13th Lies : คำตอบ
หลังจากจัดการทุกอย่างกับทางโรงเรียนเรียบร้อย ปราณันต์ก็จูงเจ้าสองฝาแฝดตัวน้อยออกจากโรงเรียน ปุณณกันต์กับปัณณธรที่แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยเจ้าหนูทั้งสองก็พอจะจับใจความจากที่ได้ยินพี่ปราณคุยกับคุณครูประจำชั้นได้บ้างนิดหน่อยว่า ต่อไปนี้ฝาแฝดจะได้กลับบ้านทุกวัน ไม่ต้องอยู่ค้างที่โรงเรียนจนถึงวันศุกร์อีกต่อไป เพียงแค่รู้เท่านี้ก็ทำให้เจ้าหนูน้อยทั้งสองเดินกระโดดโลดเต้นออกจากโรงเรียน ดูอารมณ์ดีมากกว่าศุกร์ไหนๆ ที่ได้กลับบ้าน
“พี่ปราณ ต่อไปนี้เราสองคนจะได้กลับบ้านทุกเย็นหลังเลิกเรียนแล้วใช่ไหมครับ” เป็นปัณณธรน้อยที่ถามขึ้น โดยมีปุณณกันต์มองไปที่ปราณันต์อย่างรอคำตอบเช่นกัน
“ใช่ครับ ต่อไปนี้ฝาแฝดจะได้กลับบ้านทุกวันแล้วครับ”
พี่ชายคนโตของครอบครัวตอบคำถามของน้องๆ อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะมีเสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายอีกคน ดังแทรกขึ้นมา
“เฮ้อ อิจฉาครอบครัวนี้จังเลยน้า” คามินแสร้งทำเสียงเศร้าสร้อย เรียกร้องความสนใจจากทั้งเด็กเล็ก และเด็กโตที่อยู่ตรงหน้า “เอาแต่คุยกันสามคนไม่สนใจพี่ครามเลย”
คนตัวโตแสร้งตัดพ้อ ซึ่งก็ได้ผล เพราะตอนนี้ปุณณกันต์น้อย ผละออกจากพี่ชายคนโตเดินมาหาคามินแล้ว
“พวกเราสนใจพี่ครามนะครับ” พอพูดจบเจ้าของมือเล็กๆ อย่างเจ้าแฝดคนพี่ ก็สอดประสานมือตัวเองเข้าหามือใหญ่ของพี่คราม ก่อนจะออกแรงลากให้คนขี้ใจน้อยเดินไปพร้อมๆ กับตน
“ป่ะ! พี่คราม ไปทางนู้นกัน ปัณณ์กับพี่ปราณรออยู่นะ” คามินอมยิ้มตอนเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าแฝดคนพี่ ที่พยายามจะลากเขาให้เดินไปพร้อมกับตัวเอง
พี่ครามคนตัวโตเลยตัดสินใจเกี่ยวเอวปุณณกันต์ขึ้นแล้วอุ้มหนูน้อยไว้แทน จนกนั้นก็พาเดินไปตรงที่สองพี่น้องที่ยืนรออยู่
“เราไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ” คามินเสนอขึ้น เมื่อเดินมาถึง “เด็กๆ หิวข้าวรึยังครับ”
“หิวแล้วครับ” ฝาแฝดทั้งสองประสานเสียงตอบ ก่อนจะเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ที่เหลือได้เป็นอย่างดี
“เอาล่ะๆ” เสียงหวานดังขึ้นในที่สุด “งั้นเดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกัน แล้วพี่ปราณจะเล่าให้ฟังนะ ว่าทุกเย็นหลังเลิกเรียนฝาแฝดต้องทำยังไงบ้าง เราต้องตกลงกันก่อนโอเคไหม”
ปราณันต์สรุปในที่สุด โดยมีเด็กแฝดพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ส่วนพี่ครามคนตัวโตนั้นก็ได้แต่ยิ้มโชว์เขี้ยวให้เด็กๆ ดูเป็นคำตอบแทน
.
.
.
พอถึงร้านอาหาร หลังจากสั่งเรียบร้อย เจ้าหนูทั้งสองก็นั่งตาแป๋ว รอฟังข้อตกลงและสิ่งที่พี่ปราณจะบอกอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ปุณณกันต์ ปัณณธร หนูรู้แล้วใช่ไหม ว่าตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป หนูทั้งสองจะได้กลับบ้านทุกหลังเลิกเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ”
ปราณันต์เกริ่นขึ้น ซึ่งเรียกรอยยิ้มยินดีจากเด็กทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์น้อยกล่าวกับพี่ชายอย่างยินดี
“เย่! ปัณณ์ดีใจมากๆ เลย” ส่วนปัณณธรน้อยก็ยิ้มร่า หันมองพี่ปราณที พี่ครามทีอย่างมีความสุข
“แต่เราต้องตกลงกันก่อนนะครับ” ปราณันต์พูดเสียงเป็นการเป็นงานทำเอาเจ้าหนูทั้งสองต้องสงบเสงี่ยมท่าทีรอฟังพี่ชายคนโตพูดให้จบก่อน
“พี่ปราณจะลาออกจากงานพาร์ทไทม์ เพราะพี่ปราณจะต้องทำงานล่วงเวลาที่บริษัทแทน”
เด็กๆ ตั้งใจฟังตาแป๋ว เหมือนจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่พี่ชายกำลังจะสื่อ
“งานล่วงเวลาที่พี่ปราณพูดถึงเนี่ย บางวันก็อาจจะเลิกเร็ว บางวันก็อาจจะเลิกช้า ซึ่งถ้าวันไหนเลิกเร็วพี่ปราณจะไปรับฝาแฝดเอง แล้วเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันที่อพาร์ทเม้นท์ พี่ปราณจะทำกับข้าวให้ปุณณ์และปัณณ์กิน จะสอนฝาแฝดทำการบ้าน จะอ่านนิทานก่อนนอนให้ฟัง เราจะทำทุกอย่างทั้งหมดนี้ด้วยกัน โอเคไหมครับ”
ฝาแฝดทั้งสองปรบมือลั่นอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินปราณันต์บอกแบบนั้น เด็กๆ ต่างแปะมือและยิ้มให้กันอย่างชอบใจ ในที่สุดพวกเขาก็จะได้มีช่วงเวลาเหมือนกับครอบครัวปกติทั่วไปเสียที
“ปุณณ์ชอบแบบนี้ ปุณณ์อยากอยู่กับพี่ปราณ อยากอยู่กับปัณณ์หลังเลิกเรียน ปุณณ์มีความสุขที่สุดเลยครับพี่ปราณ” เจ้าแฝดคนพี่พูดสารภาพออกมายาวเหยียดอย่างยินดี ทำเอาคนเป็นพี่หยุดยิ้มไม่ได้
“ใช่ๆ ปัณณ์อยากให้พี่ปราณเป็นคนสอนการบ้าน เป็นคนพาเราเข้านอน ปัณณ์อยากให้เป็นแบบนั้น” แฝดคนน้องอย่างปัณณธรก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า คำพูดพวกนั้นทำเอาพี่ชายคนโตของครอบครัวสุขจนล้นใจจริงๆ
“แต่... อย่างที่พี่ปราณบอก ว่าถ้าพี่ปราณกลับเร็ว เราถึงจะทำแบบนั้นได้ ซึ่งมันก็อาจจะมีบางวันที่พี่ปราณจะกลับบ้านช้า และไม่สามารถไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนได้”
แต่ประโยคถัดมาทำเอารอยยิ้มของเด็กๆ แทบจะเลือนหายไปในพริบตา ฝาแฝดคงอดคิดในใจไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะต้องถูกส่งกลับไปอยู่ที่โรงเรียนอีก และท่าทางแบบนั้นทำเอาคามินกับปราณันต์เห็นแล้วอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
‘โถ่เอ๊ยเด็กน้อย ยังไม่ทันฟังให้จบเลย ก็ตีตนไปก่อนเสียแล้ว’“เพราะฉะนั้นถ้าวันไหนพี่ปราณกลับช้า..” ปราณันต์เงียไปนิดหนึ่งเพื่อสังเกตทีท่าของเด็กๆ ที่ตอนนี้ก้มหน้างุด เหมือนรอพร้อมจะรับความผิดหวังแล้ว “วันนั้นพี่ครามจะเป็นคนไปรับเด็กๆ แล้วทำหน้าที่ทั้งหมดแทนพี่ปราณ”
พอจบประโยคของพี่ชายคนโต เด็กๆ ก็เงยหน้าขี้นแทบจะทันทีทันใด จากนั้นก็หันไปจ้องคามินตาแป๋ว ทั้งประหลาดใจ ทั้งสงสัย และดีใจปนๆ กัน จนกระทั่งคามินต้องเอ่ยขึ้นมาในที่สุด
“ทำไมล่ะครับ ไม่ดีใจหรอที่พี่ครามจะเป็นคนดูแลเด็กๆ ในช่วงที่พี่ปราณไม่อยู่น่ะ หื้ม?” คามินแกล้งทำเสียงเศร้า เล่นเอาเด็กๆ รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่สักหน่อยนะพี่คราม” ปุณณกันต์น้อยรีบโบกมือหย็อยๆ เพื่อบอกว่าไม่จริง
“จริงๆ ปัณณ์ดีใจจะแย่แล้ว นึกว่าจะถูกส่งกลับไปที่โรงเรียนแล้วซะอีก”
ปัณณธรน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยู่กับพี่ครามก็เหมือนอยู่กับพี่ปราณนั่นแหละ อยู่กับใครก็ได้ปัณณธรมีความสุขทั้งนั้น
พอฝาแฝดได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มร่ามีความสุขมากกว่าเดิม ได้อยู่ทั้งกับพี่คราม ได้อยู่ทั้งกับพี่ปราณ ปุณณกันต์กับปัณณธรชอบที่สุดเลย
“ตกลงว่าให้พี่ครามดูแลเด็กๆ แทนพี่ปราณได้ใช่ไหมครับ” คามินแกล้งถามเสียงทะเล้น ทำเอาเจ้าหนูทั้งสองหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
“ได้สิครับ ปุณณ์กับปัณณ์ดีใจที่สุดในโลกเลย” ปัณณธรน้อยรีบตอบเอาใจ
“ขอบคุณนะครับพี่ปราณ พี่คราม ขอบคุณที่ดูแลเราสองคนอย่างดีครับ” ส่วนปุณณกันต์น้อยก็หันไปขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสองในโต๊ะ ตามแบบฉบับของตัวเอง
“แล้วก็อีกอย่างที่พี่ปราณจะบอกคือ..” ปราณันต์พูดสำทับยิ้มๆ “ตั้งแต่วันอาทิตย์เป็นต้นไป พี่ครามจะย้ายมาอยู่ที่ห้องข้างๆ เรา เพื่อจะได้ดูแลฝาแฝดได้ดีขึ้น เด็กๆ ดีใจไหมครับ”
“เย่! จริงหรอครับพี่ปราณ” ปุณณกันต์ถามขึ้นอย่างยินดี
“เย่ๆๆๆๆๆ ปัณณ์ดีใจที่สุดในโลกเลย” ส่วนปัณณธรน้อยตอนนี้ ปีนลงจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่ง แล้วขึ้นไปนั่งตักพี่ครามเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งกอดรัดคนตัวโตไว้ไม่ปล่อยอีกต่างหาก ซึ่งการกระทำของเจ้าหนูนั้นเสียงหัวเราะจากคามินได้ไม่หยุด
“จริงสิครับ เพราะฉะนั้น ฝาแฝดต้องทำยังไงครับ พี่ครามอุตส่าห์ทำเพื่อพวกหนูๆ ขนาดนี้” ปราณันต์ถามนำ ฝาแฝดมองหน้ากันก่อนจะประสานเสียงพูดออกมาอย่างน่ารัก
“ขอบคุณนะครับพี่คราม / ขอบคุณครับพี่คราม”
“ปัณณ์สัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน”
“ปุณณ์ก็สัญญาว่าจะเชื่อฟังพี่ครามเป็นอย่างดี ไม่ทำให้พี่ครามต้องเหนื่อยครับ”
และจากคำพูดของเด็กทั้งสองทำเอาคามินอดยื่นมือไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ ของเด็กทั้งคู่ด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“เช่นกันครับ พี่ครามก็จะดูแลหนูๆ อย่างดี ไม่ให้พี่ปราณผิดหวังเลย” แม้ปากจะพูดกับเจ้าหนูทั้งสอง แต่ตาคมกลับมองสบไปที่ตากลมอย่างสื่อความหมาย ทำเอาปราณันต์เขินอาย จนแทบจะไปไม่เป็น
“และเพื่อฉลองการที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน พรุ่งนี้เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ” คามินเสนอขึ้น ทำเอาเด็กๆ หน้าบานรับคำด้วยความชอบใจ
“ดีครับ ไปครับไป” ปัณณธรน้อยรีบรับปาก ทำเอาปราณันต์เอ่ยห้ามแทบไม่ทัน
“คุณคามิน ผมว่า..” ปราณันต์เตรียมจะปฏิเสธ แต่คามินพูดสวนขึ้นมาก่อน
“พรุ่งนี้เป็นวันพิเศษของเราสองคน คุณปราณจำไม่ได้หรอครับ”
คามินทวงถาม และพอปราณันต์นึกขึ้นได้ ก็ทำเอาเจ้าตัวเขินจนทั้งแก้มทั้งคอแดงก่ำไปหมด
ใช่สิ.. พรุ่งนี้ถึงวันที่เขาต้องให้คำตอบคามินแล้วนี่นา
ตากลมและตาคมสบมองซึ่งกันและกัน โดยที่มีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ยิ่งทำให้เพิ่มความสุขให้แก่ปราณันต์มากขึ้นไปอีก ก่อนที่ประโยคถัดมาของคามินจะทำให้เขาเขินอายยิ่งกว่าเดิม
“หวังว่าคำตอบที่ผมได้ จะทำให้ผมมีความสุขยิ่งกว่าที่มีตอนนี้นะครับ”
ปราณันต์ยิ้มตอบอย่างเอียงอายโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นึกในใจว่าภาษากายที่เขาแสดงออกไปตอนนี้ น่าจะพอเป็นคำตอบให้คามินได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
.
.
.
หลังจากฉลองกันเสร็จเรียบร้อย คามินก็ขับรถพาสามพี่น้องกลับอพาร์ทเม้นท์ ดูเหมือนว่าฝาแฝดน้อยจะใชัพลังงานในการดีใจไปมากทีเดียว เพราะพอรถเคลื่อนออกจากร้านอาหารได้ไม่เท่าไหร่ ปุณณกันต์กับปัณณธรก็หลับสนิท และถึงแม้จะหลับคามินและปราณันต์ก็ยังคงเห็นรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนริมฝีปากจิ้มลิ้มของเจ้าหนูทั้งคู่ ท่าทางเด็กๆ คงจะมีความสุขมากทีเดียว
พอถึงอพาร์ทเม้นท์ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทั้งสองที่จะต้องอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นห้อง คามินอุ้มปุณณกันต์ ส่วนปราณันต์อุ้มปัณณธร ท่าทางเด็กๆ จะเพลียมากจริงๆ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะงัวเงียตื่นเลยสักนิด
“หลับปุ๋ยเลยแฮะ สงสัยคืนนี้ผมต้องเช็ดตัวให้เจ้าตัวยุ่งทั้งสองแทนการอาบน้ำ ลองได้หลับลึกขนาดนี้ ขืนปลุกให้ตื่นต้องงอแงแน่ๆ”
ปราณันต์เอ่ยขึ้น ในขณะที่กำลังอุ้มพาแฝดที่กำลังหลับสนิทขึ้นลิฟต์ โดยมีคามินเดินตามมาติดๆ
“เดี๋ยวผมอยู่ช่วยคุณปราณก่อนก็ได้นะครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ขืนปล่อยให้คุณทำคนเดียว กว่าจะเสร็จก็คงดึกแน่ๆ”
ตอนนี้คามินและปราณันต์พาแฝดมาที่เตียงนอนเรียบร้อยแล้ว ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ ตอนที่ได้ยินว่าคามินจะช่วยเขาเช็ดตัวเด็กๆ พลางคิดในใจว่าคามินช่างดีกับเขาเหลือเกิน ทั้งที่พรุ่งนี้ตัวเองก็ต้องตื่นมารับเขากับฝาแฝดแต่เช้า แต่ก็ยังมีแก่ใจช่วยดูแลเขากับเด็กๆ อีก ซึ่งทำเอาปราณันต์ซาบซึ้งใจไม่น้อย
“ไม่เป็นไรครับ คุณกลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้ามารับผมกับเด็กๆ อีก แค่นี้ผมจัดการได้ครับ ไม่ได้หนักหนาอะไร”
ปราณันต์บอกปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้รังเกียจถ้าคามินจะอยู่ช่วย เพียงแต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายขับรถกลับบ้านดึกก็แค่นั้น
“แต่ว่า.. ผมอยากอยู่กับคุณปราณต่ออีกสักนิด” เสียงทุ้มเอ่ยสารภาพด้วยท่าทีออดอ้อน ทำเอาหัวใจของปราณันต์เต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อถูกจู่โจมด้วยท่าทางแบบนี้
“ดึกแล้วครับ ไม่งอแงนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอกันอีก ผมไม่อยากให้คุณขับรถกลับตอนดึกๆ จริงๆ” ปราณันต์ก้มหน้างุด แต่ก็ยังฝืนออกแรงดันคนตรงข้ามให้ขยับเดิน แม้คามินจะไม่ยอมให้ความร่วมมือเลยก็ตาม
“ผมกลับก็ได้” ในที่สุดคามินก็ยอมแพ้ “แต่เราต้องคุยกันก่อน” ปราณันต์เงยหน้าขึ้นทันที เมื่อได้ยินเสียงจริงจังจากคนตรงข้าม
“คะ.. คุยอะไรหรอครับ”
ใช่ว่าคนตัวเล็กจะไม่รู้ว่าสิ่งที่คามินจะพูดคืออะไร แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมคามินต้องมาย้ำกันตอนนี้ด้วย ปล่อยให้เขาเตรียมตัวเตรียมใจเงียบๆ สักคืนไม่ได้หรอ ทำไมต้องขยันทำตัวให้ใจเต้นแรงอยู่เรื่อย ปราณันต์ได้แต่คิดค่อนขอดอยู่ในใจ
“ก็เรื่องของเรา.. คำตอบของคุณปราณ พรุ่งนี้ไงครับ” ใบหน้าคมคายโน้มลงมากระซิบชิดริมใบหูนิ่ม เสียงทุ้มที่มีเสน่ห์ช่างน่าฟังนั่นเหมือนกำลังล่อลวงเขาให้ติดกับผู้ชายคนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ
“ผมรู้แล้ว ยังเหลือเวลาอีกตั้งคืนนึงนี่นา” เสียงหวานบ่นอุบ ใบหน้าน่ารัก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยมามองคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยซ้ำ ซึ่งภาพที่เห็นตอนนี้ ปราณันต์ช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาของคามิน
“ฮ่าๆ โอเคครับโอเค ผมให้เวลาคุณปราณเตรียมใจรับความไม่โสดอีกคืนนึงก็แล้วกัน” เสียงเจ้าเล่ห์ยังคงล้อเลียนไม่หยุด เรียกให้ใบหน้าสวยหวานงอง้ำเพราะถูกรู้ทันไม่ได้
“รู้ได้ไงครับว่าพรุ่งนี้ผมจะไม่โสด ไม่แน่นะ ผมอาจจะโสดต่อก็ได้ ใครจะรู้” พอได้ทีปราณันต์ก็เลยเอาคืนคามินบ้าง... แหม ทำมาเป็นมั่นอกมั่นใจ แบบนี้ต้องแกล้งให้ร้อนรนบ้าง จะได้เลิกล้อเขาเสียที
“โถ่ คุณปราณครับ ไม่ล้อกันเล่นแบบนี้สิ” พูดไม่พูดเปล่า ตอนนี้มือหนาทั้งสองข้าง คว้าหมับเข้าที่เอวบางของคนตัวเล็กกว่าเข้าให้ “ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้เตรียมใจรับความผิดหวังไว้สักนิดเลยนะครับ”
เสียงทุ้มยังคงพูดจาออดอ้อน ทำเอาปราณันต์อดอมยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้ ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ กับท่าทางเหมือนลูกหมาตามหาเจ้าของนี่ ช่างไม่เข้ากันเลยสักนิด
“กลับไปได้แล้วครับ ดึกแล้ว ขับรถมืดๆ มันอันตรายนะ” ปราณันต์ปลดมือหนาออกจากเอวตัวเอง ก่อนจะเอามารวบกุมไว้ตรงหน้าแทน “เอาเป็นว่า ผมสัญญาว่าคำตอบของผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ”
พอพูดจบปราณันต์ก็ยิ้มหวานเป็นการปิดประโยค ทำเอาคามินมองภาพตรงหน้าตาค้าง หัวใจที่เคยเย็นชา เหมือนกำลังถูกละลายด้วยความสดใสของรอยยิ้มนั้น และทำเอามันเต้นผิดจังหวะไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“ก่อนกลับ ขอกู๊ดไนท์คิสได้ไหมครับคุณปราณ... นะครับ”
คามินก็ยังคงเป็นคามินวันยังค่ำ เรื่องตอดนิดตอดหน่อยนี่ขอให้บอก ปราณันต์ได้แต่ส่ายหัวขำๆ ด้วยความระอาใจ
“ทำไมล่ะครับ ฝึกไว้ไง อีกหน่อยคุณปราณก็ต้องทำทุกวัน จะได้ไม่เขิน”
พอจบประโยคมือเล็กของปราณันต์ก็ทุบอั๊กเข้าให้บนอกคามิน ทำไมถึงทะเล้นทะลึ่งได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ พูดแต่ละอย่างออกมานี่ไม่ได้มีอายเลยสักนิด
“คุณนี่...!” ปราณันต์ถึงกับหมดคำพูด ไม่รู้จะสรรหาประโยคไหนมาต่อว่าแล้วจริงๅ
“โอ๊ย! เจ็บจัง~” คามินแกล้งโอดครวญไม่จริงจัง ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “ผมทำไมหรอครับ ผมน่ารักใช่ม้า?”
“ใครว่าล่ะ คุณน่ะมันเจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกินต่างหาก” คนตัวเล็กต่อว่าเสียงกระเง้ากระงอด ซึ่งเรียกเอารอยยิ้มกว้างจากคนตัวโตได้เป็นอย่างดี
“ตกลงจะให้ไหมครับ ไม่งั้นผมไม่กลับนะ” คามินยังคงต่อรอง ทำเอาปราณันต์ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางคิดในใจว่า ถ้ายังคงยื้อกันแบบนี้ คามินต้องหาเรื่องไม่ยอมกลับบ้านแน่ๆ
สุดท้ายคนตัวเล็ก ต้องหันซ้ายหันขวา เพื่อดูว่ามีใครเดินผ่านไปผ่านมาตรงหน้าระเบียงรึป่าว พอเห็นทางสะดวก จึงค่อยๆ เขย่งปลายเท้าขึ้น คามินเองก็เหมือนพอจะเดาใจปราณันต์ได้เลยเอียงแก้มข้างหนึ่งให้คนตัวเล็กกว่า แต่พอถึงจังหวะที่ปราณันต์กำลังจะกดจูบลงบนแก้มสาก คนเจ้าเล่ห์ที่คอยจังหวะอยู่แล้ว ก็หันหน้ากลับมาแบบทันทีทันใด ทำให้ปากอิ่มกดจูบเบาๆ ลงบนปากหยักแทนแบบไม่ทันตั้งตัว
และถามว่าคนอย่างคามินจะพอใจกับแค่จุ๊บธรรมดาหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่มีทาง เพราะตอนนี้มือใหญ่กำลังรั้งเอวบางเข้าหาตัว ให้คนทั้งคู่ได้แนบสนิทกันยิ่งขึ้น ส่วนปากหยักของคนเจ้าเล่ห์ ก็กำลังขบเม้มริมฝีปากสีสดของปราณันต์อย่างหลงใหล แม้จะไม่ได้สอดลิ้นเข้ามา แต่การจู่โจมที่แสนหวานของคามินก็ทำเอาปราณันต์เกิดแข้งขาอ่อนขึ้นมาได้เหมือนกัน
พอจูบคนตัวเล็กจนหนำใจแล้ว คามินก็ปล่อยปราณันต์เป็นอิสระ และพอเจ้าแมวตัวน้อยเป็นอิสระได้ ก็ระดมทุบตีคนตรงข้าม จนทำเอาคามินต้องขอให้หยุด ไม่งั้นเข้าคงได้ตายคาคือลูกแมวตัวนี้เป็นแน่
“โอ๊ยๆๆ ขอโทษครับ พอแล้วๆๆ” มือใหญ่จับรวบมือเล็กไว้ พลางทำหน้าออดอ้อนน่าสงสารใส่คนตรงข้าม
“คุณเนี่ย มันน่าถูกตีให้ตาย ได้คืบจะเอาศอกตลอด” ปราณันต์หน้าแดงก่ำ น่าจะทั้งอาย ทั้งเหนื่อย ทั้งโกรธ คามินเลยต้องรีบง้อยกใหญ่
“ก็ปากคุณมันนิ่มขนาดนี้ ผมจะอดใจไหวได้ยังไงกันล่ะครับ” คามินพูดยิ้มๆ ทำเอาปราณันต์ฮึดฮัดขึ้นมาอีกรอบ
“แทนที่จะสลด ยังจะมาพูดแบบนี้อีก” ปราณันต์ยอมรับว่าเขิน แต่จะปล่อยให้คามินได้ใจแบบนี้อีกไม่ได้ “กลับไปได้แล้วครับ ไม่งั้นนะ พรุ่งนี้ผมกับฝาแฝดจะไม่ไปกับคุณ” คนตัวเล็กขู่เข้าให้ ทำเอาคามินหัวหดได้เหมือนกัน
“คร้าบ คร้าบ กลับแล้วๆ” คนตัวโตทำหน้าจ๋อยๆ พลางบ่นมุบมิบ แต่ปราณันต์ก็ยังได้ยินอยู่ดี
“ผมมองเห็นอนาคตตัวเองเลย ถ้าคบกันแล้วคุณปราณต้องคุมผมอยู่หมัดแน่ๆ หมดกันภาพพจน์ความเป็นเสือ”
ปราณันต์หลุดขำทันทีตอนที่ได้ยินคามินบ่นแบบนั้น ทำเอาคามินหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม
“ชอบใจใหญ่เลยนะครับ แหงสิ ผมหลงคุณปราณจะแย่อยู่แล้วนิ ยังไงผมก็ต้องยอมคุณทุกเรื่องนั่นแหละ” คามินยิ้มสดใส โชว์เขี้ยวทั้งสองข้างเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง
“....”
“คืนนี้หลับฝันดีนะครับคุณปราณ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”
คามินค่อยๆ เดินถอยหลังแล้วลงลิฟต์จากไป ทิ้งปราณันต์ไว้กับประโยคซื่อๆ เมื่อกี้ ประโยคที่ทำเอาหัวใจดวงเล็กๆ ของปราณันต์เต้นรัว และประโยคที่ทำให้ริมฝีปากอิ่มของเขาหุบยิ้มไม่ได้เสียที
.
.
.
เช้าวันต่อมาเด็กๆ ตื่นเช้ากันมาก อาจจะเพราะเมื่อคืนนอนกันเต็มอิ่ม แต่ปราณันต์กลับคิดว่าเป็นเพราะเด็กๆ จำได้ดีมากกว่าว่าวันนี้คามินจะพาทุกคนไปเที่ยวทะเล
“พี่ปราณ พี่ครามจะมารึยังอะครับ”
ตอนนี้ฝาแฝดทั้งสองนั่งจ้องประตูจนตาแทบจะไม่กะพริบ เรียกให้กินข้าวก่อนก็ไม่กิน เอาแต่บอกว่ารอให้พี่ครามมาก่อนค่อยกินพร้อมกัน ปราณันต์ก็ได้แต่ถอนใจ นี่ขนาดยังไม่ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ จังๆ ยังติดคามินเป็นตังเมขนาดนี้ อีกหน่อยถ้าได้ย้ายมาอยู่ใกล้ๆ กัน ไม่แคล้วคงหาทางแยกออกจากพี่ครามได้ยากแน่ๆ
“เห็นพี่ครามบอกว่าอีกแปปนึงน่าจะถึงนะครับ”
ซึ่งปราณันต์ก็ปล่อยให้เด็กๆ เล่นของเล่นรอคามินไปนั่นแหละ เพราะเมื่อกี้เขาโทรไปถามคนตัวโตแล้วว่าใกล้จะมาถึงรึยัง คำตอบคืออีกไม่เกินสิบนาทีคามินน่าจะมาถึง
ติ๊งหน่อง~ในที่สุดเสียงออดจากหน้าห้องก็ดังขึ้น เรียกเสียงฮือฮาจากเจ้าตัวแสบทั้งสองได้เป็นอย่างดี และตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรน้อยก็วิ่งตื๋อไปที่หน้าประตูแล้ว ดูท่าเดี๋ยวก็คงเขย่งจนหาทางเปิดให้คามินเข้ามาจนได้แหละ
“พี่ปุณณ์ๆ พี่ปุณณ์เปิดประตูเร็ว พี่ครามมาแล้วนะ”
ปัณณธรน้อยสั่งการ ใจจริงก็คงอยากจะเปิดเองอยู่เหมือนกันแหละ แต่ด้วยความที่เตี้ยกว่าพี่ชายฝาแฝด เลยไม่สามารถทำได้ ต้องให้ปุณณกันต์ที่สูงกว่านิดหน่อยเป็นคนเขย่งเปิด
แกร๊ก!
สุดท้ายประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยปุณณกันต์น้อย คามินแปลกใจนิดหน่อยในตอนแรกที่ไม่เห็นปราณันต์ที่หน้าประตู แต่พอก้มลงไปเจอเด็กๆ คนตัวโตก็ยิ้มร่ารีบก้มลงไปฟัด ไปหอมเด็กน้อยแทบไม่ทัน
“พี่ครามมาแล้ววว! มากินข้าวกันนะครับ วันนี้มีขนมปังปิ้งกับไข่ดาวด้วย”
ปัณณธรน้อยรีบเชิญชวน แนะนำอย่างกับเป็นคนทำเอง ทั้งที่พ่อครัวตัวจริงแอบยืนอมยิ้มอยู่ในครัวโน่น
“มอร์นิ่งครับคุณปราณ มีอะไรให้ผมช่วยไหม” คามินหันไปทักคนตัวเล็กเสียงหวานหยดย้อย ทำเอาปราณันต์อดเขินขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้
“คุณกินข้าวกับเด็กๆ เถอะครับ ตัวแสบทั้งสองยืนยันจะรอคุณ ยังไงคุณช่วยดูแลตอนพวกแกกินทีนะ เดี๋ยวผมจะทยอยยกไข่ออกไปให้เพิ่ม”
ปราณันต์ร้องบอก คามินเลยต้องทำหน้าที่พาเด็กๆ มาที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะจัดการจับนั่งแล้วเทนม ตักไข่ดาวกับขนมปังปิ้งใส่จานให้เด็กๆ พร้อมดูแลตอนที่เจ้าตัวยุ่งทั้งสองกำลังกินเป็นอย่างดี
เด็กทั้งสองนั่งลงกินอย่างเรียบร้อยและมีมารยาท โดยที่คามินแทบไม่ได้ช่วยหรือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ พี่ครามของหนูๆ มองเจ้าฝาแฝดทั้งสองด้วยความรักและภาคภูมิใจ ทำไมถึงเป็นเด็กที่น่ารักและฉลาดได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้
ผ่านไปสักพัก ปราณันต์ก็เข้ามาร่วมวงกินข้าวเช้ากับคามินและเด็กๆ ด้วย ทั้งสี่คนทานกันไปคุยกันไปอย่างมีความสุข ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ ตอนเห็นภาพตรงหน้า ฝาแฝดแย่งกันพูดเล่าเหตุการณ์ตอนอยู่โรงเรียนอนุบาลให้คามินฟัง ซึ่งคามินเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี ตั้งใจฟังเด็กๆ พูด ไม่มีเกี่ยงงอน ฟังไปหัวเราะไป ยิ้งทำให้เจ้าหนูทั้งสองตั้งใจเล่าเต็มที่ยิ่งกว่าเดิม ซึ่งสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้ เป็นภาพฝันที่ปราณันต์เคยคิดไว้ตลอดว่าอยากให้ครอบครัวของเขามี
... ใครสักคนที่จะเข้ามาแชร์ และดูแลน้องเขาได้ โดยเต็มใจและไม่รำคาญหรือรังเกียจใดๆ
คามินหันมามองเห็นปราณันต์ยิ้มในขณะที่มองมายังเขาและฝาแฝด คนตัวโตเองก็เลยยิ้มตอบไป จนปราณันต์รู้สึกตัวนั่นแหละ คามินเห็นได้โอกาส เลยถือวิสาสะพูดขึ้นมาลอยๆ
“ถ้าตอนนี้ เวลานี้ คุณปราณกำลังมีความสุขกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ คุณปราณก็อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไปนะครับ ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ คุณก็รู้”
ปราณันต์สะดุ้งนิดหน่อยตอนได้ยินคามินพึมพำประโยคนี้ขึ้นมา แต่พอฟังจบแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแต่ยิ้มกว้างให้คามินเท่านั้น แต่ในใจของปราณันต์กำลังเต้นแรงสวนทางกับท่าทีที่มี
‘ผมมีคำตอบให้คุณตั้งนานแล้ว และผมก็มั่นใจว่าผมจะตัดสินใจไม่ผิด’... แต่ช่างน่าเสียดาย เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ปราณันต์ได้รู้ความจริง เขาจะได้รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่พลาดมากที่สุดในชีวิต และไม่ควรให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)