27th Lies : พังทลายอีกครั้ง
หลังจากยืมมือมารดาของคามินมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างปราณันต์และคามินไม่สำเร็จ พรวลัยจึงต้องลงมาจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เธอให้คนไปตามสืบพฤติกรรมของคามินมาลับๆ ช่วงหนึ่งแล้ว รูปถ่ายระหว่างคามินและเด็กผู้ชายหน้าหวานคนนั้น วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงานของพรวลัยเต็มไปหมด
เธอหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู เป็นรูปของคามินกำลังยิ้มกว้าง เขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากของชายหนุ่มโผล่ตัวออกมาราวกับจะแสดงว่าเจ้าของของมันกำลังอารมณ์ดีมากแค่ไหน โดยแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของคนในภาพโอบอุ้มเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไว้ในอ้อมกอด ส่วนมือใหญ่ข้างหนึ่งของคามินกำลังกุมมือเล็กๆ ของผู้ชายหน้าหวานคนนั้นไว้... คนที่ชื่อปราณันต์
“พนิดา ฉันต้องการประวัติและข้อมูลของไอ้ผู้ชายคนนี้ทั้งหมด เอามาให้ละเอียด ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนฉันต้องการรู้ และก็เอามาให้เร็วที่สุดด้วย”
พรวลัยสั่งพนิดาเลขาส่วนตัวด้วยน้ำเสียงเผด็จการ คนถูกสั่งก็ได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก เพราะไม่รู้ว่าคำว่าเร็วที่สุดที่เจ้านายเธอต้องการนั้นมันคือเมื่อไหร่ จะถามก็ไม่กล้า เพราะกิตติศัพท์ความวีนแตกของพรวลัยนั้นไม่เคยเป็นรองใครอยู่แล้ว
“ได้ค่ะคุณวลัย นิดาจะรีบจัดการให้ค่ะ” ดังนั้น การรับปากไปก่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“งั้นก็รีบไปสิ จะมายืนโง่อยู่ตรงนี้ทำไม”
พรวลัยตวาดเสียงกร้าว ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวแสดงความไม่พอใจถึงขีดสุด เลขาฯ สาวถึงกับลนลานรีบเดินกึ่งวิ่งออกจากห้อง ทิ้งให้เจ้านายผู้ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวยิ่งกว่าใครนั่งอยู่ท่ามกลางกองรูปของคามินและปราณันต์ที่ดูเหมือนกำลังมีความสุข ขัดกับไฟที่กำลังสุมอกพรวลัยอยู่ตอนนี้เสียจริง
หญิงสาวกวาดรูปที่วางกองอยู่บนโต๊ะลงพื้น ยิ่งดูเธอยิ่งไม่พอใจ ในขณะที่คามินดูมีความสุขเหลือเกินยามอยู่กับผู้ชายคนนั้น แต่กับเธอยามอยู่ด้วยกัน คามินมีแต่ความเฉยชา ความไม่ยินดียินร้าย อย่าว่าแต่จะยิ้มเลย แม้แต่จะพูดด้วยสักคำยังยาก คามินจะนั่งนิ่งเป็นหุ่นจนทำให้เธอสุดแสนจะหงุดหงิด อยากจะตะโกนกรี๊ดใส่ซ้ำๆ เผื่อคามินจะเกิดทุกข์ร้อนขึ้นมาบ้าง เพราะสิ่งที่พรวลัยเกลียดที่สุดคือการถูกเมินไม่สนใจ
เธอได้แต่คิดอย่างเคียดแค้นว่าผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบเธอ มีอะไรบกพร่องตรงไหน เธอทั้งสาว ทั้งสวย น้ำเสียงก็น่าฟัง รูปร่างและทรวดทรงองค์เอวของเธอก็เป็นแบบที่ผู้ชายคนไหนๆ ก็ฝันถึง เธอสู้ปราณันต์คนนั้นไม่ได้ตรงไหน เธอมีอะไรที่ด้อยกว่ามันคนนั้นบ้าง เด็กนั่นทั้งจน ทั้งไม่แต่งตัว แถมยังมีน้องเล็กๆ ถึงสองคนที่เป็นภาระให้ดูแล ดังนั้น เธอจึงไม่เข้าใจคามินเลยว่า ไปหลงอะไรมันนักหนา ถึงได้เลือกที่จะไม่แคร์เธอได้ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นคู่หมั้นค้ำคออยู่ คงพามันเดินเชิดไปไหนมาไหนทั่วทั้งบริษัทแล้ว ตอนนี้คงไม่อยากให้มันอายหรือเป็นขี้ปากชาวบ้านเลยต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้วยกัน เหมือนพวกลักกินขโมยกิน...
พรวลัยคิดได้ถึงตรงนี้ก็ชะงักไป ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงสดกำลังแสยะยิ้มร้ายกาจ ดูเหมือนว่าเธอจะมีความคิดดีๆ ในการทำลายความสุขของคนทั้งสองแล้วล่ะ
.
.
.
หลังจากผ่านช่วงเวลาอกสั่นขวัญแขวนไปแล้ว ตอนนี้คามินกำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับปราณันต์ในห้องนั่งเล่น คนตัวเล็กทำเป็นหยิบนู่นจับนี่ไม่ยอมสนใจเขาสักนิด คนตัวโตกว่าเลยได้แค่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นี่ขนาดแม่มาออกตัวให้ขนาดนี้แล้ว ปราณันต์ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อีก คนอะไรใจแข็งชะมัด
“คุณปราณครับ มองผมหน่อย”
และถึงแม้คามินจะอ้อนแค่ไหน ปราณันต์ก็ยังไม่หวั่นไหว คนใจแข็งแกล้งทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินคนตรงหน้าที่จ้องแล้วจ้องอีกเรียก ตากลมเสมองไปทางเจ้าหนูน้อยฝาแฝดที่กำลังนอนระบายสีอยู่อย่างขะมักเขม้น จนสุดท้ายมือใหญ่ต้องยื่นมาประคองแก้มทั้งสองข้างของคนดื้อ แล้วรั้งให้หันกลับมาทางตน
“ทำไมเมินผมเด็กดื้อ” พูดไม่พูดเปล่า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกลับยื่นเข้ามาใกล้ พร้อมกับจุ๊บเบาๆ ลงบนริมฝีปากอิ่มสีสด และแน่นอนว่าพอคามินผละออก ปราณันต์ก็โวยวายทันที
“คุณนี่! ทำไมชอบทำแบบนี้ ถ้าเด็กๆ หันมาเห็นจะทำยังไง” แก้มทั้งสองข้างของคนที่กำลังโวยวายเสียงลอดไรฟันขึ้นสีแดงระเรื่อ คามินได้แต่นึกอยากฟัดอยู่ในใจแต่ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร เพราะกลัวเจ้าลูกแมวตัวใหญ่เล่นงานเอา
“ก็คุณปราณไม่สนใจผม” คนตัวโตกว่าพูดอย่างเอาแต่ใจ “สนใจผมหน่อยสิครับ แม่มาเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว ทำไมยังเมินผมอยู่อีกล่ะ”
คามินทวงถามตาใส ใบหน้าหล่อเหลาออกอาการออดอ้อนเต็มที่ ปราณันต์ได้แต่ทำหน้านิ่ง ทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก คามินเวอร์ชั่นนี้ปรากฎตัวถี่มากช่วงหลังจากกลับมาคบกัน ... จะเรียกว่ากลับมาคบกันก็คงไม่ถูกนัก เรียกว่าถูกบังคับให้กลับมาคบจะดีกว่า
ปราณันต์ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ ทีเวลาคามินอยู่ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะเวลาอยู่ที่บริษัท ก็เห็นทำหน้าตาย นิ่ง ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับเรื่องรอบข้างได้ แต่ทำไมพอเวลาอยู่กับเขาลูกเล่นของคนๆ นี้ถึงได้แพรวพราวนัก พักหลังยิ่งเอาใหญ่ เป็นมากกว่าตอนที่จีบเขาแรกๆ เสียอีก
“นั่นมันเรื่องของคุณกับครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของผม” ปราณันต์ยังคงเถียงไม่ลดละ ใบหน้าน่ารักออกอาการดื้อดึงอย่างเห็นได้ชัด ลองถ้าปราณันต์ไม่ยอม ยังไงเขาก็ไม่ยอม ที่ผ่านมาคามินทำกับเขาไว้มากขนาดไหน เขายังจำมาจนถึงทุกวันนี้ กับอีแค่แม่ของอีกฝ่ายมาพูดไม่กี่ประโยค จะให้เขาทำใจเชื่อได้ทันทีเลยหรือไงว่าคามินอยากจะกลับมาคบกับเขาจริงๆ
... บางทีเรื่องบางเรื่องมันใช้แค่การกระทำพิสูจน์ไม่ได้หรอก การกระทำมันต้องมาควบคู่กับคำพูด แล้วมาจนถึงวันนี้ คามินได้พูดถึงความรู้สึกตัวเองออกมาชัดๆ ให้ปราณันต์ได้รู้บ้างรึยัง คำตอบคือไม่เคยเลย ไม่มีคำพูดนั้นเลยสักครั้ง ...และพอนึกได้แบบนั้น ลำคอขาวของร่างบางก็ตั้งตรงอีกครั้ง ปราณันต์ไม่ยอมสบตาคามินเลยตั้งแต่พูดประโยคนั้นจบ จนคามินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเขยิบร่างกายใหญ่โตเข้ามาหาปราณันต์นั่นแหละ เขาถึงได้รู้ตัวว่าถูกคนตรงหน้ากักตนเองไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว
อ้อมกอดอบอุ่นรัดตัวปราณันต์ไว้เบาๆ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนใจ
“คุณปราณ ทำไมใจแข็งจังเลยครับ ที่ผ่านมาผมยังพิสูจน์ตัวเองให้คุณเห็นไม่มากพออีกหรอว่าผมจริงจังกับคุณมากแค่ไหน ให้โอกาสผมหน่อยได้ไหมครับคนดี”
จมูกโด่งไล้ไปมาที่แก้มใสของคนในอ้อมแขนที่ตอนนี้กำลังดิ้นดุ๊กดิ๊ก เพื่อประท้วงให้อีกฝ่ายปล่อยอย่างไม่ยอมแพ้
“คุณทำอะไร คุณพิสูจน์อะไรให้ผมเห็นบ้าง เรื่องที่คุณบังคับผมให้มาอยู่ด้วย? เรื่องที่คุณหลบๆ ซ่อนๆ ผม ไม่ให้คู่หมั้นคุณรู้? แล้วเรื่องอะไรอีกนะ เรื่องที่คุณขู่จะไล่เพื่อนผมออกจากงาน? นั่นคือทั้งหมดที่คุณพูดว่าคุณทำเพื่อผมใช่ไหมครับคุณคามิน”
ปราณันต์เริ่มโมโห เมื่อเห็นว่าคามินพูดทวงความดีความชอบของตัวเอง โดยที่ไม่ได้มองถึงความเอาแต่ใจที่ได้ทำลงไปเลยสักนิด แบบนี้จะมาพูดว่าทำเพื่อเขาหน้าตาเฉยได้ยังไงกัน
“ผมขอโทษ แต่ผมมันก็เป็นแบบนี้ ผมแสดงความรู้สึกไม่เก่ง ผมไม่รู้ว่าจะมีทางไหนบ้างที่จะรั้งให้คุณกลับมาหาผมได้ ผมรู้ว่าแต่ละเรื่องที่ผมทำไปมันเห็นแก่ตัว แต่จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อผมเสียคุณไปไม่ได้จริงๆ”
คามินพูดออกมายาวเหยียด ตากลมสบนิ่งไปที่ดวงตาเรียวคมของคามิน ดวงตาที่เขาเคยรักและหลงใหลมากที่สุด ปราณันต์พยายามรวบรวมความกล้า แล้วเสี่ยงกับคนตรงหน้าดูอีกสักครั้ง
“แล้วทำไมคุณถึงเสียผมไปไม่ได้ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากรั้งให้ผมอยู่กับคุณ”
หลังจากถามออกไป คนตัวเล็กกว่าก็กำมือเข้าหากันแน่น ฟันซี่งามขบลงบนริมฝีปากล่างตัวเองเหมือนกับคนเครียดที่หาทางระบายออกไม่ได้ ตากลมสบนิ่งไปที่ตาคม ปราณันต์ต้องการรู้ และสิ่งที่โกหกกันยากที่สุดคือดวงตา เขาจะไม่ยอมถูกคามินหลอกซ้ำหลอกซากอีกแน่ๆ
ปราณันต์กำลังเสี่ยงดวง เขาจะยอมเสี่ยงเพื่อความรักของตัวเองอีกครั้ง ขอเพียงคามินบอก ตอบเขาออกมาด้วยใจจริง เขาจะยอมละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด และให้อภัยคนตรงหน้าอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าคำตอบไม่ออกมาเป็นอย่างที่เขาคิด เขาคงจะต้องยอมแพ้ แล้วเลิกหวังอะไรลมๆ แล้งๆ เสียที
“ปราณ ... ผม.. คือ ... ผม” คามินอึกอัก ไม่สามารถตอบคำถามของปราณันต์ได้ และในขณะเดียวกัน แววตาคมคู่นั้นที่เคยมั่นใจในตัวเองเกือบทุกเรื่องก็แสดงออกถึงความลังเลอย่างเห็นได้ชัด
และเมื่อภาพที่ปราณันต์เห็นเป็นเช่นนั้น มือบางก็ค่อยๆ ดันอกคนตรงข้ามออกช้าๆ รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฎอยู่บนริมฝีปากอิ่ม ปราณันต์ก้มหน้าซ่อนน้ำตาไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะร้องขอให้คามินปล่อย
“พอเถอะครับ แค่นี้คุณยังตอบคำถามผมไม่ได้ คุณก็อย่าพยายามมันต่อไปเลย ปล่อยผมเถอะ”
แต่คามินยังคงดื้อดึง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องลังเล ไม่แน่ใจ มีเหตุผลอะไรที่เขาตอบปราณันต์ไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่คามินพยายามถามตัวเองอยู่เสมอ
“ปราณ ผม...”
และยังไม่ทันที่คามินจะพูดได้จบประโยค ปราณันต์ก็กลับพูดสวนออกมาก่อน เป็นสิ่งที่คามินคาดไม่ถึงว่าปราณันต์จะพูดมันออกมาตรงๆ
“แค่คุณจะพูดว่ารักผมจากใจของคุณจริงๆ คุณยังพูดไม่ได้เลย แล้วคุณจะหวังให้ผมเชื่ออะไรคุณอีก ... ผมเจ็บมามากพอแล้วคามิน ถ้าคุณไม่ได้รักผม คุณปล่อยผมไปได้ไหม อย่าทรมานผมแบบนี้อีกเลย ผมขอร้อง”
ปราณันต์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับคามินทั้งที่น้ำตาไหลนองตามสองข้างแก้ม คามินที่มองเห็นภาพตรงหน้าก็เจ็บในหัวใจไปหมด
....แค่จะพูดว่ารัก ทำไมมันถึงยากเย็น คามินได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ อย่างไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ที่พร่ำพูดให้ปราณันต์ได้ยินตลอดว่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของแผน ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ แต่พอถึงเวลาที่ต้องพูดจริงจัง คามินกลับพูดไม่ออก เขายอมรับว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกกับปราณันต์ยังไง โอเค ใช่ เขาเสียปราณันต์ไปไม่ได้ แต่มันมากพอจะเป็นความรักแล้วหรือยัง ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีความกล้ามาพอที่จะพูดคำๆ นั้นออกไป เขาไม่อยากโกหกปราณันต์ เขาอยากจะแน่ใจจริงๆ เพื่อที่เวลาบอกคำนั้นกับปราณันต์ เขาจะได้พูดมันอย่างภาคภูมิ ไม่มีอะไรให้ต้องติดค้างในใจกันอีก
แต่ปราณันต์กลับไม่คิดแบบนั้น เขาไม่สามารถรับรู้ความคิดของคามินได้ ตอนนี้ปราณันต์คิดแค่ว่าตัวเองเป็นของเล่นแก้เหงาสำหรับคนตรงหน้า ไม่มีค่า ไม่มีราคา ไม่มีอะไรทั้งนั้น แม้แต่ความรักสักเศษเสี้ยวที่เขาหวังว่าคามินจะมีให้เขาบ้างสักช่วงเวลาหนึ่ง คามินยังมีให้ไม่ได้เลย แล้วเขาจะยังคาดหวังอะไรได้อีก
ปราณันต์ปาดน้ำตาออกลวกๆ และพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงที่ตอนนี้คลายลงเพราะยังคงตกใจกับคำถามของปราณันต์เมื่อกี้อยู่ ก่อนที่เสียงหวานจะเอ่ยเรียกน้องชายทั้งสอง เพราะอยากจะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ เราไปอาบน้ำกันดีไหม เดี๋ยวดึกแล้วจะอากาศหนาวนะ”
เจ้าหนูทั้งสองก็แสนว่าง่าย พอพี่ชายเรียกก็จัดการเก็บสมุดสีที่ใช้ระบายลงกล่อง แล้วไปวางในที่ๆ มันควรอยู่อย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะลุกไปจูงมือเล็กๆ ของปราณันต์ แล้วเดินออกไปจากนั่งเล่นพร้อมกัน ทิ้งให้คามินนั่งหน้าเศร้า คิดแก้ปัญหาไม่ตก ตอนที่แม่มาช่วยพูด เขาก็คิดว่าเรื่องระหว่างเขากับปราณันต์ น่าจะไม่ยุ่งยากอะไรแล้ว แต่เขาคิดผิด ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับใครเลยทั้งนั้น มันอยู่ที่เขาเอง ตัวคามินคนนี้คนเดียว
คนตัวโตได้แต่พูดซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองว่าได้เวลาทบทวนความรู้สึกตัวเองอย่างจริงจังเสียที ก่อนที่เขาจะเสียปราณันต์ไปตลอดกาล
.
.
.
พรวลัยที่เพิ่งจะคิดแผนอะไรบางอย่างออก ก็เรียกเลขาฯ คนสนิทให้กลับเข้ามาหาตัวเองในห้องอีกครั้ง
“พนิดา เรื่องประวัติของเด็กนั่นให้คนอื่นไปทำต่อ ส่วนเธอเข้ามาหาฉัน ฉันมีงานสนุกๆ ให้เธอทำ รับรองไอ้เด็กปราณันต์นั่นได้ดังสมใจแน่”
เลขาฯ ของพรวลัยได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้ว่าพรวลัยจะสั่งให้ทำอะไร
“คุณวลัยสั่งนิดามาได้เลยค่ะ นิดาจะจัดการทุกอย่างไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว”
ริมฝีปากสีแดงสดของผู้หญิงสวยจัดตรงหน้าแสยะยิ้มร้ายกาจ ดวงตาเรียวเฉี่ยวภายใต้แพขนตาที่ดัดงอนไว้อย่างสวยงามสะท้อนไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพียงแค่นึกถึงแผนที่ตัวเองวางไว้ คู่หมั้นสาวของคามินก็แทบจะรอเห็นความหายนะของปราณันต์แทบไม่ไหว
ในเมื่ออยากจะแย่งของๆ เธอนัก ก็ประกาศให้รู้ทั่วบริษัทเลยเป็นไง ทุกคนจะได้รู้ว่าหน้าตาของคนที่ชอบแย่งของๆ คนอื่นมันเป็นยังไง แล้วตัวพรวลัยเองก็อยากรู้ด้วยว่าปราณันต์จะทนตากหน้าให้คนอื่นนินทาได้สักกี่น้ำ แล้วคนเย็นชาอย่างคามินล่ะ จะมีปัญญาปกป้องปราณันต์ได้ไหม เธอล่ะอยากจะรู้จริงๆ
หึ! แค่คิดก็สนุกเป็นบ้าแล้ว
“เอารูปพวกนั้น” พรวลัยชี้ไปที่พื้นห้องที่มีรูปของคามินและปราณันต์ตกกระจายอยู่ตอนที่เธอกวาดมันลงจากโต๊ะทำงาน โดยมีพนิดามองตามนิ้วเรียวสวยไปอย่างแปลกใจ ก่อนที่จะร้องอ๋อ เมื่อพรวลัยพูดประโยคถัดมา
“เลือกรูปที่เห็นปราณันต์ชัดๆ เอาไปติดประจานให้ทั่วออฟฟิศของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ จ้างคนเข้าไปติดอย่าให้ใครรู้ ฉันจะคอยดูน้ำหน้าของพวกที่มีความสุขนักหนา อยากจะรู้นัก มันจะแก้ปัญหากันยังไง”
พรวลัยหัวเราะเบาๆ ราวกับเจอเรื่องสนุกเสียเต็มประดา ส่วนเลขาฯ สาวก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่ละเรื่องที่พรวลัยให้เธอทำนั้นไม่ง่ายเลย ก่อนที่เธอจะพบว่าพรวลัยสามารถทำให้มันยากขึ้นไปกว่านั้นได้อีก
“ได้ค่ะคุณวลัย นิดาขอเวลาสัก...” พนิดายังพูดไม่ทันจบว่าจะขอเวลาสักสองสามวัน แต่วลัยกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน
“พรุ่งนี้ ฉันต้องการเห็นภายในวันพรุ่งนี้เท่านั้น พรุ่งนี้วันจันทร์ ฉันอยากให้อาทิตย์นี้เป็นการเริ่มต้นอาทิตย์ที่ดีของปราณันต์ หึ!”
“รับทราบค่ะคุณวลัย” พนิดาก็ต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้ ยังไงเสียพรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบจัดการให้เสร็จ
“ดี! แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปดูความย่อยยับของไอ้ปราณันต์ด้วยตาของตัวเอง ท่าทางคงจะสนุกพิลึก ฮ่าๆๆ”
วลัยพูดพลางหัวเราะอย่างชอบใจ พนิดาได้แต่เหลือบมองรูปในมือของตัวเอง แล้วแอบเอาใจช่วยผู้ชายหน้าหวานในรูป ศัตรูหัวใจของเจ้านายเธอ ให้อยู่รอดปลอดภัย และเข้มแข็งพอจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยเถอะ
.
.
.
และแล้ววันจันทร์ก็มาถึง พรวลัยรอวันนี้ด้วยหัวใจจดจ่อ เธอแต่งตัวสวยเพื่อเตรียมตัวไปยังบริษัทของคามิน เธออยากจะรอดูน้ำหน้าของปราณันต์ ยามโดนคนทั้งออฟฟิศนินทาแบบไม่เกรงใจ เธออยากรู้เหลือเกินว่าคนหน้าด้านแบบนั้นจะมีปัญญาแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไง
ทางฟากคามินกับปราณันต์ตั้งแต่คำถามที่คนตัวเล็กกว่าถามมาเมื่อวานแล้วคามินให้คำตอบไม่ได้ ก็ดูเหมือนว่าวันนี้ปราณันต์จะนิ่งเฉยกว่าเดิมเยอะมาก หลังจากส่งฝาแฝดและร่ำลาพวกแกที่โรงเรียนอนุบาลเสร็จ ระหว่างทางไปออฟฟิศปราณันต์ก็นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จากับคามินตลอดทาง คนตัวโตถามอะไรก็ตอบมาเป็นคำๆ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คามินหงุดหงิดใจที่สุด
“คืนนี้ผมไม่ให้คุณปราณหนีไปนอนห้องน้องเหมือนเมื่อคืนแล้วนะครับ ผมรอให้คุณกลับมาทั้งคืนเลยรู้ไหม”
ปราณันต์ไม่ตอบแต่กลับผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ท่าทางเฉยเมยของคนตัวเล็กกว่า ยิ่งทำให้คามินหงุดหงิด
เมื่อคืนหลังจากพาเด็กๆ ไปอาบน้ำ ปราณันต์ก็เข้าไปขลุกอยู่ในห้องของปุณณกันต์กับปัณณธรไม่ยอมออกมา ตอนแรกคามินก็วางใจเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังอ่านนิทานกล่อมให้น้องหลับอยู่ เขาเองก็ตั้งใจว่าถ้าปราณันต์กลับมาที่ห้องเขาก็จะพูดให้ร่างบางรู้ถึงเหตุผลที่เขาให้คำตอบที่ปราณันต์ต้องการทันทีไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร
แต่คามินรอแล้วรอเล่า รอจนดึกปราณันต์ก็ไม่กลับเข้ามา เขาเลยตัดสินใจไปตามคนดื้อตาใสถึงห้องของเด็กแฝด แต่ปรากฎว่าปราณันต์กลับล็อคห้องทำให้เขาเข้าไม่ได้ คามินเองก็ไม่อยากจะเคาะหรือทำอะไรที่เสียงดังให้เด็กๆ ที่อาจจะหลับไปแล้วตกใจตื่น เลยต้องถอยร่นกลับมาที่ห้องตัวเอง แล้วนอนเหงาๆ พลิกไปพลิกมาจนเกือบจะเช้านั่นแหละ
“คุณปราณครับ ผมพูดกับคุณอยู่นะ” เมื่อเห็นว่าคนข้างกายยังเฉย คามินจึงย้ำเสียงเข้ม และยิ่งพอปราณันต์ไม่หือไม่อือ ยิ่งทำให้คามินอยากจะจับคนดื้อที่กำลังทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวมาฟัดจูบให้หายทำมึนตึงกับเขาเสียที
“…” ปราณันต์ก็ยังคงนิ่ง ไม่ตอบโต้
“ถ้าอีกรอบไม่หันมา ผมจะจับคุณจูบให้ขาดใจเลยคอยดู” คามินยื่นคำขาด นั่นทำให้ใบหน้าสวยหวานหันขวับมา พลางใช้ตากลมโตค้อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แบบที่ให้รู้ว่าคนมองไม่กำลังไม่พอใจสุดๆ
“คุณมันก็ดีแต่ใช้กำลังกับผม แล้วแบบนี้ยังจะอยากให้ผมคุยดีๆ กับคุณอีกหรอ?” เสียงหวานสั่นพร่า ราวกับว่าคนพูดเองก็เจ็บในหัวใจไม่น้อย ทำเอาคนได้ยินอย่างคามินเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาฉับพลัน
“ผมขอโทษ ผมแค่ไม่อยากให้คุณปราณเมินผม” คนตัวโตพูดพลางใช้มือใหญ่เอื้อมไปเกี่ยวรั้งเอวบางของคนตัวเล็กกว่าไว้ พลางก้มลงกดจูบเบาๆ ลงบนลาดไหล่เรียวราวกับอยากจะง้องอน
“ปล่อยเถอะครับ จะถึงออฟฟิศแล้ว” ปราณันต์ดิ้น แต่คามินก็ยังคงโอบกอดร่างบางไว้ไม่ยอมปล่อย
“อยู่แบบนี้อีกแปปนึงไม่ได้หรอครับ”
จมูกโด่งเป็นสันของคนตัวโตไล้ไปมาเบาๆ ที่ลำคอขาวของปราณันต์อย่างไม่ยอมแพ้ คามินไม่สนใจหรอกว่าต้องใช้วิธีไหน ขอแค่ให้ปราณันต์ใจอ่อนลงเป็นพอ เพราะความมึนตึงจะยิ่งทำให้เขากับคนตรงหน้านี้ห่างกัน แค่นี้อุปสรรคระหว่างเขาสองคนก็มากเกินพอแล้ว ถ้าคามินสามารถรักษาพื้นที่ระหว่างเขากับปราณันต์ในเวลานี้ไว้ได้ ถึงแม้มันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยขอแค่มันไม่เพิ่มปัญหาระหว่างเขากับปราณันต์ให้มากขึ้นไปกว่านี้ก็ยังดี
รถที่แทนคุณขับพาปราณันต์กับคามินมาที่ออฟฟิศค่อยๆ จอดเทียบหน้าประตูใหญ่ ร่างบางหันมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก เพราะมัวแต่ดิ้นสะบัดให้ตัวเองหลุดจากอ้อมกอดแข็งแรงของคนตัวโตนี่ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้แทนคุณขับรถมาจ่ออยู่ที่หน้าประตูใหญ่แล้ว
“คุณแทนคุณ ทำไมวันนี้ไม่ไปประตูหลังล่ะครับ” ปราณันต์ถามแทนคุณเสียงหลง “ผมจะลงตรงนี้ได้ยังไง เกิดคนอื่นเห็นขึ้นมา..”
ปราณันต์พูดไม่จบประโยคเพราะตัวเขาเองก็ไม่กล้าจินตนาการว่าถ้ามีคนรู้เรื่องระหว่างเขากับคามินแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไหนจะสายตาของคนทั้งบริษัท แล้วไหนจะคุณพรวลัยคู่หมั้นของคามินอีก...
ตากลมหลับลงช้าๆ ราวกับอยากจะสกัดกั้นทุกจินตนาการ ทุกความฟุ้งซ่าน เพราะไม่อยากจะทำให้ตัวเองวุ่นวายใจไปมากกว่านี้ และคามินเองก็เหมือนจะรู้ว่าปราณันต์กำลังคิดอะไร จึงใช้มือใหญ่ลูบศีรษะกลมเบาๆ พลางปลอบประโลมด้วยคำพูดที่อ่อนโยน น้ำเสียงที่ฟังกี่ทีปราณันต์ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสามารถทำให้เขาสงบลงได้เสมอ ไม่ว่าตอนนั้นจะกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ก็ตาม
“คุณปราณลงตรงนี้แหละครับ ลงไปคนเดียวไม่มีใครสงสัยหรอก เดี๋ยวผมไปลงข้างหลังเอง ทางตรงนั้นมันข้าวของเยอะ เดินลำบาก ไม่ต้องกังวลนะครับคนดี”
พอพูดจบริมฝีปากหยักก็จูบลงบนขมับของคนในอ้อมกอดเบาๆ ก่อนที่คามินจะยอมคลายวงแขนเพื่อให้ปราณันต์เป็นอิสระ นั่นทำให้คนตัวเล็กกว่ารีบคว้ากระเป๋าแล้วผลุนผลันลงจากรถทันที เพราะกลัวว่าถ้าช้าอีกแม้แค่วินาทีเดียว คามินจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเอง .... ปราณันต์แพ้เสมอเวลาที่คามินดูแลและเอาใจใส่ ไม่มีทางเลยที่จะชนะสักครั้ง ไม่มีทาง
.
.
.
หลังจากเข้ามาในออฟฟิศได้ ปราณันต์ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพื่อนพนักงานต่างจับจ้องและมองเขาแปลกๆ เสียงซุบซิบนินทาดังออกมาจากทั่วทุกตารางนิ้วที่ปราณันต์เดินผ่าน คนตัวเล็กได้แต่เดินกำมือแน่นไปตลอดทางที่จะไปห้องทำงานของทีมโปรเจ็กต์พิเศษ เขาทั้งกังวลและไม่สบายใจ เมื่อกี้ปราณันต์ก็ว่าสำรวจดีแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านมาถึงได้ยอมลงจากรถ และถึงแม้ว่าจะมีคนเห็นว่าเขาลงจากรถ แต่ก็ไม่น่าจะมีใครได้เห็นคามินที่นั่งอยู่ด้านใน ปราณันต์คิดว่ายังไงเขาก็คงไม่โชคร้ายโดนจับได้เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้แน่ๆ
แต่ถ้าปราณันต์รู้ว่าวิธีเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคามินเป็นการที่คนอื่นได้เห็นเขาก้าวลงจากรถคามินน่าจะดีกว่าการถูกเปิดเผยความสัมพันธ์แบบที่พรวลัยยัดเยียดให้เขาเจอ...
ปราณันต์พยายามทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะสาวเท้าให้เร็วขึ้น มือบางล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง เพื่อหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่งขึ้นมา ก่อนจะพบว่าเขาลืมเปิดเสียงมันไว้ นั่นทำให้มีเบอร์ที่เขาไม่รับทั้งของนทนัทและกันต์กวีรวมยี่สิบกว่าสาย ตากลมเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่นทกับกวีถึงกระหน่ำรัวโทรหาเขาแบบนี้
พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์ก็โทรกลับหานทนัชทันที และเมื่อนทนัชรับสาย ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ปราณันต์เดินมาถึงหน้าห้องทำงานของทีมโปรเจ็กต์แล้ว
“ปราณ! หายไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงนทนัชที่ดังทะลุโทรศัพท์ออกมาควรจะทำให้ปราณันต์ตกใจ แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ปราณันต์ตกใจกลับเป็นรูปของตัวเองและคามินที่กำลังติดหราอยู่ที่บอร์ดข่าวสารของทีมหน้าห้องมากกว่า รูปที่มองยังไงก็เห็นได้ชัดเจนว่าสองคนในภาพไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแค่เจ้านายกับลูกน้อง
“นี่มัน...” เสียงปราณันต์แทบจะเลือนหายไปในคอ นทนัชเองพอได้ยินเสียงปราณันต์เป็นแบบนั้นก็นึกรู้ได้ทันทีว่ารุ่นน้องในทีมของตนคงได้เห็นภาพพวกนั้นที่ติดว่อนไปทั่วบริษัทแล้ว
หัวหน้าทีมร่างเล็กจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วก็ได้เห็นรูปร่างบอบบางของปราณันต์หยุดยืนอยู่หน้าห้อง ขนาดมองไกลๆ จากตรงนี้ นทนัชยังเห็นได้ชัดเจนว่าปราณันต์กำลังตัวสั่น มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ตกลงมาข้างตัวคล้ายคนกำลังหมดเรี่ยวแรง
“ปราณ!” นทนัชกดวางสาย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้ววิ่งเข้าไปหาปราณันต์ที่ยืนเหมือนกำลังจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ทันที โดยมีกันต์กวีที่เพิ่งมาถึงวิ่งตามมาติดๆ
“พี่นท.. นี่มันอะไรกันครับ” ปราณันต์หันไปถามนทนัชด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ใบหน้าหวานสวยกลับซีดขาวลงทันตาเมื่อได้เห็นว่าภาพของเขาคามินติดหราอยู่หน้าห้องทำงานแบบนี้... ยังไงก็ต้องมีคนได้เห็นมันแล้ว มาจนถึงตอนนี้ปราณันต์ก็ได้แต่หลับตาลงช้าๆ เหมือนกับรับรู้และเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมตลอดทางที่เขาเดินผ่านมา คนในออฟฟิศถึงได้มองเขาแบบนั้น
ในภาพเป็นรูปที่คามินกำลังใช้แขนแข็งแรงโอบรอบเอวของผู้ชายร่างบางคนหนึ่งไว้ ร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดติดกัน และในรูปนั้นคามินกำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนๆ นั้น ซึ่งมันดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่คามินกลับไม่ได้ทำแค่พูด จมูกโด่งของเจ้าของใบหน้าคมคายนั่น ก็กำลังฉกลงบนแก้มขาวของคนที่อยู่ในอ้อมแขนด้วย และคนในอ้อมแขนของคามินก็คือ เขาคนนี้... ปราณันต์
และที่เลวร้ายไปกว่านั้น ในภาพที่ทุกคนเห็นตรงกลางมีข้อความว่า
‘นี่สินะ เหตุผลที่แท้จริงของการที่ปราณันต์ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมทีมโปรเจ็กต์ของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้’กันต์กวีเมื่อพอได้เห็นภาพและข้อความเหล่านั้นก็สบถคำหยาบคายออกมายาวเหยียดจนนทนัชห้ามไว้แทบไม่ทัน และในขณะที่คิดว่ากำลังจะเอายังไงกันดีอยู่นั้น ประตูห้องทำงานก็เปิดออก เพื่อนร่วมทีมสองคนกำลังเดินออกมา นทนัชจึงต้องดึงกึ่งลากปราณันต์ที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงเพราะตกใจให้มาหลบข้างเสาต้นใหญ่ เพราะการที่จะให้คนอื่นเห็นปราณันต์ในเวลานี้นั้นมันน่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
“นี่นายเห็นรูปปราณันต์กับท่านประธานรึยัง?”
ดูเหมือนว่าหัวข้อสนทนาที่เพื่อนร่วมทีมโปรเจ็กต์กำลังกล่าวถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ปราณันต์อยากได้ยินเท่าไหร่ คนตัวเล็กที่ดูเปราะบางเหลือเกินในเวลานี้พิงร่างเข้ากับเสา พลางหลับตาลงช้าๆ เผื่อว่าเรื่องที่เขากำลังจะได้ยินมันจะเลือนหายไป ไม่ต้องมารับรู้ให้เจ็บปวดแบบนี้อีก แต่ความจริงมันกลับตรงกันข้ามเพราะทุกประโยคที่สองคนนั้นกำลังพูดถึง ดังเสียดแทงทะลุและเฉือนหัวใจปราณันต์จนเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี
“เห็นแล้ว ตอนแรกก็แปลกใจนิดหน่อย ว่าทำไมท่านประธานถึงเลือกเด็กขนาดนี้เข้ามาร่วมทีม แต่ตอนนี้ไม่แปลกใจละ... เหอะ!”
น้ำเสียงดูถูกดังก้องกังวานไปทั่วทางเดิน ปราณันต์ได้แต่กลืนก้อนสะอื้นลงคอเงียบๆ แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ห้ามร้องไห้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ ในเมื่อเขาเองก็รู้ว่าสักวันเรื่องแบบนี้มันต้องเกิด เขาก็ต้องทำใจและผ่านมันไปให้ได้ แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
แต่การจะทำให้ได้แบบนั้น มันไม่ได้ง่ายแบบที่ปราณันต์คิด เมื่อประโยคที่คนเหล่านั้นพูดต่อมาทำให้ปราณันต์ทั้งจุกและเจ็บจนเหมือนจะพูดไม่ออกไปตลอดชีวิต
(อ่านต่อด้านล่าง)