Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23  (อ่าน 13550 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
รถ สปอร์ตคันหรูถูกขับเข้ามาจอดในรั่วของเคหะสถานไม่ไกลจากถนนสายโลกีย์ที่เพิ่งขับรถจากมา เพียงขับออกมาจากจุดเดิมไม่กี่ถนนถัดไป

ในระหว่างทางก่อนถึงจุดที่รถสปอร์ตคันหรูจอดอยู่ในปัจจุบัน ได้ขับผ่านคฤหาสน์หลังใหญ่พื้นที่กว้างขวางจำนวนมาจนมาถึงสุดถนนเส้นนี้

ครั้งแรกที่เห็นคือรั่วสูงที่ปลูกต้นไม้ไปตามแนวรั่ว ซึ่งต้นไม้ยกตัวขึ้นดกสูงกว่ารั้วรอบบริเวณแนวกั้นจนสุดสายตา ในที่มีแสงจำกัดแบบนี้ ผมมองไม่เห็นเลยว่าแนวรั้วต้นไม้แบบนี้มันไปสิ้นสุดที่ใด

หลังจากผ่านประตูรั้วที่เปิดเลื่อนออกอย่างอัตโนมัติ ก็พบกับถนนที่พาดยาวไปจนถึงสุดทางที่สว่างไสว ถนนที่กว้างขนาดแค่รถสองคันขับสวนกันอย่างพอดี เหมือนลากตัดผ่านอุทยานแห่งชาติ ความสมบูรณ์ของต้นไม้และพุ่มไม้ต่างๆ ที่จัดอย่างจงใจให้ดูเป็นธรรมชาติ

เสียงน้ำไหลและตกกระทบกันจากที่สูงจากที่ไกลๆ ทำให้ที่นี่มีความรู้สึกหลุดพ้นจากสภาพเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายภายนอกรั่ว

เหมือนผมหลุดเข้ามาในป่าดิบชื้นที่ไหนสักแห่ง ด้วยอุณหภูมิยามนี่ที่ลดลงไปกว่าตอนกลางวันมาก ทำให้สภาพแวดล้อมตอนนี้เย็นลงจนผมรู้สึกตัวสั่น

ยิ่งระหว่างขับรถไปตามถนนไปถึงตัวบ้านพี่โน่ลดกระจกรถลงมาทำให้ความรู้สึกของผมมันเหมือนมาพักแรมที่ป่าเขาสักแห่ง

ผมหันไปหาเจ้าของบ้านพลางหลุดปาก “โอโห……”

พี่โน่ยิ้มอย่างภูมิใจ

ผมลงจากรถ ณ พื้นที่จอดรถหน้าบ้านที่ออกแบบเหมือนเต้นท์สีเขียวขนาดใหญ่ที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยที่ออกดอกเหมือนดอกไม้ไฟสีแดงสลับชมพู

ตัวบ้านที่อยู่ถัดไปสร้างด้วยไม้ทั้งหลังออกแบบสไตล์บริทิชคอตเทตร่วมสมัยและคลาสสิคในเวลาเดียวกัน

“ไม่คิดว่าจะมีรสนิยมแบบนี้” ผมเหล่มองภาพเจ้าของบ้านที่ยืมมองผมไม่ไกลอย่างอวดๆ ผมเคยคิดนะว่าบ้านของพี่โน่น่าจะออกแบบสไตล์ลอฟท์เท่ๆ คูลๆ  อย่างพวกเพลย์บอย เศรษฐีใหม่ทั่วไป ไม่คิดว่าจะออกแนวธรรมชาติแบบนี้

“ชอบไหมล่ะ?” พี่โน่ถามด้วยอาการอมยิ้ม

“ชอบสิ ชอบมากเลย บ้านในฝันเลยนะ!!” ผมแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง พลางวิ่งไปที่ตัวบ้านอย่างสนใจ

“บ้านขนาดกำลังพอดี ออกแบบได้เหมาะกับสวนภายในรั่วบ้าน หรือว่า สวนออกแบบให้เข้ากับสไตล์บ้าน ตัวบ้านทำจากไม้เนื้อแข็ง ทั้งลำแบบแทบไม่ตัดแต่งอะไร แถมยังเห็นลายเปลือกแบบธรรมชาติและจัดวางให้ลายไปในทางเดียวกัน ปราณีตสุดๆ แล้ว เคลือบด้วยสารบางอย่างให้คงทนไม่ลอกง่ายๆ แล้วยัง…….” ผมสำรวจภายนอกตัวบ้านไปได้สักระยะก็เริ่มพึมพำกับตัวเองอย่างออกรส จนกระทั้งสายตาไปหยุดที่พี่โน่ที่ยืนคอยอยู่ที่หน้าประตูบ้าน อมยิ้มอย่างเอ็นดู

“อะแฮ่ม! ใครออกแบบและสร้างให้พี่เนี่ย อยากไปเรียนด้วยเลย”  ผมกระแอมแก้เขิน

“ภรรยาเก่า” พี่โน่ตอบหน้านิ่ง

“เดี๋ยวนะ พี่เคยแต่งงาน?!?” ผมตกใจพอควร เพราะมันมีคำว่า ‘เก่า’ อยู่ในประโยคผมเลยนิ่งเฉยอยู่ได้

“สมัยเรียนจบใหม่ๆ…. คลุมถุงชนน่ะ แต่มันไม่เวิร์คเลยหย่าเสียเลย”  พี่โน่มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายรู้สึกผิด

“ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ คนอย่างพี่เนี่ยนะ แต่งงาน เสเพลขนาดนี้เนี่ยนะ” ผมยิ้มฝืนพลางพยายามเล่นมุก แต่ดูเหมือนอีกฝ่าย ไม่เข้าใจมุกที่ผมเลย เลยเปลี่ยนเรื่องโดยการปลดล็อกประตูด้วยระบบลายนิ้วมือและเชิญผมเข้าไป

หลังจากที่ได้เข้าไปแค่ส่วนชั้นวางรองเท้า ไฟที่พื้นทางเดินก็สว่างวาบเป็นเส้นตลอดแนวทางเดินไปจนสุดตัวบ้านอย่างอัตโนมัติ

และทันทีที่พี่โน่คลิกเปิดระบบความสว่างของบ้าน ดวงไฟทั้งหลังก็ทยอยเปิดสว่างอย่างเป็นระบบ เผยให้เห็นว่าการตกแต่งภายในต่างจากภายนอกพอควร มันเป็นการตกแต่งอย่างผสมผสานทั้งแบบแนวโมเดิร์นและแนวมินิมอล มันดูเป็นระเบียบและปลอดโปร่ง

“พี่ทำให้ผมแปลกใจอีกแล้วนะ อย่าบอกว่านี่ก็เมียเก่าออกแบบให้” ผมหันไปยิ้มให้พี่โน่ที่ตอนนี้เดินเข้าไปในห้องรับแขกที่มีกระจกสีชากั้นอยู่โดยรอบอย่างสวยงาม

“เปล่า… พวกนี้….. พี่ออกแบบเอง” พี่โน่พูดพลางกระดกบรั่นดีที่เพิ่งดึงออกจากตู้เย็นขนาดเล็กแถวบาร์น้ำที่ห้องรับแขก หากจะดูรายละเอียดทั่วๆ ไป ห้องนี้มันก็เหมือนบาร์ขนาดย่อมเลย แต่สวยและหรูหรากว่าที่เคยเห็นมาก

“สุดยอด” ผมพูดพลางยื่นมือขอเครื่องดื่มจากเจ้าของบ้าน แต่อีกฝ่ายกลับยื่นน้ำอัดลมสีดำให้ผม 1 กระป๋อง แม้จะแอบขุ่นเคืองแต่ก็ยอมรับน้ำใจอีกฝ่ายอย่างดี และซดลงคออย่างชื่นใจ

“ชอบไหม?” พี่ถามพลางจิบของเหลวสีอำพันเข้มลงคอ

“ชอบสิ” ผมมองโดยรอบและตอบเสียงดัง

“งั้นเรียนจบมาแล้วอยู่ด้วยกันไหม?” พี่โน่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอแต่งงานป่าวเนี่ย” ผมหันไปหัวเราะเชิงเล่นหัว

“ขอได้ไหม?” น้ำเสียงไม่สั่นไหว

“เอ่อ….แล้วแม่….” ผมเห็นอีกฝ่ายที่จริงมากมายจนเริ่มกลับสู่โลกแห่งความจริง

“นั่นมันไม่เกี่ยว มันอยู่ที่เราสองคน พี่ถามว่า พี่ขอเราแต่ง ไอซ์จะแต่งไหม?”

ประโยคนี้ทำผมอึ้งไปหมด สมองผมรวนจนไม่สามารถประมวลผลใดๆได้

“หากพูดไม่ออกก็ให้จูบพี่แทนคำตอบ แต่หากปฏิเสธก็เดินออกจากห้องไปพี่จะไม่โกรธน้องเลย” พี่โน่พูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผม หัวใจของผมวูบไหวไปหมด

ผมโน้มตัวลงไปใช้ริมฝีปากประกบกับริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ เป็นคำตอบ ผมไม่รู้ว่าจะคิดอะไรให้มากมายปวดหัว ขอตามใจตัวเองก่อนก็แล้วกัน

“ไม่คิดว่า พี่จะจริงจังกับใครเขาเป็น?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลๆ ผมกับพี่โน่หันไปทางต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ

บุรุษร่างสูงโปร่งยืนอยู่บริเวณหน้าทางเข้าห้องรับแขก แต่งกายในชุดคลุมอาบน้ำที่เปิดเผยช่วงอกอย่างจงใจไม่ปิดบัง แม้จะไม่มีกล้ามเนื้อมากมายแต่ก็สมกับความเป็นชายช่วงวัย 20 ต้นๆ ที่กำลังรุ่งโรจน์ มันเย้ายวนไม้น้อยทีเดียว ช่วงขาที่โผล่พ้นเนื้อผ้าซาตินที่บางเบานั่นก็เปลือยสูงเกือบถึงเอว

ผมเป็นคนมีเหตุผลและไม่ใช่คนขี้หึงขนาดหน้ามืดตามัว ผมจึงได้เพียงแอบหยิกต้นแขนของพี่โน่และปรายตามองอย่างคาดคั้น ไร้เสียงใดๆ

พี่โน่ที่มีท่าทีตกใจจนสังเกตเห็นได้ชัด เอ่ยปากทักด้วยอาการสะกดกลั้นความเจ็บที่โดนผมหยิกเนื้อจนแดงไปหมด

“พี่เคยบอกแล้วนี่นาว่า พี่ไม่ casual sex กับลูกหลานคนรู้จัก!”  คำที่พูดออกจากปากพี่โน่ มันควรจะพูดทำนองว่า มาที่นี่ได้ยังไง ไม่ใช่ประโยคนี่หรือเปล่าวะ นี่มันเหมือน… ไม่ใช่ครั้งแรก!! แล้วไอ้คำพูดนั่นก็เชื่อถือไม่ได้เลย มันไม่ใช่คำที่จะแก้ตัวได้เพราะผมก็คือลูกของคนรู้จัก!!

ผมเน้นขยับบิดเนื้อมากขึ้นไปอีก จนกระทั้งพี่โน่ร้องซี๊ดออกมาที่มุมปาก แต่ก็ยังรักษาสีหน้าไว้ได้

“แต่เฮียให้กุญแจสำรองกับผมเอง แปลว่าผมมีโอกาส… ไม่ใข่เหรอครับเฮีย….. อีกอย่าง…..” พูดจบประโยคไอ้ตี๋หน้ามึนนั้นมันกลับปรายตามาทางผมและอมยิ้ม

ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ

“ถามจริง! พี่ให้ หรือน้องมาขโมยเอาตอนเมาครั้งนั้น” พี่โน่พูดจบก็หันมากระซิบแก้ตัวว่า “มันเมามากวันนั้น เลยลากมานอนที่นี่ กลัวมันออกจากประตูไม่ได้ก็เลยให้คีย์การ์ดสำรองให้มันไป

“ได้กันยัง?” ผมบิดจนเนื้อพี่โน่เริ่มเปลี่ยนสี ยิ้มเสแสร้งส่งไปที่สีหน้าของคนที่กำลังอดกลั้นอย่างสุดกำลัง

“จะบ้าเรอะ นั้นมันลูกผู้มีพระคุณ” พี่โน่กระซิบกลับด้วยใบหน้าบู้บี้

“จะไปรู้เรอะ หน้าตาก็ดีแถมมาอ่อยถึงที่!!” ผมบิดแรงขึ้นจนพี่โน่จับมือผมให้หยุดหยิกเขาเสียที

“พี่ก็เลือกนะ!” พี่โน่ส่งสายตาจริงจังปนเจ็บปวดกลับมาที่ผม

“โอเค!!” ผมยิ้มอย่างเสแสร้งใส่แล้วปล่อยมือที่หยิกจนอีกฝ่ายเนื้อแขนเปลี่ยนสี พี่โน่ได้แต่ลูบมือตัวเองไปมา

ผมเห็นท่าทางหงอๆ อีกฝ่ายก็อดตลกไม่ได้เพราะนึกภาพไม่ออกเลยว่าสมัยก่อนผมคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ ผมแทบจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้าใกล้ในรัศมี 5 เมตรของพี่โน่แน่นอน แต่ตอนนี้ผมทำอีกฝ่ายเจ็บจนเนื้อช้ำ พี่โน่ทำได้แค่ลูบเนื้อตรงนั้นบรรเทาความเจ็บ

ผมแอบเห็นด้วยนะครับว่นถึงพี่โน่เป็นคนเจ้าชู้แค่ไหน แต่เขาก็มีสัจจะ เรื่องแบบนี้พี่โน่ไม่เคยโกหก เคยก็บอกเคย ไม่เคยก็บอกไม่เคย

“มึงช่วยออกไปแล้วก็วางคีย์การ์ดบ้านกูไว้ในบ้านก่อนมึงออกไปด้วย ผัวเมียเขาจะอยู่ด้วยกัน” พี่โน่ทำท่าทางไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ใยดี

“……” คนหน้าตี๋ทำหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

“กูบอกหลายทีแล้วว่า กูไม่เคยคิดกับมึงเกินเลย ได้เต็มที่ก็น้องชายมึงช่วยเข้าใจกูหน่อย หรือต้องให้กูไปคุยกับป๊ามึง มึงถึงจะยอม!!” พี่โน่พยายามอธิบายตรงๆ ตามสไตล์เขา แต่ฟังจากประโยคก็เดาว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

“ก็ได้ ครั้งนี้ผมยอมก็ได้” หลังจากจบประโยค ไอ้คนหน้าตี้ก็เดินออกไปนอกบ้านทั้งที่ใส่ชุดบางเฉียบแบบนั้นออกไป

พี่โน่รีบเดินไปส่งเพื่อทวงคีย์การ์ดคืน แต่ไม่นานพี่โน่เดินกลับมาพร้อมคีย์การ์ดในมือ

“ไอ้เด็กบ้า มันโยนทิ้งไว้ที่พื้นหน้าบ้าน” พี่โน่ส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน

“เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม? ปกติพี่ไม่เคยยอมใครขนาดนี้!” ผมนั่งลงที่เก้าอี้สูงบริเวณบาร์น้ำ

พี่โน่พยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้และเดินเข้าไปในบาร์น้ำ ทำตัวเป็นบาร์เทนเดอร์ชงเครื่องดื่มให้ผมดื่มอย่างชำนาญ พลางเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา

ผมจับใจความได้ว่าไอ้เด็กหน้าตี๋นั้น เป็นลูกของเศรษฐีที่ดินในจังหวัด ที่ดินตรงที่พี่โน่ลงทุนทั้งหมด เกินครึ่งได้ความอนุเคราะห์ในการซื้อขายจากเศรษฐีท่านนี้  ท่านมีลูกชายคนเดียวที่แสนจะไม่ได้เรื่องได้ราว จึงฝากฝังให้พี่โน่สอนงานเรื่องธุรกิจของพี่โน่ให้ ผมฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนฝากเลี้ยงมากกว่า  พี่โน่เหมือนมีลูกชายมากกว่าน้องชาย

ถึงแม้จะทำตัวดีขึ้นมาบ้างรู้จักทำงานให้เห็นบ้าง แต่ทั้งหมดอาจเพราะไอ้ตี๋นั่นมันหลงรักพี่โน่มากกว่า

พี่โน่เล่าว่า มันพยายามอ่อยและล่อลวงพี่โน่หลายครั้งแล้วแต่เสือร้ายอย่างพี่โน่มีหรือจะพลาดหลงกลจิ้งจอกวัยเยาว์

ฟังจบผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ คิดว่าทำใจเรื่องนี้ได้แล้วเสียอีกเพราะดันไปหลงรักไปคนมากอดีตชู้รักอย่างพี่โน่ แต่มาเจอกับตัวก็เกือบควบคุมอารมณ์ไม่ได้เหมือนกัน

ผมเดินมาล้มนอนแผ่ใส่โซฟาขนาดใหญ่ที่มองเผินๆ น่าจะเรียกว่าเตียงขนาดเล็กมากกว่าหากไม่มองพนักเก้าอี้ฝังคริสตัลระยิบระยับประปรายทั้งผืน ผมผ่อนลมหายใจยาวเหยียดจนลมหมดปอดแล้วสูดลมหายใจที่หอมกลิ่นอโรมาคล้ายสปาเข้าเต็มปอด

รู้สึกคลายกังวลไปได้นิดหน่อย บรรยากาศยามนี้ทำให้เรื่องที่ไม่สบายใจเมื่อครู่กลายเป็นเหมือนอดีตอันไกลโพ้นเลย ลมเย็นๆ ที่เริ่มพัดออกจากเครื่องปรับอากาศอากาศแบบฝังเพดานปะทะตัวยิ่งรู้สึกเหมือนจะเคลิ้มหลับเสียให้ได้

แต่อารมณ์สุนทรีที่เกิดขึ้นก็ดับวูบลงเมื่อพี่โน่กระโดลงคล่อมตัวผมอย่างไม่ตั้งตัว ร่ายเปลือยครึ่งบนที่ไม่รู้ว่าไปสลัดผ้าหลุดไว้เมื่อใดกำลังจะเคลื่อนตัวลงมาบดตัวผมที่อยู่เบื้องล่างด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายเพียงหนึ่งเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2022 12:09:06 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งหื่นสิ!!” ผมยกมือผลักหน้าพี่โน่ไม่ให้เข้าใกล้มากไปกว่านี้

“ไม่สิ คิดว่าพี่แค่พามาดูบ้านหรือไง?” อีกฝ่ายจับมือผมเลื่อนลงไปที่กล้ามอกแน่น

“รู้หรอกนะ ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น! แต่ขอปรับอารมณ์ก่อนได้ไหม?” ผมคิ้วขมวดใส่ไอ้ผู้ใหญ่ตัวร้อน จนเห็นเส้นเลือดตามกล้ามเนื้อเขม็งเกร็ง

“เห็นขนาดนี้แล้ว อารมณ์ยังไม่เปลี่ยนอีกหรือ?” พี่โน่ก้มลงมองเบื้องล่างของตนเอง

ผมมองตามสายตาที่นำไปโดยสัญชาตญาณ กล้ามเนื้อที่นูนเด่นเน้นแข็ง เป็นลอนไปทุกสัดส่วน ทำให้รู้ว่า มีคนแอบสุ่มออกกำลังกายให้ผมประทับใจ (แค่นี้ก็หลงจะแย่)

“อืม…. ก็นะ” ผมเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบด้วยใบหน้าที่อุ่นร้อนรุมๆ

“พี่ต่อได้ใช่ไหม?” สายตาของพี่โน่บอกถึงความต้องการชัดเจนโดนเฉพาะส่วนหัวเข่าของผมที่รับรู้กล้ามเนื้อบางส่วนของเป้ากางเกงที่แข็งแรงขึ้นมาจนรู้สึกได้

“จะรออะไรล่ะ?” ผมจบประโยคด้วยจุมพิตที่ดูดดื่มโดยการดึงอีกฝ่ายลงมาสัมผัสกับริมฝีปากผมอย่างเร้าร้อน

แม้จะรู้ว่าตำแหน่งที่ตัวเองอยู่จะเป็นห้องรับแขกที่มีผนัง 2 ด้านเป็นกระจกใส่ที่มองทะลุออกเป็นสวนสวยด้านนอก แต่ผมก็ยอมให้อีกฝ่ายรับบทคนรักอย่างไม่ขัดข้องบนโซฟาอันหรูหราอันนี้

…………..

ผมหอบหายใจถี่จนแทบจะขาดใจ คางเกินอยู่ขอบอ่างจากุชชี่ที่นอกระเบียงริมสวนสไตล์ป่าดิบชื้นในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น

การถูกชวนมาแช่น้ำตรงนี้ผมว่าผมคิดผิด ไม่คิดว่าจะมีกิจกรรมแบบนี้ยามเช้าในอ่างจากุชชี่แบบนี้ด้วย อายุก็ไม่น้อยแล้วทำไมถึงพิศดารได้ขนาดนี้ (แต่ก็….แบบว่า….ชอบนะ)

แถมมันดูไม่เหนื่อยสักนิด!!

“ชดเชยที่ห่างกันไปนาน” พี่โน่พูดขึ้นขณะที่นอนหงายเงยหน้ามองฟ้ายามเช้าตรู่ อวัยวะหลายส่วนกว่าครึ่งจมอยู่ภายใต้ฟองพรายของอ่างสี่เหลี่ยมสีขาววาววับขนาดใหญ่

ผมหันหลังลงมานอนแผ่จมฟองผุดจากก้นบ่อ ฟองที่ละมุนเหล่านั้น ทุกครั้งที่สัมผัสร่างก็รู้สึกผ่อนคลาย ยกเว้นอยู่เพียงบริเวณเดียว คือ บั้นท้ายของผมที่ยังไม่ชินเสียที

“วันนี้อยู่ด้วยกันก่อนไหม? บ้านพี่ยังมีพื้นที่ๆ รอเราไปสำรวจอยู่นะ” พี่โน่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

คำพูดของวายร้ายที่ไร้ก้นบึ้งแห่งความต้องการทางเพศ เพียงแค่เอ่ยปากผมก็รู้ดีอย่างลึกซึ้ง

“พอเลย ผมอยู่ต่อได้นะ แต่ช่วยแนะนำแต่ตัวบ้านได้ไหมครับ? ไม่ต้องมาสำรงสำรวจอะไรทั้งนั้น!!” ผมทำตาเขียวใส่คนตรงข้ามอย่างมาดร้าย

“ว้า…..” พี่โน่อุทานด้วยอาการขบขัน พร้อมทั้งเท้าที่ดำผุดมาหยุดตรงจุดยุทธศาสตร์ผม และสัมผัสเคล้าคลึงเบาๆ

“พี่โน่ พอเถอะ เครื่องในผมพังผมแล้ว!!” ผมจับขาข้างนั้นเหวี่ยงกลับคืนอย่างไม่ใยดี แม้สัมผัสเหล่านั้นมันจะปลุกน้องชายผมตื่นขึ้นมาแล้วก็เถอะ

“โอเคๆ แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็ได้ วันนี้พี่เคลียร์ทุกอย่างเพื่ออยู่กับไอซ์เลยนะ!!” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้โผเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน พร้อมใช้ริมฝีปากประทับรอยจูบลงบนแก้มแดงๆ ของผมอย่างทะนุถนอม (ทำแบบนี้ก็เป็นนะ)

“งั้นเริ่มจากห้องโฮมเธียร์เตอร์ก่อน!!” ผมพูดจบก็ประทับจูบคืนไปที่แก้มของพี่โน่คืนและเอนกายไปซบไหล่อีกฝ่ายท่ามกลางฟองพรายอ่อนนุ่ม

“ตาดีชะมัด” พี่โน่ลูบศรีษะผมพลางพูดด้วยอารมณ์ขัน

…………….


คงจะครบ 24 ชั่วโมงพอดีที่ผมออกจากบ้านตัวเอง การอยู่ร่วมกับคนที่เรารักมันทำให้เวลาไหลผ่านไปเร็วยิ่งกว่าสายน้ำตก

ถึงแม้ว่าตอนเช้าผมจะพูดอย่างแข็งขันว่าจบกิจกรรมสำรวจแต่เพียงเท่านี้ แต่สุดท้ายผมก็โดนไปอีกรวม 2 รอบก่อนจะกลับบ้าน เฮ้อ….. สุดท้ายก็โทษตัวเองแหละที่ต้องการอีกฝ่ายมากขนาดนี้

ผมเดินอย่างอิดโรยเข้าบ้าน พร้อมกับแปลกใจกับรถคันหรูป้ายแดงที่จอดอยู่หน้าบ้าน  ในใจก็แอบคิดว่าแม่อาจจะเซอร์ไพรส์ตนเองซื้อ super car ให้อย่างล้อเล่น (แต่หากเป็นจริงก็ดี)

หลังจากเท้าเหยียบถึงพื้นในบ้าน เสียงเฮฮาก็แทรกผ่านกำแพงห้องรับประทานอาหารมาถึงหูผม ด้วยความประหลาดใจจึงจงใจเดินไปทางต้นเสียงอย่างเปิดเผย เพราะคิดว่าแม่และลุงโต้งคงพาเพื่อนมาปาร์ตี้กันอย่างเคย คิดเผื่อไว้ว่าจะมีขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แปลกๆ ติดมือมาด้วยหรือไม่?

“กลับมาได้เสียทีนะไอ้ตัวดี! พอขอนุญาติให้เที่ยวนี่ก็หายศรีษะไปเลยนะ!”  แม่เสียงดังใส่ผมทันทีที่เจอหน้าผม

ผมหยุดฝีเท้าลงและยิ้มเฝื่อนๆ กลับไป แม้จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง แต่ลองมีเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปาก แม่ก็โผงผางกว่าเดิม 2 เท่า ถึงจะสะสวย แต่นิสัยแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมลุงโต้งถึงได้รักได้หลงถึงกับแต่งงานด้วยนะ

“ลูกชายคะ แหม… อายจัง ลูกพี่อายุน้อยกว่าน้องเก๋อนิดเดียวเองคะ พี่รู้สึกแก่ไปเลย” แม่พูดกับแขกที่ตอนนี้ยังนั่งหันหลังให้อยู่ แต่มองเผินๆ น่าจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่มาติดต่อกับแม่หลังเวลาทำงาน

ผมส่ายสอดสายตามองไปทั่วห้องก็พบว่าลุงโต้งก็นั่งอยู่ด้วยอาการเหนื่อยหน่ายกับความรั่วของแม่ของผมหลังดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปหลายขวด สังเกตุจากขวดไวน์แดงที่แม่เก็บสะสมไว้ (น่าสนใจ)

ราคาขวดไวน์แต่ละขวดแสดงถึงความสำคัญของแขก ดูท่าทางจะได้งานใหญ่มาพอสมควร

ลุงโต้งโบกมือให้ผมประมาณว่า ‘เดี๋ยวลุงดูแลแม่ให้เอง’

ผมพนักหน้ากลับเป็นเชิงเข้าใจ และตกลง

“ผมมันเด็กเกเรน่ะครับ ขี้เกียจเลยรีบเรียนให้จบ แล้วมาเที่ยวเล่นให้หน่ำใจก่อนโดนป๊าบังคับให้ทำงานน่ะครับ” เสียงของแขกที่ตอบกลับแม่ของผมด้วยท่าทางถ่อมตัวและอารมณ์ดี

แต่มันมีบางอย่างที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอยู่ลึกๆ ในใจ

“แหม… ทายาทนักอสังหาริมทรัพย์ระดับประเทศ พูดถ่อมตัวจังนะคะ” แม่พูดพลางเชิดแก้วทรงสูงไปทางแขกผู้มาเยือนก่อนที่จะเกิดเสียงแก้วปะทะกันดังแกร็ง!

ผมรู้สึกขนลุกเสียวสันหลังวาบ อย่างไม่ทราบสาเหตุหลังแขกของบ้านลั่นวาจาจบประโยค

“ได้ข่าวว่าลูกชายพี่มล เรียนสถาปนิกใช่ไหมครับ? เห็นบอกว่าเรียนเก่งมากด้วย แบบนี้ผมต้องจองตัวไว้ก่อนไหมครับ ผมคิดว่ากำลังจะเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่พอดี”  แขกของคุณแม่เอ่ยขึ้น ซึ่งสร้างรอยยิ้มให้แม่ผมได้พอควร

“คนโตก็ไม่เท่าไหร่ น่าจะเอาดีทางนักกีฬามากกว่า แต่คนเล็กคนนี้ น่าจะได้เกียรตินิยมเลยคะ” เรื่องคุยนี่จขอให้บอกแม่ผมก็ไม่ต่างจากแม่คนอื่น อวดลูกได้ก็ต้องอวด

 “ไอซ์ ลูก มาหาแม่หน่อย” ผมที่กำลังจะหนีออกจากพื้นที่ ต้องกรอกตาสามรอบก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินไปหาแม่ตัวเองอย่างไม่เต็มใจ ก็เหมือนทุกครั้ง อวดอวยลูกเก่งเวลาเมา

“สวา……หวาดดี…….ครับ” ผมเตรียมท่าทางสุภาพเพื่อทักทายแขกของแม่เหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ผมต้องรู้สึกตกใจจนเสียงสั่นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้า คือคนที่ถือวิสาสะไปอยู่ในบ้านพี่โน่ที่ผมเจอเมื่อวาน ‘ไอ้เก๋อ’ ไอ้หน้าตี๋จอมราวี

“แหม… แม่ก็รู้ว่าพี่เก๋อเขาหล่อ ไม่เห็นต้องจ้องหน้าเขม็งเสียงสั่นขนาดนี้เลยลูก!” แม่ผมก็แซวลูกเหมือนทุกครั้ง

“หือ! นี่…ลูกชายพี่มล….. แต่… อืม ที่พี่มลพูดนี่มัน…..” ไอ้ตี๋ตีหน้าเซอร์ไม่รู้จักกันไม่พอ มันยังมีทีท่าตกใจได้น่าให้รางวัลนักแสดงประกอบดีเด่น

“น้องเก๋อ! สมัยนี้แล้วนะ ลูกคนนี้เขาบอกพี่ตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง คนเป็นแม่ก็ตกใจบ้างนะ แอบเสียดายแทนสาวๆ ก็ลูกแม่ออกจะหล่อขนาดนี้” คนอวดลูกก็มีวิธีการพูดตามแบบฉบับของแม่

“ดีจัง อยากให้พ่อผมเข้าใจแบบพี่จัง” แขกของบ้านตีหน้าเศร้าจนอยากเอาบาทาลูบพักตร์ รู้สึกไม่ถูกโฉลกกับคนแบบนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ

“อ้าว…น้องเก๋อก็เป็นเกย์เหรอเนี่ย แอบเสียดายนะ แต่เอาเข้าจริงพี่ก็ไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้นหรอกนะ แอบทำใจอยู่พักใหญ่ แต่ยังไงเขาก็ลูกเรา พอมาศึกษาเรื่องพวกนี้เยอะๆ ก็พบว่ามันก็เป็นเรื่องปกติมากๆ เลยนะ พี่เชื่อว่าสักวันป๊าของเก๋อต้องเข้าใจแบบพี่นี่แหละ! หากอยากให้พี่ไปพูดช่วยอธิบายก็บอกนะ พี่ศึกษาจนถ่ายทอดได้แล้วล่ะ” เรื่องพวกนี้แม่เล่าให้กับทุกคนฟังจนผมท่องได้แล้ว และทุกครั้งที่ฟังก็รู้สึกโชคดีมากที่แม่เข้าใจและกล้าบอกทุกคนอย่างภูมิใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณครับ ผมไม่ได้เป็นเกย์หรอกครับ เพียงแต่ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นเพศอะไร แค่คิดว่าสักวันหากเจอคนที่ใช่เป็นผู้ชายคงทำให้ป๊าลำบากใจก็เท่านั้นครับ” สีหน้าตอนเก๋อพูดประโยคนี้แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอหน้าที่ผมเดาว่าคน ๆ นี้พูดตรงกับความรู้สึกในใจ

“ลูกชายพี่ก็ยังโสดนะ” ประโยคที่ผมคิดว่าแม่เล่นมุกอยู่แน่ๆ แต่ผมไม่ขำ

“……..” เก๋อไม่ได้ตอบอะไร นอกจากทำท่าทางอ้ำอึ้ง

“อย่าบอกนะ พี่ก็คิดๆ อยู่นะว่าบรรยากาศระหว่างเราสองคนมันแปลกๆ เราสองคนเคย……กันใช่ไหม?” แม่ผมพูดตรงเสมอ

“แม่!!” ผมตะโกนตบมุกให้แม่ ไม่คิดว่าคราวนี้จะกล้าพูดขนาดนี้

“แรงไปนะครับ ใครจะไปกล้ายุ่งกับคนมีแฟนแล้ว” เก๋อพูดพลางส่ายหน้า

นั่นไง!! หางโผล่แล้ว ผมคิดไว้แล้วเชียวว่าไอ้หมอนี่มันจิตไม่ปกติ

“เป็นไปไม่ได้ ลูกชายพี่ยังโสดแน่นอน เพราะไอซ์ไม่เคยจริงจังกับใครเลย!!” แม่ตอบกลับด้วยเสียงอันหนักแน่น

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่แม่ผมตอบไปเรียกว่าคำตอบหรือคำตำหนิ แต่ก็แปลว่าแม่ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผมจริงๆ ยกเว้น….

“อ้าวเหรอครับ งั้นเรื่องที่ผมเห็นกับได้ยินมาก็เป็นแฝดอีกคนเหรอครับ?” ไอ้หน้าตี๋ทำตาใสใส่แม่ ผมได้แต่กัดฟันกรอดเงียบๆ

“แฝดอีกคนไม่น่าจะใช่เพราะมีแฟนแล้ว ดาวมหาวิทยาลัย สวยมากๆ เลยล่ะ แล้วไอซ์! มีอะไรที่แม่ไม่รู้หรือเปล่า?” แม่ผมหันมาถามผมด้วยแววตาสว่างวาบ

ไม่ใช่แนวโหด แต่เป็นแนวจับผิดมากกว่า แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดประมาณหนึ่งทำให้แม่มีอารมณ์ขันมากกว่าปกติ

“ไม่มีอะไรนี่ครับ” ผมยืนยันเสียงสั่น แต่แม่ของผมยังคงจ้องมองหน้าผมอย่างไม่วางตา

“หนุ่มที่ไหนทำให้ลูกแม่จริงจังขนาดนี้” แม่ผมพูดกึ่งยิ้ม

“อ้าว! น้องไอซ์พี่ขอโทษนะ ยังไม่ได้บอกแม่หรอกเหรอ?” ไอ้หน้าตี๋ตีหน้าซื่อ แต่ผมมองออกว่ามันปลอม!!

“เล่าเลยๆ” แม่ผมดูจะบันเทิงกับเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจ เป็นอารมณ์ขี้เมาขี้แกล้ง

“ลูกยังไม่พร้อมก็อย่างไปเซ้าซี้เลย” ลุงโต้งที่นั่งเงียบอยู่นานจนผมเกือบลืมไปแล้วว่าเขายังนั่งอยู่

“แหม…คุณก็… คุณก็รู้ว่ามลน่ะชอบแกล้งลูกขำๆ” แม่ผมหันไปพูดกับสามีคนปัจจุบันด้วยน้ำเสียงหวานจนผมขนลุก

“แกก็น่าจะรู้ว่าแม่ไม่เคยว่าเรื่องจะคบอะไรกับใคร แค่รู้จักป้องกัน แล้วก็…….” แม่ชี้หน้าผมหลังจากพูดถึงประโยคนี้

“ครับ??…” ผมเอนถอยหลังให้ห่างจากนิ้วชี้นั่นมากขึ้นสักหนึ่งเซ็นติเมตรก็ยังดี

“อย่าพลากผู้เยาว์ แม่ขอร้อง…. แต่ละคนที่แกควงนี่ หวาดเสียวทุกคน!!” แม่ถอนหายใจและดื่มไวน์สีแดงสดที่ก้นแก้วลงคอจนหมด

“แม่…..” ผมลากเสียงยาวด้วยความเขินอาย ไม่เคยชินกับการที่แม่ตัวเองพูดเรื่องแบบนี้เสียที

“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่น้องไอซ์น่ารักจังนะครับ ยอมรับลูกขนาดเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อได้เลย” เก๋อหัวเราะร่า อย่างเสแสร้ง

“มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันก็เรื่องธรรมชาติค่ะ จะไปคิดมากทำไม? สมัยนี้แล้ว” แม่ผมกรอกของเหลวสีแดงกลิ่นฉุนลงแก้วตัวเองอีกครั้ง

“งั้นก็โชคดีของพี่นีโน่นะครับ ใช่ไหมครับน้องไอซ์ที่ทางบ้านรับกันได้ขนาดนี้” เก๋อหัวเราะเฝื่อนๆ เมื่อแม่ของผมฟังประโยคนี้แล้วคิ้วขมวดแทบจะทันที

ส่วนลุงโต้งกลืนน้ำลายเสียงดังจนผมได้ยินทั้งที่อยู่กันคนละฟากฝั่งโต๊ะ

“หมายความว่าไง?!?” แม่ผมเค้นถามคนหน้าตี๋ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ผมรู้ว่านั่นเพราะเมาหรือโกรธ

“อ้าว!!” ไอ้คุณเก๋อเหล่มองผมวูบหนึ่งก่อนที่จะยิ้มแห้งๆใส่แม่ผมซึ่งมองแขกคนพูดอย่างต้องการคำตอบ

“นี่ผม…… เอ่อ…พูดเล่นน่ะครับ”  เก๋อผู้แผนสูงยังเล่นละครต่อ

มึงตั้งใจไอ้หน้าตี๋!! ผมขบฟันกรอด

“ไหนๆ ก็พูดมาขนาดนี้แล้ว ก็พูดมาให้หมดเถอะ!” แม่ผมปรายตามาทางผมตอนจบประโยค

“พี่ขอโทษนะไอซ์ พี่ไม่รู้ว่าน้องยังไม่ได้บอกพี่มลน่ะ”  ขณะที่เก๋อกำลังเสแสร้งขอโทษผม แม่ผมก็กระแอมในลำคอเสียงดัง เก๋อจึงได้หันกลับไปเล่าเรื่องต่อ

“คือ.. มีอยู่วันหนึ่ง ผมไปดูแลผับเปิดใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปเจอน้องไอซ์ก็เลยกะว่าจะเข้าไปทักทาย จะพูดว่าจีบเลยก็ได้ แต่ผมโดนพี่โน่เดินมาตำหนิแถมบอกว่าอย่ายุ่งกับแฟนของเขา ผมก็เลยรู้ว่าน้องไอซ์คบกับพี่โน่อยู่” เก๋อพูดจบก็แอบมองหน้าแม่ผมที่ตอนนี้ทำสีหน้าเรียบเฉย จนผมแอบประหลาดเพราะแม่ไม่โวยวายเหมือนปกติ

ผมยอมรับว่ามันพูดเรื่องจริงไม่ใส่สีตีไข่กว่าที่คิด แต่มันควรจะพูดไหมวะ!

“น้องเก๋อก็คิดมาก พี่ฝากโน่ดูแลลูกๆ พี่ ก็เลยพยายามปกป้องอยู่มั้ง” แม่ยิ้มพร้อมกับอธิบาย

“ไม่มั้ง ผมถึงกับโดนพี่โน่ลงไม้ลงมือเลยนะ” คนชื่อเก๋อยังพยายาม

“พี่ว่าก็ปกตินะ ใจร้อนเหมือนทุกครั้ง” แม่ผมตอบกลับแทบจะทันที

“แต่เมื่อวานผมเจอน้องไอซ์ไปค้างที่บ้านพี่โน่ด้วยนะครับ แถมยัง…….เอ่อ….. ผมว่าเรื่องที่ผมจะเล่าพี่มลอาจจะไม่อยากฟัง ผมว่าผมไม่เล่าดีกว่า” เก๋อหลบสายตาแม่ของผม ทันทีที่จบประโยค

โอโห ตีบทแตก ไปเรียนที่ไหนมาวะ?
ผมไม่รู้ว่ามันเห็นอะไรบ้าง แต่….เล่ามาขนาดนี้ ใครมันจะไปคิดดีได้วะ

“แม่ครับ คือวันนั้นผมเมามาก….” ผมกำลังจะรีบแก้ตัวแต่แม่ของผมยกมือขึ้นปราม ทำให้ผมหยุดชะงักที่กลางประโยค

“พี่ว่าไม่มีอะไรหรอก เวลาลูกพี่เมามันเลื่อยจะตาย สงสารพี่โน่เขามากกว่าที่ต้องดูแลคนอย่างไอซ์” แม่ผมหัวเราะเสียงดัง

“หว้า…พี่เมาเสียแล้ว วันนี้คุยเรื่องงานแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยใหม่ ดึกมากแล้ว รบกวนเวลาเรามาเยอะแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ” แม่ผมลุกส่งแขก

อีกฝ่ายก็อึกอัก แต่ก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย

ผมสบโอกาสที่ทุกคนไปส่งแขกที่หน้าบ้านรีบหนีขึ้นห้องนอนเสียก่อน น่าจะดีที่สุด

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

 ผมเดินวนไปมาหน้าตู้เสื้อผ้าอย่างกระสับกระส่ายร้อนรน ในใจภาวนาให้แม่เข้าใจแบบนั้นจริงๆ  ขอให้แม่เข้าใจว่าไอ้หน้าตี๋ ‘เก๋อ’ นั่นแค่พยายามจะฟ้องแม่ผม โกรธที่จีบผมไม่ได้เลยพยายามใส่ความ ผมภาวนาพลางคิดหาข้อแก้ตัวดีๆ สักเรื่อง

แต่หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง แม่ของผมกลับไม่ได้เรียกหาหรือเข้ามาถามไถ่เหมือนเช่นทุกครั้ง  ผมจึงรูสึกวางใจและพยายามเข้าสู่กิจวัตรตนเองตามปกติ

รู้สึกโล่งใจที่วันนี้ก็ผ่านไปด้วยดีอีกวัน

………..

อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว ในที่สุดผมก็ทราบข่าวจากไอ้ต้นน้ำว่าเรื่องระหว่างพี่จินไห่กับมันผ่านพ้นไปด้วยดี ถึงจะเล่าด้วยอาการน้อยอกน้อยใจ แต่ผมก็รู้สึกถึงรอยยิ้มของมันผ่านทางคำพูดของมันทางโทรศัพท์ได้เลย

“มึงไปซื้อพวกอุปกรณ์กัน พวกอุปกรณ์หากินกูพร่องไปเยอะ เดี๋ยวเปิดเทอม แม่งไม่มีเวลาไปหาซื้อ เดี๋ยวจะวุ่นวายอีก” ผมพูดไปพลางระลึกความหลังไปด้วย

“กูมีนัดแล้ววะ กูจะไปซื้อกับพี่ไห่” ไอ้ต้นน้ำทำเสียงสำนึกผิด


“กูว่าแล้วไอ้พวกติดเมีย!!” ผมโวยใส่หน้าจอโทรศัพท์


“มึงก็พาเด็กสักคนไปสิ มีเยอะไม่ใช่เรอะ?” เสียงจากปลายสายอีกฟากลอยเข้าหูมา แม้จะรู้สึกผิดที่ได้ยินแต่ก็ทำให้รู้ว่าพี่จินไห่รักษาสัจจะแค่ไหน

ผมขอร้องให้พี่จินไห่ ปิดเรื่องของผมกับพี่โน่ไว้ก่อน จนกว่าผมจะพร้อม ส่วนไอ้พี่ชายผมก็ไม่คิดจะบอกใครอยู่แล้ว ผมก็เลยแค่เอ่ยปากบอกมันแบบผ่าน ๆ

เพราะหากไอ้ต้นน้ำรู้ คนทั้งโลกรู้

ไอ้ต้นกล้าอีกคน แต่คนนี้มันกลัวไอ้เฟรมพอควรดังนั้นผมเลยฝากบอกไอ้เฟรมให้มันไปปิดปากไอ้ต้นกล้าก็น่าจะได้ผล

หลังจากวางสายจากไอ้คนติดเมีย ผมเลยตัดสินใจชวนแฟนตัวเองไปด้วยน่าจะดี ช่วงนี้รู้สึกไปเองหรือเปล่าไม่รู้ รู้สึกว่าไม่อยากอยู่คนเดียว

พี่โน่แทบจะไม่คิดทบทวนเลย เขาตอบตกลงแทบจะทันที ทั้งที่ผมพยายามถามแล้วว่าหากมีธุระต้องทำงานก็ไม่เป็นไร เพราะรู้ว่างานเขาเยอะ แต่พี่โน่ก็ดูยินดีและกระตือรือร้นดีมากจนผมยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้า (โอยยย ช่วยด้วย)

การที่มากับเฮียโน่สายเปย์มันดีแบบนี้นี่เอง เพิ่งรู้สึกถึงความใจดีของมันก็วันนี้ ตั้งแต่มารับไปศูนย์การค้า ช่วยซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนให้ทุกอย่างจนไปถึงการถือของให้ (ทั้งที่บอกว่าไม่ต้องแท้ๆ ผมไม่อยากเอาเปรียบเขาแบบนี้ เพราะผมเบิกค่าใช้จ่ายกับแม่มาแล้วด้วย)

ผมเลยอาสาเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อเป็นการทดแทน ซึ่งพี่โน่ก็ไม่ปฏิเสธแถมยังคิดให้อีกว่าจะพาไปกินที่ไหน ซึ่งเป็นร้านสเต็กสุดหรูในศูนย์การค้าเดียวกัน ถึงผมจะรู้สึกว่าแพงแต่หากเทียบกับสิ่งที่พี่โน่หอบหิ้วให้ผมอยู่ตอนนี้ก็ถือว่า ไม่ต่างกันมาก ผมจึงตอบตกลงทันที

หลังจากนั่งลงที่ร้านได้ไม่นาน พี่โน่ก็จัดการสั่งอาหารอย่างชำนาญ แม้กระทั่งสั่งให้ผมด้วยเสร็จสรรพ ด้วยคิดว่าผมต้องถูกใจ ซึ่งหลังจากอาหารลงมาที่โต๊ะอาหารตรงหน้า ผมก็เข้าใจทันทีว่าพี่โน่ไม่ได้โม้ เขาสั่งมาได้ถูกใจผมทุกอย่างจนอยากจะถามเลยว่ารู้ได้อย่างไร?

พี่โน่อมยิ้มทันทีที่เห็นหน้าผม พลางเอ่ยปากด้วยถ้อยคำที่ผมไม่คุ้นหู

“หากจะถามว่าพี่รู้ใจเราได้ยังไง ก็เพราะพี่อยู่ในใจเราไง”

“โหยยย พอเหอะพี่ เสี่ยวมาก โคตรจะไม่ชิน” ผมทำหน้าหยี๋ๆ ใส่คนตรงข้าม ซึ่งโดนหัวเราะกลับมาตาหยี

“พี่เห็นคนแถวนี้ชอบก็เลย ลองดูว่าน้องชอบไหม?”
พี่โน่พูดพลางมองไปอีกทางหนึ่งของร้านอาหาร

ผมมองตามทันที สิ่งที่ผมเห็นก็คือ แฟนสาวของพี่ชายผมกำลังนั่งดื่มไวน์แดงในแก้วทรงสูงกับชายวันกลางคนที่ดูดีมีฐานะคนหนึ่ง ด้วยท่าทางถึงเนื้อถึงตัว

“เอ๊ะ!! นั่น!!” ผมอุทานอย่างเบาที่สุด

“พอจะรู้ว่ามาที่นี่กันบ่อย แต่ไม่คิดว่าจะเจอจริงๆ” พี่โน่พูดพร้อมยกเครื่องดื่มสีแดงสดในแก้วทรงสูงขึ้นจิบเล็กน้อย

“เรื่องนี้นี่เองที่พี่ถูกไอ้เฟรมไหว้วาน”

“พี่ว่าไอซ์น่าจะรู้จักผู้หญิงคนนี้ดีนะ”

“พี่เองก็ด้วยแหละ”

เราต่างคนต่างมองหน้ากันเป็นการเข้าใจโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะเราต่างเคยมีอดีตที่ไม่ดีกับผู้หญิงคนนี่เหมือนกัน และบุคคลที่เชื่อมโยงผม พี่โน่ และผู้หญิงคนนี้เข้าด้วยกันคือ พี่กวี เพราะก่อนที่จะคบกับพี่ชายผม เธอคือแฟนคนแรกของพี่กวี!

เรื่องมันยาวจนผมไม่อยากจะเล่า เพราะเธอทำตัวได้แสบสันต์จนอยากจะเนรเทศเธอออกจากวงโคจรของโลก ถ้าไม่เพราะตั้งแต่คบกับพี่ชายผมแล้วทำตัวดีขึ้นมาตลอดสองปี ผมคงหาทางทำแบบนั้นจริงๆ

“พี่น่ะไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรณนี้เท่าไหร่ เพราะสองคนนั้นอาจจะเป็นแค่เจ้านายลูกน้องก็ได้ พี่ชายไอซ์อาจจะแค่ขี้หึง แต่เพราะเสี่ยเพชรน่ะ มีอิทธิพลพอควรก็เลยให้พี่ช่วยสืบ สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน!!”  พี่โน่พูดพลางใช้หางตามองสองคนที่ทำตัวเหมือนคู่รักในร้านบรรยากาศดีหรูหราแบบไม่อายใคร

“แต่ผมรู้นะว่าพี่ก็แอบอยากแก้เผ็ดยัยนิ่มอยู่” ผมพูดพลางเหล่มองไปในทิศเดียวกับพี่โน่

“รู้ดีนะ” พี่โน่หันมาอมยิ้มให้ผม หน้าเล็กๆ ที่แสนทะเล้นนั่น มันน่าหยิกแก้มให้เขียว

“ก่อนเป็นแฟน พี่กับผมก็คู่แข่งกันดีๆ นี่แหละ ทำไมผมจะไม่รู้นิสัยพี่”

“เราเป็นอะไรกันนะ!?!” สายตาคาดคั้นจากฝั่งตรงข้าม ผมไม่น่าพลาดเลย

“กินสเต็กเหอะ มาโน้นแล้ว!!” ผมบ่ายเบี่ยงโดยการชี้ไปที่บริการที่เดินถือถาดขนาดใหญ่เข้ามาใกล้

พี่โน่หัวเราะเบาๆ ในคออย่างมีชัย

“แล้วพี่ไม่ถ่ายรูปหรือคลิปเป็นหลักฐานเหรอ?” ผมกินไปพลางระวังตัวไปพลางเพราะเพิ่งคิดได้ว่า ยัยนิ่มอาจเห็นพวกเรา

“ลูกน้องพี่จัดการไปเรียบร้อย นี่แค่มาดูกับตาตัวเองก็เท่านั้น!”
 
“โห…แบบนี้แล้วเสี่ยเพชรอะไรนั่นเขาไม่โกรธพี่เหรอ มีลูกมีเมียหรือยังเนี่ย? หากมีก็น่าสงสารแย่เลย”

“ไอ้เพชรน่ะมันเพื่อนพี่ ลูกเมียก็… เยอะแยะ! มันบริหารดีไม่ตีกัน ส่วนเรื่องรูปก็ขอบอกมันแล้ว มันโอเค!!”

“โหย! พวกพี่นี่มันสุดยอดเลย!! เป็นผมนะ หากมีผัวแบบนี้มีเลือดตกยางออกกันมั้งล่ะ!!” ผมแอบค้อนไปทางพี่โน่

นอกจากมันจะไม่หลบตาแล้วมันยังยิ้มตาหยีใส่ผมอีก

“ดุแบบนี้ใครจะกล้า กว่าจะได้มาก็แทบแย่ใครจะปล่อยให้หลุดมือไปเพราะเรื่องแบบนี้” พี่โน่พูดพลางขยำศรีษะผมเบาๆ อย่างเอ็นดู

ผมรีบปัดมือหยาบให้พ้นศรีษะตัวเองอย่างร้อนรน

“เกินไปแล้ว” ผมหลบตาพูดกับตัวเองเบาๆ ภายใต้เสียงขบขันของคนตัวเล็ก

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางการสนทนาประสาคนรักของเราสองคน ผมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแต่กลับไม่ใช่เสียงเตือนของโทรศัพท์ของผม

พี่โน่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมแสงวูบวาบจากหน้าจอที่ส่องสว่างไปทั่ว ก่อนที่จะกดรับ พี่โน่แสดงรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอให้ผมเห็น

“มล”

แม่ผมนี่!! หลังจากเห็นผมก็หันรีหันขวาง วาดใบหน้าไปทั่วบริเวณ กลัวว่าแม่ผมจะเห็นว่าเรามานั่งหวานกันในร้านอาหารแบบนี่

แต่สุดท้ายผมก็คิดไปเอง

“ได้ๆ มล ไม่มีปัญหา ว่างอยู่พอดี ไม่ได้รบกวนอะไรเลย!” ประโยคที่ผมได้ยินจากพี่โน่หลังจากอาการกระวนกระวายเมื่อครู่

พี่โน่วางสายด้วยรอยยิ้ม

ความรู้สึกของผมตอนนี้มันสับสนไปหมด หลังจากฟังการสนทนาฝั่งเดียวจากที่นั่งอีกฝากหนึ่ง คนตัวเล็กที่มีสถานะเป็นเพื่อนแม่ คนเคยสนิทของแม่ คนที่เคยรักแม่ของผมเกินเพื่อน การสนทนาที่ออกรสชาติอย่างสนิทสนม ที่มีบรรยากาศเหมือนคุยกับผม มันทำให้รู้สึก…หวง แต่ที่ปลายสายก็แม่ตัวเอง แถมแม่ก็มีสามีใหม่แล้วด้วย ยังไงสถานะสองคนนี้ก็แค่เพื่อนสนิท แต่เวลาได้ยินสองคนนั้นคุยกันแล้วทำไมใจเรามันว้าวุ่นแบบนี้นะ

“หึงกระทั่งแม่ตัวเองเนี่ยนะ?” ไอ้คนตัวเล็กยิ้มอย่างรู้ดี

“ใครหึงวะ?”

“เหรอ?”

ไอ้ท่าทียียวนกวนบาทาเนี่ย ไม่เคยรู้สึกชินเลย เมื่อก่อนเห็นดึงหน้าตึงตลอด จนผมบ่ายหน้าหนีไอ้คนที่ยิ้มและมองผมอย่างรู้ทันความรู้สึกของผม

“แม่ว่าไง?” เปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย

“มลบอกว่ายังดูเรื่องโกดังที่แหลมฉบัง คงค้างแถวนั้น แต่นัดช่างซ่อมแอร์ไว้ตอนเย็น เลยฝากให้พี่ไปดูให้หน่อย เลื่อนนัดไม่ได้น่ะ แล้วก็ ……”

พี่โน่มองมาทางผมด้วยรอยยิ้มตาเส้นเดียว

“อะไร?” ผมค้อนกลับ เพราะไม่ชอบท่าทางยิ้ม ๆ แบบมีเลศนัยแบบนี้

“มลบอกว่า ช่วยตามให้ไอ้พวกลูกหมาหลงทางกลับมานอนบ้านด้วย!” พี่โน่จงใจมองมาทางผม

“แม่เนี่ย….. ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกับประโยคของแม่ตัวเองที่ออกจากปากของพี่โน่พร้อมด้วยท่าทางเรียนแบบการแสดงใบหน้าของแม่ผมจนผมอดที่จะหัวเราะไม่ได้

“พี่ก็เลยคิดว่าจะช่วยล่ามโซ่ไว้ที่บ้านให้เลย!!” สายตาที่พี่โน่มองผมทันทีที่จบประโยคทำให้รู้ว่าพี่โน่พูดจริงจัง

“อย่าคิดอะไรบ้าๆ นะ!!” ผมชี้หน้าไอ้ผู้ใหญ่สมองเด็กคนนี่ทันที

…………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


กว่าพวกผมจะกลับถึงบ้านก็ช่วงหัวค่ำ พี่โน่ทำตามที่สัญญาไว้กับแม่ผมอย่างดี ผมและไอ้เฟรมถูกตามให้มานั่งให้มันถ่ายรูปจากห้องรับแขกในบ้านเพื่อส่งไปรายงานแม่บังเกิดเกล้าของพวกผม

“เกินไปไหมครับเนี่ย พวกผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ!!” พี่ชายผมโวยหลังจากพี่โน่ส่งรูปถ่ายดังกล่าวไปให้แม่ผมผ่านไลน์กลุ่มของกลุ่มสามใบเถาของแม่

“เรื่องยัยนิ่มน่ะ ใจเย็นๆ แล้วค่อยหาวิธีไปคุยดีไหม? ไปตอนนี้ ใจร้อนแบบนี้ ยิ่งจะทำให้ทุกอย่างบานปลาย ไปทำให้สมองปลอดโปร่งก่อนไป แล้วคิดให้ได้ว่าจะรักต่อหรือจะเลิก!!” พี่โน่พูดกับไอ้เฟรมอย่างใจเย็น

“ใครจะไปใจเย็นลงได้ ใครจะไปนอนหลับ ผมจะไปเคลียร์กับนิ่มให้รู้เรื่อง!!” ไอ้เฟรมครั้นมันจะดื้อก็ไม่เคยฟังใคร

“เมื้อกี้กูพูดในฐานะผู้ปกครอง แต่หากดื้อรั้น พูดไม่ฟังกูจะคุยในฐานะคนรู้จักแล้วนะ!!” พี่โน่หักนิ้วมือดังกรอบ

ผมมองหน้าไอ้เฟรมและพยายามสื่อสารกับมันทางจิตบวกทางใบหน้าว่า หากมันพยายามนอนหลับเองไม่ได้ พี่โน่จะใช้วิธีไม้แข็งทำให้หลับไปแบบไม่รู้สึกตัวนะ แม่อนุมัติแล้วด้วย

เหมือนมันเข้าใจที่ผมสื่อ บวกกับมัดกล้ามและเส้นเลือดบริเวณแขนของพี่โน่ที่ปูดโปน สุดท้ายมันจึงยอมเดินขึ้นห้องนอนที่ชั้นสองอย่างไม่อิดออด

พี่ฟาง แม่บ้านที่ดูแลบ้านขอตัวกลับตามเวลาปกติ พี่โน่พยักหน้ารับทราบและกล่าวขอบคุณที่อยู่ล่วงเวลาเพื่อช่วยดูแลเรื่องช่างแอร์ให้

พี่โน่หันมาทางผมด้วยด้วยรอยยิ้ม

“เดี๋ยวพี่ขอไปดูช่างแอร์ก่อนนะ ขึ้นไปอาบน้ำให้เรียบร้อยไปเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”  เสียงสุภาพเกินเหตุแบบนี้รู้สึกได้เลยว่าพี่โน่กำลังคิดอะไรอยู่

“ครับคุณอา” ผมผ่อนลมหายใจออกและกล่าวตอบรับด้วยท่าทีล้อเลียน

“ดีๆ อย่าดื้อกับอาเดี๋ยวอาจับตีก้น” พี่โน่ยกยิ้มมุมปากมองมาที่ผมด้วยบรรยากาศขัดกับคำพูด ผมรู้ทันทีว่าพี่โน่วางแผนจะทำอะไรผมแน่นอนในวันที่แม่ไม่อยู่บ้านแบบนี้

แต่ผมกลับรู้สึกแบบเดียวกันนี่สิ!

คิดได้ดังนั้นผมก็เดินขึ้นห้องตัวเองอย่างไม่รอช้า

เครื่องปรับอากาศบ้านผมมีอยู่หลายเครื่อง จึงต้องนัดช่างมาดูแลอย่างเป็นกิจลักษณะ ดังนั้นช่างที่มีมากกว่า 1 คนจะเดินไปทั่วบ้านเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง

ปกติผมและไอ้เฟรมจะเป็นคนช่วยแม่อยู่ดูแลความเรียบร้อยของช่างในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง ข้าวของในบ้านไม่เสียหาย แต่มีพี่โน่มาช่วยดูแลแบบนี้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

ผมขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว นอนรอกลิ้งไปมาบนที่นอนของผมร่วมชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาพี่โน่จะขึ้นมาตามที่นัดกันไว้

ความจริงผมก็ไม่ได้ต้องการเรื่องแบบนี้อะไรแบบนั้น แต่พูดแบบนั้นกันก่อนผมขึ้นห้องนอนมามันก็ต้องทำตามที่พูดไว้ไหม?

ผมเล่นโทรศัพท์ไปพลางหงุดหงิดไปพลาง จนรู้สึกเบื่อไปหมดและเริ่มง่วงนอนเสียแล้ว

ในระหว่างที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับไป พี่โน่ก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมด้วยเหงื่อกาฬหลั่งโทรมหน้า ผมที่มองไปทางผู้เข้ามาในห้องจนต้องร้องทัก

“เฮ้ย!! พี่ทะเลาะกับช่างมาเรอะ?!?”

“ไปซื้ออะไหล่มาเพิ่มนิดหน่อย อะไรของมันก็ไม่รู้!?!” เสียงพี่โน่เจือความหงุดหงิด

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วหิ้วอะไรมา เอาของที่ซื้อติดตัวขึ้นมาทำไม?” ผมถามและชี้ไปที่ถุงพลาสติกหนาซ้อนกันหลายชั้น

พี่โน่เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวจึงเหวี่ยงของไปวางหน้าห้องและเดินเข้าไปอาบน้ำ


พี่โน่หายเข้าไปในห้องอาบน้ำนานพอควร ผมที่รู้สึกง่วงอยู่แล้วจึงหมดแรงที่จะบังคับหนังตาที่หนักอึ้งจนแทบจะรั้งไม่อยู่ สุดท้ายความมืดมิดก็กลืนกินสติของผมจนสิ้นทันทีที่ศรีษะสัมผัสกับหมอนนุ่มๆ หอมๆ บนเตียง

เสียงโลหะกระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊งในความฝัน มันทำให้ผมนึกถึงวัยเด็กที่พ่อของผมมักจะพาผมไปซ่อมรถเก่าๆ ในโรงรถขนาดใหญ่ในพื้นที่บ้านของผมที่ต่างประเทศ เสียงโซ่ที่ผูกห้อยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่หนักอึ้งลอยอยู่เหนือรถยนต์ทรงคลาสสิคคันใหญ่ ที่แม่มักจะเรียกมันว่าขยะเศษเหล็กมากกว่ายานพาหนะ แต่พ่อมักจะพูดกับผมเสมอว่า มันเป็นเรื่องของลูกผู้ชายที่ผู้หญิงไม่เข้าใจพร้อมขยิบตาให้ผมทุกครั้ง

เอาเข้าจริงๆ ผมเองในวัยนั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ที่ชอบมาอยู่ตรงนี้เพราะชอบมาใช้เวลาร่วมกับพ่อที่มีเวลาให้พวกเราสัปดาห์ละเล็กน้อย บวกกับชั้นวางขวดสวยแวววาวที่ผมมักจะมองของเหล่านั้นได้ไม่เบื่อ เพราะแต่ละขวดพ่อจะมีเรื่องเล่าแถมมาด้วยทุกขวด

กลิ่นน้ำมัน เสียงโลหะเคาะกระทบกันตามกิจกรรมงานอดิเรกของพ่อของผม เสียงหัวเราะ และเสียงโวยวายหงุดหงิดที่อะไรไม่เป็นดั่งใจของเขาทำให้ผมรู้สึกสนุกและหัวเราะตลอดสามสี่ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน เราสามคนพ่อลูก มีโลกส่วนตัวเล็กๆ ในโรงรถที่แม่ขี้บ่นไม่เข้าใจ

โอ้ย!

ผมร้องเพราะรู้สึกถึงของแข็งเย็นๆ บีบรัดผิวหนังรอบตัว

“ขอโทษนะเจ็บเหรอ?” เสียงพี่โน่กระซิบที่หู

“ครับ ทำ…. อะไรน่ะ!!” ผมโวยวายขึ้นทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองขยับเขยื้อนอะไรได้ลำบาก

ผมลืมตาสำรวจรอบตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและถูกมัดด้วยโซ่สีดำขนาดเล็ก มือและเท้าที่รวบตึงอยู่แนบกันทำให้เคลื่อนลำบากและแรงเสียดสีตอนขยับก็ทำให้เจ็บจี๊ดเล็กน้อย มันช่างน่ารำคาญ!!

“เจ็บเหรอ? ทำไมร้องไห้” พี่โน่โถมตัวเข้ามาลูบหัว

“ไม่เจ็บขนาดนั้น แค่…ฝันถึงพ่อ” ผมพูดตอบพร้อมมองสถานการณ์โดยรอบ

“โอเคๆ พี่ว่าโอกาสไม่เหมาะแล้ว งั้นวันหลังเราค่อยเล่นกันใหม่” พี่โน่มีอาการสลดลงเล็กน้อย

“เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าพี่เป็นพวก เอ่อ… มิสเตอร์เกรย์น่ะ” ผมตกใจจนอยากถอยหนี แต่ก็ทำไม่ได้

“มิสเตอร์เกรย์…..อ้อ ห้องแดง ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ พี่แค่….อยากหาประสบการณ์ตื่นเต้นให้น้องน่ะ กลัวน้องเบื่อ ก็พี่พูดถึงเรื่องโซ่ไป…..ก็เลย…..” พี่โน่พูดไปด้วยแววตาที่เต็มที่ด้วยความต้องการ เขาจ้องร่างกายผมด้วยท่าทางเหมือนเช่นทุกครั้งที่เราอยู่บนเตียงด้วยกัน

“ที่หายไปนานเพราะไปหาซื้อใช่ไหม?”

“จำได้ว่าที่ผับหนึ่งมันมีอะไรแบบนี้น่ะ ก็เลยไปขอยืม แต่พี่ฆ่าเชื้อให้แล้วนะครับ”

โห… ไอ้หื่น ผมอยากจะพูดแบบนั้นน่ะ แต่ในใจผมมันกลับตื่นเต้นแบบแปลกๆ มัน… ไม่ได้ปฏิเสธ….

“พี่ขอจูบทีได้ไหม?” พี่โน่ทำเสียงเล็กเสียงน้อยจนผมรู้สึกขนลุก

สายตาของผมคงบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้ปฏิเสธอะไร พี่โน่จึงโน้มตัวเข้ามาผนวกริมฝีปากกับผมอย่างแผ่วเบา นุ่มนวลและต่อเนื่อง

ผมยอมเผยปากและตอบสนองกับลิ้นและริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างชำนาญ จากจุดหนึ่งก็ไปต่ออีกจุดหนึ่งอย่างไม่สิ้นสุด ผมเคลิบเคลิ้มกับรสลิ้นอีกฝ่ายจนแทบหยุดตัวเองไม่ได้

ร่างกายที่ขัดขืนค่อยๆ อ่อนยวบและไร้แรงต้าน พี่โน่เองก็ไม่พยายามห้ามความปรารถนาของตนเองเลย เขาซุกไซ้ลงมาที่คอผมไล่เรียงไปจนถึงเนินอกแน่น ที่มีฐานดอกไม้สีชมพูเบ่งบานอย่างแข็งแรงรออยู่ โดยที่โซ่เหล่านั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ

พี่โน่ไม่รอช้ารีบลิ้มชิมรสดอกไม้ดอกนั้นอย่างบรรจงทั้งสองข้าง ผมที่ถูกพันธนาการอยู่ทำได้เพียงขยับตัวลำบากและร้องคลางในลำคอจนแทบขาดใจ

พี่โน่พักมามองตาผมที่มีอาการหอบถี่ หน้าร้อนผ่าวไปหมด แต่แทนที่เขาจะหยุดการทรมานผมแบบนี้ เขากลับยกยิ้มมุมปากและไล่ลิ้นลงต่ำไปจนถึงจุดที่ถูกพันธนาการน้อยที่สุด เพราะต้องการให้มันได้อิสระ อย่างเต็มที่

พี่โน่เริ่มใช้ริมฝีปากทรมานผมอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งถึงตอนเผด็จศึกอย่างเร้าร้อน ผมถูกจับพลิกให้คว่ำหน้าทั้งที่ยังถูกพันธนาการอยู่ ทำให้ท่วงท่ามันดูแปลกประหลาดและไม่ได้สบายเท่าใดนัก แต่นั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับพี่โน่ที่จะพาผมไปสู่ปลายทางที่เขาและผมต้องการได้ไม่ยาก

…………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
…………

โซ่สีดำมันเลื่อมถูกปลดไปกองอยู่ที่ปลายเตียง ผมซึ่งนอนเปลือยกายอยู่ถูกห่อหุ้มด้วยอ้อมกอดของคนที่ตัวเล็กกว่าภายในผ้าห่มจนเหมือนก้อนผ้ากลมกองอยู่บนเตียง

ผมตื่นมาด้วยอาการปวดร้าวไปหมดทั้งร่าง พร้อมทั้งมองค้อนไอ้ตัวต้นเหตุอย่างบึ้งตึง แต่คนที่นอนกอดเขาอยู่กลับนอนหลับสนิทไม่ไหวติง

ป๊าบ!!!!

เสียงผ่ามือปะทะต้นแขนแกร่งกล้ามเนื้อล้วน เสียงดังลั่น

“เฮ้ย! อะไรน่ะ!?” พี่โน่ลืมตาหันมาหาผมแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น

“ลงโทษ!!” ผมพูดสั้นๆ ห้วนๆ

“ลงโทษพี่ทำไม?” อีกฝ่ายยังตอบได้ไม่เต็มเสียงพลางมุดตัวเข้ามาหาผมมากขึ้นทั้งร่างที่เปลือยเปล่า

“ดูสิ! เจ็บไปทั้งตัวเลย จะเป็นรอยโซ่ไหมเนี่ย? ไม่เอาแล้วนะเล่นอะไรบ้าบอแบบนี้!” ผมโวยเบาเบา

“จ้าๆ  แต่ก็ดูมีความสุขดีนี่!”  รู้สึกถึงรอยยิ้มจากน้ำเสียงโดยที่ผมไม่ต้องมองหน้ามันเลย

“แต่มันเจ็บ ไม่เอาแล้ว!!”  ผมโวยอีกรอบ

“จ้าๆ ไม่เอาแล้วก็ได้จ้า แต่ก็อยากลองแบบอื่นบ้างนะ” ไอ้คนเจ้าเล่ห์เอ้ย ผมได้แต่กรอกตาตอบกลับในใจ

“ถ้าไม่เจ็บตัวก็โอเค! ผมไม่ใช้พวกซาดิสม์นะ ผมมีแม่นะ จะให้เอาร่างกายมาทำแบบนี้ผมไม่โอเคเลย!!” ผมคิดพักใหญ่ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง

“จริง!! แล้วเมื่อไหร่จะบอกแม่ล่ะ เรื่องแบบนี้!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล แต่เป็นเสียงที่ทรงพลังมาก ผมและพี่โน่สะดุ้งตัวโยนและลุกขึ้นนั่งทั้งผ้าห่ม พลางมองหาต้นตอของเสียง

ในความมืดภายใต้ผ้าม่านป้องกันแสงยูวีนะดับพรีเมี่ยมในห้อง สายตาของผมที่ปรับให้เข้ากับห้องที่แสงน้อยเคลื่อนไปพบเงาร่างหนึ่งที่ประตูห้องจุดที่สัมผัสแสงในห้องน้อยที่สุด

“จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยแล้วไปคุยกันข้างล่าง” เสียงจากเงาร่างที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น ก่อนจะเปิดประตูห้อง แสงจากภายนอกสาดเข้ามา เผยให้เห็นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวจากผู้เป็นมารดา

เสียงประตูลั่นปิดดังกริ๊ก เพราะก้านปิดนิรภัยที่ประตูห้อง ไม่เช่นนั้นอาจเป็นเสียงประตูกระทบบานกบดังสนั่น

ผมสบถในใจเป็นพันรอบ พร้อมมองพี่โน่อย่างลนลาน ผมไม่อยากบอกแม่ถึงความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนแม่แบบนี้เลย

“ใจเย็นๆ อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปสู้พร้อมกัน” พี่โน่ตอบกลับสีหน้าลนลานของผมอย่างใจเย็น

“เชิญพี่เย็นไปคนเดียวเหอะ!!” ผมโวยขณะลุกขึ้นยืนอย่างร้อนลน

“ฟังพี่!” พี่โน่คว้ามือผมด้วยความรวดเร็ว ฉุดรั้งให้ผมล้มลงนั่งอย่างทรงตัวไม่อยู่ และกดริมฝีปากอันอุ่นนุ่มลงไปที่ริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา

มันคงเป็นวิธีช่วยให้ผมใจเย็นลงตามแบบฉบับของพี่โน่ ซึ่ง…. มันได้ผล

ผมสงบลง และตอบสนองจุมพิตนั้นอย่างอ่อนโยน

“ทำไงดี?” ผมเอ่ยขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกห่าง

“ไม่รู้นะ พี่เองก็ไม่เคยนึกถึงเหตุการณ์แบบนี้ พี่เคยคิดว่าหลังจากที่ไอซ์เรียนจบแล้ว พี่จะขอคุยกับมล แม่ของไอซ์ อย่างเป็นกิจลักษณะ บอกตามตรง แม้แต่พี่เองก็ยังเกรงใจมล ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง” พี่โน่ผ่อนลมหายใจออกมายาว

“แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี้ พี่จะไม่หยุดคบกับไอซ์นะ ยังไงพี่ก็รักไอซ์นะ” พี่โน่มองตาผมขณะที่พูดประโยคเลี่ยนๆ แบบนี้ออกมา

แต่ผมกลับไม่ติดใจอะไร ผมดันยิ้มกลับถ้อยคำหวานเลี่ยนแบบนั้นอย่างช่วยไม่ได้

…………

แม่ของผมนั่งนิ่งอยู่ที่ห้องรับแขกแสนรักของเธอ เหม่อมองออกไปที่สวนข้างบ้านอย่างไร้จุดหมาย

ลุงโต้งที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแห้งตอบกลับมาที่พวกผมกับพี่โน่ทันทีที่เห็นผมเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมกัน

ผมเดาว่าลุงโต้งน่าจะรู้เรื่องบ้างเพราะว่าสนิทกับพี่โน่มาก พี่โน่คงแอบปรึกษาไปบ้างแล้ว เพราะจากสีหน้าแล้ว ไม่มีอาการแปลกใจกับเหตุการณ์นี้เลย

“มล…คือ….” พี่โน่เปิดฉากสนทนาก่อน

“นั่งลงก่อนสิ!!” แม่ของผมปัดการเริ่มสนทนาของพี่โน่ตกไปอย่างหน้าตาเฉย แม่ของผมคือผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง

ผมและพี่โน่เดินไปนั่งข้างกัน ในจุดที่แม่ของผมชี้เชิญเป็นนัย หลังจากนั่งลงเรียบร้อย พี่โน่ก็คว้ามือผมไปจับเสียแน่น

แม่ผมคิ้วขมวดทันทีที่เห็น

“มลเคยคุยไปแล้วนี่ว่า อย่ามายุ่งกับลูกของมล จะไปเจ้าชู้ที่ไหนก็ไป จะพนักงานของมล ญาติพี่น้องมล มลไม่เคยยุ่ง!! แต่กับลูกมล มลขอนะ!!” เสียงแข็งกร้าวทรงพลังออกจากปากของแม่ ผมไม่เคยเห็นแม่ทำหน้าแบบนี้มาก่อน

ผมฟังประโยคแม่แล้วพลางคิดไปด้วย หากที่แม่พูดเป็นเรื่องจริง ที่ไล่เรียงมาทั้งหมดนี่มัน ไอ้พี่โน่จัดการไปหมดแล้วเหรอฟะ? ว่าแล้วผมก็จิ๊กเนื้อที่มือของไอ้คนที่กำมือผมแน่นอยู่ตอนนี้

พี่โน่แสดงสีหน้าเจ็บปวดพลางหันมากระซิบทำนองว่า “แค่เปรียบเปรยไหม?” ผมถึงหยุดหยิกไอ้คนตัวเล็กข้างๆ

แม่กระแอมเสียงดังทำให้ผมสะดุ้งและก้มหน้าไม่รู้ตัว ถึงผมจะเป็นเด็กดื้อแต่สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ การทำให้แม่เสียใจ ผมเห็นน้ำตาแม่มามากแล้ว และผมไม่ต้องการเห็นอีก ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พอถึงจุด ๆ หนึ่ง อาการผมจะเป็นแบบนี้โดยอัตโนมัติ

“มล…. แต่ครั้งนี้ผมจริงจังนะ ผมรักลูกชายของมลด้วยใจจริง” สีหน้าท่าทางของพี่โน่กลับไปเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าด้วยท่าทางหรือคำพูดที่หนักแน่นของพี่โน่ ที่ทำให้แม่ของผมหยุดนิ่งและครุ่นคิดอย่างหนักจนสังเกตได้ทางสีหน้า และมีความประหลาดใจปะปนออกมาทางสายตาที่ส่งมาทางผมเป็นระยะ

“พูดจริงใช่ไหมเนี่ย?” แม่ผมมีท่าทีอ่อนลง

“จริง!! ผมจริงใจ และผมมีแผนที่จะขออนุญาตมลอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้มลมาจับได้เองแบบนี้เลย ผมพยายามคิดหลายแบบแล้วว่าจะเริ่มต้นเรื่องนี้ยังไงให้มลโกรธน้อยที่สุด แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็จะใช้ความจริงใจของผมเข้าสู้แล้วนะ!!” โหมดคำพูดจริงจังของพี่โน่ ทำให้แม่ของผมคิดหนักอีกครั้ง

“จากประสบการณ์…. คำพูดของโน่แทบจะเชื่อถือไม่ได้เลย รู้ใช่ไหม?” แม่ผมผ่อนลมหายใจพลางตอบกลับมา

“รู้สิ.. ไม่ใช่ครั้งแรกนี่นะ ที่ผมมาขออะไรแบบนี้!!”

“เพราะแบบนี้เราเลยไม่สามารถลงเอยกันได้ เพราะมลรู้ว่า มลคบกับโน่ได้แค่เพื่อนนะดีที่สุดแล้ว!! ถึงแม้ในตอนนั้นจะผิดหวังกับโต้งมาก็ตาม” คำตอบของแม่ผม ทำให้ผมอึ้งจนคิดอะไรไม่ออก

“เอาน่าๆ มล โต้งขอช่วยมันพูดได้ไหม? โต้งไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้กับใครมานานแล้ว มันจริงจังนะ!!” ลุงโต้งช่วยพูดเสริมขึ้น ผมแปลกใจนะที่ลุงโต้งยังนั่งอยู่ในห้อง เพราะแทบจะไม่รู้สึกตัวเลย ความโกรธของแม่ทำให้ผมความสนใจของผมพุ่งไปที่เดียว

“คุณก็เอากับเขาด้วย! อย่าบอกนะว่ารู้เรื่องนี้นานแล้วแต่ไม่ยอมบอกมลน่ะ!” แม่ผมมีท่าทีน้อยใจในน้ำเสียง

“ก็รู้ไงว่ามลเคยยื่นคำขาดกับมันไปแล้ว ผมเป็นกลางก็ลำบากใจนะ คนหนึ่งก็เพื่อน คนหนึ่งก็เมีย แต่ผมรู้จักเพื่อนผมดี  ครั้งนี้มันจริงจังนะ” ลุงโต้งเองก็พยายามหว่านล้อมให้แม่ใจเย็นๆ ลงหน่อย

แต่สุดท้ายแม่ก็ยังโวยวายลั่นบ้านไม่เลิก ผมผู้ไม่เคยกลัวใครยกเว้นแม่ได้แต่นั่งก้มหน้ารับผลที่จะเกิดขึ้นด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ผมรู้ว่าคนดื้อดึงอย่างแม่ไม่มีทางยอมรับเรื่องแบบนี่ได้แน่นอน ยิ่งเคยเอ่ยปากห้ามไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะดื้อดึงเพียงใด

จากห้านาที ณ จุดเริ่มต้น ยาวนานไปจนถึงเกือบจะหนึ่งชั่วโมง แต่สำหรับผมมันเหมือนเวลาถูกยืดยาวไปมากกว่านั่น ผมเหมือนอยู่ท่ามกลางสมรภูมิผู้ใหญ่ที่คนหนึ่งผิดหวังและโกรธเกรี้ยวที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างใจ ไม่ชอบการผิดคำพูด อีกคนก็พยายามแสดงความจริงใจและแสดงจุดยืนของตนเอง ส่วนอีกคนได้แต่พยายามกล่อมและหว่านล้อมให้ทุกคนหาจุดกึ่งกลางของความต้องการแต่ละฝ่ายได้

“มลต้องการให้ผมพิสูจน์อะไร ผมทำได้หมด เพียงแต่อย่าแยกพวกเราออกจากกันเลย ผมรอของผมมานานกว่าที่ลูกของมลจะยอมรับรักผม ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครเลย ผมคงรักใครไม่ได้นอกจากไอซ์!!”

ผมรู้สึกสะท้านเมื่อผมฟังจบประโยค ที่ผ่านมาผมคบกับทุกคนด้วยความต้องการทางเพศของผมเท่านั้น แต่การโดนใครสักคนรักผมมากมายขนาดนี้ ผมเพิ่งจะเคยรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก

“เพราะมลรู้จักโน่ดี เลยรู้ไงว่าความรักของโน่มันไม่มีอยู่จริง โน่ไม่เคยเชื่อใจใคร ไม่เคยไว้ใจใคร และไม่เคยมีใครที่จริงจังด้วยเลย!! มันทำให้มลไม่สามารเขื่อถือคำพูดของโน่ได้!!” คำพูดทำนองนี้ออกจากปากแม่ผมตลอด 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“มล….” ลุงโต้งเดินมาจับมือแม่ของผมที่กำลังสั่นเทา เป็นภาพที่เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ

“มล….. เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่า หากเป็นนีโน่คนเก่า เขาจะไม่ทนฟังมลแบบนี้ ป่านนี้คงลักพาตัวไอซ์ไปเสพสุขที่ไหนสักแห่ง ไม่กลับมาแล้ว แต่มลรู้ใช่ไหมว่าทำไมผมไม่ทำแบบนั้น!”  เป็นคำพูดของคนที่ผมรัก และทำให้ผมกลัวได้ในเวลาเดียวกัน

นี่มันเคยทำอะไรแบบนั้นจริงหรือวะ? ผมคิดพลางขนลุกไปพลาง

“งั้นพิสูจน์มาเรื่องหนึ่ง!” เหมือนแม่ผมคิดอะไรออก จึงตัดสินใจพูดออกมา

“ได้!! ผมรับปากได้ทุกเรื่องหากจะพิสูจน์ให้มลรู้ว่าผมจริงจังแค่ไหน?” พี่โน่ยึดอกมั่นใจ

“งั้นโอนที่ดินตรงศาลากลางจังหวัดให้ไอซ์!” แม่ผมพูดอะไรที่ทำให้ผมงงมาก ของแค่นี้มันจะไปพิสูจน์อะไรได้

แต่สีหน้าตกใจของพี่โน่ทำให้ผมรู้สึกกังวลขึ้นมา

“มล!! มลก็รู้ว่า กว่าที่ไอ้โน่มันซื้อที่ดินของเตี่ยมันคืนยากแค่ไหน! ทำไมถึงได้…..” ลุงโต้งที่ตกใจไม่ต่างจากเพื่อนของเขาโพล่งพูดขึ้นมา

“ตกลง!!” พี่โน่พูดตัดบทลุงโต้ง และเป็นลุงโต้งที่ตกใจมากกว่าแม่ผมเสียอีก

“เฮ้ยๆๆ ไหนมึงบอกว่าจะเก็บที่ดินนั้นไว้นะลึกถึงเตี่ยมึงไง! ที่ดินที่มึงเติบโตมา ที่ดินที่พ่อมึงขายส่งมึงเรียน!!” คำพูดของลุงโต้งถูกหยุดโดยผ่ามือที่ผายขึ้นมาของพี่โน่

“ไม่เป็นไร… ของๆ กูก็เหมือนของแฟนกู” พี่โน่พูดด้วยถ้อยคำมาดมั่นไม่ละสายตาจากแม่ของผม

“เอาไปคิดดูก่อนสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบ” แม่ผมพูดสวนกลับแทบจะทันที

“แม่ แบบนี้มันเกินไปไหมครับ?” ผมที่เงียบอยู่นานเริ่มทนไม่ไหวเลยเผลอแทรกบทสนทนาเข้าไป

แม่ผมจ้องกลับตาแทบจะลุกเป็นไฟ ผมก้มหน้าโดยอัตโนมัติ

“กลับไปที่ห้องเดี๋ยวนี้ แม่ขอกักบริเวณลูกจนกว่าจะเปิดเทอม ไปสำนึกผิดในห้อง ถ้าไม่เรียกไม่ต้องออกมา!!”  เสียงแม่ผมดังแหวกอากาศมาถึงผม

“Mom! Is doesn’t make any sense!!”  ผมโวยขึ้น

“Isack!!, don’t make me do the hard way, go now!!” แม่ผมสวนกลับด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรงดั่งไฟ

ผมผ่อนลมหายใจแรง และเดินกระทืบเท้าจากไป ด้วยน้ำตาที่คั่งค้างอยู่ในดวงตา

ก่อนขึ้นไปถึงชั้นสอง ผมได้ยินแม่พูดเสียงดังเป็นการเชิญแขกให้กลับไปได้แล้ว

“หมดเรื่องที่จะคุยแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน!!”

ไม่นานต่อจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงรถยนต์ขับออกจากบ้านไป พร้อมอาการหน่วง ๆ ในทรวงอก ผมเผลอจับหน้าอกตัวเอง รู้สึกถึงความว่างเปล่าภายใน แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้

…………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Comment
เคยคิดว่าตัวเองเขียนฉาก NC เยอะไปไหม แต่มือมันพิมพ์ไปเพลินๆ ก็เลย เลยตามเลย

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

…………

สามวันผ่านไปที่ผมนั่งๆ นอนๆ กลิ้งไปมาบนห้องนอนของตนเอง ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเฟอร์นิเจอร์บิ้วด์อินสวยงามกลับกลายสภาพเป็นคุกย่อมๆ ไร้ซึ่งอิสระภาพ

“ถามจริง ใครเขาจะมาลงโทษอะไรกันแบบนี่อยู่วะ!” ผมบ่นงึมงำอยู่คนเดียว

สามวันที่แสนเงียบเหงา ผมลงจากห้องได้เพียง สามครั้งต่อวันคือแค่เวลากินอาหารสามมื้อ โทรศัพท์สมาร์ทโฟนก็โดนยึด ไวไฟก็โดนเปลี่ยนรหัสผ่าน นี่มันเหมือนคุกกลางเกาะร้างชัดๆ

ที่สำคัญที่สุด พี่โน่ก็หายไปเลย ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้เลยสักทางเลยไม่รู้ว่าเรื่องที่คุยค้างกันไว้มันไปถึงไหน?

ขนาดพี่ชายผมมันยังทำได้แค่แอบมาเยี่ยมผมในห้อง แม้แต่มันก็โดนยึดโทรศัพท์ให้ใช้ได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น

“เสียใจว่ะ น้องชาย หากกูบอกรหัสผ่านไวไฟมึง กูคงโดนตัดหางไปด้วยแน่ๆ กูทำได้แค่มาเยี่ยมมึงและไปบอกกับพี่โน่ให้รู้ว่ามึงสบายดี!” พี่ชายผมบอกถึงความพยายาม

ผมเครียดจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว แบบนี้ทำให้ผมนึกถึงไอ้ต้นน้ำกับพี่จินไห่เลย การอยู่ห่างกันโดยติดต่อไม่ได้มันทรมานแบบนี้เอง

หรือว่าผมกำลังโดนทดสอบอยู่เหมือน แต่แม่ผมไม่ได้ใจดีเหมือนแม่ของไอ้ต้นน้ำมันแน่นอน

สุดท้ายผมก็ทำได้แค่นอนหลับตาและปล่อยให้ตัวเองนอนหลับไปเผื่อว่า ลืมตาขึ้นมาผมจะเจอกับข่าวดีก็ได้

……….

“พี่ขอโทษ…..” ประโยคสั้นๆ จากดวงตาเศร้าๆ ของพี่โน่ ดังก้องขึ้นในหัว

ภาพทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ภาพที่แม่ยิ้มเยาะและลั่นวาจาเลิกคบกับพี่โน่ ภาพที่พี่โน่เดินจากไปลับตา ภาพมือที่ผมไขว้คว้าอากาศแต่กลับไร้ซึ่งเสียงที่จะดึงรั้งอีกฝ่ายไว้

ภาพที่ขาถูกลากตรวนไว้กับที่ขยับไปไหนไม่ได้ทำได้เพียงมองภาพความว่างเปล่าตรงหน้า

“ไอซ์!! ลูก!! เป็นอะไร?” เสียงแม่ผมดังก้องไปทั่วโสต

ผมลืมตาขึ้นมาในความสว่างของห้องซึ่งผ้าม่านถูกผูกมัดไว้ที่มุมห้องเผยให้เห็นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ซึ่งแสงสว่างของช่วงสายของวันสาดส่องเข้ามาอย่างเต็มกำลัง

ผมลุกขึ้นนั่งมองสำรวจรอบห้อง พบว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเตียงของตนเองพร้อมกับความเปียกชุ่มทั่วใบหน้า

นี่….ผม…. เป็นอะไรถึงขั้นนี้เลยเหรอเนี่ย?

ผมคิดพลางปาดเช็ดความเปียกชื้นด้วยแขนเสื้อของตนเองภายใต้สายตาของแม่ตนเอง

“แม่จะไม่ถามนะว่าฝันร้ายเรื่องอะไร แต่ช่วงนี้คงไม่ใช่เรื่องพ่อใช่ไหม?” ผมลุกขึ้นยืนพลางพูดเหมือนเห็นภาพในฝันพร้อมกับผม

ผมนิ่งไม่พูดอะไร

“ที่ดินผืนนั้น เป็นมรดกแห่งสุดท้ายที่พ่อของนีโน่ทิ้งไว้ให้ ก่อนตายพ่อของนีโน่บอกให้ขายเพื่อชดใช้หนี้สินของบ้านและเอาเงินที่เหลือไปตั้งตัว….. กว่าที่นีโน่จะตั้งตัวได้ก็หลายปี ที่ดินผืนนั่นเปลี่ยนเจ้าของไปมากมายจนกระทั้งไปตกอยู่กับ เจ้าสัวที่ดินของจังหวัด….”

พอแม่ผมพูดถึงตรงนี้ ทำให้ภาพในหัวนึกถึงใครบางคนเข้า ไอ้คนที่มันน่าต่อยปากฉีกสักหมัด

“กว่าจะได้มันกลับคืนมา นีโน่เสียอะไรมากมายแถมยังถูกขายในราคาแสนแพง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เสี่ยใจดีเลยช่วยให้สามารถซื้อได้ในอีกราคาหนึ่ง โดยมีข้อผูกมัดหลายเรื่อง จนตอนนี้ แม้แต่เสี่ยเองก็ยังเกรงใจนีโน่เพราะความเก่งกาจในการบริหารงาน”

“แม่รู้ขนาดนี้แล้วทำไมยังไปเอาของมีค่าทางจิตใจขนาดนั่นมาล่ะ!!” ผมรู้สึกของขึ้นมาเสียเฉย ๆ

“แล้วคิดว่ามันแม่จะยอมเสียของที่แม่รักที่สุดไปให้คนที่แม่ไว้ใจเรื่องความรักน้อยที่สุดแบบนั้นล่ะ!!” คำตอบของแม่ทำเอาผมจุกจนพูดไม่ออกเลย

“อาบน้ำแต่งตัวเถอะ วันนี้นีโน่นัดแม่มาคุยกันที่บ้าน”
พูดจบแม่ก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมจมอยู่ข้อมูลที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

………….

การแต่งตัวของผมในวันนี้อยู่ในรูปแบบ unmix and not match ความคิดในหัวมันแตกซ่านไปหมด ผมหยิบอะไรมาใส่บ้างผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

ผมยืนยื้อยุดอยู่นานหน้าประตูภายในห้องก่อนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะผ่อนลมหายใจและคว้าลูกบิดประตูเปิดกว้าง

ภายในห้องรับแขกที่มีสมาชิกครอบครัวอยู่กันครบพร้อมหน้าและแขกคนสำคัญอีกหนึ่งคน คนที่ผมแทบไม่กล้ามองหน้า

บรรยากาศภายในห้องกลับเงียบงันสวนทางกับทุกครั้งที่แก๊งนี้อยู่ด้วยกัน มวลอากาศหนักอึ้งลอยวนไปมาอยู่ห้องที่ได้ยินแต่เพียงเสียงหายใจของคนภายในห้อง

ผมเดินมานั่งตามจุดของสายตาที่แม่ส่งมาให้ ซึ่งอยู่คนฟากห้องกับพี่โน่

พี่โน่ที่ได้แต่นั่งก้มหน้าไม่พูดจาพร้อมจับกองเอกสารบางอย่างบนโต๊ะอย่างแน่นหนา

เสียงหัวใจของผมมันร่ำร้องออกมาว่าอยากจะวิ่งไปกอดคนตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ผมไม่เคยเห็นอีกฝ่ายหนักใจอะไรขนาดนี้มาก่อน

คนที่หนักแน่นและกล้าหาญเผชิญหน้ากับทุกสิ่งกลับกลายเป็นคนอ่อนแอและมีความกังวลหนักอึ้งเต็มบ่า ผมพยายามเลี่ยงที่จะมองเขาตรงๆ

“โอเค…โน่! เรื่องที่คุยกันเมื่อวาน นายจะยอมใช่ไหม? ยอมที่ขายที่ดินผืนนั้น!” แม่ผมผ่อนลมหายใจเสียงดังก่อนที่จะพูดออกมา

อยู่ๆ ก็มีข้อมูลใหม่โผล่ขึ้นมา ตอนแรกมันไม่ใช่แบบนี้นี่นา การขายแปลว่าไม่ได้ยกให้ผม แปลว่าจะให้พี่โน่เสียสละที่ดินมรดกของตระกูลที่ได้กลับคืนมาอย่างยากบำบากเหรอ?

“อืม….เสี่ยเขายอมซื้อคืนในราคาเท่าเดิม…หึ.... แฟร์กว่าที่คิด” พี่โน่พึมพำตอบกลับมา

“เดี๋ยวก่อนครับ!!” ผมพูดสวนแม่ออกไป ทำให้สายตาทุกคนจดจ่อมาที่ผมทันที

“ผม…. ผม….. ผมยอมแล้วครับ ผมยอมที่จะเลิกติดต่อกับพี่โน่ก็ได้ครับ” เสียงสั่นๆ ของผมดังทั่วห้อง ประโยคนี้สร้างความประหลาดใจกับทุกคนยกเว้น………..แม่ของผม

“จะให้พี่โน่เสียสละอะไรขนาดนี้ผม…… ผมยอมเป็นคนเสียใจดีกว่าครับ แม่ผมยอมแล้ว ผมจะเลิกคบ เลิกติดต่อกับพี่โน่ก็ได้ครับ!!” ดวงตาที่ร้อนผ่าวของผมมองไปทางแม่บังเกิดเกล้าด้วยสายตายอมแพ้

“พี่โน่ ๆ ไม่ต้องขายแล้วนะครับ โทรไปยกเลิกเถอะครับ แล้วก็ขอโทษนะครับที่ผมไม่เข้มแข็งพอ…” ใช่ครับ ทำไมตัวเองอ่อนแอขนาดนี้วะ พูดไปน้ำในตามันก็ล้นออกมาด้วยความอึดอัด

ขาของผมก้าวเกินออกไปจากจุดเดิม ด้วยยอมแพ้ในความอ่อนด้อยของตนเอง ผมทำได้เพียงก้าวออกจากชีวิตของพี่โน่

อนิจจาน้ำในตามันเอ่อล้นจนผมแทบจะมองทางไม่เห็น ขาก็อ่อนแรงไม่สมกับเป็นนักกีฬาเลยกู ทำได้เพียงก้าวช้าๆ ออกจากห้องรับแขกอันอืมครึม

สุดท้ายผมก็ถูกมือหนึ่งดึงรั้งไว้ ผมหันกลับเจอสัมผัสที่คุ้นเคย ภาพที่คุ้นตา แต่มันคงไม่มีอีกแล้ว ผมยื้อสุดแรงที่จะให้อีกฝ่ายปล่อยให้ผมเป็นอิสระ แต่ก็อย่างที่รู้ผมไม่เคยสู้แรงคน ๆ นี้ได้เลย

“พอสักทีมล!! เธอได้คำตอบที่เธอต้องการหรือยัง!!” ประโยคที่ผมได้ยินจากปากคนที่ดึงผมมากอดไว้ในอ้อมแขนได้สำเร็จง่ายดาย น้ำมูกน้ำตาผมตอนนี้เปรอะเลอะเสื้อเขาไปหมดจากการถูกกดหน้าลงไปจมอยู่กับหน้าอกที่ต่ำกว่าคอของผม มันดูทุลักทุเลไปหน่อย แต่ผมก็รู้สึก…. อบอุ่น….

ห้องทั้งห้อง บ้านทั้งบ้านเงียบงันลงทันใด เสียงใบไม่แห้งที่ปลิวลอยเลี่ยพื้นดังเข้ามาถึงในห้องรับแขกได้อย่างง่ายดาย

แม่ของผมทำหน้านิ่งครุ่นคิดคำนวนต่างๆ ในใจ สังเกตได้จากการหัวคิ้วชนกันจนแทบจะกลายเป็นเส้นเดียวกัน

“มล” ลุงโต้งผู้ทำลายความเงียบนี้ลง มันเป็นช่วงสั้นๆ ที่แสนยาวนาน

“เฮ้อ….!! ไม่มีใครเข้าใจมลเลย มลไม่เคยคิดรังเกียจว่ากล่าวเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของลูก มลรู้ แต่มลแค่ไม่อยากให้ลูกคบกับคนแบบโน่!!” แม่พูดถึงตรงนี้ก็หยุดและทำสีหน้าสำนึกผิดที่หลุดปากบางอย่างที่รุนแรงกับเพื่อนของตนเองเกินไป

“เราเข้าใจ!!” เสียงอ่อนๆ ของพี่โน่ดังก้องในหูของผม

“จะให้มลฝากฝังแก้วตาดวงใจของมลให้กับคนอย่างโน่ มลทำใจไม่ได้ ขอโทษนะโน่ แต่เรารู้จักกันมานาน รู้จักกันดีเกินไป เกินกว่าที่ยอมเอาสิ่งที่สำคัญของตัวเองไปเดิมพันแบบนั้น!!” แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเสียใจ

“แม่….” ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ รับรู้ถึงความรักที่แม่มีให้อย่างท่วมท้น แต่ทำไม่ผมก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่แบบนี้

“มลเลยขอเดิมพันครั้งสุดท้าย…. มลไม่ได้อยากได้สมบัติอะไรจากโน่ เพียงแค่อยากให้ทั้งสองพิสูจน์ความมั่นคงในรักให้เห็น เพราะว่า…. โลกใบนี้มันไม่ง่ายกับคนแบบพวกเธอเลย แม้ว่าจะแข็งแกร่งกันแค่ไหน แต่ก็ยังอยากจะพิสูจน์ว่า รักครั้งนี้มันเข้มแข็งพอ…..”  แม่ปาดน้ำตาที่ท้ายประโยค

“ตอนนี้………. แม่รู้แล้ว” แม่เดินมาหาผม ดึงผมไปกอดอย่างอ่อนโยน ผมย่อตัวลงไปกอดแม่แบบหน้าเสมออกเช่นทุกครั้ง

“แม่เข้าใจแล้ว” แม่ลูบศรีษะผมอย่างอ่อนโยน

“ครั้งนี้ลูกจริงจังกว่าทุกครั้ง ลูกยอมเสียสละความสุขของตนให้กับคนที่รัก! สิ่งนี้มันยิ่งใหญ่มากนะ” แม่ประคองศรีษะผมให้เงยขึ้นและใช้สันจมูกสัมผัสหน้าผากผมและสูดดมด้วยความรัก

“ลูกแม่โตเสียแล้ว” จบประโยคน้ำตาจากคนเบื้องบนก็หยดลงบนใบหน้าของผม

ผมสวมกอดแม่แนบแน่นขึ้น แม่เองก็กอดผมแน่นขึ้น เราสองแม่ลูกกอดกันแนบแน่น และหัวเราะใส่กันในลำคอเบาๆ

“ดีจัง” พี่โน่ที่ยืนยิ้มอย่างพอใจ พูดจบก็เดินอ้าแขนโผเข้ามาใกล้ อ้าแขนกว้างเตรียมโอบสองแม่ลูกที่กอดกันกลมตรงหน้า

แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะโดนฝ่ามือผู้เป็นแม่ผายออกมาขวางไว้

“อะไรน่ะ!?!” พี่โน่โยกคิ้วสงสัย

“ฉันเคลียร์กับลูกแล้ว ฉันยอมรับเรื่องที่ลูกจะคบกับเธอแต่ฉันยังไม่ยอมรับเธอมาคบกับลูกของฉัน!!” แม่เงยหน้าและหันไปพูดกับเพื่อนสนิทของตัวเอง ท่ามกลางความมึนงงของคนในห้องรับแขก

“แม่…..!!” ผมเรียกแม่เป็นเชิงตั้งคำถาม

“นั่นสิ อะไรวะ? งงแล้วนะ” พี่โนกอดอกคิ้วขมวด

ลุงโต้งที่เหมือนรู้ถึงสถานการณ์แบบนี้ได้เพียงพยักหน้ากับแม่ของผม เป็นเชิงรู้ใจกัน เข้าใจแล้วว่าทำไมสองคนนี้ถึงรักกันได้

“ฉันไว้ใจให้ลูกของฉันคบกับเธอแบบแฟนก็จริง แต่ฉันยังไม่ไว้ใจเธอนะ เพราะเวลาเธออยากได้อะไรเธอก็ทำแบบนี้ทุกครั้ง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้มา แต่สุดท้ายพอได้มาเธอก็ไม่เห็นค่า!!” แม่ผมพูดใส่หน้าพี่โน่อย่างแรง

“เธอจะเอาความรักของเราไปเปรียบเทียบกับพวกของเล่นหรือธุรกิจแบบนั้นสิ มันไม่เหมือนกัน ไม่เชื่อถามไอ้โต้ง!!” พี่โน่ให้เหตุผลด้วยสีหน้าจริงจัง และโยนทุกอย่างใส่เพื่อนสนิทอีกคน

“เออ!! จริงของมัน!” ลุงโต้งเสริม

ส่วนแม่ของผมมองลุงโต้งคิ้วขมวดพลางทำปากเป็นคำพูดว่า ‘คุณ!!’

“นั่นแหละ! ยังไงก็ไม่ไว้ใจ” แม่ยังคงยืนกรานหนักแน่น

“แล้วจะให้เราทำอย่างไร เธอถึงจะเชื่อ!!” พี่โน่สวนกลับด้วนสีหน้าจริงจังกว่าเดิม

“1 ปี” คำพูดสั้นๆ จากปากแม่

“หา?!?” พี่โน่ยกคิ้วสงสัยอีกครั้ง

“1 ปีที่เธอต้องวางเขี้ยวเล็บ”

“ได้!!”

“ไม่ใช่แค่นั้น!”

“อะไรอีก?”

“ย้ายมาอยู่กับไอซ์ นอนห้องเดียวกันไปเลย!!”

“แค่นี้เองสบายมาก แต่ไม่รับประกันนะว่าลูกชายเธอจะปลอดภัย!!”

พี่โน่พูดจบประโยค ผมนี่แทบจะเอาหน้าซุกแผ่นดิน ต่อให้ผมกับแม่เปิดเผยกันแค่ไหน แต่เรื่องบนเตียงผมไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลยนะ แม้ว่าแม่จะรู้อยู่บ้างก็เถอะ

“ได้ คบกันแล้วจะให้ห้ามกันคงลำบาก แต่อย่าให้ดังเหมือนเมื่อคืนก็แล้วกัน ฉันนอนไม่หลับเลย!!” แม่พูดออกมาด้วยหน้าตาเฉยเมย แม้แต่ไอ้พี่โน่มันก็ยังหน้านิ่งเหมือนกัน

ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันยังไงกันแน่

“แม่!!” ผมร้องพลางเขย่าแม่ให้พอเสียที

แม่ลากผมออกไปจากจุดเดิมสามก้าว และหันมากระซิบกับผม

“เอาน่า แม่จะวัดใจครั้งสุดท้าย อย่างโน่น่ะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เดี๋ยวจะไม่เห็นหางที่ซ่อนไว้แม่ก็ปล่อยให้มันมาทดลองอยู่กับลูกไปเลย ตั้งหนึ่งปี! แม่ว่าสามเดือนมันก็ทนการอยู่แบบผัวเดียวเมียเดียวไม่ไหวหรอก!!”

“แม่!!” ผมกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อว่าจะได้ยินจากแม่ตัวเอง

“เออน่า!! อยู่ห้องเดียวกันจะจัดทุกวันแม่ก็ไม่ว่า อยากรู้ว่ามันจะทนได้นานแค่ไหน!!”

ผมยกมือกุมขมับเมื่อได้ยินแผนการของแม่ตัวเอง รู้แล้วว่าทำไมสามคนนี้ถึงได้คบกันได้ เพราะศีลเสมอกันมากเลย

“ตกลงตามนี้ไหม?!?”แม่หันไปยิ้มใส่เพื่อนตนเองและยกมือเพื่อจับมือทำสัญญากับอีกฝ่าย

“ไม่เห็นยาก” พี่โน่ไม่รอช้ายกมือขึ้นจับมืออีกฝ่ายแน่นและขยับขึ้นลงเป็นอันเสร็จสิ้นสัญญา

1 ปีหากทำได้ จะให้คบต่อไป แต่หากทำไม่ได้ เหลวไหลแม้นิดเดียวก็เป็นอันจบกันไป โดยมีแม่ที่มีหูตาเป็นสัปรสค่อยสอดส่องดูแลอยู่

………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
สองวันนับแต่วันแห่งพันธสัญญาระหว่างแม่ผมกับพี่โน่ พี่โน่พาตัวเองมาอาศัยอยู่บ้านผมเป็นที่เรียบร้อย โดยพักอยู่ในห้องเดียวกับผมนี่แหละ

พี่โน่แทบจะไม่เอาอะไรมาอาศัยด้วยเลยนอกจากชุดนอนสองสามชุดและอุปกรณ์ปฎิบัติการยามราตรีอีกหนึ่งกล่องใหญ่ ทำให้ผมอดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ว่าแค่นี้จะพอเหรอ?

พี่โน่ตอบกลับประมาณว่า เขาไม่ลำบากที่จะกลับบ้านเป็นระยะๆ เพื่อเตรียมเสื้อผ้าสะอาดมาเพราะมีร้านซักรีดในเครือบริษัทฯ ดูแลอยู่แล้ว

“รวมถึงกางเกงในด้วยเหรอ?” ผมถามอย่างอยากรู้

“อืม! พี่มีผู้ช่วยคอยซักให้ต่างหากน่ะ”  พี่โน่ตอบกลับหน้าตาเฉย

“ใครจะมาคอยซักกางเกงในให้กันบ้าง?!?!” ผมว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นทะแม่งๆ

“หึง?” พี่โน่เลิกคิ้วมองมาทางผม

“เปล่า!!”

“เหรอ?” ผมโดนอีกฝ่ายโผเข้ามากอด ดีนะมี่เราอยู่กันในห้อง เลยไม่ต้องกลัวสายตาใคร

“…… อะแฮ่ม!!…. จะให้ผมซักให้ก็ได้นะ” ผมพูดลอยๆ

“โอย! อย่าเลย ขนาดของตัวเองยังไม่มีเวลาซักให้ตัวเองเลยจะมีเวลามาซักให้พี่ได้ยังไง ปี4 แล้วนะ เรียนสถาปัตยกรรม งานมันเยอะไม่ใช่เรอะ เอางี้มารวมกับพี่ไหมเดี๋ยวพี่จ้างซักให้ เดี๋ยวจะบอกคนซักให้นะ ว่าของเมียพี่ช่วยดูแลดีๆ ด้วย”  พี่โน่พูดจบก็กอดผมแน่นและเขย่าไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว

“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวโดนวางยา!!” ผมรีบปฏิเสธ ผมรู้สึกว่าตั้งแต่พี่โน่เปิดตัวผม ผมรู้สึกมีศัตรูเยอะขึ้น

“ใครมันจะกล้า!! ก็ลองดูสิ พี่จะจัดการมันให้มันไม่กล้าแม้แต่จะคิดร้ายกับน้องเลย!!” พี่โน่หอมผมดังฟอดใหญ่  ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัดอย่างเมามัน

“พี่นี่เอ๊ะอ่ะก็ใช้กำลัง” ผมสะบัดอีกฝ่ายออกด้วยสีหน้ารำคาญ แต่ปากมันดันทรยศ ยิ้มจนแก้มปริ

สักพักพี่โน่ก็โผมากอดอีกครั้ง ผมทำได้แต่ผลักและไล่อีกฝ่ายไปทำงานได้แล้ว ผมทำแบบนี้มาร่วมสองวันแล้ว และคาดว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ การโดนอีกฝ่ายวอแวก่อนที่จะจากกันไปทำงาน

“อ้อ!! แล้วอย่าลืมที่คุยกันนะ อย่าเพิ่งบอกใครเรื่องของเราจนกว่าจะครบ 1 ปีนะ” ผมชี้หน้าอีกฝ่าย

“มีใครยังไม่รู้อีกเหรอ อย่างน้อยลูกน้องพี่ก็รู้หมดแล้ว!!”

“ก็อย่าไปเล่าต่อเข้าใจนะ!!” ผมกำชับเสียงหนักแน่น

“จ้าเมีย ผัวจะสั่งให้มันปิดปากให้สนิท ไม่อย่างนั้นจะฝังปากกับตัวมันลงดินแทน!!”

“โหย! เกินไป แค่สั่งทุกคนก็กลัวแล้วไหม? อีกอย่างผมขนลุกอ่ะเวลาเรียกกันผัวเมียแบบนี้!!”

“จ้าๆ งั้นเรียกแฟนเหมือนเดิมได้ไหม?” พี่โน่ยิ้มตาปิด

“เออๆ จะไปไหนก็ไป!!” ผมโบกมือไล่อีกฝ่ายแกมผลัก

อีกฝ่ายได้แต่หัวเราะและเดินจากไป

……………

ในที่สุดก็เปิดเทอมเสียที ในที่สุดผมก็ขึ้นปีสี่อย่างเป็นทางการ ภาคเรียนแห่งการเรียนรู้และการทำงานเพื่อคะแนนอย่างหนักหน่วงตามที่รุ่นพี่ รุ่นต่อรุ่นเล่าให้ฟังต่อๆ กันมาก็มาถึง

แม้ว่าที่มหาวิทยาลัยผมต้องเรียนถึงห้าปีกว่าจะจบ แต่รุ่นพี่หลายๆคนต่างลือต่างเล่าอ้างกันว่าปีสี่นี่โหดสุด หากผ่านไปได้ ปีห้าก็ถือว่าไม่ยากเกินไป

ในขณะที่กำลังแต่งตัวพลางนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่ไปพลาง ผมก็ถูกมือหนึ่งคว้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างหนักหน่วง

แม้ว่าระดับความสูงจากคนที่โอบจากด้านหลังจะต่างกัน แต่คนตัวเล็กทางด้านหลังก็ดูไม่เป็นอุปสรรคเพราะเขาดึงผมลงไปนั่งตักบนเตียงนอนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลในห้อง

“จะทำอะไรน่ะ เสื้อผมยับหมดแล้ว!” ผมดุคนที่ซ้อนอยู่ด้านล่าง

“คิดถึงแย่!!” พี่โน่ซุกหน้าลงบนหลังของผมและถูไปมาจนผมขนลุกไปหมด

“พอๆ ผมจะสายแล้ว! เมื่อคืนยังไม่พอใจหรือยังไง?”  ผมขืนตัวลุกขึ้น แต่ไม่เคยชนะแรงคนตัวเล็กได้เลย

“เมื่อวานอุตส่าห์ไม่ไปทำงานเพื่อที่จะได้อยู่กับไอซ์นานขึ้น คิดว่าพอ แต่มันไม่พอว่ะ” พี่โน่พูดทั้งๆ ที่ยังเอาใบหน้าซุกอยู่กลางหลัง

ปกติผมกับพี่โน่นอนจะนอนกกกันจนสาย เพื่อรอให้พี่โน่ที่ทำงานกลางคืนนอนเต็มตื่น แต่ช่วงที่ผมกังวลก็มาถึง วันที่ผมต้องไปเรียนช่วงเช้า

“เดี๋ยวผมรีบกลับนะ”

“วันนี้พี่ต้องไปดูสินค้าเข้าน่ะ คงออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงบ่าย”

ผมและพี่โน่นิ่งปล่อยทิ้งให้อากาศส่งเสียงวิ้งวี่ไปมาอยู่หลายวินาที ก่อนที่ผมจะขอตัวออกมาก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะสายแน่นอน แต่ก่อนออกจากห้อง แก้มผมก็ช้ำไปเป็นแถบเพราะเจอะเคราตอนเช้าพี่โน่ถูไถอยู่พักใหญ่

ผมขับรถไปถึงมหาวิทยาลัยเร็วกว่าที่คิดมาก จึงพอจะมีเวลาไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่ใต้ตึกของคณะฯ ก่อนเข้าห้องเรียน

ทุกคนทักทายกันอย่างสดใสยกเว้นบางคนที่ปาร์ตี้คิดต่อกันยันเปิดเทอมที่ยังมีอาการเมาค้างและอ่อนเพลียนอนฟุบหลับอยู่ตามมุมต่างของบริเวณใต้ตึกโดยไม่ได้สนใจเพื่อนๆ ที่ต่างทักทายและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วงปิดเทอมเพิ่มเติมอย่างสนุกสนาน

“พวกมึงจะคุยเชี้ยอะไรกันหนักหนาวะ!! วันนั้นยังคุยกันไม่พอเหรอไง!!” ไอ้ต้นน้ำที่ฟุบหลับอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมยืนเม้าส์มอยกับเพื่อนๆ เงยหน้าขึ้นมาโวยวาย

“มึงก็รู้ว่าทุกคนมันวูบกันไปตั้งแต่ชั่วโมงที่สอง คนจำพฤติกรรมวันนั้นของตัวเองได้หมดนี่กูว่าแปลก กรอกเหล้าใส่ปากยังกับอูฐขาดน้ำ!! มึงก็ด้วย!!” ผมหันไปสวนกับไอ้คนคออ่อนที่สุดในคณะฯ เพื่อนคนอื่นๆ ในบริเวณนั้นต่างเห็นด้วยโดยการหัวเราะและทำเสียงเออ ออ ในลำคอ

ไอ้ต้นน้ำทำได้แค่เบะปากใส่ทุกคนและหันมามองผมอย่างเคืองๆ

“อย่างน้อยนะ กูก็จำได้ว่า มึงหายหัวไปไหนตั้งแต่ช่วงหัวค่ำวะ!!” ไอ้ต้นกล้าสวนกลับมากะว่าจะเอาคืน

ในระหว่างที่ผมลนลานเพราะเพื่อนๆ ต่างพยายามนึกถึงไล่เรียงเหตุการณ์ในวันนั้น พี่ชายผมที่นอนฟุบอยู่ด้านหลังมันลุกขึ้นมาคว้าคอมันไปซุบซิบบางอย่างจนเห็นไอ้ต้นกล้าหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ไอ้คนผิวเข้มอย่างมันมันซีดได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ผมเกิดความสงสัยว่าพวกมันสองคนคุยอะไรกัน

“พวกมึงท่าจะเมาจนไม่รู้เรื่อง ที่มันหายไปก็เพราะไปเคลียร์เรื่องที่พวกมึงเมาจนทำร้านเขาเละเทะนั่นแหละ!!” ไอ้เฟรมพูดเสียงเข้ม ในขณะที่ทุกคนเหมือนจะมีภาพบางอย่างเกิดขึ้นบนหัวและต่างคนต่างเบี่ยงเบนประเด็นไปคุยเรื่องอื่น

สมเป็นพี่ชายผม ฉลาดมาก! ผมพอจะรู้ความเสียหายจากวันนั้นจากพี่โน่มาบ้าง โชคดีที่พี่โน่ไม่เอาความ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมทำหน้าเสียใส่วันนั้น พี่โน่ก็เลยยกหนี้เรื่องนี้ให้

พวกเพื่อนผมแค่รู้มาว่าเจ้าของร้านสนิทกับแม่ของพวกเราก็เลยไม่เอาความเท่านั้น

ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบใจพี่ชายที่มีสีหน้าซีดเซียวของตนเอง ผมจำได้ว่าเมื่อคืนมันไปนอนค้างบ้านไอ้ต้นกล้า เพราะจะไปวางแผนกันเรื่องทีมบาสฯ และการจัดงานชวนสมาชิกใหม่ปีนี้

แต่ทำไมพวกมันดูเพลียกันขนาดนี้นะ ไอ้นิสัยปาร์ตี้มันก็ไม่ใช่วิสัยพี่ชายผมเสียด้วย หลังจากเคลียร์เหตุการณ์นี้จบมันก็ฟุบหลับที่เดิมพร้อมกับไอ้ต้นกล้า

เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีสุนทรี พร้อมกับเดินโยกไปมาคล้ายจะเต้นประกอบกับเสียงที่สร้างขึ้นจากลำคอ ทำนองของเสียงที่เปล่งออกมาอย่างผิดจังหวะบวกกับการประสานท่าเดินโยกเยกไปมาคล้ายคนเมา แม้คนๆ จะหน้าตาดีแค่ไหนก็เหมือนคนบ้าอยู่ดี

“ปิดเทอมมานี่ทำมึงถึงกับเสียสติไปเลยรึไง!!” ผมทักไอ้คนไม่สมประกอบทางสติซึ่งกำลังเดินมาทางทิศที่ผมนั่งห่างออกไปไม่กี่ก้าว

“กู…..ช่างแม่ง กูอารมณ์ดี กูขี้เกียจฟังปากหมาๆ อย่างมึงตั้งแต่เช้า” ไอ้ต้นน้ำฮัมเพลงจบก็กระแทกก้นนั่งอยู่ข้างผม

“ไอ้เชี้ย ออร่าพวยพุ่งเชียวนะมึง ตั้งแต่กลับมาจากคุกมึงจัดกันไปกี่ดอกล่ะ?!” ผมทำเสียงอิจฉาแซะมันเหมือนปกติ

แต่ปกติจะมีไอ้ต้นกล้าเป็นลูกคู่แต่วันนี้มันหลับหมดฤทธิ์เสียอย่างนั้น รวมถึงพี่ชายผมที่ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เพื่อซ้อมกีฬาตามปกติของกัปตันทีมบาสเกตบอล ซึ่งปีนี้มันควรต้องยกตำแหน่งให้รุ่นน้องปีสามได้แล้ว และมันก็ไม่ควรไปยุ่งกับการฝึกของน้องมากนัก เพราะเป็นธรรมเนียมของปีสี่ที่ห้ามลงทุกกิจกรรมเพื่อเพ่งสมาธิกับการทำงานโครงการจบส่งในเทอมและฝึกประสบการณ์ในเทอมสอง

ไอ้ต้นน้ำมี่อมยิ้มเหมือนรอให้พวกผมแซวให้จบจะได้ตอบทีเดียวเหมือนเช่นปกติ แม้จะแปลกใจที่วันนี้ผมเป็นคนเดียวที่แซวมัน แต่ก็ยอมตอบรับคำแซว (บวกอวด) ต่อทันที

“ถุงยางกล่องใหญ่ที่กูเก็บสะสมมาทั้งหมดกูใช้หมดในสัปดาห์เดียวมึงคิดดูสิ!!” ไอ้ต้นน้ำตอบด้วยรอยยิ้มตาปิด

“ถ้ากูเป็นพี่จินไห่แล้วมาได้ยินมึงพูดแบบนี้!! กูบอกเลยว่ามึงเตรียมตัวนอนในสวนได้เลย พูดเสียเสียงดัง มึงก็รู้ว่าเรื่องมึงดังไปทั้งโซเชียล!” ผมใช้มือสัมผัสกระโหลกหนาๆ ของมันดัง เพี๊ยะ

นอกจากมันจะไม่โต้ตอบแล้ว มันยังมีหน้าที่ลดสีสันลงเรื่อยๆ แสดงว่ามันก็กลัวพี่จินไห่ไม่น้อย

เห็นสภาพมันแล้ว ทำไมมันต่างจากเราจังวะ เพราะนอกจากพี่โน่จะไม่กลัวผมแล้ว ยังเจ้าเล่ห์กับผมตลอด

“ว่าแต่มึงล่ะ เก็บได้เยอะไหมปิดเทอมปีนี้ แต่ไม่ต้องเล่าให้กูฟังอีกแล้วนะ แต่ละเรื่องของมึงนี่….. บรือ….” ไอ้ต้นน้ำสั่นหน้าและทำท่าขนลุกจนผมอดที่จะขำมันไม่ได้

“มึงนี่ไม่ดูตัวเองเลยนะ ไอ้สัด!! เรื่องที่มึงเพิ่งพูดไปนี่ก็ไม่ต่างจากกูไหม?!?”

“เดี๋ยวๆ แต่กูก็มีคนเดียวนะ ไม่ใช่มึงที่ร่านไปทั่ว!”

“ไอ้สัด ว่ากูซะ เสียเลย!!” ผมยกมือเตรียมโบกศรีษะมันสักรอบแต่ก็ต้องสะดุด เมื่อลูกคู่ของผมมันดันฟื้นขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

“ไม่นะ ปีนี้มันฟัดอยู่คนเดียวเหมือนมึงนั่นแหละ”

ผมหันควับไปมองมันตาขวาง ไอ้ต้นกล้าเหมือนจะรู้ตัวเลยชิงนอนหลับและทำเป็นละเมอไป

“มึงมีอะไรปิดบังกู!!” ไอ้ต้นน้ำใช้นิ้วชี้ดันที่หว่างคิ้วผมอย่างจงใจและค่อยๆ ออกแรงดันไปเรื่อยๆ

“ปิดเทอมกูธรรมดา ไม่เหมือนมึง! ได้ข่าวผจญภัยน่าดูเลย” ผมพยายามเบี่ยงเบนประเด็น

“ก็เออดิวะ! นอกจากแม่กูจะท้าพิสูจน์อะไรกูตั้งเดือน แถมส่งกูไปลงนรกอย่างโดดเดี่ยวอีก! ที่พูดว่านรกนี่คือนรกจริงๆ รีสอร์ตเชี้ยอะไร ร้อนฉิบหาย สิ่งอำนวยความสะดวกก็น้อย เครื่องปรับอากาศยังไม่มีเลยมึง! แถมใช้กูยังกะลูกจ้าง กูเป็นหลานนะ มาทำงานให้ฟรีๆ นะจ๊ะ!! ดีอย่างเดียวคือกูมีห้องส่วนตัวแค่นั้น!!” ไอ้ต้นน้ำได้โอกาสบ่นยาว เหมือนเก็บกดที่ไม่สามารถระบายเรื่องนี้กับใครได้ที่บ้าน

“เออๆ แต่ก็จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนี่นา” ผมเสริม

“ใช่ โหย….กูบอกได้เลยว่ากูแม่งโคตรมีความสุข!! คุ้มค่ากับทุกอย่างที่ลงทุนทำไป เวลาไม่ต้องปิดบังใครนี่มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดไปเลย กูนี่แทบจะย้ายไปอยู่กับพี่ไห่เลย! ส่วนแม่กูก็เนียนมากินมื้อค่ำที่บ้านพี่ไห่แบบฟรีๆ ทุกมือ บางทีเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน กูนี่โดนรุมตำหนิเรื่องโน่นนี่จนกูแทบจะกินข้าวไม่ลง แต่ก็อย่างว่า แม้กูจะไปเอาคืนกับแม่ไม่ได้ แต่กับพี่ไห่กูนี่จัดหนักคืนให้ทุกคืน!” ไอ้ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าอวดๆ

“กูว่าแล้ววาามึงต้องอวด!!” ผมมองแรงใส่มัน

“มึงก็อวดกูกลับสิ แต่อย่างว่า มึงไม่มีแฟน!” น้ำเสียงเยาะเย้ยที่ผมรู้สึกเฉยๆ แบบจริงจัง จนไอ้ต้นน้ำรู้สึกถึงความผิดปกติ

“มึง!! ไอ้อากัปกิริยาแบบนี้มันผิดปกติ!! มึงมีอะไรปิดบังกู!!” ไอ้ต้นน้ำมีท่าทีคาดคั้น

บางทีผมก็รู้ว่าไอ้นี่มันฉลาดเป็นพักๆ

“พวกเธอ!! นี่มันกี่โมงแล้ว ทำไมยังไม่ขึ้นห้องเรียนอีก!!” อาจารย์แม่ประจำคณะฯ ตวาดกร้าวจากบริเวณทางเข้าอาคาร

ทำให้ทุกคนยกแขนที่สวมนาฬิกา หรือยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา และแล้วก็เกิดความเงียบพร้อมกับเสียงเก็บข้าวของอย่างโกลาหล

นี่คือเสียงระฆังช่วยชีวิต อย่างน้อยวันนี้ผมก็รอดจากการถูกไอ้ต้นน้ำเพื่อนสนิทผู้สอดรู้ไต่สวน

เพียงเวลาไม่ถึงห้านาที บริเวณใต้อาคารเรียนก็โล่งเหลือแต่เพียงชุดโต๊ะเก้าอี้เอนกประสงค์เท่านั้น

………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ตลอดทั้งวันที่ไอ้ต้นน้ำพยายามระแคะระคายเรื่องของผมกับไอ้ต้นกล้าและไอ้เฟรม โชคดีที่ผมรู้ว่ามันเป็นไอ้โรคขี้อวด เลยปูทางให้มันอวดแฟนมันได้อย่างเต็มที่ เลยผ่านพ้นไปได้ทุกคาบเรียน

ในสุดก็มาถึงช่วงหมดเวลาเรียนที่คาบสุดท้าย ผมขอตัวออกจากห้องก่อนทุกคนเพื่อกลับมาบ้านเงียบๆ  เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าถูกใจความเงียบสงบนี้

หลังจากล้มตัวลงนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนอันคุ้นเคยก็ตีจมูกหวนให้คิดถึงใครคนหนึ่งที่วันนี้บอกแล้วว่าจะกลับดึก

ผมแอบเอาจมูกซุกไซ้ที่นอนให้รู้ถึงความอบอุ่นหมุนวนในปอดซ้ายขวา

ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำนองจังหวะหนักแนวร็อคแอนด์โรล ทำให้รู้ว่าคนที่โทรมาอยู่ในกลุ่มเพื่อนของตนเอง ผมคว้าโทรศัพท์ที่โยนไว้ไม่ไกลตัวก่อนล้มตัวลงนอนมามองหน้าจอที่ฉายชื่อของเพื่อนสนิทขึ้นมา

‘ต้นน้ำ’

ผมเบ้ปากเล็กน้อยก่อนที่จะเหวี่ยงแขนไปวางที่เดิมก่อนหน้านี้ ด้วยความอ่อนเพลียผมดันเผลอหลับบนที่นอนที่แสนสบายในช่วงยามเย็นอันสงบเงียบของบ้านหลังนี้

ติ้งน๊องงงง ติ้งน๊องงงง

เสียงกดออดเสียงดังลั่นต่อเนื่องอย่างไม่เกรงใจคนในบ้าน ผมลืมตาฟื้นคืนสติอย่างงงๆ ไม่รู้ตัวว่าตนเองหลับไปนานเท่าใด แต่ท้องฟ้าตอนนี้ก็มืดลงกว่าเดิมมาก

ผมงัวเงียเดินลงมาจากห้องชั้นสองอย่างหงุดหงิด ไม่รู้ว่าใครถึงได้กดกริ่งหน้าบ้านอย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้

ทันทีที่เดินมาถึงระยะที่มองเห็นได้ชัด ปากของผมก็สบถคำหยาบคายชุดใหญ่

“เฮ้ยๆๆ นี่กูเอง เพื่อนสนิทมึงไง” ไอ้ต้นน้ำที่ยืนหน้ามึนรอคำด่าทอจากผมแบบไม่สะทกสะท้าน

“มาทำไม กูกำลังนอนสบายเลย!!” ผมทำท่าทางไม่สนใจพร้อมที่จะเดินจากไปได้ทุกเมื่อ

“มึงๆๆๆๆๆ กูมีเรื่องปรึกษา” ไอ้ต้นน้ำยกมือไหว้หลอกๆ ตามประสาคนกะล่อน

“มันใช่เวลาไหมเนี่ย?” ผมยกนาฬิการุ่นสมาร์ทวอชท์ที่ข้อมือขึ้นมาดูตัวเลขพลางพูดกับเพื่อนสนิทอย่างไม่ใส่ใจ

“จริงๆ ให้กูเข้าหน่อย กูคันปากจะแย่!!”  ไอ้ต้นน้ำเคาะประตูรั่วเสียงสั่นระรัว

“ไปให้พี่ไห่ช่วยเกาไป” ผมไล่อีกรอบพลางนึกได้ว่าวันนี้พี่โน่น่จะกลับดึกเป็นปกติ คงไม่มาเจอมันเวลานี้ เพราะนี่เพิ่งหัวค่ำ

“มึงพูดเหมือนไม่รู้จักพี่ไห่ คุยเรื่องแบบนี้พี่ไห่ก็นิ่งๆ ดีไม่ดีบอกให้กูเอาเวลาไปตั้งใจเรียน”  ไอ้ต้นน้ำกอดอก

“ก็ถูกของพี่เขา ถึงมึงจะหัวดีแต่มึงขี้เกียจ!! เอาเวลาไปตั้งใจทำงานไป!!” ผมหมดความอดทนกับไอ้เพื่อนเวรนี่

“ไอ้ไอซ์…..” มันเซ้าซี้ไม่เลิก

“มึงไปวอแวกับพี่ชายกูเถอะกูขอร้อง!!” ความรู้สึกตอนนี้คือต้องไล่มันไปให้เร็วที่สุด!! อยู่ที่มหาวิทยาลัยก็เหนื่อยกับการอวดเมียของมันทั้งวันแล้ว

“นั่นแหละๆ เรื่องที่กูจะคุยด้วย!!” หน้าตาของไอ้ต้นน้ำที่เหมือนถูกหวยทำให้ผมยิ่งสงสัยใคร่รู้

เผือกในอกในร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

……………..

“เชี้ย!!!!” ผมร้องอุทานด้วยเสียงอันดังหลังจากที่ผมได้ยินเรื่องที่ไอ้ต้นน้ำมันเล่า

“ใช่ไหม? ความรู้สึกเดียวกับกูตอนเจอมันออกจากห้องอาบน้ำที่สนามกีฬาด้วยกัน กูนี่แอบแทบไม่ทัน เสียอย่างเดียวกูไม่รู้ว่าแม่งคุยอะไรกัน แต่สิ่งที่กูสงสัยสุดๆ ก็ตรง ไอ้ต้นกล้าแม่ง บ่นประมาณว่าเจ็บตลอดการสนทนา แต่กูรูจักสีหน้านั่นดี พี่ไห่ทำให้เห็นประจำ มันแบบเจ็บปนสุขอะไรประมาณนั้น” สีหน้าตอนเม้าส์มอยของไอ้ต้นน้ำนี่มันสุดโต่งจริงๆ

“อืม….กูเข้าใจเลย แม่งไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าคนอย่างไอ้ต้นกล้ามันเป็นฝ่ายรับให้ไอ้เฟรม แล้วแมนๆ สองคนอย่างมันไปตกร่องปล่องชิ้นกันได้ยังไงวะ!!” ผมคิดถึงตัวเองขึ้นมา

“มึงพูดเหมือนมึงเคยเป็นแบบไอ้กล้าวะ?” ไอ้ต้นน้ำมองหน้าผมด้วยความสงสัย

“มึงพูดอะไรของมึง!!” ผมใช้มือไสหน้ามันไปมองทางอื่น

“กูพอจะระแคะระคายเรื่องไอ้ต้นกล้ามาบ้าง แต่ไม่นึกว่าไอ้เฟรมก็จะเล่นด้วย มันไม่เคยมีแฟนเป็นผูชายเลยนะ ไม่มีกลิ่นเลย ไอ้สองตัวนี้ไม่มีกลิ่นให้กูสงสัยเลย ถึงไอ่กล้ามันจะแคร์ไอ้เฟรมมาก แต่นี่มันก็เกินเพื่อนไปไหมวะ กูงงไปหมด!!” ในหัวของผมเต็มไปด้วยภาพย้อนหลังที่ผ่านมา

“ไอ้เฟรมมันเพิ่งโดนแฟนทิ้ง มันอาจจะแต่สับสนก็ได้!!”  ไอ้ต้นน้ำอยู่ๆ ก็พูดดูมีเหตุผล เหมือนไม่ใช่ตัวมัน เหมือนพี่ไห่สิงความคิดมันอยู่

ผมมองมันด้วยสายตาแปลกๆ อยู่พักใหญ่

“สับสนแบบนี้กูไม่โอเค ไอ้ต้นกล้า มันก็เพื่อนกูนะ พี่ชายกูไม่มีสิทธิ์มาทำกับเพื่อนกูแบบนี้ มาเล่นกับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้!!” ผมกำหมัดแน่น

“ใจเย็นก่อน มันอาจจะจริงจังก็ได้!! นี่แหละ! กูเลยมาคุยกับมึงเรื่องที่จะช่วยกันจับตามองพวกมันกัน” ไอ้ต้นน้ำจับรั้งมือผมไว้ ไม่ให้คิดไปไกลใจร้อน

“แต่แม่ง!” ผมกัดฟันกรอด ไม่รู้เอาความเดือดดาลเหล่านี้มาจากไหน

อาจจะโกรธที่พวกมันทำไม่มาปรึกษาผมเรื่องนี้  คิดไปไกลร้อยแปดเรื่องที่ไอ้พี่ชายหน้าเหมือนมันเลิกกับแฟนสาวดาวโซเชียลของมัน หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ไอ้ต้นน้ำรวบบ่าผมไว้ด้วยฝ่ามือหนาใหญ่ และใช้แรงกดลงจนกระทั้งผมขยับตัวไม่ได้

“ฟังกูนะ กูว่ามันมีเหตุผลของพวกมัน เราแค่เผือกอย่างมีสติโอเค!!” ไอ้ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

เกือบดีแล้วครับมึง ไอ้คุณเพื่อน  ผมมองหน้ามันพลางคิดในใจแบบนั้น ตอนนี้ใจสงบลงแล้ว แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าตอบมันกลับไปแบบไหน เลยทำได้แค่ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ

“อะแฮ่ม!!” เสียงบุรุษปริศนาดังขึ้นไม่ไกล ผมกับไอ้ต้นน้ำหันไปหาต้นเสียงอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เห็นคือชายร่างเล็กวัยกลางคน แม้จะมีใบหน้าที่ซีดกว่าปกติเล็กน้อยแต่แค่ดูก็รู้ว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

บรรยากาศภายในห้องรับแขกเย็นขึ้นมาจนผมรู้สึกได้  ผมไม่รู้ว่าไอ้คนที่มาใหม่มันคิดอะไรอยู่แต่ แบบนี้มันอาการของคนกำลังเข้าใจผิดชัดๆ

ในสภาพที่ผมและไอ้ต้นน้ำกำลังใกล้ชิดกัน มือหนึ่งกุมมือกันแน่น มือหน่ึงจับไหล่อีกข้างแน่น เอาเข้าจริงมันเป็นสภาพปกติของเพื่อนสนิทสนทนากันอย่างจริงจัง แต่สำหรับมุมมองของคนขี้หึงอย่างคนตัวเล็กคนนี้ ผมว่ามันสามารถฆ่าไอ้ต้นน้ำให้ตายคาห้องรับแขกแห่งนี้ได้เลยนะ

ไอ้ต้นน้ำมันไปยุ่งกับน้องรักของพี่โน่คราหนึ่งแล้ว และตอนนี้มันยังจะมาวอแวแฟนของเขาอีก (แม้มันจะยังไม่รู้ก็เถอะ) จิตสังหารพวยพุ่งจนผมเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาเลย

“ทำอะไรกัน?” พี่โน่เค้นเสียงที่ดูธรรมดาที่สุดออกมา แม้ใบหน้าจะแสดงจิตอาฆาตมาทางไอ้ต้นน้ำ

แต่ไอ้ต้นน้ำดูมันจะไม่รู้ตัว โง่เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ มันคงเก่งแต่เรื่องเรียนจริงๆ

“ผมก็คุยกับเพื่อนผมตามปกตินี่ครับ” ฟังไอ้ต้นน้ำมันตอบด้วยท่าทีปกติ เออ! ดูก็รู้ว่ามันโง่!

แต่พี่โน่ดูท่าจะโดนม่านหมอกของอารมณ์บดบังความคิดจนมองไม่เห็นความซื่อบื้อของไอ้ต้นน้ำ สังเกตได้จากสายตาที่ส่งจิตคุกคามที่แม้แต่ผมยังรู้สึกอึดอัด

ไอ้ต้นน้ำมันก็ยังไม่ปล่อยมือผม

พี่โน่เดินอาด ๆ มาและจับผมกับไอ้ต้นน้ำแยกออกจากกัน ผมน่ะไม่เท่าไหร่ พี่โน่มันออมกำลังไว้ แต่ไอ้ต้นน้ำคือขยับถอยไปอีกสองก้าวได้

“เฮ้ย!! พี่โน่พี่เป็นอะไรวะ!?!” มีเสียงหงุดหงิดปนอยู่ในคำพูดของไอ้ต้นน้ำ แต่มันคงทำได้แค่นั้น เพราะมันรู้ว่าคนๆ นี้ไม่ควรไปยุ่งด้วยโดยเด็ดขาด

“กูเกรงใจน้องไห่นะ ไม่งั้นมึงไปฟื้นที่โรงพยาบาลแล้ว ต่อปากต่อคำกับกูไม่เลิก!!” พี่โน่ใช้นิ้วแกร่งชี้ไปที่ไอ้ต้นน้ำที่ยังงงและจำต้นชนปลายไม่ถูก

“เดี๋ยวนะ พี่ทำอะไรของพี่เนี่ย!?! ผมงงไปหมดแล้ว!! ผมจะคุยกับเพื่อนมันผิดตรงไหน?” ไอ้ต้นน้ำสวนกลับด้วยคำถามทันที สมเป็นคนปากเร็วกว่าสมอง

“มึงมายุ่งกับคนของ……” ไอ้พี่โน่พูดด้วยแววตาลุกเป็นไฟ แต่ผมซึ่งรู้ว่าประโยคถัดไปคืออะไร ผมจึงรับพูดแทรกทันที

“พี่โน่เห็นมึงมีพี่จินไห่อยู่แล้ว ไม่ควรไปยุ่งกับใครให้เข้าใจผิดไง!!” ผมมองค้อนใส่พี่โน่ที่เหมือนถูกเสียงผมแทรกเข้า คล้ายโดนไฟฟ้าช็อต เขานิ่งไปพักหนึ่ง

“เชี้ยอะไรเนี่ย? มึงเป็นเพื่อนกู พี่ไห่ก็รู้จักมึง! คิดมากไปป่าวว่ะ!?!” ไอ้ต้นน้ำโวยวายลั่น

ในมุมมองที่มันไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่โน่ มันจะไม่เข้าใจก็ไม่แปลก!!

“เออ!! กูไม่ชอบที่มึงทำน้องกูเสียใจ!” พี่โน่สีหน้าตอนกำลังแก้ต่างนี่มันช่างขบขันจนผมเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

อย่างที่รู้แม่ผมยังไม่อนุญาตให้ประกาศเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้ใครทราบ ดังนั้นจะรู้ก็เพียงคนในครอบครัวและพี่จินไห่เท่านั้น (ส่วนไอ้ต้นกล้าผมไม่แน่ใจ)

“พี่โน่!! มึงช่วยแยกแยะด้วยครับ ด้วยความเคารพ!! ผมไม่มั่วขนาดไปเอามันหรอก!!”

“ไอซ์ไม่ดีตรงไหน!!” พี่โน่เสียงเข้ม

เฮ้ยๆๆๆ พี่โน่ มึงจะขึ้นเพื่อ?!?

ผมคิดในใจพลางทำตาขวางใส่ไอ้ผู้ใหญ่หัวใจวัยรุ่น

ไอ้ต้นน้ำมันมองผมสลับกับพี่โน่ไปมาและทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรได้

“สองคนนี้มีพิรุธนะ” ไอ้ต้นน้ำจ้องเขม็งมาที่พวกผม

“มึงนี่กวนโมโหกูไม่เลิกนะ!! ไปพักผ่อนในโรงพยาบาลสักสองสามคืนไหม!!” พี่โน่พลางเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นกล้ามเป็นมัดๆ เส้นเลือดจำนวนหนึ่งปูดโปนจนแทบจะเห็นการเดินทางของเลือดภายในหลอดเลือด

“เฮ้ยๆ อะไร พี่นี่ชอบหาเรื่องผมจังเลยว่ะ โมโหอะไรของพี่วะ นี่มันไม่ใช่บ้านพี่นะเว้ย!! อยู่ๆ เข้ามาหาเรื่องในถิ่นคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย!” ไอ้ต้นน้ำโวยวายกลับแต่ในขณะเดียวกัน มันก็ค่อย ๆ ถอยห่างจากระยะหมัดของพี่โน่ทีละน้อย

“มึงนี่มันวอน!!” แม้จะชะงักไปชั่วขณะหนึ่งกับคำพูดของไอ้ปากมากอย่างไอ้ต้นน้ำ แต่ความรุนแรงคงเป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ไอ้พี่โน่คิดได้ตอนนี้ เขาก้าวเดินออกตัวไปถึงไอ้ต้นน้ำอย่างรวดเร็วเพียงอึดใจ

“พี่โน่!! ไปรอที่สวน เดี๋ยวผมเคลียร์กับมันเอง!!” ผมรีบตวาดก่อนมีใครเจ็บตัว ข้าวของเสียหาย

ที่สำคัญ เรื่องมันอาจจะบานปลายกว่านี้

พอสิ้นเสียง ไอ้นักเลงกล้ามโตก็เหมือนตัวฟีบหดเล็กลง และเดินอย่างหงุดหงิดออกไปโดยไม่เถียงสักคำ

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ไอ้ต้นน้ำทำได้แค่อ้าปากค้าง

“เชี้ย!! มึงทำยังไงให้มันเชื่องขนาดนี้วะ!?!” ไอ้ต้นน้ำเดินเข้ามากอดคอเริงร่า

“ก็…….. มันเป็นเพื่อนแม่กูไง บวกอดีตคนเคยรักกันด้วย มันคงกลัวบารมีแม่กู!!”

“เออจริงด้วย!!” ไอ้ต้นน้ำเห็นด้วยแทบจะทันที

โชคดีที่ไอ้ต้นน้ำมันบื้อ เลยผ่านพ้นเหตุการณ์ไปได้ด้วยดี

สุดท้ายผมบอกให้มันกลับบ้านไปก่อน ส่วนเรื่องพี่ชายของผมคงค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไง หรือจะปล่อยให้มันตัดสินใจกันเองดี เพราะลำพังเรื่องของตัวเองก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ

หลังจากส่งไอ้เพื่อนขาเผือก ซึ่งไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่มันมาเพื่อมาเผือกเรื่องของผมหรือเรื่องของพี่ชายผมกันแน่ แต่ตอนนี้คงต้องไปเคลียร์กับคนของตนเองก่อน

ผมเดินไปที่สวนด้านข้างของบ้าน เห็นคนตัวเล็กกำลังเดินวนไปมาอย่างหงุดหงิดและร้อนใจ

หลังจากที่มันเห็นผมเดินมาในระยะสายตา มันรีบโผเข้ามากอดผมทันที

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“พี่ไว้ใจเรานะ แต่พี่ไม่ไว้ใจมัน!!” พี่โน่พูดใส่หูผม

“ผมไม่ดีใจเลยนะที่พี่พูดแบบนั้น ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมานาน ผมกับมันเนี่ย…..” พูดถึงตรงนี้ผมก็อดขนลุกตัวสั่นไม่ได้

“ไม่มีทางเสียล่ะ!!” ผมพูดต่อด้วยท่าทางแหยงๆ สั่นไปทั้งตัว

“ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ” พี่โน่ผ่อนลมหายใจยาว

“แต่พี่ช่วยควบคุมอารมณ์หน่อยได้ไหม? นี่ยังไม่พ้นเดือนหนึ่งเลยนะ!!” ผมโวยใส่คนรัก

“อืมๆ เคยตัวน่ะ ยิ่งเป็นมันด้วย ยิ่งควบคุมความโกรธลำบาก!!” พี่โน่ยึดตัว จบประโยคด้วยการขบฟันจนเห็นเส้นเลือดบริเวณลำคอ

“ไหนว่าตัดใจจากพี่ไห่ได้แล้วไง” ผมตอบเสียงเย็น

“น้องไห่ก็เหมือนน้องแท้ๆ พี่ไม่ชอบขี้หน้ามันตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เพราะน้องไห่รักมันหรอกนะ ไม่งั้นมันโดนฝังลืมไปแล้วที่มาวอแวกับน้องของพี่!!”

“ผมไม่อยากจะหึงหรอกนะ แต่มันก็หึงไปแล้ว…… แล้วนี่จะยิ้มเพื่อ!!!??” ผมเดินหนีไปนั่งเก้าอี้ในสวนไม่ไกล

“ก็ดีใจไง มีคนบอกพี่ว่ายิ่งหึงแปลว่ายิ่งรัก!” พี่โน่เดินมาใช้แขนโอบรอบตัวผมไว้แน่น แม้จะอึดอัดแต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นมากกว่า

ผมสะบัดตัวให้หลุดจากพันธนาการเล็กๆ ของชายร่างเล็ก เพราะกลัวอีกฝ่ายได้ใจ

“แล้วไหนว่าจะกลับดึก!?!” ผมเหยียดแขนใช้มือดันอกอีกฝ่ายให้เว้นระยะห่าง

“คิดถึงไง เลยรีบเร่งทำงานให้เสร็จ” พี่โน่ปัดมือผมให้พ้นทางและก้มลงใช้ริมฝีปากสัมผัสที่กลางศรีษะผมเบา ๆ

“ช่วงนี้เป็นช่วงโปรโมชั่นสินะ นี่ผมจะหมดโปรฯ เมื่อไหร่เนี่ย?!” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มลงมองผมอย่างเอ็นดู

“ตอบไม่ได้ ไม่รู้อนาคต รู้แต่ตอนนี้ ปัจจุบันนี้คือรักมาก รักมากๆ” พี่โน่พูดจบก็โน้มตัวเองลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากผมหลายครั้งซ้อน

“ทำอะไรเนี่ย?!?” ยอมรับครับว่าอาย พี่โน่มันเป็นคนที่โกหกเรื่องแบบนี้ไม่เก่งเลย มันเป็นคนตรงๆ จนผมกลัวเลยว่าความลับเรื่องของเราจะแตกเมื่อไหร่ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ของพี่โน่ที่ผมชอบ

“ก็อยากทำแบบนั้น ตรงนี้เลย” พี่โน่พูดไปก็จัดท่าทางตัวเองไป เขาค่อยๆ หมุนตัวเองมาประชันหน้ากับผมตรงๆ ใช้ขาก้าวคล่อมตัวผมไว้ มือก็จัดใบหน้าผมให้เงยมองเขาไม่วางตา

“เดี๋ยวๆๆๆๆ ทำอะไรน่ะ?” ผมจับมือของเขาที่เกาะกุมใบหน้าผมไว้

“ก็ทำอย่างที่เราเคยทำไง!” พี่โน่ขยับหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“นี่มันสวนข้างบ้านนะ จะบ้าเรอะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านพี่นะ!!” ผมยื้อตัวขืนอีกฝ่ายสุดแรง

“ไม่มีใครมาขัดจังหวะเราหรอก แม่ไอซ์กับไอ้โต้งก็อยู่ต่างจังหวัด ส่วนพี่ชายเรา พี่ก็จัดให้มันไปที่อื่นแล้ว!!” จบประโยคพี่โน่ก็เดินเครื่องเล้าโลมผมจนผมแทบหายใจไม่ออก

“เดี๋ยว…แฮ่ก…. นึกว่าล่ะ…. แฮ่ก….. ทำไม…. รีบกลับมา……เล็งเรื่องพิเรนทร์แบบนี้ไว้ใช่ไหม?” ผมแทบจะขัดขืนลีลาแพรวพราวของพี่โน่ไม่ได้ แรงช้างสารบวกกับประสบการณ์อันช่ำชอง ทำให้ผมแทบไม่สามารถขันขืนได้เลย ยิ่งได้รู้ว่า เป็นช่วงเวลาที่เราอยู่กันสองคนแบบนี้ ผมก็แทบจะถอดเสื้อผ้าออกตรงนี้แล้ว

สมกับเป็นมือถอดอันดับหนึ่ง เวลาเพียงไม่ถึงห้านาที ผิวขาวของผมก็รับกับลมเย็นของสวนสวยยามหัวค่ำจนแทบจะทุกรูขุมขนแล้ว

“พี่โน่ขี้โกง” ผมพูดด้วยใบหน้าที่แดงเลือดฝาดพร้อมกับขยำเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเนื้อดีอย่างแรง

ในขณะที่ผมถูกจับเปลื้องผ้าเปลือยจนหมดในอ้อมกอดของเขา ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปทั่วด้วยสัมผัสของคนตัวเล็ก แต่เจ้าของสัมผัสเหล่านั้นกลับมีเสื้อผ้าอยู่บนตัวครบถ้วน

“ก็ไอซ์น่ารัก จนพี่ชิมเท่าไหร่ก็ไม่พอ กลืนได้คงกลืนไปแล้ว” พี่โน่พูดด้วยสีหน้าคล้ายจะทำแบบนั้นจริงๆ

ขนลุก!! บอกได้คำเดียว (หรือว่าหนาวก็ไม่รู้)

“พอเลย” ผมพูดพลางปิดสัดส่วนลับเฉพาะที่เติบโตเกินมือมามากโข เพราะอายสายตาที่จ้องมองมาแบบนั้น

“ที่พี่ไม่ถอดด้วย เพราะอะไรไอซ์ก็รู้ใช่ไหม?” มันยิ้มมุมปากทิ้งท้าย ทำให้ผมรู้คำตอบในทันที

เพราะมันจะกลายเป็นว่าผมจะต้องตกเป็นของไอ้พี่โน่ในที่กลางแจ้งแบบนี้

“แล้ว……พี่อยากทำหรือเปล่าล่ะ” ไม่รู้ว่าเพราะการที่ผมถูกไอ้พี่โน่ทำแบบนี้ในที่แปลกๆ บ่อยครั้งหรือเปล่า ความต้านทานของผมถึงได้น้อยลงไปมาก ปล่อยไปตามอารมณ์จนพูดแบบนั้นออกมา

สุดท้ายตอนนี้ผมเลยจะรู้สึกเสียใจเสียแล้ว เพราะไอ้พี่โน่มันดันถอดเสื้อออกเสียแล้ว

แต่แทนที่ผมจะห้ามปราม ผมกลับมองสิ่งสวยงามตรงหน้านั่นอย่างเคลิบเคลิ้ม ผมน่าจะเป็นเอามาก… ในใจคิดต่อต้านและร่างกายกลับยอมทุกอย่าง

“ถอดให้พี่หน่อย” พี่โน่ขยับตัวยืนขึ้น บางอย่างภายในร่มผ้าขยับขยายจนทำให้ความต้องการในตัวผมพุ่งสูงขึ้น หัวใจฉีดปั๊มเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนในร่างกายเร็วขึ้น

ไม่ว่าจะกี่ครั้ง กับพี่โน่ ผมก็ยังตื่นเต้นแบบนี้อยู่เสมอ หรือเพราะสถานที่? แต่จะปัจจัยอะไรก็ช่างร้อยแปด ผมก็ตกเป็นของคนๆ นี่อย่างง่ายดาย

อุปกรณ์กระทำกิจกรรมถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะอย่างลวกๆ จะกี่ครั้งผมก็แปลกใจเสมอว่าทำไมคนๆ นี้ถึงได้พกอุปกรณ์พวกนี้ได้ทุกครั้งที่เรามีกิจกรรมกัน

หรือเขามีแผนแบบนี้เสมอ!

ผมถูกยกขึ้นไปนอนแผ่บนโต๊ะสนามที่ทำจากเหล็กกล้าแข็งแรง ผิวขาวเนียนของผมสัมผัสกับความเย็นของโลหะจนต้องเผลอตกใจร้องออกมาเบาๆ

“เจ็บหรือเปล่า? โดยบาดหรือเปล่า” พี่โน่ดันตัวเองเข้ามาระหว่างขาผมพร้อมกัมลงสอบถามผมด้วยความเป็นห่วง ด้วยความที่โต๊ะเหล็กสำหรับวางที่สนามนั้นมีลวดลายสวยงามสไตล์ช่อโรแรลของชาวโรมัน อีกคนจะเป็นห่วงก็ไม่แปลก

แต่ไอ้ท่าแบบนี้ถึงแม้ว่าน้องชายอันแข็งแกร่งของพี่โน่จะยังไม่ได้เข้ามาในตัวผม แต่การทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกตื้นเต็มจนเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง

เมื่อพี่โน่เห็นว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากก็เริ่มเล้าโลมเล่นหยอกกับส่วนหน้าของผมจนแทบจะสำลักความสุขหายใจไม่ออก

ไม่นานทุกอย่างก็พร้อม ม้าไม้พร้อมที่จะยกเข้ามาในเมืองทรอยแล้ว  ผมทำใจอยู่ไม่นานมัาไม้ขนาดใหญ่สีสวยก็มาจอดในเมืองสำเร็จ ผมกับพี่โน่เลื่อนม้าไม้เล่นอย่างลืมตัว ลืมเรื่องสถานที่และเวลา

เสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผมดังอยู่ท่ามกลางกองเสื้อผ้าที่ตกอยู่รอบโต๊ะที่ถูกปฎิบัติเสมือนเตียง กระเป๋ากางเกงเรืองแสงสว่างวูบวาบตามจังหวะเสียงริงโทน และนั้นทำให้รู้ว่าใครโทรมา

“แม่!!”

ผมเอ่ยขึ้น ด้วยอาการหอบหายในถี่ ในสภาพที่ไม่สามารถเอื้อมมือถึงจุดที่ต้องการ

สีหน้ากังวลของผมคงทำให้พี่โน่รู้ว่าผมกำลังไม่สบายใจกับเสียงริงโทนที่ดังอย่างต่อเนื่อง เขาตัดสินใจถอยม้าไม้ออกจากเมืองทรอยและก้าวถอยไปหยิบโทรศัพท์จากกองเสื้อผ้าให้

“นอนอยู่ตรงนั้นแหละ” พี่โน่ทำเสียงจริงจัง

หรือว่าผมทำให้เขาหงุดหงิดเสียแล้วที่โดนขัดจังหวะ!

“สวัสดีครับ” ผมรีบแย่งโทรศัพท์จากมือพี่โน่ทันทีที่เขายื่นให้ และเลื่อนเครื่องหมายบนหน้าจออย่างเร่งรีบเพื่อรับสาย

“ไอ้ตัวดีถึงบ้านหรือยัง?” เสียงมารดาจากปลายสายดังขึ้น

ในขณะที่ผมมองไอ้คนตัวเล็กอีกฝั่งกำลังจัดท่าทางการนอนของผมอยู่อย่างน่าสงสัย แม้แม่ของผมยังอยู่ที่ปลายสายอีกฝั่งก็ยังอดที่จะยกศรีษะขึ้นมามองตามการกระทำเหล่านั้นไม่ได้

“ถึงแล้วสิครับ ก็อยู่กับเพื่อนของแม่นั่นแหละ ไม่เชื่อก็ถามเขาเอง! ผมยื่นโทรศัพท์ให้คนที่กำลังวุ่นวายกับอวัยวะเบื้องล่างของผมอย่างกับกำลังแกล้งผมอยู่

ผมกัดฟันแทบตายเพื่อที่จะไม่ปล่อยเสียงแปลกๆ ระหว่างคุยกับแม่

“สวัสดีมล ไอซ์อยู่บ้านกับเรานี่แหละสบายใจได้” พี่โน่แทบที่จะรับโทรศัพท์จากมือผมไปเขากลับกดปุ่มลำโพงเพื่อพูดกับแม่ของผมในสภาพที่มือตนเองเป็นอิสระ

ต่างจากผมที่มือข้างหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ของตัวเอง อีกข้างต้องยกมาปิดปากตัวเองไว้

“แล้วอีกคนล่ะ โน่ฉันมีลูกสองคนนะ!!” เสียงแม่ผมดังขึ้นด้วยสำเนียงแซวๆ

“เออน่า! เดี๋ยวก็กลับ! ไม่เกินสี่ทุ่ม ยื่นคำขาดไปแล้ว!”

“ขอคุยกับไอซ์หน่อย!” ประโยคของแม่ทำให้ผมหันโทรศัพท์มาแนบหูตัวเอง ปิดโหมดลำโพงเรียบร้อย

“ครับ!” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่รักษาระดับ

“พวกแกไม่ได้โกหกแม่ใช่ไหม? เปิดเทอมแล้วเพลาๆ เรื่องเที่ยวบ้างก็ได้!”  แม่ทำเสียงจับผิด

“ไม่……ได้โกหก….. อยู่บ้าน….. จริงๆ” เสียงของผมขาดหายไปเพราะอาการสะกดกลั้นเสียงที่พี่โน่เริ่มทำศึกเมืองทรอยอีกครั้ง ตอนนี้ม้าไม้เคลื่อนตัวเข้ามาในเมืองทรอยเรียบร้อยแล้ว และทุกครั้งที่ผมหยุดกลืนเสียงแปลกๆ เหล่านั้นก็ตรงกับจังหวะเลื่อนม้าไม้ไปมาในเมืองทรอย ผมทำได้แค่นี้จริงๆ

แม่วางหูเถอะนะ!! ผมคิดในใจ

“ถามจริงแกกับพี่ชายแกมีปัญหาอะไรไหม? พวกแกเหมือนห่างๆ กัน แปลกๆ” แม่ถามต่อ

“มะ….ไม่นะ ผม…..ไม่……มี…. เรื่อง…กับ…. มัน….” ผมโคตรเหนื่อยเลยตอนนี้เหมือนจะขาดใจ อยากจะร้องดังๆ ใจจะขาด

“แกเป็นอะไรไหมเนี่ย?”  แม่ถามอย่างสงสัย

ผมกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ผ่านลงคออย่างยากลำบาก มือข้างหนึ่งจับยึดขอบโต๊ะที่ทำจากเหล็กเย็นเยียบจิกแน่น ราวกับว่าจะบรรเทาการบุกโจมตีจากม้าไม้ได้

“ไม่ได้เป็นอะไรผมแค่วิ่งออกกำลังรอบบ้าน คุยโทรศัพท์ไปด้วยมันเลยหายใจไม่ทันครับ” ผมกัดฟันพูดเสียงปกติรวดเดียวจบ สายตาก็ดุดันใส่ไอ้คนที่ไม่รู้จักกาละเทศะ

มันใช่เวลามาทำเรื่องแบบนี้ไหมเนี่ย?

“ไอ้พี่โน่ของลูกมันอยู่แถวนั่นใช่ไหม? เปิดสปีกเกอร์!!” แม่ผมที่เงียบไปพักใหญ่ กล่าวออกมาเสียงดัง

ผมหันลำโพงไปทางเบื้องล่างของผมและกดเปิดสปีกเกอร์ทันที

“มลหวังว่าคงไม่ได้แอบทำอะไรทะลึ่ง ๆ กับลูกชายมลนะ!” เสียงดังลั่นสนาม

“เปล่า! เราออกกำลังกายกันในสวนจริงๆ ใช่ไหมน้อง?” ไอ้พี่โน่มึงไม่ควรมาถามกูเวลานี้

“ครับ พี่โน่…..ชวนผมออกกำลังกายกัน…ที่สนาม” ผมกลั้นใจตอบคำถามแม่ด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด และมีหอบเล็กน้อยที่ปลายเสียง เพราะอีกฝ่ายยังคงโจมตีผมอย่างหนัก หวังว่าเสียงของม้าไม้กับประตูเมืองจะไม่ดังเข้าโทรศัพท์นะ

“มลไม่ถามแล้วดีกว่า ยิ่งฟังเสียงของพวกเธอแล้วคิดดีไม่ได้เลย ขนลุก! จะออกกำลังกายอะไรก็แล้วแต่นะ อยู่บ้านกันก็ดีแล้ว แล้วอย่าลืมตามพี่ชายเธอกลับมาด้วยนะไอซ์ แม่ไปแล้ว!!” แม่พูดจบก็วางสายทันที ต่อให้หัวสมัยใหม่แค่ไหน แต่มาเจอสภาพนี้จริงก็รับไม่ได้กันทั้งนั้น

“พี่โน่!! ทำอะไรของพี่วะ!!” ผมหัวเสียขึ้นมาเสียดื้อๆ อารมณ์ร่วมเมื่อครู่แทบจะมลายหายไปหมดด้วยความเขินอายมารดาตนเองถึงขีดสุด

แม่เป็นคนฉลาดยังไงแม่ต้องรู้แน่ๆ ว่าทำอะไรกัน

“เชี้ยๆๆๆๆ” ผมสบถออกมาเบาพร้อมกับดิ้นหนีอีกฝ่ายที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

แต่อนิจจา แรงผมมันช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับคนเบื้องล่าง ไม่นานผมก็ถูกจัดในท่าใหม่ที่ทำให้ผมหมดเรี่ยวแรงขัดขืน และยอมรับชะตากรรมจนม้าไม้โจมตีผมจนหน่ำใจ

ผมหอบหายใจด้วยการคว่ำหน้าลงบนโต๊ะประดับสวนที่ตอนนี้อุ่นไปด้วยไอร่างกายของผม ตัวผมไม่รู้ตัวเลยว่าถึงเส้นชัยไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เลอะเทอะคราบสงครามเต็มไปหมด สักพักพี่โน่ก็ล้มลงมาทับตัวผมทั้งที่ม้าไม้ยังอยู่ในเมืองทรอยของผม

“เหนื่อยจัง สุดยอดเลย”  พี่โน่หอบเอาลมหายใจอุ่นๆ รดหลังผมหอบใหญ่หลายหอบ

“ไอ้พี่โน่ขอร้องเลยนะ ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ!!”
ผมโวยทั้งที่หมดแรงจะต่อเถียง

“ทำไมล่ะ ท่าทางน้องเองก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ” 

“ลุกออกไปจากตัวผมได้ได้แล้ว!”

“ขออยู่แบบนี้อีกเดี๋ยวนะ พี่ยังไม่หายเหนื่อยเลย”

“แก่แล้วสินะ!!”

“พูดแบบนี่ อีกสักรอบดีไหม?” ไม่แค่พูด ม้าไม้ที่ยังคงอยู่ในเมืองที่ตอนแรกมันกลายเป็นม้ายัดนุ่น ตอนนี้เริ่มกลับกลายมาเป็นม้าไม้ตัวเดิมแล้ว

“เฮ้ยๆ พอเลย พอเลย!” ผมพยายามดิ้นในท่านอนคว่ำทำให้ไม่สะดวกที่จะต่อกรอีกฝ่าย

“ทำไมล่ะ พี่จะช่วยพิสูจน์ไงว่าพี่ยังไม่แก่!!” พี่โน่จับผมกดลงติดกับโต๊ะเหล็ก ผมรู้สึกถึงลวดลายของโต๊ะแนบชิดติดเนื้อหนังผมได้ทุกลวดลาย

“ไม่นะ!” ผมร้องโวยขึ้น รู้สึกคิดผิดที่ไปพูดเรื่องอายุกับคนแบบนี้

“เอาน่า พี่กำลังมาเลยนะ” พี่โน่จัดท่าตัวเองตั้งตรงเตรียมเผด็จศึกอีกครั้ง

ผมทำได้แต่เสียใจที่พูดจาโง่ๆ แบบนั้นใส่อีกฝ่าย ต่อไปนี้จะจำเอาไว้ว่าอย่าท้าทายอำนาจของนักเลงวัยกลางคน

“อะแฮ่ม!!” เสียงกระแอมดังมาจากตัวบ้านไม่ไกล

ผมตกใจหันไปมองต้นเสียงจนคอแทบเคล็ด สิ่งที่เห็นคือเงาร่างสูงโปร่งยืนเฉียงไปทางมุมอื่นของบ้าน

“ผม….แค่จะบอกว่ากลับมาแล้ว!!” เสียงในเงามืดของบ้านพูดขึ้น

ผมจำได้ทันทีนี่มันไอ้เฟรม!!

แต่พี่โน่ก็ดูไม่ได้สะทกสะท้านอะไรนอกจากหยุดภารกิจชั่วคราว มองไปทางคู่สนทนาในบ้านและพยักหน้ากลับไป

“เอ่อ..ผมไม่กวนแล้วครับ ผมขึ้นห้องก่อนนะ!!” อีกฝ่ายตอบกลับอย่างประหม่า

ผมเข้าใจนะ เป็นผมมาเจออะไรแบบนี้โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มีอาการเขินอายกลับกิจกรรมที่ทำอยู่แบบนี้ ผมคงรีบเดินหนี

“เฮ้ยอะไรวะ!!” เสียงอีกคนดังขึ้นจากที่ไกลๆ ในบ้านและตกท้ายด้วย

“เชี้ย!!!!” คำสบถคำโตลั่นบ้าน

ภาพล่าสุดคือไอ้เจ้าของเสียงตกใจลั่นบ้านนั่นโดนพี่ชายฝาแฝดผมลากแบบปิดตาปิดปากหายเข้าไปในความมืดในตัวบ้าน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวนะ พี่ควรจะหยุดไหม?” ผมรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า ไม่ใช่สิทั้งตัว

“หยุดทำไม? อายเหรอ?” พี่โน่ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแต่กลับรุกคืบเข้ามามากกว่าเดิมจนผมร้องเสียงหลง

“ก็เออสิ!!” ผมหาทางใช้มือตีเนื้อหนังไอ้คนหน้าด้านแต่ก็ทำได้ไม่ถนัดนัก

“ดี!! ทีหลังจะได้ไม่ว่าพี่แก่อีก!!”

“เออ!! รู้ดีเลย” ผมพูดกระแทกเสียงใส่อีกฝ่าย

หลังจากนั้นผมก็ถูกโจมตีอย่างหนัก ม้าไม้ที่ผ่านการกรำศึกมารอบหนึ่งแล้วยังคงทำศึกได้ดียิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก

หลังจากวันนั้น ผมก็มีลวดลายติดอยู่กับผิวกายจำนวนมาก หลายวันเลยกว่าจะหาย และยังไม่วายที่จะโดนไอ้ต้นกล้าแอบล้อเลียนผมอยู่เป็นสัปดาห์ โชคดีที่ผมขู่มันว่าจะโดนพี่โน่จัดการมันเลยหุบปากสนิทไปเลย

ถือเป็นข้อดีของการเป็นเมียมาเฟีย

…………….

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

…………….

11 เดือนผ่านไปรวดเร็วเหมือนฤดูหนาวในประเทศไทย พี่โน่ยังคงประพฤติตัวดีเหมือนเดิม แม้กระทั่งแม่ของผมยังเอ่ยปากชมด้วยความประหลาดใจ

ความจริงแล้วภายในระยะเวลาไม่นานพี่โน่ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปแล้วเรียบร้อย กระทั้งพี่ฟางที่เป็นแม่บ้านยังต้องเตรียมอาหารมื้อเย็นให้ทุกวันแม้ในวันที่พี่โน่จะติดงานก็ตาม และมีการเตรียมอาหารมื้อดึกให้เผื่อกลับมาดึกเผื่อหิวอีกด้วย

บางครั้งผมยังรู้สึกเลยว่า พี่ฟางจะดูแลพี่โน่ดีกว่าผมเสียด้วยซ้ำ อาจเพราะพี่โน่มักจะใจดีซื้อของติดไม้ติดมือมาฝากพี่ฟางเป็นประจำ รวมถึงบางวันที่พี่โน่ขอวาดลวดลายทำอาหารเองอีก พี่ฟางเลยชอบพี่โน่มากกว่าพวกผมที่ไม่เคยช่วยทำอะไรเลย

“อีกเดือนหนึ่งก็จะครบสัญญาแล้วนะ แบบนี้พี่ก็ย้ายออกได้แล้วสิ!!” ผมเอ่ยทักคนที่นั่งกินมื้อค่ำข้างๆ ผม

พี่ฟางยิ้มที่ได้ยินผมพูดขึ้นมาพร้อมๆ กับพี่โน่ที่กำลังเคี้ยวข้าวในปากอย่างเอร็ดอร่อย

“ใครบอก?!?” พี่โน่รีบพูดกลืนอาหารคำโตลงคอไปแล้วพูดติดตลก

“ไม่เห็นต้องมีใครบอก ผมนับวันเดือนปีแม่นยำนะ!” ผมเถียงกลับ

“พี่หมายถึงว่าใครที่จะย้ายออก?” พี่โน่ยื่นมือมาคว้าศรีษะของผมแน่น ไม่น่าเชื่อว่าคนตัวเล็กกว่าผมมากจะสามารถจับยึดศรีษะผมได้แน่นขนาดนี้

“จะอยู่ที่นี่ต่อก็ขอเจ้าของบ้านด้วยนะ ไม่ใช่จะดื้อด้านอยู่ต่อ!” ผมปัดมือที่ยึดติดศรีษะผมแน่น แต่ต้องทำประมาณสองสามครั้งถึงจะยอมปล่อย (บวกกับการส่งสายตาพิฆาตไปที่คนตัวเล็กด้วยถึงจะยอมผ่อนแรงให้ผมปัดมือกำลังช้างสารนั่นตกไป

“ก็ไม่ได้บอกว่าจะอยู่ต่อ” พี่โน่หันไปจัดการกับข้าวบนโต๊ะต่อ

“อะไรของพี่วะ!?!” ผมล่ะหงุดหงิดกับไอ้คนที่ยียวนผมได้ทุกวัน

แต่ความผมก็ไม่ได้อยากให้เขาย้ายออกนะครับ เราอยู่ด้วยกันจนกระทั้งตอนนี้ผมนึกภาพว่าผมอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ แม้ว่าพวกเราส่วนใหญ่จะเข้านอนกันคนละเวลาเพราะภาระงานของพี่โน่ แต่พี่โน่ก็ไม่เคยที่จะหยุด good night kiss ก่อนที่เขาจะนอน และตื่นมาทักทายผมยามเช้าก่อนที่ผมจะออกจากบ้านไปเรียน

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาพี่โน่สม่ำเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง วันไหนเป็นวันหยุดของผม พี่โน่ก็ไม่พลาดที่จะไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาด้วยกันเสมอ ความที่พี่โน่ชอบการเดินป่า กางเต็นนอนกลางป่ามากๆ การที่ผมไปกับเขาบ่อยๆ ก็ทำให้ผมอดที่จะชื่นชอบไปด้วยไม่ได้ (โดยเฉพาะการรับบทเป็นทาร์ซานเจ้าป่าและจอห์น นักสำรวจหลงป่า ช่วงกลางคืนที่เปล่าเปลี่ยว จินตนาการเอาเองนะครับว่ามันจะสุดยอดแค่ไหน ทุกที่คือฉากโรแมนติก ดิบและเถื่อน….)

“พี่หมายความว่า จะให้เราออกไปอยู่กับพี่ต่างหาก พี่คิดว่าอีกไม่กี่วันงานปรับปรุงบ้านพี่น่าจะเสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่” พี่โน่เหล่มองผมด้วยรอยยิ้มกริ่ม

“อะ….อะไร….นะ… มันไม่เร็วไปเหรอ? แล้วขอแม่หรือยัง?” ผมเลิ่กลั่กพูดสับสนไปมา ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเร็วแบบนี้

แบบนี้มันเหมือนโดนขอแต่งงานเลยนี่หว่า

“ใช่!! เร็วไป!!” เสียงดังลั่นมาจากทางหน้าบ้าน ไม่นานนักแม่ผมก็เดินมาถึงห้องรับประทานอาหารของบ้านพร้อมเหวี่ยงกระเป๋าราคาแพงที่ลุงโต้งซื้อลงบนบาร์น้ำไม่ไกล

“แม่… มายังไง ไม่ได้ยินเสียงรถเลย” ผมถามอย่างสงสัย เพราะแทบไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือเสียงเปิดประตูรั่วเลย

“ลุงโต้งแก แวะมาส่งแม่ก่อนจะไปเที่ยวกับเพื่อนนักธุรกิจพันล้านอะไรของลุงก็ไม่รู้! เหนื่อยๆ แบบนี้ควรจะให้นอนหนุนตักให้หายเครียด!!” แม่บ่นงึมงำ

“แล้วมานั่งฟังแกบ่นให้หูแฉะน่ะเหรอ เป็นฉันๆ ก็ไป” พี่โน่แซว

“ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลย ช่วยเงียบๆ ไปก่อนได้ไหม?”

พี่โน่ได้แต่หัวเราะกลับเกลื่อน

“ยังไม่ทันจะได้อนุญาตเรื่องย้ายออกเลย จะมาชวนกันแบบนี้เลย ไม่ได้!  ฉันก็ไม่ได้หวงลูกชายอะไรหรอกนะ แต่ก็ควรจะให้เรียนจบก่อนไหม??” แม่ผมเดินมาใกล้ผม ด้วยกลิ่นน้ำหอม channel no. 5 ที่แสนจะคุ้นเคยและอบอุ่นตีเข้าจมูก จนกระทั่งยื่นมือมาโอบรอบศรีษะผมเบาๆ

นานมาแล้วที่แม่ไม่ได้ทำแบบนี้กับผม ความอบอุ่นไหลเวียนมาที่ร่างผมช้าๆ

“ให้มันเรียนจบก่อน! เดี๋ยวค่อยย้ายออกก็ยังไม่สาย ดีใจนะที่เห็นเธอจริงจัง แต่นี่มันเร็วไป!! แล้วฉันก็ไม่ได้ไว้ใจเธอที่จะควบคุมดูแลลูกฉันได้!” ปากกับการกระทำแม่มีความสวนทางกันเล็กน้อย ถึงแม้เสียงจะดุดัน และสัมผัสที่แสดงออกมันช่างอบอุ่น

“งั้น….. ก็แล้วแต่คุณแม่ครับ!!” พี่โน่ก้มหัวรับคำแม่ของผม

“อย่า!! ขอร้อง อย่า!! เรียกฉันแบบนี้ รุ่นเดียวกันมาเรียกแบบนี้รู้สึกแก่!!! นี่ฉันยังนับเธอเป็นเพื่อนต่อก็บุญแล้วนะ ความจริงฉันโกรธมากๆ เลยนะ ฝากปลาย่างไว้กับแมวชัดๆ” แม่กระชับแขนแน่นขึ้นจนผมเงยเอียงไปทางแม่จนชิดกับสะโพกสวยๆ ของแม่

“แม่…” ผมเอื้อมมือไปจับมือแม่และบีบแน่น

“เออๆ รู้แล้วน่า!!” แม่มีอาการหัวเสียแต่ก็พยายามสะกดไว้

เห็นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมรักแม่มาก  หากเป็นเรื่องอื่นที่ผมไม่ได้ขอไว้แม่คงเอาเรื่องถึงที่สุด

“อะไรกัน เราคุยกันหลายรอบแล้วนะ ไปหาหมอบำบัดไหม? ไหนบอกโอเคแล้วไง นี่ยังพิสูจน์ไม่พออีกเหรอ?”  พี่โน่ยิ่งพูดยิ่งเหมือนสุมไฟในอกแม่

ผมเพิ่งจะรู้ไม่นานนี่เองว่า พี่โน่กับแม่ของผมเขาคุยกันแบบนี้ตลอด คือพี่โน่จะยั่วโมโหแม่ตลอด พี่โน่บอกว่าเคยชิน เวลาแม่ผมโกรธมันน่ารักดี (แต่พอพูดมาถึงตรงนี้ก็เป็นผมเองที่โกรธ)

หลังจากที่พี่โน่พูดจบประโยคแม่ผมก็มองซ้ายมองขวา เพื่อหาของเขวี้ยงใส่หน้าคนทะเล้นตรงหน้าสักที ดีที่ผมรั้งมือไว้

“พี่โน่ ผมว่าพอเหอะ!! ผมคิดว่าสิ่งที่แม่พูดก็ถูกต้อง!!”  ผมตวาดกลับเบาๆ

พี่โน่ถึงกับชะงักไปวูบใหญ่ก่อนจะกลับไปกินข้าวตรงหน้าให้หมด

“สะใจ!! ดีมากลูกแม่ แม่ไม่เคยเห็นมันหงอกับใครแบบนี้มาก่อนเลย และแม่ขอสอนไว้อย่างนะว่า อย่าให้พวกผู้ชายมันได้ใจ กดให้อยู่หมัด” แม่หันมาคุยกับผมและลูบผมอย่างอ่อนโยน

ผมเหมือนจะได้ยินเสียง ‘เชอะ’ จากคนไม่ไกลตัว แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไรต่อเพราะผมมองห้ามไว้

ส่วนผมพูดได้แต่เพียงว่า “ผมก็ผู้ชายนะแม่”

“อืม…จ๊ะ” แม่ผมหัวเราะชอบใจและขอตัวขึ้นห้องไปก่อน

“พรุ่งนี้ว่างไหม?” พี่โน่หันมาหาผมแล้วกลับมาใช้เสียงทุ่มนุ่มเช่นเดิม

“ต้องอยู่แลปถึงค่ำเลย ต้องทำงานส่ง นัดกับกับไอ้พวกเดอะแก๊งแล้วด้วย ว่าจะช่วยทำกันให้เสร็จ” ผมผ่อนลมหายใจจนเกือบจะดึงวิญญาณออกมาด้วย

“อ้าว! ไหนบอกว่าปีนี้ไม่มีงานกลุ่มแล้วไง มีแต่งานเดี่ยว! แล้วทำไมต้องไปกองรวมกันทำงานด้วย!” หัวคิ้วของอีกฝ่ายเริ่มถูกดึงมาผูกรวมกัน

“สัญญาว่าจะช่วยทำกันให้เสร็จ พี่คงไม่อยากให้เพื่อนพี่จบไม่พร้อมกับคนอื่นใช่ไหม!” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงโน้มน้าว

“ใครโง่ก็ตกไป เรียนต่อไปยาวๆ สิ! โดยเฉพาะไอ้ต้นน้ำ!!” พี่โน่เริ่มการแช่งเกิดขึ้น

“ไอ้ต้นน้ำผมไม่ห่วงนะ มันเรียนภาคทฤษฎีไม่เก่งก็จริง แต่ภาคปฎิบัติ อาจารย์ไม่เคยหวงคะแนนมันเลยนะ ห่วงแต่ไอ้ต้นกล้านี่แหละ ไม่รู้ว่ามันสอบเข้ามาด้วยบุญกุศลที่ทำมาแต่ชาติปางก่อนหรือยังไง? ทฤษฎีแย่ปฏิบัติก็ลำบาก” ผมส่ายหน้าเบาๆ

“ก็ไหนว่างานนั้นใกลเสร็จแล้วไง กลายเป็นว่าพี่ก็อยู่เหงาๆ อีกสิ!!”

“เอาน่าๆ อีกคืนเดียวเอง รีบทำให้เสร็จจะได้มีเวลาเจอพี่เยอะๆ ไง ว่าแต่พรุ่งนี้มีอะไรเหรอ? ทำไมจู่ๆ ก็ถามว่าว่างหรือเปล่า?” ผมส่งสายตาสงสัยไปทางแฟนตัวเล็ก หวังว่าคงไม่คิดทำอะไรแปลกๆ อีก

“พี่มีงานอยากให้น้องไปช่วยดู งานปรับปรุงร้านใหม่นะ อยากได้คนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม หุ้นส่วนพี่แต่ละคน แบบ…. ไม่ไหวเลย แทบไม่คิด!!”

“เงินพี่ก็เยอะ ใช้บ้างเถอะครับ จ้างคนเก่งๆ มาตรวจงานมันง่ายกว่านะ” ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมไปช่วยเขาทำอะไรแบบนี้

“พี่ก็อยากหาโอกาสอยู่กับแฟนให้มากขึ้น เขาเรียกว่าใช้เวลางานให้เป็นประโยชน์ต่างหากล่ะ” ไอ้คนตัวเล็กยิ้มแก้มแดงใส่

เฮ้อ……แพ้ว่ะ

“โอเค! สักทุ่มหนึ่งโอเคไหม? มารับด้วย!” ผมหลบสายตาใสๆ ของอีกฝ่าย เพราะกลัวตัวเองจะอ่อนแอกว่าเดิม

อย่างที่แม่ผมพูด อำนาจต่อรองต้องเป็นของเรา

“โอเคจ้าที่รัก อิ่มยัง? ขึ้นไปนอนกัน!!” พี่โน่โผเข้ามากอด

“หยุดคิดทะลึ่งสักวัน พรุ่งนี่ผมมีเทสย่อย ต้องรีบทวนอ่านก่อน เสร็จแล้วค่อยว่ากัน!!”

“พูดแบบนี้ทีไรก็อ่านเกือบสว่าง”

“ผมยังอยากได้เกียรตินิยมนี่ครับ”

“เป็นเมียพี่ทำไมต้องเกียรตินิยม!” คราวนี้มันสามารถคว้าเอวผมได้

“เก็บโต๊ะ เก็บจานไปล้างเลยไป ผมมีหนังสือที่ต้องอ่านให้จบ!” ผมใช่แรงทั้งหมดสะบัดมือเหนียวเป็นปลาหมึกให้หลุดและรีบวิ่งขึ้นห้องไปเลย

ทิ้งให้ผู้ใหญ่หน้าเด็กร้องโอดครวญอยู่ข้างล่าง


**************

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

**************

“มึงๆๆๆๆ กูจะกลับแล้วนะ” ผมตะโกนลั่นห้องแลปฯ

ไอ้พวกเพื่อน ที่กำลังเครียดจนสมองเบลอไปแล้วถึงกับหันมาทางผมเพื่อโวยวายพร้อมกัน

“ก็พวกมึงช้า มีกูอยู่ด้วยพวกมึงก็หวังเพิ่งแต่กู!! กูไปดีกว่า กูมีธุระ!!” ผมเก็บของทันทีหลังจากจบประโยค

“ธุระ!?!?” ไอ้ต้นกล้าผู้รู้ดีไปเสียทุกเรื่องมองผมอย่างประเมินว่าธุระที่ว่าน่าจะเป็นธุระบนเตียง อ่านจากสีหน้ามันจนรู้ถึงความคิดเลย

ผมยกนิ้วกลางให้มันอย่างดุดัน

“เชี้ย…” มันสบถตอบเบา มันรู้ว่ามันโต้ตอบได้เพียงเท่านี้

แอบสงสารมันเหมือนกัน ตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา มันแทบจะอกแตกตายเพราะการเก็บความลับเรื่องของผมกับพี่โน่ ก็มันช่วยไม่ได้ ก็ดันมารู้เรื่องที่ไม่ควรรู้เองนี่หว่า

“มึงมีไอ้ต้นน้ำอยู่ไง มันอาสาจะอยู่ช่วยพวกมึงด้วยนี่ กูช่วยมันทำเสร็จแล้ว” ผมมองไปทางไอ้ต้นน้ำที่มีอาการทำไปเหม่อไป

“สัดครับ มึงดูมันสิ สติอยู่ไม่ครบตั้งแต่มันทำงานเสร็จ กูว่าเผลอๆ มันแอบหนีกลับไปกกเมียมันนั่นแหละ” ไอ้ต้นกล้าพูดแหนบ แต่ไอ้คนที่ถูกกล่าวถึงกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

“เออๆ เดี๋ยวกูเสร็จธุระแล้วจะมาดูพวกมึงอีกทีก็แล้วกัน เฮ้อ…. พวกมึงนี่เป็นได้แค่ตัวภาระจริงๆ” ผมผ่อนลมหายใจก่อนจะยกกระเป๋าสะพายขึ้นหลัง

“ถ้ามึงยังเหลือแรงมาถึงห้องแลปฯนะ” ไอ้ต้นน้ำปากหาเรื่อง

เพลี๊ย!!

เสียงปะทะระหว่างฝ่ามือกับหนังศรีษะไอ้ต้นกล้าดังลั่น

“มึงว่างมากเหรอถึงได้แซวคนโน่นคนนี่ไปเรื่อย! กลับมาทำงานก่อนได้ไหม?” เสียงพี่ชายผมตามมาด้วยความเกรี๊ยวกราดตามเคย

ไอ้ต้นกล้าได้แต่พยักหน้า และกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

ผมหันไปหัวเราะแล้วเดินออกมา พลางคิดว่านับวันไอ้สองคนนี้ก็ยิ่งเหมือนผัวเมียกันจริงๆ เพียงแต่ผม ผมไม่รู้ว่าใครผัวใครเมียนี่สิ หรือสลับกัน? เพราะโมเม้นเวลามันอยู่กันสองคนตามลำพัง บรรยากาศมันจะเป็นอีกแบบเลย นึกถึงก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสองคนนี้มันเป็นมากกว่าเพื่อน (พี่โน่แอบเล่าเรื่องสองคนนี้ให้ฟัง)

ก็แค่สงสัยว่าทำไมมันยังไม่ยอมรับกันเสียว่ารักกัน และคบกันอยู่ ทำให้เพื่อนๆ มันสงสัยกันอยู่ได้

…………..

ผมเดินทางไปเจอพี่โน่ที่ผับแห่งหนึ่งแห่งย่านเริงรมย์ที่ตอนนี้ปิดเพื่อปรับปรุงสถานที่อยู่

พลาสติกและผ้าคลุมอาคารไว้อย่างแน่นหนา เริ่มโรยรา ฉีกขาดไปตามกาลเวลา ลมที่พัดโชยอ่อนมากระทบอาคารเริ่มบังคับให้แผ่นพลาสติกและผ้าพลิ้วไหวไปตามทิศทางที่ลมพาดผ่าน

แสงไฟทั่วบริเวณที่ถูกเปิดไว้เพียงครึ่งเดียวบวกกับเสียงลมและสิ่งปลุกสร้างที่เหมือนเคลื่อนไหวได้ตามแรงลมก็สามารถสร้างบรรยาที่น่ากลัวไม่น้อยเมื่อต้องยืนอยู่หน้าอาคารเพียงลำพัง

“โทษที มานานหรือยัง?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมสัมผัสหนึ่งที่บ่าข้างซ้าย

ผมสะดุ้งตัวโยนพร้อมส่งเสียงตกใจลั่นบริเวณ

“ไม่นึกว่าจะกลัวอะไรแบบนี้” ผู้ใหญ่หน้าเด็กยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ

“ไม่ได้กลัวโว้ย แค่ตกใจ” ผมแก้ตัวไปพลางใช้มือขวาจับหน้าอกด้านซ้ายที่สัมผัสถึงการเต้นของหัวใจรัวถี่ยิบ

“จ้าๆ เขื่อแล้วจ้า!” อีกฝ่ายตอบอย่างยียวน ส่วนสายตาเหมือนคิดอะไรพิเรนทร์ๆ ได้

“หยุดความคิดนั่นเลยนะ จะให้เข้าไปดูอะไรก็ไปดูเร็วๆ วันนี้เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!!” ผมผ่อนหายใจออกมา และดุอีกฝ่ายทันที

“อ้าวๆ จะไปไหนน่ะ” พี่โน่กล่าวหยุดผมไว้ ในขณะที่ผมเคลื่อนเท้าไปทางอาคารที่ถูกห่อไว้เพราะปรับปรุง

“ก็…ไม่ได้มาดูที่นี่เรอะ? ก็นัดมาเจอที่นี่!”  ผมชี้ไปทางอาคารเป้าหมาย

“ไม่ใช่ ตึกนี้ยังไม่เสร็จ เดี๋ยวพาไปอีกทีหนึ่ง” พี่โน่เดินมาโอบไหล่ และบังคับผมเดินไปที่รถสปอร์ตสุดหรูคันใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“เซอร์ไพรส์เหรอ?” หน้าผมตอนนี้คือ บานออกจนรู้สึกได้ ผมเดินเข้าไปสำรวจยานพาหนะใหม่อย่างใกล้ชิดทันที

“ไม่ใช่ๆ คันนี้รถพี่ เพิ่งถอยมาลองเครื่อง ขึ้นรถได้แล้วจะได้พาไปทำงาน!!”

“โหยยยยย อะไรน่ะ!!” ผมใส่ความรู้สึกผิดหวังลงในน้ำเสียง

แต่นอกจากพี่โน่จะไม่สนใจแล้วยังไล่ผมขึ้นรถอีกด้วย

“อยากได้ก็ทำงานหาเงินไปซื้อเอง!!” พี่โน่พูดขึ้นเสียงดังก่อนขึ้นรถ

ถึงแม้จะผิดหวังแต่ก็ตอบออกมาสมกับเป็นพี่โน่ที่เขารัก

ไม่นานรถก็ถูกขับเคลื่อนมาจอดในสถานที่คุ้นเคยแต่ไม่คุ้นตา อาจจะเพราะผมไม่ได้ที่นี่มานานหลายเดือนแล้ว

“พาผมมาบ้านพี่ทำไมเนี่ย!!??” ผมถามทันทีที่ลงจากรถ

“ทำงานไง!” ความตอบหน้าตายของพี่โน่

“เอาดีๆ ผมไม่ทำงานบนเตียงนะวันนี้น่ะ เหนื่อยจะแย่!!” ผมรู้สึกว่าหัวคิ้วของผมชนกันจนเกือบจะบิดเป็นเกลียว

“เฮ้ย! เห็นพี่เป็นคนแบบนั้นเหรอ?”

ผมไม่ตอบอะไร นอกจากพยักหน้า

“โอเคๆ ทำงานจริงจ้า เพียงแต่มันเป็นงานส่วนตัวน่ะ” อีกฝ่ายดูเสียความมั่นใจไปพอสมควรเมื่อรู้ว่าผมคิดอย่างนั้นจริงจัง

“อย่าบอกนะว่าจะรื้อบ้านทำใหม่ เสียดายของสวยๆ แบบนี้ฉิบ!”  ผมมองไปที่อาคารตรงหน้าอย่างเสียดาย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่ารูปทรงมันไม่คุ้นตา ที่แท้แอบปรับปรุงมาแล้วนี่เอง

“ไม่ต้องบ่นเลย เขามาดูนี่เลย พี่อยากให้ช่วยตรวจงานหน่อย!!” พี่โน่เดินนำทางไปที่ประตู

ผมเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะผมชอบบ้านหลังนี้มาก มันมีความลงตัวไปหมดทุกส่วน อนุรักษ์นิยมผสมกับแบบนำสมัยได้อย่างลงตัว ไม่เข้าใจว่าพี่โน่จะปรับเปลี่ยนไปเพื่ออะไร

และเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจออะไรแบบนี้ ไอ้ความคิดพิศดารของพี่โน่เรื่องการออกแบบ ที่ผมไม่เข้าใจ หากไม่เพราะทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนแล้วธุรกิจมันรุ่ง ผมคงจะบ่นเขาหนักกว่านี้

ผมเดินก้าวเข้ามาด้านในบ้านด้วยสายตาแบบนักสืบ การตกแต่งภายในยังไม่เรียบร้อย แต่ก็พอรู้ว่ามีส่วนต่อเติมเพิ่มขยายออกไปทางด้านข้าง

ห้องต่างๆ มีการขยับปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แปลกตรงที่มันไม่ได้รู้สึกขัดตาขัดใจเลย ส่วนที่เป็นห้องรับแขกสไตล์บาร์โฮส เปลี่ยนเป็นบาร์เครื่องดื่มที่ดูหรูหราและเรียบง่ายขึ้น  ห้องยังดูโล่งๆ เพราะเฟอร์นิเจอร์ถูกยกออกไปจนหมด ผมสำรวจจนทั่วแล้วรู้สึกว่าห้องนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เลยปล่อยผ่านไปจนถึงห้องที่ถูกปิดสร้างขึ้นมาใหม่

ผมมองด้วยความแปลกใจและหันกลับไปทางเจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มแก้มปริ

ผมเปิดเข้าไปให้ห้องที่ถูกตกแต่งเหมือนห้องสตูดิโอสำหรับทำงาน ขนาดกว้างขวาง ภายในห้องตกแต่งจนเกือบเสร็จแล้ว มีชั้นหนังสือ มีโต๊ะกว้างสำหรับวางขอชิ้นใหญ่หรือจัดประชุมสัก 10 คนก็ยังสบาย ที่มุมห้องมีโต๊ะทำงานและเก้าอี้ท่าทางสบายวางอยู่ และ กล่องคอมพิวเตอร์ที่เพียงแค่ปาดตามองก็รู้ว่าสเปกสูงส่งอลังการมาก และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมสำรวจไม่ทันในระยะสั้นๆ

“นี่…มัน.อะไรกัน?” ผมหันไปถามเจ้าของบ้าน

“พี่ทำไว้เผื่อให้เป็นบ้านของเราไง ห้องนี้พี่สร้างให้เราทำงาน ทำงานให้พี่น่ะ พี่มีโปรเจ็คอีกเยอะที่อยากให้ไอซ์มาช่วย” พี่โน่เฉลยอย่างใจเย็น และภาคภูมิใจที่นำเสนอบ้านหลังนี้

“คือ…. ผม….พูดอะไรไม่ออกเลย… มันดีใจนะ แต่พี่ไม่คิดเหรอว่ามันเร็วเกินไป!”

“ไม่หรอก ช้าเกินไปด้วยซ้ำ อยากให้มาอยู่ด้วยกันเสียพรุ่งนี้เลย แต่ก็ต้องยอมแม่เรานะ ปล่อยให้เรียบจบก่อนก็ได้” จบประโยคด้วยอาการถอนหายใจ

“ไม่ใช่แค่นั่นหรอก…” ผมตอบไม่เต็มเสียง

“ทำไม อะไรอีกล่ะ” อาการเอาแต่ใจของเด็กในร่างผู้ใหญ่เริ่มแสดงออกมา

“ผมอยากมาช่วยพี่นะครับ เพียงแต่ผมอยากไปเก็บประสบการณ์ที่อื่นก่อน ที่บริษัทใหญ่ๆ สักปีหรือ สองปี พี่โอเคไหม?” ผมเล่าด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“นี่คิดจะบอกพี่วันไหนเนี่ย พี่อุตส่าห์เตรียมให้หมดแล้ว”

“ก็… เพิ่งคิดได้ไม่กี่วันนี้แหละ ผมอยากทำตามฝันก่อน” ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ผมพยายามจะบอกมาตลอดแต่ก็รอเวลามาเรื่อยๆ

“สรุปว่าพี่ต้องรอ จนกว่าเราจะพอใจ?” น้ำเสียงเริ่มมีความประชดแฝงอยู่

“ผมก็ไม่ได้ไปไหนไกลเสียหน่อย ที่นี่ก็มีบริษัทดังๆ ตั้งเยอะเปิดอยู่ ผมก็แค่ตั้งเป้าไว้ก่อน หากไม่ได้ก็กลับมาทำกับพี่แหละ” ผมรี่เข้าไปกอดชายร่างเล็ก

“เราเก่งขนาดนี้จะไม่ได้งานก็แปลกไปล่ะ คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” คนตัวเล็กแสดงสีหน้างอนชัดเจน

“พี่โน่ครับ” ผมมองจ้องตาอย่างเคยเพื่ออ้อนวอน

“เฮ้อ….. ก็น่าจะรู้นะว่าพี่แพ้แบบนี้” พี่โน่ส่ายหน้าและจุ๊บแก้มผมหนึ่งที

“ขอบคุณครับที่เข้าใจ แต่อยากจะบอกว่า ผมรักบ้านนี้แบบสุดๆ ไปเลยครับ” ผมกอดคนตรงหน้าแน่นขึ้น

พี่โน่ยิ้มรับแบบเฟื่อนๆ

“ว่าแต่อยากเห็นห้องนอนแล้วสิ!” ผมมองอีกฝ่ายอย่างมีจุดประสงค์แอบแฝง

เป็นสายตาที่เรารู้กันสองคน

“ห้องนอนเสร็จเป็นที่แรกเลย ไปลอง เอ้ย!! ไปดูกันไป” ใบหน้าปรับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ผมกรอกตากับความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย และพยักหน้าตกลง

ผมถูกอุ้มขึ้นพาดสองแขนอย่างง่ายดายและถูกพาไปห้องนอนที่ปลูกไว้ถัดจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

อนาคตมันจะเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบชัด แต่ผมรู้แต่เพียงว่า ปัจจุบันนี้ผมโคตรจะมีความสุขเลย

…………….

จบภาคเสริม

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
สัปดาหหน้าขอเขียนอีกตอนนะครับ

ตอน  ภาพวาดของพ่อ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ตอนพิเศษที่ 2 ภาพวาดของพ่อ

แสงสว่างยามบ่ายแทรกส่องมาตามช่องหน้าต่างและช่องแสงที่ถูกออกแบบอย่างลงตัวที่ห้องรับแขก

ต้นน้ำที่ปลีกตัวจากการทำงานออกแบบหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาด 32 นิ้ว ที่ซึ่งแสดงแส้นสายแนวตั้งและแนวนอนตัดกันไปมาจนเกิดภาพร่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ เขาเดินมาโยนร่างตัวเองลงบนโซฟานุ่นหนาขนาดใหญ่ที่ห้องรับแขกที่เขาออกแบบเองกับมือ

มือแกร่งที่ยกขึ้นมาใช้นิ้วชี้และโป้งบีบที่สันจมูกระหว่างคิ้วตัวเองเบาๆ พลางเงี่ยหูฟังเสียงห้องครัวร้านอาหารของบ้านที่ดังจากที่ไกลๆ ซึ่งเลยสวนหน้าบ้านออกไป

ต้นน้ำยกยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อคิดถึงภาพคนรักของตนกำลังอลเวงกับความวุ่นวายในครัว

หลังจากเวลาผ่านไปได้สักพัก ความอ่อนล้าก็พอจะบรรเทาลงได้บ้าง ต้นน้ำลืมตาขึ้นมองผนังฝั่งตรงข้ามกับโซฟาใหญ่ หากเป็นบ้านทั่วไปคงจะมีโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่วางอยู่ แต่กับที่บ้านหลังนี้ มันคือภาพวาดขนาดใหญ่ (น่าจะเกิน 50 นิ้ว) แขวนลอยอยู่ติดผนัง

เป็นภาพสไตล์เพอร์ฟิวชั่นนิสต์ ระบายบรรยากาศของสวนสวยเขียวขจีภายใต้แสงแดดที่แทรกตัวผ่านช่องว่างของต้นไม้ใหญ่ที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพ การไล่สี แสงและเงา ถือได้ทำได้อย่างปราณีต บรรจง และสัดส่วนก็สมจริงจนแม้กระทั่งต้นน้ำเองรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มองภาพๆ นี้

เขาเคยคิดว่านี่คือต้นไม้ใหญ่หลังบ้านของเขาเองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมกันระหว่างพ่อของเขาและพ่อของคนรักของเขา

แต่ยิ่งเพ่งก็ยิ่งหาความคล้ายคลึงกันยากจนเขาถอดใจไปแล้วว่าไม่ใช่ หลายต่อหลายครั้ง

ทำไมเขาถึงปักใจเชื่อแบบนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นภาพนี้น่ะหรือ? เพราะมันเป็นภาพเดียวที่พ่อของคนรักของเขายกให้ไว้เป็นของต่างหน้า

เสียงงึมงำพึมพำจากนอกอาคารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูบ้าน ต้นน้ำหันไปหาต้นเสียงทันทีที่เจ้าของเสียงเคลื่อนผ่านธรณีประตูเข้ามาในบริเวณห้องรับแขก

เจ้าของเสียงกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงสนิทสนม และที่สำคัญเหมือนจะไม่ใช่ภาษาไทย

เพียงแค่จินไห่เห็นภาพต้นน้ำมองมาทางเขา จินไห่ก็รีบหาทางจบบทสนทนาทันที

“ผมก็ไม่ใช่คนงี่เง่าอะไรหรอกนะ” จินไห่เกริ่นเมื่ออีกฝ่ายกำลังเก็บสมาร์ทโฟนเข้ากระเป๋า

“พวกขายประกันน่ะ” จินไห่ตอบกลับทั้งที่ไม่มองตาต้นน้ำเลย แน่นอนว่ามุกพูดภาษาไทยไม่ได้ใช้ได้ผลกับพวกบริษัทประกันแต่….. จินไห่ยังคงเหมือนเดิม ผู้ซึ่งโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย

“อืม…โอเค” แม้ว่าต้นน้ำจะไม่เชื่อ แต่ก็พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่จนถึงที่สุด แม้สีหน้ามันจะไม่ได้เป็นเหมือนปากว่าเลย

“โถ่…..เว้ย!” จินไห่เดินปึงปังมานั่งข้างเขา

“…….” ผมใช้ความเงียบสยบ ผู้ใหญ่ปากแข็ง

“มันเป็นสายจากเพื่อนเก่าสมัยอยู่ที่ใต้หวัน” จินไห่เริ่มเปิดปาก การเป็นคนดีเกินไปของเขาก็ทำให้ใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย

“ไม่เป็นไรครับพี่ หากพี่ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบแทรกไปแบบนั่น

“พี่รู้นะว่าต้นน้ำไม่สบายใจที่พี่เป็นแบบนี้หลายครั้งแล้ว” จินไห่พยายามสนทนาอย่างทุลักทุเล

“เรื่องส่วนตัวของพี่ ผมไม่อยากยุ่งหรอกครับ ผมกำลังทำตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่ อย่างที่พี่อยากให้เป็น พี่จะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนบ้างก็ไม่แปลก” แต่ที่เขาคิดว่าแปลกคือ พูดภาษาที่เขาฟังไม่ออกนี่แหละ

“ฟังก่อนสิ ไอ้เพื่อนคนนี้ มันเป็นลูกชายของพ่อค้างานศิลป์ คือ พ่อของเรารู้จักกัน และมันก็จะพยายามมาขอซื้อภาพที่เหลืออยู่ของพ่อพี่ ภาพที่พ่อให้เป็นของดูต่างหน้า” พี่จินไห่มองภาพที่แขวนลอยอยู่ที่ผนังไม่ไกลทันที

“แค่นี่เอง พี่ก็ปฏิเสธไปสิ”  ต้นน้ำผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลายเมื่อรู้ว่าคนข้างๆ เขาไม่ได้ปกปิดอะไรที่ดูน่ากลัว

“มันไม่ง่ายอย่างนั้น มันไม่เหมือนพี่เลย มันพูดเก่ง โน้มน้าวคนเก่ง ที่สำคัญมันเป็นเพื่อนไม่กี่คนของพี่! พี่ไม่อยากให้เรากลุ้มใจไปด้วยก็เลยเงียบไว้ก่อน”

“แล้วทำไมวันนี้ถึงเพิ่งมาเล่าให้ฟังล่ะ!?”

“ก็มันบอกว่า มันมาถึงประเทศไทยแล้วน่ะสิ!!”

………………….

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
งานเข้าจินไห่อีกแล้วสิ คริคริ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ความกังวลก่อเกิดขึ้นบนใบหน้าของจินไห่ มาตลอดสามวันนับจากวันที่จินไห่ เล่าเรื่องเพื่อนเก่าให้ต้นน้ำฟัง

ส่วนต้นน้ำทำได้แค่เพียงปลอบอีกฝ่ายและให้กำลังใจเท่าที่จะทำได้ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่จินไห่ของเขาถึงได้กังวลมากมายขนาดนี้

ก็แค่เพื่อนเก่าคนหนึ่ง ปฏิเสธไปก็ได้แล้วนี่นา คนเป็นเพื่อนกันต้องเข้าใจสิ! ต้นน้ำคิดและไม่เข้าใจจินไห่เท่าไหร่

มันเหมือน…. มีอะไรมากกว่านั้นเลย แต่ในเมื่อเขาต้องทำตัวเป็นแฟนที่ดี ต้นน้ำจึงตัดเรื่องติดใจเล็กๆ น้อยๆ ออกไปและเป็นกำลังใจจินไห่ได้เพียงเท่านั้น

“สงสัยเพื่อนพี่แค่หลอกเล่นล่ะมั้ง” ผมพูดขึ้นขณะนั่งดื่มของเหลวสีอำพันฟองนุ่มอยู่ที่โต๊ะอาหารมุมหนึ่งของร้าน

“พี่ว่าไม่! มันไม่เคยหลอกเล่น มันเป็นคนพูดจริงทำจริง!” จินไห่พูดไปก็นั่งใช้นิ้วเลื่อนขึ้นลงไปมาในหน้าเฟซบุ๊คของตนเอง เหมือนจะให้เฟซบุ๊คมันขึ้นฟีดของเพื่อนตนเองขึ้นมาให้เห็นเหมือนโฆษณาสินค้าที่เฟซบุ๊คเหมือนจะอ่านใจเราได้ แต่ก็ไม่มีการอัพเดทอะไร

“เพื่อนพี่ใช่คนที่ ขาวๆ สูงๆ หน้าตาคมเกลี้ยงเกลา แล้วก็ยิ้มสวยๆ แล้วก็มีไฝที่มุมปากทางซ้ายด้วยใช่ไหม?” ผมบรรยายให้เห็นภาพ

“ใช่! เฮ้ย! ทำไมถึงรู้!!” จินไห่มีอาการตกใจตาเบิกโพลง

“ก็คนที่ว่ากำลังเดินยิ้มกว้างเดินมาทางนี่แล้วไง!” ต้นน้ำชี้ไปทางด้านหลังจินไห่

จินไห่หันหลังควับ และหันกลับมาทางต้นน้ำแทบจะทันที สีหน้าแสดงอาการช่วยด้วย และมีเค้าลำบากใจ

“ไม่เป็นไรนะพี่เดี๋ยวผมคุยเอง” ต้นน้ำยื่นมือไปกุมมืออีกฝ่ายและบอกจินไห่ไปแบบนั้น

“ต้นน้ำพูดภาษาจีนได้?” จินไห่เลิกคิ้วถาม

ต้นน้ำยิ้มแห้งและสั่นหน้าเป็นคำตอบ

เพียงชั่วครู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เดินมาถึงโต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่ ต้นน้ำไม่รู้ว่าคนๆ นั้นมาถึงตรงจุดที่พวกเขานั่งอยู่ได้อย่างไร (คงถามกับพนักงานในร้าน แต่พนักงานในร้านจะสื่อสารเข้าใจได้ยังไง?)

จินไห่หันไปทักทายและลุกขึ้นไปกอดกันอย่างสนิทสนม จินไห่ที่มีส่วนสูงใกล้เคียงกับต้นน้ำยังรู้สึกว่าตัวเล็กลงไปเลยเวลาอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีส่วนสูงที่สูงกว่าแต่อาจเพราะอีกฝ่ายมึสัดส่วนเหมือนคนออกกำลังกายอย่างมีวินัยจนกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นหว่าคนปกติทั่วไป (ที่ว่าปกติคือจินไห่และต้นน้ำ เป็นคนมีกล้ามเนื้ออย่างสมสัดส่วน) คล้ายคนเพาะกาย

ทั้งสองมีการพูดคุยในภาษาต่างชาติที่ต้นน้ำฟังไม่ออกสักคำ แต่เดาจากอากัปกิริยาแล้วคิดว่าน่าจะกำลังสอบถามสาระความเป็นมาในช่วงที่ห่างหายกันไป

พักใหญ่เลยกว่าที่ทั้งคู่จะรู้สึกตัวว่าต้นน้ำมองจ้องอยู่กับทุกบทสนทนา

ฝ่ายที่เพิ่งเข้าใหม่หันมาพูดคุยด้วยภาษาจากถิ่นกำเนิดและยื่นมือออกมาทางต้นน้ำเพื่อแสดงการทักทาย

ต้นน้ำยื่นมือข้างเดียวกันออกไปจับด้วยท่าทางเขอะเขินและไม่เข้าใจ

อีกฝ่ายพูดทักทายต้นน้ำด้วยภาษาต่างประเทศเป็นชุด รัวจนแทบไม่ทิ้งช่องว่างให้ต้นน้ำอยากทักกลับไปว่า เขาฟังไม่ออก

เพื่อนของจินไห่ที่สังเกตเห็นอาการสับสนและทำตัวไม่ถูกของต้นน้ำจึงได้หัวเราะออกมาลั่นบริเวณนั้น

“เลิกแกล้งเขาสักทีเถอะ อาเฉิง” จินไห่กลั้นเสียงหัวเราะและแตะบ่าอีกฝ่ายให้หยุด


“ก็มันน่าแกล้งนี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงไทยดังฟังชัดหลุดออกมาจากปากเรียบสีชาดอ่อน

“อ้าว!! เฮ้ย! พูดไทยได้นี่หว่า!?!” ต้นน้ำเหวอ เสียงหลง

“ก็ไม่ได้บอกว่าพูดไม่ได้นี่นา” อาเฉิงพูดสวนกลับมาทั้งที่อีกมือหนึ่งยังกุมท้องตัวเองเพราะความขบขำ

“พี่ขอโทษที่พี่ไม่ได้บอก อาเฉิงก็ลูกครึ่งไทยเหมือนกัน พี่ก็เลยสนิทกับเขาไง เขาพูดไทยชัดกว่าพี่อีกนะ เพราะแม่ของเขาน่ะพูดกับเขาทุกวัน ไม่เหมือนพี่” จินไห่พูดไปก็นึกถึงความหลังของตัวเองไป พลางค่อยๆ ลดเสียงตัวเองลงเล็กน้อย

ต้นน้ำแปลกใจที่พี่จินไห่ของตนแสดงถึงความ อ่อนไหวขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้คงมีอิทธิพลกับจินไห่มาก

“สวัสดี พี่ชื่อ ไป่ เฉิง ตง (柏 嶒 冬 ) เพื่อนๆ เรียก เฉิง เฉยๆ ส่วนพี่กับไอ้ไห่ เรียกกันว่า ทะเล กับ ภูเขา” เฉิงพูดต่อเพื่อไม่ให้บรรยากาศเสียไป

ต้นน้ำทำหน้าไม่เข้าใจไปทางคนต่างแดนทั้งสองคน

“อืม…. จริงสิ คือ ชื่อไห่ แปลว่าทะเลไง ส่วนชื่อพี่มีคำว่าภูเขาอยู่” เฉิงขยายความ

ต้นน้ำพยักหน้าอือ ออ แกมรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างสองคนแกมมองไปทางคนของตนเองที่ตอนนี้ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อน

ต้นน้ำกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้งและเหล่มองไปทางจินไห่ เขาเองก็เหมือนสื่อใจถึงกัน จินไห่จึงเริ่มบทสนทนาต่อทันที

“เอ่อ…. คือ…. เรื่องรูปน่ะ ยังไงเราก็ไม่ขายนะ”

“เฮ้ย.. แปลกนะที่ตอบได้ทันทีทันใดแบบนี้เนี่ย สงสัยมีแบคอัพดีสินะ” เฉิงพูดจบก็เหล่มองมาทางต้นน้ำ ทำให้เขารู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดส่งมา

“มันเป็นของดูต่างหน้าของพ่อนะ เราจะขายได้ยังไง!” จินไห่ให้เหตุผลผลหนักแน่น

“ตอนโทรศัพท์ยังอึกอักใส่อยู่เลย มีคนคอยสนับสนุนใช่ไหมเนี่ย?” ต้นน้ำถูกเหล่มองอีกครั้ง

เท่าที่ต้นน้ำทราบ พี่จินไห่บอกว่า เพื่อนคนนี้ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ต้นน้ำกับจินไห่คบกันอยู่ ซึ่งเขาเองก็สอบถามหลายครั้งว่าทำไมถึงได้ปิดบังเพื่อนสนิทคนนี้ พี่จินไห่ก็พูดประมาณว่า ไม่อยากทำให้ต้นน้ำอึดอัด ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจกับเขามาจนถึงวันนี้

ท่าทางของเพื่อนของจินไห่ก็ดูเป็นมิตรดี แถมดูสนิทกันมากๆ ยิ่งมีเชื้อสายไทยด้วยกันน่าจะสนิทกันระดับเพื่อนสนิทหรือเพื่อนรักเพื่อนตายได้เลย

ต้นน้ำนั่งมองคนเชื้อสายต่างชาติที่กลับมาคุยภาษาไทยอย่างกับเจ้าของภาษา ต้นน้ำก็ยังอดแปลกตาไม่ได้ รวมทั้งต้นน้ำยังไม่เข้าใจว่าสาเหตุที่พี่จินไห่ของเขากลัวอะไร แม้ว่าเขาจะถูกมองแปลกๆ หลายครั้ง

“พูดอะไรของนายเนี่ย?!?” จินไห่

“ก็แฟนนายไง นั่งอยู่เป็นแบคอัพแบบนี้ นายถึงได้ตัดสินใจ แบบใจเข็งได้ขนาดนี้!!” เฉิงชี้มาทางต้นน้ำ

“นาย…นายรู้” จินไห่มีอาการแตกตื่น

“เดี๋ยวนี้โลกมันเล็กลงแล้วนะ” เฉิงพูดพลางยักคิ้วใส่จินไห่

ต้นน้ำนึกถึงบรรดาเพจต่างๆ ในเฟซบุ๊คที่ต่างติดตามข่าวคราวพวกเขาอยู่พักใหญ่

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไห่ เพื่อนสนิทพี่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจนี่ครับ ที่พี่จะมีแฟนเป็นผู้ชาย!” ต้นน้ำลุกขึ้นมายืนจับมือจินไห่ไว้แน่น ในขณะที่จินไห่นิ่งเงียบ

“รังเกียจ…ป่าวเลย ตรงกันข้าม พี่ดีใจเสียอีก ที่รู้ว่าพี่เองก็มีหวังกับเขาเสียที ถ้ามีคู่แข่งเป็นยัยเสี่ยวหยู๋ ยังคิดว่าไม่มีทาง แต่เป็นผู้ชายด้วยกัน เราว่าเราไม่แพ้แน่นอน!!” เฉิงยิ้มสวยมาทางพวกเขาทั้งสองคน ดวงตาที่เหมือนมีประกายวิบวับส่องประกายมาทางจินไห่

ต้นน้ำมึอาการเหวอกับคำพูดอีกฝ่ายเล็กน้อย และกำลังประมวลผลในสมองของเขาอย่างหนัก

“เรื่องรูปไม่ขายก็ไม่เป็นไร เพราะนั้นมันเรื่องรอง!!” เฉิงยิ้มอย่างมีแผน

“เรื่องรอง?!?” จินไห่เปิดปากอย่างตื่นตระหนก เรื่องที่เขาคิดไว้ในที่สุดก็ถูกต้อง เพราะรู้จักคนๆ นี้มานาน

“เรื่องหลักก็คือมาทวงคืนทะเลของเราไง!” เฉิงดึงจินไห่ออกห่างจากต้นน้ำไปกอดอย่างแนบแน่น

…………

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“พี่ไม่น่าห้าม!!” ต้นน้ำกระฟัดกระเฟียดเดินจูงมือแฟนหนุ่มเข้ามาในตัวบ้าน หลังจากที่จินไห่ขอร้องให้เพื่อนกลับไปก่อน

“พี่หวังดีนะ” จินไห่ตอบเสียงเรียบ

“หวังดีอะไร! ถึงรูปร่างมันจะหนากว่า ผมก็ไม่กลัวมันหรอกนะ ผมมันเด็กสถาปัตย์ฯ นะ เรื่องชกต่อยผมไม่เป็นรองใครหรอก หรือพี่กลัวเพื่อนพี่จะเจ็บตัว!!” ต้นน้ำพูดพลางคิดว่าตัวเองนิสัยเหมือนไอ้ต้นกล้า เข้าไปทุกที เพราะช่วงนี้คุยกับมันบ่อยเกินไปละมั้ง

“อาเฉิงน่ะ…… คาราเต้สายดำ ยูโดสายดำ เทควอนโดก็เรียนมาบ้าง เขาเป็นนักกีฬาตั้งแต่สมัยเรียน เหรียญรางวัลเต็มห้อง น้องคิดว่าพี่หวังดีกับใคร?”  จินไห่ตอบด้วยประโยคบอกเล่าที่ทำให้ต้นน้ำคิดภาพตามพลางคิดในใจ

‘เกือบไปแล้ว’

หลังจากต้นน้ำมองหน้าจินไห่หลังจากจบประโยคของเขาพักใหญ่ ต้นน้ำก็ระเบิดเสียงโวยลั่น พร้อมกันขยี้หัวตัวเองและมองเงาตนเองในกระจกของห้องรับแขก แล้วถอนหายใจอย่างแรง

“คนอะไรมันจะสมบูรณ์แบบไปหมดวะ หล่อ รวย เก่ง ไปหมดรอบด้านแบบนี้!!” ระหว่างบ่นอุบอิบ ต้นน้ำก็เดินไปกระแทกนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ของห้องรับแขกเสียงดัง

จินไห่อมยิ้มให้กับความงอแงของอีกฝ่าย และเดินไปโอบกอดจากทางด้านหลัง

“มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะสมบูรณ์แบบขนาดไหน เรื่องความรักมันสำคัญที่ ใจเราต่างหาก และคนที่พี่เลือกก็คือ ต้นน้ำนะ” เสียงที่แสนอบอุ่นอ่อนโยน ลำเลียงป้อนใส่หูของต้นน้ำอย่างช้า

เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ต้นน้ำ หายจากอาการน้อยใจและโกรธเกรี้ยวเป็นปลิดทิ้ง เหมือนลมทะเลอ่อนๆ ที่พัดเอาความรุ่มร้อนให้หายไปจากร่างกาย

“พี่ไห่……”

“ครับ?”

“ทำไมพี่น่ารักขนาดนี้!”

“หยุดเลยนะ อุ๊บ!”

จินไห่ห้ามไม่ทันจบประโยค ก็โดนต้นน้ำหันหลังมาคว้าคอเขาไปเพื่อโน้มสัมผัสริมฝีปากกับเขาอย่างเผ็ดร้อน

จินไห่ที่อยู่กับแฟนเด็กมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่า น้ำเสียงแบบไหนที่อีกฝ่ายแสดงถึงความต้องการจากส่วนลึกของจิตใจ

ลิ้นอุ่นชุ่มถูกสอดใส่เข้ามาในช่องปากของจินไห่จนทำให้ไม่สามารถโต้ตอบด้วยวาจาได้

มือหนึ่งของต้นน้ำที่กระชับต้นคอแน่น และอีกมือหนึ่งก็แทรกช้อนระหว่างลำตัวกับแขนไปทางด้านหลัง ทำให้จินไห่ไร้ทางหนี

ความจริงแล้ว แม้จนถึงตอนนี้ จินไห่ไม่สามารถปฏิเสธแฟนเด็กของตนเองได้เลย เขาแทบจะตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายทันทีเมื่ออีกฝ่ายโน้มน้าวเขาด้วยภาษากาย

เขาไม่รู้ว่าคู่รักอื่นๆ เป็นแบบนี้ไหม? แต่กับเขาภาษากายแบบนี้มันได้ผลเสมอ

“พอก่อน! พี่ต้องไปทำงาน!” จินไห่พยายามขัดขืนด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นของเขาถูกปลดกระดุมออกจนหมดแล้ว (เป็นเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่จินไห่แปลกใจเสมอ)

“นิดเดียว….นะครับ” ต้นน้ำทำเสียงออดอ้อน ใบหน้าน่ารักวงนั้นกำลังล่อลวงจินไห่ให้ไขว้เขว ใจเขาเต็นไม่เป็นจังหวะ มือที่ชุ่มเหงื่อกำแน่นเพื่อฝืนความต้องการของตนเอง

ต้นน้ำโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใช้ฟันขบลงบนริมฝีปากจินไห่เบาๆ และเริ่มขั้นตอนที่หนึ่งอีกครั้ง มือที่ไร้การพันธนาการจากจินไห่ เล่นหยอกกับผิวพรรณของจินไห่ไปทั่วจนกระทั่งไปหยุดลงที่ลูกพีชสีขาวอมชมพูที่ด้านหลัง (จินไห่ต่องแปลกใจอีกครั้งที่ต้นน้ำปลดกางเกงเขาลงได้ตอนไหนก็ไม่ทราบ?)

“เดี๋ยวนะ นี่มัน…ชั้น 1 นะ” จินไห่พยายามเตือนสติอีกฝ่าย

“แล้วไง! พี่ไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมผมถึงออกแบบให้ปลูกต้นไม้พุ่มสูงล้อมบ้านเป็นชั้นๆ แบบเขาวงกตย่อมๆ ไว้ เพราะว่าเวลาเราทำอะไรกันตรงส่วนไหนของบ้านก็ไม่มีใครเห็นไง!!” ต้นน้ำยิ้มอย่างภูมิใจ และเริ่มทำการละเล่นกับผิวใสๆ ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน

“ไอ้คนเจ้าเลห์!! แต่เดี๋ยวมีคนจากที่ร้านมาตามพี่นะ!!” จินไห่ยังคงฝืน ไม่ทิ้งความพยายาม

“ผมว่าน้องๆ ในร้านพี่น่าจะรู้หมดแล้วไหมครับ ว่าหากพี่หายไปกับผมนานๆ แบบนี้ มันก็มีแค่เหตุผลเดียวนั้นแหละ!!” ต้นน้ำพูดตัดทางหนีของอีกฝ่ายได้อีกครั้ง

“ไอ้..ไอ้….” จินไห่ตอนนี้ สติของเขาเลือนลางไปกับความสุขที่อีกฝ่ายกำลังปรนเปรอให้ทางริมฝีปากและลิ้นอันสากชุ่ม

เขาหมดแรงพยายามและปล่อยตัวเองให้เอนลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ ถูกเรือนร่างที่ค่อยๆ เปลือยเปล่าบดขยี้อย่างสุขสันต์

ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะห้ามอีกฝ่ายให้เลิกคลั่งรักเขาได้แบบนี้ ไม่เลยสักครั้ง

…………..

วันรุ่งขึ้น ไอ้หน้าตี๋นักกล้ามปรากฎตัวอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มฟันขาวเรียงสวยน่าหมั่นไส้

“อรุณสวัสดิ์” เฉิงโบกมือทักทายจินไห่โดยมองข้ามต้นน้ำที่ยืนอยู่ข้างๆ

แม้ว่าต้นน้ำจะพยายามเพ่งมองแผ่รังสีอำมหิตส่งไปหาแขกผู้มาเยือน เฉิงก็ไม่ได้สะทกสะท้าน ซ้ำยังเมินต้นน้ำอย่างไม่ใยดี

“มาทำไมแต่เช้าเนี่ย” จินไห่มองนาฬิกาแกมทักอีกฝ่ายตามมารยาท

“ก็…..ว่าจะมาดูสภาพของภาพวาดหน่อย” อีกฝ่ายักไหล่ตอบและมองสอดส่องไปในตัวบ้าน

“ไหนว่าไม่สนใจแล้วใจ” ต้นน้ำตอบแทนจินไห่เสียงแข็ง พลางเดินมาขวางทางเฉิงที่กำลังถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน

“ก็นะ… แบบ… ลูกค้าน่ะสิ เขาดื้อนะ ไม่ยอมฟังอะไรเลย ยังไงก็จะขอซื้อให้ได้ เฮ้อ……” เฉิงผ่อนหายใจยาวหลังจบประโยค

ต้นน้ำดูจากสีหน้าแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่ได้โกหก

“ยังไงผมก็มืออาชีพ ขอไปประเมินภาพหน่อยได้ไหม?” พูดยังไม่ทันจบประโยค เฉิงก็เดินแทรกตัวคู่รักเจ้าของบ้านเพื่อที่จะเข้าไปในตัวบ้านทันที

“แล้วไม่คิดจะขอเจ้าของก่อนหรือไง!!?” ต้นน้ำทำตัวแข็งขืนไม่ให้อีกฝ่ายผ่านตนไปได้

“อ่ะ!! ขอโทษทีลืมตัวทุกทีเลย บังเอิญว่าเราสนิทกันมากน่ะ เรื่องแค่นี้จินไห่ ไม่ว่าอะไรหรอก!!”  เฉิงยิ้มและมองไปทางต้นน้ำสลับกับจินไห่

จินไห่ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเป็นคำตอบ

“พี่ไห่!!” ต้นน้ำเรียนจินไห่อย่างเสียศูนย์

แขกผู้ไม่ได้รับเชิญของต้นน้ำเดินแทรกเข้าบ้านอย่างไร้กังวล

“เอาน่า อย่างไรมันก็เพื่อนพี่นะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” พูดจบจินไห่ก็เดินไปจัดการงานที่ร้านอาหารของตนทันที

ทิ้งให้ต้นน้ำยืนหน้านิ่วและร้องตะโกนอย่างไม่พอใจลั่นในสมอง

เวลาผ่านไปนานพอควร ต้นกล้ารู้สึกกังวลใจจนไม่สามารถกินมื้อเช้าได้อย่างเอร็ดอร่อยเหมือนเคย และที่ยิ่งน่าหงุดหงิดไปอีกก็คือ บนโต๊ะมีการจัดจานเพิ่มอีกหนึ่งจาน

“ทำเอาหิวเลยรู้อย่างนี่เดินมากินข้าวก่อนก็ดี” เสียงที่ไม่พึงประสงค์เอ่ยลอยมาเข้าโสตต้นน้ำ ทำให้เส้นเลือดข้างขมับปูดโปนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ไปประเมินภาพวาดหรือไปแอบขโมยของล่ะเนี่ย? นานเชียว” ต้นน้ำอดไม่ได้ที่จะจัดการสักประโยค

“มืออาชีพอย่างผมตรวจไม่นานหรอก แต่เพลินไปจนสำรวจบ้านเสียนานนี่สิ ห้องนอนของอาไห่ ยังเรียบร้อยเรียบง่ายเหมือนเดิมนะ แต่ก็แอบตกใจนะเนี่ยที่มีกล่องถุงยางอนามัยเป็นแถววางอยู่ในห้องแบบนั้น รู้สึกสึกเสียใจเป็นบ้าที่เราไม่ได้เป็นคนเปิดบริสุทธิ์นายนะ” เฉิงพูดพลางส่ายหน้า

ต้นน้ำที่นั่งกำมือแน่น ข่มตาหลับอย่างฝืนๆ จนจินไห่รู้สึกถึงไอบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก

“แต่ห้องนอนมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวนะ ยังไงก็ไม่ควรเดินเข้าไปโดยไม่ขออนุญาต” จินไห่ตอบเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายดูไม่ได้สำนึกอะไร

“แหมๆๆๆ ทำไมทำตัวเหินห่าง เมื่อก่อนเรานอนด้วยกันบ่อยๆ อะไรๆ เราก็เห็นกันจนชินตาแล้ว ไม่น่าจะทำตัวห่างเหินกันแบบนี้นะ!!” เฉิงที่ยังยิ้มร่าตอบอย่างสบายใจ

“มึงนี่มัน!!” ต้นน้ำกัดฟันกรอดพูดออกมา เส้นความอดทนของต้นน้ำขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิง

หมับ!!

มือของต้นน้ำถูกคว้าจับไว้และบีบอย่างแรง ทำให้เขาหันไปมองหน้าจินไห่ที่ยังคงสงบนิ่ง แต่ต้นน้ำรู้สึกถึงพายุที่โหมพัดภายในได้

“แต่ตอนนี้เราอยู่กับต้นน้ำ เราเป็นแฟนกัน ห้องๆ นั้นไม่ใช่ห้องของเราคนเดียวแล้ว จะทำอะไรก็ต้องมีขอบเขตบ้าง!!” เสียงเรียบๆ เย็นๆ ของจินไห่ ทำให้เฉิงหุบรอยยิ้มเกินๆ เหล่านั้นได้ และผ่อนลมหายใจออกมา

“โอเคๆ เข้าใจแล้ว เราขอโทษนะที่ล้ำเส้นไปหน่อย….. แต่เราไม่ยอมแพ้หรอกนะ!!” เฉิงมีสีหน้าอ่อนลงและทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามต้นน้ำและจินไห่อย่างหมดมุก

“กินมื้อเช้าไป!” จินไห่ไสจานที่ถูกเติมเต็มไปด้วยไข่คนและไส้กรอกที่บรรจงบั้งเป็นรายตารางสวยงามราดด้วยซอสเกรวี่สูตรลับของทางร้าน

“โอโห! เหมือนที่นายเคยทำให้กินเลยอ่ะ นี่มันเมนูซิกเนเจอร์ที่พวกเราคิดตอนอยู่ด้วยกันบ่อยๆ นี่เนอะ ไม่น่าเชื่อว่าจะจำได้!” เฉิงเลื่อนจานมาใกล้ตนเองมากขึ้น

ต้นน้ำฟังประโยคนั้นแล้วรู้สึกอยากคายของที่กินไปตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกใส่หน้าไอ้เจ้าของประโยคที่น่ารังเกียจนั่นเสีย

“ไม่เหมือนหรอก สูตรนี้เราคิดให้ต้นน้ำโดยเฉพาะ ต้นน้ำเขาอยากให้ทำขายก็เลยมีขายในร้าน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีให้นายกินแบบนี้” ต้นน้ำยอมใจพี่จินไห่จริง ที่ตอบได้ขาดทุกประโยค แบบไม่ให่เห็นเยื่อใย ชัดเจนแบบสุด

“อืม… ไม่เหมือนเดิมจริงๆ ยังไงสูตรที่เราทำด้วยกันก็อร่อยกว่า” เฉิงเคี้ยวคำแรกเสร็จก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าหมั่นไส้

“แต่ตอนนี้เราชอบแบบนี้แล้ว และตอนนี้ก็จำได้แต่สูตรนี้” จินไห่ตอบกลับแทบจะทันที

ทุกครั้งที่จินไห่ตอบ ต้นน้ำก็ยิ่งรักคนๆ มากขึ้นไปอีก จนตอนนี้แทบอยากจะลากพาขึ้นไปจัดความรักให้สักสองสามยก

“เรายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ ทั้งเรื่องภาพ และเรื่องนาย!!” เฉิงวางช้อนและเดินจากไป

………..

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

เสียงลมหายใจหอบถี่ที่สอดประสานกันในห้องนอนชั้นสองของช่วงสายของวัน ต้นน้ำและจินไห่ต่างนอนแผ่หายใจเข้าออกหอบใหญ่จนหน้าอกของทั้งสองสั่นเพื่อมพ้องกัน

ต้นน้ำทำอย่างที่ใจเขาคิดจริงๆ ความมั่นคงเด็ดขาดในรักของจินไห่ปลุกเร้าความต้องการส่วนลึกในจิตใจของต้นน้ำได้อย่างท่วมท้นจนไม่อาจจะสะกดกลั้นได้

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นปี แต่พวกเขาทั้งสองคนก็รักกันอย่างสดใหม่อยู่เสมอ ต้นน้ำยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่เขาเห็นเรือนร่างของจินไห่ ผิวขาวเกลี้ยงเกลา กล้ามเนื้อลีนๆ พอดีตัวน่าสัมผัสไปหมดทั้งร่าง ความรู้สึกที่ไม่เคยถูกเติมเต็มเหล่านี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ต้นน้ำคิดพลางลูบไล้แผ่นอกที่เต็มไปด้วยเหงื่อผุดพลายไปทั่ว

“พอแล้วนะ พี่ขอพักก่อน”จินไห่พูดอย่างหมดแรง ต้นน้ำยกยิ้มกับความน่ารักน่าหยิกตรงหน้า

“ครับๆ ผมทราบแล้ว พี่เคยบอกผมว่า ช่วงกลางวันครั้งเดียวก็พอ แต่…….” ต้นน้ำลากเสียงยาวที่ปลายประโยค

“กลางคืนพี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ หากรวมกับตอนเช้าด้วย ก็ปาเข้าไปสองรอบแล้วนะ” จินไห่หันมาค้อนใส่คนรักที่นอนอยู่เคียงกัน

“ก็…. ลองถามดู” สายตาเจ้าเล่ห์ของต้นน้ำเปล่งประกาย พร้อมยกตัวขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นช่วงลำตัวที่ผ่านการดูแลเป็นอย่างดี

ร่างตรงหน้ามันดีต่อใจจนกระทั่งต้นน้ำโดนห้ามไม่ให้ถ่ายรูปถอดเสื้อลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์คอีกโดยจินไห่

กล้ามเนื้อแน่นและชัดได้สัดส่วน ผิวที่มีรอยต่างสีจากการโดนแดดเผาเพราะออกกำลังกายกลางแจ้ง ทำให้ผิวของต้นน้ำมีเสน่ห์มากขึ้น สัดส่วนทั้งร่างมันเหมือนกันศิลปินชั้นครูบรรจงแกะสลักด้วยหินอ่อนบริสุทธิ์

หน้าตาที่พิสุทธิ์สะอาดและดวงตากลมโตเหล่านั้นทำให้จินไห่มองกี่ครั้งๆ ก็ยอมแพ้ทันทีที่ได้เห็น ดังนั้นเพียงแต่ความออดอ้อน เล้าโลมของอีกฝ่ายก็ทำให้จินไห่แทบจะยอมทำทุกอย่างให้ต้นน้ำไปแล้ว

“พี่ขอร้อง พี่ไม่ได้ช่วยน้องๆ ปิดร้านบ่อยแล้วนะ” คนพี่งอแง

“ผมว่าน้องๆ พี่เขาเข้าใจล่ะ”

“นายนี่มัน!!!!”

“มา!! เดี๋ยวผมพาไปอาบน้ำ!”

“แค่อาบน้ำนะ!!”

“เออน่า!!” พูดจบต้นน้ำก็อุ้มจินไห่ในท่าเจ้าสาวพาเข้าห้องไปอาบน้ำให้ทันที

……….

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

……….

เพื่อนเก่าของพ่อ

หลายวันผ่านไปนับจากวันที่เพื่อนสนิทของจินไห่มาทักทายล่าสุด เฉิงหายไปเหมือนกับยอมแพ้แล้วโดยสิ้นเชิง ต้นน้ำที่เริ่มมีท่าทีสบายใจขึ้นมากนับจากวันนั้น ก็รู้ว่าเขาน่าจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปแล้ว ระหว่างที่เขานั่งกินมื้อเที่ยงกับจินไห่ภายในตัวบ้านเช่นเดียวกับกิจวัตรทั่วไปทุกวัน

เสียงริงโทนของโทรศัพท์จินไห่ที่ต้นน้ำแทบจะไม่เคยได้ยินเลยนั้นดังลั่นบ้าน ต้นน้ำมีอาการตกใจเล็กน้อยกับสีหน้าของจินไห่ที่มองไปทางแสงสว่างวาบของหน้าจอ

จินไห่ยกหน้าจอแสดงให้ต้นน้ำดูด้วยสีหน้าหน่ายๆ

ชื่อที่ปรากฏเป็นภาษาจีนที่ต้นน้ำอ่านไม่ออก แต่รูปโปรไฟล์ของเจ้าของชื่อนั่น ตาใสยิ้มสวยมองมาทางเขา ทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นอย่างประหลาด

“นึกว่าเพื่อนพี่ยอมแพ้กลับไปแล้วนะ!!” ต้นน้ำพูดใส่หน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกยกขึ้น

“พี่ก็เข้าใจอย่างนั้น” จินไห่ตอบพลางถอนหายใจ ทำให้ต้นน้ำรู้ว่า จินไห่ก็ลำบากใจไม่น้อยเหมือนกัน

“รับๆ ไปเถอะพี่ ดีกว่าให้มันมาโผล่ที่บ้านเรา” ต้นน้ำรู้สึกเบื่ออาหารตรงหน้าขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่มีแต่อาหารโปรดกองอยู่ตรงหน้า

หลังจากจบประโยคของต้นน้ำ จินไห่ก็รับสายทันทีซึ่งทุกประโยคเป็นภาษาจีน แน่นอนว่าต้นน้ำฟังไม่ออกเลย

แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ จินไห่มีท่าทีสุภาพมากกว่าปกติมาก

จนกระทั่งจินไห่วางหูโทรศัพท์ ต้นน้ำจึงรีบชิงถามคำถามก่อนที่จินไห่จะผ่อนลมหายใจออกมา

“มีอะไรครับ ทำไมท่าทางพี่แปลกๆ?”

“ก็พี่ไม่นึกว่าจะเจอไม้นี้!!”

“ไม้นี้?”

“นั่นพ่อของอาเฉิง!”

“?!?!?” ผมประมวลผลไม่ถูกเลยครับว่ามันมีตัวแปรพ่อของอาเฉิงมาได้ยังไง



………..

จินไห่เคยเล่าเรื่องสมัยตอนอยู่ที่ใต้หวันให้ฟังบ้าง จำได้ว่าชีวิตวัยเด็กของจินไห่ก็ไม่ได้อบอุ่นเท่าไหร่นัก เพราะคุณพ่อของจินไห่เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ทำให้มีโลกส่วนตัวสูงพอควร แม้จะให้เวลากับครอบครัวเต็มที่ แต่เวลาที่ปลีกตัวไปทำงานนั้นกลับมีมากกว่า ทำให้มีความห่างเหินกับแม่และจินไห่ระดับหนึ่ง

ด้วยความที่เคยมาอยู่ประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่งทำให้จินไห่มีเพื่อนที่นั่นน้อยและปรับตัวค่อนข้างยากกับเด็กวัยเดียวกัน

โชคดีที่ได้รู้จักอาเฉิง ที่เป็นลูกครึ่งไทย ทำให้สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว รวมถึงที่อาชีพของพ่อของทั้งสองคนก็ทำให้สองคนนี้สนิทสนมกันเร็วขึ้น

พ่อของอาเฉิงเป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างและหนึ่งในนั้นคือ อาร์ตแกลลอรี่

หลังจากนึกมาถึงตรงนี้มันก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น เพราะพ่อของทั้งสองคนเสมือนทำธุรกิจร่วมกัน และพ่อของอาเฉิงก็มีภรรยาเป็นคนไทย ทำให้รู้สึกมีความใกล้ชิดกันระหว่างสองบ้าน (เข้าใจแล้วว่าทำไมจินไห่ถึงได้เรียนรู้ภาษาไทยได้เร็ว)

“แล้วพ่อของเพื่อนพี่ โทรศัพท์มาทำไม?” ผมถามหลังจากลำดับเหตุการณ์ในหัว

“ก็คนที่อยากได้ภาพนี้ก็พ่อเขานั่นแหละ!!” จินไห่ตอบพลางผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่

“อันนี้พีคจริง! แล้วพี่ทำไงล่ะ?” ผมถามจ่อแทบจะทันที แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันทำให้เขาลำบากใจ

“ไม่รู้เลย มรดกเพียงไม่กี่ชิ้นที่พ่อให้มา ราคาสูงแค่ไหนพี่ก็ไม่ขายหรอก ต้นน้ำเข้าใจพี่ใช่ไหม?” จินไห่แสดงออกทางสายตาว่าสับสน

“ผมรู้” เพราะมันมีค่าทางจิตใจมากกว่า เหมือนกับบ้านหลังนี้

สำหรับต้นน้ำ ก็ต้นไม้หลังบ้านเขานี่แหละ เป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาก็จะไม่ขายที่ดินผืนนั้น เพราะมีพ่อของต้นน้ำและจินไห่นอนพักร่วมกันอย่างสงบใต้ร่มไม้ผืนนั้น

เวลาไม่นานนักคนที่เคยอยู่ ณ ปลายสายของโทรศัพท์เพื่อนสนิทของจินไห่ก็มาถึงร้านอาหารและบ้านของเขา

คนที่เป็นเสมือนพ่อคนที่สองของจินไห่เดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนมและถามไถ่เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ห่างหายจากกันไปนาน

บรรยากาศระหว่างจินไห่และพ่อลูกสองคนนั้นทำให้ต้นน้ำถูกแปลกแยกออกไปแม้จะยืนอยู่ข้างๆ จินไห่ก็ตาม เพราะพ่อของผู้มาใหม่แทบจะไม่เห็นต้นน้ำอยูในสายตาเลย

อาจเพราะพวกเขาพูดภาษาอื่นที่ต้นน้ำไม่สามารถเข้าใจได้ จึงยิ่งลำบากที่จะเข้าร่วม

จินไห่เหมือนจะสังเกตเห็นว่าต้นน้ำมีสีหน้าเปลี่ยนไปจึงได้เปลี่ยนเรื่องที่คุยมาเป็นแนะนำต้นน้ำแทน

ต้นน้ำรีบแนะนำตัวเป็นภาษาจีนตามที่เคยถูกสอนมา แต่หลังจากเจอประโยคสวนกลับของผู้อาวุโส เขาถึงกลับยิ้มอย่างสับสนและมองไปทางล่ามส่วนตัวของเขา

“คุณอาครับ อย่าไปแกล้งเด็กสิครับ!!” จินไห่กลับพูดภาษาไทยใส่ผู้เป็นเสมือนบิดาอีกคนของเขา

“อ้าว! เห็นแนะนำตัวเป็นภาษาจีน อาก็นึกว่าพูดภาษาพวกเราได้” คุณอาของจินไห่พูดติดตลกและขำออกมาในตอนท้าย

ขี้แกล้งเหมือนลูกชายเลยนะ!!
ถึงจะไม่ได้พูดชัดเป๊ะ แต่ก็ถือว่าพูดได้ล่ะนะ

“ทำไมดูงงๆ เอ้า นี่จินไห่ไม่เคยเล่าให้ฟังหรือว่า ลุงเคยทำงานที่ไทยแล้วก็มีภรรยาเป็นคนไทย” คุณอายิ้มกว้างอารมณ์ดี

ต้นน้ำทราบแต่ว่าอาเฉิงน่ะเป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน แต่ไม่คิดว่าคุณพ่อของไอ้คุณเฉิงจะเคยทำงานที่ไทยแถมพูดได้ได้ชัดขนาดนี้

“พูดไปก็คิดถึงแม่เนอะอาเฉิง!” คุณอาหันไปพูดกับลูกตัวเองแล้วก็อมยิ้มอ่อนๆ ไว้

“แต่ภาษาไทยอาน่าจะขึ้นสนิทแล้วล่ะ นอกจากแม่ของอาเฉิงก็มี ‘เก๋อหลง’ นี่แหละ ที่ได้ใช้เป็นที่ฝึกฝน แต่ก็จากกันไปทั้งคู่ ทีละคนๆ” พูดมาถึงตรงนี้ คุณอาก็มีนำ้ในตารื่นเคลือบดวงตา

“อาปา…. เปลี่ยนเรื่องเถอะ” อาเฉิงพูดกับพ่อเสียงสั่น

พ่อลูกสองนนี้นิสัยเหมือนกันมาก ไบโพล่าหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้! ต้นน้ำมองด้วยสีหน้าหวั่นๆ ว่าจะสองคนนี้ต้องการมาทำอะไรตอนนี้

“กินอะไรกันมาหรือยังครับ?” จินไห่ได้โอกาสเปลี่ยนบทสนทนาเพราะเขาเองก็จะพาลคิดถึงคนที่จากไปแล้วด้วย

“เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่ภาพวาดอยู่ที่ไหนล่ะ?” คุณอาสั่นหน้าและจ้องไปที่ตาของจินไห่

รวบรัดตรงประเด็นทั้งพ่อทั้งลูก

“เอ่อ…อยู่ในบ้านน่ะครับ” จินไห่ตอบด้วยความรู้สึกลังเลแต่ก็ไม่อาจทัดทานผู้ใหญ่ท่านนี้ได้

“บ้าน? หลังด้านในนี้ใช่ไหม?” คุณอาชี้เข้าไปในส่วนลึกของร้านอาหาร แม้จะมีต้นไม้สูงใหญ่ปลูกปกคลุมรายล้อมตัวบ้านไปพอสมควร แต่คนสายตาดีอย่างคุณอาจะสังเกตเห็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ลูกชายของคุณอาพยักหน้าเป็นคนคำตอบก่อนที่เจ้าของบ้านจะตอบเสียอีก

“อาขอเข้าไปดูได้ไหม? ทั้งบ้านและภาพวาดของเก๋อหลง” คุณอาแสดงสีหน้าขอร้องกึ่งบังคับ

“ครับ…ได้ครับ” แม้ใจจะไม่ค่อยพอใจกับคำขอร้องแต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพคนหนึ่งจึงต้องจำใจอนุญาตให้ไปเข้าไป

หลังจากตกปากรับคำขอจากผู้ใหญ่แดนไกล จินไห่ก็เดินนำทางคุณอาและเพื่อนตัวเองเข้าไปในบ้านมี่ผมออกแบบตกแต่งใหม่ทั้งหลัง แต่ยังคงสภาพเดิมให้มากที่สุด

หลังจากไปถึงบริเวณบ้าน คุณอาก็พยายามให้จินไห่พาเดินไปชมบ้านโดยรอบ พร้อมเสียงชื่นชมความลงตัวของการออกแบบไม่ขาดปาก แต่ที่แปลกก็คือไม่ถามสักคำว่าใครเป็นคนออกแบบทั้งแลนด์สเคปและอินทีเรีย

แม้จะหงุดหงิดใจอยู่บ้างแต่ในฐานะของเจ้าบ้านคนหนึ่งก็ต้องแสดงสีหน้าให้ออกมาต้อนรับแขกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้พวกเขาพ่อลูกจะปฏิบัติกับต้นน้ำเหมือนเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านและสวนก็ตาม

ในที่สุดก็เดินมาถึงห้องรับแขกที่ซึ่งมีภาพเขียนของจิตรกรชื่อดัง พ่อของจินไห่แขวนลอยติดผนังอย่างลงตัว สีของห้องถูกจัดให้เป็นโทนเดียวกับภาพวาดทำให้การมีอยู่ของภาพวาดไม่ต่างกับวอลเปเปอร์สวยๆ ประดับอยู่

ทันทีที่คุณอาเห็นภาพวาดผืนนี้ ดั่งเหมือนโดนเวทมนตร์สะกดให้หยุดนิ่ง สติและจิตใจเหมือนลอยออกจากร่างไปสถิต ณ สถานที่ในภาพวาด  หลายนาทีผ่านไปคุณอาจึงจะผ่อนลมหายใจออกมายาว และอาการหอบที่ปลายลมหายใจที่ผ่อนออกมา เหมือนกับว่าระหว่างที่คุณอาเพ่งพินิจภาพวาดนี้ เขาจะลืมหายใจไปชั่วขณะ

“คิดถึงจัง” คุณอาพูดขึ้นลอยๆ พร้อมน้ำในตาล้นออกมาหนึ่งหยด

ภาพที่ต้นน้ำเห็นตรงหน้าสร้างความสับสนในใจพอสมควร ความรู้สึกที่คุ้นเคยมันก่อตัวขึ้นจนเขาไม่สามารถเก็บไว้ได้ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจ จับมือจินไห่ลากไปทางหลังบ้านทันที

“ลากพี่มาทำไม?” จินไห่ถามอย่างสงสัย ใบหน้าที่กึ่งหงุดหงิดกึ่งเศร้ามองมาทางต้นน้ำ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนอกจากคำถามที่เกิดขึ้นในใจ

“พ่อพี่กับพ่อเพื่อนพี่นี่คบกันแบบไหน?” ความรู้สึกสงสัยปนหงุดหงิดนี่มันก่อเกิดขึ้นมาจากไหนก็ไม่ทราบ เขารู้แต่ว่า ต้องได้คำตอบเดี๋ยวนี้

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ทั้งพ่อทั้งลูกน่ารำคาญพอกันเลย

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“อืมมมม ก็เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันตั้งแต่พี่เด็กๆ แล้วนะ ด้วยความที่แม่ของอาเฉิงเสียไปตั้งแต่อาเฉิงเด็กๆ พี่ก็เลยต้องไปอยู่กับอาเฉิงบ่อยๆ พ่อของพี่ทั้งสองคนก็เลยเป็นเพื่อนสนิทในเชิงธุรกิจน่ะ เพราะภาพวาดของพ่อ ทำกำไรให้คุณอาแบบมหาศาลเลยล่ะ ที่ผ่านมาก็จะเจอคุณอาเทียวไปเทียวมาที่บ้านบ่อยๆ หลังๆ ถึงขั้นสร้างสตูดิโอให้พ่อพี่ ทำงานใกล้กับแกลลอรี่เลยล่ะ เพราะภาพวาดจะได้ สดใหม่ ไม่เสียหาย บางทีพ่อไม่กลับบ้านเป็นเดือน” จินไห่เล่าไปก็ทำหน้าพยายามนึกทวนย้อนหลังไป จนกระทั่งท้ายประโยคถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองเล่ายาวเกินไป

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ต้นน้ำทวีคูณปมในใจมากขึ้นไปอีก

สักพักจินไห่ก็ถูกเรียกหาให้เข้าไปหาคุณอาที่ห้องรับแขก ภาพแรกที่เห็นคือพ่อลูกผู้เป็นแขกนั่งลงบนชุดโซฟาของบ้านอยู่คนละมุมเสมือนเป็นเจ้าของบ้าน ส่วนจินไห่และต้นน้ำกลายเป็นแขกที่เดินเข้ามาพบเจ้าของบ้าน

คุณอาผายมือเป็นการเชิญให้เจ้าของบ้านทั้งสองนั่งลงบนที่ว่างซึ่งเหลือเพียงที่เดียว ต้นน้ำจึงส่งสายตาไปที่จินไห่เพื่อบอกให้เขานั่งลงตรงที่ว่างนั้นซึ่งปกติก็ควรจะเป็นที่นั่งของแขก

ต้นน้ำทำใจเย็นอย่างถึงที่สุด เพราะอย่างน้อยคนที่มาก็เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของจินไห่ที่ให้ความเคารพไม่ต่างจากพ่อ

“อาตัดสินใจแล้ว เท่าไหร่บอกมา!” เบาะที่จินไห่นั่งลงยังไม่ทันที่จะยุบตัว แขกผู้ใหญ่ที่มาเยือนก็เสนอราคาเสียแล้ว

“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ขาย ภาพวาดเพียงชิ้นเดียวที่พ่อเหลือไว้ให้!!” จินไห่ก็แทบจะตอบกลับไปในทันที แต่ก็รักษาน้ำเสียงที่สุภาพไว้ได้

ต้นน้ำค้นพบว่า น้ำเสียงเวลาพี่จินไห่ของเขาเวลาพูดภาษาจีนนี่มันช่างห้าวหาญ

“เราก็มีบ้านหลังนี้แล้วไง ไม่ดีเหรอ เรียกราคาได้เลยนะ เอาให้แบบไม่ต้องลำบากทำงานไปทั้งชาติเลยก็ได้!” ครั้งนี้คุณอาจงใจพูดภาษาไทยและมีการเหล่มองมาทางต้นน้ำอย่างจงใจ

“ผมไม่ได้ทำงานเพราะหวังรวย ผมทำงานเพราะผมชอบทำร้านอาหาร” จินไห่ก็โต้ตอบกลับอย่างรอบคอบเช่นกัน

“อะไรกัน! ร้านอาหารเล็กๆ แบบเนี่ยน่ะหรือ ก็ยอมรับนะว่าอร่อย แต่มาเปิดในซอยแบบนี้ ใครมันจะมากิน!!” เสียงของลูกชายขาเผือกดังขึ้น

“แต่ร้านเรามีคะแนนรีวิวดีนะครับและโต๊ะก็เต็มทุกวันด้วย” ต้นน้ำเสริม

ในขณะที่อาเฉิงกำลังจะเปิดปากจะพูดอะไร ก็โดนฝ่ายพ่อยกมือขึ้นปรามไว้เสียก่อน ทำให้อาเฉิงได้แต่ทำหน้าเจ็บใจอยู่วูบหนึ่งก่อนที่จะถอยกายอิงพนักไป

“แต่ร้อยล้านนี่ ใช่ว่าใครจะยอมจ่ายให้กับภาพที่มันบาลานซ์มันไม่ดีแบบนี้!!” คุณอาผายมือไปทางภาพวาด

“มันมีคุณค่าทางจิตใจครับ” คำพูดที่แสนหนักแน่นออกจากปากจินไห่ที่แสนสุภาพ

“มันมีคุณค่ากับอาเหมือนกัน” คุณอาเปรยขึ้นมาลอยๆ

“มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อมันหมายถึง…” ต้นน้ำสุดจะทนจึงถลำตัวและพูดแทรกออกมา

แต่จินไห่จับแขนต้นน้ำไว้ทำให้เขาชะงัก เพราะเรื่องนี้มีแค่พวกเขาที่รู้กันสองคนเท่านั้น

“เอางี้นะ เผื่อสองคนไม่รู้อะไร…. อาน่ะ….” คุณอานิ่งไปพักหนึ่งกับประโยคที่ขาดหาย

“เคยลองกลับภาพนี้ดูหรือยัง?” คุณอาพูดขึ้นหลังจากสูดลมหายใจเข้าปอด หอบใหญ่

“กลับด้าน…..?!?” จินไห่งุนงงกับคำพูดของคุณอา

“งั้นอาขอไฟฉายหน่อย! แล้วอาเฉิง..กับ..ไอ้หนุ่มนั้น ช่วยเอาภาพนั้นลงมาหน่อย!”คุณอามองหน้าแล้วออกคำสั่งกับทุกคน

หลังจากคำสั่งแรกที่หลุดออกมาเป็นภาษาต้นกำเนิดของชายสูงวัยร่างใหญ่ ต้นน้ำที่ฟังไม่ออกได้แต่ทำสีหน้ามึนงง และหันไปมองจินไห่ที่เดินไปเดินหาไฟฉายอย่างงงๆ ส่วนลูกชายหัวแหวนของชายสูงวัยได้แต่ทำท่าทางลังเลที่จะทำ

“ไปเอามันลงมา!” คราวนี่เป็นภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำ และแสดงถึงอำนาจของผู้เป็นใหญ่ ต้นน้ำเข้าใจรังสีที่แผ่ออกมาอย่างดี เพราะมีลักษณะคล้ายกับพี่นีโน่เจ้าพ่อตัวเล็กของที่นี่

ต้นน้ำและอาเฉิงมองหน้ากันด้วยอาการสงสัยแต่ก็ยังไม่กล้าขยับออกจากจุดที่ตนยืน คงเพราะภาพวาดภาพนี้ จินไห่หวงแหนเป็นอย่างมาก การกระทำที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับภาพวาดสร้างแรงต้านทานต่อคำสั่งของคุณอาดุดันคนด้านหน้าได้

ในที่สุดจินไห่ก็เดินมาพร้อมกับไฟฉายขนาดใหญ่ที่คล้ายกับเครื่องสำรองไฟที่ติดหลอดไฟสปอร์ตไลท์มามากกว่า เขาเดินมาหยุดที่ด้านหน้าภาพวาดที่รักของเขาพลางมองไปทางเพื่อนและคนรักของคนตนพลางพยักหน้าเล็กน้อย

การกระทำเชิงว่าอนุญาตปรากฏขึ้นตรงหน้าทำให้ทั้งสองก้าวเดินออกไปที่ผนังด้านหน้าและจัดแจงปลดภาพวาดที่บรรจงแขวนอยู่ที่ผนังนำลงมาอย่างถนุถนอม

คุณอาได้ชี้นิ้วจัดแจงให้วางตั้งฉากกับพื้นในสภาพหันหน้าเข้าผนังที่มีร่องรอยของการแขวนจากการที่สีของพนังไม่เท่ากัน มือทั้งสองของผู้ที่ยกมันลงมายังจับที่กรอบสวยลวดลายหรูอย่างกระชับและมั่นคง

คุณอาจัดแจงยิงไฟอ่อนๆ ไปที่ด้านหน้าของภาพวาด การกระทำทั้งหมดยังสร้างความไม่พอใจและไม่เข้าใจแก่จินไห่ ถึงจะมีความใคร่รู้ว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่ที่นับถือือคนหนึ่งกระทำมันจะดูไร้เหตุผลแต่ก็อยากรู้ว่าทำไมคนๆ นี้ถึงได้ทำอะไรแบบนี้ลงไป

“อาไห่….ไปดูที่ด้านหลังภาพสิ” เสียงที่อ่อนโยนกว่าเมื่อสักครู่ดังขึ้น

จินไห่เดินตามคำสั่งโดยไม่ได้คิดอะไร และเขาก็มาหยุดประจันหน้ากับด้านหลังของภาพที่มีแสงไฟจากอีกฝั่งส่องผ่านออกมา

“นี่มัน….” จินไห่ไร้คำพูดใดๆ ออกมา

“ใช่ไหม? สิ่งนี้แหละที่อาต้องการ ภาพแห่งความลับที่พ่อของหลานได้บอกกับอาเพียงผู้เดียว” คุณอายิ้มกว้างแต่ดวงตา ไม่สัมพันธ์กับปากที่ยกยิ้มแบบฝืนๆ

จินไห่เพ่งมองไปที่ภาพ ภาพที่ใช้สีต่างการฉลุไม้ให้แสงลอดผ่าน บังเกิดลายเส้นที่แสนสุดยอดและสวยงาม เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภาพผืนนี้จะมีวีธีการชื่นชมเช่นนี้

จินไห่ไล่มองไปตามเส้นสายที่บางกว่าเฉดอื่น ผ้าใบที่บางกว่าปกตินั่นทำให้ได้ภาพที่เหลือเชื่อผืนนี้ ภาพนั้นแสดงถึงชายวัยรุ่นสองคนจับมือกันภายใต้พฤกษายิ่งใหญ่ แสงที่ลอดออกมาเหมือนแสงแดดที่ส่องทะลุผ่านกิ่งก้านและใบไม้หลายร้อยพันใบ ความงามนี้มันช่างมหัสจรรย์ และรู้สึกคุ้นเคย

ต้นน้ำที่เห็นอากัปกิริยาของคนรักถึงกับปล่อยมือของตนและไหว้วานอาเฉิงรับน้ำหนักเหล่านั้นไว้เองลำพัง และสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ตรงหน้า อากัปกิริยาก็ไม่ต่างจากจินไห่

ลายเส้นเหล่านั้นคุ้นเคย ลวดลายต้นไม้เหล่านั้นมันไม่ต่างจากสมุดบันทึกที่เขาตรึงใจมาจนทุกวันนี้ 

ไม่ผิดแน่นอน ต้นน้ำคิดในใจ สิ่งที่พ่อของจินไห่วาดไว้ให้เป็นมรดกข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงถิ่นที่เคยอาศัย สู่ผืนดินที่แรกแรกของคุณพ่อของพวกเขาทั้งสองฝังเมล็ดแห่งรักแรกให้เบิกบานเติบโต แม้ว่าจะไม่ได้ครองคู่กันในที่สุด แต่สุดท้ายก็ได้อยู่ด้วยกันในบั้นปลาย สายใยวิญญาณที่ผูกพันธ์พลันย้อนมาสานต่อกันอีกครั้ง

เพราะรักแรกที่ไม่อาจจะลืมนั้นทำให้บรรจงจรดพู่กันรังสรรค์ภาพวาดที่สวยและแสนพิศดารผืนนี้

น้ำตาของต้นน้ำและจินไห่เอ่อล้นมาพร้อมกันอย่างไร้ที่มาในสายตาคนนอกแต่ทั้งสองรู้ดีว่าภาพวาดผืนนี่ยิ่งมีค่ามากมายมหาศาลมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“สวยจนน้ำตาไหลเลยใช่ไหม?” คุณอาพูดขึ้น ทำให้อาเฉิงระงับความอยากรู้ไว้แทบจะไม่ได้แต่ด้วยที่ตนกำลังจับภาพวาดมูลค่าเหลือคณานับ จึงทำได้แค่สะกดกั้นไว้ เพราะจากมุมของเขา มันแทบจะมองความสวยงามที่ทุกคนพร่ำพรรณาไม่ออก

 “ช่วงนั้น พวกเราสองคนสนิทกันมาก พ่อหม้ายสองคน ที่มีลูกติดเหมือนกัน พื้นฐานครอบครัวเราคล้ายกัน ครอบครัวที่เกิดจากการจับคลุมถุงชนของผู้ใหญ่” คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเล่าออกมาโดยไม่สนใจว่าจะมีใครรับฟังมันหรือไม่

“แต่พ่อก็พอใจนะ พ่อรักแม่นะ แม่ทำหน้าที่แม่ของลูกและเมียของพ่อได้สมบูรณ์แบบมาก พ่อก็ยังเสียดายนะที่แม่ของลูกจากเราเร็วเกินไป” เมื่อเห็นสีหน้าลูกชายหัวแหวน คุณอาจึงต้องแวะขยายความ

หลังจากสีหน้าลูกชายดีขึ้น เขาจึงเริ่มเล่าต่อทันที

“พ่อเรากับอาสนิทกันมาก… มากจนอาคิดว่าเราคิดกันเกินเลยมากกว่านั้น แต่อากับพ่อของหลานไม่ได้มีอะไรเกินเลยนะนอกจากความสัมพันธ์อันดี อาไม่รู้นะว่าพ่อของหลานคิดเหมือนอาไหม อาก็ให้การกระทำมันบอกก็เท่านั้น เราอยู่ด้วยกันเกือบจะตลอดเวลา นอกจากเวลางานอากับพ่อของหลานก็จะมาอยู่ด้วยกันในสตูดิโอของพ่อหลานตลอด” ระหว่างที่คุณอาเล่าเรื่องอย่างเลื่อนลอย จินไห่ก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้ เพราะเท่าที่จำความได้ มันก็เป็นแบบนั้นตามที่เล่า

จินไห่ไม่ปฏิเสธ แต่ก็มีบางอย่างไม่เห็นด้วยในใจ

ภาพนี้เป็นภาพที่พ่อของหลานวาดตอนที่อาสร้างสตูดิโอให้ใกล้กับแกลลอรี่ของอา อาได้เห็นทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์สิ่งที่สุดยอดนี้ ภาพนี้วาดอยู่นานมาก นับว่าเป็นภาพรุ่นสุดท้ายของชีวิตศิลปินของพ่อหลาน ในวันที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ พ่อของหลายเฉลยความลับของภาพชิ้นนี้ให้อา….” คุณอานิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนที่จะพูดต่อ

“แรกเห็น อาคิดทันทีว่า เป็นภาพของเราสองคน….อาเดาไปเรื่อยเพราะ อาก็ไม่เคยถามว่าสองคนในภาพคือใคร แต่… ในช่วงเวลานั้น มันก็น่าจะคือเราสองคน! มันเป็นภาพที่สื่อถึงการตอบรับของพ่อของหลาน…” ผู้ใหญ่ในกลุ่มพูดจบก็ยกมือขึ้นใช้นิ้วชี้และโป้ง บีบหัวคิ้วตัวเองเหมือนพยายามนสกัดอารมณ์อะไรบางอย่างไม่ให้ไหลทะลักออกมา

ต้นน้ำที่อดทนฟังมาตลอด เขาทำได้เพียงสะกัดกั้นถ้อยคำนับร้อยที่จะโต้แย้งระหว่างทาง ด้วยความที่เขาเห็นต่างจากผู้เล่าอย่างมาก

เขากลับคิดว่า นี่มันคือคำปฏิเสธ เพราะการที่พ่อของจินไห่ ร่างภาพถึงรักแรกให้เห็นเพราะ ต้องการสื่อว่า ยังจำรักแรกไม่เลือนและจะยังตราตรึงในใจตลอดไป

ต้นน้ำไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สมัยนั้นทำไม่ถึงทำอะไรไม่ตรงไปตรงมาเอาเสียเลย แต่ก็นะ มันคงเป็นอารมณ์ของศิลปิน

จินไห่มองมาทางต้นน้ำเหมือนอ่านความคิดซึ่งกันและกันออก และพร้อมใจกันพยักหน้าเป็นการเข้าใจความหมายของการจ้องมองกันและกัน

จินไห่เดินมาจับมือต้นน้ำกระชับมั่นและกระซิบบางอย่างอันบางเบา

“คงต้องเล่นเป็นตัวร้ายเสียแล้ว”

ต้นน้ำเข้าใจในทันที เขาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ห้องเพื่อไปหยิบของสิ่งหนึ่ง ของที่จะเรียกสติของชายคนหนึ่ง ต้นน้ำเข้าใจดีว่าการสูญเสียเป็นอย่างไร มันเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ คงพยายามคว้าทุกสิ่งที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งให้ขึ้นมาหายใจได้อีกครั้ง ถึงแม้บางครั้งมันจะเป็นแค่ไม้กระดานแผ่นบางๆ ที่ไม่สามารถพยุงน้ำหนักเราได้ แต่ก็ยังจับมั่นไว้แน่นและสุดท้ายก็จมไปพร้อมกับมัน

ต้นน้ำรู้ว่าสิ่งที่จินไห่จะทำ คือการดึงคนๆ หนึ่งให้พ้นจากน้ำลึก  เรียกสติให้กลับมายืนด้วยลำแข้งตนเองได้

ต้นน้ำที่เดินลงมาถึงด้านล่าง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้มาก มันเหมือนมีมวลของหนักที่มองไม่เห็นแขวนอยู่ทั่วทั้งบริเวณ ทันทีที่ต้นน้ำเดินมายืนเคียงข้างคนรักของเขา สมุดบันทึกเล่มเก่าที่ต้นน้ำไปค้นหามาก็ถูกดึงออกจากมือของต้นน้ำ

“คุณเข้าใจความหมายของภาพนี่จริงๆ ไหมครับ?” จินไห่พูดขึ้นเสียงเรียบ

“ทำไมถึงถามคำถามกับอาซ้ำๆ แบบนี้!! อาเข้าใจสิ” คุณอาคิ้วขมวด

“แต่อาอธิบายภาพต้นไม้ด้านหลังนั่นไม่ได้!” ต้นน้ำย้ำอีกครั้ง น่าจะใช่ เพราะสีหน้าของคุณเริ่มมีรอยหยักที่หัวริ้วมากขึ้น

“มันเป็นองค์ประกอบภาพวาดเพื่อให้แสดงถึงความยั่งยืน เติบโต และแข็งแรง มันคือความรักของอาและพ่อของหลาน” คุณอาเน้นเสียงทุกคำเพื่อแสดงออกว่าเขามั่นใจและเข้าใจ

“และต้นไม้นั่นต้นอะไร?” จินไห่ตั้งคำถามต่อทันทีแบบไม่เว้นวรรค

“จะต้นอะไร มันสำคัญตรงไหน?” คุณอาเริ่มมีน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

“สำคัญสิ สำคัญมาก!!” จินไห่ก็เน้นคำทุกคำเช่นกัน

“ไหนอธิบายสิ!!” คุณอากอดอก ยึดตัวตรง

“มันคือต้นไม้ต้นนี้” จินไห่เปิดภาพๆ หนึ่งในสมุดบันทึกเล่มเก่าในมือ

มันเป็นภาพร่างดินสอที่เลือนลางไปตามกาลเวลา แต่โครงร่าง ลายเส้น และรูปร่างเหล่านั้นคล้ายคลึงกับภาพที่สะท้อนจากแสงสว่างบนภาพวาดบนกำแพงนั่นเสีย 9/10 ส่วน

“นี่มัน…” คุณอาพินิจรูปวาดในสมุดบันทึกเล่มเก่าเล่มนั่นไม่วางตาสลับกับการมองภาพวาดผืนใหญ่ซึ่งอยู่อีกทางหนึ่ง

“ใช่ครับ!!นี่คือภาพวาดของพ่อผม แต่นี่มันเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้วนะ” จินไห่อธิบาย

“แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?” คุณอายังไม่เข้าใจว่าภาพวาดเก่าๆ ด้วยดินสอนี่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เถียงกันอย่างไร

จินไห่เปิดไปอีก 2-3 แผ่นเพื่อแสดงภาพอีกหนึ่งแผ่น”

ภาพเด็กชายวัยรุ่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกับคนหนึ่งในภาพวาดผืนผ้าใบทุกประการ

“มันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย!! ศิลปินส่วนใหญ่ก็มักจะมีภาพโครงร่างในจินตนาการที่คล้ายคลึงกัน การจะวาดภาพคล้ายๆ กัน หรือเหมือนกันมันก็เป็นไปได้ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!!” คุณอาโวยลั่น เหมือนจะเถียงกับตัวเองมากกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม

“ใช่ครับ ผมยอมรับ แม้แต่ผมเองที่เป็นนักดนตรีก็ยอมรับครับว่า นักแต่งเพลงก็มักจะมีทำนองที่เป็นซิกเนเจอร์ของตนเอง มีโอกาสซ้ำกันได้ แต่กับพ่อของผม ผมรู้ดีครับ และตัวอาเองก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่นิสัยพ่อของพ่อ” จินไห่จ้องมองกับเข้าไปในดวงตาของคุณอาที่เคารพ

“ผลงานที่ซ้ำซาก ไม่ใช่ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ งานที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นขึงจะได้ชื่อว่าเอกอุ” คุณอากล่าวขึ้นอย่างเลื่อนลอย

จินไห่พยักหน้าเพราะนี่นคือถ้อยคำของพ่อเขาไม่ผิดแม้แต่คำเดียว

ต้นน้ำที่ฟังภาษาจีนไม่ออกได้แต่ตามน้ำไป

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจ ที่พ่อพยายามแฝงอยู่ในภาพวาด” จินไห่เอ่ยตามเพื่อแก้บรรยากาศที่เริ่มเงียบสงบ

“คนในภาพคือใคร?” คุณอามองภาพวาดและเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำที่บางเบา

“พ่อของต้นน้ำ” จินไห่ตอบสั้นๆ ด้วยถ้อยคำภาษาต่างถิ่น แต่ต้นน้ำกลับจับใจความได้เลยทันที อาจเพราะมีชื่อตนในประโยค แต่เขาแน่ใจว่าไม่ได้กล่าวถึงตนเองแน่นอน

“อา….อายังไม่ค่อยเข้าใจ เล่าให้อาฟังหน่อยว่าทำไม ภาพวาดนั่นถึงเป็นพ่อของต้นน้ำได้?” คุณอาถอยหลังจนไปถึงเก้านวมยาวของบ้านและทิ้งตัวเองลงที่เบาะเบาก่อนจะถามด้วยสายตาที่สับสน พลางมองหน้าชายคนรักของจินไห่ ที่มีเค้าลางคล้ายกับภาพวาดระดับหนึ่ง

ชายรุ่นพ่อผู้ที่เคยเข้าใจความรู้สึกอันถ่องแท้ของตนต่อพ่อของจินไห่ แม้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกาย แต่การที่ได้คบหาและช่วงเวลาที่ได้มีเขาคนนั้นอยู่ในชีวิตมันช่างเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปมาตลอด

ช่องว่างที่ไม่มีใครสามารถมาเติมให้ได้มาตลอด เกือบห้าสิบปี ในวันที่ทราบข่าวว่าพ่อของจินไห่เสียชีวิตลง ตัวของเขาเองก็แทบจะสิ้นกำลังใจที่จะอยู่ต่อ เหมือนทุกอย่างในชีวิตช่างไร้ค่า รู้สึกได้ทันทีว่า คนๆนี้มีค่ามากมายแค่ไหน เขาถึงกับล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่หลายวันจากอาการช้อคที่สูญคนที่เป็นเสมือนที่พึ่งทางใจในชีวิตของเขาไป



เขาเคยเข้าใจมาตลอดว่า พวกเขาทั้งสองมีใจที่ตรงกัน แต่ด้วยบริบททางสังคมทำให้ไม่สามารถเดินก้าวข้ามเส้นเพื่อนได้

เขาจึงตัดสินใจหาสิ่งยึดเหนี่ยจิตใจ สิ่งที่ทำให้ระลึกถึงความรักของพวกเขาทั้งสอง ไม่ต่างกับโซ่ทองคล้องใจทั้งสองดวง

แต่ความจริงที่เจอช่างโหดร้าย……


ต้นน้ำไม่รอช้าในขณะที่สถาณการณ์เริ่มสงบ ทุกคนเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของแต่ละคน ต้นน้ำรีบเล่าเรื่องพ่อของตนเองกับพ่อของจินไห่เท่าที่ตนเองรู้จากบันทึกมา มันเป็นเพียงภาพย่อๆ ของเรื่องราวทั้งหมด แต่ด้วยภาษาของต้นน้ำที่ไม่คิดจะอ้อมค้อม มันจึงเป็นเปรียบเหมือนมีด เหมือนหอกคอยตอกย้ำชายวัยเกือบห้าสิบ ให้เจ็บปวด เมื่อคิดว่าสิ่งที่คิดมันไม่ใช่สิ่งที่เป็น แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น เขาก็พยายามเข้าข้างตนเองจนถึงที่สุดในใจ

(ฝ่ายอาเฉิงที่ดูเหมือนจะมีอาการสับสนมากที่สุด เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพ่อตนเองกับพ่อของจินไห่เลยว่ามันจะเฉลยออกมาในภาพแบบนี้ เขาเคยคิดมาตลอดว่าพ่อของจินไห่เปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่งของพ่อ…

“หากคุณอารู้ทุกอย่างก็ยิ่งต้องรู้ว่า ผมไม่มีทางขายภาพวาดชิ้นนี้ของพ่อเด็ดขาด เพราะมันได้มาอยู่ในที่ของมันแล้ว!” จินไห่ยื่นคำขาด

ชายสูงวัยได้แต่ทำท่าทางจะเอื้อนเอ่ย แต่ด้วยอากาศที่หนักอึ้งขวางกลั้นเส้นเสียง คำพูดที่หนักอึ้งราวกับเรือผูกติดกับสมอที่ถูกทิ้งลงน้ำลึก เขาไม่สามารถกล่าวใดๆ ต่อได้ ทำได้แค่เพียงยืนกำมือแน่นและกัดฟันยอมรับความเป็นจริง

“พ่อ….” อาเฉิงเรียกหาด้วยเสียงอันเบาบาง เขารู้ดีว่าเขาคงทำได้เพียงปลอบ และเสียงของเขาคงไม่สามารถเข้าถึงจิตใจผู้เป็นบิดาได้

“อาขอตัวไปเดินเล่นหน่อยนะ อาเฉิงช่วยเอาภาพกลับไปแขวนที่ของมันด้วย” คำพูดเรียบๆ ที่พูดออกมาของชายที่อาวุโสที่สุด มันบ่งบอกเป็นนัยทุกอย่างแล้ว

ต้นน้ำมองหน้าคนรักของเขา เอื้อมมือไปบีบมือของอีกฝ่ายแน่น ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก พร้อมทั้งไปช่วยเพื่อนคนสนิทของคนรักนำภาพที่มีค่าทางจิตใจอย่างมหาศาลชิ้นนี้ขี้นแขวนที่ผนังของบ้าน….. ที่เดิม

จินไห่มองภาพชิ้นนี้เปลี่ยนไป เขาจ้องมองมันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะโผเข้าไปกอดคนรักของตนด้วยความคิดถึงบุคคลบังเกิดเกล้าคนนี้ คนที่มั่นคงในรักแรกจนเขาอดที่จะชื่นชมอย่างลึกซึ้งจนมันล้นออกจากดวงตาไม่ได้

เขาเคยคิดว่าหากพ่อของเขาทำตามใจตนเอง ไม่สนใจผู้เป็นแม่และครอบครัวฝั่งนั่น กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อของต้นน้ำที่นี่ พวกเขาสองคนคงไม่ได้เกิดมา และไม่ได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้

แม้ว่าหลายๆ อย่างของพ่อของจินไห่นั่นจะทำไปตามความต้องการของตนเอง แต่ก็เพราะสิ่งที่พ่อลิขิตเหล่านี้มันทำให้เขาได้พบต้นน้ำ และมีความสุขมากมายขนาดนี้

จินไห่ก็อดที่จะกล่าวคำ ‘ขอบคุณ’ ให้กับพ่อของตนเองในใจไม่ได้


“谢谢爸爸”


………….

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ชายสูงวัยในชุดภูมิฐานเดินเรื่อยเปื่อยด้วยอาการใจลอยไปเรื่อยเปื่อย ในอกเหมือนมีแมลงไต่ตอมวนเวียนน่ารำคาญ ความคิดในหัวมันเหมือนอยู่ในเมฆหมอกยามใกล้รุ่งสาง เท้าที่ก้าวเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามดันอากาศเข้าไปเลี้ยงปอดและร่างกาย และผ่อนออกมาพร้อมเสียงอย่างอ่อนแรง

เท้าของเขาพาร่างกำยำไปจนถึงสวนหย่อมหลังบ้านที่จัดได้สวยงามและเป็นกันเอง ร่มรื่นและเย็นสบายตา เป็นเอกลักษณ์ มันทำให้เขาหลงลืมความเจ็บปวดบางส่วนไปได้ประมาณหนึ่ง

มองผ่านสวนสวยไปเขาก็เจอต้นไม้ใหญ่ที่กางกิ่งก้านสาขาแผ่ปกคลุมพื้นผินส่วนนั่นอย่างกว้างขวาง ชายสูงวัยก้าวเดินจากจุดเดิมไปหาร่มไม้นั่นดุจมีมนต์สะกด

ไม่นานเขาก็เห็นกลุ่มควันบางๆ พวยพุ่งออกมา ณ จุดโคนต้นไม้ใหญ่ เขาไม่รอช้ารีบวิ่งไปที่จุดเกิดเหตุทันที

ด้วยสัญชาตญาณกลัวเพลิงไหม้ ที่ประเทศไทยเขาไม่รู้ว่าจริงจังกับเรื่องเหตุการณ์แบบนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่ประเทศของเขามันเป็นเรื่องที่จริงจังมาก ระหว่างวิ่งเขาก็มองซ้ายมองขวา คิดในใจเพียงแต่หาอะไรสักอย่างที่สามารถใช้บรรเทาเพลิงไหม้ไม่ให้ลุกลามได้

แต่หลังจากมองเห็นที่โคนต้นไม้ใหญ่นั่นในระยะสายตา เขาก็ต้องชะลอฝีเท้าลง และเดินเข้าไปหาต้นกำเนิดกลุ่มควันนั้นอย่างเชื่องช้า

สิ่งอยู่ตรงหน้าไม่ต่างกับศาลเจ้าขนาดย่อม ที่มีโต๊ะสำหรับวางของไหว้ กระถางธูป และเชิงเทียน สวยงาม สะอาดตาและเป็นระเบียบ กลุ่มควันกลุ่มใหญ่เหล่านั้นเกิดจากธูปที่ปักอยู่ในกระถางธูปจำนวนพอสมควร สิ่งที่เห็นทำให้ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูขลังและมีพลังงานบางอย่างจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้

คุณอาของจินไห่ เดินอย่างช้าๆ จนมาถึงภายใต้ต้นไม้ใหญ่  และสะดุดหยุดเท้าตนเองลง ณ มุมโต๊ะเซ่นไหว้

เขามองเห็นเด็กหนุ่มผิวเหลืองกลำแดดจนเกือบแดง กำลังนั่งอย่างสบายใจภายใต้ต้นไม่ต้นนั้น

“หนุ่มน้อย มาทำอะไรในนี่ สวนนี้มันสวนหลังบ้านของบ้านหลังนี้ไม่ใช่หรือ?” ชายที่อายุมากกว่าเอ่ยถามชายวัยรุ่นที่นั่งริมต้นไม้อย่างผ่อนคลาย หลังจากจบประโยคของคุณอา หนุ่มวัยรุ่นก็มองมาทางต้นเสียง แต่กลับไม่ตอบในทันที

“ลุง…. ตรงนี้เขาเปิดให้ใครๆ เข้ามาได้นะ มีเจ้าพ่อต้นไม้ใหญ่อยู่ เดี๋ยวนี้เจ้าของที่นี่เขาเปิดให้คนที่ศรัทธาเข้ามาไหว้ได้น่ะ…อีกอย่างนะลุง! พื้นที่ตรงนี้น่ะ มันของบ้านหลังนี้!!” ชายวัยรุ่นตอบกลับด้วยลีลายียวนกวนบาทา และชี้ไปทางบ้านอีกหลังที่ไกลออกไปเล็กน้อย

“ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ควรจะมานั่งเล่นนะไอ้หนุ่ม!” ชายวัยผู้ใหญ่เปิดโหมดสั่งสอน

“ผมจะนั่งตรงไหนก็ได้ในเมื่อพื้นที่ตรงนี้มันบ้านผม!” ไอ้หนุ่มนั่นเถียงกลับ พลางชี้ไปที่ตนเอง

“อ้าวเหรอ! แปลก ทำไมไม่กั้นรั้วล่ะเนี่ย” ชายหนุ่มที่สูงวัยกว่าบ่นพลางมองไปรอบๆ เขาพบแต่การจัดสวนที่คล้ายคลึงกันไปหมดทั้งบริเวณ

“อย่าบอกนะว่าแก่ป่านนี้แล้วยังจะมาบนเรื่องความรักอีกน่ะ” ชายวันรุ่นหันหลับมาปากเสีย

“เดี๋ยวนะ สิ่งนี้สามารถบนบานเรื่องความรักได้หรือ?”

“อ้าว ลุง! นึกว่าที่เดินมาเนี่ย ลุงจะรู้อยู่แล้ว!!”

“ไอ้เด็กคนนี้ เรียกได้แต่ลุง ฉันก็มีชื่อนะ!”

“งั้นลุงชื่ออะไร”

“……. งั้นเรียกลุงต่อไปเถอะ!” หลังจากคิดทบทวนแล้วเขาก็รู้สึกปล่อยวางได้ เจอกันแค่นี้ไม่จำเป็นต้องบอกชื่อหรอก

หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่เขาก็ส่ายศีรษะเบาๆ และก็พลางติดไปว่า เรื่องแบบนี้ทำไปตอนนี้มันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา คนที่ตนรักก็ตายจากไปแล้ว อายุรุ่นนี้ก็คงไปหมกหมุ่นเรื่องความรักมันจะได้อะไรขึ้นมา

“คุณลุงไม่ลองอธิษฐานดูหน่อย ท่าทางลุงเหมือนคนอกหักเลย ต้นไม้นี่ศักดิ์สิทธิ์นะ!”

“ไอ้เด็กแก่แดดนี่ทำเป็นรู้ดี อย่างเอ็งจะไปรู้เรื่องความรักได้อย่างไร?” คุณอามีท่าทีโมโหกับคำพูดอวดภูมิของคนที่ดูอายุน้อยกว่าเขาไม่ถึงครึ่ง

“เห็นอย่างนี้ ผมก็เห็นคนมาอธิษฐานเยอะนะ จนสังเกตได้แล้วว่าแต่ละคนไปโดนตัวไหนมา!” ไอ้หนุ่มตอบอย่างมั่นใจ

“……..” ฝ่ายสูงวัยกว่าได้แต่กำหมัดแน่นกับไอ้ท่าทางโอ้อวดน่าโมโหของคนวัยหนุ่มตรงหน้า

“ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เอาเป็นว่า แค่ลองยกมือไหว้ แล้วก็อธิษฐานอะไรสักอย่าง ถ้าดวงดีก็ได้ ดวงไม่ดีก็ไม่ได้เท่านั้นเอง!!” ไอ้หนุ่มยังทำหน้าทะเล้นใส่ไม่เลิก

“ทำไมถึงได้งมงายขนาดนี้คนแถวนี้!” คนวัยผู้ใหญ่ผ่อนลมหายใจและพูดลอยๆ

“อะไรลุง!! เอางี้! แม้แต่คนอย่างผมก็ยังสมหวังเลยนะ!!” พูดจบวัยรุ่นก็ชี้ไปที่โคนต้นไม้ใหญ่มี่เหมือนจะสลักอะไรบางอย่างไว้จางๆ จนแทบไม่เป็นตัวหนังสือ

“ผมได้เจอกับแฟนที่พลัดพลากจากกันไกลอีกครั้งและก็สุดท้ายก็ได้กลับมาคู่กันอีกครั้ง!!”

“เกินจริงมากเถอะนะ แล้วก็พูดจาเหมือนคนแก่นะเราน่ะ”

“ลุงพูดไทยยังไม่ชัดไม่ควรมาตัดสินใครนะ!”

ไอ้เด็กนี่เถียงคำไม่ตกฟาก อยากคุยกับพ่อแม่มันเหลือเกิน!! คนสูงวัยกว่าคิดด้วยอาการเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน

“เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ แล้ว!” คุณอาถอนหายใจและคุกเข่ายกมือพนมไว้กลางอกแบบเก้ๆ กังๆ ราวกับไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

“แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีกสักครั้ง!!” คุณอาพูดขึ้นลอยๆ ด้วยใจจริง

“มันต้องเป็นจริงได้แหละ เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ยังเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว”

“แล้วเรื่องของเธอมันพิศดารจากฉันยังไง?!?”  คุณอารู้สึกเอือมกับไอ้วัยรุ่นไม่มีสัมมา

“ผมไม่เคยคิดจะมีแฟนเป็นผู้ชาย มีคนเดียวที่ผมอยากได้ แต่ในที่สุดเราก็ใจตรงกัน!!” ชายวัยรุ่นยืดอก

ชายที่เลยวัยกลางคนมีความรู้สึกตะลึงที่อีกฝ่ายเปิดอกขนาดนี้ ระหว่างที่คิดว่าจะถามอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ทักขึ้นมากลางวงสนทนา

“เลิกโม้แล้วกลับกันได้แล้วไหม?” เสียงชายหนุ่มที่อ่อนโยนกว่าดังขึ้นจากอีกฝั่งของต้นไม้ 

เป็นเสียงที่ชวนให้คุ้นเคย

วงหน้าขาวใส ดวงตาไม่ใหญ่โตเหมือนกับอีกคนแต่ก็มีแววตาที่สดใส ผมสั้นเกรียนกว่าอีกคนและแต่งกายสุภาพกว่ามาก เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวนั้น ทำให้ชุดนั่นดูไม่ธรรมดาไปเลย ของแบบนี้มันอยู่ที่ไม้แขวนจริงๆ

“มานี่เลยกลับ!!” เสียงเข้มขึ้นและก็วาดมือมาคว้าหูอีกฝ่าย ดึงอย่างแรงจนอีกคนเกือบหน้าคะมำไปที่พื้น

“คนนี้แฟนใช่ไหม?”

“เมียครับ!  โอ้ย!!” ชายหน้าสวยกระตุกหูอีกฝ่ายอย่างแรง

“ขอโทษที่แฟนผมรบกวนนะครับ” ชายหน้าใสยิ้มหวาน ทำเอาคุณอาใจเต้นไปหมด ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ก็ไม่ทราบ

“ไม่…. ไม่เป็นไรครับ” คุณอาตอบเสียงสั่น

“ไปก่อนนะครับ” ชายหน้าใสหันมายิ้มทักอีกครั้ง

“ยินดีที่ได้เจอกันอีกนะครับ” ชายหน้าใสพูดก่อนจะหันหน้าไปอีกทางและเดินจากเจ้าไปในพื้นที่ในสวนอีกฝั่งหนึ่ง

คุณอาได้แต่แปลกใจกับคำพูดนั้นแต่ก็ทักท้วงอะไรไม่ทันเสียแล้ว

ตอนนี้คุณอายืนอยู่คนเดียวภายใต้ร่มเงาอันเย็นสงบของต้มไม้ใหญ่อายุหลายสิบปี ลมโชยอ่อนทำให้ใบไม้สั่นไหวไปมา บ้างก็ปลิดปลิวล่องมาตามแรงลมหล่นไปไม่ไกลต้น บ้างก็ลอยออกไปไกลกว่านั้น แสงบ่ายคล้อยไปทางเย็น ทำให้บริเวณที่เขายืนอยู่มืดมากกว่าพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไป

ความสงบใจมาเยือนอย่างประหลาดเหมือนเรื่องที่อธิษฐานในใจไปเมื่อครู่ได้รับการตอบรับ

ชายสูงวัยส่ายหน้ากับตนเองเบาๆ พร้อมยิ้มเยาะในความงมงายของตนเอง

“พ่อ!! อยู่นี่เอง!!” อาเฉิงที่เดินอาบเหงื่อต่างน้ำเดินมาเจอบิดาตนเองทำท่าสบายใจอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา

ชายผู้เป็นพ่อได้แต่หันไปทางต้นเสียง และพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าที่ต่างจากเมื่อตอนที่อยู่ในห้องรับแขกของบ้านอาไห่มาก

“โอเคนะพ่อ?” อาเฉิงถามเมื่อเดินมาถึง พลางตะโกนเรียกคนที่เหลือซึ่งช่วยเดินตามหาให้มาทางทิศที่เขายืนพักเหนื่อย

“โอเคแล้ว….. พ่อแกก็อายุไม่น้อยนะ ผ่านโลกมาก็เยอะ เรื่องแค่นี้เอง พ่อสบายมาก!” ปากและคำพูดดูยิ้มแย้มแต่ดวงตายังคงแฝงความเศร้าและผิดหวังอยู่ไม่น้อย

“คุณอา!! เป็นห่วงแทบแย่ ผมหากันสักพักแล้วนะ คุณอาไปไหนมาเนี่ยครับ?” อาไห่ถามพลางหอบ เขายกมือทาบซี่โครงที่ขยับขึ้นลงจนเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มที่หน้าคล้ายกับไอ้เด็กวัยรุ่นวัย(กวน)ทีน เมื่อครู่มาก ก็เลยคิดว่า ตระกูลนี้มันเป็นคนยังไงกัน ทำไมอาไห่ถึงไปตกหลุมรักคนพันธุ์นี้ได้นะ

“ฝากขอบใจน้องชายนายด้วยนะ” คุณอาด่วนสรุปเรื่องความสัมพันธ์ของคนที่มาสุดท้ายอย่างหอบๆ

“น้อง… น้องชาย?!?” ต้นน้ำทำท่าทางมึนงงกับคำถามพลางมองไปทางด้านหลัง เมื่อไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่ท่านหนึ่งคุยกับตนเอง

“คุณอาครับ ต้นน้ำเขาเป็นลูกคนเดียวครับ ไม่มีพี่น้อง” จินไห่ตอบแทน

“อ้าว ก็เห็นหน้าคล้ายกัน ไอ้หนุ่มที่มันยียวนกวนประสาทนั้นมันบอกให้อาไหว้ศาลอะไรเนี่ย หลังจากไหว้และพูดคุยกับมัน อาก็รู้สึกดีขึ้นน่ะ ก็เห็นบอกว่าเนี่ยบ้านมัน ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันเหรอไง!?” คุณอาตอบเชิงถามและชี้ไปทางบ้านที่อยู่อีกฝากของสวน

บ้านของต้นน้ำ

“ไม่….ไม่น่าจะใช่นะครับ….. ช่วงนี้แม่ผมอยู่กับแค่คนงานในร้าน มีแต่แก่ๆ ทั้งนั้น ผมไม่มีญาติมาเยี่ยมนะช่วงนี้” ต้นน้ำตอบพลางมองไปทางจินไห่

ทั้งสองสอดประสานสายตากันจนเหมือนจะเข้าใจอะไรกันเอง ช่วงนี้เขามักจะรู้ใจกันโดยไม่ต้องพูดออกมาบ่อยครั้งและเรื่องนี้ มันคงจะต้องใช่แล้วล่ะ เพราะว่าเขาเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว

“แล้วก็แฟนเขาน่ะ…… ดูดีมากเลยนะ นี่คนแถวนี้มีแฟนเป็นผู้ชายหมดเลยเหรอ ก่อนไปก็พูดแปลกๆ กับอาด้วย! แล้วก็หากฟังไม่ผิด เขาพูดภาษาจีนด้วย!!” คุณอาอธิบายต่อ

ประโยคนี้ทำให้จินไห่แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“อ้าวอาไห่เป็นไร!!”คุณอาทักด้วยนำเสียงตกใจเมื่อเห็นน้ำตาของคนที่เป็นเหมือนลูกชายอีกคนหลั่งอย่างเงียบเชียบ

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่รู้สึกดีใจ…..กับคุณอาที่ทำใจเรื่องพวกนี้ได้น่ะครับ” จินไห่ซับน้ำตาตนเองอย่างลวกๆ

ต้นน้ำหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้จินไห่พร้อมกับอาเฉิงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย

โดยไม่ทันได้คิดอะไร จินไห่คว้าหยิบผ้าเช็ดหน้าจากคนรักตัวเองไปซับหน้าตนเองอีกครั้งโดยที่มองไปทางอาเฉิงด้วยสายตาขอโทษทันทีที่จัดการกับหน้าตนเองเรียบร้อย

ต้นน้ำที่มีอาการตื้นตันกับเรื่องที่ถูกเล่ามาแม้จะเป็นข้อสันนิฐานระหว่างเขากับจินไห่ แต่ก็รู้สึกความสุขมันล้นออกมาจากอก แม้ว่ามันจะพยายามล้นออกตาแต่พอมาได้เห็นคนรักของตนเองหลั่งน้ำตาเสียก่อน เขาก็สะกดข่มมันเอาไว้ และพยายามทำตัวเข้มแข็งให้อีกฝ่ายพึงพาทางความรู้สึก แต่เขาก็รู้ว่าจินเองก็รู้ว่าต้นน้ำเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“อืม…แปลกดีนะ สงสัยต้นไม้ต้นนี้จะศักดิ์สิทธิ์จริงๆ” คุณอายิ้มบางๆ และพูดขึ้นลอยๆ กับตนเอง

สุดท้ายการบังคับซื้อขายภาพวาดหนึ่งเดียวของพ่อของจินไห่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ คุณอายอมกลับไปเสียโดยดี แต่ก็จากไปด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากตอนขามา

“คุณอาของพี่เนี่ย เขาจะโอเคจริงๆ ใช่ไหม?” ต้นน้ำถามเมื่อส่งสายตาไปทางที่คุณอาเดินจากไปด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

“คิดว่าน่าจะไม่เป็นไรนะ เขาเป็นคนเข้มแข็งนะ จริงๆแล้ว” จินไห่ยิ้มบางและมองมาทางคนรักของตน

“แต่มีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอย่างหนึ่ง” ต้นน้ำหน้านิ่วทันทีที่นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้

จินไห่ทำท่าทางไม่เข้าใจ ต้นน้ำจึงบ่ายสายตาตนเองไปทางกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ที่ซุ่มวางอยู่ที่มุมห้อง

“เห็นอาเฉิงบอกว่า อยากอยู่เที่ยวต่อน่ะ ไหนๆ ก็ได้มาไกลถึงบ้านของพ่อพี่ทั้งที”

“โรงแรมก็มี!!” ต้นน้ำขึ้นเสียง แม้ว่าสีหน้าจินไห่จะแสดงออกถึงความไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายเริ่มงี่เง่า

“แบบนี้มันประหยัดกว่าไง มีห้องว่างไม่ใช่เหรอ? จะไม่ใจดำไปหน่อยหรือไง!!” ไอ้ตัวปัญหาที่เดินกลับมาจากการที่ไปส่งพ่อตนเอง อาเฉิงเอ่ยเสียงใส

“เอาน่าแค่อีกสัปดาห์เดียวเอง สมัยเด็กๆ พี่เองก็ไปรบกวนบ้านคุณอาบ่อยๆ” จินไห่กล่าวกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“พี่ไห่! ผมไม่ไว้ใจมัน!!” ต้นน้ำลากคนรักของตนไปคุยที่มุมห้องอีกฝั่งโดยไม่สนใจว่า อาเฉิงจะยืนมองดูด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“ไม่เอาน่าอย่าคิดมาก” จินไห่ยิ้มกับอาการหวงของต้นน้ำ

“จะไม่ให้คิดมากได้อย่างไร วันแรกที่มันมาก็ดึงพี่ไปกอดเสียแน่น ในเมื่อมันไม่น่าไว้ใจแบบนี้ จะให้มันมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันได้ไง!!” ต้นน้ำโวยด้วยเสียงกระซิบเป็นชุด

“พูดแบบนี้มันก็เหมือนไม่ไว้ใจพี่ด้วยนะ!!” จินไห่เสียงแข็ง

“…..” ต้นน้ำรู้สึกน้ำท่วมปาก  ทำได้แค่ฟึดฟัดใส่คนรักที่ดูเยือกเย็นใจดีไปเสียทุกสถานการณ์แบบนี้

แต่มันก็จริง….

“ห้องรับรองแขก อยู่ชั้นสอง ห้องเล็กทางขวา!! ที่นี่ไม่ใช่โรงแรม จัดการเองนะ!!” ต้นน้ำหันไปพูดกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของคนรักตนเองด้วยสายตามุ่งร้าย

“ต้นน้ำ..เฮ้ออออ มา เดี๋ยวเราช่วย!” จินไห่เดินคว้ากระเป๋าใบหนึ่งในจำนวนนั่นขึ้นมาเพื่อข่วยเหลืออีกฝ่าย

ฝ่ายเพื่อนสนิทคิดไม่ซื้อก็ยกกระเป๋าเดินทางที่เหลือทันทีโดยแทบไม่สนใจเจ้าของบ้านอีกคนที่มองทุกอย่างแบบเดือดดาล

หลังจากที่จินไห่เดินนำอีกฝ่ายไปชั้นสอง ต้นน้ำทำได้แค่เพียงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงและเดินไปทางร้านอาหารด้านหน้า เผื่อว่าเบียร์เย็นๆ สักแก้วจะช่วยให้เขาหัวเย็นขึ้นมาได้บ้าง

………..

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ต้นน้ำนั่งรอคนรักของตนเองตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนถึงกลางดึกที่ห้องรับแขก เขาเผลอหลับไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเนื่องจากการปั่นงานออกแบบที่ถูกจ้างวานอย่างเร่งด่วนโดยไอ้เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่างไอ้ไอซ์ ผู้ซึ่งเป็นถึงลูกจ้างระดับหัวกะทิของบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด

ฟรีแลนซ์ชื่อดังอย่างต้นน้ำ ถึงจะเป็นคนอารมณ์ศิลปินแต่พอเจอกับค่าตอบแทน เอ้ย…ไม่ใช่สิ การไหว้วานจากเพื่อนรักก็ต้องรับงานนี้อย่างเสียไม่ได้ (งานด่วนแต่เงินดี มันชินเสียแล้ว)

หลังจากทุ่มทำงานใช้สายตาอย่างหนักหน่วง จนในที่สุดก็อดทนต่อความเพลียไม่ไหว เลยเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงสนทนาอย่างถูกคออารมณ์ดีทำให้ต้นน้ำตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว กว่าสายตาของเขาจะปรับให้เข้ากับแสงสว่างจากโคมไฟสไตล์วินเทจของบ้านก็สักพักใหญ่

สิ่งแรกที่เห็นก็สร้างปมขมวดที่หัวคิ้วอย่างไม่ตั้งใจ คนรักของตนกับไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเดินกอดคอเฮฮาลั่นบ้าน มาพร้อมกลิ่นละมุดฉุนคอ

ต้นน้ำไม่เคยเห็นพี่จินไห่ของเขาบันเทิงขนาดนี้มาก่อน อาจเพราะไม่เคยมีเพื่อนสนิทในวัยเดียวกันเลยตั้งแต่ที่ไทย (ไม่แก่กว่าแบบพี่โน่ ไม่ก็เด็กกว่ามากอย่างผมและผองเพื่อน) 

ต้นน้ำก็เลยไม่คุ้นตากับภาพตรงหน้าอย่างมาก เขาทำได้เพียงเบิกตาโพลงและจ้องอย่างประหลาดใจ พร้อมส่งปมคิ้วขมวดและสายตามาดร้ายใส่คนที่เดินตัวติดคนรักเขาเข้ามาในบ้าน

“โอกาสอะไรครับเนี่ย?” ต้นน้ำยิ้มใจดีสู้เสือ

“คนที่นั่นเจอกันก็กินกันแบบนี้แหละ แปลกนะ ที่น้องไม่เคยเห็น” ไอ้หน้าแป๊ะยิ้ม ส่งคำพูดออกจากปากและแก้มแดงๆ ของมัน เห็นแล้วอยากเจิมสีม่วงๆ ช้ำๆ ที่มุมปากมันมาก

ต้นน้ำไม่พูดอะไรนอกจากเดินไปแทรกเพื่อนรักทั้งสองคนและพยุงตนรักของตนห่างออกมา

“เออ! ลืมไปว่ามีผัวแล้ว เกือบลืมตัวพาขึ้นห้องเหมือนเคยแล้ว” ไอ้คุณเฉิงมันพูดออกมาเหมือนพยายามจะหาเรื่องเจ็บตัว

“คนของผม ผมดูแลได้!!”

“พี่ไห่ ขึ้นห้องครับ!!” ต้นน้ำพูดใส่อีกคนตาเขียวและพูดกับคนรักของตนเองอย่างห่วงใยด้วยสายตาคนละแบบ

หลังจากถึงห้องนอนแล้ว ต้นน้ำจัดแจงล็อกห้อง และผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนรักเพื่อพร้อมอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย

“พี่ไห่ อาบน้ำไหวไหม?” ต้นน้ำเขย่าตัวอีกฝ่าย เพราะหลังจากที่เข้ามาถึงห้อง จินไห่ทิ้งตัวเองลงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ใบหน้ากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

“ไหว….” คำพูดสั้นๆ ที่ออกจากปากที่ยกยิ้มเล็กที่มุมปาก

ต้นน้ำยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด

“ยิ้มอะไรหนักหนา? ผมไม่เคยเห็นพี่เมาขนาดนี้มาก่อนเลย ดีใจที่ได้เจอมันมากขนาดนี้เหรอ!?!” ต้นน้ำพูดห้วนอย่างไม่ตั้งใจ

“ดีใจสิ”

“หมายความว่าไง!?!?!” ต้นน้ำกระโจนคล่อมตัวบนตัวอีกฝ่ายทันที

จินไห่มองวงหน้าต้นหน้าและยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไร พร้อมยกมือขึ้นมาลูบแก้มต้นน้ำไปมาเหมือนหยอกเล่นกับแมวน้อยน่ารัก

“ผมจะให้พี่ลืมมันให้หมด!!” ต้นน้ำเค้นเสียงดังลั่นพร้อมกดริมฝีปากลงไปที่คนที่นอนไร้แรงอยู่ข้างล่าง

ต้นน้ำเค้นวิทยายุทธ์ทุกกระบวนในการมอบความสุขแก่อีกฝ่าย แม้ว่าหลังจากที่เขาเริ่มงานเป็นฟรีแลนซ์ที่หนักหนาเสียจนเวลาทำการบ้านกับคนรักน้อยลง แต่ก็ใช่ว่าเขาเองจะไร้ซึ่งความต้องการ

ผิดกับจินไห่ที่ยังทำตัวเช่นปกติ แม้จะยังดูแลเขาได้ดีเท่าเดิม แต่ต้นน้ำก็รู้สึกลึกๆ ว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ยิ่งมาหลังๆ เขายิ่งเห็นจินไห่มีโลกส่วนตัวกับโทรศัพท์บ่อยครั้ง เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความห่างเหินและความลับ

ต้นน้ำเอาความรู้สึกเหล่านั้นผลักดันให้การบรรเลงบทรักครั้งนี้พยายามเพื่อทำให้ช่องว่างเหล่านั้นหดแคบลง และเขาคาดหวังว่ามันจะจบลงด้วยผลลัพธ์เช่นนั้น

“ผมจะทำให้พี่ร้องขอชีวิตเลย!!” ต้นน้ำพึมพำขณะบรรจงละเลงเพลงริมฝีปากเป็นจังหวะร็อคแอนด์โรล รุนแรงและเร้าใจ

จินไห่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขัดขืน แต่ก็พร้อมที่จะโอนอ่อนไปตามจังหวะที่ต้นน้ำนำไป เขาทำได้เพียงครวญครางตามจังหวะที่เขาสามารถทำได้ เพราะริมฝีปากเขาแทบจะไม่ว่างเว้นจากอีกฝ่ายเลย

มือต้นน้ำที่เล้าโลมวุ่นวายเหล่านั้นจัดแจงผลัดถอดเสื้อผ้าของตัวเองลงไปกองกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นปาร์เก้จากไม้สีเข้ม ลวดลายสวยงามเหล่านั้นถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้าหลายขิ้นของทั้งสอง

ร่างอันเปลือยเปล่าของคนรักทั้งสองแนบชิดจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผิวกายสีขาวนวลของคนเบื้องล่างกลายเป็นสีเรื่อแดงไปทั่ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการขยำยู่ยำของต้นน้ำหรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปจำนวนไม่น้อย

แต่สภาพเหล่านั้นไม่ได้หยุดยั้งให้ต้นน้ำพอเพียงที่จะทำกิจที่เขามุ่งหมายไว้

ต้นน้ำยกตัวท่อนบนขึ้นเล็กน้อยและใช้ท่อนกายส่วนล่างบดบี้เรือนร่างคนด้านล่างที่ตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่าตื่นเต็มที่แล้ว

เสียงคราง อือ..อา…ของคนเบื้องล่างยิ่งเร้าอารมณ์ให้คนเบื้องบนยิ่งอยากบดขยี้คนเบื้องล่างให้แหลกลาญภายใต้ร่างกายของตน

ต้นน้ำไม่หยุดให้อีกฝ่ายพักผ่อนลมหายใจ เขาเริ่มใช้เทคนิคลับในการช่วยให้อีกฝ่ายพร้อมกับกระบวนรบถัดไป

นิ้วมือที่ฉ่ำของเหลวเย็นเยียบละโลมไปทั่วร่างเบื้องล่าง จินไห่เลิกแปลกใจ ไปแล้วกับเวทมนต์นี้ มันรวดเร็วจนเขาแทบจะอดคิดไม่ได้ว่าอุปกรณ์พวกนั้นมันอยู่ส่วนไหนของบ้านบ้าง ทำไมคนทำความสะอาดบ้านอย่างเขาถึงไม่เคยเห็น!

มือที่เย็นฉ่ำเคลือบไปด้วยของเหลวหนืดปรับเปรียบรูปร่างไปตามอารมณ์ของเจ้าของมือ สัมผัสที่ถูกอีกฝ่าบลูบไล้อย่างตั้งใจฝ่าลึกเข้าไปในร่างจินไห่อย่างช้าๆ อวัยวะส่วนหลังของเขาไม่มีส่วนใดที่มือของต้นน้ำไปไม่ถึง จินไห่ยอมรับอย่างเต็มใจว่า สัมผัสเหล่านั้นไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลย

ในเมื่อประตูเมืองพร้อมแล้ว ต้นน้ำก็จัดท่าอีกฝ่ายให้พร้อมรับกับรถศึกขนาดใหญ่เข้ากรีฑาทัพเผด็จศึก

ท่อนขาของจินไห่ถูกจัดให้วางอย่างบรรจงที่ไหล่ทั้งสองข้างของต้นน้ำ เพียงชั่วครู่ทัพใหญ่ของต้นน้ำก็บุกรุกเข้าตีเมืองอย่างต่อเนื่อง

จินไห่ทำได้เพียงตั้งรับอย่างปราณีตเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องขาดตอน เขาผ่านเรื่องนี้กับแฟนเด็กคนนี้มานานจนกระทั้งเขารู้จักจังหวะของอีกฝ่ายได้ทุกกระบวนท่า

ใบหน้าที่ตั้งใจของคนรักของเขาและความรู้สึกที่อีกฝ่ายรู้สึกเสมือนว่ามันได้ถ่ายทอดมาถึงเขาด้วย มันเป็นความรู้สึกดีที่จินไห่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ มันเป็นการเขื่อมต่อกันทางวิญญาณที่มีแต่ความผูกพันธ์อันลึกล้ำ ยิ่งเขาสานสัมพันธ์กันเท่าใด เขาก็รู้สึกลึกล้ำกับคนรักของเขาคนนี้ขึ้นทุกวัน

หลังจากผลัดเปลี่ยนกันหลายกระบวนยุทธ์ ในที่สุดความรักของต้นน้ำก็ถูกส่งผ่านมาถึงตัวจินไห่ ต้นน้ำเองก็ยังไม่หยุด เขาให้สัมผัสที่ลึกล้ำแก่อีกฝ่ายด้วยฝ่ามือหยาบใหญ่ทั้งสองมือ

จินไห่ไม่รู้ว่ามือเหล่านั้นสัมผัสส่วนใดไปบ้างแต่ในที่สุดเขาเองก็มอบความรักอันมากมายแก่ต้นนำ้ไม่น้อยไปกว่ากัน

ต้นน้ำยิ้มและก้มลงกดริมฝีปากอันร้อนฉ่าแก่จินไห่ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อและอุ่นอุหวานล้ำดุจแยมสตรอเบอรี่กวนสดใหม่จากเตา ทำให้เขาแทบอยากจะลิ้มรสหวานนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากถอนริมฝีปากจากไปได้

มืออันอุ่นร้อนจากจินไห่ผลักอีกฝ่ายให้ห่างจากตนด้วยอาการหืดหอบ เขาเหมือนพยายามกอบเอาอากาศบริเวณนั้นเข้าปอดให้ได้มากที่สึดเหมือนคนใกล้จะจมน้ำแต่ว่ายขึ้นฝั่งได้ทัน

“จะฆ่ากันหรือไง!!” จินไห่ค้อนอีกฝ่ายด้วยอาการหอบหืด

ต้นน้ำยิ้มตอบเพราะความน่ารักของคนตรงหน้ามันโดนใจ ร่างเปลื่อยเปล่าที่แดงปลั่งดุจเด็กทารกแรกเกิด ที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แบบนี้ทำให้เขาอยากเผด็จศึกอีกสักรอบ

“พอเลย!! รู้นะคิดอะไรอยู่!!” จินไห่ที่เห็นรอยยิ้มอันแสนหล่อเหลาตรงหน้าก็เกิดอาการใจเต้นแรงกว่าเดิม ไม่รู้ว่าทำไม อยู่กันมานานขนาดนี้แล้ว แต่ก็ไม่เคยหลุดออกจากวังวนเสน่ห์ของเด็กคนนี้ได้เสียที รอยยิ้มที่สดใสและกล้ามมัดของร่างที่เปลือยเปล่าเหล่านั้น เขายอมรับได้คำเดียวว่าแพ้ แพ้ทางอะไรแบบนี้

“ผมข้องใจนะ……” ต้นน้ำกดหน้าตนเองลงไปใกล้กับจินไห่ เขาประสานตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจปนสงสัยเพ่งไปที่คนเบื้องล่าง

“อะไร…เจ้าเด็กขี้น้อยใจ” จินไห่ยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมเบาๆ

“พี่ยังมีใจให้ไอ้ยักษ์นั้นใช่ไหม บอกตรงๆ ผมรับได้ แต่ปัจจุบันพี่เป็นของผมแล้วนะพี่เข้าใจใช่ไหม?” ต้นน้ำลดศรีษะตนเองลงมาจนหน้าผากทั้งสองกระทบกัน

“พี่จะดีใจเวลาอยู่กับคนอื่นนอกจากผมไม่ได้!!” ต้นน้ำพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นจากประโยคแรกพอควร

จินไห่ยิ้มให้กับความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่ามันจะแสดงออกเหมือนเด็กๆ แต่เขาก็ชอบนิสัยแบบนี้ของคนรักของเขาไปแล้ว

“เด็กโง่! พี่ดีใจที่เราน่ะยังหวงพี่ขนาดนี้ต่างหาก พี่น่ะไม่เคยคิดอะไรกับอาเฉิงมาตั้งนานแล้ว!! เขาเหมือนน้องชายพี่มากกว่านะ” จินไห่ใช้ริมฝีปากสัมผัสกับริมฝีปากคนด้านบน

“พี่ไห่…” คำสั้นๆ และสายตาที่ต้นน้ำส่งมาให้คนเบื้องล่าง มันแทนคำพูดนับล้านไปเรียบร้อยแล้ว มันแทนความรักที่ต้นน้ำมีให้อย่างเพิ่มทวีคูณ

“ไม่ต้องมาเนียนเลย ลุกออกไปจากตัวพี่ได้แล้ว น้องชายเธอมันคึกคักอีกแล้วนะ!!” จินไห่ผลักอีกฝ่ายให้ถอยลุกไปยืนข้างเตียง

“พี่ไห่… เราไม่ได้ทำสถิติแบบนี้กันนานแล้วนะ…” เสียงออดอ้อนของเด็กโข่งตัวเขื่อง

“พี่รู้สึกสกปรก เหนอะหนะไปหมด ไม่ไหวแล้ว!!” พูดจบจินไห่ก็ลุกขึ้นยืน เตรียมพร้อมไปอาบน้ำ

“งั้นไปต่อกันในห้องน้ำนะ” ต้นน้ำเดินร่าเริงตามมาติดๆ

“โอย… แล้วแต่เลย!!” จินไห่ทำท่าทางโมโหใส่ แต่ก็อดอมยิ้มกับไอ้ท่าทีทะเล้นของแฟนเด็กไม่ได้ ยอมใจเลย

และแล้วทั้งสองก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำกันไปพร้อมกัน


…………

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด