24th Lies : เริ่มต้นอีกครั้ง
และยังไม่ทันขาดคำ ปราณันต์ก็สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดคามินทันที ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับใบหน้าคมคายอย่างไม่พอใจ
“คุณหมายความว่ายังไง"
คามินถอนหายใจ คิดไว้แล้วไม่มีผิด ปราณันต์ต้องไม่ยอมแน่ๆ ถ้าเขาขออะไรแบบนี้
“ผมอยากให้คุณปราณย้ายไปอยู่คอนโดเดียวกับผม มันจะง่ายกว่านี้เพราะผมจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา อีกอย่างเด็กๆ จะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ด้วย”
ตากลมจ้องไปที่คามินอย่างไม่พอใจ ลำคอขาวของคนตัวเล็กกว่าตั้งตรง ก่อนที่เสียงหวานจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
“แล้วที่นี่ไม่ดีตรงไหน พวกเด็กๆ ก็อยู่มาตั้งแต่พวกแกเกิด อีกอย่างผมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ฝาแฝดเสมอ คุณไม่ต้องมาห่วงในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง”
คิ้วเข้มของคามินขมวดเป็นปม ชักจะไม่พอใจขึ้นมานิดๆ ที่คนตรงหน้าเอาแต่เถียง ไม่ยอมโอนอ่อนให้เขาสักนิด ทั้งที่เขาทำไปทั้งหมดนี่ก็เพราะหวังดีล้วนๆ สุดท้ายคามินเลยต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำกับปราณันต์จนได้
“พรุ่งนี้ทยอยเก็บของนะครับคุณปราณ ตอนเย็นผมจะให้รถมาขนไป” คามินรวบรัด ทำเอาใบหน้าหวานงอง้ำยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่จะยืนกรานในความคิดของตัวเอง
“ไม่ครับ ผมไม่ย้าย คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับผม” แขนเล็กๆ ยกขึ้นมาไขว้กอดกลางอก เพื่อแสดงท่าทีต่อต้านชัดเจน
“มีครับ ผมมีสิทธิ์ เพราะผมเป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ห้องนี้ แล้วตอนนี้ผมก็ใช้สิทธิ์ของเจ้าของห้อง ไม่ให้คุณพักที่นี่อีกต่อไป เพราะฉะนั้น คุณต้องย้ายออกครับคุณปราณ”
เสียงทุ้มพูดเรียบๆ แต่เจ้าของใบหน้าสวยหวาน ถึงกับเบิกตาโพลงอย่างกับว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อน
“คุณพูดอะไร เจ้าของห้องนี้คือเถ้าแก่ข้างล่างต่างหาก จะเป็นคุณได้ยังไง”
เสียงหวานถามสั่นๆ เอาเข้าจริงตัวปราณันต์เองก็ไม่ได้มั่นใจหรอก ว่าห้องพักนี้จะยังเป็นของเจ้าของอพาร์ทเม้นท์อยู่ เพราะถ้าดูจากความทุ่มเทของคามินที่ผ่านมา ในการที่จะพยายามเอาชนะใจเขาแล้ว มันก็ไม่น่าจะยากอะไร ถ้าอีกฝ่ายจะกลายเป็นเจ้าของห้องพักแห่งนี้ ไม่ใช่เถ้าแก่คนเก่าอย่างที่มันควรจะเป็น
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ คุณปราณก็รู้นี่ ว่าที่ผ่านมาผมสามารถทำอะไรได้บ้าง กับอีแค่อพาร์ทเม้นท์ห้องเล็กๆ แบบนี้ คุณปราณคิดว่าผมจะซื้อเก็บไว้ไม่ได้หรอ”
ใบหน้าคมคายพูดอย่างกวนประสาท เอาเข้าจริงคามินก็รู้สึกดีนิดๆ ที่ปราบพยศเด็กแสบแสนดื้อตรงหน้าได้
“งั้นผมก็จะย้ายไปห้องข้างๆ ที่ว่าง ว่างตั้งสองห้อง ... ผมเองก็อยากจะรู้ว่าคุณจะบังคับอะไรผมได้อีก” ปลายคางของปราณันต์เชิดขึ้นอย่างถือดี ไม่มีท่าทีว่าจะยอมลงให้คามินสักนิด
คนตัวสูงกว่ามองท่าทางของคนตรงหน้า แล้วอดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ ... ลูกแมวแสนพยศตัวนี้ มันน่าจับมาฟัดให้หายดื้อจริงๆ
และพอคิดได้ดังนั้น คามินก็พุ่งเข้าไปตะครุบเจ้าแมวตัวดื้อที่ยืนเชิดคางอยู่ไม่ไกลเข้ามากอดไว้แนบอก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“แล้วคุณปราณไม่สงสัยหรอว่าทำไมห้องสองห้องข้างๆ ห้องคุณปราณถึงว่าง หื้ม?”
แววตากลมโตเบิกโพลงขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนที่จะหันไปมองค้อนคนที่โอบกอดเขาอยู่จากด้านหลังด้วยสายตาแค้นเคือง
“อย่าบอกนะว่านี่ฝีมือคุณ?” เสียงหวานถามขึ้นมาอย่างหงุดหงิด เมื่อพอจะเดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้
“ใช่ครับที่รัก ไม่งั้นผมจะย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ คุณปราณได้ง่ายๆ แบบนี้หรอ?”
คนตัวโตกว่ายิ้มก่อนจะกระชับอ้อมกอดแข็งแรงให้แน่นกว่าเดิม จากนั้นก็กดจมูกโด่งเป็นสันไปที่ขมับของปราณันต์อย่างมันเขี้ยว แต่คนในอ้อมกอดก็ช่างดื้อดึง ใบหน้าสวยหวานเบี่ยงหลบคามินเป็นพัลวัน จนคามินต้องใช้มือใหญ่ข้างหนึ่งล็อคใบหน้าเล็กๆ เอาไว้ ก่อนที่ก้มลงไปจูบปากอิ่มอย่างเร็วๆ
จุ๊บ~ จุ๊บ~
“อื้อ! คุณ อย่า!” ปราณันต์พยายามดิ้น แต่คามินก็ไม่ยอมปล่อย
“จะปล่อย ถ้าเลิกดื้อ แล้วยอมย้ายไปอยู่กับผมดีๆ”
คามินปรับท่าทีให้อ่อนลง น้ำเสียงที่พูดก็นุ่มนวลขึ้น อย่างที่บอกตั้งแต่ทีแรก คามินไม่ได้อยากบังคับปราณันต์ เขาแค่อยากให้ปราณันต์และเด็กๆ ได้อยู่สบายๆ ไม่คับแคบแบบนี้ก็เท่านั้น
“ก็แล้วผมเลือกอะไรได้ไหมล่ะ”
เสียงหวานพูดอย่างไม่พอใจ พลางคิดในใจว่าแพ้ทุกที แพ้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ไม่ได้ เอาเข้าจริงแค่คามินมากอดเขาไว้ พูดเสียงอ้อนๆ แบบนี้ ตัวปราณันต์เองที่ยังมีเยื่อใยกับอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ก็ใจอ่อนยวบไม่รู้จะหาทางต้านกินยังไงเหมือนกัน
“ไม่เอาสิครับคุณปราณ ไม่เป็นแบบนี้สิ ผมไม่ได้อยากบังคับคุณนะ ผมแค่อยากให้คุณอยู่สบายๆ เด็กๆ จะได้มีพื้นที่ในการทำนั่นทำนี่มากกว่านี้ด้วย”
ปราณันต์ถอนหายใจอย่างปลงตก ฟังดูแล้วมันก็น่าจะมีความสุขดีถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว...
มันจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ
มันจะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายแล้วคามินก็ต้องกลับไปหาคู่หมั้น กลับไปใช้ชีวิตในลู่ทางที่ควรจะเป็น กลับไปใช้ชีวิตที่ยังไงแล้วก็จะไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกับเขาได้เลยสักทางพอปราณันต์คิดได้แบบนั้น ความน้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมาในอกอีกระลอก
“ปล่อยครับ คุณอยากทำอะไรก็ทำ ผมเหนื่อยที่จะคิดหรือต่อต้านอะไรแล้ว”
ปราณันต์พูดก่อนที่จะค่อยๆ สลัดตัวเองออกมาจากอ้อมกอดอุ่นๆ นั้น แม้อยากจะอยู่แบบนี้นานแค่ไหน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ที่ของเขา ยังไงสุดท้ายก็ต้องเดินออกมา
คามินมองนัยน์ตากลมที่เศร้าหมองของปราณันต์อย่างรู้สึกผิด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ตัวคามินเองไม่ทรมาน ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะถอนหมั้นกับพรวลัยเสียเดี๋ยวนี้ เรื่องธุรกิจอะไรนั่นน่ะ เอาเข้าจริงแล้วคามินไม่สนหรอก เพราะตัวเขาเองเชื่อว่าเขาสามารถที่จะจัดการและดูแลมันได้ แม้จะไม่มีหลินคอนสตรัคชั่นช่วยซัพพอร์ต แต่สิ่งที่เขาหนักใจและเป็นห่วงคือความปลอดภัยของปราณันต์และฝาแฝดมากกว่า เพราะฉะนั้น คามินจะผลีผลามไม่ได้ แม้การถอนหมั้นกับพรวลัยจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ขอเวลาเขาสักหน่อย คามินเชื่อแน่ว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ตอนนี้ เวลานี้ เขาจำเป็นต้องเป็นคนเห็นแก่ตัว อะไรที่ทำแล้วเขาจะสามารถอยู่กับปราณันต์ได้ เขายอมทำทั้งนั้น
พอคามินทำท่าจะเข้าไปกอดปราณันต์อีก อีกฝ่ายก็กลับเดินหนีไปก่อน พร้อมกับตัดบท
“กลับไปก่อนเถอะครับ วันนี้ดึกแล้ว ผมอยากพักผ่อน” ปราณันต์บอกเสียงเรียบๆ
“คืนนี้ผมขอนอนที่นี่ได้ไหมครับ” คามินทำเสียงเหมือนขอร้องกลายๆ แต่ดูเหมือนปราณันต์จะไม่ยอมใจอ่อน
“วันนี้ผมไม่เหลืออะไรจะ
‘ให้’ คุณแล้วครับ ผมเหนื่อย ผมอยากพัก ถ้าคุณยังอยากเล่นสนุกกับร่างกายผมอีก ... วันอื่นเถอะนะครับ ผมขอร้อง”
เสียงหวานพูดเศร้าๆ ทำเอาหัวใจของคามินเจ็บไปหมด คามินเองก็พยายามจะอธิบายว่าปราณันต์เข้าใจผิด เขาเพียงแต่อยากนอนกอดร่างเล็กนั่นๆ ให้หายคิดถึงก็แค่นั้น แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมฟังอะไรเขาเลยสักนิด
คามินถอนหายใจ แต่เขาอยู่ห่างกับปราณันต์มาเป็นอาทิตย์แล้ว คิดถึงร่างกายนุ่มๆ ที่มีกลิ่นหอมๆ นี่จะแย่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาต้องทำเรื่องที่ปราณันต์ไม่ชอบอีกครั้ง
“ไม่เอาครับ ผมไม่กลับ คืนนี้ผมจะนอนที่นี่ จะนอนกับคุณปราณ” คามินปฏิเสธตาใส ทำเอาปราณันต์โกรธแทบควันออกหู
“คุณนี่มัน! ..” คนตัวเล็กกว่าหมดแรงจะต่อกร โมโหก็โมโห แต่ก็เหนื่อยที่จะรบราอะไรกับคนๆ นี้แล้ว
ปราณันต์ตัดสินใจเดินหนีเข้าห้อง โดยที่มีคามินตามไปติดๆ จึงได้ทันเห็นว่า ปราณันต์กำลังยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองออกป้อยๆ
และเพราะแบบนั้น หัวใจคามินก็อ่อนยวบลงไปกว่าครึ่ง เขาทำปราณันต์ร้องไห้อีกแล้ว สุดท้ายคามินจึงเดินไปดักหน้าอีกฝ่ายไว้จึงได้เห็นเต็มสองตาว่า ดวงหน้าขาวนวลแดงช้ำมากขนาดไหน คามินเลยต้องพูดทำความเข้าใจก่อนที่ปราณันต์จะคิดมากมากไปกว่านี้
เขาตัดสินใจรวบมือทั้งสองข้างของปราณันต์ไว้ ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล
“คุณปราณครับ ขอแค่นอนกอดเฉยๆ ... ผมคิดถึงคุณปราณมากนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยขออย่างออดอ้อนอีกครั้ง ปราณันต์ได้แต่ถอนหายใจ เขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมอยู่เรื่อยไปแบบนี้ เพราะเอาเข้าจริง ตัวปราณันต์เองก็คิดถึงคามินไม่น้อยเหมือนกัน
“ชุดนอนคุณอยู่ในตู้ หาเอาเองก็แล้วกัน” ปราณันต์พูดก่อนจะสะบัดหน้าหนีเดินเข้าห้องน้ำไป
ร่างสูงมองตามร่างเพรียวบางไปด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยก็ยังดีที่ปราณันต์ดูเหมือนจะยังใจอ่อนให้เขาอยู่หน่อยๆ คามินยิ้มร่า ก่อนจะตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาเสื้อตัวเอง
คามินอมยิ้มบางๆ เมิ่อเห็นเสื้อตัวใหญ่โตของเขาแขวนอยู่ข้างๆ เสื้อตัวเล็กของปราณันต์ กลิ่นหอมของน้ำยาซักผ้าที่ปราณันต์ใช้ประจำและมักเป็นกลิ่นที่ติดตัวครอบครัวอยู่เสมอทำให้คามินรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาค่อยๆ ปิดประตูตู้ช้าๆ ก่อนจะมานั่งรอปราณันต์อยู่ปลายเตียงอย่างเป็นสุข
.
.
.
คามินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่อาบน้ำ เขาก็เห็นปราณันต์นอนตะแคงหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กๆ เรียบร้อยแล้ว ร่างสูงนั่งลงบนเตียงพลางข้างแมวน้อยตัวแสบ พลางพินิจพิจารณาใบหน้าสวยหวานยามหลับใหล ปราณันต์เหมือนสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ที่น่าปกป้องและน่าทะนุถนอมเสมอในสายเขาไม่ว่าจะตอนหลับหรือตื่น นิ้วเรียวยาวค่อยๆ เกลี่ยปอยผมที่ปลิวลงมาปรกหน้าปรกตาร่างบาง เพื่อไม่ให้คนที่อยู่ในห้วงนิทราเกิดความรำคาญ ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะโน้มลงไปใกล้ๆ แล้วประทับริมฝีปากจูบลงบนหน้าผากมนเบาๆ
“อื้อ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่นและพลิกตัวเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวน คามินรีบตบลงบนหลังของคนที่นอนอยู่เบาๆ พลางสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับปราณันต์ แล้วยกศีรษะเล็กๆ ของคนที่กำลังหลับสบายวางลงบนแขนตัวเองที่สอดให้อีกฝ่ายหนุนแทนหมอน ปราณันต์ขยับเข้าหาอกอุ่นๆ ของคามินทันทีด้วยความเคยชิน ริมฝีปากอิ่มขยับขมุบขมิบ ทำเอาเขาต้องรีบก้มลงไปฟังว่าปราณันต์พูดว่าอะไร
คามินผละออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง หลังจากได้ยินเสียงหวานพึมพำถ้อยคำที่น่ารักที่สุดออกมา
‘ฝันดีนะคุณคราม’ริมฝีปากหยักจูบลงไปเบาๆ บนปากอิ่ม ก่อนจะกระซิบเสียงนุ่มให้คนที่หลับอยู่ฟัง แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร
“ฝันดีนะครับคุณปราณของผม”
ร่างสูงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น โดยที่ปราณันต์เองก็ซุกตัวเข้าหาคามินอย่างเคยชิน เขาอมยิ้มเบาๆ ก่อนจะปิดเปลือกตา เข้าสู่ห้วงนิทราไปตามคนข้างกายอย่างมีความสุข
.
.
.
เช้าวันต่อมาเด็กฝาแฝดตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยมีคามินและปราณันต์ไปส่ง แต่ดูเหมือนว่าเด็กๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คงเป็นเพราะเมื่อวานตื่นเต้นเกินไปที่ได้เจอพี่คราม ถึงได้ไม่รู้สึกว่ารถที่พวกตนโดยสารมานั้น ใหญ่โตและหรูหรากว่าเดิมมาก
พอเช้าวันนี้ลงมาขึ้นรถ ปัณณธรน้อยจึงร้องถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“โอ้โห พี่คราม รถใหม่หรอครับ ทำไมคันใหญ่จัง”
ปัณณธรเบิ่งตาให้ดูโตยิ่งกว่าเดิม ทำเอาคามินอดหัวเราะเพราะความเอ็นดูไม่ได้
“ใช่ครับ พี่ครามเปลี่ยนรถใหม่แล้ว พวกหนูกับพี่ปราณจะได้นั่งสบายๆ ไงครับ”
คามินเหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา คนในอ้อมกอดเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขี้น ทั้งที่นอนกอดกันทั้งคืนขนาดนั้น แต่คามินก็ไม่อยากจะคาดคั้นเอาอะไร ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็น่าจะดีกว่า
“เย่ๆ” ปัณณธรร้องเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่ปุณณกันต์จะพูดขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้
“แล้วคุณยายล่ะครับพี่ปราณ” ปราณันต์เองก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ท่าทางวันนี้เขาคงต้องโทรหาอนาวินเสียแล้ว
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ไม่วายโดนไอ้วินด่าหูชาแน่ๆ
“เดี๋ยววันนี้พี่ปราณจะโทรบอกพี่วินให้ครับ คุณยายจะได้ไม่มาเก้อ ว่าแต่ปุณณ์อยากอยู่กับคุณยายหรอครับ”
“ปุณณ์อยู่กับใครก็ได้ครับ” ปุณณกันต์ตอบ แต่ตากลมเหลือบมองไปทางคามินเหมือนเกรงใจ “ที่จริงคืออยากอยู่กับพี่ครามกับพี่ปราณ แต่ก็กลัวพวกพี่ไม่ว่าง”
คามินยิ้มบางๆ ก่อนจะลงไปนั่งยองๆ พลางยื่นมือไปลูบแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าหนูอย่างเอ็นดู
“พี่ครามว่างเพื่อพวกหนูเสมอครับ ไม่ต้องกังวลนะ”
ปราณันต์มองภาพตรงหน้าก่อนจะเบือนสายตาไปที่อื่น หัวใจภายใต้อกบางสั่นไหวอย่างรุนแรง ความอ่อนโยนที่ได้เห็นทำให้เขาหวั่นไหว แม้ไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดคามินได้มากแค่ไหนก็ตาม
“ไปโรงเรียนกันเถอะเด็กๆ เดี๋ยวจะสายเอา” ปราณันต์พูดตัดบทก่อนจะพาน้องๆ ไปนั่งที่เบาะด้านหลังพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ ส่วนตัวเองก็เข้าไปนั่งที่เบาะฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ แต่ในขณะที่ปราณันต์กำลังสาละวนกับกระเป๋าๆ นักเรียนของเด็กๆ อยู่นั้น คามินก็โน้มตัวมา เพื่อเอื้อมมือจะคาดเข็มขัดให้คนตัวเล็กข้างๆ
ปราณันต์เบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ แต่ชัดเจน
“ไม่ต้องครับ ผมจัดการเองได้”
คามินถอนหายใจ ก่อนจะยอมถอยออกมา เพราะไม่อยากให้ปราณันต์อึดอัดใจ
คามินขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ จากนั้นก็ไปส่งฝาแฝดที่โรงเรียน พอร่ำลากันเรียบร้อยก็ตรงดิ่งมาที่ออฟฟิศ และก่อนที่ปราณันต์จะก้าวลงจากรถ คามินก็รั้งไว้ด้วยเสียงเสียก่อน
“วันนี้ผมจะให้คนเข้าไปขนของที่อพาร์ทเม้นท์นะครับ แล้วเย็นนี้ผมจะพาคุณปราณกับน้องๆ ไปที่คอนโด”
ปราณันต์นิ่ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“แล้วแต่คุณเถอะครับ ผมขัดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว” ปราณันต์ทำท่าจะลงจากรถ แต่คามินก็รั้งแขนเล็กเอาไว้อีกครั้ง ก่อนที่จะยื่นหน้าไปจูบแก้มนิ่มเบาๆ
“ตั้งใจทำงานนะครับ แล้วเย็นนี้เจอกัน”
แก้มนิ่มที่คามินเพิ่งได้สัมผัสไปขึ้นสีน้อยๆ ซึ่งภาพที่ได้เห็นตรงหน้า ทำเอาเขาอมยิ้มไม่เลิก อย่างน้อยปราณันต์ก็ยังมีความรู้สึกกับเขาอยู่บ้าง อย่างน้อย...
ปราณันต์ไม่ได้พูดอะไร แต่รีบลงจากรถไปทันทีที่ได้สติ ขาเรียวก้าวเข้าประตูออฟฟิศโดยที่ไม่ยอมเหลียวหลัง หัวใจดวงน้อยๆ เต้นอย่างบ้าคลั่ง แม้จะเป็นเหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขากับคามินเคยทำมาแล้ว แต่กับครั้งนี้ปราณันต์อธิบายไม่ถูก มันรู้สึกดีและอบอุ่นกว่าที่เคยผ่านมา
“คุณปราณันต์ครับ” ยังไม่ทันจะเดินพ้นล็อบบี้ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกไว้ก่อน และเมื่อปราณันต์หันไปตามเสียงเรียก ก็ได้เห็นใบหน้าคุ้นตาที่เขาเคยเห็นไม่กี่ครั้ง แต่ก็จดจำได้ไม่มีวันลืม
...หนึ่งในคนที่ทำร้ายเขาอย่างรุนแรง
สิปปกรใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ ถ้อยคำที่เปล่งออกจากปากอิ่ม เย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งที่อยู่ขั้วโลกเหนือเสียอีก
“ผมจำได้ว่าไม่เคยมีธุระอะไรกับคุณ เลยนึกไม่ออกว่าคุณมาดักรอผมทำไม”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ.. คือ.. ผม”
สิปปกรคนที่เคยทะเล้นทะลึ่ง มีความมั่นใจในตัวเองเต็มร้อย แต่ตอนนี้ ณ ขณะที่เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายหน้าหวานที่ตัวเล็กกว่าเขาค่อนข้างมาก แต่เขากลับกำลังอึกอัก และไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน
สิปปกรอยากทำความรู้จักปราณันต์มากกว่านี้ เขาอยากเป็นคนดูแล และมอบสิ่งดีๆ ให้ ทดแทนกับเรื่องเลวร้ายที่เขาได้ทำไป แต่ความละอายใจกับเรื่องที่เขาได้ก่อ มันกำลังปะทุขึ้นมาในใจ และนั่นทำให้เขาไม่กล้ามากพอที่จะพูดคุยกับคนตรงหน้า
“แต่ผมไม่มีครับ .. ขอตัว” ปราณันต์ทำท่าจะเดินหนี แต่สิปปกรกลับพูดประโยคหนึ่งออกมาเสียก่อน ประโยคที่ตรึงเท้าทั้งสองข้างของปราณันต์ไว้ โดยที่เจ้าตัวเองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินสิ่งเหล่านี้
“ผมช่วยสืบเรื่องอุบัติเหตุของพ่อแม่ของคุณให้ได้นะครับ เพียงแค่คุณยอม” น้ำเสียงจริงจังที่ปราณันต์ได้ยิน ทำให้ยิ่งช็อคหนักกว่าเดิม “ผมแค่อยากไถ่โทษ กับเรื่องเลวร้ายที่ผมได้ทำลงไปกับคุณ”
ปราณันต์หันมาเผชิญหน้ากับสิปปกรอีกครั้ง ก่อนจะเค้นเสียงเอ่ยถามออกมาอย่างยากเย็น
“คุณรู้เรื่องพ่อกับแม่ผมได้ยังไง” ปราณันต์ถามเสียงเข้ม แม้แต่เรื่องนี้กับคามินเขาก็ไม่ได้บอก ทำไมสิปปกรถึงรู้ รู้ได้ยังไง
“เราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหมครับ ยืนคุยแบบนี้คงไม่เหมาะ”
คิ้วสวยขมวดเป็นมุ่นเป็นปม แม้จะโกรธและไม่พอใจคนตรงหน้ามากแค่ไหน แต่หัวข้อสนทนาที่สิปปกรพูดมามันช่างกระแทกใจเขาเหลือเกิน สุดท้ายความอยากรู้ก็เป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง
“ร้านกาแฟตรงนั้นก็ได้ครับ” ปราณันต์พยักเพยิดไปอีกทาง “แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าถ้าคุณจะมาเพื่อพูดจาอะไรไร้สาระ ผมจะไม่ขอฟัง และจะไม่ยอมเจอกับคุณอีก”
สิปปกรพยักหน้ารับรู้และเดินตามปราณันต์ไป หนุ่มเจ้าเสน่ห์นึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยปราณันต์ก็ยอมคุยกับเขา แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่เฉียดกับความตั้งใจแรกของเขาเลยก็เถอะ ซึ่งมันย่อมดีกว่าให้ปราณันต์ไล่เขาไปตั้งเยอะ
พอถึงร้านกาแฟ ปราณันต์ก็ไม่รอช้า ยิงคำถามใส่สิปปกรทันที
“ที่พูดเรื่องพ่อกับแม่ของผมขึ้นมา นี่มันยังไงกันแน่”
“ก่อนอื่นเลยผมต้องขอโทษที่ถือวิสาสะสืบเรื่องส่วนตัวของคุณ” สิปปกรพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด “แต่ผมรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อขอโทษคุณ เลยให้คนไปสืบดูเผื่อผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง.. แล้วผมก็ได้รู้เรื่องนี้”
“ให้ตายเถอะ! ทำไมพวกคุณถึงไม่ปล่อยผมไป ทำไมถึง...”
“ผมชอบคุณครับปราณันต์”สิปปกรพูดสวนขึ้นมาก่อนที่ปราณันต์จะพูดจบประโยค ทำเอาปราณันต์ช็อคเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ตั้งแต่ได้เจอสิปปกรเช้านี้
“ผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว ผมเป็นคนเสนอให้คามินเป็นคนทำเรื่องบ้าๆ นี่ เพราะผมสนใจคุณ และยิ่งพอผมได้พูดคุยกับคุณผมยิ่งถูกใจ จนเมื่อวันที่คุณรู้ความจริง... ผมเพิ่งเข้าใจหัวใจตัวเองก็วันนั้น...”
“หยุด!” เสียงหวานเอ่ยห้ามทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สิปปกรพูด “ผมขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่ผมรับความรู้สึกหรือความช่วยเหลืออะไรจากคุณไม่ได้ทั้งนั้น”
สิปปกรหน้าซีดทันทีที่ได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น
“ทำไม? ...”
“เห๊อะ คุณยังถามอีกหรอว่าทำไม” ปราณันต์ยิ้มหยัน ก่อนจะพูดชัดเจน “ผมรู้ว่าคุณรู้เหตุผลดีว่าทำไม เอาเป็นว่าผมขอบคุณมากสำหรับเรื่องที่คุณพยายามจะทำเพื่อไถ่โทษ แต่ผมรับไว้ไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ”
สิปปกรยิ้มเบาๆ อย่างเข้าใจ เขาชอบปราณันต์ก็เพราะแบบนี้ เด็กตรงหน้าเขาเด็ดเดี่ยวและชัดเจนในความรู้สึกตัวเองเสมอ ตอนแรกสิปปกรคิดไว้ว่าจะพุ่งชนกับคามินสักตั้ง เพราะการได้ปราณันต์มามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่พอเจอคนตัวเล็กกว่าปฏิเสธกันตรงๆ แบบนี้เล่นเอาเขาพูดไม่ออกเลยเหมือนกัน
“ผมเข้าใจครับ แล้วก็ขอบคุณคุณปราณันต์มากที่ยอมฟังผมจนจบ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจ บอกผมนะครับ ผมยินดีที่จะช่วยจริงๆ”
สิปปกรเอื้อมมือมากุมมือปราณันต์ที่ประสานวางอยู่บนโต๊ะเบาๆ ปราณันต์ไม่ได้ชักมือออก แต่มองตอบเหมือนกับอยากจะขอบคุณ แม้คนตรงข้ามจะไม่ได้พูดอออกมาตรงๆ แต่สิปปกรก็พอจะรับรู้ได้
.
.
.
เจ้าของอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้กำลังจะก้าวลงจากรถคันหรูหลังจากส่งปราณันต์เสร็จ ก่อนจะหันไปเห็นว่าสมุดร่างภาพงานต่างๆ ของปราณันต์ถูกวางลืมอยู่ที่เบาะหลังตรงที่นั่งของปุณณกันต์กับปัณณธร สงสัยปราณันต์จะเผลอวางไว้ตอนจับน้องๆ ขึ้นรถ พอเขาเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มๆ
“ลืมของจนได้นะคุณปราณ”
จากที่ตั้งใจว่าจะขึ้นห้องทำงานโดยใช้ลิฟต์ของผู้บริหาร คามินก็เปลี่ยนใจเดินย้อนไปขึ้นลิฟต์ด้านหน้า เพราะจะเอาสมุดภาพไปคืนปราณันต์ด้วย เกิดไม่มีเล่มนี้ละทำงานไม่ได้จะแย่เอา
คามินเดินผ่านร้านกาแฟประจำของปราณันต์ เขามองเข้าไปในร้าน กะว่าจะซื้อกาแฟไปฝากอีกฝ่ายเสียหน่อย แต่ภาพที่เห็นทำเอาอารมณ์ดีๆ ของเขากลับขุ่นมัวจนแทบจะระเบิดออกมาตรงนั้น
ท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ เดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่มี
‘คนของเขา’ และ ศัตรูหัวใจนั่งอยู่ ไอ้เพื่อนที่ได้ชื่อว่าสนิทกับเขากุมมือปราณันต์ของเขาไว้แน่น คามินโมโหจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อถึงโต๊ะคามินก็กระชากคอเสื้อของไอ้เพื่อนสารเลวขึ้นมาทันที
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหม ว่าของๆ กู มึงห้ามยุ่ง!”
เสียงทุ้มตวาดอย่างไม่พอใจ โชคดีที่เวลานี้เป็นเวลาเข้างานแล้ว ทั้งร้านจึงมีแค่คามิน สิปปกร และปราณันต์เท่านั้น นี่ถ้าเป็นเวลาก่อนเข้างาน สงสัยเรื่องนี้ได้กระฉ่อนไปทั้งบริษัทแน่ๆ
“ทำบ้าอะไรน่ะคุณคามิน? ปล่อยคุณสิปปกรเดี๋ยวนี้นะ” ปราณันต์ห้ามเสียงหลง แต่ดูเหมือนว่านั่นจะยิ่งทำให้คามินโกรธยิ่งกว่าเดิม
“ทำไม? เป็นห่วงมันมากหรอ ห๊ะ? ห่างจากผมไม่กี่นาที คุณก็แล่นมาหามันทันทีเลยใช่ไหม? ทำไม...” ยังไม่จบคำ ปราณันต์ก็ตบเข้าที่แกมสากฉาดใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงสั่น
“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะเลวเหมือนคุณ!” คามินนิ่งไป ก่อนที่จะได้ทันพูดอะไรต่อ ปราณันต์ก็พูดสวน “พวกคุณจะต่อยจะตีกันให้ตายก็เรื่องของพวกคุณ แต่อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยว”
พอพูดจบปราณันต์ก็เดินหนีไปทันที สิปปกรเองพอเห็นปราณันต์เดินออกไปก็สะบัดหลุดจากมือใหญ่ของคามินที่กระชากคอเสื้อเขาไว้แล้วทำท่าจะผละไปหาปราณันต์ แต่คามินขวางไว้ก่อน
“กูบอกมึงแล้วไง ว่าถ้ามึงมายุ่งกับปราณในที่ของกู กูจะให้คนจับมึงโยนออกไป...” ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเพราะความหึงหวงและไม่พอใจขีดสุด “และมึงก็จะได้รู้ว่ากูทำจริง”
คามินตะโกนเรียก รปภ. ดังลั่น พร้อมอารมณ์ที่ลุกโชน
“ใครอยู่ตรงนั้นบ้าง?!”
รปภ. วิ่งหน้าตาตื่นมาทันทีที่ได้ยินเสียงท่านประธานใหญ่ และเมื่อ รปภ. มายืนตรงหน้า เสียงทุ้มก็สั่งเด็ดขาด
“จับผู้ชายคนนี้โยนออกไปแล้วอย่าให้เข้ามาอีก ถ้าฉันเห็นมันเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้เมื่อไหร่ ฉันจะไล่ทุกคนออกให้หมด!!!”
น้ำเสียงเด็ดขาดพูดกร้าว แต่ก่อนที่ รปภ. จะพาสิปปกรออกไป คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกลับพูดบางอย่างออกมา
... บางอย่างที่ทำให้คามินไม่พอใจหนักยิ่งกว่าเดิม “ดูเหมือนคุณปราณจะเชื่อใจกูมากกว่ามึงนะ”
มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นเพราะถูกพูดจี้ใจดำ ก่อนจะตวาดไล่อีกครั้ง
“พามันออกไปเดี๋ยวนี้!!!”
คามินมองตามสิปปกรไปจนลับสายตา ก่อนที่จะหันไปจุดที่ปราณันต์เดินออกไป แล้วสาวเท้าตามไปติดๆ
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)