[End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Love (and) Lies #ลวงหลอกรัก, 12/05/64 [33th Lies, End Chapter: แค่มีเรา]  (อ่าน 19194 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เฮ้ยยยยยยชอบ สนุกอ่ะ อยากเห็นคนเหมียนหมาเมื่อถึงเวลา หลอกเข้าไป ลวงไปเยอะๆ เขาจะได้ไม่ให้อภัยง่ายๆเมื่อนั้นจะสมน้ำหน้าให้ 5555 หลงกันไปแบบไม่รู้ตัว ใครจะถอนตัวถอนใจได้เร็วเมื่อความลับแตก ง่าาชีวิตปราณ T_T แต่เข้มแข็งจริง เชื่อเลยว่าถึงวันนั้นปราณจะเข้มแข็งได้เร็ว ไม่มีเวลามาเสียใจมากอะนะ บรรยายให้น้ำตาไหลพรากๆเลยนะ ดูทรงแต่งเก่งอ่ะ 5555 สนุกๆ รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาอัพในนี้ได้อ่านกัน รรรรรรร  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
อยากให้ถึงเวลาที่โดนเอาคืนเร็วๆ จัง :katai1
สภาพจะเป็นยังไง :z6:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ถึงเวลาเอาคืน แย่แน่ ..

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
7th Lies : เดินหน้าความสัมพันธ์


เช้าวันนี้ปราณันต์ตื่นเช้าเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วคว้าแว่นสายตามาใส่ ก่อนจะบิดขี้เกียจด้วยอารมณ์ที่แสนสดชื่น และขณะที่จะเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ปราณันต์ก็แวะไปที่เตียงนอนของเด็กแฝดทั้งสองที่อยู่ไม่ไกล เพื่อดูว่าน้องชายที่น่ารักของเขาตื่นนอนแล้วหรือยัง

ซึ่งภาพที่เห็นก็ทำเอาปราณันต์อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะตอนนี้ฝาแฝดคนพี่กับคนน้องนอนกอดก่ายกันแน่น ขาเล็กๆ พาดอยู่บนเอวของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังหลับพริ้มอย่างมีความสุข ปราณันต์ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับคิดในใจว่าให้เจ้าตัวแสบนอนต่ออีกนิดแล้วค่อยปลุกดีกว่า ขืนให้ตื่นตอนนี้ มีหวังมาป่วนเขาจนไม่เป็นอันได้เข้าครัวแน่ พอคิดได้แบบนั้น ขาเรียวยาวก็ก้าวเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้ไปจัดเตรียมทำอาหารสำหรับวันนี้ต่อไป

.

.

.

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตื่นเร็ว สายแล้วนะครับ” หลังจากที่ทำอาหารไปได้สักพัก ปราณันต์ก็คิดว่าถึงเวลาที่เด็กๆ ควรตื่นมาอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว ปราณันตจึงเข้าไปปลุกน้องๆ ทั้งสองอีกครั้ง ซึ่งเขาเองก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย เจ้าตัวแสบทั้งคู่ขี้เซาจะตาย กว่าจะแงะออกจากเตียงนอนแต่ละทีได้ แทบจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีทำให้ฝาแฝดตื่นนอน

...แต่ในวันนี้สถานการณ์มันต่างกัน

เมื่อเห็นว่าฝาแฝดยังคงเงียบ มีเพียงการพลิกตัวหนีเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเด็กๆ ได้ยินเสียงเรียกที่กำลังรบกวนการนอนของตัวเองอยู่

“เอ๊! ปลุกไม่ตื่นแบบนี้สงสัยไม่อยากไปเที่ยวแล้วมั้ง พี่ปราณโทรไปบอกพี่ครามดีกว่าว่าไม่ต้องมารับ เพราะปุณณ์กับปัณณ์ไม่ยอมตื่น คงไม่อยากไปขี่จักรยานเล่นแล้ว”

พี่ชายคนโตแสนเจ้าเล่ห์แกล้งพึมพำออกมาเสียงดังๆ กะว่าฝาแฝดทั้งสองต้องได้ยินแน่ แล้วก็ได้ผล เพราะตอนนี้แฝดคนพี่ปุณณกันต์ลุกขึ้นเด้งผึงมานั่งสะลืมสะลืออยู่บนเตียงนอน ผมของเด็กน้อยชี้โด่ชี้เด่ไร้ทิศทาง ตากลมๆ โตๆ นั่นยังไม่ยอมลืมเลยด้วยซ้ำ แต่ปากอิ่มๆ เล็กๆ กลับพึมพำแต่ประโยคที่ว่า

“ไปเที่ยว ไปเที่ยว วันนี้ไปเที่ยว”

ปราณันต์เห็นภาพตรงหน้าก็ต้องขำออกมาอย่างสุดกลั้น เพราะนอกจากเจ้าแฝดคนพี่จะท่องมนต์ประโยคนั้นไม่ยอมหยุดแล้ว มือเล็กๆ ของแฝดคนพี่ยังคงเขย่าไปที่เอวคนน้องอย่างบ้าคลั่ง ส่วนปากเล็กๆ ก็เอาแต่พูดว่าจะไปเที่ยวไม่หยุด

“ปัณณ์ ตื่นๆ ไปเที่ยว ไปเที่ยว วันนี้ไปเที่ยว”

ปัณณธรพอได้ยินมนต์สะกดจากพี่ชายฝาแฝด ก็เด้งตัวเหมือนติดสปริงลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนเหมือนกัน แต่จะต่างจากแฝดคนพี่ก็ตรงที่ ตากลมๆ โตๆ ของปัณณธรนั้นเบิกกว้างขึ้นเหมือนกับเพิ่งนึกได้ และยิ่งพอมาประกอบกับผมยุ่งๆ ฟูๆ ไร้ทิศทางแล้วยิ่งทำให้น่ารัก น่าหยิก น่าเอ็นดูมากกว่าเดิมจนปราณันต์อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มนิ่มเบาๆ โดยที่ปากอิ่มยังไม่ได้คลายเสียงหัวเราะไปแม้แต่น้อย

“ตกลงฝาแฝดของพี่ปราณตื่นรึยังครับ หื้ม?” ปราณันต์แกล้งส่งเสียงถามออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ได้ผล เพราะปุณณกันต์กับปัณณธรหันมาหาแล้วโผเข้ากอดพร้อมกับซุกหน้าเล็กๆ มาบนหน้าท้องของเขา ปากอิ่มเล็กๆ ยังคงพึมพำแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เต็มเสียงดี

“ปุณณ์กับปัณณ์ตื่นแล้วครับ ไปเที่ยวอ่ะพี่ปราณ ไปเที่ยว” แฝดคนพี่ยังคงท่องประโยคนี้ไม่เลิก โดยที่แฝดคนน้องพยักหน้าหงึกหงักอยู่บนหน้าท้องเขาอย่างกับต้องการจะบอกว่าเห็นด้วย

ปราณันต์อมยิ้มเบาๆ พร้อมกับจับฝาแฝดดันออกแล้วนั่งบนเตียงดีๆ มือเรียวลูบไปที่กลุ่มผมของเด็กทั้งสอง ก่อนจะพยายามจับแต่งให้มันเป็นทรงปกติไม่ชี้ไปชี้มา

“ตื่นแล้วก็ต้องไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันนะครับ” ปราณันต์พูดพลางเอื้อมมือไปกระตุกผ้าเช็ดตัวของเด็กๆ ที่แขวนอยู่บนราวใกล้ๆ “เดี๋ยวพี่ปราณจะไปทำกับข้าวต่อ ห้ามช้านะ เพราะถ้าพี่ครามมารับแล้วเห็นยังไม่เสร็จ เขาไม่รอแล้วพี่ปราณไม่รู้ด้วยนะ”

พอได้ยินแบบนั้น เด็กน้อยทั้งสองก็ตื่นเต็มตาทันที มือเล็กๆ ทั้งสองคู่ ต่างพากันช่วยปลดกระดุม ถอดเสื้อ ดึงกางเกงให้กันและกันอย่างขวักไขว่ ก่อนที่สุดท้ายฝาแฝดทั้งสองจะเอาผ้าเช็ดตัวที่ปราณันต์หยิบมาวางไว้ให้ ผูกลงไปบนเอวหลวมๆ แล้วพากันวิ่งเข้าห้องน้ำทันที

ปราณันต์ได้แต่มองตามเด็กทั้งสองที่วิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม นานมากแล้วที่ครอบครัวของเขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศของความผ่อนคลาย บรรยากาศเบาๆ สบายๆ ที่ไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาให้หนักใจ

พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์ก็นึกขอบคุณคนที่เป็นเจ้าของไอเดียนี้ขึ้นมาในใจ ถ้าไม่ได้คามิน เขาคงไม่มีเวลาหรือไม่มีโอกาสทำเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ให้ฝาแฝดเป็นแน่ แต่พอมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นเข้ามาในชีวิต แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาอาทิตย์เดียวที่เพิ่งได้รู้จักกัน ปราณันต์ก็คิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคนดีๆ แบบคามิน คนที่ทำให้เขาวางใจ และกลับมามองโลกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง

.

.

.

หลังจากทำอาหารที่จะเตรียมไปปิคนิคเสร็จ ปราณันต์ก็แพ็คทุกอย่างลงในกล่องอาหารใบย่อมๆ สามสี่ใบ แล้วจับวางลงในตะกร้าที่เตรียมไว้ จากนั้นก็หันมาชงกาแฟและเทนมสด พร้อมทั้งขนมปังปิ้ง อาหารเช้ามื้อเล็กๆ ไว้สำหรับเด็กแฝดสองคนและผู้ใหญ่โข่งอีกหนึ่งคนที่ตอนนี้คงกำลังขับรถมาที่อพาร์ทเม้นท์ของเขาอยู่


Rrrr


ไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ของปราณันต์ก็แผดเสียงเรียกเข้าดังลั่น แม้จะยังไม่ทันเดินไปดูเขาก็รู้ดีว่าใครเป็นคนโทรมา ปากอิ่มอมยิ้มบางๆ เมื่อนึงถึงใบหน้าคมคายของคนที่กำลังจะมาหาเขา พลางนึกบ่นตัวเองในใจที่กำลังทำท่าเหมือนวัยรุ่นแรกแย้มที่เพิ่งเริ่มมีความรักอะไรแบบนั้น

“ฮัลโหล ครับ” เสียงใสกรอกลงไป เมื่อกดรับการเรียกเข้าของสัญญาณจากปลายสาย

(เสร็จกันรึยังครับ อีกสองไฟแดง ผมก็จะถึงอพาร์ทเม้นท์คุณแล้วนะ)

คามินกรอกเสียงถามอีกฝ่ายไปอย่างออดอ้อนอารมณ์ดี ภายใต้หน้าตาที่นิ่งเฉย ซึ่งดูแล้วช่างขัดกับคำพูดและน้ำเสียงที่แสดงออกไปเมื่อครู่มากเหลือเกิน

“เด็กๆ ยังไม่เสร็จเลยครับ เดี๋ยวยังไงคุณขึ้นมาดื่มกาแฟก่อนดีไหมครับ ผมเตรียมไว้ให้แล้ว”


‘ใจง่าย ไม่ทันไรก็ชวนผู้ชายขึ้นห้องเสียแล้ว’


มุมปากหยักยกยิ้มหยัน พลางคิดในใจอย่างดูถูก คนใจร้ายที่ปราณันต์มองว่าเป็นเทพบุตรเสมอมา กำลังนึกถึงเขาด้วยถ้อยคำน่ารังเกียจ ที่แน่นอนว่าหากปราณันต์มาได้ยินคงเสียใจไม่น้อย

(ก็ดีครับ ผมกำลังหิวพอดีเลย ว่าแต่คุณแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ?)

ประโยคที่ดูเหมือนจะห่วงใย แต่กลับเป็นแค่บทสนทนาแบบขอไปทีตามความคิดของคามินเท่านั้น

“ผมเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวคุณขึ้นมาได้เลยนะ ผมขอไปช่วยปุณณ์กับปัณณ์แต่งตัวก่อน”

(โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันนะครับ)

ริมฝีปากหยักของคามินกระตุกยิ้มอย่างดูแคลน มีแต่ความวางใจและจริงใจเท่านั้นที่ปราณันต์มีให้ตน โดยที่ปราณันต์ไม่เคยระแคะระคายเลยว่า วันหนึ่งเมื่อคามินได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

.

.

.

“พี่ปุณณ์ อันนี้มันติดยังไงอ่า ปัณณ์ติดไม่เป็น”

“ไหนๆ ส่งมา เดี๋ยวพี่ทำให้ หันหลังๆ มาด้วย”

“โอ๊ะ! พี่ปุณณ์กางเกงในยังไม่ได้ใส่เลย ต้องถอดกางเกงออกก่อนนะ”

“พี่หยิบกางเกงในมาให้ปัณณ์แล้ว รีบใส่เร็ว”

“โอ๊ยๆๆๆ พี่ครามจะมารึยังอ่ะพujปุณณ์ จะทันไหมๆๆๆ ... พี่ปราณ!”

ปราณันต์ยืนแอบฟังฝาแฝดตัวแสบทั้งสองคุยกันอยู่ในห้องแต่งตัวเล็กๆ ที่กั้นไว้แล้วก็อดขำไม่ได้ เด็กๆ ดูตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยว แล้วยิ่งปราณันต์ไปพูดขู่ไว้ว่าถ้าแต่งตัวไม่เสร็จทันตามที่พี่ครามมาจะอดไป ยิ่งทำให้เจ้าฝาแฝดตัวยุ่งลุกลี้ลุกลนเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายปัณณธรทนไม่ไหวถึงได้ตะโกนเรียกเขาออกมาดังลั่นห้องนั่นแหละ

“ไหนว่าไง แต่งตัวกันเสร็จรึยังครับ” ปราณันต์เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องแต่งตัวเล็กๆ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแทบจะเรียกว่าภัยพิบัติขนาดย่อมเลยก็ว่าได้

ผ้าขนหนูถูกเหวี่ยงออกไปทาง สองทาง กางเกงชั้นในที่ปัณณธรใส่อยู่ก็กลับด้าน ส่วนเสื้อยืดแขนสั้นสีดำที่ปุณณกันต์ใส่อยู่ก็เอาข้างหลังมาไว้ข้างหน้า ภาพอลหม่านตรงหน้าทำเอาปราณันต์ถึงกับกุมขมับ จะโกรธก็โกรธไม่ลง ถ้าจะมีใครผิดก็คงเป็นเขานี่แหละ ที่ไปหลอกน้องแบบนั้น ตอนนี้เด็กๆ ก็เลยรีบมาก จนทำให้การแต่งตัวเป็นไปอย่างทุลักทุเลแบบนี้

“งื้อออ พี่ปราณ” ปัณณธรน้อยครางเสียงอ่อย ตอนเห็นท่าทางพี่ชายที่กำลังกุมขมับเพราะสงครามโลกขนาดย่อมที่เขาและแฝดคนพี่ได้สร้างขึ้น ส่วนปุณณกันต์ก็ก้มหน้านิ่งอย่างคนยอมรับผิด เพราะรู้ดีถึงวีรกรรมที่ตัวเองกับน้องชายได้ก่อไว้

ปราณันต์ขำออกมาเบาๆ หลังจากได้เห็นท่าทีสำนึกผิดของฝาแฝดทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงกับพื้นแล้วหยิบชุดเอี๊ยมยีนส์ที่วางกองบนพื้นอยู่สองชุด มาสะบัดๆ ให้เนื้อผ้าคลายออกจากกัน หลังจากนั้นก็เรียกปุณณกันต์มาหาก่อนคนแรก

“ปุณณ์มานี่มา” ปุณณกันต์เดินเข้าไปหาพี่ชายคนโตอย่างกลัวๆ กล้าๆ หวั่นใจว่าจะถูกดุก็หวั่น แต่อยากจะแต่งตัวให้เสร็จเร็วๆ ก็อยาก

พอปุณณกันต์มาหยุดอยู่ตรงหน้า ปราณันต์ก็ถอดเสื้อยืดออกจากศีรษะเด็กน้อย ก่อนใส่กลับเข้าไปใหม่ให้ถูกฝั่ง แล้วหยิบเอี๊ยมยีนส์มาสวมทับ ขยับให้เข้าที่เข้าทางอีกนิดหน่อย ก่อนปากอิ่มจะเอ่ยให้น้องชายฟังอย่างใจดี

“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวปุณณ์ใส่ถุงเท้าเองนะ ให้พี่แต่งตัวให้ปัณณ์ก่อน”

“ครับ” ปุณณกันต์น้อยรับคำพร้อมทั้งฉีกยิ้มอย่างยินดีและโล่งอก ได้แต่งตัวเสร็จเร็วแถมพี่ปราณไม่ดุอีกต่างหาก ก่อนจะวิ่งตื๋อออกไปหยิบถุงเท้าให้ตัวเองและน้องชาย ซึ่งตอนนี้แฝดคนน้องก็กำลังถือเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวไปหาพี่ปราณแล้วเหมือนกัน

“ไหน ให้พี่ปราณดูซิ” ปราณันต์จับปัณณธรหันไปหันมา พลางอมยิ้ม “พี่ว่ามีคนใส่กางเกงในกลับด้านนะ” ปัณณธรก้มลงดูตรงเอวตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มอายๆ ให้พี่ชาย เมื่อเห็นว่าตัวเองใส่กางเกงชั้นในกลับด้านแบบที่พี่ชายบอกจริงๆ

ปราณันต์หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนจะถอดกางเกงในปัณณธรออก สะบัดกลับด้าน แล้วใส่ให้ปัณณธรใหม่อีกรอบ จากนั้นก็สวมเสื้อยืดสีขาวแขนสั้นให้เจ้าตัวน้อย ก่อนจะใส่เอี๊ยมทับลงไปอีกชั้น พลางสอนให้ปัณณธรดูตอนใส่ไปด้วย

“เวลาปัณณ์จะใส่ ปัณณ์ใส่แบบนี้นะครับ เอาหูเข้ามาเกี่ยวตรงนี้ แบบนี้ อีกข้างก็ทำเหมือนกัน อ่า... เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

เจ้าฝาแฝดคนน้องกระโดดกอดปราณันต์ พลางหอมแก้มข้างซ้ายข้างขวา ก่อนจะถอยออกมายกมือไหว้ขอบคุณ แล้วพูดอย่างน่ารัก

“ขอบคุณครับพี่ปราณ” คนเป็นพี่ชายยิ้มตาหยีส่งให้น้อง ก่อนที่จะไล่เจ้าตัวแสบไปใส่ถุงเท้า จากนั้นสามพี่น้องก็พากันเดินมาที่โต๊ะญี่ปุ่นมุมห้อง โต๊ะทานข้าวของครอบครัว พอปราณันต์พาฝาแฝดนั่งเรียบร้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ปากอิ่มยกยิ้มอย่างยินดี เหมือนๆ กับที่ปากเล็กๆ ของเด็กๆ ร้องเย่ ออกมาไล่ๆ กัน

“พี่ครามมาแล้วๆ พี่ครามมาแล้วๆ” เจ้าตัวน้อยตะโกนลั่นห้อง จนปราณันต์ต้องปรามให้นั่งลงทานดีๆ

“ปุณณ์ ปัณณ์ นั่งลงทานดีๆ ครับ เดี๋ยวพี่ปราณจะไปเปิดประตูให้พี่ครามนะ"

เจ้าฝาแฝดตัวน้อยทั้งสองนั่งลงทันทีอย่างว่าง่าย ปราณันต์อมยิ้มพลางส่ายศีรษะน้อยๆ ให้ความรู้มากของเด็กทั้งคู่

“คุณปราณันต์” ทันทีที่เปิดประตูห้องออกไป ร่างบางก็ได้พบกับใบหน้าคมคายที่ส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ ปากอิ่มส่งยิ้มตอบให้คนตรงข้าม ก่อนจะเชื้อเชิญพี่ครามของเด็กๆ เข้ามาทานมื้อเช้าในห้องก่อน

“เชิญครับคุณคามิน” ปราณันต์เดินนำอีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ก่อนจะพาไปที่โต๊ะอาหารขนาดย่อม ที่มีฝาแฝดตัวแสบนั่งตาแป๋วรออยู่ “ห้องแคบหน่อยนะครับ”

คามินยิ้มตอบพลางส่ายหัวน้อยๆ ราวกับจะบอกว่าตนเองไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องพวกนี้มากนัก

“น่าอยู่ออกครับ ผมว่าเหมาะกับคุณและเด็กๆ ดี” ตาคมสอดส่ายไปทั่วบริเวณห้อง เพราะเมื่อคืนคามินมาตอนดึกมากแล้ว เลยไม่ได้สังเกตดูว่ารอบๆ ห้องนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร

และเมื่อได้เห็นร่างสูงก็อดยอมรับไม่ได้ว่าถึงแม้ห้องจะเล็ก แต่รูปแบบการแต่งห้องไม่ธรรมดาเลย ปราณันต์สามารถแบ่งสัดส่วนห้องเล็กๆ ให้ดูใช้สอยได้อย่างเต็มที่และลงตัว มุมหนึ่งของห้องถูกกั้นไว้เป็นห้องแต่งตัวขนาดไม่ใหญ่ ส่วนห้องนอนก็ถูกแบ่งด้วยตู้เสื้อผ้า ห้องหนึ่งเป็นของฝาแฝดที่มีเตียงขนาดกลางสำหรับเจ้าตัวน้อยทั้งสองนอนด้วยกัน ส่วนอีกห้องเป็นของพี่ชายคนโตอย่างปราณันต์ เป็นเตียงขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนของครัวก็อยู่ติดๆ กับห้องน้ำ มีข้าวของเครื่องใช้วางเป็นระเบียบ มีราวกั้นหน้าครัวขนาดสูงพอสมควร เพื่อกันไม่ให้เด็กๆ เข้าไปเล่นซนในนั้นได้ และเฟอร์นิเจอร์ในห้องส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เอนกประสงค์ พับเป็นโต๊ะกินข้าว เป็นโต๊ะทำงาน ลิ้นชักใส่ของ ทำให้ประหยัดเนื้อที่และเก็บของกระจุกกระจิกได้มากขึ้น คามินอดทึ่งไม่ได้เมื่อได้เห็นห้องพักของครอบครัวนี้แบบทั่วถึง สมแล้วที่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้สามารถเข้าทำงานในบริษัทของเขาได้ทันทีที่เรียนจบมหาวิทยาลัย

“คุณปราณันต์แต่งห้องเก่งมากเลยนะครับ” คามินเอ่ยปากชมด้วยความจริงใจ ในเรื่องของความสามารถเขายอมรับเลยว่าคนตรงหน้ามีมากพอและไม่ธรรมดาเลย

“นิดหน่อยน่ะครับ หยิบนู่นผสมนี่ ก็พอถูๆ ไถๆ ได้อยู่” คามินตอบยิ้มๆ แบบถ่อมตัว ก่อนจะเชื้อเชิญให้เขานั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าพร้อมฝาแฝดที่นั่งยิ้มแฉ่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว “ทานมื้อเช้าก่อนดีกว่าครับ ผมเตรียมกาแฟ ขนมปังปิ้งแล้วก็ไส้กรอกทอดไว้ให้”

“พี่คราม นั่งๆ นั่งข้างปัณณ์ เดี๋ยวปัณณ์จะหยิบไส้กรอกให้พี่ครามทานนะ” ฝาแฝดคนน้องตบลงบนเบาะที่นั่งข้างตัว เพื่อชวนให้คามินนั่งลง

“ไหน คนเก่งของพี่คราม ทานอะไรกันอยู่ครับ” คามินทรุดลงนั่งข้างปัณณธร พร้อมๆ ที่กับที่ปราณันต์อ้อมไปนั่งข้างปุณณกันต์ พร้อมกับทั้งจัดจานแล้วก็เทกาแฟให้คนตัวโตฝั่งตรงข้าม

“ไส้กรอกครับ! พี่ครามทานด้วยกันสิครับ” ปัณณธรชูส้อมที่จิ้มไส้กรอกไว้โชว์ให้คามินดู ส่วนปุณณกันต์ก็อมยิ้มแก้มตุ่ยส่งมาให้เขา ทั้งที่เคี้ยวไส้กรอกตุ้ยๆ ไม่เลิก

ปราณันต์มองเด็กฝาแฝดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขานั่งมองเด็กทั้งสองทานอย่างมีความสุข คามินเองก็นั่งจิบกาแฟสังเกตภาพตรงหน้าเงียบๆ โดยที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ จนกระทั่งปราณันต์หันมานั่นแหละ คามินถึงได้ส่งยิ้มหวานหยดย้อยกลับไปให้ เล่นเอาแก้มขาวนวลของปราณันต์ขึ้นสีแดงจางๆ อย่างน่าเอ็นดู

“ทานสิครับ คุณไม่หิวหรอ” ปราณันต์เสก้มหน้าหลบดวงตาเรียวคม โดยมองไปที่จานขนมปังและไส้กรอก แล้วค่อยๆ เลื่อนจานตรงหน้าส่งให้คามิน

“แล้วคุณล่ะครับ” คามินถามกลับเมื่อเห็นว่าปราณันต์ยังไม่ได้แตะอาหารเช้าเลยเช่นกัน

“อ๋อ ปกติผมทานแต่กาแฟน่ะครับ อยู่ออฟฟิศก็ไม่ค่อยได้ทานมื้อเช้าเท่าไหร่ ไม่ค่อยหิว” ปราณันต์ตอบยิ้มๆ

“ไม่ได้นะครับ ยังไงก็ต้องทาน นิดหน่อยก็ยังดี อย่าไม่ทานจนติดเป็นนิสัยสิครับคุณปราณันต์” เสียงทุ้มพูดบ่นยาวติดจะดุปราณันต์กว่าหน่อยๆ ด้วยซ้ำ

“ใช่ครับ! คุณครูบอกปุณณ์ว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ ยังไงก็ต้องทาน!” ปุณณกันต์คนพี่พูดสนับสนุนคำพูดของคามินอย่างชาญฉลาด ทำเอาพี่ชายคนโตอดหน้ามุ่ยเพราะโดนน้องดุไม่ได้

“ใช่ๆ พี่ปราณอ่ะดื้อ! ดูสิปุณณ์กับปัณณ์ไม่ดื้อเลย ทานไส้กรอกเป็นข้าวเช้าด้วย!” เจ้าแฝดคนน้องพูดพลางพยักเพยิดหน้าราวกับจะบอกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของแฝดคนพี่ หนำซ้ำมือเล็กๆ นั่นยังถือส้อมจิ้มไส้กรอกเข้าปากไม่หยุด

คามินและปราณันต์ที่เห็นและได้ยินภาพตรงต่างก็ขำออกมาด้วยความเอ็นดู เจ้าหนูทั้งสองทั้งฉลาดและรู้ดีเกินวัย คำพูดคำจาของฝาแฝดน้อยช่างน่ารักเสียจนปราณันต์ อดยื่นมือไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ นั่นไม่ได้

“แก่แดดกันนักนะตัวแสบ” พี่ชายคนโตของครอบครัวบ่นอุบ วันนี้เขาโดนเจ้าฝาแฝดน้อยเทศน์ซะยกใหญ่เชียว

“ว่าแต่วันนี้เราจะไปสวนสาธารณะที่ไหนดีครับคุณ...” ตากลมหันมามองตามเสียงทุ้มด้วยความแปลกใจ ที่จู่ๆ คามินก็หยุดพูดไปกลางประโยค “ผมว่าผมเรียกคุณว่าคุณปราณันต์แล้วห่างเหินแปลกๆ คุณมีชื่อเล่นนี่นา ฝาแฝดก็เรียก”

“ฮ่าๆ” เจ้าของสรรพนามที่คามินคิดว่าห่างเหินหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ จะว่าไปก็ไม่มีใครถามชื่อเล่นเขามานานแล้วเหมือนกัน “ที่จริงชื่อเล่นผมก็อย่างที่ปุณณ์กับปัณณ์เรียกแหละครับ เพื่อนสนิทกับคนในครอบครัวมักจะเรียกผมว่าปราณ คุณคามินก็เลือกเรียกตามสะดวกได้เลย ผมสัญญาว่าพอคุณเรียกแล้วจะรีบหันทันทีเลยครับ”

ปราณันต์พูดเล่นหยอกคามินอย่างอารมณ์ดี ในสมองของคามินรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว เขาอยากเรียกชื่อเล่นปราณันต์ อยากเป็นหนึ่งคนที่พิเศษและสนิทสำหรับปราณันต์บ้าง


“งั้น.. ผมเรียกคุณว่าคุณปราณได้ใช่ไหมครับ” คามินยื่นหน้าเข้าไปถามอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์เกิดหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ


“ก็เรียกสิครับ ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ปราณันต์ยื่นปาก บ่นขมุบขมิบเพราะเขิน

“ปราณ คุณปราณ... คุณปราณของผม” แต่คามินก็ยังไม่วายแกล้ง โดยการยื่นหน้าข้ามโต๊ะไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างใบหูนิ่ม เล่นเอาขนอ่อนข้างลำคอคนที่ถูกประชิดตั้งชันขึ้นด้วยความเขินอาย

“จะเรียกอะไรก็แล้วแต่คุณเลย คุณคามิน”

คามินยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะประชิดตัวปราณันต์แล้วพูดอ้อนๆ “ไม่เอาคามินครับ เรียกว่าผมว่าคราม หรือจะเรียกพี่ครามแบบฝาแฝดก็ได้นะ”

“บ้า!” ปราณันต์หน้าแดงกล่ำ ก่อนจะอ้อมแอ้มพูด “คุณครามก็คุณคราม”

พูดเองก็เขินเอง จู่ๆ ปราณันต์ก็เลยลุกขึ้นพรวด เล่นเอาเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่กำลังทานอยู่ แหงนหน้ามองตามพี่ชายตัวเองที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนแทบไม่ทัน

“พี่ปราณ อิ่มแล้วหรอครับ” ปุณณกันต์เอ่ยถามขึ้น

“พี่ปราณ ทำไมอิ่มไวจัง” ปัณณธรเองก็แปลกใจ พี่ปราณเพิ่งทานไปนิดเดียวเองนี่นา

“เอ่อ.. คือ พี่ พี่อิ่มแล้วครับ เดี๋ยวพี่จะไปเตรียมของ ปุณณ์กับปัณณ์นั่งทานกับพี่ครามไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”

ปราณันต์เดินหนีไปเงียบๆ ด้วยความเขินอาย ก่อนจะยิ่งเขินมากขึ้นเมื่อคนขี้แกล้งดันตะโกนโพล่งขึ้นมาซ้ำอีกรอบ

“รีบมานะครับคุณปราณของผม ผมกับฝาแฝดจะคอย” พี่ครามของเด็กๆ ส่งเสียงเรียกล้อเลียนอีกฝ่ายพลางหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะได้ค้อนวงใหญ่ถูกเหวี่ยงกลับมาจากคนที่เพิ่งได้ชื่อเล่นใหม่มาหมาดๆ แทน

.

.

.

“ปัณณ์อยากช่วยยกอะ พี่ครามให้ปัณณ์ช่วยไหม”

หลังจากทานมื้อเช้ากันเรียบร้อย หนุ่มน้อยและหนุ่มใหญ่ทั้งสี่ก็อัปเปหิตัวเองออกจากห้อง ก่อนจะช่วยยกของกันคนละไม้ละมือเพื่อมายังรถของคามินที่จอดอยู่ด้านล่าง เห็นจะมีก็แต่น้องน้อยคนสุดท้องที่ไม่ได้ยกอะไรเลย ด้วยเพราะตัวเล็กกว่าคนอื่นเขา เจ้าตัวน้อยเลยบ่นกระปอดกระแปดเนื่องจากอยากจะมีส่วนร่วมกับคนอื่นเขาบ้าง ขนาดพี่ปุณณ์ยังได้หิ้วเสื่อปิคนิคช่วยพี่ๆ เลย

ปุณณกันต์เห็นน้องชายฝาแฝดทำหน้ามุ่ยแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เลยเดินย้อนกลับไปหาปัณณธร พลางยื่นหูหิ้วเสื่อให้น้องช่วยถือข้างหนึ่ง

“อะ ปัณณ์ช่วยพี่ปุณณ์หิ้วหน่อย จะได้เดินไปพร้อมๆ กัน”

แฝดคนน้องยิ้มให้คนพี่อย่างน่าเอ็นดู ก่อนที่สองคนจะช่วยกันหิ้วเชือกผูกเสื่อคนละข้าง แล้วเดินไปพร้อมกันจนถึงรถ

.

.

.

“พี่ปราณๆ เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันเหรอครับ”

ทันทีที่เจ้าตัวน้อยขึ้นนั่งประจำที่ คาดเข็มขัดเรียบร้อย ปัณณธรคนน้องก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้

“อืม.. แล้วปุณณ์กับปัณณ์อยากไปเที่ยวไหนดีครับ ลองบอกพี่กับพี่ครามซิ” ปราณันต์หันไปถามเจ้าเด็กตาใสทั้งสอง ที่ตอนนี้กำลังกลอกไปกลอกมาอย่างใช้ความคิด

“ไปไหนดีล่ะพี่ปุณณ์” ปราณันต์หลุดขำออกมาทันที เพราะแทนที่เจ้าตัวน้อยแฝดน้องจะมีคำตอบมาตอบเขา ดันหันกลับไปถามแฝดตัวน้อยคนพี่แทนเสียนี่

“ไปไหนก็ได้ครับ ให้พี่ปราณกับพี่ครามพาไป” ปุณณกันต์คิดนิดนึง ก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ

“ใช่ๆ ไปที่ไหนก็ได้ครับ ปัณณ์ไม่เรื่องมากหรอก”

ปราณันต์ขำน้อยๆ ตอนได้ยินปัณณธรบอกว่าตัวเองไม่เรื่องมาก ทั้งที่เมื่อกี้เจ้าตัวยุ่งยังถามเขาอยู่เลยว่าจะพาไปไหน

“งั้น.. เราไปขี่จักรยานเล่นกับนั่งเรือถีบที่สวนสาธารณะ A ดีไหมครับ ฝาแฝดอยากไปไหม” เป็นคามินที่ถามขึ้นหลังจากขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ได้สักพัก

“ขี่จักรยานเหรอครับ” ปัณณธรน้อยตาโตตอนที่ได้ยินว่าตัวเองจะได้ไปขี่จักรยาน ใบหน้าเล็กๆ นั่นดูตื่นเต้น จนหันไปเขย่าแขนฝาแฝดคนพี่ไม่หยุด “มีเรือด้วยแหละพี่ปุณณ์ เมื่อกี้พี่ครามบอกมีเรือด้วยใช่ไหม”

“อื้อ! มีเรือด้วย พี่ปุณณ์อยากนั่งเรือ” แฝดคนพี่ก็อดตื่นเต้นด้วยไม่ได้ แต่พอฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา เจ้าตัวน้อยก็ห่อเหี่ยวลง

“แต่พี่ปราณบอกว่าอันตราย พาเรานั่งเรือพร้อมกันสองคนไม่ไหวหรอก” ปุณณกันต์กล่าวกับแฝดคนน้องหงอยๆ ทำเอาปัณณธรซึมตามพี่ชายไปติดๆ

“นั่นสิ พี่ปราณไม่ให้เราสองคนนั่งแน่เลย” ตากลมๆ ของเด็กทั้งสลดวูบ ปราณันต์เห็นภาพดังกล่าวแล้วก็ทั้งสงสารทั้งขำ ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ยอมให้เด็กๆ นั่งเรือเพราะเขาดูแลไม่ไหว ฝาแฝดกำลังโต แล้วอยู่ในวัยซุกซนอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง เกิดชะโงกหน้า ดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาแล้วพลัดตกเรือไป เขาคงใจสลายแน่ๆ

แต่วันนี้มีคามินมาด้วย ก็คงพอจะพาเด็กแฝดนั่งเรือได้อยู่หรอก แต่ดูเจ้าตัวน้อยทั้งสองสิ ตีตนไปก่อน ดราม่ากันเสียเบอร์ใหญ่เชียว

“แล้วปุณณ์กับปัณณ์อยากนั่งเรือรึป่าวครับ” ปราณันต์แกล้งเอ่ยถามขึ้น เด็กๆ มีแววตาเปล่งประกายอยู่วูบหนึ่งก่อนจะหม่นแสงลงตามมาติดๆ ในเวลาต่อมา

“อยากครับ แต่ถ้าพี่ปราณบอกว่ามันอันตราย เราสองคนก็จะเชื่อฟัง ไม่นั่งก็ได้ครับ” ปุณณกันต์ตอบเสียงอ่อยๆ แต่ประโยคต่อมาของพี่ชายก็กลับทำให้ฝาแฝดทั้งสองลิงโลดขึ้นมาในพริบตา

“วันนี้พี่ครามมาด้วย ถ้ามีคนช่วยพี่ปราณดูแลฝาแฝด ปุณณ์กับปัณณ์ก็นั่งเรือได้ครับ พี่ปราณอนุญาต” พอสองหนูน้อยได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้นก็ดีใจยกใหญ่โดยเฉพาะปัณณธร

“พี่คราม! พี่ครามมาหาพี่ปุณณ์กับปัณณ์บ่อยๆ นะ พอพี่ครามมา เราสองคนได้ทำนั่นทำนี่เยอะเลย” เจ้าตัวน้อยถึงกับเอ่ยปากขอให้คามินมาบ่อยๆ โดยมีฝาแฝดคนพี่คอยพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“พี่ครามก็อยากมาบ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าพี่ปราณของเด็กๆ จะอนุญาตรึป่าว” คามินแกล้งพูดลอยๆ เสียงดังเพื่อดูท่าทีของปราณันต์ พอเห็นว่ามุมปากอิ่มมีรอยยิ้มเล็กๆ ถูกจุดขึ้น ร่างสูงก็แกล้งยื่นเข้าไปพูดใกล้ๆ ปราณันต์

“ว่าไงครับคุณปราณ ให้ผมมาหาคุณกับน้องๆ บ่อยๆ ได้หรือป่าว”

ปราณันต์เบี่ยงหน้าหนีอย่างเขินอาย และยิ่งพอได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักล้อเลียนจากฝาแฝดดังลอยมาจากเบาะด้านหลัง ยิ่งทำให้ใบหน้านวลปั้นหน้าไม่ถูก

“คุณครามอยากมาก็มา แล้วแต่คุณสิ” ปราณันต์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง แต่ถึงอย่างไรก็ดังพอที่จะได้ยินทั่วรถอยู่ดี

ซึ่งคำตอบดังกล่าวก็ทำให้เด็กร้อง “เย่!” ออกมาอย่างดีใจ แม้แต่ตัวผู้ใหญ่ที่ได้รับอนุญาตให้มาได้บ่อยๆ ก็ดูท่าทางจะอารมณ์ดีไม่แพ้เจ้าฝาแฝดทั้งสองเลย

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


“ถึงแล้วครับเด็กๆ เดี๋ยว ปอปลาคนโต...” คามินหันไปพูดกับปราณันต์ ก่อนจะหันไปหาฝาแฝดทั้งสอง “กับปอปลาคนเล็ก ยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ ขอพี่ครามเอารถไปจอดก่อน”

คามินหันมากำชับ เพราะตอนนี้ขับรถมาถึงสวนสาธารณะแล้ว แต่ปล่อยให้สามพี่น้องลงเพื่อรออยู่ที่ด้านหน้า ก่อนที่ตัวเองจะไปวนหาที่จอดรถ จะได้ไม่ต้องขนกันไปกันมาให้เสียเวลาไปเปล่าๆ

“เด็กๆ ดูแลพี่ปราณด้วยนะครับ เดี๋ยวพี่ครามมา”

“ครับ!!!” เด็กๆ ตอบขึ้นพร้อมกันอย่างแข็งขัน ก่อนที่ปราณันต์จะหัวเราะแล้วบ่นออกมาเบาๆ

“ตัวกะเปี๊ยกเดียวทำจะมาดูแลพี่” ปราณันต์พูดอย่างเอ็นดู พลางยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ นั่นเบาๆ

วันนี้เด็กทั้งสองดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ ตากลมๆ โตๆ สอดส่ายไปมาทั่วบริเวณ มือน้อยๆ พยายามชี้ชวนให้อีกฝ่ายดูนั่นดูนี่ ท่าทางฝาแฝดคงจะติดใจการออกมาเที่ยวนอกบ้านแบบนี้แล้วแหละ นี่ขนาดว่ายังไม่ได้วิ่งเล่นหรือขี่จักรยานเลยนะ แค่พามาออกมาเฉยๆ เจ้าตัวแสบทั้งสองถึงกับเอ่ยปากออดอ้อนพี่ครามให้มาหาบ่อยๆ เสียแล้ว ปราณันต์ได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงๆ ยามมองไปเด็กน้อยทั้งสอง ที่มีใบหน้าและนิสัยที่คล้ายกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน

“พี่ครามมาแล้วครับเด็กๆ เราไปหาที่ร่มๆ นั่งกันเถอะ” คามินเดินส่งเสียงมาก่อนตัวด้วยซ้ำ พอมาถึงจุดที่สามพี่น้องยืนอยู่ เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่นั่นก็ฉวยข้าวของจากมือเรียวที่ถืออยู่ เอามาหิ้วไว้เองเสียหมด “มาครับผมถือให้ คุณจูงฝาแฝดเถอะ”

ปราณันต์ต้องจำยอม เพราะครั้นจะให้สองคนมาช่วยกันหอบหิ้วตะกร้า ข้าวของ พลางจูงแฝดคนละคน มันจะดูวุ่นวายไปสักหน่อย สู้ให้คามินขนของไปคนเดียว แล้วเขาดูแลปุณณกันต์กับปัณณธรน่าจะดีกว่า อีกอย่างเขาเองก็จะได้ไม่ต้องหิ้วของหนักๆ ด้วย ปราณันต์ก็ได้แต่ขอบคุณผู้ชายที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล

พอเดินไปได้สักพัก ทั้งสี่คนก็เห็นทำเลดีๆ เป็นจุดที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ เหมาะให้เจ้าตัวน้อยได้ขี่จักรยานเล่นโดยที่อยู่ในสายตาเขาและคามินได้อย่างสบายใจ แถมมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาเพราะถ้าล่วงเข้าช่วงสายเมื่อไหร่ แดดคงจะแรงกว่านี้แน่ นี่ยังถือว่าโชคดีเป็นของเขาทั้งสี่คน เพราะวันนี้อากาศดีมาก แดดก็ไม่ออกเท่าไหร่ แถมลมยังพัดเย็นสบายอีกต่างหาก

“พี่คราม พี่ปราณ เราสองคนอยากขี่จักรยานแล้วอะครับ” แน่นอนว่าเจ้าของเสียงพูดนี้ต้องไม่ใช่ปุณณกันต์แฝดคนพี่แน่ๆ เพราะถึงแม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะอยากทำอะไรมากแค่ไหน ปุณณกันต์ก็จะแค่จ้องมองและแสดงอาการสนใจ จนกว่าพี่ชายจะถาม นั่นแหละ ปุณณกันต์ถึงจะบอกถึงความต้องการของตัวเอง

ผิดกับปัณณธร รายนั้นถ้าอยากทำอะไรจะพูด จะบอก จะแสดงความต้องการอย่างเปิดเผยเลย ว่านี่คือสิ่งที่ตนเองปรารถนาจะทำหรือจะครอบครอง ซึ่งมันก็ดีอย่างเสียอย่างทั้งสองแบบนั่นแหละ ตึงไปอย่างปุณณกันต์ก็ไม่ดี คนจะไม่เข้าใจ แต่จุดดีมันอยู่ที่ฝึกความอดทนได้ ส่วนนิสัยปัณณธรก็ดีตรงที่เปิดเผย แต่ถ้ามากไปคนอาจจะมองเป็นอีกแง่ที่เรียกว่าใจร้อน ความอดทนต่ำก็ได้

ดังนั้นปราณันต์จึงพยายามจะสอนน้องทุกครั้ง โดยเอาจุดเด่นของเด็กทั้งสอง มาผนวกรวมกัน เพื่อที่ว่ามันจะได้อยู่ตรงกลาง ในจุดที่พอดีและดีพอที่สุด

“ปัณณ์ พี่ปราณเคยสอนว่าไงครับ จำได้ไหม”

“ปัณณ์จำได้แล้วครับ” เด็กน้อยยิ้มแห้งๆ เกาศีรษะเก้อๆ เขาดันลืมสิ่งที่พี่ปราณสอนไปเสียสนิทได้ยังไงกัน

“พี่ปุณณ์ๆ ปุณณ์อยากขี่จักรยานเล่นรึยังอะ” ปัณณธรหันไปถามปุณณกันต์ที่อยู่ใกล้ๆ ตากลมจ้องมองไปที่แฝดพี่อย่างต้องการจะฝากความหวัง จนปราณันต์เห็นแล้วอดขำออกมาไม่ได้

“อื้อ! อยากขี่แล้ว” ปุณณกันต์ตอบน้อง ก่อนจะหันไปตอบพี่ชายคนโตของครอบครัวด้วยเช่นกัน

“ปุณณ์กับปัณณ์อยากขี่จักรยานแล้วครับพี่ปราณ”

ปากอิ่มยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เห็นน้องชายทำตามที่ตนเองสอนได้อย่างดีเยี่ยม คามินขมวดคิ้วงงๆ กับการกระทำของปอปลาทั้งสาม แต่ก็ยังไม่ทันได้ถามอะไร เพราะต้องปลีกตัวไปเช่าจักรยานมาให้ด็กแฝดทั้งสองใช้ขี่เล่นก่อน

“มาแล้วครับ มาแล้ว จักรยานมาแล้ว” คามินเข็นจักรยานเด็กเข้ามาสองคัน แล้วก็มีเด็กที่ร้านเช่าเข็นจักรยานผู้ใหญ่ตามมาด้วยอีกคัน

เด็กแฝดทั้งสองพอเห็นจักรยานก็วิ่งถลาเข้ามาเกาะแล้วขึ้นคร่อมขี่คนละคันในแทบจะทันทีทันใด เล่นเอาปราณันต์แทบจะตะโกนรั้งไว้แทบไม่ทัน

“ปุณณ์ ปัณณ์ อย่าขี่ไปไกลนะครับ อยู่แค่บริเวณนี้นะ โอเคไหม?”

“คร้าบบบ!!” เด็กน้อยทั้งสองตะโกนตอบทั้งรอยยิ้ม ซึ่งตอนนี้เด็กยักษ์อีกหนึ่งคนก็กำลังขึ้นคร่อมจักรยานแล้วไถตัวเข้ามาใกล้ๆ เขาแล้วด้วยเช่นกัน

“คุณปราณไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมตามไปดูแลเด็กๆ ให้” คามินแสดงความอ่อนโยนออกมาจนปราณันต์ใจเต้นแรง ก่อนที่ปากหยักจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยก่อนหน้านี้ “ว่าแต่ทำไมปัณณ์ถึงต้องถามปุณณ์ก่อนล่ะครับว่าอยากขี่จักรยานหรือยัง”

ปากอิ่มแย้มยิ้มก่อนที่จะตอบคามิน “ปัณณ์เป็นเด็กใจร้อน แล้วก็ชอบแสดงความต้องการทุกอย่างอย่างเปิดเผยครับ ส่วนปุณณ์เป็นเด็กขี้อาย ไม่ค่อยกล้าบอกเท่าไหร่ว่าตัวเองอยากได้อะไร การที่จะทำให้เด็กทั้งสองอยู่ในจุดที่พอดี ผมก็ต้องใช้ความใจเย็น ชอบอดทนของปุณณ์มาเบรกปัณณ์ไว้หน่อย แล้วก็ต้องเอาส่วนของความเป็นคนตรงๆ เปิดเผยของปัณณ์ มากระตุ้นให้ปุณณ์แสดงความรู้สึก”

ปราณันต์อธิบายช้าๆ ไปเรื่อยๆ พลางมองไปที่เด็กๆ ที่กำลังขี่จักรยานอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก คามินมองอีกฝ่ายด้วยความสงบนิ่ง ใบหน้าคมคายไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าปราณันต์เป็นคนที่มีความคิด ทัศนคติ และวิธีการสอนน้องที่ดีมาก ในขณะที่ปราณันต์เองก็ยังคงพูดถึงฝาแฝดทั้งสองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนให้คามินฟังต่อ

“ผมอยากให้พวกเขาดูแลกันและกันได้ครับ... ผมอยากให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน อยากให้เขาเติบโตด้วยความรักและความเข้าใจ จากทั้งคนรอบข้าง และจากตัวเขาทั้งสองเอง”

ปราณันต์หันมาทางคนที่เพิ่งถามคำถามตัวเองช้าๆ คามินเองพอเห็นปราณันต์กำลังจะมองกลับมาทางตน ใบหน้ามีเสน่ห์ของคามินก็ค่อยๆ คลายความเย็นชาลง หน้ากากแห่งความอ่อนโยนถูกคนเจ้าเล่ห์หยิบมาใส่แทนที่อีกครั้ง

“ฝาแฝดต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแน่นอนครับ” ปากหยักส่งยิ้มมาให้คนตรงข้าม ปากอิ่มเองก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะหันกลับไปมองน้องชายของตัวเองอีกครั้ง

“ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกันครับ”

.

.

.

ฝาแฝดทั้งสองทั้งปั่นจักรยาน ทั้งวิ่งเล่นไล่จับกับพี่ครามเด็กร่างยักษ์อย่างสนุกสนาน ปราณันต์ได้แต่มองคนทั้งสามอย่างมีความสุข เขาไม่ได้เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองของเขามีความสุขมากขนาดนี้มานานแล้ว เด็กๆ หัวเราะกันสุดเสียง ถึงแม้จะเหนื่อยหอบแต่ก็ยังคงไม่ยอมหยุดเล่น สุดท้ายปราณันต์จึงต้องเรียกเด็กซนทั้งสามคนให้มาทานอาหารกลางวันกัน เพราะนี่ก็ใกล้จะเที่ยงเต็มทีแล้ว

“ปุณณ์ ปัณณ์ คุณคราม” ปราณันต์ป้องปากตะโกนเรียกคนทั้งสาม ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่หันมามองตามเสียงเรียก “มาทานกลางวันกันได้แล้วครับ พักก่อนเถอะ” มือเรียวกวักเรียกคนที่วิ่งไปวิ่งมาให้เข้ามาหาตน

ปุณณกันต์วิ่งเข้าไปหาพี่ชายตนเองอย่างร่าเริง ส่วนปัณณธรตอนนี้กำลังกรีดเสียงหัวเราะอย่างสุดเสียง เพราะเจ้าตัวน้อยกำลังถูกพี่ครามคนตัวใหญ่จับอุ้มจนตัวลอยเคว้งไปมาบนอากาศ

“ฮ่าๆๆ พี่ครามมมมม!” เจ้าตัวน้อยหัวเราะเสียงใสจนปุณณกันต์และปราณันต์ที่ได้เห็นและได้ยินอดหัวเราะตามไม่ได้ “ยกสูงๆ ปัณณ์ชอบสูงๆ”

“สูงอีกหรอครับ” คามินแกล้งยกเจ้าตัวน้อยให้สูงขึ้นอีก ทำเอาเจ้าหนูตัวน้อยหัวเราะร่ายิ่งกว่าเดิม

“ฮ่าๆๆ” คนตัวโตเล่นกับปัณณธรจนมาถึงที่พักที่ปราณันต์ปูเสื่อนั่งรออยู่ ฝาแฝดจึงยอมหยุดเล่นแล้วนั่งลงดีๆ ปราณันต์หยิบน้ำในขวดมาล้างมือให้เจ้าตัวน้อยทั้งสอง ก่อนจะส่งที่เหลือให้คามินทำความสะอาดมือของตัวเองเช่นกัน จากนั้นปราณันต์ก็หยิบอาหารที่เตรียมมาออกจากตะกร้า แล้วตักใส่จานเล็กๆ แยกให้ทั้งสามทานอย่างเต็มที่

“อร่อยไหมครับปุณณ์” ปราณันต์ยื่นมือที่ถือกระดาษทิชชู่อยู่เช็ดไปที่ปากเล็กๆ ของแฝดคนพี่อย่างเบามือ

“อร่อยครับ พี่ปราณทำไข่ม้วนอร่อยที่สุดในโลก” ปากจิ้มลิ้มที่กำลังเอ่ยชมพี่ชายเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่หยุด แก้มยุ้ยๆ ขยับขึ้นขยับลงอย่างน่าเอ็นดู

“ช่าย! ไก่ทอดนี่ก็อร่อย อร่อยที่สุดในโลกเหมือนไข่ม้วนเลย” ปัณณธรก็ใช่ว่าจะยอมน้อยหน้าพี่ชายฝาแฝดตัวเอง เจ้าตัวเล็กเอ่ยชมพี่ชายคนโตอย่างเอาอกเอาใจ ปากอิ่มเล็กๆ สีแดงสด มันวาวไปทั่วทั้งปากเพราะแฝดน้องกำลังทานไม่ยอมหยุดพัก

พี่ชายคนโตหลังได้ยินคำชมจากน้องฝาแฝดทั้งสองก็ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะหันไปหานักชิมคนสุดท้าย ราวกับอยากจะขอความเห็น

“เป็นไงบ้างครับคุณคราม พอทานได้ไหมครับ” ปราณันต์ถามไม่เต็มเสียง ยอมรับว่าไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ หลังจากที่เห็นว่าคามินเงียบไปหลังได้ชิมอาหารฝีมือเขา

“ไม่…” ปราณันต์หน้าเสีย พลางคิดอย่างวุ่นวายว่าอาหารจานไหนที่ไม่อร่อย เขาก็ทำสุดฝีมือทุกอย่างเลยนะ “ไม่พอหรอกครับแค่นี้! อร่อยขนาดนี้ ผมทานไม่อิ่มง่ายแน่ๆ!”

ปากอิ่มยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างน่ามอง ปราณันต์ยอมรับว่าดีใจมากที่อาหารของเขาถูกปากคามิน หัวใจดวงเล็กๆ เต้นแรง อดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ที่ทำให้คามินประทับใจในรสชาติอาหารที่เขาทำได้มากขนาดนี้

“ทานเยอะๆ เลยนะครับ ผมทำมาเยอะเลย เห็นว่าคุณทานจุ” มือเรียวหยิบอาหารเพิ่มลงไปบนจานของคามินเรื่อยๆ

“แล้วคุณล่ะครับ ไม่ทานหรอ?” คามินถามกลับเมื่อเห็นว่าปราณันต์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย

“ผมทานไปก่อนหน้านี้แล้วครับ เดี๋ยวไม่มีคนดูแลเด็กๆ ถ้าเราทานพร้อมกัน” แม้ปากจะตอบคำถาม แต่มือเรียวก็ยังจับนั่นหยิบนี่ไม่หยุด เดี๋ยวเช็ดปากให้ปัณณธร เดี๋ยวเก็บของที่หกออกจากจานให้ปุณณกันต์ ไหนจะคอยเทน้ำ เพิ่มอาหารให้คามินเรื่อยๆ อีก

สองเด็กแฝดกับหนึ่งผู้ใหญ่ยักษ์ซัดอาหารทั้งหมดจนเรียบแทบไม่เหลืออะไรสักอย่าง แล้วแทนที่อิ่มกันหมดแล้วเด็กแฝดและผู้ใหญ่ยักษ์จะหมดแรง กลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะตอนนี้สามหนุ่มกำลังชวนเขายิกๆ เพื่อไปถีบเรือเล่นในทะเลสาปที่เป็นเกาะกลางสวนสาธารณะ จนสุดท้ายปราณันต์ก็ยอมใจอ่อนจนได้

ทั้งสี่คนเดินไปเช่าเรือสองลำ ปราณันต์ไปลำเดียวกับปัณณธร ส่วนคามินไปลำเดียวกับปุณณกันต์ ทั้งสี่คนแล่นเรือถีบไปมาอย่างสนุกสนานจนเหนื่อย ถึงได้ยอมกลับขึ้นฝั่งมาดื่มน้ำ ดื่มท่าแล้วหยุดนั่งพักบนเสื่อใต้ต้นไม้ใหญ่ต่อ

“ฝาแฝดครับ วันนี้สนุกไหม” คามินถามเด็กๆ เจ้าตัวน้อยทั้งสองยิ้มจนตาหยี ก่อนจะตอบพี่ครามเสียงดังฟังชัด

“สนุกมากเลยครับพี่คราม วันหลังเรามากันอีกนะ” ปัณณธรพูดพลางกระโดดไปเกาะหลังคนตัวโต ก่อนจะปีนป่ายขึ้นไปบนหลังกว้างอย่างออดอ้อน

ปุณณกันต์เองก็เหมือนกันเจ้าตัวน้อยขยับตัวไปโอบกอดรอบคอพี่ชายตัวเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักไม่ต่างจากน้องชายว่า “วันนี้ปุณณ์สนุกมากครับพี่ปราณ ถ้าพี่ปราณว่างคราวหน้าพาเราสองคนมาอีกนะ”

เจ้าตัวน้อยถูไถใบหน้าตัวเองเข้ากับแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างออดอ้อน ทำเอาพี่ชายคนเก่งใจอ่อนจนเผลอตอบตกลงไป

“ได้ครับ ไว้ว่างพี่ปราณจะพาฝาแฝดมาอีกนะ”

เจ้าหนูทั้งสองกระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่า และแปะมือกันอย่างยินดี จนผู้ใหญ่ทั้งสองอดจับเด็กๆ มาฟัดเล่นไม่ได้

ปราณันต์เกี่ยวเอวเจ้าแฝดคนน้องแล้วรั้งเจ้าตัวน้อยมานั่งบนตัก จากนั้นก็ฟัดหอมแก้มซ้ายขวาอย่างหมั่นเขี้ยว คามินก็เช่นกัน เขาจับปุณณกันต์มากอดไว้ ก่อนที่จะใช้จมูกโด่งซุกไซร้ไปที่แก้มและพุงน้อยๆ ของแฝดคนพี่อย่างเอ็นดู

เด็กทั้งสองต่างดิ้นหนีผู้ใหญ่ขี้แกล้งกันอย่างสนุกสนาน เด็กแฝดวิ่งหนีไปทางนั้นที ทางนี้ที โดยมีปราณันต์กับคามินตามไล่คลานจับเด็กทั้งสองไปมาอยู่บนเสื่อเล็กๆ ไม่หยุด จนจังหวะสุดท้ายฝาแฝดหลบผู้ใหญ่ทั้งสองทัน แต่กลายเป็นว่าผู้ใหญ่เองนั่นแหละที่หลบอีกฝ่ายไม่ทัน จมูกโด่งเป็นสันของคามินจึงพุ่งเข้าฉกลงบนแก้มนิ่มของปราณันต์ ส่วนริมฝีปากอิ่มสีสดก็จูบลงบนสันกรามของคนตรงข้ามอย่างพอเหมาะพอดี

“อุ๊ย คิก คิก” ปุณณกันต์กับปัณณธรมองภาพตรงหน้าแล้วหัวเราะคิกคักไม่หยุด ปราณันต์เองที่พอรู้ตัวก็ดีดออกจากคามินแทบไม่ทัน แก้มนวลขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย

“หอม แถมแก้มนิ่มด้วย” คนตรงข้ามกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์ที่เขินอยู่แล้ว ยิ่งเขินหนักกว่าเดิม ตอนนี้นอกจากแก้มนวลจะแดงระเรื่อแล้ว ใบหู และรอบคอของปราณันต์ก็ขึ้นสีตามไปแล้วเช่นกัน

“คนบ้า” เสียงใสอ้อมแอ้มต่อว่า ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณเอาจักรยานไปคืนร้านได้แล้วครับ จะเย็นแล้ว เก็บของกลับบ้านกันเถอะ”

“หึหึ” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะล้อเลียน ก่อนจะปลีกตัวเอาจักรยานไปคืนอย่างว่าง่าย มือเรียวเก็บกล่องใส่อาหารลงตะกร้าเงียบๆ โดยมีเจ้าตัวแสบทั้งสองนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ

“เมื่อกี้พี่ครามหอมแก้มพี่ปราณด้วยอ่ะพี่ปุณณ์ คิคิคิคิ”

“ใช่ๆ พี่ปราณก็จุ๊บแก้มพี่ครามด้วยแหละปัณณ์ คิกคิก”

เจ้าฝาแฝดนั่งคุยโต้ตอบกันทั้งที่อยู่ใกล้ๆ กับปราณันต์ ทำเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้ยินงั้นแหละ

“แก่แดดใหญ่แล้วนะ เดี๋ยวเถอะตัวดื้อ” แต่แทนที่เด็กแสบทั้งสองจะสลด กลับหัวเราะชอบใจมากกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะเสียงที่ดุเด็กๆ นั้นแทบไม่จริงจังเลย ติดจะเขินอายมากกว่าด้วยซ้ำ

และพอคามินเดินกลับมาสามคนพี่น้องก็เก็บของเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่เลยตัดสินใจจะกลับอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวปอปลาเพราะตอนนี้ก็บ่ายคล้อยมากแล้ว และท่าทางของฝาแฝดเองก็ดูเหนื่อยมากด้วย เพราะเล่นกันมาตั้งแต่สายๆ ยันบ่ายไม่ได้หยุดพัก เจ้าตัวน้อยคงสมใจอยากเพราะนานๆ จะได้ออกมาเที่ยวทั้งที เลยเก็บเกี่ยวเต็มที่จนขากลับนี่แทบเดินไม่ไหว

ตอนนี้พี่ครามเลยต้องจับปัณณธรขี่คอพลางถือตะกร้าเปล่าแล้วพาเดินไปที่รถ ส่วนปุณณกันต์ปราณันต์ก็เป็นคนอุ้มเดินตามหลังคนตัวโตไปห่างๆ

.

.

.

พอขึ้นรถได้ ออกรถไปสักพักเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเบาะหลังก็เงียบลง พี่ชายคนโตของครอบครัวรู้ทันทีโดยไม่ต้องหันไปมองว่าเด็กแฝดของเขาคงสิ้นฤทธิ์แล้ว

“ท่าทางจะหลับกันหมดแล้วล่ะครับ” เว่ยโจยหันไปพูดกับคามิน ที่ตอนนี้ชำเลืองมองไปที่เบาะหลัง พลางอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

“น่าจะเหนื่อย วันนี้เล่นกันเต็มที่เลย” คามินพูดขำๆ เพราะวันนี้เจ้าแฝดทั้งสองใช้พลังกันเต็มที่มาก ถ้าไม่หลับสิแปลก

“วันนี้ขอบคุณคุณมากเลยนะครับ ที่มาอยู่เล่นเป็นเพื่อนน้องๆ ของผม เด็กๆ ดูสนุกมากเลย” ปราณันต์ค้อมหัวให้คนตรงข้ามอย่างรู้สึกขอบคุณที่คามินทำเพื่อเขาและครอบครัวขนาดนี้

“คุณปราณก็รู้ว่าผมเต็มใจ มากกว่านี้ผมก็ทำให้คุณได้” คำพูดเกี้ยวพาถูกหยอดออกมาจากริมฝีปากหยัก เล่นเอาคนที่เข้าใจความนัย ใจเต้นแรงไปหมด

“คุณก็...” เสียงใสๆ เล็กๆ เหมือนจะถูกดูดกลืนลงคอ เมื่อเห็นว่าใบหน้าคมคายค่อยๆ ขยับเข้ามาช้าๆ ปราณันต์จึงแกล้งเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณหิวรึยังครับ”

“อืม.. นิดหน่อยครับ คิดอยู่ว่าถ้าเสร็จจากส่งคุณกับน้องๆ แล้ว ผมค่อยไปหาอะไรทาน” คามินจำต้องถอยออกพลางทำเสียงเศร้าๆ กะเรียกคะแนนสงสารเต็มที่

“เอางี้ ผมพอมีของสดที่เหลือจากมื้อเช้าอยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวผมทำอะไรง่ายๆ ให้คุณครามทานดีไหมครับ” และก็ได้ผล เพราะพอปราณันต์พูดแบบนี้ออกไป ก็เหมือนเข้าทางของคามินทันที

“ตกลงครับ งั้นผมขอทานมื้อเย็นที่ห้องคุณปราณอีกมื้อนะ” คามินรับคำด้วยน้ำเสียงลิงโลด

“แล้วถ้าผมไม่อนุญาตล่ะ คุณจะทำยังไง” ปราณันต์แกล้งถาม เป็นผลให้คามินหันขวับมามองทันที

“ต้องอนุญาตสิ! คุณปราณของผมก็ใจดีกับผมตลอดแหละ ผมรู้”

ปราณันต์ได้แต่ขำออกมาเบาๆ กับความเจ้าเล่ห์แสนกลของผู้ชายคนนี้ ก่อนที่สองคนจะเถียงกันไป ขับรถกันไป จนถึงอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวปราณันต์

.

.

.

พอจอดรถเรียบร้อย ทั้งสองก็อุ้มแฝดกันคนละคนขึ้นมาบนห้อง ก่อนจะพาเด็กๆ ไปวางบนเตียงอย่างเบามือ กันไม่ให้ตัวแสบทั้งสองตื่น

“ผมฝากคุณดูน้องด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปทำอะไรง่ายๆ ให้คุณทาน”

คามินพยักหน้าแล้วตอบตกลง เขาจัดท่าทางการนอนของเด็กทั้งสองให้อย่างอ่อนโยน คนตัวโตมองเจ้าฝาแฝดที่สิ้นฤทธิ์ไปแล้วด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะหยิบนู่นจับนี่ให้เข้าที่ เพื่อไม่ให้เกะกะการนอนของเด็กๆ

พอจัดการอะไรเรียบร้อย คามินก็เดินไปหาปราณันต์ในครัว ที่ตอนนี้คงกำลังทำอาหารอยู่อย่างขะมักเขม้น พอเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นหอมฉุยมาจากหม้อ

คามินมองปราณันต์จากด้านหลังพลางนึกในใจว่า


‘คนอะไร น่ากอด น่ารังแกเป็นบ้า!’


ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อาหารที่ปราณันต์ทำอาหารเสร็จพอดี

“อ่าว เอาฝาแฝดนอนเรียบร้อยแล้วหรอครับ” ปราณันต์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคามินเดินเข้ามาในครัว

“เรียบร้อยแล้วครับ มาผมช่วย” คามินขยับตัวเข้าไปช่วยปราณันต์ยกอาหารแล้วก็จัดโต๊ะ

พอเรียบร้อย คามินก็ทานอาหารที่ปราณันต์ทำให้อย่างเอร็ดอร่อย และเมื่ออิ่มแล้ว คามินก็เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่แผนเขาควรจะขยับขึ้นมาเสียที เพราะตอนนี้ปราณันต์ยอมอ่อนโอนให้เขามากขึ้นและเขาก็ไม่ควรเสียเวลาอีกต่อไป

“คุณปราณครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย” คามินเอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหาร ทำเอาปราณันต์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย

“ครับ คุณมีอะไรหรอ” ปราณันต์เหลือบตามองคามินที่กำลังจะพูดอย่างตั้งใจ ในขณะที่มือเรียวก็จัดการทำความสะอาดเก็บโต๊ะไปด้วย

“คุณรู้ใช่ไหมครับว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ” มือเรียวที่กำลังขยับทำนั่นทำนี่ ถึงกับหยุดชะงักไปหลังได้ยินคำถามนั้น

ใบหน้านวลค่อยๆ ขึ้นสีที่แก้มช้าๆ เจ้าตัวก้มหน้างุด ก่อนที่จะพยักหน้า เพื่อตอบคำถามของคามิน “ผมรู้”

“ผมไม่อยากรอต่อไปแล้ว คุณปราณให้โอกาสผมได้รึป่าวครับ” คามินรุกหนัก มือใหญ่เลื่อนมากุมมือเล็กที่หยุดชะงักอยู่ช้าๆ ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์เต้นแรงหนักกว่าเดิม

“ให้ยังไงล่ะครับ” ปราณันต์อ้อมแอ้มถาม ทั้งเขินทั้งทำตัวไม่ถูก


“อนุญาตให้ผมจีบคุณ อนุญาตให้เราทำความรู้จักซึ่งกันและกัน อนุญาตให้ผมดูแลคุณและคนในครอบครัวคุณ เปิดใจให้ผมได้ไหมครับ”


ปราณันต์นิ่งไป ฟันซี่งามกำลังขบลงบนริมฝีปากล่างแน่นอย่างใช้ความคิด ปราณันต์ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรตัดสินใจยังไง หลังจากลังเลอยู่นาน ปราณันต์ก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง


“ลองดูก็ได้ครับ” ปราณันต์ตอบอายๆ


“เยส!” คามินแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า ทำเอาปราณันต์เขินหนักกว่าเดิม

“ถ้ามันไปด้วยดี ผมก็จะไปต่อกับคุณ แต่ถ้ามันไม่เวิร์ค ผมขอให้หยุดคุณก็ต้องหยุดนะครับ ตกลงไหม” ปราณันต์ยื่นข้อตกลงก่อนจะยอมให้คามินจีบจริงจัง

“ตกลงครับ เพราะยังไงผมก็มั่นใจว่ามันจะเวิร์ค ผมจะทำให้คุณหันมามองและยอมเป็นแฟนผมให้ได้”

คามินใช้ดวงตาคมเรียวที่แสนลึกลับและมีเสน่ห์สบเข้ากับดวงตากลมโตที่แสนไร้เดียงสาของปราณันต์ เพียงแค่มองตากัน หัวใจของปราณันต์ก็กระหน่ำเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขารู้ดีว่าเสน่ห์ของคามินช่างน่ากลัวและยากจะต้านทาน แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยอมลงไปกระโจนเล่นกับไฟ รู้ว่ามันอันตรายแต่เสน่ห์ของมันก็ยวนใจ สวยงามและน่าลิ้มลอง

.

.

.

“กลับไปได้แล้วครับ ดึกแล้ว” ปราณันต์พูดประโยคนี้กับคามินมาสามครั้งได้ ตอนนี้มือเล็กๆ กำลังดันตัวคามินที่ยืนคาประตูห้องของเขาอยู่ให้ถอยหลังออก แต่คนตัวโตก็ยังอิดออดไม่ยอมกลับท่าเดียว

“ขอผมอยู่อีกหน่อยไม่ได้หรอ ผมอยากอยู่กับคุณปราณให้นานขึ้นกว่านี้อีกสักนิด” คามินทำท่าทางออดอ้อน ที่ดูแล้วไม่เหมาะกับรูปร่างสูงใหญ่ของตัวเองเลยสักนิด

“ผมง่วงแล้ว เดี๋ยวต้องไปดูแลเช็ดตัวให้ฝาแฝดอีก หลับลึกแบบนี้ท่าทางจะอาบน้ำไม่ไหว คุณกลับก่อนเถอะนะครับ ขับรถดึกๆ มันอันตราย” ปราณันต์ชักแม่น้ำทั้งห้า แต่คามินก็ยังเฉย

“คุณปราณเป็นห่วงผมหรอครับ” ปากหยักยิ้มหวานออดอ้อนเอาคำตอบ ทำเอาปราณันต์ไปไม่เป็นเลยทีเดียว

“รู้แล้วยังมาถามอีก” ปากอิ่มขมุบขมิบบ่น แต่คามินก็ได้ยินอยู่ดี จึงยิ้มกว้างแสดงความดีใจแบบปิดไม่มิด

“ชื่นใจจัง งั้นผมกลับนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยงๆ จะมารับไปทานข้าว”

“แต่ว่า...” ปราณันต์กำลังจะปฎิเสธ แต่คามินขัดขึ้นมาก่อน

“ห้ามปฏิเสธครับ ไม่มีแต่” และในขณะที่ปราณันต์ขมวดคิ้วมุ่น หาทางบ่ายเบี่ยงอยู่นั้น จู่ๆ คนตัวโตก็โพล่งขึ้นมา พลางมองไปที่ด้านหลังของปราณันต์

“อ้าวปุณณ์ ตื่นขึ้นมาทำไมครับ”

พอได้ยินคามินพูดแบบนั้นปราณันต์ก็หันขวับมองตามสายตาคมทันที แต่พอหันไปก็เจอความว่างเปล่า ถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกหลอกเข้าให้แล้ว เลยตั้งใจจะหันกลับมาต่อว่าคนขี้แกล้งเสียหน่อย


จุ๊บ~


โดยไม่ทันระวังและไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าคมคายของคามินลดลงมารอท่าอยู่ ซึ่งพอปราณันต์หันกลับมา ก็ทำให้ปากอิ่มสีสดปะทะเข้ากับปากหยักที่ยื่นมารอจะขโมยจูบอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ปราณันต์ผละออกแทบไม่ทัน แต่ก็ช้ากว่ามือใหญ่ของคามินอยู่ดีที่ตอนนี้โอบกอดเอวบางเอาไว้ แล้วรั้งให้เข้ามาแนบชิดตัวเอง ก่อนที่จะโน้มใบหน้าประทับริมฝีปากลงไปบนปากอิ่มสีแดงที่เย้ายวนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ซึ่งปราณันต์เองก็ตกตะลึงเกินกว่าจะขยับตัวหนีทัน


จุ๊บ~


“กู๊ดไนท์คิส ฝันดีนะครับคุณปราณ อย่าลืมฝันถึงผมนะ” จมูกโด่งเป็นสันก้มลงไปคลอเคลียที่ปลายจมูกโด่งรั้นของอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “แล้วพรุ่งนี้เจอกันครับ”

คามินพูดพลางยิ้มโชว์เขี้ยว ก่อนที่จะค่อยๆ โบกมือให้ แล้วถอยหลังออกไป...


...คามินเดินลงลิฟต์ไปจนลับตาแล้ว แต่หัวใจของปราณันต์ที่เต้นระรัวอยู่ในอกกลับไม่ได้สงบลงเลย มันยังคงกระหน่ำโจมตีและตอกย้ำความรู้สึกที่ปราณันต์มีต่อผู้ชายคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง...แล้วปราณันต์ก็เพิ่งรู้ในนาทีนั้นเองว่า ‘ความรัก’ หน้าตามันเป็นยังไง

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------

เป็นพระเอกที่ร้ายกว่าตัวร้ายในเรื่องอี๊กกกก อยากปกป้องน้องปราณจากนังพี่ครามมากๆ จ้าาาา

ฝากติดแท็ก #ลวงหลอกรัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกได้เลยน้าา เพื่อเป็นกำลังใจให้เราต่อไปเนาะ แล้วยังไงอีกสองสามวันจะมาลงตอนต่อไปนะค้าาา

เจอกันตอนหน้าจ้าาา อย่าลืมคอมเม้นท์นะค้าบบบ รักค่ะ <3

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
 :-[ :-[ ความรักแรกเริ่มเหมือนดอกไม้ผลิบานมันช่างหอมหวานจนไม่ได้เผื่อใจอะไรไว้ ก็ไม่ผิดนะ ใครจะไปคิดว่าจะ.... เนอะ 55 แต่ถ้ารู้แล้วมันก็อีกเรื่อง วันที่ทำร้ายเขาไปวันนั้นจะรู้ตัวเมื่อสายไปจริงๆอย่างที่ไม่เคยสูญเสียมาก่อน เตือนไว้เลยนะคามิน อิอิ อยากวาร์ปไปสิ้นเดือนครบกำหนดแล้ว 55555 แฝดดน่ารักกมากกก หลงเด็กแฝด หลอกพี่ไม่เท่าไหร่แต่มาหลอกเด็กแฝดด้วยด้วยนี่ไม่ให้อภัยบอกเลย ต้องได้รับอะไรสักอย่างให้สาสมถึงจะยอมให้คืนดี สนุกมาก ชอบ  :pig4: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปเลยค่ะ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
อย่าสายเกินแก้ ..

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4: :3123:สงสารสามพี่น้องมาเจ คนหลอกลวง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
8th Lies : สถานะ


คามินตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์อย่างสดใส ในขณะที่สมองของเขากำลังเรียบเรียงแผนการที่จะเอาชนะใจปราณันต์อยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็กลับดังแหวกอากาศขึ้นมาเสียก่อน


Rrrr


มือใหญ่เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์แล้วมองเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแรงๆ พลางนึกในใจว่า ครั้งนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องรับ ถ้าไม่อยากให้ว่าที่ภรรยาของเขาในอนาคตอาละวาดแล้วกลับมารังควาญตอนนี้ ตอนที่เขากำลังไปได้ดีกับปราณันต์

“ครับ” คามินก็ยังเป็นคามินที่สงวนคำพูดและท่าทีเสมอ ถ้าต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องฝืนใจตัวเอง

(คราม! คุณหายไปไหนมาเป็นอาทิตย์? ถ้าวันนี้คุณไม่รับโทรศัพท์ วลัยตั้งใจว่าจะบินกลับกรุงเทพไปหาคุณแล้วนะคะ)

นั่นไง ผิดจากที่เขาคิดไว้ที่ไหน คนเอาแต่ใจอย่างพรวลัย ถ้าอะไรไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ผู้หญิงคนนี้จะตามเอาเรื่องไม่ปล่อยไว้แน่

“ผมงานยุ่งน่ะครับ เลยไม่มีเวลารับโทรศัพท์หรือติดต่อกลับหาคุณเลย”

คามินตอบกว้างๆ แบบไม่ให้พรวลัยสงสัย เรื่องที่เขาบ้างานใครๆ ก็รู้ดี เพราะฉะนั้นถ้าเอาเรื่องนี้มาอ้าง คู่หมั้นเขาต้องไม่ระแคะระคายแน่ๆ

(ไม่ว่าจะยุ่งยังไง คุณก็ควรต้องรับโทรศัพท์รึป่าวคะ วลัยเป็นคู่หมั้นคุณนะ ทำแบบนี้มันถูกแล้วหรือไง)

เสียงแหลมพูดจาต่อว่าอย่างจริงจัง ทำเอาคามินต้องขบฟันแน่นจนสันกรามนูน พลางหลับตาลงช้าๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของตัวเอง เขาไม่ชอบเวลาที่พรวลัยเกรี้ยวกราดใส่ ถ้าเป็นปกติคามินก็คงแค่หลับหูหลับตาฟังเธอบ่นไป แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมความอดทนของเขาถึงได้ต่ำเตี้ย จนแทบอยากจะวางสายหนีให้รู้แล้วรู้รอด

“เอาล่ะครับ เอาเป็นว่าผมผิดเองที่ไม่รับสายคุณ” คามินตอบปัดเพื่อให้พรวลัยสงบ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้ผล

(ก็ดีค่ะ ที่คุณยอมรับผิด) เสียงหวานจากปลายสายตอบกลับมาอย่างกระเง้ากระงอด แต่แทนที่คามินจะรู้สึกเอ็นดูเหมือนเวลาได้ยินจากปราณันต์ เขาดันกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเหลือเกินที่ต้องมาทนฟัง

คนตัวโตลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตัดบทเพื่อไม่ให้พรวลัยสงสัยอะไรได้อีก แต่ก็อย่างว่าผู้หญิงอย่างพรวลัยไม่ค่อยสนใจอะไรใครเท่าไหร่หรอก นอกจากเรื่องของตัวเอง เช่น วันนี้จะช็อปปิ้งที่ไหนดี หรือวันนี้มีงานสังคมอะไรที่เธอต้องไปออกบ้าง ซึ่งทั้งหมดแล้วแล้วแต่เป็นสิ่งที่คามินคิดว่า ‘ไร้สาระ’ ทั้งนั้น

“คุณอยู่ทำธุระของคุณให้เรียบร้อยเถอะครับ แล้วเดี๋ยวไว้คุณกลับมาผมจะให้คนพาคุณไปช็อปปิ้ง”

(วลัยอยากให้คุณพาไป วลัยอยากพาคุณไปเปิดตัวกับเพื่อนๆ ด้วย เมื่อไหร่คุณจะว่างให้วลัยสักทีล่ะคะคราม นี่เราเป็นคู่หมั้นกันนะ)

คามินหลับตาลงพร้อมกับใช้มือนวดกลางระหว่างคิ้วเบาๆ อย่างอดกลั้น เวลาที่คู่หมั้นเขางอแงแบบนี้ ดูเหมือนว่าอายุเขาจะลดลงอีกสักสิบปีได้

“เอาไว้ผมว่าง ผมจะไปกับคุณแล้วกันนะ” คามินแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากรับปากแต่ก็ไม่อยากปฎิเสธ เพราะไม่อยากให้พรวลัยงี่เง่าแล้วบินกลับมาก่อนกำหนด

(ไม่รู้แหละค่ะ อีกเดือนกว่าๆ วลัยเสร็จธุระแล้วจะกลับไปหาคุณ คุณหาวันว่างรอไว้เลย คุณต้องไปทานข้าวกับวลัยและเพื่อนๆ ถ้าคุณไม่ไปวลัยจะอาละวาด แล้วจะฟ้องคุณลุงกับคุณป้าด้วยว่าคุณขัดใจวลัย)

คามินสะกดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะรับปากไป “ครับ”

(อย่าลืมว่าครอบครัวเราต้องพึ่งพากัน ถ้าคุณหักหาญน้ำใจวลัย วลัยก็ไม่รับปากหรอกนะคะ ว่าในอนาคตเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้จะไปได้สวยเหมือนอย่างทุกวันนี้รึป่าว วลัยไปละค่ะ ไว้อีกสองเดือนเจอกันนะคะ บาย)

พรวลัยวางสายไปอย่างอารมณ์ดี หลังจากวางระเบิดใส่ท่านประธานแห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ไว้อย่างเจ็บแสบ

มือใหญ่ของคามินกำเข้าหากันแน่น อารมณ์ดีๆ ที่จะได้ไปพบปราณันต์วันนี้พังไม่เป็นท่า ความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวอยู่ในหัวใจด้านชาถูกกดเก็บเอาไว้อย่างไร้ค่าอีกครั้ง เมื่อความจริงที่คู่หมั้นของเขาพูดขึ้นมานั้นกำลังตีแสกหน้าคามินอย่างจัง

สุดท้ายแล้วเรื่องระหว่างเขาและปราณันต์มันก็แค่เกมที่เอาไว้เล่นแก้เบื่อ แต่เรื่องระหว่างเขาและวลัยต่างหากที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการหรอก

.

.

.

“เย็นนี้พวกนายว่างรึป่าววะ สิบ” เสียงทุ้มกรอกผ่านสายโทรศัพท์ไปยังปลายทางซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิท ในขณะที่เขากำลังเดินออกจากคฤหาสน์กลางกรุงหลังใหญ่ เพื่อเดินไปยังรถกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดอยู่ในโรงรถ

เมื่อคืนคามินกลับมานอนบ้าน เพราะขี้เกียจกระเตงรถเก่าๆ นี่กลับคอนโดซึ่งเป็นที่พักปกติของเขา ด้วยกลัวว่ารถจะดับกลางทาง ซึ่งที่จริงแล้วคามินไม่ค่อยได้กลับบ้านที่พ่อกับแม่อยู่เท่าไหร่ เพราะเบื่อโดนเซ้าซี้เรื่องแต่งงาน โชคดีที่เมื่อคืนเขากลับเข้ามาดึกแล้วเลยไม่เจอใคร และตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว สงสัยพ่อกับแม่คงออกไปทำธุระข้างนอกแล้วเช่นกัน

(กว่าจะโผล่หัวมาได้นะไอ้ประธาน! ละมาถึงก็ซัดตรงประเด็นเลย ไม่ถามสารทุกข์สุกดิบกันหน่อยหรอวะ)

สิปปกรพูดแซวเพื่อนสนิทอย่างอารมณ์ดี เพราะฟังจากน้ำเสียงไอ้คนเย็นชาแล้ว ท่าทางจะหงุดหงิดใครมา ไม่งั้นคงไม่เรียกรวมพลแบบนี้หรอก

“รับโทรศัพท์ได้แปลว่ายังไม่ตาย จะต้องถามทำไมให้มากความ”

คามินทรุดตัวเข้าไปนั่งในรถคันประจำของนายคามิน เซลล์ขายคอนโด โดยที่ไม่ได้สนใจน้ำเสียงล้อเลียนของสิปปกรเท่าไหร่ เพื่อนเขาคนนี้มันปากเปราะ ขืนสนใจทุกอย่างที่มันพูดมีหวังความดันเขาต้องขึ้นตายแน่ๆ

(ฮ่าๆๆ งี้สิวะ คามินตัวจริง! ว่าแต่เรียกรวมพลมีอะไรรึป่าววะ) เพื่อนสนิทหน้าทะเล้นของคามินขำอย่างอารมณ์ดี ตอนได้ยินคามินตอกกลับเขามาได้เจ็บๆ แสบๆ แบบนั้น

“อยากกินเหล้า ร้านเดิม นายโทรนัดเฮียเมษกับไอ้เตด้วยละกัน แค่นี้นะ”

คามินพูดรวบรัดและกำลังจะรีบวางเพราะต้องออกรถแล้ว แต่เสียงของสิปปกรโวยวายทะลุโทรศัพท์ออกมาเสียก่อน เขาจึงต้องเอามันกลับมาแนบหูอีกครั้ง

(แล้วทำไมไม่นัดเองวะ ฉันจะรู้ได้ไงว่าสองคนนั้นว่างไม่ว่าง)

“ขี้เกียจโทรเอง เอาเป็นว่าสี่ทุ่มเจอกันที่คลับ นายจัดการด้วย” และก่อนที่มือใหญ่จะกดวางสาย สิปปกรก็ตะโกนถามมาอีกครั้ง

(เดี๋ยวก่อนสิโว้ย แล้วนี้นายจะไปไหนเนี่ย วันนี้วันอาทิตย์ปกติกว่านายจะตื่นก็บ่ายไม่ใช่หรอ)

ปากหยักกระตุกยิ้มบางๆ ส่วนมือใหญ่ก็เอื้อมไปสตาร์ทรถ ก่อนจะตอบเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไปหาปราณันต์ ไปหาหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของฉันไง หึ!”

สิปปกรอ้าปากค้างใส่โทรศัพท์หลังจากคามินวางสายไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนผู้เย็นชาของเขามันจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าที่คามินยอมทุ่มเทขนาดนี้เป็นเพราะหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ หรือเป็นเพราะเกิดอยากได้เด็กหน้าหวานนั่นขึ้นมาจริงๆ กันแน่

.

.

.

“คุณปราณ ตื่นรึยังครับ?” คามินลองโทรหาปราณันต์ หลังจากขับรถออกมาจากบ้านได้สักพัก

(ตื่นแล้วครับ ฝาแฝดก็ตื่นแล้ว คุณจะมาถึงกี่โมงหรอครับ) เสียงหวานทอดถามเขาอย่างน่าฟัง

“ผมออกมาจากบ้านแล้วครับ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงน่าจะถึงอพาร์ทเม้นท์คุณ” คามินตอบรับอย่างสบายๆ แต่คนที่รู้สึกไม่สบายน่าจะเป็นปลายสายมากกว่า

(ว่าไงนะครับ? อีกครึ่งชั่วโมงถึง)

คามินแทบจะหลุดขำ ตอนได้ยินเสียงร้อนรนของคนปลายสาย แหงล่ะ เขาบอกไว้ว่าจะพาไปทานกลางวัน แต่ตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงเอง ให้ทาย ปราณันต์คงยังไม่พร้อมสักอย่างเป็นแน่

(ไหนคุณบอกว่าจะมารับไปทานกลางวันไงครับ นี่เพิ่งสิบโมงเองนะ ฝาแฝดยังไม่ได้อาบน้ำเลย) ปราณันต์ทำเสียงกระเง้ากระงอดที่คามินมาก่อนเวลา ทำให้ร่างสูงต้องพูดให้คนปลายสายใจเย็นๆ

“ฮ่าๆ ไม่ต้องรีบครับไม่ต้องรีบ ผมมาก่อนเวลาเอง คุณปราณกับแฝดจัดการกันตามสบายเลย ไม่ต้องกังวลนะ”

(คุณก็...ไม่น่ารีบมาเลย ผมเกรงใจ ต้องให้คุณมาคอยอีก) ปราณันต์สารภาพออกมาในที่สุด

“ก็ผมคิดถึงคุณปราณนี่ เลยรีบมา อยากจะเจอคุณจะแย่แล้ว”

เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างออดอ้อน ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าใบหน้าคมคายตอนนี้ คงกำลังฉายแววเจ้าเล่ห์แน่ๆ ยิ่งสายตาคมยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคงกำลังวาบวับไม่ต่างกับคำพูดหยอกล้อที่คามินเพิ่งแสดงออกมาแน่นอน

(พูดอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่คุยกับคุณแล้ว พาปุณณ์กับปัณณ์ไปอาบน้ำดีกว่า แค่นี้นะครับ)

และเช่นกัน โดยที่ไม่ต้องเห็นหน้าปราณันต์ คามินก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ปราณันต์จะต้องหน้าแดงแปร๊ดลามไปยันคอแน่ๆ เพราะแค่ฟังเสียงหวานก็ดูเขินอายขนาดนี้ นี่ไม่ต้องนึกถึงท่าทางที่ปราณันต์กำลังแสดงออก เพราะมันทำเอาเขาอยากจะบึ่งรถไปให้ถึงอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ให้เร็วๆ เหลือเกิน

“ฮ่าๆ โอเคครับๆ เดี๋ยวผมจะรีบไปหา เจอกันนะครับ”

ก่อนที่มือใหญ่จะกดวางสายไปอย่างนึกกระหยิ่มในใจ ถ้าการคุยกันกับพรวลัยทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างไม่มีเหตุผล การคุยกับปราณันต์ก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีได้โดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน

.

.

.

คามินขับรถถึงอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ในไม่กี่นาทีต่อมา ขายาวก้าวลงจากรถไม่รีบร้อน วันนี้คามินแต่งตัวสบายๆ เพราะเขารู้ดีว่าปราณันต์ชอบจับฝาแฝดแต่งตัวเหมือนกัน จะต่างกันแค่ตรงสีเสื้อ ปุณณกันต์จะใส่สีเข้มส่วนปราณันต์กับปัณณธรจะใส่เสื้อผ้าสีอ่อนคล้ายๆ กันๆ จากการจับสังเกตเมื่อวาน ดังนั้นวันนี้คามินจึงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีเข้ม ซึ่งจะทำให้เขาดูคล้ายกับปุณณกันต์ เวลาเดินด้วยกันก็จะดูเป็นครอบครัวมากๆ และเขาเองก็รู้ดีว่าคนอ่อนไหวง่ายแบบปราณันต์มักจะประทับใจกับอะไรแบบนี้เสมอ


ติ๊งหน่อง~


พอปราณันต์ได้ยินเสียงออดหน้าห้องก็เบิกตากว้าง เด็กๆ ยังอาบน้ำไม่เสร็จเลย ตัวเขาเองก็ด้วย แต่ตอนนี้คามินกลับมาถึงที่หน้าประตูห้องแล้ว ปราณันต์ลุกจากพื้นที่นั่งอย่างอิดออด จะให้ทำยังไงได้ เขายังไม่พร้อมสักอย่าง น้ำยังไม่อาบ ผมยังไม่สระ เพราะมัวแต่วุ่นๆ กับฝาแฝดอยู่

หลังจากที่บานประตูค่อยๆ เปิดออก ใบหน้าหวานใสของปราณันต์ก็ค่อยๆ เยี่ยมออกมาหน้าประตู ก่อนจะพบกับเจ้าของใบหน้าคมคาย ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 'ดูดีมาก' ดูดีแม้กระทั่งวันที่เป็นวันง่ายๆ สบายๆ อย่างวันอาทิตย์ก็ตาม

คามินมองดูคนตรงข้ามพลางอมยิ้มน้อยๆ หลังจากประตูเปิดแง้มออกมาเต็มบาน ปราณันต์อยู่ในชุดนอนลายการ์ตูนสีฟ้า บนใบหน้าหวานปรากฎแว่นสายตากรอบใสเกาะอยู่ที่ดั้งจมูกโด่งรั้น ปราณันต์ดูน่ารักมากเมื่ออยู่ในชุดสบายๆ แบบนี้ หนำซ้ำบนศีรษะเล็กๆ ของคนตรงข้ามยังมีผมกระจุกเล็กๆ ที่ถูกมัดไว้เป็นน้ำพุน้อยๆ อีกต่างหาก ทำเอาตาคมของคามินหยุดมองเด็กน้อยตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

“มองอะไรเล่าคุณ ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะที่อยู่ในชุดแบบนี้ ใครบอกให้คุณรีบมาขนาดนี้ล่ะ”

ปากอิ่มบ่นขมุบขมิบอย่างน่ารัก ยิ่งอยู่ด้วยกันมากๆ คามินยิ่งได้รู้ว่า ปราณันต์นิสัยแทบจะไม่ต่างจากปัณณธรเลย นี่ถ้าตัวไล่ๆ กับ เด็กๆ เขาคงคิดว่าปราณันต์ต้องเป็นแฝดคนที่สามแน่ๆ

“น่ารัก คุณปราณน่ารัก”

คามินไม่พูดเปล่า ยังอุตส่าห์ยื่นมือมาลูบแก้มเนียนๆ ของคนตรงหน้าเบาๆ อีก ทำเอาปราณันต์ไปไม่เป็น ทำได้แค่ก้มหน้างุด แถมมือเล็กๆ ยังกำขอบประตูไว้แน่นจนข้อนิ้วเกร็งอีกตะหาก กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่ฝาแฝดวิ่งโถมตัวเข้ามาหาพี่ครามของเจ้าหนูน้อยทั้งสองนั่นแหละ

“พี่ครามมมม พี่ครามมาแล้วหรอครับ” ปัณณธรน้อยโผเข้ากอดเอวหนาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ของเจ้าตัวน้อยซุกอยู่ที่หน้าท้องของคามิน โดยมีปุณณกันต์อ้อมมาข้างๆ แล้วกอดเอวสอบของคามินอยู่อีกฝั่ง

“มาแล้วครับเด็กๆ” คามินลดตัวนั่งยองๆ ก่อนจะโอบเอาเด็กทั้งสองคนมากอดไว้แนบอก พร้อมกับจูบเบาๆ ลงบนแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าหนูน้อยทั้งคู่


จุ๊บ~ จุ๊บ~


ฝาแฝดเองก็ใช่ย่อย ปากอิ่มๆ เล็กๆ ของทั้งคู่ก็ระดมจูบแก้มพี่ครามคืนแบบไม่ยอมกัน


จุ๊บ~

จุ๊บ~



คามินยิ้มแฉ่งจนหน้าบานตอนที่เด็กๆ แสดงออกถึงความรักโดยการหอมแก้มเขา เขาเองก็เกิดมาเป็นลูกคนเดียว ไม่ได้มีพี่น้องอะไรที่ไหน เลยไม่เคยได้รับความรักหรือการดูแลอะไรในแง่แบบนี้ แต่ตั้งแต่คามินได้เจอกับครอบครัวปราณันต์และเด็กฝาแฝดทั้งสองแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องเกมที่เขาต้องเล่นกับหัวใจและความรู้สึกของปราณันต์ เรื่องอื่นๆ คามินก็แทบไม่ได้โกหกความรู้สึกของตัวเองเลย โดยเฉพาะความรักและความเอ็นดูที่เขามีให้ฝาแฝด คงไม่ผิดถ้าจะพูดว่าร่างสูงตกหลุมรักเด็กทั้งสองเข้าอย่างจัง

“วันนี้เราจะไปไหนกันหรอครับ” ปุณณกันต์เอ่ยถามขึ้น เจ้าแฝดตัวน้อยคนพี่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มแขนยาวมีลายลูกแมวอยู่มุมเสื้อด้านบน กางเกงสกินนี่เด็กขาวยาวสีดำ ดูแล้วน่ารักไม่น้อย

“ใช่ๆ วันนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันหรอครับพี่คราม” ส่วนปัณณธรน้อยก็ใส่เสื้อลายเดียวกับปุณณกันต์แต่เป็นสีชมพูอ่อน กางเกงสกินนี่เด็กขายาวสีดำเหมือนกัน

และแน่นอนว่าวันนี้คามินใส่เสื้อเสว็ตเตอร์แขนยาวสีน้ำเงิน กางเกงขาเดฟขาดเข่าสีดำ เหมือนปุณณกันต์เป๊ะ!

คามินได้แต่ภาวนาให้ปราณันต์ไม่เห็นว่าวันนี้เขาแต่งตัวเหมือนฝาแฝดคนพี่มากแค่ไหน เพราะถ้าให้เดา ยังไงวันนี้พี่ชายคนโตของฝาแฝดต้องแต่งตัวคล้ายปัณณธรแน่นอนเขามั่นใจ

“วันนี้เราไปทานข้าวในห้างกันดีไหมครับ แล้วจะได้ไปเล่นเครื่องเล่นด้วย” พี่ครามทำเสียงเล็กเสียงน้อยถามฝาแฝด

เด็กๆ ตาโตผึงขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินว่าพี่ครามจะพาไปเที่ยวห้าง แต่ฝาแฝดก็ยังเป็นฝาแฝดวันยังค่ำ เจ้าตัวน้อยไม่กล้าเออออกับคามินในทันที แต่กลับหันไปมองพี่ชายหัวน้ำพุน้อยที่กำลังยืนกอดอกมองสองเด็กซนกับหนึ่งผู้ใหญ่แสบด้วยตากลมโตที่ฉายแววไม่สบายใจอยู่ข้างหลัง

“ได้ไหมอ่ะครับพี่ปราณ” ปัณณธรเป็นคนเริ่มอ้อนก่อน เจ้าตัวน้อยเดินไปเกาะขาพี่ชายตัวเองแน่น แถมยังเงยหน้ามองปราณันต์ด้วยสายตาออดอ้อนอีกตะหาก ตากลมๆ โตๆ ของเจ้าหนูน้อยกำลังวิบวับ ราวกับกำลังร้องขอความเห็นใจ

“พี่ปราณ...” ปุณณกันต์เองก็ใช่ย่อย แฝดคนพี่เดินมาเกาะเอวปราณันต์ไว้หลวมๆ แต่กลับใช้ใบหน้าเล็กๆ ถูไถตรงพุงน้อยๆ ของพี่ชายไม่ห่าง ร่างบางได้แต่มองเด็กน้อยทั้งสองแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

ปัณณธรยังไม่เท่าไหร่ แต่ปุณณกันต์นี่สิ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดที่สุด จากเด็กที่เก็บอาการเก่งในอดีต แต่มาวันนี้เมื่อมีพี่ครามคอยให้ท้าย เจ้าหนูคนพี่ก็กล้าแสดงความต้องการมากขึ้น

ถึงแม้ท่าทางออดอ้อนของเจ้าตัวน้อยทั้งสองจะน่ารักมากแค่ไหนในสายตาคนเป็นพี่ แต่ปราณันต์ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด เขาและเด็กๆ รบกวนคามินมากเกินไปแล้วถ้าขืนวันนี้เขายังยอมให้คามินพาน้องๆ ไปเล่นของเล่นในห้างอีก มีหวังฝาแฝดของเขาได้เคยตัวจนต้องร้องให้อีกฝ่ายพาไปบ่อยๆ แน่

“ไม่ได้ครับ” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงเย็น เล่นเอาหน้าถอดสีกันทั้งเด็กเล็กเด็กโต “ผมยอมให้คุณพาพวกเราไปทานข้าวกลางวันได้ แต่ผมไม่อนุญาตให้คุณพาเด็กๆ ไปเล่นของเล่น แค่นี้ก็เกรงใจคุณจะแย่แล้ว ถ้ายังรบกวนคุณอีก ผมจะมีหน้าเจอคุณอีกได้ยังไง”

คำประกาศิตของพี่ชายคนโต ทำเอาฝาแฝดทั้งสองหน้าจ๋อย คามินทอดสายตามองเด็กๆ อย่างสงสาร เจ้าตัวน้อยไม่ปริปากงอแงสักแอะหลังจากที่ได้ยินปราณันต์บอกออกมาแบบนั้น ในทางตรงกันข้าม เด็กๆ กลับพยักหน้ารับคำพูดของพี่ชายอย่างไม่โต้แย้งอะไรใดๆ เลย

“ก็ได้ครับ”

และยิ่งพอคามินเห็นแบบนั้น เขาเลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เขาไม่ชอบเห็นเด็กๆ เศร้าหงอยแบบนี้เลยจริงๆ

“คุณปราณครับ จำได้รึป่าวที่ผมบอกว่าผมจะจีบคุณ” จบคำของคามินปราณันต์ก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที โหมดจริงจังเมื่อกี้แทบจะหายไปในพริบตา

“ค..คุณ ก็จะ..จะมาพูดอะไรเอาตอนนี้เล่า” ปราณันต์เกิดพูดจาตะกุกตะกักขึ้นมา ท่าทางขึงขังเมื่อกี้เหมือนแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย

“ผมแค่อยากจะบอก” คามินลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนที่จะเดินไปหยุดตรงหน้าปราณันต์ ที่ตอนนี้สูงแทบจะไม่พ้นปลายคางของเขาด้วยซ้ำ “การจีบคุณปราณของผม หมายถึงการที่ผมอยากจะเอาชนะใจคุณปราณ ด้วยการทำให้คุณปราณมีความสุข แล้วความสุขของคุณปราณก็คือฝาแฝดตัวน้อยนี่ ถ้าปุณณ์กับปัณณ์มีความสุข คุณปราณก็จะมีความสุขถูกไหมครับ”

ปราณันต์ก้มหน้างุดตอนที่คามินเดินเข้าไปใกล้ๆ จนได้กลิ่นกายหอมเย็นๆ จากคนตรงข้าม ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง

“ครับ ความสุขของฝาแฝดคือความสุขของผม”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอให้คุณปราณไม่ปิดโอกาสผมได้ไหมครับ” ปราณันต์ช้อนตากลมๆ ขึ้นมองคนตรงข้ามหลังจากได้ยินคามินพูดจบ “ผมอยากทำให้คุณปราณมีความสุขโดยการทำให้ฝาแฝดมีความสุข คุณยอมให้ผมทำเพื่อคุณแล้วก็น้องๆ หน่อยไม่ได้หรอครับ”

ตาเรียวคมสบไปยังดวงตากลมโตอย่างออดอ้อนในที คามินใช้ดวงตาสื่อแทนความในใจทั้งหมดไปให้ยังปราณันต์ที่อยู่ตรงข้าม

“ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาอะไรเลยนะครับ แล้วผมก็ไม่อยากให้คุณคิดว่าผมดูถูกครอบครัวคุณด้วย สิ่งที่ผมให้คุณมันไม่ได้เป็นเรื่องของเงินทอง ผมแค่อยากทำให้คุณมีความสุข อะไรก็ได้ที่เป็นความสุข ผมยินดีทำให้คุณกับน้องทุกอย่าง เหตุผลของผมมีง่ายๆ แค่นี้เอง”

ปราณันต์มองคามินด้วยสายตาประทับใจจนปิดไม่มิด คนที่ผ่านโลกมานักต่อนักแบบคามิน รู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีผลต่อหัวใจดวงน้อยๆ ของปราณันต์ทั้งสิ้น

“แต่ผม...เกรงใจ แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่อยากให้ปุณณ์กับปัณณ์เคยตัวด้วย” ปราณันต์บอกเหตุผลของตัวเองที่ตอนนี้ดูไม่หนักแน่นเอาเสียเลย เมื่อถูกจู่โจมด้วยคำพูดหวานๆ จากอีกฝ่าย

“บอกแล้วไงครับว่าอย่าเกรงใจเลย ผมทำผมก็หวังผล” คามินกล่าวยิ้มๆ หลังจากเห็นคิ้วน้อยๆ ของปราณันต์ขมวดมุ่นหลังจากได้ยินเขาพูดจบ “ผมจีบคุณปราณ อยู่นี่นา จริงไหมครับ? ... แล้วอีกอย่าง ผมว่าคุณปราณอย่ากลัวฝาแฝดจะเคยตัวเลย น้องคุณเป็นเด็กดีและเชื่อฟังคุณเสมอ เด็กๆ ไม่มีทางดื้อแล้วก็ร้องจะเอานั่นเอานี่หรอกครับ”

สายตากลมหันไปมองยังน้องชายฝาแฝดทั้งสองที่ตอนนี้ไปนั่งสงบเสงี่ยมเล่นกันเงียบๆ อยู่หน้าทีวี ปราณันต์ทอดสายตามองไปยังเด็กน้อยทั้งสองด้วยสายตาทั้งรักทั้งสงสาร ก่อนจะหันมามองคามินที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เพื่อขอความเห็น ซึ่งคามินเองก็พยักหน้าให้ เป็นการเน้นย้ำให้ปราณันต์เชื่อในสิ่งที่เขาได้พูดไป

สุดท้ายปราณันต์ก็ก้าวเดินไปหาน้องทั้งสอง ก่อนจะทรุดลงนั่งตรงหน้าฝาแฝด

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ อยากไปเล่นของเล่นที่ห้างรึป่าวครับ”

ปราณันต์ลองถามเด็กแฝดดู ทั้งที่เขาก็พอจะรู้ว่าคำตอบของเด็กทั้งคู่มันจะออกมาเป็นในทิศทางไหน

“ปัณณ์อยากไปครับ” ปราณันต์อมยิ้มน้อยๆ ตอนได้ยินน้องชายคนเล็กตอบออกมาแบบนั้น ตากลมแอบมองเห็นมือเล็กๆ ของปุณณกันต์กระตุกแขนเสื้อของปัณณธรให้จ้าละหวั่น คงจะอยากแอบเบรกฝาแฝดตัวเองว่าไม่ให้แสดงออกว่าอยากไปเล่นของเล่นมากเกินไป

แต่ปัณณธรก็คงเป็นปัณณธรที่ตรงไปตรงมา ซึ่งพอเจ้าตัวน้อยนึกขึ้นได้ว่าลืมถามความเห็นพี่ชายฝาแฝด มือเล็กๆ ก็รีบตะปบลงบนปากอิ่มของตัวเองเบาๆ ตากลมๆ ก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อคิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง

และด้วยความฉลาดเกินวัยของเจ้าหนูอายุสี่ขวบ ปัณณธรก็ละมือออกจากปาก ก่อนจะโบกมือปฏิเสธให้พี่ชายคนโตให้วุ่นวายไปหมด

“มะ...ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่นะพี่ปราณ ปัณณ์ต้องขอถามปุณณ์ก่อน ว่าพี่ปุณณ์ก่อนว่าอยากไปไหม”

ผู้ใหญ่สองคนถึงกับหลุดขำออกมาทันทีตอนได้เห็นท่าทางแบบนั้นของเจ้าตัวยุ่งคนน้อง ปราณันต์เองก็ต้องกลั้นยิ้มแทบแย่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างต้องการลองใจปัณณธรอีกรอบ

“ตกลงยังไงนะครับปัณณ์”

“พี่ปราณเคยสอนว่าถ้าอยากทำอะไร อยากทานอะไร หรืออยากเล่นอะไรต้องถามพี่ปุณณ์ด้วย ฝาแฝดต้องดูแลกัน เป็นห่วงกันครับ”

“แล้วปัณณ์ถามพี่ปุณณ์รึยังครับ?” พอพี่ชายถามจบ ปัณณธรน้อยก็หันไปถามปุณณกันต์ทันที

“พี่ปุณณ์ๆ พี่ปุณณ์อยากไปเล่นของเล่นในห้างรึป่าว” มือเล็กๆ ของปัณณธรเขย่าไปที่แขนน้อยๆ ของแฝดคนพี่ พลางยิ้มถามอย่างออดอ้อน คิดดูเอาเถอะว่าเจ้าตัวแสบอยากเล่นขนาดไหน ถึงกับลงทุนทำท่าเว้าวอนพี่ชายฝาแฝดตัวเองขนาดนั้น

ปุณณกันต์เหลือบมองมาที่ปราณันต์นิดๆ เพื่อให้คนพี่ช่วยตัดสินใจ พอปราณันต์เห็นตากลมของแฝดพี่มีความลังเล เขาจึงช่วยกระตุ้นให้เด็กน้อยได้ตัดสินใจเอง

“หนูอยากเล่นรึป่าวครับปุณณ์ บอกพี่ปราณได้เลยตรงๆ ว่าไงครับ”

“อยากครับ ปุณณ์อยากเล่น อยากไปเล่นกับปัณณ์” ในที่สุดปุณณกันต์ก็ยอมพูดความต้องการตัวเอง ปราณันต์ยิ้มอย่างภูมิใจ ส่วนปัณณธรนั้นตอนนี้กระโดดโลดเต้นไปรอบห้องแล้ว และก่อนที่จะอนุญาตให้เด็กๆ ได้ไปเล่นของเล่นอย่างเป็นทางการ พี่ชายคนโตจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับน้องๆ ก่อน เพื่อไม่ให้เด็กๆ เคยตัว

“ปัณณ์ ลงมานั่งดีๆ ก่อนครับ เราต้องคุยและตกลงกันก่อน โอเคไหม”

ตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรลงมานั่งขัดสมาธิสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าปราณันต์ เจ้าตัวน้อยที่มีใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดกำลังใช้ตาแป๋วๆ สองคู่ จ้องมาที่เขานิ่งเพื่อแสดงออกถึงความตั้งใจฟัง

“เด็กๆ รู้ใช่ไหมครับว่าพี่ครามจะพาไปเล่นของเล่น” ปราณันต์เอ่ยปากเริ่มพูด โดยมีเด็กๆ พยักหน้าและขานรับอย่างเข้าใจ

“ครับ รู้ครับ”

“ครั้งนี้พี่ปราณอนุญาตให้ไป แต่ฝาแฝดต้องไม่เคยตัว ไม่ร้องขอให้พี่ครามพาไปบ่อยๆ เราจะไปเฉพาะวันที่พี่ครามว่าง และสะดวกพาไปเท่านั้นโอเคไหมครับ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ก่อนที่จะตกปากรับคำอย่างดี

“ตกลงครับ ปุณณ์กับปัณณ์จะไม่ดื้อ ไม่งอแง ไม่ทำให้พี่ปราณกับพี่ครามเหนื่อยใจครับ”

ปุณณกันต์พูดจาตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยเล็กๆ ป้อมๆ ออกมาเพื่อเป็นการให้สัญญาตามประสาเด็กน้อย โดยที่พอปัณณธรน้อยเห็นแบบนั้นก็เลยรีบทำตามบ้าง

ปราณันต์ยิ้มออกมาจนตาหยี ฝาแฝดของเขาช่างเป็นเด็กน่ารักแล้วก็พูดง่ายมาก พี่ชายคนโตจึงยื่นนิ้วก้อยเรียวออกไปเพื่อเกี่ยวสัญญากับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง โดยมีคนตัวโตรูปร่างสูงใหญ่อีกคนในห้องมองดูภาพพี่น้องสามคนตรงหน้าด้วยสายตาอบอุ่นและอ่อนโยน… สายตาที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังแสดงออกมาได้ยังไง

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


หลังจากที่ปราณันต์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย คามินก็แอบอมยิ้มอยู่ในใจเบาๆ เพราะปราณันต์แต่งตัวแบบที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ปราณันต์ใส่เสื้อสีชมพูแขนยาว กางเกงยีนส์ขายาวสีดำแบบปัณณธรแทบจะไม่ต่าง ตอนนี้ปราณันต์ยังไม่รู้ตัวแต่ถ้าหากได้เดินพร้อมกันสี่คนแล้ว ในสายตาคนทั่วไปที่มอง ต้องคิดว่าพวกเขาแต่งตัวกันแบบครอบครัวมาแน่ๆ

“เย่ๆ พี่ปราณแต่งตัวเสร็จแล้ว เราไปเที่ยวกันๆ” เจ้าหนูตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างยินดี เมื่อเห็นปราณันต์เดินออกมาจากห้องส่วนตัว บนบ่าเล็กๆ ของพี่ชายคนโตมีกระเป๋าเป้ใบเก่งสะพายอยู่ ส่วนในมือของปราณันต์ มีกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ อีกสองใบซึ่งคามินคาดว่าน่าจะเป็นของเด็กๆ ที่ปราณันต์ถือติดออกมาด้วย

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ มาเอากระเป๋าไปสะพายครับ” เจ้าตัวเล็กวิ่งตื๋อออกไปหาพี่ชายทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เด็กน้อยทั้งสองหันหลังให้ปราณันต์อย่างรู้งาน ก่อนที่คนเป็นพี่จะจับกระเป๋าเป้แต่ละใบสะพายใส่ไหล่น้องชายทั้งคู่ไว้

และเมื่อเห็นคามินมองมาอย่างสงสัย ปากอิ่มจึงคลี่ยิ้มก่อนเอ่ยตอบ

“ในนี้มีกระดาษที่เขียนที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ของผมใส่ไว้ครับ เผื่อเจ้าตัวดื้อวิ่งซนแล้วหลงหายไป” คามินจึงพยักหน้ารับอย่างเพิ่งเข้าใจช้าๆ พลางคิดในใจว่า ปราณันต์รอบคอบมาก เพราะถึงแม้ต่อให้ฝาแฝดหายไปก็น่าจะตามหากลับมาไม่ยาก

“งั้นเราพร้อมจะไปกันแล้วใช่ไหมครับ” คามินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส โดยมีเด็กๆ ยิ้มรับและหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“พร้อมแล้วครับพี่คราม พี่ปุณณ์กับปัณณ์พร้อมแล้ว”

เจ้าตัวน้อยรับคำหลังจากที่ปราณันต์เพิ่งจะสวมหมวกแก๊ปที่มีรูปหูแมวให้ฝาแฝดทั้งสองเสร็จ คามินมองสามคนพี่น้องด้วยสายตาอ่านลำบาก แต่พอปราณันต์หันมามองร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มจอมปลอมอันแสนอบอุ่น ก็ถูกยกขึ้นมาแต่งแต้มริมฝีปากหยักทันที

ปราณันต์เองก็ยิ้มตอบให้คนตรงข้าม ในขณะที่หัวใจดวงเล็กๆ มีความสุขมากเหลือเกิน หัวใจที่ด้านชาของคามิน ที่แม้พยายามจะปฏิเสธแค่ไหน เขาก็อดยอมรับกับตัวเองไม่ได้อยู่ดี ว่าการที่เขาได้อยู่ใกล้สามคนพี่น้องนี้นั้นดูเหมือนจะละลายหัวใจที่เย็นชาของเขาให้อบอุ่นขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

.

.

.

คามินพาสามคนพี่น้องขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์แล้วตรงไปยังห้างที่อยู่ไม่ไกลนัก ตลอดการเดินทางเสียงเจื้อยแจ้วจากเจ้าตัวน้อยทั้งสองดังไม่หยุดหย่อน ปัณณธรร้องเพลงให้ปุณณกันต์ฟังบ้าง ปุณณกันต์สอนให้ปัณณธรใช้คำสุภาพเวลาพูดกับผู้ใหญ่บ้าง จนพี่ชายทั้งสองที่นั่งฟัง อดขำกับคำพูดคำจาของเจ้าตัวแสบทั้งสองไม่ได้

“ปัณณ์ ถ้าจะพูดกับผู้ใหญ่เราจะใช้คำว่าส้วมไม่ได้นะ เราต้องใช้คำว่าห้องน้ำรู้รึป่าว”

“แล้วทำไมใช้คำว่าส้วมไม่ได้ล่ะพี่ปุณณ์ พูดง่ายกว่าคำว่าห้องน้ำตั้งเยอะ”

“ก็คำว่าส้วมมันไม่สุภาพไง ส้วมเอาไว้พูดกับเด็ก”

ปราณันต์อมยิ้มพลางชำเลืองหางตามองเจ้าตัวแสบคนน้องว่าจะตอบกลับคนพี่ว่ายังไง เมื่อตอนนี้ได้ยินเจ้าตัวยุ่งทั้งสองกำลังเถียงกันอย่างเอาจริงเอาจังเรื่องส้วมกับห้องน้ำอยู่

“ขี้โกงนี่นา ทีกับเด็กพูดได้ ทำไมผู้ใหญ่ต้องให้พูดยาวๆ ด้วย” ปากอิ่มของแฝดคนน้องยื่นออกจนแทบจะติดจมูก เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจที่ตัวเองมี

“ยาวกว่าแค่คำเดียวเอง” คนพี่ก็เถียงกลับแบบไม่ยอมแพ้ อย่างที่เคยบอกไป ปกติปุณณกันต์มักจะยอมให้ปัณณธรในทุกๆ เรื่อง เว้นก็แต่ตอนที่เจ้าแฝดคนน้องทำผิด หรือทำตัวดื้อใส่

“ไม่อยากพูดกับพี่ปุณณ์แล้ว” เจ้าแฝดคนน้องดันตัดบทเอาซะดื้อๆ น่าจะเพราะเถียงไม่ได้แล้ว ทำเอาผู้ใหญ่ด้านหน้าทั้งสองแอบมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม เพราะคำพูดและท่าทางน่ารักๆ ของเจ้าตัวยุ่งทั้งคู่

“ปัณณ์น่ะดื้อ!” และด้วยคำพูดของปุณณกันต์ ทำเอาปราณันต์หลุดขำออกมาก๊ากใหญ่ คามินเองเหมือนกัน ไอ้ที่กลั้นยิ้มไว้ตั้งนานสองนานก็พังไม่เป็นท่า

“ฮ่าๆๆๆ /ฮ่าๆๆๆ”

“พี่ปราณกับพี่ครามขำอะไรเล่า” ผู้ใหญ่ทั้งสองต้องรีบหยุดหัวเราะ แล้วทำท่าทางให้เป็นปกติโดยทันที เพราะตอนนี้ดูเหมือนจะมีคนงอนเขาทั้งสองแล้วหนึ่งคนถ้วน

และเมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ ดูเหมือนว่าเสียงเจื้อยแจ้วด้านหลังจะเงียบไปอย่างผิดสังเกต น่าจะเป็นเพราะว่าแฝดพี่กับแฝดน้องกำลังงอนกันอยู่ เรื่องห้องน้ำกับส้วมนั่นแหละ สุดท้ายเพื่อกอบกู้สถานการณ์อันตรายให้ดีขึ้น พี่ชายอย่างปราณันต์จึงต้องลงไปไกล่เกลี่ยให้ เพราะเขารู้นิสัยเด็กทั้งสองดีกว่าใคร ดังนั้นปราณันต์จึงลองหยั่งเชิงถามปัณณธรอีกครั้ง

“ปัณณ์ครับ ถ้าเกิดเข้าไปในห้างแล้วปวดฉี่ ปัณณ์ต้องทำยังไงครับ”

“ปัณณ์จะบอกพี่ปราณครับ ว่าปัณณ์อยากเข้า...” เจ้าแฝดคนน้องเงียบไปก่อนเหลือบตามองแฝดคนพี่ช้าๆ เมื่อเห็นว่าปุณณกันต์ยังไม่พูดอะไร เจ้าหนูน้อยเลยแกล้งตอบเสียงดังๆ ฟังชัดๆ “ว่าปัณณ์อยากเข้าห้องน้ำครับ”

ปราณันต์ยิ้มออกมาอย่างพอใจ อย่างที่บอกแม้ว่าเจ้าเด็กแฝดจะเป็นตัวแสบของใครต่อใครโดยเฉพาะคนน้อง แต่ในที่สุดแล้วปัณณธรก็จะเชื่อฟังปราณันต์และปุณณกันต์อย่างที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่แสดงความพอใจ เพราะปราณันต์แอบชำเลืองมองไปที่ปุณณกันต์ ก็เห็นว่าเจ้าแฝดคนพี่ก็แอบอมยิ้มอยู่เหมือนกัน คงพอใจสินะที่น้องชายเชื่อฟังตัวเอง

“ปัณณ์พูดถูกไหมอ่ะพี่ปุณณ์”

“อื้อ พูดถูกแล้ว ปัณณ์พูดถูกแล้ว” ปัณณธรทำทีเป็นชวนปุณณกันต์คุย จนในที่สุดทั้งสองก็กลับมาคุยและหัวเราะเล่นกันเหมือนเดิม ราวกับว่าก่อนหน้านี้ทั้งคู่ไม่ได้เถียงอะไรกัน ทำเอาคามินและปราณันต์อมยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะอย่างปลงๆ

.

.

.

ในที่สุดรถของคามินก็เข้ามาจอดอยู่ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์เท่าไหร่นัก และทันทีที่ลงจากรถได้ คามินก็เกี่ยวเอาตัวปัณณธรขึ้นมาอุ้ม ส่วนปุณณกันต์เองก็รู้หน้าที่ตัวเองดี โดยที่เจ้าหนูน้อยก็เดินเขาไปหาพี่ชายคนโตพร้อมกับเอามือเล็กๆ ของตัวเองสอดประสานเข้ากับมือเรียวของปราณันต์ทันที

“โอ๊ะ!” แล้วในขณะที่กำลังจะเดินเข้าตัวห้างนั้น จู่ๆ ปัณณธรน้อยก็ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ ทำเอาพี่ชายของครอบครัวทั้งสองคนต้องหยุดเดิน แล้วหันมามองคามินที่กำลังเดินรั้งท้ายพร้อมกับอุ้มปัณณธรอยู่

“มีอะไรหรอครับปัณณ์” และในที่สุดก็เป็นปราณันต์ที่ถามขึ้น

“ปัณณ์เพิ่งเห็น พี่ครามใส่เสื้อสีเดียวกับพี่ปุณณ์เลย พี่ปราณก็ใส่สีเดียวกับปัณณ์ด้วย” พอได้ยินเจ้าตัวน้อยพูดแบบนั้น ปราณันต์ก็หันมาสำรวจมองตัวเองที ปุณณกันต์ที ปัณณธรที คามินอีกที ก่อนจะพบว่าการแต่งตัวของพวกเขาทั้งสี่คน เหมือนกับที่ปัณณธรบอกไว้ไม่มีผิด

และก่อนที่ปราณันต์จะเอ่ยห้ามความคิดของทุกคน ดันกลับกลายเป็นว่าปุณณกันต์พูดโพล่งออกมาก่อนด้วยน้ำเสียงมีความสุข

“เราสี่คนเหมือนพ่อลูกกันเลยครับ” และด้วยประโยคที่แฝดคนพี่พูดก็ทำเอา ปราณันต์ก็หน้าแดงขึ้นทันตา ดูเหมือนว่าปราณันต์จะเขินมาก คามินมองปราณันต์ยิ้มๆ แบบเอ็นดู ในขณะที่ปุณณกันต์และปัณณธรกำลังหัวเราะชอบใจกับความคล้ายกันของเสื้อผ้าไม่ยอมหยุด

แต่ปราณันต์เองก็ไม่อยากให้น้องๆ ทึกทักเอาไปเองแบบนี้ จึงพยายามจะพูดปรามอีกครั้งแต่ปัณณธรดันพูดแทรกขึ้นมาอีกรอบ

“เหมือนพ่อแม่ของเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเราเลยเนาะพี่ปุณณ์ ที่ใส่ชุดเหมือนๆ กันแบบนี้อ่ะ”

“ใช่ๆ เหมือนเลย ปุณณ์ชอบ เหมือนเราสี่คนเป็นพ่อลูกกัน มาเที่ยวด้วยกัน”

หลังจากได้ยินน้องทั้งสองพูดแบบนั้น ปราณันต์ก็กลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไปทั้งหมด ก่อนที่ตากลมจะเหลือบมองคามินอย่างขอโทษ ที่ปล่อยให้เด็กๆ ทึกทักโมเมเอาเองแบบนั้นซึ่งคามินเองก็ส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับยิ้มให้ปราณันต์ และขยับปากบอกปราณันต์แบบไม่มีเสียงว่า


‘ปล่อยเด็กๆ ไปเถอะครับ ผมโอเค’


จะไม่โอเคได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคามินตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งปราณันต์เองก็ยิ้มตอบคามินแบบขอบคุณโดยที่ไม่รู้อะไรเลย

.

.

.

ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในร้านอาหารขนาดกลาง ปุณณกันต์กับปัณณธรดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะนานๆ ครั้งเด็กน้อยทั้งสองจะมีโอกาสมานั่งทานอาหารในร้านแบบนี้สักครั้ง เจ้าหนูทั้งสองมองไปทางนู้นทีทางนี้ที จนปราณันต์ต้องคอยปรามให้ทั้งคู่อยู่นิ่งๆ ก่อนที่จะตกเก้าอี้ไปเสียก่อน

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ นั่งดีๆ สิครับ เดี๋ยวตกเก้าอี้นะ”

เจ้าตัวน้อยทั้งสองหันมาหัวเราะแหะๆ ให้พี่ชาย ก่อนจะหันมานั่งดีๆ สงบเสงี่ยมเรียบร้อยตามคำที่พี่ชายบอกแต่โดยดี

“ปุณณ์ปัณณ์อยากกินอะไรดีครับ เอาพิซซ่าไหม”

และก็เป็นอีกครั้งที่ฝาแฝดทั้งสองแสดงมารยาทที่ใครเห็นก็ต้องชมเชย

“พี่ปราณอยากกินอะไรครับ ปุณณ์กับปัณณ์กินเหมือนพี่ปราณก็ได้” ปุณณกันต์พูดขึ้นมา ทำเอาพี่ชายคนโตยิ้มไม่หยุด ตอนที่ได้ยินน้องชายถามมาแบบนั้น

“วันนี้พี่ปราณอนุญาตให้ฝาแฝดเลือกได้ หนูอยากกินอะไร ก็บอกพี่ครามเลยครับ” ปราณันต์พูดตอบน้องชายอย่างใจดี ก่อนจะเน้นย้ำว่า “แต่สั่งมาแล้วต้องกินให้หมดนะ สั่งทีละน้อย ถ้าไม่อิ่มค่อยสั่งใหม่ โอเคไหมครับ”

เจ้าตัวน้อยทั้งสองพยักหน้าอย่างแข็งขัน ก่อนจะยิ้มร่า พากันเปิดเมนูชี้ชวนดูนั่นดูนี่ก่อนจะตอบพี่ครามเสียงใสว่าตัวเองอยากทานอะไรกันบ้าง

“ปุณณ์อยากกินไก่ทอดครับ”

“ส่วนปัณณ์เอา...” เจ้าฝาแฝดคนน้อง ใช้นิ้วเล็กๆ เคาะริมฝีปากอิ่มของตัวเอง พลางทำท่าหนักอกหนักใจเหลือเกินขณะที่กำลังเลือกของกิน ทำเอาบรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยบนโต๊ะอมยิ้มหลังจากได้เห็นท่าทางน่ารักแบบนั้นของเจ้าหนูน้อย “เอาอะไรดีน้าา” ปากอิ่มเล็กๆ ยังคงขมุบขมิบไม่เลิก เพราะยังตัดสินใจเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไรดี

ปราณันต์ที่พอได้เห็นท่าทางกลัดกลุ้มในการเลือกของกินแบบนั้นของแฝดคนน้องก็อดแซวไม่ได้

“จะหนักอกหนักใจอะไรขนาดนั้นครับปัณณ์ หนูแค่เลือกของกินเองนะ” พอได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น ปัณณธรก็หันมายิ้มตาหยี พลางเกาแก้มแก้เขินไปด้วย

“ก็ปัณณ์อยากกินพิซซ่าด้วย ไก่ทอดด้วย เลยเลือกไม่ถูกว่าจะเอาอะไรดี” เจ้าตัวน้อยอ้อมแอ้มสารภาพ เขาอยากกินทั้งสองอย่างเลย แต่ถ้าสั่งมาแล้วกินไม่หมด ต้องโดนพี่ปราณดุแน่ๆ

“ปัณณ์สั่งพิซซ่ามาสิ เดี๋ยวไก่ทอดกินกับพี่ก็ได้” แล้วในที่สุดก็มีฮีโร่ตัวน้อยมาช่วยแก้ไขความทุกข์ใจของปัณณธร ฝาแฝดคนน้องยิ้มร่า ที่จะได้กินทั้งสองอย่างจริงๆ

“ขอบคุณนะพี่ปุณณ์ งั้นเรามากินด้วยกันดีไหม ปัณณ์จะแบ่งพิซซ่าให้พี่ปุณณ์ด้วย”

“อื้อ” ฝาแฝดคนพี่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ ส่วนคนที่ยิ้มหน้าบานกว่าปุณณกันต์ก็เห็นจะเป็นพี่ชายคนโต เขามองภาพน้องชายฝาแฝดทั้งสองตรงหน้าอย่างอิ่มใจและภูมิใจ หลังจากได้เห็นทั้งสองดูแลและเป็นห่วงกันและกันเขาก็เบาใจ เพราะอย่างน้อยในอนาคตข้างหน้า ถ้าเจ้าตัวน้อยทั้งสองโตขึ้นจะได้เป็นที่พึ่งของกันและกันได้

คามินเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ครอบครัวของปราณันต์ช่างเป็นครอบครัวที่น่ารักและสมบูรณ์แบบมากๆ ในการอยู่ด้วยกัน ปราณันต์อาจจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทองมากมาย แต่เขามั่นใจมากว่าสิ่งที่ปราณันต์มีและมีมากกว่าคนอื่นๆ อย่างน้อยก็เขาคนนึงนี่แหละ คือความสุข ถ้าเขามีพี่น้องและครอบครัวที่ดูแลกันเอาใจใส่กันมากขนาดนี้ บางทีเงินทองมากมายก็อาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็ได้

พอไถ่ถามเจ้าตัวเล็กเรียบร้อยแล้ว คามินเลยหันไปถามพี่ชายคนโตที่ตอนนี้นั่งมองน้องชายด้วยสายตาภูมิใจบ้าง เพราะตอนนี้ปราณันต์มัวแต่อิ่มอกอิ่มใจกับความน่าเอ็นดูของฝาแฝดทั้งสองจนลืมสั่งอาหารแล้ว

“คุณปราณครับ” ปราณันต์ทำหน้าตาเหรอหราหันไปตามเสียงที่คามินเรียก พอได้เห็นหน้างงๆ ของปราณันต์แบบนั้น คามินก็อดขำไม่ได้ “ฮ่าๆ ผมจะถามคุณปราณว่า แล้วคุณปราณจะกินอะไรดีครับ”

“อ๋อ” ปราณันต์เกาคอตัวเองเก้อๆ ตอนที่ได้รู้ว่าตัวเองทำท่าทางเปิ่นๆ ออกไป “ผมขอสปาเก็ตตี้ครีมซอสแล้วกันครับ”

“ทำไมกินน้อยจังครับ แค่นี้คุณปราณจะอิ่มหรอ”

“อิ่มครับ ปกติผมก็กินไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว” ปราณันต์ตอบยิ้มๆ คามินเองก็มองสำรวจปราณันต์อย่างจงใจ เล่นเอาเจ้าตัวทำหน้างงเลยทีเดียว

“มีอะไรหรอครับ ทำไมคุณครามมองผมขนาดนั้น”

“ผมว่าคุณผอมเกินไปแล้ว ไม่ได้การละ ต่อไปนี้ผมจะขุนให้คุณปราณอ้วนๆ เลย จะได้มีแรงอุ้มฝาแฝด” ก่อนที่คามินจะหันไปขอความเห็นเด็กๆ “ปุณณ์กับปัณณ์ว่าดีไหมครับ”

“ดีครับดี” ปัณณธรชิงตอบเสียงใสก่อนจะพูดต่ออย่างมีน้ำใจ “เดี๋ยวปัณณ์จะแบ่งพิซซ่าให้พี่ปราณกินนะ พี่ปราณจะได้โตไวๆ”

“ใช่ๆ ปุณณ์ก็จะแบ่งไก่ทอดให้พี่ปราณด้วย กินด้วยกันๆ”

คนเป็นพี่ได้ยินแล้วถึงกับหลุดขำ เจ้าตัวน้อยของเขาช่างน่ารักน่าชังและมีน้ำใจ ปราณันต์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเด็กแฝดอย่างเอ็นดู

“ขอบคุณมากนะครับ แบบนี้พี่ปราณต้องโตไวแน่ๆ” ปราณันต์ทำท่าและพูดจาขึงขังประกอบ ซึ่งขัดกับหน้าตาและรูปร่างของตัวเองเหลือเกิน

“แต่ถึงพี่ปราณไม่โตก็ไม่เป็นไรหรอก พี่ครามโตคนเดียวก็พอ พี่ครามจะได้เป็นคนดูแลทุกคนไง เด็กๆ ว่าดีไหมครับ” คามินหยอดคำหวานอีกรอบ สายตาคมจ้องไปที่ปราณันต์อย่างสื่อความหมาย ทำเอาคนตรงข้ามก้มหน้าหนีแทบไม่ทัน

“รีบสั่งสิครับ เดี๋ยวจะรอนาน” ปราณันต์ทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งเรียกรอยยิ้มจากปากหยักได้ไม่น้อย

“คร้าบ คร้าบ” คามินรับคำ ก่อนจะเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งออเดอร์ตามความต้องการ

.

.

.

หลังจากอาหารมาเสิร์ฟ สี่หนุ่มก็จัดการอาหารบนโต๊ะกันอย่างแข็งขัน ฝาแฝดตัวน้อยทั้งสอง ตอนนี้ถือพิซซ่าไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือน่องไก่ทอด ต่างคนต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนปราณันต์นั้นก็ตักสปาเก็ตตี้เข้าปากบ้าง พักมือมาดูแลน้องบ้าง มือเรียวต้องคอยคว้ากระดาษทิชชู่ขึ้นเช็ดปากอิ่มเล็กๆ ของเด็กทั้งคู่บ่อยๆ เพราะตอนนี้ดูแล้วเกือบจะเข้าขั้นเลอะเทอะทีเดียว

“กินดีๆ สิครับเด็กๆ ปากเลอะหมดแล้ว” ปราณันต์ดุไม่จริงจัง ทำให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองส่งยิ้มเผล่กลับมา เรียกรอยยิ้มให้เกิดที่ริมฝีปากอิ่มของพี่ชายคนโตจนได้

ในขณะที่มองสามคนพี่น้องทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น คามินก็ค่อยๆ หั่นเสต๊กในจานของตัวเองกินเรื่อยๆ เขาคอยสังเกตสิ่งที่แต่ละคนชอบ และไม่ชอบ เพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลในการชนะใจปราณันต์ต่อไป

และหลังจากกินอาหารเรียบร้อย ทั้งสี่ก็พากันไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต คามินดึงดันจะซื้ออาหารแห้งและของสดรวมทั้งของใช้ต่างๆ เข้าไปตุนไว้ที่บ้านปราณันต์ให้ได้ พอปราณันต์ทำท่าจะไม่พอใจ คามินก็อ้างเข้าให้จนอีกฝ่ายใจอ่อน

“ผมไม่ค่อยได้ทานข้าวเช้าคุณปราณก็รู้ งานผมมันไม่เป็นเวลา ถ้าคุณอยากช่วยผม ก็รับของพวกนี้ไว้เถอะนะครับ ตอนเช้าจะได้ทำอาหารมาเผื่อให้ผมได้กินบ้าง”

พอได้ยินแบบนั้นหัวใจดวงน้อยๆ ก็กระตุกยวบ อดสงสารผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องรับไว้แล้วยังรับปากเรื่องทำอาหารให้อีกด้วย เท่ากับคามินได้กำไรสองต่อเลยทีเดียว

และหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว คามินก็ให้ปราณันต์พาน้องๆ ไปรอตรงโซนของเล่น ส่วนเขาจะเอาของไปเก็บให้ที่รถ

พอตกลงกันได้ปราณันต์ก็เดินจูงมือเด็กแฝดทั้งสองไปตรงโซนของเล่น ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่คนทั่วไปเวลาเห็นปราณันต์เดินกับแฝดแล้ว จะทักว่าเป็นพ่อลูกกัน และยิ่งปราณันต์แต่งตัวเหมือนปัณณธรอย่างกับแกะ ประกอบใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของฝาแฝดอีกด้วย คนยิ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษ

“ถึงแล้วครับ” ปราณันต์พาน้องๆ มาจนถึงจุดให้บริการของเล่น มีของเล่นหลากหลายชนิดรวมอยู่ที่นี่ ปุณณกันต์กับปัณณธรหันมองตามอย่างตื่นตาตื่นใจ ชี้ชวนกันดูนั่นดูนี่ให้วุ่นไปหมด จนกระทั่งคามินเดินมาสมทบ

“เด็กๆ นี่ครับ” คามินยื่นบัตรรวมเครื่องเล่นให้เจ้าตัวน้อยทั้งสอง ทำเอาปราณันต์ค้อนเข้าให้ตาแทบหลุด

“คุณครามทำแบบนี้อีกแล้วนะครับ” ปราณันต์บ่นออกมาเสียงดัง ปากอิ่มๆ ยื่นออกอย่างไม่ชอบใจ คามินตามใจเด็กๆ มากเกินไปแล้ว ถึงขั้นซื้อบัตรรวมเครื่องเล่นให้ขนาดนี้ มีหวังเล่นกันยันเย็นแน่ๆ

“น่านะ นะครับคุณปราณ... ผมบอกแล้วไงว่าผมทำ ผมก็หวังผล” ปากหยักคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งกลับมา ไม่มีทีท่าว่าจะสลดกับสิ่งที่ทำไปเลยสักนิด

ปราณันต์ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาจะไปทำอะไรได้ คามินเล่นซื้อมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย แล้วยิ่งตอนนี้เจ้าสองแฝดก็มาจ้องเขาตาแป๋วแบบฝากความหวังอีก คงจะรอให้เขาตอบตกลงก่อน เจ้าหนูน้อยถึงจะยอมยื่นมือไปรับบัตรรวมเครื่องเล่นจากพี่ครามคนใจดีนั่นล่ะ

ปราณันต์ก้มลงมองเด็กแฝดด้วยความจนใจ ก่อนจะค่อยๆ พรูลมหายใจออกมาช้าๆ และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกปากเอ่ยอนุญาต

“โอเคครับ อนุญาตก็อนุญาต แต่ต้องขอบคุณพี่ครามก่อนนะ ก่อนที่จะรับของไป”

“เย่/เย่” สองแฝดน้อยโห่ร้องด้วยความยินดี ในที่สุดพี่ชายคนโตก็อนุญาตให้เขาทั้งสองไปเล่นเครื่องเล่นได้โดยไม่ถูกดุ

“ขอบคุณครับพี่คราม ปุณณ์ขอบคุณพี่ครามมากๆ เลย” ปุณณกันต์น้อยเดินเข้ากอดโอบรอบคอคามินที่ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ รอให้เด็กทั้งสองเข้าไปหาอยูู่

“ปัณณ์ก็ขอบคุณพี่ครามครับ พี่ครามคนหล่อใจดีที่สุดในโลก” ปัณณธรเองก็กระโดดเข้าไปกอดคอคามินเช่นกัน แต่จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่ เจ้าแฝดคนน้องโถมใบหน้าตัวเองเข้าไปจูบที่แก้มสากของพี่ครามคนโปรดเบาๆ ด้วย


จุ๊บ~


ภาพตรงหน้าทำเอาปราณันต์ค้อนอย่างหมั่นไส้ แต่ถึงอย่างไรปากอิ่มก็อดอมยิ้มกับความน่ารักของสามหนุ่มตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ทั้งกอดทั้งหอมกันขนาดนี้ เดี๋ยวพี่ปราณก็จับฝาแฝดให้ย้ายไปอยู่พี่ครามซะหรอก”

พอปราณันต์พูดแบบนั้น แทนที่เจ้าเด็กแฝดตัวแสบจะสลด ดันหันกลับมาถามคำถามที่ทำเอาร่างบางเขินจนไปไม่เป็น

“ไปครับไป พี่ปราณจะพาเราย้ายไปอยู่กับพี่ครามใช่ไหมครับ” คำถามซื่อๆ และไร้เดียงสาของปัณณธรทำเอาจิ๋งอวี๋หัวเราะลั่น

“ขะ...เข้าไปได้แล้วเด็กๆ ไหนว่าอยากเล่นเครื่องเล่นไง ไปสิครับ” ปราณันต์ดันหลังเจ้าตัวน้อยทั้งสองไปตรงจุดตรวจบัตร และเกิดจะพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที หลังเจอน้องชายตัวแสบถามกลับมาแบบนั้น

ส่วนคามินก็กลั้นหัวเราะเสียจนปวดแก้ม จนปราณันต์ค้อนให้นั่นแหละเขาถึงหุบยิ้มได้ แต่พอจังหวะที่จะเดินตามแฝดเข้าไป คามินก็เอ่ยกับปราณันต์กว่าด้วยน้ำเสียงกระเซ้า

“จะย้ายมาเมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ ผมจะจัดได้บ้านรอ” พอพูดจบเจ้าของเสียงทุ้มก็หัวเราะลั่นอย่างชอบใจ ที่แกล้งอีกฝ่ายได้

“คุณนี่!” มือเล็กเอื้อมไปฟาดไหล่หนาเบาๆ โทษฐานที่ล้อเลียนเขา ซึ่งไม่ได้แรงอะไรมากหรอก คนตัวใหญ่โตอย่างคามินไม่มีทางสะเทือนแน่ ซึ่งก็จริงดังว่า เพราะตอนนี้เจ้าของใบหน้าคมคายยังคงยิ้มและจ้องมาทางเขาไม่หยุด พูดง่ายๆ ว่าทำปราณันต์เขินขึ้นมาอีกรอบได้นั่นแหละ

“ฮ่าๆ ผมไม่ล้อแล้วๆ” คามินพยายามทำหน้าเคร่งเครียด แต่ปากหยักก็ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ที่มุมปากอยู่ดี “เราเข้าไปกันเถอะครับ เด็กๆ รออยู่”

ปราณันต์เชิดปากขึ้นอย่างแสนงอน ซึ่งมันดูน่ารักมากกว่าที่จะน่ากลัวในสายตาของคามิน ทั้งสองเดินเคียงกันไป จนส่งฝาแฝดเข้าไปเล่นในบ้านบอลเรียบร้อยนั่นแหละ ทั้งคู่จึงออกมานั่งรอตรงจุดที่มีบริการเก้าอี้สำหรับผู้ปกครองที่มาเฝ้าเด็กๆ

“ที่จริง...” จู่ๆ คามินก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ในระหว่างที่นั่งกันอยู่เงียบๆ ปราณันต์เองก็สะดุ้งจนต้องหันมามองคนข้างตัว เพราะตอนนั้นกำลังมองเจ้าหนูน้อยทั้งสองปีนขึ้นปีนลงตรงสไลเดอร์อยู่

“ที่จริงแล้วคุณไม่ต้องถึงขั้นย้ายไปอยู่บ้านผมหรอกครับ” คามินพูดยิ้มๆ แต่ทำเอาคิ้วเรียวของปราณันต์ขมวดมุ่น ทำไมคนเจ้าเล่ห์นี่ถึงไม่หยุดล้อเขาสักทีนะ

“คุณ...”

แต่ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะได้อ้าเพื่อเอ่ยคำตอบโต้อะไรคนตัวโตไป กลับกลายเป็นต้องอ้าค้างด้วยความตกใจแทน เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของคนตรงข้าม


“ขอแค่ตอนนี้คุณปราณยอมเป็นแฟนผมก่อนก็พอ ... แค่นี้ ผมขอคุณมากไปรึป่าวครับ?”


ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์หันไปยังคนข้างๆ ด้วยความตั้งใจ สายตาคมทอดมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทำเอาหัวใจของปราณันต์เต้นไม่เป็นส่ำ ภาพรอบข้างของปราณันต์กลายเป็นสิ่งลางเลือนในความรู้สึก มีแต่ภาพใบหน้าและดวงตาของคามินเท่านั้นที่ชัดเจนจนเขาแทบไม่กล้าหายใจ

เสียงในสมองสั่งให้ปฏิเสธ แต่หัวใจกลับลิงโลดและยินดีเหลือเกินกับสิ่งที่ได้ยิน ริมฝีปากอิ่มคล้ายถูกหินก้อนใหญ่ๆ ถ่วงไว้จนเขาพูดไม่ออก ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างสมองร่างกายและหัวใจ กำลังขัดแย้งกันจนปราณันต์แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ลึกๆ ตัวปราณันต์เองก็รู้ดีว่าคำตอบที่ตนมีให้คามินคืออะไร แต่สามัญสำนึกกลับกู่ร้องตะโกนออกมาว่ายังไม่พร้อม


...แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์เช่นนี้

ปล่อยให้เป็นไปหรือยอมให้ความต้องการของตัวเองอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง...

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------------------------

ปราณณณณณ หนีไปลูกกกกก หนีไปปปปปป!

5555555555555555555555555555555555555

อยากอ่านคอมเม้นท์นะคะ เม้นท์มาๆ รออยู่เน้ออออ ตอนต่อไปน่าจะมาไม่ศุกร์ก็เสาร์นะคะ ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจ แวะไปคุยในแท็ก #ลวงหลอกรัก ในทวิตเตอร์ได้น้าาา เป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ให้เราก็ยังดี ><

รักทุกคนน้าาาา

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ตกลงเลยปราณ ตามที่เขาขอ หลงไปให้สุด เพราะถึงเวลานั้นมันถึงจะสนุก 55555  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
เอาให้หลง ให้เต็มที่

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
9th Lies : ห้วงรัก


สถานการณ์อึดอัดบางๆ เกิดขึ้นทันทีที่คามินพูดจบ ปราณันต์เงียบไปเหมือนกำลังพยายามใช้ความคิด มุมปากหยักเหยียดยิ้มอันตราย ในขณะที่มองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้างุด

คามินกำลังชั่งใจว่า เขาควรจะรุกต่อเลยดี หรือควรจะให้เวลาปราณันต์ได้คิดทบทวน...

... ไม่สิ ไม่มีอะไรต้องยื้อให้ทบทวนกันอีก คำตอบที่เขาต้องการจากปราณันต์มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นคือ


‘ตกลง’


“ผมเร่งรัดหรือทำให้คุณปราณลำบากใจหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนถูกปั้นแต่งและส่งออกมา ก่อนที่คามินจะเพิ่มความเข้มของน้ำเสียงขึ้นอีกนิด เพื่อแสดงออกว่าเขาจริงจัง “ถ้าคุณปราณรังเกียจหรือไม่ต้องการ บอกผมตรงๆ ได้นะครับ ผมจะไม่เซ้าซี้อะไรคุณอีก”

และได้ผล.. ใบหน้านวลหันขวับกลับมามองคนข้างตัวอย่างรวดเร็ว ตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่เสียงใสที่ติดจะร้อนรนหน่อยๆ จะรีบปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็ว

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจหรือไม่ต้องการ” ปราณันต์หยุดพักพร้อมกับสูดหายใจเข้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ตรงกันข้าม ผมรู้สึกดีมากกับสิ่งที่คุณทำให้ มันดีมากจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันไปรึป่าว”

ปราณันต์ยิ้มบางๆ แล้วมองไปยังเด็กฝาแฝดทั้งสองที่กำลังปีนป่ายกันอยู่ในบ้านบอลอย่างสนุกสนาน

“ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีความสุขมาก ตั้งแต่ป๊ากับม๊าเสียไป นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ผมไม่เคยเห็นเด็กๆ หัวเราะและยิ้มได้มากเท่านี้ ฝาแฝดเปิดใจให้คุณอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน” ปราณันต์หันมาหาเจ้าของใบหน้าคมคาย ก่อนที่จะยิ้มให้อย่างจริงใจ “ผมเองก็เหมือนกัน คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับการดูแลจากใครสักคนอีกครั้ง คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมเองก็เป็นคนพิเศษได้ ผมยอมรับว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ดีจนผมกลัว...”

คามินค่อยๆ เลื่อนมือใหญ่มากุมมือเล็กของปราณันต์ที่วางอยู่บนตักตัวเองไว้เบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“คุณปราณกลัวอะไรครับ”

“ผมกลัวว่าวันนึงความสุขแบบนี้มันจะหายไป แล้วผมจะอยู่ไม่ได้ถ้าวันนั้นมาถึง วันที่ผมและฝาแฝดไม่มีคุณ เราอาจจะใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเดิมไม่ได้อีก”

ปราณันต์เสหลบตาคนข้างๆ ก่อนจะมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย หลังจากสารภาพทุกความรู้สึกออกไปให้คามินได้รู้

“เชื่อใจผมได้ไหมครับ” เป็นอีกครั้งที่คำพูดไม่กี่คำของคามิน สามารถเขย่าหัวใจของปราณันต์ให้เต้นแรงอย่างบ้าคลั่งได้

ตากลมโตมองสบเข้าไปที่ดวงตาคมของคามินอย่างกับต้องการจะค้นหาคำตอบ ไม่มีสักวินาทีที่คามินจะหลบสายตา นั่นยิ่งเพิ่มความมั่นใจทำให้ปราณันต์อาจจะตัดสินใจบางอย่างได้ดีขึ้น

“ผมขอเวลาอีกนิดได้ไหมครับ” ปราณันต์มองสบไปที่ตาคมอย่างร้องขอ “ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจคุณนะ แต่ผมคิดว่าผมอยากทบทวนความรู้สึกตัวเอง เอาให้แน่ใจจริงๆ”

เสียงใสๆ พูดขออย่างรัวเร็ว ที่จริงปราณันต์จะให้คำตอบคามินเลยก็ได้ แต่เขาอยากได้เวลาอีกนิด เอาให้ตัวเองมั่นใจว่าความรู้สึกที่มีให้คามินนั้น คือความรักจริงๆ ไม่ใช่แค่ความหลงใหล หรือแค่ประทับใจในความใจดีของอีกฝ่ายเท่านั้น

“ได้สิครับ” คามินตอบรับพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “แล้วเวลาที่คุณปราณอยากได้นี่ มันนานแค่ไหนหรอครับ”

ปราณันต์นิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด เขากำลังกังวลว่าเวลาแค่ไหนถึงจะพอดี เวลาแค่ไหนถึงจะไม่เรียกว่ามากไปจนดูเหมือนเล่นตัว หรือน้อยไปจนดูเหมือนใจง่าย

และก็กลายเป็นเจ้าของเสียงทุ้มที่ทนไม่ไหว เลยเป็นคนยื่นข้อเสนอขึ้นมาเอง

“อาทิตย์นึงพอมไหมครับคุณปราณ” มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือเล็กไว้เบาๆ “อาทิตย์นึงสำหรับพิสูจน์ความจริงใจของผม และอาทิตย์นึงสำหรับการทบทวนความรู้สึกของคุณ ผมขอร้องอย่าให้มันนานไปกว่านี้เลยนะ ผมชอบคุณมากจริงๆ คุณก็รู้”

ปราณันต์เงียบไปจนคามินเองก็รู้สึกหวั่นๆ แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็พยักหน้ายอมรับอย่างจำยอม

“ก็ได้ครับ อาทิตย์นึง วันเสาร์หน้าผมจะให้คำตอบคุณ”

คามินยิ้มโชว์เขี้ยวขาวออกมาอย่างยินดี ปราณันต์เองแม้จะเขินอายแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตนเองก็มีความสุขไม่ต่างจากคนตัวโตข้างๆ เช่นกัน

“พี่ปราณ!! พี่คราม!!” เสียงจากหนึ่งในหนูน้อยทั้งสองดังแว่วมาไกลๆ เรียกความสนใจจากผู้ใหญ่ทั้งสองให้หันไปมองได้ไม่ยาก

พอคามินกับปราณันต์หันไปมองก็เห็นว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองกำลังปีนป่ายเล่นซนกันอย่างสนุกสนาน ปากอิ่มแย้มยิ้มบางๆ หลังจากเห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะป้องปากตะโกนไม่ดังมากให้สองแฝดได้ยิน

“เล่นกันดีๆ นะครับ ระวังตก” พอคนพี่เห็นเจ้าน้องชายตัวแสบพยักหน้า ก็ตะโกนสำทับไปอีกรอบ “ปุณณ์ ดูแลน้องด้วยนะครับ”

ปุณณกันต์ทำสัญญาณมือส่งกลับมาให้พี่ชายว่าโอเค ทำเอาปราณันต์หลุดหัวเราะออกมากับท่าทางน่ารักๆ แบบนั้น

จากนั้นคามินกับปราณันต์ก็ปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันไป โดยที่สองคนนั่งมองอยู่ห่างๆ แต่มือของคนทั้งคู่กลับไม่ได้ปล่อยออกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว

.

.

.

หลังจากพาฝาแฝดเล่นกันจนเต็มอิ่ม ผู้ใหญ่ทั้งสองก็ตกลงกันว่าจะพาเจ้าหนูน้อยกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้าน เพราะปราณันต์ให้ความเห็นว่าสองวันนี้คามินใช้เงินสิ้นเปลืองเพราะฝาแฝดมามากพอแล้ว เลยคิดว่าควรกลับไปกินอาหารที่บ้านน่าจะดีกว่า อีกอย่างพวกของสดที่ซื้อจากซุปเปอร์คราวที่แล้วก็ยังเหลืออยู่อีกเยอะทีเดียว

“คุณอยากกินอะไรครับ” ปราณันต์ถามขึ้นขณะที่คามินกำลังขับรถพาครอบครัวเขากลับบ้าน

“เราทำสุกี้กินกันดีไหมครับ บ้านคุณปราณมีหม้อสุกี้ไหม” คามินถามขึ้นเมื่อคิดไอเดียดีๆ ได้

“มีครับ งั้นเรากินสุกี้กันนะ”

คามินหันไปยิ้มอ่อนโยนให้ปราณันต์ ก่อนจะหันไปถามเด็กฝาแฝด

“เด็กๆ วันนี้เรากินสุกี้กันดีไหมครับ”

“ดีครับ ปุณณ์อยากกินเบค่อน”

“ด้วยๆ แต่ปัณณ์อยากกินกุ้ง”

เจ้าฝาแฝดทั้งสองต่างแย่งกันบอกความต้องการของตัวเองว่าอยากกินอะไร เถียงกันไปเถียงกันมา จนปราณันต์ต้องรีบห้ามทัพ ก่อนที่จะทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ

“พี่ปราณจะใส่ทั้งเบค่อนทั้งกุ้งให้เลยครับ ไม่เถียงกันนะ โอเคไหม”

และถึงแม้ปราณันต์จะหาข้อสรุปให้ทั้งสองได้แล้ว แต่เด็กแฝดก็ยังไม่หายงอนกันและกันอยู่ดี

“ปัณณ์อ่ะดื้อ ชอบเถียง” เจ้าแฝดคนพี่ยังคงบ่นน้องตัวเอง แต่ฝั่งเจ้าคนน้องก็ใช่ย่อย เพราะกำลังบ่นพี่ตัวเองกลับเหมือนกัน

“พี่ปุณณ์ก็ดื้อเหมือนกันนั่นแหละ ชอบดุคนอื่น”

ใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับถอดมา ต่างจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ ราวกับว่าถ้าใครหลบตาก่อนคนนั้นจะเป็นคนแพ้ยังไงยังงั้น

ปราณันต์พรูลมหายใจออกมาอย่างปลงตก ฝาแฝดนี่เวลารักกันก็รักกันจนใจหาย แต่อย่าให้ได้ทะเลาะกันเชียว ถ้าไม่รู้ผลแพ้ชนะล่ะก็ ไม่มีทางยอมจบเด็ดขาด

“ไม่เอาไม่ทะเลาะกันสิครับ เรื่องนิดเดียวเอง พี่ปราณก็ยอมใส่ให้ทั้งกุ้งทั้งเบค่อนแล้วไง”

และแทนที่พอปราณันต์พูดแล้วจะได้ผล เจ้าเด็กตัวแสบทั้งสองดันกระเง้ากระงอดหนักกว่าเดิม ตอนนี้ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กทั้งคู่กำลังเชิดขึ้นอย่างถือดี ริมฝีปากอิ่มจิ้มลิ้มก็กำลังย่นยู่จนแทบจะติดจมูก แก้มขาวนวลทั้งสองข้างก็แดงกล่ำ แขนเล็กๆ ก็ยกขึ้นไขว้กอดอยู่บนอก แถมหนำซ้ำตอนนี้ต่างฝ่ายต่างยังหันหน้าหนีไปคนละทางอีกต่างหาก ซึ่งพอปราณันต์เห็นท่าทางแบบนั้นของฝาแฝดทั้งสองแล้ว คนตัวเล็กก็เตรียมจะดุเด็กๆ เพราะเขาไม่อยากให้ปุณณกันต์กับปัณณธรทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแบบนี้

แต่พอจะเอ่ยปากดุ คามินก็ยื่นมือมากุมมือเขาเพื่อเป็นการห้ามเบาๆ ก่อนจะขยับปากบอกเขาอีกด้วยว่า


‘เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ’


พอสิ้นคำคามินปราณันต์ก็พรูลมหายใจออกอย่างสงบสติอารมณ์ ก่อนจะพยักหน้ายอมให้คามินเป็นคนพูดแทน

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ถ้าทะเลาะกันแบบนี้พี่ครามเปลี่ยนใจไม่ไปกินข้าวด้วยดีกว่า เอาไหมครับ”

พอจบประโยคของคามิน ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กแฝดก็หันมองกันให้เลิ่กลั่ก กลัวพี่ครามจะไม่ไปกินข้าวด้วยก็กลัว แต่เรื่องเสียฟอร์มก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้อีก ตอนนี้เด็กๆ ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง จึงพยายามทำเป็นเฉยๆ เพื่อลองเชิงฝั่งตรงข้ามที่เป็นคู่กรณี

คามินเองที่พอเห็นเด็กๆ เงียบไป ก็เล่นมุกต่อทันที

“คุณปราณครับ งั้นเดี๋ยวผมแวะส่งหน้าอพาร์ทเม้นท์นะครับเสร็จแล้วคงกลับเลย” คามินแกล้งพูดลอยๆ ขึ้นอีกรอบ ทำเอาคนมีความผิดด้านหลังสองคนกุลีกุจอ รีบหันหน้าเข้ามาปรับความเข้าใจกันอย่างรวดเร็ว

“พี่ปุณณ์ ใส่เบค่อนเยอะๆ ก็ได้นะ ที่จริงปัณณ์ก็กินได้ทั้งกุ้งทั้งเบค่อนนั่นแหละ”

“เหมือนกันเลยปัณณ์ พี่ก็กินได้หมด ยังไงพี่ปราณก็ใส่ทั้งกุ้งทั้งเบค่อนให้อยู่แล้ว”

ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าทั้งสองแอบอบมยิ้ม หลังได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กทั้งสองจากด้านหลัง เมื่อกี้โกรธกันแทบไม่มองหน้า แต่พอพี่ครามบอกว่าจะหนีกลับบ้านเท่านั้นแหละเจ้าตัวยุ่งรีบกลับมาสมานสามัคคี ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แนบเนียนสุดๆ

“ปุณณ์กับปัณณ์ไม่เถียงกันแล้วหรอครับ หื้ม?” ปราณันต์แกล้งถาม ทำเอาเจ้าสองตัวน้อยรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่ได้เถียงนะ พี่ปุณณ์กับปัณณ์ไม่ได้เถียงกันสักหน่อย คุยกันเฉยๆ ครับ” ปัณณธรน้อยรีบพูดแก้ตัว มือเล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยกอดอก ถูกยกมาโบกประกอบท่าทางการพูดอย่างแข็งขัน

คามินมองไปปัณณธรน้อยผ่านกระจกมองหลัง เขาแทบจะหลุดหัวเราะ ตอนเห็นฝาแฝดคนน้องพยายามอธิบาย

“ใช่ๆ ไม่ได้เถียงกันครับ” ปุณณกันต์เองก็ไม่ต่าง เจ้าตัวเล็กคนพี่พยักหน้าแข็งขันสนับสนุนคำพูดของน้องชาย ก่อนที่ประโยคต่อมาจะเอ่ยเสียงอ่อย “ว่าแต่ พี่ครามจะอยู่กินข้าวกับพวกเราแล้วใช่ไหมครับ ไม่กลับก่อนใช่ไหม”

“นั่นสิ พี่ปุณณ์กับปัณณ์ไม่ได้จะทะเลาะกันสักหน่อย พี่ครามอยู่กับพวกเราก่อนเถอะนะ”

ปัณณธรพูดจาออดอ้อนเอาใจ จนปราณันต์เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าตัวเองคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ป่านนี้คงลุกขึ้นมากอดหลังกอดไหล่คามินแล้วเป็นแน่

“สัญญากับพี่ครามก่อนนะครับว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก ไม่งั้นพี่ครามกลับบ้านจริงๆ ด้วย” คามินแกล้งขู่ แน่นอนว่าเด็กๆ รีบยอมรับปากแบบไม่มีอิดออด

“ได้ครับ สัญญา” ปุณณกันต์ตกปากรับคำ ปัณณธรเองก็เช่นกัน

“ครับ ปัณณ์ก็สัญญา”

พี่ชายคนโตอย่างปราณันต์ พอเห็นน้องชายเชื่อฟังพี่ครามเป็นอย่างดีก็อดค่อนขอดเพราะหมั่นไส้ไม่ได้

“รักกันดีจังเลยน้าา พี่ครามพูดอะไรก็เชื่อหมดเลย” ปราณันต์ได้แต่พูดแค่นี้ ไม่กล้าเอ่ยประชดด้วยการบอกว่าให้ย้ายไปอยู่กับคามินอีก เพราะแค่เมื่อตอนเย็นที่คามินรุกสวนกลับขนาดนั้น ทำเอาเขาต่างหากที่ไปไม่เป็นแทน

และพอคามินได้ยินปราณันต์เอ่ยแซวแบบนั้น ปากหยักก็แอบยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะสวนกลับไปด้วยความรุกเลเวลเดียวกับเมื่อเย็น

“ผมก็รอให้คุณปราณเชื่อที่ผมพูดอยู่เหมือนกันนะ หึหึ” คิ้วเรียวขมวดมุ่นในตอนแรกเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่คามินพูด แต่พอเอาไปทบทวนกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปก่อนหน้านี้ ก็เลยเข้าใจ สุดท้ายแก้มนวลทั้งสองข้างก็ขึ้นสีอย่างหน้ามอง ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะแบบเอ็นดูจากคามินได้มากทีเดียว

.

.

.

หลังจากขับรถมาถึงอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวปราณันต์ คามินก็ปล่อยให้สามพี่น้องลงตรงด้านหน้า ก่อนที่ตัวเองจะเอารถไปจอดด้านหลัง โดยที่บอกกับปราณันต์ไว้ว่าเดี๋ยวจะตามขึ้นไป

แต่พอขาเรียวจะออกก้าวเดินเพื่อจูงเจ้าแฝดน้อยทั้งสองขึ้นอพาร์ทเม้นท์ ปราณันต์กลับได้เจอคนที่เขาไม่ได้คิดว่าจะเจอในวันนี้ขึ้นเสียก่อน

“ปราณ กลับมาแล้วหรอ” เสียงทุ้มของหนุ่มเหนือเอ่ยทักทันทีที่เห็นเพื่อนร่วมงานเดินเข้าประตูมา

“กวี...” ปราณันต์ครางเรียกชื่อกันต์กันต์กวีเสียงอ่อน เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาถึงที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกให้รู้ล่วงหน้าแบบนี้

“พี่กวี/พี่กวี” ฝาแฝดตัวน้อยประสานเสียงเรียกคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างยินดี กันต์กันต์กวีเองก็ทักทายเด็กๆ อย่างอ่อนโยนเช่นกัน

“ว่าไงครับปุณณ์ ปัณณ์ ไหนมาขอกอดหน่อยสิ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรเงยหน้ามองปราณันต์เป็นเชิงขออนุญาต ก่อนที่ปราณันต์จะพยักหน้าแล้วปล่อยมือให้เจ้าตัวแสบทั้งสองวิ่งตื๋อออกไปที่อ้อมกอดของกันต์กันต์กวีที่ตอนนี้อ้าแขนรอท่าเด็กน้อยทั้งสองอยู่แล้ว

กันต์กันต์กวีกอดรัดฟัดเหวี่ยงเด็กน้อยทั้งสองอย่างคิดถึง โดยที่ไม่ทันได้สังเกตสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของปราณันต์เลยสักนิด

และก่อนที่จะได้ทันเอ่ยอะไรกับเพื่อนร่วมงาน ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามาในอพาร์เทเม้นท์เสียก่อน

คามินมองอย่างแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นปราณันต์ยังยืนอยู่ที่ชั้นล่าง และพอสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองไม่ได้ยืนอยู่ข้างกายพี่ชายคนโต เขาก็หันหาโดยรอบอัตโนมัติ ก่อนจะพบว่าฝาแฝดอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนึงตรงข้ามปราณันต์แทน

ลางสังหรณ์ของคามิน บอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา น่าจะสนิทกับปราณันต์ในระดับนึง คงจะเป็นเพื่อน... แต่น่าจะเพื่อนคนละแบบกับอนาวิน และนั่นทำให้คามินไม่วางใจ

“คุณปราณครับ” เสียงทุ้มเรียกคนตรงข้ามอย่างเก็บอาการ ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นั่นใครเหรอครับ”

กันต์กันต์กวีเองพอเห็นบุคคลที่สามเดินเข้ามาก็คลายอ้อมกอดจากเด็กๆ ก่อนจะมองไปที่คามินอย่างแปลกใจเช่นกัน

“นั่นสิ ใครหรอปราณ”

ปราณันต์เองก็หันมองที่คามินที ที่กันต์กันต์กวีทีอย่างปวดหัว ซึ่งเด็กๆ เอง พอเห็นพี่ครามเดินเข้ามา ก็ผละออกจากกันต์กันต์กวีแทบจะทันทีทันใด แล้วกระโจนเข้าหาพี่ครามแทน มือเล็กๆ เกาะไปที่มือของคามินทั้งสองข้างอย่างรู้ดี และนั่นยิ่งทำให้กันต์กันต์กวีคลางแคลงใจเข้าไปใหญ่ว่าผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้านี่เป็นใคร ทำไมเด็กๆ ถึงได้ให้ความสำคัญและสนใจขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ต่างฝ่ายต่างลอบมองกันอย่างหยั่งเชิง

“เอ่อ.. กวีนี่คุณคามิน” ปราณันต์มองไปที่กันต์กันต์กวี พลางแนะนำอย่างกระอักกระอ่วน ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดี “คุณคามินเคยช่วยชีวิตปุณณกันต์ไว้เมื่อหลายวันก่อน”

กันต์กันต์กวีพยักหน้าแล้วค้อมหัวให้คามินนิดๆ เป็นเชิงว่ายินดีที่ได้รู้จัก

“ส่วนคุณคราม... นี่กันต์กวีเพื่อนผมครับ” คามินเองก็ทำแบบเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างไม่พูด ไม่มีตรงไหนที่แสดงออกว่ายินดีที่ได้รู้จักกันจริงๆ

และก่อนที่บรรยากาศจะอึดอัดมากไปกว่านี้ ฝาแฝดที่ตอนนี้เป็นเหมือนเทพบุตรลงมาโปรด ก็ตะโกนทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทำให้ความอึมครึมรอบๆ ผู้ใหญ่ทั้งสาม ดูเหมือนจะบางเบาลง

“พี่ปราณ พี่คราม ปัณณ์หิวแล้ว หิวๆ ไปกินสุกี้กันเถอะครับ” เจ้าของชื่อทั้งสองอมยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นความฉอเลาะของเจ้าตัวน้อย

“ป่ะ! ไปกินสุกี้กันเถอะครับเด็กๆ” คามินพูดพลางอุ้มปัณณธรขึ้น ส่วนมืออีกข้างก็กุมมือปุณณกันต์ไว้ไม่ห่าง ก่อนจะหันไปชวนพี่ชายคนโตของครอบครัวอีกรอบ ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะละล้าละลังอยู่ไม่น้อย

“คุณปราณครับ ไปกันรึยัง น้องๆ หิวแล้วนะ” คามินทอดเสียงหวานใส่คนตัวเล็กอย่างจงใจ ทำเอากันต์กันต์กวีเกิดอาการฮึดฮัดขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน

และขณะที่ปราณันต์ตัดสินใจแล้วว่าจะขอให้กันต์กันต์กวีกลับไปก่อน เพราะยังไงวันนี้คามินก็ดูแลเขากับน้องเต็มที่ ตัวปราณันต์เองเลยอยากจะตอบแทนอะไรคามินบ้าง อีกอย่างกันต์กวีก็ไม่ได้นัดหรือบอกไว้ก่อนว่าจะมา ครั้นจะให้ชวนมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันมันก็อาจจะแปลกๆ ยังไงไม่รู้

“กวีคือ..” และใขณะที่ปราณันต์จะพูดออกไปกันต์กวีก็ดันพูดสวนกลับมาก่อน

“จะไปกินข้าวกันหรอ ขอไปกินด้วยคนสิปราณ เย็นนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย” ซึ่งหลังจากกันต์กวีพูดจบ คนตัวเล็กก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนคามินเองก็เหยียดยิ้มบางๆ ที่มุมปากตอนที่ปราณันต์หันไปอีกทาง พลางคิดในใจอย่างถือดี


‘ก็ลองดูว่าฉันกับนายใครจะเจ๋งกว่ากัน’


จากนั้นคามินจึงหันไปแสร้งเชื้อเชิญ ทำตัวสบายๆ กับกันต์กวีเพื่อเรียกคะแนนจากปราณันต์

“เชิญเลยครับ กินหลายคนจะได้สนุกๆ ผมกับคุณปราณก็กินกันสองคนกับฝาแฝดมาหลายมื้อแล้ว มีคนมากินเพิ่มด้วยก็น่าจะสนุกดี”

คามินปั้นยิ้มจริงใจ ทำเอาปราณันต์เชื่อเสียจนสนิทใจว่าคามินยินดีให้กันต์กวีมากินข้าวด้วยจริงๆ ผิดกับกันต์กวีที่รู้ดีว่านี่เป็นเพียงหน้าฉากที่คามินมีไว้ทำคะแนนเท่านั้น ผู้ชายคนนี้อันตรายและไม่ธรรมดาเลย ไม่รู้ว่าปราณันต์ไปรู้จักคนๆ นี้ได้ยังไง ถึงเขาจะเคยช่วยปุณณกันต์ไว้ก็เถอะ

ต่างฝ่ายต่างมองสบตากันอย่างรู้ความนัยของอีกฝ่าย มีแต่เพียงปราณันต์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้อะไรเลย

.

.

.


(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


ทั้งห้าคนขึ้นลิฟต์มายังห้องพักของปราณันต์ เด็กแฝดยังคงเกาะติดคามินไม่ห่าง ทำเอากันต์กวีออกอาการหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหน เจ้าตัวน้อยทั้งสองถึงได้ติดคามินแจขนาดนี้

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ อาทิตย์นี้สนุกไหม ได้ไปเที่ยวเล่นกับพี่ครามกับพี่ปราณ”

คามินแกล้งเปรยถามเด็กๆ เสียงดังในขณะที่นั่งรอปราณันต์เตรียมจัดอุปกรณ์อยู่ ดูเจตนาก็รู้ว่าต้องการให้กันต์กวีได้ยิน

“สนุกครับ อาทิตย์หน้าพี่ครามจะว่างพาพวกเราไปอีกไหม” ปัณณธรถามเสียงเศร้าดูก็รู้ว่าอยากจะไปเที่ยวอีก แต่ด้วยความที่เคยรับปากกับปราณันต์ไว้ว่าจะไม่รบกวนคามิน เลยทำให้เจ้าตัวยุ่งแสดงออกมากไม่ได้

“พี่ครามต้องดูงานก่อนนะครับ ว่ามีงานด่วนรึป่าว ถ้าไม่มีอะไร เราสี่คนไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ”


และก็เป็นอีกครั้งที่คามินตั้งใจให้กันต์กวีได้ยิน


กันต์กวีได้แต่นิ่งเงียบ และสงสัยเองในใจว่าปราณันต์สนิทสนมกับผู้ชายคนนี้แค่ไหน ทำไมถึงยอมให้เข้าห้อง ยอมให้คลุกคลีกับเด็กๆ ยอมให้พาไปไหนมาไหน ในขณะที่เขาทำงานร่วมกับปราณันต์มาก็หลายปี คนตัวเล็กยังคงมีระยะห่างให้เขาตลอด จากความสงสัย กลายเป็นความไม่พอใจและน้อยใจในที่สุด

คามินยังคงพูดคุยหยอกล้อเล่นกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน มีบ้างที่กันต์กวีส่งเสียงเรียก เด็กๆ ก็จะหันมามองตาม แต่ก็แค่นั้น เพราะสุดท้ายความสนใจทั้งหมดของเด็กแฝดก็หวนกลับไปหาผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นอยู่ดี


...ไม่เว้นแม้แต่ปราณันต์ เพราะเขามองเห็นตลอดว่าแม้มือเรียวจะวุ่นวายกับการจัดเตรียมของแค่ไหน แต่สุดท้ายดวงตากลมโตนั่นก็มักจะทอดมองไปยังน้องชายฝาแฝดและผู้ชายที่ชื่อคามินคนนั้นเสมอ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นการมองเฉยๆ กันต์กวีก็คงไม่คิดมากอะไร แต่ประกายในแววตาของคนตัวเล็ก รวมไปถึงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากอิ่มนั่น ทำให้เขาไม่สบายใจเลยแม้แต่นิดเดียว…

.

.

.

“เสร็จแล้วครับทุกคน มากินสุกี้กันเถอะ”

วันนี้โต๊ะกินข้าวรวมไปถึงห้องนั่งเล่นของครอบครัวดูคับแคบไปถนัดตา เพราะมีผู้ใหญ่และเด็กน้อยรวมกันอยู่ถึงห้าคน ตอนนี้คามินเลยต้องจับปุณณกันต์มานั่งตัก ส่วนปัณณธรน้อยก็มีปราณันต์คอยดูแล

“มาครับคุณปราณ ผมทำให้ คุณเตรียมทุกอย่างมาก็เหนื่อยพอแล้ว” คามินเอ่ยปากอาสา พร้อมทั้งแย่งตะแกรงลวก รวมถึงถ้วยมาไว้ในมือก่อนจะตักแจกจ่ายให้กับทุกคน

“อันนี้ของปุณณ์ครับ ใส่เบค่อนเยอะๆ” คามินตักเสร็จก็วางถ้วยตรงหน้าเด็กน้อยอย่างเอาใจเลยได้รอยยิ้มหวานแบบเดียวกับปราณันต์ส่งกลับมาเป็นการตอบแทน

“ขอบคุณครับพี่คราม”

จากนั้นคามินก็ตักอีกถ้วยให้ปัณณธรน้อย พร้อมกับเลื่อนไปวางตรงหน้าเจ้าตัวแสบ “อันนี้ของปัณณ์ครับ ใส่กุ้งเยอะๆ”

“เย่ๆ ขอบคุณครับพี่คราม พี่ครามใจดีที่สุดในโลก” เจ้าตัวแสบปัณณธรพอได้ของกินก็อารมณ์ดียกใหญ่

กันต์กวีพยายามข่มความไม่พอใจไว้ลึกๆ เขารู้ว่าคามินกำลังปั่นประสาทเขา ในสายตาปราณันต์หรือแม้แต่สายตาคนอื่นที่มองมาก็คงคิดว่า คามินแค่ดูแลเอาใจใส่ทุกคนตามปกติ แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น คนตรงหน้าทำเป็นสนิทสนมรู้ใจครอบครัวปราณันต์ดี เพื่อตอกย้ำให้เขาได้รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปราณันต์และเด็กๆ เลย

และแล้วฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลงเมื่อกันต์กวีได้ยินคามินพูดและทำในสิ่งถัดจากนั้น

“ส่วนถ้วยนี้ของคุณปราณครับ ... ใส่ความรักของผมลงไปเยอะๆ” คามินพูดพลางทำสายตาหวานเชื่อมใส่ ปราณันต์เองก็ไม่ต่าง ก้มหน้างุด แก้มแดงก่ำราวกับเขินอายจนทำตัวไม่ถูก

ซึ่งนั่นทำให้กันต์กวีหึงหวงจนทนไม่ไหว เผลอพูดโพล่งออกมาในที่สุด

“ต้องการอะไรกันแน่วะ ทำไมถึงมากวนประสาทกันแบบนี้!”

เสียงกันต์กวีที่แหวกอากาศขึ้นมาดังพอสมควร ทำเอาเด็กแฝดตกใจจนหน้าซีด

“กวี! เป็นอะไรเนี่ย จู่ๆ ก็พูดโพล่งขึ้นมา ปุณณ์กับปัณณ์ตกใจนะ”

ปราณันต์พูดออกมาอย่างไม่พอใจที่ได้ยินกันต์กวีเสียงดังใส่คามิน เพราะนอกจากจะเป็นการกระทำที่ไม่มีมารยาทแล้ว มันยังเป็นการทำให้น้องชายทั้งสองของเขาตกใจด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว ปราณันต์ไม่เคยขึ้นเสียงกับเด็กๆ สักครั้ง ไม่ว่าจะโมโหน้องๆ แค่ไหนก็ตาม

“ปราณไม่เห็นรึไง ว่ามันกวนประสาทเรา” กันต์กวียังคงใส่อารมณ์ด้วยความพลุ่งพล่าน ตอนนี้นอกจากการขึ้นเสียงใส่คามินแล้ว ยังลามมาหงุดหงิดใส่ปราณันต์ด้วย เหตุเพราะคนตัวเล็กเลือกที่จะต่อว่ากันต์กวีให้คามินเห็น หรือพูดง่ายๆ ว่าปราณันต์เข้าข้างคนอื่นแทนที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานแบบเขา

และด้วยความที่กันต์กวียังไม่อารมณ์เย็นลงเลยสักนิด น้ำเสียงที่ใช้กับปราณันต์ก็ยังคงกระโชกโฮกฮากไม่ต่างจากตอนแรก เป็นผลให้เวลานี้ เด็กแฝดทั้งสองที่กำลังนั่งอยู่ตรงกลางวงล้อมของพวกผู้ใหญ่ เริ่มตัวสั่นด้วยความตกใจที่มากขึ้นกว่าเดิม

ปราณันต์หันมามองเจ้าหนูทั้งสองด้วยความเป็นห่วง และสิ่งที่คนเป็นพี่ได้เห็นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม เพราะตอนนี้ปากอิ่มเล็กๆ ของเด็กทั้งสองกำลังเบะออก น้ำใสเม็ดเล็กๆ กำลังไหลกลิ้งในตากลม ใบหน้าน้อยๆ กำลังตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้า นั่นทำให้ปราณันต์ต้องรีบรวบตัวฝาแฝดเข้ามากอดไว้แนบอกทันที

“ชู่ว เด็กดี ไม่ร้องไห้นะครับ ไม่มีอะไรหรอกพี่ปราณอยู่นี่แล้ว” ฝาแฝดทั้งสองร้องไห้โยเย เพราะทั้งตกใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฮึก... พี่กวีเสียงดัง ฮืออ ปัณณ์ไม่ชอบเสียงดัง” ปัณณธรสะอึกสะอื้นร้องไห้อยู่กับอกปราณันต์ ทำเอาพี่ชายคนโตถึงกับหัวใจสั่นไหว เขาไม่ชอบให้เด็กๆ ร้องไห้เลยจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ปราณบอกพี่กวีให้ ให้พี่กวีกลับไปก่อนเนาะ ปุณณ์กับปัณณ์จะได้ไม่ตกใจอีก ดีไหมครับ”

แขนเรียวโอบกอดเด็กชายทั้งสองไว้แนบอก พลางลูบหลังลูบไหล่พูดปลอบใจเจ้าหนูทั้งคู่ แต่สายตากลมกลับมองนิ่งไปยังคนเต้นเหตุที่ทำให้เด็กๆ ขวัญเสีย ราวกับว่าคำพูดที่ใช้ปลอบโยนเด็กๆ เป็นประโยคคำสั่งที่ใช้กับคนต้นเรื่องอยู่ในที ทำเอากันต์กวีหน้าเสีย ทั้งน้อยใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนผิดไปเสียได้

“ดีครับ.. ฮึก ดีๆ ปุณณ์.. ฮือ กลัวเสียงดัง” กันต์กวีหน้ามุ่ยราวกับไม่พอใจอย่างรุนแรง แต่พอเห็นท่าทางขึงขังของปราณันต์ เขาก็เลยต้องยอมเป็นคนถอย เพราะถ้าเขายังดื้อดึงที่จะอยู่ ก็กลัวว่าเรื่องราวอาจจะบานปลายใหญ่โตไปกว่านี้

เพื่อนร่วมงานทั้งสองฝั่งต่างส่งสายตาให้กันและกันด้วยหลากหลายความรู้สึก ปราณันต์ทั้งไม่พอใจ ทั้งโกรธที่กันต์กวีทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่อง และยิ่งทำให้น้องชายฝาแฝดที่เขารักร้องไห้ ทุกอย่างเลยยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนกันต์กวีก็มีแต่ความน้อยใจและตัดพ้อ ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนผิด ในขณะที่ไอ้คนปั่นประสาทยั่วยุให้อารมณ์เขากระเจิง ปราณันต์กลับไม่กล่าวโทษมันสักนิด

และแน่นอนว่าไอ้คนปั่นประสาทและยุยงให้เพื่อนร่วมงานทั้งสองเข้าหน้ากันไม่ติดนั้น ตอนนี้กำลังยืนมองการเชือดเฉือนกันระหว่างสองฝ่ายอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง คามินเองก็ไม่คิดว่ากันต์กวีจะถูกจุดให้ขึ้นง่ายขนาดนี้ มุมปากหยักยกยิ้มอย่างสะใจ ที่ทำให้ไอ้หนุ่มผิวเข้มคนนั้นเป็นตัวร้ายในสายตาของปราณันต์ได้ และทีนี้ถึงคราวที่พระเอกอย่างเขาคงต้องออกโรงบ้างแล้ว

“คุณปราณครับ เดี๋ยวผมดูแลปุณณ์กับปัณณ์ให้ก็ได้ คุณไปปรับความเข้าใจกับเพื่อนคุณเถอะ ผมไม่อยากให้มาผิดใจกันเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างผม”

คนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ทำเอาคนฟังอย่างปราณันต์รู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจ นอกจากคามินจะไม่ถือโทษโกรธเพื่อนเขาแล้ว ยังมีน้ำใจให้เขาไปเคลียร์กับกันต์กวีให้รู้เรื่องอีก ปราณันต์จึงส่งฝาแฝดให้คามินดูแลต่อ ซึ่งตัวเด็กๆ เอง พอผละจากอกปราณันต์ก็โผเข้าหาคามินไม่มีอิดออด กันต์กวีที่ได้เห็นภาพแบบนั้นยิ่งหัวเสีย แล้วยิ่งเห็นคามินมองมาที่ตนด้วยสายตาของผู้ชนะลับหลังปราณันต์ ยิ่งทำให้เขาแค้นจนแทบกระอัก และนั่นทำให้กันต์กวีตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่ายังไงเขาต้องบอกปราณันต์ถึงความเจ้าเล่ห์ สองหน้าของผู้ชายคนนี้ให้ปราณันต์รู้ให้ได้ ดังนั้น เมื่อปราณันต์ลุกเดินนำกันต์กวีออกไปจากห้อง เขาจึงรีบเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว

พอเดินออกจากห้องไปยังระเบียงทางเดินข้างหน้าได้ ปราณันต์ก็เปิดฉากต่อว่ากันต์กวีทันที

“กวีเป็นอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ คุณครามเขาทำอะไรให้ ถึงได้ไปเสียมารยาทใส่เขาแบบนั้น” ใบหน้าขาวนวลที่มักจะอ่อนโยนตลอด แต่ในเวลานี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น กันต์กวีที่เพิ่งได้เห็นอีกแง่มุมนึงของปราณันต์ก็ถึงกับใจเสีย

“แล้วปราณไม่เห็นรึไง ว่ามันกวนประสาทเราก่อน” กันต์กวีเองก็เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าจะมีใครคนนึงเตือนสติปราณันต์ถึงความร้ายกาจของผู้ชายคนนั้น ก็ควรเป็นเขานั่นแหละ ถึงจะเหมาะสม

“เราก็เห็นว่าเขาอยู่เฉยๆ เขายังไม่ทันได้พูดอะไรกับกวีเลยด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ กวีก็ไปหัวเสียใส่เขา แบบนี้มันถูกหรอ?” ทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากปากอิ่มมีแต่ความเคร่งเครียด ดูเหมือนปราณันต์จะพร้อมเข้าข้างผู้ชายคนนั้นแบบเต็มตัว

“ถามจริงๆ เถอะนะปราณ ปราณมองไม่เห็น หรือปราณตั้งใจมองข้ามกันแน่ ผู้ชายคนนั้นมันอันตรายนะ ทำไมปราณถึงไว้ใจ ปล่อยให้มันมาเข้าใกล้ปราณ แล้วก็ครอบครัวของปราณมากขนาดนี้” กันต์กวีโพล่งใส่ปราณันต์เป็นชุด ทำเอาคนตัวเล็กเริ่มจะโมโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

“กวีมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินคนที่กวีเพิ่งเจอแค่ครั้งเดียว” ปราณันต์โต้กลับเสียงแข็ง ใบหน้าสวยหวานกำลังบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ “เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตปุณณ์ไว้ เขาเป็นคนคอยดูแลเอาใจใส่ในขณะที่ฉันต้องการที่พึ่ง เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ปุณณ์กับปัณณ์ร่าเริงและมีความสุขขึ้น แล้วกวีล่ะ กวีเคยทำอะไรให้เราบ้าง นอกจากตอกย้ำว่าเราไม่มีศักดิ์ศรี โดยการพูดถึงเรื่องเงินซ้ำไปซ้ำมา!!!”

กันต์กวีผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เขาไม่เคยเห็นปราณันต์โกรธจัดขนาดนี้มาก่อน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขณะที่พูดปราณันต์ไม่ได้เสียงดังหรือแสดงความเกรี้ยวกราดใส่กันต์กวีเลยสักนิด แต่รังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากคนตัวเล็กนั่นแหละที่ทำให้กันต์กวีรู้สึกได้ว่าปราณันต์กำลังไม่พอใจมากจริงๆ

และก่อนที่กันต์กวีจะได้พูดแก้ตัวอะไรออกไป ปราณันต์ก็ตัดบทโดยการโบกมือให้หยุดพูดทุกอย่าง

“พอเถอะ เราว่าวันนี้เราอย่าเพิ่งคุยอะไรกันอีกเลย กวีกลับไปก่อนเถอะ ไว้ให้เราพร้อมกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกัน”

“ปราณ...” โดยที่กันต์กวียังพูดไม่ทันจบประโยค ร่างบางก็พูดสวนขึ้นมาก่อน

“ขอร้องล่ะกวี กลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้เราไม่พร้อมจะคุยกับกวีจริงๆ”

และโดยไม่ทันฟังอะไร ปราณันต์ก็เปิดประตู เตรียมจะกลับเข้าห้องอีกครั้ง ประโยคสุดท้ายที่คนตัวเล็กทิ้งไว้ให้เพื่อนร่วมงาน ก็เป็นประโยคที่ปราณันต์พูด โดยไม่แม้แต่หันมามองหน้ากันต์กวีด้วยซ้ำ

“เราไม่ไปส่งนะ”

จากนั้นปราณันต์ก็เดินหายเข้าไปหลังบานประตูที่ปิดลงเงียบๆ พร้อมๆ กับหัวใจของคนข้างหลังที่พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี

.

.

.

“คุยกันเรียบร้อยแล้วรึป่าวครับ” คามินทอดน้ำเสียงอบอุ่นถามปราณันต์ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างอ่อนโยน

“ช่างเถอะครับ ไม่มีอะไรหรอก คุณอย่าห่วงเลย”

ตอนนี้ปราณันต์กับคามินนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กกลางห้อง หลังจากที่ปราณันต์พาเจ้าตัวน้อยสองคนเข้าไปนอนแล้ว กว่าจะหลับได้ ต้องทั้งโอ๋ทั้งกอดปลอบกันยกใหญ่โดยเฉพาะปัณณธรงอแงมากทีเดียวกว่าจะหลับ นี่ปราณันต์เองก็หวั่นใจไม่น้อยกลัวเจ้าตัวยุ่งจะตื่นมาละเมอร้องไห้กลางดึกอยู่เหมือนกัน

“ขอโทษนะครับที่ทำให้สุกี้มื้อนี้หมดสนุก ไว้วันหลังผมจะทำให้กินใหม่นะ”

หลังจากเกิดเรื่องเรื่องวุ่นๆ เลยทำให้สุกี้หม้อนั้นต้องถูกพับเก็บไปโดยปริยาย

“โถ่ คุณปราณเรื่องนั้นมันไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า ไม่อยากให้คุณปราณเครียด เพราะยังไงคุณกันต์กวีก็เป็น 'เพื่อน' คุณ”

คามินเน้นย้ำคำว่าเพื่อนเบาๆ เพื่อสังเกตท่าทีของปราณันต์ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้มีท่าทีผิดสังเกตอะไร ดูเหมือนปราณันต์แทบจะไม่ได้ใส่ใจถ้อยคำที่คามินเน้นย้ำเลยด้วยซ้ำ

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่นี้สบายมาก” ตากลมเหลือบขึ้นมามองใบหน้าคมคาย พลางส่งยิ้มเหนื่อยๆ ให้คนตรงข้าม

คามินก็ส่งยิ้มอบอุ่นตอบให้กลับปราณันต์เช่นกัน ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมออกไปแล้วใช้นิ้วมือคลึงตรงหว่างคิ้วของคนตรงข้าม

“ปากบอกไม่ได้เป็นอะไร แต่ดูหว่างคิ้วคุณปราณสิ ขมวดจนจะเป็นปมอยู่แล้ว แบบนี้จะไม่ให้ผมห่วงได้ไงครับ หื้ม?”

ปราณันต์ก้มหน้าลง เขินก็เขินยังหงุดหงิดเรื่องกันต์กวีอยู่ก็ใช่ ตอนนี้สับสนจนทำอะไรแทบไม่ถูก เลยเลือกที่จะเงียบ ไม่ตอบอะไรคามินไป

“ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณกับเพื่อนทะเลาะกัน” คามินแกล้งเว้นจังหวะการพูด วันนี้เขาอยากรู้เรื่องกันต์กวีให้แน่ใจ “คุณกันต์กวีเขาชอบคุณปราณใช่ไหม คือพวกคุณ...”

คามินทำเสรียงเศร้าเหมือนกับว่าอึดอัดใจที่จะพูด ซึ่งมันได้ผลมาก เพราะตอนนี้ปราณันต์เงยหน้ามามองคามินเต็มตาแล้ว

“เราเป็นเพื่อนกันครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” ปราณันต์ยืนยันเสียงแข็ง ทำเอาคามินแอบอมยิ้มในใจ นี่คงกลัวเขาเข้าใจผิด ถึงได้ตอบออกมาเร็วขนาดนี้

“ผมกังวล ผมมาทีหลัง ผมรู้จักคุณปราณช้ากว่าเขา ผมไม่แน่ใจเลยว่าจะมีอะไรสู้คุณกันต์กวีที่มาก่อน และดูแลคุณมาตลอดได้”

ตากลมจับจ้องไปที่คามินอย่างไม่สบายใจ ยิ่งเขาตัดพ้อมากเท่าไหร่ ความแคร์ที่ปราณันต์มีให้เขาก็ยิ่งถูกแสดงออกมาเท่านั้น

“ไม่จริงเลยนะครับ คุณดูแลผมกับน้องๆ ดีมาก คุณทำให้ผมรู้สึก...” ปราณันต์เงียบไป ก่อนจะเอ่ยออกมายิ้มๆ “รู้สึกเป็นคนพิเศษ ผมอยากให้คุณแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่คุณต้องกังวล ระหว่างผมกับกันต์กวีเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ครับ”

คามินตะโกนร้องอย่างยินดีอยู่ในใจ ไม่มีอะไรยากสำหรับเขาแล้วในตอนนี้ คำตอบที่จะรอให้ปราณันต์ตกลงอาทิตย์หน้า แทบจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันแทบจะชัดเจนในคำพูดเมื่อกี้ของปราณันต์หมดแล้ว

คนตัวเล็กกัดปากอย่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นยั่วเย้าอารมณ์คนตรงข้ามมากแค่ไหน

และไวเท่าความคิดคามินยกมือขึ้นเท้าลงบนโต๊ะญี่ปุ่น แล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้านวลที่อยู่ตรงข้าม ปราณันต์ผงะถอยนิดหน่อยเพราะตกใจที่จู่ๆ คนตัวโตก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาขนาดนี้

“คุณปราณครับ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบพร่าชิดใบหน้าหวาน คามินตัดสินใจวางเดิมพันเพราะริมฝีปากอิ่มสีสดที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าช่างท้าทายเชิญชวนให้เขาลิ้มลองเหลือเกิน

และเหมือนปราณันต์เองก็รู้ว่าคามินต้องการอะไร ร่างกายของเขาอยู่นิ่งไม่ไหวติง แม้แต่จะหายใจเขายังแทบไม่กล้า เพราะตอนนี้ใบหน้าทั้งสองของเขาสองคนใกล้กันมากจริงๆ

“อนุญาตผมได้ไหม” น้ำเสียงเว้าวอนถูกส่งผ่านมาทางปากหยักที่กำลังขยับขึ้นลงอย่างน่ามอง ปราณันต์กลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ มือเล็กกำแน่นอยู่บนขอบโต๊ะญี่ปุ่น เขารู้ดีว่าครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันคือความตั้งใจของคามิน ที่ต้องการจะครอบครองริมฝีปากอิ่มของเขาอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งตัวเขาเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองก็อยากถูกริมฝีปากหยักนั่นทาบทับลงมาเช่นกัน

และในขณะที่ทุกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกำลังตีกันวุ่นวายนั้น น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูก็ถูกส่งออกมาอีกครั้ง ประโยคที่ทำลายทุกความยับยั้งชั่งใจที่ปราณันต์มี


“ผมชอบคุณนะครับ”


จบคำพูดคามินก็ลดใบหน้าลงให้เสมอและเข้าใกล้ใบหน้าปราณันต์อีกนิด หัวใจของปราณันต์เต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก สุดท้ายดวงตากลมโตก็ค่อยๆ หลับพริ้มลงช้าๆ เพื่อเตรียมตัวรับทุกสัมผัสที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น

ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ ปราณันต์ก็รู้สึกถึงความหยุ่นนุ่มที่ทาบทับลงมาบนริมฝีปากอิ่มของตนเอง คามินขยับปากอย่างเชื่องช้าและชำนาญ ริมฝีปากหยักขบเม้มเลาะเล็มริมฝีปากของปราณันต์ราวกับละเลียดของหวาน คามินดูดดึงริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างอ่อนโยนแต่ก็เร่าร้อนในที ทำเอาคนที่ไม่ประสาเรื่องแบบนี้อย่างปราณันต์ถึงกับไปไม่เป็น

คนตัวเล็กดูเก้ๆ กังๆ มือไม้ที่เคยยึดอยู่บนขอบโต๊ะก็ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ไหน คามินเองก็เหมือนจะรู้ จึงค่อยๆ ใช้มือใหญ่ผลักโต๊ะที่ขวางกลางระหว่างเขาสองคนออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ปราณันต์อีกนิด

มือใหญ่ตรงเข้าล็อคท้ายทอยของปราณันต์นิ่ง ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างจับมือคนตัวเล็กทั้งสองข้างมาวางไว้บนไหล่ของตัวเอง จากนั้นก็ตรงเข้าลูบแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างเบามือ ก่อนจะตรงเข้าจู่โจมและครอบครองริมฝีปากอิ่มสีสดนั่นอีกรอบ

จากที่อ่อนโยนในคราวแรกก็ค่อยๆ ทวีความร้อนแรงขึ้น คามินดูดดึงริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างเอาใจจนคนตัวเล็กเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะใช้เรียวลิ้นชื้นไล้เลียเบาๆ ลงบนร่องปากอิ่ม ราวกับจะบอกความต้องการบางอย่าง บางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านี้ บางอย่างที่แนบแน่นกว่านี้ บางอย่างที่ปราณันต์เองก็รู้ดีว่ามันคืออะไร

ปราณันต์ค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ คามินเองที่รอท่าอยู่แล้วก็จับปรับใบหน้านวลให้พอดีกับมุมที่เขาจะก้มลงฉกชิงความหอมหวานอีกครั้ง ปากหยักประกบแน่นลงบนริมฝีปากสีสด เรียวลิ้นร้อนชื้นถูกส่งเข้าสำรวจความหอมหวานในโพรงปากของปราณันต์อย่างลึกล้ำ ลิ้นสากเกี่ยวกระหวัดเข้าหาลิ้นเล็กอย่างเชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเงอะงะและไร้เดียงสาของปราณันต์กลับยิ่งทำให้ความรู้สึกของคามินลุกฮือ

คามินบดคลึงหยอกเย้าเลาะเล็มปากอิ่มตรงหน้าอย่างไม่เหนื่อยหน่าย เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันยิ่งทำให้คามินอยากจะไล่ต้อนคนตัวเล็กมากกว่านี้ เขารู้ดีว่าตอนนี้ปราณันต์กำลังตื่นเต้น ความรู้สึกแปลกใหม่กำลังถาโถมอีกฝ่ายอยู่ เพราะมือเล็กๆ ของเด็กน้อยตรงหน้ากำลังยึดอยู่บนไหล่หนาของเขาแน่น และแม้กระทั่งเสียงเต้นของหัวใจของปราณันต์คามินก็ได้ยินมันชัดเจน

คนตัวโตช่วงชิงความหอมหวาน และลมหายใจของปราณันต์อย่างตะกละตะกลาม ทั้งดูดดึงและขบเม้มริมฝีปากล่างของปราณันต์อย่างลุ่มหลงและมัวเมา จวบจนกระทั่งที่คนตัวเล็กทุบเบาๆ ลงบนไหล่คามินเพื่อร้องประท้วงว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ทัน คามินถึงได้หยุดและยอมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งและเสียดายในที

คามินค่อยๆ ลากริมฝีปากมาที่ข้างแก้มปราณันต์ช้าๆ ก่อนที่จะกดจูบลงไปแผ่วเบา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ปราณันต์เขินอายมากกว่าเดิม

“พ.. พอแล้วครับ” ปากอิ่มที่บวมเจ่อกำลังเอ่ยคำขอร้องอย่างน่ารัก ท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้ปราณันต์ดูน่ารังแกยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ชอบหรอครับ หื้ม? หรือผมทำให้คุณปราณโกรธ” คามินกระซิบเสียงพร่า

คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ ก่อนจะยอมรับออกมาเสียงเบา

“ผม... ผมเขิน” ปราณันต์ยอมรับก่อนที่จะเบี่ยงหน้าหลบช้าๆ

“คุณปราณรู้ตัวไหมว่าคุณน่ารักมาก น่ารักจนผมอยากเก็บคุณไว้คนเดียว ไม่อยากให้ใครแย่งคุณไปจากผมเลย” พูดจบจมูกโด่งเป็นสันก็กดลงไปบนแก้มนิ่มเบาๆ


ฟอด~


“คุณ..!” ตากลมค้อนมาที่คามินอย่างแสนงอน เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองโดนแต๊ะอั๋งอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องก้มหลบสายตาไปเอง เพราะคำพูดหวานๆ จากประโยคเมื่อกี้ยังทำให้ใจเต้นแรงอยู่

“ผม.. เป็นจูบแรกของคุณปราณรึป่าวครับ” คามินถามออกไปตรงๆ แม้จะมั่นใจมากก็เถอะ เพราะดูจากท่าทางที่ไม่ประสีประสาของคนตรงข้ามแล้ว

“ผมไม่บอกหรอก” ปราณันต์พูดตอบอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาคามินหัวเราะลั่น

“ไม่ยักกะรู้แฮะ ว่าคุณปราณของผมก็มีมุมแบบนี้ด้วย หึหึ”

“ผมมีอีกหลายมุมเลยแหละที่คุณไม่รู้ ไม่ได้จะขู่นะ แค่บอกไว้ก่อน” ปราณันต์พูดโต้ตอบคามินอย่างน่าเอ็นดู ทำเอาคามินอดกดจมูกโด่งของตัวเองลงไปบนแก้มนิ่มอีกรอบไม่ได้


ฟอด~


“หึหึ มุมหอมๆ แบบนี้น่ะหรอครับ”

“คุณนี่! เลิกแกล้งได้แล้ว กลับบ้านไปเลย ดึกแล้วนะครับ พรุ่งนี้วันจันทร์ด้วย”

ปราณันต์ผลักคามินเบาๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถทำให้คามินสะทกสะท้านได้

“คุณปราณหอมผมก่อนแล้วผมจะกลับ” คนตัวโตต่อรอง พลางยื่นแก้มสากมาตรงปากอิ่มอย่างหยอกล้อ

“เด็กทำน่ะน่ารัก แต่คุณน่ะไม่เด็กแล้วนะ” ปราณันต์ผลักคามินออกอีกครั้ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เพราะกลัวโดนอีกฝ่ายจู่โจมอีกรอบ

คามินหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามปราณันต์ไป ตอนนี้ปราณันต์เดินนำไปถึงหน้าประตูห้องแล้ว มุ่งมั่นที่จะไล่เขากลับมากอะไรมาก

ปราณันต์เปิดประตูให้คามินเดินออก คนตัวโตเดินออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับปราณันต์อีกรอบ

“หอมผมหน่อยไม่ได้หรอครับคุณปราณ กู๊ดไนท์คิสไง ผมจะได้หลับฝันดี” คามินยังคงออดอ้อนอย่างดื้อดึง แต่ปราณันต์ก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว

“กลับได้แล้วครับ ดึกแล้วนะ” ปราณันต์ดุนหลังให้คามินออกเดิน

“ก็ได้ครับ ก็ได้ พรุ่งนี้ผมมารับนะ” ขณะที่ปราณันต์กำลังจะเอ่ยปากตอบ คามินก็ขัดขึ้นมาอีกรอบ “ห้ามปฏิเสธครับ เกิดปุณณ์ตกรถเมล์ลงมาอีกจะทำยังไงครับ”

“ฮ่าๆ” ปราณันต์หัวเราะน้อยๆ อย่างชอบใจ ทำเอาคามินทำหน้างุนงง “ผมไม่ได้จะปฏิเสธสักหน่อย แค่จะบอกว่าเจอกันครับ ต่างหาก”

คามินยิ้มโขว์เขี้ยวอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะหันมาบอกลาปราณันต์อีกรอบ

“งั้นผมกลับนะครับ พรุ่งนี้เจอกัน...”

และในขณะที่คามินยังไม่ทันตั้งตัว ปราณันต์ก็พุ่งเข้ามาเกาะไหล่เขาทั้งสองข้าง เขย่งปลายเท้านิดๆ แล้วจูบลงมาบนแก้มสากเขาเบาๆ


จุ๊บ~


พอจู่โจมเขาเสร็จปราณันต์ก็ถอยออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำจนลามมาถึงลำคอ ทำเอาคามินแทบจะอดใจไม่ไหว กระชากคนขี้ยั่วมาจูบให้หนำใจอีกรอบ

“วันนี้ขอบคุณมากครับ จูบเมื่อกี้แทนสุกี้ที่ผมไม่ได้ทำเลี้ยงคุณ แล้วก็ฝันดีนะครับ” ปราณันต์พูดอย่างเขินอาย ก่อนจะถอยไปอยู่หลังประตู ใช้การมองส่งคามินแทน

“ฮ่าๆ แสบพอๆ กับฝาแฝดเลยนะคุณปราณ” คามินพูดอย่างเอ็นดู ก่อนจะบอกลาปราณันต์ที่อยู่ไกลๆ “ขอบคุณสำหรับกู๊ดไนท์คิส.. ฝันดีนะครับคุณปราณของผม”

ปราณันต์มองคามินด้วยประกายตาวิบวับ ก่อนจะโบกมือลาคามินอย่างน่าเอ็นดู คนตัวโตก็ค่อยๆ ถอยหลังไปที่ลิฟต์ช้าๆ พลางโบกมือให้คนตรงข้ามเช่นกัน

ในขณะที่คนด้านบนกำลังหวานชื่นและตกอยู่ในห้วงรักและห้วงหลงใหลซึ่งกันและกัน ปราณันต์ไม่ได้รับรู้เลยว่าที่มุมนึงของด้านล่างของอพาร์ทเม้นท์กำลังมีคนๆ นึงแอบมองอยู่ด้วยหัวใจแตกสลาย

กันต์กวีตั้งใจว่าถ้าคามินออกไปเขาจะขึ้นไปขอโทษปราณันต์อีกครั้ง จึงได้ตัดสินใจนั่งรออยู่ด้านล่าง แต่ภาพที่เขาเห็นก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจหันหลังกลับขึ้นมอเตอร์ไซค์คู่กายแล้วขี่ออกไปเงียบๆ

ทางด้านคามินก็ยิ้มกริ่มลงมาจากลิฟต์ เพียงแค่นึกถึงสัมผัสที่ริมฝีปาก ก็ทำเอาเขาอารมณ์ดีจนน่าแปลกใจ ปราณันต์ช่างหอมหวานเหลือเกินในความรู้สึกเขา อยากครอบครองมากกว่านี้ อยากสัมผัสมากกว่านี้ และเขาต้องได้ ไม่ว่าต้องทำวิถีทางไหนก็ตาม

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------------------------------------------

น้องปราณของพี่ หนีปัยยยยยย แง้!

นังครามคือแผนเยอะเหลือเกินนน หยักถีบมาก 555555555555555

เจอกันตอนหน้าครับบบ ขออภัยที่มาช้า แบบว่ามีอะไรติดพันหลายอย่างมากกกก ยังไงตอนต่อไปจะรีบมาไวๆ น้าาาา ขอบคุณทุกคนสำหรับทุกคอมเม้นท์มาก ... ขอนะคะ รบกวนนะคะ ชอบไม่ชอบเม้นท์บอกกันบ้าง คนรออ่านคอมเม้นท์อยากได้กำลังจัยยยย ^^

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุกคอมเม้นท์ล่วงหน้าค่ะ รักกกก <3


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ช่วงความรักบังตา อะไรๆก็อย่าไปขวาง ให้เจอเอง แต่ก็ดีแล้วที่เตือนไป ถือว่าได้เตือนแล้วนะถ้าหลังจากนี้เป็นไรขึ้นมาก็อย่าเรียกหาละ 5555 อิอิ แมงเม่าบินเข้ากองไฟ  :-[ เด็กๆน่าร๊ากก พูดเก่ง ขอบคุณที่มาต่อยาวๆรอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ตาพร่ามัว ..

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
10th Lies : ถลำลึก


หลังจากออกจากอพาร์ทเม้นท์ของปราณันต์ คามินก็ยังตรงมาที่ไนท์คลับประจำของเขาและบรรดาเพื่อนๆ แน่นอนว่าคามินเช็คดูเรียบร้อยแล้ว ว่าวันนี้อนาวินเพื่อนสนิทของปราณันต์ไม่ได้เข้ามาทำงาน เลยถือว่าเป็นทางสะดวกถ้าจะนัด เฮียเมธัส สิปปกร และเตชินท์ มานั่งก๊งเหล้ากันที่นี่

พอจอดรถเสร็จสรรพ คามินก็ส่งข้อความแชทไปหาปราณันต์ว่าเขาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่ากวางน้อยไม่เคยทันเล่ห์เหลี่ยมอะไรของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเขาสักอย่าง คามินบอกอะไรก็เชื่อ หลอกอะไรก็ฟัง แล้วแบบนี้หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์จะหายไปไหนได้ยังไง

คนตัวโตเดินเข้ามาในคลับพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบเข้ากับกลุ่มเพื่อนของเขา ที่นั่งกันอยู่ตรงมุมเดิม มุมที่เป็นที่ประจำของทั้งสี่คน

“อะไรวะไอ้หน้าหล่อ นัดเอง แต่ดันมาสาย แบบนี้มันน่าด่า”

สิปปกรโวยวายทันทีที่คามินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ร่างสูงไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงแต่ตีหน้านิ่งๆ ส่งกลับไปแค่นั้น แต่เมธัส ผู้ที่เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของกลุ่ม จับประกายความสุขบางอย่างที่กระจายออกมาจากตัวคามินได้ แม้คนเย็นชาตรงหน้าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาก็ตาม

“ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองไหม แต่ฉันรู้สึกว่านายกำลังมีเรื่องดีๆ”

มุมปากหยักยกยิ้มบางๆ มันบางมากถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่สังเกตดีๆ คงมองไม่เห็น

“ก็ไม่ได้ดีอะไรมาก แค่อยากจะขอบคุณพวกนายเฉยๆ”

ทั้งสามคนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ขอบคุณ? ขอบคุณเรื่องอะไรกัน

“ขอบคุณเรื่องอะไรหรอเฮีย” เป็นไอ้หนุ่มน้อยหน้าตี๋ที่ถามขึ้นมา คามินเลยเอ่ยปากเฉลยในที่สุด

“เด็กนั่น” คามินยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาหมุนวนเล็กน้อย ก่อนจะจรดมันไปที่ริมฝีปากหยัก และกระดกแอลกอฮอล์ที่อยู่ในแก้วลงคอภายในรวดเดียว “ฉันชอบ”

และแทนที่สิ่งที่คามินพูดออกมาจะทำให้บรรดาเพื่อนๆ หายข้องใจ กลับทำให้ทั้งสามคนงงตาแตกยิ่งกว่าเดิม เพราะประโยคที่คามินพูดมาแทบจับใจความอะไรไม่เลย อย่าเรียกว่าประโยคจะดีกว่า เรียกว่าเป็นคำยังดูน่าใช่มากกว่าเสียอีก

“อะไรของนายวะ? พูดให้มันมากกว่านี้แล้วอะไรมันจะร่วงออกจากปากรึไง” กลายเป็นสิปปกรที่อดรนทนไม่ได้ ต้องแหวใส่คามินในที่สุด

“เดี๋ยวนะ!” แล้วก็เป็นเมธัสอีกครั้งที่เหมือนพอจะเดาอะไรได้รางๆ “อย่าบอกนะ ว่าเด็กนั่นที่นายพูดถึงคือปราณันต์”

ทีนี้ไม่ใช่แค่เมธัสคนเดียวแล้วที่แปลกใจ ดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทที่เหลือในกลุ่มก็จะอ้าปากค้างด้วยความช็อคไปแล้วเช่นกัน

“นี่นายหมายความว่า นายชอบเด็กปราณันต์นั่นงั้นหรอ?” สิปปกรแทบจะกระโจนไปนั่งบนตักคามิน ถ้าพูดว่าลิงขึ้นไปเดินบนดาวอังคารได้ ยังดูน่าเชื่อถือกว่าการที่จะมาบอกว่าท่านประธานหนุ่มหล่อแห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ จะมาถูกอกถูกใจอะไรเด็กกะโปโลที่แสนยากจนข้นแค้นอย่างปราณันต์นั่นเสียอีก

“ก็ไม่เชิงว่าชอบ เรียกว่าถูกใจจะดีกว่า”

และเหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากรอบโต๊ะ ยังไงคำว่าถูกใจมันก็ซอฟต์กว่าคำว่าชอบแหละนะ

“ทำไมอ่ะเฮีย ใสๆ หรอ” เที่ยวนี้เป็นเตชินท์ที่ยื่นหน้าไปถามคามินจนแทบชิด ก่อนจะโดนมือใหญ่ดันไอ้คนสอดรู้กลับไปเต็มแรง

“ทำนองนั้น ดูไม่ประสีประสาดี...” คามินพูดพลางยิ้มบางๆ อีกครั้ง ยามที่นึกถึงสัมผัสหอมหวานที่เพิ่งได้ลิ้มรสไปเมื่อครู่ “ขนาดจูบยังงกๆ เงิ่นๆ เลย”

“ห๊ะ?!?” ทีนี้กลายเป็นทั้งสามประสานเสียงพร้อมกัน

“นายว่าไงนะ” เมธัส

“จูบ?!?” สิปปกร

“เฮียจูบกับปราณันต์แล้วหรอ?” เตชินท์

“อือ” และในขณะที่ทั้งสามกำลังจะรอคอยประโยคถัดมาของคามิน แต่กลับปรากฎว่าไม่มีอะไรต่อ คามินเพียงแค่ยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นมาจ่อริมฝีปากเท่านั้น

“โว้ย! ไอ้เพื่อนเวร จะเล่าให้มันมากกว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ พูดมาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ พวกฉันจะรู้เรื่องได้ไง” สิปปกรโวยวายอย่างหงุดหงิด ที่คามินเอาแต่ถามคำตอบคำ แล้วแบบนี้ชาติไหนจะได้เข้าใจกัน

“จริงเฮียสิบ ผมไม่อยากจะเม้าท์ ทีตอนอยู่กับปราณันต์เฮียครามพูดเป็นต่อยหอยเลยเถอะ แต่พอกับพวกเรานะ... เฮ๊อะ!”

เตชินท์ส่งเสียงออกจากจมูกอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง บางทีเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจคามินหรอก คนอะไรเหมือนมีร้อยบุคลิกอยู่ในร่างเดียว

“จะอยากรู้อะไรมากมาย” คามินวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะช้าๆ ก่อนจะพูดประโยคถัดไปอย่างหยิ่งยโส “พวกนายรู้แค่ว่าต้องเตรียมหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ให้ฉัน แค่นั้นก็พอ หึ”

ซึ่งประโยคนี้ทำเอาเพื่อนสนิททั้งสามของคามินหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ขนาดสิปปกรเองยังอดลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ เพราะเขาดูจากท่าทางความมั่นใจของคามินแล้ว งานนี้เปอร์เซ็นต์ที่พวกเขาจะแพ้ช่างมีสูงเหลือเกิน ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะวิตกไปมากกว่านี้ คามินก็ชิงเปลี่ยนเรื่องซะก่อน

“แต่ที่จริง ที่โทรนัดพวกนายมาฉันมีเรื่องอื่นจะขอให้ช่วยมากกว่า”

“น้อยๆ หน่อยไอ้หน้าหล่อ” เป็นเสียงเฮียเมธที่เอ่ยปราม “ใช้ช่องเสียงให้เหมาะกับการขอความช่วยเหลือหน่อย นี่เพื่อนนะเว่ย ไม่ใช่ลูกน้องที่บริษัท”

“อะแฮ่ม” คามินกระแอมกะไอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรใช้น้ำเสียงแบบที่เขาเคยชิน ยังไงพวกนี้ก็เพื่อน เขาจึงรีบเปลี่ยนโทนเสียงและทีท่าให้ซอฟต์ลงกว่าเดิม “โทษทีครับเฮีย คือเอาเป็นว่ามีเรื่องจะขอให้ช่วยจริงๆ”

“ว่ามา” เป็นสิปปกรที่เปิดโอกาสขึ้น

“เมื่อเช้าพรวลัยโทรมา ร่ำๆ ว่าจะกลับ ถ้าฉันทำอะไรน่าสงสัยหรือขัดใจเธอ” คามินลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าวลัยโทรหาพวกนาย ก็ช่วยๆ โกหกหรือออกรับแทนให้หน่อยละกัน บอกตรงๆ ว่ายังไม่อยากให้วลัยกลับตอนนี้ว่ะ”

พอหลังจากที่คามินพูดจบเพื่อนสนิททั้งสามก็หัวเราะลั่น ทำเอาคิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความไม่พอใจ เมื่อรู้ว่าถูกล้อเลียน

“ทีงี้พูดยาวๆ ได้ ก่อนหน้านี้ล่ะทำเป็นพูดสงวนคำ” สิปปกรเหน็บเข้าให้ ทำเอาใบหน้าหล่อเหลางอง้ำ ไม่พอใจที่ถูกรู้ทัน

“เออๆ ตามนี้แหละ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ห้ามให้วลัยระแคะระคายเด็ดขาด อย่าลืมที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ”

คามินยังคงเน้นย้ำ เพื่อนทั้งสามเลยต้องรับปากรับคำด้วยความเอือมๆ เพราะไม่อยากให้คามินพูดย้ำไปมากกว่านี้

“ตกลงมีแค่นี้ใช่ไหม จะได้กินเหล้าสบายใจๆ สักที” เมธัสถามขึ้นอีกครั้ง เพราะคิดว่าคามินคงหมดธุระที่เป็นทางการกับพวกเขาแล้ว

“ที่จริงก็ยังมีอีกเรื่อง” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ

“ห๊ะ? ยังไม่หมดอีกหรอเฮีย” เตชินท์ถามเสียงหลง ทำไมวันนี้เฮียครามของเขาถึงเรื่องเยอะจังวะ

“อันนี้ปรึกษาๆ เว้ย” พอแอลกอฮอล์เข้าปาก คามินก็ค่อยๆ คายออกมาทีละเรื่องสองเรื่อง “ดูท่าว่าฉันจะมีคู่แข่งว่ะ”

“ทำไมวะ มีคนจีบปราณันต์เหมือนกันหรอ” สิปปกรถามขึ้นอย่างสนอกสนใจทันที อย่างน้อยห้าเปอร์เซ็นต์ของเขาก็ยังพอมีหวังว่าจะไม่หลุดลอย

“เออ เป็นเพื่อนร่วมงานนั่นแหละ น่าจะทีมเดียวกัน” คามินควงแก้วเหล้าเล่นเบาๆ “แต่ดูท่าแล้วปราณันต์ก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่”

“อ้าว แล้วเฮียเครียดเรื่องไรอ่ะ ถ้าปราณันต์ไม่สนใจ ก็ไม่เห็นต้องกังวลนี่” เตชินท์ถามขี้นมาอย่างสงสัย คามินจะเครียดทำไม ในเมื่อปราณันต์ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมีใจ

“ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก แต่ที่ฉันสนคือ ดูเหมือนว่าไอ้หน้าเข้มนั่นมันจะจับทางฉันได้ยังไงไม่รู้ กังวลก็แต่มันจะไปเป่าหูให้ปราณันต์ฟังบ่อยๆ เด็กนั่นยิ่งไม่ประสาอยู่ เกิดคล้อยตามขึ้นมาจะว่าไง”

คามินพูดพล่ามออกมายาวเหยียด ทำเอาเพื่อนทั้งสามมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

“นายเป็นเอามากจริงๆ ว่ะคราม” เมธัสพูดออกมาเบาๆ อย่างแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง

“ตกลง ต้องทำไงดีวะ” คามินถามซ้ำ ทำเอาสิปปกรขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ไม่น่าเชื่อว่ะ ว่านายจะมีมุมแบบนี้ ฮ่าๆ” สิปปกรยังคงหัวเราะออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพูดต่อ “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรป่าววะ แค่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เด็กนั่นก็หนีนายไปไหนไม่พ้นแล้วไม่ใช่หรอ ขอแค่นายสม่ำเสมอ ต่อให้ใครพูดอะไร ลองถ้าปราณันต์ได้รักนายหมดใจแล้ว ก็คงไม่ฟังคนอื่นหรอก”

คามินฟังที่สิปปกรพูดอย่างใช้ความคิด แก้วแอลกอฮอล์ก็ถูกกระดกลงคอแก้วแล้วแก้วเล่า จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความสนใจที่คามินมีต่อเพื่อนทั้งสามก็เริ่มน้อยลง คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พอเห็นคามินเงียบไปก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก กลับหันมาคุยกันเองเสียมากกว่า มีบางประโยคที่แอบพูดถึงอาการที่คามินเป็น ซึ่งทั้งสามก็ได้แต่ลงความเห็นกันเงียบๆ ว่าไม่ใช่แค่ปราณันต์หรอกที่ตกหลุมรักคามิน ตัวคามินเองก็คงไม่ต่าง เพียงแต่คนเย็นชาคนนี้อาจจะแค่ยังไม่รู้ตัวแค่นั้น ตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นรักขั้นชอบ แต่คงพอใจและถูกใจในระดับหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่เอาแต่สนใจขนาดนี้หรอก

.

.

.

เช้าวันต่อมาคามินขับรถออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปรับฝาแฝดและปราณันต์ที่อพาร์ทเม้นท์ พอไปถึงก็เห็นว่าทั้งสามแต่งตัวรอเรียบร้อยแล้ว ปุณณกันต์กับปัณณธร อยู่ในชุดนักเรียนน่ารัก ส่วนปราณันต์ก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนและกางเกงส์ยีนส์พอดีตัว ดูน่ารักและสดใสมาก ทำให้เขาต้องมองไปที่คนตัวเล็กด้วยสายตาชื่นชมแบบปิดไม่มิด

“จะมองผมอีกนานไหมครับ” ปราณันต์ถามเสียงล้อๆ ก่อนจะเชิญคามินเข้ามากินข้าวเช้าในห้องก่อน เพราะเห็นว่าเวลายังพอเหลือให้เอ้อระเหยได้อีกนิด

“ผมทำข้าวต้มหมูสับไว้ คุณเข้ามากินก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยไปกัน”

คามินเดินเข้าไปในห้องอย่างคุ้นเคย ก่อนจะพบกับเด็กแฝดกำลังนั่งกินข้าวต้มรอเขากันอย่างน่ารัก

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่คราม” ปุณณกันต์น้อยทักทายคามินอย่างดีใจ ปัณณธรเองก็ไม่ต่าง เด็กน้อยโบกไม้โบกมือให้คามินอย่างยินดีที่ได้เห็นพี่ครามของตัวเองเดินเข้ามา

“สวัสดีครับพี่คราม วันนี้พี่ครามจะไปส่งปุณณ์กับปัณณ์ที่โรงเรียนใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ วันนี้พี่ครามจะไปส่งเด็กๆ เด็กๆ ว่าดีไหมครับ” คามินตอบพลางทรุดลงนั่งข้างปัณณธรอย่างคุ้นชิน โดยที่มีปราณันต์ตามมานั่งตรงข้ามติดๆ

มือเรียวหยิบถ้วยมาตักข้าวต้มให้คามินและตัวเอง ก่อนจะเชื้อเชิญให้คามินกิน

“กินเลยครับ กำลังร้อนๆ” ปราณันต์เลื่อนถ้วยข้าวต้มให้คามิน ก่อนจะเริ่มลงมือกินของตัวเองด้วย

“ขอบคุณครับ”

และในขณะที่ทั้งสี่นั่งกินข้าวต้มเคล้าเสียงคุยของเด็กไปอย่างสนุกสนาน คามินก็ลอบสังเกตคนตรงข้ามเงียบๆ ริมฝีปากอิ่มสีสดกำลังรูดช้อนข้าวต้ม พลางเคี้ยวหมุบหมับอย่างมีมารยาท ยามที่ริมฝีปากของปราณันต์ขยับ ความรู้สึกบางอย่างของคามินก็เหมือนถูกกระตุ้นตามไปด้วย ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนไหลบ่าท่วมท้นเข้ามาในห้วงความคิดของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ยามได้สัมผัสปากนิ่มอิ่มอวบนั้น มันทำให้ทุกเหตุและผลที่เขาควรมีถูกตัดออกไปจากสำนึกโดยสิ้นเชิง

และเหมือนปราณันต์เองก็รู้ว่าถูกสายตามคมจ้องอยู่ไม่วางตา มันทำให้เขาวางตัวไม่ถูก และยิ่งได้เห็นว่าคามินจ้องส่วนไหนบนใบหน้าอยู่ ยิ่งทำให้เจ้าของริมฝีปากอิ่มเขินอายยิ่งกว่าเดิม

ปราณันต์แสร้งทำทีเป็นว่ากินอิ่มแล้ว และลุกเดินหนีเข้าไปในครัว แต่กลายเป็นว่าจะพ้นก็ไม่พ้น เพราะคามินเองก็ลุกเดินตามมา มายืนซ้อนหลังขณะที่เขากำลังยืนล้างจานอยู่ที่อ่างล้างจานในครัว

“ผมช่วยล้างนะครับ” คามินยืนชิดกระซิบข้างใบหูนิ่ม เท่านั้นยังดูเหมือนว่าจะไม่พอ เพราะคนตัวโตเล่นใช้ประโยชน์จากรูปร่างสูงใหญ่ของตัวเองกักปราณันต์ไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง และการที่คามินทำเป็นเอื้อมมือไปช่วยล้างจานแบบนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการขโมยกอดปราณันต์จากด้านหลังเลยสักนิด

คนถูกขโมยกอดเองก็เหมือนจะรู้ว่าถูกแต๊ะอั๋ง แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ยืนเฉย ยอมให้ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ด้านหลังรังแกอย่างได้ใจ ตอนนี้นอกจากจานจะไม่ได้ล้างแล้ว ใบหน้าคมคายยังก้มลงมาคลอเคลียไม่ห่างอีก ริมฝีปากหยักแสนมีเสน่ห์ก็กำลังหยอกล้ออยู่กับใบหูนิ่มของปราณันต์อย่างชิดใกล้

“ให้ผมยืนล้างจานแบบนี้ทั้งวัน ยังไงผมก็จะไม่บ่นซักแอะ” เสียงทุ้มกระซิบไม่ห่าง ปราณันต์ผลุบคอลงต่ำอย่างต้องการหนี แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนอ้อมแขนแข็งแรงนั้นจะยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม

และในขณะที่ปราณันต์เพลี่ยงพล้ำไม่เป็นท่า เจ้าอัศวินตัวน้อยๆ ทั้งสองก็ปรากฎตัว

“พี่ปราณ พี่ปุณณ์กับปัณณ์อิ่มแล้วครับ” ปัณณธรน้อยส่งเสียงมาก่อนตัว เป็นผลให้คนตัวเล็กต้องดิ้นขลุกขลักเพื่อขอให้คามินปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ เพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า เจ้าตัวน้อยทั้งสองต้องเดินเอาจานที่กินเรียบร้อยแล้วมาส่งให้เขาล้างแน่ๆ

“ปล่อยก่อนครับ เด็กๆ กำลังมา” คามินผละออกจากปราณันต์อย่างเสียดาย แต่ก็ไม่วายอาศัยจังหวะที่ปราณันต์เผลอ ฉกจมูกลงบนแก้มนิ่มอย่างย่ามใจ


ฟอด~


“คุณนี่!” ปราณันต์ร้องเสียงหลง และรีบใช้มือเล็กๆ ของตัวเองปิดลงบนแก้มทั้งสองข้างทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียท่าโดนคามินรังแกเข้าให้อีกแล้ว

“หอม... แก้มคุณก็หอม แถมตัวก็ยังหอมอีก” แทนที่จะสลด แต่คามินกลับยิ้มเผล่อย่างชอบใจ ปราณันต์นึกหมั่นเขี้ยวอยากจะฟาดแรงๆ ลงไปบนต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั่นสักที แต่ติดตรงที่ตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรวิ่งมายุดที่หน้ารั้วกั้นทางเข้าครัวแล้ว เขาจึงจ้องไปที่คามินอย่างคาดโทษแทน แต่ดูเหมือนคนตัวโตจะไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด หนำซ้ำยังทำท่าแมวขู่ล้อเลียนเขาอีกตะหาก

“ออกไปรอข้างนอกกับเด็กๆ ได้แล้วครับ ผมจะล้างจาน” เสียงหวานเอ่ยไล่คามินอย่างบึ้งตึง หลังจากรับจานจากปุณณกันต์และปัณณธรมาเรียบร้อยแล้ว ทำเอาคนขี้แกล้งใจกระตุกวูบ ดูเหมือนว่าปราณันต์จะโกรธเขาจริงๆ เข้าให้แล้ว

“คุณปราณโกรธผมหรอครับ” คามินเดินเข้าไปใกล้ๆ ปราณันต์ที่กำลังยืนหันหลังล้างจานอยู่

“ผมไม่ได้โกรธคุณ” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงแข็ง เสียงที่ฟังยังไงก็รู้ว่าไม่พอใจ “ผมโกรธตัวเอง โกรธที่ผมยอมคุณจนคุณคิดว่าจะทำอะไรกับผมก็ได้”

คามินได้ฟังคำตอบแล้วก็ยิ้มหยันในใจอย่างดูถูก มันก็จริงอย่างที่ปราณันต์บอก ตอนนี้คนตรงหน้าโอนอ่อนผ่อนตามเขาแทบจะทุกเรื่อง นี่ขนาดยังไม่ได้คบกัน หลังจากนี้ถ้าคบกันแล้ว ถ้าเขาอยากจะได้อะไร คามินมั่นใจว่าปราณันต์จะไม่มีวันขัดใจเขาแน่ๆ

สงสารก็แต่พี่ชายคนโตของครอบครัว ถ้าคามินตั้งใจฟังสักนิด แค่เพียงสักนิด จะสัมผัสได้ถึงความน้อยใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แค่คามินจะมีน้ำใจไม่เอาความรู้สึกของปราณันต์มาล้อเล่นเป็นเดิมพัน เรื่องราวของคนทั้งสองคงไม่เต็มไปด้วยความหลอกลวงแบบนี้

“ผมขอโทษนะครับ” แต่ถึงแม้ในใจของคามินจะหยาบคายแค่ไหน แต่เพื่อแผนการในอนาคต ทำให้เสียงทุ้มต้องทอดลงอย่างอ่อนโยน เหมือนกับคนสำนึกผิดที่อยากได้รับการให้อภัย

“ผมคงชอบคุณปราณมากเกินไปจนไม่รู้จักหักห้ามความรู้สึกตัวเอง”

“...” หัวใจดวงเล็กๆ ของปราณันต์อ่อนยวบเหมือนโดนไฟลน แต่ปากอิ่มก็ยังคงปิดเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ

“ผมผิดเองครับ ผมคิดว่าคุณปราณเองคงจะคิดเหมือนกันกับผม และไม่ได้รังเกียจผม” ปราณันต์รู้สึกเหมือนเจ็บที่หัวใจไปหมด เมื่อได้ยินคำตัดพ้อและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของคามิน ซึ่งพอประโยคสุดท้ายที่คนด้านหลังเอ่ยออกมาก็ทำให้ความใจแข็งของปราณันต์สิ้นสุดลง

“ผม... คงคิดไปเองว่าเราใจตรงกัน” พอจบประโยคใบหน้านวลก็หันขวับมามองใบหน้าคมคายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความร้อนรน

“ผ... ผมไม่ได้รังเกียจคุณนะครับ” ปราณันต์ปฏิเสธปากคอสั่น เขาไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ปราณันต์แค่น้อยใจที่คามินชอบทำเหมือนเขาเป็นของเล่น มันก็แค่นั้นเอง

“แต่ที่คุณพูดเมื้อกี้...” คามินยังคงแสดงละครต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ภายใต้หน้ากากแห่งความรู้สึกผิด คือใบหน้าที่แท้จริงที่ไม่ได้สำนึกกับการกระทำของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ผมแค่ไม่อยากให้คุณทำเหมือนผมเป็นของเล่น ผมแค่น้อยใจ...”

คามินยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากอิ่ม ก่อนจะทอดน้ำเสียงอบอุ่นใส่คนตัวเล็ก พลางขยับเข้าไปหาปราณันต์ช้าๆ

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับ ผม... จริงใจกับคุณปราณจริงๆ ห้ามคิดแบบนี้อีกนะ ผมขอร้อง” คามินลดใบหน้าลงไปจ้องมองอีกฝั่ง ตาคมสบเข้ากับดวงตากลมโตเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง

“เอางี้ดีไหมครับ” คามินยิ้มน้อยๆ ก่อนที่ปราณันต์จะยอมเหลือบตาขึ้นมามอง เพื่อฟังประโยคถัดไป “ต่อไปนี้ถ้าผมจะล่วงเกินคุณปราณ ผมจะขออนุญาตก่อน ถ้าคุณตกลงผมถึงจะทำ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจผมก็จะไม่ฝืน ดีรึป่าวครับ”

ปราณันต์ฟังแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด ลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้ตัวดีว่าชอบสัมผัสของคามินขนาดไหน การได้อยู่ใกล้ชิดอีกฝ่ายทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเสมอ แม้จะมีบ้างที่น้อยใจ แต่การได้กอดกัน หอมกัน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่บนฟ้าอย่างมีความสุขไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกผิดเลย

“ก็ได้ครับ” ปราณันต์รับคำเสียงอ่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วทำแววตาขึงขังใส่ฝั่งตรงข้าม “คุณสัญญากับผมแล้วนะ ว่าจะไม่ทำแบบเมื่อกี้อีก”

คามินหัวเราะเบาๆ แมวน้อยก็ยังเป็นลูกแมววันยังค่ำแหละ แต่ยังไงคามินก็ยอมตกปากรับคำไป

“โอเคครับ โอเค ต่อไปนี้ผมจะไม่แกล้งคุณปราณแบบนั้นอีกแล้วครับ” คนตัวโตพูดพลางทำหน้าทะเล้นใส่ฝั่งตรงข้าม เล่นเอาร่างบางหลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“คุณปราณของผมยิ้มแล้ว ดีกันนะครับ” นิ้วก้อยของคนตัวโต ยื่นออกมาขอเกี่ยวกับคนตัวเล็กอย่างง้องอน

ปราณันต์ทำเป็นเมินอยู่อึดใจหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมยื่นนิ้วก้อยเล็กๆ ของตนเองไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเรียวยาวของคามิน ด้วยรอยยิ้มสดใจจนตากลมยิบหยีขึ้นอย่างน่ามอง

.

.

.

หลังจากจัดการธุระในบ้านเสร็จเรียบร้อย คามินกับปราณันต์ก็ขับรถพาฝาแฝดผู้น่ารักออกมาส่งที่โรงเรียน เช้านี้เด็กๆ ดูหงอยๆ ลงบ้างถ้าเทียบจากการนั่งรถของคามินครั้งที่ผ่านๆ มา คงเพราะทั้งสองน่าจะรู้ตัวดีว่าตอนนี้ตนเองกำลังจะถูกพาไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล

ซึ่งไม่ใช่ว่าปุณณกันต์กับปัณณธรจะงอแงไม่อยากเรียนหนังสือ แต่ที่ทั้งสองคนดูหงอยๆ นั่นเป็นเพราะพวกเขาจะต้องห่างกับพี่ชายคนโตเป็นอาทิตย์มากกว่า กว่าจะได้เจอกันอีกทีก็วันศุกร์โน่น พวกเขาต้องคิดถึงพี่ปราณกับพี่ครามมากแน่ๆ

“พี่ครามครับ วันศุกร์พี่ครามจะมารับเราสองคนรึป่าวครับ” เป็นปุณณกันต์ที่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยกันบนรถอดสงสารไม่ได้

“มาสิครับ ยังไงพี่ครามก็ต้องมารับปุณณ์กับปัณณ์อยู่แล้ว ฝาแฝดไม่ต้องห่วงนะ” คามินพยายามพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ต้องเศร้าหนักกว่าเดิม

“ปัณณ์ไม่อยากไปอยู่ที่โรงเรียนเลย ตอนเย็นเราสองคนกลับบ้านแบบเพื่อนๆ ไม่ได้หรอครับ” ปัณณธรถามออกมาอย่างน่าสงสาร ทำเอาหัวใจของพี่ชายอย่างปราณันต์อดเจ็บปวดไปกับถ้อยคำไร้เดียงสาของน้องชายคนเล็กไม่ได้ แต่ถึงยังไงเขาก็ต้องกลั้นใจ ไม่ให้หวั่นไหวไปกับความใจอ่อนของตัวเองเด็ดขาด

“ปุณณ์กับปัณณ์ก็รู้นี่ครับ ว่าพี่ปราณต้องทำงาน ไม่เอาไม่งอแงนะ”

พอสิ้นคำของพี่ชาย เจ้าหนูน้อยทั้งสองก็ก้มหน้านั่งคอตกทันที จนคามินที่เหลือบแอบมองฝาแฝดทั้งสองจากกระจกมองหลังเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้

“คุณปราณครับ...” และไม่ทันที่คามินจะพูดอะไรต่อ ปราณันต์ก็พูดตัดบทออกมาเสียก่อน

“ถ้าคุณจะตามใจฝาแฝด ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าไม่ ผมไม่อยากให้น้องๆ เคยตัว” ปราณันต์พูดพลางสูดหายใจเข้าเต็มปอด เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เจ็บ การที่ต้องฝากน้องไปให้คนอื่นดูแล ปราณันต์ก็รู้สึกผิดกับเด็กๆ ไม่น้อยเหมือนกัน

คามินเองก็พูดอะไรไม่ออก เมื่อปราณันต์ตัดสินใจมาขนาดนี้แล้ว เขาเองก็คงจะทานไม่ไหว เอาไว้สักกลางสัปดาห์เขาค่อยหาทางรับฝาแฝดออกมาแล้วกัน ส่วนจะทำแบบไหนยังไงนี่คงต้องหาหนทางอีกที คามินที่ตอนนี้หลงรักเด็กแฝดเข้าเต็มเปา กำลังพูดเบาๆ กับตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


หลังจากจอดรถหน้าโรงเรียนอนุบาลปราณันต์ก็จูงฝาแฝดทั้งสองเดินเข้ามาในโรงเรียน โดยมีคามินเดินตามมาอย่างเงียบๆ

พอถึงจุดที่อาจารย์ประจำชั้นยืนรอรับเด็กน้อยทั้งสองอยู่ ปราณันต์ก็หยุดเดิน แล้วจับเด็กแฝดที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าด้วยความผิดหวังให้เงยขึ้นมามองเขา ที่กำลังนั่งยองๆ จนความสูงเสมอเท่ากับเด็กทั้งสองอยู่

“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ” ปราณันต์เรียกน้องชายทั้งสองด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนและอ่อนโยน เป็นผลให้เด็กทั้งสองค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองหน้าพี่ชายตัวเองช้าๆ ดวงตากลมโตทั้งสามคู่ที่เหมือนกันกระทั่งประกายในแววตา กำลังมองสบกันและกันอยู่อย่างเหงาหงอย

“ปุณณ์กับปัณณ์รู้ใช่ไหมว่าพี่ปราณรักหนูสองคนมากแค่ไหน” มือเล็กๆ ของพี่ชายคนโตจับนิ่งลงบนไหล่น้อยๆ ของฝาแฝดทั้งสอง

“รู้ครับ” ปุณณกันต์ตอบเสียงสั่น เจ้าหนูน้อยรู้ดีว่าคนที่รักเขาและน้องชายฝาแฝดมากที่สุดบนโลกใบนี้ ก็คือพี่ปราณคนที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่ใช่ว่าพี่ปราณไม่อยากอยู่กับฝาแฝดนะ แต่พี่ปราณต้องทำงาน ทำงานเพื่อเอาเงินมาดูแลครอบครัวของเรา พี่ปราณจะใจร้ายแค่ไหนถ้าเอาเหนูสองคนที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ไปขังไว้ในอพาร์ทเม้นท์ให้อยู่กันลำพัง ในขณะที่พี่ต้องออกมาทำงาน”

ปัณณธรน้อยเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น เพราะตอนนี้มือเล็กๆ ของเจ้าหนู กำลังเอื้อมมาลูบแก้มนิ่มของปราณันต์อย่างปลอบโยน

“เพราะฉะนั้นมันน่าจะดีกว่าถ้าพี่ปราณฝากแก้วตาดวงใจของพี่ไว้กับคุณครูที่จะสามารถดูแลฝาแฝดของพี่ปราณได้ตลอดเวลา พี่ปราณจะได้วางใจว่าหนูน้อยของพี่ปลอดภัย กินอิ่ม นอนหลับ เวลาทำงานพี่ปราณจะได้ไม่ต้องพะวงไงครับ”

ดูเหมือนตอนนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรจะเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายบอกเป็นอย่างดีแล้ว เด็กทั้งสองจึงส่งยิ้มสดใส จนดวงตาบิดขึ้นเป็นรูปพระจันท์เสี้ยวส่งให้พี่ชาย

“เราสองคนจะตั้งใจเรียนครับ” ปัณณธรน้อยพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด ทำเอาปราณันต์อดยิ้มตามไม่ได้

“เจอกันวันศุกร์นะครับพี่ปราณ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวปุณณ์จะดูแลน้องเอง”

ส่วนปุณณกันต์ก็ยังคงเป็นปุณณกันต์ที่น่าภูมิใจวันยังค่ำ พี่น้องทั้งสามคนยิ้มให้กัน ก่อนที่ปราณันต์จะผละออกจากเด็ก แล้วปล่อยให้เจ้าฝาแฝดตัวยุ่ง วิ่งเข้าไปหาคามินที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในมุมที่ห่างออกไป

เด็กน้อยทั้งสองวิ่งไปกอดเอวคามินแน่น พลางร้องเรียกให้พี่ครามอุ้มตัวเองขึ้นไป จนในที่สุดคามินก็ใจอ่อน ตัดสินใจอุ้มปัณณธรขึ้นมา

ปัณณธรระดมจูบแก้มของคามินอย่างน่ารัก ก่อนจะพูดอย่างออดอ้อนทำเอาคนเย็นชาอย่างเขาปฏิเสธไม่ลง

“พี่ครามครับบ! วันศุกร์มารับเราสองคนนะครับ ปัณณ์จะรอ” แน่นอนว่าคามินยิ้มจนแก้มแทบระเบิดหลังจากได้ยินคำพูดคำจาที่น่ารักนั่น

หลังจากนั้นพี่ครามของเด็กๆ ก็วางปัณณธรลงก่อนจะอุ้มปุณณกันต์ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งปุณณกันต์เองก็ไม่น้อยหน้า จูบลงเบาๆ ลงบนแก้มสากของพี่ครามอย่างน่ารัก

“ปุณณ์จะคิดถึงพี่ครามนะครับ”

ถ้าประโยคเมื่อกี้จากปัณณธรทำให้คามินยิ้มจนหน้าบานแล้ว ประโยคนี้คงยิ่งกว่าเพราะตอนนี้ยิ้มของคามินแทบจะหุบไม่ลง เขี้ยวขาวโผล่ออกมาทักทายทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

ปราณันต์มองภาพเด็กแฝดทั้งสองกับคามินอย่างสุขใจ พลางภาวนาในใจเบาๆ ว่าขอให้รักครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี เขาอยากให้เด็กๆ รักคนที่เขารัก และอยากให้คนที่เขารัก รักเด็กๆ หวังว่าสวรรค์เบื้องบนคงไม่กลั่นแกล้งพวกเราพี่น้องสามคนจนเกินไป

.

.

.

คามินยังคงเสมอต้นเสมอปลายกับปราณันต์โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ตอนเช้าเขาจะไปรับปราณันต์จากอพาร์ทเม้นท์มาทำงานด้วยกัน จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้าย ส่วนตอนเย็นหลังเลิกงานคามินก็จะมารอปราณันต์แล้วไปส่งที่คลับ ถ้าวันถัดไปไม่มีพบลูกค้าตอนเช้า คามินก็จะนั่งดื่มรอจนปราณันต์เลิกงานแล้วพาไปส่งอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งการได้ใช้เวลาร่วมกันแบบนี้ทำให้ปราณันต์เปิดใจให้คามินมากขึ้น มากยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะรู้คำตอบที่ปราณันต์จะมีให้คามินได้ไม่ยาก

แม้ปราณันต์จะแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมช่วงเวลากลางวัน หรือตอนที่อยู่ที่ออฟฟิศ เขาไม่เคยได้เจอคามินเลย แต่สงสัยได้ไม่เท่าไหร่ ความคิดฟุ้งซ่านก็ถูกปัดตกไป เพราะสุดท้ายแล้ว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตำแหน่งของคามินไม่ใช่ตำแหน่งที่จะอยู่ติดที่ได้สักเท่าไหร่ ปราณันต์ก็เลยเลิกติดใจทุกอย่างไปเอง

และถ้าจะพูดถึงเพื่อนร่วมงานอย่างกันต์กวี ทุกอย่างก็ดูปกติดี ปราณันต์เห็นกันต์กวีเข้าหาตนด้วยท่าทีเหมือนเมื่อก่อน ก็เลยไม่อยากจะเอาเรื่องไร้สาระมาคิดให้วุ่นวายใจ ส่วนหนึ่งก็ไม่อยากให้นทนัชไม่สบายใจไปด้วยถ้ารู้ว่าเขากับกันต์กวีมีเรื่องผิดใจกัน เพราะยังไงก็ร่วมงานกันมานาน แล้วอีกอย่างถ้าหนุ่มเหนือคนนั้นไม่ได้จะฟื้นฝอยอะไรขึ้นมา ยังคงทำตัวปกติ เขาเองก็ปกติด้วยได้ เพราะที่จริงแล้วปราณันต์เองก็ไม่ได้ติดใจอะไร ขอแค่กันต์กวีอย่าทำแบบวันนั้นอีกก็พอ

“วันนี้ไปกินปิ้งย่างกัน เราไม่ได้ไปกินข้าวกลางวันข้างนอกด้วยกันนานแล้ว มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง”

จู่ๆ นทนัชก็พูดโพล่งขึ้นมาในช่วงสายๆ ของวันหนึ่งในกลางสัปดาห์ ทำเอาปราณันต์กับกันต์กวีมองหน้ากันงงๆ

“นึกครึ้มอะไรเนี่ยพี่ จู่ๆ ก็มาเลี้ยงผมกับปราณ” กันต์กวีถามขึ้นแบบยิ้มๆ ทำเอาปราณันต์พยักหน้าเพื่อแสดงการสนับสนุนแทบไม่ทัน

นทนัชไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มออกมาอย่างปลื้มอกปลื้มใจแทน

“เอาเถอะน่า ไปกินก่อน แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่ามีอะไร”

ยิ่งคำพูดของนทนัชกำกวมมากเท่าไหร่ ยิ่งทำเอาสองหนุ่มลูกน้องอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเท่านั้น

“บอกเลยไม่ได้หรอพี่ ทำแบบนี้พวกเราอยากรู้นะ” เสียงใสพูดอ้อนวอนอย่างน่ารัก แต่นทนัชก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิมว่าจะบอกต่อเมื่อพวกเขาไปกินกลางวันด้วยกันเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้กันต์กวีกับปราณันต์รีบตอบตกลงโดยแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย

.

.

.

“ตกลงพี่จะบอกได้ยังอ่ะครับ ว่ามีข่าวดีอะไร” ปราณันต์เปิดประเด็นทันทีหลังจากสั่งอาหารจากพนักงานเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะบอกว่าโปรเจ็กต์ใหม่ของเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ คอนโดตรงกลางเมืองน่ะ ทีมเราได้เป็นหนึ่งในทีมที่เข้าร่วมออกแบบด้วยนะ”

นทนัชพูดพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งในตอนแรกลูกน้องหนุ่มทั้งสองคนก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ฟังนทนัชพูดจบ ใบหน้าตื่นตะลึงของทั้งคู่ก็หันมามองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าทีมแบบทันทีทันใด

“พี่ว่าไงนะครับ/ห๊ะ? พี่ว่าไงนะ”

สองคนแทบจะหลุดคำถามออกมาพร้อมๆ กัน จะไม่ให้เขาทั้งคู่ตกใจได้ไง ในเมื่อทีมของพวกเขาเป็นทีมเล็กๆ พูดง่ายๆ ว่าเป็นแค่ทีมที่ช่วยซัพพอร์ตให้กับงานทั่วไปด้วยซ้ำ แล้วทำไมจู่ๆ ทีมเล็กๆ ของพวกเขาถึงได้ถูกเลือกให้เข้าร่วมทีมใหญ่สำหรับโปรเจ็กต์อลังการขนาดนั้นได้...

แต่ใครสนล่ะ! ปราณันต์คิดอย่างตื่นเต้น การที่เขาได้เข้าร่วมกับทีมใหญ่ที่เต็มไปด้วยคนมากประสบการณ์ขนาดนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับพนักงานจบใหม่ตำแหน่งเล็กๆ แบบเขา การได้พิสูจน์ฝีมือถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยให้ผู้บริหารได้เห็น มันก็เป็นอะไรที่พนักงานทุกคนฝันถึงไม่ใช่หรอ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ต่าง

และประเด็นสำคัญของการได้เข้าไปร่วมทีมใหญ่นั้น คือการได้ทำงานล่วงเวลาที่หมายถึงจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนมากอีกด้วย เพราะทีมนี้เป็นทีมพิเศษที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีโปรเจ็กต์ใหญ่ โปรเจ็กต์ใหม่ของบริษัทเท่านั้น บางทีก็ปีละครั้ง บางทีก็สองปีครั้ง ถึงแม้งานที่ได้รับมอบหมายจะหนัก แต่ค่าตอบแทนที่ได้ก็คุ้มค่าไม่น้อยเลยเช่นกัน ไม่ว่าพนักงานคนไหนหรือทีมไหน ก็อยากจะมีส่วนร่วมในทีมใหญ่หรือทีมพิเศษด้วยกันทั้งนั้นแหละ

“เออ ปราณ แล้วแบบนี้จะกระทบกับงานที่คลับของปราณไหม” กันต์กวีถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เพราะปราณันต์คงไม่ได้เลิกงานตามเวลาปกติ ครั้นจะไปทำงานที่คลับต่อคงไม่สะดวกเท่าเมื่อก่อนหน้าเป็นแน่

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็ลาออก แต่ถ้าพอคุยกันได้ฉันอาจจะขอเขาไปทำเป็นกะ สลับอาทิตย์เว้นอาทิตย์แบบที่วินทำ”

ปราณันต์ยักไหล่ ถ้าให้เขาเลือก เขาเลือกงานที่บริษัทมากกว่าแน่ๆ ถึงจะสูญรายได้จากที่คลับ แต่ค่าตอบแทนจากค่าล่วงเวลาก็ไม่ได้น้อยกว่า เผลอๆ อาจจะมากกว่าตอนทำที่คลับด้วยซ้ำ

“ก็ดีนะ พี่ว่านายออกจากที่นั่นก็ดี เพราะยังไงซะตรงนี้ก็คุ้มมากกว่า แถมนายยังมีเวลาให้เด็กแฝดมากกว่าด้วย” นทนัชพูดแสดงความคิดเห็นออกมา ซึ่งกันต์กวีก็พลอยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไปด้วย

“ว่าแต่เค้าจะให้เราเริ่มงานเมื่อไหร่อ่ะครับพี่นท” ปราณันต์ถามขึ้นอย่างตื่นเต้น

“อาทิตย์หน้า จันทร์หน้า พวกนายเตรียมเก็บของย้ายโต๊ะได้เลย”

จากนั้นทั้งสามก็ชนแก้วกันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะปราณันต์ เขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ว่าช่วงนี้เขาช่างเป็นคนโชคดีเหลือเกิน ดูเหมือนว่าตั้งแต่คามินเข้ามาในชีวิต เขาจะได้รับแต่สิ่งดีๆ เข้ามาตลอด คนตัวเล็กเองก็ได้แต่ภาวนา ขอให้เขาโชคดีแบบนี้ตลอดไป

รอยยิ้มสดใสถูกแย้มออกมาจากปากอิ่ม รอยยิ้มที่มีแต่ความสุขใจและไร้เดียงสา โดยที่ไม่รู้ว่าความโชคดีทั้งหลายทั้งแหล่ที่ตัวเองได้รับมานั้นไม่ใช่เป็นความบังเอิญ แต่มันความโชคดีที่เคลือบแฝงด้วยผลประโยชน์ของใครบางคน

.

.

.

“จริงหรอครับคุณปราณ?” คามินถามปราณันต์ออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี น้ำเสียงที่ทำเอาปราณันต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด

“จริงสิครับ ผมดีใจมากเลยคุณรู้ไหม ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคช่วยหรืออะไร การจะได้เข้าทีมพิเศษมันไม่ง่ายเลยคุณก็รู้”

ปราณันต์เล่าให้คามินฟังด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่สดใส ในขณะที่ทั้งคู่อยู่บนรถ ตอนนี้คามินกำลังจะขับรถไปส่งปราณันต์ตามปกติ และหลังจากได้ฟังสิ่งที่ปราณันต์บอก ผู้ชายผู้มีหัวใจเย็นชาก็หยิบหน้ากากแห่งการแสดงความยินดีมาใส่ได้อย่างแนบเนียน

คามินได้แต่ยิ้มหยันเมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของปราณันต์ แน่นอนว่าปราณันต์ไม่รู้และจะไม่มีวันได้รู้ว่าการที่ทีมของนทนัชได้มีส่วนร่วมในทีมพิเศษสำหรับโปรเจ็กต์ใหญ่ยักษ์ของบริษัทมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งก็ถูกตรงที่ว่าปราณันต์ นทนัช และกันต์กวีเป็นคนมีฝีมือ แต่ก็ใช่ว่ามันจะมากพอจนเข้าไปอยู่ในทีมใหญ่ขนาดนั้นได้ เพราะประสบการณ์ของทั้งสามยังมีไม่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ

และใช่... การที่ทีมของปราณันต์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทีมใหญ่นั้นก็ไม่ใช่เพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไร แต่มันเป็นเพราะเขา เป็นเพราะคามินประธานใหญ่แห่งอาณาจักรเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้คนนี้ที่เนรมิตโอกาสให้ปราณันต์ และแน่นอนว่าการที่เขาทำแบบนี้นั้นไม่ได้ทำเพื่อปราณันต์แต่อย่างใด แต่คามินกำลังทำเพื่อตัวเอง เขาอยากมีเวลาใกล้ชิดเกาะติดกับปราณันต์มากกว่านี้ การจะทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนแล้วยอมเป็นแฟนเขาน่ะ ไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่การที่จะยอมให้คนตรงหน้าใจอ่อน แล้วยอมทอดกายให้เขานี่ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ ซึ่งคามินมั่นใจว่าถ้าเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับปราณันต์บ่อยๆ โอกาสก็คงมีเข้าสักวัน แต่ถ้าปราณันต์ยังทำงานหามรุ่งหามค่ำที่คลับแบบนี้ มีหวังต้องเป็นไปได้ยากแน่ๆ เพราะฉะนั้นขั้นแรก เขาต้องทำให้ปราณันต์ลาออกหรือหยุดพักจากงานที่คลับเสียก่อน

ซึ่งวิธีที่ง่ายและปราณันต์จะสงสัยน้อยที่สุดก็เห็นจะมีแต่วิธีนี้เท่านั้น แผนนี้คามินคิดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังลังเลเพราะใจจริงก็ไม่อยากให้งานที่บริษัทเสีย ถ้าเอาคนที่ไม่ค่อยมีฝีมือมาเข้ามาร่วมทีมสำหรับโปรเจ็กต์ใหญ่ของบริษัทขนาดนี้ แต่พอคามินได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ในการแต่งห้องของปราณันต์แล้ว เขาก็เลยตัดสินใจได้ว่าการเอาทีมของปราณันต์มาร่วมในโปรเจ็กต์ก็น่าจะไม่เสียหายอะไร สุดท้ายผลเลยออกมาเป็นแบบที่เห็น

“แล้วเรื่องงานที่คลับล่ะครับ” แน่นอนว่าคามินต้องใช้โอกาสนี้รีบถามทันที เพราะนี่มันเป็นประเด็นหลักที่ทำให้เขายอมลงทุนดึงปราณันต์มาเข้าร่วมโปรเจ็กต์นี้

ปากอิ่มยื่นออกนิดๆ อย่างใช้ความคิด “ผมก็คงไปคุยกับผู้จัดการอ่ะครับ อาจจะขอทำเป็นกะ หรือไม่ก็ทำอาทิตย์เว้นอาทิตย์”

“แล้วถ้าทางนั้นเค้าไม่ยอม คุณปราณจะเอายังไงดีครับ” คามินหยั่งเชิง เพื่อดูปฎิกริยาปราณันต์อีกนิด

“ผมก็คงลาออกครับ ยังไงโปรเจ็กต์ของทางบริษัทก็มั่นคงกว่างานที่คลับอยู่แล้ว แถมค่าล่วงเวลาที่ได้ก็ดูเหมือนจะมากกว่าด้วย ยังไงผมก็คงไม่ปล่อยโอกาสทางนี้ไปแน่ๆ”

ปราณันต์พูดอย่างเด็ดเดี่ยว ทำเอาคามินฟังแล้วอดแปลกใจไม่ได้ เขาไม่คิดว่าคนนุ่มนิ่มอ่อนโยนอย่างปราณันต์จะมีมุมแบบนี้ด้วย ดูเหมือนกับว่าผู้ชายหน้าหวานตัวเล็กคนนี้ จะมีอะไรให้เขาค้นหาอีกเยอะเลยทีเดียว

“อีกอย่างงานที่บริษัทก็ทำให้ผมมีเวลาให้ฝาแฝดมากกว่าด้วย ถ้าวันไหนเลิกไม่ดึกมาก ผมก็อาจจะรับน้องกลับมานอนด้วยได้ มองทางไหนผมก็ว่าคุ้ม ให้ลาออกจากที่คลับผมก็ไม่เสียดายหรอกครับ”

คามินยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างอารมณ์ดี พอได้ยินปราณันต์พูดจบ ทำเอาคนตัวเล็ก อดแปลกใจไม่ได้

“คุณยิ้มอะไรหรอครับ”

“ผมดีใจน่ะสิครับ” คามินพูดพลางปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัย แล้วเอื้อมไปจับมือปราณันต์พลางกุมไว้หลวมๆ “ผมไม่อยากให้คุณทำงานที่คลับเลย ผมทั้งหวง ทั้งห่วง คุณก็รู้ว่าบางคนก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ ถ้าวันไหนผมอยู่ด้วยก็คงไม่เท่าไหร่ ห่วงก็แต่วันไหนที่ผมไม่ได้ไป ใจผมไม่สงบจริงๆ นะ”

แก้มนวลใสขึ้นสีทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มของคนตรงข้ามพูดจบ ก่อนที่คามินจะพูดต่อเพื่อพยายามเร่งทำคะแนนอย่างต่อเนื่อง

“แต่ผมเองก็ไม่อยากจะไปห้ามหรือร้องขอให้คุณลาออก ผมเคารพการตัดสินใจและการดำเนินชีวิตของคุณนะ การจะไปกะเกณฑ์ให้คุณทำนั่นทำนี่ ผมว่ามันไม่น่ารักเท่าไหร่” คามินยิ้มนิดๆ ตอนหันกลับมามองดวงหน้าขาวใสเต็มๆ ตา พลางหยอดคำหวานอีกระลอก

“ที่ผมทำได้ก็คือดูแลคุณแบบนี้ ถ้าได้เห็นคุณในสายตา ไม่ว่ายังไงผมก็มั่นใจว่าผมปกป้องคุณได้”

เสียงทุ้มพูดออกมาอย่างอบอุ่น ทำเอาหัวใจดวงเล็กๆ ของปราณันต์เต้นไม่เป็นส่ำ คำพูดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแบบนั้น ละลายหัวใจของปราณันต์ได้จนหมดสิ้น เขาชอบที่คามินเข้าใจและเลือกที่จะดูแลเขาในแบบที่ไม่บังคับหรือจำกัดพื้นที่จนมากเกินไป ยิ่งได้เห็นและได้ยินแบบนี้ ยิ่งทำให้ปราณันต์มั่นใจว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมให้ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนี้เข้ามาในชีวิตของตัวเองและเด็กแฝดทั้งสอง

“ขอบคุณคุณครามมากนะครับ ผมสัญญาว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมคงจะลาออกจากที่คลับ ผมเองก็อยากจะใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่นเขาสักทีเหมือนกัน”

คำพูดที่แฝงความนัยของปราณันต์ ทำเอาคามินยิ้มอย่างลิงโลดอยู่ในใจ เสาร์นี้คำตอบที่จะได้จากปราณันต์นั้น เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามันคืออะไร ขอแค่รอยืนยันให้ได้ยินชัดเจนจากปากอิ่มแค่นั้นก็พอ

.

.

.

ในที่สุดทั้งสองก็ขับรถมาถึงคลับที่ปราณันต์ทำงานอยู่ และขณะที่ปราณันต์กำลังจะก้าวลงจากรถ มือใหญ่ก็รั้งแขนเล็กๆ ไว้เพื่อยั้งไม่ให้ปราณันต์ลง

“มีอะไรหรอครับคุณคราม”

“คือ.. ผม เอาจริงๆ ผมอาจจะเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่ก็ขอบคุณนะครับที่คุณเข้าใจผม” คามินพูดเสียงใส บรรยากาศโดยรอบมันอบอุ่นและนุ่มนวลไปเสียหมด ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองอดขยับเข้าหากัน เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกันอีกนิดไม่ได้

“...” ปราณันต์ไม่ตอบอะไร ริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรง จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออก ก่อนที่ฟันซี่งามจะขบลงเบาๆ ลงบนริมฝีปากล่างสีแดงสด

คามินมองตามริมฝีปากปราณันต์ พลางกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยต่อเหมือนกับกำลังพยายามจะข่มอารมณ์บางอย่างกลายๆ

“ผมดูแลคุณและเด็กๆ ได้จริงๆ นะครับ” เสียงทุ้มกระซิบพร่า “ขอแค่คุณให้โอกาสผมก็พอ”

ตากลมของปราณันต์เหลือบขึ้นสบกับดวงตาเรียวคมของคามินที่มองมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว สองสายตาประสานกัน ก่อนที่ปราณันต์จะเป็นฝ่ายเสหลบตาไปก่อน

“คำตอบของผม... สัญญาครับว่าจะไม่ทำให้คุณเสียใจ” เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบ แก้มนิ่มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง

“ขอบคุณคุณปราณมากนะครับ คนดีของผม” คามินตอบรับอย่างยินดี แค่นี้ก็เหมือนกับเขาได้รู้คำตอบมาบ้างแล้ว ต่อจากนี้ก็รอแค่เวลาที่จะได้ฟังคำยืนยันจากปากปราณันต์ในอีกไม่กี่วันต่อจากนี้

ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี เขี้ยวเล็กๆ ทั้งสองข้างโผล่พ้นออกมาทักทายปราณันต์อย่างน่ามอง ปราณันต์เองพอเห็นรอยยิ้มที่สดใสของคามินแบบนั้นก็อดยิ้มตามไม่ได้

จากที่ยิ้มให้กันและกัน ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ คนทั้งสองค่อยๆ ขยับเข้าหากันช้าๆ แบบไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกที ใบหน้าของทั้งคู่ก็แทบจะอยู่ไม่ห่างกัน เสียงหัวเราะ ค่อยๆ เลือนหายไป สายตาของทั้งสองต่างจ้องมองที่ริมฝีปากของกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

คามินเองก็รู้ว่าปราณันต์คงคิดไม่ต่างจากตน จึงค่อยๆ ขยับใบหน้าตัวเองเข้าหาใบหน้านวลช้าๆ สายตาคมมองเห็นว่าริมฝีอิ่มกำลังเผยอออกเล็กน้อยอย่างเชิญชวน


‘หึ! ใจง่าย!’


มุมปากหยักยกยิ้มหยันบางๆ โดยที่ปราณันต์ไม่ทันได้สังเกตเห็น ก่อนที่ใบหน้าทั้งสองจะขยับเข้าหากันและกันอีกครั้ง ราวกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างที่คนทั้งคู่ไม่อาจต้านกินได้

“อนุญาต.. ให้ผมจูบคุณปราณนะครับ” และก่อนที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่จะสัมผัสกัน เสียงทุ้มก็กระซิบถามชิดริมฝีปากอิ่มของปราณันต์

และยังไม่ทันที่ปราณันต์จะอนุญาต ริมฝีปากหยักก็จู่โจมเข้าหาริมฝีปากอิ่มของปราณันต์ทันทีอย่างหื่นกระหาย ไม่เกี่ยวกับเกม ไม่เกี่ยวกับการพนัน ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่คามินต้องการตอนนี้ คือริมฝีปากอิ่มสีสดตรงหน้า แค่จินตนาการว่าจะได้ครอบครอง ความหอมหวานที่เคยได้สัมผัสก็หวนระลึกเข้ามาในห้วงความทรงจำอย่างท่วมท้น จนอยากที่จะได้ลิ้มลองมันอีกครั้ง

ปราณันต์เหลือกตาขึ้นอย่างตกใจ เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าคามินจะจู่โจมไวขนาดนี้ ไม่ใช่ไม่รู้ตัวว่าจะถูกจูบ แต่คามินแทบไม่ให้เวลาเขาได้ตั้งตัวเลย

ตากลมเหลือกลานได้ไม่นาน ก็ค่อยๆ หลับพริ้มลง เพราะสัมผัสหยุ่นนุ่มนั้นกำลังทำให้ปราณันต์เคลิบเคลิ้ม

คามินได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจที่รีบร้อนขนาดนั้น ทำแบบนี้มีหวังลูกแมวของเขาตื่นตกใจแย่ พอรู้ตัวคามินจึงค่อยๆ ลดความร้อนแรงลง แล้วเพิ่มความอ่อนโยนให้มากขึ้น ริมฝีปากหยักขยับขบเม้มริมฝีปากอิ่มของปราณันต์อย่างเชื่องช้า คามินค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากล่างของคนตัวเล็กอย่างมัวเมา เขาชอบริมฝีปากล่างของปราณันต์มากเหลือเกิน มันทั้งนุ่มนิ่ม ทั้งเซ็กซี่ จนเขาห้ามใจไม่ไหวสักครั้ง

คามินขบเม้มดูดดึงริมฝีปากสีสดของปราณันต์อย่างนุ่มนวล ลิ้นสากกำลังไล้เลียตามร่องริมฝีปากอิ่มเพื่อแสดงความต้องการบางอย่าง และเหมือนปราณันต์เองจะรู้ คนตัวเล็กจึงค่อยๆ เผยอปากออกช้าๆ พร้อมรับการจู่โจมครั้งต่อไปของคนตรงข้าม

คามินไม่รอช้าเขารีบส่งลิ้นตัวเองเข้าไปกวาดต้อน สำรวจโพรงปากของปราณันต์ อย่างย่ามใจ เมื่อลิ้นเล็กๆ พยายามจะเข้ามาหาเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คามินเองจึงจัดการส่งลิ้นตัวเองเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กของปราณันต์ทันที ยิ่งปราณันต์แสดงท่าทีไร้เดียงสามากเท่าไหร่ ยิ่งกระตุ้นสัญชาตญาณดิบภายในใจของคามินได้อย่างบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น

มือใหญ่ประคองใบหน้านุ่มนิ่มไว้ด้วยมือเดียว เขาจับปรับใบหน้าของปราณันต์ให้ได้องศาพอเหมาะ ก่อนจะกดจูบลงไปอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ลมหายใจของคนตัวเล็กกว่าเริ่มถี่กระชั้นขึ้น จนคามินจับสังเกตได้ แต่เขายังไม่อยากหยุด เขายังไม่อยากพอ เขายังต้องการมากกว่านี้

คามินค่อยๆ ทวีความร้อนแรงของรสจูบขึ้น ริมฝีปากของคนทั้งสองแนบแน่นเกี่ยวกระหวัดกันมากขึ้นกว่าเดิม ความหอมหวานที่เหมือนขนมในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มลึกที่คล้ายกับสิ่งเสพติด มือใหญ่ข้างที่ว่างของคามินเกี่ยวรั้งเอวบางให้เข้ามาแนบชิดมากยิ่งขึ้น เสียงดูดดึงริมฝีปากดังระงมไปทั่วรถเล็กๆ จวบจนกระทั่งที่มือเล็กๆ ของปราณันต์ตีประท้วงไปยังไหล่หนาของคนตรงข้าม เพื่อเตือนสติว่าคามินกำลังช่วงชิงลมหายใจของตน จนตอนนี้มันแทบจะขาดห้วงแล้ว

คามินยอมถอนริมฝีปากออกในที่สุด แต่จมูกโด่งเป็นสันยังคงไล้ไปไล้มาที่แก้มนิ่มอย่างหยอกล้อ ลมหายใจของปราณันต์หอบกระชั้นถี่รัวเนื่องจากก่อนหน้าได้ถูกคนเจ้าเล่ห์ริดลอนไป กว่าจะกลับมาหายใจได้เป็นปกติก็แทบแย่ แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้อัตราการเต้นของหัวใจทำงานเร็วกว่าเดิมอีกจนได้ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู

“คุณปราณ ผมชอบคุณนะ ชอบมาก ทั้งชอบทั้งหลง” ปราณันต์ก้มหน้างุดเอียงอาย ก่อนจะอายหนักกว่าเดิม เมื่อได้ยินประโยคถัดมา “อีกหน่อยผมคงต้องตกหลุมรักคุณปราณจนโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ ถ้าคุณยังไม่หยุดน่ารักแบบนี้”

ปราณันต์แทบไปไม่เป็น เขาไม่รู้ว่าต้องเอามือเอาไม้วางตรงไหน เลยตัดสินใจเลี่ยงหนีคามินไปเสียดื้อๆ

“ขี้โม้!” เสียงหวานกระซิบเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูแล้วก้าวออกนอกรถหนี ไม่ทันให้คามินได้ตั้งตัว “ผมไปทำงานดีกว่า คุณน่ะเผลอไม่ได้ขนาดบอกว่าไม่ให้แต๊ะอั๋งผม คุณก็ยังทำ ชิ!”

คามินรีบก้าวลงมาจากรถ แล้วถามปราณันต์ด้วยความตกใจเพราะกลัวคนตัวเล็กกว่าจะโกรธจิงๆ

“ผมขอโทษ คุณไม่โกรธผมใช่ไหม”

ปราณันต์ตีสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อยๆ พลางเดินถอยหลังแล้วหันหน้าไปทางคามิน แล้วพูดรัวๆ เร็วๆ ว่า

“ถ้าโกรธ ผมจะยอมให้คุณจูบอยู่นานสองนานไหมล่ะ”

จากนั้นก็หันหลังแล้ววิ่งหนีคามินไป น่าจะด้วยเพราะเขินอาย

คามินส่ายหัวยิ้มๆ พลางมองตามร่างเล็กที่วิ่งไปกระโดดไปจนเกือบสุดสายตา โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าตาคมที่ก่อนหน้านี้เคยมองปราณันต์อย่างเย็นชา จนมาถึงวันนี้มันกำลังเปลี่ยนไป

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------------------------------

หนีไม่ทันแล้วใช่มั้ย ลูกแมรรรรรร่ แง้

ฝากคอมเม้นท์ ติดแท็กในทวิตเตอร์ได้นะคะ ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้ ขอกำลังใจให้นุหน่อยยย 555555555

ตอนหน้าจะพยายามรีบมาน้าา เจอคำผิดบอกได้เด้อ เจอกันครับบบ <3

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
มันคือการหลอก+ลวงจริงๆ คามินนายมันแน่ หึหึ อิอิ แทบจะรอถึงวันนั้นไม่ไหวแล้วโว้ยยยย 55555 ขอบอกก่อนนะปราณอย่ามาง๊อยๆง้อแปปๆคืนดีนะ ต้องเอาให้สาสม หนีไปเลย ผ่านไป15ปีเด็กแฝดโตค่อยเจอกัน บอยคอต 5555 แต่ก็ไม่รู้นะว่าปราณเวลานั้นมาถึงจะยังไง รอตามต่อไป หมั่นไส้คามิน เอะอะแต๊ะอั๊งตัลลอด   :hao3: 5555 ขอบคุณที่มาต่อยาวๆ รอตอนต่อไป  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
บางครั้งก็อยากให้ถึงเวลาโดนเอาคืน เร็วๆ อย่างสาสม

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
11th Lies : แผนการขั้นถัดไป


ก่อนหน้านี้มันอาจจะเคยเป็นเพียงแค่เกมสนุกๆ แต่ตอนนี้คามินกลับต้องการมันมากกว่านั้น...

.

.

.

...หลังจากที่ได้จูบกับปราณันต์ไปสองครั้ง ดูเหมือนว่าริมฝีปากอิ่มสีสดนั่นจะมีแรงดึงดูดบางอย่างที่คามินเองก็ไม่สามารถให้คำตอบได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เพราะพักหลังมานี้ หากเขามีเวลาว่างจากงานเมื่อไหร่ ก็ดูเหมือนว่าภาพในหัวสมองจะวกกลับไปที่ภาพริมฝีปากของเขาประทับลงบนความหยุ่นนุ่มของริมฝีปากปราณันต์เสมอ และที่ร้ายแรงมากไปกว่านั้นคือ สัญชาตญาณดิบเถื่อนในใจของเขากำลังถูกกระตุ้น เขากำลังต้องการมากกว่าจูบ


‘คามินกำลังต้องการครอบครองทั้งหมดของปราณันต์’


และดูเหมือนว่าความต้องการนี้กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามได้อยู่ใกล้ หรือยามได้สูดดมกลิ่นกายหอมอ่อนๆ จากคนตัวเล็กนั่น คามินต้องหลับตาข่มใจครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาไม่ใช่ผู้ชายไร้เดียงสา ถึงแม้จะเย็นชาแต่เขาก็ผ่านเรื่องอย่างว่ามาแล้วไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกับผู้หญิง หรือแม้แต่กับผู้ชายเองก็เถอะ ปราณันต์ไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่คามินอยากจะลองนอนด้วย แต่ปราณันต์เป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้คนใจแข็งเป็นหินแบบเขา อยากจะกระโจนเข้าใส่ร่างขาวๆ ทุกทีที่เห็น โดยไม่ต้องมีเหตุหรือผลใดๆ มารองรับ

แต่ยังไงแผนการก็ยังต้องเป็นแผนการ คามินพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นมากกว่านี้ ถ้าอยากจะลิ้มรสไวน์ชั้นดี มันก็ต้องใช้เวลาบ่มเพาะกันนานสักหน่อย

และแน่นอนการที่จะบ่มเพาะให้ไวน์ของเขามีรสชาติดีเยี่ยมได้นั้น การเอาใจใส่ดูแลในทุกกรรมวิธีก็ถือเป็นขั้นตอนสำคัญเช่นกัน

“คุณปราณครับ วันนี้เราแวะไปหาฝาแฝดกันดีไหม”

วันนี้คามินไม่มีนัดพบกับลูกค้าหรือติดประชุมอะไร เขาจึงมีเวลาว่างพาปราณันต์ไปทานอาหารกลางวัน แต่แน่นอนว่า อาจจะต้องพาไปไกลจากแถวออฟฟิศนิดหน่อย ยังไงเสียเขาก็ยังไม่อยากให้ความแตกตอนนี้

และเมื่อคามินเห็นว่าอีกไม่กี่วัน ก็ใกล้จะถึงวันให้คำตอบของปราณันต์แล้ว การสร้างความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ให้คนตรงหน้า อาจจะทำให้เขายิ่งมีคะแนนเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้

“เอ? ยังไงวันมะรืนก็ต้องไปรับเด็กๆ อยู่แล้ว ทำไมวันนี้คุณถึงอยากไปหาฝาแฝดล่ะ มีอะไรรึป่าวครับ?”

คามินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะทอดน้ำเสียงตอบอย่างอบอุ่น

“ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ ผมแค่คิดว่า คุณปราณน่าจะคิดถึงเด็กๆ เลยอยากพาไปหาก็แค่นั้น”

เมื่อได้ยินคำตอบ ริมฝีปากอิ่มก็ยกยิ้มบางๆ ขึ้นอย่างประทับใจ คามินเอาใจใส่เขาเสมอ แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่อีกฝ่ายกลับรู้ใจปราณันต์ไปเสียหมด แน่นอนว่าความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในหัวใจ ทำให้ปราณันต์เลือกที่ยอมรับในคำตอบและเลิกฝืนหัวใจตัวเอง

“ครับ ผมคิดถึง ถ้าคุณว่างเราไปด้วยกันก็ได้”

หลังจากปราณันต์พูดจบ ต่างฝ่ายต่างก็ยิ้มให้กัน ราวกับหลงอยู่ห้วงอารมณ์บางอย่างที่คนทั้งคู่ได้เผลอสร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ว่าแต่วันนี้คุณปราณยังต้องไปทำงานอยู่ไหม คุยกับผู้จัดการเรียบร้อยรึยัง” คามินหมายถึงงานที่ไนท์คลับที่ปราณันต์บอกไว้ว่าจะลาออก หลังจากได้เข้าร่วมทีมโปรเจ็กต์พิเศษของบริษัท

“อาทิตย์นี้ทำอาทิตย์สุดท้ายครับ ทางคลับเค้าไม่ค่อยโอเคถ้าผมจะทำงานอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ผมเลยตัดสินใจว่าลาออกดีกว่า ยังไงผมก็ต้องเลือกงานของทีมโปรเจ็กต์พิเศษอยู่แล้ว”

คามินยิ้มจนหน้าบานหลังจากได้ยินว่าปราณันต์จะยอมลาออกจากไนท์คลับ

“คุณไม่ต้องมายิ้มแบบนี้เลย” คนตัวเล็กกว่าต่อว่าเขินๆ ทำไมปราณันต์จะไม่รู้ว่าคามินคิดอะไรอยู่ ก็อีกฝ่ายเคยเปรยๆ ว่าอยากให้เขาออกจากงานนี้ นี่พอเขาลาออกจริงๆ ก็เล่นแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ว่าดีใจ แล้วจะไม่ให้ปราณันต์คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไงล่ะว่าคามินหวงเขาจนไม่อยากให้ทำงานที่นั่นอย่างที่เคยบอกไว้

“เอ้า ก็ผมมีความสุข คุณปราณจะไม่ให้ผมยิ้มได้ไงล่ะครับ” เสียงทุ้มพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ยิ่งทำให้คนแสนงอนฝั่งตรงข้ามแสดงอาการเขินหนักกว่าเดิม น่าจะคงนึกถึงวันที่โดนจูบในรถแน่ๆ

“รู้แล้วครับว่าดีใจ คุณเลิกแกล้งผมได้แล้ว” มือเล็กๆ ผลักไปที่ไหล่หนาของคามินเบาๆ ซึ่งคนตัวโตอย่างคามินแทบจะไม่ไหวติงเลยด้วยซ้ำ แต่พอปราณันต์จะถอนมือออก ก็กลายเป็นว่ามือใหญ่เอื้อมไปยึดมือเล็กของปราณันต์ไว้แน่นแทน

และก่อนที่ปราณันต์จะได้ทันตั้งตัว คามินก็ดึงมือเล็กๆ ที่ยึดไว้เข้าหาตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะก้มลงจุมพิตช้าๆ

“ขอบคุณนะครับ ไม่ว่าคุณปราณจะตัดสินใจลาออกเพราะผมหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากจะขอขอบคุณ ขอบคุณที่เห็นใจผมนะครับ”

แก้มนวลใสเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำหวานจากคนตรงข้าม แม้จะไม่ได้ตอบออกไปตรงๆ แต่ดวงตากลมโตที่สบไปยังดวงตาเรียวคมก็ได้เปิดเผยจนหมดสิ้นแล้วว่าเหตุผลหลักๆ ที่ปราณันต์ตัดสินใจลาออกจากไนท์คลับมีเรื่องของคนตรงหน้าปนอยู่ด้วยแน่ๆ

.

.

.

พอหลังจากเลิกงานคามินก็กลับมาแวะรับปราณันต์ที่ออฟฟิศอีกครั้งด้วยข้ออ้างเดิมๆ ‘ผมเพิ่งพบลูกค้าเสร็จ’ ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาก็อยู่ที่ออฟฟิศตลอดนั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนเลย แค่ประชุมกับเซ็นต์เอกสารก็หมดเวลาที่จะทำอะไรอย่างอื่นแล้ว ทุกวันนี้เขาจะพยายามเคลียร์งานให้เสร็จโดยเร็ว หรือถ้าวันไหนไม่ทันจริงๆ เขาก็จะให้แทนคุณหอบงานกลับไปรอที่คอนโด

เพราะโดยความตั้งใจคามินคิดไว้ว่าเขาจะไปรับส่งปราณันต์ไม่ให้ขาด ทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อให้ปราณันต์ประทับใจ มันอาจจะต้องลงทุนลงแรงมากหน่อย ซึ่งตัวคามินเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องทุ่มเททำอะไรมากมายขนาดนี้

ความรู้สึกในใจของคามินกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าที่ทำไปเพราะอยากจะเอาชนะไอ้พวกเพื่อนตัวแสบทั้งหลาย และทำเพื่อหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่จะว่าไปก็ไม่ได้น้อยเลย แต่ในใจลึกๆ เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ว่าคำตอบที่แท้จริง มันจะใช่คำตอบเดียวกับที่เขาพยายามบอกตัวเองอยู่หรือป่าว... คามินไม่แน่ใจเลย


ปิ๊น ปิ๊น~


คามินบีบแตรเรียกผู้ชายร่างบางที่ยืนรอเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ด้านหน้า รอยยิ้มที่คามินมองกี่ทีก็ไม่เบื่อ รอยยิ้มที่เขาต้องการครอบครองและเป็นเจ้าของแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น

ปราณันต์หันมองตามเสียงแตรรถ ก่อนที่ขาเรียวจะค่อยก้าวยาวๆ เดินไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็ว

“รอนานไหมครับ” คามินถามขึ้นเมื่อออกรถมาแล้ว

“ไม่นานครับ ผมเพิ่งลงมาเอง” ปราณันต์ตอบ “ผมโทรไปบอกที่โรงเรียนแล้วว่าเราจะเข้าไป คุณครูอนุญาตให้พาฝาแฝดออกมาได้ แต่ต้องกลับเข้าไปก่อนสองทุ่ม.. ว่าแต่ เราจะไปไหนกันดีครับ” ปราณันต์พูดแทบไม่หายใจ ทำเอาคามินได้ยินแล้วอดขำไม่ได้

“ใจเย็นๆ ครับ ใจเย็นๆ ฮ่าๆ” คามินหัวเราะร่า “เราไปกินสุกี้กันดีไหมครับ ครั้งที่แล้วยังกินไม่หายอยากเลย”

ทั้งสองหวนนึกไปถึงวันนั้น วันที่กันต์กวีมาที่บ้านปราณันต์ แล้วทำเอาปาร์ตี้สุกี้ล้มไม่เป็นท่า ก็ได้ขำในใจเบาๆ

“ก็ได้ครับ เอาร้านใกล้ๆ โรงเรียนหน่อยละกันนะครับจะได้กลับไม่ดึกมาก”

“ครับผม” คามินรับคำพร้อมกับยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างดูดี ยิ้มที่ทำเอาปราณันต์อดใจเต้นแรงไม่ได้

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองก็เดินทางมาถึงโรงเรียนอนุบาล ปราณันต์มองเห็นเด็กแฝดที่ยืนรอเขาอยู่แต่ไกล ใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าตัวน้อยดูมีความสุขมากอย่างไม่น่าเชื่อ เขาได้แต่สงสัยในใจว่าถ้าเด็กๆ ได้รู้ข่าวดีที่เขากำลังจะมาบอก เจ้าหนูทั้งสองจะมีความสุขมากแค่ไหนกัน

“พี่ปราณ~”

“พี่ปราณมาแล้วว~”

แฝดพี่แฝดน้องผลัดกันตะโกนเรียกพี่ชายทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณโรงเรียน เจ้าหนูทั้งคู่อยู่ในชุดไปรเวทแบบเดียวกัน สีเดียวกัน ยิ่งทำให้ดูน่ารักน่าฟัดขึ้นไปอีกในสายตาคนทั่วไป

“ว่าไงครับเด็กๆ” ปราณันต์ทรุดลงนั่งยองๆ พร้อมๆ กับอ้าแขนทั้งสองข้างออก เพื่อเตรียมรอรับเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังจะวิ่งมาหาตน

และก็ตามคาด ฝาแฝดน้อยวิ่งตื๋อออกมาหาพี่ชายตัวเองทันทีที่คุณครูอนุญาต เจ้าตัวยุ่งทั้งสองโถมตัวเข้าหาปราณันต์เต็มแรง พลางกอดรัด ฟัดจูบกันอย่างคิดถึง

“ปุณณ์คิดถึงพี่ปราณ”

“ปัณณ์ก็คิดถึงพี่ปราณ”

เจ้าหนูทั้งสองถูไถใบหน้าเข้ากับอกพี่ชายอย่างออดอ้อน ทำเอาปราณันต์ยิ้มไม่หุบ พลางอดคิดในใจไม่ได้ว่า ถ้าเลิกงานมาเหนื่อยๆ แล้วกลับไปบ้าน ได้เจอยาใจทั้งสองในทุกๆ วันแบบนี้ คงจะช่วยให้เขามีกำลังวังชาต่อสู้กับงานในแต่ละวันได้โดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยแน่ๆ

“พี่ปราณก็คิดถึงปุณณ์กับปัณณ์ครับ” พอพูดจบ ริมฝีปากอิ่มก็กดลงไปบนแก้มนิ่มๆ ของฝาแฝดอย่างต้องการจะถ่ายทอดและตอกย้ำคำพูดของตัวเอง

“ไงเด็กๆ” พี่ครามของเจ้าหนูที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถูกลืมไปเสียสนิท กำลังแกล้งส่งเสียงทักทายไปให้ทั้งสามได้ยิน

“โอ๊ะ! พี่ครามก็มาด้วยนี่นา!” เป็นปัณณธรที่หันมาเห็นคามินก่อน เจ้าหนูร้องทักพลางยิ้มหวานให้คนตัวสูงอย่างยินดี ปุณณกันต์เองก็เช่นกัน รอยยิ้มพิมพ์เดียวกับน้องชาย ถูกส่งให้คามินด้วยความดีใจ

ปราณันต์ยอมคลายอ้อมกอด ให้เด็กๆ เดินไปหาพี่ครามที่กำลังรอท่าอยากจะฟัดเจ้าหนูน้อยทั้งสองอยู่ไม่ไกล

ปุณณกันต์กับปัณณธรกระโดดเข้าเกาะเอวหนาทันทีที่ถึงตัวคามิน ฝาแฝดหัวเราะคิกคักตอนที่พี่ครามก้มลงมาหอมมาฟัดที่แก้มนิ่มๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

ปราณันต์มองภาพนั้นด้วยความอิ่มเอมใจ เขาได้แต่เฝ้าฝันว่าเขาและเด็กๆ จะได้มีคนมาดูแล มาเอาใจใส่ และวันนี้คามินก็ทำให้เขาได้เห็นว่า ฝันที่ปราณันต์หวังไว้อาจจะไม่ไกลเกินที่จะเป็นจริง

.

.

“เด็กๆ ครับ เดี๋ยวพี่ปราณกับพี่ครามจะพาไปทานสุกี้ที่ร้านใกล้ๆ ตรงนี้นะ เพราะเราต้องกลับมาที่โรงเรียนก่อนสองทุ่ม โอเคไหม” ก่อนจะออกรถ ปราณันต์จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับเจ้าหนูน้อยทั้งสองก่อน เพราะไม่อยากให้ฝาแฝดงอแง พอตอนถึงเวลาที่ต้องกลับโรงเรียน

โชคดีที่ฝาแฝดเป็นเด็กพูดง่ายและมักจะเข้าใจอะไรได้เป็นอย่างดี เด็กๆ จึงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน และสัญญาว่าจะไม่งอแง ตอนที่พี่ปราณกับพี่ครามพากลับมาส่งที่โรงเรียน

ขับรถไปได้ไม่ไกลก็ถึงร้านสุกี้ที่ปราณันต์ตั้งใจจะพาเด็กๆ มากินทดแทนมื้อที่แล้วที่ล่มไป ฝาแฝดดูตื่นเต้นยกใหญ่ที่จะได้กินของชอบ พอเข้าไปในร้านได้ก็หาที่นั่งเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองอดเอ็นดูไม่ได้

“ปุณณ์กับปัณณ์กินสุกี้ใส่อะไรดีครับ” คามินถามเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่ตอนนี้กำลังก้มมองดูเมนูอย่างขะมักเขม้น

“ปุณณ์เอาเบค่อนครับ” ปุณณกันต์น้อยตอบพร้อมกับจิ้มไปที่รูปภาพในเมนู เพื่อเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่ตัวเองเลือก

“ส่วนปัณณ์เอากุ้งครับ เอาตัวใหญ่ๆ แบบนี้ๆ” ปัณณธรเองก็ทำท่าทางไม่ต่างจากปุณณกันต์ ดูแล้วช่างน่ารักมากจริงๆ

ผู้ใหญ่ทั้งสองได้แต่ยิ้มให้กันด้วยความเอ็นดูฝาแฝดทั้งคู่ เพราะสุดท้ายเจ้าหนูก็สั่งแต่ของโปรดตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะเอาเมนูไปจิ้มดูเพื่ออะไร

“แล้วคุณปราณล่ะครับ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” คามินหันไปถามปราณันต์ แต่เจ้าตัวกลับส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยปากขออย่างอื่นแทน

“เอาตามที่เด็กๆ เลือกนั่นแหละครับ ผมกินได้หมด”

คามินพยักหน้ารับ พลางเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งอาหาร และในขณะที่รออาหารมา ปราณันต์ก็นั่งจ้องหน้าฝาแฝดที่นั่งอยู่ข้างตัวจนเอง พลางคิดทบทวนอย่างหนักหน่วงว่าจะมีทางไหนที่ทำให้เขาสามารถพาเด็กๆ กลับมาอยู่ด้วยกันแบบถาวรได้บ้าง แม้จะไม่ต้องทำงานที่คลับแล้ว แต่ก็ใช่ว่างานโปรเจ็กต์พิเศษที่บริษัทจะไม่หนักเสียเมื่อไหร่ มันก็คงมีบ้างที่ได้กลับเร็ว แต่ก็ไม่ทุกวัน ครั้นจะให้กระเตงกันไปกันมาก็คงไม่ไหว แล้วทางโรงเรียนก็คงไม่ให้ทำแบบนี้ด้วย

คนตัวเล็กเผลอถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว ทำเอาคามินอดถามขึ้นมาไม่ได้

“คิดอะไรอยู่หรอครับคุณปราณ” คามินถามขึ้นขณะที่อาหารต่างๆ ถูกนำมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว

“ผม...” ปราณันต์หยุดคิดนิดนึง ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “ที่จริง ผมอยากรับปุณณ์กับปัณณ์กลับบ้านทุกวันครับ แต่.. ถึงจะลาออกจากคลับแล้ว ก็ใช่ว่าจะเลิกงานปกติ บางวันเลิกดึก บางวันเลิกเร็ว มันก็เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ดี”

ปราณันต์พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด คิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี

ตอนนี้สมองของคามินกำลังทำงานอย่างหนัก เขากำลังหาวิธีทางเอาชนะใจปราณันต์อีกครั้ง ทำอย่างไรถึงจะได้ทั้งทำคะแนน และได้เข้าใกล้ปราณันต์ โดยการลงทุนภายในครั้งเดียว เขา... ควรทำอย่างไรดี?

.

.

.

หลังจากพาเด็กๆ ไปกินสุกี้อิ่มกันเรียบร้อยแล้ว คามินและปราณันต์ก็พาเจ้าหนูน้อยทั้งสองกลับโรงเรียน ซึ่งก่อนกลับปราณันต์ขอลองเข้าไปคุยปรึกษากับอาจารย์ประจำชั้นของเด็กแฝด เพื่อลองเชิงว่าพอจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะรับเด็กแฝดกลับบ้านเป็นบางวัน วันที่เขาเลิกงานเร็ว

“อาจารย์ครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษา ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาไหมครับ”

“ได้สิคะน้องปราณ แต่อาจจะนานไม่ได้นะคะ เพราะเดี๋ยวครูต้องพาเด็กๆ เข้าไปแปรงฟันอาบน้ำนอนแล้ว”

ปราณันต์กับอาจารย์จึงเลือกที่จะไปนั่งคุยกัยอยู่ที่มุมหนึ่งของระเบียง โดยมีคามินรับหน้าที่ดูแลเด็กแฝดทั้งสองในระหว่างนี้แทน

“คือผม จะลาออกจากไนท์คลับแล้วครับ” ปราณันต์เปิดประเด็น ที่ทำเอาอาจารย์ประจำชั้นของเด็กๆ ยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“ดีจังเลยค่ะน้องปราณ ครูว่าน้องปราณไม่ค่อยเหมาะกับงานแบบนั้นเท่าไหร่ ถ้าเด็กๆ รู้คงดีใจน่าดู”

“แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า ที่ผมลาออกจากไนท์คลับเป็นเพราะผมได้ทำงานล่วงเวลา ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์พิเศษของบริษัท อาจจะมีกลับเร็วบ้าง กลับช้าบ้าง คือคงไม่ได้กลับเร็วทุกวันน่ะครับ”

“อ่าวหรอคะ” อาจารย์ประจำชั้นเจ้าหนูทั้งสอง ถามพึมพำออกมาอย่างเสียดายแทน

“คือผมเลยอยากจะปรึกษาอาจารย์แบบนี้ครับ” ปราณันต์มองเลยไปยังเด็กแฝดที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง เล่นกับคามินที่อยู่ไม่ไกลออกไป “จะเป็นไปได้ไหมครับ ถ้าผมจะมารับฝาแฝดกลับไปนอนด้วยเป็นบางวัน ถ้าวันไหนกลับเร็ว ผมก็จะรีบมารับ แต่ถ้าวันไหนกลับช้าผมก็จะโทรมาแจ้ง แล้วให้เด็กๆ เข้านอนที่โรงเรียนได้เลย”

อาจารย์ประจำชั้นมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ฟังปราณันต์พูดจบ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนระคนเห็นใจ

“ที่จริงมันก็ได้อยู่นะคะ” ปราณันต์ยิ้มอย่างดีใจทันทีที่ได้ยินคำตอบแบบนั้น “แต่มันต้องเป็นระบบนะคะน้องปราณ” รอยยิ้มที่เคยสว่างไสวของคนตัวเล็กค่อยๆ หุบลง

“อย่างน้อยน้องปราณก็ต้องแจ้งตั้งแต่ต้นอาทิตย์ว่าวันไหนจะมารับน้อง วันไหนจะไม่มา คือต้องแจ้งล่วงหน้า แบบนั้นพอจะเป็นไปได้ไหมคะ”

ปราณันต์อึกอักทันที เพราะเขารู้ว่าเวลาเลิกงานของเขามันไม่ได้รู้ล่วงหน้านานขนาดนั้น มันขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของงานในแต่ละวันด้วย

“น่าจะยากครับอาจารย์ ผมไม่สามารถบอกวันต่อวันได้ใช่ไหมครับ” ปราณันต์พยายามต่อรอง แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่น่าจะได้ผล

“น้องปราณก็รู้ว่าโรงเรียนเรากฎระเบียบเคร่งครัดขนาดไหน” อาจารย์ประจำชั้นเด็กแฝดพูดออกมาอย่างลำบากใจ ไม่ใช่ไม่เห็นใจ แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ “เข้าใจครูใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมเข้าใจครับ” ปราณันต์จำต้องยอมรับพยักหน้า ก่อนจะทอดสายตามองไปยังแก้วตาดวงใจของเขาที่ตอนนี้กำลังเล่นกับคามินอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

และพอมองไปก็พบว่า คามินเองก็กำลังมองมาทางปราณันต์อยู่เช่นกัน สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยเหมือนตั้งคำถามว่าทุกอย่างโอเคไหม ปราณันต์จึงได้แต่ส่ายศีรษะช้าๆ เป็นคำตอบแทน และถ้าให้เดาสายตากลมของเขาตอนนี้คงแสดงความผิดหวังออกมาเต็มที่ เพราะตอนนี้คามินกำลังขยับปากส่งมาบอกเขาเบาๆ


‘ไม่เป็นไรนะครับ’

.

.

.

“ปุณณ์ ปัณณ์ พี่ปราณกับพี่ครามกลับก่อนนะครับ” ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องร่ำลาฝาแฝดตัวน้อยแล้ว ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กทั้งสองจะหน้าเศร้าลงนิดหน่อย แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้พี่ชายของตัวเองคิดมาก เด็กๆ จึงแสดงออกมาว่ายังโอเค

“กลับกันเถอะครับ ปุณณ์กับปัณณ์อยู่ได้” ปุณณกันต์น้อยตอบเสียงดังฟังชัดพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มพิมพ์เดียวกับปราณันต์

“ใช่ๆ เราสองคนอยู่ได้ครับ” ปัณณธรสำทับคำพี่ชายฝาแฝดของตนเอง ก่อนจะพูดต่อ “นี่ๆ ปัณณ์นับมาแล้ว” จากนั้นเจ้าหนูน้อย ก็ยกนิ้วมือป้อมๆ ขึ้นมาชูสองนิ้ว “เหลืออีกสองวัน พี่ครามกับพี่ปราณค่อยมารับเราสองคนเนาะ”

ปราณันต์กับคามินหันมามองหน้ากัน พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูในคำพูดของเจ้าแฝดคนน้อง ช่างรู้ดีอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้

“โอเคครับ อีกสองวัน” คามินเองก็ตอบรับ พร้อมกับยกนิ้วมือขึ้นมาสองนิ้ว เลียนแบบเจ้าแฝดคนเล็ก “พี่ครามกับพี่ปราณจะมารับฝาแฝดนะ”

พอเจ้าหนูน้อยทั้งสองได้ยินคามินพูดแบบนั้นก็ยิ้มร่าออกมาอย่างสดใส และประโยคถัดมาก็ยิ่งทำให้ปุณณกันต์กับปัณณธรคึกคักหนักกว่าเดิม

“แล้วถ้าอาทิตย์นี้ พี่ครามไม่ติดงานอะไร เราสี่คนไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ”

ปุณณกันต์กับปัณณธรหันมามองหน้ากันและยิ้มให้กันอย่างยินดี แต่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องได้รับการอนุญาตจากพี่ชายคนโตก่อนถึงจะไปได้ ตากลมๆ แป๋วๆ ทั้งสองคู่จึงหันไปมองปราณันต์อย่างคาดหวัง

ซึ่งเวลานี้พี่ชายคนโตของครอบครัว กำลังจ้องไปที่คามินอย่างอ่อนอกอ่อนใจเช่นกัน

“คุณครามเอาอีกแล้วนะครับ ตามใจเด็กๆ อีกแล้ว” ปราณันต์บ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่าบ่นไปยังไง คามินก็คงมีข้ออ้างมากมายที่จะพาฝาแฝดไปอยู่ดี

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ คุณปราณลืมไปแล้วหรอ ว่าเสาร์นี้เป็นวันสำคัญของผมนะ” ปราณันต์นิ่งไปนิดนึง แต่พอนึกขึ้นได้ แก้มขาวนวลทั้งสองข้างก็ขึ้นสีแดงระเรื่อทันที

คามินอมยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของปราณันต์ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งว่าปราณันต์จะยอมให้เด็กๆ ไปเที่ยวเสาร์นี้รึป่าว

“ว่าไงครับคุณปราณ ตกลงว่าอนุญาตไหม” คามินถามเสียงกรุ้มกริ่ม จนปราณันต์ต้องเสกระแอมกระไอแก้เขินอะไรไปเรื่อย ก่อนตอบรับเสียงเบาให้เจ้าหนูน้อยทั้งสองที่กำลังรอคำตอบอยู่

“ไปก็ได้ครับ แต่ห้ามขอนู่นขอนี่พี่ครามเพิ่มนะ โอเคไหม” ปราณันต์แกล้งตั้งใจมองไปที่เด็กๆ โดยตรง พยายามเลี่ยงที่จะสบตาคามินสุดๆ

“โอเคครับ ปุณณ์กับปัณณ์จะเชื่อฟังพี่ครามกับพี่ปราณอย่างดีเลย” ปุณณกันต์น้อยรับปากรับคำอย่างดี จนปราณันต์อดเอื้อมมือไปโยกศีรษะกลมด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ดีมากครับ” ปราณันต์ลดตัวลงนั่งยองๆ แล้วเกี่ยวเอวฝาแฝดทั้งสองเข้าหาตัว ก่อนจะโอบกอดเด็กทั้งสองไว้เบาๆ “พี่กลับแล้วนะครับ ละเดี๋ยววันศุกร์เราเจอกัน”

พอพูดจบปราณันต์ก็กดจมูกเบาๆ ลงบนขมับของเจ้าหนูทั้งสอง พลางโอบรัดฝาแฝดแนบอกราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นทั้งหมดที่มีให้เด็กๆ ก่อนจะปล่อยเจ้าหนูทั้งสองออก ให้คามินเข้ามากอดบ้าง

“วันศุกร์พี่ครามจะมารับนะครับ ตั้งใจเรียนนะเด็กๆ” คามินเองก็กดจมูกลงบนแก้มนิ่มทั้งสองของเจ้าตัวน้อยเบาๆ เช่นกัน

ฝาแฝดยิ้มร่าอย่างมีความสุข ไม่ค่อยเศร้าเหมือนตอนแรก แค่พอได้รู้ว่าวันศุกร์จะเจอกับพี่ครามและพี่ปราณ ช่วงเวลาที่เหลือก็ไม่ได้ยาวนานเกินไปสักเท่าไหร่ตามความคิดของเจ้าหนูทั้งสอง

ฝาแฝดค่อยๆ ผละออกจากผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วเดินไปหาครูประจำชั้นที่รออยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันมาโบกไม่โบกมือลาพี่ชายทั้งสองอีกครั้ง

“บ๊ายบายครับพี่คราม บ๊ายบายครับพี่ปราณ”

“บ๊ายบายครับ ไว้เจอกันนะครับ”

เด็กๆ ส่งยิ้มน่ารักกลับมาให้คนทั้งสองอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินออกไปกับครูประจำชั้น ปราณันต์เองก็มองตามเด็กทั้งสองไปจนลับสาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก

“เฮ้อ”

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีนิ้วมือใหญ่ก็เอื้อมมาจิ้มระหว่างคิ้วคนตัวเล็ก จนปราณันต์ถึงกับผงะถอยหลังไปเบาๆ ด้วยความตกใจ

“คิ้วขมวดอีกแล้ว” พอปราณันต์เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับสายตาที่อบอุ่นของคามินกำลังมองมาที่ตน “ไม่คิดมากสิครับ เราค่อยๆ คิดแก้ปัญหาไป คุณปราณยังมีผมนะ”

พอได้ยินถ้อยคำอ่อนโยนจากคามิน ยิ่งทำให้ปราณันต์ซาบซึ้ง แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ คนตัวเล็กกว่าก็อดยอมรับไม่ได้ว่า มันช่างน่าเขินอายเหลือเกิน

“ขอบคุณคุณมากนะครับสำหรับทุกเรื่องเลย” ปราณันต์อ้อมแอ้มตอบ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคามินได้เป็นอย่างดี

“ผมยินดี ยินดีทำเพื่อคุณปราณทุกอย่างแหละครับ” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ใกล้หูปราณันต์ “และถ้าไม่หวังสูงเกินไป คำตอบที่ผมจะได้วันเสาร์นี้คงเป็นข่าวดีนะ”

ยิ่งคามินพูดปราณันต์ยิ่งก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย ก่อนจะผลักคามินออกเบาๆ

“ไม่เอา ไม่พูดกับคุณแล้ว” คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ ก่อนจะชวนคามินกลับ “กลับกันเถอะครับ ดึกแล้ว”

“ไปหาอะไรเบาๆ กินกันก่อนกลับดีไหมครับ เมื่อกี้คุณปราณกินไปนิดเดียวเอง” คามินชวน ปราณันต์นิ่งไป จนคนตัวโตจับสังเกตได้ว่าคนตัวเล็กกว่ากำลังจะปฏิเสธ

“ห้ามปฏิเสธครับ ผมไม่ยอมให้คุณปราณปล่อยให้ตัวเองท้องว่างหรอก” ปราณันต์เองก็จนใจ ไม่รู้จะพูดยังไงเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ยอมให้คามินพาไปกินมื้อดึกก่อนกลับบ้าน

“ก็ได้ครับ แต่ขอเป็นพวกชาหรือโกโก้ร้อนๆ พอนะครับ ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

คามินยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างชอบใจที่ปราณันต์ไม่ปฏิเสธ “โอเคครับ”

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(อ่านต่อจากด้านบน)


“คุณยังไม่หายเครียดเรื่องเด็กๆ อีกหรอครับ” พอหาร้านนั่งทานได้ คามินก็เริ่มเปิดประเด็นเรื่องที่ปราณันต์คิดไม่ตกอยู่ทันที

ปราณันต์ถอนหายใจก่อนตอบคามินเสียงเศร้า “ผมอยากรับเด็กๆ กลับมาดูแลเอง พวกแกก็โตขึ้นทุกวัน ถึงฝาแฝดจะไม่เคยงอแงแต่ผมรู้ว่าลึกๆ แกก็คงอยากให้ผมพามาอยู่ใกล้ๆ” ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ อีกประโยค ซึ่งคามินก็ได้ยินอยู่ดี “ทั้งที่ได้เปลี่ยนงานแล้วเชียว”

“แล้วทางครูประจำชั้นเด็กๆ ว่าไงล่ะครับ”

“ทางอาจารย์เขาก็บอกมาว่าถ้าจะรับน้องกลับมาบางวันก็ทำได้ แต่ผมต้องแจ้งล่วงหน้าหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งคุณก็รู้ว่างานในทีมโปรเจ็กต์มันไม่แน่นอน ผมไม่สามารถไปกะเกณฑ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเลิกเร็วหรือเลิกช้า แล้วจะไปรับหรือไม่ไปรับเด็กแฝดวันไหนได้บ้าง”

ปราณันต์ร่ายยาว ราวกับอยากจะระบายความอึดอัดใจนี้ให้ใครสักคนฟัง

“โรงเรียนนี้เข้มงวดขนาดนี้เลยหรอครับ”

“ใช่ครับ อันที่จริงที่ผมเลือกโรงเรียนนี้ให้ปุณณ์กับปัณณ์อยู่ เพราะระเบียบวินัยเขาดีแบบนี้นี่แหละครับ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นบ่วงมาผูกมัดตัวเองทีหลังแบบนี้”

ใบหน้าคมคายนิ่งไปอย่างกับกำลังใช้ความคิด เขาควรจะทำอย่างไรดี จะมีวิธีทางไหน ที่เขาพอจะช่วยปราณันต์ได้บ้าง

ปราณันต์เองก็นั่งทานโกโก้ไปเงียบๆ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ อีกครั้ง

“ถ้ามีคนคอยผลัดเวรช่วยผมดูแลเด็กๆ ได้ก็คงจะดี เฮ้อ”

และแน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่คามินได้ยิน และนั่นก็ทำให้เขาคิดแผนการบางอย่างออกอย่างรวดเร็ว

.

.

.

“ขอบคุณมากนะครับสำหรับวันนี้ คุณทำให้ผมหายคิดถึงเด็กๆ ได้มากขึ้นเยอะเลย” ปราณันต์กล่าวยิ้มๆ เล่นเอาคนเห็นรอยยิ้มแบบคามินอดใจกระตุกไม่ได้

“ยินดีครับ การได้อยู่ใกล้คุณ ได้เจอฝาแฝด ก็เป็นความต้องการของผมเหมือนกัน” และก็เช่นกัน ประโยคนี้ก็ทำเอาปราณันต์ใจกระตุกได้ไม่ต่างจากคามินเลย

“ถ้างั้นผมเข้าห้องนะครับ คุณขับรถกลับบ้านดีๆ ล่ะ” ปราณันต์บอกลา

“โอเคครับ งั้นพรุ่งนี้ผมมารับนะ” คามินเองก็บอกลา พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มนิ่มของปราณันต์เบาๆ

“ครับ งั้นไว้เจอกันนะ”

ปราณันต์ก็ยอมโอนอ่อนลงให้คามินมากขึ้น เพราะคนตัวเล็กเองก็หลับตาพริ้มเอียงหน้าซบลงบนมือใหญ่อย่างออดอ้อน ทำเอาอารมณ์ของคามินลุกฮือ ขนาดนี่เป็นแค่ท่าทางเบาๆ แต่กลับกระตุ้นสัญชาตญาณของคามินได้รุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

“ผมกลับนะ” คามินบอกลาอย่างอ้อยอิ่ง สุดท้ายปราณันต์ก็ต้องยอมผละออกจากมืออุ่นคู่นั้น ก่อนที่ตัวเองจะรู้สึกทนไม่ไหวเหมือนกัน

ต่างคนต่างอาลัยอาวรณ์กันพักใหญ่ จนสุดท้ายปราณันต์ก็ยอมเข้าห้องไปก่อน ปล่อยให้คามินมองจนลับตา และพอเห็นว่าประตูห้องงับลง คามินก็เดินจากมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากแทน

.

.

.

และทันทีที่คามินกลับมาถึงคอนโดเขาก็ต่อสายหาเลขาคนสนิททันที หลังจากรอสายไม่นาน แทนคุณก็กดรับ ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม

“แทนคุณ”

(ครับบอส)

“ฉันมีอะไรจะให้นายจัดการให้หน่อย”

คามินพูดกับแทนคุณเป็นการเป็นงาน จนแทนคุณเองอดแปลกใจไม่ได้ บอสจะให้ทำอะไร เร่งด่วนขนาดไหน ทำไมถึงโทรมาเวลานี้

(ได้ครับ)

“เพราะฉะนั้น สิ่งที่นายต้องไปทำคือ...”

.

.

.

เช้าวันต่อมาคามินไปรับปราณันต์ที่อพาร์ทเม้นท์ตามปกติ ซึ่งตอนเย็นทั้งสองนัดแนะกันว่าคามินจะมารับปราณันต์ไปที่ไนท์คลับ เพื่อไปจัดการเรื่องลาออกให้เรียบร้อย เพื่อที่ว่าอาทิตย์หน้าจะได้เริ่มงานที่ทีมใหม่อย่างเป็นทางการเสียที

“คุณปราณครับ เย็นนี้หลังจากจัดการธุระเรื่องที่คลับเรียบร้อยแล้ว ผมมีอะไรจะคุยกับคุณปราณหน่อย คุณสะดวกไหม” หลังจากที่จอดรถที่ออฟฟิศเรียบร้อย ก่อนที่ปราณันต์จะลงจากรถ คามินจึงได้พูดธุระของตัวเองขึ้นมา

"อืม... ผมก็ไม่น่าจะติดอะไรนะครับ"

ปราณันต์เองก็ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อย ทำไมจู่ๆ คามินถึงได้ดูคร่ำเคร่งราวกับว่าเรื่องที่อีกฝ่ายจะพูดนั้น น่าจะเป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อย “ว่าแต่เรื่องที่คุณจะคุยด้วยมันซีเรียสมากรึป่าวครับ ที่จริงคุณจะคุยตอนนี้เลยก็ได้นะ อีกตั้งพักใหญ่กว่าจะเข้างาน”

ปราณันต์ตัดสินใจถามออกไป เอาตามจริงก็ยอมรับว่ากังวลไม่น้อย เขาเองก็รู้สึกค้างๆ คาๆ คามินพูดมาขนาดนี้ครั้นจะให้ปราณันต์เก็บไว้ไปรอฟังตอนเย็น ก็เกรงว่าจะไม่มีสมาธิได้ทำอะไรกันพอดี

“งั้นผมขอเกริ่นไว้ก่อนแล้วกัน” คามินตัดสินใจพูดขึ้นในที่สุด เรื่องที่เขาให้แทนคุณไปจัดการ เพิ่งเสร็จเรียบร้อยเมื่อเช้า วันนี้เลยตั้งใจว่าจะมาบอกให้ปราณันต์รู้ เอาตามตรงคือสิ่งที่คามินต้องการจากปราณันต์คือการตกลงเท่านั้น ไม่มีคำว่าปฎิเสธ แต่จะทำอย่างไรให้ปราณันต์ไม่ปฏิเสธนี่สิ แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่คามินก็เตรียมการทุกอย่างไว้แล้วเช่นกัน

“ผมคิดว่าผมอยากจะช่วยคุณดูแลฝาแฝดครับ” ปราณันต์ดูแปลกใจเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคามินพูดจบ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม เขาพยายามจะตีความหมายของประโยคที่คามินพูด แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“คุณหมายความว่ายังไงครับ ทุกวันนี้คุณก็ช่วยดูแลเด็กๆ อยู่แล้วนี่ครับ ผมไม่เข้าใจที่คุณจะสื่อ”

“คืออย่างนี้นะคุณปราณ” คามินหันไปเผชิญหน้าคนตรงข้าม พลางพูดเสียงนิ่ง เพื่อแสดงออกว่าเขาจริงจัง “ผมมาคิดๆ ดูเรื่องที่คุณพูดเมื่อคืน ที่คุณเปรยๆ ว่าคุณอยากรับปุณณ์กับปัณณ์กลับบ้านทุกวัน แต่มันทำไม่ได้เพราะติดตรงที่บางวันคุณก็มีงานน่ะ ผมมาคิดดูแล้ว ผมว่าผมน่าจะพอช่วยคุณได้”

คามินเลียบๆ เคียงๆ ตะล่อม เขารู้ว่าเดี๋ยวถ้าปราณันต์เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จะต้องไม่ยอมรับความช่วยเหลือแน่ๆ ดังนั้น เขาต้องทำให้ปราณันต์คล้อยตามด้วยเหตุผลก่อน ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังเลยว่าปราณันต์จะยอมฟัง

และสิ่งที่คามินคิดไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ได้ครับ” ปราณันต์ปฏิเสธเสียงแข็งทันที “ผมจะไม่ยอมรบกวนคุณอีกเด็ดขาด แค่นี้เราสามคนพี่น้องก็พึ่งพาคุณมากพอแล้ว อย่าให้มันมากไปกว่านี้เลยนะครับคุณคราม”

“โถ่ คุณปราณ ผมก็บอกแล้วไงว่าผมหวังผล ผมทำไปเพราะผมอยากเอาชนะใจคุณ แล้วผมก็เต็มใจที่จะดูแลคุณและเด็กๆ จริงๆ นะครับ”

คามินแสร้งขอร้องเสียงเศร้าแต่ปราณันต์ก็คงไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำกลับยังยกเหตุผลนั่นนี่มาอ้างไม่เลิกอีก

“คุณจะดูแลเด็กๆ ได้ยังไง คุณจะมาอยู่กับพวกแกให้ ตอนผมทำงานล่วงเวลาอยู่แบบนี้หรอครับ” ปราณันต์ร่ายยาวอย่างหยุดไม่อยู่ “แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าผมจะกลับกี่โมง จะดึกแค่ไหน คุณจะกะเวลาได้ยังไง จะให้ผมรบกวนให้คุณมาเฝ้าเด็กๆ จนต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”

“คุณปราณครับ ใจเย็นๆ นะ” คามินจับไหล่ทั้งสองข้างของปราณันต์ไว้นิ่ง ก่อนที่ตาคมจะสบเข้าไปในดวงตากลมโตที่ตอนนี้กำลังสับสนวุ่นวายเหลือเกิน “ฟังผมก่อน ผมกำลังจะบอกว่าผมมีทางออกยังไง”

ปราณันต์นิ่งไป เขาเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ประกายตาที่อบอุ่นและนุ่มลึกคู่นั้นสามารถทำให้เขาสงบลงได้อย่างประหลาด

“แล้วคุณจะทำยังไง บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าผมไม่ยอมให้คุณมาลำบากเพราะเราสามคนพี่น้องแน่ๆ”

เจ้าของใบหน้าหวานที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ แต่บทจะดื้อตาใสขึ้นมา คามินบอกได้คำเดียวว่าเอาเรื่องไม่น้อยเหมือนกัน

“ผมจะย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับคุณครับ” พอคามินพูดจบ ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความตกใจให้ปราณันต์ไม่น้อย เพราะตอนนี้ปราณันต์ถึงกับนิ่งค้างไปเลย

“คุณว่าไงนะครับ” ปราณันต์ถามทวนซ้ำ ราวกับว่าอยากจะแน่ใจ

“ผมบอกว่า ผมจะย้ายอพาร์ทเม้นท์ไปอยู่ที่เดียวกับพวกคุณครับ ผมโทรไปหาเจ้าของอพาร์ทเม้นท์มาแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่แน่ใจเรื่องห้องว่าง แต่จะลองดูให้ ตอนนี้ผมก็เลยทำจองไว้ แล้วมาปรึกษาคุณ ถ้าคุณปราณโอเค ผมก็จะได้ให้เจ้าของเขาหาห้องให้ผมให้ได้ แบบนี้ถ้าผมจะต้องช่วยดูแลฝาแฝดแทนคุณ ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถูกไหมครับ”

คามินสรุปให้อีกฝ่ายฟังยาวเหยียด ปราณันต์ที่ดูเหมือนกับว่าตอนนี้สติหลุดไปแล้ว ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำไมคามินถึงได้ตัดสินใจปุบปับแบบนี้

“ทำไม...” ถ้อยคำที่ปราณันต์อยากถามมีมากมาย แต่ดูเหมือนกับว่าเขาจะพูดไม่ออกเลยสักประโยค “ทำไมถึงทำแบบนี้ คุณไม่เห็นต้องพยายามมากขนาดนี้เลย ผมรับไม่ไหวหรอก มันรบกวนคุณมากเกินไป”

“คุณปราณ...” คามินครางเสียงอ่อย เมื่อได้ยินความเด็ดขาดในน้ำเสียงของปราณันต์ น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วยังไงก็เหมือนว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาสักนิด คามินเลยจำต้องเปลี่ยนท่าที ให้ดูประนีประนอมมากขึ้น เพราะเขารู้ดีว่าครั้นจะบังคับให้ปราณันต์รับข้อเสนอที่เขายื่นให้ในคราวเดียวนั้น ย่อมไม่มีทางเป็นได้หรอก

คนตัวโตลอบถอนหายใจเบาๆ ขนาดคุยธุรกิจกับผู้บริหารระดับโลกยังไม่เหนื่อยใจเท่ากับคุยกับเด็กคนนี้เลย เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องยอมทำอะไรมากมายขนาดนี้ คนที่เต็มไปด้วยอำนาจและบารมีแบบเขา ทำไมจะต้องมาคอยเอาใจเด็กที่เป็นแค่พนักงานในบริษัทขนาดนี้ด้วย

แต่ก็นั่นแหละ คามินก็พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาแค่อยากจะเอาชนะไอ้เพื่อนตัวแสบของเขาเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้หรอก ... หวังว่าแบบนั้นนะ

“เอางี้ดีไหมครับ คุณปราณลองเก็บไปคิดก่อนดีไหม แล้วเดี๋ยวเย็นนี้ หลังจากเสร็จธุระที่คลับ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที ผมอยากให้คุณได้ลองเอาไปคิดทบทวนดูก่อน ผมหวังดีกับคุณ กับเด็กๆ จริงๆ นะ อย่าปฏิเสธผมทันทีแบบนี้เลย... นะ ... ได้ไหมครับ”

น้ำเสียงออดอ้อนถูกส่งมาจากปากหยัก ทุกกลเม็ดและความเจ้าเล่ห์ที่คามินมี ถูกงัดเอาออกมาใช้แทบไม่มีเหลือ และแน่นอนว่าปราณันต์ได้เจอสิ่งเหล่านี้กลับไป ก็ใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน

“ก็ได้ครับ” คนตัวเล็กอ้อมแอ้มรับปาก เพราะไม่อยากเห็นคามินเสียกำลังใจ ด้วยเพราะอุตส่าห์หวังดีแต่ความจริงคือปราณันต์ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะต้องหาทางปฎิเสธคามินให้จงได้ ยังไงคราวนี้เขาก็ไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด

ปราณันต์เลือกที่ถอยหลังหนึ่งก้าวตอนนี้เพื่อไปตั้งหลัก หาถ้อยคำบอกปัดที่นุ่มนวลและไม่กระทบใจคามินมากที่สุด แล้วเย็นนี้ค่อยให้คำตอบกับคามินอย่างจริงจัง

“ไว้เย็นนี้เราจะคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง แต่ผมบอกคุณไว้ก่อนนะว่าถ้าผมตัดสินใจแล้ว คุณต้องยอมรับการตัดสินใจของผม แบบนี้โอเคไหมครับ”

คามินยิ้มร่า เขามั่นใจเหลือเกินว่าปราณันต์จะไม่ปฏิเสธเขา ก็บอกแล้วยังไงล่ะ ว่าเขาเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว

“โอเคครับ ตกลง ขอแค่คุณปราณจะยอมเอาเก็บไปคิด แค่นี้ผมก็ดีใจมากๆ แล้ว"

“ก็ได้ครับ งั้นเย็นนี้เลิกงานเจอกันนะครับ” คนตัวเล็กบอกลาก่อนจะที่ขาเรียวจะก้าวลงไปจากรถ พร้อมๆ กับที่สายตาคมของคามิน มองตามร่างบางที่เดินไปจนสุดทางพลางคิดในใจอย่างถือดี


'ยังไง คุณก็ไม่มีทางปฏิเสธผมได้หรอกปราณันต์'

.

.

.

ตลอดทั้งวันปราณันต์เอาแต่เก็บเรื่องที่คามินพูดมาครุ่นคิด จนแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน กันต์กวีแอบสังเกตความผิดปกติของปราณันต์เงียบๆ แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเรื่องราวจากเหตุการณ์คราวก่อน ยังทำให้เขาและปราณันต์ยังเข้าหน้ากันไม่ติดสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความไม่สบายใจที่เห็นเพื่อนร่วมงานดูไม่อยู่กับร่องกับรอย สุดท้ายกันต์กวีจึงเลือกบอกเรื่องนี้ให้นทนัชรู้ จะได้ลองไปคุยกับปราณันต์ เผื่อจะมีอะไรให้เขาทั้งสองคนช่วยได้

“พี่นทครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” แล้วกันต์กวีก็อาศัยจังหวะที่ปราณันต์เดินไปเข้าห้องน้ำ แอบมาหานทนัชที่โต๊ะ เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องปราณันต์

“มีอะไรหรอกวี” นทนัชถามขึ้นด้วยความกังวลเล็กๆ เพราะโดยปกติแล้ว กันต์กวีเป็นคนไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ หรือถ้ามีก็ไม่ค่อยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เที่ยวนี้กลับไม่ใช่ แล้วเรื่องอะไรกันที่ทำให้คนสงบนิ่งอย่างกันต์กวีร้อนรนได้ขนาดนี้

...ซึ่งก็คง หนีไม่พ้นเรื่องปราณันต์

“เรื่องปราณน่ะครับ”

นั่น! ผิดปากที่ไหน ไม่ใช่นทนัชไม่รู้ว่ากันต์กวีคิดยังไงกับปราณันต์ แต่หัวหน้าทีมร่างเล็กเพียงแค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอที่จะเข้าไปสอดรู้ อีกอย่างการทำงานในทีมก็ไม่ได้เสียหาย เธอก็เลยปล่อยเลยตามเลย ให้เป็นเรื่องของคนสองคนคุยกันเองจะดีกว่า แต่ตอนนี้กันต์กวีเลือกที่จะเอ่ยปากขอให้เธอช่วยแล้ว ท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่พอตัว

“วันนี้ผมรู้สึกเหมือนปราณไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเลย พี่พอจะรู้รึป่าวครับ ว่าปราณเขาเป็นอะไร”

“นายก็รู้นิสัยเด็กนั่นดี” นทนัชพูดยิ้มๆ “ถ้าเจ้าตัวแสบนั่นไม่คิดจะเล่า ต่อให้นายง้างปากให้ตาย ปราณก็ไม่มีทางพูดหรอก อย่าห่วงไปเลย เชื่อพี่เถอะ ถ้ามันเหนือบ่ากว่าแรง ปราณก็คงมาบอกพวกเราเองแหละ ยังไงเราก็ทำงานด้วยกัน”

นทนัชพยายามปลอบกันต์กวีไม่ให้คิดอะไรมาก คนแบบปราณันต์หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะมาเล่าความทุกข์ใจให้ใครฟัง ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ เด็กนั่นจะไม่ยอมคายออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“แต่พักนี้ปราณดูไม่ปกติพี่ก็รู้” นทนัชจับสังเกตความเข้มของน้ำเสียงกันต์กวีได้ ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะรู้ว่าเจ้าของคำพูดหงุดหงิดไม่น้อยกับประโยคเมื่อกี้

“แล้วปราณผิดปกติยังไงล่ะ” นทนัชยังคงถามอย่างใจเย็น เพื่อรอดูทีท่าและคำตอบของกันต์กวี ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มเหนือเริ่มจะควบคุมอารมณ์ที่คุกรุ่นของตัวเองแทบไม่ได้แล้ว

“ผมเพิ่งไปเจอมา เหมือนปราณกำลังจะมีคนมาจีบ ซึ่งผมว่ามันไม่โอเค” นี่สินะ เหตุผลที่แท้จริง นทนัชลอบส่ายศีรษะเบาๆ คิดอะไรไว้แล้วไม่มีผิด

“แล้วยังไงล่ะ ปราณก็ไม่เด็กแล้วนะ การที่เขาจะมีคนเข้ามาจีบบ้างมันจะแปลกตรงไหน นายไปมีสิทธิ์อะไรไปไม่พอใจล่ะกวี” นทนัชสวนกลับเล่นเอากันต์กวีจุกไปเหมือนกัน

“แต่ประเด็นคือ ไอ้หมอนั่นมันดูไม่น่าไว้วางใจสักนิดเลยนะพี่ เราจะปล่อยให้ปราณไปคบกับคนแบบนั้นหรอครับ”

นทนัชค่อยๆ หันมามองหน้ากันต์กวีด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเอ่ยปรามด้วยท่าทีซีเรียส

“กวี... นายกำลังล้ำเส้นนะ” เพียงแค่ประโยคเดียวจากหัวหน้าทีมก็ทำเอาหนุ่มเหนือชะงักไปเหมือนกัน "นายไม่ได้เป็นอะไรกับปราณนะ นายเป็นแค่ ‘เพื่อนร่วมงาน’ เท่านั้น เพื่อนร่วมงานเหมือนกับพี่ เหมือนกับคนอื่น เหมือนกับทุกๆ คนในบริษัท เพราะฉะนั้นการที่ปราณจะไปคุยกับใคร ในฐานะอะไร ทั้งพี่และนาย เราสองคนไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่าม”

กันต์กวีหน้าเสีย เมื่อเจอความเป็นจริงของคำพูดของนทนัชตีแสกหน้า

“โอเค นายเป็นห่วงปราณได้ นายตักเตือนได้ แต่มันก็มีเส้นบางๆ ขวางไว้อยู่ และนายก็ไม่มีสิทธิ์ข้ามเส้นนั้น ไป ทุกอย่างอยู่ที่ปราณ นายพูดมันไปแล้ว เขาจะฟังหรือไม่ฟังมันสิทธิ์ของเขา ชีวิตเขาๆ เลือกเอง คนที่จะมาอยู่ข้างๆ เขา เขาเลือกเอง พี่กับนาย เราไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายโอเคไหม”

นทนัชร่ายยาว ทำเอากันต์กวีทรุดลงนั่ง เมื่อพบว่าสิ่งที่นทนัชพูดเป็นความจริงทุกประการ

“เอาเป็นว่าพี่จะพูดกับปราณให้อีกแรงแล้วกัน แต่เขาจะฟังหรือไม่ฟัง บอกหรือไม่บอกก็เรื่องของเขานะ พี่ไม่อยากไปรุกล้ำเรื่องส่วนตัวของปราณันต์มากเกินไป”

ซึ่งพอนทนัชพูดทุกอย่างจบก็ลุกออกไป “พี่ไปประชุมก่อนนะ” สุดท้ายทุกคนก็ทิ้งให้กันต์กวีนั่งหมดแรงอยู่ที่โต๊ะทำงานเพียงลำพังคนเดียว

.

.

.

ทางด้านปราณันต์ ขณะเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็กำลังจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน แต่โทรศัพท์มือถือกลับมีเสียงสายเรียกเข้าดังขึ้นเสียก่อน


Rrrr


และเมื่อสายตากลมเหลือบไปเห็นเบอร์ของสายโทรเข้า ก็ทำให้ปากอิ่มยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ

“ไอ้วิน!” ปราณันต์รับสายด้วยความยินดี อย่างกับเพื่อนสนิทจะรู้ใจว่าตอนนี้เขากำลังอยากคุยด้วยอยู่พอดี

(เออ ฉันเอง ทำไมต้องโวยวายอะไรขนาดนั้นวะ) อนาวินรับคำด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ หลังจากได้ยินปราณันต์ตะโกนเรียกชื่อเขาตอนรับสายด้วยเสียงดังลั่น

“โทรมาเหมือนรู้ใจ มีเรื่องจะปรึกษาพอดีเลยว่ะ” ปราณันต์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ปัญหาที่เขาเครียดมาตั้งแต่เช้า ดูเหมือนจะมีคนมาช่วยแบ่งเบาแล้ว

(ฮ่าๆ ได้ยินเสียงเป็นต้องปรึกษา พักนี้นายปัญหาเยอะจังวะ ทำไมพอมีคนมาจีบแล้ว หัวใจมันมีเรื่องให้คิดเยอะขึ้นหรือไงกัน ฮ่าๆ)

อนาวินแซวไปหัวเราะไปไม่หยุด ทำเอาคนปลายสายอดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน เพราะมาคิดๆ ดูแล้ว พักนี้เขาก็เป็นแบบอนาวินว่าจริงๆ มีเรื่องให้คิดวุ่นวายใจเต็มไปหมด ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มาจากผู้ชายคนที่มาจีบจริงๆ เสียด้วย

“พูดมากน่า” ปราณันต์กระแอมกระไอแก้เขินไปเรื่อย ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตกลงนายจะฟังปัญหาที่ฉันจะปรึกษาได้รึยังเนี่ย”

(ฮ่าๆ เอ้าๆ จะเล่าอะไรก็ว่ามา) อนาวินรับฟังปราณันต์ที่อยู่ปลายสายเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง มีปฎิกริยาโต้กลับบ้างนิดหน่อย เพื่อแสดงออกให้เพื่อนได้รู้ว่าตนกำลังตั้งใจฟังอยู่ ซึ่งเรื่องหลักๆ ที่ปราณันต์เล่าก็ไม่มีอะไรมาก

คนตัวเล็กปรึกษาเพื่อนสนิทว่าจะปฎิเสธคามินอย่างไรดี เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้คนที่กำลังมาจีบเพื่อนเขานั้นมีแผนจะเข้ามาดูแลฝาแฝดแทนให้ในช่วงเวลาบางวันที่ปราณันต์จะต้องกลับบ้านดึกเพื่อทำงานล่วงเวลา โดยการย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกัน ห้องติดๆ กัน แต่ดูเหมือนตัวปราณันต์เองไม่อยากจะรบกวนคามินมากขนาดนั้นเลยพยายามจะหาทางปฏิเสธ

และพอฟังปราณันต์เล่าจบ อนาวินก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจปราณันต์เลยจริงๆ ว่าทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากขนาดนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเรื่องนี้มันง่ายมาก ถ้าปราณันต์ตัดสินใจทำตามความต้องการของตัวเองจริงๆ ไปเสีย

(ไอ้ปราณ ก่อนที่ฉันจะให้คำปรึกษานาย ฉันขอถามอะไรก่อน จะได้ป่าววะ)

ปราณันต์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เขารู้ว่าอนาวินจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ ที่จะปฏิเสธคามิน บางทีมันก็น่าโมโหที่เขาสองคนสนิทกันมากเกินไป มากจนอนาวินแทบจะไม่ต้องทำอะไรมาก บางทีแค่ได้ยินเสียงเขาหายใจ ปราณันต์ยังมั่นใจได้เลยว่าอนาวินก็สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งปราณันต์เองก็ไม่รู้ว่าตกลงไอ้ความรู้ใจซึ่งกันและกันเนี่ยมันเป็นข้อดีหรือข้อเสียกันแน่

“ว่ามาสิ”

(นายไม่อยากให้ฝาแฝดกลับมาอยู่บ้านเหมือนเด็กอื่นปกติทั่วไปหรอวะ ฉันอยากรู้แค่นี้แหละ) นั่นไง ผิดจากที่ปราณันต์คิดที่ไหน อนาวินรู้จักเขาดีเกินไป เกินไปจริงๆ

“อยากสิ ทำไมฉันจะไม่อยาก แต่มัน...”

(นายจะมีแต่ทำไมวะ ในเมื่อมันก็ดีกับทุกฝ่าย น้องนายก็จะได้กลับบ้านทุกวันเหมือนเด็กทั่วไป ส่วนนายเองวันไหนกลับเร็วก็จะได้กลับมาเจอน้อง แล้วตัวคามินเองเขาก็เต็มใจจะดูแลนายแล้วก็น้องนาย ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรตรงไหนไม่ลงตัว แล้วนายจะไปปฎิเสธเขาทำไม)

อนาวินร่ายยาวเตือนสติปราณันต์ แต่ปราณันต์ก็ยังคงเป็นปราณันต์ที่ดื้อรั้นและดึงดันด้วยทิฐิของตัวเอง

“แต่ฉันกับเด็กๆ รบกวนเขาบ่อยมาก ยิ่งเขาจะมาทำแบบนี้ให้ ฉันยิ่งว่ามันมากเกินไป มันดูไม่โอเคว่ะ”

อนาวินถอนหายใจ ก่อนจะพูดซ้ำอีกรอบ (ฉันว่าฉันเพิ่งพูดไปนะว่าเขาเต็มใจ เต็มใจก็คือเต็มใจอ่ะปราณ ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนตรงไหนเลย)

“แต่...”

(ไหนว่าจะเปิดใจให้ผู้ชายคนนั้นไง) คำพูดของอนาวินทำให้ปราณันต์ชะงักกึก (ถ้านายจะเปิดใจ อันดับแรกเลยนายต้องยอมรับความช่วยเหลือจากเขาก่อน ไอ้เกรงใจน่ะฉันเข้าใจ แต่นี่เขาเสนอตัวมาหานายเอง อีกอย่างเขาทำเขาก็หวังผล เขาอยากเอาชนะใจนาย ถ้านายเลือกแล้วที่เปิดใจให้เขา นายก็ต้องให้โอกาสเขาดูแลนาย ดูแลครอบครัวนายนะ)

ปราณันต์เงียบไปทันที เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงอนาวิน

(คิดดูให้ได้ๆ ไอ้เหมียว ว่าที่นายจะปฏิเสธเขาเนี่ย มันเพราะนายเกรงใจเขาจริงๆ หรือมันเป็นเพราะนายไม่อยากให้เขามองว่านายไม่มีศักดิ์ศรีกันแน่)

ริมฝีปากอิ่มเม้นเป็นเส้นตรงทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดแบบนั้น อนาวินไม่ใช่แค่รู้จักนิสัยใจคอเขา แต่แม้กระทั่งความคิด อนาวินก็มองมันขาดทั้งหมด

(ที่เหลือนายก็ไปตัดสินใจเอาเอง ถ้านายอยากให้ฝาแฝดและตัวนายเองมีความสุข นายก็แค่รับข้อเสนอของคุณคามินเขาไป แต่ถ้านายมองว่าศักดิ์ศรีของนายเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าก็ปฏิเสธเขาซะ ถ้อยคำปฏิเสธมีเยอะแยะ ฉันรู้ว่านายหาคำดีๆ มาบอกปัดเขาได้ ไม่ยากหรอก)

“นายนี่มัน...” ปราณันต์กลืนคำด่าทั้งหมดลงคอ เพราะไม่รู้จะพูดยังไง ในเมื่อสิ่งที่อนาวินบอกเป็นความจริงทุกอย่าง

(ตัดสินใจได้แล้วใช่ป้ะ) เพื่อนสนิทร่างเล็กถามกลับเสียงล้อๆ เมื่อพอจะเดาได้ว่าตอนนี้ปราณันต์ตัดสินใจไปในทางไหน

“เออ รู้แล้ว...” ปราณันต์เงียบไปก่อนจะสารภาพออกมาอย่างกัดฟัน “ไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่ให้ตาย! นายแม่งรู้ใจฉันเกินไปแล้วว่ะ”

(ฮ่าๆ ฉันใคร อนาวินนะเว่ย) เพื่อนสนิทร่างเล็กหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ที่สามารถเกลี้ยกล่อมปราณันต์ได้สำเร็จ

“เออๆ ยังไงก็ขอบใจนายมากนะที่ให้คำปรึกษาที่ดีมาตลอด”

(โน่น มีอีกคนที่รอให้นายไปขอบใจเขาอยู่ รีบไปบอกซะ แล้วก็เคลียร์กันให้เรียบร้อย)

อนาวินพูดเป็นการเป็นงาน (แล้วตกลงกันได้ยังไงก็บอกฉันด้วยล่ะ ต่อไปนี้เวลาไปหาแฝด จะได้รู้ว่าต้องไปที่อพาร์ทเม้นท์หรือที่โรงเรียน)

“ได้ๆ งั้นแค่นี้ละกัน ฉันจะไปทำงานต่อละ ขอบใจนายมากอีกที”

(โอเค ไม่ต้องขอบใจหรอก เรื่องแค่นี้เล็กน้อย) น้ำเสียงสดใสกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะกดวางสายไป

ปราณันต์ยิ้มให้โทรศัพท์น้อยๆ อนาวินช่างเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลก แถมยังโทรมาได้จังหวะสุดๆ โชคดีที่ได้คุยกับหมอนั่นก่อนที่จะไปเจอคามิน ทีนี้เขาก็ตัดสินใจทุกอย่างได้หมดแล้ว

พอคิดได้ดังนั้น มือเรียวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ พร้อมกดเข้าฟังก์ชั่นข้อความ พิมพ์อะไรอยู่ไม่นานก็กดส่งออกไปด้วยสีหน้ามีความสุข


‘คุณคามิน คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมเปลี่ยนใจมารับข้อเสนอของคุณ... แล้วไว้คุยเรื่องนี้ตอนที่เราเจอกันเย็นนี้นะครับ... ปราณันต์’

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------------------

เนี่ย เรามันแพ้ทางเค้าอะลูกกกกก เห้ออออออ สงสารน้องงง อยากให้หนีไป แต่เด่วไม่มีไรให้เขียน 555555555555

ฝากคอมเม้นท์นะคะ หรือติดแท็ก #ลวงหลอกรัก ในทวิตเตอร์ก็ได้ เอาจีงงง เรารออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนอยู่น้า 5555555 แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ ตอนหน้าจะพยายามมาไวๆ มันไม่มีเวลาแก้คำผิดแค่น้านน แต่ยังไงจะรีบให้น้า

รักทุกคนจ้าาา จ๊วบบ <3

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เหอะๆๆ ...ฝันที่ปราณันต์หวังไว้อาจจะไม่ไกลเกินที่จะเป็นจริง ➡ฝันสลายเมื่อดอกฝ้ายบานน่ะสิ 55555555 ...หลงใหลได้ปลื้มจนลืมตัว หน้ามืดตามัวเพราะคำหวาน ก็คิดว่าเธอให้ความสำคัญ ก็ฝันก็เพ้อไปมากมาย.....

ขอมอบเพลงนี้ให้ปราณ มันใช่เลย 5555 ตัวประกอบ AB Normal
https://m.youtube.com/watch?v=pa88-pDII3I

สนุกมาก ชอบการหลอกลวงและการหลง เจ้าเด็กแฝดน่ารักเหมือนเดิม ถึงวันนั้นจะเป็นยังไงละเนี้ย หรือจะเอาความใจดีของเด็กมาง้ออีก โห่ อย่าๆ 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: เป็นกำลังใจให้นะคะ รออยู่เสมอค่ะ  :L1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด