใจอะไรแต่ก็เลือกที่จะสู้ มองพี่พระจันทร์ในตอนนี้รู้สึกเหมือนเป็นภาพสะท้อนของตัวเองในอดีตวันเก่าๆ สภาพคงน่าสมเพชแบบนี้สินะ

 

“งั้นก็พยายามเข้าล่ะ...หวังว่าสักวันพี่จะทำให้ผมใจอ่อนยอมฟังได้นะ” เลื่อนหน้าไปกระซิบข้างๆ ใบหู แล้วยกมือขึ้นตบลงบนอกแกร่งนั่นเบาๆ แล้วผละตัวออกมา พี่พระจันทร์มองหน้าผมเหมือนคนเห็นผี แต่ถึงแบบนั้นเค้าก็ยังยิ้มตอบกลับมา เหอะ...

 

ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรกันออกมาอีก และเป็นผมที่หันหลังเดินออกมาจากห้องของเค้า พี่พระจันทร์ไม่ได้ยื้อผมไว้อีก เหมือนกับว่าตัวเค้าในตอนนี้อาจจะยังช็อคหรืออยากจะคุยกับตัวเองล่ะมั้ง ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ผมเองก็เหมือนกัน หัวใจของผมเจ็บในตอนที่เลือกทำแบบนั้น คิดว่าเห็นสีหน้าแบบนั้นของเค้าแล้วจะสนุกดีซะอีก แต่ทำไมมันไม่ใช่แบบนั้นล่ะ

 

‘ตี๊ด’

 

ผมแตะบัตรเข้าห้องไปด้วยหัวใจที่สับสนจนแทบจะทำตัวไม่ถูก มันเหมือนอยากจะร้องไห้ มันเหมือนอยากจะสะใจ อยากจะดีใจ แต่โดยรวมแล้วผมก็กำลังเสียใจอยู่ดี หลับตาลงเอนหลังพงประตูแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ ตั้งสติไอ้น้องสมุทร กับอิแค่นี้ถ้าเค้าทนไม่ได้ ก็ไม่สมควรที่เราจะต้องไปต่อด้วยกันนี่ บอกกับตัวเองแบบนั้นแล้วตั้งใจจะเดินเข้าห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อภาพตรงหน้าที่เห็นคือคนสองคนกำลังคล่อมกันอยู่ที่โซฟาและจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม

 

“เหี้ย! พ...พี่ยอร์ช!!” ตะโกนออกมาแบบนั้น ก็เป็นจังหวะที่ทั้งไอ้มาร์ชและแขกไม่ได้รับเชิญผละออกจากกัน และก็เป็นพี่ยอร์ชที่โดนถีบลงมาตกจากโซฟาต่อหน้าต่อตาของผม ไอ้มาร์ชทำสีหน้าเลิ่กลั่กแล้วโบกมือไปมา ส่วนพี่ยอร์ชตอนนี้ก็ลงไปนอนอยู่กับพื้นแล้วร้องโอดโอย ...นี่มันอะไรกับครับเนี่ย

 

“คือมึงกับพี่เค้าตกลงคบกันหรอวะ” ผมเลิกคิ้วร้องถามอย่างตกใจในตอนที่พี่ยอร์ชถูกเชิญให้ออกไปจากห้องของเราอย่างที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ

 

“ทำไมง่ายงั้น”

 

“แล้วจะทำให้ยากไปทำไมวะ” มันทวนถามคำของผมพลางเลิกคิ้วไม่เข้าใจ ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

 

“ก็...”

 

“ชีวิตคนเรามันสั่นจะตายห่าไอ้สมุทร รีบๆ กลับมารักกันไม่ดีกว่าหรือไง”

 

“แล้วถ้าสุดท้ายมันเป็นการตัดสินใจผิดอีกครั้งแล้วต้องเสียใจล่ะวะ” ผมทวนถามมันอย่างสับสน และเป็นไอ้มาร์ชที่แค่ส่ายหัวยิ้มๆ

 

“เรื่องของความรัก มึงเองไม่ใช่หรอที่บอกกูว่าขอแค่ให้ได้ลองบอกให้เค้ารู้ จะไปกลัวเสียใจมันทำไมล่ะ แล้วในตอนนี้ที่เค้ารักแล้ว จะช้าทำไมวะ” มันว่าออกมาแบบนั้นพร้อมหัวเราะขำ

 

“แต่ถึงแบบนั้นเรื่องของกูมันก็เทียบกับเรื่องของมึงไม่ได้หรอก ถ้ามึงตัดสินใจแล้วที่ว่ายังไม่พร้อมจะเชื่อใจพี่มันตอนนี้ ก็เป็นหน้าที่ของมันแล้วไหม ที่จะต้องทำให้มึงเชื่อน่ะ”

 

“ก็คงงั้นล่ะมั้ง” ผมตอบรับเสียงแผ่ว ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนแบบพี่พระจันทร์จะทนไปได้สักกี่น้ำ

 

และเพราะแบบนั้นในเช้าวันถัดไป ผมเลยเปิดประตูห้องมาเจอถุงน้ำเต้าหู้ใส่ถั่วแดงยื่นอยู่หน้าห้องพร้อมรอยยิ้ม

 

“ดื่มก่อนไปเรียนสิ กูไปซื้อมาให้เลยนะ” ผมปรายตามองพร้อมถอนหายใจออกมานิดหน่อย

 

“ผมไม่ชอบถั่วแดง”

 

“ในนี้มีถั่วแดงหรอวะ ไอ้เหี้ยลุงคนขายแม่ง” ยกถุงขึ้นมาดูอย่างรีบร้อนพร้อมบ่นอุบไม่หยุด

 

“พี่พูดกับเค้าไม่รู้เรื่องเองมากกว่ามั้ง”

 

“ก็เห็นมันพูดโตวๆ โต้วๆ ไรเนี่ย กูเสิร์ชในเน็ตมาแล้วนะ กูนึกว่าหมายถึงใหญ่ๆ อ่ะ”

 

“โต้วคือถั่ว ต้าคือใหญ่ ผมว่าพี่อยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกว่ะ กลับบ้านไปเหอะพูดไม่รู้เรื่องสักอย่าง” ว่าออกมาแบบนั้นพี่พระจันทร์ก็ชะงักค้าง แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งขนมปังโง่ๆ มาให้ผมอีกอยู่ดี

 

“น้ำเต้าหู้กินไม่ได้ งั้นขนมปังนะ”

 

“ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบ” รับมาพร้อมโยนมันลงที่ถังขยะหน้าห้องที่วางไว้ให้พนักงานประจำตึกมาเอาไปทิ้ง พี่พระจันทร์หน้าเสียในตอนที่เห็นแบบนั้น แต่ผมก็เลือกจะเดินหนีออกมาทั้งแบบนั้น มันก็เหมือนกับหมูปิ้งที่ผมซื้อให้แต่พี่ไม่กินไม่ใช่หรือไงวะ

 

และอีกสี่วันต่อมา ผมก็ได้รับน้ำเต้าหู้ ขนมปัง ชานมไข่มุก และอีกมากมายที่คนห้องข้างๆ สรรหาจะซื้อมาให้กัน พร้อมกระดาษโน๊ตแปะทุกวันเป็นภาษาจีนที่ตัวจีนผิดๆ ถูกๆ เขียนว่า 加油 ที่แปลว่า สู้ๆ ... หยิบกระดาษโง่ๆ นั่นขึ้นมาตั้งใจจะขยำทิ้ง แต่สงสารเต่าทะเล อย่าเพิ่มขยะเลยจะดีกว่า เพราะแบบนั้นเลยหยิบมันมาสอดคั่นในหนังสือเรียนภาษาจีนเล่มโต ก็ไม่ได้หวังให้มันเป็นกำลังอะไรหรอกนะจริงๆ

 

...

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่31 (300722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 30-07-2022 21:20:01

 

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ โควต้าที่ผมกับไอ้ยอร์ชจะอยู่ที่นี่ได้มีแค่2อาทิตย์เท่านั้น และพวกเรากำลังจะเปิดการศึกษาในกลางเทอมหลัง หยุดแค่2อาทิตย์แต่ยังไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ไอ้สมุทรใจแข็งเหมือนหิน และเพราะแบบนั้นผมเลยต้องงัดวิธีใหม่ๆ ออกมาจีบมันอยู่แบบนี้

 

“ไอ้จันทร์ กูถามจริงๆ นะว่ามึงจะทำแบบนี้จริงๆ”

 

“เลิกถามย้ำสักทีได้ไหมวะ กูจะทำๆๆๆ” ถลึงตาพร้อมขมวดคิ้วใส่ไอ้คนที่เอาแต่สะกิดกันยิกๆ ไม่เลิก ในตอนนี้ที่ผมกับไอ้ยอร์ชเดินขึ้นเขา ขอใช้คำว่าเขา เพราะทางแม่งลาดชันฉิบหายกว่าจะเดินขึ้นมาถึงตึกคณะของเด็กนานาชาติที่สมุทรมันเรียนอยู่ได้มันเหนื่อยชะมัด

 

ตึกคณะตรงหน้ายิ่งใหญ่โอ่อ่า มีอ่อร่าของความเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ มองไปทางไหนก็มีแต่ความยิ่งใหญ่ มีบันไดที่ทำจากหินเพิ่มระดับให้เราเดินขึ้นไปอีกชั้นเพื่อเดินเข้าในตัวตึก มีป้ายเสาร์หินโบราณที่สลักภาษาจีนอะไรไม่รู้ที่อ่านไม่ออกดูน่าเกรงขาม และมีสิงโตหินคู่ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าซุ้มทางเข้า อาคารเรียนทั้งหมดถูกทำขึ้นจากอิฐ ก่อเรียงทีละชั้นขึ้นไปสวยงาม มองดูแล้วคล้ายปราสาทแฮรี่พอตเตอร์อะไรแบบนั้น แตกต่างแค่ซุ้มทางเข้าประดับไว้ด้วยป้ายเหนือหัวเป็นภาษาจีนเหมือนเวลาที่เราดูในหนังแนวยุทธภพ และมีโคมแดงจีนห้อยประดับ มีสวนดอกไม้ประดับไปด้วยที่สองข้างทาง บรรยากาศเย็นสบายชวนขนหัวลุก เพราะด้านหลังตึกเป็นต้นไม้สูง เดินๆ อยู่กูก็กลัวว่าจะมีงูหรือแวมไพร์กระโดดลงมากัดคอ ไม่ได้ล้อเล่น แต่บรรยากาศเย็นๆ ชื้นๆ แบบนั้นมันเห็นอยู่ตรงหน้า

 

“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไอ้สมุทรจะเลิกตอนไหน”

 

“กูสืบมาแล้วจากอาอี๋ร้านข้าว เค้าบอกว่าเด็กนานาชาติเลิกตอนเที่ยงพร้อมกัน ยังไงก็ต้องออกมาตรงนี้เว้ย” ยักคิ้วส่งให้มันที่ถอนหายใจเซ็งๆ ส่งมาให้

 

“แล้วมึงไปคุยกับอาอี๋รู้เรื่องได้ไง”

 

“เหอะ ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ทั้งกูทั้งป้าแกนั่นล่ะ แต่ก็ได้ความมาแบบนั้นอ่ะ”

 

“พร้อมทั้งอิของในมืออันนี้”

 

“เออดิ แพงฉิบหาย มึงว่ามันหลอกขายกูป่ะ กูซื้อมาในราคาเก้าร้อยสามสิบหยวน”

 

“อะไรนะ!!” ไอ้ยอร์ชแหกปากดังลั่น ดวงตาเบิกกว้างนั่นทำเอาผมถอนหายใจ ทำหน้าโอเว่อร์ฉิบหาย … ไอ้ยอร์ชที่กดโทรศัพท์มือถือของมันยิกๆ ก่อนจะแหกปากออกมาอีกครั้ง

 

“ไอ้เหี้ย ห้าพัน!! มึงซื้อกีต้าร์โปร่งกะโหลกกะลานี่มาตั้งห้าพันไอ้พระจันทร์!”

 

“มึงอย่าคิดว่าห้าพันบาทดิวะ คิดซะว่าราคามันเก้าร้อยสามสิบบ้าน เนี่ย สบายใจเลย” บอกมันออกไปแบบนั้นแล้วก้มหน้าลงมองกีต้าร์กะโหลกกะโปกแบบที่ไอ้ยอร์ชมันว่าแล้วรู้สึกเสียดายเงินฉิบหาย เพราะเงินที่บินมาที่จีนนี่มาจากน้ำพักน้ำแรงของผมทั้งนั้น เพราะป๊ากับอาเมลไม่ให้ ก่อนหน้าจะบินมาเลยแบกหน้าไปขออาดาบทำงานที่ร้าน เหนื่อยฉิบหาย แต่ยังดีที่อาดาบให้เงินเยอะพอที่จะบินมาที่นี่ได้อย่างสบาย ... และกูใช้เงินไปกับกีต้าร์แล้วห้าพัน ถ้าอาเมลรู้ต้องตีกูแน่ๆ แม่งเอ๊ย!

 

“ความคิดมึงนี่ดีนะ สมงสมอง”

 

“หุบปากไปไอ้หน้าหนังหมา มึงกับไอ้น้องมาร์ชมันดีกันง่ายๆ ก็พูดได้ดิ มึงมาดูสมุทรนี่ จิตใจแม่งเหมือนมหาสมุทรจริงๆ อ่ะ กูก็มาแล้วป่ะ จะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ป่ะ กูต้องทำให้มันคืนดีกับกูให้ได้ดิ” บอกมันออกไปแบบนั้น ไอ้ยอร์ชก็ถอนหายใจใส่เหมือนคนระอากันมากมาย ก่อนจะปรายสายตาลงมองกีต้าร์หน้าโง่ในมือของผม

 

“ด้วยไอ้นี่”

 

“ใช่สิวะ เดี๋ยวมึงดูพี่พระจันทร์นะน้องนะ”

 

“แล้วแต่มึงเลยจันทร์ ถือซะว่ากูไม่ได้รู้จักมึง”

 

“ยังกับว่ากูอยากรู้จักตายห่าล่ะไอ้สัดยอร์ช” เบะปากใส่มันทีนึงแล้วหันหน้าไปที่ตัวตึกคณะของไอ้สมุทรอีกครั้งอย่างรอเวลา ก้มมองดูนาฬิกาเป็นการบอกเวลานับถอยหลังว่าจะถึงเวลาเลิกเรียนของมันแล้ว 5 4 3 2 1

 

.

.

.

 

“วันนี้ซาหมุดจากลับหอเลยหรอ” จางหมิ่งถามผมแบบนั้นในตอนที่เราเลิกเรียนแล้วเดินออกมาด้วยกัน ผมยิ้มขำๆ กับการเรียกชื่อของผมด้วยสำเนียงแปลกๆ นั่น จางหมิ่งบอกว่าเขียนฟ้าเป็นคนบอกชื่อไทยนั่นกับเจ้าตัว

 

“ก็คงจะแบบนั้นล่ะ วันนี้ฟังเหล่าซือสอนจนแทบจะอ้วกออกมา”

 

“แต่ซาหมุดเก่งมากเลยนะ สำเนียงเด็กไทยนี่ดีจังเลย”

 

“ก็เพราะว่าภาษาไทยน่ะมันมีพยัญชนะกับสระที่ใช้ออกเสียงเยอะน่ะสิ คนไทยเลยออกเสียงได้หลากหลายกว่า” มันคือข้อดีเลยล่ะ ถ้าได้ฟังสำเนียงของพวกฝรั่ง หรือฟิลิปปิน จะเห็นเลยว่าสำเนียงภาษาจีนของพวกเค้าจะแปลกๆ หน่อย แต่เด็กไทยจะถูกชมมากว่าออกเสียงแทบจะเหมือนคนจีนจริงๆ

 

“แบบนี้ภาษาไทยต้องยากมากๆ แน่เลย”

 

“อืม ยากแหล่ะ ขนาดคนไทยด้วยกันยังพูดผิดๆ ถูกๆ เลย”

 

“อ้าว เป็นงั้นไป”

 

“เป็นงั้นล่ะ ฮ่าๆ” ผมกอดคอจางหมิ่งแล้วหัวเราะร่า ในตอนนั้นที่มองเห็นไอ้มาร์ชเพื่อนยากเดินออกมาจากห้องเรียนของมันพอดี เราทั้งคู่โบกมือทักกัน และเป็นมันที่เดินเข้ามาสมทบพอดี

 

“โชคดีชะมัดที่เจอ กูจะได้ไม่ต้องข้ามถนน6เลนเหี้ยนี่คนเดียว เสียวรถจะเอากูไปแดกทุกวัน” ไอ้มาร์ชบ่นออกมาแบบนั้นรัวๆ เป็นภาษาไทย โดยมีจางหมิ่นเพื่อนยากของผมทำหน้าสนอกสนใจอยู่ตลอดเวลา

 

“เฮ้ อย่าพูดไทยกันสิ นี่อยากรู้ด้วย”

 

“เปล่าๆ เราแค่บอกว่าวันนี้เหนื่อยมากเลยล่ะ” ไอ้มาร์ชแก้ตัวแล้วส่งยิ้มไปให้ แก้ตัวซะสวยหรู เมื่อกี้มึงยังด่าถนนประเทศเค้าเหี้ยอยู่เลยครับเพื่อน เราสามคนเดินออกจากตึกอาคารมาพร้อมๆ กัน ก่อนจะต้องชะงักขาที่จะก้าวลงเดินจากตึกตรงลานโล่งๆ หน้าตึกขนาดใหญ่ในตอนนี้มีนักศึกษากำลังล้อมวงรวมตัวกันอยู่

 

“เชี่ยแล้วไอ้สมุทร มึงดูนั่นดิ” เป็นไอ้มาร์ชที่สะกิดแขนผมยิกๆ แล้วชี้ไม้ชีมือเรียกให้ผมมองดู และในตอนนี้เองที่ผมเดินเข้าไปใกล้ก็มองเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากำลังยืนพิงรั้วเสาร์หินเตี้ยๆ อยู่ ในมือของเค้าถือกีต้าร์ และเจ้าตัวก็กำลังมองมาพร้อมโบกไม้โบกมือมาให้ผม

 

“สมุทร!!” แถมเรียกชื่อกูด้วย เอาซะดังลั่น คนรอบข้างหันมามองผมเป็นตาเดียว และกูยิ่งเด่นดังมากขึ้นไปกว่านั้นอีกในตอนที่เสียงกีต้าร์ถูกดีดออกมาเป็นท่วงทำนองดนตรีเพราะๆ แต่เสียงร้องด้วยสำเนียงแปลกๆ ที่กำลังพูดภาษาจีน ...

 

你给我 这一辈子都不想失联的爱

(หนี่ เก่ย หว่อ เจ้อ อีเป้ยจึ โตว ปู้เสี่ยง ชือ เหลียน เตอ อ้าย)

คุณมอบความรัก ที่ในชีวิตนี้ผมไม่อยากสูญเสียมันไป

你的每条讯息都是心跳节拍

(หนี่ เตอ เหม่ย เถียว ซุนสี โตว ชื่อ ซินเที่ยว เจี๋ยพาย)

ทุกข่าวคราวของคุณคือจังหวะการเต้นของหัวใจผม

每秒都想 拥你入怀

(เหมย เหมี่ยว โตว เสี่ยง ยง หนี่ หรู หวาย)

อยากโอบกอดคุณไว้ทุกวินาที

全世界你最可爱

(ฉวน ชื่อเจี้ย หนี่ จุ้ย เขอ'อ้าย)

ในโลกใบนี้ คุณเท่านั้นล่ะที่น่ารักที่สุด

你是我 这一辈子都不想失联的爱

(หนี่ ชื่อ หว่อ เจ้อ อีเป้ยจึ โตว ปู้ เสี่ยง ชื่อ เหลียน เตอ อ้าย)

คุณคือรัก ที่ในชีวิตนี้ผมไม่อยากสูญเสียมันไป

就算你的呼吸远在千山之外

(จิ้วซ่วน หนี่ เตอ ฮูซี หย่วย จ้าย เชียน ชาน จือ ว่าย)

แม้ว่าลมหายใจของคุณจะห่างไกลออกไปสักแค่ไหน

请你相信 我给的爱

(ฉิ่ง หนี่ เซียงซิน หว่อ เก่ย เตอ อ้าย)

โปรดเชื่อในความรักที่ผมมอบให้

值得你爱

(จื๋อเต๋อ หนี่ อ้าย)

มันคุ้มค่ากับความรักของคุณ

 

ในตอนที่จบประโยคสุดท้ายด้วยสำเนียงแปร่งๆ นั่น ผู้คนรอบข้างก็โห่ร้องและปรบมือให้กันดังสนั่น สายตาคมๆ นั่นของพี่พระจันทร์มองตรงมาหาผม หัวใจของผมสั่น รู้สึกหน้าแดงที่ไม่ได้ร้อนแดด ได้แต่กระชับหนังสือเล่มใหญ่ในมือไว้ที่อกแน่นๆ ก่อนจะก้าวขาตรงเข้าไปหาไวๆ

 

“สมุทร! กูรั...”

 

“พี่ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย!” ผมขมวดคิ้วและตะโกนใส่อีกคนที่ทำหน้าเหวอไป คนร่างสูงตรงหน้ากระพริบตาปริบๆ แต่ถึงแบบนั้นวงแขนแข็งแรงของเค้าก็ยังโดนฝ่ามือของผมจับกุมเอาไว้แล้วลากออกไปพร้อมๆ กัน

 

“นี่พี่มึงก็มาด้วยหรออิพี่ยอร์ช”

 

“จะให้กูทิ้งไอ้เหี้ยนี่มาคนเดียวได้ยังไงเล่า”

 

ได้ยินเสียงพี่ยอร์ชดังแว่วๆ ตามมาจากทางด้านหลังพร้อมๆ กับไอ้มาร์ช แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่ได้สนใจที่จะหันไปมอง ทำแค่ตั้งใจก้าวสับขายาวๆ ให้ออกมาพ้นจากสายตาของคนอื่นๆ ให้ได้ไวที่สุดก็พอ ในตอนที่เห็นที่ปลอดคนแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่หน้าคนที่ทำหน้างงๆ อยู่ข้างๆ ก่อนจะสะบัดมือออกจากตัวเค้าแล้วขมวดคิ้วใส่อย่างไม่พอใจ

 

“นี่พี่ทำบ้าอะไรของพี่วะ” ผมถามออกไปแบบนั้นอย่างหัวเสีย

 

“กูมาร้องเพลงบอกความในใจกับมึงไง กูผิดตรงไหนล่ะ หรือที่จีนมันห้ามร้องเพลงหรอ แต่นี่กูฝึกเพลงจีนมาเลยนะเว้ย แล้วเมื่อกี้คนอื่นๆ ก็ดูชอบดีนี่หว่า คงไม่ใช่ป่ะ...นี่ๆ สมุทรมึงดูๆ นี่เนื้อเพลง กูเขียนเป็นภาษาไทยฝึกมาเลยนะเว้ย” คนตรงหน้าบอกผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น พร้อมยื่นกระดาษที่มีลายมือยึกยือของเค้าจดคำอ่านเป็นภาษาไทยเต็มไปหมด แต่ถึงแบบนั้นผมก็ปัดมันทิ้งลงพื้นไป คนตรงหน้าที่ชะงักไปในตอนนี้ เค้ามองหน้าผมและผมก็จ้องหน้าเค้าไม่วางตา

 

“พี่พระจันทร์เลิกทำแบบนี้สักที” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

“กูก็แค่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้มึงรู้สึกดีกับกูได้เหมือนเดิม” ตอบกลับมาแบบนั้นด้วยโทนเสียงอ่อนๆ ถ้าคนตรงหน้ามีหูมีห้างคงเห็นหูกับหางลู่ตกตามไปแล้วในตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้นผมก็เลือกจะเมินมันกับสิ่งที่กำลังมองเห็นนี้

 

“แล้วการที่พี่ทำแบบนี้คิดว่าผมจะรู้สึกดีหรอ มันน่าอาย ผมไม่รู้สึกดีอะไรสักนิด มันก็เหมือนกับตอนที่ผมทำให้พี่แล้วพี่ไม่รู้สึกอะไรกับมันนั่นแหล่ะ”

 

“สมุทร...”

 

“เลิกทำแบบนี้สักที พอ แล้วกลับไทยไป กลับไปอยู่กับอะไรก็ได้ที่พี่รักพี่แคร์ อย่ามาเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระอยู่ที่นี่เลย”

 

“แล้วจะให้กูกลับไปหาอะไรที่กูรักกูแคร์ได้ยังไง ในเมื่อสิ่งๆ นั้นมันอยู่ที่นี่ มันเป็นมึงทั้งหมดแล้วในตอนนี้ มึงจะให้กูกลับไปหาอะไรเจออีกล่ะ” เค้าว่าออกมาแบบนั้น ในตาคมที่มีขนตายาวเรียงตัวสวยจับจ้องมาที่ใบหน้าของผมอย่างจริงจัง มองเห็นขอบตาแดงๆ ของคนตรงหน้า แล้วผมก็เสหน้าหนี

 

“ผมไม่รู้” ตอบกลับเค้าไปเสียงเบาแล้วเดินหนีออกไปจากบริเวณนี้ ทิ้งอีกคนเอาไว้ตรงนั้น เป็นไอ้มาร์ชที่วิ่งเข้ามาทันผม มันจับมือของผมเอาไว้ มองหน้าผมอย่างเข้าใจ ก่อนมันจะหันไปสบตากับพี่ยอร์ช คนทั้งคู่พยักหน้าให้กัน ก่อนที่พี่ยอร์ชจะเดินเข้าไปหาพี่พระจันทร์ ส่วนผมก็เดินออกจากมหาลัยมาและตรงกลับหอไปในทันที

 

“สมุทร...”

 

“ว่า”

 

“มึงไม่ทำเกินไปหน่อยหรอวะ เค้าตั้งใจทำให้มึงเลยนะ”

 

“ก็เหมือนกับที่ผ่านๆ มากูตั้งใจทำให้เค้านั่นล่ะ เค้าเองก็ไม่เคยจะเห็นค่ามันเหมือนกันนี่” ผมว่าออกไปแบบนั้นในตอนที่เราสองคนกลับมาถึงห้องพัก ผมทำหน้านิ่งๆ แล้วเสหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างห้อง ไม่มองหน้าของไอ้มาร์ชที่ตอนนี้กำลังทำสีหน้าจับผิดเหมือนคนเป็นพ่อมองลูกอีกแล้ว ... อ้อ จริงๆ มันน่าจะเปลี่ยนเป็นแม่มองลูกแล้วในตอนนี้

 

ผมได้ยินเสียงถอนหายใจหน่ายๆ ของไอ้มาร์ชดังออกมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับเสียงเลื่อนเก้าอี้กินข้าว ที่ลากมานั่งลงข้างๆ ตัวผม หันกลับไปมองหน้ามันอย่างเสียไม่ได้ ก็ไอ้ห่านี่เล่นมานั่งจ้องน้องสมุทรอยู่แบบนี้ไม่เลิกอ่ะ

 

“อะไร มึงจะพูดด่ากูอะไรอีกอ่ะแม่”

 

“แม่พ่อง เดี๋ยวกูถีบกลิ้ง”

 

“รุนแรงว่ะ”

 

“อย่ามาทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเลย ... กูพูดจริงๆ สมุทร เมื่อก่อนมึงไม่ได้เป็นคนแบบนี้นะ มึงก่อนหน้านี้คงไม่ทำแบบนี้กับพี่พระจันทร์หรอก”

 

“ก็เพราะไอ้สมุทรคนก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือไงที่ทำให้กูต้องเสียใจขนาดนั้นน่ะ ... พูดตรงๆ กูเข้าใจทุกอย่างว่าเค้าคงไม่ตั้งใจ เรื่องพี่อัยย์ หรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่กูก็กลัว กูยังกลัว กูไม่อยากกลับไปเสียใจแบบวันนั้นอีก มันยาก มึงเข้าใจไหมว่ามันยาก กว่ากูจะหอบความรู้สึกทั้งหมดที่มันพังขึ้นมาปั้นให้มันเป็นรูปเป็นร่างได้เท่าตอนนี้ มันยากจะตายห่า” ผมบอกออกไปแบบนั้น กระพริบตาถี่ๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาอาบแก้ม ผมไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากเป็นสมุทรคนที่อ่อนแอคอยวิ่งไล่ตามพี่พระจันทร์คนนั้นอีกแล้ว

 

“แก้แค้นหรอที่มึงกำลังทำ ชีวิตคนเรามันไม่มีใครรู้อนาคตนะมึง คนเรามันก็รู้แค่เมื่อวานกับวันนี้เท่านั้นล่ะ อนาคตยังจะมีเค้าอยู่ไหม ถ้าไม่มีขึ้นมาจริงๆ มึงจะไม่เสียใจกว่าอดีตที่ผ่านมาหรอ...ลองเก็บไปคิดดูดีๆ นะมึง”

 

ไอ้มาร์ชที่พูดออกมาแค่นั้น มันลุกจากเก้าอี้แล้วเดินหนีออกไปคุยโทรศัพท์กับพี่ยอร์ช เสียงอ่อนเสียงหวานนั่นทำเอาผมขมวดคิ้ว หมั่นไส้เล็กๆ และก็แอบนึกไปถึงสีหน้าของใครอีกคนที่ก่อนหน้านี้ดูจะเสียใจมากๆ จากความตั้งใจที่ทำให้ผมแต่ผมมองไม่เห็นมัน ... แผ่นหลังกว้างๆ ที่ผมเดินจากมากี่รอบต่อกี่รอบแล้ว จะเสียใจมากมายแค่ไหน ผมไม่รู้เลย

 

#รักอยู่รู้ยัง

มาแล้วจ้าาาาา...พี่พระจันทร์เป็นหมาพี่โบ้อย่างสมบูรณ์ รู้สึกสมน้ำหน้า เอ้ย สงสารเค้าจังค่ะ แง้

แต่ว่าเรื่องนี้ กำลังจะถึงบทสรุปแล้วนะคะ  อีกแค่1หรือ2ตอนเท่านั้นจะลาทุกคนไปแล้วนะ

แคทหวังว่า คนอ่านทุกคนจะยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายของเรื่องราวนี้

หวังว่าจะสนุก และยิ้มได้ไปด้วยกันนะคะ

ตอนนี้เช่นเคย หลายรสชาติมาให้ลิ้มลองจ้า อิอิ

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่31 (300722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-07-2022 23:21:52
 :sad4: :o12: :z3: :hao5:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่31 (300722)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 31-07-2022 23:40:09
สุด อย่าไปยอม
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่32.1 (140822)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 14-08-2022 00:58:24

บทที่32.1


“ก็กูบอกมึงแล้วนี่หว่า ว่าวิธีนี้ของมึงมันสะเหร่อ” เสียงเข้มดังลอยมาจากปากของคนที่กำลังนั่งกระดิกตีนอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในหอพักชั่วคราวที่ผมกับมันมาอยู่ในตอนนี้ ได้ยินแบบนั้นแล้วยิ่งทำให้ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันมากขึ้นไปอีก

 

“ก็อากูบอกว่าเคยใช้วิธีแบบนี้มันได้ผล” ตอบมันออกไปทั้งๆ ที่ไม่อยากจะพูด แต่ เฮ้อ ไอ้พระจันทร์มึงแม่งสุดจะกาก ... ปรายตาไปมองไอ้ยอร์ชที่กำลังกรอกตาไปมาอย่างคนเหนื่อยหน่ายใจ

 

“อามึงจีบกันสมัยพระเจ้าสามหำเป็นเพื่อนกับพระเจ้าสี่หำ มึงคิดว่าตอนนี้มันจะได้ผลหรอไอ้สัด สุดเก่า”

 

“สามหำสี่หำเหี้ยอะไร อุบาทว์สัด” ปรายตาไปมองไอ้ยอร์ชที่เอาแต่ยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียว เหอะ ก็เรื่องของแม่งแฮปปี้ไปแล้วนี่ จะมาเข้าใจหัวอกหมาแบบกูได้ไง คิดได้แบบนั้นก็ยกมือขึ้นมายีหัวตัวเองแบบสุดจะทน แม่งเอ๊ย

 

“เอาๆ คันหัวก็ไปสระผมสิวะ ขยี้ขนาดนั้นสติแตกแล้วหรอวะ ฮ่าๆ”

 

“ไปตายไปไอ้สัด รำคาญหน้ามึงว่ะ”

 

“เห้ย เอาน่าๆ ...มึงก็สมควรที่จะอดทนไหมวะ มึงทำกับไอ้สมุทรมันมาเท่าไหร่”

 

“ตอนนั้นกูไม่ได้ตั้งใจทำมันนี่!”

 

“เออๆ ใจร่มๆ ไอ้สัดนี่ แง่งๆ เป็นหมาแม่ลูกอ่อน แต่ของมึงมันมีเวลาแค่2อาทิตย์ แต่กับไอ้สมุทรน่ะมันทนรอมึงมา4ปี แค่นี้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่มันเจอมาไม่ใช่หรือไง”

 

“อืม...กูรู้” ก็เพราะว่ากูรู้ดีกว่าใครไง ว่าการรอคนที่เค้าไม่เคยสนใจมันทรมานแค่ไหน เพราะแบบนั้นในตอนนี้ เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลา รู้ว่าการเข้าหาสมุทรมันดีแต่ทำให้อีกฝ่ายรำคาญใจ แต่ผมเองก็มีเวลาอยู่แค่นี้ รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันอาจจะไร้สาระ แต่แค่อยากให้สมุทรมันได้เห็น ว่าอย่างน้อยผมไม่ได้ล้อเล่นหรือไม่จริงจัง เลยมาอยู่ที่นี่กับมันในตอนนี้

 

“เฮ้อ...สงสารมึงว่ะเพื่อน ถือว่าชดใช้กรรมนะ” ไอ้ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้นแล้วเดินมาตบไหล่กันปุๆ กวนส้นตีนไม่เลิก ... เห็นแบบนั้นเลยไหวไหล่หลบมัน

 

“แล้วนี่มึงจะออกไปไหนอีกวะ”

 

“เดินเล่น”

 

“เดินเล่นทำเหี้ยไร วินาทีนี้มึงต้องหาวิธีง้อไอ้สมุทรสิ”

 

“เรื่องกู” ก็เพราะว่ากูยังหาวิธีดีๆ ทำให้เรื่องของเรามันดีไม่ได้ไง กูเลยไม่อยากจะเอาแต่นั่งอยู่ที่ตรงนี้กับมึง ... ตอบมันออกไปแค่นั้นแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ทิ้งไอ้ห่ายอร์ชที่เอาแต่นั่งเกาหัวอยู่ตรงนั้นไว้ที่เบื้องหลัง เหม็นคนมีความรักว่ะแม่ง

 

ผลักประตูออกมามองซ้ายมองขวาแล้วได้แต่ถอนหายใจ จะไปไหนได้วะ ในประเทศที่กูพูดภาษาเค้าไม่ได้ แล้วคนแถวนี้ก็พูดภาษาอังกฤษกันแทบไม่ได้ ก้าวขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องของไอ้สมุทรอย่างคนไม่รู้จะไปไหนมาไหน ผมก็แค่คิดถึงมัน มองเห็นป้ายเลขห้องแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมา อยากจะเคาะหา แต่รู้ว่ายิ่งทำแบบนั้น สมุทรมันจะยิ่งไม่พอใจ ... เมื่อก่อนมันคงเสียใจมากแบบนี้เหมือนกัน ที่ต่อให้พยายามทำดีมากแค่ไหน สุดท้ายก็เดินไปไม่ถึงอีกฝ่ายอยู่ดี ... คิดได้แบบนั้นแล้วได้แต่แค่นยิ้มออกมา สมควรโดนแล้วไอ้พระจันทร์

 

‘แกร๊ก’ เสียงเปิดประตูห้องที่ดังออกมาพร้อมๆ กับที่ประตูถูกเปิด คนตรงหน้าที่ก็ชะงักไปในตอนที่เห็นผมเหมือนกัน

 

“อ่ะ...เอ่อ จะไปไหนหรอ” ปั้นยิ้มออกไปให้แล้วถามออกไปแบบนั้น เพราะชุดที่มันแต่งอยู่ไม่เหมือนว่าจะไปซื้อข้าว

 

“แล้วพี่ยุ่งอะไรด้วย”

 

“ก็แค่อยากรู้” ตอบกลับไปเสียงเบาๆ ตอนที่มันถามกลับมาแบบนั้น ชะงักรอยยิ้มแบบค้างๆ แข็งอย่างฝืดฝืน อืม....กูเกี่ยวไรด้วยล่ะ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงพยายามจะยิ้มออกไปอยู่ดี อยากยิ้มให้สมุทร เหมือนกันที่มันเคยทำมาให้ผมตลอด อยากทำในทุกๆ อย่างที่มันเคยทำให้ พอได้ลองมายืนในจุดที่อีกฝ่ายเคยยืน ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมามันคงรู้สึกแย่มากแค่ไหน

 

“ไปหาเพื่อน”

 

“ไอ้นั่นหรอ” ไอ้ห่าวันนั้นที่พูดไทยเก่งๆ ที่เสนอหน้าในวันนั้น แค่นึกถึงก็ทำให้หงุดหงิดฉิบหาย

 

“จะใครมันก็ไม่เกี่ยวกับพี่ไหม แล้วทางที่ดี พี่อย่าเรียกเพื่อนผมว่าไอ้จะดีกว่านะ คนทั่วไปที่นี่ฟังไม่ออก แต่เยว่เทียนฟังออก” มันว่าแบบนั้น แล้วเดินผ่านผมไปทั้งแบบนั้น ในช่วงจังหวะที่ร่างเล็กเดินผ่าน ฝ่ามือสวยของมันก็บังเอิญสัมผัสกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นความรู้สึกอุ่นวาบเหมือนถูกไฟช็อต แล่นขึ้นมาจนถึงหัวใจ ไวกว่าความคิดในครั้งไหนๆ ฝ่ามือของผมก็เอื้อมคว้ามือมันเอาไว้ไม่ปล่อยซะแล้ว

 

“พี่...” เสียงตะกุกตะกักที่สมุทรเองเหมือนจะทำตัวไม่ถูก หน้าตานิ่งๆ ที่มันปั้นหน้านิ่งมาตลอดเหมือนจะหลุดสีหน้าเด๋อด๋าแบบที่ผมเคยเห็นเป็นประจำ เห็นแบบนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เหมือนกับว่าผมเจอสมุทรคนเดิมของผมเลย

 

“กูไปส่งนะ”

 

“จะไปส่งยังไง มีรถ”

 

“อืม...ขอพี่ไปส่งนะ” ย้ำแบบนั้น ก็เห็นดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นนั่นสั่นไหวนิดๆ ก่อนที่มันจะวูบหายไปเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง ว่าจริงๆ แล้วมันก็รู้สึก สักนิดนึงก็ยังดี


.

.

.

 

           แผ่นหลังกว้างที่ผมคุ้นเคยดีของพี่พระจันทร์เดินนำผมไปที่รถที่จอดเอาไว้ที่ด้านหลังหอ เห็นแบบนั้นแล้วได้แต่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเช่ารถตอนมาที่นี่

 

“ไอ้ยอร์ชมันไปเช่ารถน่ะ” เค้าว่าแบบนั้นตอนที่เห็นสีหน้างงๆ ของผม พี่พระจันทร์ยิ้มออกมานิดๆ ในตอนที่เห็นผมดูสนใจกับเรื่องของเขา เห็นแบบนั้นแล้วต้องรีบกลับมาทำหน้านิ่งๆ เหมือนเดิม ก็แค่ถามดูเฉยๆ จะดีใจทำไมนัก

 

“พี่ขับได้หรอ ที่นี่มันไม่ให้ใช้ใบขับขี่สากลนะ ต้องเป็นใบขับขี่ที่ออกของที่นี่เท่านั้นนะ”

 

“อืม เมื่อปีก่อนเคยมาจีนกับป๊าแล้วทำไว้น่ะ มันใช้ได้อยู่” เค้าว่าออกมาแบบนั้น เหมือนเป็นความรู้ใหม่ บางทีก็ลืมไปว่าครอบครัวเค้ารวยมากแค่ไหน คนแบบพี่พระจันทร์ก็แทบจะใช้มือปิดมหาสมุทรได้ทั้งผืนอยู่แล้ว ... โดยเฉพาะกับมหาสมุทรพื้นน้อยๆ แบบผม เค้ากุมมันไว้ได้หมดเสมอ

 

“ขึ้นมาเถอะ พี่ขับได้จริงๆ” เค้าว่าแบบนั้นในตอนที่ผมถอนหายใจแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับ มองเห็นพี่พระจันทร์ที่ดูเก้ๆ กังๆ มากกว่าทุกทีที่เค้าขับรถ เหมือนเป็นความประหม่าที่ไม่รู้ว่าไม่คุ้นชินกับรถ หรือเป็นเพราะตัวผมที่ได้อยู่ใกล้กับเค้าในตอนนี้

 

“สมุทรจะไปที่ไหน เปิดจีพีเอสให้พี่หน่อย” เค้าบอกแบบนั้นในตอนที่ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมกดสถานที่ให้

 

“พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ”

 

“ทำแบบไหน ที่ไปส่งนี่หรอ...ก็พี่อยากไป”

 

“เปล่า หมายถึงไอ้คำพูดที่แทนตัวว่าพี่ ที่พี่พระจันทร์เอาแต่พูดอยู่เนี่ย” จ้องหน้าคนข้างตัวอย่างจริงจัง ถึงแม้ในตอนที่ฟังจะใจกระตุกอยู่ไม่น้อยก็เถอะ แต่ถ้าเค้าฝืนใจความเป็นตัวเอง ผมคิดว่าอย่าทำเลยจะดีกว่า

 

“พี่ไม่ได้ฝืนอะไร ถ้าจะบอกว่ากูไม่ได้ฝืนอะไร ก็พูดได้เหมือนเดิม แต่ไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว” หันมามองหน้าผมวูบหนึ่ง ก่อนที่พี่พระจันทร์จะเริ่มออกรถด้วยท่าทางสบายๆ มากขึ้น

 

“ทำไม” ปากมันอดไม่ได้ที่จะถามออกไปตามที่ใจคิด ในตอนที่คิดว่าจะห้ามตัวเองเอาไว้ก็ไม่ทันแล้ว เผลอถามออกไปแล้ว แอบเหลือบสายตาไปมองอีกฝ่ายที่พอได้ยินผมถามก็ยิ้มออกมานิดๆ

 

“ก็แค่อยากใช้ทุกช่วงเวลาที่มี ให้มันมีแต่เรื่องดีๆ คำพูดที่ไม่ดี ก็ไม่อยากพูดอีกแล้ว” ผมเงียบไปในตอนที่ได้ฟังคำตอบของเค้า ไม่กล้าตอบอะไรออกไปสักนิด มันอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงคำพูดของไอ้มาร์ชเมื่อก่อนหน้านี้ที่ได้คุยกับมัน

 

‘ชีวิตคนเรามันไม่มีใครรู้อนาคตนะมึง คนเรามันก็รู้แค่เมื่อวานกับวันนี้เท่านั้นล่ะ อนาคตยังจะมีเค้าอยู่ไหม ถ้าไม่มีขึ้นมาจริงๆ มึงจะไม่เสียใจกว่าอดีตที่ผ่านมาหรอ’

 

            คำพูดของมันที่ทำให้ผมเม้มปากเข้าหากัน รู้สึกสับสนไปหมด ใจนึงบอกว่าไม่อยากยอม ไม่มั่นใจอะไรสักอย่างกับคนที่อยู่ข้างๆ กันตรงนี้ แต่อีกใจมันกลับคิดถึงมากๆ ก็แค่เอื้อมมือไป คว้าเอาไว้แล้วกอดเค้าแน่นๆ รออะไรอยู่วะสมุทร

 

“พี่อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน มีเวลาก็แค่2อาทิตย์ ไม่รู้ว่าจะทำให้สมุทรเห็นได้ไหม ไม่รู้ด้วยว่าจะทำให้สมุทรยอมฟังได้หรือเปล่า”

 

“................”

 

“เพราะแบบนั้น อย่างน้อยก็อยากจะทำทุกอย่างเท่าที่คนโง่ๆ แบบพี่จะทำได้ แล้วก็...วันนี้ขอโทษนะที่ทำแบบนั้น คงจะอายมากๆ เลยล่ะสิ ฮ่า” เสียงหัวเราะฝืดเฝือนที่ดูแล้วไม่ได้น่าขำสักนิด แต่พี่พระจันทร์ก็ยังคงพยายามทำให้บรรยากาศระหว่างเราไม่อึดอัดมากไปกว่านี้

 

ผมเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง รู้สึกลมหายใจติดขัด เป็นความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะบรรยายมันออกมายังไง เป็นความรู้สึกเสียดๆ อยู่ในหัวใจ ตอนที่มองเห็นสีหน้าแบบนี้ของเขา มันทำให้ผมรู้สึกว่าจะเป็นผมเองที่เริ่มจะทนไม่ไหว

 

“ผม..”

 

“เลี้ยวข้างหน้านี้ใช่ไหม ตึกนี้น่ะหรอ”

 

“ค...ครับ” ได้แต่ตอบกลับไปแบบนั้น คำพูดที่อยากจะพูดถูกกลืนลงคออีกครั้ง พร้อมๆ กับการตัดใจที่ว่า ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องพูดความรู้สึกออกไปในตอนนี้หรอก ผมถอนหายใจแล้วมองออกไปนอกตัวรถ มองเห็นเยว่เทียน หรือเขียนฟ้ากำลังยืนกอดอกมองมาจากที่หัวมุมของตัวตึก ผมที่รีบหันไปมองพี่พระจันทร์ กลัวว่าเค้าจะมีท่าทีอยากพุ่งไปต่อยอีกคน แต่ผิดคาด คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้ยังคงนิ่ง มีแค่หัวคิ้วสวยที่เอาแต่ขมวดเข้าหากันอยู่ตอนนี้

 

“จะไม่ลงไปต่อยเค้าใช่ไหม”

 

“ไม่หรอก ก็สมุทรบอกว่ามันเป็นเพื่อน”

 

“ผมพูดหรอ” ถามออกไปแบบนั้น คนตรงหน้าก็หันมามองกันพร้อมๆ กับหัวคิ้วที่ยิ่งขมวดเข้าหากันมากขึ้น อยากจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งเงียบแบบนี้ เค้าจะรู้สึกหึงหวงผมบ้างไหม จะมีสักแว๊บบางหรือเปล่าที่ไม่อยากให้ผมไปใกล้เขียนฟ้า เหมือนตอนที่ผมไม่อยากให้เค้าอยู่กับพี่อัยย์ มันจะมีแบบนั้นบ้างหรือเปล่า

 

“เค้าเป็นคนนิสัยดี” ด้วยความอยากจะรู้ เลยเลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์สบตากับผมนิ่ง ภายใต้ใบหน้านิ่งสงบ ดวงตาคมกับจ้องผมเหมือนมีคลื่นใต้น้ำบางอย่างอยู่

 

“แล้วเค้าก็ดูเหมือนอยากจะจีบผม”

 

“หรอ...” ตอบรับออกมาด้วยเสียงนิ่งๆ พร้อมสบตาผม

 

“แล้วสมุทรให้โอกาสมันหรือเปล่า”

 

“พี่อยากรู้หรอ”

 

“อืม...แน่นอน”

 

“ทำไม การที่ผมจะให้โอกาสใครหรือเปล่า มันสำคัญกับพี่ด้วยหรือไง”

 

“สำคัญ มันสำคัญมาก”

 

“ยังไง” ถามซ้ำกับเค้าอีกครั้งอย่างต้องการคำตอบ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอยากได้คำตอบแบบไหนออกมาจากปากของเค้า แต่ถึงแบบนั้น อีกฝ่ายก็ตอบสวนกันกลับมาทันทีแบบที่ไม่ต้องให้ผมรอคอย

 

“พี่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเล่นนะ ถึงมันจะน่ารำคาญที่มีคนนู้นคนนี้เข้าหาสมุทรแบบนี้ ในช่วงเวลาที่เราต้องห่างกันมาอย่างไม่เข้าใจ พี่ไม่สนใจไอ้หน้าดอกกระทือตัวไหนที่เข้าหาสมุทรหรอก สิ่งที่พี่สนใจมีแค่สมุทร สนใจแค่ว่าความรู้สึกที่เรามีให้พี่ ว่ามันเปลี่ยนไปไหม ได้ยกมันให้คนอื่นไปหรือยัง ไอ้ความรู้สึกแบบนั้นที่เราเคยให้กับพี่น่ะ”

 

“............”

 

“เพราะสมุทรไม่พร้อมจะคุย พี่เลยไม่อยากบังคับที่จะต้องให้ฟัง แต่ถ้าสมุทรพร้อมจะฟัง พี่ก็พร้อมจะพูดทุกเรื่องให้ฟังเหมือนกัน”

 

“ทำไมล่ะ...”

 

“อะไร”

 

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน พี่คงบังคับให้ผมฟังไปแล้ว” ช้อนตามองคนตรงหน้าผ่านกรอบแว่นตาอันใหญ่อันเดิมของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่พระจันทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจของผมกระตุกขาดห้วงไปจังหวะนึง คนตรงหน้าที่มองตากันนิ่งๆ พร้อมกับยื่นฝ่ามืออุ่นมาแตะที่ข้างแก้มของผมเบาๆ ... สัมผัสคุ้นเคยที่ห่างหายทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมาอย่างบอกไม่ถูก

 

“ก็เพราะว่าตอนนี้กับตอนนั้นมันไม่เหมือนกันอีกแล้วไง” น้ำเสียงของพี่พระจันทร์แผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง ไม่ต่างจากสีหน้าที่กำลังมองกันอยู่ในตอนนี้

 

“พี่จริงจังกับสมุทร ถ้าตอนนี้คนที่พี่รัก เขากำลังคิดอยากไปจริงจังหรือเปิดโอกาสให้คนอื่นอยู่ พี่ก็อยากจะรู้เอาไว้ พี่จะได้รู้ตัวว่าจะต้องจัดการตัวเองยังไงต่อจากนี้”

 

คนที่พี่รัก ... เค้าหมายถึงอะไร หมายถึงผมงั้นหรอ อยากจะถามคำถามนี้ออกไป แต่ติดตรงที่เสียงเคาะกระจกที่ด้านข้างฝั่งที่ผมนั่งดังขึ้นซะก่อน พี่พระจันทร์แค่นยิ้มบิดเบี้ยวออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะหันหน้าหนีออกไปนอกรถอีกฝั่ง ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงและทำงานหนักมากกว่าทุกที ก่อนจะหันไปมองคนที่ใช้มือค้ำที่หลังคารถ แล้วก้มหน้าลงมามองกันที่กระจกรถอยู่ในตอนนี้ ‘เขียนฟ้า’

 

“ไปเที่ยวกับเพื่อนเหอะ...เดี๋ยวพี่รออยู่นี่”

 

“หมายถึงจะรอรับกลับหรอ พี่กลับไปไม่ดีกว่าหรือไง วันนี้อากาศหนาวด้วย”

 

“ไม่เป็นไร รอได้”

 

“นานนะครับ”

 

“ไม่เป็นไร ... มันคงไม่นานเท่าสมุทรรอพี่มา4ปีหรอก” เค้าพูดออกมาแค่นั้น และปล่อยให้ผมเดินลงจากรถมาอย่างง่ายๆ แต่สิ่งที่ไม่ง่ายจริงๆ กลับเป็นความรู้สึกในใจของผมที่ตอนนี้เอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองในตลอดระยะการก้าวเดินไปกับคนข้างๆ ตัว หันหลังกลับไปมองที่รถคันนั้น เค้ายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองตัวผมที่เดินจากมาอย่างไม่วางตา พี่พระจันทร์ในตอนนี้ไม่ได้กดดันจะเอาคำตอบจากผม ไม่มีการถามจี้ แต่เหมือนเป็นวิธีการแบบใหม่ ที่เล่นกับหัวใจน้องสมุทรได้ดีกว่าเดิม

 

.

.

.

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มเข้มที่ตามมาด้วยสัมผัสที่แตะลงที่เอวทำให้ผมต้องสะดุ้ง ก่อนจะเบี่ยงตัวขยับออกจากคนที่เดินมาข้างกันนิดๆ

 

“เปล่า” เลือกที่จะตอบกลับไปเขียนฟ้าไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ในหัวก็ยังมีเรื่องของพี่พระจันทร์ให้คิดไม่เลิก

 

บรรยากาศในงานปาร์ตี้วันนี้แตกต่างจากครั้งก่อนเล็กน้อย เพราะเหมือนคนจะมาเยอะกว่าเดิม แล้วงานก็ถูกย้ายขึ้นไปจัดที่ห้องชั้นบนที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องของเล่อ ผมเจอเจ้าจางหมิ่งเพื่อนรักของผมตามติดคนที่มันชอบอยู่เป็นเงา เห็นแบบนั้นเลยเลือกที่จะไม่เข้าไปกวน แค่ยืนดื่มคอกเทลชิลๆ ไปเรื่อย ก่อนที่สุดท้ายจะแอบมายืนที่ระเบียงด้านนอก โดยมีเขียนฟ้าอยู่เป็นเพื่อน แต่ถึงแบบนั้นผมก็ปล่อยใจจนลืมไปแล้วว่ามีคนอยู่ข้างๆ

 

“คนนั้นที่มาด้วย คือใครหรอ”

 

“ถามทำไม” ผมหันไปเลิกคิ้วถามเค้า เจ้าตัวก็แค่ยักไหล่นิดๆ แล้วยกยิ้มมุมปากหน่อยๆ อย่างคนไม่คิดอะไร

 

“ก็แค่ดูน่ากลัว วันนั้นที่เค้ามาพาสมุทรออกไป เหมือนอยากจะเข้ามาต่อยผม”

 

“อืม...ถึงงั้นเค้าก็ไม่ต่อยหรอก” ตามใดที่น้องสมุทรยังบอกว่าเขียนฟ้าเป็นเพื่อนอ่ะนะ ... ต่อประโยคนี้เอาไว้ในใจ คิดว่าไม่พูดออกไปคงจะดี

 

“เค้าดูหวงนะ”

 

“หวงหรอ”

 

“อืม หวงนาย” คนข้างตัวว่าแบบนั้น สายตาที่จับจ้องมองกัน ทำให้ผมนึกถึงพี่อาทิตย์...

 

พี่อาทิตย์งั้นหรอ ... ผมลืมไปเลย ลืมไปเลยว่าอีกสาเหตุที่ผมไม่อยากเชื่ออะไรพี่พระจันทร์อีกในตอนนี้ก็เพราะพี่อาทิตย์เหมือนกัน คนที่ทำผมสีชมพูเมื่อตอนม.ปลายคนนั้น ผมลืมไปซะสนิทเลย ...และตอนนี้ พี่พระจันทร์ทำไมถึงทำผมสีนั้นกันนะ

 

“ทำไมทำหน้างั้นอีกแล้วล่ะ”

 

“หน้ายังไง” ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป

 

“ก็ขมวดคิ้วแบบนี้” ว่าแบบนั้นพร้อมๆ กับเลื่อนหน้าเข้ามาหา สีหน้าท่าทางและแววตาที่ดูแวววาวมากกว่าทุกทีทำผมเผลอกลั้นหายใจ เขียนฟ้ายกยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วยื่นนิ้วมาคลึงที่กลางหว่างคิ้วของผม เราสบตากันในตอนนี้ ก่อนที่ใบหน้าจะเลื่อนเข้ามาใกล้กันมากกว่าทุกที ก็เป็นผมที่เสหน้าหนี แล้วถอยตัวผละออกมายืนให้ห่างเค้ามากกว่าเดิม ได้ยินเสียงขำเบาๆ ในลำคอของอีกฝ่ายนิดๆ

 

‘คลิก’

 

เสียงจุดไฟแช็คท่ามกลางอากาศเย็นๆ ของประเทศจีนทำให้ผมต้องหันไปมอง เขียนฟ้าหันหลังแล้วใช้สะโพกพิงกับราวจับของระเบียง นิ้วเรียวยาวของเจ้าตัวที่คีบบุหรี่ที่ถูกจุดแล้วเข้าปากในตอนนี้ ก่อนที่สายตาคมสวยนั่นจะหันมามองกันนิดๆ

 

“ไม่ชอบหรือเปล่า กลิ่นบุหรี่”

 

“ก็ไม่ได้ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ชอบ” อีกอย่างรู้ดีว่าผู้ชายที่จีนส่วนใหญ่สูบบุหรี่กันแทบจะทั้งนั้น เหมือนเป็นวัฒนธรรม เหมือนเป็นความเคยชินของเค้าไปซะแล้วล่ะมั้ง

 

“หึ” ยกยิ้มนิดๆ ในตอนนี้ที่ก็พ่นควันสีอ่อนจางๆ ออกมาจากริมฝีปากสวย ใบหน้าได้รูปที่เงยขึ้นไปมองที่ท้องฟ้า ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้งนึง

 

“มองอะไร แล้วขำแบบนั้นทำไม”

 

“ก็แค่สงสัยอะไรนิดหน่อย”

 

“เรื่อง” เลิกคิ้วมองหน้าเขาในตอนนี้ เขียนฟ้าที่พลิกตัวหันมาหาผมทั้งตัว แล้วขยับตัวเดินเข้ามาใกล้โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ นานหลายนาทีที่เขียนฟ้าปล่อยให้ควันบุหรี่ลอยวนขึ้นในอากาศเป็นสีควันจางๆ

 

“ลองจูบกันดูไหม ... เผื่อคำตอบที่คิดไม่ได้มันจะชัดเจนขึ้น”

 

“นายหมายถึงฉัน หรือตัวนายเอง”

 

“ก็อาจจะทั้งคู่”

 

คำพูดของเค้าทำให้ผมคิดหนัก ความรู้สึกมึนๆ แต่ไม่ได้เมาเพราะดื่มไปไม่เยอะ แต่ในตอนที่ยังไม่ได้นึกคำตอบที่จะพูดออกไป คนตรงหน้าก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ด้วยวงแขนของเค้าที่รัดแน่นจนขยับไม่ได้ ความรู้สึกต่อต้านวิ่งพล่านไปทั้งตัว ความรู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก มันแตกต่าง มันไม่เหมือนกับเวลาที่ผมถูกพี่พระจันทร์กอดเอาไว้ และในจังหวะที่สบตากับเขียนฟ้าในระยะใกล้ ใบหน้าของใครอีกคนซ้อนทับจนผมอยากร้องไห้

 

ใบหน้าของคนตรงหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากของเขียนฟ้าที่แตะลงที่ข้างแก้มของผมก่อนเป็นอันดับแรกแทนที่จะกดจูบลงที่ริมฝีปาก ผมยกมือขึ้นดันอกของอีกฝ่ายเอาไว้แทบจะทันที พร้อมๆ กับที่เบี่ยงหน้าหนี ร่างกายของผมที่ปฏิเสธออกมาแทบจะทันทีโดยที่ผมไม่รู้ตัว และในตอนนั้นที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนตรงหน้า เป็นจังหวะเวลาที่ผมลืมตาขึ้นมา สายตาที่มองลงไปด้านล่าง ผู้ชายคนนึงที่อยู่ในชุดเสื้อแจ็คเก็ตคลุมสีดำกำลังเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับผม สีหน้าแตกสลาย ไม่ชัดเจนในใจของผมเท่าน้ำตาของเค้า

 

พี่พระจันทร์ที่กำลังแหงนหน้ามองกันจากที่ตรงนั้น ข้างๆ รถของเค้าที่ขับมาส่งผมในวันนี้...

มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ที่กลายเป็นพระจันทร์ กำลังแหงนหน้ามองสมุทรอยู่แบบนี้

 

#รักอยู่รู้ยัง

 

อุ๊ยตายยย ซึมเปงหมาเลย สงสารเค้านะคะพ่อพระเอก

เกร็ดความรู้ :ที่ประเทศจีน หากชาวต่างชาติต้องการจะขับรถยนต์ จะต้องทำใบขับขี่ที่ออกโดยประเทศจีนเองเท่านั้น ไม่สามารถใช้ใบขับขี่สากลได้ค่ะและใบอนุญาตขับขี่ในจีนมีอายุ6 ปีนับจากวันที่ได้รับ ซึ่งไม่ว่าจะทำที่เมืองใดก็ตาม ก็สามารถขับขี่ได้ทุกพื้นที่ในจีน ทั้งนี้ หากต้องการต่ออายุใบอนุญาตต้องยื่นเรื่องล่วงหน้าก่อนถึงวันหมดอายุ90วัน และต้องยื่นเรื่อง ณ เมืองที่ยื่นขอในครั้งแรก เช่น ยื่นเรื่องทำใบขับขี่ที่เซี่ยงไฮ้ ก็ต้องต่ออายุที่เซี่ยงไฮ้ ไม่สามารถต่ออายุที่ปักกิ่งได้

 :hao7: :katai4:

หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่32.1 (140822)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-08-2022 09:30:44
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่32.1 (140822)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-08-2022 22:57:46
 :ruready
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่32.2 (190822)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 19-08-2022 21:12:00
32.2



“ทำอะไรของนาย” ยกฝ่ามือขึ้นดันอกของเขียนฟ้าเอาไว้ พร้อมหันหน้าไปถลึงตามองอย่างไม่คิดจะรักษามารยาท ฝ่ามือหนาที่ยังวางอยู่ที่สะโพกของผม ดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้ได้ด้วยกำลังของเจ้าตัว แววตาแพรวพราวที่สบตากัน มาพร้อมๆ กับรอยยิ้มที่ถูกจุดขึ้นที่มุมปาก ... เขาเป็นคนดูดีและมีสเน่ห์มากๆ คนนึง



“จริงๆ อยากจะจูบด้วยซ้ำ แต่คิดว่านายน่าจะทนรับมันไม่ไหว” คนตรงหน้าว่าออกมาแบบนั้นอย่างติดตลก ใบหน้าได้รูปสวยนั่นยื่นเข้ามาหากันใกล้ๆ แล้วกระซิบลงข้างหู ลมหายใจร้อนๆ เป่ารินรดอยู่ข้างๆ ลำคอของผม ท่าทางล่อแหลมที่ทำให้คนมองคิดไปได้ถึงไหนต่อไหนนั้นที่ทำให้ต้องเอนตัวหนี ความรู้สึกไม่ชอบใจเพิ่มขึ้นจนต้องขมวดคิ้วใส่ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และผลักเขาออกเบาๆ



“อืม ฉันทำไม่ได้”



เขียนฟ้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากเปลี่ยนสีหน้าจากรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา เปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งๆ ที่ไม่ยิ้มอีกแล้ว ในขณะเดียวกันผมก็พยายามตั้งสติของตัวเอง แล้วถอยหลังไปอีกก้าว



“เรา...กลับก่อนดีกว่า” บอกออกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากจะทนอยู่กับบรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้อีกแล้ว ในตอนที่กำลังจะหันหลังหนี คนข้างๆ ตัวผมก็พูดออกมาเบาๆ ว่า



“ฉันเองก็จูบนายไม่ได้เหมือนกัน” คำพูดแผ่วเบาที่ไม่ได้ดัง แต่ก็ทำให้การเดินของผมชะงักไป ค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเขาอีกครั้ง ก็เห็นเขียนฟ้ายกบุหรี่ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ดับไปยกขึ้นมาสูบ สายลมเย็นๆ ของเมืองฝูโจวทำให้ผมรู้สึกสั่นสะท้าน แต่กับเขียนฟ้าที่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วกำลังเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าในตอนนี้เหมือนจะไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด



“ความรักมันยาก...ใช่ไหมล่ะ” เขาถามผมออกมาแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้มองหน้า ในช่วงเวลานี้ที่เหมือนคำถามของอีกฝ่ายจะกระแทกใจกัน ผมทำได้แค่หลุบสายตาลง แล้วเผลอนึกไปถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับพี่พระจันทร์



“อืม...ใช่”



“มันคงดี ถ้าเราเลือกตัดสินใจอะไรง่ายๆ ได้โดยไม่ต้องลังเล”



“นายเอง...ก็ตัดสินใจบางอย่างไม่ได้หรอ” อะไรบางอย่างบนใบหน้าของเขียนฟ้ามันสะกิดใจของผม จนต้องถามเค้าออกไปแบบนั้น ใบหน้าเรียบนิ่ง ที่ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรบางเก็บซ่อนเอาไว้



“ก็มี...”



“แล้วจูบเมื่อกี้”



“แบบนั้นเรียกว่ายังไม่ทันได้จูบ” เขาเถียงผมออกมาแล้วปรายตามามองกันนิดๆ สายตาวาววับที่ดูเหมือนจะอยากแกล้งกันอีกแล้ว ... เออๆ รู้แล้ว ย้ำจังว่ายังไม่ได้จูบ



“เออๆ นั่นล่ะ แล้วเมื่อกี้ที่ทำลงไปน่ะ นายตัดสินใจอะไรได้หรือเปล่าล่ะ”



“...แล้วนายล่ะ” เขาไม่ตอบ แต่ย้อนกลับมาถามกัน พร้อมกับที่หันหน้ามามองกันอีกครั้งแล้วในตอนนี้



“ก็...” ผมตอบรับกลับไปแค่นั้น ก่อนที่เราสองคนจะสบตากันเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างจะได้คำตอบในแบบของตัวเองแล้ว เราปล่อยให้บรรยากาศของงานปาร์ตี้เป็นแบล็คกราวน์ที่ด้านหลัง ปล่อยเสียงดังๆ ของเพลงพวกนั้นเอาไว้ที่ตรงนี้ และใจลอยออกไปถึงเรื่องราวในหัวใจของตัวเอง



“นายน่ะ” หลังจากปล่อยให้เวลาว่างเปล่าไปอย่างเงียบๆ เขียนฟ้าก็เรียกออกมาแบบนั้น ผมเลิกคิ้วพร้อมหันไปมองเขาอีกครั้ง สายตาคมสวยของคนตรงหน้าจ้องตาผมอยู่แล้วในตอนนี้



“หื้ม”



“ดูก็รู้ว่าแคร์มากไม่ใช่หรือไง”



“แคร์...นายหมายถึง”



“คนที่มาส่งนั่นน่ะ” ว่าแบบนั้นแล้วปรายสายตามองลงไปที่ด้านล่างที่ลานจอดหน้าตึกนี้ ผมหันสายตาไปมองตามก็รู้ว่าเค้าหมายถึงใคร คนที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่ตรงนั้น และเอาแต่มองมาที่ผมอย่างเสียใจ



“ก็...” อยากจะเถียงออกไปว่าไม่ได้แคร์ขนาดนั้นหรอก อยากจะพูดออกไปแบบนั้นจริงๆ แต่ในความรู้สึกของน้องสมุทรในตอนนี้มันกลับตรงกันข้าม ผมรู้สึกสับสน แต่ถึงแบบนั้นก็สั่นไหว ได้แต่คิดว่าเค้าจะเสียใจมากไหมที่เห็นผมใกล้ชิดกับเขียนฟ้ามากขนาดนี้ เค้าจะรู้สึกอะไรบ้างไหม จะไม่พอใจและหึงหวงเหมือนตอนที่ผมรู้สึกเวลาเค้าอยู่กับพี่อัยย์บ้างหรือเปล่า แล้วถ้าเค้าเสียใจ เค้าจะเจ็บปวดกับมันไหม ... เพราะต่อให้ผมอยากให้เค้ารู้สึกมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้อยากให้เค้าเจ็บปวดเลยสักนิด



“ถ้าแคร์ขนาดนั้นจะเสียเวลาไปทำไม”



“ห..ห๊ะ ก็ไม่ได้บอกว่าแคร์สักหน่อย”



“สีหน้านายมันบอกชัดเลย ปิดไม่มิดหรอก” พูดพร้อมเอื้อมมือมาลูบแก้มผมเบาๆ ได้แต่เสหน้าหนีแล้วขมวดคิ้ว ... ไม่เข้าใจว่าจะถึงเนื้อถึงตัวอะไรมากขนาดนี้



“ก็...ก็แค่มันมีบางอย่างที่ยังขัดแย้งอยู่ในใจล่ะมั้ง”



“เค้าอยากพูดอธิบายอะไรกับนายบ้างหรือเปล่า”



“อืม...เค้าบอกว่าตามมาที่นี่เพื่ออยากจะอธิบาย”



“ถ้าเค้าอยากอธิบายทำไมไม่ลองเลือกจะฟังดูสักหน่อยล่ะ อย่างน้อยเค้าก็ยังอยากพูด ดีกว่าวันที่นายอยากฟัง แต่ไม่มีใครอยากพูดอะไรตอบกลับมา แบบนั้นมันยากกว่านะ จะไปต่อก็ไม่ได้ อยากจะเดินกลับไปก็ไปไม่ถึง ... ไอ้ประเภทที่เดินมาตั้งไกลแต่ไม่รู้ว่ามีเส้นชัยไหม มันน่าเศร้ากว่านะ”



“แล้วแบบฉันมันมีหรอ”



“ก็ลองเดินต่อไปอีกหน่อยสิ ... บางทีเค้าอาจจะยืนรอนายที่เส้นชัยนานแล้วก็ได้”



ผมเหลือบขึ้นไปมองหน้าคนที่พูดคำซึ้งๆ แบบนั้นออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขียนฟ้ายกยิ้มมุมปากแล้วหันกลับไปสูบบุหรี่ของตัวเองต่อโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกมากกว่านั้น และเป็นผมเองที่ก้มหน้าลงไปมองที่ลานจอดรถที่ชั้นล่างอีกที พี่พระจันทร์ไม่ได้ยืนมองกันอยู่ที่ตรงนั้นอีกแล้ว


.

.

.



‘คลิก’



            ผมเปิดประตูรถก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างๆ คนขับอย่างรวดเร็ว บรรยากาศในรถตอนนี้เรียกได้ว่าเงียบกริบ มีแค่เพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเบาๆ มาให้ได้ยิน ณ เวลานี้ ที่แห่งนี้ มีแค่ผมกับพี่พระจันทร์เท่านั้น ... คนข้างตัวที่ขยับตัวแล้วปิดไอแพ็ตที่เมื่อสักครู่เปิดใช้งานอยู่ มองเห็นแว๊บๆ ว่าเป็นโปรเจคงานที่มหาลัยที่เจ้าตัวต้องส่ง



“พี่พระจันทร์” เป็นผมเองที่เรียกอีกฝ่ายออกไปเบาๆ ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าไปทำความผิดมา ทั้งๆ ที่ตอนนี้ผมจะทำอะไรกับใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาสักนิด แต่ถึงแบบนั้นก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี



ให้ตายเหอะไอ้น้องสมุทร!



“งานเป็นไงบ้าง สนุกไหม...” เขากระซิบตอบผมกลับมา เปลือกตาสวยของพี่พระจันทร์ที่กระพริบเชื่องช้า ก่อนที่ดวงตาคู่สวยที่มีขนตางอนยาวในแบบที่ผมชอบนั่นเลื่อนมาสบตาผม สีหน้าท่าทางของคนตรงหน้าไม่เหลือเคล้าเดิมของพี่พระจันทร์คนปากแจ๋วที่เอาแต่ไม่แคร์ผมอีกแล้วในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ผมกำลังได้รับจากเค้าคนนี้ มีแค่สีหน้าท่าทางที่บอกได้ว่าเค้ากำลังกังวลใจ แววตาที่เอาแต่มองมาทางผมอย่างหม่นเศร้า ก่อนที่สุดท้ายอีกฝ่ายจะหันหน้ากลับไปจับจ้องที่หน้ารถ แล้วเริ่มเข้าเกียร์และออกรถ



“กลับกันเถอะ” มีแค่สามคำสั้นๆ ที่ได้รับ พร้อมกับบรรยากาศชวนอึดอัดที่โรยตัวลงมาระหว่างเราตลอดการเดินทางจนมาถึงหอพักของเราสองคน ช่องสีเหลี่ยมแคบๆ ในตัวลิฟย์ที่ดึงเราจากชั้น1เคลื่อนตัวขึ้นไปช้าๆ จนถึงชั้น5ที่เป็นชั้นที่พัก ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีแม้แต่การมองหน้า



‘ติ๊ง’



ประตูลิฟย์ถูกเปิดออกในชั้นที่กดไว้ในที่สุด เราสองคนก้าวเท้าออกเดินพร้อมกัน เดินอยู่ข้างกันโดยปราศจากคำพูดใดๆ สักคำ ... และนั่นมันทำให้ผมอึดอัด ร้อนรนไปหมด



“นี่ ผมถามจริงๆ พี่คิดกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่” สุดท้ายก็เป็นผมเองที่หยุดเดินในตอนที่มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของเขา หันทั้งตัวไปหาคนที่ชะงักไปตอนที่ได้ยินเสียงผมที่ถามออกไปอย่างเอาเรื่อง



“คิดอะไร หรือไม่คิดอะไรเลยกันแน่”



“คิด...ทำไมจะไม่คิดล่ะ”



“งั้นก็ตอบมาสิ ไอ้ท่าทางแบบนี้ของพี่น่ะ คือพี่คิดอะไรอยู่กันแน่” ว่าออกไปแบบนั้น แล้วก็เป็นพี่พระจันทร์ที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้ดวงตาคู่นี้เลื่อนขึ้นมาสบตากับผม



“พี่กำลังคิดว่าตอนนี้ สมุทรกำลังคิดอะไรอยู่”



“ผม...หมายถึงความคิดผมน่ะหรอ” ชะงักไปในตอนที่ได้ยินเค้าพูดออกมาแบบนั้น ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ตั้งใจว่าจะจี้อีกฝ่ายให้ได้ แต่กลับเหมือนโดนหมัดฮุกสวนกลับมาจนมึนซะแบบนั้น



“ใช่ พี่อยากรู้ว่าก่อนหน้านี้เราได้ตัดสินใจอะไรไปแล้วหรือยัง หรือว่าได้เลือกที่จะตัดพี่ไปแล้วหรือเปล่า” เค้าถามออกมาแบบนั้น พร้อมๆ กับประโยคสุดท้ายที่เบาเสียงลงจนน่าใจหาย ... หัวใจของผมถูกบีบรัดในตอนที่ได้ยินน้ำเสียงเศร้าๆ แบบนั้นของเค้า



“ทำไมพี่ถึงถามแบบนี้ล่ะ”



“เพราะพี่หยุดคิดคำถามพวกนี้ไม่ได้เลยไง แค่เห็นเราเดินไปกับไอ้นั่น คำถามพวกนี้มันก็วนเวียนมาในหัวตลอด” เค้าตอบผมกลับมาแทบจะทันที คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันในตอนนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาหนักๆ พร้อมยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองอย่างลวกๆ



“พี่เข้าใจแล้ว...”



“เข้าใจ เข้าใจอะไร”



“พี่เข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาพี่แม่งโคตรเฮงซวย แล้วก็ทำสมุทรเสียใจมากแค่ไหน” เค้าว่าออกมาแบบนั้นแล้วเสหน้าหลบตาของผมมองลงไปที่ปลายเท้า จากมุมมองของผมมองเห็นสีหน้าท่าทางของเค้าได้อย่างชัดเจน



“ตอนนี้พี่เข้าใจแล้วว่ามันรู้สึกยังไง เข้าใจแล้วว่าในตอนนั้นที่เราเห็นพี่เดินไปหาอัยย์เราเจ็บแค่ไหน...” เขาที่ว่าออกมาแบบนั้น คำพูดที่กำลังบอกกันว่าตัวเองเข้าใจมันแล้วไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจอย่างที่เคยคิดเอาไว้



“ตอนนี้...พี่เข้าใจแล้วว่าโคตรเจ็บ” เขาพูดออกมาแค่นั้น น้ำเสียงชืดชาที่เหมือนกำลังเข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างดีทำให้หัวใจของผมวูบโหวง พี่พระจันทร์เงยหน้าขึ้นมามองกันอีกครั้ง แล้วส่งยิ้มบางๆ ที่ส่งไปไม่ถึงตามาให้ผม



“คืนนี้...พี่ขอตัวก่อนนะ ขอพักแค่วันนึงนะ ... ฝันดีนะครับ” บอกออกมาแค่นั้นก่อนจะหันหลังให้ผม แตะบัตรลงที่หน้าประตู แล้วหายเข้าไปในห้องของเค้าอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ ที่หน้าประตูห้องของเขา ความเจ็บปวดของหัวใจที่เคยได้รับมา มันกลับเปลี่ยนเป็นสั่นไหว รับรู้ถึงความวูบไหวในอกตอนที่เห็นเค้าเจ็บปวดแต่ก็ยังพยายามเข้มแข็ง สี่ปีที่ผ่านมาผมไม่ได้ทำทุกอย่างมาเพื่อให้เค้าเจ็บ รู้สึกอึดอัดในใจจนต้องยกมือขึ้นมาทุบลงที่อกของตัวเองแรงๆ รู้สึกแสบร้อนที่หัวตา ในขณะที่ใบหน้าอ่อนแอของพี่พระจันทร์ยังไม่จางไป นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ



ผมที่เดินมึนๆ เข้ามาในห้องพัก ก่อนจะได้กลิ่นหม้อไฟแบบจีนตีเข้าหน้าทันที มองเห็นไอ้มาร์ชกำลังง่วนอยู่ที่หน้าหม้อชาบูไฟฟ้า ส่วนพี่ยอร์ชที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการแกะไก่แบรนด์นึงของจีน ที่หน้าตาคล้ายๆ กับไก่ของKFC ร้านมันอยู่ห่างจากหอพักไปสองช่วงตึก ได้กลิ่นหอมๆ ของไก่ และกลิ่นฉุนของพริกหม่าล่า แต่ของพวกนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหิวหรืออยากอาหาร ตอนนี้ผมอยากจะนั่งเฉยๆ นั่งนิ่งๆ อย่างคนคิดไม่ตก แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่คิดอยากไปนอน เพราะผมกลัวว่าใบหน้าเศร้าๆ ของพี่พระจันทร์เมื่อก่อนหน้านี้จะแว๊บเข้ามาให้ปวดใจอีก



“อ้าวมึง กลับมาแล้วหรอ” ไอ้มาร์ชที่เงยหน้าขึ้นมาจากหม้อนั่นเห็นผมพอดีมันเลยร้องทัก ส่วนพี่ยอร์ชที่ก็หันมายิ้มให้กันนิดๆ ก่อนจะกลับไปก้มหน้าก้มตาจัดจานไก่ตรงหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจอะไร



“มาๆ ไอ้หมุดมึงมา มาแดกหั่วกัว กูทำเสร็จพอดี” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นแล้วกวักมือให้ ผมเดินตรงไปทรุดนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมันที่กำลังง่วนกับการเบาเตาแก๊สไฟฟ้า



“ทำไมมึงต้องเรียกหั่วๆ อะไรนี่ด้วยวะ ทำไมมึงไม่เรียกหม่าล่า ที่ไทยร้านไหนแม่งก็แปะป้ายว่าหม่าล่าๆ” พี่ยอร์ชเงยหน้าขึ้นมาขัดอย่างคนขี้สงสัย ไอ้มาร์ชมันทำหน้าเซงๆ ก่อนจะตอบกลับไป



“หั่วกัวมันแปลว่าหม้อไฟ ส่วนคำว่าหม่าล่า มันมาจากการผสมคำสองคำคือคำว่า หม่า ที่แปลว่าทำให้ชา กับคำว่า ล่า ที่แปลว่าเผ็ด พอรวมกันมันเลยหมายถึงความเผ็ดที่ทำให้ชาเว้ย ส่วนอิที่เวลาแดกแล้วมันเผ็ดๆ นั่นมันเพราะพริกฮวาเจียวผสมกับเครื่องเทศหลายๆ อย่างเหอะ แต่อิคนไทยเอะอ่ะก็เรียกหม่าล่าๆ กูล่ะอยากจะให้มึงเห็นหน้าเหล่าซือกูเวลาอธิบายเรื่องนี้นะ สีหน้าอย่างหงุดหงิดจัดๆ เพราะคนไทยเรียกผิดกันไม่เลิก”



“โอ้วปรมาจารย์ด้านการแดกสินะครับเนี่ยน้องมาร์ช กระผมขอคารวะครับ ส่วนตอนนี้คงไม่ใช่แค่เหล่าซือมึงแล้วล่ะที่จริงจัง มึงเองก็ด้วย อธิบายกูจริงจังจนคิ้วขมวด” พี่ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้น ก่อนที่จะยื่นนิ้วไปขยี้ลงที่กลางหว่างคิ้วของไอ้มาร์ชยิ้มๆ ท่าทางที่ดูอยากแกล้งมันมากกว่า



“อ๊าก มึงเอามือมันๆ จากการแกะไก่มาจิ้มหน้ากูอ่ะสัด เดี๋ยวเป็นสิวอ่ะยอร์ชชชชชช”



“ไหนๆ ขอกูเอามือไปเช็ดอีกทีสิ เอ้ย ขอดูหน้าหน่อยๆ ครับ” พี่ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้นอีก แล้วตั้งใจเอานิ้วตัวเองที่เลอะไก่ไปป้ายไอ้มาร์ชอีกรอบ ลำบากมันที่ต้องคอยหลบหน้าหลบหลัง และสุดท้ายพี่ยอร์ชก็โดนไอ้มาร์ชชกไหล่เข้าไปหนึ่งทีพร้อมคำด่า พี่แกถึงได้หยุดเล่น



“กวนตีน” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นแล้วเอื้อมมือไปหยิบไก่ชิ้นใหญ่ๆ ขนาดเท้าสองฝ่ามือประกบกันมากิน



“กูซื้อไก่ไม่มีกระดูกมานะมึง ครั้งก่อนที่ไปกับมึง เห็นมึงบอกว่าชอบแบบนี้”



“แสนรู้จังครับ ว่าแต่มึงซื้อมาได้ไงเนี่ยพี่ยอร์ช”



“แฟนมึงไม่ได้โง่นะครับ กูก็ชี้เอาดิ เข้าใจคำว่าบอร์ดี้แลงเกวตป่ะครับ”



“โถ่ แค่นี้ก็อวดกู”



“ก็แล้วไง กูซื้อไก่ในแบบที่แฟนกูชอบมาได้ก็แล้วกัน”



“สัด ย้ำอยู่ได้นะคำว่าแฟนอ่ะ” ไอ้มาร์ชบ่นพึมพำออกมาเบาๆ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังมองเห็นสีหน้าที่ดูชอบใจของมันปรากฏอยู่ในตอนนี้



“มาทำเป็นพูด มุมปากมึงกระตุกแล้วมาร์ช จะยิ้มก็ยิ้ม กูไม่ล้อหรอกครับ” พี่ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้นก่อนจะกอดไหล่ไอ้มาร์ชที่กำลังกินไก่อย่างสบายใจเฉิบ สีหน้าของมันที่บอกได้เลยว่ามันมีความสุขมากๆ มันเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็น เรื่องราวระหว่างมันกับพี่ยอร์ชเหมือนจะเร่งรีบและง่ายดาย แต่ถึงแบบนั้นในตอนนี้ทั้งมันและพี่ยอร์ชก็ดูมีความสุขดีอย่างเห็นได้ชัด



“ไอ้พี่ยอร์ช กูอยากจะกินซูชิว่ะ” ไอ้มาร์ชบ่นออกมา ในขณะที่ตอนนี้มันก็ตัดหมูในหม้อชาบูขึ้นมาใส่ถ้วย



“ขอร้องนะไอ้น้องมาร์ช มึงแดกตรงหน้านี่ก่อน เมื่อชั่วโมงก่อนมึงร้องจะเอาหม้อไฟ ตอนนี้มึงไปซูชิอีกแล้วนะ”



“ก็พูดเฉยๆ ไปงั้น มึงจะดุกูทำไมวะแม่ง”



“ใครดุมึงเอ่ย พรุ่งนี้พาไป โอเคไหมล่ะ”



"อื้ม ก็ได้"



“น่ารัก งั้นตอนนี้แดกได้ยัง” พี่ยอร์ชยกยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วเอื้อมมือไปโยกหัวไอ้มาร์ชเล่น มันสองคนที่คุยกันกระหนุงกระหนิงจนกูที่นั่งอยุ่ตรงนี้ควรเรียกได้ว่าเป็นวิญญาณ แต่ถึงแบบนั้นพวกมันทั้งคู่ก็ดูน่ารักและมีความสุขมากๆ ในสายตาของผม



“แดกได้ละ” ไอ้มาร์ชบอกแบบนั้นแล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันคีบนั่นหย่อนนี่ลงหม้อกันสองคน ท่าทางที่ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นเรื่องราวง่ายๆ แต่ถึงแบบนั้นก็ดูมีความสุข ถ้าพูดตรงๆ พี่ยอร์ชกับไอ้มาร์ชมันเรียกได้ว่าเป็นคนแบบเดียวกันที่ทำให้นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าคบกันแล้วจะเป็นยังไง เพราะทั้งคู่แมนๆ ง่ายๆ แต่พอมาเห็นแบบนี้แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมาบางๆ ตอนนี้มาร์ชมันดูมีความสุขมากๆ โดยที่มันไม่ได้พูดออกมาสักคำ



ส่วนพี่ยอร์ชก็เป็นอีกมุมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เค้าค่อนข้างตามใจ และถึงเนื้อถึงตัวกับเพื่อนผมอย่างเปิดเผย เหมือนที่ตอนนี้ที่กินคำนึง แล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวไอ้มาร์ชครั้งนึง แล้วกลับมากินไก่อีกคำนึง แล้วก็แกล้งจับแก้มไอ้มาร์ชอีกครั้งนึง ผมมองภาพตรงหน้าออกมายิ้มๆ แต่ถึงแบบนั้นบางอย่างในใจของผมกลับบีบรัด มันเหมือนกับเป็นความอิจฉาเล็กๆ ในหัวใจกู่ร้องว่าผมควรทำอะไรสักอย่าง



“เออไอ้หมุด แล้ววันนี้มึงไปงานปาร์ตี้เป็นไงวะ สนุกมะ”



“หื้ม พวกมึงมาอยู่จีนแล้วสายเที่ยวหรอวะ แบบนี้มีหนุ่มๆ มาจีบมึงป่ะเนี่ย” พี่ยอร์ชว่าแบบนั้นพร้อมคีบเนื้อลงไปในถ้วยของไอ้มาร์ชไปด้วย



“มีที่ไหนล่ะพี่”



“โอ๊ยกล้าที่จะ แบบไอ้สมุทรจะเหลือเหรอ กูเห็นนะว่าไอ้เยว่เทียนนั่นมองมึงเหมือนจะแดก”



“เชี่ยใครวะ ชื่ออย่างปั่น แบบนี้มึงจะเทเพื่อนกูหรอวะไอ้หมุด แม่ง สงสารสัด” พี่ยอร์ชเบิกตากว้างๆ ท่าทางที่เหมือนปลงตกแล้วบ่นออกมา




“มึงรู้ป่ะ ไอ้จันทร์แม่งต้องไปทำงานที่ร้านอามันทุกคืนเพื่อที่จะเก็บเงินมาหามึงที่นี่นะ ตอนนั้นมันน่าสงสารมาก ไม่ค่อยแดกอะไรหรอกเพราะพยายามเก็บเงิน เลิกเรียนแล้วแม่งก็รีบไปร้านอา งานเลิกตี3มันก็กลับมานอน แล้วพอมีเรียนตอนเช้าแม่งก็ตื่นไป แถมยังเป็นช่วงเร่งใกล้สอบ เร่งทำงานส่ง วุ่นวายจนหัวหมุน แต่ถึงงั้นมันก็พยายามมากๆ ที่จะมาหามึงที่นี่ให้เร็วที่สุดอ่ะ...มันกลัวถ้าทิ้งเวลานาน มึงกับมันจะยิ่งห่างกันไปไกล”



“พี่หมายความว่ายังไง” ผมขมวดคิ้วแน่นขึ้นในตอนที่ได้ฟัง ทำไมพี่พระจันทร์ต้องไปทำแบบนั้น



“เออ มึงตอแหลช่วยเพื่อนป่ะเนี่่ยพี่ยอร์ช พี่พระจันทร์มันรวยจะตายห่า”



“มันไม่ได้รวย ป๊ามันนู้นรวย แต่เค้าไม่ให้เงิน”



“เอ้า! ทำไมงั้นอ่ะ” ไอ้มาร์ชแหกปากออกมา เหมือนมันจะเริ่มอินกับเรื่องราวจนหลุดสีหน้าอยากเสือกออกไป ตาโตๆ ของมันกับปากเล็กๆ ที่อ้าค้างอย่างต้องการคำตอบ พี่ยอร์ชมองมันแล้วหลุดยิ้มออกมานิดๆ ก่อนจะโฉบหน้าเข้าไปหาแล้วจุ๊บปากมันไวๆ ไปทีนึง ...เอ่อะ...



“เชี่ย ทำเหี้ยไรเนี่ย! ไอ้หมุดก็อยู่เนี่ยไอ้หน้าเหี้ย แล้วปากมึงแม่งโคตรจะมันอ่ะ!!” ประทานโทษ มันใช่เวลาไหม!



“ขอร้อง พี่มึงอย่าพึ่งสวีทกันได้ไหมวะ” อดที่จะขัดขึ้นมาไม่ได้จริงๆ ในใจผมเต้นโครมครามกับการได้รับรู้เรื่องราวนี้ มันทั้งบีบรัด ทั้งกู่ร้องดีใจ แต่ก็เสียใจตีกันรวนในความรู้สึกของผมไปหมด



“เออๆ โทษที เรื่องมันก็แบบนั้นแหล่ะ มันมานี่ก็ไม่ค่อยมีเงินหรอกนะ แล้วยังเสือกโง่ไปซื้อกีต้าร์กระโปกนั่นอีก โง่ฉิบหาย แต่ที่ป๊ามันไม่ให้เงินเพราะเค้าคิดว่ามันสร้างเรื่องล่ะมั้ง เห็นว่าไปสารภาพเรื่องของมึงกับที่บ้านมา บ้านนี้เค้าเด็ดขาดจะตาย ถ้ามองว่าลูกทำผิดก็ให้ไปแก้เอง ก็คงจะแบบนั้นล่ะ”



“เชี่ย แล้วนี่จะเหลือเงินซื้อตั๋วกลับหรอวะ” ไอ้มาร์ชเกาหัวแกร่กๆ แล้วว่าออกมา ส่วนทางพี่ยอร์ชก็แค่ยักไหล่นิดๆ อย่างคนไม่รู้จะตอบอะไร



“กูก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของมึงสองคนหรอกนะ แต่ถ้าให้กูพูดตรงๆ เท่าที่กูเห็นมันมาตลอด คือขนาดตอนกับอัยย์ มันก็ไม่พยายามขนาดนี้นะ...ตอนนั้นที่อัยย์บอกไม่รักมัน มันก็แค่ปล่อยไป แต่พอเป็นมึงที่หนีหายไป ไอ้พระจันทร์มันไม่เคยอยู่สุขเลยสักวัน มันพยายามมากๆ ที่จะมาที่นี่...ไม่รู้ดิสมุทร กูไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้กับใคร นอกจากกับมึง”



“ผม...” พูดอะไรไม่ออกมากไปกว่านี้ สุดท้ายเลยทำแค่ลุกขึ้นจากโต๊ะ โดยที่ไอ้มาร์ชกับพี่ยอร์ชก็เงยหน้ามองตาม ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นๆ อย่างสับสน



“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้นแล้วลุกขึ้นหันหลังเดินหนีเข้าห้องไป ปิดประตูลงกลอนแล้วทรุดตัวลงอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน ยกมือขึ้นขย้ำที่เสือตรงหน้าอก รู้สึกอึดอัดจนพูดไม่ออก



สุดท้ายแล้ว การได้รับรู้ว่าพี่พระจันทร์เจ็บเหมือนกับที่ผมเคยเจ็บ มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมดีขึ้นเลยสักนิด แต่ทั้งหมดนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากขึ้นกว่าเดิม ผมมองหน้าเขา เสียงเขา ท่าทางของเขา ผมรู้สึกแย่ตามมันไปทุกการกระทำ



‘ถ้าเค้าอยากอธิบายทำไมไม่ลองเลือกจะฟังดูสักหน่อยล่ะ’ และคำพูดของเขียนฟ้ามันก็ลอยเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งในตอนนี้



...


หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่32.2 (190822)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 19-08-2022 21:12:39


“เพื่อนมึงสีหน้าโคตรจะไม่ดี” ไอ้คนข้างตัวผมที่มองตามแผ่นหลังของไอ้สมุทรไปพูดแบบนั้นทำให้ผมต้องหันไปมองมัน



“อ๊ะๆ ไม่อย่ามาคิดมากว่ากูยังชอบไอ้หมุดอยู่อีกล่ะ” พี่ยอร์ชมันเอานิ้วมาชี้หน้าแล้วว่าออกมาดักความคิดกัน รู้ดีไอ้สัด



“กูไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ แต่มึงเห็นหน้ามันไหม อย่างแย่”



“มึงห่วงมันมากเลยเหรอว่ะ”



“กูห่วงมันพอกับไอ้พระจันทร์ ไอ้ห่านั่นก็สภาพไม่ต่าง มึงว่าพวกมันสองคนไม่น่าห่วงหรอวะ” มันมองหน้าผมแต่ผมไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไป เรื่องแบบนี้ผมเข้าใจไม่มากเท่าเจ้าตัวหรอก แต่การที่ไอ้สมุทรตัดสินใจหนีอยู่แบบนี้ อาจเป็นเพราะมันกลัวที่จะผิดพลาดอีกล่ะมั้ง ก็มันเสียเวลาไปการคลั่งรักคนที่เค้าไม่รักมาตั้ง4ปี มันคงกลัวว่าถ้าตัดสินใจพลาดอีกในคราวนี้ มันอาจจะเสียเวลาไปทั้งชีวิตล่ะมั้ง



“เราช่วยได้เท่านี้แหล่ะ ที่เหลือก็แค่พวกมันต้องตัดสินใจเอง ถ้ามันคิดว่าอยากจบก็ต้องทนเจ็บให้ได้” บอกมันแบบนั้นแล้วหันมองหน้ากัน



“ที่มึงพูดก็จริงเหมือนกัน แต่บางครั้งกูก็คิดว่าพวกมันทำอะไรให้ยากไปว่ะ แค่คุยกันก็จบแล้วไหม”



“มันก็ง่ายเสมอแหล่ะถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น พอเป็นเรื่องของตัวเอง ทุกคนแม่งก็โง่ด้วยกันทั้งนั้นล่ะ”



“แต่มึงกับกูไม่เห็นจะโง่ ฉลาดฉิบหาย รักกันดีแบบสุดๆเลยว่ะ” มันทำตาแพรวพราวใส่ ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาหอมแก้มอีกแล้ว สัด!



“โอ๊ยยย ปากมึงมันอ่ะไอ้เหี้ยพี่ยอร์ช เลิกหอมกูสักทีสิโว้ยยย” ตะโกนด่าออกไปแบบนั้นแล้วเอาทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้า ทั้งมันไก่ และมันพริกในหม้อชาบู เยิ้มไปหมดแล้วมั้งหน้ากูเนี่ย



“ก็มันน่าอ่ะมาร์ช มึงอย่าเอาแก้มมายั่วปากกูสิวะ"



“Kเอ้ย รำคาญอิควายนี่อ่ะ!”



“ทำเป็นพูดดีไป ไม่เห็นจะรำคาญกูจริงๆ สักที”



“พูดมาก แดกไปเลย” หันไปถลึงตาใส่ ส่วนคนข้างตัวก็ทำแค่หัวเราะนิดๆ ในลำคอ มือข้างนึงของมันยังโอบเอวผมไว้ไม่เลิก ใช้มือข้างเดียวพยายามจิ้มๆ หมูขึ้นมาเข้าปาก ก็มีความพยายามมากๆ เห็นแล้วขัดสายตาจนต้องหยิบไปป้อนให้มันเอง พอทำแบบนั้นแล้วมันก็ชิน



“อ้า ป้อนอีกหน่อยครับ”



น่ารำคาญ น่ารำคาญฉิบหาย!...มีแฟนหรือมีควายก็ไม่รู้ เบื่อมันจนต้องตักอีกคำเข้าปากของมันไป เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่น่ารำคาญ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังอยากจะมีเรื่องราวน่ารำคาญแบบนี้ต่อไปอีกในทุกๆ วัน ...ควายพี่ยอร์ช



...



"เฮือก"



           สะดุ้งตื่นขึ้นมาสุดตัวเมื่อรู้สึกว่าได้ยินเสียงดังแปลกๆ บางอย่างที่รบกวนการนอน แต่ถึงแบบนั้นผมไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน ลืมตาขึ้นมองหานาฬิกา มันบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาตี1แล้ว แต่ผมยังอยู่ในชุดเดิม ลุกขึ้นยืนอย่างมึนๆ งงๆ เซนิดหน่อยเพราะรู้สึกมึนหัวนิดๆ อยากจะไปอาบน้ำสักหน่อย



เปิดประตูออกไปนอกห้อง พื้นที่ส่วนกลางไม่มีใครอยู่แล้ว หม้อชาบูถูกล้างคว่ำไว้เรียบร้อย ส่วนไก่ก็ไม่อยู่แล้ว มองเห็นซากกล่องถูกผูกลงถังขยะเอาไว้อย่างดี นึกมาถึงตรงนี้ความรู้สึกอิจฉาก็ตีตื้นเข้าที่หัวอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของพวกมันดูแล้วง่ายดาย ผมอยากปรึกษาเรื่องนี้กับไอ้มาร์ชอีกครั้งกับเรื่องที่กำลังจะตัดสินใจ ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรหนีและปล่อยเวลาทิ้งไปให้เสียเปล่าอีกต่อไป ...รวมๆ คืออิจฉาพวกมันแล้ว



แต่ถึงแบบนั้นก็อยากปรึกษาพ่อมาร์ชก่อน ปกติเวลานี้มันยังไม่นอน คิดแบบนั้นขาของผมเลยก้าวเข้าไปใกล้ห้องของมัน แต่เสียงแปลกๆ ก็ทำให้ผมขมวดคิ้ว เสียงดังกึกๆ ที่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นกำลังดังอยู่ที่หน้าประตูห้องของไอ้มาร์ช ผมชะงักอยู่ที่หน้าประตูห้องของมันในตอนนี้ มือที่ถูกยกขึ้นมาเตรียมจะเคาะชะงักค้างอยู่กลางอากาศ



“อ๊ะเบาๆ ไอ้พี่ยอร์ช กูบอก อื้อ ตรงนั้น อ้า~” อ่าาา ได้แต่กระพริบตาปริบๆ พร้อมทั้งเลือดจากทุกส่วนในร่างกายก็วิ่งขึ้นมาที่กองรวมกันอยู่ที่หน้าของผมอย่างทำอะไรไม่ถูก ... ดูเหมือนว่าพ่อมาร์ชของน้องสมุทรจะอยู่ในช่วงที่กลายเป็นแม่มาร์ช สถานการณ์ดุเดือดที่ดูติดพันจนได้ยินเสียงหอบหนักๆ อยู่ตรงหน้าประตู เสียงดังกึกๆ และประตูที่สั่นนิดๆ



บอกน้องสมุทรสิว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้แปลว่าพวกมึงเอากันตรงประตูหรอกนะเห้ย!!



โอ้วมายพระพุทธเจ้า! ร่างกายของผมร้อนขึ้นมาแบบแปลกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ได้อยากจะตกใจกับเหตุการณ์นี้ เพราะจริงๆ กูก็เคยทำกันบนโต๊ะกินข้าวในครัวเหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้น...



“อ๊ะ ยอร์ช ลึกๆ อ๊ะ” เสียงครางกระเส่าของเพื่อนตัวดีที่ทำให้รู้ว่าในตอนนี้สะโพกแข็งแกร่งของอีกฝ่ายคงกำลังกระแทกหนักๆ เพื่อสอดใส่แกนกายเข้าไปในตัวมันหนักๆ นั่นทำให้น้องสมุทรต้องเม้มปาก



“ลึกพอยัง อ่า ท่านี้น่ะ ยกขามึงขึ้นข้างนึงแบบนี้ แล้วกระแทกเข้าไปแบบนี้ ลึกพอไหม ซี๊ด” ประตูสั่นน้อยๆ พร้อมๆ กับเสียงครางของไอ้มาร์ชที่ผสมปนเปไปกับเสียงทุ้มเข้มของพี่ยอร์ชทำผมขนลุกเกรียว



“อ๊า ยอร์ช”



“เรียกพี่ยอร์ชดีๆ ก่อนมาร์ช”



“อ๊ะ ตรงนั้น แรงอีก อื้ออ พ...พี่ยอร์ช” ผมชะงักกับเสียงครางของเพื่อนตัวเอง ร้อนหน้าวูบวาบที่ไม่ใช่ฤดูร้อน กูทนอยู่ด้วยต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกมึงจะมาเยเย่มารูโกะอะไรกันตอนนี้วะแม่ง เสียงดังขนาดนี้กูจะหลับได้ยังไง แม่งเอ๊ย



ผมตัดสินใจก้าวถอยหลังหนี แล้วปล่อยให้มันสองคนได้ทำกิจกรรมส่วนตัวกันต่อไปแบบที่มันจะไม่รู้ว่าผมบังเอิญผ่านมาได้ยิน ในตอนนี้ผมไม่คิดจะปรึกษาเพื่อนของตัวเองอีกแล้ว



สุดท้ายแล้วคนเรามันก็ต้องเลือกเดินและก้าวต่อไปด้วยตัวของเราเองทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ ... ใช่ เหมือนไอ้มาร์ชที่ก้าวไปแล้ว ก้าวแรงมากจนประตูแทบจะรับไม่ไหว หวังว่าพรุ่งนี้ประตูห้องมึงยังจะอยู่ดีนะ



.

.

.



‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’



           ผมที่เดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องของเพื่อนบ้างห้องข้างๆ กันและลงมือเคาะประตูอย่างห้าวหาญ แทนที่จะอยู่ในห้องของตัวเอง ยืนรออยู่สักพักก็ยังไม่มีคนมาเปิดประตู เลยตัดสินใจเคาะประตูดูอีกครั้ง ตั้งใจว่าถ้าไม่มีใครมาเปิด ก็จะฝืนกลับไปนอนที่ห้องพร้อมเสียบหูฟังนอน



‘แอ๊ดดด’



          ประตูบานตรงหน้าถูกเปิดออกมาพร้อมๆ กับใบหน้ายุ่งเหยิงของเจ้าของห้อง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจในตอนที่เห็นกัน ดวงตาคมสวยคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นในตอนที่เห็นผม เส้นผมสีชมพูที่ครั้งนึงผมเคยชอบชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง พี่พระจันทร์ที่รีบยกมือขึ้นจัดๆ ทรงผมของตัวเองอย่างเร่งรีบ



“ส...สมุทร”



“ครับ”



“มีอะไรหรอ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือมีปัญหาอะไรให้พี่ช่วย” เค้าว่าออกมาอย่างรีบร้อน สายตาร้อนรนที่หันรีหันขวางทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นๆ ก่อนจะเอ่ยปากตอบคนตรงหน้าออกไป



“คือ ผม...ผมขอเข้าไปได้ไหม”



“ห๊ะ...เข้าห้องหรอ อ่อ ได้ๆ ...” อีกฝ่ายทำหน้างงนิดๆ แต่ถึงแบบนั้นก็ยอมเปิดทางให้ผมเข้าไปอยู่ดี บรรยากาศในห้องของเค้าไม่ต่างจากห้องของผมมากนัก พี่พระจันทร์ที่ยืนเก้ๆ กังๆ อย่างคนงงๆ อยู่ด้านหลังของผม



“ไอ้ยอร์ชมันไม่อยู่น่ะ...” เรื่องนั้นผมรู้ดีเลยล่ะ จะอยู่ได้ไง ก็กำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะอยู่ที่ห้องผมนู้น



“ผมรู้ เค้าอยู่ที่ห้องของผม”



“อ่อ คงไปหาไอ้มาร์ชอ่ะดิ...หมั่นไส้ฉิบหาย” ท้ายประโยคเค้าพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามามองหน้ากันอย่างสงสัยว่าผมต้องการอะไรถึงมาที่นี่กันแรก ผมเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน



“อื้ม ... แล้วคือตอนนี้พี่ยอร์ชกับไอ้มาร์ชก็....ก็....กำลัง....”



“หื้ม” พี่พระจันทร์เลิกคิ้วออกมานิดๆ อย่างคนไม่เข้าใจ เค้าที่มองตาผมสักพักอย่างสงสัย ผมที่ก็พยายามจะสื่อความหมายกลับไปโดยไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ผ่านไปหลายนาทีดวงตาคมสวยก็เบิกกว้างขึ้นอีกนิดแบบคนที่เข้าใจแล้ว



“เชี่ย อย่าบอกนะว่าไอ้เหี้ยนั่นแม่งกำลัง เย็...”



“คือผมนอนไม่หลับ!” รีบพูดแทรกออกมาก่อนที่พี่พระจันทร์จะโพร่งออกมาเสียงดังว่าคนคู่นั้นกำลังทำอะไรอยู่ ขยี้เพื่อ



“คือมันเสียงดังน่ะ เอ่อ...”



“อ่า เข้าใจแล้ว งั้นสมุทรเข้าไปนอนในห้องพี่ก็ได้...ถ้าไม่รังเกลียดน่ะนะ เดี๋ยวพี่จะนอนตรงนี้ ที่ที่โซฟานี่เอง” เค้าว่าแบบนั้นแล้วผายมือไปที่ประตูห้องของเขาที่ตอนนี้ถูกเปิดไว้อยู่ ผมละสายตากลับมาจากห้องนอนของเขา แล้วหันไปมองพี่พระจันทร์อย่างประหลาดใจ ความรู้สึกหลากหลายจู่โจมเข้ามาอีกครั้งจนทำให้ผมหยุดตัวเองไม่ได้ในตอนนี้



“ทำไม...” ผมถามออกไป แล้วเหมือนกับว่าอีกฝ่ายก็จะงงกับคำถามของผมเหมือนกัน ... พี่พระจันทร์ในตอนนี้เปลี่ยนไปมากเลยจริงๆ ในความรู้สึกของผม หนึ่งเดือนผ่านไปเขาเปลี่ยนไปเพราะผมได้ขนาดนี้เลยหรอ



“ถ้าเป็นแต่ก่อนพี่คงเข้าไปนอนด้วยกันโดยไม่สนแล้วล่ะว่าผมจะยินดีหรือเปล่า เพราะผมคนนั้นมันก็คงอยากให้พี่นอนด้วยอยู่แล้ว กับคนแบบพี่ที่อยู่ๆ ก็เคยมานอนกอดกัน เพราะบอกว่าพี่อาทิตย์นอนดิ้นคนนั้นน่ะ ทำไมตอนนี้ถึงพูดว่าจะยอมออกมานอนที่โซฟาเล็กๆ แบบนี้ล่ะ”



“ก็พี่บอกแล้วไง ว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พี่จะไม่ทำอะไรที่ฝืนใจสมุทร จะไม่ทำอะไรโดยไม่ถามก่อน เคยบอกไปแล้วนี่” ผมเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง ก่อนจะสบตาของพี่พระจันทร์ที่มองจ้องกันอย่างไม่วางตา สายตาที่เหมือนกำลังบอกว่าเค้าอ่านผมออกแล้วในตอนนี้



          เวลาหนึ่งเดือนที่ห่างกันมันไม่ได้นาน แต่ความหนักอึ้งในใจที่เราจากกันมาอย่างไม่เข้าใจ มันทำให้ทรมานมากไปในทุกๆ วัน เวลาหนึ่งเดือนไม่ทำให้ผมลืมพี่พระจันทร์ได้ มันไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ ความรู้สึกสี่ปีของผมมันยังฝังแน่น รวมทั้งเรื่องราวอีกหนึ่งเทอมที่ผ่านมาระหว่างผมกับเค้ายิ่งติดแน่นอยู่ในใจแบบที่แกะยังไงก็ไม่ออก



“สมุทร อยากจะฟังพี่แล้วหรือยัง”



“ผม...”



“รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงมาที่นี่ มาถึงที่จีนนี่”



“ผม...ม...ไม่รู้”



“พี่มาเพราะพี่จริงจัง” พี่พระจันทร์ตอบกลับมาแทบจะทันที



“พี่อยากทำให้สมุทรรู้ว่าพี่ไม่ได้ล้อเล่นกับความสัมพันธ์ของเราสองคนอีกแล้ว...ที่ผ่านมาพี่รู้แล้วว่าตัวเองมันเฮงซวยแค่ไหน แต่ในตอนนี้ เวลานี้ พี่ไม่คิดจะล้อเล่นกับเรื่องของเราอีกแล้ว พี่ไม่ได้พยายามเคลียร์งาน เคลียร์เรื่องสอบ เคลียร์กับที่บ้านแล้วบินจากกรุงเทพมาถึงที่นี่เพื่อจะโกหกหรือล้อเล่นกับความรู้สึกของสมุทรหรอกนะ”



“พี่มาที่นี่เพื่อพูดในสิ่งที่พี่รู้สึกจริงๆ ...ความรู้สึกนั้นที่สมุทรไม่มั่นใจ และพี่ไม่เคยพูดออกไปเลยสักที” เขาว่าออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นในแบบที่ทำให้ผมเถียงไม่ได้หรือพูดไม่ออก ผมที่ทำได้แค่เม้มปากตัวเองเข้าหากันอีกครั้ง รู้สึกปั่นป่วนไปหมดทั้งตัว ทั้งหัวใจของผมที่ก็เริ่มเต้นแรงขึ้นมาหลังจากที่มันเต้นเอื่อยๆ มานานเป็นเดือนๆ



“ผม ผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะหวังอะไรที่มันมากเกินตัวอีก และถ้าครั้งนี้ผมผิดหวังอีก ผมคงรับมันไม่ไหวอีกแล้ว” ผมบอกความรู้สึกกลับไปตรงๆ ที่พยายามหนีอยู่ทุกวัน ที่พยายามทำเป็นไม่ชอบใจในพี่พระจันทร์ก็เพราะผมกลัวความผิดหวัง ผมคงทนรับมันไม่ไหว ถ้าต้องผิดหวังจากคนที่เรารักมากที่สุดเป็นครั้งที่สอง



“พี่รักสมุทร ถ้าสมุทรกำลังหวังกับเรื่องนี้ พี่ก็จะบอกว่าสมุทรจะไม่มีทางผิดหวังกับมันอีก” เสียงเข้มทุ้มย้ำชัดส่งมาถึงหัวใจผม จ้องลึกเข้าในดวงตาคู่สวยที่ฉายแววจริงจังหนักแน่น ที่มีประกายความขอร้องอยู่ในดวงตาคู่นั้น



พี่พระจันทร์บอกว่าเค้ารักผมงั้นหรอ...



“ขอโทษ พี่ขอโทษจากใจจริงๆ ที่เคยทำให้สมุทรเสียใจ ร้องไห้ และผิดหวัง มันอาจจะดูเป็นคำพูดมักง่ายที่ทำให้ความรู้สึกเสียใจในตอนนั้นหายไปไม่ได้ แต่พี่ขอโทษจริงๆ ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ได้ตั้งใจให้สมุทรเสียใจแบบนั้นก็ตาม แต่มันก็แก้ความจริงไม่ได้ว่าพี่ผิดสัญญา ถ้าวันนั้นพี่เลือกจะรักษาความรู้สึกของสมุทรเอาไว้ ไม่มักง่ายทิ้งเราไปแบบนั้น เรื่องของเรามันคงจะดีกว่านี้ คงไม่ต้องมีวันที่สมุทรเสียใจแบบนั้น และไม่มีวันที่พี่ต้องเสียใจแบบนี้เหมือนกัน”



เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยในตอนที่พูดออกมา ผมมองเห็นในแววตาของคนตรงหน้าที่กำลังแสดงความเสียใจออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง พี่พระจันทร์หายใจเข้าลึกๆ แล้วกระพริบตาถี่ๆ นิ่งอยู่แบบนั้นสักพักก่อนที่สุดท้ายจะเงยหน้าขึ้นมามองผมใหม่อีกครั้ง



“ทำไมพี่ถึงคิดว่าพี่รักผมล่ะ คนแบบผมน่ะ มันไม่มีอะไรเลยสักอย่าง เป็นแค่ไอ้เด็กในแว่นตาโต” ผมถามออกไปแบบนั้น ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้ของน้องสมุทรจะได้กลายเป็นคนถามคำถามนี้กับพี่พระจันทร์ พี่พระจันทร์คนที่ผมชอบเค้ามาตลอดหลายปีคนนั้น กับคำถามที่ว่า ทำไมถึงรักผม มันเกินกว่าฝันมากไปไหม



“ทำไมจะไม่มีล่ะ แค่ความรู้สึกที่พี่เคยได้รับมา นั่นไม่เรียกว่ามีอีกหรอ”



“ความรู้สึกหรอ”



“อืม ความรู้สึกที่พี่เคยคิดว่ามันคือความรักที่เกิดขึ้นกับอัยย์ มันเทียบไม่ได้เลยกับที่เกิดขึ้นกับเรา มันเป็นความรู้สึกสูญเสียที่พี่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันเจ็บปวดอยู่ในทุกเวลา วนเวียนอยู่ในจิตสำนึกของพี่ในทุกๆ วัน มันมากกว่าความคิดถึงแต่เป็นความโหยหา ในทุกครั้งที่พี่มองหาเราแต่ก็ไม่เห็นแม่งโคตรทรมาน พี่คิดถึงรอยยิ้ม เสียหัวเราะของสมุทรในทุกๆ ครั้งที่หยุดทำงานหรือหยุดอ่านหนังสือสอบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่เราในทุกๆ ที่ที่เคยอยู่ด้วยกัน ทุกสัมผัสทุกอ้อมกอดมันยังติดอยู่ในตัวพี่ เหมือนกับว่าเรายังกอดกันเอาไว้ แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่มี มันอาจจะดูเว่อร์นะ แต่มันเหมือนพี่ทำความรู้สึกของตัวเองหายไป มันหายไปพร้อมกับวันที่ไม่มีสมุทร ทุกนาทีมันยาวนานจนทนแทบไม่ไหว และในตอนที่เห็นว่าเราจูบกับใครมันแทบทนไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิแม่งโคตรแย่ ... ถ้าความรู้สึกพวกนี้ที่เกิดขึ้นกับพี่ สมุทรยังบอกว่านี่มันไม่ใช่ความรัก งั้นชีวิตนี้พี่ก็ไม่อยากมีมันแล้วล่ะไอ้ความรักที่ใครๆ ก็อยากได้น่ะ”



เป็นอีกครั้งที่ผมเม้มปากเข้าหากันแล้วช้อนสายตาขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย น้ำตาของผมเอ่อคลอขึ้นมา ก่อนจะปล่อยให้มันไหลลงไปอาบใบหน้า คำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของคนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกวูบไหวในอก อ่อนยวบอ่อนแรงอยู่ตรงนี้ เป็นความรู้สึกหลายหลายที่ถาโถมเข้ามาหา



“ผม...ผมไม่อยากเจ็บแบบที่เคยเจ็บอีกแล้วพี่พระจันทร์ ผม...น้องสมุทรไม่อยากเป็นคนไม่สำคัญของพี่อีกแล้ว” พูดออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็ค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาหาผมช้าๆ เป็นก้าวสั้นๆ ที่เหมือนกับว่าเขาเองก็กำลังดูท่าทีความยินยิมของผม พี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบแก้มแล้วเช็ดน้ำตาออกให้เบาๆ สีหน้าของเค้าที่มองเห็นผมร้องไห้ในตอนนี้ดูเสียใจไม่ต่างกัน



“สมุทรจะไม่เจ็บอีก มันจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม” พี่พระจันทร์โน้มหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากของเราสัมผัสกัน สายตาคมสวยที่จ้องมองผม ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดใบหน้าของกันและกันตอกย้ำให้ผมเข้าใจชัดว่านี่คือเรื่องจริง



“ต่อจากนี้จะไม่มีใครสำคัญกว่าสมุทรอีกแล้ว เพราะตอนนี้พี่รักสมุทรแค่คนเดียว” แผ่วเบาแต่หนักแน่น ย้ำชัดเข้าไปในหัวใจของผม ฝ่ามือของพี่พระจันทร์ที่เลื่อนมาสัมผัสกอบกุมอยู่ที่ฝ่ามือของผม ก่อนที่วงแขนอีกข้างจะถูกโอบรัดดึงรั้งตัวผมให้เข้าไปในอ้อมกอดแกร่ง ... เรากอดกันอย่างโหยหา ระบายทุกความรู้สึก ความคิดถึง ความรักและทุกอย่างโดยกระชับอ้อมกอดซึ่งกันและกัน ผมที่ซบหน้าลงที่อกอุ่น ... คิดถึง



“พี่รักสมุทร รักจริงๆ”



“ผมอยากจะเริ่มต้นใหม่กับพี่...แต่ผมยังมีอีกเรื่อง....อีกเรื่องที่ยัง...” พูดออกมาเบาๆ ในอ้อมกอดของเขา อีกหนึ่งเรื่องราวที่ยังติดอยู่ในใจของผม นอกจากเขาเคยผิดสัญญา เขายังเคยปิดบังผมไว้



“เรื่องนั้นเราเข้าใจผิดไปเอง”



“เอ๊ะ พี่รู้หรอว่าผมจะพูดถึงเรื่องไหน” ผละตัวออกมาจากวงแขนแกร่ง ความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่คิดถึงทำให้ไม่อยากผละออกจากอ้อมกอดนี่ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังอยากจะมองหน้าเขาอยู่ดี อยากรู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องเดียวกับผมหรือเปล่า



พี่พระจันทร์ที่ผละออกมาจ้องหน้าผมพร้อมถอนหายใจหนักๆ เขาที่ดึงมือผมให้เดินตามไปทรุดตัวลงนั่งข้างกันบนโซฟา ฝ่ามืออุ่นนั่นยังคงกุมมือของผมเอาไว้ให้ไปวางอยู่บนตักของเขา



“ไอ้อาทิตย์เดาว่าเราคงเข้าใจผิดเรื่องคนผมสีชมพู”



“แล้วมันไม่จริงหรือไง ... ผมเจอรูปที่พี่อาทิตย์ทำผมสีชมพูแบบนี้ แต่ตอนนั้นพี่ไม่ได้ทำ”



“ตอนเช้าของวันเปิดเทอม มีเด็กแว่นคนนึงกำลังยืนรอข้ามถนน มันอยู่ในชุดนักเรียนนักเรียนตัวใหม่ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเด็กใหม่ เรื่องมันคงไม่น่าสนใจอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เด็กแว่นนั่นเกิดอยากเป็นฮีโร่ มันวิ่งจะไปช่วยเด็กอนุบาลคนนึงที่เผลอปล่อยมือแม่แล้วจะวิ่งข้ามถนน ไอ้เด็กแว่นนั่นจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่เสือกล้มหน้าคว่ำนอนอยู่บนฟุตบาตร มันเอาแต่นอนจ้องกันตาค้าง แล้วมันก็ถามแค่ว่ากูชื่ออะไร”



พี่พระจันทร์หยุดบอกเล่าทั้งหมดนั่นเอาไว้ตรงนี้ ก่อนที่ดวงตาคมจะหันมาสบตากันช้าๆ หัวใจผมเต้นตึกตักในตอนที่มองตาเค้า สายตาที่เหมือนจะดึงดูดผมเข้าหา ตรึงผมไว้อยู่แค่ตรงหน้าเขาเท่านั้น สายตาที่เหมือนกับที่ผมเคยเห็นในวันนั้น ... วันแรกที่ได้เจอกัน



“ทำไมถึงไม่มั่นใจ ว่าไอ้ผู้ชายที่เจอคนนั้นมันคือพระจันทร์หรืออาทิตย์กันแน่”



“พี่...” ใบหน้าได้รูปเลื่อนเข้ามาใกล้ พร้อมเอียงใบหน้าหล่อนั่นกระซิบเสียงแผ่วที่ทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว



“ทำไมถึงยังกล้าสงสัยว่าไอ้ผู้ชายที่ได้เจอเมื่อวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียนที่ห้องชมรมบาส คนที่ได้สัมผัสตัวตนกันขนาดนั้น ทำไมยังคิดว่าเป็นไอ้อาทิตย์ไปได้ล่ะ”



“คือ...นั่น แต่...แต่พี่อาทิตย์ทำผมสีชมพู”



“เฮ้อ รูปนั่นมันตอนม.ห้า”



“หา!” เบิกตากว้างขึ้นในตอนที่ได้ยินแบบนั้น พี่พระจันทร์ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกพร้อมทั้งส่ายหัวหน่อยๆ ในตอนนี้



“ส่วนคนที่ทำผมสีชมพูเมื่อตอนม.6มันคือพี่ ... พี่คนเดียวคนนี้ไง ที่สมุทรชอบมาตลอด ไม่ใช่ไอ้ห่าอาทิตย์สักหน่อย” พูดออกมาแบบนั้น จับที่ปลายเสียงของอีกฝ่ายได้ว่าเขากำลังน้อยใจ พี่พระจันทร์ที่ทิ้งตัวลงพิงกับพนักพิง ทำให้ผมต้องเลื่อนหน้าเข้าไปหา



ความรู้สึกหนักๆ ตลอดเวลาเป็นเดือนๆ ที่ผ่านมาหายไปจนหมด เหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นมายกความหนักใจพวกนั้นออกไปจนหมด



“พี่พระจันทร์โกรธหรอ”



“ไม่ได้โกรธสักหน่อย แต่น้อยใจนิดนึง” ว่าแบบนั้นแล้วกอดอกใส่กันพร้อมหันหน้าหนี ไอ้ท่าทางแบบนี้เค้าไปได้มาจากไหนหรอ



“จะน้อยใจอะไรล่ะครับ”



“ก็เราจำพี่ไม่ได้ แถมเรายังคิดว่าคนที่เกือบจะได้เอาเราในตอนนั้นเป็นไอ้อาทิตย์”



“พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย” ผมร้องออกมาแบบนั้น คำพูดคำจาชวนให้บรรยากาศดีๆ หายไปจนหมด โพร่งเรื่องแบบนั้นออกมาได้ยังไงกันวะ



“ก็มันจริง พี่หล่อกว่ามันตั้งเยอะ จะบอกความลับให้นะ จริงๆ ป๊าเก็บไอ้อาทิตย์มาจากถังขยะข้างบ้าน” ผมหลุดยิ้มขำออกมาในที่สุด คำพูดคำจาไร้สาระที่มาพร้อมกับหน้าตาไม่สบอารมณ์ของเขาทำให้ผมหลุดขำ พี่พระจันทร์ที่แกล้งทำหน้าตึงอยู่ก่อนหน้านั้นหันหน้ามามองกัน ก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมาบางๆ ... นั่นทำให้รู้ว่าก่อนหน้านี้เค้าแค่แกล้งงอนเล่นๆ



“พี่พระจันทร์”



“ครับ”



“พี่ไม่ต้องพูดจาแบบนี้กับสมุทรก็ได้นะ”



“แบบนี้ หมายถึง” หันมามองหน้ากันงงๆ ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ



“ก็ครับๆ พี่ๆ อะไรแบบนี้น่ะ”



“พูดจาดีๆ ด้วย มันไม่ดีตรงไหน หื้ม” ว่าออกมาแบบนั้น พร้อมเอื้อมมือขึ้นมาลูบแก้มของผมเบาๆ



“มันก็ดี แต่น้องสมุทรก็คิดถึงพี่พระจันทร์คนปากห...หมายถึงคนพูดตรงๆ คนนั้นน่ะ”



“มึงนี่เรื่องมากนะ” พูดออกมาจบประโยค ผมก็ระบายรอยยิ้มกว้างๆ ออกมา เหมือนกับว่าได้เจอคนที่คิดถึง



“สมุทร”



“หื้ม...”



“เราเข้าใจกันแล้วใช่ไหมตอนนี้ มึงให้โอกาสกูแล้วใช่ไหมตอนนี้” ผมพยักหน้าสองสามครั้งแทนการตอบรับ



“มึง...ไม่สิ สมุทร คบกับพี่นะ เป็นแฟนกับพี่นะครับ” เขาว่าออกมาแบบนั้น ความรู้สึกอบอุ่นวาบขึ้นมาจากกลางศีรษะไล่ลงไปสุดปลายเท้า ... ถ้อยคำนี้หรือเปล่าที่น้องสมุทรรอมาตลอด ถ้อยคำนี้หรอ ที่ตอนนี้มันกำลังร้องขอด้วยชื่อของผมเอง



            ช้อนสายตามองตาอีกฝ่ายที่สบตากับผมในตอนนี้อย่างคาดหวัง สายตาคมสวยที่กำลังส่งผ่านข้อความมากมายมาให้ผม มันทั้งเว้าวอนทั้งวอนขอและจริงจัง เราสบตากันนิ่งๆ อย่างไร้เสียง เข็มวินาทีเดินไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นตัวผมเอง ที่ค่อยๆ พยักหน้าลงสองสามครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจในคำตอบรับของผม



“...ตำแหน่งแฟนของผม มันก็เป็นของพี่คนเดียวมาตั้งนานแล้วนี่” ว่าออกไปแบบนั้นพร้อมส่งรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิมส่งไปให้คนตรงหน้า พี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในตอนที่ได้ยินคำตอบ ฝ่ามือสวยของเขาที่ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองอีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะหลุดรอยยิ้มโล่งใจออกมาให้เห็น ฝ่ามือหนาที่กุมอยู่ที่ฝ่ามือของผมยกมันขึ้นมาก่อนจะประทับจูบเบาๆ ลงไปที่หลังมือของผม



แทนความรู้สึกอบอุ่น แทนความรู้สึกหวงแหน แทนคำว่าคิดถึง



“ขอบคุณครับ...ขอบคุณ” กระซิบเสียงแผ่วพร้อมค้างจูบนั่นอยู่อีกสักพัก รับรู้สัมผัสอุ่นๆ ที่กระทบลงที่ฝ่ามือ ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละตัวขึ้นมา ผมมองหน้าเขาพร้อมส่งยิ้มไปให้ เอื้อมมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาที่ยังคงเปราะเลอะใบหน้าหล่อ



พี่พระจันทร์มีเวลาแค่สองอาทิตย์ในการที่จะอยู่กับผมที่นี่ เขาพยายามเคลียร์ทุกอย่าง รวมถึงเคลียร์ความรู้สึกของตัวเองเพื่อมายืนยันต่อหน้าผมตรงนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรในการที่ผมจะคอยแต่วิ่งหนี และยัดเยียดความเจ็บปวดให้เค้าเหมือนที่ตัวเองเคยเจอ ... ผมไม่อยากฝืนตัวเองอีกต่อไปแล้ว



ความรัก และความหวังครั้งสุดท้ายของผม น้องสมุทรยังเป็นคนเดิมที่ขอเลือกความรักก่อน และเททุกอย่างลงไปจนหมดหน้าตัก ยังคงเลือกจะบอกว่ารักอยู่ เพียงแค่ในตอนนี้แตกต่างออกไปจากเดิมที่ว่า ... เค้ารู้แล้วว่าผมรัก



#รักอยู่รู้ยัง



อ๊ากกกกก เค้ารักกันแล้วจ้าคุณผู้โช้มมมม เค้าคืนดีกันแล้วนะเอิ๊วว กรู๊วววว

ตอนหน้าคือบทสรุปสุดท้ายของเรื่องแล้ว

อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานเลย

แคทหวังว่าคนอ่านจะยังสนุก และมีความสุขกับเรื่องนี้นะคะ

มาจับมืออยู่ด้วยกันไปถึงตอนสุดท้ายเลยนะคะ

ขอฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง ในTwitterด้วยนะคะ

แล้วก็สามารถติดตามข้อมูลและข่าวสารของนิยายในทุกๆเรื่อง และทักทายพูดคุยกับแคทได้ทาง

Facebook : Yoghurt Catty (https://www.facebook.com/YoghurtCatty)

Twitter:Yoghurt Catty (https://twitter.com/YoghurtCatty)

IG: Yoghurt Catty (https://www.instagram.com/yoghurtcatty/)

 :mew1: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: Love you...รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่32.2 (190822)} [Boy's love]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-08-2022 09:20:47
 :hao5: :jul1:
หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ส่งท้าย (200822)} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 20-08-2022 19:16:33
บทส่งท้าย



“รื้อฟื้นกันหน่อยดีไหมวะ เรื่องของมึงกับกูน่ะ”



เสียงทุ้มกระซิบแหบพร่าที่ดังอยู่ข้างหู เป็นเหมือนหนังสือเล่มเดิมที่ถูกเปิดอ่านซ้ำอีกครั้งในวันนี้ เหมือนกับหนังเรื่องเก่าที่ฉายซ้ำฉากที่เคยเปิดดูแล้วและกลับมาเปิดดูใหม่ เรื่องราวเก่าๆ ย้อนกลับมาในเวลานี้ คำพูดคุ้นหูที่เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของเราสองคนหลังจากที่วนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ผมปรือตาขึ้นมาในตอนที่อีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ปลายจมูกโด่งที่คลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกของผมอย่างออดอ้อน ใบหน้าหล่อได้รูปที่เลื่อนเข้ามาหากันช้าๆ พร้อมแววตาวาววับที่ผมคุ้นเคย



นับจันทร์ เตชะณรงค์กร ตัวจริงเสียงจริงกลับมาแล้ว



รสจูบอุ่นๆ ที่ทำให้หัวใจเหมือนติดปีกบิน มันอ่อนหวาน เบาหวิว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเสียวไปทั้งตัว คนตรงหน้าที่ค่อยๆ เม้มริฝีปากล่างของผมเบาๆ ก่อนจะใช้เรียวลิ้นลากไล้ไปตามริมฝีปากอย่างกลั่นแกล้งด้วยความไม่รีบร้อน ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะเอื้อมขึ้นมาใช้มือประคองใบหน้าของผมเอาไว้ หัวใจของผมเต้นรัว



“ยังจำได้หรือเปล่า สัมผัสแบบนี้ สมุทรยังจำมันได้หรือเปล่า” เสียงแหบพร่ากระซิบออกมาเบาๆ ก็ทำให้ผมสั่นไปทั้งตัว ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่ายที่แนบลงมาจูบย้ำซ้ำๆ ดูดดึงให้ขนลุกไปทั้งตัว เรียวลิ้นร้อนที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เบียดชิดเกี่ยวกระหวัดจนได้ยินเสียงน้ำลาย ความรู้สึกที่ร้อนแรงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปลุกเร้าอารมณ์ของกันและกันใหม่เพิ่มสูงมายิ่งขึ้น



ฝ่ามืออุ่นที่เลื่อนมาจับที่ใบหน้าของผมทำมุมเพื่อจูบแนบชิดย้ำชัดมากขึ้นไปอีกยิ่งทำรู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่ หัวใจสั่นไหว และเลือดก็สูบฉีดไปทั่วร่างกายจนร้อนไปหมด อาจเป็นเพราะตัวผมห่างหายจากการถูกสัมผัส ถูกโอบกอดแบบนี้ไปนานล่ะมั้ง แต่ถึงแบบนั้น อ้อมกอดของพี่พระจันทร์ก็แตกต่างจากคนอื่น มันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดเหมือนตอนโดนเยว่เทียนกอดหรือหอมแก้ม สัมผัสจากคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความทรงจำ เต็มไปด้วยความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นการโหยหา ความรู้สึกผิด การแสดงความรัก หรือแม้แต่การอยากทะนุถนอมผมเอาไว้ มือที่เลื่อนขึ้นมากอดเอว และตัวของอีกฝ่ายที่เคลื่อนเข้ามาคร่อมทับบนตัวผม แผ่นหลังของผมที่ค่อยๆ เอนลงไปกับเบาะโซฟาช้าๆ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ผสมไปกับกลิ่นสบู่ที่คุ้นเคย ทำให้หัวใจของผมจำได้ อารมณ์เริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิดด้วยฝีมือของคนตรงหน้า เป็นเขาอีกเหมือนเคย เป็นเพราะพี่พระจันทร์อีกเหมือนเดิม



ที่คนมากมายเคยพูดเอาไว้ว่าการทำรัก กับการมีเซ็กซ์มันต่างกัน มันคงหมายถึงความรู้สึกแบบนี้ล่ะมั้ง



“สมุทร” ผละริมฝีปากออกมาจากหน้าของผม สายตาวาววับที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่งผ่านมาให้กันได้มองเห็นในตอนนี้



“ครับ”



“คือกูไม่ได้อยากเร่งรัด เราสองคนพึ่งจะคืนดีกันเอง ถ้าเลยเถิดไปถึงเรื่องนั้น มันดูมักง่ายกับมึงมากไปหน่อย...มึงนอนเถอะ” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นพรางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะผละตัวออกจากผมไปทันที น้องสมุทรเบิกตากว้างขึ้นแล้วในตอนนี้ เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ น้องสมุทรอยากจะถามว่า มึงอยากมาเป็นพระเอกอะไรตอนนี้หรอพระจันทร์ ในเมื่อมึงก็ผู้ร้ายมาทั้งเรื่องเนี่ยไอ้พี่!!



“ป่ะ มึงเข้าไปนอนในห้องกูเถอะ...” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วก้มๆ เงยๆ เก็บหมอนอิงโซฟาที่ร่วงลงไปกองกับพื้นขึ้นมาจัดใหม่แถมหันหลังให้กันแล้วในตอนนี้



คือว่าผมเองก็เป็นผู้ชายคนนึง ที่พอเรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้ เราก็รู้กันดีอยู่แล้วไหมว่ามันจะไปต่อถึงตรงไหน แต่คนตรงหน้าของผมที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็พยายามจะล่อลวงกันอยู่ตลอด ตอนนี้กลับกำลังทำตัวเป็นพระเอก เหมือนไม่กล้าชิงสุกก่อนห่าม ทั้งที่จริงๆ มึงชิงไปนานแล้วไหม!



“เอ้า ทำไมไม่ลุกวะ มึงมา ...อึก อื้มมม” สุดท้ายก็เป็นผมที่ถอนหายใจ ก่อนจะใช้วงแขนดึงแขนอีกฝ่ายให้เข้าหา ใช้วงแขนโอบรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมยื่นหน้าไปประกบจูบกับอีกฝ่ายก่อนทั้งแบบนั้น ... อย่านะ อย่ามาทำให้อยากแล้วจากไปนะเว้ย น้องสมุทรไม่ยอมหรอก!



“ด..เดี๋ยวๆ ส...สมุทร” พี่พระจันทร์ที่พยายามดันตัวผมออกจากตัวเค้าแล้วเอ่ยออกมาอย่างตกอกตกใจ นี่มันเป็นสถานการณ์แบบไหนกันเนี่ย ทำไมต้องทำท่าสาวน้อยน่ารักขนาดนั้น



“มึงใจเย็นๆ ก่อน” ดันตัวผมออกสำเร็จแล้วก็ยื่นมือมากันตัวเองกับผมเอาไว้ด้วย เหมือนกลัวผมจะพุ่งเข้าไปหา ไอ้ท่าทางแบบนี้นี่มันหมายความว่าไง น้องสมุทรชักจะหงุดหงิดแล้วนะ



“ทำไมต้องทำท่าทางแบบนั้นด้วย หรือว่าตอนนี้พี่พระจันทร์อยากให้น้องสมุทรเป็นผัวหรอ ได้นะ”



“ได้เหี้ยอะไร ไม่ได้!”



“ไม่ได้แล้วทำไมไม่ทำ!” ผมถามออกไปเสียงดังพร้อมทรุดตัวลงนั่งไขว่ห้างบนโซฟาอีกครั้งพร้อมจับจ้องคนตรงหน้าที่ยืนทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่ในตอนนี้



“ก็...มันไม่ดูว่าพอกูได้คบแล้วก็หวังจะเอามึงหรอวะ”



“แล้วพี่ไม่ได้หวังหรือไง”



“ก็ ปัดโถ่สมุทร มึงยังต้องให้กูตอบหรอวะ” เค้าว่าออกมาแบบนั้น ผมเลื่อนสายตาลงไปมองตรงกางเกงของคนตรงหน้า มองเห็นบางอย่างที่ดุนดันออกมาในตอนนี้ ก็ถ้าขนาดนี้แล้วน่ะนะ



“อย่ามองกูด้วยสายตาแบบนั้น”



“สายตาแบบไหน” ผมถาม ก่อนจะถอดแว่นที่ใส่ออก แล้วช้อนตามองเขา ในระยะห่างที่ไม่ได้ไกลมาก ผมยังคงมองเห็นเค้าที่ทำสีหน้าตกใจ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะทนได้แค่ไหน เลยลองเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อตัวที่ใส่อยู่ออก เริ่มจากเม็ดบนเป็นเม็ดที่หนึ่ง ขยับถัดลงมาปลดกระดุมเม็ดที่สอง สายตาก็มองเห็นลูกกระเดือกที่ขยับกลืนน้ำลายของพี่พระจันทร์ คนตรงหน้าที่แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองนิดๆ



“อย่ายั่วกูสมุทร”



“ทำอะไรแบบนั้นที่ไหนกัน” ว่าจบก็ปลดกระดุมเม็ดที่สาม ไม่ได้ตั้งใจแหวกสาบเสื้อออก แต่แค่ก้มลงไปหยิบหมอนอิงอีกใบที่ตกอยู่ที่พื้น ในจังหวะที่ก้มลงไป คอเสื้อเชิ๊ตที่กว้างจากการปลดกระดุมเลยกว้างออกมากกว่าเดิม หัวอกของผมเลยเผยออกมาให้ได้เห็น ช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้งแล้วยกยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วสาวเท้าเดินไปใกล้



“ถ้าพี่อยากให้ผมนอน งั้นก็ฝันดีครับ” บอกแบบนั้นพร้อมเอื้อมมือไปลูบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเดินสวนเข้าไปที่ห้องนอนของพี่พระจันทร์ และในตอนนั้นที่ฝ่ามือสัมผัสกัน ต้นแขนของผมก็ถูกอีกคนกระชากไว้ซะก่อน ในตอนที่ผมหันกลับมามองกับเขา พี่พระจันทร์ที่กัดกรามตัวเองเอาไว้แน่นๆ พูดกระซิบไรฟันมาให้ได้ยินด้วยเสียงที่อดกลั้น



“มึงจะร้ายไปแล้วนะ ใครสอนมึงห๊ะ”



“ใครจะสอนเรื่องอย่างว่ากับผม นอกจากพี่ล่ะ”



“เหวอ!” ร้องออกมาอย่างตกใจในตอนที่โดนรวบขาช้อนตัวขึ้นมาอุ้ม ผมรีบโอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้อย่างตกใจ ก่อนจะจับต้นชนปลายถูกก็โดนอีกคนโยนลงกลางเตียงไปแล้ว แขนทั้งสองข้างของผมถูกกดชูอยู่เหนือหัว ช้อนตามองคนที่กำลังคล่อมทับกันอยู่ในตอนนี้แล้วยกยิ้มยั่วออกมานิดๆ เรียวขาของผมที่ก็ชันขึ้นมาลูบไล้ไปตามหว่างขาของคนที่คล่อมทับมองกันด้วยสายตาวาวโรจน์



“มึงยั่วกูเองนะ..”



“ก็ใครใช้ให้พี่คิดเยอะคิดแยะอะไรขนาดนั้นล่ะ น้องสมุทรไม่ได้คิดว่าพี่คบกันหวังฟันสักหน่อย”



“น่ารักจังว่ะ" เขายกยิ้มตาพราวระยับ ก่อนจะก้มลงมาห้อมหอมแก้มกันฟอดใหญ่



“มึงเวลาถอดแว่นนี่แม่ง...”



“น่ารัก”



“น่าเอา” ตอบกลับมาทันที่ด้วยเสียงแหบพร่าก่อนจะเอียงหน้าเข้ามากดจูบกันอีกครั้งอย่างดูดดื่ม พี่พระจันทร์ที่ไม่มีท่าทีรีรออะไรเหมือนก่อนหน้านี้ ดึงกางเกงที่ผมสวมออกไปพร้อมๆ กับกางเกงชั้นใน สายตาคมสวยจับจ้องมองกันอยู่ที่แกนกายที่เริ่มขยายตัวเพราะก่อนหน้านี้ถูกปลุกเร้า รู้สึกหน้าแดงจนลามมาถึงใบหู ร้อนไปหมดเพียงแค่สายตาคมๆ นั่นจ้องกันเหมือนอยากจะกลืนผมลงท้อง



“คิดถึงมากเลยรู้ไหม” กระซิบเสียงแผ่วลงที่ข้างหู ก่อนจะกดจูบเบาๆ ลงมาที่หน้าอก ผมสะท้านเฮือกขนลุกซู่ไปทั้งแผ่นหลัง ปลายเท้าเผลอจิกไปกับเตียงนอนอย่างห้ามไม่อยู่ พี่พระจันทร์ที่ค่อยๆ เลื่อนตัวลงต่ำแล้วกดจูบริมฝีปากอุ่นลงที่ยอดอก กลางลำตัว ตรงสะดื้อ และมาจบที่ท้องน้อย สายตาคมวาววับช้อนตาขึ้นมามองหน้าผมพร้อมยกยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะเลื่อนหน้าลงไปกดจูบเบาๆ ลงบนแกนกายของผมจนต้องสะดุ้งเฮือก



“พี่พระจันทร์...อื้ออ” ผมครางเสียงกระเส่าบิดตัวพร้อมๆ กับที่ปิดเปลือกตาในตอนที่รับรู้ถึงความอุ่นร้อนที่มาพร้อมกับหยาดน้ำเหนียวจากริมฝีปากที่ครอบลงไปที่แกนกายของผม ได้แต่กางขาออกกว้างตามความรู้สึก มือข้างขวาที่เอื้อมไปจับลงบนผมของคนที่กำลังดูดกลืนกลางลำตัวของผมขึ้นลงตามจังหวะ



“อึก อ๊าา เสียว....พี่ อ๊า...”



“มึงเก่งกับกูเองนะสมุทร” เสียงแห่บพล่าว่าออกมาแบบนั้นตอนที่มันเงยขึ้นมาจากแกนกายของผม ร่างทั้งร่างและขนอ่อนสะท้านไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ พี่พระจันทร์ที่เลือนตัวขึ้นมาจูบปากกันอีกครั้ง ก่อนจะผละออกใช้จมูกซุกไซร์ไปตามลำคอขาว ส่วนมือข้างที่ว่างก็ลูบไปตามเนื้อตัว เคล้นคลึงไปทุกส่วนของร่างกายให้แข็งชัน ผมในตอนนี้ได้แต่ปล่อยร่างกายไปตามหัวใจ นิ้วเรียวยาวที่เริ่มสอดใส่เข้าไปในตัวผมช้าๆ จากทางด้านหลัง ความรู้สึกคับแน่นและเสียดนิดๆ ทำให้ต้องหลับตาลง อาจเป็นเพราะไม่ได้มีอะไรกันมานานเลยเป็นแบบนั้น แต่พี่พระจันทร์ก็ยังคงทำหน้าที่อย่างเชี่ยวชาญ เค้าที่ดันเข้ามาอีกนิ้ว และอีกนิ้ว สอดเข้าออกขยับช้าๆ จากความรู้สึกคับแน่นเปลี่ยนเป็นเสียวซ่านจนต้องฉีกขาออกกว้างๆ นิ้วเรียวยาวที่กดย้ำลงตรงจุดที่ทำให้ร่างสั่นสะท้าน



“อ๊า..พี่ พี่พระจันทร์” ยิ่งร้องออกมาแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งกดย้ำถี่ๆ ได้แต่จิกมือลงกับผ้าปูเตียง ทั้งเสียวทั้งซ่าน หอบหายใจถี่ๆ พร้อมๆ กับน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา พึ่งเข้าใจคำนี้ว่า เสียวจนตาลอยมันเป็นยังไง พี่พระจันทร์ที่เอื้อมมือไปที่หัวเตียงแล้วหยิบถุงยางออกมา ผมที่ช้อนตามองอย่างสงสัย ส่วนเจ้าตัวก็แค่ยกยิ้มนิดๆ



“ไอ้ห่ายอร์ชเอามาทิ้งไว้ให้ มันบอกเผื่อได้ใช้ ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้ใช้ แต่ตอนนี้รู้สึกขอบคุณมันเลย" พูดจบก็ใช้ปากกัดฉีกถุงยางแล้วสวมลงบนแกนกายของตัวเองที่ขยายตัวเต็มที่แล้ว นิ้วเรียวที่กดย้ำอยู่ที่ช่องทางด้านหลังของผมถูกดึงออกช้าๆ ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยแกนกายแกร่งที่แทรกตัวเข้ามาที่ช่องทางด้านหลังของผมที่ละนิด ร่างกายของผมสั่นสะท้าน ทุกๆ อย่างในร่างตอดรัดเป็นจังหวะตุบๆ พี่พระจันทร์ที่เลื่อนหน้ามาจูบลงกลางหน้าผาก และหางตา



“ซี๊ด แน่นจังวะ ผ่อนคลายหน่อยครับ อีกนิดเดียวนะ” เสียงทุ้มปลอบผมเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สีหน้าที่พยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่เพราะกลัวผมเจ็บของพี่พระจันทร์ทำให้ผมพยายามผ่อนคลายตัวลง พี่พระจันทร์ยกมือขึ้นทัดผมของผมเข้ากับใบหู จูบซับน้ำตาที่หางตาให้อีกครั้ง เสียงทุ้มกระซิบลงข้างหู ใจผมสั่น



“เด็กดี โอเคขึ้นไหม” ผมพยักหน้ารับเป็นคำตอบ เขาก็เริ่มขยับตัวเข้าออกช้าๆ ให้ผมเริ่มคุ้นชิน ขาของผมฉีกกว้างออก พร้อมกับผ่อนลมหายใจออกตามจังหวะที่อีกคนสอดใส่ พี่พระจันทร์โน้มหน้าลงมาจูบผมอีกครั้ง พยายามทำให้ผมลืมความรู้สึกเจ็บนั้นไป ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นความเสียวสะท้านในทุกๆ ครั้งที่อีกฝ่ายโหมแกนกายใส่ เกี่ยวขาเข้ากับเอวของอีกฝ่ายไปตามความรู้สึก เขาจูบลงมาซอกคอ ไล้ลงมาที่หัวนมขบเม้มดูดดึงแล้วใช้เรียวลิ้นละเลงจนเสียวสะท้าน



“อื้ออ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ส...สมุทร จะ...”



“รัก ได้ยินไหมสมุทร อึก พี่รัก” เขาพึมพำออกมาในตอนที่ฝ่ามือหนาสอดแทรกปลายนิ้วเข้ามาโอบกอดกับฝ่ามือของผม คำพูดที่ทำให้หัวใจผมเต้นรัว น้ำเสียงทุ้มนั่นดังก้องไปถึงหัวใจ สลักลงในความรู้สึกนึกคิด ผมเม้มปากในตอนที่ความเสียวสะท้านกลายเป็นความสุขสม หัวใจและร่างกายถูกเติมเต็มจากอ้อมกอดของคนที่ผมคิดถึงและรักไม่ต่างกัน



“อื้ออ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ พี่ พระจันทร์...”





"เสร็จพร้อมกันนะ อึก ซี๊ดด..." เด้งตัวถี่ๆ ไปตามจังหวะกระแทกกระทั้น แกนกายแข็งขืนของอีกฝ่ายกระแทกถี่รัวเข้ามาในจังหวะสุดท้ายพร้อมลมหายใจหอบกระเส่า ก่อนที่คนบนร่างจะกระตุกถี่ๆ รับรู้ได้ถึงน้ำของอีกคนที่ทะลักเข้ามาในช่องทางด้านหลัง โชคดีที่ใส่ถุงยางเอาไว้ เขาที่ทรุดตัวลงมาซบลงอกของผม แกนกายยังไม่ถูกถอดออก แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่จูบซ้ำๆ ย้ำลงที่เนินอกฝั่งซ้ายของหัวใจผม ในตอนนี้ที่ไม่มีความรู้สึกมาครอบงำ ก็รู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว พี่พระจันทร์ที่ดึงตัวขึ้นมามองหน้ากันมันยิ้ม ก่อนจะดึงตัวขึ้นมาหอมแก้มผมอีกครั้ง



“หน้าแดงหรือว่าน่ารักกันแน่นะ”



“บ้า” ไม่รู้จะพูดอะไรกลับไป เลยทำได้แค่ยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้ามันทั้งแบบนั้น ได้ยินเสียงทุ้มขำในลำคอของอีกฝ่าย ก่อนที่แกนกายของอีกฝ่ายจะค่อยๆ ถูกดึงออกช้าๆ ตัวผมสะท้านเฮือก ช่องทางด้านหลังเต้นตุบๆ ในตอนที่ช่องทางด้านหลังว่างเปล่า เค้าจัดการกับถุงยาง ก่อนจะกลับขึ้นมาบนเตียงแล้วนอนกอดผมเอาไว้ เรามองหน้ากันและกัน พี่พระจันทร์ที่ยื่นมือขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อของผมให้ออกจากใบหน้า ก่อนที่เลื่อนหน้าเข้ามากดจูบลงกลางหน้าผาก หัวใจของผมเต้นแรงในตอนที่ช้อนสายตามองหน้าของเขา



“พี่รักสมุทร”



“ผมก็รักพี่พระจันทร์” ผมตอบรับคำพูดของเขาด้วยรอยยิ้ม เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นในตอนที่ได้มองหน้ากัน ก่อนที่พี่พระจันทร์จะเลื่อนหน้าเข้ามาบดเบียดริมฝีปากของผมอีกครั้ง เรากอดกัน ถ่ายทอดทุกความโหยหา ความคิดถึง และความรัก ผ่านทางความรู้สึก คำพูด การกระทำซ้ำๆ ย้ำๆ ไปทั้งคืน



           ไม่รู้เลยว่าอนาคตต่อจากนี้จะเป็นยังไง แต่วันนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเริ่มใหม่ กับคนที่เป็นคนของหัวใจผมตลอดมา ผมที่เคยรับรู้ถึงความเสียใจที่ทำให้รู้สึกแย่จนเกือบตายมาแล้วครั้งนึง แต่ในครั้งนี้ผมขอเปลี่ยนเป็นมีความสุขจนเกือบตายแทนละกัน



...



             หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสามวันแล้ว ผมกับพี่พระจันทร์ตัวติดกันยิ่งกว่าเคย ถือเป็นการตัดตวงความสุขที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน เวลาเริ่มเดินถอยหลังเหลือเพียงคืนสุดท้ายที่จะใช้เวลาร่วมกัน ในขณะเดียวกันผมเองก็เริ่มคุ้นชินกับการมีเขาอยู่ในหอพักของผม



ส่วนไอ้มาร์ชก็โดนพี่ยอร์ชหิ้วปีกหายไปนอนที่ห้องข้างๆ ทุกวันเช่นกัน และคุ้นชินกับสภาพของคนที่ชอบทิ้งตัวมานอนหนุนตักกันอยู่แบบนี้ในช่วงบ่ายของวันด้วย เป็นช่วงเวลาธรรมดาง่ายๆ ที่ผมแค่นั่งพิงอยู่บนเตียงแล้วเลื่อนนิ้วไปบนมือถือ ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่นอนหนุนตักเล่นเกมส์ เป็นช่วงเวลาง่ายๆ ธรรมดาที่อบอุ่นหัวใจ



แต่วันนี้อาจจะแตกต่างจากทุกวันไปสักหน่อยตรงที่คนที่กำลังนอนหนุนตักผมอยู่ตอนนี้ เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นไม่เลิกอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด



“ขมวดคิ้วอะไรขนkดนั้นอ่ะครับ เครียดเรื่องอะไรหรอ” ผมถามออกไปแบบนั้น พร้อมๆ กับยื่นมือไปจิ้มแก้ม พี่พระจันทร์ที่คว้าข้อมือของผมเอาไว้ได้ ก่อนจะจับไปจูบเบาๆ ลงที่หลังมือ การกระทำที่ชวนให้รู้สึกหน้าแดง ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ คล้องบางอย่างลงบนข้อมือของผม



“เอ๊ะ”



“อืม...ครั้งนี้ห้ามทำหาย ห้ามถอดทิ้งแล้วนะ” เค้าว่าออกมาแบบนั้น สร้อยเชือกถักที่ผมเคยซื้อให้เขา แต่ตัวเองทำหาย หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แต่ไม่คิดว่าในตอนนี้จะได้กลับมาใส่อีกครั้ง



“อย่าทำหายอีกล่ะ ตัวแทนของมึงกับกูน่ะ” ว่าแบบนั้นแล้วก็ยกที่ข้อมือของเขาขึ้นมาให้ดู ที่ตรงนั้นมันมีอีกเส้นที่ผมซื้อให้ใส่ไว้อยู่เหมือนเดิม



“ขอบคุณครับ” ตอบรับออกมาแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็เอียงหน้าเข้ามาซุกอยู่ที่หน้าท้องของผม ท่าทางที่ทำให้จักจี๋แบบนั้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขยับออก ทำแค่ใช้วงแขนกอดรอบเอวของผมให้กระชับขึ้นด้วย แล้วเอาแต่นอนนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาจนผมเริ่มเอะใจ



“พี่พระจันทร์...”



“กูต้องกลับไปเรียน” เขาโพล่งออกมาแบบนั้นพร้อมถอนหายใจหนักๆ ในตอนที่พลิกตัวกลับมานอนหงายแล้วช้อนสายตามามองหน้าผม



“ครับ” ผมตอบรับกลับไปแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าวันนั้นมันต้องมาถึง ตัวผมเองที่เลือกตัดสินใจมาเรียนที่นี่ในตอนนั้น ไม่ได้คิดเสียใจที่เลือกมา แต่แค่เสียดายวันเวลาที่จะไม่มีเขาอยู่ข้างๆ กันเหมือนเมื่อก่อน เรารักกัน แต่ระยะทางก็ห่างกันอยู่ดี



“มึงต้องเรียนอยู่ที่นี่ แล้วกูก็มาอยู่กับมึงที่นี่ไม่ได้ เพราะกูต้องเรียนเหมือนกัน”



“ครับ”



“แต่กูไม่ได้คิดแค่จะมาง้อขอมึงเป็นแฟนแค่วันสองวัน ได้แล้วก็ทิ้งไปอะไรแบบนั้นกูไม่ต้องการ ที่มาที่นี่เพราะกูจริงจัง เพราะแบบนั้นสิ่งที่กูกำลังคิดจะทำก็คือรีบกลับเรียนให้จบได้ไวที่สุด กูจะตามเก็บหน่วยกิจทั้งเทอมที่เหลือ กูจะต้องจบภายใน3ปีครึ่งให้ได้ แล้วค่อยย้ายมาอยู่ที่นี่กับมึง...แต่ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ใช่วันสองวันอีกอยู่ดี” เค้าว่าแบบนั้นอย่างมุ่งมั่น สายตาคมที่ช้อนมองกันบอกกับผมว่าเค้าไม่ได้ล้อเล่นกับเรื่องนี้ ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป พี่พระจันทร์ก็พูดขึ้นมาอีก



“งั้นในระหว่างนั้นที่กูยังมาอยู่ข้างมึงไม่ได้...มึงอย่าพึ่งทิ้งกูไปได้ไหมสมุทร” เขาว่าออกมาแบบนั้น จับน้ำเสียงเว้าวอนขอร้องของอีกฝ่ายได้ว่าเขากำลังกลัว แต่ถึงแบบนั้นผมก็หลุดยิ้มออกมานิดๆ ในตอนที่ได้ฟัง ความจริงจังและการนึกถึงกันของเขาทำให้ผมรู้สึกดี การที่ตัวเราได้อยู่ในแผนของอนาคตของเขามันทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้เลย



“อ่า..”



“ทำไมมึงไม่ตอบวะ กูใจนะสมุทร...ยังไง หรือกูให้ป๊าย้ายกูมาเรียนที่นี่เลยวะ แต่พูดจีนไม่ได้ แม่ง..”



“พี่พระจันทร์ครับ” ผมกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้ พยายามทำให้ตัวเองไม่หลุดรอยยิ้มกว้างๆ ออกไปกับท่าทางของคนที่หนุนตักกันอยู่ในตอนนี้ ... พี่พระจันทร์น่ารักจังเลยโว้ย



“อะไร เรียกทำไม กูกำลังใช้ความคิดนะน้องสมุทร”



“คือว่า...”



“ทำไม” ช้อนตาพร้อมเลิกคิ้วมองหน้าผม สายตาที่สงสัยและลุ้นไปด้วยของพี่พระจันทร์ทำให้ผมอดทนไม่ไหวจนต้องยิ้มกว้างๆ ออกมาอีกในที่สุด



“น้องสมุทรน่ะ จะเรียนอยู่ที่นี่อีกแค่หนึ่งเดือนเท่านั้นแหล่ะครับ”



“ห๊ะ! มึงว่าอะไรนะ” พี่พระจันทร์ที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วเด้งตัวขึ้นมานั่งจ้องหน้าผม เส้นผมสีชมพูของเจ้าตัวชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง แถมดวงตาคมสวยเบิกออกกว้างอย่างคนที่บอกว่ากำลังตกใจจริงๆ สีหน้าเหลอหลาเหมือนลูกหมาตกใจทำให้ผมอดใจไม่ได้ต้องยื่นมือเข้าไปดึงแก้มเขาทีนึง ... น่ารักจังเลย ตะเร้กตะน้อยคนสวยขาในอดีตของน้องสมุทร



“เชี่ย”



“เอ้า ด่าทำไมก่อน”



“ไม่ กูไม่ได้ด่า แต่กูดีใจต่างหาก แม่ง” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้นทั้งๆ ที่ดวงตาเป็นประกาย คนตรงหน้าที่ดึงแขนผมเข้าไปกอดแน่นๆ ตกใจนิดหน่อย แต่ถึงแบบนั้นเมื่อตั้งตัวได้ก็ต้องยิ้มกว้างๆ ออกมาแล้วซบหน้าลงในอ้อมกอดของอีกฝ่าย โอบกอดกระชับทุกความรู้สึกเอาไว้



“รู้ไหมกูเครียดมากนะ กูไม่อยากห่างจากมึงอีกแล้ว กูไม่เคยรู้เลยว่าเวลามันมีค่า จนตอนที่มันไม่มีมึงถึงเข้าใจ”



“ทำเป็นพูดดีไปเหอะ” ผมเบ้ปากใส่ ทนไม่ไหวกับไอ้นิสัยช่วงนี้ที่ชอบหยอดชอบหวานใส่ พี่พระจันทร์ปากแจ๋วเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็นแจ๋วแหววใส่กิ๊กน่ารัก ...ไม่คุ้นชินเลยให้ตายเหอะ



“กูพูดจริงเหอะ” ว่าแบบนั้นพร้อมผละตัวออกจากอ้อมกอด ใบหน้าที่กำลังบ่งบอกว่าเค้าโล่งใจ



“แต่ถึงแบบนั้นกูก็ต้องห่างจากมึงอีกตั้งเดือน”



“ก็แค่เดือนเดียวเองนี่นา ก่อนหน้านี้ก็ยังอยู่มาได้”



“อยู่แบบทรมานแทบตายน่ะสิ ... พูดจริงๆ กูไม่อยากห่างจากมึงอีกแล้วสมุทร” ว่าแบบนั้นพร้อมยื่นปลายนิ้วมาเกลี่ยเข้าที่ข้างแก้มของผมอย่างอ่อนโยน สีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าเค้าพูดจริง ... พี่พระจันทร์ในตอนนี้ยังเป็นคนเดิม สีหน้าท่าทางน้ำเสียงยังเหมือนเดิม แต่ถึงแบบนั้นหลังจากที่เราเข้าใจกันและเลื่อนสถานะขึ้นมา มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต่างออกไป มันทำให้ผมเข้าใจว่าการได้เป็นคนรักของพี่พระจันทร์จริงๆ มันเป็นแบบนี้ เขาใส่ใจ อ่อนโยน และจริงจังกับเรื่องของผมก่อนอะไรเสมอ



          เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้กับผมอีกแล้ว ในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าจะไม่มีคนมาเคาะห้องพร้อมน้ำเต้าหู้ตอนเช้าให้กินก่อนเข้าคลาสอีกแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกใจหายแปลกๆ อาจเป็นเวลาแค่ไม่นาน เป็นเวลาอีกแค่หนึ่งเดือนนับจากนี้ แต่ถึงแบบนั้นผมก็เข้าใจดี ไม่ใช่แค่พี่พระจันทร์ที่ไม่อยากห่าง ตัวผมเองก็เช่นกัน



“รู้ใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะเจอกัน”



“รู้ครับ”



“เพราะงั้นมั่นใจไว้นะ...ว่านี่จะไม่ใช่จูบสุดท้ายของเราเหมือนกัน”



“มึงเองก็ด้วย มั่นใจไว้ล่ะ” กระซิบเสียงแผ่วแล้วเลื่อนหน้ามาคลอเคลียข้างใบหู ขบเม้มเบาๆ ทำเอาขนลุกซู่ ก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนมากดริมฝีปากจูบเบาๆ ลงที่ต้นคอขาว เขาที่ดึงตัวผมลงไปนอนกอดเล่นอยู่แบบนั้น เวลานาทีเดินไปเรื่อยๆ ว่ากันว่าทุกเรื่องราวมันต้องมีตอนจบ ... เพราะแบบนั้นในช่วงเวลาที่นาฬิกาบอกเวลาว่าเป็นเวลาสี่โมงเย็น เราก็ได้รู้ว่า ช่วงเวลาระหว่างเรามันกำลังจะสิ้นสุดลง



.

.

.


หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ส่งท้าย (200822)} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 20-08-2022 19:35:45
“พี่ไม่ได้ลืมอะไรใช่ไหม พาสปอร์ตเอามาแล้วนะ”



“ถืออยู่นี่”



“กระเป๋าตังค์ มือถือ ดูแล้วใช่ไหม”



“อืม...กูเอามาหมดแล้ว”



“งั้นโอเค”



ณ ตอนนี้เรามาอยู่กันที่สถามบินฝูโจว เป็นรู้สึกเป็นความวูบโหวงอย่างประหลาด เมื่อตอนนั้นพี่พระจันทร์ยังเป็นคนยืนส่งผมจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้มาอยู่ที่นี่ แต่ถัดมาในตอนนี้ ดันเป็นตัวผมซะเองที่กำลังจะเป็นคนยืนส่งเขาจากสนามบินฝูโจวให้เขาไปที่สุวรรณภูมิ



“ไม่น่าออกมาเร็วเลย” เค้าบ่นออกมาแบบนั้น เพราะในตอนนี้เราดันมาถึงสนามบินไวกว่าที่คิด เพราะถนนในประเทศนี้ไม่ได้รถติด และจากมหาลัยที่ผมอยู่ เดินทางมาถึงที่นี่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงแล้ว



“อยากมีเวลาอยู่กับมึงให้นานกว่านี้หน่อย”



“ต่อให้นานแค่ไหน ก็ต้องไปอยู่ดี ... อย่ารั้งเลยครับ ผมจะยิ่งคิดถึงพี่มากกว่าเดิม” บอกออกไปแบบนั้น และทุกอย่างก็เงียบลง พี่พระจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่สุดท้ายเค้าก็พยักหน้ายอมรับได้ในที่สุด เค้าที่ยกมือลูบหัวของผมเบาๆ



“โตขึ้นเยอะเลยนะสมุทร”



“ก็โตพอจะเป็นแฟนพี่ได้นั่นล่ะนะ”



“ดูคำพูดคำจาของมึงนะ กูไม่อยากกลับละแม่ง” พี่พระจันทร์ทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพยายามดึงกระเป๋าเดินทางออกไปจากสนามบิน ลำบากน้องสมุทรต้องดึงแขนคนคิดไวทำไวไว้อีกครั้ง...จะบ้าหรือไงเล่า



“ได้ที่ไหนเล่า” ตีแขนแกร่งอีกคนเบาๆ อย่างหมั่นไส้ และในตอนนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ยอร์ชและไอ้มาร์ชเดินเข้ามาพอดี



“คืนรถเรียบร้อยแล้วหรอ”



“อืม” ไอ้มาร์ชพยักหน้าบอก



“มึงเช็คอินยัง”



“ยัง รอคนหน้าเหี้ยแบบมึงอยู่”



“กล้าที่จะ มึงก็หน้าเหี้ย”



ผมกับไอ้มาร์ชหันมองกันในทันที สองคนนี้ที่กลับมาเป็นเพื่อนกันอย่างไม่เป็นทางการ เหมือนจะสนิทกันดี แต่ถึงแบบนั้นก็ชอบกวนตีนกันแบบนี้ตลอด ก็หวังว่าไฟท์ขากลับนี้จะไม่ไปตีกันบนเครื่องให้เป็นข่าวดังหรอกนะ



“พอๆ ผมว่าเชิญไอ้หน้าเหี้ยทั้งสองไปเช็คอินเถอะครับ”



“อ้าว มึงต้องเข้าข้างกูสิมาร์ช”



“ไปๆ พี่ยอร์ช มึงรีบไปเลย ไอ้พี่พระจันทร์นำมึงไปแล้ว” ไอ้ยอร์ชบอกแบบนั้นแล้วพยักเพยิกให้หันไปมอง พอพี่ยอร์ชเห็นแบบนั้นก็กระชากกระเป๋าตัวเองแล้ววิ่งตามไปทันที



“ไอ้ห่าพระจันทร์รอกูด้วยโว้ย”



“เฮ้อ กูล่ะระอาจริงๆ”



“เงียบๆ มึง อย่าทำเหมือนเรามากับสองคนนั้นสิวะ”



“ถูกของมึง” ผมตอบรับไอ้มาร์ชแล้วหันหน้าหนีทันที อายครับ คนหันมาทั้งสนามบินแล้ว



การเช็คอินใช้เวลาไม่นาน เพราะพวกเรามาถึงไว พอเช็คอินเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก เราทั้งคู่ไม่มีอะไรให้ทำมากกว่านั่งจับมือกันเงียบๆ กอบกุมมือกันเอาไว้ รับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่ยังมีกันอยู่ในตอนนี้ ส่วนไอ้มาร์ชกับพี่ยอร์ชผละตัวออกไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ห่างออกไป ... เราต่างเข้าใจกันดีว่าในเวลานี้ทุกคนอยากใช้เวลาของตัวเอง



“ถอนหายใจทำไม” เขาถามผมออกมาแบบนั้นในตอนที่หันมามองกันก็ยื่นมือยกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ อีกครั้ง สายตาคมที่กำลังจ้องมองผมทำให้ไม่กล้าเงยหน้าไปมอง พอใกล้เวลาเข้ามามันก็รู้สึกวูบโหวงไปหมด



“ดูแลตัวเองดีๆ อย่าไปไหนกับใครมั่วซั่ว ที่ตรงซอยข้างๆ หอไอ้เขียนฟ้าห่านั่น ดึกๆ มันเปลี่ยว มึงอย่าไปคนเดียว กูไม่อยู่ด้วยแล้ว ถ้าอยากไปไหนก็ชวนไอ้มาร์ชไปด้วยเข้าใจไหม และที่สำคัญอย่าลืมเปิดvpnก็จะได้คอลหามึงได้ ตั้งใจเรียน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ให้มาก เวลาอีกหนึ่งเดือนมันเหมือนจะไม่นาน แต่มันก็มากพอให้มึงได้รู้จักรสชาติของการเติบโต ... แล้วก็...รีบกลับมาหากูนะ เข้าใจไหม กูจะรอ” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดเขาไว้แน่นๆ ความรู้สึกที่เหมือนกำลังอยากจะร้องไห้ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง พี่พระจันทร์ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นๆ แล้วจูบเบาๆ ลงบนหัว



“อย่าร้อง เดี๋ยวก็เจอกันแล้ว”



“น้องสมุทรไม่ได้จะร้อง”



“แต่ตาแดงไปหมดแล้ว...กูไม่อยากเห็นน้ำตามึงแล้วสมุทร ไม่ร้องนะครับ” ว่าแบบนั้นแล้วกอดกระชับผมเข้าไปหาตัวแน่นมากขึ้นอีกครั้ง ก่อนเค้าจะหันไปหาไอ้มาร์ชที่พึ่งดันตัวพี่ยอร์ชที่กอดและขยี้ผมมันแรงๆ ให้ออกห่างจากตัวเอง



“ไอ้มาร์ช กูฝากสมุทรมันด้วย”



“ครับพี่ ไม่ต้องห่วงหรอก”



“ส่วนกูไม่ฝากไอ้มาร์ชกับมึงหรอกนะ เพราะนี่มันของกู” พี่ยอร์ชพูดขึ้นมาแบบนั้นตอนหันมาหาผม เห็นแบบนั้นแล้วก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา พี่พระจันทร์ส่ายหน้ากับคำพูดนั้นพร้อมทำสีหน้าระอาออกมาแบบไม่ปิดบัง ส่วนไอ้มาร์ชแค่หันไปต่อยท้องอีกฝ่ายแรงๆ ... แต่ผมรู้ดีว่าไอ้ท่าทางแบบนั้น แม่มาร์ชของผมกำลังเขินล่ะครับ



“อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เจอกันนะ”



“ครับ...เจอกันในอีก1เดือนข้างหน้านะ”



“กูรักมึง” พี่พระจันทร์พูดออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับก้มลงมาจูบผม ท่ามกลางผู้คนมากมายของสนามบิน ไม่มีใครสนใจเรา เช่นเดียวกับที่เราในตอนนี้ไม่ได้สนใจใครเช่นกัน น้ำตาของผมไหลลงมาในตอนที่ริมฝีปากอีกคนเม้มลงเบาๆ ไม่ใช่จูบที่ดูดดื่มลึกซึ้ง แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึก



เขาว่ากันว่าจูบที่สนามบิน เป็นจูบที่คนเราจะได้เห็นถึงความจริงใจมากที่สุด เพราะมันอาจจะเป็นจูบลา หรืออาจจะเป็นจูบที่โหยหากันมากที่สุด



“พี่ไปแล้วนะ” เค้าว่าแบบนั้นในตอนที่เราผละออกจากกัน ผมยกมือขึ้นโบกลา สายตาของเราที่มองสบกัน และได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังกว้างๆ นั่นก้าวเดินผ่านผู้คนมากมายและค่อยๆ หายไปในที่สุด นึกย้อนไปถึงวันที่ผมจากเขามา ในวันนั้นพี่พระจันทร์ก็คงรู้สึกว่างเปล่าแบบนี้เหมือนกันสินะ



ผมหันไปมองหน้าไอ้มาร์ช มองเห็นน้ำตาของมันที่คลออยู่ที่หางตานิดๆ มันที่ทำเป็นเข้มแข็งที่บอกว่าต่อให้พี่ยอร์ชกลับไปก็ไม่รู้สึกอะไร คือคนที่กำลังเขย่งปลายเท้าชะเง้อคอมองหาคนที่เดินเข้าเกตไปแล้วในตอนนี้



“ไม่เป็นไรนะมึง ก็แค่เดือนเดียว”



“มึงบอกตัวเองหรอ กู...กูไม่รู้สึกอะไรหรอก”



“อยากจะถ่ายหน้าคนตอแหลส่งไปให้พี่ยอร์ชดูเลยล่ะ”



“อย่ามาร้ายกับกูครับไอ้ลูกเหี้ย”



ก็นะ...คิดซะว่าฝึกความอดทน ความสัมพันธ์ที่เริ่มขึ้นของการเป็นผู้ใหญ่ มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนพวกเราเป็นเด็กหรอก ถือซะว่าเป็นก้าวแรกของการเรียนรู้ จนกว่าจะพบกันใหม่อีกครั้ง

...



2ปีต่อมา



“ไปรายงานตัวหรือยังวะ มึงมัวแต่ชะเง้อชะแง้คอมองเหี้ยอะไรนักหนาวะไอ้พระจันทร์”



“แล้วมึงไปเสือกอะไรกับเค้าก่อนเอ่ย มึงอ่ะพี่ยอร์ช รีบๆ ไปรายงานตัว มึงจะช้ากว่าคนทั้งคณะมึงแล้วนะเว้ย”



“อะไรวะ นี่งานรับปริญญากูนะมาร์ช พูดหวานๆ ให้พี่ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรอครับ มึงรักกูบ้างไหมเนี่ย”



“หวานที่ตีนกูนี่ กูแหกขี้ตาตื่นมาจัดเตรียมทุกอย่างให้มึงตั้งแต่ตี3ครับพี่ยอร์ช ไม่รักเหี้ยไรล่ะ ตอนนั้นมึงยังนอนดูดน้ำลายจุ๊บๆ อยู่เลย”



“โอเคพี่จะไม่ว่าแล้ว มาร์ชอย่าเสียงดังพี่อายเค้า”



“เออ ให้มันรู้บ้างนะ อย่ามาหือกับกูครับ” ไอ้มาร์ชถลึงตาใส่แฟนมัน แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเอื้อมมือขึ้นไปเซ็ตผมให้ไอ้ยอร์ชอยู่ดี ...เห็นแบบนี้ ก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกมันครบกันมาได้สองปีแล้ว



“โหดฉิบหาย” ได้ยินเสียงไอ้ยอร์ชบ่นงึมงำเบาๆ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากแซวก็ได้ยินเสียงโห่ฮาดังตามมาจากกลุ่มเพื่อนของมันแทน



“ว๊ายยย ไอ้ยอร์ชกลัวเมียว่ะมึง ออกจากแก๊งเราไปเลย” ไอ้วินไอ้ทอยกับไอ้นิวที่เดินเข้ามาสบทบพูดล้อไอ้ยอร์ช ผมที่หันไปพยักหน้าให้พวกมันนิดหน่อย เวลาที่ผ่านมา ทำให้อะไรหลายๆ อย่างคลี่คลายลง เลยทำให้ทั้งเพื่อนกลุ่มผมกับเพื่อนกลุ่มของไอ้ยอร์ชสนิทกันไปโดยปริยาย เรียกได้ว่าชวนกันมากินเหล้าด้วยกันบ่อยเลยล่ะ



“ฮัลโหลซิส มาเทคอะโฟโต้วิทน้องชายสุดหล่อแบบกูหน่อยสิวะครับ มาเร็วมึง” ไอ้อาทิตย์ที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง แล้วกอดคอผม



“พี่ทิตย์ พี่จันทร์ เดี๋ยวผมถ่ายให้ครับ” เป็นไอ้เฮงเพื่อนของไอ้มาร์ชที่วันนี้รับหน้าที่ตากล้องของไอ้ยอร์ชเป็นฝ่ายอาสาขึ้นมา



“ดีน้อง พี่ขอหล่อกว่าไอ้หน้าเหี้ยนี่นะคะ” ไอ้อาทิตย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวผมว่าออกมาแบบนั้นพร้อมขยิบตาให้ไอ้เฮงทีนึง น้องจิมที่นั่งอยู่ข้างๆ ไอ้เฮงถึงกับหลุดขำกับท่าทางของไอ้น้องชายตัวดีของผมออกมาทั้งแบบนั้น แต่มันเหมือนจะไม่สนใจอะไรกับนิสัยชอบแหย่ไปเรื่อยของมันเนี่ย



“มึงสิหน้าเหี้ย” ผมหันไปถลึงตาด่า แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคงฉีกยิ้มกว้างๆ ให้กล้องแบบไม่เสียด่าของผมสักนิด แถมยังเอามือมาดันหน้าผมให้หันไปหากล้องอีกต่างหาก มันกวนตีนได้ใครวะ...ผมที่หันไปถ่ายภาพแค่ยกยิ้มมุมปากนิดๆ เท่านั้น ใครมันจะยิ้มกว้างโชว์ฟันครบทุกซี่แบบไอ้อาทิตย์วะ น่ากลัว



“แล้วนี่แฟนซิสยังไม่มาหรอวะ”



“อืม กูห่วงอยู่เนี่ย ทำไมป่านนี้มันยังมาไม่ถึงวะ” ผมว่าออกไปแบบนั้นแล้วก้มลงมองโทรศัพท์มือถือ ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องเข้ารับปริญญา แต่ช่วงเวลาแบบนี้เค้าก็มาถ่ายรูปกันทั้งนั้น



“เสียใจว่ะ อยากเห็นหน้าตาน่ารักของพี่สะไภ้”



“เสือก” หันไปถลึงตาใส่ ไอ้อาทิตย์ก็แค่หัวเราะคิกคักชอบใจตามสไตล์ของมัน ในตอนที่ยังไม่ทันจะได้ด่าหรืออะไร โทรศัพท์มือถือที่ผมถืออยู่สั่นขึ้นมา พอยกขึ้นมาดูก็เป็นชื่อของคนที่กำลังคิดถึงอยู่ในตอนนี้



[[พี่พระจันทร์ น้องสมุทรอยู่ตรงนี้] ]



เสียงใสๆ ปลายสายว่าออกมาแบบนั้น มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ หันซ้ายหันขวามองแต่ก็ไม่เจอคนที่อยู่ปลายสาย อยากจะถามไอ้น้องสมุทรเหลือเกินว่า ไอ้ที่พูดว่าอยู่ตรงนี้มันคือตรงไหนงั้นหรอ



“อยู่ตรงไหน ทำไมมึงช้าจัง”



[[พี่พระจันทร์มารับน้องสมุทรหน่อยสิ] ]



“อย่าบอกว่าหลงจริงๆ นะสมุทร”



[[อ่า ก็ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย] ] ปลายสายตอบกลับมาอย่างอึกอัก ท่าทางที่ต่อให้ไม่เห็นก็รู้ดีว่ามันคงเลิ่กลั่กเพราะเดินหลงทางแบบที่คิดจริงๆ นั่นล่ะ เฮ้อ...ทำให้ห่วงแม่งได้ตลอด



“รออยู่นั้นเลย เดี๋ยวกูเดินออกไปรับ”



[[โอเคเล้ย] ] ตอบรับออกมาด้วยเสียงร่าเริงสดใสแบบสุดๆ ดูไม่ออกเลยว่าดีใจที่จะไปรับ นี่หรอวะคนที่บอกว่าไม่หลงทาง ผมกดวางสายจากเจ้าตัวดื้อของผม ก่อนจะหันไปหาพวกเพื่อนของผม



“เดี๋ยวกูมานะมึง” บอกออกไปแบบนั้น ไอ้ปุ่นที่นั่งพักเล่นมือถืออยู่ที่ม้านั่งก็เงยหน้าขึ้นมามอง



“ไปรับน้องสมุทรหรอวะ” มันถาม ซึ่งผมก็แค่พยักหน้าตอบรับกลับไปแค่นั้น



“เออ แม่งหลงอยู่ตรงลานจอดรถ”



“น้องสมุทรเนี่ยนะ”



“เออ ดีใจใหญ่ที่กูจะไปรับ”



“งั้นพี่พระจันทร์รีบไปรับมันมาเหอะพี่ เดี๋ยวแม่งเดินหลงไปที่อื่นแย่เลย ลำบากตามหาอีกนะพี่” ไอ้น้องจิมว่าออกมาแบบนั้น ผมเลยพยักหน้า สวนกลับไอ้มีนที่พึ่งเดินกลับมาหลังจากออกไปซื้อน้ำดื่มกับญาติๆ ของมัน งานรับปริญญามักจะเป็นแบบนี้เสมอ ถือเป็นงานที่ทำให้คนในครอบครัวภูมิใจมากกว่าคนที่เรียนจบเองซะอีก ใจจริงไม่ได้สนใจจะมารับ เพราะงานรับปริญญานอกจากจะมีค่าใช้จ่ายเยอะแล้ว มันยังเหนื่อยมากๆอีกด้วย



แบบผมกับไอ้อาทิตย์ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ก็ยังโดนอาเมลปลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่ตี4เลย ใจอยากจะไม่รับแต่พอมองสีหน้าของผู้ส่งเสียผมมาตั้งแต่เด็กๆ มันเหมือนกับเป็นวันนึงที่พวกท่านรู้สึกว่าส่งเราถึงฝั่ง เพราะแบบนั้นผมเลยมารับปริญญาเพื่อพวกท่าน ทั้งอาเมลและป๊าทัพ



ผมเดินออกจากลานที่นั่งหน้าหอประชุมใหญ่ ตัดผ่านรั้วคณะออกมาที่หน้าถนนก็มอง ท่ามกลางผู้คนมากมายผมกลับมองเห็นคนๆ นึงที่ยืนอยู่บนฟุตบาตธของถนนฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ใบหน้าเรียวภายใต้กรอบแว่นตาทรงกลม ในอ้อมกอดถือช่อดอกกุหลาบสีขาวขนาดใหญ่ไว้เต็มอ้อมแขนจนแทบจะบังตัวของมันจนมิด มันที่ก้มหน้าลงไปดมดอกไม้ในอ้อมกอดของตัวเองก่อนจะผละหน้าขึ้นมาพร้อมๆ กับรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ผมมองเห็นแล้วต้องยิ้มตามไปด้วย



            เหมือนความทรงจำในอดีตหมุนวนกลับมาอีกครั้ง ในตอนที่สมุทรมันเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันพร้อมรอยยิ้ม คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งถนนกำลังส่งยิ้มกว้างๆ มาให้ผม มันที่โบกมือให้กันท่ามกลางผู้คนมากมาย สายตาภายใต้กรอบแว่นนั่นยังคงเอาแต่มองมาทางผม ไม่ต่างจากวันแรกที่เราได้เจอกันที่หน้าโรงเรียน บรรยากาศไม่ต่างจากในวันนั้น แต่ทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปคงเป็นในวันนี้ไม่มีเด็กอ้วนที่วิ่งลงไปบนถนนให้ผมไปช่วย มีแต่สมุทรที่ก้าวขาเดินข้ามทางม้าลายตรงมา และตัวของผมเองที่ก็ก้าวข้ามถนนเพื่อเดินไปรับมัน



            วินาทีนี้ พื้นที่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังเร่งรีบ เสียงดังๆ และความวุ่นวายรอบตัวเหมือนทุกอย่างหยุดลงอย่างกระทันหัน มีเพียงเสียงจังหวะการการเต้นของหัวใจของผมที่มากขึ้น ในตอนที่สบตากับอีกคน สมุทรมันยิ้มกว้างก้าวขาไวๆ เพื่อเดินมาให้ถึงผมที่หยุดยืนอยู่ที่กลางถนน และเพราะความเร่งรีบของมัน เลยทำให้จังหวะก้าวเดินเผลอสะดุดเข้า เป็นเหมือนภาพสโลวโมชั่นที่เห็นได้ชัดเจน ตัวผมที่ตรงไปโอบรับตัวของมันเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะมีคนลงไปนอนวัดพื้น



“เหวอ! ก...เกือบไปแล้วเชียว” มันที่ว่าออกมาแบบนั้น มือข้างนึงที่กอดตัวของผมเอาไว้แน่น ส่วนวงแขนอีกฝั่งก็ยังคงกอดช่อดอกไม้ใหญ่นี้เอาไว้ไม่ยอมปล่อย



“ห่วงอะไรกับแค่ดอกไม้ ทำไมไม่ห่วงตัวเองก่อน” จ้องหน้าดุคนตรงหน้า แต่สมุทรมันแค่ยิ้มร่าส่งกลับมาให้กัน



“จะห่วงไปทำไม เพราะสุดท้ายก็เป็นพี่พระจันทร์ที่มารับน้องสมุทรไว้ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง” มันที่บอกออกมาแบบนั้น แล้วเอื้อมมืออีกข้างเข้ามากอบกุมฝ่ามือของผมเอาไว้ สอดนิ้วเข้าไปแล้วกระชับฝ่ามือกับมันแน่นๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะพากันออกเดิน ก้าวผ่านทางม้าลายข้ามไปอีกฝั่งของถนนพร้อมๆกัน



          ในตอนนี้ที่มาหยุดยืนอยู่ข้างฟุตบาต ก้มลงมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า กลัวว่าจะเจ็บที่ตรงไหน หรือขาแพลงไปหรือเปล่า แต่ถึงแบบนั้นสมุทรมันก็เอาแต่อมยิ้มและส่ายหน้า ฝ่ามือเรียวที่เอื้อมขึ้นมาจับที่ใบหน้าของผม สายตากลมโตภายใต้กรอบแว่นนั่นจ้องมองกันในตอนนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นดอกไม้ช่อโตที่อุ้มมาส่งมาให้ผม



“ยินดีด้วยนะครับกับบัณฑิตใหม่”



“ขอบคุณครับ ไม่เห็นต้องลำบากหอบมาเลย เห็นไหมว่าเกือบจะสะดุดล้มลงไปเพราะถือมันมาเนี่ย” ผมต่อว่าออกไป แต่อีกฝ่ายก็ยังคงส่งยิ้มให้กัน ใบหน้าน่ารักพยักเพยิกไปทางอีกฝั่งของถนน ให้ผมได้หันมองตามไป



“คิดๆ ไปแล้ว วันนี้มันก็เหมือนกับวันนั้นเลยนะครับ” คนตรงหน้าว่าออกมาแบบนั้น ทำให้ผมนึกย้อนไปเห็นภาพของเด็กนักเรียนม.4คนนึงที่ยืนรอข้ามถนนอยู่หน้าโรงเรียน ตั้งใจจะทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยเด็ก แต่สุดท้ายกลับสะดุดล้มลงไปนอนวัดกับพื้นถนน แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังไม่ลืมสายตาที่อีกฝ่ายมองกันที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ... และนั่นก็เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของเราสองคน



“แต่ไม่รู้ว่าวันนี้พี่จะรู้หรือยังนะ”



“รู้อะไรงั้นหรอ”



“รู้ว่าในตอนนี้ผมก็รักพี่อยู่ พี่รู้หรือยังครับ” ดวงตากลมโตภายใต้แว่นกรอบกลมช้อนตาขึ้นมาสบตากับผมพร้อมๆ รอยยิ้มน่ารักที่ส่งมาให้กัน ผมเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน



“ครับ รู้แล้วครับ...พี่ก็รักอยู่เหมือนกัน”



และนั่นก็คือคำตอบสุดท้าย ที่กลั่นกรองมาจากความรู้สึกที่ผ่านวันเวลาดีร้าย ถ่ายทอดออกมาด้วยหัวใจ ส่งผ่านไปบอกให้เค้าได้รู้ว่าวันนี้ ผมเองก็รักเค้าอยู่เหมือนกัน...



-THE END-



#รักอยู่รู้ยัง

-------------------------------------

ในที่สุด เราก็เดินทางมาจนถึงตอนสุดท้ายของเรื่องราวนี้แล้ว เย้!!
แคทขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรก คนอ่านใหม่ๆที่พึ่งได้รู้จักและเปิดอ่านเรื่องราวนี้
หรือแม้กระทั่งบางท่านที่ได้เดินจากกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นใครที่แวะมาเปิดอ่าน หรืออยู่ด้วยกันมาตลอด
แคทขอขอบคุณอย่างจริงจังและจริงใจจริงๆค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ การโดเนทสนับสนุนนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณคำแนะนำบอกกล่าวให้แคทพัฒนาขึ้นไปอีก ... แคทรู้ดีว่า มันอาจยังมีเรื่องราวที่ผิดพลาด หรือไม่สนุกอยู่บ้าง
แคทจะนำทุกคำติชม ไปพัฒนาให้มากยิ่งขึ้นนะคะ ...

ขอบคุณทุกคนจริงๆที่ร่วมเดินทางกับพี่พระจันทร์และน้องสมุทร
วันเวลาเลื่อนผ่าน แต่พวกเค้าจะก้าวเดินต่อไป เติบโต เติมเต็มความรู้สึกซึ่งกันและกัน ในจิตนาการของทุกคนไม่มีวันหมดไป
ตราบใดที่ยังคิดถึง แค่ย้อนกลับมาเปิดอ่าน และเดินไปด้วยกันอีกนะคะ

 :mew1: :-[  :L2: :pig4:

ปล. นิยายเรื่องนี้เปิดจองพรุ่งนี้น้าาา หวังว่าทุกท่านจะสนับสนุนนิยายทำมือของนักเขียนตัวเล็กๆคนนี้อยู่นะคะ (ไหว้ย่อ)



หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ส่งท้าย (200822)} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-08-2022 20:56:23
 :z6: :a5:
หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ส่งท้าย (200822)} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 21-08-2022 00:11:25
 :L1: :L1: :pig4:
ประทับใจตั้งแต่ เริ่มจนจบถึงบทนี้ แต่ความรักของพี่พระจันทร์กับน้องสมุทร์จะยังคงเดินต่อไป...

ขอบคุณมากๆนะคุณแคท คือประทับใจมากค่ะ
อ่านมาจนถึงบทส่งท้าย ตอนที่ต้องแยกกันที่สนามบิน และรอเวลามาเจอกันใหม่
เพลงนี้ลอยขึ้นมาเลยทีเดียว

"ขอบคุณ..ระยะทางที่ทำให้เราต้องห่างไกล
 ขอบใจ..เธอเหมือนกัน ทีเธอเลือกจากฉันไปแสนไกล"
 
"เหตุเกิดจากความเหงาที่ทำให้รู้ว่ารักเธอเท่าไหร่
 ความห่างไกลมันทำให้ฉันคิดถึงเธอ"

 :กอด1: #รักอยู่รู้ยัง

หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง ครั้งที่ส่งท้าย (200822)} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 21-08-2022 02:53:18
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง แจ้งเปิดพรีออเดอร์ 250822} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 25-08-2022 19:22:11
เปิดพรีออเดอร์รอบแรกจ้า

(https://www.img.in.th/images/e2cfa24e9b43db151865983941819d57.png)

(https://www.img.in.th/images/3b7aead2fc63b6b6ea66629ce7ee6dd5.jpg)

(https://www.img.in.th/images/f882d363c6ae70f06996588143f044cf.jpg)



กดสั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่เลยจ้า >> สั่งซื้อหนังสือ (https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScnbxfNdqw6PfD21w_tmO4JAej9q5KMnI4fBXPuoSwecex1jw/viewform)

 

รายละเอียดของหนังสือ :: Love You รักอยู่รู้ยัง

หนังสือ1ชุด ประกอบไปด้วย :

 

♥ หนังสือจำนวน1เล่มจบ จำนวนหน้าประมาณ570-600หน้า (ตามคำบอกเล่าของคนจัดเล่ม)

♥ ตอนหลักจำนวน 33 ตอน

 

♥ ตอนพิเศษในเล่มไม่ลงเว็บไซต์ จำนวน 5 ตอน

ประกอบไปด้วย ตอนพิเศษของจันทร์สมุทร 2ตอน:

- รื้อฟื้นกันหน่อยไหม เรื่องวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน (18+)

                            - วิดีโอคอล ... พาใครเสียว? (18+)

                       ตอนพิเศษของยอร์ชมาร์ช 2ตอน:

                            - นับหนึ่ง ถึงมาร์ช (18+)

                             - ขออ้อนหน่อย

                     ตอนพิเศษ บทสรุปสุดท้ายของไอสวรรค์ (อัยย์) 1 ตอน

รวมทั้งหมด38ตอน

 

♥ ของแถม :

1.ที่คั่นหนังสือลายปก 1ชิ้น

2.โปสการ์ดลายพิเศษ (น้องสมุทรver. ถอดแว่น) 1ชิ้น

3. โฟโตการ์ดจิบิคาแรคเตอร์ตัวละครคู่ เคลือบดาว 1 ชิ้น

♥ ♥ พิเศษสำหรับ30ท่านแรกที่สั่งซื้อกับนักเขียนโดยตรงรับฟรีพวงกุญแจอะคลีลิคจิบิคู่ 1 ชิ้น

 

♥ ราคา 600บาท ส่ง ลงทะเบียน = 60บาท EMS=90บาท

 

♥กรณี (บางท่าน) ต้องการผ่อนชำระ สามารถแบ่งจ่ายเป็น3งวด ดังนี้

-หากสั่งซื้อ1ชุด จัดส่งแบบลงทะเบียนและต้องการผ่อนชำระ จะแบ่งชำระเป็น

เดือนสิงหาคม=220บาท เดือนกันยายน=220บาท เดือนตุลาคม (ก่อนวันปิดพรี) =220บาท

-หากสั่งซื้อ1ชุด จัดส่งแบบEMS และต้องการผ่อนชำระ จะแบ่งชำระเป็น

เดือนสิงหาคม=230บาท เดือนกันยายน=230บาท เดือนตุลาคม (ก่อนวันปิดพรี) =230บาท

 


ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม และสนับสนุนแคทมาโดยตลอดนะคะ
สำหรับท่านที่สั่งซื้อหนังสือเข้ามา แคทขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
และสำหรับในตอนพิเศษในเล่มทุกตอน แคทจะมาลงตัวอย่างให้นะคะ รับรองว่าแซ่บแน่ๆ

หวังว่าคนอ่านจะยังคงสนับสนุนหนังสือเล่มนี้นะคะ งื้อออ

 

** สำหรับหนังสือทำมือรอบนี้ แคทพยายามมากๆ ที่จะบีบราคาให้ถูกที่สุด เพื่อคนอ่านจะได้สามารถสั่งซื้อหนังสือในราคาที่ถูกที่สุดได้ แต่ด้วยราคาการผลิตทุกอย่างรวมทั้งราคากระดาษก็ขึ้นราคาทั้งหมด แคทเลยสามารถดึงราคาให้ถูกที่สุดได้เท่านี้ แคทหวังว่าคนอ่านจะเข้าใจ และช่วยสนับสนุนผลงานชิ้นนี้ของแคทด้วยนะคะ

 

ปล. หากท่านใดไม่สามรถกดจองในฟอร์มนี้ได้ สามารถทักทายเข้ามาหาแคทที่แฟนเพจในYoghurt Catty (https://www.facebook.com/YoghurtCatty)เพื่อสั่งซื้อกับแคทโดยตรงได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ สามารถทักทายเข้ามาสอบถามแคทได้เลยค่ะ แคทไม่ดื้อ ไม่กัดด้วยค่ะ ทักทายเข้ามาได้นะคะ ^^

 

❤YOGHURT CATTY -แคท- ❤
หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Yoghurt ที่ 01-09-2022 18:52:48

5ตอนพิเศษ

กับ5ตอนพิเศษในเล่ม ที่จะทำให้คุณยิ้ม หัวเราะ และหืดหาดไปด้วยกัน

 

 
ตอนพิเศษ1 รื้อฟื้นกันหน่อยไหม เรื่องวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน NC18+ (จันทร์สมุทร)

 

เรื่องราวที่เคยถูกเอ่ยถึงระหว่างพระจันทร์และสมุทร แต่ไม่ถูกเฉลยในเนื้อเรื่องหลัก มันยังคงเป็นปริศนาตลอดมา ในตอนพิเศษตอนนี้ เราจะย้อนกลับไปในอดีต ในวันสุดท้ายก่อนพี่พระจันทร์เรียนจบชั้นม.6 ครั้งแรกที่พี่พระจันทร์เคยบอกว่าเป็นคนสอนน้องมา สอนอะไร สอนยังไง สอนที่ไหน และจะเสียวจนซี๊ดปากมากไหม จะถูกเฉลยและเปิดเผยทั้งหมดในตอนนี้

 

Ex.

 

“พ...พี่พระจั....”

 

“ชู่ว...มึงแข็งแล้ว” เป็นประโยคแรกที่เขาพูดออกมา ทำเอาผมต้องสะดุ้ง คนพูดที่ทำแค่เลื่อนสายตาลงมามองที่เป้ากางเกงของผม วันนี้ที่ใส่กางเกงพละยิ่งทำให้มองเห็นอะไรๆ ของผมที่ดุนดันออกมาชัดเจนขึ้นยิ่งกว่าเก่า

 

“เอ่อมะ... ไม่...ไม่เป็นไรครับ คือน้อง เอ้ย ผม...”

 

“วิชาเพศศึกษาสำคัญนะ ช่วยตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด อดทนไปไม่ช่วยอะไร ถอดกางเกงมึงเถอะ”

 

“ผม..”

 

“ทำสิ” สะดุ้งออกมานิดๆ ตอนที่ได้ยินเสียงแหบพร่า ก้มหน้าลงนิดๆ พอให้ได้หลบสายตา... พ..พี่พระจันทร์

 

“อยากรู้ไหม ว่าถ้าจะให้เก่งต้องทำยังไง...ถ้าอยากรู้กูจะสอนให้...”

 

 

ตอนพิเศษ2 นับหนึ่ง ถึงมาร์ช NC18+ (ยอร์ชมาร์ช)

 

ยอร์ชกับมาร์ชที่คบกันมาได้เป็นปี แต่เพราะความรักที่คนทั้งคู่มีให้กันเหมือนกับว่ามันรวดเร็วไปซะทุกอย่าง เร็วจนทำให้มาร์ชเกิดความไม่มั่นใจ ว่าคนแบบตัวเขาเอง จะมัดใจคนแบบพี่ยอร์ชได้อยู่ไหม และยิ่งมีอีกหนึ่งตัวแปร เพื่อนสนิทสาวสวยดาวคณะวิศวะที่อดีตเคยเป็นเพื่อนร่วมเตียงกับพี่ยอร์ชเข้ามาใกล้ งานนี้จะออกหมู่หรือจ่า ... พี่ยอร์ชอดีตคนง่ายๆ (กับเรื่องอย่างว่า) จะยอมเริ่มนับหนึ่งกับมาร์ชจริงไหม

 

Ex.

 

“ยอร์ช คิดถึงจัง”

 

“คิดถึงแล้วหนีไปเมาทำไม”

 

“มาร์ชไม่ได้หนี แค่ไปเฉยๆ” เจ้าตัวว่าออกมาแบบนั้นแล้วดีดตัวขึ้นมานั่ง ก่อนจะดึงเสื้อของผมเอาไว้ให้โน้มเข้าไปหา ผมมองภาพตรงหน้าแบบสงสัย แต่ถึงแบบนั้นก็เอนกายตามลงไป ใช้แขนทั้งสองข้างยันเอาไว้กับเตียงในขณะที่จ้องตาอีกฝ่ายนิ่งๆ

 

“จะทำอะไรไอ้เด็กดื้อ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

 

“มาร์ชดื้อหรอ...แล้วถ้าดื้อจะรักไหม ถ้ามาร์ชตามใจ พี่ยอร์ชจะรักมากขึ้นหรือเปล่า”

 

“..ส..เสียว อ๊ะ..ยอร์ช”

 

“เรียกพี่ยอร์ชก่อนมาร์ช”

 

“อ๊ะ...อื้ออ พ...พี่ยอร์ช อ๊า”

 

น้องมาร์ชสายอ้อน ที่น้อยครั้งจะอ้อนพี่ยอร์ช อยากเห็นต้องมาตำในตอนนี้เลยจ้า~~~

 

 

ตอนพิเศษ3 ขออ้อนหน่อย (ยอร์ชมาร์ช)

 

พี่ยอร์ชคนเท่ เป็นยอร์ชคนแมน พี่ยอร์ชที่ถึงทนเหมือนควายในสายตาน้องมาร์ช วันนึงดันป่วยขึ้นมา จากผู้ชายใจหมา เอ้ย ใจใหญ่ กลับอ่อนปวดเปียกเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ... ป่วยแล้วไม่ไหว มาร์ชครับ ขอพี่อ้อนหน่อย~~

 

Ex.

 

“หนาว”

 

“โอเคงั้นเดี๋ยวกูไปปิดแอร์” ในตอนที่จะลุกก็ถูกฝ่ามือใหญ่ที่ตอนนี้ร้อนผ่าวกำเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

 

“จะไปไหน” พี่มันถามผมตอนที่กำลังจะก้าวลงจากเตียง

 

“จะไปปิดแอร์ แล้วเอาข้าวมาให้พี่มึงกินไง"

 

“ทำไมต้องดุ”

 

“ห๊ะ”

 

“โอเคๆ ไม่ได้ดุ แต่พี่ยอร์ชจะเอาอะไร”

 

“เอามาร์ช”

 

“เอากูไม่ได้ มึงไม่สบาย ห่านี่!”

 

ตอนพิเศษ4 วิดีโอคอล ... พาใครเสียว? NC18+ (จันทร์สมุทร)

 

เรื่องราวในตอนนี้ เป็นช่วงหลังจากที่พี่พระจันทร์กลับไทยไปแล้ว แต่น้องสมุทรยังคงต้องอยู่ที่จีนเพื่อเรียนต่อ ในช่วงเวลาที่ห่างไกลจากทั้งระยะทาง และความโหยหาทางกาย ทำยังไงถึงจะใกล้ชิดกันมากกว่าเก่า ไม่รู้แล้วว่าเรื่องที่กำลังจะเกิด เป็นเพราะน้ำเมาของเขียนฟ้า หรือเพราะความโหยหาพี่พระจันทร์กันแน่ ...ใครบอกน้องสมุทรใสๆ ก็ขอให้คิดใหม่เพราะต้องซี๊ดปากกับน้องสมุทรสุดแซ่บในเวอร์ชั่นนี้แน่ๆ ค่ะ

 

Ex.

 

ภาพตรงหน้าที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์คือพี่พระจันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะหนังสีดำในห้องนอนที่คอนโดของเขา

 

“พึ่งอาบน้ำ?”

 

“งื้ม น้องสมุทรพึ่งอาบน้ำ ตัวหอมมากเลยบอกตรงๆ”

 

((ไปไหนมา ทำไมถึงพึ่งอาบน้ำ) )

 

“วันนี้พวกเขียนฟ้าชวน”

 

.

.

.

"ตั้งใจยั่วกันหรอสมุทร"

 

"น้องสมุทรเปล่า"

 

((เปล่าแล้วกัดปากทำไม...อย่าทำหน้าแบบนั้น) )

 

“ทำไม ถ้าน้องสมุทรทำแล้วมันจะทำไมหรอ”

 

((มันจะทำให้กูอยาก) )

 

“อ่อ...อยากก็ทำสิครับ” ผมพูดออกไปแบบนั้น พอพี่พระจันทร์ได้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้นมานิดๆ สีหน้าและสายตานิ่งๆ ก่อนหน้านี้ที่มองมาเปลี่ยนเป็นดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจแทน

 

“ถ้าน้องสมุทรยั่ว แล้วพี่พระจันทร์จะไม่ทำหรอ” ผมกัดริมฝีปากอีกหน ในตอนที่อีกคนขยับตัวปรับมุมกล้องให้ได้องศามากยิ่งขึ้น มองเห็นทั้งตัวทั้งหน้า รวมถึงส่วนแข็งขืนที่ขึ้นลำตั้งแต่เมื่อไหร่ของอีกฝ่ายก็ไม่รู้

 

ผมเอื้อมมือไปถอดแว่นออกแล้วโยนไปไหวที่โต๊ะข้างหัวเตียงพร้อมๆ กระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ ตอนที่ใช้สายตาปรายไปมองหน้าคนที่ยังทำเป็นนิ่งสวนทางกับแกนกายของตัวเองอยู่ในจอ ผมเลื่อนมือลงไปปลดสายเสื้อคลุมออกนิดๆ ทำให้สาบเสื้อถูกทิ้งลงมาจนมองเห็นหัวไหล่ ไล้มือไปตามอกและสะกิดเขี่ยยอดอกของตัวเองนิดๆ รู้สึกอายแต่ในอีกทางก็รู้สึกชอบใจที่เห็นสายตาวาววับของพี่พระจันทร์

 

“น้องสมุทรอยากแกล้ง”

 

...แซ่บขนาดนี้ พี่พระจันทร์ไหวหรอ??

 

 

ตอนพิเศษ5 บทสรุปสุดท้ายของไอสวรรค์ (อัยย์)

 

เรื่องราวสุดท้ายที่ควรกล่าวถึง อัยย์ ... บทสรุปสุดท้ายที่จะบอกเล่าถึงเรื่องราวของเขา ว่าจะก้าวเดินต่อไปได้หรือไม่ หรือสุดท้ายเจ้าตัวจะยังจมปลักอยู่กับความรักที่ไม่มีจริง บทสุดท้ายนี้จะบอกเล่าเรื่องราวของอัยย์ให้ทุกคนได้รับทราบ เข้าใจ เห็นใจ และคิดถึง กับความรักที่มีอยู่ของแต่ละคน

 

Ex.

 

“ที่ผ่านมาขอโทษนะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น

 

“เหมือนว่าครั้งก่อนคำขอโทษของเรา มันยังเป็นคำขอโทษที่แค่พูดส่งๆ ไป แต่วันนี้เราอยากมาขอโทษจันทร์ ขอโทษสมุทรจากใจ ...เรา...มันเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เกือบจะทำลายความรักของเธอสองคนอย่างเห็นแก่ตัว เรามันทำลายหลายๆ อย่างเลย” ผมพูดออกไปแบบนั้น และได้รับเพียงความนิ่งเงียบกลับมา ...

 

บทสรุปสุดท้ายของทุกเรื่องราว ที่จะแต่งแต้มให้ทุกคนมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความคิดถึง และความรักอีกหลายหลายรูปแบบ เชิญทุกท่านมาสัมผัสไปด้วยกันกับพวกเค้า จนถึงอักษรตัวสุดท้ายไปด้วยกัน

 



 

หนังสือยังสั่งจองและโอนเงินได้ถึงเดือนตุลาคมเลยนะคะ

ท่านใดต้องการสั่งซื้อสามารถกดสั่งได้ที่ >> สั่งซื้อ (https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScnbxfNdqw6PfD21w_tmO4JAej9q5KMnI4fBXPuoSwecex1jw/viewform)
หรือสามารถทักทายมาหาแคทได้เลยที่แฟนเพจนิยายในFacebook >> YoghurtCattyค่ะ

ส่วนE-BOOK ออกพร้อมกับวันจัดส่งตัวเล่มนะคะ

ไม่อยากให้ทุกท่านพลาดบทสรุปของเรื่องราวในครั้งนี้ค่ะ

ขอบคุณและคิดถึงคนอ่านทุกท่านที่อยู่ด้วยกันมาเสมอจริงๆ ค่ะ

แคทขอฝากหนังสือเรื่องนี้ ไว้กับทุกท่านอีก1เรื่องนะคะ ^^

หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 01-11-2022 22:32:48
แอบมาตามให้กำลังใจคุณแคทน้า
หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 01-11-2022 23:02:46
 :katai1: ค้างงงๆๆ
ปล แฮปย้อนหลังค่า มีความสุขมากมายนะค้าคุณแคท :L2:
หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 02-11-2022 09:08:26
เกือบแล้วพี่จันทร์ เกือบยกตำแหน่งพี่จันทร์ให้พี่อาทิตย์แล้วววว  :katai3:
หัวข้อ: Re: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 25-07-2023 21:34:35
 :hao7: :hao7: :hao7: