พิมพ์หน้านี้ - [End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Gade_ka ที่ 08-10-2020 18:41:40

หัวข้อ: [End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 08-10-2020 18:41:40
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Love (and) Lies

ความรักที่เริ่มต้นจากความไม่จริงใจ... มันจะเรียกว่าความรักได้ยังไงกัน?

.

.

.

สวัสดีค่าาา แวะมาเปิดเรื่องใหม่ ที่ก็ไม่ได้ใหม่เท่าไหร่ ฮ่าๆ ให้เรียกว่าผลงานที่เราภูมิใจและมั่นใจว่าทุกคนจะได้อ่านจนจบจะดีกว่า 555555555

เรื่องนี้เราเคยเขียนเป็นฟิคชั่นของศิลปินคู่หนึ่งค่ะ รวมถึงเป็นเรื่องแรกที่เราหัดเขียนดราม่าด้วยก็เลยค่อนข้างอยากที่จะเอามาให้ทุกคนอ่านหน่อยๆ เราจึงตัดสินใจรีไรท์ใหม่ ปรับชื่อเรื่อง โดยยังคงเส้นเรื่องเดิมเอาไว้ โดยรับประกันว่าทุกคนจะได้อ่านจนจบแน่นวลลล 55555555

เราจะลงอาทิตย์ละสองถึงสามตอนนะคะ เพราะมันต้องเอามารีไรท์เนื้อหาใหม่ก่อนเยอะพอสมควรเลย ถ้ายังไงฝากทุกคนติดตามด้วย คอมเม้นท์ได้ ติชมได้ เรายินดีเอาไปปรับปรุงและพัฒนาค่ะ และอย่างที่แจ้งไปนะคะเรื่องนี้เป็นโรแมนติค-ดราม่า เนื้อหามีหนักบ้าง เบาบ้าง แต่คิดว่าไม่น่าจะหนักเกินไป เพราะในเรื่องมีตัวละครหลักเป็นเด็กน้อยฝาแฝดด้วยสองคน (เราชอบมากกับการเขียนนิยายที่มีเด็ก ไม่รู้ทำไม 55555555)


**** และอีกอย่างที่สำคัญมากๆ และต้องขอแจ้งไว้เลยก็คือ ในนิยายอาจจะมีเนื้อหาบางฉากบางตอนที่มีความรุนแรงทางเพศ มีความไม่เหมาะสมทางการใช้ภาษา อยากจะรบกวนขอให้นักอ่านทุกท่านใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ซึ่งถ้าตอนไหนมีเนื้อหาสุ่มเสี่ยงตามข้างต้นที่ว่า เราจะขึ้น Warning ไว้ที่ต้นตอน เพื่อให้ทุกคนระมัดระวังในการอ่านและเพิ่มการใช้วิจารณญาณลงไปด้วยน้าาา ****


ยังไงขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจอีกเรื่อง หวังว่าจะชอบกัน ฝากติดตาม ฝากเป็นกำลังใจ และฝากคอมเม้นท์ติ-ชม (ด่าได้แต่อย่าแรงมากนะคะ ใจเราบาง 555555) เพื่อให้เราเอาไปปรับปรุงและพัฒนาต่อไปด้วยน้าาา และหากมีข้อผิดพลาดตรงไหน ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านล่วงหน้าค่ะ //ไหว้ย่อ <3
หัวข้อ: Re: Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/10/63 [INTRO : จุดเริ่มต้น]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 08-10-2020 18:46:58
INTRO : จุดเริ่มต้น


“พนันกันไหมล่ะ”


ท่ามกลางบรรยากาศของแสงสีและเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ ในคลับสุดหรูกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าคมคายที่แสนจะดูมีเสน่ห์ แต่ติดว่าเย็นชา นั่งอยู่กับเพื่อนสนิททั้งสามที่โต๊ะวีไอพี ในมุมที่ดีที่สุดของร้าน

และแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมาย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของใบหน้าคมคายและรูปร่างสูงใหญ่นั้นจะโดดเด่นเป็นสง่ากว่าใคร ไม่ว่าจะด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความมีอำนาจ หรือใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้ใครๆ ก็ต้องมองเหลียวหลัง ซึ่งในเวลานี้นั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่ว่ากำลังปรายตามองไปยังเจ้าของคำพูดที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทด้วยท่าทีเฉยเมย

“ทำไมกูต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย?”

ชายหนุ่มเอ่ยถามกลับ น้ำเสียงติดจะรำคาญใส่เพื่อนสนิททั้งสามคนที่นั่งดื่มอยู่ด้วยกัน


เพื่อนรุ่นพี่ ‘เมธัส’ หรือ เมธ มองไปที่เขาด้วยสายตานึกสนุก

เพื่อนรุ่นน้อง ‘เตชินท์’ หรือ เต มองไปที่เขาด้วยสายตาคาดหวัง

และ เพื่อนสนิท ‘สิปปกร’ หรือ สิบ มองไปที่เขาด้วยสายตาเอาชนะและท้าทาย


และนั่นเป็นอีกครั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปปั้นสลัก ได้เอ่ยถามด้วยคำถามที่ไม่ต่างไปจากประโยคก่อนหน้าขึ้นอีกครั้ง

“ถามว่า ทำไมกูต้องมาพนันอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วย ให้ตอบ ไม่ได้ให้มาจ้องแบบนี้”

“พนันก็คือพนัน มึงแค่บอกมาว่าจะทำหรือไม่ทำ อย่าปอดแหกดิวะ ‘คราม’"

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ‘คามิน’ หรือ คราม เหลือบมองเพื่อนสนิทอีกครั้ง และครั้งนี้สายตาของเขาเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม เย็นชามากถึงขั้นที่ว่า ใครได้เห็นคงมีเสียวสันหลังกันบ้างไม่มากก็น้อย

แต่ไม่ใช่กับเพื่อนสนิทของเขา... ที่มองว่ามันช่างน่าสนุก ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด

“ไร้สาระ”

และก็ยังมีแค่คำสามคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักบางเฉียบคู่นั้น ดูเหมือนว่าคำท้าทายของเพื่อนสนิทจะยังคงใช้ไม่ได้ผลในทีเดียว

“เพิ่งรู้ว่ามึงกลัวคู่หมั้นเสียจนหัวหดขนาดนี้ หึ!”

เพื่อนสนิทหนุ่มหน้าทะเล้นที่ติดจะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่ตลอดเวลา เจ้าของชื่อ ‘สิปปกร’ ยังคงกวนโทสะของร่างสูงอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะอยากยั่วยุ

“กูไม่ได้กลัว” น้ำเสียงที่ส่งออกมาจากปากหยัก เย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลกก็ไม่ปาน สายตาคมที่จ้องไปที่ทุกคนแข็งกร้าวราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย สิ่งที่คามินเกลียดที่สุดคือการโดนปรามาส เขาไม่ชอบถูกใครลูบคม

“โถ่ เฮีย น่าสนุกดีออก ลองหน่อยเถอะนะ ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย ยังไงคุณวลัยก็ไม่อยู่ตั้งสองเดือน ถ้าเฮียตกลงว่าจะเล่น ผมพนันข้างเฮียเลยก็ได้ เอ้า!”

เด็กหนุ่มที่อ่อนวัยกว่ารีบออกปากไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ด้วยเพราะรู้ดีว่าตอนนี้คามินเริ่มจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผล บรรยากาศในโต๊ะเริ่มอึมครึม ต่างคนต่างขยับตัวกันอย่างอึดอัด

“เอาน่าคราม ลองเล่นสนุกๆ ถือว่าหาอะไรทำแก้เครียด ไม่เห็นต้องคิดมาก”

คนตัวโตที่สุด อายุมากที่สุด และเป็นที่นับถือของทุกคนมากที่สุดในโต๊ะเอ่ยขึ้น ราวกับอยากจะทำให้บรรยากาศที่แสนจะอึดอัดนี้บางเบาลงบ้าง

“หรือว่ามึงกลัวแพ้วะ?”

แต่สิปปกรก็ยังคงไม่หยุดท้าทายคามิน หนุ่มหน้าทะเล้นพูดด้วยท่าทีไม่ยี่หระ ยักคิ้วหลิ่วตา กวนประสาทให้วุ่นวายไปหมด

“มึงอย่าล้ำเส้นนะสิบ! กูไม่ได้กลัวแพ้แต่กูไม่อยากเล่นเพราะมันไร้สาระ และตอนนี้มึงก็กำลังทำตัวน่ารำคาญ!!”

เสียงทุ้มกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น คามินไม่ได้ตะโกน ไม่ได้ตวาด แต่นิ่งลึกจนน่ากลัว ทำให้สองคนที่เหลือดูอิหลักอิเหลื่อขึ้นมาทันที

“เฮ้ย ใจเย็นๆ นี่เราแค่คุยเล่นกันขำๆ ไม่ใช่หรอ?” เมธัสออกปากอีกครั้ง “อีกอย่าง ‘เด็กนั่น’ ก็ดูน่าสนใจดีไม่ใช่หรอวะคราม?”

พี่ใหญ่ของกลุ่มพยักเพยิดไปยังบาร์เหล้าฝั่งตรงข้าม ที่ซึ่ง ‘เด็กนั่น’ กำลังทำงานของตัวเองอยู่อย่างขะมักเขม้น

คามินตวัดสายตาคมไปที่บาร์เหล้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป พลางจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มรูปร่างเพรียวสมส่วน แขนและขายาวเรียว ช่วงเอวบางคอดกิ่วไม่ต่างจากผู้หญิงกำลังหันรีหันขวางเตรียมเครื่องดื่มให้ลูกค้า ใบหน้าหวานซึ้งที่ยังคงยิ้มแย้มแม้สายตากลมกำลังบ่งบอกว่าตอนนี้เจ้าของของมันกำลังเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ริมฝีปากอิ่มสีสดที่กำลังเจื้อยแจ้วพูดคุยต้อนรับลูกค้าอย่างไม่บกพร่องต่อหน้าที่ และเด็กคนนั้นก็คือหัวข้อสนทนาของกลุ่มชายหนุ่มอยู่ ณ ขณะเวลานี้

ด้วยท่วงท่าการเคลื่อนไหวและอะไรหลายๆ อย่างของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้น ทำให้คามินเกิดสนอกสนใจอะไรบางอย่างในตัวเด็กคนนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ... แววตากลมโตที่แสนเศร้านั่นหรอ?

“ถ้าชนะแล้วกูจะได้อะไร?” คำถามที่หลุดออกมาจากปากหยักสร้างความแปลกใจให้กับเพื่อนร่วมวงสนทนาอยู่ไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้คามินยังมีทีท่าเมินเฉยอยู่เลย

สิปปกรลอบยิ้มอย่างพอใจ ในที่สุดคามินก็คล้อยตามจนได้

“มึงอยากได้อะไรล่ะ?”

“หุ้นของพวกมึงทุกคน คนละห้าเปอร์เซ็นต์เป็นไง?” คามินยื่นเงื่อนไข เงื่อนไขที่ทำให้เมธัสและเตชินท์นั่งไม่ติด

“ตกลง กูแถมไวน์ปี 85 ให้อีกขวดนึงด้วยก็ได้” สิปปกรตอบตกลงทันทีโดยที่ไม่ปรึกษาเพื่อนสองคนที่เหลือสักคำ

“เฮ้ย! /เฮ้ย!” เมธัสกับเตชินท์มองหน้ากันหวาดๆ ถึงแม้สิปปกรจะดูเหนือกว่าในเกมนี้ แต่อะไรก็ประมาทคามินไม่ได้ทั้งนั้น ด้วยรูปร่าง หน้าตา และท่าทีน่าเกรงขามของคนที่รับคำท้า ทั้งสองไม่วางใจเลยว่าหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ของตัวเองจะปลอดภัย

“ปรึกษากันก่อนดิเฮีย ก่อนตอบตกลงไปน่ะ” เตชินท์ละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นคำพูด

หุ้นห้าเปอร์เซ็นต์นี่ไม่ใช่น้อยเลยนะ แถมทั้งสองยังไม่มั่นใจด้วยว่าจะเอาชนะคามินได้

“กลัวอะไรวะไอ้ตี๋น้อย เราให้เวลาไอ้หน้าหล่อนี่ แค่เดือนเดียวเท่านั้นแหละ”

ชายหนุ่มผู้รับคำท้ายังคงนิ่งเฉย ปากหยักยังคงไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาทำเพียงแค่ยกแก้วเหล้าขึ้นมาจรดริมฝีปาก ก่อนจะกระดกของเหลวลงคอเงียบๆ

“ตกลงเอาไง คราม?” เมธัสเอ่ยถามขึ้นในที่สุดเพื่อหาข้อสรุป

“พูดเงื่อนไขทั้งหมดของพวกพี่มา ส่วนเงื่อนไขของผม มีแค่ข้อเดียวเท่านั้นก็คือถ้าผมชนะอย่ามาชวนเล่นอะไรไร้สาระแบบนี้อีก ไม่ชอบ รำคาญ”

“ฮ่าๆๆ” สิปปกรระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แบบนี้สิ คามินตัวจริงเสียงจริง “ได้! ตกลง พวกกูจะไม่ชวนมึงเล่นอะไรแบบนี้อีก.. ถ้ามึงชนะอ่ะนะ”

“พูดเงื่อนไขมาสักทีเหอะ! ลีลาอยู่ได้” ใบหน้าคมคายเริ่มแสดงความหงุดหงิด คามินเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มแสดงออก นั่นหมายความว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนกลายๆ

“ใจเย็นๆ เงื่อนไขของกูก็ไม่มีอะไรมาก”

สิปปกรสูดลมหายใจ พร้อมระบายยิ้มออกมาเต็มใบหน้า ราวกับว่าเรื่องที่เขาจะพูดต่อไปนี้ช่างเป็นเรื่องสนุกสนานเสียเหลือเกิน


“มึงต้องจีบเด็กนั่นให้ติดภายในหนึ่งเดือน! และนอกจากได้เป็นแฟนแล้ว มึงต้องได้เด็กนั่นเป็นเมียด้วย ถึงจะชนะพวกกูได้”


เงื่อนไขของสิปปกรที่เพิ่งพูดออกมานั้น ทำให้เมธัสและเตชินท์ยิ้มออก ... แค่จีบติดน่ะไม่ยากหรอก ถ้าวัดจากใบหน้าและคุณสมบัติที่คามินมีแต่การจะได้เด็กนั่นมานอนด้วยนี่นั้น... ถึงยังไงก็คงไม่ง่ายแน่ๆ

“และถ้ามึงแพ้ หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของมึง จะถูกแบ่งให้พวกกูทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โอเคป้ะ?”

คามินมองไปที่สามคนด้วยสายตาอ่านยาก ในขณะที่ทั้งสามหันไปแตะมือกันอย่างสนุกสนานราวกับว่าตนเองชนะแล้วในเกมนี้

“ตกลง” น้ำเสียงทุ้มตอบตกลงด้วยท่าทีนิ่งเฉย ความกังวลไม่มีหลุดมาให้เห็น

“ใจกล้าเหมือนเดิมนะครับท่านประธานฯ” เตชินท์แซวคามินอย่างสนุกปาก โดยที่คาดไม่ถึงว่าจะเจอคามินสวนกลับมาอย่างเจ็บแสบ

“พวกมึงก็รู้ว่ากูไม่ลงเล่นในสนามที่กูไม่มั่นใจว่าจะชนะเด็ดขาด... เตรียมหุ้นของพวกมึงไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

ถ้อยคำทรงอำนาจที่ถูกส่งออกมาจากริมฝีปากเป็นกระจับคู่นั้นทำเอาคนฟังทั้งสามหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน

“อ้อ อีกอย่าง” คามินเอ่ยสำทับราวกับนึกขึ้นได้ “อย่าให้ ‘พรวลัย’ รู้เรื่องนี้เด็ดขาด เข้าใจหรือเปล่า”

“เกิดจะแคร์คุณคู่หมั้นขึ้นมาหรือไงวะ?” เมธัสถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“เหอะ! คบกันเพราะผลประโยชน์ ผมจะแคร์ทำไม ที่ผมแคร์คือขี้หูผมต่างหาก ถ้าวลัยรู้ ป๊ากับม๊าก็รู้ เดี๋ยวก็มาบ่นนั่นบ่นนี่อีก ผมรำคาญ”

คามินมองไปยังบาร์เหล้าอีกครั้งหลังพูดจบ รูปร่างบอบบางที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วนั้น ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าน่ามองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน จากนั้นริมฝีปากบางก็เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมาอีกรอบ

“ว่าแต่ ทำไมต้องเด็กนั่นด้วย?”

“มึงไม่คิดว่าเด็กนั่นน่าสนใจหรอวะ? ฮ่าๆ เผื่อมึงไม่รู้ เด็กคนนั้นทำงานอยู่ที่บริษัทมึงนะ ส่วนกลางคืนก็มาทำงานที่นี่.. ขยันชิบ วันๆ ไม่เคยสนใจใครหน้าไหนที่มาจีบ เห็นธรรมดาๆ แบบนั้น ทั้งตัวผู้ตัวเมียตอมให้หึ่งเลยนะเว้ย กูเลยอยากรู้ว่าถ้าคนที่ไปตอม...” สายตาคมของคนที่ถูกกล่าวถึงตวัดไปมองเพื่อนสนิททันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว “เอ๊ย.. ไปจีบ ฮ่าๆ ถ้าเป็นมึง เด็กนั่นจะทำยังไง เจ้าของบริษัทมาจีบเชียวนะ”

สิปปกรกล่าวอย่างอารมณ์ดี เสียงหัวเราะก้องกังวานไปทั้งโต๊ะ

“เหตุผลมึงมีแค่นี้?”

“เออแค่นี้แหละ มึงทำให้ได้แล้วกัน พวกกูอยากได้หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของมึงไม่ไหวแล้วว่ะคราม” สิปปกรยังคงท้าทายคามินอย่างต่อเนื่อง แต่คนตรงข้ามก็ดูไม่ได้จะสนใจอะไรมากนัก

“ว่าแต่ เด็กนั่น” คามินบุ้ยใบ้ไปยังเด็กหนุ่มหลังบาร์เหล้า ด้วยท่าทีเนือยๆ ก่อนจะถามออกมา “ชื่ออะไร?”


ปราณ ... ปราณันต์ เด็กคนนั้นชื่อ ปราณันต์

.

.

.

To Be Cotinue

-----------------------------------------------

GAME ON!!!

เริ่มเกมแล้วจ้าาาาาา!! ^^ แวะมาแปะป๊าบอินโทรไว้ก่อน เด่วขอไปเกลาตอนต่อไปอีกนิด แล้วจะรีบมาลงให้นะคะ

ชอบไม่ชอบ ถูกใจไม่ถูกใจไม่ถูกใจ คอมเม้นท์ไว้ได้เลย เรารออ่านทุกคอมเม้นท์อยู่น้าาา ติ-ชม ได้โลดๆ ค้าบบบ

รักทุกคนมากๆ แล้วเจอกันตอนหน้าครับบบบ
หัวข้อ: [Up]: Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 12/10/63 [1st Lie: ทำความรู้จัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 12-10-2020 19:43:54
1st Lies : ทำความรู้จัก


มือหนาพลิกเอกสารในมือเงียบๆ คามินนั่งแบบนี้มาครึ่งชั่วโมงได้แล้ว หลังจากให้เลขาฯ เอาประวัติส่วนตัวของปราณันต์มาให้ดู ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉยนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าอารมณ์ภายในของชายหนุ่มกำลังถูกกระตุ้นให้พลุ่งพล่านอยู่เงียบๆ มันเป็นความรู้สึกที่เจ้าตัวเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นแบบไหน เพราะมันอดปฎิเสธไม่ได้เลยว่าตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนนั้นมันช่างน่าสนใจ ... น่าสนใจพอๆ กับดวงตากลมโตของเจ้าของประวัตินี้ ที่เขาได้เห็นตั้งแต่ครั้งแรกนั่นแหละ

“ให้คนเช็คดูซิว่าวันนี้ปราณันต์เข้ามาที่ออฟฟิศหรือยัง” เสียงทุ้มพูดกรอกผ่านหูโทรศัพท์ไปยังเลขาฯ ที่อยู่หน้าห้อง

“สักครู่ค่ะบอส”

หลังจากเลขาฯ วางสายไป ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ก็รายงานกลับเข้ามา

“วันนี้ปราณันต์ลางานช่วงเช้า เห็นว่าต้องไปส่งน้องชายที่โรงเรียนค่ะ”

คิ้วเข้มขมวดมุ่นเป็นปมด้วยความแปลกใจ .. น้องชายสองคนนั้นน่ะหรอ?

ไอ้เรื่องที่ว่าเด็กคนนั้นมีน้องชายน่ะเขาพอรู้อยู่ เพราะมันมีบอกไว้ในหน้ากระดาษพวกนั้นหมดแล้ว แต่ที่ชายหนุ่มสงสัยคือทำไมต้องไปส่ง... น้องชายของปราณันต์นี่อายุเท่าไหร่กันแน่

“โรงเรียนที่ว่าน่ะอยู่ที่ไหน ชื่อโรงเรียนอะไรคุณพอรู้รึป่าว”

“น่าจะโรงเรียนอนุบาล T นะคะ เห็นทางหัวหน้าแผนกของปราณันต์แจ้งมาแบบนี้”

คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วของคามิน กลับยิ่งม้วนเป็นปมหนักกว่าเดิม

“คุณว่าอะไรนะ? อนุบาลงั้นหรอ?” ชายหนุ่มถามออกไปอีกครั้ง ราวกับต้องการตอกย้ำให้มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ใช่ค่ะ โรงเรียนอนุบาล” เลขาฯ ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ การทำให้เจ้านายอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าวันแรกของต้นสัปดาห์ น่าจะไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการเท่าไหร่นัก

“แล้วทำไมในประวัติที่คุณเอามาให้ผมถึงไม่มีบอกล่ะ ว่าปราณันต์มีน้องชายเด็กขนาดนั้น”

เจ้าของเสียงทุ้มถามกลับไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นๆ นิดๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมประวัติพนักงานในบริษัท มันถึงได้ไม่ครอบคลุมถึงเรื่องสำคัญขนาดนี้

“เอ่อ... คือ” ปลายสายก็ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบที่เขาต้องการให้

นิ้วแกร่งเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ อย่างใช้ความคิด เห็นทีว่าจะไม่ได้เรื่อง ใบหน้าคมคายเคร่งเครียดมากขึ้น พลางประมวลผลในใจว่าเขาจะช้าไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพราะตอนนี้เกมบ้าๆ ระหว่างเขาและไอ้เพื่อนพิเรนทร์นั่นได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องได้เรื่องมากกว่านี้

“ไม่ต้อง!” ปากหยักพูดตัดบทไปตามสาย “ตามแทนคุณมาให้ผมด้วย ด่วน!” พอจบคำมือใหญ่ก็โยนหูโทรศัพท์ลงแป้นอย่างไม่ไยดี

คามินเอนหลังไปกับพนักพิงของเก้าอี้ทำงานอย่างผ่อนคลาย แต่ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างกลับประกบเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ผิดกับท่าทีก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามา” น้ำเสียงทรงอำนาจถูกส่งออกไป ไล่ๆ กับที่ประตูห้องทำงานของคามินถูกผลักเข้ามา

“ครับบอส” ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นทั้งบอดี้การ์ดและคนสนิทของคามินเดินมายืนสงบนิ่งตรงหน้า แม้ลักษณะของแทนคุณจะดูนิ่งเฉย ไร้อารมณ์ แต่ในความเป็นจริงแทนคุณมีความปราดเปรียวและคล่องแคล่วจนหาตัวจับยาก ที่สำคัญก็คือบอดี้การ์ดหนุ่มคนนี้ทำงานรู้ใจรับใช้รวมถึงเป็นเพื่อนเล่นคามินมาตั้งแต่จำความได้

วันนี้ก็เช่นกัน แทนคุณรู้ดีว่าคามินต้องมีอะไรในใจแน่ๆ แม้ภายนอกท่านประธานใหญ่จะดูสงบนิ่งเฉย แต่ในแววตาเรียวคมนั้นกลับดูร้อนรนเหมือนคนที่มีความนัยอะไรบางอย่าง

“ฉันอยากให้นายสืบประวัติเด็กที่ชื่อปราณันต์ ฝ่ายออกแบบให้หน่อย เอาให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ ฉันต้องการรู้ข้อมูลเด็กนั่นทั้งหมดภายในสามชั่วโมงนับจากนี้” น้ำเสียงเด็ดขาดถูกส่งออกมาจากปากหยัก

“ครับ” แทนคุณรับคำโดยไม่ปริปากถามหรือบ่นสักคำ หากแต่ถ้าเป็นคนอื่นถูกใช้ให้ทำงานภายในเวลากระชั้นชิดแบบนี้ มีหวังคงต้องยอมถอดใจไม่ทำให้แน่ๆ

แต่ไม่ใช่กับแทนคุณที่ทำงานรู้ใจกับคามินมาตลอด ต่อให้คนเป็นเจ้านายสั่งว่าจะเอาภายในสิบนาที เขาก็ย่อมต้องหามาให้จนได้

“แล้วก็เอารถออก ฉันจะไปอนุบาล T อีกสิบนาทีจะลงไป”

เป็นอีกครั้งที่แทนคุณรับคำอย่างไร้ข้อกังขา บอดี้การ์ดร่างใหญ่ค้อมศีรษะให้เจ้านายก่อนที่จะหมุนตัวออกไปจากห้อง โดยมีสายตาคมมองตามไปอย่างคนที่กำลังใช้ความคิดบางอย่าง

“ปราณันต์... ชีวิตนายนี่มันยังไงกันแน่นะ” ริมฝีปากหยักพึมพำถ้อยคำที่เขาอยากรู้ในคำตอบเหลือเกิน

.

.

.

“ปุณณ์ ปัณณ์ อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จหรือยังครับ นี่จะสายแล้วนะ”

เสียงหวานของ ‘ปราณ’ หรือ ‘ปราณันต์’ ดังกังวานไปทั่วห้องเช่าเล็กๆ ที่เขาและน้องชายฝาแฝดอาศัยอยู่ด้วยกัน ดวงตากลมโตหันหลังไปมองทางห้องแต่งตัวที่ตอนนี้เจ้าตัวน้อยทั้งสองของเขาคงกำลังใส่เสื้อผ้ากันอยู่

พอเห็นในห้องแต่งตัวยังเงียบกริบ ไร้เสียงขานรับใดๆ ปราณันต์จึงหันกลับมาง่วนกับงานตรงหน้าต่อ เพราะนอกจากจะต้องตะโกนเร่งเจ้าเด็กแสบทั้งสองแล้ว มือเรียวยังต้องตามเก็บซากหมอนและผ้าห่มที่เจ้าตัวยุ่งสลัดทิ้งไว้ทั่วห้องอีกต่างหาก

ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งห้อมาทางเขาด้วยความเร็ว ทันทีที่ปราณันต์ได้ยิน ปากอิ่มก็อมยิ้มนิดๆ เมื่อรู้ว่าหนึ่งในสองของแฝดตัวน้อยกำลังวิ่งมาหาตน

“พี่ปุณณ์แกล้งปัณณ์อะพี่ปราณ ปัณณ์บอกให้ไม่ให้เอากางเกงในของปัณณ์ไปใส่ พี่ปุณณ์ก็ไม่ยอม”

แฝดคนน้อง ‘ปัณณ์’ หรือ ‘ปัณณธร’ วิ่งโร่ออกมาจากห้องเล็กๆ ที่กั้นไว้ใช้สำหรับแต่งตัว เจ้าตัวน้อยวิ่งมาเกาะขาพี่ชายคนโต ความสูงของปัณณธรยังไม่พ้นเอวพี่ชายเลยด้วยซ้ำ ปราณันต์ก้มลงมองก้อนน้อยตัวกลมๆ ที่เกาะขาตัวเองอยู่ และได้ทันเห็นอิ่มปากเล็กๆ นั่นกำลังเจื้อยแจ้วฟ้องตนว่าตัวเองโดนแฝดคนพี่รังแก

“ปัณณ์นั่นแหละชักช้า!”

แฝดคนพี่ ‘ปุณณ์’ หรือ ‘ปุณณกันต์’ เดินตามออกมาและเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “ปุณณ์บอกปัณณ์ไปแล้วว่าให้หยิบกางเกงในมาให้หน่อย ปัณณ์ก็ไม่ยอม”

ปราณันต์ส่ายศีรษะอย่างระอาใจ มองดูแฝดทั้งสองเถียงอย่างไม่ยอมกัน อีหรอบนี้ต้องไปโรงเรียนสายแน่ๆ นี่เปิดเทอมวันแรกเสียด้วย ท่าทางจะโดนอาจารย์ดุตั้งแต่วันแรกที่ไปโรงเรียนล่ะมั้ง เพราะตอนนี้สองแฝดยังเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่เลย ยังดีหน่อยที่ปุณณกันต์ใส่กางเกงในเรียบร้อยแล้ว แม้จะเป็นกางเกงในของปัณณธรก็เถอะ

“ปุณณ์ ปัณณ์ พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมครับว่าไม่ให้ทะเลาะกัน” ปราณันต์ทรุดตัวลงคุกเข่าพลางจับไหล่ข้างหนึ่งของปัณณธรไว้ และใช้มืออีกข้างที่ว่างกวักเรียกปุณณกันต์ที่อยู่ไม่ห่างออกไปให้เขยิบเข้ามา “ปุณณ์มานี่มาครับ”

ทันทีที่เจ้าแฝดตัวน้อยวัยสี่ขวบที่ฉลาดเกินอายุมายืนอยู่ตรงหน้า ปราณันต์ก็มองหน้าเด็กทั้งสอง พลางขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กๆ ของปุณณกันต์คนพี่ ก่อนจะเอ่ยสอนอย่างใจเย็น

“ปุณณ์ เราเป็นพี่ พี่ที่ดีต้องเสียสละให้น้องเข้าใจใช่ไหมครับ” ปุณณกันต์ยังคงนิ่ง ไม่ตอบรับหรือปฎิเสธ “ปุณณ์ตอบพี่หน่อย ถ้าพี่ไม่อยู่ ใครจะเป็นคนดูแลน้อง หื้ม?”

“ปุณณ์เป็นดูแลครับ พี่ปราณบอกเสมอ ว่าปุณณ์ต้องดูแลปัณณ์ ปัณณ์เป็นน้อง ถึงจะเป็นฝาแฝดกันแต่ปุณณ์ก็เป็นพี่” แฝดคนพี่พูดตอบอย่างฉะฉาน แม้น้ำเสียงจะสลดน้อยๆ ก็ตาม

“ดีมาก” ปราณันต์ยิ้มและลูบศีรษะแฝดคนพี่อย่างเอ็นดู “ปัณณ์ล่ะครับ พี่ปราณเคยสอนไว้ว่ายังไงเด็กดี?” ปราณันต์ผินหน้ามาหาแฝดคนน้องที่ตอนนี้กำลังมองมาที่เขาตาแป๋ว “ปัณณ์เป็นน้องๆ ที่ดีต้องเชื่อฟังพี่ แล้ววันนี้ปัณณ์เชื่อฟังพี่ปุณณ์หรือยัง หื้ม?”

“ยังครับ” ดวงตากลมโตที่ถอดแบบมาจากเขาสลดวูบลง “ต่อไปปัณณ์จะไม่ทำแบบนี้อีกครับ”

“ดีมากครับ คนเก่งของพี่” ปราณันต์แย้มยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ทีนี้ก็ไปแต่งตัวต่อได้แล้ว ห้ามทะเลาะกันอีกนะ เดี๋ยวจะได้ออกมากินข้าว สายแล้วเนี่ย ไปๆ”

ปราณันต์จับเด็กแฝดหันหลังแล้วดันเจ้าก้อนน้อยๆ ทั้งสองกลับไปที่ห้องแต่งตัวอีกครั้ง แล้วก็ได้แต่หวังว่าครั้งนี้เจ้าหนูทั้งคู่จะไม่ทะเลาะกันอีก

ปราณันต์มองตามน้องชายทั้งสองจนลับสายตา นึกสงสารเด็กน้อยที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ปุณณกันต์กับปัณณธรอายุห่างจากปราณันต์พี่ชายคนโตสิบกว่าปี จะเรียกว่าเป็นลูกหลงของคุณพ่อและคุณแม่ของปราณันต์ก็ได้

ทั้งสองเป็นแฝดเหมือน ที่ต่างกันนิดหน่อยตรงรูปร่าง เพราะปุณณกันต์ตัวใหญ่กว่าปัณณธรพอสมควร แต่เรื่องหน้าตานั้นแทบไม่ต่าง ทั้งสองมีดวงตากลมโต ลูกนัยน์ตาสีดำเห็นเด่นชัดแม้จะมองจากไกลๆ จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากอิ่มสีแดงสด แต่ไม่หนาเท่าปากพี่ชายคนโต พูดง่ายๆ ว่าเด็กแฝดทั้งสองคือปราณันต์ฉบับย่อส่วนลงมานั่นเอง

เวลาเดินไปไหนมาไหนกันสามคน หลายสายตามักจะจับจ้องและต่างพากันบอกว่าเหมือนพ่อลูกมากกว่าที่จะเป็นพี่น้อง ด้วยอายุที่ห่างกันมาก เขาจึงไม่เคยถือโทษเอามาโกรธเลยถ้าจะมีคนคิดแบบนั้น

แน่นอนว่าถ้าพูดถึงทางด้านรูปร่างลักษณะ ปุณณกันต์จะดูพึ่งพาได้มากกว่า ดังนั้น ปราณันต์จึงมักจะพูดย้ำกับแฝดคนพี่เสมอว่าให้ดูแลน้อง แต่ถ้าพูดถึงนิสัยใจคอ ถือว่าตรงข้ามกับรูปร่างลักษณะทางร่างกายเลยล่ะ ปุณณกันต์จะค่อนข้างเป็นเด็กอ่อนโยน คิดก่อนทำเสมอ ใจเย็น และมักจะยอมน้องในหลายๆ เรื่อง เว้นแต่เวลาที่น้องไม่ยอมเชื่อฟัง ส่วนปัณณธร รายนั้นไม่ต้องพูดถึง ตัวเล็กก็จริง แต่ใจใหญ่มาก กล้าได้กล้าเสีย แถมยังเป็นเด็กอารมณ์ดีชอบพูดคุยกับคนทั่วไปเสมอ

... เด็กทั้งสองได้นิสัยใจคอของปราณันต์ไปคนละครึ่ง ช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของครอบครัว ‘ฤทธิรงค์’ จริงๆ

ตอนปุณณกันต์กับปัณณธรเกิดใหม่ๆ ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกมีความสุขมากๆ เจ้าเด็กแฝดทั้งสองเป็นเหมือนเทวดาตัวน้อยที่มาสร้างสีสันให้ชีวิตและครอบครัวที่อบอุ่นอยู่แล้วให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก

ตอนที่ชายหนุ่มร่างบางรู้ข่าวว่าตัวเองกำลังจะมีน้องชาย ไม่เพียงแค่หนึ่งแต่มาถึงสองคน เขาดีใจเป็นอย่างมาก เวลานั้นปราณันต์อายุได้เพียงสิบแปดปี เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยหมาดๆ

คุณพ่อและคุณแม่มีปราณันต์ตั้งแต่อายุยังน้อย และพยายามจะมีน้องให้กับหนุ่มหน้าหวานตลอด เพียงแต่ความตั้งใจไม่เคยสัมฤทธิ์ผล จนถอดใจกันไปแล้ว แต่จู่ๆ คุณแม่ของปราณันต์ก็เกิดตั้งท้องขึ้นมาตอนที่อายุเกือบจะสี่สิบ ตอนแรกคนในครอบครัวก็กังวลว่าเด็กๆ จะปลอดภัยหรือเปล่า แต่ในที่สุดเจ้าตัวน้อยทั้งสองก็เกิดขึ้นมาอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์

ครอบครัวของทั้งห้าคนอยู่กันอย่างมีความสุขอยู่เกือบปี จนวันหนึ่งฝันร้ายก็มาเยือน …

หลังจากเด็กแฝดเกิดไม่ถึงปี คุณพ่อและคุณแม่ก็ประสบอุบัติเหตุหักหลบรถที่มีคนเมาจะขับมาชนจนเสียชีวิต และที่ร้ายไปกว่านั้นคือไม่เคยจับคนร้ายได้ ซึ่งเด็กผู้ชายตัวคนเดียวอย่างปราณันต์ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ เพราะญาติสนิทที่ไหนก็ไม่มี มีกันก็แต่พ่อแม่ลูกแค่นั้น

เหตุการณ์นี้สร้างความเสียใจและความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้ชีวิตของปราณันต์เป็นอย่างมาก จากที่เคยใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ร่าเริง สดใส ยิ้มง่าย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ปราณันต์กลายเป็นคนเก็บตัว ใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยประกายก็หม่นลง

หลังจากที่พ่อกับแม่จากไป ปราณันต์ก็ขยันหมั่นเพียร เรียนจบด้วยเงินที่บุพการีทิ้งไว้ให้ภายในเวลาสามปีครึ่ง คนตัวเล็กต้องทั้งต้องเรียน ทั้งต้องเลี้ยงน้อง และทั้งต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหาเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ปราณันต์ไม่เคยได้ใช้ชีวิตเตร็ดเตร่แบบเด็กในวัยเดียวกันอีกเลยหลังจากเหตุการณ์นั้น เพราะมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องดูแลนั่นคือน้องชายทั้งสอง ซึ่งเปรียบเสมือนคนในครอบครัวสองคนสุดท้ายที่เขามีเหลืออยู่

โชคยังดีที่ปราณันต์ได้เพื่อนสนิทอย่าง 'วิน' หรือ ‘อนาวิน’ คอยช่วยเหลือ บางวันที่ต้องเรียนเต็มวัน คุณแม่ของอนาวินก็ให้เอาเจ้าแฝดไปฝาก พร้อมทั้งดูแลให้อย่างดี ถึงแม้จะเหนื่อย แต่ปราณันต์ก็ทำมันได้ และช่วงที่ปราณันต์เรียนจบเป็นช่วงที่เด็กแฝดทั้งสองเข้าเรียนอนุบาลพอดี ซึ่งโชคก็เป็นของเขาอีกครั้งเมื่อเขาได้รับเลือกเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง ‘เคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้’ ในฐานะพนักงานออกแบบตรงตามที่เรียนจบมา

แต่การจะทำแค่งานประจำนั้นเห็นว่าคงไม่พอในการดูแลเด็กเล็กๆ ถึงสองคน ปราณันต์จึงต้องทำงานพาร์ทไทม์หลังเลิกงานตอนกลางคืนเพิ่มไปด้วย ดังนั้น เขาจึงจำเป็นที่จะต้องเลือกโรงเรียนอนุบาลที่สามารถดูแลเด็กแฝดได้ประจำตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ส่วนเสาร์อาทิตย์นั้น เขาจะรับเจ้าเด็กน้อยกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เขาได้ให้ไว้กับตนเองว่าจะมีให้กับเด็กน้อยทั้งสองเต็มที่ อย่างน้อยก็สองวันนี้ เขาจะไม่รับงานนอกบ้าน เว้นเสียแต่ว่าเป็นงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ออกแบบนั่นนี่อยู่กับบ้านนิดหน่อย ปราณันต์ถึงจะทำ

และในขณะที่ปราณันต์กำลังคิดอะไรเพลินๆ แฝดคนน้องตัวน้อยก็วิ่งออกจากห้องแต่งตัวพอดี

“พี่ปราณ ปัณณ์แต่งตัวเสร็จแล้วครับ” ปราณันต์สำรวจแฝดคนน้องเงียบๆ แล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่าปัณณธรตัวน้อยคนนี้แต่งตัวได้เรียบร้อยขนาดไหน เชื่อได้เลยว่าปุณณกันต์ต้องเป็นคนแต่งให้น้องแน่ๆ

พอเห็นว่าเรียบร้อยดีจึงพาเจ้าตัวน้อยไปนั่งรอที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ที่กางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง แล้วหันมามองดูปุณณกันต์ แฝดคนพี่ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จแล้วเดินออกมาเช่นกัน

“ไหนปุณณ์ ให้พี่ดูซิแต่งตัวเรียบร้อยหรือยัง” เขายิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่าเจ้าแฝดคนพี่หยิบถุงเท้าคนละข้างมาใส่ น่าจะเป็นเพราะมัวแต่ดูแลน้อง เลยทำให้ตัวเองหยิบของพลาดแบบนี้ “ปุณณ์ครับ ถุงเท้าผิดข้างแล้วครับ ไปหยิบมาใหม่ป่ะ เดี๋ยวพี่ใส่ให้”

ปุณณกันต์ก้มลงมองถุงเท้าตัวเองแล้วยิ้มให้พี่ชายเขินๆ จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องแต่งตัวอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกมาพร้อมถุงเท้าอีกข้าง

ปราณันต์วาดแขนแล้วคว้าตัวแฝดน้อยคนพี่ขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนจะเริ่มใส่ถุงเท้าให้อย่างเบามือ

“พี่ขอบคุณปุณณ์มากนะครับ ที่ดูแลปัณณ์แทนพี่เป็นอย่างดี” คนตัวบางยิ้มตาหยีส่งให้น้องชาย

“พี่ปราณบอกว่าปุณณ์เป็นพี่ พี่ที่ดีต้องดูแลน้อง ปุณณ์ต้องดูแลปัณณ์ เหมือนอย่างที่พี่ปราณดูแลปุณณ์ ปุณณ์ไม่อยากให้พี่ปราณต้องเหนื่อยมากครับ”

และด้วยคำตอบที่แสนชาญฉลาดของแฝดตัวน้อยวัยอนุบาล ก็เรียกความภูมิใจและตื้นตันใจจากปราณันต์ได้ไม่น้อยทีเดียว

“ขอบคุณปุณณ์มากเลยนะครับ คนเก่งของพี่” ปราณันต์โอบกอดร่างเล็กไว้แนบอก ก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ขอเพียงมีเจ้าตัวน้อยทั้งสองอยู่ข้างๆ เขาก็พร้อมจะสู้ ขอแค่ได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่น้องทั้งสองก็พอ

“ป่ะ ไปกินข้าวกัน ปัณณ์หิวแย่แล้วมั้งป่านนี้” เว่ยโจวจับแฝดคนพี่ลุกขึ้นจากตัก แล้วจูงมือพาไปที่โต๊ะตัวเล็กๆ ที่มีอาหารวางอยู่สองสามอย่าง พร้อมรอให้พี่น้องทั้งสามได้กินด้วยกัน

เด็กทั้งสองลงมือกินข้าวกันอย่างเรียบร้อย ตากลมโตของคนพี่มองไปยังน้องน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดูปนภูมิใจ เจ้าแฝดของเขาฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกัน ปุณณกันต์และปัณณธรรู้ดีว่าพี่คนโตต้องเหนื่อยและทำงานหนัก จึงไม่เคยสักครั้งที่จะทำให้พี่ชายต้องปวดหัว ทั้งคู่ดูแลกันและกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าปราณันต์สอนสิ่งไหนไปก็เชื่อฟังทุกอย่าง เรื่องเรียนก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คุณครูอนุบาลที่ดูแลฝาแฝดมักจะชื่นชมเด็กๆ ให้ปราณันต์ฟังบ่อยๆ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน ปุณณกันต์กับปัณณธรไม่เคยสร้างปัญหาเลยสักครั้ง เดียว

ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางๆ เมื่อเห็นปัณณธรใช้มือเล็กๆ จับตะเกียบคีบอาหารให้เขาและพี่ชายฝาแฝดอย่างเอื้ออาทร พร้อมกับยกยิ้มตาหยีส่งมาให้อย่างน่าเอ็นดู จนมือเรียวอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปลูบศีรษะเล็กๆ นั่นเบาๆ

“ขอบคุณนะครับ พี่ต้องอิ่มมากแน่ๆ เลย ปัณณ์ตักกับข้าวให้เยอะขนาดนี้”

ปากเล็กๆ ขยับเจื้อยแจ้วทันทีที่ได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น “พี่ปราณต้องกินเยอะๆ ปัณณ์อยากให้พี่ปราณอ้วนๆ มีแรงๆ” ใบหน้าที่เหมือนปราณันต์ราวกับย่อส่วนหันไปหาพี่ชายฝาแฝดอย่างกับจะหาแนวร่วมสนับสนุนคำพูดต่อไปของตัวเอง “พี่ปุณณ์เคยบอกปัณณ์ว่า พี่ปราณต้องทำงานหนักมากๆ เพื่อดูแลเราสองคน ปัณณ์เลยอยากให้พี่ปราณกินเยอะๆ... ใช่ไหมพี่ปุณณ์”

“อื้อ!” ศีรษะกลมๆ เล็กๆ ของปุณณกันต์ผงกขึ้นลงเพื่อสนับสนุนคำพูดของแฝดคนน้อง “เราสองคนจะตั้งใจเรียน พี่ปราณจะได้ไปทำงานโดยที่ไม่ต้องเป็นห่วง”

ปราณันต์หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเจ้าแฝดทั้งสองรับส่งคำพูดกันอย่างน่าเอ็นดู ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำท่าเหมือนจะทะเลาะกันอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียแล้ว

“ฮ่าๆ โอเคๆ พี่จะกินเยอะๆ นะ พี่จะได้มีแรงไปทำงาน หาเงินเยอะๆ ให้เราสามคนได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ดีไหมครับ”

ตากลมๆ แป๋วๆ สองคู่มองไปที่พี่ชายคนโต พลางผงกศีรษะเพื่อแสดงว่าเห็นด้วยอย่างแข็งขัน

“รีบกินๆ เดี๋ยวพี่จะไปส่งเราสองคนที่โรงเรียน จะสายแล้วเนี่ย”

เด็กทั้งสองพอได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้นก็รีบตักข้าวเข้าปากเล็กๆ พร้อมกับเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างน่าเอ็นดู ปราณันต์มองดูเจ้าตัวแสบของเขาอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยแค่ไหน ต้องทำงานหนักอีกมากเท่าไหร่ ร่างเล็กพูดบอกกับตัวเองเสมอว่าเขาทนได้ ขอเพียงแค่ให้น้องชายทั้งสองได้เติบโตอย่างดีและมีความสุข ปราณันต์ก็พร้อมจะทำทุกอย่าง จะเป็นให้ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งพี่ชาย ขอเพียงเจ้าตัวน้อยที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของเขาได้รับสิ่งดีๆ อย่างที่ควรจะได้ ปราณันต์ยินดีทำ

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: [Up]: Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 12/10/63 [1st Lies: ทำความรู้จัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 12-10-2020 19:47:21
(อ่านต่อจากด้านบน)


ดวงตาเรียวคมของคามินภายใต้แว่นกันแดดที่บดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง กำลังมองออกนอกหน้าต่างรถไปยังฝั่งตรงข้ามของถนน เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างเพรียวสมส่วนก้าวขาเรียวยาวออกมาจากประตูอพาร์ทเม้นท์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่

มือใหญ่ขยับแว่นกันแดดออกจากใบหน้าราวกับว่ามันกำลังบดบังหรือบิดเบือนภาพที่เขาเห็น แต่เมื่อไม่มีแว่นกันแดดมาขวางแล้ว ภาพตรงหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ดังนั้นมือหนาจึงกดปุ่มอัตโนมัติตรงคอนโซลข้างประตูรถ เพื่อลดกระจกลง ราวกับว่าอยากจะแน่ใจอีกครั้งว่าสิ่งที่ตนเห็นไม่ใช่เป็นเพราะตาฝาด

“แทนคุณ นั่นมัน...” คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เพราะมีภาพเบื้องหน้าเป็นคำตอบแทน

ชายหนุ่มร่างเพรียวกำลังออกเดินโดยมีกระเป๋าเป้ขนาดย่อมสองใบสะพายเอียงๆ อยู่บนไหล่เล็กทั้งสองข้าง ในมือทั้งสองข้างของปราณันต์กำลังกอบกุมมือเล็กๆ ของเด็กน้อยทั้งสองไว้คนละข้าง สามคนเดินเรียงหน้ากระดานจูงมือกันไป โดยเด็กน้อยที่ขนาบข้างซ้ายและขวาของร่างเพรียวนั้น หน้าเหมือนกันราวกับแกะ แต่จะว่าไปก็เหมือนกับคนตัวโตสุดในนั้นด้วย สำเนาถูกต้องราวกับโขลกกันออกมาจริงๆ

ปราณันต์มองไปที่ฝั่งตรงข้ามในขณะที่ทั้งสามคนกำลังรอสัญญาณไฟจราจรให้เปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อจะข้ามถนน เจ้าแฝดคนที่ตัวเล็กกว่ากำลังกระโดดโลดเต้น แกว่งแขนไปมาอย่างน่าเอ็นดู ส่วนเจ้าแฝดอีกคนเพียงแค่มองฝาแฝดตัวเองแล้วยิ้ม และเด็กหนุ่มที่มีดวงตากลมโตเศร้าหมองเหน็ดเหนื่อยคนเมื่อคืนกำลัง... หัวเราะ

... หัวเราะจนตายิบหยีอย่างมีความสุข ช่างดูต่างกับตอนที่เขาได้เจอเมื่อคืนอย่างกับคนละคน

​​​​​​​

“ครับ นั่นคุณปราณันต์กับน้องชายฝาแฝดทั้งสองคนครับ ปุณณกันต์และปัณณธร ตอนนี้เรียนอนุบาลสองอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล T ครับ”

ข้อมูลที่ท่านประธานของเขาต้องการนั้นแทนคุณหามาให้ได้ก่อนกำหนดเวลาสามชั่วโมงที่ถูกกำหนดไว้เสียอีก

คามินยกแขนขึ้นเท้ากับที่จับประตูรถ พลางยกมือขึ้นนวดขมับอย่างสับสน ปราณันต์อายุยี่สิบสองปี แต่กลับมีน้องชายอายุสี่ขวบเนี่ยนะ ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก แล้วแบบนี้เขาจะเข้าหาปราณันต์ได้ยังไงกัน

คิ้วหนาที่พาดอยู่บนดวงตาเรียวกำลังขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด แต่แล้วจู่ๆ ภาพของเด็กหนุ่มร่างเพรียวบางนั่นก็ถูกฉายเข้ามาปิดกั้นทุกความคิดที่เขากำลังเค้นสมองใช้อยู่ ทำให้คามินอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ถ้าภาพของปราณันต์ยามที่มีดวงตากลมโตเศร้าหมองนั่นน่าสนใจแล้ว แต่ภาพปราณันต์ยามยิ้มและหัวเราะจนตายิบหยีกลับน่าสนใจและน่ามองมากกว่า

ฉับพลันพอคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากหยักก็ยกยิ้มอันตรายขึ้นเบาๆ พลางนึกในใจ ดูเหมือนว่าพนันครั้งนี้จะมีอะไรที่น่าสนุกกว่าการเอาชนะไอ้พวกเพื่อนนั่นแล้วสิ ... แบบนี้ค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย

“ไปอนุบาล T ฉันต้องการไปถึงที่นั่นก่อนปราณันต์”

.

.

.

ปราณันต์จูงเด็กแฝดไว้คนละข้างแล้วพาทั้งสองขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน และทันทีที่ขึ้นมาบนรถได้ เจ้าเด็กแฝดก็รีบเดินผละออกจากพี่ชายคนโตเพื่อไปหาที่นั่ง โชคดีที่วันนี้รถไม่แน่นนัก ทำให้มีที่นั่งว่างอยู่เหลือบ้าง ปัณณธรเดินกึ่งวิ่งไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วรีบกระเถิบตัวเข้าไปนั่งด้านใน เพื่อเหลือที่ว่างให้ปุณณกันต์นั่งด้วยกันอย่างรู้งาน

ปราณันต์เดินมาหยุดยืนจับเสาตรงจุดที่น้องชายทั้งสองนั่งอยู่ ตากลมมองไปที่น้องอย่างนึกเอ็นดู เมื่อเห็นว่าแฝดพี่และแฝดน้องกำลังแบ่งที่ให้กันและกันนั่งอย่างน่ารัก

“นั่งดีๆ นะครับ ระวังตกนะปุณณ์ ปัณณ์” เสียงหวานเตือนเจ้าตัวแสบทั้งสองอย่างไม่จริงจังอะไรมาก

และเมื่อถึงป้ายโรงเรียน ปราณันต์จึงอุ้มปัณณธรขึ้นมา และใช้มืออีกข้างจูงปุณณกันต์ไปยืนหน้าประตู เตรียมพร้อมจะลงรถเมล์ ซึ่งป้ายนี้มีคนลงมากพอสมควร เขาจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษด้วยกลัวน้องจะเกิดอุบัติเหตุ

พอประตูเปิดออกขาเรียวจึงค่อยๆ ก้าวลงจากรถพร้อมทั้งจูงปุณณกันต์ลงมาด้วย แต่เพราะมีคนจะลงเยอะเกินไป ทำให้เกิดการเบียดเสียดกัน และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

มือของปุณณกันต์ถูกกระแทกจนหลุดออกมือของปราณันต์ ตากลมเบิกมองน้องชายเมื่อเห็นว่าร่างเล็กๆ นั่นกำลังจะร่วงหล่นหน้าทิ่มลงจากรถ ปากอิ่มตะโกนเรียกชื่อน้องลั่น ด้วยเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้ในสถานการณ์แบบนี้

“ปุณณ์!!”

ใบหน้าของแฝดคนน้องที่ก่อนหน้านี้ซบอยู่บนไหล่ของปราณันต์ หันมาตามเสียงที่ตะโกนดังลั่นของพี่ชายคนคนโต และทันได้เห็นแฝดคนพี่ของตัวเองกำลังจะตกจากบันไดรถเมล์พอดี

“พี่ปุณณ์!! ฮือออออออ” ปัณณธรร้องไห้โฮทันทีเมื่อรับรู้ว่าฝาแฝดของตัวเองตกอยู่ในอันตราย

และก่อนที่ปุณณกันต์จะตกลงไปจู่ๆ ก็มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่โผล่มาจากไหนไม่รู้ พุ่งมารับเจ้าแฝดตัวน้อยไว้ได้ทัน ผู้ชายคนนั้นหงายหลังลงไปกระแทกพื้น โดยมีปุณณกันต์ล้มไปด้วย แต่ไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นจนเป็นอันตราย แต่กลับล้มลงไปอยู่บนร่างกายสูงใหญ่ของผู้ชายคนนั้นแทน

ปราณันต์กระโจนพรวดลงจากรถเมล์ แล้วปล่อยปัณณธรลงยืนบนพื้น เจ้าตัวน้อยยังคงตกใจอยู่แม้จะหยุดร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังคงสะอื้นฮักไม่หยุด คนที่ยืนอยู่ละแวกนั้นเข้ามามุงดูด้วยความตกใจ ร่างเล็กของปุณณกันต์ยังคงถูกอ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดไว้แน่น จนกระทั่งร่างบางทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้นข้างกายผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตปุณณกันต์ไว้ หากไม่ได้ชายคนนี้... ปราณันต์ข่มตาลงแน่นพลางตั้งสติ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาต้องขาดใจแน่ๆ ถ้าปุณณกันต์เป็นอะไรไป

“คุณครับ เป็นยังไงบ้างครับ?” มือเล็กตรงเข้าเขย่าลงบนไหล่หนาของคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเบามือ แต่เขาก็ยังคงนิ่ง ใบหน้าคมคายกำลังก้มมองเด็กในอ้อมกอด สุดท้ายปราณันต์จึงตัดสินใจที่จะผินหน้าก้มลงต่ำเพื่อมองเจ้าตัวน้อยที่ยังอยู่ในอ้อมแขนเขาคนนั้น เมื่อเห็นว่าผู้มีพระคุณยังคงไม่ตอบสนองใดๆ “ปุณณ์ เจ็บตรงไหนรึป่าว บอกพี่ปราณหน่อยครับ”

มือเล็กค่อยๆ แกะอ้อมแขนที่โอบกอดน้องชายของตนออก และเหมือนชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นจะรู้สึกตัว เขาจึงยอมคลายอ้อมกอดออกให้ร่างบางที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ได้อุ้มน้องชายคืนไป

“พี่ปราณ...” ปุณณกันต์หันมองพี่ชายคนโตของตัวเองช้าๆ เมื่อได้กลับเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย และได้เห็นใบหน้าของปราณันต์เต็มตา เด็กน้อยก็ร้องไห้โฮทันที “ฮือออ ฮึก! ฮือออ พี่ปราณ ปุณณ์กลัว ฮืออออ”

และทันทีที่ปุณณกันต์ร้องไห้ ปัณณธรที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ร้องไห้ตาม กลายเป็นแฝดน้อยทั้งสองร้องไห้แข่งกันจ้าละหวั่น

“ไม่ร้องนะไม่ร้อง พี่อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะครับคนเก่ง ไม่มีอะไรแล้ว” แขนเล็กโอบกอดน้องชายตัวเองทั้งสองไว้แน่น

ในระหว่างที่ปลอบน้องปราณันต์ก็ไม่ทันได้สังเกต จนตอนนี้ผู้มีพระคุณลุกขึ้นมานั่งเรียบร้อยแล้ว ตาคมจ้องไปที่พี่น้องทั้งสามอย่างสนใจ จากเท่าที่มองอยู่ตอนนี้ เหมือนเด็กทั้งสองคือแก้วตาดวงใจของคนตรงหน้าจริงๆ

ปราณันต์เองเมื่อหันไปเห็นผู้มีพระคุณกำลังนั่งทอดสายตามายังตน จึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณที่ช่วยชีวิตน้องชายเขาไว้เลย

“ผมต้องขอบคุณคุณมากนะครับที่ช่วยปุณณ์ไว้ คุณเป็นยังไงบ้างครับ เจ็บตรงไหนรึป่าว” ปากอิ่มถามอย่างอ่อนแรง เพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ก่อนหน้าอยู่

“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วลูกชายคุณ...” ชายคนนั้นคงจะเข้าใจผิดเหมือนคนอื่นที่คิดว่าเด็กแฝดเป็นลูกของปราณันต์

“นี่ไม่ใช่ลูกชายผมครับ เด็กสองคนนี้เป็นน้องชายฝาแฝดของผมเอง”

“อ่า ขอโทษนะครับ ผมเข้าใจผิดไป” ใบหน้าคมคายแสดงออกว่าเพิ่งเข้าใจ “แต่ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวนะครับ” ผู้ชายคนนั้นเตรียมผละออก จึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

ปราณันต์เห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นตาม ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะจากไป

“ให้ผมได้พาคุณไปหาหมอเถอะครับ ผมจะได้สบายใจ คุณอุตส่าห์ช่วยน้องผมไว้ ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมคงรู้สึกผิดแย่”

เมื่อปราณันต์เดินไปเผชิญหน้ากับชายคนตรงข้ามเพื่อบอกความตั้งใจของตัวเอง ตัวเขากลับดูเล็กไปจนถนัดตา

“ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ครับ คุณไม่ต้องห่วง” ผู้ชายคนนั้นทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ ให้ปราณันต์

“ไม่ได้หรอกครับ อาการบางอย่างมันอาจจะยังไม่แสดงออกก็ได้นะครับ ผมว่าไปหาหมอตรวจให้แน่ใจเลยดีกว่า”

คนตัวเล็กยังคงดื้อดึง ปราณันต์อยากจะไปตรวจให้รู้แน่ว่าเขาไม่เป็นอะไร เพราะแค่เขาช่วยเหลือปุณณกันต์ไว้นั้นก็เท่ากับเป็นบุญคุณมากมายของปราณันต์แล้ว

“งั้นเอาตามใจคุณก็ได้ครับ” ในที่สุดชายหนุ่มผู้ที่มีใบหน้าคมคายหล่อเหลาคนนั้นก็ยอมตกลง

“ขอบคุณมากนะครับที่คุณยอม ยังไงคุณรอแป๊บนึงนะครับ ผมขอพาน้องไปส่งครูที่โรงเรียนอนุบาลข้างหน้านี้ก่อน”

ตากลมโตมองเลยไปยังประตูโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทำให้คนตรงข้ามอดมองตามไปด้วยไม่ได้

“ผมไปกับคุณก็ได้ครับ จะได้ช่วยจูงน้องให้คนนึง”

“ขอบคุณมากนะครับ” ก่อนที่ปราณันต์จะหันไปมองน้องชายฝาแฝดคนพี่ที่ยังกอดเอวเขาไว้แน่น “แต่ปุณณ์น่าจะยังไม่ยอมไปจากผมง่ายๆ แน่”

ปุณณกันต์ยังคงเกาะติดปราณันต์ไม่ยอมปล่อย เพราะตกใจกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อยู่ ปัณณธรเองก็คงรู้ เลยเดินมาหาชายคนนั้นพร้อมทั้งยื่นมือเล็กๆ ป้อมๆ ไปเกาะที่มือใหญ่ของชายคนนั้นอย่างเด็กรู้ความ

ชายคนนั้นหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อเห็นถึงความฉลาดของเด็กแฝดคนน้อง

“น้องชายคุณฉลาดมากเลยนะครับ” เขาหันไปพูดชมปัณณธรให้ปราณันต์ฟัง ก่อนจะหันมาหาเจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังเกาะมือเขาแน่น แถมยังใช้ตากลมๆ โตๆ ที่เหมือนพี่ชายตัวเองมองมาที่เขาตาแป๋วอีกต่างหาก “ไงหนุ่มน้อย เราเป็นพี่หรือเป็นน้องล่ะ?”

“ปัณณ์เป็นน้องของพี่ปุณณ์ครับ ปัณณ์ชื่อปัณณธร ฤทธิรงค์ครับ”

คนตัวเล็กยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินเจ้าตัวน้อยเจื้อยแจ้วคุยกับคนแปลกหน้าอย่างสนิทสนม

“ปัณณ์ ปัณณ์รู้จักคุณเขาหรอนั่น วิ่งไปเกาะมือแถมยังคุยกับคุณเขาปร๋ออีก”

“ปัณณ์รู้จักคุณลุงคนนี้นะพี่ปราณ” ปัณณธรยังคงพูดฉอเลาะไม่หยุด จนปุณณกันต์ที่ตอนนี้ซบหน้าอยู่บนบ่าของพี่ชายคนโต เริ่มหันมาให้ความสนใจบ้างแล้ว

“คุณลุงเลยหรอ ฮ่าๆ” คนแปลกหน้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินปัณณธรใช้สรรพนามเรียกตนเองแบบนั้น ก่อนจะผินหน้าไปหน้าคนตัวเล็กกว่าที่ขณะนี้เริ่มออกเดินแล้ว “ผมดูแก่ขนาดนั้นเลยหรอครับเนี่ย”

“แหะๆ” ปราณันต์หัวเราะแห้งๆ ไม่รู้จะตอบรับหรือตอบปฏิเสธยังไง เพราะคนตรงข้ามก็ดูมีอายุ ไม่สิ เรียกว่าดูภูมิฐานน่าจะเหมาะกว่า รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง แขนและขายาวรับกัน ถ้าให้เดา ร่างกายภายใต้ชุดสูทราคาแพงต้องเต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่ๆ ไหนน่าจะใบหน้าคมคายดูมีเสน่ห์นั่นอีก ปราณันต์คิดว่าที่แน่ๆ ชายคนนี้คงจะอายุมากกว่าเขาหลายปีทีเดียว

“หัวเราะแบบนี้หมายความว่าไงครับเนี่ย” ชายคนที่ปัณณธรเรียกว่าคุณลุงหยอกเย้าปราณันต์อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปหาเจ้าแฝดคนต้นเหตุของหัวข้อสนทนาตอนนี้ “ว่าไงครับปัณณ์ ลุงดูแก่ขนาดนั้นเลยหรอ”

ปากเล็กๆ ของเจ้าตัวแสบเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด เมื่อได้ยินคำถามจากคุณลุงคนใจดี ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปอย่างไร้เดียงสา

“คุณลุงไม่ได้แก่หรอกครับ แต่ปัณณ์ไม่รู้จะเรียกคุณลุงว่ายังไงนี่นา” ปากเล็กๆ ยังคงขยับพูดต่อโดยไม่หยุดหายใจ “ปัณณ์อยากสนิทกับคุณลุง เพราะคุณลุงใจดี คุณลุงช่วยพี่ปุณณ์ของปัณณ์ไว้ พี่ปราณสอนไว้ว่า ถ้าใครช่วยเหลือเรา เราต้องรู้จักสำนึกในบุญคุณ”

ทั้งปราณันต์และชายคนนั้นยิ้มออกมาทันทีหลังจากได้ยินเด็กน้อยพูดจบ โดยเฉพาะชายแปลกหน้าคนนั้น ได้แต่คิดในใจลำพังว่า คนตัวเล็กนี่ช่างสอนน้องชายได้ดีจริงๆ เจ้าตัวน้อยที่เขาจูงอยู่ตอนนี้ ช่างฉลาดพูด ฉลาดคิด ฉลาดทำเกินเด็กวัยเดียวกัน

“คุณลุงครับ” เสียงเล็กๆ เบาๆ ที่คล้ายกับเสียงของปัณณธรดังขึ้นมาจากทางไหล่ของปราณันต์ เรียกให้ทุกคนไม่แค่เฉพาะเจ้าของชื่อ หันไปมอง

“ปุณณ์หายตกใจรึยังครับ” ปราณันต์ถามแฝดคนพี่ที่ตนอุ้มอยู่อย่างเป็นห่วง

“หายแล้วครับ” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก เพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเองพูด ก่อนจะหันไปมองชายผู้ช่วยชีวิตตนไว้อีกครั้ง “คุณลุงครับ”

“ว่าไงครับปุณณ์ ปุณณ์เจ็บตรงไหนไหม?” ชายคนนั้นยิ้มให้ปุณณกันต์อย่างใจดี

“ไม่เจ็บครับ ปุณณ์แค่อยากจะขอบคุณคุณลุง” เด็กน้อยพุ่มมือขึ้นไหว้พร้อมกับค้อมหัวลง แม้จะถูกพี่ชายอุ้มอยู่ก็ตาม “คุณลุงช่วยปุณณ์ไว้ ขอบคุณครับ”

มือใหญ่ของชายแปลกหน้าลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ ของปุณณกันต์อย่างเอ็นดู

“ไม่เป็นไรครับ แค่ปุณณ์ไม่เป็นอะไร ลุงก็ดีใจแล้ว”

ทั้งสี่คนเดินไปคุยกันไป จนเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว

ปราณันต์เดินนำชายแปลกหน้าที่กำลังจูงปัณณธรอยู่เข้าไปในโรงเรียน ก่อนจะเดินตรงไปหาอาจารย์ประจำชั้นของเด็กแฝดทั้งสองที่ยืนคอยอยู่ก่อนหน้าแล้ว

“น้องปุณณ์ น้องปัณณ์ มากันแล้วหรอจ๊ะ ทำไมวันนี้ถึงสายได้ล่ะคะน้องปราณ” อาจารย์ที่ดูสูงวัยนิดหน่อยทักทายทั้งสามอย่างสนิทสนม

“พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับอาจารย์ โชคดีที่ได้คุณคนนี้ช่วยไว้” ปราณันต์ตอบพลางปล่อยให้ปุณณกันต์ที่ตอนนี้หายตกใจแล้ว ลงไปยืนบนพื้น แล้วหันไปชี้คนแปลกหน้าที่ตัวเองพามาด้วย

“ตายจริง แล้วเป็นอะไรกันมากไหมจ๊ะ” อาจารย์ถามขึ้นอย่างตกใจ

“ไม่เป็นไรแล้วครับ ตอนแรกปุณณ์ตกใจนิดหน่อย แต่ตอนนี้น่าจะดีขี้นแล้ว”

ตากลมทอดมองไปยังแฝดคนพี่ด้วยสายตาเป็นห่วง พลางใช้มือลูบหลังลูบไหล่น้อง เพื่อให้น้องได้ผ่อนคลายมากขึ้น

และพออาจารย์สำรวจมองดูเห็นว่าเด็กทั้งสองปลอดภัยดี จึงเตรียมพาเข้าห้องเรียน

“ไปจ้ะ บอกลาพี่ชายได้แล้วเด็กๆ จะได้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ”

เจ้าแฝดน้อยทั้งสองยืนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของพี่ชายคนโต ที่ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ เพื่อให้ใบหน้าของตนและน้องทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน แฝดปุณณ์และแฝดปัณณ์มองหน้าพี่ชายพลางจับจูงมือกันและกันไว้แน่น

“เอาล่ะครับ ตั้งใจเรียนนะเด็กๆ ไม่ดื้อไม่ซน เหมือนที่พี่ปราณเคยสอนนะ โอเคไหม”

“ครับ” ทั้งสองรับคำพร้อมกัน

“พี่ไปนะ แล้วเดี๋ยววันศุกร์ พี่เลิกงานแล้วจะรีบมารับเราสองคนทันที” ปราณันต์ยิ้มบางๆ ให้น้องทั้งสอง แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องทิ้งน้องไว้ให้คนอื่นดูแล แต่ด้วยความจำเป็นก็ต้องทำ และเด็กๆ เองก็รู้และเข้าใจดี แม้จะมีงอแงบ้างตามประสาเด็ก แต่ปุณณกันต์และปัณณธรก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้หนักใจสักครั้ง

“ปัณณ์ต้องคิดถึงพี่ปราณมากแน่ๆ เลย” ปราณันต์โยกศีรษะกลมๆ เล็กๆ นั่นอย่างเอ็นดู เมื่อได้ยินเจ้าตัวน้อยพูดจบ

“แป๊ปเดียวก็วันศุกร์แล้ว พี่สัญญานะว่าจะโทรมาหาทุกวัน ตกลงไหม” แม้ปากอิ่มจะยิ้ม แต่ในตากลมโตกลับแสดงความรู้สึกที่ตรงข้าม... ปราณันต์เองก็กำลังเศร้า ไม่ต่างจากเด็กทั้งสองเลยสักนิด

“พี่ปราณไปเถอะครับ เดี๋ยวปุณณ์จะดูแลปัณณ์เอง พี่ปราณไม่ต้องเป็นห่วงนะ” แฝดคนพี่เอ่ยปากเพราะไม่อยากให้พี่ชายเป็นห่วง ปราณันต์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะหันไปหาอาจารย์ เพื่อฝากฝังน้องชายทั้งสองอีกครั้ง

“ฝากด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้เลย แล้วเดี๋ยววันศุกร์ผมจะมารับ”

“ได้จ้ะ น้องปราณไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวครูจะดูแลปุณณ์กับปัณณ์ให้” อาจารย์ยิ้มให้อย่างใจดี

และก่อนที่อาจารย์จะพาเด็กแฝดเข้าห้องเรียน ปัณณธรก็หันกลับมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“บ๊ายบายครับคุณลุง ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ช่วยพี่ปุณณ์ไว้” เด็กน้อยหันมาโบกมือให้คุณลุงคนแปลกหน้า ปุณณกันต์เองก็เลยหันมาทำตามฝาแฝดตนเช่นกัน

“ขอบคุณครับคุณลุง” ปุณณกันต์เอ่ยตาม ก่อนที่เจ้าของสรรพนามคุณลุงจะเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสองอีกครั้ง พลางถามออกมา

“ทำยังไงดีล่ะ ลุงไม่ชอบให้เรียกว่าลุงเลย”

แฝดคนน้องเอียงคออย่างใช้ความคิด เมื่อได้ยินดังนั้น “แล้วจะให้เรียกว่ายังไงดีครับ คุณลุง”

“อืม เอาอย่างนี้ดีไหม?” มือใหญ่กวักเรียกปุณณกันต์และปัณณธรให้เดินเข้าไปใกล้ๆ พลางทรุดตัวลงนั่งยองๆ เพื่อให้ใบหน้าเสมอกับเด็กๆ ก่อนจะยื่นไปกระซิบที่ข้างหูของเด็กแฝดเบาๆ จากนั้นก็ผละออกแล้วถาม “ดีไหมครับ”

“ดีครับดี” ปัณณธรตอบพลางหัวเราะคิกคัก ปุณณกันต์เองก็พยักหน้าเห็นด้วยเหมือนกัน

ทั้งสามยิ้มให้กันอย่างชอบใจ ราวกับว่าเป็นเรื่องที่รู้กันได้เฉพาะแค่สามคน จนปราณันต์ที่เดินมายืนข้างหลังอดแปลกใจไม่ได้

“ปุณณ์ ปัณณ์ไปได้แล้วจ้ะ สายแล้ว” เสียงคุณครูตะโกนเรียก ก่อนที่สองแฝดจะวิ่งตื๋อออกไป แล้วหันมายิ้มหวานตาหยีโบกมือให้พี่ชายและคุณลุงคนแปลกหน้าอีกครั้ง

คนตัวเล็กและคนตัวโตก็โบกมือกลับไปให้เด็กๆ พลางมองดูฝาแฝดเดินเข้าไปด้านในจนลับตา ปราณันต์จึงหันมาหาคนข้างกายอีกครั้ง

“รบกวนคุณเลย ไหนจะช่วยน้องผมไว้ แลัวยังเป็นธุระมาส่งให้อีก ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”

ชายคนนั้นเพียงแค่ยิ้ม พลางโบกมือไล่ประมาณว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักนิด

“โถ่ เรื่องเล็กน้อยเองครับ อย่ากังวลไปเลย”

“ให้ผมพาคุณไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลนะครับ เช้านี้ผมพอว่างอยู่” ปราณันต์พูดเจื้อยแจ้ว จนคนตรงข้ามอดคิดในใจไม่ได้ว่า ปราณันต์นั้นไม่ต่างจากปัณณธรเลยสักนิด

“ไปกันเถอะครับคุณ...” ปราณันต์หยุดชะงัก และถามขึ้นราวกับเพิ่งนึกได้ “นี่คุณชื่ออะไรนะครับ ผมเองก็ลืมถามเสียสนิทเลย ฮ่ะๆ”

ปราณันต์หัวเราะแก้เก้อ พลางเกาต้นคอตัวเองอย่างเขินๆ เกิดเรื่องวุ่นวายจนเขาลืมถามชื่อของผู้มีพระคุณไปได้ยังไงกันนะ

“ฮ่าๆ” คนตัวโตกว่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและไม่ได้ถือสาอะไร ก่อนจะตอบปราณันต์ออกไปอย่างเป็นกันเอง

“คามินครับ ... ผมชื่อคามิน หรือคุณจะเรียกผมว่าครามก็ได้ ”


“คุณคราม...” ศีรษะกลมๆ ของปราณันต์พยักหงึกหงักอย่างรับรู้ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตอาการของคนฝั่งตรงข้าม เลยสักนิด

ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาด้วยความพอใจ

‘ใช่แล้วปราณันต์ ฉันชื่อคราม นายจำชื่อฉันไว้ให้ดีล่ะ จากนี้ฉันมีเรื่องสนุกให้นายได้เจออีกเยอะเลย’

-------------------------------------------------------

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ... หรือ ซาตาน?

555555555555555555555555

ถ้าเจอคำผิดบอกเรานะคะ โดยเฉพาะชื่อตัวละคร บางทีตามันลายจริงๆ เลยอาจจะเผลอมองข้ามไป เม้นท์บอกได้เลย เราจะรีบแก้ให้ อย่างที่บอกคือเอามารีไรท์จริงๆ ก็กลัวจะมีข้อผิดพลาดหลุดไป ถ้ามียังไงก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

แล้วก็ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามและให้กำลังใจ ขอบคุณคอมเม้นท์ทุกคอมเม้นท์ด้วยย น่ารักกันมากๆ เลย ขอบคุณค่ะ

แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ รักกกก <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 12/10/63 [1st Lies: ทำความรู้จัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-10-2020 20:45:25
 :hao3:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 12/10/63 [1st Lies: ทำความรู้จัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 13-10-2020 16:13:01
อย่างนี้สิ สนุกแน่ๆ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 12/10/63 [1st Lies: ทำความรู้จัก]
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 13-10-2020 17:25:54
 :ling1: :ling1: :ling1:อย่าหาทำ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 16/10/63 [2nd Lies: แผนการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 16-10-2020 18:34:40
2nd Lies : แผนการ


หลังจากส่งฝาแฝดทั้งสองเข้าเรียนแล้ว ปราณันต์และคามินก็ออกมาเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงเรียน เพื่อไปยังโรงพยาบาลใกล้ๆ และเช็คอาการของคามินตามที่ปราณันต์เป็นกังวล

คามินลอบมองคนข้างๆ หลังจากขึ้นรถมาเรียบร้อย พลางคิดในใจว่า เด็กคนนี้... ถ้ามองผ่านๆ หรือไม่สังเกตดีๆ จะรู้สึกว่าธรรมดามาก แต่ถ้าได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้...

ดวงตากลมโตที่สอดรับกับขนตายาวเป็นแพ จมูกโด่งเป็นสันที่ปลายรั้นนิดหน่อย ราวกับจะบอกถึงความดื้อดึงของเจ้าของ แล้วไหนจะริมฝีปากอิ่มสีแดงสดที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าเล็กๆ นั่น ทุกองค์ประกอบบนเครื่องหน้าของปราณันต์ นิยามได้คำเดียวเลยว่า ‘สวย’ ... สวยถึงแม้ว่าเพศสภาพของคนตรงข้ามจะไม่ใช่ผู้หญิงก็ตาม

คามินไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปราณันต์ถึงเสน่ห์แรงขนาดที่ว่าสิปปกรมันเอามาเป็นเหยื่อในเกมพิเรนทร์ๆ ที่พวกมันคิดขึ้นแบบนี้

“ถ้าผมพาคุณไปคลินิกใกล้ๆ นี้ เอ่อ... คุณจะโอเคไหมครับ” จู่ๆ เสียงใสก็เอ่ยถามขึ้น คิ้วเข้มของคามินเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เมื่อได้ยินคำถามนั้น

“ผมยังไงก็ได้ครับ ที่จริง... อย่างที่ผมบอกไปแต่แรกว่าอย่าลำบากเลย แต่คุณปราณันต์ก็ยังดึงดัน” คามินกล่าวอย่างสบายๆ เพราะอันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรตรงไหนสักเท่าไหร่

“อย่าเข้าใจผิดไปเลยนะครับ ผมอยากพาคุณไปหาหมอจริงๆ เพียงแต่... เงินผมอาจจะไม่พอถ้าไปโรงพยาบาลเอกชน” เจ้าของคำพูดยิ้มเศร้าๆ ใบหน้าหวานดูอึดอัดเล็กน้อย ที่ต้องพูดเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ให้คนแปลกหน้าฟัง

คามินปั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ปราณันต์ ยิ้มแบบที่คนตัวเล็กกว่าเห็นแล้วใจกระตุกโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

“เอาที่คุณปราณันต์สะดวกเลยครับ ผมได้หมด”

ร่างบางยิ้มตอบให้คนตรงข้าม พาลให้รู้สึกประทับใจในความเข้าอกเข้าใจที่อีกฝั่งมีให้ตน ยิ่งด้วยท่าทางสบายๆ ของคามินที่ไม่ได้ทำท่าเห็นอกเห็นใจ หรือไม่ได้ละลาบละล้วงอยากรู้มากเกินไปเสียจนทำให้เขาอึดอึด ยิ่งทำให้ปราณันต์รู้สึกดี และสบายใจกับคนแปลกหน้าคนนี้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และระหว่างตลอดทางที่นั่งรถ คงเพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันดูอึดอัดเกินไป คามินจึงพยายามชวนคนตัวเล็กกว่าพูดคุย หรือง่ายๆ ก็คือพยายามล้วงข้อมูลจากปราณันต์ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

“แล้วคุณปราณันต์ทำงานที่ไหนเหรอครับ เพราะตอนนี้ก็สายมากแล้วด้วย” คามินแกล้งถามหน้าซื่อ ทั้งที่จริงเขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วแก่ใจ

“พอดีผมลางานช่วงเช้าน่ะครับ เพราะต้องมาส่งปุณณ์กับปัณณ์ วันนี้เปิดเทอมวันแรกผมก็เลยอยากจะอยู่กับพวกแกให้นานหน่อย”

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง" ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงราวกับเพิ่งเข้าใจ

“....” ปราณันต์นิ่ง คามินเลยพูดต่อ

“แต่ดูท่าคุณจะสนิทกับฝาแฝดมากเลยนะครับ” คามินแสร้งทำสีหน้ากระอักอ่วนใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมา “แต่พวกคุณดูอายุห่างกันมาก เอ่อ... ผมเลยเผลอเข้าใจผิดไป ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

ปราณันต์หัวเราะน้อยๆ หลังจากได้ยินคามินพูดจบประโยค

“ใครๆ ก็เข้าใจแบบคุณครับ ไม่ต้องคิดมากหรอก และอีกอย่างปุณณ์กับปัณณ์ก็หน้าเหมือนกับผมอย่างกับโขลกกันมา ถ้าคุณไม่เข้าใจผิดผมสิว่าแปลก”

คามินเผลอจ้องคนตรงข้ามนิ่ง ภาพตอนที่ปราณันต์หัวเราะนั่น เหมือนสาปให้เขาแทบหยุดหายใจได้เลยทีเดียว


‘น่ารัก’


เป็นคำๆ เดียวที่เขาคิดออกสำหรับคนตรงหน้าในเวลานี้

“มีอะไรติดหน้าผมหรือเปล่าครับ ทำไมจ้องขนาดนั้น”

เจ้าของดวงตากลมโตเสหลบตาคมที่จ้องมาทางตนอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่ว่าปราณันต์จะไม่เคยถูกจ้องแบบนี้ เวลาทำงานที่คลับ ลูกค้าที่เข้ามามักจะแทะโลมเขาทั้งด้วยคำพูดท่าทางและแววตาอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ไม่เคยมีสายตาคู่ไหนทำให้เขาหวั่นไหวได้เท่ากับสายตาคู่นี้มาก่อน มันทั้งดึงดูด ทั้งมีเสน่ห์ จนทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ที่ไม่เคยเต้นแรงให้กับใคร สั่นไหวจนเจ้าตัวก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าคุณน่ารักดี” คามินตอบไปตามตรง อยากทำคะแนนก็ส่วนนึงและในใจส่วนลึกๆ ของเขาเองก็คิดแบบนั้นจริงๆ จะเป็นอะไรไปยังไงมันก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนของเขาอยู่แล้ว

ปราณันต์หน้าขึ้นสีจางๆ เมื่อได้ยินคำตอบนั้นของคามิน มันไม่ได้ฟังดูเจ้าชู้หรือหยาบคายเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับฟังดูจริงใจและไม่ได้แฝงจุดประสงค์ใดเลย

“เอ่อ.. ขอบคุณครับ” ปราณันต์รับคำอึกๆ อักๆ ทุกอย่างมันดูขัดเขินไปหมด

“นี่ผมทำคุณลำบากใจหรือเปล่าครับ” คามินแสร้งทำเสียงเสียใจ “ถ้าเป็นแบบนั้น ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“เปล่าครับ เปล่า” ปราณันต์ละล่ำละลักปฏิเสธ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องแคร์ และกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดมากขนาดนั้น “เพียงแต่ไม่เคยมีใครมาชมผมต่อหน้าแบบนี้ ผมเลยรู้สึกแปลกๆ นิดนึง”

“ไม่น่าเชื่อนะครับว่าผมจะชมคุณเป็นคนแรก ผมคิดว่าผมจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้แล้วเสียอีกที่ชมคุณแบบนี้”

ฟังเผินๆ อาจจะเหมือนคำพูดทั่วไป แต่ถ้ามองลึกลงไปในประโยคเมื่อกี้มันคือคำชมทางอ้อม ทำเอาคนถูกพูดถึงอดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน

หลังจากนั้นคามินก็เริ่มชวนปราณันต์พูดคุยอย่างเป็นกันเอง พลอยให้ปราณันต์ได้ผ่อนคลายและไม่เกร็งเท่าช่วงแรกๆ ทั้งสองคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งรถแท็กซี่ที่โดยสารมาหยุดที่หน้าคลินิกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนอนุบาลมาไม่ไกลมาก

หลังจากปราณันต์ส่งคามินเข้าไปตรวจร่างกายเรียบร้อย เขาก็มาเตร็ดเตร่นั่งรออีกฝ่ายอยู่ด้านนอก ก่อนที่มือเรียวจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาปลายสายที่ตนคุ้นเคยทันทีที่นึกขึ้นได้

(ว่าไงปราณ ปราณจะกลับเข้าออฟฟิศกี่โมง)

ทันทีที่ทางโน้นรับสายก็ไม่ทันได้ให้เขาได้ทักทายอะไร แต่กลับตั้งคำถามสวนมาแทน ปราณันต์เองพอได้ยินแบบนั้นก็อดขำไม่ได้

“ใจเย็นครับพี่นท ฮ่ะๆ ผมส่งฝาแฝดเสร็จแล้วแต่พอดีมีธุระติดพันอีกนิดหน่อย สักสิบโมงคงได้กลับเข้าออฟฟิศครับ”

ปราณันต์โทรหา ‘นทนัช’ รุ่นพี่สาวที่สนิทมากที่สุดในบริษัท และยังพ่วงตำแหน่งหัวหน้าทีมที่ทำงานร่วมกันมานานหลายปีแล้วด้วย

(ธุระของเจ้าแฝดเหรอ?)

นทนัชถามขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะโดยปกติปราณันต์ไม่ค่อยจะได้มีเหตุให้ได้ไปอะไรที่ไหน นอกจากจะเป็นเหตุจำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยพ้นเรื่องเจ้าเด็กฝาแฝด ซึ่งคราวนี้รุ่นพี่คนสนิทเดาผิดถนัด

“เปล่าครับ ถ้าให้ผมเล่าคงยาว เดี๋ยวพอกลับเข้าออฟฟิศผมจะไปเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ ยังไงก็ฝากพี่บอก ‘กวี’ ด้วย ว่าผมจะเข้าไปช้ากว่ากำหนดนิดนึง”

(โอเคๆ ตามสบายเถอะ ไม่ต้องรีบ นานๆ ปราณจะลาซักที ยังไงก็ลาไว้จนเที่ยงอยู่แล้วนี่ อย่ากังวลไปเลย)

“ขอบคุณครับพี่นท”

นทนัชบอกตัดบทอย่างใจดี ก่อนจะวางสายไป เป็นผลให้ปราณันต์ต้องหลุดยิ้มออกมาบางๆ อย่างที่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มีคนรอบตัวแสนดีขนาดนี่

นอกจากอนาวินที่เป็นเพื่อนสนิทแล้ว ปราณันต์ก็มี นทนัช และ กวี หรือ กันต์กวี นี่แหละ เป็นเพื่อนที่ร่วมงานด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานที่บริษัท ‘เคเอ็มพร็อตเพอร์ตี้’  และถึงแม้ปราณันต์จะทำงานอยู่ฝ่ายออกแบบ แต่ในฝ่ายก็จะแบ่งทีมออกแบบเป็นทีมย่อยๆ หลายทีม ซึ่งทีมของเขาก็มีนทนัชและกันต์กวีที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ซึ่งตัวปราณันต์เองก็ชอบการทำงานแบบนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเขาเชื่อว่าการออกแบบที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะ การทำงานกับคนน้อยๆ เป็นอะไรที่ควบคุมง่าย และทำให้มีอิสระทางความคิดก็มากกว่าตามไปด้วย

แต่เหตุผลหลักๆ ก็เห็นจะเรื่องที่ว่าปราณันต์เป็นคนไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปเท่าไหร่นัก อย่างที่บอกว่าหลังจากที่พ่อและแม่จากไป หนุ่มน้อยที่ร่าเริงสดใสคนนั้นก็เหมือนตายจากไปด้วย เหลือแต่ชายหนุ่มคนใหม่ที่แบกภาระความรับผิดชอบไว้เต็มสองบ่า ปราณันต์ยอมรับว่าเขาไม่มีเวลาไปเสียกับเรื่องอื่นใดทั้งนั้น นอกจากเรื่องชีวิตและความเป็นอยู่ของเด็กแฝดทั้งสอง ที่เป็นเหมือนแก้วตาและดวงใจของเขาเอง

“คิดอะไรอยู่เหรอครับ” คามินที่ตอนนี้มาหยุดยืนเต็มความสูงอยู่ตรงหน้าปราณันต์ ในมือใหญ่มีถุงยาถุงเล็กๆ หนึ่งถุงถือไว้เรียบร้อยแล้ว

“ตรวจเสร็จแล้วเหรอครับ” ปราณันต์กลับตอบคำถามคามินด้วยคำถาม ตากลมมองเลยหลังคนตัวใหญ่ไปอย่างเลิ่กลั่ก พลางคิดในใจว่าเหม่อจนได้เรื่อง

และหลังจากได้สติเขาก็จัดแจงจะลุกขึ้นเพื่อเดินจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งไปยังเคาน์เตอร์คิดเงินที่อยู่ไม่ไกลออกไป

“คุณปราณันต์จะไปไหนครับ” คามินถามยิ้มๆ ตอนเห็นท่าทางน่าเอ็นดูแบบนั้นของอีกฝ่าย

“รอผมแป๊ปนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปจ่ายเงินก่อน”

ขณะที่ขาเรียวกำลังจะก้าวเลี่ยงออกเพื่อไปจ่ายเงินตามที่บอกกับคามิน แต่มือใหญ่กลับรั้งข้อมือของเขาไว้ก่อนพลางเอ่ยห้ามอย่างไม่จริงจัง

“ไม่เป็นไรครับ ผมจ่ายเรียบร้อยแล้ว” ริมฝีปากหยักเอ่ยออกมายิ้มๆ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดามากสำหรับเขา

“ได้ยังไงกันครับ” ปากอิ่มของคนตรงหน้ายื่นออกอย่างไม่พอใจ เสียงหวานที่เคยเจื้อยแจ้วอย่างเป็นกันเองก่อนหน้ากลับแข็งขึ้น จนคนได้ยินถึงกับหน้าถอดสี “ผมบอกแล้วไงครับว่าผมจะรับผิดชอบเอง”

คนตัวเล็กที่ก่อนนี้ดูไม่มีพิษมีภัยใดๆ สำหรับคามิน ตอนนี้กำลังขู่ฟ่อเป็นแมวพองขน เป็นผลให้คามินกระตุกยิ้มเบาๆ หลังจากได้เห็นท่าทางดื้อดึงของปราณันต์... เขาเดาไว้ไม่ผิดเลยว่าลึกๆ แล้วปราณันต์คงเป็นคนหัวรั้นและหยิ่งทระนงไม่น้อย ซึ่งแน่นอนว่าตัวคามินเองก็เจนจัดมีเล่ห์เหลี่ยมมากพอสมควร เพราะเขาเองก็เตรียมแผนการที่จะเปลี่ยนวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

“ขอโทษครับที่ผมทำอะไรตามใจตัวเองไปหน่อย” คามินแสร้งกล่าวหน้าสลด น้ำเสียงหงอยๆ ถูกประดิษฐ์ออกมาอย่างแนบเนียน จนคนฟังได้ยินแล้วอดใจอ่อนไม่ได้ แต่ด้วยความไม่พอใจที่ยังมีอยู่ ใบหน้าหวานจึงยังคงเชิดขึ้นน้อยๆ ราวกับจะแสดงออกถึงการต่อต้านเล็กๆ ที่ตนเองมี

“ผมไม่ได้จะดูถูกคุณนะครับ” มือใหญ่เอื้อมมาแตะที่แขนเรียวเบาๆ เพื่อต้องการจะหยั่งเชิง พอเห็นว่าปราณันต์ไม่ได้เบี่ยงหนีหรือขยับออก จึงเข้าไปใกล้อีกนิด “ผมเห็นว่ามันเล็กน้อย อีกอย่างหมอก็บอกว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมาก มีแค่รอยฟกช้ำนิดหน่อย ค่ายาก็ไม่ได้แพงอะไร ผมเลยไม่อยากรบกวนคุณ”

ปราณันต์หันมาเผชิญหน้า ท่าทางดูอ่อนลงเยอะ เมื่อรู้ว่าค่ารักษาไม่ได้แพงแต่ก็นั่นแหละทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องสักนิด

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณช่วยน้องชายผมไว้แล้วนี่ยังจะต้องมาจ่ายค่ายาเองอีก ผมว่ามันไม่ถูก”

ปราณันต์ยังคงยกเหตุผลมาเถียง ให้คามินนึกหมั่นเขี้ยวคนดื้อดึงในใจ เขาอยากจะจับปากอิ่มที่ขี้เถียงนั่นมาจูบให้หนำใจ อยากจะรังแกให้ริมฝีปากสีสดที่กำลังเชิดขึ้นอย่างถือดีอยู่นั้นบวมช้ำ ให้สมกับที่เจ้าของมันช่างพยศเอาแต่ใจเสียเหลือเกิน แต่เพื่อให้แผนการในอนาคตของตนสำเร็จเขาจึงต้องข่มใจไม่ให้ทำตามความต้องการลึกๆ ของตัวเอง

“เอาแบบนี้ดีไหมครับ” แม้ใบหน้าหวานจะยังคงดื้อดึงแต่ตากลมโตกลับมองไปยังเจ้าของคำพูด เพื่อรอฟังข้อเสนออย่างสนใจ “ถ้าคุณอยากตอบแทนผมจริงๆ คุณเลี้ยงข้าวผมสักมื้อ แบบนี้พอจะทดแทนกันได้ไหมครับ”

คิ้วหนาบนใบหน้าคมคายเลิกขึ้นอย่างต้องการตั้งคำถาม ตาคมจ้องไปที่ปราณันต์ที่ตอนนี้ริมปากอิ่มกำลังเม้มแน่นสนิท เหมือนกับคนที่ต้องการใช้ความคิด จนในที่สุดก็มีคำตอบหลุดออกมาให้ได้ยิน

“ก็ได้ครับ” คามินนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ในที่สุดลูกแมวน้อยของเขาก็งับเหยื่อเสียที ไม่เสียแรงที่ทุ่มเทยอมเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ เพื่อช่วยเจ้าแฝดตัวน้อยนั่น

“แต่ผมขอเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์นะครับ วันธรรมดาผมต้องทำงาน” ปราณันต์ต่อรองซี่งเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

“แล้วแต่คุณปราณันต์เลยครับ จะพาปุณณ์กับปัณณ์ไปด้วยก็ได้” คามินแสร้งยิ้มใจดี “ผมชักจะหลงเสน่ห์คู่แฝดตัวน้อยเข้าให้แล้วสิ ฮ่ะๆ”

ปราณันต์ที่พอได้ยินดังนั้นก็แสดงความดีใจออกมาจนปิดไม่มิด ริมฝีปากสีแดงสดกำลังส่งยิ้มหวานให้คามิน เล่นเอาคนเย็นชาหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที


...สองครั้งแล้วที่รอยยิ้มของเด็กนี่ทำให้ใจเขาเต้นแรง จนคามินนึกหวั่นๆ ในใจ


“ขอบคุณมากนะครับ เพราะเสาร์อาทิตย์เองก็เป็นช่วงเวลาที่ผมสัญญากับฝาแฝดเอาไว้เหมือนกันว่าจะมีให้พวกแกเต็มที่ ครั้นจะให้ผมทิ้งเด็กๆ ไว้ที่บ้านคุณป้าแล้วไปกับคุณ ผมก็รู้สึกผิดกับน้องแปลกๆ แต่พอได้ยินว่าคุณให้ปุณณ์กับปัณณ์ไปด้วยได้ ผมก็เบาใจ”

คามินโบกมืออย่างไม่ถือสา “เล็กน้อยมากครับ พามาเถอะ เด็กๆ จะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย”

ศีรษะกลมๆ ของปราณันต์ผงกขึ้นลงอย่างเห็นด้วยและยินดี ส่วนคามินก็ยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีพิษมีภัย แต่ลึกๆ ในใจของคนเย็นชากลับตรงกันข้าม

‘หึ! ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่คิดไว้ว่าอาจจะอุปสรรค จะกลายมาเป็นจุดอ่อนของปราณันต์ได้ ถ้าอยากจะซื้อใจคนๆ นี้ ง่ายนิดเดียว! แฝดน้อยทั้งสองนั่นแหละ ที่เป็นกุญแจทำให้ฉันเป็นผู้ชนะในเกมนี้’

.

.

.

“เมื่อกี้คุณยังไม่ได้บอกเลยนะครับว่าทำงานที่ไหน” คามินเอ่ยถามอีกครั้งหลังจากที่หาหมอเสร็จแล้ว และก็กำลังมายืนรอรถที่ป้ายรถเมล์

“อ่า..เหรอครับ สงสัยผมจะลืม” ปราณันต์ตอบยิ้มๆ “ผมทำงานอยู่ที่ ‘เคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้’ ครับ ออฟฟิศผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นั่งรถเมล์ไปสิบนาทีก็ถึงแล้ว แล้วคุณล่ะครับ ทำงานที่ไหน”

“นี่คุณปราณันต์ทำงานอยู่ที่เคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้จริงเหรอครับ” คามินแสร้งทำทีประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างยินดี พาลให้ปราณันต์งุนงงไปด้วย

“จริงครับ ทำไมเหรอ?” ปราณันต์ตอบรับงงๆ อะไรที่ทำให้คามินดีใจได้ขนาดนั้น

“ผมก็ทำงานที่นั่นเหมือนกันครับ อยู่ฝ่ายขาย ผมเลยอาจจะไม่ค่อยได้อยู่ติดออฟฟิศเท่าไหร่” ปราณันต์เบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ พลางคิดว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น แน่นอนว่าถ้าคามินได้ยินคงตอบว่าความบังเอิญน่ะไม่มีหรอก มีแต่ความตั้งใจและหลอกลวงทั้งนั้นแหละ

“ถึงว่าผมไม่เคยเจอคุณเลย” แต่จู่ๆ คนตัวเล็กกว่าก็เงียบไปก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็อย่างว่าบริษัทของเรากว้างขนาดนั้น ถ้าได้เจอกันสิแปลก” ปราณันต์กระตุกยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ พาลให้คามินหัวเราะออกมาเบาๆ ทันทีที่ได้ยินเหมือนกัน

“เราสองคนนี่อยู่ใกล้กันกว่าที่คิดไว้นะครับเนี่ย” คามินพูดขึ้นโดยที่มีปราณันต์พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย “แต่น่าเสียดายที่วันนี้ผมต้องไปพบลูกค้าต่อ เลยไม่ได้กลับออฟฟิศไปกับคุณ”

“อ่า... หรอครับ” ปราณันต์ถามขี้นอย่างเศร้าๆ นิดหน่อย “ถ้างั้นเราคงต้องแยกกันตรงนี้”

“เอ่อ.. แต่ก่อนไป ผมอยากจะขออะไรจากคุณสักอย่างได้ไหมครับ” ปราณันต์หันมองคามินอย่างสงสัยก่อนเอ่ยถาม

“คุณอยากให้ผมทำอะไรให้เหรอครับ”

“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะขอเบอร์โทรศัพท์คุณไว้หน่อยได้ไหม” คนตัวโตพูดใส่คนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาเจ้าชู้นิดๆ ขนาดคนซื่อๆ อย่างปราณันต์ยังดูออกเลยว่ากำลังถูกอีกฝ่ายแสดงความสนใจใส่อย่างเปิดเผย “เผื่อเราจะนัดกันคราวหน้าไงครับ”

คามินแกล้งทำหน้าซื่อใส่ ซึ่งปราณันต์เองพอเห็นแล้วก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเสน่ห์ของคนๆ นี้แพรวพราวมากจริงๆ กว่าเขาจะรู้ตัวว่าถูกจีบก็ตกหลุมพรางไปเต็มๆ เสียแล้ว

“ว่าไงครับ? ได้ไหมครับ?”

ปราณันต์ไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่ถูกส่งมาให้คามิน.. รอยยิ้มที่เขาไม่สามารถคาดเดาคำตอบอะไรได้เลย

.

.

.

คามินมองตามรูปร่างเพรียวบางสมส่วนของอีกฝ่ายที่กำลังก้าวขี้นรถเมล์ไป เมื่อปราณันต์ขี้นไปบนรถเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาโบกมือลาให้ร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์

ทั้งสองยิ้มให้กันและกัน จนกระทั่งรถเมล์เริ่มเคลื่อนออกจากป้าย และพอรถเมล์แล่นออกไปจนลับตา เจ้าของใบหน้าคมคายที่เคยแย้มยิ้มก็เปลี่ยนเป็นเฉยชาอย่างฉับพลัน ราวกับว่าก่อนหน้านี้คามินไม่ได้มีอารมณ์รื่นรมย์ใดๆ ทั้งสิ้น

มือใหญ่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาปลายสายให้มารับตนที่ยืนรออยู่ ระหว่างรอสาย มือข้างที่ว่างก็หยิบแว่นกันแดดอันใหญ่ขึ้นมาสวมเพื่อบดบังใบหน้าและแววตาจากสายตาคนรอบข้าง

“เสร็จแล้ว ฉันอยู่ตรงป้ายรถเมล์หน้าคลินิก”

(ครับบอส)

หลังจากวางสาย คามินก็มองโทรศัทพ์มือถือที่อยู่ในมือนิ่ง ใบหน้าและแววตาคมที่ถูกซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดไม่ปรากฎอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในขณะนี้

ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ รถยนต์คันหรูก็แล่นมาเทียบฟุตบาท แทนคุณที่ประจำฝั่งคนขับกุลีกุจอลงมาเปิดประตูด้านหลังให้เจ้านายของตน

“กลับออฟฟิศ”

มีเพียงสามคำสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากปากหยัก ไม่มีท่าทีขี้เล่น ไม่มีท่าทีหยอกล้อ ไม่มีท่าทีอบอุ่น และไม่มีท่าทีใดๆ แบบที่แสดงกับปราณันต์ก่อนหน้านี้หลุดออกมาเลยสักนิด ซึ่งการกระทำดังกล่าวของเจ้านายก็ไม่ได้ทำให้แทนคุณแปลกใจเท่าใดนัก

รถยนต์คันหรูแล่นออกไปด้วยความเร็ว โดยที่เจ้านายของแทนคุณยังไม่ได้ละสายตาออกจากโทรศัพท์แต่อย่างใด และคามินก็นั่งจ้องมือถือไปแบบนั้นตลอดจนกระทั่งถึงออฟฟิศ

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 16/10/63 [2nd Lies: แผนการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 16-10-2020 18:41:02
(อ่านต่อจากด้านบน)


“อะไรนะ?” เสียงเตชินท์ตะโกนลั่นห้องทำงานสุดหรูของคามิน ซึ่งอยู่บนชั้นสูงสุดของตึกใหญ่กลางกรุงเทพมหานคร สมกับเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ “เมื่อกี้เฮียว่าไงนะ”

คนถูกถามหันมามองคนอ่อนกว่าวัยด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ร่วมใดๆ ทั้งนั้น ในขณะที่มือใหญ่ยังคงจับปากกามาหมุนเล่นแก้เซ็ง

“กูก็พูดออกจะดัง มึงไม่ได้ยินหรือไง” คามินยังคงหมุนปากกาเล่น “แล้วจะตะโกนทำไมอยู่ด้วยกันแค่นี้”

คนตัวโตปรายตาไปยังคนแค่นี้ที่เหลืออยู่อีกสองคนในห้อง ทั้งสองนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกไม่ไกลจากโต๊ะทำงานเขาสักเท่าไหร่นัก

“ไม่คิดว่านายจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้” พี่คนโตที่สุดของกลุ่มกล่าวขึ้น ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อยที่คนเย็นชาอย่างคามินจะเดินเกมเร็วขนาดนี้ นี่เพิ่งแค่วันแรกเท่านั้น คามินก็เดินหน้าทำความรู้จักเด็กนั่นไปเรียบร้อยแล้ว

“นั่นสิ ใครจะคิดว่ามึงจะเร็วขนาดที่ว่าได้เบอร์เด็กนั่นมาแล้ว” สิปปกรเองก็กล่าวยิ้มๆ ยอมรับว่าประมาทไอ้เพื่อนซี้ไปหน่อย ใครจะคิดว่าภายใต้ท่าทางไม่แยแสโลกของหมอนั่น มันจะหยิบชิ้นปลามันได้เร็วขนาดนี้

“เฮีย” เตชินท์ที่เมื่อกี้ยังดีดดิ้นโวยวายอยู่กลางห้อง แต่ตอนนี้แล่นมาเกาะแขนสิปปกรเรียบร้อยแล้ว “หุ้นเรายังปลอดภัยไหมอะ ห้าเปอร์เซ็นต์เลยนะ” เตชินท์กระซิบกระซาบกับเจ้าของใบหน้าทะเล้นอย่างวิตก แต่ถึงแม้จะพูดเบาแค่ไหน ร่างสูงใหญ่เจ้าของชื่อที่ถูกพาดพิงถึงอยู่ก็ได้ยินอยู่ดี

“ใส่พานมาถวายกูได้เลยไอ้เต” ใบหน้าที่แสนดูดีกำลังกระตุกยิ้มมุมปากร้ายกาจ ยิ้มที่แทบจะเรียกว่าเย้ยหยันเลยก็ว่าได้

พอพูดจบคามินก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขาใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก้าวเดินช้าๆ ไปที่ริมหน้าต่างซึ่งทำด้วยกระจกแผ่นใหญ่ยาวเต็มบาน ตาคมมองไปยังวิวของมหานครใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยท่าทางวางอำนาจตามประสาท่านประธานใหญ่แห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้

“กูเคยบอกไปแล้วไง ว่ากูไม่ลงเล่นในสนามที่กูคิดว่าตัวเองจะแพ้เด็ดขาด”

สิปปกรหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากได้ยินเพื่อนสนิทผู้แสนเย็นชาพูดจบ

“ฮ่ะๆ คราม.. กูว่ามึงอย่าเพิ่งมั่นใจไปเลยว่ะ นี่มันเพิ่งแค่เริ่มต้นเองนะ” สิปปกรเองก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกไปหาเพื่อนรักที่อยู่อีกฝั่งของห้องช้าๆ “กูเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะฝืนไม่เป็นตัวเองได้สักกี่น้ำ”

หนุ่มหน้าทะเล้นเดินไปหยุดยิ้มตรงหน้าเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ก่อนจะตบเบาๆ ลงบนบ่ากว้าง “กูคิดว่ากูรู้นิสัยมึงนะ”

แม้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายจะไม่แสดงอาการใด แต่มือใหญ่กลับกำแน่นราวกับต้องการที่จะสงบสติอารมณ์

และด้วยความที่ทั้งสี่คนเป็นเพื่อนกันมานาน เมธัสจึงรู้ดีว่าตอนนี้ท่านประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้เริ่มไม่พอใจแล้ว อย่างที่รู้กันดีในกลุ่ม แม้ว่าสิปปกรจะสนิทกับคามินมากกว่าใครแต่สองคนนี้ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดด้วยเช่นกัน

สิปปกรเป็นคนสนุกสนานติดเล่นไปเสียทุกเรื่อง ส่วนคามินก็เป็นคนนิ่งๆ จนค่อนไปทางเย็นชา คามินเลยมักจะถูกสิปปกรยั่วให้โมโหบ่อยๆ และสุดท้ายก็เป็นเขาที่ต้องคอยห้ามทัพให้ตลอด

“พอเถอะน่าไอ้สิบ เลิกกวนครามมันได้แล้ว” พอได้ยินเมธัสห้าม สิปปกรก็แค่ไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟาตามเดิม

คามินเองก็ยอมเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของตนเอง เพื่อตัดบทให้จบไปเช่นกัน

“ว่าแต่เฮียครามไปทำอีท่าไหนอะ ปราณันต์ถึงได้ยอมให้เบอร์โทรศัพท์เฮียง่ายๆ แบบนี้” ในที่สุดเตชินท์ก็ถามในสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ออกมา

“กูแค่ช่วยน้องชายของเด็กนั่นไว้ อยู่ถูกที่ถูกจังหวะพอดี จากนั้นก็สวมหน้ากากนักธุรกิจที่ใช้บ่อยๆ นิดหน่อย... ก็แค่นั้น” คามินแค่ยักไหล่หลังพูดจบ ราวกับเรื่องที่เขาพูดมาไม่ได้มีอะไรที่ยากหรือสลักสำคัญตรงไหน

‘หน้ากากนักธุรกิจ’ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เพื่อนสนิทของคามิน มีแต่พวกเขาเท่านั้นแหละที่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนตัวโต รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาคนนี้ มีพื้นเพนิสัยเป็นยังไงเวลาที่ต้องออกไปพบคู่ค้า คู่สัญญา หรือพูดง่ายๆ ว่าพวกที่มีผลประโยชน์ให้กัน

คามินที่แสนย็นชาคนนี้จะมีหน้ากากอยู่หน้ากากหนึ่งไว้ใส่เวลาที่ต้องทำในเรื่องที่ไม่อยากทำ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า ‘หน้ากากนักธุรกิจ’ … จากคนนิ่งเฉยจะแปรเปลี่ยนเป็นคนขี้เล่น มีอารมณ์ขัน มีน้ำใจ เข้าสังคมได้อย่างไม่มีที่ติ นี่คือเคล็ดลับเล็กๆ ที่ทำให้เคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ประสบความสำเร็จมาได้จนทุกวันนี้

ท่านประธานของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้คนเก่า หรือพูดง่ายๆ ว่าพ่อของคามินสละตำแหน่งและวางมือให้ลูกชายสานต่อธุรกิจเร็วมาก ตัวคามินเองก็พอจะรู้ว่าหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงตัดสินใจกระโดดเข้ามาทำอย่างไม่อิดออด

และนอกจากรากฐานที่ฝังแน่นของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้แล้ว ท่านประธานคนก่อนยังมองการณ์ไกลเรื่องอนาคตทางการค้าไว้ให้กับบริษัทด้วย อดีตประธานใหญ่ได้สร้างพันธมิตรทางธุรกิจไว้มากมาย แต่ที่เห็นจะสนิทจริงจังก็น่าจะเป็นท่านประธานยักษ์ใหญ่จากอุตสาหกรรมการก่อสร้างอย่าง ‘พีแอนด์วีคอนสตรัคชั่น’ และเพื่อความมั่นคงของทั้งสองบริษัท ท่านประธานทั้งคู่จึงต้องร่วมมือและเกี่ยวดองกัน และจะมีวิธีไหนดีไปกว่าการจับลูกชายและลูกสาวของจากทั้งสองครอบครัวหมั้นหมาย แน่นอนว่าคามินเองก็ต้องยอมทำตามความต้องการของบิดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปด้วย

“เออ แล้วนอกจากพวกเรามีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือป่าววะคราม” สิปปกรเอ่ยถามขึ้นหลังจากนึกขึ้นได้

“ไม่มีหรอก ถ้าจะมีก็คงเป็นแทนคุณ รายนั้นน่าจะรู้เองจากการจับสังเกตเอาเพราะกูเองก็ไม่ได้บอกอะไร” ทั้งสามคนพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ก่อนที่เตชินท์จะโพล่งออกมาราวกับนึกขึ้นได้

“แล้วเจ๊วลัยล่ะเฮีย ถ้าเจ๊รู้...”

“หยุดความคิดมึงไว้แค่นั้นเลยไอ้เต! อยากชะตาขาดหรือไง ถ้าวลัยรู้ได้ตายกันยกกลุ่มแน่ๆ” เมธัสพูดพลางทำท่าขนลุกขนพอง ส่ายหัวไปมาราวกับพยายามจะสลัดความคิดที่ว่าพรวลัยได้รับรู้เรื่องพิเรนทร์ๆ ที่พวกเขากำลังทำกันอยู่นี้

“ฮ่าๆ” ในขณะที่สิปปกรกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “จำไม่ได้หรือไง ว่าเราสัญญากับไอ้หน้าหล่อมันไว้ว่ายังไง คู่หมั้นมันจะต้องไม่รู้เรื่องนี้”

คามินมองไปยังทั้งสามคนด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มเพื่อย้ำถึงความต้องการที่เคยได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ในระหว่างเดือนสองเดือนนี้ห้ามวลัยรู้เรื่องนี้เด็ดขาด กูไม่อยากโดนพ่อกับแม่บ่นและที่สำคัญถ้าวลัยรู้วลัยจะรีบกลับมาทันที กูแค่อยากมีเวลาโล่งๆ ไว้หายใจบ้างไม่อยากให้วลัยรีบกลับมา”

คามินกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย แค่ลำพังต้องรับมือกับความเอาแต่ใจของคนที่ได้ชื่อว่าคู่หมั้นก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว อย่าให้ต้องมาปวดหัวเพราะโดนบุพการีที่รักบ่นด่าอีกเลย

“โธ่เอ๊ย มึงอย่ามาอ้างหน่อยเลยคราม” สิปปกรแดกดันคามินเบาๆ “กูว่ามึงแค่อยากถ่วงเวลา หาเรื่องเล่นพิเรนทร์ๆ กับพวกกูไปนานๆ มากกว่าเถอะ”

คามินหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินเพื่อนสนิทพูดออกมาแบบนั้น ก่อนที่สิปปกรจะถามต่อในสิ่งที่สงสัย

“ถามจริงๆ เหอะว่ะคราม มึงไม่เบื่อบ้างเหรอวะ ที่ต้องมาคบกันทั้งที่ไม่รักแบบนี้”

คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่คอยกวนประสาทมาตลอดเอ่ยปากถามอย่างจริงจัง เพราะเห็นสภาพเพื่อนเวลาอยู่กับคู่หมั้นแล้วอดสงสัยไม่ได้

พรวลัยที่สิปปกรกำลังเอ่ยถึงอยู่นั้น คือคู่หมั้นหรือว่าที่ภรรยาของคามินในอนาคต พรวลัยเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของอาณาจักร ‘พีแอนด์วีคอนสตรัคชั่น’ บริษัทที่เป็นพันธมิตรหลักของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือผู้หญิงที่บุพการีอันเป็นที่รักของคามินหมายมั่นปั้นมือจะเอามาเกี่ยวดองกัน ทั้งในแง่ของธุรกิจและทั้งในแง่ของชาติตระกูลที่แสนจะเหมาะสมกันเหลือเกินในสายตาของคนทั่วไป

แต่ถึงจะเหมาะสมหรือคู่ควรกันแค่ไหน พรวลัยก็เป็นผู้หญิงที่อยู่ห่างไกลคำว่าน่าคบหามาก สิปปกรไม่เถียงถ้าจะบอกว่าพรวลัยเป็นผู้หญิงที่สวยจัดจนหาตัวจับได้ยาก แต่ถ้าเว้นเรื่องนี้แล้วพรวลัยก็แทบจะไม่เหลืออะไรที่จะเอามาพูดว่าเป็นข้อดีได้อีก ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งไม่มีเสน่ห์ วันๆ ก็เอาแต่ถือกระเป๋าแบรนด์เนมร่อนไปร่อนมา จะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันก็ไม่เคยมี

“มึงก็รู้ อย่าว่าแต่รักเลยแม้แต่พิศวาสสักนิดก็ไม่เคย แต่ถ้ากูแต่งกับผู้หญิงคนนี้รากฐานของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ก็จะแน่นขึ้น อีกอย่างกูเองก็ยังไม่มีใคร ถ้าพ่อกับแม่เห็นดีให้แต่งก็แต่ง ขี้เกียจจะไปขัดใจให้ทะเลาะกันเปล่าๆ”

คนเย็นชาพูดถึงคู่หมั้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่มีอารมณ์หวือหวาใดๆ ในน้ำเสียงทั้งนั้น เหมือนกับว่าเขาแค่กำลังพูดถึงลมฟ้าอากาศ ไม่ได้กำลังพูดถึงผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาในอนาคต

“แล้วถ้าวันนึงมึงเกิดมีใครขึ้นมา จะทำยังไงวะ? สมมตินะ มึงเกิดหลงเสน่ห์เด็กหน้าหวานขึ้นมาแบบนี้ มึงจะทำยังไงคราม?” เมธัสถามขึ้นด้วยน้ำเสียงล้อๆ

“ไม่มีทาง อย่าสมมติอะไรที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลยเฮียเมธ” คามินพูดพลางปรายตามองเพื่อนรุ่นพี่อย่างมั่นใจ ยังไงเสียเขาก็ไม่มีทางหลงเสน่ห์เด็กนั่นเด็ดขาด จากที่ดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง ไม่มีทางที่เขาจะตกหลุมรักได้แน่ๆ

“มั่นใจนักนะ ระวังไว้เถอะท่านประธาน รู้จักเสน่ห์เด็กนั่นน้อยเกินไปแล้ว” เมธัสยังคงพูดย้ำ และก่อนที่คามินจะได้ทันโต้ตอบอะไร ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกเสียก่อน

เจ้าของห้องหันไปทางประตู ก่อนจะเห็นรูปร่างคุ้นตาของคนสนิทเดินเข้ามา

“ว่าไงแทน” คามินถามเสียงนิ่ง

“นี่เป็นข้อมูลส่วนตัวของปราณันต์ที่บอสให้ผมหามาให้ครับ” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นบอดี้การ์ดยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลให้ท่านประธานใหญ่ “ทุกอย่างที่บอสอยากรู้อยู่ในนั้นหมดแล้วครับ”

คามินหยิบซองขึ้นมาพลิกไปพลิกมาด้วยสายตาพอใจ

“ดีมาก” แทนคุณค้อมศีรษะลงต่ำเพื่อน้อมรับคำชม “แล้วรู้ใช่ไหมว่าเรื่องนี้ห้ามบอกใครเด็ดขาด โดยเฉพาะพรวลัย” เสียงทรงอำนาจประกาศกร้าว

“ผมทราบครับ” คนสนิทร่างใหญ่รับคำราวกับว่ารู้เรื่องนี้แล้วเป็นอย่างดี

“แล้วก็ไปตามดูปราณันต์ห่างๆ ด้วย อย่าให้รู้ตัวล่ะ”

เมื่อได้ยินท่านประธานใหญ่สั่งคนสนิทอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ทำเอาทั้งสามหนาวๆ ร้อนๆ ไปเหมือนกัน ไม่วางใจเลยว่าหุ้นของตัวเองจะปลอดภัย

“ครับ” แทนคุณรับคำสั่งเรียบร้อยแล้วก็ถอยหลังก้าวออกไปจากห้องเงียบๆ ทำเอาเพื่อนสนิททั้งสามอดแซวไม่ได้

“ต้องจริงจังขนาดนี้เลยอ่อเฮียคราม” เตชินท์ถามหวาดๆ

“เออ เราเล่นกันเฉยๆ สนุกๆ ไงวะ ไม่เห็นต้องเครียดเลย” เมธัสสำทับเบาๆ

พอได้ยินแบบนั้นคามินก็ก็กระตุกยิ้มมุมปากบางๆ

“แต่ผมเอาจริง! ของรางวัลน่ะมันแค่ผลพลอยได้ แต่เรื่องแพ้... ผมขอไม่ยอมเด็ดขาด”

สามคนที่เหลือในห้องมองหน้ากันแบบหวาดๆ ปนเอือมๆ คามินเป็นคนชอบเอาชนะ อย่างที่เจ้าตัวบอกนั่นแหละ ถ้าเกมหรือธุรกิจไหนที่คามินคิดว่าจะไม่รอดหรือจะแพ้ บอสใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้จะไม่มีวันกระโจนลงไปเสี่ยงเด็ดขาด เขาถึงไม่เคยแพ้ไม่ว่าจะเป็นสนามไหน เพราะถ้าคามินมั่นใจว่าจะชนะ นั่นคือไม่มีคำว่าพลาดสำหรับเขา

“แล้วมึงจะเอายังไงต่อหรือว่าจะพักไว้แค่นี้ก่อน ให้เด็กน้อยนั่นตั้งตัว” สิปปกรถามด้วยแววตาพราวระยับ มีแต่ความสนุกเท่านั้นที่คนฟังสัมผัสได้

“มึงไม่เคยได้ยินเหรอว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน...”

คามินพูดอย่างไม่ใส่ใจ มือใหญ่กำลังดึงเอกสารออกจากซอง หน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเด็กหน้าหวานนั่น กำลังปรากฎสู่สายตาคมที่กำลังอ่านผ่านๆ ก่อนจะเก็บเอกสารเข้าซองอย่างขอไปที

จากนั้นคนเจ้าสำบัดสำนวนก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“…ว่าแต่คืนนี้มีใครอยากจะไปจะดื่มที่คลับxx กับกูไหม? เดี๋ยวกูเลี้ยง”

ใบหน้าคมคายเงยจากโทรศัพท์ที่อยู่ตรงหน้าหลังจากพูดจบ แล้วมองไปยังเพื่อนสนิททั้งสาม ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะยกยิ้มอันตรายแบบที่เห็นแล้วรู้สึกไม่น่าไว้วางใจแม้แต่นิดเดียว

.

.

.

“ตายแล้ว! แล้วปุณณ์เป็นอะไรมากหรือเปล่าปราณ”

นทนัช หัวหน้าทีมสาวร่างเล็กโพล่งออกมาดังลั่นกลางโรงอาหารเมื่อฟังในสิ่งที่ปราณันต์เล่าจบในขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินไปซื้อข้าวกลางวันด้วยกัน ปราณันต์กลับมาถึงออฟฟิศทันเวลาพักเที่ยงพอดี โชคดีที่ความจอแจของที่นี่ทำให้ไม่มีใครสนใจกันและกันมากนัก

“น้องไม่เป็นอะไรมากหรอกครับพี่นท เพียงแค่ตกใจนิดหน่อย ดีที่คุณคนนั้นมาช่วยไว้ทันพอดี”

พอนึกถึงคนแปลกหน้าที่แสนใจดีคนนั้น แววตากลมโตที่มักจะเศร้าหมองกลับแวววาวมีชีวิตชีวาขึ้นมา ชนิดที่ว่าพอพี่สาวคนสนิทได้เห็นถึงกับต้องออกปากแซว

“คุณคนนั้นที่ปราณว่า...” นทนัชแกล้งลากเสียงยาวเพื่อดูท่าทีของรุ่นน้องคนสนิท “เขาเป็นคนยังไงเหรอ ทำไมดูปราณชื่นชมเขาจัง”

ปราณันต์ละล่ำละลักปฏิเสธอย่างมีพิรุธ “ปราณเปล่า สัก..สักหน่อย!” ศีรษะกลมๆ ส่ายดุ๊กดิ๊กปฏิเสธอย่างน่าเอ็นดู “เขาช่วยน้องปราณไว้นะ ปราณก็ต้องชื่นชมเขาเป็นธรรมดา”

“ให้มันจริงเถอะน่า” นทนัชแซวขำๆ เพราะตอนนี้แก้มทั้งสองข้างที่เคยขาวนวลของปราณันต์กำลังแดงระเรื่อขี้นสีอย่างน่ามอง

“พี่นทก็พูดอะไรไม่รู้ ปราณไปซื้อข้าวมากินดีกว่า”

ปราณันต์เดินเลี่ยงสายตาล้อเลียนของพี่สาวคนสนิทไปอีกทาง แก้มทั้งสองข้างร้อนฉ่าอย่างไม่มีสาเหตุ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่พอคิดถึงผู้ชายแปลกหน้ารูปร่างสูงใหญ่คนนั้น หัวใจที่เคยนิ่งสงบมาตลอดยี่สิบสองปี กลับเต้นระรัวเร็วเหมือนกับวิ่งแข่งมาหลายร้อยเมตรก็ไม่ปาน

ความมีน้ำใจที่ช่วยเหลือเขาและน้องชายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ปราณันต์ไม่เถียง แต่อีกเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็เห็นจะเป็นเพราะใบหน้าคมคายหล่อเหลาที่แสนมีเสน่ห์ รวมไปถึงท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความภูมิฐานและดูดีช่างมีอิทธิพลทำให้ปราณันต์ไม่สามารถละสายตาจากคนๆ นั้นได้จริงๆ

และในขณะที่เขากำลังยืนรอเข้าคิวซื้ออาหารและคิดอะไรเพลินๆ นั้น โทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อคแล้วกดอ่าน ก่อนจะอมยิ้มบางๆ หลังจากเห็นข้อความและชื่อคนส่ง


‘วันนี้ผมดีใจมากที่ได้พบคุณ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ


หัวใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์กำลังเต้นรัวเร็วเพราะข้อความไม่กี่ประโยค ก่อนที่เขาจะตัดสินใจตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ถูกจุดขึ้นตรงมุมปาก


‘ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณ ถ้าวันนี้ไม่มีคุณ ผมกับน้องต้องแย่แน่ๆ และ... ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ


หลังจากส่งข้อความเสร็จ ปราณันต์ก็ยิ้มให้โทรศัพท์ก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋า แล้วพยายามเดินเก็บอาการกลับไปหานทนัชก่อนจะทรุดลงนั่งข้างๆ เก้าอี้ที่ว่าง

“ว่าแต่วันนี้กวีไปไหนอะครับพี่นท” ปราณันต์ถามถึงชายหนุ่มเพื่อนร่วมทีมอีกคน คนที่อายุเท่าๆ กับเขา “ผมยังไม่เห็นเห็นกวีเลยตั้งแต่เข้าออฟฟิศมา”

“เห็นว่าวันนี้มีธุระน่ะ เลยลาตอนบ่ายไป” นทนัชตอบ

ปราณันต์จึงพยักหน้าอย่างรับรู้ นึกเสียดายที่กวีไม่อยู่ เพราะนั่นหมายความว่าวันนี้เขาจะต้องเดินทางไปทำงานที่คลับเอง และอาจต้องรีบกลับเร็วๆ ถ้าไม่อยากเจอฝูงมหาชนที่เลิกงานพร้อมๆ กัน

“ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร ทำงานที่ไหน ปราณได้ถามไว้ไหม?” นทนัชยิงคำถามตรงประเด็นที่เธออยากรู้ เล่นเอาคนหน้าหวานตั้งตัวหาคำตอบให้แทบไม่ทัน

“เขาชื่อคุณคามินครับ คราม... คามิน” ปราณันต์ตอบพลางนึกถึงใบหน้าคมคายของคนใจดีคนนั้นตามไปด้วย

“คามินเหรอ? ชื่อคุ้นๆ แฮะ” นทนัชรำพึงรำพันอย่างสะดุดใจ

“ที่พี่นทคุ้นๆ เพราะเขาทำงานอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่าครับ เห็นคุณคามินบอกปราณว่าเขาอยู่ฝ่ายขาย พี่นทอาจจะเคยเจอเขาผ่านๆ ตอนประชุมก็ได้” นทนัชพยักหน้ารับรู้ และเห็นด้วยนิดๆ ว่าอาจจะเป็นไปได้ตามที่ปราณันต์พูด

“แบบนี้สงสัยจะเรียกว่าพรหมลิขิตแล้วมั้ง” หัวหน้าทีมสาวร่างเล็กส่งสายตาล้อเลียนมองปราณันต์ขำๆ

“พรหมลิขิตอะไรเล่าพี่นท มันแค่บังเอิญหรอกน่า” ปราณันต์บ่ายเบี่ยงปฏิเสธแต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกดีไม่น้อยที่ได้เจอกับคุณคามินคนนั้น

“เอาเถอะจ้ะ” นทนัชพูดตัดบทแบบยิ้มๆ “นี่ถ้าวันนี้ได้เจอกันอีกครั้ง พี่ว่ามันน่าจะไม่บังเอิญแล้วนะ”

ปราณันต์ขำเบาๆ “ไม่มีทางหรอกพี่นท จะมาบังเอิญอะไรบ่อยๆ แต่ถ้าวันนี้ปราณเจอเขาอีกปราณจะยอมเชื่อแล้วกันว่าเป็นพรหมลิขิตอย่างที่พี่นทว่า”

ปราณันต์พูดออกมาอย่างไม่คิดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าเพราะคำพูดนั้นอาจจะทำให้ปราณันต์ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องบังเอิญที่จะดูเหมือนเป็นพรหมลิขิตอะไรนั่น มันคือความจงใจของคนเจ้าเล่ห์ที่ใช้ความอ่อนเดียงสาของปราณันต์มาเป็นข้อได้เปรียบในการเดิมเกมที่แสนร้ายกาจนี้ก็เท่านั้นเอง

.

.

.

หลังจากฝ่าการจราจรยามเย็นและคลื่นมนุษย์ที่แสนบ้าคลั่งหลังเลิกงานบนท้องถนนมาได้แล้ว ปราณันต์ก็เดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามาทางหลังร้านของคลับสุดหรูชื่อดังอย่างอ้อยอิ่ง วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานของเขาจริงๆ

หลังจากช่วงเช้าที่เกิดเรื่องวุ่นวายตกบ่ายเขาก็ต้องโหมงานหนักทั้งวัน แล้วพอเย็นมาก็ต้องมาทำพาร์ทไทม์ที่คลับแห่งนี้อีก

และถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่เมื่อนึกถึงใบหน้าน่ารัก กลมๆ ป้อมๆ ของแฝดตัวน้อยทั้งสองที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเขาแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยที่มีก็หายไปกลายเป็นกำลังใจที่ทำให้เขาลุกขึ้นสู้ได้ เพื่ออนาคตที่ดีของเจ้าตัวเล็กทั้งสอง

พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของทางร้านเรียบร้อย ปราณันต์ก็ลงมือทำงานตามหน้าที่ของตนทันที งานในความรับผิดชอบของปราณันต์ที่คลับแห่งนี้ ก็ไม่มีอะไรตายตัว ทุกคนที่นี่จำเป็นต้องทำงานให้ได้หลายหน้าทั้งนั้น เพราะนั่นหมายถึงทิปและเงินพิเศษที่บางวันอาจจะมากกว่าค่าจ้างที่ทางร้านให้ทั้งคืนเลยก็เป็นได้

พอท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เหล่านักท่องราตรีที่เหน็ดเหนื่อยและต้องการพักผ่อนจากภาระงาน ก็เริ่มทยอยเข้าร้านมาอย่างต่อเนื่อง และอย่างที่บอกคลับนี้เป็นคลับเฉพาะของพวกวีไอพีกระเป๋าหนัก ปราณันต์คิดเสมอว่าตัวเองโชคดีที่ได้ทำงานที่นี่เพราะอย่างน้อยคลับนี้ก็คัดกรองคนที่เข้ามาเที่ยวแล้วในระดับหนึ่ง แต่ก็อย่างว่าไม่ว่าจะรวยจะจนแค่ไหน คนเรากํมักจะมีสัญชาตญาณดิบในตัวทั้งนั้น ดังนั้นปราณันต์จึงจำเป็นต้องระมัดระวังและดูแลตัวเองให้ปลอดภัยอยู่เสมอ

และด้วยความที่วันนี้เป็นวันจันทร์ วันเริ่มต้นสัปดาห์ คนเลยยังไม่หนาแน่นเท่าปกติ ปราณันต์จึงทำงานได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่เหนื่อยมาก เขาย้ายตัวเองจากที่มุมร้านไปยืนหลังบาร์เหล้าที่ประจำ ปราณันต์มักจะชอบจุดนี้เป็นพิเศษเพราะมันจะทำให้มองเห็นทุกมุมในร้านได้ดี ... ถือเป็นมุมทองคำ

มือเรียวคว้าแก้วเหล้าที่ยังไม่ได้เช็ดล้าง มาทำความสะอาด ตากลมมองกวาดไปรอบๆ อย่างเคยชิน


...ก่อนที่จะไปสะดุดกับรูปร่างสูงใหญ่คุ้นตา ที่เหมือนกับว่าเพิ่งเจอกันไปเมื่อเช้า ศีรษะกลมๆ สะบัดไปมาเพื่อต้องการให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองเห็นไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริง


และยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าปราณันต์ไม่ได้ตาฝาด เพราะเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่เขาเห็นนั้นกำลังพุ่งตรงมายังบาร์เหล้าที่เขากำลังยืนอยู่อย่างรวดเร็วเช่นกัน

“คุณปราณันต์จริงๆ ด้วย!” เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาเกาะบาร์เหล้าไว้และทักทายเขาอย่างยินดี เมื่อได้เห็นชัดๆ ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นใคร

“คุณคามิน!” ปราณันต์เองก็เอ่ยเรียกคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจปนรู้สึกดีไม่ต่าง

ทั้งสองแสดงออกในทิศทางคล้ายๆ กัน นั่นคือยิ้มให้กันและกันอย่างยินดี

ถ้าจะมีตรงไหนที่ต่าง ก็น่าจะเป็นความรู้สึกนึกคิดในใจของคนทั้งสอง ในขณะที่ปราณันต์คิดและแทบจะเชื่อว่าการที่เขาได้พบคามินอีกครั้งในวันเดียวกันนี้ น่าจะเป็นเหมือนกับพรหมลิขิตเหมือนที่พี่สาวคนสนิทอย่างนทนัชได้บอกไว้ แต่ในทางตรงกันข้ามคามินกลับไม่คิดแบบนั้น ร่างสูงได้แต่แย้มยิ้มร้ายกาจในใจเงียบๆ


‘ทุกอย่างมันก็เป็นแผนที่ฉันวางไว้ทั้งนั้นแหละปราณันต์!’

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------------------------------------------------------

ถ้าเห็นคำผิดแจ้งได้เลยนะคะ อาจจะมีตาลายไปบ้าง แล้วก็ขอบคุณทุกคนมากที่แวะเข้ามาอ่านและให้กำลังใจ คอมเม้นท์ได้เหมือนเดิมเลย เรารออ่านอยู่น๊าา ชอบไม่ชอบตรงไหนบอกได้

ฝากผลงานเรื่องนี้ด้วยนะคะ ได้อ่านจนจบแน่ จะทยอยเอามาลงเรื่อยๆ อาจจะทุกๆ สองหรือสามวัน ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกคนล่วงหน้าเลยน้าาาา

รักทุกคนมากๆ ไว้เจอกันตอนต่อไปจ้าาา
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 16/10/63 [2nd Lies: แผนการ]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-10-2020 20:16:50
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 16/10/63 [2nd Lies: แผนการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-10-2020 20:18:24
 :-[
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 16/10/63 [2nd Lies: แผนการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 17-10-2020 18:36:03
ร้ายนักนะ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 22/10/63 [3nd Lies: หวั่นไหว]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 22-10-2020 20:09:18
3rd Lies : หวั่นไหว


สายตาคมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของปราณันต์ที่กำลังทำงานอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งเจ้าตัวเองก็หันมายิ้มให้คามินอยู่เป็นระยะๆ ท่าทางของปราณันต์ที่แสดงออกตอนได้เจอเขาเมื่อครู่นี้ ทำให้คนเจ้าเล่ห์ยกยิ้มในใจอย่างเป็นต่อ หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ไม่น่าจะหลุดลอยไปไหนแน่ๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด

“คุณคามิน จะดื่มอะไรดีครับ เดี๋ยวผมเลี้ยง” ปราณันต์เดินมาเกาะเคาน์เตอร์ฝั่งตรงข้าม แล้วเอ่ยปากเชื้อเชิญอย่างไร้เดียงสา

“ดรายมาร์ตินี่ครับ” ร่างสูงบอกความต้องการของตัวเอง ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูบาร์เทนเดอร์หนุ่มจำเป็นที่ตอนนี้กำลังยืนเหวอทำอะไรไม่ถูก เมื่อโดนจู่โจมระยะประชิดแบบนี้ ทั้งที่เพลงก็ไม่ได้ดังอะไรมาก เพราะคลับนี้เน้นเปิดเพลงเบาๆ เรื่อยๆ ฟังสบายๆ เพื่อให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าวีไอพีทั้งหลายทั้งแหล่ ปราณันต์เลยดูตั้งตัวไม่ทัน เมื่ออยู่ๆ เจ้าของใบหน้าคมคายก็พุ่งเข้ามาใกล้ขนาดนี้

“แต่ไม่ต้องเลี้ยงนะครับ ผมอยากเก็บข้อเสนอของคุณไว้ใช้ที่อื่นที่น่าจะสร้างความทรงจำดีๆ ได้มากกว่าที่นี่”

มุมปากหยักยกยิ้มบางๆ หลังพูดจบ โดยที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่ได้ถอยห่างจากเดิมไปแม้แต่นิด ปราณันต์เองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ารอยยิ้มของคามินเป็นยังไง แต่มันทั้งดูอันตราย ทั้งดูมีเสน่ห์ ทำให้เขาเห็นแล้วอดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้

สุดท้ายปราณันต์จึงเลือกที่จะแก้เขินด้วยการเบี่ยงตัวออกแล้วเสไปหยิบส่วนผสมที่ต้องใช้ในการทำเครื่องดื่มให้คามินด้วยทีท่านิ่งๆ สวนทางกับอัตราการเต้นของก้อนเลือดเล็กๆ ที่อกข้างซ้ายที่กำลังกระหน่ำรัวจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก

พอหยิบนั่นผสมนี่ได้ตามสัดส่วน มือเล็กก็เลื่อนแก้วแอลกอฮอล์ไปยังคนฝั่งตรงข้าม และยังไม่ทันที่ปราณันต์จะได้ทันปล่อยมือออกจากแก้ว มือใหญ่ของคามินก็วางทาบทับลงมา ราวกับว่า... ตั้งใจ

“ท่าทางจะอร่อย”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ซึ่งสิ่งที่คามินพูดมาไม่เฉียดใกล้ประโยคบอกเล่าเลยแม้แต่น้อย มันดูเหมือนประโยคแฝงความนัยอะไรบางอย่างมากกว่า และมันก็ยังเป็นประโยคที่เร่งอัตราการเต้นของหัวใจดวงเล็กๆ ของคนที่ไม่ประสีประสาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ให้เต้นรัวเร็วยิ่งกว่าเดิม

“ถ้าไงก็ตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อน”

แม้จะอยู่ในที่มืด แต่แสงไฟรางๆ ก็ทำให้คนเจ้าเล่ห์จับอาการเขินอายของอีกฝ่ายได้ คามินได้แต่อมยิ้มเบาๆ อย่างพอใจ ที่ลงทุนลงแรงไปวันนี้ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว

.

.

.

เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนใกล้ถึงเวลาที่คลับจะปิด แขกในร้านเริ่มบางตาและลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงบาร์เหล้ามาตั้งแต่หัวค่ำจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้หนีหายไปไหน แม้ว่าจะตอนนี้จะดึกมากแล้วก็ตาม

“คลับใกล้จะปิดแล้วนะครับ คุณคามินไม่กลับหรอ?” ใบหน้าน่ารักที่คามินนั่งมองมาหลายชั่วโมงยื่นเข้ามาถามอย่างสงสัย ตาแป๋วๆ กลมๆ ที่ถึงแม้จะดูเหน็ดเหนื่อยแต่ก็แฝงไว้ด้วยประกายที่มองกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

“แล้วคุณปราณันต์จะกลับหรือยังล่ะครับ” คามินตอบคำถามอีกฝ่ายด้วยคำถาม ยิ่งทำให้ปราณันต์งุนงงเข้าไปใหญ่ การที่คามินจะกลับหรือไม่กลับนั้นมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาสักหน่อย ทำไมถึงมาถามแบบนี้

“คุณถามผมว่าเมื่อไหร่จะกลับงั้นหรอครับ?” นิ้วเรียวชี้เข้าหาตัวเองงงๆ โดยที่คนที่ถูกตั้งคำถามก็ยังคงไม่หยุดยิ้ม

“ใช่ครับ ผมถามคุณ ว่าเมื่อไหร่คุณจะกลับ” คามินยังคงเอ่ยตอบและแย้มยิ้มอย่างล้อเลียน

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเล่า? คุณจะกลับก็กลับไปสิ” คิ้วสวยๆ นั่นกำลังขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ปราณันต์ได้แต่หน้าง้ำหน้างอ พลางคิดในใจว่าคนอะไรกวนโมโหอยู่ได้ ถามดีๆ แต่กลับมายียวนกันแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหนกัน

“เกี่ยวสิครับ ก็ผมจะไปส่งคุณไง ถ้าคุณยังไม่กลับแล้วผมจะกลับได้ยังไงกัน”

ปราณันต์หันไปมองคามินนิ่ง หลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาอย่างอ่อนโยนว่าจะไปส่ง...

มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยสำหรับผู้ชายตัวบางๆ หน้าหวานๆ อย่างเขา การถูกหยอดคำหวานโดยลูกค้าหรือแม้กระทั่งคนรอบข้างเป็นสิ่งที่ปราณันต์ได้พบเจออยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งในวันนี้ตัวปราณันต์เองก็รู้ดีว่าคามินกำลังคาดหวังอะไรจากตน แต่สิ่งที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับปราณันต์นั่นก็คือ การที่ตัวเขายอมโอนอ่อนผ่อนตามและรู้สึกดีใจเล็กๆ เมื่อรู้ว่าที่คามินยอมนั่งรอจนดึกจนดื่นนี้เพียงเพราะอยากไปส่งตน

แต่หน้าที่และความรับผิดชอบต้องมาก่อน ปราณันต์ไม่พร้อมจะมีใครทั้งนั้น การเปิดรับใครอีกคนเข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาจะคิดถึง ไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องแบ่งเวลา แล้วไหนจะยังต้องดูแลเจ้าตัวเล็กทั้งสองอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องจำเป็นและจะต้องให้ความสำคัญที่สุดในชีวิต

“คุณกลับไปก่อนเถอะครับ ผมชินแล้ว ผมกลับเองได้” ปราณันต์พูดตัดบท เขาให้คามินได้เท่าที่ให้ได้ ไม่อยากให้อะไรมันลึกซึ้งไปกว่านี้

“ก็ได้ครับ” คามินยิ้มให้อย่างเข้าใจ “ไว้วันไหนที่พร้อมให้ผมไปส่ง บอกผมนะครับ ผมยินดี”

ปราณันต์มองคามินพลางยิ้มให้อย่างขอบคุณ เขานึกชื่นชมอีกฝ่ายที่ใจกว้างและไม่กดดันจนทำให้เขาอึดอัด คามินรู้ดีว่าปราณันต์ไม่พร้อม แต่ก็ไม่ได้บังคับหรือพูดจาประชดประชันกันให้ต่างฝ่ายต่างลำบากใจ และแม้พยายามจะปฏิเสธแค่ไหน แต่ปราณันต์ก็อดยอมรับไม่ได้ ว่าลึกๆ แล้วตนเองก็กำลังปล่อยให้เจ้าของใบหน้าคมคายหล่อเหลาคนนั้นเข้ามาช่วงชิงพื้นที่เล็กๆ ในหัวใจที่น้อยคนนักจะได้ล่วงล้ำเข้ามา

.

.

.

หลังจากที่เลิกงานเรียบร้อย ปราณันต์ก็เดินออกจากคลับตรงไปยังป้ายรถประจำทางที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก โชคดีที่รถประจำทางที่เขานั่งกลับบ้านทุกวันเป็นรถโดยสารที่วิ่งตลอดทั้งคืน เลยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกหน่อย เพราะไม่งั้นอาจจะต้องเสียค่ารถไม่คุ้มกับค่าจ้างที่ได้รับ

และหยุดรออยู่ไม่นาน รถประจำทางสายที่ต้องการก็วิ่งมาจอดที่ป้าย ขาเรียวก้าวขึ้นรถอย่างไม่รีบร้อนนัก เพราะเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว รถน่าจะไม่ติด ปราณันต์คิดในใจว่าคงใช้เวลาไม่นานน่าจะถึงอพาร์ทเม้นท์ที่ตนอาศัยอยู่

ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถ ภาพนึกคิดของปราณันต์มักจะตัดกลับไปหาคามินอยู่เรื่อย เขาอดยอมรับไม่ได้ว่าเสน่ห์และหน้าตาของคามินดึงดูดเขาได้ไม่น้อย แต่สิ่งหนึ่งและสิ่งสำคัญที่ทำให้ปราณันต์มักจะเผลอใจเต้นแรงกับเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่คนนั้น น่าจะเป็นความใจดีและความโอบอ้อมอารีที่คามินมีให้มากกว่า แม้เพิ่งจะรู้จักกันแค่วันเดียวแต่คามินก็ซื้อใจเขาไปได้หลายเรื่องแล้ว แล้วถ้าเจอการโจมตีแบบนี้บ่อยๆ ปราณันต์เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนจะใจแข็งไปได้อีกนานแค่ไหน ช่างอันตราย... อันตรายกับหัวใจจริงๆ

ศีรษะทุยๆ เล็กๆ สะบัดไหวไปมาราวกับต้องการขับไล่ความคิดที่ฟุ้งซ่าน ตากลมโตที่ก่อนหน้านี้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็หันกลับมามองข้างหน้าเมื่อเห็นว่าอีกไม่ไกลจะถึงจุดหมายที่ตัวเองจะลง ปราณันต์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเตรียมพร้อมจะลงจากรถ และเมื่อรถจอดที่ป้ายหน้าอพาร์ทเม้นท์ เขาก็ลงจากรถแล้วสาวเท้าเดินไปยังที่พักของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลทันที

และเมื่อถึงหน้าอพาร์ทเม้นท์ ในขณะที่ปราณันต์กำลังจะก้าวผ่านประตูด้านหน้าเข้าไป เสียงบีบแตรรถก็แผดดังแทรกมาจากด้านหลังให้ได้ยินเสียก่อน


ปิ๊น ปิ๊นๆ ~



“คุณ...” ปราณันต์หันไปตามเสียงแตรรถที่ได้ยิน และสิ่งที่ได้เห็นก็เหมือนจะทำให้เสียงของปราณันต์ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคยโผล่มาทางหน้าต่างรถยนต์ที่จอดติดเครื่องอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่

“ในที่สุดก็ได้มาส่งตามที่ตั้งใจ” รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมายังร่างบางที่กำลังยืนงงอยู่ “ผมไม่ได้ทำให้คุณปราณันต์อึดอัดใช่ไหมครับ? คือผม.. เป็นห่วงจริงๆ เพราะเห็นว่าดึกแล้ว เลยแอบขับรถตามรถเมล์มาห่างๆ เพราะไม่อยากทำให้คุณลำบากใจ”

ด้วยความที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก ทำให้ตากลมมองเห็นร่องรอยของความไม่สบายใจแต้มอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั่น หัวใจดวงน้อยของปราณันต์เต้นรัวแรงจนเจ้าตัวเองยังแทบควบคุมมันไม่ได้ เขายอมรับว่ารู้สึกดีมากๆ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครมาเอาใจใส่หรือดูแลเขาแบบนี้...

น่าจะตั้งแต่ตอนพ่อกับแม่จากไป เพราะตั้งแต่นั้นมาก็กลับกลายเป็นเขาเองที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลฝาแฝดทั้งสอง พอวันนี้ปราณันต์ได้รับการดูแลจากใครสักคนอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่ได้ถูกละเลยจากโลกใบนี้ไปเสียทีเดียว

“ดึกแล้วคุณกลับไปเถอะครับ”

คามินที่อยู่ในรถถึงกับหน้าถอดสี เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปราณันต์ ก่อนที่เขาจะยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างอารมณ์ดี เมื่อร่างเล็กที่อยู่ไม่ห่างออกไปพูดประโยคถัดมา “ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากที่อุตส่าห์มาส่ง ผมไม่รู้จะพูดยังไง แต่เอาเป็นว่าผมขอบคุณคุณคามินมากจริงๆ นะครับ”

ริมฝีปากอิ่มส่งยิ้มกว้างจนตายิบหยีให้คามิน ยิ้มในแบบที่เขาคิดว่ามันน่าสนใจนักหนา และยิ้มแบบนี้นี่แหละทำให้เขายอมทุ่มตัวเองลงมาเล่นเกมบ้าๆ นี่

“งั้นผมกลับนะครับ ถ้าไม่หวังมากเกินไป พรุ่งนี้เราคงได้เจอกันที่ออฟฟิศนะครับ” คามินพูดหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี ให้ปราณันต์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะโบกมือลาคนที่อยู่ในรถเพราะเห็นว่ามันดึกมากแล้ว

“ขับรถดีๆ นะครับ และเช่นกันครับหวังว่าพรุ่งนี้เราจะได้เจอกัน”

คามินส่งยิ้มอ่อนโยนให้ปราณันต์ ก่อนจะเร่งให้อีกฝ่ายรีบเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ “คุณเข้าไปก่อนสิครับ ผมจะได้สบายใจ”

“เอางั้นก็ได้ครับ” ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ พลางก้าวเข้าไปในประตูอพาร์ทเม้นท์ ก่อนที่ร่างบางจะหันมาโบกมือลาคนที่อยู่ในรถอีกรอบ

พอคามินเห็นปราณันต์เข้าไปอย่างปลอดภัยแล้ว เขาก็ค่อยๆ เคลื่อนรถออก มือใหญ่สัมผัสกับปุ่มอัตโนมัติเพื่อเลื่อนกระจกรถขึ้น พร้อมๆ กับที่ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเมื่อสักครู่จะแปรเปลี่ยนเป็นเฉยเมยไร้ความรู้สึกอย่างฉับพลัน


‘ละครฉากใหญ่ของวันนี้จบลงแล้ว’ คามินคิด

.

.

.

เช้านี้ปราณันต์มาทำงานแต่เช้าอย่างสดชื่นหัวใจ ตากลมคอยมองสอดส่องหาผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่เจ้าตัวคิดว่าน่าจะหาเจอได้ไม่ยาก แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อมองหายังไงก็ไม่เห็นเจ้าของรูปร่างที่คุ้นเคย

“ปราณ! มองหาใครอยู่เหรอ?” เสียงทุ้มสดใสโพล่งขึ้นมาด้านหลัง ทำเอาเขาตกใจไม่น้อยก่อนจะหันไปต่อว่าเพื่อนร่วมทีมอย่างไม่จริงจัง

“กวี! เราตกใจหมด เล่นอะไรก็ไม่รู้” ปราณันต์ยู่ปากอย่างไม่พอใจ แต่คนที่ได้เห็นภาพนั้นอย่างกันต์กวีกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรที่ถูกต่อว่า ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่าท่าทางแบบนั้นของปราณันต์ช่างน่ารักน่ามองเหลือเกิน

“ขี้ตกใจจัง ฮ่าๆ” กันต์กวีหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งอีกฝ่าย “ว่าแต่เมื่อกี้มองหาใครอยู่หรอ?” เขาหันมองไปรอบๆ ตามที่เห็นเพื่อนร่วมงานทำ ปราณันต์เห็นดังนั้นเลยรีบปฎิเสธตัดบทด้วยเพราะขี้เกียจจะอธิบาย

“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เมื่อวานกวีหายไปไหนมา” คนถูกถามไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะอธิบายด้วยเสียงเนือยๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

“พ่อมาน่ะ แม่เลยบอกให้ไปกินข้าวด้วยกัน”

“พ่อกวี? มาจากลำปางเหรอ?”

ปราณันต์ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะพ่อของกันต์กวีไม่ได้มาหาหลายปีแล้ว ตั้งแต่แยกทางกับแม่ของกวี ที่จริงกวีเป็นคนเหนือที่อาศัยอยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่เกิด แต่เชื้อสายความเป็นคนเหนือของกวีมันดันเข้มข้นมากหน่อย เลยทำให้หนุ่มเหนือคนนี้ดูผิวพรรณดีดูอ่อนโยนกว่าคนกรุงทั่วไป เลยทำให้สาวๆ ในออฟฟิศมองตามกันตาไม่กะพริบ

“ช่าย แต่กลับไปแล้วแหละ เขามาทำธุระ นานปีเจอกันทีก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยฉันจะได้รู้ว่าเขาสบายดี”

หนุ่มชาวเหนือพูดพลางเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างคนใจลอย โดยที่ปราณันต์เองเห็นแล้วก็อดห่วงไม่ได้ เลยยื่นมือไปตบไหล่เพื่อนร่วมทีมเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

“กวี... อย่าคิดมากเลยนะ” เสียงหวานถูกถ่ายทอดออกมาให้เพื่อนสนิทอย่างอบอุ่น กวีมองสบตาปราณันต์ด้วยสายตาอ่านลำบาก ทำเอาอีกฝ่ายเกิดอึดอัดประดักประเดิดขึ้นมาเสียเฉยๆ

“อื้ม เราขอบใจปราณมากนะ” แต่แล้วจากแววตาประหลาดของกวีเมื่อครู่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นขี้เล่นขึ้นมาทันที เพื่อกลบเกลื่อนและต้องการปิดบังความรู้สึกบางอย่างของตัวเอง

“ว่าแต่ปราณกินข้าวหรือยัง? ไปกินด้วยกันไหม เดี๋ยวเราเลี้ยง” กันต์กวีเปลี่ยนเรื่อง และส่งแขนแข็งแรงโอบรัดรอบเอวบางก่อนจะรั้งตัวปราณันต์ให้ออกเดินไปพร้อมๆ กัน

ปราณันต์ที่ขัดขืนในคราวแรกก็ต้องโอนอ่อนเพราะไม่รู้จะทำยังไง สาเหตุหลักๆ ก็คือสู้แรงคนเป็นเพื่อนไม่ไหว ที่ทำได้ก็แค่เดินไปตามแรงลากของอีกฝ่ายที่นำทางเท่านั้น โดยที่ปราณันต์เองก็ไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจากมองมาจากมุมหนึ่งของล็อบบี้ และจับจ้องไปที่เขาและเพื่อนร่วมทีมอย่างไม่วางตา


‘หึ! ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดสินะ’


คามินคิดพลางลดกระดาษหนังสือพิมพ์ลงเพื่อให้เห็นภาพที่กำลังมองเห็นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 22/10/63 [3rd Lies: หวั่นไหว]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 22-10-2020 20:31:29
(อ่านต่อจากด้านบน)


“สวัสดีครับคุณครู ตัวแสบของผมก่อเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

ปราณันต์กดรับโทรศัพท์ที่มีปลายสายมาจากหมายเลขที่คุ้นเคยด้วยความกังวลนิดๆ เบอร์ที่โชว์อยู่นั้นคือเบอร์โทรของคุณครูเด็กแฝดทั้งสอง เขาอดห่วงไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของตัวเองหรือเปล่า เพราะปกติคุณครูไม่เคยโทรมาระหว่างอาทิตย์แบบนี้ นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นคนโทรไปเอง

“เปล่าค่ะน้องปราณ” ปลายสายพูดเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ เพราะจับทางได้ว่าคนอีกฝั่งคงกังวลว่าอาจจะเกิดเหตุอะไรกับน้องชายของตัวเอง “พอดีครูจะโทรมาแจ้งว่าพรุ่งนี้จะมีคุณหมอมาฉีดวัคซีนฟรีให้เด็กๆ น่ะค่ะ แล้วทีนี้ผู้ปกครองต้องมาเซ็นยินยอมให้เด็กๆ ฉีด น้องปราณพอจะว่างมาไหมคะ?”

“พรุ่งนี้เลยหรอครับ” ปราณันต์อึกอักขึ้นมาทันที เพราะนี่ก็เพิ่งจะลางานไปส่งตัวแสบมาเมื่อวาน ถ้าลาพรุ่งนี้อีกมีหวังโดนหัวหน้าแผนกฉีกอกแน่ๆ ลำพังแค่พี่นทยังพอคุยกันได้ แต่นี่คงไม่ใช่

“ทำไมกะทันหันจังครับ นี่ก็เพิ่งเปิดเทอมได้สองวันเอง” ปราณันต์เอ่ยถามอย่างสงสัย

“ครูเองก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่เห็นว่าทางโรงพยาบาลขอเลื่อนขึ้นมาเร็วหน่อยเพราะช่วงนี้ไข้หวัดระบาด เลยไม่อยากให้เด็กๆ ไม่สบายกันตั้งแต่เริ่มเปิดเรียนน่ะค่ะ”

ปราณันต์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะเอ่ยถามออกไปเพื่อหาทางออก “ถ้าฉีดให้ปุณณ์กับปัณณ์ไปก่อนได้ไหมครับ แล้วเดี๋ยวช่วงกลางวันผมเข้าไปเซ็นให้”

คุณครูหายใจอย่างจนใจ เธอเองก็เห็นใจปราณันต์ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรกฎก็ต้องเป็นกฎ

“ครูเข้าใจน้องปราณนะคะ แต่ทางโรงพยาบาลก็แจ้งมาชัดเจนเลยว่าต้องมีลายเซ็นผู้ปกครองรับรอง เผื่อเกิดปัญหาภายหลัง ยังไงเรื่องนี้ครูเองก็อนุโลมให้ไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นน้องปราณมอบอำนาจให้ใครมาเซ็นแทนให้ก็ได้นะคะ ทางเราอนุญาต”

ปราณันต์ครางรับอย่างปลงตก เขาเองก็รู้ดีว่าโรงเรียนนี้เข้มงวดเรื่องระเบียบวินัยแค่ไหน ซึ่งที่เขาตัดสินใจส่งฝาแฝดทั้งสองให้เรียนที่นี่ ก็เพราะไว้ใจในเรื่องกฎและระเบียบเหล่านี้นี่แหละ

“ไม่เป็นไรครับครู ผมเข้าใจ ไว้เดี๋ยวผมจะลองหาทางดู ยังไงก็ขอบคุณคุณครูมากนะครับ”

ปราณันต์จำเป็นต้องรับปากไปก่อน แล้วค่อยมาเคลียร์มาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหรือคนรู้จักภายหลัง แต่ประเด็นคือจะให้ใครช่วยดีล่ะ เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก ใบหน้าหวานซึ้งเคร่งเครียดจนคิ้วแทบจะขมวดเป็นปม ในขณะที่กำลังคิดว่าจะไปขอลางานแล้วยอมโดนหัวหน้าแผนกต่อว่าดีไหม ปราณันต์ก็ได้รับสัมผัสเบาๆ ที่หัวไหล่ด้านหนึ่งพอดี

“ไงเรา คิดอะไรอยู่ คิ้วจะขดมาผูกเป็นโบว์แล้วนั่น” ปราณันต์เงยหน้ามองตามมือที่วางอยู่บนหัวไหล่ขึ้นไป ก็เห็นหัวหน้าทีมสาวร่างเล็กที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกวีเพื่อนร่วมทีมอีกคน

“เครียดนิดหน่อยอะพี่นท พอดีที่โรงเรียนปุณณ์กับปัณณ์โทรมาบอกว่าพรุ่งนี้เด็กๆ ต้องฉีดวัคซีน ถ้าไม่มีผู้ปกครองไปเซ็นรับรอง เจ้าตัวแสบของผมอาจจะฉีดไม่ได้”

ปราณันต์พูดอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะเอ่ยปากเล่าให้คนที่เป็นทั้งเพื่อนรุ่นพี่และหัวหน้าฟังอย่างต้องการที่จะหาที่พึ่ง

“ให้คนไปแทนได้ไหมล่ะ เดี๋ยวพี่ไปให้” นทนัชเอ่ยปากให้ความช่วยเหลืออย่างใจดีจนปราณันต์ซาบซึ้ง

“ใช่ เราก็ไปให้ได้นะ เอาไหมปราณ” ปราณันต์มองคนทั้งสองอย่างรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ก่อนปากอิ่มจะยิ้มและเอ่ยออกมาอย่างเข้าใจ

“เรื่องไปแทนน่ะไปได้ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ พรุ่งนี้พี่นทต้องประชุม ผมจำได้” ก่อนที่ปราณันต์จะหันไปหาเพื่อนร่วมทีมอีกคน “ส่วนกวี เมื่อวานกวีก็เพิ่งจะลาไปพร้อมๆ กับเรา พรุ่งนี้จะลาอีกได้ยังไง”

ทั้งสองมองหน้าปราณันต์อย่างเห็นใจ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมามันเป็นเหตุผลและเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องพรุ่งนี้มันยุ่งยากขึ้นไปอีก

“แล้วปราณจะทำยังไงล่ะทีนี้” เป็นนทนัชที่ถามขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” ปราณันต์ตอบอย่างจนปัญญา ตอนนี้ศีรษะเล็กๆ ของเขาสะบัดไปมาอย่างกับอยากจะค้นหาทางออก แต่มันมึนงงไปหมด เขาคิดไปคิดมาจนปวดหัว พาลให้นึกในใจว่าถ้าได้กาแฟสักแก้วมาดื่มเพื่อให้ผ่อนคลายน่าจะดี

ปราณันต์ลุกขึ้นยืมเต็มความสูง แล้วหันไปบอกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันอย่างเนือยๆ

“เดี๋ยวผมมานะครับ ขอไปหากาแฟดื่มหน่อย เผื่อจะหาทางออกอะไรได้บ้าง”

“เราไปเป็นเพื่อน” กวีลุกขึ้นยืนอย่างกระวีกระวาด ราวกับว่าเต็มใจที่จะไปเป็นเพื่อน แม้ว่าปราณันต์จะไม่ได้ร้องขอก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอกกวี ขอบใจมากนะ เราไปคนเดียวดีกว่า” ปราณันต์พูดปฎิเสธอย่างนุ่มนวล พลางยิ้มเหนื่อยๆ ให้กับคนทั้งสอง ไม่ใช่จะปิดกั้นอะไร แต่เวลานี้เขาอยากขอคิดอะไรคนเดียวดีกว่า จากนั้นปราณันต์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอีกทางเพื่อลงลิฟต์ไปที่คอฟฟี่ช็อปเล็กๆ ชั้นล่างของออฟฟิศ

.

.

.

ในขณะที่นั่งอยู่ในคอฟฟี่ช็อปเล็กๆ ที่ล็อบบี้ของออฟฟิศ ปราณันต์ก็ตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิทที่สุดของตน เขารู้ดีว่าหากขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนนี้ ยังไงอนาวินก็ไม่มีทางปฏิเสธ แต่ที่เขาหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากจะรบกวนเพื่อนรักมากเกินไป เพราะที่ผ่านมาอนาวินและครอบครัวก็ช่วยเหลือเขามานักต่อนัก แต่ครั้งนี้ในเมื่อมันเลี่ยงไม่ได้ ก็คงต้องขอรบกวนเพื่อนรักอีกสักครั้ง

หลังจากรอสายไม่นานเสียงสดใสของเพื่อนสนิทก็รับและส่งคำทักทายที่แสนจะไพเราะมาให้เขาได้ยิน

(ไงไอ้ปราณ ยังไม่ตายหรอวะ?)

ปราณันต์อมยิ้มบางๆ หลังจากได้ยินคำประชดประชันจากคนในสาย

“ตายไปแล้วว่ะ นี่วิญญาณ คิดถึงนายมากเลยโทรมาหา หึหึ พอใจยัง?”

เสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ของอนาวินดังลอยมาให้ปราณันต์ได้ยิน เขาชะงักน้อยๆ เมื่อหวนคิดไปถึงเมื่อก่อน ปราณันต์เองก็มักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สดใสแบบนี้ เสียงหัวเราะที่เขาและอนาวินมักจะมีให้กันบ่อยๆ

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาหลงลืมการหัวเราะแบบนี้ไป ปราณันต์รำพึงรำพันถามคำถามนี้กับตัวเองเบาๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบแต่อย่างใด เพราะตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการ

(เออ! พอใจแล้วไอ้เพื่อนเวร! ว่าแต่โทรมามีไรรึเปล่าวะ)

“เอ่อ..คือ แม่เป็นไงบ้าง สบายดีรึเปล่า?”

ปราณันต์ข่มตาลงแน่นด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นคำพูดอย่างไร คือจะขอความช่วยเหลือเลยก็เกิดปากหนักขึ้นมา เขาเองก็ไม่มีเวลาโทรหาคุณน้า หมายถึงแม่ของเพื่อนสนิทบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นผู้มีพระคุณ ช่วยดูแลเจ้าแฝดให้ตลอดเวลาตั้งแต่สมัยปุณณกันต์กับปัณณธรยังอายุน้อยๆ ดังนั้น ครั้นจะมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทเลย มันก็ดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวไปสักนิด

(แม่ฉันสบายดี แต่บ่นคิดถึงเจ้าตัวแสบสองคนตลอดเลยว่ะ ว่างๆ นายก็พาเด็กแฝดมาหาแม่ฉันหน่อยละกัน)

อนาวินร่ายยาว และเมื่อเห็นว่าพอจะสบโอกาสก็เลยปราณันต์ก็เตรียมตัวจะตบเข้าเรื่องทันที

“ฉันเกรงใจ รบกวนนายบ่อยๆ แบบนี้”

(เกรงใจไรวะ เพื่อนกัน) อนาวินพูดอย่างมีน้ำใจ แต่ก่อนที่ปราณันต์จะได้พูดอะไรอีก อนาวินก็สวนกลับมาเสียก่อน

(แต่ไว้ค่อยมานะเว่ย เพราะนี่ฉันกำลังจะพาแม่ไปเที่ยวบ้านญาติที่ต่างจังหวัด เห็นบ่นว่าอยากไปมาสักพักแล้ว)

ปราณันต์กลืนคำพูดทั้งหมดลงคอทันที นานๆ ทีเพื่อนสนิทจะพาแม่ออกไปเที่ยวทั้งที การจะพูดขัดโดยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนั้นคงไม่สมควรเท่าไหร่ ปราณันต์จึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะพูดเรื่องฉีดวัคซีนของฝาแฝดออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นชวนคุยนั่นนี่โน่นแทน จนผ่านไปสักพักก็ขอวางสายไปในที่สุด

ปราณันต์กลับมาเคร่งเครียดหาวิธีทางแก้ไขปัญหาอีกครั้ง เพราะตอนนี้เพื่อนสนิทที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่จะเอาไว้ยึด ก็ได้ขาดลงไปแล้ว ตอนนี้เขาได้แต่นั่งจิบคาเฟอีนไป ค่อยๆ คิดไป ที่ และในขณะที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“คุณปราณันต์?” เจ้าของชื่อหันหน้าไปตามเสียงทุ้มที่เรียกช้าๆ ก่อนจะได้เห็นใบหน้าคมคายที่มักจะบังเอิญเจอกันบ่อยเหลือเกินในช่วงหลังๆ มานี้

“คุณคามิน” ตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าประหลาดใจหน่อยๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอคามินในเวลานี้ “บังเอิญเจอกันอีกแล้ว”

“ฮ่าๆ อันที่จริงผมเห็นคุณน่ะครับเลยเข้ามาทัก” คามินพูดพลางพยักเพยิดไปที่เก้าอี้ตัวฝั่งตรงข้ามกับปราณันต์ “ผมขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”

ปราณันต์ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างสดใสแม้ในใจกำลังจะคิดมาก แต่พอได้เห็นใบหน้าของคนๆ นี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าเรื่องที่กำลังหนักใจอยู่นั้นได้เบาบางลง

“เชิญครับ ทานกาแฟไหม ผมเลี้ยง” ปราณันต์เอ่ยอย่างมีน้ำใจ แต่แทนที่คนฝั่งตรงข้ามจะตอบรับหรือปฎิเสธ กลับหัวเราะลั่นออกมาแทน

“ฮ่าๆ” ตากลมตวัดมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างไม่พอใจ ปากอิ่มยื่นน้อยๆ อย่างแสนงอนแบบไม่รู้ตัว

คามินเองพอได้เห็นท่าทางแบบนั้นของปราณันต์ ปากหยักก็อมยิ้ม ส่วนดวงตาเรียวคมก็ได้แต่จ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู

“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งโกรธสิครับ ที่ผมหัวเราะนี่ เพราะผมคิดขึ้นได้ว่าเวลาเจอกันทีไร คุณปราณันต์จะเลี้ยงนั่นเลี้ยงนี่ผมตลอดเลย จนผมแทบจะเคยตัวอยู่แล้ว” ริมฝีปากมีเสน่ห์ได้แต่ยกยิ้มให้ปราณันต์อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยต่อ “เพราะฉะนั้นอย่าเลยดีกว่านะครับ ผมเกรงใจจริงๆ”

คามินนั่งมองหน้าใบหน้าน่ารักของคนอีกฝั่งอย่างประทับใจ แววตาคมแสดงออกอย่างเปิดเผยว่ารู้สึกอย่างไรในเวลานี้

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมตั้งใจจะเลี้ยงจริงๆ” ปราณันต์เสหลบแววตามีเสน่ห์คู่นั้น ด้วยการก้มลงดื่มกาแฟในแก้ว พูดตามตรงว่าเสน่ห์ของคามินมีมากเกินไปจนเขาแทบจะตั้งรับไม่ไหว และตอนนี้หัวใจดวงเล็กๆ ของตนก็กำลังเต้นกระหน่ำรัวอยู่ในอกจนเจ็บไปหมด

“เอาไว้เลี้ยงผมคราวหน้าแทนนะ ตอนนี้คุณปราณันต์ติดข้าวผมอยู่มื้อนึงใช่ไหมครับ” ศีรษะเล็กๆ พยักขึ้นลงอย่างแข็งขัน มองแล้วน่าเอ็นดูไม่น้อย และพอเห็นท่าทางน่ารักแบบนั้นคามินจึงพูดต่อ

“คราวหน้าคุณต้องเลี้ยงผมนะครับ เจอกันครั้งต่อไป ผมไม่ยอมแล้วนะ” ใบหน้าหล่อเหลาพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ปราณันต์อย่างอารมณ์ดี จนคนตัวเล็กกว่าเห็นแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ว่าแต่คุณปราณันต์มานั่งทำอะไรที่นี่หรอครับ ดูเครียดๆ”

เรียวตาคมจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา เขาแสร้งถามด้วยรู้ดีว่าปราณันต์กำลังไม่สบายใจเรื่องฝาแฝด เพราะคามินจับทางได้แล้วว่า ถ้าอยากทำให้ปราณันต์มีความรู้สึกดีๆ ให้ การเอาชนะใจแฝดทั้งสองก็ถือเป็นอีกปราการหนึ่งที่จะพังทลายกำแพงของอีกฝ่ายลงได้

“พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ ผมยังหาทางออกไม่ได้เลย” เสียงหวานตอบหงอยๆ ถ้าจะเรียกว่าอ้อนก็ไม่น่าจะผิดเท่าไหร่ “แล้วคุณคามินไปไหนมาครับ เพิ่งกลับมาจากพบลูกค้าหรอ”

“ครับ เพิ่งกลับมา” คามินตอบ ก่อนจะปั้นเสียงเป็นห่วงเป็นใยออกมาจากลำคอ “แล้วคุณปราณันต์พอจะบอกได้ไหมครับ ว่าเครียดเรื่องอะไร ให้ผมช่วยไหม”

หลังจากได้ยินน้ำเสียงอบอุ่นนั้นแล้วปราณันต์ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจดวงน้อยๆ ของตัวเอง มันทั้งไว้ใจ ทั้งเชื่อใจ จนยอมสารภาพเรื่องที่กังวลออกมาให้อีกฝ่ายฟังอย่างเต็มใจ

“มันอาจจะฟังดูไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร” ปราณันต์ค่อยๆ เล่าอย่างใจเย็นผิดกับอารมณ์ที่ร้อนรุ่มข้างใน “พอดีพรุ่งนี้ที่โรงเรียนอนุบาลของปุณณ์กับปัณณ์มีฉีดวัคซีนครับ”

“...” คามินนั่งฟังอย่างตั้งใจ ผิดกับข้างในที่กำลังยิ้มเยาะปราณันต์ว่าช่างไร้เดียงสา ตกหลุมพรางที่เขาขุดไว้ง่ายดายเหลือเกิน

“แต่ปัญหาคือถ้าอยากได้รับวัคซีน ก็ต้องมีผู้ปกครองไปเซ็นยินยอมให้ได้ฉีดได้ ถ้าไม่เซ็นทางโรงเรียนจะไม่ทำการฉีดให้ครับ”

เสียงของปราณันต์แสดงออกถึงความกังวลชัดเจน คามินจึงแสร้งแสดงความเป็นห่วงเป็นใยให้ปราณันต์อย่างอบอุ่น จนใจของคนที่ได้รับความเอื้อเฟื้อนั้น เกิดกระตุกขึ้นมาทันทีจนรู้สึกได้ “แล้วประเด็นคือผมเองก็ไม่ว่างไป ผมเพิ่งลางานไปเมื่อวาน ถ้าจะให้ลาอีกหัวหน้าต้องไม่ยอมแน่ๆ ตอนนี้เลยไม่รู้จะทำยังไง เครียดก็ส่วนนึง อีกส่วนผมก็คิดว่าผมเป็นพี่ชายที่โคตรแย่ มีน้องอยู่แค่สองคนก็ดูแลไม่ได้”

ปราณันต์สารภาพออกมาจนหมดสิ้น ความในใจและความรู้สึกผิดที่เขาเก็บงำไว้ แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่ได้ให้รู้ แต่เขากลับบอก... บอกออกไปให้คนแปลกหน้าที่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งรู้ อาจะเป็นเพราะสายตาคู่นั้น สายตาคู่ที่มองมาอย่างอ่อนโยนเมื่อกี้

“อย่าคิดอย่างนั้นสิครับ ปุณณ์กับปัณณ์ไม่คิดแบบนั้นหรอก อีกอย่างไม่ใช่ว่าคุณไม่อยากลาไปดูแลเด็กๆ สักหน่อย แต่มันลาไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่หรอครับ”

คามินเอ่ยปลอบอย่างเข้าใจและปลอบโยน พาให้หัวใจที่ไม่ได้รับการดูแลและเอาใจใส่จากใครมาหลายปีกลับชุ่มชื่นขึ้น เพียงเพราะน้ำเลี้ยงที่ไหลลงมารดรินหัวใจด้วยคำพูดและการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่าย

“เอางี้ดีไหมครับ” คามินแสร้งเสนอขึ้นเหมือนกับว่าเพิ่งนึกได้ “พรุ่งนี้ผมต้องไปพบลูกค้าแถวนั้น คุณปราณันต์โทรไปบอกคุณครูของฝาแฝดว่าผมจะเข้าไปเซ็นให้ดีไหมครับ ครูน่าจะจำผมได้ แล้วก็ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องการมอบฉันทะด้วย”

ปราณันต์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด ทางออกของคามินถือว่าโอเคมากๆ แต่ที่เว่ยโจวยังกังวล กลับเป็นเพราะความเกรงใจที่มีให้กับอีกฝ่ายมากกว่า

“แต่ผม... เกรงใจคุณ ผมรบกวนคุณหลายเรื่องแล้ว” ปราณันต์อ้อมแอ้มตอบอย่างละอายใจ เจอกันกี่ทีก็มีแต่เรื่องรบกวนทุกที

“ไม่เป็นไรเลยครับ ปุณณ์กับปัณณ์ก็เหมือนน้องของผม” คามินยิ้มโชว์เขี้ยวทั้งสองเพื่อแสดงความเต็มใจให้ปราณันต์เห็น “ผมอยากช่วยคุณดูแลเด็กๆ เพราะเหมือนกับว่าผมจะได้มีโอกาสดูแลคุณไปด้วยในตัว”

ทั้งคำพูดและรอยยิ้มที่คามินส่งเอามาให้ทำเอาปราณันต์แทบไปไม่เป็น นี่แค่เวลาไม่กี่วันที่ได้รู้จักกัน คามินก็ทำให้เขาประทับใจและหวั่นไหวได้ขนาดนี้ จากที่เคยคิดว่าคงไม่มีใครสามารถจะพังทลายกำแพงนี้ได้ ปราณันต์คงต้องเปลี่ยนความคิด เพราะตอนนี้กลับมีคนๆ นึงที่ยื่นมือเข้ามาทุบปราการที่เขาตั้งไว้อย่างไม่เกรงกลัว และที่สำคัญดูเหมือนกับว่าคนๆ นั้นจะทำได้ผลเสียด้วย

ปราณันต์ได้แต่ไม่แน่ใจว่าจะประคองและปิดกั้นความรู้สึกตัวเองได้นานแค่ไหน หากคามินยังเสมอต้นเสมอปลายกับตนเช่นนี้ หัวใจของเขาคงจะพ่ายแพ้เข้าให้สักวัน เมื่อคิดได้แบบนั้นแววตากลมสดใสได้แต่หลับลงเบาๆ อย่างปลงตก และคงต้องปล่อยให้มันเป็นไป

ส่วนคามินก็ได้แต่ยิ้มกริ่มในใจอย่างผู้ชนะ ลูกแมวตัวน้อยของเขาโซซัดโซเซเข้ามางับเหยื่อที่เขาวางไว้อย่างไร้เดียงสา โดยที่เขาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนคุณอีกครั้ง แล้วก็ขอบคุณคุณคามินมากนะครับ ขอบคุณจริงๆ”

ปราณันต์พูดขอบคุณในขณะที่แก้มขาวทั้งสองข้างตอนนี้กำลังขึ้นสีอย่างน่าเอ็นดู ทำให้คามินได้แต่นึกย่ามใจว่าหุ้นสิบห้าเปอร์เซนต์คงไม่หลุดลอยไปไหนแน่นอน

“ถ้าเป็นเรื่องของคุณ... ผมยินดีครับ” และเพื่อเป็นการตอกย้ำ มือใหญ่ยื่นไปวางทับบนมือเรียวขาวเบาๆ แค่นั้นก็ทำให้หัวใจที่ไม่ประสีประสาเรื่องความรักของปราณันต์เต้นแรงจนแทบจะทะลุจากอก ซึ่งทุกอย่างมันแสดงออกผ่านทางสีหน้าและแววตาของปราณันต์จนหมดสิ้น

คามินได้แต่มองและยิ้มเยาะในใจ


‘แล้วคุณจะหนีผมไปไหนพ้น ปราณันต์’

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------

เป็นพระเอกที่แผนการเยอะมากกกกกกกก ไม่รู้ว่าอยากจะแค่เอาชนะ หรือลึกๆ แล้วกำลังถูกอกถูกใจเขาจริงๆ กันแน่... และถ้าคุณคิดว่าแผนของนังครามจะหมดแค่นี้ เราของบอกว่าคุณคิดผิดค่ะ

เอาเป็นว่ารออ่านตอนต่อไปแล้วกันโนะ 55555555555

ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ทุกคอมเม้นท์ ทุกคลิก ทุกวิว ทุกไลค์ ขอบคุณมากๆ ค่า แล้วยังไงจะพยายามมาลงให้บ่อยๆ นะคะ อย่างที่เคยแจ้งไปคงสองสามวันมาลงที จะพยายามไม่ให้เกินนี้เนาะ เว้นแต่ถ้างานยุ่งจริงๆ

เหมือนเดิมนะคะ ฝากคอมเม้นท์ ฝากติ-ชม ให้กำลังใจด้วยย เรารออ่านฟีดแบคจากทุกคนอยู่นะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จะพยายามภายในสามหรือสี่วันนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ .. รักพวกคุณที่สุดเลยยย

ป.ล. เจอคำผิด สรรพนามผิด เม้นท์บอกได้เลยนะคะ บางทีมันตาลายจริงๆ แก้ไม่หมด 555555
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 22/10/63 [3rd Lies: หวั่นไหว]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-10-2020 20:45:58
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 22/10/63 [3rd Lies: หวั่นไหว]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-10-2020 00:54:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 22/10/63 [3rd Lies: หวั่นไหว]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 23-10-2020 13:51:22
ระวังเถอะ คุณคามิน จะโดนย้อนศรบ้าง
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 29/10/63 [4th Lies: ฝาแฝด]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 29-10-2020 20:01:28
4th Lies : ฝาแฝด



‘ผมมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อยครับ’ เสียงทุ้มกรอกผ่านสายโทรศัพท์ไปยังไปปลายทางซึ่งเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลยักษ์ใหญ่ที่ทางบริษัทของเขาเคยให้การสนับสนุนเงินบริจาคในโครงการต่างๆ ไปหลายล้านบาท

‘คุณคามินมีอะไรให้ทางโรงพยาบาลช่วยเหลืออะไรบอกได้เลยนะครับ ทางเรายินดี’ ผู้บริหารโรงพยาบาลปลายสายเสนอไมตรีจิตด้วยน้ำเสียงประจบประแจง

ทำไมท่านประธานแห่งอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ติดลำดับต้นๆ ของประเทศจะไม่รู้ ทุกวันนี้มีแต่ธุรกิจและผลประโยชน์เท่านั้นแหละที่จะทำให้ทุกองค์กรอยู่รอด และด้วยอำนาจเงินและบารมีที่เขามีในมือนั้น การจะเรียกหาความช่วยเหลือจากใครไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่นิดเดียว

‘ได้ข่าวว่าโรงพยาบาลของคุณเป็นผู้อุปถัมภ์เรื่องวัคซีนและดูแเลเรื่องความเจ็บป่วยให้เด็กๆ ในโรงเรียนอนุบาล T อยู่ ใช่หรือเปล่าครับ’ คามินถามเสียงเรียบๆ ซึ่งในความเป็นจริงท่านประธานหนุ่มรู้คำตอบดีอยู่แล้วแหละ เพียงแต่ต้องการถามให้แน่ใจก็เท่านั้น

‘ใช่ครับ อนุบาล T อยู่ในความดูแลของเราเอง นี่เดือนหน้าก็จะมีคิวเข้าไปฉีดวัคซีนให้เด็กๆ อยู่’ ทางนั้นตอบกลับมาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยปากเสนอตัว ‘ท่านประธานมีอะไรให้เราช่วยเหลือรึป่าวครับ’

‘นี่แหละครับเรื่องที่ผมจะรบกวน’ คามินนึกในใจว่าช่างประจวบเหมาะที่ทางโรงพยาบาลพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพอดี เพราะมันตรงกับเรื่องที่ชายหนุ่มอยากจะให้โรงพยาบาลทำให้

‘ผมอยากให้โรงพยาบาลของคุณเข้าไปฉีดวัคซีนให้อนุบาล T วันพรุ่งนี้เลยได้ไหมครับ’ เสียงทุ้มพูดนิ่งๆ แต่เต็มไปด้วยอำนาจ น้ำเสียงที่ใครก็รู้ว่านี่ไม่ใช่การร้องขอเหมือนที่ประธานใหญ่พูด แต่มันคือคำสั่ง และไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ตราบใดที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้อยู่ คุณต้องทำ

‘ได้ครับ เดี๋ยวผมจะดำเนินการให้ วันนี้เราจะรีบแจ้งไปทางโรงเรียนเพื่อให้เตรียมความพร้อมรอไว้เลยครับ’ น้ำเสียงนอบน้อมถูกส่งมาตามสายโทรศัพท์ คามินกระตุกยิ้มบางๆ ก่อนจะสำทับสิ่งที่ต้องการไปอีกเรื่อง

‘แล้วก็ช่วยย้ำไปด้วยนะครับ ว่าเด็กทุกคนที่ต้องการฉีดวัคซีนจะต้องได้รับการเซ็นยินยอมจากผู้ปกครองก่อนเราถึงจะฉีดให้ ถ้าไม่มีการรับรองก็คือห้ามฉีด ผมไม่อยากเดือดร้อน’

คามินทำทีเป็นพูดเหมือนไม่สนใจ แต่ความจริงแล้วสิ่งนี้แหละเป็นประเด็นหลักที่เขาต้องการมากที่สุด

‘ได้ครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย’

ผู้บริหารของโรงพยาบาลรับปากรับคำอย่างดี ให้คามินได้วางโทรศัพท์ลงบนแป้นอย่างพอใจ แผนขั้นแรกถือว่าผ่าน ถัดไป สิ่งที่คามินต้องทำนั่นคือการรอ รอเวลา ให้ลูกแมวตัวน้อยของเขาเดินเข้ามาฮุบเหยื่ออีกครั้ง

.

.

.

“คุณปราณันต์ครับ ตอนนี้ผมพบลูกค้าเสร็จแล้ว กำลังจะเข้าไปที่โรงเรียนอนุบาลนะครับ”

เช้าวันต่อมาคามินก็มาเตร็ดเตร่นั่งดื่มกาแฟรอแถวๆ คาเฟ่ใกล้ๆ กับโรงเรียนอนุบาลของเด็กแฝดทั้งสอง เขาละเลียดกาแฟรอเวลาจนเห็นว่าสายพอสมควรที่นายคามินพนักงานขายผู้ที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารีจะพบลูกค้าเสร็จเรียบร้อย จึงได้โทรหาเด็กหน้าหวานนั่น เพื่อแสดงละครฉากใหญ่อีกฉากที่เขาเป็นคนวางบทไว้เองกับมือ

(ทำงานเรียบร้อยแล้วหรอครับ? แล้วคุณทานอะไรรึยัง?)

ปลายสายถามกลับมาอย่างเป็นห่วง ท่านประธานใหญ่ผู้ที่ผ่านอะไรมาอย่างโชกโชนรู้ดีว่าหัวใจดวงเล็กๆ ของเด็กคนนั้นกำลังหวั่นไหว หวั่นไหวมากเสียด้วย เขาไม่ได้หลงตัวเอง แต่เขารู้ว่าตัวเองมีดีพอที่จะทำให้หนุ่มหน้าหวานผู้อ่อนต่อโลกคนนั้นมอบตัวมอบใจให้กับเขาได้ไม่ยาก

หลายครั้งที่ปราณันต์แสดงความเป็นห่วงเป็นใยส่งมาให้เขาโดยที่เจ้าตัวเองไม่รู้ตัว ครั้งนี้ก็เช่นกัน เด็กน้อยนั่นกำลังเป็นห่วงว่าเขาจะหิวไหม กินอะไรหรือยัง ทั้งที่มันไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขาโทรหาปราณันต์ด้วยซ้ำ

“ยังเลยครับ กะเอาไว้ว่าถ้าเสร็จจากธุระของปุณณ์กับปัณณ์แล้วผมค่อยไปหาอะไรทานน่ะครับ”

มุมปากหยักกระตุกยิ้มหยันผิดกับน้ำเสียงออดอ้อนที่เพิ่งแสดงออกไปให้ปลายสายได้ยิน ตาคมเหลือบมองไปที่แก้วกาแฟและเบเกอร์รี่ราคาแพงที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่ไยดี

ถ้าให้ทายปราณันต์ที่ตอนนี้ถูกคามินหลอกล่อด้วยท่าทีและน้ำเสียงน่าสงสารนั้น น่าจะกำลังเบิกตากลมโตให้ใหญ่กว้างขึ้นไปอีกด้วยความไม่สบายใจ

(คุณทานอะไรก่อนเถอะครับ เข้าไปที่โรงเรียนช้าหน่อยก็ได้ เดี๋ยวผมจะโทรไปแจ้งอาจารย์ไว้ให้ แค่นี้ผมก็เกรงใจคุณจะแย่แล้ว)

น้ำเสียงที่ถูกส่งกลับมาค่อนข้างร้อนรน คามินรู้ดีว่าคนแบบปราณันต์มีจุดอ่อนตรงไหน ปราณันต์หยิ่งทระนงและไม่ได้ต้องการความเห็นใจจากใคร แต่สิ่งที่ปราณันต์ต้องการคือความช่วยเหลือ ความดูแลเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ การกระทำแบบหลังนี้จะซื้อใจเด็กคนนั้นได้มากกว่า

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมไม่ได้หิวเท่าไหร่ อีกอย่างไม่อยากให้ปุณณ์กับปัณณ์ต้องคอยนานด้วย เดี๋ยวเด็กๆ จะใจเสียว่าทำไมไม่มีใครมาสักที”

และใช่... จุดอ่อนสำคัญของปราณันต์คือเด็กแฝดทั้งสองคนนั่น เด็กแฝดที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ยิ่งถ้าเขาให้ความสำคัญดูแลและเอาใจใส่ปุณณกันต์กับปัณณธรมากแค่ไหน ยิ่งซื้อใจปราณันต์ได้มากขึ้นเท่านั้น

(ผมเกรงใจคุณมากจริงๆ คุณเป็นธุระทำนั่นทำนี่ให้ผม จนผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงแล้ว)

เสียงของปราณันต์ถูกส่งกลับมาอย่างซาบซึ้ง คามินได้แต่ยกยิ้มอยู่ในใจเงียบๆ อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามแผนเสียหมด

“เสาร์นี้คุณแค่ดูแลเลี้ยงอาหารอร่อยๆ ผมก็พอ ไม่อยากจะขู่ให้คุณใจเสีย แต่ผมทานจุมากเลยนะครับ ฮ่าๆ”

คามินหยอกเย้าอีกฝ่ายกลับด้วยถ้อยคำสบายๆ ทำเอาคนที่กำลังคิดมากอยู่ปลายสาย หลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มพูดจบ

(ก็ได้ครับ คุณล้างท้องรอได้เลย ผมยินดีจะเลี้ยงคุณเต็มที่) ปราณันต์จึงตอบกลับมาอย่างผ่อนคลาย ไม่กระวนกระวายและเคร่งเครียดเท่าก่อนหน้านี้แล้ว

(ยังไงก็ฝากคุณคามินด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรโทรหาผมได้ตลอดนะ)

“ไม่ต้องห่วงนะครับคุณปราณันต์ ผมจะดูแลปุณณ์กับปัณณ์ให้เป็นอย่างดี”

คามินกดวางโทรศัพท์พลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก จากนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะวางเงินไว้จำนวนหนึ่ง เสร็จแล้วก็คว้าแว่นกันแดดออกมาสวมก่อนเดินออกจากประตูคาเฟ่ตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว พลางคิดในใจ

 

‘เกมนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่าย ดูเหมือนจะยากแต่ก็ไม่ได้ยาก แต่ที่น่าสนใจคือเหยื่อตัวน้อยๆ ของเขาต่างหาก ชักจะสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ หึ!’

.

.

.

ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกส่งผ่านออกมายังปลายจมูกโด่งรั้นดังจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อดหันมามองไม่ได้

“เป็นอะไรปราณ เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่เช้าแล้ว” หัวหน้าทีมสาวร่างเล็กหันมาถามคนข้างๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงถอนหายใจ

“ผม... ไม่รู้สิพี่นท ผมอธิบายไม่ถูก” ศีรษะเล็กๆ กลมๆ สะบัดไปมาราวกับอยากจะขจัดเรื่องฟุ้งซ่านออกไปจากหัว

“อ่าว แล้วพี่จะรู้ไหมเนี่ยว่าเราเป็นอะไร” นทนัชถามออกมางงๆ แต่พอเห็นปราณันต์ยังคงเงียบ จึงถามคำถามถัดไปแทน “แล้ววันนี้ใครเป็นคนไปเซ็นอนุญาตให้ฝาแฝดฉีดวัคซีน”

“ก็เรื่องนี้แหละครับ” ปราณันต์หันไปหาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งหัวหน้าและพี่สาวคนสนิท ก่อนจะขอคำปรึกษาที่ตัวเองก็หาคำตอบไม่ได้

“พี่จำคุณคามินที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ไหม คนที่มาช่วยปุณณ์ไว้น่ะ” นทนัชทำท่านึกนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักทันทีที่นึกออก

“จำได้ๆ คนที่ทำให้ปราณพูดถึงได้บ่อยๆ น่ะหรอ” หัวหน้าทีมในนามที่ตอนนี้กำลังพูดกับปราณันต์ด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างกับต้องการจะล้อเลียน

“โถ่ พี่ก็…” ปราณันต์ครางเสียงอ่อยๆ “ผมว่าจะปรึกษาพี่เรื่องนี้นี่แหละ เฮ้อ! พี่รู้ไหมว่าวันนี้เขาเป็นคนอาสาไปเซ็นรับรองให้เจ้าแฝดนะ” ปราณันต์อ้อมแอ้มสารภาพ

“ห๊ะ? ตกลงว่าคุณคามินอะไรนี่ไปเป็นธุระเรื่องฝาแฝดแทนปราณหรอ? แล้วปราณก็ยอมให้เขาไป? ปกติปราณจะไม่ค่อยให้คนนอกยุ่งเรื่องส่วนตัวนี่ แล้วทำไม..?”

นทนัชยิงคำถามใส่ปราณันต์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นชุด ไม่ใช่ว่าตัวปราณันต์จะไม่รู้ว่ายอมให้ผู้ชายใบหน้าคมคายคนนั้นรุกล้ำเข้ามาในชีวิตส่วนตัวมากแค่ไหน ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามของนทนัชยังไง เพราะยอมรับว่าลึกๆ ก็กลัวคำตอบที่ตัวเองจะค้นเจอเหมือนกัน

“ผมถึงอยากจะปรึกษาพี่ไง คือ... คุณคามิน เขาดีกับผมมาก แล้วผมก็กลัวใจตัวเองไม่น้อย อย่างที่พี่รู้ ผมยังไม่พร้อมที่จะมีใครตอนนี้” ปราณันต์สารภาพให้นทนัช ฟังอย่างสับสน

“อย่ากดดันตัวเองนักเลยปราณ ให้โอกาสตัวเองบ้าง พี่คงบอกปราณไม่ได้ว่าทำแบบไหนถึงจะดี แต่พี่รู้ว่าการผ่อนปรน โดยการทำตามใจตัวเองบ้าง มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิดอะไรไม่ใช่หรอ”

นทนัชพูดเตือนสติปราณันต์อย่างเอื้ออาทร ให้ปราณันต์นึกขอบคุณหัวหน้าทีมในใจ แม้จะไม่ได้คำตอบอะไรที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยมันก็พอทำให้ตัวเขาเองมองเห็นทิศทางว่าจะให้ความสัมพันธ์ของตนและคามินดำเนินไปในทิศทางใดต่อ

.

.

.

“พี่คราม!!!”

เสียงเล็กๆ ของปัณณธรตะโกนขึ้นมาดังลั่นกลางสนามเด็กเล่น ดวงตากลมโตกำลังยิบหยีเพราะรอยยิ้มจากปากเล็กๆ กำลังฉีกกว้าง ส่งไปให้เจ้าของสรรพนามพี่ครามที่เจ้าตัวน้อยตะโกนเรียกไปเมื่อสักครู่

“พี่ครามครับทางนี้ ทางนี้” แขนเล็กๆ ป้อมๆ ของปุณณกันต์ก็กำลังยกขึ้นโบกไปมาเช่นกัน เพื่อเรียกให้เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ ก้าวขาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไปทางฝาแฝดตัวน้อยทั้งสองที่กำลังร้องหาเขาอย่างยินดี

 

และด้วยท่าทางน่าเอ็นดูเหล่านั้นทำให้ปากหยักเกิดรอยยิ้มขึ้นมา โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทันรู้ตัว...

 

“ว่าไงเด็กๆ รอพี่นานไหมครับ” คามินเดินไปหาแฝดน้อยทั้งสอง พร้อมกับรวบร่างเล็กๆ ของทั้งคู่เข้ามากอดไว้แนบอก

“ไม่นานครับ พี่ปุณณ์กับปัณณ์มาเล่นม้าหมุนรอพี่คราม” ปัณณธรก็ยังคงเป็นเด็กช่างพูดไม่เปลี่ยน คามินเห็นแบบนั้นแล้วก็อดโยกศีรษะกลมๆ นั่นเล่นอย่างมันเขี้ยวไม่ได้

“ค่อยยังชั่วหน่อย” ร่างสูงพูดใส่เด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “เรียกว่าพี่ครามนี่ดีกว่าคุณลุงเยอะเลยแฮะ ฮ่าๆ”

พอพูดจบแล้วคามินก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี และนั่นก็ทำให้เด็กทั้งสองหัวเราะตามคนตัวโตจนตากลมยิบหยีเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวไปด้วย และพอพูดคุยกันไปได้สักพัก คามินก็สังเกตเห็นว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองสอดส่ายตากลมมองไปทั่วบริเวณจนเจ้าของสรรพนามพี่ครามของเด็กๆ อดเหลียวมองตามไม่ได้

“หาอะไรอยู่หรอครับปุณณ์ ปัณณ์” คามินถามขึ้นในที่สุด เมื่อเห็นเด็กๆ ไม่เลิกมองหาเสียที

“พี่ครามครับ พี่ปราณล่ะครับ พี่ปราณไม่มาด้วยหรอ” ปุณณกันต์ถามเสียงอ่อน แววตาที่เคยลิงโลดเมื่อครู่กลับหม่นแสงลง เมื่อพอจะเดาคำตอบได้ลางๆ ว่าพี่ชายที่ตนและน้องชายรอเจอ ไม่ได้มาพร้อมกันกับพี่ครามที่อยู่ตรงหน้า

“พี่ปราณน่ะอยากมาเจอปุณณ์กับปัณณ์มากเลยนะ แต่พี่ปราณเขาลางานมาไม่ได้ เด็กๆ เข้าใจพี่ปราณใช่ไหมครับ” เด็กแฝดทั้งสองก้มหน้ามองพื้นนิ่ง ความผิดหวังกระจายออกมารอบตัวเด็กๆ จนคามินสัมผัสได้

ไม่รู้เป็นเพราะความสงสาร หรือเป็นเพราะสัญชาตญาณ หรืออาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการ คามินเองก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้เหมือนกัน เขารู้แต่เพียงว่าอยากจะปลอบโยนร่างเล็กๆ ทั้งสองให้ไม่เศร้าใจมากไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ รู้ใช่ไหมว่าพี่ปราณรักเราสองคนมาก” คามินใช้มือใหญ่จับไหล่เล็กๆ ของเด็กทั้งสองคนอย่างอ่อนโยน พลางนั่งลงยองๆ เพื่อลดใบหน้าให้อยู่ในระดับเดียวกับความสูงของเจ้าแฝดตัวน้อยๆ

และหลังจากที่แฝดตัวน้อยทั้งสองได้ยินคามินถามจบ เด็กๆ ก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างแข็งขันทันที

“รู้ครับ ปุณณ์กับปัณณ์รู้” ปุณณกันต์ตัวน้อยชิงตอบแทนน้องชายอย่างแข็งขัน ราวกับกลัวว่าถ้าไม่รีบตอบรับแล้วพี่ชายตัวเองจะได้ยินยังไงยังงั้น

“ที่จริงวันนี้ที่พี่ปราณให้พี่ครามมาแทน พี่ปราณฝากมาบอกด้วยนะ ว่าหลังจากปุณณ์กับปัณณ์ฉีดยาเสร็จ พี่ปราณจะมีรางวัลให้” คามินพูดปลอบโยนให้เด็กทั้งสองรู้สึกดี และมันก็ได้ผลเกินคาด เมื่อคามินพูดประโยคถัดมาให้ฝาแฝดได้ยิน

“พี่ปราณบอกว่าหลังจากฉีดยาเสร็จ ให้พี่ครามวีดีโอคอลหาพี่ปราณ พี่ปราณอยากคุยกับปุณณ์และปัณณ์แบบเห็นหน้า” คามินสังเกตอาการของเด็กๆ เมื่อเห็นตากลมๆ ทั้งสองคู่จ้องมายังตนอย่างเป็นประกาย ก็แกล้งลองเชิงถามตัวเจ้าน้อยทั้งสองอีกครั้ง “เด็กๆ ว่าดีไหมครับ”

ปัณณธรกระโดดมากอดคามินทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ส่วนปุณณกันต์แค่เดินเข้ามากอดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้นิ่งๆ พร้อมกับส่งยิ้มอายๆ มาให้

“ดีครับดี!” เด็กน้อยปัณณธรถูไถใบหน้าตัวเองไปมากับอกกว้างๆ อุ่นๆ ของคามินไม่หยุด “พี่ครามอย่าหลอกเราสองคนนะ ต้องโทรหาพี่ปราณจริงๆ นะครับ”

คามินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นท่าทางออดอ้อนของปัณณธร เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปราณันต์ถึงทั้งรักทั้งหลงเด็กแฝดทั้งสองนักหนา ก็เพราะเจ้าตัวยุ่งน่ารักแบบนี้นี่ไง ขนาดคนหัวใจตายด้านอย่างเขา คนที่ไม่เคยมีใครมาทลายกำแพงแห่งความเย็นชาได้ ยังอดใจอ่อนให้กับความน่ารักและความไร้เดียงสาของเด็กแฝดทั้งสองไม่ได้เลย

“ไม่หลอกครับไม่หลอก แต่ตอนนี้ปุณณ์กับปัณณ์ต้องพาพี่ครามไปหาคุณครูก่อนนะ เดี๋ยวเราจะได้ไปฉีดวัคซีนกัน จากนั้นก็...” พี่ครามของเด็กๆ แกล้งลากเสียงยาวๆ ก่อนชำเลืองมองใบหน้าจิ้มลิ้มแบบส่งสัญญาณให้เด็กๆ ทั้งสองพูดต่ออย่างรู้กัน

“โทรหาพี่ปราณ!!” เจ้าแฝดตัวยุ่งประสานเสียงพูดพร้อมกันอย่างน่าเอ็นดู ปัณณธรหัวเราะคิกคักทันทีที่พูดจบ ส่วนปุณณกันต์ก็แค่อมยิ้มน้อยๆ ทำให้แก้มตุ่ยๆ ทั้งสองข้างยุ้ยออกมาอย่างน่ามันขี้ยว จนคามินอดยื่นมือไปหยิกเบาๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้

หลังจากตกลงกันเรียบร้อย คามินก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง โดยเกี่ยวเอวแฝดคนน้องเข้าหาตัว แล้วอุ้มเจ้าตัวเล็กลอยขึ้นจากพื้นดิน ส่วนมืออีกข้างที่ว่างคามินก็ยื่นไปกุมมือเล็กๆ ของแฝดคนพี่ที่ยื่นมาให้จับอย่างรู้งาน ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากสนามเด็กเล่น ตรงไปยังห้องพักครูของเด็กน้อยทั้งสองต่อไป

.

.

.

“คุณครูครับ พี่ครามมาแล้วครับ!!” เสียงเจื้อยแจ้วของปัณณธรดังทันทีที่คามินเหยียบย่างเข้าไปในห้องพักครูขนาดกว้างที่ตอนนี้มีทั้งเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดวัคซีนให้เด็ก นั่งกระจายรอให้บริการเต็มพื้นที่ไปหมด

“อ้าว คุณคามินมาแล้วหรอคะ เห็นน้องปราณโทรมาแจ้งไว้ว่าจะมีคนมาแทน ครูก็นึกว่าใครที่แท้ก็คุณคนที่ช่วยน้องปุณณ์ไว้นี่เอง” คุณครูทักทายคามินอย่างอารมณ์ดีและเป็นกันเอง โชคดีที่ครูของเด็กแฝดจำเขาได้ ไม่งั้นคงต้องผ่านขั้นตอนอะไรมากมายกว่าจะเสร็จเรื่องแน่ๆ

หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยคามินก็จรดปากกาเซ็นชื่อรับรองให้เด็กแฝดทั้งสองฉีดรับวัคซีน ทุกอย่างดูราบรื่นดีจนกระทั่งถึงเวลาที่จะพาเจ้าตัวแสบทั้งสองไปฉีดยานั่นแหละ

“หืม ปัณณ์เป็นอะไรไปครับ?” คามินหันไปถามเจ้าตัวน้อยคนน้องที่ตนจูงอยู่ เพราะจู่ๆ ปัณณธรก็หยุดยืน ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ยอมเดินต่อ ทำให้แฝดคนพี่ต้องชะโงกศีรษะเล็กๆ ไปมองน้องชายตัวเอง เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

“ปัณณ์... กลัว” เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยที่มักจะช่างเจรจาอย่างสดใสกลับสั่นพร่า คามินก้มมองปัณณธรอย่างสงสารปนเอ็นดู เด็กหนอเด็ก ต่อให้เป็นตัวแสบมากแค่ไหน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเข็มฉีดยาของคุณหมออยู่ดี

คามินจึงลดตัวลงไปนั่งยองๆ จนระดับความสูงของเขาเทียบเท่ากับฝาแฝดคนน้องวัยสี่ขวบ ตาคมมองเข้าไปในดวงตากลมโตของเจ้าหนูตัวน้อยที่ตอนนี้มีแต่ความหวาดกลัวและไม่มั่นใจเต็มไปหมด ก่อนที่มือใหญ่จะลูบลงบนศีรษะเล็กๆ อย่างปลอบประโลม

“ไม่ต้องกลัวนะครับเด็กดี พี่ครามอยู่นี่ พี่ปุณณ์ก็อยู่นี่ เพื่อนๆ ของปัณณ์เองก็ให้คุณหมอฉีดยากันเต็มไปหมด ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย เห็นไหม?” เจ้าแฝดตัวน้อยคนน้องหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะหันกลับมาหาพี่ครามเจ้าของเสียงทุ้มตรงหน้าอีกครั้ง

“แต่ยังไงปัณณ์ก็กลัวอยู่ดีครับพี่คราม ปัณณ์กลัว... เจ็บ” ปากอิ่มเล็กๆ เริ่มเบะออกทันทีที่พูดจบ น้ำใสเม็ดโตเริ่มกลิ้งออกมาจากตากลม แล้วไหลนองลงมาที่สองข้างแก้ม เสียงสะอื้นเบาๆ เริ่มหลุดออกมาจากลำคอของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า

คามินที่ไม่เคยรับมือกับเด็กมาก่อน และยิ่งเป็นเด็กที่กำลังร้องไห้เขายิ่งไม่เคย ดังนั้นเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้ร่างสูงเริ่มเลิ่กลั่ก จะปลอบน้องก็ไม่รู้ต้องพูดว่าอะไร จึงได้แต่ดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดไว้แนบอก พร้อมทั้งลูบไหล่ลูบหลัง ปลอบประโลมให้หยุดร้องไห้โดยเร็ว

“โอ๋ ไม่ร้องนะครับ ไม่ต้องกลัวนะ” คามินพยายามกอดและโยกเด็กน้อยในอ้อมแขนอย่างเบามือ แต่ทำยังไงปัณณธรก็ยังคงไม่หยุดร้องไห้เสียที ปากเล็กๆ กำลังพึมพำอู้อี้อยู่ที่อกของคามิน พี่ครามของเด็กน้อยจึงต้องดันตัวป้อมๆ เล็กๆ ออกจากอ้อมแขน เพื่อฟังดูว่าเจ้าตัวยุ่งพูดว่าอะไร

“ปัณณ์กลัวเข็ม ฮึก... ปกติพี่ปราณจะอยู่ด้วย ฮืออ.. ตอนฉีดยา” ปัณณธรพูดไปสะอื้นไปอย่างน่าสงสาร คามินเองก็จนปัญญาไม่รู้จะทำยังไง เพราะปัณณธรเหมือนจะไม่ยอมท่าเดียว และในขณะที่คามินกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะยกเลิกการฉีดวัคซีนดีไหมนั้น เจ้าตัวน้อยคนพี่ก็มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ อีกฝั่ง...

แล้วจู่ๆ มือเล็กๆ ของแฝดคนพี่ก็ยื่นออกมาตรงหน้า เล่นเอาพี่ครามของเด็กๆ แปลกใจไม่น้อย

“มีอะไรหรอครับ ปุณณ์ก็กลัวเข็มเหมือนกันหรอ” คามินหน้าถอดสี พลางคิดในใจว่าถ้ากลัวกันทั้งสองคนแบบนี้ มีหวังเขาแย่แน่ๆ แต่ผิดคาด เพราะเจ้าตัวน้อยคนพี่ไม่ได้ยื่นมือมาหาเขา แต่กลับยื่นมือออกไปหาน้องชายฝาแฝดของตัวเองแทน

“ไปฉีดยากันเถอะ” มือเล็กๆ ของคนพี่กุมไปที่มือเล็กๆ ของคนน้อง ปัณณธรหันไปมองหน้าปุณณกันต์ทั้งที่มีน้ำใสกลบเต็มสองตา

“ปัณณ์ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพี่จะคอยปิดตาให้ปัณณ์แบบที่พี่ปราณทำให้ตอนปัณณ์ฉีดยา แบบนี้ดีไหม”

ขณะที่เจ้าน้อยทั้งสองคุยกันนั้น คามินก็มองดูเด็กทั้งสองตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งพูดไม่ถูก ทั้งประหลาดใจ ทำไมเด็กสี่ขวบทั้งสองคนนี้ถึงได้ฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันได้มากขนาดนี้

“แล้วมันจะเจ็บไหมพี่ปุณณ์” เสียงเล็กๆ ของแฝดคนน้องถามออกมาอย่างไร้เดียงสา

“เจ็บนิดหน่อยเอง เดี๋ยวพี่จะอยู่ข้างๆ ปัณณ์ให้ ปัณณ์ไม่ต้องกลัวนะ”

แฝดคนน้องจ้องหน้าพี่ชายตัวเองอย่างกำลังตัดสินใจ คามินยืนมองดูเด็กทั้งสองเงียบๆ เขาเองก็อยากรู้ว่าสายใยระหว่างพี่น้องของเด็กทั้งสองจะถูกผูกแน่นขนาดไหน ปัณณธรจะยอมไว้ใจในคำพูดของปุณณกันต์มากจนพอจะยอมทำตามสิ่งที่พี่ชายขอหรือป่าว

และไม่ทันขาดคำศีรษะเล็กๆ ของปัณณธรก็ผงกขึ้นลงช้าๆ พร้อมกับเสียงที่เปล่งออกมาเพื่อเป็นการยอมรับว่าตกลง

“อื้อ! ก็ได้ ไปกัน”

ปัณณธรตัดสินใจยอมเดินตามปุณณกันต์ไปตรงจุดที่มีเจ้าหน้าที่ให้บริการฉีดยาอยู่ คามินจึงเดินตามเด็กทั้งสองไปพอถึงเวลาที่แฝดคนน้องกำลังจะโดนฉีดยา แฝดคนพี่ก็ยึดมือข้างที่ว่างของน้องตัวเองไว้ ส่วนมืออีกข้างของตัวเองก็ยื่นไปปิดตากลมของปัณณธรที่ตอนนี้กำลังข่มลงแน่นเพราะความกลัวที่เกิดขึ้น

“อ่า เสร็จแล้วค่ะคนเก่ง คุณหมอฉีดให้เสร็จแล้ว ไม่เจ็บแล้วนะคะ” ตากลมโตของปัณณธรค่อยๆ หรี่เปิดขึ้น ปุณณกันต์เองที่พอเห็นว่าน้องชายตัวเองไม่ได้ร้องไห้สักแอะ ก็ยิ้มตาหยีออกมาอย่างยินดี

“ปัณณ์ไม่เจ็บใช่ไหม?” แต่สุดท้ายก็ไม่วายถามน้องชายตัวเองอย่างเป็นห่วงเป็นใยอยู่ดี

“เจ็บนิดหน่อย แต่ปัณณ์ทนได้” เสียงใสๆ ตอบคนเป็นพี่ชายอย่างน่าเอ็นดู ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ซีดขาวเมื่อสักครู่ ก็กลับมีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว

แฝดน้องตัวน้อยค่อยๆ ไต่ลงจากเก้าอี้โดยมีพี่ชายคอยช่วยเหลือ ปุณณกันต์ยื่นหน้าไปตรงหัวไหล่ ตรงจุดที่น้องชายโดนฉีดยา แล้วเป่าให้เบาๆ อย่างเด็กรู้ความ

“เพี้ยง! เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”

“อื้อ! ขอบคุณนะพี่ปุณณ์”

ใบหน้าที่เหมือนกันของเด็กทั้งสองจ้องมองกันและกัน ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันอย่างรักใคร่ ดวงตากลมของทั้งแฝดพี่และแฝดน้องบิดขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ทำเอาผู้คนที่อยู่รอบๆ แถวนั้น พากันอมยิ้มให้กับภาพของเด็กแฝดตรงหน้าด้วยความเอ็นดู


...รวมทั้งคามิน ที่กำลังยิ้มโชว์เขี้ยวขาวทั้งสองข้าง ยิ้มที่หาไม่ได้ง่ายๆ จากท่านประธานใหญ่แห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ ยิ้มที่ไม่ได้มีขึ้นเพื่อผลประโยชน์อื่นใด แต่เป็นยิ้มที่มาจากใจโดยที่คนที่ยิ้มเองก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเช่นกัน


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 29/10/63 [4th Lies: ฝาแฝด]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 29-10-2020 20:06:40
(อ่านต่อจากด้านบน)


และหลังจากที่ฉีดยาให้ปัณณธรเสร็จก็ถึงคิวของปุณณกันต์ เด็กน้อยที่ได้แสดงความกล้าหาญไปเมื่อสักครู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วแฝดคนพี่เองก็มีทีท่ากลัวเข็มฉีดยาไม่น้อยเหมือนกัน คามินจึงหลุดขำออกมาเบาๆ ตอนเห็นปุณณกันต์หลับตาปี๋ พี่ครามของเด็กๆ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วปิดตาให้เด็กน้อย เหมือนอย่างที่ปุณณกันต์ทำให้ปัณณธรก่อนหน้านี้

หลังจากฉีดยาเรียบร้อย ตอนที่นั่งกินขนมที่ทางโรงเรียนแจกให้ คามินเห็นปัณณธรกำลังสนใจอย่างอื่นอยู่ จึงได้กระซิบถามปุณณกันต์เบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน

“ตอนฉีดยา ปุณณ์ไม่กลัวหรอครับ หื้ม?”

ตากลมโตของแฝดคนพี่หันมามองคามินนิ่ง คามินไม่รู้เลยว่าปุณณกันต์จะยอมตอบคำถามของตัวเองไหม อาจเป็นเพราะปุณณกันต์นิสัยต่างจากปัณณธรมาก แฝดคนพี่ไม่ใช่เด็กช่างเจรจาเท่าแฝดคนน้อง คามินเลยต้องรอดูท่าทีของเจ้าตัวน้อยที่กำลังตอนนี้กำลังจ้องหน้าเขานิ่ง และยังไม่ยอมตอบคำถามที่เขาถาม

“กลัวครับ” นานจนตอนแรกคามินถอดใจแล้วว่าปุณณกันต์คงไม่ตอบแน่ แต่จู่ๆ เสียงใสๆ ก็หลุดออกมาจากปากเล็กๆ ในที่สุด

“แต่พี่ครามเห็นปุณณ์ปลอบน้องให้ไม่กลัว พี่ครามเลยนึกว่าปุณณ์ไม่ได้กลัวการฉีดยาซะอีก”

มือเล็กๆ ของปุณณกันต์ยกขึ้นเกาคอตัวเองเก้อๆ แก้มยุ้ยๆ ทั้งสองข้างของเจ้าตัวน้อยกำลังขึ้นสีแดงอย่างน่าเอ็นดู

“ปุณณ์กลัว แต่ปุณณ์ไม่กล้าบอกครับ เพราะถ้ายิ่งปุณณ์แสดงออกว่ากลัว ปัณณ์ก็จะกลัวหนักกว่าเดิม” เด็กน้อยขี้อายคนเมื่อกี้พูดตอบคามินอย่างฉะฉาน “แล้วยิ่งพี่ปราณไม่อยู่ ปุณณ์ต้องดูแลน้องครับ”

คามินนึกชื่นชมปราณันต์ในใจหลังจากได้ฟังที่แฝดคนพี่พูดจบ เด็กหน้าหวานคนนั้นสอนน้องชายได้ดีมากๆ ทั้งที่ขาดทั้งพ่อและแม่ แต่ปราณันต์กลับเลี้ยงน้องทั้งสองให้ออกมาเป็นเด็กที่ทั้งฉลาด น่ารัก และเก่ง จนทำเอาคามินอดละอายใจลึกๆ ไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ การเล่นพิเรนทร์ของเขา จะทำให้ครอบครัวที่น่ารักนี้ทุกข์ใจหรือเสียใจมากแค่ไหนกัน

และในขณะที่คิดอะไรเพลินๆ โทรศัพท์มือถือของคามินก็ดังขึ้นรบกวน พอหยิบมาดูก็พบว่าคนที่โทรมาหาเขาก็คือหนึ่งในไอ้คนต้นคิดที่ตั้งกติกาเรื่องเกมบ้าๆ นี่ขึ้นมานั่นเอง

“ว่าไงไอ้สิบ มีอะไรหรือป่าว” คามินตัดสินใจกดรับก่อนจะกรอกเสียงลงไปเนือยๆ

(เหอะ! กูเนี่ย! ไม่มีอะไรกับมึงหรอก คนที่มีคือคู่หมั้นมึงโน่น) สิปปกรโวยวายตามสายมาด้วยความหงุดหงิด คิ้วเข้มของคามินขมวดมุ่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน

“วลัย?” คามินก็ยังคงเป็นคนประหยัดคำพูดคำจา เมื่อหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องของคนที่จะมาเป็นภรรยาในอนาคต

(ก็เออดิวะ! เนี่ยโทรมาเม้งแตกกับกูยกใหญ่ ถามว่ามึงไปไหนทำไมไม่รับโทรศัพท์โน่นนี่นั่น โอ๊ย! จะบ้าตาย) สิปปกรยังคงโวยวายใส่คนปลายสายไม่หยุด จนเหนื่อยนั่นแหละถึงได้หยุดพูดไปเอง

“จบยัง? จะได้วาง” เสียงทุ้มกรอกลงไปเรียบๆ จนทำให้คนอีกฝั่งอดหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบไม่ได้

(ยังไม่จบ!) สิปปกรนึกโมโหเลยยื้อไว้ไม่ให้คามินวางสาย (มึงอยู่ไหนวะ แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์คุณวลัย?)

“กูอยู่...” ยังไม่ทันที่คามินจะได้ตอบสิปปกร เสียงเล็กๆ ของแฝดคนน้องก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“พี่คราม.. พี่คราม เราสองคนทานขนมเสร็จแล้วครับ!” เด็กน้อยทั้งสองที่เดินออกมาจากมุมที่แจกขนม ตรงดิ่งมาหาคนตัวโตที่ยืนหลบมุมคุยโทรศัพท์อยู่อีกฝั่ง

(พี่ครามไหนวะ? มึงหรอ? นี่อยู่ไหนกันแน่เนี่ยไอ้คราม?) สิปปกรถามอย่างสับสนปนประหลาดใจ ปกติมีหรือที่ท่านประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ จะพาตัวเองไปอยู่ในที่ๆ วุ่นวาย แต่ตอนนี้เสียงปลายสายกลับฟังดูจอแจเหลือเกิน

“กูอยู่โรงเรียนอนุบาล แค่นี้ก่อนไว้ค่อยคุยกัน” พอพูดจบคามินก็กดตัดสายทิ้งทันที แล้วหันมาหาปัณณธรตัวน้อยที่ตอนนี้ยืนแหงนหน้ามองเขาอยู่ด้วยสายตากลมโต ร่างสูงจึงส่งยิ้มให้เด็กแฝดทั้งสองอย่างใจดี

“เรียบร้อยแล้วหรอครับเด็กๆ” คามินย่อตัวลงให้เสมอกับเด็กทั้งสอง ก่อนที่จะลูบศีรษะเล็กๆ นั่นอย่างเอ็นดู

“เสร็จแล้วครับ” ปุณณกันต์ตอบ พลางเอื้อมมือไปกุมมือเล็กของแฝดคนน้องแล้วจับจูงกันไว้แน่น

“ป่ะ! งั้นเราไปหาที่นั่งกัน เดี๋ยวจะได้โทรหาพี่ปราณตามที่พี่ครามสัญญาไว้ ดีไหมครับ”

คามินถามเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่ตอนนี้กำลังดี๊ด๊าเป็นพิเศษเมื่อได้ยินว่าพี่ครามคนใจดีกำลังจะโทรหาพี่ปราณ พี่ปราณที่ปุณณ์และปัณณ์คิดถึงมาก เด็กๆ จึงพยักหน้าตอบรับอย่างแข็งขัน ซึ่งตอนนี้ปัณณธรที่แสนจะร่าเริงเดินๆ กระโดดๆ นำหน้าคามินที่กำลังจูงมือปุณณกันต์อยู่ไปไกลแล้ว

“ปุณณ์ครับ” คามินเรียกเด็กน้อยข้างตัวที่ตอนนี้กำลังมองน้องชายฝาแฝดของตัวเองที่เดินนำอยู่ข้างหน้า

“ครับพี่คราม” แฝดคนพี่แหงนหน้ามองคนตัวสูงพลางตอบรับคำเรียกนั้น

“อย่าลืมเล่าให้พี่ปราณฟังนะครับ ว่าวันนี้ปุณณ์ช่วยให้ปัณณ์ฉีดยาได้ยังไง พี่ครามว่าพี่ปราณต้องดีใจมากแน่ๆ ที่ปุณณ์ดูแลน้องได้ดีขนาดนี้”

คามินก้มลงพูดกับร่างเล็กที่ตัวเองจับจูงมืออยู่ เด็กน้อยยิ้มไร้เดียงสาให้เขา แก้มกลมๆ ขึ้นสีแดงจางๆ อย่างน่าเอ็นดู เมื่อได้ยินคำชื่นชมจากคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ชายตัวเอง

“พี่ปุณณ์ พี่คราม เดินเร็วๆ สิครับ ปัณณ์อยากคุยกับพี่ปราณแล้ว”

เจ้าแฝดตัวยุ่งคนน้องยืนโบกมือเรียกหนุ่มต่างวัยทั้งสองอยู่ไกลๆ ในขณะที่คนขายาวรีบสาวเท้าเดินไปยังจุดที่ปัณณธรยืนรออยู่ มุมปากคามินก็อดอมยิ้มกับท่าทางน่ารักๆ ของเจ้าเด็กแฝดคนน้องไม่ได้

“มาแล้วครับมาแล้ว” เจ้าของสรรพนามพี่ครามทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินชุดหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในมุมร่มรื่นมุมหนึ่งริมสนามเด็กเล่น ก่อนจะจับเจ้าตัวน้อยทั้งสองมานั่งบนตักคนละข้าง เด็กๆ กอดเอวหนาแน่นพลางหัวเราะคิกคักให้กันอย่างชอบอกชอบใจ

“พี่ครามตัวใหญ่ ปุณณ์กับปัณณ์นั่งตักพี่ครามได้ทีเดียวพร้อมกันสองคนเลย เนาะปัณณ์เนาะ” ปุณณกันต์พูดขึ้นแล้วหันไปหาแฝดคนน้องราวกับจะหาคนสนับสนุนคำพูดของตัวเอง

“ช่าย ถ้านั่งกับพี่ปราณ พี่ปราณตัวเล็กนิดเดียว เลยนั่งได้แค่ทีละคน ต้องผลัดกันนั่งเนาะพี่ปุณณ์เนาะ” แฝดคนน้องตอบรับฉับไว มีสลับกันพูด สลับกันถาม ช่างน่ารักน่าหยิกเหลือเกินในความรู้สึกของเจ้าของตักที่เด็กแฝดกำลังพูดถึงอยู่

คามินอมยิ้มชอบใจกับบนสนทนานั้น ก่อนที่มือใหญ่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นแชทยอดฮิตทันที

คามินกดโทรวีดีโอคอลหาเจ้าของตักเล็กๆ ที่เด็กแฝดบ่นถึงเมื่อกี้ ป่านนี้คงกำลังยุ่งอยู่กับการตั้งใจทำงานแน่ๆ ในขณะที่คามินรอสัญญาณให้คนปลายสายกดรับ สายตากลมโตของเด็กทั้งสองก็มองไปที่หน้าจอโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อ ตาไม่กะพริบเลยแม้แต่นิดเดียว

และทันทีที่ปราณันต์กดรับรับสาย เสียงใสๆ และหน้าตาตระหนกน้อยๆ ก็ปรากฎขึ้นที่หน้าจอ

“คุณคามิน เด็กๆ สร้างปัญหาอะไรหรือป่าวครับ”

ใบหน้านวลขาวของปราณันต์ปรากฎขึ้นมาให้เห็น ตากลมๆ โตๆ ดูกังวลเล็กน้อย คงเพราะคิดว่าที่คามินโทรมาหาตนนั้น น่าจะเกิดจากฝาแฝดของเขาคงจะสร้างปัญหาอะไรให้คามินลำบากจนต้องโทรมาขอความช่วยเหลือแน่ๆ

แต่พอดวงตากลมโตของปราณันต์มองเห็นใบหน้าเล็กๆ ทั้งสองที่กำลังยิ้มยิงฟันปรากฎอยู่ในจอแทนที่จะเป็นใบหน้าของคามิน ปากอิ่มก็ยกยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆ จนดวงตากลมทั้งสองข้างยิบหยีขึ้นไม่ต่างจากฝาแฝดเลยแม้แต่นิดเดียว

“ปุณณ์! ปัณณ์!” เสียงหวานเรียกน้องชายทั้งสองของตนอย่างยินดี และยิ่งพอได้เห็นว่าเจ้าตัวน้อยดูร่าเริงไม่ได้มีอาการงอแงของเด็กไม่ยอมฉีดยาแต่อย่างใด ปราณันต์ก็ยิ่งสบายใจและนึกขอบคุณคามินที่นั่งอยู่ไกลๆ ด้านหลังแทน

“พี่ปราณณณณ”

เจ้าตัวน้อยทั้งสองประสานเสียงกันเรียกชื่อพี่ชายคนโตด้วยท่าทางตื่นเต้นและมีความสุข ทำให้คนที่ถูกเรียกพลอยรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย

“ว่าไง ฉีดยากันเป็นยังไงบ้างครับ” ปากอิ่มเอื้อนเอ่ยถามและมองน้องๆ ทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง

พอได้ยินพี่ชายถามแบบนั้น แฝดคนน้องก็จัดแจงรายงานให้ปราณันต์ฟังก่อนเป็นคนแรก

“ปัณณ์กลัวนิดหน่อยครับ แต่ดีที่พี่ปุณณ์คอยช่วยไว้ พี่ปุณณ์ปิดตาให้ปัณณ์เหมือนที่พี่ปราณทำเลย ปัณณ์ก็เลยฉีดยาได้เสร็จ แล้วก็ไม่ร้องไห้ด้วย” แฝดคนน้องรายงานทุกอย่างให้พี่ชายฟังโดยละเอียด ซึ่งสิ่งที่พี่ชายคนโตได้ฟังและได้ยินก็ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวของแฝดคนพี่ไม่น้อย

“เก่งมากครับปุณณ์ ขอบคุณนะที่ดูแลน้องแทนพี่” ปราณันต์กล่าวชมเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “ว่าแต่ปุณณ์ก็กลัวเข็มไม่ใช่หรอ แล้วใครเป็นคนปิดตาให้ปุณณ์ครับ”

ปุณณกันต์เอี้ยวตัวหันไปชำเลืองมองคามินช้าๆ ซึ่งทำให้เว่ยโจวต้องมองตามสายตาของเจ้าแฝดไปด้วย เลยได้รู้ว่าคนที่ปิดตาให้ปุณณกันต์คือคามิน ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่กำลังให้เด็กๆ นั่งซ้อนตักอยู่

“พี่ครามปิดตาให้ปุณณ์ครับ ปุณณ์เลยฉีดยาได้ไม่งั้นต้องร้องไห้แน่ๆ เลย”

ปราณันต์อมยิ้มบางๆ เมื่อเห็นทีท่าขี้อ้อนของเจ้าแฝดคนพี่ ที่นานๆ ทีจะมีแบบนี้สักครั้ง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าสะดุดใจกับคำพูดบางคำของเจ้าตัวน้อย คิ้วเรียวจึงขมวดมุ่นเข้าหากันช้าๆ

 

... พี่ครามเลยหรอ?

 

“เอ่อ ปุณณ์ครับ ปุณณ์เรียกพี่ครามว่าพี่เลยหรอครับ พี่ว่า...” ยังไม่ทันที่ปราณันต์จะได้พูดจบประโยค ก็แว่วเสียงหัวเราะมาจากด้านหลังอย่างอารมณ์ดี ทันทีที่ได้ยินคำถามที่ถูกส่งผ่านออกมาจากเว่ยโจว

“เรียกได้ครับ ผมเป็นคนบอกให้ฝาแฝดเรียกเอง” คามินยื่นหน้าเข้ามาตรงกลางระหว่างสองแฝด จนใบหน้าคมคายมีเสน่ห์นั้นเกือบจะพุ่งเข้ามาชิดหน้าจอ

และยิ่งพอปราณันต์ได้เห็นใบหน้าของคามินใกล้ๆ แบบนี้ ความคิดที่ว่าคนตรงหน้าช่างอันตรายและดึงดูดหัวใจเหลือเกินก็ดังก้องเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของตัวเองอีกครั้ง

“คุณปราณันต์ก็รู้ ผมไม่ได้แก่ถึงขั้นเป็นคุณลุงอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” พอเห็นท่าทีกระเง้ากระงอดของคนรูปร่างสูงใหญ่ในจอฝั่งตรงข้ามแล้วปราณันต์ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ แต่ถึงยังไงเขาก็รู้สึกขอบคุณคนในจอโทรศัพท์มากเหลือเกิน ถ้าวันนี้ไม่ได้คามินไปเป็นผู้ปกครองให้เด็กๆ เหตุการณ์คงวุ่นวายกว่านี้แน่

“ขอบคุณคุณคามินมากนะครับที่เป็นธุระเรื่องปุณณ์กับปัณณ์ให้ผม ผมรบกวนคุณมาก แต่ถ้าไม่ได้คุณผมก็ไม่รู้จะพึ่งใคร"

ปราณันต์พูดอย่างซาบซึ้งใจ ดวงตาของคนทั้งสองสบกันผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ต่างฝ่ายต่างหัวใจเต้นแรง จนกระทั่งเสียงเล็กๆ ของปัณณธรดังแทรกขึ้น ทั้งสองเลยต้องถอยหน้าหนีออกจากกันเงียบๆ

“พี่ปราณ! ปัณณ์คิดถึงพี่ปราณ พี่ปุณณ์ก็คิดถึง เมื่อไหร่จะได้เจอกันครับ” ปราณันต์ยกยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อได้ยินคำถามไร้เดียงสาของน้องชายตัวเอง

“พี่ปราณก็คิดถึงฝาแฝดของพี่มากเลยครับ เดี๋ยววันศุกร์นี้เราก็ได้เจอกันแล้วนะ” ปราณันต์แกล้งทำเป็นยกนิ้วขึ้นมานับดังๆ “เอ๊ เหลืออีกกี่วันน๊า ถึงจะถึงวันศุกร์”

“สองวันครับสองวัน ปัณณ์นับไว้เรียบร้อยแล้ว ใช่ไหมพี่ปุณณ์ ปัณณ์นับถูกมั๊ย” แฝดคนน้องผินหน้าไปถามแฝดคนพี่ เพื่อที่ต้องการจะเช็คความแน่ใจ

“ถูกสิ พี่ก็นับไว้แล้วเหมือนกัน ใช่ไหมครับพี่คราม” คามินหัวเราะออกมาดังลั่น ตอนนี้ใบหน้าเล็กๆ ทั้งสองหันมามองตน เหมือนฝากความหวังสูงสุดในชีวิตไว้ และไม่ใช่แค่คามินเท่านั้นที่ขบขันกับท่าทางของเด็กน้อยทั้งคู่ ปราณันต์เองก็ขำกับอากัปกริยาของเด็กๆ เช่นกัน สมกับเป็นฝาแฝดกันจริงๆ

“ถูกครับเด็กๆ เหลืออีกแค่สองวัน” พอตอบคำถามฝาแฝดที่ตอนนี้ยิ้มร่าอย่างมีความสุขเสร็จ คามินก็แสร้งตีหน้าเศร้า พูดเสียงอ่อยๆ ให้เด็กทั้งสองรวมทั้งให้คนในจอโทรศัพท์เห็น “เฮ้อ อิจฉาจัง ไปเที่ยวกันสามคนพี่น้อง พี่ครามก็อยากไปด้วยนะ แต่ไม่เห็นมีใครชวนเลย”

ปัณณธรที่พอเห็นใบหน้าเศร้าหมองของพี่ครามแล้ว ดวงตากลมก็โตก็หม่นแสงลง ปุณณกันต์เองก็เช่นกัน ใบหน้าเล็กๆ หันรีหันขวาง หันมาหน้าจอที่มีพี่ชายตัวเองอยู่ที มองมาที่พี่ครามที่อยู่อีกข้างที ก่อนจะอ้อมแอ้มถามพี่ชายตัวเองเบาๆ

“พี่ปราณครับ เราชวนพี่ครามไปเที่ยวด้วยกันได้ไหมครับ”

ปราณันต์ส่ายหัวขำๆ กับพฤติกรรมขี้แกล้งของพี่ครามคนเจ้าเล่ห์ ทั้งๆ ที่ก็นัดกันไว้อยู่แล้วว่าเสาร์นี้เขาจะขอเลี้ยงข้าวคามินสักมื้อ และก็คงจะพ่วงเด็กๆ ให้ออกไปเปิดหูเปิดตาด้วย แต่คามินก็ยังแกล้งเรียกร้องความสนใจจากเด็กทั้งสองจนได้

“แล้วถ้าพี่ปราณไม่ให้พี่ครามไปล่ะครับ” พอตอบน้องเสร็จและได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กๆ หดลงไปอีก ปราณันต์ก็นึกสนุก เขาว่าเขาเข้าใจแล้วแหละ ว่าทำไมคามินถึงเรียกร้องความสนใจจากเด็กๆ แบบนั้น

เพราะท่าทางเห็นอกเห็นใจเอื้ออาทร ห่วงหา ที่ได้จากเจ้าตัวน้อยทั้งสองนั้น มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนอยากจะอัดคลิปเก็บไว้ดูซ้ำๆ หลายๆ รอบเสียจริง

“พี่ปราณใจร้าย” ปากอิ่มของปุณณกันต์กับปัณณธรเชิดยื่นขึ้นจนแทบจะติดจมูก ตากลมๆ นั่นก็ค้อนมายังพี่ชายอย่างแสนงอน สมแล้วที่เป็นฝาแฝด เพราะอาการดังกล่าวเด็กทั้งคู่แสดงออกพร้อมกันแทบจะในทันที

ปราณันต์ที่พอเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ พลางมองแล้วคิดในใจว่าอยากจะมุดเข้าไปในโทรศัพท์แล้วจับเจ้าเด็กขี้งอนทั้งคู่มาฟัดให้จมอกเสียจริงๆ

และไวเท่าความคิด คามินก็ได้จับเจ้าตัวน้อยทั้งสองมาฟัดแทนเขาเรียบร้อยแล้ว คามินทั้งกอดทั้งหอม ทั้งใช้จมูกโด่งเป็นสันนั่นไซร้ไปไซร้มาบนหน้าเล็กๆ ทั้งสองอย่างสนุกสนาน

เด็กๆ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ ที่ได้เล่นแบบนั้นกับคามิน ที่จริงปราณันต์เองก็เคยเล่นแบบนี้กับน้อง แต่มันอาจจะไม่สนุกเท่าเพราะตัวเขาเล็กกว่าคามินมาก และเรี่ยวแรงที่มีก็น้อยนิดจับน้องมาฟัดได้ไม่กี่ทีก็เหนื่อยแล้ว ผิดกับคนตัวโตนั่นที่ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะหมดแรงเลยสักนิด

ปราณันต์ได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นเด็กๆ มีความสุขขนาดนี้ยามที่อยู่กับคนอื่น เพราะโดยปกติชีวิตของเจ้าแฝดก็มีแต่เขา และชีวิตเขาก็มีแต่เจ้าแฝด มีกันอยู่แค่นี้เท่านั้น

คามินที่เพิ่งจะมาปรากฎตัวในชีวิตเขาและน้องชายได้ไม่กี่วัน แต่กลับเข้ากันได้ดีมากเหลือเกิน จนปราณันต์เองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเขาและเด็กๆ ถึงได้เปิดใจให้คามินได้ง่ายดายขนาดนี้

พอเล่นกันจนเหนื่อย ใบหน้าคมคายก็หันมามองใบหน้าขาวนวลที่อยู่อีกฝั่งหน้าจอ ก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ พาลให้หัวใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์เต้นแรงอีกครั้ง

“ตกลงว่าให้พี่ครามไปด้วยได้ใช่ไหมครับ” คามินพูดใส่เด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จนปราณันต์ได้ยินแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ เลยเผลอส่งเสียง “ชิ!” ออกมาเบาๆ

เด็กๆ หันมามองเว่ยโจวด้วยสายตาคาดหวังและกดดัน รวมถึงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากให้พี่ครามไปเที่ยวกับพวกตนด้วยในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้

“นะ นะ นะ พี่ปราณนะ ให้พี่ครามไปด้วยนะครับ” ปัณณธรส่งเสียงออดอ้อนอย่างน่าเอ็นดู

“พี่ปราณให้พี่ครามไปนะครับนะ” กระทั่งปุณณกันต์ก็เป็นไปกับน้องด้วย ปราณันต์ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ สงสัยฝาแฝดของเขาคงโดนมนต์สะกดของพี่ครามเสกใส่ให้แล้วแน่ๆ

“อะๆ ไปก็ไปครับ” ปราณันต์แกล้งทำเป็นอนุญาต

“เย่! พี่ปราณยอมแล้วๆ พี่ครามไปเที่ยวกับพวกเรานะ” ปัณณธรเขย่าแขนใหญ่ของคามินอย่างยินดี ส่วนปุณณกันต์ก็ยิ้มตาหยีส่งให้คามินอย่างมีความสุข

“เฮ้อ สงสัยพี่ครามจะทำของใส่ หลงทั้งแฝดพี่แฝดน้องเลยแฮะ”

พี่ชายคนโตแกล้งรำพึงรำพันให้คนทางปลายสายสามคนได้ยินเบาๆ แต่แทนที่คามินจะสลด เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เพราะจู่ๆ คามินก็หันหน้ามาชิดกับจอ แล้วตาคมก็สบกับตากลมของปราณันต์นิ่ง

 

“แล้วเมื่อไหร่พี่ชายคนโตจะหลงสักทีล่ะครับ นี่ผมหมดของจะทำใส่แล้วนะ”

 

คำพูดเจ้าชู้บวกกับแววตาวาบวับนั้น ทำเอาปราณันต์เกิดหน้าเห่อร้อนขึ้นมาจนแทบจะทันที เขาเลยจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นขอวางสายหนีกลบเกลื่อนแทน

“อะไรเล่าครับ” ปราณันต์แกล้งมองไปทางอื่นแล้วพูด “ผมต้องวางแล้วครับ จะไปทำงานต่อ”

“หึหึ” คามินหัวเราะพลางหันไปหาเด็กแฝดเพื่อบอกว่าถึงเวลาบอกลาพี่ชายคนโตแล้ว

“ปุณณ์ครับปัณณ์ครับ มาบอกลาพี่ปราณเร็ว พี่ปราณของพวกหนูต้องไปทำงานแล้วครับ”

เด็กทั้งสองหันหน้ามาเกาะอยู่ที่จอโทรศัพท์อีกครั้ง แฝดตัวแสบคนน้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วจุ๊บลงที่หน้าจอเบาๆ

“บ๊ายบายครับพี่ปราณ ไว้อีกสองวัน” เด็กน้อยชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วเป็นท่าทางประกอบคำพูดของตัวเอง “เจอกันนะครับ ปัณณ์คิดถึงพี่ปราณมาก ละก็รักพี่ปราณมากที่สุดในโลกด้วย” เจ้าตัวเล็กเจื้อยแจ้วอย่างรู้ดี ปากเล็กๆ อิ่มๆ ขยับมุบมิบไปมาอย่างน่าเอ็นดู เรียกรอยยิ้มจากพี่ชายทุกคนได้เป็นอย่างดี

“บ๊ายบายครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์โบกมือหย็อยๆ ลาพี่ชาย “เจอกันวันศุกร์ครับ ปุณณ์ก็คิดถึงพี่ปราณและก็รักมากเหมือนที่ปัณณ์บอกเลย”

ปราณันต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากได้รับพลังความน่ารักและพลังชีวิตจากแก้วตาดวงใจทั้งสองคนของตนอย่างเต็มที่

“โอเค ไว้เจอกันครับ พี่ปราณคิดถึงเราสองคนมากนะ ถ้าเจอจะฟัดให้เบื่อกันไปข้างนึงเลย” ปากอิ่มยกยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆ มุมปากอย่างหยอกล้อ

“พี่ไปนะ รักปุณณ์กับปัณณ์นะครับ” ปราณันต์จูบเบาๆ ลงบนนิ้วมือเรียวยาวของตัวเอง ก่อนจะเอานิ้วนั้นแตะลงไปที่จอตรงจุดที่เป็นแก้มของเด็กทั้งสอง

ปุณณกันต์กับปัณณธรยิ้มและโบกมือลาปราณันต์อย่างน่ารัก และก่อนจะได้วางสายไปพี่ครามคนเจ้าเล่ห์ก็ยังไม่หยุดหยอดเสน่ห์ใส่ปราณันต์อีกระลอก

“แตะจูบไม่ครบคนนะครับพี่ปราณ” จิ่งอวี๋แกล้งทำเสียงเจ้าชู้ล้อเลียน เล่นเอาแก้มขาวของปราณันต์ขึ้นสีทันทีแบบสังเกตเห็นได้ชัด

ปราณันต์เสหลบตาก่อนจะพึมพำต่อว่าคนปลายสายไม่จริงจัง อันที่จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะเขินมากกว่า

“บ้า! แค่นี้นะครับ” สุดท้ายมือเรียวก็กดตัดสายไป

และถึงแม้จะวางสายไปสักพักแล้ว แต่ปราณันต์ก็ยังคงมองหน้าจอโทรศัพท์นิ่ง ปากอิ่มยังคงมีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่มุมปากไม่ได้หายไปไหน รวมทั้งก้อนเลือดเล็กๆ ที่อกข้างซ้ายของเขาก็ยังคงกำลังเต้นกระหน่ำรัวไม่ได้เบาบางลงไปเลย

ปราณันต์รู้สึกได้ถึงพลังแห่งความสุขที่กระจายอยู่ทั่วร่าง ความสุขที่เขาไม่ได้สัมผัสมันอย่างจริงจังมาเนิ่นนานแล้ว หัวใจดวงที่ไม่เคยเปิดรับใคร กลับค่อยๆ แง้มออกทีละน้อยให้ผู้ชายที่ชื่อคามินแทรกซึมเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว

ส่วนคามินนั้นก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ วันนี้ปราณันต์อ่อนลงมากแล้ว เขารู้สึกได้ ท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อเขานั้นก็เหมือนจะเปิดใจมากขึ้นด้วย คงต้องยกความดีความชอบให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนที่คอยเป็นเหมือนกุญแจให้เขาได้ไขเข้าไปในข้างในหัวใจของปราณันต์

และก่อนที่จะพาเด็กทั้งสองกลับไปส่งที่ห้องเรียน คนเจ้าเล่ห์ก็ยังคงไม่ลืมเน้นย้ำให้เจ้าแฝดน้อยฟัง เหมือนกับร่ายคาถาซ้ำๆ ราวกับไม่อยากให้เจ้าตัวน้อยทั้งคู่ลืมเลือน

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ อยู่กับพี่ครามสนุกไหมครับ” เด็กแฝดที่กำลังถูกร่างสูงจูงอยู่ด้วยมือคนละข้างต่างพยักหน้าอย่างแข็งขัน พร้อมกับตอบรับเสียงดังฟังชัด

“สนุกครับ สนุกมากเลย”

“แล้วเด็กๆ อยากเจอพี่ครามบ่อยๆ ไหมครับ” คามินแกล้งถามเพื่อลองดูทีท่าของเด็กทั้งสองที่มีต่อตน

ซึ่งผลปรากฎว่าปัณณธรถึงกับหยุดเดิน ก่อนตอบรับอย่างจริงจัง “อยากครับ อยากเจอทุกวันเลย”

“พี่ครามก็อยากเจอปุณณ์กับปัณณ์ทุกวันเหมือนกัน” คามินเองก็หยุดเดินพร้อมกับย่อตัวลงนั่งให้เสมอกับเด็กทั้งสอง “ถ้าฝาแฝดอยากเจอพี่คราม ฝาแฝดต้องบอกพี่ปราณนะ เราจะได้เจอกันบ่อยๆ ไง ดีไหมครับ”

คามินพูดชี้นำให้เด็กทั้งสองคล้อยตาม ซึ่งทำได้ไม่ยากเลยเพราะตอนนี้เจ้าตัวน้อยกำลังมองหน้ากัน แล้วหันมาตอบตกลงกับคามินอย่างเอาจริงเอาจัง

“ได้ครับพี่คราม เราสองคนจะบอกพี่ปราณครับ” ปุณณกันต์รับปาก ทำเอาร่างสูงยกยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างพอใจ

“ดีมากครับเด็กๆ ดีมาก” คามินลูบศีรษะกลมๆ ของทั้งสองอย่างเอ็นดู “ไปครับ เดี๋ยวพี่ครามไปส่งที่ห้องเรียน”

คามินพาเด็กทั้งสองไปส่งที่ห้องก่อนจะบอกลา “ไปนะครับปุณณ์ปัณณ์ แล้ววันศุกร์เจอกันนะ” คามินโบกมือบ๊ายบายให้ฝาแฝดทั้งสอง เด็กๆ เองก็โบกมือลาให้กับพี่ครามคนใจดีเหมือนกัน

“บ๊ายบายครับพี่คราม เจอกันวันศุกร์ครับ”

คามินค่อยๆ ถอยหลังเดินห่างมาจากฝาแฝดช้าๆ เมื่อเห็นว่าไกลพอสมควร และมองเห็นเด็กทั้งสองจนลับตาแล้วจึงได้กลับหลังหัน เดินจากมาพร้อมทั้งรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

 

...รอยยิ้มที่มาจากความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้ รอยยิ้มที่เป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจเย็นชาที่เริ่มละลาย รอยยิ้มที่มาจากความอ่อนโยนในมุมๆ เล็กที่คามินเก็บซ่อนไว้ รอยยิ้มที่ไม่มีใครล่วงรู้แม้แต่เจ้าตัวเอง

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------------

เอาล่ะ ใครจะตกหลุมรักใครก่อนกัน นังพี่ครามก็แสนจะเจ้าเล่ห์ วางแผนเก่งงงงงงงง เรามาเอาใจช่วยน้องปราณไม่ให้ตกหลุมคนอย่างนังพี่ครามกันนะคะ

... นี่เพิ่งแค่เริ่มต้นเองงงง ยังมีเรื่องอีกเยอะเลยที่รออยู่

ส่วนใครที่เอ็นดูฝาแฝดมายืนรวมกันตรงนี้จ้าาาา น่าหยิกเหลือเกิน เขียนเองยังชอบเองเลยค่ะ 5555555

ขออภัยที่มาช้านะคะ ช่วงนี้แอบยุ่งนิดนึง ยังไงตอนต่อไปจะพยายามมาให้เร็วขึ้นอาจจะวันอาทิตย์หรือไม่ก็วันจันทร์ ยังไงฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะ และที่สำคัญขอบคุณมากๆ เลยสำหรับคอมเม้นท์ ทุกวิว ทุกไลค์ ที่เข้ามาอ่าน รวมไปถึงยอดโดเนทด้วยยย ฮืออออ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ พวกคุณคือกำลังใจที่ดีที่สุดของเราเลยยยย

ยังไงไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ เริ้บยูววว <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 29/10/63 [4th Lies: ฝาแฝด]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-10-2020 21:17:08
 :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 29/10/63 [4th Lies: ฝาแฝด]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 31-10-2020 23:37:14
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 29/10/63 [4th Lies: ฝาแฝด]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 02-11-2020 12:50:22
น่ารักกันเชียว
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 02/11/63 [5th Lies: เปิดใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-11-2020 21:08:58
5th Lies : เปิดใจ


ตลอดบ่ายปราณันต์ทำงานอย่างไม่มีสมาธิ ภาพแบบร่างที่ควรจะเสร็จกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ เพราะภาพใบหน้าคมคายที่ยิ้มโชว์เขี้ยวทั้งสองข้าง มักจะหวนกลับมาป้วนเปี้ยนในความคิดของเขาเสมอ งานที่ควรจะเป็นรูปเป็นร่างจึงไม่สำเร็จเสียที

“..ปราณ.. ปราณันต์!” เสียงเรียกที่ค่อนข้างดัง แทรกเข้ามาในโสตประสาท ปราณันต์ที่กำลังเหม่อลอยถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะได้สติแล้วหันกลับไปมองตามเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว

“โถ่ กวี เรียกซะดัง เราตกใจหมด” ปราณันต์ลูบอกเบาๆ ราวกับจะปลอบตัวเองให้สงบลง

“เราเรียกนานตั้งนานแล้ว แต่ปราณไม่ยอมหันมาสักที จนต้องตะโกนนี่แหละ ปราณถึงได้หัน” กันต์กวีบ่นอุบ เขาเห็นปราณันต์นั่งเหม่อมาสักพักใหญ่แล้ว พูดง่ายๆ ว่าหลังจากที่รับโทรศัพท์นั่นแหละ ปราณันต์ดูไม่มีสมาธิแปลกๆ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวถอนหายใจ จนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ พอเห็นท่าทางแปลกๆ แบบนั้นของเพื่อนร่วมทีม

“อ่าวเหรอ ขอโทษที เราคิดอะไรเพลินไปหน่อย” พอพูดจบปราณันต์ก็หันหลังให้กันต์กวีตามเดิม และพยายามกลับมาจดจ่อกับงานออกแบบของตัวเองอีกครั้ง

“อย่าพยายามเลยปราณ เราเห็นปราณนั่งจับปากกาด้วยท่าทางแบบนี้มาชั่วโมงกว่าแล้ว” มือของกันต์กวีเอื้อมไปหมุนเก้าอี้ของปราณันต์ให้หันกลับมาทางเขาอีกครั้ง

“บอกมาเถอะ ปราณเป็นอะไรหรือป่าว ดูไม่มีสมาธิเลย” กันต์กวีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้ปราณันต์เข้าใจผิดว่าเขาดูถูกหรืออะไร “มีปัญหาอะไรหรือป่าว ถ้าเงินไม่พอใช้หรือมีค่าใช้จ่ายอะไรให้ช่วย บอกเราได้นะ”

จบประโยคของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน ปราณันต์ก็หน้างอง้ำทันที

“ทำไมเหรอ? คนอย่างเราจะมีปัญหาอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยใช่ไหม? เราดูยากจนสิ้นไร้ขนาดนั้นเลยหรอกวี กวีถึงถามคำถามนี้ออกมาน่ะ”

เสียงใสที่เคยเป็นกันเองกลับแข็งกร้าวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ปราณันต์คิดอย่างไม่พอใจว่ากันต์วีเองก็รู้ ว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจอะไรขนาดนั้น เขายังพอมีแรง มีแขนมีขา มีสติปัญญาที่จะทำมาหาเลี้ยงตัวเองและน้องชายฝาแฝดได้ ถึงเขาจะจนเงินทอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องจนศักดิ์ศรีด้วยเสียหน่อย

เข้าใจแหละว่าหวังดี แต่ที่ผ่านมาเวลาเห็นเขาไม่สบายใจทีไรกันต์กวีก็ถามแบบนี้ตลอด ครั้งสองครั้งยังพอทน แต่นี่มันบ่อยเกินไป ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ปราณันต์จะออกอาการเม้งแตกขนาดนี้

“ขอโทษนะปราณ เราไม่ได้หมายความแบบนั้นเลย แต่เห็นเหมือนปราณจะมีปัญหาก็เลยลองถามดู” หน้ากันต์กวีหดเหลือสองนิ้ว หลังจากได้ยินปราณันต์พูดจบประโยค เสียงหงอยๆ ของเพื่อนร่วมทีมก็ทำเอาเอาปราณันต์ชะงักไปเหมือนกัน เมื่อรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองอาจจะแรงไป

แม้จะเข้าใจดีว่าเพื่อนไม่ได้จะดูถูกหรือคิดไม่ดีอะไร แต่ปราณันต์ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นเขาดันเผลอเอาเพื่อนตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างคามินไปอีก

ผู้ชายคนนั้นมีวิธีให้ความช่วยเหลือโดยที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโดนดูถูกเลยแม้แต่น้อย ซึ่งการแสดงออกที่คามินทำมันก็ไม่ได้พิเศษอะไรแต่กลับได้ใจปราณันต์มากกว่า และนั่นก็ทำให้ตัวเขาเองอดสงสัยไม่ได้ว่าที่จริงแล้วมันผิดที่กันต์กวีเอ่ยปากให้ความช่วยเหลือ หรือมันผิดที่ใจของตัวเขาเองโอนเอียงไปทางคามินมากกว่ากันแน่

ปราณันต์พรูลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะมองหน้ากันต์กวีด้วยแววตารู้สึกผิด

“เราเองก็ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะเสียงแข็งใส่กวีแบบนั้น เรารู้ว่ากวีหวังดี แต่ขอร้องล่ะ อย่าถามคำถามแบบนี้อีก เอาไว้ถ้าเราอยากให้ช่วย เราจะบอก โอเคไหม”

หนุ่มเหนือพยักหน้ารับหงอยๆ ปราณันต์เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่วันนี้เขารู้สึกฟุ้งซ่านเกินกว่าจะรวบรวมความคิดเพื่อทำอะไรต่อได้อีก ตากลมเหลือบมองไปที่นาฬิกาบนจอแลปท็อป ก่อนจะพบว่าตอนนี้เลยเวลาเลิกงานมาสักพักแล้ว

ปราณันต์จึงลุกขึ้นแล้วเก็บข้าวของลงกระเป๋าเป้ใบเก่ง ก่อนจะสะพายมันขึ้นไหล่ทั้งสองข้างเพื่อเตรียมตัวออกไปทำงานที่คลับต่อ

“จะไปแล้วหรอปราณ” เสียงหงอยๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังถามขึ้น เขาจึงหันไปมองพลางพยักหน้าตอบช้าๆ

“อื้อ ขี้เกียจไปสู้กับคนเยอะๆ น่ะ ออกเร็วหน่อยน่าจะดีกว่า”

เสียงใสๆ กลับมาเป็นปกติแล้ว กันต์กวีได้แต่คิดในใจว่าเสียงแบบนี้น่าฟังกว่าเสียงลูกแมวขู่ตั้งเยอะ เพราะเวลาที่ปราณันต์หงุดหงิดหรือโกรธพาให้ใจเขาไม่ดีเอาไปด้วย กันต์กวีชอบเวลาปราณันต์ยิ้มและอารมณ์ดีมากกว่าตอนหงุดหงิดหรือมีเรื่องไม่สบายใจ

“เดี๋ยวเราขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งนะ” หนุ่มเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กระวีกระวาดเก็บของตามอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมไปจะส่งปราณันต์เหมือนกับทุกๆ วัน

“ไม่เป็นไร วันนี้เราไปเองดีกว่า” ปราณันต์พูดสวนขึ้นมาเล่นเอาใบหน้าคมเข้มสลดวูบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น

“เฮ้! อย่าเข้าใจผิด เราไม่ได้โกรธอะไรกวีแล้วนะ เพียงแต่ว่าเราอยากมีเวลาคิดทบทวนอะไรบางอย่างนิดหน่อย เลยอยากนั่งรถไปเองเรื่อยๆ น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

การแสดงออกทางสีหน้าของกันต์กวีดีขึ้นพอสมควรหลังจากได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ เพื่อเน้นย้ำว่าตนเองเข้าใจ

“โอเค งั้นไปดีๆ นะ” ปราณันต์พยักหน้ารับ ก่อนที่กันต์กวีจะสำทับอีกที “ถ้าถึงแล้วส่งข้อความมาบอกหน่อย เราจะได้ไม่เป็นห่วง”

ปราณันต์หลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“เราโตแล้วนะ กวีชอบพูดเหมือนเราเป็นเด็ก” ตากลมค้อนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนอย่างไม่จริงจัง “โอเคๆ เอาเป็นว่าถึงแล้วจะบอก” ขาเรียวขยับออกจากเก้าอี้ที่นั่ง เตรียมตัวจะก้าวออก แต่ก็ไม่วายหันมาลาเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง “เราไปนะ”

ปราณันต์หันหลังออกเดิน ก่อนจะหันมาโบกมือลาคนด้านหลังอีกครั้ง ขาเรียวยาวก้าวเป็นจังหวะอย่างน่ามอง สรีระของปราณันต์แทบไม่แตกต่างจากผู้หญิง สายตากันต์กวีได้แต่มองตามอย่างนึกชื่นชม ชื่นชมทั้งความแข็งแกร่ง ชื่นชมทั้งความอดทน ชื่นชมทั้งความขยันและรับผิดชอบต่อภาระและหน้าที่ที่ปราณันต์มี ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้แบบนี้

และโดยที่กันต์กวีไม่เคยแพร่งพรายความรู้สึกนี้กับใคร ว่าความชื่นชมทั้งหลายที่เขามีให้ปราณันต์นั้น ทำให้เขาอยากจะดูแล อยากจะช่วยเหลือแม้แต่เล็กน้อยก็ยังดี

จนวันหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ความชื่นชมและความเข้าอกเข้าใจที่เขามีต่ออีกฝ่ายนั้นได้แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความรัก เป็นความรักที่เขาได้แต่เก็บไว้ลึกๆ และคิดว่าสักวันคงได้บอกออกไปให้ปราณันต์ได้รู้ โดยที่หวังว่าอีกฝ่ายจะยินดีและเต็มใจจะรับมันไว้

.

.

.

ปราณันต์นั่งรถไฟใต้ดินไปทำงานอย่างเหม่อลอย คำตอบที่ยังหาให้ตัวเองไม่ได้ วนเวียนผุดขึ้นมาอยู่ในความรู้สึกนึกคิดอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าคมคายที่แสนมีเสน่ห์คอยแต่จะโผล่เข้ามาอยู่ในห้วงคำนึงในยามที่เขาเผลอไผลอยู่บ่อยๆ และถึงแม้ความคิดนั้นจะเกิดขึ้นที่สมอง แต่หัวใจเล็กๆ ของเขากลับเต้นรัวเร็วสอดรับ จนอดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับตัวเขาเองในตอนนี้

และไวเท่าความคิด ชั่วโมงนี้มีแค่คนๆ เดียวเท่านั้นที่ปราณันต์อยากคุยด้วย คนที่รู้จักและสนิทกับเขามานานหลายปีตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ และเหมือนน้องชายในครอบครัวเดียวกัน แม้จะไม่ได้เกิดมาในตระกูลเดียวกันก็ตาม

มือเรียวล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดค้นหาเบอร์เพื่อนสนิท ที่บันทึกไว้เป็นคนแรกๆ ในรายชื่อ และใช้เวลารอสายอยู่ไม่นาน เสียงสดใสที่ปลายสายเมื่อกดรับสัญญาณก็ดังขึ้น

(งายยย ไอ้ลูกแมว)

เจ้าของสรรพนามไอ้ลูกแมวขำออกมาเบาๆ หลังจากที่ได้ยินปลายสายเรียกตนเองแบบนั้น พลางนึกในใจว่าไอ้ตัวคนเรียกก็ใช่ว่าจะใหญ่กว่าเขาเสียเมื่อไหร่ เตี้ยกว่าแล้วยังจะไม่เจียม

“แหม กล้าเรียกคนอื่นว่าไอ้ลูกแมวเนอะไอ้วิน ทำอย่างกับนายตัวใหญ่กว่าฉันงั้นแหละ เตี้ยละยังไม่เจียมอีก” ปราณันต์สวนกลับใส่อนาวินผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทอย่างอารมณ์ดี เพิ่งจะมีเวลานี้นี่แหละ ที่เขาได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง

“ฮ่าๆ ไอ้เพื่อนเวร” อนาวินด่าปราณันต์กลับอย่างไม่จริงจัง “ว่าแต่โทรมามีไรวะ พักนี้โทรหาฉันบ่อยนะเนี่ย คิดถึงอะดิ”

ปราณันต์หลุดขำออกมาเบาๆ หลังจากได้ยินน้ำเสียงล้อเลียนของเพื่อนสนิทร่างเล็ก แต่จะว่าไปพอมานึกจริงจัง ช่วงนี้เขาก็โทรหาอนาวินบ่อยจริงๆ นั่นแหละ เมื่อวานก็โทรวันนี้ก็โทรอีก แต่ทำไงได้ เขาเครียดจริงๆ นี่หว่า

“นายจะกลับเมื่อไหร่วะ” ปราณันต์ตอบคำถามเพื่อนกลับด้วยคำถาม เพราะเมื่อวานตอนที่เขาโทรหาไอ้เพื่อนตัวแสบ มันยังบอกอยู่เลยว่าจะพาคุณน้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด เขาเลยไม่แน่ใจว่า อนาวินและแม่จะอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดนานแค่ไหน

“น่าจะพรุ่งนี้เย็นๆ ว่ะ กะจะเลยเข้าไปที่คลับเลย” ปราณันต์ถอนใจอย่างโล่งอก ถ้าพรุ่งนี้อนาวินกลับมา เขาจะได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนอย่างจริงจัง ไม่งั้นวันศุกร์นี้เขาคงเข้าหน้าคามินไม่ติดแน่ๆ

ที่จริงแล้วปราณันต์กับอนาวินทำงานพิเศษที่คลับด้วยกัน เพียงแต่ปราณันต์จะทำเป็นประจำทุกวันจันทร์-พฤหัส ส่วนเพื่อนสนิทอย่างอนาวินเลือกทำเป็นกะ โดยบางเดือนก็เลือกทำวันเว้นวันบ้าง อาทิตย์เว้นอาทิตย์บ้าง ไม่ตายตัว ไอ้เพื่อนตัวแสบจะไม่ทำงานที่คลับถี่เท่าปราณันต์ อันที่จริงที่อนาวินมาทำงานคลับนั้นไม่ได้เพราะร้อนเงินหรืออะไร แต่ที่มาทำนี่ก็เพราะมาทำเป็นเพื่อนปราณันต์ เลยไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไหร่นัก

“ถ้างั้นไว้คุยพรุ่งนี้ก็ได้ ฉันไม่ค่อยอยากกวนนายเท่าไหร่ นานๆ นายกับคุณน้าจะกลับบ้านสักที”

อนาวินไม่เซ้าซี้อะไรปราณันต์อีก ด้วยเพราะสนิทกันมาตั้งแต่เด็กรู้ใจกันและกันเกือบทุกเรื่อง อนาวินเลยรู้ดีว่าถ้าปราณันต์ยังไม่เล่าหรือไม่พร้อมที่จะเล่า ต่อให้บีบคั้นให้ตายคนปากแข็งคนนี้ก็ไม่มีทางแพร่งพรายหรอก ทางที่ดีรอให้ถึงวันพรุ่งนี้แทนดีกว่า เพราะตัวอนาวินเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เพื่อนผู้แข็งแกร่งดั่งหินผาของเขาร้อนรนเหมือนถูกไฟจี้ที่หัวใจได้ขนาดนี้

ทั้งสองคุยเรื่องสัพเพเหระอะไรกันต่ออีกนิดหน่อย โดยที่ปราณันต์ฝากสวัสดีคุณน้าหรือคุณแม่ของอนาวิน และไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ พร้อมทั้งรับปากว่าจะพาปุณณกันต์กับปัณณธรไปหาถ้าพอจะมีเวลาว่าง จากนั้นก็แยกย้ายวางสายไปเมื่อปราณันต์เห็นว่าใกล้จะถึงปลายทางที่เขาต้องลงแล้ว

“เออ แค่นี้แล้วกันนะ ไว้พรุ่งนี้คุยกัน ฉันต้องลงรถละ” เสียงหวานพูดตัดบทใส่เพื่อนในสาย เมื่อเห็นว่าคุยกันมานานพอสมควรแล้ว

“ได้ๆ พรุ่งนี้ว่ากัน บายว่ะ” คนอีกฝั่งในสายก็เตรียมพร้อมจะวางแล้วเช่นกัน

“บาย”

หลังจากวางสายจากเพื่อนสนิทเรียบร้อยแล้ว ปราณันต์ก็ยิ้มบางๆ ให้กับโทรศัพท์มือถือก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หวังใจไว้ว่าอย่างน้อยเพื่อนสนิทของเขาคงหาทางออกให้กับสิ่งที่เขากลัดกลุ้มอยู่ได้บ้าง

และเมื่อได้ยินเสียงประกาศถึงสถานีที่ปราณันต์ต้องลง เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ ก่อนจะไปหยุดยืนรอที่หน้าประตูอัตโนมัติของรถไฟใต้ดิน พอประตูเปิดออกเขาก็กระชับเป้บนบ่าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก่อนจะก้าวออกเดินเพื่อผจญกับวันที่ยาวนานของตัวเองต่อไป

.

.

.

ท่านประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้กำลังยืนมองวิวทิวทัศน์ริมกระจกที่เป็นเสมือนหน้าต่างบานใหญ่ที่โอบล้อมรอบห้องไว้ ราวกับอยู่ในสถานที่ที่ดูผ่อนคลายมากกว่าจะเอาไว้ทำงาน

ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งเฉย คาดเดาอารมณ์ได้ยากว่าตอนนี้เจ้าของห้องคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่

 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 
เสียงเคาะประตูดัง เป็นสัญญาณบอกผู้ที่อยู่ในห้องว่าคนที่เขารอพบอยู่เดินทางมาถึงแล้ว

“เข้ามาได้” ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากเสียงทุ้มทรงอำนาจ ประตูห้องก็ถูกผลักออก โดยชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นเหมือนดั่งบอดี้การ์ดและเลขาที่รู้ใจส่วนตัว

ผู้ติดตามหนุ่มค้อมศีรษะให้เจ้านายอย่างนอบน้อม ก่อนเตรียมรายงานเหตุการณ์ประจำวันของปราณันต์ให้ท่านประธานฟัง ตามที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำมา

“วันนี้ปราณันต์จะไปทำงานที่คลับไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนที่จะได้รับการรายงานจากแทนคุณ ถ้าฟังเผินๆ อาจจะดูธรรมดามากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผู้ที่ทำงานรู้ใจกับท่านประธานหนุ่มมานาน แทนคุณจับความสนใจในน้ำเสียงของคนเป็นเจ้านายได้ แม้มันจะบางเบามากก็ตามที

และที่คามินตัดสินใจถามคนสนิทเพราะเมื่อวานหลังจากที่ส่งฝาแฝดเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาปราณันต์อีก เพราะอยากจะลองใจอีกฝ่ายว่าจะอดทนไม่ติดต่อหาเขาได้นานสักแค่ไหน เพราะดูจากท่าทางก่อนวางสายจากเด็กแฝดแล้ว ปราณันต์โอนอ่อนให้เขาขึ้นมาก

แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คามินคิด เพราะปราณันต์เงียบหายไป เงียบไปจนผ่านมาอีกวัน ก็ยังไม่มีแม้แต่ข้อความสักข้อความส่งมาหาเขา ซึ่งคามินเองก็ยอมรับว่าสิ่งนี้ทำให้เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ อีกอย่างพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันศุกร์แล้วด้วย เขาจะมัวแต่ชักช้าไม่ได้ คืนนี้คามินเลยตัดสินใจจะไปหาปราณันต์ที่คลับเพื่อไม่ให้คะแนนที่ตนเองควรได้หดหายไป

“ไปครับ ผมเห็นคุณปราณันต์ออกจากออฟฟิศไปแล้ว ท่าทางดูรีบร้อนหน่อยๆ ด้วยครับ”

คิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความแปลกใจ ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องฝาแฝดก็ไม่น่าจะมีอะไรเร่งด่วนได้อีกในชีวิตของปราณันต์ เสียงทุ้มจึงถามออกไปด้วยความสงสัยแทน

“รีบร้อนงั้นหรอ? ทำไม? ฝาแฝดเป็นอะไรหรือป่าว?”

น้ำเสียงที่เคยสงบนิ่งในตอนแรกกลับร้อนรนขึ้นมานิดๆ แทนคุณเองก็ไม่มั่นใจว่า เจ้านายของเขาได้รู้ตัวไหมว่าน้ำเสียงทุ้มนั้นแปลกไป ดูเป็นห่วงเป็นใยมากขึ้นกว่าเดิม

“เปล่าครับ เด็กฝาแฝดสบายดี แต่จากที่ผมไปสืบมาเหมือนกับว่าคุณปราณันต์จะนัดเพื่อนสนิทไว้ที่คลับ เลยต้องรีบร้อนออกไปพบ” แทนคุณรายงานไปตามข้อมูลที่ได้มา โดยไม่ได้ทันสังเกตเลยว่าท่านประธานหนุ่มผู้เย็นชาของเขากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กๆ ราวกับไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง

“ผู้ชายหรือผู้หญิง แล้วสนิทกันมากแค่ไหน”

รังสีความไม่พอใจกระจายออกมารอบๆ ตัวท่านประธานหนุ่ม ไม่ใช่คามินเองจะไม่รู้ว่าตัวเขากำลังหงุดหงิดมากแค่ไหน แต่ในใจคนเย็นชาบอกตัวเองซ้ำๆ ว่า ที่เขาไม่พอใจนั้นเป็นเพราะของเล่นชิ้นนี้เป็นของเขา เขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายด้วย

“ผู้ชายครับ คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนที่คอยช่วยเหลือคุณปราณันต์มาโดยตลอดครับ”

คามินขบฟันแน่นจนสันกรามนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แทนคุณยืนก้มหน้าเงียบๆ เพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าตัวเองกำลังหงุดหงิดกับสิ่งที่ได้ยินมากแค่ไหน

“ไปเตรียมรถ ฉันต้องการรถสำหรับคามินที่เป็นพนักงานฝ่ายขาย ไม่ใช่รถสำหรับท่านประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ คืนนี้ฉันจะไปที่คลับที่ปราณันต์ทำงาน”

“ครับบอส” แทนคุณรับคำสั่งโดยไม่ตั้งข้อสงสัยใดๆ ให้เจ้านายเขาหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม จากนั้นผู้ติดตามร่างใหญ่ก็ค่อยๆ หมุนตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อประตูห้องทำงานงับปิดลงคามินก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมา แววตาคมลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะค้นหาเบอร์โทรของคนที่ตนต้องการติดต่อหลังตัดสินใจได้ แล้วโทรออกทันที

เมื่อปลายสายกดรับ เสียงทุ้มก็กรอกลงไป โดยที่ทางนั้นยังไม่ทันแม้แต่จะได้เอ่ยปากทักทายด้วยซ้ำ

“ไอ้เตคืนนี้ว่างไหม ไปกับฉันหน่อยสิ” น้ำเสียงทรงอำนาจถูกส่งออกไป โดยที่คนฟังก็รู้ได้โดยทันทีว่านี่ไม่ใช่ประโยคขอร้อง ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่มันคือประโยคคำสั่ง

“แล้วไม่ต้องบอกพี่เมธกับไอ้สิบล่ะ ไปมากคนก็มากเรื่อง รำคาญ”

และยังไม่ทันที่เพื่อนรุ่นน้องอย่างเตชินท์จะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คามินก็ชิงตัดสายทิ้งเสียก่อน อย่างที่บอกว่านั่นไม่ใช่ประโยคขอร้องหรือประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคคำสั่งที่มีคำตอบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นว่าต้องไป

.

.

.

ปราณันต์เดินกระหืดกระหอบเข้ามาหลังร้านทันทีที่มาถึง เขารีบเร่งออกจากออฟฟิศทันทีที่เลิกงาน เพราะว่าใจเขาอยากจะคุยกับเพื่อนสนิทมากแล้ว และหลังจากเดินเข้าไปในห้องพัก ก็พบว่าเพื่อนสนิทร่างเล็กกำลังนั่งรออยู่

“อนาวิน!!” ปราณันต์ตะโกนเรียกเพื่อนด้วยความดีใจ เล่นเอาคนที่ไม่ทันได้รู้ตัวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

“ไอ้ปราณ ตกใจหมด เรียกซะเสียงดังเลย” ใบหน้าของอนาวินหันมาตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิท มือเล็กๆ ของคนตรงข้ามกำลังลูบอกตัวเองป้อยๆ

“โถ่ ทำมาขวัญอ่อน” ปราณันต์กระโดดเข้ากอดคอเพื่อนรักที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำเอาอนาวินที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเกือบจะหงายหลังลงไปนั่งก้นจำเบ้าที่พื้น ดีที่จับโต๊ะตัวเขื่องที่อยู่ด้านหน้าไว้ได้ทัน

“ไอ้บ้านี่! เดี๋ยวก็หงายหลังหัวแตก เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้” เพื่อนผู้มีใบหน้าอ่อนกว่าวัยพูดต่อว่าปราณันต์อย่างไม่จริงจัง ให้คนถูกต่อว่าหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้ยินเพื่อนสนิทบ่นขมุบขมิบใส่ตัวเอง

“ไปนั่งดีๆ เลยไป ไหนว่ามีอะไรจะคุยด้วยไง” อนาวินผลักไหล่เพื่อนซี้เบาๆ ก่อนที่ปราณันต์จะผละออกแล้วยิ้มตาหยีให้เพื่อนด้วยความเคยชิน

อย่างที่เคยบอกไปว่าหลังจากพ่อกับแม่ของปราณันต์เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุครั้งนั้นแล้ว ปราณันต์ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่ร่าเริงก็กลับกลายเป็นเงียบขรึม จากที่เข้าสังคมเก่งก็กลับกลายเป็นคนเก็บตัว จะมีก็แต่กับอนาวินเท่านั้น ที่ปราณันต์ยังคงไม่เปลี่ยนไป รอยยิ้มที่เคยสดใสและขี้เล่นนอกจากฝาแฝดแล้ว ปราณันต์ก็ไม่เคยมอบมันให้ใครยกเว้นเพื่อนสนิทคนนี้เท่านั้น

“เออ มีเรื่องจะปรึกษาว่ะ” ปราณันต์อ้ำๆ อึ้งๆ เพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี “คือ...”

“คือ?” เพื่อนซี้ร่างเล็กเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถาม เมื่อเห็นว่าไอ้คนตรงข้ามยังไม่ยอมเล่าให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราวเสียที

“คือเมื่อสองสามวันก่อนฉันมีโอกาสได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง พอดีว่าเขามาช่วยชีวิตปุณณ์ไว้” พอเล่าถึงตรงนี้ดวงตาสดใสของอนาวินก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นแทรกขึ้นมา

“ปุณณ์เป็นอะไรนะ???”

ปราณันต์เกิดอาการอึกอักหนักขึ้นกว่าเดิม เขาลืมไปสนิทว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้อนาวินฟังในตอนแรกเพราะไม่อยากให้ตกใจ เพราะยังไงปุณณกันต์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่การที่ปล่อยให้เพื่อนสนิทมารู้เรื่องทีหลังแบบนี้ เขาคิดว่าอนาวินต้องไม่พอใจมากแน่ๆ

“วันเปิดเทอมวันแรกน่ะ ปุณณ์โดนเบียดจนเกือบตกรถเมล์แต่ดีว่ามีคนมาช่วยไว้ทัน” ปราณันต์อ้อมแอ้มเล่าให้เพื่อนสนิทฟังไม่เต็มเสียง เพราะตอนนี้ใบหน้าขาวใสของคนตรงข้ามกำลังขึ้นสีแดงนิดๆ ราวกับไม่พอใจในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป

“แล้วทำไมนายไม่เล่าให้ฉันฟังวะ?? จะต้องรอให้น้องเป็นอะไรก่อนหรือไงถึงจะเล่า”

อนาวินพูดเสียงแข็ง พลางขยี้ศีรษะตัวเองด้วยความหงุดหงิดและเหนื่อยใจกับความขี้เกรงใจอะไรไม่เข้าเรื่องของเพื่อนรัก เขารู้ดีว่าที่ปราณันต์ไม่เล่านั่นเป็นเพราะไม่อยากให้เขาและแม่เป็นกังวล แต่นี่มันเรื่องใหญ่ยังไงก็ควรต้องเล่าไม่ใช่หรอ

“ฉันเกรงใจนายกับคุณน้า” ปราณันต์พูดด้วยน้ำเสียงสลดตามที่อนาวินเดาไว้ไม่มีผิด “อีกอย่างปุณณ์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากด้วย นายอย่าห่วงเลย”

เพื่อนสนิทร่างเล็กจ้องมองปราณันต์ด้วยความเหนื่อยใจ ซึ่งเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างยอมจำนน

“เออๆ เอาเหอะ นี่เห็นว่าปุณณ์ไม่ได้เป็นอะไรมากนะแต่คราวหน้าไม่เอาแบบนี้อีกแล้วนะไอ้ปราณ เป็นเพื่อนกันมีอะไรก็บอกกันดิวะ”

ดวงตากลมโตมองเพื่อนรักอย่างสำนึกผิด ก่อนจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก อนาวินถึงได้ยอมรามือ และปล่อยให้ปราณันต์เล่าเรื่องที่อยากจะปรึกษาต่อ

“ก็นี่ไง จะเล่าอยู่เนี่ย เรื่องนี้ฉันไม่รู้จะปรึกษาใครดีนอกจากนาย” ปราณํนต์รับสารภาพอ่อยๆ อย่างคนจนปัญญา ด้วยไม่รู้ว่าจะจัดการกับความว้าวุ่นใจนี้ยังไงดี

“อะ เล่ามา เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ” อนาวินหันมานั่งเผชิญหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง เหมือนกับเป็นสัญญาณบอกว่าเขาพร้อมแล้วที่จะตั้งใจฟังทุกสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะเล่า

“ก็อย่างที่บอกไปว่าวันนั้นฉันได้มีโอกาสรู้จักคนที่ช่วยชีวิตปุณณ์ไว้ และหลังจากนั้นฉันก็ได้รู้มาว่าเราทำงานที่เดียวกัน และที่บังเอิญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขายังคอยช่วยเหลือเราเรื่องฝาแฝดเรื่อยๆ อีก”

อนาวินขมวดคิ้ว พลางถามคำถามที่อดสงสัยไม่ได้ “ทำไม ช่วยเหลือเรื่องอะไร?”

“พอดีว่าไม่มีคนไปเซ็นรับรองเรื่องฉีดวัคซีคให้ปุณณ์กับปัณณ์ คุณคนนั้นเขาก็เลยอาสาไปให้” ปราณันต์เงียบไป ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พร้อมกับพูดบางประโยคออกมาในที่สุด “ฉันว่าฉันหวั่นไหวว่ะวิน เหมือนฉันกำลังเปิดใจให้เขาเข้ามายังไงไม่รู้”

อนาวินไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่มองท่าทางกระอักกระอ่วนของเพื่อนด้วยความประหลาดใจ เพราะโดยปกติแล้วปราณันต์ไม่ใช่คนที่จะเปิดใจให้ใครง่ายๆ ยิ่งปล่อยให้เข้ามาพัวพันสนิทสนมกับครอบครัวขนาดนี้ ยิ่งไม่มีทาง

“หวั่นไหว กับผู้ชายคนนั้นอะหรอ” อนาวินถามย้ำ เพราะอยากแน่ใจ

“อื้อ คนนั้นแหละ” ปราณันต์มองเพื่อนสนิทอย่างคาดหวัง “ทำไงดี นายว่าฉันชอบคุณคนนั้นไปแล้วเปล่าวะ”

อนาวินส่ายหัวน้อยๆ ใส่เพื่อนสนิทอย่างเอ็นดู

“ชอบเขา แล้วมันผิดตรงไหนวะไอ้ลูกแมว” อนาวินถามปราณันต์กลับ

“นายก็รู้...”

อนาวินอมยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทขึ้นต้นประโยคแบบนั้น เพราะเขารู้ได้ในทันทีว่าปราณันต์จะพูดว่ายังไงต่อ จึงได้เอ่ยขึ้นพร้อมๆ กับที่ปากอิ่มขยับพูด

“ว่าฉันต้องดูแลน้อง ไม่พร้อมจะมีใครตอนนี้หรอก/ว่าฉันต้องดูแลน้อง ไม่พร้อมจะมีใครตอนนี้หรอก”

ตากลมตวัดมองเพื่อนรักอย่างแสนงอนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกล้อเลียน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเองก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ

“ฮ่าๆ ไอ้ปราณเอ๊ย” อนาวินพยายามตั้งสติโดยการหยุดขำ และพยายามพูดกับเพื่อนรักอย่างจริงจัง “นายจะเป็นอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่วะ ทำไมไม่ให้โอกาสตัวเองบ้าง” มือเล็กๆ ของอนาวินยื่นไปตบบ่าของปราณันต์เบาๆ

“ไอ้การที่นายจะดูแลน้องน่ะเป็นเรื่องดี แต่มันจะดีกว่าไหมถ้ามีคนมาดูแลนายและช่วยนายดูแลน้อง” เพื่อนสนิทร่างเล็กยิ้มให้ปราณันต์บางๆ “เปิดโอกาสให้ตัวเองบ้างเถอะวะ ลองดู ถ้าใช่มันก็ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไปมันไม่ได้เสียหายอะไรไม่ใช่หรอ”

ตากลมมองของปราณันต์มองอนาวินอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักกำลังยิ้มและพยักหน้าอย่างให้กำลังใจ ปราณันต์จึงยิ้มออกมาในที่สุด

“ฉันจะลองเอาไปคิดดูละกันนะ ขอบใจนายมาก ฉันไม่ผิดหวังจริงๆ ว่ะ ที่เลือกมาปรึกษานาย”

“ที่จริงนายไม่ต้องมาปรึกษาฉันก็ได้ ฉันว่านายก็รู้คำตอบของหัวใจตัวเองดี เพียงแต่นายไม่กล้าจะยอมรับมันมากกว่า”

ทั้งสองยิ้มให้กันและกันอย่างรู้ใจ ก่อนจะชวนกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมพร้อมทำงานในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 02/11/63 [5th : เปิดใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-11-2020 21:13:46
(อ่านต่อจากด้านบน)


ท้องฟ้ายามราตรีถูกย้อมเป็นสีดำสนิท ยิ่งดึกคนในคลับยิ่งคึกคักขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนมากหน้าหลายตาคลาคล่ำอยู่ในทุกจุด เนื่องจากพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของอาทิตย์ วันนี้คนจึงมากกว่าสามคืนที่ผ่านมา ปราณันต์กวาดตากลมไปรอบๆ ยอมรับว่ากำลังมองหาคนรูปร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคย แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นคนใจดีคนนั้นปรากฎ จนกระทั่งเกือบจะถอดใจ เสียงทุ้มคุ้นหูก็เข้ามาประชิดกระซิบให้ได้ยิน

“มองหาใครอยู่หรอครับ?” ใบหน้าหวานหันไปมองตามเสียงที่อยู่ไม่ไกล พอหันไปก็พบว่าใบหน้าคมคายคุ้นตาตอนนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

มุมปากหยักกระตุกยิ้มบางๆ เล่นเอาคนที่อยู่ใกล้แค่นั้นใจสั่นขึ้นมาทันที


พลั่ก!


และเหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้งเพราะจู่ๆ ก็มีคนชนปราณันต์เข้าที่ข้างหลังอย่างแรง จนปราณันต์เสียหลักปลิวไปปะทะกับอกแกร่งของคามินอย่างพอเหมาะพอดี และเมื่อเห็นว่าปราณันต์กำลังจะล้มมือใหญ่จึงโอบเอวบางไว้แน่น แถมยังเจ้าเล่ห์รั้งคนตัวเล็กเข้าหาตัวให้แนบชิดกันกว่าเดิมอีก

ใบหน้าหวานร้อนจนแทบจะระเบิด ดีที่ตอนนี้ไฟในคลับค่อนข้างมืด ไม่งั้นคามินต้องเห็นแน่ๆ ว่าใบหน้านวลที่เคยขาวใส ตอนนี้กำลังขึ้นสีแดงมากกว่าที่เคย

ตาคมจ้องสะกดตากลมโตอยู่นาน จนปราณันต์เริ่มรู้สึกตัวนั่นแหละถึงได้ดันอกคนตรงข้ามออกพร้อมกับขยับหนีมือที่กำลังโอบรอบเอวบางอยู่เบาๆ

“ว่าไงครับ คุณปราณันต์มองหาใครอยู่หรอ?” เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหูนิ่มเบาๆ ปราณันต์ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไงเลยพยายามขยับตัวหนีเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย

“ผมก็มองไปเรื่อยแหละครับ ต้องคอยดูแลลูกค้า” ปราณันต์ตอบคามินไม่เต็มเสียงนัก ทำเอาคนที่อยากได้คำตอบนักหนาหลุดขำออกมาด้วยความเอ็นดู

“เสียใจจัง ผมคิดว่ามองหาผมเสียอีก” ดวงตาเรียวคมจ้องลูกแมวตรงหน้าด้วยสายตาวาววับ สายตาที่ทำเอาสปราณันต์ขยับไปทางไหนไม่ถูก

“ผมต้องไปประจำที่บาร์เหล้าแล้ว ขอตัวนะครับ” ปราณันต์ตัดบทเดินหนีเพราะไม่รู้จะรับมือยังไงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทิ้งให้สายตาของคนเจ้าเล่ห์มองร่างเพรียวบางสมส่วนขยับเดินหนีไปอย่างน่าเสียดาย

.

.

.

“เฮียๆ ผมชนได้ความแรงพอดีเลยป้ะ?” เตชินท์กระซิบถามคามินเบาๆ ตอนที่ทั้งสองคนเตรียมจะเดินไปบาร์เหล้าตรงจุดที่ปราณันต์ทำงานอยู่

“เออ ดี” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ ตอบอย่างสงวนคำพูด ราวกับว่าถ้าเขาพูดออกมายาวกว่านี้ จะทำให้สูญเสียพลังงานเกินกว่าเหตุ

“แหม ตอบยาวกว่านี้ก็ได้ป้ะเฮีย ทีตอนบังคับให้มากับตอนใช้ให้ชนยังเห็นพูดยาวๆ กว่านี้ได้อยู่เลย”

เตชินท์บ่นกระปอดกระแปด เพราะนอกจากจะโดนบังคับให้มาอย่างไม่เต็มใจแล้ว เขายังต้องมาโดนเฮียผู้สุดแสนจะเย็นชาเมินใส่ และสนใจคนหน้าหวานนั่นมากกว่าอีก ก็เลยอดโวยวายออกไม่ได้

“พูดมากน่า เดี๋ยวไว้จะให้ยืมรถสปอร์ตคันที่นายอยากจะขับนักหนาเอาไปใช้อาทิตย์นึงเป็นการตอบแทน”

เพื่อนรุ่นน้องผู้อ่อนวัยกว่าตาเบิกกว้างด้วยความยินดี เพราะตื๊อเพื่อนรุ่นพี่มาหลายทีแล้ว แต่ยังไงท่านประธานใหญ่ก็ยืนยันว่าไม่ให้ยืม พอนึกย้อนไปว่าแค่แลกกับกับมาเที่ยวเป็นเพื่อนเฮียแล้วโดนเฮียเมินใส่นิดหน่อย นี่ก็ถือว่าคุ้ม

“จริงนะเฮีย พูดแล้วห้ามคืนคำนะ” เตชินท์เขย่าแขนคามินแบบเอาเป็นเอาตาย

“เออ พูดจริง แล้วก็เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว”

คามินตัดบทด้วยความรำคาญ ก่อนจะเอาแขนเกี่ยวคอเตชินท์แล้วใช้วงแขนแข็งแรงนั่นลากไอ้คนพูดมากไปตรงบาร์เหล้าที่ปราณันต์กำลังประจำการอยู่

“เหมือนเดิมครับ” คามินยิ้มหวานส่งให้คนที่ยืนทำหน้าอิหลักอิเหลื่ออยู่หลังเคาน์เตอร์ โดยที่แขนแข็งแรงยังคงหนีบคอหนุ่มหน้าตี๋อยู่ไม่ได้ปล่อย

จนเตชินท์ดิ้นหลุดออกจากวงแขนของคามินได้นั่นแหละคามินถึงยอมละมือ แต่สายตาคมยังจ้องใบหน้าหวานไม่ได้หลุดโฟกัสไปไหน ปากหยักยังคงยิ้มพร่ำเพรื่อส่งไปให้ปราณันต์ไม่ยอมหยุด

“เหมือนเดิมนี่อะไรล่ะครับ” ไม่ใช่เสียงหวานที่คุ้นเคยดังถามแทรกออกมา แต่กลับเป็นเสียงน่ารักๆ ของผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่อีกมุมของเคาน์เตอร์พูดขึ้นมาแทน

ตาคมตวัดมองไปยังต้นเสียงด้วยความไม่พอใจ แต่ก่อนที่จะได้แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดออกไป เสียงหวานที่เขาคุ้นเคยก็พูดสวนขึ้นมาก่อน

“วิน ทำไมไม่พูดกับลูกค้าดีๆ” คามินมองคนที่ชื่ออนาวินสลับกับมองใบหน้าหวานด้วยอาการงุนงง หมายความว่าสองคนนี้รู้จักกันงั้นหรอ? เพื่อนสนิทของปราณันต์ที่แทนคุณพูดถึง คือผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักๆ คนนี้เองน่ะหรอ?

และก่อนที่คามินจะได้สงสัยอะไรต่อ แก้วแอลกอฮลอล์ก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้าเขาด้วยมือบางคู่นั้น

“นี่ดรายมาร์ตินี่ของคุณครับ” ปราณันต์เลื่อนแก้วให้คามินอย่างเขินๆ เพื่อนสนิทของทั้งสองฝั่งได้แต่มองคนที่กำลังจีบกันด้วยสายตาล้อเลียน

“ขอบคุณนะครับ” คำพูดที่ส่งไปให้ปราณันต์อาจจะฟังดูธรรมดา แต่ถ้าได้เห็นสายตาของคนเจ้าเล่ห์ที่กำลังวาววับจะรู้ได้ในทันทีว่ามันมีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่ “ว่าแต่นี่.. พนักงานใหม่หรอครับ”

ข้อนิ้วแกร่งชี้ไปทางคนตัวเล็กที่ยืนๆ เยื้องไปทางปราณันต์ พลางทำหน้าสงสัย ราวกับจะตั้งคำถามผ่านทางสายตาว่าคนๆ นี้เป็นใคร

“เพื่อนสนิทผมเองครับ คราวที่แล้วที่คุณมา อนาวินไม่ได้เข้ามาที่คลับเลยไม่ได้เจอกัน”

ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงราวกับรับรู้และเข้าใจ แต่สิ่งที่เขาคลางแคลงใจอยู่ก็ยังมี ตกลงว่าสองคนนี้สนิทกันมานานแค่ไหน แล้วเป็นแค่เพื่อนกันจริงหรือเปล่า คามินยอมรับตามตรงกับตัวเองในใจว่าเขาหวง แต่ไม่ใช่หวงเพราะหึง เขาหวงเพราะของเล่นชิ้นนี้เป็นของเขาและเขายังคงสนุกกับมันอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมาวุ่นวายทั้งนั้น

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมคามิน แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อกี้เผลอแสดงมารยาทที่ไม่ดีออกไป” คามินพูดคุยกับอนาวินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร ‘หน้ากากนักธุรกิจ’ ถูกหยิบออกมาใช้อีกครั้ง

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับคุณคามิน ผมอนาวินเป็นเพื่อนสนิทปราณันต์ ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่พูดจากวนประสาทคุณ พอดีผมแค่อยากจะทดสอบอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”

คามินเลิกคิ้วเป็นเชิงคำถามแทนที่จะพูดออกมาตรงๆ ว่าบททดสอบนั้นคือเรื่องอะไร

อนาวินหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะตอบออกไปตรงๆ “ทดสอบคนที่จะเข้ามาจีบเพื่อนผมน่ะครับ” คนตัวเล็กถามล้อๆ “ว่าแต่.. คุณกำลังจีบเพื่อนผมใช่ไหม”

ปราณันต์หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขนาดว่าอยู่ในที่ที่แสงน้อยยังมองเห็นได้ชัดเลยว่าปราณันต์กำลังเขินมากแค่ไหน คามินเองก็หัวเราะออกมาเบาๆ เช่นกัน ส่วนเตชินท์นั้นตอนนี้อ้าปากหวอไปแล้ว เพราะไม่คิดว่าเพื่อนซี้ของปราณันต์จะถามออกมาตรงๆ แบบนี้

“ใช่ครับ ผมกำลังจีบเพื่อนคุณ” คามินเองก็เป็นคนจริงพอที่จะตอบไปตามตรง คามินเหล่ตาไปมองไปทางปราณันต์ที่ตอนนี้กำลังถูกพาดพิงถึง ร่างเพรียวๆ นั่นแทบจะไหลกลืนไปกับบาร์เหล้า “แต่เพื่อนคุณไม่เห็นจะยอมใจอ่อนให้ผมสักที”

คามินแกล้งถอนหายใจแรงๆ ราวกับกลัดกลุ้มซะเต็มประดา แต่ดูออกมาแล้วน่าหมั่นไส้กว่าน่าสงสารเยอะ

“อีกไม่นานหรอกครับ เชื่อผม” เพื่อนสนิทร่างเล็กของปราณันต์เอ่ยแซวอย่างล้อเลียน ทำเอาคนที่ถูกพาดพิงอดร้อนตัวขึ้นมาไม่ได้

“ไอ้วิน ไอ้เพื่อนเลว” ปราณันต์ได้แต่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ห่างๆ จะเข้ามาก็เขินคนตรงข้าม มือไม้จะเอาวางไว้ตรงไหนก็รู้สึกเหมือนเกะกะไปหมด

ทั้งสามคนที่เหลือหลุดขำออกมากับท่าทางน่าเอ็นดูแบบนั้นของปราณันต์ จนปราณันต์ค้อนเข้าให้นั่นแหละ คามินถึงได้ยอมหยุดหัวเราะ

“แหะๆ” คามินส่งยิ้มแห้งๆ ให้ปราณันต์ ตอนนี้คนสองคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ที่ทั้งสองสร้างขึ้น ตาคมมองลึกเข้าไปในตากลมของปราณันต์อย่างมีความหมาย

อนาวินจึงจำเป็นต้องถอยฉากออกมา ส่วนเตชินท์ก็แค่นั่งจิบแอลกอฮอล์ที่ได้รับมาจากอนาวินเงียบๆ พลางมองไปยังสองคนตรงหน้าด้วยความสนใจ

“วันนี้กลับดึกอีกไหมครับ” หลังจากจ้องตากันสักพักจนตากลมเสหลบไป คามินจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พลางเอ่ยถามขึ้น

“น่าจะเหมือนเดิมนะครับ ทำไมหรอ?” ปราณันต์ถามกลับแบบงงๆ

“ให้ผม.. ไปส่งได้ไหมครับ?” คามินถามปราณันต์ขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ครั้งนี้ตั้งใจแล้วว่ายังไงก็ต้องได้ไปส่งปราณันต์ที่อพาร์ทเม้นท์ให้ได้ เพราะช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองในรถจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้ทำคะแนนกับอีกฝ่าย

“แล้วเพื่อนคุณล่ะครับ” ปราณันต์ชี้ไปหาหนุ่มหน้าตี๋ข้างๆ คามินอย่างเขินๆ ปนงงๆ มากับเพื่อนแบบนี้แล้วจะไปส่งเขาได้ยังไงกัน

“อ๋อ ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกครับ มันเอารถมา”

พอคามินพูดจบ เตชินท์ก็หันไปมองเพื่อนรุ่นพี่จนตาแทบถลน เขาเอารถมาที่ไหนล่ะ ก็พอคามินโทรมาขอ.. ไม่สิ โทรบังคับให้เขามาเป็นเพื่อน คามินก็ขับรถกลางเก่ากลางใหม่ ไม่ใช่รถที่ใช้ประจำมารับเขา ทั้งที่เขาไม่ได้ขอร้องจะอยากมาสักนิด แล้วเขาจะขับรถมาเองได้ยังไงกัน

ใบหน้าคมคาย ยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนรุ่นน้องตอบรับในสิ่งที่เขาพูด เมื่อเห็นเตชินท์ยังเฉย คามินเลยขยับเข้าไปใกล้หนุ่มหน้าตี๋อีกนิด พร้อมกับกระซิบเสียงเบา

“ไอ้ตี๋!”

เจ้าของสรรพนามไอ้ตี๋ทำหน้าตาเหรอหรา พลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แล้วทำปากขมุบขมิบว่า


‘ผมเนี่ยนะเอารถมา! ตอนไหนวะเฮีย’

 
พอคามินเห็นท่าทางอาการของเพื่อนรุ่นน้องแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ เกิดปราณันต์เห็นขึ้นมา ความได้แตกแน่ๆ

“รถสปอร์ต! สองอาทิตย์!”

คามินกัดฟันพูดพึมพำเสียงแข็ง ก่อนจะมองใบหน้าของเตชินท์ที่ตอนนี้กำลังยิ้มเผล่อย่างกวนประสาท จากนั้นก็ได้ยินเสียงตอบที่ทั้งดังทั้งชัดจากไอ้เด็กตัวแสบ

“ใช่ครับ ผมเอารถมา คุณปราณันต์กลับกับเฮียได้เลยครับ ตามสบ๊าย” หนุ่มหน้าตี๋ยักคิ้วให้คามินอย่างเป็นต่อ คามินเลยได้แต่แอบทำหน้าถมึงทึงใส่ไอ้เด็กกะล่อน ก่อนจะหันกลับมายิ้มหวานใส่ปราณันต์

“เห็นไหมครับผมบอกแล้ว กลับกับผมนะ ให้ผมไปส่ง”

ตากลมเหลือบมองไปทางเพื่อนสนิทตนเอง เพราะไม่รู้ว่าจะตอบรับหรือจะปฏิเสธดี “คือว่า...”

“ไปกับคุณเขาเถอะไอ้ปราณ รถเมล์ที่กลับบ้านนายกว่าจะมา รอนานจะตาย แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้าอีก”

อนาวินรู้ดีว่าลึกๆ แล้วเพื่อนเขาก็คงอยากกลับกับคามินไม่น้อย เพราะคนอย่างปราณันต์ถ้าไม่อยากหรือไม่ต้องการก็จะปฏิเสธเลย ไม่มีการอ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้หรอก ที่เขาต้องทำก็แค่สนับสนุนไป ปราณันต์จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก

“จะดีหรอ?” ปราณันต์ถามอนาวินอีกครั้ง แต่คนที่ตอบกลับกลายเป็นเสียงทุ้มนุ่มแทน

“ดีสิครับ อย่าปฏิเสธผมเลย ผมแค่หวังดี อยากไปส่งคุณจริงๆ นะ”

ปราณันต์หันไปสบตาเพื่อนรักเพื่อขอความเห็นอีกครั้ง เมื่อเห็นเพื่อนสนิทพยักหน้าย้ำให้ ปราณันต์จึงหันไปหาคามินพร้อมตอบตกลง

“ก็ได้ครับ แต่ผมอาจจะเลิกดึกหน่อย ถ้าคุณรอไม่ไหว บอกได้นะ” ปราณันต์ยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ เกรงใจก็ส่วนหนึ่ง แต่รู้สึกเขินแปลกๆ ก็อีกส่วนนึง

“ดึกแค่ไหนก็รอได้ครับ คุณทำงานเถอะ อย่ากังวลเลย”

คามินปั้นยิ้มอ่อนโยนส่งให้ปราณันต์ ให้ปราณันต์ยิ้มตอบแบบอายๆ แม้ท่าทีของปราณันต์ที่มีต่อคามินจะไม่ชัดเจนเท่าอีกฝั่ง แต่ในใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์นั้นกำลังเต้นถี่ระรัวสวนทางกับท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจน

.

.

.

เวลาคล้อยไปจนเลยเที่ยงคืน นักท่องราตรีค่อยๆ ทยอยกลับกันไป จนคนที่เหลืออยู่ในคลับค่อนข้างบางตา จะมีก็แต่ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นที่นั่งเฝ้าเคาน์เตอร์บาร์เหล้าไม่ไปไหน ส่วนเตชินท์ขอตัวกลับไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน หลังจากโทรให้รถที่บ้านมารับก็แล่นกลับไปเลย แต่ก่อนไปก็ไม่วายมาเน้นย้ำเรื่องรถสปอร์ตจนคามินแทบจะอยากไล่เตะให้ออกจากร้านแทบไม่ทัน

ปราณันต์หันมามองคามินบ่อยๆ แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายทุกครั้งที่เห็นใบหน้าคมคายนั้นกำลังจ้องมองมาที่ตนเอง

และก็เพราะมีคามินนั่งปักหลักอยู่ตรงนี้ วันนี้มีจึงลูกค้าเข้ามาเกาะแกะปราณันต์น้อยมาก เพราะพอใครตั้งท่าจะเข้ามาพูดจีบ คามินก็เป็นต้องทำตาขวางใส่ ทำให้คนที่จะเข้ามาล่าถอยไปคนละทิศละทาง

“เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อแป๊ปนึงนะครับ” ตอนนี้ใกล้เวลาเลิกงานของปราณันต์แล้ว ลูกค้าก็ทยอยออกไปจนเกือบหมดร้าน เก้าอี้และโต๊ะที่ไม่มีใครนั่งก็เริ่มถูกเก็บเข้าที่เรียบร้อย

“ครับ ผมรอตรงนี้นะ”

ปราณันต์หายเข้าไปหลังร้านได้สักพัก จู่ๆ เพื่อนสนิทของคนตัวเล็ก ก็โผเข้ามาเกาะเคาน์เตอร์ตรงหน้าคามินพลางจองมองคนตัวโตไม่วางตา

“หน้าผมมีอะไรติดหรือเปล่าครับ” นักธุรกิจใหญ่ที่เจนโลกมาแล้วนักต่อนัก ข่มความไม่พอใจไว้ลึกสุดใจ แล้วเอ่ยถามอย่างสบายๆ แทน

“เปล่าครับ แต่ผมแค่อยากบอกคุณว่าไอ้ปราณมันเป็นคนน่าสงสาร ถ้าคุณอยากจะคบมันจริงๆ ผมก็อยากฝากคุณดูแลไอ้เพื่อนซี้ผมด้วย” อนาวินพูดยิ้มๆ ทำเอาคามินปรับอารมณ์แทบไม่ถูก แต่สุดท้ายก็รับคำไปอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

“เสร็จแล้วครับ ไปกันเถอะ” ปราณันต์ก้าวออกมาจากห้องแต่งตัว พลางเดินมาหยุดตรงหน้าคามิน คามินจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พลางมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปลาอนาวินที่อยู่ด้านหลัง

“ผมไปก่อนนะครับ ถ้ามีโอกาสไว้เจอกันครับ”

“โชคดีครับ ฝากไอ้ปราณด้วยนะ” คนทั้งสองมองสบตากันนิ่ง ราวกับรับรู้ถึงประโยคความนัยที่อนาวินพูดออกมา

“ไปก่อนนะไอ้วิน ไว้เจอกัน”

ชายหนุ่มร่างเล็กโบกมือไล่ปราณันต์อยากหยอกล้อ ก่อนที่คามินจะพาปราณันต์กลับตามความตั้งใจ

.

.

.

“รถผมเก่าหน่อยนะครับ แต่ขับไปถึงได้แน่นอน” คามินพูดอย่างขี้เล่น ก่อนจะเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้ปราณันต์เข้าไป “เชิญครับ”

คนตัวเล็กผงกหัวขอบคุณให้คามินเบาๆ ก่อนจะเข้าไปนั่ง พลางพูดอย่างน่ารักว่า “ไม่เก่าหรอกครับ ผมว่าดีกว่านั่งรถเมล์เยอะเลย”

คามินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปิดประตูให้ปราณันต์ แล้วพาตัวเองไปยังฝั่งคนขับพร้อมกับที่เคลื่อนรถออกไปช้าๆ

“คุณไปอพาร์ทเม้นท์ผมถูกใช่ไหมครับ” ตากลมจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างของผู้ชายตรงหน้าพลางเอ่ยถามขึ้น

คามินหันมาสบตาและยิ้มให้ปราณันต์ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “รู้สิครับ คราวที่แล้วก็ขับตามรถเมล์อยู่”

และคำตอบของคามินก็ทำให้ปราณันต์หลุดขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“ว่าแต่ตอนไปเซ็นชื่อฉีดวัคซีนให้ฝาแฝดวันก่อน เด็กๆ ดื้ออะไรหรือเปล่าครับ” ปราณันต์เริ่มขยับชวนคามินพูดคุย

คามินจึงตอบอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินคำถามของปราณันต์ “ไม่เลยครับ ปุณณ์กับปัณณ์น่ารักมาก” คามินหันมาชำเลืองมองปราณันต์นิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “คุณเลี้ยงเด็กๆ มาดีมากเลยนะครับ ตอนปัณณ์ร้องไห้ตอนที่กำลังจะไปฉีดยาผมทำอะไรไม่ถูกเลย แต่ปุณณ์เก่งมากที่กล่อมปัณณ์ให้สงบได้ทั้งๆ ที่ตัวเองกลัว”

ปราณันต์ยิ้มรับอายๆ เมื่อได้ยินคำชม ก่อนจะตอบไปตามตรงว่า

“ผมเลี้ยงน้องๆ แบบที่พ่อกับแม่เลี้ยงผมครับ ถึงแม้จะไม่มีพวกท่าน แต่ผมก็อยากให้เด็กๆ ระลึกถึงพวกท่านไว้เสมอ”

เวลาพูดถึงพ่อกับแม่เสียงของปราณันต์จะเศร้าลง คามินก็เลยต้องเร่งทำคะแนน ด้วยการแสร้งทำเป็นเห็นใจ พลางปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ถ้าพูดถึงพวกท่านให้ผมฟังแล้วทำให้คุณเศร้าเพราะความคิดถึง ผมก็ไม่อยากให้คุณทำแบบนั้นนะครับ” คามินเอื้อมมือไปกุมมือปราณันต์เบาๆ “ผมชอบเห็นรอยยิ้มที่สดใสของคุณมากกว่ายิ้มเศร้าๆ เพราะรอยยิ้มที่สดใสของคุณน่ารักกว่ามากเลย”

ปราณันต์หันมามองคามินด้วยความรู้สึกขอบคุณ ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน เป็นรอยยิ้มที่คามินสัมผัสได้ทันทีว่า ตอนนี้ลูกแมวตัวน้อยของเขาได้เดินเข้ามาในกรงที่เขาเปิดไว้เรียบร้อยแล้ว

.

.

.

ตอนนี้รถยนต์ของคามินจอดนิ่งอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์ คนตัวโตจ้องมองใบหน้านวลนิ่งก่อนจะพูดน้ำเสียงออดอ้อน

“พรุ่งนี้เลิกงานแล้วผมขอไปรับฝาแฝดด้วยนะครับ” แต่ปราณันต์ไม่ยอม ส่ายหัวปฏิเสธท่าเดียว

“ไม่เอาครับ แค่นี้ก็เกรงใจคุณจะแย่แล้ว วันก่อนก็ไปเซ็นฉัดวัคซีนให้ วันนี้ก็มาส่งผมอีก ถ้าผมยังรบกวนคุณบ่อยๆ แบบนี้อีกหน่อยผมต้องเคยตัวแน่ๆ”

คามินหันไปเผชิญหน้ากับปราณันต์ทันที มือทั้งสองข้างของคามินกางคร่อมปราณันต์ไว้ก่อนจะพูดเสียงเข้ม

“ผมจะโกรธคุณแล้วนะครับถ้าคุณพูดว่าเกรงใจผมอีก ทุกอย่างผมยินดีและเต็มใจทำให้ ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นการรบกวน ผมจะถือว่าคุณดูถูกน้ำใจผมนะ”

คามินแสร้งทำเป็นขึงขังปนน้อยใจ เขารู้ดีว่าปราณันต์ต้องใจอ่อนแน่ ถ้าคิดว่าตนเองทำให้เขาเสียใจแบบนี้

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงสั่นอย่างรู้สึกผิด ทำให้คามินลอบยิ้มในใจอย่างผู้ชนะอีกครั้ง ในที่สุดเจ้าแมวตัวน้อยของเขาก็ฮุบเหยื่อเข้าไปเต็มๆ

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ให้ผมไปรับปุณณ์ปัณณ์กับคุณนะ ได้ไหมครับ”

ปราณันต์ถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนน เขาอยากจะฝืน อยากจะดื้อ อยากจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะทำไม่ได้อย่างที่สมองต้องการเลย ในเมื่อใจเขามันสมยอมขนาดนี้

“ก็ได้ครับ” ปราณันต์ยิ้มออกมาบางๆ “พรุ่งนี้เลิกงานเจอกันนะครับ”

คามินยิ้มหน้าบานอย่างพอใจ ยิ้มจนโชว์เขี้ยวทั้งสองข้างออกมาให้เห็น

“โอเคครับ ถ้าผมเลิกงานแล้วจะโทรหาคุณนะ” ปราณันต์พยักหน้า ก่อนจะบอกลาเมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว

“งั้นคืนนี้ผมขอตัวก่อนะครับ ดึกมากแล้ว เดี๋ยวคุณต้องขับรถกลับบ้านอีก”

แล้วในขณะที่ปราณันต์จะปลดสายคาดเข็มขัดนิรภัยออก หน้านวลก็นิ่วคิ้วก็ขมวดขึ้นมาฉับพลัน พอคามินเห็นแบบนั้นเลยอดถามไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ”

“สายเบลท์มันดึงไม่ออกครับ เหมือนจะติดๆ เลย”

ปราณันต์ตอบและพยายามปลดสายคาดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง แต่ทำยังไงก็ไม่ออก คามินเลยต้องยื่นหน้าและยื่นตัวเข้ามาช่วยปราณันต์ที่กำลังก้มหน้าก้มตา ด้วยการช่วยดึงเบลท์ออกอีกแรง

“มาครับผมดูให้”

และหลังจากคามินจับๆ ดึงๆ สายคาดก็หลุดออกจากตัวล็อค ปราณันต์ยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อขอบคุณอีกฝ่าย ส่วนคามินเองก็กำลังจะหันไปหาปราณันต์เช่นกัน ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของคนทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากันถึงได้รู้ว่าใกล้กันขนาดที่ว่าถ้าใครคนใดคนนึงเขยิบเข้าไปอีกนิด ปากทั้งคู่ต้องแตะกันแน่นอน

ใบหน้าขาวนวลของปราณันต์แดงแปร๊ดขึ้นมาทันตา ตอนนี้เขาอายมาก มากจนแทบจะหยุดหายใจ เพราะกลัวว่าถ้าหายใจแรงอีกนิด อาจจะเผลอเข้าใกล้จนไปจูบคนตรงข้ามได้

ปราณันต์ต้องเสหลบตาและก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีหน้าไม่ให้คามินเห็น ก่อนจะขยับตัวเบาๆ เพื่อเตือนสติว่าให้คามินผละออกไปจากตัวเขาได้แล้ว

คามินถอยขยับออกไปด้วยความเสียดาย พอปราณันต์ได้โอกาสก็รีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมายืนตั้งหลักบนพื้น อย่างที่ต้องการจะสงบสติอารมณ์

คามินเองก็ลงมายืนเท้าหลังคารถฝั่งตัวเองอยู่เช่นกันก่อนจะพูดเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ปราณันต์

“พรุ่งนี้เจอกัน ผมกลับก่อนนะครับ” ปราณันต์สบตาคมก่อนจะพยักหน้าให้อย่างเขินอาย

“ครับ ขับรถดีๆ นะครับ แล้วก็ขอบคุณคุณมากที่มาส่ง” ปราณันต์โบกมือให้คามินอย่างน่าเอ็นดู และก่อนที่คามินจะมุดกลับเข้าไปในรถตามเดิม เสียงหวานก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ฝันดีนะครับ” คามินเงยหน้ามองเพื่อจะดูว่าตัวเองหูฝาดกับสิ่งที่ได้ยินหรือเปล่า แต่พอเห็นปราณันต์กำลังจะขยับหนีก็รู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่ได้ยินคือความจริง คามินเลยตะโกนสวนกลับไป

“ฝันดีเช่นกันนะครับคุณปราณันต์”

ปราณันต์หันมาพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าอพาร์ทเม้นท์ไปอย่างอายๆ จึงไม่ได้ทันเห็นว่า คนที่เพิ่งบอกให้ตนเองฝันดีนั้น มองตามเขาไปด้วยสายตาแบบไหน

ดวงตาเรียวคมมองตามร่างบางไปอย่างเย้นหยันปนสงสารนิดๆ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ


‘หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์งั้นเหรอ หึ! เสร็จฉันแน่ๆ’


คามินยิ้มเหยียดอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------------------------------------

นังพระเอกก็คือแผนการเยอะมาก ไม่รู้ว่าอยากจะเอาชนะหรืออะไรยังไงกันแน่ หึ!

ก็... ขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกวิว ทุกยอดไลค์ ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกกันได้เหมือนเดิมน้าาา รออ่านอยู่เสมอค่าาา

แล้วไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ อาจจะพฤหัส ไม่ก็ศุกร์ .. รักทุกคนนะค้าบบ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 02/11/63 [5th Lies: เปิดใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-11-2020 22:07:07
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 02/11/63 [5th Lies: เปิดใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 05-11-2020 13:05:42
ยังจะคิดถึงหุ้น / ระวังจะหายมากกว่าหุ้น
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 08-11-2020 21:47:00
6th Lies : ชิดใกล้


(วันนี้คุณปราณันต์จะเลิกงานกี่โมงหรอครับ ผมจะได้ไปรอรับ)

ช่วงสายๆ ของวันในขณะที่ปราณันต์กำลังวุ่นอยู่กับการทำงาน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเองดังแหวกอากาศขึ้นมา มือเรียวยื่นสะเปะสะปะออกไปบนโต๊ะเพื่อคว้าโทรศัพท์มากดรับสาย โดยที่ดวงตากลมโตยังไม่ทันจะเหลือบมองเลยด้วยซ้ำว่าคนที่โทรมาคือใคร

แต่หลังจากได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูกรอกเสียงผ่านตามสายมา ปากอิ่มสีสดก็แย้มยิ้มออกมาน้อยๆ ...


คามินโทรมา...


“คุณคามินหรอครับ” ปากกาที่อยู่ในมือเล็กๆ นั่นถูกวางลงบนโต๊ะเงียบๆ ก่อนที่ปราณันต์ที่ตอนนี้กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ได้หันมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์ในมือเรียบร้อยแล้ว

(ครับผมเอง นี่ผมกำลังทำคุณวุ่นวายรึป่าวครับ)

“ไม่เลยครับ ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ยุ่งอะไรเท่าไหร่”

ปราณันต์ได้แต่หัวเราะในใจให้กับภาพตรงหน้า เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังหัวหมุนกับงานมากทีเดียว แต่พอรู้ว่าปลายสายเป็นใคร ปราณันต์ก็กลับปล่อยวางงานทุกอย่างแล้วหันมาสนใจให้กับคนในสายแทน

(ดีจังครับ นี่ผมก็กำลังจะออกไปพบลูกค้า ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จกี่โมง เลยว่าจะโทรมาถามคุณก่อน ผมจะได้กะเวลาเพื่อมารับคุณถูก)

น้ำเสียงทุ้มมีเสน่ห์ถูกส่งมาให้คนอีกฝั่งอย่างอ่อนโยนพาให้ก้อนเลือดที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ในอกข้างซ้ายเกิดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด การเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ของคามินทำให้หัวใจที่ไม่ค่อยประสีประสาเรื่องความรักของปราณันต์ได้เปิดรับให้อีกฝ่ายค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ

“งั้นเอาสักห้าโมงดีไหมครับ ผมจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ แล้วจะได้ไปรับฝาแฝดกัน ผมไม่อยากให้เด็กๆ รอนานจนดึกจนดื่น คุณพอจะมาเวลานี้ไหวหรือเปล่าครับ”

ปราณันต์ถามออกไปอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงหวานใสเอ่ยขึ้นมาด้วยความเกรงใจที่ปิดไม่มิด

(สบายมากครับ คุณปราณันต์ไม่ต้องเกรงใจผมนะครับ เพราะอันที่จริงผมเองก็อยากเจอฝาแฝดอยู่แล้ว ผมยินดีแล้วก็เต็มใจมาก และยิ่งได้ไปเจอคุณด้วยผมยิ่งกว่ายินดีและเต็มใจซะอีก)

คามินพูดดักคอ ด้วยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายขี้เกรงใจขนาดไหน และโดยที่ไม่ลืม เขาก็หยอดคำหวานใส่ ไม่ให้ปราณันต์ได้พักหายใจเลยสักนิด ซึ่งพอได้ยินคามินพูดมาแบบนั้น ปราณันต์ก็แทบจะไปไม่เป็น มือไม้ที่เคยวางอยู่อย่างสงบนิ่งก็ยกขึ้นมาเกาแก้ม เกาคอจนวุ่นวายไปหมด นี่ขนาดถูกป้อนคำหวานผ่านทางสายโทรศัพท์ เขายังเป็นเอามากขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดสภาพตอนเจอกันจริงๆ เลยว่าเขาจะเขินอายและพ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้ได้มากแค่ไหน ตัวเขาเองก็หาคำตอบให้ไม่ได้เช่นกัน

“ถ้างั้นเจอกันห้าโมงนะครับ”

น้ำเสียงสดใสถูกส่งไปยังคนปลายสายอีกครั้ง ท่านประธานหนุ่มผู้มากด้วยเล่ห์ยกยิ้มอย่างร้ายกาจทันทีที่จับประกายสดใสได้ในน้ำเสียงนั้น ... น้ำเสียงที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ายินดีเหลือเกินที่จะได้เจอกันกับเขา

(ได้ครับ) คามินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกประโยคที่สั่นคลอนหัวใจคนฟังอย่างปราณันต์ ได้โดยที่แทบจะไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย

(ขอบคุณนะครับที่ให้ผมดูแลคุณกับเด็กๆ และก็ขอบคุณที่ให้โอกาส ให้ผมได้แสดงออกว่าผมชอบคุณมากแค่ไหน แล้วเจอกันเย็นนี้ครับ)

ปราณันต์เงียบไปด้วยเพราะไม่รู้จะต้องตอบประโยคแบบนี้ด้วยข้อความแบบไหน ไม่ใช่ว่าโกรธหรือไม่พอใจอะไร แต่ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันเกินจะอธิบายออกมาด้วยคำพูด ซึ่งคามินเองก็ใจกว้างมากพอที่จะไม่คาดคั้นให้ปราณันต์ต้องตอบหรือต้องแสดงความรู้สึกออกมา คามินก็แค่กดวางสายไปเงียบๆ และปล่อยให้ปราณันต์ได้ทบทวนความรู้สึกในใจของตัวเอง

มือเรียวเล็กถือโทรศัพท์ไว้ในมือนิ่ง ปราณันต์คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ มากมายระหว่างเขากับผู้ชายที่ชื่อคามิน ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วัน

ในทุกความสับสน และทุกความไม่ชัดเจน ปราณันต์เองก็รู้ดีที่สุดว่า แม้จะปรึกษาใครก็คงไม่ได้คำตอบที่ดี และเห็นได้ชัดที่สุดเท่ากับปรึกษาใจตัวเอง

เพราะหลังจากที่ได้คุยกับนทนัชและอนาวินแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าใจตัวเองโอนเอียงให้คามินมากแค่ไหน แม้เพื่อนสนิททั้งสองจะยืนยันแล้วยืนยันเล่าว่าควรให้โอกาสตัวเอง แต่ปราณันต์เองก็พยายามหาเหตุผลนั่นนี่มาถ่วงไว้ แต่พอมาจนถึงเวลานี้ ทุกอย่างมันช่างชัดเจนเหลือเกินในความรู้สึก ประโยคที่คามินพูดออกมาเมื่อกี้มันแทนคำตอบทุกอย่างได้ดีมาตั้งแต่ต้น ความจริงปราณันต์อาจจะไม่ต้องปรึกษาใครเลยก็ได้


...เพราะมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า ปราณันต์ปล่อยให้คามินเข้ามาในชีวิตนานแล้ว เข้ามาตั้งแต่ต้น เข้ามาเพื่ออุดรูโหว่ในใจดวงเล็กๆ ที่เคยเจ็บปวดแสนสาหัสให้กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ด้วยคำพูดและสายตาคมคู่นั้น


ปราณันต์ได้แต่ขยับปากอิ่มยิ้มบางๆ อย่างยอมรับ ว่าเขาเองก็หลงปล่อยตัวปล่อยหัวใจให้กับคามินตั้งแต่แรกเจอแล้ว ไม่ต่างกัน

.

.

.

“รอนานไหมครับ” คามินถามปราณันต์ทันที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก้าวเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว

“ไม่นานครับ ผมเพิ่งลงมาเอง” ปราณันต์ตอบคำถามคามิน พลางยิ้มให้ แต่มือเล็กๆ กลับยังคงสาละวนอยู่กับสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะรถยนต์ไม่หยุด

คามินเองเมื่อเหลือบเห็นท่าทางน่าเอ็นดูแบบนั้นจากคนตรงหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมืออันใหญ่โตของตัวเองเข้าไปช่วยจัดการให้

“มาครับ ผมทำให้ ไม่งั้นวันนี้คุณคงคาดเข็มขัดไม่เสร็จสักที”

คามินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือข้ามไหล่บางๆ ไปที่ข้างประตูรถแล้วดึงรั้งกระตุกสายเข็มขัดออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นลงไปเสียบกับตัวล็อคให้อย่างง่ายดาย

ปราณันต์ก้มลงมองตามมือใหญ่ที่กำลังจัดสายเข็มขัดของเขาให้เข้าที่ และพอคามินคาดเข็ดขัดให้เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาก็เงยขึ้นมาช้าๆ พร้อมๆ กับที่ปราณันต์เองก็ก้มหน้าลงไป ทำให้สายตาทั้งสองคู่สบนิ่งเข้าหากันอย่างพอดิบพอดี

ใบหน้าหวานซึ่งอยู่ห่างจากอีกฝ่ายไม่ถึงคืบ ทำให้ลมหายใจร้อนของคามินกำลังรดรินอยู่ที่ข้างแก้มนิ่ม ในขณะที่ปากอิ่มของปราณันต์ก็แทบจะเกยทับไปบนแก้มสากของอีกฝ่าย ต่างคนต่างอยู่ใกล้กันมาก มากจนถึงขั้นที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอกของฝั่งตรงข้าม


... เหมือนเมื่อคืน แทบจะเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด


ภาพเมื่อคืนซ้อนทับเข้ามาในห้วงคำนึงของคนทั้งสอง แต่ต่างกันตรงที่สถานการณ์เมื่อคืนมันเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่ตอนนี้ไม่ใช่

คามินละสายตาจากดวงตากลมโตที่เขากำลังสบอยู่มาที่ปากอิ่มสีแดงสดที่เย้ายวนอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าคมคายจึงค่อยๆ ลดลงมาช้าๆ ในขณะที่ปราณันต์เองก็เหมือนกำลังถูกสายตาแสนมีเสน่ห์คู่นั้นสาปให้หยุดนิ่ง แม้หัวสมองของเขาจะร้องเตือนว่าให้ถอยห่างจากคามินดังแค่ไหน แต่ดูเหมือนก้อนเลือดเล็กๆ ที่อกข้างซ้ายกลับไม่ฟังคำทัดทานนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตากลมโตจึงค่อยหลับพริ้มลงช้าๆ อย่างสมยอม

.... รู้ว่าอันตราย แต่ก็ยั่วยวนใจให้ลิ้มลอง


Rrrrr


และก่อนที่ริมฝีปากของคนทั้งสองกำลังจะสัมผัสกัน เสียงโทรศัพท์ของปราณันต์ก็แผดดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ซึ่งทันทีที่ได้สติปราณันต์ก็เบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากหยักคู่นั้นที่กำลังจะโฉบลงมาประทับได้ทัน ปราณันต์ขยับตัวหนีจนแทบจะฝังตัวลงไปกับประตูรถฝั่งตัวเอง แก้มนวลทั้งสองข้างขึ้นสีแดงก่ำจนลามไปถึงลำคอ ยิ่งดูน่ารักและน่ารังแกเหลือเกินในสายตาของคนเจ้าเล่ห์อย่างคามิน

คามินยอมถอยหลังออกมาตั้งหลักอย่างเข้าใจ เขาคงจะจู่โจมมากเกินไปจนอาจทำให้คนตรงหน้าตั้งหลักไม่ทัน ซึ่งอย่าว่าแต่ปราณันต์เลยที่ตั้งตัวไม่ทัน ขนาดตัวเขาเองยังนึกไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์เมื่อกี้จะเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น มันไม่ใช่แผนที่เขาวางไว้เลยสักนิด ทุกเหตุและผลถูกตัดออกไปจากหัวสมองของคามินทั้งหมด สิ่งที่เด่นชัดในเวลานั้นมีแค่ริมปากอิ่มสีแดงสดตรงหน้า ริมฝีปากที่เขาอยากลิ้มลองสัมผัส ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

“ครับอาจารย์”

คามินหลุดออกจากภวังค์ที่ตัวเองได้สร้างขึ้นทันทีที่ได้ยินปราณันต์รับโทรศัพท์สายที่โทรมาขัดจังหวะ ทำให้คามินพลาดโอกาส ซึ่งเขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากเข่นเขี้ยวในใจ อีกแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น...

“ผมกำลังจะเข้าไปรับปุณณ์กับปัณณ์ครับ ครับ ครับ... ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมง... ขอบคุณครับอาจารย์”

ปราณันต์กดวางสายหลังจากคุยกับคุณครูของฝาแฝดเสร็จ แก้มขาวนวลยังคงระเรื่อไปด้วยสีแดงจากเหตุการณ์เมื่อครู่

“มีอะไรหรือป่าวครับคุณปราณันต์” คามินปรับน้ำเสียงเป็นปกติแล้วถามขึ้น หลังจากที่กำลังจะเตรียมออกรถ

“ไม่มี.. อะแฮ่ม! ไม่มีอะไรหรอกครับ” ปราณันต์กระแอมกระไอแก้เขินไปเรื่อย กว่าจะอยู่ตัวได้เล่นเอาคามินต้องพยายามกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง และพอปราณันต์เห็นท่าทางสนุกสนานของอีกฝ่ายแบบนั้น ก็อดยื่นมือออกไปผลักหัวไหล่คนเจ้าเล่ห์เบาๆ ไม่ได้

“คุณนี่!” ปากอิ่มยื่นออกอย่างกระเง้ากระงอดเพราะถูกคนตรงข้ามล้อเลียน

“ฮ่ะๆ อ่ะๆ ไม่ล้อแล้วครับ” มือใหญ่ถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่มาจากการหัวเราะเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามซ้ำ “ว่าแต่อาจารย์ว่ายังไงบ้างครับ”

“อาจารย์ถามว่าผมจะเข้าไปรับฝาแฝดกี่โมงน่ะครับ จะได้รอเป็นเพื่อนเด็กๆ” ปราณันต์ตอบก่อนที่จะเร่งให้คามินออกรถ เมื่อเห็นว่าเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวรถจะติด ผมคิดถึงฝาแฝดจะแย่แล้ว”

ปราณันต์คลี่ยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงน้องชายที่น่ารักของตนเองจนลูกตากลมโตยิบหยีลงคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว

“คร้าบ ครับ ไปกันเดี๋ยวนี้เลย” คามินเองก็ตอบรับอย่างอารมณ์ดีก่อนจะออกรถมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่นัก

.

.

.

ทันทีที่รถจอดเทียบหน้าประตูโรงเรียน ปราณันต์ที่นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับก็แทบจะกระโจนลงรถทันที เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยทั้งสองกำลังยืนชะเง้อคอยเขาอยู่ตรงอีกฟากของสนามเด็กเล่น

“ปุณณ์ ปัณณ์ พี่ปราณมาแล้ว”

ใบหน้าเล็กๆ ทั้งสอง ที่คล้ายคลึงกับปราณันต์กำลังยิ้มแย้มกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข เมื่อเห็นพี่ชายคนโตกำลังเดินมาหาตนทั้งสอง

“พี่ปราณ พี่ปราณ ทางนี้ๆ” ปัณณธรโบกมือหย็อยๆ ให้พี่ชายตัวเองอย่างน่ารัก แต่จู่ๆ เจ้าตัวน้อยก็หยุดโบก แล้วหันไปถามอะไรบางอย่างจากอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ แทน โดยที่มีปุณณกันต์หันไปฟังอย่างสนใจด้วยเช่นกัน

และทันทีที่อาจารย์พยักหน้า เจ้าตัวแสบทั้งสองก็วิ่งตัดสนามตัวปลิว ก่อนที่จะโผเข้าหาปราณันต์ที่ตั้งท่าเตรียมรอไว้แล้ว

“เบาๆ เด็กๆ เดี๋ยวหกล้มนะ” ปราณันต์เอ่ยดุน้องชายอย่างไม่จริงจัง เพราะตอนนี้ร่างเล็กๆ ทั้งสองโผเข้าไปซุกอยู่ในอกอุ่นๆ ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ไม่หกล้มหรอกครับ ก็พี่ปราณกอดเราสองคนไว้แล้ว” เจ้าของคำพูดฉะฉานก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นปุณณกันต์ที่ตอนนี้กำลังโอบรอบคอของปราณันต์ไว้แน่น

“ฮ่าๆ เอาเถอะๆ” ปราณันต์บอกปัดอย่างอารมณ์ดี “ว่าไง ปุณณ์กับปัณณ์คิดถึงพี่ไหมครับ” ปราณันต์แกล้งถามเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนในอ้อมกอด ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ

“คิดถึงสิครับ ปัณณ์คิดถึงพี่ปราณมากที่สุดในโลก”

“ใช่ๆ ปุณณ์ก็คิดถึง ปุณณ์คิดถึง แล้วก็อยากกอดพี่ปราณมากๆ เลย”

ปราณันต์แย้มยิ้มอย่างสุขใจ หลังจากได้ยินคำตอบจากฝาแฝดที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเขา ทั้งสามกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างไม่ยอมกัน ปราณันต์ทั้งกอดทั้งหอมเจ้าฝาแฝด จนเด็กๆ หัวเราะคิกคักไม่หยุด คามินยืนมองภาพตรงหน้าเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร มีแต่เพียงเจ้าตัวเท่านั้นแหละ ที่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่

แต่ในขณะที่คามินกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น จู่ๆ ปราณันต์ก็หันมามองเขาช้าๆ หน้ากากนักธุรกิจของคามินถูกหยิบออกมาใช้อย่างรวดเร็ว รอยยิ้มใจดีและอบอุ่น ถูกยกมาแต้มบนริมฝีปากหยักแล้วส่งให้คนตัวเล็กตรงหน้าอย่างแนบเนียน

คามินค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้พี่น้องทั้งสาม แล้วย่อตัวลงนั่งเพื่อให้ความสูงเทียบเท่ากับเด็กแฝด ที่ตอนนี้กำลังเทความสนใจไปให้พี่ชายสุดที่รัก เลยลืมคนนอกอย่างเขาไปเสียอย่างนั้น

“พอพี่ปราณมา พี่ครามก็หมดความหมายไปเลยสินะครับ”

คามินที่แกล้งเอ่ยออกมาอย่างตัดพ้อ ดูเหมือนจะเรียกความสนใจจากเด็กแฝดทั้งสองได้ดีทีเดียว เพราะตอนนี้ดวงตากลมใสทั้งสองคู่ จ้องมองมาที่เจ้าของสรรพนามที่เรียกแทนตัวเองว่าพี่ครามอย่างพร้อมเพรียง

“ปัณณ์ไม่ได้ลืมพี่ครามสักหน่อย ก็กะว่าถ้ากอดพี่ปราณเสร็จแล้วจะไปกอดพี่ครามด้วยเหมือนกัน” เจ้าตัวแสบคนน้อง รีบพูดตอบอย่างเอาใจ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกจากอกพี่ชาย แล้วหันมาหาพี่ครามที่กำลังแกล้งทำหน้าเศร้าอยู่

เด็กวัยสี่ขวบตัวน้อยที่แสนจะรู้ดี เดินเข้ามาเกาะแขนคามินแน่น พลางพูดจาออดอ้อนเอาใจอย่างน่ารักน่าเอ็นดู คามินต้องกลั้นยิ้มเพราะถ้อยคำของปัณณธรจนเมื่อยแก้ม ใบหน้าเล็กๆ กำลังถูไถที่ต้นแขนหนาไม่ต่างกับลูกแมวตัวน้อย ช่างเหมือนกันกับปราณันต์ไม่มีผิดเพี้ยน

“พี่ครามไม่เชื่อหรอก ก็เห็นๆ อยู่ว่าปุณณ์กับปัณณ์ไม่สนใจพี่ครามแล้ว” เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่แสร้งทำเสียงเศร้าหลอกล่อเด็กทั้งสอง และในที่สุดก็ได้ผล เพราะนอกจากปัณณธรที่กำลังเกาะแขนเขาแน่นแล้ว ตอนนี้ปุณณกันต์เองก็ผละออกจากพี่ชาย แล้วเดินมาเกาะแขนหนาอีกข้างของคามินแล้วเช่นกัน

“พี่คราม... ปุณณ์ไม่ได้ไม่สนใจพี่ครามสักหน่อย” ปุณณกันต์พูดนิ่งๆ ตากลมโตที่ดูแล้วไม่ต่างจากน้องชายกำลังมองไปที่คามินอย่างออดอ้อนไม่ต่างจากปัณณธรเลย

ปราณันต์เห็นน้องชายฝาแฝดของตนกำลังง้อคามินแล้วอดแอบขำไม่ได้ โดยปกติแล้วเขารู้ดีว่าปุณณกันต์จะเป็นเด็กที่เก็บอารมณ์และความรู้สึกเก่งมาก แต่มาวันนี้เจ้าแฝดคนพี่กำลังแสดงท่าทีที่น้อยครั้งนักจะทำให้เห็น และมันช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาของคนเป็นพี่แบบเขา ปัณณธรเองก็ด้วย แม้เจ้าหนูจะเป็นเด็กอารมณ์ดี ชอบพูดชอบคุยกับคนอื่น แต่เจ้าตัวน้อยคนน้องมักจะสนิทสนมกับคนยาก ถ้าไม่ใช่คนที่ปัณณธรวางใจ แฝดคนน้องจะไม่มีทางเข้าใกล้หรือให้สัมผัสตัวเด็ดขาด แต่มาวันนี้เจ้าตัวดีกลับเข้าไปฉอเลาะถูไถใบหน้าของตัวเองกับต้นแขนหนาของคามินเสียเอง เห็นแล้วช่างน่าจับมาตีก้นเสียจริง

และในขณะที่มองปราณันต์ก็ได้แต่คิดค่อนขอดคามินอย่างหมั่นไส้เล็กๆ


‘ใจคอจะทำให้คนครอบครัวผมหลงคุณกันทั้งบ้านเลยหรือไงนะ’


ปากอิ่มยื่นออกอย่างหมั่นไส้ปนเอ็นดู แม้จะฮึดฮัดกับท่าทีรักใคร่กันเหลือเกินระหว่างสามหนุ่มตรงหน้า แต่ปราณันต์ก็อดแอบอมยิ้มและปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพที่เขาเห็นช่างทำให้รู้สึกอิ่มเอมในหัวใจ จนรอยยิ้มบางๆ ไม่คลายไปจากมุมปากอิ่มไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“ตกลงจะรักแค่สามคนใช่ไหม พี่ปราณจะได้กลับบ้าน” พอเห็นท่าทางน่าหมั่นไส้ของทั้งสามคนแล้ว ปราณันต์ก็อดแกล้งกลับไม่ได้ เพราะพอได้เห็นหน้าตาเหรอหราของเด็กๆ แล้วมันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน

“งื้อ ปัณณ์ไม่รู้จะทำยังไงแล้วอ่ะ” เจ้าฝาแฝดคนน้องถอยห่างออกจากคามิน ตัวป้อมๆ เล็กกำลังยืนอยู่ระหว่างกลางของผู้ใหญ่ขี้ใจน้อยทั้งสองคน มือเล็กๆ ถูกยกขึ้นมาเกาศีรษะตัวเองเบาๆ อย่างจนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

“นั่นสิ พอกอดพี่ปราณ พี่ครามก็เสียใจ พอกอดพี่คราม พี่ปราณก็เสียใจ ปุณณ์ก็ไม่รู้จะทำไงแล้วเหมือนกัน” ปากเล็กๆ ของปุณณกันต์บ่นขมุบขมิบไม่หยุด ฝาแฝดหนุ่มน้อยทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง คิ้วเรียวเล็กขมวดเป็นปมอย่างกับเครียดเรื่องหนักหนาสาหัสที่ใครก็ไม่มีวันเข้าใจ

ปุณณกันต์กับปัณณธรไม่อยากให้ใครเสียใจทั้งนั้นแหละ แต่พี่ครามกับพี่ปราณก็น่าจะเข้าใจเราสองคนบ้างสิ โผกอดคนนั้นที คนนี้ทีจนเหนื่อยไปหมดแล้ว

ผู้ใหญ่ขี้แกล้งทั้งสองคนเหลือบมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างพยายามกลั้นขำเมื่อเห็นท่าทางของเด็กแฝดทั้งคู่ ปากอิ่มเล็กๆ ยื่นออกมาจนแทบติดจมูก ใบหน้าน่ารักงอง้ำอย่างไม่พออกไม่พอใจ สองตัวแสบดูเหมือนกำลังสื่อสารและเข้าใจกันผ่านทางสายตากลมโตที่จ้องมองกันและกันอยู่ ช่างน่ารักน่าเอ็นดู จนผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีอดใจไม่ไหว ต้องจับเด็กทั้งสองมาฟัดให้หายมันเขี้ยว

คามินก้มลงโอบเอวปันณณธร แล้วยกเจ้าตัวน้อยลอยขึ้นจากพื้น เจ้าตัวแสบโวยวายเพราะตกใจในคราวแรก แต่พอหันมาเห็นว่าเป็นมือใหญ่ของพี่ครามที่กำลังโอบอุ้มตัวเองอยู่ ปากอิ่มน้อยๆ ก็ยิ้มคิกคักอย่างชอบใจ จนตากลมยิบหยีขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

“พี่ครามเอาสูงๆ ยกสูงๆ” เสียงใสๆ ร้องสั่งอย่างอารมณ์ดี ปากจิ้มลิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข ในขณะที่ปุณณกันต์เองกำลังมองงงๆ ไปที่น้องชายที่กำลังถูกอุ้มถูกโยนอยู่นั้น ตัวเขาเองก็โดนมือเล็กเกี่ยวเอวเข้าไปกอดจากด้านหลัง พอหันไปเห็นว่าเป็นพี่ปราณ ใบหน้าจิ้มลิ้มก็หันไปหาพร้อมหอมเข้าที่แก้มพี่ชายคนโตอย่างรวดเร็ว


ฟอด~


“ขี้โกงนี่นาปุณณ์ ทำไมไม่ให้พี่หอมปุณณ์ก่อนล่ะ หื้ม?” ปราณันต์ยิ้มพลางถามเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดู

“ปุณณ์อยากหอม พี่ปราณตัวหอม หอมพี่ปราณแล้วชื่นใจ” แฝดคนพี่ตอบอย่างเอาใจ ปราณันต์เองก็หัวเราะลั่นตอนที่ได้ยินคำตอบของน้องชาย เป็นเสียแบบนี้แล้วเขาจะไม่หลงเจ้าแฝดน้อยทั้งสองได้ยังไงกัน

ส่วนคามินเองก็มองมายังปุณณกันต์กับปราณันต์ที่กำลังนั่งกอดกันกลมอยู่ที่พื้นหญ้า โดยสะกิดปัณณธรให้หันไปมองยังสองคนข้างล่างด้วย ปากหยักกระซิบชิดริมหูของเจ้าเด็กน้อย แฝดคนน้องตั้งใจฟังพลางหัวเราะคิกคักเบาๆ อย่างชอบใจหลังได้ยินที่พี่ครามพูดจบ

พอตกลงกันเสร็จสรรพ คามินก็ปล่อยปัณณธรลงพื้นหญ้า แล้วอาศัยจังหวะที่ปราณันต์กับปุณณกันต์เผลอ ให้เจ้าแฝดคนน้องกระโดดไปเกาะหลังพี่ชายคนโตแน่น พลางจู่โจมจูบแก้มซ้าย แก้มขวาของปราณันต์ให้วุ่น ในขณะที่คนถูกรังแกแทนที่จะโกรธ แต่กลับหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ ปราณันต์พลิกตัวกลับแล้วอุ้มปัณณธรมานั่งบนตัก จากนั้นก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างมันเขี้ยว ปุณณกันต์เองก็ร่วมด้วยช่วยกันแกล้งปัณณธรบ้าง หันกลับมาแกล้งพี่ปราณบ้าง สามคนพี่น้องเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยมีร่างสูงยืนมองอยู่ด้วยสายตานิ่งเฉย แต่มุมปากหยักกลับอมยิ้มบางๆ ยิ้มที่เจ้าตัวเองก็เหมือนจะไม่รู้ตัวว่ามันกำลังปรากฎอยู่ที่มุมปากหยักของตัวเอง

.

.

.

หลังจากที่ฟัดกันเล่นจนหนำใจแล้ว ทั้งสี่คนก็พากันอพยพไปขึ้นรถของคามินที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน เจ้าตัวน้อยทั้งสองเดินไปกระโดดไปอย่างกับว่าตอนนี้กำลังมีความสุขมาก จนปราณันต์ต้องคอยปรามไม่ให้เด็กแฝดร่าเริงเกินเหตุ เพราะเดี๋ยวจะหกล้มหกลุกกันไปเสียก่อน

“เดินดีๆ สิครับปุณณ์ปัณณ์ เดี๋ยวล้มแล้วได้แผลมาจะทำยังไง”

มือเล็กๆ ของปราณันต์เอื้อมไปกุมมือน้อยๆ ของเด็กแฝดทั้งสองไว้คนละข้าง พอคามินหันมาเห็น จึงคว้าเอาตัวแฝดคนน้องมาอุ้มไว้ในอ้อมอก ก่อนจะเอ่ยปากอาสาอย่างเอื้อเฟื้อ

“ผมอุ้มปัณณ์ให้ครับ คุณปราณันต์จะได้ไม่ต้องพะวงทั้งสองคน”

“ขอบคุณครับ” ปราณันต์เอ่ยบอกคามิน ก่อนจะหันมามองปุณณกันต์แฝดคนพี่ที่ตอนนี้เขากำลังจูงอยู่

“ปุณณ์อยากให้พี่ปราณอุ้ม เหมือนที่พี่ครามอุ้มน้องไหมครับ”

ด้วยความที่กลัวน้องจะน้อยใจ ปราณันต์จึงต้องเอ่ยถามออกมาอย่างอ่อนโยน เพราะไม่อยากให้แฝดคนพี่คิดว่าตนเองได้รับในสิทธิพิเศษน้อยกว่าน้องคนเล็ก

“ไม่เป็นไรครับ ปุณณ์เดินจูงมือไปกับพี่ปราณได้ พี่ปราณตัวเล็ก อุ้มปุณณ์ไม่ไหวหรอก”

เจ้าตัวน้อยตอบออกมาอย่างฉะฉาน ไม่มีความน้อยใจหรืออิจฉาในน้ำเสียง มีแต่ความเข้าใจอย่างที่หาได้ยากเหลือเกินในเด็กวัยเดียวกัน

“ให้พี่ครามอุ้มพี่ปุณณ์บ้างก็ได้นะครับ เดี๋ยวปัณณ์ลงไปเดินกับพี่ปราณเอง”

ส่วนเจ้าตัวน้อยคนน้องก็ไม่น้อยหน้า ปัณณธรแสดงความมีน้ำใจและเอื้ออาทรรวมถึงเป็นห่วงเป็นใยให้กับพี่ชายทั้งสองของตนเองไม่ต่างกัน ซึ่งคำพูดน่ารักๆ ที่ออกมาจากปากจิ้มลิ้มนั้น เรียกเอารอยยิ้มจากผู้ใหญ่ที่เหลือทั้งสองได้เป็นอย่างดี

ปราณันต์ภูมิใจในตัวน้องทั้งสองมาก ที่นอกจากจะไม่เคยทะเลาะกันให้เขาต้องเหนื่อยใจแล้ว เด็กฝาแฝดคู่นี้ยังรักกันและกันมากเหลือเกิน ซึ่งทำให้เขาได้แต่คิดในใจ ต่อให้เขาต้องเจอโชคร้ายไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยเรื่องในชีวิต แต่ขอแค่ให้เขาเจอเรื่องโชคดีเพียงเรื่องเดียวอย่างเช่นเรื่องแก้วตาดวงใจทั้งสองของเขานี้ ปราณันต์ก็คงไม่ต้องการเรื่องโชคดีอะไรอีกแล้ว

“พี่ปราณขอบคุณปัณณ์มากเลยนะครับ แต่ปัณณ์ให้พี่ครามอุ้มไปเถอะ อีกนิดเดียวก็ถึงรถแล้ว เดี๋ยวพี่ปราณจะจูงพี่ปุณณ์ไปเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

เจ้าแฝดคนเล็กพยักหน้ารับรู้อย่างแข็งขัน สี่คนเดินคุยหัวเราะเล่นกันจนไปถึงรถ และพอได้เห็นรถยนต์ปุณณกันต์ก็ร้องว้าวตาโตออกมาอย่างชอบใจ

“วันนี้ได้นั่งรถเก๋งด้วยหรอครับพี่ปราณ” แฝดคนพี่กระตุกมือพี่ชายถี่ๆ รัวๆ ด้วยเพราะทุกครั้งเวลาพาน้องไปไหนมาไหน ปราณันต์จะใช้รถโดยสารสาธารณะ เช่นรถประจำทางหรือรถไฟใต้ดินตลอด น้อยครั้งมากที่จะนั่งแท๊กซี่

เด็กๆ เองก็คงอยากจะนั่งรถสบายๆ ไม่ต้องเบียดกับคนอื่น ถ้าคราวไหนได้นั่งแท๊กซี่ไป วันนั้นน้องๆ ของเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่เอาเข้าจริงฝาแฝดก็ไม่เคยบ่นหรอกไม่ว่าเขาจะพานั่งรถอะไร ปราณันต์เลยคิดว่าเด็กๆ คงจะโอเคดีกับการนั่งรถสาธารณะ แต่พอวันนี้ได้เห็นอาการของปุณณกันต์ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าลึกๆ แล้วเด็กๆ ก็คงอยากเดินทางสะดวกบ้าง นั่นทำให้ตัวเขาเองรู้สึกผิดกับน้องชายฝาแฝดไม่น้อย

“ปุณณ์ ปัณณ์ ชอบนั่งรถเก๋งหรอครับ” ปราณันต์ค่อยๆ เอ่ยถามอย่างใจดี เพราะไม่อยากให้น้องรู้สึกว่าตนเองไปคาดคั้นอะไร

“ปุณณ์นั่งรถอะไรก็ได้ครับ แต่ปุณณ์ไม่อยากให้พี่ปราณลำบาก ถ้าได้นั่งรถสบายๆ แบบนี้พี่ปราณก็จะไม่เหนื่อยมากที่ต้องดูแลเราสองคน”

เด็กน้อยตอบอย่างไร้เดียงสา ทำเอาคนฟังอย่างพี่ชายอดน้ำตาคลอไม่ได้ น้องๆ ไม่ได้นึกถึงแค่ตัวเอง แต่เด็กๆ ยังคิดเป็นห่วงเขาเสมอไม่ต่างที่เขาเป็นห่วงเจ้าตัวน้อยทั้งสองเลย

คามินยืนฟังเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ออกความเห็นอะไร เพราะไม่อยากให้ปราณันต์คิดว่าเขาล้ำเส้น ก่อนจะพาปัณณธรเข้าไปนั่งประจำที่ด้านเบาะหลัง ปราณันต์เองก็เช่นกัน เขาพาปุณณกันต์ไปนั่งอย่างเรียบร้อย ก่อนจะคาดเข็ดขัดให้เด็กๆ แล้วจากนั้นก็พาตัวเองเองมานั่งด้านหน้าคู่กับพี่ครามของฝาแฝดทั้งสอง

และก่อนจะออกรถ จู่ๆ คนที่ตัวโตที่สุดในรถก็เอ่ยขึ้น

“วันนี้เพื่อเป็นการฉลองที่พี่ครามได้มารับปุณณ์กับปัณณ์ที่โรงเรียนครั้งแรก เราจะไปทานไอศครีมกันดีไหมครับ”

“ดีครับดี เย่ๆ” ปัณณธรชูแขนอย่างชอบอกชอบใจเมื่อได้ยินว่าพี่ครามจะพาไปทานของโปรดที่นานๆ เขากับพี่ชายฝาแฝดจะได้ทานสักทีหนึ่ง

“แต่ผมว่า...” ปราณันต์กำลังจะพูดขัด เพราะลำพังแค่คามินพามารับฝาแฝด แล้วไหนจะพาไปส่งบ้านอีก เขาก็เกรงใจจะแย่แล้ว แต่นี่จะพาไปทานไอศครีมอีก มันน่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป

แต่พอหันไปเห็นดวงตากลมโตสองคู่ที่กำลังมองมาที่เขาอย่างคาดหวังแล้ว เขาก็ต้องยั้งปากไว้ไม่ให้พูดออกไป เพราะตัวปราณันต์เองก็รู้ดีว่า ถึงแม้เขาจะปฎิเสธคามินและไม่พาฝาแฝดไป เด็กๆ ก็คงยอมและไม่งอแงหรอก แต่ด้วยความสงสารน้องก็ทำให้ปราณันต์ก็เกิดปากหนักขึ้นมา เพราะนี่มันก็นานมากแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้พาเด็กๆ ไปทานไอศกรีม พอนึกได้แบบนั้นปราณันต์เลยได้พรูลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมรับสภาพ

“ถ้าอย่างนั้น ผมรบกวนคุณหน่อยนะครับ ผมเองก็ไม่ได้พาน้องไปทานไอศครีมนานแล้ว เด็กๆ คงจะอยากทานไม่น้อย”

พอได้ยินว่าพี่ชายอนุญาต เด็กทั้งสองก็แปะมือกันอย่างยินดี ปราณันต์หันไปมองน้องๆ แล้วได้เห็นรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าน่ารักๆ นั่น ก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่ยอมให้เด็กๆ ได้ไปทานไอศครีม

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 08-11-2020 21:54:29
(อ่านต่อจากด้านบน)


ตอนนี้คามิน ปราณันต์ ปุณณกันต์แฝดคนพี่และปัณณธรแฝดคนน้อง นั่งอยู่ในร้านไอศครีมเล็กๆ ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ของสามพี่น้องท่าไหร่นัก เด็กทั้งสองดูอารมณ์ดีมาก พูดคุยจ้อไม่หยุดโดยเฉพาะปัณณธรแฝดคนน้องกำลังเล่าให้ปราณันต์ฟังว่าวันที่ฉีดวัคซีนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปากอิ่มเล็กๆ เจื้อยแจ้วอย่างน่าเอ็นดู และก่อนที่ปัณณธรจะเล่าไปไกลกว่านี้ คามินต้องรีบเบรก เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไม่ได้ทานไอศครีมกันไปเสียก่อน

“ปัณณ์ครับ หนูอยากทานไอศครีมรสอะไรครับ บอกพี่ครามก่อน เดี๋ยวค่อยเล่าต่อ” คามินถามขำๆ ตอนเห็นตากลมโตหันมาหาเขาอย่างยินดี พอรู้ว่าจะได้สั่งไอศครีมรสที่ตัวเองชอบ

“พี่ปุณณ์ๆ พี่ปุณณ์อยากกินไอติมรสอะไรหรอ บอกพี่ครามสิ เที่ยวนี้ปัณณ์ให้พี่ปุณณ์เลือก”

ฝาแฝดคนน้องรีบหันไปถามคนพี่ทันทีหลังจากที่พี่ครามอนุญาตให้สั่งไอศครีมรสที่ชอบได้ เป็นผลให้คามินต้องขมวดคิ้วงงๆ ว่าทำไมปัณณธรต้องไปถามปุณณกันต์แบบนั้นด้วย

“ปัณณ์ไปถามปุณณ์ทำไมล่ะครับ” คามินพูดย้ำกับเจ้าตัวน้อยอีกครั้ง “ปัณณ์อยากทานรสไหนก็สั่งเลย ปุณณ์ก็เหมือนกันนะ อยากทานรสไหนก็สั่งได้เลย พี่ครามจะสั่งให้คนละถ้วย”

ตากลมโตของฝาแฝดที่โตอยู่แล้วกลับเบิกกว้างขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าจะได้ทานไอศครีมแยกกันคนละถ้วย

“เราสั่งแยกรสกันได้หรอครับพี่คราม” ปุณณกันต์ถามออกมาอย่างแปลกใจปนดีใจเล็กๆ ทำเอาคามินงุนงงไม่น้อย

“แล้วปกติไม่ได้สั่งแยกกันหรอครับ” พี่ครามของเด็กๆ ถามออกไปอย่างงงๆ ปราณันต์เองเลยต้องเป็นคนตอบแทนเด็กๆ ตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ กับเหตุการณ์ที่เขาเองเข้าใจเป็นอย่างดี

“ปกติเวลาไปทานไอศครีม ปุณณ์กับปัณณ์จะสั่งแล้วทานด้วยกันครับ”

คามินชะงักไป เมื่อได้ฟังปราณันต์พูด เพียงได้ยินเท่านี้เขาก็พอจะเดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้แล้ว

“ผม... ต้องใช้เงินอย่างประหยัดน่ะครับ บางทีก็สงสารน้องที่ต้องมานั่งแบ่งไอศครีมถ้วยเดียวกันทาน แต่ทำไงได้ล่ะครับ ผมเองก็จนใจ”

ปราณันต์ยิ้มเศร้าๆ พลางยื่นมือเล็กไปลูบศีรษะทุยๆ ของปุณณกันต์และปัณณธรเหมือนต้องการจะขอโทษ และพอคามินมองเห็นความอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับปราณันต์แล้ว คามินจึงเลือกที่จะคลี่คลายบรรยากาศให้ดีขึ้นแทน

“งั้น... วันนี้สั่งคนละรสได้เลยนะครับเด็กๆ” คามินพูดพลางยิ้มโชว์เขี้ยวทั้งสองข้าง “พี่ครามจะให้เป็นรางวัลที่ปุณณ์ทำให้ปัณณ์ยอมฉีดยาได้โดยไม่งอแง แล้วอีกถ้วยก็ให้ปัณณ์เป็นรางวัลที่กล้าหาญ ยอมฉีดยาถึงแม้ว่าจะกลัว”

ปราณันต์เองพอได้ยินแบบนั้นก็หันมายิ้มบางๆ ให้คามินอย่างรู้สึกขอบคุณในใจ เขารู้สึกซาบซึ้งไม่น้อยกับการกระทำของคามิน คามินไม่ได้แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจเขาเสียจนเกินกว่าเหตุ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ปราณันต์สมเพชตัวเอง แต่คามินเลือกที่จะเปลี่ยนความน่าอึดอัดนี้ให้เป็นการให้รางวัลแก่สองฝาแฝดแทน

“ปุณณ์เอารสช็อคโกแลตครับ!”

“ปัณณ์เอารสสตรอว์เบอร์รี่ครับ!”

ฝาแฝดทั้งสองตอบเสียงดังฟังชัด มือน้อยๆ ของเด็กทั้งสองจับช้อนตักไอศครีมไว้แน่น ด้วยท่าทางที่พร้อมจะรับประทานแล้วนับตั้งแต่วินาทีนี้

“แล้วพี่ชายของปุณณ์กับปัณณ์ทานไอศครีมรสอะไรดีครับ” คามินถามยิ้มๆ ล้อๆ ปราณันต์จึงยิ้มตอบให้คามินอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะตอบเสียงใส

“ของผมก็เอารสสตรอว์เบอร์รี่ครับ”

พอได้เมนูครบคามินก็หันไปสั่งกับพนักงานเสิร์ฟ และทันทีที่ไอศครีมถูกยกมาวางที่โต๊ะ เด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองก็ลงมือทานอย่างเรียบร้อยน่ารัก มีตักแบ่งไอศรีมให้กันบ้าง มีพูดคุยหยอกล้อเล่นกันบ้าง มองแล้วช่างน่าเอ็นดู

“ปัณณ์ทานดีๆ สิครับ ปากหนูเลอะหมดแล้ว” ปราณันต์เอื้อมมือที่ถือกระดาษชำระไว้ ไปเช็ดปากเล็กๆ ของน้องชาย เพื่อทำความสะอาด

และเมื่อคามินเงยหน้าขึ้นไปก็ได้เห็นริมฝีปากอิ่มสีแดงสดของปราณันต์ก็กำลังเลอะไม่ต่างจากน้องชายสักนิด นั่นทำให้เขาเผลอหลุดหัวเราะออกมาทันที ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับปราณันต์ไม่น้อย และพอผ่านไปไม่ถึงอึดใจ ความสงสัยของปราณันต์ก็ได้รับคำตอบ เมื่อมือใหญ่ของคามินค่อยๆ เลื่อนมาปาดไอศกรีมจุดเล็กๆ ที่มุมปากของเขาออกเบาๆ ทำเอาคนที่ถูกดูแลถึงกับหน้าแดงและเขินอย่างควบคุมไม่อยู่ และที่หนักไปกว่านั้น แทนที่คามินจะเช็ดทำความสะอาดเอาไอศครีมที่เลอะมือออก คามินกลับส่งนิ้วมือข้างที่เลอะนั้นเข้าปากแทน ทำเอาปราณันต์เขินจนใจเต้นแรงแทบหลุดออกมาจากอก สุดท้ายจึงต้องรีบทานรีบอิ่ม เพื่อหลีกให้พ้นกับสถานการณ์ที่น่าอายนี้แทน

.

.

.

และหลังจากทานไอศครีมอิ่มหนำกันเรียบร้อย คามินก็อุ้มแฝดคนน้องที่ตอนนี้กำลังคึกคักหลังจากได้ทานของโปรดเข้าไป

“ไปไหนต่อดีครับพี่คราม?” ขณะที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ ปัณณธรก็ถามอย่างออดอ้อนเพราะเจ้าตัวเล็กรู้ดีว่าพี่ครามจะตามใจตนมากกว่าพี่ปราณเป็นแน่

“อืม... สงสัยต้องได้เวลากลับบ้านแล้วแหละครับ” คามินตอบยิ้มๆ เพราะต้องการลองเชิงเจ้าเด็กน้อย

“งื้อ ปัณณ์ยังไม่อยากกลับเลยอ่ะ” เจ้าแฝดคนน้องแสนฉลาด หันไปหาแฝดคนพี่เพื่อหาพรรคพวกสนับสนุนความคิดของตัวเอง “พี่ปุณณ์ๆ พี่ปุณณ์อยากกลับบ้านรึยังอ่า?”

ปราณันต์แอบยิ้มขำตอนเห็นท่าทางของฝาแฝด หน้าปุณณกันต์นี่ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่ายังไม่อยากกลับเหมือนกับน้อง แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ใช่คนช่างพูดอะไรมาก ก็เลยยังไม่กล้าโวยวายเหมือนปัณณธร แต่ก็คงเป็นอย่างที่คนอื่นว่า ฝาแฝดมักจะรู้ใจกันดีกว่าใคร ปัณณธรน้อยจึงตะโกนลั่น พูดเองเสร็จสรรพว่าแฝดคนพี่คิดเหมือนตน

“พี่ปุณณ์ก็ยังไม่อยากกลับนะพี่คราม ปัณณ์รู้แต่พี่ปุณณ์ไม่พูดหรอก”

ตอนนี้ไม่ใช่แค่ปราณันต์แล้วที่กำลังกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย คามินเองก็ไม่ต่าง รายนั้นไม่ได้พยายามจะกลั้นขำแต่อย่างใด เขาหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ พลางใช้จมูกโด่งซุกไซ้ไปที่แก้มนิ่มของเจ้าตัวน้อยทันทีที่ได้ยินถ้อยคำฉอเลาะเหล่านั้น

“ฮ่าๆ พูดเก่งจังนะเรา” คามินยังคงยิ้มและหอมแก้มซ้ายขวาของปัณณธรไม่หยุด “ถ้ายังไม่อยากกลับแล้วปัณณ์อยากไปไหนครับ นี่ก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย”

พี่ครามของเด็กๆ แกล้งถาม ทำเอาใบหน้าน่ารักๆ นั่นยู่ไปยู่มาอย่างพยายามใช้ความคิด

จริงๆ แล้วปัณณธรก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยากไปไหนเป็นพิเศษรึป่าว แต่ที่รู้คือปัณณธรยังไม่อยากกลับบ้าน นานๆ จะได้ออกมาเที่ยวสักที เลยอยากออกไปนู่นไปนี่ให้นานขึ้นหน่อย

“ไม่รู้สิครับ แต่นานๆ จะได้ไปเที่ยวสักที ปัณณ์เลยยังไม่อยากกลับบ้าน”

เจ้าตัวแสบพูดเสียงเศร้า ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองขำไม่ออก โดยเฉพาะคนเป็นพี่อย่างปราณันต์ที่เงียบไปทันทีหลังจากได้ยินน้องชายพูดจบ

ปราณันต์ไม่โทษน้องเลยสักนิดที่มีความคิดแบบนั้น เด็กยังไงก็ยังคงเป็นเด็กวันยังค่ำ เจ้าตัวน้อยก็คงอยากมีช่วงเวลาสนุกสนานเหมือนเด็กคนอื่นทั่วๆ ไป แต่มันผิดที่เขาเองที่ไม่มีทั้งเวลา และไม่มีทั้งเงินมากมายที่จะพอฟุ่มเฟือยพาน้องไปนู่นมานี่ได้บ่อยๆ เท่าที่ทำได้ก็คือนานๆ ครั้งจะพาฝาแฝดทั้งสองออกไปเที่ยว ไปกินขนม ไปเปิดหูเปิดตาสักครั้ง เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่แปลกที่พอได้ออกมาเที่ยวข้างนอกแล้ว ปุณณกันต์กับปัณณธรจะติดใจจนอยากจะดึงเวลาไว้นานๆ แบบนี้

และในขณะที่ปราณันต์กำลังอึกอัก และพูดไม่ออกอยู่นั้น คามินที่เข้าใจในสถานการณ์ของทุกฝ่ายดีกว่าใครทั้งหมด ก็ปล่อยปัณณธรน้อยที่เขาอุ้มอยู่ให้ยืนลงบนพื้น ก่อนที่ตัวเองย่อตัวลงให้ความสูงเทียบเท่ากับเจ้าตัวแสบ จากนั้นก็จับใบหน้าน้อยๆ นั่นให้หันมาทางตน

“เอางี้ดีไหมครับปัณณ์ พรุ่งนี้วันเสาร์เราไปเที่ยวกัน ไปกันสี่คนเลย พี่ครามจะไปรับแต่เช้า โอเคไหม”

ปัณณธรเบิกตากว้างขึ้นด้วยความดีใจ เจ้าฝาแฝดคนน้องผละออกจากพี่ครามแล้ววิ่งไปหาแฝดคนพี่ที่ปราณันต์จับจูงไว้อยู่ ก่อนที่จะเขย่าแขนปุณณกันต์อย่างยินดีที่ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะได้ออกมาเที่ยวอีกครั้ง

“พี่ปุณณ์ๆ พี่ปุณณ์ได้ยินที่พี่ครามพูดไหม” ปุณณกันต์ยิ้มให้ฝาแฝดตัวเอง ที่ตอนนี้กำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากได้ยินว่าจะได้ไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้

“อื้อ ได้ยินแล้ว” ปุณณกันต์พยักหน้ารับ ก่อนที่ปัณณธรจะวิ่งตัวปลิวมาจับมืออีกข้างของปราณันต์ แล้วพูดน้ำเสียงออดอ้อนใส่พี่ชายคนโต

“พี่ปราณๆ พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะ เดี๋ยวปัณณ์จะเป็นคนดูแลพี่ปราณเอง พี่ปราณไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พี่ปราณพักผ่อน ปัณณ์กับพี่ปุณณ์จะทำให้” ปราณันต์ขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความแปลกใจปนไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าตัวน้อยพูด

“ทำไมล่ะครับ หื้ม?”

“ก็...” ปัณณธรทำท่าคิดนิดนึง ก่อนจะตอบออกมาอย่างชาญฉลาด “พี่ปราณต้องทำงานหนักทุกวันเลย ปัณณ์อยากให้พี่ปราณได้เที่ยว พี่ปราณจะได้ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเหนื่อย ให้เราสองคนเป็นดูแลพี่ปราณแทน เนาะๆ พี่ปุณณ์เนาะ”

แฝดคนพี่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแข็งขัน และด้วยคำพูดบวกกับท่าทางเอาจริงเอาจังของเด็กทั้งสอง ทำเอาน้ำตาของพี่ชายคนโตตีตื้นขึ้นมาคลอหน่วย เขาเข้าใจผิดไป ดันคิดว่าเจ้าตัวน้อยอยากออกไปเที่ยวเพราะอยากจะสนุกสนานเหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่พวกเด็กๆ อยากออกไปเที่ยว กลับเป็นเพราะต้องการให้เขาได้พักผ่อน ได้ปล่อยวางจากงานหนักมากกว่า

พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์ก็รวบเด็กทั้งสองเข้ามาในอ้อมกอด เขาจูบที่ขมับน้อยๆ ของเด็กฝาแฝดอย่างสุดรัก ฝาแฝดที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเขา ยิ่งได้ยินแบบนั้น ยิ่งทำให้ปราณันต์คิดว่าตัวเองคิดไม่ผิด ว่าเด็กแฝดคือเรื่องโชคดีเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา ช่างเป็นของขวัญที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกจริงๆ

คามินมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรักของสามคนพี่น้องช่างสวยงามและดูมีค่ายิ่งกว่าเงินหลายหมื่นล้านแสนล้านที่เขาครอบครองและมีอยู่ เขาอดอิจฉาความรักและความเอาใจใส่ที่ทั้งสามมีให้กันและกันไม่ได้ แม้ฝาแฝดจะยังเด็กแต่ก็รู้ความและรู้จักเป็นห่วงเป็นใยพี่ชายตัวเอง ปราณันต์เองก็เหมือนกัน ถึงแม้จะผ่านอะไรมามาก ปราณันต์ก็ยังคงเข้มแข็งและอดทนอย่างกล้าหาญ เป็นผู้ชายตัวเล็กๆ ที่พร้อมจะปกป้องและกางปีกโอบอุ้มเด็กฝาแฝดทุกลมหายใจ ความรักที่ครอบครัวนี้มีให้กัน สามารถทำให้คนที่หัวใจเย็นชาอย่างเขา ซาบซึ้งและอดละอายใจกับเรื่องที่ตัวเองกำลังทำกับพี่ชายคนโตของครอบครัวนี้ไม่ได้

หลังจากที่แสดงความรักให้กันเรียบร้อย ปราณันต์ก็หันมาหาคามินที่ตอนนี้กำลังยืนนิ่งเหมือนคนที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง ปราณันต์กระซิบเรียกคามินเบาๆ จนอีกฝ่ายได้สติ

“ว่าไงครับคุณปราณันต์”

“ผม.. ขอบคุณคุณมากนะครับ” ปราณันต์ยิ้มตาหยี พร้อมกับกล่าวขอบคุณผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างซาบซึ้งน้ำใจ

“ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ” คามินพูดถ่อมตัว แม้จะรู้ดีว่าปราณันต์พูดขอบคุณเขาเรื่องอะไร แต่เอาเข้าจริงเขาก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ นั่นแหละ ทั้งหมดเป็นความฉลาดและน่ารักของฝาแฝดทั้งสองทั้งนั้น ข้อนี้เป็นสิ่งที่คามินปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

“นั่นแหละครับ ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณ” แววตาคมมองสบไปที่แววตากลมโตนิ่ง ประกายตาสดใสของปราณันต์ไหววูบเมื่อมองเห็นความจริงจังจากสายคมแสนมีเสน่ห์คู่นั้น ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าในใจของปราณันต์นั้นอ่อนลงมากเพียงใด ปราการของกำแพงที่ตั้งไว้ ตอนนี้โงนเงนแทบไม่เหลือท่า คามินกำลังเข้ามาช่วงชิงพื้นที่ในหัวใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์จนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม

.

.

.

พอเข้ามานั่งในรถเรียบร้อย และเตรียมจะออกเดินทางกลับอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์นั้น คามิน ท่านประธานใหญ่ก็เกิดได้ไอเดียดีๆ อะไรบางอย่างขึ้นมา ความคิดนี้เขามั่นใจว่านอกจากจะซื้อใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์ได้แล้ว ยังทำให้เขาสามารถถ่วงเวลาอยู่กับอีกฝ่ายได้อีกสักพักใหญ่ทีเดียว

“คุณปราณันต์ครับ ผมคิดว่าเราเอางี้ดีไหมครับ” คนถูกเรียกหันมามองจิ่งอวี๋ช้าๆ พร้อมๆ กับที่ดวงตากลมโตเพ่งไปที่ใบหน้าคมคายอย่างกำลังตั้งใจฟัง

“มีอะไรหรอครับ”

“พรุ่งนี้เราอย่าไปทานอาหารในร้านอาหารกันเลยครับ” คามินพูดยิ้มๆ แต่คนฟังอย่างปราณันต์กลับไม่ยิ้มด้วย ไหนว่าจะให้เขาเลี้ยงไง ทำไมทำท่าเหมือนกับจะปฏิเสธกันอีกแล้ว กี่ครั้งกี่หนแล้วที่คามินหลบเลี่ยง เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะดูถูกเขาหรอก แต่สัญญาต้องเป็นสัญญา เขาไม่ได้ยากจนจนถึงขั้นไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายค่าอาหารสักมื้อให้กับคนที่ช่วยเหลือเขามาตลอดสักหน่อย

ปราณันต์ได้แต่คิดอย่างหงุดหงิดในใจ ทำไมต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กับคนที่เขากำลังรู้สึกดีๆ ด้วยนะ

“เอาอีกแล้วนะครับ คุณกำลังดูถูกผมนะ” ปากอิ่มสีสดร้อง ‘ชิ’ ออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นออกอย่างกับต้องการแสดงออกว่าตนไม่พอใจ

“ฮ่าๆ” คามินหัวเราะอย่างขบขัน เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของปราณันต์ “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดครับ ยังไงคุณก็ต้องเลี้ยงผมแน่ๆ ผมไม่ยอมปล่อยคุณไปหรอก”

แค่นั้นก็ทำให้ปราณันต์ยิ้มออก สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบคือการที่ทุกคนมาทำท่าเห็นอกเห็นใจเขาเกินไป เขาไม่ได้สิ้นไร้ขนาดนั้น สิ่งที่ปราณันต์ต้องการคือการใช้ชีวิตปกติ ช่วยเหลือเขาได้ แต่เอาเท่าที่จำเป็น ไม่ต้องถึงขั้นกับโอบอุ้มกันมากเกินไป

“อ่าว แล้วที่คุณบอกว่าไม่ต้องไปทานข้าวที่ร้านอาหารแล้ว มันหมายความว่ายังไงหรอครับ”

“ตอบคำถามผมก่อน คุณพอทำอาหารเป็นไหม” คามินตอบคำถามปราณันต์กลับด้วยคำถาม ทำเอาอีกฝ่ายงุนงงไม่น้อย

“เป็นครับ ทำไมหรอ ปกติผมก็ทำให้ฝาแฝดทานประจำอยู่แล้ว”

“ถ้างั้น เราเปลี่ยนแผนกันดีกว่าครับ” คามินส่งยิ้มวาบวับอย่างเจ้าเล่ห์มาให้ ปราณันต์ได้แต่เกาศีรษะงงๆ เพราะไม่รู้ว่าคามินต้องการอะไร

.

.

.

ตอนนี้ทั้งสี่คนได้มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง ปุณณกันต์กับปัณณธรดี๊ด๊าหนักกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าจะได้มาเดินช็อปปิ้งต่อ ยังไม่ต้องกลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ และจะว่าไปอารมณ์ดีๆ ของพี่ชายคนโตก็คงไม่ต่างจากน้องๆ เท่าไหร่ เพราะตอนนี้ปากอิ่มๆ ของปราณันต์เหมือนจะมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ตลอด เมื่อหวนคิดถึงบทสนทนาบนรถที่ได้คุยกับคามินก่อนที่จะมาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้

เปลี่ยนแผน เปลี่ยนเป็นอะไรหรอครับ?’ ปราณันต์ถามอย่างงงๆ ปนสงสัย

‘พรุ่งนี้เราเปลี่ยนจากทานในร้านอาหารแคบๆ น่าเบื่อๆ เป็นไปปิคนิคที่สวนสาธารณะกันดีไหมครับ’ คามินเสนอความคิดที่ปราณันต์ฟังแล้วรู้สึกคล้อยตามอย่างมาก

‘ฝาแฝดจะได้ไปวิ่งเล่น ไปปั่นจักรยานเล่นด้วย ผมว่าน่าสนุกดีออก’

คามินเสนอไอเดียที่ปราณันต์เองต้องยอมรับว่าน่าสนใจมาก และเขาก็รู้ดีว่านอกเหนือจากเหตุผลที่คามินบอกมาแล้ว มันยังมีมากกว่านั้น คือคามินอยากจะช่วยเขาเรื่องประหยัดค่าใช้จ่าย ถ้าต้องกระเตงๆ กันไปทานในร้านอาหารสี่คน ราคาต้องไม่น้อยแน่ แต่ถ้าเลือกที่จะทำอาหารเอง เราก็แค่ซื้อวัตถุดิบเพิ่มไม่กี่อย่าง แถมปริมาณอาหารที่ได้ก็จะมากกว่า แล้วใช้เงินน้อยกว่าเยอะด้วย

แต่การที่จะหักหน้าปราณันต์โดยบอกว่าไม่ให้เลี้ยงอีก คงจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะคามินเองก็เลี่ยงมาหลายครั้งแล้ว เพราะฉะนั้นทางออกนี้คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ได้ทั้งการรักษาน้ำใจปราณันต์ อีกยังช่วยไม่ให้ปราณันต์ต้องใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นด้วย

ปราณันต์แอบอมยิ้มกับความเจ้าเล่ห์แสนฉลาดของคามิน เขาเองก็รู้สึกขอบคุณคามินอยู่ลึกๆ ที่เสนอทางเลือกนี้ขึ้นมา และด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล ก็ทำให้ปราณันต์ไม่เห็นว่าจะต้องปฎิเสธ ในที่สุดจึงตอบตกลงไป

‘โอเค เอางั้นก็ได้ครับ’


และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมทั้งสี่คนถึงได้มาแวะที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ นั่นก็เพราะว่าปราณันต์จำเป็นต้องหาซื้อวัตถุดิบเพิ่มหลายอย่างเพื่อนำไปทำอาหารที่จะไปปิคนิคกันในวันรุ่งขึ้น ซึ่งถ้าคำนวณแล้วน่าจะถูกและคุ้มค่ากว่าไปทานที่ร้านอาหาร แถมยังเลือกเมนูที่อยากทานได้หลากหลายอีกด้วย

“คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ปราณันต์ถามขึ้นในขณะที่คามินกำลังเข็นรถเข็นเดินตามเขาอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยมีปัณณธรนั่งอยู่ตรงที่พักด้านหน้ารถเข็น ส่วนปุณณกันต์ก็กำลังจับราวรถเข็น เพื่อช่วยพี่ครามไถรถไปข้างหน้าอย่างสนุกสนาน

“อะไรก็ได้ครับ ผมทานได้หมด แต่คิดว่าทำอาหารที่ฝาแฝดชอบจะดีกว่า” คามินตอบคำถามพลางยิ้มแย้มให้ปราณันต์อย่างน่ามอง ก่อนที่ร่างสูงจะทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “อ้อ! แต่ขอให้ทำเยอะหน่อยนะครับ พอดีผมทานจุ ฮ่าๆๆ”

ปราณันต์เองพอได้ยินแบบนั้นก็อดขำขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน

จากนั้นทั้งสี่คนก็พากันช็อปนู่นซื้อนี่ โดยมีปุณณกันต์กับปัณณธรเป็นกระบอกเสียงตะโกนว่าตัวเองอยากทานอะไร และมีผู้ใหญ่ทั้งสองคอยตามใจ เลือกหยิบวัตถุดิบที่จะนำมาประกอบอาหารให้เจ้าตัวเล็กในวันพรุ่งนี้อย่างไม่อิดออด แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ใช้ร่วมกัน แต่ปราณันต์กลับคิดว่ามันช่างวิเศษเหลือเกิน

ไม่ว่าเขาจะก้าวย่างไปทางไหน คามินจะคอยดูแลและเป็นห่วงเป็นใยเสมอ คอยถามคอยเอาใจใส่ ของชิ้นไหนหยิบไม่ถึง ร่างสูงก็จะเอื้อมหยิบให้ ไหนจะช่วยดูแลเจ้าฝาแฝดน้อยทั้งสองที่วิ่งไปทางนู้นที ทางนั้นที ด้วยเพราะอารมณ์ดีจากการที่ได้ออกมาข้างนอกซึ่งไม่บ่อยนักที่เด็กๆ จะได้เที่ยวเล่นแบบนี้ ปราณันต์รู้สึกว่าทุกอย่างมันบางเบาลงเมื่อมีคามินเข้ามาในชีวิต คามินช่วยเหลือเขาทุกอย่าง ทำให้เขารู้สึกว่าอย่างน้อยก็มีคนเข้ามาคอยห่วงใยครอบครัวเขาเพิ่มขึ้นอีกคน นอกเหนือจากอนาวินที่เป็นเพียงเพื่อนรักคนเดียวของเขาเอง

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 08-11-2020 21:57:53
(อ่านต่อจากด้านบน)


หลังจากซื้อของครบเรียบร้อย ทั้งสี่ก็เตรียมขับรถกลับอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งขณะนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว และดูเหมือนกับว่าเจ้าตัวแสบทั้งสองจะหมดแรงจนหลับทับกันไปกันมาอยู่ที่เบาะรถด้านหลัง และถึงแม้ว่าจะกำลังนอน ฝาแฝดน้อยทั้งสองก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่ริมฝีปาก ปราณันต์หันไปมองเห็นใบหน้าที่มีความสุขแม้แต่ยามหลับใหลของแฝดทั้งสองแล้วก็อดดีใจไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่เด็กๆ ไม่ได้ดูมีความสุขและสนุกสนานแบบนี้

ปราณันต์หันมามองคนข้างตัวที่กำลังขับรถอยู่อย่างรู้สึกขอบคุณ เขามองใบหน้าด้านข้างที่แสนหล่อเหลานิ่ง คามินเองก็เหมือนจะรู้ตัว เพราะตอนนี้มุมปากหยักกำลังยกยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างชอบใจ

“จ้องกันขนาดนี้ แปลว่าตกหลุมรักผมแล้วใช่ไหมครับ” คามินแกล้งแซวปราณันต์ทีเล่นทีจริง โดยที่สายตาคมยังไม่ได้ละออกมาจากการมองถนนเลย

ปราณันต์สะดุ้งโหย่งไม่คิดว่าคามินจะรู้ตัวว่าถูกเขาแอบมองอยู่ ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีแดงระเรื่อ ขนาดที่ว่าอยู่ในที่มืดก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน

“เปล่ามองคุณสักหน่อย ผมมองข้างทางต่างหาก” ปากอิ่มบ่นอุบขมุบขมิบ มือเล็กๆ เกาแก้มเกาคอให้วุ่นวายไปหมด และท่าทางน่าเอ็นดูแบบนั้นยิ่งทำให้คามินรู้สึกอยากฟัดเข้าไปใหญ่ พี่ชายคนโตแทบไม่ได้ต่างอะไรกับน้องฝาแฝดคนเล็กเลยแม้แต่นิด

ระหว่างทางคามินก็ขับรถไปเรื่อยๆ โดยมีปราณันต์นั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนไปตลอดทาง แม้ว่าระหว่างคนทั้งสองจะไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าในบรรยากาศเงียบๆ นั้น ความเข้าใจและความรู้สึกดีๆ ต่อกัน กำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แม้ว่าทั้งสองจะเพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานก็ตาม

.

.

.

ไม่นานต่อมา คามินก็ขับรถมาจอดที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์ในที่สุด เจ้าตัวแสบทั้งสองยังคงหลับปุ๋ย ตอนแรกกะว่าจะอุ้มเด็กๆ ขึ้นห้องทั้งๆ ที่หลับไปแบบนี้เลย แต่มาคิดอีกที เจ้าตัวน้อยทั้งสองยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเลย ยังไงก็คงต้องปลุกให้ตื่นอยู่ดี เลยตัดสินใจให้ตื่นตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า ไม่อยากไปปลุกข้างบน เดี๋ยวจะพาลงอแงเอา

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตื่นเร็ว ถึงบ้านแล้วนะ”

เด็กน้อยทั้งสองค่อยๆ ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มือเล็กๆ ของเด็กทั้งสองขยี้หู ขยี้ตาตัวเองให้วุ่น ผมของเจ้าตัวน้อยทั้งสองตั้งชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง จนคนเป็นพี่เห็นแล้วอดขำไม่ได้ ต้องยื่นมือของตัวเองไปลูบศีรษะเล็กๆ กลมๆ ทั้งสอง เพื่อจัดทรงผมของฝาแฝดให้เข้าที่

“งื้อพี่ปราณ อุ้มหน่อย” ปัณณธรอ้อนพี่ชาย น่าจะเป็นงอแงเพราะง่วงด้วยส่วนหนึ่ง

ปราณันต์จึงค่อยๆ แงะเจ้าแฝดคนน้องออกจากเบาะด้านหลังรถแล้วอุ้มขึ้นมากอดพาดไหล่ ปัณณธรซบไหล่พี่ชายตัวเองอย่างออดอ้อน เจ้าตัวน้อยยังคงสะลึมสะลืออยู่เลยไม่อยากลงเดินเอง

ส่วนปุณณกันต์ คามินเองก็ช่วยอุ้มออกมาแล้วเช่นกัน แฝดตัวน้อยทั้งสองซบอยู่บนบ่าของพี่ชายทั้งสองนิ่ง คามินจึงอาสาจะไปส่งฝาแฝดและปราณันต์ให้ถึงห้อง

“ผมว่าผมขึ้นไปส่งดีกว่า คุณปราณันต์คนเดียวคงไม่ไหวแน่”

ปราณันต์เองก็ละล้าละลังลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่เพราะไม่อยากให้น้องต้องงอแงไปมากกว่านี้ เลยตัดสินใจตกลงตามข้อเสนอของคามิน

“ได้ครับ ทางนี้เลย”

ปราณันต์เดินนำคามินพาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดของตึก แล้วตรงดิ่งไปที่ห้องพักของครอบครัวที่อยู่เกือบสุดทางเดิน

หลังจากเข้ามาในห้องเรียบร้อย คามินกับปราณันต์ก็จัดการพาฝาแฝดไปที่เตียงนอน แต่กลายเป็นว่าตอนนี้หนึ่งในสองหนุ่มน้อยกลับตื่นเต็มตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มนั้นหลับนิ่งไม่ไหวติง ท่าทางจะปลุกให้ตื่นยาก

“พี่ครามจะกลับแล้วหรอครับ” ปุณณกันต์หนึ่งหนุ่มที่ตื่นขึ้นมาอย่างเต็มตา ถามขึ้นตอนเห็นคามินกำลังจะเดินหมุนตัวออกจากห้อง

“ครับ พี่ครามจะกลับแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมารับแต่เช้านะครับ”

ฝาแฝดคนพี่จึงลุกจากเตียงเล้วเดินไปหาร่างสูง พลางกางแขนออกเพื่อขอให้คามินอุ้มอีกรอบ

คามินเลยเดินวกกลับไปที่เตียงอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวน้อยต้องการอะไร แต่ก็ยอมอุ้มปุณณกันต์ขึ้นมา พอใบหน้าเสมอกันเจ้าตัวน้อยคนพี่ก็ฉกริมฝีปากเล็กๆ ของตัวเองลงบนปากหยักของคามิน ก่อนจะกล่าวอย่างไร้เดียงสา

“กู๊ดไนท์คิสครับ ฝันดีนะครับพี่คราม” คามินที่ตกใจในคราวแรกก็แย้มยิ้มออกมาอย่างชอบใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วจึงกระซิบลงบนใบหูนิ่มของเจ้าแฝดคนพี่

ปุณณกันต์หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ก่อนจะลงจากอ้อมกอดของพี่คราม แล้วเดินไปหาพี่ปราณที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะกางแขนขอให้ปราณันต์อุ้มเช่นกัน

ปราณันต์อุ้มปุณณกันต์ขึ้นอย่างงงๆ และก่อนที่จะได้ถามอะไรนั้น เด็กแสบที่แสนรู้ดีคนนั้น ก็จูบเบาๆ ลงบนปากอิ่มของพี่ชายตัวเอง ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดอย่างไร้เดียงสา


“พี่ครามฝากมากู๊ดไนท์คิสครับ บอกให้พี่ปราณฝันดี ฝันถึงพี่ครามด้วย”


รอยยิ้มที่ถอดแบบมาจากปราณันต์ กำลังถูกส่งออกมาจากอิ่มเล็กๆ อย่างน่ารัก ทำเอาปราณันต์ดุเจ้าตัวแสบไม่ลง

“แก่แดดนักนะปุณณ์ ไปอาบน้ำได้แล้วครับ จะได้นอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ"

“ครับ” ปุณณกันต์พยักหน้ารับก่อนที่ปราณันต์จะปล่อยแฝดคนพี่ลงพื้น เจ้าตัวน้อยวิ่งตื๋อไปเข้าห้องน้ำ แต่ก่อนจะปิดประตู ก็หันมาโบกมือบ๊ายบายให้พี่ครามอีกรอบ

พอน้องหายไปลับตาแล้ว ตากลมของปราณันต์ก็ตวัดมามองเจ้าของความคิดพิเรนทร์ๆ ที่ยืนยิ้มเผล่อยู่กลางห้อง จะดุก็ดุไม่ลง เมื่อเห็นใบหน้าขี้เล่นนั่นส่งยิ้มมาให้ เขาไม่รู้จะทำยังไงทั้งที่ในใจจริงก็เขินจะแย่ เลยต้องรีบไล่คนเจ้าเล่ห์ให้รีบกลับไปได้แล้ว

“ดึกแล้วครับ คุณกลับไปเถอะ พรุ่งนี้ต้องมาแต่เช้าอีก”

คามินมองปราณันต์ด้วยสายตาหวานเชื่อม ทำเอาคนถูกมองอดหนาวๆ ร้อนๆ ไม่ได้ และยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ยิ่งทำให้เขินอายไปกันใหญ่ พาลให้หน้าเน่อหูเหอ แดงไปหมดทุกส่วน

“ไปสิครับ ดึกแล้ว” ปราณันต์แกล้งเดินไปดุนๆ หลังคามินให้ขยับออกจากห้อง คามินอ้อยอิ่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะยอมเดินออกไปได้

ปราณันต์เดินไปส่งคามินถึงหน้าลิฟต์ คามินก็บอกให้ลากันตรงนี้เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ลงไปเพราะมันดึกมากแล้ว หลังจากนัดแนะเวลากันเรียบร้อย คามินก็เดินเข้าลิฟต์แต่ก็ก่อนปิดลิฟต์ก็ไม่วายมาทำเจ้าชู้ใส่ปราณันต์อีกรอบ


“ฝากกู๊ดไนท์คิสไว้แล้ว ... ยังไงก็อย่าลืมฝันถึงผมนะครับ”


คามินพูดพลางยิ้มโชว์เขี้ยวเสน่ห์อย่างคนเจ้าเล่ห์

และก่อนที่ปราณันต์จะเอ่ยปากต่อว่า คามินก็ชิ่งโดยการปิดประตูลิฟต์หนีไปเสียก่อน ปล่อยให้ปราณันต์ยืนพึมพำต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะยิ้มเขินใส่ประตูลิฟต์ทั้งที่หัวใจยังคงไม่หยุดเต้นแรง โดยที่ปราณันต์ไม่ได้รู้เลยว่า คนในลิฟต์นั้นกำลังยิ้มเยาะให้กับความไร้เดียงสาของเขามากแค่ไหน ... ปราณันต์ไม่มีวันได้รู้ถึงความใจร้ายของคนที่มองมาที่เขาด้วยสายตาอ่อนโยนได้เลย

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------

ฉลาดเข้าหาพี่ปราณผ่านฝาแฝดนะยะนังพี่ครามมม แผนการชักจะล้ำมากขึ้นทุกวัน 55555555

ขอโทษที่มาช้านะคะ อาทิตย์ที่แล้วค่อนข้างจะยุ่งนิดดด ยังไงจะพยายามมาให้ได้อีกตอนในสามสี่วันน้าาา

ฝากคอมเม้นท์ติชมเป็นกำลังใจด้วยนะงับบบ ชอบไม่ชอบบอกได้ค้าบบบบ ช่วงแรกอาจจะเรื่อยๆ ก่อน ถัดๆ ไปจะเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ รอติดตามกันก่อนะคะ ... ขอบคุณมากค่าาา

รักมากกก เจอกันตอนหน้าค่ะ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-11-2020 22:16:17
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-11-2020 22:59:08
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 10-11-2020 23:56:17
เฮ้ยยยยยยชอบ สนุกอ่ะ อยากเห็นคนเหมียนหมาเมื่อถึงเวลา หลอกเข้าไป ลวงไปเยอะๆ เขาจะได้ไม่ให้อภัยง่ายๆเมื่อนั้นจะสมน้ำหน้าให้ 5555 หลงกันไปแบบไม่รู้ตัว ใครจะถอนตัวถอนใจได้เร็วเมื่อความลับแตก ง่าาชีวิตปราณ T_T แต่เข้มแข็งจริง เชื่อเลยว่าถึงวันนั้นปราณจะเข้มแข็งได้เร็ว ไม่มีเวลามาเสียใจมากอะนะ บรรยายให้น้ำตาไหลพรากๆเลยนะ ดูทรงแต่งเก่งอ่ะ 5555 สนุกๆ รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาอัพในนี้ได้อ่านกัน รรรรรรร  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 11-11-2020 04:52:04
อยากให้ถึงเวลาที่โดนเอาคืนเร็วๆ จัง :katai1
สภาพจะเป็นยังไง :z6:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก ... 08/11/63 [6th Lies: ชิดใกล้]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 12-11-2020 11:32:58
ถึงเวลาเอาคืน แย่แน่ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/11/63 [7th Lies: เดินหน้าความสัมพันธ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 15-11-2020 16:43:48
7th Lies : เดินหน้าความสัมพันธ์


เช้าวันนี้ปราณันต์ตื่นเช้าเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วคว้าแว่นสายตามาใส่ ก่อนจะบิดขี้เกียจด้วยอารมณ์ที่แสนสดชื่น และขณะที่จะเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ปราณันต์ก็แวะไปที่เตียงนอนของเด็กแฝดทั้งสองที่อยู่ไม่ไกล เพื่อดูว่าน้องชายที่น่ารักของเขาตื่นนอนแล้วหรือยัง

ซึ่งภาพที่เห็นก็ทำเอาปราณันต์อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะตอนนี้ฝาแฝดคนพี่กับคนน้องนอนกอดก่ายกันแน่น ขาเล็กๆ พาดอยู่บนเอวของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังหลับพริ้มอย่างมีความสุข ปราณันต์ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับคิดในใจว่าให้เจ้าตัวแสบนอนต่ออีกนิดแล้วค่อยปลุกดีกว่า ขืนให้ตื่นตอนนี้ มีหวังมาป่วนเขาจนไม่เป็นอันได้เข้าครัวแน่ พอคิดได้แบบนั้น ขาเรียวยาวก็ก้าวเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้ไปจัดเตรียมทำอาหารสำหรับวันนี้ต่อไป

.

.

.

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตื่นเร็ว สายแล้วนะครับ” หลังจากที่ทำอาหารไปได้สักพัก ปราณันต์ก็คิดว่าถึงเวลาที่เด็กๆ ควรตื่นมาอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว ปราณันตจึงเข้าไปปลุกน้องๆ ทั้งสองอีกครั้ง ซึ่งเขาเองก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย เจ้าตัวแสบทั้งคู่ขี้เซาจะตาย กว่าจะแงะออกจากเตียงนอนแต่ละทีได้ แทบจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีทำให้ฝาแฝดตื่นนอน

...แต่ในวันนี้สถานการณ์มันต่างกัน

เมื่อเห็นว่าฝาแฝดยังคงเงียบ มีเพียงการพลิกตัวหนีเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเด็กๆ ได้ยินเสียงเรียกที่กำลังรบกวนการนอนของตัวเองอยู่

“เอ๊! ปลุกไม่ตื่นแบบนี้สงสัยไม่อยากไปเที่ยวแล้วมั้ง พี่ปราณโทรไปบอกพี่ครามดีกว่าว่าไม่ต้องมารับ เพราะปุณณ์กับปัณณ์ไม่ยอมตื่น คงไม่อยากไปขี่จักรยานเล่นแล้ว”

พี่ชายคนโตแสนเจ้าเล่ห์แกล้งพึมพำออกมาเสียงดังๆ กะว่าฝาแฝดทั้งสองต้องได้ยินแน่ แล้วก็ได้ผล เพราะตอนนี้แฝดคนพี่ปุณณกันต์ลุกขึ้นเด้งผึงมานั่งสะลืมสะลืออยู่บนเตียงนอน ผมของเด็กน้อยชี้โด่ชี้เด่ไร้ทิศทาง ตากลมๆ โตๆ นั่นยังไม่ยอมลืมเลยด้วยซ้ำ แต่ปากอิ่มๆ เล็กๆ กลับพึมพำแต่ประโยคที่ว่า

“ไปเที่ยว ไปเที่ยว วันนี้ไปเที่ยว”

ปราณันต์เห็นภาพตรงหน้าก็ต้องขำออกมาอย่างสุดกลั้น เพราะนอกจากเจ้าแฝดคนพี่จะท่องมนต์ประโยคนั้นไม่ยอมหยุดแล้ว มือเล็กๆ ของแฝดคนพี่ยังคงเขย่าไปที่เอวคนน้องอย่างบ้าคลั่ง ส่วนปากเล็กๆ ก็เอาแต่พูดว่าจะไปเที่ยวไม่หยุด

“ปัณณ์ ตื่นๆ ไปเที่ยว ไปเที่ยว วันนี้ไปเที่ยว”

ปัณณธรพอได้ยินมนต์สะกดจากพี่ชายฝาแฝด ก็เด้งตัวเหมือนติดสปริงลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนเหมือนกัน แต่จะต่างจากแฝดคนพี่ก็ตรงที่ ตากลมๆ โตๆ ของปัณณธรนั้นเบิกกว้างขึ้นเหมือนกับเพิ่งนึกได้ และยิ่งพอมาประกอบกับผมยุ่งๆ ฟูๆ ไร้ทิศทางแล้วยิ่งทำให้น่ารัก น่าหยิก น่าเอ็นดูมากกว่าเดิมจนปราณันต์อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มนิ่มเบาๆ โดยที่ปากอิ่มยังไม่ได้คลายเสียงหัวเราะไปแม้แต่น้อย

“ตกลงฝาแฝดของพี่ปราณตื่นรึยังครับ หื้ม?” ปราณันต์แกล้งส่งเสียงถามออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ได้ผล เพราะปุณณกันต์กับปัณณธรหันมาหาแล้วโผเข้ากอดพร้อมกับซุกหน้าเล็กๆ มาบนหน้าท้องของเขา ปากอิ่มเล็กๆ ยังคงพึมพำแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เต็มเสียงดี

“ปุณณ์กับปัณณ์ตื่นแล้วครับ ไปเที่ยวอ่ะพี่ปราณ ไปเที่ยว” แฝดคนพี่ยังคงท่องประโยคนี้ไม่เลิก โดยที่แฝดคนน้องพยักหน้าหงึกหงักอยู่บนหน้าท้องเขาอย่างกับต้องการจะบอกว่าเห็นด้วย

ปราณันต์อมยิ้มเบาๆ พร้อมกับจับฝาแฝดดันออกแล้วนั่งบนเตียงดีๆ มือเรียวลูบไปที่กลุ่มผมของเด็กทั้งสอง ก่อนจะพยายามจับแต่งให้มันเป็นทรงปกติไม่ชี้ไปชี้มา

“ตื่นแล้วก็ต้องไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันนะครับ” ปราณันต์พูดพลางเอื้อมมือไปกระตุกผ้าเช็ดตัวของเด็กๆ ที่แขวนอยู่บนราวใกล้ๆ “เดี๋ยวพี่ปราณจะไปทำกับข้าวต่อ ห้ามช้านะ เพราะถ้าพี่ครามมารับแล้วเห็นยังไม่เสร็จ เขาไม่รอแล้วพี่ปราณไม่รู้ด้วยนะ”

พอได้ยินแบบนั้น เด็กน้อยทั้งสองก็ตื่นเต็มตาทันที มือเล็กๆ ทั้งสองคู่ ต่างพากันช่วยปลดกระดุม ถอดเสื้อ ดึงกางเกงให้กันและกันอย่างขวักไขว่ ก่อนที่สุดท้ายฝาแฝดทั้งสองจะเอาผ้าเช็ดตัวที่ปราณันต์หยิบมาวางไว้ให้ ผูกลงไปบนเอวหลวมๆ แล้วพากันวิ่งเข้าห้องน้ำทันที

ปราณันต์ได้แต่มองตามเด็กทั้งสองที่วิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม นานมากแล้วที่ครอบครัวของเขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศของความผ่อนคลาย บรรยากาศเบาๆ สบายๆ ที่ไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาให้หนักใจ

พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์ก็นึกขอบคุณคนที่เป็นเจ้าของไอเดียนี้ขึ้นมาในใจ ถ้าไม่ได้คามิน เขาคงไม่มีเวลาหรือไม่มีโอกาสทำเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ให้ฝาแฝดเป็นแน่ แต่พอมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นเข้ามาในชีวิต แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาอาทิตย์เดียวที่เพิ่งได้รู้จักกัน ปราณันต์ก็คิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคนดีๆ แบบคามิน คนที่ทำให้เขาวางใจ และกลับมามองโลกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง

.

.

.

หลังจากทำอาหารที่จะเตรียมไปปิคนิคเสร็จ ปราณันต์ก็แพ็คทุกอย่างลงในกล่องอาหารใบย่อมๆ สามสี่ใบ แล้วจับวางลงในตะกร้าที่เตรียมไว้ จากนั้นก็หันมาชงกาแฟและเทนมสด พร้อมทั้งขนมปังปิ้ง อาหารเช้ามื้อเล็กๆ ไว้สำหรับเด็กแฝดสองคนและผู้ใหญ่โข่งอีกหนึ่งคนที่ตอนนี้คงกำลังขับรถมาที่อพาร์ทเม้นท์ของเขาอยู่


Rrrr


ไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ของปราณันต์ก็แผดเสียงเรียกเข้าดังลั่น แม้จะยังไม่ทันเดินไปดูเขาก็รู้ดีว่าใครเป็นคนโทรมา ปากอิ่มอมยิ้มบางๆ เมื่อนึงถึงใบหน้าคมคายของคนที่กำลังจะมาหาเขา พลางนึกบ่นตัวเองในใจที่กำลังทำท่าเหมือนวัยรุ่นแรกแย้มที่เพิ่งเริ่มมีความรักอะไรแบบนั้น

“ฮัลโหล ครับ” เสียงใสกรอกลงไป เมื่อกดรับการเรียกเข้าของสัญญาณจากปลายสาย

(เสร็จกันรึยังครับ อีกสองไฟแดง ผมก็จะถึงอพาร์ทเม้นท์คุณแล้วนะ)

คามินกรอกเสียงถามอีกฝ่ายไปอย่างออดอ้อนอารมณ์ดี ภายใต้หน้าตาที่นิ่งเฉย ซึ่งดูแล้วช่างขัดกับคำพูดและน้ำเสียงที่แสดงออกไปเมื่อครู่มากเหลือเกิน

“เด็กๆ ยังไม่เสร็จเลยครับ เดี๋ยวยังไงคุณขึ้นมาดื่มกาแฟก่อนดีไหมครับ ผมเตรียมไว้ให้แล้ว”


‘ใจง่าย ไม่ทันไรก็ชวนผู้ชายขึ้นห้องเสียแล้ว’


มุมปากหยักยกยิ้มหยัน พลางคิดในใจอย่างดูถูก คนใจร้ายที่ปราณันต์มองว่าเป็นเทพบุตรเสมอมา กำลังนึกถึงเขาด้วยถ้อยคำน่ารังเกียจ ที่แน่นอนว่าหากปราณันต์มาได้ยินคงเสียใจไม่น้อย

(ก็ดีครับ ผมกำลังหิวพอดีเลย ว่าแต่คุณแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ?)

ประโยคที่ดูเหมือนจะห่วงใย แต่กลับเป็นแค่บทสนทนาแบบขอไปทีตามความคิดของคามินเท่านั้น

“ผมเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวคุณขึ้นมาได้เลยนะ ผมขอไปช่วยปุณณ์กับปัณณ์แต่งตัวก่อน”

(โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันนะครับ)

ริมฝีปากหยักของคามินกระตุกยิ้มอย่างดูแคลน มีแต่ความวางใจและจริงใจเท่านั้นที่ปราณันต์มีให้ตน โดยที่ปราณันต์ไม่เคยระแคะระคายเลยว่า วันหนึ่งเมื่อคามินได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

.

.

.

“พี่ปุณณ์ อันนี้มันติดยังไงอ่า ปัณณ์ติดไม่เป็น”

“ไหนๆ ส่งมา เดี๋ยวพี่ทำให้ หันหลังๆ มาด้วย”

“โอ๊ะ! พี่ปุณณ์กางเกงในยังไม่ได้ใส่เลย ต้องถอดกางเกงออกก่อนนะ”

“พี่หยิบกางเกงในมาให้ปัณณ์แล้ว รีบใส่เร็ว”

“โอ๊ยๆๆๆ พี่ครามจะมารึยังอ่ะพujปุณณ์ จะทันไหมๆๆๆ ... พี่ปราณ!”

ปราณันต์ยืนแอบฟังฝาแฝดตัวแสบทั้งสองคุยกันอยู่ในห้องแต่งตัวเล็กๆ ที่กั้นไว้แล้วก็อดขำไม่ได้ เด็กๆ ดูตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยว แล้วยิ่งปราณันต์ไปพูดขู่ไว้ว่าถ้าแต่งตัวไม่เสร็จทันตามที่พี่ครามมาจะอดไป ยิ่งทำให้เจ้าฝาแฝดตัวยุ่งลุกลี้ลุกลนเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายปัณณธรทนไม่ไหวถึงได้ตะโกนเรียกเขาออกมาดังลั่นห้องนั่นแหละ

“ไหนว่าไง แต่งตัวกันเสร็จรึยังครับ” ปราณันต์เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องแต่งตัวเล็กๆ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแทบจะเรียกว่าภัยพิบัติขนาดย่อมเลยก็ว่าได้

ผ้าขนหนูถูกเหวี่ยงออกไปทาง สองทาง กางเกงชั้นในที่ปัณณธรใส่อยู่ก็กลับด้าน ส่วนเสื้อยืดแขนสั้นสีดำที่ปุณณกันต์ใส่อยู่ก็เอาข้างหลังมาไว้ข้างหน้า ภาพอลหม่านตรงหน้าทำเอาปราณันต์ถึงกับกุมขมับ จะโกรธก็โกรธไม่ลง ถ้าจะมีใครผิดก็คงเป็นเขานี่แหละ ที่ไปหลอกน้องแบบนั้น ตอนนี้เด็กๆ ก็เลยรีบมาก จนทำให้การแต่งตัวเป็นไปอย่างทุลักทุเลแบบนี้

“งื้อออ พี่ปราณ” ปัณณธรน้อยครางเสียงอ่อย ตอนเห็นท่าทางพี่ชายที่กำลังกุมขมับเพราะสงครามโลกขนาดย่อมที่เขาและแฝดคนพี่ได้สร้างขึ้น ส่วนปุณณกันต์ก็ก้มหน้านิ่งอย่างคนยอมรับผิด เพราะรู้ดีถึงวีรกรรมที่ตัวเองกับน้องชายได้ก่อไว้

ปราณันต์ขำออกมาเบาๆ หลังจากได้เห็นท่าทีสำนึกผิดของฝาแฝดทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงกับพื้นแล้วหยิบชุดเอี๊ยมยีนส์ที่วางกองบนพื้นอยู่สองชุด มาสะบัดๆ ให้เนื้อผ้าคลายออกจากกัน หลังจากนั้นก็เรียกปุณณกันต์มาหาก่อนคนแรก

“ปุณณ์มานี่มา” ปุณณกันต์เดินเข้าไปหาพี่ชายคนโตอย่างกลัวๆ กล้าๆ หวั่นใจว่าจะถูกดุก็หวั่น แต่อยากจะแต่งตัวให้เสร็จเร็วๆ ก็อยาก

พอปุณณกันต์มาหยุดอยู่ตรงหน้า ปราณันต์ก็ถอดเสื้อยืดออกจากศีรษะเด็กน้อย ก่อนใส่กลับเข้าไปใหม่ให้ถูกฝั่ง แล้วหยิบเอี๊ยมยีนส์มาสวมทับ ขยับให้เข้าที่เข้าทางอีกนิดหน่อย ก่อนปากอิ่มจะเอ่ยให้น้องชายฟังอย่างใจดี

“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวปุณณ์ใส่ถุงเท้าเองนะ ให้พี่แต่งตัวให้ปัณณ์ก่อน”

“ครับ” ปุณณกันต์น้อยรับคำพร้อมทั้งฉีกยิ้มอย่างยินดีและโล่งอก ได้แต่งตัวเสร็จเร็วแถมพี่ปราณไม่ดุอีกต่างหาก ก่อนจะวิ่งตื๋อออกไปหยิบถุงเท้าให้ตัวเองและน้องชาย ซึ่งตอนนี้แฝดคนน้องก็กำลังถือเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวไปหาพี่ปราณแล้วเหมือนกัน

“ไหน ให้พี่ปราณดูซิ” ปราณันต์จับปัณณธรหันไปหันมา พลางอมยิ้ม “พี่ว่ามีคนใส่กางเกงในกลับด้านนะ” ปัณณธรก้มลงดูตรงเอวตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มอายๆ ให้พี่ชาย เมื่อเห็นว่าตัวเองใส่กางเกงชั้นในกลับด้านแบบที่พี่ชายบอกจริงๆ

ปราณันต์หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนจะถอดกางเกงในปัณณธรออก สะบัดกลับด้าน แล้วใส่ให้ปัณณธรใหม่อีกรอบ จากนั้นก็สวมเสื้อยืดสีขาวแขนสั้นให้เจ้าตัวน้อย ก่อนจะใส่เอี๊ยมทับลงไปอีกชั้น พลางสอนให้ปัณณธรดูตอนใส่ไปด้วย

“เวลาปัณณ์จะใส่ ปัณณ์ใส่แบบนี้นะครับ เอาหูเข้ามาเกี่ยวตรงนี้ แบบนี้ อีกข้างก็ทำเหมือนกัน อ่า... เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

เจ้าฝาแฝดคนน้องกระโดดกอดปราณันต์ พลางหอมแก้มข้างซ้ายข้างขวา ก่อนจะถอยออกมายกมือไหว้ขอบคุณ แล้วพูดอย่างน่ารัก

“ขอบคุณครับพี่ปราณ” คนเป็นพี่ชายยิ้มตาหยีส่งให้น้อง ก่อนที่จะไล่เจ้าตัวแสบไปใส่ถุงเท้า จากนั้นสามพี่น้องก็พากันเดินมาที่โต๊ะญี่ปุ่นมุมห้อง โต๊ะทานข้าวของครอบครัว พอปราณันต์พาฝาแฝดนั่งเรียบร้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ปากอิ่มยกยิ้มอย่างยินดี เหมือนๆ กับที่ปากเล็กๆ ของเด็กๆ ร้องเย่ ออกมาไล่ๆ กัน

“พี่ครามมาแล้วๆ พี่ครามมาแล้วๆ” เจ้าตัวน้อยตะโกนลั่นห้อง จนปราณันต์ต้องปรามให้นั่งลงทานดีๆ

“ปุณณ์ ปัณณ์ นั่งลงทานดีๆ ครับ เดี๋ยวพี่ปราณจะไปเปิดประตูให้พี่ครามนะ"

เจ้าฝาแฝดตัวน้อยทั้งสองนั่งลงทันทีอย่างว่าง่าย ปราณันต์อมยิ้มพลางส่ายศีรษะน้อยๆ ให้ความรู้มากของเด็กทั้งคู่

“คุณปราณันต์” ทันทีที่เปิดประตูห้องออกไป ร่างบางก็ได้พบกับใบหน้าคมคายที่ส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ ปากอิ่มส่งยิ้มตอบให้คนตรงข้าม ก่อนจะเชื้อเชิญพี่ครามของเด็กๆ เข้ามาทานมื้อเช้าในห้องก่อน

“เชิญครับคุณคามิน” ปราณันต์เดินนำอีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ก่อนจะพาไปที่โต๊ะอาหารขนาดย่อม ที่มีฝาแฝดตัวแสบนั่งตาแป๋วรออยู่ “ห้องแคบหน่อยนะครับ”

คามินยิ้มตอบพลางส่ายหัวน้อยๆ ราวกับจะบอกว่าตนเองไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องพวกนี้มากนัก

“น่าอยู่ออกครับ ผมว่าเหมาะกับคุณและเด็กๆ ดี” ตาคมสอดส่ายไปทั่วบริเวณห้อง เพราะเมื่อคืนคามินมาตอนดึกมากแล้ว เลยไม่ได้สังเกตดูว่ารอบๆ ห้องนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร

และเมื่อได้เห็นร่างสูงก็อดยอมรับไม่ได้ว่าถึงแม้ห้องจะเล็ก แต่รูปแบบการแต่งห้องไม่ธรรมดาเลย ปราณันต์สามารถแบ่งสัดส่วนห้องเล็กๆ ให้ดูใช้สอยได้อย่างเต็มที่และลงตัว มุมหนึ่งของห้องถูกกั้นไว้เป็นห้องแต่งตัวขนาดไม่ใหญ่ ส่วนห้องนอนก็ถูกแบ่งด้วยตู้เสื้อผ้า ห้องหนึ่งเป็นของฝาแฝดที่มีเตียงขนาดกลางสำหรับเจ้าตัวน้อยทั้งสองนอนด้วยกัน ส่วนอีกห้องเป็นของพี่ชายคนโตอย่างปราณันต์ เป็นเตียงขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนของครัวก็อยู่ติดๆ กับห้องน้ำ มีข้าวของเครื่องใช้วางเป็นระเบียบ มีราวกั้นหน้าครัวขนาดสูงพอสมควร เพื่อกันไม่ให้เด็กๆ เข้าไปเล่นซนในนั้นได้ และเฟอร์นิเจอร์ในห้องส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เอนกประสงค์ พับเป็นโต๊ะกินข้าว เป็นโต๊ะทำงาน ลิ้นชักใส่ของ ทำให้ประหยัดเนื้อที่และเก็บของกระจุกกระจิกได้มากขึ้น คามินอดทึ่งไม่ได้เมื่อได้เห็นห้องพักของครอบครัวนี้แบบทั่วถึง สมแล้วที่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้สามารถเข้าทำงานในบริษัทของเขาได้ทันทีที่เรียนจบมหาวิทยาลัย

“คุณปราณันต์แต่งห้องเก่งมากเลยนะครับ” คามินเอ่ยปากชมด้วยความจริงใจ ในเรื่องของความสามารถเขายอมรับเลยว่าคนตรงหน้ามีมากพอและไม่ธรรมดาเลย

“นิดหน่อยน่ะครับ หยิบนู่นผสมนี่ ก็พอถูๆ ไถๆ ได้อยู่” คามินตอบยิ้มๆ แบบถ่อมตัว ก่อนจะเชื้อเชิญให้เขานั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าพร้อมฝาแฝดที่นั่งยิ้มแฉ่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว “ทานมื้อเช้าก่อนดีกว่าครับ ผมเตรียมกาแฟ ขนมปังปิ้งแล้วก็ไส้กรอกทอดไว้ให้”

“พี่คราม นั่งๆ นั่งข้างปัณณ์ เดี๋ยวปัณณ์จะหยิบไส้กรอกให้พี่ครามทานนะ” ฝาแฝดคนน้องตบลงบนเบาะที่นั่งข้างตัว เพื่อชวนให้คามินนั่งลง

“ไหน คนเก่งของพี่คราม ทานอะไรกันอยู่ครับ” คามินทรุดลงนั่งข้างปัณณธร พร้อมๆ ที่กับที่ปราณันต์อ้อมไปนั่งข้างปุณณกันต์ พร้อมกับทั้งจัดจานแล้วก็เทกาแฟให้คนตัวโตฝั่งตรงข้าม

“ไส้กรอกครับ! พี่ครามทานด้วยกันสิครับ” ปัณณธรชูส้อมที่จิ้มไส้กรอกไว้โชว์ให้คามินดู ส่วนปุณณกันต์ก็อมยิ้มแก้มตุ่ยส่งมาให้เขา ทั้งที่เคี้ยวไส้กรอกตุ้ยๆ ไม่เลิก

ปราณันต์มองเด็กฝาแฝดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขานั่งมองเด็กทั้งสองทานอย่างมีความสุข คามินเองก็นั่งจิบกาแฟสังเกตภาพตรงหน้าเงียบๆ โดยที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ จนกระทั่งปราณันต์หันมานั่นแหละ คามินถึงได้ส่งยิ้มหวานหยดย้อยกลับไปให้ เล่นเอาแก้มขาวนวลของปราณันต์ขึ้นสีแดงจางๆ อย่างน่าเอ็นดู

“ทานสิครับ คุณไม่หิวหรอ” ปราณันต์เสก้มหน้าหลบดวงตาเรียวคม โดยมองไปที่จานขนมปังและไส้กรอก แล้วค่อยๆ เลื่อนจานตรงหน้าส่งให้คามิน

“แล้วคุณล่ะครับ” คามินถามกลับเมื่อเห็นว่าปราณันต์ยังไม่ได้แตะอาหารเช้าเลยเช่นกัน

“อ๋อ ปกติผมทานแต่กาแฟน่ะครับ อยู่ออฟฟิศก็ไม่ค่อยได้ทานมื้อเช้าเท่าไหร่ ไม่ค่อยหิว” ปราณันต์ตอบยิ้มๆ

“ไม่ได้นะครับ ยังไงก็ต้องทาน นิดหน่อยก็ยังดี อย่าไม่ทานจนติดเป็นนิสัยสิครับคุณปราณันต์” เสียงทุ้มพูดบ่นยาวติดจะดุปราณันต์กว่าหน่อยๆ ด้วยซ้ำ

“ใช่ครับ! คุณครูบอกปุณณ์ว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ ยังไงก็ต้องทาน!” ปุณณกันต์คนพี่พูดสนับสนุนคำพูดของคามินอย่างชาญฉลาด ทำเอาพี่ชายคนโตอดหน้ามุ่ยเพราะโดนน้องดุไม่ได้

“ใช่ๆ พี่ปราณอ่ะดื้อ! ดูสิปุณณ์กับปัณณ์ไม่ดื้อเลย ทานไส้กรอกเป็นข้าวเช้าด้วย!” เจ้าแฝดคนน้องพูดพลางพยักเพยิดหน้าราวกับจะบอกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของแฝดคนพี่ หนำซ้ำมือเล็กๆ นั่นยังถือส้อมจิ้มไส้กรอกเข้าปากไม่หยุด

คามินและปราณันต์ที่เห็นและได้ยินภาพตรงต่างก็ขำออกมาด้วยความเอ็นดู เจ้าหนูทั้งสองทั้งฉลาดและรู้ดีเกินวัย คำพูดคำจาของฝาแฝดน้อยช่างน่ารักเสียจนปราณันต์ อดยื่นมือไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ นั่นไม่ได้

“แก่แดดกันนักนะตัวแสบ” พี่ชายคนโตของครอบครัวบ่นอุบ วันนี้เขาโดนเจ้าฝาแฝดน้อยเทศน์ซะยกใหญ่เชียว

“ว่าแต่วันนี้เราจะไปสวนสาธารณะที่ไหนดีครับคุณ...” ตากลมหันมามองตามเสียงทุ้มด้วยความแปลกใจ ที่จู่ๆ คามินก็หยุดพูดไปกลางประโยค “ผมว่าผมเรียกคุณว่าคุณปราณันต์แล้วห่างเหินแปลกๆ คุณมีชื่อเล่นนี่นา ฝาแฝดก็เรียก”

“ฮ่าๆ” เจ้าของสรรพนามที่คามินคิดว่าห่างเหินหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ จะว่าไปก็ไม่มีใครถามชื่อเล่นเขามานานแล้วเหมือนกัน “ที่จริงชื่อเล่นผมก็อย่างที่ปุณณ์กับปัณณ์เรียกแหละครับ เพื่อนสนิทกับคนในครอบครัวมักจะเรียกผมว่าปราณ คุณคามินก็เลือกเรียกตามสะดวกได้เลย ผมสัญญาว่าพอคุณเรียกแล้วจะรีบหันทันทีเลยครับ”

ปราณันต์พูดเล่นหยอกคามินอย่างอารมณ์ดี ในสมองของคามินรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว เขาอยากเรียกชื่อเล่นปราณันต์ อยากเป็นหนึ่งคนที่พิเศษและสนิทสำหรับปราณันต์บ้าง


“งั้น.. ผมเรียกคุณว่าคุณปราณได้ใช่ไหมครับ” คามินยื่นหน้าเข้าไปถามอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์เกิดหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ


“ก็เรียกสิครับ ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ปราณันต์ยื่นปาก บ่นขมุบขมิบเพราะเขิน

“ปราณ คุณปราณ... คุณปราณของผม” แต่คามินก็ยังไม่วายแกล้ง โดยการยื่นหน้าข้ามโต๊ะไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างใบหูนิ่ม เล่นเอาขนอ่อนข้างลำคอคนที่ถูกประชิดตั้งชันขึ้นด้วยความเขินอาย

“จะเรียกอะไรก็แล้วแต่คุณเลย คุณคามิน”

คามินยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะประชิดตัวปราณันต์แล้วพูดอ้อนๆ “ไม่เอาคามินครับ เรียกว่าผมว่าคราม หรือจะเรียกพี่ครามแบบฝาแฝดก็ได้นะ”

“บ้า!” ปราณันต์หน้าแดงกล่ำ ก่อนจะอ้อมแอ้มพูด “คุณครามก็คุณคราม”

พูดเองก็เขินเอง จู่ๆ ปราณันต์ก็เลยลุกขึ้นพรวด เล่นเอาเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่กำลังทานอยู่ แหงนหน้ามองตามพี่ชายตัวเองที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนแทบไม่ทัน

“พี่ปราณ อิ่มแล้วหรอครับ” ปุณณกันต์เอ่ยถามขึ้น

“พี่ปราณ ทำไมอิ่มไวจัง” ปัณณธรเองก็แปลกใจ พี่ปราณเพิ่งทานไปนิดเดียวเองนี่นา

“เอ่อ.. คือ พี่ พี่อิ่มแล้วครับ เดี๋ยวพี่จะไปเตรียมของ ปุณณ์กับปัณณ์นั่งทานกับพี่ครามไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”

ปราณันต์เดินหนีไปเงียบๆ ด้วยความเขินอาย ก่อนจะยิ่งเขินมากขึ้นเมื่อคนขี้แกล้งดันตะโกนโพล่งขึ้นมาซ้ำอีกรอบ

“รีบมานะครับคุณปราณของผม ผมกับฝาแฝดจะคอย” พี่ครามของเด็กๆ ส่งเสียงเรียกล้อเลียนอีกฝ่ายพลางหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะได้ค้อนวงใหญ่ถูกเหวี่ยงกลับมาจากคนที่เพิ่งได้ชื่อเล่นใหม่มาหมาดๆ แทน

.

.

.

“ปัณณ์อยากช่วยยกอะ พี่ครามให้ปัณณ์ช่วยไหม”

หลังจากทานมื้อเช้ากันเรียบร้อย หนุ่มน้อยและหนุ่มใหญ่ทั้งสี่ก็อัปเปหิตัวเองออกจากห้อง ก่อนจะช่วยยกของกันคนละไม้ละมือเพื่อมายังรถของคามินที่จอดอยู่ด้านล่าง เห็นจะมีก็แต่น้องน้อยคนสุดท้องที่ไม่ได้ยกอะไรเลย ด้วยเพราะตัวเล็กกว่าคนอื่นเขา เจ้าตัวน้อยเลยบ่นกระปอดกระแปดเนื่องจากอยากจะมีส่วนร่วมกับคนอื่นเขาบ้าง ขนาดพี่ปุณณ์ยังได้หิ้วเสื่อปิคนิคช่วยพี่ๆ เลย

ปุณณกันต์เห็นน้องชายฝาแฝดทำหน้ามุ่ยแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เลยเดินย้อนกลับไปหาปัณณธร พลางยื่นหูหิ้วเสื่อให้น้องช่วยถือข้างหนึ่ง

“อะ ปัณณ์ช่วยพี่ปุณณ์หิ้วหน่อย จะได้เดินไปพร้อมๆ กัน”

แฝดคนน้องยิ้มให้คนพี่อย่างน่าเอ็นดู ก่อนที่สองคนจะช่วยกันหิ้วเชือกผูกเสื่อคนละข้าง แล้วเดินไปพร้อมกันจนถึงรถ

.

.

.

“พี่ปราณๆ เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันเหรอครับ”

ทันทีที่เจ้าตัวน้อยขึ้นนั่งประจำที่ คาดเข็มขัดเรียบร้อย ปัณณธรคนน้องก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้

“อืม.. แล้วปุณณ์กับปัณณ์อยากไปเที่ยวไหนดีครับ ลองบอกพี่กับพี่ครามซิ” ปราณันต์หันไปถามเจ้าเด็กตาใสทั้งสอง ที่ตอนนี้กำลังกลอกไปกลอกมาอย่างใช้ความคิด

“ไปไหนดีล่ะพี่ปุณณ์” ปราณันต์หลุดขำออกมาทันที เพราะแทนที่เจ้าตัวน้อยแฝดน้องจะมีคำตอบมาตอบเขา ดันหันกลับไปถามแฝดตัวน้อยคนพี่แทนเสียนี่

“ไปไหนก็ได้ครับ ให้พี่ปราณกับพี่ครามพาไป” ปุณณกันต์คิดนิดนึง ก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ

“ใช่ๆ ไปที่ไหนก็ได้ครับ ปัณณ์ไม่เรื่องมากหรอก”

ปราณันต์ขำน้อยๆ ตอนได้ยินปัณณธรบอกว่าตัวเองไม่เรื่องมาก ทั้งที่เมื่อกี้เจ้าตัวยุ่งยังถามเขาอยู่เลยว่าจะพาไปไหน

“งั้น.. เราไปขี่จักรยานเล่นกับนั่งเรือถีบที่สวนสาธารณะ A ดีไหมครับ ฝาแฝดอยากไปไหม” เป็นคามินที่ถามขึ้นหลังจากขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ได้สักพัก

“ขี่จักรยานเหรอครับ” ปัณณธรน้อยตาโตตอนที่ได้ยินว่าตัวเองจะได้ไปขี่จักรยาน ใบหน้าเล็กๆ นั่นดูตื่นเต้น จนหันไปเขย่าแขนฝาแฝดคนพี่ไม่หยุด “มีเรือด้วยแหละพี่ปุณณ์ เมื่อกี้พี่ครามบอกมีเรือด้วยใช่ไหม”

“อื้อ! มีเรือด้วย พี่ปุณณ์อยากนั่งเรือ” แฝดคนพี่ก็อดตื่นเต้นด้วยไม่ได้ แต่พอฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา เจ้าตัวน้อยก็ห่อเหี่ยวลง

“แต่พี่ปราณบอกว่าอันตราย พาเรานั่งเรือพร้อมกันสองคนไม่ไหวหรอก” ปุณณกันต์กล่าวกับแฝดคนน้องหงอยๆ ทำเอาปัณณธรซึมตามพี่ชายไปติดๆ

“นั่นสิ พี่ปราณไม่ให้เราสองคนนั่งแน่เลย” ตากลมๆ ของเด็กทั้งสลดวูบ ปราณันต์เห็นภาพดังกล่าวแล้วก็ทั้งสงสารทั้งขำ ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ยอมให้เด็กๆ นั่งเรือเพราะเขาดูแลไม่ไหว ฝาแฝดกำลังโต แล้วอยู่ในวัยซุกซนอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง เกิดชะโงกหน้า ดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาแล้วพลัดตกเรือไป เขาคงใจสลายแน่ๆ

แต่วันนี้มีคามินมาด้วย ก็คงพอจะพาเด็กแฝดนั่งเรือได้อยู่หรอก แต่ดูเจ้าตัวน้อยทั้งสองสิ ตีตนไปก่อน ดราม่ากันเสียเบอร์ใหญ่เชียว

“แล้วปุณณ์กับปัณณ์อยากนั่งเรือรึป่าวครับ” ปราณันต์แกล้งเอ่ยถามขึ้น เด็กๆ มีแววตาเปล่งประกายอยู่วูบหนึ่งก่อนจะหม่นแสงลงตามมาติดๆ ในเวลาต่อมา

“อยากครับ แต่ถ้าพี่ปราณบอกว่ามันอันตราย เราสองคนก็จะเชื่อฟัง ไม่นั่งก็ได้ครับ” ปุณณกันต์ตอบเสียงอ่อยๆ แต่ประโยคต่อมาของพี่ชายก็กลับทำให้ฝาแฝดทั้งสองลิงโลดขึ้นมาในพริบตา

“วันนี้พี่ครามมาด้วย ถ้ามีคนช่วยพี่ปราณดูแลฝาแฝด ปุณณ์กับปัณณ์ก็นั่งเรือได้ครับ พี่ปราณอนุญาต” พอสองหนูน้อยได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้นก็ดีใจยกใหญ่โดยเฉพาะปัณณธร

“พี่คราม! พี่ครามมาหาพี่ปุณณ์กับปัณณ์บ่อยๆ นะ พอพี่ครามมา เราสองคนได้ทำนั่นทำนี่เยอะเลย” เจ้าตัวน้อยถึงกับเอ่ยปากขอให้คามินมาบ่อยๆ โดยมีฝาแฝดคนพี่คอยพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“พี่ครามก็อยากมาบ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าพี่ปราณของเด็กๆ จะอนุญาตรึป่าว” คามินแกล้งพูดลอยๆ เสียงดังเพื่อดูท่าทีของปราณันต์ พอเห็นว่ามุมปากอิ่มมีรอยยิ้มเล็กๆ ถูกจุดขึ้น ร่างสูงก็แกล้งยื่นเข้าไปพูดใกล้ๆ ปราณันต์

“ว่าไงครับคุณปราณ ให้ผมมาหาคุณกับน้องๆ บ่อยๆ ได้หรือป่าว”

ปราณันต์เบี่ยงหน้าหนีอย่างเขินอาย และยิ่งพอได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักล้อเลียนจากฝาแฝดดังลอยมาจากเบาะด้านหลัง ยิ่งทำให้ใบหน้านวลปั้นหน้าไม่ถูก

“คุณครามอยากมาก็มา แล้วแต่คุณสิ” ปราณันต์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง แต่ถึงอย่างไรก็ดังพอที่จะได้ยินทั่วรถอยู่ดี

ซึ่งคำตอบดังกล่าวก็ทำให้เด็กร้อง “เย่!” ออกมาอย่างดีใจ แม้แต่ตัวผู้ใหญ่ที่ได้รับอนุญาตให้มาได้บ่อยๆ ก็ดูท่าทางจะอารมณ์ดีไม่แพ้เจ้าฝาแฝดทั้งสองเลย

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/11/63 [7th Lies: เดินหน้าความสัมพันธ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 15-11-2020 16:48:14
(อ่านต่อจากด้านบน)


“ถึงแล้วครับเด็กๆ เดี๋ยว ปอปลาคนโต...” คามินหันไปพูดกับปราณันต์ ก่อนจะหันไปหาฝาแฝดทั้งสอง “กับปอปลาคนเล็ก ยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ ขอพี่ครามเอารถไปจอดก่อน”

คามินหันมากำชับ เพราะตอนนี้ขับรถมาถึงสวนสาธารณะแล้ว แต่ปล่อยให้สามพี่น้องลงเพื่อรออยู่ที่ด้านหน้า ก่อนที่ตัวเองจะไปวนหาที่จอดรถ จะได้ไม่ต้องขนกันไปกันมาให้เสียเวลาไปเปล่าๆ

“เด็กๆ ดูแลพี่ปราณด้วยนะครับ เดี๋ยวพี่ครามมา”

“ครับ!!!” เด็กๆ ตอบขึ้นพร้อมกันอย่างแข็งขัน ก่อนที่ปราณันต์จะหัวเราะแล้วบ่นออกมาเบาๆ

“ตัวกะเปี๊ยกเดียวทำจะมาดูแลพี่” ปราณันต์พูดอย่างเอ็นดู พลางยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ นั่นเบาๆ

วันนี้เด็กทั้งสองดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ ตากลมๆ โตๆ สอดส่ายไปมาทั่วบริเวณ มือน้อยๆ พยายามชี้ชวนให้อีกฝ่ายดูนั่นดูนี่ ท่าทางฝาแฝดคงจะติดใจการออกมาเที่ยวนอกบ้านแบบนี้แล้วแหละ นี่ขนาดว่ายังไม่ได้วิ่งเล่นหรือขี่จักรยานเลยนะ แค่พามาออกมาเฉยๆ เจ้าตัวแสบทั้งสองถึงกับเอ่ยปากออดอ้อนพี่ครามให้มาหาบ่อยๆ เสียแล้ว ปราณันต์ได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงๆ ยามมองไปเด็กน้อยทั้งสอง ที่มีใบหน้าและนิสัยที่คล้ายกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน

“พี่ครามมาแล้วครับเด็กๆ เราไปหาที่ร่มๆ นั่งกันเถอะ” คามินเดินส่งเสียงมาก่อนตัวด้วยซ้ำ พอมาถึงจุดที่สามพี่น้องยืนอยู่ เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่นั่นก็ฉวยข้าวของจากมือเรียวที่ถืออยู่ เอามาหิ้วไว้เองเสียหมด “มาครับผมถือให้ คุณจูงฝาแฝดเถอะ”

ปราณันต์ต้องจำยอม เพราะครั้นจะให้สองคนมาช่วยกันหอบหิ้วตะกร้า ข้าวของ พลางจูงแฝดคนละคน มันจะดูวุ่นวายไปสักหน่อย สู้ให้คามินขนของไปคนเดียว แล้วเขาดูแลปุณณกันต์กับปัณณธรน่าจะดีกว่า อีกอย่างเขาเองก็จะได้ไม่ต้องหิ้วของหนักๆ ด้วย ปราณันต์ก็ได้แต่ขอบคุณผู้ชายที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล

พอเดินไปได้สักพัก ทั้งสี่คนก็เห็นทำเลดีๆ เป็นจุดที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ เหมาะให้เจ้าตัวน้อยได้ขี่จักรยานเล่นโดยที่อยู่ในสายตาเขาและคามินได้อย่างสบายใจ แถมมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาเพราะถ้าล่วงเข้าช่วงสายเมื่อไหร่ แดดคงจะแรงกว่านี้แน่ นี่ยังถือว่าโชคดีเป็นของเขาทั้งสี่คน เพราะวันนี้อากาศดีมาก แดดก็ไม่ออกเท่าไหร่ แถมลมยังพัดเย็นสบายอีกต่างหาก

“พี่คราม พี่ปราณ เราสองคนอยากขี่จักรยานแล้วอะครับ” แน่นอนว่าเจ้าของเสียงพูดนี้ต้องไม่ใช่ปุณณกันต์แฝดคนพี่แน่ๆ เพราะถึงแม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะอยากทำอะไรมากแค่ไหน ปุณณกันต์ก็จะแค่จ้องมองและแสดงอาการสนใจ จนกว่าพี่ชายจะถาม นั่นแหละ ปุณณกันต์ถึงจะบอกถึงความต้องการของตัวเอง

ผิดกับปัณณธร รายนั้นถ้าอยากทำอะไรจะพูด จะบอก จะแสดงความต้องการอย่างเปิดเผยเลย ว่านี่คือสิ่งที่ตนเองปรารถนาจะทำหรือจะครอบครอง ซึ่งมันก็ดีอย่างเสียอย่างทั้งสองแบบนั่นแหละ ตึงไปอย่างปุณณกันต์ก็ไม่ดี คนจะไม่เข้าใจ แต่จุดดีมันอยู่ที่ฝึกความอดทนได้ ส่วนนิสัยปัณณธรก็ดีตรงที่เปิดเผย แต่ถ้ามากไปคนอาจจะมองเป็นอีกแง่ที่เรียกว่าใจร้อน ความอดทนต่ำก็ได้

ดังนั้นปราณันต์จึงพยายามจะสอนน้องทุกครั้ง โดยเอาจุดเด่นของเด็กทั้งสอง มาผนวกรวมกัน เพื่อที่ว่ามันจะได้อยู่ตรงกลาง ในจุดที่พอดีและดีพอที่สุด

“ปัณณ์ พี่ปราณเคยสอนว่าไงครับ จำได้ไหม”

“ปัณณ์จำได้แล้วครับ” เด็กน้อยยิ้มแห้งๆ เกาศีรษะเก้อๆ เขาดันลืมสิ่งที่พี่ปราณสอนไปเสียสนิทได้ยังไงกัน

“พี่ปุณณ์ๆ ปุณณ์อยากขี่จักรยานเล่นรึยังอะ” ปัณณธรหันไปถามปุณณกันต์ที่อยู่ใกล้ๆ ตากลมจ้องมองไปที่แฝดพี่อย่างต้องการจะฝากความหวัง จนปราณันต์เห็นแล้วอดขำออกมาไม่ได้

“อื้อ! อยากขี่แล้ว” ปุณณกันต์ตอบน้อง ก่อนจะหันไปตอบพี่ชายคนโตของครอบครัวด้วยเช่นกัน

“ปุณณ์กับปัณณ์อยากขี่จักรยานแล้วครับพี่ปราณ”

ปากอิ่มยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เห็นน้องชายทำตามที่ตนเองสอนได้อย่างดีเยี่ยม คามินขมวดคิ้วงงๆ กับการกระทำของปอปลาทั้งสาม แต่ก็ยังไม่ทันได้ถามอะไร เพราะต้องปลีกตัวไปเช่าจักรยานมาให้ด็กแฝดทั้งสองใช้ขี่เล่นก่อน

“มาแล้วครับ มาแล้ว จักรยานมาแล้ว” คามินเข็นจักรยานเด็กเข้ามาสองคัน แล้วก็มีเด็กที่ร้านเช่าเข็นจักรยานผู้ใหญ่ตามมาด้วยอีกคัน

เด็กแฝดทั้งสองพอเห็นจักรยานก็วิ่งถลาเข้ามาเกาะแล้วขึ้นคร่อมขี่คนละคันในแทบจะทันทีทันใด เล่นเอาปราณันต์แทบจะตะโกนรั้งไว้แทบไม่ทัน

“ปุณณ์ ปัณณ์ อย่าขี่ไปไกลนะครับ อยู่แค่บริเวณนี้นะ โอเคไหม?”

“คร้าบบบ!!” เด็กน้อยทั้งสองตะโกนตอบทั้งรอยยิ้ม ซึ่งตอนนี้เด็กยักษ์อีกหนึ่งคนก็กำลังขึ้นคร่อมจักรยานแล้วไถตัวเข้ามาใกล้ๆ เขาแล้วด้วยเช่นกัน

“คุณปราณไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมตามไปดูแลเด็กๆ ให้” คามินแสดงความอ่อนโยนออกมาจนปราณันต์ใจเต้นแรง ก่อนที่ปากหยักจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยก่อนหน้านี้ “ว่าแต่ทำไมปัณณ์ถึงต้องถามปุณณ์ก่อนล่ะครับว่าอยากขี่จักรยานหรือยัง”

ปากอิ่มแย้มยิ้มก่อนที่จะตอบคามิน “ปัณณ์เป็นเด็กใจร้อน แล้วก็ชอบแสดงความต้องการทุกอย่างอย่างเปิดเผยครับ ส่วนปุณณ์เป็นเด็กขี้อาย ไม่ค่อยกล้าบอกเท่าไหร่ว่าตัวเองอยากได้อะไร การที่จะทำให้เด็กทั้งสองอยู่ในจุดที่พอดี ผมก็ต้องใช้ความใจเย็น ชอบอดทนของปุณณ์มาเบรกปัณณ์ไว้หน่อย แล้วก็ต้องเอาส่วนของความเป็นคนตรงๆ เปิดเผยของปัณณ์ มากระตุ้นให้ปุณณ์แสดงความรู้สึก”

ปราณันต์อธิบายช้าๆ ไปเรื่อยๆ พลางมองไปที่เด็กๆ ที่กำลังขี่จักรยานอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก คามินมองอีกฝ่ายด้วยความสงบนิ่ง ใบหน้าคมคายไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าปราณันต์เป็นคนที่มีความคิด ทัศนคติ และวิธีการสอนน้องที่ดีมาก ในขณะที่ปราณันต์เองก็ยังคงพูดถึงฝาแฝดทั้งสองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนให้คามินฟังต่อ

“ผมอยากให้พวกเขาดูแลกันและกันได้ครับ... ผมอยากให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน อยากให้เขาเติบโตด้วยความรักและความเข้าใจ จากทั้งคนรอบข้าง และจากตัวเขาทั้งสองเอง”

ปราณันต์หันมาทางคนที่เพิ่งถามคำถามตัวเองช้าๆ คามินเองพอเห็นปราณันต์กำลังจะมองกลับมาทางตน ใบหน้ามีเสน่ห์ของคามินก็ค่อยๆ คลายความเย็นชาลง หน้ากากแห่งความอ่อนโยนถูกคนเจ้าเล่ห์หยิบมาใส่แทนที่อีกครั้ง

“ฝาแฝดต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแน่นอนครับ” ปากหยักส่งยิ้มมาให้คนตรงข้าม ปากอิ่มเองก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะหันกลับไปมองน้องชายของตัวเองอีกครั้ง

“ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกันครับ”

.

.

.

ฝาแฝดทั้งสองทั้งปั่นจักรยาน ทั้งวิ่งเล่นไล่จับกับพี่ครามเด็กร่างยักษ์อย่างสนุกสนาน ปราณันต์ได้แต่มองคนทั้งสามอย่างมีความสุข เขาไม่ได้เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองของเขามีความสุขมากขนาดนี้มานานแล้ว เด็กๆ หัวเราะกันสุดเสียง ถึงแม้จะเหนื่อยหอบแต่ก็ยังคงไม่ยอมหยุดเล่น สุดท้ายปราณันต์จึงต้องเรียกเด็กซนทั้งสามคนให้มาทานอาหารกลางวันกัน เพราะนี่ก็ใกล้จะเที่ยงเต็มทีแล้ว

“ปุณณ์ ปัณณ์ คุณคราม” ปราณันต์ป้องปากตะโกนเรียกคนทั้งสาม ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่หันมามองตามเสียงเรียก “มาทานกลางวันกันได้แล้วครับ พักก่อนเถอะ” มือเรียวกวักเรียกคนที่วิ่งไปวิ่งมาให้เข้ามาหาตน

ปุณณกันต์วิ่งเข้าไปหาพี่ชายตนเองอย่างร่าเริง ส่วนปัณณธรตอนนี้กำลังกรีดเสียงหัวเราะอย่างสุดเสียง เพราะเจ้าตัวน้อยกำลังถูกพี่ครามคนตัวใหญ่จับอุ้มจนตัวลอยเคว้งไปมาบนอากาศ

“ฮ่าๆๆ พี่ครามมมมม!” เจ้าตัวน้อยหัวเราะเสียงใสจนปุณณกันต์และปราณันต์ที่ได้เห็นและได้ยินอดหัวเราะตามไม่ได้ “ยกสูงๆ ปัณณ์ชอบสูงๆ”

“สูงอีกหรอครับ” คามินแกล้งยกเจ้าตัวน้อยให้สูงขึ้นอีก ทำเอาเจ้าหนูตัวน้อยหัวเราะร่ายิ่งกว่าเดิม

“ฮ่าๆๆ” คนตัวโตเล่นกับปัณณธรจนมาถึงที่พักที่ปราณันต์ปูเสื่อนั่งรออยู่ ฝาแฝดจึงยอมหยุดเล่นแล้วนั่งลงดีๆ ปราณันต์หยิบน้ำในขวดมาล้างมือให้เจ้าตัวน้อยทั้งสอง ก่อนจะส่งที่เหลือให้คามินทำความสะอาดมือของตัวเองเช่นกัน จากนั้นปราณันต์ก็หยิบอาหารที่เตรียมมาออกจากตะกร้า แล้วตักใส่จานเล็กๆ แยกให้ทั้งสามทานอย่างเต็มที่

“อร่อยไหมครับปุณณ์” ปราณันต์ยื่นมือที่ถือกระดาษทิชชู่อยู่เช็ดไปที่ปากเล็กๆ ของแฝดคนพี่อย่างเบามือ

“อร่อยครับ พี่ปราณทำไข่ม้วนอร่อยที่สุดในโลก” ปากจิ้มลิ้มที่กำลังเอ่ยชมพี่ชายเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่หยุด แก้มยุ้ยๆ ขยับขึ้นขยับลงอย่างน่าเอ็นดู

“ช่าย! ไก่ทอดนี่ก็อร่อย อร่อยที่สุดในโลกเหมือนไข่ม้วนเลย” ปัณณธรก็ใช่ว่าจะยอมน้อยหน้าพี่ชายฝาแฝดตัวเอง เจ้าตัวเล็กเอ่ยชมพี่ชายคนโตอย่างเอาอกเอาใจ ปากอิ่มเล็กๆ สีแดงสด มันวาวไปทั่วทั้งปากเพราะแฝดน้องกำลังทานไม่ยอมหยุดพัก

พี่ชายคนโตหลังได้ยินคำชมจากน้องฝาแฝดทั้งสองก็ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะหันไปหานักชิมคนสุดท้าย ราวกับอยากจะขอความเห็น

“เป็นไงบ้างครับคุณคราม พอทานได้ไหมครับ” ปราณันต์ถามไม่เต็มเสียง ยอมรับว่าไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ หลังจากที่เห็นว่าคามินเงียบไปหลังได้ชิมอาหารฝีมือเขา

“ไม่…” ปราณันต์หน้าเสีย พลางคิดอย่างวุ่นวายว่าอาหารจานไหนที่ไม่อร่อย เขาก็ทำสุดฝีมือทุกอย่างเลยนะ “ไม่พอหรอกครับแค่นี้! อร่อยขนาดนี้ ผมทานไม่อิ่มง่ายแน่ๆ!”

ปากอิ่มยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างน่ามอง ปราณันต์ยอมรับว่าดีใจมากที่อาหารของเขาถูกปากคามิน หัวใจดวงเล็กๆ เต้นแรง อดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ที่ทำให้คามินประทับใจในรสชาติอาหารที่เขาทำได้มากขนาดนี้

“ทานเยอะๆ เลยนะครับ ผมทำมาเยอะเลย เห็นว่าคุณทานจุ” มือเรียวหยิบอาหารเพิ่มลงไปบนจานของคามินเรื่อยๆ

“แล้วคุณล่ะครับ ไม่ทานหรอ?” คามินถามกลับเมื่อเห็นว่าปราณันต์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย

“ผมทานไปก่อนหน้านี้แล้วครับ เดี๋ยวไม่มีคนดูแลเด็กๆ ถ้าเราทานพร้อมกัน” แม้ปากจะตอบคำถาม แต่มือเรียวก็ยังจับนั่นหยิบนี่ไม่หยุด เดี๋ยวเช็ดปากให้ปัณณธร เดี๋ยวเก็บของที่หกออกจากจานให้ปุณณกันต์ ไหนจะคอยเทน้ำ เพิ่มอาหารให้คามินเรื่อยๆ อีก

สองเด็กแฝดกับหนึ่งผู้ใหญ่ยักษ์ซัดอาหารทั้งหมดจนเรียบแทบไม่เหลืออะไรสักอย่าง แล้วแทนที่อิ่มกันหมดแล้วเด็กแฝดและผู้ใหญ่ยักษ์จะหมดแรง กลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะตอนนี้สามหนุ่มกำลังชวนเขายิกๆ เพื่อไปถีบเรือเล่นในทะเลสาปที่เป็นเกาะกลางสวนสาธารณะ จนสุดท้ายปราณันต์ก็ยอมใจอ่อนจนได้

ทั้งสี่คนเดินไปเช่าเรือสองลำ ปราณันต์ไปลำเดียวกับปัณณธร ส่วนคามินไปลำเดียวกับปุณณกันต์ ทั้งสี่คนแล่นเรือถีบไปมาอย่างสนุกสนานจนเหนื่อย ถึงได้ยอมกลับขึ้นฝั่งมาดื่มน้ำ ดื่มท่าแล้วหยุดนั่งพักบนเสื่อใต้ต้นไม้ใหญ่ต่อ

“ฝาแฝดครับ วันนี้สนุกไหม” คามินถามเด็กๆ เจ้าตัวน้อยทั้งสองยิ้มจนตาหยี ก่อนจะตอบพี่ครามเสียงดังฟังชัด

“สนุกมากเลยครับพี่คราม วันหลังเรามากันอีกนะ” ปัณณธรพูดพลางกระโดดไปเกาะหลังคนตัวโต ก่อนจะปีนป่ายขึ้นไปบนหลังกว้างอย่างออดอ้อน

ปุณณกันต์เองก็เหมือนกันเจ้าตัวน้อยขยับตัวไปโอบกอดรอบคอพี่ชายตัวเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักไม่ต่างจากน้องชายว่า “วันนี้ปุณณ์สนุกมากครับพี่ปราณ ถ้าพี่ปราณว่างคราวหน้าพาเราสองคนมาอีกนะ”

เจ้าตัวน้อยถูไถใบหน้าตัวเองเข้ากับแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างออดอ้อน ทำเอาพี่ชายคนเก่งใจอ่อนจนเผลอตอบตกลงไป

“ได้ครับ ไว้ว่างพี่ปราณจะพาฝาแฝดมาอีกนะ”

เจ้าหนูทั้งสองกระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่า และแปะมือกันอย่างยินดี จนผู้ใหญ่ทั้งสองอดจับเด็กๆ มาฟัดเล่นไม่ได้

ปราณันต์เกี่ยวเอวเจ้าแฝดคนน้องแล้วรั้งเจ้าตัวน้อยมานั่งบนตัก จากนั้นก็ฟัดหอมแก้มซ้ายขวาอย่างหมั่นเขี้ยว คามินก็เช่นกัน เขาจับปุณณกันต์มากอดไว้ ก่อนที่จะใช้จมูกโด่งซุกไซร้ไปที่แก้มและพุงน้อยๆ ของแฝดคนพี่อย่างเอ็นดู

เด็กทั้งสองต่างดิ้นหนีผู้ใหญ่ขี้แกล้งกันอย่างสนุกสนาน เด็กแฝดวิ่งหนีไปทางนั้นที ทางนี้ที โดยมีปราณันต์กับคามินตามไล่คลานจับเด็กทั้งสองไปมาอยู่บนเสื่อเล็กๆ ไม่หยุด จนจังหวะสุดท้ายฝาแฝดหลบผู้ใหญ่ทั้งสองทัน แต่กลายเป็นว่าผู้ใหญ่เองนั่นแหละที่หลบอีกฝ่ายไม่ทัน จมูกโด่งเป็นสันของคามินจึงพุ่งเข้าฉกลงบนแก้มนิ่มของปราณันต์ ส่วนริมฝีปากอิ่มสีสดก็จูบลงบนสันกรามของคนตรงข้ามอย่างพอเหมาะพอดี

“อุ๊ย คิก คิก” ปุณณกันต์กับปัณณธรมองภาพตรงหน้าแล้วหัวเราะคิกคักไม่หยุด ปราณันต์เองที่พอรู้ตัวก็ดีดออกจากคามินแทบไม่ทัน แก้มนวลขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย

“หอม แถมแก้มนิ่มด้วย” คนตรงข้ามกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์ที่เขินอยู่แล้ว ยิ่งเขินหนักกว่าเดิม ตอนนี้นอกจากแก้มนวลจะแดงระเรื่อแล้ว ใบหู และรอบคอของปราณันต์ก็ขึ้นสีตามไปแล้วเช่นกัน

“คนบ้า” เสียงใสอ้อมแอ้มต่อว่า ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณเอาจักรยานไปคืนร้านได้แล้วครับ จะเย็นแล้ว เก็บของกลับบ้านกันเถอะ”

“หึหึ” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะล้อเลียน ก่อนจะปลีกตัวเอาจักรยานไปคืนอย่างว่าง่าย มือเรียวเก็บกล่องใส่อาหารลงตะกร้าเงียบๆ โดยมีเจ้าตัวแสบทั้งสองนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ

“เมื่อกี้พี่ครามหอมแก้มพี่ปราณด้วยอ่ะพี่ปุณณ์ คิคิคิคิ”

“ใช่ๆ พี่ปราณก็จุ๊บแก้มพี่ครามด้วยแหละปัณณ์ คิกคิก”

เจ้าฝาแฝดนั่งคุยโต้ตอบกันทั้งที่อยู่ใกล้ๆ กับปราณันต์ ทำเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้ยินงั้นแหละ

“แก่แดดใหญ่แล้วนะ เดี๋ยวเถอะตัวดื้อ” แต่แทนที่เด็กแสบทั้งสองจะสลด กลับหัวเราะชอบใจมากกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะเสียงที่ดุเด็กๆ นั้นแทบไม่จริงจังเลย ติดจะเขินอายมากกว่าด้วยซ้ำ

และพอคามินเดินกลับมาสามคนพี่น้องก็เก็บของเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่เลยตัดสินใจจะกลับอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวปอปลาเพราะตอนนี้ก็บ่ายคล้อยมากแล้ว และท่าทางของฝาแฝดเองก็ดูเหนื่อยมากด้วย เพราะเล่นกันมาตั้งแต่สายๆ ยันบ่ายไม่ได้หยุดพัก เจ้าตัวน้อยคงสมใจอยากเพราะนานๆ จะได้ออกมาเที่ยวทั้งที เลยเก็บเกี่ยวเต็มที่จนขากลับนี่แทบเดินไม่ไหว

ตอนนี้พี่ครามเลยต้องจับปัณณธรขี่คอพลางถือตะกร้าเปล่าแล้วพาเดินไปที่รถ ส่วนปุณณกันต์ปราณันต์ก็เป็นคนอุ้มเดินตามหลังคนตัวโตไปห่างๆ

.

.

.

พอขึ้นรถได้ ออกรถไปสักพักเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเบาะหลังก็เงียบลง พี่ชายคนโตของครอบครัวรู้ทันทีโดยไม่ต้องหันไปมองว่าเด็กแฝดของเขาคงสิ้นฤทธิ์แล้ว

“ท่าทางจะหลับกันหมดแล้วล่ะครับ” เว่ยโจยหันไปพูดกับคามิน ที่ตอนนี้ชำเลืองมองไปที่เบาะหลัง พลางอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

“น่าจะเหนื่อย วันนี้เล่นกันเต็มที่เลย” คามินพูดขำๆ เพราะวันนี้เจ้าแฝดทั้งสองใช้พลังกันเต็มที่มาก ถ้าไม่หลับสิแปลก

“วันนี้ขอบคุณคุณมากเลยนะครับ ที่มาอยู่เล่นเป็นเพื่อนน้องๆ ของผม เด็กๆ ดูสนุกมากเลย” ปราณันต์ค้อมหัวให้คนตรงข้ามอย่างรู้สึกขอบคุณที่คามินทำเพื่อเขาและครอบครัวขนาดนี้

“คุณปราณก็รู้ว่าผมเต็มใจ มากกว่านี้ผมก็ทำให้คุณได้” คำพูดเกี้ยวพาถูกหยอดออกมาจากริมฝีปากหยัก เล่นเอาคนที่เข้าใจความนัย ใจเต้นแรงไปหมด

“คุณก็...” เสียงใสๆ เล็กๆ เหมือนจะถูกดูดกลืนลงคอ เมื่อเห็นว่าใบหน้าคมคายค่อยๆ ขยับเข้ามาช้าๆ ปราณันต์จึงแกล้งเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณหิวรึยังครับ”

“อืม.. นิดหน่อยครับ คิดอยู่ว่าถ้าเสร็จจากส่งคุณกับน้องๆ แล้ว ผมค่อยไปหาอะไรทาน” คามินจำต้องถอยออกพลางทำเสียงเศร้าๆ กะเรียกคะแนนสงสารเต็มที่

“เอางี้ ผมพอมีของสดที่เหลือจากมื้อเช้าอยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวผมทำอะไรง่ายๆ ให้คุณครามทานดีไหมครับ” และก็ได้ผล เพราะพอปราณันต์พูดแบบนี้ออกไป ก็เหมือนเข้าทางของคามินทันที

“ตกลงครับ งั้นผมขอทานมื้อเย็นที่ห้องคุณปราณอีกมื้อนะ” คามินรับคำด้วยน้ำเสียงลิงโลด

“แล้วถ้าผมไม่อนุญาตล่ะ คุณจะทำยังไง” ปราณันต์แกล้งถาม เป็นผลให้คามินหันขวับมามองทันที

“ต้องอนุญาตสิ! คุณปราณของผมก็ใจดีกับผมตลอดแหละ ผมรู้”

ปราณันต์ได้แต่ขำออกมาเบาๆ กับความเจ้าเล่ห์แสนกลของผู้ชายคนนี้ ก่อนที่สองคนจะเถียงกันไป ขับรถกันไป จนถึงอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวปราณันต์

.

.

.

พอจอดรถเรียบร้อย ทั้งสองก็อุ้มแฝดกันคนละคนขึ้นมาบนห้อง ก่อนจะพาเด็กๆ ไปวางบนเตียงอย่างเบามือ กันไม่ให้ตัวแสบทั้งสองตื่น

“ผมฝากคุณดูน้องด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปทำอะไรง่ายๆ ให้คุณทาน”

คามินพยักหน้าแล้วตอบตกลง เขาจัดท่าทางการนอนของเด็กทั้งสองให้อย่างอ่อนโยน คนตัวโตมองเจ้าฝาแฝดที่สิ้นฤทธิ์ไปแล้วด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะหยิบนู่นจับนี่ให้เข้าที่ เพื่อไม่ให้เกะกะการนอนของเด็กๆ

พอจัดการอะไรเรียบร้อย คามินก็เดินไปหาปราณันต์ในครัว ที่ตอนนี้คงกำลังทำอาหารอยู่อย่างขะมักเขม้น พอเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นหอมฉุยมาจากหม้อ

คามินมองปราณันต์จากด้านหลังพลางนึกในใจว่า


‘คนอะไร น่ากอด น่ารังแกเป็นบ้า!’


ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อาหารที่ปราณันต์ทำอาหารเสร็จพอดี

“อ่าว เอาฝาแฝดนอนเรียบร้อยแล้วหรอครับ” ปราณันต์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคามินเดินเข้ามาในครัว

“เรียบร้อยแล้วครับ มาผมช่วย” คามินขยับตัวเข้าไปช่วยปราณันต์ยกอาหารแล้วก็จัดโต๊ะ

พอเรียบร้อย คามินก็ทานอาหารที่ปราณันต์ทำให้อย่างเอร็ดอร่อย และเมื่ออิ่มแล้ว คามินก็เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่แผนเขาควรจะขยับขึ้นมาเสียที เพราะตอนนี้ปราณันต์ยอมอ่อนโอนให้เขามากขึ้นและเขาก็ไม่ควรเสียเวลาอีกต่อไป

“คุณปราณครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย” คามินเอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหาร ทำเอาปราณันต์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย

“ครับ คุณมีอะไรหรอ” ปราณันต์เหลือบตามองคามินที่กำลังจะพูดอย่างตั้งใจ ในขณะที่มือเรียวก็จัดการทำความสะอาดเก็บโต๊ะไปด้วย

“คุณรู้ใช่ไหมครับว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ” มือเรียวที่กำลังขยับทำนั่นทำนี่ ถึงกับหยุดชะงักไปหลังได้ยินคำถามนั้น

ใบหน้านวลค่อยๆ ขึ้นสีที่แก้มช้าๆ เจ้าตัวก้มหน้างุด ก่อนที่จะพยักหน้า เพื่อตอบคำถามของคามิน “ผมรู้”

“ผมไม่อยากรอต่อไปแล้ว คุณปราณให้โอกาสผมได้รึป่าวครับ” คามินรุกหนัก มือใหญ่เลื่อนมากุมมือเล็กที่หยุดชะงักอยู่ช้าๆ ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์เต้นแรงหนักกว่าเดิม

“ให้ยังไงล่ะครับ” ปราณันต์อ้อมแอ้มถาม ทั้งเขินทั้งทำตัวไม่ถูก


“อนุญาตให้ผมจีบคุณ อนุญาตให้เราทำความรู้จักซึ่งกันและกัน อนุญาตให้ผมดูแลคุณและคนในครอบครัวคุณ เปิดใจให้ผมได้ไหมครับ”


ปราณันต์นิ่งไป ฟันซี่งามกำลังขบลงบนริมฝีปากล่างแน่นอย่างใช้ความคิด ปราณันต์ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรตัดสินใจยังไง หลังจากลังเลอยู่นาน ปราณันต์ก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง


“ลองดูก็ได้ครับ” ปราณันต์ตอบอายๆ


“เยส!” คามินแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า ทำเอาปราณันต์เขินหนักกว่าเดิม

“ถ้ามันไปด้วยดี ผมก็จะไปต่อกับคุณ แต่ถ้ามันไม่เวิร์ค ผมขอให้หยุดคุณก็ต้องหยุดนะครับ ตกลงไหม” ปราณันต์ยื่นข้อตกลงก่อนจะยอมให้คามินจีบจริงจัง

“ตกลงครับ เพราะยังไงผมก็มั่นใจว่ามันจะเวิร์ค ผมจะทำให้คุณหันมามองและยอมเป็นแฟนผมให้ได้”

คามินใช้ดวงตาคมเรียวที่แสนลึกลับและมีเสน่ห์สบเข้ากับดวงตากลมโตที่แสนไร้เดียงสาของปราณันต์ เพียงแค่มองตากัน หัวใจของปราณันต์ก็กระหน่ำเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขารู้ดีว่าเสน่ห์ของคามินช่างน่ากลัวและยากจะต้านทาน แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยอมลงไปกระโจนเล่นกับไฟ รู้ว่ามันอันตรายแต่เสน่ห์ของมันก็ยวนใจ สวยงามและน่าลิ้มลอง

.

.

.

“กลับไปได้แล้วครับ ดึกแล้ว” ปราณันต์พูดประโยคนี้กับคามินมาสามครั้งได้ ตอนนี้มือเล็กๆ กำลังดันตัวคามินที่ยืนคาประตูห้องของเขาอยู่ให้ถอยหลังออก แต่คนตัวโตก็ยังอิดออดไม่ยอมกลับท่าเดียว

“ขอผมอยู่อีกหน่อยไม่ได้หรอ ผมอยากอยู่กับคุณปราณให้นานขึ้นกว่านี้อีกสักนิด” คามินทำท่าทางออดอ้อน ที่ดูแล้วไม่เหมาะกับรูปร่างสูงใหญ่ของตัวเองเลยสักนิด

“ผมง่วงแล้ว เดี๋ยวต้องไปดูแลเช็ดตัวให้ฝาแฝดอีก หลับลึกแบบนี้ท่าทางจะอาบน้ำไม่ไหว คุณกลับก่อนเถอะนะครับ ขับรถดึกๆ มันอันตราย” ปราณันต์ชักแม่น้ำทั้งห้า แต่คามินก็ยังเฉย

“คุณปราณเป็นห่วงผมหรอครับ” ปากหยักยิ้มหวานออดอ้อนเอาคำตอบ ทำเอาปราณันต์ไปไม่เป็นเลยทีเดียว

“รู้แล้วยังมาถามอีก” ปากอิ่มขมุบขมิบบ่น แต่คามินก็ได้ยินอยู่ดี จึงยิ้มกว้างแสดงความดีใจแบบปิดไม่มิด

“ชื่นใจจัง งั้นผมกลับนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยงๆ จะมารับไปทานข้าว”

“แต่ว่า...” ปราณันต์กำลังจะปฎิเสธ แต่คามินขัดขึ้นมาก่อน

“ห้ามปฏิเสธครับ ไม่มีแต่” และในขณะที่ปราณันต์ขมวดคิ้วมุ่น หาทางบ่ายเบี่ยงอยู่นั้น จู่ๆ คนตัวโตก็โพล่งขึ้นมา พลางมองไปที่ด้านหลังของปราณันต์

“อ้าวปุณณ์ ตื่นขึ้นมาทำไมครับ”

พอได้ยินคามินพูดแบบนั้นปราณันต์ก็หันขวับมองตามสายตาคมทันที แต่พอหันไปก็เจอความว่างเปล่า ถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกหลอกเข้าให้แล้ว เลยตั้งใจจะหันกลับมาต่อว่าคนขี้แกล้งเสียหน่อย


จุ๊บ~


โดยไม่ทันระวังและไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าคมคายของคามินลดลงมารอท่าอยู่ ซึ่งพอปราณันต์หันกลับมา ก็ทำให้ปากอิ่มสีสดปะทะเข้ากับปากหยักที่ยื่นมารอจะขโมยจูบอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ปราณันต์ผละออกแทบไม่ทัน แต่ก็ช้ากว่ามือใหญ่ของคามินอยู่ดีที่ตอนนี้โอบกอดเอวบางเอาไว้ แล้วรั้งให้เข้ามาแนบชิดตัวเอง ก่อนที่จะโน้มใบหน้าประทับริมฝีปากลงไปบนปากอิ่มสีแดงที่เย้ายวนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ซึ่งปราณันต์เองก็ตกตะลึงเกินกว่าจะขยับตัวหนีทัน


จุ๊บ~


“กู๊ดไนท์คิส ฝันดีนะครับคุณปราณ อย่าลืมฝันถึงผมนะ” จมูกโด่งเป็นสันก้มลงไปคลอเคลียที่ปลายจมูกโด่งรั้นของอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “แล้วพรุ่งนี้เจอกันครับ”

คามินพูดพลางยิ้มโชว์เขี้ยว ก่อนที่จะค่อยๆ โบกมือให้ แล้วถอยหลังออกไป...


...คามินเดินลงลิฟต์ไปจนลับตาแล้ว แต่หัวใจของปราณันต์ที่เต้นระรัวอยู่ในอกกลับไม่ได้สงบลงเลย มันยังคงกระหน่ำโจมตีและตอกย้ำความรู้สึกที่ปราณันต์มีต่อผู้ชายคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง...แล้วปราณันต์ก็เพิ่งรู้ในนาทีนั้นเองว่า ‘ความรัก’ หน้าตามันเป็นยังไง

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------

เป็นพระเอกที่ร้ายกว่าตัวร้ายในเรื่องอี๊กกกก อยากปกป้องน้องปราณจากนังพี่ครามมากๆ จ้าาาา

ฝากติดแท็ก #ลวงหลอกรัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกได้เลยน้าา เพื่อเป็นกำลังใจให้เราต่อไปเนาะ แล้วยังไงอีกสองสามวันจะมาลงตอนต่อไปนะค้าาา

เจอกันตอนหน้าจ้าาา อย่าลืมคอมเม้นท์นะค้าบบบ รักค่ะ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/11/63 [7th Lies: เดินหน้าความสัมพันธ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-11-2020 17:24:08
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/11/63 [7th Lies: เดินหน้าความสัมพันธ์]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-11-2020 00:39:50
 :-[ :-[ ความรักแรกเริ่มเหมือนดอกไม้ผลิบานมันช่างหอมหวานจนไม่ได้เผื่อใจอะไรไว้ ก็ไม่ผิดนะ ใครจะไปคิดว่าจะ.... เนอะ 55 แต่ถ้ารู้แล้วมันก็อีกเรื่อง วันที่ทำร้ายเขาไปวันนั้นจะรู้ตัวเมื่อสายไปจริงๆอย่างที่ไม่เคยสูญเสียมาก่อน เตือนไว้เลยนะคามิน อิอิ อยากวาร์ปไปสิ้นเดือนครบกำหนดแล้ว 55555 แฝดดน่ารักกมากกก หลงเด็กแฝด หลอกพี่ไม่เท่าไหร่แต่มาหลอกเด็กแฝดด้วยด้วยนี่ไม่ให้อภัยบอกเลย ต้องได้รับอะไรสักอย่างให้สาสมถึงจะยอมให้คืนดี สนุกมาก ชอบ  :pig4: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/11/63 [7th Lies: เดินหน้าความสัมพันธ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 17-11-2020 12:25:21
อย่าสายเกินแก้ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/11/63 [7th Lies: เดินหน้าความสัมพันธ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-11-2020 22:10:06
 :pig4: :pig4: :3123:สงสารสามพี่น้องมาเจ คนหลอกลวง
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/11/63 [8th Lies: สถานะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 24-11-2020 19:49:30
8th Lies : สถานะ


คามินตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์อย่างสดใส ในขณะที่สมองของเขากำลังเรียบเรียงแผนการที่จะเอาชนะใจปราณันต์อยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็กลับดังแหวกอากาศขึ้นมาเสียก่อน


Rrrr


มือใหญ่เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์แล้วมองเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแรงๆ พลางนึกในใจว่า ครั้งนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องรับ ถ้าไม่อยากให้ว่าที่ภรรยาของเขาในอนาคตอาละวาดแล้วกลับมารังควาญตอนนี้ ตอนที่เขากำลังไปได้ดีกับปราณันต์

“ครับ” คามินก็ยังเป็นคามินที่สงวนคำพูดและท่าทีเสมอ ถ้าต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องฝืนใจตัวเอง

(คราม! คุณหายไปไหนมาเป็นอาทิตย์? ถ้าวันนี้คุณไม่รับโทรศัพท์ วลัยตั้งใจว่าจะบินกลับกรุงเทพไปหาคุณแล้วนะคะ)

นั่นไง ผิดจากที่เขาคิดไว้ที่ไหน คนเอาแต่ใจอย่างพรวลัย ถ้าอะไรไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ผู้หญิงคนนี้จะตามเอาเรื่องไม่ปล่อยไว้แน่

“ผมงานยุ่งน่ะครับ เลยไม่มีเวลารับโทรศัพท์หรือติดต่อกลับหาคุณเลย”

คามินตอบกว้างๆ แบบไม่ให้พรวลัยสงสัย เรื่องที่เขาบ้างานใครๆ ก็รู้ดี เพราะฉะนั้นถ้าเอาเรื่องนี้มาอ้าง คู่หมั้นเขาต้องไม่ระแคะระคายแน่ๆ

(ไม่ว่าจะยุ่งยังไง คุณก็ควรต้องรับโทรศัพท์รึป่าวคะ วลัยเป็นคู่หมั้นคุณนะ ทำแบบนี้มันถูกแล้วหรือไง)

เสียงแหลมพูดจาต่อว่าอย่างจริงจัง ทำเอาคามินต้องขบฟันแน่นจนสันกรามนูน พลางหลับตาลงช้าๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของตัวเอง เขาไม่ชอบเวลาที่พรวลัยเกรี้ยวกราดใส่ ถ้าเป็นปกติคามินก็คงแค่หลับหูหลับตาฟังเธอบ่นไป แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมความอดทนของเขาถึงได้ต่ำเตี้ย จนแทบอยากจะวางสายหนีให้รู้แล้วรู้รอด

“เอาล่ะครับ เอาเป็นว่าผมผิดเองที่ไม่รับสายคุณ” คามินตอบปัดเพื่อให้พรวลัยสงบ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้ผล

(ก็ดีค่ะ ที่คุณยอมรับผิด) เสียงหวานจากปลายสายตอบกลับมาอย่างกระเง้ากระงอด แต่แทนที่คามินจะรู้สึกเอ็นดูเหมือนเวลาได้ยินจากปราณันต์ เขาดันกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเหลือเกินที่ต้องมาทนฟัง

คนตัวโตลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตัดบทเพื่อไม่ให้พรวลัยสงสัยอะไรได้อีก แต่ก็อย่างว่าผู้หญิงอย่างพรวลัยไม่ค่อยสนใจอะไรใครเท่าไหร่หรอก นอกจากเรื่องของตัวเอง เช่น วันนี้จะช็อปปิ้งที่ไหนดี หรือวันนี้มีงานสังคมอะไรที่เธอต้องไปออกบ้าง ซึ่งทั้งหมดแล้วแล้วแต่เป็นสิ่งที่คามินคิดว่า ‘ไร้สาระ’ ทั้งนั้น

“คุณอยู่ทำธุระของคุณให้เรียบร้อยเถอะครับ แล้วเดี๋ยวไว้คุณกลับมาผมจะให้คนพาคุณไปช็อปปิ้ง”

(วลัยอยากให้คุณพาไป วลัยอยากพาคุณไปเปิดตัวกับเพื่อนๆ ด้วย เมื่อไหร่คุณจะว่างให้วลัยสักทีล่ะคะคราม นี่เราเป็นคู่หมั้นกันนะ)

คามินหลับตาลงพร้อมกับใช้มือนวดกลางระหว่างคิ้วเบาๆ อย่างอดกลั้น เวลาที่คู่หมั้นเขางอแงแบบนี้ ดูเหมือนว่าอายุเขาจะลดลงอีกสักสิบปีได้

“เอาไว้ผมว่าง ผมจะไปกับคุณแล้วกันนะ” คามินแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากรับปากแต่ก็ไม่อยากปฎิเสธ เพราะไม่อยากให้พรวลัยงี่เง่าแล้วบินกลับมาก่อนกำหนด

(ไม่รู้แหละค่ะ อีกเดือนกว่าๆ วลัยเสร็จธุระแล้วจะกลับไปหาคุณ คุณหาวันว่างรอไว้เลย คุณต้องไปทานข้าวกับวลัยและเพื่อนๆ ถ้าคุณไม่ไปวลัยจะอาละวาด แล้วจะฟ้องคุณลุงกับคุณป้าด้วยว่าคุณขัดใจวลัย)

คามินสะกดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะรับปากไป “ครับ”

(อย่าลืมว่าครอบครัวเราต้องพึ่งพากัน ถ้าคุณหักหาญน้ำใจวลัย วลัยก็ไม่รับปากหรอกนะคะ ว่าในอนาคตเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้จะไปได้สวยเหมือนอย่างทุกวันนี้รึป่าว วลัยไปละค่ะ ไว้อีกสองเดือนเจอกันนะคะ บาย)

พรวลัยวางสายไปอย่างอารมณ์ดี หลังจากวางระเบิดใส่ท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ไว้อย่างเจ็บแสบ

มือใหญ่ของคามินกำเข้าหากันแน่น อารมณ์ดีๆ ที่จะได้ไปพบปราณันต์วันนี้พังไม่เป็นท่า ความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวอยู่ในหัวใจด้านชาถูกกดเก็บเอาไว้อย่างไร้ค่าอีกครั้ง เมื่อความจริงที่คู่หมั้นของเขาพูดขึ้นมานั้นกำลังตีแสกหน้าคามินอย่างจัง

สุดท้ายแล้วเรื่องระหว่างเขาและปราณันต์มันก็แค่เกมที่เอาไว้เล่นแก้เบื่อ แต่เรื่องระหว่างเขาและวลัยต่างหากที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการหรอก

.

.

.

“เย็นนี้พวกนายว่างรึป่าววะ สิบ” เสียงทุ้มกรอกผ่านสายโทรศัพท์ไปยังปลายทางซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิท ในขณะที่เขากำลังเดินออกจากคฤหาสน์กลางกรุงหลังใหญ่ เพื่อเดินไปยังรถกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดอยู่ในโรงรถ

เมื่อคืนคามินกลับมานอนบ้าน เพราะขี้เกียจกระเตงรถเก่าๆ นี่กลับคอนโดซึ่งเป็นที่พักปกติของเขา ด้วยกลัวว่ารถจะดับกลางทาง ซึ่งที่จริงแล้วคามินไม่ค่อยได้กลับบ้านที่พ่อกับแม่อยู่เท่าไหร่ เพราะเบื่อโดนเซ้าซี้เรื่องแต่งงาน โชคดีที่เมื่อคืนเขากลับเข้ามาดึกแล้วเลยไม่เจอใคร และตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว สงสัยพ่อกับแม่คงออกไปทำธุระข้างนอกแล้วเช่นกัน

(กว่าจะโผล่หัวมาได้นะไอ้ประธาน! ละมาถึงก็ซัดตรงประเด็นเลย ไม่ถามสารทุกข์สุกดิบกันหน่อยหรอวะ)

สิปปกรพูดแซวเพื่อนสนิทอย่างอารมณ์ดี เพราะฟังจากน้ำเสียงไอ้คนเย็นชาแล้ว ท่าทางจะหงุดหงิดใครมา ไม่งั้นคงไม่เรียกรวมพลแบบนี้หรอก

“รับโทรศัพท์ได้แปลว่ายังไม่ตาย จะต้องถามทำไมให้มากความ”

คามินทรุดตัวเข้าไปนั่งในรถคันประจำของนายคามิน เซลล์ขายคอนโด โดยที่ไม่ได้สนใจน้ำเสียงล้อเลียนของสิปปกรเท่าไหร่ เพื่อนเขาคนนี้มันปากเปราะ ขืนสนใจทุกอย่างที่มันพูดมีหวังความดันเขาต้องขึ้นตายแน่ๆ

(ฮ่าๆๆ งี้สิวะ คามินตัวจริง! ว่าแต่เรียกรวมพลมีอะไรรึป่าววะ) เพื่อนสนิทหน้าทะเล้นของคามินขำอย่างอารมณ์ดี ตอนได้ยินคามินตอกกลับเขามาได้เจ็บๆ แสบๆ แบบนั้น

“อยากกินเหล้า ร้านเดิม นายโทรนัดเฮียเมษกับไอ้เตด้วยละกัน แค่นี้นะ”

คามินพูดรวบรัดและกำลังจะรีบวางเพราะต้องออกรถแล้ว แต่เสียงของสิปปกรโวยวายทะลุโทรศัพท์ออกมาเสียก่อน เขาจึงต้องเอามันกลับมาแนบหูอีกครั้ง

(แล้วทำไมไม่นัดเองวะ ฉันจะรู้ได้ไงว่าสองคนนั้นว่างไม่ว่าง)

“ขี้เกียจโทรเอง เอาเป็นว่าสี่ทุ่มเจอกันที่คลับ นายจัดการด้วย” และก่อนที่มือใหญ่จะกดวางสาย สิปปกรก็ตะโกนถามมาอีกครั้ง

(เดี๋ยวก่อนสิโว้ย แล้วนี้นายจะไปไหนเนี่ย วันนี้วันอาทิตย์ปกติกว่านายจะตื่นก็บ่ายไม่ใช่หรอ)

ปากหยักกระตุกยิ้มบางๆ ส่วนมือใหญ่ก็เอื้อมไปสตาร์ทรถ ก่อนจะตอบเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไปหาปราณันต์ ไปหาหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของฉันไง หึ!”

สิปปกรอ้าปากค้างใส่โทรศัพท์หลังจากคามินวางสายไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนผู้เย็นชาของเขามันจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าที่คามินยอมทุ่มเทขนาดนี้เป็นเพราะหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ หรือเป็นเพราะเกิดอยากได้เด็กหน้าหวานนั่นขึ้นมาจริงๆ กันแน่

.

.

.

“คุณปราณ ตื่นรึยังครับ?” คามินลองโทรหาปราณันต์ หลังจากขับรถออกมาจากบ้านได้สักพัก

(ตื่นแล้วครับ ฝาแฝดก็ตื่นแล้ว คุณจะมาถึงกี่โมงหรอครับ) เสียงหวานทอดถามเขาอย่างน่าฟัง

“ผมออกมาจากบ้านแล้วครับ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงน่าจะถึงอพาร์ทเม้นท์คุณ” คามินตอบรับอย่างสบายๆ แต่คนที่รู้สึกไม่สบายน่าจะเป็นปลายสายมากกว่า

(ว่าไงนะครับ? อีกครึ่งชั่วโมงถึง)

คามินแทบจะหลุดขำ ตอนได้ยินเสียงร้อนรนของคนปลายสาย แหงล่ะ เขาบอกไว้ว่าจะพาไปทานกลางวัน แต่ตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงเอง ให้ทาย ปราณันต์คงยังไม่พร้อมสักอย่างเป็นแน่

(ไหนคุณบอกว่าจะมารับไปทานกลางวันไงครับ นี่เพิ่งสิบโมงเองนะ ฝาแฝดยังไม่ได้อาบน้ำเลย) ปราณันต์ทำเสียงกระเง้ากระงอดที่คามินมาก่อนเวลา ทำให้ร่างสูงต้องพูดให้คนปลายสายใจเย็นๆ

“ฮ่าๆ ไม่ต้องรีบครับไม่ต้องรีบ ผมมาก่อนเวลาเอง คุณปราณกับแฝดจัดการกันตามสบายเลย ไม่ต้องกังวลนะ”

(คุณก็...ไม่น่ารีบมาเลย ผมเกรงใจ ต้องให้คุณมาคอยอีก) ปราณันต์สารภาพออกมาในที่สุด

“ก็ผมคิดถึงคุณปราณนี่ เลยรีบมา อยากจะเจอคุณจะแย่แล้ว”

เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างออดอ้อน ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าใบหน้าคมคายตอนนี้ คงกำลังฉายแววเจ้าเล่ห์แน่ๆ ยิ่งสายตาคมยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคงกำลังวาบวับไม่ต่างกับคำพูดหยอกล้อที่คามินเพิ่งแสดงออกมาแน่นอน

(พูดอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่คุยกับคุณแล้ว พาปุณณ์กับปัณณ์ไปอาบน้ำดีกว่า แค่นี้นะครับ)

และเช่นกัน โดยที่ไม่ต้องเห็นหน้าปราณันต์ คามินก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ปราณันต์จะต้องหน้าแดงแปร๊ดลามไปยันคอแน่ๆ เพราะแค่ฟังเสียงหวานก็ดูเขินอายขนาดนี้ นี่ไม่ต้องนึกถึงท่าทางที่ปราณันต์กำลังแสดงออก เพราะมันทำเอาเขาอยากจะบึ่งรถไปให้ถึงอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ให้เร็วๆ เหลือเกิน

“ฮ่าๆ โอเคครับๆ เดี๋ยวผมจะรีบไปหา เจอกันนะครับ”

ก่อนที่มือใหญ่จะกดวางสายไปอย่างนึกกระหยิ่มในใจ ถ้าการคุยกันกับพรวลัยทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างไม่มีเหตุผล การคุยกับปราณันต์ก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีได้โดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน

.

.

.

คามินขับรถถึงอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ในไม่กี่นาทีต่อมา ขายาวก้าวลงจากรถไม่รีบร้อน วันนี้คามินแต่งตัวสบายๆ เพราะเขารู้ดีว่าปราณันต์ชอบจับฝาแฝดแต่งตัวเหมือนกัน จะต่างกันแค่ตรงสีเสื้อ ปุณณกันต์จะใส่สีเข้มส่วนปราณันต์กับปัณณธรจะใส่เสื้อผ้าสีอ่อนคล้ายๆ กันๆ จากการจับสังเกตเมื่อวาน ดังนั้นวันนี้คามินจึงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีเข้ม ซึ่งจะทำให้เขาดูคล้ายกับปุณณกันต์ เวลาเดินด้วยกันก็จะดูเป็นครอบครัวมากๆ และเขาเองก็รู้ดีว่าคนอ่อนไหวง่ายแบบปราณันต์มักจะประทับใจกับอะไรแบบนี้เสมอ


ติ๊งหน่อง~


พอปราณันต์ได้ยินเสียงออดหน้าห้องก็เบิกตากว้าง เด็กๆ ยังอาบน้ำไม่เสร็จเลย ตัวเขาเองก็ด้วย แต่ตอนนี้คามินกลับมาถึงที่หน้าประตูห้องแล้ว ปราณันต์ลุกจากพื้นที่นั่งอย่างอิดออด จะให้ทำยังไงได้ เขายังไม่พร้อมสักอย่าง น้ำยังไม่อาบ ผมยังไม่สระ เพราะมัวแต่วุ่นๆ กับฝาแฝดอยู่

หลังจากที่บานประตูค่อยๆ เปิดออก ใบหน้าหวานใสของปราณันต์ก็ค่อยๆ เยี่ยมออกมาหน้าประตู ก่อนจะพบกับเจ้าของใบหน้าคมคาย ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 'ดูดีมาก' ดูดีแม้กระทั่งวันที่เป็นวันง่ายๆ สบายๆ อย่างวันอาทิตย์ก็ตาม

คามินมองดูคนตรงข้ามพลางอมยิ้มน้อยๆ หลังจากประตูเปิดแง้มออกมาเต็มบาน ปราณันต์อยู่ในชุดนอนลายการ์ตูนสีฟ้า บนใบหน้าหวานปรากฎแว่นสายตากรอบใสเกาะอยู่ที่ดั้งจมูกโด่งรั้น ปราณันต์ดูน่ารักมากเมื่ออยู่ในชุดสบายๆ แบบนี้ หนำซ้ำบนศีรษะเล็กๆ ของคนตรงข้ามยังมีผมกระจุกเล็กๆ ที่ถูกมัดไว้เป็นน้ำพุน้อยๆ อีกต่างหาก ทำเอาตาคมของคามินหยุดมองเด็กน้อยตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

“มองอะไรเล่าคุณ ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะที่อยู่ในชุดแบบนี้ ใครบอกให้คุณรีบมาขนาดนี้ล่ะ”

ปากอิ่มบ่นขมุบขมิบอย่างน่ารัก ยิ่งอยู่ด้วยกันมากๆ คามินยิ่งได้รู้ว่า ปราณันต์นิสัยแทบจะไม่ต่างจากปัณณธรเลย นี่ถ้าตัวไล่ๆ กับ เด็กๆ เขาคงคิดว่าปราณันต์ต้องเป็นแฝดคนที่สามแน่ๆ

“น่ารัก คุณปราณน่ารัก”

คามินไม่พูดเปล่า ยังอุตส่าห์ยื่นมือมาลูบแก้มเนียนๆ ของคนตรงหน้าเบาๆ อีก ทำเอาปราณันต์ไปไม่เป็น ทำได้แค่ก้มหน้างุด แถมมือเล็กๆ ยังกำขอบประตูไว้แน่นจนข้อนิ้วเกร็งอีกตะหาก กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่ฝาแฝดวิ่งโถมตัวเข้ามาหาพี่ครามของเจ้าหนูน้อยทั้งสองนั่นแหละ

“พี่ครามมมม พี่ครามมาแล้วหรอครับ” ปัณณธรน้อยโผเข้ากอดเอวหนาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ของเจ้าตัวน้อยซุกอยู่ที่หน้าท้องของคามิน โดยมีปุณณกันต์อ้อมมาข้างๆ แล้วกอดเอวสอบของคามินอยู่อีกฝั่ง

“มาแล้วครับเด็กๆ” คามินลดตัวนั่งยองๆ ก่อนจะโอบเอาเด็กทั้งสองคนมากอดไว้แนบอก พร้อมกับจูบเบาๆ ลงบนแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าหนูน้อยทั้งคู่


จุ๊บ~ จุ๊บ~


ฝาแฝดเองก็ใช่ย่อย ปากอิ่มๆ เล็กๆ ของทั้งคู่ก็ระดมจูบแก้มพี่ครามคืนแบบไม่ยอมกัน


จุ๊บ~

จุ๊บ~



คามินยิ้มแฉ่งจนหน้าบานตอนที่เด็กๆ แสดงออกถึงความรักโดยการหอมแก้มเขา เขาเองก็เกิดมาเป็นลูกคนเดียว ไม่ได้มีพี่น้องอะไรที่ไหน เลยไม่เคยได้รับความรักหรือการดูแลอะไรในแง่แบบนี้ แต่ตั้งแต่คามินได้เจอกับครอบครัวปราณันต์และเด็กฝาแฝดทั้งสองแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องเกมที่เขาต้องเล่นกับหัวใจและความรู้สึกของปราณันต์ เรื่องอื่นๆ คามินก็แทบไม่ได้โกหกความรู้สึกของตัวเองเลย โดยเฉพาะความรักและความเอ็นดูที่เขามีให้ฝาแฝด คงไม่ผิดถ้าจะพูดว่าร่างสูงตกหลุมรักเด็กทั้งสองเข้าอย่างจัง

“วันนี้เราจะไปไหนกันหรอครับ” ปุณณกันต์เอ่ยถามขึ้น เจ้าแฝดตัวน้อยคนพี่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มแขนยาวมีลายลูกแมวอยู่มุมเสื้อด้านบน กางเกงสกินนี่เด็กขาวยาวสีดำ ดูแล้วน่ารักไม่น้อย

“ใช่ๆ วันนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันหรอครับพี่คราม” ส่วนปัณณธรน้อยก็ใส่เสื้อลายเดียวกับปุณณกันต์แต่เป็นสีชมพูอ่อน กางเกงสกินนี่เด็กขายาวสีดำเหมือนกัน

และแน่นอนว่าวันนี้คามินใส่เสื้อเสว็ตเตอร์แขนยาวสีน้ำเงิน กางเกงขาเดฟขาดเข่าสีดำ เหมือนปุณณกันต์เป๊ะ!

คามินได้แต่ภาวนาให้ปราณันต์ไม่เห็นว่าวันนี้เขาแต่งตัวเหมือนฝาแฝดคนพี่มากแค่ไหน เพราะถ้าให้เดา ยังไงวันนี้พี่ชายคนโตของฝาแฝดต้องแต่งตัวคล้ายปัณณธรแน่นอนเขามั่นใจ

“วันนี้เราไปทานข้าวในห้างกันดีไหมครับ แล้วจะได้ไปเล่นเครื่องเล่นด้วย” พี่ครามทำเสียงเล็กเสียงน้อยถามฝาแฝด

เด็กๆ ตาโตผึงขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินว่าพี่ครามจะพาไปเที่ยวห้าง แต่ฝาแฝดก็ยังเป็นฝาแฝดวันยังค่ำ เจ้าตัวน้อยไม่กล้าเออออกับคามินในทันที แต่กลับหันไปมองพี่ชายหัวน้ำพุน้อยที่กำลังยืนกอดอกมองสองเด็กซนกับหนึ่งผู้ใหญ่แสบด้วยตากลมโตที่ฉายแววไม่สบายใจอยู่ข้างหลัง

“ได้ไหมอ่ะครับพี่ปราณ” ปัณณธรเป็นคนเริ่มอ้อนก่อน เจ้าตัวน้อยเดินไปเกาะขาพี่ชายตัวเองแน่น แถมยังเงยหน้ามองปราณันต์ด้วยสายตาออดอ้อนอีกตะหาก ตากลมๆ โตๆ ของเจ้าหนูน้อยกำลังวิบวับ ราวกับกำลังร้องขอความเห็นใจ

“พี่ปราณ...” ปุณณกันต์เองก็ใช่ย่อย แฝดคนพี่เดินมาเกาะเอวปราณันต์ไว้หลวมๆ แต่กลับใช้ใบหน้าเล็กๆ ถูไถตรงพุงน้อยๆ ของพี่ชายไม่ห่าง ร่างบางได้แต่มองเด็กน้อยทั้งสองแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

ปัณณธรยังไม่เท่าไหร่ แต่ปุณณกันต์นี่สิ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดที่สุด จากเด็กที่เก็บอาการเก่งในอดีต แต่มาวันนี้เมื่อมีพี่ครามคอยให้ท้าย เจ้าหนูคนพี่ก็กล้าแสดงความต้องการมากขึ้น

ถึงแม้ท่าทางออดอ้อนของเจ้าตัวน้อยทั้งสองจะน่ารักมากแค่ไหนในสายตาคนเป็นพี่ แต่ปราณันต์ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด เขาและเด็กๆ รบกวนคามินมากเกินไปแล้วถ้าขืนวันนี้เขายังยอมให้คามินพาน้องๆ ไปเล่นของเล่นในห้างอีก มีหวังฝาแฝดของเขาได้เคยตัวจนต้องร้องให้อีกฝ่ายพาไปบ่อยๆ แน่

“ไม่ได้ครับ” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงเย็น เล่นเอาหน้าถอดสีกันทั้งเด็กเล็กเด็กโต “ผมยอมให้คุณพาพวกเราไปทานข้าวกลางวันได้ แต่ผมไม่อนุญาตให้คุณพาเด็กๆ ไปเล่นของเล่น แค่นี้ก็เกรงใจคุณจะแย่แล้ว ถ้ายังรบกวนคุณอีก ผมจะมีหน้าเจอคุณอีกได้ยังไง”

คำประกาศิตของพี่ชายคนโต ทำเอาฝาแฝดทั้งสองหน้าจ๋อย คามินทอดสายตามองเด็กๆ อย่างสงสาร เจ้าตัวน้อยไม่ปริปากงอแงสักแอะหลังจากที่ได้ยินปราณันต์บอกออกมาแบบนั้น ในทางตรงกันข้าม เด็กๆ กลับพยักหน้ารับคำพูดของพี่ชายอย่างไม่โต้แย้งอะไรใดๆ เลย

“ก็ได้ครับ”

และยิ่งพอคามินเห็นแบบนั้น เขาเลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เขาไม่ชอบเห็นเด็กๆ เศร้าหงอยแบบนี้เลยจริงๆ

“คุณปราณครับ จำได้รึป่าวที่ผมบอกว่าผมจะจีบคุณ” จบคำของคามินปราณันต์ก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที โหมดจริงจังเมื่อกี้แทบจะหายไปในพริบตา

“ค..คุณ ก็จะ..จะมาพูดอะไรเอาตอนนี้เล่า” ปราณันต์เกิดพูดจาตะกุกตะกักขึ้นมา ท่าทางขึงขังเมื่อกี้เหมือนแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย

“ผมแค่อยากจะบอก” คามินลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนที่จะเดินไปหยุดตรงหน้าปราณันต์ ที่ตอนนี้สูงแทบจะไม่พ้นปลายคางของเขาด้วยซ้ำ “การจีบคุณปราณของผม หมายถึงการที่ผมอยากจะเอาชนะใจคุณปราณ ด้วยการทำให้คุณปราณมีความสุข แล้วความสุขของคุณปราณก็คือฝาแฝดตัวน้อยนี่ ถ้าปุณณ์กับปัณณ์มีความสุข คุณปราณก็จะมีความสุขถูกไหมครับ”

ปราณันต์ก้มหน้างุดตอนที่คามินเดินเข้าไปใกล้ๆ จนได้กลิ่นกายหอมเย็นๆ จากคนตรงข้าม ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง

“ครับ ความสุขของฝาแฝดคือความสุขของผม”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอให้คุณปราณไม่ปิดโอกาสผมได้ไหมครับ” ปราณันต์ช้อนตากลมๆ ขึ้นมองคนตรงข้ามหลังจากได้ยินคามินพูดจบ “ผมอยากทำให้คุณปราณมีความสุขโดยการทำให้ฝาแฝดมีความสุข คุณยอมให้ผมทำเพื่อคุณแล้วก็น้องๆ หน่อยไม่ได้หรอครับ”

ตาเรียวคมสบไปยังดวงตากลมโตอย่างออดอ้อนในที คามินใช้ดวงตาสื่อแทนความในใจทั้งหมดไปให้ยังปราณันต์ที่อยู่ตรงข้าม

“ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาอะไรเลยนะครับ แล้วผมก็ไม่อยากให้คุณคิดว่าผมดูถูกครอบครัวคุณด้วย สิ่งที่ผมให้คุณมันไม่ได้เป็นเรื่องของเงินทอง ผมแค่อยากทำให้คุณมีความสุข อะไรก็ได้ที่เป็นความสุข ผมยินดีทำให้คุณกับน้องทุกอย่าง เหตุผลของผมมีง่ายๆ แค่นี้เอง”

ปราณันต์มองคามินด้วยสายตาประทับใจจนปิดไม่มิด คนที่ผ่านโลกมานักต่อนักแบบคามิน รู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีผลต่อหัวใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์ทั้งสิ้น

“แต่ผม...เกรงใจ แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่อยากให้ปุณณ์กับปัณณ์เคยตัวด้วย” ปราณันต์บอกเหตุผลของตัวเองที่ตอนนี้ดูไม่หนักแน่นเอาเสียเลย เมื่อถูกจู่โจมด้วยคำพูดหวานๆ จากอีกฝ่าย

“บอกแล้วไงครับว่าอย่าเกรงใจเลย ผมทำผมก็หวังผล” คามินกล่าวยิ้มๆ หลังจากเห็นคิ้วน้อยๆ ของปราณันต์ขมวดมุ่นหลังจากได้ยินเขาพูดจบ “ผมจีบคุณปราณ อยู่นี่นา จริงไหมครับ? ... แล้วอีกอย่าง ผมว่าคุณปราณอย่ากลัวฝาแฝดจะเคยตัวเลย น้องคุณเป็นเด็กดีและเชื่อฟังคุณเสมอ เด็กๆ ไม่มีทางดื้อแล้วก็ร้องจะเอานั่นเอานี่หรอกครับ”

สายตากลมหันไปมองยังน้องชายฝาแฝดทั้งสองที่ตอนนี้ไปนั่งสงบเสงี่ยมเล่นกันเงียบๆ อยู่หน้าทีวี ปราณันต์ทอดสายตามองไปยังเด็กน้อยทั้งสองด้วยสายตาทั้งรักทั้งสงสาร ก่อนจะหันมามองคามินที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เพื่อขอความเห็น ซึ่งคามินเองก็พยักหน้าให้ เป็นการเน้นย้ำให้ปราณันต์เชื่อในสิ่งที่เขาได้พูดไป

สุดท้ายปราณันต์ก็ก้าวเดินไปหาน้องทั้งสอง ก่อนจะทรุดลงนั่งตรงหน้าฝาแฝด

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ อยากไปเล่นของเล่นที่ห้างรึป่าวครับ”

ปราณันต์ลองถามเด็กแฝดดู ทั้งที่เขาก็พอจะรู้ว่าคำตอบของเด็กทั้งคู่มันจะออกมาเป็นในทิศทางไหน

“ปัณณ์อยากไปครับ” ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ ตอนได้ยินน้องชายคนเล็กตอบออกมาแบบนั้น ตากลมแอบมองเห็นมือเล็กๆ ของปุณณกันต์กระตุกแขนเสื้อของปัณณธรให้จ้าละหวั่น คงจะอยากแอบเบรกฝาแฝดตัวเองว่าไม่ให้แสดงออกว่าอยากไปเล่นของเล่นมากเกินไป

แต่ปัณณธรก็คงเป็นปัณณธรที่ตรงไปตรงมา ซึ่งพอเจ้าตัวน้อยนึกขึ้นได้ว่าลืมถามความเห็นพี่ชายฝาแฝด มือเล็กๆ ก็รีบตะปบลงบนปากอิ่มของตัวเองเบาๆ ตากลมๆ ก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อคิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง

และด้วยความฉลาดเกินวัยของเจ้าหนูอายุสี่ขวบ ปัณณธรก็ละมือออกจากปาก ก่อนจะโบกมือปฏิเสธให้พี่ชายคนโตให้วุ่นวายไปหมด

“มะ...ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่นะพี่ปราณ ปัณณ์ต้องขอถามปุณณ์ก่อน ว่าพี่ปุณณ์ก่อนว่าอยากไปไหม”

ผู้ใหญ่สองคนถึงกับหลุดขำออกมาทันทีตอนได้เห็นท่าทางแบบนั้นของเจ้าตัวยุ่งคนน้อง ปราณันต์เองก็ต้องกลั้นยิ้มแทบแย่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างต้องการลองใจปัณณธรอีกรอบ

“ตกลงยังไงนะครับปัณณ์”

“พี่ปราณเคยสอนว่าถ้าอยากทำอะไร อยากทานอะไร หรืออยากเล่นอะไรต้องถามพี่ปุณณ์ด้วย ฝาแฝดต้องดูแลกัน เป็นห่วงกันครับ”

“แล้วปัณณ์ถามพี่ปุณณ์รึยังครับ?” พอพี่ชายถามจบ ปัณณธรน้อยก็หันไปถามปุณณกันต์ทันที

“พี่ปุณณ์ๆ พี่ปุณณ์อยากไปเล่นของเล่นในห้างรึป่าว” มือเล็กๆ ของปัณณธรเขย่าไปที่แขนน้อยๆ ของแฝดคนพี่ พลางยิ้มถามอย่างออดอ้อน คิดดูเอาเถอะว่าเจ้าตัวแสบอยากเล่นขนาดไหน ถึงกับลงทุนทำท่าเว้าวอนพี่ชายฝาแฝดตัวเองขนาดนั้น

ปุณณกันต์เหลือบมองมาที่ปราณันต์นิดๆ เพื่อให้คนพี่ช่วยตัดสินใจ พอปราณันต์เห็นตากลมของแฝดพี่มีความลังเล เขาจึงช่วยกระตุ้นให้เด็กน้อยได้ตัดสินใจเอง

“หนูอยากเล่นรึป่าวครับปุณณ์ บอกพี่ปราณได้เลยตรงๆ ว่าไงครับ”

“อยากครับ ปุณณ์อยากเล่น อยากไปเล่นกับปัณณ์” ในที่สุดปุณณกันต์ก็ยอมพูดความต้องการตัวเอง ปราณันต์ยิ้มอย่างภูมิใจ ส่วนปัณณธรนั้นตอนนี้กระโดดโลดเต้นไปรอบห้องแล้ว และก่อนที่จะอนุญาตให้เด็กๆ ได้ไปเล่นของเล่นอย่างเป็นทางการ พี่ชายคนโตจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับน้องๆ ก่อน เพื่อไม่ให้เด็กๆ เคยตัว

“ปัณณ์ ลงมานั่งดีๆ ก่อนครับ เราต้องคุยและตกลงกันก่อน โอเคไหม”

ตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรลงมานั่งขัดสมาธิสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าปราณันต์ เจ้าตัวน้อยที่มีใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดกำลังใช้ตาแป๋วๆ สองคู่ จ้องมาที่เขานิ่งเพื่อแสดงออกถึงความตั้งใจฟัง

“เด็กๆ รู้ใช่ไหมครับว่าพี่ครามจะพาไปเล่นของเล่น” ปราณันต์เอ่ยปากเริ่มพูด โดยมีเด็กๆ พยักหน้าและขานรับอย่างเข้าใจ

“ครับ รู้ครับ”

“ครั้งนี้พี่ปราณอนุญาตให้ไป แต่ฝาแฝดต้องไม่เคยตัว ไม่ร้องขอให้พี่ครามพาไปบ่อยๆ เราจะไปเฉพาะวันที่พี่ครามว่าง และสะดวกพาไปเท่านั้นโอเคไหมครับ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ก่อนที่จะตกปากรับคำอย่างดี

“ตกลงครับ ปุณณ์กับปัณณ์จะไม่ดื้อ ไม่งอแง ไม่ทำให้พี่ปราณกับพี่ครามเหนื่อยใจครับ”

ปุณณกันต์พูดจาตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยเล็กๆ ป้อมๆ ออกมาเพื่อเป็นการให้สัญญาตามประสาเด็กน้อย โดยที่พอปัณณธรน้อยเห็นแบบนั้นก็เลยรีบทำตามบ้าง

ปราณันต์ยิ้มออกมาจนตาหยี ฝาแฝดของเขาช่างเป็นเด็กน่ารักแล้วก็พูดง่ายมาก พี่ชายคนโตจึงยื่นนิ้วก้อยเรียวออกไปเพื่อเกี่ยวสัญญากับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง โดยมีคนตัวโตรูปร่างสูงใหญ่อีกคนในห้องมองดูภาพพี่น้องสามคนตรงหน้าด้วยสายตาอบอุ่นและอ่อนโยน… สายตาที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังแสดงออกมาได้ยังไง

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/11/63 [8th Lies: สถานะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 24-11-2020 19:53:36
(อ่านต่อจากด้านบน)


หลังจากที่ปราณันต์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย คามินก็แอบอมยิ้มอยู่ในใจเบาๆ เพราะปราณันต์แต่งตัวแบบที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ปราณันต์ใส่เสื้อสีชมพูแขนยาว กางเกงยีนส์ขายาวสีดำแบบปัณณธรแทบจะไม่ต่าง ตอนนี้ปราณันต์ยังไม่รู้ตัวแต่ถ้าหากได้เดินพร้อมกันสี่คนแล้ว ในสายตาคนทั่วไปที่มอง ต้องคิดว่าพวกเขาแต่งตัวกันแบบครอบครัวมาแน่ๆ

“เย่ๆ พี่ปราณแต่งตัวเสร็จแล้ว เราไปเที่ยวกันๆ” เจ้าหนูตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างยินดี เมื่อเห็นปราณันต์เดินออกมาจากห้องส่วนตัว บนบ่าเล็กๆ ของพี่ชายคนโตมีกระเป๋าเป้ใบเก่งสะพายอยู่ ส่วนในมือของปราณันต์ มีกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ อีกสองใบซึ่งคามินคาดว่าน่าจะเป็นของเด็กๆ ที่ปราณันต์ถือติดออกมาด้วย

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ มาเอากระเป๋าไปสะพายครับ” เจ้าตัวเล็กวิ่งตื๋อออกไปหาพี่ชายทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เด็กน้อยทั้งสองหันหลังให้ปราณันต์อย่างรู้งาน ก่อนที่คนเป็นพี่จะจับกระเป๋าเป้แต่ละใบสะพายใส่ไหล่น้องชายทั้งคู่ไว้

และเมื่อเห็นคามินมองมาอย่างสงสัย ปากอิ่มจึงคลี่ยิ้มก่อนเอ่ยตอบ

“ในนี้มีกระดาษที่เขียนที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ของผมใส่ไว้ครับ เผื่อเจ้าตัวดื้อวิ่งซนแล้วหลงหายไป” คามินจึงพยักหน้ารับอย่างเพิ่งเข้าใจช้าๆ พลางคิดในใจว่า ปราณันต์รอบคอบมาก เพราะถึงแม้ต่อให้ฝาแฝดหายไปก็น่าจะตามหากลับมาไม่ยาก

“งั้นเราพร้อมจะไปกันแล้วใช่ไหมครับ” คามินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส โดยมีเด็กๆ ยิ้มรับและหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“พร้อมแล้วครับพี่คราม พี่ปุณณ์กับปัณณ์พร้อมแล้ว”

เจ้าตัวน้อยรับคำหลังจากที่ปราณันต์เพิ่งจะสวมหมวกแก๊ปที่มีรูปหูแมวให้ฝาแฝดทั้งสองเสร็จ คามินมองสามคนพี่น้องด้วยสายตาอ่านลำบาก แต่พอปราณันต์หันมามองร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มจอมปลอมอันแสนอบอุ่น ก็ถูกยกขึ้นมาแต่งแต้มริมฝีปากหยักทันที

ปราณันต์เองก็ยิ้มตอบให้คนตรงข้าม ในขณะที่หัวใจดวงเล็กๆ มีความสุขมากเหลือเกิน หัวใจที่ด้านชาของคามิน ที่แม้พยายามจะปฏิเสธแค่ไหน เขาก็อดยอมรับกับตัวเองไม่ได้อยู่ดี ว่าการที่เขาได้อยู่ใกล้สามคนพี่น้องนี้นั้นดูเหมือนจะละลายหัวใจที่เย็นชาของเขาให้อบอุ่นขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

.

.

.

คามินพาสามคนพี่น้องขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์แล้วตรงไปยังห้างที่อยู่ไม่ไกลนัก ตลอดการเดินทางเสียงเจื้อยแจ้วจากเจ้าตัวน้อยทั้งสองดังไม่หยุดหย่อน ปัณณธรร้องเพลงให้ปุณณกันต์ฟังบ้าง ปุณณกันต์สอนให้ปัณณธรใช้คำสุภาพเวลาพูดกับผู้ใหญ่บ้าง จนพี่ชายทั้งสองที่นั่งฟัง อดขำกับคำพูดคำจาของเจ้าตัวแสบทั้งสองไม่ได้

“ปัณณ์ ถ้าจะพูดกับผู้ใหญ่เราจะใช้คำว่าส้วมไม่ได้นะ เราต้องใช้คำว่าห้องน้ำรู้รึป่าว”

“แล้วทำไมใช้คำว่าส้วมไม่ได้ล่ะพี่ปุณณ์ พูดง่ายกว่าคำว่าห้องน้ำตั้งเยอะ”

“ก็คำว่าส้วมมันไม่สุภาพไง ส้วมเอาไว้พูดกับเด็ก”

ปราณันต์อมยิ้มพลางชำเลืองหางตามองเจ้าตัวแสบคนน้องว่าจะตอบกลับคนพี่ว่ายังไง เมื่อตอนนี้ได้ยินเจ้าตัวยุ่งทั้งสองกำลังเถียงกันอย่างเอาจริงเอาจังเรื่องส้วมกับห้องน้ำอยู่

“ขี้โกงนี่นา ทีกับเด็กพูดได้ ทำไมผู้ใหญ่ต้องให้พูดยาวๆ ด้วย” ปากอิ่มของแฝดคนน้องยื่นออกจนแทบจะติดจมูก เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจที่ตัวเองมี

“ยาวกว่าแค่คำเดียวเอง” คนพี่ก็เถียงกลับแบบไม่ยอมแพ้ อย่างที่เคยบอกไป ปกติปุณณกันต์มักจะยอมให้ปัณณธรในทุกๆ เรื่อง เว้นก็แต่ตอนที่เจ้าแฝดคนน้องทำผิด หรือทำตัวดื้อใส่

“ไม่อยากพูดกับพี่ปุณณ์แล้ว” เจ้าแฝดคนน้องดันตัดบทเอาซะดื้อๆ น่าจะเพราะเถียงไม่ได้แล้ว ทำเอาผู้ใหญ่ด้านหน้าทั้งสองแอบมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม เพราะคำพูดและท่าทางน่ารักๆ ของเจ้าตัวยุ่งทั้งคู่

“ปัณณ์น่ะดื้อ!” และด้วยคำพูดของปุณณกันต์ ทำเอาปราณันต์หลุดขำออกมาก๊ากใหญ่ คามินเองเหมือนกัน ไอ้ที่กลั้นยิ้มไว้ตั้งนานสองนานก็พังไม่เป็นท่า

“ฮ่าๆๆๆ /ฮ่าๆๆๆ”

“พี่ปราณกับพี่ครามขำอะไรเล่า” ผู้ใหญ่ทั้งสองต้องรีบหยุดหัวเราะ แล้วทำท่าทางให้เป็นปกติโดยทันที เพราะตอนนี้ดูเหมือนจะมีคนงอนเขาทั้งสองแล้วหนึ่งคนถ้วน

และเมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ ดูเหมือนว่าเสียงเจื้อยแจ้วด้านหลังจะเงียบไปอย่างผิดสังเกต น่าจะเป็นเพราะว่าแฝดพี่กับแฝดน้องกำลังงอนกันอยู่ เรื่องห้องน้ำกับส้วมนั่นแหละ สุดท้ายเพื่อกอบกู้สถานการณ์อันตรายให้ดีขึ้น พี่ชายอย่างปราณันต์จึงต้องลงไปไกล่เกลี่ยให้ เพราะเขารู้นิสัยเด็กทั้งสองดีกว่าใคร ดังนั้นปราณันต์จึงลองหยั่งเชิงถามปัณณธรอีกครั้ง

“ปัณณ์ครับ ถ้าเกิดเข้าไปในห้างแล้วปวดฉี่ ปัณณ์ต้องทำยังไงครับ”

“ปัณณ์จะบอกพี่ปราณครับ ว่าปัณณ์อยากเข้า...” เจ้าแฝดคนน้องเงียบไปก่อนเหลือบตามองแฝดคนพี่ช้าๆ เมื่อเห็นว่าปุณณกันต์ยังไม่พูดอะไร เจ้าหนูน้อยเลยแกล้งตอบเสียงดังๆ ฟังชัดๆ “ว่าปัณณ์อยากเข้าห้องน้ำครับ”

ปราณันต์ยิ้มออกมาอย่างพอใจ อย่างที่บอกแม้ว่าเจ้าเด็กแฝดจะเป็นตัวแสบของใครต่อใครโดยเฉพาะคนน้อง แต่ในที่สุดแล้วปัณณธรก็จะเชื่อฟังปราณันต์และปุณณกันต์อย่างที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่แสดงความพอใจ เพราะปราณันต์แอบชำเลืองมองไปที่ปุณณกันต์ ก็เห็นว่าเจ้าแฝดคนพี่ก็แอบอมยิ้มอยู่เหมือนกัน คงพอใจสินะที่น้องชายเชื่อฟังตัวเอง

“ปัณณ์พูดถูกไหมอ่ะพี่ปุณณ์”

“อื้อ พูดถูกแล้ว ปัณณ์พูดถูกแล้ว” ปัณณธรทำทีเป็นชวนปุณณกันต์คุย จนในที่สุดทั้งสองก็กลับมาคุยและหัวเราะเล่นกันเหมือนเดิม ราวกับว่าก่อนหน้านี้ทั้งคู่ไม่ได้เถียงอะไรกัน ทำเอาคามินและปราณันต์อมยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะอย่างปลงๆ

.

.

.

ในที่สุดรถของคามินก็เข้ามาจอดอยู่ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์เท่าไหร่นัก และทันทีที่ลงจากรถได้ คามินก็เกี่ยวเอาตัวปัณณธรขึ้นมาอุ้ม ส่วนปุณณกันต์เองก็รู้หน้าที่ตัวเองดี โดยที่เจ้าหนูน้อยก็เดินเขาไปหาพี่ชายคนโตพร้อมกับเอามือเล็กๆ ของตัวเองสอดประสานเข้ากับมือเรียวของปราณันต์ทันที

“โอ๊ะ!” แล้วในขณะที่กำลังจะเดินเข้าตัวห้างนั้น จู่ๆ ปัณณธรน้อยก็ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ ทำเอาพี่ชายของครอบครัวทั้งสองคนต้องหยุดเดิน แล้วหันมามองคามินที่กำลังเดินรั้งท้ายพร้อมกับอุ้มปัณณธรอยู่

“มีอะไรหรอครับปัณณ์” และในที่สุดก็เป็นปราณันต์ที่ถามขึ้น

“ปัณณ์เพิ่งเห็น พี่ครามใส่เสื้อสีเดียวกับพี่ปุณณ์เลย พี่ปราณก็ใส่สีเดียวกับปัณณ์ด้วย” พอได้ยินเจ้าตัวน้อยพูดแบบนั้น ปราณันต์ก็หันมาสำรวจมองตัวเองที ปุณณกันต์ที ปัณณธรที คามินอีกที ก่อนจะพบว่าการแต่งตัวของพวกเขาทั้งสี่คน เหมือนกับที่ปัณณธรบอกไว้ไม่มีผิด

และก่อนที่ปราณันต์จะเอ่ยห้ามความคิดของทุกคน ดันกลับกลายเป็นว่าปุณณกันต์พูดโพล่งออกมาก่อนด้วยน้ำเสียงมีความสุข

“เราสี่คนเหมือนพ่อลูกกันเลยครับ” และด้วยประโยคที่แฝดคนพี่พูดก็ทำเอา ปราณันต์ก็หน้าแดงขึ้นทันตา ดูเหมือนว่าปราณันต์จะเขินมาก คามินมองปราณันต์ยิ้มๆ แบบเอ็นดู ในขณะที่ปุณณกันต์และปัณณธรกำลังหัวเราะชอบใจกับความคล้ายกันของเสื้อผ้าไม่ยอมหยุด

แต่ปราณันต์เองก็ไม่อยากให้น้องๆ ทึกทักเอาไปเองแบบนี้ จึงพยายามจะพูดปรามอีกครั้งแต่ปัณณธรดันพูดแทรกขึ้นมาอีกรอบ

“เหมือนพ่อแม่ของเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเราเลยเนาะพี่ปุณณ์ ที่ใส่ชุดเหมือนๆ กันแบบนี้อ่ะ”

“ใช่ๆ เหมือนเลย ปุณณ์ชอบ เหมือนเราสี่คนเป็นพ่อลูกกัน มาเที่ยวด้วยกัน”

หลังจากได้ยินน้องทั้งสองพูดแบบนั้น ปราณันต์ก็กลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไปทั้งหมด ก่อนที่ตากลมจะเหลือบมองคามินอย่างขอโทษ ที่ปล่อยให้เด็กๆ ทึกทักโมเมเอาเองแบบนั้นซึ่งคามินเองก็ส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับยิ้มให้ปราณันต์ และขยับปากบอกปราณันต์แบบไม่มีเสียงว่า


‘ปล่อยเด็กๆ ไปเถอะครับ ผมโอเค’


จะไม่โอเคได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคามินตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งปราณันต์เองก็ยิ้มตอบคามินแบบขอบคุณโดยที่ไม่รู้อะไรเลย

.

.

.

ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในร้านอาหารขนาดกลาง ปุณณกันต์กับปัณณธรดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะนานๆ ครั้งเด็กน้อยทั้งสองจะมีโอกาสมานั่งทานอาหารในร้านแบบนี้สักครั้ง เจ้าหนูทั้งสองมองไปทางนู้นทีทางนี้ที จนปราณันต์ต้องคอยปรามให้ทั้งคู่อยู่นิ่งๆ ก่อนที่จะตกเก้าอี้ไปเสียก่อน

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ นั่งดีๆ สิครับ เดี๋ยวตกเก้าอี้นะ”

เจ้าตัวน้อยทั้งสองหันมาหัวเราะแหะๆ ให้พี่ชาย ก่อนจะหันมานั่งดีๆ สงบเสงี่ยมเรียบร้อยตามคำที่พี่ชายบอกแต่โดยดี

“ปุณณ์ปัณณ์อยากกินอะไรดีครับ เอาพิซซ่าไหม”

และก็เป็นอีกครั้งที่ฝาแฝดทั้งสองแสดงมารยาทที่ใครเห็นก็ต้องชมเชย

“พี่ปราณอยากกินอะไรครับ ปุณณ์กับปัณณ์กินเหมือนพี่ปราณก็ได้” ปุณณกันต์พูดขึ้นมา ทำเอาพี่ชายคนโตยิ้มไม่หยุด ตอนที่ได้ยินน้องชายถามมาแบบนั้น

“วันนี้พี่ปราณอนุญาตให้ฝาแฝดเลือกได้ หนูอยากกินอะไร ก็บอกพี่ครามเลยครับ” ปราณันต์พูดตอบน้องชายอย่างใจดี ก่อนจะเน้นย้ำว่า “แต่สั่งมาแล้วต้องกินให้หมดนะ สั่งทีละน้อย ถ้าไม่อิ่มค่อยสั่งใหม่ โอเคไหมครับ”

เจ้าตัวน้อยทั้งสองพยักหน้าอย่างแข็งขัน ก่อนจะยิ้มร่า พากันเปิดเมนูชี้ชวนดูนั่นดูนี่ก่อนจะตอบพี่ครามเสียงใสว่าตัวเองอยากทานอะไรกันบ้าง

“ปุณณ์อยากกินไก่ทอดครับ”

“ส่วนปัณณ์เอา...” เจ้าฝาแฝดคนน้อง ใช้นิ้วเล็กๆ เคาะริมฝีปากอิ่มของตัวเอง พลางทำท่าหนักอกหนักใจเหลือเกินขณะที่กำลังเลือกของกิน ทำเอาบรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยบนโต๊ะอมยิ้มหลังจากได้เห็นท่าทางน่ารักแบบนั้นของเจ้าหนูน้อย “เอาอะไรดีน้าา” ปากอิ่มเล็กๆ ยังคงขมุบขมิบไม่เลิก เพราะยังตัดสินใจเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไรดี

ปราณันต์ที่พอได้เห็นท่าทางกลัดกลุ้มในการเลือกของกินแบบนั้นของแฝดคนน้องก็อดแซวไม่ได้

“จะหนักอกหนักใจอะไรขนาดนั้นครับปัณณ์ หนูแค่เลือกของกินเองนะ” พอได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น ปัณณธรก็หันมายิ้มตาหยี พลางเกาแก้มแก้เขินไปด้วย

“ก็ปัณณ์อยากกินพิซซ่าด้วย ไก่ทอดด้วย เลยเลือกไม่ถูกว่าจะเอาอะไรดี” เจ้าตัวน้อยอ้อมแอ้มสารภาพ เขาอยากกินทั้งสองอย่างเลย แต่ถ้าสั่งมาแล้วกินไม่หมด ต้องโดนพี่ปราณดุแน่ๆ

“ปัณณ์สั่งพิซซ่ามาสิ เดี๋ยวไก่ทอดกินกับพี่ก็ได้” แล้วในที่สุดก็มีฮีโร่ตัวน้อยมาช่วยแก้ไขความทุกข์ใจของปัณณธร ฝาแฝดคนน้องยิ้มร่า ที่จะได้กินทั้งสองอย่างจริงๆ

“ขอบคุณนะพี่ปุณณ์ งั้นเรามากินด้วยกันดีไหม ปัณณ์จะแบ่งพิซซ่าให้พี่ปุณณ์ด้วย”

“อื้อ” ฝาแฝดคนพี่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ ส่วนคนที่ยิ้มหน้าบานกว่าปุณณกันต์ก็เห็นจะเป็นพี่ชายคนโต เขามองภาพน้องชายฝาแฝดทั้งสองตรงหน้าอย่างอิ่มใจและภูมิใจ หลังจากได้เห็นทั้งสองดูแลและเป็นห่วงกันและกันเขาก็เบาใจ เพราะอย่างน้อยในอนาคตข้างหน้า ถ้าเจ้าตัวน้อยทั้งสองโตขึ้นจะได้เป็นที่พึ่งของกันและกันได้

คามินเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ครอบครัวของปราณันต์ช่างเป็นครอบครัวที่น่ารักและสมบูรณ์แบบมากๆ ในการอยู่ด้วยกัน ปราณันต์อาจจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทองมากมาย แต่เขามั่นใจมากว่าสิ่งที่ปราณันต์มีและมีมากกว่าคนอื่นๆ อย่างน้อยก็เขาคนนึงนี่แหละ คือความสุข ถ้าเขามีพี่น้องและครอบครัวที่ดูแลกันเอาใจใส่กันมากขนาดนี้ บางทีเงินทองมากมายก็อาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็ได้

พอไถ่ถามเจ้าตัวเล็กเรียบร้อยแล้ว คามินเลยหันไปถามพี่ชายคนโตที่ตอนนี้นั่งมองน้องชายด้วยสายตาภูมิใจบ้าง เพราะตอนนี้ปราณันต์มัวแต่อิ่มอกอิ่มใจกับความน่าเอ็นดูของฝาแฝดทั้งสองจนลืมสั่งอาหารแล้ว

“คุณปราณครับ” ปราณันต์ทำหน้าตาเหรอหราหันไปตามเสียงที่คามินเรียก พอได้เห็นหน้างงๆ ของปราณันต์แบบนั้น คามินก็อดขำไม่ได้ “ฮ่าๆ ผมจะถามคุณปราณว่า แล้วคุณปราณจะกินอะไรดีครับ”

“อ๋อ” ปราณันต์เกาคอตัวเองเก้อๆ ตอนที่ได้รู้ว่าตัวเองทำท่าทางเปิ่นๆ ออกไป “ผมขอสปาเก็ตตี้ครีมซอสแล้วกันครับ”

“ทำไมกินน้อยจังครับ แค่นี้คุณปราณจะอิ่มหรอ”

“อิ่มครับ ปกติผมก็กินไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว” ปราณันต์ตอบยิ้มๆ คามินเองก็มองสำรวจปราณันต์อย่างจงใจ เล่นเอาเจ้าตัวทำหน้างงเลยทีเดียว

“มีอะไรหรอครับ ทำไมคุณครามมองผมขนาดนั้น”

“ผมว่าคุณผอมเกินไปแล้ว ไม่ได้การละ ต่อไปนี้ผมจะขุนให้คุณปราณอ้วนๆ เลย จะได้มีแรงอุ้มฝาแฝด” ก่อนที่คามินจะหันไปขอความเห็นเด็กๆ “ปุณณ์กับปัณณ์ว่าดีไหมครับ”

“ดีครับดี” ปัณณธรชิงตอบเสียงใสก่อนจะพูดต่ออย่างมีน้ำใจ “เดี๋ยวปัณณ์จะแบ่งพิซซ่าให้พี่ปราณกินนะ พี่ปราณจะได้โตไวๆ”

“ใช่ๆ ปุณณ์ก็จะแบ่งไก่ทอดให้พี่ปราณด้วย กินด้วยกันๆ”

คนเป็นพี่ได้ยินแล้วถึงกับหลุดขำ เจ้าตัวน้อยของเขาช่างน่ารักน่าชังและมีน้ำใจ ปราณันต์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเด็กแฝดอย่างเอ็นดู

“ขอบคุณมากนะครับ แบบนี้พี่ปราณต้องโตไวแน่ๆ” ปราณันต์ทำท่าและพูดจาขึงขังประกอบ ซึ่งขัดกับหน้าตาและรูปร่างของตัวเองเหลือเกิน

“แต่ถึงพี่ปราณไม่โตก็ไม่เป็นไรหรอก พี่ครามโตคนเดียวก็พอ พี่ครามจะได้เป็นคนดูแลทุกคนไง เด็กๆ ว่าดีไหมครับ” คามินหยอดคำหวานอีกรอบ สายตาคมจ้องไปที่ปราณันต์อย่างสื่อความหมาย ทำเอาคนตรงข้ามก้มหน้าหนีแทบไม่ทัน

“รีบสั่งสิครับ เดี๋ยวจะรอนาน” ปราณันต์ทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งเรียกรอยยิ้มจากปากหยักได้ไม่น้อย

“คร้าบ คร้าบ” คามินรับคำ ก่อนจะเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งออเดอร์ตามความต้องการ

.

.

.

หลังจากอาหารมาเสิร์ฟ สี่หนุ่มก็จัดการอาหารบนโต๊ะกันอย่างแข็งขัน ฝาแฝดตัวน้อยทั้งสอง ตอนนี้ถือพิซซ่าไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือน่องไก่ทอด ต่างคนต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนปราณันต์นั้นก็ตักสปาเก็ตตี้เข้าปากบ้าง พักมือมาดูแลน้องบ้าง มือเรียวต้องคอยคว้ากระดาษทิชชู่ขึ้นเช็ดปากอิ่มเล็กๆ ของเด็กทั้งคู่บ่อยๆ เพราะตอนนี้ดูแล้วเกือบจะเข้าขั้นเลอะเทอะทีเดียว

“กินดีๆ สิครับเด็กๆ ปากเลอะหมดแล้ว” ปราณันต์ดุไม่จริงจัง ทำให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองส่งยิ้มเผล่กลับมา เรียกรอยยิ้มให้เกิดที่ริมฝีปากอิ่มของพี่ชายคนโตจนได้

ในขณะที่มองสามคนพี่น้องทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น คามินก็ค่อยๆ หั่นเสต๊กในจานของตัวเองกินเรื่อยๆ เขาคอยสังเกตสิ่งที่แต่ละคนชอบ และไม่ชอบ เพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลในการชนะใจปราณันต์ต่อไป

และหลังจากกินอาหารเรียบร้อย ทั้งสี่ก็พากันไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต คามินดึงดันจะซื้ออาหารแห้งและของสดรวมทั้งของใช้ต่างๆ เข้าไปตุนไว้ที่บ้านปราณันต์ให้ได้ พอปราณันต์ทำท่าจะไม่พอใจ คามินก็อ้างเข้าให้จนอีกฝ่ายใจอ่อน

“ผมไม่ค่อยได้ทานข้าวเช้าคุณปราณก็รู้ งานผมมันไม่เป็นเวลา ถ้าคุณอยากช่วยผม ก็รับของพวกนี้ไว้เถอะนะครับ ตอนเช้าจะได้ทำอาหารมาเผื่อให้ผมได้กินบ้าง”

พอได้ยินแบบนั้นหัวใจดวงน้อยๆ ก็กระตุกยวบ อดสงสารผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องรับไว้แล้วยังรับปากเรื่องทำอาหารให้อีกด้วย เท่ากับคามินได้กำไรสองต่อเลยทีเดียว

และหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว คามินก็ให้ปราณันต์พาน้องๆ ไปรอตรงโซนของเล่น ส่วนเขาจะเอาของไปเก็บให้ที่รถ

พอตกลงกันได้ปราณันต์ก็เดินจูงมือเด็กแฝดทั้งสองไปตรงโซนของเล่น ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่คนทั่วไปเวลาเห็นปราณันต์เดินกับแฝดแล้ว จะทักว่าเป็นพ่อลูกกัน และยิ่งปราณันต์แต่งตัวเหมือนปัณณธรอย่างกับแกะ ประกอบใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของฝาแฝดอีกด้วย คนยิ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษ

“ถึงแล้วครับ” ปราณันต์พาน้องๆ มาจนถึงจุดให้บริการของเล่น มีของเล่นหลากหลายชนิดรวมอยู่ที่นี่ ปุณณกันต์กับปัณณธรหันมองตามอย่างตื่นตาตื่นใจ ชี้ชวนกันดูนั่นดูนี่ให้วุ่นไปหมด จนกระทั่งคามินเดินมาสมทบ

“เด็กๆ นี่ครับ” คามินยื่นบัตรรวมเครื่องเล่นให้เจ้าตัวน้อยทั้งสอง ทำเอาปราณันต์ค้อนเข้าให้ตาแทบหลุด

“คุณครามทำแบบนี้อีกแล้วนะครับ” ปราณันต์บ่นออกมาเสียงดัง ปากอิ่มๆ ยื่นออกอย่างไม่ชอบใจ คามินตามใจเด็กๆ มากเกินไปแล้ว ถึงขั้นซื้อบัตรรวมเครื่องเล่นให้ขนาดนี้ มีหวังเล่นกันยันเย็นแน่ๆ

“น่านะ นะครับคุณปราณ... ผมบอกแล้วไงว่าผมทำ ผมก็หวังผล” ปากหยักคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งกลับมา ไม่มีทีท่าว่าจะสลดกับสิ่งที่ทำไปเลยสักนิด

ปราณันต์ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาจะไปทำอะไรได้ คามินเล่นซื้อมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย แล้วยิ่งตอนนี้เจ้าสองแฝดก็มาจ้องเขาตาแป๋วแบบฝากความหวังอีก คงจะรอให้เขาตอบตกลงก่อน เจ้าหนูน้อยถึงจะยอมยื่นมือไปรับบัตรรวมเครื่องเล่นจากพี่ครามคนใจดีนั่นล่ะ

ปราณันต์ก้มลงมองเด็กแฝดด้วยความจนใจ ก่อนจะค่อยๆ พรูลมหายใจออกมาช้าๆ และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกปากเอ่ยอนุญาต

“โอเคครับ อนุญาตก็อนุญาต แต่ต้องขอบคุณพี่ครามก่อนนะ ก่อนที่จะรับของไป”

“เย่/เย่” สองแฝดน้อยโห่ร้องด้วยความยินดี ในที่สุดพี่ชายคนโตก็อนุญาตให้เขาทั้งสองไปเล่นเครื่องเล่นได้โดยไม่ถูกดุ

“ขอบคุณครับพี่คราม ปุณณ์ขอบคุณพี่ครามมากๆ เลย” ปุณณกันต์น้อยเดินเข้ากอดโอบรอบคอคามินที่ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ รอให้เด็กทั้งสองเข้าไปหาอยูู่

“ปัณณ์ก็ขอบคุณพี่ครามครับ พี่ครามคนหล่อใจดีที่สุดในโลก” ปัณณธรเองก็กระโดดเข้าไปกอดคอคามินเช่นกัน แต่จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่ เจ้าแฝดคนน้องโถมใบหน้าตัวเองเข้าไปจูบที่แก้มสากของพี่ครามคนโปรดเบาๆ ด้วย


จุ๊บ~


ภาพตรงหน้าทำเอาปราณันต์ค้อนอย่างหมั่นไส้ แต่ถึงอย่างไรปากอิ่มก็อดอมยิ้มกับความน่ารักของสามหนุ่มตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ทั้งกอดทั้งหอมกันขนาดนี้ เดี๋ยวพี่ปราณก็จับฝาแฝดให้ย้ายไปอยู่พี่ครามซะหรอก”

พอปราณันต์พูดแบบนั้น แทนที่เจ้าเด็กแฝดตัวแสบจะสลด ดันหันกลับมาถามคำถามที่ทำเอาร่างบางเขินจนไปไม่เป็น

“ไปครับไป พี่ปราณจะพาเราย้ายไปอยู่กับพี่ครามใช่ไหมครับ” คำถามซื่อๆ และไร้เดียงสาของปัณณธรทำเอาจิ๋งอวี๋หัวเราะลั่น

“ขะ...เข้าไปได้แล้วเด็กๆ ไหนว่าอยากเล่นเครื่องเล่นไง ไปสิครับ” ปราณันต์ดันหลังเจ้าตัวน้อยทั้งสองไปตรงจุดตรวจบัตร และเกิดจะพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที หลังเจอน้องชายตัวแสบถามกลับมาแบบนั้น

ส่วนคามินก็กลั้นหัวเราะเสียจนปวดแก้ม จนปราณันต์ค้อนให้นั่นแหละเขาถึงหุบยิ้มได้ แต่พอจังหวะที่จะเดินตามแฝดเข้าไป คามินก็เอ่ยกับปราณันต์กว่าด้วยน้ำเสียงกระเซ้า

“จะย้ายมาเมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ ผมจะจัดได้บ้านรอ” พอพูดจบเจ้าของเสียงทุ้มก็หัวเราะลั่นอย่างชอบใจ ที่แกล้งอีกฝ่ายได้

“คุณนี่!” มือเล็กเอื้อมไปฟาดไหล่หนาเบาๆ โทษฐานที่ล้อเลียนเขา ซึ่งไม่ได้แรงอะไรมากหรอก คนตัวใหญ่โตอย่างคามินไม่มีทางสะเทือนแน่ ซึ่งก็จริงดังว่า เพราะตอนนี้เจ้าของใบหน้าคมคายยังคงยิ้มและจ้องมาทางเขาไม่หยุด พูดง่ายๆ ว่าทำปราณันต์เขินขึ้นมาอีกรอบได้นั่นแหละ

“ฮ่าๆ ผมไม่ล้อแล้วๆ” คามินพยายามทำหน้าเคร่งเครียด แต่ปากหยักก็ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ที่มุมปากอยู่ดี “เราเข้าไปกันเถอะครับ เด็กๆ รออยู่”

ปราณันต์เชิดปากขึ้นอย่างแสนงอน ซึ่งมันดูน่ารักมากกว่าที่จะน่ากลัวในสายตาของคามิน ทั้งสองเดินเคียงกันไป จนส่งฝาแฝดเข้าไปเล่นในบ้านบอลเรียบร้อยนั่นแหละ ทั้งคู่จึงออกมานั่งรอตรงจุดที่มีบริการเก้าอี้สำหรับผู้ปกครองที่มาเฝ้าเด็กๆ

“ที่จริง...” จู่ๆ คามินก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ในระหว่างที่นั่งกันอยู่เงียบๆ ปราณันต์เองก็สะดุ้งจนต้องหันมามองคนข้างตัว เพราะตอนนั้นกำลังมองเจ้าหนูน้อยทั้งสองปีนขึ้นปีนลงตรงสไลเดอร์อยู่

“ที่จริงแล้วคุณไม่ต้องถึงขั้นย้ายไปอยู่บ้านผมหรอกครับ” คามินพูดยิ้มๆ แต่ทำเอาคิ้วเรียวของปราณันต์ขมวดมุ่น ทำไมคนเจ้าเล่ห์นี่ถึงไม่หยุดล้อเขาสักทีนะ

“คุณ...”

แต่ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะได้อ้าเพื่อเอ่ยคำตอบโต้อะไรคนตัวโตไป กลับกลายเป็นต้องอ้าค้างด้วยความตกใจแทน เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของคนตรงข้าม


“ขอแค่ตอนนี้คุณปราณยอมเป็นแฟนผมก่อนก็พอ ... แค่นี้ ผมขอคุณมากไปรึป่าวครับ?”


ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์หันไปยังคนข้างๆ ด้วยความตั้งใจ สายตาคมทอดมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทำเอาหัวใจของปราณันต์เต้นไม่เป็นส่ำ ภาพรอบข้างของปราณันต์กลายเป็นสิ่งลางเลือนในความรู้สึก มีแต่ภาพใบหน้าและดวงตาของคามินเท่านั้นที่ชัดเจนจนเขาแทบไม่กล้าหายใจ

เสียงในสมองสั่งให้ปฏิเสธ แต่หัวใจกลับลิงโลดและยินดีเหลือเกินกับสิ่งที่ได้ยิน ริมฝีปากอิ่มคล้ายถูกหินก้อนใหญ่ๆ ถ่วงไว้จนเขาพูดไม่ออก ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างสมองร่างกายและหัวใจ กำลังขัดแย้งกันจนปราณันต์แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ลึกๆ ตัวปราณันต์เองก็รู้ดีว่าคำตอบที่ตนมีให้คามินคืออะไร แต่สามัญสำนึกกลับกู่ร้องตะโกนออกมาว่ายังไม่พร้อม


...แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์เช่นนี้

ปล่อยให้เป็นไปหรือยอมให้ความต้องการของตัวเองอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง...

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------------------

ปราณณณณณ หนีไปลูกกกกก หนีไปปปปปป!

5555555555555555555555555555555555555

อยากอ่านคอมเม้นท์นะคะ เม้นท์มาๆ รออยู่เน้ออออ ตอนต่อไปน่าจะมาไม่ศุกร์ก็เสาร์นะคะ ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจ แวะไปคุยในแท็ก #ลวงหลอกรัก ในทวิตเตอร์ได้น้าาา เป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ให้เราก็ยังดี ><

รักทุกคนน้าาาา
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/11/63 [8th Lies: สถานะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-11-2020 20:20:14
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/11/63 [8th Lies: สถานะ]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 24-11-2020 22:16:16
ตกลงเลยปราณ ตามที่เขาขอ หลงไปให้สุด เพราะถึงเวลานั้นมันถึงจะสนุก 55555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/11/63 [8th Lies: สถานะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 26-11-2020 12:12:05
เอาให้หลง ให้เต็มที่
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/12/63 [9th Lies: ห้วงรัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 01-12-2020 21:06:01
9th Lies : ห้วงรัก


สถานการณ์อึดอัดบางๆ เกิดขึ้นทันทีที่คามินพูดจบ ปราณันต์เงียบไปเหมือนกำลังพยายามใช้ความคิด มุมปากหยักเหยียดยิ้มอันตราย ในขณะที่มองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้างุด

คามินกำลังชั่งใจว่า เขาควรจะรุกต่อเลยดี หรือควรจะให้เวลาปราณันต์ได้คิดทบทวน...

... ไม่สิ ไม่มีอะไรต้องยื้อให้ทบทวนกันอีก คำตอบที่เขาต้องการจากปราณันต์มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นคือ


‘ตกลง’


“ผมเร่งรัดหรือทำให้คุณปราณลำบากใจหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนถูกปั้นแต่งและส่งออกมา ก่อนที่คามินจะเพิ่มความเข้มของน้ำเสียงขึ้นอีกนิด เพื่อแสดงออกว่าเขาจริงจัง “ถ้าคุณปราณรังเกียจหรือไม่ต้องการ บอกผมตรงๆ ได้นะครับ ผมจะไม่เซ้าซี้อะไรคุณอีก”

และได้ผล.. ใบหน้านวลหันขวับกลับมามองคนข้างตัวอย่างรวดเร็ว ตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่เสียงใสที่ติดจะร้อนรนหน่อยๆ จะรีบปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็ว

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจหรือไม่ต้องการ” ปราณันต์หยุดพักพร้อมกับสูดหายใจเข้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ตรงกันข้าม ผมรู้สึกดีมากกับสิ่งที่คุณทำให้ มันดีมากจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันไปรึป่าว”

ปราณันต์ยิ้มบางๆ แล้วมองไปยังเด็กฝาแฝดทั้งสองที่กำลังปีนป่ายกันอยู่ในบ้านบอลอย่างสนุกสนาน

“ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีความสุขมาก ตั้งแต่ป๊ากับม๊าเสียไป นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ผมไม่เคยเห็นเด็กๆ หัวเราะและยิ้มได้มากเท่านี้ ฝาแฝดเปิดใจให้คุณอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน” ปราณันต์หันมาหาเจ้าของใบหน้าคมคาย ก่อนที่จะยิ้มให้อย่างจริงใจ “ผมเองก็เหมือนกัน คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับการดูแลจากใครสักคนอีกครั้ง คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมเองก็เป็นคนพิเศษได้ ผมยอมรับว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ดีจนผมกลัว...”

คามินค่อยๆ เลื่อนมือใหญ่มากุมมือเล็กของปราณันต์ที่วางอยู่บนตักตัวเองไว้เบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“คุณปราณกลัวอะไรครับ”

“ผมกลัวว่าวันนึงความสุขแบบนี้มันจะหายไป แล้วผมจะอยู่ไม่ได้ถ้าวันนั้นมาถึง วันที่ผมและฝาแฝดไม่มีคุณ เราอาจจะใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเดิมไม่ได้อีก”

ปราณันต์เสหลบตาคนข้างๆ ก่อนจะมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย หลังจากสารภาพทุกความรู้สึกออกไปให้คามินได้รู้

“เชื่อใจผมได้ไหมครับ” เป็นอีกครั้งที่คำพูดไม่กี่คำของคามิน สามารถเขย่าหัวใจของปราณันต์ให้เต้นแรงอย่างบ้าคลั่งได้

ตากลมโตมองสบเข้าไปที่ดวงตาคมของคามินอย่างกับต้องการจะค้นหาคำตอบ ไม่มีสักวินาทีที่คามินจะหลบสายตา นั่นยิ่งเพิ่มความมั่นใจทำให้ปราณันต์อาจจะตัดสินใจบางอย่างได้ดีขึ้น

“ผมขอเวลาอีกนิดได้ไหมครับ” ปราณันต์มองสบไปที่ตาคมอย่างร้องขอ “ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจคุณนะ แต่ผมคิดว่าผมอยากทบทวนความรู้สึกตัวเอง เอาให้แน่ใจจริงๆ”

เสียงใสๆ พูดขออย่างรัวเร็ว ที่จริงปราณันต์จะให้คำตอบคามินเลยก็ได้ แต่เขาอยากได้เวลาอีกนิด เอาให้ตัวเองมั่นใจว่าความรู้สึกที่มีให้คามินนั้น คือความรักจริงๆ ไม่ใช่แค่ความหลงใหล หรือแค่ประทับใจในความใจดีของอีกฝ่ายเท่านั้น

“ได้สิครับ” คามินตอบรับพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “แล้วเวลาที่คุณปราณอยากได้นี่ มันนานแค่ไหนหรอครับ”

ปราณันต์นิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด เขากำลังกังวลว่าเวลาแค่ไหนถึงจะพอดี เวลาแค่ไหนถึงจะไม่เรียกว่ามากไปจนดูเหมือนเล่นตัว หรือน้อยไปจนดูเหมือนใจง่าย

และก็กลายเป็นเจ้าของเสียงทุ้มที่ทนไม่ไหว เลยเป็นคนยื่นข้อเสนอขึ้นมาเอง

“อาทิตย์นึงพอมไหมครับคุณปราณ” มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือเล็กไว้เบาๆ “อาทิตย์นึงสำหรับพิสูจน์ความจริงใจของผม และอาทิตย์นึงสำหรับการทบทวนความรู้สึกของคุณ ผมขอร้องอย่าให้มันนานไปกว่านี้เลยนะ ผมชอบคุณมากจริงๆ คุณก็รู้”

ปราณันต์เงียบไปจนคามินเองก็รู้สึกหวั่นๆ แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็พยักหน้ายอมรับอย่างจำยอม

“ก็ได้ครับ อาทิตย์นึง วันเสาร์หน้าผมจะให้คำตอบคุณ”

คามินยิ้มโชว์เขี้ยวขาวออกมาอย่างยินดี ปราณันต์เองแม้จะเขินอายแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตนเองก็มีความสุขไม่ต่างจากคนตัวโตข้างๆ เช่นกัน

“พี่ปราณ!! พี่คราม!!” เสียงจากหนึ่งในหนูน้อยทั้งสองดังแว่วมาไกลๆ เรียกความสนใจจากผู้ใหญ่ทั้งสองให้หันไปมองได้ไม่ยาก

พอคามินกับปราณันต์หันไปมองก็เห็นว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองกำลังปีนป่ายเล่นซนกันอย่างสนุกสนาน ปากอิ่มแย้มยิ้มบางๆ หลังจากเห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะป้องปากตะโกนไม่ดังมากให้สองแฝดได้ยิน

“เล่นกันดีๆ นะครับ ระวังตก” พอคนพี่เห็นเจ้าน้องชายตัวแสบพยักหน้า ก็ตะโกนสำทับไปอีกรอบ “ปุณณ์ ดูแลน้องด้วยนะครับ”

ปุณณกันต์ทำสัญญาณมือส่งกลับมาให้พี่ชายว่าโอเค ทำเอาปราณันต์หลุดหัวเราะออกมากับท่าทางน่ารักๆ แบบนั้น

จากนั้นคามินกับปราณันต์ก็ปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันไป โดยที่สองคนนั่งมองอยู่ห่างๆ แต่มือของคนทั้งคู่กลับไม่ได้ปล่อยออกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว

.

.

.

หลังจากพาฝาแฝดเล่นกันจนเต็มอิ่ม ผู้ใหญ่ทั้งสองก็ตกลงกันว่าจะพาเจ้าหนูน้อยกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้าน เพราะปราณันต์ให้ความเห็นว่าสองวันนี้คามินใช้เงินสิ้นเปลืองเพราะฝาแฝดมามากพอแล้ว เลยคิดว่าควรกลับไปกินอาหารที่บ้านน่าจะดีกว่า อีกอย่างพวกของสดที่ซื้อจากซุปเปอร์คราวที่แล้วก็ยังเหลืออยู่อีกเยอะทีเดียว

“คุณอยากกินอะไรครับ” ปราณันต์ถามขึ้นขณะที่คามินกำลังขับรถพาครอบครัวเขากลับบ้าน

“เราทำสุกี้กินกันดีไหมครับ บ้านคุณปราณมีหม้อสุกี้ไหม” คามินถามขึ้นเมื่อคิดไอเดียดีๆ ได้

“มีครับ งั้นเรากินสุกี้กันนะ”

คามินหันไปยิ้มอ่อนโยนให้ปราณันต์ ก่อนจะหันไปถามเด็กฝาแฝด

“เด็กๆ วันนี้เรากินสุกี้กันดีไหมครับ”

“ดีครับ ปุณณ์อยากกินเบค่อน”

“ด้วยๆ แต่ปัณณ์อยากกินกุ้ง”

เจ้าฝาแฝดทั้งสองต่างแย่งกันบอกความต้องการของตัวเองว่าอยากกินอะไร เถียงกันไปเถียงกันมา จนปราณันต์ต้องรีบห้ามทัพ ก่อนที่จะทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ

“พี่ปราณจะใส่ทั้งเบค่อนทั้งกุ้งให้เลยครับ ไม่เถียงกันนะ โอเคไหม”

และถึงแม้ปราณันต์จะหาข้อสรุปให้ทั้งสองได้แล้ว แต่เด็กแฝดก็ยังไม่หายงอนกันและกันอยู่ดี

“ปัณณ์อ่ะดื้อ ชอบเถียง” เจ้าแฝดคนพี่ยังคงบ่นน้องตัวเอง แต่ฝั่งเจ้าคนน้องก็ใช่ย่อย เพราะกำลังบ่นพี่ตัวเองกลับเหมือนกัน

“พี่ปุณณ์ก็ดื้อเหมือนกันนั่นแหละ ชอบดุคนอื่น”

ใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับถอดมา ต่างจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ ราวกับว่าถ้าใครหลบตาก่อนคนนั้นจะเป็นคนแพ้ยังไงยังงั้น

ปราณันต์พรูลมหายใจออกมาอย่างปลงตก ฝาแฝดนี่เวลารักกันก็รักกันจนใจหาย แต่อย่าให้ได้ทะเลาะกันเชียว ถ้าไม่รู้ผลแพ้ชนะล่ะก็ ไม่มีทางยอมจบเด็ดขาด

“ไม่เอาไม่ทะเลาะกันสิครับ เรื่องนิดเดียวเอง พี่ปราณก็ยอมใส่ให้ทั้งกุ้งทั้งเบค่อนแล้วไง”

และแทนที่พอปราณันต์พูดแล้วจะได้ผล เจ้าเด็กตัวแสบทั้งสองดันกระเง้ากระงอดหนักกว่าเดิม ตอนนี้ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กทั้งคู่กำลังเชิดขึ้นอย่างถือดี ริมฝีปากอิ่มจิ้มลิ้มก็กำลังย่นยู่จนแทบจะติดจมูก แก้มขาวนวลทั้งสองข้างก็แดงกล่ำ แขนเล็กๆ ก็ยกขึ้นไขว้กอดอยู่บนอก แถมหนำซ้ำตอนนี้ต่างฝ่ายต่างยังหันหน้าหนีไปคนละทางอีกต่างหาก ซึ่งพอปราณันต์เห็นท่าทางแบบนั้นของฝาแฝดทั้งสองแล้ว คนตัวเล็กก็เตรียมจะดุเด็กๆ เพราะเขาไม่อยากให้ปุณณกันต์กับปัณณธรทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแบบนี้

แต่พอจะเอ่ยปากดุ คามินก็ยื่นมือมากุมมือเขาเพื่อเป็นการห้ามเบาๆ ก่อนจะขยับปากบอกเขาอีกด้วยว่า


‘เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ’


พอสิ้นคำคามินปราณันต์ก็พรูลมหายใจออกอย่างสงบสติอารมณ์ ก่อนจะพยักหน้ายอมให้คามินเป็นคนพูดแทน

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ถ้าทะเลาะกันแบบนี้พี่ครามเปลี่ยนใจไม่ไปกินข้าวด้วยดีกว่า เอาไหมครับ”

พอจบประโยคของคามิน ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กแฝดก็หันมองกันให้เลิ่กลั่ก กลัวพี่ครามจะไม่ไปกินข้าวด้วยก็กลัว แต่เรื่องเสียฟอร์มก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้อีก ตอนนี้เด็กๆ ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง จึงพยายามทำเป็นเฉยๆ เพื่อลองเชิงฝั่งตรงข้ามที่เป็นคู่กรณี

คามินเองที่พอเห็นเด็กๆ เงียบไป ก็เล่นมุกต่อทันที

“คุณปราณครับ งั้นเดี๋ยวผมแวะส่งหน้าอพาร์ทเม้นท์นะครับเสร็จแล้วคงกลับเลย” คามินแกล้งพูดลอยๆ ขึ้นอีกรอบ ทำเอาคนมีความผิดด้านหลังสองคนกุลีกุจอ รีบหันหน้าเข้ามาปรับความเข้าใจกันอย่างรวดเร็ว

“พี่ปุณณ์ ใส่เบค่อนเยอะๆ ก็ได้นะ ที่จริงปัณณ์ก็กินได้ทั้งกุ้งทั้งเบค่อนนั่นแหละ”

“เหมือนกันเลยปัณณ์ พี่ก็กินได้หมด ยังไงพี่ปราณก็ใส่ทั้งกุ้งทั้งเบค่อนให้อยู่แล้ว”

ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าทั้งสองแอบอบมยิ้ม หลังได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กทั้งสองจากด้านหลัง เมื่อกี้โกรธกันแทบไม่มองหน้า แต่พอพี่ครามบอกว่าจะหนีกลับบ้านเท่านั้นแหละเจ้าตัวยุ่งรีบกลับมาสมานสามัคคี ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แนบเนียนสุดๆ

“ปุณณ์กับปัณณ์ไม่เถียงกันแล้วหรอครับ หื้ม?” ปราณันต์แกล้งถาม ทำเอาเจ้าสองตัวน้อยรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่ได้เถียงนะ พี่ปุณณ์กับปัณณ์ไม่ได้เถียงกันสักหน่อย คุยกันเฉยๆ ครับ” ปัณณธรน้อยรีบพูดแก้ตัว มือเล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยกอดอก ถูกยกมาโบกประกอบท่าทางการพูดอย่างแข็งขัน

คามินมองไปปัณณธรน้อยผ่านกระจกมองหลัง เขาแทบจะหลุดหัวเราะ ตอนเห็นฝาแฝดคนน้องพยายามอธิบาย

“ใช่ๆ ไม่ได้เถียงกันครับ” ปุณณกันต์เองก็ไม่ต่าง เจ้าตัวเล็กคนพี่พยักหน้าแข็งขันสนับสนุนคำพูดของน้องชาย ก่อนที่ประโยคต่อมาจะเอ่ยเสียงอ่อย “ว่าแต่ พี่ครามจะอยู่กินข้าวกับพวกเราแล้วใช่ไหมครับ ไม่กลับก่อนใช่ไหม”

“นั่นสิ พี่ปุณณ์กับปัณณ์ไม่ได้จะทะเลาะกันสักหน่อย พี่ครามอยู่กับพวกเราก่อนเถอะนะ”

ปัณณธรพูดจาออดอ้อนเอาใจ จนปราณันต์เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าตัวเองคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ป่านนี้คงลุกขึ้นมากอดหลังกอดไหล่คามินแล้วเป็นแน่

“สัญญากับพี่ครามก่อนนะครับว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก ไม่งั้นพี่ครามกลับบ้านจริงๆ ด้วย” คามินแกล้งขู่ แน่นอนว่าเด็กๆ รีบยอมรับปากแบบไม่มีอิดออด

“ได้ครับ สัญญา” ปุณณกันต์ตกปากรับคำ ปัณณธรเองก็เช่นกัน

“ครับ ปัณณ์ก็สัญญา”

พี่ชายคนโตอย่างปราณันต์ พอเห็นน้องชายเชื่อฟังพี่ครามเป็นอย่างดีก็อดค่อนขอดเพราะหมั่นไส้ไม่ได้

“รักกันดีจังเลยน้าา พี่ครามพูดอะไรก็เชื่อหมดเลย” ปราณันต์ได้แต่พูดแค่นี้ ไม่กล้าเอ่ยประชดด้วยการบอกว่าให้ย้ายไปอยู่กับคามินอีก เพราะแค่เมื่อตอนเย็นที่คามินรุกสวนกลับขนาดนั้น ทำเอาเขาต่างหากที่ไปไม่เป็นแทน

และพอคามินได้ยินปราณันต์เอ่ยแซวแบบนั้น ปากหยักก็แอบยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะสวนกลับไปด้วยความรุกเลเวลเดียวกับเมื่อเย็น

“ผมก็รอให้คุณปราณเชื่อที่ผมพูดอยู่เหมือนกันนะ หึหึ” คิ้วเรียวขมวดมุ่นในตอนแรกเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่คามินพูด แต่พอเอาไปทบทวนกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปก่อนหน้านี้ ก็เลยเข้าใจ สุดท้ายแก้มนวลทั้งสองข้างก็ขึ้นสีอย่างหน้ามอง ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะแบบเอ็นดูจากคามินได้มากทีเดียว

.

.

.

หลังจากขับรถมาถึงอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวปราณันต์ คามินก็ปล่อยให้สามพี่น้องลงตรงด้านหน้า ก่อนที่ตัวเองจะเอารถไปจอดด้านหลัง โดยที่บอกกับปราณันต์ไว้ว่าเดี๋ยวจะตามขึ้นไป

แต่พอขาเรียวจะออกก้าวเดินเพื่อจูงเจ้าแฝดน้อยทั้งสองขึ้นอพาร์ทเม้นท์ ปราณันต์กลับได้เจอคนที่เขาไม่ได้คิดว่าจะเจอในวันนี้ขึ้นเสียก่อน

“ปราณ กลับมาแล้วหรอ” เสียงทุ้มของหนุ่มเหนือเอ่ยทักทันทีที่เห็นเพื่อนร่วมงานเดินเข้าประตูมา

“กวี...” ปราณันต์ครางเรียกชื่อกันต์กันต์กวีเสียงอ่อน เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาถึงที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกให้รู้ล่วงหน้าแบบนี้

“พี่กวี/พี่กวี” ฝาแฝดตัวน้อยประสานเสียงเรียกคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างยินดี กันต์กันต์กวีเองก็ทักทายเด็กๆ อย่างอ่อนโยนเช่นกัน

“ว่าไงครับปุณณ์ ปัณณ์ ไหนมาขอกอดหน่อยสิ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรเงยหน้ามองปราณันต์เป็นเชิงขออนุญาต ก่อนที่ปราณันต์จะพยักหน้าแล้วปล่อยมือให้เจ้าตัวแสบทั้งสองวิ่งตื๋อออกไปที่อ้อมกอดของกันต์กันต์กวีที่ตอนนี้อ้าแขนรอท่าเด็กน้อยทั้งสองอยู่แล้ว

กันต์กันต์กวีกอดรัดฟัดเหวี่ยงเด็กน้อยทั้งสองอย่างคิดถึง โดยที่ไม่ทันได้สังเกตสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของปราณันต์เลยสักนิด

และก่อนที่จะได้ทันเอ่ยอะไรกับเพื่อนร่วมงาน ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามาในอพาร์เทเม้นท์เสียก่อน

คามินมองอย่างแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นปราณันต์ยังยืนอยู่ที่ชั้นล่าง และพอสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองไม่ได้ยืนอยู่ข้างกายพี่ชายคนโต เขาก็หันหาโดยรอบอัตโนมัติ ก่อนจะพบว่าฝาแฝดอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนึงตรงข้ามปราณันต์แทน

ลางสังหรณ์ของคามิน บอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา น่าจะสนิทกับปราณันต์ในระดับนึง คงจะเป็นเพื่อน... แต่น่าจะเพื่อนคนละแบบกับอนาวิน และนั่นทำให้คามินไม่วางใจ

“คุณปราณครับ” เสียงทุ้มเรียกคนตรงข้ามอย่างเก็บอาการ ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นั่นใครเหรอครับ”

กันต์กันต์กวีเองพอเห็นบุคคลที่สามเดินเข้ามาก็คลายอ้อมกอดจากเด็กๆ ก่อนจะมองไปที่คามินอย่างแปลกใจเช่นกัน

“นั่นสิ ใครหรอปราณ”

ปราณันต์เองก็หันมองที่คามินที ที่กันต์กันต์กวีทีอย่างปวดหัว ซึ่งเด็กๆ เอง พอเห็นพี่ครามเดินเข้ามา ก็ผละออกจากกันต์กันต์กวีแทบจะทันทีทันใด แล้วกระโจนเข้าหาพี่ครามแทน มือเล็กๆ เกาะไปที่มือของคามินทั้งสองข้างอย่างรู้ดี และนั่นยิ่งทำให้กันต์กันต์กวีคลางแคลงใจเข้าไปใหญ่ว่าผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้านี่เป็นใคร ทำไมเด็กๆ ถึงได้ให้ความสำคัญและสนใจขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ต่างฝ่ายต่างลอบมองกันอย่างหยั่งเชิง

“เอ่อ.. กวีนี่คุณคามิน” ปราณันต์มองไปที่กันต์กันต์กวี พลางแนะนำอย่างกระอักกระอ่วน ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดี “คุณคามินเคยช่วยชีวิตปุณณกันต์ไว้เมื่อหลายวันก่อน”

กันต์กันต์กวีพยักหน้าแล้วค้อมหัวให้คามินนิดๆ เป็นเชิงว่ายินดีที่ได้รู้จัก

“ส่วนคุณคราม... นี่กันต์กวีเพื่อนผมครับ” คามินเองก็ทำแบบเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างไม่พูด ไม่มีตรงไหนที่แสดงออกว่ายินดีที่ได้รู้จักกันจริงๆ

และก่อนที่บรรยากาศจะอึดอัดมากไปกว่านี้ ฝาแฝดที่ตอนนี้เป็นเหมือนเทพบุตรลงมาโปรด ก็ตะโกนทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทำให้ความอึมครึมรอบๆ ผู้ใหญ่ทั้งสาม ดูเหมือนจะบางเบาลง

“พี่ปราณ พี่คราม ปัณณ์หิวแล้ว หิวๆ ไปกินสุกี้กันเถอะครับ” เจ้าของชื่อทั้งสองอมยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นความฉอเลาะของเจ้าตัวน้อย

“ป่ะ! ไปกินสุกี้กันเถอะครับเด็กๆ” คามินพูดพลางอุ้มปัณณธรขึ้น ส่วนมืออีกข้างก็กุมมือปุณณกันต์ไว้ไม่ห่าง ก่อนจะหันไปชวนพี่ชายคนโตของครอบครัวอีกรอบ ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะละล้าละลังอยู่ไม่น้อย

“คุณปราณครับ ไปกันรึยัง น้องๆ หิวแล้วนะ” คามินทอดเสียงหวานใส่คนตัวเล็กอย่างจงใจ ทำเอากันต์กันต์กวีเกิดอาการฮึดฮัดขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน

และขณะที่ปราณันต์ตัดสินใจแล้วว่าจะขอให้กันต์กันต์กวีกลับไปก่อน เพราะยังไงวันนี้คามินก็ดูแลเขากับน้องเต็มที่ ตัวปราณันต์เองเลยอยากจะตอบแทนอะไรคามินบ้าง อีกอย่างกันต์กวีก็ไม่ได้นัดหรือบอกไว้ก่อนว่าจะมา ครั้นจะให้ชวนมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันมันก็อาจจะแปลกๆ ยังไงไม่รู้

“กวีคือ..” และใขณะที่ปราณันต์จะพูดออกไปกันต์กวีก็ดันพูดสวนกลับมาก่อน

“จะไปกินข้าวกันหรอ ขอไปกินด้วยคนสิปราณ เย็นนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย” ซึ่งหลังจากกันต์กวีพูดจบ คนตัวเล็กก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนคามินเองก็เหยียดยิ้มบางๆ ที่มุมปากตอนที่ปราณันต์หันไปอีกทาง พลางคิดในใจอย่างถือดี


‘ก็ลองดูว่าฉันกับนายใครจะเจ๋งกว่ากัน’


จากนั้นคามินจึงหันไปแสร้งเชื้อเชิญ ทำตัวสบายๆ กับกันต์กวีเพื่อเรียกคะแนนจากปราณันต์

“เชิญเลยครับ กินหลายคนจะได้สนุกๆ ผมกับคุณปราณก็กินกันสองคนกับฝาแฝดมาหลายมื้อแล้ว มีคนมากินเพิ่มด้วยก็น่าจะสนุกดี”

คามินปั้นยิ้มจริงใจ ทำเอาปราณันต์เชื่อเสียจนสนิทใจว่าคามินยินดีให้กันต์กวีมากินข้าวด้วยจริงๆ ผิดกับกันต์กวีที่รู้ดีว่านี่เป็นเพียงหน้าฉากที่คามินมีไว้ทำคะแนนเท่านั้น ผู้ชายคนนี้อันตรายและไม่ธรรมดาเลย ไม่รู้ว่าปราณันต์ไปรู้จักคนๆ นี้ได้ยังไง ถึงเขาจะเคยช่วยปุณณกันต์ไว้ก็เถอะ

ต่างฝ่ายต่างมองสบตากันอย่างรู้ความนัยของอีกฝ่าย มีแต่เพียงปราณันต์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้อะไรเลย

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/12/63 [9th Lies: ห้วงรัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 01-12-2020 21:09:54
(อ่านต่อจากด้านบน)


ทั้งห้าคนขึ้นลิฟต์มายังห้องพักของปราณันต์ เด็กแฝดยังคงเกาะติดคามินไม่ห่าง ทำเอากันต์กวีออกอาการหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหน เจ้าตัวน้อยทั้งสองถึงได้ติดคามินแจขนาดนี้

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ อาทิตย์นี้สนุกไหม ได้ไปเที่ยวเล่นกับพี่ครามกับพี่ปราณ”

คามินแกล้งเปรยถามเด็กๆ เสียงดังในขณะที่นั่งรอปราณันต์เตรียมจัดอุปกรณ์อยู่ ดูเจตนาก็รู้ว่าต้องการให้กันต์กวีได้ยิน

“สนุกครับ อาทิตย์หน้าพี่ครามจะว่างพาพวกเราไปอีกไหม” ปัณณธรถามเสียงเศร้าดูก็รู้ว่าอยากจะไปเที่ยวอีก แต่ด้วยความที่เคยรับปากกับปราณันต์ไว้ว่าจะไม่รบกวนคามิน เลยทำให้เจ้าตัวยุ่งแสดงออกมากไม่ได้

“พี่ครามต้องดูงานก่อนนะครับ ว่ามีงานด่วนรึป่าว ถ้าไม่มีอะไร เราสี่คนไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ”


และก็เป็นอีกครั้งที่คามินตั้งใจให้กันต์กวีได้ยิน


กันต์กวีได้แต่นิ่งเงียบ และสงสัยเองในใจว่าปราณันต์สนิทสนมกับผู้ชายคนนี้แค่ไหน ทำไมถึงยอมให้เข้าห้อง ยอมให้คลุกคลีกับเด็กๆ ยอมให้พาไปไหนมาไหน ในขณะที่เขาทำงานร่วมกับปราณันต์มาก็หลายปี คนตัวเล็กยังคงมีระยะห่างให้เขาตลอด จากความสงสัย กลายเป็นความไม่พอใจและน้อยใจในที่สุด

คามินยังคงพูดคุยหยอกล้อเล่นกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน มีบ้างที่กันต์กวีส่งเสียงเรียก เด็กๆ ก็จะหันมามองตาม แต่ก็แค่นั้น เพราะสุดท้ายความสนใจทั้งหมดของเด็กแฝดก็หวนกลับไปหาผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นอยู่ดี


...ไม่เว้นแม้แต่ปราณันต์ เพราะเขามองเห็นตลอดว่าแม้มือเรียวจะวุ่นวายกับการจัดเตรียมของแค่ไหน แต่สุดท้ายดวงตากลมโตนั่นก็มักจะทอดมองไปยังน้องชายฝาแฝดและผู้ชายที่ชื่อคามินคนนั้นเสมอ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นการมองเฉยๆ กันต์กวีก็คงไม่คิดมากอะไร แต่ประกายในแววตาของคนตัวเล็ก รวมไปถึงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากอิ่มนั่น ทำให้เขาไม่สบายใจเลยแม้แต่นิดเดียว…

.

.

.

“เสร็จแล้วครับทุกคน มากินสุกี้กันเถอะ”

วันนี้โต๊ะกินข้าวรวมไปถึงห้องนั่งเล่นของครอบครัวดูคับแคบไปถนัดตา เพราะมีผู้ใหญ่และเด็กน้อยรวมกันอยู่ถึงห้าคน ตอนนี้คามินเลยต้องจับปุณณกันต์มานั่งตัก ส่วนปัณณธรน้อยก็มีปราณันต์คอยดูแล

“มาครับคุณปราณ ผมทำให้ คุณเตรียมทุกอย่างมาก็เหนื่อยพอแล้ว” คามินเอ่ยปากอาสา พร้อมทั้งแย่งตะแกรงลวก รวมถึงถ้วยมาไว้ในมือก่อนจะตักแจกจ่ายให้กับทุกคน

“อันนี้ของปุณณ์ครับ ใส่เบค่อนเยอะๆ” คามินตักเสร็จก็วางถ้วยตรงหน้าเด็กน้อยอย่างเอาใจเลยได้รอยยิ้มหวานแบบเดียวกับปราณันต์ส่งกลับมาเป็นการตอบแทน

“ขอบคุณครับพี่คราม”

จากนั้นคามินก็ตักอีกถ้วยให้ปัณณธรน้อย พร้อมกับเลื่อนไปวางตรงหน้าเจ้าตัวแสบ “อันนี้ของปัณณ์ครับ ใส่กุ้งเยอะๆ”

“เย่ๆ ขอบคุณครับพี่คราม พี่ครามใจดีที่สุดในโลก” เจ้าตัวแสบปัณณธรพอได้ของกินก็อารมณ์ดียกใหญ่

กันต์กวีพยายามข่มความไม่พอใจไว้ลึกๆ เขารู้ว่าคามินกำลังปั่นประสาทเขา ในสายตาปราณันต์หรือแม้แต่สายตาคนอื่นที่มองมาก็คงคิดว่า คามินแค่ดูแลเอาใจใส่ทุกคนตามปกติ แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น คนตรงหน้าทำเป็นสนิทสนมรู้ใจครอบครัวปราณันต์ดี เพื่อตอกย้ำให้เขาได้รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปราณันต์และเด็กๆ เลย

และแล้วฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลงเมื่อกันต์กวีได้ยินคามินพูดและทำในสิ่งถัดจากนั้น

“ส่วนถ้วยนี้ของคุณปราณครับ ... ใส่ความรักของผมลงไปเยอะๆ” คามินพูดพลางทำสายตาหวานเชื่อมใส่ ปราณันต์เองก็ไม่ต่าง ก้มหน้างุด แก้มแดงก่ำราวกับเขินอายจนทำตัวไม่ถูก

ซึ่งนั่นทำให้กันต์กวีหึงหวงจนทนไม่ไหว เผลอพูดโพล่งออกมาในที่สุด

“ต้องการอะไรกันแน่วะ ทำไมถึงมากวนประสาทกันแบบนี้!”

เสียงกันต์กวีที่แหวกอากาศขึ้นมาดังพอสมควร ทำเอาเด็กแฝดตกใจจนหน้าซีด

“กวี! เป็นอะไรเนี่ย จู่ๆ ก็พูดโพล่งขึ้นมา ปุณณ์กับปัณณ์ตกใจนะ”

ปราณันต์พูดออกมาอย่างไม่พอใจที่ได้ยินกันต์กวีเสียงดังใส่คามิน เพราะนอกจากจะเป็นการกระทำที่ไม่มีมารยาทแล้ว มันยังเป็นการทำให้น้องชายทั้งสองของเขาตกใจด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว ปราณันต์ไม่เคยขึ้นเสียงกับเด็กๆ สักครั้ง ไม่ว่าจะโมโหน้องๆ แค่ไหนก็ตาม

“ปราณไม่เห็นรึไง ว่ามันกวนประสาทเรา” กันต์กวียังคงใส่อารมณ์ด้วยความพลุ่งพล่าน ตอนนี้นอกจากการขึ้นเสียงใส่คามินแล้ว ยังลามมาหงุดหงิดใส่ปราณันต์ด้วย เหตุเพราะคนตัวเล็กเลือกที่จะต่อว่ากันต์กวีให้คามินเห็น หรือพูดง่ายๆ ว่าปราณันต์เข้าข้างคนอื่นแทนที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานแบบเขา

และด้วยความที่กันต์กวียังไม่อารมณ์เย็นลงเลยสักนิด น้ำเสียงที่ใช้กับปราณันต์ก็ยังคงกระโชกโฮกฮากไม่ต่างจากตอนแรก เป็นผลให้เวลานี้ เด็กแฝดทั้งสองที่กำลังนั่งอยู่ตรงกลางวงล้อมของพวกผู้ใหญ่ เริ่มตัวสั่นด้วยความตกใจที่มากขึ้นกว่าเดิม

ปราณันต์หันมามองเจ้าหนูทั้งสองด้วยความเป็นห่วง และสิ่งที่คนเป็นพี่ได้เห็นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม เพราะตอนนี้ปากอิ่มเล็กๆ ของเด็กทั้งสองกำลังเบะออก น้ำใสเม็ดเล็กๆ กำลังไหลกลิ้งในตากลม ใบหน้าน้อยๆ กำลังตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้า นั่นทำให้ปราณันต์ต้องรีบรวบตัวฝาแฝดเข้ามากอดไว้แนบอกทันที

“ชู่ว เด็กดี ไม่ร้องไห้นะครับ ไม่มีอะไรหรอกพี่ปราณอยู่นี่แล้ว” ฝาแฝดทั้งสองร้องไห้โยเย เพราะทั้งตกใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฮึก... พี่กวีเสียงดัง ฮืออ ปัณณ์ไม่ชอบเสียงดัง” ปัณณธรสะอึกสะอื้นร้องไห้อยู่กับอกปราณันต์ ทำเอาพี่ชายคนโตถึงกับหัวใจสั่นไหว เขาไม่ชอบให้เด็กๆ ร้องไห้เลยจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ปราณบอกพี่กวีให้ ให้พี่กวีกลับไปก่อนเนาะ ปุณณ์กับปัณณ์จะได้ไม่ตกใจอีก ดีไหมครับ”

แขนเรียวโอบกอดเด็กชายทั้งสองไว้แนบอก พลางลูบหลังลูบไหล่พูดปลอบใจเจ้าหนูทั้งคู่ แต่สายตากลมกลับมองนิ่งไปยังคนเต้นเหตุที่ทำให้เด็กๆ ขวัญเสีย ราวกับว่าคำพูดที่ใช้ปลอบโยนเด็กๆ เป็นประโยคคำสั่งที่ใช้กับคนต้นเรื่องอยู่ในที ทำเอากันต์กวีหน้าเสีย ทั้งน้อยใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนผิดไปเสียได้

“ดีครับ.. ฮึก ดีๆ ปุณณ์.. ฮือ กลัวเสียงดัง” กันต์กวีหน้ามุ่ยราวกับไม่พอใจอย่างรุนแรง แต่พอเห็นท่าทางขึงขังของปราณันต์ เขาก็เลยต้องยอมเป็นคนถอย เพราะถ้าเขายังดื้อดึงที่จะอยู่ ก็กลัวว่าเรื่องราวอาจจะบานปลายใหญ่โตไปกว่านี้

เพื่อนร่วมงานทั้งสองฝั่งต่างส่งสายตาให้กันและกันด้วยหลากหลายความรู้สึก ปราณันต์ทั้งไม่พอใจ ทั้งโกรธที่กันต์กวีทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่อง และยิ่งทำให้น้องชายฝาแฝดที่เขารักร้องไห้ ทุกอย่างเลยยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนกันต์กวีก็มีแต่ความน้อยใจและตัดพ้อ ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนผิด ในขณะที่ไอ้คนปั่นประสาทยั่วยุให้อารมณ์เขากระเจิง ปราณันต์กลับไม่กล่าวโทษมันสักนิด

และแน่นอนว่าไอ้คนปั่นประสาทและยุยงให้เพื่อนร่วมงานทั้งสองเข้าหน้ากันไม่ติดนั้น ตอนนี้กำลังยืนมองการเชือดเฉือนกันระหว่างสองฝ่ายอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง คามินเองก็ไม่คิดว่ากันต์กวีจะถูกจุดให้ขึ้นง่ายขนาดนี้ มุมปากหยักยกยิ้มอย่างสะใจ ที่ทำให้ไอ้หนุ่มผิวเข้มคนนั้นเป็นตัวร้ายในสายตาของปราณันต์ได้ และทีนี้ถึงคราวที่พระเอกอย่างเขาคงต้องออกโรงบ้างแล้ว

“คุณปราณครับ เดี๋ยวผมดูแลปุณณ์กับปัณณ์ให้ก็ได้ คุณไปปรับความเข้าใจกับเพื่อนคุณเถอะ ผมไม่อยากให้มาผิดใจกันเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างผม”

คนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ทำเอาคนฟังอย่างปราณันต์รู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจ นอกจากคามินจะไม่ถือโทษโกรธเพื่อนเขาแล้ว ยังมีน้ำใจให้เขาไปเคลียร์กับกันต์กวีให้รู้เรื่องอีก ปราณันต์จึงส่งฝาแฝดให้คามินดูแลต่อ ซึ่งตัวเด็กๆ เอง พอผละจากอกปราณันต์ก็โผเข้าหาคามินไม่มีอิดออด กันต์กวีที่ได้เห็นภาพแบบนั้นยิ่งหัวเสีย แล้วยิ่งเห็นคามินมองมาที่ตนด้วยสายตาของผู้ชนะลับหลังปราณันต์ ยิ่งทำให้เขาแค้นจนแทบกระอัก และนั่นทำให้กันต์กวีตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่ายังไงเขาต้องบอกปราณันต์ถึงความเจ้าเล่ห์ สองหน้าของผู้ชายคนนี้ให้ปราณันต์รู้ให้ได้ ดังนั้น เมื่อปราณันต์ลุกเดินนำกันต์กวีออกไปจากห้อง เขาจึงรีบเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว

พอเดินออกจากห้องไปยังระเบียงทางเดินข้างหน้าได้ ปราณันต์ก็เปิดฉากต่อว่ากันต์กวีทันที

“กวีเป็นอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ คุณครามเขาทำอะไรให้ ถึงได้ไปเสียมารยาทใส่เขาแบบนั้น” ใบหน้าขาวนวลที่มักจะอ่อนโยนตลอด แต่ในเวลานี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น กันต์กวีที่เพิ่งได้เห็นอีกแง่มุมนึงของปราณันต์ก็ถึงกับใจเสีย

“แล้วปราณไม่เห็นรึไง ว่ามันกวนประสาทเราก่อน” กันต์กวีเองก็เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าจะมีใครคนนึงเตือนสติปราณันต์ถึงความร้ายกาจของผู้ชายคนนั้น ก็ควรเป็นเขานั่นแหละ ถึงจะเหมาะสม

“เราก็เห็นว่าเขาอยู่เฉยๆ เขายังไม่ทันได้พูดอะไรกับกวีเลยด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ กวีก็ไปหัวเสียใส่เขา แบบนี้มันถูกหรอ?” ทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากปากอิ่มมีแต่ความเคร่งเครียด ดูเหมือนปราณันต์จะพร้อมเข้าข้างผู้ชายคนนั้นแบบเต็มตัว

“ถามจริงๆ เถอะนะปราณ ปราณมองไม่เห็น หรือปราณตั้งใจมองข้ามกันแน่ ผู้ชายคนนั้นมันอันตรายนะ ทำไมปราณถึงไว้ใจ ปล่อยให้มันมาเข้าใกล้ปราณ แล้วก็ครอบครัวของปราณมากขนาดนี้” กันต์กวีโพล่งใส่ปราณันต์เป็นชุด ทำเอาคนตัวเล็กเริ่มจะโมโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

“กวีมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินคนที่กวีเพิ่งเจอแค่ครั้งเดียว” ปราณันต์โต้กลับเสียงแข็ง ใบหน้าสวยหวานกำลังบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ “เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตปุณณ์ไว้ เขาเป็นคนคอยดูแลเอาใจใส่ในขณะที่ฉันต้องการที่พึ่ง เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ปุณณ์กับปัณณ์ร่าเริงและมีความสุขขึ้น แล้วกวีล่ะ กวีเคยทำอะไรให้เราบ้าง นอกจากตอกย้ำว่าเราไม่มีศักดิ์ศรี โดยการพูดถึงเรื่องเงินซ้ำไปซ้ำมา!!!”

กันต์กวีผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เขาไม่เคยเห็นปราณันต์โกรธจัดขนาดนี้มาก่อน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขณะที่พูดปราณันต์ไม่ได้เสียงดังหรือแสดงความเกรี้ยวกราดใส่กันต์กวีเลยสักนิด แต่รังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากคนตัวเล็กนั่นแหละที่ทำให้กันต์กวีรู้สึกได้ว่าปราณันต์กำลังไม่พอใจมากจริงๆ

และก่อนที่กันต์กวีจะได้พูดแก้ตัวอะไรออกไป ปราณันต์ก็ตัดบทโดยการโบกมือให้หยุดพูดทุกอย่าง

“พอเถอะ เราว่าวันนี้เราอย่าเพิ่งคุยอะไรกันอีกเลย กวีกลับไปก่อนเถอะ ไว้ให้เราพร้อมกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกัน”

“ปราณ...” โดยที่กันต์กวียังพูดไม่ทันจบประโยค ร่างบางก็พูดสวนขึ้นมาก่อน

“ขอร้องล่ะกวี กลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้เราไม่พร้อมจะคุยกับกวีจริงๆ”

และโดยไม่ทันฟังอะไร ปราณันต์ก็เปิดประตู เตรียมจะกลับเข้าห้องอีกครั้ง ประโยคสุดท้ายที่คนตัวเล็กทิ้งไว้ให้เพื่อนร่วมงาน ก็เป็นประโยคที่ปราณันต์พูด โดยไม่แม้แต่หันมามองหน้ากันต์กวีด้วยซ้ำ

“เราไม่ไปส่งนะ”

จากนั้นปราณันต์ก็เดินหายเข้าไปหลังบานประตูที่ปิดลงเงียบๆ พร้อมๆ กับหัวใจของคนข้างหลังที่พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี

.

.

.

“คุยกันเรียบร้อยแล้วรึป่าวครับ” คามินทอดน้ำเสียงอบอุ่นถามปราณันต์ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างอ่อนโยน

“ช่างเถอะครับ ไม่มีอะไรหรอก คุณอย่าห่วงเลย”

ตอนนี้ปราณันต์กับคามินนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กกลางห้อง หลังจากที่ปราณันต์พาเจ้าตัวน้อยสองคนเข้าไปนอนแล้ว กว่าจะหลับได้ ต้องทั้งโอ๋ทั้งกอดปลอบกันยกใหญ่โดยเฉพาะปัณณธรงอแงมากทีเดียวกว่าจะหลับ นี่ปราณันต์เองก็หวั่นใจไม่น้อยกลัวเจ้าตัวยุ่งจะตื่นมาละเมอร้องไห้กลางดึกอยู่เหมือนกัน

“ขอโทษนะครับที่ทำให้สุกี้มื้อนี้หมดสนุก ไว้วันหลังผมจะทำให้กินใหม่นะ”

หลังจากเกิดเรื่องเรื่องวุ่นๆ เลยทำให้สุกี้หม้อนั้นต้องถูกพับเก็บไปโดยปริยาย

“โถ่ คุณปราณเรื่องนั้นมันไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า ไม่อยากให้คุณปราณเครียด เพราะยังไงคุณกันต์กวีก็เป็น 'เพื่อน' คุณ”

คามินเน้นย้ำคำว่าเพื่อนเบาๆ เพื่อสังเกตท่าทีของปราณันต์ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้มีท่าทีผิดสังเกตอะไร ดูเหมือนปราณันต์แทบจะไม่ได้ใส่ใจถ้อยคำที่คามินเน้นย้ำเลยด้วยซ้ำ

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่นี้สบายมาก” ตากลมเหลือบขึ้นมามองใบหน้าคมคาย พลางส่งยิ้มเหนื่อยๆ ให้คนตรงข้าม

คามินก็ส่งยิ้มอบอุ่นตอบให้กลับปราณันต์เช่นกัน ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมออกไปแล้วใช้นิ้วมือคลึงตรงหว่างคิ้วของคนตรงข้าม

“ปากบอกไม่ได้เป็นอะไร แต่ดูหว่างคิ้วคุณปราณสิ ขมวดจนจะเป็นปมอยู่แล้ว แบบนี้จะไม่ให้ผมห่วงได้ไงครับ หื้ม?”

ปราณันต์ก้มหน้าลง เขินก็เขินยังหงุดหงิดเรื่องกันต์กวีอยู่ก็ใช่ ตอนนี้สับสนจนทำอะไรแทบไม่ถูก เลยเลือกที่จะเงียบ ไม่ตอบอะไรคามินไป

“ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณกับเพื่อนทะเลาะกัน” คามินแกล้งเว้นจังหวะการพูด วันนี้เขาอยากรู้เรื่องกันต์กวีให้แน่ใจ “คุณกันต์กวีเขาชอบคุณปราณใช่ไหม คือพวกคุณ...”

คามินทำเสรียงเศร้าเหมือนกับว่าอึดอัดใจที่จะพูด ซึ่งมันได้ผลมาก เพราะตอนนี้ปราณันต์เงยหน้ามามองคามินเต็มตาแล้ว

“เราเป็นเพื่อนกันครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” ปราณันต์ยืนยันเสียงแข็ง ทำเอาคามินแอบอมยิ้มในใจ นี่คงกลัวเขาเข้าใจผิด ถึงได้ตอบออกมาเร็วขนาดนี้

“ผมกังวล ผมมาทีหลัง ผมรู้จักคุณปราณช้ากว่าเขา ผมไม่แน่ใจเลยว่าจะมีอะไรสู้คุณกันต์กวีที่มาก่อน และดูแลคุณมาตลอดได้”

ตากลมจับจ้องไปที่คามินอย่างไม่สบายใจ ยิ่งเขาตัดพ้อมากเท่าไหร่ ความแคร์ที่ปราณันต์มีให้เขาก็ยิ่งถูกแสดงออกมาเท่านั้น

“ไม่จริงเลยนะครับ คุณดูแลผมกับน้องๆ ดีมาก คุณทำให้ผมรู้สึก...” ปราณันต์เงียบไป ก่อนจะเอ่ยออกมายิ้มๆ “รู้สึกเป็นคนพิเศษ ผมอยากให้คุณแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่คุณต้องกังวล ระหว่างผมกับกันต์กวีเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ครับ”

คามินตะโกนร้องอย่างยินดีอยู่ในใจ ไม่มีอะไรยากสำหรับเขาแล้วในตอนนี้ คำตอบที่จะรอให้ปราณันต์ตกลงอาทิตย์หน้า แทบจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันแทบจะชัดเจนในคำพูดเมื่อกี้ของปราณันต์หมดแล้ว

คนตัวเล็กกัดปากอย่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นยั่วเย้าอารมณ์คนตรงข้ามมากแค่ไหน

และไวเท่าความคิดคามินยกมือขึ้นเท้าลงบนโต๊ะญี่ปุ่น แล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้านวลที่อยู่ตรงข้าม ปราณันต์ผงะถอยนิดหน่อยเพราะตกใจที่จู่ๆ คนตัวโตก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาขนาดนี้

“คุณปราณครับ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบพร่าชิดใบหน้าหวาน คามินตัดสินใจวางเดิมพันเพราะริมฝีปากอิ่มสีสดที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าช่างท้าทายเชิญชวนให้เขาลิ้มลองเหลือเกิน

และเหมือนปราณันต์เองก็รู้ว่าคามินต้องการอะไร ร่างกายของเขาอยู่นิ่งไม่ไหวติง แม้แต่จะหายใจเขายังแทบไม่กล้า เพราะตอนนี้ใบหน้าทั้งสองของเขาสองคนใกล้กันมากจริงๆ

“อนุญาตผมได้ไหม” น้ำเสียงเว้าวอนถูกส่งผ่านมาทางปากหยักที่กำลังขยับขึ้นลงอย่างน่ามอง ปราณันต์กลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ มือเล็กกำแน่นอยู่บนขอบโต๊ะญี่ปุ่น เขารู้ดีว่าครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันคือความตั้งใจของคามิน ที่ต้องการจะครอบครองริมฝีปากอิ่มของเขาอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งตัวเขาเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองก็อยากถูกริมฝีปากหยักนั่นทาบทับลงมาเช่นกัน

และในขณะที่ทุกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกำลังตีกันวุ่นวายนั้น น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูก็ถูกส่งออกมาอีกครั้ง ประโยคที่ทำลายทุกความยับยั้งชั่งใจที่ปราณันต์มี


“ผมชอบคุณนะครับ”


จบคำพูดคามินก็ลดใบหน้าลงให้เสมอและเข้าใกล้ใบหน้าปราณันต์อีกนิด หัวใจของปราณันต์เต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก สุดท้ายดวงตากลมโตก็ค่อยๆ หลับพริ้มลงช้าๆ เพื่อเตรียมตัวรับทุกสัมผัสที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น

ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ ปราณันต์ก็รู้สึกถึงความหยุ่นนุ่มที่ทาบทับลงมาบนริมฝีปากอิ่มของตนเอง คามินขยับปากอย่างเชื่องช้าและชำนาญ ริมฝีปากหยักขบเม้มเลาะเล็มริมฝีปากของปราณันต์ราวกับละเลียดของหวาน คามินดูดดึงริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างอ่อนโยนแต่ก็เร่าร้อนในที ทำเอาคนที่ไม่ประสาเรื่องแบบนี้อย่างปราณันต์ถึงกับไปไม่เป็น

คนตัวเล็กดูเก้ๆ กังๆ มือไม้ที่เคยยึดอยู่บนขอบโต๊ะก็ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ไหน คามินเองก็เหมือนจะรู้ จึงค่อยๆ ใช้มือใหญ่ผลักโต๊ะที่ขวางกลางระหว่างเขาสองคนออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ปราณันต์อีกนิด

มือใหญ่ตรงเข้าล็อคท้ายทอยของปราณันต์นิ่ง ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างจับมือคนตัวเล็กทั้งสองข้างมาวางไว้บนไหล่ของตัวเอง จากนั้นก็ตรงเข้าลูบแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างเบามือ ก่อนจะตรงเข้าจู่โจมและครอบครองริมฝีปากอิ่มสีสดนั่นอีกรอบ

จากที่อ่อนโยนในคราวแรกก็ค่อยๆ ทวีความร้อนแรงขึ้น คามินดูดดึงริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างเอาใจจนคนตัวเล็กเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะใช้เรียวลิ้นชื้นไล้เลียเบาๆ ลงบนร่องปากอิ่ม ราวกับจะบอกความต้องการบางอย่าง บางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านี้ บางอย่างที่แนบแน่นกว่านี้ บางอย่างที่ปราณันต์เองก็รู้ดีว่ามันคืออะไร

ปราณันต์ค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ คามินเองที่รอท่าอยู่แล้วก็จับปรับใบหน้านวลให้พอดีกับมุมที่เขาจะก้มลงฉกชิงความหอมหวานอีกครั้ง ปากหยักประกบแน่นลงบนริมฝีปากสีสด เรียวลิ้นร้อนชื้นถูกส่งเข้าสำรวจความหอมหวานในโพรงปากของปราณันต์อย่างลึกล้ำ ลิ้นสากเกี่ยวกระหวัดเข้าหาลิ้นเล็กอย่างเชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเงอะงะและไร้เดียงสาของปราณันต์กลับยิ่งทำให้ความรู้สึกของคามินลุกฮือ

คามินบดคลึงหยอกเย้าเลาะเล็มปากอิ่มตรงหน้าอย่างไม่เหนื่อยหน่าย เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันยิ่งทำให้คามินอยากจะไล่ต้อนคนตัวเล็กมากกว่านี้ เขารู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์กำลังตื่นเต้น ความรู้สึกแปลกใหม่กำลังถาโถมอีกฝ่ายอยู่ เพราะมือเล็กๆ ของเด็กน้อยตรงหน้ากำลังยึดอยู่บนไหล่หนาของเขาแน่น และแม้กระทั่งเสียงเต้นของหัวใจของปราณันต์คามินก็ได้ยินมันชัดเจน

คนตัวโตช่วงชิงความหอมหวาน และลมหายใจของปราณันต์อย่างตะกละตะกลาม ทั้งดูดดึงและขบเม้มริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างลุ่มหลงและมัวเมา จวบจนกระทั่งที่คนตัวเล็กทุบเบาๆ ลงบนไหล่คามินเพื่อร้องประท้วงว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ทัน คามินถึงได้หยุดและยอมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งและเสียดายในที

คามินค่อยๆ ลากริมฝีปากมาที่ข้างแก้มปราณันต์ช้าๆ ก่อนที่จะกดจูบลงไปแผ่วเบา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ปราณันต์เขินอายมากกว่าเดิม

“พ.. พอแล้วครับ” ปากอิ่มที่บวมเจ่อกำลังเอ่ยคำขอร้องอย่างน่ารัก ท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้ปราณันต์ดูน่ารังแกยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ชอบหรอครับ หื้ม? หรือผมทำให้คุณปราณโกรธ” คามินกระซิบเสียงพร่า

คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ ก่อนจะยอมรับออกมาเสียงเบา

“ผม... ผมเขิน” ปราณันต์ยอมรับก่อนที่จะเบี่ยงหน้าหลบช้าๆ

“คุณปราณรู้ตัวไหมว่าคุณน่ารักมาก น่ารักจนผมอยากเก็บคุณไว้คนเดียว ไม่อยากให้ใครแย่งคุณไปจากผมเลย” พูดจบจมูกโด่งเป็นสันก็กดลงไปบนแก้มนิ่มเบาๆ


ฟอด~


“คุณ..!” ตากลมค้อนมาที่คามินอย่างแสนงอน เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองโดนแต๊ะอั๋งอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องก้มหลบสายตาไปเอง เพราะคำพูดหวานๆ จากประโยคเมื่อกี้ยังทำให้ใจเต้นแรงอยู่

“ผม.. เป็นจูบแรกของคุณปราณรึป่าวครับ” คามินถามออกไปตรงๆ แม้จะมั่นใจมากก็เถอะ เพราะดูจากท่าทางที่ไม่ประสีประสาของคนตรงข้ามแล้ว

“ผมไม่บอกหรอก” ปราณันต์พูดตอบอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาคามินหัวเราะลั่น

“ไม่ยักกะรู้แฮะ ว่าคุณปราณของผมก็มีมุมแบบนี้ด้วย หึหึ”

“ผมมีอีกหลายมุมเลยแหละที่คุณไม่รู้ ไม่ได้จะขู่นะ แค่บอกไว้ก่อน” ปราณันต์พูดโต้ตอบคามินอย่างน่าเอ็นดู ทำเอาคามินอดกดจมูกโด่งของตัวเองลงไปบนแก้มนิ่มอีกรอบไม่ได้


ฟอด~


“หึหึ มุมหอมๆ แบบนี้น่ะหรอครับ”

“คุณนี่! เลิกแกล้งได้แล้ว กลับบ้านไปเลย ดึกแล้วนะครับ พรุ่งนี้วันจันทร์ด้วย”

ปราณันต์ผลักคามินเบาๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถทำให้คามินสะทกสะท้านได้

“คุณปราณหอมผมก่อนแล้วผมจะกลับ” คนตัวโตต่อรอง พลางยื่นแก้มสากมาตรงปากอิ่มอย่างหยอกล้อ

“เด็กทำน่ะน่ารัก แต่คุณน่ะไม่เด็กแล้วนะ” ปราณันต์ผลักคามินออกอีกครั้ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เพราะกลัวโดนอีกฝ่ายจู่โจมอีกรอบ

คามินหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามปราณันต์ไป ตอนนี้ปราณันต์เดินนำไปถึงหน้าประตูห้องแล้ว มุ่งมั่นที่จะไล่เขากลับมากอะไรมาก

ปราณันต์เปิดประตูให้คามินเดินออก คนตัวโตเดินออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับปราณันต์อีกรอบ

“หอมผมหน่อยไม่ได้หรอครับคุณปราณ กู๊ดไนท์คิสไง ผมจะได้หลับฝันดี” คามินยังคงออดอ้อนอย่างดื้อดึง แต่ปราณันต์ก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว

“กลับได้แล้วครับ ดึกแล้วนะ” ปราณันต์ดุนหลังให้คามินออกเดิน

“ก็ได้ครับ ก็ได้ พรุ่งนี้ผมมารับนะ” ขณะที่ปราณันต์กำลังจะเอ่ยปากตอบ คามินก็ขัดขึ้นมาอีกรอบ “ห้ามปฏิเสธครับ เกิดปุณณ์ตกรถเมล์ลงมาอีกจะทำยังไงครับ”

“ฮ่าๆ” ปราณันต์หัวเราะน้อยๆ อย่างชอบใจ ทำเอาคามินทำหน้างุนงง “ผมไม่ได้จะปฏิเสธสักหน่อย แค่จะบอกว่าเจอกันครับ ต่างหาก”

คามินยิ้มโขว์เขี้ยวอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะหันมาบอกลาปราณันต์อีกรอบ

“งั้นผมกลับนะครับ พรุ่งนี้เจอกัน...”

และในขณะที่คามินยังไม่ทันตั้งตัว ปราณันต์ก็พุ่งเข้ามาเกาะไหล่เขาทั้งสองข้าง เขย่งปลายเท้านิดๆ แล้วจูบลงมาบนแก้มสากเขาเบาๆ


จุ๊บ~


พอจู่โจมเขาเสร็จปราณันต์ก็ถอยออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำจนลามมาถึงลำคอ ทำเอาคามินแทบจะอดใจไม่ไหว กระชากคนขี้ยั่วมาจูบให้หนำใจอีกรอบ

“วันนี้ขอบคุณมากครับ จูบเมื่อกี้แทนสุกี้ที่ผมไม่ได้ทำเลี้ยงคุณ แล้วก็ฝันดีนะครับ” ปราณันต์พูดอย่างเขินอาย ก่อนจะถอยไปอยู่หลังประตู ใช้การมองส่งคามินแทน

“ฮ่าๆ แสบพอๆ กับฝาแฝดเลยนะคุณปราณ” คามินพูดอย่างเอ็นดู ก่อนจะบอกลาปราณันต์ที่อยู่ไกลๆ “ขอบคุณสำหรับกู๊ดไนท์คิส.. ฝันดีนะครับคุณปราณของผม”

ปราณันต์มองคามินด้วยประกายตาวิบวับ ก่อนจะโบกมือลาคามินอย่างน่าเอ็นดู คนตัวโตก็ค่อยๆ ถอยหลังไปที่ลิฟต์ช้าๆ พลางโบกมือให้คนตรงข้ามเช่นกัน

ในขณะที่คนด้านบนกำลังหวานชื่นและตกอยู่ในห้วงรักและห้วงหลงใหลซึ่งกันและกัน ปราณันต์ไม่ได้รับรู้เลยว่าที่มุมนึงของด้านล่างของอพาร์ทเม้นท์กำลังมีคนๆ นึงแอบมองอยู่ด้วยหัวใจแตกสลาย

กันต์กวีตั้งใจว่าถ้าคามินออกไปเขาจะขึ้นไปขอโทษปราณันต์อีกครั้ง จึงได้ตัดสินใจนั่งรออยู่ด้านล่าง แต่ภาพที่เขาเห็นก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจหันหลังกลับขึ้นมอเตอร์ไซค์คู่กายแล้วขี่ออกไปเงียบๆ

ทางด้านคามินก็ยิ้มกริ่มลงมาจากลิฟต์ เพียงแค่นึกถึงสัมผัสที่ริมฝีปาก ก็ทำเอาเขาอารมณ์ดีจนน่าแปลกใจ ปราณันต์ช่างหอมหวานเหลือเกินในความรู้สึกเขา อยากครอบครองมากกว่านี้ อยากสัมผัสมากกว่านี้ และเขาต้องได้ ไม่ว่าต้องทำวิถีทางไหนก็ตาม

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------------------

น้องปราณของพี่ หนีปัยยยยยย แง้!

นังครามคือแผนเยอะเหลือเกินนน หยักถีบมาก 555555555555555

เจอกันตอนหน้าครับบบ ขออภัยที่มาช้า แบบว่ามีอะไรติดพันหลายอย่างมากกกก ยังไงตอนต่อไปจะรีบมาไวๆ น้าาาา ขอบคุณทุกคนสำหรับทุกคอมเม้นท์มาก ... ขอนะคะ รบกวนนะคะ ชอบไม่ชอบเม้นท์บอกกันบ้าง คนรออ่านคอมเม้นท์อยากได้กำลังจัยยยย ^^

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุกคอมเม้นท์ล่วงหน้าค่ะ รักกกก <3

หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/12/63 [9th Lies: ห้วงรัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-12-2020 21:40:37
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/12/63 [9th Lies: ห้วงรัก]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-12-2020 21:50:23
ช่วงความรักบังตา อะไรๆก็อย่าไปขวาง ให้เจอเอง แต่ก็ดีแล้วที่เตือนไป ถือว่าได้เตือนแล้วนะถ้าหลังจากนี้เป็นไรขึ้นมาก็อย่าเรียกหาละ 5555 อิอิ แมงเม่าบินเข้ากองไฟ  :-[ เด็กๆน่าร๊ากก พูดเก่ง ขอบคุณที่มาต่อยาวๆรอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/12/63 [9th Lies: ห้วงรัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-12-2020 23:20:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/12/63 [9th Lies: ห้วงรัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 03-12-2020 16:15:32
ตาพร่ามัว ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/12/63 [10th Lies: ถลำลึก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 07-12-2020 22:02:19
10th Lies : ถลำลึก


หลังจากออกจากอพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์ คามินก็ยังตรงมาที่ไนท์คลับประจำของเขาและบรรดาเพื่อนๆ แน่นอนว่าคามินเช็คดูเรียบร้อยแล้ว ว่าวันนี้อนาวินเพื่อนสนิทของปราณันต์ไม่ได้เข้ามาทำงาน เลยถือว่าเป็นทางสะดวกถ้าจะนัด เฮียเมธัส สิปปกร และเตชินท์ มานั่งก๊งเหล้ากันที่นี่

พอจอดรถเสร็จสรรพ คามินก็ส่งข้อความแชทไปหาปราณันต์ว่าเขาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่ากวางน้อยไม่เคยทันเล่ห์เหลี่ยมอะไรของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเขาสักอย่าง คามินบอกอะไรก็เชื่อ หลอกอะไรก็ฟัง แล้วแบบนี้หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์จะหายไปไหนได้ยังไง

คนตัวโตเดินเข้ามาในคลับพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบเข้ากับกลุ่มเพื่อนของเขา ที่นั่งกันอยู่ตรงมุมเดิม มุมที่เป็นที่ประจำของทั้งสี่คน

“อะไรวะไอ้หน้าหล่อ นัดเอง แต่ดันมาสาย แบบนี้มันน่าด่า”

สิปปกรโวยวายทันทีที่คามินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ร่างสูงไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงแต่ตีหน้านิ่งๆ ส่งกลับไปแค่นั้น แต่เมธัส ผู้ที่เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของกลุ่ม จับประกายความสุขบางอย่างที่กระจายออกมาจากตัวคามินได้ แม้คนเย็นชาตรงหน้าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาก็ตาม

“ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองไหม แต่ฉันรู้สึกว่านายกำลังมีเรื่องดีๆ”

มุมปากหยักยกยิ้มบางๆ มันบางมากถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่สังเกตดีๆ คงมองไม่เห็น

“ก็ไม่ได้ดีอะไรมาก แค่อยากจะขอบคุณพวกนายเฉยๆ”

ทั้งสามคนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ขอบคุณ? ขอบคุณเรื่องอะไรกัน

“ขอบคุณเรื่องอะไรหรอเฮีย” เป็นไอ้หนุ่มน้อยหน้าตี๋ที่ถามขึ้นมา คามินเลยเอ่ยปากเฉลยในที่สุด

“เด็กนั่น” คามินยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาหมุนวนเล็กน้อย ก่อนจะจรดมันไปที่ริมฝีปากหยัก และกระดกแอลกอฮอล์ที่อยู่ในแก้วลงคอภายในรวดเดียว “ฉันชอบ”

และแทนที่สิ่งที่คามินพูดออกมาจะทำให้บรรดาเพื่อนๆ หายข้องใจ กลับทำให้ทั้งสามคนงงตาแตกยิ่งกว่าเดิม เพราะประโยคที่คามินพูดมาแทบจับใจความอะไรไม่เลย อย่าเรียกว่าประโยคจะดีกว่า เรียกว่าเป็นคำยังดูน่าใช่มากกว่าเสียอีก

“อะไรของนายวะ? พูดให้มันมากกว่านี้แล้วอะไรมันจะร่วงออกจากปากรึไง” กลายเป็นสิปปกรที่อดรนทนไม่ได้ ต้องแหวใส่คามินในที่สุด

“เดี๋ยวนะ!” แล้วก็เป็นเมธัสอีกครั้งที่เหมือนพอจะเดาอะไรได้รางๆ “อย่าบอกนะ ว่าเด็กนั่นที่นายพูดถึงคือปราณันต์”

ทีนี้ไม่ใช่แค่เมธัสคนเดียวแล้วที่แปลกใจ ดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทที่เหลือในกลุ่มก็จะอ้าปากค้างด้วยความช็อคไปแล้วเช่นกัน

“นี่นายหมายความว่า นายชอบเด็กปราณันต์นั่นงั้นหรอ?” สิปปกรแทบจะกระโจนไปนั่งบนตักคามิน ถ้าพูดว่าลิงขึ้นไปเดินบนดาวอังคารได้ ยังดูน่าเชื่อถือกว่าการที่จะมาบอกว่าท่านประธานหนุ่มหล่อแห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ จะมาถูกอกถูกใจอะไรเด็กกะโปโลที่แสนยากจนข้นแค้นอย่างปราณันต์นั่นเสียอีก

“ก็ไม่เชิงว่าชอบ เรียกว่าถูกใจจะดีกว่า”

และเหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากรอบโต๊ะ ยังไงคำว่าถูกใจมันก็ซอฟต์กว่าคำว่าชอบแหละนะ

“ทำไมอ่ะเฮีย ใสๆ หรอ” เที่ยวนี้เป็นเตชินท์ที่ยื่นหน้าไปถามคามินจนแทบชิด ก่อนจะโดนมือใหญ่ดันไอ้คนสอดรู้กลับไปเต็มแรง

“ทำนองนั้น ดูไม่ประสีประสาดี...” คามินพูดพลางยิ้มบางๆ อีกครั้ง ยามที่นึกถึงสัมผัสหอมหวานที่เพิ่งได้ลิ้มรสไปเมื่อครู่ “ขนาดจูบยังงกๆ เงิ่นๆ เลย”

“ห๊ะ?!?” ทีนี้กลายเป็นทั้งสามประสานเสียงพร้อมกัน

“นายว่าไงนะ” เมธัส

“จูบ?!?” สิปปกร

“เฮียจูบกับปราณันต์แล้วหรอ?” เตชินท์

“อือ” และในขณะที่ทั้งสามกำลังจะรอคอยประโยคถัดมาของคามิน แต่กลับปรากฎว่าไม่มีอะไรต่อ คามินเพียงแค่ยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นมาจ่อริมฝีปากเท่านั้น

“โว้ย! ไอ้เพื่อนเวร จะเล่าให้มันมากกว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ พูดมาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ พวกฉันจะรู้เรื่องได้ไง” สิปปกรโวยวายอย่างหงุดหงิด ที่คามินเอาแต่ถามคำตอบคำ แล้วแบบนี้ชาติไหนจะได้เข้าใจกัน

“จริงเฮียสิบ ผมไม่อยากจะเม้าท์ ทีตอนอยู่กับปราณันต์เฮียครามพูดเป็นต่อยหอยเลยเถอะ แต่พอกับพวกเรานะ... เฮ๊อะ!”

เตชินท์ส่งเสียงออกจากจมูกอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง บางทีเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจคามินหรอก คนอะไรเหมือนมีร้อยบุคลิกอยู่ในร่างเดียว

“จะอยากรู้อะไรมากมาย” คามินวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะช้าๆ ก่อนจะพูดประโยคถัดไปอย่างหยิ่งยโส “พวกนายรู้แค่ว่าต้องเตรียมหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ให้ฉัน แค่นั้นก็พอ หึ”

ซึ่งประโยคนี้ทำเอาเพื่อนสนิททั้งสามของคามินหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ขนาดสิปปกรเองยังอดลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ เพราะเขาดูจากท่าทางความมั่นใจของคามินแล้ว งานนี้เปอร์เซ็นต์ที่พวกเขาจะแพ้ช่างมีสูงเหลือเกิน ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะวิตกไปมากกว่านี้ คามินก็ชิงเปลี่ยนเรื่องซะก่อน

“แต่ที่จริง ที่โทรนัดพวกนายมาฉันมีเรื่องอื่นจะขอให้ช่วยมากกว่า”

“น้อยๆ หน่อยไอ้หน้าหล่อ” เป็นเสียงเฮียเมธที่เอ่ยปราม “ใช้ช่องเสียงให้เหมาะกับการขอความช่วยเหลือหน่อย นี่เพื่อนนะเว่ย ไม่ใช่ลูกน้องที่บริษัท”

“อะแฮ่ม” คามินกระแอมกะไอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรใช้น้ำเสียงแบบที่เขาเคยชิน ยังไงพวกนี้ก็เพื่อน เขาจึงรีบเปลี่ยนโทนเสียงและทีท่าให้ซอฟต์ลงกว่าเดิม “โทษทีครับเฮีย คือเอาเป็นว่ามีเรื่องจะขอให้ช่วยจริงๆ”

“ว่ามา” เป็นสิปปกรที่เปิดโอกาสขึ้น

“เมื่อเช้าพรวลัยโทรมา ร่ำๆ ว่าจะกลับ ถ้าฉันทำอะไรน่าสงสัยหรือขัดใจเธอ” คามินลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าวลัยโทรหาพวกนาย ก็ช่วยๆ โกหกหรือออกรับแทนให้หน่อยละกัน บอกตรงๆ ว่ายังไม่อยากให้วลัยกลับตอนนี้ว่ะ”

พอหลังจากที่คามินพูดจบเพื่อนสนิททั้งสามก็หัวเราะลั่น ทำเอาคิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความไม่พอใจ เมื่อรู้ว่าถูกล้อเลียน

“ทีงี้พูดยาวๆ ได้ ก่อนหน้านี้ล่ะทำเป็นพูดสงวนคำ” สิปปกรเหน็บเข้าให้ ทำเอาใบหน้าหล่อเหลางอง้ำ ไม่พอใจที่ถูกรู้ทัน

“เออๆ ตามนี้แหละ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ห้ามให้วลัยระแคะระคายเด็ดขาด อย่าลืมที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ”

คามินยังคงเน้นย้ำ เพื่อนทั้งสามเลยต้องรับปากรับคำด้วยความเอือมๆ เพราะไม่อยากให้คามินพูดย้ำไปมากกว่านี้

“ตกลงมีแค่นี้ใช่ไหม จะได้กินเหล้าสบายใจๆ สักที” เมธัสถามขึ้นอีกครั้ง เพราะคิดว่าคามินคงหมดธุระที่เป็นทางการกับพวกเขาแล้ว

“ที่จริงก็ยังมีอีกเรื่อง” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ

“ห๊ะ? ยังไม่หมดอีกหรอเฮีย” เตชินท์ถามเสียงหลง ทำไมวันนี้เฮียครามของเขาถึงเรื่องเยอะจังวะ

“อันนี้ปรึกษาๆ เว้ย” พอแอลกอฮอล์เข้าปาก คามินก็ค่อยๆ คายออกมาทีละเรื่องสองเรื่อง “ดูท่าว่าฉันจะมีคู่แข่งว่ะ”

“ทำไมวะ มีคนจีบปราณันต์เหมือนกันหรอ” สิปปกรถามขึ้นอย่างสนอกสนใจทันที อย่างน้อยห้าเปอร์เซ็นต์ของเขาก็ยังพอมีหวังว่าจะไม่หลุดลอย

“เออ เป็นเพื่อนร่วมงานนั่นแหละ น่าจะทีมเดียวกัน” คามินควงแก้วเหล้าเล่นเบาๆ “แต่ดูท่าแล้วปราณันต์ก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่”

“อ้าว แล้วเฮียเครียดเรื่องไรอ่ะ ถ้าปราณันต์ไม่สนใจ ก็ไม่เห็นต้องกังวลนี่” เตชินท์ถามขี้นมาอย่างสงสัย คามินจะเครียดทำไม ในเมื่อปราณันต์ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมีใจ

“ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก แต่ที่ฉันสนคือ ดูเหมือนว่าไอ้หน้าเข้มนั่นมันจะจับทางฉันได้ยังไงไม่รู้ กังวลก็แต่มันจะไปเป่าหูให้ปราณันต์ฟังบ่อยๆ เด็กนั่นยิ่งไม่ประสาอยู่ เกิดคล้อยตามขึ้นมาจะว่าไง”

คามินพูดพล่ามออกมายาวเหยียด ทำเอาเพื่อนทั้งสามมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

“นายเป็นเอามากจริงๆ ว่ะคราม” เมธัสพูดออกมาเบาๆ อย่างแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง

“ตกลง ต้องทำไงดีวะ” คามินถามซ้ำ ทำเอาสิปปกรขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ไม่น่าเชื่อว่ะ ว่านายจะมีมุมแบบนี้ ฮ่าๆ” สิปปกรยังคงหัวเราะออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพูดต่อ “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรป่าววะ แค่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เด็กนั่นก็หนีนายไปไหนไม่พ้นแล้วไม่ใช่หรอ ขอแค่นายสม่ำเสมอ ต่อให้ใครพูดอะไร ลองถ้าปราณันต์ได้รักนายหมดใจแล้ว ก็คงไม่ฟังคนอื่นหรอก”

คามินฟังที่สิปปกรพูดอย่างใช้ความคิด แก้วแอลกอฮอล์ก็ถูกกระดกลงคอแก้วแล้วแก้วเล่า จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความสนใจที่คามินมีต่อเพื่อนทั้งสามก็เริ่มน้อยลง คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พอเห็นคามินเงียบไปก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก กลับหันมาคุยกันเองเสียมากกว่า มีบางประโยคที่แอบพูดถึงอาการที่คามินเป็น ซึ่งทั้งสามก็ได้แต่ลงความเห็นกันเงียบๆ ว่าไม่ใช่แค่ปราณันต์หรอกที่ตกหลุมรักคามิน ตัวคามินเองก็คงไม่ต่าง เพียงแต่คนเย็นชาคนนี้อาจจะแค่ยังไม่รู้ตัวแค่นั้น ตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นรักขั้นชอบ แต่คงพอใจและถูกใจในระดับหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่เอาแต่สนใจขนาดนี้หรอก

.

.

.

เช้าวันต่อมาคามินขับรถออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปรับฝาแฝดและปราณันต์ที่อพาร์ทเม้นท์ พอไปถึงก็เห็นว่าทั้งสามแต่งตัวรอเรียบร้อยแล้ว ปุณณกันต์กับปัณณธร อยู่ในชุดนักเรียนน่ารัก ส่วนปราณันต์ก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนและกางเกงส์ยีนส์พอดีตัว ดูน่ารักและสดใสมาก ทำให้เขาต้องมองไปที่คนตัวเล็กด้วยสายตาชื่นชมแบบปิดไม่มิด

“จะมองผมอีกนานไหมครับ” ปราณันต์ถามเสียงล้อๆ ก่อนจะเชิญคามินเข้ามากินข้าวเช้าในห้องก่อน เพราะเห็นว่าเวลายังพอเหลือให้เอ้อระเหยได้อีกนิด

“ผมทำข้าวต้มหมูสับไว้ คุณเข้ามากินก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยไปกัน”

คามินเดินเข้าไปในห้องอย่างคุ้นเคย ก่อนจะพบกับเด็กแฝดกำลังนั่งกินข้าวต้มรอเขากันอย่างน่ารัก

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่คราม” ปุณณกันต์น้อยทักทายคามินอย่างดีใจ ปัณณธรเองก็ไม่ต่าง เด็กน้อยโบกไม้โบกมือให้คามินอย่างยินดีที่ได้เห็นพี่ครามของตัวเองเดินเข้ามา

“สวัสดีครับพี่คราม วันนี้พี่ครามจะไปส่งปุณณ์กับปัณณ์ที่โรงเรียนใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ วันนี้พี่ครามจะไปส่งเด็กๆ เด็กๆ ว่าดีไหมครับ” คามินตอบพลางทรุดลงนั่งข้างปัณณธรอย่างคุ้นชิน โดยที่มีปราณันต์ตามมานั่งตรงข้ามติดๆ

มือเรียวหยิบถ้วยมาตักข้าวต้มให้คามินและตัวเอง ก่อนจะเชื้อเชิญให้คามินกิน

“กินเลยครับ กำลังร้อนๆ” ปราณันต์เลื่อนถ้วยข้าวต้มให้คามิน ก่อนจะเริ่มลงมือกินของตัวเองด้วย

“ขอบคุณครับ”

และในขณะที่ทั้งสี่นั่งกินข้าวต้มเคล้าเสียงคุยของเด็กไปอย่างสนุกสนาน คามินก็ลอบสังเกตคนตรงข้ามเงียบๆ ริมฝีปากอิ่มสีสดกำลังรูดช้อนข้าวต้ม พลางเคี้ยวหมุบหมับอย่างมีมารยาท ยามที่ริมฝีปากของปราณันต์ขยับ ความรู้สึกบางอย่างของคามินก็เหมือนถูกกระตุ้นตามไปด้วย ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนไหลบ่าท่วมท้นเข้ามาในห้วงความคิดของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ยามได้สัมผัสปากนิ่มอิ่มอวบนั้น มันทำให้ทุกเหตุและผลที่เขาควรมีถูกตัดออกไปจากสำนึกโดยสิ้นเชิง

และเหมือนปราณันต์เองก็รู้ว่าถูกสายตามคมจ้องอยู่ไม่วางตา มันทำให้เขาวางตัวไม่ถูก และยิ่งได้เห็นว่าคามินจ้องส่วนไหนบนใบหน้าอยู่ ยิ่งทำให้เจ้าของริมฝีปากอิ่มเขินอายยิ่งกว่าเดิม

ปราณันต์แสร้งทำทีเป็นว่ากินอิ่มแล้ว และลุกเดินหนีเข้าไปในครัว แต่กลายเป็นว่าจะพ้นก็ไม่พ้น เพราะคามินเองก็ลุกเดินตามมา มายืนซ้อนหลังขณะที่เขากำลังยืนล้างจานอยู่ที่อ่างล้างจานในครัว

“ผมช่วยล้างนะครับ” คามินยืนชิดกระซิบข้างใบหูนิ่ม เท่านั้นยังดูเหมือนว่าจะไม่พอ เพราะคนตัวโตเล่นใช้ประโยชน์จากรูปร่างสูงใหญ่ของตัวเองกักปราณันต์ไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง และการที่คามินทำเป็นเอื้อมมือไปช่วยล้างจานแบบนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการขโมยกอดปราณันต์จากด้านหลังเลยสักนิด

คนถูกขโมยกอดเองก็เหมือนจะรู้ว่าถูกแต๊ะอั๋ง แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ยืนเฉย ยอมให้ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ด้านหลังรังแกอย่างได้ใจ ตอนนี้นอกจากจานจะไม่ได้ล้างแล้ว ใบหน้าคมคายยังก้มลงมาคลอเคลียไม่ห่างอีก ริมฝีปากหยักแสนมีเสน่ห์ก็กำลังหยอกล้ออยู่กับใบหูนิ่มของปราณันต์อย่างชิดใกล้

“ให้ผมยืนล้างจานแบบนี้ทั้งวัน ยังไงผมก็จะไม่บ่นซักแอะ” เสียงทุ้มกระซิบไม่ห่าง ปราณันต์ผลุบคอลงต่ำอย่างต้องการหนี แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนอ้อมแขนแข็งแรงนั้นจะยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม

และในขณะที่ปราณันต์เพลี่ยงพล้ำไม่เป็นท่า เจ้าอัศวินตัวน้อยๆ ทั้งสองก็ปรากฎตัว

“พี่ปราณ พี่ปุณณ์กับปัณณ์อิ่มแล้วครับ” ปัณณธรน้อยส่งเสียงมาก่อนตัว เป็นผลให้คนตัวเล็กต้องดิ้นขลุกขลักเพื่อขอให้คามินปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ เพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า เจ้าตัวน้อยทั้งสองต้องเดินเอาจานที่กินเรียบร้อยแล้วมาส่งให้เขาล้างแน่ๆ

“ปล่อยก่อนครับ เด็กๆ กำลังมา” คามินผละออกจากปราณันต์อย่างเสียดาย แต่ก็ไม่วายอาศัยจังหวะที่ปราณันต์เผลอ ฉกจมูกลงบนแก้มนิ่มอย่างย่ามใจ


ฟอด~


“คุณนี่!” ปราณันต์ร้องเสียงหลง และรีบใช้มือเล็กๆ ของตัวเองปิดลงบนแก้มทั้งสองข้างทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียท่าโดนคามินรังแกเข้าให้อีกแล้ว

“หอม... แก้มคุณก็หอม แถมตัวก็ยังหอมอีก” แทนที่จะสลด แต่คามินกลับยิ้มเผล่อย่างชอบใจ ปราณันต์นึกหมั่นเขี้ยวอยากจะฟาดแรงๆ ลงไปบนต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั่นสักที แต่ติดตรงที่ตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรวิ่งมายุดที่หน้ารั้วกั้นทางเข้าครัวแล้ว เขาจึงจ้องไปที่คามินอย่างคาดโทษแทน แต่ดูเหมือนคนตัวโตจะไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด หนำซ้ำยังทำท่าแมวขู่ล้อเลียนเขาอีกตะหาก

“ออกไปรอข้างนอกกับเด็กๆ ได้แล้วครับ ผมจะล้างจาน” เสียงหวานเอ่ยไล่คามินอย่างบึ้งตึง หลังจากรับจานจากปุณณกันต์และปัณณธรมาเรียบร้อยแล้ว ทำเอาคนขี้แกล้งใจกระตุกวูบ ดูเหมือนว่าปราณันต์จะโกรธเขาจริงๆ เข้าให้แล้ว

“คุณปราณโกรธผมหรอครับ” คามินเดินเข้าไปใกล้ๆ ปราณันต์ที่กำลังยืนหันหลังล้างจานอยู่

“ผมไม่ได้โกรธคุณ” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงแข็ง เสียงที่ฟังยังไงก็รู้ว่าไม่พอใจ “ผมโกรธตัวเอง โกรธที่ผมยอมคุณจนคุณคิดว่าจะทำอะไรกับผมก็ได้”

คามินได้ฟังคำตอบแล้วก็ยิ้มหยันในใจอย่างดูถูก มันก็จริงอย่างที่ปราณันต์บอก ตอนนี้คนตรงหน้าโอนอ่อนผ่อนตามเขาแทบจะทุกเรื่อง นี่ขนาดยังไม่ได้คบกัน หลังจากนี้ถ้าคบกันแล้ว ถ้าเขาอยากจะได้อะไร คามินมั่นใจว่าปราณันต์จะไม่มีวันขัดใจเขาแน่ๆ

สงสารก็แต่พี่ชายคนโตของครอบครัว ถ้าคามินตั้งใจฟังสักนิด แค่เพียงสักนิด จะสัมผัสได้ถึงความน้อยใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แค่คามินจะมีน้ำใจไม่เอาความรู้สึกของปราณันต์มาล้อเล่นเป็นเดิมพัน เรื่องราวของคนทั้งสองคงไม่เต็มไปด้วยความหลอกลวงแบบนี้

“ผมขอโทษนะครับ” แต่ถึงแม้ในใจของคามินจะหยาบคายแค่ไหน แต่เพื่อแผนการในอนาคต ทำให้เสียงทุ้มต้องทอดลงอย่างอ่อนโยน เหมือนกับคนสำนึกผิดที่อยากได้รับการให้อภัย

“ผมคงชอบคุณปราณมากเกินไปจนไม่รู้จักหักห้ามความรู้สึกตัวเอง”

“...” หัวใจดวงเล็กๆ ของปราณันต์อ่อนยวบเหมือนโดนไฟลน แต่ปากอิ่มก็ยังคงปิดเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ

“ผมผิดเองครับ ผมคิดว่าคุณปราณเองคงจะคิดเหมือนกันกับผม และไม่ได้รังเกียจผม” ปราณันต์รู้สึกเหมือนเจ็บที่หัวใจไปหมด เมื่อได้ยินคำตัดพ้อและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของคามิน ซึ่งพอประโยคสุดท้ายที่คนด้านหลังเอ่ยออกมาก็ทำให้ความใจแข็งของปราณันต์สิ้นสุดลง

“ผม... คงคิดไปเองว่าเราใจตรงกัน” พอจบประโยคใบหน้านวลก็หันขวับมามองใบหน้าคมคายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความร้อนรน

“ผ... ผมไม่ได้รังเกียจคุณนะครับ” ปราณันต์ปฏิเสธปากคอสั่น เขาไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ปราณันต์แค่น้อยใจที่คามินชอบทำเหมือนเขาเป็นของเล่น มันก็แค่นั้นเอง

“แต่ที่คุณพูดเมื้อกี้...” คามินยังคงแสดงละครต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ภายใต้หน้ากากแห่งความรู้สึกผิด คือใบหน้าที่แท้จริงที่ไม่ได้สำนึกกับการกระทำของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ผมแค่ไม่อยากให้คุณทำเหมือนผมเป็นของเล่น ผมแค่น้อยใจ...”

คามินยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากอิ่ม ก่อนจะทอดน้ำเสียงอบอุ่นใส่คนตัวเล็ก พลางขยับเข้าไปหาปราณันต์ช้าๆ

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับ ผม... จริงใจกับคุณปราณจริงๆ ห้ามคิดแบบนี้อีกนะ ผมขอร้อง” คามินลดใบหน้าลงไปจ้องมองอีกฝั่ง ตาคมสบเข้ากับดวงตากลมโตเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง

“เอางี้ดีไหมครับ” คามินยิ้มน้อยๆ ก่อนที่ปราณันต์จะยอมเหลือบตาขึ้นมามอง เพื่อฟังประโยคถัดไป “ต่อไปนี้ถ้าผมจะล่วงเกินคุณปราณ ผมจะขออนุญาตก่อน ถ้าคุณตกลงผมถึงจะทำ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจผมก็จะไม่ฝืน ดีรึป่าวครับ”

ปราณันต์ฟังแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด ลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้ตัวดีว่าชอบสัมผัสของคามินขนาดไหน การได้อยู่ใกล้ชิดอีกฝ่ายทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเสมอ แม้จะมีบ้างที่น้อยใจ แต่การได้กอดกัน หอมกัน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่บนฟ้าอย่างมีความสุขไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกผิดเลย

“ก็ได้ครับ” ปราณันต์รับคำเสียงอ่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วทำแววตาขึงขังใส่ฝั่งตรงข้าม “คุณสัญญากับผมแล้วนะ ว่าจะไม่ทำแบบเมื่อกี้อีก”

คามินหัวเราะเบาๆ แมวน้อยก็ยังเป็นลูกแมววันยังค่ำแหละ แต่ยังไงคามินก็ยอมตกปากรับคำไป

“โอเคครับ โอเค ต่อไปนี้ผมจะไม่แกล้งคุณปราณแบบนั้นอีกแล้วครับ” คนตัวโตพูดพลางทำหน้าทะเล้นใส่ฝั่งตรงข้าม เล่นเอาร่างบางหลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“คุณปราณของผมยิ้มแล้ว ดีกันนะครับ” นิ้วก้อยของคนตัวโต ยื่นออกมาขอเกี่ยวกับคนตัวเล็กอย่างง้องอน

ปราณันต์ทำเป็นเมินอยู่อึดใจหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมยื่นนิ้วก้อยเล็กๆ ของตนเองไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเรียวยาวของคามิน ด้วยรอยยิ้มสดใจจนตากลมยิบหยีขึ้นอย่างน่ามอง

.

.

.

หลังจากจัดการธุระในบ้านเสร็จเรียบร้อย คามินกับปราณันต์ก็ขับรถพาฝาแฝดผู้น่ารักออกมาส่งที่โรงเรียน เช้านี้เด็กๆ ดูหงอยๆ ลงบ้างถ้าเทียบจากการนั่งรถของคามินครั้งที่ผ่านๆ มา คงเพราะทั้งสองน่าจะรู้ตัวดีว่าตอนนี้ตนเองกำลังจะถูกพาไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล

ซึ่งไม่ใช่ว่าปุณณกันต์กับปัณณธรจะงอแงไม่อยากเรียนหนังสือ แต่ที่ทั้งสองคนดูหงอยๆ นั่นเป็นเพราะพวกเขาจะต้องห่างกับพี่ชายคนโตเป็นอาทิตย์มากกว่า กว่าจะได้เจอกันอีกทีก็วันศุกร์โน่น พวกเขาต้องคิดถึงพี่ปราณกับพี่ครามมากแน่ๆ

“พี่ครามครับ วันศุกร์พี่ครามจะมารับเราสองคนรึป่าวครับ” เป็นปุณณกันต์ที่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยกันบนรถอดสงสารไม่ได้

“มาสิครับ ยังไงพี่ครามก็ต้องมารับปุณณ์กับปัณณ์อยู่แล้ว ฝาแฝดไม่ต้องห่วงนะ” คามินพยายามพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ต้องเศร้าหนักกว่าเดิม

“ปัณณ์ไม่อยากไปอยู่ที่โรงเรียนเลย ตอนเย็นเราสองคนกลับบ้านแบบเพื่อนๆ ไม่ได้หรอครับ” ปัณณธรถามออกมาอย่างน่าสงสาร ทำเอาหัวใจของพี่ชายอย่างปราณันต์อดเจ็บปวดไปกับถ้อยคำไร้เดียงสาของน้องชายคนเล็กไม่ได้ แต่ถึงยังไงเขาก็ต้องกลั้นใจ ไม่ให้หวั่นไหวไปกับความใจอ่อนของตัวเองเด็ดขาด

“ปุณณ์กับปัณณ์ก็รู้นี่ครับ ว่าพี่ปราณต้องทำงาน ไม่เอาไม่งอแงนะ”

พอสิ้นคำของพี่ชาย เจ้าหนูน้อยทั้งสองก็ก้มหน้านั่งคอตกทันที จนคามินที่เหลือบแอบมองฝาแฝดทั้งสองจากกระจกมองหลังเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้

“คุณปราณครับ...” และไม่ทันที่คามินจะพูดอะไรต่อ ปราณันต์ก็พูดตัดบทออกมาเสียก่อน

“ถ้าคุณจะตามใจฝาแฝด ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าไม่ ผมไม่อยากให้น้องๆ เคยตัว” ปราณันต์พูดพลางสูดหายใจเข้าเต็มปอด เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เจ็บ การที่ต้องฝากน้องไปให้คนอื่นดูแล ปราณันต์ก็รู้สึกผิดกับเด็กๆ ไม่น้อยเหมือนกัน

คามินเองก็พูดอะไรไม่ออก เมื่อปราณันต์ตัดสินใจมาขนาดนี้แล้ว เขาเองก็คงจะทานไม่ไหว เอาไว้สักกลางสัปดาห์เขาค่อยหาทางรับฝาแฝดออกมาแล้วกัน ส่วนจะทำแบบไหนยังไงนี่คงต้องหาหนทางอีกที คามินที่ตอนนี้หลงรักเด็กแฝดเข้าเต็มเปา กำลังพูดเบาๆ กับตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/12/63 [9th Lies: ห้วงรัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 07-12-2020 22:06:30
(อ่านต่อจากด้านบน)


หลังจากจอดรถหน้าโรงเรียนอนุบาลปราณันต์ก็จูงฝาแฝดทั้งสองเดินเข้ามาในโรงเรียน โดยมีคามินเดินตามมาอย่างเงียบๆ

พอถึงจุดที่อาจารย์ประจำชั้นยืนรอรับเด็กน้อยทั้งสองอยู่ ปราณันต์ก็หยุดเดิน แล้วจับเด็กแฝดที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าด้วยความผิดหวังให้เงยขึ้นมามองเขา ที่กำลังนั่งยองๆ จนความสูงเสมอเท่ากับเด็กทั้งสองอยู่

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ” ปราณันต์เรียกน้องชายทั้งสองด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนและอ่อนโยน เป็นผลให้เด็กทั้งสองค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองหน้าพี่ชายตัวเองช้าๆ ดวงตากลมโตทั้งสามคู่ที่เหมือนกันกระทั่งประกายในแววตา กำลังมองสบกันและกันอยู่อย่างเหงาหงอย

“ปุณณ์กับปัณณ์รู้ใช่ไหมว่าพี่ปราณรักหนูสองคนมากแค่ไหน” มือเล็กๆ ของพี่ชายคนโตจับนิ่งลงบนไหล่น้อยๆ ของฝาแฝดทั้งสอง

“รู้ครับ” ปุณณกันต์ตอบเสียงสั่น เจ้าหนูน้อยรู้ดีว่าคนที่รักเขาและน้องชายฝาแฝดมากที่สุดบนโลกใบนี้ ก็คือพี่ปราณคนที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่ใช่ว่าพี่ปราณไม่อยากอยู่กับฝาแฝดนะ แต่พี่ปราณต้องทำงาน ทำงานเพื่อเอาเงินมาดูแลครอบครัวของเรา พี่ปราณจะใจร้ายแค่ไหนถ้าเอาเหนูสองคนที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ไปขังไว้ในอพาร์ทเม้นท์ให้อยู่กันลำพัง ในขณะที่พี่ต้องออกมาทำงาน”

ปัณณธรน้อยเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น เพราะตอนนี้มือเล็กๆ ของเจ้าหนู กำลังเอื้อมมาลูบแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างปลอบโยน

“เพราะฉะนั้นมันน่าจะดีกว่าถ้าพี่ปราณฝากแก้วตาดวงใจของพี่ไว้กับคุณครูที่จะสามารถดูแลฝาแฝดของพี่ปราณได้ตลอดเวลา พี่ปราณจะได้วางใจว่าหนูน้อยของพี่ปลอดภัย กินอิ่ม นอนหลับ เวลาทำงานพี่ปราณจะได้ไม่ต้องพะวงไงครับ”

ดูเหมือนตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรจะเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายบอกเป็นอย่างดีแล้ว เด็กทั้งสองจึงส่งยิ้มสดใส จนดวงตาบิดขึ้นเป็นรูปพระจันท์เสี้ยวส่งให้พี่ชาย

“เราสองคนจะตั้งใจเรียนครับ” ปัณณธรน้อยพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด ทำเอาปราณันต์อดยิ้มตามไม่ได้

“เจอกันวันศุกร์นะครับพี่ปราณ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวปุณณ์จะดูแลน้องเอง”

ส่วนปุณณกันต์ก็ยังคงเป็นปุณณกันต์ที่น่าภูมิใจวันยังค่ำ พี่น้องทั้งสามคนยิ้มให้กัน ก่อนที่ปราณันต์จะผละออกจากเด็ก แล้วปล่อยให้เจ้าฝาแฝดตัวยุ่ง วิ่งเข้าไปหาคามินที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในมุมที่ห่างออกไป

เด็กน้อยทั้งสองวิ่งไปกอดเอวคามินแน่น พลางร้องเรียกให้พี่ครามอุ้มตัวเองขึ้นไป จนในที่สุดคามินก็ใจอ่อน ตัดสินใจอุ้มปัณณธรขึ้นมา

ปัณณธรระดมจูบแก้มของคามินอย่างน่ารัก ก่อนจะพูดอย่างออดอ้อนทำเอาคนเย็นชาอย่างเขาปฏิเสธไม่ลง

“พี่ครามครับบ! วันศุกร์มารับเราสองคนนะครับ ปัณณ์จะรอ” แน่นอนว่าคามินยิ้มจนแก้มแทบระเบิดหลังจากได้ยินคำพูดคำจาที่น่ารักนั่น

หลังจากนั้นพี่ครามของเด็กๆ ก็วางปัณณธรลงก่อนจะอุ้มปุณณกันต์ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งปุณณกันต์เองก็ไม่น้อยหน้า จูบลงเบาๆ ลงบนแก้มสากของพี่ครามอย่างน่ารัก

“ปุณณ์จะคิดถึงพี่ครามนะครับ”

ถ้าประโยคเมื่อกี้จากปัณณธรทำให้คามินยิ้มจนหน้าบานแล้ว ประโยคนี้คงยิ่งกว่าเพราะตอนนี้ยิ้มของคามินแทบจะหุบไม่ลง เขี้ยวขาวโผล่ออกมาทักทายทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

ปราณันต์มองภาพเด็กแฝดทั้งสองกับคามินอย่างสุขใจ พลางภาวนาในใจเบาๆ ว่าขอให้รักครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี เขาอยากให้เด็กๆ รักคนที่เขารัก และอยากให้คนที่เขารัก รักเด็กๆ หวังว่าสวรรค์เบื้องบนคงไม่กลั่นแกล้งพวกเราพี่น้องสามคนจนเกินไป

.

.

.

คามินยังคงเสมอต้นเสมอปลายกับปราณันต์โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ตอนเช้าเขาจะไปรับปราณันต์จากอพาร์ทเม้นท์มาทำงานด้วยกัน จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้าย ส่วนตอนเย็นหลังเลิกงานคามินก็จะมารอปราณันต์แล้วไปส่งที่คลับ ถ้าวันถัดไปไม่มีพบลูกค้าตอนเช้า คามินก็จะนั่งดื่มรอจนปราณันต์เลิกงานแล้วพาไปส่งอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งการได้ใช้เวลาร่วมกันแบบนี้ทำให้ปราณันต์เปิดใจให้คามินมากขึ้น มากยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะรู้คำตอบที่ปราณันต์จะมีให้คามินได้ไม่ยาก

แม้ปราณันต์จะแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมช่วงเวลากลางวัน หรือตอนที่อยู่ที่ออฟฟิศ เขาไม่เคยได้เจอคามินเลย แต่สงสัยได้ไม่เท่าไหร่ ความคิดฟุ้งซ่านก็ถูกปัดตกไป เพราะสุดท้ายแล้ว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตำแหน่งของคามินไม่ใช่ตำแหน่งที่จะอยู่ติดที่ได้สักเท่าไหร่ ปราณันต์ก็เลยเลิกติดใจทุกอย่างไปเอง

และถ้าจะพูดถึงเพื่อนร่วมงานอย่างกันต์กวี ทุกอย่างก็ดูปกติดี ปราณันต์เห็นกันต์กวีเข้าหาตนด้วยท่าทีเหมือนเมื่อก่อน ก็เลยไม่อยากจะเอาเรื่องไร้สาระมาคิดให้วุ่นวายใจ ส่วนหนึ่งก็ไม่อยากให้นทนัชไม่สบายใจไปด้วยถ้ารู้ว่าเขากับกันต์กวีมีเรื่องผิดใจกัน เพราะยังไงก็ร่วมงานกันมานาน แล้วอีกอย่างถ้าหนุ่มเหนือคนนั้นไม่ได้จะฟื้นฝอยอะไรขึ้นมา ยังคงทำตัวปกติ เขาเองก็ปกติด้วยได้ เพราะที่จริงแล้วปราณันต์เองก็ไม่ได้ติดใจอะไร ขอแค่กันต์กวีอย่าทำแบบวันนั้นอีกก็พอ

“วันนี้ไปกินปิ้งย่างกัน เราไม่ได้ไปกินข้าวกลางวันข้างนอกด้วยกันนานแล้ว มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง”

จู่ๆ นทนัชก็พูดโพล่งขึ้นมาในช่วงสายๆ ของวันหนึ่งในกลางสัปดาห์ ทำเอาปราณันต์กับกันต์กวีมองหน้ากันงงๆ

“นึกครึ้มอะไรเนี่ยพี่ จู่ๆ ก็มาเลี้ยงผมกับปราณ” กันต์กวีถามขึ้นแบบยิ้มๆ ทำเอาปราณันต์พยักหน้าเพื่อแสดงการสนับสนุนแทบไม่ทัน

นทนัชไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มออกมาอย่างปลื้มอกปลื้มใจแทน

“เอาเถอะน่า ไปกินก่อน แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่ามีอะไร”

ยิ่งคำพูดของนทนัชกำกวมมากเท่าไหร่ ยิ่งทำเอาสองหนุ่มลูกน้องอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเท่านั้น

“บอกเลยไม่ได้หรอพี่ ทำแบบนี้พวกเราอยากรู้นะ” เสียงใสพูดอ้อนวอนอย่างน่ารัก แต่นทนัชก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิมว่าจะบอกต่อเมื่อพวกเขาไปกินกลางวันด้วยกันเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้กันต์กวีกับปราณันต์รีบตอบตกลงโดยแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย

.

.

.

“ตกลงพี่จะบอกได้ยังอ่ะครับ ว่ามีข่าวดีอะไร” ปราณันต์เปิดประเด็นทันทีหลังจากสั่งอาหารจากพนักงานเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะบอกว่าโปรเจ็กต์ใหม่ของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ คอนโดตรงกลางเมืองน่ะ ทีมเราได้เป็นหนึ่งในทีมที่เข้าร่วมออกแบบด้วยนะ”

นทนัชพูดพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งในตอนแรกลูกน้องหนุ่มทั้งสองคนก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ฟังนทนัชพูดจบ ใบหน้าตื่นตะลึงของทั้งคู่ก็หันมามองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าทีมแบบทันทีทันใด

“พี่ว่าไงนะครับ/ห๊ะ? พี่ว่าไงนะ”

สองคนแทบจะหลุดคำถามออกมาพร้อมๆ กัน จะไม่ให้เขาทั้งคู่ตกใจได้ไง ในเมื่อทีมของพวกเขาเป็นทีมเล็กๆ พูดง่ายๆ ว่าเป็นแค่ทีมที่ช่วยซัพพอร์ตให้กับงานทั่วไปด้วยซ้ำ แล้วทำไมจู่ๆ ทีมเล็กๆ ของพวกเขาถึงได้ถูกเลือกให้เข้าร่วมทีมใหญ่สำหรับโปรเจ็กต์อลังการขนาดนั้นได้...

แต่ใครสนล่ะ! ปราณันต์คิดอย่างตื่นเต้น การที่เขาได้เข้าร่วมกับทีมใหญ่ที่เต็มไปด้วยคนมากประสบการณ์ขนาดนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับพนักงานจบใหม่ตำแหน่งเล็กๆ แบบเขา การได้พิสูจน์ฝีมือถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยให้ผู้บริหารได้เห็น มันก็เป็นอะไรที่พนักงานทุกคนฝันถึงไม่ใช่หรอ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ต่าง

และประเด็นสำคัญของการได้เข้าไปร่วมทีมใหญ่นั้น คือการได้ทำงานล่วงเวลาที่หมายถึงจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนมากอีกด้วย เพราะทีมนี้เป็นทีมพิเศษที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีโปรเจ็กต์ใหญ่ โปรเจ็กต์ใหม่ของบริษัทเท่านั้น บางทีก็ปีละครั้ง บางทีก็สองปีครั้ง ถึงแม้งานที่ได้รับมอบหมายจะหนัก แต่ค่าตอบแทนที่ได้ก็คุ้มค่าไม่น้อยเลยเช่นกัน ไม่ว่าพนักงานคนไหนหรือทีมไหน ก็อยากจะมีส่วนร่วมในทีมใหญ่หรือทีมพิเศษด้วยกันทั้งนั้นแหละ

“เออ ปราณ แล้วแบบนี้จะกระทบกับงานที่คลับของปราณไหม” กันต์กวีถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เพราะปราณันต์คงไม่ได้เลิกงานตามเวลาปกติ ครั้นจะไปทำงานที่คลับต่อคงไม่สะดวกเท่าเมื่อก่อนหน้าเป็นแน่

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็ลาออก แต่ถ้าพอคุยกันได้ฉันอาจจะขอเขาไปทำเป็นกะ สลับอาทิตย์เว้นอาทิตย์แบบที่วินทำ”

ปราณันต์ยักไหล่ ถ้าให้เขาเลือก เขาเลือกงานที่บริษัทมากกว่าแน่ๆ ถึงจะสูญรายได้จากที่คลับ แต่ค่าตอบแทนจากค่าล่วงเวลาก็ไม่ได้น้อยกว่า เผลอๆ อาจจะมากกว่าตอนทำที่คลับด้วยซ้ำ

“ก็ดีนะ พี่ว่านายออกจากที่นั่นก็ดี เพราะยังไงซะตรงนี้ก็คุ้มมากกว่า แถมนายยังมีเวลาให้เด็กแฝดมากกว่าด้วย” นทนัชพูดแสดงความคิดเห็นออกมา ซึ่งกันต์กวีก็พลอยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไปด้วย

“ว่าแต่เค้าจะให้เราเริ่มงานเมื่อไหร่อ่ะครับพี่นท” ปราณันต์ถามขึ้นอย่างตื่นเต้น

“อาทิตย์หน้า จันทร์หน้า พวกนายเตรียมเก็บของย้ายโต๊ะได้เลย”

จากนั้นทั้งสามก็ชนแก้วกันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะปราณันต์ เขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ว่าช่วงนี้เขาช่างเป็นคนโชคดีเหลือเกิน ดูเหมือนว่าตั้งแต่คามินเข้ามาในชีวิต เขาจะได้รับแต่สิ่งดีๆ เข้ามาตลอด คนตัวเล็กเองก็ได้แต่ภาวนา ขอให้เขาโชคดีแบบนี้ตลอดไป

รอยยิ้มสดใสถูกแย้มออกมาจากปากอิ่ม รอยยิ้มที่มีแต่ความสุขใจและไร้เดียงสา โดยที่ไม่รู้ว่าความโชคดีทั้งหลายทั้งแหล่ที่ตัวเองได้รับมานั้นไม่ใช่เป็นความบังเอิญ แต่มันความโชคดีที่เคลือบแฝงด้วยผลประโยชน์ของใครบางคน

.

.

.

“จริงหรอครับคุณปราณ?” คามินถามปราณันต์ออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี น้ำเสียงที่ทำเอาปราณันต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด

“จริงสิครับ ผมดีใจมากเลยคุณรู้ไหม ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคช่วยหรืออะไร การจะได้เข้าทีมพิเศษมันไม่ง่ายเลยคุณก็รู้”

ปราณันต์เล่าให้คามินฟังด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่สดใส ในขณะที่ทั้งคู่อยู่บนรถ ตอนนี้คามินกำลังจะขับรถไปส่งปราณันต์ตามปกติ และหลังจากได้ฟังสิ่งที่ปราณันต์บอก ผู้ชายผู้มีหัวใจเย็นชาก็หยิบหน้ากากแห่งการแสดงความยินดีมาใส่ได้อย่างแนบเนียน

คามินได้แต่ยิ้มหยันเมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของปราณันต์ แน่นอนว่าปราณันต์ไม่รู้และจะไม่มีวันได้รู้ว่าการที่ทีมของนทนัชได้มีส่วนร่วมในทีมพิเศษสำหรับโปรเจ็กต์ใหญ่ยักษ์ของบริษัทมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งก็ถูกตรงที่ว่าปราณันต์ นทนัช และกันต์กวีเป็นคนมีฝีมือ แต่ก็ใช่ว่ามันจะมากพอจนเข้าไปอยู่ในทีมใหญ่ขนาดนั้นได้ เพราะประสบการณ์ของทั้งสามยังมีไม่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ

และใช่... การที่ทีมของปราณันต์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทีมใหญ่นั้นก็ไม่ใช่เพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไร แต่มันเป็นเพราะเขา เป็นเพราะคามินประธานใหญ่แห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้คนนี้ที่เนรมิตโอกาสให้ปราณันต์ และแน่นอนว่าการที่เขาทำแบบนี้นั้นไม่ได้ทำเพื่อปราณันต์แต่อย่างใด แต่คามินกำลังทำเพื่อตัวเอง เขาอยากมีเวลาใกล้ชิดเกาะติดกับปราณันต์มากกว่านี้ การจะทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนแล้วยอมเป็นแฟนเขาน่ะ ไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่การที่จะยอมให้คนตรงหน้าใจอ่อน แล้วยอมทอดกายให้เขานี่ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ ซึ่งคามินมั่นใจว่าถ้าเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับปราณันต์บ่อยๆ โอกาสก็คงมีเข้าสักวัน แต่ถ้าปราณันต์ยังทำงานหามรุ่งหามค่ำที่คลับแบบนี้ มีหวังต้องเป็นไปได้ยากแน่ๆ เพราะฉะนั้นขั้นแรก เขาต้องทำให้ปราณันต์ลาออกหรือหยุดพักจากงานที่คลับเสียก่อน

ซึ่งวิธีที่ง่ายและปราณันต์จะสงสัยน้อยที่สุดก็เห็นจะมีแต่วิธีนี้เท่านั้น แผนนี้คามินคิดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังลังเลเพราะใจจริงก็ไม่อยากให้งานที่บริษัทเสีย ถ้าเอาคนที่ไม่ค่อยมีฝีมือมาเข้ามาร่วมทีมสำหรับโปรเจ็กต์ใหญ่ของบริษัทขนาดนี้ แต่พอคามินได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ในการแต่งห้องของปราณันต์แล้ว เขาก็เลยตัดสินใจได้ว่าการเอาทีมของปราณันต์มาร่วมในโปรเจ็กต์ก็น่าจะไม่เสียหายอะไร สุดท้ายผลเลยออกมาเป็นแบบที่เห็น

“แล้วเรื่องงานที่คลับล่ะครับ” แน่นอนว่าคามินต้องใช้โอกาสนี้รีบถามทันที เพราะนี่มันเป็นประเด็นหลักที่ทำให้เขายอมลงทุนดึงปราณันต์มาเข้าร่วมโปรเจ็กต์นี้

ปากอิ่มยื่นออกนิดๆ อย่างใช้ความคิด “ผมก็คงไปคุยกับผู้จัดการอ่ะครับ อาจจะขอทำเป็นกะ หรือไม่ก็ทำอาทิตย์เว้นอาทิตย์”

“แล้วถ้าทางนั้นเค้าไม่ยอม คุณปราณจะเอายังไงดีครับ” คามินหยั่งเชิง เพื่อดูปฎิกริยาปราณันต์อีกนิด

“ผมก็คงลาออกครับ ยังไงโปรเจ็กต์ของทางบริษัทก็มั่นคงกว่างานที่คลับอยู่แล้ว แถมค่าล่วงเวลาที่ได้ก็ดูเหมือนจะมากกว่าด้วย ยังไงผมก็คงไม่ปล่อยโอกาสทางนี้ไปแน่ๆ”

ปราณันต์พูดอย่างเด็ดเดี่ยว ทำเอาคามินฟังแล้วอดแปลกใจไม่ได้ เขาไม่คิดว่าคนนุ่มนิ่มอ่อนโยนอย่างปราณันต์จะมีมุมแบบนี้ด้วย ดูเหมือนกับว่าผู้ชายหน้าหวานตัวเล็กคนนี้ จะมีอะไรให้เขาค้นหาอีกเยอะเลยทีเดียว

“อีกอย่างงานที่บริษัทก็ทำให้ผมมีเวลาให้ฝาแฝดมากกว่าด้วย ถ้าวันไหนเลิกไม่ดึกมาก ผมก็อาจจะรับน้องกลับมานอนด้วยได้ มองทางไหนผมก็ว่าคุ้ม ให้ลาออกจากที่คลับผมก็ไม่เสียดายหรอกครับ”

คามินยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างอารมณ์ดี พอได้ยินปราณันต์พูดจบ ทำเอาคนตัวเล็ก อดแปลกใจไม่ได้

“คุณยิ้มอะไรหรอครับ”

“ผมดีใจน่ะสิครับ” คามินพูดพลางปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัย แล้วเอื้อมไปจับมือปราณันต์พลางกุมไว้หลวมๆ “ผมไม่อยากให้คุณทำงานที่คลับเลย ผมทั้งหวง ทั้งห่วง คุณก็รู้ว่าบางคนก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ ถ้าวันไหนผมอยู่ด้วยก็คงไม่เท่าไหร่ ห่วงก็แต่วันไหนที่ผมไม่ได้ไป ใจผมไม่สงบจริงๆ นะ”

แก้มนวลใสขึ้นสีทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มของคนตรงข้ามพูดจบ ก่อนที่คามินจะพูดต่อเพื่อพยายามเร่งทำคะแนนอย่างต่อเนื่อง

“แต่ผมเองก็ไม่อยากจะไปห้ามหรือร้องขอให้คุณลาออก ผมเคารพการตัดสินใจและการดำเนินชีวิตของคุณนะ การจะไปกะเกณฑ์ให้คุณทำนั่นทำนี่ ผมว่ามันไม่น่ารักเท่าไหร่” คามินยิ้มนิดๆ ตอนหันกลับมามองดวงหน้าขาวใสเต็มๆ ตา พลางหยอดคำหวานอีกระลอก

“ที่ผมทำได้ก็คือดูแลคุณแบบนี้ ถ้าได้เห็นคุณในสายตา ไม่ว่ายังไงผมก็มั่นใจว่าผมปกป้องคุณได้”

เสียงทุ้มพูดออกมาอย่างอบอุ่น ทำเอาหัวใจดวงเล็กๆ ของปราณันต์เต้นไม่เป็นส่ำ คำพูดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแบบนั้น ละลายหัวใจของปราณันต์ได้จนหมดสิ้น เขาชอบที่คามินเข้าใจและเลือกที่จะดูแลเขาในแบบที่ไม่บังคับหรือจำกัดพื้นที่จนมากเกินไป ยิ่งได้เห็นและได้ยินแบบนี้ ยิ่งทำให้ปราณันต์มั่นใจว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมให้ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนี้เข้ามาในชีวิตของตัวเองและเด็กแฝดทั้งสอง

“ขอบคุณคุณครามมากนะครับ ผมสัญญาว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมคงจะลาออกจากที่คลับ ผมเองก็อยากจะใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่นเขาสักทีเหมือนกัน”

คำพูดที่แฝงความนัยของปราณันต์ ทำเอาคามินยิ้มอย่างลิงโลดอยู่ในใจ เสาร์นี้คำตอบที่จะได้จากปราณันต์นั้น เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามันคืออะไร ขอแค่รอยืนยันให้ได้ยินชัดเจนจากปากอิ่มแค่นั้นก็พอ

.

.

.

ในที่สุดทั้งสองก็ขับรถมาถึงคลับที่ปราณันต์ทำงานอยู่ และขณะที่ปราณันต์กำลังจะก้าวลงจากรถ มือใหญ่ก็รั้งแขนเล็กๆ ไว้เพื่อยั้งไม่ให้ปราณันต์ลง

“มีอะไรหรอครับคุณคราม”

“คือ.. ผม เอาจริงๆ ผมอาจจะเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่ก็ขอบคุณนะครับที่คุณเข้าใจผม” คามินพูดเสียงใส บรรยากาศโดยรอบมันอบอุ่นและนุ่มนวลไปเสียหมด ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองอดขยับเข้าหากัน เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกันอีกนิดไม่ได้

“...” ปราณันต์ไม่ตอบอะไร ริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรง จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออก ก่อนที่ฟันซี่งามจะขบลงเบาๆ ลงบนริมฝีปากล่างสีแดงสด

คามินมองตามริมฝีปากปราณันต์ พลางกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยต่อเหมือนกับกำลังพยายามจะข่มอารมณ์บางอย่างกลายๆ

“ผมดูแลคุณและเด็กๆ ได้จริงๆ นะครับ” เสียงทุ้มกระซิบพร่า “ขอแค่คุณให้โอกาสผมก็พอ”

ตากลมของปราณันต์เหลือบขึ้นสบกับดวงตาเรียวคมของคามินที่มองมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว สองสายตาประสานกัน ก่อนที่ปราณันต์จะเป็นฝ่ายเสหลบตาไปก่อน

“คำตอบของผม... สัญญาครับว่าจะไม่ทำให้คุณเสียใจ” เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบ แก้มนิ่มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง

“ขอบคุณคุณปราณมากนะครับ คนดีของผม” คามินตอบรับอย่างยินดี แค่นี้ก็เหมือนกับเขาได้รู้คำตอบมาบ้างแล้ว ต่อจากนี้ก็รอแค่เวลาที่จะได้ฟังคำยืนยันจากปากปราณันต์ในอีกไม่กี่วันต่อจากนี้

ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี เขี้ยวเล็กๆ ทั้งสองข้างโผล่พ้นออกมาทักทายปราณันต์อย่างน่ามอง ปราณันต์เองพอเห็นรอยยิ้มที่สดใสของคามินแบบนั้นก็อดยิ้มตามไม่ได้

จากที่ยิ้มให้กันและกัน ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ คนทั้งสองค่อยๆ ขยับเข้าหากันช้าๆ แบบไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกที ใบหน้าของทั้งคู่ก็แทบจะอยู่ไม่ห่างกัน เสียงหัวเราะ ค่อยๆ เลือนหายไป สายตาของทั้งสองต่างจ้องมองที่ริมฝีปากของกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

คามินเองก็รู้ว่าปราณันต์คงคิดไม่ต่างจากตน จึงค่อยๆ ขยับใบหน้าตัวเองเข้าหาใบหน้านวลช้าๆ สายตาคมมองเห็นว่าริมฝีอิ่มกำลังเผยอออกเล็กน้อยอย่างเชิญชวน


‘หึ! ใจง่าย!’


มุมปากหยักยกยิ้มหยันบางๆ โดยที่ปราณันต์ไม่ทันได้สังเกตเห็น ก่อนที่ใบหน้าทั้งสองจะขยับเข้าหากันและกันอีกครั้ง ราวกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างที่คนทั้งคู่ไม่อาจต้านกินได้

“อนุญาต.. ให้ผมจูบคุณปราณนะครับ” และก่อนที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่จะสัมผัสกัน เสียงทุ้มก็กระซิบถามชิดริมฝีปากอิ่มของปราณันต์

และยังไม่ทันที่ปราณันต์จะอนุญาต ริมฝีปากหยักก็จู่โจมเข้าหาริมฝีปากอิ่มของปราณันต์ทันทีอย่างหื่นกระหาย ไม่เกี่ยวกับเกม ไม่เกี่ยวกับการพนัน ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่คามินต้องการตอนนี้ คือริมฝีปากอิ่มสีสดตรงหน้า แค่จินตนาการว่าจะได้ครอบครอง ความหอมหวานที่เคยได้สัมผัสก็หวนระลึกเข้ามาในห้วงความทรงจำอย่างท่วมท้น จนอยากที่จะได้ลิ้มลองมันอีกครั้ง

ปราณันต์เหลือกตาขึ้นอย่างตกใจ เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าคามินจะจู่โจมไวขนาดนี้ ไม่ใช่ไม่รู้ตัวว่าจะถูกจูบ แต่คามินแทบไม่ให้เวลาเขาได้ตั้งตัวเลย

ตากลมเหลือกลานได้ไม่นาน ก็ค่อยๆ หลับพริ้มลง เพราะสัมผัสหยุ่นนุ่มนั้นกำลังทำให้ปราณันต์เคลิบเคลิ้ม

คามินได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจที่รีบร้อนขนาดนั้น ทำแบบนี้มีหวังลูกแมวของเขาตื่นตกใจแย่ พอรู้ตัวคามินจึงค่อยๆ ลดความร้อนแรงลง แล้วเพิ่มความอ่อนโยนให้มากขึ้น ริมฝีปากหยักขยับขบเม้มริมฝีปากอิ่มของปราณันต์อย่างเชื่องช้า คามินค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากล่างของคนตัวเล็กอย่างมัวเมา เขาชอบริมฝีปากล่างของปราณันต์มากเหลือเกิน มันทั้งนุ่มนิ่ม ทั้งเซ็กซี่ จนเขาห้ามใจไม่ไหวสักครั้ง

คามินขบเม้มดูดดึงริมฝีปากสีสดของปราณันต์อย่างนุ่มนวล ลิ้นสากกำลังไล้เลียตามร่องริมฝีปากอิ่มเพื่อแสดงความต้องการบางอย่าง และเหมือนปราณันต์เองจะรู้ คนตัวเล็กจึงค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ พร้อมรับการจู่โจมครั้งต่อไปของคนตรงข้าม

คามินไม่รอช้าเขารีบส่งลิ้นตัวเองเข้าไปกวาดต้อน สำรวจโพรงปากของปราณันต์ อย่างย่ามใจ เมื่อลิ้นเล็กๆ พยายามจะเข้ามาหาเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คามินเองจึงจัดการส่งลิ้นตัวเองเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กของปราณันต์ทันที ยิ่งปราณันต์แสดงท่าทีไร้เดียงสามากเท่าไหร่ ยิ่งกระตุ้นสัญชาตญาณดิบภายในใจของคามินได้อย่างบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น

มือใหญ่ประคองใบหน้านุ่มนิ่มไว้ด้วยมือเดียว เขาจับปรับใบหน้าของปราณันต์ให้ได้องศาพอเหมาะ ก่อนจะกดจูบลงไปอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ลมหายใจของคนตัวเล็กกว่าเริ่มถี่กระชั้นขึ้น จนคามินจับสังเกตได้ แต่เขายังไม่อยากหยุด เขายังไม่อยากพอ เขายังต้องการมากกว่านี้

คามินค่อยๆ ทวีความร้อนแรงของรสจูบขึ้น ริมฝีปากของคนทั้งสองแนบแน่นเกี่ยวกระหวัดกันมากขึ้นกว่าเดิม ความหอมหวานที่เหมือนขนมในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มลึกที่คล้ายกับสิ่งเสพติด มือใหญ่ข้างที่ว่างของคามินเกี่ยวรั้งเอวบางให้เข้ามาแนบชิดมากยิ่งขึ้น เสียงดูดดึงริมฝีปากดังระงมไปทั่วรถเล็กๆ จวบจนกระทั่งที่มือเล็กๆ ของปราณันต์ตีประท้วงไปยังไหล่หนาของคนตรงข้าม เพื่อเตือนสติว่าคามินกำลังช่วงชิงลมหายใจของตน จนตอนนี้มันแทบจะขาดห้วงแล้ว

คามินยอมถอนริมฝีปากออกในที่สุด แต่จมูกโด่งเป็นสันยังคงไล้ไปไล้มาที่แก้มนิ่มอย่างหยอกล้อ ลมหายใจของปราณันต์หอบกระชั้นถี่รัวเนื่องจากก่อนหน้าได้ถูกคนเจ้าเล่ห์ริดลอนไป กว่าจะกลับมาหายใจได้เป็นปกติก็แทบแย่ แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้อัตราการเต้นของหัวใจทำงานเร็วกว่าเดิมอีกจนได้ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู

“คุณปราณ ผมชอบคุณนะ ชอบมาก ทั้งชอบทั้งหลง” ปราณันต์ก้มหน้างุดเอียงอาย ก่อนจะอายหนักกว่าเดิม เมื่อได้ยินประโยคถัดมา “อีกหน่อยผมคงต้องตกหลุมรักคุณปราณจนโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ ถ้าคุณยังไม่หยุดน่ารักแบบนี้”

ปราณันต์แทบไปไม่เป็น เขาไม่รู้ว่าต้องเอามือเอาไม้วางตรงไหน เลยตัดสินใจเลี่ยงหนีคามินไปเสียดื้อๆ

“ขี้โม้!” เสียงหวานกระซิบเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูแล้วก้าวออกนอกรถหนี ไม่ทันให้คามินได้ตั้งตัว “ผมไปทำงานดีกว่า คุณน่ะเผลอไม่ได้ขนาดบอกว่าไม่ให้แต๊ะอั๋งผม คุณก็ยังทำ ชิ!”

คามินรีบก้าวลงมาจากรถ แล้วถามปราณันต์ด้วยความตกใจเพราะกลัวคนตัวเล็กกว่าจะโกรธจิงๆ

“ผมขอโทษ คุณไม่โกรธผมใช่ไหม”

ปราณันต์ตีสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อยๆ พลางเดินถอยหลังแล้วหันหน้าไปทางคามิน แล้วพูดรัวๆ เร็วๆ ว่า

“ถ้าโกรธ ผมจะยอมให้คุณจูบอยู่นานสองนานไหมล่ะ”

จากนั้นก็หันหลังแล้ววิ่งหนีคามินไป น่าจะด้วยเพราะเขินอาย

คามินส่ายหัวยิ้มๆ พลางมองตามร่างเล็กที่วิ่งไปกระโดดไปจนเกือบสุดสายตา โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าตาคมที่ก่อนหน้านี้เคยมองปราณันต์อย่างเย็นชา จนมาถึงวันนี้มันกำลังเปลี่ยนไป

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------

หนีไม่ทันแล้วใช่มั้ย ลูกแมรรรรรร่ แง้

ฝากคอมเม้นท์ ติดแท็กในทวิตเตอร์ได้นะคะ ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้ ขอกำลังใจให้นุหน่อยยย 555555555

ตอนหน้าจะพยายามรีบมาน้าา เจอคำผิดบอกได้เด้อ เจอกันครับบบ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/12/63 [10th Lies: ถลำลึก]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-12-2020 23:48:14
 :haun4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/12/63 [10th Lies: ถลำลึก]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-12-2020 00:55:56
มันคือการหลอก+ลวงจริงๆ คามินนายมันแน่ หึหึ อิอิ แทบจะรอถึงวันนั้นไม่ไหวแล้วโว้ยยยย 55555 ขอบอกก่อนนะปราณอย่ามาง๊อยๆง้อแปปๆคืนดีนะ ต้องเอาให้สาสม หนีไปเลย ผ่านไป15ปีเด็กแฝดโตค่อยเจอกัน บอยคอต 5555 แต่ก็ไม่รู้นะว่าปราณเวลานั้นมาถึงจะยังไง รอตามต่อไป หมั่นไส้คามิน เอะอะแต๊ะอั๊งตัลลอด   :hao3: 5555 ขอบคุณที่มาต่อยาวๆ รอตอนต่อไป  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/12/63 [10th Lies: ถลำลึก]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 10-12-2020 19:05:57
บางครั้งก็อยากให้ถึงเวลาโดนเอาคืน เร็วๆ อย่างสาสม
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/12/63 [11th Lies: แผนการขั้นถัดไป]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 15-12-2020 22:34:30
11th Lies : แผนการขั้นถัดไป


ก่อนหน้านี้มันอาจจะเคยเป็นเพียงแค่เกมสนุกๆ แต่ตอนนี้คามินกลับต้องการมันมากกว่านั้น...

.

.

.

...หลังจากที่ได้จูบกับปราณันต์ไปสองครั้ง ดูเหมือนว่าริมฝีปากอิ่มสีสดนั่นจะมีแรงดึงดูดบางอย่างที่คามินเองก็ไม่สามารถให้คำตอบได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เพราะพักหลังมานี้ หากเขามีเวลาว่างจากงานเมื่อไหร่ ก็ดูเหมือนว่าภาพในหัวสมองจะวกกลับไปที่ภาพริมฝีปากของเขาประทับลงบนความหยุ่นนุ่มของริมฝีปากปราณันต์เสมอ และที่ร้ายแรงมากไปกว่านั้นคือ สัญชาตญาณดิบเถื่อนในใจของเขากำลังถูกกระตุ้น เขากำลังต้องการมากกว่าจูบ


‘คามินกำลังต้องการครอบครองทั้งหมดของปราณันต์’


และดูเหมือนว่าความต้องการนี้กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามได้อยู่ใกล้ หรือยามได้สูดดมกลิ่นกายหอมอ่อนๆ จากคนตัวเล็กนั่น คามินต้องหลับตาข่มใจครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาไม่ใช่ผู้ชายไร้เดียงสา ถึงแม้จะเย็นชาแต่เขาก็ผ่านเรื่องอย่างว่ามาแล้วไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกับผู้หญิง หรือแม้แต่กับผู้ชายเองก็เถอะ ปราณันต์ไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่คามินอยากจะลองนอนด้วย แต่ปราณันต์เป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้คนใจแข็งเป็นหินแบบเขา อยากจะกระโจนเข้าใส่ร่างขาวๆ ทุกทีที่เห็น โดยไม่ต้องมีเหตุหรือผลใดๆ มารองรับ

แต่ยังไงแผนการก็ยังต้องเป็นแผนการ คามินพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นมากกว่านี้ ถ้าอยากจะลิ้มรสไวน์ชั้นดี มันก็ต้องใช้เวลาบ่มเพาะกันนานสักหน่อย

และแน่นอนการที่จะบ่มเพาะให้ไวน์ของเขามีรสชาติดีเยี่ยมได้นั้น การเอาใจใส่ดูแลในทุกกรรมวิธีก็ถือเป็นขั้นตอนสำคัญเช่นกัน

“คุณปราณครับ วันนี้เราแวะไปหาฝาแฝดกันดีไหม”

วันนี้คามินไม่มีนัดพบกับลูกค้าหรือติดประชุมอะไร เขาจึงมีเวลาว่างพาปราณันต์ไปทานอาหารกลางวัน แต่แน่นอนว่า อาจจะต้องพาไปไกลจากแถวออฟฟิศนิดหน่อย ยังไงเสียเขาก็ยังไม่อยากให้ความแตกตอนนี้

และเมื่อคามินเห็นว่าอีกไม่กี่วัน ก็ใกล้จะถึงวันให้คำตอบของปราณันต์แล้ว การสร้างความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ให้คนตรงหน้า อาจจะทำให้เขายิ่งมีคะแนนเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้

“เอ? ยังไงวันมะรืนก็ต้องไปรับเด็กๆ อยู่แล้ว ทำไมวันนี้คุณถึงอยากไปหาฝาแฝดล่ะ มีอะไรรึป่าวครับ?”

คามินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะทอดน้ำเสียงตอบอย่างอบอุ่น

“ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ ผมแค่คิดว่า คุณปราณน่าจะคิดถึงเด็กๆ เลยอยากพาไปหาก็แค่นั้น”

เมื่อได้ยินคำตอบ ริมฝีปากอิ่มก็ยกยิ้มบางๆ ขึ้นอย่างประทับใจ คามินเอาใจใส่เขาเสมอ แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่อีกฝ่ายกลับรู้ใจปราณันต์ไปเสียหมด แน่นอนว่าความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในหัวใจ ทำให้ปราณันต์เลือกที่ยอมรับในคำตอบและเลิกฝืนหัวใจตัวเอง

“ครับ ผมคิดถึง ถ้าคุณว่างเราไปด้วยกันก็ได้”

หลังจากปราณันต์พูดจบ ต่างฝ่ายต่างก็ยิ้มให้กัน ราวกับหลงอยู่ห้วงอารมณ์บางอย่างที่คนทั้งคู่ได้เผลอสร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ว่าแต่วันนี้คุณปราณยังต้องไปทำงานอยู่ไหม คุยกับผู้จัดการเรียบร้อยรึยัง” คามินหมายถึงงานที่ไนท์คลับที่ปราณันต์บอกไว้ว่าจะลาออก หลังจากได้เข้าร่วมทีมโปรเจ็กต์พิเศษของบริษัท

“อาทิตย์นี้ทำอาทิตย์สุดท้ายครับ ทางคลับเค้าไม่ค่อยโอเคถ้าผมจะทำงานอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ผมเลยตัดสินใจว่าลาออกดีกว่า ยังไงผมก็ต้องเลือกงานของทีมโปรเจ็กต์พิเศษอยู่แล้ว”

คามินยิ้มจนหน้าบานหลังจากได้ยินว่าปราณันต์จะยอมลาออกจากไนท์คลับ

“คุณไม่ต้องมายิ้มแบบนี้เลย” คนตัวเล็กกว่าต่อว่าเขินๆ ทำไมปราณันต์จะไม่รู้ว่าคามินคิดอะไรอยู่ ก็อีกฝ่ายเคยเปรยๆ ว่าอยากให้เขาออกจากงานนี้ นี่พอเขาลาออกจริงๆ ก็เล่นแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ว่าดีใจ แล้วจะไม่ให้ปราณันต์คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไงล่ะว่าคามินหวงเขาจนไม่อยากให้ทำงานที่นั่นอย่างที่เคยบอกไว้

“เอ้า ก็ผมมีความสุข คุณปราณจะไม่ให้ผมยิ้มได้ไงล่ะครับ” เสียงทุ้มพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ยิ่งทำให้คนแสนงอนฝั่งตรงข้ามแสดงอาการเขินหนักกว่าเดิม น่าจะคงนึกถึงวันที่โดนจูบในรถแน่ๆ

“รู้แล้วครับว่าดีใจ คุณเลิกแกล้งผมได้แล้ว” มือเล็กๆ ผลักไปที่ไหล่หนาของคามินเบาๆ ซึ่งคนตัวโตอย่างคามินแทบจะไม่ไหวติงเลยด้วยซ้ำ แต่พอปราณันต์จะถอนมือออก ก็กลายเป็นว่ามือใหญ่เอื้อมไปยึดมือเล็กของปราณันต์ไว้แน่นแทน

และก่อนที่ปราณันต์จะได้ทันตั้งตัว คามินก็ดึงมือเล็กๆ ที่ยึดไว้เข้าหาตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะก้มลงจุมพิตช้าๆ

“ขอบคุณนะครับ ไม่ว่าคุณปราณจะตัดสินใจลาออกเพราะผมหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากจะขอขอบคุณ ขอบคุณที่เห็นใจผมนะครับ”

แก้มนวลใสเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำหวานจากคนตรงข้าม แม้จะไม่ได้ตอบออกไปตรงๆ แต่ดวงตากลมโตที่สบไปยังดวงตาเรียวคมก็ได้เปิดเผยจนหมดสิ้นแล้วว่าเหตุผลหลักๆ ที่ปราณันต์ตัดสินใจลาออกจากไนท์คลับมีเรื่องของคนตรงหน้าปนอยู่ด้วยแน่ๆ

.

.

.

พอหลังจากเลิกงานคามินก็กลับมาแวะรับปราณันต์ที่ออฟฟิศอีกครั้งด้วยข้ออ้างเดิมๆ ‘ผมเพิ่งพบลูกค้าเสร็จ’ ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาก็อยู่ที่ออฟฟิศตลอดนั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนเลย แค่ประชุมกับเซ็นต์เอกสารก็หมดเวลาที่จะทำอะไรอย่างอื่นแล้ว ทุกวันนี้เขาจะพยายามเคลียร์งานให้เสร็จโดยเร็ว หรือถ้าวันไหนไม่ทันจริงๆ เขาก็จะให้แทนคุณหอบงานกลับไปรอที่คอนโด

เพราะโดยความตั้งใจคามินคิดไว้ว่าเขาจะไปรับส่งปราณันต์ไม่ให้ขาด ทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อให้ปราณันต์ประทับใจ มันอาจจะต้องลงทุนลงแรงมากหน่อย ซึ่งตัวคามินเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องทุ่มเททำอะไรมากมายขนาดนี้

ความรู้สึกในใจของคามินกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าที่ทำไปเพราะอยากจะเอาชนะไอ้พวกเพื่อนตัวแสบทั้งหลาย และทำเพื่อหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่จะว่าไปก็ไม่ได้น้อยเลย แต่ในใจลึกๆ เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ว่าคำตอบที่แท้จริง มันจะใช่คำตอบเดียวกับที่เขาพยายามบอกตัวเองอยู่หรือป่าว... คามินไม่แน่ใจเลย


ปิ๊น ปิ๊น~


คามินบีบแตรเรียกผู้ชายร่างบางที่ยืนรอเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ด้านหน้า รอยยิ้มที่คามินมองกี่ทีก็ไม่เบื่อ รอยยิ้มที่เขาต้องการครอบครองและเป็นเจ้าของแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น

ปราณันต์หันมองตามเสียงแตรรถ ก่อนที่ขาเรียวจะค่อยก้าวยาวๆ เดินไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็ว

“รอนานไหมครับ” คามินถามขึ้นเมื่อออกรถมาแล้ว

“ไม่นานครับ ผมเพิ่งลงมาเอง” ปราณันต์ตอบ “ผมโทรไปบอกที่โรงเรียนแล้วว่าเราจะเข้าไป คุณครูอนุญาตให้พาฝาแฝดออกมาได้ แต่ต้องกลับเข้าไปก่อนสองทุ่ม.. ว่าแต่ เราจะไปไหนกันดีครับ” ปราณันต์พูดแทบไม่หายใจ ทำเอาคามินได้ยินแล้วอดขำไม่ได้

“ใจเย็นๆ ครับ ใจเย็นๆ ฮ่าๆ” คามินหัวเราะร่า “เราไปกินสุกี้กันดีไหมครับ ครั้งที่แล้วยังกินไม่หายอยากเลย”

ทั้งสองหวนนึกไปถึงวันนั้น วันที่กันต์กวีมาที่บ้านปราณันต์ แล้วทำเอาปาร์ตี้สุกี้ล้มไม่เป็นท่า ก็ได้ขำในใจเบาๆ

“ก็ได้ครับ เอาร้านใกล้ๆ โรงเรียนหน่อยละกันนะครับจะได้กลับไม่ดึกมาก”

“ครับผม” คามินรับคำพร้อมกับยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างดูดี ยิ้มที่ทำเอาปราณันต์อดใจเต้นแรงไม่ได้

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองก็เดินทางมาถึงโรงเรียนอนุบาล ปราณันต์มองเห็นเด็กแฝดที่ยืนรอเขาอยู่แต่ไกล ใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าตัวน้อยดูมีความสุขมากอย่างไม่น่าเชื่อ เขาได้แต่สงสัยในใจว่าถ้าเด็กๆ ได้รู้ข่าวดีที่เขากำลังจะมาบอก เจ้าหนูทั้งสองจะมีความสุขมากแค่ไหนกัน

“พี่ปราณ~”

“พี่ปราณมาแล้วว~”

แฝดพี่แฝดน้องผลัดกันตะโกนเรียกพี่ชายทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณโรงเรียน เจ้าหนูทั้งคู่อยู่ในชุดไปรเวทแบบเดียวกัน สีเดียวกัน ยิ่งทำให้ดูน่ารักน่าฟัดขึ้นไปอีกในสายตาคนทั่วไป

“ว่าไงครับเด็กๆ” ปราณันต์ทรุดลงนั่งยองๆ พร้อมๆ กับอ้าแขนทั้งสองข้างออก เพื่อเตรียมรอรับเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังจะวิ่งมาหาตน

และก็ตามคาด ฝาแฝดน้อยวิ่งตื๋อออกมาหาพี่ชายตัวเองทันทีที่คุณครูอนุญาต เจ้าตัวยุ่งทั้งสองโถมตัวเข้าหาปราณันต์เต็มแรง พลางกอดรัด ฟัดจูบกันอย่างคิดถึง

“ปุณณ์คิดถึงพี่ปราณ”

“ปัณณ์ก็คิดถึงพี่ปราณ”

เจ้าหนูทั้งสองถูไถใบหน้าเข้ากับอกพี่ชายอย่างออดอ้อน ทำเอาปราณันต์ยิ้มไม่หุบ พลางอดคิดในใจไม่ได้ว่า ถ้าเลิกงานมาเหนื่อยๆ แล้วกลับไปบ้าน ได้เจอยาใจทั้งสองในทุกๆ วันแบบนี้ คงจะช่วยให้เขามีกำลังวังชาต่อสู้กับงานในแต่ละวันได้โดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยแน่ๆ

“พี่ปราณก็คิดถึงปุณณ์กับปัณณ์ครับ” พอพูดจบ ริมฝีปากอิ่มก็กดลงไปบนแก้มนิ่มๆ ของฝาแฝดอย่างต้องการจะถ่ายทอดและตอกย้ำคำพูดของตัวเอง

“ไงเด็กๆ” พี่ครามของเจ้าหนูที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถูกลืมไปเสียสนิท กำลังแกล้งส่งเสียงทักทายไปให้ทั้งสามได้ยิน

“โอ๊ะ! พี่ครามก็มาด้วยนี่นา!” เป็นปัณณธรที่หันมาเห็นคามินก่อน เจ้าหนูร้องทักพลางยิ้มหวานให้คนตัวสูงอย่างยินดี ปุณณกันต์เองก็เช่นกัน รอยยิ้มพิมพ์เดียวกับน้องชาย ถูกส่งให้คามินด้วยความดีใจ

ปราณันต์ยอมคลายอ้อมกอด ให้เด็กๆ เดินไปหาพี่ครามที่กำลังรอท่าอยากจะฟัดเจ้าหนูน้อยทั้งสองอยู่ไม่ไกล

ปุณณกันต์กับปัณณธรกระโดดเข้าเกาะเอวหนาทันทีที่ถึงตัวคามิน ฝาแฝดหัวเราะคิกคักตอนที่พี่ครามก้มลงมาหอมมาฟัดที่แก้มนิ่มๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

ปราณันต์มองภาพนั้นด้วยความอิ่มเอมใจ เขาได้แต่เฝ้าฝันว่าเขาและเด็กๆ จะได้มีคนมาดูแล มาเอาใจใส่ และวันนี้คามินก็ทำให้เขาได้เห็นว่า ฝันที่ปราณันต์หวังไว้อาจจะไม่ไกลเกินที่จะเป็นจริง

.

.

“เด็กๆ ครับ เดี๋ยวพี่ปราณกับพี่ครามจะพาไปทานสุกี้ที่ร้านใกล้ๆ ตรงนี้นะ เพราะเราต้องกลับมาที่โรงเรียนก่อนสองทุ่ม โอเคไหม” ก่อนจะออกรถ ปราณันต์จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับเจ้าหนูน้อยทั้งสองก่อน เพราะไม่อยากให้ฝาแฝดงอแง พอตอนถึงเวลาที่ต้องกลับโรงเรียน

โชคดีที่ฝาแฝดเป็นเด็กพูดง่ายและมักจะเข้าใจอะไรได้เป็นอย่างดี เด็กๆ จึงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน และสัญญาว่าจะไม่งอแง ตอนที่พี่ปราณกับพี่ครามพากลับมาส่งที่โรงเรียน

ขับรถไปได้ไม่ไกลก็ถึงร้านสุกี้ที่ปราณันต์ตั้งใจจะพาเด็กๆ มากินทดแทนมื้อที่แล้วที่ล่มไป ฝาแฝดดูตื่นเต้นยกใหญ่ที่จะได้กินของชอบ พอเข้าไปในร้านได้ก็หาที่นั่งเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองอดเอ็นดูไม่ได้

“ปุณณ์กับปัณณ์กินสุกี้ใส่อะไรดีครับ” คามินถามเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่ตอนนี้กำลังก้มมองดูเมนูอย่างขะมักเขม้น

“ปุณณ์เอาเบค่อนครับ” ปุณณกันต์น้อยตอบพร้อมกับจิ้มไปที่รูปภาพในเมนู เพื่อเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่ตัวเองเลือก

“ส่วนปัณณ์เอากุ้งครับ เอาตัวใหญ่ๆ แบบนี้ๆ” ปัณณธรเองก็ทำท่าทางไม่ต่างจากปุณณกันต์ ดูแล้วช่างน่ารักมากจริงๆ

ผู้ใหญ่ทั้งสองได้แต่ยิ้มให้กันด้วยความเอ็นดูฝาแฝดทั้งคู่ เพราะสุดท้ายเจ้าหนูก็สั่งแต่ของโปรดตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะเอาเมนูไปจิ้มดูเพื่ออะไร

“แล้วคุณปราณล่ะครับ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” คามินหันไปถามปราณันต์ แต่เจ้าตัวกลับส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยปากขออย่างอื่นแทน

“เอาตามที่เด็กๆ เลือกนั่นแหละครับ ผมกินได้หมด”

คามินพยักหน้ารับ พลางเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งอาหาร และในขณะที่รออาหารมา ปราณันต์ก็นั่งจ้องหน้าฝาแฝดที่นั่งอยู่ข้างตัวจนเอง พลางคิดทบทวนอย่างหนักหน่วงว่าจะมีทางไหนที่ทำให้เขาสามารถพาเด็กๆ กลับมาอยู่ด้วยกันแบบถาวรได้บ้าง แม้จะไม่ต้องทำงานที่คลับแล้ว แต่ก็ใช่ว่างานโปรเจ็กต์พิเศษที่บริษัทจะไม่หนักเสียเมื่อไหร่ มันก็คงมีบ้างที่ได้กลับเร็ว แต่ก็ไม่ทุกวัน ครั้นจะให้กระเตงกันไปกันมาก็คงไม่ไหว แล้วทางโรงเรียนก็คงไม่ให้ทำแบบนี้ด้วย

คนตัวเล็กเผลอถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว ทำเอาคามินอดถามขึ้นมาไม่ได้

“คิดอะไรอยู่หรอครับคุณปราณ” คามินถามขึ้นขณะที่อาหารต่างๆ ถูกนำมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว

“ผม...” ปราณันต์หยุดคิดนิดนึง ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “ที่จริง ผมอยากรับปุณณ์กับปัณณ์กลับบ้านทุกวันครับ แต่.. ถึงจะลาออกจากคลับแล้ว ก็ใช่ว่าจะเลิกงานปกติ บางวันเลิกดึก บางวันเลิกเร็ว มันก็เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ดี”

ปราณันต์พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด คิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี

ตอนนี้สมองของคามินกำลังทำงานอย่างหนัก เขากำลังหาวิธีทางเอาชนะใจปราณันต์อีกครั้ง ทำอย่างไรถึงจะได้ทั้งทำคะแนน และได้เข้าใกล้ปราณันต์ โดยการลงทุนภายในครั้งเดียว เขา... ควรทำอย่างไรดี?

.

.

.

หลังจากพาเด็กๆ ไปกินสุกี้อิ่มกันเรียบร้อยแล้ว คามินและปราณันต์ก็พาเจ้าหนูน้อยทั้งสองกลับโรงเรียน ซึ่งก่อนกลับปราณันต์ขอลองเข้าไปคุยปรึกษากับอาจารย์ประจำชั้นของเด็กแฝด เพื่อลองเชิงว่าพอจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะรับเด็กแฝดกลับบ้านเป็นบางวัน วันที่เขาเลิกงานเร็ว

“อาจารย์ครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษา ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาไหมครับ”

“ได้สิคะน้องปราณ แต่อาจจะนานไม่ได้นะคะ เพราะเดี๋ยวครูต้องพาเด็กๆ เข้าไปแปรงฟันอาบน้ำนอนแล้ว”

ปราณันต์กับอาจารย์จึงเลือกที่จะไปนั่งคุยกัยอยู่ที่มุมหนึ่งของระเบียง โดยมีคามินรับหน้าที่ดูแลเด็กแฝดทั้งสองในระหว่างนี้แทน

“คือผม จะลาออกจากไนท์คลับแล้วครับ” ปราณันต์เปิดประเด็น ที่ทำเอาอาจารย์ประจำชั้นของเด็กๆ ยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“ดีจังเลยค่ะน้องปราณ ครูว่าน้องปราณไม่ค่อยเหมาะกับงานแบบนั้นเท่าไหร่ ถ้าเด็กๆ รู้คงดีใจน่าดู”

“แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า ที่ผมลาออกจากไนท์คลับเป็นเพราะผมได้ทำงานล่วงเวลา ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์พิเศษของบริษัท อาจจะมีกลับเร็วบ้าง กลับช้าบ้าง คือคงไม่ได้กลับเร็วทุกวันน่ะครับ”

“อ่าวหรอคะ” อาจารย์ประจำชั้นเจ้าหนูทั้งสอง ถามพึมพำออกมาอย่างเสียดายแทน

“คือผมเลยอยากจะปรึกษาอาจารย์แบบนี้ครับ” ปราณันต์มองเลยไปยังเด็กแฝดที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง เล่นกับคามินที่อยู่ไม่ไกลออกไป “จะเป็นไปได้ไหมครับ ถ้าผมจะมารับฝาแฝดกลับไปนอนด้วยเป็นบางวัน ถ้าวันไหนกลับเร็ว ผมก็จะรีบมารับ แต่ถ้าวันไหนกลับช้าผมก็จะโทรมาแจ้ง แล้วให้เด็กๆ เข้านอนที่โรงเรียนได้เลย”

อาจารย์ประจำชั้นมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ฟังปราณันต์พูดจบ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนระคนเห็นใจ

“ที่จริงมันก็ได้อยู่นะคะ” ปราณันต์ยิ้มอย่างดีใจทันทีที่ได้ยินคำตอบแบบนั้น “แต่มันต้องเป็นระบบนะคะน้องปราณ” รอยยิ้มที่เคยสว่างไสวของคนตัวเล็กค่อยๆ หุบลง

“อย่างน้อยน้องปราณก็ต้องแจ้งตั้งแต่ต้นอาทิตย์ว่าวันไหนจะมารับน้อง วันไหนจะไม่มา คือต้องแจ้งล่วงหน้า แบบนั้นพอจะเป็นไปได้ไหมคะ”

ปราณันต์อึกอักทันที เพราะเขารู้ว่าเวลาเลิกงานของเขามันไม่ได้รู้ล่วงหน้านานขนาดนั้น มันขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของงานในแต่ละวันด้วย

“น่าจะยากครับอาจารย์ ผมไม่สามารถบอกวันต่อวันได้ใช่ไหมครับ” ปราณันต์พยายามต่อรอง แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่น่าจะได้ผล

“น้องปราณก็รู้ว่าโรงเรียนเรากฎระเบียบเคร่งครัดขนาดไหน” อาจารย์ประจำชั้นเด็กแฝดพูดออกมาอย่างลำบากใจ ไม่ใช่ไม่เห็นใจ แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ “เข้าใจครูใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมเข้าใจครับ” ปราณันต์จำต้องยอมรับพยักหน้า ก่อนจะทอดสายตามองไปยังแก้วตาดวงใจของเขาที่ตอนนี้กำลังเล่นกับคามินอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

และพอมองไปก็พบว่า คามินเองก็กำลังมองมาทางปราณันต์อยู่เช่นกัน สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยเหมือนตั้งคำถามว่าทุกอย่างโอเคไหม ปราณันต์จึงได้แต่ส่ายศีรษะช้าๆ เป็นคำตอบแทน และถ้าให้เดาสายตากลมของเขาตอนนี้คงแสดงความผิดหวังออกมาเต็มที่ เพราะตอนนี้คามินกำลังขยับปากส่งมาบอกเขาเบาๆ


‘ไม่เป็นไรนะครับ’

.

.

.

“ปุณณ์ ปัณณ์ พี่ปราณกับพี่ครามกลับก่อนนะครับ” ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องร่ำลาฝาแฝดตัวน้อยแล้ว ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กทั้งสองจะหน้าเศร้าลงนิดหน่อย แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้พี่ชายของตัวเองคิดมาก เด็กๆ จึงแสดงออกมาว่ายังโอเค

“กลับกันเถอะครับ ปุณณ์กับปัณณ์อยู่ได้” ปุณณกันต์น้อยตอบเสียงดังฟังชัดพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มพิมพ์เดียวกับปราณันต์

“ใช่ๆ เราสองคนอยู่ได้ครับ” ปัณณธรสำทับคำพี่ชายฝาแฝดของตนเอง ก่อนจะพูดต่อ “นี่ๆ ปัณณ์นับมาแล้ว” จากนั้นเจ้าหนูน้อย ก็ยกนิ้วมือป้อมๆ ขึ้นมาชูสองนิ้ว “เหลืออีกสองวัน พี่ครามกับพี่ปราณค่อยมารับเราสองคนเนาะ”

ปราณันต์กับคามินหันมามองหน้ากัน พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูในคำพูดของเจ้าแฝดคนน้อง ช่างรู้ดีอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้

“โอเคครับ อีกสองวัน” คามินเองก็ตอบรับ พร้อมกับยกนิ้วมือขึ้นมาสองนิ้ว เลียนแบบเจ้าแฝดคนเล็ก “พี่ครามกับพี่ปราณจะมารับฝาแฝดนะ”

พอเจ้าหนูน้อยทั้งสองได้ยินคามินพูดแบบนั้นก็ยิ้มร่าออกมาอย่างสดใส และประโยคถัดมาก็ยิ่งทำให้ปุณณกันต์กับปัณณธรคึกคักหนักกว่าเดิม

“แล้วถ้าอาทิตย์นี้ พี่ครามไม่ติดงานอะไร เราสี่คนไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรหันมามองหน้ากันและยิ้มให้กันอย่างยินดี แต่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องได้รับการอนุญาตจากพี่ชายคนโตก่อนถึงจะไปได้ ตากลมๆ แป๋วๆ ทั้งสองคู่จึงหันไปมองปราณันต์อย่างคาดหวัง

ซึ่งเวลานี้พี่ชายคนโตของครอบครัว กำลังจ้องไปที่คามินอย่างอ่อนอกอ่อนใจเช่นกัน

“คุณครามเอาอีกแล้วนะครับ ตามใจเด็กๆ อีกแล้ว” ปราณันต์บ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่าบ่นไปยังไง คามินก็คงมีข้ออ้างมากมายที่จะพาฝาแฝดไปอยู่ดี

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ คุณปราณลืมไปแล้วหรอ ว่าเสาร์นี้เป็นวันสำคัญของผมนะ” ปราณันต์นิ่งไปนิดนึง แต่พอนึกขึ้นได้ แก้มขาวนวลทั้งสองข้างก็ขึ้นสีแดงระเรื่อทันที

คามินอมยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของปราณันต์ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งว่าปราณันต์จะยอมให้เด็กๆ ไปเที่ยวเสาร์นี้รึป่าว

“ว่าไงครับคุณปราณ ตกลงว่าอนุญาตไหม” คามินถามเสียงกรุ้มกริ่ม จนปราณันต์ต้องเสกระแอมกระไอแก้เขินอะไรไปเรื่อย ก่อนตอบรับเสียงเบาให้เจ้าหนูน้อยทั้งสองที่กำลังรอคำตอบอยู่

“ไปก็ได้ครับ แต่ห้ามขอนู่นขอนี่พี่ครามเพิ่มนะ โอเคไหม” ปราณันต์แกล้งตั้งใจมองไปที่เด็กๆ โดยตรง พยายามเลี่ยงที่จะสบตาคามินสุดๆ

“โอเคครับ ปุณณ์กับปัณณ์จะเชื่อฟังพี่ครามกับพี่ปราณอย่างดีเลย” ปุณณกันต์น้อยรับปากรับคำอย่างดี จนปราณันต์อดเอื้อมมือไปโยกศีรษะกลมด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ดีมากครับ” ปราณันต์ลดตัวลงนั่งยองๆ แล้วเกี่ยวเอวฝาแฝดทั้งสองเข้าหาตัว ก่อนจะโอบกอดเด็กทั้งสองไว้เบาๆ “พี่กลับแล้วนะครับ ละเดี๋ยววันศุกร์เราเจอกัน”

พอพูดจบปราณันต์ก็กดจมูกเบาๆ ลงบนขมับของเจ้าหนูทั้งสอง พลางโอบรัดฝาแฝดแนบอกราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นทั้งหมดที่มีให้เด็กๆ ก่อนจะปล่อยเจ้าหนูทั้งสองออก ให้คามินเข้ามากอดบ้าง

“วันศุกร์พี่ครามจะมารับนะครับ ตั้งใจเรียนนะเด็กๆ” คามินเองก็กดจมูกลงบนแก้มนิ่มทั้งสองของเจ้าตัวน้อยเบาๆ เช่นกัน

ฝาแฝดยิ้มร่าอย่างมีความสุข ไม่ค่อยเศร้าเหมือนตอนแรก แค่พอได้รู้ว่าวันศุกร์จะเจอกับพี่ครามและพี่ปราณ ช่วงเวลาที่เหลือก็ไม่ได้ยาวนานเกินไปสักเท่าไหร่ตามความคิดของเจ้าหนูทั้งสอง

ฝาแฝดค่อยๆ ผละออกจากผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วเดินไปหาครูประจำชั้นที่รออยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันมาโบกไม่โบกมือลาพี่ชายทั้งสองอีกครั้ง

“บ๊ายบายครับพี่คราม บ๊ายบายครับพี่ปราณ”

“บ๊ายบายครับ ไว้เจอกันนะครับ”

เด็กๆ ส่งยิ้มน่ารักกลับมาให้คนทั้งสองอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินออกไปกับครูประจำชั้น ปราณันต์เองก็มองตามเด็กทั้งสองไปจนลับสาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก

“เฮ้อ”

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีนิ้วมือใหญ่ก็เอื้อมมาจิ้มระหว่างคิ้วคนตัวเล็ก จนปราณันต์ถึงกับผงะถอยหลังไปเบาๆ ด้วยความตกใจ

“คิ้วขมวดอีกแล้ว” พอปราณันต์เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับสายตาที่อบอุ่นของคามินกำลังมองมาที่ตน “ไม่คิดมากสิครับ เราค่อยๆ คิดแก้ปัญหาไป คุณปราณยังมีผมนะ”

พอได้ยินถ้อยคำอ่อนโยนจากคามิน ยิ่งทำให้ปราณันต์ซาบซึ้ง แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ คนตัวเล็กกว่าก็อดยอมรับไม่ได้ว่า มันช่างน่าเขินอายเหลือเกิน

“ขอบคุณคุณมากนะครับสำหรับทุกเรื่องเลย” ปราณันต์อ้อมแอ้มตอบ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคามินได้เป็นอย่างดี

“ผมยินดี ยินดีทำเพื่อคุณปราณทุกอย่างแหละครับ” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ใกล้หูปราณันต์ “และถ้าไม่หวังสูงเกินไป คำตอบที่ผมจะได้วันเสาร์นี้คงเป็นข่าวดีนะ”

ยิ่งคามินพูดปราณันต์ยิ่งก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย ก่อนจะผลักคามินออกเบาๆ

“ไม่เอา ไม่พูดกับคุณแล้ว” คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ ก่อนจะชวนคามินกลับ “กลับกันเถอะครับ ดึกแล้ว”

“ไปหาอะไรเบาๆ กินกันก่อนกลับดีไหมครับ เมื่อกี้คุณปราณกินไปนิดเดียวเอง” คามินชวน ปราณันต์นิ่งไป จนคนตัวโตจับสังเกตได้ว่าคนตัวเล็กกว่ากำลังจะปฏิเสธ

“ห้ามปฏิเสธครับ ผมไม่ยอมให้คุณปราณปล่อยให้ตัวเองท้องว่างหรอก” ปราณันต์เองก็จนใจ ไม่รู้จะพูดยังไงเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ยอมให้คามินพาไปกินมื้อดึกก่อนกลับบ้าน

“ก็ได้ครับ แต่ขอเป็นพวกชาหรือโกโก้ร้อนๆ พอนะครับ ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

คามินยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างชอบใจที่ปราณันต์ไม่ปฏิเสธ “โอเคครับ”

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/12/63 [11th Lies: แผนการขั้นถัดไป]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 15-12-2020 22:41:16
(อ่านต่อจากด้านบน)


“คุณยังไม่หายเครียดเรื่องเด็กๆ อีกหรอครับ” พอหาร้านนั่งทานได้ คามินก็เริ่มเปิดประเด็นเรื่องที่ปราณันต์คิดไม่ตกอยู่ทันที

ปราณันต์ถอนหายใจก่อนตอบคามินเสียงเศร้า “ผมอยากรับเด็กๆ กลับมาดูแลเอง พวกแกก็โตขึ้นทุกวัน ถึงฝาแฝดจะไม่เคยงอแงแต่ผมรู้ว่าลึกๆ แกก็คงอยากให้ผมพามาอยู่ใกล้ๆ” ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ อีกประโยค ซึ่งคามินก็ได้ยินอยู่ดี “ทั้งที่ได้เปลี่ยนงานแล้วเชียว”

“แล้วทางครูประจำชั้นเด็กๆ ว่าไงล่ะครับ”

“ทางอาจารย์เขาก็บอกมาว่าถ้าจะรับน้องกลับมาบางวันก็ทำได้ แต่ผมต้องแจ้งล่วงหน้าหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งคุณก็รู้ว่างานในทีมโปรเจ็กต์มันไม่แน่นอน ผมไม่สามารถไปกะเกณฑ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเลิกเร็วหรือเลิกช้า แล้วจะไปรับหรือไม่ไปรับเด็กแฝดวันไหนได้บ้าง”

ปราณันต์ร่ายยาว ราวกับอยากจะระบายความอึดอัดใจนี้ให้ใครสักคนฟัง

“โรงเรียนนี้เข้มงวดขนาดนี้เลยหรอครับ”

“ใช่ครับ อันที่จริงที่ผมเลือกโรงเรียนนี้ให้ปุณณ์กับปัณณ์อยู่ เพราะระเบียบวินัยเขาดีแบบนี้นี่แหละครับ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นบ่วงมาผูกมัดตัวเองทีหลังแบบนี้”

ใบหน้าคมคายนิ่งไปอย่างกับกำลังใช้ความคิด เขาควรจะทำอย่างไรดี จะมีวิธีทางไหน ที่เขาพอจะช่วยปราณันต์ได้บ้าง

ปราณันต์เองก็นั่งทานโกโก้ไปเงียบๆ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ อีกครั้ง

“ถ้ามีคนคอยผลัดเวรช่วยผมดูแลเด็กๆ ได้ก็คงจะดี เฮ้อ”

และแน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่คามินได้ยิน และนั่นก็ทำให้เขาคิดแผนการบางอย่างออกอย่างรวดเร็ว

.

.

.

“ขอบคุณมากนะครับสำหรับวันนี้ คุณทำให้ผมหายคิดถึงเด็กๆ ได้มากขึ้นเยอะเลย” ปราณันต์กล่าวยิ้มๆ เล่นเอาคนเห็นรอยยิ้มแบบคามินอดใจกระตุกไม่ได้

“ยินดีครับ การได้อยู่ใกล้คุณ ได้เจอฝาแฝด ก็เป็นความต้องการของผมเหมือนกัน” และก็เช่นกัน ประโยคนี้ก็ทำเอาปราณันต์ใจกระตุกได้ไม่ต่างจากคามินเลย

“ถ้างั้นผมเข้าห้องนะครับ คุณขับรถกลับบ้านดีๆ ล่ะ” ปราณันต์บอกลา

“โอเคครับ งั้นพรุ่งนี้ผมมารับนะ” คามินเองก็บอกลา พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มนิ่มของปราณันต์เบาๆ

“ครับ งั้นไว้เจอกันนะ”

ปราณันต์ก็ยอมโอนอ่อนลงให้คามินมากขึ้น เพราะคนตัวเล็กเองก็หลับตาพริ้มเอียงหน้าซบลงบนมือใหญ่อย่างออดอ้อน ทำเอาอารมณ์ของคามินลุกฮือ ขนาดนี่เป็นแค่ท่าทางเบาๆ แต่กลับกระตุ้นสัญชาตญาณของคามินได้รุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

“ผมกลับนะ” คามินบอกลาอย่างอ้อยอิ่ง สุดท้ายปราณันต์ก็ต้องยอมผละออกจากมืออุ่นคู่นั้น ก่อนที่ตัวเองจะรู้สึกทนไม่ไหวเหมือนกัน

ต่างคนต่างอาลัยอาวรณ์กันพักใหญ่ จนสุดท้ายปราณันต์ก็ยอมเข้าห้องไปก่อน ปล่อยให้คามินมองจนลับตา และพอเห็นว่าประตูห้องงับลง คามินก็เดินจากมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากแทน

.

.

.

และทันทีที่คามินกลับมาถึงคอนโดเขาก็ต่อสายหาเลขาคนสนิททันที หลังจากรอสายไม่นาน แทนคุณก็กดรับ ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม

“แทนคุณ”

(ครับบอส)

“ฉันมีอะไรจะให้นายจัดการให้หน่อย”

คามินพูดกับแทนคุณเป็นการเป็นงาน จนแทนคุณเองอดแปลกใจไม่ได้ บอสจะให้ทำอะไร เร่งด่วนขนาดไหน ทำไมถึงโทรมาเวลานี้

(ได้ครับ)

“เพราะฉะนั้น สิ่งที่นายต้องไปทำคือ...”

.

.

.

เช้าวันต่อมาคามินไปรับปราณันต์ที่อพาร์ทเม้นท์ตามปกติ ซึ่งตอนเย็นทั้งสองนัดแนะกันว่าคามินจะมารับปราณันต์ไปที่ไนท์คลับ เพื่อไปจัดการเรื่องลาออกให้เรียบร้อย เพื่อที่ว่าอาทิตย์หน้าจะได้เริ่มงานที่ทีมใหม่อย่างเป็นทางการเสียที

“คุณปราณครับ เย็นนี้หลังจากจัดการธุระเรื่องที่คลับเรียบร้อยแล้ว ผมมีอะไรจะคุยกับคุณปราณหน่อย คุณสะดวกไหม” หลังจากที่จอดรถที่ออฟฟิศเรียบร้อย ก่อนที่ปราณันต์จะลงจากรถ คามินจึงได้พูดธุระของตัวเองขึ้นมา

"อืม... ผมก็ไม่น่าจะติดอะไรนะครับ"

ปราณันต์เองก็ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อย ทำไมจู่ๆ คามินถึงได้ดูคร่ำเคร่งราวกับว่าเรื่องที่อีกฝ่ายจะพูดนั้น น่าจะเป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อย “ว่าแต่เรื่องที่คุณจะคุยด้วยมันซีเรียสมากรึป่าวครับ ที่จริงคุณจะคุยตอนนี้เลยก็ได้นะ อีกตั้งพักใหญ่กว่าจะเข้างาน”

ปราณันต์ตัดสินใจถามออกไป เอาตามจริงก็ยอมรับว่ากังวลไม่น้อย เขาเองก็รู้สึกค้างๆ คาๆ คามินพูดมาขนาดนี้ครั้นจะให้ปราณันต์เก็บไว้ไปรอฟังตอนเย็น ก็เกรงว่าจะไม่มีสมาธิได้ทำอะไรกันพอดี

“งั้นผมขอเกริ่นไว้ก่อนแล้วกัน” คามินตัดสินใจพูดขึ้นในที่สุด เรื่องที่เขาให้แทนคุณไปจัดการ เพิ่งเสร็จเรียบร้อยเมื่อเช้า วันนี้เลยตั้งใจว่าจะมาบอกให้ปราณันต์รู้ เอาตามตรงคือสิ่งที่คามินต้องการจากปราณันต์คือการตกลงเท่านั้น ไม่มีคำว่าปฎิเสธ แต่จะทำอย่างไรให้ปราณันต์ไม่ปฏิเสธนี่สิ แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่คามินก็เตรียมการทุกอย่างไว้แล้วเช่นกัน

“ผมคิดว่าผมอยากจะช่วยคุณดูแลฝาแฝดครับ” ปราณันต์ดูแปลกใจเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคามินพูดจบ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม เขาพยายามจะตีความหมายของประโยคที่คามินพูด แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“คุณหมายความว่ายังไงครับ ทุกวันนี้คุณก็ช่วยดูแลเด็กๆ อยู่แล้วนี่ครับ ผมไม่เข้าใจที่คุณจะสื่อ”

“คืออย่างนี้นะคุณปราณ” คามินหันไปเผชิญหน้าคนตรงข้าม พลางพูดเสียงนิ่ง เพื่อแสดงออกว่าเขาจริงจัง “ผมมาคิดๆ ดูเรื่องที่คุณพูดเมื่อคืน ที่คุณเปรยๆ ว่าคุณอยากรับปุณณ์กับปัณณ์กลับบ้านทุกวัน แต่มันทำไม่ได้เพราะติดตรงที่บางวันคุณก็มีงานน่ะ ผมมาคิดดูแล้ว ผมว่าผมน่าจะพอช่วยคุณได้”

คามินเลียบๆ เคียงๆ ตะล่อม เขารู้ว่าเดี๋ยวถ้าปราณันต์เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จะต้องไม่ยอมรับความช่วยเหลือแน่ๆ ดังนั้น เขาต้องทำให้ปราณันต์คล้อยตามด้วยเหตุผลก่อน ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังเลยว่าปราณันต์จะยอมฟัง

และสิ่งที่คามินคิดไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ได้ครับ” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงแข็งทันที “ผมจะไม่ยอมรบกวนคุณอีกเด็ดขาด แค่นี้เราสามคนพี่น้องก็พึ่งพาคุณมากพอแล้ว อย่าให้มันมากไปกว่านี้เลยนะครับคุณคราม”

“โถ่ คุณปราณ ผมก็บอกแล้วไงว่าผมหวังผล ผมทำไปเพราะผมอยากเอาชนะใจคุณ แล้วผมก็เต็มใจที่จะดูแลคุณและเด็กๆ จริงๆ นะครับ”

คามินแสร้งขอร้องเสียงเศร้าแต่ปราณันต์ก็คงไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำกลับยังยกเหตุผลนั่นนี่มาอ้างไม่เลิกอีก

“คุณจะดูแลเด็กๆ ได้ยังไง คุณจะมาอยู่กับพวกแกให้ ตอนผมทำงานล่วงเวลาอยู่แบบนี้หรอครับ” ปราณันต์ร่ายยาวอย่างหยุดไม่อยู่ “แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าผมจะกลับกี่โมง จะดึกแค่ไหน คุณจะกะเวลาได้ยังไง จะให้ผมรบกวนให้คุณมาเฝ้าเด็กๆ จนต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”

“คุณปราณครับ ใจเย็นๆ นะ” คามินจับไหล่ทั้งสองข้างของปราณันต์ไว้นิ่ง ก่อนที่ตาคมจะสบเข้าไปในดวงตากลมโตที่ตอนนี้กำลังสับสนวุ่นวายเหลือเกิน “ฟังผมก่อน ผมกำลังจะบอกว่าผมมีทางออกยังไง”

ปราณันต์นิ่งไป เขาเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ประกายตาที่อบอุ่นและนุ่มลึกคู่นั้นสามารถทำให้เขาสงบลงได้อย่างประหลาด

“แล้วคุณจะทำยังไง บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าผมไม่ยอมให้คุณมาลำบากเพราะเราสามคนพี่น้องแน่ๆ”

เจ้าของใบหน้าหวานที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ แต่บทจะดื้อตาใสขึ้นมา คามินบอกได้คำเดียวว่าเอาเรื่องไม่น้อยเหมือนกัน

“ผมจะย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับคุณครับ” พอคามินพูดจบ ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความตกใจให้ปราณันต์ไม่น้อย เพราะตอนนี้ปราณันต์ถึงกับนิ่งค้างไปเลย

“คุณว่าไงนะครับ” ปราณันต์ถามทวนซ้ำ ราวกับว่าอยากจะแน่ใจ

“ผมบอกว่า ผมจะย้ายอพาร์ทเม้นท์ไปอยู่ที่เดียวกับพวกคุณครับ ผมโทรไปหาเจ้าของอพาร์ทเม้นท์มาแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่แน่ใจเรื่องห้องว่าง แต่จะลองดูให้ ตอนนี้ผมก็เลยทำจองไว้ แล้วมาปรึกษาคุณ ถ้าคุณปราณโอเค ผมก็จะได้ให้เจ้าของเขาหาห้องให้ผมให้ได้ แบบนี้ถ้าผมจะต้องช่วยดูแลฝาแฝดแทนคุณ ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถูกไหมครับ”

คามินสรุปให้อีกฝ่ายฟังยาวเหยียด ปราณันต์ที่ดูเหมือนกับว่าตอนนี้สติหลุดไปแล้ว ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำไมคามินถึงได้ตัดสินใจปุบปับแบบนี้

“ทำไม...” ถ้อยคำที่ปราณันต์อยากถามมีมากมาย แต่ดูเหมือนกับว่าเขาจะพูดไม่ออกเลยสักประโยค “ทำไมถึงทำแบบนี้ คุณไม่เห็นต้องพยายามมากขนาดนี้เลย ผมรับไม่ไหวหรอก มันรบกวนคุณมากเกินไป”

“คุณปราณ...” คามินครางเสียงอ่อย เมื่อได้ยินความเด็ดขาดในน้ำเสียงของปราณันต์ น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วยังไงก็เหมือนว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาสักนิด คามินเลยจำต้องเปลี่ยนท่าที ให้ดูประนีประนอมมากขึ้น เพราะเขารู้ดีว่าครั้นจะบังคับให้ปราณันต์รับข้อเสนอที่เขายื่นให้ในคราวเดียวนั้น ย่อมไม่มีทางเป็นได้หรอก

คนตัวโตลอบถอนหายใจเบาๆ ขนาดคุยธุรกิจกับผู้บริหารระดับโลกยังไม่เหนื่อยใจเท่ากับคุยกับเด็กคนนี้เลย เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องยอมทำอะไรมากมายขนาดนี้ คนที่เต็มไปด้วยอำนาจและบารมีแบบเขา ทำไมจะต้องมาคอยเอาใจเด็กที่เป็นแค่พนักงานในบริษัทขนาดนี้ด้วย

แต่ก็นั่นแหละ คามินก็พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาแค่อยากจะเอาชนะไอ้เพื่อนตัวแสบของเขาเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้หรอก ... หวังว่าแบบนั้นนะ

“เอางี้ดีไหมครับ คุณปราณลองเก็บไปคิดก่อนดีไหม แล้วเดี๋ยวเย็นนี้ หลังจากเสร็จธุระที่คลับ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที ผมอยากให้คุณได้ลองเอาไปคิดทบทวนดูก่อน ผมหวังดีกับคุณ กับเด็กๆ จริงๆ นะ อย่าปฏิเสธผมทันทีแบบนี้เลย... นะ ... ได้ไหมครับ”

น้ำเสียงออดอ้อนถูกส่งมาจากปากหยัก ทุกกลเม็ดและความเจ้าเล่ห์ที่คามินมี ถูกงัดเอาออกมาใช้แทบไม่มีเหลือ และแน่นอนว่าปราณันต์ได้เจอสิ่งเหล่านี้กลับไป ก็ใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน

“ก็ได้ครับ” คนตัวเล็กอ้อมแอ้มรับปาก เพราะไม่อยากเห็นคามินเสียกำลังใจ ด้วยเพราะอุตส่าห์หวังดีแต่ความจริงคือปราณันต์ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะต้องหาทางปฎิเสธคามินให้จงได้ ยังไงคราวนี้เขาก็ไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด

ปราณันต์เลือกที่ถอยหลังหนึ่งก้าวตอนนี้เพื่อไปตั้งหลัก หาถ้อยคำบอกปัดที่นุ่มนวลและไม่กระทบใจคามินมากที่สุด แล้วเย็นนี้ค่อยให้คำตอบกับคามินอย่างจริงจัง

“ไว้เย็นนี้เราจะคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง แต่ผมบอกคุณไว้ก่อนนะว่าถ้าผมตัดสินใจแล้ว คุณต้องยอมรับการตัดสินใจของผม แบบนี้โอเคไหมครับ”

คามินยิ้มร่า เขามั่นใจเหลือเกินว่าปราณันต์จะไม่ปฏิเสธเขา ก็บอกแล้วยังไงล่ะ ว่าเขาเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว

“โอเคครับ ตกลง ขอแค่คุณปราณจะยอมเอาเก็บไปคิด แค่นี้ผมก็ดีใจมากๆ แล้ว"

“ก็ได้ครับ งั้นเย็นนี้เลิกงานเจอกันนะครับ” คนตัวเล็กบอกลาก่อนจะที่ขาเรียวจะก้าวลงไปจากรถ พร้อมๆ กับที่สายตาคมของคามิน มองตามร่างบางที่เดินไปจนสุดทางพลางคิดในใจอย่างถือดี


'ยังไง คุณก็ไม่มีทางปฏิเสธผมได้หรอกปราณันต์'

.

.

.

ตลอดทั้งวันปราณันต์เอาแต่เก็บเรื่องที่คามินพูดมาครุ่นคิด จนแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน กันต์กวีแอบสังเกตความผิดปกติของปราณันต์เงียบๆ แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเรื่องราวจากเหตุการณ์คราวก่อน ยังทำให้เขาและปราณันต์ยังเข้าหน้ากันไม่ติดสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความไม่สบายใจที่เห็นเพื่อนร่วมงานดูไม่อยู่กับร่องกับรอย สุดท้ายกันต์กวีจึงเลือกบอกเรื่องนี้ให้นทนัชรู้ จะได้ลองไปคุยกับปราณันต์ เผื่อจะมีอะไรให้เขาทั้งสองคนช่วยได้

“พี่นทครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” แล้วกันต์กวีก็อาศัยจังหวะที่ปราณันต์เดินไปเข้าห้องน้ำ แอบมาหานทนัชที่โต๊ะ เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องปราณันต์

“มีอะไรหรอกวี” นทนัชถามขึ้นด้วยความกังวลเล็กๆ เพราะโดยปกติแล้ว กันต์กวีเป็นคนไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ หรือถ้ามีก็ไม่ค่อยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เที่ยวนี้กลับไม่ใช่ แล้วเรื่องอะไรกันที่ทำให้คนสงบนิ่งอย่างกันต์กวีร้อนรนได้ขนาดนี้

...ซึ่งก็คง หนีไม่พ้นเรื่องปราณันต์

“เรื่องปราณน่ะครับ”

นั่น! ผิดปากที่ไหน ไม่ใช่นทนัชไม่รู้ว่ากันต์กวีคิดยังไงกับปราณันต์ แต่หัวหน้าทีมร่างเล็กเพียงแค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอที่จะเข้าไปสอดรู้ อีกอย่างการทำงานในทีมก็ไม่ได้เสียหาย เธอก็เลยปล่อยเลยตามเลย ให้เป็นเรื่องของคนสองคนคุยกันเองจะดีกว่า แต่ตอนนี้กันต์กวีเลือกที่จะเอ่ยปากขอให้เธอช่วยแล้ว ท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่พอตัว

“วันนี้ผมรู้สึกเหมือนปราณไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเลย พี่พอจะรู้รึป่าวครับ ว่าปราณเขาเป็นอะไร”

“นายก็รู้นิสัยเด็กนั่นดี” นทนัชพูดยิ้มๆ “ถ้าเจ้าตัวแสบนั่นไม่คิดจะเล่า ต่อให้นายง้างปากให้ตาย ปราณก็ไม่มีทางพูดหรอก อย่าห่วงไปเลย เชื่อพี่เถอะ ถ้ามันเหนือบ่ากว่าแรง ปราณก็คงมาบอกพวกเราเองแหละ ยังไงเราก็ทำงานด้วยกัน”

นทนัชพยายามปลอบกันต์กวีไม่ให้คิดอะไรมาก คนแบบปราณันต์หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะมาเล่าความทุกข์ใจให้ใครฟัง ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ เด็กนั่นจะไม่ยอมคายออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“แต่พักนี้ปราณดูไม่ปกติพี่ก็รู้” นทนัชจับสังเกตความเข้มของน้ำเสียงกันต์กวีได้ ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะรู้ว่าเจ้าของคำพูดหงุดหงิดไม่น้อยกับประโยคเมื่อกี้

“แล้วปราณผิดปกติยังไงล่ะ” นทนัชยังคงถามอย่างใจเย็น เพื่อรอดูทีท่าและคำตอบของกันต์กวี ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มเหนือเริ่มจะควบคุมอารมณ์ที่คุกรุ่นของตัวเองแทบไม่ได้แล้ว

“ผมเพิ่งไปเจอมา เหมือนปราณกำลังจะมีคนมาจีบ ซึ่งผมว่ามันไม่โอเค” นี่สินะ เหตุผลที่แท้จริง นทนัชลอบส่ายศีรษะเบาๆ คิดอะไรไว้แล้วไม่มีผิด

“แล้วยังไงล่ะ ปราณก็ไม่เด็กแล้วนะ การที่เขาจะมีคนเข้ามาจีบบ้างมันจะแปลกตรงไหน นายไปมีสิทธิ์อะไรไปไม่พอใจล่ะกวี” นทนัชสวนกลับเล่นเอากันต์กวีจุกไปเหมือนกัน

“แต่ประเด็นคือ ไอ้หมอนั่นมันดูไม่น่าไว้วางใจสักนิดเลยนะพี่ เราจะปล่อยให้ปราณไปคบกับคนแบบนั้นหรอครับ”

นทนัชค่อยๆ หันมามองหน้ากันต์กวีด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเอ่ยปรามด้วยท่าทีซีเรียส

“กวี... นายกำลังล้ำเส้นนะ” เพียงแค่ประโยคเดียวจากหัวหน้าทีมก็ทำเอาหนุ่มเหนือชะงักไปเหมือนกัน "นายไม่ได้เป็นอะไรกับปราณนะ นายเป็นแค่ ‘เพื่อนร่วมงาน’ เท่านั้น เพื่อนร่วมงานเหมือนกับพี่ เหมือนกับคนอื่น เหมือนกับทุกๆ คนในบริษัท เพราะฉะนั้นการที่ปราณจะไปคุยกับใคร ในฐานะอะไร ทั้งพี่และนาย เราสองคนไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่าม”

กันต์กวีหน้าเสีย เมื่อเจอความเป็นจริงของคำพูดของนทนัชตีแสกหน้า

“โอเค นายเป็นห่วงปราณได้ นายตักเตือนได้ แต่มันก็มีเส้นบางๆ ขวางไว้อยู่ และนายก็ไม่มีสิทธิ์ข้ามเส้นนั้น ไป ทุกอย่างอยู่ที่ปราณ นายพูดมันไปแล้ว เขาจะฟังหรือไม่ฟังมันสิทธิ์ของเขา ชีวิตเขาๆ เลือกเอง คนที่จะมาอยู่ข้างๆ เขา เขาเลือกเอง พี่กับนาย เราไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายโอเคไหม”

นทนัชร่ายยาว ทำเอากันต์กวีทรุดลงนั่ง เมื่อพบว่าสิ่งที่นทนัชพูดเป็นความจริงทุกประการ

“เอาเป็นว่าพี่จะพูดกับปราณให้อีกแรงแล้วกัน แต่เขาจะฟังหรือไม่ฟัง บอกหรือไม่บอกก็เรื่องของเขานะ พี่ไม่อยากไปรุกล้ำเรื่องส่วนตัวของปราณันต์มากเกินไป”

ซึ่งพอนทนัชพูดทุกอย่างจบก็ลุกออกไป “พี่ไปประชุมก่อนนะ” สุดท้ายทุกคนก็ทิ้งให้กันต์กวีนั่งหมดแรงอยู่ที่โต๊ะทำงานเพียงลำพังคนเดียว

.

.

.

ทางด้านปราณันต์ ขณะเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็กำลังจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน แต่โทรศัพท์มือถือกลับมีเสียงสายเรียกเข้าดังขึ้นเสียก่อน


Rrrr


และเมื่อสายตากลมเหลือบไปเห็นเบอร์ของสายโทรเข้า ก็ทำให้ปากอิ่มยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ

“ไอ้วิน!” ปราณันต์รับสายด้วยความยินดี อย่างกับเพื่อนสนิทจะรู้ใจว่าตอนนี้เขากำลังอยากคุยด้วยอยู่พอดี

(เออ ฉันเอง ทำไมต้องโวยวายอะไรขนาดนั้นวะ) อนาวินรับคำด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ หลังจากได้ยินปราณันต์ตะโกนเรียกชื่อเขาตอนรับสายด้วยเสียงดังลั่น

“โทรมาเหมือนรู้ใจ มีเรื่องจะปรึกษาพอดีเลยว่ะ” ปราณันต์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ปัญหาที่เขาเครียดมาตั้งแต่เช้า ดูเหมือนจะมีคนมาช่วยแบ่งเบาแล้ว

(ฮ่าๆ ได้ยินเสียงเป็นต้องปรึกษา พักนี้นายปัญหาเยอะจังวะ ทำไมพอมีคนมาจีบแล้ว หัวใจมันมีเรื่องให้คิดเยอะขึ้นหรือไงกัน ฮ่าๆ)

อนาวินแซวไปหัวเราะไปไม่หยุด ทำเอาคนปลายสายอดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน เพราะมาคิดๆ ดูแล้ว พักนี้เขาก็เป็นแบบอนาวินว่าจริงๆ มีเรื่องให้คิดวุ่นวายใจเต็มไปหมด ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มาจากผู้ชายคนที่มาจีบจริงๆ เสียด้วย

“พูดมากน่า” ปราณันต์กระแอมกระไอแก้เขินไปเรื่อย ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตกลงนายจะฟังปัญหาที่ฉันจะปรึกษาได้รึยังเนี่ย”

(ฮ่าๆ เอ้าๆ จะเล่าอะไรก็ว่ามา) อนาวินรับฟังปราณันต์ที่อยู่ปลายสายเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง มีปฎิกริยาโต้กลับบ้างนิดหน่อย เพื่อแสดงออกให้เพื่อนได้รู้ว่าตนกำลังตั้งใจฟังอยู่ ซึ่งเรื่องหลักๆ ที่ปราณันต์เล่าก็ไม่มีอะไรมาก

คนตัวเล็กปรึกษาเพื่อนสนิทว่าจะปฎิเสธคามินอย่างไรดี เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้คนที่กำลังมาจีบเพื่อนเขานั้นมีแผนจะเข้ามาดูแลฝาแฝดแทนให้ในช่วงเวลาบางวันที่ปราณันต์จะต้องกลับบ้านดึกเพื่อทำงานล่วงเวลา โดยการย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกัน ห้องติดๆ กัน แต่ดูเหมือนตัวปราณันต์เองไม่อยากจะรบกวนคามินมากขนาดนั้นเลยพยายามจะหาทางปฏิเสธ

และพอฟังปราณันต์เล่าจบ อนาวินก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจปราณันต์เลยจริงๆ ว่าทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากขนาดนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเรื่องนี้มันง่ายมาก ถ้าปราณันต์ตัดสินใจทำตามความต้องการของตัวเองจริงๆ ไปเสีย

(ไอ้ปราณ ก่อนที่ฉันจะให้คำปรึกษานาย ฉันขอถามอะไรก่อน จะได้ป่าววะ)

ปราณันต์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เขารู้ว่าอนาวินจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ ที่จะปฏิเสธคามิน บางทีมันก็น่าโมโหที่เขาสองคนสนิทกันมากเกินไป มากจนอนาวินแทบจะไม่ต้องทำอะไรมาก บางทีแค่ได้ยินเสียงเขาหายใจ ปราณันต์ยังมั่นใจได้เลยว่าอนาวินก็สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งปราณันต์เองก็ไม่รู้ว่าตกลงไอ้ความรู้ใจซึ่งกันและกันเนี่ยมันเป็นข้อดีหรือข้อเสียกันแน่

“ว่ามาสิ”

(นายไม่อยากให้ฝาแฝดกลับมาอยู่บ้านเหมือนเด็กอื่นปกติทั่วไปหรอวะ ฉันอยากรู้แค่นี้แหละ) นั่นไง ผิดจากที่ปราณันต์คิดที่ไหน อนาวินรู้จักเขาดีเกินไป เกินไปจริงๆ

“อยากสิ ทำไมฉันจะไม่อยาก แต่มัน...”

(นายจะมีแต่ทำไมวะ ในเมื่อมันก็ดีกับทุกฝ่าย น้องนายก็จะได้กลับบ้านทุกวันเหมือนเด็กทั่วไป ส่วนนายเองวันไหนกลับเร็วก็จะได้กลับมาเจอน้อง แล้วตัวคามินเองเขาก็เต็มใจจะดูแลนายแล้วก็น้องนาย ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรตรงไหนไม่ลงตัว แล้วนายจะไปปฎิเสธเขาทำไม)

อนาวินร่ายยาวเตือนสติปราณันต์ แต่ปราณันต์ก็ยังคงเป็นปราณันต์ที่ดื้อรั้นและดึงดันด้วยทิฐิของตัวเอง

“แต่ฉันกับเด็กๆ รบกวนเขาบ่อยมาก ยิ่งเขาจะมาทำแบบนี้ให้ ฉันยิ่งว่ามันมากเกินไป มันดูไม่โอเคว่ะ”

อนาวินถอนหายใจ ก่อนจะพูดซ้ำอีกรอบ (ฉันว่าฉันเพิ่งพูดไปนะว่าเขาเต็มใจ เต็มใจก็คือเต็มใจอ่ะปราณ ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนตรงไหนเลย)

“แต่...”

(ไหนว่าจะเปิดใจให้ผู้ชายคนนั้นไง) คำพูดของอนาวินทำให้ปราณันต์ชะงักกึก (ถ้านายจะเปิดใจ อันดับแรกเลยนายต้องยอมรับความช่วยเหลือจากเขาก่อน ไอ้เกรงใจน่ะฉันเข้าใจ แต่นี่เขาเสนอตัวมาหานายเอง อีกอย่างเขาทำเขาก็หวังผล เขาอยากเอาชนะใจนาย ถ้านายเลือกแล้วที่เปิดใจให้เขา นายก็ต้องให้โอกาสเขาดูแลนาย ดูแลครอบครัวนายนะ)

ปราณันต์เงียบไปทันที เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงอนาวิน

(คิดดูให้ได้ๆ ไอ้เหมียว ว่าที่นายจะปฏิเสธเขาเนี่ย มันเพราะนายเกรงใจเขาจริงๆ หรือมันเป็นเพราะนายไม่อยากให้เขามองว่านายไม่มีศักดิ์ศรีกันแน่)

ริมฝีปากอิ่มเม้นเป็นเส้นตรงทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดแบบนั้น อนาวินไม่ใช่แค่รู้จักนิสัยใจคอเขา แต่แม้กระทั่งความคิด อนาวินก็มองมันขาดทั้งหมด

(ที่เหลือนายก็ไปตัดสินใจเอาเอง ถ้านายอยากให้ฝาแฝดและตัวนายเองมีความสุข นายก็แค่รับข้อเสนอของคุณคามินเขาไป แต่ถ้านายมองว่าศักดิ์ศรีของนายเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าก็ปฏิเสธเขาซะ ถ้อยคำปฏิเสธมีเยอะแยะ ฉันรู้ว่านายหาคำดีๆ มาบอกปัดเขาได้ ไม่ยากหรอก)

“นายนี่มัน...” ปราณันต์กลืนคำด่าทั้งหมดลงคอ เพราะไม่รู้จะพูดยังไง ในเมื่อสิ่งที่อนาวินบอกเป็นความจริงทุกอย่าง

(ตัดสินใจได้แล้วใช่ป้ะ) เพื่อนสนิทร่างเล็กถามกลับเสียงล้อๆ เมื่อพอจะเดาได้ว่าตอนนี้ปราณันต์ตัดสินใจไปในทางไหน

“เออ รู้แล้ว...” ปราณันต์เงียบไปก่อนจะสารภาพออกมาอย่างกัดฟัน “ไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่ให้ตาย! นายแม่งรู้ใจฉันเกินไปแล้วว่ะ”

(ฮ่าๆ ฉันใคร อนาวินนะเว่ย) เพื่อนสนิทร่างเล็กหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ที่สามารถเกลี้ยกล่อมปราณันต์ได้สำเร็จ

“เออๆ ยังไงก็ขอบใจนายมากนะที่ให้คำปรึกษาที่ดีมาตลอด”

(โน่น มีอีกคนที่รอให้นายไปขอบใจเขาอยู่ รีบไปบอกซะ แล้วก็เคลียร์กันให้เรียบร้อย)

อนาวินพูดเป็นการเป็นงาน (แล้วตกลงกันได้ยังไงก็บอกฉันด้วยล่ะ ต่อไปนี้เวลาไปหาแฝด จะได้รู้ว่าต้องไปที่อพาร์ทเม้นท์หรือที่โรงเรียน)

“ได้ๆ งั้นแค่นี้ละกัน ฉันจะไปทำงานต่อละ ขอบใจนายมากอีกที”

(โอเค ไม่ต้องขอบใจหรอก เรื่องแค่นี้เล็กน้อย) น้ำเสียงสดใสกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะกดวางสายไป

ปราณันต์ยิ้มให้โทรศัพท์น้อยๆ อนาวินช่างเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลก แถมยังโทรมาได้จังหวะสุดๆ โชคดีที่ได้คุยกับหมอนั่นก่อนที่จะไปเจอคามิน ทีนี้เขาก็ตัดสินใจทุกอย่างได้หมดแล้ว

พอคิดได้ดังนั้น มือเรียวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ พร้อมกดเข้าฟังก์ชั่นข้อความ พิมพ์อะไรอยู่ไม่นานก็กดส่งออกไปด้วยสีหน้ามีความสุข


‘คุณคามิน คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมเปลี่ยนใจมารับข้อเสนอของคุณ... แล้วไว้คุยเรื่องนี้ตอนที่เราเจอกันเย็นนี้นะครับ... ปราณันต์’

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------------------

เนี่ย เรามันแพ้ทางเค้าอะลูกกกกก เห้ออออออ สงสารน้องงง อยากให้หนีไป แต่เด่วไม่มีไรให้เขียน 555555555555

ฝากคอมเม้นท์นะคะ หรือติดแท็ก #ลวงหลอกรัก ในทวิตเตอร์ก็ได้ เอาจีงงง เรารออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนอยู่น้า 5555555 แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ ตอนหน้าจะพยายามมาไวๆ มันไม่มีเวลาแก้คำผิดแค่น้านน แต่ยังไงจะรีบให้น้า

รักทุกคนจ้าาา จ๊วบบ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/12/63 [11th Lies: แผนการขั้นถัดไป]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-12-2020 08:12:42
 :haun4: :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/12/63 [11th Lies: แผนการขั้นถัดไป]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-12-2020 20:42:56
เหอะๆๆ ...ฝันที่ปราณันต์หวังไว้อาจจะไม่ไกลเกินที่จะเป็นจริง ➡ฝันสลายเมื่อดอกฝ้ายบานน่ะสิ 55555555 ...หลงใหลได้ปลื้มจนลืมตัว หน้ามืดตามัวเพราะคำหวาน ก็คิดว่าเธอให้ความสำคัญ ก็ฝันก็เพ้อไปมากมาย.....

ขอมอบเพลงนี้ให้ปราณ มันใช่เลย 5555 ตัวประกอบ AB Normal
https://m.youtube.com/watch?v=pa88-pDII3I (https://m.youtube.com/watch?v=pa88-pDII3I)

สนุกมาก ชอบการหลอกลวงและการหลง เจ้าเด็กแฝดน่ารักเหมือนเดิม ถึงวันนั้นจะเป็นยังไงละเนี้ย หรือจะเอาความใจดีของเด็กมาง้ออีก โห่ อย่าๆ 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: เป็นกำลังใจให้นะคะ รออยู่เสมอค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...15/12/63 [11th Lies: แผนการขั้นถัดไป]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 17-12-2020 13:12:40
ไม่รู้ใครจะเสียใจก่อนกัน ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/12/63 [12th Lies: ซื้อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 21-12-2020 20:05:05
12th Lies : ซื้อใจ


มือหนาหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าไปอ่าน จากนั้นก็วางมันลงเบาๆ พลางยกยิ้มหยัน ด้วยสีหน้าของผู้ชนะ


‘คุณคามิน คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมเปลี่ยนใจมารับข้อเสนอของคุณ... แล้วไว้คุยเรื่องนี้ตอนที่เราเจอกันเย็นนี้นะครับ ปราณันต์’

.

.

.

- คืนก่อนหน้านี้ -

“แทนคุณ”

(ครับบอส)

“ฉันมีอะไรจะให้นายจัดการให้หน่อย”

คามินพูดกับแทนคุณเป็นการเป็นงาน จนแทนคุณเองอดแปลกใจไม่ได้ บอสจะให้ทำอะไร เร่งด่วนขนาดไหน ทำไมถึงโทรมาเวลานี้

(ได้ครับ)

“สิ่งที่นายต้องไปทำคือซื้อห้องพักที่ปราณันต์อยู่ในอพาร์ทเม้นท์นั้น รวมถึงห้องข้างๆ ทั้งสองห้องด้วย ติดต่อเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ให้เรียบร้อย ฉันต้องได้ทั้งสามห้องก่อนพรุ่งนี้เช้า” คามินร่ายยาวสั่งแทนคุณ

(ครับบอส)

บอดี้การ์ดคนเก่งรับคำสั่งโดยไม่ตั้งคำถามใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าเวลานั้นจะเป็นเวลาดึกมากแล้ว และการทำตามคำสั่งของคามินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่นิดเดียว

“อ้อ แล้วอีกอย่าง” ซึ่งก่อนจะวางสาย คามินก็พูดสั่งมาอีกประโยคราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

แทนคุณนิ่งเงียบเพื่อรอรับคำสั่งอย่างตั้งใจ

“อย่าให้ปราณันต์รู้เรื่องนี้เด็ดขาด สั่งเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ว่าให้ทำตามปกติ จะต้องจ่ายเท่าไหร่ก็จ่ายไป ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการเอง”

(รับทราบครับบอส) แทนคุณรับคำเสียงนิ่ง

“แค่นี้แหละแทนคุณ ไปจัดการมาให้เรียบร้อย เสร็จจากนี่ก็พักผ่อนได้เลย ตามสบาย”

พอพูดจบคามินก็วางสายไป และแม้ว่าสัญญาณโทรศัพท์ของอีกฝั่งจะหลุดไปแล้ว แต่แทนคุณก็ยังคงเอาแต่มองโทรศัพท์ในมือตัวเองไม่เลิก

เมื่อกี้บอสพูดว่าอะไรนะ ให้ไปพักผ่อนงั้นเหรอ?

บอดี้การ์ดคนสนิทยอมรับว่าเหนือความคาดหมายพอสมควร เพราะโดยปกติแล้วบอสของเขาไม่ใช่คนที่จะมาห่วงใยเรื่องกินอยู่หลับนอนสักเท่าไหร่ แต่การที่อยู่ๆ ท่านประธานใหญ่ของบริษัทกลับมีท่าทีแบบนี้มันก็ทำให้น่าแปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน

แทนคุณได้แต่อมยิ้มบางๆ เขาได้แต่หวังว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่บอสเป็นหรือทำอยู่ มันจะสามารถทำให้หัวใจที่เย็นชาดวงนั้นของบอสอบอุ่นขึ้นได้ เขาก็ยินดีที่จะสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ และทำตามความต้องการของบอสทุกทางอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น

ส่วนทางคามิน และแน่นอนว่าเมื่อจัดการตามแผนแรกเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สิ่งที่เขาต้องการประสบความสำเร็จ ทุกเรื่องจำเป็นต้องมีแผนสำรองเสมอ แผนที่ทำให้ปราณันต์ปฏิเสธเขาไม่ได้ ซึ่งคามินคิดและวางเกมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เขารู้ดีว่ามีแค่คนไม่กี่คนหรอกที่ปราณันต์จะไว้ใจและยอมเชื่อทุกอย่าง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้วล่ะ ว่าจะกล่อมให้คนๆ นั้นให้ยอมร่วมมือกับเขาได้หรือไม่ แค่นั้นเอง

ซึ่งเมื่อคิดและเตรียมคำพูดทั้งหมดได้แล้ว มือหนาก็กดค้นหาเบอร์โทรศัพท์ที่ตนต้องการ จากนั้นก็โทรออกทันที

“สวัสดีครับ คุณอนาวิน ผมคามินนะครับ” เสียงทุ้มกรอกไปตามสายทันทีที่ปลายทางกดรับ ไม้ตายของเขา ไพ่ใบสุดท้ายที่คามินยอมวางเดิมพัน

(คุณคามินงั้นหรอครับ) ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดาะลิ้นทันทีที่นึกขึ้นได้ (อ๋อ คุณคนที่จีบไอ้ปราณใช่ไหมครับ)

“ใช่ครับผมเอง เราเคยเจอกันครั้งนึงที่คลับจำได้รึป่าวครับ” คามินพยายามทวนความจำให้อนาวิน

(จำได้ครับ จำได้.. ว่าแต่คุณโทรหาผมมีอะไรรึป่าวครับ) อนาวินถามขึ้นงงๆ เพราะดูแล้วระหว่างเขากับคามินไม่น่าจะมีอะไรให้เชื่อมถึงกันได้

“พอดีผมมีเรื่องรบกวนอยากให้คุณช่วยหน่อยน่ะครับ” คามินหยุดพูดเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดออกมา

“คุณรู้แล้วใช่ไหมครับว่าคุณปราณ เอ่อ.. ผมหมายถึงปราณันต์น่ะครับ ตอนนี้เขาได้ทำงานในทีมโปรเจ็กต์พิเศษของบริษัท และก็กำลังจะลาออกจากที่คลับด้วย"

“อา... ครับ” อนาวินรับคำงงๆ จะว่าไปเขาก็รู้เรื่องที่คามินบอกหมดแล้วทุกอย่างนั่นแหละ แต่ที่เขายังไม่รู้คือจุดประสงค์ที่คนในสายโทรมาก็แค่นั้น

“และตอนนี้คุณก็คงสงสัยว่าผมโทรมาทำไม” คามินดักคอ เพราะฟังจากน้ำเสียงคนตรงข้ามก็พอเดาได้ว่าอาจจะสับสนบางอย่างอยู่หน่อยๆ

“มากเลยแหละครับ ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่ผมอยากให้คุณเข้าประเด็นดีกว่าครับ” คามินยอมรับว่าอดแปลกใจเบาๆ ไม่ได้ เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของอนาวินที่เขาได้เจอคราวที่แล้วนั้น ดูนุ่มนิ่มและไม่มีพิษมีภัย ถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเองเขาไม่มีทางเชื่อแน่ ว่าคนตัวเล็กบอบบางคนนั้นจะมีมุมแบบนี้ด้วย

ซึ่งแน่นอนว่าปราณันต์เองก็คงไม่ได้ต่างจากอนาวินเท่าไหร่นัก ภายใต้รูปร่างและหน้าตาที่สวยหวานบอบบาง อ่อนโยนนั้น กลับแฝงไว้ด้วยความซื่อตรงเด็ดเดี่ยวอย่างยากที่จะหาได้ในชายหนุ่มทั่วไปในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ ดังนั้นมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่หรอกที่สองคนนี้จะเป็นเพื่อนสนิทกัน

“คือที่ผมโทรมา เพราะอยากจะขอให้คุณช่วยพูดกล่อมคุณปราณให้หน่อยครับ” ในเมื่ออนาวินต้องการให้พูดตรงๆ งั้นคามินก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ้อมค้อมอะไรต่อไป

คามินรู้ดีว่าปราณันต์เป็นคนยังไง คนตัวเล็กนั่นหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด การที่จะยอมรับความช่วยเหลือโดยง่ายนั้น ไม่น่าจะใช่ลักษณะนิสัยของปราณันต์เท่าไหร่ ดังนั้นการที่จะให้ปราณันต์ยอมรับและเปิดใจให้เขาช่วย คงจะเหลือแค่วิธีทางเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ ให้คนที่ลูกแมวตัวน้อยไว้ใจมากที่สุดเป็นคนช่วยพูดโน้มน้าวใจ ให้ปราณันต์คนนั้นยอมใจอ่อน โดยที่คามินไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย

“ให้ผมกล่อมไอ้ปราณ กล่อมเรื่องอะไร” เสียงของอนาวินฟังดูแปร่งๆ และแหลมขึ้นนิดหน่อย ถ้าให้คามินเดา เขาคงระแวงไม่น้อย กลัวว่าคนในสายจะมีลูกไม้ เล่นไม่ซื่อกับเพื่อนสนิทของตน

“อย่าเพิ่งมองผมในแง่ไม่ดีอะไรแบบนั้นครับ” คามินใช้โทนเสียงนักธุรกิจเข้าปลอบประโลมให้อนาวินใจเย็นขึ้น “อย่างที่คุณและผมรู้ดี ว่าพอจากลาออกจากไนท์คลับแล้ว คุณปราณเองก็หวังว่าจะได้มีเวลาดูแลฝาแฝดมากขึ้น”

อนาวินเงียบและกำลังตั้งใจฟัง คามินจึงแสร้งประดิษฐ์น้ำเสียงเห็นอกเห็นใจออกมาอีกครั้งอย่างแนบเนียน

“แต่วันนี้ผมไปโรงเรียนของเด็กๆ กับคุณปราณมา ปรากฎว่ามันมีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้คุณปราณรับน้องๆ ออกมาอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะการจะรับเด็กๆ ออกมานั้นต้องแจ้งล่วงหน้าเป็นอาทิตย์” คามินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ซึ่งงานในทีมโปรเจ็กต์พิเศษ มันไม่ได้ว่าจะรู้ล่วงหน้าแบบนั้นได้ไงครับ บางวันมันก็เสร็จเร็ว บางวันมันก็ลากยาวต่อเนื่องกลับดึก นั่นเป็นเหตุผลให้คุณปราณรับเด็กแฝดออกมาอยู่ด้วยไม่ได้”

คามินแกล้งทิ้งจังหวะ ดึงความสนใจจากอนาวิน ซึ่งมันได้ผลดีมากทีเดียว เมื่อได้ยินประโยคถัดมาจากฝั่งตรงข้าม

“แล้วมันยังไง? คุณจะให้ผมกล่อมไอ้ปราณเรื่องอะไร? จะให้มันทิ้งงานในทีมโปรเจ็กต์พิเศษเพื่อมาอยู่กับฝาแฝดงั้นหรอ? ถ้าเลือกอีกอย่าง มันก็ต้องเสียอีกอย่างแน่ๆ ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณจะแก้ปัญหานี้ยังไง” อนาวินถามรัวเร็ว

“แก้ได้สิครับ คุณปราณจะไม่เสียทางไหนสักทาง เขาจะได้ทั้งงานของทีมโปรเจ็กต์และได้อยู่กับฝาแฝด ถ้ามี ‘ผม’ คอยให้ความช่วยเหลือและดูแล” คามินยังพยายามดึงประเด็น พูดกำกวมไปกำกวมมา จนอนาวินเริ่มจะหงุดหงิด

“คุณจะให้ผมทำอะไร พูดมาเลยดีกว่า”

ในที่สุด! คามินกู่ร้องอยู่ในใจ สิ่งที่เขาต้องการก็ออกมาจากปากอนาวินเสียที

“ผมจะเสนอตัวเองเป็นคนดูแลฝาแฝดช่วงที่คุณปราณไม่อยู่เองครับ ผมจะไปรับเด็กๆ พากลับมาบ้าน ทำกับข้าวให้กิน สอนการบ้าน อ่านหนังสือ พาเข้านอน ดูแลฝาแฝดเหมือนคนในครอบครัวของผม ผมยินดีจะทำทุกอย่างให้ ถ้าวันไหนคุณปราณ กลับดึกหรือเลิกงานช้า หน้าที่นี้ผมจะเป็นคนทำเองทั้งหมด”

“หา...?” ถ้าให้เดาอนาวินคงจะช็อคนิดหน่อย แต่เขาไม่มีเวลาที่จะรีรอแล้ว

“แต่ถ้าวันไหนคุณปราณเลิกงานเร็วตามปกติ หน้าที่ทุกอย่างก็กลับไปเป็นของคุณปราณตามเดิม แบบนี้มันไม่ดีกว่าหรอครับ ฝาแฝดได้กลับบ้านทุกวัน ได้มีคนดูแล ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่น ผมไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่เป็นข้อเสียเลย”

อนาวินเงียบไป แต่ผ่านไปไม่นาน คนในสายก็พูดในสิ่งที่คามินไม่คาดคิดว่าจะได้ยินออกมา

“แต่... คุณเป็นคนอื่นนะครับ ผมจะไว้ใจให้คุณดูแลฝาแฝดและไอ้ปราณได้ไง คุณไม่ใช่ญาติมัน คุณไม่ได้เป็นอะไรกับมันเลย ไม่มีใครทำอะไรแล้วไม่หวังผลหรอก ผมรู้”

และด้วยประโยคตรงๆ นั่น เลยทำให้คามินตัดสินใจจะเอาสิ่งนี้มาเป็นข้อได้เปรียบ

“ใช่ครับ ผมหวังผล” คามินได้ยินเสียง ‘เหอะ’ หลุดออกมาเบาๆ จากฝั่งตรงข้าม “ผมหวังให้คุณปราณรับรักผม และยอมคบผมเป็นแฟน”

“โอ้...” คามินยกยิ้มหยันทันทีที่ได้ยินเสียงเล็กๆ นั่นเผลอหลุดออกมา ไม่ว่าใครก็ต้องพ่ายแพ้ให้นิยายรักโรแมนติคน้ำเน่าๆ เสมอแหละ

“ก็เหมือนที่คุณอนาวินบอกแหละครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับปราณเลย ไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เป็นคนใกล้ตัว ไม่ได้เป็นแม้เพื่อนด้วยซ้ำ แต่มันมีสิ่งนึงที่จะเป็นคำตอบได้ว่าทำไมผมถึงยินดีจะทำทุกอย่าง และดูแลครอบครัวของคุณปราณให้ดีที่สุด สิ่งนั้นคือความรักครับ”

คามินรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟัง คนๆ นี้รักปราณันต์ และคนๆ นี้นี่แหละจะทำให้เขาได้ในทุกสิ่งที่เขาต้องการจากเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนั้น

“ผมรักคุณปราณ รักตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ และความรักที่ผมมีให้เค้านี่แหละจะเป็นทุกคำตอบ ว่าทำไมผมถึงยินดีที่จะดูแลฝาแฝด และทำทุกอย่างเพื่อปราณมากขนาดนั้น” คามินรุกต่อ “มันอาจจะเป็นแค่คำพูดที่พูดออกมาลอยๆ ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหน คุณต้องให้โอกาสผมพิสูจน์ตัวเองครับ”

“หมายความว่าผมต้องช่วยคุณ โดยการพูดให้ไอ้ปราณมันยอมให้คุณดูแลฝาแฝดงั้นหรอ?”

ฉลาด.. คามินยิ้มอย่างพอใจที่อนาวินดูเหมือนจะเข้าใจอะไรได้เร็วและไม่ยืดเยื้อ

“ใช่ครับ ผมอยากให้คุณช่วย” คามินแกล้งถอนหายใจ “ที่จริงถึงผมยังไม่ได้พูดผมก็รู้ ว่าคุณปราณต้องไม่ยอมตกลงแน่ๆ”

“ผมเป็นมันผมก็ไม่ตกลงหรอก แค่ฟังดูก็ดูวุ่นวายและลำบากสุดๆ” อนาวินพูดราวกับเห็นด้วยกับปราณันต์ “บ้านคุณกับบ้านมันแทบจะอยู่คนละฝั่งเลยนะ ถ้าวันไหนไอ้ปราณกลับดึก คุณไม่กลับถึงบ้านเช้าเลยหรอ เป็นใครก็เกรงใจ ไม่เแปลกหรอก”

“ก็ใช่ไงครับ ผมก็เลยหาทางออกโดยการย้ายที่อยู่ไปอยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับปราณันต์ซะเลย” คามินปล่อยหมัดเด็ดใส่คนปลายสายเขาคิดว่าหมัดนี้คงเอาชนะใจอนาวินได้ไม่มากก็น้อยแหละ

“หา? คุณว่าไงนะ คุณยอมย้ายบ้านงั้นเลยหรอ?” อนาวินถามเสียงหลง น่าจะตกใจจริง

“ครับ ผมจะย้ายเข้าไป ถ้าโชคดีได้ห้องที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับคุณปราณก็จะยิ่งสะดวกเข้าไปใหญ่ จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องไปๆ กลับๆ”

“มันต้องลงทุนขนาดนี้เลยหรอวะคุณ ขอโทษที่ต้องถามตรงๆ นะครับ” ประโยคหลังฟังดูแผ่วเบานิดหน่อย แต่ก็ยังคงมีความอยากรู้ในน้ำเสียงอยู่ดี

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมชอบคุณปราณ และผมก็ถูกชะตากับฝาแฝดมาก ผมยอมทำทุกอย่างแหละ ขอแค่ให้ปราณมีความสุข นี่คือความตั้งใจของผมจริงๆ ครับ”

ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ ด้วยความทุ่มเทและตั้งใจจริงที่คามินแสดงออก ก็ทำให้อนาวินคล้อยตามได้ไม่ยาก จนในที่สุดก็ตกปากรับคำที่จะช่วย

“ก็ได้ ผมจะช่วยคุณ” คามินยกยิ้มเหยียดอย่างพอใจ รูปร่างสูงใหญ่ ลุกเดินจากเก้าอี้ทำงานที่นั่งอยู่ ไปยังหน้าต่างกระจกบานใหญ่ริมระเบียง ที่พอทอดสายตาออกไปจะมองเห็นกรุงเทพมหานครที่ยิ่งใหญ่ และไม่เคยหลับใหลไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม ซึ่งเวลานี้ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นทำให้เขาอารมณ์ดีเหลือเกิน

“จริงนะครับคุณอนาวิน” น้ำเสียงดีใจที่ส่งไปให้ปลายสาย ช่างขัดกับท่าทางการยิ้มเยาะนี้เหลือเกิน

ทำไมน่ะหรอ? นั่นก็เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าอนาวินจะช่วยน่ะสิ ไม่มีใครไม่อยากให้เพื่อนรักตัวเองได้ดีหรอก อนาวินเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ปราณันต์เป็นคนน่าสงสาร สิ่งที่คนตัวเล็กนั่นควรได้รับมากที่สุดคือโอกาส โอกาสที่จะมีคนมาดูแลและทุ่มเทความรักให้มากๆ สักครั้งในชีวิต

“จริงครับ แล้วผมต้องช่วยคุณยังไง” อนาวินเริ่มเปิดฉากถาม

“ไม่มีอะไรมากครับ พรุ่งนี้สักช่วงเที่ยงๆ คุณช่วยโทรหาคุณปราณหน่อย ผมว่าเค้าต้องเครียดมากกับสิ่งที่ผมจะบอกในเช้าวันพรุ่งนี้แน่ คุณปราณน่าจะอยากปรึกษาคุณ” คามินเหม่อมองไปไกลก่อนจะพูดต่อ “ผมขอแค่ให้คำตอบของคุณสนับสนุนคำพูดของผมก็พอครับ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นออกนอกหน้าออกตา แต่ก็ช่วยให้ปราณเห็นความรักและหวังดีของผมด้วยเถอะนะครับ”

อนาวินเงียบไปพักใหญ่หลังจากคามินพูดจบ และหลังจากนั้นไม่นานคนตัวโตก็คิดว่าตัวเองได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสาย

“แต่ก่อนอื่น คุณต้องรับปากผมก่อนว่าจะไม่ทำให้ปราณและฝาแฝดเสียใจ”

คามินยิ้มกริ่ม ก่อนจะตอบอย่างอารมณ์ดี “ผมสัญญาครับ”

“โอเคครับ งั้นผมก็ยินดีจะช่วยคุณ”

หลังจากนั้นคามินก็กดวางสายไป เขาบอกแล้วว่ายังไงอนาวินก็ต้องยอมช่วย เขารู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ทุกอย่างมันมาตรงจังหวะเวลาสุดๆ ซึ่งเขาหวังว่าพรุ่งนี้คงได้รับข่าวดีจากปราณันต์เช่นกัน

.

.

.

และเวลานี้คำขอของคามินก็เป็นผล เขานั่งมองข้อความที่ปราณันต์ส่งมาอยู่พักใหญ่แล้ว แต่เขาก็ยังหยุดยิ้มไม่ได้สักที


ในที่สุด ... ปราณันต์ก็ตอบตกลง


คามินรีบกดโทรศัพท์ไปหาปราณันต์อย่างรวดเร็ว เขาอยากได้ยินคำตอบที่มาจากปากอิ่มสีสดที่ยั่วเย้าอารมณ์เขามาตลอดมากกว่าที่จะมานั่งอ่านจากข้อความในมือถือแบบนี้

“คุณคราม” เสียงหวานใสที่เขาอยากได้ยินกำลังทักทายกลับมาอย่างแผ่วเบา เขารู้ดี ปราณันต์กำลังเขิน

“คุณปราณครับ ข้อความที่พิมพ์มานั่นคุณไม่ได้หลอกผมให้ดีใจเล่นเฉยๆ ใช่ไหม”

คามินพยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองให้เป็นปกติ แต่ก็พบว่ามันช่างยากเหลือเกินในเวลานี้ เขาได้แต่หงุดหงิดในใจ ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะปล่อยอารมณ์ตัวเองให้เตลิดง่ายได้ขนาดนั้น มันยากที่จะยอมรับ

แต่ก็ใช่... เขากำลังตื่นเต้นค่อนไปทางดีใจเสียด้วยซ้ำที่ปราณันต์ตอบตกลง

“ใช่ครับ ผมตกลง” เสียงหวานพูดตะกุกตะกัก “แต่ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้กับคุณทางโทรศัพท์ เย็นนี้คุณ...”

ปราณันต์ยังพูดไม่ทันจบประโยค คามินก็พูดสวนออกมาเสียก่อน

“ว่างครับ รอผมที่เดิมนะ เดี๋ยวผมไปรับ” พอพูดจบประโยค คามินก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ

... ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยสิ คามิน!!! นี่นายกำลังเป็นบ้าอะไรกัน ...

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะลงคอที่แสนน่ารัก ที่หลุดออกมาให้ได้ยิน ยิ่งทำให้อารมณ์และความคิดของคามินเตลิดไปไกลกว่าเดิม “ครับๆ งั้นเย็นนี้เจอกันนะ”

ปราณันต์วางสายไปแล้ว แต่อารมณ์ของคามินยังคงปั่นป่วนไม่เลิก เขาหลุดจากการควบคุมตัวเอง และปล่อยให้ความดีใจบ้าๆ เข้ามามีอิทธิพลเหนือเหตุและผลทั้งปวงที่เขาควรจะมี ตาคมหลับลงช้าๆ คามินกำลังดึงตัวเองออกจากบ่วงบางอย่างที่กำลังคล้องรัดเขาอยู่ ความอ่อนไหวอะไรต่างๆ ไม่ใช่สิ่งคนอย่างเขาควรจะมี ความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นความรู้สึกของพวกขี้แพ้ และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่เขา

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/12/63 [12th Lies: ซื้อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 21-12-2020 20:10:35
(อ่านต่อจากด้านบน)


ปราณันต์เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไปจากตอนแรก คนอมทุกข์และดูคิดอะไรวุ่นวายคนนั้นได้หายไป แต่กลับมีปราณันต์คนใหม่ คนที่สดใส และดูเหมือนไม่ได้มีเรื่องเครียดหรือเรื่องอะไรให้หนักใจอีกแล้ว

“ไง เลิกหน้าบูดแล้วรึไงฮะไอ้เหมียว” หัวหน้าทีมคนสนิททักขึ้น เมื่อเห็นและได้ยินปราณันต์เดินฮัมเพลงเข้ามาเบาๆ

“ผมก็ไม่ได้เครียดอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” ปราณันต์เกาคอแก้เก้อเขินๆ

“เอาเถอะ นายโอเคขึ้นก็ดีแล้ว” นทนัชเงียบไปนิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น “กวีเป็นห่วงปราณนะ ปราณรู้ใช่ไหม”

คนตัวเล็กเกิดอาการกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพูดถึงกันต์กวีขึ้นมา ซึ่งนทนัชก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร

“ในฐานะเพื่อนน่ะปราณ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันนะ” นทนัชยื่นมือไปตบเบาๆ ลงบนบ่าเล็กๆ ของปราณันต์ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอาทร “พี่เข้าใจดีว่าปราณรู้สึกยังไง แต่พวกเราต้องทำงานด้วยกันอีกเยอะ อยู่ด้วยกันอีกนาน อะไรที่ทำเป็นมองไม่เห็นหรือมองข้ามได้ พี่ก็อยากให้ปราณทำนะ”

ปราณันต์ครุ่นคิดตามที่นทนัชพูดอย่างระมัดระวัง สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจว่าจะมองข้ามเรื่องที่โกรธกันต์กวีไป และรับปากหัวหน้าทีมว่าจะไม่เก็บเอามาคิดมากอีก

“ครับพี่นท ไว้เจอกวีแล้วผมจะคุยให้รู้เรื่องนะครับ”

“ดีๆ พี่เห็นใจทั้งสองฝ่ายแหละ ก็หวังว่าจะเคลียร์กันให้เรียบร้อยนะ”

ปราณันต์ยิ้มให้นทนัชอย่างนึกขอบคุณ ก่อนจะเดินตามหากันต์กวีที่ไม่น่าจะอยู่ไกลเท่าไหร่ สุดท้ายปราณันต์ก็เห็นกันต์กวีนั่งอยู่ที่ลานจอดรถ ข้างๆ กับที่มอเตอร์ไซค์ของเจ้าตัวจอดอยู่

“กวี” ปราณันต์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วตัดสินใจตะโกนเรียก “นายมาอยู่นี่เอง” จากนั้นปราณันต์ก็เดินไปหากันต์กวีที่อยู่ไม่ไกลออกไป

“ปราณ” กันต์กวีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นปราณันต์เดินเข้ามาใกล้ สถานการณ์และบรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดขึ้นนิดหน่อย สุดท้ายคนตัวเล็กจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ขอโทษนะ ที่เราชอบทำให้นายเป็นห่วงอยู่เรื่อย” ปราณันต์ยิ้มบางๆ “แล้วก็ต้องขอบใจมากที่ดูแลเราเป็นอย่างดีมาตลอด... นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราคนนึงเลยนะ”

กันต์กวียิ้มเศร้าหลังจากได้ยินปราณันต์พูดจบ สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่นี้ เป็นห่วงมากแค่ไหน ดูแลดีเท่าไหร่ก็ได้แค่นี้ แค่เพื่อนที่ดีที่สุดของปราณันต์เท่านั้น

“อื้ม” หนุ่มเหนือพยักหน้าช้าๆ “เราเข้าใจแล้ว ขอบคุณปราณมากที่พูดออกมาตรงๆ แล้วทำให้มันชัดเจน อย่างน้อยเราจะได้ไม่คาดหวังลมๆ แล้งๆ อีก”

“เรา…” ปราณันต์ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กันต์กวีพูดสวนออกมาก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกปราณ เราโอเค” กันต์กวีฝืนยิ้ม “แต่เรื่องบางเรื่องมันอาจจะต้องใช้เวลา ปราณเข้าใจเราใช่ไหม”

คนตัวเล็กยื่นมือไปตบบ่ากันต์กวีเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้ แต่ปราณันต์เลือกที่จะไม่พูดอะไรที่เป็นการตอกย้ำ เขาปล่อยให้กันต์กวีรับรู้ทุกอย่างผ่านแววตาและการกระทำทั้งหมดเอง

“กลับไปทำงานกันเถอะ ขี้เกียจฟังพี่นทบ่น”

พอจบประโยคที่ปราณันต์พูดทั้งสองก็มองหน้าและหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน จากนั้นปราณันต์ก็กระโดดกอดคอกันต์กวี ก่อนที่ทั้งสองจะพากันหยอกเล่นกันตลอดทางเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศ

.

.

.

ตกตอนเย็นคามินมารับปราณันต์ตรงตามเวลานัด หลังจากที่เขามีเวลาอยู่กับตัวเองตลอดบ่าย ทำให้คามินควบคุมอารมณ์และความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น แผนการของเขายังต้องดำเนินต่อไป เป้าหมายของเขาก็ยังคงเป็นชัยชนะและหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของไอ้พวกเพื่อนเวรตะไลนั่นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ผลพลอยได้ที่เขาจะได้ และถูกขึ้นบัญชีเป็นของที่เขา ‘ต้องได้’ มาอีกอย่างนั่นคือ ‘ปราณันต์’

ปราณันต์สำหรับคามินจะไม่เป็นอะไรไปมากกว่าของแถม ของที่เขาไว้ใช้เล่นสนุกชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และของเล่นที่ว่าก็ไม่ควรจะมามีอิทธิพลเหนืออารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ ของเขา นั่นคือปณิธานของคามิน

“รอนานไหมครับ” คามินถามเสียงหวาน ยามปราณันต์ก้าวขาเรียวยาวขึ้นมานั่งบนรถ

“ไม่นานครับ ผมก็เพิ่งลงมาเอง” ปราณันต์ยิ้มสดใสกลับมาให้ “ว่าแต่วันนี้คุณไปหาลูกค้ามาเหนื่อยรึป่าวครับ นี่ผมยังรบกวนให้คุณมารับอีก” ปราณันต์บ่นกระปอดกระแปดอย่างรู้สึกผิด

“เหนื่อยครับ” ปราณันต์หน้าเสีย ตอนได้ยินคามินตอบแบบนั้น แต่ประโยคถัดมาก็ทำเอาคนตัวเล็กยิ้มออกมาจนหน้าบาน “แต่พอได้เห็นหน้าคุณผมก็หายเหนื่อย ขอบคุณนะครับ กำลังใจของผม”

คนตัวเล็กหน้าแดงทันทีที่ได้ยินคำหวานจากคนตรงข้าม และก่อนที่ปราณันต์จะเขินไปมากกว่านี้คามินจึงตัดสินใจออกรถ พร้อมกับหัวเราะหยอกล้อกับปราณันต์ไปตลอดทาง

.

.

.

คามินพาปราณันต์ไปนั่งทานของว่างที่คาเฟ่ที่อยู่ไม่ห่างจากออฟฟิศเท่าไหร่ และในขณะที่รออาหาร คามินก็เริ่มเข้าเรื่องทันที

“ตกลงว่าคุณยอมรับข้อเสนอของผมแล้วใช่ไหมครับ”

“ครับ” ปราณันต์อ้อมแอ้มรับคำ “แต่ก่อนที่ผมจะยอมรับข้อเสนอของคุณ ผมต้องได้รู้ก่อนว่าคุณไม่ได้ลำบากหรือยุ่งยากอะไรกับการที่ต้องย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกันกับผม” คนตัวเล็กพูดกับฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

คามินหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะตอบคำถามของปราณันต์

“โถ่ ผมก็นึกว่าคุณห่วงเรื่องอะไร” คามินค่อยๆ ยื่นมือใหญ่ไปกุมมือเล็กๆ ของปราณันต์ที่วางอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ

“อพาร์ทเม้นท์ของคุณอาจจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่มันก็เหมาะกับผมซึ่งอยู่แค่คนเดียว อีกอย่างมันก็ใกล้ที่ทำงานมาก หนำซ้ำผมก็จะได้รับส่งคุณปราณสะดวกขึ้น ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา คุณปราณว่าดูแล้วผมน่าจะลำบากไหมล่ะครับ หื้ม?” คามินพูดยิ้มๆ ทำเอาปราณันต์อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“แต่ผมไม่แน่ใจว่าเถ้าแก่เจ้าของอพาร์ทเม้นท์เขาจะมีห้องว่างรึป่าวนี่สิครับ ปกติอพาร์ทเม้นท์นี้ห้องเต็มตลอดเลย” ปราณันต์นิ่วหน้าด้วยความไม่แน่ใจ “ผมว่ายังไงคุณก็ควรดูๆ อพาร์ทเม้นท์แถวนั้นเผื่อไว้บ้างก็ดีนะครับ”

คามินยิ้มหน้าบาน จนปราณันต์อดแปลกใจไม่ได้ว่าคามินจะยิ้มอะไรนักหนา

“คุณยิ้มอะไรเล่า” และในขณะที่คามินจะตอบอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟพอดี

คามินจึงเลื่อนจานอาหารให้ปราณันต์ช้าๆ ก่อนจะตอบคำถามเมื่อกี้ของปราณันต์ด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“ผมดีใจน่ะสิ ที่คุณปราณอยากให้ผมไปอยู่ใกล้ๆ” คามินจ้องหน้าคนตรงข้ามด้วยประกายตาวาววับ “ตอนแรกที่คุณปราณปฏิเสธผม ผมใจเสียแทบแย่ นึกว่าคุณเบื่อขี้หน้าผมแล้วเสียอีก”

“ไม่ใช่สักหน่อย!” ปราณันต์รีบปฏิเสธเสียงหลง ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้อนตัวมากเกินไป เลยพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติเหมือนเดิม แต่คามินก็จับได้อยู่ดี

“คุณน่ะชอบคิดไปเอง” ปราณันต์อ้อมแอ้มสารภาพ “เหตุผลเดียวที่ผมปฏิเสธก็คือ ผมแค่เกรงใจคุณ”

“คร้าบ ครับ ผมรู้แล้ว” คามินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะชวนปราณันต์ทานอาหารตรงหน้า

“รีบทานเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” จากนั้นคามินก็หันมาพูดกับปราณันต์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง

“ส่วนเรื่องห้องคุณไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วเราจะไปถามด้วยกัน ถ้าห้องไม่ว่างค่อยคิดหาทางต่อ” ก่อนที่คามินจะจบประโยคด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ที่พอปราณันต์ได้ยินก็อดขำกับความขี้เล่นนี้ไม่ได้

“แต่ไม่แน่ โชคดีอาจจะเป็นของผมก็ได้นะครับ”

ปราณันต์ได้แต่อมยิ้มไปกับท่าทางของคนตรงข้าม ก่อนจะลงมือกินอาหารตามคำเชิญชวนของคามิน โดยที่คนตัวโตได้แต่มองคนตัวเล็กตรงข้ามด้วยสายตาเย้นหยัน พลางนึกในใจอย่างหยิ่งยโส

‘หึ! คนอย่างคามินไม่เคยต้องรอโชคชะตา เพราะฉันมีเงินมากพอที่จะเนรมิตสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เสมอ’

.

.

.

ตอนนี้คามินกับปราณันต์นั่งรอเถ้าแก่เจ้าของอพาร์ทเม้นท์อยู่ที่สำนักงานชั้นล่าง ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ คามินได้โทรไปหาแทนคุณเพื่อเช็คความคืบหน้าว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาต้องการแล้ว


‘เรื่องที่ให้ไปจัดการ เรียบร้อยดีรึป่าวแทนคุณ’

(เรียบร้อยแล้วครับบอส ทั้งห้องคุณปราณันต์ และห้องข้างๆ ทั้งสองห้อง ผมซื้อไว้ในนามบริษัทหมดแล้วครับ)

‘แล้วตัวเถ้าแก่ล่ะ นายไปตกลงไว้แล้วหรือยัง’


(ผมสั่งไว้แล้วครับ ว่าห้ามคุณปราณันต์รู้เรื่องนี้เด็ดขาด และถ้าคุณปราณันต์พาใครมาเช่าห้อง ให้ปล่อยให้เช่า แล้วก็ห้ามถามอะไรเซ้าซี้)

‘ดี! นายทำดีมาก ขอบใจนะแทนคุณ’


คามินกดวางสายไป ก่อนจะเดินไปหาปราณันต์ เพื่อไปที่อพาร์ทเม้นท์พร้อมกัน

.

.

.

รออยู่ไม่นานเถ้าแก่เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ก็ออกมาหลังจากที่เห็นปราณันต์ เถ้าแก่ก็เหลือบมองมาที่คามินนิดหน่อย ก่อนจะแอบพยักหน้าน้อยๆ อย่างรู้กันให้ร่างสูง

“เถ้าแก่ครับ ผมปราณันต์นะครับ พักอยู่ห้องหกศูนย์สอง” คนตัวเล็กแนะนำตัวเอง เผื่อว่าเจ้าของอพาร์ทเม้นท์จะจำเขาไม่ได้

“อ่อๆ อั๊วจำลื้อได้อาตี๋ ลื้ออยู่กับฝาแฝดชั้นบนสุด” เถ้าแก่ยิ้มให้อย่างใจดี ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่ลื้อมาหาอั๊ววันนี้มีอะไรรึป่าว” พอปราณันต์เห็นเถ้าแก่เข้าเรื่องเขาก็ไม่รอช้า

“ครับ ผมอยากรู้ว่าเถ้าแก่พอจะมีห้องว่างไหมครับ พอดีเพื่อนผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่ไม่แน่ใจเรื่องห้อง เลยมาถามเถ้าแก่ก่อน” ปราณันต์ชี้ไปที่คามินที่นั่งอยู่ข้างๆ

เถ้าแก่ยิ้ม ก่อนจะพูดต่ออย่างแนบเนียน “พวกลื้อโชคดีมากเลยรู้ไหม วันนี้อาหมวยห้องหกศูนย์หนึ่งข้างๆ ห้องลื้อน่ะอาตี๋ เพิ่งมาบอกอั๊วว่าจะย้ายออก เห็นอีว่าอีได้ที่ทำงานใหม่ เลยจะย้ายที่อยู่ไปอยู่แถวที่ทำงานใหม่แทน”

พอฟังจบปราณันต์ก็หันไปยิ้มให้คามินอย่างยินดี

“จริงหรอครับเถ้าแก่ ห้องข้างผมเลยหรอครับ” ปราณันต์ถามย้ำ เพราะอยากจะให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด

“จริงสิ ลื้อสนใจไหมล่ะ ถ้าสนใจก็ย้ายเข้ามาวันอาทิตย์นี้ได้เลย อาหมวยอีจะย้ายออกวันเสาร์นี้”

“เร็วขนาดนั้นเลยหรอครับ” ปราณันต์ถามออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันไปถามคามิน “คุณว่าไงครับ คุณโอเคไหม”

คามินที่นั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรเลยมาตั้งแต่ต้น ได้แต่มองปราณันต์ยิ้มๆ ลูกแมวน้อยของเขาดูตื่นเต้นกว่าตัวเขาเองเสียอีก พอได้เห็นปราณันต์หันมาถามเขาด้วยแววกลมโตที่เป็นประกายอย่างยินดีก็อดเอื้อมมือใหญ่ไปลูบแก้มนิ่มของคนตรงข้ามเบาๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ก่อนจะตอบคำถามของคนตัวเล็กออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“โอเคครับ ได้อยู่ใกล้คุณปราณแบบนี้ ทำไมผมจะไม่โอเคล่ะ” คามินยิ้มให้ปราณันต์ อย่างยินดี ก่อนจะหันไปพูดกับเถ้าแก่ถึงรายละเอียดเงื่อนไขการเช่าห้องต่างๆ

“ผมต้องทำสัญญาเช่าวันไหนครับเถ้าแก่ แล้วเรื่องเงินค่าเช่ามีรายละเอียดยังไงบ้างครับ”

“ก็เดี๋ยวลื้อทำสัญญาเช่าวันนี้เลยก็ได้ ส่วนล่วงหน้าอั๊วให้จ่ายสามเดือน แล้วก็จะมีค่าประกันอีกนิดหน่อย เรื่องเงินค่อยมาเคลียร์กันวันที่ลื้อย้ายเข้ามาก็ได้”

เถ้าแก่บอกรายละเอียดยาวเหยียด ก่อนจะหยิบสัญญาเช่าออกมาให้คามินเขียน จากนั้นเถ้าแก่ก็ถามซ้ำอีกรอบ

“ตกลงลื้อจะย้ายมาวันอาทิตย์เลยใช่ไหม”

“ครับ วันอาทิตย์เช้าผมจะทยอยขนของเข้ามา แล้วก็เข้าอยู่เลย ยังไงก็ต้องรบกวนเถ้าแก่ด้วยนะครับ” คามินมองหน้าเถ้าแก่ แบบรู้ความนัยกัน

“ได้ๆ ลื้อย้ายเข้ามาได้เลย พออาหมวยอีย้ายออกในวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์ลื้อก็มาเอากุญแจที่อั๊วได้เลย ตอนนี้ห้องหกศูนย์หนึ่งเป็นของลื้อแล้ว”

คามินกระตุกยิ้มมุมปากกับประโยคที่เถ้าแก่เจ้าของอพาร์ทเม้นท์พูดอย่างเข้าใจความหมาย ความหมายที่เขาและเถ้าแก่รู้ดี มีแต่ปราณันต์เท่านั้นแหละที่ไม่รู้อะไรเลย

คามินได้แต่มองปราณันต์ที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะกำลังมีความสุขด้วยความเวทนา เจ้าแมวน้อยของเขา อีกไม่นานแล้วสิ่งที่เขาปรารถนาจะครอบครอง ก็จะได้เป็นของเขาเสียที

.

.

.

หลังจากออกจากสำนักงานของเถ้าแก่แล้ว ปราณันต์ก็เดินไปส่งคามินที่รถ พร้อมกับนัดแนะเวลาที่จะเข้าไปรับฝาแฝดในเย็นวันพรุ่งนี้

“คุณปราณดีใจไหมครับ” จู่ๆ คามินก็ถามขึ้น ปราณันต์เองที่ยังงงๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก ก็ได้แต่หันไปมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความสงสัย

“ผมหมายถึงว่าคุณปราณดีใจไหมครับ ที่เราจะได้มาอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้” พอจบคำถามตรงๆ ของคนตัวโต ปราณันต์ก็หน้าแดงทันที แต่ก็เลือกที่จะตอบคำถามของคามินด้วยความเต็มใจ

“ดีใจสิครับ ผม... ดีใจมาก” คามินยิ้มโชว์เขี้ยวทั้งสองข้างทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นจากปราณันต์

“ผมเองก็ดีใจมากเหมือนกัน ที่คุณปราณยอมให้โอกาสผมได้ดูแลคุณและน้องๆ ... ขอบคุณมากนะครับคนดี”

คนตัวโตพูดตอบเสียงหวาน ทำเอาปราณันต์เขินจนทำตัวไม่ถูก

“แล้วพรุ่งนี้คุณพอจะว่างไหมครับ” ปราณันต์อ้อมแอ้มถาม “ผมอยากชวนคุณไปรับฝาแฝดด้วยกัน ผมอยากให้คุณไปบอกข่าวดีนี้กับเด็กๆ เอง”

“ไปสิครับ เราไปด้วยกันนะ” คนตัวโตทอดเสียงอบอุ่นตอบ “ผมว่าเด็กๆ ต้องดีใจแน่ๆ”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้เลิกงานแล้วเจอกันนะครับ” ปราณันต์สรุปในตอนสุดท้าย “แต่วันนี้คุณกลับได้แล้วนะครับ ดึกแล้ว”

คามินงอแงทันทีที่ได้ยินปราณันต์ไล่ให้เขากลับบ้าน

“ยังไม่กลับได้ไหมอ่ะครับ” และโดยที่ปราณันต์ไม่ทันได้ตั้งตัว คามินก็เข้ามาประชิด มือหนาทั้งสองข้างแตะเข้าที่เอวบางอย่างจงใจ คล้ายกำลังโอบกอดคนตัวเล็กๆ ไว้เบาๆ “ขอผมขึ้นไปกินกาแฟที่ห้องปราณก่อนกลับได้ไหมครับ”

คามินออดอ้อน ทำเอาปราณันต์ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย แต่สุดท้ายก็ต้องอ้อมแอ้มตอบปฏิเสธไป

“ไม่เอาครับ ดึกแล้ว กลับเถอะ ผมไม่อยากให้คุณขับรถมืดๆ มันอันตราย” ใบหน้าสวยหวานค่อยๆ เงยขึ้นมามองใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เซ็นต์

“แต่ผมยังอยากอยู่กับคุณอีกนิด...” คามินกระซิบชิดหูนิ่ม

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ได้เจอกันอีก ไม่งอแงสิครับ” ปราณันต์พูดยิ้มๆ อ้อนๆ ทำเอาคามินเถียงต่อไม่ออก ใครใช้ให้ปราณันต์ขอร้องเขาด้วยท่าทีแบบนี้ จะฝืนทำตามใจตัวเองต่อก็ทำไม่ได้ ปราณันต์เล่นน่ารักซะขนาดนั้น

“ก็ได้ครับ” คามินรับคำด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวบาง ด้วยความเสียดายนิดๆ

คามินเดินถอยหลังออกห่างจากปราณันต์เพื่อไปเดินขึ้นรถอย่างตัดใจ และหลังจากที่หันหลังให้คนตัวบาง เพื่อก้าวขึ้นรถ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กๆ กำลังวิ่งมาหาเขาเบาๆ

และพอคามินหันกลับไป ปราณันต์ก็มาถึงตัวเขาพอดี คนตัวเล็กวิ่งไปตรงหน้าคามิน แล้วใช้มือเล็กๆ ทั้งสองข้างเกาะไหล่กว้างไว้เบาๆ คามินดูตกใจนิดหน่อย เพราะไม่รู้ว่าปราณันต์จะทำอะไร พอผ่านไปไม่ถึงอึดใจ คนตรงหน้าก็เขย่งปลายเท้าขึ้น จนใบหน้าสวยหวานอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าคมคาย ริมฝีปากอิ่มกดจูบเบาๆ ลงบนปากหยักของคามิน


จุ๊บ~


คามินตกใจที่โดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ปราณันต์อาศัยช่วงชุลมุน กระโดดถอยออกจากคามินทันที ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ ให้คนตัวโต

“ส่วนจูบนี้แทนคำขอบคุณครับ .. ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับคุณคราม”

ปราณันต์เดินถอยหลังห่างออกจากคามินช้าๆ พร้อมกับส่งยิ้มซุกซนให้ ส่วนคามินที่ตอนนี้ตั้งตัวได้แล้ว ก็มองไปที่ปราณันต์พร้อมกับยิ้มและชี้นิ้วใส่อย่างยอมใจที่โดนปราณันต์หลอกล่อเสียอยู่หมัด

ทั้งสองยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่ปราณันต์จะยกมือโบกลาให้คนรูปร่างสูงใหญ่ฝั่งตรงข้าม

“กลับดีๆ นะครับ”

“ฝันดีครับคุณปราณของผม” คามินเองก็โบกมือลาปราณันต์เช่นกัน

“ฝันดีครับ.. เจอกันพรุ่งนี้นะ”

คามินมองปราณันต์ที่ตอนนี้ไปยืนอยู่หน้าทางเข้าอพาร์ทเม้นท์แล้ว เขาจึงโบกมือไล่ให้คนตัวเล็กเข้าไป และพอเห็นปราณันต์เข้าไปอย่างปลอดภัยแล้ว เขาจึงได้ขึ้นรถแล้วขับออกมา โดยที่มุมปากหยักยังไม่ได้หยุดยิ้มเลยแม้แต่วินาทีเดียว

.

.

.

วันถัดมาปราณันต์ทำงานอย่างมีความสุข คนตัวเล็กเอาแต่เหลือบมองนาฬิกาเรื่อยๆ พลางคิดในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเลิกงานเสียที เขาแทบจะอดใจรอเจอคามิน และรอที่จะได้เห็นสีหน้าและท่าทางดีใจของฝาแฝดไม่ไหวแล้ว

ทางด้านคามินเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกว่าอารมณ์ดี แต่พนักงานที่เข้าประชุมด้วย หรือแม้แต่ตัวเลขาฯ เองก็รู้สึกได้ว่าท่านประธานดูมีความสุขเป็นพิเศษ แม้จะมีคนทำผิดพลาด บอสก็ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับตักเตือนอย่างใจเย็น และให้ไปแก้ไขข้อผิดพลาดมาใหม่

ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะแปลกใจกับท่าทีที่แปลกไปของท่านประธาน แต่ไม่ใช่กับแทนคุณ บอดี้การ์ดคนสนิท เขารู้ดีว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เจ้านายเขาเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ แม้ตัวท่านประธานเองจะยังไม่รู้ตัวก็เถอะ แทนคุณเองก็ได้แต่หวังว่าเหตุผลนั้นจะมีอิทธิพลต่อท่านประธานไปตลอด คามินที่เย็นชาน้อยลงมันช่างดีมากจริงๆ ในสายตาของคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมานาน

และแล้วเวลาเลิกงานก็มาถึง คามินลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานทันที ก่อนจะหันไปสั่งงานแทนคุณ

“วันนี้กลับบ้านได้เลย แต่วันอาทิตย์ให้หารถไปขนของจากคอนโดไปที่อพาร์ทเม้นท์ของปราณด้วย เดี๋ยวจะเลือกไว้ให้บางส่วน จัดการให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”

“ครับบอส” แทนคุณค้อมศีรษะรับคำสั่ง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคามินเดินออกจากประตูห้องทำงานไปแล้ว แทนคุณได้แต่ยิ้มบางๆ ตามหลังเจ้านายเขาที่เพิ่งหุนหันออกไป

.

.

.

ปราณันต์มายืนรอคามินอยู่ที่หน้าออฟฟิศด้วยหัวใจพองโต เขายอมรับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุด แค่ได้คิดว่าเขา คามิน และฝาแฝดจะได้อยู่ใกล้ๆ ได้ใช้ชีวิตข้างๆ กัน เขาก็มีความสุขจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก


ปิ๊น ปิ๊น~


เสียงแตรรถดังขึ้น ปราณันต์หันไปยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถคามินที่อยู่ไม่ไกลออกไป

“รอนานไหมครับ” ทันทีที่ขาเรียวก้าวเข้ามานั่งในรถเรียบร้อย คามินก็ถามขึ้น ก่อนจะช่วยเจ้าของรูปร่างบอบบางคาดเข็มขัดนิรภัยให้อย่างเอาใจ

“ไม่ครับ ผมเพิ่งลงมาเมื่อกี้เอง”

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คามินก็ขับรถพาปราณันต์ตรงไปยังโรงเรียนของฝาแฝดทันที ทั้งสองยอมรับว่าตอนนี้อยากเห็นหน้าฝาแฝดตอนที่ได้รู้ข่าวดีไม่ไหวแล้ว

และทันทีที่จอดรถที่โรงเรียนอนุบาลเรียบร้อย ชายหนุ่มทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันไปยังจุดที่เจ้าสองแสบยืนรออยู่กับอาจารย์ประจำชั้นที่เดิม

“พี่ครามกับพี่ปราณมาแล้วว!” ยังไม่ทันที่จะได้เดินถึงสนามเด็กเล่น เสียงปัณณธรน้อยก็ดังทะลุกลางอากาศมาแต่ไกล ปราณันต์กับคามินได้แต่อมยิ้ม กับท่าทางทางน่าเอ็นดูของเจ้าแฝดคนน้อง

“ครับ พี่ครามกับพี่ปราณมาแล้ว” ปราณันต์พูดพลางทรุดตัวลงนั่งยองๆ ก่อนจะอ้าแขนรอเจ้าตัวน้อยทั้งสองวิ่งเข้ามาหา

ปุณณกันต์และปัณณธรวิ่งเข้าสู้อ้อมกอดของปราณันต์ทันที ก่อนจะผละออกหอมแก้มพี่ชายคนโตคนละข้างอย่างคิดถึง

“แก้มพี่ปราณห๊อม หอม หอมเหมือนเดิมเลยเนาะปัณณ์” ปุณณกันต์เอ่ยขึ้นอย่างเอาใจ ทำเอาปราณันต์ยิ้มไม่หุบ

“ใช่ หอมมากๆ เลย” ปัณณธรพยักหน้าเห็นด้วย “เสียดายพี่ครามไม่เคยได้หอม น่าสงสารจัง”

เจ้าตัวแสบคนน้องหันไปมองคามินพลางทำหน้าทำตายิ้มใส่ ดูไม่ได้เหมือนว่าสงสารเหมือนกับคำพูดเลยสักนิด

คามินได้แต่หัวเราะอย่างชอบใจ ตอนเห็นท่าทางแสบสันแบบนั้นของเจ้าตัวเล็ก เขาเลยเข้าไปอุ้มเจ้าแฝดคนน้องแล้วจับมาฟัดจนปัณณธรหัวเราะลั่นไม่หยุด

“ฮ่าๆๆ พี่ครามปัณณ์จั๊กจี๋ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

“ตัวแสบต้องโดนลงโทษ ฮ่ะๆๆ เยาะเย้ยพี่ครามหรอ นี่ๆๆๆ” คามินยังคงฟัดเจ้าตัวน้อยไม่หยุด จนปราณันต์เอ่ยปรามนั่นล่ะ พี่ครามของเจ้าตัวยุ่งทั้งสองถึงยอมหยุดได้

“พอก่อนเถอะครับคุณคามิน เดี๋ยวเราต้องไปคุยกับอาจารย์ของปุณณ์กับปัณณ์อีกนะครับ”

คามินเลยยอมปล่อยปัณณธรลงกับพื้นได้ ปราณันต์จึงได้เดินจูงปุณณกันต์กับปัณณธรไปหาครูประจำชั้น โดยที่คามินเดินตามหลังไปด้วย

“ว่าไงคะน้องปราณ มีเรื่องอะไรให้ครูช่วยรึป่าวคะ” อาจารย์ถามขึ้นเมื่อเห็นปราณันต์เดินมาหา ปราณันต์จึงได้บอกความต้องการของตัวเองไป

“ผมตัดสินใจได้แล้วครับอาจารย์ เรื่องปุณณกันต์กับปัณณธรน่ะครับ” ปราณันต์พูดพลางก้มลงมองเจ้าฝาแฝดทั้งคู่ ที่ตอนนี้กำลังเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาแป๋วหลังได้ยินบทสนทนาที่มีชื่อตัวเองอยู่ด้วย ทำเอาปราณันต์อดลูบศีรษะกลมๆ ของเด็กทั้งสองด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ซึ่งคุณครูเอง พอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเชิญทั้งสี่คนไปนั่งคุยที่ห้องพักครู

และเมื่อถึงห้องพักครูปราณันต์กับคามินก็นั่งเผชิญหน้าคุยกับอาจารย์โดยมีปุณณกันต์และปัณณธรนั่งอยู่บนตักของคนทั้งคู่

“ผมตัดสินใจได้แล้วครับอาจารย์ ต่อไปนี้ผมจะมารับปุณณ์กับปัณณ์กลับบ้านทุกวัน ถ้าไม่ใช่ผม ก็จะเป็นคุณคามินมารับครับ ขอแจ้งอาจารย์ให้ทราบไว้ก่อน”

เจ้าฝาแฝดน้อยเริ่มฮือฮาทันทีเมื่อได้ยินพี่ชายคนโตพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้าเสียมารยาทถามออกมากลางปล้อง เพราะตอนนี้ผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่

“ครูดีใจนะคะที่ได้ยินแบบนี้ ยังไงครูก็มองว่าการที่เด็กๆ ได้อยู่กับครอบครัว น่าจะเป็นสิ่งดีที่สุด”

“ยังไงผมก็ต้องขอบคุณอาจารย์มากนะครับ ที่ดูแลฝาแฝดของผมอย่างดีมาโดยตลอด ขอบคุณมากๆ นะครับอาจารย์”

ปราณันต์ยกมือไหว้พร้อมค้อมศีรษะขอบคุณอาจารย์อย่างนอบน้อม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากครูประจำชั้นของฝาแฝดได้ดีมากทีเดียว

“ไม่เป็นไรค่ะน้องปราณ ครูยินดี” อาจารย์ส่งยิ้มให้อย่างใจดี “เดี๋ยวยังไงซะน้องปราณก็ไปเซ็นเอกสารขอยกเลิกการค้างคืนของเด็กๆ แล้วก็เพิ่มชื่อคุณคามินเข้าไปในลิสต์ของผู้ปกครองที่จะมารับปุณณกันต์กับปัณณธรด้วยนะคะ จะได้ไม่ต้องเซ็นเอกสารหลายที”

อาจารย์ประจำชั้นแนะนำอย่างเอื้ออาทร ก่อนจะหันไปพูดกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างยินดี

“ดีใจด้วยนะครับฝาแฝด ต่อไปนี้ก็ได้กลับบ้านทุกวันแล้ว อย่าดื้ออย่าซนกับพี่ปราณล่ะ แล้วก็ต้องทำการบ้านทุกวันด้วย เข้าใจไหมครับเด็กๆ”

สองฝาแฝดที่พอได้ยินครูพูดแบบนั้นก็ดีใจจนตาโต สองคนหันมองหน้ากันอย่างยินดี พลางหัวเราะคิกคัก แล้วก็แปะมือให้กันอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะร้อง “เย่!” ออกมาเสียงดัง จนทำเอาผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างยิ้มตามออกมาไม่ได้

โดยเฉพาะพี่ชายคนโตของครอบครัวกับพี่ครามของเด็กๆ ที่ตอนนี้กำลังยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุขเหลือเกิน

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------------------------------

เจ้าแผนการ แผนเยอะ วางหมากเก่ง พระเอกหรือตัวโกง ถามมมม

55555555555555555555555555555555555555555555555

จะพยายามมาลงให้ได้อีกตอนนะคะ ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์ทิ้งไว้ได้เลยน้าาา เรารออ่านคอมเม้นท์เสมอเลย ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วย เราได้รับทั้งหมดเลย แล้วมันก็ดีมากๆ เพราะทำให้เรามีแรงมาลงต่อๆ ไปได้เรื่อยๆ ^^

ช่วงนี้โควิดก็กลับมาระบาดอีกแล้วเนาะ ทุกคนรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ออกไปไหนก็อย่าลืมใส่แมสก์ ล้างมือบ่อยๆ เจลแอลกอฮอล์มีติดกระเป๋าไว้คลอดอย่าให้ขาดเนาะ และที่สำคัญถ้าเลี่ยงที่ๆ มีคนเยอะๆได้ ก็เลี่ยงนะคะ เป็นห่วงมากๆ แล้วไว้เจอกันตอนหน้าเนาะ ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/12/63 [12th Lies: ซื้อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 22-12-2020 14:28:19
มีความสุขให้เต็มที่ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/12/63 [12th Lies: ซื้อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-12-2020 22:04:07
มีความสุขให้เต็มที่ ..

จริง มีความสุขซะให้พอ

จะรอวัน.......... 5555555

นายแน่มากคามิน เล่นกับความรู้สึกของเด็ก หึ *แสยะยิ้ม* (ฮา)

 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...31/12/63 [13th Lies: คำตอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 31-12-2020 08:53:47
13th Lies : คำตอบ


หลังจากจัดการทุกอย่างกับทางโรงเรียนเรียบร้อย ปราณันต์ก็จูงเจ้าสองฝาแฝดตัวน้อยออกจากโรงเรียน ปุณณกันต์กับปัณณธรที่แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยเจ้าหนูทั้งสองก็พอจะจับใจความจากที่ได้ยินพี่ปราณคุยกับคุณครูประจำชั้นได้บ้างนิดหน่อยว่า ต่อไปนี้ฝาแฝดจะได้กลับบ้านทุกวัน ไม่ต้องอยู่ค้างที่โรงเรียนจนถึงวันศุกร์อีกต่อไป เพียงแค่รู้เท่านี้ก็ทำให้เจ้าหนูน้อยทั้งสองเดินกระโดดโลดเต้นออกจากโรงเรียน ดูอารมณ์ดีมากกว่าศุกร์ไหนๆ ที่ได้กลับบ้าน

“พี่ปราณ ต่อไปนี้เราสองคนจะได้กลับบ้านทุกเย็นหลังเลิกเรียนแล้วใช่ไหมครับ” เป็นปัณณธรน้อยที่ถามขึ้น โดยมีปุณณกันต์มองไปที่ปราณันต์อย่างรอคำตอบเช่นกัน

“ใช่ครับ ต่อไปนี้ฝาแฝดจะได้กลับบ้านทุกวันแล้วครับ”

พี่ชายคนโตของครอบครัวตอบคำถามของน้องๆ อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะมีเสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายอีกคน ดังแทรกขึ้นมา

“เฮ้อ อิจฉาครอบครัวนี้จังเลยน้า” คามินแสร้งทำเสียงเศร้าสร้อย เรียกร้องความสนใจจากทั้งเด็กเล็ก และเด็กโตที่อยู่ตรงหน้า “เอาแต่คุยกันสามคนไม่สนใจพี่ครามเลย”

คนตัวโตแสร้งตัดพ้อ ซึ่งก็ได้ผล เพราะตอนนี้ปุณณกันต์น้อย ผละออกจากพี่ชายคนโตเดินมาหาคามินแล้ว

“พวกเราสนใจพี่ครามนะครับ” พอพูดจบเจ้าของมือเล็กๆ อย่างเจ้าแฝดคนพี่ ก็สอดประสานมือตัวเองเข้าหามือใหญ่ของพี่คราม ก่อนจะออกแรงลากให้คนขี้ใจน้อยเดินไปพร้อมๆ กับตน

“ป่ะ! พี่คราม ไปทางนู้นกัน ปัณณ์กับพี่ปราณรออยู่นะ” คามินอมยิ้มตอนเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าแฝดคนพี่ ที่พยายามจะลากเขาให้เดินไปพร้อมกับตัวเอง

พี่ครามคนตัวโตเลยตัดสินใจเกี่ยวเอวปุณณกันต์ขึ้นแล้วอุ้มหนูน้อยไว้แทน จนกนั้นก็พาเดินไปตรงที่สองพี่น้องที่ยืนรออยู่

“เราไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ” คามินเสนอขึ้น เมื่อเดินมาถึง “เด็กๆ หิวข้าวรึยังครับ”

“หิวแล้วครับ” ฝาแฝดทั้งสองประสานเสียงตอบ ก่อนจะเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ที่เหลือได้เป็นอย่างดี

“เอาล่ะๆ” เสียงหวานดังขึ้นในที่สุด “งั้นเดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกัน แล้วพี่ปราณจะเล่าให้ฟังนะ ว่าทุกเย็นหลังเลิกเรียนฝาแฝดต้องทำยังไงบ้าง เราต้องตกลงกันก่อนโอเคไหม”

ปราณันต์สรุปในที่สุด โดยมีเด็กแฝดพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ส่วนพี่ครามคนตัวโตนั้นก็ได้แต่ยิ้มโชว์เขี้ยวให้เด็กๆ ดูเป็นคำตอบแทน

.

.

.

พอถึงร้านอาหาร หลังจากสั่งเรียบร้อย เจ้าหนูทั้งสองก็นั่งตาแป๋ว รอฟังข้อตกลงและสิ่งที่พี่ปราณจะบอกอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ปุณณกันต์ ปัณณธร หนูรู้แล้วใช่ไหม ว่าตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป หนูทั้งสองจะได้กลับบ้านทุกหลังเลิกเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ”

ปราณันต์เกริ่นขึ้น ซึ่งเรียกรอยยิ้มยินดีจากเด็กทั้งสองได้เป็นอย่างดี

“ขอบคุณครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์น้อยกล่าวกับพี่ชายอย่างยินดี

“เย่! ปัณณ์ดีใจมากๆ เลย” ส่วนปัณณธรน้อยก็ยิ้มร่า หันมองพี่ปราณที พี่ครามทีอย่างมีความสุข

“แต่เราต้องตกลงกันก่อนนะครับ” ปราณันต์พูดเสียงเป็นการเป็นงานทำเอาเจ้าหนูทั้งสองต้องสงบเสงี่ยมท่าทีรอฟังพี่ชายคนโตพูดให้จบก่อน

“พี่ปราณจะลาออกจากงานพาร์ทไทม์ เพราะพี่ปราณจะต้องทำงานล่วงเวลาที่บริษัทแทน”

เด็กๆ ตั้งใจฟังตาแป๋ว เหมือนจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่พี่ชายกำลังจะสื่อ

“งานล่วงเวลาที่พี่ปราณพูดถึงเนี่ย บางวันก็อาจจะเลิกเร็ว บางวันก็อาจจะเลิกช้า ซึ่งถ้าวันไหนเลิกเร็วพี่ปราณจะไปรับฝาแฝดเอง แล้วเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันที่อพาร์ทเม้นท์ พี่ปราณจะทำกับข้าวให้ปุณณ์และปัณณ์กิน จะสอนฝาแฝดทำการบ้าน จะอ่านนิทานก่อนนอนให้ฟัง เราจะทำทุกอย่างทั้งหมดนี้ด้วยกัน โอเคไหมครับ”

ฝาแฝดทั้งสองปรบมือลั่นอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินปราณันต์บอกแบบนั้น เด็กๆ ต่างแปะมือและยิ้มให้กันอย่างชอบใจ ในที่สุดพวกเขาก็จะได้มีช่วงเวลาเหมือนกับครอบครัวปกติทั่วไปเสียที

“ปุณณ์ชอบแบบนี้ ปุณณ์อยากอยู่กับพี่ปราณ อยากอยู่กับปัณณ์หลังเลิกเรียน ปุณณ์มีความสุขที่สุดเลยครับพี่ปราณ” เจ้าแฝดคนพี่พูดสารภาพออกมายาวเหยียดอย่างยินดี ทำเอาคนเป็นพี่หยุดยิ้มไม่ได้

“ใช่ๆ ปัณณ์อยากให้พี่ปราณเป็นคนสอนการบ้าน เป็นคนพาเราเข้านอน ปัณณ์อยากให้เป็นแบบนั้น” แฝดคนน้องอย่างปัณณธรก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า คำพูดพวกนั้นทำเอาพี่ชายคนโตของครอบครัวสุขจนล้นใจจริงๆ

“แต่... อย่างที่พี่ปราณบอก ว่าถ้าพี่ปราณกลับเร็ว เราถึงจะทำแบบนั้นได้ ซึ่งมันก็อาจจะมีบางวันที่พี่ปราณจะกลับบ้านช้า และไม่สามารถไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนได้”

แต่ประโยคถัดมาทำเอารอยยิ้มของเด็กๆ แทบจะเลือนหายไปในพริบตา ฝาแฝดคงอดคิดในใจไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะต้องถูกส่งกลับไปอยู่ที่โรงเรียนอีก และท่าทางแบบนั้นทำเอาคามินกับปราณันต์เห็นแล้วอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้


‘โถ่เอ๊ยเด็กน้อย ยังไม่ทันฟังให้จบเลย ก็ตีตนไปก่อนเสียแล้ว’


“เพราะฉะนั้นถ้าวันไหนพี่ปราณกลับช้า..” ปราณันต์เงียไปนิดหนึ่งเพื่อสังเกตทีท่าของเด็กๆ ที่ตอนนี้ก้มหน้างุด เหมือนรอพร้อมจะรับความผิดหวังแล้ว “วันนั้นพี่ครามจะเป็นคนไปรับเด็กๆ แล้วทำหน้าที่ทั้งหมดแทนพี่ปราณ”

พอจบประโยคของพี่ชายคนโต เด็กๆ ก็เงยหน้าขี้นแทบจะทันทีทันใด จากนั้นก็หันไปจ้องคามินตาแป๋ว ทั้งประหลาดใจ ทั้งสงสัย และดีใจปนๆ กัน จนกระทั่งคามินต้องเอ่ยขึ้นมาในที่สุด

“ทำไมล่ะครับ ไม่ดีใจหรอที่พี่ครามจะเป็นคนดูแลเด็กๆ ในช่วงที่พี่ปราณไม่อยู่น่ะ หื้ม?” คามินแกล้งทำเสียงเศร้า เล่นเอาเด็กๆ รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ไม่ใช่สักหน่อยนะพี่คราม” ปุณณกันต์น้อยรีบโบกมือหย็อยๆ เพื่อบอกว่าไม่จริง

“จริงๆ ปัณณ์ดีใจจะแย่แล้ว นึกว่าจะถูกส่งกลับไปที่โรงเรียนแล้วซะอีก”

ปัณณธรน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยู่กับพี่ครามก็เหมือนอยู่กับพี่ปราณนั่นแหละ อยู่กับใครก็ได้ปัณณธรมีความสุขทั้งนั้น

พอฝาแฝดได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มร่ามีความสุขมากกว่าเดิม ได้อยู่ทั้งกับพี่คราม ได้อยู่ทั้งกับพี่ปราณ ปุณณกันต์กับปัณณธรชอบที่สุดเลย

“ตกลงว่าให้พี่ครามดูแลเด็กๆ แทนพี่ปราณได้ใช่ไหมครับ” คามินแกล้งถามเสียงทะเล้น ทำเอาเจ้าหนูทั้งสองหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ

“ได้สิครับ ปุณณ์กับปัณณ์ดีใจที่สุดในโลกเลย” ปัณณธรน้อยรีบตอบเอาใจ

“ขอบคุณนะครับพี่ปราณ พี่คราม ขอบคุณที่ดูแลเราสองคนอย่างดีครับ” ส่วนปุณณกันต์น้อยก็หันไปขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสองในโต๊ะ ตามแบบฉบับของตัวเอง

“แล้วก็อีกอย่างที่พี่ปราณจะบอกคือ..” ปราณันต์พูดสำทับยิ้มๆ “ตั้งแต่วันอาทิตย์เป็นต้นไป พี่ครามจะย้ายมาอยู่ที่ห้องข้างๆ เรา เพื่อจะได้ดูแลฝาแฝดได้ดีขึ้น เด็กๆ ดีใจไหมครับ”

“เย่! จริงหรอครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์ถามขึ้นอย่างยินดี

“เย่ๆๆๆๆๆ ปัณณ์ดีใจที่สุดในโลกเลย” ส่วนปัณณธรน้อยตอนนี้ ปีนลงจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่ง แล้วขึ้นไปนั่งตักพี่ครามเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งกอดรัดคนตัวโตไว้ไม่ปล่อยอีกต่างหาก ซึ่งการกระทำของเจ้าหนูนั้นเสียงหัวเราะจากคามินได้ไม่หยุด

“จริงสิครับ เพราะฉะนั้น ฝาแฝดต้องทำยังไงครับ พี่ครามอุตส่าห์ทำเพื่อพวกหนูๆ ขนาดนี้” ปราณันต์ถามนำ ฝาแฝดมองหน้ากันก่อนจะประสานเสียงพูดออกมาอย่างน่ารัก

“ขอบคุณนะครับพี่คราม / ขอบคุณครับพี่คราม”

“ปัณณ์สัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน”

“ปุณณ์ก็สัญญาว่าจะเชื่อฟังพี่ครามเป็นอย่างดี ไม่ทำให้พี่ครามต้องเหนื่อยครับ”

และจากคำพูดของเด็กทั้งสองทำเอาคามินอดยื่นมือไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ ของเด็กทั้งคู่ด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“เช่นกันครับ พี่ครามก็จะดูแลหนูๆ อย่างดี ไม่ให้พี่ปราณผิดหวังเลย” แม้ปากจะพูดกับเจ้าหนูทั้งสอง แต่ตาคมกลับมองสบไปที่ตากลมอย่างสื่อความหมาย ทำเอาปราณันต์เขินอาย จนแทบจะไปไม่เป็น

“และเพื่อฉลองการที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน พรุ่งนี้เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ” คามินเสนอขึ้น ทำเอาเด็กๆ หน้าบานรับคำด้วยความชอบใจ

“ดีครับ ไปครับไป” ปัณณธรน้อยรีบรับปาก ทำเอาปราณันต์เอ่ยห้ามแทบไม่ทัน

“คุณคามิน ผมว่า..” ปราณันต์เตรียมจะปฏิเสธ แต่คามินพูดสวนขึ้นมาก่อน

“พรุ่งนี้เป็นวันพิเศษของเราสองคน คุณปราณจำไม่ได้หรอครับ”

คามินทวงถาม และพอปราณันต์นึกขึ้นได้ ก็ทำเอาเจ้าตัวเขินจนทั้งแก้มทั้งคอแดงก่ำไปหมด

ใช่สิ.. พรุ่งนี้ถึงวันที่เขาต้องให้คำตอบคามินแล้วนี่นา

ตากลมและตาคมสบมองซึ่งกันและกัน โดยที่มีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ยิ่งทำให้เพิ่มความสุขให้แก่ปราณันต์มากขึ้นไปอีก ก่อนที่ประโยคถัดมาของคามินจะทำให้เขาเขินอายยิ่งกว่าเดิม

“หวังว่าคำตอบที่ผมได้ จะทำให้ผมมีความสุขยิ่งกว่าที่มีตอนนี้นะครับ”

ปราณันต์ยิ้มตอบอย่างเอียงอายโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นึกในใจว่าภาษากายที่เขาแสดงออกไปตอนนี้ น่าจะพอเป็นคำตอบให้คามินได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

.

.

.

หลังจากฉลองกันเสร็จเรียบร้อย คามินก็ขับรถพาสามพี่น้องกลับอพาร์ทเม้นท์ ดูเหมือนว่าฝาแฝดน้อยจะใชัพลังงานในการดีใจไปมากทีเดียว เพราะพอรถเคลื่อนออกจากร้านอาหารได้ไม่เท่าไหร่ ปุณณกันต์กับปัณณธรก็หลับสนิท และถึงแม้จะหลับคามินและปราณันต์ก็ยังคงเห็นรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนริมฝีปากจิ้มลิ้มของเจ้าหนูทั้งคู่ ท่าทางเด็กๆ คงจะมีความสุขมากทีเดียว

พอถึงอพาร์ทเม้นท์ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทั้งสองที่จะต้องอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นห้อง คามินอุ้มปุณณกันต์ ส่วนปราณันต์อุ้มปัณณธร ท่าทางเด็กๆ จะเพลียมากจริงๆ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะงัวเงียตื่นเลยสักนิด

“หลับปุ๋ยเลยแฮะ สงสัยคืนนี้ผมต้องเช็ดตัวให้เจ้าตัวยุ่งทั้งสองแทนการอาบน้ำ ลองได้หลับลึกขนาดนี้ ขืนปลุกให้ตื่นต้องงอแงแน่ๆ”

ปราณันต์เอ่ยขึ้น ในขณะที่กำลังอุ้มพาแฝดที่กำลังหลับสนิทขึ้นลิฟต์ โดยมีคามินเดินตามมาติดๆ

“เดี๋ยวผมอยู่ช่วยคุณปราณก่อนก็ได้นะครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ขืนปล่อยให้คุณทำคนเดียว กว่าจะเสร็จก็คงดึกแน่ๆ”

ตอนนี้คามินและปราณันต์พาแฝดมาที่เตียงนอนเรียบร้อยแล้ว ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ ตอนที่ได้ยินว่าคามินจะช่วยเขาเช็ดตัวเด็กๆ พลางคิดในใจว่าคามินช่างดีกับเขาเหลือเกิน ทั้งที่พรุ่งนี้ตัวเองก็ต้องตื่นมารับเขากับฝาแฝดแต่เช้า แต่ก็ยังมีแก่ใจช่วยดูแลเขากับเด็กๆ อีก ซึ่งทำเอาปราณันต์ซาบซึ้งใจไม่น้อย

“ไม่เป็นไรครับ คุณกลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้ามารับผมกับเด็กๆ อีก แค่นี้ผมจัดการได้ครับ ไม่ได้หนักหนาอะไร”

ปราณันต์บอกปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้รังเกียจถ้าคามินจะอยู่ช่วย เพียงแต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายขับรถกลับบ้านดึกก็แค่นั้น

“แต่ว่า.. ผมอยากอยู่กับคุณปราณต่ออีกสักนิด” เสียงทุ้มเอ่ยสารภาพด้วยท่าทีออดอ้อน ทำเอาหัวใจของปราณันต์เต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อถูกจู่โจมด้วยท่าทางแบบนี้

“ดึกแล้วครับ ไม่งอแงนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอกันอีก ผมไม่อยากให้คุณขับรถกลับตอนดึกๆ จริงๆ” ปราณันต์ก้มหน้างุด แต่ก็ยังฝืนออกแรงดันคนตรงข้ามให้ขยับเดิน แม้คามินจะไม่ยอมให้ความร่วมมือเลยก็ตาม

“ผมกลับก็ได้” ในที่สุดคามินก็ยอมแพ้ “แต่เราต้องคุยกันก่อน” ปราณันต์เงยหน้าขึ้นทันที เมื่อได้ยินเสียงจริงจังจากคนตรงข้าม

“คะ.. คุยอะไรหรอครับ”

ใช่ว่าคนตัวเล็กจะไม่รู้ว่าสิ่งที่คามินจะพูดคืออะไร แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมคามินต้องมาย้ำกันตอนนี้ด้วย ปล่อยให้เขาเตรียมตัวเตรียมใจเงียบๆ สักคืนไม่ได้หรอ ทำไมต้องขยันทำตัวให้ใจเต้นแรงอยู่เรื่อย ปราณันต์ได้แต่คิดค่อนขอดอยู่ในใจ

“ก็เรื่องของเรา.. คำตอบของคุณปราณ พรุ่งนี้ไงครับ” ใบหน้าคมคายโน้มลงมากระซิบชิดริมใบหูนิ่ม เสียงทุ้มที่มีเสน่ห์ช่างน่าฟังนั่นเหมือนกำลังล่อลวงเขาให้ติดกับผู้ชายคนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ

“ผมรู้แล้ว ยังเหลือเวลาอีกตั้งคืนนึงนี่นา” เสียงหวานบ่นอุบ ใบหน้าน่ารัก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยมามองคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยซ้ำ ซึ่งภาพที่เห็นตอนนี้ ปราณันต์ช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาของคามิน

“ฮ่าๆ โอเคครับโอเค ผมให้เวลาคุณปราณเตรียมใจรับความไม่โสดอีกคืนนึงก็แล้วกัน” เสียงเจ้าเล่ห์ยังคงล้อเลียนไม่หยุด เรียกให้ใบหน้าสวยหวานงอง้ำเพราะถูกรู้ทันไม่ได้

“รู้ได้ไงครับว่าพรุ่งนี้ผมจะไม่โสด ไม่แน่นะ ผมอาจจะโสดต่อก็ได้ ใครจะรู้” พอได้ทีปราณันต์ก็เลยเอาคืนคามินบ้าง... แหม ทำมาเป็นมั่นอกมั่นใจ แบบนี้ต้องแกล้งให้ร้อนรนบ้าง จะได้เลิกล้อเขาเสียที

“โถ่ คุณปราณครับ ไม่ล้อกันเล่นแบบนี้สิ” พูดไม่พูดเปล่า ตอนนี้มือหนาทั้งสองข้าง คว้าหมับเข้าที่เอวบางของคนตัวเล็กกว่าเข้าให้ “ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้เตรียมใจรับความผิดหวังไว้สักนิดเลยนะครับ”

เสียงทุ้มยังคงพูดจาออดอ้อน ทำเอาปราณันต์อดอมยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้ ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ กับท่าทางเหมือนลูกหมาตามหาเจ้าของนี่ ช่างไม่เข้ากันเลยสักนิด

“กลับไปได้แล้วครับ ดึกแล้ว ขับรถมืดๆ มันอันตรายนะ” ปราณันต์ปลดมือหนาออกจากเอวตัวเอง ก่อนจะเอามารวบกุมไว้ตรงหน้าแทน “เอาเป็นว่า ผมสัญญาว่าคำตอบของผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ”

พอพูดจบปราณันต์ก็ยิ้มหวานเป็นการปิดประโยค ทำเอาคามินมองภาพตรงหน้าตาค้าง หัวใจที่เคยเย็นชา เหมือนกำลังถูกละลายด้วยความสดใสของรอยยิ้มนั้น และทำเอามันเต้นผิดจังหวะไปพักใหญ่เลยทีเดียว

“ก่อนกลับ ขอกู๊ดไนท์คิสได้ไหมครับคุณปราณ... นะครับ”

คามินก็ยังคงเป็นคามินวันยังค่ำ เรื่องตอดนิดตอดหน่อยนี่ขอให้บอก ปราณันต์ได้แต่ส่ายหัวขำๆ ด้วยความระอาใจ

“ทำไมล่ะครับ ฝึกไว้ไง อีกหน่อยคุณปราณก็ต้องทำทุกวัน จะได้ไม่เขิน”

พอจบประโยคมือเล็กของปราณันต์ก็ทุบอั๊กเข้าให้บนอกคามิน ทำไมถึงทะเล้นทะลึ่งได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ พูดแต่ละอย่างออกมานี่ไม่ได้มีอายเลยสักนิด

“คุณนี่...!” ปราณันต์ถึงกับหมดคำพูด ไม่รู้จะสรรหาประโยคไหนมาต่อว่าแล้วจริงๅ

“โอ๊ย! เจ็บจัง~” คามินแกล้งโอดครวญไม่จริงจัง ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “ผมทำไมหรอครับ ผมน่ารักใช่ม้า?”

“ใครว่าล่ะ คุณน่ะมันเจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกินต่างหาก” คนตัวเล็กต่อว่าเสียงกระเง้ากระงอด ซึ่งเรียกเอารอยยิ้มกว้างจากคนตัวโตได้เป็นอย่างดี

“ตกลงจะให้ไหมครับ ไม่งั้นผมไม่กลับนะ” คามินยังคงต่อรอง ทำเอาปราณันต์ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางคิดในใจว่า ถ้ายังคงยื้อกันแบบนี้ คามินต้องหาเรื่องไม่ยอมกลับบ้านแน่ๆ

สุดท้ายคนตัวเล็ก ต้องหันซ้ายหันขวา เพื่อดูว่ามีใครเดินผ่านไปผ่านมาตรงหน้าระเบียงรึป่าว พอเห็นทางสะดวก จึงค่อยๆ เขย่งปลายเท้าขึ้น คามินเองก็เหมือนพอจะเดาใจปราณันต์ได้เลยเอียงแก้มข้างหนึ่งให้คนตัวเล็กกว่า แต่พอถึงจังหวะที่ปราณันต์กำลังจะกดจูบลงบนแก้มสาก คนเจ้าเล่ห์ที่คอยจังหวะอยู่แล้ว ก็หันหน้ากลับมาแบบทันทีทันใด ทำให้ปากอิ่มกดจูบเบาๆ ลงบนปากหยักแทนแบบไม่ทันตั้งตัว

และถามว่าคนอย่างคามินจะพอใจกับแค่จุ๊บธรรมดาหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่มีทาง เพราะตอนนี้มือใหญ่กำลังรั้งเอวบางเข้าหาตัว ให้คนทั้งคู่ได้แนบสนิทกันยิ่งขึ้น ส่วนปากหยักของคนเจ้าเล่ห์ ก็กำลังขบเม้มริมฝีปากสีสดของปราณันต์อย่างหลงใหล แม้จะไม่ได้สอดลิ้นเข้ามา แต่การจู่โจมที่แสนหวานของคามินก็ทำเอาปราณันต์เกิดแข้งขาอ่อนขึ้นมาได้เหมือนกัน

พอจูบคนตัวเล็กจนหนำใจแล้ว คามินก็ปล่อยปราณันต์เป็นอิสระ และพอเจ้าแมวตัวน้อยเป็นอิสระได้ ก็ระดมทุบตีคนตรงข้าม จนทำเอาคามินต้องขอให้หยุด ไม่งั้นเข้าคงได้ตายคาคือลูกแมวตัวนี้เป็นแน่

“โอ๊ยๆๆ ขอโทษครับ พอแล้วๆๆ” มือใหญ่จับรวบมือเล็กไว้ พลางทำหน้าออดอ้อนน่าสงสารใส่คนตรงข้าม

“คุณเนี่ย มันน่าถูกตีให้ตาย ได้คืบจะเอาศอกตลอด” ปราณันต์หน้าแดงก่ำ น่าจะทั้งอาย ทั้งเหนื่อย ทั้งโกรธ คามินเลยต้องรีบง้อยกใหญ่

“ก็ปากคุณมันนิ่มขนาดนี้ ผมจะอดใจไหวได้ยังไงกันล่ะครับ” คามินพูดยิ้มๆ ทำเอาปราณันต์ฮึดฮัดขึ้นมาอีกรอบ

“แทนที่จะสลด ยังจะมาพูดแบบนี้อีก” ปราณันต์ยอมรับว่าเขิน แต่จะปล่อยให้คามินได้ใจแบบนี้อีกไม่ได้ “กลับไปได้แล้วครับ ไม่งั้นนะ พรุ่งนี้ผมกับฝาแฝดจะไม่ไปกับคุณ” คนตัวเล็กขู่เข้าให้ ทำเอาคามินหัวหดได้เหมือนกัน

“คร้าบ คร้าบ กลับแล้วๆ” คนตัวโตทำหน้าจ๋อยๆ พลางบ่นมุบมิบ แต่ปราณันต์ก็ยังได้ยินอยู่ดี

“ผมมองเห็นอนาคตตัวเองเลย ถ้าคบกันแล้วคุณปราณต้องคุมผมอยู่หมัดแน่ๆ หมดกันภาพพจน์ความเป็นเสือ”

ปราณันต์หลุดขำทันทีตอนที่ได้ยินคามินบ่นแบบนั้น ทำเอาคามินหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม

“ชอบใจใหญ่เลยนะครับ แหงสิ ผมหลงคุณปราณจะแย่อยู่แล้วนิ ยังไงผมก็ต้องยอมคุณทุกเรื่องนั่นแหละ” คามินยิ้มสดใส โชว์เขี้ยวทั้งสองข้างเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง

“....”

“คืนนี้หลับฝันดีนะครับคุณปราณ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”

คามินค่อยๆ เดินถอยหลังแล้วลงลิฟต์จากไป ทิ้งปราณันต์ไว้กับประโยคซื่อๆ เมื่อกี้ ประโยคที่ทำเอาหัวใจดวงเล็กๆ ของปราณันต์เต้นรัว และประโยคที่ทำให้ริมฝีปากอิ่มของเขาหุบยิ้มไม่ได้เสียที

.

.

.

เช้าวันต่อมาเด็กๆ ตื่นเช้ากันมาก อาจจะเพราะเมื่อคืนนอนกันเต็มอิ่ม แต่ปราณันต์กลับคิดว่าเป็นเพราะเด็กๆ จำได้ดีมากกว่าว่าวันนี้คามินจะพาทุกคนไปเที่ยวทะเล

“พี่ปราณ พี่ครามจะมารึยังอะครับ”

ตอนนี้ฝาแฝดทั้งสองนั่งจ้องประตูจนตาแทบจะไม่กะพริบ เรียกให้กินข้าวก่อนก็ไม่กิน เอาแต่บอกว่ารอให้พี่ครามมาก่อนค่อยกินพร้อมกัน ปราณันต์ก็ได้แต่ถอนใจ นี่ขนาดยังไม่ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ จังๆ ยังติดคามินเป็นตังเมขนาดนี้ อีกหน่อยถ้าได้ย้ายมาอยู่ใกล้ๆ กัน ไม่แคล้วคงหาทางแยกออกจากพี่ครามได้ยากแน่ๆ

“เห็นพี่ครามบอกว่าอีกแปปนึงน่าจะถึงนะครับ”

ซึ่งปราณันต์ก็ปล่อยให้เด็กๆ เล่นของเล่นรอคามินไปนั่นแหละ เพราะเมื่อกี้เขาโทรไปถามคนตัวโตแล้วว่าใกล้จะมาถึงรึยัง คำตอบคืออีกไม่เกินสิบนาทีคามินน่าจะมาถึง


ติ๊งหน่อง~


ในที่สุดเสียงออดจากหน้าห้องก็ดังขึ้น เรียกเสียงฮือฮาจากเจ้าตัวแสบทั้งสองได้เป็นอย่างดี และตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรน้อยก็วิ่งตื๋อไปที่หน้าประตูแล้ว ดูท่าเดี๋ยวก็คงเขย่งจนหาทางเปิดให้คามินเข้ามาจนได้แหละ

“พี่ปุณณ์ๆ พี่ปุณณ์เปิดประตูเร็ว พี่ครามมาแล้วนะ”

ปัณณธรน้อยสั่งการ ใจจริงก็คงอยากจะเปิดเองอยู่เหมือนกันแหละ แต่ด้วยความที่เตี้ยกว่าพี่ชายฝาแฝด เลยไม่สามารถทำได้ ต้องให้ปุณณกันต์ที่สูงกว่านิดหน่อยเป็นคนเขย่งเปิด


แกร๊ก!


สุดท้ายประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยปุณณกันต์น้อย คามินแปลกใจนิดหน่อยในตอนแรกที่ไม่เห็นปราณันต์ที่หน้าประตู แต่พอก้มลงไปเจอเด็กๆ คนตัวโตก็ยิ้มร่ารีบก้มลงไปฟัด ไปหอมเด็กน้อยแทบไม่ทัน

“พี่ครามมาแล้ววว! มากินข้าวกันนะครับ วันนี้มีขนมปังปิ้งกับไข่ดาวด้วย”

ปัณณธรน้อยรีบเชิญชวน แนะนำอย่างกับเป็นคนทำเอง ทั้งที่พ่อครัวตัวจริงแอบยืนอมยิ้มอยู่ในครัวโน่น

“มอร์นิ่งครับคุณปราณ มีอะไรให้ผมช่วยไหม” คามินหันไปทักคนตัวเล็กเสียงหวานหยดย้อย ทำเอาปราณันต์อดเขินขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้

“คุณกินข้าวกับเด็กๆ เถอะครับ ตัวแสบทั้งสองยืนยันจะรอคุณ ยังไงคุณช่วยดูแลตอนพวกแกกินทีนะ เดี๋ยวผมจะทยอยยกไข่ออกไปให้เพิ่ม”

ปราณันต์ร้องบอก คามินเลยต้องทำหน้าที่พาเด็กๆ มาที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะจัดการจับนั่งแล้วเทนม ตักไข่ดาวกับขนมปังปิ้งใส่จานให้เด็กๆ พร้อมดูแลตอนที่เจ้าตัวยุ่งทั้งสองกำลังกินเป็นอย่างดี

เด็กทั้งสองนั่งลงกินอย่างเรียบร้อยและมีมารยาท โดยที่คามินแทบไม่ได้ช่วยหรือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ พี่ครามของหนูๆ มองเจ้าฝาแฝดทั้งสองด้วยความรักและภาคภูมิใจ ทำไมถึงเป็นเด็กที่น่ารักและฉลาดได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้

ผ่านไปสักพัก ปราณันต์ก็เข้ามาร่วมวงกินข้าวเช้ากับคามินและเด็กๆ ด้วย ทั้งสี่คนทานกันไปคุยกันไปอย่างมีความสุข ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ ตอนเห็นภาพตรงหน้า ฝาแฝดแย่งกันพูดเล่าเหตุการณ์ตอนอยู่โรงเรียนอนุบาลให้คามินฟัง ซึ่งคามินเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี ตั้งใจฟังเด็กๆ พูด ไม่มีเกี่ยงงอน ฟังไปหัวเราะไป ยิ้งทำให้เจ้าหนูทั้งสองตั้งใจเล่าเต็มที่ยิ่งกว่าเดิม ซึ่งสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้ เป็นภาพฝันที่ปราณันต์เคยคิดไว้ตลอดว่าอยากให้ครอบครัวของเขามี

... ใครสักคนที่จะเข้ามาแชร์ และดูแลน้องเขาได้ โดยเต็มใจและไม่รำคาญหรือรังเกียจใดๆ

คามินหันมามองเห็นปราณันต์ยิ้มในขณะที่มองมายังเขาและฝาแฝด คนตัวโตเองก็เลยยิ้มตอบไป จนปราณันต์รู้สึกตัวนั่นแหละ คามินเห็นได้โอกาส เลยถือวิสาสะพูดขึ้นมาลอยๆ

“ถ้าตอนนี้ เวลานี้ คุณปราณกำลังมีความสุขกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ คุณปราณก็อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไปนะครับ ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ คุณก็รู้”

ปราณันต์สะดุ้งนิดหน่อยตอนได้ยินคามินพึมพำประโยคนี้ขึ้นมา แต่พอฟังจบแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแต่ยิ้มกว้างให้คามินเท่านั้น แต่ในใจของปราณันต์กำลังเต้นแรงสวนทางกับท่าทีที่มี


‘ผมมีคำตอบให้คุณตั้งนานแล้ว และผมก็มั่นใจว่าผมจะตัดสินใจไม่ผิด’


... แต่ช่างน่าเสียดาย เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ปราณันต์ได้รู้ความจริง เขาจะได้รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่พลาดมากที่สุดในชีวิต และไม่ควรให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...31/12/63 [13th Lies: คำตอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 31-12-2020 08:58:28
(อ่านต่อจากด้านบน)


คามินคุยกับปราณันต์เรื่องย้ายของเข้ามาในห้องข้างๆ พรุ่งนี้ เพราะตอนที่เขาเข้ามา เขาเห็นแล้วว่าผู้หญิงห้องข้างๆ ปราณันต์กำลังทยอยเก็บของ เธอดูหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์นิดหน่อย ซึ่งแน่ล่ะ ใครจะอารมณ์ดีได้ล่ะ โดนบีบให้ย้ายออกเสียขนาดนั้น นี่ถ้าเธอได้รู้ว่าเขาเป็นต้นเหตุ คงเกิดเรื่องไม่น้อย

และที่สำคัญปราณันต์เองก็ไม่ควรจะได้รู้เรื่องนี้ด้วย การเลี่ยงให้คนตัวเล็กได้พบเจอหรือพูดคุยกับผู้หญิงห้องข้างๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ผมจะเริ่มทยอยย้ายของเข้ามาพรุ่งนี้นะครับคุณปราณ อาจจะเอาของสำคัญและจำเป็นบางส่วนเข้ามาก่อน จะได้ไม่ลำบากเวลาจะหาใช้งาน”

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปช่วยคุณนะครับ จะได้ย้ายของเข้ามาได้เร็วขึ้น”

คามินรีบเบรกเพราะกลัวความแตก เกิดให้ปราณันต์ไปด้วย ก็รู้พอดีว่าคอนโดที่เขาอยู่หรูหราขนาดไหน เมื่อเทียบกับอพาร์ทเม้นท์ธรรมดาๆ นี้ เพราะฉะนั้นต้องหาทางกันไว้ก่อนจะดีกว่า

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณปราณไปกับผมแล้วใครจะดูแลฝาแฝดล่ะครับ” ปราณันต์ชะงักไป คามินเลยต้องรีบสำทับ “ไม่ต้องห่วงนะ ผมเอาของเข้ามานิดหน่อยก่อน สบายมาก ผมจัดการได้”

ปราณันต์พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยอมจำนน เขาเองก็ลืมนึกไป ขืนกระเตงแฝดไปด้วย ยิ่งจะลำบาก

“งั้นถ้าคุณมีอะไรให้ผมช่วย คุณก็บอกนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ร่างบางพูดพลางยิ้มหวานอย่างใจดี ทำเอาคามินใจกระตุกไม่น้อย

“ผมไม่เกรงใจแน่นอน ฝากตัวด้วยนะครับคุณเพื่อนบ้าน”

ปราณันต์หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี พอเห็นท่าทางล้อเลียนแบบนั้นของคามิน ก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้

“นี่ผมยังไม่ได้ลาคุณเหม่ยอิงเลย วันนี้เธอจะย้ายออกแล้วด้วย” คามินได้ยินแบบนั้นก็ตาเหลือก รีบพูดสะกัดไว้ทันที

“ผมเห็นเธอนั่งรถออกไปกับรถขนของนะครับ เพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง แล้วนี่เราก็สายแล้วด้วย..” คามินแกล้งพูดนำให้ปราณันต์ตัดสินใจเอง ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่เคยบังคับ แต่เขาสามารถทำให้ปราณันต์มีคำตอบอบแบบที่เขาต้องการได้เสมอ

“อืม.. หรอครับ” ปากอิ่มเม้มน้อยๆ อย่างกับกำลังชั่งใจ “งั้นเราไปกันเถอะครับ ผมก็ไม่ค่อยสนิทกับเธอเท่าไหร่ เพียงแต่คิดว่าตามมารยาทของคนบ้านใกล้เรือนเคียง ก็น่าจะร่ำลากันสักหน่อย แต่ถ้าออกไปแล้วก็จนใจ”

คามินแอบยิ้มอย่างพอใจในคำตอบ ก่อนจะตะโกนเรียกฝาแฝดดังลั่นห้อง

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ มาใส่รองเท้าแล้วไปขึ้นรถกันครับ”

ปราณันต์ได้แต่อ้าปากหวออย่างตกใจ มาจนถึงวันนี้คามินตะโกนเรียกเจ้าหนูน้อยทั้งสองแทนเขาแล้ว นี่พวกเราสนิทสนมกันถึงขั้นนี้แล้วใช่ไหม พอนึกได้ว่าน่าจะเป็นแบบนั้น คนตัวเล็กก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่าชอบใจ ตอนที่เห็นคามินกำลังขะมักเขม้นกับการใส่รองเท้าให้ปุณณกันต์ ปราณันต์อมยิ้มอย่างชอบใจก่อนจะทรุดลงนั่งแล้วใส่รองเท้าให้ปัณณธรเช่นกัน และเมื่อเรียบร้อยทั้งสองก็พากันจับจูงเด็กๆ ที่กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างอารมณ์ดีที่จะได้ไปเที่ยว ไปขึ้นรถด้วยรอยยิ้ม จากนั้นรถก็เคลื่อนออกไปช้าๆ จากอพาร์ทเม้นท์ไปยังทะเล โดยที่ในรถเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนทั้งสี่คน

.

.

.

คามินใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาถึงชายทะเลที่ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่นัก แพลนของเขาทั้งสี่คนคือ การมาทานอาหารและปล่อยให้เด็กได้เล่นน้ำนิดหน่อย แล้วก็คงจะกลับช่วงหัวค่ำๆ หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เพราะไม่อยากให้ถึงกรุงเทพดึกเกินไป

“ผมเช่าที่พักริมทะเลไว้นะครับ” คามินพูดหลังจากจอดรถหน้าบ้านพักเล็กๆ ทำเอาปราณันต์แปลกใจไม่น้อย

“เอ๊ะ ไหนเราตั้งใจว่าจะไม่ค้างคืนกันนี่ครับ แล้วทำไม...”

ก่อนปราณันต์จะถามจบ คามินก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อนด้วยรอยยิ้ม

“เอาไว้ให้คุณกับฝาแฝดไว้พักผ่อน แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไงครับ จะได้ไม่ต้องไปต่อแถวใช้ห้องน้ำรวมกับคนอื่น มันสะดวกกว่านะผมว่า”

พอพูดจบ ทั้งสี่คนก็ลงจากรถ เนื่องจากที่พักที่คามินจองไว้อยู่ติดทะเล พอเดินมานิดหน่อยก็เห็นทะเลทันที ฝาแฝดดูตื่นเต้นกันมากทีเดียวพอเห็นทะเลอยู่ตรงหน้า

“พี่ปราณ ดูทะเลสิครับ ทะเลๆ” ปุณณกันต์น้อยที่มักเก็บอาการได้ดีเสมอ กำลังกระตุกเสื้อที่เอวของปราณันต์ถี่รัว ดวงตากลมโตของเด็กน้อยเป็นประกายสดใส ปากอิ่มจิ้มลิ้มกำลังยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู จนปราณันต์เห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้

“พี่ปราณณณ เล่นทะเลตอนนี้เลยได้ไหมครับ ปัณณ์อยากเล่นน้ำแล้ว” ส่วนปัณณธรน้อยตอนนี้กำลังเกาะเอวปราณันต์แน่น พลางพูดจาออดอ้อนอย่างน่ารัก คงอยากจะเล่นน้ำทะเลจะแย่แล้วจริงๆ นั่นแหละ

ปราณันต์ทรุดลงนั่งยองๆ ก่อนจะชำเลืองมองคามิน พลางยิ้มนิดๆ ให้กันและกัน เด็กๆ กำลังจ้องหน้าปราณันต์อย่างฝากความหวัง ก่อนจะที่คอตกเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ชายคนโต

“ยังเล่นทะเลตอนนี้ไม่ได้นะครับฝาแฝด” ปุณณกันต์กับปัณณธรหน้าจ๋อย ส่วนปราณันต์กับคามินก็ยิ้มๆ ก่อนที่พี่ชายของเด็กๆ จะพูดประโยคต่อมา “เอาไว้ให้แดดร่มลมตกกว่านี้ พี่ปราณจะปล่อยให้ปุณณ์กับปัณณ์ไปเล่นน้ำนะ แต่ตอนนี้แดดมันยังร้อนอยู่ ขืนไปเล่นกันตอนนี้มีหวังไม่สบายแน่ๆ”

เด็กๆ เงยหน้ามองปราณันต์ทันทีที่ได้ยินปราณันต์พูดจบ พร้อมกับส่งยิ้มสดใสให้ ตากลมโตกำลังบิดเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว รอยยิ้มแบบเดียวกับปราณันต์กำลังถูกส่งออกมาจากเด็กทั้งสอง ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองอดยิ้มตามไม่ได้

“เย่ๆ พี่ปราณสัญญาแล้วนะ เกี่ยวก้อยกันๆ” ปัณณธรน้อยเอ่ยขอทันที ซึ่งปราณันต์เองก็ขำๆ ตอนยื่นนิ้วก้อยออกไปเกี่ยวกับนิ้วเล็กๆ ของเจ้าหนูน้อย

“ครับ พี่สัญญา แต่ตอนนี้เราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่านะ จะเที่ยงแล้ว” ปราณันต์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ

“อื้อ ครับ ไปกินข้าวกัน” ปุณณกันต์น้อยพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะยื่นมือไปกุมปราณันต์ ให้จูงตัวเองพาไป ส่วนปัณณธรน้อยกำลังมองคามินตาเป็นประกาย พี่ชายของครอบครัวรู้ทันทีว่าเจ้าเด็กตัวแสบกำลังต้องการอะไร

“พี่ครามครับบบ” เจ้าแฝดคนเล็กกำลังลากเสียงเรียกคามินอย่างน่ารัก ทำเอาพี่ครามยิ้มหน้าบานตอนเจออ้อนแบบนั้น

“ว่าไงครับปัณณ์ หนูอยากได้อะไร” คามินถามอย่างกระตือรือร้น เจออ้อนขนาดนี้ ให้เขาทำอะไร เขายอมตามใจหมดแหละ

“อุ้มหน่อยครับ อยากให้พี่ครามอุ้ม” เจ้าตัวแสบกางแขนออกทั้งสองข้างพลางโผเข้าหาคามินอย่างประจบเอาใจ

“ปัณณ์นี่นะ..” ปราณันต์ปรามเสียงปลงๆ เขารู้ดีว่าดุไปยังไงก็เปล่าประโยชน์เพราะถึงยังไงคามินก็คงตามใจเจ้าแฝดตัวแสบอยู่แล้ว ใจจริงก็อยากจะดุอีก แต่พอเห็นปุณณกันต์หันมายิ้มอ้อนทำตาโตใส่ เขาเองก็อดใจอ่อนไม่ได้เหมือนกัน เลยเลือกที่จะปล่อยผ่านแทน

“มาครับมา พี่ครามอุ้ม” คามินรั้งเอวเล็กๆ ของเจ้าหนูเข้าหาตัว ก่อนจะยกตัวปัณณธรลอยจากพื้นดิน เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากเจ้าตัวได้ไม่น้อย

“ปุณณ์ครับ อยากให้พี่อุ้มไหม” และก็เหมือนทุกครั้ง ปราณันต์กลัวแฝดคนพี่จะน้อยใจ เลยต้องรีบถามขึ้นมา

“ไม่ครับ ปุณณ์อยากเดินจูงมือกับพี่ปราณมากกว่า” เจ้าหนูน้อยส่งยิ้มสดใสให้คนพี่ ไม่มีวี่แววตัดพ้อในน้ำเสียงหรือสีหน้าสักนิด ปราณันต์จึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ นั่นอย่างเอ็นดู

ทั้งสี่เดินเลียบชายหาดไปนั่งร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลออกไป ก่อนจะเข้าไปนั่งในร้านอาหาร และสั่งอาหารทานกัน และในขณะที่รออาหารมาเสิร์ฟ คามินก็เสนอขึ้นมาว่าเย็นนี้น่าจะทำบาร์บีคิวกินกันที่หน้าที่พัก เพราะไหนๆ ก็มาถึงที่ทะเลนี่แล้ว น่าจะได้มีบรรยากาศสบายๆ ให้เด็กๆ ได้สนุก และเขาก็คิดว่าปราณันต์น่าจะเบื่ออาหารตามร้านแบบนี้แล้วด้วย

“คุณปราณครับ ผมว่าเย็นนี้เราทำบาร์บีคิวกินกันดีไหมครับ” คามินพูดขึ้นมา ปราณันต์มองหน้าคามินนิดนึง ปากอิ่มยื่นออกน้อยๆ เหมือนคนกำลังใช้ความคิด ซึ่งท่าทางแบบนี้ช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาคามิน จนเขาอดเอื้อมมือไปหยิกแก้มนิ่มเบาๆ ไม่ได้

ปราณันต์สะดุ้งนิดหน่อย แต่ปฏิกริยาความเขินของคนตัวเล็กยังรุนแรงเหมือนเดิม เพราะตอนนี้แก้มนวลกำลังขึ้นสีแดงจางๆ แล้ว

“คุณนี่” ปราณันต์พึมพำต่อว่าเบาๆ ไม่จริงจัง ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากคามินได้เป็นอย่างดี “เอาสิครับ ว่าแต่เราจะไปหาของสดจากไหนกันดี”

คามินยิ้มพลางตอบ “ผมเห็นตลาดสดไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ครับ เดี๋ยวเรากินเสร็จแล้วแวะไปซื้อของกัน ส่วนพวกอุปกรณ์เตาปิ้งผมว่าที่ที่พักน่าจะมี เพราะตอนที่ผมติดต่อขอเช่า เขาก็บอกคร่าวๆ อยู่ว่ามีอะไรให้บ้าง”

“ถ้างั้นเอาตามนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวถ้ากินข้าวเสร็จแล้ว เราไปตลาดกัน” ปราณันต์ยิ้มรับ และตอบตกลงโดยไม่มีอิดออด

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ เย็นนี้เรากินบาร์บีคิวกันดีไหมครับ” คามินหันไปพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับฝาแฝด อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งฝาแฝดก็ให้ความร่วมมือตอบรับอย่างดึ

“ดีครับบบ ปุณณ์อยากกินบาร์บีคิวไก่”

“ปัณณ์ก็อยาก เอาบาร์บีคิวอะไรก็ได้ แต่เอาเยอะๆ”

คำตอบของเด็กทั้งสองทำเอาผู้ใหญ่ทั้งคู่ หัวเราะเพราะเอ็นดูไม่หยุดเลยทีเดียว

.

.

.

หลังจากทานอหารกลางวันและไปซื้อของสดที่ตลาดเสร็จ ทั้งสี่คนก็กลับเข้ามาที่บ้านพักพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ ตอนนี้ฝาแฝดยังไม่หยุดคึกคัก แม้แต่ง่วงนอนกลางวันสักนิดก็ไม่มี ปัณณธรน้อยทวงสัญญาจากปราณันต์ยิกๆ ปราณันต์จึงต้องพูดย้ำว่าถ้าแดดหมดแล้ว เขาจะให้ฝาแฝดลงเล่นน้ำทะเลทันที

“แล้วพี่ปราณจะลงไปเล่นกับเราไหมครับ” ปุณณกันต์ถามขึ้น ตาใสๆ กลมๆ จ้องมองพี่ชายไม่กะพริบ

“เอ่อ.. พี่” คนตัวเล็กอึกอัก ไม่กล้ารับปาก คามินเลยต้องกระตุ้นให้ปราณันต์ลงไปเล่นน้ำด้วยกัน

“เล่นด้วยกันนะครับ นานๆ จะได้มาด้วยกันสักที ตามใจเด็กๆ หน่อยเถอะครับคุณปราณ”

ปราณันต์คิดตามที่คามินพูด มันก็จริงตรงที่นานๆ จะได้มาด้วยกันสักครั้ง เขาเองก็แทบไม่เคยจะได้พาเด็กๆ มาเที่ยวแบบนี้เลย ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่มีทั้งเงิน ทั้งเวลา แต่ประเด็นหลักน่าจะเป็นเพราะเขาไม่สามารถดูแลเด็กเล็กๆ ที่อยู่ในวัยกำลังซน ทั้งสองคนพร้อมกันได้ด้วยตัวคนเดียวมากกว่า ถ้าจะพามาทะเลแบบนี้ พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์เลยตัดสินใจรับปากเล่นน้ำกับน้องๆ เพื่อชดเชยเวลาที่ผ่านมา ที่ไม่เคยได้พาเจ้าหนูทั้งสองมาเล่นสนุกแบบนี้เลย

“ก็ได้ครับ เล่นก็เล่น” เด็กๆ ไม่เว้นแม้แต่คามิน พากันยกมือยกไม้ไชโยอย่างดีใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่คนตัวเล็กก็ต้องพูดจากันให้เข้าใจก่อน “แต่อาจจะได้ไม่นานนะเด็กๆ พี่ต้องขึ้นมาเตรียมอาหาร”

ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ยังไงเรื่องการดูแลทุกคนก็ต้องสำคัญกว่าเสมอสำหรับปราณันต์

“ถ้ายังไงผมฝากคุณดูแลเด็กๆ ด้วยนะครับคุณคราม แล้วถ้าไม่ไหวยังไงก็เรียกผมนะ ผมคงลงไปเตรียมอาหารอยู่แถวๆ หน้าที่พัก จะได้ช่วยคุณดูแลเจ้าสองแฝดจากไกลๆ ด้วย”

“ได้เลยครับ” คามินตะเบ๊ะรับคำด้วยท่าทางทะลึ่งทะเล้น ทำเอาปราณันต์อดเอื้อมมือไปฟาดบนไหล่หนาเบาๆ ไม่ได้

คามินเหลือบมองไปที่เด็กๆ ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้เจ้าหนูทั้งสองกำลังหยอกล้อเล่นกันเอง โดยที่ไม่ได้สนใจเขากับปราณันต์เลยสักนิด

พอเห็นแบบนั้น คามินเลยเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่เพิ่งวางลงไปบนไหล่เขามากุมไว้เบาๆ

“คุณปราณครับ” พอคามินเริ่มเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแบบนี้ ปราณันต์ก็รู้โดยทันทีว่าคามินกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร “ผมรออยู่นะครับ”

สายตาคมสบมาที่ตากลมของปราณันต์อย่างคาดหวัง ออดอ้อน และสื่อความหมาย คนตัวเล็กก้มหน้างุด แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ ท่าทางที่บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังเขินมาก

“เย็นนี้ครับ ผมจะให้คำตอบคุณ” ปราณันต์ตอบเสียงเบา คามินยิ้มให้อย่างเข้าใจ ก่อนจะยกมือเล็กๆ ที่เขากำลังกุมไว้ ขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากหยักและกดจูบลงไปเบาๆ

“ได้ครับ ผมจะรอนะ” สองคนเหมือนตกอยู่ในภวังค์และโลกที่เขาทั้งสองสร้างร่วมกัน จนหลงลืมไปว่ามีเจ้าหนูน้อยทั้งสองอยู่ใกล้ๆ ด้วย กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากเจ้าหนูทั้งคู่นั่นแหละ คามินและปราณันต์จึงได้รู้สึกตัว

และด้วยความขี้เล่นของฝาแฝด เจ้าเด็กแสบก็แกล้งทำเป็นเอามือปิดตาสองข้าง แต่เสียงหัวเราะคิกคักกลับยังดังไม่หยุด

“พี่คราม พี่ปราณ เราสองคนมองไม่เห็นแล้ว คิกคิกคิก” ปัณณธรน้อยพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ ทำเอาปราณันต์เขินน้องตัวเองจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่คามินกลับหัวเราะร่าอย่างชอบใจ

“ฮ่าๆ แสบจริงๆ นะปุณณ์ปัณณ์”

“พี่ไม่คุยด้วยแล้ว ไปเตรียมของก่อนดีกว่า” ปราณันต์เดินหนีไปเข้าครัวทันที เด็กๆ เลยลดมือลง ซึ่งคามินเองก็ยืนทำหน้าทะเล้นรอตัวแสบทั้งสองอยู่แล้ว

พอเจ้าหนูทั้งสองเห็นท่าทางของคามินแบบนั้นก็ยิ่งหัวเราะร่าพร้อมกันเข้าไปใหญ่ จนเสียงดังสดใสไปทั่วทั้งบ้าน ทำเอาคนขี้เขินที่หนีไปอยู่ในครัวได้ยินแล้วอดยิ้มตาม จนหุบไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว

.

.

.

พอแดดร่มลมตกตามที่ปราณันต์ได้สัญญาไว้ คนตัวเล็กเลยเปลี่ยนใส่กางเกงว่ายน้ำให้เด็กๆ เตรียมจะพาลงไปเล่นที่ทะเล ก็เลยได้เห็นคามิน ถอดเสื้อใส่กางเกงขาสั้นรออยู่ริมชายหาดแล้ว

ปัณณธรวิ่งไปหาคามินทันที โดยมีปราณันต์จูงปุณณกันต์เดินตามไปด้วยสีหน้าเขินๆ

ปราณันต์คิดนั่นคิดนี่อย่างวุ่นวาย แอบชำเลืองมองคามินที ก็เขินที คามินมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบมากๆ วงแขนเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ส่วนช่วงหน้าท้องก็มีลอนซิกส์แพคที่เห็นชัดเจน ประกอบกับคามินเป็นคนมีผิวสีน้ำผึ้งยิ่งทำให้ขับความเป็นชายให้ดูชัดมากขึ้นไปอีก คามินมีรูปร่างแบบที่ผู้ชายทุกคนอยากมี ปราณันต์เองยังคิดอิจฉาคนตัวโตอยู่ในใจ

มีอยู่อึดใจนึงที่ปราณันต์เผลอจ้องมองคามินอยู่นานพอสมควรโดยที่ไม่รู้ตัว จนคามินตะโกนล้อนั่นแหละเขาถึงหลุดออกจากภวังค์

“อยากมองก็มองเลยครับ เพราะผมตั้งใจจะถอดอวดคุณปราณเลยนะ ถ้าคุณไม่มองผมคงเสียใจแย่” สียงทุ้มเอ่ยติดตลก ทำเอาปราณันต์ยิ่งเขินกว่าเดิม รีบปฏิเสธพัลวัน

“ผมไม่ได้มองคุณสักหน่อย” เสียงหวานเอ่ยปฏิเสธไม่เต็มเสียง เพราะปราณันต์ก็แอบมองอยู่จริงๆ นั่นแหละ

“อะครับ ไม่มองก็ไม่มอง” คามินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกวักมือข้างที่ว่างเรียกปราณันต์กับปุณณกันต์ เพราะอีกมือหนึ่งเขาก็จูงมือปัณณธรน้อยไว้อยู่ “มาครับ มาเล่นน้ำกัน”

ปราณันต์พาปุณณกันต์ไปริมชายหาด เด็กทั้งสองกรี๊ดกร๊าดเสียงใส วักน้ำเล่นใส่ปราณันต์กับคามินอย่างสนุกสนาน คามินจับเด็กๆ ดำผุดดำว่ายด้วยพลังที่เหลือเฟือ เจ้าหนูทั้งสองหัวเราะชอบใจยกใหญ่ แต่ปราณันต์เล่นกับทั้งสามได้ไม่นานก็ต้องมานั่งพักมองดูริมชายหาดแทน เพราะเริ่มเหนื่อยแล้ว

ปราณันต์เห็นคามินอุ้มจับเด็กๆ ขึ้นมาวางริมหาดก่อนจะสั่งให้เจ้าหนูทั้งสองรอตรงนี้ห้ามไปไหน ก่อนที่คามินจะวิ่งมาหยิบห่วงยางที่วางอยู่ข้างๆ ปราณันต์เพื่อเอาไปให้ฝาแฝดเล่น

พอวิ่งมาถึงคามินก็มองปราณันต์ที่กำลังยืนรออยู่ตาค้าง เรียวตาคมเบิกกว้างขึ้นเบาๆ เมื่อมองไปยังคนตัวเล็กตรงหน้า ตอนแรกปราณันต์ก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าคามินเป็นอะไร เขาเลยต้องยื่นห่วงยางของเด็กๆ ให้คามินไปแทน

“ผมฝากน้องด้วยนะครับ เดี๋ยวจะกลับเข้าไปเตรียมอาหารเย็นให้ก่อน”

พอปราณันต์พูดขึ้นคามินก็เหมือนจะรู้สึกตัว เลยรับคำไปเบาๆ

“อ.. อ่อ ได้ครับ คุณปราณไม่ต้องห่วงนะ” ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปหาเด็กแฝด คามินก็หันกลับมาหาปราณันต์อีกครั้ง พร้อมกับยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์แปลกใจกับท่าทีของคามินไม่น้อย

“ตอนแรกผมก็เสียดายนะที่เห็นคุณแต่งตัวมิดชิดมาเล่นน้ำ แต่พอตอนนี้ผมกลับคิดว่าเสื้อยืดขาวตัวนี้มีดีกว่าที่คิด... แบบนี้เซ็กซี่กว่าเยอะ ผมชอบนะ”

พอพูดจบไอ้คนเจ้าเล่ห์ก็ยิ้มกริ่มส่งสายตาเจ้าชู้มาให้ปราณันต์อย่างร้ายกาจ กว่าคนตัวเล็กจะรู้ความหมาย คามินก็วิ่งกลับไปถึงตัวเด็กแฝดเรียบร้อยแล้ว ปราณันต์อดหน้าร้อนกับคำพูดสองแง่สองงามนั่นไม่ได้ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยกมือขึ้นกอดอกหลวมๆ แล้วรีบหันหลังจ้ำเข้าบ้านอย่างคนที่เขินจนไม่รู้จะเขินยังไง

.

.

.

และในขณะที่ปราณันต์กำลังเตรียมอาหารอยู่นั้น เขาก็มองไปที่ทะเลตรงจุดที่ฝาแฝดและคามินเล่นอยู่ด้วยกัน รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฎอยู่บนริมฝีปากเขาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งสามดูน่ารักและกลมกลืนมากเมื่ออยู่ด้วยกัน คามินเข้ากันได้ดีเหลือเกินกับฝาแฝดทั้งสอง เสียงหัวเราะดังเจื้อยแจ้วลอยตามลมมา มันช่างน่าฟังที่สุดสำหรับปราณันต์ เขาไม่เคยเห็นเด็กๆ มีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ตั้งแต่คามินปรากฎตัว เขาและฝาแฝดก็เหมือนได้เจอชีวิตใหม่ มีชีวิตสมบูรณ์แบบมากกว่าเดิม และเมื่อปราณันต์ถึงนึกคำตอบที่จะมีให้คามินคืนนี้ ก็ทำให้เขาอดอมยิ้มออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้เช่นกัน

และพอปราณันต์เตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยพร้อมกิน เขาก็เดินไปตามเด็กๆ และคามินให้เลิกเล่นน้ำขึ้นบ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยคามินอาสาจะอาบน้ำให้เด็กๆ เพราะให้เหตุผลว่าตัวเองก็เปียกอยู่แล้ว ให้ปราณันต์ดูแลเรื่องอาหารไปอย่างเดียวก็พอ

และหลังจากที่ปราณันต์เตรียมนั่นเตรียมนี่เรียบร้อย เขาก็เข้าไปในห้องนอนเพื่อเตรียมเสื้อผ้าที่จะให้ฝาแฝดใส่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คามินพาเด็กทั้งคู่ออกมาจากห้องน้ำพอดี

ปราณันต์เม้มปากแน่น แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ คามินในชุดที่มีผ้าขนหนูเกาะหมิ่นเหม่อยู่ที่เอวหนา เป็นภาพที่ปราณันต์ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น แม้จะเป็นการเปลือยท่อนบนแบบที่ปราณันต์เห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่นี่เป็นอะไรที่แต่งต่างกว่ามาก เพราะตอนนี้คามินช่างดูเซ็กซี่เหลือเกิน แม้จะเขินแต่เขาก็ถอนสายตาออกจากคนตรงหน้าไม่ได้

หยดน้ำเกาะพราวอยู่บนร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผ้าขนหนูที่เกาะต่ำๆ อยู่ที่สะโพก หรือแม้กระทั่งผมสีเข้มที่กำลังเปียกชื้นเพราะเพิ่งได้รับการสระมาหมาดๆ ทุกสิ่งล้วนทำให้ลมหายใจของปราณันต์สะดุด การหายใจเข้าออกแต่ละที ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

“จ้องแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับ” คามินแกล้งพูดล้อๆ จนปราณันต์รู้สึกตัวนั่นแหละ

“เอ่อ อ่อ.. งั้นผมฝากแต่งตัวให้เด็กๆ ด้วยนะครับ เสื้อผ้าอยู่บนเตียงแล้ว” ปราณันต์พูดรัวเร็ว ก่อนจะรีบกลับหลังหันแล้ววิ่งออกไป เรียกเสียงหัวเราะจากคามินได้มากทีเดียว

.

.

.

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ทั้งสามหนุ่มก็ออกมาล้อมวงนั่งทานบาร์บีคิวฝีมือปราณันต์ที่หน้าระเบียงบ้านพัก เด็กๆ กินไป พูดเจื้อยแจ้วไป ผู้ใหญ่ทั้งสองได้แต่ฟังแล้วอมยิ้มตาม

คามินเองพอเห็นปราณันต์ผ่อนคลายกับยรรยากาศโดยรอบก็เบาใจ และเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่เป็นใจให้กับเขาทั้งคู่ คามินเลยเลือกที่จะหยิบไวน์รสชาติดี มาดื่มคู่กับบาร์บีคิว และแสร้งชวนปราณันต์ให้ดื่มเป็นเพื่อนกันอย่างแนบเนียน

“ผมถือไวน์ติดมาด้วย ยังไงดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับคุณปราณ”

คนตัวเล็กมีทีท่าลังเลเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าต้องเรียกความกล้าของตัวเองเพื่อที่จะให้คำตอบคามินในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ และปราณันต์เองก็เห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรเลยตอบตกลง

“ก็ได้ครับ แต่ไม่ดื่มมากนะ ผมหมายถึงคุณด้วยเพราะเดี๋ยวต้องขับรถ”

“โอเคครับ” คามินรับคำและให้สัญญาว่าจะดื่มแค่ไม่กี่แก้วเท่านั้น

ปราณันต์เองก็ดื่มไม่มากเท่าไหร่ เพราะต้องดูแลเด็กๆ แต่หลังจากที่เจ้าตัวแสบกินอิ่ม ก็ดูเหมือนว่าเจ้าหนูทั้งสองจะเริ่มตาปริบปรอย คงจะง่วงกันเต็มแก่ เพราะเมื่อกลางวันก็ไม่ได้นอนมัวแต่คึกคักที่จะได้เล่นน้ำทะเล

สุดท้ายพอเห็นว่าเด็กๆ ไม่น่าจะฝืนตัวเองไหวแล้ว ปราณันต์จึงปล่อยให้คามินกินต่อไปก่อน ส่วนตัวเขานั้นขอพาฝาแฝดไปนอน กะว่าถ้าตนและคามินทานอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว เด็กๆ คงจะนอนได้ตื่นพอดี ถึงเวลานั้นค่อยปลุกเจ้าตัวแสบทั้งคู่แล้วค่อยขับรถกลับกรุงเทพ

และพอปราณันต์พาแฝดไปนอนเรียบร้อย คนตัวเล็กก็ออกมานั่งกินเป็นเพื่อนคามินต่อ ทั้งสองนั่งกินด้วยกันเรื่อยเปื่อย จวบจนกระทั่งเย็นย่ำ คุยไป กินไป จิบไวน์ไป คามินเริ่มเทไวน์ให้ปราณันต์ถี่ขึ้น เขาสังเกตเห็นแล้วว่าแก้มนวลของปราณันต์เริ่มขึ้นสีแดงเรื่อๆ ซึ่งช่างน่ามองเหลือเกินสำหรับเขา และมันไม่ได้แค่น่ามองเท่านั้น เขากลับคิดว่าปราณันต์เองก็คงจะเริ่มกรึ่มๆ แล้ว


... สร้างบรรยากาศมามากพอแล้ว ได้เวลาเอาจริงเสียที ...


“คุณปราณครับ คุณสัญญากับผมไว้ว่าจะให้คำตอบเรื่องระหว่างเรา” คามินเอื้อมมือไปกุมมือปราณันต์ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างแผ่าเบา “คุณปราณพร้อมรึยังครับ?”

คามินกระซิบถามเสียงพร่า ปราณันต์ที่เวลานี้ทั้งเขิน ทั้งถูกแอลกฮอล์มากระตุ้นก็เกิดจะตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น หัวใจดวงเล็กๆ ของเขาเต้นถี่กระหน่ำ ราวกับจะหลุดออกมาจากอกยังไงยังงั้น

แต่เขาจะหลีกเลี่ยงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ยังไงก็สัญญากับคามินไว้แล้วว่าจะให้คำตอบ ต่อให้ต้องดึงเวลาน่ไปนานแค่ไหน ยังไงคำตอบที่เขาจะให้อีกฝ่ายก็ไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี

“ผมพร้อมแล้วครับ” เสียงหวานหลุดออกมาจากปากอิ่มอย่างน่าฟัง คามินยอมรับว่าคาดหวังมาก เขาอยากครอบครองปราณันต์เหลือเกิน เขาอยากทำให้คนๆ นี้เป็นของเขาแค่เเพียงคนเดียว

“แล้วตกลงว่าคำตอบของคุณคือ?”

ไม่ใช่แค่ปราณันต์ที่ตื่นเต้น ตอนนี้คามินเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยกว่า คนตัวโตอดแปลกใจกับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมีอาการแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่เขาตื่นเต้นนี่มันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แทบจะจำความไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาตื่นเต้นกับคำตอบที่ว่าจะตกลงหรือไม่ตกลงเป็นแฟนของผู้ชายตัวเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า ช่างน่าขันสิ้นดี

ปราณันต์เองก็เช่นกัน เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะผ่อนออกช้าๆ เพื่อลดความตื่นเต้น จากนั้นปากอิ่มก็แย้มยิ้มหวานสดใส พลางพูดตอบคำถามของสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับคามินเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ

“คำตอบของผม กับคำถามที่คุณเคยถามว่าเราจะคบกันได้ไหม คือ ตกลงครับ... ผมจะคบกับคุณ

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------------------------------------

โถ พี่ปราณ หนูรูกกกกกกกก จะบอกให้หนีไปก็ไม่ทันแร้วสินะ แง้ ><

เรียนแจ้งทุกท่านทราบบบ เรื่องนี้มีความยาวอยู่พอสมควร มาถึงตรงนี้น่าจะยังไม่ครึ่งเรื่องดีเลยยย 5555555555555 อาจจะมาลงอาทิตย์ละตอนสองตอน แต่มาแน่ทุกอาทิตย์และลงจบแน่ๆ ค่ะไม่ต้องห่วง

ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์ได้นะคะ รออ่านคอมเม้นท์อยู่เด้ออออ และก็ต้องขอบคุณทุกกำลังใจและคอมเม้นท์ด้วยนะคะ ตอนต่อไปจะรีบมาไวๆ แต่อาจจะหลังเปิดปีใหม่เลย

ยังไงถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ทุกคนเลยแล้วกันนะคะ ขอให้นักอ่านทุกท่านมีความสุข ร่างกายแข็งแรง ขอให้มีแต่เรื่องดีๆ คนดีๆ สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต คิดหวังอะไรก็ขอให้สมปรารถนา ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามกันมาตลอด และก็หวังใจว่าเราจะมีกันแบบนี้ไปอีกปี หรือจะนานๆ กว่าปีก็ได้ นุไม่ขัดข้องเลยยย.. รักทุกคนนะคะ

เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...31/12/63 [13th Lies: คำตอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 31-12-2020 09:47:54
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...31/12/63 [13th Lies: คำตอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 31-12-2020 10:58:45
ครอบครัวสุขสันต์วันหวานในคืนหลอกลวง 5555 เขาคบกันแล้ววววว  :-[ มาต่อยาวๆเลย รอตอนต่อไป

ส่งท้ายปีและสวัสดีปีใหม่จ้า  :L1: :L1: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...31/12/63 [13th Lies: คำตอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 31-12-2020 16:48:49
ใกล้เวลาเจ็บแล้วสิ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/01/64 [14th Lies: เริ่มต้น]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 07-01-2021 19:34:22
14th Lies : เริ่มต้น

คามินจ้องหน้าปราณันต์นิ่ง เขาแทบจะลืมหายใจ ตอนได้ยินคำตอบที่หลุดออกมาจากปากอิ่ม

“คำตอบของผมคือ ‘ตกลงครับ’ ผมจะคบกับคุณ”

คามินยิ้มจนหน้าบาน เขาแสดงอาการดีใจออกมาจนนอกหน้า ในที่สุดคนตัวเล็กก็ตอบตกลงที่จะคบกับเขาเสียที

คามินลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ในขณะที่ปราณันต์เองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างมอง ต่างเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน ในแววตาของทั้งคู่ที่ถ่ายทอดออกมามีแต่ความสุข จนรอยยิ้มที่ส่งให้กันไม่ได้เลือนหายไปจากริมฝีปากของคนทั้งคู่เลย

คนตัวโตกว่าพุ่งเข้าไปกอดปราณันต์ไว้เบาๆ พลางกระซิบข้างใบหนูนิ่มไม่ขาดปาก

“ขอบคุณนะครับคุณปราณ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมนะครับ”

ริมฝีปากหยักคลอเคลียอยู่ที่ใบหูปราณันต์ไม่ห่าง คนตัวเล็กกว่าก้มหน้างุดซุกกับอกคามินอย่างเขินอาย ใบหน้าหวานสวยพยักรับรู้อยู่ในอ้อมแขนแกร่งไม่หยุด เขารู้ว่าคามินดีใจที่เขาตอบตกลง แต่การมาวอแวอยู่ใกล้ๆ แบบนี้มันก็อันตรายต่อหัวใจเขาไม่น้อยเหมือนกัน

“คุณ ผมรู้แล้ว เลิกขอบคุณเถอะ” ปราณันต์พยายามขืนตัวออกเบาๆ “แล้วก็ปล่อยเถอะครับ ผมจะไปดูนเด็กๆ ว่าตื่นรึยัง”

คนตัวเล็กดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของคามิน แต่ยิ่งพูดห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เพราะตอนนี้คนตัวโตกว่ากำลังใช้วงแขนแข็งแรง รัดเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม

“อยู่แบบนี้อีกสักพักเถอะนะครับ ผมยังไม่อยากปล่อยคุณปราณไปเลย” ใบหน้าคมคายซุกอยู่บนต้นคอหอมๆ ของปราณันต์ไม่ปล่อย ยิ่งสูดดมกลิ่นกายคนตรงหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ สติของคามินก็ยิ่งหลุดลอยมากขึ้นเท่านั้น

ริมฝีปากหยักเริ่มพรมจูบลงบนบาดไหล่ของคนตัวเล็ก แล้วไล่ขึ้นมา พร้อมๆ กับที่จมูกโด่งเป็นสันกำลังลากขึ้นมาตามแนวต้นคอ ด้วยความที่ไม่เคยถูกใครทำแบบนี้มาก่อน ทำให้ปราณันต์ถึงกับยืนนิ่งเหมือนถูกสาป เขาเองก็แทบจะลืมหายใจ เหมือนกำลังถูกความรู้สึกบางอย่างที่แปลกใหม่ก่อตัวอยู่ในช่องท้องของตน

คามินเองก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำให้คนตรงหน้าวางตัวไม่ถูก ปราณันต์ยืนแข็งนิ่ง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่หยุด เด็กคนนี้เหมือนสิ่งเสพติด ถ้าได้ลิ้มรส แล้วจะมึนเมาหยุดไม่ได้ มีแต่จะต้องการมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ริมฝีปากหยักของคนตัวโตลากไล้ขึ้นมาอยู่ที่ข้างแก้มปราณันต์แล้ว เขาเองก็อยากจะผลักไส แต่ดูเหมือนกับว่าเรี่ยวแรงที่ควรมีกลับเลือนหายไปหมด มือไม้ของเขาอ่อนแรงลง ที่ทำได้แค่ยึดไหล่คนตรงข้ามไว้แน่น เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยมือออกจากไหล่หนานี้ ตัวเขาเองอาจจะทรุดลงไปกองกับพื้นก็ได้

คามินจูบและสูดดมแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างย่ามใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์กำลังขาดสติ จนไม่ทันได้ยั้งคิดอะไร ถ้าหากเขาอยากจะได้มากกว่านี้อีกสักนิด มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

สุดท้ายคามินจึงตัดสินใจถอนใบหน้าให้ถอยออกมาจากปราณันต์เล็กน้อย สายตาคมก็จับจ้องไปยังใบหน้าหวานสวยนิ่ง ตัวปราณันต์เองก็เขินอายเกินกว่าจะมองหน้าคามินตรงๆ ได้ จึงต้องเสก้มหน้าหลบตา เพราะไม่อยากให้หัวใจต้องเต้นแรงและทำงานหนักกว่าเดิม แต่ยังไงก็เหมือนห้ามไม่ได้ หนีไม่พ้น เพราะจู่ๆ คามินก็ยื่นหน้ามากระซิบจนติดกับริมฝีปากอิ่ม... ราวกับกำลังขอร้องและอ้อนวอน

“ผมขอจูบคุณปราณได้ไหมครับ” ปราณันต์เม้มริมฝีปากอัตโนมัติ ใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อสักครู่จบ คามินยังคงไล้จมูกโด่งไปมาเบาๆ ที่แก้มของเขา เหมือนกับกำลังขออนุญาตอยู่ในที

“…นะครับ” คามินยังคงอ้อนวอน และค่อยๆ ขยับริมฝีปากหยักเข้ามาช้าๆ และยังคงคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มสีสดของปราณันต์ไม่เลิก จนสุดท้ายคนตัวเล็กก็ตกหลุมพลาง ค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ เพื่อรอรับการจู่โจม

คามินไม่รีรออะไรอีกต่อไป ริมฝีปากหยักโฉบลงทันทีที่เห็นปฏิกริยาที่บ่งบอกว่าอนุญาตขอคนตรงข้าม คามินบดคลึงริมฝีปากของตนลงบนความหยุ่นนุ่มของริมฝีปากอีกฝ่าย มันช่างหอมหวานและยังน่าสัมผัสเสมอ

เขาค่อยๆ ขบเม้มและดึงดูดริมฝีปากอิ่มช้าๆ ในขณะที่สายตาคมก็เหลือบมองใบหน้าหวานที่อยู่แทบจะแนบชิดติดกัน คามินก็เพิ่งสังเกตเห็น ว่าอวัยวะทุกอย่างบนใบหน้านวลใสนี้ ช่างสวยงามและเหมาะเจาะพอดีกันไปทุกส่วน ทั้งแพขนตาหนา ดวงตากลมโตที่กำลังหลับพริ้ม ไหนจะมูกโด่งรั้นที่บ่งบอกถึงความดื้อดึงของเจ้าของได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญริมฝีปากอิ่มสีสดที่เขากำลังลิ้มลองอยู่นั้นมันช่างล้ำค่าและหอมหวาน ต่อให้ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตามเพื่อได้ครอบครองริมฝีปากนี้ไปตลอดชีวิต คามินแน่ใจว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาคงไม่ลังเลที่จะยอมทำ เพราะดูแล้วมันคงคุ้มค่าเหลือเกิน

คามินค่อยๆ ละเลียดไล้ริมฝีปากปราณันต์ช้าๆ ค่อยๆ ขบเม้มดึงดูดความหอมหวานนั้นอย่างมัวเมา มือใหญ่ประคองใบหน้าเล็กๆ นั่นเพื่อจับปรับองศาให้เขาจูบได้ถนัดยิ่งขึ้น ก่อนที่คามินจะทวีความร้อนแรงของจูบครั้งนี้ลงไปอีกเท่าตัว

คามินใช้มือข้างที่ว่างรั้งเอวของปราณันต์เข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะค่อยๆ ใช้ลิ้นกวาดเลียตามร่องปากอิ่มอย่างกำลังร้องขอ ... ขอให้เขาได้เข้าไปสำรวจให้ลึกซึ้งกว่าเดิม

และทันทีที่ปราณันต์เผยอริมฝีปากขึ้นเพราะทนความเคลิบเคลิ้มไม่ไหว คามินก็ส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปสำรวจในโพรงปากอิ่ม พร้อมทั้งเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กๆ ที่ยังไม่ประสีประสาของปราณันต์ไว้อย่างเชี่ยวชาญ ยิ่งทำให้คนในอ้อมกอดของคามินสั่นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ปราณันต์ยังอ่อนประสบการณ์มากในเรื่องแบบนี้ การตอบสนองต่อจูบของคามินจึงยังดูงกๆ เงิ่นๆ แต่แทนที่สิ่งเหล่านี้จะทำให้คนตัวโตกว่าเสียอารมณ์ มันกลับส่งผลในทางตรงข้าม เพราะตอนนี้คามินกำลังรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น กระตุ้นด้วยความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย และนั่นกำลังทำให้เขาต้องการมากกว่าจูบ

แม้สมองจะสั่งว่าอย่า เพราะตอนนี้คงไม่ใช่จังหวะที่ดีนักที่จะรวบรัดครอบครองปราณันต์ไปทั้งหมด แต่ความต้องการของร่างกายและหัวสมองมักจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามเสมอ...

คามินรั้งเอวของปราณันต์เข้ามาชิดใกล้กับตัวเองมากกว่าเดิม ร่างกายของทั้งคู่กำลังร้อนรุ่มด้วยเพลิงอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ด้านใน คามินค่อยๆ ดันปราณันต์ถอยหลังไปช้าๆ จนตอนนี้ทั้งคู่ออกมานอกอาณาบริเวณของห้องครัว หางตาของคามินเหลือบมองเห็นโซฟาตัวยาวอยู่ในห้องนั่งเล่นห่างไปไม่ไกล เขาค่อยๆ ดันปราณันต์ออกไปยังโซฟาตัวที่ว่า โดยที่ริมฝีปากของคนทั้งสองยังคงไม่แยกจากกัน และเมื่อถึงที่หมายที่คามินตั้งใจ เขาก็ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกจากคนตรงข้ามอย่างอ้อยอิ่ง สายตาคมแสดงความเสียดายออกมาอย่างปิดไม่มิด คามินยอมรับว่ายังอยากละเลียดชิมริมฝีปากที่แสนหวานนี้ให้นานอีกสักหน่อย แต่เพื่อสิ่งที่มากกว่าเขาจึงต้องยอมถอนใบหน้าออกมา

สายตาคมกับสายตากลมเป็นประกายกำลังสบกัน ก่อนที่คามินจะจับปราณันต์นั่งรถบนโซฟา แล้วเอนตัวคนใต้ร่างให้นอนลงอย่างเบามือ โดยที่มีร่างกายสูงใหญ่ของเขาตามลงมาทาบทับไม่ห่าง

ปราณันต์ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ คามินต้องรีบก้มลงไปกอดร่างเล็กๆ ไว้แนบอก ราวกับกำลังปลอบประโลม จมูกโด่งรั้นของคนตัวโต ก้มลงซุกไซร้ที่ซอกคอมหอมกรุ่นของปราณันต์ไม่ห่าง คนใต้ร่างเองก็ดูเหมือนจะเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ จนเผลอโอนอ่อนผ่อนตามจนไม่เหลือปราการใดๆ ไว้ป้องกันตัวเองเลย

แสงก่อนตะวันตกดินส่องเข้ามาผ่านบานหน้าต่าง อาบไล้ร่างใต้อาณัติของคามิน ยิ่งทำให้เวลานี้ ร่างเล็กที่กำลังนอนหอบหายใจถี่อยู่ดูสวยงามจนน่าจับต้องไปหมดทุกส่วน มือใหญ่ของคามินค่อยๆ ลูบไล้ไปที่แก้มนิ่มของปราณันต์อย่างเบามือ จากนั้นจึงค่อยๆ ไล่มือลงปลดกระดุมบนเสื้อเชิ้ตของปราณันต์อย่างเชื่องช้า เพราะไม่อยากให้ลูกไก่ตัวน้อยในกำมือตกใจ และเมื่อกำลังจะถึงกระดุมเม็ดสุดท้าย มือใหญ่ก็จำเป็นต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงเล็กๆ ของใครบางคนกำลังร้องเรียกปราณันต์อยู่ไกลๆ

“พี่ปราณ พี่ปราณอยู่ไหนครับ”

... เสียงของปุณณกันต์

พี่ชายคนโตของครอบครัวเหมือนหลุดออกจากภวังค์ที่คนตัวโตได้สร้างขึ้นมาอย่างฉับพลัน

"...ปุณณ์"

ตากลมเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินเสียงน้องชายเรียก พอได้สติก็นึกรู้ทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แก้มนวลทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด มือเล็กๆ ค่อยๆ ดันคนที่กำลังคร่อมร่างตัวเองอยู่ด้านบนออก มือเรียวสั่นจนแทบทำอะไรไม่ถูก อีกไม่ช้า ปุณณกันต์จะต้องเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น คามินถึงกับส่ายศีรษะ และพรูลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด


‘กำลังจะไปได้ดีแล้วเชียว ปุณณกันต์นะปุณณกันต์’


แต่ถึงแม้คามินจะเสียดายความหอมหวานของคนใต้ร่างมากแค่ไหน แต่ถึงเวลาที่ต้องหยุด เขาก็จำเป็นต้องห้ามใจ และเมื่อยิ่งเห็นปราณันต์พยายามติดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองด้วยมือที่สั่นเทาแล้ว เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือใหญ่เข้าไปช่วยเหลือ

“มาครับ ผมช่วย” คามินก้มลงมากระซิบเบาๆ ปราณันต์ก็ได้แต่เหลือบมองใบหน้าคมคายด้วยความขอบคุณ

“เอ่อ.. ขอบคุณนะครับ” ปราณันต์อ้อมแอ้มพูด เขาเองก็ตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก เรื่องนี้จะโทษคามินคนเดียวก็ไม่ถูก เพราะตัวเขาเองก็ยอมโอนอ่อนให้คนตัวโต จนเกือบจะเกินเลยไปแล้วเหมือนกัน

และทันทีที่กระดุมเม็ดสุดท้ายถูกกลัด ปุณณกันต์ก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพอดี ปราณันต์รีบดันคามินออก ก่อนที่ตัวเองจะรีบหย่อนขาลงมาจากโซฟา ปรับท่านั่งให้เป็นปกติ ไม่ใช่ท่านอนกึ่งนั่งแบบก่อนหน้านี้ และถึงแม้แก้มนวลจะยังเห่อแดงทั้งจากแรงอารมณ์ และความเขินอายก่อนหน้า แต่ปราณันต์ก็ยังพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ แล้วเอ่ยเรียกปุณณกันต์อย่างร่าเริง

“ปุณณ์ครับ พี่ปราณอยู่นี่ครับ” คนตัวเล็กรีบเดินไปหาเจ้าหนูน้อยที่กำลังเดินทั้งที่สะลึมสะลือเข้ามาหาตน พลางโอบรั้งเจ้าตัวเล็กไว้แนบอก

“ตื่นแล้วหรอครับ” ปราณันต์กดริมฝีปากอิ่มของตัวเองลงบนขมับเล็กๆ ของเจ้าแฝดคนพี่ “นอนเต็มตาแล้วหรอ? ทำไมรีบตื่นล่ะครับ”

เจ้าหนูน้อยในอ้อมแขน โอบรั้งครอบคอของปราณันต์ไว้ไม่ห่าง

“ไม่รู้สิครับ อยู่ๆ ปุณณ์ก็ตื่นขึ้นมาเอง” เจ้าแฝดคนพี่พึมพำอู้อี้อยู่กับอกอุ่นๆ ของปราณันต์ คามินที่ได้ยินปุณณกันต์ตอบพี่ชายแบบนั้น เขาก็ได้แต่ถอนใจอย่างปลงตก จู่ๆ เจ้าหนูน้อยนี่ก็ดันตื่นขึ้นมา ตื่นมาแบบไม่มีเหตุผลเสียด้วย ท่าทางวันนี้โอกาสที่จะได้ลิ้มลองความหอมหวานจากปราณันต์ คงจะไม่ใช่ของเขาแล้วแน่ๆ

“สงสัยจะไม่คุ้นที่” ปราณันต์งึมงำพูดขึ้นมาอย่างสันนิษฐาน พลางเหลือบมองคามินแบบเขินๆ “ผมว่าเดี๋ยวอีกสักพัก ปัณณ์ต้องตื่นแน่ๆ เพราะปกติฝาแฝดจะตื่นไล่ๆ กันตลอด”

ปราณันต์พูดขึ้นให้คามินรับรู้ คนตัวโตเองก็ได้แต่มองตอบเจ้าของใบหน้าหวานตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาจะทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ล่ะ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข้าไปดูปัณณ์ในห้องนอนให้” คามินเดินเข้ามาใกล้ปราณันต์และปุณณกันต์ ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ ของเจ้าแฝดอย่างมันเขี้ยว จากนั้นก็ผละออกมาลูบแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างเบามือ ก่อนที่ทั้งสองจะยิ้มๆ ขำๆ ให้กันอย่างรู้ความนัย

“พาน้องไปล้างหน้าเถอะครับคุณปราณ เดี๋ยวผมมา”

คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะอุ้มปุณณกันต์ไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล ส่วนคามินที่กำลังจะเดินไปทางห้องนอน ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างเตี้ยๆ ป้อมๆ ของเจ้าแฝดคนน้องเดินออกมาก่อนพอดี

“ปัณณ์ ตื่นแล้วหรอครับ มาหาพี่ครามมา” คามินทรุดตัวลงนั่งยองๆ ก่อนจะอ้าแขนออกกว้างเพื่อรอรับการถาโถมจากเจ้าตัวน้อยที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างไม่รีรอ

“งื้อ พี่คราม” ปัณณธรน้อยตอนนี้กำลังซุกอยู่กับอกอุ่นๆ ของคามินเรียบร้อบแล้ว กำลังพึมพาหาพี่ชายทั้งสองไม่หยุดปาก “พี่ปุณณ์กับพี่ปราณหายไปไหน ปัณณ์ตื่นมาก็ไม่เจอพี่ปุณณ์แล้ว”

ปัณณธรน้อยพูดพลางทำเสียงสั่นเสียงเครือ เพราะหาพี่ชายตัวเองไม่เจอ ทำเอาคามินต้องทั้งกอดทั้งหอม ปลอบใจกันยกใหญ่

“พี่ปราณกับพี่ปุณณ์อยู่ในห้องน้ำครับ เดี๋ยวก็ออกมานะ” พอได้ยินพี่ครามบอกแบบนั้น เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มออก ด้วยเพราะนึกว่าตัวเองจะโดนพวกพี่ๆ ทิ้งไว้ซะแล้ว

“งื้ออ พี่คราม กอดหน่อยครับ” พอได้คำตอบที่พอใจเจ้าตัวน้อยก็หันมาอ้อนคามินต่อทันที

คามินได้แต่อมยิ้มมองร่างเล็กๆ ในอ้อมกอดอย่างเอ็นดู แล้วแบบนี้เขาจะโกรธเจ้าฝาแฝดที่ชอบเข้ามาขัดจังหวะลงได้อย่างไร ก็เจ้าหนูเล่นน่ารักกันซะขนาดนี้ หัวใจที่แสนเย็นชาของเขา ก็มีแต่จะโอนอ่อนให้อย่างไม่สิ้นสุดนั่นแหละ

คามินกอดฟัดอยู่กับแฝดคนน้อง จนปราณันต์และปุณณกันต์เดินออกมาจากห้องน้ำ

“อ่าว ปัณณ์ตื่นแล้วหรอครับ” ปราณันต์ทักขึ้น ก่อนที่ปัณณธรจะผละออกจากอกคามิน แล้วเดินไปหาพี่ชายทั้งสองช้าๆ

ปราณันต์กางแขนออกเพื่อรอให้เจ้าหนูคนน้องเดินเข้ามา พร้อมกับปล่อยมือให้ปุณณกันต์ออกไปหาคามิน และพอถึงอ้อมกอดของพี่ชาย ปัณณธรน้อยก็โถมกอดไว้แน่น ก่อนที่จะยอมให้ปราณันต์พาไปล้างหน้า แปรงฟันให้สดชื่น เพื่อเตรียมกลับกรุงเทพต่อไป

.

.

.

และหลังจากจัดการธุระต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็ช่วยกันเก็บของเพื่อเตรียมกลับ เพราะตอนนี้ก็เริ่มจะค่ำแล้วด้วย คงต้องรีบ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้คามินก็จะต้องเตรียมขนของเข้ามาที่อพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์อีก

เจ้าตัวน้อยช่วยเก็บของชิ้นเล็กๆ ลงกล่องลงลังอย่างน่าเอ็นดู จนผู้ใหญ่ทั้งสองหันมาเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้

“พี่ปุณณ์ๆ เอาอันนี้ใส่ก่อนสิ แล้วค่อยเอาอันนี้ใส่”

“อื้อๆ งั้นปัณณ์หยิบอันนั้นมาให้หน่อย เดี๋ยวพี่จะเอาอันนี้ใส่ก่อน”

คามินเห็นสองแฝดเจื้อยแจ้วช่วยกันเก็บของ เลยพยายามมองหาว่าพี่ชายคนโตของครอบครัวหายไปไหน เขาเพิ่งเอาของบางส่วนไปเก็บที่รถมา ซึ่งพอหลังจากที่ปุณณ์ตื่นมาขัดจังหวะตอนนั้น เขาก็ไม่ได้คุยกับปราณันต์เป็นเรื่องเป็นราวอีก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปราณันต์จะโกรธหรือไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำไปก่อนหน้านี้หรือป่าว

ที่จริงแล้วคามินเองก็ไม่อยากจะทำให้ปราณันต์ตื่นกลัวหรือตกใจเลย แต่สถานการณ์ตอนนั้นเขาเองก็ควบคุมอารมณ์ไม่ไหวแล้วจริงๆ เหมือนกัน

คามินมองเห็นหลังเล็กๆ ของปราณันต์ในห้องครัว จึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงียบๆ ก่อนจะเหลียวหันไปมองเจ้าฝาแฝดนิดหน่อย พอเห็นว่าเจ้าหนูทั้งสองกำลังสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าอย่างอื่น คามินจึงค่อยๆ เดินเข้าไปโอบกอดด้านหลังของปราณันต์ไว้อย่างเบามือ

“อ๊ะ” คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งนิดหน่อย ตอนที่มือใหญ่แตะลงบนเอวบางของตน “คุณครามเองหรอครับ” แต่พอเห็นว่าเป็นใคร ปราณันต์ก็ยิ้มออกมาบางๆ อย่างเขินอาย

“ครับ ผมเอง ผมทำให้คุณปราณตกใจหรือเปล่า” คามินใช้แขนแข็งแรงโอบรั้งแผ่นหลังปราณันต์ไว้แนบอก พร้อมกับที่วางคางตัวเองลงบนลาดไหล่เรียวอย่างออดอ้อน

“ไม่หรอกครับ พอดีผมกำลังเก็บของเพลินๆ เลยไม่ทันได้สังเกตเห็นคุณ” คนตัวเล็กตอบยิ้มๆ พลางก้มลงมองใบหน้าคมคาย ที่ตอนนี้อยู่ห่างใบหน้าของตนไม่กี่คืบ

คามินกดริมฝีปากหยักลงบนต้นคอของปราณันต์เบาๆ พลางถามเสียงเศร้า ที่ฟังดูแล้วมีแต่ความไม่มั่นใจเต็มไปหมด

“คุณปราณโกรธผมรึป่าวครับที่เมื่อกี้ผมเกือบทำเกินเลยไปกับคุณ”

และแม้จะยังไม่ได้หันมาเผชิญหน้ากัน แต่คามินก็รู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์กำลังเขิน เพราะถ้ามองจากด้านข้างจะเห็นว่าแก้มนวลใสของคนตัวเล็ก กำลังขึ้นสีแดงจางๆ น่ามองมากทีเดียว

“ผ ผม..” ปราณันต์เองก็อึกอัก ไม่รู้จะปฎิเสธยังไงไม่ให้ดูน่าเกลียด อันที่จริงเขาเองก็ผิดที่ไม่ได้ปัดป้อง หรือแสดงออกให้ชัดเจนว่าไม่ต้องการ เพราะตัวปราณันต์เองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาพอใจมากแค่ไหนที่ได้ถูกคามินสัมผัส หรือเอาอกเอาใจ

แค่มองปราดเดียว คามินเองก็พอรู้คำตอบแม้ปราณันต์จะยังไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ คนตัวเล็กยังไร้เดียงสามากกับเรื่องเหล่านี้ แค่ถูกกระตุ้นเข้าหน่อยก็ยอมโอนอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟเลยทีเดียว

แต่ยังไงเสีย เพื่อเป็นการตอกย้ำให้แน่ใจ คามินจำเป็นต้องได้ยินจากปากปราณันต์เอง เพราะในไม่ช้า เรื่องแบบนี้ระหว่างเขาและปราณันต์คงจะต้องเกิดขึ้นอีก และเมื่อถึงเวลานั้นคามินไม่ต้องการให้ปราณันต์เกิดเปลี่ยนใจหรือมีอะไรผิดพลาดกะทันหันทั้งนั้น

“ถ้าคุณปราณรู้สึกรังเกียจหรือไม่โอเค คุณปราณพูดกับผมตรงๆ ได้เลยนะครับ ผมจะได้รู้ตัวและไม่ทำแบบนั้นอีก” คามินแกล้งทำเสียงเศร้า และถอนอ้อมกอดจากคนตัวเล็กตรงหน้า พร้อมทั้งก้าวถอยหลังอีกนิดหน่อย เท่านี้ก็ทำให้ปราณันต์หันหน้ากลับมา พร้อมทั้งรั้งแขนใหญ่ไว้ในมือแทบจะทันทีทันใด

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจคุณ เอ่อ.. คือ ผม.. ผมไม่เคยรังเกียจคุณครามเลย ตรงกันข้าม คุณทำให้ผมรู้สึกดีด้วยซ้ำ”

และด้วยคำพูดซื่อๆ ของปราณันต์ที่แสดงออกมา ทำให้คามินแทบอยากจะกระโจนเข้าฟัดคนตรงหน้าให้หายมันเขี้ยว ยิ่งอยู่ด้วยกัน คามินยิ่งค้นพบว่า ความน่ารักของปราณันต์ที่เขาชอบคือ การแสดงออกอะไรตรงๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อน สิ่งเหล่านี้คือเสน่ห์ของคนตัวเล็กที่คามินมองว่า มันช่างน่าสนใจเหลือเกิน

“คุณปราณพูดจริงนะครับ?” คามินถามย้ำ “คุณไม่ผิดหวังหรือเสียใจแน่นะครับ ที่ตกลงคบกับผม”

ปราณันต์ส่งยิ้มสว่างสดใสให้คามิน ก่อนจะตอบอย่างชัดเจนว่า

“ไม่เลยครับ ผมรู้ว่าผมตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกคบกับคุณ” ปราณันต์มองคามินด้วยดวงตากลมโตใสเป็นประกาย “ผมเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่คุณก็เข้ามา คอยช่วยเหลือ ดูแล ให้ความรัก เอาใจใส่ผมและน้องๆ แล้วแบบนี้ ผมจะตัดสินใจผิดที่เลือกคุณได้ยังไงล่ะครับ”

คามินยอมรับว่าได้ยินแล้วก็อึ้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน ดูท่าแล้ว ปราณันต์ปักใจและซาบซึ้งมากกับทุกสิ่งที่เขามอบให้ ทั้งๆ ที่ทุกการกระทำของคามินล้วนมีนัยยะบางอย่างแอบแฝงทั้งนั้น

แต่คามินก็ยังคงเป็นคามินวันยังค่ำ ร่างสูงยังคงบอกกับตัวเองว่าการที่ปราณันต์จะหลงรักเขาหัวปักหัวปำ ก็ไม่ใช่ความผิดเขาเสียหน่อย เพราะสุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่ปราณันต์เลือกก็เลือกจากความต้องการของตัวเองทั้งนั้น และเมื่อเลือกแล้ว ปราณันต์ก็ต้องทำใจรับในสิ่งที่จะตามมาด้วย

และเมื่อคามินได้ยินคำตอบที่แสนจะถูกใจจากปราณันต์แล้ว คนตัวโตก็พุ่งเข้าไปกอดคนตัวเล็กไว้ทันที พร้อมทั้งระดมจูบปากอิ่มอย่างยินดี


จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ~


“ขอบคุณมากนะครับคุณปราณ ขอบคุณมากนะครับที่ให้โอกาสผม”

ซึ่งคนตัวเล็กเองก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าที่กำลังแดงให้คามินอย่างเขินอาย ก่อนที่จะขอตัวเลี่ยงไปหาเด็กๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป น่าจะเพราะกำลังทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะแสดงออกยังไง เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันหมาดๆ

.

.

.

และหลังจากจัดการขนของทั้งหมดขึ้นรถเพื่อเตรียมกลับ คามินและปราณันต์ก็พากันจับจูงเด็กแฝดทั้งสองออกมาจากบ้านพักชั่วคราว โดยที่เจ้าหนูน้อยทั้งสองยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุด น่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ได้พักผ่อนกันเต็มที่แล้ว

“ปุณณ์กับปัณณ์ชอบที่นี่ไหมครับ” คามินถามขึ้นตอนที่กำลังอุ้มปัณณธร และมืออีกข้างก็จูงปุณณกันต์เดินไปที่รถ ส่วนปราณันต์คนพี่นั้นกำลังตรวจตราความเรียบร้อยว่ามีการหลงลืมอะไรหรือเปล่า อยู่รอบๆ ที่พัก ก่อนจะวิ่งตามออกมา เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

“ชอบครับ ปัณณ์ชอบ ไว้วันหลังพี่ครามพามาอีกได้ไหมครับ” และทันทีที่พูดจบประโยค เจ้าตัวน้อยก็ใช้มือเล็กๆ ตะปบลงบนปากอิ่มจิ้มลิ้มของตัวเองทันควัน ราวกับนึกขึ้นได้ว่าได้พูดบางอย่างที่ไม่สมควรออกไป

“เป็นอะไรไปครับปัณณ์” คามินถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นของฝาแฝดคนน้อง

“ปัณณ์ไม่น่าพูดแบบนั้นเลย พี่ปราณเคยบอกไว้ว่าไม่ให้รบกวนพี่คราม พาไปนั่นไปนี่” เด็กน้อยช่างเจรจาพูดหน้าเศร้า เขาลืมไปได้ยังไงกันนะ พี่ปราณสั่งไว้อย่างดี ว่าไม่ให้รบกวนพี่ครามถ้าไม่จำเป็น

คามินมองเจ้าตัวน้อยพลางอมยิ้มให้อย่างเอ็นดู พร้อมกับยื่นมือใหญ่ไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ ของเจ้าหนูอย่างแผ่วเบา

“ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าปัณณ์อยากได้อะไร บอกพี่ครามได้ ให้คิดซะว่าพี่ครามเป็นพี่ชายของหนูๆ เหมือนที่พี่ปราณเป็น” ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะหันไปหาปุณณกันต์ที่ ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย “ปุณณ์เองก็เหมือนกัน อยากได้อะไร อยากทำอะไร อยากไปไหน หนูบอกพี่ครามนะ ต่อไปนี้พี่ครามจะเข้ามาช่วยพี่ปราณดูแลหนูทั้งคู่เอง พี่จะทำให้ทั้งสามคนมีความสุข พี่ปราณจะได้ไม่เหนื่อยมากเหมือนที่ผ่านมาด้วย โอเคไหมครับ”

“โอเคครับพี่คราม”

ฝาแฝดทั้งสองยิ้มสว่างสดใสตอบรับคำพูดอย่างน่าเอ็นดูและอย่างยินดีเมื่อได้ยินคามินพูดแบบนั้น ปราณันต์เอง ที่เดินตามมาห่างๆ ก็ได้ยินทุกคำพูดของคามินเช่นกัน พาลให้หัวใจดวงน้อยๆ รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ริมฝีปากอิ่มอมยิ้มบางๆ เมื่อยามมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้า พลางคิดอย่างมีความสุขว่า


‘ความรู้สึกของการถูกดูแลและเอาใจใส่ มันดีแบบนี้นี่เอง คุณคราม ผมขอบคุณคุณมากนะครับ’

.

.

.

ระหว่างทางที่ขับรถกลับมาเรื่อยๆ ฝาแฝดทั้งสองยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุด จะมีเงียบหรือหยุดพักไม่กี่ครั้งบางจังหวะ ซึ่งจังหวะส่วนใหญ่ที่ว่าคือจังหวะที่ขนมอยู่ในปากของเด็กทั้งคู่ คามินกับปราณันต์เหลือบมองไปที่เบาะหลังเป็นระยะๆ เพื่อตรวจดูว่าเด็กๆ ยังนั่งกันอยู่ในคาร์ซีทเรียบร้อยดีไหม

และบางคราวผู้ใหญ่ด้านหน้าทั้งสองก็แอบมองและสบตาซึ่งกันและกันอยู่บ่อยครั้ง สายตาของคนทั้งคู่ ต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความรักและความหลงใหลกันจนปิดไม่ปิด บางทีที่ถนนโล่งๆ คามินก็จะขับรถช้าลง และเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้บังคับพวงมาลัย มากุมมือปราณันต์ไว้หลวมๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าว สามารถรียกรอยยิ้มเขินอายจากริมฝีปากอิ่มได้เป็นอย่างดี

“คิกคิกคิก พี่ปุณณ์เห็นไหม พี่ครามจับมือพี่ปราณด้วยแหละ”

“เห็นๆ เห็นเหมือนกันเลยปัณณ์ พี่ปราณก็จับมือพี่ครามด้วย คิคิคิ”

“ใช่ๆ เมื่อกี้พี่ครามยื่นมือไปลูบแก้มพี่ปราณด้วย” มือน้อยๆ ของปัณณธร ยื่นไปลูบที่แก้มของฝาแฝดคนพี่ ราวกับอยากจะสาธิตให้ดู “แบบนี้ๆ เลย แบบที่พี่ปราณชอบทำกับพวกเราอ่ะ คิก”

“คิกคิกคิก แบบนี้ก็จั๊กจี้เลยนะปัณณ์”

เจ้าฝาแฝดทั้งสองพูดคุยกระซิบกระซาบนินทาพี่ชายตัวเองรวมทั้งหัวเราะคิกคักกันอยู่ที่เบาะหลัง โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า พี่ครามกับพี่ปราณที่เจ้าตัวแสบทั้งคู่กำลังพูดถึงที่นั่งอยู่เบาะหน้าได้ยินหมดแล้วทุกประโยค

คามินอดขำกับคำพูดคำจาของเจ้าเด็กแสบไม่ได้ ปราณันต์เองก็เช่นกัน แต่ถึงแม้จะตลกและน่ารักแค่ไหน ในฐานะพี่ชายเขาก็ต้องปรามๆ เจ้าหนูทั้งคู่เสียหน่อย เพื่อไม่ให้สนุกกันเกินเหตุ

“อะแฮ่มๆ พี่ปราณได้ยินนะ เดี๋ยวเถอะเจ้าเด็กแสบ แก่แดดกันใหญ่แล้วนะเรา”

พอได้ยินเสียงพี่ชายปราม ฝาแฝดทั้งคู่ก็เอามือปิดปากตัวเองเสียสนิท แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงหัวเราะคิกคัก หลุดออกมาอยู่ดี

คามินที่พอได้ยินเสียงใสๆ ของเจ้าหนูหัวเราะออกมาแบบนั้น เขาเองก็อดหัวเราะตามออกมาไม่ได้เหมือนกัน และตัวปราณันต์เองที่เก๊กดุอยู่ไม่ได้ไม่นาน พอได้ยินเสียงหัวเราะของทุกคน ก็ทำให้เขาหลุดขำตามด้วยในที่สุด

“ฮ่าๆๆๆๆ”

แล้วในรถของคามินก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ ดังลั่นไปทั่วทั้งคัน

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/01/64 [14th Lies: เริ่มต้น]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 07-01-2021 19:37:21
(อ่านต่อจากด้านบน)


หลังจากขับรถไปหัวเราะไปกันได้ไม่นาน ปราณันต์ก็เริ่มเข้าโหมดจริงจัง เพราะตอนนี้ก็เริ่มจะดึกแล้ว และอีกไม่นานคามินก็คงจะขับรถถึงอพาร์ทเม้นท์เขาในไม่ช้า แต่ก็เขากับคนตัวโตก็ยังไม่ได้เริ่มคุยกันเรื่องย้ายของๆ คามินเข้าอพาร์ทเม้นท์เสียที

“ตกลงพรุ่งนี้คุณจะย้ายของเข้าอพาร์ทเม้นท์ยังไงหรอครับ” ปราณันต์เริ่มเปิดฉากถามขึ้น หลังจากเห็นว่าเบาะด้านหลังเริ่มเงียบเสียงไปแล้ว สงสัยเจ้าตัวแสบของเขาคงกำลังหาอะไรกินกันอยู่

“ผมจ้างรถให้มาขนของแล้วครับ ตอนเช้ารถจะมาที่ที่อยู่เก่าผม แล้วก็จะขนของมาที่อพาร์ทเม้นท์คุณช่วงสายๆ น่ะครับ”

คามินตอบเสียงใสอย่างอารมณ์ดี แค่คิดว่าจะได้ไปอยู่ใกล้ครอบครัวของอีกฝ่าย เขาก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วผมพอจะช่วยอะไรคุณครามได้บ้างครับ” ปราณันต์เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น ขอให้เขาได้ช่วยหยิบช่วยจับสักนิดก็ยังดี จะได้รู้สึกว่าตัวเองพอเป็นประโยชน์กับคนตรงข้ามบ้าง

“เอาเป็นว่าผมรบกวนให้คุณปราณช่วยผมจัดห้องแล้วกันนะครับ หลังจากขนของเข้ามาแล้ว คุณปราณช่วยออกแบบทีว่าจะเอาอะไรไว้ตรงไหน คงต้องให้นักออกแบบฝีมือฉมังช่วยผมแล้วล่ะ”

คามินพูดยิ้มๆ อ้อนๆ ใส่ปราณันต์ ตัวปราณันต์เองก็ยิ้มเอียงอาย พร้อมกับถ่อมตัวตอบกลับคามินไป

“ผมก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ พอมีความรู้บ้างนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่าฝีมือการจัดห้องของผมจะถูกใจคุณรึป่าวก็ไม่รู้”

“ถูกใจสิครับ จัดแบบที่คุณปราณชอบเลยนะ” คามินพูดตอบยิ้มๆ

“ไม่ได้หรอกครับ นี่ห้องคุณนะจะจัดตามใจผมชอบได้ยังไง” ปราณันต์แย้งงงๆ จู่ๆ คามินจะมาตามใจเขาได้ยังไงกัน

“ได้สิครับ ก็ห้องนี้ผมมาอยู่เพื่อคุณปราณแล้วก็ฝาแฝดนิ เพราะฉะนั้น ผมอยากให้คุณปราณมีส่วนร่วมกับห้องนี้ ยังไงซะเราก็ต้องแชร์กันอยู่อยู่แล้ว ผมเลยอยากให้คุณปราณจัด จัดแบบที่คุณปราณชอบไงครับ”

คำหวานที่ถูกส่งผ่านปากหยัก ทำเอาปราณันต์อายม้วนจนไปแทบไม่เป็น คำพูดเมื่อกี้ของคามิน ไม่ต่างจากการขอให้ปราณันต์มาอยู่ด้วยกันเลยสักนิด

“เอาเป็นว่าผมจะช่วยทำออกมาให้ดีที่สุดแล้วกันนะครับ ตอบแทนที่คุณจะช่วยผมดูแลเจ้าตัวแสบทั้งสอง”

ปราณันต์ตอบรับแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ท่าทางที่แสดงออกนั้น คามินมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนตัวเล็กกำลังโอนอ่อนและประทับใจกับสิ่งที่เขาร้องขอมากขนาดไหน

“ผมแล้วแต่คุณปราณเลยครับ” คามินตอบกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะแกล้งหันกลับไปถามเด็กๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับของกินที่เบาะด้านหลัง “ว่าแต่พรุ่งนี้ฝาแฝดของพี่คราม จะช่วยพี่ครามกับพี่ปราณจัดห้องใหม่รึป่าวนะ ห้องที่อยู่ข้างๆ ฝาแฝดเลยเนี่ย”

เจ้าตัวยุ่งทั้งสองกระวีกระวาดหันมาหา เลิกสนใจขนมที่อยู่ตรงหน้าทันที เมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้พี่ครามจะย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ แล้ว

“พรุ่งนี้พี่ครามจะมาอยู่กับปุณณ์และปัณณ์แล้วใช่ไหมครับ” ปุณณกันต์น้อยถามออกมาอย่างตื่นเต้น นี่ถ้าไม่ติดว่านั่งคาร์ซีทอยู่คงได้กระโดดมานั่งเบาะหน้าด้วยแล้ว

“ใช่ครับ พรุ่งนี้เด็กๆ จะมาช่วยพี่ครามจัดห้องด้วยใช่ไหม” คามินถามเด็กๆ ด้วยริมฝีปากแต้มรอยยิ้ม ยิ่งเมื่อเขาได้เห็นว่าเจ้าหนูทั้งสองตื่นเต้นมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

“ช่วยครับช่วย เดี๋ยวพี่ปุณณ์กับปัณณ์จะจัดห้องให้พี่ครามอย่างดีเลย พี่ครามไม่ต้องเป็นห่วงนะ” ปัณณธรน้อยรีบเสนอตัว และด้วยถ้อยคำน่ารักๆ และไร้เดียงสานั้น ก็เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ทั้งสองได้เป็นอย่างดี

“โอเคๆ งั้นพรุ่งนี้เราสี่คนมาช่วยแต่งห้องใหม่ให้พี่ครามกันนะ” คามินพูดพลางหันไปทำสายตาเจ้าชู้ใส่คนตัวเล็กข้างๆ “ยังไงซะห้องนี้ก็เป็นเหมือนห้องของพวกเรา พี่ครามย้ายมาอยู่ที่นี่ก็หวังเพื่อให้เราได้อยู่ใกล้ๆ กัน”

เมื่อปราณันต์ได้ยินถ้อยคำที่คนตัวโตพูดออกมาบวกกับสายตาวาววับที่คนตรงข้ามส่งมาให้ แก้มนวลทั้งสองข้างของคนตัวเล็ก ก็ขึ้นสีแดงอย่างน่าเอ็นดู

คามินได้แต่ลอบยิ้มเบาๆ ในใจเมื่อเห็นท่าทางของปราณันต์ ทุกอย่างดูง่ายดายและลงล็อคไปเสียหมด อีกไม่นาน สิ่งที่เขาต้องการก็น่าที่จะได้มาไม่ยากอีกต่อไป

.

.

.

กว่าที่คามินจะขับรถมาถึงอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ก็ล่วงเข้าเวลาดึกมากแล้ว เจ้าตัวแสบทั้งสองกำลังหลับสนิท ท่าทางจะตื่นยาก ปราณันต์กับคามินเลยต้องอุ้มพาเจ้าหนูทั้งสองมาวางบนเตียงนอนเหมือนทุกครั้ง ครั้งนี้จะต่างกันนิดหน่อยก็ตรงปราณันต์เริ่มบ่นแล้ว เพราะตั้งแต่เขาและฝาแฝดเริ่มรู้จักคามิน ก็ดูเหมือนกับว่าฝาแฝดจะได้ออกไปเที่ยวตะลอนๆ เกือบทุกเสาร์อาทิตย์ และจบลงด้วยการอุ้มเจ้าตัวแสบที่หลับคอพับคออ่อน มาวางบนเตียงแบบนี้ตลอด

“อาทิตย์หน้าไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ ฝาแฝดสลบไสลมาแบบนี้ตลอดเลย น้ำท่าก็ไม่ค่อยได้อาบ ได้แต่เช็ดตัวแก้ขัดไปก่อนตลอดเลย”

“โถ่ ไม่เอาสิครับ” คามินเริ่มอ้อน คนตัวโตเดินเข้ามากอดปราณันต์ไว้หลวมๆ ไม่ใช่คนตัวเล็กจะไม่รู้สึก เพราะดูเหมือนกับว่าตั้งแต่ตกปากรับคำเป็นแฟนกัน คามินจะถึงเนื้อถึงตัวเขาบ่อยเหลือเกิน เอะอะกอด เอะอะโอบ

“เดี๋ยวอาทิตย์หน้า ถ้าเราไปเที่ยวกัน ผมสัญญานะว่าจะพาคุณปราณกับฝาแฝด กลับบ้านไม่ดึก” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเอาใจ “ปล่อยให้เด็กๆ ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะครับ พวกแกไม่เคยงอแงจะเอานั่น เอานี่เลย คุณปราณก็เห็น”

ปราณันต์ถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน คามินก็ยังคงเป็นคามินที่พร้อมจะตามใจฝาแฝดในทุกเรื่องจริงๆ

“ผมไม่อยากให้เด็กๆ เคยตัว ถ้าออกบ้านทุกอาทิตย์แบบนี้ อีกหน่อยต้องร้องขอให้คุณพาไปบ่อยเแน่ๆ”

ปราณันต์พูดอย่างเอาจริงเอาจังและเป็นการเป็นงาน แต่ดูเหมือนว่าคามินจะไม่ได้ร่วมซีเรียสกับเขาไปด้วยเลย เพราะตอนนี้วงแขนแข็งแรงของคนตัวโต ยังไม่คลายออกจากเอวบาง แถมหนำซ้ำจมูกโด่งเป็นสันยังคงคลอเคลียอยู่ที่แก้มใสของปราณันต์ไม่ห่างอีกต่างหาก

“อืม... งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะครับ” คามินดันตัวออก พลางถามเสียงสดใส แต่มือใหญ่ยังคงเกาะอยู่ที่เอวบางไม่ปล่อย

“เสาร์อาทิตย์หน้า เด็กๆ ต้องอยู่กับบ้านอ่านหนังสือวันนึงครับ ส่วนอีกวันผมให้ฟรีสไตล์ คุณจะพาปุณณ์กับปัณณ์ ไปเดินเล่น ออกกกำลังกายอะไรก็ได้ แบบนี้ดีกว่าไหมครับ”

คามินมองหน้าปราณันต์ด้วยสายตาคมเป็นประกาย ก่อนจะฉกจมูกลงบนแก้มนิ่มของคนตรงข้ามอย่างนึกมันเขี้ยว

“น่ารัก” แทนที่จะตอบคำถามของปราณันต์ คามินกลับพูดไปอีกทาง ทำเอาปราณันต์ถึงกับไปไม่เป็น

“คุณนี่..” ปราณันต์ดันตัวคามินออกอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะออกปากต่อว่า “ฟังผมบ้างไหมเนี่ย”

“ฟังสิครับ ฮ่าๆ” คามินกระชับอ้อมกอดอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มอย่างเอาใจ “คุณปราณว่ายังไง ผมก็ว่าตามหมดครับ... ที่รัก”

และยิ่งเมื่อได้ยินคามินเรียกตัวเองด้วยสรรรพนามแบบนั้ย ปราณันต์ยิ่งเขินหนัก จนไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายเลยต้องเอ่ยปากไล่ ให้คนตัวโตกลับบ้าน

“กลับไปได้แล้วครับดึกแล้ว” มือเล็กๆ พยายามดันอกหนาของคนตรงข้ามออก แต่ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์ เพราะร่างกายของคามินแทบไม่ขยับเลย

คามินจับข้อมือเล็กๆ ของปราณันต์ไว้แน่น ก่อนจะดึงรั้งคนตัวเล็กให้เข้ามาใกล้ชิดกับตัวเองมากกว่าเดิม

“กู๊ดไนท์คิสล่ะครับคนดี” คามินทวงถามตาใส พลางจ้องปราณันต์ด้วยสายตาหวานหยดเยิ้มยิ่งกว่าเก่า

“ไม่เอาแล้วครับ กลับได้แล้ว พรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้านะ” ปราณันต์พยายามตะล่อมให้คามินยอมกลับ แต่ดูเหมือนว่าจะสูญเปล่า เพราะคามินเอาแต่กอดเขาไว้ ไม่ยอมปล่อยท่าเดียว

“เราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ แค่จูบเดียวนะครับ นะ นะ” คามินยังคงเดินหน้าออดอ้อน และคาดว่าอีกไม่นานปราณันต์ต้องใจอ่อนแน่ๆ

ปราณันต์เหลือบมองไปทางเตียงนอนของฝาแฝด เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวแสบทั้งสองยังคงหลับสนิท ปราณันต์จึงตัดสินใจ ขยับใบหน้าตัวเองให้เข้าใกล้คนตรงข้ามอีกนิด

แต่ก่อนที่ใบหน้านวลใสจะโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้าคมคายของคนตรงข้าม ก็กลับกลายเป็นว่าคามินละมือข้างหนึ่งออกจากเอวบาง แล้วเอื้อมมาล็อคท้ายทอยของปราณันต์ไว้แทน ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะฉกปิดทาบทับลงมาบนริมฝีปากอิ่ม คนตัวโตบดเบียด เม้มคลึง ลงบนริมฝีปากสีแดงสดอย่างหลงใหล ริมฝีปากที่เขาได้ลิ้มรสมากแค่ไหนก็ไม่มีวันเบื่อ คามินดูดเม้ม และไล้เลียลิ้นไปตามร่องปากอิ่มอย่างร้องขอ ขอในสิ่งที่ปราณันต์เองรู้ดีว่ามันคืออะไร

คนตัวเล็กยอมเผยอริมฝีปากขึ้น เพื่อให้ร่างสูงได้ส่งเรียวลิ้นชื้นเข้ามาสำรวจในโพรงปาก ทั้งสองปรับขยับใบหน้าตัวเองให้ได้องศาในการสอดรับกันมากขึ้น เรียวลิ้นสากพยายามเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กๆ ของปราณันต์ที่ขยับหนีไปมาอย่างไร้เดียงสา ยิ่งทำให้สัญชาติญาณนักล่าของคนตรงข้ามยิ่งลุกฮือ

คามินกวาดต้อนเลาะเล็มตักตวงความหอมหวานจากริมฝีปากของปราณันต์อย่างไม่รู้จักพอ แต่ยิ่งคามินบดจูบปราณันต์อย่างร้อนแรงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนช่วงชิงลมหายใจของปราณันต์หนักมากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายคนตัวเล็กก็ทนไม่ไหว ต้องทุบมือลงบนไหล่หนาเบาๆ เพื่อเป็นการประท้วงว่าตนเองหายใจไม่ทันแล้ว

ร่างสูงถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย เขายังอยากจูบปราณันต์มากกว่านี้ และยิ่งเมื่อถอนริมฝีปากออก ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าริมฝีปากของคนตัวเล็กบวมเจ่อขึ้นอย่างชัดเจน ยิ่งทำให้คามินรู้สึกไม่พอ อยากจะรังแกและบดจูบให้ริมฝีปากสีสดนี้บวมช้ำยิ่งกว่าเดิม

และเหมือนปราณันต์จะรู้ คนตัวเล็กรีบใช้มือดันหน้าอกคนตรงข้ามไว้ ก่อนเอ่ยห้ามอย่างจริงจัง

“พอแล้วครับ ไหนว่าจูบเดียวไง” เสียงหวานเอ่ยขอ มันติดจะหอบๆ นิดหน่อย น่าจะเป็นเอฟเฟ็กต์มาจากจูบก่อนหน้านี้

คามินต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ตะโบมจูบลงไปบนปากอิ่มนั่นซ้ำๆ ด้วยเพราะไม่อยากให้ปราณันต์ตื่นกลัวและสงสัย ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป และเขาต้องหักห้ามใจตัวเองให้ได้ด้วยเช่นกัน

“กลับก็ได้ งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับคุณแฟน” คามินเอ่ยเสียงเย้าๆ เรียกรอยยิ้มให้ปรากฎบนปากอิ่มได้อย่างน่ามอง

“ขับรถดีๆ นะครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ปราณันต์ตอบรับอย่างเอียงอาย ก่อนจะเดินไปส่งคามินที่ลิฟต์

และกว่าคนตัวโตจะยอมลงไปได้ ก็อ้อยอิ่งอยู่นาน

“ฝันดีนะครับ... ผมไม่อยากกลับเลย” เสียงทุ้มยังคงออดอ้อน ท่าทางของคามินเหมือนพวกที่เพิ่งเริ่มมีความรักใหม่ๆ จะว่าต้องทำก็ไม่ใช่ อยากทำก็ไม่เชิง

อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขากับหลินฟ่านปิง เป็นอะไรที่ต้องเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น อารมณ์หวือหวา อารมณ์ที่เหมือนตกอยู่ในห้วงรักสีชมพูมันเลยไม่เคยเกิดขึ้น แต่กับปราณันต์ ถึงแม้มันจะเป็นแผน แต่มันก็เป็นการดำเนินความสัมพันธ์ไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ซึ่งคามินก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็น่าตื่นเต้นไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

“กลับได้แล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณก็ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว อดทนหน่อยนะ” ปราณันต์แกล้งเอ่ยเสียงเย้าแหย่กลับ ทำเอาคามินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ด้วยไม่คิดว่าปราณันต์จะมีมุมแบบนี้

“ครับ ครับ ผมกลับแล้วนะครับ แล้วพรุ่งนี้ไว้เจอกันนะ”

คามินค่อยๆ เดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนที่ลิฟต์จะปิดลงช้าๆ และถึงแม้ประตูลิฟต์จะปิดลงไปแล้ว แต่รอยยิ้มบางๆ ของคนทั้งคู่ยังไม่ได้เลือนหายจากมุมปากไปเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้มันจะเป็นแค่เกม แต่คามินก็อดยอมรับกับตัวเองลึกๆ ไม่ได้ว่า เขาเองรู้สึกดีไม่น้อยกับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่กับปราณันต์ตอนนี้ ส่วนปราณันต์นั้นน่าจะยิ่งกว่า คนตัวเล็กเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงรัก ที่ไม่รู้จะถอนตัวขึ้นยังไงดี

.

.

.

เช้าวันต่อมา คามินให้แทนคุณจัดการหารถมาขนของบางส่วนจากคอนโดหรูหรากลางกรุงของตน ไปยังอพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์ คามินไม่มีปัญหาเรื่องการที่ต้องอาศัยอยู่ในที่พักที่คับแคบ เพราะสมัยที่เขาอยู่เมืองนอก เขาเองก็ใช้ชีวิตที่ค่อนข้างลำบากมาหลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นการย้ายมาใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์กลางเก่ากลางใหม่ที่เดียวกับปราณันต์นั้น ถือเป็นความลำบากเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับที่เขาเคยเจอ

และเมื่อให้คนทยอยขนของขึ้นมาไว้บนห้องพัก คามินก็ได้เจอกับร่างบางที่ยืนรอเขาอยู่กับฝาแฝดตัวน้อยทั้งสอง ที่ตอนนี้ดูดีดดิ้นอารมณ์ดีเหลือเกิน ที่จะได้ออกแรงช่วยพี่ครามกับพี่ปราณแต่งห้องใหม่ไปพร้อมๆ กัน

“ว่าไงครับเด็กๆ รอนานไหม” คามินทักขึ้นเมื่อเดินมาถึง และเห็นว่าทั้งสามยืนรออยู่หน้าห้อง “แล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ มายืนคอยให้เมื่อยทำไม”

“ผมกลัวว่าคุณจะไม่สะดวกใจ ยังไงห้องนี้ก็ห้องคุณ” ปราณันต์อ้อมแอ้มตอบ

“บอกแล้วไงครับ ว่าห้องผมก็เหมือนห้องคุณ ผมย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะอยากอยู่ใกล้คุณนะครับคุณปราณ” คามินแกล้งพูดปรามเสียงเข้ม เพื่อที่ว่าวันหลังปราณันต์จะได้ไม่ต้องมาเกรงใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อีก

ปราณันต์พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้เมื่อได้ยินคามินพูดแบบนั้น แต่ในใจลึกๆ ปราณันต์เองก็ยังคงยืนยันเสียงแข็งในใจตัวเองอยู่ดี ว่ายังไงเขาก็จะไม่รบกวนคามินทั้งที่ไม่จำเป็นเด็ดขาด

และหลังจากที่ของทุกอย่างทยอยขนขึ้นมาหมด ความวุ่นวายขนาดย่อมก็เกิดขึ้นทันที ฝาแฝดตัวป่วนช่วยกันจับนั่น หยิบนี่วุ่นวายไปหมด จนสุดท้ายปราณันต์ต้องปรามให้นั่งเฉยๆ

“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ นั่งลงดีๆ ก่อน เดี๋ยวถ้าพี่ปราณจะให้ช่วย พี่ปราณจะบอกนะ” ปราณันต์พูดเสียงนิ่งๆ ไม่ได้ดุกระโชกโฮกฮากหรือโวยวายอะไร แต่กลับทำให้ฝาแฝดนิ่งลงได้ชะงัด คามินที่เห็นแบบนั้นก็อดขำขึ้นมาไม่ได้

เจ้าสองแฝดนั่งนิ่ง จะมีบ้างก็ตอนที่ปราณันต์เรียกให้หยิบนั่นจับนี่ เด็กๆ ก็จะดูดี๊ด๊าขึ้นมาหน่อย คามินลอบสังเกตปราณันต์เงียบๆ ความสามารถในการจัดห้องของคนตัวเล็กไม่ธรรมดาเลย ปราณันต์สามารถจัดการให้ข้าวของที่วางระเกะระกะให้เป็นระเบียบได้โดยผ่านการกวาดตามองไม่กี่ที ความคิดและไอเดียสร้างสรรค์ในการหยิบโต๊ะ ตู้ เตียงมาแมทช์กันเป็นไปอย่างมีสไตล์ คามินอดทึ่งไม่ได้ ถึงความสามารถที่ปราณันต์มี ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกเอาเด็กน้อยคนนี้เข้าทีมโปรเจ็ค เขาเชื่อว่าปราณันต์จะเป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันให้งานในทีมประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

หลังจากเวลาแห่งความวุ่ยวายผ่านพ้นไป การจัดตกแต่งห้องของคามินก็ประสบความสำเร็จลงด้วยดี เจ้าแฝดทั้งสองตอนนี้กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนเตียงของคามินอย่างสนุกสนาน พอปราณันต์กำลังจะปราม คนตัวโตก็เข้ามาห้ามไว้ก่อน

“อย่าไปดุพวกแกเลยครับ ปล่อยไปเถอะ ยังไงเตียงนี้ผมก็ทำไว้ให้พวกเด็กๆ นอนอยู่แล้ว”

ปราณันต์เองพอได้ยินคามินปรามก็ส่ายหัวปลงๆ พลางมองไปยังเด็กๆ ด้วยสายตารักใคร่ปนเอ็นดู พอเขาได้เห็นเด็กๆ ในมุมผ่อนคลายแบบนี้ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันเบาสบายขึ้นมาทันตาทันที

“พี่ปราณครับๆ พรุ่งนี้ปุณณ์กับปัณณ์ต้องไปโรงเรียนใช่ไหมครับ” จู่ๆ เด็กๆ ก็กระโจนลงมาเตียง ถลามาหาเขาและคามินที่กำลังนั่งอยู่กลางห้อง

“ใช่ครับปุณณ์ มีอะไรหรอ” ปราณันต์ถามขึ้นงงๆ

“แล้วตอนเย็น...” ปุณณกันต์ลากเสียงอย่างไม่แน่ใจ ปราณันต์เข้าใจโดยทันทีว่าเด็กๆ อยากรู้อะไร สงสัยจะกังวล กลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านหลังเลิกเรียนนี่เอง

“พรุ่งนี้ตอนเย็นๆ ไม่พี่ก็พี่ครามจะป็นคนไปรับฝาแฝดนะครับ หนูไม่ต้องกังวลนะ” พอสิ้นคำของปราณันต์ เด็กๆ ก็กระโดดร้องไชโยอย่างยินดี

“แต่... กลับมาต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือให้เรียบร้อยนะ ห้ามเหลวไหล โอเคไหมครับ” ปราณันต์รีบเอ่ยปากเตือนไว้ก่อน แต่เด็กๆ ก็รับคำ พลางยิ้มน่ารักส่งให้พี่ชายตนโต

“ได้ครับ เราสองคนจะอาบน้ำ ทำการบ้าน อ่านหนังสือให้เรียบร้อยเลย แต่...” ดูเหมือนกับว่า เจ้าตัวน้อยคนน้องจะมีข้อแลกเปลี่ยนกับพี่ชายตนเองอยู่เหมือนกัน

“แต่อะไรครับ” ปราณันต์อดถามขึ้นมาไม่ได้

“พี่ครามกับพี่ปราณต้องอ่านนิทานให้เราสองคนฟังก่อนนอนด้วยนะ” ปัณณธรพูดโต้ตอบออกมาอย่างน่ารัก ซึ่งก็ดูเหมือนว่าปราณันต์เองจะไม่ดูแปลกใจเท่าไหร่ คนที่แปลกใจเหมือนจะเป็นคามินมากกว่า

“พ..พี่คราม ด้วยหรอ” คามินถามเหวอๆ เขาไม่เคยเตรียมใจที่จะมาอ่านนิทานให้ใครฟังเสียหน่อย

“อื้ม! พี่ครามด้วย ห้ามขี้โกงปัณณ์นะ” เจ้าตัวแสบโวยวายไม่ยอมเสียงดังลั่น ทำเอาปราณันต์หลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง

“โชคดีนะครับคุณคราม” ปราณันต์เอ่ยเสียงเย้าๆ ตอนที่เห็นคามินทำหน้าปูเลี่ยนๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องอ่านนิทานให้เด็กๆ ฟัง ปราณันต์หัวเราะจนเหนื่อย แต่สุดท้ายก็ให้กำลังใจคนตัวโตไป

“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ อ่านไปสองสามหน้าเดี๋ยวเด็กๆ ก็หลับแล้ว ไม่ต้องเครียดๆ”

คามินพยักหน้าอย่างเบาใจขึ้น ทั้งสี่คนคุยเล่นกันอีกสักพักก็ไปทำอะไรง่ายๆ กิน จนถึงเวลาเย็นที่ปราณันต์และเด็กๆ ต้องกลับห้องตัวเอง ส่วนคามินเองก็ต้องทำความสะอาดห้องตัวเองด้วย ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงตัดสินใจร่ำลากันตั้งแต่ตอนนี้

“ผมกลับห้องก่อนนะครับ พรุ่งนี้เด็กๆ ต้องไปโรงเรียนด้วย” ปราณันต์กล่าวขึ้น

“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปกินข้าวเช้าด้วยนะ” คามินพูดอ้อน ทำเอาปราณันต์ไปไม่เป็น

“แล้วแต่คุณสิครับ” คนตัวเล็กตอบอายๆ แต่ก่อนที่ปราณันต์จะเบี่ยงตัวพาเด็กๆ ออกจากห้อง คามินก็รั้งแขนเรียวไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งไปครับคุณปราณ”

ปราณันต์หันมามองงงๆ เมื่อเห็นว่าคามินรั้งไม่ให้ตัวเขาเองไป

“มีอะไรรึป่าวครับคุณ”

คามินล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะเอื้อมมือใหญ่ไปจับมือเล็กของปราณันต์มาแบออก และส่งของในมือให้ พอปราณันต์แบมือออกมาก็เห็นเป็นกุญแจดอกเล็กๆ หนึ่งดอก ใบหน้าสวยหวานเหลือบมองคนตรงข้ามด้วยความแปลกใจ

“อะไรหรอครับ” ปราณันต์ถามขึ้นในที่สุด

“กุญแจห้องผมไงครับ... ของคุณ” ปากหยักยกยิ้มหวานส่งให้คนตัวเล็ก ทำเอาปราณันต์อดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้

“ให้ผมทำไมครับ” ปราณันต์ก็ทำเป็นเลี่ยงถามไม่รู้ไม่ชี้

“ของคุณไง ห้องผมก็เหมือนห้องคุณ ผมให้คุณครับ” คามินทำพูดเสียงเจ้าชู้ใส่ สุดท้ายปราณันต์ทนเขินไม่ไหว เลยต้องยอมรับไป แต่ก็แกล้งทำพูดขึงขัง

“ถ้าคุณจะให้ ผมจะยอมรับไว้ก็ได้”

“ครับๆๆ คุณแฟน กรุณารับไว้นะครับ” คามินแกล้งแหย่เสียงกระเซ้า ก่อนที่จะกระตุกข้อมือปราณันต์เข้ามาใกล้ๆ แล้วขโมยหอมแก้มอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ! คุณนี่!” ปราณันต์รีบใช้มือตัวเองตะปบแก้มตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เจ้าฝาแฝดน้อยที่ได้เห็นภาพเมื่อกี้หัวเราะคิกคักไม่หยุด

“ผมไม่คุยกับคุณแล้ว กลับห้องดีกว่า”

แม้ปากอิ่มจะต่อว่า แต่ก็ยังคงยิ้มกว้างไม่หยุด และถึงแม้ปราณันต์จะหนีมาไกลแล้ว ประโยคที่คามินตะโกนไล่หลังมา ก็ทำให้หัวใจดวงน้อยของปราณันต์เต้นแรงกระหน่ำไม่เลิก

“ผมดีใจนะครับ ที่ได้มาอยู่ใกล้ๆ คุณแบบนี้ ต่อไปนี้ผมสัญญาว่าจะทำให้ทุกวันของคุณมีแต่ความสุข คุณเชื่อใจผมนะ”

ปากอิ่มไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่หันกลับไปยิ้มหวานสดใสให้คนด้านหลัง ยิ้มที่เป็นคำตอบได้อย่างดี ว่าทุกอย่างที่คามินพูดนั้น ปราณันต์เชื่อได้หมดใจ โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลย

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------------------------

ตอนนี้เอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่แน้วววว ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งประทับใจ สงสารน้องมากกก แง้ ><

สำหรับคนที่รอเอาคืน อาจจะรออีกพักใหญ่เลยนะคะ แต่รับรองว่าได้เอาคืนตามต้องประสงค์แน่ 55555555

แล้วยังไงไว้เจอกันตอนหน้าค่า ช่วงนี้ วฟฮ เปิดคอมบ่อย น่าจะมีเวลามาลงให้ติดๆ กันได้ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะคะ ลงจนจบแน่ เพราะเราเขียนไว้แล้ว แต่อาจต้องรีไรท์ใหม่สักนิด … ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/01/64 [14th Lies: เริ่มต้น]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-01-2021 20:17:53
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/01/64 [14th Lies: เริ่มต้น]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-01-2021 21:00:07
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/01/64 [14th Lies: เริ่มต้น]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 07-01-2021 23:43:59
ชอบการเลี้ยงความหลอกลวงด้วยความหอมหวานกันเข้าไปเยอะๆ 555 หยอดตลอดดด  :-[ :-[ ข้าวใหม่ปลามันว่างั้น 55555 เด็กๆน่ารัก ตอนนี้ปุณมาขัดจังหวะ ต่อไปต้องเล็งดีๆนะคามิน จะได้ไม่มีใครขัด ฮา ขอบคุณค่ะที่มาต่อยาวๆเลย และสวัสดีปีใหม่นะคะ  :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...07/01/64 [14th Lies: เริ่มต้น]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 08-01-2021 00:39:34
ชอบการเลี้ยงความหลอกลวงด้วยความหอมหวานกันเข้าไปเยอะๆ 555 หยอดตลอดดด  :-[ :-[ ข้าวใหม่ปลามันว่างั้น 55555 เด็กๆน่ารัก ตอนนี้ปุณมาขัดจังหวะ ต่อไปต้องเล็งดีๆนะคามิน จะได้ไม่มีใครขัด ฮา ขอบคุณค่ะที่มาต่อยาวๆเลย และสวัสดีปีใหม่นะคะ  :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4: :pig4:

สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่าา ขอบคุณมากๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...14/01/64 [15th Lies: แนะนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 14-01-2021 20:35:47
15th Lies : แนะนำ


หลังจากที่จัดการช่วยคามินขนย้ายข้าวของมาไว้ที่ห้องข้างๆ เสร็จเรียบร้อย เช้านี้ก็ถือเป็นเช้าวันจันทร์วันแรกสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของทุกคน


เป็นวันจันทร์แรกที่ฝาแฝดจะได้กลับบ้านหลังโรงเรียนเลิกเหมือนเด็กคนอื่นๆ

เป็นวันจันทร์แรกที่ปราณันต์จะได้ร่วมทำงานกับทีมโปรเจคพิเศษของบริษัท

เป็นวันจันทร์แรกที่คามินย้ายที่อยู่ใหม่ ที่อยู่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สะดวกสบายเท่าคอนโดหรู แต่การได้อยู่ใกล้ๆ กับปราณันต์และฝาแฝดก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างคุ้มอยู่ไม่น้อย

และเป็นวันจันทร์แรกสำหรับสถานะใหม่ของคามินและปราณันต์... สถานะของคนรัก สถานะของคนที่เป็นแฟนกัน


.

.

.

วันนี้คามินตื่นเช้าเป็นพิเศษ อาจจะเพราะไม่คุ้นที่ก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญกว่าน่าจะเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ ที่ทำให้คนหัวใจด้านชาอย่างคามินตื่นเต้นไม่น้อย


‘เช้าที่ได้เห็นใบหน้าสวยหวานของปราณันต์เป็นคนแรกนี่ จะเป็นยังไงกันนะ’


เป็นคำถามเขาคิดแล้วก็ได้แต่อมยิ้มในใจ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อหาคำตอบจากห้องที่อยู่ข้างๆ ถัดไปไม่ไกลนี่เอง

ทางฟากของห้องข้างๆ ก็ป่วนเป็นปกติเหมือนทุกเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา สงครามระหว่างฝาแฝดและชุดนักเรียนไม่เคยสงบลงง่ายๆ ปราณันต์ยังคงถอนใจอย่างปลงตกก่อนจะต้องเข้าไปช่วยสงบสงคราม ก่อนที่จะพากันสายยกครอบครัวแบบนี้

“พี่ปราณครับ! พี่ครามล่ะครับ?” ปุณณกันต์ที่ตอนนี้แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารตั้งคำถามขึ้น พลางชะเง้อคอมองหาคามินให้วุ่น

“พี่ครามก็อยู่ห้องข้างๆ เราไงครับ เดี๋ยวแต่งตัวเสร็จก็คงมา”

พี่ชายคนโตที่ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารอยู่ในครัว ซึ่งต้องจัดเตรียมนั่นเพิ่มอีกนิด นี่เพิ่มอีกหน่อย สำหรับจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง แถมยังเป็นอีกหนึ่งที่ทานจุอีกตะหาก

ปราณันต์ได้แต่อมยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงอีกหนึ่งคนที่เพิ่มมา คนที่เพิ่งได้สถานะว่าเป็นแฟนเขาหมาดๆ และพอนึกถึงตรงนี้เมื่อไหร่ ปราณันต์เองก็อดหน้าร้อนไม่ได้เมื่อหวนคิดไปถึงค่ำคืนที่เขาและคามินตกลงคบกัน คืนนั้นเขาปล่อยตัวและปล่อยใจให้คามินจนแทบหมดสิ้น

ปราณันต์ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเขารักและหลงใหลคามินมากแค่ไหน แต่ในวันนั้นเหมือนหัวใจเขาได้รับคำตอบหมดทุกอย่าง ... ทุกสิ่งดูหอมหวาน ตื่นเต้น และน่าลิ้มลอง ยิ่งเมื่อมันถูกส่งมาจากคามินแล้ว ถึงแม้จะอันตราย แต่ก็ช่างมีเสน่ห์ยากเกินที่จะห้ามใจได้ง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมา


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


และระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น สงสัยคามินจะมาถึงแล้ว และในขณะที่ปราณันต์กำลังจะขยับตัวเพื่อเดินไปเปิดประตูนั้น เสียงใสๆ ของเจ้าเด็กน้อยด้านหลังก็ดังขึ้นเสียก่อน... เสียงของปุณณกันต์

“เดี๋ยวปุณณ์เปิดให้ครับพี่ปราณ” และไม่ได้มาแค่เสียง เพราะเจ้าตัวจิ๋ววิ่งฉิวไปถึงประตูเรียบร้อยแล้ว อะไรจะไวขนาดนั้นก็ไม่รู้

ปราณันต์หันไปมองปัณณธร ก็เห็นเจ้าหนูแฝดคนน้องผุดลุกผุดนั่งรอการมาของคามินอย่างไม่เป็นสุขเช่นกัน คนตัวเล็กแอบมองไปทางคนพี่ทีคนน้องที พลางอมยิ้มอย่างเอ็นดู

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ครอบครัวเขาไม่ได้สัมผัสกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ยามเช้าแบบนี้ ตั้งแต่มีคามินเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จนปราณันต์เองก็แทบจะไม่อยากเชื่อ


แกร๊ก!


และในระหว่างคิดอะไรเพลินๆ ปุณณกันต์ก็เปิดประตูเชื้อเชิญให้คามินเข้ามาเรียบร้อยแล้ว คนตัวโตเอง พอเห็นประตูเปิดออก ก็ก้มลงยกเอาแฝดคนพี่ขึ้นมาอุ้มจนตัวลอย ก่อนจะเดินยิ้มเผล่เข้ามาหาปราณันต์ในครัวอย่างรู้งาน

“อรุณสวัสดิ์ครับ...” คามินแกล้งเว้นจังหวะทอดเสียง ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างหยอกล้อ “...ที่รัก”

เป็นไปตามคาด ปราณันต์เขินจนหน้าแดง พอได้ยินคามินเรียกตัวเองแบบนั้น

“เล่นบ้าอะไรก็ไม่รู้คุณเนี่ย ไปนั่งรอกับฝาแฝดเลยไป” คนตัวเล็กบ่นงุบงิบทั้งที่ยังเขินไม่เลิก คามินยิ้มกว้างอย่างมีความสุขก่อนจะเดินพาปุณณกันต์ไปนั่งรอกับปัณณธร แล้ววกกลับมาหาพี่ชายคนโตที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวต่อ

“ทำอะไรอยู่หรอครับ หอมจัง” คามินเดินมากอดปราณันต์จากด้านหลัง จมูกโด่งเป็นสัน ไล้ไปมาที่ต้นคอ จนปราณันต์ต้องย่นคอหลบเป็นพัลวัน ไม่รู้ที่ชมว่าหอมนี่ อาหารหรืออะไรกันแน่

“คุณครามอย่าแกล้งผมสิ ผมกำลังทำอาหารอยู่นะครับ” คนตัวเล็กกว่าดุจริงจังทั้งที่หน้าแดง คามินได้แต่หัวเราะหึหึ แต่ก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะปล่อยมือใหญ่ๆ ของตัวเองออกจากเอวบางแต่อย่างใด

“ทำแบบนี้เหมือนคู่แต่งงานใหม่เลยแฮะ” คามินพูดหยอกล้อ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ผมชอบจัง”

ปราณันต์ยื่นปากออกด้วยความหมั่นไส้ ดูเหมือนคามินจะมีความสุขไปกับทุกสิ่งในเวลานี้ไปเสียหมด

“ไปนั่งดีๆ สิครับ ถ้ามัวแต่แกล้งผมแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้ทานข้าวกันพอดี” แต่พูดไปก็เท่านั้น คามินฟังที่ไหน กลับรัดวงแขนแน่นกว่าเดิม จนปราณันต์แทบจะขยับตัวไม่ได้

“ผมช่วยนะ ผมอยากช่วย” คามินพูดเสียงเจ้าเล่ห์ พยายามจะเอื้อมมือไปช่วยหยิบนั่นจับนี่ แต่ดูเหมือนว่าจะหลอกแต๊ะอั๋งปราณันต์มากกว่า สุดท้ายคนตัวเล็กกว่าจึงต้องปรามเสียงเข้ม ไม่งั้นกับข้าวมื้อนี้คงไม่ได้ทานกันพอดี

“ไม่ต้องช่วยเลย ช่วยให้วุ่นล่ะสิท่า” ปราณันต์ดุเข้าให้ “คุณไปนั่งก่อนเถอะครับ ไม่งั้นได้สายกันยกบ้านแน่ๆ”

“โถ่ คุณปราณอ่ะ” คามินทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่คนรัก แต่ก็ยอมเดินกลับไปนั่งรวมกับฝาแฝด ตามบัญชาของพี่ชายคนโตผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในเวลานี้

รออยู่ไม่นาน ปราณันต์ก็ทยอยยกอาหารเช้ามาให้ทั้งเด็กเล็ก เด็กโข่งที่นั่งคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ กลิ่นหอมฉุยของอาหารลอยมาแตะจมูกคามิน ทำให้เขาหวนคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้ทานอาหารเช้าที่บ้านมานานมากแล้ว เพิ่งจะได้มาทานก็ช่วงหลัง หลังจากที่ได้รู้จักกับครอบครัวของปราณันต์นี่แหละ

“เย่! แซนวิชหมูหยองกับไส้กรอกทอด ของโปรดของปัณณ์มาแล้ว” เจ้าฝาแฝดคนน้องร้องออกมาดังลั่นด้วยความชอบใจ ส่วนแฝดคนพี่นั้นได้แต่อมยิ้มน้อยๆ พลางมองอาหารตรงหน้าด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย

คามินนั่งสังเกตเด็กทั้งสองเงียบๆ ปุณณกันต์และปัณณธรเหมือนกันแค่หน้าตาเท่านั้น แต่ท่าทาง รูปร่าง บุคลิก รวมถึงลักษณะนิสัยแทบจะไม่เหมือนกันเลยสักนิด

ปุณณกันต์พูดน้อย ดูสุขุม และพึ่งพาได้ ส่วนปัณณธรร่าเริง สดใส มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทั้งคู่ดูแตกต่างแต่กลับลงตัวกันได้อย่างประหลาด แม้กระทั่งปราณันต์เองก็เถอะถึงจะดูนุ่มนิ่มบอบบาง แต่ความจริงแล้วข้างในกลับแฝงเสน่ห์และความเด็ดเดี่ยวเอาไว้จนคนที่มองอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

คามินคิดอย่างนึกสนุก ครอบครัวนี้มีอะไรให้เขาค้นหามากมายจริงๆ

“รีบทานเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นหมดนะ” มือเรียวดันจานอาหารไปตรงหน้าคามิน ก่อนจะหันไปดูแลเด็กแฝดต่อ พอเด็กโข่งเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องแสดงท่าทีเรียกร้องความสนใจใส่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนบ้าง

“คุณปราณครับ ปากผมเลอะ เช็ดให้หน่อยสิ” ปราณันต์พอได้ยินแบบนี้นก็หันกลับมามองงงๆ ก็ได้เห็นว่าคามินกำลังยื่นปากให้ คนตัวเล็กก็ได้แต่อมยิ้มส่ายหัว ไม่รู้จะเอ็นดูหรือปวดหัวกับเด็กโข่งคนนี้ดี

“เช็ดเองสิครับ โตแล้วนะ” พอได้โอกาส ปราณันต์ก็ยวนกลับทันที เรื่องอะไรเขาจะยอมเสียรู้โดนคามินหลอกล่ะ

“โถ่ คุณปราณครับ นะครับ.. นะ” คามินยังคงออดอ้อน

“ไม่เอาอ่ะ ผมไม่อยากถูกคุณหลอก” ใบหน้าสวยหวานสะบัดไปอีกทางประกอบคำพูด และด้วยคำพูดนั้นก็ทำเอาคามินถึงกับสะอึก


... เพราะในความเป็นจริง ตอนนี้เขากำลังหลอกปราณันต์อยู่


คามินกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้สุดใจ พร้อมทั้งปั้นยิ้มอ่อนโยน รวมถึงเขยิบเข้าไปหา ไปนั่งใกล้ๆ ปราณันต์อย่างออดอ้อน และที่ร้ายไปกว่านั้นคนตัวโตยังแกล้งเอาคางไปวางเกยบนลาดไหล่เรียวของคนตัวเล็กอีก

“ไม่เคยหลอกสักหน่อย” คามินแกล้งทอดเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ยหยอกเย้า “หรือจะให้เอาปากผมเช็ดไปบนแก้มขาวๆ ของคุณปราณดี”

“คุณนี่!” ปราณันต์เอ่ยดุขึงขัง และเตรียมจะหันไปต่อว่าไอ้คนเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพบว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์

เพราะเมื่อปราณันต์หันไป ใบหน้าเรียวใสก็อยู่ห่างจากใบหน้าคมคายไม่กี่เซ็นต์ แถมหนำซ้ำตอนนี้ริมฝีปากของคนทั้งคู่กำลังจะสัมผัสกันอีกตะหาก

คามินพอเห็นแบบนั้นก็เตรียมจะจู่โจม แต่ดีที่ว่าปราณันต์ไหวตัวทัน เลยยกมือขึ้นมาปิดปากหยักได้ก่อนที่จะประทับลงมาบนปากอิ่มของตัวเอง

“ไม่เอาครับ” มือเล็กดันใบหน้าเจ้าเล่ห์ออกเบาๆ ก่อนจะชำเลืองไปทางเจ้าฝาแฝดทั้งสองที่ตอนนี้กำลังง่วนกับของกินในจาน “เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”

คามินยอมถอยออกพร้อมยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจ

“แปลว่าถ้าเด็กๆ ไม่เห็น ก็ทำได้ใช่ไหมครับ”

ปราณันต์ค้อนขวับทันทีที่ได้ยินคามินพูดแบบนั้น แล้วแทนที่คนตัวโตจะสลดกลับหัวเราะร่ามากกว่าเดิม เพราะท่าทางของปราณันต์ตอนนี้นอกจากจะไม่ได้ดูน่ากลัวแล้ว ยังดูน่ารักมากอีกต่างหาก

“คุณนี่ขี้แตะอั๋งจริงๆ” ปราณันต์ต่อว่าไม่จริงจัง ก่อนจะหันกลับไปหาฝาแฝดอีกรอบ และพอผ่านไปไม่ถึงเสี้ยวนาที คนตัวเล็กก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเบาๆ ที่ประทับลงมาข้างแก้ม


จุ๊บ~


“ขอบคุณนะครับที่ยอมคบกับผม” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน พร้อมกับสายตาอบอุ่นที่ส่งให้คนตัวเล็กกว่า จนคนที่ได้รับเขินแทบนั่งไม่ติด

“รีบทานเถอะครับ จะสายแล้วนะ” ปราณันต์อ้อมแอ้มเปลี่ยนเรื่อง และด้วยท่าทางแบบนั้นก็สามารถเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคามินได้เป็นอย่างดี

“คร้าบ ครับ” คามินลงมือทานต่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ “ว่าแต่เย็นวันพรุ่งนี้คุณปราณว่างไหมครับ”

“อืม..”

ปากอิ่มยื่นออกเล็กน้อย... ยามปราณันต์ใช้ความคิด นั่นเป็นนิสัยประจำของปราณันต์ที่คามินสังเกตเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ คงต้องดูงานของทีมเป็นหลัก”

คามินคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว


‘โอเค พรุ่งนี้ตอนเย็นปราณันต์จะว่างจากงานในทีมโปรเจค’


“ได้ครับ ถ้าว่างหรือไม่ว่างยังไง คุณปราณบอกผมด้วยนะ” และพอถามจบ คามินก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นั่นทำให้ปราณันต์อดสงสัยไม่ได้

“คุณมีอะไรรึป่าวครับ?”

“ไม่มีอะไรสำคัญมากหรอกครับ ผมแค่อยากพาคุณไปแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักก็แค่นั้น”

คามินส่งยิ้มสดใส และเมื่อปราณันต์ได้รู้จุดประสงค์ของคามิน ก็ทำให้เขาอดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้ และประโยคถัดมาของคามินทำให้เขาเขินหนักยิ่งกว่าเดิม

“ผมอยากบอกทุกคนว่าคุณเป็นแฟนผม ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นว่าแฟนของผมน่ารักขนาดไหน”

คำหวานที่ส่งออกมาจากปากหยักทำเอาปราณันต์ไปไม่เป็น คนตัวเล็กได้แต่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่กับที่ เพราะไม่คิดว่าจะโดนจู่โจมด้วยคำพูดที่อ่อนโยนเช่นนี้

และเพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกดีกับการกระทำที่แสนพิเศษนี้คนเดียว ปราณันต์จึงตัดสินใจเอ่ยบางอย่างขึ้นมาบ้าง

“ผมมีเพื่อนสนิทแค่ไม่กี่คน พ่อกับแม่ของผมก็เสียหมดแล้ว จะมีเหลือก็แต่ปุณณ์กับปัณณ์ซึ่งคุณก็รู้จักแล้ว แต่ถึงยังไงผมก็อยากแนะนำคุณให้รู้จักกับเพื่อนไม่กี่คนของผมอยู่ดี ถ้าคุณไม่รังเกียจ...”

“ผมไม่เคยคิดรังเกียจเลยนะครับคุณปราณ ตรงข้ามผมกลับรู้สึกยินดีมากด้วยซ้ำ” ปราณันต์ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค คามินก็ชิงแทรกขึ้นมาก่อน “ที่ไหนเมื่อไหร่ บอกผมได้เลยครับ ผมยินดีและก็เต็มใจ”

ปราณันต์ยิ้มกว้างสว่างไสว เมื่อได้ยินว่าคนรักไม่ได้รังเกียจอะไรเพื่อนของตน

“ถ้างั้นไว้ผมจะนัดอีกทีนะครับ คงต้องดูวันว่างของทีมก่อน ส่วนของอนาวินไม่น่าจะมีปัญหา รายนั้นว่างให้ผมได้ตลอดอยู่แล้ว”

ปราณันต์กล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหันไปง่วนกับฝาแฝดต่อ คามินเองพอได้ยินแบบนั้นก็ประเมินผลในใจอย่างรวดเร็วอีกรอบ

อนาวินนั้นคามินไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่เพื่อนในทีมนี่ปราณันต์น่าจะหมายถึงหัวหน้าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้น กับผู้ชายสูงๆ คนนั้นสินะ...

เพราะฉะนั้นการได้ประกาศตัวว่าเป็นแฟนปราณันต์ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีกับเขาเท่านั้น เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของปราณันต์จะได้รู้สักทีว่าผู้ชายหน้าหวานคนนี้ไม่ใช่คนโสดอีกต่อไป


‘โอเค เย็นนี้ปราณันต์ก็จะว่างจากงานของทีมโปรเจคเช่นกัน'

.

.

.

“เด็กๆ ครับลงรถเร็ว ถึงโรงเรียนแล้ว” เสียงหวานใสเอ่ยบอกน้องๆ ฝาแฝด ที่วันนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ

“ครับ/ครับ” เจ้าหนูน้อยทั้งสองกระวีกระวาดลงจากรถทันทีที่ปราณันต์กับคามินเปิดประตูให้

ปราณันต์เดินเข้ามาจูงปุณณกันต์กับปัณณธรด้วยมือคนละข้าง ส่วนคามินก็สะพายกระเป๋าเป้ของฝาแฝดเดินตามหลังมาไม่ไกล

และเมื่อถึงตรงจุดที่มีอาจารย์ประจำชั้นยืนคอยรับอยู่ เจ้าหนูทั้งสองก็หันมาหาคามินอย่างรู้หน้าที่ โดยที่ชายหนุ่มเองก็รีบยื่นกระเป๋าเป้ให้เจ้าตัวแสบอย่างเอ็นดู

“ตั้งใจเรียนนะครับเด็กๆ” คามินเอ่ยพลางยื่นมือไปขยี้ศีรษะกลมๆ ของเจ้าหนูทั้งคู่อย่างหมั่นเขี้ยว

ส่วนปราณันต์นั้นกำลังทรุดลงนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงเสมอกับเด็กๆ พร้อมทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส

“ตั้งใจเรียนนะ ปุณณ์ ปัณณ์ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ปราณกับพี่ครามจะมารับ” ปราณันต์พูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข “อ้อ แล้วก็จำที่พี่ปราณสอนได้ไหมครับ”

ฝาแฝดพยักหน้าตอบรับหงึกหงักอย่างน่ารัก เรียกเอารอยยิ้มเอ็นดูจากพี่ชายได้ไม่ยาก

“พี่ปราณบอกว่า ห้ามไปกับคนแปลกหน้าครับ” ปุณณกันต์พูดเสียงดังฟังชัด

ส่วนฝาแฝดคนน้องอย่างปัณณธร ก็พูดต่อจากฝาแฝดคนพี่อย่างเด็กรู้ดี

“ต้องรอให้พี่ปราณกับพี่ครามมารับเท่านั้น ห้ามไปกับคนอื่น ปัณณ์จำได้”

ปราณันต์อมยิ้มแก้มตุ่ยหลังจากได้ยินน้องชายตอบแบบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วปล่อยมือเจ้าหนูทั้งสองส่งให้ครูประจำชั้น จากนั้นก็ร่ำลากันอีกนิดหน่อย คามินและปราณันต์ก็ถอยออกมา เพื่อเตรียมตัวกลับออฟฟิศ

“ยิ้มอะไรครับ” คนตัวโตถามขึ้น เมื่อเห็นว่าปราณันต์ยังคงยิ้มไม่เลิก แม้จะเดินมาถึงรถแล้วก็ตาม

คนตัวเล็กหัวมามองคนข้างๆ ด้วยตาเป็นประกาย “ผมแค่มีความสุขครับ ผมไม่ได้เห็นเด็กๆ ยิ้มได้แบบนี้มานานแล้ว แกคงดีใจที่จะได้เป็นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ”

ปราณันต์หยุดเดิน ก่อนจะหันไปหาคามินเต็มตัว แล้วยิ้มหวานให้คนรักของตัวเองอย่างอารมณ์ดี

“ขอบคุณคุณมากนะครับ ที่ทำให้น้องๆ ของผมมีความสุขแบบนี้”

คามินยิ้มตอบก่อนจะยื่นมือไปลูบแก้มนวลของคนตรงข้ามอย่างอ่อนโยน

“ผมเคยบอกแล้วไงครับ ว่าอะไรที่เป็นความสุขของคุณปราณก็ถือเป็นความสุขของผมด้วย ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณปราณแล้วก็ครอบครัวนะ”

พอได้ยินคำหวานจากปากหยักก็ทำเอาปราณันต์ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

“ปากหวานตลอด พูดแบบนี้อยู่เรื่อย” ปากอิ่มบ่นขมุบขมิบ ก่อนที่แก้มกลมๆ จะขึ้นเป็นสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง

“ผมไม่ได้ปากหวานสักหน่อย ผมพูดความจริงนะ” คามินพูดพลางทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ รวมถึงขยับตัวเข้าหาปราณันต์อย่างมีเป้าหมาย แต่คนตัวเล็กกว่ารู้ทัน เลยเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินหนี พลางหัวเราะร่าอย่างชอบใจที่เอาชนะคนตัวโตกว่าได้

“ที่นี่มันโรงเรียนนะครับ” ปราณันต์หันมาหาคามินและพูดดุไม่จริงจัง ซึ่งเรียกรอยยิ้มจากคนตัวโตได้เป็นอย่างดี

คามินจึงเดินไปหาคนตัวเล็กช้าๆ พลางถามอย่างอารมณ์ดี “ถ้าไม่ใช่ที่โรงเรียน ก็แปลว่าทำได้ใช่ไหมครับ”

ปราณันต์วิ่งหลบไปจนถึงรถ จึงได้รู้ว่าเสียท่าให้อีกฝ่ายเข้าให้แล้ว เพราะพอปลอดสายตาคนคามินก็พุ่งเข้ามากอดตนไว้ทันที

“เย็นพรุ่งนี้เราไปหาเพื่อนผมกันนะครับ ผมอยากจะอวดคนอื่นจะแย่แล้วว่าแฟนผมน่ารักขนาดไหน” พอจบคำจมูกโด่งก็ฉกลงบนแก้มนิ่มทันที ทำเอาปราณันต์เขินม้วน จากที่เขินคำพูดของคามินอยู่แล้ว กลับยิ่งเขินหนักไปอีกพอถูกร่างสูงโอ้โลม

“ก็บอกแล้วไงครับ ว่าถ้าว่างผมจะไป” สองคนสบตากันอย่างมีความหมาย ใบหน้าคมกำลังเคลื่อนเข้ามาหมายจะครอบครองริมฝีปากอิ่มตรงหน้า แต่ติดตรงที่อีกฝ่ายรู้ทันเลยเบี่ยงหนีก่อน “ไม่เอาครับ กลับกันเถอะ จะสายแล้วนะ”

มือเล็กๆ ของปราณันต์ ดันอกหนาของคนตัวโตออกเบาๆ คามินยอมปล่อยมือออกจากเอวบาง แต่ก็เลือกที่จะดึงมือเล็กที่วางอยู่บนอกตัวเองขึ้นมาจูบเบาๆ แทน

“คุณปราณรู้ไหมครับ ว่าผมมีความสุขมากที่สุดเลย ที่ได้มาอยู่ข้างๆ คุณแบบนี้” ตาคมสบลงบนตากลมโตอย่างมีความหมาย

“ผมรู้ เพราะผมเองก็มีความสุขมากเหมือนกัน” ร่างบางตอบอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าเย็นนี้ผมว่าง เราไปทานข้าวกันนะครับ พาฝาแฝดไปด้วย ผมอยากให้คุณรู้จักเพื่อนๆ และคนสำคัญของผม”

“ได้สิครับ ถ้าคุณปราณว่าง คุณปราณบอกผมนะ ผมจะได้ไปรับคุณ แล้วมารับเด็กๆ ไปพร้อมกัน”

ทั้งสองสบตากัน ยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุข ปราณันต์รู้สึกตัวเบาสบายเหมือนคล้ายกับว่าลอยอยู่ในอากาศ คามินเองก็เช่นกัน แม้ลึกๆ ในใจของเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาก็เลือกจะปัดมันออกไป และพยายามที่จะเลือกอยู่ตรงนี้มากกว่าจะกังวลถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

.

.

.

“ว่าไงครับคุณคราม”

พอถึงเวลาพักกลางวัน ปราณันต์ก็ได้สายจากคนรัก ที่น่าจะโทรมาถามถึงการนัดหมายเย็นนี้ ซึ่งปราณันต์เองก็ว่าจะโทรหาอีกฝ่ายอยู่พอดี

(ตกลงเย็นนี้ว่าไงครับตัวเล็ก) คนตัวเล็กที่ถูกเอ่ยถึงขมวดคิ้วมุ่นทันที ใครกันตัวเล็ก เขาไม่ได้ตัวเล็กเสียหน่อย

“คุณหมายถึงใครหรอครับ ตัวเล็กเนี่ย” เสียงหวานที่ถามออกไปดูกระเง้ากระงอดนิดหน่อย คามินอมยิ้มน้อยๆ ตอนจินตนาการถึงใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้คงกำลังงอง้ำ ปากอิ่มสีสดคงจะยื่นออก แค่คิด ก็อยากจับคนตัวเล็กนั่น มากอดให้จมอกจริงๆ

(ก็คุณปราณไงครับ ตัวเล็กของผม) คามินเอ่ยเย้าอย่างอารมณ์ดี ยิ่งได้แหย่คนอีกฝั่งในสายให้งอนได้ เขายิ่งรู้สึกมีความสุข

“ผมไม่ได้ตัวเล็กสักหน่อย ใครๆ ก็บอกว่าผมน่ะ หุ่นตามมาตรฐานผู้ชายทั่วไปสุดๆ” ปราณันต์ยังคงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ทำเอาคามินอดขำขึ้นมาไม่ได้

(ฮ่าๆๆๆ แต่ถึงยังไงคุณปราณก็ตัวเล็กกว่าผมแล้วกัน ตัวเล็กกว่าเยอะมากด้วย)

ปราณันต์ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อยู่อีกฝั่งของสาย จะเถียงก็เถียงไม่ออก เพราะสิ่งที่คามินพูดมา ดันเป็นความจริงทุกอย่าง

(ไหล่ก็แคบกว่าผม ส่วนสูงก็น้อยกว่าผม เอวก็บางกว่าผม แขนขาก็เล็กกว่าผม แล้วแบบนี้จะไม่เป็นตัวเล็กของผมได้ยังไงกัน)

ถ้าให้เดาตอนนี้ใบหน้าสวยหวานจะต้องงอง้ำอยู่แน่ เพราะคนตัวเล็กคงไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาเถียง ในเมื่อสิ่งที่คามินพูดนั้นจริงทุกอย่าง แม้ว่าปราณันต์จะไม่ใช่คนตัวเล็ก และมีมาตรฐานเดียวกับชายหนุ่มทั่วไป แต่คามินกลับตัวสูงใหญ่ผิดกับคนอื่นๆ นั่นทำให้เขาดูตัวใหญ่โตกว่าปราณันต์ไปโดยปริยาย

“เชอะ!” ปราณันต์ทำเสียงออกจมูก แต่ก็ขี้เกียจจะเถียงเลยวกเปลี่ยนกลับเข้าเรื่อง “ว่าแต่คุณโทรมาเรื่องอะไรนะครับ”

(ผมจะโทรมาถามว่าตกลงเย็นนี้ว่าไงครับ ผมจะได้กะเวลาไปรับคุณปราณกับฝาแฝดถูก)

“ผมก็ว่าจะโทรหาคุณอยู่พอดี” ปราณันต์ระบายยิ้มออกมาบางๆ “ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากพี่นทเมื่อกี้ ว่าวันนี้กับพรุ่งนี้เลิกปกติครับ เพราะเป็นช่วงแรก เลยอยากให้ทีมปรับตัวเข้าหากันก่อน ทีนี้ผมก็เลยว่างสำหรับนัดของเราทั้งสองวันเลย”

คามินยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ก็ปราณันต์จะไม่ว่างได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนสั่งให้หัวหน้าทีมโปรเจคเป็นคนทำแบบนี้เอง


‘ท่านประธานมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ’ หัวหน้าทีมโปรเจคค้อมศรีษะถามท่านประธานใหญ่ของบริษัทอย่างนอบน้อม เมื่อถูกเรียกตัวเข้ามาพูดคุยในห้องทำงานส่วนตัว

‘ผมได้ข่าวว่าวันนี้เป็นวันรวมตัวคนในทีมโปรเจควันแรกใช่ไหม’ คามินแกล้งถามขึ้นอย่างสบายๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ

‘ใช่ครับ บอส’ หัวหน้าทีมโปรเจครับคำงงๆ

‘ที่จริงผมก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ผมแค่ไม่อยากให้หักโหมอะไรมาก วันสองวันแรก ก็แค่ทำความรู้จัก แล้วก็บรีฟธีมงามกันก็พอ อย่าไปเลิกดึกมาก ผมไม่อยากคนมาใหม่จะถอดใจกันตั้งแต่เริ่ม ถ้าเราโหมงานหนักกันตั้งแต่วันสองวันแรก’

คามินแสร้งทำเสียงเป็นห่วงเป็นใย และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีเสียด้วย เพราะหัวหน้าทีมโปรเจคดูคล้อยตามพอสมควร

‘ได้ครับ งั้นช่วงวันสองวันแรกผมจะแค่บรีฟงานคร่าวๆ ให้เลิกงานตามปกติไปก่อน ตามที่บอสแนะนำครับ’

‘โอเค งั้นก็ตามนี้ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ คุณไปเถอะ’

คามินมองตามคนที่เพิ่งเดินออกไปไล่หลัง พลางยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่ตนเองวางไว้ ทีนี้ปราณันต์ก็มีเวลาว่างมากพอที่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจแล้ว



(ตกลงงั้นผมไปรับคุณปราณเวลาเดิมนะครับ จากนั้นเราก็ไปรับฝาแฝดกัน ว่าแต่... คุณปราณนัดกับเพื่อนๆ ไว้ที่ไหนหรอครับ)

“ผมนัดไว้ที่คลับที่ผมทำงานน่ะครับ สะดวกดี แล้วทุกคนก็น่าจะรู้จักด้วย” ปราณันต์ตอบเสียงใส ดูอารมณ์ดีมาก

คามินพยักหน้ารับ พลางหวนนึกถึงวันแรกที่ได้เจอกับปราณันต์ที่นั่น แววตากลมโตที่เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก แววตากลมโตที่ทำให้เขาตัดสินใจกระโจนลงมาเล่นเกมบ้าๆ นี่ จนตอนนี้ที่ถอนตัวไม่ขึ้น

(โอเค งั้นเย็นนี้เจอกันนะ เดี๋ยวผมพบลูกค้าเสร็จแล้วจะไปรับนะครับตัวเล็ก)

คามินไม่วายหยอกล้อปราณันต์อย่างอารมณ์ดีอีกรอบ ซึ่งก็เรียกเอาเสียงกระเง้ากระงอดจากคนตัวเล็กในสายได้ไม่น้อยเช่นกัน

“คุณนี่! ใครจะไปตัวโตเท่าคุณล่ะ ไม่คุยกับคุณแล้ว” ปราณันต์ตัดพ้อไม่จริงจัง “เย็นนี้เจอกันนะครับ”

ก่อนที่ทั้งสองจะกดวางสายไปด้วยรอยยิ้มเปื้อนริมฝีปากทั้งคู่

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...14/01/64 [15th Lies: แนะนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 14-01-2021 20:41:51
(ต่อจากด้านบน)


“รอนานไหมครับ” ทันทีที่ขาเรียวก้าวเข้ามานั่งในรถ คามินก็เปิดฉากถามคำถามคนรักโดยเร็ว

“ไม่นานครับ ผมเพิ่งลงมาเมื่อกี้เอง” คนตัวเล็กกว่าขยับจัดท่าทางก่อนจะพูดต่อ “เราไปรับเด็กๆ กันเถอะครับ เดี๋ยวพวกแกจะรอนาน”

แม้ภายใต้ท่าทีที่ทีดูเฉยเมยกลับแฝงไปด้วยความตื่นเต้นเล็กๆ ที่คามินจับสังเกตได้จากคนตรงข้าม

“ตื่นเต้นหรอครับ” คามินถามออกมาสั้นๆ พร้อมระบายรอยยิ้มอ่อนโยน

ปราณันต์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมรับออกมาอย่างเขินๆ “นิดหน่อยครับ ผมอยากรู้ว่าเด็กๆ จะมีอาการแบบไหน ตอนเห็นเราสองคนไปรับพวกแก”

คามินยิ้มรับอย่างเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยออกมาเช่นกัน “แล้วคุณปราณไม่ตื่นเต้นหรอครับ ที่วันนี้จะพาผมไปเปิดตัวกับเพื่อนๆ”

ดวงตากลมโตหันไปจ้องมองคามินด้วยแววตาสดใสและจริงใจ

“ถ้าบอกว่าไม่จะโกรธไหมครับ ฮ่าๆ” ปราณันต์หัวเราะน้อยๆ “ผมเชื่อว่าคุณจะเข้ากับเพื่อนผมได้ดี ผมเลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่”

รอยยิ้มสว่างไสวถูกส่งออกมาจากริมปากอิ่มที่คามินหลงใหล ในเวลานี้เขาอยากจะดึงคนตรงข้ามมาจูบให้หนำใจ ความซื่อตรงและสดใสของปราณันต์ทำให้เขาใจสั่นและเสียการควบคุมเป็นอย่างมาก ซึ่งแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับหัวใจของเขาเลย

“งั้นเรารีบไปรับฝาแฝดกันดีไหมครับ จะได้รีบไปหาเพื่อนๆ คุณต่อ”

“อื้อ! ไปครับ”

ปราณันต์และคามินขับรถมาถึงโรงเรียนในเวลาไม่นาน พอมาถึงเขาทั้งคู่ก็ได้เห็นเด็กๆ ยืนสะพายกระเป๋า ยิ้มหน้าตาแป้นแล้นอยู่ไม่ไกล เจ้าหนูตัวน้อยดูกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษสงสัยจะดีใจที่ได้กลับบ้าน

“พี่คราม~”

“พี่ปราณ~”

ปัณณธรวิ่งไปเกาะเอวคามินอย่างดีใจ ส่วนปุณณกันต์ก็วิ่งเข้าไปจับมือปราณันต์อย่างรู้งาน

คามินยกตัวปัณณธรลอยขึ้นจากพื้น เรียกเอาเสียงหัวเราะและหวีดร้องจากเจ้าตัวน้อยได้เป็นอย่างดี

“ไหนตัวยุ่งทั้งสอง ทำการบ้านเสร็จรึยังครับ” ปราณันต์ถาม ก่อนที่เด็กฝาแฝดทั้งสองจะพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ

“ทำเสร็จแล้วครับพี่ปราณ ทำเมื่อกี้ตอนรอพี่ๆ มารับ” ปุณณกันต์ตอบเสียงดังฟังชัด ลึกๆ แล้วปราณันต์ก็รู้ว่าน้องคงอยากได้คำชมเชยจากตัวเอง

“เก่งมากครับเด็กๆ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วพี่จะไปตรวจให้นะ” ปราณันต์เอื้อมมือไปกุมมือเด็กทั้งสองไว้ ก่อนจะบอกข่าวสำคัญ “วันนี้เราจะไปหาพี่วิน พี่นท แล้วก็พี่กวี เพื่อทานข้าวด้วยกัน เด็กๆ อยากไปไหมครับ”

สองหนุ่มน้อยตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินพี่ชายบอกแบบนั้น ที่สำคัญคือทุกคนไม่ได้เจออนาวินนานแล้ว เจ้าตัวแสบคงคิดถึงอนาวินไม่น้อย

“ไปครับๆ ปุณณ์ไป”

“เย่ๆๆๆๆ ปัณณ์อยากไปหาพี่วิน ปัณณ์คิดถึง” เจ้าตัวเล็กพูดด้วยท่าทีน่าเอ็นดู

คามินและปราณันต์มองเด็กทั้งสองด้วยแววตารักใคร่ โดยเฉพาะคามิน ดูเหมือนคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการนั่นกำลังตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดไว้โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด

“งั้นเราไปขี้นรถกันดีกว่าเนาะ ป่านนี้พวกพี่ๆ คงไปรอกันแล้ว” ปราณันต์พูดกับเด็กๆ แล้วหันไปบอกคามินกลายๆ ด้วย

คามินเลยจัดการเกี่ยวเอวปัณณธรน้อยเข้าหาตัว แล้วยกขึ้นอุ้มพาออกเดินนำหน้า โดยมีปราณันต์จูงปุณณกันต์เดินตามหลังมา ผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่มารับบุตรหลานตัวเอง มองตามทั้งสี่คนที่เดินเคียงกันไปด้วยสายตาชื่นชมและเอ็นดู ซึ่งปราณันต์ เองพอเห็นสายตาแบบนั้นจับจ้องมายังตนก็อดเขินไม่ได้ คามินเองก็เหมือนจะรู้ เลยเดินถอยหลังมาคว้ามือปราณันต์ไว้ พร้อมทั้งออกแรงลากเบาๆ ให้คนตัวเล็กเดินตาม

น่าแปลกที่เมื่อมือใหญ่มือนั้นมากอบกุมมือเขาไว้ แทนที่ปราณันต์จะเขินอายมากกว่าเดิม แต่มันกลับทำให้ใจดวงน้อยๆ ของเขาสงบลงอย่างประหลาด ความอบอุ่นที่มือใหญ่มอบให้นั้นทำให้เขารู้สึกดีและมั่นคงไปทั้งหัวใจ และด้วยเหตุนี้เองทำให้ปราณันต์มั่นใจว่าถ้ามีคนๆ นี้อยู่ข้างๆ ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องหวั่นเกรงอีกต่อไป

.

.

.

ทั้งสี่คนเดินทางมาถึงคลับที่ปราณันต์เคยทำงานในเวลาต่อมา ตอนนี้ที่คลับยังไม่เปิดให้ลูกค้าเข้าเพราะยังไม่ถึงเวลาให้บริการ อนาวินได้เตรียมอาหารไว้บางส่วน พอทุกคนมาถึงก็เห็นว่าอนาวิน นทนัช และกันต์กวีนั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว

“พี่วิน~” เจ้าแฝดคนเล็กปัณณธรวิ่งกระโดดดุ๊กๆ ไปหาอนาวินที่กำลังนั่งยองๆ อ้าแขนรอรับฝาแฝดทั้งสองโดยมีปุณณกันต์วิ่งตามพุ่งเข้าหาอ้อมกอดเล็กๆ ตรงหน้าเต็มแรง

“ว่าไงเจ้าตัวแสบ” อนาวินหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ตอนที่เจ้าหนูน้อยวิ่งเข้ามาในอ้อมกอด “พี่คิดถึงจะแย่แล้ว”

“ปุณณ์กับปัณณ์ก็คิดถึงพี่วินเหมือนกันครับ” ปุณณกันต์ตอบฉะฉาน เสียงดัง พร้อมกับมองหน้าเพื่อนสนิทพี่ชายด้วยสายออดอ้อน

"ใช่ๆ คิดถึงคุณยายด้วย วันนี้คุณยายมาไหมครับพี่วิน” ปัณณธรน้อยเองก็ตอบออดอ้อน พลางถามตาใสไม่ต่างจากแฝดคนพี่เลย ทำเอาร่างเล็กทนไม่ไหว ก้มลงฟัดจูบที่แก้มนิ่มของพวกเด็กๆ ไม่หยุด

“คุณยายไม่ได้มาครับ เดี๋ยวไว้วันหลังพี่จะพาฝาแฝดไปหาคุณยายนะ” เจ้าตัวน้อยทั้งสองยิ้มรับ พร้อมพยักหน้าอย่างเข้าใจและเชื่อฟัง

อนาวินละสายตาและอ้อมกอดจากฝาแฝด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมมองไปยังเพื่อนสนิท ที่ยืนเคียงข้างอยู่กับผู้ชายคนนั้น คนที่เขาเคยเจอและคนที่เขาเคยให้ความช่วยเหลือ

ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างรู้ความนัย ก่อนที่จะได้ยินเสียงหวานพยายามเรียกและแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน

“นี่พี่นทนัชครับ แล้วนั่นกันต์กวี ส่วนนี่ไอ้วิน คุณน่าจะรู้จักอยู่แล้ว”

เมื่อปราณันต์เห็นทุกคนมายืนรอโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว เสียงหวานเลยแนะนำให้ทุกคนให้ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

“พี่นท ไอ้วิน กวี” ปราณันต์เรียกชื่อทุกคน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเล็กน้อยและเมื่อหันไปมองผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ข้างตัว ทั้งสองก็ยิ้มให้กัน พร้อมกับที่คามินเอื้อมมือมากุมมือเล็กไว้ช้าๆ

“ทุกคนครับ นี่คุณคามิน เค้าเป็น...” แล้วจู่ๆ ปราณันต์ก็เงีบบไป น่าจะเพราะกำลังอาย

“สวัสดีครับทุกคน ผมคามินหรือจะเรียกว่าครามก็ได้ ผมเป็นแฟนกับคุณปราณครับ” คามินพูดอย่างยิ้มแย้มเป็นมิตร อนาวินและนทนัชดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ จะว่าไปกันต์กวีเองก็ดูไม่แปลกใจหรอก แต่ดูเหมือนไม่สบอารมณ์มากกว่า

“ยินดีด้วยนะครับคุณคามิน ยังไงก็ดูแลเพื่อนผมดีๆ ล่ะ นายด้วยไอ้ปราณ มีแฟนแล้วก็ทำตัวให้สมกับมีแฟน ไม่ใช่ทำแต่งานงกๆ” อนาวินยิ้มให้อย่างจริงใจ ถ้าเพื่อนสนิทเขามีความสุข ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะขัดขวางหรือทำให้เพื่อนทุกข์ใจ

“ยินดีด้วยนะปราณ คุณคามินด้วย” นทนัชยิ้มให้อย่างยินดี “พี่เองก็สังเกตอยู่ว่าช่วงนี้เจ้าตัวแสบของพี่ดูมีความสุขแปลกๆ ว่าแล้วต้องมีเรื่องดีๆ ถ้ายังไงฝากปราณันต์ด้วยนะคะ”

นทนัชอวยพร แฟนของปราณันต์ดูภูมิฐานและเป็นผู้ใหญ่ สำหรับผู้ชายคนนี้ดูดีทุกอย่าง ถ้าปราณันต์ได้คนๆ นี้ไปดูแล เธอคงจะยินดีด้วยเป็นอย่างมาก แต่ติดตรงที่ว่านทนัชรู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้แปลกๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เลยเลือกที่จะปล่อยผ่านไป

“ยินดีด้วย ดูแลปราณให้ดีไม่งั้นผมเล่นงานคุณแน่” ส่วนกันต์กวีนั้น ไม่ได้มีความยินดีในใบหน้าหรือน้ำเสียงสักนิด พอหนุ่มเหนือพูดจบก็เลี่ยงที่จะเดินหนีออกไป เป็นผลให้นทนัชต้องรีบขอโทษกันยกใหญ่

คามินโบกมือให้อย่างไม่ถือสา เมื่อเห็นว่าสีหน้าของปราณันต์ไม่สู้ดีนักหลังจากเห็นท่าทีของกันต์กวีที่มีต่อตน

“คามิน คือว่า...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณปราณ ผมเข้าใจ อาจจะต้องให้เวลาคุณกันต์กวีเค้าสักนิด ผมโอเคนะ คุณอย่าห่วงเลย”

คามินพูดปลอบ พลางลูบมือเล็กเบาๆ อย่างเอาใจ ซึ่งแค่การกระทำเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้ ก็เรียกรอยยิ้มหวานจากปากอิ่มได้ไม่ยาก

“เอาล่ะครับอย่ามัวเสียเวลากันอยู่เลย รีบมาทานข้าวกันดีกว่า เพราะอีกสักพักร้านก็จะเปิดแล้ว พอคนเยอะเดี๋ยวจะยิ่งวุ่น”

จบคำพูดอนาวินทุกคนเลยมานั่งล้อมวงรับประทานอาหารเย็นกัน บรรยากาศรอบๆ ก็ไม่มีอะไรมาก เน้นการพูดคุยกันเสียมากกว่า คามินเข้ากันได้ดีกับอนาวินและนทนัช ส่วนกันต์กวีนั้นไม่ต้องพูดถึง รายนั้นแทบจะนับคำพูดได้ ความอึดอัดเข้าปกคลุมคนทั้งสองเป็นระยะๆ ปราณันต์ได้แต่ถอนใจอย่างปลงตก โชคยังดีที่มีฝาแฝด ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่คอยสร้างความสุขให้ทุกคน เลยทำให้สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้น

หลังจากนั่งทานกันไปได้สักระยะ ก็ดูเหมือนว่าคลับที่ใช้เป็นสถานที่นัดพบรวมถึงเป็นที่ๆ อนาวินทำงานอยู่นั้นก็ใกล้จะเปิดให้บริการเต็มที ผู้ใหญ่ทั้งห้าคนจึงเริ่มบอกลากันในที่สุด

“ขอบคุณสำหรับอาหารและมิตรภาพดีๆ นะครับ ผมยินดีมากที่ได้รู้จักพวกคุณ” คามินกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “แล้วก็จากนี้ผมก็ขออนุญาตฝากตัวกับทุกคนด้วยนะครับ”

คนตัวโตค้อมศรีษะลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาท ซึ่งการกระทำดังกล่าวเรียกรอยยิ้มกว้างจากปากอิ่มได้ไม่หุบ

“แหม ยิ้มปากจะฉีกแล้วไหมวะไอ้ปราณ”

พอโดนเพื่อนสนิทแซวเข้าหน่อยปราณันต์ก็หุบยิ้ม แก้มนวลขึ้นสีแดงระเรื่อ เมื่อถูกจับได้ว่ามีความสุขมากขนาดไหน ยามมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน

ทุกคนดูเหมือนจะมีความสุขอยู่ในบรรยากาศหอมหวานของคู่รักคู่ใหม่ แต่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่หนึ่งคนที่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมกลับก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ที่ทำงาน” กันต์กวีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงบึ้งตึง ก่อนจะคว้าข้าวของส่วนตัว เดินลิ่วออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรใครทั้งนั้น

นทนัชกำลังจะเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง แต่คามินห้ามไว้ก่อน

“ถ้าคุณนทจะขอโทษก็ไม่ต้องหรอกครับ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมเข้าใจคุณกันต์กวีนะ เราคงต้องให้เวลาเขาสักนิด” คามินหยุดไปนิดนึงก่อนจะพูดติดตลกกลั้วเสียงหัวเราะ “เอาเป็นว่าผมจะพยายามทำให้เขาชอบขี้หน้าผมให้ได้แล้วกันนะครับ”

เมื่อจบประโยคที่คามินพูด ก็เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่ได้จากทุกคน

“พี่ปราณ ปัณณ์ง่วงแล้วครับ” และหลังจากที่หมดเสียงหัวเราะเจ้าแฝดคนเล็กก็เกิดงอแงขึ้นมา ปราณันต์หันมามองน้องชายทั้งสองที่ตอนนี้กำลังนั่งตาปรือปรอย ทำท่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่ที่โต๊ะอาหาร

“เฮ้อ ทานอิ่มแล้วก็ง่วงนอนขึ้นมาทันทีเลยนะ” ปราณันต์บ่นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ก่อนจะหันไปหาคนตัวโตข้างๆ “เรากลับกันเลยดีไหมครับ เด็กๆ ง่วงแล้ว”

“เอาสิครับ เดี๋ยวผมอุ้มปุณณ์ไป ส่วนคุณปราณอุ้มปัณณ์นะ ท่าทางจะงอแงจนไม่ยอมเดินกันแล้วล่ะ”

คามินยิ้มบางๆ ยามมองไปที่เจ้าตัวแสบทั้งสอง ปราณันต์และคามินหันไปบอกลาอนาวินและนทนัช ก่อนที่จะเดินไปหาปัณณธร ที่ตอนนี้อ้าแขนรอให้ปราณันต์อุ้มอยู่ก่อนหน้าแล้ว และก่อนที่คามินจะเดินตามปราณันต์ไป อนาวินกลับรั้งแขนคนตัวโตไว้ก่อน

“คุณรับปากไว้กับผมแล้ว อย่าลืมทำตามที่สัญญานะครับ” อนาวินมองสบเข้าไปในดวงตาคมนิ่ง เล่นเอาคามินอดเสียวสันหลังไม่ได้

“อย่าห่วงเลยครับ ผมจะดูแลคุณปราณและเด็กๆ อย่างดี” ยิ้มการค้าถูกส่งออกมาจากปากหยักอย่างแนบเนียน ชนิดที่ว่าเมื่ออนาวินมองเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วก็วางใจยอมคลายมือที่ยึดแขนของคามินไว้ออกในที่สุด

หลังจากร่ำลากันเรียบร้อย คามินและปราณันต์ก็พาเด็กๆ กลับออกไป โดยมีสายตาสองคู่มองไปอย่างสบายใจ อนาวินและนทนัชหันมามองหน้ากันและยิ้มให้กันเงียบๆ สิ่งนึงที่สองคนมีเหมือนกันคือความห่วงใยที่มีต่อปราณันต์ ถ้าจนถึงวันนึงปราณันต์มีคนที่ดีดูแล ก็ถึงเวลาที่เขาทั้งคู่จะได้วางใจและปล่อยให้ปราณันต์ได้มีความสุขกับสิ่งที่สมควรได้รับเสียที

.

.

.

พอมาถึงอพาร์ทเม้นท์ คามินและปราณันต์ก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เด็กๆ ก่อนพาเข้านอนอย่างสงบ และอพยพออกมานั่งคุยกันที่หน้าทีวี

“พรุ่งนี้ตอนเย็นผมไปรับคุณปราณเหมือนเดิมนะครับ แล้วจากนั้นเราไปรับเด็กๆ ละไปหาเพื่อนผมกัน ดีไหมครับ”

“เอ่อ .. คือ” ปราณันต์อึกๆ อักๆ จนคามินสังเกตเห็น

“มีอะไรรึป่าวครับคุณปราณ ทำไมดูเหมือนมีอะไรไม่สบายใจ” คามินถามพลางยื่นมือไปลูบแก้มนิ่มของคนตรงข้ามเบาๆ

เหมือนเป็นปฎิกริยาอัตโนมัติที่พอคามินยื่นมือมาลูบแก้ม ปราณันต์ก็จะเอียงใบหน้ารับ หลับตาพริ้มซบมือใหญ่อย่างออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นทำให้คามินจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างหลงใหล


‘ปราณันต์ยามที่เหมือนแมวตัวน้อยแบบนี้ ช่างน่ามองและน่าหวงแหนเหลือเกิน หวงแหนจนเขาอยากเก็บไว้แค่คนเดียว’


แววตากลมโตค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ พลางกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างกังวลเล็กน้อย

“ผมกลัว.. กลัวเพื่อนคุณไม่ชอบผม” ในดวงตากลมนั่นมีร่องรอยของความไม่สบายใจปรากฎอยู่ “ผมว่าผมรับมือแบบที่คุณทำกับกวีวันนี้ไม่ได้แน่ๆ ผมจะ..”

ไม่ทันที่ปราณันต์จะพูดจบคามินก็ใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าสวยหวานพร้อมทั้งดึงเข้ามาให้ชิดกับใบหน้าตน ก่อนจะประกบปากหยักลงบนปากอิ่มที่กำลังจะเจื้อยแจ้วในสิ่งที่ไม่สบายใจ

คามินถ่ายทอดทุกสัมผัสที่อบอุ่น ค่อยๆ ละเลียดและเติมเต็มความมั่นใจให้คนตรงข้ามอย่างเชื่องช้า ปราณันต์ที่ตกใจในคราวแรกก็เหมือนจะต่อต้านเล็กน้อย แต่เมื่อถูกไล่ต้อนด้วยสัมผัสที่คุ้นเคย ปากอิ่มก็ขยับตอบรับอย่างไร้เดียงสา และนั่นยิ่งทำให้คามินได้ใจยิ่งกว่าเดิม

ลิ้นร้อนของคนตัวโตพยายามจะสอดเข้ามาในโพรงปากอิ่ม เขี้ยวเล็กๆ ของคามิน ขบลงบนริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างร้องขอ คนตัวเล็กโอนอ่อนให้คนตรงข้ามหมดใจ ริมฝีปากอิ่มที่เคยปิดแน่นก่อนหน้าค่อยๆ เผยอขึ้นเพื่อรอต้อนรับการรุกล้ำที่กำลังรอเข้ามา

คามินส่งลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจอย่างไม่รอช้า หลังจากผ่านการจูบกันมาแล้วหลายครั้ง ปราณันต์เองก็รู้ทันทีว่าตัวเองต้องทำอะไร ลิ้นเล็กๆ ตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดกับเรียวลิ้นชื้นที่สอดเข้ามา การกระทำที่แสนซื่อตรงของปราณันต์ทำให้คามินแทบจะสติแตก เขาอยากรังแกคนตรงหน้ามากกว่านี้ อยากจูบให้รุนแรงให้สมกับความรู้สึกภายในใจที่พลุ่งพล่าน แต่คามินไม่สามารถทำได้ เขาจึงทำได้แค่บดริมฝีปากของตัวเองลงไปหนักๆ จนกระทั่งปราณันต์หายใจไม่ทัน จึงได้ถอนริมฝีปากออก

หลังจากคามินถอยใบหน้าออก ปราณันต์ก็หอบหายใจแรง และมีน้ำใสติดอยู่ที่มุมปาก มือเล็กๆ กำลังจะเอื้อมไปเช็ด แต่คามินไวกว่า คนตัวโตกลับยึดมือของปราณันต์ไว้ และกดริมฝีปากตัวเองลงไปที่มุมปากอิ่มเพื่อซับทำความสะอาดให้แทน

ปราณันต์เขินจนทำตัวไม่ถูก คามินจึงกระซิบชิดริมฝีปากอิ่มเบาๆ พร้อมกับใช้มือใหญ่ลูบแก้มนวลไปเบาๆ

“ไม่ต้องกังวลนะครับ คุณปราณของผมน่ารักขนาดนี้ เพื่อนของผมต้องชอบคุณแน่ๆ อย่าคิดมากไปเลย โอเคไหม หื้ม?”

คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก พลางเหลือบมองใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างไปไม่กี่คืบ ก่อนที่จะเสเอาใบหน้าตัวเองก้มซุกลงไปที่อกอุ่นๆ ของคามินแทน และด้วยท่าทีน่ารักแบบนั้นยิ่งเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างจากคามินได้มากยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะกระชับอ้อมกอด โอบรั้งร่างเล็กไว้เพื่อให้กำลังใจไม่ให้ปราณันต์ต้องคิดมากต่อไป

.

.

.

วันต่อมาหลังเลิกงาน คามินไปรับปราณันต์และฝาแฝดตามนัด คนตัวโตนัดเพื่อนทั้งสามคนของตัวเองไว้เรียบร้อย ทุกคนดูตื่นเต้นมากที่จะได้ปราณันต์และฝาแฝด โดยเฉพาะสิปปกรที่ดูดี๊ด๊าเป็นพิเศษ ถึงขั้นกับโทรตามคามิน เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้วแต่เจ้าตัวกลับยังไม่ไปปรากฎตัวเสียที


Rrrr


“ว่าไงไอ้สิบ” คามินรับสายในขณะที่กำลังขับรถไปร้านอาหารที่นัดแนะกับเพื่อนทั้งสามไว้ โดยมีปราณันต์นั่งอยู่ข้างๆ และมีฝาแฝดเจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างหลัง

(อยู่ไหนแล้ววะคราม กูอยากเจอลูกแมวน้อย เด็กนายจะแย่แล้ว) ทันทีที่เพื่อนสนิทรับโทรศัพท์ สิปปกรก็ยิงคำถามใส่ทันที

“กำลังไป ใจเย็นๆ ดิวะ” คามินตอบกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะพูดขึ้นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “เออ สั่งข้าวผัดเบค่อนกับข้าวผัดกุ้งไว้ให้หน่อย ห้ามเผ็ดนะ เดี๋ยวเด็กๆ ทานไม่ได้” คามินหันไปมองเบาะหลังอย่างเป็นห่วง กลัวเด็กๆ จะไม่มีอะไรทาน

(ข้าวผัดอะไรวะ มึงหิวหรอ) สิปปกรถามงงๆ

“เอาน่า บอกให้สั่งก็สั่งเถอะ อีกไม่เกินสิบนาทีจะถึง แล้วไว้เจอกัน” คามินพูดตอบอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะกดวางสายไป โดยที่สิปปกรยังไม่ทันจะโต้ตอบอะไรเลย

“ปุณณ์ ปัณณ์ ครับ พี่ครามสั่งข้าวผัดเบค่อนกับข้าวผัดกุ้งให้ เด็กๆ อยากทานไหมครับ”

“เย่ๆ อยากทานครับ ปัณณ์อยากทานกุ้งครับ”

“ใช่ๆ ปุณณ์ก็อยากทานเบค่อนเหมือนกันครับ”

เด็กน้อยต่างแย่งกันพูดเอาใจพี่ครามกันอย่างน่าเอ็นดู ผู้ใหญ่ทั้งสองเลยได้แต่ส่ายหัวยิ้มๆ ให้พฤติกรรมน่ารักๆ นั่น

“โอเค เดี๋ยวไปถึงแล้วปุณณ์กับปัณณ์ทานเยอะๆ เลยนะ ไม่พอบอกพี่คราม เดี๋ยวพี่ครามจะสั่งให้อีก” คามินพูดอย่างใจดี ขอแค่เด็กๆ บอก เขายินดีให้ทุกอย่าง

“คุณน่ะตามใจพวกแกอีกแล้ว ไม่เอานะครับ” ปราณันต์รีบปราม เมื่อเห็นว่าคามินกำลังจะทำให้ฝาแฝดเคยตัว

คามินหัวเราะเสียงใส ไม่ได้ตกปากรับคำว่าจะไม่ตามใจเด็กๆ ปราณันต์รู้แล้วแหละว่าต้องมาอิหรอบนี้ ก็เลยได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลงตก

“พี่ครามๆ ว่าแต่เราจะไปไหนกันหรอครับ ไปหาพี่วินอีกหรอ” ปุณณกันต์ถามด้วยความสงสัย แววตาแป๋วแหววนั้นกำลังฉายถึงความอยากรู้เต็มที่

“ไม่ใช่ครับ วันนี้พี่ครามจะพาพี่ปราณกับฝาแฝดไปหาเพื่อนพี่คราม เพื่อนพี่ครามใจดีทุกคนเลยนะ ปุณณ์กับปัณณ์ต้องชอบแน่ๆ”

“จริงหรอครับ ปัณณ์อยากเจอเพื่อนพี่คราม เพื่อนพี่ครามต้องใจดีเหมือนพี่ครามแน่ๆ เลย”

เจ้าหนูตัวน้อยยิ้มสดใสให้คามิน ต่างกับคนเป็นพี่ที่ตอนนี้แววตากลมโตฉายความกังวลจนปิดไม่มิด

เมื่อคามินเห็นเลยเลื่อนมือข้างที่ว่างมากุมมือปราณันต์ไว้แผ่วเบา

“ไม่ต้องกังวลนะครับ เชื่อใจผม ทุกคนจะรักคุณเหมือนที่ผมรัก”

ปราณันต์ยิ้มออกมาบางๆ หลังจากได้ยินประโยคนั้น หัวใจดวงน้อยกลับอบอุ่นขึ้นมาย่างประหลาด เขาก็ได้แต่หวังว่า ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนอย่างที่คามินพูดให้กำลังใจ

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------------------------------------

เอาเลยลูกกกกกกกกก ไปให้สุด จะห้ามก็ไม่ทันแน้ววววววว ><

ขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ ชอบไม่ชอบเม้นท์บอกได้น้าาา ตอนต่อไปจะพยายามมาให้ได้ในสองสามวันเด้อ ... แต่ฝากคอมเม้นท์นิดเนาะ จะได้ไปต่อได้แบบลื่นๆ 5555555555

รักจ้า ไว้เจอกันตอนหน้าค้าบบบบ ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...14/01/64 [15th Lies: แนะนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-01-2021 21:34:32
 o18 o13
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...14/01/64 [15th Lies: แนะนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 15-01-2021 15:56:41
มอบความสุขกันให้เต็มที่
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...14/01/64 [15th Lies: แนะนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-01-2021 22:41:29
มอบความสุขกันให้เต็มที่

เห็นด้วย +ตักตวงความสุขให้กันเต็มที่ 55555555

ไปไกลเลยคามิน หลอกคนในโลกทั้งใบของปราณซะเกลี้ยง เห๊อะๆๆ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 24-01-2021 20:19:28
16th Lies : ความต้องการ


ใช้เวลาไม่นานคามินก็ขับรถพาปราณันต์และฝาแฝดมาถึงร้านอาหาร เด็กๆ ดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวไปเสียทุกอย่าง ปราณันต์เองก็เช่นกัน เพราะร้านอาหารที่นัดพบกันนั้นค่อนข้างหรูหราพอสมควร

“ที่นี่มัน... ไม่ดูหรูไปหน่อยหรอครับ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างหวาดๆ พอเดินเข้ามาถึงในร้าน คามินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยิน ก่อนจะสังเกตรอบตัว แล้วก็ได้แต่ข่มตาแน่นพลางคิดอย่างหนักใจ



‘ไอ้เพื่อนเวร ใครให้นัดร้านหรูขนาดนี้วะ’



คามินเพิ่งสังเกตเห็นว่าร้านที่เขาและปราณันต์เดินเข้ามานั้น เป็นร้านที่ค่อนข้างมีระดับพอสมควร ตอนนัดร้านตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้หรอกว่าเป็นร้านแบบไหน เพราะสำหรับเขาและกลุ่มเพื่อน ที่นี่ถือว่าธรรมดามาก แต่สำหรับปราณันต์นั้นมันไม่เหมือนกัน

และก่อนที่คนตัวเล็กข้างตัวเขาจะสงสัยหนักกว่าเดิม คามินจำเป็นต้องหาคำอธิบายสำหรับคำถามนี้

“ไม่หรอกครับ” ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอ่อนโยนก่อนจะตอบปราณันต์อย่างใจเย็น “โอกาสสำคัญทั้งที ผมก็อยากเปิดตัวแฟนในที่ๆ น่าจดจำหน่อยสิครับ”

หลังจากได้ฟังคำตอบปราณันต์ก็เขินม้วนขนแทบไปไม่เป็น ได้แต่เดินก้มหน้างุดๆ จูงปุณณกันต์ตามคามินไป โดยที่ไม่ได้ถามอะไรอีก

ทั้งสี่คนเดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีเพื่อนๆ ของคามินนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

“ไง ไอ้หน้าหล่อ” เป็นสิปปกรที่กระวีกระวาดลุกขึ้นยืนทักทายคามินเป็นคนแรก แต่สายตากลับมองเลยไปยังร่างบางที่ยืนอยู่เคียงข้างเพื่อนซี้แทน

คามินยกมือทักตอบเพื่อนทุกคน ก่อนที่เมธัสและเตชินท์จะลุกขึ้นยืนต้อนรับแขกที่มาใหม่เช่นเดียวกับที่สิปปกรทำ

“หวัดดีเฮีย หวัดดีไอ้สิบ หวัดดีไอ้ตี๋” คามินไล่ทักเรียงคน โดยมีสายตากลมโตของคนข้างๆ มองตามอย่างกระตือรือร้น

จากนั้นคามินจึงหันมาปราณันต์ก่อนจะแนะนำอย่างเป็นทางการ

“คุณปราณครับ นี่เพื่อนๆ ของผม” คามินวาดมือโอบไหล่คนตัวเล็กกว่าอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ “คนที่ตัวใหญ่ๆ สูงๆ นั่นชื่อพี่เมธัส พี่เมษอายุมากที่สุดในกลุ่มเป็นพี่ใหญ่ของเราทุกคนครับ”

ปราณันต์ยกมือไหว้คนตรงข้ามอย่างมีมารยาท ก่อนที่คามินจะแนะนำเพื่อนคนถัดไป

“ส่วนไอ้คนที่หน้าตาเจ้าเล่ห์ๆ นั่น ชื่อสิปปกรครับ มันอายุเท่าผม น่าจะแก่กว่าคุณปราณนิดหน่อย”

ร่างบางยกมือไหว้สิปปกรเช่นเดียวกับที่ทำกับเมธัส แต่ที่แตกต่างนิดหน่อย ก็เห็นจะเป็นรอยยิ้มหวานที่ส่งออกมาจากปากอิ่มสีสดนั่น จนทำให้คามินที่หันไปเห็นพอดี ถึงกับเผลอกระชับมือที่โอบไหล่บางให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

คามินพยายามมองข้ามสายตาหวานฉ่ำที่ไอ้เพื่อนรักของเขามองปราณันต์ไป และหันไปแนะนำเพื่อนรุ่นน้องคนสุดท้ายแทน

“ส่วนไอ้ตี๋หน้าหล่อนี่ ชื่อเตชินท์ครับ คนนี้คุณปราณน่าจะเคยเจอแล้ว จำได้ไหมครับ” คามินหันไปถามก่อนที่ปราณันต์จะพยักหน้าน้อยๆ ตอบ “หมอนี่อายุน้อยกว่าเราสองคนครับ”

และหลังจากที่คามินแนะนำเพื่อนๆ ให้ปราณันต์รู้จักครบทั้งหมดแล้ว เสียงหวานก็ทักทายทุกคนกลับทันที

“ผมปราณันต์ครับ เรียกปราณเฉยๆ ก็ได้” มือเรียวยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เขิน เป็นผลให้สามหนุ่มเพื่อนสนิทของคามินมองภาพตรงหน้าตาค้าง “ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ”

คามินเห็นเพื่อนตัวเองมองปราณันต์ตาเป็นมันแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าหงุดหงิดตรงไหน รู้แต่ว่ามันคันยิบๆ ที่หัวใจแปลกๆ

“อะแฮ่ม!” คามินแกล้งกระแอม “ใจคอจะยืนกันทั้งคืนเลยไหมเนี่ย”

พอได้ยินคำค่อนขอดจากริมฝีปากหยัก เพื่อนที่เหลือสามคนก็กุลีกุจอหาที่นั่งให้ปราณันต์ทันที

“เชิญครับพี่ปราณ เชิญนั่งครับ” เตชินท์รีบจัดหาที่นั่งเพื่อเอาใจปราณันต์ และในจังหวะนั้นเองที่เมธัสเพิ่งสังเกตเห็นบางคน เมื่อปราณันต์และคามินขยับตัว

“เดี๋ยวนั่นมัน...” คำพูดของเมธัสถูกกลืนหายไป ก่อนที่ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของเด็กแฝดจะปรากฎออกมา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สิปปกรและเตชินท์ มองเห็นปุณณกันต์และปัณณธรเช่นกัน

“อ่าว ฉันก็ลืมแนะนำพวกนายไปเลย” คามินพูดขำๆ “นี่ปุณณกันต์กับปัณณธร น้องชายฝาแฝดของคุณปราณ”

ทั้งสามมองไปที่ฝาแฝดด้วยสายตาตะลึงงัน เพราะนอกจากน้องชายฝาแฝดของปราณันต์จะหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะแล้ว ทั้งสองยังดูเหมือนปราณันต์ฉบับย่อส่วนมากด้วย และที่น่าแปลกใจไปยิ่งกว่านั่นคือ น้องชายของปราณันต์ดูเด็กมาก มากขนาดที่พวกเขาคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว

“สวัสดีครับคุณอาทุกคน” ปุณณกันต์น้อยทักทาย ก่อนจะยกมือไหว้ทักทายทุกคนพร้อมปัณณธร “ผมชื่อปุณณกันต์ครับ เป็นน้องของพี่ปราณ”

“ส่วนผมชื่อปัณณธรครับ เป็นฝาแฝดของพี่ปุณณ์ แล้วก็เป็นน้องของพี่ปราณเหมือนกันครับ” เจ้าตัวน่ารักคนสุดท้องร้องทักทุกคนอย่างทั่วถึง แถมบอกสรรพคุณของตัวเองเสร็จสรรพอีกตะหาก “คุณอาเป็นเพื่อนของพี่ครามหรอครับ”

“พี่คราม พี่ครามเลยหรอวะ?” เป็นสิปปกรที่หันไปถามคามินแบบงงๆ

“ฮ่าๆๆ” คามินหัวเราะร่วนก่อนจะตอบอย่างอารมณ์ดี “ก็พี่ครามไง พี่ครามกับพี่ปราณ ปุณณ์กับปัณณ์ชอบเรียกแบบนั้นน่ะ”

สิปปกรดูเหมือนจะจับต้นชนปลายได้ไวกว่าคนอื่น จึงได้ถามออกมา “สรุป เจ้าของข้าวผัดเบค่อนกับข้าวผัดกุ้งคือเจ้าหนูฝาแฝดสองคนนี่ใช่ไหม?”

ปราณันต์หันมองคามินที่ตอนนี้พยักหน้ารับคำถามของสิปปกร ซึ่งพอได้เห็นแบบนั้น คนตัวเล็กก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวขอบคุณสิปปกรทันที

“ขอบคุณคุณสิปปกรมากนะครับที่ช่วยสั่งอาหารให้ฝาแฝด พวกเราเลยรบกวนคุณเลย” เมื่อปราณันต์พูดจบก็หันไปหาฝาแฝดทันที “ปุณณ์ ปัณณ์ครับ ขอบคุณคุณอาก่อนเร็วครับ”

เจ้าหนูน้อยทั้งสองก็แสนน่ารัก เชื่อฟังคำบอกของพี่ชายคนโตเป็นอย่างดี

“ขอบคุณมากครับคุณอา” เสียงใสๆ ของฝาแฝดดังประสานกันอย่างน่ารัก เรียกเอารอยยิ้มจากชายหนุ่มทั้งสามได้เป็นอย่างดี

เหมือนทุกอย่างจะไปผ่านไปด้วยดี แต่จู่ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงกระเง้ากระงอดดังมาจากคนใกล้ตัวที่นั่งอยู่ไม่ไกล

“ผมเป็นคนสั่งนะครับ แต่ทำไมไม่มีใครสนใจผมเลยล่ะ” คามินพูดงอนๆ ทำเอาปราณันต์อมยิ้มไม่หยุด ต่างจากเพื่อนทั้งสามที่ได้เห็น

นี่คือคามินที่พวกเขารู้จักจริงๆ หรอ ทั้งสามมองหน้ากันอย่างมึนงง เพราะคบกันมาหลายปีท่าทางแบบนี้ของคามินไม่เคยมีให้เห็น อย่าว่าแต่มีให้เห็นเลย ถ้าเป็นเวลาปกติ ไม่มีทางเด็ดขาดที่คามินจะทำท่าทางหรือพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้

“ขอบคุณมากนะครับที่ใส่ใจผมกับน้องๆ มาโดยตลอด ขอบคุณครับ” พอเห็นคามินงอแง ปราณันต์จึงหันไปขอบคุณเสียงหวาน แถมไม่พูดเปล่า มือเรียวยังเอื้อมไปจับมือใหญ่ไว้อย่างเอาใจ พร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ส่งจากปากอิ่มไปให้คนตรงหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่คามินเห็นแล้วหายงอนได้ไม่ยาก

และเช่นกัน เมื่อเพื่อนสนิททั้งสามได้เห็นรอยยิ้มของปราณันต์ ก็เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไมคามินต้องทุ่มเททำอะไรมากมายขนาดนี้ ... ถ้าได้เห็นปราณันต์ยิ้มให้ขนาดนั้น ยังไงก็คุ้ม คุ้มค่ามากจริงๆ

.

.

.

ทุกคนนั่งคุยกันอย่างออกรสชาติ เพื่อนๆ ของคามินทุกคนน่ารักมาก จากที่ปราณันต์เกร็งและขัดเขินในตอนแรก ก็รู้สึกผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมากขึ้นในภายหลัง ส่วนเจ้าตัวแสบทั้งสองก็หายห่วงได้ เพราะรู้สึกว่าจะเข้ากันได้ดีกับพี่เมธัสและเตชินท์ เห็นนั่งเล่นและหัวเราะเอิ๊กอ๊ากให้กันไม่ยอมหยุด

“คุณปราณ เป็นไงบ้างครับวันนี้ สนุกไหม” สิปปกรถามขึ้นหลังจากที่เห็นปราณันต์ ผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว

“สนุกครับ” ปราณันต์ตอบยิ้มๆ “แรกๆ ผมเองก็ทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าพวกคุณจะคิดกับผมยังไง แต่พอมาถึงตอนนี้ ทุกคนทำให้ผมสบายใจมาก ผมก็เลยวางตัวได้ง่ายขึ้น ขอบคุณมากนะครับ”

คามินนั่งมองทั้งสองคุยกันเงียบๆ ภายใต้สายตาคม ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นอกจากเจ้าตัวเอง

“ที่จริงคุณไม่มีอะไรต้องกังวลเลยนะครับ คนน่ารักแบบคุณ ไปที่ไหนใครก็ต้องชอบ” สิปปกรพูดพลางส่งสายตาเจ้าชู้ให้ปราณันต์ โดยที่ร่างบางก็ไม่ได้รู้อะไรเลย มีแต่ส่งยิ้มตอบให้สิปปกรไปด้วยความจริงใจก็เท่านั้น กลับเป็นคามินเองที่เห็นทุกอย่าง และเผลอกำมือเข้าหากันแน่น



... เขากำลังไม่พอใจ



รอยยิ้มการค้าถูกส่งออกมาจากปากหยัก ก่อนที่คามินจะขยับเข้าหาปราณันต์พร้อมกับวาดมือรั้งเอวบางโอบกระชับเข้าหาตัวเขาเอง

“แฟนฉัน” คามินเน้นคำ “ก็ต้องน่ารักอยู่แล้ว ฉันถึงอยากพามาอวดพวกนายให้ได้เห็นไงว่าคุณปราณ ‘ของฉัน’ น่ารักขนาดไหน”

คามินพูดเสียงเย็น ถ้าไม่ใช่เป็นเพื่อนสนิทกันมานานจะไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้คามินกำลังไม่พอใจ รอยยิ้มและเสียงเย็นๆ นั่น กำลังแสดงอำนาจของผู้อยู่เหนือกว่าให้สิปปกรเห็น สิปปกรเองก็ได้แต่ยกยิ้มมุมปากอย่างรู้เท่าทัน

ปราณันต์คนนี้ช่างมีดีจริงๆ ที่ทำให้คามินร้อนรนได้แค่เพียงเขามีท่าทีเจ้าชู้ใส่เท่านั้น

ตอนแรกแค่อยากจะลองแหย่ดูเล่นๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วลึกๆ ในใจสิปปกรเองก็รู้ดีว่า เขากำลังสนใจปราณันต์อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเพียงมีโอกาสได้ลอง...

แต่สิปปกรก็พยายามหักห้ามใจไว้แค่นั้น หลังจากเห็นท่าทีของคามิน เอาเป็นว่าถ้าหลังจากจบเกมบ้าๆ นี่ สิปปกรอาจจะลองเอาเรื่องปราณันต์มาคิดใหม่อีกที แต่ตอนนี้คงต้องหยุดไว้ก่อน ถ้าไม่อยากให้เพื่อนผู้แสนเย็นชาของเขาได้อาละวาดเข้าให้

“ฉันรู้แล้วน่าว่านี่แฟนนาย เน้นจัง” สิปปกรแกล้งพูดแซว พร้อมทั้งแอบหัวเราะ ตอนที่เหลือบไปเห็นมือใหญ่ของคามินเกาะไว้ที่เอวปราณันต์แน่น

“เฮีย ไอ้ตี๋ หันมานี่ก่อน” สิปปกรหันไปเรียกเพื่อนอีกสองคนที่เหลือ เพราะเห็นกำลังเล่นง่วนอยู่กับฝาแฝดอยู่

เมธัสกับเตชินท์หันมาตามเสียงเรียกก่อนที่สิปปกรจะหันไปพูดกับปราณันต์อีกที

“ผมอยากให้คุณปราณ คิดซะว่าเราสามคนเป็นเพื่อนของคุณเช่นกันนะครับ” เมธัสกับเตชินท์พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย “คุณเป็นแฟนของเพื่อนสนิทเรา คุณก็เหมือนเพื่อนเราด้วย อย่ากังวลอะไรไปเลยครับ”

“ขอบคุณพวกคุณมากนะครับ” ปราณันต์กล่าวตอบอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปสบตาคามินอย่างสบายใจ สายตากลมมองเลยไปยังฝาแฝดทั้งสองด้วย ยิ่งได้เห็นเด็กๆ เข้ากันได้ดีกับเพื่อนคามิน เขายิ่งสบายใจมากกว่าเดิม

ผิดกับสายตาคมที่กำลังลอบมองปราณันต์อยู่ มันเต็มไปด้วยความกังวลและหวงแหน เพียงแค่นึกถึงสายตาของสิปปกรก่อนหน้านี้ที่มองมายังปราณันต์อย่างมีความนัยบางอย่าง แม้มันจะไม่ชัดเจนแต่ก็ทำเอาเขาแทบทนไม่ได้

ถ้าในอนาคตข้างหน้ามีคนมามองปราณันต์ด้วยสายตาแบบนี้อีก เขาจะทำเช่นไร และยิ่งถ้าถึงเวลานั้นปราณันต์รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว เขาจะยังมีสิทธิ์ในตัวปราณันต์เหมือนอย่างวันนี้หรือเปล่า คามินไม่มีทางรู้ได้เลย

และแน่นอน ทุกการกระทำของคามินอยู่ในสายตาของสิปปกรทั้งหมด รวมถึงแววตาที่ไอ้หน้าหล่อนั่นมองปราณันต์ด้วย

สายตาแบบนั้น...

สิปปกรได้แต่แอบยิ้มในใจ และภาวนาให้เพื่อนรักของเขาไม่ตกหลุมพราง ที่ตัวเองขุดไว้เองก็พอ

.

.

.

หลังจากทานข้าวเย็นมื้อนั้นเสร็จ และแยกย้ายจากเพื่อนๆ แล้ว คามินก็พาปราณันต์และฝาแฝดกลับอพาร์ทเม้นท์ ตามคาดคือเจ้าตัวแสบทั้งสองหลับไม่เป็นท่า แต่คามินเองยังมีเรื่องปราณันต์คาใจอยู่ คิ้วหนาจึงขมวดมุ่นไม่เลิก

“คุณคราม คุณมีอะไรไม่สบายใจรึป่าวครับ ผมเห็นคุณดูเครียดๆ ตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารแล้ว” ปราณันต์ถามขี้นเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของคนรัก

“ผม.. ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่กังวลเรื่องงานพรุ่งนี้นิดหน่อย” คามินเลือกที่จะบอกปัดไป เขาไม่อยากให้ปราณันต์รู้ถึงสิ่งที่เขาไม่สบายใจ เพราะที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่เขารู้สึกเอง และอีกอย่างท่าทางของสิปปกรก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นในสายตาคนนอก เว้นแต่คนที่เป็นเพื่อนสนิทอย่างเขาที่พอจะมองออกอยู่บ้าง

“ว่าแต่คุณปราณโอเคกับเพื่อนผมใช่ไหมครับ”

“โอเคสิครับ โอเคมากเลย เพื่อนๆ คุณใจดีมากๆ เลย ใจดีทั้งกับผม กับน้อง เป็นแบบนี้ผมก็ค่อยสบายใจหน่อย” ปราณันต์ตอบอย่างอารมณ์ดี และดูโล่งใจผิดกับตอนก่อนที่จะไปเจอเพื่อนเขามาก

“ผมดีใจนะครับที่คุณเข้ากับเพื่อนๆ ผมได้ดีขนาดนี้” คามินพูดด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะเพิ่มความเข้มของน้ำเสียงขึ้นไปอีกนิดยามพูดถึงต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่สบายใจ “แต่ไอ้สิบมันอาจจะดูเจ้าชู้ไปสักนิด คุณปราณอย่าไปสนใจมากเลยนะครับ”

... ใช่! นั่นคือคำพูดที่เพิ่งหลุดออกจากของเขา หลุดออกจากปากคามิน ผู้ที่แสนจะเย็นชาและมั่นใจในตัวเองเกือบทุกเรื่อง เขาเพิ่งทำตัวขี้ขลาดโดยการพูดถึงเพื่อนในทางลบ เพื่อเบนความสนใจของปราณันต์ให้พ้นทางเพื่อนสนิทตัวเอง

คามินรู้ตัวดีว่าเขากำลังทำตัวงี่เง่า! แต่เขาก็เลือกที่จะทำ ทำเพียงเพราะความไม่พอใจที่กำลังก่อตัวเงียบๆ อยู่ในความรู้สึกของตัวเอง

“ไม่หรอกครับ คุณสิปปกรก็ดูเป็นมิตรดีนะครับ เขาคงไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอก”

ปราณันต์ก็ยังคงเป็นปราณันต์ที่แสนจะใสซื่อบริสุทธิ์ คามินไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำได้เพียงแต่ยิ้มบางๆ ตอบให้คนตัวเล็กข้างๆ ก่อนจะขับรถต่อไปเงียบๆ ทั้งที่ลึกๆ แล้วความไม่สบายใจของคามินไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว

.

.

.

เช้าวันต่อมาคามินก็ยังคงไปฝากท้องทานอาหารเช้าที่ห้องของห้องปราณันต์ปกติ ฝาแฝดยังคงเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขาเป็นปกติ แต่ดูเหมือนว่าที่ผิดปกติน่าจะเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัว ซึ่งที่ว่าผิดปกตินี้ ก็ไม่ได้ผิดปกติในทางลบแต่อย่างใด แต่เป็นความผิดปกติในทางบวกเสียมากกว่า

“วันนี้คุณปราณแต่งตัวแปลกไปจากเดิมนะครับ” คามินทักขึ้นตอนที่ปราณันต์ยกกับข้าวมาวางให้บนโต๊ะอาหาร

คนตัวเล็กเกาแก้มแก้เขิน ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงประหม่า “มันแปลกในทางที่ดีหรือไม่ดีอ่ะครับ ผมไม่ค่อยมั่นใจเลย”

คามินมองไล่สำรวจคนรักตั้งแต่ศรีษะจนจรดปลายเท้า มีแต่ความหลงใหลอยู่ในสายตาคมคู่นั้น

“น่ารักครับ คุณน่ารักมาก ผมมั่นใจว่าใครๆ ก็ต้องหันมองคุณจนเหลียวหลังแน่ๆ”

คามินเอ่ยชมปราณันต์ในชุดกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ ข้างบนเป็นเสื้อยืดสีชมพูอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อยีนส์แขนยาวพอดีตัว แล้วยิ่งวันนี้ปราณันต์ไม่ได้เซ็ทผม ปล่อยให้มันตกปรกลงมาบนหน้าผากอีก ทำให้ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่ น่ารักจนคามินไม่อยากให้ใครได้เห็น

“เฮ้อ ผมอยากเป็นคนเห็นแก่ตัวจัง” จู่ๆ คามินก็เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย ทำเอาปราณันต์ตั้งตัวไม่ทัน

“คุณว่าไงนะครับ” ปราณันต์หันไปถามคนตัวโตข้างๆ อย่างงงๆ

“ผมไม่อยากให้คุณปราณออกจากบ้านด้วยชุดนี้เลย มันน่ารักเกินไปอ่ะ” พูดไม่พูดเปล่า คามินขยับเข้าหาพลางโอบมือเข้าที่รอบเอวบางอย่างออดอ้อน คางของคนตัวโตวางเกยอยู่บนลาดไหล่เรียว จมูกโด่งเป็นสันกำลังคลอเคลียอยู่ข้างแก้มนวลที่ตอนนี้กำลังขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู

“คุณนี่!” มือเล็กๆ ตีเบาๆ ที่มือใหญ่ที่วางอยู่บนข้างเอวของตัวเองอย่างไม่จริงจัง “ผมแค่ต้องเปลี่ยนการแต่งตัวตามคำแนะนำของหัวหน้าทีมโปรเจ็กต์น่ะครับ พี่หัวหน้าเขาบอกว่าถ้าเราลองเปลี่ยนตัวเองให้อิสระดูบ้าง อาจจะทำให้ความคิดของเราโลดแล่นมากขึ้น ผมก็เลยอยากจะลองดู”

ปราณันต์ร่ายยาว โดยมีคามินเกยคางบนไหล่ของคนตัวเล็กฟังอย่างตั้งใจ แต่พอปราณันต์เผลอหันไปสำรวจเจ้าฝาแฝด จมูกโด่งของคนเจ้าเล่ห์ก็ฉกลงบนแก้มนวลอย่างจงใจ



ฟอด~



ดวงตากลมโตหันมามองใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างจากใบหน้าตัวเองไม่ถึงคืบ แล้วพอร่างบางเตรียมตัวจะโวยวายที่ถูกแต๊ะอั๋งก็กลับกลายเป็นว่าริมฝีปากหยักกลับพุ่งเข้าหาริมฝีปากอิ่มของเขาอย่างรวดเร็ว



จุ๊บ~



ริมฝีปากหยักค่อยๆ ถอยออก แต่ปราณันต์ยังคงตกใจที่โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัว เลยทำให้คนตัวโตได้ใจ พุ่งเข้าจูบปากอิ่มไม่เลิก



จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ~



“คุณนี่ พอได้แล้วครับ” ปราณันต์ดันคนตรงข้ามออกเบาๆ แต่คามินกลับไม่ยอมขยับเลยสักนิด จนกระทั่ง

“คิก คิก คิก พี่ปุณณ์เห็นไหม”

“เห็นสิปัณณ์ คิก”

ปุณณกันต์กับปัณณธรกำลังกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคักหลังจากที่ได้เห็นคามินกับปราณันต์กำลังจู๋จี๋กัน

“ปล่อยสิครับ เด็กๆ เห็นหมดแล้ว” ปราณันต์ขืนตัวออกจากอ้อมกอดของคามินเบาๆ คามินเลยต้องยอมปล่อย แต่ก็อดหัวเราะกับความแสบของเจ้าหนูฝาแฝดทั้งคู่ไม่ได้ เก่งนักเชียวเรื่องขัดจังหวะเนี่ย

สุดท้ายปราณันต์เลยต้องปรามให้เจ้าหนูทั้งคู่กลับเข้าลู่เข้าทาง แล้วชักชวนให้ทุกคนลงมือทานข้าวเช้าก่อนที่จะไปทำงานและไปโรงเรียนสายกันยกบ้าน

.

.

.

“ผมว่าเราควรจะบอกแกสองคนให้เข้าใจนะครับว่าเราเป็นอะไรกัน พวกแกเป็นเด็กฉลาดน่าจะเข้าใจไม่ยาก”

คามินเสนอขึ้นหลังจากที่ส่งฝาแฝดไปโรงเรียนเรียบร้อย ปราณันต์เองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย ซึ่งในตอนแรกปราณันต์คิดว่ามันอาจจะเร็วไปหากจะบอกน้องๆ ในตอนนี้เพราะพวกแกยังเด็ก แต่เมื่อกี้ก่อนออกจากโรงเรียน หลังส่งปุณณ์กับปัณณ์ถึงมือครูประจำชั้นแล้ว เจ้าหนูทั้งคู่ก็เอาแต่งอแง บอกว่าอยากจุ๊บแก้มพี่ปราณ พอปราณันต์บ่ายเบี่ยงเพราะเห็นว่าจะสายแล้ว ปัณณ์ก็หลุดปากบ่นออกมาว่า



‘ทีพี่ครามยังจุ๊บได้เลย พี่ปราณลำเอียง’



พอเจ้าตัวแสบพูดจบทำเอาปราณันต์กับคามินทำหน้าไม่ถูก ตอนที่ครูประจำชั้นของเจ้าหนูมองมาที่เขาสองคนด้วยสายตาหยอกล้อ สุดท้ายปราณันต์เลยต้องจำยอมให้ฝาแฝดหอมแก้ม พวกเด็กๆ เลยยอมเข้าเรียนอย่างสงบ มีแต่เขาทั้งคู่นี่แหละที่ร้อนรนจนแทบออกจากโรงเรียนอนุบาลไม่ทัน

“ผมก็ว่างั้นแหละครับ คงต้องบอกพวกแกให้เข้าใจ” ปราณันต์ถอนหายใจอย่างปลงๆ ก่อนจะหันไปตีแขนคนที่ขับรถอยู่ข้างๆ อย่างมันเขี้ยว

“เอ้า! คุณปราณตีผมทำไมครับ” คามินถามขำๆ เมื่อพบคนกำลังพาลหนึ่งอัตรา

“เพราะคุณนั่นแหละ ชอบกอดจูบผมให้พวกแกเห็น คุณนี่น่าตีกว่าใครเลย”

คามินหัวเราะร่วนก่อนที่จะน้อมรับความผิดไว้ลำพัง

“คร้าบ คร้าบ คร้าบ ผมผิดเอง ก็ใครใช้ให้คุณปราณน่ากอดน่าจูบขนาดนี้ล่ะครับ ผมห้ามใจกับคุณปราณไม่ไหวหรอก คุณปราณก็รู้นี่”

แต่แทนที่คามินจะสลดกลับดูชอบอกชอบใจเสียมากกว่า ปราณันต์นี่สิตรงกันข้าม เป็นคนดุคามินแท้ๆ แต่สุดท้ายตัวเองก็ต้องมานั่งกลั้นเขินจนแก้มแดงก่ำ ดูแล้วไม่ยุติธรรมเลยสักนิดเดียว

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 24-01-2021 20:24:19
(อ่านต่อจากด้านบน)

หลังแยกจากปราณันต์ คามินก็เดินพกอารมณ์ดีเข้ามาในออฟฟิศ แต่ก่อนที่จะได้ถึงห้องทำงาน แทนคุณที่ยืนรอท่าอยู่หน้าห้องมาพักใหญ่แล้ว ก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับรายงานบางสิ่งบางอย่างให้เจ้านายตัวเองทราบ

“บอสครับ” แทนคุณเดินมาโค้งทักทายตรงหน้าคามิน พร้อมกับรายงานในสิ่งที่ท่านประธานของเขาควรต้องทราบ “คุณสิปปกร คุณเมธัส และคุณเตชินท์รออยู่ในห้องครับ”

“เช้านี้ฉันมีประชุมกับพวกหมอนั่นหรอ” คามินขมวดคิ้วถามเพราะโดยปกติแล้วพวกเพื่อนเขาไม่ค่อยโผล่มาหาเขาเช้าขนาดนี้ ยกเว้นแต่มีประชุมร่วมกัน แต่เท่าที่เขาเช็คดูเช้านี้ก็ไม่มีประชุมอะไรนี่

“เปล่าครับ พวกคุณๆ บอกว่าแวะมาหาบอสเฉยๆ ครับ”

คามินแปลกใจไม่น้อยแต่ก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะผลักประตูห้องเข้ามาเพื่อพบว่าบรรดาเพื่อนๆ เขากำลังรอคอยเขาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

“มาแล้วหรอวะไอ้หน้าหล่อ” เป็นสิปปกรที่ทักทายขึ้นมาคนแรก

“เออ มาแล้ว ว่าแต่พวกมึงมาทำอะไรที่นี่กันแต่เช้าวะ” คามินเดินไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะถอดสูทออกพาดไว้ที่พนักพิงเก้าอี้อย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“มาคุยเรื่องคุณปราณไงเฮีย” เป็นเตชินท์ที่ตอบขึ้นพร้อมใบหน้ากระตือรือร้น “คุณปราณของเฮียโคตรน่ารัก ตอนเจอทำงานที่คลับยังไม่เห็นน่ารักขนาดนี้เลย ตอนนี้แบบ... โอ๊ย เอาตรงๆ ผมอิจฉาเฮียว่ะ”

“เออ จริง ขนาดกูเฉยๆ กับผู้ชาย ยังอดคิดไม่ได้เลยว่าไอ้เด็กนี่น่ารักเป็นบ้า ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่ยุให้มึงจีบ รู้งี้จีบเองก็ดี” เมธัสสำทับเพิ่ม

คามินเริ่มมีความรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจแปลกๆ อีกแล้ว นั่นปราณันต์ของเขา ของเขาคนเดียวเท่านั้น ทำไมไอ้เตถึงเอาแต่ชม แล้วทำไมพี่เมษถึงต้องมาทำท่าเสียดายอยากจีบด้วย ภายใต้หน้าตาและท่าทีที่นิ่งสงบ คามินได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ

“จริง ปราณันต์น่ารักมาก นี่ถ้าไม่ใช่มึง กูคงแย่งมาเป็นของตัวเองแล้วแน่ๆ” สิปปกรแกล้งทิ้งระเบิด เพื่อดูทีท่าของคามิน และเป็นไปตามคาด นิวเคลียร์ลูกเล็กๆ ดูเหมือนพร้อมจะทำงานแล้ว

“แต่ตอนนี้ปราณันต์เป็นของกูไง! เด็กคนนั้นเป็นของกู! ใครก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งย่ามทั้งนั้นแหละ” คามินคำรามลอดไรฟัน ประกาศกร้าวถึงสถานะของปราณันต์ออกมาอย่างหงุดหงิด

เตชินท์กับเมธัสมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ว่าทำไมคามินถึงต้องหัวเสียขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะมีสิปปกรคนเดียวที่พอจะเข้าใจอาการที่คามินเป็นเป็นอย่างดี

รู้ทั้งรู้ว่าคามินกำลังหงุดหงิด แต่สิปปกรก็ยังอยากจะแน่ใจอีกสักหน่อย เลยหย่อนระเบิดกลับไปอีกลูก

“เป็นของมึงแค่ในนาม ก็ยังไม่ได้ถือว่าเป็นของมึงนะคราม มึงต้องทำให้เด็กน้อยนั่น ‘เป็นของมึง’ จริงๆ เสียก่อน มึงถึงจะพูดแบบนั้นได้ นี่เหลือเวลาแค่อาทิตย์กว่าๆ อย่าลืมแล้วกัน”

สิปปกรแกล้งย้ำถึงข้อตกลงระหว่างพวกเขา ข้อตกลงที่ทำให้คามินได้รู้จักกับปราณันต์ ซึ่งการย้ำแบบนั้นดูเหมือนว่าจะทำให้คามินหงุดหงิดหนักยิ่งกว่าเดิม สันกรามได้รูปถูกขบจนนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เจ้าของห้องทำงานแสนหรูจะพูดออกมาเสียงเย็น

“กูรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ” คามินหลับตาลง พร้อมทั้งใช้มือคลึงที่หัวคิ้วอย่างพยายามสะกัดกลั้นอารมณ์ “แต่ตอนนี้พวกมึงกลับไปก่อนเถอะ กูจะทำงาน”

และเมื่อเห็นทุกคนยังยืนเฉย คามินก็เพิ่มความเข้มของน้ำเสียงขึ้นอีก เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเอาจริง

“บอกให้กลับไปก่อนไง จะทำงาน” เมื่อพูดจบประโยค มือใหญ่ก็หันไปกดที่แป้นโทรศัพท์ เพื่อบอกความต้องการของตัวเองกับคนสนิทที่รออยู่หน้าห้องทำงาน “แทนคุณ ส่งแขก”

จบคำสั่งประตูห้องทำงานของคามินก็เปิดออกทันทีโดยบอดี้การ์ดคนสนิท เตชินท์และเมธัสเดินออกไปจากห้องงงๆ มีแต่สิปปกรเท่านั้นที่เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างเป็นอย่างดี

และเมื่อทุกคนออกไปแล้ว ก็ไม่มีใครได้เห็นแววตาครุ่นคิดของคามิน มือใหญ่ที่วางอยู่โต๊ะประสานเข้าหากันอย่างใช้ความคิด จริงอย่างที่สิปปกรว่า เวลาเขาเหลือไม่มาก ซึ่งตอนนี้มากไปกว่าเรื่องท้าพนัน สิ่งนึงที่คามินกล้ายอมรับกับตัวเองเลยก็คือ เขาไม่มีวันยอมเสียปราณันต์ปโดยที่ยังไม่ได้แตะต้องเด็ดขาด ไม่มีวัน

.

.

.

หลังออกจากห้องทำงานของคามิน เมธัสจึงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“ไอ้บอสมันเป็นอะไรของมันวะ แค่พูดถึงปราณันต์นิดหน่อย อยู่ดีๆ ก็หงุดหงิดขึ้นมาซะอย่างนั้น”

“นั่นดิเฮีย ทำหน้าอย่างกับจะฆ่าคน นี่ถ้าไม่ติดว่ารู้มาก่อนนะว่าเฮียครามจีบคุณปราณเพราะเกม ผมคงคิดว่าเฮียครามกำลังหึงคุณ... เฮ้ย เดี๋ยว! จริงรึป่าววะเฮียสิบ”

เตชินท์หันไปถามสิปปกรหน้าตาตื่น โดยมีเมธัสมองอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบด้วยเช่นกัน

“ฮ่าๆๆๆ” สิปปกรหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ได้เห็นคนเย็นชาอย่างไอ้หน้าหล่อ ร้อนรนเป็นหนูติดจั่นแบบนี้บ้างก็สนุกดีเหมือนกันนะเฮีย ไอ้เต”

ดวงตาเป็นประกายของสิปปกรกำลังวาววับราวกับจะบอกว่าสนุกสนานกับเรื่องตรงหน้ามากแค่ไหน

“แต่คนอย่างครามมันไม่เคยรักใครง่ายๆ นายก็รู้ หัวใจมันเย็นชาขนาดที่ว่า สวยๆ อย่างวลัยมันยังเมินเลย”

“ผมไม่เถียงเฮียนะ เรื่องที่ว่าวลัยสวยน่ะ แต่เฮียก็เห็นนี่ว่าปราณันต์เปล่งประกายและมีเสน่ห์ขนาดไหน เฮียคบกับไอ้หน้าหล่อมาตั้งหลายปี เฮียเดาไม่ถูกเหรอว่าถ้าต้องให้เลือก ครามมันจะเลือกใคร ระหว่างพรวลัยที่แสนเอาแต่ใจ กับปราณันต์เด็กที่มีอะไรให้ค้นหาตลอดเวลา” สิปปกรพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะจบประโยคด้วยสิ่งที่เตชินท์แล้วเมธัสเถียงต่อไม่ออก

“เอาเถอะ เดี๋ยวจบเกมนี้ก็รู้ พวกเราอาจจะแพ้พนันไอ้คราม แต่ผมมั่นใจเลยว่าหมอนั่นจะแพ้ใจตัวเอง แบบพังไม่เป็นท่าเลยแหละ เฮียกับไอ้เตจะพนันกับผมก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ”

.

.

.

และในขณะที่คามินนั่งคิดโน่นคิดนี่เกี่ยวกับเรื่องปราณันต์เพลินๆ นั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น



Walai is Calling



คามินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย แค่ต้องปวดประสาทกับพวกเพื่อนปากเสียก็แทบจะเป็นบ้าตายแล้ว ตอนนี้ยังต้องมาทนรองรับอารมณ์เหวี่ยงวีนของพรวลัยอีก วันนี้มันวันซวยอะไรของเขากันนะ

“ครับ” คามินรับสายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

(คราม! ถ้าวลัยไม่โทรมา ใจคอคุณก็ไม่คิดจะโทรหาวลัยเลยหรือไงคะ?)

คามินข่มตาลงอย่างอดกลั้น เมื่อได้ยินเสียงแหลมแว๊ดๆ ผ่านสายโทรศัพท์มา ไม่ผิดจากที่เดาไว้เลยสักนิด

“ผมงานยุ่งครับวลัย คุณก็รู้ว่าผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลา” คามินสะกดใจตัวเองให้ตอบเสียงนิ่ง สิ่งที่เขาอยากให้เกิดเป็นสิ่งสุดท้ายเลยคือ การที่พรวลัยอารมณ์เสียและเหวี่ยงวีนหนักกว่าเดิม

(ไม่รู้แหละค่ะ วลัยเป็นคู่หมั้นคุณ คุณต้องใส่ใจวลัยให้มากกว่านี้ ไม่งั้นวลัยจะฟ้องคุณลุงกับคุณป้า ว่าคุณเอาแต่สนใจงาน ไม่ยอมดูแลคู่หมั้นตัวเอง)

คนปลายสายพูดแทบไม่หายใจ พรวลัยมักจะพูดและอ้างแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ จนเขาเบื่อหน่าย พอไม่ได้ดั่งใจก็ขู่จะฟ้องพ่อกับแม่ทุกครั้ง แรกๆ ก็ดูเหมือนว่าคามินจะทนสิ่งเหล่านี้ได้ แต่พอมาถึงวันนี้มันกลับไม่ใช่

มือใหญ่กำแน่นเข้าหากันอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ความรู้สึกหงุดหงิดถูกตีตื้นขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหนจะจากไอ้เพื่อนสนิทตัวดีที่ทำทีท่าราวกับว่าสนใจปราณันต์ของเขาเสียเหลือเกิน แล้วไหนจะจากคู่หมั้นที่วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่แผดเสียงลั่นๆ น่ารำคาญนี่อีก เกิดเป็นคามินนี่ต้องทนกับเรื่องบ้าๆ มากมายแบบนี้ไปถึงไหนกัน

“ผมก็ทำเท่าที่ผมจะทำได้ ถ้าคุณอยากได้มากกว่านี้คงต้องไปหาจากคนอื่น เพราะผมเป็นของผมแบบนี้ ถ้าคุณทนไม่ได้จะบอกให้คุณพ่อคุณแม่คุณถอนหมั้นก็ได้นะครับ”

คามินพูดยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เป็นผลให้พรวลัยชะงักเสียงวี๊ดๆ นั่นได้ทันทีทันใดเลยทีเดียว

(ไม่มีทางหรอกค่ะ วลัยไม่ถอนหมั้นกับคุณแน่ๆ) น้ำเสียงเอาแต่ใจทางปลายสายพูดขึ้นอย่างดื้อดึง

(คุณอย่ามาพูดขู่วลัยซะให้ยาก ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายหน้าไหนก็อยากได้คุณทั้งนั้น คุณเพียบพร้อมทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคนที่เหมาะสมกับคุณมีแค่วลัยคนเดียวเท่านั้น และวลัยก็จะไม่ยอมปล่อยคุณไปเด็ดขาด ไม่มีวัน)

เสียงหวานพูดอย่างเกรี้ยวกราดและเอาจริงเอาจัง คามินรู้ดีว่าพรวลัยไม่ได้พูดเล่น การที่พรวลัยแต่งงานกับเขามันไม่ได้มีประโยชน์แค่ทางธุรกิจ แต่ทางหน้าตาในสังคมก็จะมีประโยชน์ไม่ต่าง คามินไม่ได้หลงตัวเอง แต่ทั้งรูปร่างหน้าตาและทรัพย์สมบัติของเขา สามารถทำให้ตระกูลของพรวลัยเชิดหน้าชูตาในวงสังคมได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้นมีใครบ้างล่ะที่จะอยากปล่อยให้เขาหลุดมือ

“คุณอาจจะไม่ยอมปล่อยผม แต่กับผมเองก็ไม่แน่ไม่ใช่หรอครับ” คามินสวนกลับนิ่งๆ “ถ้าคุณวุ่นวายกับผมไม่เลิกแบบนี้ ผมก็ไม่รับประกันนะครับว่าเรื่องของเรามันจะราบรื่นไปจนตลอดรอดฝั่ง”

คามินพูดเสียงกร้าว อย่างน้อยพรวลัยก็ต้องรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะถูกลูบคมได้ง่ายๆ

“คุณก็อยู่ส่วนคุณ ผมก็อยู่ส่วนผม เราต่างทำหน้าที่ของกันและกันไปแบบนี้ดีกว่าไหมครับ”

คามินพยายามไกล่เกลี่ย เมื่อเห็นว่าพรวลัยนิ่งไป เขาคิดว่าทุกอย่างไม่น่าจะแก้ไขยากอะไร แต่เขากลับคิดผิดถนัดเมื่อพรวลัยพูดประโยคถัดมา

(รอให้วลัยกลับไปก่อนเถอะค่ะ วลัยจะไม่ปล่อยคุณไปแน่! คอยดูเถอะ!)

และไม่ทันที่คามินจะได้พูดอะไรกลับไป พรวลัยก็ชิงวางสายไปเสียก่อน ร่างสูงได้แต่ขบฟันแน่นด้วยความหงุดหงิดใจ ยิ่งคิดถึงกำหนดที่พรวลัยใกล้จะกลับมา หัวใจที่เคยเช็นชาของเขากลับยิ่งร้อนรน



... กับปราณันต์ ทั้งร่างกายและหัวใจของเด็กคนนั้น เขายังไม่พร้อมจะละทิ้งไปแม้แต่สักนิดเดียว!

.

.

.

คามินนั่งทำงานต่อด้วยใจไม่เป็นสุข ... ใช่! เขากำลังหงุดหงิด

หงุดหงิดที่สิปปกรทำท่าสนใจปราณันต์ออกนอกหน้า

หงุดหงิดที่พรวลัยทำท่าเหมือนใกล้จะกลับมา ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะมีเวลาอยู่กับปราณันต์น้อยลง

และที่หงุดหงิดที่สุดคือ ดูเหมือนว่าใจกลางความหงุดหงิดทั้งหลายจะมีสาเหตุมาจากคนๆ เดียว และคนๆ นั้นคือ 'ปราณันต์'



Rrrrrr



และคามินกลับยิ่งหงุดหงิดทวีคูณ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดรบกวนอีกครั้ง จนสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวต้องหยิบมันขึ้นมารับสายอย่างเสียไม่ได้

แต่ดูเหมือนว่าสายที่เพิ่งเรียกเข้ามานี้ จะทำให้เขาหงุดหงิดน้อยลง ทั้งๆ ที่ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอนั้นที่ก็คือชื่อเดียวกับที่เป็นสาเหตุของปัญหาที่ทำให้คามินหงุดหงิดอยู่ก็ตาม และแทนที่จะหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนที่ผ่านมา ริมฝีปากหยักกลับกำลังอมยิ้มแทน


Pranan is calling


“ว่าไงครับคุณปราณ” น้ำเสียงที่เคยเย็นชาและแห้งแล้งยามใช้กับพรวลัย ถูกเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอ่อนหวานยามใช้กับอีกคน

(คุณยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ผมโทรมารบกวนรึป่าว) เสียงใสๆ จากปลายสายถามอย่างเกรงอกเกรงใจ ยิ่งทำให้คนที่ได้ยินเอ็นดูมากขึ้นกว่าเดิม

“เปล่าครับ ไม่ได้ยุ่งอะไรเลย กำลังคิดถึงคุณปราณอยู่พอดี” ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางๆ ขณะพูดไปด้วยความอ่อนโยนที่เขาเผลอแสดงออกโดยไม่รู้ตัว

(พูดอะไรก็ไม่รู้) ปลายสายบ่นงุ๊งงิ๊ง ถ้าให้เขาเดาตอนนี้แก้มขาวๆ นั่นต้องกำลังแดงจนน่าฟัดแน่ๆ (ผมแค่จะโทรมาบอกว่าวันนี้ไม่ต้องไปรับฝาแฝดนะครับ)

“อ่าว ทำไมล่ะครับ” คามินถามขึ้นอย่างงงๆ

(พอดีวันนี้คุณน้า หมายถึงหม่าม๊าของอนาวินน่ะครับ ท่านว่าง แล้วอยากเจอเด็กๆ เลยจะให้ไอ้วินไปรับปุณณ์กับปัณณ์ไปนอนค้างคืนด้วย)

ปราณันต์ร่ายยาว เสียงหวานเจื้อยแจ้วอย่างน่าฟัง คามินฟังพลางคิด ถ้าต้องให้ฟังปราณันต์พูดทั้งวันก็ไม่มีเบื่อ

“อืมม เหงาแย่เลยเด็กๆ ไม่อยู่แบบนี้” คามินเริ่มงอแง ก่อนจะรีบถามปราณันต์อย่างร้อนใจ “แล้วคุณปราณล่ะครับ เลิกงานกี่โมง”

(ผมหรอ? อืม... เลิกกี่โมงดีล่ะครับ) คนปลายสายแกล้งถามกลับกวนๆ

“โถ่ ที่รัก อย่าแกล้งผมแบบนี้สิครับ” คามินอ้อน “ถ้าวันนี้คุณปราณเลิกดึก ผมต้องเหี่ยวตายแน่ๆ ว่าไงครับคนดี วันนี้คุณปราณเลิกกี่โมง ผมจะได้ไปรับ”

(ฮ่าๆ) ปราณันต์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี นานๆ เขาจะได้แกล้งคามินสักที (ผมเลิกหกโมงเย็นครับ พอดีหัวหน้าทีมมีการบ้านให้กลับไปคิดนิดหน่อย เลยได้เลิกเร็ว)

“งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ผมไปรอรับนะครับ” คามินรีบบอกอย่างยินดี อย่างน้อยเย็นนี้เขากับปราณันต์ก็จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองเต็มที่สักที



...อยู่ด้วยกันสองต่อสองงั้นหรอ



“คุณปราณครับ พอดีวันนี้ผมมีเรื่องให้คิดมากนิดหน่อย คืนนี้คุณไปดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมครับ” ทันทีที่ฉุกคิดบางอย่างได้ คามินก็แสร้งส่งเสียงหนักอกหนักใจ เรียกความสงสารจากปราณันต์ ซึ่งนั่นได้ผลชะงัด

(คุณไม่สบายใจเรื่องอะไรครับ เรื่องงานหรอ แล้วตอนนี้คุณโอเคไหมคุณคราม) ปราณันต์รัวถามเป็นชุด ดูก็รู้ว่าเป็นห่วงคามินมากแค่ไหน

“ก็ส่วนนึงครับ ไว้เจอผมจะเล่าให้ฟัง ว่าแต่คุณปราณ...”

(ไปครับไป หกโมงเย็นเจอกันนะครับ เดี๋ยวผมไปรอคุณที่เดิม) คามินยังพูดไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ ปราณันต์ก็ตอบรับเสียแล้ว ท่าทางร้อนอกร้อนใจของคนในสาย ยิ่งทำให้คนเจ้าเล่ห์นึกกระหยิ่มในใจกับแผนการที่เพิ่งคิดได้เมื่อกี้

“ขอบคุณคุณปราณมากนะครับ เย็นนี้เจอกันนะ” แม้น้ำเสียงของคามินจะเศร้าสร้อย แต่มุมปากหยักกลับมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เปื้อนอยู่ตลอด

และถึงจะวางสายไปแล้วแต่คามินยังคงยิ้มพอใจไม่เลิก อารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กลับเลือนหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน เพียงแค่นึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ คามินก็แทบจะรอให้ถึงเวลานั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ

.

.

.

พอถึงเวลานัด ปราณันต์ก็ไปยืนรอคนรักที่เดิม เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา รถยนต์คุ้นตาก็มาจอดเทียบด้านข้าง ขาเรียวยาวรีบก้าวขึ้นไปนั่งเบาะโดยสารข้างคนขับอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใบหน้าสวยหวานจะหันไปมองคนตัวโตข้างกายด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

“คุณคราม คุณมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรอครับ” ปราณันต์ละล่ำละลักถามคนรักอย่างเป็นห่วง น้ำเสียงที่เจือความไม่สบายใจนั้น ทำเอาคนที่ได้ยินอดรู้สึกละอายไม่ได้ถึงสิ่งที่ตัวเองจะทำในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้

แต่คามินตัดสินใจแล้วว่าจะทำมัน เขาทนสูญเสียปราณันต์ไปโดยที่ยังไม่เคยแม้แต่จะแตะต้องไม่ได้ อย่างน้อยเขาต้องได้ในสิ่งที่ควรได้เสียก่อน ใครจะว่าเขาเลวยังไงเขาก็ไม่แคร์

“วันนี้ผมโดนหัวหน้าตำหนิครับ ก็อย่างที่คุณปราณรู้ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ผมก็พยายามแล้ว แต่ยอดขายไม่กระเตื้องเลย ผมเองก็เครียด แต่ไม่รู้จะทำยังไง”

เรื่องโกหกที่เพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ ถูกกล่าวออกมาจากปากหยัก คามินเหลือบมองใบหน้าน่ารักตรงหน้า แววตากลมโตเต็มไปด้วยความเห็นใจและสงสาร ซึ่งอีกไม่กี่อึดใจต่อมา แขนเรียวยาวก็ค่อยๆ วาดมาโอบรั้งรอบคอเขาก่อนจะดึงเขาเข้าซบลงบนอกบางเบาๆ ...

ปราณันต์กำลังกอดปลอบคามิน

ความอ่อยโยนที่คามินได้รับเกือบทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ ปราณันต์ช่างไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลก ตอนนี้ความรู้สึกในใจคามินตีกันยุ่งไปหมด อยากครอบครองแต่ก็ไม่อยากทำร้าย แต่เมื่อคิดถึงพรวลัยที่กำลังจะกลับมา ดูเหมือนว่ากำหนดเวลาช่างบีบคั้นและกดดันให้เขาทำร้ายปราณันต์อย่างไม่มีทางเลือก

“คุณยังมีผมนะครับ ไม่ว่าจะยังไงผมจะเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ อย่าเพิ่งท้อนะ” เสียงหวานเอ่ยกระซิบอย่างปลอบโยน

“ผมเหนื่อย ผมอยากพัก คืนนี้คุณปราณอยู่เป็นเพื่อนผมได้ไหมครับ” คามินขอร้องโดยฉวยเอาความใจดีของปราณันต์มาเป็นเครื่องมือ

“ได้สิครับ ผมจะอยู่กับคุณเอง คุณอยากไปดื่มที่ไหน ยังไงก็ได้ ผมแล้วแต่คุณเลย” มือเล็กๆ ของปราณันต์ลูบลงบนกลุ่มผมสีเข้มของคามินราวกับกำลังปลอบโยน

“ผมไม่อยากไปไหน ผมอยากอยู่กับคุณปราณสองคนมากกว่า เรากลับไปดื่มที่ห้องเราได้ไหมครับ” คามินลองหยั่งเชิงถามและดำเนินการเข้าแผนการเงียบๆ

“งั้น.. เรากลับบ้านเรากันนะครับ” ปราณันต์ค่อยๆ ดันตัวคามินออกจากอก จากนั้นมือเล็กทั้งสองข้างก็ยื่นมาประคองใบหน้าคามินไว้ ก่อนที่ใบหน้านวลจะเขยิบเข้าไปใกล้ๆ ริมฝีปากอิ่มค่อยๆ จุมพิตเบาๆ ลงบนริมฝีปากหยัก ราวกับจะช่วยให้กำลังใจและบรรเทาความทุกข์ใจให้กับคนตรงข้าม

คามินส่งยิ้มเพื่อขอบคุณให้แก่ปราณันต์ เมื่อร่างบางค่อยๆ ถอยกลับไป คนตัวโตหันกลับมาตั้งหลักกับพวงมาลัยตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ขับรถออกไปจากออฟฟิศ เพื่อกลับคอนโดของเขาและปราณันต์ หลังจากเมื่อกี้ที่อดยอมรับไม่ได้ว่าสติเตลิดไปไม่น้อย เมื่อเห็นปราณันต์เป็นคนเริ่มเข้าหาตัวเองก่อน แล้วแบบนี้เขาจะยอมปล่อยให้ลูกแมวตัวน้อยนี่หลุดมือเขาไปได้ยังไงกัน

.

.

.

หลังจากจอดรถเรียบร้อยทั้งสองก็พากันขึ้นมาที่ห้องพัก คามินเสนอว่าให้มานั่งดื่มที่ห้องเขา เพราะที่ห้องปราณันต์ที่มีฝาแฝดอาศัยอยู่ด้วย น่าจะไม่มีเหล้าเบียร์แช่ติดตู้เย็นไว้ ซึ่งความจริงข้อนี้เป็นเรื่องที่ปราณันต์ปฏิเสธไม่ออก

“งั้นคุณเข้าห้องไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขออาบน้ำก่อน วันนี้ผมไปออกไซท์สำรวจพื้นที่มา เหนียวตัวจะแย่ ยังไงเดี๋ยวผมตามไปนะครับ”

ปราณันต์ขอแวะทำธุระส่วนตัวที่ห้องก่อน ซึ่งคามินเองก็อยากให้เป็นแบบนั้น เขาอยากจะเตรียมความพร้อมเรื่องบรรยากาศสักนิดอยู่เหมือนกัน

“ตามสบายครับ เสร็จแล้วเรียกผมนะ เดี๋ยวผมมาเปิดประตูให้”

คนตัวเล็กพยักหน้าพร้อมยิ้มรับอย่างไร้เดียงสา ปราณันต์ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะตกลงบนหลุมพรางขนาดใหญ่ที่คามินขุดไว้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

และหลังจากแยกกับปราณันต์ คามินก็มาจัดการสร้างบรรยากาศที่ดูไม่แสดงออกชัดเจนเกินไป เขาหรี่ไฟลงเล็กน้อย เลือกใช้ไฟจากโคมมากกว่าไฟหลักจากนีออนกลางห้อง โต๊ะอาหารถูกวางด้วยแอลกฮอล์ราคาแพง มีกับแกล้มเล็กน้อยไม่กี่อย่าง แน่นอนวันนี้คามินตั้งใจจะทานอย่างอื่น พวกเหล้าพวกเบียร์ที่วางอยู่นี่มันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น

หลังจากจัดทุกอย่างเรียบร้อยคามินก็รออยู่ไม่นาน เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น


ติ๊งหน่อง~


คามินยกยิ้มมุมปากเบาๆ อย่างพอใจ ลูกแมวของเขามาแล้ว ก่อนที่ขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจะก้าวเดินไปประตูออกช้าๆ

ภาพปราณันต์ที่เห็นตรงหน้าทำให้หัวใจที่เคยด้านชาของคามินอดเต้นแรงไม่ได้



.. น่ารัก ..



นี่คือคำจำกัดความของภาพเด็กหนุ่มตรงหน้า เท่าที่คามินจะนึกออกได้

ปราณันต์อยู่ในชุดนอนลายสก็อตสีขาวฟ้า บนศรีษะผมสีดำขลับกระจายอยู่อย่างอ่อนนุ่มไม่ได้เซ็ทเหมือนกับว่าเพิ่งสระเสร็จใหม่ๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่และกลิ่นประจำตัวของปราณันต์ลอยมาแตะจมูก ซึ่งกำลังปั่นป่วนสติของคามินให้กระเจิดกระเจิง ใบหน้านวลใสหลังอาบน้ำ ช่างอ่อนโยนดูราวกับเด็กน้อยที่น่าฟัดน่ารังแกให้ร้องไห้แล้วค่อยมาโอ๋ปลอบทีหลังเสียจริง

คามินพยายามอย่างมากที่จะข่มใจให้ไม่กระชากตัวเจ้าแมวน้อยตรงหน้ามากอดแล้วทำทุกอย่างตามใจอยาก เขาพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นกว่านี้ ถ้าอยากจะได้สิ่งที่ดีที่สุดเขาต้องใจเย็น

“คุณจะไม่ให้ผมเข้าไปหรอครับ” ปราณันต์แกล้งเอ่ยแซว เมื่อเห็นคามินยืนจ้องเขาตาไม่กะพริบอยู่หน้าห้อง

“เชิญครับคุณปราณ” เมื่อได้สติคามินจึงหลบทางให้ปราณันต์เดินเข้ามา ก่อนที่สุดท้ายทั้งสองจะเดินเคียงข้างกันไปที่โต๊ะอาหารใกล้ๆ กับมุมห้องครัว

คามินจัดการขยับปรับเก้าอี้ทั้งสองให้มีระยะไม่ห่างกันมาก ทั้งสองนั่งกระดกเบียร์เงียบๆ โดยที่ไม่ได้คุยอะไรกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเป็นคามินเองที่เอ่ยทะลุความเงียบขึ้นมา

“ขอบคุณคุณปราณมากนะครับที่มาอยู่เป็นเพื่อนผม” ใบหน้าคมคายพูดก่อนที่จะหันไปมองคนข้างตัว ซึ่งเป็นจังหวะที่ปราณันต์เองก็พูดขึ้นมาเช่นกัน

“ผมแค่อยากให้คุณสบายใจ อะไรที่ผมพอช่วยได้...”

คามินไม่รอให้คนตัวเล็กพูดจบ มือใหญ่โผเข้าล็อคท้ายทอยคนตรงข้าม ก่อนที่รั้งใบหน้าสวยหวานเข้ามาหา แล้วริมฝีปากหยักก็ค่อยๆ ยื่นลงไปประทับลงบนริมฝีปากอิ่มอย่างอ่อนโยน

รสชาติขมปร่าของแอลกอฮอล์ในปากของคนทั้งสอง บวกกับบรรยากาศสลัวๆ ของโคมไฟในห้อง ยิ่งทวีความร้อนแรงของจูบครั้งนี้ให้มากขึ้น คามินบดคลึงและดูดดึงริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างหลงใหล เขาชอบมันเหลือเกิน เวลาจูบกับปราณันต์ เขาจะอ้อยอิ่งกับส่วนนี้เป็นพิเศษ ครั้งนี้ก็เช่นกัน คามินกำลังดูดคลึงและบดย้ำมันจนเกิดเป็นเสียงดังระงมไปทั่วห้อง

ส่วนปราณันต์เองก็ไม่ต่าง เขาเสพติดรสจูบของคามินมาก ทุกสัมผัสที่ได้รับทำให้ปราณันต์หัวใจเต้นแรงเสมอ เขาพยายามที่จะจูบตอบคามินอย่างไร้เดียงสา และเมื่อคามินขบเขี้ยวคมลงมาเบาๆ ปราณันต์ก็เผยอปากขึ้นอย่างเต็มใจ เขาแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะให้เรียวลิ้นร้อนชื้นจากริมฝีปากหยักเข้ามาสำรวจในโพรงปากตัวเอง

เรียวลิ้นของคนทั้งสองต่างเกี่ยวกระหวัดเข้าหากันและกันอย่างหื่นกระหายและโหยหา คามินบดคลึงและดูดย้ำริมฝีปากปราณันต์อย่างร้อนแรง มือใหญ่เองก็เริ่มทำหน้าที่ของมันเองโดยการปัดป่ายไปทั่วร่างกายของปราณันต์ คามินค่อยๆ ไต่มือผ่านยอดอกข้างหนึ่งของคนตัวเล็ก เขาแกล้งสะกิดมันเบาๆ ก็ทำเอาคนตรงข้ามครางเสียงหวานอยู่ในลำคอ เพราะคามินยังไม่ได้ถอนริมฝีปากออก

ปราณันต์พอใจกับมัน คามินรู้ดี ไม่เช่นนั้นอกเล็กนี่คงไม่แอ่นเข้าหามือเขาแบบนี้หรอก และแม้จะเป็นการสัมผัสผ่านเนื้อผ้า แต่เขาเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์เองก็กำลังถูกจุดติดแล้วเช่นกัน ร่างบางตรงข้ามเขากำลังมีอารมณ์ เพราะตุ่มไตที่ยอดอกทั้งสองข้างกำลังชูชัน จนแทบจะดันทะลุเนื้อผ้าของชุดนอนสีฟ้าสดใสออกมาอยู่แล้ว

คามินตัดสินใจละริมฝีปากออกจากปากอิ่ม แม้จะเสียดายแค่ไหน แต่สิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้มันสำคัญมากกว่า เขาอาจจะได้มากกว่าจูบ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาต้องลองเสี่ยง

ริมฝีปากหยักของร่างสูงค่อยๆ ไล้ผ่านแก้มนิ่ม ไปหยุดลงที่ใบหูของปราณันต์ ลิ้นร้อนค่อยๆ เลียเบาๆ ที่ติ่งหูนิ่ม ก่อนที่จะกระซิบถามคนตัวเล็กตรงหน้าเบาๆ อย่างอ้อนวอน



“เราไปที่เตียงกันดีไหมครับคุณปราณ...”

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------------------

นับวันยิ่งจะถอนตัวยากขึ้นไปทุกวันนนน ตอนหน้านี่ยังงายยย ยังงายยยยย

รอติดตามนะคะ แล้วจะรีบมาลงให้ค่าา ฝากคอมเม้นท์ติชมได้เลยน๊าาา หรือจะติดแท็ก #ลวงหลอกรัก ในทวิตเตอร์ก็ได้ เดี๋ยวไปตามอ่านนน ขอกำลังใจสักเล็กสักน้อยน้อวววว

ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค้าบบ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-01-2021 20:51:52
 :o8: :-[ :impress2
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-01-2021 21:03:53
เฮ้ออ สงสาร
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-01-2021 21:15:30
หึหึ ตกหลุมพรางตัวเอง จากเริ่มต้นจนตอนนี้เราโฟกัสที่คามินมากกว่าว่าทำไรบ้าง แต่หลังจากนี้เมื่อรู้ เราจะโฟกัสปรานอย่างเดียวเลยว่าจะได้ดั่งใจไหม จะไม่สนคามิน เรามันสายโหด สายแค้นต้องชำระ 55555 นอกจากจะเล่นกับความรู้สึกทั้งหมดแล้ว ยังเล่นกับความรู้สึกเราอีก บอกเลย หนัก คามิน 5555555 สนุกว้อยยย รอตอนต่อไป  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 27-01-2021 06:08:58
วันข้างหน้าฉันจะไม่มีวันสงสารนาย คามิน
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-01-2021 22:34:29
คิดถึง :sad4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...24/01/64 [16th Lies: ความต้องการ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 31-01-2021 17:01:20
จะให้สงสาร ก็ไม่รู้จะเริ่มจากสงสารใครก่อน ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...09/02/64 [17th Lies: ลึกซึ้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 09-02-2021 21:13:30
17th Lies : ลึกซึ้ง


“เราไปที่เตียงกันดีไหมครับคุณปราณ”


คามินกระซิบข้างหูนิ่มเบาๆ หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอกขณะที่รอคำตอบ ปราณันต์ยังคงซุกใบหน้าอยู่ที่ต้นคอเขาไม่ห่าง อกบางๆ กำลังกระเพื่อมขึ้นลงจากการหอบหายใจ และเมื่อคามินเห็นว่าปราณันต์ยังนิ่ง เขาเลยตัดสินใจกระตุ้น เพราะรู้ดีว่าคนในอ้อมกอดกำลังลังเล คามินตัดสินใจไล้มือที่เกาะอยู่ที่เอวบางขึ้นมาช้าๆ เหมือนจะไม่ตั้งใจแต่ในความเป็นจริงแล้วคือตรงกันข้าม

มือใหญ่ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาตามแนวสีข้างจนถึงหน้าอกคนตัวเล็ก นิ้วเรียวยาวสะกิดเบาๆ เข้าที่ยอดอกข้างหนึ่งของปราณันต์ สะกิดย้ำวนอยู่ไม่ห่างจนกระทั่ง

“อาาาห์”

ปราณันต์หลุดเสียงครางออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ และยิ่งคามินได้ยินเสียงหวานหลุดออกมาจากปากอิ่ม เขายิ่งได้ใจ ซึ่งในขณะที่นิ้วมือของคามินยังสะกิดวนอยู่ที่ตุ่มไตข้างหนึ่งนั้น ลิ้นร้อนก็ไม่ได้น้อยหน้า เขาค่อยๆ ขบเบาๆ ที่ใบหูนิ่ม สลับกับไล้เลียเบาๆ จนลูกแมวในอ้อมแขนเขาสั่นไปทั้งตัว

“อ๊ะ อาา” ปราณันต์ยังคงครางเหมือนคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ คามินรู้ดีว่าตอนนี้สติและความยับยั้งชั่งใจของปราณันต์น่าจะลดน้อยลงเต็มที เลยตัดสินใจถามอีกครั้ง

“ไปที่เตียงกันนะครับคนดี ผมอยาก ‘ทำ’ ให้คุณปราณมีความสุขมากกว่านี้”

ปราณันต์ที่ตอนนี้ถูกทุกสัมผัสของคามินจู่โจม ทำให้เหมือนคนที่แทบจะไร้สติโดยสมบูรณ์ เขาไม่เคยถูกใครเล้าโลมแบบนี้มาก่อน ประสบการณ์ในเรื่องนี้ของปราณันต์แทบจะเป็นศูนย์ พอมาเจออะไรแบบนี้ มันก็เป็นการยากที่จะควบคุมหรือยับยั้งชั่งใจใดๆ ความรู้สึกของปราณันต์ตอนนี้มีแค่ตัวเองกับคามินเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ตอนนี้ปราณันต์กำลังพยักหน้าช้าๆ อยู่กับอกคามินอย่างเต็มใจ ความลังเลที่เกิดขึ้นเสี้ยวนาทีได้อันตรธานหายไป เมื่อความรู้สึกแปลกใหม่เข้ามาแทนที่

คามินยินดีเป็นอย่างมากที่ปราณันต์ตอบตกลง คนตัวโตละริมฝีปากจากใบหูของคนตัวเล็กกลับมาที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง เขาบดคลึง ดูดดึง และขบเม้มริมฝีปากสีสดอย่างหลงใหล ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ พร้อมทั้งรั้งเอวปราณันต์ขึ้นมานั่งบนโต๊ะอาหารโดยที่ริมฝีปากทั้งสองยังไม่ได้ละออกจากกัน และเมื่อคามินยืนตั้งหลักได้ เขาก็ค่อยๆ เกี่ยวขาเรียวทั้งสองข้างของปราณันต์เข้าที่เอวสอบของตัวเอง ก่อนจะใช้แขนแข็งแรงทั้งสองช้อนใต้สะโพกของคนตัวเล็ก เขายกตัวปราณันต์ลอยขึ้น โดยที่ปากหยักก็ยังทำหน้าที่ป้อนจูบให้ริมฝีปากอิ่มได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เสียงดูดดึงริมฝีปากดังระงมไปทั่วทั้งห้อง ยิ่งเพิ่มแรงกระตุ้นให้กับคนหนุ่มทั้งคู่ โดยเฉพาะคามินที่ตอนนี้กำลังเร่งรีบอยากจะอุ้มปราณันต์ไปวางที่เตียงนอนไวๆ เหลือเกิน

และในที่สุดก็สมใจของร่างสูงเสียที คามินค่อยๆ วางปราณันต์ลงบนเตียงนอน สภาพของคนตัวเล็กตอนนี้ช่างน่ารังแกเหลือเกินเมื่อคามินมองลงมา ปราณันต์นอนหอบหายใจแรง ชายเสื้อข้างหนึ่งเลิกขึ้นมาจนเกือบจะถึงหน้าอก ใบหน้าและลำคอของคนใต้ร่างกำลังแดงเถือกจากทั้งความเขินอายและแรงอารมณ์ และมากไปกว่านั้นดูเหมือนว่าอวัยวะกลางร่างกายของลูกแมวตัวน้อยของเขากำลังนูนเด่นขึ้นมา ราวกับมันกำลังร่ำร้องอยากจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากสิ่งที่กำลังปิดบังมันอยู่

และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ปราณันต์ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหนูของคามินเองก็กำลังขยายตัวอย่างอึดอัดอยู่ภายใต้กางเกงชั้นในเช่นกัน และยิ่งคามินได้เห็นปราณันต์ที่ไร้เดียงสากำลังระทดระทวยอยู่ตรงหน้า ยิ่งทำให้เขาอยากกระโจนใส่ร่างขาวๆ จนแทบห้ามใจไม่ไหว เขาอยากสัมผัสและอยากรักปราณันต์ให้แรงๆ

แต่เพื่อไม่ให้ลูกแมวของเขาตกใจหรือเกิดจะเปลี่ยนใจเพราะความหวาดกลัวเขาจำเป็นต้องใจเย็นและค่อยเป็นค่อยไป

คามินตามไปคร่อมทับร่างเล็กตรงหน้าไว้ เขาก้มลงป้อนจูบให้คนใต้ร่างอีกครั้ง โดยเพิ่มความร้อนแรงในการบดคลึงและดูดดึงริมฝีปากของปราณันต์ ลิ้นร้อนค่อยๆ ไล้เลียไปตามร่องริมฝีปากของอิ่ม เขี้ยวคมขบลงเบาๆ บนริมฝีปากล่างสีสด ทำให้ปราณันต์ค่อยๆ เผยอปากออก เพื่อให้เรียวลิ้นชื้นของคนด้านบนสอดเข้ามาในโพรงปากตัวเอง และแทบจะในทันทีทันใดลิ้นของคนทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดสอดรับกันอย่างโหยหาและเร่าร้อน โดยที่มือใหญ่ของคามินก็ยังคงทำหน้าที่ไปพร้อมๆ กับริมฝีปากหยักที่ยังไม่ได้ถอนออกจากริมฝีปากอิ่ม มือของคามินค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อนอนของปราณันต์ช้าๆ จากเม็ดแรกไล่ไปยันเม็ดสุดท้าย จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากปากอิ่ม เมื่อเห็นว่าปราณันต์เริ่มหายใจไม่ทัน

ริมฝีปากหยักของคามินร้อนดั่งไฟ ไม่ว่าจะลากผ่านตรงไหนปราณันต์ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราด ตอนนี้คามินปลดกระดุมเสื้อปราณันต์ออกหมดแล้ว เขาค่อยๆ แหวกสาบเสื้อออกช้าๆ พลางหยัดตัวขึ้นมามองภาพร่างกายขาวโพลนตรงหน้าอย่างโหยกระหาย

“สวย... คุณปราณมีร่างกายที่สวยมากเลย รู้ไหมครับ” คามินก้มลงไปกระซิบชิดริมใบหูนิ่ม พลางกดจูบเบาๆ

“อืมม” คนตัวเล็กใต้ร่างไม่ได้พูดอะไร มีแต่เสียงครางอย่างพอใจเท่านั้นที่เป็นคำตอบกลับมา

“ผมจะทำให้คุณปราณมีความสุข ผมสัญญา” ดวงตาคมเลื่อนมาสบกับดวงตากลมที่ในขณะนี้หวาดหยาดเยิ้มน่ามองกว่าเดิม เพราะเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่ร้อนรุ่มอยู่ภายใน

ซึ่งคามินก็ไม่รอช้า กดจูบเบาๆ ลงไปบนไหล่เรียวลากผ่านมาตามแนวไหปลาร้าและลำคอระหง มันสวยงามจนคามินอดใจไม่ไหว เขาขบเม้มดึงดูดลงไปจนเกิดเป็นรอยรักจางๆ รอยที่แสดงให้เห็นว่าคนๆ นี้เป็นของเขา ของเขาแค่คนเดียวเท่านั้น

“อื้อออ ยะ อย่าครับ” ปราณันต์พยายามร้องห้าม แต่ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์เพราะคามินไม่ยอมหยุดแต่อย่างใด

คนตัวเล็กขยับตัวยุกยิกราวกับจะประท้วง คามินหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยอมลากริมฝีปากผ่านลงมาที่อกบางที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบหายใจ คามินจูบเบาๆ ลงบนอกข้างซ้ายของคนใต้ร่าง ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจของปราณันต์เต้นรัวและแรงไม่ต่างจากเขาเลย

มือใหญ่ของคามินลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่วร่างขาวของปราณันต์ และมันค่อยๆ เขยิบไต่ขึ้นมาจนถึงยอดอกสีอ่อนที่ตอนนี้กำลังชูชันอวดสายตายั่วเย้าให้เขาลิ้มลอง และไวเท่าความคิดคามินจัดการครอบริมฝีปากลงไปบนยอดอกข้างหนึ่งของปราณันต์ พร้อมๆ กับที่มือใหญ่ยื่นไปสะกิดตุ่มไตอีกข้างที่ว่างไม่ให้น้อยหน้า อกของปราณันต์ ลอยแอ่นคว้างตามการชักนำของริมฝีปากหยักและนิ้วเรียว มันเป็นประสบการณ์ที่ปราณันต์ไม่เคยได้รับ ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต มันแปลกใหม่และล่อลวงให้คนตัวเล็กขาดสติในที่สุด

“อ๊ะ อาาา สะ.. มันเสียว” ตอนนี้ปราณันต์แทบครางไม่เป็นภาษา มือเล็กสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีเข้มของคนด้านบน รวมทั้งออกแรงกดเบาๆ ให้ริมฝีปากหยักปรนเปรอได้ถนัดและลึกซึ้งกว่าเดิม

“อะ อื้อ คะ คุณ.. คุณคราม” อกเล็กๆ ของปราณันต์ลอยขึ้นจนแทบไม่ติดที่นอน เสียงหวานหลุดครางออกมาเป็นระยะ นั่นยิ่งทำให้คามินได้ใจ ลิ้นร้อนกำลังครอบลงไปที่ยอดอกสีอ่อนเพื่อเอาใจคนใต้ร่างที่ตอนนี้กำลังมัวเมากับรสสัมผัสที่เขามอบให้อย่างไร้การควบคุม

คามินค่อยๆ หยัดตัวขึ้นช้าๆ เพื่อถอดเสื้อของตัวเองออกจากศีรษะ ตอนนี้เขาอยากแนบชิดกับปราณันต์มากกว่านี้ อยากสัมผัสเนื้อผิวเนียนเรียบนี้ด้วยร่างกายของตัวเอง และหลังจากเหวี่ยงเสื้อตัวเองลงไปข้างเตียงแล้ว เขาก็ก้มลงกอดร่างเล็กๆ ที่ตอนนี้กำลังสั่นสะท้านเบาๆ

“คุณปราณชอบที่ผมทำให้ไหม” คามินกระซิบชิดริมฝีปากอิ่มพลางจุมพิตลงไปเบาๆ แก้มนวลขาวแดงระเรื่อทันทีที่ได้ยินคำถาม คามินจ้องมองเข้าไปที่ตากลมเพื่อขอคำตอบอย่างออดอ้อน ก่อนที่ปราณันต์จะพยักหน้ารับช้าๆ อย่างเขินอาย

"อื้อ.. ชอบครับ”

ใช่… ปราณันต์ชอบและอดปฏิเสธไม่ได้ว่ามันแปลกใหม่ และให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ ดีแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยในชีวิต

“อยากให้ผมทำมากกว่านี้ไหม” และทันทีที่ได้ยินคำถามดูเหมือนว่าแววตากลมเกิดลังเลขึ้นมาชั่วขณะ มันดูสับสนและวุ่นวายจนคามินสังเกตเห็นได้ นั่นทำให้เขาเกิดหวั่นใจขึ้นมา “ว่าไงครับ”

“คือ.. ผม” ปราณันต์อึกอัก

“หรือว่าคุณปราณรังเกียจผม” คามินเห็นท่าไม่ดีเลยแสร้งทำหน้าเศร้าและทำเหมือนจะผละออก จนปราณันต์ต้องรีบรั้งแขนอีกฝ่ายไว้แทบไม่ทัน

“ไม่ใช่นะครับ!” คนตัวเล็กเผลอปฏิเสธเสียงดัง “ผมไม่ได้รังเกียจ ตรงข้ามผมกลัวคุณจะรังเกียจผมมากกว่าด้วยซ้ำ ผมแทบไม่มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้เลย ผมกลัวว่าจะทำให้คุณ...”

คามินรีบประทับริมฝีปากลงไปปิดปากอิ่มไม่ให้ตัดพ้อไปมากกว่านี้ ก่อนจะค่อยๆ ถอนออก เพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง เพราะถึงแม้เขาจะอยากครอบครองปราณันต์มากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อยากขืนใจ เขาอยากให้มันเป็นไปเพราะปราณันต์สมยอมเองมากกว่า

“โถ่ เด็กดีของผม คุณปราณรู้ไหมว่าความไร้เดียงสาของคุณกระตุ้นผมมากแค่ไหน” คามินกดจูบเบาๆ ลงบนปลายจมูกโด่งรั้นของปราณันต์ “เมื่อกี้คุณน่ารักมาก มากจนผมแทบจะทนไม่ไหว”

คามินแกล้งดุนดันอวัยวะกลางร่างกายเข้ากับหน้าขาของคนใต้ร่าง ทำเอาปราณันต์อายม้วนยิ่งกว่าเดิม

“ให้ผมทำให้นะ” พูดไม่พูดเปล่า มือใหญ่ก็เอื้อมลงไปตรงกลางหว่างขาปราณันต์พร้อมกับลูบไล้เบาๆ แม้จะเป็นการทำผ่านเสื้อผ้า แต่ก็กระตุ้นปราณันต์ได้ไม่น้อย

พอปราณันต์ไม่ตอบคามินก็แกล้งสะกิดไปที่ยอดอกของปราณันต์เบาๆ ทำเอาตากลมมองค้อนคนด้านบนไม่หยุด แต่แทนที่คามินจะสลด กลับไม่ เพราะตอนนี้คามินก้มลงดูดตุ่มไตสีทับทิมอีกข้างเรียบร้อยแล้ว

“อ๊ะ อาาห์ อาาห์”

ริมฝีปากร้อนของคามินคอยๆ ไล่จูบลากเลื้อยถดลงไปเรื่อยๆ ตามหน้าท้องที่มีลอนซิกส์แพคจางๆ ผ่านสะดือ จนลงไปถึงขอบกางเกงนอน ก่อนที่คามินจะลดศรีษะลงไปที่กลางหว่างขาของปราณันต์ แล้วกดจูบลงบนแกนกายของคนตัวเล็กที่นูนเด่นทะลุกางเกงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“อาาห์ คะ คุณคราม.. อึก”

“คุณปราณครับ นะครับ” คามินร้องขอเสียงกระเส่า นิ้วเรียวยาวของคามินเกี่ยวอยู่ที่ขอบกางเกงของปราณันต์พร้อม ตั้งใจว่าถ้าปราณันต์อนุญาต เขาจะกระชากมันลงทันที คามินอยากเห็นจะแย่อยู่แล้ว ว่าส่วนนั้นของปราณันต์จะน่ารักเหมือนเจ้าของมันหรือเปล่า

ปราณันต์ไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำเพียงแค่ยกสะโพกขึ้น เพื่อให้คามินร่นกางเกงลงได้สะดวกกว่าเดิม ซึ่งคามินเองพอเห็นแบบนั้นก็ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี ในที่สุด...

คนตัวโตไม่รอช้ารีบดึงกางเกงของปราณันต์ลงจนไปกองที่ข้อเท้า ต่อด้วยกางเกงชั้นในตามลงไปติดๆ

แกนกายของปราณันต์ดีดตั้งชันเหมือนรอคอยที่จะได้รับอิสระมาพักใหญ่แล้ว คามินมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาร้อนแรง เหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด มันน่ารัก น่ารักมาก ขนาดไม่ได้เล็กหรือใหญ่ ซึ่งสมตัวกับเจ้าของมันนั่นแหละ คามินจ้องอยู่นานจนปราณันต์อาย เพราะจู่ๆ ขาเรียวก็หนีบหากัน และมือเล็กๆ ก็ค่อยๆ เอื้อมลงมาหมายจะช่วยตัวเองปลดหล่อยหากคามินไม่ทำ

คามินส่ายศีรษะขำด้วยความเอ็นดู ปราณันต์ของเขาช่างไร้เดียงสา มือใหญ่ยื่นไปรั้งมือเล็กไว้และจับมือนั้นของปราณันต์มาวางไว้บนบ่าตัวเอง ก่อนที่คามินจะใช้มืออีกข้างสาวรั้งไปที่แก่นกายของคนตรงหน้าอย่างค่อยป็นค่อยไป

“อ๊ะ อาาา” ปราณันต์ครางเสียงหวาน เพียงแค่ถูกสัมผัสเท่านั้น สติของเขาก็แทบขาดวิ่นแล้ว

คามินค่อยๆ ขยับมือสาวรั้งท่อนเนื้อของปราณันต์ช้าๆ เขารูดข้อมือขึ้นลงจนสุดความยาว สลับกับใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัว ปราณันต์ครางแทบไม่เป็นภาษา มือเล็กๆ จิกแน่นที่บ่าคามินเพื่อต้องการระบายความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น

“อ๊ะ!”

คามินยิ่งได้ยินเสียงหวานครางเขายิ่งได้ใจ ชายหนุ่มขยับข้อมือรัวเร็วขึ้น สาวขึ้นลงจนสุดความยาว และเมื่อคามินสัมผัสได้ว่าคนด้านบนกำลังเกร็งกระตุก นั่นหมายความว่าน่าจะใกล้แตะฝั่งฝันแล้ว เขาจึงใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ สลับกับขยับข้อมือเร็วขึ้นกว่าเดิม

“อึก! .. อ๊ะ ผ ผมจะ.. ใกล้แล้ว” สะโพกเล็กแอ่นคว้างตามการชักนำของมือใหญ่ คามินขยับมือเร็วขึ้นอีก จนผ่านไปไม่ถึงอึดใจ ร่างเล็กบนที่นอนก็เกร็งกระตุกแล้วปลดปล่อยตัวตนออกมาจนเลอะมือใหญ่ไปหมด ปราณันต์ครางยาวจนแทบจะหมดแรง

“อาาาาาาาาาห์”

ตากลมเหลือบมองคนที่อยู่ด้านล่างที่ตอนนี้กำลังเลียมือตัวเองช้าๆ ด้วยสายตาเขินอาย ปราณันต์ไม่คุ้นเลยที่มีคนมาทำแบบนี้ให้ ประสบการณ์แบบนี้ก็ไม่เคยมี แต่ตอนนี้เขากำลังได้ลองกับผู้ชายที่เขารัก มันช่าง.. มีความสุขมากจริงๆ

คามินหยัดตัวขึ้นมาป้อนจูบให้ปราณันต์ รสชาติตัวตนของเขาที่ติดอยู่ในปากคามินทำให้รู้สึกแปลกๆ ไม่น้อย มันไม่ถึงกับแย่ เพียงแต่เขาไม่เคยจินตนาการถึงอะไรแบบนี้มาก่อนก็แค่นั้น

ดูเหมือนว่าค่ำคืนพิเศษของปราณันต์จะไม่ได้จบลงแค่นี้ เมื่อมือใหญ่ของคามินเริ่มทำงานอีกครั้ง มันปัดป่ายไปทั่ว แล้ววนมาสะกิดที่ยอดอกสีสวยอีกรอบ

“อ๊ะ.. คะ คุณคราม พะ พอก่อน”

“ทำไมล่ะครับ คุณปราณไม่ชอบที่ผมทำให้หรอ หื้ม?” เสียงทุ่มกระซิบตัดพ้ออย่างออดอ้อน

“ป่าวครับ ผม ผมแค่...” ปราณันต์อึกอัก “ผมอาย” คนตัวเล็กสารภาพพลางซุกใบหน้าเข้าที่อกกำยำเพราะไม่กล้าสบตาคนตรงข้าม

“ฮ่ะๆ” คามินหัวเราะเบาๆ พร้อมกับที่มือใหญ่ลูบลงบนศีรษะกลมทุยของคนในอ้อมแขน “อายทำไมครับคนดี เมื่อกี้ตอนที่คุณปราณเสร็จ...”

“ไม่เอา อย่าพูด” ปราณันต์กัดเบาๆ ลงบนอกคามิน ซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะมันคือการกระตุ้นให้คามินมีอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม

“คุณปราณ...” คามินกระซิบเสียงพร่า ก่อนจะจับมือเรียวไปวางตรงกึ่งกลางร่างกายของเขาที่ตอนนี้ยังไม่ถอดกางเกงออก “ช่วยผมหน่อยได้ไหม”

ตากลมหันมองใบหน้าคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเบิกกว้าง จากที่โตอยู่แล้วยิ่งเหลือกโตหนักขึ้นไปอีก คามินหัวเราะเบาๆ กับท่าทีคนตรงข้าม

“ว่าไงครับ ช่วยผมได้ไหม” ปากหยักกดจูบลงบนขมับคนตัวเล็ก พลางกระซิบถามอย่างออดอ้อน

“คุณจะขอให้ผม.. เอ่อ.. ทำแบบที่คุณครามทำเมื่อกี้หรอครับ” ปราณันต์ถามตะกุกตะกัก

“คุณปราณต้องรับผิดชอบนะ” ปราณันต์จ้องคามินอย่างงุนงง เขาไปทำอะไรให้ ทำไมต้องรับผิดชอบด้วย “เมื่อกี้ตอนคุณปราณเสร็จกับตอนคุณปราณกัดหน้าอกผม ... มันกระตุ้นผมมากเลยคุณปราณรู้รึป่าว”

คามินก้มลงไปกัดจมูกโด่งรั้นคนของตรงข้ามเบาๆ และพอปราณันต์ได้ยินเหตุผลของคามินแล้ว ยิ่งทำให้เขาไปไม่เป็นยิ่งกว่าเดิม

“นะครับ ช่วยผมหน่อยนะ” คามินยังคงร้องขอ ก่อนจะได้ยินเสียงหวานอ้อมแอ้มตอบออกมาอย่างน่ารัก

“แต่ผม.. ทำไม่เป็น ผม.. ไม่เคย” ปราณันต์สารภาพ จะให้เขาทำให้ยังไง เขาไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครสักหน่อย

“ทำแบบผมไงครับ ไม่ยากหรอก นะ ลองหน่อยนะครับคนดี” คามินยังคงตื๊อ ตื๊อจนปราณันต์ใจอ่อนยอมตกลง โดยที่ใบหน้าหวานพยักลงช้าๆ อยู่กับอกคามิน

คนตัวโตดีใจมาก รีบปลดตะขอกางเกงตัวเองก่อนจะถอดออกแล้วเหวี่ยงมันลงไปข้างเตียง ตามด้วยกางเกงชั้นในที่ตกลงตามไปติดๆ

ปราณันต์ตาโตพอได้เห็นแก่นกายของคนตรงข้าม มันใหญ่โตจนเขาเองคิดไม่ถึง คามินเองพอได้เห็นท่าทางตกใจของปราณันต์แล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ เจ้าหนูของเขาไม่เคยทำให้เสียหน้าเลยสักครั้ง

“เอ่อ.. คือ ผม..” คามินเห็นปราณันต์อึกอัก จึงค่อยๆ ยื่นมือมาจับมือเล็กของปราณันต์ไปวางไว้บนท่อนเนื้อของตัวเอง ก่อนจะปล่อยออกแล้วยื่นมือไปลูบแก้มร่างบางเบาๆ

“ค่อยๆ ขยับข้อมือดูนะครับคนดี ขยับขึ้น ขยับลง เดี๋ยวคุณปราณก็ทำได้”

ปราณันต์ลองทำตามที่คามินบอก เขาขยับข้อมือขึ้นลงตามความยาวช้าๆ ตอนแรกมันก็ตะกุกตะกักเพราะปราณันต์ไม่เคยทำให้คนอื่นมาก่อน แล้วแก่นกายของคามินก็ใหญ่มาก มากจนมือเล็กๆ ของเขาแทบกุมไว้ไม่หมด

แต่พอผ่านไปสักระยะปราณันต์ก็ขยับมือได้คล่องขี้น เขาขยับสาวขึ้นลงจนสุดความยาว ทำเอาคามินแทบจะสติเตลิด เพราะมันทั้งเสียวทั้งรู้สึกดี

“ซี๊ดด คุณปราณครับ อาาาห์ ดีครับดี” คามินคว้าท้ายทอยคนตรงข้ามเข้าหาตัว แล้วกดจูบลงไปแรงๆ บนปากอิ่มเพื่อระบายความเสียวซ่าน เขาฟินมาก เสียวมาก ยอมรับว่าเซ็กส์ที่ผ่านๆ มา ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

ปราณันต์ลองเลียนแบบคามินทุกอย่าง เขาใช้นิ้วโป้งขยี้เบาๆ ที่ส่วนหัว ทำเอาคามินครางในลำคอลั่น เพราะยังไม่ได้ถอนปากจากการบดจูบกับปากอิ่ม

ความร้อนแรงของจุมพิตของทั้งคู่ทวีคูณมากขึ้น ผิวกายของทั้งสองเสียดสีอยู่ในอ้อมกอดกันและกัน มือของปราณันต์ยังขยับรั้งท่อนเอ็นของคามินไว้อย่างต่อเนื่อง

คามินละริมฝีปากออกพลางกระซิบเสียงพร่า “ที่รักครับ เร็ว ซี๊ดด อาาา เร็วหน่อยได้ อึก! ได้ไหมครับ”

ยิ่งปราณันต์ขยับข้อมือเร็วขึ้น คามินก็ยิ่งครางเหมือนคนไร้สติมากขึ้น “อ๊ะ อา อาาาห์” และพอปราณันต์ได้ยินเสียงครางคามิน ตัวเขาเองก็กลับเกิดอารมณ์ขี้นมาอีก ข้างในมันรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด

“ซี๊ดด เสียวมากเลยคนดี อาาาา ผม.. ผมจะเสร็จแล้ว” ปราณันต์ขยับข้อมือเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ จนคามินเริ่มเกร็งกระตุก แล้วสักพักก็ครางยาวพลางปลดปล่อยน้ำรักออกมาจนเลอะมือเล็กเต็มไปหมด

“อาาาาาาห์”

ปราณันต์เขินจนหน้าแดงหลังจากเห็นคามินเสร็จเมื่อกี้ เขาทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเอามือเอาไม้วางไว้ไหน คามินยิ้มบางๆ พลางเอื้อมมือไปดึงทิชชู่ข้างหัวเตียงมาเช็ดให้คนตัวเล็กอย่างเบามือ จากนั้นก็ยกมือเล็กๆ นั่นขึ้นมาจูบเบาๆ

“ขอบคุณมากนะครับคุณปราณ ผมมีความสุขมากเลย” ปราณันต์ก้มหน้างุด ก่อนที่คามินจะหันไปเห็นว่าเจ้าหนูของอีกฝ่ายดูเหมือนจะกำลังตั้งชันขึ้นมาอีกครั้ง

คามินลอบยิ้มมุมปาก และไม่รอช้า เขาค่อยๆ ผลักปราณันต์นอนลง พลางจับขาทั้งสองข้างของปราณันต์ขึ้นตั้งฉากกับเตียงจากนั้นริมฝีปากหยักก็พุ่งลงครอบแก่นกายของคนตัวเล็กจนสุดความยาว

“อ๊ะ!” ปราณันต์ตกใจร้องเสียงหลง เขาไม่คิดว่าคามินจะทำแบบนี้ และไม่ทันที่ปราณันต์จะได้ห้ามปราม คามินก็ขยับปากรูดขึ้นลงจนสุดความยาวของแกนกายของปราณันต์เสียก่อน

“อ๊ะ อ๊าา” ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ปราณันต์ไม่เคยสัมผัสตรงเข้าจู่โจมทันที ภายในช่องท้องของเขามันบิดมวนและวาบหวิวไปหมด ตอนที่คามินขยับปาก ปราณันต์รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟแล่นไปมาทั่วร่าง หัวสมองของเขาขาวโพลน แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวบางก็ยังอยากให้คามินสัมผัสตัวตนของเขามากกว่านี้ มือเล็กจึงสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีเข้ม พร้อมทั้งออกแรงกดเบาๆ เพื่อให้สัมผัสของคนด้านล่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยิ่งคามินดูดท่อนเนื้อของปราณันต์เร็วและแรงมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงครางของปราณันต์ ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น

“อึก ซี๊ดดด อ๊ะ อ๊ะ” เสียงหวานที่คามินได้ยิน ยิ่งกระตุ้นให้เขาออกแรงดูดแกนกายคนตัวเล็กแรงขึ้นจนแก้มบุ๋ม สลับกับใช้ลิ้นเลียส่วนหัวราวกับมันเป็นของอร่อย และเมื่อคามินเหลือบตาขึ้นไปมองคนด้านบน ภาพที่เขาเห็นคือคนตัวเล็กกำลังรู้สึกดีจนศีรษะเล็กๆ นั่นสะบัดไปมา กลุ่มผมสีเข้มกระจายทั่วหมอน มันช่างเซ็กซี่ เซ็กซี่มากจนลูกชายของเขาเริ่มจะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง

คามินจับขาของปราณันต์อ้ากว้างขึ้น ก่อนจะไต่มือขึ้นไปบนยอดอกทั้งสองคนตัวเล็ก และบี้บีบมันเบาๆ จนอกของอีกฝ่ายแอ่นคว้างสู้มือเขาอย่างควบคุมไม่ได้ คามินดูดแกนกายของปราณันต์แรงขึ้น สลับกับรูดปากขึ้นลงอย่างเร็ว จนร่างเล็กบนเตียงเริ่มกระตุกเพราะได้รับการปรนเปรอจากทั้งด้านบนและด้านล่าง หน้าท้องของปราณันต์เริ่มเกร็ง จากนั้นคนด้านบนก็ปลดปล่อยตัวตนเข้ามาในปากเขาจนหมด พร้อมกับเสียงครางยาวนานที่ฟังดูแล้วช่างกระตุ้นเขาได้ดีเหลือเกิน

“อึก! .. อ๊าาาา”

ปราณันต์นอนระทดระทวยหมดแรงอยู่บนเตียง แล้วพอคามินหยัดตัวขึ้นมาคร่อม มือเล็กก็ลูบไปที่แก้มสากเบาๆ ตากลมปรือปรอยเพราะเพิ่งได้รับการปลดปล่อยไปหมาดๆ ภาพเย้ายวนตรงหน้าคามิน ทำให้เจ้าหนูของเขากำลังตื่นจากการหลับใหลขึ้นอีกครั้ง

“ผม... คุณไม่ควรกลืนมันลงไปนะครับ มันสกปรก” ปราณันต์พูดอายๆ เขาหมายถึงน้ำรักของตัวเองที่เพิ่งปลดปล่อยเข้าไปในปากของร่างสูง

“ของๆ คุณปราณ ผมไม่รังเกียจหรอกครับ” คามินจูบเบาๆ ลงบนปากอิ่ม “มันหวานจะตาย หวานเหมือนคุณปราณเลย”


(อ่านต่อหน้าถัดไป)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...09/02/64 [17th Lies: ลึกซึ้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 09-02-2021 21:19:20
(อ่านต่อจากหน้าที่แล้ว)


พอปราณันต์ได้ยินแบบนั้นก็เขินอายจนแทบไปไม่เป็น ก่อนจะรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่กำลังประทะอยู่ที่หน้าขาของตัวเอง ตอนที่คามินแกล้งดันมันไปสัมผัสกับคนด้านล่างเบาๆ

“คุณปราณครับ...” คามินเริ่มพูด “ผมจะไม่ไหวแล้ว คุณให้ผมเข้าไปในตัวคุณได้ไหมครับ” คนเจ้าเล่ห์กำลังเริ่มเสี่ยง เขาอาศัยจังหวะที่ปราณันต์กำลังเคลิบเคลิ้ม ขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการและวางแผนไว้

ปราณันต์หน้าซีดทันทีหลังจากได้ยินคามินพูดจบ คนตัวเล็กถอยกรูดจากอ้อมแขนแข็งแรง ก่อนจะไปนั่งพิงหัวเตียงหุบขาเข้าหากันเหมือนกับกำลังป้องกันตัวเอง

คามินได้แต่กู่ร้องในใจอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทีของปราณันต์ ถ้ามาอิหรอบนี้คงหมายความว่าต้องไม่ยอมแน่ๆ

“คุณรังเกียจผมหรอครับ” คามินเล่นไม้ตาย กะว่าปราณันต์ต้องใจอ่อนแน่ๆ ถ้าเขาพูดประโยคนี้

คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ “ผมไม่ได้รังเกียจ.. แต่ผมกลัว” นัยน์ตากลมมีน้ำตาคลออยู่น้อยๆ นั่นทำให้คามินใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟ “อย่าบังคับผมเลยนะครับ ผมไม่พร้อมจริงๆ”

เสียงใสขอร้องอย่างน่าสงสาร “ผมรักคุณนะครับ แต่เรื่องแบบนี้ผม... ฮึก” ปราณันต์ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ คามินเลยต้องรีบพุ่งเข้ามากอดปลอบอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรครับคนดี ไม่เป็นไร” มือใหญ่ลูบหลังลูบไหล่เพื่อไม่ให้คนในอ้อมกอดคิดมาก “ไม่พร้อมก็ไม่ทำครับ ผมเข้าใจนะ ไม่เป็นไรเลย”

“คุณครามจะเลิกกับผมไหม ถ้าผมไม่...” ปราณันต์พูดไม่จบประโยค เขาพูดไม่ออก ถ้าคามินขอเลิกกับเขาด้วยสาเหตุนี้เขาจะทำยังไง

“เด็กโง่! ห้ามคิดแบบนี้อีกนะครับ” คามินดุ ก่อนจะพูดต่อ “ผมไม่ได้คบคุณเพราะเรื่องพวกนี้สักหน่อย ถ้าคุณไม่พร้อมผมก็ไม่บังคับ”

คามินพูดทั้งที่รู้สึกผิดในใจอย่างท่วมท้น เพราะในความเป็นจริงแล้วเขาคบกับปราณันต์เพราะเรื่องพวกนี้จริงๆ แล้วตอนนี้เขายังมีหน้ามาโกหกอีกว่าไม่ใช่

“ขอบคุณมากนะครับ” ร่างเล็กในอ้อมกอดเขากำลังโผเข้าหาเขาแนบแน่นขึ้น คามินเลยต้องกระชับอ้อมกอดเข้าไปอีกนิด พลางคิดในใจว่าเอาเถอะ เขาเองก็ไม่อยากขืนใจปราณันต์ ถ้ายังไม่พร้อม ครั้งหน้าเขาจะทำให้พร้อมเอง นี่เป็นครั้งแรก คืบหน้าได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากๆ แล้ว

“แต่อย่าให้ผมรอนานเกินไปนะครับ คุณน่ารักมากขนาดนี้ พูดกันตรงๆ ผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน มันก็มีบ้างที่ผมจะอยากทำแบบนี้กับคนที่ผมรัก คุณปราณเข้าใจผมใช่ไหม” คามินตัดสินใจบอกปราณันต์ตรงๆ ซึ่งคนตัวเล็กเองก็พยักหน้าพอจะเข้าใจ

“ครับ ผมเข้าใจ ขอเวลาผมอีกนิดนะ” คามินได้แต่กรีดร้องในใจ อย่าให้เกินอาทิตย์กว่านี่ก็แล้วกันคุณปราณ

พอปลอบปราณันต์เสร็จ คามินก็จะจัดการปีนลงเตียง ทั้งๆ ที่เจ้าน้องชายของเขายังตั้งชันอยู่แบบนั้นนั่นแหละ

“เอ่อ.. คุณจะไปไหนครับ” ปราณันต์รั้งข้อมือคามินไว้และตัดสินใจถาม พลางมองไปที่แก่นกายของคามินหวาดๆ มันใหญ่โตจนเขาแอบกลัว

“ผมก็ต้องไปจัดการตัวเองสิครับ ก็คุณปราณไม่พร้อมนี่นา” คามินยิ้มขื่นๆ ก่อนจะพยายามจะลงจากเตียงอีกครั้ง แต่ปราณันต์กลับพลิกตัวเองไปอยู่ที่กลางหว่างขาคนตัวโตก่อน “หื้ม? ว่าไงครับ” คามินถามงงๆ ตอนเห็นท่าทีของคนตรงข้าม

“ให้.. ให้ผมลองได้ไหมครับ” ปราณันต์ถามเขินๆ คามินประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าปราณันต์หมายถึงอะไร

คนตัวโตยิ้มร่า ก่อนจะยกตัวปราณันต์ให้นั่งด้วยท่าทีที่เขาคิดว่าน่าจะถนัดที่สุด “รบกวนด้วยนะครับ” มือใหญ่ลูบไปที่ปากอิ่มเบาๆ อย่างสื่อความหมาย คามินคิดอย่างตื่นเต้น แค่คิดว่าริมฝีปากที่เขาหลงใหลนี้กำลังจะครอบลงมาบนตัวตนของเขา อาา.. แบบนี้ก็ไม่แย่สักเท่าไหร่หรอก

ปราณันต์มีท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่สุดท้ายก็ก้มลงไปครอบริมฝีปากลงไปบนแกนกายคามินได้สำเร็จ มันคับแน่นไปหมด จนปราณันต์คิดว่าตัวเองคงทำต่อไปไม่ไหว แต่พอเหลือบขึ้นไปมองเห็นใบหน้าที่กำลังมีความสุขของคามินแล้ว เขาก็ปฏิเสธไม่ลง ปราณันต์แค่อยากทำให้คามินมีความสุขบ้างก็แค่นั้น

“อาาาห์ เก่งมากเลยครับเด็กดี ซี๊ดดด”

ปราณันต์ลองขยับปากแบบที่เห็นคามินทำ รูดขึ้นรูดลงจนสุดความยาว และพยายามไม่ให้ฟันครูดลงบนท่อนเนื้อของอีกฝ่าย มันคับปากมากและยาวสุดจนเกือบจะทิ่มเข้าไปในคอ แต่ปราณันต์ก็พยายาม พยายามจนเริ่มจะคล่อง

“ซี๊ดดด อึก! ส เสียวมากเลยคุณปราณ”

ยิ่งพอได้ยินว่าคามินมีความสุขมากแค่ไหน ปราณันต์ยิ่งทำได้ดีขึ้น เขาเลียนแบบที่คามินทำทุกอย่าง ใช้ลิ้นในการไล้เลียส่วนหัวและลากเลื้อยลงมายังลูกบอลทั้งสองข้าง คามินกดศีรษะของปราณันต์ไว้แน่น และเพราะความไร้เดียงสาของปราณันต์ยิ่งทำให้เขาสติกระเจิดกระเจิง จนอยากที่จะสวนสะโพกสวนกระแทกเข้าไปในปากอิ่มแรงๆ แต่เขาก็ต้องยั้งไว้ เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ตกใจ

“อาาห์ เร็วอีกนิดครับที่รัก” ปราณันต์สาวปากรัวเร็วขึ้น จนคามินเสียวไปหมด และยิ่งเห็นแก้มของคุณปราณบุ๋มลงไปเพราะแรงดูด คามินก็ยิ่งเสียว ท่าทางและหน้าตาแบบนั้นดูไร้เดียงสาและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกัน มันช่างกระตุ้นเขาได้ดีมากขึ้นจริงๆ

ปราณันต์รูดปากขึ้นลงจนสุดความยาวสลับกับดูดที่ส่วนหัวย้ำๆ เมื่อเห็นว่าคามินเริ่มเกร็ง และหน้าท้องของคนด้านบนเริ่มกระตุกเบาๆ

“ซี๊ดด จะ.. จะเสร็จแล้วครับ ปะ คุณปราณ” ปราณันต์ขยับปากรัวเร็วอีกครั้ง จากนั้นคามินกระตุกแล้วก็ปลดปล่อยออกมาเข้าปากคนตัวเล็กเต็มไปหมด

“อึก! อาาาาาาา” คามินดึงปราณันต์ขึ้นมาบดจูบริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย รสชาติตัวตนของคามินถูกส่งเข้ามาในปากหยัก ทั้งสองจูบกันอย่างร้อนแรงและตะกละตะกลาม ริมฝีปากล่างของปราณันต์ที่คามินชอบถูดดูดดึงจนเกิดเป็นเสียงดังระงม จนปราณันต์หายใจไม่ทันนั่นแหละ คามินจึงได้ปล่อยให้ปราณันต์เป็นอิสระ

“เก่งมากครับที่รัก ผมมีความสุขมากเลย” คามินกระซิบบอกหลังจากที่ทั้งคู่นอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียง

“ผม.. ผมก็มีความสุขมากเหมือนกันครับ” ปราณันต์กระซิบตอบอายๆ ก่อนที่จะพุ่งซบเข้าที่อกอุ่นๆ เพื่อต้องการเลี่ยงจะสบตา

“ผมจะรอวันที่คุณปราณพร้อมนะ วันนั้นผมสัญญาว่าจะทำให้คุณปราณมีความสุขมากที่สุด มีความสุขมากกว่านี้อีก” ปราณันต์พยักหน้าอยู่กับอกคามินเป็นเชิงรับรู้ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะค่อยๆ ปรอยลงเพราะความเพลีย

“ผมง่วงแล้ว นอนกันเถอะนะครับ” คนตัวเล็กอ้อนแขนเรียวโอบวาดรอบเอวหนา เช่นเดียวกับที่คามินกระชับอ้อมกอดที่กอดคนตัวเล็กอยู่ให้แน่นขึ้น

“ฝันดีครับ คนดีของผม” คามินประทับจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากมน ก่อนจะเหลือบมองเห็นว่าตากลมแทบจะปิดลงเต็มที

“ฝันดีครับ คุณครามของผม” เสียงหวานกระซิบตอบก่อนที่จะเงียบไป จนกระทั่งคามินได้ยินเสียงลมหายใจของคนตัวเล็กดังสม่ำเสมอกัน น่าจะเป็นเพราะผล็อยหลับไปแล้ว


... อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ได้แย่ ถึงจะไม่เป็นไปตามแผน แต่คามินก็มีความสุขมากจนปฏิเสธไม่ลง


คนตัวโตแอบอมยิ้มมุมปาก ก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราตามลูกแมวตัวน้อยของเขาไปติดๆ

.

.

.

เช้านี้คามินอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ แหงล่ะ ได้มีคนตัวนุ่มๆ หอมๆ มานอนให้กอดอุ่นๆ แบบนี้ ใครจะไม่ชอบบ้างล่ะ

แต่เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ลูกแมวในอ้อมกอดเขา เริ่มจะงอแงแล้ว

“คุณครามครับ ตื่นเถอะนะ” เมื่อเห็นคามินยังนิ่ง มือเล็กๆ ก็พยายามแงะมือปลาหมึกออกจากเอวตัวเองแต่ดูเหมือนว่าช่างยากเหลือเกิน “ถ้าคุณจะนอนต่อ ก็ปล่อยให้ผมไปอาบน้ำก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวไปทำงานสาย”

แต่คามินก็เลือกที่จะทำเป็นเฉย แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยปราณันต์ไปง่ายๆ แน่ เพราะฉะนั้นการทำเป็นแกล้งหลับต่อ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เขาเป็นเจ้าของบริษัท จะเข้างานกี่โมงก็ได้ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ได้นอนกอดลูกแมวตัวนิ่มๆ หอมๆ แบบนี้ ดีกว่านั่งหน้ากองเอกสารเป็นไหนๆ

“ให้ผมไปอาบน้ำเถอะนะครับ กว่าคุณจะมาอาบต่ออีกเดี๋ยวจะช้ากันไปหมด”

พอเห็นปราณันต์เร่งเร้าหลายรอบ คามินแกล้งทำเป็นงัวเงียตื่น ก่อนจะลากเสียงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่สายหรอกครับคนดี ขอผมนอนกอดคุณปราณอีกนิดนะ”

“เราไม่ได้อาบน้ำพร้อมกันนะครับคุณคราม เราอาบคนละทีแบบนี้ยังไงก็สายแน่ ปล่อยผมเถอะนะ”

ไอ้คนเจ้าเล่ห์ลืมตาผึงทันทีที่ได้ยินปราณันต์พูดจบประโยค ปราณันต์มองคนตรงข้ามอย่างหวาดระแวง สายตาแบบนี้มันไม่น่าไว้ใจสักนิด

“ถ้าคุณปราณไม่อยากให้เราสองคนไปทำงานสาย... งั้นเราอาบน้ำพร้อมกันดีไหมครับ” เสียงทุ้มกระซิบกรุ้มกริ่มข้างหูปราณันต์ ร่างขาวกลับกลายเป็นแดงก่ำ เมื่อเข้าใจความนัยของคนพูดเป็นอย่างดี

และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ แค่เพียงคำพูดกำกวมเพียงประโยคเดียวของคามิน ดูเหมือนจะทำให้ปราณันต์ปั่นป่วนได้มากกว่าที่คิด เพราะตอนนี้ร่างกายเปลือยเปล่ากำลังกอดเกยกันอยู่ใต้ผ้าห่มกลับร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าหนูน้อยที่เมื่อคืนได้รับการปรนเปรอจนสิ้นฤทธิ์ ก็ดูเหมือนจะถูกปลุกปั่นให้ขยับขยายขึ้นช้าๆ เช่นกัน

ปราณันต์หน้าแดงก่ำลามไปยันคอ เขากำลังอาย อายที่ตัวเองมีอารมณ์เพราะประโยคทะลึ่งๆ ของคามินเพียงประโยคเดียว

“หึ” คามินหัวเราะเจ้าเล่ห์ “อาบน้ำด้วยกันนะ นะครับ”

คามินออดอ้อนพร้อมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ร่างกายเปลือยเปล่าที่บดเบียดกันไปมากำลังทำให้คนไร้เดียงสาอย่างปราณันต์ยิ่งสติเตลิด

“อื้อ! มะ ไม่เอาครับ” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงสั่น คำพูดกับความต้องการทางร่างกายของเขาดูเหมือนกำลังจะสวนทางกันอยู่

คามินรู้ จึงแกล้งดันส่วนปูดโปนกลางร่างกายไปที่หน้าขาของปราณันต์เบาๆ เพื่อบอกกลายๆ ว่าตัวเขาเองก็แทบจะไม่ต่างจากปราณันต์เลยซักนิด ตอนแรกคามินกะจะแค่แกล้งปราณันต์เล่นๆ แต่ทำไปทำมาท่าทางไร้เดียวสาที่ปราณันต์แสดงออกกลับกระตุ้นเขาขึ้นมาจริงๆ

จู่ๆ คามินก็ตัดสินใจพลิกตัวคร่อมร่างปราณันต์ไว้ จมูกโด่งเป็นสันก้มลงซุกไซ้ซอกคอขาวของคนใต้ร่าง จากนั้นก็ค่อยๆ ช้อนร่างเล็กของปราณันต์ขึ้นมาแล้วอุ้มลงจากเตียง ก่อนจะเดินดุ่มๆ พาคนในอ้อมแขนเข้าห้องน้ำโดยไม่ถามความเห็นใดๆ

“คุณคราม! ไม่เอาครับ คะ.. อื้อ!” คนตัวโตจัดการจูบปิดปากอิ่มๆ นั่นไม่ให้ร้องประท้วงอีกต่อไป

สงสัยเช้านี้ปราณันต์คงต้องโทรไปลาป่วยแล้วล่ะ คามินคิดลำพังอย่างชอบใจ

.

.

.

ปราณันต์นอนยาวจนถึงช่วงสาย ก่อนที่จะค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมา โดยมีคนต้นเหตุนอนเท้าแขนมองเขาสบายใจเฉิบ


จุ๊บ~


คามินก้มลงไปจูบปากปราณันต์เบาๆ

“ตื่นแล้วหรอครับ ทำไมลูกแมวของผมขี้เซาจัง” คามินพูดเสียงเย้าพร้อมๆ กับที่มือใหญ่เอื้อมมือไปบีบจมูกโด่งรั้นเบาๆ ดวงตากลมโตจ้องมาที่เขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนเขาต้องรีบยิ้มโชว์เขี้ยวเอาใจแล้วก้มลงไปกอดขอโทษคนตัวเล็กแทบไม่ทัน

“โอ๋~ ผมขอโทษนะครับ แต่ผมโทรไปลางานช่วงเช้าให้คุณปราณแล้ว บอกคุณนทว่าเดี๋ยวช่วงบ่ายจะเข้าไป” คามินพูดเสียงอ้อน เขารู้ดีว่าปราณันต์ไม่โกรธหรอก เพียงแค่อยากจะอ้อนก็แค่นั้น

“คุณนี่ นิสัยไม่ดี” เสียงใสต่อว่า แถมยังพาเอามือเล็กๆ ของตัวเอง ฟาดลงบนต้นแขนของคามินอีก

“โอ๊ยยย” คามินแกล้งร้องครวญครางเสียงดัง ทั้งที่หน้ายิ้มระรื่น “ตีผมแล้วก็หายโกรธผมนะ นะ นะ”

คนตัวเล็กหันหน้าหนีไปอีกทาง คามินเลยแกล้งแหย่ซ้ำ “ก็ใครใช้ให้คุณปราณน่ากินไปทั้งตัวแบบนี้ล่ะ ผมจะห้ามใจไหวได้ยังไง”

พอคามินพูดจบแก้มนวลก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ขนาดว่าปราณันต์หันไปอีกทางคามินยังแทบจะมองเห็นได้ชัดเลย

“คนทะลึ่ง ไม่พูดด้วยแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า” พูดจบปราณันต์ก็ลุกขึ้นพรวดจากเตียง พร้อมกับโกยผ้าห่มติดตัวไปด้วย ทำให้ตอนนี้คามินกลายร่างเป็นชีเปลือยนอนเฝ้าเตียงไปซะแบบนั้น

“เห้ย! คุณปราณครับ” คามินหน้าตาตื่น แต่ปราณันต์ก็ไม่หันหลังให้ กลับรีบวิ่งโกยอ้าวหนีเข้าห้องน้ำไปซะอย่างนั้น โดยมีเสียงหัวเราะของคามินดังลั่นตามหลังมา ทำเอาริมฝีปากอิ่มอดยกยิ้มด้วยไม่ได้ ถึงแม้จะเหลวไหลกันจนไม่ได้ไปทำงาน แต่ปราณันต์กลับไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่ามันเป็นเช้าที่คุ้มค่าและมีความสุขมากด้วยซ้ำ การได้ตื่นขึ้นมาเจอคนที่เรารักแต่เช้ามันดีแบบนี้นี่เอง ปราณันต์ได้แต่อมยิ้มในใจอย่างอารมณ์ดี

.

.

.

กว่าจะรบรากับคนขี้หื่นให้อาบน้ำ ทานข้าว ออกมาจากบ้านได้ ปราณันต์ก็แทบเหนื่อยลาก ไม่ต่างจากตอนจับเจ้าฝาแฝดแต่งตัวสักนิด เผลอๆ อาจจะใช้พลังมากกว่าด้วยซ้ำ เด็กโข่งคนนี้ดื้อจะตาย และยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน คามินก็แต๊ะอั๋งเขามากขึ้น เผลอเป็นไม่ได้ เอะอะกอด เอะอะจูบตลอด ซึ่งกว่าจะได้ออกมาทำงานก็เกือบเข้าช่วงบ่ายพอดี

และขณะที่อยู่บนรถจู่ๆ ปราณันต์ก็เงียบไป ทำเอาคามินอดสงสัยไม่ได้

“คุณปราณเป็นอะไรรึป่าวครับ หื้ม?” ปราณันต์หันมามองคามินด้วยสายตาอ่านลำบาก

“ผมรู้สึกว่าผมใจง่าย รู้จักกับคุณไม่เท่าไหร่ผมก็ยอมให้คุณทำแบบนี้กับผมแล้ว”

พอคามินได้ยินในสิ่งที่ปราณันต์พูด เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าต้องพูดเรื่องนี้ให้ปราณันต์เข้าใจ เพราะไม่เช่นนั้นในอนาคตคนที่จะลำบากก็เขานี่แหละ

“คุณปราณครับ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ผมไม่เคยมองคุณปราณแบบนั้นเลยนะ เราแค่ชอบกันไม่ได้ทำไรผิดสักหน่อย” มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือเล็กไว้เบาๆ “เพราะผมรักคุณปราณ ผมก็เลยอยากสัมผัส อยากกอด อยากจูบ มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ของคู่รัก คุณก็รู้” คามินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แต่ผม..” ปราณันต์ทำท่าจะเถียงต่อ

“ไม่เอาไม่เถียงแล้วครับ ผมไม่เคยคิดว่าคุณปราณเป็นแบบนั้น แล้วก็ห้ามต่อว่าตัวเองอีกนะ เข้าใจไหมครับเด็กดี” คามินกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะสำทับด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ

“เฮ้อ ใครว่าคุณปราณง่าย หาตัวมาให้ผมดูหน้าคนพูดหน่อย กว่าผมจะจีบติดนี่แทบตาย ไหนจะต้องฝ่าด่านฝาแฝดตัวน้อยนั่นอีก... คุณปราณน่ะยากกว่าใครแล้ว เชื่อผมเถอะ” คามินพูดแซวกลั้วเสียงหัวเราะ เล่นเอาปราณันต์ยิ้มเขิน ก่อนจะนั่งอายเงียบๆ ไปตลอดทางยันถึงออฟฟิศ

.

.

.

“เย็นนี้ให้ผมไปรับฝาแฝดไหมครับ” คามินถามขึ้นหลังจากจอดรถเพื่อส่งคนตัวเล็กตรงหน้าที่ทำงาน

“ผมยังไม่แน่ใจว่าจะเลิกงานกี่โมง ถ้าผมเลิกทันผมจะโทรบอกนะครับ จะได้ไปพร้อมกัน แต่ถ้าผมไม่โทร รบกวนไปรับน้องแทนผมด้วยนะ”

คามินพยักหน้ารับแข็งขัน ก่อนจะอ้อนขออะไรบางอย่างจากคนรักของตัวเอง “จะไปทำงานแล้ว ขอกำลังใจหน่อยสิครับ” แต่ปราณันต์ทำเป็นเฉยและไม่ยอมท่าเดียว

“ไม่เอาครับ ให้ผมลงได้แล้ว จะได้รีบไปเข้างาน” ปราณันต์พยายามจะเปิดประตูรถเพื่อลง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายเลย เพราะคามินเอาแต่กอดเขาไว้ไม่เลิก

“คุณปราณอ่ะ น่านะ นะครับ” คามินดึงดันจะไม่ยอมปล่อย จนกว่าจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

ปราณันต์ได้แต่ถอนใจด้วยความเหนื่อยใจ ทำไมคามินถึงได้ขี้หื่นขนาดนี้ก็ไม่รู้ สุดท้ายเขาก็ต้องยอมจรดจมูกตัวเองลงบนแก้มสากของอีกฝ่าย


ฟอด~


“แค่นี้แหละครับ พอแล้ว” มือเล็กดันอกคามินออกอย่างอายๆ ก่อนจะผละออกเพื่อเตรียมลงจากรถ

“ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยเนาะ” คามินแกล้งพูดลอยๆ ซึ่งเรียกเอารอยยิ้มจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี

“ไปพบลูกค้าได้แล้วครับ เดี๋ยวสายนะ” ปราณันต์แกล้งไล่ ก่อนจะเปิดประตูเพื่อก้าวลงจากรถ “แล้วเย็นนี้ถ้าผมเลิกเร็ว ค่อยเจอกันนะครับ”

ปราณันต์บอกลาก่อนจะโบกมือให้คนตัวโตช้าๆ คามินเองก็เช่นกัน เขาบอกลาปราณันต์ด้วยความสุขล้นไปทั้งใจ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขนาดนี้ ปราณันต์ช่างเป็นยาดีจริงๆ คามินคิดอย่างอารมณ์ดีขณะขับรถจากมา

.

.

.

ช่วงบ่ายคามินทำงานอย่างมีความสุข จนพนักงานรอบข้างแปลกใจ จับกลุ่มคุยเรื่องนี้กันให้สนุกสนานเพราะปกติแล้วคามินเป็นคนหน้าดุ ทำหน้าเฉยๆ เย็นชาๆ ยิ่งดุ แต่วันนี้ดูเหมือนท่านประธานจะมีรอยยิ้มเปื้อนมุมปากตลอดเวลา ไม่รู้ว่าบอสไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า เพราะเมื่อวานยังอารมณ์เสียอย่างกับระเบิดลูกใหญ่หล่นลงกลางออฟฟิศ แต่พอมาวันนี้เหมือนกับเป็นคนละคน แล้วแบบนี้จะไม่ให้ทุกคนแปลกใจได้ยังไงกัน

แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแทนคุณคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เขาไม่ใช่คนช่างพูด ยิ่งเอาเรื่องเจ้านายมาพูดยิ่งไม่ใช่เขาใหญ่ เอาเป็นว่าถ้าคุณคามินของเขาดูมีความสุขดี เขาก็โอเคกับทุกอย่าง ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวล

คามินเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะๆ เพื่อดูว่าใกล้เลิกงานหรือยัง ซึ่งก็ต้องมาลุ้นอีกว่าวันนี้ปราณันต์จะได้กลับบ้านเร็วหรือช้า เพราะเขาอยากเจออีกฝ่ายจะแย่แล้ว

หลังจากคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย จู่ๆ คามินก็ขำออกมาเพราะรู้สึกตลกตัวเองอยู่ไม่น้อย เขาทำตัวเหมือนพวกเพิ่งเริ่มมีความรักครั้งแรกๆ ไม่มีผิด ซึ่งนั่นทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยว่าตัวเองจะมีมุมแบบนี้เหมือนชาวบ้าน แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์กลับดังแทรกขึ้นเสียก่อน


Rrrr

Pranan is calling



ปากหยักอมยิ้มออกมาโดยที่แทบจะไม่รู้ตัว สงสัยวันนี้ปราณันต์คงจะโทรมาบอกว่าเลิกงานเร็ว ดีเลย แบบนี้จะได้ไปรับฝาแฝดพร้อมกัน

“ว่าไงครับที่รัก” คามินกดรับสายพร้อมทักเสียงหวาน

“คุณคราม ตอนนี้คุณว่างไหมครับ” น้ำเสียงหวานที่ตอบกลับมาดูวิตกและร้อนรนผิดปกติจนคามินสังเกตได้

“มีอะไรหรอครับคุณปราณ เรื่องด่วนหรอครับ” คามินถามกลับด้วยความสงสัย เพราะท่าทางและน้ำเสียงของปราณันต์ดูไม่ปกติ

“ใช่ครับ ด่วนมาก” ปราณันต์พูดรัวเร็ว “ผมลางานช่วงบ่ายไม่ได้ เพราะไม่มีคนอยู่ ผมเลยจำเป็นต้องโทรมาหาคุณ”

“ใจเย็นๆ ครับคุณปราณ ใจเย็นๆ คุณอยากให้ผมทำอะไรบอกผมสิ” คามินถามอย่างสงบนิ่งทั้งที่ในใจก็กังวลไม่น้อยกว่าคนปลายสายเลย

“คุณไปโรงเรียนอนุบาลแทนผมหน่อยได้ไหมครับ” ปราณันต์เข้าประเด็นในที่สุด

“โรงเรียนปุณณ์กับปัณณ์หรอครับ มีใครเป็นอะไรรึป่าวคุณปราณ” ตอนนี้คามินเองก็แทบร้อนรนไม่ต่าง เพราะการที่ปราณันต์ขอให้เขาไปโรงเรียนของฝาแฝดในตอนนี้ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

“ปุณณ์กับปัณณ์ทะเลาะกับเพื่อนครับ เห็นว่ามีเลือดตกยางออกด้วย ผมถามอะไรคุณครูก็ไม่บอก เอาแต่บอกว่าให้มามาที่โรงเรียนตอนนี้ คุณคราม...คุณไปแทนผมได้ไหมครับ ผมเป็นห่วงน้องมากๆ เลย”

เสียงหวานที่ตอบออกมาฟังดูเหมือนกำลังใกล้จะร้องไห้เต็มที ทำเอาคามินเริ่มนั่งไม่ติดแล้วเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรนะคุณปราณ เดี๋ยวผมไปดูเด็กๆ ที่โรงเรียนเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วง แล้วได้เรื่องยังไงผมจะโทรหาคุณ” คามินต้องพยายามใจเย็น เพราะตอนนี้เขารู้ว่าปราณันต์กำลังจะสติแตก แม้เขาจะกังวลแค่ไหน ก็ให้คุณปราณรู้ไม่ได้

“ฝากด้วยนะครับคุณคราม ผมไม่มีใครแล้ว มีแต่คุณนี่แหละ” ปราณันต์สารภาพออกมาเสียงเศร้า เศร้าจนคามินอยากจะไปหาแล้วกอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่นๆ เพื่อไม่ให้ต้องคิดมากแบบนี้

“ไม่ต้องกังวลนะครับคนดี เดี๋ยวผมจะไปหาน้องคุณเอง คุณก็ต้องตั้งสติ ใจเย็นๆ รอฟังข่าวจากผมนะ” คามินพูดหนักแน่นให้สัญญา ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างวางสายไป

คามินลุกพรวดจากที่นั่ง ก่อนจะคว้าสูทกับกุญแจรถ แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานทันที


‘ปุณณ์ ปัณณ์ อย่าเป็นอะไรนะครับ พี่กำลังไปหา รอพี่ไม่นานพี่สัญญา’

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------

น้องยังไม่ถูกกินนะคะ น้องยังอยู่ดี ยังอยู่ครบ แต่จะครบนานแค่ไหนก็ยังไม่ยู้ววว อิคุณครามนางก็เล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย .. ก็ปล่อยให้เล่ห์เหลี่ยมเยอะไปแหละ เดี๋ยวรู้เอง 5555555555

ตอนนี้มาเอาใจช่วยน้องแฝดกันดีกว่าาา เกิดอะไรขึ้นน้ออออ ><

ขออภัยที่หายไปนานนะคะ คือช่วงอาทิตย์ก่อนหน้าเราเปิดพรีออเดอร์ให้สั่งของ และต้องแพ็คของส่งเลยไม่มีเวลา เอาเป็นว่าเพื่อไถ่โทษ ไม่วันพฤหัสก็ศุกร์จะมาลงให้อีกตอนนน

แต่.. ขอคอมเม้นท์เป็นแรงใจหน่อยได้มั้ยค้าบบ คนละเม้นท์สองเม้นท์ก็ยังดี เรารออ่านฟีดแบคอยู่น้าาา ไม่รู้ว่า NC จะถูกใจทุกคนรึป่าวด้วยยย บอกได้นะงับ จะได้ปรับปรุงง ^^

รอน้า รอน้าา แล้วเอาไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ รักทุกคนซาเหมอออ ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...09/02/64 [17th Lies: ลึกซึ้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-02-2021 22:01:34
 :oo1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...09/02/64 [17th Lies: ลึกซึ้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-02-2021 00:44:19
รอดอย่างหวุดหวิดนะ เฮ้ออ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...09/02/64 [17th Lies: ลึกซึ้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-02-2021 02:09:40
เกือบโดนกินแล้วน๊าาา คงอีกไม่นานสินะ :hao3:

เจ้าเด็กแฝดอย่าเป็นอะไรมากนะ :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...09/02/64 [17th Lies: ลึกซึ้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-02-2021 22:51:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...09/02/64 [17th Lies: ลึกซึ้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 13-02-2021 10:12:18
เพิ่มเติมความรู้สึก + ความผิดหวัง ในใจให้เต็มที่
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/02/64 [18th Lies: แค่มีพี่ปราณก็พอ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 13-02-2021 20:29:44
18th Lies : แค่มีพี่ปราณก็พอ


คามินไปถึงโรงเรียนอนุบาลในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา เขาวิ่งกระหืดหระหอบไปยังห้องพักครูอย่างร้อนใจ และเมื่อไปถึงก็ได้เห็นปุณณกันต์และปัณณธรนั่งอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ส่วนที่โต๊ะครูประจำชั้น มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่กับผู้ปกครองที่น่าจะเป็นแม่ ซึ่งกำลังนั่งโวยวายใส่ครูประจำชั้นไม่หยุด

“คุณครูครับ เกิดอะไรขึ้นครับ?” ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียดขึ้นมาทันตา เมื่อเหลือบเห็นว่าที่หัวเข่าของปัณณธรมีผ้าพันแผลปิดอยู่ บนใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าแฝดคนเล็กเต็มไปด้วยคราบน้ำตา โดยมีปุณณกันต์นั่งจับมือน้องชายไว้ไม่ห่าง แต่ต่างกันที่ตรงเจ้าแฝดคนพี่มองตรงไปที่โต๊ะครูประจำชั้นด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว ไม่มีความหวาดกลัวอยู่ในแววตากลมนั้นเลย

“คุณคามิน” ครูประจำชั้นหันมาทางคามินอย่างโล่งใจ โดยมีสายตาของผู้ปกครองของเด็กอีกคนมองตามมาอย่างไม่พอใจ

“ฮึก.. พี่คราม” คามินหันไปทางเสียงสั่นเครือเล็กๆ ที่ร้องเรียกเขา เลยทันเห็นว่าปัณณธรพยายามจะลงจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาตน คามินเห็นแบบนั้นเลยถลาเข้าไปหาเด็กทั้งสองก่อนจะอุ้มปัณณธรขึ้นมากอดปลอบไว้ในอ้อมแขน

“ฮืออ พี่คราม ปัณณ์เจ็บ.. ฮึก” ดูเหมือนว่าพอเห็นคามินปัณณธรก็เริ่มร้องไห้งอแงอีกครั้ง คามินเลยต้องกอดไปปลอบไปให้เจ้าหนูหยุดร้องไห้ ยอมรับตามตรงว่าเขารู้สึกไม่พอใจเลยที่เห็นปัณณธรเป็นแบบนี้ และร้องไห้หนักขนาดนี้ และยิ่งคามินไม่รู้เรื่องทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นเขายิ่งร้อนใจ

คามินหันไปข้างตัวก็เห็นปุณณกันต์ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ข้างๆ เขาจึงตัดสินใจจะเอ่ยถาม แต่เสียงของผู้ปกครองของเด็กอีกคนดังแหวกอากาศขึ้นมาก่อน

“นี่คุณ!” เสียงแหลมๆ ของคนแม่ดังขึ้น “คุณเป็นพี่ชายของไอ้เด็กเกเรนี่ใช่ไหม” ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองชี้ไปที่ปุณณกันต์อย่างเอาเรื่อง “มันผลักลูกชายฉัน คุณต้องรับผิดชอบ!”

คามินที่พอได้ยินแบบนั้นก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นกับคุณครูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ “ผมอยากทราบเรื่องทั้งหมด” ก่อนจะหันไปย้ำเสียงแข็ง เสียงที่แม้แต่เมธัสได้ยินก็ยังต้องเกรงใจใส่ผู้หญิงคนนั้น “และคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกน้องชายของผมว่า ‘ไอ้’ ด้วย ผมไม่ชอบ”

ผู้หญิงคนนั้นนิ่งไปเมื่อได้ยินคามินพูดจบ และค่อยๆ ถอยหลังมานั่งที้เก้าอี้ตามเดิมอย่างเกรงๆ

“เอ่อ.. เชิญนั่งก่อนนะคะคุณคามิน” ครูประจำชั้นเชื้อเชิญ ก่อนที่คามินจะอุ้มปัณณธรและจูงปุณณกันต์เดินไปที่โต๊ะ และนั่งลงข้างผู้ปกครองอีกคน

“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นครับ” คามินถามขึ้นอย่างสงบ ถามด้วยท่าทีนักธุรกิจที่ติดตัวเขามาตั้งแต่จำความได้

“คืออย่างนี้ค่ะ ปัณณธรเล่นอยู่กับธีภพอยู่ที่สนาม แล้วยังไงกันก็ไม่ทราบ มีเด็กวิ่งมาหาครูบอกว่าปุณณกันต์ผลักธีภพ พอครูไปถึงก็เห็นธีภพนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนปุณณกันต์ก็นั่งกอดปัณณธรอยู่อีกทาง แล้วก็เอ่อ.. ที่หัวเข่าปัณณธรมีเลือดออก ครูเลยพาไปทำแผล แกร้องไห้งอแงถามอะไรไม่รู้เรื่องเลย แล้วพอครูมาถามปุณณกันต์แกก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดจนถึงตอนนี้นี่แหละค่ะ ครูเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นเหมือนกัน”

คามินหันไปมองปุณณกันต์ที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ข้างเขา คามินมั่นใจมากว่าเด็กที่ชื่อธีภพต้องแกล้งอะไรปัณณธรแน่ๆ ไม่งั้นปุณณกันต์คงไม่ลุกขึ้นมาผลักเด็กนั่นแบบนี้หรอก

“ปุณณ์ครับ บอกพี่ครามได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูถึงไปผลักเพื่อนแบบนั้นครับ” คามินถามอ่อนโยน ปุณณกันต์เหลือบมองหน้าคามิน ก่อนที่คามินจะมองเลยไปที่ปัณณธรที่ตอนนี้กำลังสะอื้นเบาๆ เพราะเพิ่งหยุดร้องไห้

“ธี...” ปุณณกันต์พูดขึ้นในที่สุด “เขาผลักปัณณ์ก่อน ปุณณ์เห็นปัณณ์จะเดินหนีธี เพราะธีพูดจาไม่ดี ปัณณ์เลยไม่อยากเล่นด้วย แต่ธีไม่ยอมให้ปัณณ์ไป เลยแกล้งผลักปัณณ์ล้ม” ปุณณกันต์เล่านิ่งๆ

“ปุณณ์เห็นปัณณ์ล้มเลยวิ่งไปหา แล้วปุณณ์ก็เห็นปัณณ์หัวเข่าเลือดออก เลยบอกให้ธีขอโทษปัณณ์ เพราะธีทำปัณณ์เป็นแผล แต่ธีไม่ยอมขอโทษแล้วธียังเรียกเราสองคนว่า...”

ปุณณกันต์เงียบไป ก่อนที่คามินจะสังเกตเห็นว่าในดวงตากลมโตของเจ้าแฝดคนพี่ มีน้ำตาคลออยู่

“ธีเรียกพวกหนูสองคนว่าอะไรครับ”

“ธีเรียกว่า ไอ้เด็กกำพร้า ไอ้เด็กไม่มีพ่อมีแม่ครับ ธีบอกว่าไม่ขอโทษเด็กกำพร้าหรอก ปุณณ์ไม่ชอบที่ธีพูด ไม่ชอบที่ธีรังแกปัณณ์ ปุณณ์เลยผลักธีคืนบ้าง ให้รู้ว่าเวลาผลักคนอื่นล้มมันเจ็บยังไง”

น้ำใสเม็ดเล็กๆ ไหลออกมาจากดวงตากลมโตของปุณณกันต์เงียบๆ เจ้าหนูไม่ได้สะอึกสะอื้น เพียงแต่น้ำตาไหลออกมาเฉยๆ แล้วพอปัณณธรเห็นปุณณกันต์ร้องไห้ เจ้าแฝดคนน้องก็ร้องไห้ตามอีก

ตอนนี้คามินโกรธมาก เขาหันไปมองเด็กที่ชื่อธีภพกับแม่ของเด็กด้วยสายตาแข็งกร้าว

“นี่ใช่เรื่องจริงรึป่าวครับ ลูกชายของคุณเรียกน้องชายผมแบบนั้นจริงๆ รึป่าว?” เสียงทุ้มถามอย่างไม่พอใจ

“มะ.. ไม่จริงหรอก ลูกฉันไม่ใช่เด็กเกเร น้องคุณน่ะโกหก”

แม่ของธีภพยังคงเข้าข้างลูกชายตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้จะมั่นใจเท่าไหร่ ว่าลูกชายเธอไม่ได้แกล้งปัณณธรก่อน

คุณครูประจำชั้นเห็นท่าไม่ดี เลยตัดสินใจถามธีภพขึ้น

“ธีภพครับ ที่ปุณณกันต์พูดจริงหรือเปล่าครับ ถ้าธีภพไม่บอกครู ครูจะไปถามเพื่อนคนอื่นนะ ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง”

ธีภพก้มหน้ามองพื้นนิ่ง ก่อนจะค่อยพยักหน้ารับช้าๆ แล้วรับสารภาพ

“ธีผลักปัณณ์ แล้วก็เรียกสองคนนั้นว่าเด็กกำพร้าจริงๆ ครับ” แม่ของธีภพหน้าซีดเหลือสองนิ้ว และด้วยความเสียหน้า เธอจึงฟาดมือไปที่แขนของธีภพไม่หยุด ก่อนจะตวาดลูกชายตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด

“ใครสอนให้แกเป็นแบบนี้ ห๊ะ? ใครสอนให้แกเรียกคนอื่นแบบนั้น” แม่ของธีภพยังตีลูกตัวเองไม่หยุด

“ก็ม๊านั่นแหละ!” ธีภพตะโกนขึ้น “ม๊าชอบบอกธีว่าพวกเด็กไม่มีพ่อมีแม่คือเด็กกำพร้า ถ้าธีไม่ทำตามที่ม๊าบอก ม๊าจะปล่อยให้ธีเป็นเด็กกำพร้า ฮือออ”

ธีภพโวยวายลั่นทั้งน้ำตา นั่นทำให้แม่ของธีภพหน้าซีดลงกว่าเดิม แต่เธอก็ยังคงวางท่า และไม่ได้มีความสำนึกว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะเธอสอนลูกไม่ดี หนำซ้ำยังพูดในสิ่งที่ไม่สมควรใส่คามินอีก

“คุณจะเรียกค่าเสียหาย ค่าทำแผลเท่าไหร่ก็ว่ามา เดี๋ยวฉันจ่ายให้”

คามินโมโหมาก หลังจากได้ยินคำพูดดูถูกจากปากอีกฝ่าย

“ผมไม่ต้องการเงินของคุณ แต่ที่ผมต้องการคือ คุณต้องให้ลูกชายของคุณขอโทษฝาแฝดของผม ไม่งั้นผมจะเอาเรื่องและไม่หยุดแค่นี้แน่”

คามินขู่เสียงเย็น และผู้หญิงคนนั้นก็รู้ดีว่าคามินพูดจริง เธอจึงกระชากลูกชายขึ้นมายืนข้างหน้าคามินและฝาแฝดอย่างเสียไม่ได้

“ขอโทษเขาซะ จะได้จบๆ ไป”

“ขอโทษครับคุณอา ขอโทษนะปุณณ์ปัณณ์” เจ้าหนูน้อยขอโทษด้วยท่าทีสำนึกผิด ต่างจากคนแม่ลิบลับ

“จบเรื่องแล้วใช่ไหมคะ” แม่ของธีภพลุกขึ้นยืน ก่อนจะกระชากแขนลูกชายตัวเองมายืนข้างๆ “งั้นฉันกลับล่ะค่ะ ขอตัว”

พอพูดจบแม่ของธีภพก็จูงลูกชายแล้วเดินออกไปเลย โดยไม่ได้เหลียวหันมามองแต่น้อย

ครูประจำชั้นเห็นแบบนั้นเลยรีบหันมาขอโทษคามินด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก

“ครูขอโทษแทนธีภพด้วยนะคะคุณคามิน แกยังเด็ก คงไม่ได้ตั้งใจ”

คามินส่ายศรีษะ ก่อนจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “ไม่เป็นไรเลยครับคุณครู เรื่องเล็กน้อย เด็กๆ ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็คืนดีกัน แต่ยังไงก็ฝากดูปัณณ์หน่อยนะครับ แกคงจะเจ็บน่าดู”

คามินพูดพร้อมกับกระชับอ้อมกอดที่กอดปัณณธรไว้ให้แน่นขึ้น โดยไม่ลืมที่จะยื่นมือไปลูบศรีษะกลมๆ ของปุณณกันต์อย่างปลอบใจ

.

.

.

ตอนนี้คามินนั่งอยู่กับปุณณกันต์และปัณณธรที่สนามเด็กเล่น ปัณณธรน้อยเกาะคามินไม่ยอมห่าง ส่วนปุณณกันต์นั้นแตกต่าง เจ้าหนูคนพี่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคามินด้วยซ้ำ

คามินเองก็สังเกตความผิดปกตินี้อยู่เงียบๆ ก่อนจะเรียกปุณณกันต์มายืนใกล้ๆ

“ปุณณ์ครับ มาหาพี่ครามตรงนี้มา” คามินนั่งลงที่เก้าอี้ม้าหินตัวหนึ่ง โดยมีปัณณธรนั่งอยู่บนตักคามิน ปุณณกันต์จึงค่อยๆ มาหยุดยืนตรงหน้าคามินช้าๆ

“ไม่เป็นไรนะครับคนเก่ง พี่ครามเข้าใจว่าทำไมปุณณ์ทำแบบนั้น” คามินรู้ดีว่าปุณณกันต์กำลังรู้สึกผิด เขาเองก็ไม่อยากจะซ้ำเติมอะไรเด็ก เลยเลือกที่จะปลอบโยนมากกว่าดุด่า

ปุณณกันต์เหลือบมองหน้าคามิน ก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดพี่ครามแน่น ปัณณธรเองก็กอดปุณณกันต์ไว้เช่นกัน ก่อนจะพูดเสียงใสอย่างน่ารักให้พี่ชายฝาแฝดของตัวเอง

“ขอบคุณมากนะพี่ปุณณ์ ขอบคุณที่ดูแลปัณณ์เป็นอย่างดี”

เจ้าหนูทั้งสองยิ้มให้กันอย่างสดใส จนคามินที่เห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้

“ไปครับ ฝาแฝดต้องเข้าเรียนแล้ว” คามินอุ้มปัณณธรขึ้น ก่อนจะจูงปุณณกันต์ไว้อีกมือ จากนั้นก็พาเด็กทั้งสองไปส่งที่ห้องเรียน

“ปัณณ์ครับ ถ้าเจ็บแผลต้องบอกคุณครูประจำชั้นนะ” พอถึงห้องเรียน คามินก็บอกลาเด็กทั้งสอง “ส่วนปุณณ์ครับ ดูแลน้องนะ”

“ครับ/ครับ” เด็กสองคนรับปากแข็งขัน คามินจึงเตรียมกลับออกมา

“งั้นพี่ครามไปนะครับ แล้วเย็นนี้พี่ครามจะมารับ” คามินเดินจากออกมาหลังจากมองเด็กทั้งสองเดินเข้าห้องเรียนไปเรียบร้อยแล้ว

.

.

.

“เด็กกำพร้าหรอครับ”

ตอนนี้คามินอยู่บนรถกำลังจะขับกลับออฟฟิศ เขาเลยใช้เวลาช่วงนี้โทรหาปราณันต์เพื่อเล่าเรื่องฝาแฝดให้ฟัง เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยไว้นานแล้วปราณันต์จะยิ่งเป็นห่วง

และหลังจากที่เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ปุณณกันต์ผลักเพื่อนให้คนปลายสายฟัง ก็ดูเหมือนว่าปราณันต์จะตกใจไม่น้อย

“ใช่ครับ เด็กคนนั้นเรียกฝาแฝดแบบนั้น ผมเลยเข้าใจได้ว่าทำไมปุณณกันต์ถึงโมโห”

คามินได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ มาตามสาย เสียงทุ้มเลยตัดสินใจเอ่ยอยากปลอบโยน

“ผมรู้นะว่าคุณปราณกำลังโทษตัวเอง” คามินพูดดักคอ “ไม่เอาแบบนี้สิครับคนดี เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณปราณสักหน่อย”

“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะครับ” ปราณันต์เถียง “ผมน่าจะพูดให้น้องเข้าใจมากกว่านี้ พวกแกจะได้ไม่หงุดหงิดเวลาโดนเพื่อนล้อ”

“โถ่ คุณปราณ ฝาแฝดยังเด็กนะครับ ไม่แปลกหรอกที่จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้” คามินปลอบ “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”

“ขอบคุณคุณมากนะครับคุณคราม ถ้าวันนี้ไม่ได้คุณ ผมคงแย่” เสียงหวานเลือกที่จะตัดบท และพูดขอบคุณให้เขาอย่างน่ารัก

... อ่า และดูเหมือนว่าเสียงใสๆ นั่นจะกระตุ้นเขาได้ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะตอนนี้ภาพปราณันต์เมื่อคืน กำลังแล่นเข้ามาในจินตนาการของเขาเป็นฉากๆ

“ว่าแต่วันนี้คุณปราณเลิกกี่โมงครับ” คามินรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่สติเขาจะเตลิดไปมากกว่านี้

“เลิกห้าโมงครับ เพราะวันนี้ช่วงบ่ายไม่มีใครอยู่ ผมเลยต้องอยู่คนเดียว ถึงได้ไปโรงเรียนอนุบาลไม่ได้” ปราณันต์อธิบาย

“อ่า... จริงด้วย”

“ช่วงเย็นวันนี้หัวหน้าเลยให้กลับเร็ว” ปราณันต์พูดต่อ ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ “แต่ก็ดีครับ ผมอยากเจอฝาแฝดจะแย่แล้ว”

“โอเคครับ งั้นเย็นนี้ผมไปรับเหมือนเดิมนะ” คามินนัดแนะ

“ครับ เจอกันเย็นนี้นะครับ” ปราณันต์เตรียมจะวางสาย

“ผมคิดถึงคุณปราณนะ” คามินหยอดคำหวาน ก่อนจะได้ยินฝั่งตรงข้ามตอบกลับมาให้ได้ชื่นใจ

“ครับ ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน” เสียงหวานเองก็ตอบกลับมาอายๆ

ปราณันต์วางสายไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคามินจะยังหยุดยิ้มไม่ได้เลย

.

.

.

ตกเย็นหลังจากที่รับฝาแฝดทั้งคู่กลับจากโรงเรียน ทั้งสี่ก็ตรงกลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ ปุณณกันต์กับปัณณธรนั่งเงียบมาตลอดทาง แม้แต่ปราณันต์เองก็ด้วย คามินเองก็เลยพลอยเงียบไปด้วย วันนี้บรรยากาศในรถเลยไม่ครึกครื้นเหมือนที่ผ่านมา

พอมาถึงห้องหลังจากเก็บของเรียบร้อย ปราณันต์ก็ตัดสินใจพูดขึ้น โดยที่มีคามินก็นั่งสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ ทำอะไรเรียบร้อยแล้วมาหาพี่ปราณด้วยนะ”

เจ้าหนูทั้งสองเดินคอตกมาหาพี่ชายตัวเองช้าๆ คามินเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่นี่เป็นเรื่องของครอบครัวปราณันต์ เขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง ถ้าปราณันต์จะสอนน้อง

“ปุณณ์ครับ วันนี้รู้ใช่ไหมว่าตัวเองทำผิด” ปราณันต์ถามเสียงเครียด ก่อนที่ปุณณกันต์จะพยักหน้ารับช้าๆ

“รู้ครับ ปุณณ์ไม่ควรทำร้ายเพื่อน” ปุณณกันต์ยอมรับผิดโดยไม่โต้แย้งใดๆ นั่นทำให้ปราณันต์พอใจมาก

“พี่ปราณครับ” และก่อนที่ปราณันต์จะได้พูดต่อ ปัณณธรก็พูดขึ้นมาก่อน “ปัณณ์ผิดเองครับ ถ้าปัณณ์ไม่ล้ม พี่ปุณณ์ก็คงไม่โกรธ แล้วก็คงไม่ผลักธีแบบนั้น”

ปราณันต์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ฝาแฝดคู่นี้รักกันมากเหลือเกิน ที่จริงเขาก็ไม่ได้จะทำโทษอะไร เพียงแต่ต้องพูดให้น้องเข้าใจว่าจะทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะความไม่พอใจไม่ได้

“ปุณณกันต์ ปัณณธรครับ ฟังพี่ปราณนะ” ปราณันต์จับมือฝาแฝดทั้งคู่ไว้ ก่อนจะอธิบายช้าๆ

“ก่อนอื่น วันนี้พี่ปราณต้องขอบคุณปุณณ์มาก ที่ดูแลปัณณ์อย่างดี ขอบคุณที่ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกน้อง พี่ปราณภูมิใจในตัวปุณณ์เสมอปุณณ์รู้ใช่ไหม”

“ครับ ปุณณ์รู้ครับ” ปุณณกันต์ตอบรับ

“แต่ที่พี่ปราณจะบอกฝาแฝดคือ เราจะทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะเราไม่พอใจเขาไม่ได้ เข้าใจไหมครับ ตอนที่ธีภพผลักปัณณ์ล้ม ปุณณ์ไม่ชอบถูกไหมครับ”

“ถูกครับ ปุณณ์ไม่ชอบให้ปัณณ์เจ็บ ปุณณ์ไม่ชอบคนเกเร” ปุณณกันต์ตอบซื่อๆ ให้พี่ชายฟัง

“เพราะฉะนั้นถ้าปุณณ์ไปผลักธีภพคืน ก็เท่ากับปุณณ์กำลังทำแบบเดียวกับที่ธีภพทำ แล้วแบบนี้ปุณณ์จะต่างจากธีภพยังไงล่ะครับ ถ้าเราไม่ชอบ เราก็ต้องไม่ทำแบบเค้า เราจะได้ไม่เป็นเหมือนเค้า ปุณณ์เข้าใจที่พี่ปราณพูดใช่ไหม”

ปุณณกันต์จ้องหน้าปราณันต์นิ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ ปราณันต์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าน้องชายเข้าใจอะไรไม่ยาก

“แต่ธีภพเรียกเราว่า เด็กกำพร้า เด็กไม่มีพ่อมีแม่” ปัณณธรพูดหงอยๆ ทำเอาหัวใจคนเป็นพี่กระตุกทันทีที่ได้ยิน

“คราวหน้าถ้าธีภพหรือเพื่อนคนอื่นพูดแบบนี้กับฝาแฝดอีก หรือแม้แต่รังแกแกล้งผลักอะไรก็แล้วแต่ ปุณณ์กับปัณณ์ต้องไปบอกคุณครูนะครับ อย่าไปทำร้ายเพื่อนกลับเด็ดขาด อย่างที่พี่ปราณบอก อะไรที่เราไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเรา เราก็อย่าไปทำตอบ โอเคไหมครับเด็กๆ”

ปราณันต์สอนอย่างใจเย็น คามินเองพอได้ยินก็อดอมยิ้มไม่ได้ เขายอมรับเลยว่าเรื่องสอนน้องนี่ปราณันต์ทำได้ดีมากจริงๆ ถ้าเป็นเขาเองเขาไม่สนใจหรอก รังแกมาก็ต้องรังแกกลับ จะได้หายกัน แต่ปราณันต์กลับไม่เป็นแบบนั้น คนตัวเล็กนั่นสอนน้องๆ ได้ดีเสมอ

“โอเคครับพี่ปราณ ปุณณ์กับปัณณ์เข้าใจแล้ว” ฝาแฝดคนพี่ตอบรับด้วยความเข้าใจ ส่วนเจ้าแฝดคนน้องเองก็พยักหน้าหงึกหงักเพื่อสนับสนุนคำพูดของแฝดคนพี่เป็นอย่างดี

ปราณันต์ยื่นมือไปลูบศีรษะกลมๆ ของเจ้าหนูทั้งสองอย่างเอ็นดู รอยยิ้มบางๆ ปรากฎอยู่ที่ริมปากอิ่ม

“เก่งมากครับเด็กๆ พี่ปราณภูมิใจในตัวพวกหนูมากเลยนะ” ก่อนที่ปราณันต์จะจับเด็กๆ กลับหลังหัน แล้วไล่ไปเข้าห้องน้ำ “อ่ะ! แต่ตอนนี้ปุณณ์กับปัณณ์ต้องไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะได้มาทานข้าวกันเนาะ”

“ครับพี่ปราณ” เจ้าตัวน้อยทั้งสองรับคำ ก่อนจะวิ่งตื๋อเข้าห้องน้ำไป

พอเห็นเด็กทั้งสองวิ่งเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อย ปราณันต์ก็เดินเหนื่อยๆ ไปหาคามินที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง

และเมื่อเดินไปถึงตัวคนรัก คนตัวเล็กก็เข้าไปซบที่ไหล่คามินเบาๆ หน้าผากมนถูกวางพักอยู่บนไหล่กว้างอย่างต้องการจะหาที่พึ่ง

คามินอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวาดมือโอบเอวบางแล้วรั้งเข้ามาหาตัว

“ผมทำถูกแล้วใช่ไหม?” ปราณันต์ถามอย่างสับสน มีความลังเลและวิตกกังวลจนคามินสัมผัสได้

“เก่งมากครับที่รัก คุณปราณทำดีแล้วนะ สอนน้องแบบนั้นน่ะถูกต้องแล้ว ผมภูมิใจในตัวคุณปราณมากเลย”

คามินกระซิบเสียงเบาให้กำลังใจ พลางลูบศีรษะกลมเบาๆ อย่างปลอบโยน

“คืนนี้คุณค้างที่นี่ได้ไหมครับ” ปราณันต์กลั้นใจข่มความอายชวนคามิน แต่คืนนี้เขาอยากมีคนอยู่ด้วยจริงๆ

“ได้สิครับ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปราณเอง” คามินกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เพื่อเป็นการรับปากให้ปราณันต์มั่นใจ

“ขอบคุณคุณมากนะครับ ขอบคุณจริงๆ”

.

.

.

พอถึงเวลาพาเด็กๆ เข้านอน ปราณันต์นอนอ่านนิทานให้ฝาแฝดฟังอยู่บนเตียงเดียวกับเด็กๆ และหลังจากอ่านจบ ปัณณธรที่นอนอยู่ตรงกลางก็ถามขึ้น

“พี่ปราณ คุณพ่อกับคุณแม่ของพวกเราอยู่บนสวรรค์หรอครับ”

ปราณันต์ชะงักมือที่กำลังจะวางหนังสือนิทานไว้บนหัวเตียง เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเจอคำถามนี้จากเด็กๆ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ปุณณกันต์กับปัณณธรไม่เคยถามเรื่องพ่อกับแม่เลย อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนเขาเองก็ไม่ได้มีเวลาให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองมากขนาดนี้ แต่พอมาถึงวันนี้เด็กๆ อาจจะเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว แล้วยิ่งถูกเพื่อนล้อมาแบบนี้ คงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกมา

ปราณันต์สูดลมหายใจเล็กๆ เข้าปอด ก่อนจะตอบคำถามน้องๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ใช่ครับ คุณพ่อกับคุณแม่ของพวกเราไปพักผ่อนอยู่บนสรวรรค์แล้ว” คนตัวเล็กตอบคำถามน้องพลางลูบศีรษะกลมๆ ทั้งสองด้วยความสงสาร

“แล้วทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ถึงไม่อยู่กับพวกเราล่ะครับพี่ปราณ ปัณณ์คิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่ ปัณณ์ไม่อยากเป็นเด็กกำพร้า”

ปราณันต์มองน้องทั้งสองที่จ้องมายังตัวเองด้วยดวงตากลมใสไร้เดียงสา ปุณณกันต์และปัณณธรยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าความตายเป็นยังไง เขาเองก็จนใจจะอธิบาย ได้แต่ค่อยๆ พูดเลี่ยงไป

“คุณพ่อกับคุณแม่อยู่กับพวกเราไม่ได้ครับ บนสวรรค์มันไกลมากเลย พอไปแล้วก็กลับมาลำบาก” ปราณันต์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะพูดต่อ

“คุณพ่อกับคุณแม่ก็เลยสั่งไว้ว่าให้พี่ปราณดูแลกับปุณณ์ปัณณ์ให้ดีๆ ถ้าไม่มีคุณพ่อกับคุณแม่ มีแค่พี่ปราณได้ไหมครับ”

ปุณณกันต์มองหน้าปราณันต์ก่อนที่จะยื่นมือเล็กๆ ไปลูบแก้มคนเป็นพี่เบาๆ

“พี่ปราณเป็นเหมือนคุณพ่อกับคุณแม่ของเราสองคน พี่ปราณดูแลเราสองคนดีมากๆ เลย” ปราณันต์ยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของน้องชาย

“ใช่ๆ ที่จริงถึงไม่มีคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีพี่ปราณคนเดียวก็พอแล้ว” ปัณณธรพูดก่อนจะยื่นมือไปโอบรอบคอพี่ชายคนโตไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ก้มซุกไซ้อยู่ที่อกปราณันต์ไม่ห่าง

“ปัณณ์ทนคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่ได้ แต่ปัณณ์ทนคิดถึงพี่ปราณกับพี่ปุณณ์ไม่ได้หรอก”

เจ้าตัวน้อยพูดอ้อนเสียงใส เรียกเอารอยยิ้มเอ็นดูจากปราณันต์ได้ไม่ขาด

“ใช่ๆ เราสามคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไปเลย” ปุณณกันต์พูดสำทับ ก่อนที่เจ้าตัวน้อยทั้งคู่จะหัวเราะคิกคัก แล้วพูดประโยคต่อมา

“มีพี่ครามอีกคนด้วย ว่าแต่พี่ครามอยู่กับพวกเราได้ใช่ไหมครับพี่ปราณ” ปราณันต์หัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

“ปุณณ์กับปัณณ์ชอบพี่ครามมากเลยหรอครับ” พี่ชายคนโตตัดสินใจลองหยั่งเชิงถาม

“ชอบครับ เราสองคนชอบพี่ครามมากเลย พี่ครามใจดี แล้วพี่ครามก็ดูแลพวกเราดีมากๆ ด้วย” ปัณณธรรีบตอบเสียงดัง

“ใช่ครับ ปุณณ์อยากให้พี่ครามอยู่กับพวกเราไปนานๆ เลย” ปุณณกันต์เองก็ด้วยหน้าตาสดชื่นทันทีพอพูดถึงคามิน หลงพี่ครามกันทั้งบ้านรวมถึงตัวปราณันต์ด้วยนั่นแหละ

“งั้นต่อไปนี้เราจะมีกันสี่คนเนาะ เพราะพี่ปราณเองก็ชอบพี่ครามมากเหมือนๆ กัน” ประโยคหลังปราณันต์กระซิบให้น้องๆ ฟัง ก่อนจะกำชับกับเด็กๆ ว่า “แต่เป็นความลับของเราสามคนนะ ห้ามบอกพี่ครามเด็ดขาด”

“คิก คิก คิก” เด็กๆ หัวเราะคิกคัก ก่อนจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ

"โอเคเลยครับพี่ปราณ”

พี่น้องทั้งสามคนหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ปราณันต์จะนึกขึ้นได้

"โอ๊ะ! ดึกแล้วเด็กๆ นอนได้แล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปโรงเรียนสายนะ”

ปราณันต์จัดการห่มผ้าให้ฝาแฝดให้เรียบร้อย ก่อนที่เด็กๆ จะหลับตาลงเตรียมนอน ปราณันต์ยื่นมือไปลูบหลังเบาๆ ให้เจ้าหนูทั้งสอง จนเวลาผ่านไปไม่นาน ก็ดูเหมือนว่าฝาแฝดจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

ปราณันต์นั่งมองภาพเด็กทั้งสองที่กำลังหลับด้วยสายตาหลากอารมณ์ ทั้งรัก ทั้งเป็นห่วง ทั้งสงสาร พวกแกคงคิดถึงพ่อกับแม่มาก ไม่งั้นคงไม่ถามออกมาแบบนี้ น้องๆ ของเขาช่างโชคร้ายที่พอเกิดมา ก็ได้ใช้เวลาอยู่กับท่านทั้งสองไม่นาน นั่นยิ่งทำให้ปราณันต์สัญญากับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลฝาแฝดของเขาเป็นอย่างดี จะไม่ให้น้องๆ ของเขาต้องขาดเหลือหรือลำบากอะไรอีกต่อไป

ปราณันต์เอื้อมไปปิดโคมไฟที่หัวเตียงของเด็กๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปช้าๆ เพื่อกลับห้องตัวเอง

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/02/64 [18th Lies: แค่มีพี่ปราณก็พอ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 13-02-2021 20:34:35
(อ่านต่อจากด้านบน)


ปราณันต์เดินกลับมาที่ห้องก็เจอคามินนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงของเขา เตียงที่เล็กอยู่แล้ว กลับยิ่งดูเล็กกว่าเดิมลงไปอีก เมื่อเจอยักษ์ตัวใหญ่อย่างคามินนอนกินพื้นที่อยู่

“ฝาแฝดหลับแล้วหรอครับ” คามินร้องทักเมื่อเห็นปราณันต์เดินเข้ามาในห้อง

คนตัวเล็กทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่คามินจะเขยิบเข้ามาใกล้ๆ แล้วถือโอกาสใช้ตักปราณันต์หนุนต่างหมอน

“หลับแล้วครับ... เฮ้อ”

พอเห็นปราณันต์ถอนหายใจ คามินเลยตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง แล้วดึงเอาตัวปราณันต์มาพิงไว้กับอกตัวเองแทน

“ไม่เอาไม่คิดมากนะครับ” มือใหญ่ลูบลงที่ศีรษะกลมเบาๆ อย่างต้องการจะปลอบใจ

“พวกแกถามผมครับว่าพ่อกับแม่อยู่ไหน ทำไมมาอยู่ด้วยไม่ได้ ทำไมพวกแกถึงถูกเรียกว่าเด็กกำพร้า” ใบหน้าหวานซึ้งซึมลงอย่างเห็นได้ชัด "ผมสงสารพวกแกครับ”

คามินเห็นนัยน์ตากลมมีน้ำตาคลอก็อดสงสารไม่ได้ ถ้าว่ากันแล้วแล้วปราณันต์อายุน้อยมากกับการที่ต้องดูแลเด็ก ต้องทำงาน ต้องทำทุกอย่างเหมือนหัวหน้าครอบครัวขนาดนี้ มันหนักหนาไม่น้อยสำหรับผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง

“แต่ฝาแฝดก็มีคุณปราณนี่ครับ” คามินยิ้มปลอบ ตอนที่เห็นปราณันต์แหงนหน้ามามองตัวเอง “เด็กๆ อาจจะร้องหาคุณพ่อกับคุณแม่บ้างตามประสา แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อนะ ว่าถ้าแค่มีคุณปราณปุณณ์กับปัณณ์ก็ไม่ได้ต้องการใครหรอกครับ”

ปราณันต์ยิ้มให้คามิน ถึงแม้จะเป็นยิ้มเศร้าๆ แต่ก็สวยงามเหลือเกินในความรู้สึกเขา

“ขอบคุณมากนะครับสำหรับคำปลอบใจ แล้วก็ขอบคุณนะครับที่ยอมอยู่เป็นเพื่อนผมคืนนี้”

ปราณันต์ยกแขนขึ้นโอบรอคอคามิน ก่อนจะค่อยๆ รั้งใบหน้าคมคายเข้ามาใกล้ โดยที่ใบหน้านวลของเขาเองก็กำลังแหงนรอรับจุมพิตจากริมฝีปากหยักของคนด้านบนอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ปราณันต์เริ่มก่อน วันนี้เขาต้องการแค่สัมผัสปลอบโยนจากผู้ชายคนนี้เท่านั้น

คามินอมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะลดใบหน้าลง และค่อยๆ ประทับริมฝีปากลงบนปากอิ่ม ก่อนจะบดคลึง ดูดดึง ขบเม้มริมฝีปากสีสดเบาๆ ราวกับต้องการเติมเต็มและให้กำลังใจ

ลิ้นร้อนค่อยๆ แทรกผ่านเข้าไปในโพรงปากของคนด้านล่างและเกี่ยวกระหวัดเข้าหาลิ้นเล็กๆ ของปราณันต์ เสียงหวานครางรับอยู่ในลำคออย่างพอใจ ทุกสัมผัสที่ได้รับทำให้คนตัวเล็กรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก ขอแค่ถ้ามีคามิน มีผู้ชายคนนี้โอบกอดเขาไว้ ปราณันต์ก็คงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีก


... แต่นั่นกลับไม่ใช่ทั้งหมดที่ปราณันต์รู้ ความลับบางอย่างที่คามินเก็บงำไว้ ความลับที่อาจจะทำร้ายปราณันต์ให้แทบตายทั้งเป็น

.

.

.

เช้านี้ปราณันต์ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของคามิน เมื่อคืนเขาผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาแอบร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ คามินต้องทั้งกอดทั้งปลอบยกใหญ่ จนเขาเพลียแล้วหลับไป

ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาดที่ได้ตื่นมาในอ้อมกอดของคนที่เขารัก แขนเรียวรัดลงไปเบาๆ ที่เอวสอบ เขาชอบอยู่ในวงแขนนี้ อ้อมกอดของคามินให้ความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“จะลักหลับผมหรอครับ” เสียงทุ้มเอ่ยแซวเบาๆ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม

“เปล่าสักหน่อย ผมแค่อยากกอดคุณเฉยๆ” เสียงหวานเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด “หรือถ้าไม่ให้กอดผมจะได้ปล่อย”

ปราณันต์ทำท่าจะผละออก เล่นเอาคามินหัวเราะไม่หยุด

“ฮ่ะๆ เด็กขี้งอน” คามินก้มลงไปกดจมูกลงขมับคนตัวเล็กกว่าอย่างหมั่นเขี้ยว “ผมหยอกเล่นเฉยๆ หรอก ใครจะไม่อยากให้คุณปราณกอดบ้างล่ะครับ” คนตัวโตกอดรัดร่างในอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม

ต่างฝ่ายต่างหยอกเล่นกันอยู่บนที่นอน หอมกันไป จูบกันมา กอดรัดฟัดเหวี่ยง จนปราณันต์เห็นว่าได้เวลาที่จะต้องปลุกฝาแฝดแล้ว เลยขอให้คามินปล่อย

“สายแล้วครับ เดี๋ยวผมต้องไปปลุกเด็กๆ แล้ว” เสียงหวานกระซิบบอก เพราะถ้าเล่นกันต่ออีกนิด ปราณันต์คิดว่าเดี๋ยวต้องเลยเถิดแน่ๆ เพราะตอนนี้คามินกำลังคร่อมทับร่างเขาไว้แล้ว

“เฮ้อ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย” คามินแกล้งบ่นเสียงดัง ตอนปล่อยปราณันต์เป็นอิสระ ตากลมหันมามองค้อนคนตัวโตที่เอกเขนกบนที่นอนยกใหญ่ ก่อนจะหันเดินออกไปจากห้องเพื่อไปปลุกฝาแฝด ปราณันต์หันมาหาคามินอีกรอบ ทำเอาคนบนเตียงแปลกใจไม่น้อย

“ผมดีใจนะครับที่ได้ตื่นมาเจอคุณคนแรก คุณทำให้ผม... อยากจะตื่นมาเจอคุณทุกวัน” คนตัวเล็กพูดอายๆ ก่อนจะรีบก้มหน้างุดเดินออกจากห้องไป เพราะอายจนแทบไปไม่เป็น

คามินมองตามปราณันต์ไปด้วยสายตาหลงใหล หัวใจเขาอุ่นวาบตอนที่ได้ยินประโยคที่แสนไร้เดียงสาของปราณันต์ คามินพยายามผลักโลกแห่งความเป็นจริงออกไปจากสมอง ตอนนี้ เวลานี้เขาแค่อยากยิ้ม อยากใช้ช่วงเวลาแบบดีๆ นี้ไปด้วยกันกับปราณันต์ แค่นั้นที่เขาต้องการ

.

.

.

ในขณะคามินกับปราณันต์กำลังมีความสุขอยู่นั้น ทั้งสองก็ไม่ได้รู้เลยว่า เวลาแห่งความสุขของทั้งคู่กำลังใกล้จะหมดลง เพราะตอนนี้พรวลัยคู่หมั้นของคามิน ใกล้จะจัดการธุระเสร็จแล้ว พร้อมกลับไปทวงคามินกลับคืนมาเป็นของตัวเอง

“ต้องใช้เวลาอีกกี่วันถึงจะเสร็จ” เจ้าของใบหน้าสวยใส หันไปถามพนิดา... เลขาคนสนิท ที่ตอนนี้กำลังนั่งเช็ดกระเป๋าถือใบเก่งให้เจ้านายตัวเองอยู่

“อีกประมาณสองสามวันค่ะคุณวลัย” พนิดาตอบหวาดๆ เธอรู้ดีว่าพรวลัยเป็นคนไม่ชอบรออะไรนานๆ แล้วยิ่งถ้าเจ้านายของเธอมีทีท่าว่าอยากกลับกรุงเทพขนาดนี้ เปอร์เซ็นต์ที่เธอจะโดนวีนเหวี่ยงใส่ย่อมมีสูงมากตามไปด้วย

“สองถึงสามวัน?” ใบหน้าสวยหวานเริ่มบิดเบี้ยว เสียงเล็กเริ่มแหลมสูงเพราะไม่พอใจ “ให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้รึไง จะให้ฉันรอจนแก่เรอะ ห๊ะ?”

“เอ่อ.. คือ” พนิดาอึกอีก

“ไม่ต้องมาพูดอึกๆ อักๆ รำคาญ! ” พรวลัยตวาดลั่น จนพนิดากลัวลนลาน “รีบไปจัดการให้เสร็จไวๆ ฉันอยากเจอคามินจะแย่แล้ว! เห็นแต่หน้าเธอทุกวันมาเป็นเดือน มันน่าเบื่อรู้ไหม”

พรวลัยยังคงเกรี้ยวกราดไม่เลิก พนิดาได้แต่ยอมรับชะตากรรม เธอควรชินกับนิสัยแบบนี้ของพรวลัย นิสัยที่จะเอาอะไรก็ต้องเอาให้ได้อย่างที่ใจตัวเองต้องการ แต่มันก็เป็นไปได้ยาก เพราะการจะทนอะไรแบบนี้ได้นั้น ต้องใช้พลังและความอดทนมากจริงๆ

“ได้ค่ะคุณวลัย เดี๋ยวนิดาจะรีบไปจัดการให้เสร็จโดยเร็วเลยค่ะ” คนเป็นเลขาได้แต่พูดรัว เพราะไม่อยากถูกดุด่าซ้ำ

“แล้วหลังจากธุระเรียบร้อย ก็จองเครื่องตั๋วบินเลย ฉันอยากกลับกรุงเทพเต็มแก่แล้ว” เสียงหวานพูดกระชากๆ ไม่เข้ากับใบหน้าสวยๆ นั่นสักนิด “แล้วสั่งอะไรให้มันได้อย่างสั่งด้วย อย่ามัวแต่ทำตัวโง่ๆ เซ่อๆ”

พนิดาก้มหน้ารับฟังทั้งคำสั่งและคำดูถูกของเจ้านายนิ่ง “ได้ค่ะ นิดาจะทำตามที่คุณวลัยสั่งทุกอย่างค่ะ”

“ดี อย่าให้ฉันต้องพูดหลายรอบ” พรวลัยพูดพลางก้มมองเล็บมือตัวเองที่เพิ่งทำสีมาใหม่อย่างพออกพอใจ “ฉันล่ะคิดถึงคุณครามจะแย่แล้ว กลับไปเที่ยวนี้คงได้เวลาเปิดตัวเสียที ฉันจะไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป”

ใบหน้าสวยหวานแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ริมฝีปากสีแดงสดที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างดีแสยะยิ้มร้าย คนอย่างพรวลัย ถ้าอยากได้อะไรต้องได้ โดยเฉพาะผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างคามิน เธอจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไปเด็ดขาด ไม่มีวัน

.

.

.

เย็นนี้ปราณันต์เลิกงานเย็น คามินเลยต้องมารับฝาแฝดเองลำพัง จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คามินอยู่ตามลำพังกับปุณณกันต์และปัณณธรน้อย คนตัวโตแอบกังวลไม่น้อย แต่เขาก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เพราะเขาเองก็เคยใช้เวลากับปุณณกันต์และปัณณธรมาแล้วพอสมควร แม้จะมีปราณันต์อยู่ด้วยก็เถอะ

“เด็กๆ ครับ วันนี้พี่ปราณเลิกดึก ปุณณ์กับปัณณ์ไปอยู่ห้องพี่ครามก่อนนะ” คามินพูดขึ้นหลังจากพาเจ้าแฝดตัวน้อยขึ้นมานั่งที่เบาะหลังรถเรียบร้อยแล้ว

“ได้ครับพี่คราม” ปุณณกันต์รับคำอย่างน่าเอ็นดู ก่อนที่คามินจะหันไปยิ้มให้เด็กทั้งคู่อย่างใจดี

“ว่าแต่ วันนี้เราจะทานอะไรเป็นข้าวเย็นกันดีครับ” คามินถามขึ้นขณะขับรถออกจากโรงเรียน เขาเองก็ตั้งใจจะแวะหาซื้ออะไรให้ฝาแฝด แต่อย่างน้อยก็ต้องรู้ก่อนว่าเด็กๆ อยากจะทานอะไรกัน

“วันนี้ปุณณ์กับปัณณ์อยากกินไก่ทอดครับพี่คราม” เจ้าหนูตอบรับเสียงใส ทำเอาคามินอดยิ้มตามกับท่าทางที่เห็นไม่ได้

“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวเราซื้อไก่ทอดไปกินที่ห้องกันนะครับ” คามินตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ว่าแต่วันนี้ปุณณ์กับปัณณ์มีการบ้านไหมครับ”

“มีครับ พี่ครามสอนเราสองคนได้ไหม” ปัณณธรพูดอ้อน ทำเอาคามินหน้าบานเป็นกระด้ง คนตัวโตทั้งยินดีและเต็มใจที่จะสอนเด็กๆ ทำการบ้านอย่างไม่เกี่ยงงอน

“ได้สิครับ เดี๋ยวพอทานอะไรเสร็จแล้วเรามาช่วยทำการบ้านกันเนาะ”

ฝาแฝดตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ คามินเห็นแบบนั้นก็เบาใจ การอยู่กับเด็กเล็กๆ สองคนก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่หรอก

.

.

.

... คามินขอถอนคำพูด!

ใครว่าอยู่กับเด็กเล็กๆ เป็นเรื่องง่าย ไม่เลย ไม่จริงสักนิด ตอนนี้เขาปวดหัวแทบระเบิด ปุณณกันต์กับปัณณธรก็ไม่ต่างจากเด็กอื่นๆ ทั่วไป แม้พวกแกจะฉลาด แม้พวกแกจะมีมารยาทดีแค่ไหน แต่เด็กก็ยังคงเป็นเด็ก แล้วยิ่งไม่มีปราณันต์อยู่ด้วยแล้วนั้น...


‘ปุณณ์ครับ ถูสบู่ก่อนสิครับ อย่าเพิ่งวักน้ำใส่ปัณณ์แบบนั้น’

‘ปัณณ์ อย่าเพิ่งวิ่งไปทั้งที่ยังไม่ได้ล้างสบู่ครับ เดี๋ยวลื่น’

‘ปุณณ์ครับ เอาปลาวาฬออกจากอ่างก่อนครับ ให้พี่ครามเปลี่ยนน้ำก่อน’

‘ปัณณ์ อันนั้นไม่ใช่สบู่ครับ อันนั้นยาสระผม เอามาให้พี่ครามก่อน เดี๋ยวเข้าตานะครับ’



และ ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ... อื่นๆ อีกมากมาย

กว่าจะอาบน้ำเสร็จเล่นเอาคามินแทบลมจับ ตอนที่ทานข้าวทำการบ้านยังไม่เท่าไหร่ ทุกอย่างก็เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี เพิ่งจะมาวุ่นวายตอนเข้าห้องน้ำนี่แหละ เล่นเอาคามินแทบหมดพลัง

คามินนั่งมองเจ้าตัวยุ่งทั้งสองที่ทาแป้งซะขาวผ่องไปทั้งตัว กำลังนั่งเล่นหุ่นยนต์ที่เขาเพิ่งแอบปราณันต์ซื้อมาให้เด็กๆ ใหม่อยู่บนเตียง ตอนอาบน้ำว่าวุ่นแล้ว แต่ตอนแต่งตัวกลับยุ่งไม่ต่าง ปุณณกันต์ใส่กางเกงในกลับด้าน ส่วนปัณณธรเอาเสื้อข้างหลังมาไว้ข้างหน้า คามินถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากจับปูใส่กระด้งเสร็จ

“พี่คราม พี่ปุณณ์กับปัณณ์ต้องนอนกี่โมงครับ” เจ้าฝาแฝดคนน้องหันมาถามเขาด้วยดวงตาบ๊องแบ๊ว ไม่ได้มีวี่แววว่าจะง่วงสักนิด

“พี่ครามให้อีกครึ่งชั่วโมงแล้วกันนะครับ เดี๋ยวถ้าพี่ปราณรู้ว่าฝาแฝดนอนดึกแล้วจะดุเอา” คามินตอบพลางตามเก็บซากสงครามที่ตกอยู่บนพื้น แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่างานจะยังไม่เสร็จ ถ้าฝาแฝดยังไม่เข้านอน

“ก็ได้ครับ ว่าแต่พี่ปราณยังไม่กลับหรอครับพี่คราม” ปุณณกันต์ถามถึงพี่ชายด้วยความห่วงเพราะเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว

“อืมม...” คามินเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้ก็ทุ่มกว่าๆ แล้ว เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความหาคนตัวเล็กกว่าว่าใกล้เวลาเลิกงานหรือยัง


‘คุณปราณใกล้จะเลิกงานหรือยังครับ ให้ผมไปรับไหม’


ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ปราณันต์ก็ตอบกลับมา


‘อีกสักพักน่าจะเสร็จครับ คุณไม่ต้องมารับหรอก ผมกลับเองน่าจะเร็วกว่า ฝากพาเด็กๆ เข้านอนด้วยนะครับ เหนื่อยคุณแย่เลยวันนี้’


คามินอมยิ้มหลังจากอ่านข้อความก่อนจะตอบอ้อนๆ กลับไป


‘เหนื่อยมากเลยครับ อยากกอดคุณปราณจะแย่แล้ว รีบกลับนะครับ ผมคิดถึง’


เขาเดาว่าตอนปราณันต์อ่านข้อความนี้ต้องกำลังหน้าแดงแน่ๆ


‘พูดอะไรก็ไม่รู้คุณเนี่ย .. แล้วไว้เจอกันครับ ผมจะรีบกลับไป’


คามินยิ้มจนหน้าบาน ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าที่ แล้วตอบฝาแฝดอย่างอารมณ์ดี

“อีกสักพักพี่ปราณก็กลับแล้วครับ แต่พี่ปราณให้พี่ครามพาปุณณ์กับปัณณ์เข้านอนก่อน โอเคไหม”

เด็กทั้งสองทำหน้ามุ่ย เพราะที่จริงอยากรอเจอพี่ปราณก่อนที่จะหลับ แต่ด้วยความที่ฝาแฝดไม่ใช่เด็กดื้อ พอคามินหรือปราณันต์พูดอะไร ทั้งสองก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี

“ก็ได้ครับ วันนี้เรานอนห้องพี่ครามใช่ไหมครับ” ปุณณ์ถามขึ้น

“ใช่ครับ วันนี้ฝาแฝดจะนอนที่นี่” คามินตอบยิ้มๆ

“งั้นพี่ครามอ่านนิทานเรื่องนี้ให้เราฟังด้วยนะครับ” ปัณณธรหยิบหนังสือนิทานขึ้นมาโชว์พร้อมยิ้มร่า “เมื่อคืนพี่ปราณยังอ่านไม่จบเลย”

คามินยิ้มแห้งๆ ทันทีที่นึกถึงอีกหนึ่งภารกิจที่ยังไม่ลุล่วง ก็ได้แต่หวังว่าเด็กๆ จะพอนอนหลับได้ หลังจากฟังคนแข็งๆ อย่างเขาอ่านนิทานให้ฟังนะ

.

.

.

ตอนนี้ฝาแฝดหลับไปแล้ว เขาอ่านนิทานไปจนเกือบจบเล่ม พวกเด็กๆ ถึงได้หลับได้ คามินมองภาพเจ้าตัวยุ่งตรงหน้าที่กำลังหลับสนิทอย่างเอ็นดู เวลาตื่นนี่ก็ป่วนไม่น้อย แต่พอเวลาอยู่นิ่งๆ หลับปุ๋ยแบบนี้ ดูไม่ต่างจากเทวดาตัวจิ๋วเลย

คามินเดินไปปิดไปหัวเตียงแล้วเดินออกไปเงียบๆ ก่อนจะทรุดลงนั่งบนโซฟากลางห้องอย่างเหนื่อยอ่อน เขาไม่เคยรู้เลยว่าการเลี้ยงเด็กจะเหนื่อยขนาดนี้ ปราณันต์ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปีได้ยังไงกันนะ


ติ๊งหน่อง~


คามินยิ้มอย่างยินดี คนที่เขากำลังคิดถึงกลับมาแล้ว


แกร๊ก!


ทันทีที่เปิดประตู คามินก็พุ่งเข้ากอดปราณันต์ทันที จมูกโด่งซุกไซ้อยู่ที่แก้มนิ่ม สูดดมเอากลิ่นหอมเฉพาะตัวของปราณันต์ที่เขาชอบเหลือเกินเข้าเต็มปอด

“ให้ผมเข้าห้องก่อนสิครับ” ปราณันต์หัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นท่าทางเหนื่อยล้าของคามิน “เด็กๆ ป่วนคุณมากเลยหรอ”

“ไม่หรอกครับ แต่ผมแค่ไม่เคยอยู่กับเด็กมาก่อน”

คามินยอมปล่อยปราณันต์ออกจากอ้อมกอดก่อนจะจูงมือเล็กของคนตรงข้ามเข้ามาในห้อง และถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่คามินก็ยังคงเดินไปเอาน้ำที่ตู้เย็นมาให้ปราณันต์ที่นั่งรออยู่ที่โซฟาดื่ม

หลังจากยื่นแก้วน้ำให้ปราณันต์รับ คามินก็ทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟาทันที โดยมีตักนิ่มของปราณันต์ไว้หนุนต่างหมอน

“ผมขอโทษนะครับ ลำบากคุณแย่เลย” มือเล็กลูบลงบนกลุ่มสีเข้มเบาๆ ราวกับกำลังช่วยปลอบประโลมให้หายเหนื่อย

สายตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้านบนอย่างหลงใหล “ปุณณ์กับปัณณ์ก็เหมือนน้องของผม ลำบากอะไรกันล่ะครับ” คามินพูดยิ้มๆ “อีกอย่างเห็นหน้าคุณปราณผมก็หายเหนื่อยแล้ว”

มือใหญ่จับมือเล็กที่วางอยู่บนอกเขามาจูบเบาๆ สายตาทั้งสองต่างมองกันและกันอย่างหลงใหล ก่อนที่ปราณันต์จะก้มศีรษะลงไปช้าๆ คามินเองก็ไม่รีรออะไรทั้งสิ้น ใบหน้าคมคายหยัดขึ้นมาเพื่อยื่นริมฝีปากตัวเองไปประทับจูบลงบนริมฝีปากอิ่มของคนด้านบนทันที ต่างฝ่ายต่างดูดดึงริมฝีปากของกันและกันอย่างโหยหาและเติมเต็ม

จากที่นอนเหยียดยาวหนุนตักคนรัก คามินก็ขยับตัวขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากับปราณันต์บนโซฟาตัวเดียวกัน ริมฝีปากของทั้งสองยังคงแนบชิดกันไม่ได้ถอยห่างไปไหน คามินทั้งขบเม้ม ดูดดึง และบดคลึงริมฝีปากสีสดอย่างชำนาญ เขาอ้อยอิ่งเลาะเล็มกับริมฝีปากล่างของปราณันต์เป็นพิเศษ จูบที่อ่อนหวานในตอนแรกเริ่มร้อนแรง เมื่อปราณันต์เผยอปากให้ลิ้นร้อนของคามินเข้ามาสำรวจโพรงปากของคนตัวเองอย่างเอาใจ

ลิ้นร้อนของคามินตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของปราณันต์อย่างร้อนแรง มือใหญ่ของคามินเริ่มอยู่ไม่สุข มันค่อยๆ ลากผ่านชายเสื้อเข้าไปใต้ร่มผ้า เพื่อสัมผัสกับผิวเรียบลื่นของปราณันต์ที่เขาชอบ

คามินละริมฝีปากออกจากริมฝีปากอิ่ม ก่อนที่ริมฝีปากหยักที่ร้อนราวกับไฟของคามินจะลากผ่านแก้มไปที่ใบหูนิ่มช้าๆ

คามินขบเม้มใบหูเล็กเบาๆ ก่อนจะผละริมฝีปากไล้ผ่านมาเรื่อยตามลำคอสวย แล้วมาหยุดที่กระดูกไหปลาร้า จากนั้นก็ขบเม้มดูดดึงเบาๆ พอให้เกิดรอยรักบนผิวขาวๆ รอยที่เขาอยากจะตีตราจองไว้ทั่วร่างนี้ทุกตารางนิ้ว

ปราณันต์ไม่ตอบหรือไม่ทักท้วงอะไร มีเพียงเสียงครางหวานอย่างพอใจในลำคอเท่านั้น

“อืมมม..”

ริมฝีปากหยักซุกซนยังคงไม่หยุดอยู่แค่นั้น มือใหญ่ที่กำลังไล้โลมผิวนุ่มลื่นมือนั้นได้ไต่มาถึงยอดอกสีสวยของปราณันต์แล้ว แม้จะยังไม่ได้ถอดเสื้อออก แต่คามินก็สัมผัสได้ถึงความแข็งขืนเป็นตุ่มไตของยอดอกเล็กๆ นั่น

คามินค่อยๆ ใช้นิ้วเรียวสะกิดมันเบาๆ และนั่นก็เรียกเสียงครางจากคนถูกจู่โจมได้อย่างดี

“อะ อาา”

“ชอบไหมครับ หื้ม?” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบชิดลำคอระหง “ผมทำให้คุณปราณชอบได้มากกว่านี้อีกนะ”

พอจบคำ ริมฝีปากหยักก็โฉบลงบนยอดอกอีกข้างที่ว่างของปราณันต์ คามินครอบปากลงไปทั้งที่ผ่านเนื้อผ้า

ลิ้นร้อนเลียลงไปที่ตุ่มไตเบาๆ แม้จะเป็นการทำผ่านเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ ก็สามารถทำให้ร่างบางตรงข้ามเขาสะท้านได้ไม่น้อย

“อ๊ะ อื้อออ”

ปราณันต์เริ่มครางหนักขี้น เสียงหวานนั่นกระตุ้นคามินได้ไม่น้อย ตอนนี้เจ้าน้องชายของเขาเริ่มถูกปลุกจากการหลับไหลแล้ว ปราณันต์เองก็คงไม่ต่าง เพราะตอนนี้มือของคามินลองปัดป่ายผ่านอวัยวะกลางร่างกายของปราณันต์ มันกำลังนูนเด่นขึ้นมา ร่างบางกำลังตัวสั่นเพราะแรงอารมณ์ที่ถูกพัดให้โหมกระพือ

“คุณปราณ...” คามินกระซิบชิดริมฝีปากอิ่ม ตากลมที่มองมายังเขากำลังหวาดเยิ้มและปรือปรอย น้ำใสที่กำลังไหลคลอในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความปรารถนา

อยากถูกสัมผัสมากกว่านี้ อยากถูกทำให้มีความสุขมากกว่านี้

“คะ.. คุณคราม อาาห์” เสียงครางนั้นคือฟางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้ความยับยั้งชั่งใจขาดลง แบบนี้มันยั่วกันชัดๆ ใครจะไปอดใจไหวกัน

คามินค่อยๆ รูดซิปและปลดตะขอกางเกงของปราณันต์ออก มือหนาเอื้อมลงไปผ่านกางเกงชั้นใน ก่อนจะสัมผัสเข้าที่แกนกายของคนตัวเล็ก ที่ตอนนี้มันกำลังทั้งแข็งและตั้งชั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ใคร่ ไม่ต่างจากเจ้าของมันสักนิด

“ช่วยผมด้วยได้ไหมครับที่รัก” คามินกระซิบเสียงกระเส่า มือใหญ่อีกข้างที่ว่างเอื้อมไปจับมือเล็กให้วางลงที่กลางร่างกายของตัวเอง ปราณันต์เหลือบตาลงมองนิ่ง ก่อนที่จะรูดซิปคามินลงเช่นกัน มือเล็กลากลงไปผ่านกางเกงชั้นในสีเข้ม ก่อนจะจับท่อนเนื้อของคนตัวโตที่ตอนนี้กำลังขยับขยายไว้เต็มฝ่ามือของตัวเอง

ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอย่างร้อนแรง อุณภูมิในห้องแทบจะทะลุจุดเดือด เพลิงอารมณ์ของคนวัยหนุ่มทั้งสองโหมกระพือไปทั่วทั้งห้อง เสียงหอบหายใจและครางกระเส่า ดังสลับยามที่ทั้งคู่เริ่มขยับมือ ต่างฝ่ายต่างงัดทุกวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายมีความสุขมาปรนเปรอให้คนตรงข้าม

“อะ อ๊ะ อาาห์”

“ซี๊ดดด ปะ.. ปราณ คุณปราณ อาาห์”

ทั้งคู่ขยับข้อมือขึ้นลงจนสุดความยาวแก่นกายของอีกฝ่าย นิ้วโป้งของทั้งคู่ต่างบดขยี้ลงบนส่วนหัว สลับไปมา ใจจริงแล้วคนทั้งคู่อยากจะครางดังๆ ให้สมกับความสุขที่มันอัดแน่นอยู่ภายใน แต่เด็กน้อยฝาแฝดกำลังนอนอยู่ในห้อง เขาสองคนจะทำให้เด็กๆ ตื่นขึ้นมาไม่ได้

“อ๊ะ ซี๊ดด ผม ส เสียว” ปราณันต์ซบใบหน้าลงบนบ่าของคามิน ฟันคู่สวยกัดลงบนไหล่คามินอย่างต้องการระบายความเสียวซ่าน ยิ่งปราณันต์กัดคามินยิ่งมีอารมณ์

“เร็ว อึก! อีกครับ ที่รัก ซี๊ดด!”

“อ๊ะ อา ใกล้.. ใกล้แล้ว”

ปราณันต์ส่งสัญญาณเตือน เมื่อสัมผัสได้ว่าหน้าท้องของตัวเองเริ่มจะหดเกร็ง คามินขยับมือถี่เร็วขึ้น นิ้วโป้งขยี้ซ้ำๆ ไปที่ส่วนหัว ก่อนที่ปราณันต์จะกระตุก แล้วปลดปล่อยออกมาจนเต็มมือใหญ่

“อาาาห์”

ปราณันต์คราง แต่มือเล็กก็ยังคงไม่ปล่อยจากท่อนเนื้อของคามินที่ตอนนี้เจ้าตัวเองก็น่าจะใกล้แตะฝั่งฝันแล้วเช่นกัน

“เร็วอีก.. อีก” ปราณันต์สาวข้อมือรัวเร็ว นิ้วโป้งเล็กๆ ขยี้ลงบนส่วนหัวไม่หยุด ผ่านไปไม่นาน คามินก็เริ่มกระตุกและปลดปล่อยออกมาเช่นกัน

“อึก! อาาาาห์”

และเมื่อเพลิงแห่งอารมณ์พัดผ่านไป ทั้งคู่ก็นั่งหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนโซฟา คามินเมื่อมือไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดมือตัวเองก่อนจะจับมือเล็กมาเช็ดให้ช้าๆ

ปราณันต์หน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ อารมณ์มันพาไปจนเขากับคามินมาถึงจุดนี้ได้ยังไงไม่รู้ แต่คนตัวเล็กก็อดยอมรับไม่ได้ว่าทุกครั้งที่คามินทำแบบนี้ให้ มันรู้สึกดีมากๆ มากจนเขาเริ่มจะเสพติด...

“ขอบคุณนะครับคนดี ผมหายเหนื่อยขึ้นเยอะเลย” คามินแซวยิ้มๆ ทำเอาปราณันต์อายม้วนยิ่งกว่าเดิม

“คุณอ่ะ!” ปราณันต์ไม่รู้จะหลบยังไง เลยพุ่งเข้ากอดคามินเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาแทน

คามินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสำทับไปอีกประโยค

“ถ้าได้แบบนี้บ่อยๆ ต่อให้ต้องเลี้ยงฝาแฝดหามรุ่งหามค่ำผมก็ยอม”

จบประโยคของคามิน ปราณันต์ก็ทุบลงเบาๆ ที่อกกำยำ ก่อนจะหลุดขำออกมาทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรง คามินเองที่พอได้ยินปราณันต์หัวเราะ ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน และจากนั้นเสียงหัวเราะทั้งสองก็ดังประสานกันเบาๆ ในห้องรับแขกเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นใจจากคนทั้งคู่

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------------------------------------------------

ขอคอมเม้นท์คนละเม้นท์สองเม้นท์นะคะ แล้วสัญญาว่าตอนต่อไปจิรีบมาาาาาา

.. ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจมากงับ อย่าลืมมาเอาใจช่วยพี่น้องสาม ป. กันน้าาาา

รักทุกคนม๊ากมากกก ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/02/64 [18th Lies: แค่มีพี่ปราณก็พอ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-02-2021 21:23:21
 :oo1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/02/64 [18th Lies: แค่มีพี่ปราณก็พอ]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-02-2021 00:12:50
 :impress2: ยังๆยัง รอจังหวะรวบหัวรวบหางอยู่ 5555 โอ๊ยยยโดนว่าเป็นเด็กกำพร้า ยังเทียบไม่ติดกับสิ่งที่เจอตอนนี้ที่คุณคามินพี่ครามของน้องๆทำเลยจ้า โห๊ะๆ 555 มาต่อยาวๆเลย ขอบคุณมากนะคะ เป็นกำลังในการแต่งทุกตอน ไฟท์ติ้ง รอตอนต่อไปเลยค่ะ ยิ่งนานยิ่งถล้ำลึก  :เฮ้อ:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/02/64 [18th Lies: แค่มีพี่ปราณก็พอ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 14-02-2021 17:30:54
ใกล้แล้ว .. ความจริง ใกล้เข้ามาแล้ว
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/02/64 [18th Lies: แค่มีพี่ปราณก็พอ]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-02-2021 21:13:35
  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...17/02/64 [19th Lies: ลงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 17-02-2021 19:45:28
19th Lies : ลงใจ


เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น...


วันนี้เป็นวันเสาร์ และยังเป็นวันเสาร์ที่หยุดยาวต่อเนื่องถึงวันจันทร์ ซึ่งอาทิตย์หน้าก็จะครบกำหนดที่คามินได้วางพนันไว้กับเพื่อนๆ แล้ว แต่ตอนนี้เขากับปราณันต์แทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ยิ่งช่วงปลายอาทิตย์ ปราณันต์ก็งานยุ่งมาก กลับบ้านดึกๆ แทบทุกวัน บางวันกลับมาถึงก็หลับปุ๋ย อย่าว่าแต่โอกาสจะทำอะไรเลย แม้แต่คุยยังแทบไม่ได้คุยเลยเลยด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นวันนี้คามินจะช้าไม่ได้แล้ว คิดไปคิดมาถ้ายังอุดอู้อยู่แต่ในห้องแคบๆ นี่ เรื่องของเขากับปราณันต์คงไม่คืบหน้าไปไหนแน่ จะจู๋จี๋กันแต่ละทีก็ต้องพะวงว่าฝาแฝดจะเห็น ดังนั้นคามินจึงหาข้อสรุปให้ตัวเองได้ว่า เขาควรหาสถานที่ที่เป็นส่วนตัวมากกว่านี้ สถานที่ที่เขากับปราณันต์สามารถพลอดรักกันตามลำพังได้ แม้จะมีฝาแฝดอยู่ด้วยก็ตาม

“พี่ปุณณ์ อันนี้เหมือนทะเลที่พวกเราเคยไปกับพี่ครามกับพี่ปราณเลยเนาะ” คามินหันไปตามเสียงเจื้อยแจ้วของปัณณธร เลยได้เห็นเจ้าหนูน้อยกำลังชี้ไปที่จอทีวีอย่างตื่นเต้น ในนั้นปรากฎภาพท้องทะเลสวยงาม

... ดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรดีๆ ออกแล้วล่ะ

คามินเดินเข้าไปหาฝาแฝดตัวน้อยที่กำลังนั่งเล่นกันอยู่กลางห้อง เขาจับปัณณธรน้อยขึ้นมานั่งบนตัก โดยมีสายตากลมแป๋วของปุณณกันต์มองตามมาอย่างสงสัย

“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ หนูสองคนอยากไปเที่ยวทะเลไหมครับ”

คามินกระซิบถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ตากลมๆ สองคู่เบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อได้ยินพี่ครามบอกว่าจะพาไปเที่ยวทะเล

“ไปครับๆ ปัณณ์อยากไป” แน่นอนปัณณธรตอบแทบจะทันทีทันใด เจ้าหนูน้อยไม่หยุดคิดเลยด้วยซ้ำ

ในขณะที่ปุณณกันต์นั้นนิ่งไป ใบหน้าจิ้มลิ้มเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมาพักใหญ่แล้ว คามินเลยรู้ว่าตอนนี้ปุณณกันต์น้อยกำลังคิดอะไรอยู่ ร่างสูงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วมือเรียวยาวจิ้มแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าเด็กคิดมากเบาๆ

“ปุณณ์ ไม่อยากไปหรอครับ หื้ม?” คามินแกล้งถาม ทั้งที่พอรู้คำตอบอยู่แล้ว

“ปุณณ์อยากไปครับ แต่พี่ปราณเคยบอกไว้ ว่าไม่ให้รบกวนพี่ครามมากเกินไป” ปุณณกันต์เอ่ยเสียงเศร้า ทำเอาคามินอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ ที่เขาคิดไว้ ผิดเสียที่ไหนล่ะ

ปุณณกันต์ยังคงเป็นเด็กขี้เกรงใจ และไม่กล้าแสดงความต้องการตรงๆ ซึ่งเป็นบุคลิกที่ต่างจากปัณณธรลิบลับ

“งั้นพวกเราไปถามพี่ปราณดีไหม ว่าอยากไปรึป่าว พักนี้พี่ปราณทำงานหนักมากเลย พี่ครามอยากพาพี่ปราณได้พักผ่อนบ้าง”

พอจบคำพูดของคามินใบหน้าเล็กๆ ก็พยักขึ้นลงหงึกหงักอย่างเห็นด้วย พลางมองเลยไปยังพี่ชายคนโตที่กำลังง่วนอยู่ในครัว

คามินอุ้มปัณณธรขึ้นมา ส่วนอีกมือก็จูงปุณณกันต์ แล้วพาเจ้าหนูทั้งคู่ไปหาปราณันต์ในครัว

“พี่ปราณครับ” ปุณณกันต์โผเข้าโอบรอบเอวบางของคนเป็นพี่ พลางเงยหน้ามองปราณันต์ตาปริบๆ คนตัวเล็กที่พอเห็นภาพตรงหน้าก็หัวเราะร่าอย่างเอ็นดู

“ฮ่าๆ” ปราณันต์ยื่นมือไปลูบศีรษะกลมเบาๆ พลางถาม “ว่าไงครับปุณณ์ อ้อนแบบนี้จะเอาอะไร หื้ม?”

ปกติปุณณกันต์ไม่ใช่เด็กขี้อ้อน คนที่ชอบอ้อนส่วนใหญ่จะเป็นปัณณธร แต่ถ้าลองมามีทีท่าแบบนี้ ปุณณกันต์ต้องอยากได้อะไรแน่ๆ

“พี่ปราณไปทำงานเหนื่อยไหมครับ” ปราณันต์ยิ้มหวานทันทีหลังได้ยินคำถามของน้องชาย โดยมีคามินมองตามรอยยิ้มนั้นอย่างหลงใหล

ปราณันต์ลดตัวลงนั่งจนเสมอกับปุณณกันต์ พลางถามกลับอย่างเอ็นดู

“ทำไมถึงถามพี่ปราณแบบนี้ล่ะครับ” ปราณันต์มองใบหน้าจิ้มลิ้มที่เหมือนตัวเองราวกับแกะ เพื่อหาคำตอบว่าทำไมวันนี้ปุณณกันต์เกิดจะอ้อนเขาขึ้นมาแบบนี้ และปราณันต์ก็ได้ยินคำตอบ เมื่อเจ้าหนูน้อยเอ่ยประโยคถัดมา

“ถ้าพี่ปราณเหนื่อย เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ ปุณณ์กับปัณณ์อยากพาพี่ปราณไปเที่ยวทะเล”

คนตัวเล็กหัวเราะเสียงใส ลองมาอิหรอบนี้ ปุณณกันต์ไม่ได้คิดบทพูดเองหรอก ต้องมีผู้ใหญ่โข่งแถวนี้สอนแน่ๆ

แต่ยังไม่ทันที่ปราณันต์จะได้โวยวายอะไร ปัณณธรก็วิ่งมาอ้อนซ้ำอีกคน

“นะครับ พี่ปราณนะ ไปเที่ยวทะเลกันนะครับ”

ปราณันต์มองเลยไปยังผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงตู้เย็นอยู่ด้านหลัง ใบหน้าคมคายยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางยักไหล่ให้ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้ได้เห็นอะไรเลยกับเรื่องนี้

ปราณันต์มองเด็กทั้งสองตรงหน้าตัวเองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ คามินตามใจฝาแฝดจนเขาหมดแรงจะแย้ง จะโกรธหรือจะดุเด็กๆ ก็ทำไม่ลง พวกแกยังเด็กก็คงอยากเที่ยวเหมือนเด็กอื่นๆ เขาเองก็ใช่ว่าจะมีเวลาว่างบ่อยๆ ไหนๆ อาทิตย์นี้ก็หยุดยาวสามวันแล้ว พาพวกแกไปเที่ยวพักผ่อนหน่อย ก็คงไม่เสียหายอะไร

“ก็ได้ครับ ไปก็ไป” ปราณันต์ตกปากรับคำไปในที่สุด

“เย่ๆๆๆ พี่ปราณยอมไปแล้ว” ปัณณธรกระโดดโลดเต้นดีใจออกนอกหน้า เจ้าหนูทั้งคู่โผเข้ากอดพี่ชายตัวเอง พลางระดมจูบแก้มนิ่มๆ ของปราณันต์อย่างชอบใจ

“ขอบคุณพี่ปราณมากนะครับ ปุณณ์ดีใจที่สุดในโลกเลย”

“ใช่ๆ ขอบคุณพี่ปราณมากๆ เลยครับ พี่ปราณใจดีที่สุดเลย”

เจ้าหนูทั้งคู่กอดรัดพี่ชายตัวเองไม่ยอมปล่อย เล่นเอาปราณันต์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่หยุด ก่อนที่มือเรียวจะค่อยๆ ดันฝาแฝดออกช้าๆ

“ไหนว่าอยากไปเที่ยวไง ไปเก็บของสิครับ เดี๋ยวพี่ปราณตามไปช่วย ขอทำกับข้าวก่อน” ปราณันต์พูดยิ้มๆ

“ครับ/ครับ” เด็กๆ รับคำอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะวิ่งตื๋อออกไปที่ห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ปราณันต์มองตามเด็กทั้งสองไปจนลับตา ก่อนจะหันมาจัดการกับภารกิจหน้าเตาของตัวเองต่อ แต่ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ คนตัวเล็กก็สัมผัสถึงไออุ่นที่โอบผ่านรอบเอวบางของตัวเองจากด้านหลัง

ปราณันต์ผินหน้าไปช้าๆ ก่อนจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคย วางเกยอยู่บนลาดไหล่เรียวของตัวเอง จมูกโด่งเป็นสันซุกไซ้อยู่ที่ต้นคอเขาไม่ห่าง

“ผมอยากให้คุณปราณได้พักผ่อนบ้าง คุณปราณกลับบ้านดึกทุกวันเลย” เสียงทุ้มกระซิบชิดริมใบหูนิ่ม ทำเอาคนได้ยินอดยิ้มหวานอย่างพอใจไม่ได้ เมื่อได้รู้เหตุผลจากปากหยักที่เขาอยากได้ยินจากเจ้าตัวมากกว่า

“ผมรู้ครับว่าคุณหวังดี ผมเลยยอมไปนี่ไง” ใบหน้าหวานผินไปด้านหลังช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงใส “ขอบคุณนะครับ”

คามินยิ้มทันทีที่ปราณันต์ไม่ได้ดุหรือมีท่าทีต่อต้านอะไร เขาชอบปราณันต์ตอนโอนอ่อน มันช่างน่ารัก น่ารักจนเขาอดใจไม่ไหว เลยยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากหยักบนริมฝีปากอิ่มเบาๆ


จุ๊บ~


“มันจะเป็นสามวันที่มีความสุขครับ ผมสัญญา”

ปราณันต์ยิ้มหวานรับคำ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าสามวันที่จะได้รับความสุขจากคามินนั่นมันช่างน้อยนิดเหลือเกิน เมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานและเสียใจ ที่จะได้รับหลังจากนี้

หลังจากทานข้าวเช้าและเก็บของลงกระเป๋าเรียบร้อย ทริปทะเลฉุกละหุกของคนทั้งสี่ก็เริ่มต้นขึ้น

“ปุณณ์ ปัณณ์ อย่าลืมกระเป๋าเป้นะครับ” ปราณันต์ตะโกนบอก ขณะที่ในมือเรียวถือกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบใหญ่อยู่เต็มสองมือ

เด็กๆ เองพอได้ยินแบบนั้นก็ฉวยกระเป๋าเป้สะพายขึ้นบ่า ท่าทางกระตือรือร้นอยากจะไปเที่ยวเต็มแก่ ตอนนี้ก็แค่รอให้คามินเก็บของเสร็จแล้วตามมาสมทบเท่านั้น

“พร้อมกันรึยังครับสามหนุ่ม” ยังไม่ทันขาดคำ คามินก็ชะโงกหน้าเข้ามาเรียก แล้วพอคนตัวโตเห็นกระเป๋าในมือเล็กๆ นั่น ก็อาสาเข้ามาช่วยถืออย่างเต็มอกเต็มใจ

“มาครับ เดี๋ยวผมช่วย” ปราณันต์ยิ้ม พลางส่งกระเป๋าให้คามิน ส่วนตัวเองก็เดินไปจูงมือฝาแฝดทั้งสอง แล้วพากันไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังที่จอดรถด้านล่าง

“พี่ครามครับ เราจะไปทะเลที่ไหนกันหรอครับ” ในขณะที่อยู่ในลิฟต์ จู่ๆ ปุณณกันต์น้อยก็ถามขึ้น

“เราไปทะเลที่เราไปครั้งที่แล้วกันดีไหมครับ พอดีพี่ครามจองที่พักไว้แล้ว ครั้งที่แล้วไป เราก็ดันไม่ได้ค้างคืนกันซะด้วย” คามินถามขึ้น ทำเอาปราณันต์แปลกใจไม่น้อย

“เราเพิ่งตัดสินใจปุบปับเองนะครับว่าจะไป ทำไมคุณจองที่พักได้เร็วจัง” คนตัวเล็กถามออกมาอย่างสงสัย เล่นเอาคามินหาข้อแก้ตัวแทบไม่ทัน

“อ๋อ พอดีเจ้าของห้องพักที่นั่นเป็นเพื่อนผมน่ะครับ อะไรก็เลยไม่ยุ่งยากเท่าไหร่” ปราณันต์พยักหน้ารับรู้หงึกหงัก แล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ทำเอาคามินถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะที่จริงแล้ว ที่พักนั่นเป็นบ้านพักตากอากาศของเขาที่ซื้อทิ้งไว้เอง เพียงแค่โทรบอกคนดูแลให้เข้าไปทำความสะอาดนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว แต่เขาดันลืมไปว่าเคยโกหกปราณันต์ไว้ว่าเป็นที่พักที่เช่าจากคนอื่นอีกที ดีนะที่เขาไหวตัวหาข้อแก้ตัวทัน ไม่งั้นปราณันต์คงสงสัยมากกว่านี้แน่ๆ

“อ่ะ เด็กๆ ขึ้นรถครับ คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยนะ” ปราณันต์จัดการจับเจ้าหนูทั้งสองขึ้นเบาะหลัง และคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย ในขณะที่คามินเก็บของขึ้นหลังรถจนเสร็จสรรพ จากนั้นทั้งสี่ก็ออกเดินทางสู่ชายทะเลที่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่นัก

.

.

.

ทั้งสี่เดินทางถึงชายทะเลในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ดูเหมือนว่าปุณณกันต์และปัณณธรจะอ่อนเพลียจากการเดินทางมากพอสมควร เพราะตอนนี้เจ้าหนูทั้งสองหลับสนิท ชนิดที่ว่าคามินกับปราณันต์อุ้มทั้งคู่มาวางที่เตียงในห้องนอนแล้ว ฝาแฝดยังหลับนิ่ง ไม่หือไม่อือเลยทีเดียว

และพอขนของลงจากรถเรียบร้อย คามินก็อาสาออกไปซื้อของสดมาไว้ให้ปราณันต์ทำกับข้าวง่ายๆ ทานกัน โดยมีปราณันต์รออยู่ที่บ้าน เผื่อเด็กๆ ตื่นขึ้นมาก่อนเวลา

“เดี๋ยวผมมานะครับ ขอไปซื้อของก่อน คุณปราณอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” คามินเดินเข้าไปถามปราณันต์ที่กำลังวุ่นอยู่กับการเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเดินทาง

“ได้ครับ ผมอยู่ได้ คุณไปเถอะ” ปราณันต์หันมาตอบยิ้มๆ ให้คนรัก และดูเหมือนว่ารอยยิ้มหวานของคนตรงหน้าจะมีพลังจู่โจมมากกว่าที่เจ้าตัวรู้

คามินถลามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ขอบเตียง ทำเอาปราณันต์ตกใจไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าคามินจะทำอะไร

และไม่ทันที่ปราณันต์จะได้ทันถาม มือใหญ่ๆ ทั้งสองข้างของคามินก็ประคองใบหน้าสวยหวานนั่นไว้ ก่อนที่จะยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากหยักลงบนริมฝีปากอิ่มรัวๆ และเร็วๆ


จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ~


ปราณันต์ชะงักไปพักหนึ่ง เพราะโดนคามินจู่โจมไม่ทันได้ตั้งตัว พอจูบเสร็จเจ้าตัวเองก็สารภาพบาปโดยไม่มีการสำนึกผิดใดๆ ทั้งสิ้นอีกต่างหาก นั่นทำเอาปราณันต์อ่อนใจไม่น้อย เพราะเหตุผลของคามิน เล่นเอาเขาไม่รู้จะเถียงยังไงเหมือนกัน

“คุณปราณน่ารัก รอยยิ้มของคุณปราณก็น่ารัก ผมห้ามใจไม่ไหวหรอก ถ้าคุณปราณมายิ้มให้แบบนี้”

ปราณันต์เองพอได้ยินคามินพูดแบบนั้นก็อดหลุดขำออกมาไม่ได้ และเมื่อเห็นว่าเถียงไปยังไงก็แพ้ คนตัวเล็กเลยตัดสินใจ ดันอกคนตรงข้ามออก แล้วไล่ให้ไปซื้อของก่อนที่จะเย็นมากไปกว่านี้

“ไปซื้อของได้แล้วครับ” ปราณันต์ยังคงไล่คามินด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวเย็นนี้ไม่มีอะไรให้ทานนะ”

ซึ่งเหตุผลนั้นก็ทำให้คามินยอมแพ้ ยอมขึ้นรถออกไปตระเวนขับซื้อของในที่สุด

.

.

.

คามินขับรถในออกไปหาซื้ออาหารสดจนได้ตามปริมาณที่ต้องการ และก่อนที่จะขึ้นรถกลับที่พัก คามินก็แวะร้านสะดวกซื้อ เพื่อหาซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างสำรองไว้

คนตัวโตเดินเข้าร้านสะดวกซื้อพลางกวาดสายตามองทางนั้นที ทางนี้ที ก่อนจะเห็นสิ่งของที่ตัวเองต้องการ คามินอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปฉวยสิ่งนั้นไว้ในมือแล้วไปจ่ายเงิน

“รับอย่างอื่นเพิ่มไหมคะ” พนักงานคิดเงินถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“ไม่ครับ ผมคิดว่าผมได้ทุกอย่างครบแล้ว” คามินเองก็ตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ ให้พนักงานอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน ก่อนจะหยิบของที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ออกมาขึ้นรถ แล้วขับกลับที่พักของเขาและสามพี่น้องต่อไป

.

.

.

คามินขับรถกลับถึงที่พักในเวลาไม่นานต่อมา เขาเห็นปราณันต์กำลังง่วนอยู่กับตู้เย็นในครัว เขาจึงได้โอกาสดึงเอา ‘ของส่วนตัว’ ที่เพิ่งซื้อจากร้านสะดวกซื้อ มาใส่ไว้ในลิ้นชักข้างหัวเตียงอย่างดี ก่อนจะเดินกลับออกมาไปหาปราณันต์ที่อยู่ในครัวอย่างเนียนๆ

“ทำอะไรอยู่ครับคุณแฟน” คามินเดินไปโอบรอบเอวบางจากด้านหลัง ตอนที่เห็นปราณันต์กำลังดึงพวกถ้วยชามที่เหมือนไม่ได้ใช้มาแล้วพักหนึ่งออกมาล้าง

“กลับมาแล้วหรอครับ” ปราณันต์ไม่ได้ตอบ แต่กลับถามกลับแทน เพราะคิดว่าคามินคงเห็นแล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไร “ได้ของครบไหม”

“เรียบร้อยแล้วครับ” คามินพยักเพยิดไปยังของสดและของใช้ต่างๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว ปราณันต์เลยผละออกจากอ่างล้างจาน เพื่อไปดูว่าคามินซื้ออะไรมาบ้าง

พอเห็นของสดที่คามินซื้อมาปราณันต์ก็เตรียมทำอาหารกลางวันง่ายๆ รอทันที เผื่อฝาแฝดตื่นขึ้นมาแล้วจะหิว

“ผมฝากคุณไปดูเด็กๆ หน่อยนะครับ เผื่อพวกแกตื่น เดี๋ยวผมทำกับข้าวรอให้” ปราณันต์หันไปขอความช่วยเหลือจากคามิน ก่อนจะถามคนตัวโตอย่างห่วงใย “ว่าแต่คุณทนหิวไหวไหม กว่าฝาแฝดจะตื่น หรือคุณจะให้ผมทำอะไรง่ายๆ ให้คุณทานก่อน”

คามินส่ายหน้าหวือ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเรารอทานพร้อมกันก็ได้ ผมยังไม่หิวเท่าไหร่หรอก” คามินเดินไปจูบแก้มปราณันต์เบาๆ “ผมขอไปดูเด็กๆ ก่อนนะ”

ปราณันต์ยิ้มหวานให้คามิน ก่อนที่คนตัวโตจะเลี้ยวออกจากห้องครัวไปที่ห้องฝาแฝด พอมองไปแล้วเห็นว่าเด็กๆ ยังคงหลับสนิท คามินจึงเดินแวะกลับไปที่ห้องของเขากับปราณันต์อีกครั้ง เพื่อสำรวจ ‘ของส่วนตัว’ ที่เขาเพิ่งใส่ไว้ที่ลิ้นชักหัวเตียงก่อนหน้านี้

คามินยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจเมื่อมองดูของในลิ้นชัก พลางคิดถึงแผนการของตัวเองในใจอย่างรอบคอบ โอกาสทุกอย่างเป็นของเขาแล้ว และเขาจะไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดลอยจากมือเด็ดขาด

.

.

.

รอจนเกือบจะบ่าย ปราณันต์ก็ทำอาหารเสร็จ พร้อมๆ กับที่ฝาแฝดตื่นนอนพอดี

“พี่ปราณ~” ปุณณกันต์เดินง่วงๆ เข้ามาหาปราณันต์ในครัวที่มีคามินกำลังตามวอแวอยู่ข้างตัวไม่ห่าง

“พี่คราม~” ปัณณธรเองก็เช่นกัน เจ้าตัวน้อยเดินตรงดิ่งไปหาคามินทันที พลางกอดเอวหนาซุกหน้าออดอ้อนอยู่ตรงหน้าท้องของคามิน

ภาพที่เห็นทำเอาปราณันต์อดอมยิ้มไม่ได้ ซึ่งตัวเขาเองก็กำลังอุ้มปุณณกันต์ขึ้นมากอดเช่นกัน เวลาฝาแฝดงัวเงียเพิ่งตื่นเนี่ย น่ารักที่สุดในสายตาปราณันต์แล้ว

“เด็กๆ ไปล้างหน้าบ้วนปากก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวจะได้ทานข้าวกัน หิวรึยังเอ่ย” ปราณันต์ถามพลางจับมือเล็กๆ ของปุณณกันต์ให้ไม่ขยี้หูขยี้ตา

“งั้นเดี๋ยวผมพาไปเอง คุณปราณจัดการทางนี้ต่อเถอะ ไม่ต้องห่วงนะครับ”

ปราณันต์พยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะส่งปุณณกันต์ให้คามิน คนตัวโตจัดการจูงเด็กทั้งคู่เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ก่อนจะออกมาทานข้าวพร้อมหน้ากันต่อไป

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...17/02/64 [19th Lies: ลงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 17-02-2021 19:48:41
(อ่านต่อจากด้านบน)


หลังจากอิ่มท้อง โดยการจัดการอาหารมื้อกลางวันเสร็จก็ดูเหมือนว่าเจ้าฝาแฝดทั้งสองจะมีเรี่ยวแรงเล่นซนกันขึ้นมาทันที โดยที่เจ้าหนูวิ่งมาอ้อนปราณันต์ไม่หยุด

“พี่ปราณครับ พี่ปุณณ์กับปัณณ์อยากเล่นน้ำทะเลแล้วอ่ะครับ” แน่นอนว่าตามคาด คนที่พูดประโยคนี้ต้องเป็นปัณณธรอย่างไม่ต้องสงสัย

คามินยิ้มขำทันทีที่เห็นปัณณธรเริ่มประท้วงเพราะอยากลงน้ำ ปราณันต์มองออกไปด้านนอกบ้าน เห็นว่ายังมีแดดอยู่ เลยพยายามจะห้ามไม่ให้น้องเล่น แต่พอเห็นตากลมๆ แป๋วๆ ที่มองมายังเขาอย่างคาดหวังแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง จึงต้องใช้การต่อรองแทน

“ตอนนี้ยังมีแดดอยู่เลยครับเด็กๆ” ฝาแฝดคอตกทันทีที่ได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น “แต่เอางี้แทนได้ไหมครับ”

ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะดึงความสนใจจากเด็กๆ ได้ดีทีเดียว เพราะตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรหันมามองพี่ชายคนโตเป็นตาเดียว

“พี่ปราณอนุญาตให้ปุณณ์กับปัณณ์ไปเล่นก่อกองทรายหน้าบ้านได้” พอฝาแฝดได้ยินแบบนั้นลูกตากลมก็บิดขึ้นเป็นเสี้ยวพระจันทร์ที่เกิดจากรอยยิ้มหวานทันที “แต่เด็กๆ ต้องเล่นตรงที่ร่มๆ ไม่มีแดดนะครับ”

“ได้ครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์ตอบรับอย่างไว โดยมีปัณณธรตอบตามมาติดๆ

“โอเคเลยครับพี่ปราณ”

“แล้วเดี๋ยวถ้าแดดหมด จะลงไปเล่นทะเลกันก็บอกพี่ครามนะครับ ให้พี่ครามลงไปเล่นเป็นเพื่อน”

ปราณันต์สั่งการเสร็จสรรพก่อนที่จะเดินเก็บของที่ตกอยู่ตามพื้น พอคามินได้ยินแบบนั้น เลยกระซิบบางอย่างที่หูปุณณกันต์ ซึ่งพอเจ้าหนูน้อยฟังจบก็ยิ้มร่าและพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที

“ดีไหมครับปุณณ์” คามินกระซิบถามเสียงเบา

“ดีครับพี่คราม ดีๆ” ปุณณกันต์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหาปราณันต์ พลางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างออดอ้อน

“ปุณณ์อยากให้พี่ปราณไปเล่นน้ำด้วยกันครับ น่านะ นะครับ”

ปราณันต์มองไปยังคามินทันที เขารู้ว่าต้นคิดเรื่องนี้น่าจะมาเด็กโข่งนั่นแน่ๆ แต่คามินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จนสุดท้ายปราณันต์ก็ใจอ่อน ตกลงยอมไปเล่นน้ำกับเด็กๆ ด้วย

“ก็ได้ครับ แต่ตอนนี้ฝาแฝดเล่นกับพี่ครามไปพลางๆ ก่อนนะ ขอพี่ปราณเตรียมมื้อเย็นก่อน แล้วเดี๋ยวจะตามไปนะครับ”

“ได้ครับพี่ปราณ” เด็กๆ หัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะขนอุปกรณ์ของเล่นไปคนละมือสองมือ เตรียมออกไปเล่นก่อกองทรายหน้าบ้าน

คามินเองพอเห็นว่าเด็กๆ กำลังง่วนกับการขนนั่นขนนี่ก็อาศัยจังหวะนี้เข้าไปหาปราณันต์ วงแขนแข็งแรงโอบกอดคนตัวเล็กไว้แน่น จมูกโด่งเป็นสันก็ฉกลงบนแก้มนิ่มทั้งสองข้างไม่หยุด


ฟอด ฟอด ฟอด~


“คุณนี่! ทำอะไรครับ” ปราณันต์ถามอย่างตกใจ ตอนที่โดนคามินประชิดตัว

“ก็กอดคุณปราณไง มันเขี้ยว อยากจะจับฟัดให้จมอก” คามินพูดพลาง ซุกไซ้จมูกไปพลาง ทำเอาปราณันต์ย่นคอหนีไม่ถูก

“เอ๊ะ! คุณ ฮ่ะๆ พอก่อนครับ มันจั๊กจี้” คนในอ้อมกอดหัวเราะคิกคัก พลางร้องขอให้คนตัวใหญ่กว่าหยุดรุกรานตัวเอง

คามินยอมหยุด ก่อนจะกอดปราณันต์ไว้นิ่งๆ เสียงทุ้มพูดอย่างอบอุ่นและมีความสุข

“ผมชอบจัง ที่เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ถ้าหยุดเวลาไว้แค่นี้ได้ ผมก็อยากจะทำ” คามินพูดสื่ออย่างมีความนัย แต่คนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างปราณันต์กลับหัวเราะเสียงใส ก่อนที่จะเอื้อมมือเล็กๆ ทั้งสองข้าง ไปประกบแก้มสาก แล้วพูดขึ้นอย่างน่ารัก

“ไม่เห็นต้องหยุดเวลาเลยนี่ครับ เราก็แค่อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปทุกวัน แค่นี้ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว”

คนตัวเล็กพูดจบก็ก้มหน้างุดๆ ด้วยความเขินอาย โดยที่ไม่ทันได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคามิน สีหน้าแห่งความไม่สบายใจ เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่า ถ้าปราณันต์รู้ความจริง ยังไงก็ไม่มีทางที่อะไรจะเหมือนเดิม

.

.

.

พอถึงเวลาบ่ายคล้อย ปราณันต์ก็ออกมาเล่นน้ำทะเลกับสองเด็กน้อยกับหนึ่งเด็กโข่งตามสัญญา ทั้งสี่เล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน จับคู่กันเป็นทีม ฝั่งละสองคน ปุณณกันต์จับคู่กับปราณันต์ ส่วนปัณณธรจับคู่กับคามิน ต่างฝ่ายต่างวักน้ำสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ปุณณกันต์กับปัณณธรวิ่งไล่กวดกันในน้ำอย่างสนุกสนาน ส่วนคู่ผู้ใหญ่เองก็เหมือนกัน แต่จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่...

“คุณคราม! คุณเอามือล้วงเข้ามาในเสื้อผมทำไม” ปราณันต์โวยวายเมื่อรู้สึกถึงมือใหญ่กำลังไต่เข้ามาใต้ร่มผ้าเขาอย่างเนียนๆ

“ผมเปล่าสักหน่อย” คนเจ้าเล่ห์ยังมีหน้ามาทำหน้าตาย ทั้งที่มือร้อนนั้นกำลังลูบไล้ไปมาทั่วหน้าท้องเขา ทำเอาเจ้าตัวอดรู้สึกร้อนวูบวาบไม่ได้

แต่เท่านั้นยังไม่พอดูเหมือนว่าคามินจะหาโอกาสลวนลามเขาอยู่เรื่อยๆ บางคราวก็ทำเป็นฉุดปราณันต์ให้ล้มลงกลางทะเล แต่ในความเป็นจริงคือให้ล้มลงบนตัวของเจ้าตัวเองนั่นแหละ พอปราณันต์ล้มลงนั่งบนตักใหญ่ๆ ของคามินแล้ว เขาก็แกล้งดันสะโพกให้ส่วนปูดโปนกลางร่างกายกระแทกกับบั้นท้ายกลมกลึงของปราณันต์เบาๆ นั่นทำเอาร่างบางแทบพูดไม่ออก เพราะรู้สึกเขินอายมากเหลือเกิน มีแต่ตัวคามินนั่นแหละที่ดูเหมือนจะสนุก หัวเราะร่าที่ได้แกล้งเขาได้อยู่คนเดียว

“ผมไม่เล่นกับคุณแล้ว คุณชอบแกล้งผม” ปราณันต์บ่นหน้างอในขณะที่นั่งคร่อมตักคามินอยู่กลางน้ำ

“ฮ่าๆ” คามินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ตอนเห็นท่าทางกระเง้ากระงอดของปราณันต์ “ผมไม่ได้แกล้งสักหน่อย ผมแค่บอกคุณปราณเฉยๆ ว่าผมอยากได้อะไร”

คามินกระซิบข้างใบหูนิ่ม ทำเอาแก้มขาวๆ ของปราณันต์ขึ้นสีอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ซึ่งคนตัวโตเองก็เน้นย้ำคำพูดตัวเองด้วยการลากริมฝีปากหยักไปตามลำคอสวย จวบจนกระทั่งมาหยุดที่กระดูกไหปลาร้า โดยมีมือใหญ่แกล้งปัดป่ายโดนยอด อกสีสวยเบาๆ ด้วย

“อ๊ะ!” ปราณันต์ร้องออกมาเบาๆ อย่างตกใจ ก่อนจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนโดยเร็ว เพราะกลัวที่จะเลยเถิดกันไปมากกว่านี้

“คุณปราณ...” คามินครางเรียกคนตัวเล็กกว่าอย่างเสียดายทันทีที่ปราณันต์ผละออกจากตักของตัวเอง

“มะ.. ไม่เอาครับ พอแล้ว ผมไปดูอาหารเย็นก่อนดีกว่า ยังไงก็ฝากพาเด็กๆ ขึ้นด้วยนะครับ”

พอพูดจบปราณันต์ก็เดิยขึ้นฝั่งไปเลย ทำเอาคามินได้แต่มองตามไปอย่างเสียดาย

.

.

.

“พี่ปราณครับ พวกเรามาแล้ว” ปัณณธรวิ่งตัวเปียกซ่กเข้ามาในบ้าน ซี่งจังหวะนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่ปราณันต์เตรียมโต๊ะอาหารเสร็จพอดี เขาเลยเอ่ยปากว่าจะเป็นคนพาเด็กๆ ไปอาบน้ำเอง

“มาครับ เดี๋ยวผมพาเด็กๆ ไปอาบน้ำเอง คุณไปอาบของคุณเถอะ จะได้มาทานข้าวพร้อมๆ กัน”

“ไม่เอาครับ เดี๋ยวผมช่วย คุณปราณเองก็ยังไม่ได้อาบเหมือนกัน ช่วยกันจะได้เร็วๆ เดี๋ยวคุณปราณกับผมจะได้แยกย้ายไปจัดการตัวเองไงครับ”

คามินเสนอตัวช่วย ฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนจะหวังดีแต่ที่จริงแล้วคนเจ้าเล่ห์กำลังมีแผนอยู่ในใจต่างหาก

ทั้งสองต่างช่วยกันจัดการฝาแฝดจนเรียบร้อย เลยปล่อยให้เด็กๆ ไปเล่นกันหน้าทีวี รอเวลาให้ผู้ใหญ่ทั้งสองไปอาบน้ำอาบท่าเช่นกัน

“ปุณณ์ ปัณณ์ เล่นกันดีๆ นะครับ เดี๋ยวพี่ปราณกับพี่ครามขอไปอาบน้ำแปปนึง แล้วจะได้ออกมาทานข้าวเย็นกันเนาะ” ปราณันต์สั่งเด็กๆ ก่อนที่จะคว้าผ้าเช็ดตัว เตรียมจะเข้าห้องน้ำ

“ครับพี่ปราณ/ครับพี่ปราณ”

ปราณันต์อมยิ้มเอ็นดูให้เจ้าหนูทั้งสอง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำและในขณะจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้อยู่นั้น จู่ๆ คามินก็พุ่งพรวดเข้ามาอยู่ในห้องน้ำห้องเดียวกัน หนำซ้ำตอนนี้คนเจ้าเล่ห์ก็จัดการล็อคประตูเรียบร้อยแล้วอีกต่างหาก

“คุณคราม! ทำอะไรเนี่ย” ดวงตากลมของปราณันต์ที่โตอยู่แล้วก็เบิกกว้างขึ้นไปอีก ตอนเห็นคามินเข้ามาอยู่ในห้องน้ำเดียวกับตัวเอง

“ผมมาช่วยถูหลังให้คุณปราณไงครับ” นอกจากจะไม่สำนึกแล้วก็ดูเหมือนกับว่า คามินมีความสุขมากที่ได้ทำแบบนี้

“ไม่เอานะครับ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” ปราณันต์พยายามผลักให้คามินขยับออก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล

“ชู่ววว เบาๆ สิครับ เดี๋ยวฝาแฝดได้ยินผมไม่รู้ด้วยนะ” คนตัวโตกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์หยุดโวยวายแทบไม่ทัน คนตัวเล็กได้แต่กรีดร้องในใจที่ทำอะไรไม่ได้ เสียเปรียบคามินไปหมดทุกอย่างขนาดนี้

“ผมถูหลังให้นะครับที่รัก” คามินกระซิบเสียงกระเส่า ในขณะที่ปราณันต์ได้แต่ตวัดตาค้อน แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ นอกจากปล่อยเลยตามเลย ถ้าอยากให้การอาบน้ำนี้เสร็จลงอย่างรวดเร็ว

มือใหญ่จัดการถลกชายเสื้อยืดของปราณันต์ขึ้น ก่อนจะถอดมันออกจากตัวของคนตรงหน้าช้าๆ คามินเหวี่ยงเสื้อของปราณันต์ลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้ภาพร่างกายขาวโพลนของคนตรงหน้านี่น่าสนใจกว่าเยอะ

คามินบีบสบู่เหลวลงมือก่อนจะลูบลงไปบนผิวกายเรียบลื่นของคนรักช้าๆ ปราณันต์ได้แต่ยืนนิ่งข่มความอาย ริมฝีปากล่างสีสดถูกเจ้าตัวขบกัดไว้ เพื่อกลั้นเสียงครางที่อาจจะหลุดออกจากปากอิ่มได้ทุกเมื่อ

“ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าคุณปราณมีรูปร่างที่สวยมาก สวยมากเหลือเกิน” คามินกระซิบชิดใบหูนิ่ม ก่อนจะแลบลิ้นเลียใบหูเล็กๆ นั่นเบาๆ ทำเอาร่างเล็กๆ ของปราณันต์สั่นสะท้านอย่างยากที่จะควบคุม

น้ำสะอาดไหลลงตามร่างกายปราณันต์ คามินลูบมือไปมาทั่วผิวกายขาวใส คราบสบู่ถูกกำจัดออกไป คามินจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาหลงใหล รู้ตัวอีกที ริมฝีปากร้อนๆ ของเขาก็ค่อยๆ พรมจูบลงผิวสีขาวๆ ของปราณันต์เสียแล้ว

คามินลากริมฝีปากหยักไปทั่วบริเวณกลางอกคนตัวเล็ก มือใหญ่ก็กำลังลูบไล้ไปทั่ว จนเผลอปัดป่ายไปที่ยอดอกสีหวานของปราณันต์โดยไม่ได้ตั้งใจ

“อ๊ะ”

ปราณันต์ครางออกมาอย่างยากที่จะควบคุม และนั่นยิ่งทำให้คามินสติเตลิดยิ่งกว่าเดิม

มือใหญ่กำลังจะเอื้อมลงไปที่ขอบกางเกงของปราณันต์ ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็หลุดออกจากความยับยั้งชั่งใจโดยสิ้นเชิงแล้วเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่านี่จะยังไม่ใช่โชคของคามิน เพราะจู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“พี่ปราณค้าบ ปัณณ์ปวดฉี่ พี่ปราณใกล้จะเสร็จรึยังครับ”

ปราณันต์เหมือนจะได้สติทันทีที่ได้ยินเสียงของน้องชายแว่วเข้ามา เขารีบดันตัวคามินออก ก่อนจะหันซ้ายหันขวาหน้าตาตื่น เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี

“คุณคราม... ทำยังไงดีครับ น้องจะเข้าห้องน้ำ” ปราณันต์ถามคามินหน้าตาตื่น ถ้าปัณณธรเห็นเขาสองคนอยู่ในห้องน้ำด้วยกันแบบนี้ แกต้องถามแน่ๆ

“ใจเย็นๆ ครับที่รัก” คามินนิ่งไปแปปนึง ก่อนจะคิดได้แล้วจึงกระซิบปราณันต์ “คุณบอกให้แกไปหยิบกระดาษทิชชู่ในครัวมาก่อนครับ แล้วเดี๋ยวผมจะอาศัยจังหวะนี้หลบออกไป”

ปราณันต์พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะตะโกนบอกออกไป

“ปัณณ์ครับ กระดาษทิชชู่ในห้องน้ำหมด หนูไปหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะอาหารในครัวมาก่อนนะ เดี๋ยวพี่ปราณจะเปิดประตูให้หนูเข้ามา”

ปัณณธรเงียบไป ก่อนจะตะโกนรับคำอย่างน่าเอ็นดู “ครับพี่ปราณ”

พอปราณันต์ได้ยินเสียงน้องชายวิ่งออกไป เขาก็รีบไล่คามินออกจากห้องน้ำทันที

“คุณครามออกไปได้แล้ว เดี๋ยวปัณณ์จะวิ่งกลับมาซะก่อน” ปราณันต์พูดโดยไม่ยอมมองหน้าคามิน

“คุณปราณโกรธผมหรอครับ” คนตัวโตถามเสียงหงอย

ปราณันต์รีบเงยหน้ามองคามิน พลางปฏิเสธเสียงสั่น “ผมไม่ได้โกรธนะ”

“แต่คุณปราณไม่มองหน้าผมเลย ผมแค่อยาก.. สัมผัสคนที่ผมรัก ถ้าผมทำให้คุณปราณไม่พอใจ ผมสัญญาว่าจะไม่..”

มือเล็กเอื้อมมาปิดปากคามินไว้ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค “ผมไม่ได้โกรธ แต่ผมอายเฉยๆ ผม... เข้าใจคุณนะเพราะผมเองก็รู้สึกดีเหมือนกันเวลาถูกคุณสัมผัส” ปราณันต์พูดอายๆ

“จริงหรอครับ” คามินถามอย่างตื่นเต้น

“ตอนนี้คุยลำบาก คุณออกไปก่อนเถอะครับ ก่อนที่ปัณณ์จะกลับมา”

คามินพุ่งเข้าไปจูบหน้าผากมนของปราณันต์ก่อนจะผละออกมา ฉิวเฉียดกับที่ปัณณธรวิ่งกลับมาพอดี

สายตาคมมองตามประตูห้องน้ำที่เพิ่งปิดไปอีกรอบ เขานึกอย่างย่ามใจ ถ้าลองมาอิหรอบนี้ แผนการที่เขาวางไว้ก็คงไม่ได้ยากเกินหวังอีกต่อไป

.

.

.

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งสี่ก็มานั่งเล่นกันที่หน้าทีวี คามินยังคงพยายามจะสัมผัส แตะนู่นจับนี่ปราณันต์ยามที่ทุกคนเผลออยู่เรื่อยๆ จนเวลาผ่านเข้าช่วงดึก ปราณันต์ก็สังเกตเห็นว่าเด็กๆ เริ่มง่วงนอนแล้ว จึงได้บอกให้เด็กๆ เก็บของเล่น แล้วเตรียมเข้านอน

“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ ดึกแล้วเราเข้านอนกันดีกว่าเนาะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยตื่นมาเล่นใหม่”

“ครับพี่ปราณ/ครับพี่ปราณ” เจ้าหนูทั้งสองรับคำพร้อมกันอย่างน่ารัก ก่อนจะทยอยหยิบของเล่น เก็บเข้ากล่องที่ขนมาจากกรุงเทพ

“ป่ะครับฝาแฝด เดี๋ยววันนี้พี่ปราณอ่านนิทานให้ฟังนะ” สามพี่น้องเดินจูงมือกันเข้าห้องนอนไป โดยมีสายตาคมของคามินมองตามไปอย่างมีความหมาย

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ปราณันต์ก็เดินออกมาจากห้องฝาแฝด เขากลับเข้ามาในห้องนอนของเขาทั้งคู่ คามินแกล้งทำเป็นหลับ แต่ก็หรี่ตามองปราณันต์เล็กน้อย ทันพอได้เห็นว่าผมสีเข้มของคนตัวเล็กดูยุ่งเหยิงนิดหน่อย นี่คงนอนฟัดกับฝาแฝดมาก่อนที่เด็กๆ จะหลับแน่ๆ ไม่งั้นไม่มีสภาพแบบนี้หรอก

ปราณันต์ยืนกอดอกค้ำหัวเตียง มองคามินที่นอนเอนกเขนกศีรษะไปทาง เท้าไปทาง เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจจับคามินให้นอนดีๆ และตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาเสียรู้คนเจ้าเล่ห์เข้าให้แล้ว

คามินเอื้อมมือไปกระตุกแขนปราณันต์ที่กำลังจับไหล่เขาไว้เพื่อจะจัดท่าทางการนอนให้ คนตัวเล็กไม่ทันได้ระวัง คามินจึงจับต้นแขนคนด้านบน แล้วออกแรงเบาๆ เท่านี้ปราณันต์ก็ล้มลงมานอนบนตัวเขาเรียบร้อยแล้ว

“อุ๊ย! คุณคราม!” ปราณันต์ฟาดมือเล็กๆ ลงไปบนอกกำยำ “เล่นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเกิดผมล้มลงมาทับคุณแรงๆ คุณจะไม่เจ็บตัวเอาหรอครับ”

คามินหัวเราะน้อยๆ ตอนปราณันต์พูดจบ มือใหญ่ลูบไล้ไปมาบนแผ่นหลังเรียบลื่นนั้นเบาๆ พลางพูดติดตลก

“โถ่ที่รักครับ คุณตัวเล็กแค่นี้เอง ต่อให้คุณล้มลงมาทับผมทั้งตัว ก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก”

ปราณันต์จ้องหน้าคามินนิ่ง ก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อพบว่าตัวเองเห็นด้วยกับสิ่งที่คนตัวโตพูด

“ก็คุณน่ะมันยักษ์ปักหลัก ตัวใหญ่โตผิดคนอื่นเขา” ปราณันต์แกล้งว่า พลางจิ้มนิ้วลงไปที่อกกำยำของคนด้านล่างอย่างนึกมันเขี้ยว

คามินเองก็ไม่ต่าง เขาหยัดใบหน้าขึ้นมาก่อนจะกัดเบาๆ ลงบนคางได้รูปของคนด้านบน “ใครจะไปตัวเล็ก น่ากอดน่าฟัดให้จมอกแบบคุณปราณล่ะ คุณปราณไม่รู้หรอก ว่าผมต้องห้ามใจแค่ไหนเวลาที่อยู่ใกล้ๆ คุณ”

ประโยคหลังของคามินถูกลดเสียงลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เซ็กซี่และกระตุ้นอารมณ์มากตามความคิดของปราณันต์

“เอ่อ.. คือ” ปราณันต์อึกอัก และพยายามจะผละออกจากอ้อมกอดที่รัดเขาอยู่ “ปล่อยผมก่อนดีไหมครับ”

เสียงหวานถามสั่นๆ ซึ่งคามินรู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์กำลังหวั่นไหว

“คุณปราณอยากให้ผมปล่อยจริงหรอ ไหนคุณปราณบอกว่า รู้สึกดีเวลาที่ผมสัมผัสไงครับ”

พูดไม่พูดเปล่า เพราะตอนนี้คามินพลิกร่างเล็กๆ ที่กำลังนอนทับอยู่บนตัวเขา ให้ลงไปนอนหงายบนเตียง โดยมีร่างกายสูงใหญ่ของเขาคร่อมทับไว้เรียบร้อยแล้ว

“ว่าไงครับ คุณปราณอยากให้ผมปล่อยจริงรึป่าว หื้ม?”

คนใต้ร่างเสเบี่ยงหน้าไม่สบตาคมที่กำลังมองลงมา ฟันซี่งามกำลังขบลงบนริมฝีปากล่างสีสด อย่างกับว่ากำลังชั่งใจ

“ผม...” ปราณันต์อึกอัก จะปฏิเสธก็ทำได้ไม่เต็มปาก เพราะในใจคิดตรงกันข้ามกับสิ่งที่จะพูด

“ถ้าคุณปราณไม่โอเค ผมจะไม่ฝืนใจ...” คามินแกล้งพูดเสียงเศร้า และเตรียมจะผละออกจากร่างเล็ก

ปราณันต์ผวาตัวขึ้นกอดร่างสูงไว้เต็มอ้อมแขน “อย่าไป...ผม..ผมอยากให้คุณกอด”

ปราณันต์พูดอายๆ คามินแอบอมยิ้มในหน้า เขารู้ดีว่าปราณันต์กำลังใจอ่อน

คนตัวโตพลิกหันกลับเข้าหา พลางโอบกอดร่างเล็กไว้อีกครั้ง ก่อนจะกระซิบชิดใบหูนิ่มเบาๆ

“แล้วถ้าผมอยากทำมากกว่ากอด คุณปราณจะโอเคไหมครับ”

คามินแกล้งถามด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ ปราณันต์ก้มหน้าเอียงอาย ก่อนที่จะหันกลับมาสบตาคามินด้วยแววตาออดอ้อน

และเหมือนสัตว์ร้ายในร่างกายคามินถูกปลุกให้ตื่น ด้วยสีหน้าแบบนั้น ท่าทางแบบนั้น แววตาแบบนั้น ยิ่งอยากทำให้คามินกระโจนเข้าขย้ำร่างขาวๆ ของปราณันต์ให้แหลกคามือ อยากจะรัก อยากจะโถมร่างกายเข้าไปในตัวของปราณันต์ให้แรงๆ ให้สมกับที่ยั่วเย้าให้เขาตบะแตกได้ขนาดนี้ เด็กคนนี้ช่างมีอิทธิพลทำลายล้างความอดทนของเขาได้มากมายเสียจริง

ไวเท่าความคิด คามินก้มลงซุกไซ้ไปที่ซอกคอขาวของคนใต้ร่าง เขาทั้งขบ ทั้งเม้ม ทั้งสร้างรอยรัก รอยตีตรา เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าปราณันต์คนนี้เป็นของเขา ของเขาแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น

“อื้อ..” คนตัวเล็กครางเสียงหวาน ดวงหน้าสวยกำลังแดงก่ำ เต็มไปด้วยความต้องการและแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นให้ลุกฮือ

มือใหญ่ลูบไล้ปัดป่ายไปทั่วร่างขาว ผิวเรียบลื่นของคนใต้ร่าง ทำให้คามินหยุดไม่ได้ ในขณะที่ลิ้นร้อนก็ทำงานควบคู่กับมือคู่นั้นได้เป็นอย่างดี มันลากผ่านใบหู ลำคอ มาจนถึงไหปลาร้า ทุกที่ที่ริมฝีปากหยักลากผ่าน สร้างความสั่นสะท้านให้ปราณันต์ได้เป็นอย่างมาก มันทิ้งทั้งร่องรอยความร้อน และความวาบหวามไว้ ทุกอวัยวะของปราณันต์หดเกร็ง เมื่อถูกริมฝีปากร้อนๆ นั่นสัมผัส มือเรียวเล็กของปราณันต์ จิกกลางหลังของคามินแน่น เพื่อระบายความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น

“อะ อาา”

“ชอบไหมครับ คนดี หื้ม” คามินเงยหน้าขึ้นมาถาม ตอนนี้ริมฝีปากร้อนของเขากำลังนัวเนียพัวพันอยู่ตรงหน้าท้องและลอนซิกแพคส์จางๆ ของคนใต้ร่าง

“ผ... ผม...” ดูเหมือนว่าปราณันต์จะยังคลำหากล่องเสียงของตัวเองไม่เจอ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง มันก้ำกึ่งระหว่างดีกับไม่ดี แน่นอนว่าสัมผัสจากริมฝีปากร้อนๆ ของคามินสร้างความรู้สึกหฤหรรษ์ให้กับเขาได้ไม่น้อย แต่อีกใจของปราณันต์ก็กำลังบอกให้ตัวเองพอ ก่อนที่จะถลำลึกมากไปกว่านี้

คามินจับความลังเลจากน้ำเสียงของปราณันต์ได้ เขาจะไม่ยอมพลาดเป็นครั้งที่สอง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ปราณันต์หลุดมือไปอีก เวลาระหว่างเขากับปราณันต์เหลือไม่มากแล้ว อย่างน้อยเขาก็อยากจะผูกมัดคนตรงหน้านี้ไว้ด้วยอะไรสักอย่างก็ยังดี

เมื่อคิดได้แบบนั้น ริมฝีปากหยักก็โฉบลงไปตรงใจกลางร่างกายของอีกฝ่ายทันที กางเกงผ้าที่ปราณันต์ใส่อยู่นั้นดูเหมือนจะไร้ความหมาย เมื่อคามินทั้งไล้ทั้งเลียตรงส่วนนั้นของปราณันต์จนชุ่มน้ำลายไปหมด กางเกงตัวน้อยเปียกชื้นจนมองเห็นกางเกงชั้นในสีอ่อนที่ปราณันต์ใส่อยู่ภายใน ส่วนตัวปราณันต์เองก็เผลอยกสะโพกลอยคว้าง เมื่อถูกจู่โจมจากสัมผัสวาบหวามที่เขายังไม่คุ้นชิน

ข้อเท้าเรียวขาวทั้งสองข้างถูกมือใหญ่ของชายผู้เป็นคนนำเกมในครั้งนี้ตรึงตั้งฉากไว้กับที่นอนแน่น กลางหว่างขากลมกลึง ปากร้อนๆ ของคามินกำลังผละออกจากใจกลางร่างกายของปราณันต์มาเป็นต้นขาด้านในแทน

“อื้อ.. อาา” เสียงหวานครางกระเส่าแทบไม่เป็นภาษา ร่างขาวบิดไปบิดมาบนที่นอนจนผ้าปูยับย่น อกเล็กๆ ของปราณันต์กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบหายใจ คามินกำลังจู่โจมปราณันต์ทุกช่องทาง ขนาดคนเจนจัดเรื่องพรรค์อย่างนี้ถ้าลองได้เจอคามินเข้าไปยังแทบไปไม่เป็น นับประสาอะไรกับเด็กไร้เดียงสาที่ไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่ามาก่อนอย่างปราณันต์ ถ้าต้านทานได้ก็เหลือเชื่อเต็มทน

ใจนึงของปราณันต์บอกให้ตัวเองหยุดตั้งแต่ตอนนี้ แต่อีกใจก็อยากลิ้มลองประสบการณ์แปลกใหม่นี้เหลือเกิน ถึงแม้เขาจะกลัว แต่ด้วยเลือดหนุ่มที่มันไหลพล่านอยู่ข้างใน ประกอบกับความรักที่เขามีให้คามินอย่างเต็มที่ ทำให้เขาเลือกที่ข้ามผ่านความกลัวนั้น เพื่อใกล้ชิดและลึกซึ้งมากขึ้นอีกกับคนที่เขารัก

ปราณันต์ตัดสินใจเอื้อมมือลงไปปลดตะขอกางเกงขาสั้นที่ตัวเองใส่อยู่ พร้อมทั้งกระดกสะโพกขึ้นเพื่อร่นกางเกงให้หลุดไปกองที่ปลายเท้า คามินมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงเล็กน้อย แบบนี้ถ้าเขาไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป...

“คุณปราณครับ ผมเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม” ใบหน้าหล่อเหลาหยัดขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้กำลัง ปรือปรอยและยั่วเย้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นที่แทบระงับไม่อยู่

ปราณันต์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ลากมือเล็กๆ ของตัวเองไปทั่วแผงอกแข็งแรงที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะลากผ่านช้าๆ ไปที่กลางหน้าท้องไปที่ลอนซิคแพคส์สวยงามที่เขามักจะชอบแอบมองเสมอ จากนั้นมือเล็กๆ ก็ไปหยุดที่ขอบกางเกงของคามิน มันหยุดอยู่ตรงขอบกางเกงอย่างลังเลอยู่ไม่ถึงอึดใจ ก่อนที่จะลากเลื้อยไปตรงกลางท่อนเนื้อร้อนๆ ของคามินที่กำลังขยับขยายอยู่ภายใต้กางเกงขาสั้นที่ชายหนุ่มใส่อยู่ เจ้าของมือเล็กออกแรงบีบมันเบาๆ เท่านั้นก็แทบทำให้สติของคามินขาดกระเจิง

ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด คามินพรมจูบไปที่แก้มนิ่มอย่างรักใคร่ เอาใจ และหลงใหล ปราณันต์มีท่าทีสมยอมที่ช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาเขา ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะรักใส่คนใต้ร่างให้แรงๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย

“ขอบคุณนะครับที่รัก” คามินยังคงพรมจูบปราณันต์ไม่หยุด ตาคมจ้องเข้าไปในตากลมอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อคามินสังเกตเห็นความกลัวที่เจืออยู่ในแรงปรารถนาที่ลุกโชนที่อยู่ในตากลมใสไร้เดียงสานั้น เขาก็อดสงสารคนใต้ร่างขึ้นมาไม่ได้ เลยตัดสินข่มความต้องการของตัวเองไว้ ก่อนจะถามปราณันต์อีกครั้ง

“คุณปราณ คุณปราณแน่ใจแล้วใช่ไหมครับ” มือใหญ่ลูบแก้มนิ่มอย่างปลอบประโลม “ถ้าผมข้ามจุดนี้ไป ผมคงหยุดตัวเองไม่ได้แล้ว ถ้าคุณปราณยังไม่พร้อม คุณปราณต้องหยุดผมตั้งแต่ตอนนี้ ผมไม่อยากฝืนใจคุณปราณเลย รู้ไหมครับคนดี”

แม้ใจจะปรารถนาครอบครองปราณันต์มากแค่ไหน แต่จะให้เขาทำลายความไร้เดียงสานี้โดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ เขาทำไม่ได้จริงๆ

ริมฝีปากอิ่มที่กำลังบวมเจ่อเพราะถูกบดจูบไปก่อนหน้านี้ค่อยๆ อมยิ้มน้อยๆ อย่างเอียงอาย มือเล็กๆ ยื่นไปลูบแก้มสาก เหมือนอย่างที่คนด้านบนทำกับตัวเอง ก่อนที่เสียงหวานจะเอ่ยถ้อยคำหวานล้ำที่เขาอยากได้ยินมานานเหลือเกิน


“รักผม ทำให้ผมเป็นของคุณ ผมอยากเป็นของคุณทั้งตัวและหัวใจ โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น”


คามินยิ้มไปถึงดวงตา ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มที่เพิ่งพูดประโยคที่น่าฟังที่สุดให้เขาได้ฟัง

ทั้งสองต่างตะโบมจูบให้กันอย่างรุนแรงและเร่าร้อน ปราณันต์เผยอปากต้อนรับเรียวลิ้นร้อนที่รุกล้ำเข้ามาในโพรงปากเขาอย่างเต็มใจ ลิ้นทั้งคู่ตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดกันอย่างโหยหาและทวีความดิบเถื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่มสองคนที่กำลังพลุ่งพล่าน แขนเรียวโอบรั้งรอบคอคามินให้ก้มลงมาแนบชิดและป้อนจูบเขาได้ลึกซึ้งกว่าเดิม หลังของปราณันต์ลอยเด่นเหนือที่นอนเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับ

คามินผละริมฝีปากออกจากริมฝีปากปราณันต์ก่อนจะลากริมฝีปากไล่มาเรื่อยๆ เบาๆ จนตรงกลางอกข้างซ้าย คามินหยุดชะงักไปแปปนึง ก่อนจะกดจูบลงเบาๆ ลงตรงจุดเดียวกับหัวใจของปราณันต์ ที่ตอนนี้กำลังเต้นกระหน่ำรัวอย่างรุนแรงจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน


“ผมรักคุณมากเหลือเกิน... เป็นของผมนะครับคุณปราณ


สายตาสองคู่ประสานกันนิ่ง มีแต่เสียงหอบหายใจเท่านั้นที่ดังแข่งกับเสียงเต้นของหัวใจที่ดังระรัวอยู่ในอกของคนทั้งคู่

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------------

เตรียมตัวรับแรงกระแทกนะคะ เร็วๆ นี้แหละ 55555555555

ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยน้าาาา แล้วตอนต่อไปจะรีบมาอย่างไวเลยงับบบบบ อิอิ

และก็ขอขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ ที่คอมเม้นท์ให้กำลังใจกันตลอดเลยย ขอบคุณมากค้าบบบ ละเจอกันตอนหน้าน้าาาาา <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...17/02/64 [19th Lies: ลงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-02-2021 21:35:36
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...17/02/64 [19th Lies: ลงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-02-2021 23:48:41
 :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...17/02/64 [19th Lies: ลงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-02-2021 01:15:58
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...17/02/64 [19th Lies: ลงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 19-02-2021 10:31:02
ได้เวลารับความเจ็บปวด
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 21-02-2021 20:56:52
20th Lies : ไม่คาดคิด


จบคำของคามินคนหนุ่มทั้งสองต่างกระโจนเข้าหา ราวกับโหยหากันมานาน ริมฝีปากของคนทั้งคู่บดเบียดดูดดึงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงจูบน่าอายดังระงมไปทั่วทั้งห้อง ดูเหมือนเสื้อที่ทั้งสองคนใส่อยู่ตอนนี้จะเป็นสิ่งกีดขวางที่ทำให้น่าหงุดหงิดใจไม่น้อย คามินจึงใช้มือใหญ่ของตัวเอง ถอดเสื้อที่จะหลุดเแหล่ไม่หลุดแหล่ของปราณันต์ออก ก่อนจะเหวี่ยงมันลงข้างเตียงอย่างไม่ไยดี และแน่นอนว่าริมฝีปากของคนทั้งสองยังไม่ผละออกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว

“อื้อออ” ปราณันต์ส่งเสียงประท้วงเมื่อเขาเริ่มหายใจไม่ทัน คามินจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก ก่อนที่สายตาคมจะจ้องริมฝีปากอิ่มสีสดที่กำลังบวมเจ่อของปราณันต์ อย่างเอาเป็นเอาตาย


... ยัง มันยังไม่พอ เขาอยากจูบอีก อยากจูบปราณันต์ให้ขาดใจคาอกเขาไปเลย ถ้าเป็นไปได้


ไวเท่าความคิด คามินก้มลงไปเลียน้ำใสที่ติดอยู่มุมปากของคนใต้ร่าง ซึ่งน่าจะไหลติดออกมาจากจูบก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ค่อยลากลิ้นร้อนๆ ไปที่ร่องปากอิ่มอย่างเรียกร้อง

ปราณันต์เข้าใจความต้องการของคนรักเป็นอย่างดี เขาค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ อีกครั้ง และนั่นทำให้เรียวลิ้นชื้นของคนด้านบน ตรงเข้าสำรวจโพรงปาก เพื่อความหาลิ้นของอีกคนทันที

ในขณะที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่ยังคงป้อนจูบกันไม่ห่าง นิ้วและมือที่ซุกซนของคามินก็ไม่ได้อยู่เฉย มันปัดป่ายไปทั่ว จนกระทั่งมาหยุดที่ยอดอกสีหวานข้างหนึ่งของปราณันต์ ก่อนที่เจ้าตัวจะออกแรงสะกิดมันเบาๆ

ปราณันต์เกร็งกระตุกเพราะความเสียวซ่านทันที เมื่อได้รับสัมผัสวาบหวามจากมือใหญ่ของคามิน แต่เพราะริมฝีปากทั้งคู่กำลังประกอบกบอยู่เสียงครางหวานที่คามินชอบฟังจึงอู้อี้อยู่แค่ในลำคอของอีกฝ่ายเท่านั้น สิ่งเดียวที่คามินรู้ว่าปราณันต์กำลังพอใจคือ มือเล็กๆ ที่สอดอยู่ในกลุ่มผมสีเข้มของเขา กำลังออกแรงกดศรีษะเขาเบาๆ เพื่อรั้งให้เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่ในริมฝีปากแนบชิดและลึกซึ้งกว่าเดิม

เวลาผ่านไปไม่นาน คามินต้องยอมละริมฝีปากออก ก่อนที่ปราณันต์จะขาดใจไปจริงๆ

สายตาคมมองจ้องคนใต้ร่างที่ตอนนี้มีเพียงกางเกงชั้นในปกปิดอวัยวะใจกลางร่างกายอยู่เพียงเท่านั้น ร่างเล็กๆ กำลังนอนระทดระทวยอย่างยั่วยวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ผิวกายขาวที่กำลังขึ้นสีแดงก่ำ ริมฝีปากอิ่มที่กำลังบวมเจ่อ อกเล็กๆ ที่กำลังกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงเพราะแรงหอบหายใจ ยอดอกที่กำลังแข็งตึงเพราะแรงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน และที่สำคัญดวงตากลมโตคู่นั้นมันทั้งเซ็กซี่ และเรียกร้องให้เขาหมดความยับยั้งชั่งใจที่พึงมีทั้งปวง

คามินที่กำลังจะก้มลงกอดและสำรวจร่างกายปราณันต์อีกครั้งก็มีอันต้องให้ชะงัก เพราะจู่ๆ มือเล็กๆ ของปราณันต์ก็ถูกยื่นมาดันอกเขาไว้

คามินใจเสียขึ้นมาทันที เขาทำอะไรให้ปราณันต์ไม่พอใจหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ ปราณันต์ก็เกิดมาห้ามไม่ให้เขาเดินหน้าต่อแบบนี้

หากแต่ก็กังวลได้ไม่ถึงอึดใจ เสียงหวานก็พูดขึ้นเบาๆ อย่างเอียงอาย ซึ่งนั่นช่างเป็นประโยคที่น่าฟังสำหรับเขาเหลือเกิน

“ถอดเสื้อคุณออก... ได้ไหมครับ ผมอยากสัมผัสร่างกายคุณ โดยไม่มีอะไรมาขวาง” จบประโยค แก้มทั้งสองข้างของคนพูดก็ขึ้นสีอย่างน่ามอง การที่ปราณันต์ขอร้องเขาด้วยท่าทีขวยเขินแบบนี้ ยิ่งทำให้หัวใจของคามินลิงโลดยิ่งกว่าเดิม

คามินจัดการถอดเสื้อผ้าตัวเองออกจนหมด ไม่ใช่แค่เสื้อแต่รวมทั้งกางเกงด้วย เห็นจะเหลือไว้ก็แค่เพียงกางเกงชั้นในที่กำลังโอบอุ้มเจ้ามังกรยักษ์ของเขาอยู่อย่างทรมานเท่านั้น เพราะตอนนี้มันขยับขยายและร่ำร้องจะออกมาสัมผัสกับช่องทางของปราณันต์จนแทบทนไม่ไหว แต่คามินยังเลือกที่จะไม่ถอดกางเกงชั้นในออก เขาไม่อยากให้ปราณันต์ตกใจหรือถอดใจไปก่อน เมื่อเห็นขนาดของมันที่กำลังขยายเต็มที่เพราะความต้องการที่อัดแน่น

ปราณันต์ยิ้มเขินเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของคามิน มือเล็กๆ ลูบไปตามอกแกร่ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ยอดอกสีเข้ม นิ้วเรียวเล็กถูกยื่นออกไปสะกิดมันเบาๆ อย่างต้องการลองดี

“อะ อาาาา” เสียงทุ้มครางต่ำอยู่ในลำคอ

คนตัวเล็กกว่าหัวเราะอย่างซุกซนเมื่อได้เห็นท่าทางพอใจของคามิน ก่อนที่คามินจะนึกหมั่นเขี้ยว ก้มลงไปกัดจมูกคนด้านล่างเบาๆ

“เด็กแสบ แกล้งผมหรอ หื้ม?” คามินแกล้งถามเบาๆ ก่อนจะไล้จมูกไปตามแก้มนิ่มช้าๆ แขนเรียวยกโอบรอบคอคามินอัตโนมัติ ก่อนจะเอียงคอให้คนด้านบนรุกรานตัวเองได้ถนัดขึ้น

คามินลากจมูกโด่งเป็นสันลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงตามแนวกระดูกไหปลาร้า พลางใช้ปากหยักขบเม้ม ตีตรา แสดงความเป็นเจ้าของ

“อืมม” ปราณันต์ครางอย่างพอใจ ยิ่งทำให้คามินรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น

ริมฝีปากร้อนลากไปเรื่อยๆ จนถึงกลางอก สีหวานสวยของยอดอกของปราณันต์แทบจะไม่ต่างกับสีริมฝีปากของเจ้าตัวเลยสักนิด .. มันช่างน่าลิ้มลอง

ไวเท่าความคิด เรียวลิ้นชื้นถูกแลบออกมาจากริมฝีปากหยัก ก่อนที่จะแตะเบาๆ ลงบนยอดอกสีหวานข้างหนึ่ง

“อ๊ะ อ๊าาา” น้ำเสียงเสียวซ่านที่หลุดครางออกมาบอกได้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์รู้สึกยังไง และเพื่อไม่ให้อีกข้างน้อยหน้า นิ้วเรียวก็ยื่นไปสะกิดลงบนตุ่มไตรัวเร็ว

“อ๊าาา” อกของปราณันต์ลอยแอ่นคว้างเพราะความเสียว คามินเลยเปลี่ยนจากใช้ลิ้นเลียที่ตุ่มไตนั้นมาเป็นการครอบริมฝีปากลงไปแทน และออกแรงดูดมันราวกับหิวโหยเสียเหลือเกิน

“อื้อออ ส.. เสียว” ปราณันต์แทบครางไม่เป็นภาษา มือเล็กสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีเข้มอย่างต้องการจะหาที่ยึด ก่อนจะออกแรงกดเบาๆ ลงไปบนศีรษะคนด้านบน เพื่อให้คามินปรนเปรอตนเองได้ถนัดขึ้น

“คะ ... อื้อ คุณคราม” คนใต้ร่างร้องเรียกชื่อคามินอย่างมีความสุข คนด้านบนเองพอยิ่งได้ยินแบบนั้นยิ่งได้ใจ เปลี่ยนสลับถอยริมฝีปากมาดูดยอดอกอีกข้าง ในขณะที่นิ้วเรียวก็ทำการสะกิดไปที่ยอดอกอีกข้างไม่ให้น้อยหน้าเช่นกัน

“คุณปราณชอบไหม หื้ม? มีความสุขรึป่าวครับ” ร่างเล็กที่นอนระทดระทวยอบู่บนที่นอนยับย่น พยักหน้ารับอย่างเหนื่อยอ่อน คามินยิ่งมองแล้วยิ่งรู้สึกอยากรังแกมากกว่าเดิม

คามินรู้สึกเหมือนข้างในร่างกายเขามันร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว เขาก้มลงไปกอดร่างเล็กๆ ใต้อาณัติ ผิวเนื้อของคนทั้งสองแนบสนิท ส่งผลให้อุณหภูมิในห้องยิ่งพุ่งสูงมากขึ้นกว่าเดิม

“ที่รักครับ ผมขอถอดมันออกได้ไหม” คามินกระซิบถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความต้องการ ก่อนจะลากมือลงไปเกาะอยู่ที่ขอบกางเกงชั้นในสีขาวสะอาดตา สิ่งสุดท้ายบนร่างกายปราณันต์ที่ช่างขวางหูขวางตาเขาเสียจริง

ปราณันต์พยักหน้าอยู่กับอกคามินเบาๆ ก่อนที่จะยกสะโพกขึ้นให้คามินร่นกางเกงชั้นในออกไปให้พ้นจากมุมสายตา

แก่นกายขนาดพอดีมือของปราณันต์ดีดผึงตั้งชันขึ้นทันทีที่กางเกงชั้นในหลุดออกจากสะโพกไป มันเต็มไปด้วยอารมณ์และความต้องการที่อัดแน่น คามินใช้มือใหญ่รูดรั้งมันเบาๆ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าปราณันต์จะไวต่อความรู้สึกมากกว่าที่คิด

“อ๊าาาา” หน้าท้องของปราณันต์หดเกร็ง เพียงแค่เจอคามินเล้าโลมไปนิดหน่อยเท่านั้น ยิ่งคามินเห็นท่าทางบนเตียงของปราณันต์มากเท่าไหร่ ความยับยั้งชั่งใจเขายิ่งหดหายลงเรื่อยๆ เขาได้แต่ปลอบให้ตัวเองใจเย็น ถ้าอยากได้ลูกแมวน้อยตัวนี้ไว้ในกำมือ แต่ดูเหมือนกับว่าเจ้ามังกรยักษ์ของเขาแทบจะไม่ให้ความร่วมมือเลย มันคอยแต่จะขยายตัวอย่างอึดอัด เรียกร้องจะออกมาแสดงตัวเหลือเกิน

“ผ.. ผม” ใบหน้าสวยหวานของคนใต้ร่างเย้ายวนเซ็กซี่ขึ้นมาทันตา อารมณ์ทุกอย่างถูกเผยออกจนหมดสิ้น รวมถึงความต้องการที่ส่งผ่านออกมาจากตากลมอย่างเปลือยเปล่าและชัดเจน

ยามริมฝีปากอิ่มขยับ คามินก็นึกอยากจะบดจูบลงไปให้ช้ำ แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าริมฝีปากของตัวเองสามารถทำอะไรได้มากกว่าจูบ คนเจ้าเล่ห์ก็ค่อยๆ ลดตัวลงไปตรงกลางระหว่างขาของปราณันต์ทันที

เรียวขาขาวหนีบเข้าหากันอย่างเขินอาย ถึงแม้ว่าเขากับคามินจะเคยช่วยกันทำมาก่อน แต่เรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าจะชินกันง่ายๆ แล้วยิ่งวันนี้เขาสองคนกำลังจะไปไกลกว่านั้น ปราณันต์ยอมรับว่าอดประหม่าไม่ได้

เมื่อคามินเห็นท่าทางแบบนั้นของปราณันต์ก็ยืดตัวกลับมาคร่อมร่างปราณันต์ตามเดิม ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

“ทำไมล่ะครับ คุณปราณไม่อยากให้ผมทำให้หรอ?” ในขณะที่มือใหญ่ก็ค่อยๆ เอื้อมลงไปที่แก่นกายของปราณันต์ ก่อนจะสาวรั้งเบาๆ

“อื้อ! ผม... ผมอาย” ใบหน้าหวานสวยสะบัดไปมาอย่างอัดอั้น เขาอยากจะให้คามินทำต่อ ติดก็แต่ว่าปราณันต์แค่ยังไม่ชินกับอะไรแบบนี้ก็เท่านั้น

“ไม่ต้องอายนะครับคนดี ปล่อยตัวตามสบาย” คามินก้มลงไปจรดจมูกลงบนแก้มนิ่มเบาๆ “ผมอยากทำให้คุณปราณมีความสุขนะ”

พอได้ยินแบบนั้นขาเรียวก็ค่อยๆ แยกออกจากกันช้าๆ คามินยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ปราณันต์ ก่อนจะรั้งข้อมือขึ้นลงเนิบนาบในช่วงแรก แล้วค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ

“อ๊ะ อาาาห์.. คะ คุณครา ผม.. ผมเสียว” ตากลมปรือปรอยลงเพราะถูกปลุกปั่นอารมณ์ให้โหมกระพือ ใบหน้าหวานซึ้งทวีความเซ็กซี่มากขึ้นเรื่อยๆ ศีรษะกลมสะบัดจนผมสีเข้มกระจายไปทั่วหมอน ปราณันต์ที่นอนระทดระทวยอบยู่เวลานี้ ช่างกระตุ้นอารมณ์ของคามินได้ดีจริงๆ

มือใหญ่ของคามินขยับเร็วขี้น ส่วนริมฝีปากหยักก็ก้มลงดูดดึงตุ่มไตบนยอดอกสีหวานอย่างเอาใจ ในขณะที่เสียงครางของปราณันต์ก็ยังคงดังอยู่ใกล้ๆ เหมือนคนที่ขาดสติยับยั้งชั่งใจแล้วโดยสิ้นเชิง

“อ๊ะ อ๊ะ อื้อ! เร็ว.. เร็วอีกครับ” ปราณันต์เอ่ยปากสั่ง คามินรู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์คงใกล้จะแตะฝั่งฝันต็มทีแล้ว เขาจึงตัดสินใจละริมฝีปากออกจากยอดอกสีหวานนั่น แม้จะยังอยากเชยชมอยู่ก็ตาม เพราะเวลานี้เขาอยากเห็นตอนปราณันต์เสร็จมากกว่า ครั้งที่แล้วตอนที่ช่วยกันบนโซฟา ขนาดว่าเห็นไม่ชัดเพราะไม่มีแสงไฟ เขายังสัมผัสได้ถึงความเซ็กซี่ของปราณันต์ ทั้งเสียงครางตอนเสร็จ ทั้งสีหน้ายามปลดปล่อย คามินอยากเห็น เขาอยากเห็นมันทั้งหมด เพราะนี่เป็นครั้งแรกของปราณันต์ เขาอยากจะซึมซับกับเวลาทุกวินาทีที่ได้มีด้วยกันบนเตียงนี้

“จะเสร็จรึยังครับคนดี” คามินถามเสียงกระเส่า ก่อนจะขยับสาวข้อมือเร็วกว่าเดิม สลับกับใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ จนคามินรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไหลซึมๆ ออกมาที่ส่วนหัว

“เร็วอีก..ครับ อื้อ!” ปราณันต์เสียวจนไม่รู้จะระบายออกทางไหน มือเล็กเลยตัดสินใจคว้าท้ายทอยคนด้านบนรั้งลงมาแนบชิดกับใบหน้าตัวเอง ก่อนที่จะยื่นริมฝีปากอิ่มไปบดจูบกับริมฝีปากหยักอย่างเร่าร้อนรุนแรง

เขี้ยวเล็กๆ ของปราณันต์ขบย้ำลงบนริมฝีปากล่างของคามิน จนทำให้คามินรีบเผยอปากขึ้นไม่ทัน ลิ้นเล็กขยับเข้าหาลิ้นเขาอย่างเงอะงะและไร้เดียงสา คามินนึกเอ็นดูท่าทางของคนตัวเล็กอยู่ในใจ ก่อนจะกลับมาเป็นคนนำเกมอีกครั้ง

ลิ้นร้อนเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กของปราณันต์อย่างเชี่ยวชาญ เสียงปราณันต์ครางอย่างพอใจในลำคอ เพราะในขณะที่ริมฝีปากหยักยังป้อนจูบเขาอยู่นั้น มือใหญ่ของคามินยังคงขยับขึ้นลงเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นนิ้วโป้งของคามินเองก็ยังคงขยี้ย้ำที่ส่วนหัวไม่หยุดอีกต่างหาก

“อื้อออ อ๊าาาา”

ปราณันต์ถอนริมฝีปากออกจากปากคามิน ก่อนจะปล่อยเสียงครางออกมาอย่างสุขสม พร้อมๆ กับที่ปลดปล่อยตัวตนออกมาเต็มไปหมด

“แฮ่ก.. แฮ่ก..” ปราณันต์นอนหอบหายใจอย่างหมดแรงใต้ร่างของคามิน โดยมีสายตาคมมองอย่างหลงใหล

“เมื่อกี้คุณปราณเซ็กซี่มากเลยรู้ตัวไหมครับ” คามินเอ่ยชม พลางลูบแก้มปราณันต์ อย่างเอาใจ

พอเห็นคามินทำแบบนั้น ใบหน้าหวานเลยค่อยๆ เอียงแก้มซบมือใหญ่อย่างออดอ้อน และนั่นยิ่งทำให้คามินสติหลุดยิ่งกว่าเดิม


... ปราณันต์ดูน่ารักและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกันได้ยังไง โดยเฉพาะตากลมคู่นั้น มันช่างยั่วยวนใจทำให้เขาจะทนไม่ไหวเข้าไปทุกที


และไวเท่าความคิด คามินลดตัวลงไปกลางระหว่างขาของปราณันต์อีกครั้ง ปากหยักตรงเข้าครอบครองตัวตนของปราณันต์อย่างรวดเร็ว รวดเร็วเสียจนปราณันต์ปัดป้องไม่ทัน คนตัวเล็กไม่มีเวลาแม้แต่จะหนีบขาเข้าหากันด้วยซ้ำ และดูเหมือนว่าสัมผัสของคามินจะทำให้ปราณันต์เคยชิน เพราะเวลานี้ขาเรียวทั้งสองข้าง กลับแยกออกจากกันอัตโนมัติเมื่อริมฝีปากหยักครอบครองแก่นกายของปราณันต์ไว้ได้หมด โดยที่คามินไม่ต้องออกแรงจับเลยด้วยซ้ำ

“อึก! .. ข ขยับสิครับ” เสียงหวานประท้วงอย่างไม่พอใจที่คามินครอบปากลงไปสักพักแล้ว แต่ไม่ยอมขยับเสียที จะปล่อยให้เขาคลั่งตายรึยังไง คามินเองที่พอได้ยินน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของคนรักแล้ว ก็แทบจะหลุดขำออกมา ลูกแมวตัวน้อยที่พออยู่บนเตียงก็แทบจะกลายร่างเป็นแม่เสือขึ้นมาทีเดียว ดุเสียจริง ตัวก็เล็กแค่นี้เอง

คามินตัดสินใจขยับปากตามบัญชาของเจ้าแมวตัวน้อย มือเล็กๆ ของปราณันต์ จิกที่ไหล่ของคามินแน่น ยามที่คามินขยับปากขึ้นลงจนสุดความของยาวของแก่นกาย แล้วยิ่งตอนคามินใช้ลิ้นละเลงเลียที่ส่วนหัว ก็ดูเหมือนว่าปราณันต์จะครางหนักมากว่าเดิม

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊าาา”

ยิ่งปราณันต์ครางมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าคามินจะยิ่งปรนเปรอปราณันต์มากขึ้นเท่านั้น คามินออกแรงดูดท่อนเนื้อของปราณันต์อย่างแรงจนแก้มบุ๋มและเกิดเสียงดังระงมไปทั้งห้อง ปราณันต์เองพอได้เห็นท่าทางของคามิน ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นมากกว่าเดิม

ปราณันต์ตัดสินใจขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะอ้าขาออกให้กว้างมากกว่าเดิม

“อึก ... ซี๊ดดด ผม ผม..” ปราณันต์พูดไม่ออกได้แต่ระบายความเสียวด้วยการสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมสีเข้มของคนด้านล่าง ก่อนจะออกแรงกดเบาๆ เพื่อให้คามินสัมผัสได้ถนัดขึ้น แต่ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนตัวเล็ก ปราณันต์ จึงกระดกสวนสะโพกเข้าปากหยักอย่างลืมอาย

“อะ อาา”

คามินใช้ลิ้นเลียส่วนหัวจนมีน้ำไหลปริ่มอีกครั้ง จากนั้นคามินก็ขยับปากรูดรั้งเร็วขึ้น จนกระทั่งปราณันต์ครางยาวออกมาอีกรอบ

“อาาาห์” และดูเหมือนว่าครั้งนี้ปราณันต์จะปล่อยมาออกมาเยอะกว่าเดิม และถูกส่งเข้าปากของคามินไปทั้งหมด เขากักเก็บมันไว้ในปากก่อนที่จะกลืนลงไป จากนั้นก็หันมาไล้เลียทำความสะอาดให้ปราณันต์อีกครั้ง

“อ้าขานะครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” ปราณันต์พยักหน้ารับอย่างเขินอาย ในขณะที่คามินก็ตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดให้ปราณันต์ต่อโดยไม่ทุกข์ร้อน

“ขอบคุณนะครับ” ปราณันต์เอื้อมมือลงไปลูบแก้มสากเบาๆ อย่างรักใคร่

คามินจึงหยัดตัวขึ้นมาป้อนจูบให้ริมฝีปากสีสดอีกครั้ง รสชาดตัวตนของเขาเองที่ติดอยู่ที่ปากของคามินยังคงมีอยู่ แม้มันจะแปลกแต่ก็กระตุ้นปราณันต์ได้อย่างดีเช่นกัน

“คุณปราณครับช่วยผมหน่อย” คามินจับปราณันต์พลิกขึ้นนั่งคร่อมทับเอวเขา ก่อนที่ตัวเขาเองจะลงไปนอนแผ่สบายลงบนเตียงทันทีที่พูดจบ

“คุณจะให้ผมทำแบบเมื่อกี้หรอครับ”

ปราณันต์ถามอย่างไร้เดียงสา ก่อนที่จะทำท่าเหมือนจะกระถดลงไปที่ตรงกลางร่างกายของคามิน โชคดีที่มือใหญ่รั้งไว้ก่อน

“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ ตอนนี้ถอดกางเกงชั้นในของผมออกก็พอ” คามินยกสะโพกให้ปราณันต์ร่นกางเกงชั้นในออกทันทีที่พูดจบ ก่อนจะเหวี่ยงลงไปข้างเตียงอย่างไม่สนใจ

และเมื่อปราณันต์เห็นส่วนนั้นของคามินที่กำลังขยายและแข็งตัว ตากลมก็เบิกกว้างขึ้นทันทีหนำซ้ำปราณันต์ยังแอบกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ อีกต่างหาก

มันใหญ่มาก จนปราณันต์แทบจะจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันจะเข้าไปในตัวของเขาได้ยังไง

คามินที่พอเห็นท่าทางกังวลของปราณันต์ ร่างสูงก็ค่อยๆ เขยิบเข้าไปโอบกอดคนตัวเล็กไว้ ก่อนที่จะเริ่มเล้าโลมปราณันต์อีกครั้ง

ริมฝีปากหยักกลับมาทำงานอีกครั้ง มันค่อยๆ ลากผ่านไปทั่ว คามินจับพลิกปราณันต์นอนราบกับเตียง ก่อนจะพรมจูบไปทั่วร่างขาว ลิ้นร้อนแลบออกมาเลียตามจุดอ่อนไหวต่างๆ จนคนตัวเล็กส่งเสียงครางอย่างพอใจเป็นระยะๆ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเจ้ามังกรของเขาเองก็ขยายตัวอย่างอึดอัดจนปวดหนึบ และทรมานไม่น้อยแล้วเช่นกัน คามินคิดว่าเขาควรจะต้องรุกขึ้นไปอีกขั้น ก่อนที่จะทนไม่ไหว เผลอรังแกปราณันต์ไปโดยที่ตัวเขาเองไม่ได้ตั้งใจ

“คุณปราณ ให้ผมนะครับ” คามินกระซิบเว้าวอนร้องขออย่างออดอ้อน ใจของปราณันต์อ่อนยวบเหมือนถูกไฟลน ใบหน้าหวานสวยพยักรับอย่างเต็มใจ เขารู้ว่ามันอาจจะเจ็บ มันอาจะไม่ได้สวยหรูเหมือนเซ็กส์ที่เขาจินตนาการถึง แต่ถ้าเป็นกับคามิน เขายอมทุกอย่าง

ปราณันต์อยากให้คนที่เขารักมีความสุข เพราะคามินเองก็ทำให้เขามีความสุขมาตลอดโดยที่ไม่มีเงื่อนไขเลยสักครั้ง

คามินยิ้มอย่างลิงโลดเมื่อปราณันต์ยอมตกลง เขาหยัดตัวขี้นคร่อมร่างเล็กอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปที่ลิ้นชักหัวเตียง หยิบ ‘ของส่วนตัว’ ออกมาเต็มไปหมด ของส่วนตัวที่คามินไปซื้อมาเมื่อเย็นนั่นแหละ

ปราณันต์มองของบนเตียงอย่างแปลกใจ เขาไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรบ้าง แต่พอเขามองไปดีๆ ที่กล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดไม่ใหญ่มากชัดๆ แก้มทั้งสองข้างของปราณันต์ก็ขึ้นสีอย่างไม่ตั้งใจ มือเล็กฟาดไปที่อกกำยำอย่างหมั่นเขี้ยว

“คุณมันเจ้าเล่ห์! เตรียมทุกอย่างไว้ซะพร้อมขนาดนี้เลยนะ!” เสียงหวานต่อว่าอย่างกระเง้ากระงอด นี่คามินวางแผนซื้อของมาเตรียมไว้ขนาดนี้ แสดงว่าตั้งใจจะมีอะไรกับเขาไว้เแล้วแน่ๆ

“เปล่าสักหน่อย” คามินก้มลงหอมแก้มปราณันต์อย่างง้องอน “ผมเตรียมไว้เฉยๆ หรอก เผื่อฟลุ๊ค... แล้วก็ฟลุ๊คจริงๆ ด้วยแฮะ” คามินกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์นึกหมั่นเขี้ยวจนอยากจะจึงจมูกให้หลุด

“คุณนี่มันร้ายนัก” ปราณันต์บ่นก่อนที่จะยอมโอนอ่อน เมื่อถูกคามินเล้าโลมอีกครั้ง มือใหญ่เริ่มลูบรั้งแกนก่ายของปราณันต์ให้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง

“อื้อ..” ปากหยักก้มลงมาประกบจูบปากอิ่มอย่างดูดดื่มอีกครั้ง มือใหญ่เลื่อนจากข้างล่างขี้นมาล็อคท้ายทอยของคนตัวเล็กไว้ พลางกดจูบหลอกล่อให้คนไร้เดียงสาตายใจ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา

“ถุงยางอนามัย.. ผมขอไม่ใช้ได้ไหมครับ”

ปราณันต์ขมวดคิ้มองคนตรงข้ามด้วยความไม่เข้าใจ

“ทำไม..” คามินยิ้มก่อนจะตอบให้ปราณันต์เขินม้วนยิ่งกว่าเดิม

“ผมอยากรู้สึกถึงคุณปราณ แล้วก็อยากให้คุณปราณรู้สึกถึงผม โดยไม่มีอะไรมากั้น.. ได้ไหมครับ”

ปราณันต์ไม่ตอบแต่กลับซุกหน้าลงที่อกอุ่นๆ ของคามินแทน และคามินก็รู้ดีว่านี่คือการตกลง

คามินค่อยๆ จับปราณันต์นอนลงอีกครั้ง ริมฝีปากหยักก้มลงไปป้อนจูบให้คนใต้ร่างอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อยๆ ทวีความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนปราณันต์เริ่มหายใจไม่ทัน คามินจึงถอนจูบออก แล้วไล่ริมฝีปากลงมาเรื่อยๆ แทน คนตัวโตไล่จูบมาเบาๆ จนถึงแก่นกายของคนตัวเล็ก คามินแลบลิ้นเลียตรงท่อนเนื้อนั้นเบาๆ ทำเอาปราณันต์ หลุดเสียงครางหวานออกมาอย่างน่าฟัง

“อาาห์”

แก่นกายของปราณันต์เริ่มขยับขยายและแข็งขืนขึ้นอีกครั้ง คามินจึงผละออก ทำเอาปราณันต์อดหงุดหงิดออกมาไม่ได้ มือเล็กพยายามจะเอื้อมลงไปหมายจะช่วยตัวเองให้ปลดปล่อย แต่คามินรั้งข้อมือเล็กไว้ก่อน

“ชู่ว ใจเย็นครับคนดี” คามินพูดยิ้มๆ ก่อนจะยกขาเรียวทั้งสองข้างของปราณันต์พาดบ่า เพื่อให้ตัวเขาเข้าไปอยู่ที่ตรงกลางหว่างขาของคนด้านบนได้ถนัดขึ้น ดูเหมือนปราณันต์จะพยายามหนีบขาเข้าหากัน เพราะรู้สึกอายนิดๆ ที่ช่องทางด้านหลังของเขาลอยขึ้นจนเหนือที่นอน และมันค่อนข้างเห็นได้ชัดถ้ามองจากตรงที่คามินอยู่

คนตัวโตยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นช่องทางสีหวานอยู่ไม่ห่าง จากนั้นใบหน้าคมคายก็กระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด ก่อนที่ลิ้นร้อนจะไล้เลียลงไปตรงรอยจีบอย่างอ่อนโยน แต่การกระทำของคามินเล่นเอาปราณันต์ร้องห้ามเสียงหลงแทบไม่ทัน

“ยะ.. อย่าครับ มันสกปรก” คามินไม่ตอบอะไร เพียงแต่เหลือบตาขึ้นมันมามองปราณันต์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะแทรกลิ้นลงไปในช่องทางให้ลึกกว่าเดิม

จากเสียงห้ามในตอนแรกกลายเป็นเสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงแทน มือเล็กขยุ้มลงบนที่นอนเพราะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน ยิ่งคามินแทรกลิ้นเข้าไปลึกมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ปราณันต์ไม่เคยได้รับยิ่งจู่โจมมากขึ้นเท่านั้น ทำเอาเขาเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว

“อะ อ๊าา” เสียงครางหลุดออกจากปากอิ่ม ทำให้คามินยิ่งระรัวลิ้นให้ลึกและเร็วขึ้นกว่าเดิม

ปราณันต์เสียวจนสะโพกลอยคว้าง มือเล็กที่เคยขยุ้มอยู่บนผ้าปูที่นอนก่อนหน้านี้ เปลี่ยนมาสอดอยู่ที่กลุ่มผมสีเข้มของคนด้านล่างแทน รวมทั้งออกแรงกดลงบนศีรษะของคามินเบาๆ เพราะต้องการให้สัมผัสนี้ ลึกซึ้งขึ้นไปอีก

“อึก! ผม.. ผมเสียว อาาห์”

และพอคามินเห็นว่าปราณันต์เริ่มมีอารมณ์มากพอแล้ว เขาก็ถอนลิ้นออกจากช่างทางสีหวานนั่น แม้เขาจะติดใจมันมากแค่ไหน แต่ก็ต้องหยุดตอนนี้ ถ้าเขาอยากจะข้ามไปอีกขั้น ขั้นที่มากกว่านี้

แต่ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กของเขาจะไม่เห็นด้วย ตากลมตวัดมองคามินอย่างขัดใจ ทำเอาร่างสูงหัวเราะร่าอย่างเอ็นดู

“ใจเย็นๆ สิครับ นี่มันเพิ่งเริ่มเองนะ” คามินพูดเสียงหวานก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหลอดอะไรบางอย่างที่วางอยู่ข้างกล่องถุงยางอนามัย ปราณันต์มองตามอย่างสงสัย คามินยิ้มก่อนจะตอบ ในขณะที่บีบเจลสีใสๆ ลงบนนิ้วมือตัวเองจนชุ่ม ก่อนจะปาดลงไปเบาๆ ที่ช่องทางของปราณันต์ด้วย

“มันจะช่วยให้คุณปราณเจ็บน้อยลงครับ”

พอได้ยินแบบนั้นความวิตกก็เริ่มคืบคลานมาอีกครั้ง แต่คามินก็ไม่เปิดโอกาสให้ปราณันต์คิดนาน ร่างสูงโถมตัวทับร่างเล็กอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงดูดดึงไปที่ยอดอกสีหวานข้างหนึ่งของปราณันต์ ลิ้นร้อนละเลงลงบนตุ่มไตอย่างเร่าร้อน

“อื้อออ”

ปราณันต์ครางอย่างมีความสุข คามินคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นจังหวะที่ดีแล้ว เพราะเขาเบนความสนใจของคนตัวเล็กไปที่อื่นได้ ร่างสูงจึงค่อยๆ แทรกนิ้วของตัวเองที่ชุ่มไปด้วยเจลหล่อลื่น เข้าไปในช่องทางของปราณันต์ช้าๆ

และเมื่อปราณันต์รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย ก็สะดุ้งขึ้นด้วยความเจ็บ แล้วพยายามจะกระกดสะโพกหนี แต่คามินกลับใช้มือข้างเดียวล็อคเอวปราณันต์ไว้แน่น

“อื้อ ไม่... ไม่เอา ผมเจ็บ!” ปราณันต์หวีดร้อง ใบหน้าหวานบิดเกร็ง ในดวงตากลมมีน้ำใสไหลคลอหน่วยอยู่

“ชู่ว คนดี ไม่เกร็งนะครับ ถ้าเกร็งมันจะยิ่งเจ็บนะ” คามินพยายามปลอบประโลม แต่ดูเหมือนว่าความเจ็บจะบังหูบังตาจนปราณันต์แทบจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น คามินจึงต้องเบนความสนใจปราณันต์อีกครั้ง ด้วยการจูบลงบนปากอิ่มอย่างอ่อนโยน

ในขณะที่นิ้วเรียวยาวของคามินก็เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง จนกระทั่งหน้าท้องของปราณันต์กระตุก และคามินได้ยินเสียงครางจากลำคอปราณันต์เบาๆ เขาจึงถอนริมฝีปากออก

“ตรงนี้ใช่ไหมครับที่รัก หื้ม”

“อื้อ อ๊ะ!” ปราณันต์ครางตอบ เขาเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร ตอนที่คามินสอดนิ้วเข้ามา เขาทั้งเจ็บทั้งจุกจนบอกไม่ถูก แต่ตอนนี้ ขณะที่ก้านนิ้วเรียวยาวของคามินกดย้ำลงไปบนจุดๆ เดิม ซ้ำๆ ความเจ็บกลับหายไป แต่กลับมีความเสียวซ่านเข้ามาแทน

“อ๊ะ อาาา อาาา” ปราณันต์ครางแทบไม่เป็นภาษา คามินเลยตัดสินใจสอดนิ้วเข้าไปเพิ่มเป็นสองนิ้ว และสามนิ้ว

ตอนนี้ศรีษะของร่างบางหงายเริ่ดไปด้ายหลัง มือเล็กจิกผ้าปูที่นอนแน่น เพราะความเสียวที่จู่โจมเข้ามาในขณะที่เขายังไม่ทันตั้งตัว

คามินเองก็ไม่ต่าง ตอนนี้นิ้วมือทั้งสามของเขาเข้าไปในช่องทางของปราณันต์เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกมันก็ลำบากนิดหน่อย กว่าที่นิ้วของเขาจะเข้าไปได้ เพราะปราณันต์เอาแต่เกร็ง แต่พอทุกอย่างไหลลื่นก็ดูเหมือนว่าผนังอุ่นที่โอบล้อมนิ้วเขาอยู่นั้นตอดรัดไม่หยุด มันทั้งคับทั้งแน่น นี่ขนาดแค่นิ้วยังรู้สึกดีขนาดนี้ ถ้าเป็นตัวตนของเขาเข้าไปอยู่ในช่องทางสีหวานนั่น มันจะดีขนาดไหนกัน ยิ่งคิดท่อนเนื้อของเขายิ่งปวดตุบ คามินต้องรีบก้มลงไปดูดตุ่มไตเล็กๆ บนหน้าอกปราณันต์แทน เพื่อระบายความหื่นกระหายที่อัดแน่นอยู่ภายใน และเมื่อเห็นว่าปราณันต์เคลิ้มเต็มที่แล้ว คามินก็ค่อยๆ ถอนนิ้วทั้งสามออกช้าๆ ทำเอาปราณันต์หงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

คามินอมยิ้ม ก่อนที่จะจับขาของทั้งสองข้างของปราณันต์พาดบ่าอีกครั้ง ช่องทางสีหวานที่ตอนนี้กำลังบวมช้ำน้อยๆ จากฝีมือของเขา ลอยเด่นขี้นมา คามิน หยิบเจลหล่อลื่นมาทารอบช่องทางของปราณันต์และแก่นกายของตัวเองอีกครั้ง เขาชะโลมมันจนชุ่ม ปราณันต์เหลือบมองหวาดๆ เมื่อรู้สึกว่าคามินกำลังใช้แก่นกายของตัวเองถูไปมาตามรอยจีบ ตอนนี้ท่อนเนื้อของคามินขยายใหญ่และตั้งชันมาก ปราณันต์เริ่มวิตกเมื่อคิดว่ามันไม่น่าจะเข้ามาในตัวเขาได้

คามินจับท่อนเนื้อตัวของตัวเองตีลงเบาๆ ที่แก้มก้นของคนใต้ร่าง ทำเอาปราณันต์ทั้งเสียว ทั้งกลัว ทั้งอยากลอง หลายความรู้สึกตีกันไปหมด แต่ดูเหมือนว่าจะความรู้สึกทางด้านบวกจะเป็นฝ่ายชนะ


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 21-02-2021 21:06:35
(อ่านต่อจากด้านบน)


คามินตัดสินใจค่อยๆ สอดแก่นกายของตัวเองเข้าไปในช่องทางสีสวย แต่เมื่อดันเข้าไปแค่ส่วนหัวเท่านั้น ปราณันต์ก็ร้องลั่น

“เจ็บ ผมเจ็บ! เอาออกไป!” คามินก้มลงมองคนใต้ร่าง ตากลมคลอไปด้วยน้ำใส ริมฝีปากอิ่มที่กำลังบวมเจ่อถูกขบด้วยฟันบนแน่น เห็นแล้วก็อดนึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เขาหยุดตอนนี้คงไม่ทันแล้ว คามินเลยตัดสินใจก้มลงไปกระซิบบางอย่างกับปราณันต์

“อย่าเกร็งสิครับ อย่างเกร็ง” คามินพยายามกล่อม โดยที่ใช้มือใหญ่สะกิดยอด อกสีหวานไม่หยุด เพื่อเบนความสนใจจากปราณันต์ “เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว ให้ผมเข้าไปนะครับ”

คามินพยายามอ้อนอย่างน่าสงสาร แต่เพราะความเจ็บทำให้ปราณันต์ไม่สนใจใครทั้งนั้น

“เพิ่งจะเข้ามานิดเดียวเอง อีกตั้ง.. ฮึก ตั้งเยอะ! จะไม่เจ็บได้ยังไง” เสียงหวานโวยวายงอแงใส่คามิน ก็เขาเจ็บ ทำไมยังมาขอให้ทน

คามินต้องก้มลงไปจูบสลับกับการดูดยอดอกไปมา จนกระทั่งสัมผัสได้ว่าปราณันต์เริ่มเกร็งน้อยลง คามินจึงค่อยๆ ดันแก่นกายของตัวเองเข้าไปจนสุดความยาว

“อาาา ผมเข้ามาแล้ว เก่งมากครับที่รัก”

ในขณะที่คามินครางอย่างมีความสุข แต่ดูเหมือนปราณันต์แทบจะกรีดร้องไม่เป็นภาษา ตอนที่คามินเข้ามาทั้งตัว เขารู้สึกเหมือนช่วงล่างกำลังจะฉีกขาด มันเจ็บไปหมด เจ็บจนทรมาน

คามินต้องรีบก้มลงไปจูบปิดปากอิ่มไว้ เพื่อกลืนเสียงกรีดร้องของปราณันต์ และที่สำคัญเขาต้องอยู่ท่านี้อีกสักพักจนกว่าปราณันต์จะปรับตัวได้

จนเวลาผ่านไปสักระยะ คามินก็กระซิบถามปราณันต์เสียงเบา

“ให้ผมขยับตัวนะ ถ้าปล่อยให้คุณปราณตอดผมไม่เลิกแบบนี้ ผมต้องเสร็จแน่ๆ นะครับ นะ”

คามินถามเสียงกระเส่า เขาแทบรอให้ปราณันต์พยักหน้าแทบไม่ไหว พอปราณันต์ตกลง คามินก็โหมร่างกระแทกเข้าไปในช่องทางของปราณันต์อย่างเร่าร้อน

ปราณันต์ที่ในตอนแรกยังเจ็บ ยังจุกอยู่ก็พยายามกลั้นเสียงร้อง เพราะเห็นหน้าตาตอนที่คามินโยกขยับตัวอย่างมีความสุขบนร่างกายเขาแล้ว เขาก็ทำลายความรู้สึกคนรักไม่ลง จนกระทั่ง ดูเหมือนว่าแก่นกายของคามินจะกระแทกโดนจุดๆ นึงในผนังอุ่นของปราณันต์ที่โอบล้อมแกนกายของคามินอยู่

“อ๊ะ!”

คามินรีบก้มลงไปถามทันที “ตรงนี้ใช่ไหมครับ หื้ม”

ปราณันต์พยักหน้ารับจนกลุ่มผมบนศรีษะกระจายเต็มหมอน ใบหน้าไร้เดียงสาดูเซ็กซี่ขึ้นไปอีกเมื่อเต็มไปด้วยแรงอารมณ์

“อ๊ะ! ตรงนั้น! อื้อ.. ส เสียว!” ปราณันต์ครางไม่หยุด ตามแรงกระแทกที่คามินโถมเข้ามา

“อาาา น แน่น มันแน่นมาก! อึก” คามินเองก็สุขสมไม่น้อยหน้า ช่องทางของปราณันต์บีบรัดจนเขาแทบจะสำลักความสุข และยิ่งทำให้คามินพูดคำลามกโอ้โลมปราณันต์ได้คล่องปากขึ้น และเมื่อคามินเห็นมือเล็กพยายามจะเอื้อมลงมาช่วยตัวเอง เพราะแกนกายของปราณันต์เริ่มที่จะแข็งขืนตามอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ คามินจึงรั้งข้อมือปราณันต์ไว้ และกอบกุมเอาแก่นกายของคนใต้ร่างเอาไว้ในมือตัวเองก่อนจะสาวรั้งขึ้นลง ปรนเปรอให้ปราณันต์ตามแรงกระแทกที่เขาเสือกไสใส่ร่างขาวๆ

“ตอดดีจังเลยครับที่รัก อาาาห์ ซี๊ดดด”

ยิ่งคำพูดแบบนั้นหลุดออกจากปากคามิน ยิ่งทำให้ปราณันต์ยิ้มเขิน และยิ่งพอถูกคามินปรนเปรอสาวรั้งท่อนเนื้อให้ ผนังอุ่นที่โอบล้อมคามินอยู่ก็ยิ่งตอดรัดมากขึ้น

“อ๊ะ! คะ คุณคราม.. เร็วหน่อย อึก!”

ปราณันต์เริ่มขอให้คามินเร่งข้อมือ คามินก็รู้ว่าปราณันต์ใกล้จะแตะฝั่งฝันอีกรอบแล้ว เขาเองก็เช่นกัน คนตัวโตกระแทกตัวเข้าใส่สะโพกปราณันต์ไม่ออมแรง ศีรษะเล็กๆ ของปราณันต์สั่นคลอน ลมหายใจจากร่างบางเริ่มถี่กระชั้น หน้าท้องขาวเริ่มเกร็งกระตุก เพราะเมื่อปราณันต์ถูกปรนเปรอจากทั้งข้างหน้าและข้างหลังก็ยิ่งทำให้เขาสติกระเจิดกระเจิง

คามินขยับข้อมือเร็วขึ้นสลับกับใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวไม่หยุด จนในที่สุดปราณันต์ ก็กระตุก พอคามินสาวข้อมืออีกสองสามครั้ง ปราณันต์ก็ปลดปล่อยออกมาเต็มไปหมด ร่างเล็กถึงกับหมดแรง หลังจากปลดปล่อยไปสองรอบแล้ว

“อ๊าาาาาา” หลังจากปราณันต์ครางอย่างมีความสุขก็นอนระทดระทวยใต้ร่างคามินอย่างหมดแรง ทำเอาคามินอดเอ่ยแซวไม่ได้

“อย่าเพิ่งลืมผมสิครับที่รัก”

คามินว่าพลางจับขาของปราณันต์พาดบ่าอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะถอนแกนกายออกมาจนเกือบสุด ทำเอาร่างบางผวาตัวขึ้นตามมาเพราะความเสียวซ่านที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จากนั้นคามินก็กระแทกแกนกายกลับเข้าไปในช่องทางของปราณันต์อีกครั้ง คามินทำแบบนี้อยู่สองสามรอบ ร่างกายก็เริ่มเกร็งกระตุก จากนั้นปราณันต์ก็รู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่ฉีดเข้ามาภายใน พร้อมกับเสียงครางต่ำอย่างสุขสมของคนรัก

“อาาาาาาาาาห์”

คามินล้มลงนอนทับปราณันต์อย่างหมดแรง เขานอนทั้งที่ยังไม่ได้ถอนแกนกายออกจากช่องทางของปราณันต์เลยด้วยซ้ำ

“ผมรักคุณปราณนะครับ” อยู่ๆ คามินก็พูดขึ้น ทำเอาปราณันต์ทำตัวไม่ถูก “คุณปราณทำให้ผมมีความสุขมากเลยรู้ไหม” ปราณันต์พยักหน้าเขินๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มสารภาพ

“ผมก็เหมือนกันครับ” คามินพอเห็นแบบนั้นเลยนึกอยากจะแกล้ง

“อะไรเหมือนกันหรอครับ เรื่องที่คุณปราณรักผม หรือเรื่องที่คุณปราณมีความสุข”

“ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ!” ปราณันต์ทำเป็นโวยวายกลบเกลื่อน จนคามินทนความน่ารักไม่ไหว ต้องก้มลงไปจูบแก้มนิ่มเบาๆ


จุ๊บ~


ถึงปราณันต์จะเขินแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าคนเจ้าเล่ห์จะไม่ยอมถอนแกนกายออกสักที จนปราณันต์ต้องเอ่ยปาก

“คุณคราม.. เอาออกไปได้แล้ว” คนตัวเล็กพูดอายๆ และยิ่งพอเห็นปราณันต์อาย คามินยิ่งอยากแกล้ง

“เอาอะไรออกหรอครับ หื้ม?” คามินแกล้งถาม

“ก็...” ปราณันต์ยังคงไม่กล้าพูด

“ก็อะไรครับ? ก็อันนี้หรอ?” คามินพูดพลางแกล้งกระแทกแก่นกายที่ยังคาอยู่เบาๆ ทำเอาปราณันต์อายแทบไปไม่เป็น

“อ๊ะ! คุณนี่!” ตากลมค้อนขวับเข้าให้ คามินเลยยิ้มขำอย่างเอ็นดู

“ฮ่าๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ไม่แกล้งแล้ว” คามินถอนแกนกายออกจากช่องทางของปราณันต์ ทำเอาร่างเล็กอดผวาตามไม่ได้

จากนั้นคามินก็ยกขาปราณันต์ขึ้นเตรียมจะทำความสะอาดให้

“อะ เอ่อ.. ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมไปจัดการเอง” ปราณันต์รีบห้าม เมื่อรู้ว่าคามินกำลังจะทำอะไร

“คุณปราณลุกไม่ไหวหรอก หรือไหว หื้ม?” คามินแกล้งถาม “ถ้าไหวจะได้จัดอีกสักรอบ”

พอได้ยินพูดแบบนั้นปราณันต์ก็ส่ายหน้าหวือ แถมบ่นอุบเพราะคิดว่าคามินคงไม่ได้ยิน

“แค่นี้ก็หุบขาแทบจะไม่ลงแล้ว ชิ!”

คามินหัวเราะลั่นทันทีที่แอบได้ยิน ก่อนจะก้มถามด้วยน้ำเสียงน่าหมั่นไส้

“ใหญ่ใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆๆ”

ปราณันต์ได้แต่ค้อนคามินตาหลับตาเหลือก แต่ก็อมยิ้มบางๆ ก่อนที่คามินจะใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปในช่องทางของปราณันต์เพื่อเอาน้ำรักของเขาออก และเมื่อคามินถอนนิ้ว ปราณันต์ดันหลุดครางออกมาเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ยังเหลืออยู่

“อาาาห์” คามินหันขวับมองด้วยแววตาเป็นประกายทันที จนปราณันต์รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของตัวเอง

และเมื่อปราณันต์ได้ยินประโยคที่คามินพูด เขาถึงกับแทบจะอยากจะกัดลิ้นตาย

“กว่าฝาแฝดจะตื่นคงอีกหลายชั่วโมง... อีกรอบนะครับที่รัก”

และไม่ทันที่ปราณันต์จะตอบรับหรือปฏิเสธ คามินก็ก้มลงปิดปากอิ่มทันที เป็นอันว่าปราณันต์ต้องตกลงไปโดยปริยาย

.

.

.

เช้าวันต่อมาคามินกับปราณันต์นอนกอดกันอยู่บนเตียงอย่างมีความสุข เช้าวันนี้ก็ยังคงเป็นเช้าวันหยุดตามปกติอีกวัน แต่จะผิดปกติก็ตรงที่

“พี่ปราณค้าบ สายแล้ว ตื่นได้แล้วนะ” ปัณณธรน้อยส่งเสียงเรียกพี่ชายตัวเองเจื้อยแจ้ว ในขณะที่มือเล็กๆ ก็กำลังจิ้มแก้มของพี่ชายคนโตอย่างรักใคร่

“พี่ครามมมม~ ตื่นเร็วครับ สายแล้วๆ” ปุณณกันต์น้อยก็เช่นกัน เขากำลังเขย่าแขนกำยำของคามินอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นเจ้าตัวไม่ไหวติงเสียที

เจ้าหนูทั้งสองตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใคร เลยเดินเข้ามาในห้องของพี่ชายทั้งคู่ เมื่อเห็นคามินและปราณันต์หลับอยู่เจ้าหนูจึงปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อพยายามปลุกทั้งสองคน

“พี่ปราณครับ พี่ปราณณณ” ปัณณธรน้อยระดูมจูบแก้มปราณันต์ยกใหญ่ จนปราณันต์เริ่มรู้สึกตัว

“อ๊ะ ปุณณ์ ปัณณ์” เมื่อปราณันต์รู้สึกตัวตื่นสมองของเขาก็ประมวลภาพเมื่อคืนทันที เขากับคามินมีอะไรกันหลายต่อหลายรอบมาก และพอนึกขึ้นได้ปราณันต์ก็ลูบตามเนื้อตัวทันที เมื่อรู้ว่าเสื้อผ้าอยู่บนตัวเรียบร้อยแล้วก็เบาใจ สงสัยคามินจะลุกมาใส่ให้ตอนรุ่งสาง เขาไม่อยากให้เด็กๆ สงสัย ยังไงก็ต้องขอบคุณความรอบคอบของอีกฝ่ายที่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้

ปราณันต์เห็นเด็กๆ ยังอยู่ในชุดนอนเลยพยายามจะพาเด็กๆ เข้าห้องน้ำ แต่มันดูเหมือนว่าจะไม่ใช่งานง่ายเลย เพาะปราณันต์แทบลุกไม่ไหว ช่วงล่างของเขามันระบมไปหมด คามินจัดให้ชุดใหญ่จริงๆ

“มาครับ ผมจัดการเอง” คามินที่ตื่นขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ นอนตะแคงท้าวแขนมองปราณันต์ที่พยายามจะลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างเอ็นดู

“พี่ครามตื่นแล้วว~” เด็กๆ เองพอได้ยินเสียงคามินก็หันไปหาเป็นตาเดียว ร่างปุ๊กลุกของเจ้าฝาแฝดปีนขึ้นไปนอนกอดก่ายบนตัวคามินอย่างนึกสนุก คนตัวโตเองก็ดูเหมือนว่าจะมีแรงเหลือเล่นกับเด็กๆ ได้สบายๆ ปราณันต์ได้แต่นึกค่อนขอดคนรักในใจ ทำไมถึงอึดเหนือมนุษย์มนาคนอื่นได้มากขนาดนี้

ทั้งสามกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงอย่างมีความสุข ฝาแฝดหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ชอบใจยามถูกคามินก้มลงฟัดแรงๆ เด็กโข่งอย่างคามินเองก็ดูจะมีความสุขไม่ต่าง เขี้ยวขาวแสดงตัวออกมาให้เห็นทันทีที่ริมฝีปากหยักยกยิ้ม โดยมีร่างบางนั่งมองภาพตรงหน้าอย่างสุขใจ

“พอได้แล้วครับ ไปอาบน้ำเถอะ จะได้ทานข้าวเช้ากัน” ปราณันต์ส่งเสียงปรามเมื่อเห็นว่าทั้งสามไม่หยุดเล่นเสียที

“วันนี้พี่ปราณตื่นสาย ปุณณ์กับปัณณ์ไม่ได้ตื่นสายสักหน่อย” เจ้าฝาแฝดคนเล็ก ย้อนพี่ชายตัวเองเข้าให้ ทำเอาผู้กุมอำนาจสูงสุดของครอบครัวถึงกับไปไม่เป็น เขาจึงเอาแต่โทษคามินอยู่ในใจในขณะที่เห็นคนตัวต้นเหตุนั่งหัวเราะร่ากับคำพูดของปัณณธรอย่างชอบใจ

“ฮ่าๆๆ” มือเล็กฟาดที่ต้นแขนแข็งแรงเข้าให้ เล่นเอาเจ้าตัวหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“ไปครับ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวพี่ปราณจะไปทำกับข้าวให้ทาน” ปราณันต์เสเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่รู้ว่าจะเถียงน้องยังไง

“ไปครับเด็กๆ เอาพี่วาฬกับพี่แมวไปลอยในอ่างรอพี่ครามก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ครามตามไป” คามินอุ้มเจ้าตัวแสบลงจากเตียง ก่อนที่เด็กๆ จะคว้าตุ๊กตาลอยน้ำกันคนละตัว แล้ววิ่งตื๋อไปเข้าห้องน้ำอย่างเชื่อฟัง

ดวงตาคมหันมามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างอบอุ่น เล่นเอาแก้มขาวอดร้อนวูบวาบเพราะสายตาแบบนั้นไม่ได้

“ผมทำคุณปราณลำบากเลย ยังเจ็บอยู่ไหมครับ หื้ม?” คามินทรุดลงนั่งบนเตียงอีกครี้ง ก่อนจะลูบแก้มนิ่มอย่างหลงใหล

“นิดหน่อยครับ ถ้าค่อยๆ ลุกก็คงลุกไหว” ใบหน้าหวานเอียงซบมือใหญ่อย่างออดอ้อน ก่อนจะยิ้มหวานที่ทำเอาคามินแทบไม่อยากจะลุกจากเตียง “ฝากอาบน้ำแต่งตัวให้เด็กๆ ก็พอครับ เรื่องอาหารผมจัดการเอง”

คามินยื่นหน้าไปหาปราณันต์ก่อนจะใช้หน้าผากตัวเองดันหน้าผากมนของปราณันต์เบาๆ

“สาบานให้ตายเลย ถ้าผมมากับคุณปราณแค่สองคน... ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณปราณลุกจากเตียงแน่ๆ” ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความเสียดายออกมาจนปราณันต์อดขำไม่ได้

“ไปได้แล้วครับ เดี๋ยวเด็กๆ รอ” คามินค่อยๆ อ้อยอิ่งลุกจากเตียงก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำ เรียกเอารอยยิ้มกว้างจากปราณันต์ได้เป็นอย่างดี

ตากลมมองไปที่ห้องน้ำอย่างมีความสุข ความสุขที่เขาได้สัมผัสมันจริงๆ เสียที หลังจากรอมานานเหลือเกิน

.

.

.

ตลอดวันนั้นทั้งวันทั้งสี่ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านพักชายทะเลแห่งนั้นอย่างมีความสุข พวกเขาออกไปเดินเล่นรับลมทะเลยามเช้าหลังทานอาหารเสร็จ พอสายๆ หน่อยก็ออกไปนั่งรถชมวิวรอบๆ สถานที่พัก พอตกบ่ายก็ออกมาเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน เย็นๆ ก็มานั่งย่างบาร์บีคิวกินกันหน้าที่พัก ปราณันต์ยิ้มกว้างทุกครั้งที่คามินเหลือบไปมอง ปุณณกันต์ กับปัณณธรเองก็ร่าเริง สดใสสมกับเป็นเด็กในวัยนี้ ครอบครัวของปราณันต์ดูมีความสุขมาก มากจนคามินรู้สึกไม่ดี

ในใจลึกๆ ของเขาเหมือนมีหลุมดำขนาดใหญ่อยู่เสมอ ยามที่เขาคิดว่าเมื่อปราณันต์รู้ความจริงแล้วเรื่องระหว่างเขาสองคนจะเป็นยังไงต่อ และเมื่อคิดถึงตรงนี้ ไอ้หลุมดำที่ว่านี้ก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ดูดและกลืนกินความสุขของเขาให้ค่อยๆ หายไปทีละน้อย จนแทบไม่เหลืออะไรเลย สุดท้ายคามินก็จะยอมแพ้ แล้วผลักทุกอย่างออกจากความคิด ต่อจากนั้นก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะทำ นั่นคือการทำร้ายปราณันต์

ครั้งนี้เองก็เช่นกัน คามินเลือกที่จะผลักความรู้สึกไม่ดีออก แล้วอยู่กับความสุขตรงหน้ามากกว่า ยังไงเสีย เขาก็ได้ทำตามที่ตั้งใจแล้ว เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เหลือเขาจะขอเก็บเกี่ยวแต่สิ่งดีๆ เขาจะมามัวเสียเวลาไม่สบายใจกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงไปทำไม

“คิดอะไรอยู่หรอครับ” คนในอ้อมกอดของคามินถามขึ้น

ตอนนี้เด็กๆ เข้านอนเรียบร้อยแล้ว เขาทั้งคู่จึงเลือกที่จะออกมานั่งเล่นริมระเบียงที่พักแทนที่จะอุดอู้อยู่ในห้อง

ร่างเล็กนั่งพิงอกกำยำของคามินอย่างสบายตัว ในขณะที่แขนกำยำโอบรอบเอวบางไม่ห่าง จมูกโด่งเป็นสันของร่างสูงคลอเคลียอยู่ที่กลุ่มผมสีเข้ม คามินชอบกลิ่นของปราณันต์ ไม่ว่าจะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของร่างกาย หรือกลิ่นเย็นสบายของกลุ่มผมนิ่มของคนตัวเล็ก

“คิดเรื่องของเราครับ” คามินตอบพลางกดจูบลงบนขมับของคนในอ้อมก้อดเบาๆ “ผมมีความสุขมากเลย คุณปราณรู้ไหม”

ใบหน้าหวานพยักลงอย่างอายๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มสารภาพ “ผมก็มีความสุขมากเหมือนกัน ขอบคุณนะครับ”

คามินหัวเราะน้อยๆ พลางตอบ “แค่พามาเที่ยวทะเลเอง ไม่เห็นต้องขอบคุณผมเลย”

“ไม่ใช่ครับ ผมขอบคุณ ที่คุณเข้ามาใช้ชีวิตของผม ชีวิตของเราสามคน คุณทำให้พวกเรายิ้มได้ ขอบคุณที่ทำให้พวกเรารู้จักความสุขแบบจริงๆ จังเหมือนคนอื่นเขาสักที”

คามินหน้าเสีย หัวใจเขาปวดแปลบขึ้นมาทันที เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำไปทั้งหมด มันก็แค่เรื่องสนุก มันก็แค่ความอยากเอาชนะ เขาไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าปราณันต์จะจริงจังกับเขาขนาดนี้

ปราณันต์หันมากอดคามินไว้ทั้งตัว คนตัวเล็กดูลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่ปากอิ่มจะกดจูบเบาๆ ลงไปที่อกข้างซ้ายของคนตัวโต


“ผมรักคุณนะครับ”


ปราณันต์พึมพำอยู่กับอกคามิน พูดเองก็อายเอง เขาไม่แทบกล้าสบตาคามินด้วยซ้ำ

ท่าทางเขินอายแบบนั้นดูเหมือนว่าจะกระตุ้นอารมณ์คามินได้อย่างดี เขาอยากกอด อยากสัมผัส อยากจูบ และอยากย้ำว่าเขาเป็นเจ้าของของคนๆ นี้ มันอาจจะเป็นฟางเส้นเดียวที่ยึดความรู้สึกเขาไว้ได้อยู่...


...ความรู้สึกของการได้ครอบครองปราณันต์


“เราเข้าห้องกันนะครับ” คามินกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูนิ่ม ปราณันต์ไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยกแขนเรียวโอบรอบคอคนตัวโตไว้แทน

คามินก้มลงจูบปากอิ่มที่แหงนขึ้นมารอรับ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะยกร่างบางขึ้น แล้วเอาขาเรียวทั้งสองข้างเกี่ยวเอวสอบของตัวเองไว้โดยที่ริมฝีปากของคนทั้งสองไม่ได้ผละออกจากกัน จากนั้นร่างสูงจะเดินพาตัวเองและปราณันต์เข้าห้องนอนไป

คามินค่อยๆ วางปราณันต์ลงบนที่นอน สายตาของคนทั้งคู่สบกันอย่างมีความหมาย ก่อนที่คามินจะค่อยๆ พรมจูบปราณันต์อย่างอ้อยอิ่ง

“ตรงนี้ก็ของผม” คามินจูบที่เปลือกตา

“ตรงนี้ก็ของผม” คามินจูบที่แก้ม

“ตรงนี้ก็ของผม” คามินจูบปราณันต์ที่ปาก ก่อนจะค่อยๆ ลดใบหน้าลงไปจูบที่อกซ้ายของคนตัวเล็กเช่นเดียวกับที่ปราณันต์ทำกับตน จากนั้นก็กระซิบเสียงพร่า

“ตรงนี้ก็ของผมเหมือนกัน คุณปราณเป็นของผม ของผมคนเดียว”

จบคำริมฝีปากอิ่มก็ยกยิ้มสดใส ก่อนที่คนทั้งคู่จะโผเข้าหา ราวกับรอที่จะเป็นของกันและกันจนทนไม่ไหว

... คืนพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ไม่ใช่เรื่องที่คามินต้องกังวล ขอแค่คืนนี้นาทีนี้ปราณันต์อยู่กับเขา ทอดร่างหอบหายใจอยู่ภายใต้อาณัติเขา และเมื่อตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้ เขาก็จะได้เจอใบหน้าของปราณันต์เป็นคนแรก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

.

.

.

เช้าวันอังคาร คามินและปราณันต์มาทำงานอย่างมีความสุขและอารมณ์ดี โดยเริ่มจากการไปส่งฝาแฝดที่โรงเรียนอนุบาล ทั้งสองคุยกันงุ๊งงิ๊งตลอดเวลา โดยมีลูกคู่สองหน่อ คอยเป็นลูกรับลูกชน

“ปุณณ์ ปัณณ์ไปเที่ยวทะเลมามีความสุขไหมครับ” คามินถาม พลางมองกระจกมองหลังไปที่เด็กๆ เจ้าหนูทั้งสองยิ้มร่า ก่อนตอบอย่างอารมณ์ดี

“มีความสุขครับ ปุณณ์ชอบ” เจ้าแฝดคนพี่รับตอบโดยมีคนน้องตามมาติดๆ

“ใช่ๆ ปัณณ์มีความสุขที่สุดในโลกเลย ปัณณ์อยากไปทุกที่ๆ มีพี่ครามกับพี่ปราณ” เจ้าหนูพูดอ้อนอย่างชาญฉลาด ทำเอาคนเป็นพี่ยิ้มไม่หุบ

“งั้นวันหลังเราไปเที่ยวกันอีกดีไหมครับ”

เจ้าหนูทั้งสองเงีบบไป คามินและปราณันต์เลยเหลือบไปมองไปมองพร้อมกันแทบจะทันที จึงได้เห็นว่าดวงตากลมแป๋วแหววสองคู่จ้องไปที่ปราณันต์อย่างคาดหวัง

ปราณันต์หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยคำที่เขาคิดว่าน้องๆ น่าจะอยากได้ยิน

“พี่ปราณอนุญาตครับ"

พอจบคำพี่ชาย เจ้าหนูทั้งสองก็ร้อง “เย่!” ออกมาอย่างยินดี

“ไปครับพี่คราม เราไปเที่ยวกัน” ปัณณธรยื่นหน้ามาที่เบาะคนขับก่อนที่จูบลงบนแก้มสากของคามินรัวๆ

ปุณณกันต์เองก็ไม่ต่าง เจ้าตัวน้อยพุ่งไปจูบแก้มนิ่มของพี่ชายอย่างรักใคร่

“ขอบคุณนะครับพี่ปราณ เราสองคนรักพี่ปราณมากที่สุดในโลกเลย”

ผู้ใหญ่ทั้งสองยิ้มและหัวเราะไปกับคำพูดรู้ดีของฝาแฝด ก่อนจะมองหน้ากันอย่างมีความสุข ตลอดทางจนไปถึงโรงเรียนอนุบาล

และเมื่อส่งเด็กๆ ถึงมือครูประจำชั้นเรียบร้อย ปราณันต์และคามินก็ร่ำลาเด็กๆ เพื่อไปออฟฟิศของตัวเองกันต่อ

“พี่ครามมม~ เย็นนี้อย่าลืมมารับเราสองคนนะครับ”

คามินหันกลับไปตามเสียงตะโกนบอก ก่อนจะแปลกใจน้อยๆ เมื่อเห็นว่าคนตะโกนคือปุณณกันต์ เพราะส่วนใหญ่คนที่มีท่าทีแบบนี้มักจะเป็นปัณณธรมากกว่า

แต่คามินก็เลือกที่จะสะบัดความคิดไร้สาระทิ้ง ก่อนที่พี่ครามของเด็กๆ จะยิ้มอ่อนโยน และพยักหน้าพร้อมรับปากว่าจะมารับ แล้วโบกมือลาขึ้นรถไปในที่สุด

.

.

.

ขณะขับรถไปออฟฟิศคามินหันมามองและยิ้มให้ปราณันต์เป็นระยะ จนคนตัวเล็กกว่าอดแซวไม่ได้

“ทำไมครับ กลัวผมหายหรอ ถึงคอยมองตลอดแบบนี้” ปราณันต์พูดยิ้มๆ แถมพูดเองยังอายเองอีกตะหาก

“กลัวสิครับ เมียผมทั้งคน” ปราณันต์อ้าปากหวอ เมื่อเจอคามินสวนกลับ ในขณะที่คนเจ้าเล่ห์กลับหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อได้เห็นท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกของปราณันต์

“คุณนี่! พูดอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่พูดด้วยแล้ว” ว่าไม่ว่าเปล่า มือเล็กๆ ของปราณันต์ฟาดลงบนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างหมั่นไส้ เพราะทำอะไรไม่ได้

และยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทีแบบนั้นยิ่งทำให้คามินขำ ก่อนที่จะแหย่ปราณันต์ โดยเรียกคนตรงข้ามว่า ‘เมียจ๋า เมียจ๋า’ ไปตลอดเส้นทางเข้าออฟฟิศ

“เลิกแกล้งผมได้แล้วนะ!” คามินแอบขำเบาๆ เมื่อเห็นว่าปราณันต์กำลังจะงอนจริงๆ จึงต้องรีบง้อให้หายโกรธ

“โอ๋ๆ ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ” มือใหญ่ข้างที่ว่างจากการจับพวงมาลัยเอื้อมไปกุมมือเล็กไว้ ก่อนที่จะดึงมาจรดริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะกดจูบลงไปเบาๆ


“ปราณันต์ครับ ผมรักคุณ”


ปราณันต์หันมามองคนตรงข้ามของตัวเองเต็มตา ในแววตากลมมีน้ำใสคลอหน่วยอยู่น้อยๆ ก่อนที่แววตากลมนั้นจะบิดขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว อันเกิดจากรอยยิ้มจากปากอิ่ม


“คามินครับ ผมก็รักคุณเหมือนกัน”


คามินเองก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีความสุขมาก ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กัน ราวกับคนที่ตกอยู่ในห้วงรักและห้วงหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 21-02-2021 21:09:50
(อ่านต่อจากด้านบน)


เมื่อถึงออฟฟิศ ปราณันต์ก็เตรียมจะลงจากรถ ก่อนจะนัดแนะกันเรื่องเย็นนี้

“โทรหาผมนะครับว่าเลิกกี่โมง ผมจะได้มารับ แต่ถ้าเลิกดึก ผมจะได้ไปรับเด็กๆ ก่อน”

ปราณันต์พยักหน้ารับ เขาชะงักนิดหนึ่งตอนกำลังจะหันไปเปิดประตู เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะหันกลับมา แล้วยื่นหน้าไปจูบที่แก้มสากของคนตรงข้ามแบบเร็วๆ


จุ๊บ~


พอหอมแก้มคามินเสร็จ ปราณันต์ก็กระโดดลงจากรถทันที ในขณะที่คามินกำลังอึ้งอยู่

“ตั้งใจทำงานนะครับ”

ปราณันต์ลดหน้าลงมาตรงหน้าต่างรถ ก่อนจะตะโกนบอกคนรักเบาๆ คามินเองเมื่อได้สติก็เอาแต่ยิ้มมีความสุขไม่เลิก จนปราณันต์หันหลังเดินกลับไปนั่นแหละ เขาถึงได้ออกรถมาอย่างอารมณ์ดี

ปราณันต์เดินกลับหลังไปไม่กี่ก้าว ก็ถึงได้รู้ว่าตัวเองหยิบโทรศัพท์ของคามินติดมือมาด้วย ร่างบางรีบหันหลังกลับ ก่อนจะพบว่ารถคามินเลี้ยวไปด้านข้างของตึกแล้ว ปราณันต์ตัดสินใจวิ่งตามไปเผื่อจะทัน เพราะถ้าวันนี้คามินไม่มีโทรศัพท์ไว้ใช้งาน ต้องยุ่งยากมากแน่ๆ

และเมื่อปราณันต์วิ่งพ้นมุมตึกมา เขาก็เห็นว่ารถของคามินจอดอยู่ที่ทางเข้าด้านหลังตึก ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่นัก ริมฝีปากอิ่มยิ้มอย่างยินดี ขาเรียวเริ่มออกวิ่งต่อ พลางนึกในใจ


‘สงสัยวันนี้คุณครามจะอยู่ออฟฟิศ'


ปราณันต์วิ่งตามไปจนทันเห็นคามินยืนรอลิฟต์อยู่ คามินที่ปราณันต์เห็นตอนนี้ดูค่อนข้างแตกต่างจากคามินที่เขาเคยเห็น ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสากลดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ซึ่งน่าจะหยิบขึ้นมาใส่หลังเขาลงจากรถ ใบหน้าหล่อเหลาดูเย็นชา ริมฝีปากหยักที่เคยมีแต่รอยยิ้มให้เขากับน้องๆ กลับเรียบตึง จะมีก็แต่แววตาคมคู่นั้นที่ดูเหมือนจะเจือความสุขอยู่อย่างปิดไม่มิดนั่นแหละ ที่ทำให้ปราณันต์มั่นใจว่าคนๆ คนนี้คือคามินของเขา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าข้างตัวของคนรักของเขาจะมีผู้ชายร่างสูงรายงานอะไรบางอย่างอยู่ ในขณะที่คามินทำแค่ฟังและเพ่งความสนใจไปที่ลิฟต์เท่านั้น

ปราณันต์ไม่กล้าออกไปแสดงตัวเพราะสังหรณ์บางอย่างที่เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าคืออะไร คนตัวเล็กเลยเลือกที่จะรอจนคามินเข้าลิฟต์ไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้น พอลิฟต์ปิด ปราณันต์ก็วิ่งไปที่ลิฟต์ตัวที่คามินเพิ่งโดยสารขึ้นไป เขาเพ่งมองอย่างตั้งใจว่ามันหยุดที่ชั้นไหน


ชั้นยี่สิบหก ชั้นสูงที่สุดของตึก ชั้นสำหรับผู้บริหารระดับสูง


ปราณันต์กำโทรศัพท์ในมือแน่น จนข้อนิ้วขึ้นเป็นสีขาว อีกใจนึงเขาก็พยายามบอกตัวเองว่าคามินแค่อาจจะถูกผู้บริหารเรียกพบหรืออะไรสักอย่าง แต่อีกใจเขาก็คิดว่ามันแปลกๆ และเขาก็ควรขึ้นไปดูให้รู้จะได้สบายใจ ซึ่งแน่นอนว่าความอยากรู้ย่อมชนะความยับยั้งชั่งใจทั้งปวง

ปราณันต์ตัดสินใจแอบกดลิฟต์ขึ้นมาที่ชั้นยี่สิบหก ทางเดินบนชั้นนี้เงียบและทอดยาวไปหมด ปราณันต์เดินไปเรื่อยๆ จนเห็นคามินหยุดอยู่ที่หน้าห้องประชุมห้องหนึ่ง คนตัวโตพูดอะไรบางอย่างกับผู้ชายร่างสูงคนนั้น ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเดินจากไป

คามินผลักประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องนั้น ปราณันต์ตัดสินใจเดินไปที่หน้าห้อง ก่อนจะพบว่าประตูปิดไม่สนิท มันแง้มอยู่เล็กน้อย ทำให้เสียงในนั้นลอดออกมา

ปราณันต์ยืนนิ่ง มือทั้งสองกำไว้ที่โทรศัพท์มือถือแน่น เหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยตามไรผม เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังตื่นเต้น หรือวิตกกับเรื่องอะไร แต่เท่าที่รู้ความรู้สึกของเขากำลังบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี

และเสียงทุ้มที่ปราณันต์คุ้นเคยก็ดังขึ้น แต่จะต่างก็ตรงที่มันเย็นเยียบไม่อบอุ่นเหมือนเวลาที่พูดกับเขา

“เซ็นโอนหุ้นมาให้ฉันได้แล้ว คนละห้าเปอร์เซ็นต์ตามที่ได้พนันกันไว้”

ปราณันต์ตัวแข็งทื่อ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคามินคุยกับใครในห้อง แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่เรื่องงาน มันคือเรื่องของการพนัน

“ยังไม่ครบกำหนดหนึ่งเดือนที่แกคบกับปราณันต์เลยไอ้คราม ทำมาเป็นรีบ” นี่เสียงของเมธัสเพื่อนของคามิน ปราณันต์จำได้ เขาสับสนไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน แต่ในเวลานั้นก็ดูเหมือนว่าสมองของปราณันต์กำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว


... แล้วการที่เขาคบกับคามิน มันเกี่ยวอะไรกับหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ หรือการพนันบ้าบอนั่น หรือว่า...?


ปราณันต์พยายามสลัดความคิดไร้สาระทิ้ง เขามั่นใจแน่ว่าคามินไม่มีทางทำแบบนั้นกับเขาแน่นๆ ไม่มีทาง..

แต่ความหวังของปราณันต์ก็พังทลายลง เมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากใครสักคนในห้อง

“ใช่ เฮีย เราตกลงกันที่เดือนนึงนี่ อีกอย่างจุดไคลแมกซ์ของเดิมพันเรา ไม่ใช่แค่เฮียคบกับคุณคนหน้าสวยนั่นสักหน่อย” นี่เสียงของเตชินท์ ปราณันต์คิด ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีใครอยู่ในห้องนั้นบ้าง

เพื่อนสนิททั้งสามคนของคามิน อีกไม่ช้าเขาต้องได้ยินเสียงของสิปปกรแน่ๆ

ปราณันต์อยากจะปิดหู หลับตา แล้วหายไปจากตรงนี้เมื่อพบว่าตัวเขาเป็นเครื่องมือที่ใช้เล่นพนัน เครื่องมือเล่นสนุกของคนสี่คนนี้ ตัวเขาที่เป็นคนมีชีวิตและจิตใจมีมูลค่าแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่เอามาวางเดิมพัน

น้ำใสไหลออกจากตากลมเงียบๆ ปราณันต์คิดว่านี่เป็นสิ่งที่เขาปวดใจมากที่สุด แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เมื่อเขาได้ยินบทสนทนาต่อมาระหว่างสิปปกรกับคามิน ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเขา

“เอาไว้นายนอนกับคุณปราณ..” สิปปกรยังพูดไม่ทันจบประโยค คามินก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

เสียงทุ้มนั้น เสียงที่อบอุ่นและคุ้นเคย กำลังพูดประโยคที่ใจร้ายที่สุด ที่ปราณันต์ไม่คิดว่าตัวเองจะมาได้ยิน


“ฉันนอนกับปราณันต์แล้ว เอาหุ้นของพวกนายมา... ฉันคือผู้ชนะการพนันในครั้งนี้”


พอจบประโยค โทรศัพท์ในมือเล็กที่ปราณันต์ตั้งใจเอามาคืนคามินก็ล่วงหลุดมือตกพื้นเสียงดังลั่น ปราณันต์ยืนช็อคอยู่พักใหญ่ น้ำหูน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด มือเล็กยกขึ้นปาดมันทิ้งอย่างลวกๆ ก่อนที่จะวิ่งไปที่ลิฟต์ที่ตัวเองใช้โดยสารขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เขาอยากไปจากตรงนี้ ไปจากคนใจร้ายที่เขารักจนหมดใจ ไปจากคนนิสัยไม่ดีที่หลอกเขาเพียงเพราะหวังจะนอนกับเขาเพื่อแลกกับหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์

คามินเองหลังจากที่ได้ยินเสียงของหล่นที่หน้าห้อง ก็ลุกเดินออกมาเปิดประตูดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นว่าโทรศัพท์มือถือตัวเองหล่นแตกกระจายอยู่ ดวงตาเรียวเบิกกว้าง สังหรณ์ในใจทำงานขึ้นมาอัตโนมัติ ก่อนจะหันมองไปทางลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกล เขาจึงได้เห็นแผ่นหลังบางที่คุ้นเคยกำลังกระหน่ำกดแผงลิฟต์อย่างไม่ออมมือ

“คุณปราณ” เสียงที่หลุดออกมาจากปากหยักไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ เขาตัดสินใจออกวิ่งทันที ในตอนนั้นหัวสมองเขาคิดอะไรแทบไม่ออก เขารู้แค่ว่าเขาต้องวิ่งไปหาเด็กคนนั้น เขาต้องไปอธิบายให้ปราณันต์เข้าใจ เขาจะไม่ยอมให้ปราณันต์ไปทั้งที่ได้ยินความจริงอันโหดร้ายโดยที่ไม่ได้ฟังคำอธิบายจากเขาเด็ดขาด

อีกเพียงแค่นิดเดียวจะถึงตัวปราณันต์แล้ว แต่ประตูลิฟต์กลับเปิดออกเสียงก่อน

“คุณปราณ ฟังผมก่อน” เขาตะโกนสุดเสียง ใบหน้าสวยหวานที่เขาชอบมอง ทำแค่เงยขึ้นมาสบตาเขาเท่านั้น คามินทันได้เห็นความโศกเศร้าเสียใจทุกอย่างบนใบหน้านั้น ดวงตากลมโตแดงช้ำและมีน้ำใสไหลลงมาไม่หยุด หัวใจของเขาเหมือนมีมือนับพันมาฉีกขย้ำให้ขาดเมื่อเขาได้รู้ว่าเขาทำลายคนที่รักเขาด้วยใจจริงมากแค่ไหน คามินพยายามเอื้อมมือจะขวางประตูลิฟต์ไว้ แต่มันกลับปิดลงเสียก่อน

คามินตะโกนพลางทุบประตูลิฟต์ราวกับคนขาดสติ มือใหญ่กระหน่ำกดปุ่มลิฟต์เพื่อเร่งให้มันเปิด แล้วเขาจะได้ลงไปหาปราณันต์เพื่ออธิบายทุกอย่าง และเมื่อลิฟต์เปิดออก คามินก็รีบเร่งกดให้มันลงไปชั้นล่างสุดโดยเร็ว และเมื่อถึงชั้นหนึ่ง ประตูลิฟต์เปิดออก ก่อนที่คามินจะชะงักเท้า ตาเรียวคมเบิกกว้าง เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์


“ลงมารับด้วยตัวเองเลยหรอคะเนี่ย"


ริมฝีปากที่ถูกเจ้าของประโยคข้างต้น แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงสดยิ้มหยดย้อยให้คามินอย่างยินดี เมื่อเข้าใจไปเองว่าคู่หมั้นลงทุนมาต้อนรับตนด้วยตัวเอง ก่อนจะเดินไปเกาะแขนกำยำอย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ


“วลัย...”


คามินเรียกชื่อคนตรงข้ามอย่างตกตะลึง

“ใช่ค่ะ วลัยเอง วลัยกลับมาหาคุณแล้วนะคะ” ใบหน้าสวยหวานอิงแอบไปที่ต้นแขนคามินอย่างออดอ้อน ในขณะที่คามินยืนนิ่งเหมือนถูกสาป

... ดูเหมือนว่าความสุขที่เขาเพิ่งจะได้รับ จะหมดไปเร็วกว่าที่เขาคิดไว้

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------------------

จริงๆ อยากตั้งชื่อตอนว่าไบโพล่าร์ แต่กลัวว่าจะแรงไป 5555555555555555

พักนี้มาถี่มาบ่อย เพราะเนื้อเรื่องมันเริ่มจะงวดแล้วววว จากนี้คือความบ้าคลั่งที่แท้จริง เตรียมดราฟท์คำด่าอิคุณครามไว้ได้เลย ไม่ได้ฉะปอย แค่ย้ำเตือน เพราะรู้ว่าทุกคนดราฟท์คำด่านังไว้ ตั้งแต่เปิดเรื่องแล้ว 5555555555555555

ขอคอมเม้นท์หน่อยน้าาา ขอกำลังใจให้เราสักนิด ใครที่คอยยอยู่ตรงนี้ คอยซัพพอร์ตนิยายของเรามาตลอดก็ขอบคุณมากๆ นะคะ ซึ้งใจมากเลย ... สัญญาว่าจะพยายามมาห้เร็วขึ้นน สักสองสามสี่วันตอนนึงไรงี้ เพื่อตอบแทนความใจดีที่ทุกคนยังอยู่ตรงนี้กะเราเสมอออ

รักมากๆ นะคะ แล้วไว้เจอกันตอนต่อไปเนาะ ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-02-2021 21:36:17
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-02-2021 20:57:27
กรี๊ดดโอ๊ยยมาถึงวันนี้สักที ลุ้นมากอ่ะกลัวปราณจะไม่ตามขึ้นไป ในที่สุดวันที่ตรูรอคอยก็มาถึง มาถึงแบบโบ๊ะบะ คู่หมั้นก็มา เอาสิๆ 555555 อย่ามาแนวง้อๆนิดๆแล้วก็หายหรือขับรถชน เจออุบัติเหตุแล้วให้อภัยง่ายๆนะ หนีไป10ปี15ปี อย่าให้ได้ตามเจอ อกแตกตายไปเลย 55555 อะแล้วทีนี้ปราณจะทำยังไงหนออออ เห็นใจแล้ว แต่รู้สึกสงสารเด็กๆมากกว่า แต่ช่างแม่ง มาหลอก มุงต้องเจอหนักๆคามิน แค้นนนนนนนนนแทน 5555 สนุกกๆๆชอบๆ หัวใจจะวายตาม ลุ้น 5555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-02-2021 21:02:12
 :katai1: :katai3: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-02-2021 22:33:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 23-02-2021 13:53:17
ได้เวลาของความจริงแล้วสักที
เตรียมตัว รับมือ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...21/02/64 [20th Lies: ไม่คาดคิด]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 23-02-2021 23:23:44
ปราณต้องเอาคืนให้หนักๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/02/64 [21st Lies: พังทลาย]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 25-02-2021 19:41:20
21st Lies : พังทลาย


Pranan’ s Part


สิ่งสุดท้ายที่ผมได้เห็นก่อนจะวิ่งหนีลงมาคือ ใบหน้าที่ผมคุ้นเคยดูเหมือนจะตกใจและเสียใจไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่รู้ว่าเขาเสียใจเรื่องอะไร เขาเสียใจที่ผมรู้ความจริงเร็วเกินไป หรือเขาเสียใจที่เขาทำร้ายผม ผมอยากจะเข้าข้างตัวเองว่ามันคือแบบหลัง แต่แล้วประโยคนั้นก็ดังขึ้นในหัวผมอีกครั้ง


“ฉันนอนกับปราณันต์แล้ว เอาหุ้นของพวกนายมา .. ฉันชนะการพนันในครั้งนี้”


มันยังคงดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวผม เหมือนจะตอกย้ำความโง่งมที่ผมมี ผมหลงเชื่อหมดใจว่าเขารักผมและครอบครัวจริงๆ ผมเปิดประตูให้เขาเข้ามาทำร้ายความรู้สึกโดยไม่ได้เฉลียวใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมเอาแต่คิดว่า ‘คนอย่างผมไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ให้เขาหา’ จนผมลืมคิดว่า ผมอาจจะมีประโยชน์มากกว่าถ้าเขาเอามาใช้เป็นเครื่องมือ

ผมหัวเราะให้ตัวเองอย่างขื่นๆ ในใจลึกๆ ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของความโง่หรืออะไรหรอก เหตุผลหลักๆ คือ ผมดันไปหลงรักเขาง่ายๆ เองต่างหาก นั่นแหละ คือความจริงที่ผมต้องยอมรับ

“ปราณ เกิดอะไรขี้น” ผมเดินเข้ามาในห้องทำงานอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง ผมร้องไห้อย่างหนักก่อนที่จะเดินมาถึงที่นี่ มันเหมือนในใจผมเจ็บจนชาไปหมด และยังไม่ทันได้ตั้งตัวผมก็เจอกับคนที่ผมไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอ

ผมหันหน้าหนีทันทีที่ได้ยินเสียงพี่นทนัช เขาเดินตรงรี่เข้ามาหาผม เมื่อผมเดินเข้ามาในห้องทำงานของทีม แต่ไม่ว่าผมจะหลีกเลี่ยงไม่ให้พี่นทเห็นยังไง หลักฐานที่เป็นคราบน้ำตาหรือดวงตาที่แดงช้ำ รวมไปทั้งความเศร้าหมองบนใบหน้าก็ฟ้องทั้งหมดอยู่ดี

“ไม่มีอะไรครับ” เป็นคำโกหกที่ดูโง่และไร้สาระมาก ผมรู้ ใครฟังก็ต้องไม่เชื่อ แน่นอนว่าพี่นทก็ด้วยเช่นกัน

“อย่าโกหกปราณ ได้เห็นสภาพตัวเองก่อนพูดประโยคนี้ออกมารึยัง? มีอะไร พูดมาให้พี่ฟังเดี๋ยวนี้นะ” เสียงของคนที่เป็นทั้งหัวหน้าและเป็นทั้งพี่สาวพูดขึ้น ทำเอาผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอแทบไม่ไหว

ปราณันต์ที่เคยเข้มแข็ง ตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าเดิม .. ความรักทำให้ผมอ่อนแอขนาดนี้ได้ยังไงกัน

และก่อนที่ผมจะได้ทันพูดอะไรต่อ เสียงเอะอะจากหน้าห้องทำงานของทีม ทำให้ผมกับพี่นทหันไปมองเป็นตาเดียว

“มีอะไรกันหรอพี่นท ปราณ” เป็นกันต์กวีที่เพิ่งเข้ามาเดินมาสมทบกับเราสองคนที่กำลังยืนอยู่

ผมต้องขอบคุณความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เพราะมันช่วยดึงความสนใจจากกันต์กวีไปหมดสิ้น ไม่อย่างนั้นเพื่อนผมคนนี้คงต้องมาเค้นถามจะเอาคำตอบจากผมให้ได้แน่ๆ ถ้าได้เห็นสภาพของผมแบบเต็มๆ ตา แค่พี่นทคนเดียวผมยังหาคำอธิบายดีๆ มาตอบไม่ได้ ยิ่งถ้ามีกันต์กวีมาพ่วงอีกคน กันต์กวีคนที่คอยเตือนผมนักหนาว่าอย่าหลงเชื่อผู้ชายคนนั้น แต่ผมกลับไม่ฟัง หนำซ้ำยังเผลอพูดจาทำร้ายความหวังดีของเพื่อน เพราะความอวดดีคิดว่าตัวเองรู้จักผู้ชายคนนั้นดีพอ แต่ความจริงแล้วเป็นกันต์กวีต่างหากที่มองคนๆ นั้นขาดทั้งหมด ผมนี่มันโง่... โง่จริงๆ

เราสามคนเห็น นที คนในทีมคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาจากหน้าห้อง เลยตัดสินใจจะเรียกไว้เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่านทีจะหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเราเสียก่อนแทน

“พี่นทครับ! เห็นหัวหน้าทีมไหมครับ” นทีละล่ำละลักถามแทบไม่เป็นคำ พี่นทดูงงๆ กับท่าทางของหนึ่งในเพื่อนร่วมทีม แต่ก็รีบตอบกลับไป

“อยู่ทางด้านโน้นแหนะ ว่าแต่มีอะไร ทำไมถึงได้ดูหน้าตาตื่นขนาดนี้ แถมหน้าห้องยังมีเสียงเอะอะวุ่นวายอีก เกิดปัญหาอะไรขึ้นรึป่าว” พี่นทถามในสิ่งที่พวกเราอยากรู้ขึ้นมา

“ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับพี่” นทีตอบ

“เพียงแต่ท่านประธานกับคุณพรวลัยน่ะสิ ไม่รู้นึกครึ้มอะไร จู่ๆ ก็เกิดจะอยากเดินให้กำลังใจพนักงาน เห็นว่าเธอเพิ่งกลับจากต่างประเทศ เลยอยากจะสำรวจนั่นนี่นิดหน่อย ทุกคนก็เลยต้องเตรียมการต้อนรับ ผมเลยต้องรีบไปแจ้งหัวหน้าก่อน”

“คุณพรวลัย.. ใครคือคุณพรวลัยหรอ?” พี่นทถามขึ้นงงๆ ว่าเธอคือใคร ผมเองก็อยากรู้ ลำพังท่านประธานนี่ยังพอเข้าใจได้ แต่คุณพรวลัยนี่ใครกัน

“คุณพรวลัยเธอเป็นคู่หมั้นของท่านประธานไง เห็นว่าหมั้นกันไว้นานแล้วนะ เร็วๆ นี้คงจะแต่งกันแล้วล่ะ”

และถึงแม้เรื่องที่นทีต้องไปบอกหัวหน้าจะดูเร่งด่วน แต่หมอนั่นก็เหมือนอยากจะเม้าท์เรื่องของคู่หมั้นของท่านประธานมากกว่า

“เห็นว่ากันว่าเธอหวงท่านประธานของพวกเราน่าดู ก็แหงล่ะ ทั้งหล่อ ทั้งรวยขนาดนั้น เป็นผม ผมก็ไม่ปล่อยไปหรอก”

พวกเรารับฟังเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ โดยเฉพาะผม ผมแทบไม่ยินดียินร้ายอะไรเลยกับเรื่องที่ได้ยิน มันดูไกลตัวผมมาก จนผมไม่รู้จะเก็บเอามาใส่ใจทำไม แค่ลำพังเรื่องของตัวเองตอนนี้ผมยังแทบเอาตัวไม่รอดเลย เรื่องของท่านประธานนี่ผมขอไม่มีส่วนร่วมดีกว่า แต่ใครจะรู้ล่ะว่าผมคิดผิดถนัด มันใกล้ตัวผมเสียจนคาดไม่ถึงเลยล่ะ

“อ่ะๆ งั้นนายรีบไปบอกหัวหน้าเถอะก่อนที่ท่านประธานจะมา” พี่นทไล่ให้นทีไปหาหัวหน้า ก่อนที่หมอนั่นจะเม้าท์ยืดยาวไปกว่านี้

“งั้นผมไปนะ พวกพี่ๆ ก็เตรียมตัวไว้ด้วยละกัน เดี๋ยวอีกแปปหัวหน้าคงเรียกรวมตัวแหละ”

พวกเราสามคนพยักหน้ารับ ก่อนที่พี่นทจะหันมาหาผม พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังให้ได้ยินเบาๆ กันสองคน

“ไปล้างหน้าล้างตาซะก่อนกวีมันจะหันมาเห็น” พี่นทรีบไล่ผม ตอนที่เห็นกันต์กวียังคงให้ความสนใจกับนทีที่เพิ่งวิ่งไปอยู่ “แล้วเดี๋ยวถ้าท่านประธานกลับไป พี่กับนายมีเรื่องต้องคุยกันปราณันต์”

“ครับ” ผมรับคำพี่นทเสียงเบา ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง เพื่อหลบไปทำให้สภาพตัวเองดูดีกว่าตอนนี้ บอกตรงๆ ว่าแค่พี่นทคนเดียวผมก็ไม่รู้จะรับมือยังไงแล้ว ถ้าพ่วงกันต์กวีมาอีกคนผมต้องแย่มากกว่านี้แน่ๆ

.

.

.

“เอาล่ะ ทุกคนคงจะรู้กันแล้วว่าเดี๋ยววันนี้ ท่านประธานกับคุณพรวลัยคู่หมั้น จะเข้ามาตรวจเยี่ยมพวกเรา”

ในที่สุด หัวหน้าทีมก็เรียกทุกคนประชุมด่วน ผมเข้าร่วมประชุมพร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนร่วมทีม แต่กลับรับฟังสิ่งที่หัวหน้าพูดอย่างใจลอย ในหัวคิดแต่เรื่องของผู้ชายคนนั้นวนไปวนมา ผมไปทำอะไรให้เขา เขาถึงได้ทำร้ายผมและครอบครัวขนาดนี้ หรือถ้าเขาแค่อยากจะเล่นสนุกกับเพื่อน แล้วทำไมเหยื่อของการกระทำของพวกเขาต้องเป็นผม แล้วพอเขารู้จักผมแล้ว เขารู้แล้วว่าผมต้องเผชิญกับอะไรมาบ้างทำไมเขาถึงไม่เห็นใจผมบ้าง หรือว่าที่จริงแล้วเรื่องทุกข์ใจของผมก็คือเรื่องสนุกของเขา ทุกครั้งที่ผมแสดงออกว่ารักหรือประทับใจในตัวเขา เขาคงแอบหัวเราะความโง่เง่าของผมอยู่ในใจ แบบนั้นใช่หรือเปล่า

... ที่ผ่านมา ทุกช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันระหว่างผมกับเขา ผมอยากรู้เหลือเกินว่ามีบ้างไหมสักครั้งที่เขาจะรู้สึกอะไรกับผม แค่สักวินาทีจะมีบ้างไหม หรือมีแค่ผมที่หลงใหลได้ปลื้มกับช่วงเวลาเหล่านั้นลำพังแค่คนเดียว ...


แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมเจ็บปวดที่สุดจะไม่ใช่เรื่องนั้น มันกลับกลายเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าต่อไปนี้ถ้าปุณณกันต์กับปัณณธรถามหาพี่ครามของพวกแก ผมจะตอบคำถามของน้องๆ ว่าอะไร ฝาแฝดยังเด็ก พวกแกจะเข้าใจเรื่องลวงโลกใจร้ายแบบนี้ได้ยังไงกัน ผมจะใจร้ายเล่าให้พวกแกฟังได้หรอ ว่าพี่ครามคนใจดีที่พวกเด็กๆ รักนักรักหนา เข้ามาหา มาตีสนิทกับพวกเราเพียงเพราะเขาแค่นึกสนุก อยากเล่นพนันกับเพื่อนๆ โดยมีผมเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น ผมจะเล่าเรื่องแบบนี้ให้เด็กสี่ขวบฟังได้ยังไง

ผมหลับตาลงช้าๆ เพราะอยากตั้งสติกับเรื่องราวมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในหัวผมไม่หยุดหย่อน น้ำตาผมพาลจะไหลทุกครั้ง เมื่อประโยคนั้นดังขึ้นมาในหัวผมอีกรอบ ผมได้แต่พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ คนอย่างผมไม่ได้รับสิทธิ์มากพอที่จะคร่ำครวญหรือเสียใจหรอก ที่ผมทำได้มีแค่ก้มหน้ารับกรรมในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นแหละ จะโทษใครได้ในเมื่อผมทำตัวเองทั้งนั้น

ผมพยายามสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดต่างๆ และพยายามโฟกัสในสิ่งที่หัวหน้าพูด แต่ดูเหมือนว่ามันจะเข้าหูผมแค่ผ่านๆ เท่านั้น

“อย่างที่รู้กัน เพราะเราเป็นทีมพิเศษสำหรับโปรเจ็กต์ใหญ่ของบริษัท เพราะฉะนั้นก็คงไม่แปลก ที่ท่านประธานจะลงมาตรวจเยี่ยมด้วยตัวเอง ยังไงซะวันนี้ผมก็ขอรบกวนทุกคนให้ต้อนรับท่านประธานและคู่หมั้นอย่างดีด้วยแล้วกัน”

“ครับ/ค่ะ” ทุกคนรับคำรวมถึงผมด้วย

“อีกสักพักท่านประธานก็คงลงมาแล้วล่ะ แยกย้ายไปเตรียมตัวละกัน ผมขอบคุณทุกคนมาก” พอจบคำของหัวหน้าทีม ทุกคนก็แยกย้ายกัน ผม พี่นทและกันต์กวีเองเช่นกัน เรามารวมตัวกันจุดที่ถูกมอบหมายให้อยู่ดูแล

“ต้องยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” กันต์กวีบ่นอุบ

“พูดมากน่า เค้าให้นายทำอะไรก็ทำไปเถอะ” พี่นทดุเข้าให้ “ถือซะว่าวันนี้จะมีบุญได้เจอท่านประธานก็แล้วกัน”

“จะหล่อสู้ผมได้รึป่าวเหอะ” กันต์กวีพูดด้วยท่าทางยียวน ทำเอาผมหลุดหัวเราะ หลังเพิ่งผ่านเรื่องแย่ๆ มา นี่ก็เพิ่งเป็นเสียงหัวเราะแรกของผมนี่ล่ะ

“เห็นไหม? ปราณยังเห็นด้วยกับผมเลยเถอะ” กันต์กวีทำหน้าทำตาใส่พี่นท ยิ่งทำเอาผมหัวเราะหนักกว่าเดิม

“ฮ่าๆๆ”

“นายนี่มันกวนประสาทจริงๆ” พี่นทดุยิ้มๆ “จะว่าไปฉันก็เคยเห็นท่านประธานอยู่ครั้งนึงนะ แต่เห็นไกลๆ มาก” จู่ๆ พี่นทก็เล่าขึ้นมา

“เห็นเขาเล่ากันว่า หล่อแต่เย็นชา แถมดุมากอีกต่างหาก ใครก็เข้าหน้าไม่ค่อยติด ฉันว่าทางที่ดี เราอยู่ห่างๆ ท่านไว้ดีกว่า” พอเห็นผมกับกันต์กวีจ้องเขม็ง พี่นทก็เฉลย “ฉันอยากทำงานอย่างสงบสุข งานสมัยนี้ไม่ใช่หาง่ายๆ สักหน่อย”

กันต์กวีพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดพี่นท แต่ผมกลับสังหรณ์ใจแปลกๆ ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าคืออะไร แต่มันเป็นความรู้สึกที่แทบจะไม่ต่างกับความรู้สึกเมื่อเช้าเลย

ผมพยายามสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดประหลาดๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตารอรับท่านประธานและคู่หมั้นที่กำลังจะลงมาถึงในเวลาอีกไม่นานข้างหน้านี้

.

.

.

“ท่านประธานมาแล้ว”

ผมได้ยินใครสักคนตะโกนบอก ทุกคนในทีมลุกขึ้นยืนต้อนรับกันอย่างเป็นระเบียบ ผมก้มศีรษะเล็กน้อยอย่างให้ความเคารพ จนผมได้ยินเสียงฝีเท้าหลายๆ คู่ก้าวเข้ามาเท่านั้นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าท่านประธานได้มาถึงแล้ว

เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวตรงมาทางผมพร้อมๆ กับเสียงส้นสูงกระทบพื้น ด้วยความที่ผมกำลังก้มหน้าอยู่ เลยไม่ได้เห็นว่าท่านประธานอยู่ห่างแค่ไหน

แต่จู่ๆ เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ผมได้ยินในตอนแรก ก็ดูเหมือนจะชะงักกึก ตอนที่อยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่ แล้วผมก็ได้ยินเสียงหวานของผู้หญิงคนนึงดังขึ้น คนที่คาดว่าน่าจะเป็นคู่หมั้นของท่านประธาน ซึ่งประโยคที่เธอคนนั้นพูดเป็นประโยคที่ช็อค ความรู้สึกผมไปไม่น้อยกว่าที่ผมได้ยินเมื่อเช้าเลย

“หยุดเดินทำไมหรอคะคามิน มีอะไรรึป่าว?”

ผมเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อที่คุณพรวลัยคู่หมั้นของท่านประธานเรียก ดวงตากลมโตของผมเบิกกว้างเมื่อได้สบกับดวงตาเรียวคมคู่นั้นที่ผมคุ้นเคย ความรู้สึกของผมเหมือนกำลังถูกฟาดศีรษะแรงๆ ด้วยไม้ใหญ่ๆ สักท่อนและที่ทำให้ผมเจ็บเจียนตายยิ่งกว่าเดิมก็คือ


... แววตาเรียวคมคู่นั้นที่ผมคุ้นเคย แววตาที่มักมองมายังผมอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับเย็นเยียบ ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆ ให้ผมสัมผัสได้อีก ...


“เปล่าครับไม่มีอะไร เราไปกันเถอะ” มือใหญ่แตะเอวบางให้ออกเดินต่อ มือใหญ่คู่นั้นที่เคยจับและสัมผัสผมอย่างอ่อนโยน ตอนนี้กำลังแตะผู้หญิงคนนั้นอย่างอ่อนโยนไม่ต่างกัน

คนที่ช็อคไม่น้อยไปกว่าผมก็คือพี่นทและกันต์กวี สองคนนั้นดูจะพูดไม่ออกไปชั่วขณะ พี่นทหันมาผมพลางถามด้วยสายตาว่านี่มันคืออะไรกัน ผมได้แต่มองพี่นทกลับอย่างไร้คำอธิบาย ดูเหมือนพี่นทจะเข้าใจทุกอย่างในทันทีจากอาการของผมทั้งหมด มีแต่กันต์กวีเท่านั้นที่ดูหงุดหงิดและเดือดดาลเมื่อพอจะจับต้นชนปลายได้

“นี่มันอะไรกันปราณ ไอ้เลวนั่น มันหลอกนายหรอ” กันต์กวีถามขึ้นหลังจากที่คามินเดินผ่านไปแล้ว และดูเหมือนว่ากำลังจะพูดคุยอะไรบางอย่างกับหัวหน้าอยู่

“ผมจะไปถามมันให้รู้เรื่อง ว่าทำไมมันทำกับปราณแบบนี้” กันต์กวีทำท่าจะเดินออกไปหาคามินที่อยู่ไม่ไกล ดีทีพี่นทรั้งไว้ได้ก่อน

“นายจะบ้ารึไงกวี มีสติหน่อย! ทำแบบนี้มันจะได้อะไรขี้นมาหรอ? มีแต่จะทำให้ปราณเดือดร้อนล่ะไม่ว่า” พี่นทบุ้ยใบ้ไปที่คุณพรวลัย คู่หมั้นของคามิน “นายดูผู้หญิงคนนั้นสิ”

ผมมองตามที่พี่นทบอก คุณพรวลัยเป็นผู้หญิงที่สวย สวยมาก แต่ภายใต้เครื่องสำอางค์และเสื้อผ้าราคาแพง ผมสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา รอยยิ้มหวานที่สวยงาม ดูเหมือนดอกไม้ที่เคลือบยาพิษยังไงยังงั้น... เธอดูอันตรายเกินกว่าที่คนอย่างผมจะรับมือได้ อย่างที่พี่นทว่านั่นแหละ

แต่ที่ปฎิเสธไม่ได้เลยก็คือ ในขณะเดียวกันเธอก็ดูเหมาะสมกับคามินอย่างร้ายกาจ เหมาะสมจนผมดูเหมือนคนไม่เจียมตัวที่ไปเสนอหน้าหลงคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะรักผมจริงๆ ผมมันก็แค่ของเล่นคั่นเวลาแก้เหงาเท่านั้นแหละ

ดูเหมือนว่าข้อสงสัยต่างๆ ของผมจะคลี่คลายทันที กับการที่จู่ๆ คามินเข้ามาในชีวิตผม การที่เขาเข้ามาตีสนิทผม ยื่นข้อเสนอนั่นนี่ให้ผม หรือแม้กระทั่งการที่ผมได้มาอยู่ในทีมโปรเจ็กต์ รวมไปถึงการที่ผมไม่ต้องไปทำงานพิเศษ ทำให้ผมได้มีเวลาอยู่กับคามินมากขึ้น ผมเคยเข้าใจว่ามันเป็นเพราะอำนาจของพรหมลิขิต ที่แท้มันก็เพราะอำนาจของเงินและบารมีของผู้ชายคนนี้ก็แค่นั้น เขาไม่เคยมีความจริงใจให้ผมเลยสักนิด สำหรับเขาแล้วมีอะไรที่จริงบ้าง เขาทำกับผมขนาดนี้ได้ยังไง

พอนึกถึงตรงนี้น้ำตาที่ผมสู้อุตส่าห์กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเงียบๆ ผมได้แต่นึกน้อยใจว่าทำไมพระเจ้าถึงจงเกลียดจงชังและใจร้ายกับผมนัก ผมมองใบหน้าที่ผมรักอย่างเจ็บปวดเกินจะบรรยาย จนกระทั่งคามินหันมาและเราได้สบตากันอีกครั้ง

แววตาเรียวคมดูเจ็บปวดอยู่ชั่วครู่ แต่มันก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหันหนีไปทางอื่น ผมได้แต่หัวเราะอย่างสมเพชตัวเองอยู่ในใจ ผมกล้าดียังไงถึงคิดว่าเขาจะยังเป็นห่วงผมอยู่ ผมยอมรับว่าผมยังหวังลึกๆ หลังจากรู้ความจริง ผมยังรอให้คามินมาขอโทษ ถ้าถึงตอนนั้นผมอาจจะยังพอให้อภัยได้ เพราะผมรักเขามากมายจริงๆ

แต่มาจนถึงตอนนี้ความจริงที่ว่าคามินเป็นประธานบริษัทที่ผมทำงานอยู่แถมยังมีคู่หมั้นแล้วกำลังตีแสกหน้าผมอย่างแรง ผมยังจะไปหวังอะไรอีก ในเมื่อคามินไม่ใช่ของผมตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ และนั่นดูเหมือนจะทำให้กันต์กวีโกรธยิ่งกว่าเดิม

“ปราณ...”

ผมเงยหน้า หันไปมองเพื่อนร่วมทีมทั้งสอง ก่อนจะยิ้มให้อย่างเหนื่อยอ่อน

“เราไม่เป็นไรหรอกกวี ช่างเขาเถอะ เราทำตัวเองทั้งนั้นแหละ” ผมตอบกันต์กวี ก่อนจะหันไปหาพี่นทอย่างขอร้อง “ผมขอลาสักครึ่งวันนะครับ”

พี่นทพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไปเถอะ” ก่อนจะเอื้อมมือมาจับผมไว้ “แต่ถ้ามีอะไรให้พี่กับกวีช่วยก็บอกนะ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะกล่าวขอบคุณ กันต์กวีทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมเดินออกมาจากตรงนั้นเสียก่อน เพราะถ้าผมอยู่ต่ออีกแค่แม้แต่วินาทีเดียว ผมคงต้องเผลอร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายใจร้ายคนนั้นแน่ๆ


... ซึ่งไม่มีวันที่ผมจะยอมให้ผู้ชายคนนั้น เห็นผมอ่อนแอและรังแกได้อีกเด็ดขาด ไม่มีวัน ...

.

.

.

หลังจากเก็บกระเป๋าออกจากออฟฟิศ ผมก็โทรหาที่พึ่งเดียวของผมทันที เพื่อนสนิท และคนที่ผมพร้อมจะแสดงความอ่อนแอให้เห็นได้โดยไม่ต้องอาย


.. อนาวิน ..


(ว่าไงวะไอ้ลูกแมว มีแฟนละหายต๋อมเลยนะ) อนาวินรับสายและทักทายผมอย่างอารมณ์ดี ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะยืนไม่ไหวอีกครั้ง

“ฮึก.. วิน อนาวิน ฮึก..” ปลายสายเงียบไปทันทีหลังจากได้ยินเสียงสะอื้นของผม

(เกิดอะไรขึ้นปราณ นายร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรนาย?) น้ำเสียงขี้เล่นหยอกล้อก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที ถึงแม้อนาวินจะตัวเล็กกว่าผม แต่เพื่อนผมคนนี้ก็พร้อมจะกางปีกปกป้องผมเสมอ ถ้ารู้ว่าผมถูกใครรังแก

“นาย.. ฮืออ นายอยู่ไหน ฉันอยากไป ฮึก.. ไปหา” ผมพูดไปร้องไห้ไปฟังแทบไม่รู้เรื่อง ยิ่งเห็นเพื่อนสนิทเป็นห่วงผมมากแค่ไหน ผมยิ่งรู้สึกเจ็บ มันเจ็บเพราะอะไรผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

(นายไม่ต้องมาหาฉัน) ผมแทบร้องไห้โฮเมื่อถูกเพื่อนรักปฎิเสธ แต่พอได้ยินประโยคต่อมากลับทำให้ผมอยากร้องไห้มากกว่าเดิม

(ฉันจะไปหานายเอง อยู่ที่ไหน อพาร์ทเม้นท์ใช่ไหม รออยู่ที่นั่นแหละ อย่าไปไหนนะ)

พอพูดจบไอ้วินก็วางสายทันที น้ำเสียงร้อนรนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักทำให้ผมแอบปาดน้ำตาเงียบๆ อย่างน้อยผมก็โชคดีที่มีเพื่อนสนิทอย่างอนาวิน

อนาวินก็ยังเป็นอนาวินคนเดิม คนที่คอยช่วยเหลือผมในทุกๆ เรื่อง เป็นคนเดียวที่ผมยอมให้เห็นตัวตนของผมในทุกแง่มุม และก็เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมมาโดยตลอดที่ผมเปิดเผยให้เห็น

จนกระทั่งไม่นานมานี้ที่ผมยอมเปิดใจรับใครอีกคนเข้ามา แล้วสุดท้ายเขาก็ทำลายความเชื่อใจของผมลงอย่างไม่มีชิ้นดี


.. อีกแล้ว ผมคิดถึงผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว หัวใจของผมมันช่างไม่รักดีจริงๆ ...


ผมนั่งรออยู่ไม่นาน อนาวินก็มาถึง มันเคาะประตูบ้านจนแทบพัง ผมลุกช้าๆ เพื่อเดินไปเปิดประตู พออนาวินเข้ามาได้ แล้วเห็นสภาพผมเต็มตา เพื่อนผมมันก็ดูอึ้งไปไม่น้อยเหมือนกัน

“ปราณันต์ เกิดอะไรขึ้น เล่ามาให้ฉันฟังทั้งหมด” อนาวินเรียกผมด้วยชื่อเต็ม นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความจริงจัง และนั่นก็หมายความอีกว่า ผมห้ามโกหกเพื่อนสนิทแม้แต่คำเดียว

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไอ้วินฟัง ผมเล่าไป น้ำตาไหลไปเงียบๆ ผมไม่ได้ฟูมฟาย ผมไม่ได้สะอึกอื้น แต่ยิ่งเล่าผมยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจผมถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ผมไม่ได้เสียใจที่พลาดมีอะไรกับคามิน ช่วงเวลานั้นเราต่างคนต่างมีความสุข ผมถือว่าผมไม่ได้เสียอะไร แต่ที่ผมเสียใจคือความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีให้เขาคนนั้นต่างหาก

อนาวินนั่งฟังผมเล่าเงียบๆ โดยไม่ได้แย้งอะไร แต่ผมเห็นมือเล็กของเพื่อนสนิทกำเข้าหากันแน่น ไอ้วินกำลังโกรธ ผมรู้ดี

“ฉันขอโทษ” ประโยคแรกที่หลุดออกจากปากอนาวินกลับไม่ใช่ประโยคที่ผมคาดคิดว่าจะได้ยิน

“ขอโทษ? ขอโทษทำไม?” ผมถามอนาวินอย่างไม่เข้าใจ

“เพราะฉัน.. ฉันยุให้นายทำตามขอเสนอของคามิน ฉันยุให้นายเปิดใจให้ผู้ชายคนนั้น นั่นหมายความว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายถูกทำร้าย ฉันขอโทษ”

อนาวินพูดเสียงสั่น ผมรู้ว่าเพื่อนผมกำลังเสียใจ และผมเองก็ไม่เคยคิดโทษมันเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ใช่เพราะนายหรอก เราต่างก็ถูกหลอกทั้งคู่นั่นแหละ” ผมพูดเสียงเบา แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่มันก็คือความจริง

“คามินมาบอกฉัน ให้ฉันช่วยเกลี้ยกล่อมนาย แล้วฉันก็ดันทำตามที่ผู้ชายคนนั้นขอ ปราณฉัน...”

“วิน ฟังฉัน” ผมพูดแทรกเพื่อนสนิทก่อนที่มันจะพูดจบประโยค “ผู้ชายคนนั้นก็แค่ใช้ประโยชน์จากความหวังดีของนาย ฉันเข้าใจ และฉันก็ไม่โทษนายเลย”

อนาวินลุกขึ้นมาหาผม ก่อนจะกอดผมที่นั่งอยู่เบาๆ ผมโอบแขนรอบเอวเพื่อนสนิทแน่น ก่อนจะซุกหน้าสะอื้นกับหน้าท้องของมัน ผมปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอจนถึงขีดสุด พลางบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่า ผมจะขอเป็นแบบนี้แค่วันนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ผมจะกลับมาเป็นปราณันต์ที่เข้มแข็งคนเดิม ผมมีน้องต้องดูแล ผมจะอ่อนแอแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ ผมจะฟูมฟายเพราะผู้ชายคนเดียวไม่ได้อีก

อนาวินปล่อยให้ผมร้องไห้จนพอใจ เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ ไอ้วินแค่นั่งข้างๆ คอยลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจผม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าผมได้ระบายทุกอย่างออกมาให้เพื่อนสนิทคนนี้ฟังจนหมดสิ้น และอนาวินเองก็ปลอบใจผมจนทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นกว่าเดิม

และหลังจากผมสงบลง อนาวินก็เริ่มคุยจริงจังกับผมอีกครั้ง

“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อ?” คำถามของอนาวินทำให้ผมต้องตั้งสติใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ผมต้องให้ความสำคัญกับคนที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผมก่อน นั่นคือ ปุณณกันต์กับปัณณธร

“ฉันกำลังคิดว่า บางทีฉันอาจจะต้องกลับไปฝากฝาแฝดไว้ที่โรงเรียนอีกครั้ง เพราะงานที่ทีมเลิกไม่เป็นเวลา ฉันอาจไปรับน้องไม่ได้ในบางวัน” ผมตอบอนาวินแบบเครียดๆ

“สงสารก็แต่เด็กๆ พวกแกมีความสุขมากเลยนะตอนที่ได้กลับบ้านทุกเย็นเหมือนเด็กคนอื่น ฉัน...” เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกตรงคอ ทำให้ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้อีกรอบ “เหมือนฉันให้ความหวังพวกแก หลอกให้พวกแกมีความสุข แต่สุดท้ายฉันกลับผลักพวกแกไปอยู่จุดเดิม ฉัน.. แม่งแย่ว่ะ”

พอคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา หัวใจผมก็เจ็บไปหมด ผมเผลอทำร้ายสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผมโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

“อย่าทำแบบนั้นเลยไอ้ปราณ ฉันว่าฉันพอมีทางออก” ผมเหลือบมองอนาวินอย่างมีความหวัง

“ยังไง?”

“ตอนนี้แม่เปลี่ยนงานใหม่แล้ว ท่านรับงานมาทำอยู่กับงาน แล้วแม่เองก็บ่นเหงาๆ เพราะฉันทำงานที่คลับเกือบทุกวัน ถ้าแม่ได้แฝดไปอยู่เป็นเพื่อนช่วงเย็นๆ ท่านคงดีใจมากแน่ๆ”

ผมรับฟังอย่างไม่สบายใจ ดูแล้วมันน่าจะเป็นทางออกที่ดี เพราะแม่ของอนาวินรักฝาแฝดมาก เด็กๆ เองก็เหมือนกัน เพราะท่านเป็นคนเลี้ยงพวกแกมา แต่นั่นหมายความว่า ผมกำลังจะรบกวนครอบครัวของอนาวินอีกแล้ว

“ฉันเกรงใจแม่ ฉัน...”

“อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีกนะไอ้ปราณ เกรงจงเกรงใจอะไร นายกับฉันก็เหมือนพี่น้องกัน แล้วนายก็รู้ว่าแม่ฉันรักปุณณ์กับปัณณ์มากขนาดไหน ขืนนายไปพูดแบบนี้กับแม่ แม่โกรธนายตายแน่ๆ”

ผมถอนหายใจ “นายแน่ใจนะ ว่าพวกฉันไม่ได้ทำให้ครอบครัวนายลำบาก”

ไอ้วินยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ก่อนจะตอบอย่างหนักแน่นเพื่อให้ผมคลายกังวล

“เออ แน่ใจดิวะ” มันตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่าง เรื่องนี้ฉันเองก็ผิด ให้ฉันได้มีส่วนได้ช่วยอะไรนายบ้าง ก็ยังดี”

“ขอบใจนายมากนะ ขอบใจจริงๆ นายคือสิ่งดีๆ ไม่กี่อย่างในชีวิตฉันนะวิน และก็อย่าโทษตัวเองอีก เพราะถ้าจะหาคนที่ผิดในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าคนๆ นั้นควรเป็นฉันซะมากกว่า”

อนาวินมองหน้าผมพลางส่ายศีรษะราวกับจะบอกว่าไม่เห็นด้วย

“อย่าโทษตัวเองนักเลยวะไอ้ปราณ ความผิดอย่างเดียวของฉันกับนายคือไว้ใจคนผิด มันมีแค่นั้นแหละ” อนาวินยื่นมือมาโยกศีรษะผมอย่างให้กำลังใจ

“เข้มแข็งไวๆ นะไอ้ลูกแมว ฝาแฝดน่ะ ต้องการนายมากที่สุด นายรู้ใช่ไหม”

ผมมองหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังยิ้มให้กำลังใจผมอยู่ ผมฝืนยิ้มตอบ พลางพูดกับตัวเองด้วยประโยคเดียวกับที่อนาวินพูดกับผม


‘ใช่ ปราณันต์ นายต้องเข้มแข็ง กลับมาเข้มแข็งให้ได้เหมือนเดิม ถึงไม่มีเขาเราก็ต้องอยู่ให้ได้ เข้าใจใช่ไหม ปราณันต์’

.

.

.

พอตกเย็น ผมก็แยกกับอนาวินเพราะหมอนั่นต้องไปทำงาน ส่วนผมก็ต้องไปรับฝาแฝดที่โรงเรียน และก่อนที่จะได้เจอน้อง ผมก็ไปจัดการติดต่อกับครูประจำชั้นของเด็กๆ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าต่อไปนี้คนที่มารับฝาแฝดอาจจะเป็นคุณแม่หรืออนาวินเพื่อนสนิทของผม และคามินอาจจะไม่ได้มาอีก พอคุณครูถามเหตุผล ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง สุดท้ายเลยต้องโกหกไปว่าคามินไปทำงานต่างประเทศกะทันหัน และอีกนานกว่าจะกลับมา

“น่าเสียดายนะคะ เด็กๆ ดูจะติดคุณคามินมากเลย แบบนี้คงคิดถึงกันแย่” คุณครูเปรยออกมาเบาๆ ผมเองไม่รู้จะตอบยังไงเลยยิ้มแห้งๆ ให้ครูกลับไปแทน

“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปรับน้องๆ ก่อนนะครับ แล้วยังไงพรุ่งนี้เช้าจะพาพวกแกมาส่งตามเดิม” ผมลุกขึ้นเตรียมลา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์เงียบๆ


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/02/64 [21st Lies: พังทลาย]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 25-02-2021 19:45:54
(อ่านต่อจากด้านบน)


ระหว่างทางที่ผมเดินไปที่ห้องเรียนของฝาแฝด บรรยากาศต่างๆ ทำให้ผมหวนคิดถึงผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง ทางเดินทอดยาวที่ผมมักจะเดินตามหลังคามินที่กำลังอุ้มปัณณธรอยู่ในอ้อมแขน ส่วนผมก็จูงปุณณกันต์เดินตามไม่ห่าง ผมมักจะชอบมองแผ่นหลังของเขาคนนั้นเสมอ แผ่นหลังที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แผ่นหลังที่ผมมั่นใจว่าจะปกป้องผมและเด็กๆ ได้ แต่สุดท้ายเจ้าของแผ่นหลังนั้นกลับเป็นคน ทำร้ายผมเสียเอง ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายที่ทำเอาผมขำไม่ออกจริงๆ

“พี่ปราณณณ” ปัณณธรน้อยวิ่งถลาออกมาจากห้องเรียน ทำเอาผมเกือบอ้าแขนรับไว้ไม่ทัน

“ทำไมวิ่งออกมาแบบนี้ล่ะครับปัณณ์ เกิดหกล้มขึ้นมาจะว่าไง” ผมกอดเจ้าแฝดตัวน้อยที่กำลังหัวเราะคิกคักไว้ในอ้อมแขนแน่น พลางจูบเข้าที่ขมับเล็กๆ ของน้องชายอย่างกับคนที่ต้องการจะหาที่พึ่ง

“วันนี้พี่ปราณมารับพวกเราหรอครับ” ผ่านไปไม่นานปุณณกันต์ก็เดินตามออกมาสมทบ เจ้าคนพี่ถามแล้วส่งยิ้มให้ผมอย่างน่ารัก รอยยิ้มที่เหมือนกับรอยยิ้มของผมไม่มีผิดเพี้ยน

“ครับ วันนี้พี่ปราณมารับ” ผมตอบรับแล้วส่งยิ้มให้เด็กทั้งคู่

“แล้วพี่ครามล่ะครับพี่ปราณ วันนี้พี่ครามไม่มาหรอ” ปัณณธรน้อยถามขึ้น พลางสอดส่ายสายตามองหาผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นอย่างแปลกใจ ทำเอารอยยิ้มของผมเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“วันนี้พี่ครามติดงาน มาไม่ได้ครับ” ผมโกหกเด็กๆ ซึ่งไม่ใช่นิสัยผมเลยที่จะโกหกน้องๆ แบบนี้ “วันนี้เราไปกินไอติมกันไหม เดี๋ยวพี่ปราณพาไปกิน”

ผมต้องหาทางคุยกับฝาแฝด ถึงจะโกหกน้องผมก็ต้องทำ ผมไม่อยากให้พวกแกตั้งความหวังรอคามินไปวันๆ ถึงแม้พวกแกจะเสียใจผมก็ต้องบอกให้พวกแกรู้ ตัดไฟเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า ดีกว่าปล่อยให้พวกแกรอ ทั้งๆ ที่ไม่มีวันที่ผู้ชายคนนั้นจะกลับมา

“เย่ๆ ปัณณ์อยากกินไอติม ไปกินไอติมกันเถอะครับ” ความสดใสของน้องชายตัวน้อย ทำเอาผมยิ้มออกได้อย่างอัตโนมัติ ผมจูงมือฝาแฝดไว้คนละข้างด้วยมือเล็กๆ ของผมเอง ก่อนจะพาแกทั้งคู่เดินออกจากโรงเรียนอนุบาล เพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ป้าย ที่อยู่ไม่ห่างออกไป

“วันนี้เรานั่งรถเมล์ไปกันได้ไหมครับ ปุณณ์กับปัณณ์นั่งรถเมล์ได้ใช่ไหม” นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมกังวลไม่น้อย ระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คามินจะไปรับไปส่งพวกเราด้วยรถส่วนตัวตลอด เด็กๆ อาจจะเคยชินกับความสะดวกสบายเหล่านั้นไปแล้ว และถ้าผมกำลังจะทำให้พวกแกลำบากอีกครั้ง พวกแกจะตั้งรับกับเรื่องเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน ผมไม่มั่นใจเลย

“นั่งได้สิครับพี่ปราณ เมื่อก่อนพวกเราก็นั่งออกจะบ่อย” ปุณณกันต์ตอบฉะฉาน โดยมีปัณณธรพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ทำเอาผมอดยิ้มภูมิใจไม่ได้

น้องชายตัวน้อยของผม พวกแกช่างเป็นเหมือนของขวัญ นอกจากจะน่ารักแล้ว พวกแกยังไม่เคยทำให้ผมลำบากใจอีกต่างหาก ถ้าจะมีเรื่องอะไรที่ผมโชคดีนอกจากเรื่องเพื่อน ก็คงจะเป็นเรื่องน้องชายทั้งสองคนของผมนี่แหละ

“งั้นไปครับ พวกเราไปกินไอติมกัน” ผมพาเด็กๆ ทั้งสองออกเดิน ปุณณกันต์จับมือผมไว้แน่นและมั่นคง ส่วนปัณณธรนั้นเดินไปกระโดดไปอย่างร่าเริง ผมยิ้มมองฝาแฝดสลับไปสลับมาอย่างเอ็นดู นี่แหละนะ ยาใจหนึ่งเดียวที่ผมมีและหวงแหนมากที่สุดในโลก

.

.

.

พอไปถึงร้านไอศครีม เด็กๆ ก็สั่งเลือกรสที่ตัวเองชอบ และระหว่างรอไอศครีมมาเสิร์ฟ ผมเลยตัดสินใจพูดเรื่องผู้ชายคนนั้นกับพวกแก

“ปุณณกันต์ครับ ปัณณธรครับ พี่ปราณมีอะไรจะบอก”

เจ้าหนูทั้งสองจ้องผมตาแป๋ว ลูกตาแบบเดียวกับของผม แต่ใสแจ๋วและไร้เดียงสาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว กำลังจ้องมาที่ผมอย่างตั้งใจฟัง นั่นทำเอาผมแทบพูดไม่ออกไปชั่วขณะ จู่ๆ ลำคอก็เกิดตีบตันขึ้นมาเสียเฉยๆ

ผมสูดลมหายใจเรียกความกล้าเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไป โดยใช้น้ำเสียงที่ถนอมความรู้สึกเด็กๆ มากที่สุด

“ต่อไปนี้ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ถ้าพี่ปราณไม่รับ พี่วินหรือไม่ก็คุณยายจะเป็นคนไปรับปุณณ์กับปัณณ์แทนนะครับ ส่วนตอนเช้าพี่ปราณก็จะเป็นคนพาฝาแฝดไปส่งโรงเรียนเอง” ผมยิ้มฝืนๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่ครามจะไม่มารับส่ง และไม่มาหาเราอีกแล้ว โอเคไหมครับ”

หลังจากที่ผมพูดจบ ใบหน้าเด็กๆ มีแต่ความสงสัย ไม่เข้าใจ และผิดหวัง แสดงออกไปอย่างตรงไปตรงมา และก็เป็นปุณณกันต์ที่เอ่ยถามออกมาในที่สุด

“ทำไมพี่ครามจะไม่มาอีกล่ะครับ เพราะเราสองคนหรอครับ ปุณณ์กับปัณณ์ดื้อจนพี่ครามไม่อยากมาเจออีกแล้วหรอครับ”

ใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าหนูทั้งคู่เศร้าลงทันตา และดูเหมือนว่าเจ้าแฝดคนน้องร่ำๆ จะร้องไห้แล้วด้วยซ้ำ ผมเจ็บหัวใจไปหมด ทำไมผมต้องมาโกหกน้องตัวเอง ทำไมผมต้องมาทนเห็นพวกแกเสียใจ เพราะผู้ชายคนนั้นด้วย ... ทำไม?

“ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่” ผมยื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาเม็ดเล็กๆ ที่ไหลออกมาจากตากลมของปัณณธร แกเงียบไปเลยทันทีที่ผมพูดว่าคามินจะไม่มาอีก “ที่พี่ครามจะไม่มา เพราะพี่ครามมาไม่ได้ ไม่ใช่ไม่อยากมาหรอกนะครับ”

ผมกำลังโกหกเด็กๆ ... ผมยอมเป็นคนเลว ดีกว่าต้องเห็นแก้วตาดวงใจของผมร้องไห้หรือเสียใจ

“พี่ครามต้องไปทำงานต่างประเทศ ไปอีกนาน กว่าจะกลับ” ผมยิ้มอ่อนโยน เพื่อย้ำว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง จะว่าไปก็เหมือนกับผมกำลังโกหกหัวใจตัวเองด้วยไม่ต่าง “พี่ครามฝากมาขอโทษด้วยนะครับ ที่มาลาฝาแฝดด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะมันกะทันหัน”

“จริงหรอครับ พี่ครามไม่ได้ไม่อยากมาเจอพวกเราใช่ไหมครับ” ปุณณกันต์ถามอย่างคาดหวัง

“ไม่ใช่เพราะพวกเราดื้อ จนพี่ครามไม่อยากมาเจอใช่ไหมครับพี่ปราณ” ปัณณธรเองก็เช่นกัน

“ใช่ครับ พี่ครามรักพวกหนูจะตาย จะไม่อยากมาเจอได้ยังไง จริงไหม” ผมฝืนยิ้ม ผมไม่อยากเห็นพวกแกร้องไห้ พวกแกยังเด็ก ให้เข้าใจว่าคามินจากไปทั้งที่ยังรักพวกแกจะดีกว่า

ที่จริง ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่คามินมีให้ฝาแฝดมันจริงแท้มากแค่ไหน หรือมันอาจะจะเป็นแค่ความรู้สึกจอมปลอมแบบที่มีให้ผมก็ได้ แต่ผมอยากให้ภาพจำของพวกเด็กๆ มีแต่เรื่องดีๆ มากกว่า คามินจะคิดยังไงผมไม่สนหรอก ผมสนก็แต่ความรู้สึกของฝาแฝดก็เท่านั้น

“เพราะฉะนั้นปุณณ์กับปัณณ์ต้องไม่ร้องไห้นะ ถ้าพี่ครามรู้เดี๋ยวพี่ครามจะไม่สบายใจ แล้วทำงานไม่ได้ โอเคไหมครับ” ผมตะล่อมหลอกจนเจ้าหนูน้อยยิ้มออกมาในที่สุด

“แล้วถ้าพี่ครามกลับมาจากที่ไปทำงานเมืองนอกนานๆ แล้ว พี่ครามจะมาหาเราสองคนไหมครับ” ปัณณธรถามอย่างสดใส ผมยิ้มออกเมื่อเห็นท่าทางร่าเริงของเจ้าตัวน้อยมากกว่าท่าทางที่เศร้าหมอง

“มาหาสิครับ พี่ครามต้องกลับมาหาฝาแฝดของพี่ปราณแน่ๆ พี่ปราณไม่โกหกหรอก” ผมฝืนยิ้มให้พวกเด็กๆ อีกครั้ง และพอเจ้าหนูน้อยได้ยินคำตอบที่พอใจพวกแกก็ยิ้มน่ารักจนลูกตากลมบิดขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว รอยยิ้มที่ผมรักและหวงแหน ถ้ามันจะรักษารอยยิ้มนี้ไว้ได้ จะให้ผมเป็นคนเลวและต้องโกหกพวกแกอีกกี่ครั้งผมก็ยอม


... พี่ขอโทษนะฝาแฝด พี่ปราณขอโทษจริงๆ ...


ผมได้แต่ตะโกนก้องอยู่ในใจ พร้อมกับหยดน้ำตาที่กลั้นไม่ให้ไหลออกมา

.

.

.

คืนนี้ผมเลือกที่จะเข้าไปนอนกอดฝาแฝดแทนที่จะแยกมานอนห้องตัวเองเหมือนปกติ

“คืนนี้พี่ปราณขอนอนด้วยได้รึป่าวครับ” ผมถามเด็กๆ หลังจากที่กางหนังสือนิทานพร้อมอ่าน และเจ้าตัวแสบเองก็ปีนขึ้นเตียงเตรียมจะนอนแล้วเช่นกัน

“ได้สิครับ พี่ปราณนอนตรงนี้” ปัณณธรว่าพลางตบลงบนที่ว่างข้างตัวเอง “แล้วกอดปัณณ์ด้วยนะ” ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มเผล่ เจ้าตัวร้ายนี่ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ ผมได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู

“แล้วแบบนี้พี่ปราณก็กอดปุณณ์ไม่ถึงน่ะสิ จะทำยังไงดีล่ะ” ผมถามเจ้าตัวแสบกลับ ส่งผลให้ใบหน้าของเจ้าแฝดคนน้องมู่ทู่ลงเหมือนคนกำลังคิดหนัก ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อคิดทางแก้ออก

“ก็เดี๋ยวปัณณ์จะกอดพี่ปุณณ์เอง พี่ปราณไม่ต้องห่วงนะ” ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ปุณณกันต์เองก็เหมือนกัน เรื่องเจ้าเล่ห์นี่ไม่มีใครเกินปัณณธรหรอก

“โอเคๆ ก็ได้ๆ แต่ปัณณ์ต้องกอดพี่ปุณณ์แน่นๆ เลยนะ ชดเชยที่พี่ปราณกอดไม่ถึง” พอจบคำพูดของผมปัณณธรก็ล้มตัวลงนอน พลางกอดเอวพี่ชายฝาแฝดไว้แน่น

ผมเองก็ล้มตัวลงนอนตะแคงเท้าแขนอ่านนิทาน อยู่ข้างๆ ปัณณธรเช่นกัน พออ่านไปไม่กี่หน้า เทวดาตัวน้อยของผมก็เข้าสู่ห้วงนิทราทั้งคู่ ผมมองใบหน้าไร้เดียงสายามหลับอย่างรักใคร่หมดหัวใจ แต่แล้วจู่ๆ น้ำตาผมกลับไหลออกมาช้าๆ ภาพความทรงจำในระยะไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ตีตื้นขึ้นมาในหัวสมองของผมเป็นฉากๆ ทุกภาพมีแต่ความสุขและความทรงจำที่ดี ระหว่าง ผม ฝาแฝด และคามิน

ผมค่อยๆ ทรุดตัวลงนอน ใบหน้าของผมซุกเข้าที่แผ่นหลังเล็กๆ ของปัณณธร อย่างกับเด็กน้อยหลงทางที่ต้องการหาที่พึ่ง แขนของผมโอบพาดไปที่เจ้าตัวกลมทั้งสองที่กำลังนอนกอดกันอยู่ ที่พึ่งสุดท้ายของผม สองคนสุดท้ายในชีวิตที่ผมเหลืออยู่ และต่อไปนี้ผมขอให้สัญญาว่าผมจะเข้มแข็ง และมีชีวิตอยู่เพื่อเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนนี้เท่านั้น

.

.

.

ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างเชื่องช้า น่าแปลกที่เมื่อก่อนเวลาผมเดินอยู่ในออฟฟิศ ผมไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นเลยสักครั้ง แหงล่ะ เขาคงตั้งใจหลบผม บางทีผมก็นับถือในความพยายามของคามินนะ เขาทุ่มเททำอะไรหลายอย่างมากมาย เพียงเพื่อจะหลอกให้ผมตายใจ และมันก็ได้ผลจริงๆ

แต่พอมาตอนนี้ ผมกลับเจอคามินได้ง่ายๆ ทั้งที่ผมไม่ได้ต้องการเลยสักนิด ส่วนใหญ่ ผมมักจะเจอเขาเดินอยู่กับผู้ชายตัวสูงๆ คนนั้นที่ผมเคยเจอเมื่อครั้งแรกที่รู้ความจริงทั้งหมด

ถ้าผมเจอคามินตอนอยู่กับพี่นท เราสองคนก็มักจะหลบฉากไป หรือถ้าหลบไม่ทัน ผมจะก้มหน้านิ่ง ทำความเคารพ และทักทายเหมือนที่พนักงานคนอื่นๆ ในบริษัทพึงทำต่อท่านประธานใหญ่เจ้าของบริษัท แต่ถ้าผมเจอคามินตอนอยู่กับกันต์กวีเมื่อไหร่ หมอนั่นดูจะเดือดดาลทุกครั้ง แขนกำยำของเพื่อนสนิทมักจะยกขึ้นมาโอบไหล่ผมไว้ราวกับต้องการจะปกป้อง ผมได้แต่แค่นหัวเราะในใจ และอยากจะบอกกันต์กวีเหลือเกินว่า นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะคามินไม่เคยจะสนใจหรือเห็นผมในสายตาเลยสักครั้งไงล่ะ คนที่หมดผลประโยชน์แล้วจะต่างอะไรกับคนไร้ค่าที่เขาไม่ต้องการ จริงไหม

โดยเฉพาะเวลาที่ผู้ชายคนนั้นเดินเคียงข้างอยู่กับคู่หมั้นคนสวย คนที่คู่ควรและเหมาะสมกับเขายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด นั่นยิ่งทำให้ผมดูเหมือนเป็นเหมือนธาตุอากาศสำหรับคามินเข้าไปใหญ่ เขามักจะมองเลยผ่านผมไปทุกครั้ง แต่ถ้าครั้งไหนเราเผลอสบตากันเข้าจริงๆ ผมก็จะมองเห็นแต่ความเย็นชา เห็นแต่ความไม่ทุกข์ร้อนของผู้ชายคนนั้น ในสายตาของเขาเหมือนไม่มีผมอยู่เลยสักนิด ผมอดยอมรับไม่ได้หรอกว่ามันเจ็บในใจไม่น้อย แต่ทำยังไงได้ล่ะ เรื่องระหว่างผมกับเขา มันเป็นแค่เกมบ้าๆ มาตั้งแต่ทีแรก มีแค่ผมที่หลงจริงจังและเพ้อพกกับมันไปแค่คนเดียว ส่วนอีกฝ่ายเขาเห็นผมเป็นแค่ของเล่น เอาไว้เป็นเครื่องมือแก้เบื่อแก้เซ็งก็เท่านั้น

“แล้วปราณจะทำยังไงต่อ” ตอนนี้ผมกับกันต์กวีนั่งอยู่ในคอฟฟี่ช็อปในล็อบบี้ของบริษัท ผมนั่งใจลอยมาพักใหญ่แล้ว จนกระทั่งกันต์กวีถามขึ้นมานั่นแหละ

“ก็ไม่ทำยังไง” ผมยักไหล่ “ปล่อยมันไปเถอะ ไหนๆ ก็คงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว”

“ปราณ... ผู้ชายคนนั้น มันหลอกปราณนะ” กันต์กวีจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง

หลังจากวันนั้น ผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่นทและกันต์กวีฟังจนหมดสิ้น และก็เป็นไปตามคาด กันต์กวีโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจะเอาเรื่องคามินให้ได้ แต่เป็นผมเองนี่แหละ ที่ห้ามไว้ ห้ามด้วยประโยคเดิมๆ ที่คราวนี้ ผมก็จะพูดมันออกไปอีกครั้ง

“ทำไงได้ล่ะ เรามันดันโง่ให้เขาหลอกเอง” ผมยิ้มฝืนๆ “อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ต่างคนต่างอยู่ไปเถอะ”

กันต์กวีเอาแต่ฮึดฮัด จนผมเองก็เริ่มที่จะหงุดหงิดหน่อยๆ เลยคิดว่าตัวเองควรต้องพูดอะไรออกมาสักอย่างเพื่อให้กันต์กวีเลิกเป็นแบบนี้เสียที

“เอาเป็นว่า เราขอโทษด้วยละกันที่ไม่ฟังคำเตือนของกวี แล้วก็ขอบคุณมากที่เป็นเพื่อนที่หวังดีกับเรามาโดยตลอด”

ผมยิ้มให้คนตรงหน้าทันทีที่พูดจบ จะว่าผมใจร้ายก็ได้ แต่ผมไม่อยากให้ความหวังอะไรกับกันต์กวี ซึ่งเป็นคนที่ผมให้ได้แค่ความเป็นเพื่อน แล้วอีกอย่างตอนนี้ผมอยากจะแค่ดูแลและอยู่กับฝาแฝดเท่านั้น เรื่องรักเรื่องใคร่อะไร ผมไม่อยากจะสนใจอีก เป็นผมแบบที่เป็นก่อนหน้านี้นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมควรทำที่สุด

กันต์กวีดูหน้าเจื่อนไปนิด แต่สุดท้ายก็ยิ้มตอบผมอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ของเขาเลื่อนมากุมมือผมไว้จนมิด พร้อมกับออกแรงบีบเบาๆ

“ไม่เป็นไรเรายินดี เราอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ข้างปราณ เราก็พอใจแล้ว”

ผมไม่ได้ชักมือออก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป จนกระทั่งได้ยินเสียงเหมือนแก้วอะไรสักอย่างแตกนั่นแหละ ผมถึงได้หันหลังกลับไปดู

“ชงอะไรมา ทำไมไม่ได้เรื่อง รู้ไหมว่ามันกินไม่ได้” เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยเอ่ยขึ้น เขานั่งอยู่เยื้องๆ ห่างจากโต๊ะผมไปไม่ถึงสิบก้าว บนโต๊ะมีแก้วกาแฟที่น่าจะแตกเพราะถูกแรงกระแทกจากการวางแรงๆ หน้าตาเขาดูเย็นชาและหงุดหงิด และดูเหมือนผู้ชายตัวสูงคนนั้น คนที่มักจะอยู่ข้างตัวท่านประธานเสมอ จะตกเป็นจำเลยในการพิพากษาครั้งนี้

“ผมจะให้ทางร้านชงมาให้ใหม่นะครับบอส” ผมเห็นผู้ชายคนนั้นก้มหน้างุด เตรียมพร้อมรับความผิดเต็มที่

ผมนั่งมองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องของผมเลยลุกขึ้น เตรียมจะเดินหนี


“ไม่ต้อง ของง่ายๆ ที่หากินได้ตามข้างทาง มันก็รสชาติแบบนี้นั่นแหละ กินแค่ครั้งเดียวให้รู้รสก็พอ เพราะคงจะมีคนรอกินต่ออยู่อีกเยอะ” น้ำเสียงเย็นชานั่น พูดเสียงดังจนได้ยินมาถึงโต๊ะผม “อย่างว่าแหละของมันง่าย ใครอยากกินก็ได้กิน หึ!”


คำพูดดูถูกที่ฟังแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าหมายถึงผม ทำเอามือเล็กๆ ของผมกำเข้าหากันแน่น กันต์กวีทำท่าจะพุ่งเข้าหาคามิน แต่ดีที่ผมห้ามไว้ทัน

“อย่า” ผมรั้งแขนของกันต์กวีไว้ พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น และกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ผมทั้งแค้นทั้งเสียใจ และไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากปากที่เคยพูดแต่คำหวานใส่ผมไม่หยุด นี่สินะ ตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนั้น “เราไปกันเถอะ ถ้านายไม่ไป เราจะไม่คุยกับกวีอีก”

ได้ผลชะงัด กันต์กวีมีท่าทีสงบลง ก่อนจะคว้าข้อมือของผมแล้วจูงพาเดินออกมาจากตรงนั้นทันที โดยที่ผมก็ไม่คิดจะหันกลับไปมอง เพราะผมเองก็เหนื่อยที่จะเสียใจกับการกระทำใจร้ายของผู้ชายคนนั้นแล้วเหมือนกัน

.

.

.

“พี่ว่า นายควรจะไปเคลียร์กับเขาให้มันจบ” หลังจากพี่นทได้ฟังที่ผมกับกันต์กวีเล่าให้ฟัง คนที่เป็นทั้งพี่และหัวหน้าของผมก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดสรุปออกมาด้วยประโยคเมื่อกี้ ประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากพี่นท

“พี่ว่าไงนะครับ” ผมถามย้ำด้วยหน้าตาไม่เข้าใจ กันต์กวีเองก็เหมือนกัน

“ใช่พี่ หมายความว่าไงน่ะครับ” กันต์กวีออกจะดูหงุดหงิดหน่อยๆ ด้วย เมื่อรู้ว่าผมต้องไปเคลียร์กับคามิน

“คิดดูสิปราณ” พี่นทอธิบายอย่างใจเย็น “ที่เขามีท่าทีแบบนั้นกับนาย เพราะเขาคิดว่านายยังเป็นของๆ เขาอยู่ และพอนายมีคนอื่นมาอยู่ข้างๆ เขาก็คิดว่า นายใจง่าย ทั้งๆ ที่นายยังเป็นของเขาอยู่ แต่นายกลับมีคนอื่น”

ผมโกรธจนน้ำตาจะไหลหลังจากได้ฟังพี่นทพูด เขาต่างหากที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แล้วนี่เขากล้าดียังไงที่มาทำเหมือนกับว่าผมเป็นคนผิด ทั้งๆ ที่มันควรจะจบไปได้แล้ว

“แต่เขาเป็นคนผิดนะครับพี่นท” ผมเถียงออกมาอย่างหงุดหงิด “เขามีสิทธิ์อะไร มาคิดกับผมแบบนี้”

“เพราะเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวไงปราณ” พี่นทสรุปเรียบๆ ก่อนจะออกความเห็น “พี่ถึงได้บอกไง ว่านายควรไปพูดกับเขาให้จบ ว่านายกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ต่อไปนี้จะได้ต่างคนต่างอยู่กันจริงๆ สักที”

กันต์กวีทำท่าเหมือนจะไม่เห็นด้วย แต่ผมกลับนิ่ง และคิดตามที่พี่นทพูด

“ปราณ.. ปราณไม่จำเป็นต้องเชื่อและทำตามที่พี่นทพูดก็ได้นะ” กันต์กวีแย้ง

แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่นิ่งคิด และทบทวนทุกอย่างในใจเงียบๆ คนเดียว

.

.

.

“บอสครับ คุณปราณันต์จากทีมโปรเจ็กต์พิเศษมาขอพบครับ”

และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจทำตามที่พี่นทบอก ผมไม่อยากให้อะไรคาราคาซัง ทำซะให้มันจบๆ จะได้ไม่ต้องมาติดค้างในความรู้สึกกันอีก

“ให้เข้ามาได้” เสียงทุ้มตอบอนุญาต ผมที่จู่ๆ ก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมาเสียเฉยๆ เลยพยายามรวบรวมความกล้า ก่อนจะก้าวอย่างมั่นคง เดินตรงไปหาคนคุ้นเคยที่ดูไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ยามนั่งเซ็นเอกสารอยู่อย่างภูมิฐานกลางห้องทำงานที่หรูหราขนาดนี้

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น “ผมมีเรื่องจะคุยกับท่านประธานครับ” สรรพนามที่ห่างเหินทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เหลือบขึ้นมามองผมอย่างไร้อารมณ์

“เชิญ” น้ำเสียงที่พูดมาออกช่างเย็นชาและดูไม่ใส่ใจ ขนาดว่าผมเตรียมใจมาบ้างแล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริง มันดันเจ็บกว่าที่ผมคิดไว้มาก และนั่นทำให้ผมต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา


“ผมอยากขอให้จบเรื่องของเราไว้แค่นี้ครับ” แล้วในที่สุด ผมก็ตัดสินใจพูดมันออกไปจนได้


คามินมองผมกลับมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า สายตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ผมเจ็บจนแทบจะยืนไม่อยู่ เขาทำเหมือนกับว่า ผมร้อนรนไปเองคนเดียว โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วยเลย


“แล้วคุณมาบอกผมทำไมหรอครับ” เสียงทุ้มพูดอย่างเฉยเมย ก่อนจะก้มหน้าเซ็นเอกสารต่อ เขาทำเหมือนผมเป็นคนไร้ตัวตนในห้องนี้ “คุณจะทำอะไรมันก็เรื่องของคุณ ก็อย่างที่คุณรู้ ผมไม่ได้จริงจังอะไรกับคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”


หลังจากได้ยินคามินพูดจบประโยค น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเงียบๆ ทั้งที่พยายามแล้ว แต่ผมกลับกลั้นมันไว้ไม่ไหว ผมเหมือนคนโง่ที่จู่ๆ ก็เดินมาให้เขาย่ำยีและทำร้ายความรู้สึก ผมยอมรับก็ได้ว่า ผมแอบคิดว่าอย่างน้อยเขาอาจจะยังแคร์ผมบ้างสักนิด เขาอาจจะยอมขอโทษผมและเรื่องของเราจะได้จบลงด้วยดีกว่าที่มันเป็นอยู่

แต่ผมคิดผิด และนี่คือโทษทัณฑ์ที่ผมบังอาจคิดเข้าข้างตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้มันถึงทำให้เจ็บเจียนตาย จนเผลอแสดงความอ่อนแอให้ผู้ชายคนนั้นได้เห็น แม้จะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยก็ตาม

“ฮึก.. ผม ผมเข้าใจแล้วครับ” ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสายลวกๆ โดยที่คามินไม่ได้เหลือบขึ้นมามองเลยสักนิด “และก็ขอ ..ฮึก ขอโทษด้วยทีผม.. ผมมารบกวนเวลาของท่านประธาน”

พอพูดจบ ผมก็รีบเดินกึ่งวิ่งออกมาจากห้องของผู้ชายคนนั้นทันที ผมอายและทุเรศตัวเองเกินกว่าจะอยู่ต่อแม้สักเสี้ยววินาที ผมกล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนั้น ผมกล้าดียังไงถึงได้คิดว่าเขาจะยังแคร์ผมอยู่

ผมกล้าดียังไงถึงได้หวังว่าจะได้ยินคำว่า 'ขอโทษ' จากผู้ชายคนนั้นสักครั้ง ผมคงหวังสูงเกินไป เพราะสิ่งที่ได้กลับมามันยิ่งกว่าตรงข้าม

แต่ก็ดี ผมจะได้ตัดใจได้ง่ายขึ้น ให้มันจบๆ ไปซะ ผมจะได้เลิกหวังอะไรลมๆ แล้งๆ เลิกหวังว่าเขาจะกลับมาหา ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้ เสียที...

ได้เวลาตัดใจ แล้วกลับไปอยู่ในที่ที่เป็นของนายซะ ปราณันต์....

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------------------------------------

คำด่าที่ดราฟท์ไว้ สามารถใช้ได้ตอนนี้เลยนะคะ 5555555555555555555555555555555555555

เราเข้าใจนะที่ทุกคนจะโกรธจะโมโหกับสิ่งปราณทำ แต่แค่อยากจะวอนขอความเห็นใจ ... พอมันเป็นเรื่องความรัก คนเราทุกคนล้วนจะเหลือฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ยึดจนถึงที่สุด และบางทีนี่อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายปราณอยากจะยึดไว้ และถ้าฟางเส้นสุดท้ายขาดก็ บลู้มมมม กลายเป็นโกโก้ครั้น 55555555555555

แต่เพื่อความยุติธรรมบตอนหน้าเรามาอ่านพาร์ทของคามินกันบ้างดีกว่า ให้ได้รับรู้บ้างว่าคามินคิดหรือเป็นซ่งติงอะไรทำไมถึงต้องทำกะน้องปราณขนาดเน้...

ไม่แน่ทุกคนอาจจะเห็นใจ หรือด่านางมากกว่าเดิม 5555555555555

เอาไว้เจอกันตอนหน้าค่า ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์บอกได้เลยน้า เรารออ่านคอมเม้นท์จากทุกคนอยู่ค้าบบ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ให้กำลังใจกันมาโดยตลอด หวังว่าจะอยู่กันไปยาวๆ เลยน้าา

เลยเจอกันตอนหน้า น่าจะ 2-3 วัน จะพยายามมาลงให้งับบบ ... รักน้า ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/02/64 [21st Lies: พังทลาย]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-02-2021 22:38:45
 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/02/64 [21st Lies: พังทลาย]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-02-2021 22:58:38
อะไร ถ้าเขาขอโทษตอนนี้จะหายโกรธเขาเลยหรือไง หรือไม่ก็สามสี่วันผ่านไปเขาไปง้อก็จะคืนดีหรอ 5555 เอ้ออออเห็นด้วยนะที่เข้ามาเคลียร์ไม่ต้องคาราคาซัง พูดเองนะ ต้องรับผลของการกระทำแล้วกัน สงสารปราณและเด็กๆมาก ปราณไม่โง่นะ เราเข้าใจ ใครเข้ามาแบบนี้ใครมันจะไปรู้ หลอกดักไว้ทุกทาง แต่จากนี้คือรู้แล้วไง อย่าได้โดนอีก ก็ดูคิดเป็นขึ้น เข้าใจโลกความจริงมากขึ้น ช่วงบรรยายความรู้สึกปราณช่วงยอมรับความจริง เล่นเอาซะสงสารไม่ไหวเลย  :m15: แต่ก็อย่างว่าไม่มีเวลามาเสียใจนาน ... ซึ่งไม่มีวันที่ผมจะยอมให้ผู้ชายคนนั้น เห็นผมอ่อนแอและรังแกได้อีกเด็ดขาด ไม่มีวัน... ฉากนี้คือตบเข่าฉาด รอฟาด   :z6: :z6: 55555 ว่าแต่จะทำงานในที่เดียวกันได้หรอ ทรมานใจตัวเองมากไปไหม หรือว่ายิ่งเห็นว่ายิ่งหมดรัก หมดความรู้สึก ฝึกจิตให้แกร่ง ก็ดีนะถ้าเป็นแบบนี้ แต่ถ้ายังเห็นหน้ายังคิดถึงเหม่อลอย ก็เสียงานไปอีก ปราณเป็นคนแบบไหนนะ จะว่าอ่อนแอก็ไม่ใช่จะว่าเข้มแข็งก็ไม่เชิง ดูไม่ออก ต้องรอดูต่อไป 5555 ช่วงนี้เข้าใจปราณนะจะเสียใจร้องไห้อ่อนแอต่อหน้าเขาก็เข้าใจ เพราะมันก็เจ็บหนักจริง ก็ไม่ได้เตรียมตัวมารับความแหลกสลายนี้เป็นใครก็อ่อนแอได้ สู้ๆนะปราณ เอาใจช่วย แต่งเก่งมาก อ่านแล้วอินเว่อร์ 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/02/64 [21st Lies: พังทลาย]
เริ่มหัวข้อโดย: eat2tea ที่ 26-02-2021 14:47:16
เราต้มมาม่าชามใหญ่ รอไว้แล้ว  :sad4:
อยากรู้เหมือนกันว่าคามินทำแบบนี้มีเหตุผลอะไร
รออ่านตอนหน้านะครับ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/02/64 [21st Lies: พังทลาย]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-02-2021 19:25:38
 :hao5: :ling1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...28/02/64 [22nd Lies: คนโง่]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 28-02-2021 19:18:04
22nd Lies : คนโง่


Kamin’ s Part :


ปราณันต์เดินออกจากห้องทำงานของผมไปทั้งที่น้ำตานองหน้า ความเจ็บปวดทั้งหมดของผมถูกซ่อนไว้ใต้ใบหน้าที่เย็นชาและสายตาที่ไร้อารมณ์ แต่พอประตูห้องทำงานของผมปิดลงเท่านั้น ทุกอย่างก็ระเบิดออกมาราวกับว่าผมทนที่จะควบคุมมันต่อไปไม่ไหวแล้ว

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะสะบัดปากกาและปัดเอกสารที่อยู่ตรงหน้าไปให้พ้นตา ผมไม่ได้มีสมาธิตั้งแต่แรกแล้วเมื่อรู้ว่าปราณันต์จะเข้ามาหา ผมเดินพล่านไปพล่านมาเหมือนหนูติดจั่น กลัวว่าตัวเองจะทำพลาด กลัวจะเผลอห้ามใจไม่ไหว และทำเรื่องทั้งหมดเสีย

ปราณันต์ของผมจะเป็นยังไงบ้าง คนตัวเล็กของผมจะสบายดีไหม ได้กินข้าวตรงเวลารึป่าว มีแต่เรื่องที่ผมอยากรู้เต็มไปหมดเมื่อเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่สิ่งที่ผมทำได้กลับมีเพียง นั่งอยู่เฉยๆ แล้วมองปราณันต์ทุกข์ทรมานใจ โดยไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

แต่เมื่อผมมีโอกาสได้เจอคนที่ผมคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ สิ่งที่ผมทำกลับเป็นการพูดจาทำร้ายจิตใจปราณันต์อย่างร้ายกาจ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะพูดแบบนั้น ตรงกันข้าม ผมอยากจะเข้าไปกอดร่างเล็กๆ นั่นให้หายคิดถึงเสียด้วยซ้ำ หนึ่งอาทิตย์กว่าแล้วที่ผมได้แต่มองปราณันต์อยู่ห่างๆ กับรับฟังจากสิ่งที่แทนคุณเอามารายงาน ผมรู้สึกเหมือนปราณันต์ผอมลงทุกครั้งที่ผมเห็น ผมอยากจะเข้าไปกอด ไปปลอบ ไปดูแลปราณันต์เหมือนที่ผมเคยทำ แต่ผมมันก็ขี้ขลาด ทำได้แค่มองอยู่ตรงนี้ โดยที่ปราณันต์ไม่เคยได้รับรู้เลยว่า ผมคิดถึงและเป็นห่วงเขามากขนาดไหน

“โธ่เว้ย!” ผมกวาดของที่อยู่บนโต๊ะลงพื้นอย่างหงุดหงิด พลางนึกย้อนไปถึงวันนั้น วันที่ปราณันต์ได้ยินและรับรู้เรื่องเลวร้ายทั้งหมด โดยที่ผมไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เอ่ยอธิบายอะไรแม้แต่คำเดียว

.

.

.

“ลงมารับด้วยตัวเองเลยหรอคะเนี่ย” ผมมองผู้หญิงสวยจัดตรงหน้าอย่างนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าวลัยจะกลับมาก่อนกำหนด ล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ขนาดนี้

“วลัย...” เสียงที่หลุดออกจากปากผมไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ

“ใช่ค่ะ วลัยเอง วลัยกลับมาหาคุณแล้วนะคะ” เสียงหวานที่ตอบกลับมาแม้จะรื่นหูน่าฟังขนาดไหน แต่กลับไม่ใช่เสียงที่ผมอยากได้ยินเลยสักนิด

ผมได้แต่มองตามไปทางที่ปราณันต์วิ่งหนีหายไปด้วยความร้อนรน ผมอยากจะทิ้งพรวลัยไว้ แล้วไปตามหาปราณันต์ของผม แต่มันเป็นไปไม่ได้ และดูเหมือนว่าตอนนี้พรวลัยจะสงสัยท่าทีลุกลี้ลุกลนของผมแล้ว เธอจึงเอ่ยถามออกมาอย่างหวาดระแวง

“คราม คุณตั้งใจลงมารับวลัยรึป่าวคะ ทำไมคุณดูแปลกๆ เหมือนกำลังมองหาใครอยู่”

ผมตวัดสายตาคมมองหน้าสวยหวานนั้นอย่างไม่ชอบใจ ผมไม่ชอบให้ใครมาจับผิด หรือตั้งคำถามคาดคั้นกับผม

“การที่คุณเห็นผมอยู่ตรงหน้านี่ มันยังทำให้คุณไม่พอใจอีกหรอ เพราะฉะนั้น ผมจะมองหาใครมันก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ” ผมตอบเสียงเย็น และไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร

ใบหน้าสวยหวานหงิกงอทันทีที่ได้ยินคำตอบจากผม ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เธออยากฟังเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดออกมา พรวลัยปรับเปลี่ยนสีหน้า และหันมายิ้มหวานให้ผมอีกครั้ง ยิ้มสวยหวานที่ผู้ชายคนไหนได้เห็นมีต้องใจกระตุก แต่ไม่ใช่กับผม รอยยิ้มจอมปลอมเคลือบยาพิษ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหลงใหลยามได้เห็นเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เห็นต้องอารมณ์เสียเลยนี่คะ วลัยแค่ถามลองใจคุณเฉยๆ” มือเรียวยื่นมาเกาะแขนผมอย่างออดอ้อน “เห็นคุณพรวดพราดลงมาถึงขนาดนี้ ถ้าไม่มารับ ‘คู่หมั้น’ แล้วคุณจะมาหาใครได้ล่ะคะ จริงไหม”

พรวลัยพูดย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอ นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดหัวใจยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากข่มตาลง พร้อมกับบอกให้ตัวเองใจเย็น

“ผมว่าเราขึ้นไปคุยกันที่ห้องทำงานผมเถอะ ยืนตรงนี้นานๆ มันไม่เหมาะ”

ผมพูดในขณะที่พรวลัยก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย เธอปรี่เข้ามาเพื่อจะเกาะแขนผม แต่ผมกลับเดินหนีเข้าลิฟต์ที่เปิดรออยู่เข้าไปก่อน ส่งผลให้เจ้าหล่อนหน้าหงิกทันที ที่รู้สึกเหมือนถูกผมปฏิเสธกลายๆ ก่อนที่เธอจะเดินกระแทกส้นสูงตามผมเข้ามาในลิฟต์อย่างไม่พอใจ

ผมถอนหายใจอย่างหนักหน่วงกับพฤติกรรมการเอาแต่ใจของพรวลัยที่แทบไม่ได้ดีขึ้นเลย แม้จะไม่ได้เจอกันนานเป็นเดือน แต่พรวลัยก็ยังคงเป็นพรวลัยคนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

ยอมรับตามตรงว่าผมอดเอาเธอไปเปรียบเทียบกับปราณันต์ไม่ได้ รายนั้นทั้งใจเย็นทั้งมีเหตุผล อยู่ด้วยกันแล้วผมสบายใจ แถมยังไม่อยากห่างอีกต่างหาก

และเมื่อนึกถึงลูกแมวตัวน้อยของผม ก็ทำให้จิตใจผมพะวักพะวงขึ้นมาอีกครั้ง ป่านนี้ปราณันต์จะเป็นยังไงบ้าง เขาจะเสียใจมากแค่ไหนที่ได้รู้ว่าผมทำร้ายเขาแสนสาหัสขนาดนี้ ยิ่งคิดผมยิ่งอยากทิ้งทุกอย่างแล้วไปตามหาเขา แต่มันช่างเป็นไปได้ยากเหลือเกินถ้าพรวลัยยังคงเกาะติดผมแบบนี้

“คร.. ครามคะ!” เสียงหวานห้วนแว่วเขามาในหูผม “คราม! คุณได้ยินที่วลัยเรียกไหมคะเนี่ย”

ผมรู้สึกตัวออกจากภวังค์ของตัวเอง เมื่อสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดจากเสียงหวานที่ได้ยิน

“ครับ?” ผมหันไปหาพรวลัยแบบงงๆ

“คุณเหม่ออะไรคะ? ประตูลิฟต์เปิดตั้งนานแล้วทำไมไม่ออก? คุณคิดอะไรอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวอย่างไม่พอใจ เพื่อบ่งบอกว่าตัวเองหงุดหงิด

“ผมไม่ได้เหม่อ ผมแค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย” แน่นอนว่าผมโกหก และผมก็รู้ว่าเธอไม่เชื่อ เพราะสายตาเธอยามมองผมมันบ่งบอก ว่าเธอกำลังจับผิดผมอยู่

“วลัยคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะ” เธอกระแทกเสียงก่อนจะเดินแซงผมออกจากลิฟต์ ตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานของผม ผมถอนหายใจพลางเดินตามไปอย่างเบื่อหน่าย เมื่อก่อนผมเคยทนเธอได้ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าความอดทนของผมใกล้จะหมดลงทุกที

และเมื่อมาถึงห้องทำงานของผม เสียงหวานแหลมที่แสดงออกถึงความไม่พอใจก็แผดใส่ผมทันที

“วลัยไม่รู้หรอกนะคะ ว่าช่วงที่วลัยไม่อยู่คุณได้ออกนอกลู่นอกทางบ้างรึป่าว”

ดวงตาเรียวเฉี่ยวจ้องผมอย่างคาดคั้นและจับผิด แต่ผมก็ตีสีหน้าเย็นชาใส่เธอได้อย่างแนบเนียน แหงล่ะ นี่มันความสามารถพิเศษของผมนี่

“วลัยจะไม่ถือสา เพราะยังไงคุณก็เป็นผู้ชาย แต่ตอนนี้.. วลัยกลับมาแล้ว อย่าให้วลัยได้ระแคะระคายหรือรู้สึกอีก ว่าคุณกำลังมีคนอื่น!”

ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงสด แสยะยิ้มพลางพูดอย่างเอาแต่ใจ

“เพราะถ้าวลัยรู้ แน่นอนค่ะ ว่าวลัยไม่ทำอะไรคุณหรอก แต่กับมันคนนั้นวลัยไม่ปล่อยไว้แน่ คุณก็รู้นี่คะคราม ว่าคนอย่างพรวลัยทำอะไรได้บ้าง รับรองเลยค่ะว่ามันคนนั้นจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่ๆ”

ใบหน้าสวยหวานพูดด้วยสีหน้าและแววตาร้ายกาจ ผมรู้ดีว่าพรวลัยไม่ได้ขู่ เธอสามารถทำอย่างที่พูดได้จริงๆ ครอบครัวของเธอก้าวขึ้นมาสู่วงการนี้ได้ไม่ใช่แค่เพราะความสามารถและโชคช่วย แต่บิดาของเจ้าหล่อนเป็นคนกว้างขวาง มีคอนเนคชั่นและเส้นสายอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะกับพวกด้านมืดของวงการ อย่างที่รู้การแข่งขันในธุรกิจก่อสร้างมันค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่เราเห็น และนั่นยิ่งทำให้ผมไม่สบายใจ ความปลอดภัยและความสงบสุขของปราณันต์และฝาแฝดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ผมตีสีหน้านิ่งสนิท ทำเหมือนกับว่าเรื่องที่พรวลัยพูดไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับผมเลย ทั้งที่ความจริงแล้วมันสั่นไหวในใจผมไม่น้อย

“แล้วแต่คุณเถอะครับ ผมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว” ผมตอบด้วยน้ำเสียงสงบต่างกับความร้อนรนในใจที่มี ความคิดที่จะไปตามง้อปราณันต์ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เพราะถ้าพรวลัยรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลูกแมวตัวน้อยนั่น ครอบครัวปราณันต์จะต้องเดือดร้อนแน่ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ตอนนี้คือ อยู่ให้ห่างจากปราณันต์ที่สุด แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลยสักนิด

“ก็ดีค่ะ เพราะวลัยเองก็ไม่อยากเป็นผู้หญิงงี่เง่าในสายตาคุณเหมือนกัน”

ผมหลับตาลงพลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เมื่อพรวลัยพยายามเข้ามาเกาะแขนออดอ้อนผมอีกครั้ง แม้ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายผมจะสวยหวานและน่าเย้ายวนแค่ไหน แต่หัวใจของผมกลับอดคิดถึงแววตากลมโต และรอยยิ้มสดใสจากริมฝีปากอิ่มสีสดนั่นไม่ได้เลย


.

.

.

ผมหวนคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอย่างหงุดหงิดหัวใจ หลังจากนั้นพรวลัยก็ชวนผมไปสำรวจบริษัท เธอเลือกไปที่ทีมโปรเจ็กต์พิเศษของบริษัทเป็นที่แรก ผมถึงกับต้องกุมขมับด้วยความปวดหัว เพราะผมรู้แน่ว่าจะได้เจอกับปราณันต์ และมันก็จะเป็นอีกครั้งที่อีกหนึ่งความลับของผมจะถูกเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ ผมคิดอย่างเจ็บปวดใจ ว่าปราณันต์จะรู้สึกยังไงถ้าได้รู้ว่าผมหลอกลวงเขาไว้มากมายขนาดนี้

และพอถึงเวลา ผมเองที่พยายามบอกตัวเองตลอดว่าให้ห้ามใจ อย่าหวั่นไหวหรือทำอะไรที่น่าสงสัยให้พรวลัยเห็นยามได้เจอใบหน้าที่ผมคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ แต่ไอ้หัวใจที่เคยเย็นชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกลับไม่ยอมฟัง เมื่อผมได้เห็นความเศร้าหมองของใบหน้าหวานที่กำลังก้มมองพื้นนิ่ง นั่นทำให้ทุกความรู้สึกของผมนิ่งค้างและชะงักงัน

ดวงตากลมโตแดงช้ำอย่างเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าปราณันต์จะก้มหน้าอยู่ เท้าสองข้างของผมชะงักกึกอยู่กับที่ ความเจ็บปวดถูกส่งไปยังคนที่ยืนก้มหน้านิ่งราวกับไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบตัว จนกระทั่งใบหน้าหวานเงยขึ้นมานั่นแหละ ผมเลยต้องรีบปรับสีหน้าเรียบเฉย และเปลี่ยนให้ดวงตาเย็นชามากเท่าที่จะทำได้ แม้หัวใจผมจะสั่งให้ผมตรงเข้าไปโอบกอดร่างเล็กๆ ที่กำลังเบิกตาโพลง เมื่อมองเห็นผมที่จู่ๆ ก็กลายเป็นท่านประธาน เดินเคียงข้างมากับคู่หมั้นคนสวย นั่นไว้ พร้อมกับปลอบโยนและขอโทษที่ได้โกหกไป แต่หัวสมองของผมกลับสั่งว่าห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด จนกระทั่งเสียงของพรวลัยดังกระแทกเข้ามานั่นแหละ ผมถึงได้สติ เดินหนีไปพร้อมกับบาดแผลทางความรู้สึกที่ได้สร้างไว้ให้กับปราณันต์ที่น่าสงสารของผม

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ที่ทำอะไรไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่าง แค่จะปกป้องคนที่รักและหวังดีกับผมสุดหัวใจผมก็ยังทำไม่ได้ ผมยอมรับ ว่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อปราณันต์คืออะไร แน่นอนว่าผมเป็นห่วง ผมคิดถึง ผมอยากดูแล แต่มันจะข้ามขั้นไปถึงการเป็นความรักรึป่าว อันนี้ผมกลับไม่แน่ใจเลย

หลังจากวันนั้น ก็ดูเหมือนว่าปราณันต์จะหลบหน้าหลบตาผมอย่างเห็นได้ชัด จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ทำตัวประหลาดๆ หาโอกาสไปเจอหรือเห็นใบหน้าสวยเศร้าตลอดที่ผมสามารถจะทำได้ แม้ทุกครั้งที่ผมได้เจอลูกแมวของผม ผมจะต้องตีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ใส่ ทั้งที่ใจผมรู้สึกตรงข้าม ผมก็ต้องทำ ถ้าแลกกับการได้เห็นใบหน้าที่ผมคิดถึงบ้าง ถึงปราณันต์จะโกรธและเกลียดผมหนักกว่าเดิม ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร

แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะทุกครั้งที่ผมเจอปราณันต์ ที่มักจะอยู่กับนทนัชหรือไม่ก็กันต์กวี กับนทนัชนี่ยังไม่เท่าไหร่ ผมเข้าใจถ้าเพื่อนสนิทของปราณันต์จะมีท่าทีไม่พอใจใส่ผม ก็แหงล่ะ ผมทำกับปราณันต์เอาไว้เยอะนี่ ผมก็ต้องยอมรับแหละในเมื่อผมผิดจริง

แต่ถ้าเมื่อไหร่ผมเจอปราณันต์อยู่กับกันต์กวี ผมจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที และยิ่งเวลาผมเห็นกันต์กวีแสดงท่าทีราวกับหวงแหนและต้องการปกป้องปราณันต์เสียเหลือเกินผมยิ่งหงุดหงิด หมอนั่นเป็นใคร ถึงมาวางท่าใส่ผมแบบนั้น จะว่ากันไปแล้ว ผมมีสิทธิ์ในตัวปราณันต์มากกว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นไม่รู้กี่เท่า เป็นแค่เพื่อนสนิท มีสิทธิ์อะไรมาทำท่าทำทางแบบนี้

และในที่สุด ผมก็ทำเสียเรื่องจนได้ วันนั้นผมเห็นหลังปราณันต์ไกลๆ ตอนที่กำลังจะเดินเข้าร้านกาแฟในล็อบบี้ ผมจัดการปรี่เดินตามไปทันที เพราะหวังจะเห็นใบหน้าสวยหวานที่ผมคิดถึง แต่พอเข้าไป ผมกลับเห็นคนที่ทำให้รู้สึกขวางหูขวางตาอยู่ด้วย แต่ก็ต้องยอมเพราะมันเลี่ยงไม่ได้ ถ้าผมยังอยากเห็นหน้าปราณันต์อยู่

ผมนั่งแอบมองคนตัวเล็กของผมอยู่อย่างเงียบๆ ทุกอย่างก็เหมือนจะผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งผมได้เห็นภาพบาดตา ตอนที่กันต์กวีเอื้อมมือไปกุมมือเล็กที่ผมเคยจับ เคยจูบ เคยเป็นของผมมาก่อน ผมรู้สึกเหมือนสติที่ผมเคยมีมันหลุดวูบ ผมไม่พอใจ ไม่พอใจมาก ยิ่งเห็นปราณันต์โอนอ่อน นิ่งเฉย ไม่ชักมือออก ผมเลยตัดสินใจกระแทกแก้วกาแฟแรงๆ เพื่อให้สองคนนั่นแยกออกจากกัน

และมันก็ได้ผล ใบหน้าสวยหวานหันมาทางผม ดวงตากลมโตจ้องมองมาอย่างสงสัย และไม่รู้เรื่องรู้ราว ยิ่งทำให้ผมโกรธ ทำไมถึงกล้ามานั่งจับมือมันให้ผมเห็น ไหนว่าเสียใจนักหนาที่เลิกกับผมไง แล้วไอ้ที่ผมเห็นอยู่ที่หมายความว่ายังไงกัน

ยิ่งเห็นผมยิ่งหงุดหงิด ประกอบกับความหวงอีกฝ่ายที่มันอัดแน่นอยู่ในใจ ผมเลยเผลอพูดจาทำร้ายความรู้สึกปราณันต์ไปโดยไม่ได้ตั้งใจอีกครั้ง


"ไม่ต้อง ของง่ายๆ ที่หาได้ตามข้างทาง มันก็รสชาดแบบนี้นั่นแหละ กินแค่ครั้งเดียวให้รู้รสก็พอ เพราะคงจะมีคนรอกินต่ออยู่อีกเยอะ... อย่างว่า ของมันง่าย ใครอยากกินก็ได้กิน หึ! "


ตากลมของปราณันต์แดงก่ำตอนหันมามองหน้าผม มันคลอไปด้วยน้ำใสที่ดูแว่บเดียวก็รู้ว่าเจ้าตัวพยายามอย่างหนักที่จะข่มไม่ให้มันไหลออกมา ใจของผมหล่นวูบไปที่ท้องน้อย เมื่อเพิ่งจะรู้ตัวว่าได้พูดอะไรออกไป และก่อนที่ผมจะคิดทำอะไรเพื่อให้มันดีขึ้น กันต์กวีก็จูงมือของปราณันต์ออกไปเสียก่อน

ผมติดอยู่กับความไม่สบายใจและหงุดหงิดกับสิ่งรอบตัวไปทุกอย่าง ผมอยากขอโทษ อยากบอกปราณันต์ว่าผมรู้สึกผิดกับทุกเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำตัวเลวๆ ให้ปราณันต์เกลียดผมมากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งเมื่อกี้ ผมยิ่งเพิ่งพูดสิ่งเลวร้ายที่สุดออกไปอีกครั้ง ปราณันต์อุตส่าห์ให้โอกาสผมได้แก้ตัว แต่ผมกลับย่ำยีความรู้สึกของปราณันต์ให้เจ็บช้ำยิ่งกว่าเดิม


... ผมจะไปบอกใครได้ว่าที่ผมทำไปทั้งหมดนั่นก็เพื่อปราณันต์และฝาแฝด ผมจะบอกใครได้ว่าสิ่งที่ผมทำลงไปกับปราณันต์นั้น ผมเองก็เจ็บปวดไม่น้อย

คนเลวๆ อย่างผมยังจะพอแก้ตัวอะไรได้อีก เพราะในความเป็นจริงแล้วต้นเหตุที่ทำให้ปราณันต์เดือดร้อนก็คือผม ผมคนเดียวเท่านั้น ...

.

.

.

“ปุณณกันต์กับปัณณธรเป็นไงบ้าง” ผมถามแทนคุณขณะที่นั่งอ่านเอกสารที่จะใช้ในการประชุมบ่ายนี้

“ฝาแฝดสบายดีครับ ช่วงนี้ถ้าวันไหนคุณปราณันต์เลิกงานดึก คุณแม่ของคุณอนาวินจะเป็นคนไปรับพวกเด็กๆ หลังเลิกเรียนแทนครับ”

แทนคุณรายงานความเป็นไปเกี่ยวกับเด็กน้อยทั้งสองให้ผมรู้ ตามคำสั่งของผมที่ให้ไปดูแลพวกแกอย่างใกล้ชิด

“กำชับไปว่าให้ทางโรงเรียนดูแลฝาแฝดให้ดีที่สุด ถ้าเงินบริจาคที่ให้ไปคราวที่แล้วไม่พอ ก็ให้เอาเงินส่วนตัวฉันบริจาคเพิ่มไปอีก”

“ครับบอส”

ผมนั่งรับฟังรายงานและสั่งการเรื่องครอบครัวปราณันต์อย่างเอาจริงเอาจัง เอกสารที่อยู่ในมือก่อนหน้านี้ ผมกลับวางทิ้งและละความสนใจไปจนหมดสิ้น พอได้ยินรายงานจากแทนคุณ ใจผมก็กระหวัดไปนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับปราณันต์และเด็กๆ ยามที่ได้กอด ได้หอม ได้เล่น กับฝาแฝด โดยมีปราณันต์นั่งมองและยิ้มให้อยู่ไม่ไกล ทำให้ผมอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด

ผมอยากกลับไปมีช่วงเวลาแบบนั้นอีก ทุกวันนี้ผมทำได้แค่ไปตามแรงลากของพรวลัย เธอจัดการควงผมไปนู่นมานี่ เพื่ออวดกับใครๆ ว่าผมคือคู่หมั้นของเธอ ซึ่งมันน่าเบื่อหน่ายจนผมอยากจะหนีไปให้พ้นๆ

ผมเคยขัดใพรจวลัย และไม่ไปไหนมาไหนกับเธอตามที่เธอต้องการอยู่พักหนึ่ง ซึ่งเธอก็เอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อกับแม่ จนผมถูกพวกท่านเรียกไปตำหนิ ผมเองก็ไม่อยากจะประสาทเสียกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากไปกว่านี้ เลยต้องยอมไปไหนมาไหนกับพรวลัยเพื่อตัดความรำคาญ

“แล้วคุณปราณล่ะ เมื่อคืนกลับบ้านยังไง” ผมถาม ถึงแม้ว่าผมจะไปตามติดปราณันต์ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็ให้แทนคุณไปคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตา

“เอ่อ.. คือ” แทนคุณดูอึกอัก จนผมไม่วางใจ

“คือทำไม? มีอะไร?” ผมคาดคั้น

“คือคุณกันต์กวีไปส่งคุณปราณันต์ที่อพาร์ทเม้นท์ครับ”

อีกแล้ว! หมอนั่นอีกแล้ว! ผมรับฟังอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถามต่อ เพราะรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้

“แล้วหมอนั่นกลับออกมากี่โมง”

“...” แทนคุณก้มมองพื้นนิ่ง ดูเหมือนไม่อยากจะตอบคำถามของผมสักเท่าไหร่

“แทนคุณ! ฉันถามว่าไอ้หมอนั่นมันกลับออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ตอนกี่โมง??” ผมถามเสียงเข้ม บ่งบอกว่าเริ่มที่จะอารมณ์ไม่ดี

“ไม่ได้กลับออกมาครับ” แทนคุณเว้นวรรคเพื่อถอนหายใจ “คุณกันต์กวีไม่ได้กลับออกมาทั้งคืนเลยครับ เพิ่งจะออกมาเมื่อตอนเจ็ดโมงเมื่อเช้า”

ผมตวัดสายตาเย็นชามองแทนคุณทันที

“นายแน่ใจนะ?”

“แน่ใจครับ ผมให้คนเฝ้าอยู่ที่นั่นทั้งคืนจริงๆ”

ผมลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานจนยืนเต็มความสูง หวังเพื่อจะบรรเทาความหงุดหงิดในหัวใจให้มันเพลาลงบ้าง แต่ไม่เลย เพราะยิ่งคิดผมยิ่งไม่ชอบใจ

กันต์กวีแอบชอบปราณันต์อยู่ ใครๆ ก็รู้ ถ้าหมอนั่นอาศัยช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่ปราณันต์อ่อนแอหรือเสียใจ เพื่อเข้าหา แล้วถ้าปราณันต์เกิดใจอ่อนขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง

คิ้วผมขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ หลายคนอาจจะมองว่าผมทำตัวเหมือนหมาหวงก้าง ที่พอตัวเองไม่ได้แล้วก็ต้องกีดกันให้คนอื่นไม่ได้ด้วย

ก็ใช่ ผมคิดแบบนั้น เพราะผมมันเป็นคนเห็นแก่ตัว ในเมื่อปราณันต์เป็นของผม ผมเป็นผู้ชายคนแร และครั้งแรกของเขา ถ้าวัดกันแล้วคือผมมีสิทธิ์ในตัวปราณันต์ทุกอย่าง แล้วไอ้บ้านั่นมีสิทธิ์อะไรล่ะ ไม่มีเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นมันไม่ควรแม้แต่จะเข้าใกล้ปราณันต์ของผมด้วยซ้ำ

“จับตาดูไว้ให้ดี ถ้ามีอะไรระหว่างกันต์กวีกับคุณปราณ นายต้องรายงานให้ฉันรู้ทุกเรื่อง เข้าใจไหม” ผมหันไปกำชับแทนคุณ

“ครับบอส” แทนคุณรับคำก่อนจะเดินออกไป พร้อมๆ กับเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นพอดี


Rrrr

Sippakorn is calling



ผมกดรับ ก่อนจะกรอกเสียงลงไปอย่างไม่สบอารมณ์

“ว่าไง มีอะไร” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับสิปปกร หลังจากวันที่ปราณันต์ได้รู้ความจริง

(กูมีเรื่องจะคุยกับมึงหน่อย บ่ายนี้ว่างรึป่าว) สิปปกรเองก็ถามผมกลับเสียงเครียดไม่แพ้กัน

“เอาสิ จะมาหากูที่ออฟฟิศหรือจะออกไปเจอกันข้างนอกล่ะ” ผมถามขึ้น เพื่อหาสถานที่นัด

(ที่ออฟฟิศมึงนั่นแหละ เดี๋ยวบ่ายแก่ๆ กูจะเข้าไปหา)

“อืม” เมื่อตกลงกันได้ ผมก็รับคำอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะกดตัดสายไป

ผมไม่รู้หรอกว่าสิปปกรจะมาหาผมเรื่องอะไร แต่ถ้าให้ฟังจากเสียงแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ผมคบกับมันมานาน พอจะมองท่าทางของมันออกอยู่บ้างแหละ แต่เอาเถอะ จะมีเรื่องหนักหนามาหาผมแค่ไหนก็มา เพราะคงไม่มีเรื่องไหนแย่ไปกว่าที่ผมเจออยู่แล้วล่ะ

ผมนั่งเดินกลับมาที่เก้าอี้กลางห้องทำงานที่หรูหรา พลางทิ้งตัวนั่ง เอนหลัง และหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน มือใหญ่ของผมนวดไปที่หว่างคิ้วของตัวเองเพื่อต้องการคลายเครียด พลางคิดในใจว่าใครอยากจะทำอะไรก็ทำเหอะ ตอนนี้ผมไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ไขลานด้วยซ้ำ มาทำงาน เลิกงาน กลับบ้าน หรือไม่บางวันก็ไปทำเรื่องน่าเบื่อกับพรวลัยอย่างเช่นการออกงานสังคมบ้าๆ บอๆ ทั้งหลายแหล่นั่นแหละ

ใจผมอดหวนคิดถึงชีวิตที่เรียบง่ายแต่ไม่น่าเบื่อสักนิดกับครอบครัวปราณันต์ไม่ได้ ถึงแม้มันจะวุ่นวายบ้างที่ต้องดูแลเด็กตัวเล็กๆ ถึงสองคน แต่นั่นก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่า ก็เด็กสองคนนี่อีกแหละที่ทำให้คนยิ้มยากอย่างผม ยิ้มได้ในทุกๆ วัน ไหนจะความอบอุ่นใจยามอยู่ใกล้กับปราณันต์อีก

ผมพยายามอย่างมากในการทบทวนและหาคำตอบของความรู้สึกของตัวเอง ว่าตกลงแล้วผมคิดยังไงกับปราณันต์กันแน่ ทำไมผมถึงได้อยากดูแลเขาและครอบครัวของเขาเหลือเกิน ทั้งหมดมันแค่เพราะเคยชิน หรือแค่เพราะผมและปราณันต์เคยชิดใกล้ หรือแค่เพราะปราณันต์น่าสงสาร หรือแท้จริงแล้ว ผมอาจจะกำลังตกหลุมรักเด็กผู้ชายตาโตหน้าหวานเศร้าคนนั้นอยู่ ทั้งหมด มันคืออะไรกันแน่ ผมอยากหาคำตอบให้ตัวเองแน่ใจสักที

.

.

.

เวลาล่วงเข้าบ่ายคล้อย สิปปกรก็เข้ามาหาผมตามที่นัดไว้ ผมมองเพื่อนที่เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ตั้งแต่วันที่ปราณันต์ได้รู้ความจริง พวกเพื่อนสนิทของผมก็หายเข้ากลีบเมฆ เรื่องหุ้นบ้าบอห้าเปอร์เซ็นต์อะไรนั่นผมก็ยกเลิกไป ไม่เอาของใครทั้งนั้น พวกเพื่อนผมเองก็เหมือนกัน ทุกคนดูจะช็อคไปเมื่อเห็นปราณันต์มาได้ยินเรื่องบ้าบอทั้งหมดนี้ด้วยหู และเห็นความเลวร้ายของพวกเราทั้งสี่คนด้วยตาตัวเอง

“มีอะไร” ผมเข้าเรื่องทันทีที่สิปปกรทรุดลงนั่งที่โซฟารับแขกกลางห้อง ไม่รู้จะพิรี้พิไรทำไม งานการผมก็มีที่ต้องรีบทำ

“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง เรื่องสำคัญ” น้ำเสียงที่เป็นการงานที่มักจะหาได้ยากเหลือเกินจากเพื่อนสนิทคนนี้ของผม ทำให้ผมอดเงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้า ขึ้นมามองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไปไม่ได้

“...” ผมเงียบ เพื่อรอฟังเรื่องสำคัญที่สิปปกรกำลังจะพูด

“กู...” สิปปกรเหมือนลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนสนิทผมก็เงยขึ้นมา ตาคมโตคู่นั้นสบมาที่ดวงตาเรียวของผมอย่างจริงจัง “กูมาคิดดูแล้ว ... กูอยากจีบปราณันต์ว่ะ กูจริงจัง และก็อยากดูแลเด็กคนนั้นจริงๆ”

เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะผมทันทีที่สิปปกรพูดจบ จากน้ำเสียงและสีหน้า ผมรู้ว่าเพื่อนผมมันเอาจริง มันพูดจริง มันคิดจริง และมันก็กำลังจะแย่งปราณันต์ของผมไปจริงๆ

ใช่! ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดมีอยู่อย่างเดียวคือสิปปกรจะแย่งปราณันต์ไปจากผม ปราณันต์ที่เคยเป็นผมมาก่อน ปราณันต์คนที่ผมคอยดูแลและเป็นห่วงเป็นใย แล้วจู่ๆ เพื่อนสนิทของผมกลับมาบอกว่ามันอยากจะได้ปราณันต์ไปเป็นของมัน แบบนั้นงั้นหรอ?

ความเงียบเข้าปกคลุมเราสองคนทันที ผมและสิปปกรจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร มือใหญ่ของผมที่วางบนโต๊ะทำงานกำเข้าหากันแน่น คำพูดที่หลุดรอดออกจากปากผมเต็มไปด้วยโทสะและความเกรี้ยวกราด แม้มันจะเป็นเพียงพยางค์สั้นๆ แต่ก็บ่งบอกถึงจุดยืนของผมได้ชัดเจน


“ไม่...! กูไม่อนุญาต!”


ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามทันที แม้มันจะเป็นเพื่อนสนิทผมก็ตาม

สิปปกรเองก็เช่นกัน ใบหน้าหล่อเหลามองผมกลับมาด้วยสายตาไม่พอใจ มันลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า พร้อมกับถามผมอย่างไม่เข้าใจ

“กูไม่ได้มาขออนุญาต กูมาเพื่อบอกให้มึงรับรู้ไว้ก็แค่นั้น มึงไม่มีสิทธิ์หวงปราณันต์ไว้กับตัวเอง มึงไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กคนนั้นแล้ว มีสติหน่อยสิวะไอ้คราม!”

“ไม่ใช่หน้าที่ของมึง ที่จะมาบอกว่ากูมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์” ผมพูดอย่างอวดดี เพราะเรื่องสิทธิ์อันชอบธรรมในตัวปราณันต์ ใครๆ ก็รู้ดีว่าผมมีเหนือทุกคน “เด็กคนนั้นเป็นของกู! มึงต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่ว่าจะมึงหรือใครก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่มย่ามทั้งนั้น!”

“มึงจะเอาอะไรมาอ้าง แค่มึงนอนกับปราณันต์แค่ครั้งเดียว มึงก็เที่ยวเอาข่มใครต่อใครก็ได้งั้นหรอ?” สิปปกรถามผมด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “ขอโทษด้วยนะคราม แต่เรื่องนี้กูไม่ถือว่ะ”

ดวงตาวาวโรจน์ของผมจ้องไปที่เพื่อนสนิทอย่างโมโห ก่อนที่มันจะพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน

“เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับปราณันต์ทั้งนั้น ถ้าเขายอมรับกู มึงก็ไม่มีสิทธิ์ดึงดันอะไร” สีหน้าราวกับเป็นผู้ชนะของสิปปกร ทำให้ผมเผลอกำมือเข้าหากันแน่นด้วยความไม่สบอารมณ์ “แล้วอีกอย่าง มึงมันก็มีคู่หมั้นแล้ว มึงจะทำอะไรได้ เพราะยังไงปราณันต์ก็ไม่มีทางกลับไปหาไอ้คนใจร้ายที่ทำลายความรู้สึกเขาจนไม่มีชิ้นดีอย่างมึงอยู่แล้ว”


ปัง!


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...25/02/64 [22nd Lies: คนโง่]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 28-02-2021 19:30:16
(อ่านต่อจากด้านบน)


“สิปปกร!” ผมทุบลงบนโต๊ะทำงานและแผดเสียงใส่สิปปกรด้วยความโมโหถึงขีดสุด ดูเหมือนว่าสิ่งที่เพื่อนสนิทผมพูดมาจะจี้ใจดำผมไม่น้อย

“หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเถอะไอ้คราม อย่างที่บอก กูไม่ได้มาขออนุญาต กูแค่มาบอกให้มึงรับรู้ไว้ก็เท่านั้น ว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กูจะไม่เกรงใจอะไรมึงอีก และปราณันต์ต้องเป็นของกู!”

สิปปกรพูดอย่างไม่แคร์ และนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจได้เด็ดขาดเหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อไปดีกับเรื่องของปราณันต์

“มึงก็ลองมายุ่งกับของๆ กูดูสิ.. แล้วมึงจะได้รู้ว่ากูจะทำอะไรกับคนที่บังอาจมาแตะต้องของๆ กูได้บ้าง!”

ผมพูดเสียงกร้าวแฝงไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์เต็มที่ ในเมื่อสิปปกรกล้าประกาศสงครามกับผม ผมก็จะทำให้มันได้เห็นว่าคนอย่างมันไม่เหมาะจะเป็นคู่ต่อสู้ของผมเลยแม้แต่น้อย

“กลับไปได้เแล้ว แล้วถ้ากูเห็นมึงเข้ามาเกาะแกะกับ ‘ปราณันต์ของกู’ ที่ออฟฟิศนี้ กูจะให้คนจับนายโยนออกไปข้างนอก”

พอผมพูดจบ ผมก็กดโทรศัพท์ออกไปหาคนสนิทที่รอคำสั่งจากผมอยู่ที่ด้านนอก ก่อนจะพูดอย่างไม่ไยดี

“แทนคุณ ส่งแขก! และถ้าไม่จำเป็น ห้ามให้สิปปกรเข้ามาเหยียบที่นี่อีก”

“ครับบอส” แทนคุณรับคำสั่งโดยไม่ปริปากถามเลยสักนิด สมกับเป็นลูกน้องที่ผมวางใจมาโดยตลอด

สิปปกรมองผมอย่างเชือดเฉือน ก่อนจะเดินไปที่ประตูห้องทำงานของผม แต่ก็ไม่วายหันมาย้ำชัดว่าจะไม่ออมมือเรื่องของปราณันต์

“แล้วมึงกับกูจะได้เห็นดีกัน คามิน!”

ผมมองประตูห้องทำงานที่งับปิดลงด้วยหัวใจว้าวุ่น จากแววตาเมื่อกี้ดูก็รู้ว่าสิปปกรมันเอาจริง มันคงถูกใจปราณันต์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้วนั่นแหละ ติดตรงที่มีผมเป็นก้างอยู่ มันเลยไม่กล้าที่จะแสดงออกมากนัก แต่ตอนนี้ไม่มีผมให้กวนใจแล้ว หมอนั่นคงคิดจะคงเดินหน้าจีบปราณันต์เต็มที่ แม้ผมจะมั่นใจว่าปราณันต์ไม่น่าจะชอบคนอย่างสิปปกร แต่ก็วางใจไม่ได้ เพราะตอนนี้ปราณันต์กำลังอยู่ในช่วงเสียใจ ถ้ามีคนเข้ามาคอยดูแลเอาใจอาจจะใจอ่อนได้ไม่ยาก

ผมได้แต่เดินพล่านไปพล่านมาเหมือนหนูติดจั่น แค่ลำพังกันต์กวีผมก็ปวดหัวมากพอแล้ว นี่ยังมีสิปปกรขึ้นมาเพิ่มอีกคน ผมจะทำยังไงกับปราณันต์ดี

ยิ่งคิด ผมยิ่งหาทางออกไม่ได้ ผมไม่อยากให้พรวลัยรู้ระแคะระคายเรื่องปราณันต์ก็จริง แต่อีกใจผมก็บอกว่า ผมทนเสียปราณันต์ไปให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น และสุดท้ายความเห็นแก่ตัวก็เอาชนะทุกอย่าง ผมตัดสินใจเด็ดขาดว่าผมจะดึงรั้งปราณันต์ไว้กับตัวเอง ผมทนไม่ได้แน่ๆ ถ้าจะเห็นปราณันต์เป็นของคนอื่น และไวเท่าความคิด ผมเรียกแทนคุณเข้ามาในห้องอีกครั้ง

“แทนคุณ เข้ามาหน่อย” ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ บอดี้การ์ดร่างสูงก็มายืนตรงหน้าผม

“ครับบอส”

“วันนี้ปราณันต์ต้องไปไหนบ้าง” ผมถามและแน่นอนว่าแทนคุณต้องรู้ทุกเรื่องของครอบครัวปราณันต์ ทันทีที่ผมอยากรู้เขาต้องตอบผมได้ นี่คือคำสั่งเด็ดขาดจากผม

“เอ่อ..คือ” แทนคุณอึกอัก ยิ่งทำให้ผมหัวเสียยิ่งกว่าเดิม

“ตอบมา!” ผมทุบโต๊ะเสียงดังด้วยความไม่สบอารมณ์ มัวแต่อึกๆ อักๆ อยู่ได้ มันน่ารำคาญ

“วันนี้คุณปราณันต์จะออกไปสำรวจไซต์งานกับคุณกันต์กวีครับ” แทนคุณรายงานตามตรง และนั่นดูเหมือนว่าจะทำให้ผมหงุดหงิดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“กี่โมง” ผมถามกลับเสียงห้วน เป็นการตอกย้ำความคิดตัวเองว่าที่ผมตัดสินใจไว้มันไม่ผิด

“อีกไม่เกินสิบห้านาทีข้างหน้านี้ครับ” หลังจากจบคำของคนตรงหน้า ผมก็ลุกขึ้นคว้าสูท เตรียมเดินออกจากห้องทันที

“บอสครับ บอสจะไปไหนครับ” แทนคุณวิ่งตามผมมา ในขณะที่ผมก้าวยาวๆ เพื่อรีบลงไปที่ลานจอดรถ

“กันต์กวีจอดรถไว้ตรงไหน” ผมถามพลางกดปุ่มลิฟต์รัวๆ

“ลานจอดมอเตอร์ไซค์ครับ” แทนคุณตอบงงๆ

“พาฉันไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!” พอจบคำผมประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี ผมก้าวยาวๆ เข้าไปในลิฟต์โดยมีคนสนิทอย่างแทนคุณตามมาติดๆ

และเมื่อลงมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน แทนคุณผู้ที่มีข้อมูลทุกอย่างก็เดินนำผมไปที่มอเตอร์ไซค์ของกันต์กวีที่จอดอยู่ไม่ไกลออกไป และผมก็ได้ทันเห็น ปราณันต์ของผมกำลังสวมหมวกกันน็อค โดยมีกันต์กวีคอยช่วยจับ ช่วยติดล็อคหมวกให้ไม่ห่าง

ผมเผลอกำมือเข้าหากันแน่น ความไม่พอใจวิ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ และนั่นยิ่งเป็นแรงผลักให้ผมเร่งฝีเท้าจนเดินถึงมอเตอร์ไซค์กันต์กวีในที่สุด

ปราณันต์หันมาเห็นผม และเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ ต่างจากกันต์กวีที่มองผมด้วยแววตาไม่เป็นมิตร แต่เชื่อเถอะว่าผมก็ไม่ต่างจากหมอนั่นเท่าไหร่หรอก ถ้าพุ่งเข้าไปต่อยหน้ามันได้ ผมคงทำไปแล้ว ก็มันกล้าดียังไงถึงได้มาวุ่นวายวอแวกับปราณันต์ของผมแบบนี้

“ท่านประธาน” ปราณันต์ครางเสียงแผ่ว เป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ที่ผมได้มองใบหน้าหวานเศร้าเต็มตาแบบนี้ ส่วนใหญ่ผมจะได้แต่แอบมอง หรือไม่ก็ทำเป็นมองผ่านๆ มาโดยตลอด เพิ่งจะมีคราวนี้แหละที่ผมได้เห็นใบหน้าที่ผมคิดถึงเต็มสองตาของตัวเอง

แล้วผมก็ได้ทันเห็น ในดวงตากลมมีน้ำใสไหลคลอหน่วยอยู่ ผมอยากจะวิ่งเข้าไปคว้าตัวนุ่มนิ่มของเด็กคนนั้นเข้ามากอด แต่ต้องห้ามใจไว้ ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้

ผมเบนสายตากลับไปที่กันต์กวีอีกครั้ง จากที่เจือความอ่อนโยนยามมองปราณันต์ ผมก็ปรับให้มันแข็งกร้าวขึ้นยามสบกับฝั่งตรงข้ามที่เป็นอีกหนึ่งศัตรูหัวใจ

“มีอะไรหรอครับท่านประธาน” เสียงติดจะแหบของไอ้บ้านั่นดังขึ้นอย่างยียวน แต่ผมยกยิ้มเยาะ ก่อนจะสวนกลับอย่างไม่ยอมกัน

“ใช่ ฉันเป็นประธานของบริษัทนี้ ดีใจนะที่นายจำได้” ผมพูดด้วยเสียงเย็นๆ แต่เต็มไปด้วยอำนาจ

“แล้วยังไงครับ อุตส่าห์ถ่อลงมาถึงที่นี่ เพื่อบอกผมว่าคุณเป็นประธานงั้นหรอ?” มันยังคงกวนประสาทผมกลับอย่างไม่ลดละ แล้วคิดว่าผมจะยอมไหมล่ะ แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว

ในขณะที่กันต์กวียังคงไม่ยอมแพ้ ผมก็เลยหลือบมองไปที่ปราณันต์อีกครั้ง แววตากลมที่เคยเศร้าหมองในไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้กลับเข้มแข็งขึ้น ลำคอของคนตัวเล็กตั้งตรง และมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่มีความอ่อนแอให้ผมได้เห็นอีก

ใจผมกระตุกเมื่อได้เห็นปราณันต์กลับมาเข้มแข็งได้ภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ ตอนนี้ตากลมโตที่ผมหลงรัก ไม่เหลือบมองมาทางผมสักนิด และนั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดหัวใจ


“ใช่! ฉันลงมาเพื่อบอกนายว่าฉันเป็นประธาน! ซึ่งคำว่าประธานนั่นหมายความว่าฉันเป็นเจ้าของบริษัทนี้ และที่สำคัญฉันไม่ได้เป็นแค่เจ้าของบริษัท แต่ฉันยังเป็นเจ้าของเด็กคนนี้ด้วย!!”


ผมทวงสิทธิ์ของตัวเองอย่างถือดี พลางกระชากแขนเรียวของคนตัวเล็กเข้าหาตัว ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนปากอิ่มที่ผมคิดถึงนักหนา

“อื้อ!” ร่างเล็กในอ้อมแขนผมเบิกตาโพลงอย่างตกใจ จากนั้นก็ดิ้นอย่างแรง แต่ผมก็กอดปราณันต์ไว้แน่น ริมฝีปากผมบดเบียดลงไปบนปากอิ่มอย่างโหยหา จนกระทั่งกันต์กวีตรงเข้ามากระชากเราสองคนออกจากกัน


ผลั่ก!!


หมัดลุ่นๆ ตรงเข้ากระทบหน้าผมทันทีโดยที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว แต่แทนคุณเองก็ไวพอที่จะเข้ามาผลักกันต์กวีออกจากตัวผมไปเช่นกัน รวมทั้งตั้งท่าจะเข้าไปจัดการกันต์กวีด้วย แต่ผมห้ามเอาไว้ก่อน

“ช่างเถอะแทนคุณ” ผมเสียหลัก แต่ยังคงยึดข้อมือเล็กของปราณันต์ไว้แน่น โดยที่เจ้าตัวเองก็ดื้อจะสะบัดให้หลุดให้ได้

“ปล่อยนะ!” ปราณันต์ยังคงดิ้น ผมเลยต้องออกแรงยึดข้อมือและร่างเล็กๆ นั่น ไว้ให้แน่นกว่าเดิม

“ปล่อยปราณเดี๋ยวนี้!” กันต์กวีก็พยายามจะเข้ามาช่วยคนในอ้อมกอดของผม แต่แทนคุณขวางไว้ไม่ยอมให้เข้ามาใกล้

“ไปกับผมคุณปราณ” ผมบอกร่างเล็กในอ้อมแขน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ให้ความร่วมมือสักนิด

“ไม่ไป! ปล่อยนะ! ปล่อย!” ปราณันต์ยังคงดิ้น จนผมทนไม่ไหว เลยตัดสินใจขู่ไปในที่สุด

“คุณปราณ คุณปราณรู้นี่ว่าผมเป็นใครในบริษัทนี้ ถ้าคุณปราณไม่ไปกับผม ผมบอกได้คำเดียวว่าผมจะทำให้กันต์กวีต้องเดือดร้อนจนถึงที่สุด... ต่อยหน้าท่านประธานใหญ่ แจ้งตำรวจจับข้อหาทำร้ายร่างกายได้สบายๆ เลยนะ”

ได้ผลชะงัด ปราณันต์หยุดดิ้นแทบจะในทันที แต่ปากอิ่มกลับต่อว่าผมไม่เลิก

“คุณมันนิสัยไม่ดี ทำแบบนี้ได้ยังไง พวกเราไปทำอะไรให้คุณ”

ผมมองคนตรงหน้า แล้วอยากจะก้มลงไปจูบซ้ำๆ ให้หายคิดถึง แต่ต้องไม่ใช่ตรงนี้ ให้ได้อยู่กันสองคนก่อนเถอะ ผมจะทำทุกอย่างตามใจที่ผมอยากแน่ๆ

“ไปกับผม เพื่อนคุณปราณจะได้ไม่เดือดร้อน” ผมไม่ตอบคำถามของคนตัวเล็กกว่า แต่กลับสั่งสิ่งที่ตัวเองต้องการออกไปแทน

ซึ่งแน่นอนว่ากันต์กวียังคงโวยวายไม่หยุด แต่ติดตรงที่ยังเข้าถึงตัวผมกับปราณันต์ไม่ได้ ตากลมมองมาที่ผมอย่างโกรธเคือง แต่กลับมองไปที่ไอ้หมอนั่นอย่างเป็นห่วงเป็นใย ผมได้แต่คิดอย่างไม่พอใจ ทำไมต้องห่วงมันมากมายขนาดนี้

“รับปากมา ว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อนผม” ปราณันต์ยื่นเงื่อนไข ซึ่งผมก็ยอมตกลงแต่โดยดี เพราะกันต์กวีไม่ใช่เป้าหมายของผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คนในอ้อมกอดผมนี่ต่างหากที่ผมต้องการ

“ตกลงครับ”

ปราณันต์สะบัดหน้าไปทางอื่น ก่อนจะตะโกนบอกกันต์กวีด้วยโทนเสียงอ่อนโยน ต่างจากที่พูดกับผมลิบลับ ยิ่งได้ยินหัวใจผมยิ่งกรุ่นโกรธ ไม่พอใจ

“กวี.. กวีไปรอเราที่ห้องของทีมก่อน ไม่ต้องเป็นห่วง เราแค่มีเรื่องต้องคุยกับเขานิดหน่อย ไว้เสร็จแล้วจะโทรหา”

แต่ดูเหมือนไอ้บ้านั่น จะไม่ยอมรามือง่ายๆ

“แต่ปราณ...”

“ทำตามที่เราบอกเถอะ เราขอร้อง”

กันต์กวีมีท่าทีสงบลงหลังจบประโยคของปราณันต์ และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมสาบานกับตัวเองว่าจะยอมได้ยิน เพราะฉะนั้นพอผมเห็นกันต์กวีอ้าปากจะพูดบางอย่าง ผมก็ลากข้อมือปราณันต์ออกมาจากที่ตรงนั้นทันที

“โอ๊ย เจ็บ! ปล่อยนะ!” เสียงหวานยังคงไม่หยุดต่อว่าผม เช่นเดียวกับที่ผมไม่คิดจะหยุดเดินเหมือนกัน

“เรามีเรื่องต้องคุยกันคุณปราณ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”

ผมพาปราณันต์มาถึงที่ลิฟต์ ก่อนจะจับร่างเล็กๆ นั่นเข้าไป โดยที่ตัวผมเองก็ตามเข้าไปติดๆ ที่หมายคือห้องทำงานของผม ที่ๆ ผมจะต้องคุยกับปราณันต์ให้รู้เรื่อง

.

.

.

และเมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานได้ คนตัวเล็กกว่าก็สะบัดหลุดออกจากอ้อมกอดผมทันที แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ตรงเข้าไปกอดรดร่างเล็กๆ นั่นอีกครั้ง ให้สมกับที่ผมคิดถึงเจ้าของตัวนุ่มนิ่มคนนี้ทุกลมหายใจ

“ปล่อยผมนะ มีอะไรจะพูดก็พูดมา”

ปราณันต์ยังคงปั้นปึ่งใส่ผม แถมคนตัวเล็กในอ้อมแขนดูจะมีแรงมากกว่าที่ผมคิด แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้มีแรงมากยังไงก็สู้แรงผมไม่ได้อยู่ดี

“ใช่ ผมอยากคุย แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ผมกระซิบข้างใบหูนิ่ม ก่อนจะกดจมูกลงไปแรงๆ บนแก้มใสของคนตรงหน้า


ฟอด~


“นี่! ทำบ้าอะไร ปล่อยนะ” ปราณันต์โวยวาย ท่าทางไม่พอใจมากที่ผมทำแบบนั้น “ถ้าจะไม่คุยก็ไม่ต้องคุย”

ผมชักเริ่มหงุดหงิดที่ปราณันต์พยายามจะผลักไสผมเหลือเกิน ทีกับไอ้กันต์กวีนั่น ทำไมไม่ไล่มันแบบนี้บ้างล่ะ

“คุณปราณ เป็นอะไร ทำไมถึงได้ไล่ผมนัก” ผมถามเสียงเข้มด้วยความหงุดหงิด ผมไม่ชอบให้ปราณันต์ทำแบบนี้ ผมไม่ชอบที่ปราณันต์ทำเหมือนไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผม ทั้งที่ผมอยากอยู่ใกล้เขาใจจะขาด ผมรู้ว่าที่ผมทำมันหนักหนาเกินกว่าจะให้อภัยได้ แต่แล้วไงล่ะ ผมก็พยายามจะง้อปราณันต์อยู่นี่ไง ทำไมไม่ยอมฟังผมดีๆ บ้าง

“ถามหรอว่าทำไมถึงไล่? นี่ไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้” เสียงหวานที่เคยพูดกับผมอย่างออดอ้อน แต่ในเวลานี้ มันกลับแข็งกร้าว และดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด “ที่ไล่ก็เพราะเกลียดไง เกลียด.. ไม่อยากอยู่ใกล้”

ผมรู้สึกเหมือนมีมือมาบีบที่หัวใจจนเจ็บไปหมด เมื่อคำว่าเกลียดหลุดออกมาจากปากอิ่มที่ผมเคยจูบมาหลายครั้งต่อหลายครั้ง ไหนเคยบอกว่ารักผมนักหนา เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่อาทิตย์ ปราณันต์ถึงกับเปลี่ยนเป็นเกลียดผมเลยหรือยังไง และยิ่งเมื่อผนวกกับท่าทีของปราณันต์ที่มีต่อไอ้คนที่ชื่อกันต์กวีก่อนหน้านี้ ยิ่งทำให้ผมฟิวส์ขาด เผลอกระชับอ้อมกอดที่กอดคนตัวเล็กไว้ให้รัดแน่นยิ่งกว่าเดิม

“เกลียดหรอ? เกลียดผมแล้วคุณปราณรักใคร ห๊ะ?” ผมพูดเสียงเย็น ด้วยอารมณ์ครุกรุ่น หึงจนแทบจะไม่มีสติไตร่ตรองอะไรทั้งนั้น

ดวงตากลมโตจ้องมองผมอย่างเย็นชา ปากอิ่มแสยะยิ้มเย้ยหยัน เป็นรอยยิ้มแบบที่ผมไม่ชอบเลยสักนิด ผมชอบรอยยิ้มกว้างๆ ของปราณันต์มากกว่ารอยยิ้มแบบนี้


“ผมจะรักใครก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คนนั้นไม่ใช่คุณ เพราะผมเกลียด เกลียดคุณ ดะ... อื้อ!”


ผมไม่ทนรอฟังให้ปราณันต์พูดจบประโยค ก็ก้มลงไปปิดปากร่างเล็กไว้ด้วยปากของตัวเองทันที ผมทั้งหึง ทั้งโกรธ ทั้งไม่พอใจ แค่ได้ยินว่าคนตรงหน้าพูดว่าไม่รัก พูดว่าเกลียดผม ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าทนไม่ได้ขึ้นมาทันที จะให้ผมทนฟังแม้อีกแค่คำเดียว ผมก็ทนฟังไม่ได้หรอก ไม่ได้จริงๆ

“อื้อ!” คนตัวเล็กในอ้อมแขนผมดิ้นอย่างไม่ยอม ริมฝีปากอิ่มที่ผมหลงใหล เม้มปิดสนิท ปราณันต์ไม่ยอมเผยอปากขึ้นให้ผมได้ล่วงล้ำแม้แต่นิด แต่ถ้าคิดว่าผมจะยอมแพ้ให้กับความดื้อของคนที่ผมรู้จุดอ่อนไหวทุกอย่างดีน่ะหรอ.. ไม่มีทาง

มือใหญ่ของผมละออกจากการล็อคท้ายทอยคนในอ้อมแขน มาเป็นลูบเบาๆ ที่อกบางผ่านเสื้อสเว็ตเตอร์แขนยาวที่ปราณันต์ใส่อยู่แทน ก่อนจะสะกิดเบาๆ ที่ยอดอกข้างหนึ่งของอีกฝ่าย เป็นผลให้คนดื้อที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ส่งเสียงร้องขึ้นมาในแทบจะทันที

“อ๊ะ!”

ผมไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอย ผมรีบแทรกเรียวลิ้นร้อนของตัวเอง เข้าไปโพรงปากอิ่มของคนที่ผมคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ ผมกวาดลิ้นไปทุกซอกทุกมุม ตักตวงและลิ้มรสความหวานที่ผมจำได้ไม่เคยลืม ก่อนจะกระหวัดลิ้นตัวเองเข้าเกี่ยวกับลิ้นเล็กๆ ที่พยายามหลีกหนี

ปราณันต์ทุบอกผมอย่างคนไม่ยอมแพ้ แต่แรงลูกแมวแค่นั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอก มีแต่จะกระตุ้นให้ผมอยากสัมผัส อยากแนบชิดกับคนตรงหน้ามากขึ้นก็แค่นั้น

“อื้อ! " ปราณันต์เริ่มร้องประท้วง กอปรกับลมหายใจที่ถี่กระชั้น ทำให้ผมยอมละริมฝีปากออก ทั้งที่ในความเป็นจริงผมอยากจะละเลียดชิมรสริมฝีปากอิ่มสีสดนี้ให้นานๆ ถ้าไม่ติดว่าปราณันต์จะหายใจไม่ทันคาอกผมไปเสียก่อน

“ห้ามพูดว่าเกลียดผม แล้วก็ห้ามพูดว่ารักคนอื่น” ปราณันต์หอบหายใจแรงอยู่กับอกผม ใบหน้าสวยหวานที่ผมชอบมองกำลังก้มนิ่งไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตา อีกฝ่ายดูจะสั่นน้อยๆ นั่นทำเอาผมร้อนใจ จนต้องรีบเชยคางคนในอ้อมแขนขึ้นมาดู

ปราณันต์สะบัดหน้าทันทีที่เงยขึ้นมาสบตาผม ตากลมแดงช้ำ พอๆ กับริมฝีปากบวมเจ่อเพราะเพิ่งโดนผมรังแกไป ปราณันต์ร้องไห้ และนั่นทำให้ความรู้สึกผิดกำลังกัดกินใจผมอีกครั้ง

“ผมอยากให้เราคุยกันดีๆ” ผมกระชับอ้อมกอด ก่อนจะซุกจมูกลงบนกลุ่มผมสีเข้มของอีกฝ่าย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากปราณันต์ทำให้ใจผมสงบขึ้น ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยอย่างยอมจำนน “ขอโทษนะครับที่โกหก แล้วก็ขอโทษที่ทำให้เสียใจ”

ผมจูบเบาๆ ลงที่ขมับของปราณันต์ ราวกับอยากจะถ่ายทอดทุกความเสียใจที่ผมมีให้อีกฝ่ายได้รับรู้

ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ไม่เลย ผมคิดผิด เพราะเมื่อผมคลายอ้อมกอดให้หลวมลง เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ต้องเจ็บเนื้อตัว ก็กลายเป็นว่าปราณันต์ใช้โอกาสนี้ สะบัดหลุดจากอ้อมแขนผม และถอยกรูดไปยืนอยู่อีกมุมของห้อง

“คุณมีอะไรจะพูดก็พูดมา แต่อย่ามาเข้าใกล้ผมอีก” ริมฝีปากอิ่มที่บวมเจ่อเพราะถูกผมรังแก บวกกับตากลมและจมูกที่แดงช้ำ เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ยิ่งทำให้ปราณันต์ดูน่าสงสาร จนผมพูดไม่ออก

“คุณปราณ” ผมเรียกคนตรงหน้าเสียงแผ่ว พยายามจะสาวเท้าเข้าไปหา แต่ปราณันต์กลับถอยออก ราวกับไม่อยากอยู่ใกล้ผมแม้แต่เซ็นต์เดียว

“อย่ามาเรียกผมด้วยชื่อนี้! ผมไม่อนุญาต! ชื่อของผมคือปราณันต์... เรียกแบบนั้น เพราะคุณกับผม เรามันแค่คนอื่น อย่ามาทำสนิมสนมกับผม ผมไม่ชอบ”

เสียงหวานพูดอย่างเกรี้ยวกราด และถ้อยคำพวกนั้นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด คนไม่สนิทกันที่ไหนมันถึงได้นอนด้วยกัน มีอะไรกันแบบนั้นวะ

และก่อนที่ผมจะได้ทันพูดอะไรออกไป คำพูดจากคนตรงข้ามก็ทำให้ผมต้องตั้งสติ ไม่ใจร้อนแบบที่ผมกำลังจะทำ

“บอกให้พูดมา! ถ้าไม่พูดจะได้ไป” ผมมองเห็นความเด็ดเดี่ยวในดวงตากลมยามที่มองสบผม ผมรู้ว่าตอนนี้กำแพงในใจของปราณันต์ได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนกับว่า ผมคงจะไม่มีโอกาสได้ทำลายมันลงง่ายๆ เหมือนครั้งที่ผ่านมา ท่าทีของผมจึงโอนอ่อนลง

“คุยกันดีๆ นะครับ ขอร้อง” ผมพยายามอ้อนวอน แต่ดูเหมือนปราณันต์จะไม่ยอมท่าเดียว

“พูดมา! ผมไม่อยากอยู่ใกล้คนแบบคุณนานๆ” เสียงหวานพูดอย่างถือดี ทำเอาผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ปราณันต์ไม่ยอมลงให้ผมเลย ขนาดผมง้อขนาดนี้

แต่ก็ได้ ถ้าอยากจะให้ผมพูดนัก ผมก็จะพูดมันออกไปเดี๋ยวนี้แหละ


“กลับมาหาผม ต่อไปนี้ผมจะเป็นคนดูแลคุณปราณกับฝาแฝดเอง”


ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป คนตรงหน้ามองผมอย่างแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดมันดูไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ก็อย่างที่ผมบอกแหละ ผมทนเสียปราณันต์ไปให้คนอื่นไม่ได้จริงๆ

“เมื่อกี้คุณพูดว่ายังไงนะ?” ปราณันต์ถามย้ำ นั่นทำให้ผมถึงกับต้องลอบถอนหายใจ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะให้เขายอมรับกับข้อเสนอนี้ แต่ผมก็ต้องลองเสี่ยงดู เผื่อมันจะเป็นไปได้

“กลับมาหาผม ผมอยากให้เรากลับมาคบกัน... ผมคิดถึงคุณปราณมากนะ”

“เฮอะ!” ปราณันต์แค่นหัวเราะ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงผิดหวังจนผมสัมผัสได้ “คุณเห็นผมเป็นคนยังไง คุณคิดได้ยังไงถึงขอให้ผมกลับไปหาคุณ ทั้งๆ ที่คุณก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว”

“ผมไม่ได้อยากหมั้นกับวลัย ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของธุรกิจ” ผมพยายามอธิบาย “คนที่ผมอยากอยู่ด้วยคือคุณนะคุณปราณ”

“คุณมันเห็นแก่ตัว!” ปราณันต์พูดไปพลางน้ำตาไหลไป “คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง คุณมาขอผมแบบนี้ได้ยังไง ผมไม่อยากจะเชื่อเลยให้ตาย” เสียงหวานสั่นไหว แต่เข้มแข็งและยืนหยัดที่จะไม่คล้อยตามผม

มือเล็กปาดน้ำตาออกลวกๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตั้งใจพูดกับผมอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“อย่ามายุ่งกับผมแล้วก็น้องๆ อีก เรื่องวันนี้ผมจะถือว่าไม่ได้ยินจากคุณ ขอให้เราจบกันแค่นี้ เหมือนอย่างวันนั้นที่ผมบอกกับคุณไป คุณเองก็ยินดีนี่ที่เราจะไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกไม่ว่าจะทางไหนก็แล้วแต่”

“ผมไม่เคยบอกว่าตกลงนะคุณปราณ ผมไม่เคยบอกว่าจะเลิกกับคุณ คุณทึกทักไปเองทั้งนั้น”

ผมเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ จะว่าผมเจ้าเล่ห์ก็ได้ วันนั้นผมพูดจาทำร้ายหัวใจปราณันต์ไปก็จริง แต่ผมไม่ได้พูดเลยว่าจะยอมเลิกยุ่งหรือยอมเลิกข้องเกี่ยวกับปราณันต์

“นิสัยปลิ้นปล้อนนี่มันคงแก้ให้หายยากสินะ คุณถึงได้เป็นคนกลับกลอกขนาดนี้” ตากลมจ้องมองผมอย่างผิดหวัง จนผมรู้สึกแย่ “บอกตามตรง ยิ่งผมได้รู้ว่าธาตุแท้คุณเป็นยังไง ผมยิ่งรังเกียจที่จะอยู่ใกล้คนแบบคุณ ตั้งแต่นี้ไปอย่ามายุ่งกับผม ผมไม่ใช่ปราณันต์คนเดิมที่จะยอมให้คุณทำร้ายได้อีกต่อไป!”

พูดจบปราณันต์ก็ทำท่าจะผละออกไปห้องทำงาน ผมรีบกระโจนไปรวบตัวคนตรงข้ามไว้ ไม่ยอมให้เดินหนีไปง่ายๆ ผมทั้งเจ็บ ทั้งโกรธ ทั้งหึง ทั้งหวง แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายบอกว่าไม่อยากอยู่กับผม ไล่ผม ปฏิเสธและตัดรอนผม ใจผมก็คิดไปล้านแปด ปราณันต์มีคนอื่นแล้วใช่ไหม หรือว่าใจอ่อนให้ไอ้เพื่อนสนิทนั่นไปแล้ว ทำไมถึงได้ทำตัวห่างเหินและไม่เหลือเยื่อใยกับผมขนาดนี้

“ผมไม่ให้คุณปราณไป อย่าหวังเลยว่าผมจะยอมให้คุณปราณทิ้งผมไปหาคนอื่น!” ผมพูดเสียงกร้าว พร้อมกับกระชับอ้อมกอดแน่น

“ปล่อยผมนะ!” ร่างเล็กในอ้อมแขนผมดิ้น ยิ่งดิ้นผมก็ยิ่งรัดวงแขนให้แน่นขึ้น พลางเอ่ยถามซ้ำๆ

“ทำไมล่ะ คุณปราณ คุณไม่รักผมแล้วหรอ” ผมรู้ว่ามันออกจะดูหน้าด้านหน่อยๆ ที่ถามออกไปแบบนี้ แต่ผมมั่นใจ จากแววตากลมนั้น ผมว่าผมสัมผัสได้ ว่าปราณันต์ยังรักผมอยู่

คนตัวเล็กหันมาสบตาผม โดยไม่หลบตาแม้แต่น้อย นั่นทำให้ผมนึกหวั่นใจ กับคำที่จะหลุดออกมาจากปากอิ่ม

“ผมเกลียดคุณ ฟังให้ชัดนะๆ คุณคามิน...ผม เกลียด คุณ”

ความผิดหวังและเสียใจแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ

“ผมบอกแล้วไงว่าห้ามเกลียดผม คุณปราณไม่มีสิทธิ์เกลียดผม ถ้าคุณปราณเกลียดผมแล้วคุณปราณรักใคร คุณรักใคร? คุณปราณมีสิทธิ์รักคนอื่นหรอ ในเมื่อคุณปราณนอนกับผมแล้ว!” ผมคาดคั้นถาม

“กับอีแค่เรื่องนอนด้วยกัน สมัยนี้ใครเค้าถือสา ผมเองยังแทบจะไม่เอามาใส่ใจเลย เพราะฉะนั้น ผมจะรักใครมันก็เรื่องของผม แต่ที่แน่ๆ คนๆ นั้นไม่ใช่คุณแน่ คุณคามิน”

จบคำร้ายกาจนั่น ริมฝีปากผมก็ประกบลงไปบนปากอิ่มทันที ผมยอมไม่ได้ ปราณันต์จะรักคนอื่นไม่ได้ ไม่มีวัน

“อื้อ!” ปราณันต์ดิ้น ดิ้นจนผมต้องยอมปล่อยริมฝีปากอิ่มเป็นอิสระ

“คุณปราณเป็นของผม คุณปราณไม่มีสิทธิ์รักคนอื่น!” ผมประกาศกร้าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ถ้าตราบใดคุณปราณยังอยู่ตรงนี้ ผมก็ไม่มีวันปล่อยคุณปราณไปเด็ดขาด!”

“ผมไม่ได้เป็นของคุณ เลิกอ้างอะไรแบบนี้ได้แล้ว ปล่อยนะ!”

“ลืมไปแล้วรึไงว่าเคยนอนกับผม! เคยครางใต้ร่างผมยังไง คุณลืมไปรึไงห๊ะคุณปราณ”

ผมขาดสติจนเลือดขึ้นหน้า ผมทวงสิทธิ์ของตัวเองเหมือนคนไร้ทางออก ต่อให้ต้องเลวกว่านี้ เห็นแก่ตัวกว่านี้ ผมก็ไม่มีวันยอมปล่อยปราณันต์ไปเด็ดขาด

“คุณนี่มันเลว เลวที่สุด!” ปราณันต์ต่อว่าผม นั่นยิ่งทำให้ผมสติหลุดยิ่งกว่าเดิม

“เลวยังไงก็เป็นผัวคุณ แล้วไอ้คนเลวคนนี้แหละ ที่มันจะไม่ยอมปล่อยคุณไปที่ไหนทั้งนั้น” จบคำผมก็ซุกไซ้ซอกคอปราณันต์ราวกับต้องการจะยืนยันคำพูดของตัวเอง คำพูดที่ว่ายังไงปราณันต์ก็ต้องเป็นของผม ของผมคนเดียว

“ปล่อยผม บอกให้ปล่อย!”

ผมยังคงกอดรัดร่างเล็กในอ้อมแขนแน่น พร้อมกับพูดคำขาด คำขาดที่ไม่ว่ายังไงปราณันต์ก็ต้องยอมตกลง

“ผมไม่ปล่อย แล้วถ้าคุณปราณยังปฏิเสธผม ผมสาบานเลยว่าทุกคนรอบตัวคุณจะต้องเดือดร้อน” ผมพูดเสียงเย็น ไหนๆ ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่

ตากลมจ้องมองมายังผมอย่างเสียใจและผิดหวัง ถึงผมจะเจ็บปวดกับสายตาแบบนั้นมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่แคร์ ผมบอกแล้วไง ต่อให้ต้องเลวกว่านี้ เห็นแก่ตัวกว่านี้ ถ้าได้มีปราณันต์อยู่ในชีวิต ผมยอมทำทั้งนั้น

“ผมจะไล่เพื่อนร่วมทีมของคุณปราณออกจากงาน แล้วใครอีกนะ ... อนาวินใช่ไหม” คำพูดเลวร้ายยังคงหลุดออกจากปากผมไม่หยุดหย่อน รวมถึงน้ำใสที่ไหลออกมาจากตากลมของอีกฝ่ายก็ด้วย “ผมเป็นวีไอพีที่คลับนั้น ผมจะให้ผู้จัดการไล่เพื่อนคุณออก อ้อ แล้วก็ไม่ต้องพยายามหางานใหม่ที่ไหนนะ เพราะผมมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เพื่อนของคุณปราณ ไม่มีใครจ้างให้ทำงาน”

ผมพูดอย่างเย็นชา พลางปล่อยร่างเล็กในอ้อมแขนเป็นอิสระ ไม่ใช่ผมไม่เสียใจที่เห็นปราณันต์ร้องไห้ แต่ในเมื่อมันไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องทำแบบนี้

“คุณ...” ปราณันต์ดูจะหมดแรงไปทันที เมื่อได้ยินผมพูดจบ


“เลือกเอา จะยอมอยู่กับผม แล้วทุกคนดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่มีปัญหา หรือจะไปจากผม แล้วผมจะพังให้หมดทุกคน! ในเมื่อผมไม่ได้คุณไว้ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขเลย!!”


ไม่มีความปราณี ไม่มีความใจดี ไม่มีการต่อรองใดๆ อีกต่อไป ถ้าผมต้องเลว ผมก็จะเลวให้ถึงที่สุด ใครจะว่ายังไงผมไม่สนใจหรอก ขอแค่มีปราณันต์อยู่กับผมก็พอ

“ว่ายังไงปราณันต์ ตอบผมมา”

ฟันซี่งามขบลงบนริมฝีปากอิ่มที่ผมชอบอย่างแรงจนแทบจะห้อเลือด ก่อนที่เสียงหวานจะถูกเค้นออกจากลำคอ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตอบคำถามของผม


“คุณจะได้แค่ตัวผม แต่คุณจะไม่มีวันได้หัวใจของผม... ไม่มีวัน” เสียงหวานกระซิบเสียงแผ่ว เหมือนจำนน


ใจผมเจ็บแปลบทันที ที่ได้ยินประโยคนั้น แต่ผมก็ยังยืนยันที่จะขอมีปราณันต์อยู่ข้างกาย

“ผมไม่สน ว่าจะเป็นตัวหรือหัวใจ แค่คุณอยู่กับผม นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ”

เราต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างเจ็บปวด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าผมกำลังทำร้ายความรู้สึกปราณันต์มากแค่ไหน แต่ที่ผมรู้ผมขาดคนตรงหน้าไม่ได้ ผมเสียปราณันต์ไปให้ใครไม่ได้เด็ดขาด ... ไม่ได้จริงๆ

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------------------------------------------

ชื่อตอนนี่ไม่มีอะไรพิเศษค่ะ แค่ตั้งด่าอิพระเอกเฉยๆ 55555555555555555555

จากนี้จะไบโพล่าร์หน่อยนะคะ อยากจะให้จับมือก้าวผ่านกันไป อีกสักพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น(มั้ง)ค่ะ 5555555555555

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกคำติชมนะคะ คิดเห็นยังไงเม้นท์บอกได้นะคะ เรารออ่านอยู่วววว ^^

ไปละค่ะ เจอกันตอนหน้า ขอเวลาสักสองสามสี่วัน ... ร๊ากกกก <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...28/02/64 [22nd Lies: คนโง่]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-02-2021 19:56:36
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...28/02/64 [22nd Lies: คนโง่]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-02-2021 23:34:02
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...28/02/64 [22nd Lies: คนโง่]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-02-2021 23:51:19
เนี้ยยยยยยตรูคิดไว้อยู่ว่าแล้วว่ามันต้องเข้าอีหรอบนี้ ละมันก็จริง 55555 ถ้ายังทำงานที่นี้ไม่หนีไปไหน ก็ต้องยอมศิโรราบเป็นนาบกองเถอะนะ เอะอะขู่ทำให้คนรอบตัวเดือดร้อน ละเธออออออ ปราณ เธอไม่เดือดร้อนเลยไง ลำพังเธอยังจะเอาตัวไม่รอด ห่วงคนอื่นเขาไรอี๊ก ชักจะโมโหยอมให้เขากดขี่ 5555 ปากก็ด่าเขาป่าวๆ แต่ก็ยอมให้เขาจูบอยู่เรื่อยถึงจะโดนบังคับก็เถอะ เดี๋ยวก็อ่อนระทวยแข้งขาอ่อน ชัดไปสักหมัดดิ แม่งหมั่นไส้ว่ะ 55555 แล้วสุดท้ายมาจบลงด้วยการเป็นคู่นอน เพราะคำขู่กลัวคนอื่นจะเดือดร้อน แล้วไหนเพื่อนจะมาจีบอีก หนีไปจากวังวนนี้ไม่ได้เลยสินะ ตรูจะบ้า 55555555 เครๆปราณ เธอว่าไงเราว่าตาม 555555 สนุกกกกกกกกกกกก รอตอนต่อไปค่ะ อ่านไปหัวร้อนไป 55555 :z6: :z6:

 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1: เป็นกำลังใจในการแต่งทุกๆตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...28/02/64 [22nd Lies: คนโง่]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 01-03-2021 18:11:05
อย่ายอม เพราะ ถ้ายอม ตัวเราเองที่จะเสียใจ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 04-03-2021 23:03:45
**Warning : เนื้อหาบางฉากบางตอนในแช็ปเตอร์นี้ อาจมีความไม่เหมาะสมทางด้านการใช้ภาษา และความรุนแรงทางเพศ ผู้อ่านกรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านและการทำความเข้าใจด้วยนะคะ **


23rd Lies : ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม


คามินคว้าตัวปราณันต์มากอดอีกครั้ง และบังคับด้วยสายตาว่าอย่าพยายามขัดใจเขา ปราณันต์ยืนนิ่งเป็นหุ่นให้คามินกอด ร่างสูงกอดจูบซุกไซ้คนในอ้อมแขนราวกับคิดถึง โหยหามานานแสนนาน ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งเหมือนร่างไร้วิญญาณ จนกระทั่งคามินจับสังเกตได้

“ทำไมถึงยืนนิ่งขนาดนี้” คามินถามอย่างไม่พอใจ ในขณะที่เขาคิดถึงอีกฝ่ายแทบตาย แต่ปราณันต์กลับไม่มีปฏิกริยาอะไรเลยเมื่อถูกเขากอด เขาจูบ

“อยากทำอะไรก็ทำ ในเมื่อคุณอยากได้ตัวผมนักก็... เชิญ! เอาไปซะ ผมมันก็แค่ของเล่นแก้เหงาสำหรับคุณอยู่แล้วนี่”

ปราณันต์พูดอย่างเจ็บปวด แค่คิดก็เจ็บไปทั้งหัวใจ ทำไมคามินคนที่ใจดีคนนั้นถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ ทั้งเห็นแก่ตัว ทั้งใจร้าย เพียงแค่อยากได้ตัวเขาไว้ ถึงกับทำร้ายทุกคนที่อยู่รอบข้างเขา ทำแบบนี้ได้ยังไง

คามินมองปราณันต์ด้วยสายตาอ่านลำบาก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เพราะไม่รู้จะทำยังไงให้ปราณันต์เข้าใจ ว่าครั้งนี้เขาต้องการและขาดปราณันต์ไม่ได้จริงๆ

“คุณปราณ...”

ในตอนแรกคามินตั้งใจว่าเขาจะพยายามพูดให้ปราณันต์เข้าใจอีกครั้ง แต่พอมองเห็นกำแพงที่อยู่ในดวงตากลมโตแล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนใจ ไหนๆ เขาก็ไม่เหลืออะไรดีอยู่แล้ว จะถูกมองว่าเลวกว่านี้ก็คงไม่เป็นไร

และก็อย่างที่บอกไปถึงแม้ว่ามันจะดูเลวและเห็นแก่ตัวแค่ไหน เขาก็ไม่แคร์ และต่อให้ต้องร้ายกว่านี้เขาก็จะทำ ขอแค่ปราณันต์ไม่ไปจากเขาก็พอ เสียงทุ้มจึงเปลี่ยนจากการขอร้องเป็นบังคับแทน

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณปราณห้ามยุ่งกับผู้ชายคนอื่น ถ้าผมบอกอะไรคุณก็ต้องฟัง ในเมื่อตกลงปลงใจแล้วว่าจะยอม คุณก็ต้องทำตามที่ผมบอกทุกอย่าง”

คามินพูดอย่างเอาแต่ใจ ปราณันต์เองก็รับฟังอย่างใจสลายไม่ต่างกัน

“ส่วนเรื่องวลัย ผมจะจัดการเอง ต่างคนต่างอยู่ไป คุณปราณก็อยู่ในส่วนของคุณปราณ อย่าให้วลัยรู้เรื่องของเราสองคนเด็ดขาด อยากได้อะไรคุณปราณก็บอกผม ผมจะหามาให้”

ปราณันต์มองคามินด้วยสายตาเจ็บปวด สิ่งที่คามินบอกแต่ละอย่างมันเหมือนกับเขาไม่ใช่คน ผู้ชายคนนั้นทำเหมือนเขาเป็นของเล่น เหมือนตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิตจิตใจ จะลุก จะเดิน จะนั่งก็ ให้ทำตามที่คามินจับจูงเท่านั้น

และที่สำคัญ คามินทำเหมือนเขาเป็นพวกหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ต่างอะไรกับโจรที่ลักโขมยของๆ คนอื่น ทำผิดซ้ำซาก ทั้งที่รู้แต่ก็ยังทำ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยคบกับคามินทั้งที่คามินมีคู่หมั้นอยู่ แต่ตอนนั้นเขาไม่รู้ ต่างกับตอนนี้ที่รู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยังทำ

“ถามจริงๆ ที่คุณยังอยากมีผมไว้นี่เพราะคุณอยากเอาชนะกันต์กวี หรือคุณแค่อยากมีคนเอาไว้นอนด้วย” ปราณันต์ถามออกไปตรงๆ ซึ่งคามินเองก็ดูตกใจไม่น้อย

“ทำไมพูดแบบนี้คุณปราณ คิดแบบนี้ได้ยังไง”

“การกระทำของคุณมันทำให้ผมคิดไงล่ะ คุณอยากมีผมไว้ทำไม ในเมื่อเรื่องระหว่างเรามันควรจบไปได้แล้ว” เสียงหวานถามสั่นๆ เหมือนคนกลั้นเสียงสะอื้น

“แล้วถ้าผมจะบอกว่าผมต้องการมีคุณปราณไว้ เพราะผมขาดคุณปราณไม่ได้ คุณปราณจะเชื่อผมไหม”

คามินถามอย่างอ้อนวอน เขาใส่ความจริงใจของตัวเองที่มีทั้งหมดลงไปในทุกคำพูด แต่เปล่าประโยชน์ เพราะดูเหมือนปราณันต์จะไม่เชื่อเลยสักนิด

“โกหก... โกหกซ้ำๆ ซากๆ คุณทำเหมือนผมเป็นคนโง่ที่ไม่มีวันจะฉลาด และรู้ทันคุณ”

ปราณันต์ยังคงมองคามินในแง่ร้าย แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะสิ่งที่คามินทำกับปราณันต์ไว้นั้น มันยากที่จะทำให้ปราณันต์กลับมาเชื่อใจคามินอีกครั้ง

“พอผมพูดความจริงคุณปราณก็ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นอยากจะคิดอะไรก็คิดเถอะ แต่อย่างเดียวที่คุณปราณไม่มีสิทธิ์จะคิดหรือทำนั่นคือ การไปจากผม”

คามินพูดด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง ปราณันต์ได้แต่ยิ้มขื่นๆ ให้ตัวเอง

“ผมต้องอยู่กับคุณนานแค่ไหน” ปราณันต์กลืนก้อนสะอื้น และกลั้นใจถามกลับไป

“จนกว่าผมจะเบื่อ” เสียงทุ้มพูดเรียบๆ ในขณะที่ตากลมมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ

“คุณต้องกำหนดมาว่าจะให้ผมอยู่นานแค่ไหน ผมไม่คิดจะอยู่กับคนแบบคุณไปตลอดหรอกนะ” ปราณันต์ถามย้ำ

“ผมก็ว่าผมตอบคุณชัดแล้วนะคุณปราณ คุณจะไปจากผมได้ก็ต่อเมื่อผมเบื่อคุณ ตราบเท่าที่ผมยังต้องการคุณ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปไหนทั้งนั้น” คามินเองก็ย้ำชัดถึงความต้องการของตัวเองไม่ยอมโอนอ่อนให้ปราณันต์เลยแม้แต่นิด

“คุณมันเลว! เห็นแก่ตัว!!” เสียงหวานต่อว่าอย่างผิดหวัง

“ใช่! ผมมันเลว แต่ก็ไอ้เลวคนนี้ไม่ใช่หรอ ที่ทำให้คุณมีความสุขได้ เวลาอยู่บนเตียง!”

คามินยังคงพูดจาทำร้ายจิตใจปราณันต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะความน้อยใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามเหลือเกินที่จะไปจากเขา ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

“ถ้าอยากให้ผม หายเบื่อไวๆ ...” พอจบคำจมูกโด่งก็ซุกไซ้ลงที่ซอกคอขาวๆ ของคนที่อยู่ในอ้อมแขน

“อ๊ะ! ปล่อยนะ!” ปราณันต์พยายามดิ้น แต่ยิ่งดิ้นเหมือนยิ่งเปิดโอกาสให้จมูกโด่งเป็นสันนั้น ซุกไซ้ลงมาได้ถนัดยิ่งขึ้น

“… ก็ให้ผมได้เล่นสนุกกับร่างกายนี้บ่อยๆ สิ” ริมฝีปากหยักยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ ก่อนจะกดจูบลงไปแรงๆ บนปากอิ่ม “จนถึงวันนึงผมอาจจะเบื่อ แล้วยอมปล่อยคุณปราณไปก็ได้นะ”

ปราณันต์นิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น คามินเองก็มัวเมาอยู่กับร่างกายที่เขาคิดถึงมากเสียจนลืมคิดไปว่าสิ่งที่หลุดออกจากปากเขาจะทำร้ายความรู้สึกปราณันต์มากขนาดไหน

“ฮึก...” คามินชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นจากร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอด

“คุณปราณ.... ผม...” และเหมือนจะเพิ่งสำนึกได้ คามินจึงทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการขอโทษ แต่ปราณันต์กลับสวนประโยคที่ไม่ควรออกมาก่อน

“อยากจะทำอะไร ฮึก.. ก็ทำ แต่ให้จำเอาไว้ว่าคุณจะได้แค่ตัวนี่แหละ ... ส่วนหัวใจ ผมจะเก็บไว้ให้คนอื่น คนอื่นที่เหมาะสมมากกว่าคุณ!”

พอจบคำพูด ก็เหมือนไฟในใจคามินถูกจุดให้ลุกฮืออีกครั้ง ปราณันต์ทำให้เขาหึงหวงจนแทบบ้า พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง หมายความว่าจะยอมนอนกับเขา แต่เอาหัวใจให้คนอื่นงั้นหรอ

และด้วยความน้อยใจ เลยผลักดันให้คามินทำเรื่องบ้าๆ และโง่ๆ ถลำลึกยิ่งกว่าเดิม

“ก็ดี! ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าไอ้หน้าไหนมันจะยอมรับของเหลือจากคนอื่นได้อย่างหน้าชื่นตาบาน” ตาคมจ้องไปยังใบหน้าสวยหวานอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

“ไอ้คนที่คุณปราณจะให้หัวใจน่ะ มันจะรับได้รึป่าวที่คุณนอนกับผมไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน!!”

พอจบคำพูดของคามิน มือใหญ่ที่โอบกอดปราณันต์อยู่ก็ตะโบมลูบไล้ไปทั่วร่างบางอย่างหยาบคาย คนตัวเล็กที่รู้ถึงสัญญาณอันตรายที่ตัวเองจะได้รับก็พยายามดิ้นหนีเอาตัวรอด แต่แน่นอนว่าคามินไม่ยอมปล่อย แถมยังดันคนตัวเล็กกว่าไปที่โซฟากลางห้อง ก่อนจะผลักให้ล้มลงแล้วตามคร่อมร่างบางไว้ในอาณัติ

“คุณจะทำอะไร นี่มันที่ทำงานนะ! ปล่อยนะ!” คามินกำลังล้วงมือเข้าไปในเสื้อของปราณันต์ช้าๆ โดยไม่ฟังคำประท้วงใดๆ ของคนใต้ร่างสักนิด

“แต่พอดีที่นี่มันเป็นบริษัทของผมไงคุณปราณ ผมไม่แคร์!”

พอพูดจบริมฝีปากหยักก็ก้มลงประทับลงบนริมฝีปากอิ่ม มือใหญ่ที่ล้วงเข้าไปลูบไล้ผิวนุ่มลื่นมือใต้เสื้อที่อีกฝ่ายใส่ปัดป่ายไปทั่ว จนไปหยุดที่ยอดอกสีหวานของคนตัวบาง จุดที่คามินชอบไม่น้อยไปกว่าริมฝีปากอิ่มที่เขากำลังละเลียดอยู่นี่เลย

นิ้วเรียวยาวสะกิดวนอยู่ที่ยอดอกข้างหนึ่งของปราณันต์อย่างย่ามใจ อกบางแอ่นคว้างด้วยความเสียวซ่าน แม้ปราณันต์จะพยายามบอกตัวเองว่าอย่าคล้อยตามคามิน แต่สัมผัสทุกสัมผัสของอีกฝ่าย ร่างกายของเขาจดจำมันได้อย่างดี และนั่นทำให้แรงต้านทานที่ควรมีของปราณันต์ลดลงจนเกือบไม่เหลือ เพราะคามินรู้ดีว่าตรงไหนที่เขาชอบ และตรงไหนที่จู่โจมแล้วจะทำให้เขาพอใจ คามินรู้ดีทั้งหมด และนั่นกำลังจะทำให้เขาพ่ายแพ้ต่ออีกฝ่ายราบคาบ

“อ๊ะ!”

คามินแทรกลิ้นเข้ามาทันที เมื่อปราณันต์เผลอเผยอปาก ตอนที่ส่งเสียงครางเพื่อระบายความเสียวซ่าน ลิ้นร้อนกวาดต้อนทุกซอกทุกมุมในโพรงปากของคนใต้ร่าง คามินดูดดึงและบดคลึงริมฝีปากปราณันต์อย่างละเลียดและโหยหา ทุกความรู้สึกถูกส่งผ่านทุกสัมผัสเพื่อให้ปราณันต์รับรู้ แต่ดูเหมือนกำแพงในใจของอีกฝ่าย จะตั้งตระหง่านอยู่สูงเกินไป ไม่ยอมให้เขาทะลุทะลวงได้แม้แต่นิดเดียว

“อื้อ!”

ลิ้นร้อนตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของปราณันต์ที่พยายามหลีกหนีอย่างเอาแต่ใจ มือใหญ่ข้างที่ว่างก็ล็อคใบหน้าเล็กไม่ให้ขยับหนี เสียงจูบดังระงมไปทั้งห้องทำงาน และดูเหมือนว่าคามินจะไม่ยอมหยุดการกระทำใดๆ แม้แต่นิดเดียว

ตอนนี้ชายเสื้อเสื้อของปราณันต์ถูกมือใหญ่ของคามินเลิกขึ้นจนไปกองอยู่บนหน้าอกบางที่กำลังหอบหายใจอย่างถี่กระชั้น มือเล็กของปราณันต์ทุบลงบนลาดไหล่หนาของคามินที่ยังไม่ยอมละริมฝีปากออกไปแม้แต่อึดใจเดียว ... ปราณันต์กำลังหายใจไม่ทัน

คามินยอมละริมฝีปากออกจากปากอิ่มอย่างเสียดาย แต่ก็ไม่วายลากริมฝีปากหยักนั่นไปตามแก้ม และลากไล้ไปจนถึงใบหูนิ่ม ก่อนจะขบเม้มเบาๆ ตรงจุดอ่อนไหวจุดหนึ่งของปราณันต์ ซึ่งนั่นสามารถเรียกเสียงครางหวานจากปราณันต์ได้อย่างดี แม้เจ้าตัวจะพยายามกลั้นมันไว้แค่ไหนก็ตาม

“อาาห์”

“ชอบไหมครับคนดี หื้ม?” คามินกระซิบเสียงนุ่ม เขาไม่รอให้ปราณันต์ตอบคำถาม แต่เลือกที่จะผละออกมาเพื่อมองคนที่ตนคร่อมทับอยู่ใต้ร่างให้เต็มตา

คามินสำรวจปราณันต์อย่างพอใจ บนใบหน้าหวานแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อลามไปยันคอ ชายเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นมาทำให้เห็นผิวเนียนขาว ที่เขาชอบสัมผัสได้เต็มตา รวมถึงยอดอกสีอ่อนสองข้างที่กำลังชูชันด้วยแรงอารมณ์รอให้เขาได้ลิ้มรส แล้วไหนจะลอนซิกส์แพคบางๆ ที่หน้าท้องของปราณันต์อีก ทุกส่วนสัดในร่างกายของอีกฝ่าย ช่างกระตุ้นอารมณ์คามินให้โหมกระพือได้ง่ายดาย โดยที่ตัวเจ้าของเองยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

อกบางของปราณันต์กระเพื่อมขึ้นลงเกือบจะเป็นจังหวะปกติ คามินเลยตัดสินใจก้มลงไปตรงซอกคอขาวเนียนอีกครั้ง ก่อนจะขบเม้มเบาๆ สร้างรอยรักรอยตีตราให้คนอื่นได้รู้ว่าคนๆ นี้เป็นของเขา

“อ๊ะ! อย่า…” เสียงห้ามของปราณันต์แทบไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ และแน่นอนว่าเสียงนั้นหยุดคามินไม่ได้

มือใหญ่ทำการรุกรานไปทั่วผิวเรียบลื่นบนร่างกายของปราณันต์ ก่อนจะผละออกเมื่อทำบางอย่างที่ต้นคอปราณันต์สำเร็จ จากนั้นคามินก็ลากลิ้นร้อนๆ สำรวจทั่วร่างกายของปราณันต์อีกครั้ง

“อ๊ะ อ๊าา”

“ครางออกมาเลยครับคนดี ผมชอบได้ยินเสียงคุณปราณ เวลาที่เราทำแบบนี้ด้วยกัน” คามินกระซิบเสียงกระเส่าชิดใบหูให้คนใต้ร่างรับรู้

คามินยังคงลากลิ้นของตัวเองไปเรื่อยๆ จากลำคอขาวเนียนของปราณันต์ผ่านอกบาง ก่อนจะค่อยๆ หยัดใบหน้าขึ้นเพื่อก้มลงไปจูบเบาๆ ที่แก้มนิ่ม ในขณะที่คนใต้ร่างยังคงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สมองสั่งให้ร่างกายของปราณันต์ปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่าทุกสัมผัสของคามินจะกระตุ้นปราณันต์ได้มากกว่าที่เจ้าตัวคิด คนด้านบนรู้จักปราณันต์ดีเกินไป คามินรู้ดีว่าตรงไหนที่จับหรือสัมผัสแล้วปราณันต์จะรู้สึก และโอนอ่อนได้เป็นอย่างดี

ตาคมจับจ้องไปที่ผิวขาวเนียนของปราณันต์อย่างมัวเมา คามินค่อยๆ ก้มลงช้าๆ พลางครอบริมฝีปากลงบนยอดอกสีอ่อนของปราณันต์อย่างอ่อนโยนแต่ก็ร้อนแรงอยู่ในที ร่างสูงออกแรงขบเม้มและดูดดึงตุ่มไตนั้นเบาๆ ส่วนอีกข้างคามินก็ไม่ให้น้อยหน้า เขาใช้นิ้วเรียวยาวสะกิดลงไปเบาๆ อย่างเอาใจ และนั่นก็เรียกเสียงครางหวานจากปราณันต์ได้เป็นอย่างดี แม้ปราณันต์จะพยายามกัดริมฝีปากกลั้นมันไว้แค่ไหน แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะทุกจุดที่คามินจู่โจมนั้นเป็นจุดที่เขาไม่สามารถต้านทานได้เลย

“อะ อาาาห์”

คามินทำสลับไปมากับนยอดอกอีกข้าง ส่งผลให้อกเล็กๆ ของปราณันต์แอ่นคว้างด้วยความเสียว มือเล็กจิกแน่นที่ไหล่กว้างของคามินเหมือนคนที่กำลังหาที่พึ่ง

คนตัวโตผละออกจากอกปราณันต์ ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบชิดริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่อ เพราะโดนเขารังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“คุณปราณ .. คิดถึง ผมคิดถึง” คามินพูดคำว่าคิดถึงซ้ำไปซ้ำมา น้ำใสไหลออกจากตากลมปราณันต์ช้าๆ เพราะตัวเขาเองก็ตะโกนคำนี้อยู่ในใจไม่ต่าง แต่ถ้าจะให้พูดออกมายังไงก็ไม่มีทาง ไม่มีทางที่เขาจะยอมพูดเด็ดขาด

“ฮึก...” คามินที่เห็นน้ำใสไหลจากหางตากลม ทำให้เขาค่อยๆ ก้มลงไปจูบซับอย่างอ่อนโยน หัวใจไม่รักดีของปราณันต์กลับโอนอ่อนอีกครั้ง มือเล็กไม่ได้ผลักไสคามินอีกต่อไป

คนตัวโตพอเห็นปราณันต์ใจอ่อนก็ได้ใจ จัดการก้มลงไปเพื่อจัดการกับกางเกงคนใต้ร่าง แต่ดูเหมือนว่าสติของปราณันต์จะกลับมาไวกว่าที่คิด เพราะจู่ๆ คนตัวเล็กกว่าก็ลุกพรวดพราดขึ้นนั่งบนโซฟาเสียก่อน

“มะ ไม่...” เสียงหวานปฏิเสธเสียงสั่น “ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้”

“ทำไมครับ” คามินถามเสียงหลง เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว เพียงแค่ได้สัมผัส ได้จับต้อง ได้ยินเสียงหวานที่เขาคิดถึงครางกระเส่า อวัยวะกลางร่างกายเขาก็ปวดหนึบ แถมยังขยับขยายอย่างอึดอัด รอการปลดปล่อยจนแทบควบคุมไม่ได้

“หรือคุณปราณเกลียดผมจนไม่อยากให้ผมเข้าใกล้”

คามินถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่ปราณันต์กลับไม่ตอบ เขาจะพูดได้ยังไงว่าเขายอมมีอะไรกับคามินไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าคามินไม่ได้รัก ปราณันต์ยิ่งทำไม่ได้ แต่จะให้พูดออกไปให้คามินหัวเราะเยาะความคิดไร้เดียงสาของเขาน่ะหรอ ไม่มีทางเสียหรอก และยิ่งเมื่อปราณันต์เงียบ มันยิ่งเหมือนตอกย้ำว่าสิ่งที่คามินคิดเป็นความจริง

เมื่อคิดไปเองว่าปราณันต์เกลียดตน หัวใจด้านชาที่ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร ก็เจ็บปวดเหมือนถูกมือหลายพันมาบีบขย้ำ จากความเจ็บปวด แปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ คามินไม่เคยรู้และเข้าใจอะไรในความรักเลย เขารู้เพียงแค่ว่าเขาอยากครอบครองปราณันต์ไว้กับตัวเอง และเขาทนไม่ได้ถ้าคนตรงหน้าเกลียดเขา

“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะรักผมอยู่หรือเกลียดผมแล้ว ตอนนี้ผมอยากนอนกับคุณ แล้วคุณก็ต้องยอม! เพราะคุณไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะขัดใจอะไรผมได้หรอกนะคุณปราณ”

พอจบคำคามินก็โถมตัวเข้าหาปราณันต์จนร่างเล็กล้มลงไปนอนบนโซฟาอีกครั้ง ปากหยักบดจูบลงไปบนปากอิ่มอย่างรุนแรงและเต็มไปด้วยอารมณ์ ไม่อ่อนโยนเหมือนในคราวแรก ทั้งดูดดึงขบเม้มปากอิ่ม จนปากที่บวมเจ่อของปราณันต์กลับแดงช้ำยิ่งกว่าเดิม

คามินปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก ก่อนที่จะก้มลงกอดแนบชิดกับปราณันต์ที่ตอนนี้ชายเสื้อถูกเลิกสูงขึ้นไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เมื่อเนื้อแนบเนื้อ ผิวกายที่เรียบลื่นและหอมกรุ่นของปราณันต์ยิ่งทำให้สติของคามินเตลิด ปากหยักก้มลงขบเม้มผิวกายขาวๆ ใต้ร่างของเขาอย่างมัวเมา ราวกับต้องการตีตราจองในทุกๆ ตารางนิ้วในตัวปราณันต์นี้เป็นของเขา

“อ๊ะ มะ.. ไม่เอา”

ถึงจะเป็นการปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่าเสียงครางหวานที่คามินได้ยินนั้นจะตรงกันข้าม นั่นทำให้คามินยิ่งได้ใจ

คนตัวโตก้มลงไปจัดการกางเกงของปราณันต์อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยจังหวะตอนที่ปราณันต์กำลังนอนระทดระทวย เพราะการจู่โจมสะกิดยอดอกเพื่อต้องการเบนความสนใจ และก็ได้ผล เพราะตอนนี้ทั้งกางเกงขายาวและกางเกงชั้นในของปราณันต์ หลุดออกจากขาเรียวลงไปกองอยู่ที่ข้างโซฟาเรียบร้อยแล้ว

คามินมองแกนกายที่เหมาะพอดีของปราณันต์อย่างคิดถึงและแสนรัก ปากหยักกดจูบลงไปช้าๆ ที่ส่วนหัว ก่อนจะครอบปากลงไปบนแกนกายของปราณันต์จนสุดความยาว

“อึก... อ๊า”

เมื่อความอุ่นร้อนของโพรงปากของคามินครอบลงมาบนท่นเนื้อของตัวเอง ปราณันต์ก็ผวาตัวแอ่นเอวขึ้นทันที สัมผัสอันคุ้นเคยทำให้เขารู้สึกดีอย่างถึงขีดสุด แม้จะพยายามปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม

“อ๊ะ อาาห์”

คามินขยับริมฝีปากรูดขึ้นลงจนสุดความยาวของแก่นกายน่ารักนั่น ปราณันต์ร้องครางจนแทบไม่เป็นภาษา ความตั้งใจที่จะยับยั้งชั่งใจหายไปจนหมดสิ้นจากความคิด อย่างที่บอกเพราะคามินรู้ดีที่สุดว่าจะต้องแตะ ต้องจับ หรือสัมผัสตรงไหนที่จะทำให้เขามีความสุข

ริมฝีปากหยักดูดท่อนเนื้อของปราณันต์จนแก้มบุ๋ม คามินขยับปากอย่างชำนาญ ก่อนที่จะใช้ลิ้นไล้เลียส่วนหัวเบาๆ แต่เรียกความเสียวซ่านจากปราณันต์ได้เป็นอย่างดี

“อ๊ะ ส.. เสียว อึก!”

ยิ่งได้ยินเสียงคราง คามินยิ่งออกแรงดูดแรงขึ้น จนเอวบางลอยคว้าง เสียงหวานครางกระเส่าและร้องขออย่างไร้การควบคุม

“ระ..เร็ว อึก! เร็วหน่อย”

คามินออกแรงทำตามที่ปราณันต์ต้องการอย่างไม่เกี่ยงงอน เขาขยับปากเร็วขึ้น และขยี้ลิ้นลงไปที่ส่วนหัวย้ำๆ

“อ๊า อะ”

คามินสัมผัสได้ถึงการหดเกร็งที่หน้าท้องของปราณันต์ เขารู้ดีว่าคนด้านบนกำลังจะถึงฝั่งฝัน โดยปกติคามินชอบที่จะโอบอุ้มปราณันต์ไว้จนถึงที่สุด เขาชอบที่จะลิ้มรสตัวตนของปราณันต์ทุกหยาดหยดไว้ แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่คามินไม่ได้เตรียมพร้อมกับบางอย่างไว้

คามินตัดสินใจถอนริมฝีปากออก แล้วใช้มือใหญ่รูดรั้งแก่นกายของปราณันต แทน ส่วนปากหยักของตนก็ยื่นไปประกบกับปากอิ่ม เพื่อให้คนใต้ร่างเขาระบายความเสียวซ่านที่อัดแน่นออกมาภายใต้จูบที่ร้อนแรงนี้

ในขณะที่ปากของทั้งคู่ยังไม่ได้ถอนออกจากกัน มือใหญ่ก็รูดรั้งขยับเร็วขึ้น นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ จนกระทั่งตัวของปราณันต์กระตุก และปลดปล่อยออกมาออกจนเต็มมือใหญ่ไปหมด

คามินถอนริมฝีปากออกจากปากปราณันต์ ส่งผลให้คนตัวเล็กครางเสียงหวานอย่างต่อเนื่องยาวนาน

“อาาาาาห์”

ปราณันต์ที่นอนหอบหายใจระทดระทวยอยู่บนโซฟานั้นเย้ายั่วอารมณ์คามินเป็นอย่างมาก เขาอาศัยจังหวะนี้จัดการปลดกางเกงทั้งชั้นในและชั้นนอกของตัวเองออกจากนั้นก็ใช้ตัวตนของปราณันต์ที่เลอะติดมือมาปาดลงบนท่อนเนื้อของตัวเองที่ตอนนี้กำลังตั้งชันและแข็งขืนแสดงความต้องการอย่างที่สุด

คามินกลับไปคร่อมร่างปราณันต์อีกครั้ง พร้อมกับยกขาทั้งสองข้างของปราณันต์พาดกับพนักพิงโซฟาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็พาดไหล่ของตัวเองไว้ ช่องทางสีสวยลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเขาอย่างยั่วยวน และถึงแม้ปราณันต์จะพยายามต้านทานยังไงก็ดูเหมือนว่าจะสู้แรงคามินไม่ได้อยู่ดี

คามินค่อยๆ แทรกนิ้วของตัวเองที่ยังคงมีตัวตนของปราณันต์ติดอยู่เข้าไปในช่องทางที่ปิดแน่นเพื่อเป็นการเบิกทาง แต่ดูเหมือนว่าเพราะมันไม่ค่อยได้ถูกล่วงล้ำ เมื่อมีอะไรแปลกปลอมที่จะพยายามเข้าไป ร่างกายของปราณันต์จึงปฏิเสธทันที

เสียงหวานร้องขออย่างน่าสงสาร แต่ตอนนี้คามินหยุดไม่ได้แล้วจริงๆ

“อื้อ! เจ็บ! อะ เอาออกไป” ศีรษะกลมๆ เล็กๆ สะบัดไปมาจนกลุ่มผมกระจาย แต่คามินก็ยังคงไม่หยุด แต่ยื่นนิ้วมืออีกข้างไปสะกิดรัวที่ยอดอกสีสวยเพื่อต้องการเบนความสนใจ

“อย่าเกร็งนะครับคนดี อย่าเกร็ง”

ปราณันต์พยายามผ่อนคลายมากขึ้นเพราะไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้ จนกระทั่งนิ้วของคามินเข้าไปได้จนสุด นิ้วเรียวยาวควงวนอยู่ภายใน ความอุ่นร้อนของช่องทางตอดรัดนิ้วของคามินเป็นอย่างมาก จนร่างสูงอดจินตนาการไม่ได้ว่า ถ้าความอุ่นร้อนนี้ตอดรัดและได้โอบล้อมแก่นกายของเขาไว้มันจะดีขนาดไหนกัน

ก้านนิ้วเรียวหมุนวนจนไปสัมผัสเข้ากับจุดๆ หนึ่ง ซึ่งทำให้ปราณันต์ตอดรัดหนักกว่าเก่า และเสียงครางหวานก็หลุดออกมาทันทีที่คามินสัมผัสโดน

“อ๊ะ อ๊า”

“ตรงนี้ใช่ไหมครับคนดี” คามินส่งนิ้วเข้าไปสองนิ้วสามนิ้วและกดย้ำที่จุดนั้น จนปราณันต์ร้องครางไม่เป็นภาษาและตอดรัดหนักขึ้นเรื่อยๆ

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊าา”

คามินเห็นท่าทางยั่วยวนแบบนั้นก็เริ่มทนไม่ไหว คนตัวโตตัดสินใจถอนนิ้วออก ทำเอาตากลมตวัดมองด้วยความไม่พอใจ คนตัวโตอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของปราณันต์ ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงเจ้าเล่ห์

“ใจเย็นครับที่รัก ผมสัญญา... ว่าจะทำให้คุณปราณมีความสุข”

จบคำ คามินก็จับขาปราณันต์พาดบ่าอีกครั้ง เรียวลิ้นร้อนแทรกแหย่เข้าไปในช่องทาง ทำเอาเอวเล็กบิดไปมาอย่างเสียวซ่าน ก่อนที่คามินจะถอนลิ้นออก แล้วใช้แก่นกายของตัวเองถูไปมาเบาๆ ที่รอยจีบโดยรอบของช่องทางของปราณันต์

ปราณันต์ที่กำลังหลงมัวเมากับสัมผัสที่คามินมอบให้ก็ไม่ทันได้เฉลียวใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายพยายามจะแทรกแก่นกายเข้ามาในช่องทางนั่นแหละ ปราณันต์ถึงได้รู้ตัว

“อื้อ! เจ็บนะ! เอาออก เอาออกไป”

แก่นกายของคามินใหญ่โตกว่านิ้วเรียวที่แทรกเข้ามาก่อนหน้ามาก ปราณันต์ร้องเสียงหลง น้ำใสไหลออกมาจากหางตา เขาพยายามอ้าปากโกยอากาศเข้าปอด เพราะรู้สึกเจ็บจนจุก และแม้พยายามจะร้องขอแค่ไหน แต่คามินก็ยังคงพยายามจะดันสะโพกตัวเองเข้ามาเรื่อยๅ

ปราณันต์พยายามจะถดตัวหนี แต่มือใหญ่ของคามินกลับรั้งเอวบางไว้แน่น คนตัวโตเห็นท่าทางเจ็บปวดของอีกฝ่ายแล้ว จึงตัดสินใจก้มลงไปกระซิบเบนความสนใจ

“อย่าเกร็งครับ อย่าเกร็ง ผ่อนคลายนะครับคนดี”

ปราณันต์พยายามทำตามที่คามินบอก แต่มันก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน เพราะมันเจ็บมาก มากจนเหมือนตรงช่องทางของเขาจะฉีกขาด ซึ่งคามินเองก็พยายามเบนความสนใจของปราณันต์ โดยการก้มลงดูดดึงยอดอกสีสวยให้ปราณันต์อย่างเอาใจ ดูเหมือนมันจะช่วยได้บ้าง เพราะปราณันต์ดูผ่อนคลายมากขึ้น จนคามินดันแก่นกายของตัวเองเข้าไปจนสุดความยาวได้

ปราณันต์กัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น มันทั้งเจ็บ ทั้งจุก แล้วยิ่งไม่มีเจลหล่อลื่นแบบนี้ ปราณันต์แทบจะขาดใจให้ได้

คามินรู้ว่าคนใต้ร่างกำลังปรับร่างกายตัวเองอยู่ เขาจึงต้องนิ่ง และอดทนที่จะไม่ขยับสะโพก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาอยากจะโถมตัวใส่ช่องทางสีสวยนี้ใจจะขาด แต่คามินเองก็ไม่อยากให้ปราณันต์เจ็บมากไปกว่านี้เลยต้องอดทนรอให้อีกฝ่ายพร้อมเพื่อเขาอีกครั้ง

คามินก้มลงไปจูบปากอิ่มเพื่อไม่ให้ปราณันต์กัดปากตัวเองจนเลือดออก จูบที่อ่อนโยนทำให้ปราณันต์ผ่อนคลายมากขึ้น และนั่นยิ่งทำให้ช่องทางที่โอบอุ้มท่อนเนื้อคามินอยู่ตอดรัดยิ่งกว่าเดิมจนทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว จึงต้องถอนริมฝีปากออก เพื่อกระซิบขอปราณันต์อย่างออดอ้อน

“ผมขอขยับตัวนะครับที่รัก คุณปราณหายเจ็บแล้วใช่ไหม... คุณเล่นตอดขนาดนี้ ผมจะไม่ไหวแล้วนะคนดี”

ปราณันต์ไม่ได้ตอบอะไร คามินจึงลองขยับตัวดู เขาโถมสะโพกใส่ช่องทางของคนใต้ร่างเป็นจังหวะ ผนังอุ่นที่โอบล้อมแก่นกายเขาไว้ ตอดรัดไม่หยุด คามินมีความสุขมาก มันดีมาก ส่งผลให้เสียงทุ้มครางอย่างรู้สึกดี

“อะ อะ อาาา ตอดผมอีก ตอดอีกคนดี”

คามินโยกขยับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันไปโดนจุดหนึ่งจุดเดิม และนั่นทำให้ปราณันต์ครางออกมาอย่างสุขสม

“อ๊ะ อื้อออ”

“ตรงนี้หรอครับ หื้ม?”

ปราณันต์พยักหน้าอย่างเย้ายวน ใบหน้าสวยหวานแดงก่ำไปด้วยแรงอารมณ์ คามินจึงขยับสะโพกถี่ขึ้น แรงขึ้น จนเสียงหวานครางแทบไม่เป็นภาษา ศรีษะกลมสะบัดไปมา ราวกับจะทนความเสียวซ่านไม่ไหว

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊าาา”

อารมณ์ของปราณันต์ถูกจุดอีกครั้ง มือเล็กพยายามที่จะเอื้อมไปรูดรั้งแก่นกายของตัวเอง แต่คามินเห็นก่อน เลยรั้งข้อมือเล็กไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มอย่างอาทร

“ผมทำให้ครับคนดี”

มือใหญ่เอื้อมไปรูดรั้งแก่นกายขนาดพอดีมือของปราณันต์ให้อย่างรู้ใจ ข้อมือแกร่งขยับขึ้นลงอย่างชำนาญ เสียงครางจากปราณันต์ดังและสะท้อนก้องไปมาผสมผสานกับเสียงครางต่ำของคามินดังระงมไปทั้งห้อง บ่งบอกถึงสภาพอารมณ์ที่ยากเกินจะกู่กลับของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี

“ผมเสียวมาก...เลย คุณปราณ อึก!”

“อ๊ะ อื้อ ระ.. เร็วอีก”

คามินขยับข้อมือเร็วขึ้น พร้อมทั้งใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ จนร่างเล็กใต้ร่างเขากระตุก และปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงครางหวานน่าฟัง

“อ๊าาาาาา”



(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 04-03-2021 23:07:51
(อ่านต่อจากด้านบน)


ปราณันต์หอบหายใจอย่างหนักหลังจากปลดปล่อยออกไป แต่คามินยังคงต้องเดินหน้าต่อ เขากระแทกสะโพกเข้าไปในช่องทางของปราณันต์อย่างรุนแรง จนศีรษะของคนใต้ร่างสั่นคลอน จนเขารู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะปลดปล่อย คามินจึงถอนแกนกายออกมาจนเกือบสุด ทำเอาสะโพกของปราณันต์แอ่นคว้างตามเพราะความเสียวซ่านที่ยังคงอยู่ แต่แล้วคามินก็กระแทกแกนกายกลับเข้าไปใหม่ ทำแบบนี้แรงๆ อยู่สองสามครั้ง หน้าท้องคามินก็เริ่มกระตุก และปลดปล่อยเข้าไปช่องทางของปราณันต์จนหมดสิ้น เสียงทุ้มต่ำครางยาวอย่างสุขสม

“อาาาาาาาาาาห์”

คามินค่อยๆ ถอนแกนกายออกจากช่องทางของคนตัวเล็ก ปราณันต์นอนนิ่งไม่หือไม่อือ โดยมีคามินจัดการเช็ด และเอานิ้วล้วงเข้าไปในช่องทาง ทำความสะอาดให้ปราณันต์อย่างดี ก่อนจะก้มลงไปจูบหน้าผากคนที่นอนนิ่งอยู่ด้านล่างอย่างต้องการที่จะขอบคุณและขอโทษ ปราณันต์ไม่ตอบอะไร เพราะพอคามินผละออก ปราณันต์ก็ลุกขึ้นนั่ง หันหลังให้คามินพลางเก็บซากเสื้อผ้าที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาแต่งตัวเงียบๆ ไม่พูดไม่จา โดยมีสายตาคมจ้องมองแผ่นหลังเล็กๆ นั้นอย่างเจ็บปวด คามินคิดอย่างเสียใจว่าทำไมเซ็กส์ครั้งแรกกับครั้งนี้ระหว่างเขากับปราณันต์ มันถึงต่างกันได้มากมายขนาดนี้


...ครั้งที่แล้วมันจบลงอย่างมีความสุข เขาทั้งสองนอนกอดกันจนกระทั่งหลับไป และยิ้มให้กันยามลืมตามาเจอกัน แต่กับครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างเจ็บปวด และหันหลังให้กันราวกับว่าจะมองหน้ากันอีกครั้งไม่ได้เหมือนเดิม...

.

.

.

หลังจากพายุแห่งอารมณ์พัดผ่านไป คามินที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตก็หันไปหาปราณันต์ที่ตอนนี้เหมือนคนกำลังจะหมดแรง จนเขาต้องเข้าไปช่วยจับชายเสื้อให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยแบบที่ควรเป็น

แต่ปราณันต์ก็คือปราณันต์ เวลาที่ดื้อก็จะดื้อหัวชนฝาก็ดื้อเกินกว่าใครบนโลกใบนี้

“ไม่ต้อง!”

คนตัวบางสะบัดหนีการเกาะกุมของคามิน ก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อจัดการกับเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย

คามินได้มองแผ่นหลังเล็กๆ ตรงหน้าอย่างเหนื่อยใจ ขู่ก็แล้ว ปลอบก็แล้ว อ่อนโยนก็แล้ว ดุดันก็แล้ว แต่ปราณันต์คนนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะโอนอ่อนให้เขาเลย คามินจึงต้องพึ่งที่พึ่งสุดท้าย ไม้ตายที่ยังไงปราณันต์ก็ต้องยอมให้อย่างไม่มีทางเลี่ยง

“เดี๋ยวลงไปเก็บของแล้วไปกับผม วันนี้คุณปราณไม่ต้องอยู่ทำโอที” ตากลมตวัดมองมาอย่างไม่พอใจทันทีที่ได้ยินคามินพูดจบ

“ทำไม ที่ได้ไปยังไม่พอใจอีกหรอ”

ไม่มีสักประโยคเลยที่จะพูดดีๆ ด้วยกัน คามินคิดอย่างหนักใจ สงสัยเขาคงใช้ไม้อ่อนกับเด็กดื้อคนนี้ไม่ได้

“ใช่ ยังไม่พอ ก็บอกแล้วไงว่าถ้าผมยังไม่เบื่อคุณปราณ ยังไงผมก็ไม่มีทางพอหรอก” คามินสวมบทบาทผู้ชายปากร้ายอีกครั้ง “แต่ไม่ใช่กับวันนี้ ผมยังมีเวลากับคุณอีกเยอะคุณปราณ”

ปราณันต์มองไปที่คามินด้วยสายตาตัดพ้อน้อยใจ แต่คามินไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องทำตัวเป็นคนใจร้ายต่อ

“ลุกขึ้นครับ ไปเก็บของ จะได้ไปรับฝาแฝด ผมอยากเจอพวกแก”

ปราณันต์ลุกขึ้นยืนพรวดพราดแทบจะทันที เมื่อได้ยินว่าคามินจะไปไหน

“ไม่! คุณห้ามยุ่งกับเด็กๆ นะ” เจ้าลูกแมวตัวน้อยก่อนหน้า แปลงร่างเป็นแม่เสือเต็มตัว เมื่อพูดถึงฝาแฝดที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ปราณันต์ก็พร้อมจะกระโจนปกป้องทุกเมื่อ โดยไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น

“ทำไมถึงห้ามยุ่ง ผมคิดถึงเด็กๆ ทำไมผมถึงยุ่งกับพวกแกไม่ได้” คามินถามเสียงเข้ม เขากำลังไม่พอใจที่ปราณันต์กีดกันเขาออกมาจากครอบครัวของปราณันต์เอง

“ผมคนเดียว...” เสียงหวานพูดออกมาเบาๆ จนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ “คุณทำร้ายผมแค่คนเดียวพอได้ไหม ปุณณ์กับปัณณ์ยังเด็ก พวกแกยังไร้เดียงสา ผมสงสารน้อง ฝาแฝดรักคุณมาก ถ้าคุณเข้าหาพวกแกเพียงเพราะอยากจะเอาชนะใจผม คุณก็ทำมันสำเร็จไปแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าหลอกให้พวกแกรักคุณอีกเลยครับ ผมขอร้อง”

หัวใจของคามินชาหนึบ เมื่อได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น

“คุณไม่รู้หรอกว่าผมเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องโกหกพวกแกตอนที่คุณหายไป ตั้งแต่ผมเลี้ยงฝาแฝดมา ผมไม่เคยโกหกเด็กๆ เลยสักครั้ง.. ถ้าครั้งนี้คุณกลับเข้ามา แล้ววันนึงคุณจะทิ้งพวกแกไปอีก ผมจะตอบคำถามฝาแฝดว่ายังไง ผมไม่อยากเห็นเด็กๆ เสียใจ ให้ผมทำอะไรก็ได้ แต่อย่าทำร้ายน้องผมเลย.. ฮึก”

ปราณันต์พูดพลางกลั้นเสียงสะอื้น คามินเองก็รับฟังด้วยหัวใจที่แตกสลาย มันก็จริง ที่แรกๆ เขาเข้าหาฝาแฝดเพราะอยากให้ปราณันต์ประทับใจ แต่พออยู่ด้วยกันไปนานๆ คามินก็ตกหลุมรักและเอ็นดูเด็กๆ จริงๆ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากดูแลและให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพวกแก เหมือนอย่างที่เขาอยากให้สิ่งเหล่านั้นกับปราณันต์ด้วยเช่นกัน

“คุณปราณ ผมขอโทษ...” คามินตรงเข้าไปกอดร่างเล็กๆ ตรงหน้าเขาไว้แนบอก ปราณันต์กลั้นสะอื้นจนตัวสั่น คามินได้แต่ลูบหลัง ลูบไหล่ปลอบใจ พลางพูดยืนยันว่าครั้งนี้เขาตั้งใจจริงและจะไม่ทำให้ฝาแฝดเสียใจเด็ดขาด

“ฟังผมนะครับ คำสัญญาจากคนอย่างผมมันอาจจะดูเชื่อถือไม่ได้ แต่ขอแค่ครั้งนี้สักครั้งได้ไหมคุณปราณ ไว้ใจผมสักครั้ง ผมเองถึงจะเลวจะหลอกลวงคุณ แต่ผมก็รักเด็กสองคนนั้นไม่น้อยไปกว่าคุณจริงๆ นี่คือเรื่องที่ผมไม่ได้หลอกลวง” เสียงคามินสั่นเทาจนเจ้าตัวเองยังรู้สึก

“ผมอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพวกแก ให้ผมสาบานก็ได้ ผมจะไม่มีวันทำร้ายปุณณกันต์กับปัณณธร ผมจะไม่ทำให้พวกแกเสียใจ คุณให้โอกาสผมสักครั้งได้รึป่าว”

“ฮึก.. ฮือออ” ปราณันต์ร้องไห้อยู่กับอกคามิน ร่างเล็กไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน คามินได้แต่ภาวนาว่าปราณันต์จะยอมใจอ่อนให้เขาสักเรื่อง เพราะเขาเองรักเด็กฝาแฝดสองคนนั้นมากเหลือเกิน มากด้วยใจจริง

.

.

.

ปราณันต์เดินเหม่อๆ ลงมาเก็บของที่ห้องทำงาน นทนัชและกันต์กวีที่นั่งรออยู่อย่างร้อนใจ ก็ลุกพรวดพราดทันทีทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาถึง

“ปราณ/ปราณ” เสียงนทนัชและกันต์กวีดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะวิ่งไปที่ตัวของเจ้าของชื่อที่ตอนนี้มองมาที่เพื่อนสนิทสองคนอย่างเศร้าหมอง

“พี่นท กวี ยังไม่กลับอีกหรอ” ปราณันต์พยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้เพื่อนทั้งสองเห็น และเลี่ยงที่จะคุยเรื่องอื่นแทนเรื่องที่ตัวเองไปเจอมา

กันต์กวีมองไปที่ลำคอขาวของปราณันต์ รอยรักสีกุหลาบกระจายอยู่เป็นจุดๆ นทนัชเองก็เหมือนกัน เขามองตามสายตากันต์กวีเมื่อเห็นความเจ็บปวดอยู่ในแววตาคมคู่นั้น มือใหญ่ของกันต์กวีกำเข้าหากันแน่น นทนัชก็ไม่ต่าง หัวหน้าทีมร่างเล็กได้แต่หลับตาลงเพื่อข่มความเห็นใจคนตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของกันต์กวีราวกับต้องการปลอบประโลม ไม่บอกก็รู้ว่าปราณันต์ถูกใครทำอะไรมาก่อนหน้านี้

“ยังเลย พวกเรารอปราณอยู่ จะได้กลับพร้อมกันไง”

นทนัชฉลาดพอที่จะเข้าใจสถานการณ์ของปราณันต์ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองไปเจอมา นทนัชรู้และพอเดาได้เลยเลือกที่จะตอบคำถามของปราณันต์และไม่ซักไซ้อะไรต่อ เขาคงต้องรอ ถ้าปราณันต์พร้อมปราณันต์คงจะเล่าทั้งหมดให้ฟังเอง

“กลับไปก่อนเลยครับ ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” ปราณันต์ยิ้มฝืนๆ ให้เพื่อนทั้งสอง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางด้านหลัง และพอนทนัชมองตามสายตาปราณันต์ไป เขาก็เห็นรูปร่างสูงใหญ่ของคามินยืนรอปราณันต์อยู่ที่หน้าประตู

กันต์กวีเองก็เห็นเหมือนกันเลยทำท่าจะปรี่เข้าไปมีเรื่องกับคามิน แต่ปราณันต์ห้ามไว้เสียก่อน

“อย่าเลยกวี เราขอร้อง” มือเล็กยึดแขนเพื่อนสนิทไว้นิ่ง ก่อนจะเอ่ยตัดบท “เอาไว้คราวหน้า เราจะเล่าเรื่องทั้งหมดใหัฟัง แต่ตอนนี้เย็นมากแล้ว เราต้องไปรับเด็กๆ”

พอได้ยินแบบนั้นกันต์กวีก็ยอมถอย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ปราณันต์เก็บของเสร็จพอดี

“ผมไปนะครับพี่นท เราไปนะกวี” ปราณันต์พูดพลางเดินไปหาคามินที่รออยู่หน้าประตู

คามินเอง พอเห็นว่าปราณันต์เดินมาถึง ก็ตรงรี่เข้าไปหา พร้อมทั้งโอบรอบเอวบางอย่างแสดงความเป็นเจ้าของให้กันต์กวีได้เห็น ริมฝีปากหยักยกยิ้ม พออกพอใจที่ปราณันต์พูดง่ายไม่ดื้อ

“มันจะได้รู้ ว่าคุณปราณเป็นของใคร” คามินพูดอย่างมีความสุข ผิดกับปราณันต์ที่ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่น ไม่หือ ไม่อือ ไม่มีปฎิกริยาอะไรทั้งนั้น

“ผมอยากเจอน้องๆ แล้ว” ปราณันต์พูดขึ้นมาเบาๆ คามินเลยรีบกุลีกุจอ พาปราณันต์ไปขึ้นรถ

“ป่ะ ไปกันครับ” คามินดีใจจนออกนอกหน้า คิดอย่างย่ามใจว่าน้อยก็ยังดีที่ปราณันต์ยอมลงเรื่องนี้ให้เขาสักเรื่อง

พอขึ้นไปนั่งบนรถได้ ปราณันต์ก็เอาแต่มองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าสวยหวานนั้นไม่เหลือบมองมาทางคามินเลยสักนิด คามินได้แต่ถอนใจตอนเห็นท่าทางแบบนั้นของปราณันต์

“ผมรู้ รู้ว่าคุณปราณยังโกรธผมอยู่” มือใหญ่เอื้อมไปจับมือเล็กที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าตักของตัวเอง “แต่ผมก็ขอบคุณมาก ที่คุณปราณยอมให้โอกาสผมเรื่องฝาแฝด ผมสัญญา...”

“อย่าสัญญา เพราะผมทำใจให้เชื่อคุณไม่ได้” ปราณันต์พูดสวนก่อนที่คามินจะพูดจบประโยค “ผมมีทางเลือกไม่มากหรอก คุณก็รู้นี่ว่าทำไม”

สายตากลมมองไปที่อีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉย ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออกจากมือใหญ่ช้าๆ คามินหน้าเสียเหลือสองนิ้วตอนที่ได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น เขาเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของปราณันต์ยามที่ถูกเขาเมินก็ตอนนี้ มันเจ็บปวดมาก มากจนคามินเกือบจะพูดไม่ออก

“คุณปราณ...” เสียงเรียกของคามินครางแผ่ว รู้สึกเจ็บในหัวใจไปหมด เขาคิดว่าปราณันต์จะยอมใจอ่อนให้เขาบ้างแล้ว แต่ไม่เลย ปราณันต์ยังไม่ยกโทษให้เขาเลยแม้แต่น้อย

“ไปกันเถอะครับ ผมไม่อยากให้น้องรอนาน” พอจบคำ ใบหน้าเล็กๆ นั่นก็หันออกไปนอกหน้าต่างรถ ตากลมค่อยๆ หลับลงช้าๆ ราวกับเป็นการปิดสนทนา ไม่ให้คามินได้ถามอะไรได้อีก

.

.

.

Rrrr


ปราณันต์เปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังทะลุขึ้นมากลางรถแคบๆ ที่มีแค่เขากับคามินอยู่กันสองคน

หางตากลมเหลือบมองเห็นคามินมองมาทางเขาอย่างร้อนรน ปราณันต์จึงแกล้งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง และพยายามบอกใจตัวเองว่าอย่าไปสนใจ เพราะตัวเขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าใครโทรมา

“ครับ วลัย” คามินรับโทรศัพท์เสียงเบา เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการนอนของปราณันต์ เอาจริงๆ เขาเองก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายมาได้ยินอะไรแบบนี้ด้วยแหละ ทั้งที่ในความเป็นจริง ปราณันต์กำลังได้ยินทุกคำพูดของคามินเต็มสองหู

“วันนี้มีผมกินเลี้ยงกับลูกค้า คงไม่ว่างไปเจอคุณนะครับ” เสียงทุ้มตอบนิ่ง ไม่มีความพิเศษ ไม่มีความหวือหวาในน้ำเสียง ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ได้ยินก็อดเสียใจไม่ได้

ปราณันต์รับฟังเงียบๆ น้ำใสไหลออกจากตากลมที่ปิดสนิทช้าๆ พลางนึกในใจว่าเขาต้องมาแกล้งทำเป็นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับพวกลักขโมย เป็นแค่ของเล่นชั่วคราว ที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนไว้ใช้แก้เหงา โดยที่ไม่ให้ตัวจริงรู้

เสียงแหลมๆ ทะลุออกมานอกโทรศัพท์จนปราณันต์ได้ยินแว่วๆ แต่คามินก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น และเมื่อเสียงปลายสายสงบลง คามินก็ตัดบทขอวางสายทันที

“แค่นี้นะครับ ผมไม่สะดวกคุย กำลังขับรถอยู่” ปราณันต์ได้ยินเสียงกดวางโทรศัพท์พร้อมกับการถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ จากมือใหญ่ที่วางมาบนศีรษะกลมของตนที่นั่งอยู่ฝั่งคนโดยสารเบาๆ

“จะไม่สบายรึป่าวนะ เหมือนตัวจะรุมๆ เลย” เสียงทุ้มบ่นออกมาเบาๆ เหมือนกังวล ทำเอาหัวใจของคนที่ได้ยิน เต้นระรัวเคล้ากับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที

ปราณันต์พยายามที่จะห้ามตัวเองไม่ให้คิดหวังอะไรมากเกินไปกว่านี้ ท่าทีใจดีที่ผู้ชายใจร้ายคนนั้นแสดงออก ไม่ได้หมายถึงว่าเขารักหรือมีใจ เพียงแต่คนนั้นๆ แค่อยากจะเอาชนะทุกคน อยากจะมีเขาไว้เพื่อใช้ร่างกายเอาไว้สนองยามที่ต้องการเรื่องอย่างว่าเท่านั้น มันไม่มีอะไรนอกเหนือมากไปกว่านี้


ยิ่งความรัก ยิ่งไม่มี เพราะมันไม่เคยมีมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ...


ปราณันต์คิดอย่างเจ็บปวด พลางปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเจ้าตัวเองก็รู้ดีว่าแม้พยายามจะห้ามใจหรือปฎิเสธความอบอุ่นจากคนๆ นี้เท่าไหร่ แต่ลึกๆ แล้วเขาไม่เคยลบผู้ชายคนนี้ออกจากใจได้เลย แม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่คามินทำให้ ก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว อย่างยากที่จะควบคุมเสมอ

.

.

.

เมื่อถึงโรงเรียนอนุบาล คามินก็ก้าวลงจากรถแล้วอ้อมเข้าไปหาปราณันต์ที่ลงมาจากรถอีกฝั่ง มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือเล็กไว้ เพื่อจะจูงพาเดินไปพร้อมๆ กัน แต่ปราณันต์กลับดึงมือออก พลางพูดอย่างไม่ไยดี

“ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” เสียงหวานที่เคยเจือไปด้วยความรู้สึกยามพูดกับเขา กลับกลายเป็นราบเรียบไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ ทั้งนั้น

คามินได้แต่เดินตามปราณันต์ที่ออกเดินนำไปช้าๆ จนกระทั่งไปถึงห้องเรียนของปุณณกันต์กับปัณณธร

เจ้าหนูฝาแฝดวิ่งหน้าเริ่ดออกมาจากห้อง ยามเห็นพี่ชายคนโตเดินมาถึง ก่อนที่เท้าทั้งสองคู่จะชะงักกึก เมื่อเห็นแขกอีกคนที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หลังพี่ชายคนโต

“พี่ครามมมมมมม!” ปัณณธรน้อยวิ่งเข้าไปหาคามินทันทีที่เห็น คนตัวสูงเองก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆ รอท่าเจ้าหนูน้อยที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาหา

คามินหัวเราะร่าทันทีที่ปัณณธรโถมตัวเข้ามากอดเขาไว้เต็มแรง ร่างสูงทั้งกอด ทั้งหอมเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนอย่างคิดถึงสุดหัวใจ ปุณณกันต์เองก็ค่อยๆ เดินเข้ามากอดคามินไว้เหมือนกัน เจ้าหนูคนพี่ไม่ได้แสดงออกอะไรมาก เพียงแต่โอบเอวคามินไว้แน่น พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่มักจะไม่เห็นได้บ่อยนักจากปุณณกันต์

“พี่ครามคิดถึงพวหนูมากเลยรู้ไหมครับ” คามินพูดพลางจูบขมับเล็กๆ ของเจ้าตัวน้อยทั้งคู่สลับไปมา ราวกับจะถ่ายทอดความโหยหาที่มีทั้งหมดให้ฝาแฝดได้รับรู้

“ปัณณ์ก็คิดถึงพี่คราม” ปัณณธรจูบเบาๆ ลงบนแก้มสากของคามิน ก่อนจะเจื้อยแจ้วไม่หยุด “พี่ปราณบอกว่าพี่ครามจะมาไม่ได้ เพราะต้องไปทำงานเมืองนอกนานๆ พี่ครามทำงานเสร็จแล้วหรอครับ”

เจ้าหนูถามอย่างสงสัย และจากคำพูดของปัณณธร ทำเอาคามินเหลือบมองปราณันต์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำว่าขอบคุณ

ปราณันต์ไม่ได้พูดถึงเขาในทางไม่ดีให้ฝาแฝดฟัง คามินรู้ดีว่าที่ปราณันต์ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขาแต่นั่นเพราะปราณันต์ไม่อยากให้ฝาแฝดเสียใจมากกว่า คนตัวเล็กคงไม่อยากทำให้น้องๆ ผิดหวัง และพวกแกยังเด็กเกินกว่าจะมาเข้าใจเรื่องแบบนี้

“ตอนแรกปุณณ์กับปัณณ์นึกว่าพี่ครามจะไม่อยากมาเจอเราสองคนแล้ว เพราะเราดื้อ เราทำตัวไม่น่ารัก แต่พี่ปราณบอกว่าไม่ใช่ พี่ปราณบอกว่าพี่ครามต้องไปทำงานเลยมาไม่ได้”

ปุณณกันต์สำทับคำพูดของน้องชาย และเมื่อคามินได้ยินสิ่งที่ฝาแฝดพูดจบ อ้อมกอดแข็งแรงก็กระชับเจ้าหนูทั้งสองไว้แน่นกว่าเดิม พร้อมกับพูดปลอบประโลมไม่ให้เด็กๆ คิดมาก

“พี่ครามจะไม่อยากมาเจอปุณณ์ปัณณ์ได้ยังไง พี่ครามรักหนูสองคนมากนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุจำเป็นพี่ครามคงมาหาหนูไปแล้ว”

ฝาแฝดน้อยทั้งสองยิ้มแฉ่งให้พี่ครามของตัวเองอย่างมีความสุข คามินมองรอยยิ้มสว่างไสวตรงหน้าด้วยสายตาอบอุ่นหัวใจ ก่อนจะหันไปหาปราณันต์ที่ตอนนี้พยายามมองไปตรงอื่น ในขณะที่ตากลมดูเหมือนจะแดงก่ำ เพราะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล

“พี่ปราณณณ พี่ครามมาแล้ววว ต่อไปนี้พี่ครามจะมารับมาส่งเราเหมือนเดิมแล้วใช่ไหมครับ” ปัณณธรน้อยถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี ปราณันต์เห็นน้องมีความสุขเลยพูดไม่ออก นอกจากจะยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ทำเอาเด็กๆ ดีใจกันยกใหญ่

“พี่ครามๆ พี่ครามจะกลับไปทำงานเมืองนอกนานๆ อีกรึป่าวครับ” ส่วนประโยคนี้ปุณณกันต์หันไปถามคามินอย่างคาดหวัง เด็กๆ คงไม่อยากให้คามินหายไปอีก ถ้าดูจากท่าทาง

“ไม่ไปแล้วครับ พี่ครามไม่ไปไหนแล้ว พี่ครามจะอยู่กับปุณณ์ ปัณณ์...” ตาคมเหลือบมองไปที่ใบหน้าหวานที่กำลังมองมายังเขาและเจ้าหนูทั้งสอง ก่อนจะพูดต่อ “แล้วก็พี่ปราณ ไม่ทิ้งไปไหนอีกแล้วครับ”

คามินสบตาปราณันต์นิ่งตอนพูดประโนคนั้น ทำเอาปราณันต์เบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะไม่อยากคาดหวังอะไรกับคำพูดของคามินอีก

“เย่ๆ เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมแล้ว” ฝาแฝดน้อยทั้งสองกอดกับคามินกลม คามินเองก็ดูมีความสุขมากขึ้นกว่าที่ปราณันต์เห็นในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา

ถึงแม้ว่าเรื่องระหว่างเขากับคนตัวโตนั่นจะเป็นเพียงเรื่องหลอกกลวง ปราณันต์ก็ได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้เรื่องระหว่างคามินกับน้องๆ เขาเป็นเรื่องจริงบ้างสักเรื่องก็ยังดี เขายอมผิดหวัง แต่ขอให้น้องๆ ไม่ต้องเสียใจหรือผิดหวัง ปราณันต์ขอแค่นั้นก็พอ

.

.

.

เมื่อกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ เด็กๆ ทั้งสองก็ดูจะเชื่อฟังพี่ชายเป็นพิเศษ เจ้าหนูวิ่งเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แล้วมาทำการบ้านกันโดยไม่ต้องให้ปราณันต์คอยเตือน ดูเหมือนว่าการกลับมาของคามินจะมีอิทธิพลต่อแฝดไม่น้อย ปราณันต์ได้แต่คิดอย่างปวดใจ ทำไมครอบครัวเขาต้องตกหลุมรักผู้ชายคนนี้มากขนาดนี้ เขาไม่โทษปุณณกันต์กับปัณณธรเลย เพราะตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากน้องๆ เลยสักนิด

มื้อค่ำของครอบครัวเต็มไปด้วยความคึกคัก เมื่อได้ต้อนรับคนสำคัญคนเดิมกลับมาอีกครั้ง

“พี่คราม กับข้าวอร่อยไหมครับ” ปัณณธรถามคามินอย่างน่าเอ็นดู ทำเอาปากหยักยิ้มไม่หยุด

“อร่อยครับ ฝีมือพี่ปราณเคยไม่อร่อยด้วยหรอ” คามินตอบยิ้มๆ พลางมองไปที่ปราณันต์ด้วยสายตาคิดถึง ในขณะที่คนที่ถูกพูดถึง กลับก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

“พี่ปราณครับ” ปุณณกันต์เรียกพี่ชายตัวเองเบาๆ เพราะรู้สึกเหมือนปราณันต์กำลังทำตัวแปลกๆ

“ครับ ว่าไงครับปุณณ์” ปราณันต์ขานรับ และเมื่อเห็นน้องชายมองมาที่ตัวเองด้วยแววตาเป็นห่วง ปากอิ่มก็แสร้งยกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนบางอย่างในใจ

“พี่ปราณปวดหัวนิดหน่อยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” พอปุณณกันต์เห็นพี่ชายยิ้ม เขาก็ดูเหมือนจะสบายใจขึ้น จึงได้หันไปยิ้มไปเล่นกับปัณณธรและคามินเหมือนเดิม

คามินเหลือบมองอาการของปราณันต์เป็นระยะๆ พลางคิดในใจว่าเขาจะปล่อยให้ความสัมพันธ์ของเขากับปราณันต์เหินห่างแบบนี้ไม่ได้ หากเขาทำได้เแค่คอยตามรับตามส่ง คงไม่มีอะไรคืบหน้าแน่ แล้วถ้าจะให้เขาย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ห้องข้างๆ ปราณันต์อีก วลัยก็ต้องสงสัย เห็นจะเหลือก็แต่ทางเดียวเท่านั้น...

.

.

.

หลังจากพาเจ้าหนูทั้งสองเข้าห้องนอนหลับเรียบร้อย ปราณันต์ก็เดินออกกมาจากห้องปุณณกันต์ปัณณธร และเมื่อเห็นว่าคามินยังนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ยังไม่ได้กลับไปไหน เสียงหวานก็เริ่มเอ่ยไล่ทันที

“กลับบ้านคุณไปได้แล้วครับ ผมจะพักผ่อน”

และโดยที่ไม่รอฟังคำตอบ ปราณันต์ก็เตรียมเดินหนีเข้าห้องตัวเองนอน กะว่าถ้าคามินกลับ แล้วเขาค่อยออกมาล็อคห้องให้เรียบร้อย แต่มันดันไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อจู่ๆ คามินก็เดินเข้ามากอดเขาไว้จากด้านหลัง

และยังไม่ทันที่ปราณันต์จะได้ต่อว่าคนมือไว เสียงทุ้มกลับพูดบางสิ่งออกมาก่อน


“คุณปราณครับ ย้ายไปอยู่คอนโดเดียวกับผมดีไหม ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณกับน้องๆ อยากดูแล ให้พวกคุณได้อยู่สบายๆ .. ย้ายไปอยู่กับผมนะ”


คนในอ้อมกอดของคามินยืนนิ่ง นิ่งจนคามินกลัวใจ นึกขอร้องอย่างเดียว ว่าขออย่าให้ปราณันต์ปฏิเสธเลย เพราะยังไงเขาก็ต้องเอาทั้งสามคนไปอยู่ด้วยให้ได้ เขาไม่อยากบังคับ แต่ถ้าปราณันต์ไม่ตกลง เขาก็คงต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำอยู่ดี

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------------------

ย้ำอีกครั้งนะคะ!! ว่าแช็ปเตอร์มีการใช้ความรุนแรงทางเพศ ขอให้นักอ่านทุกท่านใช้วิจารณญาณและทำความเข้าใจในการอ่านด้วยนะคะ .. ขอบคุณค่ะ

... เลวเนาะ ไม่มีการจำกัดความใดๆ เลย นอกจากคำว่าเลวววว กรี๊ดดดด!! 555555555555555555555555555555

ยังไงฝากคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คิดเห็นอย่างไรหรือจะด่าพระเอกก็ได้ ยินดีเสมอ แต่อย่าว่าน้องปราณ สงสารน้อง อ่านไปอีกสักนิดจะค่อยๆ เข้าใจน้องว่าทำไมน้องถึงยอมตัวโกง.. เอ๊ย พระเอกอย่างนังครามด้วย 5555555555555

ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่คอยให้กำลังใจกันตลอด ตอนนี้ก็เดินทางเลยกลางเรื่องกันมาแล้วว อีกหลายตอนอยู่ค่ะกว่าจะจบ เราหวังว่าทุกคนจะอยู่ไปด้วยกันจนถึงตอนนั้นเลยน้าาาา ... รักทุกคนมากๆ แล้วเจอกันตอนหน้างับ ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-03-2021 23:55:47
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-03-2021 00:21:59
 :oo1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 05-03-2021 10:03:17
ไม่อยากให้ยอม เพราะต้องมีเรื่องตามมาอีกแน่
แต่เรื่อง หัวใจ ใครจะห้ามได้ ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-03-2021 16:16:57
5555555555 ตรูจะบ้า วนลูปชิบ อะมันยังไม่ถึงเวลาใช่ป่ะ หรือว่าไม่มีเลย เวลาให้เอาคืนอ่ะ รอวันนั้นนะ ช่วงนี้ขอ เอิ่มมมมม ไปก่อน เป็นคนความแค้นสูง 55555555 สนุกๆแต่งดีมาก รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: eat2tea ที่ 07-03-2021 14:03:01
เราพยายามที่จะเข้าใจว่าทำไมคามินถึงทำแบบนั้น
เพราะรัก หึง หวง และไม่อยากให้ปราณันต์ไปเป็นของคนอื่น
แต่สิ่งที่ทำก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น (เลวร้ายไปอีก)
ส่วนปราณันต์ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคามินสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ  :serius2:
รอเวลาที่ปราณันต์ใจอ่อนก็เท่านั้น คามินก็เตรียมตัวรับมือกับพรวลัยไว้ได้เลย
เป็นกำลังใจให้ สำหรับตอนต่อไปครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 07-03-2021 15:36:52
 :z6: :z6: :z6: คราม :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..4/3/64 [23rd Lies: ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 09-03-2021 10:39:33
อารมณ์ตอนนี้  :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 11-03-2021 19:23:56
24th Lies : เริ่มต้นอีกครั้ง


และยังไม่ทันขาดคำ ปราณันต์ก็สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดคามินทันที ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับใบหน้าคมคายอย่างไม่พอใจ

“คุณหมายความว่ายังไง"

คามินถอนหายใจ คิดไว้แล้วไม่มีผิด ปราณันต์ต้องไม่ยอมแน่ๆ ถ้าเขาขออะไรแบบนี้

“ผมอยากให้คุณปราณย้ายไปอยู่คอนโดเดียวกับผม มันจะง่ายกว่านี้เพราะผมจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา อีกอย่างเด็กๆ จะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ด้วย”

ตากลมจ้องไปที่คามินอย่างไม่พอใจ ลำคอขาวของคนตัวเล็กกว่าตั้งตรง ก่อนที่เสียงหวานจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

“แล้วที่นี่ไม่ดีตรงไหน พวกเด็กๆ ก็อยู่มาตั้งแต่พวกแกเกิด อีกอย่างผมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ฝาแฝดเสมอ คุณไม่ต้องมาห่วงในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง”

คิ้วเข้มของคามินขมวดเป็นปม ชักจะไม่พอใจขึ้นมานิดๆ ที่คนตรงหน้าเอาแต่เถียง ไม่ยอมโอนอ่อนให้เขาสักนิด ทั้งที่เขาทำไปทั้งหมดนี่ก็เพราะหวังดีล้วนๆ สุดท้ายคามินเลยต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำกับปราณันต์จนได้

“พรุ่งนี้ทยอยเก็บของนะครับคุณปราณ ตอนเย็นผมจะให้รถมาขนไป” คามินรวบรัด ทำเอาใบหน้าหวานงอง้ำยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่จะยืนกรานในความคิดของตัวเอง

“ไม่ครับ ผมไม่ย้าย คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับผม” แขนเล็กๆ ยกขึ้นมาไขว้กอดกลางอก เพื่อแสดงท่าทีต่อต้านชัดเจน

“มีครับ ผมมีสิทธิ์ เพราะผมเป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ห้องนี้ แล้วตอนนี้ผมก็ใช้สิทธิ์ของเจ้าของห้อง ไม่ให้คุณพักที่นี่อีกต่อไป เพราะฉะนั้น คุณต้องย้ายออกครับคุณปราณ”

เสียงทุ้มพูดเรียบๆ แต่เจ้าของใบหน้าสวยหวาน ถึงกับเบิกตาโพลงอย่างกับว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อน

“คุณพูดอะไร เจ้าของห้องนี้คือเถ้าแก่ข้างล่างต่างหาก จะเป็นคุณได้ยังไง”

เสียงหวานถามสั่นๆ เอาเข้าจริงตัวปราณันต์เองก็ไม่ได้มั่นใจหรอก ว่าห้องพักนี้จะยังเป็นของเจ้าของอพาร์ทเม้นท์อยู่ เพราะถ้าดูจากความทุ่มเทของคามินที่ผ่านมา ในการที่จะพยายามเอาชนะใจเขาแล้ว มันก็ไม่น่าจะยากอะไร ถ้าอีกฝ่ายจะกลายเป็นเจ้าของห้องพักแห่งนี้ ไม่ใช่เถ้าแก่คนเก่าอย่างที่มันควรจะเป็น

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ คุณปราณก็รู้นี่ ว่าที่ผ่านมาผมสามารถทำอะไรได้บ้าง กับอีแค่อพาร์ทเม้นท์ห้องเล็กๆ แบบนี้ คุณปราณคิดว่าผมจะซื้อเก็บไว้ไม่ได้หรอ”

ใบหน้าคมคายพูดอย่างกวนประสาท เอาเข้าจริงคามินก็รู้สึกดีนิดๆ ที่ปราบพยศเด็กแสบแสนดื้อตรงหน้าได้

“งั้นผมก็จะย้ายไปห้องข้างๆ ที่ว่าง ว่างตั้งสองห้อง ... ผมเองก็อยากจะรู้ว่าคุณจะบังคับอะไรผมได้อีก” ปลายคางของปราณันต์เชิดขึ้นอย่างถือดี ไม่มีท่าทีว่าจะยอมลงให้คามินสักนิด

คนตัวสูงกว่ามองท่าทางของคนตรงหน้า แล้วอดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ ... ลูกแมวแสนพยศตัวนี้ มันน่าจับมาฟัดให้หายดื้อจริงๆ

และพอคิดได้ดังนั้น คามินก็พุ่งเข้าไปตะครุบเจ้าแมวตัวดื้อที่ยืนเชิดคางอยู่ไม่ไกลเข้ามากอดไว้แนบอก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

“แล้วคุณปราณไม่สงสัยหรอว่าทำไมห้องสองห้องข้างๆ ห้องคุณปราณถึงว่าง หื้ม?”

แววตากลมโตเบิกโพลงขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนที่จะหันไปมองค้อนคนที่โอบกอดเขาอยู่จากด้านหลังด้วยสายตาแค้นเคือง

“อย่าบอกนะว่านี่ฝีมือคุณ?” เสียงหวานถามขึ้นมาอย่างหงุดหงิด เมื่อพอจะเดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้

“ใช่ครับที่รัก ไม่งั้นผมจะย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ คุณปราณได้ง่ายๆ แบบนี้หรอ?”

คนตัวโตกว่ายิ้มก่อนจะกระชับอ้อมกอดแข็งแรงให้แน่นกว่าเดิม จากนั้นก็กดจมูกโด่งเป็นสันไปที่ขมับของปราณันต์อย่างมันเขี้ยว แต่คนในอ้อมกอดก็ช่างดื้อดึง ใบหน้าสวยหวานเบี่ยงหลบคามินเป็นพัลวัน จนคามินต้องใช้มือใหญ่ข้างหนึ่งล็อคใบหน้าเล็กๆ เอาไว้ ก่อนที่ก้มลงไปจูบปากอิ่มอย่างเร็วๆ


จุ๊บ~ จุ๊บ~


“อื้อ! คุณ อย่า!” ปราณันต์พยายามดิ้น แต่คามินก็ไม่ยอมปล่อย

“จะปล่อย ถ้าเลิกดื้อ แล้วยอมย้ายไปอยู่กับผมดีๆ”

คามินปรับท่าทีให้อ่อนลง น้ำเสียงที่พูดก็นุ่มนวลขึ้น อย่างที่บอกตั้งแต่ทีแรก คามินไม่ได้อยากบังคับปราณันต์ เขาแค่อยากให้ปราณันต์และเด็กๆ ได้อยู่สบายๆ ไม่คับแคบแบบนี้ก็เท่านั้น

“ก็แล้วผมเลือกอะไรได้ไหมล่ะ”

เสียงหวานพูดอย่างไม่พอใจ พลางคิดในใจว่าแพ้ทุกที แพ้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ไม่ได้ เอาเข้าจริงแค่คามินมากอดเขาไว้ พูดเสียงอ้อนๆ แบบนี้ ตัวปราณันต์เองที่ยังมีเยื่อใยกับอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ก็ใจอ่อนยวบไม่รู้จะหาทางต้านกินยังไงเหมือนกัน

“ไม่เอาสิครับคุณปราณ ไม่เป็นแบบนี้สิ ผมไม่ได้อยากบังคับคุณนะ ผมแค่อยากให้คุณอยู่สบายๆ เด็กๆ จะได้มีพื้นที่ในการทำนั่นทำนี่มากกว่านี้ด้วย”

ปราณันต์ถอนหายใจอย่างปลงตก ฟังดูแล้วมันก็น่าจะมีความสุขดีถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว...


มันจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ

มันจะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายแล้วคามินก็ต้องกลับไปหาคู่หมั้น กลับไปใช้ชีวิตในลู่ทางที่ควรจะเป็น กลับไปใช้ชีวิตที่ยังไงแล้วก็จะไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกับเขาได้เลยสักทาง



พอปราณันต์คิดได้แบบนั้น ความน้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมาในอกอีกระลอก

“ปล่อยครับ คุณอยากทำอะไรก็ทำ ผมเหนื่อยที่จะคิดหรือต่อต้านอะไรแล้ว”

ปราณันต์พูดก่อนที่จะค่อยๆ สลัดตัวเองออกมาจากอ้อมกอดอุ่นๆ นั้น แม้อยากจะอยู่แบบนี้นานแค่ไหน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ที่ของเขา ยังไงสุดท้ายก็ต้องเดินออกมา

คามินมองนัยน์ตากลมที่เศร้าหมองของปราณันต์อย่างรู้สึกผิด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ตัวคามินเองไม่ทรมาน ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะถอนหมั้นกับพรวลัยเสียเดี๋ยวนี้ เรื่องธุรกิจอะไรนั่นน่ะ เอาเข้าจริงแล้วคามินไม่สนหรอก เพราะตัวเขาเองเชื่อว่าเขาสามารถที่จะจัดการและดูแลมันได้ แม้จะไม่มีหลินคอนสตรัคชั่นช่วยซัพพอร์ต แต่สิ่งที่เขาหนักใจและเป็นห่วงคือความปลอดภัยของปราณันต์และฝาแฝดมากกว่า เพราะฉะนั้น คามินจะผลีผลามไม่ได้ แม้การถอนหมั้นกับพรวลัยจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ขอเวลาเขาสักหน่อย คามินเชื่อแน่ว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ตอนนี้ เวลานี้ เขาจำเป็นต้องเป็นคนเห็นแก่ตัว อะไรที่ทำแล้วเขาจะสามารถอยู่กับปราณันต์ได้ เขายอมทำทั้งนั้น

พอคามินทำท่าจะเข้าไปกอดปราณันต์อีก อีกฝ่ายก็กลับเดินหนีไปก่อน พร้อมกับตัดบท

“กลับไปก่อนเถอะครับ วันนี้ดึกแล้ว ผมอยากพักผ่อน” ปราณันต์บอกเสียงเรียบๆ

“คืนนี้ผมขอนอนที่นี่ได้ไหมครับ” คามินทำเสียงเหมือนขอร้องกลายๆ แต่ดูเหมือนปราณันต์จะไม่ยอมใจอ่อน

“วันนี้ผมไม่เหลืออะไรจะ ‘ให้’ คุณแล้วครับ ผมเหนื่อย ผมอยากพัก ถ้าคุณยังอยากเล่นสนุกกับร่างกายผมอีก ... วันอื่นเถอะนะครับ ผมขอร้อง”

เสียงหวานพูดเศร้าๆ ทำเอาหัวใจของคามินเจ็บไปหมด คามินเองก็พยายามจะอธิบายว่าปราณันต์เข้าใจผิด เขาเพียงแต่อยากนอนกอดร่างเล็กนั่นๆ ให้หายคิดถึงก็แค่นั้น แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมฟังอะไรเขาเลยสักนิด

คามินถอนหายใจ แต่เขาอยู่ห่างกับปราณันต์มาเป็นอาทิตย์แล้ว คิดถึงร่างกายนุ่มๆ ที่มีกลิ่นหอมๆ นี่จะแย่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาต้องทำเรื่องที่ปราณันต์ไม่ชอบอีกครั้ง

“ไม่เอาครับ ผมไม่กลับ คืนนี้ผมจะนอนที่นี่ จะนอนกับคุณปราณ” คามินปฏิเสธตาใส ทำเอาปราณันต์โกรธแทบควันออกหู

“คุณนี่มัน! ..” คนตัวเล็กกว่าหมดแรงจะต่อกร โมโหก็โมโห แต่ก็เหนื่อยที่จะรบราอะไรกับคนๆ นี้แล้ว

ปราณันต์ตัดสินใจเดินหนีเข้าห้อง โดยที่มีคามินตามไปติดๆ จึงได้ทันเห็นว่า ปราณันต์กำลังยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองออกป้อยๆ

และเพราะแบบนั้น หัวใจคามินก็อ่อนยวบลงไปกว่าครึ่ง เขาทำปราณันต์ร้องไห้อีกแล้ว สุดท้ายคามินจึงเดินไปดักหน้าอีกฝ่ายไว้จึงได้เห็นเต็มสองตาว่า ดวงหน้าขาวนวลแดงช้ำมากขนาดไหน คามินเลยต้องพูดทำความเข้าใจก่อนที่ปราณันต์จะคิดมากมากไปกว่านี้

เขาตัดสินใจรวบมือทั้งสองข้างของปราณันต์ไว้ ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล

“คุณปราณครับ ขอแค่นอนกอดเฉยๆ ... ผมคิดถึงคุณปราณมากนะ”

เสียงทุ้มเอ่ยขออย่างออดอ้อนอีกครั้ง ปราณันต์ได้แต่ถอนหายใจ เขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมอยู่เรื่อยไปแบบนี้ เพราะเอาเข้าจริง ตัวปราณันต์เองก็คิดถึงคามินไม่น้อยเหมือนกัน

“ชุดนอนคุณอยู่ในตู้ หาเอาเองก็แล้วกัน” ปราณันต์พูดก่อนจะสะบัดหน้าหนีเดินเข้าห้องน้ำไป

ร่างสูงมองตามร่างเพรียวบางไปด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยก็ยังดีที่ปราณันต์ดูเหมือนจะยังใจอ่อนให้เขาอยู่หน่อยๆ คามินยิ้มร่า ก่อนจะตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาเสื้อตัวเอง

คามินอมยิ้มบางๆ เมิ่อเห็นเสื้อตัวใหญ่โตของเขาแขวนอยู่ข้างๆ เสื้อตัวเล็กของปราณันต์ กลิ่นหอมของน้ำยาซักผ้าที่ปราณันต์ใช้ประจำและมักเป็นกลิ่นที่ติดตัวครอบครัวอยู่เสมอทำให้คามินรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาค่อยๆ ปิดประตูตู้ช้าๆ ก่อนจะมานั่งรอปราณันต์อยู่ปลายเตียงอย่างเป็นสุข

.

.

.

คามินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่อาบน้ำ เขาก็เห็นปราณันต์นอนตะแคงหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กๆ เรียบร้อยแล้ว ร่างสูงนั่งลงบนเตียงพลางข้างแมวน้อยตัวแสบ พลางพินิจพิจารณาใบหน้าสวยหวานยามหลับใหล ปราณันต์เหมือนสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ที่น่าปกป้องและน่าทะนุถนอมเสมอในสายเขาไม่ว่าจะตอนหลับหรือตื่น นิ้วเรียวยาวค่อยๆ เกลี่ยปอยผมที่ปลิวลงมาปรกหน้าปรกตาร่างบาง เพื่อไม่ให้คนที่อยู่ในห้วงนิทราเกิดความรำคาญ ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะโน้มลงไปใกล้ๆ แล้วประทับริมฝีปากจูบลงบนหน้าผากมนเบาๆ

“อื้อ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่นและพลิกตัวเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวน คามินรีบตบลงบนหลังของคนที่นอนอยู่เบาๆ พลางสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับปราณันต์ แล้วยกศีรษะเล็กๆ ของคนที่กำลังหลับสบายวางลงบนแขนตัวเองที่สอดให้อีกฝ่ายหนุนแทนหมอน ปราณันต์ขยับเข้าหาอกอุ่นๆ ของคามินทันทีด้วยความเคยชิน ริมฝีปากอิ่มขยับขมุบขมิบ ทำเอาเขาต้องรีบก้มลงไปฟังว่าปราณันต์พูดว่าอะไร

คามินผละออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง หลังจากได้ยินเสียงหวานพึมพำถ้อยคำที่น่ารักที่สุดออกมา


‘ฝันดีนะคุณคราม’


ริมฝีปากหยักจูบลงไปเบาๆ บนปากอิ่ม ก่อนจะกระซิบเสียงนุ่มให้คนที่หลับอยู่ฟัง แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร

“ฝันดีนะครับคุณปราณของผม”

ร่างสูงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น โดยที่ปราณันต์เองก็ซุกตัวเข้าหาคามินอย่างเคยชิน เขาอมยิ้มเบาๆ ก่อนจะปิดเปลือกตา เข้าสู่ห้วงนิทราไปตามคนข้างกายอย่างมีความสุข

.

.

.

เช้าวันต่อมาเด็กฝาแฝดตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยมีคามินและปราณันต์ไปส่ง แต่ดูเหมือนว่าเด็กๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คงเป็นเพราะเมื่อวานตื่นเต้นเกินไปที่ได้เจอพี่คราม ถึงได้ไม่รู้สึกว่ารถที่พวกตนโดยสารมานั้น ใหญ่โตและหรูหรากว่าเดิมมาก

พอเช้าวันนี้ลงมาขึ้นรถ ปัณณธรน้อยจึงร้องถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“โอ้โห พี่คราม รถใหม่หรอครับ ทำไมคันใหญ่จัง”

ปัณณธรเบิ่งตาให้ดูโตยิ่งกว่าเดิม ทำเอาคามินอดหัวเราะเพราะความเอ็นดูไม่ได้

“ใช่ครับ พี่ครามเปลี่ยนรถใหม่แล้ว พวกหนูกับพี่ปราณจะได้นั่งสบายๆ ไงครับ”

คามินเหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา คนในอ้อมกอดเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขี้น ทั้งที่นอนกอดกันทั้งคืนขนาดนั้น แต่คามินก็ไม่อยากจะคาดคั้นเอาอะไร ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็น่าจะดีกว่า

“เย่ๆ” ปัณณธรร้องเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่ปุณณกันต์จะพูดขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้

“แล้วคุณยายล่ะครับพี่ปราณ” ปราณันต์เองก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ท่าทางวันนี้เขาคงต้องโทรหาอนาวินเสียแล้ว

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ไม่วายโดนไอ้วินด่าหูชาแน่ๆ

“เดี๋ยววันนี้พี่ปราณจะโทรบอกพี่วินให้ครับ คุณยายจะได้ไม่มาเก้อ ว่าแต่ปุณณ์อยากอยู่กับคุณยายหรอครับ”

“ปุณณ์อยู่กับใครก็ได้ครับ” ปุณณกันต์ตอบ แต่ตากลมเหลือบมองไปทางคามินเหมือนเกรงใจ “ที่จริงคืออยากอยู่กับพี่ครามกับพี่ปราณ แต่ก็กลัวพวกพี่ไม่ว่าง”

คามินยิ้มบางๆ ก่อนจะลงไปนั่งยองๆ พลางยื่นมือไปลูบแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าหนูอย่างเอ็นดู

“พี่ครามว่างเพื่อพวกหนูเสมอครับ ไม่ต้องกังวลนะ”

ปราณันต์มองภาพตรงหน้าก่อนจะเบือนสายตาไปที่อื่น หัวใจภายใต้อกบางสั่นไหวอย่างรุนแรง ความอ่อนโยนที่ได้เห็นทำให้เขาหวั่นไหว แม้ไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดคามินได้มากแค่ไหนก็ตาม

“ไปโรงเรียนกันเถอะเด็กๆ เดี๋ยวจะสายเอา” ปราณันต์พูดตัดบทก่อนจะพาน้องๆ ไปนั่งที่เบาะด้านหลังพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ ส่วนตัวเองก็เข้าไปนั่งที่เบาะฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ แต่ในขณะที่ปราณันต์กำลังสาละวนกับกระเป๋าๆ นักเรียนของเด็กๆ อยู่นั้น คามินก็โน้มตัวมา เพื่อเอื้อมมือจะคาดเข็มขัดให้คนตัวเล็กข้างๆ

ปราณันต์เบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ แต่ชัดเจน

“ไม่ต้องครับ ผมจัดการเองได้”

คามินถอนหายใจ ก่อนจะยอมถอยออกมา เพราะไม่อยากให้ปราณันต์อึดอัดใจ

คามินขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ จากนั้นก็ไปส่งฝาแฝดที่โรงเรียน พอร่ำลากันเรียบร้อยก็ตรงดิ่งมาที่ออฟฟิศ และก่อนที่ปราณันต์จะก้าวลงจากรถ คามินก็รั้งไว้ด้วยเสียงเสียก่อน

“วันนี้ผมจะให้คนเข้าไปขนของที่อพาร์ทเม้นท์นะครับ แล้วเย็นนี้ผมจะพาคุณปราณกับน้องๆ ไปที่คอนโด”

ปราณันต์นิ่ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“แล้วแต่คุณเถอะครับ ผมขัดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว” ปราณันต์ทำท่าจะลงจากรถ แต่คามินก็รั้งแขนเล็กเอาไว้อีกครั้ง ก่อนที่จะยื่นหน้าไปจูบแก้มนิ่มเบาๆ

“ตั้งใจทำงานนะครับ แล้วเย็นนี้เจอกัน”

แก้มนิ่มที่คามินเพิ่งได้สัมผัสไปขึ้นสีน้อยๆ ซึ่งภาพที่ได้เห็นตรงหน้า ทำเอาเขาอมยิ้มไม่เลิก อย่างน้อยปราณันต์ก็ยังมีความรู้สึกกับเขาอยู่บ้าง อย่างน้อย...

ปราณันต์ไม่ได้พูดอะไร แต่รีบลงจากรถไปทันทีที่ได้สติ ขาเรียวก้าวเข้าประตูออฟฟิศโดยที่ไม่ยอมเหลียวหลัง หัวใจดวงน้อยๆ เต้นอย่างบ้าคลั่ง แม้จะเป็นเหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขากับคามินเคยทำมาแล้ว แต่กับครั้งนี้ปราณันต์อธิบายไม่ถูก มันรู้สึกดีและอบอุ่นกว่าที่เคยผ่านมา

“คุณปราณันต์ครับ” ยังไม่ทันจะเดินพ้นล็อบบี้ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกไว้ก่อน และเมื่อปราณันต์หันไปตามเสียงเรียก ก็ได้เห็นใบหน้าคุ้นตาที่เขาเคยเห็นไม่กี่ครั้ง แต่ก็จดจำได้ไม่มีวันลืม

...หนึ่งในคนที่ทำร้ายเขาอย่างรุนแรง


สิปปกร


ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ ถ้อยคำที่เปล่งออกจากปากอิ่ม เย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งที่อยู่ขั้วโลกเหนือเสียอีก

“ผมจำได้ว่าไม่เคยมีธุระอะไรกับคุณ เลยนึกไม่ออกว่าคุณมาดักรอผมทำไม”

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ.. คือ.. ผม”

สิปปกรคนที่เคยทะเล้นทะลึ่ง มีความมั่นใจในตัวเองเต็มร้อย แต่ตอนนี้ ณ ขณะที่เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายหน้าหวานที่ตัวเล็กกว่าเขาค่อนข้างมาก แต่เขากลับกำลังอึกอัก และไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน

สิปปกรอยากทำความรู้จักปราณันต์มากกว่านี้ เขาอยากเป็นคนดูแล และมอบสิ่งดีๆ ให้ ทดแทนกับเรื่องเลวร้ายที่เขาได้ทำไป แต่ความละอายใจกับเรื่องที่เขาได้ก่อ มันกำลังปะทุขึ้นมาในใจ และนั่นทำให้เขาไม่กล้ามากพอที่จะพูดคุยกับคนตรงหน้า

“แต่ผมไม่มีครับ .. ขอตัว” ปราณันต์ทำท่าจะเดินหนี แต่สิปปกรกลับพูดประโยคหนึ่งออกมาเสียก่อน ประโยคที่ตรึงเท้าทั้งสองข้างของปราณันต์ไว้ โดยที่เจ้าตัวเองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินสิ่งเหล่านี้

“ผมช่วยสืบเรื่องอุบัติเหตุของพ่อแม่ของคุณให้ได้นะครับ เพียงแค่คุณยอม” น้ำเสียงจริงจังที่ปราณันต์ได้ยิน ทำให้ยิ่งช็อคหนักกว่าเดิม “ผมแค่อยากไถ่โทษ กับเรื่องเลวร้ายที่ผมได้ทำลงไปกับคุณ”

ปราณันต์หันมาเผชิญหน้ากับสิปปกรอีกครั้ง ก่อนจะเค้นเสียงเอ่ยถามออกมาอย่างยากเย็น

“คุณรู้เรื่องพ่อกับแม่ผมได้ยังไง” ปราณันต์ถามเสียงเข้ม แม้แต่เรื่องนี้กับคามินเขาก็ไม่ได้บอก ทำไมสิปปกรถึงรู้ รู้ได้ยังไง

“เราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหมครับ ยืนคุยแบบนี้คงไม่เหมาะ”

คิ้วสวยขมวดเป็นมุ่นเป็นปม แม้จะโกรธและไม่พอใจคนตรงหน้ามากแค่ไหน แต่หัวข้อสนทนาที่สิปปกรพูดมามันช่างกระแทกใจเขาเหลือเกิน สุดท้ายความอยากรู้ก็เป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง

“ร้านกาแฟตรงนั้นก็ได้ครับ” ปราณันต์พยักเพยิดไปอีกทาง “แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าถ้าคุณจะมาเพื่อพูดจาอะไรไร้สาระ ผมจะไม่ขอฟัง และจะไม่ยอมเจอกับคุณอีก”

สิปปกรพยักหน้ารับรู้และเดินตามปราณันต์ไป หนุ่มเจ้าเสน่ห์นึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยปราณันต์ก็ยอมคุยกับเขา แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่เฉียดกับความตั้งใจแรกของเขาเลยก็เถอะ ซึ่งมันย่อมดีกว่าให้ปราณันต์ไล่เขาไปตั้งเยอะ

พอถึงร้านกาแฟ ปราณันต์ก็ไม่รอช้า ยิงคำถามใส่สิปปกรทันที

“ที่พูดเรื่องพ่อกับแม่ของผมขึ้นมา นี่มันยังไงกันแน่”

“ก่อนอื่นเลยผมต้องขอโทษที่ถือวิสาสะสืบเรื่องส่วนตัวของคุณ” สิปปกรพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด “แต่ผมรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อขอโทษคุณ เลยให้คนไปสืบดูเผื่อผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง.. แล้วผมก็ได้รู้เรื่องนี้”

“ให้ตายเถอะ! ทำไมพวกคุณถึงไม่ปล่อยผมไป ทำไมถึง...”


“ผมชอบคุณครับปราณันต์”


สิปปกรพูดสวนขึ้นมาก่อนที่ปราณันต์จะพูดจบประโยค ทำเอาปราณันต์ช็อคเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ตั้งแต่ได้เจอสิปปกรเช้านี้

“ผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว ผมเป็นคนเสนอให้คามินเป็นคนทำเรื่องบ้าๆ นี่ เพราะผมสนใจคุณ และยิ่งพอผมได้พูดคุยกับคุณผมยิ่งถูกใจ จนเมื่อวันที่คุณรู้ความจริง... ผมเพิ่งเข้าใจหัวใจตัวเองก็วันนั้น...”

“หยุด!” เสียงหวานเอ่ยห้ามทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สิปปกรพูด “ผมขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่ผมรับความรู้สึกหรือความช่วยเหลืออะไรจากคุณไม่ได้ทั้งนั้น”

สิปปกรหน้าซีดทันทีที่ได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น

“ทำไม? ...”

“เห๊อะ คุณยังถามอีกหรอว่าทำไม” ปราณันต์ยิ้มหยัน ก่อนจะพูดชัดเจน “ผมรู้ว่าคุณรู้เหตุผลดีว่าทำไม เอาเป็นว่าผมขอบคุณมากสำหรับเรื่องที่คุณพยายามจะทำเพื่อไถ่โทษ แต่ผมรับไว้ไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ”

สิปปกรยิ้มเบาๆ อย่างเข้าใจ เขาชอบปราณันต์ก็เพราะแบบนี้ เด็กตรงหน้าเขาเด็ดเดี่ยวและชัดเจนในความรู้สึกตัวเองเสมอ ตอนแรกสิปปกรคิดไว้ว่าจะพุ่งชนกับคามินสักตั้ง เพราะการได้ปราณันต์มามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่พอเจอคนตัวเล็กกว่าปฏิเสธกันตรงๆ แบบนี้เล่นเอาเขาพูดไม่ออกเลยเหมือนกัน

“ผมเข้าใจครับ แล้วก็ขอบคุณคุณปราณันต์มากที่ยอมฟังผมจนจบ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจ บอกผมนะครับ ผมยินดีที่จะช่วยจริงๆ”

สิปปกรเอื้อมมือมากุมมือปราณันต์ที่ประสานวางอยู่บนโต๊ะเบาๆ ปราณันต์ไม่ได้ชักมือออก แต่มองตอบเหมือนกับอยากจะขอบคุณ แม้คนตรงข้ามจะไม่ได้พูดอออกมาตรงๆ แต่สิปปกรก็พอจะรับรู้ได้

.

.

.

เจ้าของอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้กำลังจะก้าวลงจากรถคันหรูหลังจากส่งปราณันต์เสร็จ ก่อนจะหันไปเห็นว่าสมุดร่างภาพงานต่างๆ ของปราณันต์ถูกวางลืมอยู่ที่เบาะหลังตรงที่นั่งของปุณณกันต์กับปัณณธร สงสัยปราณันต์จะเผลอวางไว้ตอนจับน้องๆ ขึ้นรถ พอเขาเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มๆ

“ลืมของจนได้นะคุณปราณ”

จากที่ตั้งใจว่าจะขึ้นห้องทำงานโดยใช้ลิฟต์ของผู้บริหาร คามินก็เปลี่ยนใจเดินย้อนไปขึ้นลิฟต์ด้านหน้า เพราะจะเอาสมุดภาพไปคืนปราณันต์ด้วย เกิดไม่มีเล่มนี้ละทำงานไม่ได้จะแย่เอา

คามินเดินผ่านร้านกาแฟประจำของปราณันต์ เขามองเข้าไปในร้าน กะว่าจะซื้อกาแฟไปฝากอีกฝ่ายเสียหน่อย แต่ภาพที่เห็นทำเอาอารมณ์ดีๆ ของเขากลับขุ่นมัวจนแทบจะระเบิดออกมาตรงนั้น

ท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ เดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่มี ‘คนของเขา’ และ ศัตรูหัวใจนั่งอยู่ ไอ้เพื่อนที่ได้ชื่อว่าสนิทกับเขากุมมือปราณันต์ของเขาไว้แน่น คามินโมโหจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อถึงโต๊ะคามินก็กระชากคอเสื้อของไอ้เพื่อนสารเลวขึ้นมาทันที

“กูบอกมึงแล้วใช่ไหม ว่าของๆ กู มึงห้ามยุ่ง!”

เสียงทุ้มตวาดอย่างไม่พอใจ โชคดีที่เวลานี้เป็นเวลาเข้างานแล้ว ทั้งร้านจึงมีแค่คามิน สิปปกร และปราณันต์เท่านั้น นี่ถ้าเป็นเวลาก่อนเข้างาน สงสัยเรื่องนี้ได้กระฉ่อนไปทั้งบริษัทแน่ๆ

“ทำบ้าอะไรน่ะคุณคามิน? ปล่อยคุณสิปปกรเดี๋ยวนี้นะ” ปราณันต์ห้ามเสียงหลง แต่ดูเหมือนว่านั่นจะยิ่งทำให้คามินโกรธยิ่งกว่าเดิม

“ทำไม? เป็นห่วงมันมากหรอ ห๊ะ? ห่างจากผมไม่กี่นาที คุณก็แล่นมาหามันทันทีเลยใช่ไหม? ทำไม...” ยังไม่จบคำ ปราณันต์ก็ตบเข้าที่แกมสากฉาดใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงสั่น

“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะเลวเหมือนคุณ!” คามินนิ่งไป ก่อนที่จะได้ทันพูดอะไรต่อ ปราณันต์ก็พูดสวน “พวกคุณจะต่อยจะตีกันให้ตายก็เรื่องของพวกคุณ แต่อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยว”

พอพูดจบปราณันต์ก็เดินหนีไปทันที สิปปกรเองพอเห็นปราณันต์เดินออกไปก็สะบัดหลุดจากมือใหญ่ของคามินที่กระชากคอเสื้อเขาไว้แล้วทำท่าจะผละไปหาปราณันต์ แต่คามินขวางไว้ก่อน

“กูบอกมึงแล้วไง ว่าถ้ามึงมายุ่งกับปราณในที่ของกู กูจะให้คนจับมึงโยนออกไป...” ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเพราะความหึงหวงและไม่พอใจขีดสุด “และมึงก็จะได้รู้ว่ากูทำจริง”

คามินตะโกนเรียก รปภ. ดังลั่น พร้อมอารมณ์ที่ลุกโชน

“ใครอยู่ตรงนั้นบ้าง?!”

รปภ. วิ่งหน้าตาตื่นมาทันทีที่ได้ยินเสียงท่านประธานใหญ่ และเมื่อ รปภ. มายืนตรงหน้า เสียงทุ้มก็สั่งเด็ดขาด

“จับผู้ชายคนนี้โยนออกไปแล้วอย่าให้เข้ามาอีก ถ้าฉันเห็นมันเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้เมื่อไหร่ ฉันจะไล่ทุกคนออกให้หมด!!!”

น้ำเสียงเด็ดขาดพูดกร้าว แต่ก่อนที่ รปภ. จะพาสิปปกรออกไป คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกลับพูดบางอย่างออกมา

... บางอย่างที่ทำให้คามินไม่พอใจหนักยิ่งกว่าเดิม “ดูเหมือนคุณปราณจะเชื่อใจกูมากกว่ามึงนะ”

มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นเพราะถูกพูดจี้ใจดำ ก่อนจะตวาดไล่อีกครั้ง

“พามันออกไปเดี๋ยวนี้!!!”

คามินมองตามสิปปกรไปจนลับสายตา ก่อนที่จะหันไปจุดที่ปราณันต์เดินออกไป แล้วสาวเท้าตามไปติดๆ

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 11-03-2021 19:29:55
(อ่านต่อจากด้านบน)


“คุยกันก่อนคุณปราณ” คามินเดินไปฉวยแขนเล็กๆ นั่นไว้ และพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเพื่อคุยกับคนตรงหน้าให้รู้เรื่อง

“ไม่คุย ไม่มีอะไรต้องคุย ผมเบื่อที่จะต้องมารองรับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของคุณแล้ว” ปราณันต์พยายามจะสะบัดแขนออก แต่มือของคามินติดแน่นยิ่งกว่ามือกาวเสียอีก “ปล่อย แล้วคุณอยากจะไปทะเลาะต่อยตีกับใครก็ไป ... เชิญ”

คามินสลดทันทีเมื่อได้ยินปราณันต์พูดแบบนี้น อารมณ์หงุดหงิดหายไปจนหมดสิ้น เมื่อเห็นท่าทีเอาจริงและเด็ดขาดของคนตรงหน้า

“ผมขอโทษ... ผมแค่หึง ผมหวงคุณมากนะคุณปราณ” คามินพูดพลางพุ่งเข้ามาโอบกอด ปราณันต์ได้แต่พยายามจะเดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดแข็งแรงนี่ แต่ก็ทำได้ยาก เพราะตัวเขาเล็กกว่าคามินเยอะ เรี่ยวแรงสู้ไม่เคยจะได้

“ปล่อย ผมจะไปทำงาน” ปราณันต์พูดเสียงนิ่ง

“แต่ผม..” คามินพยายามจะตื๊อ แต่ดูเหมือนว่าปราณันต์จะไม่ยอมท่าเดียว ถ้าดูจากลำคอขาวที่ตั้งตรงนั่น “เฮ้อ ก็ได้ครับ แต่ถ้าไอ้สิบมาเกาะแกะกับคุณปราณอีก คุณต้องไม่ไปยุ่งกับมันนะ”

คามินพูดอย่างเอาแต่ใจ ปราณันต์เลยได้แต่ถอนใจปลงๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างถือดี

“คุณคิดว่าผมจะอยากยุ่งกับคนที่ทำกับผมถึงขนาดนี้หรอ? หึ! อย่าว่าแต่กับคุณสิปปกรเลย แม้แต่กับคุณเอง ผมยังไม่อยากจะข้องเกี่ยวเลยด้วยซ้ำ” ว่าจบก็สะบัดตัวออกจากอกคามินที่กำลังอึ้ง “ผมจะไปทำงานแล้ว ไม่ต้องตามมาอีกนะ”

คามินได้แต่ถอนใจและมองตามอีกฝ่ายที่เดินจากไปหงอยๆ หึงก็หึง หวงก็หวง แต่ไม่อยากจะทำตัววุ่นวายมากไปกว่านี้ แค่นี้ปราณันต์ก็มึนตึงกับเขามากพอแล้ว ถ้าเขาเอาแต่อาละวาดอีก มีหวังเข้าหน้ากันไม่ติดยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ

คามินมองสมุดภาพร่างของปราณันต์ในมืออย่างปลงๆ สงสัยต้องให้คนเอาไปคืนที่ห้องทีมโปรเจ็กต์แทน ขืนไปเอง ปราณันต์ได้งอแงไม่ยอมกลับคอนโดด้วยแน่ๆ

.

.

.

ตลอดบ่ายปราณันต์นั่งทำงานอย่างไม่เป็นสุข เขารู้สึกเหมือนครั่นเนื้อครั่นตัว และปวดศีรษะไม่หาย พยายามท่องบอกตัวเองให้อดทน เพราะพรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้ว และในขณะที่นั่งทำงาน ปราณันต์ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

มือเรียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดไล่หาเบอร์เพื่อนสนิทที่ตนต้องโทรหา ปราณันต์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการทำใจ ก่อนจะกดโทรออกหาอนาวินเหมือนตัดสินใจแล้ว


ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด


(ไงวะ ไอ้ปราณ) รอสายไม่นาน อนาวินก็รับสายและทักทายอย่างอารมณ์ดี ปราณันต์เหมือนกับต้องรวบรวมความกล้า เพื่อจะเล่าเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทฟัง

“ฉันมีเรื่องที่จำเป็นจะต้องบอกนายว่ะ” ปราณันต์ตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด

(เอาจริงเลยนะไอ้ลูกแมว เวลานายพูดแบบนี้ทีไร ฉันไม่สบายใจเลยว่ะ... เฮ้อ ว่ามาๆ ฉันรอฟังอยู่)

ปราณันต์ยิ้มออกมาบางๆ เขารู้ว่าอนาวินเองก็ไม่ได้สบายใจเท่าไหร่ แต่เพื่อนเขาคนนี้ก็ยินดีจะรับฟังทุกเรื่องจากเขานั่นแหละ แม้เรื่องมันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

“ผู้ชายคนนั้น... เขากลับมาในชีวิตฉันอีกแล้ว” ปราณันต์เงียบไปเพื่อดูท่าทีของปลายสาย เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมา ปราณันต์เลยตัดสินใจพูดต่อ “เขา... ขอกลับเข้ามาดูแล และฉันก็ตกลง”

พอจบคำ ปราณันต์ได้ยินเสียงสบถออกมาดังลั่นจากอีกฝั่ง

(บ้าชิบ! นายคิดอะไรของนายอยู่วะปราณันต์!)

ปราณันต์ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักหน่วงจากเพื่อนที่อยู่ปลายสายละอดใจเสียไม่ได้ ยิ่งอนาวินเรียกเขาด้วยชื่อเต็มแบบนี้ ปราณันต์รู้ดีว่าคนอีกฝั่งกำลังหงุดหงิด หงุดหงิดแบบจริงจังด้วย

“ฟังฉันก่อนได้ไหม ฉันมีเหตุผล” ปราณันต์พยายามอธิบายอย่างใจเย็น ก่อนจะค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องทั้งหมดให้อนาวินฟัง และเมื่อเพื่อนสนิทฟังจนจบแล้วแทนที่จะเห็นใจ แต่ดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินไปจะทำให้อีกฝั่งไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม

(อีกแล้วนะไอ้ปราณ นิสัยที่เห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเองเนี่ย เมื่อไหร่จะเลิก ห๊ะ?)

เมื่ออนาวินได้ยินว่าปราณันต์ยอมตกลงกับคามินเพราะ คามินเอาหน้าที่การงานของตน นทนัช และกันต์กวีมาขู่ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กโกรธยิ่งกว่าเดิม มันเหมือนกับว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปราณันต์เดือดร้อนเพราะไม่มีทางเลือก

“คนอื่นที่ว่าคือนาย พี่นท และกวีนะ ฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะไปทำลายชีวิตพวกนายเพียงเพราะความเอาแต่ใจของผู้ชายคนนั้นที่มีฉันเป็นต้นเหตุด้วยล่ะ นายคิดว่าฉันจะสบายใจหรอ ถ้าตัวฉันสุขสบายแต่ทำให้พวกนายเดือดร้อนน่ะ”

อนาวินเงียบไปเมื่อได้ลองมองกลับไปในมุมของปราณันต์ ต่างฝ่ายต่างเงียบ และเมื่อสาดอารมณ์ใส่กันเสร็จ สุดท้ายก็เป็นอนาวินที่เปิดบทสนทนาก่อน

(ฉันขอโทษ) พอปราณันต์ได้ยินแบบนั้น เสียงหวานก็ตอบกลับไปอย่างเจือความรู้สึกผิดไม่ต่าง

“ฉันก็ขอโทษเหมือนกัน”

และเมื่อเข้าใจกันอนาวินก็ถามต่อทันที (แล้วนายจะเอายังไงต่อไป)

“ตอนนี้ก็คงต้องตามน้ำไปก่อน ฉันก็ไม่อยากจะขัดใจผู้ชายคนนั้นให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้ นายก็รู้ดีว่าด้วยอำนาจที่เขามีน่ะ ทำอะไรได้บ้าง” ปราณันต์ถอนหายใจพลางตอบ “อีกอย่างจะโทรมาบอกนายด้วยว่าไม่ต้องให้คุณน้าลำบากออกไปรับฝาแฝดแล้ว ต่อไปนี้เขาจะเป็นคนไปรับไปส่งเด็กๆ เอง”

(มันขนาดนั้นเลยหรอวะไอ้ปราณ) อนาวินถามเสียงเครียด เพราะดูแล้วคามินคงเอาจริงไม่น้อย

“ที่จริงคือมันยิ่งกว่านั้นอีก เพราะคามินบังคับให้ฉันย้ายไปอยู่ที่คอนโดด้วย”

อนาวินถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะเอ่ยถามปราณันต์อย่างจริงจัง

(ถามจริงๆ เลยนะไอ้ปราณ ลึกๆ แล้วนายยังรู้สึกดีกับคามินอยู่ใช่ไหม ฉันไม่ได้จะดูถูกนายนะ แต่ในฐานะเพื่อนสนิท ฉันอยากรู้แค่ว่า กับทุกอย่างที่คามินทำให้นาย นายรู้สึกยังไงกันแน่)

พอจบคำถามของอนาวิน หัวสมองของปราณันต์ก็หมุนติ้วเป็นลูกข่าง จากที่ปวดหัวอยู่แล้ว ปราณันต์ก็รู้สึกว่ามันปวดหนักกว่าเดิม สุดท้ายเขาเลยต้องขอตัดสายจากเพื่อนสนิทก่อนจะได้ให้คำตอบอะไรไป

“เอ่อ.. แค่นี้ก่อนนะไอ้วิน แล้วไว้ฉันจะโทรกลับไป”

มือเรียวกดวางสายทันที และถึงแม้ว่าจะวางสายไปได้สักพักแล้ว ปราณันต์ก็ยังคงจ้องโทรศัพท์ในมือนิ่ง พลางหาคำตอบให้กับคำถามที่เพิ่งได้ยินไป


... หาคำตอบให้กับเพื่อนสนิท และหาคำตอบให้กับหัวใจตัวเองด้วย....

.

.

.

ปราณันต์นั่งฝืนทำงานจนถึงเวลาเลิก โชคดีที่วันนี้ไม่มีโอที เพราะส่วนของแบบร่างเซ็ทแรกยังไม่เสร็จ หัวหน้าทีมเลยปล่อยให้ทุกคนเอางานกลับไปทำที่บ้านได้ แต่ถ้าใครอยากอยู่ต่อก็อยู่ ตามแต่จะสะดวก

ปราณันต์นั่งกุมขมับอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะมีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังรบกวน


Rrrr


มือบางควานหามือถือ ก่อนจะกดรับสาย โดยที่ไม่ได้ทันมองด้วยซ้ำว่าคนที่โทรเข้ามาคือใคร

“เลิกงานรึยังครับคุณปราณ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไม่ต้องเหลือบมองดูเบอร์ก็รู้ว่าคนอีกฝั่งเป็นใคร

“คุณกลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมนั่งรถไฟใต้ดินตามไป” มือเล็กยังคงคลึงนวดที่ระหว่างคิ้วไม่หยุด เพราะหวังว่าอาการปวดหัวจะทุเลาลงได้บ้าง “ส่งข้อความมาบอกผมแล้วกัน ว่าต้องลงรถไฟที่สถานีไหน”

ปราณันต์ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ มาตามสาย เขาเองก็พอจะรู้ตัวว่าตัวเองดื้อ ยิ่งป่วยก็จะยิ่งดื้อ แล้วยิ่งมีทิฐิบางอย่างอยู่ในใจแบบนี้ เขาจะไม่ยอมให้คามินได้เห็นเวลาที่เขาอ่อนแอเด็ดขาด

“ไม่เอาครับ กลับพร้อมกัน ถ้างานยังไม่เสร็จ ผมก็จะรอ” คนอีกฝั่งเอ่ยเสียงแข็ง “ให้ผมวนรถไปรับฝาแฝดแล้วค่อยกลับมารับคุณปราณแบบนี้ดีไหมครับ”

“ฮื่อออ .. ไม่ ไม่เอา” ปราณันต์เริ่มงอแง เพราะอาการปวดศีรษะมันทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ลดลงเลย คามินก็เหมือนจะจับความผิดปกติในน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้ ความเป็นห่วงเป็นใยที่มีให้อีกคนแทบจะล้นออกมาจนปิดไม่มิด

“คุณปราณครับ เป็นอะไรรึป่าว ไม่สบายหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างกังวล แต่ดูเหมือนคนในสายจะงอแงมากกว่าที่คิด

“ป่าวครับ แค่นี้ ฮื่ออ แค่นี้นะ จะทำงาน” ปราณันต์ตัดสายทิ้งทันทีก่อนที่คามินจะผิดสังเกต และจับได้ว่าเขาป่วย

ทางด้านคามิน หลังจากวางสายแล้ว ร่างสูงก็ลุกพรวดพราด คว้าสูท แล้วโทรหาแทนคุณทันที

“แทนคุณ ไปรับปุณณกันต์กับปัณณธรที่โรงเรียน ถ้าทางโรงเรียนไม่ยอม ให้ขออนุญาตจากผู้อำนวยการ แล้วพาเด็กๆ ไปเจอที่คอนโดเลย”

คามินผลุนผลันออกจากห้องทำงานแทบจะทันที เขาต้องลงไปดูกับตาตัวเองให้รู้ จะได้เชื่อสนิทใจว่าปราณันต์ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

.

.

.

คามินเดินเข้าไปในห้องทำงานของทีมโปรเจ็กต์ที่ตอนนี้แทบจะร้างผู้คน เพราะส่วนใหญ่น่าจะกลับไปกันหมดแล้ว รวมทั้งนทนัชกับกันต์กวีด้วย เห็นแทนคุณรายงานว่าวันนี้สองคนนั้นไม่ได้เข้าออฟฟิศ เพราะต้องออกไปเช็คไซท์งานทั้งวัน คนตัวโตเดินเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นร่างบอบบางคุ้นตากำลังนั่งฟุบอยู่ที่โต๊ะทำงานของเจ้าตัวเอง

“คุณปราณ” คามินวิ่งเข้าไปพลิกร่างบางให้หงายหน้าขึ้น จากนั้นก็ใช้หลังมืออังหน้าผากมนก่อนจะพบว่ามันค่อนข้างร้อนมากทีเดียว ลมหายใจจากคนในอ้อมกอดอุ่นจนแทบจะร้อน คามินร้อนใจมากเพราะตอนนี้ดูเหมือนกับว่าปราณันต์จะเพลียมาก จนเผลอหลับไป

“อื้อออ” ตากลมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ใบหน้าที่เคยมีสีสันกลับซีดเผือดจนไร้สีเลือด ริมฝีปากอิ่มที่เคยเป็นสีสดกลับแห้งผาก และถึงแม้อาการของปราณันต์ดูท่าจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ แต่คนในอ้อมแขนของคามินก็ดื้อเกินกว่าจะยอมอะไรง่ายๆ “ปล่อย ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

ร่างบางดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ แต่ถึงแม้จะอุ่นแค่ไหน ปราณันต์ก็ปฏิเสธที่จะพักพิงอยู่ดี

“ไม่เป็นอะไรได้ยังไง ตัวร้อนขนาดนี้” และเมื่อเห็นดวงตากลมโตจ้องเขาอย่างไม่ยอม คามินเลยต้องใช้ไม้แข็ง “ห้ามดื้อนะคุณปราณ ถ้าขืนเป็นแบบนี้ ผมจะอุ้มแล้วพาเดินออกประตูหน้า เอาไหมครับ”

ปราณันต์ขบริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างแรงเมื่อรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ คามินยิ้มอย่างพอใจเมื่อรู้ว่าเจ้าลูกแมวตัวน้อยของเขา หายพยศลงไปบ้างแล้ว

“ไปหาหมอกัน ผมให้คนไปรับฝาแฝดแล้ว ไม่ต้องห่วง” คามินกระซิบเสียงนุ่ม พยายามจะช้อนตัวปราณันต์ขึ้นจากเก้าอี้

“ไม่เอาไม่ไป” แต่ปราณันต์ขืนตัวไว้ไม่ยอมให้คามินพาไปง่ายๆ “อยากกลับบ้าน”

คามินถอนหายใจออกมาเบาๆ อีหรอบนี้คงต้องยอมตามใจ ไม่งั้นไม่ได้ไปไหน ต้องอยู่กันอย่างนี้ทั้งคืนแน่ๆ

“ก็ได้ครับกลับก็กลับ แต่กลับไปแล้วคนป่วยต้องเชื่อฟังผมนะ ถ้าให้กินยาต้องกิน ถ้าให้เช็ดตัวต้องเช็ด ถ้าตกลงตามนี้ก็จะพากลับบ้าน”

ปราณันต์หลับตาลงอย่างยอมแแพ้ เขาไม่อยากไปโรงพยาบาล เขาไม่ชอบหมอ ไม่ชอบกลิ่นของที่นั่น โรงพยาบาลสำหรับปราณันต์นั้นเหมือนของแสลง ตอนที่เขานั่งรอฟังอาการของพ่อกับแม่ที่เป็นตายเท่ากัน ทำให้เขาหายใจแทบไม่ทั่วท้อง แล้วยิ่งพอมารู้ว่าต้องเสียคนที่รักและดีที่สุดในชีวิตเขาไปที่โรงพยาบาล นั่นทำให้ปราณันต์ขยาด ถ้าเลี่ยงโรงพยาบาลได้เขาจะเลี่ยง และตอนนี้เขาแค่อยากกลับไปนอนแค่นั้น เพราะอาการปวดหัวมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

“อื้อ ก็ได้” ใบหน้าหวานที่ไร้สีสัน พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรง คามินจึงช้อนร่างเล็กในอ้อมแขนขึ้นแล้วพาออกเดิน แต่ปราณันต์เองก็มีสติมากพอที่จะเอ่ยขอบางอย่าง “ออกประตูหลัง อย่าออกข้างหน้านะครับ”

คามินได้แต่อมยิ้มเบาๆ นี่ขนาดป่วย ยังไม่ยอมลงให้เขาสักนิดเลย เป็นแมวตัวดื้อที่ดื้อหัวชนฝาจริงๆ

.

.

.

คามินขับรถพาปราณันต์มาถึงคอนโดในเวลาต่อมา พอมาถึงเขาก็เจอเจ้าหนูน้อยสองคนนั่งรอหน้าตาแป้นแล้นอยู่บนโซฟาใหญ่ โดยมีแทนคุณยืนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

และเมื่อเจ้าหนูทั้งคู่เห็นพี่ครามอุ้มพี่ชายคนโตของตัวเองที่ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงเข้ามา ตากลมๆ ทั้งสองคู่ก็กลับเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม

“พี่คราม พี่ปราณเป็นอะไรครับ” ปุณณกันต์น้อยถามแล้วปีนลงจากโซฟาทันที ก่อนที่ปัณณธรเองจะกระโดดตามลงมาติดๆ

และเมื่อโซฟาที่เจ้าฝาแฝดทั้งคู่จับจองอยู่ก่อนว่างลง คามินก็ค่อยๆ วางปราณันต์ลงบนโซฟาอย่างเบามือ ก่อนจะตอบคำถามฝาแฝดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พี่ปราณน่าจะป่วยครับแต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพี่ครามจะจัดการดูแลพี่ปราณเอง ฝาแฝดไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

ปราณันต์ที่ตอนนี้หลับสนิทไม่ได้สติ ถูกน้องชายฝาแฝดสองคน นั่งเกาะขอบโซฟามองตาแป๋ว มีความกังวลและเป็นห่วงเป็นใยเจืออยู่ในแววตาของเด็กทั้งคู่

“ปัณณ์อยากอยู่เป็นเพื่อนพี่ปราณก่อน” เจ้าแฝดคนน้องเอ่ยเสียงหงอย ดูก็รู้ว่าเป็นห่วงพี่ชายคนโตมากจริงๆ เพราะโดยปกติปราณันต์ไม่เคยป่วยแบบนี้มาก่อน

“เดี๋ยวอาบน้ำสบายๆ ตัวแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ปราณดีไหมครับ เพาะยังไงตอนนี้พี่ปราณก็ยังหลับอยู่ ไม่แน่พวกหนูอาบน้ำเสร็จพี่ปราณอาจจะตื่นพอดีก็ได้นะ”

ใบหน้าของฝาแฝดที่เหมือนกันราวกับแกะต่างหันมองกันและปรึกษาด้วยสายตาอย่างครุ่นคิด ภาพที่เห็นทำเอาคามินอดอมยิ้มไม่ได้ เจ้าหนูทั้งสองช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง และหลังจากใช้สายตาคุยกันอยู่พักใหญ่ก็เหมือนจะหาข้อสรุปได้เสียที

“ก็ได้ครับพี่คราม” ฝาแฝดลุกเตรียมจะไปอาบน้ำตามคำบอกของคามิน แต่ดูเหมือนหนูน้อยทั้งสองจะเพิ่งนึกขึ้นได้

ก็สภาพห้องใหญ่โตนี่มันไม่คุ้นตาเอาซะเลย ห้องน้ำอยู่ตรงไหนกันล่ะ ฝาแฝดเอาแต่ยืนเกาศีรษะงงๆ คามินเองที่พอรู้ตัวก็รีบหันมาดูแลฝาแฝดก่อนทันที

“อ่า พี่ครามลืมไปเลย พวกหนูยังไม่คุ้นกับที่นี่นี่นา” มือหนาเกี่ยวเอาปัณณธรเข้าเอว ก่อนอีกมือจะจูงปุณณกันต์ไปที่ห้องน้ำขนาดใหญ่ ที่อยู่ถัดไปจากห้องนั่งเล่น

“โอ้โห ห้องน้ำบ้านพี่ครามใหญ่เท่าห้องนอนเราสองคนเลยครับ กว้างมากกก” ฝาแฝดคนน้องทำท่าทางกางมือออกประกอบคำพูด ทำเอาคามินอดยื่นมือไปยีศีรษะกลมๆ นั่นไม่ได้

“ต่อไปนี้ ที่นี่คือบ้านพวกหนูสองคนเหมือนกันนะครับ เรามาอยู่ด้วยกัน แล้วพี่ครามจะเป็นคนดูแลฝาแฝดกับพี่ปราณเอง เด็กๆ ว่าดีไหม”

คามินมองเด็กๆ ที่กำลังพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างสุขใจ เหมือนเขาเพิ่งเข้าใจว่าแท้จริงแล้วชีวิตมนุษย์ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้อยู่กับคนที่ทำให้เรามีความสุขแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

.

.

.

หลังจากดูแลเด็กๆ อาบน้ำแล้ว คามินก็ปล่อยให้เจ้าหนูนั่งทำการบ้านอยู่แถวๆ นั้น จากนั้นเขาก็มาจัดการคนที่นอนป่วยอยู่บนโซฟาต่อ เขาปลุกปราณันต์ให้ลุกมากินข้าว แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กที่กำลังป่วยจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ถามว่าจะกินอะไรก็บ่ายเบี่ยงท่าเดียว สุดท้ายคามินเลยต้องบังคับ ให้กินโจ๊กที่เขาให้แทนคุณซื้อเตรียมไว้ให้

“กินโจ๊กหน่อยนะครับ จะได้กินยา” ปราณันต์ส่ายหน้าไม่ยอมอะไรทั้งนั้น

“ไม่เอา.. จะนอน” คนป่วยเริ่มงอแง คามินเลยต้องต้องงัดไม้ตาย

“จะกินดีๆ หรือจะให้ป้อนด้วยปาก หื้ม?” คามินถามเสียงเย้าๆ ทำเอาดวงตากลมตาดีดโพลงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ คนขี้แกล้งพอเห็นแบบนั้นต้องแอบอมยิ้มกับท่าทีตกใจของปราณันต์

“กินหน่อยนะครับคนเก่ง เป็นคนป่วยต้องไม่ดื้อนะ” เสียงทุ้มพูดอย่างอ่อนโยน ทำเอาคนที่กำลังเพ้อเพราะพิษไข้ เกิดใจเต้นแรงกับความอ่อนโยนที่ได้รับโดยไม่ทันตั้งตัว

แต่ถึงจะหวั่นไหวแค่ไหน ปราณันต์ก็ไม่ยอมแสดงออกให้คามินรู้เด็ดขาด

“อย่ามาทำเหมือนผมเป็นเด็ก” แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่ท่าทางกระเง้ากระงอดที่คามินเห็นนี่ไม่ได้ทำให้ปราณันต์ดูเหมือนคนโตเลยสักนิด ร่างสูงได้แต่อมยิ้มกับความน่ารักของคนข้างตัว

“จะให้กินอะไรก็เอามาสิ ผมปวดหัว จะได้นอนต่อ”

คามินยิ้มดีใจที่ปราณันต์ยอมกินอะไรบ้าง เขายกชามโจ๊กที่กำลังร้อนๆ มาวางตรงหน้าคนป่วย แล้วจัดแจงจะตักป้อน แต่ปราณันต์ห้ามไว้ก่อน

“ไม่ต้อง ผมกินเองได้” ปราณันต์ทำท่าจะคว้าช้อนมาจากมือคามิน แต่คามินยกหลบ ก่อนจะดุเสียงเข้ม

“ไม่ได้ครับ คนป่วยห้ามดื้อนะ มา.. ผมป้อน” คามินยกช้อนจรดริมฝีปากอิ่มที่แห้งผาก ปราณันต์ยังคงไม่ยอมอ้าปากจนกระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าหนูฝาแฝดดังนั่นแหละ

“พี่ปราณป่วยแต่ไม่ยอมกินข้าว กินยาหรอครับพี่คราม” ปุณณกันต์ที่เงยหน้ามาจากการบ้านพอดีเลยได้ทันเห็นว่าปราณันต์เมินข้าวที่คามินกำลังป้อน

“ไม่ได้ๆ พี่ปราณ ห้ามดื้อนะครับ เดี๋ยวไม่หายป่วย” ปัณณธรน้อยเองก็ร่วมดุพี่คนโตกับเขาด้วยเหมือนกัน ทำเอาคามินกลั้นขำหน้าดำหน้าแดง

“ต้องกินยานะครับพี่ปราณ กินข้าวด้วย” ปุณณกันต์กระตุ้น แล้วตอนนี้ปัณณธรน้อยก็ไปนั่งเกาะขอบโซฟฟาที่ปราณันต์นั่งกึ่งนอนอยู่เรียบร้อยแล้วด้วย

คนป่วยเองพอเจอกดดันรอบทิศทางขนาดนี้ก็จำยอมต้องอ้าปากกินโจ๊กที่คามินป้อนให้ ทำเอาปากหยักยิ้มกว้างไม่หุบ

“ยิ้มอะไรเล่า” ปากอิ่มบ่นขมุบขมิบแต่ก็ยอมอ้าปากรับข้าวคำต่อไป

“เย่ๆ พี่ปราณกินข้าวแล้ว กินเยอะๆ นะครับ จะได้หายไวๆ” ปัณณธรเจื้อยแจ้วไม่หยุด ทำเอาคนป่วยอดอมยิ้มกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของน้องชายตัวเองไม่ได้

ฝาแฝดน้อยนั่งรอจนพี่ชายคนโตกินข้าว กินยาเรียบร้อย จึงได้ยอมผละออกไปทำการบ้านต่อ ส่วนคนที่ทำหน้าที่ป้อนก็ดูจะพออกพอใจไม่น้อยที่คนป่วยยอมดื้อน้อยลงได้ขนาดนี้

“กินยาแล้ว อยากเช็ดตัวไหม เดี๋ยวผมทำให้” คามินเสนอตัว แต่ปราณันต์ปฏิเสธ เพราะอยากพักผ่อนมากแล้ว

“ไม่เอาครับ ผมอยากนอนแล้ว” คามินยิ้มรับแล้วพยักหน้าตามใจคนป่วย

“ก็ได้ครับ งั้นป่ะ” คามินพูดพลางช้อนตัวปราณันต์ขึ้น ก่อนจะหันไปหาเด็กๆ “ทำการบ้านกันอยู่ตรงนี้ดีๆ นะครับปุณณ์ปัณณ์ เดี๋ยวพี่ครามพาพี่ปราณไปนอนก่อน”

“ครับ/ครับ” เด็กๆ รับปากก่อนจะหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นคามินอุ้มปราณันต์เข้าห้องนอนไป ปราณันต์เองที่ตกใจในตอนแรก พอตั้งตัวได้ก็ดิ้นจนแทบตก เพราะไม่อยากให้คามินมาทำอะไรแบบนี้ใส่

“ไม่ดิ้นสิครับ เดี๋ยวตกนะ อีกนิดเดียวก็จะถึงเตียงละเนี่ย”

พอจบคำ ขาวยาวก็ก้าวถึงเตียงในห้องนอนพอดี ก่อนจะวางปราณันต์ลงอย่างเบามือ โดยที่ใบหน้าหวานงอง้ำไม่พอใจที่ถูกทำรุ่มร่ามใส่

“วันหลังไม่ต้องมาอุ้ม ผมเดินเองได้” เสียงหวานติดจะแหบเพราะพิษไข้แหวลั่นอย่างกับแม่เสือ ซึ่งไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเหลือเกินในสายตาคามิน

“เอาล่ะครับๆ นอนได้แล้วคนป่วย จะได้หายไวๆ นะ”

คามินจับให้ปราณันต์ล้มตัวลงนอน ก่อนจะห่มผ้าห่มให้อย่างดี

ปราณันต์กระชับผ้าห่มก่อนจะปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งลง เขาอยากพักผ่อนเต็มแก่แล้ว แต่ถึงแม้ดวงตากลมโตจะปิดสนิทไปแล้ว แต่สัมผัสอ่อนยวบบนเตียงที่ข้างตัว ก็ทำให้ปราณันต์รู้ว่าคามินไม่ได้ไปไหน

ปราณันต์ข่มตาให้หลับลงเงียบๆ ซึ่งคามินก็นั่งเฝ้าอยู่แบบนั้นจนกระทั่ง เขารู้สึกว่าคนบนเตียงน่าจะหลับไปแล้ว ริมฝีปากหยักจึงค่อยๆ ก้มลงไปประทับบนหน้าผากมนเบาๆ

คามินจูบแช่อยู่พักใหญ่ ราวกับต้องการถ่ายทอดทุกความอบอุ่นที่มีให้อีกฝ่าย ก่อนจะผละออก พร้อมกับกระซิบถ้อยคำที่ทำเอาหัวใจของคนที่กำลังแกล้งหลับอย่างปราณันต์เต้นระรัวอย่างยากที่จะควบคุม

“ฝันดีนะครับ คุณปราณของผม” ปราณันต์รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นที่วางลงมาบนศีรษะเขาเบาๆ “ผมสัญญานะครับว่าจะดูแลคุณอย่างดี”

ถึงแม้คำพูดที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายนั้นจะบางเบาราวกับกระซิบ แต่มันช่างหนักแน่นและชัดเจนในความรู้สึกของปราณันต์อย่างมาก และนั่นทำให้ความอุ่นวาบไหลบ่าไปทั่วร่างกายจนอดที่จะปฏิเสธไม่ได้ ว่าเขารู้สึกดีมาก ดีมากจริงๆ

.

.

.


'เลขหมายที่คุณเรียก...'


“นี่มันอะไรกันเนี่ย!?” มือบางโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาอย่างเหลือทน ใบหน้าสวยหวานราวกับเทพธิดาบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว เพราะไม่พอใจที่คู่หมั้นไม่ยอมรับสาย และหนำซ้ำสามสี่วันมานี้คามินก็ทำตัวแปลกๆ แปลกชนิดที่ว่าพรวลัยค่อนข้างมั่นใจว่าคามินจะต้องมีใครซ่อนไว้แน่ๆ

เธอตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกดหาเบอร์เลขาคนสนิท แล้วต่อสายไปหาทันที

“ฉันมีงานให้เธอทำ” ใบหน้าสวยหวานที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม แสยะยิ้มร้าย แววตาเรียวรีแข็งกร้าว อย่างที่รู้กันว่าถ้าไม่หนักแน่นพอ เธอคงอยู่วงการนี้ไม่ได้หรอก

“จ้างคนไปสืบเรื่องของคามิน ดูไว้อย่าให้คลาดสายตา ถ้ามีใครมาเกาะแกะวุ่นวาย ต้องรายงานฉันทันที เข้าใจไหม” เสียงหวานกระชากเกรี้ยวกราด ไม่ได้แคร์สักนิดเลยว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง

เลขาคนสนิทรับปากรับคำ ก่อนจะดำเนินการตามที่พรวลัยสั่ง งานนี้ก็หวังแต่ว่าท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้จะเอาตัวรอดได้... หวังว่านะ

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------------------------------------

อย่าเพิ่งขัดใจจจ นุวางปมสุดท้ายไว้อีกปมมม มีใครเห็นบั้งงงง อิอิ

มันมีเหตุน้าที่ต้องให้นุ้องปราณกลับไปอยู่กับซาตานอย่างนังครามม การมองคนเปงหมาที่หอมหวาน ต้องรอเวลาน้าาา 5555555555

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นท์มากนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกำลังใจที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ นิยายเรื่องนี้อาจจะมีขัดใจบ้าง แต่ทุกอย่างมันมึเหตุผลที่มาที่ไปน้า อยากให้ทนอ่านกันต่ออีกสักนิด สำหรับใครที่รอเห็นพระเอกเปงหมาอยู่ 5555555555

ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกกันได้นะคะ ตอนต่อไปมาวันอาทิตย์เย็นๆ แล้วยังไงเจอกันนะครับบบ ... รออ่านคอมเม้นท์จากทุกคนอยู่นะคะ รักมากๆ เลยยยย ^^ ... เจอกันตอนหน้าค่ะ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-03-2021 20:05:06
 :z10: :z13:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-03-2021 21:47:06
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 12-03-2021 10:41:39
เอาแล้ววลัย สืบไม่ยากหรอก ถ้ารู้แล้วจะจัดการยังไงดี มันมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งสองคน จะว่าตามจริงวลัยก็มีสิทธิ์นะเพราะเป็นคู่หมั้นแต่ปราณเนี้ยคือไร ไม่อยากจะคิดเลยถ้าเรื่องแตก ใครเขาจะเชื่อคำพูดปราณ มีแต่เสียกับเสีย เห้ออ (อินค่ะอิน 555) สนุกกมากมาต่อยาวเลย รอตอนต่อไป สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 12-03-2021 12:39:08
ถึงเวลารับศึก อย่างจริงจัง สักที
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 13-03-2021 09:32:08
อยากรู้จริงๆว่าไอ้คุณคามินจะปกป้องสามพี่น้องยังไง
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..11/03/64 [24th Lies: เริ่มต้นอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 14-03-2021 00:48:12
สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 14-03-2021 20:25:24
25th Lies : ความสุขจอมปลอม?


ในขณะที่พรวลัยเริ่มระแคะระคายในพฤติกรมของคู่หมั้นหนุ่ม แต่ทางคามินกลับไม่เฉลียวใจใดๆ ทั้งนั้น ชายหนุ่มกำลังมีความสุขอยู่กับโลกที่เขาต้องการ โลกที่มีปราณันต์ ปุณณกันต์ และปัณณธร ให้คอยดูแลและอยู่ด้วยกันเหมือนวันที่ผ่านๆ มา...

เช้านี้เป็นเช้าวันเสาร์ วันนี้ทั้งสี่หนุ่ม ทั้งหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ไม่ได้ออกไปไหน เพราะครอบครัวปราณันต์เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดคามินเมื่อวาน วันนี้จึงเป็นวันที่ต้องจัดข้าวของกันเสียหน่อย ประกอบกับปราณันต์เองก็กำลังป่วย จะให้ตะลอนออกไปไหนต่อไหน คงไม่น่าจะใช่เรื่องที่เข้าท่าเท่าไหร่นัก

ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องชื่นชมฝาแฝดไม่น้อย เจ้าหนูทั้งสองที่พอรู้ว่าพี่ชายป่วย ก็ไม่มีงอแงจะไปนั่นไปนี่ให้ปวดหัว ตรงกันข้าม ปุณณกันต์และปัณณธรกลับขอให้คามินอยู่บ้านไม่ออกไปไหน เพราะอยากให้ปราณันต์ พี่ชายตัวเองได้พักผ่อนเยอะๆ ฝาแฝดให้เหตุผลว่าอยากเห็นปราณันต์หายไวๆ พวกเขาไม่ชอบที่พี่ปราณนอนป่วยแบบนี้เลย

และเพราะอาการป่วยของปราณันต์ ทำให้คามินต้องเข้มงวดกับอีกฝ่ายมากเป็นพิเศษ ปราณันต์เอาแต่จะลุกทำนั่นทำนี่ให้ได้ ทั้งที่คามินก็บอกแล้วว่าไม่ให้ทำเพราะเป็นห่วง อีกอย่างเขาก็เรียกให้แม่บ้านที่ดูแลคอนโดเข้ามาทำให้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก แต่พอปราณันต์รู้ ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะพอใจเสียเมื่อไหร่

“ผมทำไหว ทำไมคุณต้องให้คนอื่นมาทำ”

เสียงหวานสะบัดใส่คนที่นั่งอยู่บนเตียงข้างตัว ถึงจะป่วย แต่ดื้อน้อยลงที่ไหน

คามินได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ปราณันต์คือเด็กที่ดื้อที่สุดในโลกตั้งแต่ที่เขาได้เจอ ดื้อกว่าปุณณกันต์กับปัณณธรรวมกันเสียด้วยซ้ำ แล้วเรื่องจะยอมให้เขาสักนิดนี่ก็ไม่มี ตั้งแง่มาตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ยอมลดราวาศอกให้เลย

“คุณปราณจะทำไหวได้ยังไง ลุกยังจะลุกไม่ไหวเลย นอนไปเถอะครับ จะได้หายป่วยเร็วๆ” คามินพูดเสียงอ่อน อ่อนทั้งเสียง อ่อนทั้งอก อ่อนทั้งใจ

“ผมแค่ไม่สบาย แต่ไม่ได้พิการ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาทำอะไรให้ขนาดนี้”

ปราณันต์ที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงหน้าซีดหน้าเซียวเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ที่จริงอาการของเขากก็ยังไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่หรอก ขนาดนอนพักมาคืนนึงเต็มๆ เช้าตื่นมาแล้วยังมึนศีรษะอยู่เลย แล้วพอยิ่งนึกถึงสัมผัสอบอุ่นจากคนตัวโตข้างๆ เมื่อคืน ปราณันต์ก็ยิ่งรู้สึกวูบวาบขึ้นไปอีก ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้ หรือเป็นเพราะความรู้สึกลึกๆ ในใจกันแน่น

“ทำไมถึงดื้อ หื้ม?” เมื่อเห็นว่าปราณันต์ไม่ยอมสักที คามินเลยพลิกตัวจากที่นั่งข้างๆ เปลี่ยนมาคร่อมขาเรียวที่กำลังเหยียดยาวไว้ พร้อมกับจ้องใบหน้าสวยหวานด้วยสายตาตำหนิ คนตัวเล็กเกิดอาการอึกอักขึ้นมาทันที จะลุกหรือหันหนีก็ไม่ได้ เพราะโดนตรึงไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้เลย

“ไม่ได้ดื้อ ก็คนมันไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ นี่ ถอยออกไปเลยนะ!” ปากอิ่มยื่นออกอย่างไม่พอใจ ส่วนมือเล็กๆ ก็ทุบและผลักคนตรงข้ามให้จ้าละหวั่น แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าคามินจะขยับเลยสักนิด

“ไม่เป็นอะไรได้ยังไง” มือใหญ่เอื้อมไปจับปลายคางที่กำลังเชิดขึ้นอย่างถือดีไว้เบาๆ “เนี่ย หน้ายังซีดเป็นกระดาษอยู่เลย”

แถมยังไม่ว่าเปล่า เพราะใบหน้าคมคายก็กำลังโน้มเข้าหาปราณันต์ช้าๆ ด้วย โดยที่เจ้าตัวเองก็ทำได้แต่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เพราะไม่รู้ว่าคามินจะทำอะไร

และเมื่อตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ ปราณันต์ก็หลับตาปี๋ เพราะคิดว่าริมฝีปากหยักนั่นจะต้องประทับลงมาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าแน่ๆ

สัมผัสหนักๆ และอุ่นๆ เกิดขึ้นที่หน้าผากหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งไม่ใช่สัมผัสจากริมฝีปากแบบที่ปราณันต์คิดไว้ แต่เป็นอะไรที่หนักแน่นและมั่นคงกว่านั้น

ปราณันต์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะพบว่าใบหน้าคมคายทุกส่วนแทบจะอยู่ชิดกับใบหน้าเขา ก่อนที่สายตากลมจะเหลือบขึ้นไปมองด้านบน จึงได้เห็นว่าสิ่งที่สัมผัสอยู่กับหน้าผากของตน คือหน้าผากของคามินเอง

“เนี่ย ตัวยังร้อนอยู่เลยจะหายได้ยังไงครับ” คามินกระซิบเสียงเบา และด้วยความที่ใบหน้าอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ยามที่เจ้าตัวขยับปากพูด ริมฝีปากหยักของคนตรงข้าม ก็คลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มของปราณันต์โดยอัตโนมัติ

ปราณันต์เม้มปากแน่น ไม่กล้าขยับเลยสักนิด เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายล่วงล้ำและรังแกเขาได้ง่ายกว่าเดิม

มือเล็กพยายามดันอกใหญ่ของคามินอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คามินกลับไม่ยอมขยับเลย

“รับปากมาก่อนครับ ว่าจะไม่ดื้อ จะทำตามที่ผมบอก แล้วผมจะปล่อย”

ตากลมจ้องมองคามินนิ่ง แต่ก็ยังไม่กล้าขยับอยู่ดี สักพักใหญ่เมื่อเห็นว่าตัวเองสู้ไม่ได้แน่ๆ เพราะคามินไม่ยอมผละออก จึงต้องส่งเสียงออกลำคอ เป็นอันยอมรับว่าตกลง

“อื้อ! ก็ได้ๆ”

คามินอมยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าปราณันต์ยอมตกลง และก่อนที่จะผละออก จมูกโด่งก็ฉกลงบนแก้มนิ่มเบาๆ ทำเอาตากลมตวัดมองค้อนตามแทบจะในทันทีทันใด เพราะสุดท้ายยังไงก็ถูกคนตัวโตกว่าเอาเปรียบอยู่ดี

.

.

.

ปราณันต์นั่งมองแม่บ้านเก็บเสื้อผ้าของเขาและเด็กๆ เข้าตู้ใบเดียวกับของคามิน ซึ่งเต็มไปด้วยเสื้อ สูท และกางเกงที่แขวนเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ พลันความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างก็ตีตื้นขึ้นมา


‘เหมือนคนที่กำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกัน’


แต่แล้วอีกความรู้สึกก็แล่นเข้ามาสะกัดกลั้น


‘แล้วมันจะเป็นแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนล่ะ ความสุขชั่วครู่ชั่วยามที่ไม่มีทางเป็นจริง’


คนที่กำลังป่วยนั่งถอนหายใจอย่างปลงตก และเสียงถอนหายใจของปราณันต์ ก็เรียกเอาสายตาสงสัยจากฝาแฝดที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ได้เป็นอย่างดี

“พี่ปราณ พี่ปราณปวดหัวอีกแล้วหรอครับ” แฝดคนพี่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย เห็นพี่ชายไม่สบายแต่ตัวเองทำได้แค่นั่งเฝ้า ทั้งที่เวลาเขากับปัณณธรไม่สบาย พี่ปราณจะคอยดูแลเป็นอย่างดี

“เปล่าครับ พี่ปราณไม่ปวดหัวเท่าไหร่แล้ว ได้พักอีกนิดหน่อยก็หาย ปุณณ์ไม่ต้องเป็นห่วงพี่นะครับ”

รอยยิ้มเหนื่อยๆ ปรากฎบนปากอิ่ม เพราะเอาเข้าจริงหลังจากได้กินข้าวเช้าและกินยา ก็ดูเหมือนว่าอาการปวดหัวจะทุเลาลงบ้าง เขาเลยคิดว่าถ้าได้หลับอีกสักตื่นก็คงจะดีขึ้นกว่านี้ เพียงแต่ต้องรอให้ยาออกฤทธิ์อีกสักหน่อยก็แค่นั้น

“ดีๆ พี่ปราณต้องพักผ่อนเยอะๆ พี่ครามสั่งไว้ครับ ว่าให้พวกเราดูแลพี่ปราณ”

แล้วจู่ๆ ปัณณธรน้อยก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืนบนเตียงหลังพูดจบ ทำเอาปราณันต์ได้เแต่เงยหน้ามองตามตาปริบๆ ปรับอารมณ์ตามเจ้าฝาแฝดคนเล็กแทบไม่ทัน

“ปัณณ์จะปกป้องพี่ปราณเอง แล้วถ้าต่อไปปัณณ์ตัวใหญ่ๆ กว่านี้นะ ปัณณ์จะให้พี่ปราณนอนอยู่บ้านเฉยๆ แล้วเดี๋ยวพวกเราจะออกไปทำงานหาเงินให้พี่ปราณ ใช้เองครับ”

เจ้าตัวน้อยทำท่าขึงขัง ยืนกอดอกอยู่บนเตียงราวกับเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ตัวน้อยๆ ปราณันต์เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าป่วยอยู่ เขาคงจะจับเจ้าหนูช่างเจรจาที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่มาฟัดให้หายมันเขี้ยวสักที

“ถ้าพี่ปราณนอนอยู่บ้านเฉยๆ ปุณณ์กับปัณณ์ก็จะเหนื่อยนะ จะดีหรอครับ” ปราณันต์ลองแกล้งถามกลับ

“ไม่เป็นไรครับ ทีพี่ปราณยังยอมเหนื่อยเพื่อเราสองคนเลย แค่นี้พวกเราทำให้พี่ปราณได้สบายม้ากมาก” ปุณณกันต์พูดอย่างมุ่งมั่น ทำเอาพี่ชายคนโตอมยิ้มกับคำตอบที่ได้ยินไม่หยุด

“ขอบคุณปุณณ์กับปัณณ์มากเลยนะครับ” ปราณันต์โอบตัวเด็กทั้งสองไว้แนบอก ก่อนจะกอดไว้เบาๆ อย่างแสนรัก โดยพยายามเลี่ยงไม่ให้ลมหายใจอุ่นร้อนของตัวเองปะทะโดนตัวเด็กน้อยทั้งคู่

และในขณะที่สามพี่น้องกำลังกอดรัดกันอย่างมีความสุขนั้น คามินที่ออกไปซื้อข้าวกลางวันก็กลับเข้ามาพอดี เมื่อร่างสูงได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของปราณันต์ ที่ถึงแม้ว่าจะป่วยอยู่ แต่ก็สามารถตรึงใจให้เขามีความสุขได้ แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็ตาม เพราะพอคามินย่างกรายเข้ามา ปราณันต์ก็กลับเข้าโหมดมึนตึงเหมือนเดิมทันที

“พี่ครามกลับมาแล้วหรอครับ” ปัณณธรผละออกจากปราณันต์ พลางปีนลงเตียงแล้วเดินไปหาคามิน ก่อนจะกางแขนให้อีกฝ่ายอุ้มอย่างอ้อดอ้อน

“กลับมาแล้วครับ ซื้อไก่ทอดของโปรดของปัณณ์ กับกุ้งเผาของโปรดของปุณณ์มาด้วย อยากกินไหมครับ”

คามินก้มลงโอบรั้งร่างเล็กๆ กลมๆ ของเจ้าหนูน้อยเข้าหาตัว ก่อนจะสูดดมแก้มนิ่มอย่างเอ็นดู

ไม่ได้หอมคนพี่ หอมคนน้องก็ยังดี...

“อยากกินครับ แต่ต้องให้พี่ปราณกินก่อน พี่ปราณจะได้กินยาแล้วก็นอนพักผ่อน จะได้หายไวๆ”

ปัณณธรน้อยช่างเจรจา คามินมองไปยังคนบนเตียงที่แสร้งมองไปทางอื่น ไม่ยอมหันมาสบตาเขาสักนิด

คามินถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปข้างเตียงแล้วใช้หลังมือใหญ่อังไปบนหน้าผากมนเบาๆ

“ตัวยังรุมๆ อยู่เลย เดี๋ยวกินข้าวต้มนะครับ จะได้กินยา” คามินทรุดลงนั่งบนเตียงข้างคนไข้ แต่ปราณันต์ก็ยังคงเมินเฉย คนตัวเล็กจับผม ลูบศีรษะกลมของปุณณกันต์เล่น แต่ไม่ยักกะให้ความสนใจคามินสักนิด


Rrrrrrr


เสียงโทรศัพท์ของปราณันต์ดังขึ้นขัดจังหวะ สายตาสองคู่เหลือบมองไปที่โทรศัพท์พร้อมกัน ในขณะที่ฝ่ายเจ้าของยิ้มบางๆ ทันทีที่เห็นชื่อของคนโทรเข้ามา ในขณะที่อีกคนหน้าหงิกด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะปราณันต์กำลังป่วยอยู่


Gunkavee is calling


“ว่าไงกวี” เสียงหวานพูดตอบรับคนในสาย ทำเอาคามินรู้สึกคันในหัวใจยิบๆ จนอยากจะถือวิสาสะ คว้าโทรศัพท์ในมือของอีกคนมากดวางให้รู้แล้วรู้รอด

“อื้อ นิดหน่อยน่ะ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว”

คามินไม่ได้ยินหรอกว่ากันต์กวีถามอะไรปราณันต์ แต่ถ้าให้เดาก็คงจะพูดถึงอาการป่วยนั่นแหละ

เห๊อะ ยุ่งวุ่นวาย ทำไมต้องมาถาม ในเมื่อยังไง หน้าที่ดูแลปราณันต์ก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ... ยิ่งคิดคามินก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าหล่อเหลาหงิกงอ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความไม่พอใจ

“พี่คราม พี่ครามหิวข้าวหรอครับ” อยู่ๆ เจ้าหนูน้อยปัณณธรที่นั่งอยู่บนตักเขาก็ถามขึ้น ดวงตากลมๆ แป๋วๆ นั่น มองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้

“ป่าวครับปัณณ์ พี่ครามไม่ได้หิว ทำไมปัณณ์ถึงคิดว่าพี่ครามหิวล่ะ” คามินถามกลับ ดูเหมือนว่าปัณณธรจะช่วยดึงความสนใจ และช่วยให้เขาหงุดหงิดน้อยลงได้ดีทีเดียว

“ก็พี่ครามทำหน้าแบบนี้” พอปากเล็กๆ เจื้อยแจ้วจบ เจ้าหนูผู้ที่ฉลาดรู้ดีกว่าใคร ก็ทำหน้ามุ่ยเลียนแบบคามิน “เวลาปัณณ์หิว ปัณณ์ก็ทำหน้าแบบนี้แหละครับ”

คามินหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินถ้อยคำแสนรู้ดีแบบนั้น แม้แต่ปราณันต์ที่กำลังติดสายอยู่ก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คามินเหลือบไปเห็นพอดี ว่าคนป่วยแอบมองเขากับเจ้าฝาแฝดคนสุดท้องคุยกัน

“ก็อยู่กับฝาแฝด แล้วก็...” ปราณันต์ลากเสียงเหมือนไม่อยากตอบ คามินเลยประมวลผลในใจอย่างรีบเร่ง เขาคิดว่ากันต์กวีต้องได้ยินเสียงหัวเราะแน่ๆ แล้วคงถามปราณันต์ว่าตอนนี้อยู่กับใคร เผลอๆ หมอนั่นอาจจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้ปราณันต์ย้ายมาอยู่กับเขาแล้ว

คามินวางแผนในใจด้วยความว่องไว ยิงปืนยังไงให้นกหลายๆ ตัวตายไปพร้อมๆ กัน ให้นกอย่างกันต์กวีน็อคไปเลยไม่ต้องฟื้น ส่วนนกที่ชื่อปราณันต์ก็ต้องปรามไว้ คราวหน้าจะได้ไม่ดื้อเที่ยวคุยกับคนอื่นให้เขาตามหวงแบบนี้อีก … ซึ่งพอคิดได้แบบนั้น มุมปากหยักก็ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์โดยที่ปราณันต์เองก็ไม่ทันเห็น

คามินแกล้งพูดเสียงดัง กะว่าเอาให้เสียงลอดเข้าไปในโทรศัพท์แน่ๆ ให้ไอ้คนอีกฝั่งปลายสายได้ยินโดยไม่ต้องเงี่ยหูใดๆ ทั้งสิ้น

“ไปครับปัณณ์ พี่ครามหิวแล้ว เดี๋ยวเราไปเตรียมข้าวให้พี่ปราณกัน พี่ปราณป่วยอยู่ คงต้องยกเข้ามากินในห้องนอน”

ปราณันต์ตาเหลือกทันที ที่จู่ๆ ก็ได้ยินคามินตะโกนขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ครั้นจะลุกไปตะครุบปากไอ้คนร้ายกาจนั่นก็ทำไม่ไหว เพราะถึงแม้ปกติร่างกายจะสบายดีก็สู้อะไรคามินแทบไม่ได้ นี่ยิ่งป่วยแบบนี้จะเอาแรงที่ไหนไปต่อสู้กับยักษ์ปักหลักนั่นได้กัน

ปราณันต์ต่อว่าคามินด้วยสายตาไม่หยุด ปากอิ่มขมุบขมิบให้คนตัวโตตรงหน้าหยุดพูด แต่มีหรือที่คามินจะฟัง

“แต่ว่าปุณณ์กับปัณณ์ห้ามกินหกบน ‘เตียง’ ของพี่ปราณกับพี่ครามนะครับ เดี๋ยวมดขึ้นแล้วพี่สองคนจะ ‘นอนกัน’ ลำบาก”

พอพูดจบมุมปากหยักก็กระตุกยิ้มอย่างพอใจ แน่นอนว่ากันต์กวีคงได้ยินทั้งหมด ไม่งั้นปราณันต์คงไม่ทำท่าเหมือนจะกินหัวเขาแบบนี้หรอก

“เอ่อ.. แค่นี้ก่อนแล้วกันนะกวี ไว้เราว่างแล้วจะโทรไปหา”

คามินตวัดสายตาคมมองไปที่ปราณันต์อย่างไม่พอใจ ทำไมต้องโทรหามันอีกด้วย มีธุระอะไรให้ต้องคุยกันนักหนา

และหลังจากปราณันต์วางสาย ตากลมก็ตวัดมองคามินอย่างไม่พอใจเช่นกัน ก่อนที่ปากอิ่มจะเอ่ยต่อว่าคนที่ยืนทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่ข้างเตียง

“ทำไมคุณต้องตะโกนเสียงดังด้วย อยากจะป่าวประกาศนักหรือไง เรื่องไม่ดีน่ะ” ใบหน้าสวยหวานงอง้ำอย่างหงุดหงิด คามินนี่มันยังไงกันนะ

“แล้วมาอยู่กับผมมันไม่ดีตรงไหน ห้องกว้าง เตียงก็ใหญ่ เด็กๆ มีพื้นที่ทำอะไรได้เยอะแยะ” คามินเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะงึมงำๆ อีกประโยค “แล้วผัวเมียที่ไหนไม่อยู่ด้วยกันบ้างวะ”

แน่นอนว่ามันไม่ได้เบาเท่าไหร่นักหรอก และปราณันต์เองก็ได้ยินเต็มสองหู

“คุณคามิน!!!” หน้าสวยหวานแดงก่ำ น่าจะทั้งเขินทั้งโกรธ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ เพราะแค่จะลุกให้ยืนยังไม่รู้จะตรงรึป่าวเลย

“ไปกันเถอะครับปุณณ์ ปัณณ์ เราไปเตรียมอาหารกลางวันให้พี่ปราณกันดีกว่า พี่ปราณโมโหหิวแล้ว หึหึ”

พอแหย่คนป่วยเสร็จคามินก็เดินยิ้มๆ ออกจากห้อง ปล่อยให้คนป่วยนั่งฮึดฮัดด้วยความโมโหอยู่ลำพัง

.

.

.

พอคามินจัดอะไรเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินอาดๆ เข้ามาหาปราณันต์ที่น่าจะกำลังแกล้งหลับอยู่ แค่ดูปราดเดียวเขาก็รู้แล้ว ปราณันต์คงกำลังประท้วง เหตุจากที่ถูกเขาแกล้งเมื่อกี้

“คุณปราณครับ ตื่นได้แล้ว ไปกินอาหารกลางวันกัน มียาที่ต้องกินนะครับ” แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าปราณันต์แกล้งหลับ แต่คามินก็ยังอุตส่าห์ตามน้ำ เขาทรุดตัวนั่งลงบนเตียง พลางเขย่าร่างบางเบาๆ ให้ตื่น

“อื้ออ” ปราณันต์ครางยุกยิก แล้วก็แกล้งพลิกตัวหนีเสียงเรียกของคนข้างๆ

คามินอมยิ้มในหน้า ใครบอกเขาว่าปราณันต์ไม่ร้าย เขาจะเถียงให้ขาดใจเลย ถ้าใครไม่เคยเห็นให้มาดูลูกแมวตัวดื้อตรงหน้าเขาได้... ไม่สิ น่ารักขนาดนี้ เก็บไว้ดูคนเดียวน่าจะดีกว่า

พอเห็นท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของปราณันต์แล้ว คามินก็อดแกล้งคืนไม่ได้ เลยต้องแกล้งพึมพำเสียงดังออกมา

“สงสัยจะตื่นยาก แบบนี้ขโมยจูบแก้ม จูบปากสักทีสองทีน่าจะไม่ทันได้รู้ตัวล่ะมั้ง”

พอจบคำ คนป่วยขี้เซาก็ทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นนั่งทันที คามินที่พอเห็นแบบนั้นก็ขำออกมาเสียงดังอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฮ่าๆๆๆๆ”

ตากลมตวัดมองข้างตัวอย่างตกใจปนขุ่นเคือง เสียงหวานแหวลั่นด้วยความลืมตัว

“นี่คุณคิดจะลักหลับตอนผมไม่รู้ตัวใช่ไหม”

คามินยังคงมองใบหน้าสวยหวานที่กำลังงอง้ำอย่างอารมณ์ดี

“อ่าว แล้วถ้าหลับไม่รู้ตัว จะลุกพรวดขึ้นมาแบบนี้ได้ยังไงล่ะครับคนเก่ง หื้ม?” คามินแกล้งแกว่งเสียงกวนประสาท “หรือคุณปราณดื้อ แอบแกล้งหลับครับ?” ก่อนจะเปลี่ยนดักทางถามให้อีกฝ่ายจนมุม

อันที่จริงแล้วคามินก็ไม่ได้จะถามเอาชนะอะไรปราณันต์หรอก เพียงแต่อดมันเขี้ยวไม่ได้ ดูปากแดงๆ แก้มแดงๆ เพราะพิษไข้อ่อนๆ ที่กำลังเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้นั่นแล้ว มันอดต้อนให้จนมุมไม่ได้

“กะ.. ก็ไม่ได้ ไม่ได้แกล้งหลับสักหน่อย” เสียงหวานเอ่ยตะกุกตะกัก ใบหน้าที่เชิดขึ้นเมื่อกี้หลุบต่ำลงเหมือนเด็กที่รู้ตัวว่าโดนจับได้เพราะขโมยขนม “ผมตื่นพอดีต่างหาก”

คามินนึกมันเขี้ยวปากอิ่มที่เถียงฉอดๆ อย่างไม่ลดละนั่น เมื่อวานตอนที่ปราณันต์ป่วยหนักๆ แล้วส่งผลให้ริมฝีปากอิ่มนั้นทั้งซีด ทั้งแห้งผาก จนคามินเห็นแล้วอดใจไม่ดีไม่ได้ แต่วันนี้อาการปราณันต์ดีขึ้น ริมฝีปากกับแก้มเริ่มกลับมามีสีแดงอีกครั้ง ละยิ่งตอนนี้ ตอนที่พิษไข้กำลังจะลดแบบนี้ น่าจะจับมาจูบมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยวจริงๆ

ละไวเท่าความคิด คามินโน้มตัวไปคว้าคนที่นั่งหน้าตาตื่นบนเตียงมากอด อ้อมแขนแข็งแรงเกี่ยวรั้งปราณันต์เอาไว้อย่างเอาแต่ใจ

“นี่คุณ ปล่อยนะ! มากอดทำไมเนี่ย” ปราณันต์โวยวายลั่น ใบหน้าสวยหวานดูตระหนกขึ้นมาทันที ทุกครั้งที่โดนคามินกอด ไม่มีครั้งไหนที่เขาไม่เสียเปรียบสักครั้ง

“มันเขี้ยว อยากจูบ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบชิดริมหูนิ่มเบาๆ และนั่นยิ่งทำให้ปราณันต์ดิ้นหนักกว่าเดิม แต่ก็อย่างว่าต่อให้ดิ้นแรงแค่ไหน แค่คามินกอดไว้นิ่งๆ อีกฝ่ายก็หมดแรงสู้แล้ว ยิ่งไม่สบายๆ แบบนี้ ยิ่งสู้ไม่ไหวหรอก

“จะบ้ารึไง ผมป่วยอยู่นะ จะมาจ่งมาจูบอะไรเล่า อยากติดหวัดรึไง” ปราณันต์แกล้งขู่ แต่ก็ใช่ว่าคามินจะสลดเมื่อไหร่ ใบหน้าคมคายยิ้มเผล่ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

“กับอีแค่หวัด คุณปราณคิดว่าผมจะกลัวหรอ” เสียงทุ้มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ “และต่อให้ต้องติดหวัดจากคุณจริงๆ ผมก็ว่าคุ้ม”

พอพูดจบใบหน้าคมคายก็โน้มลงไปหาใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือเล็กๆ ดันอกหนาออก แต่ก็สู้แรงของคามินไม่ไหว จนในที่สุดริมฝีปากของคนทั้งคู่ก็สัมผัสกัน

ความอุ่นร้อนของริมฝีปากอิ่มสีสดทำให้คามินรู้สึกดีสุดๆ เขาค่อยๆ บดคลึง ขบเม้ม และหยอกล้อริมฝีปากของปราณันต์ ราวกับอยากจะสร้างความคุ้นเคยซ้ำๆ คนตัวเล็กที่ก่อนหน้านี้ดิ้นขลุกขลักเพราะไม่สมยอมก็อ่อนแรงลง เมื่อได้เจอกับสัมผัสที่คุ้นเคย มือเล็กที่ดันหน้าอกของคามินก่อนหน้านี้ เปลี่ยนมาโอบรั้งรอบคอคนตรงข้ามไว้ เพราะความอ่อนโยนแต่ร้อนแรงอยู่ในทีนั่น ทำให้ปราณันต์แทบจะละลายอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนี้ถ้าไม่ติดว่ามีอีกฝ่ายคอยพยุงรั้งอยู่

คามินเปลี่ยนจูบที่อ่อนโยนให้ร้อนแรงแรงขึ้น ปราณันต์ที่สติพร่าเลือนลงทุกทีแต่ก็ยังคงปิดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ซึ่งอีกฝ่ายต้องการมากกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้ ลิ้นร้อนจึงค่อยๆ ไล้เลียไปตามร่องของริมฝีปากอิ่มช้าๆ ราวกับจะร้องขอและเชิญชวน

มือหนาเองก็ทำหน้าที่ไม่ได้ขาด คามินใช้มือโลมไล้ไปทั่วร่างของคนตัวเล็ก ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสผ่านเสื้อไหมพรมตัวหนาแต่ก็สร้างความวูบวาบให้ปราณันต์ได้ไม่น้อย ร่างกายของปราณันต์ที่กำลังรุมๆ เพราะพิษไข้ กลับยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะความวาบหวามที่เกิดขึ้น ปราณันต์เริ่มหายใจถี่กระชั้น ลมหายใจร้อนที่รดรินอยู่ข้างแก้มคามิน ยิ่งทำให้เขาเกิดความต้องการ เขาอยากแทรกลิ้นตัวเองเข้าไปในโพรงปากของคนตรงหน้าจนแทบทนไม่ไหว เมื่อนึกถึงความหอมหวานที่กำลังรออยู่

แต่ปราณันต์ก็ยังคงเป็นปราณันต์คนดื้อไม่เปลี่ยนแปลง แม้คามินจะพยายามเล้าโลมมากแค่ไหน คนตัวเล็กก็พยายามอย่างมากที่จะรั้งสติตัวเองไว้ ไม่ยอมเผยอริมฝีปากตัวเองให้อีกฝ่ายรังแกได้เด็ดขาด แต่แล้วความคิดและสติทั้งหมดก็เหมือนจะหกคะเมนตีลังกา เมื่อลิ้นร้อนของคามินยอมผละออกจากร่องริมฝีปากของเขา ไปไล้เลียเบาๆ ที่ใบหูนิ่มแทน

“อ๊ะ” ปราณันต์เผลอครางทันทีที่ลิ้นร้อนของคามินสัมผัสเบาๆ ที่ใบหู ใบหน้าสวยหวานแหงนเชิดขึ้น ราวกับถูกกระตุ้นอย่างแรง คามินแอบอมยิ้มบางๆ เพราะเขารู้ดีว่าจุดไหนในร่างกายบ้างที่ปราณันต์อ่อนไหว และแน่นอนที่เขาจะไม่พลาดปล่อยให้โอกาสนี้หลุดหลอย

คามินฉกริมฝีปากลงมาประกบปากของปราณันต์อีกครั้ง ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากของคนตัวเล็กกว่าอย่างรวดเร็วและกวาดต้อนเอาความหวานหอมที่เขาชอบอย่างโหยหา ไม่ว่าจะจูบกับปราณันต์กี่ครั้ง เขาก็ไม่มีวันเบื่อ ท่าทาง หน้าตา และการแสดงออกของปราณันต์ยามที่ถูกเขาจูบแต่ละครั้งนั้น บอกตามตรงว่ามันปั่นป่วนเขาได้ราวกับพายุที่บ้าคลั่ง คามินไม่รู้ว่าปราณันต์จะรู้ตัวบ้างไหม ว่าทำให้เขาหลงใหลได้มากมายขนาดนี้

“อื้อออ” เสียงหวานครางอย่างพอใจกับสิ่งที่คามินปรนเปรอให้ ทำเอาอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนยิ่งถูกกระตุ้น คนตัวโตส่งลิ้นของตัวเองเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กๆ อย่างเอาใจ

ทั้งสองแลกลิ้น บดคลึง ดูดดึงริมฝีปากกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ปราณันต์เองก็ดูเหมือนแทบจะลืมอาการต่อต้านแต่แรกไปจนหมดสิ้นเมื่อถูกคามินล่อลวงด้วยรสจูบที่แสนหวาน ด้วยความชำนาญของริมฝีปากหยักนั้น

มือเล็กๆ ของปราณันต์สอดแน่นเข้าไปในกลุ่มผมของคนตรงข้าม ก่อนจะออกแรงดึงเบาๆ เมื่อลมหายใจตัวเองถี่กระชั้นขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าตัวเขาเองเริ่มที่จะหายใจไม่ทัน

คามินค่อยๆ ผละริมฝีปากออกจากอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะจูบซับน้ำใสที่ไหลออกมาติดมุมปากอิ่มให้อย่างอ่อนโยน ปราณันต์หอบหายใจจนอกกระเพื่อม ใบหน้าสวยหวานก้มงุดเพราะเขินอายที่ตัวเองก็ยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้คามินตักตวงความหอมหวานไปจนหมดสิ้น ปราณันต์ได้แต่นึกก่นด่าตัวเองในใจ ทำไมถึงเผลอใจอ่อนกับคนๆ นี้อยู่เรื่อย

จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ที่กลุ่มผมสีเข้มของคนที่กำลังก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขาไม่ห่าง กลิ่นของปราณันต์ทำให้คามินมีความสุขเสมอ โดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆ จากผมที่มีกลิ่นเดียวกับฝาแฝดเพราะใช้ยาสระผมยี่ห้อเดียวกัน... กลิ่นที่คามินชอบ

“เงยหน้ามามองกันหน่อยสิครับ” เสียงทุ้มพูดแหย่คนในอ้อมกอดอย่างอารมณ์ดี

“ไม่ ออกไปได้แล้ว” คนตัวเล็กกว่ากระเง้ากระงอด รวมถึงออกแรงผลักอีกฝ่ายแรงๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนตัวโตกว่าไหวติง

“ถ้าติดหวัดขึ้นมาจะทำยังไงน้า เห็นเค้าว่ากันว่าหวัดมันติดผ่านน้ำลายได้...”

“เงียบไปเลยนะ!” ปราณันต์แหวลั่น สวนคามินที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ

ร่างสูงได้แต่หัวเราะหึหึอย่างพอใจ ได้แกล้งปราณันต์วันละนิดวันละหน่อยก็เรียกรอยยิ้มกว้างจากเขาได้แล้ว และแบบนี้เขาจะยอมปล่อยรอยยิ้มของเขาให้หายไปไหนได้ยังไง.... ไม่มีทาง ยิ่งพอเมื่อกี้จูบกัน ท่าทีโอนอ่อนที่ปราณันต์แสดงออกมานั้น ยิ่งทำให้คามินได้ใจ เขาเชื่อแน่ว่าถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกันทุกวันแบบนี้ ยังไงสักวันปราณันต์ก็ต้องยอมใจอ่อนยกโทษให้เขาแน่ๆ

“โอ๋ๆ ผมขอโทษก็ได้” คามินจูบแรงๆ ลงบนขมับของปราณันต์ ก่อนที่จะรั้งหน้าเล็กๆ ของคนตัวหอมขึ้นมาด้วยมือข้างที่ว่าง พลางพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย “แต่ตอนนี้คนป่วยต้องไปกินข้าวได้แล้วครับ ถ้าดื้อ ผมจะจูบอีก”

ปราณันต์ดีดตัวเองออกจากอ้อมกอดคามินทันที ก่อนที่จะตะกายลงจากเตียงไปยืนบนพื้นด้วยความรวดเร็ว

“ก็ไปสิ จะมัวชักช้าอยู่ทำไมล่ะ” พอพูดจบเจ้าตัวก็เดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องนอน ทำเอาคามินอดขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 14-03-2021 20:42:01
(อ่านต่อจากด้านบน)


มื้อกลางวันผ่านไปด้วยดี ปราณันต์กินอาหารได้มากขึ้น และดูเหมือนอาการตัวร้อนของคนป่วยจะดีขึ้นเยอะ คามินใช้ที่วัดอุณหภูมิแบบพกพาที่เขาอุตส่าห์ลงทุนไปซื้อมาพร้อมพวกยาทั้งหลาย มาวัดไข้ปราณันต์ ก็พบว่ามันลดลงมากจนเกือบจะเป็นปกติ

“ไม่ค่อยมีไข้แล้วครับ แต่ก็ต้องพักผ่อนและกินยาให้ตรงเวลาจนกว่าจะหายขาด”

ตอนนี้ทั้งสี่อยู่ด้วยกันในห้องนั่งเล่น โดยมีปราณันต์ยึดโซฟาตัวใหญ่นั่งกึ่งนอนเหยียดยาวเต็มพื้นที่ คามินเองก็คลอเคลียไม่ห่าง อยู่ข้างๆ ปราณันต์นั่นแหละ ส่วนฝาแฝดตอนนี้ไม่สนใจใครทั้งนั้น นอกจากทีวีจอใหญ่ที่กำลังฉายการ์ตูนช่องโปรดอยู่

“คุณก็ถอยไปห่างๆ สิ ผมจะได้นอน” ปราณันต์พูดเสียงตึง เพราะยังนึกเคืองเรื่องจูบตอนกลางวันไม่หาย

“ไม่เอา คิดถึง อยากอยู่ใกล้ๆ” คามินก็ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะตื๊อ ใบหน้าคมคายเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา

“ฮึ่ย!” ปราณันต์ได้แต่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องถดตัวลงนอนราบกับโซฟา แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมโปงไว้ทั้งตัว หนีหน้าคนที่ขยันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงไปซะแบบนั้น

“ไม่เอาครับ ไม่ทำแบบนี้ เดี๋ยวหายใจไม่ออก” คามินพูดพลางจะดึงผ้าห่มออก แต่คนดื้อก็พยายามยื้อไว้อย่างไม่ยอม

“จะนอนนนน”

สองฝ่ายต่างดึงรั้งผ้าห่มกันไปมา จนฝาแฝดที่ได้ยินเสียงผู้ใหญ่สองคนเอาแต่เถียงกันไม่หยุด เลยหันมาถามด้วยความสงสัย

“พี่คราม พี่ปราณ ทะเลาะกันทำไมครับ” ปุณณกันต์เอ่ยถามเสียงใส โดยมีปัณณธรพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

“ใช่ๆ เถียงกันตลอดเลย เถียงกันเหมือนตอนที่พี่ปุณณ์กับปัณณ์แย่งของเล่นกันเปี๊ยบ”

พอได้ยินเจ้าหนูน้อยถามแบบนั้นปราณันต์ก็หยุดยื้อยุดกับคามินทันที เพราะเขาไม่อยากให้เด็กๆ จำอะไรไม่ดีไปเป็นตัวอย่าง

“เปล่าครับปุณณ์ปัณณ์ พี่ปราณกับพี่ครามไม่ได้ทะเลาะกันครับ” คามินแก้ตัวให้ด้วยการพูดกับเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เราคุยเล่นกันเฉยๆ ครับ เหมือนตอนหนูสองคนเล่นด้วยกันไง”

ใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าหนูทั้งสองที่จ้องมายังผู้ใหญ่ตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงักอย่างเข้าใจก่อนจะหันไปดูทีวีต่อ เมื่อแน่ใจแล้วว่าปราณันต์กับคามินไม่ได้ทะเลาะกัน

ส่วนฟากผู้ใหญ่ คามินก็กลั้นขำหน้าดำหน้าแดง เมื่อเห็นว่าปราณันต์ยอมสงบลงเพราะไม่อยากให้ฝาแฝดเห็นสิ่งไม่ดี ส่วนปราณันต์เมื่อส่งเสียงไม่ได้ก็ได้แต่ตวัดตามองคนที่นั่งอยู่บนพื้นข้างโซฟาด้วยสายตาขุ่นเคือง

“ชู่ว เดี๋ยวน้องๆ หันมาเห็นนะครับ” คามินแกล้งกระซิบกระซาบ คนตัวเล็กกว่าเลยถองศอกใส่เข้าให้ ก่อนที่เจ้าตัวจะล้มลงนอนหันหลังให้คามิน เพื่อตัดปัญหาที่จะต้องมานั่งแค้นใจที่สู้คนตัวใหญ่กว่าไม่ได้

.

.

.

ดูเหมือนว่าช่วงบ่ายหลังจากปราณันต์ตื่นจากงีบ ทั้งสองก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันอีก สองหนุ่มเล่นกับสองเด็กน้อยอย่างสนุกสนาน ปราณันต์เองก็ต้องพยายามปรามๆ ตัวเองไม่ให้เข้าใกล้น้องมากนัก เพราะกลัวเจ้าหนูจะติดหวัดจากเขาไปจะแย่เอา

ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่พอตกดึกมหกรรมแห่งการถกเถียงกันก็เริ่มต้นอีกครั้งเพราะ…

“อาบไม่ได้ครับคุณปราณ ถ้าไข้กลับขึ้นมาจะทำยังไง” คามินยืนขวางคนตัวเล็กกว่าอยู่หน้าห้องน้ำ เพราะปราณันต์ตั้งท่าจะเดินอาดๆ เข้าไปอาบน้ำให้ได้

“ทำไมจะไม่ได้ ผมดีขึ้นเยอะแล้ว ที่จริงก็หายแล้วด้วยซ้ำ” ส่วนปราณันต์ก็เชิดหน้าเถียงอย่างไม่ยอม คามินเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ได้แต่นึกมันเขี้ยวในใจ น่าจะจับมาฟัดให้หายซ่าส์จริงๆ

"มันยังไม่หายดีสักหน่อยคุณปราณ ผมขอร้องล่ะ ไม่ดื้อได้ไหมครับ อยากกลับมานอนซมอีกหรอ? "

คามินขอร้องแกมดุนิดหน่อย แล้วพอปราณันต์ตั้งท่าจะเถียง ร่างสูงก็อาศัยจังหวะที่อีกคนเผลอ ตรงเข้ารวบตัวคนตรงข้ามแล้วอุ้มลอยขึ้นพาดบ่า ก่อนจะกลับมาวางร่างนุ่มนิ่มของคนป่วยลงบนเตียงอย่างเบามือ แต่อ้อมแขนแข็งแรงนั่นก็ยังคงกอดปราณันต์ไว้ไม่ยอมปล่อย

“ปล่อยนะ คนจะอาบน้ำก็ยังมาห้ามอีก” ปราณันต์พยายยามดิ้น แต่จู่ๆ ก็ต้องหยุดเมื่อเห็นน้องชายฝาแฝดทั้งสองช่วยกันประคองอ่างใบย่อมๆ ที่มีใส่น้ำมาครึ่งอ่างแถมยังมีผ้าเช็ดขนหนูผืนเล็กๆ อยู่ในนั้นหนึ่งผืนด้วย

คามินอมยิ้ม ถือว่าเจ้าหนูทั้งสองมาตรงตามเวลาที่นัดแนะไว้พอดี เขารู้อยู่แล้วว่าปราณันต์ต้องดื้อไม่ยอมเช็ดตัว เลยขอร้องเจ้าตัวน้อยไว้ว่าให้ช่วยกันประคองอ่างใส่น้ำเข้ามาที เป็นการมัดมือชกปราณันต์ไปในตัว ซึ่งแม้จะหนักแต่ฝาแฝดก็เต็มใจทำเพื่อพี่ชายเต็มที่

“พี่ปราณไม่สบายต้องเช็ดตัวครับ” ปุณณกันต์พูดอย่างรู้ดี

“ใช่ๆ เช็ดตัวเหมือนที่พี่ปราณเคยเช็ดให้ปัณณ์ตอนไม่สบาย” ปัณณธรพูดสำทับคำพี่ชายฝาแฝดอย่างน่ารัก

ปราณันต์ได้แต่คอตกอย่างจำยอม อีหรอบนี้คงต้องยอมเช็ดตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ

มือบางเอื้อมไปจะหยิบผ้าขนหนูที่ลอยอยู่ในอ่างน้ำ เพราะตั้งใจจะเอามาเช็ดร่างกายตัวเอง แต่ก็ช้ากว่ามือใหญ่ของคามินที่ฉวยเอาผ้าไปได้ก่อน

“ผมทำให้ครับ” เสียงทุ้มพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี พอปราณันต์ทำท่าจะเถียง คามินก็แกล้งเปรยๆ ขึ้น “ปุณณกันต์กับปัณณธรมองอยู่นะครับ”

ปราณันต์ได้แต่จำยอม คามินเลยยิ้มๆ คว้าผ้ามาเช็ดตัวซับตามแขน ตามข้อพับ ตามคอ ตามหน้าให้คนป่วยอย่างเบามือ ปราณันต์ยอมรับว่าเขินๆ นิดหน่อย เพราะไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้ มีแต่เขาที่ทำให้ปุณณกันต์กับปัณณธรเท่านั้น

คามินเช็ดไปเรื่อยๆ จนคิดว่าน่าจะสะอาด และสบายตัวแล้ว เลยหยุด เขาไม่อยากเช็ดนานเกินไป เพราะเดี๋ยวพอปราณันต์ตัวเย็นๆ ตากแอร์นานๆ แล้วไข้จะกลับ

“เสร็จแล้วครับ กินยานอนได้แล้ว” คามินจัดเสื้อผ้าของปราณันต์ให้เข้าที่ ก่อนจะจับคนที่เพิ่งหายไข้ลงนอนแล้วห่มผ้าให้อย่างดีหลังจากที่กินยาเรียบร้อยแล้ว

“นอนนะครับ เดี๋ยวผมพาปุณณ์กับปัณณ์ไปนอนก่อน” คามินพูดยิ้มๆ ก่อนจะแกล้งแหย่แซว “ถ้าง่วงก็ไม่ต้องรอนะครับ เดี๋ยวจะรีบกลับมานอนกอดให้อุ่นๆ”

“ไม่ต้องเลย! ไปดูแลฝาแฝดนู่น” เสียงหวานแหวใส่ ก่อนจะพลิกนอนหันหลังให้คามินที่กำลังหัวเราะเบาๆ กับท่าทางน่ารักแบบนั้น

คามินกัมลงจูบเบาๆ ลงบนกลุ่มผมที่มีกลิ่นหอมเหมือนแชมพูเด็กของคนที่กำลังทำเป็นหลับ ก่อนจะกระซิบลงข้างหูนิ่มอย่างอ่อนโยน

“ฝันดีนะครับเด็กดื้อของผม”

ปราณันต์ปิดเปลือกตาสีอ่อนลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาอดปฏิเสธในใจไม่ได้ว่าวันนี้คามินทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก เขาได้แต่ภาวนาว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาความสุขเหล่านี้จะยังคงอยู่ไม่จางหายไป

.

.

.

วันนี้อาการป่วยของปราณันต์ดีขึ้นจนเกือบจะเป็นปกติ คามินเลยตัดสินใจว่าวันนี้จะพาทุกคนไปช็อปปิ้ง เพราะจะซื้อเสื้อผ้าและของใช้เพิ่มให้กับเจ้าหนูฝาแฝดสักหน่อย แล้วก็จะซื้อพวกของสดต่างๆ เข้าบ้านด้วย

“ไปห้างกันดีไหมครับเด็กๆ” คามินพูดขึ้นในช่วงสายของวัน หลังจากเคลียร์งานที่ต้องประชุมพรุ่งนี้เสร็จ

ฝาแฝดหันมามองอย่างดีใจเมื่อได้ยินว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอก

“ไม่ไปครับ ผมกับน้องไม่ได้จะซื้ออะไร ถ้าคุณจะไปก็ตามสบายนะครับ”

เด็กๆ หน้าหดเหลือสองนิ้วทันทีเมื่อได้ยินพี่ชายคนโตตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ไป

“คุณปราณครับ ขอร้องล่ะนะ อาหารสดในตู้เย็นก็หมด ผลไม้ นมก็ไม่เหลือแล้ว .. ไปกับผมหน่อยนะครับ”

คามินพูดหว่านล้อมเสียงอ่อนโยน แต่ปราณันต์กลับเข้าใจไปอีกทาง

“นี่คุณกำลังบังคับผมหรอ?”

คามินโบกมือปฏิเสธพัลวัน เมื่อได้ยินปราณันต์ถามแบบนั้น ตอนนี้เขาเรียนรู้แล้วว่าการใช้ไม้แข็ง ไม่ได้เป็นผลดีกับความสัมพันธ์ของเขาและปราณันต์เท่าไหร่นัก ตอนนี้การร้องขอน่าจะป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ป่าวครับ ผมกำลังขอร้องคุณปราณต่างหาก ถ้าไม่ทำเพื่อผม ถือว่าทำเพื่อฝาแฝดก็ได้” คามินพยักเพยิดไปที่เด็กๆ ก่อนจะพูดต่อ “ดูหน้าพวกแกสิครับ จ๋อยเลย พาเด็กๆ ไปเปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะครับ คุณปราณคงไม่ได้ไปไหนมาพักใหญ่แล้วใช่ไหมครับ?”

คามินรู้ดีว่านักธุรกิจแบบเขามีพรสวรรค์ด้านการเกลี้ยกล่อมเป็นพิเศษ และตอนนี้เขากำลังใช้ความสามารถพิเศษที่มีเพื่อโน้มน้าวใจปราณันต์

และปราณันต์มักจะใจอ่อนเสมอ ... ถ้าเป็นเรื่องของฝาแฝด

ปราณันต์หันไปมองน้องๆ ที่นั่งหน้าจ๋อยไม่ยอมสบตาเขา

“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ ไหนมองพี่ปราณซิ” หนูน้อยทั้งสองค่อยๆ เงยหน้ามองพี่ชายตัวเองช้าๆ “หนูอยากไปเดินห้างกับพี่ครามรึป่าวครับ”

ปราณันต์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จะว่าไปเขาเองหลังจากเกิดเรื่องคามิน เขาก็แทบไม่ได้มีเวลาพาน้องไปไหนเลย เพราะงานมันรัดตัวไปหมด แถมยังไม่มีคนช่วยแบ่งเบาอีกต่างหาก

“อยากไปครับ แต่ถ้าพี่ปราณไม่อยากไปเพราะยังป่วยอยู่ ปุณณ์กับปัณณ์ไม่ไปก็ได้นะครับ” ปุณณกันต์ตอบออกมาตามตรง หลังจากปรึกษาน้องชายฝาแฝดด้วยสายตาแล้ว

คามินถอนหายใจเบาๆ ส่วนปราณันต์ก็หน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เขานึกก่นด่าตัวเองในใจ ที่เอาแต่มองในมุมของตัวเอง ในขณะที่น้องๆ กลับเห็นเรื่องของเขาเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด

ปราณันต์ปรับสีหน้าให้ยิ้มขึ้น ก่อนที่จะตอบน้องๆ ด้วยน้ำเสียงสดใส “ไปครับ เราไปกันก็ได้ ไปช่วยพี่ครามถือของนะ”

“เย่!” เด็กๆ ร้องลั่นออกมาอย่างดีใจเมื่อได้ยินพี่ชายอนุญาต รวมถึงเด็กโข่งอีกคนด้วยที่ตอนนี้ดีใจจนหุบเขี้ยวแทบไม่ลง

“ขอบคุณนะครับคุณปราณที่ยอมอนุญาต” คามินพูดขอบคุณอย่างออดอ้อนก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย

“ผมทำเพื่อน้อง ไม่ใช่เพื่อคุณ” ปราณันต์รีบแก้

“นั่นแหละครับ ขอบคุณมากๆ เลยนะครับคุณปราณของผม”

ใบหน้าสวยหวานสะบัดไปอีกทาง แต่คามินอารมณ์ดีมากจนเกินกว่าจะเก็บเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาใส่ใจ พอเก็บของกันเรียบร้อย คาราวานเล็กๆ ก็ออกเดินทาง

คามินอุ้มปัณณธรขึ้นมา ก่อนที่อีกมือจะเอื้อมไปจูงปุณณกันต์ ปราณันต์ที่เพิ่งเดินออกมาหลังจากหยิบกระเป๋าเสร็จ ดูละล้าละลัง เพราะตอนนี้ปุณณกันต์กำลังจับมืออยู่กับคามิน ปกติเขาจะมีหน้าที่เป็นคนดูแลปุณณกันต์เอง

ในหัวปราณันต์คิดนั่นคิดนี่ไปมากมาย ภาพความทรงจำเมื่อครั้งไปไหนมาไหนด้วยกันสี่คน ไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้น มันทั้งทุกข์ทั้งสุขจนเขาเองก็อธิบายไม่ถูก ว่าอย่างไหนมันมากกว่ากัน และในขณะที่เขากำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้น มือเล็กๆ ของฝาแฝดคนพี่ ก็เอื้อมมาจับมือพี่ชายไว้อย่างอบอุ่น

“ไปกันเถอะครับพี่ปราณ” พอคนตัวเล็กก้มหน้าลงไปมองเจ้าหนูที่ตัวสูงไม่ถึงเอวเขาแต่กลับฉลาดเหลือเกิน ก็ได้เห็นใบหน้าน่ารัก ริมฝีปากจิ้มลิ้ม กำลังยิ้มแฉ่งให้เขาอย่างน่าเอ็นดู

ปราณันต์เลื่อนสายตาไปมองตามมือใหญ่อีกข้างที่จับจูงปุณณกันต์ไว้ คามินส่งยิ้มอบอุ่นให้ ปราณันต์พยายามไม่เผลอใจ แต่อดปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้เขามีความสุขเหลือเกิน ความรู้สึกดีๆ ก่อนหน้านี้กำลังไหลย้อนเข้ามาช้าๆ แต่ท่วมท้นไปทั้งใจ

“ไปกันเถอะครับ” เสียงหวานอ้อมแอ้มพูด คามินยิ้มจนไม่รู้จะยิ้มยังไง ท่าทางของปราณันต์ตอนนี้ ทำให้เขามั่นใจ ... ปราณันต์ใจอ่อนลงบ้างแล้ว เขามั่นใจว่ามองไม่ผิดแน่ๆ

.

.

.

ทั้งสี่ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ คอนโดของคามิน โดยมีปราณันต์เป็นคนหลักในการเลือกของ ผู้ใหญ่สองคนหยิบของใส่รถเข็นไป ทะเลาะกันไป เพราะพอปราณันต์หยิบออก แต่คามินก็เอาแต่จะหยิบเข้า พอปราณันต์ดุว่าสิ้นเปลือง เกินความจำเป็น คามินก็เถียงว่าของมันต้องมี จำเป็นต้องใช้ ฝาแฝดผลัดกันมองหน้าพี่คนนั้นที คนนี้ทีจนปวดหัว สุดท้ายเลยต้องโอดโอยออกมา

“งื้อ พี่ปราณกับพี่คราม ไม่ทะเลาะกันได้ไหมครับ ปัณณ์งงหัว” ฝาแฝดคนเล็กร้องประท้วงโดยที่มีฝาแฝดคนโตพยักหน้าเบาๆ ราวกับเห็นด้วย

ผู้ใหญ่ทั้งสองเงียบกริบ สุดท้ายปราณันต์ก็ต้องยอมแพ้ให้คามิน เพราะต่อให้ปราณันต์แอบเอาของออกจากรถเข็นมากเท่าไหร่ สุดท้ายคามินก็หยิบมาใส่ใหม่อยู่ดี หรือไม่หนักหน่อย ก็เอาไปวางเพิ่มตอนกำลังจะคิดเงิน

ปราณันต์ได้แต่มองตามมือของพนักงานคิดเงินที่กำลังแสกนบาร์โค้ดสินค้าอย่างเหนื่อยใจ ของที่คามินซื้อ หลักๆ ก็มีแต่ของฝาแฝดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ทุกอย่างเป็นคู่หมดแต่คนละสี และที่ไม่น้อยหน้าเลยก็เห็นจะเป็นของส่วนตัวของเขาเอง คามินทุ่มซื้อเหมือนกับว่าเขาย้ายมาที่คอนโดของอีกฝ่ายด้วยเสื่อหนึ่งผืนและหมอนหนึ่งใบ ห้ามยังไงก็ไม่ยอมฟัง ขนซื้อนี่นั่นไปตั้งมากมาย แล้วเอาเข้าจริงของที่คามินซื้อเข้าบ้านหรือให้ตัวเองนั้นแทบไม่มีเลย ปราณันต์ได้แต่อ่อนอกอ่อนใจไม่รู้จะทำยังไงกับคนๆ นี้ดี

... แต่เอาเข้าจริงก็ไม่อยากจะยอมรับ ว่าประทับใจหน่อยๆ นั่นแหละ ปราณันต์รู้ตัวเองดีเสมอ ว่ามักจะแพ้ทางเวลาที่คามินทำเรื่องดีๆ อ่อนโยนๆ ให้ ไม่ว่ากับตัวเขาเอง หรือตัวฝาแฝดก็ตาม

“ปุณณ์ ปัณณ์อยากได้อะไรอีกรึป่าวครับ” เด็กๆ ส่ายหน้าหวืออย่างที่ไม่ต้องรอให้ปราณันต์บอก ปากอิ่มอมยิ้มเบาๆ ที่น้องชายเขารู้จักเกรงใจ และไม่จ้องแต่จะได้ของจากคนอื่น

“ไม่เอาแล้วครับพี่คราม พี่ครามซื้อนั่นซื้อนี่ให้เยอะเลย แค่นี้ก็พอแล้วครับ” ปุณณกันต์ตอบแบบเด็กฉลาด ซึ่งปัณณธรเองก็ไม่ได้น้อยหน้า

“ใช่ครับ พอแล้ว แค่นี้พวกเราก็ขอบคุณพี่ครามมากๆ แล้วครับ”

คามินยื่นมือไปลูบแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าหนูทั้งคู่อย่างเอ็นดู ก่อนจะเหลือบตาไปมองผู้ใหญ่ตาใสอีกคนที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“น้องๆ ก็ขอบคุณแล้ว แต่ไม่เห็นคนพี่ขอบคุณผมบ้างเลย"

คามินแกล้งแหย่ปราณันต์เล่น เขาชอบเวลาที่อีกฝ่ายทำหน้าหงุดหงิด มันน่าแกล้งให้ร้องไห้ชะมัด ถ้าใครไม่รู้จะคิดว่าคนนิ่งๆ อย่างปราณันต์เป็นคนไม่พูด หรือเป็นคนไม่แสดงออกทางอารมณ์เท่าไหร่ ติดจะอดทนด้วยซ้ำ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันไปสักระยะ จะรู้ว่าปราณันต์มีใบหน้าที่แสดงอารมณ์ได้ล้านแปดอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างนี่ก็น่ารักมาก มากจนอยากเก็บไว้นั่งมองคนเดียว

และก็เป็นไปตามคาด ใบหน้าสวยหวานงอง้ำ ก่อนจะอ้อมแอ้มพูดไม่เต็มเสียง

“ก็ไม่ได้ขอให้ซื้อให้สักหน่อยนี่” แต่พอพูดจบเจ้าตัวก็เหมือนจะเปลี่ยนใจ และถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนยอมจำนน “ก็ได้ๆ ขอบคุณที่ซื้อของให้ครับ”

คามินยิ้มหน้าบานหลังจากได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าคนขี้แกล้งจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้

“หอมแก้มผมก่อน”

พอจบคำ ปราณันต์ก็ถลนตาใส่คนปากเปราะทันที คนบ้าอะไร ชอบพูดแกล้งแบบนี้อยู่เรื่อย คามินได้แต่หัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนที่ปราณันต์จะเดินหนีไปพร้อมเด็กๆ ปล่อยให้คามินเข็นรถที่เต็มไปด้วยของที่จ่ายเงินแล้วตามหลังมาพร้อมรอยยิ้มกว้างแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในตลอดชีวิตคนเย็นชาอย่างเขา

.

.

.

ปราณันต์กับคามินกลับมาถึงคอนโดค่อนข้างดึก ทั้งสี่กินอาหารเย็นมาแล้วจากนอกบ้านเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าเด็กๆ เองก็ดูจะเหนื่อยกันเต็มที่ เพราะวันนี้เล่นบ้านบอลกันแบบจัดหนักจัดเต็ม หลังจากไม่ได้ไปมาเกือบสามอาทิตย์ ปราณันต์ มองดูน้องๆ ที่นั่งตาปรือปรอยอยู่บนโซฟาจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ก็ได้แต่นึกขำ เพราะวันนี้พวกเด็กๆ ไม่งอแงซักนิด ดูเหมือนจะเหนื่อย แต่พวกแกก็มีความสุขมากด้วยเช่นกัน


‘พี่คราม ปัณณ์จะเล่นอันนั้น’

‘พี่คราม อุ้มปุณณ์ขึ้นไปข้างบนหน่อยครับ ปุณณ์จะลื่นๆ ลงมา’

‘พี่คราม รอรับปัณณ์นะ ปัณณ์จะปีนลงไปหาแล้ววว’


‘พี่คราม ตามมาเลย แน่จริงก็จับเราสองคนให้ทันสิ ฮ่าๆ’


สุดท้ายปราณันต์ก็พาน้องๆ เข้าห้องนอน เพราะดูท่าทางพวกแกจะไม่ไหวแล้ว และก็เป็นไปตามคาด พอหัวกลมๆ ถึงหมอน เด็กฝาแฝดก็ผล็อยหลับทันที ปราณันต์อมยิ้มกับภาพเด็กทั้งคู่นอนกอดก่ายกันไม่ห่าง พลางนึกถึงภาพที่ปุณณกันต์ ปัณณธร และคามินเล่นด้วยกันเมื่อกลางวันอย่างสับสนปนสุขใจ เขายอมรับว่าเขามีความสุขมากที่เห็นฝาแฝดยิ้มได้กว้างขนาดนั้น ปุณณกันต์กับปัณณธรรักคามินหมดหัวใจและไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้นอันนี้ปราณันต์มั่นใจ แต่กับคามินนั้น ปราณันต์ไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งว่าจะทำใจให้กลับมาเชื่อใจผู้ชายคนนี้อีกครั้ง ปราณันต์ยังคิดว่ามันทำได้ยาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด

หลังจากยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็มีสัมผัสอ่อนโยน โอบรั้งเข้าที่เอวจากด้านหลัง กลิ่นหอมเย็นๆ สะอาดๆ ที่ปราณันต์คุ้นเคยลอยเข้าจมูก ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร

“คิดอะไรอยู่หรอครับ หื้ม?” อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับ ก่อนที่จมูกโด่งสวยได้รูป จะฉกลงเบาที่แก้มนิ่มของคนในอาณัติ

ปราณันต์เบี่ยงหลบแต่ก็ใช่ว่าจะพ้น


ฟอด~


“ปล่อยครับ จะไปอาบน้ำ” ปราณันต์ดิ้น แต่ก็มีแรงอยู่แค่นี้อ่ะแหละ จะไปสู้อะไรคนตัวโตอย่างคามินได้

คามินก้มลงมากระซิบชิดใบหูนิ่มด้วยน้ำเสียงซุกซน “น้องหลับแล้ว เราอาบน้ำด้วยกันดีไหมครับ”

ปราณันต์หันมาถลึงตาใส่คนที่กำลังโอบกอดเขาอยู่ด้านหลังอย่างเร็ว ตั้งใจจะสรรหาคำแสบๆ คันๆ มาด่าให้หายหน้าทน แต่กลายเป็นว่าหันผิดจังหวะ ใบหน้าคมคายที่ลดมาคลอเคลียอยู่ที่ต้นคอเขามันได้ระดับเดียวกันพอดี ซึ่งเป็นผลให้ปากอิ่มปะทะเข้ากับปากหยักโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ


จุ๊บ~


คามินยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปที่ปากอิ่มหนักๆ อีกรอบ “ยั่วผมหรอครับ ชอบรุกก่อนก็ไม่บอก”

ปราณันต์ทั้งอาย ทั้งเขิน ทั้งโกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้ เลยกะจะหนี แต่อ้อมกอดนี้ก็เหนียวแน่นเหลือเกิน สุดท้ายคนตัวเล็กกว่าเลยตัดสินใจกระทืบเข้าที่เท้าคามินแรงๆ

“โอ๊ย”

คามินร้องออกมาเบาๆ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว พอถูกปราณันต์ลอบทำร้ายก็เลยคลายอ้อมกอด พร้อมกับกระโดดเหย็งๆ เพราะความเจ็บ จะว่าไปก็ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก แต่เหมือนตกใจมากกว่า

“สมน้ำหน้า”

เจ้าตัวแสบเอ่ยอย่างเย้ยหยัน พอสร้างวีรกรรมเสร็จก็วิ่งหนีจากห้องน้องไปเข้าห้องน้ำในห้องนอนทันที คามินได้แต่นึกแค้นในใจ พร้อมกับตั้งมั่นว่าคืนนี้จะต้องเอาคืนปราณันต์ให้ได้ ... ลองถ้าได้ซ่าส์แบบนี้ อาการป่วยคงหายดีแล้ว เพราะฉะนั้นคอยดูแล้วกัน เขาจะเอาคืนให้หมดแรงเลยทีเดียว

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 14-03-2021 20:43:52
(อ่านต่อจากด้านบน)


ปราณันต์ที่พอหนีคามินเข้ามาในห้องนอนได้ ก็รีบคว้าผ้าขนหนูและเสื้อคลุมอาบน้ำวิ่งเข้าห้องน้ำฉิว เรื่องอะไรจะอยู่ยอมให้ถูกรังแกล่ะ เดี๋ยวพออาบเสร็จก็ค่อยแกล้งหลับ หาทางเอาตัวรอดอีกที คามินรู้ไม่ทันเขาหรอก

และพอเข้ามาในห้องน้ำได้ ปราณันต์ก็ปลดสายชุดคลุมออก แล้วหย่อนตัวลงอ่างอาบน้ำที่ใส่น้ำไว้จนเต็ม เขานอนแช่น้ำคิดนั่นคิดนี่ได้พักหนึ่ง ก็ปิดเปลือกตาสีอ่อนลง การได้อาบได้ชำระล้างทั้งร่างกายแบบนี้ทำให้ปราณันต์มีความสุข เขาชอบการอาบน้ำมากกว่าเช็ดตัว เพราะรู้สึกถึงความสะอาดที่ไม่เท่ากัน แล้วยิ่งเมื่อวานถูกคามินบังคับให้เช็ดตัว ตอนนี้ปราณันต์เลยต้องแช่น้ำนานหน่อยเพื่อเป็นการชดเชย

และในขณะที่ปราณันต์กำลังผ่อนคลายในแบบของตัวเองอยู่นั้น เขาก็ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าตอนนี้คามินแอบเข้ามาในห้องน้ำเรียบร้อยแล้วเพราะใช้กุญแจสำรองไขเข้ามา ที่คอนโดนี้มีกุญแจสำรองทุกห้องนั่นแหละ... ชะล่าใจไปเถอะปราณันต์

คามินยิ้มตาเป็นประกาย เมื่อเห็นร่างขาวโพลนกำลังนอนหลับตาพริ้มสบายอยู่ในอ่างจากุชชี่ที่ก่อนหน้านี้เขามองว่ามันโคตรเกะกะ แต่ตอนนี้มันดูมีประโยชน์อย่างมากจนเขาคาดไม่ถึง

ในหัวของร่างสูงจินตนาการภาพร่างกายภายใต้น้ำที่มีฟองสบู่อยู่ประปรายนั่นอย่างพอใจ เขารู้ดีว่าปราณันต์มีรูปร่างที่สวยงามน่าสัมผัสขนาดไหน และเพียงคิดได้แค่นั้น อวัยวะใจกลางร่างกายของเขาก็ขยับขยายอย่างเต็มที่ ยิ่งตอนนี้ที่กำลังอยู่ในคลุมอาบน้ำแบบนี้ มันช่างรู้สึกดีจนเกินจะบรรยายได้จริงๆ

พอคิดได้แบบนั้นคนตัวโตก็ปลดสายคลุมชุดออก ปล่อยให้ชุดไหลตกไปกองที่พื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนที่จะเดินไปหาร่างนุ่มนิ่มที่กำลังนอนรอให้เขาเชยชมอยู่อย่างย่ามใจ

คามินลดตัวลงไปนั่งในอ่างอาบน้ำอ่างเดียวกับปราณันต์ คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นทันที ก่อนที่จะเห็นใบหน้าคุ้นเคยนั่งเผชิญหน้าอยู่กับตัวเอง ปราณันต์ถึงกับลืมกล่องเสียงตัวเองไปชั่วขณะ และกว่าที่จะได้ทันตั้งตัวร่างสูงใหญ่ก็จู่โจมเข้ากักเขาไว้ในอ้อมแขนเรียบร้อยแล้ว


... ร่างกายแนบร่างกาย ผิวเนื้อแนบผิวเนื้อ และผิวน้ำที่โอบอุ้มร่างกายคนทั้งคู่ ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นได้เป็นอย่างดี


“นี่ปล่อยนะ!” ปราณันต์แหวเสียงลั่น คนเจ้าเล่ห์นี่เข้ามาได้ยังไง จะทำตัวร้ายกาจแบบนี้ไปถึงไหนกัน

“กว่าจะจับได้ เรื่องอะไรจะปล่อยง่ายๆ ล่ะครับ” เสียงทุ้มพูดเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากหยักพรมจูบไปทั่วไหล่เรียว คามินหลงใหลปราณันต์มากกว่าใคร เขายอมแลกอะไรก็ได้ในชีวิต เพื่อให้ได้ครอบครองคนๆ นี้

มือใหญ่เอื้อมลงไปใต้น้ำ รูดรั้งแก่นกายน่ารักของคนตรงข้ามให้อย่างเอาใจ เขาไม่รั้งรออะไรทั้งสิ้น เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ต่อต้านและเขาเองก็ไม่อยากบังคับคนตัวเล็กด้วย

“อื้อ! อะ อา” ปราณันต์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว พอถูกจู่โจมด้วยสัมผัสคุ้นเคย สติที่มีไว้ใช้ห้ามปรามก็ดูเหมือนจะลดน้อยลงทุกทีที่เมื่อถูกมือใหญ่ชักจูง

คามินขยับข้อมืออย่างชำนาญ ในขณะที่ปากหยักก็ก้มลงดูดดึงตุ่มไตบนอกขาวๆ เพื่อสร้างความวาบหวามให้ปราณันต์มากขึ้น

“อ๊ะ อาาา” ปราณันต์เชิดหน้าครางเสียงหวาน สิ่งที่คามินปรนเปรอให้ทำเอาอีกฝ่ายลืมทุกอคติในใจไปหมดสิ้น ตรงหน้านี้มีเพียงเขาและคามิน คามินคนที่กำลังมอบความสุขให้เขาอย่างเต็มเปี่ยม

มือข้างที่ว่างของคามินขยับขึ้นมาวางอยู่บนเม็ดทับทิมสีหวานอีกข้าง ก่อนที่สะกิดรัวเร็ว เพื่อสร้างความหฤหรรษ์ให้กับปราณันต์อีกทาง

“อ๊า คะ.. คุณคราม”

ใบหน้าคมคายเงยจากยอดอกสีหวานที่เขากำลังลิ้มรสอยู่ ขึ้นมามองใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้ดูเซ็กซี่ไปพร้อมๆ กับดวงตาที่กำลังปรือฉ่ำเพราะแรงอารมณ์อย่างถูกใจ เวลาที่มีเซ็กส์กันคามินชอบการแสดงออกทางสีหน้าของปราณันต์มาก มันอยากจะทำให้เขารักปราณันต์แรงๆ จนไม่อยากยับยั้งชั่งใจอะไรทั้งนั้น

ริมฝีปากหยักประกบลงบนริมฝีปากอิ่ม พลางสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากที่เผยอรอให้เขาเข้าไปกวาดต้อนอย่างว่าง่าย ลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่ยอมกัน เสียงหวานที่ครางอื้ออึง เพราะมือใหญ่ที่กำลังชักรูดแก่นกายด้านล่าง ทำให้ปราณันต์บิดมวนในท้อง ตัวลอยเหมือนคนกำลังขึ้นสวรรค์ คามินขยับมือรูดรั้งอย่างชำนาญ สลับกับใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวถี่ๆ แรงๆ จนปราณันต์ตัวกระตุกสัญญาณที่กำลังจะปลดปล่อยกำลังจะมาถึง

คามินถอนริมฝีปากออกก่อนจะลากลิ้นไปที่ใบหูนิ่มและขบเม้มเบาๆ

“อ๊าาา อื้อ สะ เสียว”

มือใหญ่ขยับเร็วขึ้น จนหน้าท้องของคนตัวเล็กหดเกร็ง ก่อนที่ปราณันต์จะปลดปล่อยตัวตนออกมา พร้อมกับเสียงครางหวานที่ยาวนานอย่างสุขสม

“อ๊าาาาา"

ใบหน้าหวานก้มซุกไปที่ไหล่หนาของคามินอย่างหมดแรง ก่อนที่คนตัวโตจะอาศัยช่วงที่ปราณันต์กำลังอยู่ในภวังค์ของความสุขสม ช้อนคนตัวบางขึ้นจากอ่าง ไปยืนหันหน้าเข้าประตูกระจกที่ใช้กั้นห้องอาบน้ำ โดยที่มือบางดันกระจกไว้อย่างอ่อนแรงและหันหลังให้เขา ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมไปหยิบเจลหล่อลื่นที่เขาเอามาเก็บไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉินแบบนี้

นิ้วเรียวยาวถูกชะโลมไปด้วยเจลหล่อลื่น จากนั้นก็ปาดลงเบาๆ บนช่องสีสวยทางด้านหลัง ก่อนจะแทรกนิ้วที่ยังมีเจลหลงเหลืออยู่เข้าไปช้าๆ

“อื้อ! เจ็บ!” ปราณันต์เริ่มประท้วง และทำท่าเหมือนจะเขยิบสะโพกหนี คามินเอื้อมมือข้างที่ว่างไปด้านหน้า ก่อนที่สะกิดยอดอกสีหวานเพื่อเบนความสนใจ

“ผ่อนคลายนะครับที่รัก” ริมฝีปากหยักกระซิบอยู่ข้างหูนิ่ม ก่อนจะกดจูบสร้างรอยรักเบาๆ ที่ไหล่ขาวเนียนของคนตรงหน้า

“อื้ออ! อ๊ะ” ปราณันต์ผ่อนคลายมากขึ้นจนนิ้วที่สอดเข้าไปของคามินเพิ่มมากขึ้นได้ถึงสามนิ้ว

นิ้วเรียวยาววนควงอยู่ในช่องทางอุ่นที่ตอดรัด คามินมองก้นนิ่มที่กำลังกลืนกินนิ้วเขา พลางจินตนาการว่าถ้าตัวตนของเขาได้เข้าไปในนั้น ถูกตอดรัดแน่นขนาดนี้ มันจะดีขนาดไหนกัน

คามินวนนิ้วจนไปสัมผัสเข้ากับจุดๆ นึง จุดที่ทำให้ปราณันต์ถึงกับตัวสั่น และร้องครางออกมาอย่างพอใจ

“อ๊ะ อาาห์”

“ตรงนี้หรอครับคนดี” คามินกระซิบถาม ก่อนที่ปราณันต์จะพยักหน้ารับรัวเร็ว

คนด้านหลังอมยิ้มมุมปากก่อนจะถอนนิ้วออก ทำเอาปราณันต์ตวัดตากลมมองอย่างไม่พอใจ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ก่อนจะใช้ท่อนเนื้ออันใหญ่โตของตัวเองที่กำลังแข็งขืนและชะโลมไปด้วยเจลหล่อลื่น ฟาดลงบนก้นนิ่มเบาๆ อย่างหยอกล้อ มือใหญ่บีบก้นนิ่มเพื่อต้องการเบนความสนใจ ก่อนจะไสตัวตนอันใหญ่โตเข้าไปในช่องทางของปราณันต์ รวดเดียว เพราะมันได้รับการเบิกทางก่อนหน้านี้แล้ว

“อ๊าาา อ๊ะ เจ็บ!” ปราณันต์ร้องเสียงหลง ทั้งเสียว ทั้งเจ็บ ทั้งจุก ไม่ทันได้ตั้งตัวว่าคามินจะดันเข้ามาทีเดียวแบบนี้

“ผมทนไม่ไหวแล้วครับที่รัก คุณปราณเซ็กซี่มากเลยรู้ตัวไหม” คามินกระซิบเสียงกระเส่า พลางโถมกายเข้าใส่ร่างเล็กๆ อย่างมีความสุข

ปราณันต์สั่นคลอนตามแรงกระแทก จนร่างกายส่วนหน้าแทบจะแนบกับกระจกอยู่แล้ว เพราะแขนที่ยันไว้จวนจะหมดแรงลงทุกที

คามินเหมือนรู้จึงใช้อ้อมแขนข้างหนึ่งโอบรั้งปราณันต์ไว้ ก่อนจะโถมกายเข้าหาช่องทางที่กำลังตอดรัดถี่ๆ อย่างรู้สึกดี เสียงครางที่เขาได้ยิน ยิ่งกระตุ้นให้เขาตื่นตัว

“เก่งมากครับเด็กดี ตอดผมแรงๆ แบบนั้นแหละ... อึก ดี”

“อ๊ะ อ๊า อ๊า” ปราณันต์ยังคงครางและรู้สึกเหมือนแกนกายของเขากำลังจะเริ่มแข็งชันอีกครั้ง เลยเอื้อมมือลงไปจะช่วยตัวเองเพื่อให้ปลดปล่อย แต่คามินรั้งข้อมือเล็กไว้ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปชักรูดแก่นกายน่ารักนั่นให้ปราณันต์เอง

“อ๊าาา แรง คะ คุณคราม.. แรงอีก”

ปราณันต์ร้องขออย่างขาดสติ ยิ่งทำให้คามินได้ใจ โถมกายแรงขึ้น หนักขึ้น เข้าไปลึกขึ้นจนแทบสุด และยิ่งปราณันต์ตอดรัดเขามากเท่าไหร่เขายิ่งต้องอดกลั้น เพื่อไม่ให้เสร็จเร็วเกินไป

“อ๊ะ อ๊ะ จะ.. เสร็จ อื้อ!” พอคามินรู้ว่าคนตัวเล็กใกล้จะถึงฝั่งฝันแล้วก็ขยับมือเร็วขึ้น นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ ซึ่งอึดใจต่อมาปราณันต์ก็ตัวกระตุก แล้วปลดปล่อยออกมาอีกรอบ

“อ๊าาาาาาา”

มือเล็กที่ยันกระจกไว้แทบจะพยุงต่อไม่ไหว แต่คนด้านหลังยังคงขยับกระแทกเข้ามาไม่หยุด ปราณันต์เลยต้องทนพยุงตัวเองไว้ก่อน

คามินกระแทกสวนสะโพกเข้ามาจนปราณันต์ศีรษะสั่นคลอน ใบหน้าสวยหวานตอนนี้กำลังปรือฉ่ำไปด้วยแรงอารมณ์ คามินมองภาพของปราณันต์จากเงาสะท้อนของกระจก ยิ่งทำให้อารมณ์เขาเตลิด เพราะมันช่างยั่วเย้าเขาเหลือเกิน จนคามินเผลอรูดแกนกายออกมาจนเกือบสุด ทำเอาปราณันต์ผวาตัวตาม ก่อนที่คามินจะกระแทกกลับเข้าไปแรงๆ จนคนใต้อาณัติร้องครางเสียงหลง

"อ๊า อ๊ะ อ๊า"

คามินทำแบบนี้อยู่สามสี่รอบ จนในที่สุดตัวเขาก็กระตุก และฉีดความอุ่นร้อนเข้าไปในช่องทางของปราณันต์เต็มที่ พร้อมกับเสียงครางต่ำยาวนานอย่างสุขสม

“อาาาาาาาา”

ปราณันต์แทบจะพยุงตัวเองไว้ต่อไม่ไหว หลังจากที่ตัวเขาปลดปล่อยไปสองรอบ คามินเองก็เหมือนกัน รังแกเขาจนแทบไม่เหลือสติและเรี่ยวแรงไว้ประคองตัวเลย

“คุณปราณครับ ผมมีความสุขมากเลย” เสียงทุ้มกระซิบบอกคนในอ้อมกอดอย่างมีความสุข ปราณันต์ไม่ตอบอะไร แต่ยอมรับว่าสับสนมาก เสียใจที่ปล่อยตัวปล่อยใจ แต่ก็มีความสุขเหลือนเกินที่ได้กลับมาชิดใกล้กับคามินอีกครั้ง

และก่อนที่ปราณันต์จะได้ทันคิดอะไรต่อ เสียงทุ้มที่เคยอ่อนโยน กลับเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

“อีกรอบนะครับคนดี ผมยังอยากรักคุณได้มากกว่านี้อีกนะ”

คนตัวเล็กกว่าไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธ ก็ถูกอุ้มหวือตัวลอยออกจากห้องน้ำ และถูกวางลงบนเตียงนอนอย่างเบามือ ก่อนที่คนตัวโตจะตามมาคร่อมร่างเล็กไว้ในอาณัติ พลางกระซิบคำหวานล้ำให้อีกฝ่ายได้ยิน


“เป็นของผมตลอดไปนะคุณปราณ”

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------------------------------------

อย่าไปใจอ่อนนะรูกกกกก ทุกคนรอดูอินังครามเปงหมาอยู่ ใจแข็งไว้คับน้องปราณ เดี๋ยวพี่จะหาทางช่วยเอง 5555555555555

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ และก็ขอบคุณมากๆ ด้วยสำหรับทุกคอมเม้นท์ หวังว่าจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ เลย อย่าน้อยอยู่ไปด้วยกันจนถึงนิยายเรื่องนี้จบก็ยังดี

ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะ ชอบไม่ชอบบอกกันได้ แต่ขอไม่แรงมากเนาะ คนเขียนใจบาง 55555555 .. แล้วไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ น่าจะไม่เกินวันพฤหัส ถ้ามีเวลาอาจจะลงให้วันพุธ เวลาเดิม
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-03-2021 21:03:40
 :oo1: :impress2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-03-2021 22:43:15
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-03-2021 23:29:37
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-03-2021 21:52:44
 :hao3: :hao3: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 16-03-2021 11:25:39
ถ้าใจยอมแพ้ ร่างกายก็อ่อนไหวตาม ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..14/03/64 [25th Lies: ความสุขจอมปลอม?]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-03-2021 15:06:58
รวดเดียวจบ จะเป็นยังไงน้อ!!
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก..22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 22-03-2021 19:52:15
26th Lies : แรงปะทะแรก


ปราณันต์หลับไปแล้ว ตาคมไล่มองใบหน้าสวยหวานที่เขาหลงใหลยามกำลังหลับอย่างสุขใจ คามินตักตวงความหอมหวานจากคนที่นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ข้างๆ จนหมดสิ้น หลังจากที่ร่วมรักกันในห้องน้ำ พอออกมาคามินก็มาจัดการปราณันต์บนเตียงต่ออีก เสียงหวานครางอย่างสุขสมครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้หัวใจด้านชาของคนอย่างเขาพองโต คามินโถมร่างกายใส่ปราณันต์อย่างคนไม่รู้จักพอ เมื่อได้แล้วก็อยากได้อีก มากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนปราณันต์ประท้วงว่าไม่ไหวแล้วเขาถึงได้ยอมหยุด

ซึ่งพอคามินยอมรามือ คนตัวเล็กกว่าก็ผล็อยหลับไปแทบจะทันทีทันใด โชคดีที่ก่อนหน้านี้คามินจัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นคนดื้อคงจะนอนกระสับกระส่าย ไม่สบายตัวทั้งคืนแน่ๆ

คามินยังคงมองปราณันต์อยู่อย่างนั้นโดยไม่เบื่อหน่าย ยิ่งมอง ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเอายังไงต่อไปดีกับเรื่องระหว่างเขาและปราณันต์


… ใช่ คามินตัดสินใจได้แล้ว เขาเสียปราณันต์ไปไม่ได้ แค่คิดว่าจะต้องอยู่ห่างกันแม้แค่วันเดียว ไม่สิ แค่ชั่วโมงเดียวเขาก็ทนไม่ได้ ฉะนั้น ได้เวลาแล้วที่เขาต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจนกว่านี้เสียที


คามินกดริมฝีปากลงบนแก้มนิ่มของคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ร่างบางที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราขยับตัวนิดหน่อยเมื่อถูกรบกวน คิ้วสวยขมวดมุ่นเป็นปมเพราะถูกขัดใจในขณะที่กำลังหลับสบาย คามินอมยิ้ม ก่อนจะลูบไปเบาๆ ที่ลาดไหล่เรียว พร้อมกับก้มลงกระซิบลงที่ข้างหูนิ่มอย่างอบอุ่น

“ชู่วว นอนต่อครับคนดี นอนต่อนะ”

ปราณันต์ขยับตัวนิดหน่อย โดยการโผเข้ามาซุกอกอุ่นๆ ของคามิน ส่วนคนถูกซบก็หน้าบานยิ้มไม่หุบ คามินยกตัวปราณันต์เข้ามาหาตัวเองเบาๆ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดตัวเองให้กับคนที่กำลังหลับสบาย พลางคิดใคร่ครวญตัดสินใจ เขาควรจะพูดเรื่องหมั้นกับพรวลัยให้รู้เรื่อง เพราะคามินทำใจเสียปราณันต์ไปไม่ได้ เขายอมหันหลังให้คนทั้งโลก ขอเพียงแค่มีปราณันต์ มีปุณณกันต์ มีปัณณธร แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

คามินอมยิ้มให้กับความคิดที่ว่า ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน และผล็อยหลับตามปราณันต์ไปในที่สุด

.

.

.

วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ และเป็นเช้าวันจันทร์ที่ปราณันต์ตื่นสาย!

คนตัวเล็กลุกทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากเตียงนอน เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าตัวเองตื่นสายไปครึ่งชั่วโมง ปราณันต์ทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาไม่รู้ว่านอนเพลินขนาดนี้ได้ยังไง ซึ่งพอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แก้มขาวๆ ก็เกิดขึ้นสีอย่างไม่ตั้งใจ ภาพระหว่างเขากับคามินผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ทั้งในห้องน้ำ ทั้งบนเตียงนอน เขาได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจที่ยอมโอนอ่อน ก่อนจะหันไปเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่คนที่นอนหลับสบายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ข้างๆ แต่พอปราณันต์นึกขี้นได้ว่ามีอะไรรอให้เขาทำอยู่บ้าง ร่างบางก็เตรียมกระโจนลงจากเตียงทันที

แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยับตัว ข้อมือเล็กก็ถูกมือใหญ่ของคนที่เมื่อกี้ยังนอนหลับอยู่ ยึดเอาไว้เสียก่อน

“จะไปไหนครับ” เสียงทุ้มที่ฟังดูงัวเงียหน่อยๆ พูดขึ้น พร้อมกับการขยับตัวของรูปร่างสูงใหญ่ที่ลุกขึ้นมานั่งซ้อนหลังปราณันต์ พร้อมกับเอาคางเกยไว้บนไหล่เรียวอย่างกับต้องการจะอ้อนหน่อยๆ

ปราณันต์ดิ้น พร้อมกับกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ คนยิ่งรีบๆ อยู่ จะตื่นมาทำไมตอนนี้นะ

“คุณ ปล่อยเลยนะ! ฝาแฝดตื่นรึยังก็ไม่รู้ ไหนจะต้องพาน้องอาบน้ำ ทำกับ..” ปราณันต์อ้าปากร่ายยาว แต่คามินสวนกลับก่อนที่ปราณันต์จะได้ทันพูดจบประโยค

“ผมให้แทนคุณเรียกแม่บ้านมาจัดการแล้วครับ” จมูกโด่งไล้ไปมาเบาๆ บนลำคอขาวของคนที่กำลังวุ่นวายใจ ราวกับอยากจะให้สงบลง “ไม่ต้องกังวลนะครับ หายใจลึกๆ ตอนนี้เด็กๆ คงกำลังทานข้าวเช้ากันอยู่”

เพราะรู้ดีว่าตัวเองเล่นงานปราณันต์หนักไปหน่อย ไหนอีกฝ่ายเพิ่งจะหายไข้อีก วันนี้ลูกแมวของเขาคงต้องตื่นสายแน่ๆ คามินเลยจัดการส่งข้อความไปบอกแทนคุณว่าให้มาดูแลฝาแฝด แล้วให้แม่บ้านมาทำกับข้าวเตรียมรอไว้ให้เขา ปราณันต์ และเจ้าหนูทั้งสองทาน ร่างบางข้างตัวเขาจะได้ไม่ต้องตื่นมาเหนื่อยทำ เพราะเขาได้เตรียมทำทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว

ปราณันต์อึ้งไปนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าคามินคิดทุกอย่างไว้ล่วงหน้าขนาดนี้ หัวใจดวงน้อยๆ ของเขากำลังสั่นไหว แต่อีกใจก็ร้องเตือนว่าต้นเหตุทั้งหมดมันก็มาจากคนตัวโตนั่นไม่ใช่รึไง

“วันหลังไม่ต้องนะครับ น้องผม ผมดูแลเองได้ แค่มาอาศัยคุณอยู่ ผมก็อึดอัดจะแย่แล้ว อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากมากไปกว่านี้เลย”

คามินมองใบหน้าน่ารักที่กำลังเชิดขึ้นอย่างอวดดีด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงตก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปราณันต์ถึงได้ใจแข็งและดื้อขนาดนี้ คามินรู้ว่าตัวเองทำผิด ถึงได้พยายามกำลังไถ่โทษอยู่นี่ไง

“คุณปราณ ทำไมใจแข็ง เปิดใจให้โอกาสผมหน่อยได้ไหม” คามินขอร้องเสียงอ่อน

“ให้โอกาสคุณ ให้มาทำร้ายผมกับครอบครัวเหมือนคราวที่แล้วน่ะหรอ หึ! ไม่ดีกว่าครับ ปล่อยให้ผมเป็นแค่คนอาศัยไปเถอะ ผมขอร้อง”

คามินเริ่มจะหงุดหงิดกับความดื้อตาใสของปราณันต์ เลยตัดสินใจใช้ไม้ตาย ไม้ตายที่จะทำให้ปราณันต์ยอมหยุดเถียงและเลิกต่อปากต่อคำ

“ไม่มีคนอาศัยที่ไหนนอนกับเจ้าของบ้านหรอกนะคุณปราณ คนที่นอนด้วยกัน กอดกัน จูบกัน มีเซ็กส์กัน ไม่ได้มีสถานะแบบที่ปราณว่าหรอก”

“คุณนี่มัน!” ปราณันต์หน้าแดงก่ำตอนจะหันไปแหวใส่คนที่กำลังกอดตัวเองอยู่ ทั้งโกรธ ทั้งเถียงไม่ออก เลยได้แต่ดิ้นแรงๆ เพื่อจะได้หลุดจากอ้อมกอดนี้

“คุณปราณครับ ไม่เอาไม่ดิ้น เดี๋ยวเจ็บ” คามินพยายามปราม พร้อมทั้งคลายอ้อมกอดให้หลวมลง เพราะไม่อยากให้ผิวขาวๆ ของปราณันต์ต้องเป็นรอยฟกช้ำ “คุยกันก่อน แล้วผมจะปล่อย”

คามินต่อรอง และพยายามหาทางคุยกับปราณันต์ให้จริงจังเสียที แต่ปราณันต์ก็คือปราณันต์ ถ้าขอให้หยุด คนตัวเล็กก็จะออกแรงดิ้นต่อหนักกว่าเดิม


“ผมจะถอนหมั้นกับพรวลัย”


จู่ๆ คามินก็โพล่งออกมา เพราะเห็นว่าปราณันต์ไม่หยุดดิ้นเสียที และก็ได้ผลชะงัด พอปราณันต์ได้ยินประโยคนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะช็อคไปเลย เพราะไม่ใช่สิ่งที่คาดคิดมาก่อน

“คุณ..” ปราณันต์เหมือนกำลังกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ คำพูดเป็นล้านอยู่ในใจ แต่เพราะประสบการณ์ที่เขาเคยเจอ ทำให้เขาทำใจให้เชื่อคามินไม่ได้ “..โกหก”

คามินถอนหายใจออกมาอย่างแรง ลมร้อนๆ พัดผ่านแก้มปราณันต์ไป ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ ว่าคนที่นั่งซ้อนหลังเขาอยู่นั้น จะกำลังหงุดหงิดแค่ไหน

“ทำยังไงคุณปราณถึงจะเชื่อผม” คามินพยายามขอร้องอีกครั้ง

“ไม่ต้องทำยังไง เพราะต่อให้ตายผมก็ไม่มีวันไว้ใจคุณอีก”

คามินนิ่งไปเมื่อได้ยินปราณันต์พูดประโยคนั้นชัดเต็มสองหู วงแขนแข็งแรงที่กำลังโอบรัดร่างนุ่มนิ่มอยู่ในอ้อมกอดถึงกับคลายลงโดยที่เจ้าของเองก็แทบไม่รู้ตัว ปราณันต์จึงสลัดตัวเองออกจากอ้อมกอดของคามินได้ ก่อนจะเดินผละจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน โดยแสร้งทำราวกับว่าสิ่งที่คามินพูดไม่ได้มีผลอะไรกับเขาทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกำลังสั่นไหวหัวใจเขารุนแรง โดยที่ตัวปราณันต์เองก็แทบคุมอะไรไม่ได้เลย

ปราณันต์เดินจากไปแล้ว ทิ้งให้ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเตียงคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี จะทำยังไงให้ปราณันต์คนอ่อนหวาน คนน่ารักคนนั้นกลับมาเชื่อใจเขาอีกครั้ง และครั้งนี้คามินสาบานว่าเขาจะไม่มีวันทำให้ปราณันต์ผิดหวังอีก

.

.

.

ปราณันต์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนคามินที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ คนตัวเล็กตรงดิ่งไปที่โต๊ะรับประทานอาหารติดๆ กับห้องครัวเพราะได้ยินเสียงเจ้าเด็กน้อยทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ไม่รู้จะทานข้าวกันรึยัง อาหารจะถูกปากไหม ฝาแฝดของเขาไม่ใช่เด็กทานยาก แต่ถ้าอะไรที่ฝาแฝดไม่ทานหรือไม่ชอบทาน พวกแกก็จะไม่มีทางแตะอาหารเหล่านั้นเลย

“พี่ปุณณ์~ อันนี้เป็นไข่ดาวรูปอะไรหรอ ไดโนเสาร์รึป่าว” ปัณณธรกำลังเจื้อยแจ้วถามนั่นถามนี่พี่ชายฝาแฝดไม่หยุด โดยมีปุณณกันต์ให้ความสนใจในทุกคำพูดของฝาแฝดคนน้องโดยไม่เกี่ยงงอน

“รูปไดโนเสาร์นั่นแหละ เดี๋ยวไว้เอาไปอวดเพื่อนที่ทานข้าวด้วยกันตอนกลางวันดีกว่าเนาะ” ปุณณกันต์ตอบ โดยมีปราณันต์แอบมองอยู่ไม่ไกล พลางอมยิ้มด้วยความเอ็นดู

“จริงด้วย” ปัณณธรตอบ ก่อนที่จะเก็บอาหารใส่กล่องอย่างดี เพื่อเอาไปทานที่โรงเรียนตอนกลางวัน

“อะแฮ่ม ทำอะไรกันอยู่ครับเด็กๆ” ปราณันต์ถามก่อนที่จะเดินไปหาฝาแฝดที่กำลังกินข้าวกันอย่างมีความสุข เด็กๆ หันมายิ้มตาหยีให้เขา คนตัวเล็กเลยตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจอาหารที่ปุณณกันต์และปัณณธรกำลังทาน ก่อนจะพบว่ามันครบถ้วนไปด้วยสารอาหาร แถมยังพิมพ์เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ให้ดูน่าทานเพิ่มขึ้นอีกตะหาก

“พี่ปราณตื่นแล้วหรอครับ ทำไมถึงตื่นสาย ไม่สบายอีกแล้วหรอ” ปุณณกันต์หันมาถามพี่ชายตัวเองด้วยความเป็นห่วง

ปราณันต์หันไปยิ้มให้ปุณณกันต์ พร้อมกับตอบปฏิเสธ และขอให้เจ้าหนูทั้งสองเอากล่องอาหารมาให้เขาดู

“พี่หายป่วยแล้วครับ แต่พอดีนอนเพลินไปหน่อย ว่าแต่วันนี้ข้าวกล่องที่พวกหนูจะเอาไปทานที่โรงเรียนตอนกลางวันมีอะไรบ้างให้พี่ดูหน่อยได้ไหมครับ”

เด็กทั้งสองยื่นกล่องข้าวให้ปราณันต์ ที่พอเปิดดูก็เห็นว่ามีแต่ของที่เด็กๆ ชอบและมีประโยชน์ทั้งนั้น จากนั้นตากลมก็ไล่มองตามชุดนักเรียนของเด็กๆ ช้าๆ ก่อนจะพบว่าวันนี้ฝาแฝดแต่งตัวเรียบร้อยมาก ปราณันต์เลยได้แต่ผงกหัวขอบคุณให้ชายหนุ่มคนสนิทของคามินที่ยืนอยู่ข้างๆ ห้องครัวแทน

“ขอบคุณคุณมากนะครับ” ปราณันต์เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

ซึ่งแทนคุณเองก็ยิ้มรับ พร้อมกับค้อมศีรษะลงต่ำกลับให้ปราณันต์ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพราวกับว่าครอบครัวของปราณันต์เป็นอีกหนึ่งคนสำคัญของท่านประธานของตน

“บอสสั่งไว้ครับ ผมต้องดูแลคุณหนูทั้งสอง และคุณปราณันต์ให้ดีที่สุด” แทนคุณตอบชัดเจนโดยมีปุณณกันต์ปัณณธรคอยสนับสนุนอีกแรง

“ใช่ครับพี่ปราณ คุณน้าคนนี้อาบน้ำแต่งตัวให้เราสองคนด้วยแหละ ใจดีมากๆ เลย” ปุณณกันต์รีบเล่า

“จริงครับ แถมวันไหนพี่ครามกับพี่ปราณไปรับเราที่โรงเรียนไม่ได้ คุณน้าคนนี้ก็ไปรับแล้วมาส่งให้ที่บ้านใหญ่แทน แถมซื้อขนมให้เราสองคนทานด้วย ใจดีที่สุดในโลกเลย” ปัณณธรน้อยเองก็เจื้อยแจ้วไม่หยุด ทำเอาคนหน้านิ่งอย่างแทนคุณออกอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณคุณน้ามากนะครับ/ขอบคุณคุณน้ามากนะครับ”

สองฝาแฝดพูดประสานเสียงกันอย่างน่ารัก แทนคุณเองก็ดูเก้อเขินจนต้องเอามือมาเกาต้นคอไม่หยุด ใบหน้านิ่งเฉย อมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆ เป็นการแสดงออกว่าสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”

ปราณันต์มองเห็นท่าทีของแทนคุณแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม สงสัยจะมีคนหลงเสน่ห์เจ้าตัวแสบทั้งสองเพิ่มอีกคนแล้วสินะ

“ว่าแต่คุณปราณันต์ จะทานข้าวเช้าเลยไหมครับ ผมจะให้แม่บ้านยกมาให้” ปราณันต์ส่ายหัวปฏิเสธพัลวัน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปยกออกมาเองดีกว่า แค่คุณกับแม่บ้านช่วยดูแลทำอาหารให้ฝาแฝด ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

แทนคุณยิ้ม ไม่ตอบอะไร ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในครัว จากนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับแม่บ้านที่มีถ้วยข้าวต้มอยู่ในมือ

ข้าวต้มกลิ่นหอมวางฉุยถูกวางอยู่ตรงหน้าคนดื้อตาใส ปราณันต์หน้ามุ่ยที่ถูกแทนคุณมัดมือชก ก่อนจะแกล้งพึมพำออกมาดังๆ ให้คนที่ยืนหน้านิ่งอยู่อีกฝั่งได้ยิน

“เผด็จการพอกันทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง”

ปราณันต์ทำเป็นบ่นไปอย่างนั้น แต่ก็ยอมตักข้าวต้มเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไป พร้อมกับดูแลฝาแฝดไปอย่างน่ารัก แทนคุณนึกชื่นชมผู้ชายร่างบางที่นั่งอยู่หน้าอย่างจริงใจ ปราณันต์คนนี้อาจจะไม่โดดเด่นไปกว่าใคร แต่สิ่งหนึ่งที่คนๆ นี้มีคือเสน่ห์ เสน่ห์ที่ใครหน้าไหนก็เทียบไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านประธานของเขาถึงได้หัวหมุนเพราะคนๆ นี้ คนที่ทำให้ท่านประธานอย่างคามินร้อนรนได้ บ้าคลั่งได้ เศร้าสร้อยและยิ้มได้โดยไม่มีเหตุผล แทนคุณเข้าใจทั้งหมดแล้วในวันนี้ เขาก็ได้แต่ภาวนาให้ท่านประธานของเขารู้ใจตัวเองเร็วๆ เสียที อย่าให้คุณปราณันต์คนนี้หนีหายไปอีกเลย

ส่วนคนที่แทนคุณกำลังนึกถึงให้รู้ใจเร็วๆ อยู่นั้น ก็กำลังยืนพิงกรอบประตูมองสามหนุ่มของครอบครัวปราณัต์ทานข้าวด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนริมฝีปาก เพียงแค่ได้เห็นปราณันต์ ปุณณกันต์ ปัณณธรกินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องลำบากลำบน คามินก็สุขใจมากแล้ว ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะรักษาภาพแบบนี้ไว้ตลอด ก็ได้แต่หวังให้ปราณันต์ใจอ่อนเข้าสักวัน เรื่องต่างๆ มันจะได้ง่ายมากขึ้นกว่านี้เสียที

.

.

.

หลังจากส่งฝาแฝดที่โรงเรียนเสร็จ แทนคุณก็ขับรถพาคามินและปราณันต์ไปที่ออฟฟิศ เมื่อใกล้จะถึงที่หมายคนตัวเล็กที่นั่งเงียบมาตลอดทางก็ส่งเสียงหวานห้วนเพื่อบ่งบอกความต้องการของตัวเอง

“ส่งผมข้างหน้านี่แล้วกันนะครับ” ปราณันต์ชี้ตรงทางเข้าหน้าออฟฟิศ ซึ่งมันต้องเดินไกลพอสมควร กว่าจะเข้าไปถึงตัวตึกได้

คามินหน้ามุ่ยทันทีเมื่อได้ยินปราณันต์บอกแบบนั้น เขาไม่อยากให้ปราณันต์เดินตากแดดอ่อนๆ นี่ไปสักเท่าไหร่ ไหนเพิ่งจะหายไข้อีก

“ไม่เอาครับ มันเดินไกล ผมไม่ให้คุณปราณลง เดี๋ยวผมให้แทนคุณวนไปส่งด้านหลังตึกให้ คุณจะได้ไม่ต้องเดินไกลมาก”

คามินรู้ดีว่าเพราะอะไรที่ปราณันต์ถึงไม่อยากลงประตูหน้า ปราณันต์คงกลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าเขาสองคนมาด้วยกัน ซึ่งพอยิ่งคิดถึงตรงนี้คามินยิ่งหงุดหงิด ทำไมจะต้องกลัวใครเห็น เขาไม่เห็นจะแคร์ ใจจริงอยากให้ไอ้กันต์กวีเพื่อนสนิทปราณันต์เห็นด้วยซ้ำ มันจะได้รู้สักทีว่าปราณันต์คนนี้เป็นของใคร

ร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาจำต้องยอม และพอถึงประตูทางเข้าข้างหลังปราณันต์ก็ทำท่าจะรีบก้าวลงจากรถ โดยที่แทบจะไม่หันมามองคามินเลยสักนิด แต่ติดว่ามือใหญ่ฉวยแขนเล็กเอาไว้ได้ก่อน

“กู๊ดบายคิสล่ะครับ” ปราณันต์ที่ถูกฉุดแขนไว้ก็ต้องหันมามองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะพบว่าถูกคนตัวโตทวงจูบหน้าตาเฉย

ปราณันต์มองหน้าคามินอย่างไม่พอใจ มาขออะไรตอนนี้ ก่อนที่ร่างบางจะเหลือบมองแทนคุณอายๆ เพราะที่คามินพูดเมื่อกี้มันไม่ได้เบาเลยสักนิด

พอคามินมองตามสายตาของปราณันต์ไปก็เข้าใจ จึงเอ่ยสั่งแทนคุณเสียงเข้ม

“แทนคุณ ลงไปจากรถก่อน ถ้าคุณปราณันต์ลงไป นายค่อยขึ้นมา”

ปราณันต์ถลึงตามองคามิน เขาไม่ได้หมายความว่าให้ไล่แทนคุณลงไปจากรถ เขาหมายถึงไม่ให้มาทำอะไรประเจิดประเจ้อตรงนี้ต่างหาก แต่คามินกลับสั่งอะไรเหมือนคนเอาแต่ใจสุดๆ และยิ่งไปกว่านั้นแทนคุณก็ดันตามใจเสียด้วย เพราะบอดี้การ์ดคนสนิทเปิดประตูและก้าวลงไปจากรถเงียบๆ ทันทีหลังจากที่คามินพูดจบ และเมื่อแทนคุณหายไปจากกรอบสายตา คามินก็อาศัยจังหวะที่ปราณันต์กำลังงง พุ่งเข้าจู่โจมริมฝีปากอิ่มทันที

ริมฝีปากหยักละเลียดจูบและบดคลึงริมฝีปากอิ่มของปราณันต์อย่างอ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไปและไม่รุกล้ำ ปราณันต์ที่ขัดขืนและไม่ยอมในตอนแรก ก็โอนอ่อนและคล้อยตามในที่สุดเมื่อเจอเข้ากับสัมผัสที่คุ้นเคย ตากลมหลับพริ้มพร้อมกับซึมซับทุกความอบอุ่นของคนตรงข้ามไว้จนหมดสิ้น ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะถอนออกไปช้าๆ

คามินกระซิบชิดริมฝีปากของปราณันต์ด้วยเสียงทุ้มที่น่าฟัง

“คิดถึงผมบ้างนะครับ อย่าปล่อยให้ผมคิดถึงคุณปราณจนแทบบ้าอยู่คนเดียว” คามินค่อยๆ กดริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากปราณันต์อีกครั้งเบาๆ

“ตั้งใจทำงานนะครับ แล้วเย็นนี้เจอกัน”

คนตัวโตเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน ก่อนจะผละออกช้าๆ อย่างจำใจ เพราะไม่งั้นคงได้เกินเลยกว่านี้แน่ๆ

ปราณันต์เองที่พอรู้สึกตัวก็ก้มหน้างุดๆ แล้วก้าวลงจากรถไปทันที โดยมีสายตาคมมองตามหลังร่างบางไปอย่างสุขใจ

.

.

.

ปราณันต์เดินแทบไม่ตรงมาที่ห้องทำงานของทีม ก่อนจะพบว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่สาหัสสำหรับเขาไม่น้อย เพราะตอนนี้นทนัชกับกันต์กวีกำลังนั่งรอเจอเขาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

... วันนี้คงเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ยังไงก็คงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนร่วมทีมฟัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยมากน้อยแค่ไหนกัน

“เล่ามาทั้งหมด ปราณันต์ เมื่อวันศุกร์พี่กับกวีกลับมาเก็บของที่ออฟฟิศ เลยเห็นท่านประธานอุ้มนายออกไป มันยังไงกันแน่”

นทนัชถามออกมาตรงๆ จนปราณันต์แอบตกใจไม่น้อย และยิ่งพอได้เห็นหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของกันต์กวีอีก เขายิ่งอึกอักเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี

“เราว่าจะถามปราณตั้งแต่ที่โทรไปวันนั้นแล้ว พอจะรู้อยู่แหละว่าปราณไม่สบาย และก็พอจะเดาได้ว่าปราณอยู่กับไอ้ประธานนั่น น่าจะมีเหตุบางอย่าง แต่การที่เราได้ยินสิ่งที่หมอนั่นพูด...” กันต์กวีทิ้งช่วงเพื่อถอนหายใจ “เรายอมรับว่าเราไม่สบายใจเลยนะปราณ”

ปราณันต์รู้สึกเหมือนกำลังถูกต้อน ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดคือคามินต่างหาก แต่ความหนักอึ้งในหัวใจที่มันกำลังเกิดขึ้นนี้มันคืออะไรกัน หรือเพราะลึกๆ แล้วความรู้สึกที่กำลังหลบซ่อนอยู่ของเขา กำลังต้องการที่จะแสดงตัวออกมากันแน่

ปราณันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนร่วมงานฟัง

“คุณคามินบังคับให้ผมกับฝาแฝดย้ายไปอยู่ด้วย ถ้าผมไม่ทำตาม เขาจะไล่พี่นทกับกวีออกจากงาน รวมถึงอนาวินด้วย” ปราณันต์พูดเสียงเบา “ผมไม่มีทางเลือก ผมทำให้ทุกคนเดือดร้อนเพราะผมไม่ได้”

นทนัชหลับตาลงอย่างคาดไม่ถึง ส่วนกันต์กวีก็สบถคำหยาบคายออกมายาวเหยียด ทั้งคู่ดูหัวเสียกับเรื่องที่ได้ยินจากปราณันต์มาก

“ไม่ต้องไปยอมมัน โดนไล่ออกก็หางานใหม่ ไม่เห็นต้องแคร์เลย” กันต์กวีโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ในขณะที่นทนัชยังคงนิ่งแต่สีหน้าก็ยังแสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่ดี

“เขาขู่ ... ขู่ว่าเขาสามารถทำให้ทุกคนหางานใหม่ไม่ได้ และเราก็เชื่อว่าเขาทำแบบนั้นได้จริงๆ”

เป็นอีกครั้งที่กันต์กวีพ่นคำหยาบออกมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปราณันต์ถึงหนีจากไอ้บ้านี่ไม่พ้นเสียที

“ปราณ... ปราณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ มันไม่ใช่เรื่องที่ปราณต้องมาแบกรับหรือเสียสละแทนพวกพี่สักนิด”

นทนัชพูดออกมาในที่สุด เขาทนเห็นปราณันต์ต้องมากล้ำกลืนฝืนทนแบบนี้ไม่ได้จริงๆ

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้ครับพี่นท ยิ่งผมรู้ทั้งรู้ว่าพี่ต้องรับภาระอะไรบ้าง มีแค่งานนี้เท่านั้นที่ช่วยพี่ได้ ผมจะกล้าทำให้พี่เดือดร้อนได้หรอครับ” ปราณันต์พูดจบก็หันไปหากันต์กวี

“นายอีก นายต้องดูแลแม่เพราะไม่อยากรับความช่วยเหลือจากพ่อ ถ้าฉันทำให้นายโดนไล่ออกจากงานนี้ ฉันจะไม่ได้ทำให้นายลำบากแค่คนเดียว แต่ฉันจะทำให้แม่นายลำบากด้วย นายคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นลงไหมกวี”

ทั้งสองคนนิ่งเงียบ เมื่อสิ่งที่ปราณันต์พูดอกมาทั้งหมดคือความจริง พวกเขามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบดูแลด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเสียงานนี้ไป ชีวิตคงลำบากกันไม่น้อย

“พี่ขอโทษนะปราณ” นทนัชพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“โธ่เว้ย!” ส่วนกันต์กวีก็คำรามออกมาอย่างหงุดหงิดหัวใจที่ทำอะไรไม่ได้ ส่วนปราณันต์ก็ยิ้มให้เพื่อนทั้งสองเหนื่อยๆ ในเมื่อมันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามที่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน

นทนัชเดินเข้ามากอดปราณันต์ไว้ ในขณะที่กันต์กวีก็ลูบหลังตบไหล่คนตัวเล็กกว่าเบาๆ อย่างที่ต้องการถ่ายทอดกำลังใจให้แก่กันและกัน

“มีอะไรให้พวกพี่ช่วยก็บอกนะ” นทนัชดันตัวปราณันต์ออก ก่อนจะเอ่ยจริงจัง เช่นกันเดียวกับกันต์กวีที่พยักหน้าอย่างแข็งขันเพื่อต้องการจะสำทับคำของของคนที่เป็นหัวหน้าทีม

“ครับ ขอบคุณพี่นทมากนะครับ .. ขอบคุณนายด้วยนะกวี”

ปราณันต์ยิ้มอย่างจริงใจให้เพื่อนสนิททั้งสองอย่างขอบคุณ แม้มันจะเป็นยิ้มที่สวยงามแต่ก็เป็นยิ้มที่เศร้าที่สุดด้วยเช่นกัน

.

.

.

ปราณันต์มาใช้ชีวิตอยู่ที่คอนโดคามินได้หลายวันแล้ว เป็นหลายวันที่คามินมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะมีปราณันต์อยู่ใกล้ๆ แล้ว ช่วงนี้ก็ดูเหมือนพรวลัยจะรังควานเขาน้อยลงด้วย เธอคงมีเรื่องไร้สาระอะไรใหม่ๆ ให้สนใจอยู่แหละมั้ง เลยไม่ค่อยมาเกาะแกะให้คามินรำคาญใจเท่าไหร่

ทั้งสี่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้ปราณันต์จะพยายามปฏิเสธหัวใจตัวเองแค่ไหน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าคามินเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจเขาเสมอ มีบ้างที่ทะเลาะกัน เถียงกันด้วยเรื่องเดิมๆ นั่นก็เพราะปราณันต์ยังไม่วางใจในตัวคามินมากพอ ซึ่งคามินเองก็พยายามใจเย็นและไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ เพราะคามินเองก็รู้ว่าเขาทำผิดกับปราณันต์ไว้มาก ถ้าเขาอยากจะเอาชนะใจปราณันต์อีกครั้งเขาต้องอดทน แล้วถ้าเมื่อไหร่ที่ปราณันต์ยอมรับเขาได้อีก เขาก็จะได้ไปขอถอนหมั้นจากวลัยให้เป็นทางการเสียที

ซึ่งโชคดียังเป็นของคามินอยู่บ้าง เพราะฝาแฝดช่วยเขาได้เยอะมาก ปราณันต์จะใจอ่อนกับน้องเสมอ ซึ่งปุณณกันต์กับปัณณธรก็มักจะออกตัวปกป้องคามินประจำ นั่นทำให้ปราณันต์โกรธและเล่นงานคามินจริงๆ จังๆ ไม่ได้เสียที


... แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่มักจะลืมไปว่าความสุขมักไม่อยู่กับเรานาน และความลับก็จะไม่มีวันเป็นความลับตลอดไปเช่นกัน ...

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 22-03-2021 19:58:07
(อ่านต่อจากด้านบน)


บ่ายวันเสาร์ในขณะที่ปุณณกันต์กับปัณณธรกำลังนอนระบายสีอยู่ในห้องรับแขก ส่วนคามินก็กำลังวอแวใส่ปราณันต์ที่กำลังทำกับข้าวในครัว เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น


ติ๊งหน่อง~


สองฝาแฝดวิ่งตื๋อเข้ามาที่หน้าประตูครัวแต่ไม่กล้าเข้าไป เพราะปราณันต์เคยสั่งไว้ว่าห้ามเข้าไปในห้องครัวที่มีเตาร้อนๆ โดยไม่จำเป็นเด็ดขาด เจ้าหนูทั้งสองเลยได้แต่เกาะอยู่ที่กรอบประตู พลางทำตาแป๋วบอกพี่ครามว่าออดหน้าห้องดัง

“พี่ครามๆ มีคนมาครับ มากดออดติ๊งหน่องๆ ที่หน้าประตู พี่ปุณณ์กับปัณณ์เปิดไม่ถึง เลยวิ่งมาบอกครับ” ปัณณธรเจื้อยแจ้วพูดเป็นฉากๆ ในขณะที่ปุณณกันต์ได้แต่พยักหน้า พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ ราวกับบ่นกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดจริงจัง

“ใช่ๆ ที่เปิดประตูบ้านพี่ครามสูงกว่าที่บ้านเราสองคนเยอะเลย”

คามินได้แต่อมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าหนูทั้งสอง ในขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วมุ่น เพราะแปลกใจว่าใครมาหา ผิดกับปราณันต์ที่ตอนนี้หน้าซีดไปแล้ว เพราะคิดว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือพรวลัย คู่หมั้นคนสวยของคามินแน่ๆ

ปราณันต์รีบปิดเตาแก๊สแล้วเดินไปล้างมือ พร้อมกับเดินไปหาปุณณกันต์กับปัณณธร พลางจับจูงมือเด็กทั้งสองที่ยังงงๆ ไว้ พร้อมกับพูดละล่ำละลักแทบไม่เป็นคำ

“ผมจะพาน้องเข้าไปอยู่ในห้องนอน เชิญคุณตามสบายครับ”

แต่ก่อนที่ปราณันต์จะเดินจากไป คามินก็คว้ามือเล็กเอาไว้ก่อน

“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นครับ อยู่ที่นี่แหละ”

ปราณันต์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เข้าไปเต็มที ดวงตากลมที่น่ามองคู่นั้นเศร้าจนแทบจะหาความสุขไม่ได้ คามินเจ็บในหัวใจไปหมด ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

“วลัยไม่มาที่นี่หรอกครับ เธอไม่กล้ามาเพราะผมยื่นคำขาดไว้ไม่ให้มา ถึงต่อให้มาผมก็จะปกป้องคุณกับน้องๆ เอง ไม่ต้องกังวลนะครับ”

“เหอะ! ปกป้องผมในฐานะอะไร ผมกำลังทำผิด คนทำผิดอย่างผมสมควรได้รับการปกป้องหรอคุณคามิน”

น้ำใสไหลออกมาจากตากลมช้าๆ เด็กๆ มองผู้ใหญ่สองคนเถียงกันเบาๆ โชคดีที่เด็กน้อยทั้งสองยังตัวสูงไม่พ้นเอวพี่ชาย ฝาแฝดเลยมองไม่เห็นว่าปราณันต์กำลังร้องไห้ ไม่งั้นมีหวังงอแงตามแน่ๆ

และเพราะไม่เห็นพี่ชายร้องไห้ มือเล็กๆ ของเด็กทั้งคู่ก็กระตุกชายเสื้อของคามินเป็นพัลวัน

“พี่ครามๆ ติ๊งหน่องดังใหญ่แล้วครับ”

“ใช่ๆ คนที่อยู่หน้าห้องจะรอนานนะครับพี่คราม”

คามินก้มลงมองใบหน้าจิ้มลิ้มทั้งสองอย่างเอ็นดู ก่อนจะกระชับข้อมือเล็กของปราณันต์ไว้แน่น แล้วเอื้อมไปจูบแก้มนิ่มเบาๆ พลางใช้นิ้วโป้งของอีกมือข้างที่ว่างเกลี่ยน้ำตาเม็ดเล็กๆ บนแก้มใสให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“ปกป้องในฐานะคนของผมครับ ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายคุณปราณกับน้องๆ เด็ดขาด ผมสัญญา”

จบคำของคามิน ทั้งสี่ก็ยกโขยงกันไปที่ประตูเพื่อเปิดต้อนรับคนที่รอจะเข้ามาช้าๆ และเมื่อประตูเปิดออก คนที่ตกใจกลับเป็นคามินเอง


“แม่”


คามินดูตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องของเขาตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่กลับเป็นมารดาของตัวเขาเอง ซึ่งร้อยวันพันปีแม่ของเขาแทบจะไม่เคยแวะมาที่นี่เลยนอกจากมีเรื่องร้ายแรงจริงๆ และทุกครั้งที่จะมาแม่ก็มักจะโทรมาบอกก่อนเสมอ แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น

และดูเหมือนว่าจะมีคนตกใจยิ่งกว่า ตอนนี้คนตัวเล็กข้างกายคามิน หน้าซีดแล้วซีดอีก หลังจากได้ยินคามินเรียกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูว่าแม่ นี่มันยิ่งกว่าการต้องรับมือกับการมาของพรวลัยมากมายหลายเท่าด้วยซ้ำ

“ใช่.. คราม นี่แม่เอง” ท่วงท่าที่สง่างามของคุณนายคติยาทำเอาปราณันต์กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ “แล้วใจคอจะให้แม่ยืนอยู่ตรงนี้จนขาแข็งเลยรึไงห๊ะ?”

ปราณันต์สะดุ้งเบาๆ แต่คามินยังคงจ้องมองแม่ตัวเองอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะถามออกมาเสียงเย็น

“แม่มาที่นี่ทำไม ผมบอกไว้แล้วไม่ใช่หรอ ว่าถ้าจะมาให้บอกกันก่อน”

“แล้วทำไมแม่จะมาไม่ได้ ครามเป็นลูกแม่นะ แม่จะมาหาลูกตัวเองไม่ได้รึไง?”

คามินยังคงมองมารดาของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้ เขาต้องรู้ให้ได้ ว่ามารดาของเขามาที่นี่ทำไมกัน

“คุณ” ปราณันต์กระตุกแขนเสื้อคามินยิกๆ “เชิญคุณแม่ของคุณเข้ามาข้างในก่อนเถอะ ให้ท่านยืนนานๆ แบบนี้ไม่ดีนะ”

แต่พอได้ยินเสียงหวานขอร้อง ความตั้งใจของคามินก็พังทลายออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยปากเชื้อเชิญมารดาให้เข้ามาในห้อง

“เข้ามานั่งก่อนสิครับแม่ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้”

เมื่อเดินเข้ามาในห้อง คติยาก็มองสำรวจไปรอบๆ อย่างพิจารณา นานๆ ทีเธอถึงจะมาเยี่ยมลูกชายหัวดื้อคนนี้สักครั้ง คามินไม่ยอมอยู่ที่บ้านเพราะอ้างว่าอึดอัด แล้วก็ขอย้ายมาอยู่แยกลำพังแบบนี้แทน

ซึ่งคนเป็นแม่แบบเธอก็ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากจำยอม คามินว่าง่ายเรื่องการทำงาน แต่เรื่องการใช้ชีวิต ถ้าลองว่าเจ้าตัวไม่ยอม ไม่ว่าจะเธอหรือแม้แต่ประมุขใหญ่ของตระกูลอย่างบิดาของคามินก็ไม่สามารถบังคับอะไรเจ้าลูกหัวแข็งคนนี้ได้หรอก

คติยาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้องรับแขก ที่พื้นห้องมีสมุดภาพและสีไม้กระจัดกระจายวางอยู่เป็นหย่อมๆ ก่อนที่ดวงตาเรียวคมแบบที่คามินถอดออกมาเป๊ะๆ จะจับจ้องไปที่ชายหนุ่มหน้าหวานหนึ่งคน และเด็กฝาแฝดอีกสองคน ที่กำลังยืนหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

ซึ่งก่อนหน้าที่คติยาจะเงยหน้ามา ปราณันต์ก็ลอบมองไปที่มารดาของคามินอย่างสังเกตสังกา มารดาของคามินเป็นผู้หญิงที่สวยสง่ามากๆ ทั้งหน้าตา กริยาท่าทาง คามินมีรูปหน้าและดวงตาที่ถอดแบบมาจากมารดาเป๊ะๆ ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่สวยจับใจที่สุดบนใบหน้าของคุณนาย ปราณันต์จึงไม่แปลกใจเลยที่คามินจะหล่อเหลาราวรูปปั้นสลักขนาดนี้ ก็ดูมารดาของคามินสิ ทั้งสวยทั้งดูดีจนเขาเองยังตะลึง นี่คงไม่ต้องพูดถึงคุณพ่อของคามิน ถ้าให้เดาท่านประธานคนก่อนก็คงจะดูดีมากๆ แน่ๆ เพราะริมฝีปากบางเป็นกระจับและจมูกโด่งเป็นสันนั่นไม่ใช่สมบัติที่คามินได้รับมาจากมารดา ก็แน่นอนว่าคนตัวโตคงได้สิ่งเหล่านั้นมาจากคนเป็นบิดาอย่างไม่ต้องสงสัย

และเมื่อได้สบตากับมารดาของคามินแล้ว ปราณันต์ก็รู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงเอาดื้อๆ แม่ของคามินยิ้มบางๆ ยิ้มที่ดูไม่ออกว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ก่อนที่คุณนายคติยาจะเรียกเขาและเด็กๆ ให้เข้าไปหา

“พวกเธอสามคนน่ะ มานี่ก่อนสิ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรที่ตอนนี้ยึดมือของปราณันต์ไว้คนละข้าง แหงนขึ้นมองหน้าพี่ชายแทบจะพร้อมกันเมื่อได้ยินมารดาของคามินเรียก เด็กๆ จะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าปราณันต์จะอนุญาต นั่นคือข้อตกลงพื้นฐานระหว่างทั้งสาม ถ้ามีใครเรียกหรือจะไปไหน น้องๆ จะต้องบอกปราณันต์ก่อน และตอนนี้ฝาแฝดกำลังทำตามกฎข้อนั้นอย่างเคร่งครัด

ปราณันต์พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะพาน้องออกเดินไปยังจุดที่คุณนายคติยานั่งอยู่ อย่างน้อยเป็นเด็ก ก็ต้องทำความเคารพและแนะนำตัวให้ผู้ใหญ่รู้จักก่อนถึงจะถูก

“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ สวัสดีคุณแม่ของพี่ครามสิครับ”

พอปุณณกันต์กับปัณณธรน้อยรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ก็ฉีกยิ้มกว้าง ตากลมของเจ้าหนูบิดขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แถมแก้มยุ้ยๆ ยังห้อยออกมาเป็นพวงเล็กๆ ทั้งน่าเอ็นดูและน่าฟัดในเวลาเดียวกัน

และภาพของเด็กแฝดตัวน้อยที่คุณนายคติยาเห็นตรงหน้า ทำเอาเธออดยิ้มตามไม่ได้

“สวัสดีครับคุณยาย ปุณณ์ชื่อ ปุณณกันต์ครับ เป็นน้องชายของพี่ปราณ แล้วก็เป็นพี่ชายฝาแฝดของปัณณ์ครับ” พอพูดจบปุณณกันต์ก็ยกมือไหว้พร้อมกับค้อมศรีษะลงต่ำเพื่อทักทายและแสดงความเคารพผู้ที่สูงวัยมากกว่า

ปัณณธรก็เช่นกัน เด็กน้อยยกมือไหว้และค้อมตัวลงต่ำแบบปุณณกันต์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดจาฉะฉานเสียงสดใส ตามแบบฉบับของเด็กร่าเริง

“สวัสดีครับคุณยาย ปัณณ์ชื่อปัณณธรครับ เป็นน้องชายของพี่ปราณ แล้วก็เป็นน้องชายฝาแฝดของพี่ปุณณ์ครับ”

มาจนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ามารดาของคามินจะแทบเก็บความเอ็นดูที่มีต่อเจ้าฝาแฝดน้อยทั้งสองไว้ไม่ไหว เธอจึงเรียกให้ทั้งสามเดินเข้ามาหาเธอให้ใกล้กว่านี้

“ปุณณ์ ปัณณ์ ฉันต้องเรียกพวกหนูแบบนี้ใช่ไหม” มารดาของคามินทักขึ้น

“ใช่ครับคุณยาย” ปัณณธรน้อยเป็นคนตอบฉะฉาน

“เอาล่ะ ถ้างั้นปุณณ์ ปัณณ์ แล้วเธอ...” คติยามองเลยไปที่ชายหนุ่มหน้าหวานอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เธออดยอมรับไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายตรงหน้านี้มีเสน่ห์และดูน่าดึงดูด แม้ต่อให้ต้องเทียบกับผู้หญิงแท้ๆ เผลอๆ พี่ชายคนโตของครอบครัวนี้อาจจะเป็นคนชนะ

มารดาของคามินลากเสียงถามราวกับไม่แน่ใจ ... ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเด็กคนนี้คือใคร และชื่ออะไร

“สวัสดีครับคุณท่าน ผมปราณันต์ เรียกผมปราณก็ได้ครับ ผมเป็นพี่ชายของเด็กฝาแฝดครับ”

“อ้อ ปราณันต์ เธอพาน้องชายเธอมาตรงนี้...” และยังว่าไม่ทันขาดคำ ปุณณกันต์กับปัณณธรน้อยก็ถลามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคุณนายคติยาเสียแล้ว เจ้าหนูทั้งคู่ยิ้มแป้นแล้น ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ทำเอามารดาของคามินยิ้มไม่หุบ

“คุณยาย ทำไมสวยจังครับ สวยเหมือนนางฟ้าเลย”

“ใช่ๆ ปัณณ์ว่าคุณยายของพี่วินสวยแล้วนะ คุณยายของพี่ครามสวยกว่าอีก”

คิ้วสวยของมารดาคามินขมวดเป็นปม ดูเหมือนว่าเธอจะงงสรรพนามที่เด็กๆ เรียกใช้นิดหน่อย จึงเอ่ยถามออกมาเบาๆ

“คุณยายงั้นหรอ? ว่าแต่พี่วินนี่ใครกันล่ะจ๊ะเด็กๆ”

“เอ่อ ต้องขอโทษคุณท่านด้วยนะครับ พอดีเด็กๆ แกติดปากกับการเรียกแม่ของเพื่อนสนิทผมว่าคุณยายน่ะครับ คือถ้าคุณท่านไม่...”

“โอ๊ย เรียกอะไรก็เรียกเลย ฉันว่าก็น่ารักดี” คติยายื่นมือไปลูบแก้มนิ่มๆ ยุ้ยๆ ของเด็กฝาแฝดอย่างเอ็นดู “แล้วพี่วินนี่ล่ะใคร”

“อนาวินเป็นเพื่อนสนิทผมเองครับ”

ปราณันต์ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ คามินที่ยกกาแฟและของว่างเข้ามา ก็ชิงพูดเสียก่อน

“ถามอะไรมากมายล่ะครับแม่ ช่างสงสัยจริง”

คามินพูดกวน ทำเอาคุณนายคติยานึกหมั่นไว้ลูกชายไม่น้อย

“เอาล่ะไหนๆ ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว คุยมันซะทีเดียวเลยแล้วกัน เพราะแม่ก็ยอมรับว่าวันนี้ตั้งใจมา เพราะได้ข่าวว่าเราแอบซุกใครบางคนไว้ที่นี่ จริงหรือไม่จริงเจ้าคราม”

มารดาของคามินพูดเข้าเป้า ตรงประเด็น และมองไปที่ทั้งสองนิ่งทั้งที่จริงเธอเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่อยากได้ยินจากปากลูกชายตัวดีมากกว่า

“จริงครับ ผมพาคุณปราณกับฝาแฝดมาอยู่ที่นี่จริง” คามินพูดเสียงเย็นก่อนจะจ้องมารดากลับอย่างไม่ลดละ “ถ้าแม่จะมาบังคับให้คุณปราณไปจากที่นี่ บอกได้เลยว่าไม่มีทาง ผมไม่ยอม”

คามินพูดพลางเอื้อมมือไปยึดข้อมือปราณันต์ไว้แน่น แล้วเลื่อนตัวเองมาบังคนตัวเล็กกว่าให้ไปอยู่ข้างหลัง ในขณะที่คนที่เพิ่งถูกคุณนายคติยาพูดพาดพิงถึงเมื่อกี้ ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะแกะข้อมือออก เพราะที่จริงแล้วเขาเองก็เกรงใจมารดาของคามินไม่น้อยเลย

“ทำอะไรเกรงใจท่านบ้าง คุณเป็นลูกท่านนะ” ปราณันต์ปราม ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะคามินดูหงอไป แต่ก็แค่ครู่เดียว ก่อนจะกระชับข้อมือเล็กอีกครั้งราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ผมยินดีจะเชื่อฟังคุณทุกอย่างนะปราณ แต่ตอนนี้ผมจะไม่ยอมให้แม่พรากคุณไปจากผมเด็ดขาด ยังไงก็ไม่ยอม” คามินเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะเจอปราณันต์ดุอีกรอบ ซึ่งเที่ยวนี้ได้ผลชะงัด

“ผมยังไม่เห็นคุณท่านพูดแบบนั้นเลยสักประโยค ไม่สิ ที่จริงท่านยังไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ คุณนี่ไม่งอแงได้ไหมครับ”

คุณนายคติยามองลูกชายของตัวเองเถียงกับเด็กคนนั้นด้วยสายตาประหลาดใจ เพราะโดยปกติแล้วคามินเป็นคนเอาแต่ใจ เย็นชา ไม่เชื่อฟังคำใครทั้งนั้น แม้แต่ตนซึ่งเป็นมารดาแท้ๆ พูดจนปากแทบฉีก บางทีคามินยังไม่ฟังเลย แต่ตอนนี้คามินตรงหน้าที่เธอได้เห็น กลับดูอ่อนโยน ไม่หงุดหงิดงุ่นง่าน พูดและฟังปราณันต์อย่างใจเย็น หนำซ้ำยังรู้จักรอคนอื่นในแบบที่คนเป็นแม่อย่างเธอไม่เคยเห็นมาก่อนอีกต่างหาก

คติยาลอบมองไปที่ปราณันต์อย่างสนใจ โดยที่ข้างกายของเธอก็ยังคงมีเจ้าฝาแฝดนั่งเกยคางไว้กับตักทั้งสองข้าง รอพี่ชายอยู่อย่างน่าเอ็นดู เธอจึงเลือกที่จะหันมาถามบางอย่างกับเด็กสองคนตรงหน้าแทน

“ปุณณ์ ปัณณ์ พี่ครามใจดีกับหนูรึป่าวครับ”

“ใจดีครับคุณยาย ใจดีที่สุดในโลกเลย พี่ครามชอบพาพวกเราไปเที่ยว ไปซื้อขนม ซื้อเสื้อผ้าหล่อๆ ให้ใส่ แถมพี่ครามยังไม่เคยดุพวกเราสองคนอีกต่างหาก ปัณณ์ชอบพี่ครามมากเลยครับ”

ปัณณธรวาดมือกว้างๆ ไปบนท้องฟ้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่ครามของตัวเองใจดีแค่ไหน ประกอบกับที่เธอได้เห็นรูปภาพที่ลูกชายเธอถ่ายร่วมกับเด็กฝาแฝดที่วางอยู่บนชั้นด้วยท่าทางที่สดใส ไม่อึมครึมเหมือนที่คามินเป็นที่ผ่านๆ มา นั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจได้ทันที

คติยาจึงเงยหน้าไปทางที่คามินกับปราณันต์กำลังถกเถียงต่อสู้กันด้วยเหตุผลของตัวเองอย่างดุเดือด ก่อนจะพูดห้ามทัพออกมา

“ใช่ แม่ไม่ได้บอกสักหน่อยนะคราม ว่าจะแยกปราณันต์ออกจากลูก แม่แค่แวะมาหาเฉยๆ มาดูว่าเราพาลูกเขามาอยู่ด้วยแล้วดูแลลูกเขาดีรึป่าว” คุณนายคติยาพูดยิ้มๆ ในขณะที่คามินยังงงๆ อยู่ “แต่เท่าที่แม่เห็น ครามก็ทำได้ดีอยู่นะ ปุณณ์กับปัณณ์ชมลูกไม่ขาดปากเลย”

“แม่ แม่บอกผมมาเลยนะครับ ว่าแม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหม” คามินยังคงไม่เข้าใจท่าทีของมารดา รวมทั้งไม่ไว้ใจเธอเลยสักนิด เลยคาดคั้นถามไม่เลิก

“คราม เราไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าแม่รู้หรือไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เอาเป็นว่าแม่ไม่ได้รังเกียจอะไรปราณันต์ แล้วแม่ก็ไม่ได้เป็นแม่ขี้หวง หรือแม่ที่ไม่เหตุผล ที่จู่ๆ จะมาจับลูกกับปราณันต์แยกจากกัน”

ถ้าคามินคนเป็นลูกเปรียบดั่งไฟที่พร้อมจะเผาทำลายล้างทุกสิ่ง คติยาคนเป็นแม่ก็จะเปรียบเป็นน้ำใสไหลเย็นที่คอยปลอบประโลมและดับไฟอย่างคามินให้มอดลง ด้วยท่าทีนิ่งสงบและเหตุผลล้านแปดที่เธอมีกับตัว

มารดาของคามินพูดกับลูกชายของเธอต่ออย่างใจเย็น

“พอแม่ได้เห็นปราณันต์ แม่ก็คิดว่าแม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงชอบและถูกอกถูกใจเด็กคนนี้ แม่ไม่ได้จะห้าม แต่แม่อยากให้เราทำทุกอย่างให้ถูกต้องและชัดเจน แม่พูดแค่นี้ ลูกเข้าใจใช่ไหม”

ปราณันต์ตาโต ยอมรับว่าผิดคาดมาก เพราะที่เขาจินตนาการไว้มันเลวร้ายกว่านี้เยอะ เยอะมากเสียด้วย ซึ่งพอมันออกมาในรูปแบบนี้ นี่มันคือดีเกินไป เกินคาดไปเยอะด้วยซ้ำ

“แม่...” คามินเรียกมารดาด้วยรอยยิ้ม

คนเป็นแม่เดินเข้าไปหาลูกชาย พร้อมทั้งลูบต้นแขนกำยำอย่างเข้าใจ

“แม่บอกเราไว้เลยนะ ว่าที่เราต้องกังวลน่ะไม่ใช่แม่กับพ่อ แต่เป็นทางฝั่งพรวลัยต่างหาก ลูกควรไปจัดการอะไรให้เรียบร้อย ปราณันต์และเด็กๆ จะได้ไม่เดือดร้อน”

คติยากระซิบลูกชายเสียงเบา เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ได้ยิน ว่านี่ต่างหากที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ ซึ่งก็ตามที่มารดาเขาพูดไม่มีผิด เขาควรจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยสักที

ไม่น่าเชื่อว่าการที่มารดาของเขามาในวันนี้ จะช่วยเขาไว้ได้หลายเรื่องจริงๆ

“ครับแม่” คามินยิ้มกว้างให้มารดา รอยยิ้มที่ทำเอาเธอยิ้มตามด้วยความสุขใจ

“โอเค งั้นแม่ไปล่ะ ไว้วันหลังค่อยมาใหม่” คติยาเดินไปที่ประตู เมื่อเห็นว่าถึงควรแก่เวลาที่ต้องกลับแล้วแล้ว ซึ่งก่อนเธอจะออกไป เธอก็หันไปสบตากลมของปราณันต์นิ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างใจดี

“หวังว่ามาครั้งหน้า ฉันจะได้เจอเธออีกนะ อันที่จริงฉันเองก็อยากรู้จักเธอมากกว่านี้อยู่หรอก แต่ฉันมั่นใจว่าฉันมองไม่ผิด ยังไงก็ฝากดูแลเจ้าลูกหัวดื้อของฉันด้วยก็แล้วกัน”

ปราณันต์พยักหน้ารับงงๆ ทำไมกลายเป็นว่าเข้าต้องมารับหน้าที่ดูแลคามินไปโดยปริยายแบบนี้ด้วยล่ะ

“ครับคุณท่าน”

มารดาของคามินก้มมองไปที่เด็กๆ ฝาแฝด ที่ตอนนี้วิ่งกรูมาเกาะขาเกาะเอวเธออยู่อย่างน่ารัก

“คุณยายจะกลับแล้วหรอครับ” ปุณณกันต์ถาม

“ว๊า นั่นสิ ปัณณ์ยังไม่อยากให้กลับเลย” ตามด้วยปัณณธรติดๆ

คติยายีผมของเด็กทั้งคู่อย่างเอ็นดู ก่อนที่จะสัญญาว่าไว้จะมาหาใหม่คราวหน้า

“เอาไว้ครั้งหน้าเราเจอกัน คุณยายจะพาปุณณ์กับปัณณ์ไปทานขนมอร่อยๆ ดีไหมลูก”

“เย่!” ปุณณกันต์กับปัณณธรรับคำอย่างยินดี จนคุณนายคติยาอดใจไม่ไหว เลยก้มลงไปฟัดแก้มย้วยๆ นั่น อย่างมันเขี้ยว ก่อนจะผละออกมา

“แล้วไว้เจอกันนะเด็กๆ”

ปราณันต์ ปุณณกันต์และปัณณธร ลาคุณนายคติยาก่อนที่เธอจะเดินออกไปด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้า ต่างจากขามาลิบลับ

คติยาเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาว พลางคิดในใจว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ทั้งสิ้น...

อันที่จริงก็เป็นไปตามความตั้งใจของเธอตั้งแต่ทีแรกแล้ว ยอมรับว่าเธอเองก็พอรู้มาก่อนว่าคามินซ่อนปราณันต์ไว้ที่คอนโด แต่เธอไม่ใช่คนหูเบา ที่ฟังอะไรจากใครมาก็ต้องเชื่อไปเสียหมด เธอจึงตัดสินใจมาดูด้วยตัวเอง เพราะตอนที่รู้ทีแรกนั้น เธอแปลกก็ใจอยู่หน่อยๆ ที่ลูกชายจอมเย็นชา หัวดื้อ และไม่มีทางยอมลงให้ใครง่ายๆ ของเธอ คนที่ไม่แคร์แม้กระทั่งคู่หมั้นสาวคนสวย กลับมีคนที่เจ้าตัวพยายามจะหวงและเก็บไว้กับตัว มันจะเป็นไปได้มากแค่ไหนกัน

ซึ่งมันเลยทำให้คติยาอยากเห็นว่าเด็กที่คามินซ่อนไว้คนนี้นั้นมีอะไรดี ที่ทำให้ลูกชายเธอถึงลงทุนทำถึงขนาดนี้ และพอได้เห็นปราณันต์ คติยาก็ไม่แปลกใจ หนำซ้ำกลับรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ขึ้นมาทันที ไม่ได้ถูกชะตาแค่คนพี่ แต่กลับถูกชะตากับฝาแฝด ซึ่งเป็นคนน้องทั้งสองด้วย

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องพรากคนดีๆ คนที่ทำให้ลูกชายของเธอเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ออกไปจากอกของลูกชายเธอเอง คติยายอมรับว่าก่อนหน้านี้เธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันและอยากให้คามินแต่งงานกับพรวลัย แต่นั่นก็เป็นเพราะเธออยากให้ลูกชายเธอมีครอบครัว เพราะเธอคิดว่าถ้าคามินมีครอบครัวแล้วอาจจะลดความเย็นชา เพิ่มความเห็นอกเห็นใจคนอื่นขึ้นได้บ้าง ซึ่งพรวลัยก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี ถ้าพูดกันในเรื่องความเหมาะสม ฐานะ และพื้นฐานทางธุรกิจที่สอดคล้องกัน แล้วตอนนั้นคามินเองก็ยังไม่มีใคร แต่งๆ กันไป อยู่ๆ กันไป อาจจะรักกันเข้าสักวันก็ได้ นั่นเป็นสาเหตุให้เธอและสามีคะยั้นคะยอและจัดการให้คามินลงหลักปักฐานกับหญิงสาวจากตระกูลก่อสร้าง

แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะมีคนมาละลายน้ำแข็งที่หัวใจของคามินได้ราบคาบแล้ว เพราะฉะนั้นคนเป็นแม่อย่างเธอทำไมถึงจะต้องกีดขวาง และไม่ร่วมยินดีกับความสุขของลูกด้วยล่ะ

คติยาเป็นคนหัวสมัยใหม่พอสมควร เธอไม่ได้แคร์ว่าคนที่จะต้องมาอยู่กับลูกชายของเธอนั้นจะต้องรวย หรือมีฐานะทัดเทียมกัน เธอไม่เคยเป็นห่วงเรื่องธุรกิจของตระกูล ไม่เคยห่วงเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ที่อยู่ในมือของลูกชาย เพราะเธอเชื่อว่าคามินจะสามารถจัดการมันได้ แม้จะไม่มีตระกูลของพรวลัยคอยซัพพอร์ตก็ตาม แต่ความสุขของเจ้าเด็กหัวแข็งนั่นต่างหากที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเป็นแม่แบบเธอ เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนาให้ลูกชายของเธอเจอมากที่สุดในชีวิต

ภาวนาก็แต่ ขอให้ลูกชายของเธอจัดการทุกอย่างให้ผ่านไปด้วยดี เพราะตระกูลของพรวลัยไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ สักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็จะคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลังเต็มที่ เพราะครั้งนี้เธอเลือกที่จะอยู่ข้างปราณันต์ อาจเป็นเพราะรู้สึกถูกอกถูกใจกับเด็กคนนั้นมากจริงๆ

ส่วนทางฟากของคามิน ทันทีที่มารดากลับไป คามินก็ใคร่ครวญในใจอย่างครุ่นคิดว่าใครจะเจ็บแค้นได้ขนาดนี้ ใครจะอยากขัดขวางหรือทำลายความสัมพันธ์ของเขากับปราณันต์ได้ถึงขั้นกับเอาไปบอกให้มารดาเขารู้ คามินนั่งทบทวนความเป็นไปได้อย่างหนัก ก่อนที่จะคิดออกมาชัดเจนได้โดยไม่ต้องเดา

มิน่าล่ะ พักนี้พรวลัยดูเงียบๆ ไป นั่นเพราะเธอคงให้คนตามสืบเรื่องเขาอยู่ คามินได้แต่เจ็บใจที่มีคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่กำลังก่อตัว แต่เขากลับไม่เคยเฉลียวใจเลย

... พรวลัย ผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้มากจริงๆ ...

.

.

.

และในขณะที่คามินรู้ความจริงหมดแล้วนั้น พรวลัยที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรก็ให้เลขาฯ โทรไปติดตามผล เพราะหวังไว้ว่าคุณนายคติยาคงจะอาละวาดสร้างความร้าวฉานไปบ้างไม่มากก็น้อย เพราะตนลงทุนเสี้ยมมารดาของคามินไปเยอะ ดีไม่ดีอาจเล่นงานจนไอ้เด็กหน้าหวานคนนั้นจนหนีกลับบ้านไปแล้วก็ได้

ใบหน้าสวยหวานได้แต่แสยะยิ้มเมื่อคิดถึงผลลัพธ์ที่ตนเองจินตนาการไว้อย่างสะใจ เธอแทบไม่ต้องลงทุนทำอะไรเลย เพียงแค่วางแผนนิดหน่อย ให้คติยาเป็นคนออกโรง แล้วเธอก็นั่งรอเฉยๆ เดี๋ยวคามินก็ต้องคลานกลับมาหาเธอเอง เมื่อไม่มีไอ้ผู้ชายหน้าหวานและไอ้เด็กฝาแฝดนั่น

พรวลัยอมยิ้มในหน้า ก่อนที่จะนึกถึงวันที่เธอแวะไปมารดาของคามินที่บ้าน พลางเล่าเรื่องที่ผสมนั่นผสมนี่ไปนิดหน่อย ให้อีกฝ่ายฟัง


‘คุณป้าคะ วลัยทราบมาว่าครามพาเด็กผู้ชายเข้ามาอยู่ที่คอนโด ใครก็ไม่รู้ ไว้ใจได้รึป่าวก็ไม่รู้ ... วลัยทราบดีว่าวลัยอาจจะไม่ใช่คู่หมั้นที่ครามต้องการสักเท่าไหร่ ครามถึงได้พาใครไม่รู้เข้าไปอยู่ที่คอนโด แต่ยังไงวลัยก็อดห่วงไม่ได้... คุณป้าลองไปถามครามดูนะคะ วลัยคงทำได้แค่นี้ ไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามเพราะกลัวครามจะไม่พอใจ” ใบหน้าสวยหวานแสร้งตีให้เศร้าซึม

‘วลัยก็กลัวแต่ว่าจะเป็นพวกที่ไม่หวังดี จ้องจะจับครามแน่ๆ ... เพราะคงไม่มีคนดีๆ ที่ไหนหรอก จะไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่นแบบนี้’


คติยาฟังพรวลัยอย่างใจเย็น เธอนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่พรวลัยมั่นใจว่ายังไงมารดาของคามินก็ไม่มีทางอยู่เฉยๆ แน่

และพอพรวลัยรู้ว่าคุณนายคติยาลงทุนไปคุยกับคามินด้วยตัวเองก็คิดในใจคงต้องมีแตกหักและได้ผลอะไรบ้าง แต่พอเลขาฯ ส่วนตัวมารายงานผลเท่านั้น ใบหน้าสวยหวานก็หงิกงอราวกับโกรธแค้นใครมาทั้งชาติก็ไม่ปาน

“เธอว่าไงนะ?”

พรวลัยกำมือแน่นอย่างคลั่งแค้น เพราะเลขาฯ เธอรายงานมาว่ามารดาของคามินแทบไม่ได้ต่อว่าอะไรลูกชายของเธอเลยสักนิด หนำซ้ำยังปล่อยให้ปราณันต์อยู่ที่คอนโดของคามินต่อโดยไม่ว่าอะไรอีก


‘ก็ได้ ในเมื่อยืมมือคนอื่นไม่ได้ผล พรวลัยคนนี้จะลงมือเอง! ปราณันต์! ฉันจะไม่มีวันยอมให้แกแย่งคามินไปได้แน่ๆ คอยดู!’


เสียงหวานพูดอย่างแข็งกร้าว ใบหน้าสวยหวานหงิกงอบิดเบี้ยวราวกับไม่พอใจถึงขีดสุด

จากนี้ไปเตรียมตัวเจอของจริงได้เลยคามิน ปราณันต์!

.

.

.

--------------------------------------------------------

ใช่จ่ะ นี่แค่คำเตือน ตอนหน้า.. บอกเรยว่าเอาจริง!!

เราอยากจะขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุกคอมเม้นต์นะคะ อีกไม่นาน ก็น่าจะใกล้จบละล่ะ โค้งสุดท้ายแน้วววว ขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงตรงนี้น้าา อาจจะมีถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้างงง เนื่องจากมันเคยเป็นฟิคมาก่อน และเราก็เขียนมาหลายปีแล้ว อาจจะมีบ้งๆ เบียวๆ ตามประสาก็อยากจะกราบขออภัย เพราะถ้าให้รีไรท์ใหม่อย่างจริงจังอาจจะกระทบหลายอย่าง แต่ก็พยายามๆ จะปรับให้มันเหมาะสมมากที่สุดเท่าที่ทำได้ละกันน้าาาา

เหมือนเดิมค่ะ ชอบไม่ชอบตรงไหนคอมเม้นท์บอกกันได้ คำผิดคำเพี้ยนก็บอกได้เสมอ เพราะแต่ละตอนยาวมาก เราอาจจะมีตาลายและพลั้งเผลอไป ต้องขออภัยมา ณ ตรงนี้ด้วยยย

แล้วยังไงไว้เจอกันตอนหน้านะคะ เกียมหม้อน้ำตั้งไฟไว้รอเลย สปอยล์ไว้นิดว่าม่าแน่!! จะพยายามมาไม่เกินวัน พฤหัสไม่ก็ศุกร์ค่ะ ... รักทุกคนมากน๊าาา <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-03-2021 21:00:27
 :jul3: :jul3:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 23-03-2021 06:53:57
รออ่านอยู่จ้าา
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-03-2021 09:09:29
 :pig4:
:3123:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 23-03-2021 12:12:11
คลื่นใต้น้ำ ต้องมีอีกแน่นอน
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 23-03-2021 22:14:55
วลัยอย่าทำอะไรปราณกับน้องแฝดนะ ทำแค่คามินคนเดียวพอ :katai1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 22/03/64 [26th Lies: แรงปะทะแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-03-2021 23:12:16
อะ ใครจะเจ็บ

รอเล้ยยยยย
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 26-03-2021 21:15:28
27th Lies : พังทลายอีกครั้ง


หลังจากยืมมือมารดาของคามินมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างปราณันต์และคามินไม่สำเร็จ พรวลัยจึงต้องลงมาจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เธอให้คนไปตามสืบพฤติกรรมของคามินมาลับๆ ช่วงหนึ่งแล้ว รูปถ่ายระหว่างคามินและเด็กผู้ชายหน้าหวานคนนั้น วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงานของพรวลัยเต็มไปหมด

เธอหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู เป็นรูปของคามินกำลังยิ้มกว้าง เขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากของชายหนุ่มโผล่ตัวออกมาราวกับจะแสดงว่าเจ้าของของมันกำลังอารมณ์ดีมากแค่ไหน โดยแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของคนในภาพโอบอุ้มเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไว้ในอ้อมกอด ส่วนมือใหญ่ข้างหนึ่งของคามินกำลังกุมมือเล็กๆ ของผู้ชายหน้าหวานคนนั้นไว้... คนที่ชื่อปราณันต์

“พนิดา ฉันต้องการประวัติและข้อมูลของไอ้ผู้ชายคนนี้ทั้งหมด เอามาให้ละเอียด ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนฉันต้องการรู้ และก็เอามาให้เร็วที่สุดด้วย”

พรวลัยสั่งพนิดาเลขาส่วนตัวด้วยน้ำเสียงเผด็จการ คนถูกสั่งก็ได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก เพราะไม่รู้ว่าคำว่าเร็วที่สุดที่เจ้านายเธอต้องการนั้นมันคือเมื่อไหร่ จะถามก็ไม่กล้า เพราะกิตติศัพท์ความวีนแตกของพรวลัยนั้นไม่เคยเป็นรองใครอยู่แล้ว

“ได้ค่ะคุณวลัย นิดาจะรีบจัดการให้ค่ะ” ดังนั้น การรับปากไปก่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“งั้นก็รีบไปสิ จะมายืนโง่อยู่ตรงนี้ทำไม”

พรวลัยตวาดเสียงกร้าว ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวแสดงความไม่พอใจถึงขีดสุด เลขาฯ สาวถึงกับลนลานรีบเดินกึ่งวิ่งออกจากห้อง ทิ้งให้เจ้านายผู้ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวยิ่งกว่าใครนั่งอยู่ท่ามกลางกองรูปของคามินและปราณันต์ที่ดูเหมือนกำลังมีความสุข ขัดกับไฟที่กำลังสุมอกพรวลัยอยู่ตอนนี้เสียจริง

หญิงสาวกวาดรูปที่วางกองอยู่บนโต๊ะลงพื้น ยิ่งดูเธอยิ่งไม่พอใจ ในขณะที่คามินดูมีความสุขเหลือเกินยามอยู่กับผู้ชายคนนั้น แต่กับเธอยามอยู่ด้วยกัน คามินมีแต่ความเฉยชา ความไม่ยินดียินร้าย อย่าว่าแต่จะยิ้มเลย แม้แต่จะพูดด้วยสักคำยังยาก คามินจะนั่งนิ่งเป็นหุ่นจนทำให้เธอสุดแสนจะหงุดหงิด อยากจะตะโกนกรี๊ดใส่ซ้ำๆ เผื่อคามินจะเกิดทุกข์ร้อนขึ้นมาบ้าง เพราะสิ่งที่พรวลัยเกลียดที่สุดคือการถูกเมินไม่สนใจ

เธอได้แต่คิดอย่างเคียดแค้นว่าผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบเธอ มีอะไรบกพร่องตรงไหน เธอทั้งสาว ทั้งสวย น้ำเสียงก็น่าฟัง รูปร่างและทรวดทรงองค์เอวของเธอก็เป็นแบบที่ผู้ชายคนไหนๆ ก็ฝันถึง เธอสู้ปราณันต์คนนั้นไม่ได้ตรงไหน เธอมีอะไรที่ด้อยกว่ามันคนนั้นบ้าง เด็กนั่นทั้งจน ทั้งไม่แต่งตัว แถมยังมีน้องเล็กๆ ถึงสองคนที่เป็นภาระให้ดูแล ดังนั้น เธอจึงไม่เข้าใจคามินเลยว่า ไปหลงอะไรมันนักหนา ถึงได้เลือกที่จะไม่แคร์เธอได้ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นคู่หมั้นค้ำคออยู่ คงพามันเดินเชิดไปไหนมาไหนทั่วทั้งบริษัทแล้ว ตอนนี้คงไม่อยากให้มันอายหรือเป็นขี้ปากชาวบ้านเลยต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้วยกัน เหมือนพวกลักกินขโมยกิน...

พรวลัยคิดได้ถึงตรงนี้ก็ชะงักไป ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงสดกำลังแสยะยิ้มร้ายกาจ ดูเหมือนว่าเธอจะมีความคิดดีๆ ในการทำลายความสุขของคนทั้งสองแล้วล่ะ

.

.

.

หลังจากผ่านช่วงเวลาอกสั่นขวัญแขวนไปแล้ว ตอนนี้คามินกำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับปราณันต์ในห้องนั่งเล่น คนตัวเล็กทำเป็นหยิบนู่นจับนี่ไม่ยอมสนใจเขาสักนิด คนตัวโตกว่าเลยได้แค่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นี่ขนาดแม่มาออกตัวให้ขนาดนี้แล้ว ปราณันต์ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อีก คนอะไรใจแข็งชะมัด

“คุณปราณครับ มองผมหน่อย”

และถึงแม้คามินจะอ้อนแค่ไหน ปราณันต์ก็ยังไม่หวั่นไหว คนใจแข็งแกล้งทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินคนตรงหน้าที่จ้องแล้วจ้องอีกเรียก ตากลมเสมองไปทางเจ้าหนูน้อยฝาแฝดที่กำลังนอนระบายสีอยู่อย่างขะมักเขม้น จนสุดท้ายมือใหญ่ต้องยื่นมาประคองแก้มทั้งสองข้างของคนดื้อ แล้วรั้งให้หันกลับมาทางตน

“ทำไมเมินผมเด็กดื้อ” พูดไม่พูดเปล่า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกลับยื่นเข้ามาใกล้ พร้อมกับจุ๊บเบาๆ ลงบนริมฝีปากอิ่มสีสด และแน่นอนว่าพอคามินผละออก ปราณันต์ก็โวยวายทันที

“คุณนี่! ทำไมชอบทำแบบนี้ ถ้าเด็กๆ หันมาเห็นจะทำยังไง” แก้มทั้งสองข้างของคนที่กำลังโวยวายเสียงลอดไรฟันขึ้นสีแดงระเรื่อ คามินได้แต่นึกอยากฟัดอยู่ในใจแต่ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร เพราะกลัวเจ้าลูกแมวตัวใหญ่เล่นงานเอา

“ก็คุณปราณไม่สนใจผม” คนตัวโตกว่าพูดอย่างเอาแต่ใจ “สนใจผมหน่อยสิครับ แม่มาเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว ทำไมยังเมินผมอยู่อีกล่ะ”

คามินทวงถามตาใส ใบหน้าหล่อเหลาออกอาการออดอ้อนเต็มที่ ปราณันต์ได้แต่ทำหน้านิ่ง ทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก คามินเวอร์ชั่นนี้ปรากฎตัวถี่มากช่วงหลังจากกลับมาคบกัน ... จะเรียกว่ากลับมาคบกันก็คงไม่ถูกนัก เรียกว่าถูกบังคับให้กลับมาคบจะดีกว่า

ปราณันต์ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ ทีเวลาคามินอยู่ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะเวลาอยู่ที่บริษัท ก็เห็นทำหน้าตาย นิ่ง ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับเรื่องรอบข้างได้ แต่ทำไมพอเวลาอยู่กับเขาลูกเล่นของคนๆ นี้ถึงได้แพรวพราวนัก พักหลังยิ่งเอาใหญ่ เป็นมากกว่าตอนที่จีบเขาแรกๆ เสียอีก

“นั่นมันเรื่องของคุณกับครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของผม” ปราณันต์ยังคงเถียงไม่ลดละ ใบหน้าน่ารักออกอาการดื้อดึงอย่างเห็นได้ชัด ลองถ้าปราณันต์ไม่ยอม ยังไงเขาก็ไม่ยอม ที่ผ่านมาคามินทำกับเขาไว้มากขนาดไหน เขายังจำมาจนถึงทุกวันนี้ กับอีแค่แม่ของอีกฝ่ายมาพูดไม่กี่ประโยค จะให้เขาทำใจเชื่อได้ทันทีเลยหรือไงว่าคามินอยากจะกลับมาคบกับเขาจริงๆ


... บางทีเรื่องบางเรื่องมันใช้แค่การกระทำพิสูจน์ไม่ได้หรอก การกระทำมันต้องมาควบคู่กับคำพูด แล้วมาจนถึงวันนี้ คามินได้พูดถึงความรู้สึกตัวเองออกมาชัดๆ ให้ปราณันต์ได้รู้บ้างรึยัง คำตอบคือไม่เคยเลย ไม่มีคำพูดนั้นเลยสักครั้ง ...


และพอนึกได้แบบนั้น ลำคอขาวของร่างบางก็ตั้งตรงอีกครั้ง ปราณันต์ไม่ยอมสบตาคามินเลยตั้งแต่พูดประโยคนั้นจบ จนคามินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเขยิบร่างกายใหญ่โตเข้ามาหาปราณันต์นั่นแหละ เขาถึงได้รู้ตัวว่าถูกคนตรงหน้ากักตนเองไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว

อ้อมกอดอบอุ่นรัดตัวปราณันต์ไว้เบาๆ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนใจ

“คุณปราณ ทำไมใจแข็งจังเลยครับ ที่ผ่านมาผมยังพิสูจน์ตัวเองให้คุณเห็นไม่มากพออีกหรอว่าผมจริงจังกับคุณมากแค่ไหน ให้โอกาสผมหน่อยได้ไหมครับคนดี”

จมูกโด่งไล้ไปมาที่แก้มใสของคนในอ้อมแขนที่ตอนนี้กำลังดิ้นดุ๊กดิ๊ก เพื่อประท้วงให้อีกฝ่ายปล่อยอย่างไม่ยอมแพ้

“คุณทำอะไร คุณพิสูจน์อะไรให้ผมเห็นบ้าง เรื่องที่คุณบังคับผมให้มาอยู่ด้วย? เรื่องที่คุณหลบๆ ซ่อนๆ ผม ไม่ให้คู่หมั้นคุณรู้? แล้วเรื่องอะไรอีกนะ เรื่องที่คุณขู่จะไล่เพื่อนผมออกจากงาน? นั่นคือทั้งหมดที่คุณพูดว่าคุณทำเพื่อผมใช่ไหมครับคุณคามิน”

ปราณันต์เริ่มโมโห เมื่อเห็นว่าคามินพูดทวงความดีความชอบของตัวเอง โดยที่ไม่ได้มองถึงความเอาแต่ใจที่ได้ทำลงไปเลยสักนิด แบบนี้จะมาพูดว่าทำเพื่อเขาหน้าตาเฉยได้ยังไงกัน

“ผมขอโทษ แต่ผมมันก็เป็นแบบนี้ ผมแสดงความรู้สึกไม่เก่ง ผมไม่รู้ว่าจะมีทางไหนบ้างที่จะรั้งให้คุณกลับมาหาผมได้ ผมรู้ว่าแต่ละเรื่องที่ผมทำไปมันเห็นแก่ตัว แต่จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อผมเสียคุณไปไม่ได้จริงๆ”

คามินพูดออกมายาวเหยียด ตากลมสบนิ่งไปที่ดวงตาเรียวคมของคามิน ดวงตาที่เขาเคยรักและหลงใหลมากที่สุด ปราณันต์พยายามรวบรวมความกล้า แล้วเสี่ยงกับคนตรงหน้าดูอีกสักครั้ง

“แล้วทำไมคุณถึงเสียผมไปไม่ได้ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากรั้งให้ผมอยู่กับคุณ”

หลังจากถามออกไป คนตัวเล็กกว่าก็กำมือเข้าหากันแน่น ฟันซี่งามขบลงบนริมฝีปากล่างตัวเองเหมือนกับคนเครียดที่หาทางระบายออกไม่ได้ ตากลมสบนิ่งไปที่ตาคม ปราณันต์ต้องการรู้ และสิ่งที่โกหกกันยากที่สุดคือดวงตา เขาจะไม่ยอมถูกคามินหลอกซ้ำหลอกซากอีกแน่ๆ

ปราณันต์กำลังเสี่ยงดวง เขาจะยอมเสี่ยงเพื่อความรักของตัวเองอีกครั้ง ขอเพียงคามินบอก ตอบเขาออกมาด้วยใจจริง เขาจะยอมละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด และให้อภัยคนตรงหน้าอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าคำตอบไม่ออกมาเป็นอย่างที่เขาคิด เขาคงจะต้องยอมแพ้ แล้วเลิกหวังอะไรลมๆ แล้งๆ เสียที

“ปราณ ... ผม.. คือ ... ผม” คามินอึกอัก ไม่สามารถตอบคำถามของปราณันต์ได้ และในขณะเดียวกัน แววตาคมคู่นั้นที่เคยมั่นใจในตัวเองเกือบทุกเรื่องก็แสดงออกถึงความลังเลอย่างเห็นได้ชัด

และเมื่อภาพที่ปราณันต์เห็นเป็นเช่นนั้น มือบางก็ค่อยๆ ดันอกคนตรงข้ามออกช้าๆ รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฎอยู่บนริมฝีปากอิ่ม ปราณันต์ก้มหน้าซ่อนน้ำตาไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะร้องขอให้คามินปล่อย

“พอเถอะครับ แค่นี้คุณยังตอบคำถามผมไม่ได้ คุณก็อย่าพยายามมันต่อไปเลย ปล่อยผมเถอะ”

แต่คามินยังคงดื้อดึง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องลังเล ไม่แน่ใจ มีเหตุผลอะไรที่เขาตอบปราณันต์ไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่คามินพยายามถามตัวเองอยู่เสมอ

“ปราณ ผม...”

และยังไม่ทันที่คามินจะพูดได้จบประโยค ปราณันต์ก็กลับพูดสวนออกมาก่อน เป็นสิ่งที่คามินคาดไม่ถึงว่าปราณันต์จะพูดมันออกมาตรงๆ

“แค่คุณจะพูดว่ารักผมจากใจของคุณจริงๆ คุณยังพูดไม่ได้เลย แล้วคุณจะหวังให้ผมเชื่ออะไรคุณอีก ... ผมเจ็บมามากพอแล้วคามิน ถ้าคุณไม่ได้รักผม คุณปล่อยผมไปได้ไหม อย่าทรมานผมแบบนี้อีกเลย ผมขอร้อง”

ปราณันต์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับคามินทั้งที่น้ำตาไหลนองตามสองข้างแก้ม คามินที่มองเห็นภาพตรงหน้าก็เจ็บในหัวใจไปหมด


....แค่จะพูดว่ารัก ทำไมมันถึงยากเย็น คามินได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ อย่างไม่เข้าใจ


ก่อนหน้านี้ที่พร่ำพูดให้ปราณันต์ได้ยินตลอดว่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของแผน ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ แต่พอถึงเวลาที่ต้องพูดจริงจัง คามินกลับพูดไม่ออก เขายอมรับว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกกับปราณันต์ยังไง โอเค ใช่ เขาเสียปราณันต์ไปไม่ได้ แต่มันมากพอจะเป็นความรักแล้วหรือยัง ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีความกล้ามาพอที่จะพูดคำๆ นั้นออกไป เขาไม่อยากโกหกปราณันต์ เขาอยากจะแน่ใจจริงๆ เพื่อที่เวลาบอกคำนั้นกับปราณันต์ เขาจะได้พูดมันอย่างภาคภูมิ ไม่มีอะไรให้ต้องติดค้างในใจกันอีก

แต่ปราณันต์กลับไม่คิดแบบนั้น เขาไม่สามารถรับรู้ความคิดของคามินได้ ตอนนี้ปราณันต์คิดแค่ว่าตัวเองเป็นของเล่นแก้เหงาสำหรับคนตรงหน้า ไม่มีค่า ไม่มีราคา ไม่มีอะไรทั้งนั้น แม้แต่ความรักสักเศษเสี้ยวที่เขาหวังว่าคามินจะมีให้เขาบ้างสักช่วงเวลาหนึ่ง คามินยังมีให้ไม่ได้เลย แล้วเขาจะยังคาดหวังอะไรได้อีก

ปราณันต์ปาดน้ำตาออกลวกๆ และพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงที่ตอนนี้คลายลงเพราะยังคงตกใจกับคำถามของปราณันต์เมื่อกี้อยู่ ก่อนที่เสียงหวานจะเอ่ยเรียกน้องชายทั้งสอง เพราะอยากจะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ เราไปอาบน้ำกันดีไหม เดี๋ยวดึกแล้วจะอากาศหนาวนะ”

เจ้าหนูทั้งสองก็แสนว่าง่าย พอพี่ชายเรียกก็จัดการเก็บสมุดสีที่ใช้ระบายลงกล่อง แล้วไปวางในที่ๆ มันควรอยู่อย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะลุกไปจูงมือเล็กๆ ของปราณันต์ แล้วเดินออกไปจากนั่งเล่นพร้อมกัน ทิ้งให้คามินนั่งหน้าเศร้า คิดแก้ปัญหาไม่ตก ตอนที่แม่มาช่วยพูด เขาก็คิดว่าเรื่องระหว่างเขากับปราณันต์ น่าจะไม่ยุ่งยากอะไรแล้ว แต่เขาคิดผิด ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับใครเลยทั้งนั้น มันอยู่ที่เขาเอง ตัวคามินคนนี้คนเดียว

คนตัวโตได้แต่พูดซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองว่าได้เวลาทบทวนความรู้สึกตัวเองอย่างจริงจังเสียที ก่อนที่เขาจะเสียปราณันต์ไปตลอดกาล

.

.

.

พรวลัยที่เพิ่งจะคิดแผนอะไรบางอย่างออก ก็เรียกเลขาฯ คนสนิทให้กลับเข้ามาหาตัวเองในห้องอีกครั้ง

“พนิดา เรื่องประวัติของเด็กนั่นให้คนอื่นไปทำต่อ ส่วนเธอเข้ามาหาฉัน ฉันมีงานสนุกๆ ให้เธอทำ รับรองไอ้เด็กปราณันต์นั่นได้ดังสมใจแน่”

เลขาฯ ของพรวลัยได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้ว่าพรวลัยจะสั่งให้ทำอะไร

“คุณวลัยสั่งนิดามาได้เลยค่ะ นิดาจะจัดการทุกอย่างไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว”

ริมฝีปากสีแดงสดของผู้หญิงสวยจัดตรงหน้าแสยะยิ้มร้ายกาจ ดวงตาเรียวเฉี่ยวภายใต้แพขนตาที่ดัดงอนไว้อย่างสวยงามสะท้อนไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพียงแค่นึกถึงแผนที่ตัวเองวางไว้ คู่หมั้นสาวของคามินก็แทบจะรอเห็นความหายนะของปราณันต์แทบไม่ไหว

ในเมื่ออยากจะแย่งของๆ เธอนัก ก็ประกาศให้รู้ทั่วบริษัทเลยเป็นไง ทุกคนจะได้รู้ว่าหน้าตาของคนที่ชอบแย่งของๆ คนอื่นมันเป็นยังไง แล้วตัวพรวลัยเองก็อยากรู้ด้วยว่าปราณันต์จะทนตากหน้าให้คนอื่นนินทาได้สักกี่น้ำ แล้วคนเย็นชาอย่างคามินล่ะ จะมีปัญญาปกป้องปราณันต์ได้ไหม เธอล่ะอยากจะรู้จริงๆ


หึ! แค่คิดก็สนุกเป็นบ้าแล้ว


“เอารูปพวกนั้น” พรวลัยชี้ไปที่พื้นห้องที่มีรูปของคามินและปราณันต์ตกกระจายอยู่ตอนที่เธอกวาดมันลงจากโต๊ะทำงาน โดยมีพนิดามองตามนิ้วเรียวสวยไปอย่างแปลกใจ ก่อนที่จะร้องอ๋อ เมื่อพรวลัยพูดประโยคถัดมา

“เลือกรูปที่เห็นปราณันต์ชัดๆ เอาไปติดประจานให้ทั่วออฟฟิศของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ จ้างคนเข้าไปติดอย่าให้ใครรู้ ฉันจะคอยดูน้ำหน้าของพวกที่มีความสุขนักหนา อยากจะรู้นัก มันจะแก้ปัญหากันยังไง”

พรวลัยหัวเราะเบาๆ ราวกับเจอเรื่องสนุกเสียเต็มประดา ส่วนเลขาฯ สาวก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่ละเรื่องที่พรวลัยให้เธอทำนั้นไม่ง่ายเลย ก่อนที่เธอจะพบว่าพรวลัยสามารถทำให้มันยากขึ้นไปกว่านั้นได้อีก

“ได้ค่ะคุณวลัย นิดาขอเวลาสัก...” พนิดายังพูดไม่ทันจบว่าจะขอเวลาสักสองสามวัน แต่วลัยกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน

“พรุ่งนี้ ฉันต้องการเห็นภายในวันพรุ่งนี้เท่านั้น พรุ่งนี้วันจันทร์ ฉันอยากให้อาทิตย์นี้เป็นการเริ่มต้นอาทิตย์ที่ดีของปราณันต์ หึ!”

“รับทราบค่ะคุณวลัย” พนิดาก็ต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้ ยังไงเสียพรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบจัดการให้เสร็จ

“ดี! แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปดูความย่อยยับของไอ้ปราณันต์ด้วยตาของตัวเอง ท่าทางคงจะสนุกพิลึก ฮ่าๆๆ”

วลัยพูดพลางหัวเราะอย่างชอบใจ พนิดาได้แต่เหลือบมองรูปในมือของตัวเอง แล้วแอบเอาใจช่วยผู้ชายหน้าหวานในรูป ศัตรูหัวใจของเจ้านายเธอ ให้อยู่รอดปลอดภัย และเข้มแข็งพอจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยเถอะ

.

.

.

และแล้ววันจันทร์ก็มาถึง พรวลัยรอวันนี้ด้วยหัวใจจดจ่อ เธอแต่งตัวสวยเพื่อเตรียมตัวไปยังบริษัทของคามิน เธออยากจะรอดูน้ำหน้าของปราณันต์ ยามโดนคนทั้งออฟฟิศนินทาแบบไม่เกรงใจ เธออยากรู้เหลือเกินว่าคนหน้าด้านแบบนั้นจะมีปัญญาแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไง

ทางฟากคามินกับปราณันต์ตั้งแต่คำถามที่คนตัวเล็กกว่าถามมาเมื่อวานแล้วคามินให้คำตอบไม่ได้ ก็ดูเหมือนว่าวันนี้ปราณันต์จะนิ่งเฉยกว่าเดิมเยอะมาก หลังจากส่งฝาแฝดและร่ำลาพวกแกที่โรงเรียนอนุบาลเสร็จ ระหว่างทางไปออฟฟิศปราณันต์ก็นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จากับคามินตลอดทาง คนตัวโตถามอะไรก็ตอบมาเป็นคำๆ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คามินหงุดหงิดใจที่สุด

“คืนนี้ผมไม่ให้คุณปราณหนีไปนอนห้องน้องเหมือนเมื่อคืนแล้วนะครับ ผมรอให้คุณกลับมาทั้งคืนเลยรู้ไหม”

ปราณันต์ไม่ตอบแต่กลับผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ท่าทางเฉยเมยของคนตัวเล็กกว่า ยิ่งทำให้คามินหงุดหงิด

เมื่อคืนหลังจากพาเด็กๆ ไปอาบน้ำ ปราณันต์ก็เข้าไปขลุกอยู่ในห้องของปุณณกันต์กับปัณณธรไม่ยอมออกมา ตอนแรกคามินก็วางใจเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังอ่านนิทานกล่อมให้น้องหลับอยู่ เขาเองก็ตั้งใจว่าถ้าปราณันต์กลับมาที่ห้องเขาก็จะพูดให้ร่างบางรู้ถึงเหตุผลที่เขาให้คำตอบที่ปราณันต์ต้องการทันทีไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร

แต่คามินรอแล้วรอเล่า รอจนดึกปราณันต์ก็ไม่กลับเข้ามา เขาเลยตัดสินใจไปตามคนดื้อตาใสถึงห้องของเด็กแฝด แต่ปรากฎว่าปราณันต์กลับล็อคห้องทำให้เขาเข้าไม่ได้ คามินเองก็ไม่อยากจะเคาะหรือทำอะไรที่เสียงดังให้เด็กๆ ที่อาจจะหลับไปแล้วตกใจตื่น เลยต้องถอยร่นกลับมาที่ห้องตัวเอง แล้วนอนเหงาๆ พลิกไปพลิกมาจนเกือบจะเช้านั่นแหละ

“คุณปราณครับ ผมพูดกับคุณอยู่นะ” เมื่อเห็นว่าคนข้างกายยังเฉย คามินจึงย้ำเสียงเข้ม และยิ่งพอปราณันต์ไม่หือไม่อือ ยิ่งทำให้คามินอยากจะจับคนดื้อที่กำลังทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวมาฟัดจูบให้หายทำมึนตึงกับเขาเสียที

“…” ปราณันต์ก็ยังคงนิ่ง ไม่ตอบโต้

“ถ้าอีกรอบไม่หันมา ผมจะจับคุณจูบให้ขาดใจเลยคอยดู” คามินยื่นคำขาด นั่นทำให้ใบหน้าสวยหวานหันขวับมา พลางใช้ตากลมโตค้อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แบบที่ให้รู้ว่าคนมองไม่กำลังไม่พอใจสุดๆ

“คุณมันก็ดีแต่ใช้กำลังกับผม แล้วแบบนี้ยังจะอยากให้ผมคุยดีๆ กับคุณอีกหรอ?” เสียงหวานสั่นพร่า ราวกับว่าคนพูดเองก็เจ็บในหัวใจไม่น้อย ทำเอาคนได้ยินอย่างคามินเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาฉับพลัน

“ผมขอโทษ ผมแค่ไม่อยากให้คุณปราณเมินผม” คนตัวโตพูดพลางใช้มือใหญ่เอื้อมไปเกี่ยวรั้งเอวบางของคนตัวเล็กกว่าไว้ พลางก้มลงกดจูบเบาๆ ลงบนลาดไหล่เรียวราวกับอยากจะง้องอน

“ปล่อยเถอะครับ จะถึงออฟฟิศแล้ว” ปราณันต์ดิ้น แต่คามินก็ยังคงโอบกอดร่างบางไว้ไม่ยอมปล่อย

“อยู่แบบนี้อีกแปปนึงไม่ได้หรอครับ”

จมูกโด่งเป็นสันของคนตัวโตไล้ไปมาเบาๆ ที่ลำคอขาวของปราณันต์อย่างไม่ยอมแพ้ คามินไม่สนใจหรอกว่าต้องใช้วิธีไหน ขอแค่ให้ปราณันต์ใจอ่อนลงเป็นพอ เพราะความมึนตึงจะยิ่งทำให้เขากับคนตรงหน้านี้ห่างกัน แค่นี้อุปสรรคระหว่างเขาสองคนก็มากเกินพอแล้ว ถ้าคามินสามารถรักษาพื้นที่ระหว่างเขากับปราณันต์ในเวลานี้ไว้ได้ ถึงแม้มันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยขอแค่มันไม่เพิ่มปัญหาระหว่างเขากับปราณันต์ให้มากขึ้นไปกว่านี้ก็ยังดี

รถที่แทนคุณขับพาปราณันต์กับคามินมาที่ออฟฟิศค่อยๆ จอดเทียบหน้าประตูใหญ่ ร่างบางหันมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก เพราะมัวแต่ดิ้นสะบัดให้ตัวเองหลุดจากอ้อมกอดแข็งแรงของคนตัวโตนี่ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้แทนคุณขับรถมาจ่ออยู่ที่หน้าประตูใหญ่แล้ว

“คุณแทนคุณ ทำไมวันนี้ไม่ไปประตูหลังล่ะครับ” ปราณันต์ถามแทนคุณเสียงหลง “ผมจะลงตรงนี้ได้ยังไง เกิดคนอื่นเห็นขึ้นมา..”

ปราณันต์พูดไม่จบประโยคเพราะตัวเขาเองก็ไม่กล้าจินตนาการว่าถ้ามีคนรู้เรื่องระหว่างเขากับคามินแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไหนจะสายตาของคนทั้งบริษัท แล้วไหนจะคุณพรวลัยคู่หมั้นของคามินอีก...

ตากลมหลับลงช้าๆ ราวกับอยากจะสกัดกั้นทุกจินตนาการ ทุกความฟุ้งซ่าน เพราะไม่อยากจะทำให้ตัวเองวุ่นวายใจไปมากกว่านี้ และคามินเองก็เหมือนจะรู้ว่าปราณันต์กำลังคิดอะไร จึงใช้มือใหญ่ลูบศีรษะกลมเบาๆ พลางปลอบประโลมด้วยคำพูดที่อ่อนโยน น้ำเสียงที่ฟังกี่ทีปราณันต์ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสามารถทำให้เขาสงบลงได้เสมอ ไม่ว่าตอนนั้นจะกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ก็ตาม

“คุณปราณลงตรงนี้แหละครับ ลงไปคนเดียวไม่มีใครสงสัยหรอก เดี๋ยวผมไปลงข้างหลังเอง ทางตรงนั้นมันข้าวของเยอะ เดินลำบาก ไม่ต้องกังวลนะครับคนดี”

พอพูดจบริมฝีปากหยักก็จูบลงบนขมับของคนในอ้อมกอดเบาๆ ก่อนที่คามินจะยอมคลายวงแขนเพื่อให้ปราณันต์เป็นอิสระ นั่นทำให้คนตัวเล็กกว่ารีบคว้ากระเป๋าแล้วผลุนผลันลงจากรถทันที เพราะกลัวว่าถ้าช้าอีกแม้แค่วินาทีเดียว คามินจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเอง .... ปราณันต์แพ้เสมอเวลาที่คามินดูแลและเอาใจใส่ ไม่มีทางเลยที่จะชนะสักครั้ง ไม่มีทาง

.

.

.

หลังจากเข้ามาในออฟฟิศได้ ปราณันต์ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพื่อนพนักงานต่างจับจ้องและมองเขาแปลกๆ เสียงซุบซิบนินทาดังออกมาจากทั่วทุกตารางนิ้วที่ปราณันต์เดินผ่าน คนตัวเล็กได้แต่เดินกำมือแน่นไปตลอดทางที่จะไปห้องทำงานของทีมโปรเจ็กต์พิเศษ เขาทั้งกังวลและไม่สบายใจ เมื่อกี้ปราณันต์ก็ว่าสำรวจดีแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านมาถึงได้ยอมลงจากรถ และถึงแม้ว่าจะมีคนเห็นว่าเขาลงจากรถ แต่ก็ไม่น่าจะมีใครได้เห็นคามินที่นั่งอยู่ด้านใน ปราณันต์คิดว่ายังไงเขาก็คงไม่โชคร้ายโดนจับได้เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้แน่ๆ


แต่ถ้าปราณันต์รู้ว่าวิธีเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคามินเป็นการที่คนอื่นได้เห็นเขาก้าวลงจากรถคามินน่าจะดีกว่าการถูกเปิดเผยความสัมพันธ์แบบที่พรวลัยยัดเยียดให้เขาเจอ...


ปราณันต์พยายามทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะสาวเท้าให้เร็วขึ้น มือบางล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง เพื่อหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่งขึ้นมา ก่อนจะพบว่าเขาลืมเปิดเสียงมันไว้ นั่นทำให้มีเบอร์ที่เขาไม่รับทั้งของนทนัทและกันต์กวีรวมยี่สิบกว่าสาย ตากลมเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่นทกับกวีถึงกระหน่ำรัวโทรหาเขาแบบนี้

พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์ก็โทรกลับหานทนัชทันที และเมื่อนทนัชรับสาย ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ปราณันต์เดินมาถึงหน้าห้องทำงานของทีมโปรเจ็กต์แล้ว

“ปราณ! หายไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงนทนัชที่ดังทะลุโทรศัพท์ออกมาควรจะทำให้ปราณันต์ตกใจ แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ปราณันต์ตกใจกลับเป็นรูปของตัวเองและคามินที่กำลังติดหราอยู่ที่บอร์ดข่าวสารของทีมหน้าห้องมากกว่า รูปที่มองยังไงก็เห็นได้ชัดเจนว่าสองคนในภาพไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแค่เจ้านายกับลูกน้อง

“นี่มัน...” เสียงปราณันต์แทบจะเลือนหายไปในคอ นทนัชเองพอได้ยินเสียงปราณันต์เป็นแบบนั้นก็นึกรู้ได้ทันทีว่ารุ่นน้องในทีมของตนคงได้เห็นภาพพวกนั้นที่ติดว่อนไปทั่วบริษัทแล้ว

หัวหน้าทีมร่างเล็กจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วก็ได้เห็นรูปร่างบอบบางของปราณันต์หยุดยืนอยู่หน้าห้อง ขนาดมองไกลๆ จากตรงนี้ นทนัชยังเห็นได้ชัดเจนว่าปราณันต์กำลังตัวสั่น มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ตกลงมาข้างตัวคล้ายคนกำลังหมดเรี่ยวแรง

“ปราณ!” นทนัชกดวางสาย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้ววิ่งเข้าไปหาปราณันต์ที่ยืนเหมือนกำลังจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ทันที โดยมีกันต์กวีที่เพิ่งมาถึงวิ่งตามมาติดๆ

“พี่นท.. นี่มันอะไรกันครับ” ปราณันต์หันไปถามนทนัชด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ใบหน้าหวานสวยกลับซีดขาวลงทันตาเมื่อได้เห็นว่าภาพของเขาคามินติดหราอยู่หน้าห้องทำงานแบบนี้... ยังไงก็ต้องมีคนได้เห็นมันแล้ว มาจนถึงตอนนี้ปราณันต์ก็ได้แต่หลับตาลงช้าๆ เหมือนกับรับรู้และเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมตลอดทางที่เขาเดินผ่านมา คนในออฟฟิศถึงได้มองเขาแบบนั้น

ในภาพเป็นรูปที่คามินกำลังใช้แขนแข็งแรงโอบรอบเอวของผู้ชายร่างบางคนหนึ่งไว้ ร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดติดกัน และในรูปนั้นคามินกำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนๆ นั้น ซึ่งมันดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่คามินกลับไม่ได้ทำแค่พูด จมูกโด่งของเจ้าของใบหน้าคมคายนั่น ก็กำลังฉกลงบนแก้มขาวของคนที่อยู่ในอ้อมแขนด้วย และคนในอ้อมแขนของคามินก็คือ เขาคนนี้... ปราณันต์

และที่เลวร้ายไปกว่านั้น ในภาพที่ทุกคนเห็นตรงกลางมีข้อความว่า


‘นี่สินะ เหตุผลที่แท้จริงของการที่ปราณันต์ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมทีมโปรเจ็กต์ของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้’


กันต์กวีเมื่อพอได้เห็นภาพและข้อความเหล่านั้นก็สบถคำหยาบคายออกมายาวเหยียดจนนทนัชห้ามไว้แทบไม่ทัน และในขณะที่คิดว่ากำลังจะเอายังไงกันดีอยู่นั้น ประตูห้องทำงานก็เปิดออก เพื่อนร่วมทีมสองคนกำลังเดินออกมา นทนัชจึงต้องดึงกึ่งลากปราณันต์ที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงเพราะตกใจให้มาหลบข้างเสาต้นใหญ่ เพราะการที่จะให้คนอื่นเห็นปราณันต์ในเวลานี้นั้นมันน่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

“นี่นายเห็นรูปปราณันต์กับท่านประธานรึยัง?”

ดูเหมือนว่าหัวข้อสนทนาที่เพื่อนร่วมทีมโปรเจ็กต์กำลังกล่าวถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ปราณันต์อยากได้ยินเท่าไหร่ คนตัวเล็กที่ดูเปราะบางเหลือเกินในเวลานี้พิงร่างเข้ากับเสา พลางหลับตาลงช้าๆ เผื่อว่าเรื่องที่เขากำลังจะได้ยินมันจะเลือนหายไป ไม่ต้องมารับรู้ให้เจ็บปวดแบบนี้อีก แต่ความจริงมันกลับตรงกันข้ามเพราะทุกประโยคที่สองคนนั้นกำลังพูดถึง ดังเสียดแทงทะลุและเฉือนหัวใจปราณันต์จนเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี

“เห็นแล้ว ตอนแรกก็แปลกใจนิดหน่อย ว่าทำไมท่านประธานถึงเลือกเด็กขนาดนี้เข้ามาร่วมทีม แต่ตอนนี้ไม่แปลกใจละ... เหอะ!”

น้ำเสียงดูถูกดังก้องกังวานไปทั่วทางเดิน ปราณันต์ได้แต่กลืนก้อนสะอื้นลงคอเงียบๆ แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ห้ามร้องไห้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ ในเมื่อเขาเองก็รู้ว่าสักวันเรื่องแบบนี้มันต้องเกิด เขาก็ต้องทำใจและผ่านมันไปให้ได้ แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

แต่การจะทำให้ได้แบบนั้น มันไม่ได้ง่ายแบบที่ปราณันต์คิด เมื่อประโยคที่คนเหล่านั้นพูดต่อมาทำให้ปราณันต์ทั้งจุกและเจ็บจนเหมือนจะพูดไม่ออกไปตลอดชีวิต


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 26-03-2021 21:24:44
(อ่านต่อจากด้านบน)


“เออจริง ง่ายดีว่ะแบบนี้ คงยอมอ้าขาให้ท่าประธานไม่กี่ครั้งเลยมาไกลได้ขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าปราณันต์นี่แม่งก็โคตรน่าฟัดจริงๆ นั่นแหละ ถ้าท่านประธานจนหลงจนโงหัวไม่ขึ้น ฉันก็ว่าไม่น่าแปลกใจว่ะ ฮ่าๆๆๆ”

ถ้อยคำดูถูกที่ปราณันต์ได้ยิน เหมือนมีดที่กำลังกรีดหัวใจเขาช้าๆ ปราณันต์ได้แต่คิดว่าเขาจะแก้ตัวได้ยังไง ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ในเมื่อความเป็นจริงมันก็มีส่วนถูกตามที่คนเหล่านั้นพูดไม่น้อย ถึงแม้การที่เขาจะยอมนอนกับคามินไม่ใช่เหตุผลโดยตรงที่ทำให้เขาได้เข้าทีมโปรเจ็กต์ แต่มันก็เป็นเหตุผลโดยอ้อมที่คามินเลือกจะเอามาใช้เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเขา แล้วแบบนี้มันจะต่างจากที่คนพวกนั้นพูดตรงไหนล่ะ ในเมื่อเขาก็ใช้ร่างกายในการได้มาซึ่งตำแหน่งในทีมพิเศษจริงๆ

น้ำตาเม็ดเล็กไหลกลิ้งลงมาจากดวงตากลมช้าๆ ปราณันต์นึกตัดพ้อต่อพระเจ้าอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ เมื่อไหร่เขาถึงจะมีความสุขได้แบบคนอื่นบ้าง พระเจ้ายังลงโทษเขาไม่พออีกหรือยังไง

“ไม่ต้องไปฟังนะปราณ ไม่ต้องไปฟัง” กันต์กวีเกลี่ยน้ำตาของเพื่อนสนิทออกจากแก้มใสด้วยหัวใจที่ร้อนรน เห็นปราณันต์เจ็บเขาก็เจ็บไม่ต่าง

และในขณะที่กันต์กวีกำลังจะออกไปห้ามปรามให้คนพวกนั้นหยุดพูดถึงปราณันต์ในทางเสื่อมเสีย เพราะคนผิดไม่ใช่ปราณันต์ของเขาที่คนอื่นจะมากล่าวโทษได้แบบนี้ ถ้าอยากจะพูดเลวๆ ถึงใครสักคน ก็โน่น! ไอ้ประธานสารเลวโน่น! มันนั่นแหละที่ทำให้ปราณันต์ของเขาต้องเจ็บเหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้

และก่อนที่กันต์กวีจะได้เข้าถึงตัวคนพวกนั้น คามินที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ ก็พุ่งตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของไอ้คนที่มันกำลังดูถูกปราณันต์ของเขาทันที คามินดันร่างที่กำลังสั่นเพราะตกใจของผู้ชายคนนั้นไปติดกำแพง ดวงตาวาวโรจน์ของท่านประธานแห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ทำเอาคนที่ถูกตรึงไว้ถึงกับหน้าซีด ขาสั่นเพราะความหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้

“ทะ.. ท่าน ... ท่านประธาน”

“ใช่ ฉันเอง” คามินตอบรับเสียงเย็น “ไหนลองพูดถึงปราณันต์แบบนั้นอีกรอบสิ ฉันสาบานเลยว่าจะเลาะฟันนายออกมาให้หมดปาก เอาไว้ให้หมามันแทะเล่น แบบนั้นนายว่าดีไหม”

เสียงทุ้มที่เคยมีเสน่ห์กลับเย็นเยียบ คำพูดที่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะทำได้จริง แต่เมื่อฟังคนตรงหน้าพูดแล้วก็พบว่าถ้าคามินจะทำก็คงไม่ยาก นั่นยิ่งทำให้พนักงานปากรั่วคนนั้นตัวสั่นงันงกยิ่งกว่าเดิม

“ผะ ผม ผมขอ.. ขอโทษครับท่าน ท่านประธาน”

“จำเอาไว้ อย่าให้ฉันได้ยินนายพูดถึงปราณันต์ ‘ของฉัน’ แบบนั้นอีก ถ้าฉันได้ยิน นายจะไม่ได้แค่โดนไล่ออก แต่ฉันเอานายถึงตายแน่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู”

คามินรั้งคอเสื้อของผู้ชายคนนั้นให้สูงขึ้นไปอีก นั่นยิ่งทำให้มันรัดแน่นที่คอจนผู้โชคร้ายคนนั้นแทบหายใจไม่ออก ซึ่งการทำแบบนี้ของคามิน เป็นการเตือนกลายๆ ว่าเขาเอาจริงและเขาทำมันแน่ ถ้ามันยังขืนปากรั่วทำให้ปราณันต์ของเขาเสียหายอีก

กันต์กวีที่เห็นภาพตรงหน้าก็กลับยิ่งโมโหคามินยิ่งกว่าเดิม ตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ๆ แต่กลับไปโทษคนอื่น ยิ่งคิดกันต์กวียิ่งแค้น เพราะตั้งแต่ปราณันต์มีคามินเข้ามาในชีวิต เรื่องแย่ๆ ก็เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่มีไอ้สารเลวนี่สักคน ปราณันต์ก็คงไม่ต้องเสียใจซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้หรอก

และพอคิดได้ดังนั้น กันต์กวีก็ถลาเข้าไปผลักท่านประธานที่ใครๆ ก็หวาดกลัว จนคนรูปร่างสูงใหญ่แบบคามินถึงกับเซถอยหลัง มือใหญ่ที่เคยรั้งคอเสื้อของผู้ชายคนนั้นไว้ก็หลุดออก ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้ชายโชคร้ายคนนั้นถึงกับรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับเพื่อน เพราะไม่อยากเดือดร้อนไปมากกว่านี้

“ไอ้สารเลวเอ๊ย ยังมีหน้าไปโทษคนอื่นอีก เพราะมึงคนเดียวนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เมื่อไหร่จะออกไปจากชีวิตปราณสักทีวะ”

กันต์กวีตวาดดังลั่น พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาหาคามินอย่างไม่เกรงกลัว คนที่ถูกไล่ให้ออกไปจากชีวิตปราณันต์จ้องกันต์กวีตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนพายุลูกเล็กๆ กำลังก่อตัวขึ้นในใจของคามิน ขนาดที่ว่าแทนคุณที่ทำท่าจะเข้ามากันยังต้องล่าถอย เมื่อคามินโบกมือปัด ไม่ให้แทนคุณเข้ามายุ่ง

“แล้วเกี่ยวอะไรกับนายด้วย คนที่คุณปราณไม่เอาและไม่ต้องการอย่างมึงมีสิทธิ์มาสั่งอะไรกู มีปัญญาได้แค่แอบชอบก็ทำไปสิ แต่เผอิญกูมีปัญญาได้ครอบครองว่ะ กูเลยไม่จำเป็นต้องฟังคำคนขี้แพ้อย่างมึง”

คามินสวนกลับอย่างเจ็บแสบ ทำเอากันต์กวียิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิม และเมื่อคามินทำท่าจะเดินเข้ามาหาปราณันต์ กันต์กวีจึงเข้าไปขวางไว้

“คุณปราณไปกับผม” คามินยื่นมือใหญ่ไปตรงหน้าปราณันต์ แต่กันต์กวีก็ยังคงขวางไว้ไม่ยอมหลบ “หลีกไป!”

เสียงทุ้มตวาดกร้าว แต่ก็ไม่ได้ทำให้กันต์กวีสะเทือนสักนิด

คามินกำมือเข้าหากันแน่น ก่อนจะอาศัยจังหวะที่กันต์กวีเผลอหันไปมองปราณันต์ ผลักไอ้คนที่สาระแนไม่เข้าเรื่องออก กันต์กวีล้มลงบนพื้น ปราณันต์ตกใจจะถลาเข้าไปช่วย แต่คามินฉุดและกระชากข้อมือเล็กได้ก่อน จนทำให้ร่างบางถูกดึงให้เข้ามาปะทะเข้ากับอกเขาแทน

“มานี่ ไม่ต้องไปสนใจมัน”

คามินพูดอย่างหงุดหงิดและเอาแต่ใจ เขาอุตส่าห์รีบลงมาหาปราณันต์ทันทีที่เห็นภาพพวกนั้น ขณะกำลังจะเดินไปขึ้นห้องทำงาน ใจของคนตัวโตร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อนึกว่าปราณันต์จะตกใจและทำตัวไม่ถูกมากแค่ไหนเมื่อได้เห็นภาพพวกนี้ ปราณันต์ที่พยายามปิดบังความสัมพันธ์นี้ไม่ให้ใครรู้คงกำลังรับมือสถานการณ์แบบนี้ไม่ถูก ตัวเขาเองไม่ได้แคร์หรอกว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ เพราะยังไงวันนึงเขาก็ต้องถอนหมั้นจากพรวลัยและมาคบกับปราณันต์อยู่แล้ว จะรู้ตอนนี้หรือตอนไหนเขาก็ไม่สน แต่ร่างสูงก็แอบยอมรับว่าลึกๆ แล้วเขาเองก็ดีใจเหมือนกันที่มันเป็นแบบนี้ จะว่าๆ เป็นการผูกมัดปราณันต์ไว้อีกทางก็ได้ เขายอมรับว่าเขาเองก็รู้สึกดีที่เรื่องนี้เกิดขึ้นมา

แต่ปราณันต์คงรู้สึกตรงกันข้าม พอนึกได้แบบนั้นเขาก็รีบตรงดิ่งมาที่ห้องของทีมโปรเจ็กต์ทันที และก่อนที่จะได้เจอปราณันต์ เขาก็ได้ยินไอ้ปากรั่วสองคนนั้นพูดถึงคนตัวเล็กของเขาในทางไม่ดีเสียก่อน คามินยอมรับว่าเลือดขึ้นหน้ามาก ถ้าฆ่ามันได้ก็คงทำไปแล้ว และตอนนี้แทนที่ปราณันต์จะสนใจเขา กลับไปอาลัยอาวรณ์เป็นห่วงไอ้กันต์กวีที่เสนอหน้าไม่เข้าเรื่องนั่นอีก ซึ่งมันยิ่งทำให้คามินหงุดหงิดและโมโหมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ปล่อยนะ คุณยังทำร้ายผมไม่พออีกหรือไง” ปราณันต์เริ่มดิ้นและงอแงอีกครั้ง คามินได้แต่รัดวงแขนให้แน่นกว่าเดิม เขาจะไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กกว่าไปไหนทั้งนั้น ตอนนี้การพาปราณันต์ไปให้พ้นจากตรงนี้และไม่ให้คนอื่นเห็นเอามานินทาได้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ไปกับผม ผมมารับคุณ” คามินพยายามไม่ต่อความยาวสาวความยืด เขาตั้งใจจะมาพาปราณันต์ไป ดังนั้นเขาก็ต้องทำตามความตั้งใจนั้นให้สำเร็จ

แต่กันต์กวีที่ลุกขึ้นมาจากพื้นได้ก็ไวไม่แพ้กัน หนุ่มเหนือเพื่อนสนิทของปราณันต์ ยื่นมือมารั้งแขนเรียวของปราณันต์ไว้อีกข้าง ไม่ยอมให้คามินพาปราณันต์ไปได้ง่ายๆ

“ไม่ได้ยินหรือไงว่าปราณบอกให้ปล่อยน่ะ” กันต์กวีเองก็ไม่ได้ละความพยายามในการกีดกันไม่ให้คามินพาปราณันต์ไปได้

ซึ่งนทนัชเองที่เห็นความอลหม่านตรงหน้าก็ได้แต่ละล้าละลังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี แทนคุณเองก็ไม่ต่าง เขาอยากเข้าไปช่วยเจ้านายตัวเองแทบแย่ แต่ท่านประธานสั่งว่าไม่ให้ยุ่ง เขาก็เลยไม่กล้ายุ่ง ได้แต่มองและตั้งใจว่าถ้ากันต์กวีทำร้ายท่านประธานหรือคุณปราณันต์ให้บาดเจ็บแม้แต่น้อย เขาจะเข้าปะทะทันที

และในขณะที่ทุกคนกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น ก็ดูเหมือนว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฎตัวขึ้นมากลางปล้อง เสียงหวานราวน้ำผึ้ง พูดถ้อยคำที่ไม่ได้น่าฟังเลยสักนิดออกมา ซึ่งดูเหมือนจะหยุดการกระทำของทุกคนได้อย่างชะงักงัน

“ว่าไงคะ แย่งอะไรกันอยู่หรอ หรือว่ากำลังแย่งคนสำส่อนกันอยู่?”

พรวลัยเดินเข้ามาพร้อมกับใช้คำพูดดูถูกปราณันต์อย่างรุนแรงจนคามินโกรธจัด แต่เธอก็ยังไม่หยุดเธอยังคงโหมกระพือไฟโทสะของคามินให้ลุกลามขึ้นไปอีก

“ดูสินิดา” วลัยทำทีเป็นพูดกับเลขาฯ ส่วนตัวที่เดินเข้ามาพร้อมเธอ “ท่าทางจะลีลาดี ผู้ชายถึงได้รุมแย่งรุมตอมให้หึ่งขนาดนี้ หึ!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ พรวลัย!” คามินตวาดด้วยความโมโห แล้วพอคนตัวโตหันไปมองคนข้างตัว ก็ได้เห็นว่าใบหน้าสวยหวานของปราณันต์เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา และตอนนี้ดวงตากลมโตที่เขาชอบกำลังมีน้ำใสไหลออกไม่หยุด ยิ่งหลังจากได้ยินคำพูดของพรวลัยก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กของเขายิ่งดูเปราะบางและพร้อมจะแตกสลายทุกเมื่อมากขึ้นไปอีก คามินเจ็บปวดในหัวใจไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ที่ทำอะไรเพื่อคนตรงหน้าไม่ได้สักอย่าง

สุดท้ายคามินจึงตัดสินใจใช้มืออีกข้างที่ว่างผลักกันต์กวีออก แล้วดึงปราณันต์มากอดไว้แนบอก ราวกับอยากปกป้องไม่ให้ได้ยินสิ่งที่พรวลัยพูด

และในตอนนั้นเองคามินก็รู้ในทันทีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นเขา ใบหน้าหล่อเหลาเกิดดุดันและเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขายอมรับว่าตอนนี้ความอดทนของเขาที่มีต่อผู้หญิงคนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

“พรวลัย! คุณทำแบบนี้ทำไม?” คามินถามอย่างไม่เข้าใจ เขารู้ว่าพรวลัยโกรธ แต่ทำไมต้องเอาไปลงกับปราณันต์ด้วย ถ้าโมโหมากขนาดนั้น ทำไมไม่มาลงกับเขาคนนี้ ทำไมต้องทำร้ายปราณันต์เพราะคนแบบเขาด้วย

“คุณถามวลัยหรอคะ ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ นี่คุณถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือคุณแค่แกล้งไม่รู้กันแน่คะคราม!” วลัยตอบกลับ เธอเองก็โมโหไม่แพ้คามิน ในเมื่ออยากจะแลกกับเธอนัก เธอก็ยินดีจะจัดให้ เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว

“ผมรู้ว่าคุณไม่พอใจกับสิ่งที่ผมทำ แล้วทำไมคุณไม่ลงกับผมล่ะ คุณไปลงกับคุณปราณทำไม ถ้าอยากทำร้ายใครสักคน ทำไมไม่มาทำกับผม คุณปราณไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลยนะ” คามินกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม เพราะตอนนี้ปราณันต์เริ่มดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากอ้อมกอดเขาอีกแล้ว

“มันน่ะหรอไม่เกี่ยว? คุณแน่ใจหรอว่ามันไม่เกี่ยว?” พรวลัยชี้ไปยังปราณันต์อย่างแค้นใจ “ไม่ใช่มันหรอกหรอที่แย่งคุณไปจากวลัย ไม่ใช่มันหรอกหรอที่หลอกล่อให้คุณหลงหัวปักหัวปำ แล้วก็เลือกที่จะทิ้งวลัยไป!”

พรวลัยเองก็พูดทั้งน้ำตานองหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้เสียใจสักนิดที่ถูกคามินทิ้งไปหาปราณันต์ แต่ที่น้ำตาเธอไหลเป็นเพราะความแค้นใจทั้งนั้น ผู้ชายอย่างคามินไม่ได้ทำให้เธอรักได้มากขนาดที่ต้องร้องไห้เพื่ออ้อนวอนขอให้กลับมาหา แต่เธอยอมรับว่าผู้ชายคนนี้ทำให้เธอหลงใหล ทั้งใบหน้า ทั้งรูปร่าง ทั้งฐานะทางสังคม แต่เธอต้องกลับมาเสียเขาให้ไอ้เด็กที่ไม่มีอะไรเทียบชั้นเธอได้เลยอย่างปราณันต์ นี่ถือเป็นความเสียหน้าที่สุดในชีวิตของพรวลัยเลยล่ะ เพราะฉะนั้นเธอก็จะทำลายมันให้ย่อยยับ ไม่ให้มันเชิดหน้าแย่งคามินไปง่ายๆ แบบนี้แน่

“ผ.. ผมขอโทษ ฮึก ที่ทำให้คุณเสียใจ..ฮึก ผมผิดเองครับ ผมขอโทษคุณจริงๆ”

เสียงหวานพูดขอโทษพรวลัยซ้ำๆ ศีรษะเล็กๆ ผงกขึ้น ผงกลงราวกับจะย้ำความรู้สึกผิดของตัวเองว่าเขาเสียใจมากจริงๆ

ในขณะที่วลัยคิดแต่จะเอาชนะ แต่ปราณันต์กลับไม่คิดแบบนั้น เมื่อเขาเห็นพรวลัยร้องไห้ ความรู้ผิดก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ และแผ่ขยายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ในหัวใจเขา ปราณันต์รู้สึกเหมือนหลุมดำนั้นกำลังดูดกลืนความสุขและสร้างความผิดบาปให้เกิดขึ้นในใจเขาจนแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว เขาทำร้ายผู้หญิงคนนึงได้มากขนาดนี้ได้ยังไง ทำไมเขาถึงเลวร้ายแย่งคู่หมั้นของเธอมาได้หน้าตาเฉยขนาดนี้ ยิ่งคิดปราณันต์ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะยืนไม่ไหวขึ้นมาทุกที โชคยังดีที่มีอ้อมแขนแข็งแรงของคามินโอบรอบตัวของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ คอยพยุงไม่ให้ปราณันต์ทรุดลงไป

“คุณปราณครับ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ไม่คิดมากโอเคไหม ผมผิดเอง ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเองนะครับคนดี ผมเป็นคนเข้าหาคุณก่อน ผมเป็นคนสร้างความเดือดร้อนทั้งหมด คุณไม่ผิดเลย อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”

คามินยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาให้ปราณันต์ไม่หยุด และถึงแม้ปราณันต์จะพยายามปัดป้อง แสดงออกว่าไม่ต้องการแต่คามินก็ไม่ได้หยุด ยังคงทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ

“วลัย ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ของผมคนเดียว ผมเป็นคนเริ่มเรื่องบ้าๆ นี่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเอาผิดใคร ขอให้คนนั้นเป็นผมเถอะ อย่าทำอะไรคุณปราณเลย” คามินกำลังร้องขอพรวลัย เขาทนเห็นปราณันต์โทษตัวเองแบบนี้ไม่ได้

และนั่นยิ่งทำให้พรวลัยแค้นจนแทบกระอัก เธอไม่เคยเห็นคามินอ่อนโยนกับใครมากขนาดนี้ แม้แต่กับพ่อแม่ของคามินเอง คามินยังไม่เป็นแบบนี้เลย แล้วไอ้เด็กนั่นมันเป็นใคร มันถึงทำให้คามินเป็นไปได้มากขนาดนี้


“ไม่ต้องมาขอโทษฉัน ฉันไม่รับ! ระวังตัวไว้ให้ดี แล้วคอยดูฉันคนนี้เอาไว้นะปราณันต์!” พรวลัยชี้หน้าปราณันต์อีกครั้ง ส่วนคนที่ถูกเกลียดชังทำได้แค่สะอื้นฮักอยู่ในอ้อมกอดของคามิน “ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายแกและความรักของแก อย่าหวังว่าจะมีความสุข ถ้าฉันคนนี้ยังมีชีวิตอยู่!”


ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราด น้ำเสียงหวานใสที่ว่าไพเราะ กลับไม่น่าฟังเมื่อมันกำลังผสมผสานไปด้วยความแค้นที่ฝังแน่น

“คุณโกรธแค้นอะไรก็มาลงที่ผมนี่ อย่าทำแบบนี้เลย ผมยินดีจะชดใช้ให้คุณทุกอย่าง ขอแค่คุณไม่ทำร้ายปราณันต์ก็พอ” คามินยังคงร้องขอแต่พรวลัยไม่ฟัง เธอยังคงสาดความเกลียดชังใส่ปราณันต์ไม่หยุด

“ไม่ค่ะ คนที่วลัยเกลียดคือมัน ไม่ใช่คุณ! เพราะฉะนั้นมันต้องชดใช้ วลัยจะไม่ยอมให้มันมีความสุขกับคุณเด็ดขาด! ยังไงคุณก็คือคู่หมั้นวลัย ยังไงวลัยก็ต้องได้คุณกลับมา”

เมื่อเห็นพรวลัยทำร้ายปราณันต์ด้วยคำพูดไม่หยุด คามินก็เริ่มทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เขาทั้งขอร้อง ขอโทษ แต่พรวลัยก็ยังไม่ยอมฟัง เขาไม่เข้าใจว่าทำไม คามินเองก็รู้ว่าพรวลัยไม่ได้รักเขามากขนาดนั้น แล้วทำไมต้องโกรธแค้นอะไรกันขนาดนี้ คามินยอมทุกอย่างถ้าอะไรที่จะทำให้พรวลัยพอใจและเลิกระรานปราณันต์เขาก็จะทำให้ แต่ในเมื่อพรวลัยยังเกรี้ยวกราดไม่เลิกแบบนี้ เห็นทีจะต้องทำอะไรให้เด็ดขาดเสียที เพราะเขาจะได้แสดงตัวว่าต้องการปกป้องปราณันต์ได้เต็มที่เช่นกัน


“ในเมื่อผมขอร้องอะไรคุณก็ไม่ฟัง งั้นผมคงก็ต้องปกป้องคุณปราณของผมให้ถึงที่สุดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมขอถอนหมั้นครับพรวลัย ค่าของหมั้น รวมถึงแหวนและทุกสิ่งทุกอย่างผมยกให้คุณ ถือว่าเป็นการชดใช้ที่ทำให้คุณเสียชื่อเสียง”


“คามิน!!! คุณ!!!” riวลัยโกรธจนตัวสั่น จนเลขาฯ คนสนิทของเธอต้องวิ่งเข้ามาประคองเธอไว้

“คุณ...” ส่วนปราณันต์ก็ช็อคจนพูดไม่ออก ทำไมคามินทำแบบนี้ ทำไม..

ในหัวของปราณันต์มีแต่เรื่องไม่เข้าใจเต็มไปหมด คามินไม่เคยบอกสักคำว่ารักเขา และถ้าไม่ได้รักเขา ทำไมคามินต้องยอมทำขนาดนี้ การขอถอนหมั้นพรวลัยต่อหน้าแบบนี้ ไม่มีผลดีอะไรสักอย่างกับคามินทั้งนั้น รวมถึงตัวปราณันต์เองด้วย เพราะมันยิ่งมีแต่จะทำให้พรวลัยโกรธและไม่พอใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และก่อนที่คามินหรือปราณันต์จะได้ทันพูดอะไรต่อ พรวลัยก็แผดเสียงออกมาลั่นทางเดิน ใบหน้าสวยดั่งนางพญาที่ใครๆ ชอบ ตอนนี้กำลังบิดเบี้ยวเพราะความแค้นใจ หนำซ้ำมันยังดูน่ากลัวมาก น่ากลัวจนคิดว่าผู้หญิงตรงหน้าคนนี้สามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าใครทำให้เธอโกรธมากขนาดนี้


“เหอะ! แกคิดว่าคนอย่างแกสามารถเอาชนะฉันได้แบบนั้นใช่ไหมปราณันต์ หึ! แกเอาอะไรมามั่นใจว่าที่ครามยอมเลิกกับฉันเพราะรักแก!! เขาเคยบอกรักแกสักคำไหม? ... จำเอาไว้!! ของเล่นก็เป็นของเล่นวันยังค่ำ พอวันนึงเขาเบื่อ เขาก็จะเขี่ยแกออกจากชีวิตเหมือนฉันนี่แหละ”



ปราณันต์สะอึก รู้สึกเหมือนโดนพรวลัยจี้ใจดำอย่างแรง

“หยุดเดี๋ยวนี้นะพรวลัย!” คามินตวาดลั่น พร้อมชี้นิ้วไปตามทางที่วลัยเดินเข้ามาก่อนหน้า ก่อนจะหันไปหาเลขาฯ ของอดีตคู่หมั้นที่เขาเพิ่งถอนหมั้นไปเมื่อสักครู่

“พาเจ้านายเธอออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!! ออกไป!!!”

พอกันทีไม่ต้องเกรงใจอะไรกันอีก เพราะคามินก็สุดจะทนแล้วเหมือนกัน

พนิดารีบพาเจ้านายเธอออกมาจากตรงนั้นเมื่อเห็นท่าทางโกรธจัดของท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ แต่พรวลัยก็ยังคงโวยวายไม่หยุด เธอยังคงอาฆาตแค้นใส่ปราณันต์ไม่เลิก

“ระวังตัวไว้เถอะปราณันต์!! ทั้งแก ทั้งครอบครัวแกนั่นแหละ! ระวังไว้ให้ดี!!”

ปราณันต์ยอมรับว่าทั้งกลัวและกังวลใจ พรวลัยไม่ใช่ผู้หญิงที่ธรรมดาเลย ถ้าเธอลองได้อาฆาตใครแล้ว เธอจะไม่มีวันยอมปล่อยให้คนๆ นั้นหลุดรอด ปราณันต์ได้แต่มองพรวลัยที่ถูกพาตัวออกไปจนลับตา ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน เปลือกตาบางที่หนักอึ้งจึงค่อยๆ ปิดลงช้าๆ พร้อมกับสติที่ค่อยๆ ดับวูบ

“คุณปราณ!”

ปราณันต์ล้มลงกับพื้น พร้อมกับถ้อยคำสุดท้ายที่พรวลัยฝากไว้ ที่ยังคงดังก้องอยู่ในความรู้สึกตัวเองไม่หยุด

รวมถึงใบหน้าหล่อเหลาคมคายคุ้นเคยที่มองมาที่เขาอย่างตกใจ ซึ่งนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ปราณันต์ได้เห็นก่อนจะหมดสติไป

.

.

.

คามินรีบอุ้มปราณันต์กลับมาที่รถ โดยให้แทนคุณมารับที่ด้านหลังเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็น และเอาปราณันต์ไปพูดถึงให้สนุกปากอีก แค่นี้เขาก็เจ็บแทบจะตายอยู่แล้วตอนเห็นปราณันต์ร้องไห้จนน้ำตาเปรอะแก้มไปหมดขนาดนั้น

ตอนแรกนทนัชกับกันต์กวีก็ทำท่าจะไม่ยอมให้เขาพาตัวปราณันต์มา โดยเฉพาะกันต์กวีหมอนั่นขวางทางเขาไม่ยอมหยุด จนสุดท้ายเขาต้องแสดงความไม่พอใจออกมาแบบสุดขีด ด้วยการตวาดถามสองคนนั่นว่าอยากให้คนอื่นมาเห็นปราณันต์ สภาพนี้หรือไง สองคนนั่นถึงยอมปล่อยเขาและปราณันต์ออกมา

คามินพาปราณันต์กลับมาที่คอนโด เขานั่งมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้ดูน่าสงสารและเปราะบางยิ่งกว่าเดิมมาก เขาลูบและเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่เปรอะแก้มทั้งสองข้างให้ปราณันต์อย่างเบามือ เขารู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์ต้องคิดมากเรื่องที่วลัยพูดแน่ๆ


... คำว่ารักที่เขาไม่เคยมีให้ปราณันต์เลยสักครั้งตั้งแต่กลับมาคบกัน ...


คามินก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากมนของคนที่กำลังหมดสติ พลางพร่ำคำขอโทษที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน


“ผมขอโทษนะครับคุณปราณ ผมขอโทษ ... รอผมอีกนิดนะ รอให้ผมมั่นใจมากกว่านี้อีกนิด ผมอยากบอกคุณอย่างบริสุทธิ์ใจว่ารักคุณมากแค่ไหน อดทนรอผมอีกนิดนะปราณ”


คามินได้แต่บอกตอนที่ปราณันต์กำลังหลับใหล เขาตั้งใจแล้วว่าถ้าเคลียร์เรื่องพรวลัยเรียบร้อย เขาจะต้องคุยให้ปราณันต์เข้าใจเรื่องทั้งหมดก่อนที่จะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้

คามินได้แต่ถอนใจที่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด เขามัวแต่มีความสุขที่ได้อยู่กับปราณันต์และเจ้าฝาแฝดตัวน้อย จนลืมนึกไปว่าประมาทผู้หญิงอย่างพรวลัยไม่ได้

จนมาถึงตอนนี้ สิ่งสำคัญที่เขาควรนึกถึงมากที่สุดคือความรู้สึกของคนที่กำลังหมดสติอยู่ข้างตัวเขา และคนที่ผิดมากที่สุดในเรื่องนี้คือตัวเขาเอง ไม่ใช่พรวลัยหรือใครเลย

คามินได้แต่นั่งมองปราณันต์อย่างเจ็บปวดหัวใจ ถ้าตอนนี้เขารู้สึกทุกอย่างแทนปราณันต์ได้เขาก็อยากจะทำ เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย

.

.

.

“นะ.. นี่มัน ประวัติไอ้ปราณันต์หรอ” พรวลัยหน้าซีด ละล่ำลักถามออกมาไม่เป็นคำเมื่ออ่านข้อมูลทั้งหมดจบ

หลังจากไปอาละวาดที่บริษัทของคามินแล้ว พรวลัยก็กลับมาขอข้อมูลทั้งหมดของปราณันต์ดูทันที เธอคิดอย่างแค้นใจว่าเธอจะต้องเอาคืนและทำลายปราณันต์ให้สาสมกับที่แย่งผู้ชายที่เหมาะสมที่สุดของเธอไป

ไอ้เด็กนั่น! มันกล้าทำให้คามินขอถอนหมั้นจากเธอ เพราะฉะนั้นเธอจะทำให้มันเจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึงเลย คอยดู

แต่เมื่ออ่านข้อมูลทั้งหมดของปราณันต์จบ คนที่ร้อนรนกลับเป็นตัวเธอเอง!

“เป็นไปไม่ได้ มันไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้สิ” พรวลัยเดินพล่านเป็นหนูติดจั่น เธอถึงกับกระวนกระวายและทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นข้อมูลสำคัญบางอย่างของเด็กหน้าหวานนั่น

พรวลัยคิดอย่างวุ่นวายใจ ตอนนี้การทำลายปราณันต์กลับไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด แต่สิ่งที่เธอต้องการคือให้ปราณันต์หายไปจากที่นี่ต่างหาก ให้เด็กนั่นหายไป ก่อนที่ความลับที่เธอเก็บงำมาหลายสิบปีจะถูกเปิดโปงขึ้น เธอไม่อยากให้ใครมารับรู้เรื่องที่เป็นเหมือนตราบาปที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอตอนนั้นทั้งนั้น โดยเฉพาะคามิน เธอจะให้เขารู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด

หญิงสาวได้แต่คิดหาวิธีที่จะไล่ปราณันต์ออกไปจากชีวิตของเธอและคามิน ทางที่ดีและปลอดภัยที่สุดคือการให้ปราณันต์เดินออกไปเอง แล้วเธอต้องใช้วิธีไหนล่ะที่จะไล่เด็กคนนั่นออกไปจากวงจรชีวิตของเธอและคามินได้

ใบหน้าสวยร้ายหันซ้ายหันขวา จนหันไปเห็นรูปเด็กฝาแฝดสองคนที่กำลังยิ้มกว้างกอดพี่ชายคนโตอย่างปราณันต์อยู่ แล้วตัวคนพี่เองก็มองดูน้องด้วยสายตารักใคร่มากกว่าอะไรทั้งหมดอย่างที่ในชีวิตของปราณันต์จะมีได้ ฉับพลัน ริมฝีปากที่แตะแต้มไว้ด้วยลิปสติกสีแดงสดก็แสยะยิ้ม


‘ฉันลืมเด็กสองคนนี่ไปได้ยังไงกันนะปราณันต์’

.

.

.

ปราณันต์งัวเงียตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของคามินหลังจากที่หมดสติไปพักใหญ่ เขาตื่นมาพร้อมภาพก่อนหมดสติที่แล่นขึ้นมาเป็นฉากๆ มือบางกดลงบนระหว่างคิ้วของตัวเองเบาๆ เขารู้สึกปวดหัวมากจนอยากจะซัดยาแก้ปวดให้หมดแผง ตากลมพยายามมองหาคามิน แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว เพราะเขาได้กลิ่นอาหาร ปราณันต์คิดว่าการไม่เจอคามินตอนนี้ก็น่าจะดีเหมือนกัน เพราะตัวเขาเองก็มีเรื่องต้องคิดมากมายเต็มไปหมด โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่พรวลัยพูดก่อนที่เขาจะหมดสติไป

และในระหว่างที่ปราณันต์คิดอะไรมากมายอยู่นั้น เสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เพื่อเป็นการบอกว่ามีข้อความใหม่เพิ่งเข้ามาและรอให้ปราณันต์เปิดอ่านอยู่

ปราณันต์เปิดดูก่อนจะพบว่าข้อความนั้นส่งมาจากเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก นิ้วเรียวสวยค่อยๆ กดเปิดข้อความขึ้น ซึ่งสิ่งที่ปราณันต์เห็นเป็นภาพของของปุณณกันต์และปัณณธรที่กำลังยิ้มกว้าง คนเป็นพี่ได้แต่ขมวดคิ้วแปลกใจ ว่าใครกันที่ส่งรูปเจ้าตัวน้อยมาให้ตน ปราณันต์จึงเลื่อนหน้าจอลงไปช้าๆ ก่อนจะพบข้อความสั้นๆ ที่ทำเอาโทรศัพท์แทบจะร่วงหล่นจากมือ


‘เจ้าเด็กฝาแฝดนี่น่ารักดีนะว่าไหม ถ้าอยากเห็นมันทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่ไม่ต้องจากไปก่อนวัยอันควรล่ะก็ ไปจากครามซะ! แกก็รู้นี่ ว่าครามไม่ได้รักแกมากพอที่จะปกป้องแกไปตลอดขนาดนั้น คิดดูเอาเองก็แล้วกันปราณันต์ แกก็รู้ว่าฉันเอาจริง!’


ปราณันต์กดปิดข้อความ ก่อนที่จะนั่งมือสั่นน้ำตาร่วง เขาทั้งกลัว ทั้งตกใจ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีทางเลือกอะไรมากนัก คนตัวเล็กนั่งกอดเข่า คิดทบทวนไปมาอย่างสับสน ก่อนจะซบหน้าลงกับหัวเข่าร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะทนกับทุกอย่างที่ตนกำลังเผชิญ

.

.

.

To Be Continue

-------------------------------------------------------------------------

จะโทษพรวลัยก็ไม่ถูกกกกกก อิคนที่สมควรโดนที่สุดก็นังครามนั่นล่ะ! เดะชั้นจะแก้แค้นให้พรวลัยเอง! 555555555555555

ด่าได้ค่ะ ด่าอิพระเอกอะค่ะ ด่าได้เลยเราไม่ห้าม มันสมควรถูกด่ากว่าใครแล้ว 55555555555555

ฝากคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันด้วยน้าาา ชอบไม่ชอบบอกได้ เราจะพยายามมาลงตอนหน้าให้ไม่จันทร์ก็อังคารงับบบ ... ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยที่อยู่ด้วยกันถึงตอนนี้ ... โค้งสุดท้ายแล้วเนี่ยยย

รักนะครับบบ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-03-2021 22:41:49
 :hao7: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-03-2021 23:52:17
เอาแล้วไงๆ หึหึ ปราณเรียก10ล้านจากวลัยแล้วหนีไปซะ ส่วนวลัยถ้าได้แต่งงานก็ดี แต่ถ้าสุดท้ายไม่ได้แต่งยังไงก็เลิก เธอก็เรียกร้อง20ล้านจากคามินซะ ทุกคนได้ ยกเว้นคามินเสียทั้งเงินแล้วไม่ได้ใครสักคน สะใจดี 5555555 แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยว่ากัน คึ แต่ว่านะวลัยเป็นต่อตอนนี้ ปราณจะทำยังไงละเห้ยย รอๆๆๆๆๆ  :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 27-03-2021 12:47:14
ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ .. สู้ๆ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-03-2021 02:36:17
ปวดจิต
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 29-03-2021 20:13:01
28th Lies : ลาก่อน


Pranan’ s Part


ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไงดี ผมต้องทำยังไง...

ผมพยายามตั้งสติ แต่ก็พบว่ามันทำได้ยากเหลือเกินในเวลาแบบนี้ ผมทั้งกลัว ทั้งวิตก ทั้งสับสน แน่นอนว่าผมแทบจะไม่จำเป็นต้องหยุดคิดเลยสักวินาทีเดียวว่าต้องตัดสินใจยังไง หลังจากที่ผมเห็นข้อความนั้น ข้อความที่แทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนส่งคือใคร ผมก็ตัดสินใจได้ทันที


... ผมจะไปจากคามิน หนีไปให้ไกลแค่ไหนก็ได้ เท่าที่ฝาแฝดของผมจะปลอดภัยจากผู้หญิงใจร้ายคนนั้น ...


อย่างที่ผมเคยบอก สำหรับผมแล้ว ปุณณกันต์และปัณณธรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม ผมยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกแกเติบโตและมีชีวิตที่ดี แล้วถ้าตอนนี้พวกแกกำลังตกอยู่ในอันตราย ผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคามิน หรือแม้กระทั่งความรักที่ผมมีให้เขาผมก็ทิ้งได้ ผมยอมเจ็บเพราะไม่สมหวังในความรัก ดีกว่าเจ็บเพราะแก้วตาดวงใจของผมเป็นอะไรไป

ผมรู้ว่าคนอย่างคุณพรวลัยทำได้ทุกอย่างตามที่เธอขู่ผม แล้วอีกอย่างผมยอมรับว่าผมไม่มั่นใจอะไรในตัวคามินเลย ผมไม่รู้ว่าเขารักผมบ้างไหม ผมไม่รู้ว่าเขาจะปกป้องดูแลผมและน้องๆ ได้รึป่าว ผมไม่รู้ เพราะเขาไม่เคยบอกให้ผมมั่นใจได้เลยว่าเขาจะดูแลผมและน้องๆ ไปนานแค่ไหน เหมือนอย่างที่คุณพรวลัยพูด ซึ่งผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน

พอคิดได้ว่าจะไปจากคามิน ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง นั่นคือเรื่องที่ว่าผมจะหนีไปได้ยังไง ผมจะหนีไปที่ไหน เงินเก็บที่ผมมีก็ไม่ได้มากมายถึงขั้นจะใช้ดูแลเราสามคนพี่น้องได้เป็นระยะเวลานานๆ

ดังนั้น ผมอาจต้องใช้เวลาในการวางแผนและตั้งหลักก่อน อีกไม่กี่วันปุณณกันต์กับปัณณธรก็จะปิดเทอมใหญ่แล้ว อย่างน้อยผมก็อยากให้พวกเด็กๆ เรียนจบในเทอมนี้เสียก่อน ถ้าต้องไปเริ่มต้นที่โรงเรียนใหม่พวกแกจะได้ไม่ลำบากในการปรับตัว

และอีกอย่าง อีกเหตุผลที่ผมไม่อยากจะยอมรับ เหตุผลที่แม้แต่คนโง่ก็ยังคงต้องส่ายหัวให้ถ้าได้รับรู้...


... ผมอยากบอกลาคามิน


ขอให้ผมได้เห็นแก่ตัวเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ได้ผมได้มีช่วงเวลาแห่งความทรงจำกับเขาอีกสักครั้ง ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้เจอกันอีก หรือบางทีเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต ... ผมทำใจกับความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้วล่ะ คิดไว้แล้ว ว่ายังไงก็ต้องจบลงแบบนี้ในสักวัน

ผมรักคามินนะ ผมยอมรับ จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ผมต้องเจอกับอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่ทำให้ผมเจ็บช้ำและเสียใจมากมาย แต่ผมก็ยังหยุดรักผู้ชายคนนั้นไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยถูกใครดูแลมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่พ่อกับแม่เสียชีวิตไป ซึ่งอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง คามินก็ทำให้ผมได้รู้สึกแบบนั้น ... ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำให้ผม ไม่ได้เป็นเพราะว่าเขารักผม แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกขอบคุณในความห่วงใยและใส่ใจต่างๆ ที่เขาทำให้กับผม ขอบคุณมากจริงๆ

เพราะฉะนั้น ขอเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ผมได้ยิ้มและหัวเราะกับผู้ชายคนที่ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่ารักเป็นครั้งสุดท้าย อย่างน้อยให้มันได้เป็นความทรงจำดีๆ ไว้หล่อเลี้ยงหัวใจของผม ให้ผมได้มีภาพที่สวยงามระหว่างเราสองคนเพื่อไว้เป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตบ้างก็ยังดี


‘ผมยินดีจะไปจากคุณคามินครับ ขอร้องแค่อย่าทำอะไรน้องๆ ของผม ขอเวลาผมสักสี่ห้าวันให้ผมได้เตรียมตัว ผมสัญญาว่าผมจะไปครับ ผมสัญญา’


ผมกดส่งข้อความตอบกลับไปยังเบอร์นั้นด้วยมืออันสั่นเทา ถามว่าผมกลัวไหม ผมตอบเลยว่าผมกลัวมาก กลัวจนไม่รู้ว่าผมจะกลัวอะไรมากขนาดนี้ได้อีกไหมในชีวิต แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ผมก็ต้องทำให้เด็ดขาด ไม่ควรจะมาลังเลอะไรอีก ยิ่งถ้าเมื่อผลลัพธ์มันคือความปลอดภัยของเด็กฝาแฝดทั้งสองของผม ผมก็จะไม่รีรอหรือไตร่ตรองอะไรอีกทั้งนั้น

และก่อนที่ผมจะได้ทันคิดอะไรต่อ คามินที่น่าจะเพิ่งทำอาหารเสร็จก็เดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมถ้วยข้าวต้มร้อนๆ ในมือ และเมื่อสายตาคมมองเห็นว่าผมได้สติแล้ว เขาก็รีบวางถ้วยข้าวต้มลงที่โต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียง แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างผมทันที ราวกับว่าถ้าช้ากว่านี้อีกนิด ผมอาจจะเป็นลมลงไปอีกรอบยังไงยังงั้น

“คุณปราณฟื้นแล้วหรอครับ เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวไหม อยาก...”

และก่อนที่คามินจะถามอะไรต่อ หรือทันได้พูดจบประโยค ผมก็โถมตัวเข้าหาอ้อมกอดแข็งแรงของคนที่นั่งอยู่ข้ามเสียก่อน ทำเอาคามินตกใจไปพักใหญ่เหมือนกัน ก็แหงล่ะ ตั้งแต่กลับมาคบกันคราวนี้ ผมไม่เคยเข้าหาคามินก่อนเลยสักครั้ง มีแต่อีกฝั่งที่เข้ามาวอแว เข้ามาขอกอด ขอหอมก่อน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่ผมทำแบบนี้

“ผมแค่อยากกอดคุณ... อยู่แบบนี้สักพักได้ไหม”

ผมซุกใบหน้าลงที่อกอุ่นๆ ของคามิน กลิ่นกายหอมเย็นๆ ของเจ้าของอ้อมกอดนี้ทำให้ผมรู้สึกสงบขึ้นอย่างประหลาด น้ำตาผมพาลจะไหลให้ได้ เมื่อคิดว่าผมเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กับผู้ชายคนนี้... ผู้ชายที่เป็นรักแรกของผม

ผมรู้ว่าคามินเองก็คงแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีที่ผมมีให้ แต่เอาเถอะ ตอนนี้ผมไม่อยากคิดอะไรซับซ้อนทั้งนั้น ผมแค่ขอแค่ช่วงเวลานี้ ขอได้มีความสุขกับคนที่ผมรัก ก่อนที่เราจะต้องจากกันไปตลอดกาล

อ้อมแขนแรงที่ลังเลในช่วงแรกก็ยกขึ้นกอดตอบผมในเวลาต่อมา แล้วมันก็ค่อยๆ รัดผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าของของมันพบว่าสิ่งที่ตนเองเจออยู่นั้นไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง

“คุณปราณ...”

คามินเรียกชื่อผมแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะริมฝีปากหยักกำลังทำหน้าที่พรมจูบไปทั่วใบหน้าของผม ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นหน้าที่ที่สำคัญกว่าการขยับพูดหรือเปล่งเสียงออกมา

คนตัวโตกว่ากอดผมไว้นิ่ง ไม่ยอมคลายอ้อมกอดลงเลยแม้แต่น้อย ใบหูของผมแนบอยู่บนอกข้างซ้ายของคามิน ผมได้ยินเสียงหัวใจของคนตรงหน้ากำลังเต้นแรงอยู่ภายใต้อกแกร่ง ผมอมยิ้มบางๆ ให้กับเสียงนั้นที่ได้ยิน


... อย่างน้อยผมก็ทำให้เขาใจเต้นแรงได้ เหมือนกับที่เขามักจะทำให้หัวใจของผมกระหน่ำรัวอย่างบ้าคลั่งเสมอ เพียงแค่ได้เห็นเขาอยู่ในกรอบสายตา ...


“ทำไมถึง...” คามินเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากหรอก ว่าเขาจะถามอะไรผม ผมไม่อยากตอบอะไรที่เป็นการโกหก เพราะฉะนั้น ตัดไฟเสียตั้งแต่ตอนนี้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

"ผมรู้ว่าคุณสงสัยว่าทำไมผมทำแบบนี้" ผมพูดอู้อี้อยู่กับอกแกร่ง "ผมแค่อยากให้คุณกอดผม กอดแน่นๆ ตอนนี้ผมแค่อยากอยู่กับคุณ โดยที่ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น"

ผมกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นกว่าเดิม คามินเองก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่จูบเบาๆ ลงมาที่หน้าผากของผม ก่อนจะกอดผมกลับให้แน่นกว่าเดิม

“ขอบคุณนะครับคุณปราณ ผมรู้ว่านี่อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่ผมจะมาพูดแบบนี้" คามินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส "แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลย คุณรู้ไหมครับ”

ผมเองก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแค่ยื่นหน้าขึ้นไปจูบเบาๆ ที่สันกรามได้รูปของคนด้านบน...

และการกระทำแบบนั้นของผมก็เหมือนจะทำให้ความอดทนของคามินหมดลง

คนตัวโตรั้งใบหน้าของผมไว้ด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้าง ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะยื่นเข้ามาใกล้ๆ พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากหยักประทับลงมาบนริมฝีปากอิ่มของผม คามินค่อยๆ บดคลึง ดูดดึง และขบเม้มอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวาน นี่เกือบจะเป็นจูบที่ดีที่สุดของคามินที่ผมได้รับ ไม่รู้ว่าเพราะผมรู้ว่ามันคือจูบที่อาจจะเหลืออีกไม่กี่ครั้งของเรารึป่าว ความรู้สึกทุกอย่างของผมถึงเต็มตื้นไปหมด จนผมแทบจะห้ามน้ำตาตัวเองเอาไว้ไม่ได้

คามินใช้เขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากของตัวเองขบลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างของผม หลังจากที่เขาละเลียดมันอย่างอ้อยอิ่งอยู่พักใหญ่ ผมรู้ดีว่าเขาต้องการอะไร จึงค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ ให้เรียวลิ้นร้อนได้แทรกเข้ามา เพื่อสำรวจริมฝีปากของผมได้ตามใจชอบ ลมหายใจร้อนของคนตรงข้ามกำลังเป่ารดที่แก้มผม สร้างความรู้สึกของการเป็นผู้สัมผัสและผู้ถูกสัมผัสได้อย่างชัดเจน แม้ในขณะที่ตากลมของผมยังคงหลับพริ้มอยู่

คามินใช้ลิ้นกวาดต้อนโอบอุ้มเอาความหอมหวานที่ผมมอบให้ไปจนหมดสิ้น เรียวลิ้นเล็กของผมถูกไล่ต้อนไม่ต่างกับคนจนตรอก สุดท้ายมันก็ถูกเกี่ยวกระหวัดด้วยลิ้นของอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งผมก็ทำได้แค่โอนอ่อนต่อรสจูบของคนด้านบนอย่างไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้

“อืมมม” และถึงแม้จะถูกรังแกและลิดรอนลมหายใจจากคนตรงข้ามมากแค่ไหน ผมก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าผมกำลังรู้สึกดีมาก ดีจนต้องเผลอส่งเสียงครางออกจากลำคอด้วยความพอใจ

ซึ่งเหมือนเสียงนั้นจะกระตุ้นคามินได้ไม่น้อย เพราะดูเหมือนเขาจะพยายามปรับองศาของใบหน้าของผม ให้รับจูบจากตนได้ถนัดและลึกซึ้งมากกว่าเดิม

มือใหญ่ลูบปัดป่ายไปทั่วร่างกายของผม ผมสะดุ้งเฮือกไปกับทุกๆ จุดที่ถูกสัมผัส มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่าง จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักผมก็เริ่มหายใจไม่ทัน มือเล็กๆ ของผมทุบลงเบาๆ บนไหล่กว้าง เพื่อขอให้คามินปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระ

คามินยอมถอนริมฝีปากออก แต่กลับไม่ยอมหยุด เขาลากมันไปยังซอกคอของผมแทน ปากหยักพรมจูบซ้ำๆ และเมื่อเห็นผมโอนอ่อน คนเจ้าเล่ห์ก็ได้ใจรังแกผมไม่เลิก

ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ผิวข้างคอ ผมรู้ในทันทีว่าคามินทำอะไร ผมพยายามผลักคนตัวโตออก แต่แรงลูกแมวอย่างผมจะไปทำอะไรยักษ์ปักหลักอย่างคามินได้ มีแต่จะกระตุ้นให้คนตรงข้ามมีอารมณ์มากขึ้นไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“อื้อออ” ผมร้องประท้วง แต่คามินกลับแค่ผละออกแล้วหัวเราะเบาๆ แค่นั้น

คนตัวโตจ้องมองผมอย่างหลงใหล สายตาคู่นั้นแสดงความปรารถนาต่อตัวผมจนปิดไม่มิด ผมเองที่ทำตัวไม่ถูกก็ได้แต่เกาคอแก้เขินทั้งที่แก้มร้อนจนแทบแตก คามินยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้ามารั้งผมขึ้นไปนั่งบนตักด้วยท่าทางล่อแหลมสุดๆ

“อุ๊ย คุณ!” ผมยึดไหล่คนขี้แกล้งไว้แน่นเพราะตกใจที่จู่ๆ ถูกอุ้มลอยมานั่งแบบนี้

“ฮ่ะๆ” คามินหัวเราะชอบใจ ก่อนจะกดจมูกโด่งเป็นสันของตัวเองลงมาแรงๆ บนแก้มของผม


ฟอด~


“ให้ตายเถอะคุณปราณ ผม... เฮ้อ” คามินทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด กลับพรูลมหายใจออกมาหนักๆ แทน ก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่ผมเหมือนคนที่ยังหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้

ผมรู้ว่าคามินต้องการอะไร ผมไม่ใช่เด็ก และผมก็ไม่ได้เพิ่งนอนกับคามินครั้งแรก แต่ถึงแม้ผมจะไร้เดียงสาจนไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่สัมผัสบางที่กำลังดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของผม ก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากเท่าไหร่นักหรอก

ผมกลั้นใจข่มความอาย พูดในสิ่งที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะกล้าพูดออกมา


“ถ้าคุณอยากมีอะไรกับผม คุณไม่จำเป็นต้องห้ามตัวเองนะครับคุณคราม”


ผมก้มหน้าซ่อนความอายทันทีหลังพูดจบ คามินดูจะช็อคยิ่งกว่าตอนที่ผมเริ่มกอดก่อนเสียอีก เขารั้งใบหน้าผมขึ้น ตาคมจ้องเข้ามาในดวงตากลมโตของผมอย่างต้องการหาความจริง ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงได้ทำตัวแปลกไปแบบนี้

ส่วนผมเองก็เก่งมากพอที่จะทำหน้าไร้เดียงสาตาใส ไม่ให้คามินจับได้และรับรู้ถึงความกังวลใจที่ผมมี ถ้าผมจะเล่นละครฉากใหญ่ ผมต้องเล่นให้สำเร็จ อย่าทำให้แผนเสียกลางคันเด็ดขาด ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนั้น

“คุณปราณ คุณมีอะไรไม่สบายใจรึป่าว บอกผมได้นะ” คามินถามก่อนจะจูบลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากผม ผมฉีกยิ้มสดใส ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงปกติที่ไม่ปกติสักนิดในความรู้สึกผม

“ผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ถ้าคุณไม่อยากนอนกับผม ผมก็ไม่ได้จะฝืนใจอะไรคุณ เพียงแต่ผมแค่.. อยากให้คุณปลอบใจผมก็เท่านั้นเอง”

คามินตาโตทันทีหลังจากได้ยินผมพูดแบบนั้น จนผ่านไปสักพักสีหน้าของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นดีใจแทบจะปิดไม่มิด

“มะ.. ไม่เลยนะคุณปราณ ผมต้องการคุณทุกลมหายใจนั่นแหละ” แม้ผมจะไม่รู้ว่ามันจริงน้อยมากแค่ไหน แต่พอได้ยินแล้วผมก็อดดีใจไม่ได้ทุกที

“ผมแค่คิดว่า มันจะไม่ใช่เวลาที่สมควรรึป่าวก็แค่นั้น” คามินรีบพูดเคลียร์ให้ผมเข้าใจทันที ซึ่งผมเองก็พอจะเดาได้ ว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อกี้มา ถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันก็คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ที่เราจะมาคิดถึงเรื่องแบบนี้กันตอนนี้

แต่ตอนนี้ผมรับสารภาพตามตรง ผมไม่มีแก่ใจจะนึกถึงความเหมาะสมอะไรทั้งนั้น ผมมีเวลาอยู่กับเขาอีกไม่มากแล้ว ผมแค่อยากจะเห็นแก่ตัว ขอแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยตัดสินใจบอกความต้องการของตัวเองออกไป และผมก็เชื่อว่ายังไงคามินก็ไม่มีทางปฎิเสธ

“ตอนนี้ผมแค่ต้องการคนปลอบใจ คุณคิดว่าเวลานี้เหมาะสมพอรึยังครับ?”

ผมหยัดใบหน้าขึ้นไปจูบลงเบาๆ ที่แก้มสาก ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางการนั่งของตัวเอง เป็นเอาขาทั้งสองข้าง กางโอบกางคร่อมรอบเอวสอบเอาไว้ ซึ่งท่านั่งนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่ออะไรหลายอย่างจริงๆ

“คุณปราณ.. ผมจะไม่ไหวแล้วนะครับ” คามินกระซิบเสียงกระเส่าชิดริมคางผม ผมรู้ว่าความรู้สึกของคนตรงข้ามว่าคงกำลังพลุ่งพล่าน อวัยวะใจกลางร่างกายของคามินกำลังขยับขยายดุนดันจนผมรู้สึกได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผมเองก็รู้สึก รู้สึกแบบเดียวกันกับคามินนั่นแหละ


ถ้าคามินกำลังต้องการผม ผมเองก็กำลังต้องการคามินไม่ต่างกันเลย


“แล้วทำไมคุณถึงต้องทนล่ะครับ” ผมก้มลงไปกระซิบตอบข้างใบหูของคนที่เหมือนกำลังจะหมดความอดทนเต็มที คามินขบฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่นเห็นได้ชัดเจน ยิ่งลมหายใจร้อนๆ ของผมกำลังเป่ารดแก้มของเขาแบบนี้ คามินก็ยิ่งเหมือนถูกผมกระตุ้นจนหมดความยับยั้งและห้ามใจในที่สุด

คนตัวโตกว่าช้อนใต้สะโพก แล้วยกตัวผมขึ้นจากตักตัวเอง ก่อนจะจับผมวางราบบนเตียงนอน รูปร่างสูงใหญ่ตามลงมาทาบทับและกักผมไว้จนผมหมดทางหนี แต่อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะหนีอะไรตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว อย่างที่บอก ผมอยากแค่จะเห็นแก่ตัวสักครั้ง ถ้าผมจะเลวโดยการขอเป็นคนเริ่มก่อน ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้เสียหายเพิ่มมากไปกว่านี้หรอก

ลมหายใจร้อนๆ ที่เต็มไปด้วยความต้องการของคนด้านบน กำลังเป่ารดแก้มผมเพราะคามินกำลังคลอเคลียไม่ยอมห่างจากผมเลยแม้แต่น้อย

ผมผลักคามินออก คนด้านบนดูจะตกใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าผมคงขัดขืนและไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ล่วงเกิน แต่คามินคิดผิด เพราะตอนนี้ผมกลับเป็นคนพลิกตัวคร่อมร่างของอีกฝ่ายไว้ โดยที่บังคับกลายๆ ให้คนตัวโตนอนราบลงไปกับเตียงแทน

“คุณปราณ คุณจะ...” และก่อนที่คามินจะได้ทันพูดจบประโยค ผมก็ยื่นนิ้วเรียวไปปิดริมฝีปากคนที่กำลังนอนงงๆ ไว้ เป็นสัญญาณเตือนว่าให้อีกฝ่ายหยุดพูด แค่นี้ผมก็อายจนจะถอดใจ ไม่กล้าทำอะไรต่อแล้ว

พอเห็นท่าทางและใบหน้าที่กำลังขึ้นสีของผม คามินก็อมยิ้มนิดๆ คนที่กำลังนอนราบอยู่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ พร้อมกับยักคิ้วนิดๆ เป็นเชิงท้าทาย


‘อยากทำอะไรก็ทำเลยครับ’


หน้าตาและท่าทางคามินบอกผมแบบนั้น

ผมมือไม้สั่นไปหมดตอนเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนด้านล่าง ตอนนี้คามินแทบจะไม่ทำอะไรเลย เขาเพียงแค่นอนนิ่งๆ กับใช้มือใหญ่ประคองเอวทั้งสองข้างของผมไว้ พร้อมออกแรงบีบเบาๆ เพื่อแสดงออกถึงความต้องการที่ตัวเองมีว่ามันกำลังอัดแน่นมากแค่ไหน

ผมเองก็ไม่ต่าง ในขณะที่มือบางของผมกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เกิดจะแกะยากแกะเย็นขึ้นมาซะเฉยๆ แบบนั้น มันทำให้ผมหงุดหงิด และไม่รู้จะระบายถึงอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองยังไง เลยก้มลงไปจูบประกบริมฝีปากกับปากหยักของคนด้านล่างแรงๆ ซึ่งคามินเองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ด้วยการเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อต้อนรับเรียวลิ้นเล็กที่ไม่ค่อยประสีประสาของผมเข้าไปในโพรงปากตัวเอง และปล่อยให้เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นร้อนๆ ของเขาที่กำลังรอคอยอยู่อย่างรู้ความ

มือเล็กของผมฝัดป่ายไปทั่วร่างกายของร่างสูง ในขณะที่เสื้อเชิ้ตถูกกระชากออกไปจากแผงอกกำยำนั่นแล้ว ก่อนที่นิ้วมือเรียวของผมจะสะกิดเบาๆ เข้าที่ยอดอกสีเข้มอย่างยั่วเย้า อะไรที่คามินเคยทำให้ผม ผมก็กำลังปรนเปรอเขาในแบบเดียวกันไม่ต่างเลย

เสียงคำรามต่ำดังขึ้นในลำคอของคนด้านล่างอย่างพอใจ มือใหญ่กำลังสอดเข้าไปใต้บั้นท้ายผม พร้อมทั้งออกแรงบีบอย่างมันเขี้ยว ผมเองก็ให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายเต็มที่ด้วยกระดกสะโพกขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าไฟอารมณ์ของเราทั้งสองคนจะถูกจุดติดและโหมกระพืออย่างยากที่จะควบคุม

ผมลดตัวลงมานั่งบนเตียงก่อนจะจัดการเสื้อผ้าตัวเองให้ออกไปพ้นตัว คามินเองก็ไม่ต่าง ร่างสูงแทบจะกระชากกางเกงชั้นในของตัวเองออกมาเลยด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนว่าถ้าใช้การถอดมันจะช้าไป และไม่ทันใจคนอารมณ์ร้อนที่ตอนนี้คงอยากจะแนบชิดและสัมผัสกับผมด้วยร่างกายเปลือยเปล่ามากกว่าการที่จะมีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ มากั้นขวางไว้

และหลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อย เราสองคนกระโจนเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง แอร์ที่ว่าเย็นก็ดับเพลิงอารมณ์ของเราทั้งสองไม่ได้ เสียงหอบกระเส่าของทั้งผมและคามินดังสอดประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมผลักคามินลงบนเตียงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าร่างสูงเองก็ให้ความร่วมมือกับผมเต็มที่ ผมขึ้นคร่อมร่างกายใหญ่โตของคามินไว้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าตอนนี้อาวุธคู่กายของเราทั้งสองกำลังแข็งขืนและอัดแน่นไปด้วยความต้องการโดยไม่จำเป็นต้องเล้าโลมใดๆ อีก

ตอนนี้สายตากลมของผมและสายตาคมของคนด้านล่างต่างกำลังจ้องกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และก็เป็นผมเองที่หมดความอดทนก่อน ผมก้มลงไปใช้ลิ้นไล้เลียยอดอกสีเข้มของคนด้านล่างช้าๆ ทำเอาคามินครางฮือในลำคอด้วยความพออกพอใจ

ผมเลื่อนริมฝีปากไปทั่วอกกำยำ และขบเม้มสร้างรอยรักสีกุหลาบไปทั่วร่างกายของคนตัวโต คามินสอดมือเข้ามากดรั้งและลูบไล้ศรีษะผมอย่างหลงใหล ผมปรนเปรอคามินด้วยริมฝีปากไปยังทุกที่ที่ลากผ่าน จนไปหยุดยังแกนกายใหญ่โตของคนด้านล่างที่กำลังขยับขยายรอให้ผมครอบครองอยู่

และในขณะที่ผมกำลังจะครอบริมฝีปากลงไปนั้น คามินก็จับผมให้หยัดหน้ากลับขึ้นมาเสียก่อน คนตัวโตจูบแรงๆ ลงบนปากอิ่มของผมอย่างมันเขี้ยว ก่อนที่จะกระซิบเสียงกระเส่าที่ช่างกระตุ้นสัญชาตญาณดิบในตัวผมได้ดีเหลือเกิน

“หันหลังมาครับคนดี ผมไม่เอาเปรียบให้คุณปราณทำให้ผมคนเดียวหรอก”

ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าอายๆ ก่อนจะตะกายกลับไปกลับมาอยู่บนตัวคามิน ตอนนี้ริมฝีปากของผมจ่อรอครอบแกนกายของคนด้านล่างแล้ว และเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่ครอบลงมาบนแกนกายของผม ก็ทำให้ผมเผลอสูดปากยาวๆ ด้วยความเสียวซ่านเสียก่อน

“อาาาาห์”

ผมครางอย่างพอใจเมื่อถูกริมฝีปากหยักปรนเปรอเอาใจรูดรั้งให้อย่างชำนาญ และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกค้างคา ผมจึงจัดการครอบริมฝีปากลงไปบนแก่นกายใหญ่โตของคนด้านล่างบ้าง มันใหญ่จนคับปากผมไปหมด แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกระหว่างผมกับคามิน ผมรู้ดีว่าต้องทำยังไง เลยขยับปรับองศานิดหน่อยก็รูดริมฝีปากขึ้นลงได้อย่างไม่มีติดขัด ผมไม่รู้ว่าคามินพอใจมากแค่ไหน แต่สะโพกหนาของคนตัวโตดูเหมือนจะไม่ทันใจจึงสวนกระแทกกลับเข้ามาในปากผมเบาๆ ทำเอาผมแทบสำลัก

ผมเปลี่ยนจากการใช้ปากอิ่มรูดรั้งมาเป็นใช้ลิ้นละเลงเบาๆ ที่ส่วนหัวแทน คามินคำรามต่ำเหมือนคนที่กำลังอดกลั้นสูงสุด ผมเองก็ไม่ต่าง ตอนที่คามินใช้ลิ้นเลียส่วนหัวของผมซ้ำๆ เอวผมก็แทบจะส่ายคว้าง ผมเสียวจนอยากจะครางออกมายาวๆ แต่ติดที่ว่าริมฝีปากผมเองก็กำลังติดพันอยู่กับแก่นกายตรงหน้านี้เหมือนกัน

และในขณะที่ผมเองกำลังมัวเมาอยู่กับท่อนเนื้อตรงหน้า ผมก็ได้รู้สึกกับสัมผัสแปลกๆ ที่ช่องทางด้านหลัง


... คามินละริมฝีปากไปจากแก่นกายของผมแล้ว และตอนนี้เขากำลังหันไปให้ความสนใจกับช่องทางด้านหลังของผมแทน ...


ผมรู้สึกถึงเรียวลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามาทางด้านหลัง สัมผัสแปลกใหม่ทำให้ผมเสียวซ่านจนแทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว นิ้วเท้าของผมจิกเกร็งแน่น มือเล็กๆ ของผมทั้งสองข้าง จิกแน่นอยู่บนต้นขาของคามินจนข้อนิ้วขาวเกร็ง ผมยอมแพ้ต้องผละออกจากท่อนเนื้อของคนด้านล่างที่ตอนนี้กำลังขยับขยายใหญ่ขึ้นเต็มกำลัง และดูเหมือนจะตั้งชันเตรียมพร้อมจะมอบความสุขกับผมได้แล้ว จากนั้นผมก็ครางเสียงกระเส่า เพราะทนกับความวาบหวามที่คามินมอบให้อย่างที่ใจผมต้องการไม่ไหว

“อ๊ะ อา อาห์”

เสียงของผมคงไปกระตุ้นคนตัวโตได้ไม่น้อย ตอนนี้คามินจึงตัดสินใจถอนลิ้นออก แล้วแทรกนิ้วแกร่งที่ชะโลมเจลหล่อลื่นไว้พร้อมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เข้าไปแทน ลมหายใจผมถี่กระชั้น เมื่อแรกเริ่มที่นิ้วของคามินเข้าไปในช่องทาง มันเจ็บจนจุก แต่ผมก็กัดฟันทน เพราะรู้ว่ามีความสุขและสัมผัสที่แปลกใหม่รออยู่ข้างหน้า

คามินอดทนจนผมปรับตัวได้ แล้วจึงค่อยๆ ควงวนนิ้วช้าๆ จนมันไปสัมผัสเข้ากับจุดอ่อนไหวของผม ผมครางแทบไม่เป็นภาษา เมื่อความเจ็บนั้นกำลังแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านในแบบที่ผมแทบจะรับมือไม่ไหว

“อ๊า อ๊า อึก! ตรง.. ตรงนั้น”

“ตรงนี้หรอครับคนดี หื้ม?” คามินแกล้งถามและกระแทกนิ้วเข้าไปไม่หยุด จนศีรษะผมคลอนไหวไปมา ช่องทางของผมตอดรัดนิ้วแกร่งของคามินจนผมเองยังรู้สึกได้ และดูเหมือนว่าตอนนี้คนตัวโตเองก็คงจะไม่ไหวแล้วเช่นกัน จึงค่อยๆ ถอนนิ้วออกจากช่องทางผมช้าๆ ผมที่กำลังมัวเมากับความสุขที่ได้รับมีอันต้องอารมณ์ค้าง และนั่นทำให้ผมหงุดหงิดจนแทบอยากจะรั้งข้อมือใหญ่นั้นไว้ไม่ให้ล้มเลิกกลางคันแบบนี้

“อื้อ.. อย่า อย่าแกล้ง” ผมขอร้องเสียงกระเส่า อารมณ์ของผมตอนนี้พลุ่งพล่านมาก ผมอยากให้คามินทำต่อ ทำอีก อยากให้ตัวตนของเขาเข้ามาในตัวของผม รักผมแรงๆ เหมือนที่เคยทำที่ผ่านมา

ผมหันไปตวัดสายตามองคนตรงข้ามด้วยความไม่พอใจ แต่แทนที่คามินจะสลด กลับอมยิ้มเจ้าเล่ห์ แถมยังเอ่ยประโยคกวนประสาทที่ทำให้ผมหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

“คุณปราณอยากได้อะไร คุณปราณทำเองก็ได้นี่ครับ จริงไหม”

คามินพูดยั่วเย้า ก่อนจะมองเลยไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม พอผมมองตามสายตาคามินไปจึงเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทันที

ผมได้แต่เข่นเคี้ยวในใจ แต่พอมาจนถึงตอนนี้แล้ว ผมก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เป็นผมเองที่ต้องการคามินมากขนาดนี้ ไหนๆ ผมก็เป็นคนเริ่มมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ จะมามัวเขินอายตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเท่าไหร่ แล้วยิ่งเลือดในกายผมมันสูบฉีดพล่านเต็มไปด้วยความต้องการขนาดนี้ ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องมานั่งคิดให้เสียเวลาอีกแล้ว

ผมตัดสินใจหันหน้ากลับมาคามิน ก่อนจะลุกขึ้นยืนกางขาคร่อมเอวของคนที่นอนอยู่เอาไว้ คามินหยัดสายตามาสบตาผมด้วยแววตาที่ท้าทาย อารมณ์ประมาณว่า ผมอยากจะรู้ว่าคุณปราณจะกล้าไหมอะไรทำนองนั้น

ใช่! ถ้าเป็นปราณันต์คนเดิมคงไม่กล้าหรอก แต่ตอนนี้ปราณันต์คนนี้กำลังเห็นแก่ตัว และปราณันต์คนนี้ก็กำลังต้องการคามินมากๆ เพราะฉะนั้น ทำไมผมจึงต้องไม่กล้ากันล่ะ

ผมลดตัวลงไปช้าๆ โดยที่ให้ช่องทางด้านหลังจ่ออยู่ตรงแก่นกายที่กำลังตั้งชันเตรียมพร้อมรออยู่ของคามิน ผมค่อยๆ กดสะโพกกลืนกินแก่นกายของคามิน อันที่จริงมันก็เจ็บนิดหน่อย แต่เพราะเมื่อกี้นิ้วแกร่งของคนเจ้าเล่ห์ได้เบิกทางไปบ้างแล้ว ผมจึงค่อยๆ กดสะโพกลงจนกลืนแกนกายของคามินเข้าไปได้ทั้งแท่ง

“อ๊ะ อาาาา” ผมเผลอครางเสียงสั่นตอนที่ผมรับคามินเข้ามาในตัวผมได้ทั้งหมด ร่างสูงเองก็ใช่ย่อยเพราะดูเหมือนคามินเองก็สูดปากครางลั่น ตอนที่ได้เข้ามาในตัวผมทั้งหมดเช่นกัน

“อาาา เก่งมากครับ...เด็กดี” มือใหญ่ยื่นมาลูบแก้มผมไม่หยุด สายตาคมมองผมอย่างหวานเชื่อม เต็มไปด้วยอารมณ์และความหลงใหล

ผมนั่งนิ่งสักพักเพื่อปรับตัว จนพอคามินยื่นมือมายึดเอวผมไว้นั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่าควรขยับตัวเสียที

ผมโยกขย่มเอวขึ้นลงช้าๆ เนิบนาบในคราวแรก โดยมีคามินคอยประคองเอวของผมไว้ และเมื่อผมขยับ ความรู้สึกหฤหรรษ์และวาบหวามต่างๆ ก็ประดังประเดเข้ามาจนสติสัมปชัญญะที่ผมควรมีดับสิ้นไปหมด ในตอนนี้ที่ผมรู้มีแค่ผมกับคามิน และร่างกายที่เชื่อมติดของเราสองคนเท่านั้น การได้เป็นผู้ควบคุมทุกอย่างมันให้ความรู้สึกวิเศษแบบนี้นี่เอง

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊าา”

“อึก! อา แรง.. แรงอีกครับเด็กดี .. อา อาา”

ผมกับคามินสลับกันครางอย่างพอใจ อุณหภูมิในห้องนอนพุ่งสูงจนแทบจะทะลุจุดเดือด ผมโยกขยับอย่างอิสระ เต็มเติมทุกสัมผัสแบบที่ผมต้องการให้เป็น คามินทำแค่ประคองเอวของผมไว้เท่านั้น ร่างสูงผงกศีรษะและร่างกายส่วนบนขึ้นมาโอบรัดผมไว้ทั้งตัว ริมฝีปากหยักปรนเปรอ ดูดดึง และไล้เลียยอดอกให้ผมอย่างเอาใจ ผมเงยหน้าครางลั่นกับทุกสัมผัสที่ได้รับ ผมรู้สึกดี จนไม่รู้ว่าตรงไหนที่ทำให้ผมรู้สึกได้มากกว่ากัน

แก่นกายของผมปวดหนึบเพราะความต้องการที่อัดแน่น ผมเอื้อมมือตั้งใจจะลงไปช่วยชักรั้งเพื่อให้ตัวเองได้ปลดปล่อย แต่ดูเหมือนมือใหญ่ของคามินจะไวและรู้ใจกว่า เพราะเอื้อมไปถึงมันก่อนตัวผมเองด้วยซ้ำ คามินชักรูดท่อนเนื้อของผมเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมโยกขยับ เสียงหวานของผมร้องขอคนตัวโตซ้ำๆ


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 29-03-2021 20:22:41
(อ่านต่อจากด้านบน)


“เร็ว อึก! เร็วอีก คะ.. คุณคราม”

คามินบำรุงบำเรอให้ผมทุกอย่างจนผมคิดว่าผมใกล้จะแตะฝั่งฝันแล้ว ซึ่งคนตัวโตเองคงสัมผัสได้ เลยสาวรั้งและขยี้ส่วนหัวให้ผมเร็วและแรงยิ่งกว่าเดิม หน้าท้องและอวัยวะทุกส่วนของผมหดเกร็งขึ้นเรื่อยๆ จนปลดปล่อยออกมาในที่สุด

"อ๊ะ อาาาาาาาาาาห์"

ผมครางยาวให้สมกับความสุขที่ได้รับ แต่ดูเหมือนว่าคนข้างล่างจะยังไปไม่ถึง ผมพยายามจะฝืนตัวเองโดยการขยับสะโพกต่อและตัวเองไปในที่ที่เดียวกับผม แต่คนตัวโตแค่ยิ้มน้อยๆ แล้วจับผมนอนราบกับพื้นเตียงแทน

“ไม่เป็นไรครับคนดี ผมจัดการต่อเอง”

คามินจับขาทั้งสองข้างของผมยกขึ้น จากนั้นก็สวนสะโพกเข้ามาหาผมเร็วๆ และแรงๆ มันเข้ามาลึกมากจนความรู้สึกที่ควรจะดับมอดไปแล้วถูกจุดขึ้นมาอีก ผนังอุ่นของผมตอดรัดท่อนเนื้อของคามินถี่รัว คนตัวโตสูดปาก เพื่อแสดงออกถึงความพอใจขีดสุด

“ซี๊ดดด ตอดอีกครับ ตอดอีก.. เด็กดี”

ถ้อยคำลามกที่ถูกส่งออกมายิ่งทำให้ผมมีอารมณ์ คามินกระแทกโถมแกนกายเข้ามาแรงๆ ซ้ำๆ จนท่อนเนื้อของผมดีดชันเพราะมีอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ แต่รอบนี้มันไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลและแตะต้องจากมือของใครเลย เพราะหลังจากคามินรูดแกนกายออกและกระแทกเข้ามาย้ำ หลายๆ ที ท่อนเนื้อของผมก็หดเกร็ง ก่อนจะกระตุกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะปลดปล่อยออกมาเช่นกัน เพราะความรู้สึกอุ่นร้อนที่ถูกฉีดเข้ามาในช่องทาง พร้อมๆ กับเสียงครางต่ำที่เต็มไปด้วยความสุขและความพอใจ ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าคามินเองก็ถึงฝั่งฝันเช่นกันไม่ต่างจากผม

“อาาาาาห์ เด็กดีของผม คุณปราณของผม” คามินซบพึมพำอยู่กับอกผม พร้อมกับจูบย้ำไปทั่วร่างกายขาวนวลของผมที่ตอนนี้ เต็มไปด้วยรอยจูบจากปากหยัก

“ขอบคุณนะครับคนดี ผมมีความสุขมากเลยคุณรู้ไหม” คามินกระซิบเสียงหวานบอกผม ในขณะที่ผมเองก็กระซิบบอกตอบด้วความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

“ผมมีความสุขมากเหมือนกัน”

เราต่างยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุข ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้าหากันและกันช้าๆ อีกครั้ง


... ในเมื่อตอนนี้ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับคนเห็นแก่ตัวแบบผม คำว่าครั้งเดียวมันคงยังน้อยไป ... ผมยังต้องการมากกว่านี้อีก ไม่พอ ผมยังรู้สึกว่าไม่พอ

.

.

.

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยจูบสีกุหลาบเต็มตัวไปหมด ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังหลับพริ้มอย่างมีความสุขแล้วก็ได้แต่นึกปวดหัวใจ

ระหว่างผมกับเขามันก็แค่นี้ จูบกัน มีเซ็กส์กัน พอลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกของความเป็นจริงก็ต้องต่างคนต่างไป ไม่มีทางจะลึกซึ้งมากไปกว่านี้ เพราะความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันไม่ถูกต้องมาตั้งแต่แรกแล้ว

ผมก้าวลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้คนที่กำลังหลับอยู่รู้สึกตัว พลางเหลือบมองนาฬิากาที่วางอยู่บนหัวเตียงก็เห็นว่านี่ใกล้จะบ่ายคล้อยเต็มทีแล้ว ผมคำนวณเวลาในใจคร่าวๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองมีเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนที่ปุณณกันต์กับปัณณธรจะเลิกเรียน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพื่อจะโทรหาเพื่อนสนิทที่ผมมีอยู่ไม่กี่คน ก่อนจะเห็นว่าผมได้รับข้อความตอบมาจากฝั่งนั้นอีกครั้ง และข้อความนี้ก็คือตัวกระตุ้น ว่าผมจะช้าไม่ได้อีกแล้วแม้แต่วินาทีเดียว


‘ได้! ฉันให้เวลาแกห้าวัน หลังจากห้าวันนี้แกต้องไสหัวไปซะ! อย่าให้ฉันต้องพูดอะไรซ้ำๆ ซากๆ เพราะถ้าแกไม่รักษาสัญญา ฉันก็จะไม่รับรองความปลอดภัยของไอ้เด็กฝาแฝดนั่นเหมือนกัน! '


ผมกดปิดข้อความนั้นด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะตั้งสติ แล้วโทรหาเพื่อนสนิทคนแรกและคนเดียวของผม

อนาวิน

ผมรอสายอยู่ไม่ถึงนาที ปลายสายก็กดรับ “ไอ้ปราณ เป็นไงบ้างวะ หายไปเลย หรือว่าไอ้บ้านั่นมันห้ามไม่ให้นายติดต่อใคร?”

ผมหลุดขำทันทีที่ได้ยินสรรพนามที่อนาวินใช้เรียกคามิน


‘ฮ่าๆ ไอ้บ้านั่น’


ผมหันไปมองเจ้าของสรรพนามที่อนาวินเรียกอีกครั้ง พลางอมยิ้มบางๆ มือเรียวของผมยื่นไปเกลี่ยผมที่กำลังตกมาให้คามินอย่างเบามือ ลมหายใจที่พรูเข้าออกของคามินยังคงสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่าอีกฝั่งกำลังหลับสบาย

“ช่างเขาเถอะ ฉันโทรมาหานายวันนี้เพราะฉันมีเรื่องปรึกษา เรื่องใหญ่ด้วย ยังไงนายมาเจอฉันหน่อยได้ไหม นายว่างรึป่าว”

ผมปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น เพื่อบ่งบอกคนปลายสายว่าผมค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องที่จะเล่าให้มันฟัง และอนาวินเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ทันที

“ได้สิ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันไหม ร้านเดิมของพวกเรา” เพื่อนร่างเล็กของผมตอบกลับมา และนั่นทำให้ผมรีบตกลงทันที

“ตกลง ถ้ายังไงฉันฝากนายโทรตามพี่นทกับกันต์กวีด้วยได้ไหมวะ ฉันอยากบอกเรื่องนี้ให้สองคนนั่นรู้ด้วย” ผมไหว้วานเพื่อนสนิท

“อือ ได้สิ” อนาวินรับคำ ก่อนจะกดวางสายไป

ผมรักความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเพื่อนสนิทของผมคนนี้มาก อนาวินไม่เคยถามอะไรให้มากความ หมอนั่นเหมือนรู้ความรู้สึกของผมเกือบทุกเรื่องแม้ว่าผมจะไม่ได้พูดอะไร ครั้งนี้ก็เช่นกัน อนาวินไม่ถามอะไรผมทั้งนั้น มันคงรอให้ผมอยากเล่า ซึ่งก็นั่นแหละ พอถึงเวลาแล้ว ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้อนาวินฟังเอง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณมันมากที่พยายามเข้าใจและไม่กดดันผมกับเรื่องบางเรื่องที่ผมยังไม่พร้อม

และอันที่จริงผมจะเป็นคนโทรไปบอกกันต์กวีและพี่นทเองก็ได้ แต่ผมอยากจะใช้เวลาอยู่กับคามินอีกสักนิด ต่อให้เป็นเศษเวลาแค่วินาทีมันก็อาจจะมากพอที่จะให้ผมและเขามีความทรงจำเพิ่มขึ้นด้วยกันอีกสักเรื่อง ก็ผมบอกแล้วไง ว่าผมก็แค่อยากจะเห็นแก่ตัวเองสักครั้ง แค่ครั้งนี้ก็พอ

ผมหันไปมองเจ้ายักษ์ปักหลักที่ยังคงนอนไม่หือไม่อืออยู่บนเตียง ครั้งนี้คามินคงมีความสุขและมั่นใจมากว่าผมจะไม่หนีหายไปไหน เพราะท่าทีที่ผมแสดงออกก่อนหน้านี้มันคือท่าทีของคนที่ยอมสิ้นหมดแล้วทุกอย่าง ท่าทีของคนที่รักคนอีกคนอย่างหมดหัวใจ และหลังจากร่วมรักกัน คามินคงหมดกังวลเลยหลับเป็นตายขนาดนี้ ผมได้แต่ถอนใจ และก็ไม่ผิดหรอกที่คามินจะคิดแบบนั้น ห้าวันนี้ผมจะยอมคามินทุกอย่าง ผมแค่อยากจะมีความสุขกับคนตรงหน้าให้มากที่สุด ก่อนที่เราจะต้องจากกันไปตลอดกาล

ผมคิดอย่างเจ็บปวดหัวใจ แต่ก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อความเจ็บปวดนั้นและเลือกที่จะใช้เวลาที่มีค่าอยู่กับคนตรงหน้ามากกว่า ผมอมยิ้มให้กับความคิดนี้พลางใช้นิ้วชี้ของตัวเองจิ้มลงไปบนแก้มสากเบาๆ คามินขมวดคิ้วนิดหน่อย เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์ที่ถูกรบกวนเวลานอน ซึ่งยิ่งพอเห็นแบบนั้นผมยิ่งอยากแกล้ง แต่พอมาคิดอีกทีถ้าคามินตื่นขึ้นมา ผมคงไม่ได้มีเวลาไปคุยธุระกับพวกเพื่อนๆ ผมเป็นแน่ คนตัวโตคงต้องงอแงขอตามไปด้วยจนได้ แล้วยิ่งถ้ารู้ว่ามีกันต์กวี เรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากไปใหญ่ ผมจึงเปลี่ยนใจ ยื่นหน้าลงไปจูบแก้มสากเบาๆ แทน แล้วก็ปล่อยให้คามินนอนต่อ ส่วนตัวเองก็เข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมออกไปหาอนาวินตามที่ได้นัดกันไว้

.

.

.

ผมออกมาขึ้นแท๊กซี่เพื่อไปหาอนาวินยังที่นัดหมาย ตอนแรกที่คุณแทนคุณรู้ว่าผมจะออกมาข้างนอกโดยที่ยังไม่ได้บอกคามิน คุณบอดี้การ์ดผู้แสนจะซื่อตรงก็ทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียว จนผมต้องบอกไปว่าผมเห็นว่าคามินหลับอยู่เลยอยากให้เขาพักผ่อนไปก่อน และผมเองก็มีธุระที่ต้องไปคุยกับอนาวิน เพื่อนสนิทของผม ถ้าคามินไปด้วยผมคงไม่สะดวกใจเท่าไหร่ คุณแทนคุณก็ดูลังเล คงกลัวว่าผมจะหนี ผมเลยต้องยืนยันว่าผมไม่หนีไปไหนแน่ ถ้ายังไงหลังจากคุยกับอนาวินเสร็จแล้ว ผมจะไปรับปุณณกันต์กับปัณณธรที่โรงเรียนอนุบาล ให้คามินตามไปเจอกับผมที่นั่นได้เลย

คุณแทนคุณก็ถามย้ำผมอยู่หลายรอบว่าผมจะไปไหน อะไรยังไง ดังนั้นเพื่อความสบายใจและคุณแทนคุณเองจะได้ยืนยันกับคามินได้โดยที่ไม่ต้องถูกเจ้านายดุ ผมเลยพูดออกไปว่า


‘ผมไม่หนีไปไหนหรอกครับ เสร็จธุระกับอนาวินแล้ว ผมจะไปรอคามินที่โรงเรียนอนุบาล รับรองว่าเจอผมแน่นอน’


... ใช่ วันนี้น่ะผมไม่หนีไปไหนหรอก ผมสัญญาไว้แล้วว่าจะเจอผมก็คือเจอ

แต่หลังจากห้าวันนี้เป็นต้นไป ... ผมเองก็ผิดสัญญาที่ให้กับคุณพรวลัยไว้ไม่ได้เหมือนกัน

.

.

.

พอเดินเข้ามาในร้านขนมร้านโปรดของผมกับอนาวิน ผมก็พบว่าทุกคนกำลังนั่งรอท่าผมอยู่แล้ว

“ปราณ ปราณเป็นยังไงบ้าง” กันต์กวีพรวดพราดเดินเข้ามาหาผมทันทีที่ผมเข้ามาในร้าน

ผมยิ้มบางๆ เป็นการตอบคำถาม ผมไม่ได้พูดอะไรมาก เหตุการณ์เมื่อเช้า มันค่อนข้างหนักหนาสาหัสกับผมพอสมควร ผมทั้งช็อค ทั้งอาย ทั้งรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ค่าที่สุดในชีวิต แต่ตอนนี้ ผมหาทางออกให้กับปัญหาของตัวเองได้แล้ว ถ้าผมหนีไป ไปเริ่มต้นใหม่ในที่ๆ ใครๆ ไม่รู้จัก ... เท่านั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมไม่ต้องทุกข์ทน และทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ซ้ำๆ อีกต่อไป

“เราไม่เป็นอะไรแล้วล่ะกวี ขอบคุณกวีมากที่เป็นห่วงนะ แล้วก็ขอบคุณพี่นทด้วยนะครับที่คอยอยู่เคียงข้างผม ไม่ทิ้งผมไปไหน ถึงแม้ ผมจะสร้างปัญหามากมายให้พี่ก็ตาม”

ผมพูดอย่างละอายใจ เพราะดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนที่นำพาเรื่องไม่ดีต่างๆ เข้ามาสู่ชีวิตของทั้งพี่นท กันต์กวี หรือแม้กระทั่งอนาวินเองก็ด้วยเถอะ

และแม้กระทั่งตอนนี้ ตอนที่ผมก็กำลังจะทำให้เพื่อนๆ เดือดร้อนอีกครั้ง และนี่คือสาเหตุ ว่าทำไมผมถึงต้องขอพบทั้งสามคนพร้อมกัน มันไม่ใช่แค่ว่าผมจะขอความช่วยเหลือจากทุกคนหรอก แต่ผมกำลังจะขอร้อง และขอโทษจากใจจริงที่กำลังจะทำให้ทุกคนลำบาก เพราะการกระทำของผมอีกครั้ง

“ฉันรู้เรื่องจากพี่นทหมดแล้วนะปราณ ทีนี้นายบอกฉันสิ ว่านายจะเอายังไงต่อไป”

อนาวินถามผมเสียงเข้ม เจือความไม่พอใจนิดๆ ผมรู้ว่ามันโกรธ โกรธที่ผมไม่เลิกใจอ่อนกับคามินสักที แม้ที่จริงแล้วมันจะมีเหตุให้ผมเลิกกับคามินเด็ดขาดไม่ได้ แต่อนาวินก็รู้ ว่าที่จริงมันเป็นเพราะลึกๆ แล้ว ผมยังรักคามินอยู่ต่างหาก นั่นทำให้เรื่องระหว่างผมกับคนตัวโตนั่นคาราคาซังมาจนถึงตอนนี้

“ก็นี่แหละ ที่เรียกทุกคนมาเพื่อจะขอโทษ และบอกให้ทุกคนรู้ด้วยว่าผมตัดสินใจจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป” ผมพูดอย่างอึดอัด อีกใจก็รู้สึกผิดแต่อีกใจก็รู้ว่าทุกคนจะต้องเข้าใจ

“บอกพวกเรามาเถอะปราณ ปราณก็รู้ว่าไม่ว่ายังไง พวกเราก็พร้อมจะอยู่ข้างปราณเสมอ ขอให้ทางที่ปราณตัดสินใจเลือก มันเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับปราณแล้วก็ฝาแฝดก็พอ” พี่นทย้ำและให้กำลังใจนั่นทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นเป็นกอง

“ผมตัดสินใจแล้ว... ว่าผมจะไปจากคุณคามินครับ” ผมหยุดพูดเพื่อรอดูทีท่าของทุกคน เมื่อเห็นว่าทุกคนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นั่นทำให้ผมกล้าที่จะพูดประโยคถัดไป “ถ้าผมทำให้ทุกคนเดือดร้อน ถูกคุณคามินไล่ออกจากงาน ทุกคนจะไม่โกรธผมใช่ไหมครับ”

ผมเป็นกังวลมากว่าจะได้รับสายตาทิ่มแทงหรือมองผมว่าเป็นคนทรยศหักหลังเพื่อนจากทุกคน แต่ไม่เลย... ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด แววตาของทุกคนมีแต่ความยินดี ราวกับรอมานานมากแล้วที่จะให้ผมตัดสินใจแบบนี้

“ไม่โกรธผมหรอครับพี่นท? นายล่ะกวี? ไม่โกรธฉันหรอ” ทุกคนส่ายหัวรวมถึงอนาวินด้วย

“ไอ้ปราณ ทุกคนเป็นห่วงนายมากนะ เอาจริงๆ พวกฉันก็รู้สึกผิดและอึดอัดไม่น้อยที่จะต้องมาเป็นตัวประกันที่คามินเอาไว้ขู่นายแบบนี้” อนาวินพูดยาว

“ใช่ ปราณ ต่อให้ตอนแรกปราณจะตัดสินใจไม่กลับไปหาไอ้สารเลวนั่น แล้วพวกเราต้องโดนไล่ออกจริง พวกเราก็ไม่โกรธปราณหรอก พวกเราเข้าใจ เข้าใจมากๆ ด้วย” กันต์กวีเสริม

“ถูกของกวี แต่ที่เราไม่อยากแย้งปราณ เพราะเรารู้ดีว่าปราณคงทนกับความรู้สึกผิดไม่ไหว ถ้าเกิดต้องทำให้พวกเราเดือดร้อนขนาดนั้น พวกเราเลยต้องแล้วแต่ปราณ ไม่อยากไปบีบบังคับอะไร เพราะเท่าที่ปราณเจออยู่มันก็สาหัสมากพออยู่แล้ว เลยไม่อยากให้ปราณต้องมาหนักใจกับพวกเราอีก”

พี่นทพูดพลางตบไหล่ผมอย่างปลอบโยน “ตัดสินใจแบบนี้น่ะดีแล้ว ไปเริ่มต้นใหม่ซะ ไม่ต้องห่วงพวกเรา งานใหม่มันไม่ได้หายากขนาดนั้นหรอก”

“ใช่ ห่วงแต่ตัวเองกับน้องก็พอ เลิกสักทีเถอะ ไอ้เรื่องเห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเองเนี่ย” อนาวินทำเสียงดุ “แล้วอีท่าไหนล่ะ ถึงได้ยอมแพ้ได้”

ผมมองไปที่คนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย น้ำตาผมพาลจะไหลออกมาให้ได้ ถึงผมจะอาภัพเรื่องความรัก ชะตาชีวิต หรือเรื่องบ้าบออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมโคตรโชคดีที่ผมมีเพื่อน มีพี่ที่แสนดีขนาดนี้ ทุกคนเป็นห่วงผมจากใจจริง ไม่มีใครโกรธเคืองผมเลยที่ผมเป็นต้นเหตุให้พวกเขาเดือดร้อน

ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความซึ้งใจลวกๆ ก่อนจะตั้งใจพูดประโยคนี้ให้ทุกคนได้รับรู้

“ขอบคุณทุกคนมากนะ ขอบคุณจริงๆ”

ผมทำท่าจะร้องไห้ อนาวินเลยต้องเข้ามากอดปลอบ ก่อนที่ผมจะปล่อยโฮ

“ไม่เอาไม่ต้องร้อง นายมีพวกฉันเสมอ นายก็รู้นี่” อนาวินดันตัวผมออก ก่อนจะจ้องเข้ามาในลูกตากลมโตของผมนิ่ง “ไม่ต้องเสียใจ ไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย นายทำถูกแล้ว นายทำดีที่สุดแล้ว”

ผมพุ่งเข้าไปกอดเพื่อนสนิท ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย อนาวินปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่พักใหญ่ จนผมสงบ มันก็ถามขึ้นเป็นการเป็นงานอีกครั้ง

“ตกลงจะตอบได้ยัง ว่าอีท่าไหนถึงได้ตัดสินใจแบบนี้”

ผมจ้องหน้าเพื่อนสนิทนิ่ง ไม่ได้พูดตอบอะไร เพราะแค่พาลนึกถึงข้อความพวกนั้นหัวใจผมก็สั่นไหวอย่างรุนแรงไม่หยุด ผมเลยเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วยื่นให้ทั้งสามคนดูแทน

หลังจากที่ทั้งสามคนเห็นข้อความนั้นก็สบถด่าหยาบคายออกมายาวเหยียด กันต์กวีโมโหเสียจนจะไปเอาเรื่องคุณพรวลัยให้ได้ แต่ทุกคนก็ห้ามไว้ เพราะเราไม่มีหลักฐานมากพอที่จะไปกล่าวหาว่าข้อความพวกนั้นมาจากเธอ เพราะฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหานี้ได้คือ ผมต้องไปจากคามินเท่านั้น ผมจะได้มั่นใจได้ว่าน้องชายผมจะปลอดภัยและปัญหาระหว่างเราสามคนจะได้จบสิ้นสักที

หลังจากตั้งสติกันได้ ก็เป็นพี่นทที่ถามขึ้นมา และคำถามนี้ก็เป็นคำถามที่ทำให้ผมต้องนัดทุกคนมาเจอที่นี่นั่นแหละ

“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อไปดีปราณ ปราณจะไปที่ไหนได้คิดไว้รึยัง”

“เพราะอย่างนี้แหละครับ ผมถึงได้นัดทุกคนมา” ผมอ้อมแอ้มตอบ "ผมไม่รู้ว่าผมจะไปที่ไหน ถ้าจะให้หนี ผมต้องหนีไปให้ไกลมากพอที่คุณคามินและคุณพรวลัยจะหาไม่เจอ ออกจากกรุงเทพฯ เลยก็ยิ่งดี แต่ปัญหาคือผมไม่ได้มีเงินมากพอขนาดนั้น ผมเองก็พอจะมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง แต่ถ้าต้องเลี้ยงปากท้องคนสามคน มันก็คงจะได้แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

หลังจากผมพูดจบ ทุกคนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เพราะถ้าคิดตามที่ผมพูดแล้ว นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่ ถ้าผมจะหนีไปให้ไกล ผมต้องมีเงินก้อนใหญ่พอที่จะใช้กินอยู่สำหรับสามปากสามท้องได้ในระยะเวลาหนึ่งถึงจะโอเค

“เอางี้ ฉันพอมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง นายเอาของฉันไปเลย” อนาวินเสนอตัวช่วย

“ใช่ ของพี่ก็พอมีบ้าง ปราณเอาไปก่อน ตั้งตัวได้แล้วค่อยส่งคืนมา” พี่นทเองก็ด้วย

ผมแทบจะอยากจะบ้าตายพอได้ยินสองคนนั้นพูดแบบนั้น

“ไม่ได้หรอก ทั้งพี่นท ทั้งไอ้วินนั่นแหละ ผมจะรบกวนทุกคนแบบนั้นได้ยังไง ถ้าสมมติว่าผมไป แล้วคามินเกิดเป็นบ้าไล่ทุกคนออกจากงานขึ้นมาจริงๆ จะเอาทุนที่ไหนไว้ใช้ระหว่างหางานใหม่กันล่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“อย่าทำให้ผมสร้างความเดือดร้อนให้ทุกคนมากไปกว่านี้เลยนะ” ผมขอร้องทุกคนอย่างจนใจ

“แล้วถ้าสมมติว่า...” จู่ๆ กันต์กวีก็พูดทะลุขึ้นมากลางปล้อง เหมือนคิดอะไรดีๆ ออกสักอย่าง “ถ้าสมมติว่าเรามองอีกแง่ล่ะ แง่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากน่ะ”

ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่กันต์กวีพูดสักนิด “ยังไงหรอกวี เราไม่เข้าใจ”

“ก็ถ้าสมมติว่าปราณหนีไปในที่ที่มีที่พักให้ มีงานให้ มีอาหารและมีทุกอย่างให้ ปราณก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่มากก็ได้ ถูกไหม?”

ทุกคนคิดตามที่กันต์กวีพูด และเห็นว่ามันจริง ถ้าผมไปในที่แบบนั้นได้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ เพราะมีที่พัก และมีงานรอไว้อยู่แล้ว

“แต่แล้วที่แบบนั้นมันมีที่ไหนล่ะกวี จะหนีไปทั้งที มันจะมีที่รองรับไอ้ปราณได้ขนาดนั้นเลยหรือไง” อนาวินแย้ง ดูหงุดหงิดไม่น้อยกับความจริงที่ว่าเราจะหาที่ๆ กันต์กวีพูดได้ที่ไหนกัน ซึ่งอันนี้ผมเองก็เห็นด้วยกับอนาวิน

“มีสิ ถ้าที่แบบนั้นมันคือโรงแรมของพ่อฉันที่เชียงใหม่... ทุกคนคิดว่าเป็นไงล่ะครับ ถ้าเราจะใช้แผนนี้กัน”

เราทุกคนมองหน้ากัน ก่อนที่จะค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อกันต์กวีพูดจบ

ผมคิดอย่างดีใจที่หาทางออกให้ตัวเองได้ ก่อนจะหุบยิ้มช้าๆ เมื่อคิดถึงความจริงอีกข้อที่ผมไม่ควรมองข้าม

“แต่... นายไม่ถูกกับพ่อไม่ใช่หรอกวี นายบอกว่านายไม่อยากขอความช่วยเหลือจากเขาถ้าไม่จำเป็น”

ผมพูดเสียงอ่อยเพราะกันต์กวีเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนเป็นพ่อมาโดยตลอด นานๆ ครั้ง พ่อของกันต์กวีที่แยกกันอยู่กับแม่ของกันต์กวี แล้วกลับไปพักอยู่ที่เหนือจะบินมาเยี่ยมสักครั้ง กันต์กวีเองก็ต้องไปเจอแบบเสียไม่ได้ทุกครั้ง เพราะแม่ของตัวเองขอร้องไว้ แต่กันต์กวีจะไม่ยอมรับเงินหรือความช่วยเหลืออะไรจากคนเป็นพ่อเด็ดขาด กันต์กวีมักจะบอกว่าเลิกกันแล้วก็ให้เลิกกันไป แค่แม่คนเดียวกันต์กวีดูแลได้ และเพื่อนผมคนนี้ก็ใจแข็งมาก ทำตามที่ตัวเองบอกได้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม

แล้วตอนนี้ผมจะให้กันต์กวีมากลืนน้ำลายตัวเอง เพื่อมาช่วยผมงั้นหรอ มันไม่น่าจะดี และผมก็คิดว่ากันต์กวีคงไม่อยากทำด้วย

กันต์กวียิ้มบางๆ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง น้ำเสียงที่ตัดสินใจแล้วว่าจะทำยังไง

“ก็ตอนนี้ไงปราณที่จำเป็น แล้วอีกอย่างเราไม่ได้จะขอร้องอะไรเขาสักหน่อย” กันต์กวีพูดยิ้มๆ “ก็เดือนที่แล้วที่เขาบินมาหาฉันกับแม่น่ะ เขาเล่าให้ฟังว่าเพิ่งเปิดโรงแรมใหม่ เห็นว่ายังขาดพนักงานอีกหลายตำแหน่ง นี่เราก็แค่ช่วยเขาหาพนักงาน ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย ปราณ”

ผมยิ้มอย่างยินดี อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำให้กันต์กวีลำบากใจ ถ้าเกิดมันออกมาในรูปนี้ผมก็คงสบายใจมากๆ เพราะอย่างน้อยผมก็จะมีงานทำ มีที่พัก ไม่ต้องไประหกระเหินหา ไอ้ตัวผมลำบากคนเดียวนี่ผมไม่แคร์หรอก แต่ถ้าต้องพาเด็กอายุสี่ขวบอย่างปุณณกันต์ปัณณธรไปลำบากด้วยนี่ ผมทำใจไม่ได้แน่ๆ

“ขอบใจมากนะกวี เราขอบใจนายมากๆ เลย” ผมยื่นมือไปจับมือกันต์กวีเขย่าอย่างรู้สึกขอบคุณ

“ไม่ต้องขอบใจหรอก แต่ปราณอาจจะต้องอดทนหน่อยนะ เพราะงานที่ไปทำอาจจะไม่ได้ตรงกับที่ปราณเรียนมา พวกงานโรงแรมอ่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง คงพวกงานบริการอะไรทำนองนี้มั้ง”

“ฮ่าๆ” ไอ้วินหัวเราะออกมาทันทีที่กันต์กวีพูดจบ “โถ่ กวี นี่ใคร นี่ปราณันต์ผู้ผ่านงานมาแล้วทุกรูปแบบนะ ไม่มีอะไรที่มันทำไม่ได้หรอก” อนาวินมองมาที่ผมด้วยสายตาชื่นชมและภูมิใจ มันพูดตลอดว่ามันทึ่งในตัวผมเสมอที่อดทนและไม่เกี่ยงงานอะไรเลย

ผมยิ้ม พร้อมกับกำชับให้กันต์กวีสบายใจ “ใช่ เราไม่มีปัญหาหรอกกวี งานอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ นายช่วยฉันเราตั้งมากขนาดนี้ เราจะไปเรื่องมากนั่นนี่ได้ยังไง”

กันต์กวียิ้มกว้าง พลางบอกว่าจะช่วยไปคุยกับพ่อให้ “ระหว่างนี้ปราณก็เตรียมตัวเรื่องเอกสารต่างๆ และก็น้องๆ ให้พร้อมแล้วกันนะ ส่วนเรื่องที่พัก เรื่องงาน ปราณไม่ต้องกังวลนะ”

กันต์กวีร่ายยาว ผมเองก็เบาใจขึ้นเยอะพอได้ยินแบบนั้น

“ฉันห่วงก็แต่เรื่องปรับตัวนี่แหละ ตัวฉันไม่เท่าไหร่ แต่ฝาแฝด..” ผมพูดก่อนจะเงียบไป เพราะกังวลเรื่องนี้ไม่น้อยเลย

“เอาน่า กว่าจะเปิดเทอมก็อีกเป็นเดือนๆ ปุณณกันต์กับปัณณธรน่าจะพอปรับตัวได้แหละ ยังไงช่วงนี้พวกเราจะช่วยหาโรงเรียนอนุบาลที่ดีๆ ให้นายละกันนะ” พี่นทพยายามช่วยหาทางออกให้ นั่นทำให้ผมวางใจได้ในระดับนึง

ผมพยักหน้า พร้อมกับมองทุกคนด้วยสายตาซาบซึ้งใจ

“ไม่ต้องมาทำสายตาแบบนั้นเลยไอ้ปราณ นี่เพื่อนกัน ไม่ต้องมาถือเป็นบุญคุณ” ไอ้วินรีบเบรก ผมรู้ที่มันพูดติดตลกแบบนี้เพราะไม่อยากให้ผมคิดมาก แล้วก็อาจจะบ่อน้ำตาแตกด้วย

“นั่นแหละ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกคนมากนะ ขอบคุณจริงๆ ถึงฉันจะโชคร้ายเรื่องความรัก แต่ฉันก็โชคดีมากที่มีพี่อย่างพี่นท แล้วก็มีเพื่อนอย่างพวกนาย ไอ้วิน กวี ขอบคุณมากจริงๆ นะ”

ทั้งสามเดินเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ ผมกอดทุกคนตอบ พร้อมกับกดก้อนสะอื้นไว้จนลึกสุดใจ อย่างน้อยผมก็ต้องเข้มแข็งให้เพื่อนผมห็น ทุกคนจะได้ไม่เป็นห่วง เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องไปจริงๆ

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-03-2021 20:26:53
 :oo1: :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 26/03/64 [27th Lies: พังทลายอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 29-03-2021 20:29:55
(อ่านต่อจากด้านบน)


ผมมารอคามินที่โรงเรียนอนุบาลตามเวลาที่บอกคุณแทนคุณไว้ อีกสักพักฝาแฝดก็จะเลิกเรียนแล้ว ผมไม่อยากให้พวกแกคลาดสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว เลยตัดสินใจรีบมาก่อนเวลา

ซึ่งพอผ่านไปไม่ถึงอึดใจผมก็เห็นรูปร่างสูงใหญ่วิ่งกระหืดกระหอบมาทางผม ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อผุดพรายตามไรผม สายตาคมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกังวล ผมได้แต่อมยิ้มกับสิ่งที่เห็น นี่คามินกลัวว่าผมจะหายไปขนาดนี้เลยหรือไง

“คุณปราณ” คามินวิ่งมาถึงก็กอดผมไว้แน่น กอดจนตัวผมแทบจะจมลงไปกับอกคนตรงข้าม

“เดี๋ยวครับ ใจเย็นๆ ผมอยู่นี่ ไม่ได้หายไปไหนเลย” ผมตอบเสียงกลั้วหัวเราะ พร้อมกับตบหลังของอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับจะปลอบใจ

“วันหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ จะไปไหนให้รอผมก่อน ถ้าผมหลับคุณก็ปลุกได้เลย ตื่นมาแล้วไม่เจอคุณ ผมตกใจมากนะ”

คามินดุผมยาวเหยียด ผมก็ได้แต่ฟังแล้วยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร ผ่านไปไม่นานคุณแทนคุณก็มาหยุดยืนข้างผมๆ กับคามิน ใบหน้าสงบนิ่งก้มเงียบ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดที่กระจายออกมารอบตัวคุณบอดี้การ์ดคนสนิทได้ชัดเจน จนกระทั่งคนข้างตัวผมตวัดสายตาไม่พอใจไปยังอีกฝ่ายที่ยืนก้มหน้าอยู่นั่นแหละ ผมจึงได้เข้าใจ

“คุณโกรธคุณแทนคุณหรอ?” ผมถามขึ้น หลังจากที่เห็นอาการต่างๆ ของคามิน

“ผมสั่งให้แทนคุณดูแลคุณปราณให้ดี แต่แทนคุณทำตามที่ผมสั่งไม่ได้ ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรอที่จะถูกผมโกรธ” คามินพูดเสียงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ความเป็นตัวเองถูกเอาออกมาใช้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว

“ผมเป็นคนขอคุณแทนคุณออกมาเอง ถ้าคุณจะโกรธก็มาโกรธผมสิ ไปโกรธเขาทำไม” ผมดุคามินกลับ

“ผมไม่โกรธคุณปราณหรอก เพราะหน้าที่ของแทนคุณคือทำตามที่ผมสั่งถ้าเขาไม่ทำนั่นคือเขาบกพร่อง”

ผมถอนหายใจที่คามินเอาแต่ใจมากมายขนาดนี้ “แล้วถ้าสมมติว่าคุณแทนคุณไม่ยอมทำตามที่ผมสั่ง แล้วผมมาฟ้องคุณ คุณจะโกรธไหม”

“โกรธ เพราะเขาบังอาจขัดใจคุณ” คามินพูดอย่างเอาแต่ใจพลางยิ้มออดอ้อน ผมเลยยิ้มกลับ แล้วใช้น้ำเสียงแบบเดียวกัน

“ถ้างั้นคุณก็ห้ามโกรธคุณแทนคุณสิ เพราะเขาทำตามที่ผมขอ และเขาก็ไม่ได้ขัดใจผม ถ้าคุณไม่หายโกรธเขา ผมจะโกรธคุณแทน” ผมย้อนคามินเข้าให้ คนตัวโตกว่าทำฮึดฮัดอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยอมหายโกรธคุณแทนคุณ รวมทั้งยังอ้อนผมไม่เลิกอีก

“แต่ไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ จะไปไหนให้บอกผมก่อน แล้วไว้รอไปพร้อมกัน”

คามินพูดอ้อนๆ ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแกนๆ กลับไป ก่อนที่ฝาแฝดจะวิ่งออกมาหา หลังจากเลิกเรียนเรียบร้อยแล้ว

“พี่ครามมม~”

“พี่ปราณณณณ~”

ปุณณกันต์วิ่งเข้ามากอดเอวผมไว้แน่น ส่วนปัณณธรก็วิ่งเข้าหาอ้อมกอดคามินที่อ้ารอเจ้าหนูตัวน้อยเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว คามินหัวเราะเสียงดัง เมื่อถูกปัณณธรหอมแก้มซ้ำไปซ้ำมาทั้งสองข้าง เวลาอยู่กับคนอื่น คามินไม่เคยมีโหมดอารมณ์ดีแบบนี้หรอก คนที่จะทำให้คามินหัวเราะและยิ้มกว้างได้มากขนาดนี้ มีแต่ปุณณกันต์กับปัณณธรเท่านั้นแหละ ผมมั่นใจ

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มันทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งเจ็บปวด และก็สวยงาม ผมเองก็กอดปุณณกันต์ไว้แน่น ผมรู้ว่าเด็กๆ เองก็รักคามินไม่ต่าง แต่ยังไงซะ ผมปล่อยให้น้องตัวเองตกอยู่ในอันตรายไม่ได้เด็ดขาด ผมเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวใหม่ ช่วงแรกๆ เด็กๆ อาจจะเหงานิดหน่อย แต่ถ้าพวกแกปรับตัวได้ อะไรก็คงไม่เลวร้ายนักหรอก พออยู่ไปนานๆ คามินก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำสีจางๆ ของพวกเด็กๆ ไปเอง

“กลับกันรึยังครับ” คามินถามขึ้นตอนที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ

“อืม.. วันนี้เราไปซื้อของเข้าบ้านกันดีไหมครับ ผมเห็นของใช้บางอย่างเริ่มหมดแล้ว”

คามินมองผมงงๆ เพราะปกติแล้วผมเองนี่แหละจะต้องเป็นคนเอ่ยปากขอให้กลับบ้านเร็วที่สุด เพราะไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นผมกับคามินอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ แต่ก็อย่างที่บอก ผมพยายามที่จะมีความทรงจำกับคามินให้มากที่สุด ... เพราะฉะนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรืออะไรที่พอจะตักตวงได้ ผมเลยไม่ลังเลที่จะทำ

“ไปครับ ไปครับ ปัณณ์อยากไปเล่นบ้านบอล” คามินหัวเราะทันทีที่ได้ยินเจ้าตัวแสบบอกแบบนั้น

“ปุณณ์ล่ะ อยากไปไหมครับ” คามินหันไปถามแฝดคนพี่บ้าง เพราะไม่อยากให้น้อยใจกัน

“อยากไปครับ เราสองคนทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย” เจ้าแฝดคนพี่ตอบฉะฉานพร้อมยิ้มกว้าง

“โอเค งั้นเราไปกันเถอะครับ!” คามินจับปัณณธรขี่คอ ส่วนผมก็จูงปุณณกันต์เดินตามคามินไปเงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ปรากฎอยู่บนริมฝีปากอิ่มของผมตลอดเวลา

.

.

.

ตลอดสี่วันที่ผ่านมาผมไม่ได้ไปทำงานเลย เพราะคามินสั่งไม่ให้ไป จนกว่าเขาจะจัดการข่าวต่างๆ ให้เรียบร้อย ผมเองก็เชื่อฟังไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะเห็นว่าไหนๆ ตัวเองก็ต้องไปอยู่แล้ว เลยไม่อยากไปที่ออฟฟิศเพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างข่าวนินทาให้คามินเพิ่ม เพราะตอนนี้ข่าวลือระหว่างผมกับคามินก็ตีกันมั่วไปหมดแล้ว

เนื้อหาหลักๆ ของข่าว ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากผมเอาตัวเข้าแลกเพราะอยากได้งานในทีมโปรเจ็กต์ ผมเจ็บจนชาเลยไม่อยากจะคิดอะไร ใครอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ผมห้ามอะไรใครไม่ได้อยู่แล้ว

ซึ่งทุกวันนี้ พอหลังจากคามินออกไปทำงาน ผมก็จัดการจองตั๋วเครื่องบิน และตรียมเอกสารสำคัญทั้งของน้องและของตัวเองให้เรียบร้อย ผมได้มีโอกาสคุยกับพ่อของกันต์กวี ทางนั้นก็ยินดีมากที่จะได้ผมไปช่วยงาน คุณพ่อของกันต์กวีถึงกับลงทุนหาที่พักดีๆ ในละแวกแถวโรงแรมให้ผมโดยไม่เก็บค่าเช่าในช่วงสามสี่เดือนแรกเพื่อให้ผมได้ตั้งหลัก

และหลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็เอาเอกสารทุกอย่างทั้งของตัวเองและเด็กๆ เก็บไว้อย่างมิดชิด ซึ่งพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ และเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่กับคามินแล้ว ช่วงเวลาสี่วันที่ผ่านมา ผมมีความสุขมาก แม้จะต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่เราสองคนก็ได้ทำอะไรหลายอย่างด้วยกันมาก หลายอย่างที่ผมฝันไว้ว่าผมจะได้ทำกับคนที่ผมรัก...


เราช่วยกันทำกับข้าว ซักผ้า ทำงานบ้าน

เราไปเดินเล่นกันตามท้องถนน สวนสาธารณะ และสนามเด็กเล่นใกล้ๆ กับคอนโดคามินโดยพาเด็กๆ ไปด้วย

เราไปดูหนังรอบดึกด้วยกัน หลังจากที่เด็กๆ หลับไปแล้ว

เรามีเซ็กส์กันทุกที่ในบ้าน ในห้องน้ำ ในครัว บนโต๊ะอาหาร ในห้องนั่งเล่น หรือแม้กระทั่งริมระเบียง


ผมทำทุกอย่าง อย่างที่ใจผมอยากจะทำ ผมไม่แคร์ใคร ผมแค่อยากจะแคร์แค่ความรู้สึกตัวเองและคามินก็เท่านั้นแม้มันจะดูเห็นแก่ตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมมีความสุขมาก มากจริงๆ

คามินเองก็เหมือนกัน สองสามวันมานี้เขายิ้มกว้างกว่าปกติ หัวเราะและสดใสมากกว่าที่เคยเป็นในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว ผมเองก็มีที่ที่หนึ่งที่ยังอยากไปพร้อมฝาแฝดและคามิน ที่ๆ ผมจะได้ปลดปล่อยความเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ต้องนึกถึงอะไร มีแค่เราสี่คนและทุกสิ่งที่เราอยากจะทำ

“พรุ่งนี้เราไปสวนสนุกกันดีไหมครับ ผมอยากไป”

หลังจากร่วมรักกัน ผมก็นอนกอดคามินอยู่บนเตียง คนตัวโตจูบแก้มจูบไหล่ จูบไปทั่วใบหน้าผมราวกับต้องมนต์และหลงใหลจนถอนตัวจากผมไม่ได้

“นึกยังไงถึงอยากไปครับ” คามินถามยิ้มๆ ในแววตามีแต่ความเอ็นดูจนปิดไม่มิด

“ผมเคยฝันไว้ว่าวันนึงผมอยากพาน้องๆ ไปเที่ยวที่แบบนั้น ไปกับคนที่ผมรัก คนที่ทำให้ผมกับน้องมีความสุขได้ มันอาจจะดูเรียบง่าย แต่เป็นสิ่งที่ผมต้องการมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

ผมสารภาพ นี่คือความฝันของผมที่ผมไม่เคยบอกใคร ผมอยากไปเที่ยวสวนสนุกกับน้องๆ ของผม และคนที่ผมรัก เมื่อก่อนผมไม่มีเวลาและเงินมากพอที่จะสุรุ่ยสุร่ายขนาดนั้น ถ้าวันไหนที่ผมทำแบบนี้ได้ แสดงว่าวันนั้นผมคงมีความพร้อมมากพอ หรืออย่างน้อยก็คือมีคนข้างกายที่พร้อมจะดูแลผมกับเด็กๆ แล้ว

คามินยิ้มกว้างราวกับมีความสุขมาก พลางระดมจูบแก้มผมไม่หยุด ก่อนจะรับปากอย่างรวดเร็วว่าจะพาผมและเด็กๆ ไป

“โอเคครับ พรุ่งนี้เราไปสวนสนุกกัน”

เราต่างคนต่างยิ้มให้กัน แม้ในใจลึกๆ เราเองก็รู้ดีว่าเรามีปัญหาที่หนักหนาแค่ไหนรออยู่ แต่เราก็เลือกที่จะเมินเฉย ไม่พูดถึงมัน ทำราวกับว่าโลกนี้มีแค่เราสองคนและไม่มีอะไรที่ต้องแคร์

แต่ในโลกของความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นแบบนั้น เราสองคนมันก็แค่คนขี้ขลาดที่ไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาที่รออยู่ แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ คนเห็นแก่ตัวไม่จำเป็นต้องแคร์หรือใส่ใจอะไรคนอื่นนักหรอก แล้วในเมื่อตอนนี้ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมจะแคร์อะไรทำไมกัน

ผมหลับตาลงเพื่อปิดกั้นทุกอย่าง ที่ผมต้องการมีแค่คนที่นอนอยู่ข้างกายคนเดียวเท่านั้น เท่านั้นก็พอ

.

.

.

วันต่อมาเราออกไปสวนสนุกกันแต่เช้า เด็กๆ ตื่นเต้นมากที่รู้ว่าจะได้ไปเล่นของเล่น ผมเตรียมเอกสารและตั๋วเครื่องบินใส่กระเป๋าเป้ไว้เผื่อต้องไปฉุกเฉิน เสื้อผ้าผมก็ไม่ได้เอาไปมาก เอาไปแค่คนละชุดเพราะไม่อยากให้คามินจับสังเกตได้ อีกอย่างตอนมาผมก็ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเยอะด้วย ที่มีๆ นี่ก็คามินซื้อให้ใหม่ทั้งนั้น ผมทำตัวตามปกติ และก่อนที่จะออกจากห้อง ก็ดูเหมือนว่าโลกแห่งความเป็นจริงกำลังมาทวงสัญญาจากผมตามเวลาที่ควรจะเป็น


‘วันนี้! อย่าผิดสัญญาล่ะปราณันต์!!’


ข้อความที่ปรากฎอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ กระชากผมออกมาจากโลกแสนหวานที่ผมขังตัวเองและคามินเอาไว้ ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำๆ พร้อมกับเตือนตัวเองว่าวันนี้ผมต้องออกจากโลกที่ผมสร้างขึ้นเพื่อไปเจอกับความเป็นจริงได้แล้ว เพราะฉะนั้นช่วงเวลาแห่งความสุขสุดท้าย อะไรที่เก็บเกี่ยวไว้ได้ ผมก็ควรทำให้เต็มที่

ผมฝืนยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปเจอกับคามินและเด็กๆ ที่รออยู่ เราออกเดินทางไปยังสวนสนุกชื่อดัง พอไปถึงเราทั้งสี่ ก็เล่นเครื่องเล่นทุกเครื่องเล่นที่เราอยากเล่น เราจูงมือกันไปถ่ายรูป ไปทานข้าว ไปซื้อของที่ระลึก ทำทุกอย่างเหมือนที่ครอบครัวหรือคู่รักอื่นๆ เขาทำกัน

ผมและฝาแฝดกรีดร้องและหัวเราะกันอย่างสุดเสียง คามินเองก็เหมือนกัน คนตัวโตแจกจ่ายยิ้มให้กับคนไปทั่วตลอดเวลา สายตาหลายคู่เหลียวมองเราอย่างอิจฉา เพราะวันนี้คามินดูหล่อและสดใสมากๆ ด้วยเสื้อผ้าสบายๆ ที่เหมือนปุณณกันต์กับปัณณธรอย่างกับแกะ ที่จริงก็เหมือนผมด้วยนั่นแหละ ถ้าจะเรียกว่าเสื้อครอบครัวก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก

ผมมีความสุขมากเมื่อมองไปยังเจ้าของมือใหญ่ที่กำลังจูงผมอยู่ และยิ่งมีความสุขมากเมื่อมองไปยังฝาแฝดที่กำลังกินไอศครีมจนเลอะปากไปหมด นี่สินะ ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวที่แท้จริง

แต่เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ ตอนนี้ก็บ่ายแก่มากเต็มทีแล้ว เราสี่คนมานั่งพักทานของว่างกันอยู่ที่มุมนั่งเล่นมุมหนึ่งของสวนสนุก ปุณณกันต์กับปัณณธรเล่นจนเหนื่อย และพอหลังจากทานของว่างเสร็จก็ดูเหมือนพวกแกจะน็อคหลับไปทันที ผมนั่งลูบศรีษะเล็กๆ ทั้งสองที่กำลังหนุนตักผมนอนอย่างรักใคร่ ส่วนคามินเองก็มองมาที่ผมไม่วางตา ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะโน้มเข้ามาช้าๆ แล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของผม

“ขอบคุณนะครับคุณปราณ วันนี้ผมมีความสุขมาก... มากจริงๆ” คามินพูดก่อนที่จะยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวเล็กๆ ให้ผมเห็น

“ขอบคุณคุณมากเหมือนกันนะครับ ขอบคุณที่สร้างและเติมเต็มความทรงจำดีๆ ให้ผมกับน้องๆ ผมมีความสุขมาก และผมก็จะจำความสุขที่ได้รับวันนี้ไว้ตลอดชีวิต” ผมฝืนยิ้มกว้างและกลั้นก้อนสะอื้นไว้ไม่ให้คามินจับได้

ใบหน้าคมคายยื่นเข้ามาหาผม ผมหลับตาพริ้มเตรียมรอรับจูบจากคนตรงข้าม คามินประทับริมฝีปากหยักลงมาริมฝีปากอิ่มของผมช้าๆ คนตัวโตละเลียด ดูดดึง บดคลึง และเลาะเล็มความหอมหวานจากผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมเผยอริมฝีปากออก เพราะอยากให้คนตรงข้ามสัมผัสผมได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม และเมื่อเรียวลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากผม ผมก็ส่งลิ้นเล็กๆ เข้าไปเกี่ยวกระหวัดทันที เราต่างแลกจูบซึ่งกันและกันอย่างอ่อนโยนและลึกล้ำ จูบนี้ของคามินเป็นจูบที่หวานที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับ น้ำตาผมไหลออกมาช้าๆ ความรู้สึกในอกตีกันประดังประเดไปหมด

และเมื่อริมฝีปากหยักถอนออกจากริมฝีปากผม คามินจึงเห็นว่าผมร้องไห้ แต่คนตัวโตเข้าใจว่านี่คือน้ำตาแห่งความสุข จึงยิ้มบางๆ และค่อยๆ จูบซับน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมเองก็ยิ้มตอบคนตัวโตไปทั้งน้ำตานองหน้า เราต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ที่เราสองคนสร้างขี้น จนกระทั่ง...


Rrrr


คามินผละออกจากผม เพื่อดูสายที่เรียกเข้ามาว่าคือใคร ผมเห็นใบหน้าคมคายเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่เห็นชื่อใครบางคนปรากฎอยู่ที่หน้าจอ คามินหันมามองผมนิดหน่อย ก่อนจะกดรับสายแบบเสียไม่ได้ เสียงทุ้มกรอกลงไปอย่างเย็นชา

“มีอะไร”

ผมเห็นสีหน้าของคามินยามฟังปลายสายพูด ดูไม่ค่อยสบอารมณ์และเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างที่ผมเดาอารมณ์ไม่ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ คามินฟังปลายสายพูดอยู่อีกไม่กี่อึดใจ ก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

“เข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” คามินกดวางสายแล้วหันมามองผมอย่างลำบากใจ ผมจึงยิ้มให้คนตรงข้ามก่อนจะพูดอย่างเข้าใจ

“ไปเถอะครับ ผมกลับเองได้”

คามินไม่ตอบอะไร แต่ดูละล้าละลังเพราะไม่อยากทิ้งผมไป แต่ธุระสำคัญที่รอให้ไปทำอยู่ก็จำเป็น

“จริงๆ นะครับ คุณไปเถอะ ผมกลับเองได้จริงๆ ผมโตแล้วนะ” ผมยิ้ม แต่หัวใจผมกำลังร้องไห้อย่างรุนแรง ช่วงเวลาสุดท้ายระหว่างเรามาถึงแล้วสินะ

“คุณปราณ คุณรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวผมจะโทรบอกให้แทนคุณมารับ แล้วผมจะรีบกลับไปเจอคุณที่คอนโด โอเคไหม”

คามินกำชับ ก่อนจะยื่นหน้ามาจูบที่แก้มกับปากผมเร็วๆ แถมยังเผื่อแผ่ด้วยการก้มลงไปจูบแก้มยุ้ยๆ ของปุณณกันต์กับปัณณธรที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ด้วย

“รออยู่ที่นี่นะครับ แล้วผมจะรีบกลับไปหา” คามินยิ้มบางๆ ให้ผม จนใจผมเจ็บไปหมด


“คุณไปเถอะ” ผมเว้นจังหวะแปปนึง ก่อนจะฝืนยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นก็เอ่ยประโยคที่ผมอยากจะบอก เพราะคงไม่มีโอกาสที่จะได้บอกออกไปอีกแล้ว “ดูแลตัวเองนะครับ ผมรักคุณมาก คุณรู้ใช่ไหม”


คามินชะงักไปแปปนึง ความแปลกใจ ความดีใจ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาทางสีหน้าและแววตาคมจนหมดสิ้น คนตัวโตดูละล้าละลังและทำท่าเหมือนไม่อยากจะไป สัญชาตญาณบางอย่างของคามินคงกำลังเตือน

“คุณปราณ...”

“ผมแค่อยากบอกเฉยๆ” ผมแสร้งทำเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยอย่างขี้เล่น “ไปได้แล้วครับ คุณมีธุระสำคัญรออยู่นะ” คามินถอนใจอย่างตัดใจ ก่อนจะลุกขึ้นและหันหลังเดินออกไป แต่จู่ๆ ก็หันหลับมามองผมอีกรอบ

ผมที่กำลังมองคนตรงหน้าอยู่อย่างไม่วางตา ราวกับอยากจะซึมซับทุกรายละเอียดของคนๆ นี้เอาไว้ พอเห็นคามินหันกลับมา ผมจึงแกล้งทำมือโบกไล่พร้อมกับหัวเราะอย่างหยอกล้อ คามินที่พอเห็นท่าทางแบบนั้นของผมก็คงเบาใจ เลยยิ้มออกมาแล้วหันหลังเดินจากไปในที่สุด

ผมมองแผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคย และให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ผมเสมอค่อยๆ ไกลห่างออกไปจนลับตาในที่สุด


“ลาก่อนนะคุณคราม ลาก่อนครับความรักของผม...”


คำลาสุดท้ายที่ผมพึมพำออกมา พร้อมกับน้ำใสที่ไหลจากตากลมช้าๆ ความรู้สึกของคำว่าใจสลายมันเป็นแบบนี้นี่เอง


.... หมดเวลาของคนเห็นแก่ตัวแล้วปราณันต์


ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เพื่อรวบรวมสติและความกล้าที่จะก้าวออกไปในที่ที่ผมไม่รู้จักและคุ้นเคย ผมต้องเข้มแข็งเพื่อน้องๆ ทั้งสองของตัวเองด้วย

ผมมองเจ้าหนูทั้งคู่ที่กำลังนอนหนุนตักผมอยู่ด้วยสายตารักใคร่ ก่อนจะค่อยๆ ปลุกเด็กทั้งสองให้ตื่นจากการหลับใหล “ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตื่นเถอะ เราต้องไปแล้วนะ”

เจ้าตัวน้อยงัวเงียตื่น พร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง หัวเหอของเจ้าหนูทั้งคู่ชี้ฟูจนผมอดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้ ผมลูบศีรษะเล็กๆ ของตัวแสบทั้งคู่ ในขณะที่ช่วยพวกแกเช็ดหูเช็ดตาไปด้วย

“จะกลับบ้านแล้วหรอครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์ถามขึ้น ทำเอาผมสะท้อนในอกไม่น้อย

“ใช่ครับ แต่คราวนี้เป็นบ้านใหม่นะ ปุณณ์กับปัณณ์อยากไปบ้านใหม่กับพี่ปราณไหมครับ” ผมฝืนทำเสียงร่าเริงใส่เด็กๆ ก่อนที่จะจับพวกแกลุกขึ้นยืน และได้สายตาสงสัยกลับมาแทน

“บ้านใหม่มีพี่ครามอยู่ด้วยไหมครับ” ปัณณธรถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ผมยังไม่อยากตอบเด็กๆ ตอนนี้ ผมไม่อยากโกหกพวกแก

“แต่บ้านใหม่มีพี่ปราณนะ ปุณณ์กับปัณณ์ไม่อยากอยู่กับพี่ปราณหรอ” ผมแกล้งถามเสียงเศร้า และก็ได้ผลดีเกินคาดเพราะเจ้าหนูทั้งสองเดินมากอดผมไว้แน่น

“ปุณณ์กับปัณณ์อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้มีพี่ปราณ”

“ใช่ๆ ขอแค่ได้อยู่กับพี่ปราณก็พอแล้ว”

ผมแอบปาดน้ำตาหลังจากได้ยินน้องชายพูดแบบนั้น ผมรู้ว่าพวกเด็กๆ เองก็รักคามินมาก และอยากให้พี่ครามอยู่ด้วยในทุกๆ ที่ที่พวกแกจะไป แต่ฝาแฝดเองก็คงไม่อยากให้ผมเสียใจ ถึงได้ว่าง่ายไม่ทำตัวมีปัญหา ผมกอดเด็กๆ กลับแน่นๆ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วผมก็ต้องเดินหน้าต่อ จะถอยหลังไม่ได้อีก

“ขอบคุณปุณณ์กับปัณณ์มากนะครับ” ผมจูบแก้มของเจ้าหนูทั้งสองเบาๆ “ไปครับ เราไปกันเถอะ”

ผมจูงมือเด็กๆ แล้วพาเดินออกไปเรียกแท็กซี่ข้างหน้าสวนสนุก ก่อนที่คุณแทนคุณจะมาถึง และหลังจากเรียกแท็กซี่ได้ ผมก็จับน้องๆ ขึ้นรถ แล้วบอกจุดหมายปลายทางให้คนขับรู้

“ไปสนามบินครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเด็ดขาด พลางกระชับมือเล็กๆ ของฝาแฝดที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจไว้แน่น ราวกับจะให้สัญญาว่าผมจะดูแลพวกแกให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

รถค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้าๆ สายตากลมของผมมองตามวิวข้างทางอย่างเหม่อลอย ใจผมเจ็บไปหมด แต่ก็ทำได้แค่ยอมรับความจริง


... ลาก่อนคามิน ...

.

.

.

To Be Continue

-------------------------------------------------------------------------------

เอาล่ะ วันนี้ที่รอคอย... นักอ่านแซ่ซ้องสรรเสริญ 5555555555555555555555

เป็นหมาแน่ๆ แร้วคับพี่คราม จุ๊กรู้วววววว กร้ากกก

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกกำลังใจนะคะ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วแหละ เราก็เลยอยากจะขอบคุณมากๆ ที่อยู่มาด้วยกันจนถึงตอนนี้ ขอบคุณที่คอยคอมเม้นท์ คอยให้กำลังใจ คอยมาบอกให้สู้ๆ ให้เรารู้ว่ามีทุกคนรออยู่ ซึ้งใจมากๆ เลย ขอบคุณนะคะ .. และเราก็หวังว่าทุกคนจะอยู่ไปด้วยกันจนถึงตอนจบเนาะ ^^

สุดท้ายนี้ ชอบไม่ชอบ โอเคไม่โอเคยังไง คอมเม้นท์บอกเราได้น้า เรารออ่านคอมเม้นท์จากทุกคนเด้ออออ แล้วประมาณ พฤหัสหรือไม่ก็ศุกร์มาอ่านพาร์ทของนังครามกัน... แล้วไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

เริ้บ เริ้บบบบ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-03-2021 22:22:44
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 30-03-2021 06:54:36
 :mew2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 30-03-2021 15:42:39
การตามหา ตามล่า กำลังจะเกิดขึ้น ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-03-2021 22:32:50
เห้ออเเ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 31-03-2021 23:38:42
โห~เชือดนิ่มๆ ทำให้มีความสุขจนล้นแล้วจากไป โหดพอตัวนะเนี้ยปราณ แต่แอบสะใจดี 5555 หนีไปตัดให้ขาดล่ะอย่าให้เพื่อนต้องหอนได้ในเร็ววัน กระอักตายก็คราวนี้ละคามินเอ้ย โดนหลอกให้เสพสุขจนทะลัก กรรมนั้นคืนสนองยิ่งกว่า5จี 55555 สนุกกกกกกกกมาต่อยาวๆขอบคุณมากนะคะ เป็นกำลังใจให้แต่งทุกตอน  :L2: :L2: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปกันเลย หนทางยิ่งยาวไกลนะปราณ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 02/04/64 [29th Lies: เพิ่งรู้ใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-04-2021 20:41:40
29th Lies : เพิ่งรู้ใจ


Kamin’s Part


ปราณันต์กับฝาแฝดหายไป...

หลังจากที่ผมออกมาจากสวนสนุก และไปคุยธุระกับเจ้าของสายที่โทรเข้ามา แทนคุณก็โทรมาหาผม แล้วรายงานว่าเขาหาปราณันต์และฝาแฝดไม่เจอ


‘บอสครับ บอสแน่ใจนะครับว่าคุณปราณันต์ กับคุณหนูทั้งสองอยู่ที่นี่’ แทนคุณถามผมเสียงตื่น

‘แน่ใจสิ ทำไมล่ะ’ ผมย้อนถามด้วยความแปลกใจ ทำไมแทนคุณดูตกอกตกใจขนาดนั้น

‘ผมหาคุณปราณันต์กับคุณหนูฝาแฝดไม่เจอครับ นี่ผมตามหาจนรอบสวนสนุกแล้ว ผมไม่เจอใครเลยครับบอส’ พอได้ยินแบบนั้นก็กลับกลายเป็นผมเองที่นั่งไม่ติด

‘โทรไปเช็คกับแม่บ้านที่คอนโด เผื่อคุณปราณพาเด็กๆ กลับบ้านไปแล้ว ส่วนนายรอฉันอยู่ที่สวนสนุกนั่น ฉันจะรีบกลับไปหา’



ผมตกใจจนหัวใจแทบหลุดออกจากขั้ว ก่อนจะผลุนผลันออกจากร้านกาแฟ ที่ผมมานัดคุยธุระหลังแยกจากปราณันต์ แค่ลำพังเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้จากสิปปกรผมก็สั่นคลอนความรู้สึกผมมากพออยู่แล้ว และตอนนี้แทนคุณก็มาบอกว่าหาปราณันต์ไม่เจออีก ผมเลยต้องรีบลนลานออกจากคอฟฟี่ช็อป เพื่อไปสมทบกับคนสนิทที่รอผมอยู่ที่สวนสนุกโดยแทบจะทันทีทันใด

สิปปกรคือคนที่โทรมาหาผมตอนที่ผมอยู่กับปราณันต์ ไอ้เพื่อนรักของมันบอกว่ามีธุระด่วนมากจะคุยด้วย ตอนแรกผมก็อิดออดไม่อยากจะไปเจอหมอนั่นเท่าไหร่หรอก ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็แค่สองข้อคือ หนึ่งตอนนี้ผมกำลังอยู่กับปราณันต์ และผมก็มีความสุขมาก มากจนไม่อยากให้คนอย่างสิปปกรมาทำให้เสียอารมณ์ และสองคือผมกับหมอนั่นกำลังมีคดีกันอยู่ มันเคยมาเกาะแกะ และคิดจะจีบปราณันต์ของผม แล้วทำไมผมต้องมานั่งคุยธุระบ้าบออะไรกับคนที่เป็นศัตรูหัวใจของตัวเองด้วยล่ะ

แต่แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อได้ยินสิปปกรพูดประโยคสำคัญออกมา


‘กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง เรื่องสำคัญ เรื่องการตายของคุณพ่อกับคุณแม่ของปราณันต์’


ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมต้องยอมทิ้งปราณันต์กับเด็กๆ ไว้ แล้วให้แทนคุณไปรับแทน เพราะเรื่องที่สิปปกรพูดมันถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ แล้วยิ่งเป็นเรื่องของปราณันต์ ผมยิ่งเมินเฉยไม่ได้ และเมื่อพอผมได้รู้จากปากสิปปกร นั่นทำให้ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกแล้วที่มาพบไอ้เพื่อนสนิทผมคนนี้ เพราะข้อมูลที่สิปปกรบอกมานั้น มันเข้าขั้นคอขาดบาดตายเลยทีเดียว


‘มีอะไรก็ว่ามา กูต้องรีบกลับไปหาคุณปราณ’ ผมพูดกับเพื่อนสนิทอย่างเย็นชา เพียงแค่นึกถึงวันที่มันจับมือปราณันต์ ผมก็แทบอยากจะต่อยหน้ามันให้หงายอีกรอบ

‘ก่อนหน้านี้ฉันสืบข้อมูลของคุณปราณ’ จู่ๆ สิปปกรก็พูดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นประโยคที่ผมได้ยินแล้วหัวร้อนไปหมด มันมีสิทธิ์อะไรมาสืบเรื่องของปราณันต์กัน ผมกำลังอ้าปากจะด่า แต่สิปปกรพูดสวนกลับมาก่อน

‘ไม่ต้องด่า กูรู้ว่าที่กูทำมันไม่ถูก คุณปราณเองก็ไม่ได้ขอให้กูทำ เพียงแต่มันมีบางอย่างที่มันแปลกๆ เกี่ยวกับการตายของคุณพ่อและคุณแม่คุณปราณ กูเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร เลยตัดสินใจให้คนลองไปขุดคุ้ยดู ปรากฎว่ากูเจอนี่’

สิปปกรเลือนกระดาษแผ่นบางๆ มาให้ผมสองสามแผ่น ในนั้นเป็นข้อมูลของคดี คดีที่มีคนเมาแล้วขับรถมาชนรถของคุณพ่อกับคุณแม่ของปราณันต์ ตามรายงานของตำรวจบอกว่า รถของทั้งคู่โดนชนอย่างแรงจากรถที่แล่นสวนเลนมา ซึ่งเป็นคนเมาแล้วขับ จนรถคันของคุณพ่อและคุณแม่อัดก๊อปปี้เข้ากับเสาไฟฟ้าข้างถนน ทั้งคู่บาดเจ็บสาหัส แล้วมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลภายหลัง ส่วนคู่กรณีดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะหนีไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึง จนถึงวันนี้ก็ยังจับไม่ได้ว่าใครเป็นคนขับรถคันนั้น

ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะดันกระดาษสองสามใบนั้นคืนสิปปกร แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

‘ขอโทษด้วย เรื่องนี้กูรู้อยู่แล้ว ถ้าวันหลังจะเรียกกูมาด้วยเรื่องที่กูรู้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องนะ เสียเวลา’

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าของผมงอง้ำอย่างไม่พอใจที่ถูกรบกวนเวลาส่วนตัวที่ควรจะได้อยู่กับคนที่ผมอยากอยู่ด้วย ให้มารับรู้เรื่องที่ไม่ได้ใหม่ไปกว่าเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วเลย

แต่สุดท้ายโดยที่ผมยังไม่ทันได้เดินออกไป ก็กลับถูกหยุดด้วยคำพูดบางประโยคของสิปปกรเสียก่อน

‘แล้วมึงรู้หรอว่าคนที่ขับรถชนรถคุณพ่อกับคุณแม่ของปราณันต์คือใคร มึงรู้แล้วหรอ’ สิปปกรถามผมด้วยน้ำเสียงของคนที่เหนือกว่า โดยมีตาคมของผมตวัดจ้องไปยังคนตรงข้ามไม่วางตาหลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว

‘แล้วมึงพูดเหมือนมึงรู้’

สิปปกรไม่ตอบ อีกฝ่ายทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่จะเลื่อนกระดาษอีกสี่ห้าแผ่นมาให้ผม

‘มึงดูเอาเองแล้วกัน... ให้ตายเหอะ! ทำไมเรื่องมันอิรังตุงนังขนาดนี้วะ’ สิปปกรเสยผม พร้อมกับถอนหายใจอย่างหงุดหงิดและไม่สบายใจ ตอนที่ผมดึงกระดาษแผ่นแรกขึ้นมาดู

ในกระดาษแผ่นนั้น ปรากฎรูปภาพที่แคปเจอร์มาจากภาพถ่ายของกล้องวงจรปิดตรงสี่แยกก่อนถึงที่เกิดเหตุอีกที เป็นภาพรถสปอร์ตคันหรูคันหนึ่งที่เห็นแผ่นป้ายทะเบียนด้านหลังค่อนข้างชัดเจน ซึ่งในกระดาษนี้มีข้อความระบุไว้ด้วยว่า รถคันนี้แล่นมาอย่างเร็ว ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบถึงสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง

ผมพลิกหน้ากระดาษ เปิดไปยังอีกแผ่นด้วยความสังหรณ์ใจบางอย่าง ซึ่งกระดาษแผ่นต่อมา เป็นกระดาษที่ถูกถ่ายสำเนามาและคิดว่าน่าจะได้มายากพอสมควร เพราะที่หัวกระดาษปั๊มคำว่า “ลับ” เอาไว้ ซึ่งถ้ามันไม่ถูกปิดเป็นความลับ เพราะข้อมูลนั้นเป็นความลับจริงๆ มันก็คงจะถูกปิดเป็นความลับ เพราะเป็นข้อมูลที่ไม่อยากให้ใครรู้ และเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกสำหรับพวกผมเท่าไหร่นักหรอก นักธุรกิจอย่างพวกผมเคยชินกันดี แค่มีเงินข้อมูลอะไรก็เป็นความลับได้ทั้งนั้นแหละ

ในกระดาษแผ่นนั้นเป็นข้อมูลของผู้ถือครองรถสปอร์ตคันที่ขับชนคุณพ่อและคุณแม่ มันถูกระบุว่ารถคันนั้นว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่น โดยมีผู้ถือครองคือ


... พรวลัย ...


ผมช็อคไปทันที่เห็น ก่อนจะเหลือบมองหน้าสิปปกรที่กำลังมองมาที่ผมอย่างไม่สบายใจ

ผมเชื่อแล้วล่ะ ว่าสิ่งที่สิปปกรจะบอกผมนั้นสำคัญและคอขาดบาดตายจริงๆ

ผมตั้งสติและพลิกเอกสารแผ่นต่อๆ ไปอย่างไม่รอช้า มันเป็นข้อมูลของการซ่อมรถ ทำสี และเปลี่ยนสภาพใหม่ทั้งหมดของรถสปอร์ตคันนั้น รวมทั้งมีข้อมูลการตรวจร่างกายของวลัยที่ถูกระบุว่ามีค่าแอลกอฮอล์ในเลือดสูงมาก รวมทั้งมีรอยฟกช้ำตามจุดต่างๆ ที่ได้รับการกระแทกจากการถูกรถชนด้วย

ผมวางเอกสารต่างๆ ที่สิปปกรให้บนโต๊ะเงียบๆ ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ผมนึกสงสารคนตัวเล็กของผมที่ชีวิตต้องมาพบเจออะไรเลวร้ายแบบนี้ไม่หยุดหย่อน เขาจะใจสลายแค่ไหน หากได้รู้ว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขาเสียชีวิต แค่คิดหัวใจผมก็เจ็บปวดไปหมด จนพาลให้ทำอะไรไม่ถูกเอาดื้อๆ

ผมไม่รู้หรอกว่าเพื่อนผมมันได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ถ้ามีเงินและคอนเนคชั่นที่ทั่วถึงพอ การจะได้มาซึ่งอะไรแบบนี้คงไม่ยากหรอก เป็นผมเองด้วยซ้ำ ที่ไม่คิดจะรื้อค้นอะไรเรื่องพวกนี้เลย ผมรู้แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ปราณันต์ไม่เคยพูดถึง และเลี่ยงที่จะพูดถึง ผมเลยไม่อยากขุดคุ้ยให้คนตัวเล็กของผมไม่สบายใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าเรื่องพวกนั้นมันจะสำคัญขนาดนี้ สำคัญถึงขนาดที่ว่ามันอาจจะมีผลต่อความปลอดภัยของทั้งปราณันต์และฝาแฝดก็เป็นได้

สิปปกรจ้องผมนิ่ง ก่อนจะถามอย่างไม่สบายใจ

‘แล้วมึงจะเอายังไงต่อ เรื่องนี้คุณปราณยังไม่รู้แน่ๆ ส่วนฝั่งพรวลัย กูไม่แน่ใจว่ารู้เรื่องนี้รึยัง แต่ถ้าเธอตามสืบข้อมูลของคุณปราณ กูมั่นใจว่าอีกไม่ช้าเธอต้องรู้เรื่องนี้แน่’

ผมคิดตามที่สิปปกรพูด ซึ่งหมอนั่นพูดถูก และก็อย่างที่ผมบอกไปตอนแรกแหละ ว่าถ้าพรวลัยรู้เรื่องนี้แล้ว มันอาจจะหมายถึงความปลอดภัยของครอบครัวปราณันต์ทั้งสามของผมด้วย

‘กูจะถอนหมั้นกับวลัย แล้วกูก็จะรื้อคดีของคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณปราณขึ้นมาด้วย เพราะถ้าขืนปล่อยไว้แล้ววลัยรู้ก่อน...’

ผมละไว้เพราะไม่อยากจะพูดต่อ ลองครอบครัวพรวลัยปิดคดีนี้มาได้สี่ห้าปีขนาดนี้คงต้องไม่ยอมให้เรื่องแดงง่ายๆ แน่ คดีขับรถชนคนตาย แถมยังเป็นการเมาแล้วขับอีก นอกจากพรวลัยจะผิดจนอาจถึงขั้นต้องติดคุกแล้ว ยังอาจทำให้ชื่อเสียงของตระกูลด่างพร้อยอีก นี่ยังไม่นับรวมผลกระทบวงกว้างที่อาจเกิดขึ้นกับพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นหลังจากความจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผยอีก



และก่อนที่ผมกับสิปปกรจะได้คุยอะไรกันต่อ แทนคุณก็โทรเข้ามาและรายงานเรื่องที่ปราณันต์และเด็กฝาแฝดหายไปเสียก่อน นั่นทำให้ผมตกใจจนแทบคลั่งยิ่งกว่าเดิม ใจผมคิดเป็นห่วงไปล้านแปด และกลัวจับใจว่าพรวลัยจะรู้เรื่องที่ปราณันต์เป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่แล้ว โดยที่ผมไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าพรวลัยวางแผนทุกอย่างนำหน้าผมไปไกลมากแล้ว

... ไกลถึงขึ้นที่ว่าทำให้ปราณันต์ทิ้งผมไปได้โดยไม่ลังเลอะไรเลยสักนิด

.

.

.

ผมตามมาสมทบกับแทนคุณที่สวนสนุกด้วยหัวใจที่ร้อนรน หลังจากเจอกัน แทนคุณก็ส่ายหน้าอย่างไม่สบายใจให้ผม เหมือนกับจะบอกผมกลายๆ ว่า เขาหาปราณันต์และเด็กๆ ไม่เจอ

“นายแน่ใจนะแทนคุณว่าหาทั่วแล้ว” ผมถามย้ำ แต่คำตอบที่คนสนิทผมตอบก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเลยสักนิด

“ไม่มีครับบอส ผมหาจนทั่วแล้ว” แทนคุณพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดและกังวล “แต่ผมลองไปถามจากคนขายตั๋วด้านหน้าแล้ว เขาก็บอกว่าเห็นคุณๆ ขึ้นรถแท๊กซี่ออกไป”

“นายแน่ใจหรอว่าเขาจำไม่ผิดคน”

“ไม่ผิดครับ เพราะเขาจำคุณหนูปุณณกันต์กับคุณหนูปัณณธรได้ เด็กฝาแฝดที่มาเที่ยววันนี้ ก็เห็นจะมีแต่คุณหนูสองคนนี่เท่านั้นล่ะครับ”

แทนคุณย้ำ ยิ่งทำเอาผมไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม

“แล้วที่คอนโดล่ะ โทรกลับไปเช็ครึยัง” ผมถามราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“เช็คแล้วครับบอส แม่บ้านบอกว่ายังไม่มีใครกลับเข้าไปที่คอนโดเลยครับ” แทนคุณหยุดพูดไปพักหนึ่ง ราวกับลังเลว่าประโยคต่อไปที่จะพูดนั้นสมควรรึป่าว

“บอสครับ ผมคิดว่าเราควรต้องยอมรับได้แล้วนะครับ ว่าคุณปราณันต์และคุณหนูทั้งสองหายตัวไป เราจะได้คิดหาหนทางที่จะตามหาคุณๆ กันต่อ”

ผมตวัดสายตามองคนสนิทด้วยสายตามแข็งกร้าว ผมหงุดหงิดงุ่นง่านหัวใจเกินกว่าจะต้องให้ใครมาบอกมาย้ำ

“นายคิดว่าฉันโง่จนมองสถานการณ์ตอนนี้ไม่ออกรึไงแทนคุณ” ผมตวาดใส่คนข้างกายอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะนิ่งไป เมื่อจู่ๆ ใบหน้าหวานใสของปราณันต์ก็ปรากฎขึ้นในความคิด

ใบหน้าใจดีและมีรอยยิ้มสดใสที่ริมฝีปากอิ่มตลอดเวลา

ใบหน้าที่มักจะมองมายังผมอย่างอ่อนโยน และพร่ำบอกผมเสมอว่าให้ผมใจเย็น โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวแบบแทนคุณ ที่ยอมผมและดูแลผมดียิ่งกว่าที่เขาดูแลตัวเอง


‘คุณจะหาใครที่รู้ใจและดีกับคุณเท่าคุณแทนคุณไม่มีหรอกนะครับ คนที่จะจงรักแล้วก็ภักดีกับคุณขนาดนี้น่ะ’


เสียงหวานดังขึ้นมาในห้วงคำนึงของผม นั่นทำให้ผมหลับตาลงช้าๆ พลางใช้มือนวดคลึงระหว่างคิ้วตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างยอมจำนน

“ฉันผิดเองแทนคุณ ถ้าฉันไม่ผลุนผลันออกไปแล้วทิ้งคุณปราณไว้แบบนั้น เขาคงไม่หายไปหรอก”

แทนคุณมองผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา อย่าว่าแต่แทนคุณ ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยเหมือนกัน


...เด็กคนนั้น ปราณันต์คนนั้นทำให้ผมเปลี่ยนไป


“บอส…”

“ช่างเถอะ! ไปตามหาปราณันต์ให้เจอ ข้อมูลหรือเบาะแสอะไรก็เอามาให้หมด ฉันต้องการเจอคุณปราณและเด็กๆ ภายในวันนี้ อะไรเล็กน้อยก็อย่ามองข้าม ฉันจะกลับไปดูที่คอนโด มีอะไรให้รายงานฉันตลอด เข้าใจไหมแทนคุณ”

ผมสั่งเสียงเข้ม เพื่อบ่งบอกแทนคุณว่าเขาต้องทำให้ได้ตามที่ผมพูด ผมมั่นใจว่ายังไง ผมก็ต้องหาปราณันต์ของผมจนเจอ ผมพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ แบบนั้น แม้ในใจผมจะวูบโหวงเหมือนมีหลุมลึกขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางใจก็ตาม

และตอนนี้ไอ้หลุมที่ว่านั้น มันกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก และเหมือนใจจะขาดยามที่ผมนึกถึงปราณันต์ เพียงแค่คิดว่าผมจะไม่ได้เห็นใบหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโต หรือรอยยิ้มสดใสจากปากอิ่มนั่นอีก ผมก็รู้สึกเหมือนจะตายลงไปให้ได้ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร ผมรู้แค่ว่าถ้าผมได้ปราณันต์คืนมาไอ้อาการพวกนี้มันจะหายไปเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามผมต้องหาปราณันต์และเด็กๆ ทั้งสองให้เจอ

ผมต้องหาพวกเขาให้เจอ...

.

.

.

แต่สุดท้าย ผมกลับหาปราณันต์ไม่เจอ

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมมันร้อนรุ่นไปหมด ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปราณันต์หายไป ผมเอาแต่เดินกลับไปกลับมาเหมือนหนูติดจั่น ผมให้แทนคุณไปตามหาทุกที่ ที่ๆ คิดว่าคนตัวเล็กจะพาน้องไป แต่ก็ไม่เจอเลยว่าปราณันต์จะอยู่ในที่เหล่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นที่อพาร์ทเม้นท์เก่า ที่ไนท์คลับที่ปราณันต์เคยทำงาน หรือแม้แต่ที่โรงเรียนอนุบาลของปุณณกันต์กับปัณณธร ผมก็ให้แทนคุณไปตามหา และดูเหมือนว่านอกจากแทนคุณจะหาปราณันต์ไม่เจอแล้ว ผมยังได้รับข้อมูลอีกอย่างที่ทำให้หัวใจผมแทบจะหยุดเต้นยิ่งกว่าเดิม


ปราณันต์ทำเรื่องลาออกให้ฝาแฝดแล้ว


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปราณันต์หายไปไหน ผมมืดไปหมดทุกด้าน และพยายามทบทวนทุกความทรงจำเพื่อหาดูว่าผมทำอะไรให้ปราณันต์ไม่พอใจหรือเปล่า ผมขาดตกบกพร่องตรงไหน ถึงทำให้ปราณันต์ต้องหอบน้องๆ หนีผมไปแบบนี้ หัวใจผมร้อนรนจนแทบจะเป็นบ้า ผมพยายามตั้งสติ และคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาในอาทิตย์ก่อน

แล้วผมก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง...


ปราณันต์แปลกไป


คนตัวเล็กโอนอ่อนให้ผมมากกว่าที่เคย ตามใจและเข้าหาผมในแบบที่ไม่เคยทำ ผมเคยเอะใจในช่วงแรกๆ แต่ก็ไม่นานเพราะผมคิดว่าปราณันต์คงใจอ่อนให้ผมบ้างแล้ว และก็คงเป็นช่วงหวั่นไหว เด็กดื้อของผมอาจจะต้องการที่พึ่งเป็นใครสักคน และก็เป็นผมเองที่อยู่ตรงนั้น คอยอยู่ข้างๆ เขาเสมอ นั่นคงทำให้ปราณันต์เห็นใจและเห็นความดีที่ผมพยายามทำ ผมคิดแบบนั้น เลยไม่เฉลียวใจใดๆ อีก

แต่ถ้าจะให้ยอมรับกันตามตรงก็คือ ผมมีความสุขมากกับสิ่งที่ปราณันต์แสดงออก เพราะตั้งแต่กลับมาคบกัน ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ปราณันต์จะยอมพูดดีๆ กับผม แต่ก็มีช่วงอาทิตย์ที่แล้วนี่แหละ ที่จู่ๆ ปราณันต์เริ่มเป็นฝ่ายกอดผมก่อน อ้อนให้ผมทำนั่นทำนี่ให้ แล้วผมที่รอเวลานี้มานาน ก็ไม่เหลือใจให้สงสัยอะไรอีก ผมเลยไม่ได้เตรียมใจว่ามันคือสัญญาณเตือนว่าคนตัวเล็กนั่น กำลังจะทิ้งผมไป

ผมทรุดลงนั่งกลางห้องเหมือนคนหมดแรง ผมมองไปรอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วความทรงจำระหว่างเราสี่คน แล้วก็ได้แต่เจ็บปวดจนพูดแทบไม่ออก ผมเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่ปราณันต์ถ่ายกับปุณณกันต์ปัณณธรไว้ขึ้นมาดู พลางไล้นิ้วไปตามใบหน้าของคนในภาพช้าๆ ทุกเรื่องราวที่ผมเคยทำร่วมกับปราณันต์หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำเหมือนกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา และทุกสิ่งทุกอย่างของปราณันต์ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจที่ผมไม่เคยค้นเจอ


แล้วจู่ๆ หยดน้ำใสๆ ก็ไหลลงกระทบกรอบรูป ผมยกมือขึ้นสัมผัมใบหน้าตัวเองก่อนจะพบว่า


... ผมกำลังร้องไห้ ...


เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้เจอปราณันต์แล้ว หัวใจผมก็เจ็บไปหมด แค่คิดว่าจะไม่ได้กอด ไม่ได้จูบ ไม่ได้หอมแก้มนิ่มๆ นั่น แขนขาผมก็แทบหมดเรี่ยวแรง ก่อนหน้าที่ผมจะเจอปราณันต์และน้องๆ ผมเหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ใครให้ทำอะไรผมก็ทำ ให้แต่งงานผมก็แต่ง ให้ไปบริหารงานที่บริษัทผมก็ทำไปโดยไม่เกี่ยงงอน ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเป้าหมายจริงๆ ของชีวิตผมคืออะไร จนผมได้มาเจอปราณันต์


ปราณันต์คนที่มักจะยิ้มกว้างและทำให้ผมยิ้มตามเสมอ

ปราณันต์คนที่มักจะใจดีอ่อนโยน จนทำให้หัวใจที่เคยเย็นชาของผมถูกละลายลงอย่างราบคาบ แต่ปราณันต์คนนี้ก็ยังคงมีความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวจนน่าชื่นชม

ปราณันต์คนที่ผมทำให้ร้องไห้ซ้ำซาก แต่เขาก็ยังคงรักผมไม่เปลี่ยนแปลง

สุดท้ายปราณันต์คนนั้นมักจะถามผมซ้ำๆ ว่ารู้สึกยังไงกับเขา ซึ่งผมก็เป็นแค่คนโง่ที่ไม่รู้หัวใจตัวเอง เลยตอบไม่ได้สักทีว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาคืออะไร


จนวันนี้ผมพร้อมจะบอกเขาแล้ว แต่ปราณันต์กลับไม่ได้อยู่ฟัง ผมอยากบอกเขาซ้ำๆ ให้เขาได้มั่นใจว่าผมรู้สึกกับเขาแบบนี้จริงๆ


...ผมรักปราณันต์....


ผมเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำและหายใจไม่ออกเข้าไปทุกขณะ ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน เพราะผมไม่เคยได้เสียปราณันต์ไปจริงจังสักที จนวันนี้ วันที่ปราณันต์หายจากกรอบสายตาผมไป และผมก็ยังหาเขาไม่เจอ นั่นทำให้ผมได้รู้ว่าผมรักเด็กคนนั้นมากแค่ไหน รักจนหมดหัวใจมานานแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่รู้ตัวเท่านั้น

กว่าผมจะรู้ใจตัวเองทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป และไม่แน่ว่ามันอาจจะสายเกินไปตลอดกาล

.

.

.

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองอย่างล่องลอย อีกใจก็ไม่อยาก เพราะมันทำให้ผมหวนแต่จะคิดถึงเจ้าของหมอนใบข้างๆ จนหยุดไม่ได้ แต่ก็ต้องเข้าไป เพื่อสำรวจดูว่าปราณันต์เอาข้าวของอะไรติดตัวไปบ้าง พอเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็เห็นว่าทุกอย่างยังอยู่ครบ เลยลองเข้าไปดูในห้องของฝาแฝดบ้าง ซึ่งก็ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าของเจ้าตัวน้อยทั้งคู่ยังถูกแขวนเรียงอย่างเป็นระเบียบ ผมเจ็บในหัวใจไปหมด ผมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้คิดอะไรต่อ ผมทั้งกังวลทั้งจนปัญญา คนตัวเล็กของผมแทบไม่ได้เอาอะไรไปเลยแบบนี้ ไม่ลำบากแย่หรอ แล้วไหนจะที่หลับที่นอนอีก ปราณันต์ต้องกระเตงน้องไปด้วยตั้งสองคน จะหากินหาอยู่กันยังไง ยิ่งคิดแบบนั้นผมยิ่งอยากตามหาปราณันต์ให้เจอโดยเร็ว แต่ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน เพราะเพื่อนสนิทที่ปราณันต์มี ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน...

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็หยุดชะงักไป ใช่! ปราณันต์มีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน ไม่ใครก็ใครนี่แหละที่ปราณันต์ต้องไปขอความช่วยเหลือแน่ๆ คนแรกที่ผมคิดไว้ก็คือคนที่สนิทกับปราณันต์ที่สุด คนที่เป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง คนที่ปราณันต์ไว้ใจและเชื่อใจทุกอย่าง ... อนาวิน

“แทนคุณ เอารถออก ฉันจะไปบ้านอนาวิน นายรู้จักใช่ไหม”

ผมตะโกนเรียกแทนคุณเสียงดังลั่น และพรวดพราดลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าต้องไปหาใคร ผมถึงจะหาปราณันต์ของผมเจอ

"ไปถูกครับบอส"

ผมแทบจะไม่รอให้แทนคุณตอบผมจบประโยคด้วยซ้ำ ก็รีบผลุนผลันออกจากห้องทันที แทนคุณที่ว่าเร็วก็ยังแทบตามผมไม่ทัน ตอนนี้ใจผมร้อนยิ่งกว่าไฟเสียอีก ถ้าหาปราณันต์ไม่เจอภายในวันนี้ ผมแทบจะคิดไม่ออกเลยว่าคืนนี้ผมจะข่มตาให้หลับลงได้ยังไง

ไม่ได้ ถ้าผมไม่มีปราณันต์ ผมอยู่ไม่ได้เด็ดขาด แล้วไหนจะปุณณกันต์กับปัณณธรอีก แค่คิดโลกที่เพิ่งจะเคยสดใสของผมก็กลับมืดลง มันเหมือนความสุขในไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน ฝันที่ดีที่สุดแบบที่ผมไม่เคยฝันถึงมาก่อน แล้วจู่ๆ ผมก็ถูกกระชากให้ตื่นมาอยู่ในโลกความเป็นจริง โลกที่ไม่มีปราณันต์ ไม่มีฝาแฝดที่ผมเคยกอด เคยหอม ผมจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง ผมอยู่ไม่ได้หรอก ไม่ได้จริงๆ

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 29/03/64 [28th Lies: ลาก่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-04-2021 20:49:47
(อ่านต่อจากด้านบน)


“ผมไม่รู้”

อนาวินตอบผมหน้าตาย คนตรงหน้าผมดูไม่ยินดียินร้ายกับคำถามของผมเลยสักนิด ในขณะที่ผมร้อนใจจนแทบคลั่ง แต่อนาวินตอบผมกลับมาแค่สามคำ สามคำที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรกับผมเลย

“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะไม่รู้ คุณปราณไม่เคยปิดบังอะไรคุณ จะเป็นไปได้ยังไงที่คุณปราณจะไปไหนแล้วไม่บอกคุณ”

ผมอาละวาดเหมือนคนที่คุมสติตัวเองไม่ได้ ผมคนที่เคยใจเย็นเป็นน้ำแข็งและไม่เคยมีอะไรมาสั่นคลอนได้ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่เหลือเค้าของความเป็นคนเดิมสักนิด มีแต่ความอ่อนไหว ร้อนรน มาดของนักธุรกิจที่ใครๆ ก็หวั่นเกรงหายไปหมดสิ้น เพียงเพราะการหายตัวไปของผู้ชายตัวเล็กๆ กลับทำให้ผมหลุดการควบคุมตัวเองไปโดยสิ้นเชิง

และยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนของอนาวินยิ่งทำให้ผมมั่นใจ คนตรงหน้าผมคนนี้รู้แน่ๆ ว่าปราณันต์หายไปที่ไหน แต่เขาไม่ยอมบอกผม

“ผมบอกคุณไปแล้วไงว่าผมไม่รู้ ไอ้ปราณมันโตแล้วมันจะหายไปไหนก็เรื่องของมันไหม” อนาวินยิ้มเยาะ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะใจ “คุณจะมาถามหามันทำไม เลิกยุ่งวุ่นวายกับเพื่อนผมได้แล้ว โน่น! ไปหาคู่หมั้นคุณโน่น ป่านนี้ร้องเรียกหาคุณจนประสาทเสียไปแล้วมั้ง”

ผมรู้ว่าเพื่อนของปราณันต์ไม่มีใครชอบผมสักคน เพราะที่ผมทำไว้กับคนตัวเล็กมันก็หนักหนามาก และใช่ว่าจะให้อภัยกันได้ง่ายๆ ผมยอมรับกับทุกความผิดที่ผมเคยได้ทำไป แต่ตอนนี้ผมแค่อยากจะขอร้อง ขอให้บอกผมเถอะว่าปราณันต์หายไปไหน ผมยินดีที่จะไถ่โทษทุกอย่าง ขอแค่บอกผม ให้ผมได้มีโอกาสดูแลและบอกรักปราณันต์ อีกครั้ง ผมจะทำให้ดี ไม่ให้ปราณันต์ต้องเสียใจอีก

เมื่อเห็นว่ายังไงอนาวินก็ไม่มีทางใจอ่อน ยอมบอกผม ผมเลยตัดสินใจคุกเข่าลงตรงหน้าอนาวิน

ผม... คามินที่ไม่เคยแม้แต่จะก้มหัวให้ใครด้วยซ้ำ ตอนนี้กำลังยอมแพ้ราบคาบให้กับผู้ชายร่างเล็กตรงหน้า เพียงเพราะอยากรู้ว่าคนที่ผมรักนั้นอยู่ที่ไหน

อนาวินคงกำลังมองมาที่ผมอย่างตกตะลึง แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อมันอาจจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เพื่อนสนิทของปราณันต์เปลี่ยนใจ แล้วยอมพูดในสิ่งที่ผมกำลังร้องขอให้บอก

“ผมขอร้อง บอกผมเถอะนะครับว่าคุณปราณกับฝาแฝดอยู่ที่ไหน ขอโอกาสให้ผมได้ไถ่โทษ ให้ได้บอกว่าผมรักเขาและอยากดูเขาและเด็กๆ มากแค่ไหน” เสียงผมสั่นอย่างยากที่จะควบคุม

“ทำไม ถ้าผมไม่บอกคุณ คุณจะให้คนมาไล่ผมออกจากงานหรอครับ เอาเลย! ผมไม่กลัวหรอก”

อนาวินท้าทาย แต่ผมกลับไม่ตอบโต้ เอาแต่ก้มหน้านิ่ง เหมือนคนที่ยอมแล้วกับทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้ที่ทำได้ผมได้แต่ภาวนาให้อนาวินเห็นใจผม

แต่คำภาวนาของผมกลับไม่เป็นผล

“คุณเคยได้โอกาสจากผมไปแล้วครับคุณคามิน... คุณจำได้รึป่าว ว่าเคยสัญญาอะไรกับผมไว้?” อนาวินถามเสียงเข้ม

“....” ผมเงียบเพราะจำได้ดี

คำสัญญาในตอนนั้นหวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ตอนที่ผมไปขอร้องอนาวิน ให้ช่วยพูดให้ปราณันต์ยอมให้ผมช่วยดูแลฝาแฝด และยอมให้ย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกัน ตอนที่ผมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกับคนตรงหน้าว่าผมจะไม่ทำให้ปราณันต์เสียใจ


‘แต่ก่อนอื่น คุณรับปากผมมาก่อนว่าจะไม่ทำให้ไอ้ปราณและฝาแฝดเสียใจ’

‘ผมสัญญาครับ’

‘โอเคครับ งั้นผมก็ยินดีจะช่วยคุณ’



ผมข่มตาลงช้าๆ ราวกับจะยอมรับทุกผลจากการกระทำของตัวเอง

“แต่คุณกลับทำร้ายเพื่อนผมอย่างแสนสาหัส คุณทำให้เพื่อนผมเสียใจและผิดหวัง หนำซ้ำคุณยังบังคับเอามันไปอยู่ด้วย ไอ้ปราณมันก็รักแล้วมันยอมกลับไปอยู่กับคุณ แต่คุณก็ดูแลมันไม่ได้ แถมยังไม่เคยให้ความมั่นใจอะไรกับมันเลย และที่เลวร้ายที่สุดคือคุณปล่อยให้คู่หมั้นคุณทำร้ายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงขั้น...”

อนาวินชะงักไปราวกับนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดมันออกมา นั่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองอนาวินแทบจะทันทีทันใด

“วลัยทำอะไรคุณปราณ?” ใจผมร้อนรุ่ม นึกสังหรณ์ว่าพรวลัยอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว และการที่ปราณันต์หายไปก็อาจจะเป็นฝีมือของเธอ

“บอกผมมาสิครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรปราณันต์” เสียงของผมเย็นเยียบ จนตัวผมเองก็รู้สึกได้ ผมคิดว่าอนาวินรู้เรื่องทั้งหมดดีแต่เลือกที่จะไม่ยอมบอกผม

“ไม่มีประโยชน์ที่จะมาถามอะไรตอนนี้ คุณเสียโอกาสทุกอย่างไปหมดแล้วคุณคามิน ปล่อยไอ้ปราณมันไปเถอะ ต่างคนต่างอยู่ คู่หมั้นคุณจะได้เลิกวุ่นวายกับมันและกับคนอื่นสักที”

พอพูดจบอนาวินก็ลุกขึ้นยืนและไม่สนใจอะไรผมอีก

“แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรไอ้ปราณก็ไปถามกันเอาเอง... เชิญกลับไปได้แล้วครับ ผมต้องทำงาน”

ร่างเล็กตรงหน้าผมตัดบท ก่อนที่จะเดินออกไปก่อน และทิ้งให้ผมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น พลางคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่าง ผมมั่นใจว่าพรวลัยต้องเป็นคนบีบบังคับให้ปราณันต์ไปจากผมแน่ๆ แต่ประเด็นก็คือ ผมไม่รู้ว่าพรวลัยทำอะไร หรือได้ทำร้ายปราณันต์รึป่าว

แต่จากที่เห็นท่าทีของอนาวิน ผมคิดว่าปราณันต์น่าจะสบายดี และอนาวินก็รู้ดีว่าปราณันต์หนีไปอยู่ที่ไหน แต่เขาไม่ยอมบอกผม และผมก็มั่นใจว่าต่อให้ผมบังคับอนาวินให้ตายยังไง เขาก็ไม่ยอมบอกแน่ แต่ผมก็จะไม่หยุดพยายามแค่นี้ ผมเชื่อว่ายังไงมันก็ต้องมีสักทางที่ผมจะตามหาปราณันต์จนเจอ

.

.

.

ผมตัดสินใจไปหาพรวลัย และเมื่อเธอเห็นผม ก็เดินยิ้มหวานเข้ามาหา เข้ามาเกาะแขนผมราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมได้แต่นึกหวาดกลัวผู้หญิงคนนี้อยู่ในใจ ทั้งจากเรื่องที่ได้ยินจากสิปปกร หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ผมกำลังสงสัยว่าเธอมีส่วนกับการหายไปของปราณันต์ ทำไมเธอถึงยังทำหน้าซื่ออยู่ได้ ทั้งๆ ที่เธอทำร้ายคนอื่นได้อย่างแสนสาหัสขนาดนั้น

“คราม คุณเปลี่ยนใจกลับมาหาวลัยแล้วใช่ไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างออดอ้อน มันอาจจะน่าฟังสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับผม

“คุณทำอะไรปราณันต์” ผมตอบคำถามพรวลัยกลับด้วยคำถาม และสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น ก่อนจะมองไปยังผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับถามย้ำเสียงเข้ม “บอกผมมา”

“หึ! ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่คะ มันคงเป็นธรรมดาของพวกลักพวกขโมยของคนอื่นมั้งคะ ที่คงทนไม่ได้ แล้วก็แพ้ภัยตัวเองไป”

เสียงหวานของผู้หญิงตรงหน้าพูดถึงปราณันต์ของผมอย่างดูถูก ทำเอาผมเลือดขึ้นหน้าไม่น้อย ก็สาเหตุทั้งหมด มันมาจากปราณันต์ที่ไหน คนที่เลวที่สุดในเรื่องนี้คือผมต่างหาก

“คุณไม่มีสิทธิ์พูดถึงคุณปราณแบบนี้นะวลัย คนที่คุณต้องด่าว่าคือผม ไม่ใช่คุณปราณ ผมเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมด คุณปราณไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรด้วยสักนิด จะต้องให้ผมพูดเรื่องนี้อีกกี่รอบกัน”

ผมพูดใส่พรวลัยอย่างเหลืออด ตอนนี้ดูเหมือนว่าความอดทนของผมจะต่ำเตี้ยเหลือเกิน ผมที่เคยมีสติและจัดการปัญหาทุกอย่างได้ด้วยความสงบนิ่ง กลับไม่เหลือเค้าของความเป็นแบบนั้นเลย ตอนนี้มีแต่คามินที่ร้อนรน บ้าคลั่ง และแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

ผมในตอนนี้เอาแต่คิดว่าปราณันต์อยู่ที่ไหน หายไปไหน และเป็นยังไงบ้าง ดูเหมือนว่าใครก็เข้าหน้าผมไม่ติด แล้วยิ่งเป็นพรวลัย ยิ่งทำให้ผมสติหลุดมากกว่าเดิม

“บอกผมมา คุณทำอะไรคุณปราณของผม ทำไมคุณปราณถึงหายไป คุณไปพูดอะไรกับเขา”

ผมพูดเสียงเย็น ที่ฟังดูแล้วอาจจะไม่มีอะไร แต่ที่จริงคือผมกำลังระงับโทสะของตัวเองอยู่อย่างใจเย็น แต่ถ้าวลัยยังคงเล่นแง่กับผมไม่เลิก ความอดทนของผมอาจจะหมดลงในไม่กี่นาทีนี้ก็ได้

“อย่ามาโทษวลัยนะคะคราม มันหนีของมันไปเอง เกี่ยวอะไรกับวลัยไม่ทราบ ป่านนี้มันคงหนีคุณไปหาผู้ชายใหม่แล้วมั้งคะ มันถนัดเรื่องใช้ร่างกายแลกเงิน แลกหน้าที่การงานอยู่แล้วนี่ คุณจะไปห่วงมันทำไม”

ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นพูดลอยหน้าลอยตายั่วโมโหผม ผมกำมือเข้าหากันแน่น ยิ่งพรวลัยพูด ผมยิ่งเห็นอคติและความมืดดำในใจของเธอ ความอิจฉาริษยาที่เธอมีต่อปราณันต์รุนแรงเสียจนผมนึกไม่ถึง

ในขณะที่พรวลัยรังแกปราณันต์ทุกอย่าง ปราณันต์กลับนิ่งไม่ตอบโต้ หนำซ้ำยังเอาแต่โทษตัวเองจนแทบจะให้อภัยไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ปราณันต์ไม่ได้ผิดเลยด้วยซ้ำ ส่วนพรวลัยกลับตรงกันข้าม เพราะไม่ว่าปราณันต์จะขอโทษเธอยังไงเธอก็ไม่ฟัง แถมยังทำร้ายปราณันต์ซ้ำๆ ทั้งที่ปราณันต์ไม่ผิดเลย แต่คนที่ผิดคือผมเองต่างหาก

“ป่านนี้มันคงไปนอนอ้าขาให้ใครสักคน เหมือนกับที่มันทำกับคุณแล้วล่ะค่ะวลัยว่า”


และแล้วฟางเส้นสุดท้ายของผมก็ขาดลง เมื่อวลัยพูดประโยคนั้นจบ


“หยุดเดี๋ยวนี้นะพรวลัย! คุณไม่มีสิทธิ์พูดถึงปราณันต์แบบนั้น อันที่จริงแล้วคุณไม่มีสิทธิ์พูดถึงปราณันต์ด้วยซ้ำ! คุณไม่รู้จักปราณันต์ของผมสักนิด อย่ามาดูถูกเขาเพราะหัวใจคุณมีอคติและคิดอะไรดีๆ ไม่ได้” ผมขบฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่น ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งไม่พอใจ

“พอกันที! ผมทนคุณไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ผมขอถอนหมั้นกับคุณ... พรวลัย!!!” ผู้หญิงตรงหน้าผมดูตะลึงงันไปทันทีหลังจากได้ยินแบบนั้น ผมเองก็ยื่นแหวนที่เก็บไว้ไม่เคยได้ใส่ออกมาวางคืนให้อดีตคู่หมั้นหมาดๆ ทันทีเช่นกัน

“และที่มันเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะปราณันต์ ต่อให้ผมหาปราณันต์ไม่เจออีกตลอดชีวิตผมก็อยู่กับคนใจร้ายแบบคุณไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะคุณทั้งนั้น อย่างที่เคยบอกค่าของหมั้นทั้งหมด ผมยกให้คุณถือว่าชดใช้ที่ทำให้คุณเสียชื่อเสียง และต่อจากนี้ไปเราก็อย่ามายุ่งกันอีกเลย”

“กรี๊ดดดดดดดดดด!” วลัยกรีดร้องดังลั่นหลังจากที่ผมพูดจบ ดังจนถึงขนาดที่ว่าเลขาคนสนิทของเธอต้องรีบวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“คุณวลัยคะ คุณวลัย” เลขาสาวพยายามเรียกสติเจ้านายตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผล วลัยเอาแต่กรี๊ดและกระทืบเท้าแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเอาแต่ใจ

“ฉันไม่ยอม! ฉันไม่ยอม ฉันไม่เลิกกับคุณเด็ดขาดคามิน!! ฉันไม่ยอม!!!!” พรวลัยชี้หน้าผมอย่างอาฆาตมาดร้าย แววตาเรียวเฉี่ยวจ้องผมอย่างไม่ยอมแพ้

“คอยดูเถอะ! ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณได้หาเจอมันเด็ดขาด! ฉันจะทำลายทุกอย่างระหว่างคุณกับมัน คอยดู!”

ผมเองก็ชักจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ถ้าพรวลัยจะทำร้ายผม ผมจะไม่ว่าอะไรสักคำเพราะเรื่องนี้ผมผิดจริง แต่ถ้าจะมาทำร้ายปราณันต์และฝาแฝดของผม ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแบบนี้ ผมยอมไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด

ผมจึงพูดสวนไม้ตายออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน

“อีกอย่าง” ผมพูดเสียงเย็น และบ่งบอกว่าเอาจริง “ผมจะรื้อคดีคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณปราณขึ้นมา ผมจะเอาผิดคนที่ทำให้พวกท่านเสียชีวิตให้ได้ คุณเข้าใจใช่ไหมว่าผมหมายความว่ายังไงพรวลัย”

ในเมื่อพรวลัยไม่ได้สำนึกอะไรกับสิ่งที่เธอทำลงไปเลยสักนิด ผมก็ต้องทำให้มันถูกต้องเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อปราณันต์บ้างก็ยังดี

“คุณ... รู้” พรวลัยพูดเสียงสั่น และจ้องมายังผมอย่างตกตะลึง “ฉันอุตส่าห์กันไอ้เด็กนั่นให้ไกลคุณแล้ว ทำไมคุณถึงรู้” วลัยเกรี้ยวกราดและยอมรับกลายๆ ออกมาว่าตัวเองเป็นคนทำให้ปราณันต์หนีผมไปจริงๆ

“คุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณทำอะไรไว้ แต่คุณกลับไม่เคยสำนึก แล้วหนำซ้ำคุณยังมาทำร้ายปราณราะอยากปกปิดความผิดของตัวเองอีก ทำไมคุณใจร้ายแบบนีห๊ะวลัย คุณทำแบบนี้ได้ยังไง”

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ฉันเกลียดมัน เกลียดน้องมัน เกลียดพ่อแม่มันด้วย พ่อแม่มันทำลายชีวิตฉัน ถ้าพวกมันไม่ตาย ฉันก็ไม่ต้องมานั่งหวาดระแวงแบบนี้หรอก”

พรวลัยสารภาพทุกอย่างออกมาหมดสิ้น แถมยังโทษคนอื่นโดยไม่ยอมมองถึงความผิดของตัวเองอีกต่างหาก ผมยิ่งฟัง ยิ่งได้เห็นพฤติกรรมของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น แล้วผมยิ่งจะทนไม่ได้เข้าไปทุกที

“แล้วแทนที่พ่อแม่มันตายไปแล้ว ฉันจะได้เจออะไรดีๆ กับเขาบ้าง ไอ้ตัวลูกมันก็ยังมาเป็นมารความสุขของฉันอีก เพราะการที่ฉันได้มาเจอคุณ ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่จะได้คุณมาเป็นสามี แต่นี่อะไร ลูกมัน กลับมาแย่งคุณไปจากฉันอีก แบบนี้จะให้ฉันอยู่เฉยได้ยังไง”

วลัยยังคงไม่หยุด เธอพูดทุกอย่างเหมือนคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้วโดยสิ้นเชิง

“ให้มันไปจากคุณนั่นแหละถูกแล้ว ความลับของฉันก็จะยังเป็นความลับต่อไป และฉันก็จะได้คุณคืนมาด้วย แบบนี้สิถึงจะถูก”

ผมมองคนที่เคยเป็นคู่หมั้นด้วยความเวทนา ในใจของพรวลัยมีแต่ความอิจฉาและเห็นแก่ตัว นั่นทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะเอายังไงต่อไป

“พอกันที ผมกับคุณเราอย่ามาเจอกันอีกเลย ผมจะให้เกียรติคุณเป็นครั้งสุดท้าย จัดงานแถลงข่าวซะ ว่าคุณเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นผม จะบอกสาเหตุอะไรก็แล้วแต่คุณหรือจะพูดความจริงก็ได้ว่าผมมันเลวยังไง แต่ถ้าหลังจากนี้สามวันคุณไม่แถลงข่าว ผมจะเป็นคนแถลงเอง”

ผมพูดอย่างใจเย็น ผมให้พรวลัยเป็นคนเลือก แต่ถ้าเธอไม่พูดให้ทุกคนรู้ ผมจะพูดเอง

“ส่วนเรื่องคดี คุณก็เตรียมทนายไว้แล้วกัน ผมเอาจริง .. อีกอย่าง เรื่องปราณันต์ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่ายังไงผมก็จะตามหาเขาให้เจอจนได้ ผมไม่มีวันปล่อยคนที่ผมรักไปแน่ๆ คุณคอยดูก็แล้วกัน”

ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่จะเดินออกมา โดยมีเสียงกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวกราดของพรวลัยดังตามหลังมาไม่หยุด

.

.

.

ผมกลับมาที่คอนโดด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ผมหาปราณันต์ไม่เจอและไม่มีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับการหายไปของปราณันต์เลยสักนิด ผมเดินเข้ามาในห้องนอนตัวเองช้าๆ เหมือนคนที่วิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง ผมมองไปรอบๆ ห้องก็เห็นแต่ร่องรอยและความจำที่เกี่ยวกับคนตัวเล็กของผมเต็มไปหมด ผมได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ปราณันต์ถามผมคราวนั้น


‘แล้วทำไมคุณถึงเสียผมไปไม่ได้ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากรั้งให้ผมอยู่กับคุณ’

‘ปราณ ... ผม.. คือ ... ผม’

‘พอเถอะครับ แค่นี้คุณยังตอบคำถามผมไม่ได้ คุณก็อย่าพยายามมันต่อไปเลย ปล่อยผมเถอะ


‘ปราณ ผม...’

‘แค่คุณจะพูดว่ารักผมจากใจของคุณจริงๆ คุณยังพูดไม่ได้เลย แล้วคุณจะหวังให้ผมเชื่ออะไรคุณอีก ... ผมเจ็บมามากพอแล้วคามิน ถ้าคุณไม่ได้รักผม คุณปล่อยผมไปได้ไหม อย่าทรมานผมแบบนี้อีกเลย ผมขอร้อง’



ถ้าผมรู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้อีกนิด ถ้าผมรู้ว่าผมรักปราณันต์มากขนาดนี้ ผมจะพูดให้เขาได้มั่นใจว่าผมรักและพร้อมจะดูแลเขาและน้องๆ ไปตลอดชีวิตโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ผมคว้าได้แต่อากาศและความว่างเปล่า ไม่มีร่างกายบอบบางที่ผมคุ้นเคยให้กอดได้อีกต่อไป นั่นก็เพราะผมทำตัวเองทั้งสิ้น

ผมค่อยๆ ทรุดตัวนอนลงบนเตียงช้าๆ กลิ่นยาสระผมหอมอ่อนๆ ที่ติดอยู่บนหมอนที่วางอยู่ข้างๆ ศีรษะผม ลอยมากระทบกับจมูก ผมค่อยๆ เอื้อมมือหยิบหมอนใบนั้นขึ้นมากอด พร้อมกับสูดดมกลิ่มหอมจากตัวปราณันต์ที่ติดอยู่บนหมอนอย่างคิดถึง

และนั่นก็ทำให้น้ำตาผมไหลออกมาช้าๆ ผมที่เคยเข้มแข็งกับทุกเรื่องกำลังพ่ายแพ้ให้กับความคิดถึงและความรู้สึกผิดที่กำลังเกาะกินหัวใจ จนทำให้ผมแทบไม่เหลือแรงจะคิดหรือทำอะไรต่อไปได้ และก่อนที่ผมจะได้วางหมอนกลับลงไปที่เดิม ผมก็เห็นซองจดหมายเล็กๆ วางอยู่ตรงจุดที่หมอนเคยวางทับไว้

ผมแกะซองออกอ่านด้วยมืออันสั่นเทา ลายมือที่คุ้นเคยปรากฎขึ้นมาในกรอบสายตาผม


ลายมือของปราณันต์


หัวใจผมเต้นแรงเร็วขึ้นมาทันที นึกภาวนาให้ข้อความในจดหมายบอกอะไรผมบ้าง ผมจะได้รู้ว่าผมต้องไปตามหาปราณันต์ที่ไหน


‘ถึงคุณคามิน

ถ้าคุณได้อ่านจดหมายจากผม นั่นหมายความว่าตอนนี้คุณกับผม เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ผมขอโทษที่จากมาโดยที่ยังไม่ได้บอกลาคุณเลยสักคำ เอาเป็นว่า ช่วงเวลาสี่ห้าวันก่อนหน้านี้ เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมาก และถ้ามันพอจะทำให้คุณมีความสุขบ้างแม้แต่เล็กน้อย ผมก็อยากให้คุณคิดว่านั่นคือคำบอกลาจากผมแล้วกันนะครับ



“โถ่... ปราณ ผมมีความสุขมาก มากที่สุดในโลก คุณเองก็น่าจะรู้”

ผมพึมพำอยู่กับหน้ากระดาษตรงหน้า ก่อนจะอ่านต่อ


‘ผมขอบคุณคุณมากที่ ที่ผ่านคุณดูแลผมกับน้องๆ ให้เป็นอย่างดี ขอบคุณที่คุณทำให้ช่วงเวลาหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับผม คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมเองก็เป็นคนพิเศษและคู่ควรที่จะได้รับการเอาใจใส่จากใครสักคน และคนๆ ก็คือคุณ ผมขอบคุณคุณมากนะครับ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำเพราะรักผม แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณคุณมากเหลือเกิน’


ผมนั่งอ่านไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด และก่อนที่ผมจะรู้ตัว หยดน้ำใสก็ตกลงกระทบบนหน้ากระดาษขาว รอยหมึกของปากกาที่ขีดเขียนเป็นตัวอักษรไว้ เปื้อนซึม แผ่ขยายเป็นวงกว้าง


ผมกำลังร้องไห้.. อีกแล้ว


‘จากนี้ไปผมอยากขอให้คุณดูแลตัวเอง อย่าโหมงานหนักมาก พักผ่อนเยอะๆ ทานข้าวให้ตรงเวลา แล้วก็พยายามอย่าเจ็บอย่าป่วยนะครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บป่วยหรือไม่สบาย เพราะนั่นคงทำให้ผมเจ็บปวดหัวใจไม่น้อย ถ้ารู้ว่าคุณไม่ได้สบายดีอย่างที่ควรจะเป็น’


ผมพยายามกลั้นก่อนสะอื้น แม้มันจะทำได้ยากเหลือเกินในเวลานี้ ปราณันต์ยังคงอ่อนโยนกับผมเสมอ ไม่ว่าผมจะเคยใจร้ายกับเขาแค่ไหนก็ตาม


‘และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เพราะผมรู้ดีว่าคุณรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาตลอด ถ้าคุณอยากไถ่โทษที่คุณเคยทำผมเสียใจ นั่นมีอย่างหนึ่งที่ผมอยากขอคุณ... อย่าตามหาผมเลยนะครับ ปล่อยผมกับเด็กๆ ไปเถอะนะ อย่ากักขังผมไว้เพียงเพราะคุณแค่อยากเอาชนะผม มันมีแต่จะทำให้เจ็บกันทุกฝ่าย ผมเองก็ไม่อยากจะทรมานอีกแล้ว เพราะพอถึงที่สุดแล้ว เรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี’


ผมปาดน้ำตาที่ยังคงไหลลงมาไม่หยุดออก ผมจับความทรมานและความเสียใจผ่านตัวอักษรที่ปราณันต์เขียนได้ทุกประโยค และนั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด และเจ็บไปไม่น้อยกว่าที่ปราณันต์รู้สึกเลย


‘สุดท้ายนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคุณ จนถึงวันนี้ตอนนี้ผมอยากให้คุณสบายใจนะคุณคามิน ผม... ปราณันต์คนนี้ไม่เคยโกรธคุณได้จริงจังเลยสักครั้ง และถึงแม้จะเกิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะทั้งเรื่องดีหรือไม่ดี มีสิ่งนึงที่ผมต้องยอมรับคือ ผม... หยุดรักคุณไม่ได้ อาจจะดูเหมือนคนโง่ที่ผมมาสารภาพอะไรแบบนี้ แต่ผมรักคุณมากนะคามิน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่รักผมเลยก็ตาม

ขอบคุณคุณมากนะครับคุณคามิน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และก็ลาก่อนครับความรักของผม

ปราณันต์’



“ฮึก.. คุณปราณ..” ผมปล่อยให้ตัวเองสะอื้นออกมาสุดเสียงหลังจากอ่านจบ ผมยกจดหมายที่ปราณันต์ให้ไว้มากอดแนบอก ราวกับว่ามันพอจะเป็นตัวแทนของเจ้าของที่ไม่ได้อยู่กับผมตรงนี้ได้บ้าง

น้ำตาที่ไม่เคยไหลมาตลอดยี่สิบกว่าปีของผม ไหลออกมาราวกับทำนบกั้นแตก ผมได้แต่พึมพำคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ทั้งๆ ที่ผมมีโอกาสมากมายที่จะได้พูดสิ่งนี้ แต่ผมกลับรั้งรอ มัวแต่ไม่แน่ใจ ซึ่งพอผมอยากจะพูดมันออกไป ก็กลับกลายเป็นคนที่ผมอยากบอก เขาไม่ได้อยู่รอฟัง

“คุณปราณ ผมรักคุณ ได้ยินไหม.. ฮึก.. คุณปราณ ผมรักคุณ”

มันกลายเป็นประโยคบอกรักที่มีแต่ผมรับรู้อยู่แค่เพียงคนเดียว

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีคำไหนจะมอบให้นอกจาก.. ส สะ ส.. สมน้ำหน้าจ้า 5555555555555555555555555555

ผ่านมันไปให้ได้นะ อย่างดีก็อีกตอนสองตอนเลยแหละ กร้ากกกกกก

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่คอยติดตามและให้กำลังใจกันมาโดยตลอด โค้งสุดท้ายแน้ววว ปมสุดท้ายก็ถูกเปิดออกด้วยเช่นกันนน อันนี้ก็คือเซอร์ไพรส์ของจีงงงง 5555555555

ส่วนใครที่เคยสงสัยว่าทำไมนุ้งปราณถึงรักนังครามม๊ากมาก ก็อย่างที่น้องบอกในจดหมายเนาะ ... การถูกรัก ถูกเอาใจใส่ มันทำให้น้องเทใจให้นังครามค่ะ คนที่ต้องเป็นฝ่ายดูแลคนอื่นตลอด พอถูกดูแลบ้าง... ก็อย่างที่เห็น ใจคนเรามันก็ดวงนิดเดียวเนาะ ทีนี้อินังครามก็ต้องพิสูจน์ตัวเองวนไปจ้า เอาเป็นว่าเดี๋ยวตอนต่อไปค่อยว่ากันนน อิอิ

ชอบไม่ชอบเม้นบอกกันได้นะคะ เรารออ่านคอมเม้นของทุกคนอยู่น้า อยากจะขอบคุณมากๆ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ดีใจมากๆ เลยที่ยังมีคนตามอ่านกันอยู่

ยังไงไว้เจอกันตอนหน้านะคะ ... น่าจะลงวันจันทร์หน้านี้เลย รีบ 55555555555

รักทุกคนเฉมอ ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 02/04/64 [29th Lies: เพิ่งรู้ใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-04-2021 22:22:26
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 02/04/64 [29th Lies: เพิ่งรู้ใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-04-2021 00:03:33
สมมมม
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 02/04/64 [29th Lies: เพิ่งรู้ใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-04-2021 00:22:45
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 02/04/64 [29th Lies: เพิ่งรู้ใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 03-04-2021 06:33:46
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 02/04/64 [29th Lies: เพิ่งรู้ใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 03-04-2021 18:44:32
เฉลยตัวเอง ซะหมดเลย ..
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 05-04-2021 23:09:49
30th Lies : ความหวัง


Kamin's Part


วันนี้เป็นวันต้นสัปดาห์ในการเริ่มงานปกติ แต่จะไม่ปกติตรงที่ผมไม่มีปราณันต์ นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้ไปส่งปุณณกันต์กับปัณณธรที่โรงเรียนอนุบาล ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ที่ฟังกี่ครั้ง ผมก็มีความสุขทุกครั้ง ผมถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หัวใจผมหนักอึ้งและเต็มไปด้วยความคิดถึงที่มีต่อทั้งสามคน

และเมื่อมาถึงออฟฟิศ ผมก็สั่งให้แทนคุณไปตามหาปราณันต์ต่อ และนอกเหนือไปจากการตามหาคนที่ผมรัก ผมก็ยังมีงานอีกชิ้นให้คนสนิทของผมไปจัดการ นั่นก็คือเรื่องคดีความของคุณพ่อกับคุณแม่ของปราณันต์ที่ถูกรถขับชน ผมให้แทนคุณเลือกทนายที่ดีที่สุด เก่งที่สุดเตรียมไว้ นั่นเพราะผมรู้ว่าอีกฝ่ายที่ผมกำลังจะต่อสู้ด้วย เป็นถึงพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่น ที่ไม่ใช่ว่าจะรับมือด้วยได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น ผมจะต้องรอบคอบและทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด

ผมตั้งใจไว้แล้วว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปราณันต์สักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อชดใช้ความผิดที่ผมเคยได้ทำไว้ และเผื่อมันจะทำให้พระเจ้าเห็นใจผมบ้าง ผมอยากเจอปราณันต์ ปุณณกันต์ และปัณณธร ผมคิดถึงพวกเขาเหลือเกิน ถ้าความดีของผมครั้งนี้พอจะไถ่โทษเรื่องในอดีตได้บ้าง ผมก็ยินดีจะทำ แม้ความหวังมันจะริบหรี่มากก็ตามที

“แล้วเรื่องแถลงข่าวไปถึงไหนแล้วแทนคุณ ทางวลัยมีทีท่ายังไงบ้าง”

ผมถามคนสนิทของผมด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน ต่อหน้าทุกคนผมยังคงเป็นคามินผู้เย็นชาและบ้างานไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีไม่กี่คนนักหรอกที่รู้ว่าผมฝืนแค่ไหน ข้างในผมแตกสลาย แทบจะไม่มีอะไรเหลือเป็นชิ้นเป็นอันให้ยึดให้เหนี่ยวไว้ได้เลย

อย่างน้อยก็คนที่ยืนอยู่ข้างตัวผมนี่แหละที่รู้... รู้แต่ต้องทำเป็นไม่รู้

“ทางคุณพรวลัยยังเงียบอยู่เลยครับบอส บอสจะให้ผมเตรียมการอะไรเผื่อไว้ไหมครับ” แทนคุณถามขึ้นมาราวกับรู้ใจ

“เตรียมไว้หน่อยก็ดี ถ้าอีกสองวันทางนั้นไม่แถลงข่าวเรื่องถอนหมั้น ฉันจะจัดการเอง” ผมพูดเสียงเข้ม บ่งบอกว่าเอาจริง

“แล้วท่านประธานกับคุณนาย ทราบเรื่องนี้แล้วรึยังครับบอส”

แทนคุณถามอย่างกลัวๆ กล้าๆ คงหวั่นใจว่าผมจะด่าน่ะแหละ ผมถอนหายใจปลงๆ ผมไม่มีอารมณ์จะเกรี้ยวกราดใส่ใครทั้งนั้นแหละเวลานี้ แค่หายใจผมยังเหนื่อยเลย ไม่รู้จะอารมณ์เสียใส่คนอื่นไปทำไม ... ปราณันต์ทำให้ผมเปลี่ยนไปจริงๆ

“แม่รู้แล้ว บอกว่าจะคุยกับพ่อให้ แต่คิดว่าท่านคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก รายนั้นแม่พูดอะไรก็ยอมทุกอย่างแหละ” ผมพูดขึ้น ไม่ได้หนักใจอะไรทั้งนั้นกับฝั่งครอบครัวตัวเองเลย

ถึงแม้พ่อจะเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องการแต่งงานระหว่างผมกับครอบครัวพรวลัย หรือถึงแม้ว่าป๊าจะเป็นถึงประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ มีลูกน้องเป็นร้อยเป็นพัน อำนาจบารมีคับกรุงเทพฯ ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วพอกลับเข้าบ้าน พ่อก็เป็นแค่สามีของแม่ผม และแม่ผมก็คือผู้ยึดครองถืออำนาจสูงสุดในบ้าน เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของแม่ทั้งสิ้น และแน่นอนว่าแม่ทั้งรักและเอ็นดูปราณันต์และฝาแฝดขนาดนั้น ต่อให้ต้องงัดข้อกับป๊า ผมคิดว่ายังไงพ่อก็สู้แม่ไม่ได้หรอก พ่อบ้านใจกล้ากันทั้งพ่อทั้งลูก

“ได้ครับบอส เดี๋ยวผมจะไปจัดการตามที่บอสสั่งให้เรียบร้อย”

หลังจากรับคำสั่งจากผมเสร็จ แทนคุณก็ทำท่าจะหมุนออกไป แต่ผมเรียกเอาไว้ก่อน ผมลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะคิดใคร่ครวญดูว่าผมควรจะลองเสี่ยงไหม แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่าจะทำ ดีกว่าอยู่เฉยๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย

“เดี๋ยวแทนคุณ ตามนทนัชกับกันต์กวีมา ฉันมีเรื่องจะคุยกับพวกนั้น”

แทนคุณมองผมอย่างเห็นใจ ผมรู้ว่าความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่หรอก ขนาดอนาวินยังไม่ปริปากพูดสักคำ แล้วมีหรอที่สองคนนี้จะพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกันต์กวี ยังไงหมอนั่นก็ไม่มีทางพูดแน่

“แต่บอสครับ..”

“บอกให้เรียกมาก็เรียกมาเถอะ” แทนคุณทำท่าจะแย้ง แต่ผมพูดตัดบทเสียก่อน

“ได้ครับบอส”

ผมรออยู่ไม่นาน นทนัชกับกันต์กวีก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้า สายตาทั้งสองคู่มองมาที่ผมอย่างไม่เป็นมิตร และยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยถามอะไร กันต์กวีก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเสียก่อน

“ท่านประธานเรียกเราสองคนมาทำไมครับ จะไล่ออกหรอ”

กันต์กวีถามผมอย่างยียวน ส่วนนทนัชที่ปกติมักจะคอยห้ามปรามกันต์กวี แต่ครั้งนี้ไม่ คนสูงวัยกว่ากลับแค่ยืนนิ่งๆ ราวกับไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้

ผมถอนหายใจ ผมยอมรับว่าผมโกรธ ผมโกรธทั้งนทนัช ทั้งกันต์กวี หรือแม้แต่อนาวินผมก็โกรธ ที่จริงผมก็โกรธคนทั้งโลกนั่นแหละที่พรากปราณันต์ไปจากผม มันก็จริงที่ผมเป็นคนผิดเอง แต่แล้วยังไงล่ะ มันไม่ได้หมายความทุกคนจะมีสิทธิ์พาปราณันต์หนีหายไปจากผมแบบนี้สักหน่อย

บางทีผมก็นึกอยากจะอาละวาดใส่ทุกคน แต่ผมก็เรียนรู้แล้วว่าทำอย่างนั้นมันไร้ประโยชน์ จากการหายไปของปราณันต์ทำให้ผมเรียนรู้หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยแย่ๆ ของผม ที่ผมควรจะเลิกเป็นหรือเลิกทำเสียที เพราะนั่นมันก็เป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้ปราณันต์ทิ้งผมไป

“ผมแค่อยากรู้ว่าคถณปราณอยู่ที่ไหน พวกคุณ...”

“เราไม่มีอะไรจะบอกคุณหรอกค่ะท่านประธาน พวกเราไม่รู้ว่าปราณอยู่ไหน ... ไม่สิ ถึงต่อให้รู้ดิฉันก็ไม่บอก ดิฉันจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายคนที่ดิฉันรักเหมือนน้องชายได้อีกแน่ๆ”

นทนัชพูดสวนผมขึ้นมาเสียงกร้าว หัวหน้าทีมสาวไม่รอให้ผมพูดจบด้วยซ้ำ ทำเอาผมสะอึกไปเหมือนกัน เมื่อเจอนทนัชเวอร์ชั่นนี้

“ใช่ คุณและคู่หมั้นคุณทำร้ายปราณมามากพอแล้ว ปล่อยให้ปราณไปตามทางเถอะ คุณก็อยู่ของคุณไป ปราณก็อยู่ของปราณไป อย่ามายุ่งเกี่ยวกันให้เกิดปัญหาอีกเลยดีกว่า”

กันต์กวีพูดเสริม เสริมในสิ่งที่ทำให้ผมเจ็บจนจุกไม่น้อย เพราะนั่นมันคือความเป็นจริงที่ผมควรจะปล่อยให้เป็น แต่ไม่ ผมทำแบบนั้นไม่ได้

“ผมรักคุณปราณ ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา” ผมสารภาพ ผู้ชายที่หยิ่งผยองและเย็นชาราวกับน้ำแข็งอย่างคามินคนนี้ หมดสภาพโดยสิ้นเชิง ผมค้อมหัวให้คนตรงข้ามทั้งสอง ก่อนจะขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “บอกผมเถอะนะครับว่าคุณปราณอยู่ที่ไหน... ผมขอร้อง”

ดูเหมือนทั้งนทนัชและกันต์กวีจะอึ้งไปพักใหญ่เมื่อเห็นท่าทีเหมือนคนขี้แพ้ของผม แต่ไม่ว่าผมจะน่าสงสารแค่ไหน ก็ดูเหมือนทั้งสองไม่ได้ใจอ่อนให้ผมสักนิด

“พวกเราไม่มีอะไรจะบอกคุณหรอกค่ะท่านประธาน ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราสองคนขอตัว”

นทนัชตัดบท พร้อมกับหมุนตัวเดินออกไป โดยมีกันต์กวีเดินตามออกไปติดๆ ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองสองคนที่เดินออกไป พร้อมๆ กับที่บานประตูค่อยๆ ปิดลง

ผมหลับตาลงและทิ้งตัวบนเก้าอี้อย่างหมดแรง

...ไม่ว่าจะทำวิธีไหน ก็ไม่มีใครยอมบอกผมว่าปราณันต์อยู่ไหน

ผมกำมือแน่นพร้อมกับทุบลงบนหน้าอกของตัวเองแรงๆ เพราะหวังว่ามันจะบรรเทาอาการเจ็บในหัวใจลงได้บ้าง แต่ไม่เลย มันไม่หายลงไปสักนิดเลย มันมีแต่เจ็บมากขึ้น มากขึ้น ผมได้แต่พิงศีรษะลงบนพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมกับที่น้ำใสไหลออกมาจากตาที่ปิดแน่นของผมช้าๆ

ผมเพิ่งรู้ เพิ่งเข้าใจเวลาที่ผมทำให้ปราณันต์ร้องไห้... มันเจ็บแบบนี้นี่เอง

.

.

.

หลังจากแน่ชัดแล้วว่ายังไงเพื่อนสนิททั้งสามของปราณันต์ก็ไม่มีทางบอกผม ว่าปราณันต์อยู่ที่ไหน ผมก็เลยให้แทนคุณออกตามหาปราณันต์เต็มที่ ผมจ้างนักสืบเอกชนที่ดีที่สุด เก่งที่สุด มาตามหาปราณันต์และฝาแฝดทั้งสอง จนทั่ทั่วกรุงเทพฯ ลามไปยันจังหวัดใกล้ๆ หรือแม้กระทั่งจังหวัดทะเลแบบที่ปราณันต์ชอบอย่างประจวบฯ ผมก็ให้คนไปตามหา แต่ก็คว้าน้ำเหลว เพราะไร้วี่แววของทั้งสามพี่น้องโดยสิ้นเชิง

ทุกครั้งที่ผมได้รับรายงานว่ายังหาปราณันต์ไม่เจอ หัวใจของผมก็ดูเหมือนจะหดเล็กลงทุกที ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลุมดำที่เกิดขึ้นตรงกลางใจดูดกลืนความสุขให้หายไปช้าๆ ผมอยู่อย่างทุกข์ทรมาน และเอาแต่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง จนแทบจะลืมวันลืมคืน เพียงเพื่อหวังให้ความฟุ้งซ่านในใจมันเบาบางลงบ้างก็ยังดี

.

.

.

ผ่านไปเป็นวัน จนเป็นอาทิตย์ จนจะเข้าเดือน ผมก็ยังคงตามหาปราณันต์ไม่เจอ จากคนรูปร่างสูงใหญ่ที่มองยังไงก็ดูสุขภาพดี กลับผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ผมกินได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนใหญ่ถ้าแทนคุณไม่มาบังคับหรือยืนกดดันให้กินน ผมก็ไม่ค่อยกิน ความอยากอาหารของผมลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกวัน และที่ยิ่งไปกว่านั้นหน้าตาที่เคยหล่อเหลาภูมิฐานก็กลับเศร้าสร้อย และดูเหน็ดเหนื่อย เพราะอาการนอนไม่ค่อยหลับที่ผมกำลังเผชิญมันอยู่ในทุกๆ คืน

กลางคืนเป็นช่วงที่ทรมานมากสำหรับผม เพราะเป็นเวลาที่ผมต้องอยู่ลำพังคนเดียวในห้องที่มีแต่ร่องรอยความทรงจำของเราสองคน นั่นทำให้ผมยิ่งคิดถึงปราณันต์จนแทบบ้า ผมเคยคิดว่าถ้าเวลาผ่านไป ความคิดถึงและห่วงหาที่มีต่อปราณันต์จะลดน้อยลง แต่ไม่เลย มันไม่เป็นแบบนั้นเลย ผมกลับยิ่งคิดถึงคนตัวเล็กที่มีรอยยิ้มสดใสนั่นมากขึ้นทุกวัน คิดถึงปุณณกันต์กับปัณณธรที่ทำให้คนยิ้มยากอย่างผมยิ้มได้อย่างง่ายดายเมื่อเห็นพวกแก ผมคิดถึงทุกอย่างระหว่างเราสี่คน เพราะฉะนั้นมันเลยยากเหลือเกินที่จะข่มตานอนให้หลับได้ในเวลากลางคืน

บางคืนผมนอนจ้องหมอนที่ปราณันต์ใช้หนุนจนถึงเช้า ผมเห็นแต่ภาพลูกแมวของผมนอนคุดคู้อยู่ข้างกายหลับตาพริ้มเหมือนเด็กน้อยที่รอให้ผมโอบกอด ผมคิดถึงทุกอย่างในตัวปราณันต์ มันเหมือนทุกภาพ ทุกอิริยาบถติดอยู่ในความทรงจำของผม และผมไม่สามารถลบมันออกไปได้แม้แต่วินาทีเดียว

มีอยู่แค่สองอย่างเท่านั้นที่พอจะทำให้ผมเลิกฟุ้งซ่านได้บ้าง นั่นคืองานและแอลกอฮอล์ ถ้าวันไหนที่ดื่มไม่ได้ ผมก็จะทำงานอย่างหนัก โหมทำจนเหมือนกับว่าบริษัทจะล่มจมถ้าผมหยุดพักสักสองหรือสามชั่วโมง บางวันผมทำงานจนถึงดึกและเกือบล่วงเข้าอีกวัน จนแทนคุณต้องมาขอร้อง ขอให้ผมพักผ่อนบ้างนั่นแหละ ผมถึงได้รู้ตัวและยอมหยุด แล้วที่หยุดทำก็ไม่ใช่เพราะว่าอยากหยุด แต่ที่หยุดก็เพราะแทนคุณยืนยันว่าจะอยู่กับผม จนกว่าผมจะยอมกลับบ้าน นั่นเลยทำให้ผมยอมแพ้และทำตามที่แทนคุณขอร้องในที่สุด


... ไม่น่าเชื่อเลยว่าปราณันต์จะมีอิทธิพลต่อผมมากขนาดนี้


จากคนที่เย็นชา จากคนที่เห็นแก่ตัว จากคนที่มีกำแพงในใจสูงลิบลิ่ว จากคนที่ไม่เคยรู้จักแม้แต่ความรัก ปราณันต์สอนให้ผมรู้จักทุกอย่าง ความอ่อนโยนของเด็กคนนั้นละลายหัวใจที่เย็นชาของผมให้อบอุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมเรียนรู้ที่จะรักและถูกรัก แม้มันจะสายเกินไป แต่อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าผมรักใครเป็น

.

.

.

Rrrrr


ผมเหลือบมองโทรศัพท์ที่กำลังแผดเสียงร้องและสั่นอย่างบ้าคลั่งด้วยสายตาตื่นเต้น เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาปรากฎอยู่บนหน้าจอ

“ไอ้สิบ! ได้ข่าวหรือเบาะแสอะไรบางอย่างของคุณปราณแล้วใช่ไหม”

ผมถามอย่างคาดหวัง ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย แค่นี้ผมก็พอจะเดาคำตอบได้ไม่ยาก

(คราม กูพยายามเต็มที่แล้วนะ แต่คุณปราณเหมือนหายไปเฉยๆ ... ฉันให้คนไปค้นหาตามจังหวัดใหญ่ๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววเลย ไม่เข้าใจว่าเป็นแบบนี้ได้ยังไง)

เพื่อนสนิทผมบ่นยาวเหยียด แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมกับสิปปกรจะทะเลาะกัน แต่พอปราณันต์ปฏิเสธมันไปอย่างจริงจัง สิปปกรก็นักเลงพอที่จะยอมปล่อยปราณันต์ไป

และยิ่งพอหลังจากปราณันต์หนีผมไป สิปปกรก็อาสาช่วยผมตามหาลูกแมวตัวน้อยของผมเต็มที่ ตัวผมเองก็ให้แทนคุณตามหาปราณันต์อีกทางเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่สิปปกรบอกนั่นแหละ ปราณันต์เหมือนจู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ ถ้าพลิกแผ่นดินตามหาได้ ผมก็คงทำไปแล้ว เพราะที่ทำอยู่ทุกวันนี้ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงไม่น้อย

“กูขอบใจมึงมาก แค่นี้มึงก็ช่วยกูมากแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่กูเองเถอะ ยังไงกูก็ต้องตามหาหัวใจตัวเองให้เจอจนได้แหละ”

ผมพูดอย่างมุ่งมั่น แม้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ผมก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

“ว่าแต่เรื่องคดีไปถึงไหนแล้ว” ผมถามเรื่องรื้อคดีต่อ เห็นสิปปกรบอกว่ากำลังรวบรวมหลักฐาน เพราะทนายนี่สิปปกรก็เป็นคนหามาให้ ผมเลยวางใจให้สิปปกรช่วยดูแลเรื่องนี้ แทนคุณจะได้ลงไปตามหาปราณันต์เต็มตัว และจะได้ไม่ต้องมาพะวงกับเรื่องคดีอีก

(ตอนนี้กำลังจะยื่นฟ้องแล้ว นี่ทางพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นก็ขัดแข้งขัดขากูน่าดู กะว่าจะไม่ให้กูยื่นฟ้องได้ง่ายๆ แน่)

“ลำบากนายหน่อยนะ แต่กูก็ไว้ใจก็แค่มึงนี่แหละ”

(ฮ่าๆ) สิปปกรหัวเราะหลังพูดจบ ผมแปลกใจหน่อยๆ ว่ามีอะไรน่าขำตรงไหน (ไม่น่าเชื่อว่ากูจะได้เห็นมึงโหมดนี้ว่ะคราม นี่ต้องขอบคุณปราณใช่ไหมวะเนี่ย)

ผมอมยิ้มบางๆ หลังจากได้ยินประโยคนั้นของเพื่อนสนิท นี่ถือเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายวันนี้เลยก็ว่าได้

“เออ กูจะรีบหาคุณปราณให้เจอ มึงจะได้รีบไปขอบคุณ”

สิปปกรหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนไปถามเรื่องพรวลัย ซึ่งอีกเรื่องที่ผมยังกังวลใจไม่น้อย

(นี่ก็ผ่านไปเป็นเดือนแล้วนะคราม ทางวลัยยังไม่แถลงข่าวเรื่องถอนหมั้นเลย ตกลงมึงจะเอาไงต่อไปวะ)

ผมถอนหายใจก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่สบายใจเหมือนกัน

“ตอนแรกกูก็คิดไว้ว่าถ้าทางนั้นไม่แถลง กูจะแถลงเอง แต่แม่กับพ่อไม่อยากให้หักหาญน้ำใจกันมากเกินไป ยังไงคุณลุงกับพ่อก็เคยสนิทสนมกันมาก่อน ตอนนี้ก็คงต้องรอไปเรื่อยๆ อ่ะ ดูท่าทีทางนั้นไปก่อน”

ผมตอบ เพราะผมเคยบอกไว้แล้วว่าจะให้เวลาพรวลัยแค่สามวัน หลังจากที่ผมขอเธอถอนหมั้นไป ผมอยากให้เธอแถลงข่าวจบความสัมพันธ์ของเราสองคนซะ ไอ้ตัวผมเนี่ยเป็นผู้ชายถ้าให้ออกมาพูดก่อนคงน่าเกลียด ผมเลยอยากให้เกียรติเธอ เพราะอย่างน้อยเธอก็เป็นผู้ญิง เธอจะพูดถึงสาเหตุของการถอนหมั้นครั้งนี้ยังไงก็ได้ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรตรงนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอยังคงไม่ยอมแถลงข่าวเรื่องที่เราเลิกกันแล้วเสียที เอาแต่ลากเลื้อยและดึงเวลา ไม่ยอมทำให้มันเด็ดขาด

(กูเห็นใจมึงนะ ทุกอย่างมันดูอิรุงตุงนังไปหมดเลยว่ะ) สิปปกรพูดเหนื่อยๆ ขนาดมันยังเหนื่อยแล้วผมจะเหลืออะไร

(ว่าแต่เรื่องคดี คือถ้าเรายื่นฟ้อง กูรับรองได้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้กับพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นต้องไม่เหลือแน่ นี่มันยิ่งกว่าเรื่องถอนหมั้นอีก ซึ่งกูไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อมึงถึงไม่ห้ามเรื่องนี้มากกว่าวะ)

สิปปกรถาม ก่อนหน้านี้แทนคุณก็สงสัยแบบนี้นี่แหละ ผมเลยตอบออกตรงๆ ตามความจริง

“ก็เพราะเรื่องถอนหมั้นกูเป็นคนผิดไง แต่เรื่องคดีของคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณปราณ มันคนละเรื่องกัน พ่อกูอกว่าถ้าวลัยผิดจริง ก็ต้องว่ากันไปตามผิด และเธอก็ต้องรับโทษในสิ่งที่เธอทำ”

(โห พ่อครับของกู! ... โคตรเท่เลยว่ะ) สิปปกรเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงทึ่งนิดๆ

เอาจริงผมก็แอบภูมิใจในตัวพ่อหน่อยๆ ความคิดของท่านทำให้ผมแปลกใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็แหงล่ะ นี่ท่านประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้เชียว ครั้นจะให้ธรรมดา พ่อผมจะประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง

และในขณะที่ผมกำลังคุยโทรศัพท์กับสิปปกรอยู่นั้น เสียงเคาะประตูถี่รัวก็ดังขึ้น ราวกับว่าคนที่อยู่หน้าห้องกำลังร้อนอกร้อนใจและอยากเจอผมเป็นอย่างมาก


ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

หัวใจผมกระตุก หรือว่าจะเป็นเรื่องของปราณันต์

“แค่นี้ก่อนนะสิบ ไว้ค่อยว่ากัน” ผมพูดแค่นั้นแล้วก็ตัดสายทันที ก่อนที่จะเอ่ยอนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามา

“เข้ามาได้”

แทนคุณกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง ผมหลงดีใจเพราะคิดว่าเขามีเบาะแสเรื่องปราณันต์แล้ว แต่แทนคุณกลับพูดสวนออกมาก่อนที่ผมจะได้ถามออกไปเสียอีก

“บอสครับ ตอนนี้ตัวแทนของพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นกำลังแถลงข่าวเรื่องถอนหมั้นอยู่ครับ”

ผมตกใจนิดหน่อยตอนได้ยินแทนคุณบอกแบบนั้น แต่ก็รีบกดเปิดทีวีช่องที่มีการแถลงข่าวด้วยความรวดเร็ว


‘ขอบคุณนักข่าวทุกท่าน และสื่อทุกสำนักที่มาในวันนี้มานะคะ ดิฉันพนิดาตัวแทนของพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่น ขอแถลงข่าวเรื่องการยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างคุณคามินและคุณพรวลัยค่ะ เหตุผลของการเลิกรากันของคนทั้งคู่เป็นเรื่องส่วนตัวนะคะ ทางเราไม่ขอพูดถึง แต่จะขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นและเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันต่อไปอีก จากนี้ไปก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต และถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกเหนือจากนี้ ทางเราจะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกครั้ง สำหรับวันนี้ขอบคุณทุกท่านมากๆ ค่ะ’


พีแอนด์วีเตรียมตัวมาแล้วว่าจะรับมือยังไงกับเรื่องนี้ การแถลงข่าวเป็นไปอย่างสั้น กระชับ และค่อนข้างกำกวม โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้นักข่าวถามอะไรทั้งสิ้น ซึ่งแบบนี้เท่ากับว่าถ้านักข่าวอยากขุดคุ้ยหรืออยากสัมภาษณ์ คู่กรณีของพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นหรือก็คือผม คือเหยื่ออันโอชะที่ทางนั้นหย่อนไว้ให้นักข่าวไล่ล่าเล่น


...ฉลาด


แต่ดูเหมือนว่าทางนั้นจะฉลาดได้มากกว่าที่ผมคิดเสียอีก เมื่อมีคำถามแว่วมาเกี่ยวกับเรื่องมือที่สาม ซึ่งเลขาฯ คนสนิทก็รีบฉวยโอกาสนั้นไว้ เพื่อตอกย้ำถึงความไม่ชัดเจนของการถอนหมั้นระหว่างผมกับพรวลัยอีกระลอก


‘คุณวลัยไม่ได้มีใครค่ะ เธอรักและมั่นคงกับคุณคามินมาตลอด แต่กับอีกฝ่ายทางเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อันนี้พวกคุณคงต้องไปถามทางนั้นเอาเอง’


พนิดาจบการแถลงข่าวเพียงเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ฉลาดมากในการตอบ พีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นไม่พูดให้ร้ายผมชัดเจนเกินไป แต่กลับให้คนคิดและตีความเอาเองถึงเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ได้พูดออกมา ซึ่งแน่นอนว่าการที่ทางนั้นพูดแบบนี้ย่อมหมายความว่าผมมีโอกาสที่จะมีคนอื่น และเป็นฝ่ายทิ้งพรวลัยก่อนมีสูงมาก

แล้วทีนี้คนที่นักข่าวจะหันมารุมทึ้งก็คือผมแทน

แต่ก็เอาเถอะผมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ขอเพียงให้ผมกับพรวลัยตัดขาดกันได้ก็พอ ทีนี้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกต่อไป

.

.

.

และก็เป็นไปตามคาดนักข่าวมาดักรอผมถึงหน้าออฟฟิศทุกวัน ทุกคนรุมถามจะเอาคำตอบจากผมให้ได้ แต่ผมเลือกที่จะเฉยและไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดที่ผมพูดมีแค่เพียง


‘ตามที่ทางพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นให้สัมภาษณ์เลยครับ ผมขอตัวก่อน’


จากนั้นผมก็เดินตรงดิ่งไปขึ้นรถโดยมีแทนคุณคอยกันนักข่าว ไม่ให้มาเข้าใกล้ หรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผมจนเกินไปนัก

ซึ่งพอหลังจากผ่านอะไรน่าปวดหัวมามากมาย ผมก็เลือกที่จะตรงกลับคอนโดทันที อยากอาบน้ำอาบท่าแล้วก็พักผ่อนจะแย่ แต่เมื่อกลับถึงห้องแล้วเปิดทีวีดูก็พบว่ามีแต่ข่าวผมกับพรวลัยเต็มไปหมดจนน่าปวดหัวมากกว่าเดิม

แน่นอนว่าเรื่องที่ผมกับวลัยถอนหมั้นกันจะต้องกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนจับตามอง ไม่ใช่แค่นักธุรกิจในกรุงเทพฯ แต่รวมถึงนักธุรกิจในหลายๆ จังหวัดด้วย เพราะทั้งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้และพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นถือเป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังเหมารวมถึงในประเทศทั้งหมดทั้งหมด

ดังนั้น ข่าวของผมและพรวลัยจึงแพร่กระจายไปทั่วประเทศ ก็แหงล่ะ ยักษ์ใหญ่สองบริษัทที่เคยจับมือปรองดองกัน จู่ๆ ก็หันหลังให้กันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ใครจะไม่สงสัยบ้างว่าเป็นเพราะเหตุอะไร แล้วมันจะกระทบอะไรในวงกว้างหรือเปล่า นั่นจึงไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะจับตามองข่าวนี้เป็นพิเศษ

ผมคิดพลางปิดทีวีอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปชำระร่างกายและหวังว่ามันจะทำให้จิตใจและหัวสมองของผมปลอดโปร่งขึ้นด้วย

หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็มานั่งจมจ่อมเงียบๆ และนั่นก็ทำให้อาการเดิมๆ ของผมกำเริบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้อีกครั้ง เมื่อผมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ... ผมคิดถึงปราณันต์อีกแล้ว

ผมหยิบกรอบรูปที่มีรูปฝาแฝดและปราณันต์ถ่ายด้วยกัน ขึ้นมาดูอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ เพราะแต่ตั้งแต่ทั้งสามจากผมไป สิ่งที่ผมทำเป็นล้านๆ ครั้งคือการดูรูปที่อยู่ในกรอบรูปนี้

รูปที่ผมเป็นคนถ่ายเองกับมือ รอยยิ้มสว่างสดใสของคนทั้งสามในภาพ ทำเอาผมที่เห็นแล้วอดยิ้มตามด้วยไม่ได้


คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงจริงๆ ...


และในขณะที่หัวตาของผมกำลังร้อนผ่าว เพราะน้ำตาทำท่าจะไหลออกมาอีกรอบ จู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่ผมโยนไว้บนโซฟาก็ดังขึ้น ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมาดูอย่างขี้เกียจ ก่อนจะเห็นว่าเบอร์โทรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้น เป็นเบอร์ที่ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด หนำซ้ำยังมีรหัสจังหวัดแปลกๆ อีกต่างหาก

ดูเหมือนว่าจะเบอร์ที่ใช้โทรมา จะโทรมาจากต่าจังหวัดที่ไม่ใช่ในกรุงเทพฯ ผมโยนโทรศัพท์กลับลงไปบนโซฟาอีกครั้ง และคิดอย่างไม่ใส่ใจว่าจะไม่รับสาย เพราะปกติผมก็ไม่ได้รับเบอร์แปลกๆ อยู่แล้ว

แต่แล้วจู่ๆ ผมก็เกิดเปลี่ยนใจ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะกดรับสายและกรอกเสียงลงไปด้วยความระมัดระวัง เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นนักข่าวที่โทรเข้ามาเพื่อมาสัมภาษณ์ผมถึงเหตุการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในตอนนี้

แต่เมื่อผมได้ยินเสียงจากปลายสาย เข่าผมก็แทบอ่อนมือผมก็แทบไร้เรี่ยวแรง เพราะน้ำเสียงสดใสที่ผมได้ยินนั้นเป็นเสียงที่ผมคิดถึง และคุ้นเคยเป็นอย่างดี


(ฮัลโหลๆ พี่ครามครับพี่คราม... พี่ครามรับรึยังอ่ะพี่ปุณณ์ ขอปัณณ์ฟังบ้าง พี่ครามๆ ฮัลโหลลลล)


เสียงที่ผมคิดถึงมานานนับเดือน เสียงของเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่สร้างรอยยิ้ม ความสุข และเสียงหัวเราะให้ผมเสมอ เพียงแค่ผมได้ยิน


(พี่ครามๆ ได้ยินไหมครับ ได้ยินปุณณ์กับปัณณ์ไหมครับพี่คราม ฮัลโหลๆ ... ปัณณ์ นี่ใช่เบอร์พี่ครามแน่นะ... ใช่สิพี่ปุณณ์ พี่ครามเคยใส่ไว้ให้ในกระเป๋า)


“ปุณณกันต์... ปัณณธร นั่นหนูสองคนใช่ไหม”


ผมถามเสียงสั่นอย่างคาดหวัง กลัวว่าสิ่งที่ได้ยินและเผชิญอยู่เป็นแค่ความฝัน กลัวเหลือเกินว่าถ้าผมกะพริบตาหรือทำอะไรมากกว่านี้ แล้วผมจะตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับความจริงว่า มันไม่ใช่เรื่องจริงทุกสิ่งฝันก็แค่คิดไปเอง


(เย่ๆ พี่ครามรับแล้วปัณณ์... ใช่ครับพี่คราม นี่ปุณณ์กับปัณณ์เองครับ พี่ครามได้ยินเราสองคนใช่ไหม)


ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อเสียงของปลายสายตอบกลับมาอย่างยินดี


...ใช่แล้ว เสียงของปุณณกันต์และปัณณธร น้องชายฝาแฝดของปราณันต์ คนที่ผมตามหาและคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ....

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------------------------------------------

ตอนนี้สั้นหน่อยนะคะ แบบอยากตัดจบแค่ตรงนี้ 555555555555555555555555 และเรื่องนี้พระเอกคือฝาแฝดนะคะ อินังครามคือไม่ได้เรื่อง 5555555555555555555555555555555555555555

แต่ว่าเจอแล้วก็ใช่ว่าจะจบเนาะ มันก็ต้องพิสูจน์ตัวเองหน่อยมั้ยคะคุณพรี่ อิอิ

ชอบไม่ชอบคอมเม้นบอกกันได้นะคะ เรารออ่านฟีดแบคจากทุกคนอยู่น้าา อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วแหละ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่คอยให้กำลังใจกันมาโดยเสมอและตลอด ขอบคุณจริงๆ เลยนะคะ ^^

เจอกันใหม่ตอนหน้าค่าา จะพยายามมาลงให้เร็วๆ งับบบ .. รักทุกคนน๊าาา
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-04-2021 23:29:30
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-04-2021 03:40:51
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-04-2021 09:56:38
 :pig4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-04-2021 10:37:53
55555 เจ้าเด็กแฝดน่ารักอ่ะ แหมมมคามินทุรนทุรายไปแค่สองตอนเอง เก่งนักก็ตามให้เจอเองละ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ตรูเองก็เริ่มใจอ่อนละ สงสารคนเมียทิ้ง 5555 กว่าจะรู้ตัวนะ ต้องเจอของจริงซะบ้าง ขอบคุณที่มาต่อให้ได้อ่านนะคะ อัพสม่ำเสมอดี น่ารักมาก  :L2: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 06-04-2021 18:36:26
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-04-2021 20:32:58
ไอตัวแสบ มาโปรดอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 08-04-2021 10:35:03
โอ้ยยว แฝดลู๊กกกกกกกก ทำไมน่ารักกันอย่างนี้ละหื้อออ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก... 05/04/64 [30th Lies: ความหวัง]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 11-04-2021 14:15:59
2 แฝด เก่งจังเลย
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 13-04-2021 20:50:49
31st Lies : หากได้พบคุณอีกครั้ง


เชียงใหม่ ประเทศไทย

ปราณันต์กำลังนั่งเคลียร์รายชื่อลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการที่โรงแรมอยู่ในออฟฟิศที่ตนเองทำงานอยู่ โดยมีเสียงโทรทัศน์เปิดคลออยู่ใกล้ๆ และมีฝาแฝดนั่งเล่นอยู่ตรงแถวๆ หน้าทีวี

ปราณันต์เงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมามองเด็กๆ ทั้งสองที่กำลังนั่งเล่นกันอย่างเอ็นดู เขาและน้องๆ ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ได้หนึ่งเดือนแล้ว กับเรื่องงานที่นี่ไม่มีปัญหาเลย เพราะงานสไตล์นี้ปราณันต์เคยทำมาก่อน ซึ่งอันที่จริงเขาก็เคยทำงานมาแล้วทุกแบบนั่นแหละ มันเลยไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ และยิ่งพ่อของกันต์กวีให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีด้วยแล้ว ทุกอย่างเลยยิ่งสะดวก ส่วนเรื่องความเป็นอยู่ที่ปราณันต์เคยกังวลก็ไม่มีอะไร เพราะคนที่นี่น่ารักใจเย็น แถมยังเอื้อเฟื้อพร้อมให้ความช่วยเหลือเขาและน้องๆ ตลอด เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับปราณันต์เลยในการปรับตัว

แต่กับปุณณกันต์และปัณณธรไม่เป็นแบบนั้น

เด็กๆ ดูตื่นที่พอสมควรตั้งแต่ย้ายมา ปุณณกันต์ที่พูดน้อยอยู่แล้วก็กลับยิ่งพูดน้อยยิ่งกว่าเดิม ส่วนปัณณธรเองที่เคยช่างพูดช่างเจรจาก็ช่างพูดน้อยลง วันๆ พวกแกก็มักจะคุยกันเองเสียมากกว่า ซึ่งปัญหาเรื่องวัยคือเรื่องหลักของฝาแฝด เพราะที่โรงแรมนี้แทบไม่มีเด็กเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่มีพนักงานคนไหนกระเตงน้องหรือลูกมาทำงานด้วยเหมือนปราณันต์ สภาพแวดล้อมที่ฝาแฝดเจอส่วนใหญ่ก็เลยเป็นคนทำงานทั้งนั้น ส่วนตัวปราณันต์เองก็งานยุ่งเพราะเป็นช่วงเรียนรู้เลยต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เวลาที่จะได้คุยเล่นกับเด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนจึงน้อยลงตามไปด้วย ครั้นจะให้เขาพาน้องๆ ไปฝากโรงเรียนอนุบาลเหมือนเด็กอื่นๆ ก็ยังหาโรงเรียนไม่ได้เพราะเด็กๆ เข้าตอนกลางเทอม มันเลยค่อนข้างจะยาก ปราณันต์เลยต้องพาฝาแฝดมาทำงานด้วยทุกวัน ซึ่งตัวเด็กๆ เองก็ไม่ได้เป็นเด็กดื้อหรือซนอยู่แล้ว พนักงานส่วนใหญ่เลยให้ความเอ็นดูทั้งนั้น

ปราณันต์เองก็พยายามเฝ้าบอกให้น้องๆ อดทนอีกนิด เขาเชื่อว่าหลังจากที่เพื่อนๆ ช่วยหาโรงเรียนอนุบาลให้ได้แล้ว ปุณณกันต์กับปัณณธรน่าจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ซึ่งเด็กๆ เองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี แต่ดูจากความหงอยเหงาของพวกแกแล้ว ปราณันต์ก็ไม่สบายใจเอาเสียเลย ครั้นจะติดต่อกลับไปหาเพื่อนๆ ที่กรุงเทพก็ไม่กล้า เพราะกลัวคามินจะสืบรู้ และหาเจอว่าเขาหนีมาอยู่ที่นี่

ปราณันต์ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักใจ ยิ่งพอเมื่อเช้าเขาแอบได้ยินปัณณธรพูดเบาๆ ให้ปุณณกันต์ฟัง เขายิ่งปวดใจ ไม่รู้จะช่วยน้องยังไงเลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก


‘ปัณณ์คิดถึงพี่ครามจังเลยพี่ปุณณ์ พี่ปุณณ์คิดถึงไหม?’

‘อื้อ คิดถึงสิ คิดถึงมากเลย ไม่รู้พี่ปราณคิดถึงพี่ครามเหมือนพวกเรารึป่าว’



ปราณันต์หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะตอบน้องๆ ในใจอย่างเจ็บปวด


‘พี่ก็คิดถึงคุณครามเหมือนฝาแฝดเหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ล่ะ ... อดทนหน่อยนะปุณณ์ ปัณณ์’


แต่ปราณันต์กลับทำอะไรมากไปกว่าคิดถึงคามินไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาเป็นเดือนๆ จะสูญเปล่า และฝาแฝดก็จะกลับมาไม่ปลอดภัยอีกครั้ง

ในขณะที่ปราณันต์กำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงทีวีช่องข่าวหลักก็ดังขึ้น ตอนที่นักข่าวพูดถึงหัวข้อข่าว ปราณันต์ก็ไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ แต่พอตัดเข้ารายละเอียดข่าว ปราณันต์จึงเหลือบตาขึ้นมอง ก่อนจะเห็นภาพของคามินและพรวลัยขึ้นคู่กัน โดยมีเสียงแถลงเป็นแบคกราวด์ ซึ่งมีเนื้อหาว่าใจความหลักๆ ว่าทั้งคู่เลิกราและถอนหมั้นกันแล้ว

ปราณันต์ตกใจจนตาที่โตอยู่แล้วแทบจะถลนออกมานอกเบ้าหลังจากได้ยินข่าวนั้น

“ถอนหมั้นงั้นหรอ... คามินคุณทำบ้าอะไรกัน”

คนตัวเล็กพึมพำอย่างหัวเสีย เพราะมั่นใจว่าการถอนหมั้นของคามินและพรวลัยต้องมีเหตุผลบางส่วนมาจากตัวเขาเองแน่ๆ

ปราณันต์จ้องภาพที่จอทีวีตาไม่กะพริบ โดยมีปุณณกันต์กับปัณณธรมองตามสายตาปราณันต์ไปที่จอโทรทัศน์ สลับกับหันมามองพี่ชายตัวเองเป็นระยะๆ

จนกระทั่งภาพในทีวีตัดไปที่นักข่าวกำลังตาม ใช้คำว่ารุมทึ้งสัมภาษณ์คามินอยู่ น่าจะชัดเจนกว่า


‘ตามที่ทางพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นให้สัมภาษณ์เลยครับ ผมขอตัวก่อน’


คามินตอบคำถามนักข่าวอย่างขอไปที คนตัวโตไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจากประโยคที่ปราณันต์เพิ่งได้ยินไป คนตัวเล็กขบฟันตัวเองลงบนริมฝีปากล่างทันที เมื่อได้เห็นหน้าคนที่ตัวเองคิดถึงอยู่ตลอดตั้งแต่จากมา

“เอ๊ะ! นั่นพี่ครามนี่ ... พี่ปุณณ์ดูสิๆ นั่นใช่พี่ครามไหม?” ปัณณธรน้อยพูด พลางเขย่าแขนพี่ชายฝาแฝดอย่างตื่นเต้น

“ใช่ๆ พี่ครามจริงๆ ด้วย” และเสียงของปุณณกันต์เองก็ดูตื่นเต้นไปไม่น้อยกว่าแฝดคนน้องเลย

แต่เสียงของฝาแฝดที่ดังคับห้องก็ไม่สามารถทำให้ปราณันต์ละสายตาจากจอทีวีได้แม้แต่วินาทีเดียว


‘คามิน ทำไมคุณผอมลงแล้วก็ดูเหนื่อยขนาดนั้น ผมขอให้คุณดูแลตัวเองไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ฟังกันบ้าง’


ปราณันต์นึกไปพลาง ปาดน้ำตาออกไปพลาง สภาพของคามินไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิดไว้สักนิด ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองให้ทรุดโทรมได้ขนาดนี้กัน

ปราณันต์คิดอย่างเจ็บปวด พลางน้ำตาไหลไม่เลิก ฝาแฝดมองภาพพี่ชายที่ทำหน้าเศร้าหมองยามมองไปยังคามินที่อยู่ในทีวีอย่างไม่สบายใจ

“พี่ปราณต้องคิดถึงพี่ครามมากๆ แน่เลยเนาะพี่ปุณณ์” เจ้าแฝดคนน้องพูดกับพี่ชายตัวเองเศร้าๆ

“นั่นสิปัณณ์ อยากให้พี่ครามมาหาเราจัง เมื่อไหร่พี่ครามจะว่างนะ” ปุณณกันต์เองก็เช่นกัน เขาแทบจะนับวันรอให้คามินมาหาแทบไม่ไหว แต่ดูเหมือนว่ารอเท่าไหร่ พี่ครามก็ไม่มาเสียที

ที่เด็กๆ คาดหวังว่าคามินจะมาหา นั่นเป็นเพราะเจ้าหนูทั้งสองไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร และเชื่อคำพูดพี่ชายที่บอกว่าคามินจะมาหาทันทีที่ว่างงาน และตอนนี้ที่มาไม่ได้เพราะกำลังยุ่งอยู่ จนหมดสิ้น

“อยากรู้จังว่าพี่ครามจะว่างตอนไหน เราโทรไปถามพี่ครามกันดีไหมพี่ปุณณ์” ปัณณธรน้อยเสนอขึ้นอย่างตื่นเต้น

“แต่เราไม่มีเบอร์นะปัณณ์ จะไปเอาเบอร์พี่ครามมาจากที่ไหน” และพอปุณณกันต์พูดขึ้นมาแบบนั้น สองหนุ่มพี่น้องก็ฝันสลายทันที แต่จู่ๆ เหมือนปัณณธรก็นึกขึ้นได้

“พี่ปุณณ์! ปัณณ์มีเบอร์พี่ครามนะ... ปัณณ์จำได้!”

เจ้าหนูคนน้องวิ่งตึกตักไปที่กระเป๋าเป้ของตัวเองทันที ก่อนจะวิ่งกลับมาหาพี่ชายฝาแฝด พร้อมกับกระดาษโน๊ตเล็กๆ แข็งๆ ในมือ “นี่ไง พี่ครามเคยบอกว่าให้เก็บไว้ เผื่อมีอะไรจะได้โทรหาพี่ครามได้”

ปัณณธรว่า พลางยื่นกระดาษนั้นให้ปุณณกันต์ แต่ปุณณกันต์ก็อ่านไม่ออก เพราะมีแต่ตัวหนังสือเล็กๆ กับตัวเลขเต็มไปหมด เด็กๆ ก็เลยตั้งใจว่าจะไปถามพี่ปราณว่าในนี้เขียนไว้ว่าอะไรบ้าง และเบอร์โทรศัพท์พี่ครามอยู่ตรงไหน

แต่คิดอีกทีว่าถ้าไม่ไปถามน่าจะดีกว่า เพราะถ้าพี่ปราณรู้ คงโดนห้ามไม่ให้โทรหาพี่ครามแน่ๆ เด็กๆ เลยเก็บกระดาษที่คามินให้ไว้อย่างมิดชิด กะว่าเดี๋ยวถ้าพี่ปราณออกไปข้างนอก จะขอให้พี่พนักงานคนอื่นช่วยโทรให้ ยังไงวันนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรต้องคุยกับพี่ครามให้ได้

และแล้วโอกาสก็เป็นของเจ้าหนูทั้งคู่ เมื่อจู่ๆ ปราณันต์ต้องออกไปข้างนอกออฟฟิศ และต้องทิ้งเด็กๆ ไว้ลำพัง

“ปุณณ์ ปัณณ์ อยู่ที่นี่ก่อนนะ พี่ปราณจะเอารายชื่อลูกค้าไปให้คุณลุงก่อน อย่าดื้อ อย่าซนล่ะ เดี๋ยวพี่กลับมา”

“ครับ/ครับ” เจ้าหนูทั้งสองรับคำอย่างดี ก่อนจะมองหน้ากันอย่างรู้ใจ

และเมื่อปราณันต์เดินออกไปจากห้อง ฝาแฝดก็ชะเง้อมองหาคนที่จะมาเป็นฮีโร่ให้พวกตนอย่างใจจดใจจ่อ และในที่สุดก็มีพี่พนักงานผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาจนได้

“อ่าวปุณณ์ ปัณณ์ ยังไม่กลับกันอีกหรอ แล้วนี่พี่ปราณไปไหนซะล่ะ” พี่คนนั้นเอ่ยทัก พลางเก็บของลงกระเป๋าเตรียมตัวจะกลับบ้าน

“พี่ปราณไปหาคุณลุงครับ” ปุณณกันต์ตอบ ก่อนที่ปัณณธรจะเข้าประชิดตัวฮีโร่ของพวกตนทันที

“พี่ค้าบ พี่ช่วยปัณณ์กับพี่ปุณณ์หน่อยได้ไหมครับ” ปัณณธรกล่าวอ้อน พลางทำตาปริบๆ ทำเอาพนักงานสาวหลงเสน่ห์และท่าทางน่ารักๆ นั่นทันที เธอตกปากรับคำว่าจะทำสิ่งที่ฝาแฝดขอให้อย่างไม่เกี่ยงงอน

“เอาสิจ๊ะ ปัณณ์อยากให้พี่ทำอะไร หื้ม?” เธอถามพลางยื่นมือไปลูบศีรษะเจ้าเด็กรู้มากอย่างเอ็นดู

“นี่ครับ” ปุณณกันต์ยื่นกระดาษที่คามินให้ไว้ ให้กับผู้หญิงคนนั้น “เราสองคนอยากโทรหาพี่ครามครับ เบอร์อยู่ในนี้ แต่เราอ่านไม่ออก แล้วก็กดเลขไม่เป็น”

พนักงานหญิงคนนั้นยิ้มอย่างเอ็นดูพลางตอบ “โถ่ นึกว่าเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้เอง ว่าแต่พี่ครามของพวกหนูนี่ คือคุณคามินใช่ไหม”

เธอถามพลางอ่านทวนนามบัตร หรือกระดาษที่พวกเด็กๆ พูดถึง ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของเธอเอง

“ใช่ครับๆ พี่ครามชื่อนี้เลย”

พอได้รับการยืนยันแบบนั้น เธอก็จัดการต่อสายให้เด็กๆ ทันที และในระหว่างรอสาย เธอก็เหลือบมองนาฬิกาก่อนจะเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว เลยจัดการฝากฝังและพูดจากับฝาแฝดให้เข้าใจ

“เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว ปุณณ์กับปัณณ์รอสายจนกว่าฝั่งนู้นจะรับนะครับ แล้วถ้าคุยเสร็จเรียบร้อยก็วางสายซะนะ อีกสักพักพี่ปราณคงจะกลับมา”

“ครับ ขอบคุณพี่มากนะครับ” ปุณณกันต์เอ่ยขอบคุณพร้อมกับยกมือไหว้ให้อย่างน่ารัก ทั้งๆ ที่มือก็ถือหูโทรศัพท์แนบอยู่กับหูตัวเอง พนักงานสาวจึงยิ้มให้เด็กๆ ทั้งสองก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้เด็กๆ รอสายอย่างใจจดใจจ่อ

เจ้าหนูทั้งสองรอสายอยู่นานจนท้อ และในขณะที่กำลังจะถอดใจนั้นก็ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะกดรับสายขึ้นมาพอดี

ด้วยความดีใจปุณณกันต์ก็กรอกเสียงลงไปไม่หยุด

“ฮัลโหลๆ พี่ครามครับพี่คราม”

โดยมีเสียงปัณณธรพูดแทรกเข้าไปไม่หยุด เมื่อเห็นปฏิกริยาของพี่ชายตัวเอง “พี่ครามรับรึยังอ่ะพี่ปุณณ์ ขอปัณณ์ฟังบ้าง”

เมื่อเห็นอีกฝั่งเงียบ เจ้าหนูทั้งสองก็พูดย้ำใส่สายโทรศัพท์ไม่ยั้ง

“พี่ครามๆ พี่ครามได้ยินไหมครับ ได้ยินปุณณ์กับปัณณ์ไหมครับพี่คราม ฮัลโหลๆ”

(ปุณณ์... ปัณณ์ นั่นหนูสองคนใช่ไหม)

และในที่สุดคามินก็ตอบรับเด็กๆ ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าราวกับไม่แน่ใจ

“เย่ๆ พี่ครามรับแล้วปัณณ์” ปุณณกันต์หันไปพูดกับน้อง ก่อนจะหันกลับมาตอบคามินอีกครั้ง “ใช่ครับพี่คราม นี่ปุณณ์กับปัณณ์เองครับ”

เสียงสดใสของเด็กฝาแฝดที่แสดงความดีใจตอนได้ยินเสียงคามิน ทำเอาคนอีกฝั่งยิ้มกว้างทั้งน้ำตา จนไม่น่าเชื่อว่ารอยยิ้มที่เห็นนี้จะเป็นรอยยิ้มของคนที่เคยมีหัวใจเย็นชามาก่อน

(ครับๆ พี่ครามได้ยินหนูสองคนแล้ว แล้วนี่ยังไง ทำไมถึงโทรหาพี่ครามได้ล่ะครับ)

คามินไถ่ถามยกใหญ่ และอดแปลกใจไม่ได้ว่าปุณณกันต์กับปัณณธรโทรมาเขาได้ยังไง และเขาเองก็มั่นใจว่า ปราณันต์ต้องไม่รู้เรื่องนี้แน่ๆ ซึ่งก็เป็นปัณณธรเองที่เฉลยให้คามินฟังอย่างภาคภูมิใจ

“เราสองคนก็เห็นพี่ครามในทีวี ทีนี้ปัณณ์เองก็จำได้ว่าพี่ครามเคยเอาเบอร์โทรใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ให้ปัณณ์ ปัณณ์ก็เลยเอาเบอร์ให้พี่สาว ให้พี่สาวกดโทรออกหาพี่ครามให้ครับ”

เจ้าตัวน้อยคนน้องผลัดร่ายยาว จากนั้นก็มีเสียงคนพี่แซงเข้ามาบ้างแต่ไม่บ่อย เพราะปุณณกันต์ไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว เสียงเด็กทั้งสองดังแทรกเข้าไปในโทรศัพท์จ้าละหวั่น ทำเอาปลายสายยิ้มกว้างไม่หยุด คามินคิดถึงฝาแฝดมากเหลือเกิน มากจนเขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่า แค่ได้ยินเสียงลมหายใจของเด็กทั้งสองดังแว่วมาตามสาย เขาก็ดีใจจนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ไม่สิ... คามินไม่ได้ต้องการแค่ฝาแฝด เขาต้องการปราณันต์ คนพี่ของเจ้าหนูทั้งสองด้วย พอคิดได้ดังนั้นก็ตั้งสติรีบตั้งคำถามกับเด็กๆ เพราะกลัวว่าจะมีอะไรมาขัดเสียก่อน

(ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ฟังพี่ครามก่อน) พอได้ยินคามินพูดแบบนั้น ฝาแฝดก็เงียบกริบ ตั้งใจฟังอีกฝ่ายที่อยู่คนละจังหวัดพูดทันที (พวกหนูคิดถึงพี่ครามใช่ไหม ปุณณ์กับปัณ์อยากเจอพี่ครามรึป่าวครับ)

และก็โดยไม่รอช้า เจ้าหนูทั้งสองประสานเสียงตอบทันที

“คิดถึงครับ/คิดถึงครับ”

“ปุณณ์คิดถึงพี่ครามมากเลย แต่พี่ปราณบอกว่าพี่ครามไม่ว่าง ทำงานยุ่งมากๆ ครับ”

“ใช่ๆ เรารอพี่ครามทุกวันเลย ปัณณ์เหงา ไม่มีเพื่อนเล่น มีแต่พี่ปุณณ์คนเดียว แล้วบางทีก็มีคนพูดภาษาแปลกๆ ด้วย เราสองคนฟังไม่เข้าใจเลยพี่คราม”

เด็กๆ พูดเสียงเศร้า ทำเอาคามินหดหู่ไปด้วย สงสัยปราณันต์จะบอกน้องว่าเขายุ่งเลยไปหาไม่ได้ ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นสักนิด ซึ่งก็พอเข้าใจได้อยู่ว่าปราณันต์คงไม่อยากให้เด็กๆ เสียใจ คามินคิดนั่นคิดนี่อย่างร้อนใจ ถ้าเขาถามเจ้าตัวน้อยทั้งคู่ไป เด็กๆ จะตอบถูกไหมว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน แต่จู่ๆ คนตัวโตก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ จากประโยคที่ปัณณธรพูดได้

(ปัณณ์ครับ เมื่อกี้ปัณณ์บอกว่ามีคนพูดภาษาแปลกๆ หรอครับ) คามินคิดอย่างใจชื้น เขาพอจะเดาอะไรออกบ้างแล้ว

“ใช่ครับ บางทีปัณณ์ก็ฟังรู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง” เด็กน้อยบ่นอุบ ก่อนที่คามินจะถามต่อ

(ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตอนนี้พวกหนูอยู่ที่ไหนพอจะบอกพี่ครามได้ไหม พี่ครามจะรีบไปหาทันทีเลย)

เด็กทั้งสองอึกอัก ไม่รู้จะตอบคามินยังไง เพราะวันๆ ฝาแฝดก็ขลุกอยู่แต่ในออฟฟิศพี่ปราณทั้งวัน อพาร์ทเม้นท์ที่พัก พี่ปราณก็พาลัดเลาะเดินไปทางหลังโรงแรมไม่ไกลก็ถึง ปุณณกันต์กับปัณณธรเลยยังไม่เคยได้เห็นอะไรเท่าไหร่เลย จะบอกให้พี่ครามเข้าใจได้ยังไงก็พูดไม่ถูก

“เฮ้อ ปุณณ์ก็อยากบอกนะ แต่พูดไม่ถูกเลยครับพี่คราม เพราะตั้งแต่มาจากบ้านหลังใหญ่ของพี่คราม พี่ปราณก็ให้อยู่ที่โรงแรมตลอด ไม่ได้พาปุณณ์กับปัณณ์ไปไหนเลย” ปุณณกันต์พูดอย่างจนปัญญา แต่ประโยคต่อมาของปัณณธรนี่สิ ที่ทำเอาคามินลิงโลดไม่น้อย

“ใช่ครับ พี่ปราณพาพี่ปุณณ์กับปัณณ์นั่งเครื่องบินมาด้วยแหละครับ ตอนนั้นตื่นเต้นมากเลย แต่ตอนนี้อยากกลับแล้วเพราะคิดถึงพี่ครามมากๆ”

คามินยิ้มออกมาอย่างยินดี ในที่สุดเขาก็รู้จนได้ว่าปราณันต์หนีเขาโดยทางไหน มิน่าล่ะ เขากับสิปปกรแทบจะพลิกแผ่นดินกรุงเทพหาก็หาไม่เจอ นั่นเป็นเพราะปราณันต์ไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพหรือจังหวัดใกล้ๆ นั่นเอง ยอมรับตามตรงว่าคามินแทบจะไม่เฉลียวใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่คิดว่าปราณันต์จะใจกล้าพาน้องไปไกลขนาดนั้น

แล้วคำถามต่อมาคือปราณันต์หนีไปจังหวัดไหนล่ะ ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ปัญหามากพอเท่ากับอีกคำถามที่ว่า ถ้าคามินรู้จังหวัดที่ปราณันต์ไปแล้ว เขาจะตามหาปราณันต์กับเด็กๆ เจอได้ยังไงในเมื่อมันไม่ได้แคบเหมือนเดินวนอยู่ในออฟฟิศเขาเสียเมื่อไหร่

แต่คามินก็คิดอย่างใจเย็นว่า ยังไงซะเขาก็ต้องรวบรวมข้อมูลจากปุณณกันต์และปัณณธรให้ได้มากที่สุดก่อน และในขณะที่คามินจะถามอะไรจากฝาแฝดต่อนั้น เขาก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในสายอีกเสียง

เป็นเสียงหวานละมุนที่เจือไปด้วยความอ่อนโยนและใจดี

“เด็กๆ เก็บของได้แล้วครับ พี่ปราณเสร็จงานแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่าเนาะ”

เสียงของปราณันต์ …

(คุณปราณ...)

ใจของคามินเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก เสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานนับเดือน กำลังอยู่ใกล้แค่นี้ ใกล้แค่เอื้อม แต่เขากลับจับต้องไม่ได้

“พี่ครามๆ พี่ปราณมาแล้ว ปุณณ์กับปัณณ์ต้องไปแล้ว” ปุณณกันต์บอกเสียงตื่นเต้น ก่อนจะแทรกด้วยเสียงของปัณณธรอีกเสียง

“ใช่ๆ ต้องไปแล้วครับ พี่ครามรีบมาหาพวกเรานะ ปัณณ์กับพี่ปุณณ์คิดถึงพี่ครามมากๆ เลย”

แล้วคามินก็ได้ยินเสียง จุ๊บๆ ดังตามมาอีกสองสามครั้ง ก่อนที่สายจะตัดไป

และถึงแม้อีกฝั่งจะวางสายไปแล้ว แต่คามินก็ยังคงถือโทรศัพท์ค้างแนบหูอยู่อย่างนั้น เหมือนคนที่ยังไม่สามารถหลุดออกจากภวังค์ที่ชื่อว่าปราณันต์ได้

...เสียงที่คามินคิดถึงอยู่นานนับเดือน เสียงที่เขาเกืบจะถอดใจแล้วว่าอาจจะไม่ได้ยินไปตลอดชีวิต แต่เมื่อกี้เขากลับได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง...

“คุณปราณ... ผมคิดถึงคุณ”

คามินพึมพำอยู่กับโทรศัพท์ แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินแล้วก็ตาม

.

.

.

และกว่าที่คามินจะตั้งสติได้ ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที และเมื่อคิดได้ว่าต้องทำอะไรมากกว่าการนั่งเหม่อลอยแบบนี้ เขาก็โทรตามให้แทนคุณเข้ามาหาตนโดยด่วน แม้ว่าเวลานั้นจะดึกมากแล้วก็ตาม

“แทนคุณ เข้ามาด่วน ฉันได้ข่าวคุณปราณกับเด็กๆ แล้ว”

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เแทนคุณก็มายืนอยู่ตรงหน้าคามิน ดูเหมือนคนสนิทของท่านประธานก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าเจ้านายของตัวเองเลย

“บอสครับ บอสจะให้ผมทำอะไรบ้างครับ สั่งมาได้เลย”

ดูเหมือนว่าการตั้งรับกับกองทัพนักข่าวเรื่องถอนหมั้นระหว่างลูกชายอสังหาฯ กับลูกสาวการก่อสร้างฯ จะไม่ใช่เรื่องสำคัญต่อไป ในเมื่อตอนนี้เรื่องการตามหาครอบครัวปราณันต์ต่างหากที่สำคัญที่สุด

“เมื่อกี้ปุณณ์กับปัณณ์โทรมาฉัน” คามินเอ่ยปากเล่า ทำเอาแทนคุณแปลกใจไม่น้อย “ฉันจำได้ว่าคุณปราณเคยบอกไว้ว่ากลัวเด็กๆ จะพลัดหลง เลยมักใส่เบอร์โทรศัพท์ ชื่อและที่อยู่ของตัวเอง ไว้ในกระเป๋าเป้ของฝาแฝดเสมอ พอตอนที่เด็กๆ ย้ายมาที่คอนโดฉันใหม่ๆ ฉันเลยทำบ้าง... ฉันเอานามบัตรตัวเองใส่ไว้ในกระเป๋าปัณณธร และบอกแกไว้ว่าถ้ามีอะไรด่วนให้โทรหาฉัน”

แทนคุณพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางคิดว่าคุณหนูฝาแฝดทั้งสองนี่ช่างฉลาดเกินวัยจริงๆ

“ปัณณ์คงจำได้ เลยเอาเบอร์ฉันมาให้คนแถวนั้นช่วยโทรให้”

คามินเล่าไปยิ้มไป เขายอมรับว่าภูมิใจในตัวเด็กฝาแฝดทั้งสองมาก พวกแกเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนำโชคให้เขาจริงๆ

“แล้วคุณหนูบอกบอสถูกหรอครับ ว่าตอนนี้คุณหนูทั้งสองกับคุณปราณันต์อยู่ที่ไหน”

แทนคุณถามอย่างสงสัย นี่ถ้าเกิดคุณหนูปุณณ์กับคุณหนูปัณณ์บอกถูกจริง สงสัยจะไม่ได้อายุสี่ขวบย่างห้าขวบอย่างที่คุณปราณันต์บอกแล้วล่ะ

“ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ เด็กๆ บอกไม่ถูกหรอกว่าพวกแกอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่พวกแกบอกมาคือ ปราณันต์พาพวกแกนั่งเครื่องบินไป และที่ๆ พวกแกอยู่บางครั้งก็พูดภาษาอะไรไม่รู้ พวกแกฟังไม่รู้เรื่อง” คามินเล่าพลางมองหน้าแทนคุณ “นายพอจะเดาออกไหมแทนคุณว่าสิ่งที่เด็กๆ พูด หมายความว่ายังไง”

“คุณปราณันต์พาคุณหนูทั้งสองหนีไปทางเหนือหรือไม่ก็ทางใต้ แล้วน่าจะเป็นเหนือสุดหรือไม่ก็ใต้สุดด้วย.. ถูกไหมครับ” แทนคุณตอบในทันทีโดยที่แทบจะไม่ต้องหยุดคิด

“ใช่” คามินมองหน้าแทนคุณอย่างพอใจ คนตรงหน้ารู้ใจเขาเกือบทุกเรื่อง สมแล้วที่เป็นคนที่คามินวางใจ และเชื่อใจที่สุด

“แต่คำถามคือฉันไม่รู้ว่าจังหวัดไหนนี่สิ จะถามปุณณ์กับปัณณ์ต่อ คุณปราณก็มาเสียก่อน พวกแกเลยต้องรีบวางไป”

ท้ายประโยคของคนเป็นเจ้านายดูแผ่วลง แทนคุณเดาได้ไม่ยากเลยว่า ท่านประธานของเขาคงคิดถึงคุณปราณันต์ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่มีวันไหนเลยที่บอสจะไม่คร่ำครวญถึงคนที่หายไปอย่างคุณปราณันต์

“บอสคิดว่าแบบนี้เพื่อนๆ ของคุณปราณันต์จะรู้ไหมครับ” แทนคุณถาม เล่นเอาคามินชะงักไป ก่อนจะโพล่งขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้

“เดี๋ยวนะแทนคุณ! ก่อนหน้านี้เราเคยคิดกันใช่ไหมว่า เพื่อนๆ ของคุณปราณน่าจะรู้ดีว่าคุณปราณหายไปไหน อยู่กับใคร”

“ใช่ครับ” แทนคุณตอบคามินงงๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองคิดอะไรอยู่

“แล้วถ้าสมมติฐานมันเป็นแบบนี้ล่ะแทนคุณ อนาวิน นทนัช และกันต์กวีรู้ดีว่าคุณปราณหนีไปต่างจังหวัด เพราะฉะนั้น นั่นหมายความว่าต้องมีใครสักคนในสามคนนี้หาที่อยู่ ที่ทำงานไว้ให้คุณปราณพร้อม ไม่งั้นคุณปราณคงไม่กล้าพาเด็กๆ ไปลำบากไกลถึงต่างจังหวัด จริงไหม”

คามินวิเคราะห์มาเป็นฉากๆ โดยมีแทนคุณพยักหน้ารับและเห็นด้วยว่า สมมติฐานที่ท่านประธานตั้งไว้มีสิทธิ์เป็นไปได้สูงมาก

“ครับบอส ผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะให้คนไปสืบครับว่าในบรรดาเพื่อนทั้งสามคนของคุณปราณันต์ มีใครมีญาติที่มีกิจการอยู่ต่างจังหวัดบ้าง”

แทนคุณเสนอทางออกให้ราวกับรู้ใจคามินดี ก่อนที่คามินจะนึกบางประโยคของปุณณกันต์ได้ จึงย้ำกับแทนคุณไปอีกครั้ง

“อ่ะ อีกอย่าง ฉันได้ยินปุณณ์พูดว่า ‘พี่ปราณก็ให้อยู่ที่โรงแรมตลอด’ นั่นน่าจะหมายความว่างานที่คุณปราณไปทำคงเป็นงานเกี่ยวกับโรงแรม นายก็สืบดูแล้วกัน ถ้าใครมีลักษณะของกิจการตรงกับข้อมูลที่เรามีมากที่สุด ฉันเดาว่าที่นั่นแหละคือที่ๆ คุณปราณพาฝาแฝดไป”

“ครับบอส”

แทนคุณรับคำอย่างตั้งใจ ถ้ามีข้อมูลมากขนาดนี้ เขามั่นใจมากว่าจะหาครอบครัวของปราณันต์ได้ภายในวันสองวันนี้แน่ แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ทันใจท่านประธานของเขาสักเท่าไหร่ เพราะเส้นตายที่คามินให้ ดูเหมือนว่าจะกระชั้นชิดกว่าที่เขาคิดไว้มาก

“ฉันต้องรู้ว่าคุณปราณอยู่ที่ไหนภายในพรุ่งนี้ และทันทีที่รู้ให้จองตั๋วเครื่องบินทันที ฉันจะไม่รออะไรทั้งนั้น”

คนติดตามร่างใหญ่ค้อมศรีษะรับคำสั่งนิ่ง เขาคิดไว้แล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้แน่ บอสของเขาไม่เคยคิดรั้งรออะไรอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของคุณปราณันต์

“แล้วพรุ่งนี้ก็เรียกประชุมบอร์ดด้วย ฉันจะหารือเรื่องข่าวที่ถอนหมั้นกับพรวลัยไป จากนั้นจะได้สั่งงานต่อเผื่อต้องไปหลายวัน”

คามินสรุปเสร็จสรรพ แทนคุณถึงกับพูดไม่ออก ก็เจ้านายเขาเล่นคิดไว้ซะทุกอย่างขนาดนี้

“ครับบอส” แล้วผู้ติดตามอย่างเขาจะทำอะไรได้ นอกจากรับคำไป

คามินยิ้มบางๆ อย่างยินดี เมื่อพอจะมองเห็นลู่ทางที่จะหาปราณันต์เจอหลังจากที่มืดมิดมานานนับเดือน ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เขาต้องขอบคุณมากที่สุดก็เห็นจะเป็นฝาแฝดตัวน้อยผู้นำโชคของเขานั่นแหละ นี่ก็คิดว่าถ้าหาครอบครัวปราณันต์เจอเมื่อไหร่ คงต้องให้รางวัลเจ้าหนูน้อยทั้งสองอย่างงามทีเดียว

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 13-04-2021 20:54:04
(อ่านต่อจากด้านบน)


ในขณะที่คามินกำลังดำเนินการตามแผนการตามหาปราณันต์อยู่นั้น คนที่ถูกตามหาตอนนี้กำลังนั่งนิ่งอยู่ในห้องพักหลังจากกลับมาทำงานเองก็ร้อนใจไม่น้อย เพราะสภาพของคามินที่เขาได้เห็นในทีวีนั้น ดูสาหัสพอสมควร คามินผอมลงมาก แถมหน้าตาก็ไม่สดใส เหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลา นี่ขนาดว่าปราณันต์ได้เห็นคนตัวโตแค่ไม่ถึงสองนาทีตอนที่คามินเดินฝ่านักข่าวไปขึ้นรถ ใจของเขาก็เจ็บจนจุกไม่น้อย แล้วยิ่งตอนนี้คามินต้องมาเผชิญกับข่าวถอนหมั้นของพรวลัยอีก ... มันไม่ได้เฉียดใกล้สิ่งที่ปราณันต์จินตนาการไว้เลยแม้แต่นิดเดียว

ร่างบางคิดว่าเมื่อเขาจากมา ไม่นานคามินก็คงทำใจได้ และกลับไปอยู่ในโลกความจริงที่ควรจะเป็น แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะตรงกันข้าม เพราะนอกจากคามินจะเลิกรากับพรวลัยแล้ว สภาพร่างกายและจิตใจของคามินก็กลับทรุดโทรมลงไปด้วย ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ต่าง เวลาผ่านมานับเดือน แต่ดูเหมือนว่าความคิดถึงที่มีต่อผู้ชายคนนั้นกลับไม่ลดน้อยลงสักนิด มีแต่จะทวีพูนเพิ่มมากขึ้นทุกวันอีกต่างหาก แล้วยิ่งถ้าวันไหนปราณันต์แอบได้ยินฝาแฝดทำหน้าเศร้าบ่นให้กันฟังว่าคิดถึงพี่ครามของพวกแกขนาดไหน วันนั้นปราณันต์จะยิ่งทุกข์หนัก ดูเหมือนว่าการหนีมาครั้งนี้แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย รังแต่จะทำให้เจ็บกันทุกฝ่ายก็เท่านั้น

แต่เมื่อคนตัวเล็กคิดได้ เขาก็ตระหนักว่าที่จริงแล้วความปลอดภัยของฝาแฝดต่างหากที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าการหนีจากคามินมาคราวนี้ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยเสียหน่อย เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้น้องๆ ของเขาปลอดภัยจากผู้หญิงคนนั้น ซึ่งนั่นทำให้ปราณันต์ใจแข็งมากพอ จนตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะยังไม่พาปุณณกันต์กับปัณณธรกลับกรุงเทพฯ เด็ดขาด จนกว่าจะมั่นใจว่าที่นั่นปลอดภัยสำหรับน้องชายทั้งสองของตนเอง

แต่ไม่ว่าจิตใจปราณันต์จะเข้มแข็งดั่งหินผาขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วความรักความห่วงใยที่มีต่ออีกฝ่ายก็เข้ามาพังทลายกำแพงที่เขาก่อไว้ได้ในที่สุด เมื่อใบหน้าและท่าทางอิดโรยของคามินหวนเข้ามาในความคิดของปราณันต์แบบที่สลัดยังไงก็ไม่ออก สุดท้ายปราณันต์ก็ตัดสินใจต่อสายหาอนาวิน เพื่อนสนิทที่เขาสู้อุตส่าห์แข็งใจไม่ติดต่อมานานนับเดือน เพราะกลัวว่าคามินและพรวลัยจะจับได้จนได้

รอสายอยู่ไม่นาน ในที่สุดปลายสายก็กดรับ

(ไงลูกแมว... เฮ้อ ทำไมกูแทงหวยไม่ถูกวะ) อนาวินรับสายด้วยน้ำเสียงสดใส แต่แฝงไว้ด้วยความสงสารและเห็นใจจนปราณันต์เองจับสังเกตได้

“นี่เพื่อนไม่โทรหาเป็นเดือน แทนที่จะดีใจ กลับมาถอนใจใส่ซะงั้น ไอ้นี่นิ” ปราณันต์พูดตัดพ้อไม่จริงจัง แต่พอเจอเพื่อนสนิทสวนกลับมา ทำเอาเขาไปไม่เป็นเหมือนกัน

(นี่ไอ้ปราณ มึงรู้อะไรไหม) อนาวินเงียบไปก่อนจะพูดต่อ

(กูภาวนาแทบตาย ขอให้มึงอย่าโทรมาวันนี้ เพราะถ้ามึงโทรมาวันนี้มันจะพิสูจน์สมมติฐานในใจกูได้ข้อนึงอย่างไม่ต้องสงสัยอะไรอีก ซึ่งมึงก็ดันโทรมาวันนี้จริงๆ เท่ากับตอนนี้มีงได้ให้คำตอบกับสมมติฐานข้อนั้นของกูเรียบร้อยแล้ว)

ปราณันต์กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก อย่างที่บอกว่าเขากับอนาวินสนิทกันมาก ขนาดอนาวินยังตั้งสมมติฐานในใจได้ แล้วทำไมเขาจะไม่รู้กันว่าสมมติฐานของอนาวินคืออะไร

“แล้วสมมติฐานของมึงมันคืออะไรกันล่ะ” ปราณันต์แกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

(มึงยังตัดใจจากคุณคามินไม่ได้น่ะสิ กูพูดถูกไหม) อนาวินถามเพื่อนสนิทปลายสายด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ (มึงอดทนอยู่ได้เป็นเดือนๆ ไม่โทรมา แต่พอวันนี้มีข่าวคุณคามิน ที่กูมั่นใจมากๆ ว่ามึงได้เห็นข่าวนั้นแล้ว ซึ่งมึงก็โทรหาฉันทันที)

ปราณันต์เงียบ เพราะที่อนาวินพูดมันถูกจนหมดสิ้น เขาอดไม่ได้จริงๆ ยิ่งเห็นสภาพของคามินแล้วปราณันต์ยิ่งไม่สบายใจ

(เฮ้อ ไอ้ปราณนะไอ้ปราณ แพ้ใจตัวเองตลอด)

อนาวินบ่นไม่จริงจัง เขารู้นิสัยปราณันต์ดีพอๆ กับที่ปราณันต์รู้จักตัวเองนั่นแหละ เขารู้ดีว่าเมื่อคามินติดแน่นอยู่ในใจของปราณันต์แล้ว ไม่มีทางที่เพื่อนของเขาจะตัดใจจากผู้ชายคนนั้นได้ง่ายๆ หรอก

“ไอ้วิน... กูคิดถึงเค้า”

ในที่สุดปราณันต์ก็ยอมรับออกมาจนได้ อนาวินได้แต่ถอนหายใจ ที่เขาคิดไว้มันผิดเสียที่ไหนล่ะ

(กูก็ไม่รู้จะช่วยมึงยังไง แต่เอาเป็นว่าทำตามที่ใจมึงเรียกร้องเถอะ กูคิดว่าคุณคามินก็พิสูจน์ตัวเองได้พอสมควรแล้ว... ไม่รู้ว่าพูดไปละจะดีไหม แต่ช่วงที่มึงไม่อยู่หมอนั่นแทบไม่เป็นผู้เป็นคนเลยว่ะ)

ปราณันต์หัวใจเต้นแรงทันทีที่ได้ยินเพื่อนสนิทพูดแบบนั้น แต่ความไม่มั่นใจก็ยังคงมีอยู่ และที่สำคัญเขาไม่อยากเอาความปลอดภัยของฝาแฝดไปเสี่ยงเด็ดขาด

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่เขาเป็นแบบนั้นเพราะเขารักกูนะวิน” ปราณันต์แย้งเสียงหงอย พูดเองก็เจ็บเอง

(กูก็ถึงได้บอกไงว่าแล้วแต่มึงจะตัดสินใจ ไม่รู้สิ แต่กูคิดว่าอีกไม่นานหมอนั่นน่าจะหามึงเจอ ถึงตอนนั้นมึงก็คุยกันให้รู้เรื่องแล้วกัน)

“มึงพูดเหมือนนายรู้อะไรงั้นแหละ” ปราณันต์ถามอย่างสงสัย

อนาวินได้แต่อมยิ้มโดยที่เพื่อนไม่เห็น เขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่บอกกับปราณันต์ว่าคามินมาคุกเข่าตรงหน้า สารภาพกับเขาว่าตัวเองรักปราณันต์มากแค่ไหน อนาวินไม่อยากให้ปัจจัยนี้มาทำให้ปราณันต์กดดัน เพื่อนสนิทอย่างเขาอยากให้ทั้งคู่คุยกันเองมากกว่า ปราณันต์จะได้เห็นว่าคามินจริงใจและจริงจังกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน ให้ปราณันต์ได้ตัดสินใจเอง

(เอาเถอะ กูไม่อยากจะก้าวก่ายหรือกดดันอะไรมึง อยากให้มึงได้ตัดสินใจเองมากกว่า เพราะต่อให้มึงหนีไปไกลแค่ไหน มึงก็หนีหัวใจตัวเองไม่พ้นหรอก ถึงเวลานั้น... เลือกที่จะเชื่อหัวใจตัวเองก็พอไอ้ปราณ)

คนตัวเล็กเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบอะไรเพื่อนสนิท ทั้งคู่ถือหูอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยเป็นเวลาหลายนาที แต่เหมือนกับว่ามีคำเป็นหลายพันคำพรั่งพรูอยู่ในความรู้สึก และสุดท้ายปราณันต์ก็เป็นคนพูดออกมาก่อน

“ขอบคุณมึงมากนะวิน ขอบคุณมากจริงๆ”

(ขอบคุณทำไม กูเป็นเพื่อนสนิทมึงนะ อย่าลืมสิ)

อนาวินพูดแค่นั้นก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ และแยกย้ายวางสายกันไปในที่สุด

.

.

.

และแล้วคามินก็รู้ว่าปราณันต์และฝาแฝดอยู่ที่ไหน

เชียงใหม่

แทนคุณเข้ามารายงานคามินที่คอนโดแต่เช้าตรู่ ก่อนที่คามินจะออกไปทำงานด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแทนคุณสามารถหาข้อมูลได้ภายในเวลาอันจำกัดตามที่คามินสั่งไว้ได้ดีทีเดียว

“มีรายชื่อของคุณปราณันต์ และคุณหนูทั้งสอง บินออกจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ในเย็นวันนั้นครับ ผมตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้ว ว่าทั้งสามท่านลงที่เครื่องที่สนามบินเชียงใหม่จริง”

คามินนั่งหน้านิ่วพลางคิดในใจว่าอะไรผลักดันให้ปราณันต์ใจกล้าพาน้องๆ ไปไกลขนาดนั้น ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ และยิ่งพอมารู้แบบนี้ ความคิดถึงและความเป็นห่วง ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

“แล้วที่ทำงานกับที่พักล่ะ ใครเป็นคนหาให้ แล้วอยู่ส่วนไหนของเชียงใหม่” คนตัวโตถามเสียงนิ่ง ทั้งที่ใจร้อนรนจนแทบบ้า

แทนคุณอึกอัก จนคามินรู้สึกได้ แต่ในที่สุดก็ยอมพูดออกมา ก่อนที่ท่านประธานจะรอนานจนไม่สบอารมณ์

“โรงแรมเชิงดอยครับ เป็นกิจการของคุณพ่อของคุณกันต์กวี และท่านเป็นคนเหนือครับ”

ใบหน้าคมคายของท่านประธานใหญ่เคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินแทนคุณรายงานจบ ก่อนจะสั่งเสียงกร้าว โดยไม่มีอารัมภบทใดๆ ทั้งสิ้น

“จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ ไฟล์ทก่อนเที่ยงให้ฉันด่วน เช้านี้หลังจากประชุมกับบอร์ดบริหารเสร็จ ฉันจะไปสนามบินทันที”

“ครับ” แทนคุณรับคำ ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องท่านประธานไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าผู้ติดตามหนุ่มจะรู้ใจของเจ้านายตัวเองดีกว่าใคร เห็นคามินมีท่าทีแบบนั้นก็จริง แต่ในใจคงไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟที่มีแต่ความร้อนรุ่มกำลังปะทุรอเวลาระเบิดหากหาปราณันต์ไม่เจอ

.

.

.

วันนี้ปราณันต์นั่งทำงานด้วยความเหม่อลอย และเก็บเอาคำพูดของเพื่อนสนิทมาคิดจริงจัง ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว ถึงแม้ภายนอกปราณันต์จะดูปกติดี แต่ภายในมันไม่เป็นแบบนั้น ยิ่งพอได้เห็นคามินจากข่าวทีวีเมื่อวาน เขายิ่งเข้าใจดี ว่าคำว่าหนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีหัวใจตัวเองไม่พ้นนี่มันหมายความยังไง

คนตัวเล็กถอนหายใจ ก่อนที่ตากลมจะเหลือบมองไปทางเจ้าตัวยุ่งทั้งสอง ที่วันนี้ดูจะสงบเสงี่ยมผิดปกติ ศีรษะกลมๆ เขยิบเข้าหาจนแทบจะชิดกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่รู้ว่าปรึกษาพูดคุยเรื่องสำคัญอะไรกัน เห็นจุ๊กๆ จิ๊กๆ กันตั้งแต่เช้าแล้ว

ขาเรียวก้าวไปยังจุดที่เจ้าหนูทั้งสองนั่งอยู่โดยที่ฝาแฝดทั้งคู่ยังไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพี่ชายเดินมาหา และก่อนที่ปราณันต์จะเดินถึงตัวปุณณกันต์กับปัณณธร ก็มีพนักงานหญิงคนนึงมาเรียกเสียก่อน

“ปราณ วันนี้อยู่ที่ฟร้อนท์แทนเราตอนเย็นได้ไหม พอดีว่าต้องไปทำธุระให้ที่บ้านน่ะ”

ปราณันต์หันไปตามเสียง พร้อมๆ กับที่ปุณณกันต์และปัณณธรเงยหน้าขึ้นเช่นกันและพอเจ้าหนูเห็นว่าพี่ชายอยู่ใกล้ขนาดไหน ก็ทำเฉไฉไม่รู้ไม่ชี้ หยิบสมุดขึ้นมาระบายสีทันที

ไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กน้อยอยากจะโกหกพี่ชายตัวเองหรืออะไร เพียงแต่เด็กๆ ไม่กล้าบอก เพราะกลัวพี่ปราณจะต่อว่า ว่าไปรบกวนให้พี่ครามมาหาทั้งที่งานยุ่ง ด้วยความไม่ประสีประสา ทำให้พวกแกไม่รู้เลยว่า เรื่องระหว่างคามินและปราณันต์มันซับซ้อนกว่านั้น มันซับซ้อนเกินกว่าที่เด็กสี่ขวบกว่าๆ จะเข้าใจได้

คนเป็นพี่ได้แต่มองน้องตัวเองอย่างสงสัย เลี้ยงมาตั้งแต่เกิดทำไมจะไม่รู้ว่าอาการที่เป็นกันอยู่นี้คืออาการของเด็กดื้อที่ไปทำอะไรสักอย่างผิดมา แต่ปราณันต์ก็ไม่อยากจะไล่เรียงให้เด็กๆ เครียดหรือกดดันยิ่งกว่าเดิม เพราะรู้ว่าน้องยังปรับตัวไม่ได้ เลยไม่อยากจะดุ ให้เรื่องมันยิ่งแย่ เลยหันกลับไปหาเพื่อนร่วมงานที่ไหว้วานให้อยู่งานแทน

“ได้สิ ว่าแต่กะเธอเลิกไม่ดึกมากใช่ไหม เราไม่อยากพาฝาแฝดกลับดึกมากน่ะ” ปราณันต์รับปาก เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีธุระสำคัญ

“ไม่ดึกมากหรอกแค่ทุ่มครึ่งเอง แต่ถ้าทุ่มนึงไม่มีคน นายจะกลับก่อนเลยก็ได้”

ปราณันต์พยักหน้ารับ เพราะเห็นว่าวันนี้เป็นวันธรรมดาแขกเลยน่าจะไม่เยอะมาก ซึ่งถ้าให้อยู่ดึกคงไม่ไหว ไม่อยากให้เด็กๆ นอนดึกเกินไป เดี๋ยวเปิดเทอมแล้วจะปรับตัวกันลำบาก

“โอเค งั้นเธอไปทำธุระเถอะ ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเราดูแลให้” ปราณันต์รับคำอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ใครๆ เห็นแล้วก็คงยิ้มตามได้ไม่ยาก

.

.

.

เวลาผ่านล่วงเลยไปจนถึงตอนเย็น ปราณันต์ก็ย้ายตัวเองมานั่งที่หน้าฟร้อนท์เพื่อต้อนรับลูกค้า หลังจากเพื่อนร่วมงานกลับไปทำธุระของเธอแล้ว มือบางไล่สำรวจรายชื่อแขกที่จองห้องพักว่ายังเหลืออีกกี่คนที่ยังมาไม่ถึงโรงแรม ก่อนจะพบว่าขาดอีกแค่รายเดียวเท่านั้น แจ้งเวลาไว้ว่าจะมาถึงประมาณหนึ่งทุ่ม ชื่อคุณแทนคุณ

ปราณันต์รู้สึกสะกิดใจแปลกๆ แต่ก็พยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ คนชื่อแทนคุณไม่ได้มีแค่คนเดียวบนโลกสักหน่อย แต่แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็เหมือนหยุดหมุน เมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นตรงหน้า

“เช็คอินครับ”

ปราณันต์เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะเห็นคนคุ้นตากำลังยืนอยู่ตรงหน้า คนที่เขาคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ คนที่เขาคิดว่ายังไงก็คงลืมไม่ได้ไปตลอดชีวิต

“คุณ! คะ คุณ..คามิน”

“ครับ ผมคามิน จองไว้ด้วยชื่อแทนคุณครับ”

คนตัวโตกว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้ายังพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย ขัดกับภายในที่ตีรวนเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มมีความรัก คามินใจเต้นรัว เมื่อเห็นคนที่ตัวเองคิดถึงจนแทบบ้าอยู่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ เขาอยากจะพุ่งเข้ากอดปราณันต์ใจจะขาด แต่เขาเองก็ไม่อยากบุ่มบ่าม และทำให้ปราณันต์ตกใจจนหนีเตลิดไปอีก

“คะ คุณ.. คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”

ปราณันต์เกิดจะพูดติดพูดขัดขึ้นมาทันที เอาเข้าจริงเขาก็เตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าคามินอาจจะหาเขากับเด็กๆ เจอ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

“คุณปราณ ผม.. คิดถึงคุณ คิดถึงมาก”

คามินไม่ได้ตอบคำถามของปราณันต์ แต่เลือกจะพูดสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกไปแทน เพราะคนตัวโตเห็นว่าปราณันต์มีปฏิกริยาตอบโต้ในทางที่ดีเมื่อเห็นเขา

ดวงตากลมของคนตัวเล็กกว่าเบิกกว้างและมีประกายแห่งความดีใจแม้จะเบาบางมากแต่คามินก็สังเกตเห็น มันทำให้หัวใจที่เคยด้านชาของเขาเหมือนกลับชุ่มฉ่ำขึ้น เขาสารภาพออกไปจนหมดสิ้น ท่าทีหยิ่งผยองเวลาอยู่กับผู้คนมากมาย กลับพังไม่เป็นท่า ตอนนี้เหลือแค่ผู้ชายคนนึงที่รักผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างหมดหัวใจเท่านั้น

ส่วนปราณันต์ก็ตาแดงก่ำเพราะพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล คามินเอื้อมมือออกไปหวังจะคว้าคนตรงหน้ามาโอบกอด แต่กลับมีเสียงเล็กๆ ของเจ้าหนูฝาแฝดดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน คามินจึงทำได้แค่มองปราณันต์ด้วยสายตาละห้อยอยู่อย่างนั้น

“พี่คราม พี่ครามมาแล้วหรอครับ” ปุณณกันต์น้อยตะโกนลั่นออกมาอย่างยินดี ซึ่งเป็นกริยาที่น้อยครั้งนักที่ทุกคนจะได้เห็น

“พี่ครามมมมม พี่ครามมาแล้ววว” ส่วนปัณณธรน้อยนั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าหนูวิ่งโผเข้าหาอ้อมกอดคามินอย่างไม่ลังเล ทำเอาคนตัวโตอ้าแขนรับเจ้าตัวน้อยไว้แทบไม่ทัน

“ปุณณ์ ปัณณ์” คามินเกิดพูดไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะ เพราะเมื่อรับเด็กทั้งสองเข้ามาในอ้อมแขนแล้ว เขาก็ได้รู้ว่าคิดถึงเจ้าตัวน้อยทั้งสองนี่มากแค่ไหน จมูกโด่งเป็นสัน ฝังลงบนแก้มนิ่มของเจ้าหนูทั้งคู่อยู่หลายฟอด ความรู้สึกของการที่ของเราหายแล้วได้คืนมันเป็นแบบนี้นี่เอง

“พวกเราคิดถึงพี่ครามมากเลย ถ้าเราไม่โทรไปหาพี่คราม พี่ครามจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

ปุณณกันต์น้อยบ่นอุบอย่างลืมตัว ฝาแฝดคนพี่ลืมไปว่า พี่ชายของตัวเองก็ยืนอยู่ตรงนั้น หนำซ้ำพี่ปราณก็ยังไม่รู้ด้วยว่า เจ้าตัวยุ่งทั้งสองโทรหาคามิน

ปราณันต์เองที่ไม่แน่ใจในตอนแรกว่าตัวเองได้ยินชัดรึป่าวที่ว่าปุณณกันต์พูดว่าโทรหาคามิน มาย้ำชัดเอาตอนที่ปัณณธรน้อยหลุดปากออกมาอีกคน

“ใช่ ถ้าพี่ปุณณ์กับปัณณ์ไม่โทรไปบอกว่าพี่ปราณพานั่งเครื่องบินมา พี่ครามก็คงไม่มาสักที”

เด็กแฝดทั้งสองยังคงกระเง้ากระงอดใส่คามินอย่างน่าเอ็นดู โดยมีคนร่างสูงคอยปลอบคอยโอ๋ คอยขอโทษอยู่ไม่ห่าง

“พี่ครามคิดถึงพวกหนูจะตายอยู่แล้ว แต่มันมีเหตุบางอย่างที่ทำให้พี่ครามมาหาพวกหนูไม่ได้ ขอโทษนะครับปุณณ์ปัณณ์ ขอโทษที่ทำให้หนูสองคนต้องรอนาน”

ดูเหมือนคำขอโทษจากพี่ครามจะทำให้เด็กๆ ยิ้มร่าได้อย่างอารมณ์ดี แต่แล้วรอยยิ้มกว้างของเจ้าหนูทั้งสองก็ต้องหุบลง เมื่อได้ยินเสียงที่เพียงแค่เรียกชื่อเท่านั้นจากพี่ชาย

“ปุณณกันต์ ปัณณธร”

ฝาแฝดหน้าซีดเหลือสองนิ้ว เมื่อได้ยินปราณันต์เรียกชื่อเต็มๆ ของตัวเอง การเรียกแบบนี้ของพี่ปราณหมายความว่า เจ้าหนูทั้งคู่กำลังทำความผิดอย่างรุนแรง และอาจได้รับการทำโทษจากพี่ชาย ถ้าปราณันต์คิดและเห็นว่าเด็กทั้งสองมีความผิดจริง

“หนูสองคนโทรหาพี่ครามหรอครับ” ปราณันต์ถามเสียงเข้ม ศรีษะกลมๆ ของเจ้าหนูทั้งสองแทบจะมุดหายเข้าไปในคอเสื้อ เพราะรู้ว่าตัวเองผิดที่ฝ่าฝืนไม่ยอมทำตามที่พี่ปราณบอก

“ครับ/ครับ” สองเสียงเล็กๆ รับคำหงอยๆ พลางคิดในใจว่าตัวเองต้องโดนทำโทษแน่ๆ แต่แล้วจู่ๆ คามินก็เอ่ยแทรกขึ้น ราวกับอยากจะปกป้องเด็กทั้งสอง

“คุณปราณครับ อย่าดุน้องเลยนะ พวกแกคงคิดถึงผม แล้วก็คงทำตามที่ผมเคยขอไว้”

ถึงแม้จะยังคงห้ามใจให้เต้นแรงยามอยู่ต่อหน้าคนตรงหน้าไม่ได้ แต่ลำคอขาวของปราณันต์ก็ยังคงตั้งตรง บ่งบอกถึงความดื้อรั้น เด็ดเดี่ยวและไม่ยอมแพ้

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับผมถือว่าพวกเด็กๆ ขัดคำสั่งผม และพวกแกจะต้องถูกทำโทษที่ไม่เชื่อฟัง”

ปุณณกันต์กับปัณณธรก้มหน้านิ่งทันทีที่รู้ว่าตัวเองต้องถูกพี่ชายทำโทษแน่ๆ คามินได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้จะช่วยเด็กๆ ยังไง เพราะเขาเองก็ไม่อยากขัดใจหรือทำอะไรที่เป็นการต่อต้านปราณันต์

“ก็ได้ครับ ก็ได้” คามินยอมจำนน แต่ก็ยังคงไม่อยากทิ้งให้เด็กๆ ถูกทำโทษกันแค่ลำพัง “แต่ผมขอรับโทษกับฝาแฝดด้วยได้รึป่าวครับ”

พอจบคำคามิน ปราณันต์ก็ตวัดตากลมจ้องไปที่อีกฝ่ายเขม็ง ทำเอาคามินต้องเสียงอ่อน พูดความนัยที่เขาคิดว่าปราณันต์เองก็น่าจะเข้าใจ

“เรื่องนี้ผิดที่ผมเองแหละครับ ที่ดูแลคุณปราณและน้องๆ ไม่ดี ทำให้คุณปราณต้องทิ้งผมมา และทำให้เราต้องอยู่ห่างกันขนาดนี้”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยพูดอ้อนวอนจนทำเอาปราณันต์เกือบใจอ่อน แต่ยังไงปราณันต์ก็ต้องทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพรวลัย เขาจะโอนอ่อนให้คามินไม่ได้ ไม่เช่นนั้นฝาแฝดของเขาอาจจะไม่ปลอดภัย

ใบหน้าหวานจึงแสร้งหันไปอีกทางที่เด็กๆ ยืนอยู่ และทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่คามินพูด ก่อนจะสั่งฝาแฝดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ปุณณ์ ปัณณ์ รู้ใช่ไหมครับว่าพวกหนูทำผิด"

“รู้ครับพี่ปราณ” เป็นปุณณกันต์ที่ตอบออกมาแทนน้อง เพราะตอนนี้ปัณณธรร่ำๆ ทำท่าจะร้องไห้แล้ว พอถูกปราณันต์ดุจริงจัง

เด็กๆ รู้ดีว่าพี่ปราณไม่เคยได้โกรธพวกตนได้มากมายสักครั้ง นั่นเป็นเพราะฝาแฝดทำตัวน่ารักและเชื่อฟังพี่ชายคนโตมาตลอด แต่พอตอนนี้เจ้าหนูทั้งสองเห็นว่าพี่ปราณโกรธจนลงโทษพวกตนได้ เจ้าฝาแฝดตัวน้อยเลยใจเสีย ใจเสียที่ถูกดุด้วย แล้วก็ใจเสียที่ทำให้พี่ชายผิดหวังด้วย

“เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ฝาแฝดจะโดนหักค่าขนมหนึ่งวัน และพี่ปราณก็ขอห้ามไม่ให้พวกหนูเล่นของเล่นด้วย สิ่งที่ปุณณ์กับปัณณ์ต้องทำคือฝึกท่องตัวอักษร และฝึกคัดลายมือ ถือเป็นการทำโทษ ตกลงไหมครับ”

เจ้าหนูทั้งสองพยักหน้าเข้าใจและตกปากรับคำว่าจะทำตาม ในเมื่อพวกเขาขัดคำสั่งพี่ชายก็ต้องถูกทำโทษไม่มีสิทธิ์เกี่ยงงอนอยู่แล้ว

“ครับ/ครับ”

มีก็แต่คามิน ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้เด็กๆ ต้องโดนทำโทษ จึงพยายามรอฟังคำพิพากษาของปราณันต์อย่างใจจดจ่อ แต่ดูเหมือนว่าก็คงรอเก้อเพราะพี่ชายของเด็กฝาแฝดทั้งสองไม่สนใจคามินเลย

“คุณปราณครับ... ผม...” คามินทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ถูกปราณันต์ขัดเสียก่อน

“ผมยังไม่พร้อมจะคุยกับคุณตอนนี้ และอีกอย่างผมก็ทำงานอยู่ด้วย ไว้เลิกงานก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะครับ”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงเด็ดขาดของปราณันต์ตอนตอบ ก็ทำให้คามินยอมแพ้และยอมถอยไปนั่งรออย่างใจเย็น ดูเหมือนว่าคามินคนที่เคยเย็นชาและไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ จะเปลี่ยนไป

คามินอดทนรออย่างใจเย็น จนกระทั่งปราณันต์เลิกงาน และเมื่อเห็นคนตัวเล็กเตรียมเก็บของ เขาก็ลุกขึ้นยืนทันที ก่อนที่จะถลาเข้าไปช่วยถือของให้ปราณันต์อย่างเต็มใจ

“มาครับคุณปราณ ผมช่วย”

และแน่นอนว่าปราณันต์ก็ตอบปฏิเสธโดยไม่รีรอเช่นกัน

“ไม่เป็นไรครับผมจัดการเองได้ คุณเป็นแขกของที่นี่ เชิญกลับห้องไปพักผ่อนเถอะครับ”

พอพูดจบ ปราณันต์ก็พยายามมองหาเด็กๆ ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน จะได้พากันกลับบ้านเสียที เพราะหลังจากที่ดุเด็กๆ ไป ก็ดูเหมือนเจ้าหนูจะอยู่กันอย่างสงบเงี่ยม จนปราณันต์วางใจไม่ได้ไถ่ถามหรือตามหา โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าแทนคุณได้พาทั้งเด็กๆ นำกลับบ้านไปก่อนแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้านายเขาได้งอนง้อปราณันต์ให้เข้าใจกันเสียที

คามินเดินตามปราณันต์ที่กำลังหาน้องชายอยู่อย่างไม่ลดละ ยิ่งปราณันต์เดินหนี คามินก็ยิ่งเดินตาม แต่เมื่อคนตัวโตกว่าเห็นว่าหากยังยื้อยุดกันอยู่แบบนี้ ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องเสียที มือใหญ่ของคามินเลยตัดสินใจเอื้อมไปยึดข้อมือเล็กของปราณันต์ไว้ พลางดึงเข้าหาตัวเอง

“เอ๊ะ คุณ!” ปราณันต์หันไปแหวทันที เมื่อรู้สึกว่าข้อมือตัวเองถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ของใครบางคน

“คุณปราณ… คุยกับผมก่อนเถอะนะครับ ผมขอร้อง”

คามินพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่ายังไงปราณันต์ก็ไม่ยอมฟัง เพราะคนตัวเล็กตั้งใจไว้แล้วว่า เขาจะต้องใจแข็ง แม้ปราณันต์จะยังรักคามินอยู่ แต่ถ้าต้องให้กลับไปอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ รอเวลาให้พรวลัยมาอาละวาดแถมขู่จะทำร้ายฝาแฝดใส่ ต่อให้รักแค่ไหน ปราณันต์ก็ขอไม่กลับไปดีกว่า

“พอเถอะครับคุณคามิน หยุดเรื่องของเราไว้แค่นี้เถอะ ผมขอร้อง แค่นี้มันก็ยุ่งยากมากพอแล้ว คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องเจอ...”

ขณะที่ร่างบางกำลังพรั่งพรูคำพูดออกมา พร้อมกับพยายามแกะข้อมือตัวเองออกให้พ้นจากพันธนาการของคนตรงหน้า เพื่อที่จะได้เดินหนีและไปจากตรงนี้ซะ

แต่เสียงทุ้มที่อ่อนโยนของคามินกลับดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งประโยคที่คนตรงข้ามพูดออกมานั้นมันไม่ได้ดังเลย แต่กลับได้ยินชัดเจนมากในความรู้สึกของปราณันต์ และประโยคนั้นทำให้ปราณันต์หยุดนิ่งทุกการกระทำทันที


“ผมรักคุณครับคุณปราณ”


ปราณันต์นิ่งอึ้งไปเหมือนถูกสาป มือเล็กที่พยายามจะแกะมือใหญ่ของอีกฝ่ายที่พันธนาการข้อมือตัวเองไว้ก็ตกลงข้างตัวเหมือนคนหมดแรง มีแต่เพียงน้ำใสที่ไหลออกมาจากตากลมเท่านั้น ที่เป็นการยืนยันว่าปราณันต์ได้ยินสิ่งที่คามินพูดทุกคำ

เมื่อคนตรงข้ามไม่ขัดขืนอีก คามินจึงกระตุกร่างบางเบาๆ ให้เข้ามาในอ้อมกอดอุ่นๆ ของตัวเองได้ไม่ยาก วงแขนแข็งแรงของคนตัวโตกว่ารัดร่างที่กำลังตะลึงงันของปราณันต์ไว้แน่น พลางพร่ำคำบอกรักที่เขาอยากพูดให้ปราณันต์ได้รับรู้และได้รับฟังมาตั้งแต่วันนั้นที่ปราณันต์เลือกที่จะทิ้งเขามา


“ผมรักคุณนะคุณปราณ ผมรักคุณมาก มากเหลือเกิน”


ปากหยักพรมจูบที่กลุ่มผมหอมกรุ่นของคนในอ้อมกอดที่เขาคิดถึงนักหนา โดยที่ทุกคำพูดก็ยังคงพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ราวกับว่าเมื่อความรู้สึกบางอย่างมันถูกปลดล็อค คามินก็ไม่เหลือความลังเลหรือไม่แน่ใจในเรื่องอะไรอีกแล้ว

“ผมขอโทษที่ผมรู้ตัวช้า ผมขอโทษที่ปล่อยให้คุณรออย่างเคว้งคว้างและไม่มั่นใจ ผมขอโทษนะครับคนดี”

ร่างของปราณันต์ในอ้อมกอดของคามินสั่นน้อยๆ ซึ่งคนตัวโตเองก็รู้สึกถึงแรงสะอื้นของคนที่อยู่ในอ้อมแขนเช่นกัน ตัวเขาเองก็ไม่ต่าง ตอนนี้ ตอนที่เขากำลังบอกความในใจให้คนที่เขารักมากที่สุดรู้ คามินเองก็กำลังร้องไห้ ซึ่งมันไม่ใช่น้ำตาแห่งความผิดหวังหรือเสียใจ แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความยินดี เพราะอย่างน้อยคนที่คามินอยากบอกว่ารักมากแค่ไหนก็ได้มายืนตรงหน้าพร้อมที่จะได้ยินและได้ฟัง ในสิ่งที่เขาอยากจะพูดแล้ว ในขณะที่ตอนแรกตัวเขาเกือบจะถอดใจเพราะคิดว่าคงหมดโอกาสในการที่จะได้แก้ตัวแล้ว

เพราะฉะนั้นในวันนี้เขาจึงอยากย้ำให้ปราณันต์มั่นใจอีกครั้งถึงความรู้สึกที่เขามีให้คนที่เขากำลังกอดอยู่ในตอนนี้

“ผมรักคุณนะคุณปราณ คุณได้ยินใช่ไหมว่าผมรักคุณ... และผมก็ยินดีที่จะบอกคำนี้กับคุณไปตลอดชีวิต ถ้าหากว่าคุณเต็มใจที่อยู่ข้างๆ ผมเพื่อฟังมัน... อยู่กับผมนะคุณปราณ อย่าทิ้งผมไปไหนอีกเลย ผมอยู่ไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีคุณ”

ปราณันต์ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เสียงสะอื้นฮักดังอู้อี้อยู่ตรงอกของคามิน ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าปราณันต์กำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ เพราะตั้งแต่พูดคำว่ารักไปคามินก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้า หรือมองจ้องเข้าไปในตากลมของคนที่เขารักเลยสักครั้ง

คามินเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากกอดคนขี้แยไว้ในอ้อมแขนแน่นๆ และภาวนาให้คนตรงหน้าหายโกรธ ให้อภัย และเห็นใจเขาสักครั้ง บอกตามตรงว่าวันนี้คามินไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อพบเจอกับความผิดหวังเลยสักนิด

นั่นเป็นเพระเขารักปราณันต์มาก และเขาไม่อาจทนเสียปราณันต์ไปได้ .. และถ้าหากปราณันต์ยังไม่พร้อมให้อภัย เขาก็ยินดีทำทุกอย่างที่ปราณันต์ต้องการ ขอแค่ยกโทษให้เขาก็พอ

คำอธิษฐานที่ดังก้องอยู่ในใจของคามิน ก็หวังเพียงแค่ว่าปราณันต์จะได้ยิน และกลับมาหา มารักเขาเหมือนเดิมอีกครั้ง

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------

สวัสดีปีใหม่ไทยค้าบบบบบบ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันสงกรานต์นะคะ ขอโทษที่หายไปนาน ช่วงนี้กลับมาเวิร์คฟอร์มโฮมอีกแน้วววว มีงานที่ต้องเคลียร์มากมายเลยเพิ่งว่างมาลงงับบบ

ก็.. อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ววว อยากขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกการติดตาม และทุกยอดโดเนท อยากจะขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ

ยังไงก็มาเอาใจช่วยพี่ครามไปพร้อมๆ กันเนาะ ดูว่านุ้งปราณจะเอายังไงต่อไปปปป มาลุ้นไปด้วยกันกับตอนหน้านะคะ

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ ดูและสุขภาพกันด้วยน้า โควิดกลับมาระบาดอีกแล้วววว หมั่นล้างมือ และใส่แมสก์ตลอดเวลาที่ออกจากบ้านนะคะ เป็นห่วงเสมอออ .. ร้ากกก <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-04-2021 21:26:46
 :hao5: :o12:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 13-04-2021 23:01:54
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-04-2021 00:41:34
จ้าาา ดีจ้า
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-04-2021 03:09:23
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 16-04-2021 14:30:25
กว่าจะได้พูดออกมา
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Ritawongishere ที่ 17-04-2021 15:46:24
ขัดใจตรงที่ทำไมถึงไม่สืบจากเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามา 5555 แต่ดีใจที่เจอกันแล้ว รักแฝดมากๆๆๆๆๆ  :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-04-2021 21:15:05
 :hao5: :sad4:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...13/04/64 [31st Lies: หากได้พบคุณอีกครั้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-04-2021 00:40:45
ขัดใจตรงที่ทำไมถึงไม่สืบจากเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามา 5555 แต่ดีใจที่เจอกันแล้ว รักแฝดมากๆๆๆๆๆ  :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

เออจริง เห็นด้วยเลยค่ะ 555555  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/05/64 [32th Lies: ปรับความเข้าใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 01-05-2021 20:33:52
32th Lies : ปรับความเข้าใจ


คามินพาปราณันต์มาที่ห้องบนโรงแรมที่เขาจองไว้ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาปรับความเข้าใจกับปราณันต์ที่นี่ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เลิก คามินเลยต้องพาปราณันต์มาพักสงบสติอารมณ์อยู่ที่ห้องนี้แทน อีกอย่างคามินคิดว่าถ้าได้คุยกันให้รู้เรื่องในที่ๆ เงียบๆ และมีแค่เขาสองคนแบบนี้ น่าจะดีกว่ากลับไปคุยกันที่ที่พักที่ปราณันต์อยู่ เพราะไม่รู้ป่านนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรจะหลับไปหรือยัง

คามินพาปราณันต์นั่งลงบนเตียงอย่างเบามือ ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าซึ่งยิ่งดูตัวเล็กและน่าทะนุถนอมยิ่งกว่าเดิมเมื่ออยู่ในสภาพแบบนี้... ใบหน้าสวยหวานและจมูกแดงก่ำ เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ ส่วนตาก็บวมช้ำจนน่าสงสาร คามินต้องหมั่นยื่นนิ้วออกไปเกลี่ยน้ำตาให้ และยิ่งพอคามินทำแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าปราณันต์จะยิ่งหยุดร้องไห้ไม่ได้เสียที สุดท้ายอีกฝ่ายเลยต้องร้องขอให้คามินหยุด ไม่งั้นมีหวังต้องนั่งปลอบกันทั้งคืนแน่ๆ

“ว่าไงครับคนดี คุณปราณโอเครึยัง หื้ม?”

คามินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โดยมีมือใหญ่คอยลูบศีรษะทุยๆ ของปราณันต์ไม่ห่าง ราวกับจะอยากถ่ายทอดทุกสัมผัสแห่งความห่วงใยที่ตัวเองมีให้อีกฝ่ายได้รับรู้

“ฮึก..คะ.. ใครจะมาดีได้ในเวลาแป๊ปเดียวล่ะ” คามินแอบหัวเราะ เพราะขนาดว่ากำลังร้องไห้อยู่แบบนี้ คนขี้งอนก็ยังคงมีแรงพาล ฟาดหัวฟาดหางใส่เขาไม่เลิก

“โอเคๆ ผมผิดเอง ผมผิดทุกอย่างเลย” คามินค่อยๆ เอื้อมมือไปกอดเอวคนตรงข้ามช้าๆ เพื่อดูปฎิกริยาว่าปราณันต์จะโอนอ่อนให้เขามากแค่ไหน ถ้าอีกฝ่ายมีท่าทีต่อต้านเมื่อไหร่ คามินจะหยุดทันที เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะบุ่มบ่ามกดดันให้ปราณันต์อึดอัดใจ อยากจะค่อยเป็นค่อยไปกับอีกฝ่ายมากกว่า แม้ว่าตอนนี้อยากจะกอดร่างนุ่นนิ่มนี้ไว้แน่นๆ ไม่อยากจะปล่อยแม้แต่วินาทีเดียวก็ตาม

และเมื่อเห็นว่าปราณันต์ยังคงนั่งนิ่งๆ ถึงแม้มือใหญ่ของคามินจะเกี่ยวเอวบางไปมากกว่าครึ่งแล้วก็ตาม คามินเลยแน่ใจว่าเขาสามารถเดินหน้าต่อได้ จึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วรั้งคนที่เขาคิดถึงแทบจะทุกวินาทีเข้ามาหาตัวเอง

“ขอโทษนะครับ คุณปราณยกโทษให้ผมนะ ผมโง่เองที่ไม่รู้ใจตัวเอง” คามินจูบลงเบาๆ ที่กลุ่มผมสีเข้มที่หอมกลิ่นแชมพูเด็กอ่อนๆ กลิ่นเดียวกับปุณณกันต์และปัณณธร “แต่อย่างน้อยผมก็ต้องขอบคุณที่คุณปราณหนีมา ถ้าไม่ได้เสียคุณไป ผมก็คงไม่รู้ใจตัวเองสักที”

คามินพูดความรู้สึกของตัวเองออกมายาวเหยียด ทุกอย่างที่อัดแน่นจนเขาอยากจะพูดออกไปให้ปราณันต์รู้ คามินรู้ดีว่ามีเรื่องอีกมากมายที่เขาและปราณันต์ต้องคุยต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่อง ไม่ว่าจะเหตุผลที่ปราณันต์หนีมา เหตุผลที่เขาขอถอนหมั้นจากพรวลัย หรือแม้แต่เบื้องหลังการเสียชีวิตของคุณพ่อและคุณแม่ของปราณันต์ก็ตาม แต่...ในเวลาแบบนี้ เขาทั้งคู่กลับแค่อยากโยนปัญหาต่างๆ ที่รอให้ต้องแก้ออกไปให้หมด และอยากแค่ดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้ ดื่มด่ำกับการได้มาอยู่ข้างๆ คนที่รักอีกครั้งมากกว่า

“ฮึก.. คุณมัน.. ฮึก คุณมันโง่ คุณคามิน” เสียงหวานสะอึกสะอื้นต่อว่า “คุณจะมารู้ใจตัวเอง ฮึก... ตอนนี้ทำไม คุณกำลังทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าเดิม รู้ไหม”

และถึงแม้จะต่อว่าคามินไม่หยุด แต่มือบางที่ยึดเอวหนาไว้แน่นก็ไม่ได้คลายออกแต่อย่างใด ปราณันต์ยังคงซุกหน้าอยู่กับอกคามิน ยังคงยอมอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ นั้น แม้ว่าจะสาดคำพูดเกรี้ยวกราดใส่อีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

“ใช่ ผมมันโง่” คามินยอมรับยิ้มๆ ทำเอาโดนเจ้าแมวตัวน้อยที่กำลังอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เผลอแสดงความไม่พอใจออกมาด้วยการขบฟันของตัวเองลงบนอกกว้างๆ ที่ตัวเองใช้ซบอยู่อย่างแรง

“โอ๊ย” คามินร้องออกมาเบาๆ ที่จริงไม่ได้เจ็บเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะตกใจมากกว่า และเมื่อเห็นใบหน้าสวยหวานกำลังงอง้ำเพราะคำยอมรับของเขาเมื่อกี้ ก็ทำเอาร่างสูงอดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้

และก่อนที่จะทำให้ลูกแมวตัวน้อยของเขางอนมากไปกว่านี้ เลยต้องอธิบายให้เข้าใจเสียก่อนว่าเขาหมายความว่ายังไง ไม่งั้นมีหวังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันสักที

“ผมหมายถึงว่าผมโง่ที่รู้ใจตัวเองช้า จนเกือบเสียคุณกับฝาแฝดไปไงครับคนดี” พอได้ยินตรงๆ แบบนั้น เอาเข้าจริงปราณันต์ก็อดเขินไม่ได้ ใบหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงจางๆ ก้มลงซุกที่อกคามินอีกรอบ ก่อนจะพึมพำถามออกมาราวกับกลัวคำตอบที่จะได้ยิน

“แล้วเรื่องของเรา... มันจะเป็นไปได้หรอครับ”

คามินอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นปราณันต์เปิดใจมากขึ้น เขาได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจที่รู้ตัวช้า ถ้าเขารู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้ เรื่องระหว่างเขาและปราณันต์ก็คงไม่ยืดเยื้อขนาดนี้ ปราณันต์ก็คงไม่ต้องพาฝาแฝดหนีมาให้ลำบาก เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่ปราณันต์อยากรู้จากคามินมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นคือ เขาได้รักปราณันต์บ้างหรือเปล่า แค่นี้เท่านั้นเอง

“ผมถอนหมั้นกับวลัยแล้ว คุณปราณก็เห็นจากข่าวในทีวีไม่ใช่หรอครับ” คามินพูดเสียงนุ่มแต่หนักแน่น ราวกับอยากจะย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจ

“ผมเห็น แต่ผมกลัว กลัวคุณวลัยไม่ยอม” ปราณันต์ตัวสั่นน้อยๆ จนคามินรู้สึกได้ “เธอน่ากลัวแค่ไหนคุณก็รู้”

ร่างสูงจับน้ำเสียงไม่สบายใจของปราณันต์ได้ ซึ่งนั่นทำให้เขาคิดและตัดสินใจว่าจะต้องคุยกับคนรักของตัวเองให้รู้เรื่อง คามินอยากรู้ว่าเพราะอะไรปราณันต์ถึงหนีมา พรวลัยพูดหรือทำอะไร ถึงทำให้ปราณันต์ตัดสินใจที่จะพาเด็กๆ ทิ้งเขามาไกลถึงขนาดนี้ เพราะถ้าคามินไม่ถามหรือไม่คุยให้รู้เรื่อง เขาก็จะปกป้องปราณันต์เต็มที่ไม่ได้ ทางออกเดียวของปัญหานี้คือเขาและปราณันต์ต้องเปิดใจคุยกัน

“คุณปราณครับ มองหน้าผม” คามินประคองใบหน้าหวานเศร้าที่เขาชอบมองไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ปลอบประโลม เพราะอยากให้ปราณันต์มั่นใจว่าเขาจะดูแลปราณันต์และเด็กๆ ได้ “คนดีบอกผมได้ไหมครับ ว่าทำไมคุณถึงหนีผมมา ... วลัยทำอะไรคุณ หื้ม?”

พอฟังคำถามของคนตัวโตกว่าจบ ฟันของปราณันต์ก็ขบลงบนริมฝีปากล่างทันที ปราณันต์ดูลังเล และกำลังชั่งใจว่าจะพูดออกไปดีหรือเปล่า และในขณะที่ตากลมจ้องสบเข้าไปตาคมของฝ่ายตรงข้าม ปราณันต์ก็มองเห็นความรัก ความมั่นคง และความอ่อนโยนอยู่ในแววตาคมกล้าคู่นั้น จากเมื่อก่อนที่เขามองเห็นแต่ความลังเลไม่แน่ใจ แต่ในวันนี้มันกลับไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว

หัวใจของปราณันต์เต้นระรัวทันทีเมื่อรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองได้เห็นเองกับตา อย่างน้อยวันนี้เขาก็มั่นใจได้ว่า เขาจะฝากชีวิตของตัวเองและน้องชายไว้ในมือของคามินได้ ปราณันต์เคยบอกแล้วว่ายินดีจะเสี่ยงทุกอย่าง ขอเพียงแค่คามินบอกว่ารักเขาเท่านั้น

และวันนี้คามินก็ได้ทำในสิ่งที่ปราณันต์ต้องการแล้ว เพราะฉะนั้นปราณันต์ก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลในเรื่องอะไรอีก เขาจะขอเชื่อใจแค่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น

“คุณวลัย...” ปราณันต์สูดลมหายใจเรียกความกล้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยายามห้ามเสียงไม่ให้สั่น และเล่าเรื่องทั้งหมดให้คามินฟัง โดยไม่ปิดบังอะไรเลย “เขาขู่ว่าจะทำร้ายปุณณ์กับปัณณ์ ถ้าผมไม่ไปจากคุณ”

“วะ.. ว่าไงนะ?! ผู้หญิงคนนั้นขู่คุณปราณว่ายังไงนะ???” เสียงทุ้มดูตะกุกตะกักในคราวแรกน่าจะเพราะกำลังตกใจ แต่ก็เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดทันที เมื่อตั้งสติได้

“คุณ ใจเย็นๆ ก่อนสิ” จากคนที่หวาดกลัวในคราวแรกต้องกลับกลายมาปลอบให้อีกฝ่ายเย็นลง เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ใบหน้าดูดีของคามินกำลังถมึงทึง แววตาที่เคยอบอุ่นในคราวแรกก็เปลี่ยนไป เหมือนมีไฟแห่งโทสะเข้ามาสุมรุม มือใหญ่ที่เคยโอบเอวปราณันต์ไว้อย่างอ่อนโยน ก็เปลี่ยนเป็นวางบนหน้าขาของตัวเองแล้วกำเข้าหากันแน่น รวมทั้งสันกรามแกร่งกำลังนูนขึ้นเพราะร่างสูงขบฟันเข้าหากันจนแน่น เพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองหุนหันหรือทำอะไรที่ขาดสติออกไป

“เล่ามาคุณปราณ เล่าให้ผมฟังให้หมด ว่ามันเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไง” แต่ถึงแม้ว่าจะโกรธแค่ไหน แต่เมื่อหันมาพูดกับคนที่ตัวเองรัก คามินก็อ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ กับท่าทีน่ารักของอีกฝ่าย ก่อนที่มือเล็กจะเอื้อมไปช้าๆ ที่มือใหญ่ที่กำลังกำแน่นอยู่ พลางบีบเบาๆ อย่างเอาใจ

“ผมจะเล่าให้คุณฟังทุกอย่าง แต่คุณต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่วู่วาม ตกลงไหมครับ”

น้ำเสียงน่าฟังของอีกฝ่าย ทำให้ใจของคามินสงบลงอย่างประหลาด ปากที่เคยเม้มตึง กลับระบายยิ้มออกมาน้อยๆ ปราณันต์ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้อย่างไม่น่าเชื่อด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค

ถ้าเขาร้อนแรงพร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ดั่งไฟ ปราณันต์ก็คงเป็นน้ำใสไหลเย็น ที่คอยปลอบประโลมแล้วโอบอุ้มไฟแบบเขา ไม่ให้แผดเผาหรือทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นจุณ

“เฮ้อ” คามินถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยอมรับปากปราณันต์ในที่สุด “ก็ได้ครับ ก็ได้”

แต่ถึงกระนั้นร่างสูงก็ยังบ่นอุบ ให้ปราณันต์ได้ยินอยู่ดี “เล่นมองกันด้วยสายตาลูกแมวแบบนั้น ใครจะไม่ใจอ่อนกันล่ะคุณปราณ”

ปราณันต์หัวเราะทันทีที่ได้ยินคามินพูดแบบนั้น ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายมาแนบแก้มตัวเองพลางถูใบหน้าไปมาให้สมกับที่ร่างสูงนินทาเขาว่าขี้อ้อนไม่ต่างกับลูกแมว

“คุณปราณ... ถ้าไม่เลิกทำแบบนี้ ผมกลัวว่าคุณจะได้ทำอย่างอื่นแทนการเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังนะ”

ปราณันต์หยุดกึกทันที เพราะเขารู้ดีว่าคามินหมายความว่ายังไง และยิ่งสายตาที่คนเจ้าเล่ห์มองมาอีก อยู่ด้วยกันมาตั้งนานทำไมปราณันต์จะไม่รู้ล่ะ

“คุณนี่!” เสียงหวานเอ็ดตะโรใส่อีกฝ่าย ทั้งเขิน ทั้งทำตัวไม่ถูก คามินเลยหัวเราะเสียงดังลั่น พลางพูดปลอบทีเล่นทีจริง ซึ่งไม่ได้ทำให้ปราณันต์สบายใจขึ้นเลยสักนิด

“ผมล้อเล่นน่ะครับ หึหึ” ใบหน้าคมคายยื่นเข้าไปใกล้ร่างบาง พลางฉกจมูกลงบนแก้มนิ่มอย่างฉวยโอกาส “มัดจำไว้ก่อน ตอนนี้ไม่ทำอะไรหรอก สัญญาเลย... แต่ถ้าหลังจากนี้น่ะ ไม่แน่”

คามินพูดเสียงเจ้าเล่ห์ ปราณันต์ค้อนอีกฝั่งจนตาแทบกลับ “คุณ! ไม่ต้องล่งต้องเล่าแล้ว! ผมจะกลับบ้าน คุณมันไว้ใจไม่ได้”

ปราณันต์ทำท่าจะลุก คามินจึงยึดข้อมือบางไว้ ก่อนจะกระตุกเบาๆ ทำเอาคนตัวเล็กกว่าเสียหลักล้มกลับลงมานั่งบนตักอีกฝั่งตามเดิม

“โถ่ ผมคิดถึงคุณปราณจะแย่ ถ้าจะให้บอกว่าผมไม่คิดอะไรเลย ผมก็คงโกหก” คามินพูด พลางจูบลงบนไหล่ร่างบางเบาๆ “แต่ตอนนี้ ถ้าผมบอกว่าไม่ ก็แปลว่าผมจะไม่รังแกคุณ เชื่อใจผมได้ครับที่รัก”

คามินพูดยิ้มๆ ก่อนจะเร่งเร้าอีกฝ่ายให้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง “เล่าให้ฟังได้แล้วครับ ว่าวลัยทำอะไรคุณ” ปราณันต์ทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่คามินรู้ดีว่าปราณันต์จะพูดอะไร เลยชิงพูดออกมาเองเสียก่อน “ผมสัญญาว่าผมจะใจเย็นฟังจนจบ โอเคไหม”

ปราณันต์ยิ้มหวานพลางพยักหน้าหงึกหงักอย่างชอบใจที่เห็นคามินมีสติมากกว่าเดิม ร่างบางจึงขยับร่างกายตัวเองขึ้นมาบนตักของคนตัวโตดีๆ ก่อนที่แขนเรียวทั้งสองข้างจะโอบรอบคออีกฝ่ายไว้แน่น ... ปราณันต์คิดจะอีกกี่ครั้งก็ไม่ชิน เพียงแค่นึกถึงประโยคที่พรวลัยส่งมาขู่ ตัวเขาก็สั่นอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในช่วงเวลานี้ ปราณันต์ไม่ได้กลัวมากเท่าแต่ก่อน เพราะอย่างน้อยเขาก็มีคนตรงหน้ากำลังโอบกอดเขาไว้ และสัญญาว่าจะคอยปกป้องดูแลเขาและน้องทั้งสองให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงได้

“หลังจากที่กลับจากออฟฟิศคุณ ผมตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใคร” ปราณันต์เริ่มเล่าช้าๆ “ผมเดาว่าคุณคงไปทำอาหาร แล้วตอนนั้นในขณะที่ผมกำลังคิดทบทวนว่าจะเอายังไงต่อดี คุณวลัยก็ส่งข้อความมาหาผมในมือถือ”

“มือถือคุณหรอ?” คามินถามเบาๆ

“อื้อ... เธอส่งมาบอกว่า ฮึก...” แค่เพียงนึกถึงข้อความพวกนั้น น้ำตาปราณันต์ก็ไหลออกมาราวกับควบคุมไม่ได้ แค่คิดว่าฝาแฝดจะไม่ปลอดภัย แค่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกแก หัวใจปราณันต์ก็แทบสลาย เขาเสียเด็กๆ ไปไม่ได้ พวกแกเปรียบเหมือนคนในครอบครัวสองคนสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่

“เธอส่งมาว่า ‘เจ้าเด็กฝาแฝดนี่น่ารักดีนะว่าไหม ถ้าอยากเห็นมันทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องจากไปก่อนวัยอันควรล่ะก็ ไปจากคามินซะ! แกก็รู้ว่าคามินไม่ได้รักแกมากพอที่จะปกป้องแกไปตลอดขนาดนั้น คิดดูเอาเองก็แล้วกันปราณันต์ แกก็รู้ว่าฉันเอาจริง!’ … ฮึก”

ปราณันต์พูดออกมาราวกับจำได้ทุกคำทุกประโยค เพราะมันติดแน่นอยู่ในความทรงจำเขาจนยากจะลบเลือน

“คุณปราณ...” คามินเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เขาสงสารปราณันต์จับใจ และได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมถึงปล่อยให้พรวลัยทำร้ายคนที่เขารักได้ถึงขนาดนี้

“ตอนนั้นผมกลัวมาก ผมอยากบอกคุณ ผมอยากอ้อนวอนให้คุณช่วย แต่ผมกลับไม่มั่นใจเลยว่าคุณจะรักผมบ้างไหม หรือคุณจะรักผมมากพอที่จะดูแลและปกป้องผมและน้องๆ ได้หรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยถามคุณ แต่คุณกลับไม่แน่ใจกับความรู้สึกที่คุณมีให้ผม... ฮึก”

น้ำใสไหลออกมาจากตากลมที่บวมช้ำอีกครั้ง ทำเอาคามินต้องข่มความรู้สึกของตัวเองไว้ เพราะกลัวว่าจะร้องไห้ออกมาให้อีกฝ่ายเห็น และอาจจะทำให้ปราณันต์หวั่นใจว่าเขาจะดูแลปราณันต์และฝาแฝดไม่ได้

“ฮึก... ผมเลยตัดสินใจ ว่าผมจะหนีไปจากคุณ โดยที่ผมไป... ไปขอให้เพื่อนๆ ผมช่วย แล้วพอถึงวันที่ผมกำหนดไว้กับคุณวลัย ผมก็พาน้องๆ ออกมาตามสัญญา”

คามินมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้ช่างเข้มแข็งแล้วก็เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน ไม่มีเลยสักวินาทีที่ปราณันต์จะลังเลแล้วเลือกอยู่กับเขา สำหรับคนๆ นี้แล้วฝาแฝดคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตจริงๆ

“นั่นคือเหตุผลที่คุณปราณทำดีกับผมใช่ไหมครับ” คามินถาม แล้วคำตอบที่เขาได้รับก็ทำให้เขายิ่งรักปราณันต์มากขึ้นกว่าเดิม

“อื้อ...” คามินยื่นหน้ามาจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากอิ่ม ก่อนที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ “ผมรักคุณมาก ผมอยากบอกลาคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดไป”

ปราณันต์พูดทั้งน้ำตานองหน้า หัวใจคามินเจ็บปวดไปหมด เจ็บแค้นที่พรวลัยทำร้ายปราณันต์ก็แค้น โกรธตัวเองก็โกรธ แต่อีกใจก็อยากปลอบประโลมคนตรงหน้ามากกว่า ทุกอย่างประเดประดังไปหมด จนคามินไม่รู้ว่าอะไรที่เขาควรต้องรู้สึกก่อน ซึ่งปราณันต์เองก็มองเห็นความพลุ่งพล่านและคลุ้มคลั่งในแววตาคมคู่นั้น ตัวเขาเองก็ไม่ได้ต้องการให้คามินไปเอาคืนอะไรพรวลัยเลย หรือแม้แต่โทษตัวเองก็ไม่อยากให้ทำ ที่ปราณันต์ต้องการมีเพียง อยากให้คามินดูแลเขาและฝาแฝดไม่ให้คนใจร้ายคนนั้นมาทำอะไรได้ก็แค่นั้น แค่นี้เองที่ปราณันต์ต้องการ

มือเล็กแนบประกบลงบนแก้มสากของเจ้าของตักที่ตัวเองนั่งอยู่ พลางขอร้องอย่างใจดี จนคามินอดใจอ่อนตามไม่ได้

“อย่าไปแค้นอะไรเขาเลยครับ... ผมไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไม่จบไม่สิ้น ที่ผมต้องการก็แค่ อยากมีคุณอยู่ข้างๆ คอยดูแลผมกับน้องๆ ก็แค่นั้น คุณให้ผมได้ไหมครับคุณคราม”

ไฟที่สุมอยู่ในอกคามินดูเหมือนจะมอดไหม้ไปโดยปริยายเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของปราณันต์ ตอนแรกที่เคยลังเลว่าตัวเองต้องรู้สึกอะไรก่อน ตอนนี้เขากลับแน่ใจอย่างแน่ชัดถึงความต้องการของตัวเอง


...คามินอยากกอดปราณันต์ อยากกอดแน่นๆ อยากจูบ อยากพร่ำบอกรัก ให้คนตัวเล็กของเขาได้มั่นใจว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ และไม่มีวันทอดทิ้งปราณันต์ไปที่ไหน


คามินก้มลงไปจูบเบาๆ ที่ใบหูของปราณันต์ ก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่ปราณันต์ อยากได้ยิน

“ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่กับคุณปราณตรงนี้ จนกว่าคุณปราณจะไม่ต้องการผม”

ปราณันต์หลับตาพริ้มราวกับอยากซึมซับถ้อยคำเหล่านั้นไว้เต็มหัวใจ และทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าหวานก็เงยขึ้นเพื่อสบตากับคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างอ่อนโยน

“ขอจูบได้ไหมครับ”

คามินกระซิบถามเสียงหวานชิดริมฝีปากอิ่ม ปราณันต์พยักหน้าอายๆ แต่ก็แหงนรอให้อีกคนทาบทับริมฝีปากลงมาอย่างเต็มใจ

คามินค่อยๆ ดูดดึง ขบเม้ม เลาะเล็มริมฝีปากสีสดของปราณันต์อย่างคิดถึง เขาฝันถึงมันตลอดยามที่อยู่ห่างกัน


'ถ้าได้จูบคุณปราณอีกสักครั้ง ผมจะทำให้คุณปราณรู้ ว่าผมรักคุณแค่ไหน'


นี่คือสิ่งที่คามินพร่ำบอกตัวเองตลอดเวลา และในวันนี้โอกาสก็เป็นของเขาอีกครั้ง เขาจึงไม่ลังเลที่จะถ่ายทอดทุกสัมผัสให้อีกฝ่ายได้รับรู้

คนตัวโตค่อยๆ ละเลียดริมฝีปากของปราณันต์อย่างอ่อนหวานและอ่อนโยน ความรู้สึกของการที่มีผีเสื้อบินอยู่ในท้องเป็นยังไงปราณันต์ก็เพิ่งเคยสัมผัส คนตัวเล็กกว่าขยับริมฝีปากอย่างไร้เดียงสา ซึ่งนั่นยิ่งเหมือนกระตุ้นให้คามินรู้สึกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

คามินขยับปากอย่างชำนาญ เขาค่อยๆ บดคลึงขบเม้ม โดยเฉพาะกับริมฝีปากล่างของปราณันต์ที่เขาชอบมากเป็นพิเศษ ร่างสูงค่อยๆ จูบละเลียดอยู่นาน จากนั้นเมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดเริ่มหายใจไม่ทัน คามินจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก

จูบครั้งนี้ของทั้งสองเต็มไปด้วยความโหยหาและคิดถึง ดังนั้น เมื่อผละออกจากกันได้ไม่นาน ทั้งคู่ก็โผเข้าหากันอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนว่าจูบของคามินและปราณันต์จะลึกซึ้งมากกว่าเดิม

ริมฝีปากหยักของคามินดูดดึงและบดคลึงริมฝีปากอิ่มของปราณันต์อย่างลึกซึ้ง ลิ้นร้อนไล้เลียไปตามร่องริมฝีปากของปราณันต์อย่างร้องขอ เขาต้องการมากกว่านี้ เขาอยากแนบชิดกับปราณันต์มากกว่านี้ มือใหญ่จับปรับใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าให้ได้องศา เพื่อจะได้รับจูบจากเขาได้ถนัดยิ่งกว่าเดิม

ปราณันต์ค่อยๆ เผยอริมฝีปากออก เพื่อต้อนรับเรียวลิ้นร้อนของอีกฝ่ายที่รีบแทรกเข้ามาทันทีทันใด เพียงแค่ปราณันต์ยอมเปิดปากเท่านั้น

คามินกวาดลิ้นไปทั่วโพรงปากของปราณันต์อย่างเอาแต่ใจ ส่วนอีกฝ่ายที่ไม่ว่าจะผ่านการจูบไปอีกสักกี่ครั้งก็ไม่ได้ทำให้ปราณันต์ประสีประสากับเรื่องพวกนี้มากขึ้นเลย เมื่อเจอคนที่ชำนาญอย่างคามินไล่ต้อนเกี่ยวกระหวัดเรียวร้อนชื้นเข้ากับลิ้นเล็กๆ ของตัวเอง ปราณันต์ก็แทบจะไปไม่เป็น มือเล็กเกาะแน่นอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างของคามิน ราวกับพยายามหาที่ยึดพยุงร่างไว้ ไม่งั้นมีหวังไหลลงไปกองกับเตียงแน่ๆ

คนตัวโตกว่าตัดสินใจถอนริมฝีปากออก เมื่อเห็นว่าลมหายใจของปราณันต์เริ่มถี่กระชั้น และหลังจากที่ริมฝีปากอิ่มเป็นอิสระ ปราณันต์ก็ก้มหน้างุดซบอยู่กับอกคามินไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตา จะให้ผ่านไปอี่กกี่ครั้งเขาก็ไม่ชิน เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเลิกเขินกันง่ายๆ เสียเมื่อไหร่

“ไม่มองหน้ากันเลย คุณปราณโกรธผมหรอครับ” คามินถามเสียงเจ้าเล่ห์ เขารู้ดีว่าท่าทางที่คนตัวเล็กกว่าเป็นอยู่นี้ ไม่ใช่อาการของคนที่โกรธหรืออะไร แต่เป็นอาการของคนที่เขินจนไม่กล้าสบตามากกว่า

“คุณครามอย่ามาแกล้ง... คุณก็ชอบทำแบบนี้ตลอด” เสียงหวานพูดอู้อี้ ทำเอาคามินหัวเราะเสียงดัง ซึ่งนั่นก็สามารถทำให้ตากลมตวัดขึ้นมามองค้อนคนที่ล้อเขาไม่เลิกได้ทันควัน

“นี่ไง คุณปราณมองผมแล้ว ฮ่าๆ” พูดไม่พูดเปล่า ยังก้มลงฝังจมูกโด่งของตัวเองลงบนแก้มนิ่มๆ ของอีกฝ่ายอีกต่างหาก


ฟอด!


“คุณนี่!!” ปราณันต์ฟาดลงบนไหล่กว้างๆ นั่นเข้าให้ เพราะคามินเอาแต่แกล้ง และลวนลามเขาไม่เลิกสักที

ส่วนคนที่ถูกตีแทนที่จะสลดก็ไม่มี เอาแต่นั่งหน้าระรื่น ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี นั่นเพราะคามินรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้กลับมามีช่วงเวลาที่แสนหวานกับคนตรงหน้าอีกครั้ง

“คุณปราณครับ ผมมีความสุขมากเลย คุณรู้ใช่ไหม” คามินกระซิบชิดริมหูนิ่ม ก่อนจะดึงคนตรงหน้ามากอดเอาไว้ ราวกับอยากจะถ่ายทอดทุกคำพูดผ่านสัมผัส ให้คนในอ้อมกอดได้รับรู้

“อื้อ ผมรู้ ผมเอง... ก็มีความสุขมากเหมือนกัน” ปราณันต์เงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “ผมคิดถึงคุณ”

ถึงแม้ว่าเสียงที่พูดออกมาจะค่อย แต่คามินก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน และนั่นก็ทำให้ทุกความยับยั้งชั่งใจของเขาหมดลง ... แม้ว่าเวลานี้จะดูเหมือนยังไม่สมควรเท่าไหร่ แต่คามินทนห้ามใจตัวเองไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“คุณปราณครับ ผม... ผมต้องการคุณ คืนนี้คุณอยู่กับผมได้ไหมครับ”

แก้มนวลของปราณันต์ขึ้นซับสีเลือดจางๆ ทันทีที่ได้ยินคามินถามแบบนั้น ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ปราณันต์เองก็รู้ดีว่าคนตัวโตต้องการอะไร

“ได้ไหมครับ.. คนดี” คามินถามย้ำ ทำเอาปราณันต์ทำอะไรไม่ถูก มือไว้วางตรงไหนก็ดูเกะกะไปหมด

“แต่ปุณณ์ กับปัณณ์...” ว่ากันตามตรงปราณันต์ก็ไม่อยากปฏิเสธหัวใจตัวเองว่าเขาก็ต้องการคามินไม่น้อย แต่คนตัวเล็กเองก็เป็นห่วงน้องๆ เกินกว่าจะปล่อยให้พวกแกอยู่กันลำพังได้ และเหมือนคามินเองก็พอจะรู้ใจปราณันต์ดี ว่าปราณันต์คิดอะไรอยู่ เสียงทุ้มจึงเอ่ยออกมาเพื่อให้ร่างบางในอ้อมกอดสบายใจ

“แทนคุณจะเป็นคนดูแลฝาแฝดเองครับ” ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยต่ออย่างออดอ้อน “อยู่กับผมนะครับ ไหนว่าคุณปราณคิดถึงผมไง”

ปราณันต์มองตาคมของอีกฝั่งที่สื่อความต้องการออกมาจนหมดสิ้น ฟันของเขาขบลงบนริมฝีปากล่างของตัวเองเหมือนคนที่กำลังใช้ความคิดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีสัมผัสเบาๆ ลูบลงบนริมฝีปากสีสดที่ถูกขบอยู่อย่างอ่อนโยน

“ไม่เอาครับ ไม่ทำแบบนี้ เดี๋ยวเจ็บ” คามินพูดพลางก้มลงจูบลงบนริมฝีปากของคนตรงข้ามเบาๆ


จุ๊บ~


“ว่าไงครับ อยู่กับผมได้ไหม”


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/05/64 [32th Lies: ปรับความเข้าใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 01-05-2021 20:40:07
(อ่านต่อจากด้านบน)


ใบหน้าหวานพยักหน้าลงเบาๆ อย่างยอมจำนน หลังเจอคนตัวโตกว่ารบเร้าออดอ้อนอยู่นาน คามินลิงโลดดีใจจนเนื้อเต้น ร่างสูงพยายามเก็บอาการแต่ดูเหมือนว่ามันทำได้ยากเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะเขาห่างกับปราณันต์มาเป็นเดือนๆ เขาอยากจะสัมผัส อยากจะแตะต้องคนตรงหน้าให้มากที่สุดสมกับที่คิดถึงอยู่ทุกลมหายใจนั่นแหละ

คามินจึงค่อยๆ จับปราณันต์นอนราบลงบนเตียงเบาๆ ก่อนจะตามมาคร่อมร่างบางเอาไว้ พลางใช้จมูกโด่งไล้ไปมาเบาๆ บนแก้มนิ่มของคนตัวเล็กกว่าอย่างหยอกล้อ

ส่วนปราณันต์ก็มองคนด้านบนด้วยสายตายั่วเย้า แขนเรียวยกขึ้นคล้องรอบคอคามินไว้ รอยยิ้มกว้างที่คนด้านบนได้เห็นทำเอาอารมณ์เขาเตลิดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

คามินก้มลงไปจูบปิดปากปราณันต์อีกครั้ง โดยที่คนด้านล่างก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยการเผยอริมฝีปากออก เพื่อต้อนรับเรียวลิ้นร้อนให้เข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของตัวเองอย่างเต็มอกเต็มใจ

และก็ดูเหมือนว่า ยิ่งจูบกันนานเท่าไหร่ อารมณ์ของคนหนุ่มทั้งคู่ก็ยิ่งลุกฮือมากขึ้นเท่านั้น

อกบางของปราณันต์ลอยขึ้นบดเบียดกับอกหนาของคามินอย่างยั่วยวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ลมหายใจหอบกระเส่าของคนทั้งคู่ ยิ่งทำให้ร่างกายของคนทั้งสองร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความต้องการยิ่งกว่าเดิม อุณหภูมิของแอร์ที่ว่าสูงตอนนี้ก็ดูเหมือนจะดับความต้องการของคนทั้งคู่ให้น้อยลงไม่ได้เลยสักนิด

ในที่สุด คามินก็หมดความอดทน เขาถอนริมฝีปากออกจากริมฝีปากอิ่มของปราณันต์ ก่อนที่จะกระชากเสื้อตัวเอง จนกระดุมหลุดกระเด็นออกไม่มีเหลือ แล้วโยนเสื้อทิ้งลงข้างเตียงอย่างไม่ไยดี

ปราณันต์เองก็ไม่ต่าง คนตัวเล็กกว่าแม้จะไม่ได้ถึงกับกระชากเสื้อตัวเองออกเหมือนที่คามินทำ แต่มือบางก็รีบร้อนปลดกระดุมออกทุกเม็ดด้วยเวลาเพียงเสี้ยวนาที และพอมันหลุดออกจากร่างขาว ปราณันต์ก็โผเข้าหาคามินโดยไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น

ทั้งสองแลกจูบกันอย่างดุเดือดและร้อนแรงอีกครั้ง โดยครั้งนี้คามินก็ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะให้มือใหญ่ของตัวเองจะได้ชื่นชมคนตรงหน้าให้หลุดลอยไป เขาใช้มันฟอนเฟ้นไปทั่วร่างขาว ก่อนที่นิ้วเรียวยาวจะวนมาสะกิดที่ยอดอกสีหวานอย่างเอาใจ

“อืมมม”

ปราณันต์ครางในลำคออย่างพอใจ ทั้งที่ริมฝีปากยังประกบกับคามินอยู่ และยิ่งพอคามินสะกิดถี่ๆ ย้ำๆ ปราณันต์ก็ตัวสั่นด้วยความเสียวซ่านจนแทบจะทนไม่ไหว คนตัวโตกว่าจึงยอมที่จะละริมฝีปากออก ตาคมมองใบหน้าสวยหวานอย่างหลงใหล ก่อนจะที่ครอบริมฝีปากลงไปที่ยอดอีกสีหวานของอีกฝ่ายทันที

“อ๊ะ อาา อาห์”

คนตัวเล็กกว่าครางแทบไม่เป็นภาษา มือเล็กสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีเข้มของคนด้านบน พร้อมกับออกแรงกดน้อยๆ ให้อีกฝ่ายปรนเปรอตัวเองได้มากขึ้น

“อาาาห์”

ปากหยักทำหน้าที่ดูดดึงตุ่มไตข้างหนึ่งให้ปราณันต์อย่างเอาอกเอาใจ ในขณะที่อีกข้างนิ้วแกร่งก็สะกิดไล้วน ให้อีกฝ่ายได้ร้อนรุ่มและเผลอแสดงความต้องการให้มากกว่าเดิม

“อึก.. คะ คราม คุณคราม...” ปราณันต์เรียกฝ่ายตรงข้ามเสียงกระเส่า ซึ่งนั่นยิ่งทำให้สติคามินเตลิดยิ่งกว่าเดิม

คามินตัดสินใจผละออกจากปราณันต์อีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วถอดกางเกงและกางเกงชั้นในให้พ้นออกจากร่าง ปราณันต์เองก็เช่นกัน และเมื่อร่างกายของคนทั้งสองไม่มีเสื้อผ้าใดๆ มาบดบังให้เสียสายตาแล้ว คามินก็ใช้ตาคมไล่มองร่างกายขาวโพลนของปราณันต์อย่างชื่นชมและแสดงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง ทำเอาปราณันต์ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย

และโดยที่ร่างบางยังไม่ทันตั้งตัว คามินก็พุ่งตรงไปที่แก่นกายกลางร่างของปราณันต์ทันที มือใหญ่จับข้อเท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างของปราณันต์ตั้งฉากขึ้น คนตัวเล็กกว่าที่ยังงงๆ ก็แทบหงายหลังลงไปนอนราบกับเตียง ดีที่ใช้มือทั้งสองข้างดันที่นอนไว้ได้ทันก่อนที่จะได้เสียหลักหงายลงไป

ตอนนี้ปราณันต์เลยอยู่ในท่าที่ล่อแหลมสุดๆ ขาทั้งสองข้างตั้งฉากกับเตียง มือเล็กๆ ทั้งสองก็เท้าไว้กับที่นอน ลำตัวเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ส่วนแกนกายน่ารักๆ ก็กำลังตั้งชันเต็มไปด้วยแรงอารมณ์อยู่ตรงใบหน้าของคามินที่ตอนนี้กำลังซุกอยู่ตรงกลางระหว่างขาของปราณันต์

ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มร้ายกาจ เมื่อเห็นความพร้อมของอวัยวะกลางร่างกายของปราณันต์ คามินจึงครอบปากลงบนท่อนเนื้อของคนตัวเล็กกว่าช้าๆ จนสุดความยาว ก่อนจะออกแรงดูดและรูดแกนกายให้คนตรงหน้าอย่างถึงใจ ปราณันต์สูดปากลั่นด้วยความเสียวซ่าน นิ้วเท้าของเจ้าแมวตัวน้อย เกร็งจิกแน่นอยู่บนเตียง ริมฝีปากอิ่มครางลั่นแทบจะไม่เป็นภาษา

“อึก! .. อ๊ะ คะ คุณคราม..”

และยิ่งพอได้ยินแบบนั้นคามินยิ่งรูดริมฝีปากลึกจนแทบสุดโคน ลิ้นร้อนไล้เลียส่วนหัวสลับกับดูดย้ำๆ หนำซ้ำตอนนี้คามินก็ปล่อยมือทั้งสองข้างจากข้อเท้าของปราณันต์ แล้วเปลี่ยนเป็นลากนิ้วไปสะกิดบนตุ่มไตสีหวานแทน

“อืมมม อาาา”

ใบหน้าหวานสะบัดแหงนขึ้น เพราะไม่รู้จะระบายออกถึงความรู้สึกของตัวเองยังไง มันดีมาก คามินทำให้เขารู้สึกดีมากจริงๆ

คามินรูดรั้งริมฝีปากไปตามความยาวของแกนกายของปราณันต์ แรงๆ และเร็วๆ ติดๆ กันหลายๆ ครั้ง แล้วเขาก็เริ่มสังเกตเห็นว่าหน้าท้องของปราณันต์เริ่มหดเกร็ง นั่นหมายความว่า อีกไม่นานคนตัวเล็กน่าจะใกล้ถึงฝั่งฝันแล้ว

จากนั้นคามินจึงดูดท่อนเนื้อของอีกฝั่งเร็วและแรงขึ้น พลางใช้ลิ้นขยี้ส่วนตัวซ้ำๆ จนในที่สุดหน้าท้องของร่างเล็กก็หดเกร็ง และครางออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

“อึก! ... อาาาาหห์”

ปราณันต์ปลดปล่อยออกมาในที่สุด โดยริมฝีปากหยักของคามินโอบอุ้มตัวตนของปราณันต์ไว้หมด ไม่ให้ไหลหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว

หลังจากนั้นคามินก็ยังคงสาละวนไล้เลียทำความสะอาดให้ปราณันต์โดยไม่มีรังเกียจสักนิด ทำเอาปราณันต์ยิ่งเขินใหญ่ และพอเห็นท่าทางเขินอายของปราณันต์แล้วก็ดูเหมือนเจ้ามังกรยักษ์ของคามินก็ยิ่งขยายใหญ่และอยากเป็นเจ้าของคนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ

“คุณปราณครับ..” และยังไม่ทันที่คามินจะได้พูดอะไรต่อ มือเล็กก็จับเข้าที่ท่อนเนื้อที่ขยายใหญ่ของคามินไว้อย่างเบามือ ก่อนจะรูดรั้งมันช้าๆ

เสียงหวานพึมพำออกมาเบาๆ แต่ก็ชัดเจนเหลือเกินในความรู้สึกของคามิน


“ผมอยากให้คุณรักผม รักผมแรงๆ .. ได้ใช่ไหมครับ”


หัวใจของคามินลิงโลดและเต้นรัวอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ปราณันต์พูด ในขณะที่มือเล็กก็สาวรั้งแกนกายของคามินให้เบาๆ อย่างที่เหมือนต้องการจะกระตุ้น ทำให้เขายิ่งอยากโถมกายกระแทกใส่เด็กขี้ยั่วแรงๆ

ตาคมกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นเบบี้ออยล์ขวดเล็กๆ ที่โรงแรมให้ไว้บริการที่โต๊ะหัวเตียง คามินจึงเอื้อมไปหยิบมันมาไว้ในมือ ก่อนจะเทและชะโลมมันลงบนนิ้วมืออย่างเร่งร้อน ก่อนที่เขาจะพลิกจับปราณันต์หันหลัง ยกสะโพกของคนตัวเล็กกว่าให้ลอยเด่นขึ้นตรงหน้า ก่อนจะซุกใบหน้าแล้วแทรกลิ้นลงไปในช่องทางของอีกฝั่งแทบจะทันดีทันใด

ปราณันต์ที่ถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวก็ร้องครางเสียงหลง เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้าไปลึกจนถูกจุดสำคัญ เอวบางร่อนคว้าง ทำเอาร่างกายของคนที่โดนกระทำแทบจะร่วงไปลงกองบนเตียงนอน ดีที่มือเล็กยึดหัวเตียงเอาไว้ได้ทัน แต่อารมณ์ของปราณันต์เตลิดไปจนแทบจะกู่ไม่กลับแล้ว มันเสียว.. เสียวมาก

“อ๊ะ อ๊า อ๊า”

เสียงครางดังตามจังหวะรัวลิ้นของคามิน ปราณันต์ตัวสั่นอย่างยากที่จะควบคุม แก่นกายของคนตัวเล็กกว่าเริ่มแข็งขืนขึ้นมาอีกครั้ง

และในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะพาปราณันต์ไปยังจุดที่ๆ ปราณันต์ไปมานับครั้งไม่ถ้วน คามินก็กลับถอนลิ้นออกฉับพลัน นั่นทำเอาตากลมตวัดมองคนด้านหลังอย่างไม่พอใจ คามินหัวเราะลั่นหลังจากที่ได้เห็นท่าทีแบบนั้นของปราณันต์ ก่อนที่จะก้มลงไปกระซิบข้างหูนิ่มเบาๆ

“ใจเย็นๆ นะครับที่รัก”

คามินใช้นิ้วข้างที่ไม่เลอะ สะกิดเบาๆ ที่ยอดอกสีหวาน เป็นการเบนความสนใจ ก่อนจะแทรกนิ้วที่ชะโลมด้วยเบบี้ออยล์เข้าไปในช่องทางปราณันต์ช้าๆ

“อื้อ! เจ็บ”

คนตัวเล็กกว่าประท้วงทันทีเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายตัวเอง คามินค่อยๆ ดันนิ้วแรกเข้าไปจนสุด ปราณันต์ต่อต้านเล็กน้อย คามินจึงควงวนนิ้วช้าๆ จนร่างกายปราณันต์กระตุก

“อ๊ะ!”

“ตรงนี้ใช่ไหมครับคนดี หื้ม?” คามินกระซิบเสียงกระเส่า ส่วนปราณันต์ก็พยักหน้าขึ้นลงจนกลุ่มผมกระจาย

“อื้อ! ตรงนั้นๆ” คามินจึงค่อยๆ แทรกนิ้วที่สองที่สามตามเข้าไป แล้วกระแทกย้ำๆ ที่จุดเดิม จนปราณันต์หัวสั่นหัวคลอน เสียงครางไม่เป็นภาษาดังลั่น จนยากที่จะควบคุมตัวเองได้

“อ๊ะ อาาา อาาาา”

และพอคามินเห็นว่าเบิกทางไว้สำหรับของๆ เขามามากพอแล้วจึงถอนนิ้วออก แล้วชะโลมเบบี้ออยล์ขวดเมื่อครู่ลงบนแกนกายของตัวเองอย่างรีบร้อน พลางมองช่องทางสีสดตรงหน้าเหมือนอยากจะเข้าไปเต็มแก่ ปราณันต์เองก็หอบกระเส่าอย่างยั่วยวนรออยู่อย่างเต็มใจ คามินจึงยื่นหน้าไปเลียที่ใบหูนิ่มส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกายของปราณันต์เบาๆ ส่วนมือข้างที่ว่างก็สะกิดยอดอกสีหวานเพื่อเบนความสนใจ ก่อนจะค่อยๆ ดันแกนกายตัวเองเข้าไปช้าๆ

และพอปราณันต์เริ่มจะกระถดสะโพกหนีเพราะความเจ็บ มือใหญ่ทั้งสองข้างก็ยึดเอวบางเอาไว้ก่อนที่จะดันท่อนเนื้อของตัวเองเข้าไปในช่องทางของปราณันต์จนสุดความยาว

“อาาาห์” เสียงครางของคามินดังขึ้นอย่างรู้สึกดี

“อึก! เจ็บ!” ในขณะเสียงหวานร้องประท้วงอย่างเจ็บปวด แม้จะเบิกทางไว้แล้ว แต่แก่นกายของคามินไม่ใช่เล็กๆ จะให้ปราณันต์รับไว้โดยไม่เจ็บ คงเป็นไปไม่ได้

คามินจึงก้มลงไปจูบเบาๆ ที่แผ่นหลังสวยงามของคนด้านหน้า เพื่อเป็นการขอโทษทางอ้อม

“ขอโทษนะครับที่ทำให้เจ็บ ผมสัญญาว่าจะทำให้คุณปราณมีความสุข แต่อดทนเพื่อผมสักนิดนะคนดี”

คามินเหมือนจะพยายามยั้งๆ ตัวเองไว้เพราะไม่อยากให้ปราณันต์เจ็บมากไปกว่านี้ แต่ตัวปราณันต์เองก็อยากให้คามินมีความสุขบ้าง จึงตัดสินใจใช้มือเล็กกดสะโพกอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะพูดเบาๆ อย่างเขินอาย

“เข้ามาเถอะครับ ผมอยากรับคุณไว้ทั้งหมด..อึก! ผมอยากรู้สึกถึงคุณ.. รักผมเถอะนะครับ”

ซึ่งดูเหมือนว่าพอปราณันต์พูดแบบนั้นจบ คามินก็หมดความอดทนและยับยั้งชั่งใจในทันที สะโพกหนาโถมเข้าใส่ช่องทางของร่างเล็กไม่หยุด ปราณันต์ที่ดูเหมือนยังปรับตัวไม่ได้ตอนแรก ต้องกัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้ แต่เมื่อแกนกายของคามิน กระแทกโดนจุดอ่อนไหวของปราณันต์ ก็ดูเหมือนคนตัวเล็กก็แทบจะหลุดเสียงครางทันที

“อ๊าาาา”

“ตรง.. อึก! ตรงนี้หรอครับคนดี หื้ม?” คามินถามพลางก้มลงไปจูบปราณันต์พลาง ซึ่งปราณันต์ไม่ตอบแต่กลับพยักศีรษะขึ้นลงไม่หยุด เพราะกำลังกัดริมฝีปากข่มเสียงครางอยู่ และยิ่งพอคามินเห็นแบบนั้น คนตัวโตยิ่งโถมกายกระแทกใส่ช่องทางของปราณันต์เร็วและแรงยิ่งกว่าเดิม

“อาาา ตอด.. ตอดผมแบบนั้นแหละครับเด็กดี”

และยิ่งคำพูดลามกหลุดออกจากปากคามินมากเท่าไหร่ ผนังอุ่นที่โอบล้อมแกนกายของคามินก็ยิ่งตอดรัดมากขึ้นเท่านั้น

“อ๊า อ๊ะ อ๊ะ แรง.. แรงอีก” ปราณันต์เองก็ครางสลับกับร้องขอคามินอย่างน่าไม่อาย ตอนนี้เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด ดังสะท้อนผสมไปกับเสียงลมหายใจหอบกระเส่าของคนทั้งคู่ระงมไปทั้งห้อง

“อึก! .. แรง!” คามินกระแทกสะโพกเข้าไปในช่องทางตามจังหวะที่พูด “แรงอีกใช่ไหมครับ หื้ม?”

ปราณันต์หัวสั่นหัวคลอนแต่ก็ยังพยายามพยักหน้าพลางเอื้อมมือจะลงไปรูดรั้งแก่นกายของตัวเองด้วย เพราะตอนนี้มันกำลังแข็งขืนจนใกล้จะปลดปล่อยอีกครั้ง ซึ่งพอคามินเห็นแบบนั้นก็รั้งไว้และเอื้อมไปจับแก่นกายน่ารักนั่นให้ปราณันต์แทน

คามินสาวรั้งแก่นกายของปราณันต์ตามจังหวะและแรงกระแทกของตัวเอง จนเขาสังเกตเห็นว่าร่างกายปราณันต์เริ่มสั่นน้อยๆ จึงรู้ว่าคนตรงหน้าใกล้จะปลดปล่อยอีกครั้งแล้ว

คามินจึงสาวข้อมือเร็วขึ้นสลับกับใช้ขยี้ส่วนหัวให้ปราณันต์อย่างชำนาญ แต่ตัวเองก็ยังไม่หยุดโถมกายเข้าใส่คนตัวเล็กกว่า จนกระทั่งปราณันต์ตัวกระตุก หน้าท้องหดเกร็ง แล้วก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงครางหวานอย่างสุขสม... เสียงแบบที่คามินชอบ

“อ๊าาาาาา”

ปราณันต์แทบจะทรุดลงไปกองบนเตียงหลังจากปลดปล่อยออกมาอีกรอบ แต่มือใหญ่ของคามินยังคงประคองร่างเล็กไว้อยู่ ก่อนที่จะกระซิบบอกคนที่กำลังหมดแรงด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

“รอผม... อึก! ก่อนสิครับคนดี”

คามินกระแทกกายเข้าไปในช่องทางของปราณันต์ ก่อนที่ถอนออกมาจนเกือบสุด จนปราณันต์แทบจะผวาตัวตามด้วยเพราะความรู้สึกบางอย่างยังหลงเหลืออยู่ คามินจึงกระแทกแกนกายกลับเข้าไปแรงๆ อีกครั้ง คนตัวโตกว่าทำแบบนี้อยู่สองสามรอบจนหน้าท้องตัวเองเริ่มเกร็ง และปลดปล่อยออกมาในที่สุด ความอุ่นร้อนของตัวตนของอีกฝ่าย ฉีดเข้าไปในช่องทางของปราณันต์จนปราณันต์รู้สึกได้ พร้อมๆ กับเสียงครางต่ำของคามินที่ดังขึ้น... เสียงแบบที่ปราณันต์คิดถึง

“อาาาาาาาาห์”

ปราณันต์ขาสั่นเพราะเกร็งรับน้ำหนักของคามินอยู่นาน จนเกือบจะไม่ไหวแทบทรุดลงไปกองบนเตียง แต่ดีที่คามินจับปราณันต์นอนหงายราบลงไปก่อนได้ทัน

คามินมองคนใต้ร่างที่กำลังนอนหมดแรงระทดระทวยอย่างหลงใหล ก่อนจะก้มลงไปจูบแก้ม จูบไปทั่วตัวของปราณันต์อย่างแสนรัก

“ผมมีความสุขมาก คุณปราณรู้ใช่ไหมครับ” คามินถามเสียงหวาน ทำเอาคนได้ยินหน้าร้อนไปหมด

“อื้อ ผมรู้ ผมก็มีความสุขมากเหมือนกัน” ปราณันต์ตอบพลางซุกหน้าเข้าหาอกคามิน เพราะเขินคนตรงหน้าจนไม่กล้าสบตา

คามินหัวเราะเบาๆ กับท่าทีที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะกดจูบลงบนขมับของคนขี้อายเบาๆ

“คุณปราณของผม ขอบคุณมากนะครับที่ให้อภัยผม ... ผมรักคุณมากนะ”

หลังจบคำดวงตากลมก็เงยมาสบกับดวงตาคมที่มองเขาอยู่ก่อนหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างยั่วเย้าราวกับคนที่ไม่เข็ดไม่หลาบจำ

“ทำให้ผมรู้สิครับ ว่าคุณรักผมมากจริงๆ”

รอยยิ้มยั่วยวนจากปากอิ่มทำเอาคามินปั่นป่วนในช่องท้องอีกครั้ง จนถึงขั้นต้องส่ายศรีษะยอมแพ้...


ปราณันต์เวอร์ชั่นนี้ ช่างร้ายกาจจริงๆ ...

... แต่แน่อนว่าคามินคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเสียหน่อย


"ผมจะทำให้คุณปราณสำลักกับความรักของผม จนคาดไม่ถึงเลยแหละครับ"

สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน ก่อนจะโผเข้าหากันอีกครั้งอย่างไม่มีใครยอมใคร

.

.

.

หลังจากพายุแห่งอารมณ์พัดผ่านไป ปราณันต์ก็ดูเหมือนจะหมดแรงและน็อคหลับไปในแทบจะทันที ส่วนคามินก็นอนตะแคงข้างท้าวศีรษะมองคนที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เขามีความสุขมากจนเหมือนกับกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้อาจจะคือความฝัน เพราะใครจะไปคาดคิด ในเมื่อเมื่อวันก่อนเขายังฟูมฟายนอนมองเพดานคิดถึงปราณันต์อยู่เลย แต่วันนี้คนที่เขาคิดถึงกลับมานอนให้เขากอดอยู่ข้างๆ แบบนี้จะให้คามินหลับตานอนลงได้ยังไง เพราะถ้ามันเป็นความฝัน คามินก็ยังไม่อยากตื่นขึ้นมาในตอนนี้สักนิด

และในขณะที่คามินนอนมองปราณันต์หลับอยู่นั้น จู่ๆ ตากลมก็กะพริบปริบๆ งัวเงียตื่นขึ้นมา พร้อมกับขมวดคิ้วมองมายังเขาอย่างสงสัย อากัปกริยาอย่างนี้ของปราณันต์ ดูแล้วมันช่างน่าฟัดให้จมเตียงจริงๆ

“ทำไมไม่นอนล่ะครับ เช้าแล้วหรอ”

ปราณันต์ถาม พลางขยี้ตาด้วยความง่วง ทำเอาคามินยึดข้อมือเล็กไว้แทบไม่ทัน

“ยังไม่เช้าครับ อย่าขยี้ตาเลย นอนต่อเถอะครับคนดี เดี๋ยวพอคุณปราณหลับแล้วผมค่อยนอน” คามินพูดอย่างอ่อนโยน พลางก้มลงจูบหน้าผากมนอย่างเอาใจ

ปราณันต์เองก็แทบไม่ต่าง อาการขี้อ้อนเหมือนลูกแมวเหมือนสมัยที่คบกันใหม่ๆ กลับมาอีกครั้ง คนตัวเล็กกว่าโผเข้าซุกอกอุ่นๆ ของคามิน พลางกดจูบลงเบาๆ ตรงไหปลาร้าของคนที่กำลังกอดรัดตัวเองอยู่อย่างอ่อนโยน

“นอนกันเถอะครับ” ปราณันต์พูดพลางไล้จมูกไปมาเบาๆ ที่ซอกคอของคนที่อยู่ด้านบน

คามินหัวเราะเบาๆ พร้อมๆ กับขยับเข้าหาปราณันต์ช้าๆ “ถ้าทำแบบนี้ สงสัยคงไม่ได้นอนแล้วแน่ๆ ล่ะครับคืนนี้”

คนตัวเล็กกว่าหยุดทุกการกระทำทันที เมื่อรู้สึกถึงอวัยวะบางอย่างที่กำลังดุนดันอยู่ที่หน้าขาของตัวเอง “ไม่เอาแล้วคุณคราม แรงจะยกขาลงจากเตียงก็แทบไม่มีแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมทำงานไม่ไหว”

เสียงหวานบ่นอุบ เมื่อรู้ดีว่าตัวเองกำลังเสียท่าเพลี่ยงพล้ำให้คนตัวโตกว่าอีกครั้ง เพราะตอนนี้ดูเหมือนเจ้าอวัยวะใจกลางร่างกายของคามินจะไม่ยอมรามือให้เขาแน่ๆ รวมทั้งไอ้คนเจ้าเล่ห์ที่ตอนนี้เลื้อยมือไปขยำสะโพกเขาเบาๆ แล้วด้วย

“ไม่ต้องทำงาน ผมก็ดูแลคุณปราณและน้องๆ ได้ทั้งชีวิต” หลังจากได้ยินคามินพูดแบบนั้นปราณันต์ก็ค้อนเข้าให้วงโต ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

“ผมไม่ยอมอยู่เฉยๆ เอาเปรียบ ให้คุณทำงานหาเงินเลี้ยงผม เลี้ยงน้องแน่ๆ พูดเหมือนคุณไม่รู้นิสัยผมงั้นแหละ”

พอเห็นท่าทีต่อต้านที่คนตรงข้ามมี ร่างกายสูงใหญ่ก็ตรงเข้าโอบกอดคนที่กำลังโกรธอยู่ พร้อมกับรีบอธิบายให้อีกฝ่ายฟังทันที

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” คามินจูบเบาๆ ลงบนลาดไหล่เรียว ของคนที่ตอนนี้ยังคงไม่พอใจคำพูดของเขาอยู่ “ผมแค่หมายความว่า...”

คามินหยุดพูดไว้แค่นั้น ซึ่งเรียกสายตาอยากรู้อยากเห็นจากคนขี้งอนได้เป็นอย่างดี

“หมายความว่ายังไงครับ คุณพูดมาสิ” เสียงหวานเร่งเร้า เมื่อเห็นว่าคนตัวโตกว่ายังไม่ยอมพูดประโยคที่ค้างอยู่ให้จบเสียที

คามินยิ้มๆ ก่อนจะยื่นใบหน้าคมคาย เข้าไปใกล้ๆ กับใบหน้าน่ารักๆ นั่น ใกล้เสียจนแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดออกมาของอีกฝ่ายได้เลยทีเดียว


“ผมแค่หมายความว่า.. กลับบ้านเรากันนะครับคุณปราณ” มือใหญ่ลูบเบาๆ ที่แก้มนิ่มของคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“บ้านที่ไม่มีคุณ ไม่มีฝาแฝด มันทั้งกว้าง ทั้งเหงา ทั้งไม่มีความสุข ผมไม่อยากอยู่บ้านแบบนั้นเลย ... คุณปราณกลับไปกับผม... ไปเป็นบ้านให้ผมได้ไหมครับ”


เสียงทุ้มที่พูดอย่างหนักแน่นและชัดเจน ตาคมที่มองมายังปราณันต์ สื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา ให้รู้ว่าคามินคนนี้รักปราณันต์มากแค่ไหน

ส่วนคนที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่อย่างชัดเจน ก็น้ำตาคลอขึ้นมาทันที เพราะสำหรับปราณันต์แล้ว นี่เป็นประโยคบอกรักที่เรียบง่ายและจริงใจที่สุด จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมาเมื่อได้ยิน

ปราณันต์ไม่เคยอยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคามิน สิ่งที่ปราณันต์อยากเป็นก็แค่เพียงคนที่คามินจะพึ่งพาได้ หรืออบอุ่นหัวใจเมื่อมองกลับมา สำหรับตัวเขาแล้ว ถ้าเพื่อคนที่เขารัก ปราณันต์อยากเป็นแค่นั้นเอง

และในวันนี้คามินกำลังขอในสิ่งที่ปราณันต์ต้องการมาตลอด แล้วจะไม่ให้เขาซาบซึ้งกับสิ่งที่คามินพูดได้ยังไงกัน

“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมครับที่ขอผมแบบนั้น”

เสียงหวานถามกลับไปด้วยความประหม่า ไม่ใช่ปราณันต์ไม่เชื่อใจคามิน แต่เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้ดี บอกตามตรงว่าปราณันต์ไม่พร้อมจะเสียใจอีกแล้ว

“ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเรื่องราวที่ผ่านมา มันทำให้ผมยิ่งกว่ามั่นใจ... ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือคนที่ผมอยากจะกลับไปในเจอทุกๆ วัน ยังไงก็คือคุณครับ... ปราณันต์"

คามินยื่นหน้าไปจูบซับน้ำตาของปราณันต์ที่ตอนนี้ยังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่าปากอิ่มจะคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขมากอยู่ก็ตาม


“กลับบ้านกับผมนะครับคุณปราณ ... ผมรักคุณ”


จบคำที่คามินขอ ปราณันต์ก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างเอาเป็นเอาตาย นั่นหมายความว่าเขาตกลงและพร้อมจะฝากชีวิตและหัวใจไว้ให้คามินแล้ว


“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับคุณคามิน .... ผมเองก็รักคุณเหมือนกัน”


พอจบคำ ทั้งสองก็โผเข้าหาโดยที่ริมฝีปากประกบเข้าหากันทันที คามินและปราณันต์แลกจูบกันอย่างอ่อนโยน ก่อนที่คามินจะยอมถอนริมฝีปากออกก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหายใจไม่ทัน

สายตาคมจับจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรักใคร่ ก่อนจะระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ และพูดในสิ่งที่ปราณันต์เองก็รู้ดีว่าคามินหมายความว่ายังไง

“ก็บอกแล้วว่าคืนนี้คุณปราณต้องไม่ได้นอนแน่ๆ”

ปราณันต์เองก็ยิ้มๆ ตอนที่ได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะยอมเอนกายนอนราบลงไปกับที่นอน โดยมีร่างของคามิน ตามไปกอดก่ายมอบความสุขให้แก่และกันอีกครั้ง

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/05/64 [32th Lies: ปรับความเข้าใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 01-05-2021 20:44:09
(อ่านต่อจากด้านบน)


เช้านี้ปราณันต์พยายามลุกจากเตียงอย่างยากลำบาก ส่วนคามินก็กำลังหลับพริ้มอย่างมีความสุข คนตัวเล็กกว่ามองใบหน้าคมคายหล่อเหลาที่กำลังมีไรหนวดเขียวครึ้มขึ้นเนื่องจากไม่ได้ดูแลตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่สามารถบดบังความหล่อเหลาของคนตรงหน้าลงได้แม้แต่น้อย และในขณะที่ปราณันต์มองคามินเพลินๆ จู่ๆ ตาคมคู่นั้นก็เปิดขึ้น และจ้องมองมายังปราณันต์อย่างล้อเลียน

“แอบมองผมอยู่หรอครับคนดี” ปราณันต์เขินและไปไม่เป็นทันทีที่ถูกจับได้

“ปะ เปล่าสักหน่อย! ผมแค่คิดว่าคุณทำไมปล่อยให้หนวดขึ้นเขียวครึ้มขนาดนี้ เมื่อก่อนก็ออกจะสำอาง”

คามินหัวเราะก่อนจะพบว่ามันเป็นจริงอย่างที่ปราณันต์พูดจริงก่อนจะพูดอ้อน “ก็ตอนคุณไม่อยู่ ผมไม่รู้จะดูแลตัวเองให้หล่อไปให้ใครดูนี่ครับ อีกอย่างผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรด้วย ...เอาแต่คิดถึงคุณนั่นแหละ”

ปราณันต์เขินเลยพยายามจะลุกหนี และก่อนที่ปราณันต์จะได้ทำแบบนั้น คามินก็เอื้อมมือไปรั้งข้อมืออีกฝ่ายไว้ และพูดออดอ้อนตามประสาคนแผนสูง

“ถ้างั้นคุณปราณโกนหนวดให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

ปราณันต์มองอยู่อย่างลังเลพักหนึ่งก่อนที่จะคิดได้ว่ายังไงก็คงต้องทำให้คามิน ไม่งั้นอีกฝ่ายคงได้งอแง แล้วตัวเขาเองก็จะไม่ได้ไปหาปุณณกันต์กับปัณณธรเสียที

“ก็ได้ครับ แต่คุณห้ามทำตัวรุ่มร่ามใส่ผมอีกนะ โอเคไหม” ปราณันต์ย้ำเสียงเข้ม แต่พอดูจากหน้าตาเจ้าเล่ห์ของคามินแล้ว พูดตามตรงว่าปราณันต์ไม่วางใจเอาเสียเลย “แค่นี้ก็น่วมไปทั้งตัวแล้ว คุณนี่มัน! ฮึ่ย!!”

ปราณันต์บ่นงุ๊งงิ๊งเบาๆ แต่คามินก็ได้ยินเต็มสองหูนั่นแหละ สุดท้ายเลยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยอมรับปากว่าจะไม่รังแกอะไรปราณันต์อีก แต่เรื่องกอดเรื่องจูบนี่ มันอดไม่ได้จริง ซึ่งคามินก็ยอมรับออกไปตามตรง

“ผมไม่รังแกคุณปราณแล้วก็ได้ครับ” มือใหญ่ลูบไปเบาๆ ตรงรอยจูบที่เขาทิ้งไว้บนร่างขาวน่ามองของปราณันต์ที่กระจายไปทั่ว “แต่เรื่องกอด เรื่องจูบ...”

คามินพูดได้แค่นั้นก็ถูกปราณันต์ตะปบปากเอาไว้เสียก่อน ก่อนจะลากคนตัวโต กว่าเข้าห้องน้ำ เพราะถ้าขืนยืนพูดกันอยู่แบบนี้ มีหวังได้วกกลับไปนอนบนเตียงอีกรอบแน่ๆ

“มาเลยครับ มานี่ ผมโกนหนวดให้” คามินเดินตามปราณันต์ต้อยๆ ก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ล้างหน้าในห้องน้ำ

ปราณันต์หยิบครีมโกนหนวดและที่โกนหนวดเตรียมพร้อมไว้ในมืออย่างทะมัดทะแมง แต่ด้วยความที่เตี้ยกว่าคามินอยู่ไม่น้อย ทำให้ปราณันต์ต้องแหงนหน้าและยืดแขนสูงกว่าปกติ เพื่อโกนหนวดให้คามินได้ถนัดขึ้น เขาเห็นท่าทางที่ดูแล้วน่าจะเมื่อยแน่ๆ กว่าจะได้โกนหนวดเสร็จของคนตัวเล็กแล้วนึกสงสาร

คนตัวโตกว่าจึงตัดสินใจอุ้มจนตัวปราณันต์ลอยเหนือพื้น ก่อนจะจับร่างบางที่เบาหวิวอย่างกับปุยนุ่น นั่งบนเคาน์เตอร์ล้างหน้า แล้วตัวเขาก็แทรกเข้าไปยืนกลางหว่างขาเรียว เพื่อปราณันต์จะได้ช่วยเขาโกนหนวดได้ง่ายขึ้น

ปราณันต์แก้มขี้นสีทันทีที่อยู่ในท่าทางล่อแหลมแบบนี้ แต่มือเรียวก็พยายามจดจ่อและตั้งสมาธิอยู่กับคางของคนตรงหน้า เขาไม่อยากจะตื่นเต้นจนเผลอทำมีดบาดคามินจนเลือดออกอะไรทำนองนั้น

สายตาคมมองคนตรงหน้าที่กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำอย่างหลงใหล


... ปราณันต์ของเขา ปราณันต์ที่น่ารักของเขา ...


คามินมีความสุขมาก จนคิดว่าทุกอย่างเหมือนฝันไป แต่นี่คือความจริงซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาคนนี้มีความสุขมากกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก

แล้วจู่ๆ ใบหน้าคมคายที่กำลังเลอะครีมโกนหนวดแทบจะทั่วหน้า ก็พุ่งเข้าหาใบหน้านวล ก่อนที่จะจุ๊บลงบนแก้มใสเบาๆ นั่นทำให้ปราณันต์โวยวายออกมาไม่หยุด

“คุณคราม! ผมบอกแล้วไงว่าห้ามรุ่มร่าม” มือเล็กฟาดลงบนต้นแขนกำยำของคนขี้แกล้งจนตัวเองเจ็บมือไปหมด แต่แทนที่คามินจะสลดกลับหัวเราะร่าอย่างชอบใจ พอเห็นคามินขำน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลขนาดนั้น คนตัวเล็กกว่าจึงหันกลับไปมองใบหน้าตัวเองในกระจกช้าๆ

แล้วพอปราณันต์เห็นใบหน้าตัวเองในกระจก ก็หลุดขำออกมาเหมือนกัน เพราะเขาตอนนี้เหมือนแซนต้าที่มีหนวดขาวขึ้นข้างแก้ม ที่ดูแล้วตลกไม่น้อย

“น่ารัก ปราณันต์ของผมน่ารักที่สุดในโลก” คามินยิ้มกว้างทั้งที่มีครีมโกนหนวดเต็มหน้า

ปราณันต์เองก็เหมือนกันพอเห็นหน้าตาท่าทางตลกๆ ของคามินเข้า ก็หัวเราะออกมาราวกับว่าหยุดตัวเองไม่ได้

ต่างฝ่ายต่างผลัดกันขำ... เสียงหัวเราะที่ดังประสานออกมา มันบ่งบอกว่าตอนนี้คนที่อยู่ในห้องน้ำกำลังมีความสุขเหลือเกิน

.

.

.

ปราณันต์เข้ามาออฟฟิศตอนเกือบสายพร้อมคามิน ก็ได้เห็นปุณณกันต์ปัณณธรนั่งยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่กับแทนคุณตรงโต๊ะประจำที่เขาใช้ทำงาน

“พี่ปราณมาแล้วววว” ปุณณกันต์และปัณณธรน้อยปีนลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันทีที่เห็นพี่ชายคนโตและพี่คราม จากนั้นก็วิ่งถลาเข้าหาคามินและปราณันต์โดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้น

และโดยที่ยังไม่ทันจะคุยอะไรกันต่อ ก็ดูเหมือนว่าปราณันต์จะถูกเด็กๆ สอบปากคำเสียแล้ว

“เมื่อคืนพี่ปราณไปไหนมา ปุณณ์กับปัณณ์รอให้พี่ปราณมาอ่านนิทานให้ฟังตั้งนาน” ปุณณกันต์ถามอย่างสงสัย ทำเอาคนเป็นพี่ได้แต่อึกอักไม่รู้จะตอบยังไง

“เอ่อ คือ.. พี่..” และเมื่อเห็นคนรักกำลังจนมุม คามินที่ยืนกลั้นขำอยู่นาน เลยตัดสินใจเข้าช่วย

“พี่ปราณมาคุยกับพี่ครามเรื่องที่จะพาฝาแฝดกลับบ้านไงครับ” คามินทรุดลงนั่งยองๆ จนตัวเสมอกับเด็กทั้งสอง พลางลูบศรีษะทุยๆ เล็กๆ อย่างเอ็นดู

“ว่าไงครับ ปุณณ์กับปัณณ์อยากกลับไปอยู่ที่บ้านพี่ครามไหม”

“เย่ๆๆๆๆๆ” ฝาแฝดไม่ได้ตอบ แต่กลับตะโกนร้องออกมาอย่างดีใจ “ไปครับ เราสองคนอยากกลับไปอยู่บ้านพี่ครามครับ”

ปราณันต์ยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นท่าทีสดใสของฝาแฝดตัวน้อย เพราะตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เจ้าหนูทั้งคู่แทบไม่จะเคยแสดงออกอะไรแบบนี้ให้เห็นเลย ซึ่งสำหรับปราณันต์แล้ว ถ้าปุณณกันต์กับปัณณธรมีความสุข เขาเองก็จะมีความสุขและเบาใจขึ้นเยอะ นั่นทำให้ปราณันต์รู้สึกดีใจมากๆ ที่ตัดสินใจไม่ผิดที่จะกลับไปอยู่กับคามิน

“แทนคุณ จองตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพวันนี้เลย” คามินหันไปสั่งคนสนิทที่ดูเหมือนจะรอรับคำสั่งนี้อยู่อย่างเต็มอกเต็มใจ

“ครับบอส” แทนคุณรับคำ พร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความยินดีน้อยๆ

“เดี๋ยวก่อนครับ” แต่กลับเป็นปราณันต์ที่แย้งออกมา ทำเอาคามินหน้าซีดเหลือสองนิ้ว เพราะกลัวว่าปราณันต์จะเปลี่ยนใจไม่ยอมกลับไปกับเขา แต่พอปราณันต์เอ่ยประโยคถัดมาออกมา ก็ทำเอาคามินลอบถอนหายใจอย่างยินดี “จะไปวันนี้เลยหรอครับ ผมยังไม่ได้บอกลาคุณลุงเลย”

พอได้ยินปราณันต์พูดถึงคุณลุงเจ้าของโรงแรม คามินก็ยอมรับว่าหงุดหงิดนิดหน่อยที่รู้ว่าคนที่ปราณันต์มาขออาศัยอยู่และทำงานด้วยนั้นเป็นบิดาของกันต์กวี แต่เห็นแก่ว่าคุณลุงเป็นคนช่วยปราณันต์ไว้ เขาก็เลยพยายามจะมองข้ามเรื่องงี่เง่านี้ไปเช่นกัน

“โอเคครับ เราไปบอกลาผู้มีพระคุณของคุณปราณกัน เย็นนี้เราจะได้กลับกันเสียที” คามินตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำ ซึ่งมีปราณันต์ยิ้มและมองมาที่คามินอย่างภูมิใจ ... ไม่มีคามินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

จากนั้นทุกคนจึงตัดสินใจจะไปพบคุณลุงบิดาของกันต์กวีที่ห้องทำงาน โดยมีปราณันต์เดินนำคามินและเด็กๆ เดินตามไป

และพอเดินมาถึงห้องทำงานของคุณลุงเจ้าของโรงแรม คนสูงวัยที่นั่งอยู่ในห้องก็เอ่ยทักทันที

“อ่าว... ปราณ มาถึงนี่มีอะไรให้ลุงช่วยหรือเปล่า” พ่อของกันต์กวีถามขึ้น ก่อนที่สายตาภายใต้แว่นกรอบหนาจะเคลื่อนไปที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ปราณันต์ แล้วนึกร้อง ‘อ๋อ’ ในใจ


... ผู้ชายคนที่เจ้ากวีเคยบอกสินะ


“คุณลุงครับ คือผม..” ปราณันต์ตัดสินใจว่าจะบอกลา แต่แล้วจู่ๆ เขาก็เกิดไม่กล้าพูดขึ้นมาเสียแบบนั้น

“ผมคามิน เป็นคนรักของคุณปราณ ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพื่อจะมาพาคุณปราณกลับกรุงเทพฯ ... นั่นหมายความคุณปราณคงต้องลาออกจากที่นี่ด้วย” สุดท้ายคามินเลยตัดสินใจพูดออกไปแทน เพราะเขาไม่อยากเห็นปราณันต์ลำบากใจ

ซึ่งพอคามินพูดจบ ตอนแรกปราณันต์คิดว่าตัวเองจะโดนคุณลุงดุเข้าให้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

“ไปเถอะปราณ” คุณลุงพูดออกมาด้วยประโยคสั้นๆ ง่ายๆ พร้อมกับรอยยิ้มใจดีที่มักจะมีให้เขาและฝาแฝดบ่อยๆ ซึ่งดูเหมือนว่าคุณลุงจะไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่เมื่อได้ยินคามินบอกแบบนั้น ตรงกันข้ามท่านดูเหมือนจะรู้ล่วงหน้าแล้วด้วยซ้ำ และพอท่านพูดประโยคต่อมาออกมาปราณันต์จึงได้ไม่แปลกใจอีก “กวีบอกไว้แล้วล่ะ”

เมื่อเห็นว่าคุณลุงเข้าใจและไม่ได้ต่อว่าอะไร ปราณันต์จึงตัดสินใจบอกลาและขอบคุณคุณลุงพ่อของกันต์กวีอีกครั้ง

“ขอบคุณลุงมากนะครับที่ดูแล ให้ที่พัก และให้ที่ทำงานกับผม ทำให้ผมและน้องๆ ได้มีที่อยู่ที่กิน ขอบคุณมากๆ เลยครับคุณลุง”

ปราณันต์พุ่มมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ซึ่งฝาแฝดเองที่พอได้ยินและเห็นพี่ชายทำแบบนั้นเพื่อเป็นการขอบคุณคุณลุง เด็กทั้งสองก็ยกมือไหว้ตามทันทีโดยที่ไม่ต้องให้บอก

“ขอบคุณครับคุณลุง/ขอบคุณครับคุณลุง”

พ่อของกันต์กวียิ้มให้ครอบครัวปราณันต์อย่างใจดี พร้อมกับยีเบาๆ ลงบนศีรษะของเจ้าหนูทั้งคู่อย่างเอ็นดู

“ไม่เป็นไรเลย พอพวกเรามาอยู่ละลุงก็หายเหงาขึ้นเยอะ” ชายสูงวัยเงียบไปนิดนึงก่อนจะพูดต่อออกมาอย่างมีความสุขอีกประโยค

“เพราะอย่างน้อยพวกเราก็พอที่จะทำให้ไอ้ลูกชายหัวดื้อของลุงยอมติดต่อมาบ้าง ... แม้มันจะถามถึงแต่เรื่องพวกเราก็เถอะ ฮ่ะๆ” พ่อของกันต์กวีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็บอกให้ทุกคนรีบกลับไป เดี๋ยวจะไม่ทันไฟล์ทบินที่จองไว้

“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันไฟล์ทบิน” พ่อของกันต์กวียังคงยิ้มเวลาพูดในทุกๆ ประโยค “แล้วถ้าว่างๆ อย่าลืมพาเจ้าฝาแฝดมาเยี่ยมลุงบ้างล่ะปราณ... กลับไปกันนี่ลุงคงเหงาแย่”

เจ้าหนูทั้งสองที่พอได้ยินพ่อของกันต์กวีพูดแบบนั้นก็ฉีกยิ้มให้คุณลุงอย่างน่ารัก ทำเอาท่านหัวเราะยกใหญ่หลังจากที่ได้เห็น

“งั้นพวกเราไปนะครับ ไว้มีโอกาสผมจะมาเยี่ยม” ปราณันต์ยกมือไหว้ลาอีกครั้ง

“บ๊ายบายครับคุณลุง/บ๊ายบายยย” ตามด้วยเสียงสดใสของฝาแฝดทั้งสอง

โดยที่คามินเป็นคนหันมาบอกลาอีกฝ่ายเป็นคนสุดท้าย

“ขอบคุณคุณมากที่ช่วยดูแลคนสำคัญของผมให้เป็นอย่างดี ถ้าในอนาคตมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ”

คามินพูดเป็นการเป็นงานอย่างเอื้ออาทร ทำเอาปราณันต์ที่ได้ยินแล้วอดอมยิ้มไม่ได้


... ไม่มีแล้วสินะ คามินคนเย็นชา...


พ่อกันต์กวีเองพอได้ยินประโยคนั้นก็ยิ้มๆ ก่อนจะตอบคามินกลับมาอย่างติดตลกและอารมณ์ดี ซึ่งทำเอาปราณันต์ที่ได้ยินถึงกับขำไม่หยุด

“ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอกครับ แค่ไม่ไล่ลูกชายผมออกจากงานก็พอ” ซึ่งประโยคนั้นเรียกเอาเสียงหัวเราะครืนใหญ่ได้จากปราณันต์ และนั่นทำเอาคามินอดหัวเราะตามไม่ได้

ปราณันต์มองภาพคนรักตรงหน้ายามที่หัวเราะ พลางคิดในใจว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ปล่อยมือจากคามินเด็ดขาด


...ขอแค่มีคนๆ นี้อยู่ข้างๆ ปราณันต์ก็จะไม่กลัวและไม่หวาดหวั่นกับอะไรอีกต่อไปทั้งสิ้น ...

.

.

.

ทั้งห้าเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ กลางดึกคืนนั้น ปุณณกันต์กับปัณณธรหลับตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน ดังนั้นเมื่อกลับถึงคอนโดของคามิน แทนคุณและแม่บ้านที่ลงมารอรับอยู่ก่อนหน้าแล้ว จึงรับหน้าที่รีบพาเด็กๆ ขึ้นไปนอนก่อน เพราะปราณันต์กับคามินต้องเคลียร์ข้าวของที่ขนกลับจากเชียงใหม่ลงจากรถ

ตอนแรกแทนคุณจะทำเอง แต่คามินไม่อยากรอเพราะมันดึกมากแล้ว อีกอย่างเขาอยากจะอยู่กับปราณันต์ลำพังจนแทบจะทนไม่ไหว ถ้าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเร็ว นั่นหมายความว่าเขาก็จะได้อยู่กับปราณันต์เร็วขึ้นตามไปด้วย

แล้วในขณะที่ทั้งสองกำลังช่วยกันขนของจะเดินเข้าคอนโดนั้น โดยที่ไม่ทันได้สังเกต พรวลัยที่จอดรถดักซุ่มรออยู่ที่ลานจอดรถนานแล้ว ก็สตาร์ทเครื่องทันที พลางมองไปคนทั้งคู่ที่ยิ้มแย้มให้กันกระหนุงกระหนิงด้วยสายตาริษยา...

เธอเหยียบคันเร่ง และพุ่งตรงเข้าหาปราณันต์ทันที แต่ไม่รู้เป็นเพราะโชคดีหรือโชคร้ายที่คามินหันมาเห็นรถที่ตรงเข้ามาหาปราณันต์ก่อน.. ก่อนที่คนที่ถูกจะมุ่งเอาชีวิตจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

คามินเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เขาจำได้ทันทีและเห็นชัดว่าคนในที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยคือพรวลัย และโดยสัญชาตญาณ คามินนึกรู้ทันทีว่าคนรักของตัวเองกำลังไม่ปลอดภัย

คามินตัดสินใจผลักปราณันต์ออก ให้พ้นวิถีที่รถกำลังพุ่งเข้ามา

“คุณปราณ!! ระวัง!!”


โครม!!!


เสียงรถพุ่งเข้าชนปะทะร่างกายคามินอย่างแรง จนร่างสูงกระเด็นลงมานอนกองกับพื้น และภาพทั้งหมดที่ว่านั้นอยู่ในสายตาปราณันต์ที่ล้มนั่งเพราะแรงผลักจากคามินเมื่อครู่

“คุณคราม!!” ปราณันต์ร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตกใจ คามินยังไม่หมดสติ แต่สภาพก็ไม่ได้ดูดีสักเท่าไหร่นัก เขารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาคนที่นอนเจ็บอยู่บนพื้นทันที

ปราณันต์ร้องเรียกคามินด้วยความตกใจ เขากอดร่างคามินที่กึ่งมีสติไม่มีสติไว้แน่น พลางบอกอีกฝ่ายทั้งน้ำตา

“อดทนไว้นะครับ .. ฮึก อดทนนะ ผม .. ผมจะเรียกรถพยาบาล”

ปราณันต์พยายามตั้งสติและจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร แต่จู่ๆ พรวลัยที่ลงจากรถมาตอนไหนไม่รู้ก็วิ่งมาปัดโทรศัพท์มือถือของเขาออก จนกระเด็นไปไกล

และพอปราณันต์ได้เห็นหน้าคนที่มาขวางไว้ชัดๆ ก็ตกตะลึงจนแทบทำอะไรไม่ถูก

พรวลัยทาริมฝีปากด้วยลิปสติกสีแดงสดและกำลังแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว ดวงตาเรียวเฉี่ยวถมึงทึง และบวมคล้ำเหมือนคนไม่ได้หลับได้นอนมาหลายวัน ใบหน้าหวานที่เคยสวยงาม กลับบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยแรงโทสะอย่างน่ากลัว

“คุณวลัย” ปราณันต์ครางเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตื่นตะลึง ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ

“กลับมาจนได้นะ ไอ้มารหัวใจ!!!” พรวลัยตะโกนด่าทอเสียงกร้าวจนทำเอาปราณันต์ตัวสั่นด้วยความกลัวและตกใจ พี่ชายคนโตของครอบครัวนึกได้แต่ขอบใจตัวเองที่ส่งน้องๆ ขึ้นไปพร้อมกับแทนคุณก่อนหน้านี้

“แกมันมารความสุข ฉันจะฆ่าแก ฆ่าแกเหมือนที่ฉันฆ่าพ่อแม่ของแก ฆ่าด้วยวิธีเดียวกัน!! ให้แกตายตกตามกันไปอยู่กับพ่อแม่แกในนรกไง ไอ้ปราณันต์” พรวลัยตาขวางตอนมองไปที่ปราณันต์ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว เมื่อหันกลับมามองคามิน “คราม.. คุณมาขวางไว้ทำไม คุณรักมันมากใช่ไหม ใช่ไหมห๊ะ? กรี๊ดดดด”

พรวลัยตะโกนกร้าวออกมาราวกับคนเสียสติ แต่สิ่งที่ออกจากปากวลัยต่างหากที่ทำให้ปราณันต์ช็อคยิ่งกว่าช็อค คามินเองที่พอจะมีสติอยู่บ้างก็ตกใจไม่น้อย เพราะเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับปราณันต์และตั้งใจจะบอกหลังกลับมาถึงกรุงเทพแล้ว

แต่ยังไม่ทันที่จะถามอะไร คามินกลับไอออกมาอย่างแรง พร้อมกับเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากปาก ซึ่งสร้างความตกใจให้ปราณันต์อย่างมาก

“คุณคราม!! อย่าเป็นอะไรนะครับคุณคราม!!”

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------------------------------------------

ขออภัยนะคะที่หายไปนานมาก พอดีช่วงนี้เวิร์คฟอร์มโฮม อะไรเลยไม่ค่อยเอื้อในการลงนิยายเท่าไหร่ 55555555555 แต่ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ จะกลับมาลงเรื่องนี้ให้จบก่อน เพราะตอนหน้าก็จะจบแล้วววว ยังไงก็อยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนนั้นกันนะคะ

เราอยากจะขอบคุณทุกคนมากๆ ที่คอยสนับสนุน คอยอ่าน คอยให้กำลังใจ คอยคอมเม้นท์และเป็นนักอ่านที่น่ารักมาโดยตลอดดด ขอบคุณมากๆ นะคะที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงขนาดนี้

ยังไงก็อย่าลืมคอมเม้นท์ฟีดแบคกันน้า ตอนหน้าจบแล้วว มีเวลาจะรีบมาลงให้ค้าบบบ น่าจะมีตอนพิเศษให้อีกสักตอนนึงถ้าสามารถ ... อย่าลืมติดตามกันน้า

เจอกันตอนหน้าค้าบบ รักทุกคนมากๆ ^^
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/05/64 [32th Lies: ปรับความเข้าใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-05-2021 21:58:23
 :hao5: :angry2: ขอบคุณมากค่าาาา
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/05/64 [32th Lies: ปรับความเข้าใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-05-2021 23:52:47
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/05/64 [32th Lies: ปรับความเข้าใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-05-2021 02:23:49
ดีกัน ละเจ็บต่อ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...01/05/64 [32th Lies: ปรับความเข้าใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 02-05-2021 11:58:13
เจ็บแล้ว เจ็บอีก
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...12/05/64 [33th Lies, End Ch.: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 12-05-2021 21:36:54
33th Lies

[The END Chapter]

: แค่มีเรา


ปราณันต์น้ำตานองทั้งสองแก้มเมื่อมองเห็นคามินไอออกมาเป็นเลือด ทำท่าจะหมดสติไม่หมดสติแหล่

“กรี๊ดดดดดดดดดดด”

ส่วนตัวพรวลัยก็กรีดร้องลั่นทันทีที่เห็นว่าคนที่ตัวเองทำร้ายกลายเป็นคามิน ทั้งที่คนที่เธอตั้งใจจะทำให้ตายคือปราณันต์ต่างหาก แต่มันกลับไม่เป็นอะไร นั่นยิ่งทำให้พรวลัยแค้นจนแทบกระอักยิ่งกว่าเดิม ผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นตัดสินจู่โจมเข้าหาปราณันต์อีกรอบ แต่ดีที่แทนคุณลงมาได้ทัน เลยพุ่งเข้าชาร์จตัวพรวลัยไว้ได้ก่อน

“ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนน!! ฉันบอกให้ปล่อย ฉันจะฆ่ามัน ฉันจะฆ่าไอ้ปราณันต์”

แทนคุณล็อคแขนพรวลัยไว้แน่น ในขณะที่ปราณันต์กำลังมองมาที่พรวลัยด้วยสายตาตระหนกตกใจ เพราะไม่คิดว่าพรวลัยจะกล้าทำถึงขนาดนี้

ปราณันต์ที่ตอนนี้นัยน์ตากลมโตถูกกลบไปด้วยม่านน้ำตา เพราะเห็นเลือดที่แดงฉานของคามิน ที่ยังไหลออกมาไม่หยุด

“ฮึก... คุณ คุณเจ็บมากไหม” ปราณันต์กอดคามินที่นอนอยู่กับพื้นไว้แน่น

"ไม่.. ไม่ต้องร้องไห้นะครับคนดี ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณปราณล่ะครับ... คุณปราณ เจ็บตรงไหนไหม"

และถึงแม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บ แต่คามินก็ยังคงเป็นห่วงปราณันต์มากกว่า และพยายามไล้มือข้างที่ไม่เจ็บลูบไปตามเนื้อตัวและใบหน้าของคนรักราวกับกำลังจะปลอบใจ

“ฮึก.. ฮืออ ผม.. ผมไม่เป็นอะไร” ปราณันต์พูดไปร้องไห้ไป เพราะตกใจที่ตอนนี้เลือดของคามินยังไหลไม่เลิก “แต่คุณ..คุณเลือดไหลเต็มไปหมดเลย ฮึก..”

ปราณันต์พยายามจะใช้มือเล็กๆ ของตัวเองกอดคามินไว้ แต่กลับกลายเป็นยิ่งทำให้คามินเจ็บหนักกว่าเดิม

“โอ๊ยยย” คามินร้องออกมาค่อนข้างเสียงดัง เพราะแรงกระแทกที่ถูกส่งมาตอนปะทะกับรถก็ไม่ใช่ว่าจะเบา ดังนั้นพอถูกปราณันต์สัมผัสแม้เพียงเบาๆ ก็ทำให้เจ็บร้าวไปทั้งตัวได้

ปราณันต์เองพอเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวลงเรื่อยๆ ของคามินยิ่งใจไม่ดี น้ำหูน้ำตายิ่งพาลไหลไม่หยุด จนสุดท้ายแม่บ้านคนที่ดูแลคอนโดของคามินก็วิ่งออกมาหลังจากที่ได้โทรแจ้งความและเรียกรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

“คุณปราณันต์คะ ดิฉันโทรแจ้งตำรวจและเรียกรถพยาบาลแล้ว คุณไม่ต้องห่วงนะคะ” เธอพยายามประคองปราณันต์ไว้ เพราะดูเหมือนคนรักของเจ้านาย จะดูตกใจ และทำอะไรไม่ถูกไปหมดทุกอย่าง

“ฮึก.. ให้เค้า ฮืออ ให้เค้ามาเร็วๆ ได้ไหมครับ คุณครามเลือดออกเต็มไปหมดเลย” ปราณันต์โวยวายเสียงดังเพราะทั้งใจเสีย ทั้งตกใจ กลัวคามินจะเป็นอะไรไปก็กลัว

และด้วยเสียงของปราณันต์ทำให้แทนคุณต้องหันมองเจ้านายตัวเองด้วยสีหน้าไม่สบายใจอีกครั้ง เขาอยากจะเข้าไปหา ไปช่วยปราณันต์ดูแลคามิน แต่กลับเจอสายตาคมของคนที่เขากำลังเป็นห่วงปรามกลับมาว่าให้ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น

“ฉัน.. ฉันไม่เป็นไร” คามินกัดฟันพูด “จับผู้หญิงคนนั้นไว้ อึก! อย่าให้พรวลัยเข้ามาใกล้คุณปราณได้อีก”

คามินสั่งคนสนิทเสียงกร้าว แม้จะเจ็บแค่ไหน แต่คามินจะไม่มีวันยอมให้พรวลัยมาทำร้ายหรือแตะต้องปราณันต์ของเขาได้อีกเด็ดขาด หรือต่อให้แม้คามินต้องได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้ เขาก็ทนได้ แต่ปราณันต์และฝาแฝดจะต้องไม่เป็นอะไร ไม่งั้นเขาได้ขาดใจตายแน่ๆ

“คะ.. คุณคราม ฮึก..” ส่วนปราณันต์นั้นยังคงดูเหมือนว่าจะหยุดน้ำตาตัวเองไม่ได้ ตอนนี้ในสายตาของคนตัวเล็กมีแต่ใบหน้าซีดเซียวของคามินที่ปรากฎอยู่เท่านั้น เขาได้แต่ภาวนาให้รถพยาบาลมาไวๆ เพราะยิ่งคามินเจ็บมากเท่าไหร่ หัวใจของปราณันต์ก็เจ็บจนเหมือนจะหยุดเต้นไปด้วยเสียให้ได้

“คนดี.. ไม่ต้องร้องไห้นะครับ ผมยัง...ยังไหว” คามินข่มตากัดฟันกลั้นความเจ็บปวด เขาไม่อยากให้ปราณันต์เป็นห่วงไปมากกว่านี้

และทันใดนั้นเอง แสงไฟและเสียงไซเรนที่สะท้อนเข้ามาจากทางหางตา ก็ทำให้ปราณันต์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มอย่างดีใจทั้งที่น้ำตายังเปรอะเต็มสองแก้ม มือเล็กที่ชุ่มไปด้วยเลือดของคนรัก ยังคงกอดอีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย

“ฮึก.. รถพยาบาลมาแล้วครับ คุณอดทนหน่อยนะ”

“ทางนี้ค่ะทางนี้ คนเจ็บอยู่ทางนี้” แม่บ้านตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่กู้ภัย พลางโบกไม้โบกมือไม่หยุด โดยที่ปราณันต์ยังไม่ยอมละมือออกออกจากตัวคามินเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“มาครับ ขอทางให้ผมพาคนเจ็บขึ้นรถพยาบาลหน่อยครับ”

เจ้าหน้าที่ขอให้ปราณันต์หลีกทาง และส่งคามินให้พวกเขาดูแลต่อ แต่ดูเหมือนปราณันต์ยังลังเล แววตากลมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตกใจ และไม่ไว้ใจ ทำให้คามินที่เห็นท่าทางแบบนั้นของปราณันต์ต้องรีบพูดออกมา เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ตกอยู่ในสภาพช็อคมากแบบนี้นานไปกว่านี้

“ไปกับผมนะ... คุณปราณ ไม่...ไม่ต้องกลัว ผมปลอดภัยแล้ว” คามินพูดพร้อมนิ่วหน้าเพราะเจ็บไม่น้อย ซึ่งภาพที่เห็นทำให้ปราณันต์ตัดสินใจวิ่งนำทุกคนไปขึ้นรถพยาบาลทันที

“เร็วๆ หน่อยครับ ผมไม่อยากให้แฟนของผมเจ็บไปมากกว่านี้”

ปราณันต์พูดออกมาเต็มปากเต็มคำ เจ้าหน้าที่เองก็ดูงงๆ เพราะเมื่อกี้ปราณันต์ยังดูงกๆ เงิ่นๆ อยู่เลย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าอาการช็อคอาจทำให้สติที่ควรมีหดหาย เจ้าหน้าที่เลยจัดแจงยกคนเจ็บอย่างคามินขึ้นใส่เปลแล้วพาขึ้นรถ โดยมีปราณันต์นั่งรอท่าอยู่แล้ว ซึ่งทางฝั่งพรวลัย พอได้เห็นภาพปราณันต์ประคองคามินนั่งในรถก็แทบจะเหมือนคนเสียสติ เธอกรีดร้องลั่นด้วยความไม่พอใจ

“กรี๊ดดดด แกจะไปไหน! ไอ้ปราณันต์ กรี๊ดดดด แก! แกจะพาคามินไปไหน คามินเป็นของฉัน!! เขาเป็นของฉัน!! กรี๊ดดดดด”

พรวลัยดิ้นพล่านๆ ทำให้แทนคุณต้องข่มตากัดฟันแน่น ในการกักตัวพรวลัยเอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะตอนที่พรวลัยทำจะพุ่งเข้าหาปราณันต์อีกรอบ

และก่อนที่แทนคุณจะจับพรวลัยไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังขี้น

แทนคุณลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตำรวจมาได้ทันเวลา

ตำรวจตรงเข้ามาล็อคตัวพรวลัยไว้ก่อนจะพาออกไป ในขณะที่รถพยาบาลเตรียมจะออก พรวลัยที่กำลังกรีดร้องเสียสติก็กำลังถูกตำรวจคุมตัวไปอีกทาง

แทนคุณทันได้วิ่งไปหาคามินที่รถพยาบาลก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออก

“บอสครับ..” แทนคุณพูดได้แค่นั้นก็โดนคามินตัดบทเสียก่อนเพราะรู้ดีว่าแทนคุณจะพูดอะไรต่อ

“ฉัน... ไม่เป็นอะไร” คามินสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เพื่อข่มความเจ็บปวด ก่อนสั่งแทนคุณอย่างเฉียบขาด “นายต้องไปดูแลฝาแฝด หรืออย่างน้อยก็ต้องทำ อึก! ให้แน่ใจว่าพวกเด็กๆ ปลอดภัย แล้วค่อยตามไป”

แม้ใจจะห่วงคามินมาก แต่แทนคุณก็ขัดคำสั่งเจ้านายไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้มือข้างที่ไม่เจ็บของคามินก็มีมือเล็กๆ ของปราณันต์จับไว้แน่น และอีกเดี๋ยวถ้าถึงมือหมอแล้วก็คงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก

“คุณแทนคุณ ผมฝากน้องด้วยนะครับ” ปราณันต์พูดทั้งที่ตาบวมช้ำ เพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ทำให้ดูน่าสงสารและน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้นไปอีก แทนคุณไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้านายของเขาถึงได้รักพี่ชายคนโตของครอบครัวนี้นัก

“ผมก็ฝากบอสด้วยนะครับคุณปราณันต์” แทนคุณก้มศรีษะให้คนทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะถอยออกมาเพื่อให้รถได้แล่นออกพาเจ้านายเขาไปโรงพยาบาลต่อไป

.

.

.

ระยะเวลาที่ใช้เดินทางมาโรงพยาบาลกินเวลานานจนแทบจะชั่วชีวิตสำหรับปราณันต์ เลือดของคามินหยุดไหลแล้ว เพราะได้รับการปฐมพยาบาลจากเจ้าหน้าที่ประจำรถฉุกเฉิน แต่ดูเหมือนว่าน้ำตาของปราณันต์จะยังไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ

ปราณันต์ยกมือเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ ตอนมองไปที่ใบหน้าที่แทบจะไร้สีเลือดของคามินแล้วหัวใจของเขาก็เจ็บไปหมด ทำไมคามินต้องเสียสละตัวเองเพื่อเขาขนาดนั้น ถ้าคามินไม่เข้ามาขวางไว้ เขาคงโดนพรวลัยขับรถชนไปแล้ว แต่นี่เป็นเพราะคามินช่วยไว้ เขาเลยไม่เป็นอะไร แต่คามินดันต้องมาเจ็บตัวแทนแบบนี้ นั่นยิ่งทำให้คนตัวเล็กกว่ารู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

มือเล็กเอื้อมไปจับมือใหญ่ที่อบอุ่นเสมอของคามินไว้ แม้ในเวลาแบบนี้มือของคามินก็ยังให้ความรู้สึกปลอดภัยไม่เปลี่ยนแปลง

ปราณันต์ยกมือของคามินมาแนบไว้กับแก้มตัวเองเบาๆ พร้อมกับกระซิบถ้อยคำขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ

“คุณคราม.. ขอบคุณคุณมากนะครับ ขอบคุณ”

.

.

.

ในที่สุดช่วงเวลาที่แสนทรมานของปราณันต์ก็จบลง คามินเดินทางมาถึงโรงพยาบาลและถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดโดยด่วน ปราณันต์เดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดอย่างเป็นห่วง จนกระทั่งอนาวิน กันต์กวี และนทนัชเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เพราะรู้ว่าเกิดเรื่องกับปราณันต์ทันทีที่เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพ

อนาวินวิ่งหน้าเริ่ดมาด้วยความกังวล เขากลัวว่าปราณันต์จะได้รับอันตราย คนอย่างพรวลัยไม่ธรรมดาเลยสักนิด และหลังจากที่เขาได้รู้คร่าวๆ จากปราณันต์ว่า การตายของคุณพ่อคุณแม่ของปราณันต์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นเขายิ่งกังวลไปใหญ่ ครั้นจะให้อยู่บ้านเฉยๆ เพื่อรอฟังข่าวคงไม่ไหว เลยต้องรีบออกมาหาเพื่อนสนิทกลางดึกที่โรงพยาบาลแบบนี้

และทันทีที่ปราณันต์และอนาวินเจอกัน ทั้งสองก็โผเข้าหากันทันที

“ไอ้ปราณ.. นายไม่ได้เป็นไรใช่ไหม” อนาวินถามเสียงหวั่นๆ เพราะกลัวเพื่อนจะได้รับบาดเจ็บ

“ฉันไม่เป็นไร แต่คุณคราม...” ปราณันต์ชะงักไปแล้วทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ นทนัชเลยต้องเข้ามาปรามไว้

“เขาไม่เป็นอะไรหรอกปราณ ถึงมือหมอแล้ว ไม่ต้องร้องๆ”

นทนัชพยายามพูดให้ปราณันต์คลายความกังวลใจแต่ดูเหมือนก็จะไม่ได้ผลมากนัก

“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมาก ทำไมหมอถึงไม่ออกมาสักทีล่ะครับ” มือเล็กกำเข้าหากันแน่นด้วยความไม่สบายใจ จนกระทั่งประตูห้องผ่าตัดเปิดออก

“คุณหมอครับๆ คุณครามเป็นยังไงบ้างครับ”

ปราณันต์ถลาเข้าไปหาแพทย์ผู้ผ่าตัดคนแรก ซึ่งหมอไม่ตอบคำถามปราณันต์ แต่กลับถามคำถามปราณันต์แทน

“คุณเกี่ยวข้องเป็นอะไรกับคนไข้ครับ”

ปราณันต์อึกอักทันทีที่ถูกถามแบบนั้น แต่เขาอยากรู้ว่าคามินเป็นยังไงมากกว่าที่จะมามัวมานึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพวกเขาสองคน

“ผมเป็นแฟนครับ ผมเป็นคนรักของคุณคราม คุณหมอบอกผมเถอะครับว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”

อนาวินได้แต่เหลือบตามองกันต์กวีที่ซึมลงไปถนัดตาเมื่อได้ยินปราณันต์ตอบหมอแบบนั้น กันต์กวีเองก็มองกลับมา พร้อมกับรอยยิ้มเหนื่อยๆ รอยยิ้มที่พยายามจะบอกว่าตัวเองโอเคและไม่เป็นไร แต่ในความเป็นจริงคือตรงกันข้าม

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ มีรอยฟกช้ำนิดหน่อย อวัยวะภายในยางส่วนกระทกระเทือนบ้าง แต่ไม่หนักมาก อาจจะต้องพักผ่อนหลายสัปดาห์หน่อย เพื่อค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกาย”

คุณหมอร่ายยาว ปราณันต์ฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง เพราะแค่ได้ยินว่าคนรักของตัวเองปลอดภัย ใจเขาก็ลอยไปอยู่ข้างเตียงของคามินแล้ว และเมื่อคุณหมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ ปราณันต์ก็แทบจะวิ่งเข้าไปคนแรกเลยด้วยซ้ำ

เวลานี้ปราณันต์นั่งเกาะขอบเตียงในห้องของโรงพยาบาลที่คามินนอนอยู่ไว้แน่น ตากลมที่กำลังบวมช้ำจ้องมองคนรักที่กำลังหลับเพราะเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดด้วยความเป็นห่วง ความรัก และความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรก็รวมอยู่ในนั้นทั้งหมด ปราณันต์เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองรักคามินมากขนาดไหนก็ตอนนี้ ตอนที่ความเป็นความตายมาอยู่ตรงหน้า

และเหมือนคามินจะรับรู้ถึงความเป็นห่วงที่ปราณันต์มีให้เขาได้ เพราะตอนนี้คนที่นอนเจ็บอยู่กำลังขยับตัวช้าๆ ทำเอาปราณันต์ผวาเข้าหาคนรักในแทบจะทันทีทันใด

“อะ.. อื้อ!” เสียงทุ้มที่เคยมีเสน่ห์ ครางออกมาต่ำๆ ด้วยความเจ็บที่ตรงเข้าจู่โจมคามินทันทีที่ได้สติและขยับตัว ดูเหมือนว่าฤทธิ์ของยาชาจะจางลงไปมาก นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายเหยเกเพราะความเจ็บ

“อย่าเพิ่งขยับนะครับ คุณเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดเอง นอนพักเฉยๆ ดีกว่านะ” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งมาจากปากอิ่ม คามินมองหน้าคนรักแล้วสงสารจับใจ ตอนนี้ใบหน้าสวยหวานของปราณันต์กำลังเศร้าหมองและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด น้ำใสทำท่าจะไหลออกมาจากตากลมที่บวมช้ำอีกรอบ จนคามินที่เห็นท่าไม่ดีจึงต้องรีบเอ่ยปลอบ

“ร้องไห้ทำไมครับ ไม่ดีใจหรอ ที่ผมไม่เป็นอะไรมาก” เสียงทุ้มถามเย้าๆ ด้วยริมฝีปากเปื้อนยิ้ม เขาไม่อยากให้ปราณันต์โทษตัวเอง

“ยังจะมา ฮึก! .. ตลกอีก” ปราณันต์ต่อว่าพลางกลั้นก้อนสะอื้น คนตัวเล็กรู้ดีว่าคามินจะเป็นห่วง ถ้าเห็นเขาร้องไห้ ปราณันต์ไม่อยากให้คนที่กำลังนอนเจ็บอยู่เป็นกังวล เลยพยายามห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดความสามารถ

“ผมตลกให้คุณปราณดู เพื่อที่จะบอกว่าคุณว่าผมไม่เป็นอะไร เจ็บแค่นี้ไกลหัวใจ คุณปราณก็เห็น”

ปราณันต์ไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยกมือใหญ่ของอีกฝ่ายขึ้นมาแนบแก้ม

“ขอบคุณคุณมากนะครับที่ปกป้องผม แต่คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกได้ไหม ผมขอร้อง” คนตัวเล็กกว่าพูดเสียงสั่น ครั้งนี้คามินอาจจะโชคดีที่บาดเจ็บไม่มาก แต่ถ้าครั้งต่อไปมันหนักหนากว่านี้ล่ะ...

ปราณันต์หลับตาลง พร้อมกับข่มความกลัวเอาไว้ลึกสุดใจ ถ้าคามินเป็นอะไรไป เขากับฝาแฝดจะอยู่ยังไง โดยเฉพาะตัวปราณันต์เอง เขาต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่มีคามิน

“คุณปราณครับมองหน้าผม” คามินพูดเสียงจริงจัง ดวงตาเรียวคมที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็งแต่ก็อบอุ่น จริงจังแต่ก็ปลอดภัย มองสบกับตากลมของปราณันต์ที่ตอนนี้แววนัยน์ตาสั่นไหวจนยากที่จะควบคุม


“ผมรักคุณมาก และผมรับปากเรื่องนี้กับคุณไม่ได้” คามินใช้มือที่ปราณันต์จับไปแนบ ไล้เบาๆ ที่แก้มนิ่มของคนคิดมาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “ผมยอมตายแทนคุณ แทนฝาแฝดได้ แต่ผมอยู่โดยไม่มีคุณไม่ได้ เข้าใจผมใช่ไหมคุณปราณ”


น้ำใสไหลออกมาจากตากลมอีกครั้ง คราวนี้ปราณันต์ไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะเสียใจ แต่มันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความซาบซึ้งใจต่างหาก

“ผมให้สัญญาแล้วว่าผมจะปกป้องคุณ ปกป้องน้องๆ ของคุณ ผมก็ต้องทำ... และอีกอย่างถึงผมไม่สัญญา ผมก็คงยอมให้ใครมาทำอะไรหัวใจของผมไม่ได้หรอก เข้าใจใช่ไหมครับคนดี”

คามินร่ายยาว น่าแปลกที่เขาควรจะเจ็บแผล แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น สภาพการบาดเจ็บทางร่างกายทำอะไรคามินไม่ได้เลยสักนิด เพราะตอนนี้กำลังใจของเขาดีมาก แค่ปราณันต์เป็นห่วงเป็นใยเขามากขนาดนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

“คุณคราม งั้นผมขอให้คุณให้สัญญากับผมอีกอย่าง สัญญาว่าคุณจะไม่เป็นอะไร คุณจะอยู่กับผมและน้องๆ ตลอดไป คุณสัญญาได้ไหมครับ”

คามินยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวทั้งสองข้างเมื่อได้ยินคนเอาแต่ใจ ขอให้สัญญาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดทั้งที่น้ำตาเปรอะแก้มไปหมด นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ็บตัวอยู่ จะลุกไปจับมาจูบให้หนำใจแน่ๆ แต่สุดท้ายคามินก็ยอมรับปาก พยักหน้าให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ครับ ผมสัญญา” พอจบคำตอบ ปราณันต์ก็ยื่นใบหน้าไปจนติดคนป่วยที่กำลังนอนอยู่อย่างงงๆ เพราะไม่รู้ว่าคนตัวเล็กกว่าจะทำอะไร พอรู้ตัวอีกที ริมฝีปากอิ่มก็ฉกลงมาจูบเบาๆ ที่ปากหยักของคามินเสียแล้ว


จุ๊บ~


“นั่นเป็นเพราะผมเองก็รักคุณมาก และคงอยู่ไม่ได้เหมือนกันถ้าไม่มีคุณ”

เสียงหวานกระซิบบอก หลังจากผละริมฝีปากออกมา คามินยิ้มกว้างเมื่อได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น อีกฝ่ายที่เป็นคนพูดเองก็ยิ้มมีความสุขไปไม่น้อยกว่า และก็ได้แต่ช่วยกันภาวนาในใจให้เรื่องร้ายๆ หมดไปเสียที

.

.

.

คามินพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลได้สองสามอาทิตย์ โดยที่อาการดีขึ้นตามลำดับ แผลที่ผ่าตัดและอาการโดยรวมดีขึ้นมาก จนเกือบจะหายดี หมอลงความเห็นว่าน่าจะเป็นเพราะที่ผ่านคามินดูแลตัวเองอย่างดีทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

ปราณันต์มาเฝ้าคามินทั้งวันทุกวัน บางวันก็เอาฝาแฝดมาด้วย ตอนแรกที่เด็กๆ มาแล้วเห็นคามินใส่ชุดโรงพยาบาลนอนอยู่เฉยๆ บนเตียง ไม่สามารถเล่นหรือลงจากเตียงมากอดมาหอมพวกแกได้เหมือนตอนที่ปกติ พวกเด็กๆ ก็ร้องไห้โยเยกันยกใหญ่ เพราะกลัวว่าคามินจะไม่สบายหนัก กว่าจะโอ๋ให้เข้าใจ ก็กอดก็ปลอบกันอยู่นาน ซึ่งมาสงบเอาจริงจังก็ตอนได้ที่ขึ้นไปสำรวจอาการพี่ครามเองบนเตียงด้วยตัวเองว่าพี่ครามไม่เป็นอะไรมากนั่นแหละถึงได้ยอมวางใจ และหยุดร้องไห้ได้

ส่วนอดีตท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้กับคุณแม่ของคามินก็มาเยี่ยมวันเดียวกับที่ฝาแฝดอยู่ด้วยพอดี เด็กๆ เลยดีใจกันยกใหญ่ที่ได้เจอคุณยายคนสวย ตรงกันข้ามกับปราณันต์เองที่ออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด กับคุณแม่ยังไม่เท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่าท่านเอ็นดูเขาและฝาแฝดไม่น้อย แต่กับอดีตท่านประธานนี่สิ ปราณันต์ยังไม่เคยเจอกับท่านเลยสักครั้ง และอีกอย่างตัวปราณันต์เองก็คิดมากมาตลอดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้คามินเจ็บตัว ซึ่งคงไม่มีพ่อแม่ของลูกคนไหน ที่จะชอบคนที่ทำให้ลูกตัวเองเจ็บตัวอาการหนักขนาดนี้ แต่ในความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นแบบที่ปราณันต์คิดเลยสักนิด เพราะสิ่งที่อดีตท่านประธานพูดทันทีที่เห็นคามินนอนป่วยอยู่บนเตียงคือ


‘ดี! เอาเลือดของไอ้เด็กหัวดื้อนี่ออกบ้าง เผื่อมันจะได้อวดดีให้น้อยลงหน่อย’


ส่วนคุณแม่เองก็พอกัน เพราะเธอพูดว่า


‘ถ้าน้องเจ็บตัวเพราะครามดูแลน้องไม่ดีล่ะก็ แม่จะเล่นงานให้หนักๆ เลย ปราณมาฟ้องแม่ได้นะลูก เข้าใจใช่ไหม’


ปราณันต์เองก็ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ยิ้มเจื่อนๆ ตอนได้ยินคุณพ่อและคุณแม่พูดแบบนั้น ส่วนคามินก็ไม่ได้ดูเสียอกเสียใจเท่าไหร่เมื่อได้ยินบิดาและมารดาพูดแบบนั้น ซึ่งคนตัวโตทำได้แต่นิ่วหน้าเพราะพ่อกับแม่พากันหลงปราณันต์ไปหมด ตอนแรกคามินคิดว่าแม่นี่หลงปราณันต์หนักแล้ว แต่ปรากฎว่าพออดีตท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้เจอปราณันต์เข้าไป กลับเอ็นดูคนตัวเล็กหนักกว่าแม่เขาเสียอีก

ช่วงแรกที่เจอกันก็มีบ้างที่ปราณันต์จะเกร็งๆ เพราะคนตัวเล็กเองก็ไม่มั่นใจว่าบิดาของคามินจะมองเขาในแง่ไหน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปราณันต์คือสาเหตุที่ทำให้คามินเลิกกับพรวลัย คนที่อดีตท่านประธานหมายมั่นปั้นมือจะให้ลูกชายแต่งงานด้วย เพื่อธุรกิจที่รุ่งเรืองและความมั่นคงในอนาคต แต่ปราณันต์กลับเดินเข้ามาในชีวิตของคามิน แล้วทำลายความฝันของอดีตท่านประธานพังไม่เป็นท่า จะให้ปราณันต์มั่นใจได้ยังไงว่าคุณพ่อของคามินจะชอบเขา

ซึ่งพอพูดถึงเรื่องนี้ อดีตท่านประธานกลับพูดแค่ว่า


‘อย่าไปเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลย เรื่องแต่งงานเพื่อให้ธุรกิจมั่นคงน่ะมันแค่ผลพลอยได้ พ่อมั่นใจว่าต่อให้ไม่มีพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่น ครามมันก็คงดูแลเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ได้เองอยู่แล้ว แต่เหตุผลจริงๆ ที่พ่อจับมันแต่งงานนั่นก็เพราะกลัวครามมันหาเมียไม่ได้มากกว่า เย็นชาก็เท่านั้น วันๆ ก็บ้าแต่งาน ถ้าไม่หาเมียให้ก็คงอยู่เป็นโสดไปจนตายไม่มีคนดูแลนั่นแหละ’

ก่อนที่ท่านประธานจะตบท้ายด้วยหมัดเด็ด


ใครจะไปคิดว่ามันจะหาคนที่จะมาอยู่ด้วยได้น่ารัก มารยาทดี แถมคุมมันได้อยู่หมัดขนาดนี้ ... ไอ้ลูกคนนี้นี่มันก็ร้ายไม่เบา หนำซ้ำมันยังพ่วงเอาไอ้เจ้าตัวน้อยทั้งสองนั่นมาให้กอด ให้อุ้ม ได้ชื่นใจอีก แล้วเรื่องอะไรพ่อถึงจะไม่ยอมรับปราณล่ะ หื้ม?’


ปราณันต์หน้าแดงก่ำตอนได้ยินอดีตท่านประธานพูดแบบนั้น ส่วนแม่ของคามินเองก็ยิ้มหน้าบานเพราะปลื้มปราณันต์เป็นทุนอยู่แล้วและที่ดูเหมือนที่ลงตัวที่สุดตอนนี้ก็เห็นจะเป็นฝาแฝดปัณณธรกับปุณณกันต์นั่นแหละ

เพราะตอนนี้ปราณันต์ต้องมาอยู่เฝ้าคามินที่โรงพยาบาลทุกวัน ครั้นจะให้แทนคุณดูแลฝาแฝดตลอดก็ไม่ได้เพราะมีงานที่ต้องทำแทนคามิน คุณพ่อและคุณแม่ของคามินเลยรับฝาแฝดไปอยู่ที่คฤหาสน์เสียด้วยเลย สร้างความพอใจให้ท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก คนแก่สองคนอยู่ด้วยกันเหงาๆ แต่พอมีเจ้าตัวน้อยที่ทั้งฉลาดทั้งพูดเก่งไปอยู่เป็นเพื่อน ก็แทบจะทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองลืมลูกชายตัวเองไปโดยปริยาย และยิ่งช่วงนี้เด็กๆ ยังไม่เปิดเทอม ทำให้มีเวลาทุกวันไปอยู่กับพวกท่านได้ ซึ่งคามินเองก็ให้แทนคุณไปจัดการยกเลิกลาออกที่โรงเรียนเก่าของเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากพวกเด็กๆ หายไปแค่ช่วงปิดเทอมเลยไม่มีปัญหาอะไรยุ่งยากเท่าไหร่นัก

และตัวเด็กๆ เองก็ติดคุณยายกับคุณตาแจไม่ห่างเพราะอยู่ด้วยกันทุกวัน พักหลังฝาแฝดเลยไม่ค่อยร้องจะมาหาคามินเท่าไหร่นัก แรกๆ คามินถึงกับน้อยใจเลยทีเดียวที่ปัณณธรกับปุณณกันต์ไม่สนใจตัวเองเท่าเมื่อก่อน จนเจ้าตัวแสบมาง้อถึงเตียงคนป่วย โดยการระดมจูบแก้มซ้ายขวา พร้อมกับตะโกนแทบลั่นโรงพยาบาลว่ารักพี่ครามที่สุดในโลกนั่นแหละ คามินถึงยิ้มหน้าบาน เลิกคิดมากได้

และบ่ายวันนี้ปราณันต์ก็มาเฝ้าคามินตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ คามินสัมผัสได้ว่าปราณันต์เหม่อลอยเป็นพิเศษ และในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามก็ดูเหมือนว่าพวกเพื่อนๆ ของทั้งสองฝ่าย ทั้งของฝั่งคามิน และฝั่งปราณันต์ จะเดินเข้ามาเยี่ยมเสียก่อน

ทั้งหกเดินเข้ามาพร้อมกัน นทนัช เมธัส อนาวิน สิปปกร เตชินท์ และกันต์กวี ซึ่งนั่นเรียกเอาสายตาประหลาดใจจากคามินและปราณันต์ได้ไม่น้อย

“นี่พวกคุณมาพร้อมกันหรอ?” ปราณันต์ถามขึ้นก่อนจะหันไปหาเพื่อนสนิท “นายมาพร้อมพวกเค้าหรอ”

อนาวินส่ายหน้าหวือพลางทำหน้าบูด “เจอกันข้างล่างโว้ย เห็นจุดหมายเดียวกัน เลยมาพร้อมกัน”

ปราณันต์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปทางเมธัสและเตชินท์ที่ดูเงียบๆ และไม่ค่อยกล้าสบตาเขาเท่าไหร่นัก ตอนแรกปราณันต์ก็สงสัยว่าทั้งคู่เป็นอะไร แต่พอสักพักก็นึกขึ้นได้ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลย สงสัยอาจจะเข้าหน้ากันไม่ติด

“คุณเมธัส คุณเตชินท์ ทำตัวตามสบายเถอะครับ เรื่องมันแล้วไปแล้ว” ก่อนที่ปราณันต์จะพูดขำๆ “ผมเอาความโกรธไปลงที่คุณครามหมดแล้วครับ”

ซึ่งการกระทำและคำพูดของปราณันต์แบบนั้นทำให้สถานการณ์ในห้องดีขึ้นมาทันตา

“เฮีย เอ๊ย ผม.. ผมต้องขอโทษคุณปราณันต์อีกครั้งจริงๆ นะครับ ทั้งๆ ที่ผมเป็นพี่ที่สุด แต่กลับไม่ห้ามน้องๆ แถมยังลงไปเล่นพิเรนทร์ๆ กับพวกมันอีก เฮีย เอ๊ย ผมนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ”

เมธัสร่ายขอโทษยาว และโดยที่ปราณันต์ยังไม่ทันเอ่ยอะไร ก็มีเสียงใครบางคนดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“รู้ตัวก็ดี แก่จนป่านนี้ละยังเล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” ทุกคนหันไปมองนทนัชเป็นตาเดียว ซึ่งเป็นคนที่ต่อว่าเมธัสขึ้นมานั่นแหละ

ทุกคนดูจะตะลึงๆ ไป แต่แล้วจู่ๆ ก็...

“ฮะ.. ฮ่าๆๆๆ ฮ่ะๆๆๆ” มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมากลางปล้อง และที่น่าแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ เสียงหัวเราะนี้เป็นเสียงหัวเราะของคามิน

และก็เหมือนเป็นโรคติดต่อ พอมีคนนึงเริ่มหัวเราะคนต่อๆ ไปก็หัวเราะตามๆ กันเรื่อย จนกลายเป็นว่าตอนนี้ในห้องพิเศษที่คามินนอนพักรักษาตัวนั้น ระงมด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งแปดคน ที่กำลังมีความสุข เหมือนกับที่มิตรภาพได้เบ่งบานออกมาพร้อมๆ กัน

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...12/05/64 [33th Lies, End Ch.: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 12-05-2021 21:43:24
(อ่านต่อจากด้านบน)


และตอนนี้ทุกคนก็กำลังนั่งกระจัดกระจายกันอยู่ในทิศทางของตัวเอง บรรยากาศในห้องดีขึ้นมากแล้ว ดูเหมือนว่าแค่ปราณันต์พูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไม่เป็นไรอย่างที่ปราณันต์พูดจริงๆ

ตาคมลอบมองคนรักอยู่อย่างสงสัย ปราณันต์ดูแปลกไปจริงๆ คามินไม่ได้คิดไปเอง ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องเดียวที่คามินพอที่จะคิดออกว่าสามารถทำให้ปราณันต์วุ่นวายใจได้น่าจะเป็นเรื่องนี้เท่านั้น

“คุณปราณครับ” เสียงเรียกของคามินดังขึ้น ทำเอาปราณันต์ที่กำลังเหม่อๆ อยู่ สะดุ้งโหย่งขึ้นมาทันที

“มีอะไรหรอ คุณจะเอาอะไรรึป่าว หรือเจ็บแผลครับ” คนตัวเล็กกว่าลุกจากโซฟามาหาคามินที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วยทันที แต่คามินกลับส่ายหน้า แล้วถามปราณันต์ออกไปแทน

“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับคนดี แต่คุณปราณต่างหากที่เป็น ผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ”

คามินยื่นมือไปลูบแก้มนิ่มของคนรักที่กำลังคิ้วขมวดเบาๆ

“บอกผมหน่อยสิครับ คุณปราณเครียดอะไร หื้ม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างปลอบประโลม ซึ่งในขณะที่ปราณันต์กำลังลังเลว่าจะพูดดีรึป่าวนั้น เสียงของอนาวินก็ดังขึ้นสนับสนุน

“ผมก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่คุณจะถาม เห็นไอ้ปราณนั่งทำหน้าเหมือนคนท้องผูกตั้งแต่ผมเข้ามาแล้ว”

ปราณันต์ถอนหายใจ เพราะไม่ได้มีแค่คามินแล้วที่กำลังคาดคั้นให้เขาตอบ ตอนนี้มีอนาวินเข้ามาร่วมกดดันด้วย เห็นทีคงต้องถามออกไปตรงๆ เขาเองก็จะได้สบายใจเสียที

“เรื่องคุณพ่อกับคุณแม่ของผม” ปราณันต์ค่อยๆ เรียงลำดับคำพูดออกมาช้าๆ โดยมีคามินและอนาวินรอฟังอย่างตั้งใจ “เรื่องคุณพ่อกับคุณแม่ของผมที่คุณพรวลัยพูด มันหมายความว่ายังไงครับคุณคราม”

คามินถอนใจเฮือกใหญ่ทันที เขาเดาไว้แล้วว่าปราณันต์ต้องคาใจเรื่องนี้ คงคาใจมาหลายวันแล้ว แต่คงเพราะเห็นว่าเขาอาการยังไม่ดีขึ้น เลยไม่กล้าถาม

และตอนนี้ไม่ได้มีแค่ปราณันต์คนเดียวเท่านั้นที่สงสัย อนาวินก็ดูจะใช้สายตาแสดงคำถาม ถามเขากลับมาด้วยเช่นกัน และในขณะที่คามินกำลังจะอ้าปากตอบ สิปปกรก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“คราม นายให้ฉันเป็นคนเล่าเรื่องนี้น่าจะดีกว่านะ เผื่อคุณปราณมีอะไรสงสัย ฉันว่าฉันน่าจะตอบได้ดีกว่านาย”

ปราณันต์คิดว่าเรื่องนี้คงคอขาดบาดตายพอสมควร เพราะคามินไม่มีท่าทีงี่เง่าหรือหึงหวงเลย ตอนที่สิปปกรเสนอตัวเข้ามาเล่าเรื่องสำคัญขนาดนี้แทน

“ได้ นายเล่า” แต่ก่อนที่จะได้เริ่ม คามินก็กระตุกข้อมือของปราณันต์ที่อยู่ข้างเตียงให้ทรุดลงมานั่งบนเตียงข้างๆ เขาที่กำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่ “แต่คุณปราณต้องอยู่ข้างๆ ฉันแบบนี้ตอนเล่าก่อน ซึ่งนายก็รู้ว่าทำไม”

สิปปกรพยักหน้า ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด ซึ่งตอนนี้กลุ่มเพื่อนที่ยืนกระจายกันอยู่รอบๆ ก็เข้ามาล้อมพร้อมฟังเรื่องทั้งหมดแล้วด้วยเช่นกัน

“ถ้าคุณปราณจำตอนนั้นได้ ที่ผมเคยเสนอตัวว่าจะช่วยคุณสืบเรื่องคดีคุณพ่อกับคุณแม่ ถ้าคุณต้องการ” สิปปกรถามเพื่อรำลึกความหลังซึ่งปราณันต์จำเรื่องนี้ได้ดี

“จำได้ครับ แต่ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าไม่เป็นไร” ปราณันต์ถามงงๆ มันควรจะจบไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสิ ทำไมยังยืดเยื้ออยู่อีก

“ประเด็นมันอยู่ที่ ผมกลับไม่ได้หยุดค้นหาอย่างที่คุณบอก ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า ผมอยากจะทำอะไรให้คุณบ้าง ผมเลยไปสืบข้อมูลคดีของคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณเพิ่ม และพบว่ามีหลายช่องโหว่ ผมเลยตัดสินใจสืบไปเรื่อยๆ จนไปเจอข้อมูลและหลักฐานลับเข้า หลักฐานที่ชี้ไปว่า พรวลัยเป็นคนขับรถคันนั้น รถคันที่ชนรถของคุณพ่อและคุณแม่ของคุณปราณันต์ในคืนนั้น พอผมแน่ใจเลยมาปรึกษากับครามว่าจะทำยังไงกันดี ซึ่งวันที่ครามรู้เรื่องทั้งหมดก็คือวันที่คุณปราณตัดสินใจไปเชียงใหม่พอดี เรื่องนี้คุณปราณก็เลยยังไม่ทราบครับ"

พอสิปปกรพูดจบ ปราณันต์ก็ตัวสั่นน้ำตาไหลขึ้นมาทันที เขาอยากรู้มาตลอดว่าใครเป็นคนพรากบุคคลที่เขารักที่สุดในชีวิตไป ที่แท้ก็เป็นพรวลัย พรวลัยที่เขาพรากก็คามินมาจากเธอเช่นกัน

ปราณันต์นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกทุกอย่างตีประดังประเดในหัวเข้ามาไม่หยุดหย่อน สุดท้ายที่ปราณันต์ทำได้ก็มีแค่เพียง นั่งน้ำตาไหลเงียบๆ เท่านั้น

ผ่านไปไม่นานร่างบางก็ได้รู้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่โอบกอดอยู่ด้านหลัง สัมผัสที่ถ่ายทอดความอบอุ่น ปลอบใจ และเป็นสัมผัสที่ช่วยยืนยันว่าปราณันต์ยังมีคนที่รักและเป็นห่วงอยู่ตรงนี้อีกคน

“ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไร”

และเพียงแค่สองคำของคามิน ก็ทำให้ปราณันต์โผเข้าหาร่างสูงเหมือนลูกนกที่กำลังปีกหัก ความจริงที่รู้ดูเหมือนจะถาโถมจนทำให้ปราณันต์แทบยืนไม่ไหว คนตัวบางสะอึกสะอื้นร้องไห้อยู่กับอกคามินจนน่าสงสาร ร่างสูงโอบกอดร่างที่กำลังสั่นเทาไว้ในอ้อมกอดแน่น และพยายามถ่ายทอดทุกความรู้สึกให้ปราณันต์ได้รู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาพร้อมจะอยู่ตรงนี้กับปราณันต์เสมอ และไม่มีวันที่จะทอดทิ้งปราณันต์ไปไหนเด็ดขาด

เพื่อนสนิทของทั้งคามินและปราณันต์ ทยอยพากันถอยออกไปนั่งห่างๆ เงียบๆ เปิดโอกาสให้ทั้งสองได้ปลอบประโลมกันให้เต็มที่ และหลังจากที่ปราณันต์ได้ใช้เวลาพักใหญ่ในการร้องไห้ คนตัวบางก็นั่งเงียบ ราวกับกำลังใช้ความคิดกับอะไรหลายอย่างอยู่ในใจ

“คุณปราณ มองผมหน่อยครับ” ใบหน้านวลหันมาช้าๆ ตามเสียงทุ้มของคนรัก ตากลมที่ใช้จ้องมองอีกฝ่ายบวมช้ำ จนคามินอดที่จะยกมือขึ้นไปลูบเบาๆ เพราะความสงสารไม่ได้

“ในช่วงระหว่างที่ผมตามหาคุณปราณ ไอ้สิบก็เตรียมทีมทนาย เตรียมหลักฐาน และเตรียมทุกอย่างในแง่กฎหมายไว้แล้ว ถ้าคุณปราณอยากจะฟ้องร้อง ผมจะจัดการทุกอย่างให้ ขอเพียงคุณบอก ผมยินดีจะทำตามทุกอย่างโดยไม่ถามอะไรทั้งสิ้น”

คามินพูดออกมาตรงๆ ถึงเรื่องคดีความ เขาอยากให้ปราณันต์สบายใจว่าปราณันต์สามารถเอาผิดกับคนที่ทำให้คนที่ปราณันต์รักที่สุดในชีวิตต้องจากไปได้ ขอเพียงปราณันต์บอกเท่านั้น คามินก็ยินดีจะทำให้ทุกอย่าง

แต่ปราณันต์กลับนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามหรือไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบอะไรทั้งนั้น ซึ่งคนตัวโตกว่าก็เข้าใจว่าปราณันต์คงต้องการเวลาในการคิดทบทวนให้ดีก่อนจะตัดสินใจ จึงไม่ได้เร่งรัดหรือกดดันอะไรปราณันต์มากนัก เพียงแต่นั่งกุมมือเล็กไว้อยู่อย่างนั้น ให้ปราณันต์อุ่นใจว่ายังมีเขาอยู่ข้างๆ เสมอ

“ผม...” ในที่สุด เสียงหวานก็เอ่อยออกมาราวกับตัดสินใจแล้ว อกบางกระเพื่อมขึ้นและลงอย่างหนักแน่นและเชื่องช้า เพื่อเรียกความกล้า และความมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดออกไปนั้น ผ่านกระบวนการความคิดมาแล้วอย่างดี “ผม... จะไม่ฟ้องร้องครับ”

ทุกคนที่อยู่ในห้องมีปฏิกริยาแทบจะแบบเดียวกันทั้งห้อง นั่นคือแปลกใจว่าทำไมปราณันต์ถึงตัดสินใจแบบนั้น ยกเว้นสองคนที่ทำแค่เพียงระบายยิ้มออกมาบางๆ ราวกับคิดไว้แล้วว่าปราณันต์จะตัดสินใจแบบนี้

คามินและอนาวิน

เพราะทั้งสองคลุกคลีกับปราณันต์มาโดยตลอด เลยรู้ดีว่าปราณันต์คนนี้มีนิสัยยังไง แม้ปราณันต์จะเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้กับโชคชะตาหรือเรื่องร้ายใดๆ ที่ถาโถมเข้ามา แต่ในอีกมุมที่อ่อนโยนของปราณันต์นั้นกลับมีมากกว่า ผู้ชายตัวเล็กๆ ร่างบางๆ คนนี้ มีจิตใจที่โอบอ้อมอารีและไม่คิดร้ายกับใครมากกว่าคนอื่นๆ แม้กระทั่งกับตัวคามินเอง ที่ทำร้าย และทำให้ปราณันต์เสียใจสารพัด ปราณันต์ยังคงให้อภัย และรักได้ไม่เปลี่ยนแปลง

ดังนั้น นับภาษาอะไรกับพรวลัย ที่ปราณันต์เองก็ปักใจตลอดว่าตัวเองก็มีส่วนผิด ที่ทำให้ชีวิตพรวลัยเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น คามินจึงคิดไว้แต่แรกแล้ว ว่ายังไงปราณันต์ก็คงไม่ฟ้องร้องพรวลัยแน่ๆ ปราณันต์ไม่มีทางทำร้ายคนที่กำลังพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรอก

มือใหญ่ลูบเบาๆ ลงบนศีรษะทุยของคนรัก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และเข้าอกเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

“โอเคครับ ไม่ฟ้องร้อง” ปราณันต์หันไปมองคามินอย่างประหลาดใจที่อีกฝ่ายไม่ทัดทาน “แต่ในส่วนของตำรวจที่ต้องดำเนินคดีความ ผมคงไปขัดขวางอะไรไม่ได้ คุณปราณต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายนะครับ ตกลงไหม”

ใบหน้าหวานพยักขึ้นลง พร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างขอบคุณ แต่สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้อยู่ดี

“คุณครามไม่ถามหรอครับ ว่าทำไมผมไม่ฟ้องร้อง”

คามินส่ายหน้ายิ้มๆ พร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ครับ ผมบอกแล้วไง ว่าผมยินดีจะเคารพในการตัดสินใจของคุณปราณทุกเรื่อง ขอแค่คุณปราณบอก ผมจะไม่ติดใจหรือสงสัยอะไรทั้งนั้น”

ปราณันต์โผเข้ากอดคามินอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ในห้องมองภาพสองคนที่กำลังกอดกันด้วยความอบอุ่นใจ แม้หลายคนจะยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ปราณันต์ตัดสินใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นว่าคามินเองก็ไม่ได้ทัดทานหรือโต้แย้งอะไร เพื่อนๆ เหล่านั้นเลยคิดว่า นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับปราณันต์แล้ว ขอเพียงปราณันต์เลือกแล้ว ทุกคนก็พร้อมจะเคารพและเชื่อในการตัดสินใจของปราณันต์

.

.

.

ในที่สุดวันนี้ก็เป็นวันจากออกจากโรงพยาบาลของคามิน เด็กๆ ฝาแฝด และคุณพ่อคุณแม่ของคามินยกขบวนกันมาหาจนแทบจะล้นห้องพักพิเศษในโรงพยาบาล โดยเฉพาะเจ้าฝาแฝดตัววุ่น ที่พยายามจะช่วยจับนั่นหยิบนี่ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้อลหม่านยิ่งกว่าเดิม

“พี่คราม มาๆ ปัณณ์ช่วยยก พี่ครามไปนั่งเฉยๆ นะ เพราะพี่ครามไม่สบายอยู่” คามินขำเบาๆ ตอนที่ปัณณธรบอกจะช่วยยกกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ซึ่งหนักพอตัว แต่พอเห็นความตั้งใจจริงของเจ้าหนูน้อยแล้วเขาก็ไม่อยากจะขัด

“อ่ะ นี่ครับ พี่ครามขอบคุณปัณณ์มากๆ เลยนะ” ปัณณธรรับกระเป๋าจากคามินไปแล้วทำหน้ามุ่ย เพราะมันหนักมากทีเดียว เจ้าแฝดคนน้องเดินถือกระเป๋าไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ตะโกนเรียกแฝดคนพี่ลั่น

“พี่ปุณณ์ มาช่วยปัณณ์หน่อย ทำไมมันหนักจังก็ไม่รู้”

“มาปัณณ์ พี่จะช่วยเองนะ” ปุณณกันต์เองพอได้ยินน้องชายฝาแฝดเรียกก็รีบวิ่งปรู๊ดไปช่วยยก แต่ถึงแม้จะช่วยกันยก ก็ถือไปได้ไม่กี่ก้าว สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เอาวางไว้บนโซฟา แล้วมาอ้อนให้ปราณันต์ช่วยยกไปแทน

เจ้าหนูทั้งคู่เดินไปหาพี่ชายคนโตที่ตอนนี้กำลังเก็บของใช้จำเป็นของคามินลงกระเป๋าเป้ใบเก่งอยู่ ก่อนจะรำพึงรำพันกับคนเป็นพี่เบาๆ เพราะคงไม่อยากเสียหน้า

“พี่ปราณ มันหนักอ่ะ พวกเราถือไม่ไหวเลย” ปราณันต์หันมามองใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังมุ่ยลง เพราะถือกระเป๋าไม่ไหว ก็ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับความรู้มากและป่วนโลกของเด็กๆ พลางลูบศีรษะปลอบโยนไม่ให้พวกแกคิดมาก เพราะอย่างน้อยฝาแฝดก็มีน้ำใจที่จะช่วยหยิบจับนั่นนี่ แม้พละกำลังจะไม่เอื้อก็ตาม

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ปราณยกต่อให้ ปุณณ์กับปัณณ์ไปดูแลพี่ครามนะ เพราะพี่ครามกำลังป่วยอยู่ อาจจะอยากได้คนช่วยหยิบของหยิบอะไรให้ก็ได้”

ปราณันต์ปลอบใจน้องๆ ทั้งสอง เพราะไม่อยากให้พวกแกเสียกำลังใจ พลางมอบหมายงานใหม่ให้ทั้งคู่ เพื่อที่พวกเด็กๆ จะได้รู้สึกว่าอย่างน้อยตัวเองก็เป็นสำคัญ เป็นคนที่ทำอะไรเพื่อคามินที่กำลังป่วยอยู่ได้บ้าง นอกจากการนั่งเฉยๆ

แต่ดูเหมือนงานที่ปราณันต์มอบหมายไปจะผิดวัตถุประสงค์ไปหน่อย เพราะปราณันต์ให้ฝาแฝดไปช่วยดูแลคามิน แต่กลับกลายเป็นว่าหนึ่งเด็กโข่งกับสองเด็กน้อย กลับเล่นเจี๊ยวจ๊าวกันแทนเสียอย่างนั้น ทำเอาปราณันต์ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ ได้แต่ลอบส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู

หลังจากเก็บของเสร็จ ทุกคนก็พากันยกโขยงกลับคอนโดคามิน ซึ่งคุณแม่เองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่เจ้าลูกชายจะกลับไปอยู่คอนโด เพราะร่างกายก็ยังไม่หายดีเท่าที่ควร น่าจะมาอยู่ที่คฤหาสน์ เพราะยังไงก็มีคนรับใช้ช่วยคอยดูแลอยู่เต็มบ้าน แต่เจ้าลูกชายหัวดื้อกลับไม่ยอม บอกแค่เพียงว่า


‘ผมไม่ได้อยากให้ใครมาดูแลผมสักหน่อย มีแค่คุณปราณคนเดียวก็พอ’


บิดาและมารดาที่ได้ยินลูกชายตัวเองพูดแบบนั้นก็อดกลอกตามองบนไม่ได้ ส่วนคนที่ถูกเอ่ยพาดพิงถึงก็เอาแต่นั่งหน้าแดง หูแดง แก้มแดง เลยต้องแกล้งทำเป็นโมโห ด้วยการแอบหยิกคามินไปหนึ่งทีเป็นการกลบเกลื่อน

หลังจากจัดนั่นนี่เข้าที่เรียบร้อย คนเป็นแม่ก็รีบรวบรัดบอกเจ้าลูกชายตัวดี และพี่ชายของเจ้าหนูทั้งสองทันทีถึงความต้องการของตัวเอง

“คืนนี้แม่จะพาหลานไปนอนด้วยนะ เพราะอาทิตย์หน้าจะเปิดเทอมแล้ว พรุ่งนี้จะได้พาพวกแกไปซื้อของใช้เตรียมเข้าเรียนด้วย”

คุณแม่ของคามินพูดหน้าตาเฉย โดยมีอดีตท่านประธานหยักหน้าตามหงึกหงัก ราวกับเป็นลูกคู่ก็ไม่ปาน ส่วนปราณันต์ก็ได้แต่อ้าปากหวอเพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง มีแต่คามินเท่านั้นที่โวยวายออกมาเพราะไม่พอใจที่ถูกมัดมือชก

“ไม่ได้นะแม่ พักหลังฝาแฝดไปนอนที่คฤหาสน์บ่อยมาก ช่วงที่ผมอยู่โรงพยาบาลนี่ น่าจะไปทุกคืนเลยมั้ง ไม่รู้แหละ ผมเองก็คิดถึงเจ้าตัวแสบเหมือนกัน แม่ไว้เอาพวกแกไปวันหลังเถอะ”

ปราณันต์ลอบสบตากับคามินอย่างเอาใจช่วย แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดเองเพราะเกรงใจคุณท่านทั้งสอง แต่ช่วงหลังปราณันต์แทบไม่ได้นอนกอดเจ้าตัวเล็กทั้งคู่นี่เลย หวังใจอยู่ว่าถ้าคามินกลับจากโรงพยาบาล จะซื้อนิทานเรื่องใหม่มาอ่านให้พวกแกฟังก่อนนอน แต่พอคุณท่านบอกว่าอยากพาหลานไปนอนด้วย ปราณันต์เองก็เกิดพูดไม่ออกซะดื้อๆ

ส่วนเจ้าตัวแสบเจ้าของประเด็นที่กำลังถูกผู้ใหญ่แย่งตัวกันอยู่นั้น ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก โน่น นั่งกินขนมเค้กที่คุณยายซื้อมาให้กันสบายใจเฉิบ

ในขณะที่แม่ลูกกำลังเถียงเรื่องสิทธิ์การได้นอนกอดฝาแฝดกันอยู่นั้น จู่ๆ อดีตท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ก็เขยิบมานั่งข้างลูกชาย พร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกันสองคน

คามินตาวาวทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อของตัวเองบอก ซึ่งประโยคต่อมาที่คามินพูดทำเอาปราณันต์แทบล้มทั้งยืน

“แม่เอาเด็กๆ ไปก็ได้ ผมยอมละ” จู่ๆ คามินก็เกิดยอมขึ้นมาง่ายๆ เสียแบบนั้น แถมพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มอีกต่างหาก

“อ่าว คุณ!” กลับกลายเป็นปราณันต์ที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกครับที่รัก ให้แม่เอาฝาแฝดไปสักคืนสองคืน เดี๋ยวพอเด็กๆ เปิดเทอมแม่จะได้ไม่มางอแง รบเร้าพาพวกแกไปอีก ตอนนี้ผมเลยเห็นว่ายอมไปก่อนน่าจะดีกว่า”

คามินพูดชักแม่น้ำทั้งห้าให้ปราณันต์ยอมตามใจ คนตัวเล็กรู้ดีว่าอดีตท่านประธานต้องยื่นข้อเสนออะไรให้คามินแน่ๆ ไม่งั้น คามินคงไม่ยอมให้เอาตัวปุณณกันต์กับปัณณธรไปง่ายๆ แบบนี้หรอก แต่ปราณันต์ก็ไม่อยากคาดคั้นอะไรเพราะเกรงใจผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ เลยต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะที่จริงก็เห็นใจคุณท่านไม่น้อย เพราะเดี๋ยวพอฝาแฝดเปิดเทอมแล้วท่านคงจะได้เจอเด็กๆ น้อยลง โปรเจ็กต์อ่านนิทานเรื่องใหม่ให้ฝาแฝดฟังเลยต้องพับไปโดยปริยาย

.

.

.

ปราณันต์จับฝาแฝดสะพายกระเป๋า พลางกำชับเจ้าหนูทั้งสองอย่างดี ก่อนที่จะพาไปส่งให้คุณแม่และคุณพ่อของคามินที่ยืนรออยู่ไม่ไกล

“ปุณณกันต์ ปัณณธร ไปอยู่กับคุณตาแล้วก็คุณยายห้ามดื้อห้ามซน และที่สำคัญต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นใคร เข้าใจใช่ไหมครับ”

ผู้ใหญ่ทั้งสองที่ยืนฟังปราณันต์สอนน้องอยู่ไกลๆ แล้วอดประทับใจไม่ได้ พวกท่านรู้ดีว่าที่ปราณันต์บอกให้เด็กๆ เชื่อฟังผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านนั่นหมายรวมถึงคนรับใช้ และคนงานในบ้านด้วย ปราณันต์สอนให้น้องเคารพผู้อื่นที่วัยวุฒิ มากกว่าเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้บิดาและมารดาของคามินยิ่งรักและเอ็นดูปราณันต์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“เข้าใจครับ/เข้าใจครับ” เจ้าตัวน้อยก็ตอบประสานเสียงรับปากกันอย่างแข็งขัน ก่อนจะพูดเอาใจพี่ชายอย่างน่าจับฟัดให้จมอก

“พี่ปราณไม่ต้องคิดถึงพี่ปุณณ์กับปัณณ์มากนะครับ พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว” ฝาแฝดคนน้องพูดจาฉอเลาะ พลางยิ้มหวานใส่พี่ชาย จนปราณันต์นึกหมั่นเขี้ยวจับเจ้าหนูมาระดมจูบแก้มซ้ายแก้มขวาไม่หยุด

ส่วนเจ้าคนพี่ก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า “พี่ปราณกับพี่ครามดูแลกันดีๆ นะครับ เราสองคนไม่อยู่ห้ามทะเลาะกันนะรู้ไหม”

ซึ่งประโยคนี้ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสี่หลุดขำออกมาด้วยความเอ็นดู ปุณณกันต์นี่มันปุณณกันต์จริงๆ

และหลังจากร่ำลาสั่งเสียกันเสร็จ คุณพ่อและคุณแม่ของคามินก็จัดแจงพาเจ้าฝาแฝดตัวน้อยทั้งสองกลับคฤหาสน์ไป เหลือทิ้งไว้แค่ปราณันต์กับคามินในห้องเท่านั้น

และทันทีที่ประตูงับปิดลง คามินก็ตรงเข้าจู่โจมปราณันต์ทันที

“คุณคราม เนื้อตัวยังไม่หายดีเลยนะครับ” ปราณันต์ปรามทันทีที่คามินพุ่งเข้ามากอดเขาเอาไว้เต็มอ้อมแขน แต่ก็ใช่ว่าคามินจะยอมปล่อยเสียเมื่อไหร่

“คิดถึงจะแย่แล้ว เนี่ย พ่อกับแม่อุตส่าห์เปิดทางให้ ผมจะปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปเฉยๆ ไม่ได้หรอกนะที่รัก” พอคามินพูดแบบนี้ ปราณันต์ก็รู้ทันทีว่าอดีตท่านประธานกระซิบกระซาบอะไรกับลูกชาย

แผนสูงทั้งพ่อทั้งลูกเลยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยกับคำว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเนี่ย

ปราณันต์พยายามขัดขืนแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสู้แรงคามินที่ขนาดร่างกายไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ คนตัวโตจัดแจงดันเขามาที่โซฟา พอปราณันต์เสียหลักล้มลงไป คามินก็ตามมาคร่อมไว้ทันที

“ให้ผมรักคุณปราณได้ไหมครับ” คามินขอร้องเสียงกระเส่า ตาคมสบเข้ามาในตากลมอย่างแสดงความต้องการเต็มที่

ปราณันต์เองก็ไม่อยากจะปฏิเสธหัวใจตัวเองว่าเขาก็คิดถึงสัมผัสของคามินเหมือนกัน เพราะตั้งแต่คามินป่วย อย่าว่าแต่เรื่องเซ็กส์เลย แม้แต่จะกอดกันแต่ละทีนี่ยังคิดแล้วคิดอีกเพราะกลัวว่าจะทำให้แผลของคามินไม่หายขาดเสียที

“แต่คุณยังป่วยอยู่นะ” ซึ่งในขณะที่ปราณันต์กำลังปราม คามินก็ซุกไซ้ใบหน้าลงไปที่ซอกคอหอมๆ ขาวๆ ของปราณันต์เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น “คะ คุณคราม... อื้อ!”

คามินหันมาจูบปิดปากก่อนที่ปราณันต์จะได้พูดอะไรต่อ คนตัวโตป้อนจูบให้คนใต้ร่างอย่างร้อนแรง เพื่อหวังจะกระตุ้นให้อีกฝ่ายคล้อยตาม ก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วลากลิ้นไปที่ใบหูนิ่มจากนั้นก็เลียเบาๆ พร้อมกับกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม

“ตัวผมเจ็บแต่อย่างอื่นของผมยังใช้งานได้ปกตินะครับที่รัก” คามินพูดพลางดุนดันอวัยวะกลางร่างกายไปที่หน้าขาปราณันต์เบาๆ ทำเอาคนที่ถูกดุนดันสะท้านด้วยความเขินอาย จากทั้งคำพูดลามกสองแง่สองง่ามที่คามินพูด และทั้งจากการกระทำที่คามินทำ

และยิ่งพอเห็นปราณันต์เขิน คามินยิ่งรุกหนัก “ว่าไงครับคนดี ผมรอให้คุณปราณ ตอบตกลงอยู่นะ”

ปราณันต์ไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยกแขนเรียวโอบรอบคอคามินไว้ พร้อมกับรั้งลงมาเบาๆ ให้แนบชิดกับใหน้าของตนเอง สายตาทั้งสองคู่สบมองกันอย่างหวานเชื่อม ประกายความต้องการและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านปรากฎอยู่แววตาของคนทั้งสองชัดเจน ... ซึ่งเท่านี้ก็ถือว่าเป็นคำตอบให้คามินได้มากพอแล้ว

.

.

.

ร่างกายเปลือยเปล่าของคนทั้งสองนอนตระกองกอดกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนา คามินจูบหน้าผากมนของปราณันต์ซ้ำๆ อย่างหลงใหล ในขณะที่ปราณันต์กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง สุดท้ายคามินจึงต้องถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

“คิดอะไรอยู่หรอครับ บอกผมได้ไหม?” ปราณันต์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะตอบคามินอย่างหนักใจถึงสิ่งที่ตัวเองคิดและกังวล

“ผมอยากเจอคุณพรวลัย” คามินเผลอกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นทันทีหลังจากได้ยินปราณันต์บอกว่าอยากเจอพรวลัย ภาพตอนที่ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นขับรถพุ่งเข้ามาจะทำร้ายคนในอ้อมกอดของเขาหวนเข้ามาในมโนสำนึก นั่นทำให้คามินตอบปฏิเสธในทันควัน

“ไม่ได้ครับ คุณปราณจะอยากเจอผู้หญิงคนนั้นไปทำไม เธอคิดจะทำร้ายคุณปราณนะ” คามินห้ามเสียงแข็ง ยังไงเขาก็ไม่มีวันยอมให้ปราณันต์ไปเจอกับพรวลัยเด็ดขาด

“คุณครามครับ.. ตอนนี้คุณพรวลัยเธอติดคุกอยู่นะครับ เธอทำอะไรผมไม่ได้หรอก” ปราณันต์แย้ง ก่อนจะให้เหตุผล “บอกตรงๆ ผมไม่สบายใจเลย เรื่องระหว่างผมกับเธอมันดูติดค้างกันไปหมดทุกอย่าง ผมเลยอยากจะเคลียร์ให้มันจบๆ ไป จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากอยู่แบบนี้”

คามินฟังแล้วอดยอมรับว่าเห็นด้วยไม่ได้ ตัวเขาเองก็อยากให้ปราณันต์รู้สึกปลดล็อคทุกสิ่งจากผู้หญิงคนนั้นเสียที แต่อีกใจเขาเองก็ห่วง เพียงแค่นึกถึงภาพวันนั้น มือคามินก็สั่นจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกแล้ว

“ผมรู้ ผมเข้าใจ แต่ผมก็อดห่วงคุณปราณไม่ได้ เฮ้อ...” คามินถอนหายใจยาว ก่อนที่เสียงหวานจะเสนอทางออกให้เจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นนี้ได้สบายใจ

“งั้นเราไปด้วยกันดีไหม คุณกับผม ไปทำให้เรื่องคาราคาซังนี่มันจบลงสักที คุณโอเคไหมครับ”

ปราณันต์หว่านล้อมคนตัวโตด้วยเสียงอ่อนหวาน ไม่ใช่คามินจะไม่รู้ว่าปราณันต์กำลังพยายามแค่ไหนให้เขาใจอ่อน แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้คามินก็กำลังใจอ่อนจริงๆ อีกอย่างถ้ามีตัวเขาไปด้วย ก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไป ยังไงซะ คามินก็มั่นใจ ว่าตัวเองจะสามารถดูแลและปกป้องปราณันต์ได้

“ตกลงครับ ไปก็ไป” คามินยอมรับปาก พร้อมกับยื่นเงื่อนไขหนึ่งข้อ “แต่คุณปราณต้องสัญญาก่อน ว่าจะอยู่ในสายตาผมตลอดเวลา และไม่ว่าเธอจะอยากคุยกับคุณส่วนตัวมากแค่ไหน คุณปราณก็ห้ามยอมตกลง ถ้าคุณปราณโอเคตามนี้ ผมก็อนุญาต”

พอได้ยินแบบนั้นปราณันต์ก็รีบตกลงโดยไม่ลังเล เอาเข้าจริงไม่ใช่ว่าเขาจะหายกลัวพรวลัยแล้ว อย่างน้อยมีคามินไปด้วยและอยู่ข้างๆ ตลอด ก็ยังอุ่นใจได้ ว่าเขาจะปลอดภัย

“ตกลงครับ ผมจะทำตามที่คุณขอทุกอย่างเลย” และด้วยความดีใจ ทำให้ปราณันต์ ยื่นหน้าไปจูบเบาๆ ที่แก้มสากทั้งสองข้างด้วยความรวดเร็ว “รางวัลสำหรับคนใจดีครับ”

ปราณันต์พูดด้วยรอยยิ้มกว้าง และนั่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างของคามินถูกจุดติดอีกครั้ง

“แค่นี้ไม่พอหรอกครับคนดี ผมเป็นพวกทำดีหวังผล เพราะฉะนั้นขอรางวัลใหญ่กว่านี้หน่อย จะได้ไหมครับ” คามินกระซิบถามเสียงหวาน ซึ่งปราณันต์เองก็ตอบเสียงหวานยั่วเย้าคนตรงข้ามไม่แพ้กัน

“รางวัลน่ะรอคุณอยู่เสมอแหละ มันอยู่ที่ว่าคุณจะสามารถเอามันไปได้แค่ไหนมากกว่า”

รอยยิ้มซุกซนของคนทั้งคู่ปรากฎขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่ทั้งสองจะโผเข้าหา เพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกันอีกครั้ง

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก...12/05/64 [33th Lies, End Ch.: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 12-05-2021 21:49:47
(อ่านต่อจากด้านบน)


ปราณันต์ยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อย เขาเพิ่งเคยมาในสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก สถานคุมขังหญิงไม่ได้แย่มากขนาดเท่าที่ปราณันต์เคยเห็นในละคร หรือมันดีแค่เฉพาะจุดเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาก็ไม่รู้ อันนี้ปราณันต์ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

ส่วนคามินที่นั่งอยู่ข้างๆ ของตัวเองก็เอื้อมมือใหญ่มากุมมือเล็กไว้เบาๆ เมื่อเห็นพรวลัยถูกผู้คุมพาเดินออกมา เพื่อมาพบผู้ที่ขอเข้าเยี่ยมเธอในวันนี้ซึ่งก็คือคามินและปราณันต์

สภาพของพรวลัยดูดีมากกว่าครั้งสุดท้ายที่พบกันมาก เธอดูสดใสขึ้น ใบหน้าสวยหวานยามไม่ถูกปกคลุมไปด้วยเครื่องสำอางก็ทำให้ดูเยาว์วัยกว่าปกติ และที่สำคัญแววตาคุ้มคลั่งแบบที่เห็นในวันนั้นก็หายไปแล้วด้วย

“ที่นี่เขามีจิตแพทย์น่ะ ฉันต้องพบจิตแพทย์อาทิตย์ละสามครั้ง เพื่อรักษาอาการที่ตัวเองเป็น” พรวลัยพูดออกมาหลังจากที่ทรุดลงนั่งตรงข้ามเผชิญหน้ากับปราณันต์เรียบร้อยแล้วดูเหมือนว่าเธอกำลังตอบคำถามในสิ่งที่ปราณันต์สงสัยซึ่งถูกส่งผ่านออกมาจากแววตากลมอย่างชัดเจน

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้จะเสียมารยาท” ปราณันต์ค้อมศีรษะให้คนตรงข้าม เพราะไม่อยากให้พรวลัยคิดว่าเขากำลังละลาบละล้วงเรื่องของเธอ

“ช่างเถอะ มีอะไรก็ว่ามา ถ้าอยากจะมาเคลียร์เรื่องระหว่างเราสามคนให้จบ ก็เริ่มมันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ฉันไม่อยากเสียเวลา” พรวลัยเป็นคนเริ่ม ทำเอาปราณันต์กลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ ก่อนที่จะพูดออกมาเช่นกัน

“ผม..” คามินกุมมือปราณันต์แน่นขึ้น เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังจะเริ่มพูด เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจ “ผมจะไม่ฟ้องร้องอะไรคุณพรวลัย ทุกย่างปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฏหมาย ผมจะไม่สืบสาวให้เรื่องของพวกเรามันบานปลายมากยิ่งไปกว่านี้ บอกตามตรง ไม่ใช่ผมไม่แค้นหรือไม่เสียใจที่คุณมาพรากพ่อกับแม่ไปจากผม แต่ผมคิดว่าต่อให้ผมฟ้องร้องคุณให้ติดคุกนานกว่านี้ เสียชื่อเสียงมากกว่านี้ ก็คงไม่ได้ทำให้พ่อกับแม่ผมฟื้นขึ้นมาได้ และผมเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ในใจของคุณก็คงจะเจ็บปวดและทรมานมาก กับทุกสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตคุณ บอกตามตรงถึงผมจะไม่ใช่คนดีเด่มาจากไหน แต่ผมก็ซ้ำเติมคุณไม่ลงจริงๆ”

ปราณันต์ยังคงพูดต่อ เหมือนพอได้เริ่มพูด ทุกอย่างที่อยู่ในใจก็ถูกเผยออกมาจนหมดสิ้น “อีกอย่าง ผมเองก็ทำไม่ดีกับคุณไว้ไม่น้อย ผมทำให้คุณเสียใจ ผมพรากผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณมาเป็นของตัวเอง ผมเองก็รู้สึกผิดในเรื่องนี้ ผมคิดว่าอย่างน้อย ผมก็อยากทำอะไรบ้างสักนิด เพื่อเป็นการขอโทษที่ผมทำให้คุณผิดหวังและเสียใจ ขอโทษนะครับ”

พอพูดจบปราณันต์ก็ค้อมศีรษะลงอีกรอบเพื่อเป็นการแสดงออกว่าเขาเสียใจมากแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ส่วนพรวลัยเองหลังจากได้ฟังปราณันต์พูด เธอก็นั่งนิ่งจนไม่มีใครดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายเธอก็เปิดปากพูดออกมาช้าๆ

“ก่อนอื่นเลยนะปราณันต์ ฉันคงขอโทษเธอไม่ได้” คามินรั้งปราณันต์เข้าหาตัวเองราวกับกำลังจะปกป้องทันที เมื่อได้ยินพรวลัยพูดแบบนั้น ซึ่งพรวลัยเองก็มองภาพตรงหน้าก่อนจะแค่นหัวเราะเบาๆ

“หึ! ใจเย็นๆ ค่ะครามฉันยังพูดไม่จบ .. ที่ฉันบอกว่าฉันคงขอโทษเธอไม่ได้นั่นเป็นเพราะ ฉันมันก็เป็นของแบบนี้แหละปราณันต์ ฉันเกิดมาไม่เคยต้องขอโทษใคร ฉันไม่เคยผิดหวัง ไม่เคยเสียใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้เสมอ เมื่อมีเธอเข้ามาแย่งของที่ฉันควรจะต้องได้ ถ้าฉันจะสติแตกมันก็ไม่แปลกเลยสักนิด เพราะฉะนั้นการที่เธอมาขอโทษฉัน นั่นมัน.. ก็ถูกแล้ว”

“พรวลัย!” คามินแผดเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความโกรธ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะพูดแบบนี้ แม้ปราณันต์จะทำและพูดดีกับเธอมากขนาดนั้นแล้วก็ตาม

“คุณ ใจเย็นๆ ฟังคุณพรวลัยให้จบก่อนสิ” ปราณันต์ปราม เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่พรวลัยอยากพูดน่าจะมีมากกว่านั้น

“แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ..” พรวลัยยังพูดต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจท่าทีเกรี้ยวกราดของคามินสักนิด “แค่ขอโทษแล้วก็ขอให้ทุกอย่างระหว่างเรามันจบไปซะ ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องรู้สึกค้างคาอะไรกับฉันอีก เพราะในความเป็นจริงครามก็ไม่ได้สำคัญกับฉันมากขนาดนั้น ที่ฉันอยากได้เขามาก็เพราะฉันอยากจะเอาชนะ แต่ฉันไม่เคยรักเขาเลยสักนิด ดังนั้น ในวันนี้ที่เธอมาขอโทษฉัน ฉันก็จะรับไว้ แล้วก็เคลียร์เรื่องระหว่างเราสักที ฉันไม่อยากให้เธอมาเข้าใจผิดๆ ว่าเธอทำให้ฉันต้องสูญเสียคนที่ฉันรัก เพราะในความเป็นจริงแล้ว ฉันไม่เคยรักคามินเลยแม้แต่วินาทีเดียว”

ใบหน้าสวยหวานปรายตาไปมองคามินนิดๆ ก่อนจะยกมือเชิงขอโทษขอโพย “ขอโทษนะที่ต้องพูดตรงๆ หวังว่าคงไม่เสียความมั่นใจ”

ปราณันต์กลั้นขำ ตอนเห็นท่าทีแบบนั้นของพรวลัย และก่อนที่ปราณันต์ทำท่าจะพูดต่อ พรวลัยก็ตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

“พอแล้ว ฉันไม่อยากคุยกับเธอสองคนแล้ว เอาเป็นว่า เรื่องระหว่างเราขอให้จบแค่ตรงนี้ และหวังว่าชาตินี้เราคงไม่ต้องมาพบมาเจอกันอีก... ขอโทษด้วยที่ฉันไม่ใช่คนดีแบบเธอขนาดนั้น ปราณันต์” พรวลัยลุกขึ้นยืนก่อนที่จะหันไปหาผู้คุมเพื่อส่งสัญญาณ “ฉันทำได้ดีสุดๆ ก็แค่นี้แหละ”

ปราณันต์ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าพรวลัยกำลังจะถูกผู้คุมพากลับเข้าห้องขัง “คุณพรวลัย...”

พรวลัยหันกลับมาพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้คนทั้งสอง

“เอาเป็นว่าฉันขอให้เธอทั้งสองคนมีความสุขก็แล้วกันนะ...” ก่อนที่พรวลัยจะหันไปสบตากลมของปราณันต์จริงจัง และปราณันต์ก็มั่นใจมากว่าเขาเห็นน้ำใสๆ เคลือบอยู่ในดวงตาเรียวสวยคู่นั้น “...แล้วก็ขอบคุณมากปราณันต์สำหรับสิ่งที่เธอทำ ถึงฉันจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าที่เธอทำอยู่นั้นเรียกว่าความเมตตาและความดี แม้ฉันจะไม่คู่ควรจะได้รับ แต่ฉันก็ขอบคุณมาก ขอบคุณมากจริงๆ”

แล้วพรวลัยก็เดินหันหลังกลับออกไปพร้อมกับผู้คุม ทิ้งคามินที่กำลังโอบกอดปราณันต์ไว้ข้างหลัง ทิ้งเรื่องราวและความเจ็บปวดทั้งหมด เพื่อเป็นการบอกว่าเธอพร้อมจะเดินหน้าต่อไป โดยไม่ได้ติดค้างอะไรกับใครอีก ไม่ว่าจะป็นคามิน หรือปราณันต์ก็ตาม

.

.

.

ช่วงเวลาผ่านไป คดีความของพ่อกับแม่ของปราณันต์ถูกนำมาพิจารณาและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง ศาลตัดสินให้พรวลัยจำคุกห้าปี ฐานขับรถโดยประมาทและทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต โดยที่ทางพรวลัยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายและค่าทำขวัญให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเป็นเงินจำนวนก้อนใหญ่พอสมควร ซึ่งนั่นคือบทสรุปของคดี และทางครอบครัวของพรวลัยเองก็ไม่ได้อุทธรณ์คดีหรืออะไรต่อ ซึ่งนั่นเป็นความต้องการของพรวลัย เพราะเธออยากจะชดใช้ในสิ่งที่เธอได้ทำไว้ ไม่อยากหนีหรือซุกซ่อนตัวเองไว้ใต้ร่มเงาของความไม่ถูกต้องอีกแล้ว

พอหลังจากทุกอย่างได้ข้อสรุป คามินก็มาพูดคุยกับปราณันต์จริงจัง เขาอยากคบกับปราณันต์แบบเปิดเผย อยากบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าปราณันต์คนนี้คือคนรักของคามิน แต่จากกระแสข่าวลบๆ ระหว่างเขากับปราณันต์แรกๆ ทำให้คามินไม่สบายใจนัก เพราะไม่รู้ว่าปราณันต์คิดยังไง วันนี้เขาจึงตั้งใจแล้วว่าอยากจะเคลียร์กับปราณันต์ให้รู้เรื่อง

“คุณปราณครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ขณะที่ปราณันต์กำลังเตรียมอาหารเย็นสำหรับฝาแฝดและตัวคามินอยู่ครัว คนตัวโตเลยตัดสินใจพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ว่าไงครับ คุณมีเรื่องอะไรหรอ” ปราณันต์ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ คามินเลยกล้าที่จะเดินหน้าต่อ

“เรื่องของเรา ผมอยากทำให้มันชัดเจน” น้ำเสียงของคามินยามพูดฟังดูจริงจังเสียจนปราณันต์ต้องพักมือที่กำลังทำอาหารอยู่ แล้วเดินมานั่งเผชิญหน้ากับคามินที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าและแววตาเปื้อนยิ้ม

“ชัดเจนสำหรับใครครับ ถ้าสำหรับผม ผมรู้แล้วว่าคุณรักผมมาก คุณยอมเจ็บตัวแทนผม คุณดูแลผมอย่างดี ผมไม่คลางแคลงใจอะไรอีกแล้วกับเรื่องของเรา แต่ถ้าสำหรับคุณ ผมไม่แน่ใจว่าผมชัดเจนมากพอรึยัง” ปราณันต์พูดเรื่อยๆ ไม่ได้คิดจะกดดันหรือทำให้คามินรู้สึกไม่ดี

“ไม่เลยครับ สำหรับผม ผมก็รู้ว่าคุณปราณรักผมมาก คุณปราณให้อภัยคนโง่และคนนิสัยไม่ดีอย่างผมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่ติดใจอะไรเลยกับความรักของคุณ” คามินรีบตอบ เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ปราณันต์เข้าใจอะไรผิด

“อ่าว แล้วคุณอยากให้เรื่องของเราชัดเจนสำหรับใครล่ะครับ” คนตัวบางเอียงคอถาม ซึ่งท่าทางแบบนั้นมันน่ารักเสียจนคามินอดยื่นหน้าไปจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากอิ่มไม่ได้


จุ๊บ~


“เอ๊ะ คุณนี่” แล้วก็เป็นไปตามคาด เขาได้รับเสียงโวยวายของปราณันต์ไล่หลังมาตามระเบียบ

“ผมหมายถึงว่าอยากให้ชัดเจนสำหรับทุกคน ผมอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าคุณสำคัญสำหรับผม ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าคุณคือคนที่ผมรัก ผมไม่อยากให้ใครมาติดภาพ ว่าคุณแย่งผมมาจากพรวลัย อีกอย่าง...” คามินทำท่าจะร่ายยาวแต่ปราณันต์กลับตัดบทขึ้นมาก่อน

“คุณครามครับ ผมแคร์คุณมากกว่าใครทั้งหมดบนโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้ก็ได้ครับ มีแค่คุณ ผม ครอบครัวของเรา เพื่อนของเรา รับรู้กันแค่นี้ ผมก็โอเคมากๆ แล้ว”

ปราณันต์ลุกขึ้นเดินไปนั่งคร่อมบนตักแกร่งของคามินพลางยิ้มหวาน ยิ้มหวานที่กระตุกให้หัวใจของคามินเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งได้

“มันไม่ต้องชัดเจนสำหรับใครหรอกครับ แค่ชัดเจนสำหรับผมกับคุณก็พอ”

จบคำ ริมฝีปากอิ่มก็ยื่นไปจูบริมฝีปากหยักของคามินอย่างดูดดื่ม คนที่ไม่ประสีประสาเรื่องจูบในสมัยก่อนหายไปแล้ว มีแต่ปราณันต์คนใหม่ที่เรียนรู้การจูบมากจากคามินผู้ที่เป็นครูชั้นยอดได้อย่างดีไม่มีที่ติ

คามินขยับริมฝีปากรอรับให้ปราณันต์รุกล้ำเข้ามาสำรวจได้ตามใจชอบ และแน่นอนว่าปราณันต์ก็ไม่ทำให้คามินผิดหวัง ปากอิ่มเลาะเล็มดูดดึงริมฝีปากของคามินจนเกิดเสียงดังระงมไปทั้งห้อง ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ดูเหมือนว่าตอนนี้อารมณ์ของคามินเริ่มถูกจุดติดแล้ว มือใหญ่เริ่มล้วงเข้าไปผ่านชายเสื้อของปราณันต์ และขณะที่กำลังไต่ขึ้นสูงเพื่อจะไปทักทายยอดอกคนตัวเล็กกว่านั้น มือเล็กของปราณันต์ก็ตะปบไว้ได้ก่อน พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากอิ่มผละออกจากริมฝีปากของคามินแบบไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว

ปราณันต์ยิ้มซุกซน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแบบไม่สนใจเลยว่าตอนนี้อารมณ์ของคามินกำลังเตลิดไปถึงไหน

“อย่าซนสิครับ กับข้าวยังทำไม่เสร็จเลย”

คามินได้แต่มองตามขาเรียวยาวและสะโพกกลมๆ ที่เดินผละจากเขาไปอย่างเสียดาย บอกแล้วว่าไม่มีอีกแล้วปราณันต์คนที่ใสซื่อคนนั้นน่ะ

ปราณันต์หันมามองคามินที่กำลังมองมาทางเขาตาละห้อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ

“ที่จริงผมก็ว่าจะมีเรื่องปรึกษาคุณอยู่เหมือนกัน”

“เรื่องอะไรล่ะครับ” คามินตอบเสียงหงอยๆ ตอนนี้ในหัวเขามีแต่ภาพปราณันต์ นอนครวญครางหมดเรี่ยวแรงอยู่ภายใต้อาณัติเขาเท่านั้นแหละ

“คุณว่าผมทำอาหารอร่อยไหม” จู่ๆ ปราณันต์ก็ถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คามินก็พยักหน้ารับช้าๆ ถึงจะงงๆ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ปราณันต์เป็นคนที่ทำอาหารอร่อยจริงๆ น่าจะเป็นเพราะทำให้ฝาแฝดทานมาตั้งแต่เด็กๆ ปราณันต์เลยต้องสร้างสรรค์คิดเมนูใหม่ให้เด็กๆ อยู่เรื่อย ทั้งต้องได้ประโยชน์ และต้องอร่อย และต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อให้เด็กๆ ไม่เบื่อ นั่นทำให้ฝีมือทำอาหารของปราณันต์ แทบจะไม่น้อยหน้าเชฟในภัตตาคารใหญ่ๆ เลยทีเดียว

“คุณว่าผมเปิดร้านอาหารดีไหม ผมอยากเอาเงินที่ได้จากคุณพรวลัยมาตั้งตัว” ปราณันต์พูดยิ้มๆ เหมือนคนที่กำลังอยากจะทำตามความฝันของตัวเอง “ผมอยากมีร้านอาหารเล็กๆ สักร้าน ผมจะออกแบบและสร้างสรรค์ร้านของผมเองกับมือ”

คามินมองตามปราณันต์ที่กำลังพูดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำอย่างมีความสุขแล้วอดยิ้มตามไม่ได้

“ผมมาลองคิดๆ ดู ถ้าผมทำร้านอาหาร มันก็เป็นกิจการของผมเอง ผมสามารถไปรับไปส่งฝาแฝดที่โรงเรียนได้โดยไม่ต้องเดือดร้อนใคร หลังจากเด็กๆ เลิกเรียนแกก็สามารถมานั่งรออยู่กับผมได้ โดยไม่ต้องแกร่วอยู่ห้องลำพังในขณะที่ผมหรือคุณต้องออกไปทำงาน ผมคิดว่ามันน่าจะดีทั้งกับผม กับน้อง ผมเลยอยากปรึกษาว่าคุณคิดว่าดีไหมถ้าผมจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง”

คามินยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเดินไปกอดคนรักไว้แน่น พลางกระซิบบอกปราณันต์อย่างแสนรัก

“ไม่ว่าคุณปราณจะอยากทำอะไร ผมพร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ อะไรที่เป็นความฝัน ความหวัง ความต้องการของคุณปราณ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นความฝัน ความหวัง และความต้องการของผมด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คุณปราณอยากทำอะไร คุณปราณทำได้เลย ผมพร้อมจะสนับสนุนและอยู่ข้างๆ คุณตรงนี้ ไม่ทิ้งไปไหนหรอก”

คามินกดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนของคนรักราวกับอยากจะให้คำสัญญา โดยที่มีปราณันต์ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของคนตัวโตที่เขารัก ก่อนที่คามินจะสำทับติดตลกอีกประโยค ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากปราณันต์ได้เป็นอย่างดี

“หรือต่อให้คุณจะไม่ทำอะไรเลยก็เถอะ เงินที่ผมมี เลี้ยงคุณกับน้องๆ ได้สบายๆ ไปทั้งชาติเลยแหละ”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีใครมาพูดแบบนี้กับปราณันต์เขาจะโกรธ แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว นั่นเป็นเพราะปราณันต์เรียนรู้ที่จะรักและรับความรักจากคนอื่น มันไม่ได้หมายความว่าคนที่พูดแบบนี้จะดูถูกเขาเสมอไป บางทีปราณันต์ก็ต้องยอมอ่อนลงบ้าง เพื่อให้คนรักได้ทำหน้าที่ดูแลและเอาใจใส่ ให้เขาได้สบายใจว่าอย่างน้อยเขาก็ได้ทำเต็มที่ เพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุข

ทั้งสองมองหน้ากันและกันก่อนจะยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข เมื่อนึกถึงอนาคตข้างหน้าที่รอให้เขาจับมือพร้อมที่จะเผชิญไปด้วยกัน

.

.

.

ผ่านไปหลายเดือน และในเวลานี้ร้านอาหารเล็กๆ ของปราณันต์ถูกก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในที่สุด บรรยากาศของร้านออกแนวนั่งสบาย เป็นได้ทั้งคาเฟ่ และร้านอาหารสำหรับสังสรรค์ ปราณันต์บรรจงออกแบบทุกตารางนิ้วในร้านของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ลักษณะ บรรยากาศ หรือแม้กระทั่งของแต่งร้านชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปราณันต์ก็เลือกและจัดเรียงมันเองกับมือ

ส่วนเรื่องเมนูอาหารปราณันต์ก็ประดิษฐ์และสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ขึ้นมาหลายเมนู ส่วนใหญ่ก็เป็นเมนูที่เขาเคยทำให้ฝาแฝดทาน แล้วเอามาประยุกต์นั่นนี่อีกนิดหน่อย เพื่อให้เหมาะกับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ซึ่งดูแล้วแปลกใหม่ และน่าจะเรียกลูกค้าได้ไม่น้อย

และแล้ววันเปิดร้านก็มาถึง ปราณันต์เชิญอดีตท่านประธานและคุณแม่มาเป็นผู้ตัดริบบิ้นเปิดร้าน และนอกจากนี้ก็มีเพื่อนๆ ทั้งของเขาและคามินมาร่วมแสดงความยินดีกันครบ ส่วนฝาแฝดนี่ไม่ต้องพูดถึง เจ้าหนูตัวน้อยทั้งคู่วิ่งวุ่นดูแลคนนั้น ยกน้ำยกอาหารเสิร์ฟคนนี้ตั้งแต่เช้า พอมีคนถามว่าพี่ปราณจ้างเท่าไหร่ให้มาทำแบบนี้ เจ้าหนูก็ตอบอย่างภาคภูมิใจว่า


‘พี่ปราณไม่ได้จ้างครับ แต่เราสองคนเป็นหุ้นส่วนร้าน เลยต้องดูแลลูกค้าอย่างดี’


คนเป็นพี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็อดขำไม่ได้ นี่ไม่รู้เลยว่าถ้าเด็กๆ รู้ว่าอาหารที่เสิร์ฟไปตั้งแต่เช้านี่ไม่ได้เงินสักบาท คุณหุ้นส่วนของร้านจะงอแงมากแค่ไหนกัน

การทำพิธีเปิดร้านใหม่เต็มไปด้วยความราบรื่น และเสร็จไปอย่างเรียบร้อย จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงเย็น ก็มีปาร์ตี้เล็กๆ ในร้านเกิดขึ้น โดยมีคุณหุ้นส่วนกิตติมศักดิ์ทั้งสองของร้านทำการแสดงเต้นในชุดหมีแพนด้าให้แขกที่มาร่วมงานดู เจ้าหนูฝาแฝดออกมาในชุดมีแพนด้าน้อยอ้วนๆ กลมๆ ป้อมๆ พร้อมกับมายักย้ายส่ายสะโพกกับก้นตึงๆ ให้พวกผู้ใหญ่ดู ทำเอาแขกที่มาร่วมงานขำกันท้องคัดท้องแข็งเลยทีเดียว

และพอเห็นว่าทุกคนกำลังง่วนกับการแสดงของฝาแฝดบนเวที ปราณันต์เลยค่อยๆ ลุกแยกออกมาเพื่อทำกับแกล้ม และอาหารทานเล่นเพิ่ม ให้ทุกคนทานต่อ

ซึ่งพอปราณันต์เดินแยกเข้าไปในครัว และกำลังเพลินๆ กับการทำอาหารอยู่นั้น เขาก็ได้รู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นตรงเข้ามากอดเขาจากด้านหลัง

“คุณปราณ..” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยไม่เรียกป่าว แต่คามินกลับกดจมูกโด่งเป็นสันลงบนแก้มนิ่มช้าๆ ด้วย

“อยากได้อะไรเพิ่มหรอครับ” ปราณันต์ถาม

“เปล่าครับ ผมไม่ได้อยากได้อะไร แค่อยากกอดคุณเฉยๆ วันนี้เราสองคนไม่ได้มีเวลาส่วนตัวด้วยกันเลยนะ” คามินพูดอ้อนๆ ปราณันต์รู้ดีว่าคามินไม่ได้น้อยใจอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแค่อยากจะอ้อนให้เขาเอาใจมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่ปราณันต์ก็ไม่เคยขัด เพราะเห็นว่าเป็นคนรักกัน ผลัดกันดูแลกัน ง้อกัน เอาใจกัน มันก็น่ารักอยู่ไม่น้อย และครั้งนี้ก็เช่นกัน ปราณันต์จึงเลือกที่จะพูดเสียงหวานใส่อีกฝ่าย

“งั้นมาครับ มากอดกัน แต่ผมตัวเหม็นหน่อยนะ” ปราณันต์พูดเย้าๆ พร้อมหันกลับมากางแขนเรียวออกกว้างรอให้คามินโผเข้ามาหา และแน่นอนว่าคามินก็แทบจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายในแทบจะทันทีทันใดเลยด้วยซ้ำ

“คุณปราณไม่เคยตัวเหม็นสักหน่อย หอมจะตาย หอมทุกซอกมุกมุมเลย" ไม่พูดเปล่าคามินกลับซุกจมูกลงไปบนแก้ม ตามซอกคอของคนตัวเล็กกว่าอย่างเอาแต่ใจ

คามินทั้งกอดทั้งหอมเขาอยู่แบบนั้นจนปราณันต์คิดว่าเดี๋ยวอีกสักพักจะต้องเลยเถิด ถ้าไม่ห้ามปรามกันไว้ก่อน

“ไม่เอาครับ คนอยู่ข้างนอกเยอะแยะเลยนะ”

คามินทำหน้ามุ่ย พลางผละออกช้าๆ ก่อนที่จะกอดเอวบางไว้หลวมๆ แล้วพูดอย่างออดอ้อน

“นี่ขนาดเปิดร้านวันแรก ยังไม่มีลูกค้า คุณปราณยังยุ่งขนาดนี้ ผมไม่อยากจะคิดถึงวันเปิดร้านจริงๆ จังๆ เลย คุณปราณต้องไม่มีเวลามาคอยจู๋จี๋กับผมแน่ๆ”

คนตัวโตพูดกระเง้ากระงอดเหมือนกับลูกหมาตัวโตๆ ทำเอาปราณันต์อดขำอย่างเอ็นดูไม่ได้ ก่อนจะถามคามินอย่างเอาใจ

“แล้วจะทำยังไงดีครับ งานก็ต้องทำ ไหนจะต้องจู๋จี๋กับคุณอีก” ปราณันต์ถามติดตลก แต่ไม่คิดว่าคามินจะจริงจัง เพราะจู่ๆ คนตัวโตกว่าก็เผยรอยยิ้มซุกซน พลางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับปราณันต์อย่างตื่นเต้น

“ผมว่าเราน่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง... ในห้องครัวนี่ก็น่าสนนะ”

ตอนแรกปราณันต์ยังไม่เข้าใจเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศที่คามินพูด แต่พอนึกเรียบเรียงในใจได้ ตากลมก็เบิกโตจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า มือเล็กฟาดลงบนต้นแขนแข็งแรงที่กำลังโอบกอดตัวเองอยู่อย่างไม่ออมมือ

“คุณนี่! ทำไมลามกแบบนี้นะ” เสียงหวานต่อว่าไปก็หน้าแดงไป แต่เอาเข้าจริงปากอิ่มก็อมยิ้ม เพราะแอบคิดอยู่ว่าคงจะน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยถ้าได้ลองทำจริงๆ

“แหนะ คุณปราณแอบยิ้ม ผมเห็น” คามินแซว พลางกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์ “น่านะ วันหลังลองกันดีไหม ผมว่าน่าตื่นเต้นออก”

“คุณนี่!!”

และก่อนที่ปราณันต์จะใจแตกคล้อยตามคามินไปมากกว่านี้ เจ้าหนูฝาแฝดก็วิ่งเจี๊ยวจ๊าวเข้ามาตามทั้งสองเสียก่อน

“พี่ครามมมม พี่ปราณณณ” เสียงปัณณธรน้อยลากยาว ทำเอาทั้งคู่ผละออกจากกันแทบไม่ทัน

“คุณตาพ่อกับคุณยายให้มาเรียกค้าบ บอกให้ออกไปทานข้าวกัน”

พอได้ยินปุณณกันต์บอกแบบนั้น ทั้งสองก็จูงมือเด็กฝาแฝดออกมาสมทบกับคนอื่นๆ ก่อนจะนั่งล้อมวงและทานอาหารกันอย่างมีความสุข

เสียงหัวเราะดังประสานและอบอวลไปทั่วร้านเล็กๆ ของปราณันต์ โดยมีคามินนั่งกุมมือปราณันต์ที่กำลังมองน้องชายฝาแฝดของตัวเองเจื้อยแจ้วเล่านู่นเล่านี่ให้คนอื่นฟังด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้คามินเห็นแล้วยิ้มตามได้ไม่ยาก เขาได้แต่คิดในใจอย่างมีความสุขว่า ขอแค่ปราณันต์ยิ้ม เขาก็จะยิ้มตามโดยไม่กังขา และถ้าปราณันต์ร้องไห้ เขาก็พร้อมจะโอบกอดคนๆ นี้ไว้และร้องไห้ไปพร้อมๆ กับคนที่เขารัก

ชีวิตนี้คามินคิดว่าตัวเองมีครบแล้ว เมื่อได้พบกับปราณันต์... ปราณันต์คนที่เข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตที่แสนเย็นชาของเขา ให้ได้รู้จักความรัก การเสียสละ และการมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคน

บางทีคามินก็อยากจะขอบคุณไอ้เพื่อนพิเรนทร์ของเขาที่ชวนเขาเล่นเกมบ้าๆ นั่น ถ้าเขาไม่ได้เริ่มเล่นเกมนั้น เขาก็คงไม่ได้มีปราณันต์ในชีวิตวันนี้ และถึงแม้ที่ผ่านมามันจะไม่ได้สวยงามและอาจมีอุปสรรคบ้างในบางครั้ง แต่เขาและปราณันต์ก็ฝ่าฟันมันมาจนได้มีความสุขในวันนี้ และคนที่คามินต้องขอบคุณมากที่สุดก็เห็นจะเป็นคนข้างๆ เขานี่แหละ


คนที่ให้อภัยแม้ว่าเขาจะทำผิดอย่างร้ายกาจ

คนที่รักทั้งๆ ที่เขามีข้อบกพร่องมากมาย

คนที่คอยดูแลเอาใจใส่แม้ว่าเขาจะเผลอใจร้ายไปในบางครั้ง

และคนๆ นั้นคือปราณันต์



คามินกระชับมือเล็กให้แน่นขึ้น ก่อนจะโน้มใบหน้าไปใกล้หูนิ่มของคนที่นั่งข้างๆ และกระซิบถ้อยคำหวานล้ำ ซึ่งถึงแม้เสียงรอบข้างของปราณันต์จะดังโหวกเหวกมากแค่ไหน แต่ปราณันต์กลับได้ยินคำนั้นจากคามินชัดเจนที่สุด


“ปราณันต์ครับ ผมรักคุณ”


และครั้งนี้มันไม่ใช่คำบอกรักที่บอกผ่านจากแค่ริมฝีปาก แต่มันคือคำบอกรักที่บอกผ่านมาทางสายตาคมคู่นั้นด้วย สายตาที่บอกปราณันต์ว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้รักคนที่อยู่ตรงหน้ามากแค่ไหน และนั่นทำให้ปราณันต์ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะกระซิบคำนี้ตอบกลับไปเช่นกัน


“คามิน ผมก็รักคุณเหมือนกันครับ”


ไม่มีเกม ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ อีกต่อไปทั้งนั้น ที่เหลือตอนนี้มีแค่ผู้ชายหนึ่งคน ที่รักผู้ชายอีกคนด้วยทั้งหมดของหัวใจซึ่งมาจากใจจริงๆ และมันจะเป็นอย่างนี้ตราบจนตลอดไปนานเท่านาน



- THE END -


------------------------------------------------------

Last Talk: ก็.. จบแล้วค่ะ จบลงไปแล้วววว อีกเรื่อง .. ขอบคุณมากๆ นะคะที่ติดตามกันมาจนถึงแช๊ปเตอร์นี้ ขอบคุณมากๆ เลยยยยย

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกยอดโดเนทที่ส่งเข้ามา ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ถ้ามีคำไหนมากกว่าคำว่าขอบคุณเรายกให้ทุกคนหมดเลยยย

ก็.. อาจจะเขียนเรื่องใหม่อีกสักเรื่อง แต่แค่อาจจะนะคะ ถ้าว่างพอและมีกำลังใจ ถ้าเขียนเที่ยวนี้ก็คงจะเขียนใส่สต็อกไว้เยอะๆ แล้วค่อยเอามาลง ถ้ายังไงเราเอามาลงก็ฝากทุกคนติดตามและช่วยให้กำลังใจเหมือนที่ผ่านๆ มาด้วยน้าาา

ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยยยย ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-05-2021 00:27:48
สนุกมากค่า จะรออ่านผลงานใหม่ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-05-2021 17:55:23
 :L1: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 14-05-2021 15:46:48
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ อีก 1 เรื่อง สนุกมากคับ
หัวข้อ: Re: [Up] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-05-2021 02:02:34
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: [End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-05-2021 00:17:08
กว่าจะมาถึงวันนี้เจ็บกระดองใจไปหลายยก 55555 ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆและมาอัพในthaiboysให้ได้อ่านกันนะคะ น่ารัก  :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1: :L2: :3123: :L1: จะตามผลงานเรื่องต่อไปค่ะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: [End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-05-2021 11:22:04
 :pig4:
 :3123:
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ รอผลงานใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: [End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 29-05-2021 17:45:57
 :pig4: