[End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]  (อ่าน 19253 ครั้ง)

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ถ้าใจยอมแพ้ ร่างกายก็อ่อนไหวตาม ..

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รวดเดียวจบ จะเป็นยังไงน้อ!!

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
26th Lies : แรงปะทะแรก


ปราณันต์หลับไปแล้ว ตาคมไล่มองใบหน้าสวยหวานที่เขาหลงใหลยามกำลังหลับอย่างสุขใจ คามินตักตวงความหอมหวานจากคนที่นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ข้างๆ จนหมดสิ้น หลังจากที่ร่วมรักกันในห้องน้ำ พอออกมาคามินก็มาจัดการปราณันต์บนเตียงต่ออีก เสียงหวานครางอย่างสุขสมครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้หัวใจด้านชาของคนอย่างเขาพองโต คามินโถมร่างกายใส่ปราณันต์อย่างคนไม่รู้จักพอ เมื่อได้แล้วก็อยากได้อีก มากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนปราณันต์ประท้วงว่าไม่ไหวแล้วเขาถึงได้ยอมหยุด

ซึ่งพอคามินยอมรามือ คนตัวเล็กกว่าก็ผล็อยหลับไปแทบจะทันทีทันใด โชคดีที่ก่อนหน้านี้คามินจัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นคนดื้อคงจะนอนกระสับกระส่าย ไม่สบายตัวทั้งคืนแน่ๆ

คามินยังคงมองปราณันต์อยู่อย่างนั้นโดยไม่เบื่อหน่าย ยิ่งมอง ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเอายังไงต่อไปดีกับเรื่องระหว่างเขาและปราณันต์


… ใช่ คามินตัดสินใจได้แล้ว เขาเสียปราณันต์ไปไม่ได้ แค่คิดว่าจะต้องอยู่ห่างกันแม้แค่วันเดียว ไม่สิ แค่ชั่วโมงเดียวเขาก็ทนไม่ได้ ฉะนั้น ได้เวลาแล้วที่เขาต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจนกว่านี้เสียที


คามินกดริมฝีปากลงบนแก้มนิ่มของคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ร่างบางที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราขยับตัวนิดหน่อยเมื่อถูกรบกวน คิ้วสวยขมวดมุ่นเป็นปมเพราะถูกขัดใจในขณะที่กำลังหลับสบาย คามินอมยิ้ม ก่อนจะลูบไปเบาๆ ที่ลาดไหล่เรียว พร้อมกับก้มลงกระซิบลงที่ข้างหูนิ่มอย่างอบอุ่น

“ชู่วว นอนต่อครับคนดี นอนต่อนะ”

ปราณันต์ขยับตัวนิดหน่อย โดยการโผเข้ามาซุกอกอุ่นๆ ของคามิน ส่วนคนถูกซบก็หน้าบานยิ้มไม่หุบ คามินยกตัวปราณันต์เข้ามาหาตัวเองเบาๆ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดตัวเองให้กับคนที่กำลังหลับสบาย พลางคิดใคร่ครวญตัดสินใจ เขาควรจะพูดเรื่องหมั้นกับพรวลัยให้รู้เรื่อง เพราะคามินทำใจเสียปราณันต์ไปไม่ได้ เขายอมหันหลังให้คนทั้งโลก ขอเพียงแค่มีปราณันต์ มีปุณณกันต์ มีปัณณธร แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

คามินอมยิ้มให้กับความคิดที่ว่า ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน และผล็อยหลับตามปราณันต์ไปในที่สุด

.

.

.

วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ และเป็นเช้าวันจันทร์ที่ปราณันต์ตื่นสาย!

คนตัวเล็กลุกทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากเตียงนอน เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าตัวเองตื่นสายไปครึ่งชั่วโมง ปราณันต์ทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาไม่รู้ว่านอนเพลินขนาดนี้ได้ยังไง ซึ่งพอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แก้มขาวๆ ก็เกิดขึ้นสีอย่างไม่ตั้งใจ ภาพระหว่างเขากับคามินผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ทั้งในห้องน้ำ ทั้งบนเตียงนอน เขาได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจที่ยอมโอนอ่อน ก่อนจะหันไปเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่คนที่นอนหลับสบายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ข้างๆ แต่พอปราณันต์นึกขี้นได้ว่ามีอะไรรอให้เขาทำอยู่บ้าง ร่างบางก็เตรียมกระโจนลงจากเตียงทันที

แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยับตัว ข้อมือเล็กก็ถูกมือใหญ่ของคนที่เมื่อกี้ยังนอนหลับอยู่ ยึดเอาไว้เสียก่อน

“จะไปไหนครับ” เสียงทุ้มที่ฟังดูงัวเงียหน่อยๆ พูดขึ้น พร้อมกับการขยับตัวของรูปร่างสูงใหญ่ที่ลุกขึ้นมานั่งซ้อนหลังปราณันต์ พร้อมกับเอาคางเกยไว้บนไหล่เรียวอย่างกับต้องการจะอ้อนหน่อยๆ

ปราณันต์ดิ้น พร้อมกับกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ คนยิ่งรีบๆ อยู่ จะตื่นมาทำไมตอนนี้นะ

“คุณ ปล่อยเลยนะ! ฝาแฝดตื่นรึยังก็ไม่รู้ ไหนจะต้องพาน้องอาบน้ำ ทำกับ..” ปราณันต์อ้าปากร่ายยาว แต่คามินสวนกลับก่อนที่ปราณันต์จะได้ทันพูดจบประโยค

“ผมให้แทนคุณเรียกแม่บ้านมาจัดการแล้วครับ” จมูกโด่งไล้ไปมาเบาๆ บนลำคอขาวของคนที่กำลังวุ่นวายใจ ราวกับอยากจะให้สงบลง “ไม่ต้องกังวลนะครับ หายใจลึกๆ ตอนนี้เด็กๆ คงกำลังทานข้าวเช้ากันอยู่”

เพราะรู้ดีว่าตัวเองเล่นงานปราณันต์หนักไปหน่อย ไหนอีกฝ่ายเพิ่งจะหายไข้อีก วันนี้ลูกแมวของเขาคงต้องตื่นสายแน่ๆ คามินเลยจัดการส่งข้อความไปบอกแทนคุณว่าให้มาดูแลฝาแฝด แล้วให้แม่บ้านมาทำกับข้าวเตรียมรอไว้ให้เขา ปราณันต์ และเจ้าหนูทั้งสองทาน ร่างบางข้างตัวเขาจะได้ไม่ต้องตื่นมาเหนื่อยทำ เพราะเขาได้เตรียมทำทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว

ปราณันต์อึ้งไปนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าคามินคิดทุกอย่างไว้ล่วงหน้าขนาดนี้ หัวใจดวงน้อยๆ ของเขากำลังสั่นไหว แต่อีกใจก็ร้องเตือนว่าต้นเหตุทั้งหมดมันก็มาจากคนตัวโตนั่นไม่ใช่รึไง

“วันหลังไม่ต้องนะครับ น้องผม ผมดูแลเองได้ แค่มาอาศัยคุณอยู่ ผมก็อึดอัดจะแย่แล้ว อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากมากไปกว่านี้เลย”

คามินมองใบหน้าน่ารักที่กำลังเชิดขึ้นอย่างอวดดีด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงตก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปราณันต์ถึงได้ใจแข็งและดื้อขนาดนี้ คามินรู้ว่าตัวเองทำผิด ถึงได้พยายามกำลังไถ่โทษอยู่นี่ไง

“คุณปราณ ทำไมใจแข็ง เปิดใจให้โอกาสผมหน่อยได้ไหม” คามินขอร้องเสียงอ่อน

“ให้โอกาสคุณ ให้มาทำร้ายผมกับครอบครัวเหมือนคราวที่แล้วน่ะหรอ หึ! ไม่ดีกว่าครับ ปล่อยให้ผมเป็นแค่คนอาศัยไปเถอะ ผมขอร้อง”

คามินเริ่มจะหงุดหงิดกับความดื้อตาใสของปราณันต์ เลยตัดสินใจใช้ไม้ตาย ไม้ตายที่จะทำให้ปราณันต์ยอมหยุดเถียงและเลิกต่อปากต่อคำ

“ไม่มีคนอาศัยที่ไหนนอนกับเจ้าของบ้านหรอกนะคุณปราณ คนที่นอนด้วยกัน กอดกัน จูบกัน มีเซ็กส์กัน ไม่ได้มีสถานะแบบที่ปราณว่าหรอก”

“คุณนี่มัน!” ปราณันต์หน้าแดงก่ำตอนจะหันไปแหวใส่คนที่กำลังกอดตัวเองอยู่ ทั้งโกรธ ทั้งเถียงไม่ออก เลยได้แต่ดิ้นแรงๆ เพื่อจะได้หลุดจากอ้อมกอดนี้

“คุณปราณครับ ไม่เอาไม่ดิ้น เดี๋ยวเจ็บ” คามินพยายามปราม พร้อมทั้งคลายอ้อมกอดให้หลวมลง เพราะไม่อยากให้ผิวขาวๆ ของปราณันต์ต้องเป็นรอยฟกช้ำ “คุยกันก่อน แล้วผมจะปล่อย”

คามินต่อรอง และพยายามหาทางคุยกับปราณันต์ให้จริงจังเสียที แต่ปราณันต์ก็คือปราณันต์ ถ้าขอให้หยุด คนตัวเล็กก็จะออกแรงดิ้นต่อหนักกว่าเดิม


“ผมจะถอนหมั้นกับพรวลัย”


จู่ๆ คามินก็โพล่งออกมา เพราะเห็นว่าปราณันต์ไม่หยุดดิ้นเสียที และก็ได้ผลชะงัด พอปราณันต์ได้ยินประโยคนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะช็อคไปเลย เพราะไม่ใช่สิ่งที่คาดคิดมาก่อน

“คุณ..” ปราณันต์เหมือนกำลังกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ คำพูดเป็นล้านอยู่ในใจ แต่เพราะประสบการณ์ที่เขาเคยเจอ ทำให้เขาทำใจให้เชื่อคามินไม่ได้ “..โกหก”

คามินถอนหายใจออกมาอย่างแรง ลมร้อนๆ พัดผ่านแก้มปราณันต์ไป ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ ว่าคนที่นั่งซ้อนหลังเขาอยู่นั้น จะกำลังหงุดหงิดแค่ไหน

“ทำยังไงคุณปราณถึงจะเชื่อผม” คามินพยายามขอร้องอีกครั้ง

“ไม่ต้องทำยังไง เพราะต่อให้ตายผมก็ไม่มีวันไว้ใจคุณอีก”

คามินนิ่งไปเมื่อได้ยินปราณันต์พูดประโยคนั้นชัดเต็มสองหู วงแขนแข็งแรงที่กำลังโอบรัดร่างนุ่มนิ่มอยู่ในอ้อมกอดถึงกับคลายลงโดยที่เจ้าของเองก็แทบไม่รู้ตัว ปราณันต์จึงสลัดตัวเองออกจากอ้อมกอดของคามินได้ ก่อนจะเดินผละจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน โดยแสร้งทำราวกับว่าสิ่งที่คามินพูดไม่ได้มีผลอะไรกับเขาทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกำลังสั่นไหวหัวใจเขารุนแรง โดยที่ตัวปราณันต์เองก็แทบคุมอะไรไม่ได้เลย

ปราณันต์เดินจากไปแล้ว ทิ้งให้ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเตียงคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี จะทำยังไงให้ปราณันต์คนอ่อนหวาน คนน่ารักคนนั้นกลับมาเชื่อใจเขาอีกครั้ง และครั้งนี้คามินสาบานว่าเขาจะไม่มีวันทำให้ปราณันต์ผิดหวังอีก

.

.

.

ปราณันต์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนคามินที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ คนตัวเล็กตรงดิ่งไปที่โต๊ะรับประทานอาหารติดๆ กับห้องครัวเพราะได้ยินเสียงเจ้าเด็กน้อยทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ไม่รู้จะทานข้าวกันรึยัง อาหารจะถูกปากไหม ฝาแฝดของเขาไม่ใช่เด็กทานยาก แต่ถ้าอะไรที่ฝาแฝดไม่ทานหรือไม่ชอบทาน พวกแกก็จะไม่มีทางแตะอาหารเหล่านั้นเลย

“พี่ปุณณ์~ อันนี้เป็นไข่ดาวรูปอะไรหรอ ไดโนเสาร์รึป่าว” ปัณณธรกำลังเจื้อยแจ้วถามนั่นถามนี่พี่ชายฝาแฝดไม่หยุด โดยมีปุณณกันต์ให้ความสนใจในทุกคำพูดของฝาแฝดคนน้องโดยไม่เกี่ยงงอน

“รูปไดโนเสาร์นั่นแหละ เดี๋ยวไว้เอาไปอวดเพื่อนที่ทานข้าวด้วยกันตอนกลางวันดีกว่าเนาะ” ปุณณกันต์ตอบ โดยมีปราณันต์แอบมองอยู่ไม่ไกล พลางอมยิ้มด้วยความเอ็นดู

“จริงด้วย” ปัณณธรตอบ ก่อนที่จะเก็บอาหารใส่กล่องอย่างดี เพื่อเอาไปทานที่โรงเรียนตอนกลางวัน

“อะแฮ่ม ทำอะไรกันอยู่ครับเด็กๆ” ปราณันต์ถามก่อนที่จะเดินไปหาฝาแฝดที่กำลังกินข้าวกันอย่างมีความสุข เด็กๆ หันมายิ้มตาหยีให้เขา คนตัวเล็กเลยตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจอาหารที่ปุณณกันต์และปัณณธรกำลังทาน ก่อนจะพบว่ามันครบถ้วนไปด้วยสารอาหาร แถมยังพิมพ์เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ให้ดูน่าทานเพิ่มขึ้นอีกตะหาก

“พี่ปราณตื่นแล้วหรอครับ ทำไมถึงตื่นสาย ไม่สบายอีกแล้วหรอ” ปุณณกันต์หันมาถามพี่ชายตัวเองด้วยความเป็นห่วง

ปราณันต์หันไปยิ้มให้ปุณณกันต์ พร้อมกับตอบปฏิเสธ และขอให้เจ้าหนูทั้งสองเอากล่องอาหารมาให้เขาดู

“พี่หายป่วยแล้วครับ แต่พอดีนอนเพลินไปหน่อย ว่าแต่วันนี้ข้าวกล่องที่พวกหนูจะเอาไปทานที่โรงเรียนตอนกลางวันมีอะไรบ้างให้พี่ดูหน่อยได้ไหมครับ”

เด็กทั้งสองยื่นกล่องข้าวให้ปราณันต์ ที่พอเปิดดูก็เห็นว่ามีแต่ของที่เด็กๆ ชอบและมีประโยชน์ทั้งนั้น จากนั้นตากลมก็ไล่มองตามชุดนักเรียนของเด็กๆ ช้าๆ ก่อนจะพบว่าวันนี้ฝาแฝดแต่งตัวเรียบร้อยมาก ปราณันต์เลยได้แต่ผงกหัวขอบคุณให้ชายหนุ่มคนสนิทของคามินที่ยืนอยู่ข้างๆ ห้องครัวแทน

“ขอบคุณคุณมากนะครับ” ปราณันต์เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

ซึ่งแทนคุณเองก็ยิ้มรับ พร้อมกับค้อมศีรษะลงต่ำกลับให้ปราณันต์ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพราวกับว่าครอบครัวของปราณันต์เป็นอีกหนึ่งคนสำคัญของท่านประธานของตน

“บอสสั่งไว้ครับ ผมต้องดูแลคุณหนูทั้งสอง และคุณปราณันต์ให้ดีที่สุด” แทนคุณตอบชัดเจนโดยมีปุณณกันต์ปัณณธรคอยสนับสนุนอีกแรง

“ใช่ครับพี่ปราณ คุณน้าคนนี้อาบน้ำแต่งตัวให้เราสองคนด้วยแหละ ใจดีมากๆ เลย” ปุณณกันต์รีบเล่า

“จริงครับ แถมวันไหนพี่ครามกับพี่ปราณไปรับเราที่โรงเรียนไม่ได้ คุณน้าคนนี้ก็ไปรับแล้วมาส่งให้ที่บ้านใหญ่แทน แถมซื้อขนมให้เราสองคนทานด้วย ใจดีที่สุดในโลกเลย” ปัณณธรน้อยเองก็เจื้อยแจ้วไม่หยุด ทำเอาคนหน้านิ่งอย่างแทนคุณออกอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณคุณน้ามากนะครับ/ขอบคุณคุณน้ามากนะครับ”

สองฝาแฝดพูดประสานเสียงกันอย่างน่ารัก แทนคุณเองก็ดูเก้อเขินจนต้องเอามือมาเกาต้นคอไม่หยุด ใบหน้านิ่งเฉย อมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆ เป็นการแสดงออกว่าสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”

ปราณันต์มองเห็นท่าทีของแทนคุณแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม สงสัยจะมีคนหลงเสน่ห์เจ้าตัวแสบทั้งสองเพิ่มอีกคนแล้วสินะ

“ว่าแต่คุณปราณันต์ จะทานข้าวเช้าเลยไหมครับ ผมจะให้แม่บ้านยกมาให้” ปราณันต์ส่ายหัวปฏิเสธพัลวัน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปยกออกมาเองดีกว่า แค่คุณกับแม่บ้านช่วยดูแลทำอาหารให้ฝาแฝด ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

แทนคุณยิ้ม ไม่ตอบอะไร ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในครัว จากนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับแม่บ้านที่มีถ้วยข้าวต้มอยู่ในมือ

ข้าวต้มกลิ่นหอมวางฉุยถูกวางอยู่ตรงหน้าคนดื้อตาใส ปราณันต์หน้ามุ่ยที่ถูกแทนคุณมัดมือชก ก่อนจะแกล้งพึมพำออกมาดังๆ ให้คนที่ยืนหน้านิ่งอยู่อีกฝั่งได้ยิน

“เผด็จการพอกันทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง”

ปราณันต์ทำเป็นบ่นไปอย่างนั้น แต่ก็ยอมตักข้าวต้มเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไป พร้อมกับดูแลฝาแฝดไปอย่างน่ารัก แทนคุณนึกชื่นชมผู้ชายร่างบางที่นั่งอยู่หน้าอย่างจริงใจ ปราณันต์คนนี้อาจจะไม่โดดเด่นไปกว่าใคร แต่สิ่งหนึ่งที่คนๆ นี้มีคือเสน่ห์ เสน่ห์ที่ใครหน้าไหนก็เทียบไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านประธานของเขาถึงได้หัวหมุนเพราะคนๆ นี้ คนที่ทำให้ท่านประธานอย่างคามินร้อนรนได้ บ้าคลั่งได้ เศร้าสร้อยและยิ้มได้โดยไม่มีเหตุผล แทนคุณเข้าใจทั้งหมดแล้วในวันนี้ เขาก็ได้แต่ภาวนาให้ท่านประธานของเขารู้ใจตัวเองเร็วๆ เสียที อย่าให้คุณปราณันต์คนนี้หนีหายไปอีกเลย

ส่วนคนที่แทนคุณกำลังนึกถึงให้รู้ใจเร็วๆ อยู่นั้น ก็กำลังยืนพิงกรอบประตูมองสามหนุ่มของครอบครัวปราณัต์ทานข้าวด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนริมฝีปาก เพียงแค่ได้เห็นปราณันต์ ปุณณกันต์ ปัณณธรกินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องลำบากลำบน คามินก็สุขใจมากแล้ว ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะรักษาภาพแบบนี้ไว้ตลอด ก็ได้แต่หวังให้ปราณันต์ใจอ่อนเข้าสักวัน เรื่องต่างๆ มันจะได้ง่ายมากขึ้นกว่านี้เสียที

.

.

.

หลังจากส่งฝาแฝดที่โรงเรียนเสร็จ แทนคุณก็ขับรถพาคามินและปราณันต์ไปที่ออฟฟิศ เมื่อใกล้จะถึงที่หมายคนตัวเล็กที่นั่งเงียบมาตลอดทางก็ส่งเสียงหวานห้วนเพื่อบ่งบอกความต้องการของตัวเอง

“ส่งผมข้างหน้านี่แล้วกันนะครับ” ปราณันต์ชี้ตรงทางเข้าหน้าออฟฟิศ ซึ่งมันต้องเดินไกลพอสมควร กว่าจะเข้าไปถึงตัวตึกได้

คามินหน้ามุ่ยทันทีเมื่อได้ยินปราณันต์บอกแบบนั้น เขาไม่อยากให้ปราณันต์เดินตากแดดอ่อนๆ นี่ไปสักเท่าไหร่ ไหนเพิ่งจะหายไข้อีก

“ไม่เอาครับ มันเดินไกล ผมไม่ให้คุณปราณลง เดี๋ยวผมให้แทนคุณวนไปส่งด้านหลังตึกให้ คุณจะได้ไม่ต้องเดินไกลมาก”

คามินรู้ดีว่าเพราะอะไรที่ปราณันต์ถึงไม่อยากลงประตูหน้า ปราณันต์คงกลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าเขาสองคนมาด้วยกัน ซึ่งพอยิ่งคิดถึงตรงนี้คามินยิ่งหงุดหงิด ทำไมจะต้องกลัวใครเห็น เขาไม่เห็นจะแคร์ ใจจริงอยากให้ไอ้กันต์กวีเพื่อนสนิทปราณันต์เห็นด้วยซ้ำ มันจะได้รู้สักทีว่าปราณันต์คนนี้เป็นของใคร

ร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาจำต้องยอม และพอถึงประตูทางเข้าข้างหลังปราณันต์ก็ทำท่าจะรีบก้าวลงจากรถ โดยที่แทบจะไม่หันมามองคามินเลยสักนิด แต่ติดว่ามือใหญ่ฉวยแขนเล็กเอาไว้ได้ก่อน

“กู๊ดบายคิสล่ะครับ” ปราณันต์ที่ถูกฉุดแขนไว้ก็ต้องหันมามองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะพบว่าถูกคนตัวโตทวงจูบหน้าตาเฉย

ปราณันต์มองหน้าคามินอย่างไม่พอใจ มาขออะไรตอนนี้ ก่อนที่ร่างบางจะเหลือบมองแทนคุณอายๆ เพราะที่คามินพูดเมื่อกี้มันไม่ได้เบาเลยสักนิด

พอคามินมองตามสายตาของปราณันต์ไปก็เข้าใจ จึงเอ่ยสั่งแทนคุณเสียงเข้ม

“แทนคุณ ลงไปจากรถก่อน ถ้าคุณปราณันต์ลงไป นายค่อยขึ้นมา”

ปราณันต์ถลึงตามองคามิน เขาไม่ได้หมายความว่าให้ไล่แทนคุณลงไปจากรถ เขาหมายถึงไม่ให้มาทำอะไรประเจิดประเจ้อตรงนี้ต่างหาก แต่คามินกลับสั่งอะไรเหมือนคนเอาแต่ใจสุดๆ และยิ่งไปกว่านั้นแทนคุณก็ดันตามใจเสียด้วย เพราะบอดี้การ์ดคนสนิทเปิดประตูและก้าวลงไปจากรถเงียบๆ ทันทีหลังจากที่คามินพูดจบ และเมื่อแทนคุณหายไปจากกรอบสายตา คามินก็อาศัยจังหวะที่ปราณันต์กำลังงง พุ่งเข้าจู่โจมริมฝีปากอิ่มทันที

ริมฝีปากหยักละเลียดจูบและบดคลึงริมฝีปากอิ่มของปราณันต์อย่างอ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไปและไม่รุกล้ำ ปราณันต์ที่ขัดขืนและไม่ยอมในตอนแรก ก็โอนอ่อนและคล้อยตามในที่สุดเมื่อเจอเข้ากับสัมผัสที่คุ้นเคย ตากลมหลับพริ้มพร้อมกับซึมซับทุกความอบอุ่นของคนตรงข้ามไว้จนหมดสิ้น ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะถอนออกไปช้าๆ

คามินกระซิบชิดริมฝีปากของปราณันต์ด้วยเสียงทุ้มที่น่าฟัง

“คิดถึงผมบ้างนะครับ อย่าปล่อยให้ผมคิดถึงคุณปราณจนแทบบ้าอยู่คนเดียว” คามินค่อยๆ กดริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากปราณันต์อีกครั้งเบาๆ

“ตั้งใจทำงานนะครับ แล้วเย็นนี้เจอกัน”

คนตัวโตเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน ก่อนจะผละออกช้าๆ อย่างจำใจ เพราะไม่งั้นคงได้เกินเลยกว่านี้แน่ๆ

ปราณันต์เองที่พอรู้สึกตัวก็ก้มหน้างุดๆ แล้วก้าวลงจากรถไปทันที โดยมีสายตาคมมองตามหลังร่างบางไปอย่างสุขใจ

.

.

.

ปราณันต์เดินแทบไม่ตรงมาที่ห้องทำงานของทีม ก่อนจะพบว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่สาหัสสำหรับเขาไม่น้อย เพราะตอนนี้นทนัชกับกันต์กวีกำลังนั่งรอเจอเขาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

... วันนี้คงเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ยังไงก็คงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนร่วมทีมฟัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยมากน้อยแค่ไหนกัน

“เล่ามาทั้งหมด ปราณันต์ เมื่อวันศุกร์พี่กับกวีกลับมาเก็บของที่ออฟฟิศ เลยเห็นท่านประธานอุ้มนายออกไป มันยังไงกันแน่”

นทนัชถามออกมาตรงๆ จนปราณันต์แอบตกใจไม่น้อย และยิ่งพอได้เห็นหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของกันต์กวีอีก เขายิ่งอึกอักเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี

“เราว่าจะถามปราณตั้งแต่ที่โทรไปวันนั้นแล้ว พอจะรู้อยู่แหละว่าปราณไม่สบาย และก็พอจะเดาได้ว่าปราณอยู่กับไอ้ประธานนั่น น่าจะมีเหตุบางอย่าง แต่การที่เราได้ยินสิ่งที่หมอนั่นพูด...” กันต์กวีทิ้งช่วงเพื่อถอนหายใจ “เรายอมรับว่าเราไม่สบายใจเลยนะปราณ”

ปราณันต์รู้สึกเหมือนกำลังถูกต้อน ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดคือคามินต่างหาก แต่ความหนักอึ้งในหัวใจที่มันกำลังเกิดขึ้นนี้มันคืออะไรกัน หรือเพราะลึกๆ แล้วความรู้สึกที่กำลังหลบซ่อนอยู่ของเขา กำลังต้องการที่จะแสดงตัวออกมากันแน่

ปราณันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนร่วมงานฟัง

“คุณคามินบังคับให้ผมกับฝาแฝดย้ายไปอยู่ด้วย ถ้าผมไม่ทำตาม เขาจะไล่พี่นทกับกวีออกจากงาน รวมถึงอนาวินด้วย” ปราณันต์พูดเสียงเบา “ผมไม่มีทางเลือก ผมทำให้ทุกคนเดือดร้อนเพราะผมไม่ได้”

นทนัชหลับตาลงอย่างคาดไม่ถึง ส่วนกันต์กวีก็สบถคำหยาบคายออกมายาวเหยียด ทั้งคู่ดูหัวเสียกับเรื่องที่ได้ยินจากปราณันต์มาก

“ไม่ต้องไปยอมมัน โดนไล่ออกก็หางานใหม่ ไม่เห็นต้องแคร์เลย” กันต์กวีโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ในขณะที่นทนัชยังคงนิ่งแต่สีหน้าก็ยังแสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่ดี

“เขาขู่ ... ขู่ว่าเขาสามารถทำให้ทุกคนหางานใหม่ไม่ได้ และเราก็เชื่อว่าเขาทำแบบนั้นได้จริงๆ”

เป็นอีกครั้งที่กันต์กวีพ่นคำหยาบออกมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปราณันต์ถึงหนีจากไอ้บ้านี่ไม่พ้นเสียที

“ปราณ... ปราณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ มันไม่ใช่เรื่องที่ปราณต้องมาแบกรับหรือเสียสละแทนพวกพี่สักนิด”

นทนัชพูดออกมาในที่สุด เขาทนเห็นปราณันต์ต้องมากล้ำกลืนฝืนทนแบบนี้ไม่ได้จริงๆ

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้ครับพี่นท ยิ่งผมรู้ทั้งรู้ว่าพี่ต้องรับภาระอะไรบ้าง มีแค่งานนี้เท่านั้นที่ช่วยพี่ได้ ผมจะกล้าทำให้พี่เดือดร้อนได้หรอครับ” ปราณันต์พูดจบก็หันไปหากันต์กวี

“นายอีก นายต้องดูแลแม่เพราะไม่อยากรับความช่วยเหลือจากพ่อ ถ้าฉันทำให้นายโดนไล่ออกจากงานนี้ ฉันจะไม่ได้ทำให้นายลำบากแค่คนเดียว แต่ฉันจะทำให้แม่นายลำบากด้วย นายคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นลงไหมกวี”

ทั้งสองคนนิ่งเงียบ เมื่อสิ่งที่ปราณันต์พูดอกมาทั้งหมดคือความจริง พวกเขามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบดูแลด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเสียงานนี้ไป ชีวิตคงลำบากกันไม่น้อย

“พี่ขอโทษนะปราณ” นทนัชพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“โธ่เว้ย!” ส่วนกันต์กวีก็คำรามออกมาอย่างหงุดหงิดหัวใจที่ทำอะไรไม่ได้ ส่วนปราณันต์ก็ยิ้มให้เพื่อนทั้งสองเหนื่อยๆ ในเมื่อมันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามที่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน

นทนัชเดินเข้ามากอดปราณันต์ไว้ ในขณะที่กันต์กวีก็ลูบหลังตบไหล่คนตัวเล็กกว่าเบาๆ อย่างที่ต้องการถ่ายทอดกำลังใจให้แก่กันและกัน

“มีอะไรให้พวกพี่ช่วยก็บอกนะ” นทนัชดันตัวปราณันต์ออก ก่อนจะเอ่ยจริงจัง เช่นกันเดียวกับกันต์กวีที่พยักหน้าอย่างแข็งขันเพื่อต้องการจะสำทับคำของของคนที่เป็นหัวหน้าทีม

“ครับ ขอบคุณพี่นทมากนะครับ .. ขอบคุณนายด้วยนะกวี”

ปราณันต์ยิ้มอย่างจริงใจให้เพื่อนสนิททั้งสองอย่างขอบคุณ แม้มันจะเป็นยิ้มที่สวยงามแต่ก็เป็นยิ้มที่เศร้าที่สุดด้วยเช่นกัน

.

.

.

ปราณันต์มาใช้ชีวิตอยู่ที่คอนโดคามินได้หลายวันแล้ว เป็นหลายวันที่คามินมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะมีปราณันต์อยู่ใกล้ๆ แล้ว ช่วงนี้ก็ดูเหมือนพรวลัยจะรังควานเขาน้อยลงด้วย เธอคงมีเรื่องไร้สาระอะไรใหม่ๆ ให้สนใจอยู่แหละมั้ง เลยไม่ค่อยมาเกาะแกะให้คามินรำคาญใจเท่าไหร่

ทั้งสี่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้ปราณันต์จะพยายามปฏิเสธหัวใจตัวเองแค่ไหน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าคามินเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจเขาเสมอ มีบ้างที่ทะเลาะกัน เถียงกันด้วยเรื่องเดิมๆ นั่นก็เพราะปราณันต์ยังไม่วางใจในตัวคามินมากพอ ซึ่งคามินเองก็พยายามใจเย็นและไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ เพราะคามินเองก็รู้ว่าเขาทำผิดกับปราณันต์ไว้มาก ถ้าเขาอยากจะเอาชนะใจปราณันต์อีกครั้งเขาต้องอดทน แล้วถ้าเมื่อไหร่ที่ปราณันต์ยอมรับเขาได้อีก เขาก็จะได้ไปขอถอนหมั้นจากวลัยให้เป็นทางการเสียที

ซึ่งโชคดียังเป็นของคามินอยู่บ้าง เพราะฝาแฝดช่วยเขาได้เยอะมาก ปราณันต์จะใจอ่อนกับน้องเสมอ ซึ่งปุณณกันต์กับปัณณธรก็มักจะออกตัวปกป้องคามินประจำ นั่นทำให้ปราณันต์โกรธและเล่นงานคามินจริงๆ จังๆ ไม่ได้เสียที


... แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่มักจะลืมไปว่าความสุขมักไม่อยู่กับเรานาน และความลับก็จะไม่มีวันเป็นความลับตลอดไปเช่นกัน ...

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


บ่ายวันเสาร์ในขณะที่ปุณณกันต์กับปัณณธรกำลังนอนระบายสีอยู่ในห้องรับแขก ส่วนคามินก็กำลังวอแวใส่ปราณันต์ที่กำลังทำกับข้าวในครัว เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น


ติ๊งหน่อง~


สองฝาแฝดวิ่งตื๋อเข้ามาที่หน้าประตูครัวแต่ไม่กล้าเข้าไป เพราะปราณันต์เคยสั่งไว้ว่าห้ามเข้าไปในห้องครัวที่มีเตาร้อนๆ โดยไม่จำเป็นเด็ดขาด เจ้าหนูทั้งสองเลยได้แต่เกาะอยู่ที่กรอบประตู พลางทำตาแป๋วบอกพี่ครามว่าออดหน้าห้องดัง

“พี่ครามๆ มีคนมาครับ มากดออดติ๊งหน่องๆ ที่หน้าประตู พี่ปุณณ์กับปัณณ์เปิดไม่ถึง เลยวิ่งมาบอกครับ” ปัณณธรเจื้อยแจ้วพูดเป็นฉากๆ ในขณะที่ปุณณกันต์ได้แต่พยักหน้า พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ ราวกับบ่นกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดจริงจัง

“ใช่ๆ ที่เปิดประตูบ้านพี่ครามสูงกว่าที่บ้านเราสองคนเยอะเลย”

คามินได้แต่อมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าหนูทั้งสอง ในขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วมุ่น เพราะแปลกใจว่าใครมาหา ผิดกับปราณันต์ที่ตอนนี้หน้าซีดไปแล้ว เพราะคิดว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือพรวลัย คู่หมั้นคนสวยของคามินแน่ๆ

ปราณันต์รีบปิดเตาแก๊สแล้วเดินไปล้างมือ พร้อมกับเดินไปหาปุณณกันต์กับปัณณธร พลางจับจูงมือเด็กทั้งสองที่ยังงงๆ ไว้ พร้อมกับพูดละล่ำละลักแทบไม่เป็นคำ

“ผมจะพาน้องเข้าไปอยู่ในห้องนอน เชิญคุณตามสบายครับ”

แต่ก่อนที่ปราณันต์จะเดินจากไป คามินก็คว้ามือเล็กเอาไว้ก่อน

“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นครับ อยู่ที่นี่แหละ”

ปราณันต์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เข้าไปเต็มที ดวงตากลมที่น่ามองคู่นั้นเศร้าจนแทบจะหาความสุขไม่ได้ คามินเจ็บในหัวใจไปหมด ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

“วลัยไม่มาที่นี่หรอกครับ เธอไม่กล้ามาเพราะผมยื่นคำขาดไว้ไม่ให้มา ถึงต่อให้มาผมก็จะปกป้องคุณกับน้องๆ เอง ไม่ต้องกังวลนะครับ”

“เหอะ! ปกป้องผมในฐานะอะไร ผมกำลังทำผิด คนทำผิดอย่างผมสมควรได้รับการปกป้องหรอคุณคามิน”

น้ำใสไหลออกมาจากตากลมช้าๆ เด็กๆ มองผู้ใหญ่สองคนเถียงกันเบาๆ โชคดีที่เด็กน้อยทั้งสองยังตัวสูงไม่พ้นเอวพี่ชาย ฝาแฝดเลยมองไม่เห็นว่าปราณันต์กำลังร้องไห้ ไม่งั้นมีหวังงอแงตามแน่ๆ

และเพราะไม่เห็นพี่ชายร้องไห้ มือเล็กๆ ของเด็กทั้งคู่ก็กระตุกชายเสื้อของคามินเป็นพัลวัน

“พี่ครามๆ ติ๊งหน่องดังใหญ่แล้วครับ”

“ใช่ๆ คนที่อยู่หน้าห้องจะรอนานนะครับพี่คราม”

คามินก้มลงมองใบหน้าจิ้มลิ้มทั้งสองอย่างเอ็นดู ก่อนจะกระชับข้อมือเล็กของปราณันต์ไว้แน่น แล้วเอื้อมไปจูบแก้มนิ่มเบาๆ พลางใช้นิ้วโป้งของอีกมือข้างที่ว่างเกลี่ยน้ำตาเม็ดเล็กๆ บนแก้มใสให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“ปกป้องในฐานะคนของผมครับ ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายคุณปราณกับน้องๆ เด็ดขาด ผมสัญญา”

จบคำของคามิน ทั้งสี่ก็ยกโขยงกันไปที่ประตูเพื่อเปิดต้อนรับคนที่รอจะเข้ามาช้าๆ และเมื่อประตูเปิดออก คนที่ตกใจกลับเป็นคามินเอง


“แม่”


คามินดูตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องของเขาตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่กลับเป็นมารดาของตัวเขาเอง ซึ่งร้อยวันพันปีแม่ของเขาแทบจะไม่เคยแวะมาที่นี่เลยนอกจากมีเรื่องร้ายแรงจริงๆ และทุกครั้งที่จะมาแม่ก็มักจะโทรมาบอกก่อนเสมอ แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น

และดูเหมือนว่าจะมีคนตกใจยิ่งกว่า ตอนนี้คนตัวเล็กข้างกายคามิน หน้าซีดแล้วซีดอีก หลังจากได้ยินคามินเรียกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูว่าแม่ นี่มันยิ่งกว่าการต้องรับมือกับการมาของพรวลัยมากมายหลายเท่าด้วยซ้ำ

“ใช่.. คราม นี่แม่เอง” ท่วงท่าที่สง่างามของคุณนายคติยาทำเอาปราณันต์กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ “แล้วใจคอจะให้แม่ยืนอยู่ตรงนี้จนขาแข็งเลยรึไงห๊ะ?”

ปราณันต์สะดุ้งเบาๆ แต่คามินยังคงจ้องมองแม่ตัวเองอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะถามออกมาเสียงเย็น

“แม่มาที่นี่ทำไม ผมบอกไว้แล้วไม่ใช่หรอ ว่าถ้าจะมาให้บอกกันก่อน”

“แล้วทำไมแม่จะมาไม่ได้ ครามเป็นลูกแม่นะ แม่จะมาหาลูกตัวเองไม่ได้รึไง?”

คามินยังคงมองมารดาของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้ เขาต้องรู้ให้ได้ ว่ามารดาของเขามาที่นี่ทำไมกัน

“คุณ” ปราณันต์กระตุกแขนเสื้อคามินยิกๆ “เชิญคุณแม่ของคุณเข้ามาข้างในก่อนเถอะ ให้ท่านยืนนานๆ แบบนี้ไม่ดีนะ”

แต่พอได้ยินเสียงหวานขอร้อง ความตั้งใจของคามินก็พังทลายออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยปากเชื้อเชิญมารดาให้เข้ามาในห้อง

“เข้ามานั่งก่อนสิครับแม่ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้”

เมื่อเดินเข้ามาในห้อง คติยาก็มองสำรวจไปรอบๆ อย่างพิจารณา นานๆ ทีเธอถึงจะมาเยี่ยมลูกชายหัวดื้อคนนี้สักครั้ง คามินไม่ยอมอยู่ที่บ้านเพราะอ้างว่าอึดอัด แล้วก็ขอย้ายมาอยู่แยกลำพังแบบนี้แทน

ซึ่งคนเป็นแม่แบบเธอก็ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากจำยอม คามินว่าง่ายเรื่องการทำงาน แต่เรื่องการใช้ชีวิต ถ้าลองว่าเจ้าตัวไม่ยอม ไม่ว่าจะเธอหรือแม้แต่ประมุขใหญ่ของตระกูลอย่างบิดาของคามินก็ไม่สามารถบังคับอะไรเจ้าลูกหัวแข็งคนนี้ได้หรอก

คติยาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้องรับแขก ที่พื้นห้องมีสมุดภาพและสีไม้กระจัดกระจายวางอยู่เป็นหย่อมๆ ก่อนที่ดวงตาเรียวคมแบบที่คามินถอดออกมาเป๊ะๆ จะจับจ้องไปที่ชายหนุ่มหน้าหวานหนึ่งคน และเด็กฝาแฝดอีกสองคน ที่กำลังยืนหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

ซึ่งก่อนหน้าที่คติยาจะเงยหน้ามา ปราณันต์ก็ลอบมองไปที่มารดาของคามินอย่างสังเกตสังกา มารดาของคามินเป็นผู้หญิงที่สวยสง่ามากๆ ทั้งหน้าตา กริยาท่าทาง คามินมีรูปหน้าและดวงตาที่ถอดแบบมาจากมารดาเป๊ะๆ ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่สวยจับใจที่สุดบนใบหน้าของคุณนาย ปราณันต์จึงไม่แปลกใจเลยที่คามินจะหล่อเหลาราวรูปปั้นสลักขนาดนี้ ก็ดูมารดาของคามินสิ ทั้งสวยทั้งดูดีจนเขาเองยังตะลึง นี่คงไม่ต้องพูดถึงคุณพ่อของคามิน ถ้าให้เดาท่านประธานคนก่อนก็คงจะดูดีมากๆ แน่ๆ เพราะริมฝีปากบางเป็นกระจับและจมูกโด่งเป็นสันนั่นไม่ใช่สมบัติที่คามินได้รับมาจากมารดา ก็แน่นอนว่าคนตัวโตคงได้สิ่งเหล่านั้นมาจากคนเป็นบิดาอย่างไม่ต้องสงสัย

และเมื่อได้สบตากับมารดาของคามินแล้ว ปราณันต์ก็รู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงเอาดื้อๆ แม่ของคามินยิ้มบางๆ ยิ้มที่ดูไม่ออกว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ก่อนที่คุณนายคติยาจะเรียกเขาและเด็กๆ ให้เข้าไปหา

“พวกเธอสามคนน่ะ มานี่ก่อนสิ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรที่ตอนนี้ยึดมือของปราณันต์ไว้คนละข้าง แหงนขึ้นมองหน้าพี่ชายแทบจะพร้อมกันเมื่อได้ยินมารดาของคามินเรียก เด็กๆ จะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าปราณันต์จะอนุญาต นั่นคือข้อตกลงพื้นฐานระหว่างทั้งสาม ถ้ามีใครเรียกหรือจะไปไหน น้องๆ จะต้องบอกปราณันต์ก่อน และตอนนี้ฝาแฝดกำลังทำตามกฎข้อนั้นอย่างเคร่งครัด

ปราณันต์พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะพาน้องออกเดินไปยังจุดที่คุณนายคติยานั่งอยู่ อย่างน้อยเป็นเด็ก ก็ต้องทำความเคารพและแนะนำตัวให้ผู้ใหญ่รู้จักก่อนถึงจะถูก

“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ สวัสดีคุณแม่ของพี่ครามสิครับ”

พอปุณณกันต์กับปัณณธรน้อยรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ก็ฉีกยิ้มกว้าง ตากลมของเจ้าหนูบิดขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แถมแก้มยุ้ยๆ ยังห้อยออกมาเป็นพวงเล็กๆ ทั้งน่าเอ็นดูและน่าฟัดในเวลาเดียวกัน

และภาพของเด็กแฝดตัวน้อยที่คุณนายคติยาเห็นตรงหน้า ทำเอาเธออดยิ้มตามไม่ได้

“สวัสดีครับคุณยาย ปุณณ์ชื่อ ปุณณกันต์ครับ เป็นน้องชายของพี่ปราณ แล้วก็เป็นพี่ชายฝาแฝดของปัณณ์ครับ” พอพูดจบปุณณกันต์ก็ยกมือไหว้พร้อมกับค้อมศรีษะลงต่ำเพื่อทักทายและแสดงความเคารพผู้ที่สูงวัยมากกว่า

ปัณณธรก็เช่นกัน เด็กน้อยยกมือไหว้และค้อมตัวลงต่ำแบบปุณณกันต์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดจาฉะฉานเสียงสดใส ตามแบบฉบับของเด็กร่าเริง

“สวัสดีครับคุณยาย ปัณณ์ชื่อปัณณธรครับ เป็นน้องชายของพี่ปราณ แล้วก็เป็นน้องชายฝาแฝดของพี่ปุณณ์ครับ”

มาจนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ามารดาของคามินจะแทบเก็บความเอ็นดูที่มีต่อเจ้าฝาแฝดน้อยทั้งสองไว้ไม่ไหว เธอจึงเรียกให้ทั้งสามเดินเข้ามาหาเธอให้ใกล้กว่านี้

“ปุณณ์ ปัณณ์ ฉันต้องเรียกพวกหนูแบบนี้ใช่ไหม” มารดาของคามินทักขึ้น

“ใช่ครับคุณยาย” ปัณณธรน้อยเป็นคนตอบฉะฉาน

“เอาล่ะ ถ้างั้นปุณณ์ ปัณณ์ แล้วเธอ...” คติยามองเลยไปที่ชายหนุ่มหน้าหวานอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เธออดยอมรับไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายตรงหน้านี้มีเสน่ห์และดูน่าดึงดูด แม้ต่อให้ต้องเทียบกับผู้หญิงแท้ๆ เผลอๆ พี่ชายคนโตของครอบครัวนี้อาจจะเป็นคนชนะ

มารดาของคามินลากเสียงถามราวกับไม่แน่ใจ ... ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเด็กคนนี้คือใคร และชื่ออะไร

“สวัสดีครับคุณท่าน ผมปราณันต์ เรียกผมปราณก็ได้ครับ ผมเป็นพี่ชายของเด็กฝาแฝดครับ”

“อ้อ ปราณันต์ เธอพาน้องชายเธอมาตรงนี้...” และยังว่าไม่ทันขาดคำ ปุณณกันต์กับปัณณธรน้อยก็ถลามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคุณนายคติยาเสียแล้ว เจ้าหนูทั้งคู่ยิ้มแป้นแล้น ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ทำเอามารดาของคามินยิ้มไม่หุบ

“คุณยาย ทำไมสวยจังครับ สวยเหมือนนางฟ้าเลย”

“ใช่ๆ ปัณณ์ว่าคุณยายของพี่วินสวยแล้วนะ คุณยายของพี่ครามสวยกว่าอีก”

คิ้วสวยของมารดาคามินขมวดเป็นปม ดูเหมือนว่าเธอจะงงสรรพนามที่เด็กๆ เรียกใช้นิดหน่อย จึงเอ่ยถามออกมาเบาๆ

“คุณยายงั้นหรอ? ว่าแต่พี่วินนี่ใครกันล่ะจ๊ะเด็กๆ”

“เอ่อ ต้องขอโทษคุณท่านด้วยนะครับ พอดีเด็กๆ แกติดปากกับการเรียกแม่ของเพื่อนสนิทผมว่าคุณยายน่ะครับ คือถ้าคุณท่านไม่...”

“โอ๊ย เรียกอะไรก็เรียกเลย ฉันว่าก็น่ารักดี” คติยายื่นมือไปลูบแก้มนิ่มๆ ยุ้ยๆ ของเด็กฝาแฝดอย่างเอ็นดู “แล้วพี่วินนี่ล่ะใคร”

“อนาวินเป็นเพื่อนสนิทผมเองครับ”

ปราณันต์ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ คามินที่ยกกาแฟและของว่างเข้ามา ก็ชิงพูดเสียก่อน

“ถามอะไรมากมายล่ะครับแม่ ช่างสงสัยจริง”

คามินพูดกวน ทำเอาคุณนายคติยานึกหมั่นไว้ลูกชายไม่น้อย

“เอาล่ะไหนๆ ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว คุยมันซะทีเดียวเลยแล้วกัน เพราะแม่ก็ยอมรับว่าวันนี้ตั้งใจมา เพราะได้ข่าวว่าเราแอบซุกใครบางคนไว้ที่นี่ จริงหรือไม่จริงเจ้าคราม”

มารดาของคามินพูดเข้าเป้า ตรงประเด็น และมองไปที่ทั้งสองนิ่งทั้งที่จริงเธอเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่อยากได้ยินจากปากลูกชายตัวดีมากกว่า

“จริงครับ ผมพาคุณปราณกับฝาแฝดมาอยู่ที่นี่จริง” คามินพูดเสียงเย็นก่อนจะจ้องมารดากลับอย่างไม่ลดละ “ถ้าแม่จะมาบังคับให้คุณปราณไปจากที่นี่ บอกได้เลยว่าไม่มีทาง ผมไม่ยอม”

คามินพูดพลางเอื้อมมือไปยึดข้อมือปราณันต์ไว้แน่น แล้วเลื่อนตัวเองมาบังคนตัวเล็กกว่าให้ไปอยู่ข้างหลัง ในขณะที่คนที่เพิ่งถูกคุณนายคติยาพูดพาดพิงถึงเมื่อกี้ ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะแกะข้อมือออก เพราะที่จริงแล้วเขาเองก็เกรงใจมารดาของคามินไม่น้อยเลย

“ทำอะไรเกรงใจท่านบ้าง คุณเป็นลูกท่านนะ” ปราณันต์ปราม ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะคามินดูหงอไป แต่ก็แค่ครู่เดียว ก่อนจะกระชับข้อมือเล็กอีกครั้งราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ผมยินดีจะเชื่อฟังคุณทุกอย่างนะปราณ แต่ตอนนี้ผมจะไม่ยอมให้แม่พรากคุณไปจากผมเด็ดขาด ยังไงก็ไม่ยอม” คามินเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะเจอปราณันต์ดุอีกรอบ ซึ่งเที่ยวนี้ได้ผลชะงัด

“ผมยังไม่เห็นคุณท่านพูดแบบนั้นเลยสักประโยค ไม่สิ ที่จริงท่านยังไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ คุณนี่ไม่งอแงได้ไหมครับ”

คุณนายคติยามองลูกชายของตัวเองเถียงกับเด็กคนนั้นด้วยสายตาประหลาดใจ เพราะโดยปกติแล้วคามินเป็นคนเอาแต่ใจ เย็นชา ไม่เชื่อฟังคำใครทั้งนั้น แม้แต่ตนซึ่งเป็นมารดาแท้ๆ พูดจนปากแทบฉีก บางทีคามินยังไม่ฟังเลย แต่ตอนนี้คามินตรงหน้าที่เธอได้เห็น กลับดูอ่อนโยน ไม่หงุดหงิดงุ่นง่าน พูดและฟังปราณันต์อย่างใจเย็น หนำซ้ำยังรู้จักรอคนอื่นในแบบที่คนเป็นแม่อย่างเธอไม่เคยเห็นมาก่อนอีกต่างหาก

คติยาลอบมองไปที่ปราณันต์อย่างสนใจ โดยที่ข้างกายของเธอก็ยังคงมีเจ้าฝาแฝดนั่งเกยคางไว้กับตักทั้งสองข้าง รอพี่ชายอยู่อย่างน่าเอ็นดู เธอจึงเลือกที่จะหันมาถามบางอย่างกับเด็กสองคนตรงหน้าแทน

“ปุณณ์ ปัณณ์ พี่ครามใจดีกับหนูรึป่าวครับ”

“ใจดีครับคุณยาย ใจดีที่สุดในโลกเลย พี่ครามชอบพาพวกเราไปเที่ยว ไปซื้อขนม ซื้อเสื้อผ้าหล่อๆ ให้ใส่ แถมพี่ครามยังไม่เคยดุพวกเราสองคนอีกต่างหาก ปัณณ์ชอบพี่ครามมากเลยครับ”

ปัณณธรวาดมือกว้างๆ ไปบนท้องฟ้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่ครามของตัวเองใจดีแค่ไหน ประกอบกับที่เธอได้เห็นรูปภาพที่ลูกชายเธอถ่ายร่วมกับเด็กฝาแฝดที่วางอยู่บนชั้นด้วยท่าทางที่สดใส ไม่อึมครึมเหมือนที่คามินเป็นที่ผ่านๆ มา นั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจได้ทันที

คติยาจึงเงยหน้าไปทางที่คามินกับปราณันต์กำลังถกเถียงต่อสู้กันด้วยเหตุผลของตัวเองอย่างดุเดือด ก่อนจะพูดห้ามทัพออกมา

“ใช่ แม่ไม่ได้บอกสักหน่อยนะคราม ว่าจะแยกปราณันต์ออกจากลูก แม่แค่แวะมาหาเฉยๆ มาดูว่าเราพาลูกเขามาอยู่ด้วยแล้วดูแลลูกเขาดีรึป่าว” คุณนายคติยาพูดยิ้มๆ ในขณะที่คามินยังงงๆ อยู่ “แต่เท่าที่แม่เห็น ครามก็ทำได้ดีอยู่นะ ปุณณ์กับปัณณ์ชมลูกไม่ขาดปากเลย”

“แม่ แม่บอกผมมาเลยนะครับ ว่าแม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหม” คามินยังคงไม่เข้าใจท่าทีของมารดา รวมทั้งไม่ไว้ใจเธอเลยสักนิด เลยคาดคั้นถามไม่เลิก

“คราม เราไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าแม่รู้หรือไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เอาเป็นว่าแม่ไม่ได้รังเกียจอะไรปราณันต์ แล้วแม่ก็ไม่ได้เป็นแม่ขี้หวง หรือแม่ที่ไม่เหตุผล ที่จู่ๆ จะมาจับลูกกับปราณันต์แยกจากกัน”

ถ้าคามินคนเป็นลูกเปรียบดั่งไฟที่พร้อมจะเผาทำลายล้างทุกสิ่ง คติยาคนเป็นแม่ก็จะเปรียบเป็นน้ำใสไหลเย็นที่คอยปลอบประโลมและดับไฟอย่างคามินให้มอดลง ด้วยท่าทีนิ่งสงบและเหตุผลล้านแปดที่เธอมีกับตัว

มารดาของคามินพูดกับลูกชายของเธอต่ออย่างใจเย็น

“พอแม่ได้เห็นปราณันต์ แม่ก็คิดว่าแม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงชอบและถูกอกถูกใจเด็กคนนี้ แม่ไม่ได้จะห้าม แต่แม่อยากให้เราทำทุกอย่างให้ถูกต้องและชัดเจน แม่พูดแค่นี้ ลูกเข้าใจใช่ไหม”

ปราณันต์ตาโต ยอมรับว่าผิดคาดมาก เพราะที่เขาจินตนาการไว้มันเลวร้ายกว่านี้เยอะ เยอะมากเสียด้วย ซึ่งพอมันออกมาในรูปแบบนี้ นี่มันคือดีเกินไป เกินคาดไปเยอะด้วยซ้ำ

“แม่...” คามินเรียกมารดาด้วยรอยยิ้ม

คนเป็นแม่เดินเข้าไปหาลูกชาย พร้อมทั้งลูบต้นแขนกำยำอย่างเข้าใจ

“แม่บอกเราไว้เลยนะ ว่าที่เราต้องกังวลน่ะไม่ใช่แม่กับพ่อ แต่เป็นทางฝั่งพรวลัยต่างหาก ลูกควรไปจัดการอะไรให้เรียบร้อย ปราณันต์และเด็กๆ จะได้ไม่เดือดร้อน”

คติยากระซิบลูกชายเสียงเบา เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ได้ยิน ว่านี่ต่างหากที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ ซึ่งก็ตามที่มารดาเขาพูดไม่มีผิด เขาควรจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยสักที

ไม่น่าเชื่อว่าการที่มารดาของเขามาในวันนี้ จะช่วยเขาไว้ได้หลายเรื่องจริงๆ

“ครับแม่” คามินยิ้มกว้างให้มารดา รอยยิ้มที่ทำเอาเธอยิ้มตามด้วยความสุขใจ

“โอเค งั้นแม่ไปล่ะ ไว้วันหลังค่อยมาใหม่” คติยาเดินไปที่ประตู เมื่อเห็นว่าถึงควรแก่เวลาที่ต้องกลับแล้วแล้ว ซึ่งก่อนเธอจะออกไป เธอก็หันไปสบตากลมของปราณันต์นิ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างใจดี

“หวังว่ามาครั้งหน้า ฉันจะได้เจอเธออีกนะ อันที่จริงฉันเองก็อยากรู้จักเธอมากกว่านี้อยู่หรอก แต่ฉันมั่นใจว่าฉันมองไม่ผิด ยังไงก็ฝากดูแลเจ้าลูกหัวดื้อของฉันด้วยก็แล้วกัน”

ปราณันต์พยักหน้ารับงงๆ ทำไมกลายเป็นว่าเข้าต้องมารับหน้าที่ดูแลคามินไปโดยปริยายแบบนี้ด้วยล่ะ

“ครับคุณท่าน”

มารดาของคามินก้มมองไปที่เด็กๆ ฝาแฝด ที่ตอนนี้วิ่งกรูมาเกาะขาเกาะเอวเธออยู่อย่างน่ารัก

“คุณยายจะกลับแล้วหรอครับ” ปุณณกันต์ถาม

“ว๊า นั่นสิ ปัณณ์ยังไม่อยากให้กลับเลย” ตามด้วยปัณณธรติดๆ

คติยายีผมของเด็กทั้งคู่อย่างเอ็นดู ก่อนที่จะสัญญาว่าไว้จะมาหาใหม่คราวหน้า

“เอาไว้ครั้งหน้าเราเจอกัน คุณยายจะพาปุณณ์กับปัณณ์ไปทานขนมอร่อยๆ ดีไหมลูก”

“เย่!” ปุณณกันต์กับปัณณธรรับคำอย่างยินดี จนคุณนายคติยาอดใจไม่ไหว เลยก้มลงไปฟัดแก้มย้วยๆ นั่น อย่างมันเขี้ยว ก่อนจะผละออกมา

“แล้วไว้เจอกันนะเด็กๆ”

ปราณันต์ ปุณณกันต์และปัณณธร ลาคุณนายคติยาก่อนที่เธอจะเดินออกไปด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้า ต่างจากขามาลิบลับ

คติยาเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาว พลางคิดในใจว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ทั้งสิ้น...

อันที่จริงก็เป็นไปตามความตั้งใจของเธอตั้งแต่ทีแรกแล้ว ยอมรับว่าเธอเองก็พอรู้มาก่อนว่าคามินซ่อนปราณันต์ไว้ที่คอนโด แต่เธอไม่ใช่คนหูเบา ที่ฟังอะไรจากใครมาก็ต้องเชื่อไปเสียหมด เธอจึงตัดสินใจมาดูด้วยตัวเอง เพราะตอนที่รู้ทีแรกนั้น เธอแปลกก็ใจอยู่หน่อยๆ ที่ลูกชายจอมเย็นชา หัวดื้อ และไม่มีทางยอมลงให้ใครง่ายๆ ของเธอ คนที่ไม่แคร์แม้กระทั่งคู่หมั้นสาวคนสวย กลับมีคนที่เจ้าตัวพยายามจะหวงและเก็บไว้กับตัว มันจะเป็นไปได้มากแค่ไหนกัน

ซึ่งมันเลยทำให้คติยาอยากเห็นว่าเด็กที่คามินซ่อนไว้คนนี้นั้นมีอะไรดี ที่ทำให้ลูกชายเธอถึงลงทุนทำถึงขนาดนี้ และพอได้เห็นปราณันต์ คติยาก็ไม่แปลกใจ หนำซ้ำกลับรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ขึ้นมาทันที ไม่ได้ถูกชะตาแค่คนพี่ แต่กลับถูกชะตากับฝาแฝด ซึ่งเป็นคนน้องทั้งสองด้วย

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องพรากคนดีๆ คนที่ทำให้ลูกชายของเธอเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ออกไปจากอกของลูกชายเธอเอง คติยายอมรับว่าก่อนหน้านี้เธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันและอยากให้คามินแต่งงานกับพรวลัย แต่นั่นก็เป็นเพราะเธออยากให้ลูกชายเธอมีครอบครัว เพราะเธอคิดว่าถ้าคามินมีครอบครัวแล้วอาจจะลดความเย็นชา เพิ่มความเห็นอกเห็นใจคนอื่นขึ้นได้บ้าง ซึ่งพรวลัยก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี ถ้าพูดกันในเรื่องความเหมาะสม ฐานะ และพื้นฐานทางธุรกิจที่สอดคล้องกัน แล้วตอนนั้นคามินเองก็ยังไม่มีใคร แต่งๆ กันไป อยู่ๆ กันไป อาจจะรักกันเข้าสักวันก็ได้ นั่นเป็นสาเหตุให้เธอและสามีคะยั้นคะยอและจัดการให้คามินลงหลักปักฐานกับหญิงสาวจากตระกูลก่อสร้าง

แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะมีคนมาละลายน้ำแข็งที่หัวใจของคามินได้ราบคาบแล้ว เพราะฉะนั้นคนเป็นแม่อย่างเธอทำไมถึงจะต้องกีดขวาง และไม่ร่วมยินดีกับความสุขของลูกด้วยล่ะ

คติยาเป็นคนหัวสมัยใหม่พอสมควร เธอไม่ได้แคร์ว่าคนที่จะต้องมาอยู่กับลูกชายของเธอนั้นจะต้องรวย หรือมีฐานะทัดเทียมกัน เธอไม่เคยเป็นห่วงเรื่องธุรกิจของตระกูล ไม่เคยห่วงเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ที่อยู่ในมือของลูกชาย เพราะเธอเชื่อว่าคามินจะสามารถจัดการมันได้ แม้จะไม่มีตระกูลของพรวลัยคอยซัพพอร์ตก็ตาม แต่ความสุขของเจ้าเด็กหัวแข็งนั่นต่างหากที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเป็นแม่แบบเธอ เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนาให้ลูกชายของเธอเจอมากที่สุดในชีวิต

ภาวนาก็แต่ ขอให้ลูกชายของเธอจัดการทุกอย่างให้ผ่านไปด้วยดี เพราะตระกูลของพรวลัยไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ สักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็จะคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลังเต็มที่ เพราะครั้งนี้เธอเลือกที่จะอยู่ข้างปราณันต์ อาจเป็นเพราะรู้สึกถูกอกถูกใจกับเด็กคนนั้นมากจริงๆ

ส่วนทางฟากของคามิน ทันทีที่มารดากลับไป คามินก็ใคร่ครวญในใจอย่างครุ่นคิดว่าใครจะเจ็บแค้นได้ขนาดนี้ ใครจะอยากขัดขวางหรือทำลายความสัมพันธ์ของเขากับปราณันต์ได้ถึงขั้นกับเอาไปบอกให้มารดาเขารู้ คามินนั่งทบทวนความเป็นไปได้อย่างหนัก ก่อนที่จะคิดออกมาชัดเจนได้โดยไม่ต้องเดา

มิน่าล่ะ พักนี้พรวลัยดูเงียบๆ ไป นั่นเพราะเธอคงให้คนตามสืบเรื่องเขาอยู่ คามินได้แต่เจ็บใจที่มีคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่กำลังก่อตัว แต่เขากลับไม่เคยเฉลียวใจเลย

... พรวลัย ผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้มากจริงๆ ...

.

.

.

และในขณะที่คามินรู้ความจริงหมดแล้วนั้น พรวลัยที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรก็ให้เลขาฯ โทรไปติดตามผล เพราะหวังไว้ว่าคุณนายคติยาคงจะอาละวาดสร้างความร้าวฉานไปบ้างไม่มากก็น้อย เพราะตนลงทุนเสี้ยมมารดาของคามินไปเยอะ ดีไม่ดีอาจเล่นงานจนไอ้เด็กหน้าหวานคนนั้นจนหนีกลับบ้านไปแล้วก็ได้

ใบหน้าสวยหวานได้แต่แสยะยิ้มเมื่อคิดถึงผลลัพธ์ที่ตนเองจินตนาการไว้อย่างสะใจ เธอแทบไม่ต้องลงทุนทำอะไรเลย เพียงแค่วางแผนนิดหน่อย ให้คติยาเป็นคนออกโรง แล้วเธอก็นั่งรอเฉยๆ เดี๋ยวคามินก็ต้องคลานกลับมาหาเธอเอง เมื่อไม่มีไอ้ผู้ชายหน้าหวานและไอ้เด็กฝาแฝดนั่น

พรวลัยอมยิ้มในหน้า ก่อนที่จะนึกถึงวันที่เธอแวะไปมารดาของคามินที่บ้าน พลางเล่าเรื่องที่ผสมนั่นผสมนี่ไปนิดหน่อย ให้อีกฝ่ายฟัง


‘คุณป้าคะ วลัยทราบมาว่าครามพาเด็กผู้ชายเข้ามาอยู่ที่คอนโด ใครก็ไม่รู้ ไว้ใจได้รึป่าวก็ไม่รู้ ... วลัยทราบดีว่าวลัยอาจจะไม่ใช่คู่หมั้นที่ครามต้องการสักเท่าไหร่ ครามถึงได้พาใครไม่รู้เข้าไปอยู่ที่คอนโด แต่ยังไงวลัยก็อดห่วงไม่ได้... คุณป้าลองไปถามครามดูนะคะ วลัยคงทำได้แค่นี้ ไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามเพราะกลัวครามจะไม่พอใจ” ใบหน้าสวยหวานแสร้งตีให้เศร้าซึม

‘วลัยก็กลัวแต่ว่าจะเป็นพวกที่ไม่หวังดี จ้องจะจับครามแน่ๆ ... เพราะคงไม่มีคนดีๆ ที่ไหนหรอก จะไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่นแบบนี้’


คติยาฟังพรวลัยอย่างใจเย็น เธอนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่พรวลัยมั่นใจว่ายังไงมารดาของคามินก็ไม่มีทางอยู่เฉยๆ แน่

และพอพรวลัยรู้ว่าคุณนายคติยาลงทุนไปคุยกับคามินด้วยตัวเองก็คิดในใจคงต้องมีแตกหักและได้ผลอะไรบ้าง แต่พอเลขาฯ ส่วนตัวมารายงานผลเท่านั้น ใบหน้าสวยหวานก็หงิกงอราวกับโกรธแค้นใครมาทั้งชาติก็ไม่ปาน

“เธอว่าไงนะ?”

พรวลัยกำมือแน่นอย่างคลั่งแค้น เพราะเลขาฯ เธอรายงานมาว่ามารดาของคามินแทบไม่ได้ต่อว่าอะไรลูกชายของเธอเลยสักนิด หนำซ้ำยังปล่อยให้ปราณันต์อยู่ที่คอนโดของคามินต่อโดยไม่ว่าอะไรอีก


‘ก็ได้ ในเมื่อยืมมือคนอื่นไม่ได้ผล พรวลัยคนนี้จะลงมือเอง! ปราณันต์! ฉันจะไม่มีวันยอมให้แกแย่งคามินไปได้แน่ๆ คอยดู!’


เสียงหวานพูดอย่างแข็งกร้าว ใบหน้าสวยหวานหงิกงอบิดเบี้ยวราวกับไม่พอใจถึงขีดสุด

จากนี้ไปเตรียมตัวเจอของจริงได้เลยคามิน ปราณันต์!

.

.

.

--------------------------------------------------------

ใช่จ่ะ นี่แค่คำเตือน ตอนหน้า.. บอกเรยว่าเอาจริง!!

เราอยากจะขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุกคอมเม้นต์นะคะ อีกไม่นาน ก็น่าจะใกล้จบละล่ะ โค้งสุดท้ายแน้วววว ขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงตรงนี้น้าา อาจจะมีถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้างงง เนื่องจากมันเคยเป็นฟิคมาก่อน และเราก็เขียนมาหลายปีแล้ว อาจจะมีบ้งๆ เบียวๆ ตามประสาก็อยากจะกราบขออภัย เพราะถ้าให้รีไรท์ใหม่อย่างจริงจังอาจจะกระทบหลายอย่าง แต่ก็พยายามๆ จะปรับให้มันเหมาะสมมากที่สุดเท่าที่ทำได้ละกันน้าาาา

เหมือนเดิมค่ะ ชอบไม่ชอบตรงไหนคอมเม้นท์บอกกันได้ คำผิดคำเพี้ยนก็บอกได้เสมอ เพราะแต่ละตอนยาวมาก เราอาจจะมีตาลายและพลั้งเผลอไป ต้องขออภัยมา ณ ตรงนี้ด้วยยย

แล้วยังไงไว้เจอกันตอนหน้านะคะ เกียมหม้อน้ำตั้งไฟไว้รอเลย สปอยล์ไว้นิดว่าม่าแน่!! จะพยายามมาไม่เกินวัน พฤหัสไม่ก็ศุกร์ค่ะ ... รักทุกคนมากน๊าาา <3

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
รออ่านอยู่จ้าา

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
คลื่นใต้น้ำ ต้องมีอีกแน่นอน

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
วลัยอย่าทำอะไรปราณกับน้องแฝดนะ ทำแค่คามินคนเดียวพอ :katai1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อะ ใครจะเจ็บ

รอเล้ยยยยย

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
27th Lies : พังทลายอีกครั้ง


หลังจากยืมมือมารดาของคามินมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างปราณันต์และคามินไม่สำเร็จ พรวลัยจึงต้องลงมาจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เธอให้คนไปตามสืบพฤติกรรมของคามินมาลับๆ ช่วงหนึ่งแล้ว รูปถ่ายระหว่างคามินและเด็กผู้ชายหน้าหวานคนนั้น วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงานของพรวลัยเต็มไปหมด

เธอหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู เป็นรูปของคามินกำลังยิ้มกว้าง เขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากของชายหนุ่มโผล่ตัวออกมาราวกับจะแสดงว่าเจ้าของของมันกำลังอารมณ์ดีมากแค่ไหน โดยแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของคนในภาพโอบอุ้มเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไว้ในอ้อมกอด ส่วนมือใหญ่ข้างหนึ่งของคามินกำลังกุมมือเล็กๆ ของผู้ชายหน้าหวานคนนั้นไว้... คนที่ชื่อปราณันต์

“พนิดา ฉันต้องการประวัติและข้อมูลของไอ้ผู้ชายคนนี้ทั้งหมด เอามาให้ละเอียด ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนฉันต้องการรู้ และก็เอามาให้เร็วที่สุดด้วย”

พรวลัยสั่งพนิดาเลขาส่วนตัวด้วยน้ำเสียงเผด็จการ คนถูกสั่งก็ได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก เพราะไม่รู้ว่าคำว่าเร็วที่สุดที่เจ้านายเธอต้องการนั้นมันคือเมื่อไหร่ จะถามก็ไม่กล้า เพราะกิตติศัพท์ความวีนแตกของพรวลัยนั้นไม่เคยเป็นรองใครอยู่แล้ว

“ได้ค่ะคุณวลัย นิดาจะรีบจัดการให้ค่ะ” ดังนั้น การรับปากไปก่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“งั้นก็รีบไปสิ จะมายืนโง่อยู่ตรงนี้ทำไม”

พรวลัยตวาดเสียงกร้าว ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวแสดงความไม่พอใจถึงขีดสุด เลขาฯ สาวถึงกับลนลานรีบเดินกึ่งวิ่งออกจากห้อง ทิ้งให้เจ้านายผู้ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวยิ่งกว่าใครนั่งอยู่ท่ามกลางกองรูปของคามินและปราณันต์ที่ดูเหมือนกำลังมีความสุข ขัดกับไฟที่กำลังสุมอกพรวลัยอยู่ตอนนี้เสียจริง

หญิงสาวกวาดรูปที่วางกองอยู่บนโต๊ะลงพื้น ยิ่งดูเธอยิ่งไม่พอใจ ในขณะที่คามินดูมีความสุขเหลือเกินยามอยู่กับผู้ชายคนนั้น แต่กับเธอยามอยู่ด้วยกัน คามินมีแต่ความเฉยชา ความไม่ยินดียินร้าย อย่าว่าแต่จะยิ้มเลย แม้แต่จะพูดด้วยสักคำยังยาก คามินจะนั่งนิ่งเป็นหุ่นจนทำให้เธอสุดแสนจะหงุดหงิด อยากจะตะโกนกรี๊ดใส่ซ้ำๆ เผื่อคามินจะเกิดทุกข์ร้อนขึ้นมาบ้าง เพราะสิ่งที่พรวลัยเกลียดที่สุดคือการถูกเมินไม่สนใจ

เธอได้แต่คิดอย่างเคียดแค้นว่าผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบเธอ มีอะไรบกพร่องตรงไหน เธอทั้งสาว ทั้งสวย น้ำเสียงก็น่าฟัง รูปร่างและทรวดทรงองค์เอวของเธอก็เป็นแบบที่ผู้ชายคนไหนๆ ก็ฝันถึง เธอสู้ปราณันต์คนนั้นไม่ได้ตรงไหน เธอมีอะไรที่ด้อยกว่ามันคนนั้นบ้าง เด็กนั่นทั้งจน ทั้งไม่แต่งตัว แถมยังมีน้องเล็กๆ ถึงสองคนที่เป็นภาระให้ดูแล ดังนั้น เธอจึงไม่เข้าใจคามินเลยว่า ไปหลงอะไรมันนักหนา ถึงได้เลือกที่จะไม่แคร์เธอได้ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นคู่หมั้นค้ำคออยู่ คงพามันเดินเชิดไปไหนมาไหนทั่วทั้งบริษัทแล้ว ตอนนี้คงไม่อยากให้มันอายหรือเป็นขี้ปากชาวบ้านเลยต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้วยกัน เหมือนพวกลักกินขโมยกิน...

พรวลัยคิดได้ถึงตรงนี้ก็ชะงักไป ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงสดกำลังแสยะยิ้มร้ายกาจ ดูเหมือนว่าเธอจะมีความคิดดีๆ ในการทำลายความสุขของคนทั้งสองแล้วล่ะ

.

.

.

หลังจากผ่านช่วงเวลาอกสั่นขวัญแขวนไปแล้ว ตอนนี้คามินกำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับปราณันต์ในห้องนั่งเล่น คนตัวเล็กทำเป็นหยิบนู่นจับนี่ไม่ยอมสนใจเขาสักนิด คนตัวโตกว่าเลยได้แค่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นี่ขนาดแม่มาออกตัวให้ขนาดนี้แล้ว ปราณันต์ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อีก คนอะไรใจแข็งชะมัด

“คุณปราณครับ มองผมหน่อย”

และถึงแม้คามินจะอ้อนแค่ไหน ปราณันต์ก็ยังไม่หวั่นไหว คนใจแข็งแกล้งทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินคนตรงหน้าที่จ้องแล้วจ้องอีกเรียก ตากลมเสมองไปทางเจ้าหนูน้อยฝาแฝดที่กำลังนอนระบายสีอยู่อย่างขะมักเขม้น จนสุดท้ายมือใหญ่ต้องยื่นมาประคองแก้มทั้งสองข้างของคนดื้อ แล้วรั้งให้หันกลับมาทางตน

“ทำไมเมินผมเด็กดื้อ” พูดไม่พูดเปล่า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกลับยื่นเข้ามาใกล้ พร้อมกับจุ๊บเบาๆ ลงบนริมฝีปากอิ่มสีสด และแน่นอนว่าพอคามินผละออก ปราณันต์ก็โวยวายทันที

“คุณนี่! ทำไมชอบทำแบบนี้ ถ้าเด็กๆ หันมาเห็นจะทำยังไง” แก้มทั้งสองข้างของคนที่กำลังโวยวายเสียงลอดไรฟันขึ้นสีแดงระเรื่อ คามินได้แต่นึกอยากฟัดอยู่ในใจแต่ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร เพราะกลัวเจ้าลูกแมวตัวใหญ่เล่นงานเอา

“ก็คุณปราณไม่สนใจผม” คนตัวโตกว่าพูดอย่างเอาแต่ใจ “สนใจผมหน่อยสิครับ แม่มาเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว ทำไมยังเมินผมอยู่อีกล่ะ”

คามินทวงถามตาใส ใบหน้าหล่อเหลาออกอาการออดอ้อนเต็มที่ ปราณันต์ได้แต่ทำหน้านิ่ง ทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก คามินเวอร์ชั่นนี้ปรากฎตัวถี่มากช่วงหลังจากกลับมาคบกัน ... จะเรียกว่ากลับมาคบกันก็คงไม่ถูกนัก เรียกว่าถูกบังคับให้กลับมาคบจะดีกว่า

ปราณันต์ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ ทีเวลาคามินอยู่ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะเวลาอยู่ที่บริษัท ก็เห็นทำหน้าตาย นิ่ง ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับเรื่องรอบข้างได้ แต่ทำไมพอเวลาอยู่กับเขาลูกเล่นของคนๆ นี้ถึงได้แพรวพราวนัก พักหลังยิ่งเอาใหญ่ เป็นมากกว่าตอนที่จีบเขาแรกๆ เสียอีก

“นั่นมันเรื่องของคุณกับครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของผม” ปราณันต์ยังคงเถียงไม่ลดละ ใบหน้าน่ารักออกอาการดื้อดึงอย่างเห็นได้ชัด ลองถ้าปราณันต์ไม่ยอม ยังไงเขาก็ไม่ยอม ที่ผ่านมาคามินทำกับเขาไว้มากขนาดไหน เขายังจำมาจนถึงทุกวันนี้ กับอีแค่แม่ของอีกฝ่ายมาพูดไม่กี่ประโยค จะให้เขาทำใจเชื่อได้ทันทีเลยหรือไงว่าคามินอยากจะกลับมาคบกับเขาจริงๆ


... บางทีเรื่องบางเรื่องมันใช้แค่การกระทำพิสูจน์ไม่ได้หรอก การกระทำมันต้องมาควบคู่กับคำพูด แล้วมาจนถึงวันนี้ คามินได้พูดถึงความรู้สึกตัวเองออกมาชัดๆ ให้ปราณันต์ได้รู้บ้างรึยัง คำตอบคือไม่เคยเลย ไม่มีคำพูดนั้นเลยสักครั้ง ...


และพอนึกได้แบบนั้น ลำคอขาวของร่างบางก็ตั้งตรงอีกครั้ง ปราณันต์ไม่ยอมสบตาคามินเลยตั้งแต่พูดประโยคนั้นจบ จนคามินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเขยิบร่างกายใหญ่โตเข้ามาหาปราณันต์นั่นแหละ เขาถึงได้รู้ตัวว่าถูกคนตรงหน้ากักตนเองไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว

อ้อมกอดอบอุ่นรัดตัวปราณันต์ไว้เบาๆ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนใจ

“คุณปราณ ทำไมใจแข็งจังเลยครับ ที่ผ่านมาผมยังพิสูจน์ตัวเองให้คุณเห็นไม่มากพออีกหรอว่าผมจริงจังกับคุณมากแค่ไหน ให้โอกาสผมหน่อยได้ไหมครับคนดี”

จมูกโด่งไล้ไปมาที่แก้มใสของคนในอ้อมแขนที่ตอนนี้กำลังดิ้นดุ๊กดิ๊ก เพื่อประท้วงให้อีกฝ่ายปล่อยอย่างไม่ยอมแพ้

“คุณทำอะไร คุณพิสูจน์อะไรให้ผมเห็นบ้าง เรื่องที่คุณบังคับผมให้มาอยู่ด้วย? เรื่องที่คุณหลบๆ ซ่อนๆ ผม ไม่ให้คู่หมั้นคุณรู้? แล้วเรื่องอะไรอีกนะ เรื่องที่คุณขู่จะไล่เพื่อนผมออกจากงาน? นั่นคือทั้งหมดที่คุณพูดว่าคุณทำเพื่อผมใช่ไหมครับคุณคามิน”

ปราณันต์เริ่มโมโห เมื่อเห็นว่าคามินพูดทวงความดีความชอบของตัวเอง โดยที่ไม่ได้มองถึงความเอาแต่ใจที่ได้ทำลงไปเลยสักนิด แบบนี้จะมาพูดว่าทำเพื่อเขาหน้าตาเฉยได้ยังไงกัน

“ผมขอโทษ แต่ผมมันก็เป็นแบบนี้ ผมแสดงความรู้สึกไม่เก่ง ผมไม่รู้ว่าจะมีทางไหนบ้างที่จะรั้งให้คุณกลับมาหาผมได้ ผมรู้ว่าแต่ละเรื่องที่ผมทำไปมันเห็นแก่ตัว แต่จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อผมเสียคุณไปไม่ได้จริงๆ”

คามินพูดออกมายาวเหยียด ตากลมสบนิ่งไปที่ดวงตาเรียวคมของคามิน ดวงตาที่เขาเคยรักและหลงใหลมากที่สุด ปราณันต์พยายามรวบรวมความกล้า แล้วเสี่ยงกับคนตรงหน้าดูอีกสักครั้ง

“แล้วทำไมคุณถึงเสียผมไปไม่ได้ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากรั้งให้ผมอยู่กับคุณ”

หลังจากถามออกไป คนตัวเล็กกว่าก็กำมือเข้าหากันแน่น ฟันซี่งามขบลงบนริมฝีปากล่างตัวเองเหมือนกับคนเครียดที่หาทางระบายออกไม่ได้ ตากลมสบนิ่งไปที่ตาคม ปราณันต์ต้องการรู้ และสิ่งที่โกหกกันยากที่สุดคือดวงตา เขาจะไม่ยอมถูกคามินหลอกซ้ำหลอกซากอีกแน่ๆ

ปราณันต์กำลังเสี่ยงดวง เขาจะยอมเสี่ยงเพื่อความรักของตัวเองอีกครั้ง ขอเพียงคามินบอก ตอบเขาออกมาด้วยใจจริง เขาจะยอมละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด และให้อภัยคนตรงหน้าอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าคำตอบไม่ออกมาเป็นอย่างที่เขาคิด เขาคงจะต้องยอมแพ้ แล้วเลิกหวังอะไรลมๆ แล้งๆ เสียที

“ปราณ ... ผม.. คือ ... ผม” คามินอึกอัก ไม่สามารถตอบคำถามของปราณันต์ได้ และในขณะเดียวกัน แววตาคมคู่นั้นที่เคยมั่นใจในตัวเองเกือบทุกเรื่องก็แสดงออกถึงความลังเลอย่างเห็นได้ชัด

และเมื่อภาพที่ปราณันต์เห็นเป็นเช่นนั้น มือบางก็ค่อยๆ ดันอกคนตรงข้ามออกช้าๆ รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฎอยู่บนริมฝีปากอิ่ม ปราณันต์ก้มหน้าซ่อนน้ำตาไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะร้องขอให้คามินปล่อย

“พอเถอะครับ แค่นี้คุณยังตอบคำถามผมไม่ได้ คุณก็อย่าพยายามมันต่อไปเลย ปล่อยผมเถอะ”

แต่คามินยังคงดื้อดึง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องลังเล ไม่แน่ใจ มีเหตุผลอะไรที่เขาตอบปราณันต์ไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่คามินพยายามถามตัวเองอยู่เสมอ

“ปราณ ผม...”

และยังไม่ทันที่คามินจะพูดได้จบประโยค ปราณันต์ก็กลับพูดสวนออกมาก่อน เป็นสิ่งที่คามินคาดไม่ถึงว่าปราณันต์จะพูดมันออกมาตรงๆ

“แค่คุณจะพูดว่ารักผมจากใจของคุณจริงๆ คุณยังพูดไม่ได้เลย แล้วคุณจะหวังให้ผมเชื่ออะไรคุณอีก ... ผมเจ็บมามากพอแล้วคามิน ถ้าคุณไม่ได้รักผม คุณปล่อยผมไปได้ไหม อย่าทรมานผมแบบนี้อีกเลย ผมขอร้อง”

ปราณันต์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับคามินทั้งที่น้ำตาไหลนองตามสองข้างแก้ม คามินที่มองเห็นภาพตรงหน้าก็เจ็บในหัวใจไปหมด


....แค่จะพูดว่ารัก ทำไมมันถึงยากเย็น คามินได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ อย่างไม่เข้าใจ


ก่อนหน้านี้ที่พร่ำพูดให้ปราณันต์ได้ยินตลอดว่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของแผน ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ แต่พอถึงเวลาที่ต้องพูดจริงจัง คามินกลับพูดไม่ออก เขายอมรับว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกกับปราณันต์ยังไง โอเค ใช่ เขาเสียปราณันต์ไปไม่ได้ แต่มันมากพอจะเป็นความรักแล้วหรือยัง ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีความกล้ามาพอที่จะพูดคำๆ นั้นออกไป เขาไม่อยากโกหกปราณันต์ เขาอยากจะแน่ใจจริงๆ เพื่อที่เวลาบอกคำนั้นกับปราณันต์ เขาจะได้พูดมันอย่างภาคภูมิ ไม่มีอะไรให้ต้องติดค้างในใจกันอีก

แต่ปราณันต์กลับไม่คิดแบบนั้น เขาไม่สามารถรับรู้ความคิดของคามินได้ ตอนนี้ปราณันต์คิดแค่ว่าตัวเองเป็นของเล่นแก้เหงาสำหรับคนตรงหน้า ไม่มีค่า ไม่มีราคา ไม่มีอะไรทั้งนั้น แม้แต่ความรักสักเศษเสี้ยวที่เขาหวังว่าคามินจะมีให้เขาบ้างสักช่วงเวลาหนึ่ง คามินยังมีให้ไม่ได้เลย แล้วเขาจะยังคาดหวังอะไรได้อีก

ปราณันต์ปาดน้ำตาออกลวกๆ และพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงที่ตอนนี้คลายลงเพราะยังคงตกใจกับคำถามของปราณันต์เมื่อกี้อยู่ ก่อนที่เสียงหวานจะเอ่ยเรียกน้องชายทั้งสอง เพราะอยากจะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ เราไปอาบน้ำกันดีไหม เดี๋ยวดึกแล้วจะอากาศหนาวนะ”

เจ้าหนูทั้งสองก็แสนว่าง่าย พอพี่ชายเรียกก็จัดการเก็บสมุดสีที่ใช้ระบายลงกล่อง แล้วไปวางในที่ๆ มันควรอยู่อย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะลุกไปจูงมือเล็กๆ ของปราณันต์ แล้วเดินออกไปจากนั่งเล่นพร้อมกัน ทิ้งให้คามินนั่งหน้าเศร้า คิดแก้ปัญหาไม่ตก ตอนที่แม่มาช่วยพูด เขาก็คิดว่าเรื่องระหว่างเขากับปราณันต์ น่าจะไม่ยุ่งยากอะไรแล้ว แต่เขาคิดผิด ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับใครเลยทั้งนั้น มันอยู่ที่เขาเอง ตัวคามินคนนี้คนเดียว

คนตัวโตได้แต่พูดซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองว่าได้เวลาทบทวนความรู้สึกตัวเองอย่างจริงจังเสียที ก่อนที่เขาจะเสียปราณันต์ไปตลอดกาล

.

.

.

พรวลัยที่เพิ่งจะคิดแผนอะไรบางอย่างออก ก็เรียกเลขาฯ คนสนิทให้กลับเข้ามาหาตัวเองในห้องอีกครั้ง

“พนิดา เรื่องประวัติของเด็กนั่นให้คนอื่นไปทำต่อ ส่วนเธอเข้ามาหาฉัน ฉันมีงานสนุกๆ ให้เธอทำ รับรองไอ้เด็กปราณันต์นั่นได้ดังสมใจแน่”

เลขาฯ ของพรวลัยได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้ว่าพรวลัยจะสั่งให้ทำอะไร

“คุณวลัยสั่งนิดามาได้เลยค่ะ นิดาจะจัดการทุกอย่างไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว”

ริมฝีปากสีแดงสดของผู้หญิงสวยจัดตรงหน้าแสยะยิ้มร้ายกาจ ดวงตาเรียวเฉี่ยวภายใต้แพขนตาที่ดัดงอนไว้อย่างสวยงามสะท้อนไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพียงแค่นึกถึงแผนที่ตัวเองวางไว้ คู่หมั้นสาวของคามินก็แทบจะรอเห็นความหายนะของปราณันต์แทบไม่ไหว

ในเมื่ออยากจะแย่งของๆ เธอนัก ก็ประกาศให้รู้ทั่วบริษัทเลยเป็นไง ทุกคนจะได้รู้ว่าหน้าตาของคนที่ชอบแย่งของๆ คนอื่นมันเป็นยังไง แล้วตัวพรวลัยเองก็อยากรู้ด้วยว่าปราณันต์จะทนตากหน้าให้คนอื่นนินทาได้สักกี่น้ำ แล้วคนเย็นชาอย่างคามินล่ะ จะมีปัญญาปกป้องปราณันต์ได้ไหม เธอล่ะอยากจะรู้จริงๆ


หึ! แค่คิดก็สนุกเป็นบ้าแล้ว


“เอารูปพวกนั้น” พรวลัยชี้ไปที่พื้นห้องที่มีรูปของคามินและปราณันต์ตกกระจายอยู่ตอนที่เธอกวาดมันลงจากโต๊ะทำงาน โดยมีพนิดามองตามนิ้วเรียวสวยไปอย่างแปลกใจ ก่อนที่จะร้องอ๋อ เมื่อพรวลัยพูดประโยคถัดมา

“เลือกรูปที่เห็นปราณันต์ชัดๆ เอาไปติดประจานให้ทั่วออฟฟิศของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ จ้างคนเข้าไปติดอย่าให้ใครรู้ ฉันจะคอยดูน้ำหน้าของพวกที่มีความสุขนักหนา อยากจะรู้นัก มันจะแก้ปัญหากันยังไง”

พรวลัยหัวเราะเบาๆ ราวกับเจอเรื่องสนุกเสียเต็มประดา ส่วนเลขาฯ สาวก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่ละเรื่องที่พรวลัยให้เธอทำนั้นไม่ง่ายเลย ก่อนที่เธอจะพบว่าพรวลัยสามารถทำให้มันยากขึ้นไปกว่านั้นได้อีก

“ได้ค่ะคุณวลัย นิดาขอเวลาสัก...” พนิดายังพูดไม่ทันจบว่าจะขอเวลาสักสองสามวัน แต่วลัยกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน

“พรุ่งนี้ ฉันต้องการเห็นภายในวันพรุ่งนี้เท่านั้น พรุ่งนี้วันจันทร์ ฉันอยากให้อาทิตย์นี้เป็นการเริ่มต้นอาทิตย์ที่ดีของปราณันต์ หึ!”

“รับทราบค่ะคุณวลัย” พนิดาก็ต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้ ยังไงเสียพรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบจัดการให้เสร็จ

“ดี! แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปดูความย่อยยับของไอ้ปราณันต์ด้วยตาของตัวเอง ท่าทางคงจะสนุกพิลึก ฮ่าๆๆ”

วลัยพูดพลางหัวเราะอย่างชอบใจ พนิดาได้แต่เหลือบมองรูปในมือของตัวเอง แล้วแอบเอาใจช่วยผู้ชายหน้าหวานในรูป ศัตรูหัวใจของเจ้านายเธอ ให้อยู่รอดปลอดภัย และเข้มแข็งพอจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยเถอะ

.

.

.

และแล้ววันจันทร์ก็มาถึง พรวลัยรอวันนี้ด้วยหัวใจจดจ่อ เธอแต่งตัวสวยเพื่อเตรียมตัวไปยังบริษัทของคามิน เธออยากจะรอดูน้ำหน้าของปราณันต์ ยามโดนคนทั้งออฟฟิศนินทาแบบไม่เกรงใจ เธออยากรู้เหลือเกินว่าคนหน้าด้านแบบนั้นจะมีปัญญาแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไง

ทางฟากคามินกับปราณันต์ตั้งแต่คำถามที่คนตัวเล็กกว่าถามมาเมื่อวานแล้วคามินให้คำตอบไม่ได้ ก็ดูเหมือนว่าวันนี้ปราณันต์จะนิ่งเฉยกว่าเดิมเยอะมาก หลังจากส่งฝาแฝดและร่ำลาพวกแกที่โรงเรียนอนุบาลเสร็จ ระหว่างทางไปออฟฟิศปราณันต์ก็นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จากับคามินตลอดทาง คนตัวโตถามอะไรก็ตอบมาเป็นคำๆ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คามินหงุดหงิดใจที่สุด

“คืนนี้ผมไม่ให้คุณปราณหนีไปนอนห้องน้องเหมือนเมื่อคืนแล้วนะครับ ผมรอให้คุณกลับมาทั้งคืนเลยรู้ไหม”

ปราณันต์ไม่ตอบแต่กลับผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ท่าทางเฉยเมยของคนตัวเล็กกว่า ยิ่งทำให้คามินหงุดหงิด

เมื่อคืนหลังจากพาเด็กๆ ไปอาบน้ำ ปราณันต์ก็เข้าไปขลุกอยู่ในห้องของปุณณกันต์กับปัณณธรไม่ยอมออกมา ตอนแรกคามินก็วางใจเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังอ่านนิทานกล่อมให้น้องหลับอยู่ เขาเองก็ตั้งใจว่าถ้าปราณันต์กลับมาที่ห้องเขาก็จะพูดให้ร่างบางรู้ถึงเหตุผลที่เขาให้คำตอบที่ปราณันต์ต้องการทันทีไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร

แต่คามินรอแล้วรอเล่า รอจนดึกปราณันต์ก็ไม่กลับเข้ามา เขาเลยตัดสินใจไปตามคนดื้อตาใสถึงห้องของเด็กแฝด แต่ปรากฎว่าปราณันต์กลับล็อคห้องทำให้เขาเข้าไม่ได้ คามินเองก็ไม่อยากจะเคาะหรือทำอะไรที่เสียงดังให้เด็กๆ ที่อาจจะหลับไปแล้วตกใจตื่น เลยต้องถอยร่นกลับมาที่ห้องตัวเอง แล้วนอนเหงาๆ พลิกไปพลิกมาจนเกือบจะเช้านั่นแหละ

“คุณปราณครับ ผมพูดกับคุณอยู่นะ” เมื่อเห็นว่าคนข้างกายยังเฉย คามินจึงย้ำเสียงเข้ม และยิ่งพอปราณันต์ไม่หือไม่อือ ยิ่งทำให้คามินอยากจะจับคนดื้อที่กำลังทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวมาฟัดจูบให้หายทำมึนตึงกับเขาเสียที

“…” ปราณันต์ก็ยังคงนิ่ง ไม่ตอบโต้

“ถ้าอีกรอบไม่หันมา ผมจะจับคุณจูบให้ขาดใจเลยคอยดู” คามินยื่นคำขาด นั่นทำให้ใบหน้าสวยหวานหันขวับมา พลางใช้ตากลมโตค้อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แบบที่ให้รู้ว่าคนมองไม่กำลังไม่พอใจสุดๆ

“คุณมันก็ดีแต่ใช้กำลังกับผม แล้วแบบนี้ยังจะอยากให้ผมคุยดีๆ กับคุณอีกหรอ?” เสียงหวานสั่นพร่า ราวกับว่าคนพูดเองก็เจ็บในหัวใจไม่น้อย ทำเอาคนได้ยินอย่างคามินเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาฉับพลัน

“ผมขอโทษ ผมแค่ไม่อยากให้คุณปราณเมินผม” คนตัวโตพูดพลางใช้มือใหญ่เอื้อมไปเกี่ยวรั้งเอวบางของคนตัวเล็กกว่าไว้ พลางก้มลงกดจูบเบาๆ ลงบนลาดไหล่เรียวราวกับอยากจะง้องอน

“ปล่อยเถอะครับ จะถึงออฟฟิศแล้ว” ปราณันต์ดิ้น แต่คามินก็ยังคงโอบกอดร่างบางไว้ไม่ยอมปล่อย

“อยู่แบบนี้อีกแปปนึงไม่ได้หรอครับ”

จมูกโด่งเป็นสันของคนตัวโตไล้ไปมาเบาๆ ที่ลำคอขาวของปราณันต์อย่างไม่ยอมแพ้ คามินไม่สนใจหรอกว่าต้องใช้วิธีไหน ขอแค่ให้ปราณันต์ใจอ่อนลงเป็นพอ เพราะความมึนตึงจะยิ่งทำให้เขากับคนตรงหน้านี้ห่างกัน แค่นี้อุปสรรคระหว่างเขาสองคนก็มากเกินพอแล้ว ถ้าคามินสามารถรักษาพื้นที่ระหว่างเขากับปราณันต์ในเวลานี้ไว้ได้ ถึงแม้มันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยขอแค่มันไม่เพิ่มปัญหาระหว่างเขากับปราณันต์ให้มากขึ้นไปกว่านี้ก็ยังดี

รถที่แทนคุณขับพาปราณันต์กับคามินมาที่ออฟฟิศค่อยๆ จอดเทียบหน้าประตูใหญ่ ร่างบางหันมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก เพราะมัวแต่ดิ้นสะบัดให้ตัวเองหลุดจากอ้อมกอดแข็งแรงของคนตัวโตนี่ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้แทนคุณขับรถมาจ่ออยู่ที่หน้าประตูใหญ่แล้ว

“คุณแทนคุณ ทำไมวันนี้ไม่ไปประตูหลังล่ะครับ” ปราณันต์ถามแทนคุณเสียงหลง “ผมจะลงตรงนี้ได้ยังไง เกิดคนอื่นเห็นขึ้นมา..”

ปราณันต์พูดไม่จบประโยคเพราะตัวเขาเองก็ไม่กล้าจินตนาการว่าถ้ามีคนรู้เรื่องระหว่างเขากับคามินแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไหนจะสายตาของคนทั้งบริษัท แล้วไหนจะคุณพรวลัยคู่หมั้นของคามินอีก...

ตากลมหลับลงช้าๆ ราวกับอยากจะสกัดกั้นทุกจินตนาการ ทุกความฟุ้งซ่าน เพราะไม่อยากจะทำให้ตัวเองวุ่นวายใจไปมากกว่านี้ และคามินเองก็เหมือนจะรู้ว่าปราณันต์กำลังคิดอะไร จึงใช้มือใหญ่ลูบศีรษะกลมเบาๆ พลางปลอบประโลมด้วยคำพูดที่อ่อนโยน น้ำเสียงที่ฟังกี่ทีปราณันต์ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสามารถทำให้เขาสงบลงได้เสมอ ไม่ว่าตอนนั้นจะกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ก็ตาม

“คุณปราณลงตรงนี้แหละครับ ลงไปคนเดียวไม่มีใครสงสัยหรอก เดี๋ยวผมไปลงข้างหลังเอง ทางตรงนั้นมันข้าวของเยอะ เดินลำบาก ไม่ต้องกังวลนะครับคนดี”

พอพูดจบริมฝีปากหยักก็จูบลงบนขมับของคนในอ้อมกอดเบาๆ ก่อนที่คามินจะยอมคลายวงแขนเพื่อให้ปราณันต์เป็นอิสระ นั่นทำให้คนตัวเล็กกว่ารีบคว้ากระเป๋าแล้วผลุนผลันลงจากรถทันที เพราะกลัวว่าถ้าช้าอีกแม้แค่วินาทีเดียว คามินจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเอง .... ปราณันต์แพ้เสมอเวลาที่คามินดูแลและเอาใจใส่ ไม่มีทางเลยที่จะชนะสักครั้ง ไม่มีทาง

.

.

.

หลังจากเข้ามาในออฟฟิศได้ ปราณันต์ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพื่อนพนักงานต่างจับจ้องและมองเขาแปลกๆ เสียงซุบซิบนินทาดังออกมาจากทั่วทุกตารางนิ้วที่ปราณันต์เดินผ่าน คนตัวเล็กได้แต่เดินกำมือแน่นไปตลอดทางที่จะไปห้องทำงานของทีมโปรเจ็กต์พิเศษ เขาทั้งกังวลและไม่สบายใจ เมื่อกี้ปราณันต์ก็ว่าสำรวจดีแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านมาถึงได้ยอมลงจากรถ และถึงแม้ว่าจะมีคนเห็นว่าเขาลงจากรถ แต่ก็ไม่น่าจะมีใครได้เห็นคามินที่นั่งอยู่ด้านใน ปราณันต์คิดว่ายังไงเขาก็คงไม่โชคร้ายโดนจับได้เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้แน่ๆ


แต่ถ้าปราณันต์รู้ว่าวิธีเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคามินเป็นการที่คนอื่นได้เห็นเขาก้าวลงจากรถคามินน่าจะดีกว่าการถูกเปิดเผยความสัมพันธ์แบบที่พรวลัยยัดเยียดให้เขาเจอ...


ปราณันต์พยายามทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะสาวเท้าให้เร็วขึ้น มือบางล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง เพื่อหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่งขึ้นมา ก่อนจะพบว่าเขาลืมเปิดเสียงมันไว้ นั่นทำให้มีเบอร์ที่เขาไม่รับทั้งของนทนัทและกันต์กวีรวมยี่สิบกว่าสาย ตากลมเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่นทกับกวีถึงกระหน่ำรัวโทรหาเขาแบบนี้

พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์ก็โทรกลับหานทนัชทันที และเมื่อนทนัชรับสาย ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ปราณันต์เดินมาถึงหน้าห้องทำงานของทีมโปรเจ็กต์แล้ว

“ปราณ! หายไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงนทนัชที่ดังทะลุโทรศัพท์ออกมาควรจะทำให้ปราณันต์ตกใจ แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ปราณันต์ตกใจกลับเป็นรูปของตัวเองและคามินที่กำลังติดหราอยู่ที่บอร์ดข่าวสารของทีมหน้าห้องมากกว่า รูปที่มองยังไงก็เห็นได้ชัดเจนว่าสองคนในภาพไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแค่เจ้านายกับลูกน้อง

“นี่มัน...” เสียงปราณันต์แทบจะเลือนหายไปในคอ นทนัชเองพอได้ยินเสียงปราณันต์เป็นแบบนั้นก็นึกรู้ได้ทันทีว่ารุ่นน้องในทีมของตนคงได้เห็นภาพพวกนั้นที่ติดว่อนไปทั่วบริษัทแล้ว

หัวหน้าทีมร่างเล็กจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วก็ได้เห็นรูปร่างบอบบางของปราณันต์หยุดยืนอยู่หน้าห้อง ขนาดมองไกลๆ จากตรงนี้ นทนัชยังเห็นได้ชัดเจนว่าปราณันต์กำลังตัวสั่น มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ตกลงมาข้างตัวคล้ายคนกำลังหมดเรี่ยวแรง

“ปราณ!” นทนัชกดวางสาย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้ววิ่งเข้าไปหาปราณันต์ที่ยืนเหมือนกำลังจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ทันที โดยมีกันต์กวีที่เพิ่งมาถึงวิ่งตามมาติดๆ

“พี่นท.. นี่มันอะไรกันครับ” ปราณันต์หันไปถามนทนัชด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ใบหน้าหวานสวยกลับซีดขาวลงทันตาเมื่อได้เห็นว่าภาพของเขาคามินติดหราอยู่หน้าห้องทำงานแบบนี้... ยังไงก็ต้องมีคนได้เห็นมันแล้ว มาจนถึงตอนนี้ปราณันต์ก็ได้แต่หลับตาลงช้าๆ เหมือนกับรับรู้และเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมตลอดทางที่เขาเดินผ่านมา คนในออฟฟิศถึงได้มองเขาแบบนั้น

ในภาพเป็นรูปที่คามินกำลังใช้แขนแข็งแรงโอบรอบเอวของผู้ชายร่างบางคนหนึ่งไว้ ร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดติดกัน และในรูปนั้นคามินกำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนๆ นั้น ซึ่งมันดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่คามินกลับไม่ได้ทำแค่พูด จมูกโด่งของเจ้าของใบหน้าคมคายนั่น ก็กำลังฉกลงบนแก้มขาวของคนที่อยู่ในอ้อมแขนด้วย และคนในอ้อมแขนของคามินก็คือ เขาคนนี้... ปราณันต์

และที่เลวร้ายไปกว่านั้น ในภาพที่ทุกคนเห็นตรงกลางมีข้อความว่า


‘นี่สินะ เหตุผลที่แท้จริงของการที่ปราณันต์ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมทีมโปรเจ็กต์ของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้’


กันต์กวีเมื่อพอได้เห็นภาพและข้อความเหล่านั้นก็สบถคำหยาบคายออกมายาวเหยียดจนนทนัชห้ามไว้แทบไม่ทัน และในขณะที่คิดว่ากำลังจะเอายังไงกันดีอยู่นั้น ประตูห้องทำงานก็เปิดออก เพื่อนร่วมทีมสองคนกำลังเดินออกมา นทนัชจึงต้องดึงกึ่งลากปราณันต์ที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงเพราะตกใจให้มาหลบข้างเสาต้นใหญ่ เพราะการที่จะให้คนอื่นเห็นปราณันต์ในเวลานี้นั้นมันน่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

“นี่นายเห็นรูปปราณันต์กับท่านประธานรึยัง?”

ดูเหมือนว่าหัวข้อสนทนาที่เพื่อนร่วมทีมโปรเจ็กต์กำลังกล่าวถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ปราณันต์อยากได้ยินเท่าไหร่ คนตัวเล็กที่ดูเปราะบางเหลือเกินในเวลานี้พิงร่างเข้ากับเสา พลางหลับตาลงช้าๆ เผื่อว่าเรื่องที่เขากำลังจะได้ยินมันจะเลือนหายไป ไม่ต้องมารับรู้ให้เจ็บปวดแบบนี้อีก แต่ความจริงมันกลับตรงกันข้ามเพราะทุกประโยคที่สองคนนั้นกำลังพูดถึง ดังเสียดแทงทะลุและเฉือนหัวใจปราณันต์จนเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี

“เห็นแล้ว ตอนแรกก็แปลกใจนิดหน่อย ว่าทำไมท่านประธานถึงเลือกเด็กขนาดนี้เข้ามาร่วมทีม แต่ตอนนี้ไม่แปลกใจละ... เหอะ!”

น้ำเสียงดูถูกดังก้องกังวานไปทั่วทางเดิน ปราณันต์ได้แต่กลืนก้อนสะอื้นลงคอเงียบๆ แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ห้ามร้องไห้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ ในเมื่อเขาเองก็รู้ว่าสักวันเรื่องแบบนี้มันต้องเกิด เขาก็ต้องทำใจและผ่านมันไปให้ได้ แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

แต่การจะทำให้ได้แบบนั้น มันไม่ได้ง่ายแบบที่ปราณันต์คิด เมื่อประโยคที่คนเหล่านั้นพูดต่อมาทำให้ปราณันต์ทั้งจุกและเจ็บจนเหมือนจะพูดไม่ออกไปตลอดชีวิต


(อ่านต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2021 21:20:10 โดย Gade_ka »

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


“เออจริง ง่ายดีว่ะแบบนี้ คงยอมอ้าขาให้ท่าประธานไม่กี่ครั้งเลยมาไกลได้ขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าปราณันต์นี่แม่งก็โคตรน่าฟัดจริงๆ นั่นแหละ ถ้าท่านประธานจนหลงจนโงหัวไม่ขึ้น ฉันก็ว่าไม่น่าแปลกใจว่ะ ฮ่าๆๆๆ”

ถ้อยคำดูถูกที่ปราณันต์ได้ยิน เหมือนมีดที่กำลังกรีดหัวใจเขาช้าๆ ปราณันต์ได้แต่คิดว่าเขาจะแก้ตัวได้ยังไง ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ในเมื่อความเป็นจริงมันก็มีส่วนถูกตามที่คนเหล่านั้นพูดไม่น้อย ถึงแม้การที่เขาจะยอมนอนกับคามินไม่ใช่เหตุผลโดยตรงที่ทำให้เขาได้เข้าทีมโปรเจ็กต์ แต่มันก็เป็นเหตุผลโดยอ้อมที่คามินเลือกจะเอามาใช้เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเขา แล้วแบบนี้มันจะต่างจากที่คนพวกนั้นพูดตรงไหนล่ะ ในเมื่อเขาก็ใช้ร่างกายในการได้มาซึ่งตำแหน่งในทีมพิเศษจริงๆ

น้ำตาเม็ดเล็กไหลกลิ้งลงมาจากดวงตากลมช้าๆ ปราณันต์นึกตัดพ้อต่อพระเจ้าอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ เมื่อไหร่เขาถึงจะมีความสุขได้แบบคนอื่นบ้าง พระเจ้ายังลงโทษเขาไม่พออีกหรือยังไง

“ไม่ต้องไปฟังนะปราณ ไม่ต้องไปฟัง” กันต์กวีเกลี่ยน้ำตาของเพื่อนสนิทออกจากแก้มใสด้วยหัวใจที่ร้อนรน เห็นปราณันต์เจ็บเขาก็เจ็บไม่ต่าง

และในขณะที่กันต์กวีกำลังจะออกไปห้ามปรามให้คนพวกนั้นหยุดพูดถึงปราณันต์ในทางเสื่อมเสีย เพราะคนผิดไม่ใช่ปราณันต์ของเขาที่คนอื่นจะมากล่าวโทษได้แบบนี้ ถ้าอยากจะพูดเลวๆ ถึงใครสักคน ก็โน่น! ไอ้ประธานสารเลวโน่น! มันนั่นแหละที่ทำให้ปราณันต์ของเขาต้องเจ็บเหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้

และก่อนที่กันต์กวีจะได้เข้าถึงตัวคนพวกนั้น คามินที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ ก็พุ่งตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของไอ้คนที่มันกำลังดูถูกปราณันต์ของเขาทันที คามินดันร่างที่กำลังสั่นเพราะตกใจของผู้ชายคนนั้นไปติดกำแพง ดวงตาวาวโรจน์ของท่านประธานแห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ทำเอาคนที่ถูกตรึงไว้ถึงกับหน้าซีด ขาสั่นเพราะความหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้

“ทะ.. ท่าน ... ท่านประธาน”

“ใช่ ฉันเอง” คามินตอบรับเสียงเย็น “ไหนลองพูดถึงปราณันต์แบบนั้นอีกรอบสิ ฉันสาบานเลยว่าจะเลาะฟันนายออกมาให้หมดปาก เอาไว้ให้หมามันแทะเล่น แบบนั้นนายว่าดีไหม”

เสียงทุ้มที่เคยมีเสน่ห์กลับเย็นเยียบ คำพูดที่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะทำได้จริง แต่เมื่อฟังคนตรงหน้าพูดแล้วก็พบว่าถ้าคามินจะทำก็คงไม่ยาก นั่นยิ่งทำให้พนักงานปากรั่วคนนั้นตัวสั่นงันงกยิ่งกว่าเดิม

“ผะ ผม ผมขอ.. ขอโทษครับท่าน ท่านประธาน”

“จำเอาไว้ อย่าให้ฉันได้ยินนายพูดถึงปราณันต์ ‘ของฉัน’ แบบนั้นอีก ถ้าฉันได้ยิน นายจะไม่ได้แค่โดนไล่ออก แต่ฉันเอานายถึงตายแน่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู”

คามินรั้งคอเสื้อของผู้ชายคนนั้นให้สูงขึ้นไปอีก นั่นยิ่งทำให้มันรัดแน่นที่คอจนผู้โชคร้ายคนนั้นแทบหายใจไม่ออก ซึ่งการทำแบบนี้ของคามิน เป็นการเตือนกลายๆ ว่าเขาเอาจริงและเขาทำมันแน่ ถ้ามันยังขืนปากรั่วทำให้ปราณันต์ของเขาเสียหายอีก

กันต์กวีที่เห็นภาพตรงหน้าก็กลับยิ่งโมโหคามินยิ่งกว่าเดิม ตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ๆ แต่กลับไปโทษคนอื่น ยิ่งคิดกันต์กวียิ่งแค้น เพราะตั้งแต่ปราณันต์มีคามินเข้ามาในชีวิต เรื่องแย่ๆ ก็เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่มีไอ้สารเลวนี่สักคน ปราณันต์ก็คงไม่ต้องเสียใจซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้หรอก

และพอคิดได้ดังนั้น กันต์กวีก็ถลาเข้าไปผลักท่านประธานที่ใครๆ ก็หวาดกลัว จนคนรูปร่างสูงใหญ่แบบคามินถึงกับเซถอยหลัง มือใหญ่ที่เคยรั้งคอเสื้อของผู้ชายคนนั้นไว้ก็หลุดออก ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้ชายโชคร้ายคนนั้นถึงกับรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับเพื่อน เพราะไม่อยากเดือดร้อนไปมากกว่านี้

“ไอ้สารเลวเอ๊ย ยังมีหน้าไปโทษคนอื่นอีก เพราะมึงคนเดียวนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เมื่อไหร่จะออกไปจากชีวิตปราณสักทีวะ”

กันต์กวีตวาดดังลั่น พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาหาคามินอย่างไม่เกรงกลัว คนที่ถูกไล่ให้ออกไปจากชีวิตปราณันต์จ้องกันต์กวีตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนพายุลูกเล็กๆ กำลังก่อตัวขึ้นในใจของคามิน ขนาดที่ว่าแทนคุณที่ทำท่าจะเข้ามากันยังต้องล่าถอย เมื่อคามินโบกมือปัด ไม่ให้แทนคุณเข้ามายุ่ง

“แล้วเกี่ยวอะไรกับนายด้วย คนที่คุณปราณไม่เอาและไม่ต้องการอย่างมึงมีสิทธิ์มาสั่งอะไรกู มีปัญญาได้แค่แอบชอบก็ทำไปสิ แต่เผอิญกูมีปัญญาได้ครอบครองว่ะ กูเลยไม่จำเป็นต้องฟังคำคนขี้แพ้อย่างมึง”

คามินสวนกลับอย่างเจ็บแสบ ทำเอากันต์กวียิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิม และเมื่อคามินทำท่าจะเดินเข้ามาหาปราณันต์ กันต์กวีจึงเข้าไปขวางไว้

“คุณปราณไปกับผม” คามินยื่นมือใหญ่ไปตรงหน้าปราณันต์ แต่กันต์กวีก็ยังคงขวางไว้ไม่ยอมหลบ “หลีกไป!”

เสียงทุ้มตวาดกร้าว แต่ก็ไม่ได้ทำให้กันต์กวีสะเทือนสักนิด

คามินกำมือเข้าหากันแน่น ก่อนจะอาศัยจังหวะที่กันต์กวีเผลอหันไปมองปราณันต์ ผลักไอ้คนที่สาระแนไม่เข้าเรื่องออก กันต์กวีล้มลงบนพื้น ปราณันต์ตกใจจะถลาเข้าไปช่วย แต่คามินฉุดและกระชากข้อมือเล็กได้ก่อน จนทำให้ร่างบางถูกดึงให้เข้ามาปะทะเข้ากับอกเขาแทน

“มานี่ ไม่ต้องไปสนใจมัน”

คามินพูดอย่างหงุดหงิดและเอาแต่ใจ เขาอุตส่าห์รีบลงมาหาปราณันต์ทันทีที่เห็นภาพพวกนั้น ขณะกำลังจะเดินไปขึ้นห้องทำงาน ใจของคนตัวโตร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อนึกว่าปราณันต์จะตกใจและทำตัวไม่ถูกมากแค่ไหนเมื่อได้เห็นภาพพวกนี้ ปราณันต์ที่พยายามปิดบังความสัมพันธ์นี้ไม่ให้ใครรู้คงกำลังรับมือสถานการณ์แบบนี้ไม่ถูก ตัวเขาเองไม่ได้แคร์หรอกว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ เพราะยังไงวันนึงเขาก็ต้องถอนหมั้นจากพรวลัยและมาคบกับปราณันต์อยู่แล้ว จะรู้ตอนนี้หรือตอนไหนเขาก็ไม่สน แต่ร่างสูงก็แอบยอมรับว่าลึกๆ แล้วเขาเองก็ดีใจเหมือนกันที่มันเป็นแบบนี้ จะว่าๆ เป็นการผูกมัดปราณันต์ไว้อีกทางก็ได้ เขายอมรับว่าเขาเองก็รู้สึกดีที่เรื่องนี้เกิดขึ้นมา

แต่ปราณันต์คงรู้สึกตรงกันข้าม พอนึกได้แบบนั้นเขาก็รีบตรงดิ่งมาที่ห้องของทีมโปรเจ็กต์ทันที และก่อนที่จะได้เจอปราณันต์ เขาก็ได้ยินไอ้ปากรั่วสองคนนั้นพูดถึงคนตัวเล็กของเขาในทางไม่ดีเสียก่อน คามินยอมรับว่าเลือดขึ้นหน้ามาก ถ้าฆ่ามันได้ก็คงทำไปแล้ว และตอนนี้แทนที่ปราณันต์จะสนใจเขา กลับไปอาลัยอาวรณ์เป็นห่วงไอ้กันต์กวีที่เสนอหน้าไม่เข้าเรื่องนั่นอีก ซึ่งมันยิ่งทำให้คามินหงุดหงิดและโมโหมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ปล่อยนะ คุณยังทำร้ายผมไม่พออีกหรือไง” ปราณันต์เริ่มดิ้นและงอแงอีกครั้ง คามินได้แต่รัดวงแขนให้แน่นกว่าเดิม เขาจะไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กกว่าไปไหนทั้งนั้น ตอนนี้การพาปราณันต์ไปให้พ้นจากตรงนี้และไม่ให้คนอื่นเห็นเอามานินทาได้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ไปกับผม ผมมารับคุณ” คามินพยายามไม่ต่อความยาวสาวความยืด เขาตั้งใจจะมาพาปราณันต์ไป ดังนั้นเขาก็ต้องทำตามความตั้งใจนั้นให้สำเร็จ

แต่กันต์กวีที่ลุกขึ้นมาจากพื้นได้ก็ไวไม่แพ้กัน หนุ่มเหนือเพื่อนสนิทของปราณันต์ ยื่นมือมารั้งแขนเรียวของปราณันต์ไว้อีกข้าง ไม่ยอมให้คามินพาปราณันต์ไปได้ง่ายๆ

“ไม่ได้ยินหรือไงว่าปราณบอกให้ปล่อยน่ะ” กันต์กวีเองก็ไม่ได้ละความพยายามในการกีดกันไม่ให้คามินพาปราณันต์ไปได้

ซึ่งนทนัชเองที่เห็นความอลหม่านตรงหน้าก็ได้แต่ละล้าละลังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี แทนคุณเองก็ไม่ต่าง เขาอยากเข้าไปช่วยเจ้านายตัวเองแทบแย่ แต่ท่านประธานสั่งว่าไม่ให้ยุ่ง เขาก็เลยไม่กล้ายุ่ง ได้แต่มองและตั้งใจว่าถ้ากันต์กวีทำร้ายท่านประธานหรือคุณปราณันต์ให้บาดเจ็บแม้แต่น้อย เขาจะเข้าปะทะทันที

และในขณะที่ทุกคนกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น ก็ดูเหมือนว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฎตัวขึ้นมากลางปล้อง เสียงหวานราวน้ำผึ้ง พูดถ้อยคำที่ไม่ได้น่าฟังเลยสักนิดออกมา ซึ่งดูเหมือนจะหยุดการกระทำของทุกคนได้อย่างชะงักงัน

“ว่าไงคะ แย่งอะไรกันอยู่หรอ หรือว่ากำลังแย่งคนสำส่อนกันอยู่?”

พรวลัยเดินเข้ามาพร้อมกับใช้คำพูดดูถูกปราณันต์อย่างรุนแรงจนคามินโกรธจัด แต่เธอก็ยังไม่หยุดเธอยังคงโหมกระพือไฟโทสะของคามินให้ลุกลามขึ้นไปอีก

“ดูสินิดา” วลัยทำทีเป็นพูดกับเลขาฯ ส่วนตัวที่เดินเข้ามาพร้อมเธอ “ท่าทางจะลีลาดี ผู้ชายถึงได้รุมแย่งรุมตอมให้หึ่งขนาดนี้ หึ!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ พรวลัย!” คามินตวาดด้วยความโมโห แล้วพอคนตัวโตหันไปมองคนข้างตัว ก็ได้เห็นว่าใบหน้าสวยหวานของปราณันต์เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา และตอนนี้ดวงตากลมโตที่เขาชอบกำลังมีน้ำใสไหลออกไม่หยุด ยิ่งหลังจากได้ยินคำพูดของพรวลัยก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กของเขายิ่งดูเปราะบางและพร้อมจะแตกสลายทุกเมื่อมากขึ้นไปอีก คามินเจ็บปวดในหัวใจไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ที่ทำอะไรเพื่อคนตรงหน้าไม่ได้สักอย่าง

สุดท้ายคามินจึงตัดสินใจใช้มืออีกข้างที่ว่างผลักกันต์กวีออก แล้วดึงปราณันต์มากอดไว้แนบอก ราวกับอยากปกป้องไม่ให้ได้ยินสิ่งที่พรวลัยพูด

และในตอนนั้นเองคามินก็รู้ในทันทีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นเขา ใบหน้าหล่อเหลาเกิดดุดันและเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขายอมรับว่าตอนนี้ความอดทนของเขาที่มีต่อผู้หญิงคนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

“พรวลัย! คุณทำแบบนี้ทำไม?” คามินถามอย่างไม่เข้าใจ เขารู้ว่าพรวลัยโกรธ แต่ทำไมต้องเอาไปลงกับปราณันต์ด้วย ถ้าโมโหมากขนาดนั้น ทำไมไม่มาลงกับเขาคนนี้ ทำไมต้องทำร้ายปราณันต์เพราะคนแบบเขาด้วย

“คุณถามวลัยหรอคะ ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ นี่คุณถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือคุณแค่แกล้งไม่รู้กันแน่คะคราม!” วลัยตอบกลับ เธอเองก็โมโหไม่แพ้คามิน ในเมื่ออยากจะแลกกับเธอนัก เธอก็ยินดีจะจัดให้ เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว

“ผมรู้ว่าคุณไม่พอใจกับสิ่งที่ผมทำ แล้วทำไมคุณไม่ลงกับผมล่ะ คุณไปลงกับคุณปราณทำไม ถ้าอยากทำร้ายใครสักคน ทำไมไม่มาทำกับผม คุณปราณไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลยนะ” คามินกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม เพราะตอนนี้ปราณันต์เริ่มดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากอ้อมกอดเขาอีกแล้ว

“มันน่ะหรอไม่เกี่ยว? คุณแน่ใจหรอว่ามันไม่เกี่ยว?” พรวลัยชี้ไปยังปราณันต์อย่างแค้นใจ “ไม่ใช่มันหรอกหรอที่แย่งคุณไปจากวลัย ไม่ใช่มันหรอกหรอที่หลอกล่อให้คุณหลงหัวปักหัวปำ แล้วก็เลือกที่จะทิ้งวลัยไป!”

พรวลัยเองก็พูดทั้งน้ำตานองหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้เสียใจสักนิดที่ถูกคามินทิ้งไปหาปราณันต์ แต่ที่น้ำตาเธอไหลเป็นเพราะความแค้นใจทั้งนั้น ผู้ชายอย่างคามินไม่ได้ทำให้เธอรักได้มากขนาดที่ต้องร้องไห้เพื่ออ้อนวอนขอให้กลับมาหา แต่เธอยอมรับว่าผู้ชายคนนี้ทำให้เธอหลงใหล ทั้งใบหน้า ทั้งรูปร่าง ทั้งฐานะทางสังคม แต่เธอต้องกลับมาเสียเขาให้ไอ้เด็กที่ไม่มีอะไรเทียบชั้นเธอได้เลยอย่างปราณันต์ นี่ถือเป็นความเสียหน้าที่สุดในชีวิตของพรวลัยเลยล่ะ เพราะฉะนั้นเธอก็จะทำลายมันให้ย่อยยับ ไม่ให้มันเชิดหน้าแย่งคามินไปง่ายๆ แบบนี้แน่

“ผ.. ผมขอโทษ ฮึก ที่ทำให้คุณเสียใจ..ฮึก ผมผิดเองครับ ผมขอโทษคุณจริงๆ”

เสียงหวานพูดขอโทษพรวลัยซ้ำๆ ศีรษะเล็กๆ ผงกขึ้น ผงกลงราวกับจะย้ำความรู้สึกผิดของตัวเองว่าเขาเสียใจมากจริงๆ

ในขณะที่วลัยคิดแต่จะเอาชนะ แต่ปราณันต์กลับไม่คิดแบบนั้น เมื่อเขาเห็นพรวลัยร้องไห้ ความรู้ผิดก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ และแผ่ขยายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ในหัวใจเขา ปราณันต์รู้สึกเหมือนหลุมดำนั้นกำลังดูดกลืนความสุขและสร้างความผิดบาปให้เกิดขึ้นในใจเขาจนแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว เขาทำร้ายผู้หญิงคนนึงได้มากขนาดนี้ได้ยังไง ทำไมเขาถึงเลวร้ายแย่งคู่หมั้นของเธอมาได้หน้าตาเฉยขนาดนี้ ยิ่งคิดปราณันต์ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะยืนไม่ไหวขึ้นมาทุกที โชคยังดีที่มีอ้อมแขนแข็งแรงของคามินโอบรอบตัวของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ คอยพยุงไม่ให้ปราณันต์ทรุดลงไป

“คุณปราณครับ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ไม่คิดมากโอเคไหม ผมผิดเอง ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเองนะครับคนดี ผมเป็นคนเข้าหาคุณก่อน ผมเป็นคนสร้างความเดือดร้อนทั้งหมด คุณไม่ผิดเลย อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”

คามินยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาให้ปราณันต์ไม่หยุด และถึงแม้ปราณันต์จะพยายามปัดป้อง แสดงออกว่าไม่ต้องการแต่คามินก็ไม่ได้หยุด ยังคงทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ

“วลัย ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ของผมคนเดียว ผมเป็นคนเริ่มเรื่องบ้าๆ นี่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเอาผิดใคร ขอให้คนนั้นเป็นผมเถอะ อย่าทำอะไรคุณปราณเลย” คามินกำลังร้องขอพรวลัย เขาทนเห็นปราณันต์โทษตัวเองแบบนี้ไม่ได้

และนั่นยิ่งทำให้พรวลัยแค้นจนแทบกระอัก เธอไม่เคยเห็นคามินอ่อนโยนกับใครมากขนาดนี้ แม้แต่กับพ่อแม่ของคามินเอง คามินยังไม่เป็นแบบนี้เลย แล้วไอ้เด็กนั่นมันเป็นใคร มันถึงทำให้คามินเป็นไปได้มากขนาดนี้


“ไม่ต้องมาขอโทษฉัน ฉันไม่รับ! ระวังตัวไว้ให้ดี แล้วคอยดูฉันคนนี้เอาไว้นะปราณันต์!” พรวลัยชี้หน้าปราณันต์อีกครั้ง ส่วนคนที่ถูกเกลียดชังทำได้แค่สะอื้นฮักอยู่ในอ้อมกอดของคามิน “ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายแกและความรักของแก อย่าหวังว่าจะมีความสุข ถ้าฉันคนนี้ยังมีชีวิตอยู่!”


ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราด น้ำเสียงหวานใสที่ว่าไพเราะ กลับไม่น่าฟังเมื่อมันกำลังผสมผสานไปด้วยความแค้นที่ฝังแน่น

“คุณโกรธแค้นอะไรก็มาลงที่ผมนี่ อย่าทำแบบนี้เลย ผมยินดีจะชดใช้ให้คุณทุกอย่าง ขอแค่คุณไม่ทำร้ายปราณันต์ก็พอ” คามินยังคงร้องขอแต่พรวลัยไม่ฟัง เธอยังคงสาดความเกลียดชังใส่ปราณันต์ไม่หยุด

“ไม่ค่ะ คนที่วลัยเกลียดคือมัน ไม่ใช่คุณ! เพราะฉะนั้นมันต้องชดใช้ วลัยจะไม่ยอมให้มันมีความสุขกับคุณเด็ดขาด! ยังไงคุณก็คือคู่หมั้นวลัย ยังไงวลัยก็ต้องได้คุณกลับมา”

เมื่อเห็นพรวลัยทำร้ายปราณันต์ด้วยคำพูดไม่หยุด คามินก็เริ่มทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เขาทั้งขอร้อง ขอโทษ แต่พรวลัยก็ยังไม่ยอมฟัง เขาไม่เข้าใจว่าทำไม คามินเองก็รู้ว่าพรวลัยไม่ได้รักเขามากขนาดนั้น แล้วทำไมต้องโกรธแค้นอะไรกันขนาดนี้ คามินยอมทุกอย่างถ้าอะไรที่จะทำให้พรวลัยพอใจและเลิกระรานปราณันต์เขาก็จะทำให้ แต่ในเมื่อพรวลัยยังเกรี้ยวกราดไม่เลิกแบบนี้ เห็นทีจะต้องทำอะไรให้เด็ดขาดเสียที เพราะเขาจะได้แสดงตัวว่าต้องการปกป้องปราณันต์ได้เต็มที่เช่นกัน


“ในเมื่อผมขอร้องอะไรคุณก็ไม่ฟัง งั้นผมคงก็ต้องปกป้องคุณปราณของผมให้ถึงที่สุดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมขอถอนหมั้นครับพรวลัย ค่าของหมั้น รวมถึงแหวนและทุกสิ่งทุกอย่างผมยกให้คุณ ถือว่าเป็นการชดใช้ที่ทำให้คุณเสียชื่อเสียง”


“คามิน!!! คุณ!!!” riวลัยโกรธจนตัวสั่น จนเลขาฯ คนสนิทของเธอต้องวิ่งเข้ามาประคองเธอไว้

“คุณ...” ส่วนปราณันต์ก็ช็อคจนพูดไม่ออก ทำไมคามินทำแบบนี้ ทำไม..

ในหัวของปราณันต์มีแต่เรื่องไม่เข้าใจเต็มไปหมด คามินไม่เคยบอกสักคำว่ารักเขา และถ้าไม่ได้รักเขา ทำไมคามินต้องยอมทำขนาดนี้ การขอถอนหมั้นพรวลัยต่อหน้าแบบนี้ ไม่มีผลดีอะไรสักอย่างกับคามินทั้งนั้น รวมถึงตัวปราณันต์เองด้วย เพราะมันยิ่งมีแต่จะทำให้พรวลัยโกรธและไม่พอใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และก่อนที่คามินหรือปราณันต์จะได้ทันพูดอะไรต่อ พรวลัยก็แผดเสียงออกมาลั่นทางเดิน ใบหน้าสวยดั่งนางพญาที่ใครๆ ชอบ ตอนนี้กำลังบิดเบี้ยวเพราะความแค้นใจ หนำซ้ำมันยังดูน่ากลัวมาก น่ากลัวจนคิดว่าผู้หญิงตรงหน้าคนนี้สามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าใครทำให้เธอโกรธมากขนาดนี้


“เหอะ! แกคิดว่าคนอย่างแกสามารถเอาชนะฉันได้แบบนั้นใช่ไหมปราณันต์ หึ! แกเอาอะไรมามั่นใจว่าที่ครามยอมเลิกกับฉันเพราะรักแก!! เขาเคยบอกรักแกสักคำไหม? ... จำเอาไว้!! ของเล่นก็เป็นของเล่นวันยังค่ำ พอวันนึงเขาเบื่อ เขาก็จะเขี่ยแกออกจากชีวิตเหมือนฉันนี่แหละ”



ปราณันต์สะอึก รู้สึกเหมือนโดนพรวลัยจี้ใจดำอย่างแรง

“หยุดเดี๋ยวนี้นะพรวลัย!” คามินตวาดลั่น พร้อมชี้นิ้วไปตามทางที่วลัยเดินเข้ามาก่อนหน้า ก่อนจะหันไปหาเลขาฯ ของอดีตคู่หมั้นที่เขาเพิ่งถอนหมั้นไปเมื่อสักครู่

“พาเจ้านายเธอออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!! ออกไป!!!”

พอกันทีไม่ต้องเกรงใจอะไรกันอีก เพราะคามินก็สุดจะทนแล้วเหมือนกัน

พนิดารีบพาเจ้านายเธอออกมาจากตรงนั้นเมื่อเห็นท่าทางโกรธจัดของท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ แต่พรวลัยก็ยังคงโวยวายไม่หยุด เธอยังคงอาฆาตแค้นใส่ปราณันต์ไม่เลิก

“ระวังตัวไว้เถอะปราณันต์!! ทั้งแก ทั้งครอบครัวแกนั่นแหละ! ระวังไว้ให้ดี!!”

ปราณันต์ยอมรับว่าทั้งกลัวและกังวลใจ พรวลัยไม่ใช่ผู้หญิงที่ธรรมดาเลย ถ้าเธอลองได้อาฆาตใครแล้ว เธอจะไม่มีวันยอมปล่อยให้คนๆ นั้นหลุดรอด ปราณันต์ได้แต่มองพรวลัยที่ถูกพาตัวออกไปจนลับตา ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน เปลือกตาบางที่หนักอึ้งจึงค่อยๆ ปิดลงช้าๆ พร้อมกับสติที่ค่อยๆ ดับวูบ

“คุณปราณ!”

ปราณันต์ล้มลงกับพื้น พร้อมกับถ้อยคำสุดท้ายที่พรวลัยฝากไว้ ที่ยังคงดังก้องอยู่ในความรู้สึกตัวเองไม่หยุด

รวมถึงใบหน้าหล่อเหลาคมคายคุ้นเคยที่มองมาที่เขาอย่างตกใจ ซึ่งนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ปราณันต์ได้เห็นก่อนจะหมดสติไป

.

.

.

คามินรีบอุ้มปราณันต์กลับมาที่รถ โดยให้แทนคุณมารับที่ด้านหลังเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็น และเอาปราณันต์ไปพูดถึงให้สนุกปากอีก แค่นี้เขาก็เจ็บแทบจะตายอยู่แล้วตอนเห็นปราณันต์ร้องไห้จนน้ำตาเปรอะแก้มไปหมดขนาดนั้น

ตอนแรกนทนัชกับกันต์กวีก็ทำท่าจะไม่ยอมให้เขาพาตัวปราณันต์มา โดยเฉพาะกันต์กวีหมอนั่นขวางทางเขาไม่ยอมหยุด จนสุดท้ายเขาต้องแสดงความไม่พอใจออกมาแบบสุดขีด ด้วยการตวาดถามสองคนนั่นว่าอยากให้คนอื่นมาเห็นปราณันต์ สภาพนี้หรือไง สองคนนั่นถึงยอมปล่อยเขาและปราณันต์ออกมา

คามินพาปราณันต์กลับมาที่คอนโด เขานั่งมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้ดูน่าสงสารและเปราะบางยิ่งกว่าเดิมมาก เขาลูบและเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่เปรอะแก้มทั้งสองข้างให้ปราณันต์อย่างเบามือ เขารู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์ต้องคิดมากเรื่องที่วลัยพูดแน่ๆ


... คำว่ารักที่เขาไม่เคยมีให้ปราณันต์เลยสักครั้งตั้งแต่กลับมาคบกัน ...


คามินก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากมนของคนที่กำลังหมดสติ พลางพร่ำคำขอโทษที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน


“ผมขอโทษนะครับคุณปราณ ผมขอโทษ ... รอผมอีกนิดนะ รอให้ผมมั่นใจมากกว่านี้อีกนิด ผมอยากบอกคุณอย่างบริสุทธิ์ใจว่ารักคุณมากแค่ไหน อดทนรอผมอีกนิดนะปราณ”


คามินได้แต่บอกตอนที่ปราณันต์กำลังหลับใหล เขาตั้งใจแล้วว่าถ้าเคลียร์เรื่องพรวลัยเรียบร้อย เขาจะต้องคุยให้ปราณันต์เข้าใจเรื่องทั้งหมดก่อนที่จะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้

คามินได้แต่ถอนใจที่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด เขามัวแต่มีความสุขที่ได้อยู่กับปราณันต์และเจ้าฝาแฝดตัวน้อย จนลืมนึกไปว่าประมาทผู้หญิงอย่างพรวลัยไม่ได้

จนมาถึงตอนนี้ สิ่งสำคัญที่เขาควรนึกถึงมากที่สุดคือความรู้สึกของคนที่กำลังหมดสติอยู่ข้างตัวเขา และคนที่ผิดมากที่สุดในเรื่องนี้คือตัวเขาเอง ไม่ใช่พรวลัยหรือใครเลย

คามินได้แต่นั่งมองปราณันต์อย่างเจ็บปวดหัวใจ ถ้าตอนนี้เขารู้สึกทุกอย่างแทนปราณันต์ได้เขาก็อยากจะทำ เพราะไม่อยากให้ปราณันต์ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย

.

.

.

“นะ.. นี่มัน ประวัติไอ้ปราณันต์หรอ” พรวลัยหน้าซีด ละล่ำลักถามออกมาไม่เป็นคำเมื่ออ่านข้อมูลทั้งหมดจบ

หลังจากไปอาละวาดที่บริษัทของคามินแล้ว พรวลัยก็กลับมาขอข้อมูลทั้งหมดของปราณันต์ดูทันที เธอคิดอย่างแค้นใจว่าเธอจะต้องเอาคืนและทำลายปราณันต์ให้สาสมกับที่แย่งผู้ชายที่เหมาะสมที่สุดของเธอไป

ไอ้เด็กนั่น! มันกล้าทำให้คามินขอถอนหมั้นจากเธอ เพราะฉะนั้นเธอจะทำให้มันเจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึงเลย คอยดู

แต่เมื่ออ่านข้อมูลทั้งหมดของปราณันต์จบ คนที่ร้อนรนกลับเป็นตัวเธอเอง!

“เป็นไปไม่ได้ มันไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้สิ” พรวลัยเดินพล่านเป็นหนูติดจั่น เธอถึงกับกระวนกระวายและทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นข้อมูลสำคัญบางอย่างของเด็กหน้าหวานนั่น

พรวลัยคิดอย่างวุ่นวายใจ ตอนนี้การทำลายปราณันต์กลับไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด แต่สิ่งที่เธอต้องการคือให้ปราณันต์หายไปจากที่นี่ต่างหาก ให้เด็กนั่นหายไป ก่อนที่ความลับที่เธอเก็บงำมาหลายสิบปีจะถูกเปิดโปงขึ้น เธอไม่อยากให้ใครมารับรู้เรื่องที่เป็นเหมือนตราบาปที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอตอนนั้นทั้งนั้น โดยเฉพาะคามิน เธอจะให้เขารู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด

หญิงสาวได้แต่คิดหาวิธีที่จะไล่ปราณันต์ออกไปจากชีวิตของเธอและคามิน ทางที่ดีและปลอดภัยที่สุดคือการให้ปราณันต์เดินออกไปเอง แล้วเธอต้องใช้วิธีไหนล่ะที่จะไล่เด็กคนนั่นออกไปจากวงจรชีวิตของเธอและคามินได้

ใบหน้าสวยร้ายหันซ้ายหันขวา จนหันไปเห็นรูปเด็กฝาแฝดสองคนที่กำลังยิ้มกว้างกอดพี่ชายคนโตอย่างปราณันต์อยู่ แล้วตัวคนพี่เองก็มองดูน้องด้วยสายตารักใคร่มากกว่าอะไรทั้งหมดอย่างที่ในชีวิตของปราณันต์จะมีได้ ฉับพลัน ริมฝีปากที่แตะแต้มไว้ด้วยลิปสติกสีแดงสดก็แสยะยิ้ม


‘ฉันลืมเด็กสองคนนี่ไปได้ยังไงกันนะปราณันต์’

.

.

.

ปราณันต์งัวเงียตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของคามินหลังจากที่หมดสติไปพักใหญ่ เขาตื่นมาพร้อมภาพก่อนหมดสติที่แล่นขึ้นมาเป็นฉากๆ มือบางกดลงบนระหว่างคิ้วของตัวเองเบาๆ เขารู้สึกปวดหัวมากจนอยากจะซัดยาแก้ปวดให้หมดแผง ตากลมพยายามมองหาคามิน แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว เพราะเขาได้กลิ่นอาหาร ปราณันต์คิดว่าการไม่เจอคามินตอนนี้ก็น่าจะดีเหมือนกัน เพราะตัวเขาเองก็มีเรื่องต้องคิดมากมายเต็มไปหมด โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่พรวลัยพูดก่อนที่เขาจะหมดสติไป

และในระหว่างที่ปราณันต์คิดอะไรมากมายอยู่นั้น เสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เพื่อเป็นการบอกว่ามีข้อความใหม่เพิ่งเข้ามาและรอให้ปราณันต์เปิดอ่านอยู่

ปราณันต์เปิดดูก่อนจะพบว่าข้อความนั้นส่งมาจากเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก นิ้วเรียวสวยค่อยๆ กดเปิดข้อความขึ้น ซึ่งสิ่งที่ปราณันต์เห็นเป็นภาพของของปุณณกันต์และปัณณธรที่กำลังยิ้มกว้าง คนเป็นพี่ได้แต่ขมวดคิ้วแปลกใจ ว่าใครกันที่ส่งรูปเจ้าตัวน้อยมาให้ตน ปราณันต์จึงเลื่อนหน้าจอลงไปช้าๆ ก่อนจะพบข้อความสั้นๆ ที่ทำเอาโทรศัพท์แทบจะร่วงหล่นจากมือ


‘เจ้าเด็กฝาแฝดนี่น่ารักดีนะว่าไหม ถ้าอยากเห็นมันทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่ไม่ต้องจากไปก่อนวัยอันควรล่ะก็ ไปจากครามซะ! แกก็รู้นี่ ว่าครามไม่ได้รักแกมากพอที่จะปกป้องแกไปตลอดขนาดนั้น คิดดูเอาเองก็แล้วกันปราณันต์ แกก็รู้ว่าฉันเอาจริง!’


ปราณันต์กดปิดข้อความ ก่อนที่จะนั่งมือสั่นน้ำตาร่วง เขาทั้งกลัว ทั้งตกใจ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีทางเลือกอะไรมากนัก คนตัวเล็กนั่งกอดเข่า คิดทบทวนไปมาอย่างสับสน ก่อนจะซบหน้าลงกับหัวเข่าร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะทนกับทุกอย่างที่ตนกำลังเผชิญ

.

.

.

To Be Continue

-------------------------------------------------------------------------

จะโทษพรวลัยก็ไม่ถูกกกกกก อิคนที่สมควรโดนที่สุดก็นังครามนั่นล่ะ! เดะชั้นจะแก้แค้นให้พรวลัยเอง! 555555555555555

ด่าได้ค่ะ ด่าอิพระเอกอะค่ะ ด่าได้เลยเราไม่ห้าม มันสมควรถูกด่ากว่าใครแล้ว 55555555555555

ฝากคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันด้วยน้าาา ชอบไม่ชอบบอกได้ เราจะพยายามมาลงตอนหน้าให้ไม่จันทร์ก็อังคารงับบบ ... ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยที่อยู่ด้วยกันถึงตอนนี้ ... โค้งสุดท้ายแล้วเนี่ยยย

รักนะครับบบ <3

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอาแล้วไงๆ หึหึ ปราณเรียก10ล้านจากวลัยแล้วหนีไปซะ ส่วนวลัยถ้าได้แต่งงานก็ดี แต่ถ้าสุดท้ายไม่ได้แต่งยังไงก็เลิก เธอก็เรียกร้อง20ล้านจากคามินซะ ทุกคนได้ ยกเว้นคามินเสียทั้งเงินแล้วไม่ได้ใครสักคน สะใจดี 5555555 แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยว่ากัน คึ แต่ว่านะวลัยเป็นต่อตอนนี้ ปราณจะทำยังไงละเห้ยย รอๆๆๆๆๆ  :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ .. สู้ๆ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
28th Lies : ลาก่อน


Pranan’ s Part


ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไงดี ผมต้องทำยังไง...

ผมพยายามตั้งสติ แต่ก็พบว่ามันทำได้ยากเหลือเกินในเวลาแบบนี้ ผมทั้งกลัว ทั้งวิตก ทั้งสับสน แน่นอนว่าผมแทบจะไม่จำเป็นต้องหยุดคิดเลยสักวินาทีเดียวว่าต้องตัดสินใจยังไง หลังจากที่ผมเห็นข้อความนั้น ข้อความที่แทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนส่งคือใคร ผมก็ตัดสินใจได้ทันที


... ผมจะไปจากคามิน หนีไปให้ไกลแค่ไหนก็ได้ เท่าที่ฝาแฝดของผมจะปลอดภัยจากผู้หญิงใจร้ายคนนั้น ...


อย่างที่ผมเคยบอก สำหรับผมแล้ว ปุณณกันต์และปัณณธรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม ผมยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกแกเติบโตและมีชีวิตที่ดี แล้วถ้าตอนนี้พวกแกกำลังตกอยู่ในอันตราย ผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคามิน หรือแม้กระทั่งความรักที่ผมมีให้เขาผมก็ทิ้งได้ ผมยอมเจ็บเพราะไม่สมหวังในความรัก ดีกว่าเจ็บเพราะแก้วตาดวงใจของผมเป็นอะไรไป

ผมรู้ว่าคนอย่างคุณพรวลัยทำได้ทุกอย่างตามที่เธอขู่ผม แล้วอีกอย่างผมยอมรับว่าผมไม่มั่นใจอะไรในตัวคามินเลย ผมไม่รู้ว่าเขารักผมบ้างไหม ผมไม่รู้ว่าเขาจะปกป้องดูแลผมและน้องๆ ได้รึป่าว ผมไม่รู้ เพราะเขาไม่เคยบอกให้ผมมั่นใจได้เลยว่าเขาจะดูแลผมและน้องๆ ไปนานแค่ไหน เหมือนอย่างที่คุณพรวลัยพูด ซึ่งผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน

พอคิดได้ว่าจะไปจากคามิน ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง นั่นคือเรื่องที่ว่าผมจะหนีไปได้ยังไง ผมจะหนีไปที่ไหน เงินเก็บที่ผมมีก็ไม่ได้มากมายถึงขั้นจะใช้ดูแลเราสามคนพี่น้องได้เป็นระยะเวลานานๆ

ดังนั้น ผมอาจต้องใช้เวลาในการวางแผนและตั้งหลักก่อน อีกไม่กี่วันปุณณกันต์กับปัณณธรก็จะปิดเทอมใหญ่แล้ว อย่างน้อยผมก็อยากให้พวกเด็กๆ เรียนจบในเทอมนี้เสียก่อน ถ้าต้องไปเริ่มต้นที่โรงเรียนใหม่พวกแกจะได้ไม่ลำบากในการปรับตัว

และอีกอย่าง อีกเหตุผลที่ผมไม่อยากจะยอมรับ เหตุผลที่แม้แต่คนโง่ก็ยังคงต้องส่ายหัวให้ถ้าได้รับรู้...


... ผมอยากบอกลาคามิน


ขอให้ผมได้เห็นแก่ตัวเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ได้ผมได้มีช่วงเวลาแห่งความทรงจำกับเขาอีกสักครั้ง ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้เจอกันอีก หรือบางทีเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต ... ผมทำใจกับความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้วล่ะ คิดไว้แล้ว ว่ายังไงก็ต้องจบลงแบบนี้ในสักวัน

ผมรักคามินนะ ผมยอมรับ จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ผมต้องเจอกับอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่ทำให้ผมเจ็บช้ำและเสียใจมากมาย แต่ผมก็ยังหยุดรักผู้ชายคนนั้นไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยถูกใครดูแลมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่พ่อกับแม่เสียชีวิตไป ซึ่งอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง คามินก็ทำให้ผมได้รู้สึกแบบนั้น ... ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำให้ผม ไม่ได้เป็นเพราะว่าเขารักผม แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกขอบคุณในความห่วงใยและใส่ใจต่างๆ ที่เขาทำให้กับผม ขอบคุณมากจริงๆ

เพราะฉะนั้น ขอเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ผมได้ยิ้มและหัวเราะกับผู้ชายคนที่ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่ารักเป็นครั้งสุดท้าย อย่างน้อยให้มันได้เป็นความทรงจำดีๆ ไว้หล่อเลี้ยงหัวใจของผม ให้ผมได้มีภาพที่สวยงามระหว่างเราสองคนเพื่อไว้เป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตบ้างก็ยังดี


‘ผมยินดีจะไปจากคุณคามินครับ ขอร้องแค่อย่าทำอะไรน้องๆ ของผม ขอเวลาผมสักสี่ห้าวันให้ผมได้เตรียมตัว ผมสัญญาว่าผมจะไปครับ ผมสัญญา’


ผมกดส่งข้อความตอบกลับไปยังเบอร์นั้นด้วยมืออันสั่นเทา ถามว่าผมกลัวไหม ผมตอบเลยว่าผมกลัวมาก กลัวจนไม่รู้ว่าผมจะกลัวอะไรมากขนาดนี้ได้อีกไหมในชีวิต แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ผมก็ต้องทำให้เด็ดขาด ไม่ควรจะมาลังเลอะไรอีก ยิ่งถ้าเมื่อผลลัพธ์มันคือความปลอดภัยของเด็กฝาแฝดทั้งสองของผม ผมก็จะไม่รีรอหรือไตร่ตรองอะไรอีกทั้งนั้น

และก่อนที่ผมจะได้ทันคิดอะไรต่อ คามินที่น่าจะเพิ่งทำอาหารเสร็จก็เดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมถ้วยข้าวต้มร้อนๆ ในมือ และเมื่อสายตาคมมองเห็นว่าผมได้สติแล้ว เขาก็รีบวางถ้วยข้าวต้มลงที่โต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียง แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างผมทันที ราวกับว่าถ้าช้ากว่านี้อีกนิด ผมอาจจะเป็นลมลงไปอีกรอบยังไงยังงั้น

“คุณปราณฟื้นแล้วหรอครับ เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวไหม อยาก...”

และก่อนที่คามินจะถามอะไรต่อ หรือทันได้พูดจบประโยค ผมก็โถมตัวเข้าหาอ้อมกอดแข็งแรงของคนที่นั่งอยู่ข้ามเสียก่อน ทำเอาคามินตกใจไปพักใหญ่เหมือนกัน ก็แหงล่ะ ตั้งแต่กลับมาคบกันคราวนี้ ผมไม่เคยเข้าหาคามินก่อนเลยสักครั้ง มีแต่อีกฝั่งที่เข้ามาวอแว เข้ามาขอกอด ขอหอมก่อน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่ผมทำแบบนี้

“ผมแค่อยากกอดคุณ... อยู่แบบนี้สักพักได้ไหม”

ผมซุกใบหน้าลงที่อกอุ่นๆ ของคามิน กลิ่นกายหอมเย็นๆ ของเจ้าของอ้อมกอดนี้ทำให้ผมรู้สึกสงบขึ้นอย่างประหลาด น้ำตาผมพาลจะไหลให้ได้ เมื่อคิดว่าผมเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กับผู้ชายคนนี้... ผู้ชายที่เป็นรักแรกของผม

ผมรู้ว่าคามินเองก็คงแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีที่ผมมีให้ แต่เอาเถอะ ตอนนี้ผมไม่อยากคิดอะไรซับซ้อนทั้งนั้น ผมแค่ขอแค่ช่วงเวลานี้ ขอได้มีความสุขกับคนที่ผมรัก ก่อนที่เราจะต้องจากกันไปตลอดกาล

อ้อมแขนแรงที่ลังเลในช่วงแรกก็ยกขึ้นกอดตอบผมในเวลาต่อมา แล้วมันก็ค่อยๆ รัดผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าของของมันพบว่าสิ่งที่ตนเองเจออยู่นั้นไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง

“คุณปราณ...”

คามินเรียกชื่อผมแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะริมฝีปากหยักกำลังทำหน้าที่พรมจูบไปทั่วใบหน้าของผม ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นหน้าที่ที่สำคัญกว่าการขยับพูดหรือเปล่งเสียงออกมา

คนตัวโตกว่ากอดผมไว้นิ่ง ไม่ยอมคลายอ้อมกอดลงเลยแม้แต่น้อย ใบหูของผมแนบอยู่บนอกข้างซ้ายของคามิน ผมได้ยินเสียงหัวใจของคนตรงหน้ากำลังเต้นแรงอยู่ภายใต้อกแกร่ง ผมอมยิ้มบางๆ ให้กับเสียงนั้นที่ได้ยิน


... อย่างน้อยผมก็ทำให้เขาใจเต้นแรงได้ เหมือนกับที่เขามักจะทำให้หัวใจของผมกระหน่ำรัวอย่างบ้าคลั่งเสมอ เพียงแค่ได้เห็นเขาอยู่ในกรอบสายตา ...


“ทำไมถึง...” คามินเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากหรอก ว่าเขาจะถามอะไรผม ผมไม่อยากตอบอะไรที่เป็นการโกหก เพราะฉะนั้น ตัดไฟเสียตั้งแต่ตอนนี้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

"ผมรู้ว่าคุณสงสัยว่าทำไมผมทำแบบนี้" ผมพูดอู้อี้อยู่กับอกแกร่ง "ผมแค่อยากให้คุณกอดผม กอดแน่นๆ ตอนนี้ผมแค่อยากอยู่กับคุณ โดยที่ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น"

ผมกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นกว่าเดิม คามินเองก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่จูบเบาๆ ลงมาที่หน้าผากของผม ก่อนจะกอดผมกลับให้แน่นกว่าเดิม

“ขอบคุณนะครับคุณปราณ ผมรู้ว่านี่อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่ผมจะมาพูดแบบนี้" คามินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส "แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลย คุณรู้ไหมครับ”

ผมเองก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแค่ยื่นหน้าขึ้นไปจูบเบาๆ ที่สันกรามได้รูปของคนด้านบน...

และการกระทำแบบนั้นของผมก็เหมือนจะทำให้ความอดทนของคามินหมดลง

คนตัวโตรั้งใบหน้าของผมไว้ด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้าง ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะยื่นเข้ามาใกล้ๆ พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากหยักประทับลงมาบนริมฝีปากอิ่มของผม คามินค่อยๆ บดคลึง ดูดดึง และขบเม้มอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวาน นี่เกือบจะเป็นจูบที่ดีที่สุดของคามินที่ผมได้รับ ไม่รู้ว่าเพราะผมรู้ว่ามันคือจูบที่อาจจะเหลืออีกไม่กี่ครั้งของเรารึป่าว ความรู้สึกทุกอย่างของผมถึงเต็มตื้นไปหมด จนผมแทบจะห้ามน้ำตาตัวเองเอาไว้ไม่ได้

คามินใช้เขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากของตัวเองขบลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างของผม หลังจากที่เขาละเลียดมันอย่างอ้อยอิ่งอยู่พักใหญ่ ผมรู้ดีว่าเขาต้องการอะไร จึงค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ ให้เรียวลิ้นร้อนได้แทรกเข้ามา เพื่อสำรวจริมฝีปากของผมได้ตามใจชอบ ลมหายใจร้อนของคนตรงข้ามกำลังเป่ารดที่แก้มผม สร้างความรู้สึกของการเป็นผู้สัมผัสและผู้ถูกสัมผัสได้อย่างชัดเจน แม้ในขณะที่ตากลมของผมยังคงหลับพริ้มอยู่

คามินใช้ลิ้นกวาดต้อนโอบอุ้มเอาความหอมหวานที่ผมมอบให้ไปจนหมดสิ้น เรียวลิ้นเล็กของผมถูกไล่ต้อนไม่ต่างกับคนจนตรอก สุดท้ายมันก็ถูกเกี่ยวกระหวัดด้วยลิ้นของอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งผมก็ทำได้แค่โอนอ่อนต่อรสจูบของคนด้านบนอย่างไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้

“อืมมม” และถึงแม้จะถูกรังแกและลิดรอนลมหายใจจากคนตรงข้ามมากแค่ไหน ผมก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าผมกำลังรู้สึกดีมาก ดีจนต้องเผลอส่งเสียงครางออกจากลำคอด้วยความพอใจ

ซึ่งเหมือนเสียงนั้นจะกระตุ้นคามินได้ไม่น้อย เพราะดูเหมือนเขาจะพยายามปรับองศาของใบหน้าของผม ให้รับจูบจากตนได้ถนัดและลึกซึ้งมากกว่าเดิม

มือใหญ่ลูบปัดป่ายไปทั่วร่างกายของผม ผมสะดุ้งเฮือกไปกับทุกๆ จุดที่ถูกสัมผัส มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่าง จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักผมก็เริ่มหายใจไม่ทัน มือเล็กๆ ของผมทุบลงเบาๆ บนไหล่กว้าง เพื่อขอให้คามินปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระ

คามินยอมถอนริมฝีปากออก แต่กลับไม่ยอมหยุด เขาลากมันไปยังซอกคอของผมแทน ปากหยักพรมจูบซ้ำๆ และเมื่อเห็นผมโอนอ่อน คนเจ้าเล่ห์ก็ได้ใจรังแกผมไม่เลิก

ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ผิวข้างคอ ผมรู้ในทันทีว่าคามินทำอะไร ผมพยายามผลักคนตัวโตออก แต่แรงลูกแมวอย่างผมจะไปทำอะไรยักษ์ปักหลักอย่างคามินได้ มีแต่จะกระตุ้นให้คนตรงข้ามมีอารมณ์มากขึ้นไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“อื้อออ” ผมร้องประท้วง แต่คามินกลับแค่ผละออกแล้วหัวเราะเบาๆ แค่นั้น

คนตัวโตจ้องมองผมอย่างหลงใหล สายตาคู่นั้นแสดงความปรารถนาต่อตัวผมจนปิดไม่มิด ผมเองที่ทำตัวไม่ถูกก็ได้แต่เกาคอแก้เขินทั้งที่แก้มร้อนจนแทบแตก คามินยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้ามารั้งผมขึ้นไปนั่งบนตักด้วยท่าทางล่อแหลมสุดๆ

“อุ๊ย คุณ!” ผมยึดไหล่คนขี้แกล้งไว้แน่นเพราะตกใจที่จู่ๆ ถูกอุ้มลอยมานั่งแบบนี้

“ฮ่ะๆ” คามินหัวเราะชอบใจ ก่อนจะกดจมูกโด่งเป็นสันของตัวเองลงมาแรงๆ บนแก้มของผม


ฟอด~


“ให้ตายเถอะคุณปราณ ผม... เฮ้อ” คามินทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด กลับพรูลมหายใจออกมาหนักๆ แทน ก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่ผมเหมือนคนที่ยังหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้

ผมรู้ว่าคามินต้องการอะไร ผมไม่ใช่เด็ก และผมก็ไม่ได้เพิ่งนอนกับคามินครั้งแรก แต่ถึงแม้ผมจะไร้เดียงสาจนไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่สัมผัสบางที่กำลังดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของผม ก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากเท่าไหร่นักหรอก

ผมกลั้นใจข่มความอาย พูดในสิ่งที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะกล้าพูดออกมา


“ถ้าคุณอยากมีอะไรกับผม คุณไม่จำเป็นต้องห้ามตัวเองนะครับคุณคราม”


ผมก้มหน้าซ่อนความอายทันทีหลังพูดจบ คามินดูจะช็อคยิ่งกว่าตอนที่ผมเริ่มกอดก่อนเสียอีก เขารั้งใบหน้าผมขึ้น ตาคมจ้องเข้ามาในดวงตากลมโตของผมอย่างต้องการหาความจริง ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงได้ทำตัวแปลกไปแบบนี้

ส่วนผมเองก็เก่งมากพอที่จะทำหน้าไร้เดียงสาตาใส ไม่ให้คามินจับได้และรับรู้ถึงความกังวลใจที่ผมมี ถ้าผมจะเล่นละครฉากใหญ่ ผมต้องเล่นให้สำเร็จ อย่าทำให้แผนเสียกลางคันเด็ดขาด ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนั้น

“คุณปราณ คุณมีอะไรไม่สบายใจรึป่าว บอกผมได้นะ” คามินถามก่อนจะจูบลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากผม ผมฉีกยิ้มสดใส ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงปกติที่ไม่ปกติสักนิดในความรู้สึกผม

“ผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ถ้าคุณไม่อยากนอนกับผม ผมก็ไม่ได้จะฝืนใจอะไรคุณ เพียงแต่ผมแค่.. อยากให้คุณปลอบใจผมก็เท่านั้นเอง”

คามินตาโตทันทีหลังจากได้ยินผมพูดแบบนั้น จนผ่านไปสักพักสีหน้าของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นดีใจแทบจะปิดไม่มิด

“มะ.. ไม่เลยนะคุณปราณ ผมต้องการคุณทุกลมหายใจนั่นแหละ” แม้ผมจะไม่รู้ว่ามันจริงน้อยมากแค่ไหน แต่พอได้ยินแล้วผมก็อดดีใจไม่ได้ทุกที

“ผมแค่คิดว่า มันจะไม่ใช่เวลาที่สมควรรึป่าวก็แค่นั้น” คามินรีบพูดเคลียร์ให้ผมเข้าใจทันที ซึ่งผมเองก็พอจะเดาได้ ว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อกี้มา ถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันก็คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ที่เราจะมาคิดถึงเรื่องแบบนี้กันตอนนี้

แต่ตอนนี้ผมรับสารภาพตามตรง ผมไม่มีแก่ใจจะนึกถึงความเหมาะสมอะไรทั้งนั้น ผมมีเวลาอยู่กับเขาอีกไม่มากแล้ว ผมแค่อยากจะเห็นแก่ตัว ขอแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยตัดสินใจบอกความต้องการของตัวเองออกไป และผมก็เชื่อว่ายังไงคามินก็ไม่มีทางปฎิเสธ

“ตอนนี้ผมแค่ต้องการคนปลอบใจ คุณคิดว่าเวลานี้เหมาะสมพอรึยังครับ?”

ผมหยัดใบหน้าขึ้นไปจูบลงเบาๆ ที่แก้มสาก ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางการนั่งของตัวเอง เป็นเอาขาทั้งสองข้าง กางโอบกางคร่อมรอบเอวสอบเอาไว้ ซึ่งท่านั่งนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่ออะไรหลายอย่างจริงๆ

“คุณปราณ.. ผมจะไม่ไหวแล้วนะครับ” คามินกระซิบเสียงกระเส่าชิดริมคางผม ผมรู้ว่าความรู้สึกของคนตรงข้ามว่าคงกำลังพลุ่งพล่าน อวัยวะใจกลางร่างกายของคามินกำลังขยับขยายดุนดันจนผมรู้สึกได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผมเองก็รู้สึก รู้สึกแบบเดียวกันกับคามินนั่นแหละ


ถ้าคามินกำลังต้องการผม ผมเองก็กำลังต้องการคามินไม่ต่างกันเลย


“แล้วทำไมคุณถึงต้องทนล่ะครับ” ผมก้มลงไปกระซิบตอบข้างใบหูของคนที่เหมือนกำลังจะหมดความอดทนเต็มที คามินขบฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่นเห็นได้ชัดเจน ยิ่งลมหายใจร้อนๆ ของผมกำลังเป่ารดแก้มของเขาแบบนี้ คามินก็ยิ่งเหมือนถูกผมกระตุ้นจนหมดความยับยั้งและห้ามใจในที่สุด

คนตัวโตกว่าช้อนใต้สะโพก แล้วยกตัวผมขึ้นจากตักตัวเอง ก่อนจะจับผมวางราบบนเตียงนอน รูปร่างสูงใหญ่ตามลงมาทาบทับและกักผมไว้จนผมหมดทางหนี แต่อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะหนีอะไรตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว อย่างที่บอก ผมอยากแค่จะเห็นแก่ตัวสักครั้ง ถ้าผมจะเลวโดยการขอเป็นคนเริ่มก่อน ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้เสียหายเพิ่มมากไปกว่านี้หรอก

ลมหายใจร้อนๆ ที่เต็มไปด้วยความต้องการของคนด้านบน กำลังเป่ารดแก้มผมเพราะคามินกำลังคลอเคลียไม่ยอมห่างจากผมเลยแม้แต่น้อย

ผมผลักคามินออก คนด้านบนดูจะตกใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าผมคงขัดขืนและไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ล่วงเกิน แต่คามินคิดผิด เพราะตอนนี้ผมกลับเป็นคนพลิกตัวคร่อมร่างของอีกฝ่ายไว้ โดยที่บังคับกลายๆ ให้คนตัวโตนอนราบลงไปกับเตียงแทน

“คุณปราณ คุณจะ...” และก่อนที่คามินจะได้ทันพูดจบประโยค ผมก็ยื่นนิ้วเรียวไปปิดริมฝีปากคนที่กำลังนอนงงๆ ไว้ เป็นสัญญาณเตือนว่าให้อีกฝ่ายหยุดพูด แค่นี้ผมก็อายจนจะถอดใจ ไม่กล้าทำอะไรต่อแล้ว

พอเห็นท่าทางและใบหน้าที่กำลังขึ้นสีของผม คามินก็อมยิ้มนิดๆ คนที่กำลังนอนราบอยู่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ พร้อมกับยักคิ้วนิดๆ เป็นเชิงท้าทาย


‘อยากทำอะไรก็ทำเลยครับ’


หน้าตาและท่าทางคามินบอกผมแบบนั้น

ผมมือไม้สั่นไปหมดตอนเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนด้านล่าง ตอนนี้คามินแทบจะไม่ทำอะไรเลย เขาเพียงแค่นอนนิ่งๆ กับใช้มือใหญ่ประคองเอวทั้งสองข้างของผมไว้ พร้อมออกแรงบีบเบาๆ เพื่อแสดงออกถึงความต้องการที่ตัวเองมีว่ามันกำลังอัดแน่นมากแค่ไหน

ผมเองก็ไม่ต่าง ในขณะที่มือบางของผมกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เกิดจะแกะยากแกะเย็นขึ้นมาซะเฉยๆ แบบนั้น มันทำให้ผมหงุดหงิด และไม่รู้จะระบายถึงอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองยังไง เลยก้มลงไปจูบประกบริมฝีปากกับปากหยักของคนด้านล่างแรงๆ ซึ่งคามินเองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ด้วยการเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อต้อนรับเรียวลิ้นเล็กที่ไม่ค่อยประสีประสาของผมเข้าไปในโพรงปากตัวเอง และปล่อยให้เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นร้อนๆ ของเขาที่กำลังรอคอยอยู่อย่างรู้ความ

มือเล็กของผมฝัดป่ายไปทั่วร่างกายของร่างสูง ในขณะที่เสื้อเชิ้ตถูกกระชากออกไปจากแผงอกกำยำนั่นแล้ว ก่อนที่นิ้วมือเรียวของผมจะสะกิดเบาๆ เข้าที่ยอดอกสีเข้มอย่างยั่วเย้า อะไรที่คามินเคยทำให้ผม ผมก็กำลังปรนเปรอเขาในแบบเดียวกันไม่ต่างเลย

เสียงคำรามต่ำดังขึ้นในลำคอของคนด้านล่างอย่างพอใจ มือใหญ่กำลังสอดเข้าไปใต้บั้นท้ายผม พร้อมทั้งออกแรงบีบอย่างมันเขี้ยว ผมเองก็ให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายเต็มที่ด้วยกระดกสะโพกขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าไฟอารมณ์ของเราทั้งสองคนจะถูกจุดติดและโหมกระพืออย่างยากที่จะควบคุม

ผมลดตัวลงมานั่งบนเตียงก่อนจะจัดการเสื้อผ้าตัวเองให้ออกไปพ้นตัว คามินเองก็ไม่ต่าง ร่างสูงแทบจะกระชากกางเกงชั้นในของตัวเองออกมาเลยด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนว่าถ้าใช้การถอดมันจะช้าไป และไม่ทันใจคนอารมณ์ร้อนที่ตอนนี้คงอยากจะแนบชิดและสัมผัสกับผมด้วยร่างกายเปลือยเปล่ามากกว่าการที่จะมีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ มากั้นขวางไว้

และหลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อย เราสองคนกระโจนเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง แอร์ที่ว่าเย็นก็ดับเพลิงอารมณ์ของเราทั้งสองไม่ได้ เสียงหอบกระเส่าของทั้งผมและคามินดังสอดประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมผลักคามินลงบนเตียงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าร่างสูงเองก็ให้ความร่วมมือกับผมเต็มที่ ผมขึ้นคร่อมร่างกายใหญ่โตของคามินไว้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าตอนนี้อาวุธคู่กายของเราทั้งสองกำลังแข็งขืนและอัดแน่นไปด้วยความต้องการโดยไม่จำเป็นต้องเล้าโลมใดๆ อีก

ตอนนี้สายตากลมของผมและสายตาคมของคนด้านล่างต่างกำลังจ้องกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และก็เป็นผมเองที่หมดความอดทนก่อน ผมก้มลงไปใช้ลิ้นไล้เลียยอดอกสีเข้มของคนด้านล่างช้าๆ ทำเอาคามินครางฮือในลำคอด้วยความพออกพอใจ

ผมเลื่อนริมฝีปากไปทั่วอกกำยำ และขบเม้มสร้างรอยรักสีกุหลาบไปทั่วร่างกายของคนตัวโต คามินสอดมือเข้ามากดรั้งและลูบไล้ศรีษะผมอย่างหลงใหล ผมปรนเปรอคามินด้วยริมฝีปากไปยังทุกที่ที่ลากผ่าน จนไปหยุดยังแกนกายใหญ่โตของคนด้านล่างที่กำลังขยับขยายรอให้ผมครอบครองอยู่

และในขณะที่ผมกำลังจะครอบริมฝีปากลงไปนั้น คามินก็จับผมให้หยัดหน้ากลับขึ้นมาเสียก่อน คนตัวโตจูบแรงๆ ลงบนปากอิ่มของผมอย่างมันเขี้ยว ก่อนที่จะกระซิบเสียงกระเส่าที่ช่างกระตุ้นสัญชาตญาณดิบในตัวผมได้ดีเหลือเกิน

“หันหลังมาครับคนดี ผมไม่เอาเปรียบให้คุณปราณทำให้ผมคนเดียวหรอก”

ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าอายๆ ก่อนจะตะกายกลับไปกลับมาอยู่บนตัวคามิน ตอนนี้ริมฝีปากของผมจ่อรอครอบแกนกายของคนด้านล่างแล้ว และเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่ครอบลงมาบนแกนกายของผม ก็ทำให้ผมเผลอสูดปากยาวๆ ด้วยความเสียวซ่านเสียก่อน

“อาาาาห์”

ผมครางอย่างพอใจเมื่อถูกริมฝีปากหยักปรนเปรอเอาใจรูดรั้งให้อย่างชำนาญ และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกค้างคา ผมจึงจัดการครอบริมฝีปากลงไปบนแก่นกายใหญ่โตของคนด้านล่างบ้าง มันใหญ่จนคับปากผมไปหมด แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกระหว่างผมกับคามิน ผมรู้ดีว่าต้องทำยังไง เลยขยับปรับองศานิดหน่อยก็รูดริมฝีปากขึ้นลงได้อย่างไม่มีติดขัด ผมไม่รู้ว่าคามินพอใจมากแค่ไหน แต่สะโพกหนาของคนตัวโตดูเหมือนจะไม่ทันใจจึงสวนกระแทกกลับเข้ามาในปากผมเบาๆ ทำเอาผมแทบสำลัก

ผมเปลี่ยนจากการใช้ปากอิ่มรูดรั้งมาเป็นใช้ลิ้นละเลงเบาๆ ที่ส่วนหัวแทน คามินคำรามต่ำเหมือนคนที่กำลังอดกลั้นสูงสุด ผมเองก็ไม่ต่าง ตอนที่คามินใช้ลิ้นเลียส่วนหัวของผมซ้ำๆ เอวผมก็แทบจะส่ายคว้าง ผมเสียวจนอยากจะครางออกมายาวๆ แต่ติดที่ว่าริมฝีปากผมเองก็กำลังติดพันอยู่กับแก่นกายตรงหน้านี้เหมือนกัน

และในขณะที่ผมเองกำลังมัวเมาอยู่กับท่อนเนื้อตรงหน้า ผมก็ได้รู้สึกกับสัมผัสแปลกๆ ที่ช่องทางด้านหลัง


... คามินละริมฝีปากไปจากแก่นกายของผมแล้ว และตอนนี้เขากำลังหันไปให้ความสนใจกับช่องทางด้านหลังของผมแทน ...


ผมรู้สึกถึงเรียวลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามาทางด้านหลัง สัมผัสแปลกใหม่ทำให้ผมเสียวซ่านจนแทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว นิ้วเท้าของผมจิกเกร็งแน่น มือเล็กๆ ของผมทั้งสองข้าง จิกแน่นอยู่บนต้นขาของคามินจนข้อนิ้วขาวเกร็ง ผมยอมแพ้ต้องผละออกจากท่อนเนื้อของคนด้านล่างที่ตอนนี้กำลังขยับขยายใหญ่ขึ้นเต็มกำลัง และดูเหมือนจะตั้งชันเตรียมพร้อมจะมอบความสุขกับผมได้แล้ว จากนั้นผมก็ครางเสียงกระเส่า เพราะทนกับความวาบหวามที่คามินมอบให้อย่างที่ใจผมต้องการไม่ไหว

“อ๊ะ อา อาห์”

เสียงของผมคงไปกระตุ้นคนตัวโตได้ไม่น้อย ตอนนี้คามินจึงตัดสินใจถอนลิ้นออก แล้วแทรกนิ้วแกร่งที่ชะโลมเจลหล่อลื่นไว้พร้อมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เข้าไปแทน ลมหายใจผมถี่กระชั้น เมื่อแรกเริ่มที่นิ้วของคามินเข้าไปในช่องทาง มันเจ็บจนจุก แต่ผมก็กัดฟันทน เพราะรู้ว่ามีความสุขและสัมผัสที่แปลกใหม่รออยู่ข้างหน้า

คามินอดทนจนผมปรับตัวได้ แล้วจึงค่อยๆ ควงวนนิ้วช้าๆ จนมันไปสัมผัสเข้ากับจุดอ่อนไหวของผม ผมครางแทบไม่เป็นภาษา เมื่อความเจ็บนั้นกำลังแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านในแบบที่ผมแทบจะรับมือไม่ไหว

“อ๊า อ๊า อึก! ตรง.. ตรงนั้น”

“ตรงนี้หรอครับคนดี หื้ม?” คามินแกล้งถามและกระแทกนิ้วเข้าไปไม่หยุด จนศีรษะผมคลอนไหวไปมา ช่องทางของผมตอดรัดนิ้วแกร่งของคามินจนผมเองยังรู้สึกได้ และดูเหมือนว่าตอนนี้คนตัวโตเองก็คงจะไม่ไหวแล้วเช่นกัน จึงค่อยๆ ถอนนิ้วออกจากช่องทางผมช้าๆ ผมที่กำลังมัวเมากับความสุขที่ได้รับมีอันต้องอารมณ์ค้าง และนั่นทำให้ผมหงุดหงิดจนแทบอยากจะรั้งข้อมือใหญ่นั้นไว้ไม่ให้ล้มเลิกกลางคันแบบนี้

“อื้อ.. อย่า อย่าแกล้ง” ผมขอร้องเสียงกระเส่า อารมณ์ของผมตอนนี้พลุ่งพล่านมาก ผมอยากให้คามินทำต่อ ทำอีก อยากให้ตัวตนของเขาเข้ามาในตัวของผม รักผมแรงๆ เหมือนที่เคยทำที่ผ่านมา

ผมหันไปตวัดสายตามองคนตรงข้ามด้วยความไม่พอใจ แต่แทนที่คามินจะสลด กลับอมยิ้มเจ้าเล่ห์ แถมยังเอ่ยประโยคกวนประสาทที่ทำให้ผมหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

“คุณปราณอยากได้อะไร คุณปราณทำเองก็ได้นี่ครับ จริงไหม”

คามินพูดยั่วเย้า ก่อนจะมองเลยไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม พอผมมองตามสายตาคามินไปจึงเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทันที

ผมได้แต่เข่นเคี้ยวในใจ แต่พอมาจนถึงตอนนี้แล้ว ผมก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เป็นผมเองที่ต้องการคามินมากขนาดนี้ ไหนๆ ผมก็เป็นคนเริ่มมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ จะมามัวเขินอายตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเท่าไหร่ แล้วยิ่งเลือดในกายผมมันสูบฉีดพล่านเต็มไปด้วยความต้องการขนาดนี้ ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องมานั่งคิดให้เสียเวลาอีกแล้ว

ผมตัดสินใจหันหน้ากลับมาคามิน ก่อนจะลุกขึ้นยืนกางขาคร่อมเอวของคนที่นอนอยู่เอาไว้ คามินหยัดสายตามาสบตาผมด้วยแววตาที่ท้าทาย อารมณ์ประมาณว่า ผมอยากจะรู้ว่าคุณปราณจะกล้าไหมอะไรทำนองนั้น

ใช่! ถ้าเป็นปราณันต์คนเดิมคงไม่กล้าหรอก แต่ตอนนี้ปราณันต์คนนี้กำลังเห็นแก่ตัว และปราณันต์คนนี้ก็กำลังต้องการคามินมากๆ เพราะฉะนั้น ทำไมผมจึงต้องไม่กล้ากันล่ะ

ผมลดตัวลงไปช้าๆ โดยที่ให้ช่องทางด้านหลังจ่ออยู่ตรงแก่นกายที่กำลังตั้งชันเตรียมพร้อมรออยู่ของคามิน ผมค่อยๆ กดสะโพกกลืนกินแก่นกายของคามิน อันที่จริงมันก็เจ็บนิดหน่อย แต่เพราะเมื่อกี้นิ้วแกร่งของคนเจ้าเล่ห์ได้เบิกทางไปบ้างแล้ว ผมจึงค่อยๆ กดสะโพกลงจนกลืนแกนกายของคามินเข้าไปได้ทั้งแท่ง

“อ๊ะ อาาาา” ผมเผลอครางเสียงสั่นตอนที่ผมรับคามินเข้ามาในตัวผมได้ทั้งหมด ร่างสูงเองก็ใช่ย่อยเพราะดูเหมือนคามินเองก็สูดปากครางลั่น ตอนที่ได้เข้ามาในตัวผมทั้งหมดเช่นกัน

“อาาา เก่งมากครับ...เด็กดี” มือใหญ่ยื่นมาลูบแก้มผมไม่หยุด สายตาคมมองผมอย่างหวานเชื่อม เต็มไปด้วยอารมณ์และความหลงใหล

ผมนั่งนิ่งสักพักเพื่อปรับตัว จนพอคามินยื่นมือมายึดเอวผมไว้นั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่าควรขยับตัวเสียที

ผมโยกขย่มเอวขึ้นลงช้าๆ เนิบนาบในคราวแรก โดยมีคามินคอยประคองเอวของผมไว้ และเมื่อผมขยับ ความรู้สึกหฤหรรษ์และวาบหวามต่างๆ ก็ประดังประเดเข้ามาจนสติสัมปชัญญะที่ผมควรมีดับสิ้นไปหมด ในตอนนี้ที่ผมรู้มีแค่ผมกับคามิน และร่างกายที่เชื่อมติดของเราสองคนเท่านั้น การได้เป็นผู้ควบคุมทุกอย่างมันให้ความรู้สึกวิเศษแบบนี้นี่เอง

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊าา”

“อึก! อา แรง.. แรงอีกครับเด็กดี .. อา อาา”

ผมกับคามินสลับกันครางอย่างพอใจ อุณหภูมิในห้องนอนพุ่งสูงจนแทบจะทะลุจุดเดือด ผมโยกขยับอย่างอิสระ เต็มเติมทุกสัมผัสแบบที่ผมต้องการให้เป็น คามินทำแค่ประคองเอวของผมไว้เท่านั้น ร่างสูงผงกศีรษะและร่างกายส่วนบนขึ้นมาโอบรัดผมไว้ทั้งตัว ริมฝีปากหยักปรนเปรอ ดูดดึง และไล้เลียยอดอกให้ผมอย่างเอาใจ ผมเงยหน้าครางลั่นกับทุกสัมผัสที่ได้รับ ผมรู้สึกดี จนไม่รู้ว่าตรงไหนที่ทำให้ผมรู้สึกได้มากกว่ากัน

แก่นกายของผมปวดหนึบเพราะความต้องการที่อัดแน่น ผมเอื้อมมือตั้งใจจะลงไปช่วยชักรั้งเพื่อให้ตัวเองได้ปลดปล่อย แต่ดูเหมือนมือใหญ่ของคามินจะไวและรู้ใจกว่า เพราะเอื้อมไปถึงมันก่อนตัวผมเองด้วยซ้ำ คามินชักรูดท่อนเนื้อของผมเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมโยกขยับ เสียงหวานของผมร้องขอคนตัวโตซ้ำๆ


(อ่านต่อด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


“เร็ว อึก! เร็วอีก คะ.. คุณคราม”

คามินบำรุงบำเรอให้ผมทุกอย่างจนผมคิดว่าผมใกล้จะแตะฝั่งฝันแล้ว ซึ่งคนตัวโตเองคงสัมผัสได้ เลยสาวรั้งและขยี้ส่วนหัวให้ผมเร็วและแรงยิ่งกว่าเดิม หน้าท้องและอวัยวะทุกส่วนของผมหดเกร็งขึ้นเรื่อยๆ จนปลดปล่อยออกมาในที่สุด

"อ๊ะ อาาาาาาาาาาห์"

ผมครางยาวให้สมกับความสุขที่ได้รับ แต่ดูเหมือนว่าคนข้างล่างจะยังไปไม่ถึง ผมพยายามจะฝืนตัวเองโดยการขยับสะโพกต่อและตัวเองไปในที่ที่เดียวกับผม แต่คนตัวโตแค่ยิ้มน้อยๆ แล้วจับผมนอนราบกับพื้นเตียงแทน

“ไม่เป็นไรครับคนดี ผมจัดการต่อเอง”

คามินจับขาทั้งสองข้างของผมยกขึ้น จากนั้นก็สวนสะโพกเข้ามาหาผมเร็วๆ และแรงๆ มันเข้ามาลึกมากจนความรู้สึกที่ควรจะดับมอดไปแล้วถูกจุดขึ้นมาอีก ผนังอุ่นของผมตอดรัดท่อนเนื้อของคามินถี่รัว คนตัวโตสูดปาก เพื่อแสดงออกถึงความพอใจขีดสุด

“ซี๊ดดด ตอดอีกครับ ตอดอีก.. เด็กดี”

ถ้อยคำลามกที่ถูกส่งออกมายิ่งทำให้ผมมีอารมณ์ คามินกระแทกโถมแกนกายเข้ามาแรงๆ ซ้ำๆ จนท่อนเนื้อของผมดีดชันเพราะมีอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ แต่รอบนี้มันไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลและแตะต้องจากมือของใครเลย เพราะหลังจากคามินรูดแกนกายออกและกระแทกเข้ามาย้ำ หลายๆ ที ท่อนเนื้อของผมก็หดเกร็ง ก่อนจะกระตุกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะปลดปล่อยออกมาเช่นกัน เพราะความรู้สึกอุ่นร้อนที่ถูกฉีดเข้ามาในช่องทาง พร้อมๆ กับเสียงครางต่ำที่เต็มไปด้วยความสุขและความพอใจ ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าคามินเองก็ถึงฝั่งฝันเช่นกันไม่ต่างจากผม

“อาาาาาห์ เด็กดีของผม คุณปราณของผม” คามินซบพึมพำอยู่กับอกผม พร้อมกับจูบย้ำไปทั่วร่างกายขาวนวลของผมที่ตอนนี้ เต็มไปด้วยรอยจูบจากปากหยัก

“ขอบคุณนะครับคนดี ผมมีความสุขมากเลยคุณรู้ไหม” คามินกระซิบเสียงหวานบอกผม ในขณะที่ผมเองก็กระซิบบอกตอบด้วความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

“ผมมีความสุขมากเหมือนกัน”

เราต่างยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุข ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้าหากันและกันช้าๆ อีกครั้ง


... ในเมื่อตอนนี้ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับคนเห็นแก่ตัวแบบผม คำว่าครั้งเดียวมันคงยังน้อยไป ... ผมยังต้องการมากกว่านี้อีก ไม่พอ ผมยังรู้สึกว่าไม่พอ

.

.

.

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยจูบสีกุหลาบเต็มตัวไปหมด ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังหลับพริ้มอย่างมีความสุขแล้วก็ได้แต่นึกปวดหัวใจ

ระหว่างผมกับเขามันก็แค่นี้ จูบกัน มีเซ็กส์กัน พอลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกของความเป็นจริงก็ต้องต่างคนต่างไป ไม่มีทางจะลึกซึ้งมากไปกว่านี้ เพราะความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันไม่ถูกต้องมาตั้งแต่แรกแล้ว

ผมก้าวลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้คนที่กำลังหลับอยู่รู้สึกตัว พลางเหลือบมองนาฬิากาที่วางอยู่บนหัวเตียงก็เห็นว่านี่ใกล้จะบ่ายคล้อยเต็มทีแล้ว ผมคำนวณเวลาในใจคร่าวๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองมีเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนที่ปุณณกันต์กับปัณณธรจะเลิกเรียน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพื่อจะโทรหาเพื่อนสนิทที่ผมมีอยู่ไม่กี่คน ก่อนจะเห็นว่าผมได้รับข้อความตอบมาจากฝั่งนั้นอีกครั้ง และข้อความนี้ก็คือตัวกระตุ้น ว่าผมจะช้าไม่ได้อีกแล้วแม้แต่วินาทีเดียว


‘ได้! ฉันให้เวลาแกห้าวัน หลังจากห้าวันนี้แกต้องไสหัวไปซะ! อย่าให้ฉันต้องพูดอะไรซ้ำๆ ซากๆ เพราะถ้าแกไม่รักษาสัญญา ฉันก็จะไม่รับรองความปลอดภัยของไอ้เด็กฝาแฝดนั่นเหมือนกัน! '


ผมกดปิดข้อความนั้นด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะตั้งสติ แล้วโทรหาเพื่อนสนิทคนแรกและคนเดียวของผม

อนาวิน

ผมรอสายอยู่ไม่ถึงนาที ปลายสายก็กดรับ “ไอ้ปราณ เป็นไงบ้างวะ หายไปเลย หรือว่าไอ้บ้านั่นมันห้ามไม่ให้นายติดต่อใคร?”

ผมหลุดขำทันทีที่ได้ยินสรรพนามที่อนาวินใช้เรียกคามิน


‘ฮ่าๆ ไอ้บ้านั่น’


ผมหันไปมองเจ้าของสรรพนามที่อนาวินเรียกอีกครั้ง พลางอมยิ้มบางๆ มือเรียวของผมยื่นไปเกลี่ยผมที่กำลังตกมาให้คามินอย่างเบามือ ลมหายใจที่พรูเข้าออกของคามินยังคงสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่าอีกฝั่งกำลังหลับสบาย

“ช่างเขาเถอะ ฉันโทรมาหานายวันนี้เพราะฉันมีเรื่องปรึกษา เรื่องใหญ่ด้วย ยังไงนายมาเจอฉันหน่อยได้ไหม นายว่างรึป่าว”

ผมปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น เพื่อบ่งบอกคนปลายสายว่าผมค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องที่จะเล่าให้มันฟัง และอนาวินเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ทันที

“ได้สิ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันไหม ร้านเดิมของพวกเรา” เพื่อนร่างเล็กของผมตอบกลับมา และนั่นทำให้ผมรีบตกลงทันที

“ตกลง ถ้ายังไงฉันฝากนายโทรตามพี่นทกับกันต์กวีด้วยได้ไหมวะ ฉันอยากบอกเรื่องนี้ให้สองคนนั่นรู้ด้วย” ผมไหว้วานเพื่อนสนิท

“อือ ได้สิ” อนาวินรับคำ ก่อนจะกดวางสายไป

ผมรักความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเพื่อนสนิทของผมคนนี้มาก อนาวินไม่เคยถามอะไรให้มากความ หมอนั่นเหมือนรู้ความรู้สึกของผมเกือบทุกเรื่องแม้ว่าผมจะไม่ได้พูดอะไร ครั้งนี้ก็เช่นกัน อนาวินไม่ถามอะไรผมทั้งนั้น มันคงรอให้ผมอยากเล่า ซึ่งก็นั่นแหละ พอถึงเวลาแล้ว ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้อนาวินฟังเอง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณมันมากที่พยายามเข้าใจและไม่กดดันผมกับเรื่องบางเรื่องที่ผมยังไม่พร้อม

และอันที่จริงผมจะเป็นคนโทรไปบอกกันต์กวีและพี่นทเองก็ได้ แต่ผมอยากจะใช้เวลาอยู่กับคามินอีกสักนิด ต่อให้เป็นเศษเวลาแค่วินาทีมันก็อาจจะมากพอที่จะให้ผมและเขามีความทรงจำเพิ่มขึ้นด้วยกันอีกสักเรื่อง ก็ผมบอกแล้วไง ว่าผมก็แค่อยากจะเห็นแก่ตัวเองสักครั้ง แค่ครั้งนี้ก็พอ

ผมหันไปมองเจ้ายักษ์ปักหลักที่ยังคงนอนไม่หือไม่อืออยู่บนเตียง ครั้งนี้คามินคงมีความสุขและมั่นใจมากว่าผมจะไม่หนีหายไปไหน เพราะท่าทีที่ผมแสดงออกก่อนหน้านี้มันคือท่าทีของคนที่ยอมสิ้นหมดแล้วทุกอย่าง ท่าทีของคนที่รักคนอีกคนอย่างหมดหัวใจ และหลังจากร่วมรักกัน คามินคงหมดกังวลเลยหลับเป็นตายขนาดนี้ ผมได้แต่ถอนใจ และก็ไม่ผิดหรอกที่คามินจะคิดแบบนั้น ห้าวันนี้ผมจะยอมคามินทุกอย่าง ผมแค่อยากจะมีความสุขกับคนตรงหน้าให้มากที่สุด ก่อนที่เราจะต้องจากกันไปตลอดกาล

ผมคิดอย่างเจ็บปวดหัวใจ แต่ก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อความเจ็บปวดนั้นและเลือกที่จะใช้เวลาที่มีค่าอยู่กับคนตรงหน้ามากกว่า ผมอมยิ้มให้กับความคิดนี้พลางใช้นิ้วชี้ของตัวเองจิ้มลงไปบนแก้มสากเบาๆ คามินขมวดคิ้วนิดหน่อย เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์ที่ถูกรบกวนเวลานอน ซึ่งยิ่งพอเห็นแบบนั้นผมยิ่งอยากแกล้ง แต่พอมาคิดอีกทีถ้าคามินตื่นขึ้นมา ผมคงไม่ได้มีเวลาไปคุยธุระกับพวกเพื่อนๆ ผมเป็นแน่ คนตัวโตคงต้องงอแงขอตามไปด้วยจนได้ แล้วยิ่งถ้ารู้ว่ามีกันต์กวี เรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากไปใหญ่ ผมจึงเปลี่ยนใจ ยื่นหน้าลงไปจูบแก้มสากเบาๆ แทน แล้วก็ปล่อยให้คามินนอนต่อ ส่วนตัวเองก็เข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมออกไปหาอนาวินตามที่ได้นัดกันไว้

.

.

.

ผมออกมาขึ้นแท๊กซี่เพื่อไปหาอนาวินยังที่นัดหมาย ตอนแรกที่คุณแทนคุณรู้ว่าผมจะออกมาข้างนอกโดยที่ยังไม่ได้บอกคามิน คุณบอดี้การ์ดผู้แสนจะซื่อตรงก็ทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียว จนผมต้องบอกไปว่าผมเห็นว่าคามินหลับอยู่เลยอยากให้เขาพักผ่อนไปก่อน และผมเองก็มีธุระที่ต้องไปคุยกับอนาวิน เพื่อนสนิทของผม ถ้าคามินไปด้วยผมคงไม่สะดวกใจเท่าไหร่ คุณแทนคุณก็ดูลังเล คงกลัวว่าผมจะหนี ผมเลยต้องยืนยันว่าผมไม่หนีไปไหนแน่ ถ้ายังไงหลังจากคุยกับอนาวินเสร็จแล้ว ผมจะไปรับปุณณกันต์กับปัณณธรที่โรงเรียนอนุบาล ให้คามินตามไปเจอกับผมที่นั่นได้เลย

คุณแทนคุณก็ถามย้ำผมอยู่หลายรอบว่าผมจะไปไหน อะไรยังไง ดังนั้นเพื่อความสบายใจและคุณแทนคุณเองจะได้ยืนยันกับคามินได้โดยที่ไม่ต้องถูกเจ้านายดุ ผมเลยพูดออกไปว่า


‘ผมไม่หนีไปไหนหรอกครับ เสร็จธุระกับอนาวินแล้ว ผมจะไปรอคามินที่โรงเรียนอนุบาล รับรองว่าเจอผมแน่นอน’


... ใช่ วันนี้น่ะผมไม่หนีไปไหนหรอก ผมสัญญาไว้แล้วว่าจะเจอผมก็คือเจอ

แต่หลังจากห้าวันนี้เป็นต้นไป ... ผมเองก็ผิดสัญญาที่ให้กับคุณพรวลัยไว้ไม่ได้เหมือนกัน

.

.

.

พอเดินเข้ามาในร้านขนมร้านโปรดของผมกับอนาวิน ผมก็พบว่าทุกคนกำลังนั่งรอท่าผมอยู่แล้ว

“ปราณ ปราณเป็นยังไงบ้าง” กันต์กวีพรวดพราดเดินเข้ามาหาผมทันทีที่ผมเข้ามาในร้าน

ผมยิ้มบางๆ เป็นการตอบคำถาม ผมไม่ได้พูดอะไรมาก เหตุการณ์เมื่อเช้า มันค่อนข้างหนักหนาสาหัสกับผมพอสมควร ผมทั้งช็อค ทั้งอาย ทั้งรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ค่าที่สุดในชีวิต แต่ตอนนี้ ผมหาทางออกให้กับปัญหาของตัวเองได้แล้ว ถ้าผมหนีไป ไปเริ่มต้นใหม่ในที่ๆ ใครๆ ไม่รู้จัก ... เท่านั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมไม่ต้องทุกข์ทน และทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ซ้ำๆ อีกต่อไป

“เราไม่เป็นอะไรแล้วล่ะกวี ขอบคุณกวีมากที่เป็นห่วงนะ แล้วก็ขอบคุณพี่นทด้วยนะครับที่คอยอยู่เคียงข้างผม ไม่ทิ้งผมไปไหน ถึงแม้ ผมจะสร้างปัญหามากมายให้พี่ก็ตาม”

ผมพูดอย่างละอายใจ เพราะดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนที่นำพาเรื่องไม่ดีต่างๆ เข้ามาสู่ชีวิตของทั้งพี่นท กันต์กวี หรือแม้กระทั่งอนาวินเองก็ด้วยเถอะ

และแม้กระทั่งตอนนี้ ตอนที่ผมก็กำลังจะทำให้เพื่อนๆ เดือดร้อนอีกครั้ง และนี่คือสาเหตุ ว่าทำไมผมถึงต้องขอพบทั้งสามคนพร้อมกัน มันไม่ใช่แค่ว่าผมจะขอความช่วยเหลือจากทุกคนหรอก แต่ผมกำลังจะขอร้อง และขอโทษจากใจจริงที่กำลังจะทำให้ทุกคนลำบาก เพราะการกระทำของผมอีกครั้ง

“ฉันรู้เรื่องจากพี่นทหมดแล้วนะปราณ ทีนี้นายบอกฉันสิ ว่านายจะเอายังไงต่อไป”

อนาวินถามผมเสียงเข้ม เจือความไม่พอใจนิดๆ ผมรู้ว่ามันโกรธ โกรธที่ผมไม่เลิกใจอ่อนกับคามินสักที แม้ที่จริงแล้วมันจะมีเหตุให้ผมเลิกกับคามินเด็ดขาดไม่ได้ แต่อนาวินก็รู้ ว่าที่จริงมันเป็นเพราะลึกๆ แล้ว ผมยังรักคามินอยู่ต่างหาก นั่นทำให้เรื่องระหว่างผมกับคนตัวโตนั่นคาราคาซังมาจนถึงตอนนี้

“ก็นี่แหละ ที่เรียกทุกคนมาเพื่อจะขอโทษ และบอกให้ทุกคนรู้ด้วยว่าผมตัดสินใจจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป” ผมพูดอย่างอึดอัด อีกใจก็รู้สึกผิดแต่อีกใจก็รู้ว่าทุกคนจะต้องเข้าใจ

“บอกพวกเรามาเถอะปราณ ปราณก็รู้ว่าไม่ว่ายังไง พวกเราก็พร้อมจะอยู่ข้างปราณเสมอ ขอให้ทางที่ปราณตัดสินใจเลือก มันเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับปราณแล้วก็ฝาแฝดก็พอ” พี่นทย้ำและให้กำลังใจนั่นทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นเป็นกอง

“ผมตัดสินใจแล้ว... ว่าผมจะไปจากคุณคามินครับ” ผมหยุดพูดเพื่อรอดูทีท่าของทุกคน เมื่อเห็นว่าทุกคนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นั่นทำให้ผมกล้าที่จะพูดประโยคถัดไป “ถ้าผมทำให้ทุกคนเดือดร้อน ถูกคุณคามินไล่ออกจากงาน ทุกคนจะไม่โกรธผมใช่ไหมครับ”

ผมเป็นกังวลมากว่าจะได้รับสายตาทิ่มแทงหรือมองผมว่าเป็นคนทรยศหักหลังเพื่อนจากทุกคน แต่ไม่เลย... ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด แววตาของทุกคนมีแต่ความยินดี ราวกับรอมานานมากแล้วที่จะให้ผมตัดสินใจแบบนี้

“ไม่โกรธผมหรอครับพี่นท? นายล่ะกวี? ไม่โกรธฉันหรอ” ทุกคนส่ายหัวรวมถึงอนาวินด้วย

“ไอ้ปราณ ทุกคนเป็นห่วงนายมากนะ เอาจริงๆ พวกฉันก็รู้สึกผิดและอึดอัดไม่น้อยที่จะต้องมาเป็นตัวประกันที่คามินเอาไว้ขู่นายแบบนี้” อนาวินพูดยาว

“ใช่ ปราณ ต่อให้ตอนแรกปราณจะตัดสินใจไม่กลับไปหาไอ้สารเลวนั่น แล้วพวกเราต้องโดนไล่ออกจริง พวกเราก็ไม่โกรธปราณหรอก พวกเราเข้าใจ เข้าใจมากๆ ด้วย” กันต์กวีเสริม

“ถูกของกวี แต่ที่เราไม่อยากแย้งปราณ เพราะเรารู้ดีว่าปราณคงทนกับความรู้สึกผิดไม่ไหว ถ้าเกิดต้องทำให้พวกเราเดือดร้อนขนาดนั้น พวกเราเลยต้องแล้วแต่ปราณ ไม่อยากไปบีบบังคับอะไร เพราะเท่าที่ปราณเจออยู่มันก็สาหัสมากพออยู่แล้ว เลยไม่อยากให้ปราณต้องมาหนักใจกับพวกเราอีก”

พี่นทพูดพลางตบไหล่ผมอย่างปลอบโยน “ตัดสินใจแบบนี้น่ะดีแล้ว ไปเริ่มต้นใหม่ซะ ไม่ต้องห่วงพวกเรา งานใหม่มันไม่ได้หายากขนาดนั้นหรอก”

“ใช่ ห่วงแต่ตัวเองกับน้องก็พอ เลิกสักทีเถอะ ไอ้เรื่องเห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเองเนี่ย” อนาวินทำเสียงดุ “แล้วอีท่าไหนล่ะ ถึงได้ยอมแพ้ได้”

ผมมองไปที่คนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย น้ำตาผมพาลจะไหลออกมาให้ได้ ถึงผมจะอาภัพเรื่องความรัก ชะตาชีวิต หรือเรื่องบ้าบออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมโคตรโชคดีที่ผมมีเพื่อน มีพี่ที่แสนดีขนาดนี้ ทุกคนเป็นห่วงผมจากใจจริง ไม่มีใครโกรธเคืองผมเลยที่ผมเป็นต้นเหตุให้พวกเขาเดือดร้อน

ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความซึ้งใจลวกๆ ก่อนจะตั้งใจพูดประโยคนี้ให้ทุกคนได้รับรู้

“ขอบคุณทุกคนมากนะ ขอบคุณจริงๆ”

ผมทำท่าจะร้องไห้ อนาวินเลยต้องเข้ามากอดปลอบ ก่อนที่ผมจะปล่อยโฮ

“ไม่เอาไม่ต้องร้อง นายมีพวกฉันเสมอ นายก็รู้นี่” อนาวินดันตัวผมออก ก่อนจะจ้องเข้ามาในลูกตากลมโตของผมนิ่ง “ไม่ต้องเสียใจ ไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย นายทำถูกแล้ว นายทำดีที่สุดแล้ว”

ผมพุ่งเข้าไปกอดเพื่อนสนิท ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย อนาวินปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่พักใหญ่ จนผมสงบ มันก็ถามขึ้นเป็นการเป็นงานอีกครั้ง

“ตกลงจะตอบได้ยัง ว่าอีท่าไหนถึงได้ตัดสินใจแบบนี้”

ผมจ้องหน้าเพื่อนสนิทนิ่ง ไม่ได้พูดตอบอะไร เพราะแค่พาลนึกถึงข้อความพวกนั้นหัวใจผมก็สั่นไหวอย่างรุนแรงไม่หยุด ผมเลยเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วยื่นให้ทั้งสามคนดูแทน

หลังจากที่ทั้งสามคนเห็นข้อความนั้นก็สบถด่าหยาบคายออกมายาวเหยียด กันต์กวีโมโหเสียจนจะไปเอาเรื่องคุณพรวลัยให้ได้ แต่ทุกคนก็ห้ามไว้ เพราะเราไม่มีหลักฐานมากพอที่จะไปกล่าวหาว่าข้อความพวกนั้นมาจากเธอ เพราะฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหานี้ได้คือ ผมต้องไปจากคามินเท่านั้น ผมจะได้มั่นใจได้ว่าน้องชายผมจะปลอดภัยและปัญหาระหว่างเราสามคนจะได้จบสิ้นสักที

หลังจากตั้งสติกันได้ ก็เป็นพี่นทที่ถามขึ้นมา และคำถามนี้ก็เป็นคำถามที่ทำให้ผมต้องนัดทุกคนมาเจอที่นี่นั่นแหละ

“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อไปดีปราณ ปราณจะไปที่ไหนได้คิดไว้รึยัง”

“เพราะอย่างนี้แหละครับ ผมถึงได้นัดทุกคนมา” ผมอ้อมแอ้มตอบ "ผมไม่รู้ว่าผมจะไปที่ไหน ถ้าจะให้หนี ผมต้องหนีไปให้ไกลมากพอที่คุณคามินและคุณพรวลัยจะหาไม่เจอ ออกจากกรุงเทพฯ เลยก็ยิ่งดี แต่ปัญหาคือผมไม่ได้มีเงินมากพอขนาดนั้น ผมเองก็พอจะมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง แต่ถ้าต้องเลี้ยงปากท้องคนสามคน มันก็คงจะได้แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

หลังจากผมพูดจบ ทุกคนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เพราะถ้าคิดตามที่ผมพูดแล้ว นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่ ถ้าผมจะหนีไปให้ไกล ผมต้องมีเงินก้อนใหญ่พอที่จะใช้กินอยู่สำหรับสามปากสามท้องได้ในระยะเวลาหนึ่งถึงจะโอเค

“เอางี้ ฉันพอมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง นายเอาของฉันไปเลย” อนาวินเสนอตัวช่วย

“ใช่ ของพี่ก็พอมีบ้าง ปราณเอาไปก่อน ตั้งตัวได้แล้วค่อยส่งคืนมา” พี่นทเองก็ด้วย

ผมแทบจะอยากจะบ้าตายพอได้ยินสองคนนั้นพูดแบบนั้น

“ไม่ได้หรอก ทั้งพี่นท ทั้งไอ้วินนั่นแหละ ผมจะรบกวนทุกคนแบบนั้นได้ยังไง ถ้าสมมติว่าผมไป แล้วคามินเกิดเป็นบ้าไล่ทุกคนออกจากงานขึ้นมาจริงๆ จะเอาทุนที่ไหนไว้ใช้ระหว่างหางานใหม่กันล่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“อย่าทำให้ผมสร้างความเดือดร้อนให้ทุกคนมากไปกว่านี้เลยนะ” ผมขอร้องทุกคนอย่างจนใจ

“แล้วถ้าสมมติว่า...” จู่ๆ กันต์กวีก็พูดทะลุขึ้นมากลางปล้อง เหมือนคิดอะไรดีๆ ออกสักอย่าง “ถ้าสมมติว่าเรามองอีกแง่ล่ะ แง่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากน่ะ”

ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่กันต์กวีพูดสักนิด “ยังไงหรอกวี เราไม่เข้าใจ”

“ก็ถ้าสมมติว่าปราณหนีไปในที่ที่มีที่พักให้ มีงานให้ มีอาหารและมีทุกอย่างให้ ปราณก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่มากก็ได้ ถูกไหม?”

ทุกคนคิดตามที่กันต์กวีพูด และเห็นว่ามันจริง ถ้าผมไปในที่แบบนั้นได้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ เพราะมีที่พัก และมีงานรอไว้อยู่แล้ว

“แต่แล้วที่แบบนั้นมันมีที่ไหนล่ะกวี จะหนีไปทั้งที มันจะมีที่รองรับไอ้ปราณได้ขนาดนั้นเลยหรือไง” อนาวินแย้ง ดูหงุดหงิดไม่น้อยกับความจริงที่ว่าเราจะหาที่ๆ กันต์กวีพูดได้ที่ไหนกัน ซึ่งอันนี้ผมเองก็เห็นด้วยกับอนาวิน

“มีสิ ถ้าที่แบบนั้นมันคือโรงแรมของพ่อฉันที่เชียงใหม่... ทุกคนคิดว่าเป็นไงล่ะครับ ถ้าเราจะใช้แผนนี้กัน”

เราทุกคนมองหน้ากัน ก่อนที่จะค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อกันต์กวีพูดจบ

ผมคิดอย่างดีใจที่หาทางออกให้ตัวเองได้ ก่อนจะหุบยิ้มช้าๆ เมื่อคิดถึงความจริงอีกข้อที่ผมไม่ควรมองข้าม

“แต่... นายไม่ถูกกับพ่อไม่ใช่หรอกวี นายบอกว่านายไม่อยากขอความช่วยเหลือจากเขาถ้าไม่จำเป็น”

ผมพูดเสียงอ่อยเพราะกันต์กวีเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนเป็นพ่อมาโดยตลอด นานๆ ครั้ง พ่อของกันต์กวีที่แยกกันอยู่กับแม่ของกันต์กวี แล้วกลับไปพักอยู่ที่เหนือจะบินมาเยี่ยมสักครั้ง กันต์กวีเองก็ต้องไปเจอแบบเสียไม่ได้ทุกครั้ง เพราะแม่ของตัวเองขอร้องไว้ แต่กันต์กวีจะไม่ยอมรับเงินหรือความช่วยเหลืออะไรจากคนเป็นพ่อเด็ดขาด กันต์กวีมักจะบอกว่าเลิกกันแล้วก็ให้เลิกกันไป แค่แม่คนเดียวกันต์กวีดูแลได้ และเพื่อนผมคนนี้ก็ใจแข็งมาก ทำตามที่ตัวเองบอกได้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม

แล้วตอนนี้ผมจะให้กันต์กวีมากลืนน้ำลายตัวเอง เพื่อมาช่วยผมงั้นหรอ มันไม่น่าจะดี และผมก็คิดว่ากันต์กวีคงไม่อยากทำด้วย

กันต์กวียิ้มบางๆ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง น้ำเสียงที่ตัดสินใจแล้วว่าจะทำยังไง

“ก็ตอนนี้ไงปราณที่จำเป็น แล้วอีกอย่างเราไม่ได้จะขอร้องอะไรเขาสักหน่อย” กันต์กวีพูดยิ้มๆ “ก็เดือนที่แล้วที่เขาบินมาหาฉันกับแม่น่ะ เขาเล่าให้ฟังว่าเพิ่งเปิดโรงแรมใหม่ เห็นว่ายังขาดพนักงานอีกหลายตำแหน่ง นี่เราก็แค่ช่วยเขาหาพนักงาน ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย ปราณ”

ผมยิ้มอย่างยินดี อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำให้กันต์กวีลำบากใจ ถ้าเกิดมันออกมาในรูปนี้ผมก็คงสบายใจมากๆ เพราะอย่างน้อยผมก็จะมีงานทำ มีที่พัก ไม่ต้องไประหกระเหินหา ไอ้ตัวผมลำบากคนเดียวนี่ผมไม่แคร์หรอก แต่ถ้าต้องพาเด็กอายุสี่ขวบอย่างปุณณกันต์ปัณณธรไปลำบากด้วยนี่ ผมทำใจไม่ได้แน่ๆ

“ขอบใจมากนะกวี เราขอบใจนายมากๆ เลย” ผมยื่นมือไปจับมือกันต์กวีเขย่าอย่างรู้สึกขอบคุณ

“ไม่ต้องขอบใจหรอก แต่ปราณอาจจะต้องอดทนหน่อยนะ เพราะงานที่ไปทำอาจจะไม่ได้ตรงกับที่ปราณเรียนมา พวกงานโรงแรมอ่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง คงพวกงานบริการอะไรทำนองนี้มั้ง”

“ฮ่าๆ” ไอ้วินหัวเราะออกมาทันทีที่กันต์กวีพูดจบ “โถ่ กวี นี่ใคร นี่ปราณันต์ผู้ผ่านงานมาแล้วทุกรูปแบบนะ ไม่มีอะไรที่มันทำไม่ได้หรอก” อนาวินมองมาที่ผมด้วยสายตาชื่นชมและภูมิใจ มันพูดตลอดว่ามันทึ่งในตัวผมเสมอที่อดทนและไม่เกี่ยงงานอะไรเลย

ผมยิ้ม พร้อมกับกำชับให้กันต์กวีสบายใจ “ใช่ เราไม่มีปัญหาหรอกกวี งานอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ นายช่วยฉันเราตั้งมากขนาดนี้ เราจะไปเรื่องมากนั่นนี่ได้ยังไง”

กันต์กวียิ้มกว้าง พลางบอกว่าจะช่วยไปคุยกับพ่อให้ “ระหว่างนี้ปราณก็เตรียมตัวเรื่องเอกสารต่างๆ และก็น้องๆ ให้พร้อมแล้วกันนะ ส่วนเรื่องที่พัก เรื่องงาน ปราณไม่ต้องกังวลนะ”

กันต์กวีร่ายยาว ผมเองก็เบาใจขึ้นเยอะพอได้ยินแบบนั้น

“ฉันห่วงก็แต่เรื่องปรับตัวนี่แหละ ตัวฉันไม่เท่าไหร่ แต่ฝาแฝด..” ผมพูดก่อนจะเงียบไป เพราะกังวลเรื่องนี้ไม่น้อยเลย

“เอาน่า กว่าจะเปิดเทอมก็อีกเป็นเดือนๆ ปุณณกันต์กับปัณณธรน่าจะพอปรับตัวได้แหละ ยังไงช่วงนี้พวกเราจะช่วยหาโรงเรียนอนุบาลที่ดีๆ ให้นายละกันนะ” พี่นทพยายามช่วยหาทางออกให้ นั่นทำให้ผมวางใจได้ในระดับนึง

ผมพยักหน้า พร้อมกับมองทุกคนด้วยสายตาซาบซึ้งใจ

“ไม่ต้องมาทำสายตาแบบนั้นเลยไอ้ปราณ นี่เพื่อนกัน ไม่ต้องมาถือเป็นบุญคุณ” ไอ้วินรีบเบรก ผมรู้ที่มันพูดติดตลกแบบนี้เพราะไม่อยากให้ผมคิดมาก แล้วก็อาจจะบ่อน้ำตาแตกด้วย

“นั่นแหละ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกคนมากนะ ขอบคุณจริงๆ ถึงฉันจะโชคร้ายเรื่องความรัก แต่ฉันก็โชคดีมากที่มีพี่อย่างพี่นท แล้วก็มีเพื่อนอย่างพวกนาย ไอ้วิน กวี ขอบคุณมากจริงๆ นะ”

ทั้งสามเดินเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ ผมกอดทุกคนตอบ พร้อมกับกดก้อนสะอื้นไว้จนลึกสุดใจ อย่างน้อยผมก็ต้องเข้มแข็งให้เพื่อนผมห็น ทุกคนจะได้ไม่เป็นห่วง เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องไปจริงๆ

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


ผมมารอคามินที่โรงเรียนอนุบาลตามเวลาที่บอกคุณแทนคุณไว้ อีกสักพักฝาแฝดก็จะเลิกเรียนแล้ว ผมไม่อยากให้พวกแกคลาดสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว เลยตัดสินใจรีบมาก่อนเวลา

ซึ่งพอผ่านไปไม่ถึงอึดใจผมก็เห็นรูปร่างสูงใหญ่วิ่งกระหืดกระหอบมาทางผม ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อผุดพรายตามไรผม สายตาคมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกังวล ผมได้แต่อมยิ้มกับสิ่งที่เห็น นี่คามินกลัวว่าผมจะหายไปขนาดนี้เลยหรือไง

“คุณปราณ” คามินวิ่งมาถึงก็กอดผมไว้แน่น กอดจนตัวผมแทบจะจมลงไปกับอกคนตรงข้าม

“เดี๋ยวครับ ใจเย็นๆ ผมอยู่นี่ ไม่ได้หายไปไหนเลย” ผมตอบเสียงกลั้วหัวเราะ พร้อมกับตบหลังของอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับจะปลอบใจ

“วันหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ จะไปไหนให้รอผมก่อน ถ้าผมหลับคุณก็ปลุกได้เลย ตื่นมาแล้วไม่เจอคุณ ผมตกใจมากนะ”

คามินดุผมยาวเหยียด ผมก็ได้แต่ฟังแล้วยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร ผ่านไปไม่นานคุณแทนคุณก็มาหยุดยืนข้างผมๆ กับคามิน ใบหน้าสงบนิ่งก้มเงียบ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดที่กระจายออกมารอบตัวคุณบอดี้การ์ดคนสนิทได้ชัดเจน จนกระทั่งคนข้างตัวผมตวัดสายตาไม่พอใจไปยังอีกฝ่ายที่ยืนก้มหน้าอยู่นั่นแหละ ผมจึงได้เข้าใจ

“คุณโกรธคุณแทนคุณหรอ?” ผมถามขึ้น หลังจากที่เห็นอาการต่างๆ ของคามิน

“ผมสั่งให้แทนคุณดูแลคุณปราณให้ดี แต่แทนคุณทำตามที่ผมสั่งไม่ได้ ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรอที่จะถูกผมโกรธ” คามินพูดเสียงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ความเป็นตัวเองถูกเอาออกมาใช้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว

“ผมเป็นคนขอคุณแทนคุณออกมาเอง ถ้าคุณจะโกรธก็มาโกรธผมสิ ไปโกรธเขาทำไม” ผมดุคามินกลับ

“ผมไม่โกรธคุณปราณหรอก เพราะหน้าที่ของแทนคุณคือทำตามที่ผมสั่งถ้าเขาไม่ทำนั่นคือเขาบกพร่อง”

ผมถอนหายใจที่คามินเอาแต่ใจมากมายขนาดนี้ “แล้วถ้าสมมติว่าคุณแทนคุณไม่ยอมทำตามที่ผมสั่ง แล้วผมมาฟ้องคุณ คุณจะโกรธไหม”

“โกรธ เพราะเขาบังอาจขัดใจคุณ” คามินพูดอย่างเอาแต่ใจพลางยิ้มออดอ้อน ผมเลยยิ้มกลับ แล้วใช้น้ำเสียงแบบเดียวกัน

“ถ้างั้นคุณก็ห้ามโกรธคุณแทนคุณสิ เพราะเขาทำตามที่ผมขอ และเขาก็ไม่ได้ขัดใจผม ถ้าคุณไม่หายโกรธเขา ผมจะโกรธคุณแทน” ผมย้อนคามินเข้าให้ คนตัวโตกว่าทำฮึดฮัดอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยอมหายโกรธคุณแทนคุณ รวมทั้งยังอ้อนผมไม่เลิกอีก

“แต่ไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ จะไปไหนให้บอกผมก่อน แล้วไว้รอไปพร้อมกัน”

คามินพูดอ้อนๆ ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแกนๆ กลับไป ก่อนที่ฝาแฝดจะวิ่งออกมาหา หลังจากเลิกเรียนเรียบร้อยแล้ว

“พี่ครามมม~”

“พี่ปราณณณณ~”

ปุณณกันต์วิ่งเข้ามากอดเอวผมไว้แน่น ส่วนปัณณธรก็วิ่งเข้าหาอ้อมกอดคามินที่อ้ารอเจ้าหนูตัวน้อยเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว คามินหัวเราะเสียงดัง เมื่อถูกปัณณธรหอมแก้มซ้ำไปซ้ำมาทั้งสองข้าง เวลาอยู่กับคนอื่น คามินไม่เคยมีโหมดอารมณ์ดีแบบนี้หรอก คนที่จะทำให้คามินหัวเราะและยิ้มกว้างได้มากขนาดนี้ มีแต่ปุณณกันต์กับปัณณธรเท่านั้นแหละ ผมมั่นใจ

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มันทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งเจ็บปวด และก็สวยงาม ผมเองก็กอดปุณณกันต์ไว้แน่น ผมรู้ว่าเด็กๆ เองก็รักคามินไม่ต่าง แต่ยังไงซะ ผมปล่อยให้น้องตัวเองตกอยู่ในอันตรายไม่ได้เด็ดขาด ผมเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวใหม่ ช่วงแรกๆ เด็กๆ อาจจะเหงานิดหน่อย แต่ถ้าพวกแกปรับตัวได้ อะไรก็คงไม่เลวร้ายนักหรอก พออยู่ไปนานๆ คามินก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำสีจางๆ ของพวกเด็กๆ ไปเอง

“กลับกันรึยังครับ” คามินถามขึ้นตอนที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ

“อืม.. วันนี้เราไปซื้อของเข้าบ้านกันดีไหมครับ ผมเห็นของใช้บางอย่างเริ่มหมดแล้ว”

คามินมองผมงงๆ เพราะปกติแล้วผมเองนี่แหละจะต้องเป็นคนเอ่ยปากขอให้กลับบ้านเร็วที่สุด เพราะไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นผมกับคามินอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ แต่ก็อย่างที่บอก ผมพยายามที่จะมีความทรงจำกับคามินให้มากที่สุด ... เพราะฉะนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรืออะไรที่พอจะตักตวงได้ ผมเลยไม่ลังเลที่จะทำ

“ไปครับ ไปครับ ปัณณ์อยากไปเล่นบ้านบอล” คามินหัวเราะทันทีที่ได้ยินเจ้าตัวแสบบอกแบบนั้น

“ปุณณ์ล่ะ อยากไปไหมครับ” คามินหันไปถามแฝดคนพี่บ้าง เพราะไม่อยากให้น้อยใจกัน

“อยากไปครับ เราสองคนทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย” เจ้าแฝดคนพี่ตอบฉะฉานพร้อมยิ้มกว้าง

“โอเค งั้นเราไปกันเถอะครับ!” คามินจับปัณณธรขี่คอ ส่วนผมก็จูงปุณณกันต์เดินตามคามินไปเงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ปรากฎอยู่บนริมฝีปากอิ่มของผมตลอดเวลา

.

.

.

ตลอดสี่วันที่ผ่านมาผมไม่ได้ไปทำงานเลย เพราะคามินสั่งไม่ให้ไป จนกว่าเขาจะจัดการข่าวต่างๆ ให้เรียบร้อย ผมเองก็เชื่อฟังไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะเห็นว่าไหนๆ ตัวเองก็ต้องไปอยู่แล้ว เลยไม่อยากไปที่ออฟฟิศเพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างข่าวนินทาให้คามินเพิ่ม เพราะตอนนี้ข่าวลือระหว่างผมกับคามินก็ตีกันมั่วไปหมดแล้ว

เนื้อหาหลักๆ ของข่าว ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากผมเอาตัวเข้าแลกเพราะอยากได้งานในทีมโปรเจ็กต์ ผมเจ็บจนชาเลยไม่อยากจะคิดอะไร ใครอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ผมห้ามอะไรใครไม่ได้อยู่แล้ว

ซึ่งทุกวันนี้ พอหลังจากคามินออกไปทำงาน ผมก็จัดการจองตั๋วเครื่องบิน และตรียมเอกสารสำคัญทั้งของน้องและของตัวเองให้เรียบร้อย ผมได้มีโอกาสคุยกับพ่อของกันต์กวี ทางนั้นก็ยินดีมากที่จะได้ผมไปช่วยงาน คุณพ่อของกันต์กวีถึงกับลงทุนหาที่พักดีๆ ในละแวกแถวโรงแรมให้ผมโดยไม่เก็บค่าเช่าในช่วงสามสี่เดือนแรกเพื่อให้ผมได้ตั้งหลัก

และหลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็เอาเอกสารทุกอย่างทั้งของตัวเองและเด็กๆ เก็บไว้อย่างมิดชิด ซึ่งพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ และเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่กับคามินแล้ว ช่วงเวลาสี่วันที่ผ่านมา ผมมีความสุขมาก แม้จะต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่เราสองคนก็ได้ทำอะไรหลายอย่างด้วยกันมาก หลายอย่างที่ผมฝันไว้ว่าผมจะได้ทำกับคนที่ผมรัก...


เราช่วยกันทำกับข้าว ซักผ้า ทำงานบ้าน

เราไปเดินเล่นกันตามท้องถนน สวนสาธารณะ และสนามเด็กเล่นใกล้ๆ กับคอนโดคามินโดยพาเด็กๆ ไปด้วย

เราไปดูหนังรอบดึกด้วยกัน หลังจากที่เด็กๆ หลับไปแล้ว

เรามีเซ็กส์กันทุกที่ในบ้าน ในห้องน้ำ ในครัว บนโต๊ะอาหาร ในห้องนั่งเล่น หรือแม้กระทั่งริมระเบียง


ผมทำทุกอย่าง อย่างที่ใจผมอยากจะทำ ผมไม่แคร์ใคร ผมแค่อยากจะแคร์แค่ความรู้สึกตัวเองและคามินก็เท่านั้นแม้มันจะดูเห็นแก่ตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมมีความสุขมาก มากจริงๆ

คามินเองก็เหมือนกัน สองสามวันมานี้เขายิ้มกว้างกว่าปกติ หัวเราะและสดใสมากกว่าที่เคยเป็นในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว ผมเองก็มีที่ที่หนึ่งที่ยังอยากไปพร้อมฝาแฝดและคามิน ที่ๆ ผมจะได้ปลดปล่อยความเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ต้องนึกถึงอะไร มีแค่เราสี่คนและทุกสิ่งที่เราอยากจะทำ

“พรุ่งนี้เราไปสวนสนุกกันดีไหมครับ ผมอยากไป”

หลังจากร่วมรักกัน ผมก็นอนกอดคามินอยู่บนเตียง คนตัวโตจูบแก้มจูบไหล่ จูบไปทั่วใบหน้าผมราวกับต้องมนต์และหลงใหลจนถอนตัวจากผมไม่ได้

“นึกยังไงถึงอยากไปครับ” คามินถามยิ้มๆ ในแววตามีแต่ความเอ็นดูจนปิดไม่มิด

“ผมเคยฝันไว้ว่าวันนึงผมอยากพาน้องๆ ไปเที่ยวที่แบบนั้น ไปกับคนที่ผมรัก คนที่ทำให้ผมกับน้องมีความสุขได้ มันอาจจะดูเรียบง่าย แต่เป็นสิ่งที่ผมต้องการมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

ผมสารภาพ นี่คือความฝันของผมที่ผมไม่เคยบอกใคร ผมอยากไปเที่ยวสวนสนุกกับน้องๆ ของผม และคนที่ผมรัก เมื่อก่อนผมไม่มีเวลาและเงินมากพอที่จะสุรุ่ยสุร่ายขนาดนั้น ถ้าวันไหนที่ผมทำแบบนี้ได้ แสดงว่าวันนั้นผมคงมีความพร้อมมากพอ หรืออย่างน้อยก็คือมีคนข้างกายที่พร้อมจะดูแลผมกับเด็กๆ แล้ว

คามินยิ้มกว้างราวกับมีความสุขมาก พลางระดมจูบแก้มผมไม่หยุด ก่อนจะรับปากอย่างรวดเร็วว่าจะพาผมและเด็กๆ ไป

“โอเคครับ พรุ่งนี้เราไปสวนสนุกกัน”

เราต่างคนต่างยิ้มให้กัน แม้ในใจลึกๆ เราเองก็รู้ดีว่าเรามีปัญหาที่หนักหนาแค่ไหนรออยู่ แต่เราก็เลือกที่จะเมินเฉย ไม่พูดถึงมัน ทำราวกับว่าโลกนี้มีแค่เราสองคนและไม่มีอะไรที่ต้องแคร์

แต่ในโลกของความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นแบบนั้น เราสองคนมันก็แค่คนขี้ขลาดที่ไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาที่รออยู่ แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ คนเห็นแก่ตัวไม่จำเป็นต้องแคร์หรือใส่ใจอะไรคนอื่นนักหรอก แล้วในเมื่อตอนนี้ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมจะแคร์อะไรทำไมกัน

ผมหลับตาลงเพื่อปิดกั้นทุกอย่าง ที่ผมต้องการมีแค่คนที่นอนอยู่ข้างกายคนเดียวเท่านั้น เท่านั้นก็พอ

.

.

.

วันต่อมาเราออกไปสวนสนุกกันแต่เช้า เด็กๆ ตื่นเต้นมากที่รู้ว่าจะได้ไปเล่นของเล่น ผมเตรียมเอกสารและตั๋วเครื่องบินใส่กระเป๋าเป้ไว้เผื่อต้องไปฉุกเฉิน เสื้อผ้าผมก็ไม่ได้เอาไปมาก เอาไปแค่คนละชุดเพราะไม่อยากให้คามินจับสังเกตได้ อีกอย่างตอนมาผมก็ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเยอะด้วย ที่มีๆ นี่ก็คามินซื้อให้ใหม่ทั้งนั้น ผมทำตัวตามปกติ และก่อนที่จะออกจากห้อง ก็ดูเหมือนว่าโลกแห่งความเป็นจริงกำลังมาทวงสัญญาจากผมตามเวลาที่ควรจะเป็น


‘วันนี้! อย่าผิดสัญญาล่ะปราณันต์!!’


ข้อความที่ปรากฎอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ กระชากผมออกมาจากโลกแสนหวานที่ผมขังตัวเองและคามินเอาไว้ ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำๆ พร้อมกับเตือนตัวเองว่าวันนี้ผมต้องออกจากโลกที่ผมสร้างขึ้นเพื่อไปเจอกับความเป็นจริงได้แล้ว เพราะฉะนั้นช่วงเวลาแห่งความสุขสุดท้าย อะไรที่เก็บเกี่ยวไว้ได้ ผมก็ควรทำให้เต็มที่

ผมฝืนยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปเจอกับคามินและเด็กๆ ที่รออยู่ เราออกเดินทางไปยังสวนสนุกชื่อดัง พอไปถึงเราทั้งสี่ ก็เล่นเครื่องเล่นทุกเครื่องเล่นที่เราอยากเล่น เราจูงมือกันไปถ่ายรูป ไปทานข้าว ไปซื้อของที่ระลึก ทำทุกอย่างเหมือนที่ครอบครัวหรือคู่รักอื่นๆ เขาทำกัน

ผมและฝาแฝดกรีดร้องและหัวเราะกันอย่างสุดเสียง คามินเองก็เหมือนกัน คนตัวโตแจกจ่ายยิ้มให้กับคนไปทั่วตลอดเวลา สายตาหลายคู่เหลียวมองเราอย่างอิจฉา เพราะวันนี้คามินดูหล่อและสดใสมากๆ ด้วยเสื้อผ้าสบายๆ ที่เหมือนปุณณกันต์กับปัณณธรอย่างกับแกะ ที่จริงก็เหมือนผมด้วยนั่นแหละ ถ้าจะเรียกว่าเสื้อครอบครัวก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก

ผมมีความสุขมากเมื่อมองไปยังเจ้าของมือใหญ่ที่กำลังจูงผมอยู่ และยิ่งมีความสุขมากเมื่อมองไปยังฝาแฝดที่กำลังกินไอศครีมจนเลอะปากไปหมด นี่สินะ ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวที่แท้จริง

แต่เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ ตอนนี้ก็บ่ายแก่มากเต็มทีแล้ว เราสี่คนมานั่งพักทานของว่างกันอยู่ที่มุมนั่งเล่นมุมหนึ่งของสวนสนุก ปุณณกันต์กับปัณณธรเล่นจนเหนื่อย และพอหลังจากทานของว่างเสร็จก็ดูเหมือนพวกแกจะน็อคหลับไปทันที ผมนั่งลูบศรีษะเล็กๆ ทั้งสองที่กำลังหนุนตักผมนอนอย่างรักใคร่ ส่วนคามินเองก็มองมาที่ผมไม่วางตา ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะโน้มเข้ามาช้าๆ แล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของผม

“ขอบคุณนะครับคุณปราณ วันนี้ผมมีความสุขมาก... มากจริงๆ” คามินพูดก่อนที่จะยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวเล็กๆ ให้ผมเห็น

“ขอบคุณคุณมากเหมือนกันนะครับ ขอบคุณที่สร้างและเติมเต็มความทรงจำดีๆ ให้ผมกับน้องๆ ผมมีความสุขมาก และผมก็จะจำความสุขที่ได้รับวันนี้ไว้ตลอดชีวิต” ผมฝืนยิ้มกว้างและกลั้นก้อนสะอื้นไว้ไม่ให้คามินจับได้

ใบหน้าคมคายยื่นเข้ามาหาผม ผมหลับตาพริ้มเตรียมรอรับจูบจากคนตรงข้าม คามินประทับริมฝีปากหยักลงมาริมฝีปากอิ่มของผมช้าๆ คนตัวโตละเลียด ดูดดึง บดคลึง และเลาะเล็มความหอมหวานจากผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมเผยอริมฝีปากออก เพราะอยากให้คนตรงข้ามสัมผัสผมได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม และเมื่อเรียวลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากผม ผมก็ส่งลิ้นเล็กๆ เข้าไปเกี่ยวกระหวัดทันที เราต่างแลกจูบซึ่งกันและกันอย่างอ่อนโยนและลึกล้ำ จูบนี้ของคามินเป็นจูบที่หวานที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับ น้ำตาผมไหลออกมาช้าๆ ความรู้สึกในอกตีกันประดังประเดไปหมด

และเมื่อริมฝีปากหยักถอนออกจากริมฝีปากผม คามินจึงเห็นว่าผมร้องไห้ แต่คนตัวโตเข้าใจว่านี่คือน้ำตาแห่งความสุข จึงยิ้มบางๆ และค่อยๆ จูบซับน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมเองก็ยิ้มตอบคนตัวโตไปทั้งน้ำตานองหน้า เราต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ที่เราสองคนสร้างขี้น จนกระทั่ง...


Rrrr


คามินผละออกจากผม เพื่อดูสายที่เรียกเข้ามาว่าคือใคร ผมเห็นใบหน้าคมคายเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่เห็นชื่อใครบางคนปรากฎอยู่ที่หน้าจอ คามินหันมามองผมนิดหน่อย ก่อนจะกดรับสายแบบเสียไม่ได้ เสียงทุ้มกรอกลงไปอย่างเย็นชา

“มีอะไร”

ผมเห็นสีหน้าของคามินยามฟังปลายสายพูด ดูไม่ค่อยสบอารมณ์และเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างที่ผมเดาอารมณ์ไม่ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ คามินฟังปลายสายพูดอยู่อีกไม่กี่อึดใจ ก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

“เข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” คามินกดวางสายแล้วหันมามองผมอย่างลำบากใจ ผมจึงยิ้มให้คนตรงข้ามก่อนจะพูดอย่างเข้าใจ

“ไปเถอะครับ ผมกลับเองได้”

คามินไม่ตอบอะไร แต่ดูละล้าละลังเพราะไม่อยากทิ้งผมไป แต่ธุระสำคัญที่รอให้ไปทำอยู่ก็จำเป็น

“จริงๆ นะครับ คุณไปเถอะ ผมกลับเองได้จริงๆ ผมโตแล้วนะ” ผมยิ้ม แต่หัวใจผมกำลังร้องไห้อย่างรุนแรง ช่วงเวลาสุดท้ายระหว่างเรามาถึงแล้วสินะ

“คุณปราณ คุณรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวผมจะโทรบอกให้แทนคุณมารับ แล้วผมจะรีบกลับไปเจอคุณที่คอนโด โอเคไหม”

คามินกำชับ ก่อนจะยื่นหน้ามาจูบที่แก้มกับปากผมเร็วๆ แถมยังเผื่อแผ่ด้วยการก้มลงไปจูบแก้มยุ้ยๆ ของปุณณกันต์กับปัณณธรที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ด้วย

“รออยู่ที่นี่นะครับ แล้วผมจะรีบกลับไปหา” คามินยิ้มบางๆ ให้ผม จนใจผมเจ็บไปหมด


“คุณไปเถอะ” ผมเว้นจังหวะแปปนึง ก่อนจะฝืนยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นก็เอ่ยประโยคที่ผมอยากจะบอก เพราะคงไม่มีโอกาสที่จะได้บอกออกไปอีกแล้ว “ดูแลตัวเองนะครับ ผมรักคุณมาก คุณรู้ใช่ไหม”


คามินชะงักไปแปปนึง ความแปลกใจ ความดีใจ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาทางสีหน้าและแววตาคมจนหมดสิ้น คนตัวโตดูละล้าละลังและทำท่าเหมือนไม่อยากจะไป สัญชาตญาณบางอย่างของคามินคงกำลังเตือน

“คุณปราณ...”

“ผมแค่อยากบอกเฉยๆ” ผมแสร้งทำเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยอย่างขี้เล่น “ไปได้แล้วครับ คุณมีธุระสำคัญรออยู่นะ” คามินถอนใจอย่างตัดใจ ก่อนจะลุกขึ้นและหันหลังเดินออกไป แต่จู่ๆ ก็หันหลับมามองผมอีกรอบ

ผมที่กำลังมองคนตรงหน้าอยู่อย่างไม่วางตา ราวกับอยากจะซึมซับทุกรายละเอียดของคนๆ นี้เอาไว้ พอเห็นคามินหันกลับมา ผมจึงแกล้งทำมือโบกไล่พร้อมกับหัวเราะอย่างหยอกล้อ คามินที่พอเห็นท่าทางแบบนั้นของผมก็คงเบาใจ เลยยิ้มออกมาแล้วหันหลังเดินจากไปในที่สุด

ผมมองแผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคย และให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ผมเสมอค่อยๆ ไกลห่างออกไปจนลับตาในที่สุด


“ลาก่อนนะคุณคราม ลาก่อนครับความรักของผม...”


คำลาสุดท้ายที่ผมพึมพำออกมา พร้อมกับน้ำใสที่ไหลจากตากลมช้าๆ ความรู้สึกของคำว่าใจสลายมันเป็นแบบนี้นี่เอง


.... หมดเวลาของคนเห็นแก่ตัวแล้วปราณันต์


ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เพื่อรวบรวมสติและความกล้าที่จะก้าวออกไปในที่ที่ผมไม่รู้จักและคุ้นเคย ผมต้องเข้มแข็งเพื่อน้องๆ ทั้งสองของตัวเองด้วย

ผมมองเจ้าหนูทั้งคู่ที่กำลังนอนหนุนตักผมอยู่ด้วยสายตารักใคร่ ก่อนจะค่อยๆ ปลุกเด็กทั้งสองให้ตื่นจากการหลับใหล “ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตื่นเถอะ เราต้องไปแล้วนะ”

เจ้าตัวน้อยงัวเงียตื่น พร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง หัวเหอของเจ้าหนูทั้งคู่ชี้ฟูจนผมอดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้ ผมลูบศีรษะเล็กๆ ของตัวแสบทั้งคู่ ในขณะที่ช่วยพวกแกเช็ดหูเช็ดตาไปด้วย

“จะกลับบ้านแล้วหรอครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์ถามขึ้น ทำเอาผมสะท้อนในอกไม่น้อย

“ใช่ครับ แต่คราวนี้เป็นบ้านใหม่นะ ปุณณ์กับปัณณ์อยากไปบ้านใหม่กับพี่ปราณไหมครับ” ผมฝืนทำเสียงร่าเริงใส่เด็กๆ ก่อนที่จะจับพวกแกลุกขึ้นยืน และได้สายตาสงสัยกลับมาแทน

“บ้านใหม่มีพี่ครามอยู่ด้วยไหมครับ” ปัณณธรถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ผมยังไม่อยากตอบเด็กๆ ตอนนี้ ผมไม่อยากโกหกพวกแก

“แต่บ้านใหม่มีพี่ปราณนะ ปุณณ์กับปัณณ์ไม่อยากอยู่กับพี่ปราณหรอ” ผมแกล้งถามเสียงเศร้า และก็ได้ผลดีเกินคาดเพราะเจ้าหนูทั้งสองเดินมากอดผมไว้แน่น

“ปุณณ์กับปัณณ์อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้มีพี่ปราณ”

“ใช่ๆ ขอแค่ได้อยู่กับพี่ปราณก็พอแล้ว”

ผมแอบปาดน้ำตาหลังจากได้ยินน้องชายพูดแบบนั้น ผมรู้ว่าพวกเด็กๆ เองก็รักคามินมาก และอยากให้พี่ครามอยู่ด้วยในทุกๆ ที่ที่พวกแกจะไป แต่ฝาแฝดเองก็คงไม่อยากให้ผมเสียใจ ถึงได้ว่าง่ายไม่ทำตัวมีปัญหา ผมกอดเด็กๆ กลับแน่นๆ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วผมก็ต้องเดินหน้าต่อ จะถอยหลังไม่ได้อีก

“ขอบคุณปุณณ์กับปัณณ์มากนะครับ” ผมจูบแก้มของเจ้าหนูทั้งสองเบาๆ “ไปครับ เราไปกันเถอะ”

ผมจูงมือเด็กๆ แล้วพาเดินออกไปเรียกแท็กซี่ข้างหน้าสวนสนุก ก่อนที่คุณแทนคุณจะมาถึง และหลังจากเรียกแท็กซี่ได้ ผมก็จับน้องๆ ขึ้นรถ แล้วบอกจุดหมายปลายทางให้คนขับรู้

“ไปสนามบินครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเด็ดขาด พลางกระชับมือเล็กๆ ของฝาแฝดที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจไว้แน่น ราวกับจะให้สัญญาว่าผมจะดูแลพวกแกให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

รถค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้าๆ สายตากลมของผมมองตามวิวข้างทางอย่างเหม่อลอย ใจผมเจ็บไปหมด แต่ก็ทำได้แค่ยอมรับความจริง


... ลาก่อนคามิน ...

.

.

.

To Be Continue

-------------------------------------------------------------------------------

เอาล่ะ วันนี้ที่รอคอย... นักอ่านแซ่ซ้องสรรเสริญ 5555555555555555555555

เป็นหมาแน่ๆ แร้วคับพี่คราม จุ๊กรู้วววววว กร้ากกก

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกกำลังใจนะคะ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วแหละ เราก็เลยอยากจะขอบคุณมากๆ ที่อยู่มาด้วยกันจนถึงตอนนี้ ขอบคุณที่คอยคอมเม้นท์ คอยให้กำลังใจ คอยมาบอกให้สู้ๆ ให้เรารู้ว่ามีทุกคนรออยู่ ซึ้งใจมากๆ เลย ขอบคุณนะคะ .. และเราก็หวังว่าทุกคนจะอยู่ไปด้วยกันจนถึงตอนจบเนาะ ^^

สุดท้ายนี้ ชอบไม่ชอบ โอเคไม่โอเคยังไง คอมเม้นท์บอกเราได้น้า เรารออ่านคอมเม้นท์จากทุกคนเด้ออออ แล้วประมาณ พฤหัสหรือไม่ก็ศุกร์มาอ่านพาร์ทของนังครามกัน... แล้วไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

เริ้บ เริ้บบบบ <3

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
การตามหา ตามล่า กำลังจะเกิดขึ้น ..

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออเเ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โห~เชือดนิ่มๆ ทำให้มีความสุขจนล้นแล้วจากไป โหดพอตัวนะเนี้ยปราณ แต่แอบสะใจดี 5555 หนีไปตัดให้ขาดล่ะอย่าให้เพื่อนต้องหอนได้ในเร็ววัน กระอักตายก็คราวนี้ละคามินเอ้ย โดนหลอกให้เสพสุขจนทะลัก กรรมนั้นคืนสนองยิ่งกว่า5จี 55555 สนุกกกกกกกกมาต่อยาวๆขอบคุณมากนะคะ เป็นกำลังใจให้แต่งทุกตอน  :L2: :L2: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปกันเลย หนทางยิ่งยาวไกลนะปราณ

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
29th Lies : เพิ่งรู้ใจ


Kamin’s Part


ปราณันต์กับฝาแฝดหายไป...

หลังจากที่ผมออกมาจากสวนสนุก และไปคุยธุระกับเจ้าของสายที่โทรเข้ามา แทนคุณก็โทรมาหาผม แล้วรายงานว่าเขาหาปราณันต์และฝาแฝดไม่เจอ


‘บอสครับ บอสแน่ใจนะครับว่าคุณปราณันต์ กับคุณหนูทั้งสองอยู่ที่นี่’ แทนคุณถามผมเสียงตื่น

‘แน่ใจสิ ทำไมล่ะ’ ผมย้อนถามด้วยความแปลกใจ ทำไมแทนคุณดูตกอกตกใจขนาดนั้น

‘ผมหาคุณปราณันต์กับคุณหนูฝาแฝดไม่เจอครับ นี่ผมตามหาจนรอบสวนสนุกแล้ว ผมไม่เจอใครเลยครับบอส’ พอได้ยินแบบนั้นก็กลับกลายเป็นผมเองที่นั่งไม่ติด

‘โทรไปเช็คกับแม่บ้านที่คอนโด เผื่อคุณปราณพาเด็กๆ กลับบ้านไปแล้ว ส่วนนายรอฉันอยู่ที่สวนสนุกนั่น ฉันจะรีบกลับไปหา’



ผมตกใจจนหัวใจแทบหลุดออกจากขั้ว ก่อนจะผลุนผลันออกจากร้านกาแฟ ที่ผมมานัดคุยธุระหลังแยกจากปราณันต์ แค่ลำพังเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้จากสิปปกรผมก็สั่นคลอนความรู้สึกผมมากพออยู่แล้ว และตอนนี้แทนคุณก็มาบอกว่าหาปราณันต์ไม่เจออีก ผมเลยต้องรีบลนลานออกจากคอฟฟี่ช็อป เพื่อไปสมทบกับคนสนิทที่รอผมอยู่ที่สวนสนุกโดยแทบจะทันทีทันใด

สิปปกรคือคนที่โทรมาหาผมตอนที่ผมอยู่กับปราณันต์ ไอ้เพื่อนรักของมันบอกว่ามีธุระด่วนมากจะคุยด้วย ตอนแรกผมก็อิดออดไม่อยากจะไปเจอหมอนั่นเท่าไหร่หรอก ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็แค่สองข้อคือ หนึ่งตอนนี้ผมกำลังอยู่กับปราณันต์ และผมก็มีความสุขมาก มากจนไม่อยากให้คนอย่างสิปปกรมาทำให้เสียอารมณ์ และสองคือผมกับหมอนั่นกำลังมีคดีกันอยู่ มันเคยมาเกาะแกะ และคิดจะจีบปราณันต์ของผม แล้วทำไมผมต้องมานั่งคุยธุระบ้าบออะไรกับคนที่เป็นศัตรูหัวใจของตัวเองด้วยล่ะ

แต่แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อได้ยินสิปปกรพูดประโยคสำคัญออกมา


‘กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง เรื่องสำคัญ เรื่องการตายของคุณพ่อกับคุณแม่ของปราณันต์’


ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมต้องยอมทิ้งปราณันต์กับเด็กๆ ไว้ แล้วให้แทนคุณไปรับแทน เพราะเรื่องที่สิปปกรพูดมันถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ แล้วยิ่งเป็นเรื่องของปราณันต์ ผมยิ่งเมินเฉยไม่ได้ และเมื่อพอผมได้รู้จากปากสิปปกร นั่นทำให้ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกแล้วที่มาพบไอ้เพื่อนสนิทผมคนนี้ เพราะข้อมูลที่สิปปกรบอกมานั้น มันเข้าขั้นคอขาดบาดตายเลยทีเดียว


‘มีอะไรก็ว่ามา กูต้องรีบกลับไปหาคุณปราณ’ ผมพูดกับเพื่อนสนิทอย่างเย็นชา เพียงแค่นึกถึงวันที่มันจับมือปราณันต์ ผมก็แทบอยากจะต่อยหน้ามันให้หงายอีกรอบ

‘ก่อนหน้านี้ฉันสืบข้อมูลของคุณปราณ’ จู่ๆ สิปปกรก็พูดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นประโยคที่ผมได้ยินแล้วหัวร้อนไปหมด มันมีสิทธิ์อะไรมาสืบเรื่องของปราณันต์กัน ผมกำลังอ้าปากจะด่า แต่สิปปกรพูดสวนกลับมาก่อน

‘ไม่ต้องด่า กูรู้ว่าที่กูทำมันไม่ถูก คุณปราณเองก็ไม่ได้ขอให้กูทำ เพียงแต่มันมีบางอย่างที่มันแปลกๆ เกี่ยวกับการตายของคุณพ่อและคุณแม่คุณปราณ กูเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร เลยตัดสินใจให้คนลองไปขุดคุ้ยดู ปรากฎว่ากูเจอนี่’

สิปปกรเลือนกระดาษแผ่นบางๆ มาให้ผมสองสามแผ่น ในนั้นเป็นข้อมูลของคดี คดีที่มีคนเมาแล้วขับรถมาชนรถของคุณพ่อกับคุณแม่ของปราณันต์ ตามรายงานของตำรวจบอกว่า รถของทั้งคู่โดนชนอย่างแรงจากรถที่แล่นสวนเลนมา ซึ่งเป็นคนเมาแล้วขับ จนรถคันของคุณพ่อและคุณแม่อัดก๊อปปี้เข้ากับเสาไฟฟ้าข้างถนน ทั้งคู่บาดเจ็บสาหัส แล้วมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลภายหลัง ส่วนคู่กรณีดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะหนีไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึง จนถึงวันนี้ก็ยังจับไม่ได้ว่าใครเป็นคนขับรถคันนั้น

ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะดันกระดาษสองสามใบนั้นคืนสิปปกร แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

‘ขอโทษด้วย เรื่องนี้กูรู้อยู่แล้ว ถ้าวันหลังจะเรียกกูมาด้วยเรื่องที่กูรู้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องนะ เสียเวลา’

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าของผมงอง้ำอย่างไม่พอใจที่ถูกรบกวนเวลาส่วนตัวที่ควรจะได้อยู่กับคนที่ผมอยากอยู่ด้วย ให้มารับรู้เรื่องที่ไม่ได้ใหม่ไปกว่าเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วเลย

แต่สุดท้ายโดยที่ผมยังไม่ทันได้เดินออกไป ก็กลับถูกหยุดด้วยคำพูดบางประโยคของสิปปกรเสียก่อน

‘แล้วมึงรู้หรอว่าคนที่ขับรถชนรถคุณพ่อกับคุณแม่ของปราณันต์คือใคร มึงรู้แล้วหรอ’ สิปปกรถามผมด้วยน้ำเสียงของคนที่เหนือกว่า โดยมีตาคมของผมตวัดจ้องไปยังคนตรงข้ามไม่วางตาหลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว

‘แล้วมึงพูดเหมือนมึงรู้’

สิปปกรไม่ตอบ อีกฝ่ายทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่จะเลื่อนกระดาษอีกสี่ห้าแผ่นมาให้ผม

‘มึงดูเอาเองแล้วกัน... ให้ตายเหอะ! ทำไมเรื่องมันอิรังตุงนังขนาดนี้วะ’ สิปปกรเสยผม พร้อมกับถอนหายใจอย่างหงุดหงิดและไม่สบายใจ ตอนที่ผมดึงกระดาษแผ่นแรกขึ้นมาดู

ในกระดาษแผ่นนั้น ปรากฎรูปภาพที่แคปเจอร์มาจากภาพถ่ายของกล้องวงจรปิดตรงสี่แยกก่อนถึงที่เกิดเหตุอีกที เป็นภาพรถสปอร์ตคันหรูคันหนึ่งที่เห็นแผ่นป้ายทะเบียนด้านหลังค่อนข้างชัดเจน ซึ่งในกระดาษนี้มีข้อความระบุไว้ด้วยว่า รถคันนี้แล่นมาอย่างเร็ว ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบถึงสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง

ผมพลิกหน้ากระดาษ เปิดไปยังอีกแผ่นด้วยความสังหรณ์ใจบางอย่าง ซึ่งกระดาษแผ่นต่อมา เป็นกระดาษที่ถูกถ่ายสำเนามาและคิดว่าน่าจะได้มายากพอสมควร เพราะที่หัวกระดาษปั๊มคำว่า “ลับ” เอาไว้ ซึ่งถ้ามันไม่ถูกปิดเป็นความลับ เพราะข้อมูลนั้นเป็นความลับจริงๆ มันก็คงจะถูกปิดเป็นความลับ เพราะเป็นข้อมูลที่ไม่อยากให้ใครรู้ และเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกสำหรับพวกผมเท่าไหร่นักหรอก นักธุรกิจอย่างพวกผมเคยชินกันดี แค่มีเงินข้อมูลอะไรก็เป็นความลับได้ทั้งนั้นแหละ

ในกระดาษแผ่นนั้นเป็นข้อมูลของผู้ถือครองรถสปอร์ตคันที่ขับชนคุณพ่อและคุณแม่ มันถูกระบุว่ารถคันนั้นว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่น โดยมีผู้ถือครองคือ


... พรวลัย ...


ผมช็อคไปทันที่เห็น ก่อนจะเหลือบมองหน้าสิปปกรที่กำลังมองมาที่ผมอย่างไม่สบายใจ

ผมเชื่อแล้วล่ะ ว่าสิ่งที่สิปปกรจะบอกผมนั้นสำคัญและคอขาดบาดตายจริงๆ

ผมตั้งสติและพลิกเอกสารแผ่นต่อๆ ไปอย่างไม่รอช้า มันเป็นข้อมูลของการซ่อมรถ ทำสี และเปลี่ยนสภาพใหม่ทั้งหมดของรถสปอร์ตคันนั้น รวมทั้งมีข้อมูลการตรวจร่างกายของวลัยที่ถูกระบุว่ามีค่าแอลกอฮอล์ในเลือดสูงมาก รวมทั้งมีรอยฟกช้ำตามจุดต่างๆ ที่ได้รับการกระแทกจากการถูกรถชนด้วย

ผมวางเอกสารต่างๆ ที่สิปปกรให้บนโต๊ะเงียบๆ ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ผมนึกสงสารคนตัวเล็กของผมที่ชีวิตต้องมาพบเจออะไรเลวร้ายแบบนี้ไม่หยุดหย่อน เขาจะใจสลายแค่ไหน หากได้รู้ว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขาเสียชีวิต แค่คิดหัวใจผมก็เจ็บปวดไปหมด จนพาลให้ทำอะไรไม่ถูกเอาดื้อๆ

ผมไม่รู้หรอกว่าเพื่อนผมมันได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ถ้ามีเงินและคอนเนคชั่นที่ทั่วถึงพอ การจะได้มาซึ่งอะไรแบบนี้คงไม่ยากหรอก เป็นผมเองด้วยซ้ำ ที่ไม่คิดจะรื้อค้นอะไรเรื่องพวกนี้เลย ผมรู้แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ปราณันต์ไม่เคยพูดถึง และเลี่ยงที่จะพูดถึง ผมเลยไม่อยากขุดคุ้ยให้คนตัวเล็กของผมไม่สบายใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าเรื่องพวกนั้นมันจะสำคัญขนาดนี้ สำคัญถึงขนาดที่ว่ามันอาจจะมีผลต่อความปลอดภัยของทั้งปราณันต์และฝาแฝดก็เป็นได้

สิปปกรจ้องผมนิ่ง ก่อนจะถามอย่างไม่สบายใจ

‘แล้วมึงจะเอายังไงต่อ เรื่องนี้คุณปราณยังไม่รู้แน่ๆ ส่วนฝั่งพรวลัย กูไม่แน่ใจว่ารู้เรื่องนี้รึยัง แต่ถ้าเธอตามสืบข้อมูลของคุณปราณ กูมั่นใจว่าอีกไม่ช้าเธอต้องรู้เรื่องนี้แน่’

ผมคิดตามที่สิปปกรพูด ซึ่งหมอนั่นพูดถูก และก็อย่างที่ผมบอกไปตอนแรกแหละ ว่าถ้าพรวลัยรู้เรื่องนี้แล้ว มันอาจจะหมายถึงความปลอดภัยของครอบครัวปราณันต์ทั้งสามของผมด้วย

‘กูจะถอนหมั้นกับวลัย แล้วกูก็จะรื้อคดีของคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณปราณขึ้นมาด้วย เพราะถ้าขืนปล่อยไว้แล้ววลัยรู้ก่อน...’

ผมละไว้เพราะไม่อยากจะพูดต่อ ลองครอบครัวพรวลัยปิดคดีนี้มาได้สี่ห้าปีขนาดนี้คงต้องไม่ยอมให้เรื่องแดงง่ายๆ แน่ คดีขับรถชนคนตาย แถมยังเป็นการเมาแล้วขับอีก นอกจากพรวลัยจะผิดจนอาจถึงขั้นต้องติดคุกแล้ว ยังอาจทำให้ชื่อเสียงของตระกูลด่างพร้อยอีก นี่ยังไม่นับรวมผลกระทบวงกว้างที่อาจเกิดขึ้นกับพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นหลังจากความจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผยอีก



และก่อนที่ผมกับสิปปกรจะได้คุยอะไรกันต่อ แทนคุณก็โทรเข้ามาและรายงานเรื่องที่ปราณันต์และเด็กฝาแฝดหายไปเสียก่อน นั่นทำให้ผมตกใจจนแทบคลั่งยิ่งกว่าเดิม ใจผมคิดเป็นห่วงไปล้านแปด และกลัวจับใจว่าพรวลัยจะรู้เรื่องที่ปราณันต์เป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่แล้ว โดยที่ผมไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าพรวลัยวางแผนทุกอย่างนำหน้าผมไปไกลมากแล้ว

... ไกลถึงขึ้นที่ว่าทำให้ปราณันต์ทิ้งผมไปได้โดยไม่ลังเลอะไรเลยสักนิด

.

.

.

ผมตามมาสมทบกับแทนคุณที่สวนสนุกด้วยหัวใจที่ร้อนรน หลังจากเจอกัน แทนคุณก็ส่ายหน้าอย่างไม่สบายใจให้ผม เหมือนกับจะบอกผมกลายๆ ว่า เขาหาปราณันต์และเด็กๆ ไม่เจอ

“นายแน่ใจนะแทนคุณว่าหาทั่วแล้ว” ผมถามย้ำ แต่คำตอบที่คนสนิทผมตอบก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเลยสักนิด

“ไม่มีครับบอส ผมหาจนทั่วแล้ว” แทนคุณพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดและกังวล “แต่ผมลองไปถามจากคนขายตั๋วด้านหน้าแล้ว เขาก็บอกว่าเห็นคุณๆ ขึ้นรถแท๊กซี่ออกไป”

“นายแน่ใจหรอว่าเขาจำไม่ผิดคน”

“ไม่ผิดครับ เพราะเขาจำคุณหนูปุณณกันต์กับคุณหนูปัณณธรได้ เด็กฝาแฝดที่มาเที่ยววันนี้ ก็เห็นจะมีแต่คุณหนูสองคนนี่เท่านั้นล่ะครับ”

แทนคุณย้ำ ยิ่งทำเอาผมไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม

“แล้วที่คอนโดล่ะ โทรกลับไปเช็ครึยัง” ผมถามราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“เช็คแล้วครับบอส แม่บ้านบอกว่ายังไม่มีใครกลับเข้าไปที่คอนโดเลยครับ” แทนคุณหยุดพูดไปพักหนึ่ง ราวกับลังเลว่าประโยคต่อไปที่จะพูดนั้นสมควรรึป่าว

“บอสครับ ผมคิดว่าเราควรต้องยอมรับได้แล้วนะครับ ว่าคุณปราณันต์และคุณหนูทั้งสองหายตัวไป เราจะได้คิดหาหนทางที่จะตามหาคุณๆ กันต่อ”

ผมตวัดสายตามองคนสนิทด้วยสายตามแข็งกร้าว ผมหงุดหงิดงุ่นง่านหัวใจเกินกว่าจะต้องให้ใครมาบอกมาย้ำ

“นายคิดว่าฉันโง่จนมองสถานการณ์ตอนนี้ไม่ออกรึไงแทนคุณ” ผมตวาดใส่คนข้างกายอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะนิ่งไป เมื่อจู่ๆ ใบหน้าหวานใสของปราณันต์ก็ปรากฎขึ้นในความคิด

ใบหน้าใจดีและมีรอยยิ้มสดใสที่ริมฝีปากอิ่มตลอดเวลา

ใบหน้าที่มักจะมองมายังผมอย่างอ่อนโยน และพร่ำบอกผมเสมอว่าให้ผมใจเย็น โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวแบบแทนคุณ ที่ยอมผมและดูแลผมดียิ่งกว่าที่เขาดูแลตัวเอง


‘คุณจะหาใครที่รู้ใจและดีกับคุณเท่าคุณแทนคุณไม่มีหรอกนะครับ คนที่จะจงรักแล้วก็ภักดีกับคุณขนาดนี้น่ะ’


เสียงหวานดังขึ้นมาในห้วงคำนึงของผม นั่นทำให้ผมหลับตาลงช้าๆ พลางใช้มือนวดคลึงระหว่างคิ้วตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างยอมจำนน

“ฉันผิดเองแทนคุณ ถ้าฉันไม่ผลุนผลันออกไปแล้วทิ้งคุณปราณไว้แบบนั้น เขาคงไม่หายไปหรอก”

แทนคุณมองผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา อย่าว่าแต่แทนคุณ ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยเหมือนกัน


...เด็กคนนั้น ปราณันต์คนนั้นทำให้ผมเปลี่ยนไป


“บอส…”

“ช่างเถอะ! ไปตามหาปราณันต์ให้เจอ ข้อมูลหรือเบาะแสอะไรก็เอามาให้หมด ฉันต้องการเจอคุณปราณและเด็กๆ ภายในวันนี้ อะไรเล็กน้อยก็อย่ามองข้าม ฉันจะกลับไปดูที่คอนโด มีอะไรให้รายงานฉันตลอด เข้าใจไหมแทนคุณ”

ผมสั่งเสียงเข้ม เพื่อบ่งบอกแทนคุณว่าเขาต้องทำให้ได้ตามที่ผมพูด ผมมั่นใจว่ายังไง ผมก็ต้องหาปราณันต์ของผมจนเจอ ผมพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ แบบนั้น แม้ในใจผมจะวูบโหวงเหมือนมีหลุมลึกขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางใจก็ตาม

และตอนนี้ไอ้หลุมที่ว่านั้น มันกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก และเหมือนใจจะขาดยามที่ผมนึกถึงปราณันต์ เพียงแค่คิดว่าผมจะไม่ได้เห็นใบหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโต หรือรอยยิ้มสดใสจากปากอิ่มนั่นอีก ผมก็รู้สึกเหมือนจะตายลงไปให้ได้ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร ผมรู้แค่ว่าถ้าผมได้ปราณันต์คืนมาไอ้อาการพวกนี้มันจะหายไปเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามผมต้องหาปราณันต์และเด็กๆ ทั้งสองให้เจอ

ผมต้องหาพวกเขาให้เจอ...

.

.

.

แต่สุดท้าย ผมกลับหาปราณันต์ไม่เจอ

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมมันร้อนรุ่นไปหมด ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปราณันต์หายไป ผมเอาแต่เดินกลับไปกลับมาเหมือนหนูติดจั่น ผมให้แทนคุณไปตามหาทุกที่ ที่ๆ คิดว่าคนตัวเล็กจะพาน้องไป แต่ก็ไม่เจอเลยว่าปราณันต์จะอยู่ในที่เหล่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นที่อพาร์ทเม้นท์เก่า ที่ไนท์คลับที่ปราณันต์เคยทำงาน หรือแม้แต่ที่โรงเรียนอนุบาลของปุณณกันต์กับปัณณธร ผมก็ให้แทนคุณไปตามหา และดูเหมือนว่านอกจากแทนคุณจะหาปราณันต์ไม่เจอแล้ว ผมยังได้รับข้อมูลอีกอย่างที่ทำให้หัวใจผมแทบจะหยุดเต้นยิ่งกว่าเดิม


ปราณันต์ทำเรื่องลาออกให้ฝาแฝดแล้ว


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปราณันต์หายไปไหน ผมมืดไปหมดทุกด้าน และพยายามทบทวนทุกความทรงจำเพื่อหาดูว่าผมทำอะไรให้ปราณันต์ไม่พอใจหรือเปล่า ผมขาดตกบกพร่องตรงไหน ถึงทำให้ปราณันต์ต้องหอบน้องๆ หนีผมไปแบบนี้ หัวใจผมร้อนรนจนแทบจะเป็นบ้า ผมพยายามตั้งสติ และคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาในอาทิตย์ก่อน

แล้วผมก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง...


ปราณันต์แปลกไป


คนตัวเล็กโอนอ่อนให้ผมมากกว่าที่เคย ตามใจและเข้าหาผมในแบบที่ไม่เคยทำ ผมเคยเอะใจในช่วงแรกๆ แต่ก็ไม่นานเพราะผมคิดว่าปราณันต์คงใจอ่อนให้ผมบ้างแล้ว และก็คงเป็นช่วงหวั่นไหว เด็กดื้อของผมอาจจะต้องการที่พึ่งเป็นใครสักคน และก็เป็นผมเองที่อยู่ตรงนั้น คอยอยู่ข้างๆ เขาเสมอ นั่นคงทำให้ปราณันต์เห็นใจและเห็นความดีที่ผมพยายามทำ ผมคิดแบบนั้น เลยไม่เฉลียวใจใดๆ อีก

แต่ถ้าจะให้ยอมรับกันตามตรงก็คือ ผมมีความสุขมากกับสิ่งที่ปราณันต์แสดงออก เพราะตั้งแต่กลับมาคบกัน ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ปราณันต์จะยอมพูดดีๆ กับผม แต่ก็มีช่วงอาทิตย์ที่แล้วนี่แหละ ที่จู่ๆ ปราณันต์เริ่มเป็นฝ่ายกอดผมก่อน อ้อนให้ผมทำนั่นทำนี่ให้ แล้วผมที่รอเวลานี้มานาน ก็ไม่เหลือใจให้สงสัยอะไรอีก ผมเลยไม่ได้เตรียมใจว่ามันคือสัญญาณเตือนว่าคนตัวเล็กนั่น กำลังจะทิ้งผมไป

ผมทรุดลงนั่งกลางห้องเหมือนคนหมดแรง ผมมองไปรอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วความทรงจำระหว่างเราสี่คน แล้วก็ได้แต่เจ็บปวดจนพูดแทบไม่ออก ผมเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่ปราณันต์ถ่ายกับปุณณกันต์ปัณณธรไว้ขึ้นมาดู พลางไล้นิ้วไปตามใบหน้าของคนในภาพช้าๆ ทุกเรื่องราวที่ผมเคยทำร่วมกับปราณันต์หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำเหมือนกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา และทุกสิ่งทุกอย่างของปราณันต์ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจที่ผมไม่เคยค้นเจอ


แล้วจู่ๆ หยดน้ำใสๆ ก็ไหลลงกระทบกรอบรูป ผมยกมือขึ้นสัมผัมใบหน้าตัวเองก่อนจะพบว่า


... ผมกำลังร้องไห้ ...


เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้เจอปราณันต์แล้ว หัวใจผมก็เจ็บไปหมด แค่คิดว่าจะไม่ได้กอด ไม่ได้จูบ ไม่ได้หอมแก้มนิ่มๆ นั่น แขนขาผมก็แทบหมดเรี่ยวแรง ก่อนหน้าที่ผมจะเจอปราณันต์และน้องๆ ผมเหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ใครให้ทำอะไรผมก็ทำ ให้แต่งงานผมก็แต่ง ให้ไปบริหารงานที่บริษัทผมก็ทำไปโดยไม่เกี่ยงงอน ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเป้าหมายจริงๆ ของชีวิตผมคืออะไร จนผมได้มาเจอปราณันต์


ปราณันต์คนที่มักจะยิ้มกว้างและทำให้ผมยิ้มตามเสมอ

ปราณันต์คนที่มักจะใจดีอ่อนโยน จนทำให้หัวใจที่เคยเย็นชาของผมถูกละลายลงอย่างราบคาบ แต่ปราณันต์คนนี้ก็ยังคงมีความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวจนน่าชื่นชม

ปราณันต์คนที่ผมทำให้ร้องไห้ซ้ำซาก แต่เขาก็ยังคงรักผมไม่เปลี่ยนแปลง

สุดท้ายปราณันต์คนนั้นมักจะถามผมซ้ำๆ ว่ารู้สึกยังไงกับเขา ซึ่งผมก็เป็นแค่คนโง่ที่ไม่รู้หัวใจตัวเอง เลยตอบไม่ได้สักทีว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาคืออะไร


จนวันนี้ผมพร้อมจะบอกเขาแล้ว แต่ปราณันต์กลับไม่ได้อยู่ฟัง ผมอยากบอกเขาซ้ำๆ ให้เขาได้มั่นใจว่าผมรู้สึกกับเขาแบบนี้จริงๆ


...ผมรักปราณันต์....


ผมเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำและหายใจไม่ออกเข้าไปทุกขณะ ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน เพราะผมไม่เคยได้เสียปราณันต์ไปจริงจังสักที จนวันนี้ วันที่ปราณันต์หายจากกรอบสายตาผมไป และผมก็ยังหาเขาไม่เจอ นั่นทำให้ผมได้รู้ว่าผมรักเด็กคนนั้นมากแค่ไหน รักจนหมดหัวใจมานานแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่รู้ตัวเท่านั้น

กว่าผมจะรู้ใจตัวเองทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป และไม่แน่ว่ามันอาจจะสายเกินไปตลอดกาล

.

.

.

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองอย่างล่องลอย อีกใจก็ไม่อยาก เพราะมันทำให้ผมหวนแต่จะคิดถึงเจ้าของหมอนใบข้างๆ จนหยุดไม่ได้ แต่ก็ต้องเข้าไป เพื่อสำรวจดูว่าปราณันต์เอาข้าวของอะไรติดตัวไปบ้าง พอเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็เห็นว่าทุกอย่างยังอยู่ครบ เลยลองเข้าไปดูในห้องของฝาแฝดบ้าง ซึ่งก็ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าของเจ้าตัวน้อยทั้งคู่ยังถูกแขวนเรียงอย่างเป็นระเบียบ ผมเจ็บในหัวใจไปหมด ผมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้คิดอะไรต่อ ผมทั้งกังวลทั้งจนปัญญา คนตัวเล็กของผมแทบไม่ได้เอาอะไรไปเลยแบบนี้ ไม่ลำบากแย่หรอ แล้วไหนจะที่หลับที่นอนอีก ปราณันต์ต้องกระเตงน้องไปด้วยตั้งสองคน จะหากินหาอยู่กันยังไง ยิ่งคิดแบบนั้นผมยิ่งอยากตามหาปราณันต์ให้เจอโดยเร็ว แต่ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน เพราะเพื่อนสนิทที่ปราณันต์มี ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน...

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็หยุดชะงักไป ใช่! ปราณันต์มีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน ไม่ใครก็ใครนี่แหละที่ปราณันต์ต้องไปขอความช่วยเหลือแน่ๆ คนแรกที่ผมคิดไว้ก็คือคนที่สนิทกับปราณันต์ที่สุด คนที่เป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง คนที่ปราณันต์ไว้ใจและเชื่อใจทุกอย่าง ... อนาวิน

“แทนคุณ เอารถออก ฉันจะไปบ้านอนาวิน นายรู้จักใช่ไหม”

ผมตะโกนเรียกแทนคุณเสียงดังลั่น และพรวดพราดลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าต้องไปหาใคร ผมถึงจะหาปราณันต์ของผมเจอ

"ไปถูกครับบอส"

ผมแทบจะไม่รอให้แทนคุณตอบผมจบประโยคด้วยซ้ำ ก็รีบผลุนผลันออกจากห้องทันที แทนคุณที่ว่าเร็วก็ยังแทบตามผมไม่ทัน ตอนนี้ใจผมร้อนยิ่งกว่าไฟเสียอีก ถ้าหาปราณันต์ไม่เจอภายในวันนี้ ผมแทบจะคิดไม่ออกเลยว่าคืนนี้ผมจะข่มตาให้หลับลงได้ยังไง

ไม่ได้ ถ้าผมไม่มีปราณันต์ ผมอยู่ไม่ได้เด็ดขาด แล้วไหนจะปุณณกันต์กับปัณณธรอีก แค่คิดโลกที่เพิ่งจะเคยสดใสของผมก็กลับมืดลง มันเหมือนความสุขในไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน ฝันที่ดีที่สุดแบบที่ผมไม่เคยฝันถึงมาก่อน แล้วจู่ๆ ผมก็ถูกกระชากให้ตื่นมาอยู่ในโลกความเป็นจริง โลกที่ไม่มีปราณันต์ ไม่มีฝาแฝดที่ผมเคยกอด เคยหอม ผมจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง ผมอยู่ไม่ได้หรอก ไม่ได้จริงๆ

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


“ผมไม่รู้”

อนาวินตอบผมหน้าตาย คนตรงหน้าผมดูไม่ยินดียินร้ายกับคำถามของผมเลยสักนิด ในขณะที่ผมร้อนใจจนแทบคลั่ง แต่อนาวินตอบผมกลับมาแค่สามคำ สามคำที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรกับผมเลย

“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะไม่รู้ คุณปราณไม่เคยปิดบังอะไรคุณ จะเป็นไปได้ยังไงที่คุณปราณจะไปไหนแล้วไม่บอกคุณ”

ผมอาละวาดเหมือนคนที่คุมสติตัวเองไม่ได้ ผมคนที่เคยใจเย็นเป็นน้ำแข็งและไม่เคยมีอะไรมาสั่นคลอนได้ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่เหลือเค้าของความเป็นคนเดิมสักนิด มีแต่ความอ่อนไหว ร้อนรน มาดของนักธุรกิจที่ใครๆ ก็หวั่นเกรงหายไปหมดสิ้น เพียงเพราะการหายตัวไปของผู้ชายตัวเล็กๆ กลับทำให้ผมหลุดการควบคุมตัวเองไปโดยสิ้นเชิง

และยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนของอนาวินยิ่งทำให้ผมมั่นใจ คนตรงหน้าผมคนนี้รู้แน่ๆ ว่าปราณันต์หายไปที่ไหน แต่เขาไม่ยอมบอกผม

“ผมบอกคุณไปแล้วไงว่าผมไม่รู้ ไอ้ปราณมันโตแล้วมันจะหายไปไหนก็เรื่องของมันไหม” อนาวินยิ้มเยาะ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะใจ “คุณจะมาถามหามันทำไม เลิกยุ่งวุ่นวายกับเพื่อนผมได้แล้ว โน่น! ไปหาคู่หมั้นคุณโน่น ป่านนี้ร้องเรียกหาคุณจนประสาทเสียไปแล้วมั้ง”

ผมรู้ว่าเพื่อนของปราณันต์ไม่มีใครชอบผมสักคน เพราะที่ผมทำไว้กับคนตัวเล็กมันก็หนักหนามาก และใช่ว่าจะให้อภัยกันได้ง่ายๆ ผมยอมรับกับทุกความผิดที่ผมเคยได้ทำไป แต่ตอนนี้ผมแค่อยากจะขอร้อง ขอให้บอกผมเถอะว่าปราณันต์หายไปไหน ผมยินดีที่จะไถ่โทษทุกอย่าง ขอแค่บอกผม ให้ผมได้มีโอกาสดูแลและบอกรักปราณันต์ อีกครั้ง ผมจะทำให้ดี ไม่ให้ปราณันต์ต้องเสียใจอีก

เมื่อเห็นว่ายังไงอนาวินก็ไม่มีทางใจอ่อน ยอมบอกผม ผมเลยตัดสินใจคุกเข่าลงตรงหน้าอนาวิน

ผม... คามินที่ไม่เคยแม้แต่จะก้มหัวให้ใครด้วยซ้ำ ตอนนี้กำลังยอมแพ้ราบคาบให้กับผู้ชายร่างเล็กตรงหน้า เพียงเพราะอยากรู้ว่าคนที่ผมรักนั้นอยู่ที่ไหน

อนาวินคงกำลังมองมาที่ผมอย่างตกตะลึง แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อมันอาจจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เพื่อนสนิทของปราณันต์เปลี่ยนใจ แล้วยอมพูดในสิ่งที่ผมกำลังร้องขอให้บอก

“ผมขอร้อง บอกผมเถอะนะครับว่าคุณปราณกับฝาแฝดอยู่ที่ไหน ขอโอกาสให้ผมได้ไถ่โทษ ให้ได้บอกว่าผมรักเขาและอยากดูเขาและเด็กๆ มากแค่ไหน” เสียงผมสั่นอย่างยากที่จะควบคุม

“ทำไม ถ้าผมไม่บอกคุณ คุณจะให้คนมาไล่ผมออกจากงานหรอครับ เอาเลย! ผมไม่กลัวหรอก”

อนาวินท้าทาย แต่ผมกลับไม่ตอบโต้ เอาแต่ก้มหน้านิ่ง เหมือนคนที่ยอมแล้วกับทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้ที่ทำได้ผมได้แต่ภาวนาให้อนาวินเห็นใจผม

แต่คำภาวนาของผมกลับไม่เป็นผล

“คุณเคยได้โอกาสจากผมไปแล้วครับคุณคามิน... คุณจำได้รึป่าว ว่าเคยสัญญาอะไรกับผมไว้?” อนาวินถามเสียงเข้ม

“....” ผมเงียบเพราะจำได้ดี

คำสัญญาในตอนนั้นหวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ตอนที่ผมไปขอร้องอนาวิน ให้ช่วยพูดให้ปราณันต์ยอมให้ผมช่วยดูแลฝาแฝด และยอมให้ย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกัน ตอนที่ผมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกับคนตรงหน้าว่าผมจะไม่ทำให้ปราณันต์เสียใจ


‘แต่ก่อนอื่น คุณรับปากผมมาก่อนว่าจะไม่ทำให้ไอ้ปราณและฝาแฝดเสียใจ’

‘ผมสัญญาครับ’

‘โอเคครับ งั้นผมก็ยินดีจะช่วยคุณ’



ผมข่มตาลงช้าๆ ราวกับจะยอมรับทุกผลจากการกระทำของตัวเอง

“แต่คุณกลับทำร้ายเพื่อนผมอย่างแสนสาหัส คุณทำให้เพื่อนผมเสียใจและผิดหวัง หนำซ้ำคุณยังบังคับเอามันไปอยู่ด้วย ไอ้ปราณมันก็รักแล้วมันยอมกลับไปอยู่กับคุณ แต่คุณก็ดูแลมันไม่ได้ แถมยังไม่เคยให้ความมั่นใจอะไรกับมันเลย และที่เลวร้ายที่สุดคือคุณปล่อยให้คู่หมั้นคุณทำร้ายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงขั้น...”

อนาวินชะงักไปราวกับนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดมันออกมา นั่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองอนาวินแทบจะทันทีทันใด

“วลัยทำอะไรคุณปราณ?” ใจผมร้อนรุ่ม นึกสังหรณ์ว่าพรวลัยอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว และการที่ปราณันต์หายไปก็อาจจะเป็นฝีมือของเธอ

“บอกผมมาสิครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรปราณันต์” เสียงของผมเย็นเยียบ จนตัวผมเองก็รู้สึกได้ ผมคิดว่าอนาวินรู้เรื่องทั้งหมดดีแต่เลือกที่จะไม่ยอมบอกผม

“ไม่มีประโยชน์ที่จะมาถามอะไรตอนนี้ คุณเสียโอกาสทุกอย่างไปหมดแล้วคุณคามิน ปล่อยไอ้ปราณมันไปเถอะ ต่างคนต่างอยู่ คู่หมั้นคุณจะได้เลิกวุ่นวายกับมันและกับคนอื่นสักที”

พอพูดจบอนาวินก็ลุกขึ้นยืนและไม่สนใจอะไรผมอีก

“แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรไอ้ปราณก็ไปถามกันเอาเอง... เชิญกลับไปได้แล้วครับ ผมต้องทำงาน”

ร่างเล็กตรงหน้าผมตัดบท ก่อนที่จะเดินออกไปก่อน และทิ้งให้ผมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น พลางคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่าง ผมมั่นใจว่าพรวลัยต้องเป็นคนบีบบังคับให้ปราณันต์ไปจากผมแน่ๆ แต่ประเด็นก็คือ ผมไม่รู้ว่าพรวลัยทำอะไร หรือได้ทำร้ายปราณันต์รึป่าว

แต่จากที่เห็นท่าทีของอนาวิน ผมคิดว่าปราณันต์น่าจะสบายดี และอนาวินก็รู้ดีว่าปราณันต์หนีไปอยู่ที่ไหน แต่เขาไม่ยอมบอกผม และผมก็มั่นใจว่าต่อให้ผมบังคับอนาวินให้ตายยังไง เขาก็ไม่ยอมบอกแน่ แต่ผมก็จะไม่หยุดพยายามแค่นี้ ผมเชื่อว่ายังไงมันก็ต้องมีสักทางที่ผมจะตามหาปราณันต์จนเจอ

.

.

.

ผมตัดสินใจไปหาพรวลัย และเมื่อเธอเห็นผม ก็เดินยิ้มหวานเข้ามาหา เข้ามาเกาะแขนผมราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมได้แต่นึกหวาดกลัวผู้หญิงคนนี้อยู่ในใจ ทั้งจากเรื่องที่ได้ยินจากสิปปกร หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ผมกำลังสงสัยว่าเธอมีส่วนกับการหายไปของปราณันต์ ทำไมเธอถึงยังทำหน้าซื่ออยู่ได้ ทั้งๆ ที่เธอทำร้ายคนอื่นได้อย่างแสนสาหัสขนาดนั้น

“คราม คุณเปลี่ยนใจกลับมาหาวลัยแล้วใช่ไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างออดอ้อน มันอาจจะน่าฟังสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับผม

“คุณทำอะไรปราณันต์” ผมตอบคำถามพรวลัยกลับด้วยคำถาม และสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น ก่อนจะมองไปยังผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับถามย้ำเสียงเข้ม “บอกผมมา”

“หึ! ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่คะ มันคงเป็นธรรมดาของพวกลักพวกขโมยของคนอื่นมั้งคะ ที่คงทนไม่ได้ แล้วก็แพ้ภัยตัวเองไป”

เสียงหวานของผู้หญิงตรงหน้าพูดถึงปราณันต์ของผมอย่างดูถูก ทำเอาผมเลือดขึ้นหน้าไม่น้อย ก็สาเหตุทั้งหมด มันมาจากปราณันต์ที่ไหน คนที่เลวที่สุดในเรื่องนี้คือผมต่างหาก

“คุณไม่มีสิทธิ์พูดถึงคุณปราณแบบนี้นะวลัย คนที่คุณต้องด่าว่าคือผม ไม่ใช่คุณปราณ ผมเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมด คุณปราณไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรด้วยสักนิด จะต้องให้ผมพูดเรื่องนี้อีกกี่รอบกัน”

ผมพูดใส่พรวลัยอย่างเหลืออด ตอนนี้ดูเหมือนว่าความอดทนของผมจะต่ำเตี้ยเหลือเกิน ผมที่เคยมีสติและจัดการปัญหาทุกอย่างได้ด้วยความสงบนิ่ง กลับไม่เหลือเค้าของความเป็นแบบนั้นเลย ตอนนี้มีแต่คามินที่ร้อนรน บ้าคลั่ง และแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

ผมในตอนนี้เอาแต่คิดว่าปราณันต์อยู่ที่ไหน หายไปไหน และเป็นยังไงบ้าง ดูเหมือนว่าใครก็เข้าหน้าผมไม่ติด แล้วยิ่งเป็นพรวลัย ยิ่งทำให้ผมสติหลุดมากกว่าเดิม

“บอกผมมา คุณทำอะไรคุณปราณของผม ทำไมคุณปราณถึงหายไป คุณไปพูดอะไรกับเขา”

ผมพูดเสียงเย็น ที่ฟังดูแล้วอาจจะไม่มีอะไร แต่ที่จริงคือผมกำลังระงับโทสะของตัวเองอยู่อย่างใจเย็น แต่ถ้าวลัยยังคงเล่นแง่กับผมไม่เลิก ความอดทนของผมอาจจะหมดลงในไม่กี่นาทีนี้ก็ได้

“อย่ามาโทษวลัยนะคะคราม มันหนีของมันไปเอง เกี่ยวอะไรกับวลัยไม่ทราบ ป่านนี้มันคงหนีคุณไปหาผู้ชายใหม่แล้วมั้งคะ มันถนัดเรื่องใช้ร่างกายแลกเงิน แลกหน้าที่การงานอยู่แล้วนี่ คุณจะไปห่วงมันทำไม”

ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นพูดลอยหน้าลอยตายั่วโมโหผม ผมกำมือเข้าหากันแน่น ยิ่งพรวลัยพูด ผมยิ่งเห็นอคติและความมืดดำในใจของเธอ ความอิจฉาริษยาที่เธอมีต่อปราณันต์รุนแรงเสียจนผมนึกไม่ถึง

ในขณะที่พรวลัยรังแกปราณันต์ทุกอย่าง ปราณันต์กลับนิ่งไม่ตอบโต้ หนำซ้ำยังเอาแต่โทษตัวเองจนแทบจะให้อภัยไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ปราณันต์ไม่ได้ผิดเลยด้วยซ้ำ ส่วนพรวลัยกลับตรงกันข้าม เพราะไม่ว่าปราณันต์จะขอโทษเธอยังไงเธอก็ไม่ฟัง แถมยังทำร้ายปราณันต์ซ้ำๆ ทั้งที่ปราณันต์ไม่ผิดเลย แต่คนที่ผิดคือผมเองต่างหาก

“ป่านนี้มันคงไปนอนอ้าขาให้ใครสักคน เหมือนกับที่มันทำกับคุณแล้วล่ะค่ะวลัยว่า”


และแล้วฟางเส้นสุดท้ายของผมก็ขาดลง เมื่อวลัยพูดประโยคนั้นจบ


“หยุดเดี๋ยวนี้นะพรวลัย! คุณไม่มีสิทธิ์พูดถึงปราณันต์แบบนั้น อันที่จริงแล้วคุณไม่มีสิทธิ์พูดถึงปราณันต์ด้วยซ้ำ! คุณไม่รู้จักปราณันต์ของผมสักนิด อย่ามาดูถูกเขาเพราะหัวใจคุณมีอคติและคิดอะไรดีๆ ไม่ได้” ผมขบฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่น ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งไม่พอใจ

“พอกันที! ผมทนคุณไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ผมขอถอนหมั้นกับคุณ... พรวลัย!!!” ผู้หญิงตรงหน้าผมดูตะลึงงันไปทันทีหลังจากได้ยินแบบนั้น ผมเองก็ยื่นแหวนที่เก็บไว้ไม่เคยได้ใส่ออกมาวางคืนให้อดีตคู่หมั้นหมาดๆ ทันทีเช่นกัน

“และที่มันเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะปราณันต์ ต่อให้ผมหาปราณันต์ไม่เจออีกตลอดชีวิตผมก็อยู่กับคนใจร้ายแบบคุณไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะคุณทั้งนั้น อย่างที่เคยบอกค่าของหมั้นทั้งหมด ผมยกให้คุณถือว่าชดใช้ที่ทำให้คุณเสียชื่อเสียง และต่อจากนี้ไปเราก็อย่ามายุ่งกันอีกเลย”

“กรี๊ดดดดดดดดดด!” วลัยกรีดร้องดังลั่นหลังจากที่ผมพูดจบ ดังจนถึงขนาดที่ว่าเลขาคนสนิทของเธอต้องรีบวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“คุณวลัยคะ คุณวลัย” เลขาสาวพยายามเรียกสติเจ้านายตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผล วลัยเอาแต่กรี๊ดและกระทืบเท้าแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเอาแต่ใจ

“ฉันไม่ยอม! ฉันไม่ยอม ฉันไม่เลิกกับคุณเด็ดขาดคามิน!! ฉันไม่ยอม!!!!” พรวลัยชี้หน้าผมอย่างอาฆาตมาดร้าย แววตาเรียวเฉี่ยวจ้องผมอย่างไม่ยอมแพ้

“คอยดูเถอะ! ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณได้หาเจอมันเด็ดขาด! ฉันจะทำลายทุกอย่างระหว่างคุณกับมัน คอยดู!”

ผมเองก็ชักจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ถ้าพรวลัยจะทำร้ายผม ผมจะไม่ว่าอะไรสักคำเพราะเรื่องนี้ผมผิดจริง แต่ถ้าจะมาทำร้ายปราณันต์และฝาแฝดของผม ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแบบนี้ ผมยอมไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด

ผมจึงพูดสวนไม้ตายออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน

“อีกอย่าง” ผมพูดเสียงเย็น และบ่งบอกว่าเอาจริง “ผมจะรื้อคดีคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณปราณขึ้นมา ผมจะเอาผิดคนที่ทำให้พวกท่านเสียชีวิตให้ได้ คุณเข้าใจใช่ไหมว่าผมหมายความว่ายังไงพรวลัย”

ในเมื่อพรวลัยไม่ได้สำนึกอะไรกับสิ่งที่เธอทำลงไปเลยสักนิด ผมก็ต้องทำให้มันถูกต้องเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อปราณันต์บ้างก็ยังดี

“คุณ... รู้” พรวลัยพูดเสียงสั่น และจ้องมายังผมอย่างตกตะลึง “ฉันอุตส่าห์กันไอ้เด็กนั่นให้ไกลคุณแล้ว ทำไมคุณถึงรู้” วลัยเกรี้ยวกราดและยอมรับกลายๆ ออกมาว่าตัวเองเป็นคนทำให้ปราณันต์หนีผมไปจริงๆ

“คุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณทำอะไรไว้ แต่คุณกลับไม่เคยสำนึก แล้วหนำซ้ำคุณยังมาทำร้ายปราณราะอยากปกปิดความผิดของตัวเองอีก ทำไมคุณใจร้ายแบบนีห๊ะวลัย คุณทำแบบนี้ได้ยังไง”

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ฉันเกลียดมัน เกลียดน้องมัน เกลียดพ่อแม่มันด้วย พ่อแม่มันทำลายชีวิตฉัน ถ้าพวกมันไม่ตาย ฉันก็ไม่ต้องมานั่งหวาดระแวงแบบนี้หรอก”

พรวลัยสารภาพทุกอย่างออกมาหมดสิ้น แถมยังโทษคนอื่นโดยไม่ยอมมองถึงความผิดของตัวเองอีกต่างหาก ผมยิ่งฟัง ยิ่งได้เห็นพฤติกรรมของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น แล้วผมยิ่งจะทนไม่ได้เข้าไปทุกที

“แล้วแทนที่พ่อแม่มันตายไปแล้ว ฉันจะได้เจออะไรดีๆ กับเขาบ้าง ไอ้ตัวลูกมันก็ยังมาเป็นมารความสุขของฉันอีก เพราะการที่ฉันได้มาเจอคุณ ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่จะได้คุณมาเป็นสามี แต่นี่อะไร ลูกมัน กลับมาแย่งคุณไปจากฉันอีก แบบนี้จะให้ฉันอยู่เฉยได้ยังไง”

วลัยยังคงไม่หยุด เธอพูดทุกอย่างเหมือนคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้วโดยสิ้นเชิง

“ให้มันไปจากคุณนั่นแหละถูกแล้ว ความลับของฉันก็จะยังเป็นความลับต่อไป และฉันก็จะได้คุณคืนมาด้วย แบบนี้สิถึงจะถูก”

ผมมองคนที่เคยเป็นคู่หมั้นด้วยความเวทนา ในใจของพรวลัยมีแต่ความอิจฉาและเห็นแก่ตัว นั่นทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะเอายังไงต่อไป

“พอกันที ผมกับคุณเราอย่ามาเจอกันอีกเลย ผมจะให้เกียรติคุณเป็นครั้งสุดท้าย จัดงานแถลงข่าวซะ ว่าคุณเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นผม จะบอกสาเหตุอะไรก็แล้วแต่คุณหรือจะพูดความจริงก็ได้ว่าผมมันเลวยังไง แต่ถ้าหลังจากนี้สามวันคุณไม่แถลงข่าว ผมจะเป็นคนแถลงเอง”

ผมพูดอย่างใจเย็น ผมให้พรวลัยเป็นคนเลือก แต่ถ้าเธอไม่พูดให้ทุกคนรู้ ผมจะพูดเอง

“ส่วนเรื่องคดี คุณก็เตรียมทนายไว้แล้วกัน ผมเอาจริง .. อีกอย่าง เรื่องปราณันต์ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่ายังไงผมก็จะตามหาเขาให้เจอจนได้ ผมไม่มีวันปล่อยคนที่ผมรักไปแน่ๆ คุณคอยดูก็แล้วกัน”

ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่จะเดินออกมา โดยมีเสียงกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวกราดของพรวลัยดังตามหลังมาไม่หยุด

.

.

.

ผมกลับมาที่คอนโดด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ผมหาปราณันต์ไม่เจอและไม่มีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับการหายไปของปราณันต์เลยสักนิด ผมเดินเข้ามาในห้องนอนตัวเองช้าๆ เหมือนคนที่วิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง ผมมองไปรอบๆ ห้องก็เห็นแต่ร่องรอยและความจำที่เกี่ยวกับคนตัวเล็กของผมเต็มไปหมด ผมได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ปราณันต์ถามผมคราวนั้น


‘แล้วทำไมคุณถึงเสียผมไปไม่ได้ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากรั้งให้ผมอยู่กับคุณ’

‘ปราณ ... ผม.. คือ ... ผม’

‘พอเถอะครับ แค่นี้คุณยังตอบคำถามผมไม่ได้ คุณก็อย่าพยายามมันต่อไปเลย ปล่อยผมเถอะ


‘ปราณ ผม...’

‘แค่คุณจะพูดว่ารักผมจากใจของคุณจริงๆ คุณยังพูดไม่ได้เลย แล้วคุณจะหวังให้ผมเชื่ออะไรคุณอีก ... ผมเจ็บมามากพอแล้วคามิน ถ้าคุณไม่ได้รักผม คุณปล่อยผมไปได้ไหม อย่าทรมานผมแบบนี้อีกเลย ผมขอร้อง’



ถ้าผมรู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้อีกนิด ถ้าผมรู้ว่าผมรักปราณันต์มากขนาดนี้ ผมจะพูดให้เขาได้มั่นใจว่าผมรักและพร้อมจะดูแลเขาและน้องๆ ไปตลอดชีวิตโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ผมคว้าได้แต่อากาศและความว่างเปล่า ไม่มีร่างกายบอบบางที่ผมคุ้นเคยให้กอดได้อีกต่อไป นั่นก็เพราะผมทำตัวเองทั้งสิ้น

ผมค่อยๆ ทรุดตัวนอนลงบนเตียงช้าๆ กลิ่นยาสระผมหอมอ่อนๆ ที่ติดอยู่บนหมอนที่วางอยู่ข้างๆ ศีรษะผม ลอยมากระทบกับจมูก ผมค่อยๆ เอื้อมมือหยิบหมอนใบนั้นขึ้นมากอด พร้อมกับสูดดมกลิ่มหอมจากตัวปราณันต์ที่ติดอยู่บนหมอนอย่างคิดถึง

และนั่นก็ทำให้น้ำตาผมไหลออกมาช้าๆ ผมที่เคยเข้มแข็งกับทุกเรื่องกำลังพ่ายแพ้ให้กับความคิดถึงและความรู้สึกผิดที่กำลังเกาะกินหัวใจ จนทำให้ผมแทบไม่เหลือแรงจะคิดหรือทำอะไรต่อไปได้ และก่อนที่ผมจะได้วางหมอนกลับลงไปที่เดิม ผมก็เห็นซองจดหมายเล็กๆ วางอยู่ตรงจุดที่หมอนเคยวางทับไว้

ผมแกะซองออกอ่านด้วยมืออันสั่นเทา ลายมือที่คุ้นเคยปรากฎขึ้นมาในกรอบสายตาผม


ลายมือของปราณันต์


หัวใจผมเต้นแรงเร็วขึ้นมาทันที นึกภาวนาให้ข้อความในจดหมายบอกอะไรผมบ้าง ผมจะได้รู้ว่าผมต้องไปตามหาปราณันต์ที่ไหน


‘ถึงคุณคามิน

ถ้าคุณได้อ่านจดหมายจากผม นั่นหมายความว่าตอนนี้คุณกับผม เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ผมขอโทษที่จากมาโดยที่ยังไม่ได้บอกลาคุณเลยสักคำ เอาเป็นว่า ช่วงเวลาสี่ห้าวันก่อนหน้านี้ เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมาก และถ้ามันพอจะทำให้คุณมีความสุขบ้างแม้แต่เล็กน้อย ผมก็อยากให้คุณคิดว่านั่นคือคำบอกลาจากผมแล้วกันนะครับ



“โถ่... ปราณ ผมมีความสุขมาก มากที่สุดในโลก คุณเองก็น่าจะรู้”

ผมพึมพำอยู่กับหน้ากระดาษตรงหน้า ก่อนจะอ่านต่อ


‘ผมขอบคุณคุณมากที่ ที่ผ่านคุณดูแลผมกับน้องๆ ให้เป็นอย่างดี ขอบคุณที่คุณทำให้ช่วงเวลาหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับผม คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมเองก็เป็นคนพิเศษและคู่ควรที่จะได้รับการเอาใจใส่จากใครสักคน และคนๆ ก็คือคุณ ผมขอบคุณคุณมากนะครับ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำเพราะรักผม แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณคุณมากเหลือเกิน’


ผมนั่งอ่านไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด และก่อนที่ผมจะรู้ตัว หยดน้ำใสก็ตกลงกระทบบนหน้ากระดาษขาว รอยหมึกของปากกาที่ขีดเขียนเป็นตัวอักษรไว้ เปื้อนซึม แผ่ขยายเป็นวงกว้าง


ผมกำลังร้องไห้.. อีกแล้ว


‘จากนี้ไปผมอยากขอให้คุณดูแลตัวเอง อย่าโหมงานหนักมาก พักผ่อนเยอะๆ ทานข้าวให้ตรงเวลา แล้วก็พยายามอย่าเจ็บอย่าป่วยนะครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บป่วยหรือไม่สบาย เพราะนั่นคงทำให้ผมเจ็บปวดหัวใจไม่น้อย ถ้ารู้ว่าคุณไม่ได้สบายดีอย่างที่ควรจะเป็น’


ผมพยายามกลั้นก่อนสะอื้น แม้มันจะทำได้ยากเหลือเกินในเวลานี้ ปราณันต์ยังคงอ่อนโยนกับผมเสมอ ไม่ว่าผมจะเคยใจร้ายกับเขาแค่ไหนก็ตาม


‘และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เพราะผมรู้ดีว่าคุณรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาตลอด ถ้าคุณอยากไถ่โทษที่คุณเคยทำผมเสียใจ นั่นมีอย่างหนึ่งที่ผมอยากขอคุณ... อย่าตามหาผมเลยนะครับ ปล่อยผมกับเด็กๆ ไปเถอะนะ อย่ากักขังผมไว้เพียงเพราะคุณแค่อยากเอาชนะผม มันมีแต่จะทำให้เจ็บกันทุกฝ่าย ผมเองก็ไม่อยากจะทรมานอีกแล้ว เพราะพอถึงที่สุดแล้ว เรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี’


ผมปาดน้ำตาที่ยังคงไหลลงมาไม่หยุดออก ผมจับความทรมานและความเสียใจผ่านตัวอักษรที่ปราณันต์เขียนได้ทุกประโยค และนั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด และเจ็บไปไม่น้อยกว่าที่ปราณันต์รู้สึกเลย


‘สุดท้ายนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคุณ จนถึงวันนี้ตอนนี้ผมอยากให้คุณสบายใจนะคุณคามิน ผม... ปราณันต์คนนี้ไม่เคยโกรธคุณได้จริงจังเลยสักครั้ง และถึงแม้จะเกิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะทั้งเรื่องดีหรือไม่ดี มีสิ่งนึงที่ผมต้องยอมรับคือ ผม... หยุดรักคุณไม่ได้ อาจจะดูเหมือนคนโง่ที่ผมมาสารภาพอะไรแบบนี้ แต่ผมรักคุณมากนะคามิน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่รักผมเลยก็ตาม

ขอบคุณคุณมากนะครับคุณคามิน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และก็ลาก่อนครับความรักของผม

ปราณันต์’



“ฮึก.. คุณปราณ..” ผมปล่อยให้ตัวเองสะอื้นออกมาสุดเสียงหลังจากอ่านจบ ผมยกจดหมายที่ปราณันต์ให้ไว้มากอดแนบอก ราวกับว่ามันพอจะเป็นตัวแทนของเจ้าของที่ไม่ได้อยู่กับผมตรงนี้ได้บ้าง

น้ำตาที่ไม่เคยไหลมาตลอดยี่สิบกว่าปีของผม ไหลออกมาราวกับทำนบกั้นแตก ผมได้แต่พึมพำคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ทั้งๆ ที่ผมมีโอกาสมากมายที่จะได้พูดสิ่งนี้ แต่ผมกลับรั้งรอ มัวแต่ไม่แน่ใจ ซึ่งพอผมอยากจะพูดมันออกไป ก็กลับกลายเป็นคนที่ผมอยากบอก เขาไม่ได้อยู่รอฟัง

“คุณปราณ ผมรักคุณ ได้ยินไหม.. ฮึก.. คุณปราณ ผมรักคุณ”

มันกลายเป็นประโยคบอกรักที่มีแต่ผมรับรู้อยู่แค่เพียงคนเดียว

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีคำไหนจะมอบให้นอกจาก.. ส สะ ส.. สมน้ำหน้าจ้า 5555555555555555555555555555

ผ่านมันไปให้ได้นะ อย่างดีก็อีกตอนสองตอนเลยแหละ กร้ากกกกกก

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่คอยติดตามและให้กำลังใจกันมาโดยตลอด โค้งสุดท้ายแน้ววว ปมสุดท้ายก็ถูกเปิดออกด้วยเช่นกันนน อันนี้ก็คือเซอร์ไพรส์ของจีงงงง 5555555555

ส่วนใครที่เคยสงสัยว่าทำไมนุ้งปราณถึงรักนังครามม๊ากมาก ก็อย่างที่น้องบอกในจดหมายเนาะ ... การถูกรัก ถูกเอาใจใส่ มันทำให้น้องเทใจให้นังครามค่ะ คนที่ต้องเป็นฝ่ายดูแลคนอื่นตลอด พอถูกดูแลบ้าง... ก็อย่างที่เห็น ใจคนเรามันก็ดวงนิดเดียวเนาะ ทีนี้อินังครามก็ต้องพิสูจน์ตัวเองวนไปจ้า เอาเป็นว่าเดี๋ยวตอนต่อไปค่อยว่ากันนน อิอิ

ชอบไม่ชอบเม้นบอกกันได้นะคะ เรารออ่านคอมเม้นของทุกคนอยู่น้า อยากจะขอบคุณมากๆ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ดีใจมากๆ เลยที่ยังมีคนตามอ่านกันอยู่

ยังไงไว้เจอกันตอนหน้านะคะ ... น่าจะลงวันจันทร์หน้านี้เลย รีบ 55555555555

รักทุกคนเฉมอ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด