Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23  (อ่าน 13571 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
อะไรอ่ะ ยังไม่รู้เรื่องเลย จะจบเเล้ว เหมือนความสัมพันธ์ดำเนินมาเเค่10%เอง สมุทรเพิ่งเปิดใจเอง จะจบเเล้ว

ผมเขียนสั้นไปเหรอครับ 5555
เดี๋ยวรออ่านต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ผมนั่งถอนหายใจอยู่หน้าห้องระหว่างรอเข้าคาบเรียนตอนเช้า จนทำให้เพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ

“มึงยังคิดมากอยู่อีกเหรอ?” พี่ชายฝาแฝดของผมเอ่ยถาม

“อืม…..” ผมตอบกลับไปแบบผ่านๆ

“แม่ก็ไม่ได้โกรธเรื่องที่มึงเสียมารยาทเมื่อวานไม่ใช่เรอะ? มึงจะคิดมากอะไร ดูท่าทางแม่จะบันเทิงอยู่ไม่น้อยนะ เพราะหลังจากที่พวกเราเดินขึ้นห้องนอน พวกแม่ก็หัวเราะเรื่องนี้กันดังลั่น!!” เฟรมพยายามปลอบผมในแบบของมัน ซึ่งเรื่องนั่นผมน่ะทำใจได้แล้วเรื่องที่โดนแกล้ง แต่ก็ต้องขอกลบเกลื่อนไปก่อน เพราะตอนนี้มันมีเรื่องที่ผมหนักใจกว่านั่นอยู่

เรื่องก็คือ…. ดันไปตกหลุมรักศัตรูเก่าของตนเอง เรื่องที่สมัยแย่งกันจีบพี่กวีสุดน่ารัก ก็ยังจำได้ดีว่าทำกับผมไว้แสบแค่ไหน  ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาระหว่างผมกับเขาคนนั้นก็ไม่เคยญาติดีด้วยสักครั้ง และที่สำคัญคนๆ นี้ เคยตกหลงรักแม่ของผมเองอีก ยิ่งคิดยิ่งซับซ้อน จนแทบจะคิดหาทางออกไม่ได้

ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรหากพี่โน่จะแก่คราวพ่อ (แต่หน้าตายังเด็กกว่าอายุมาก) แต่ดันเป็นเพื่อนสนิทแม่นี่สิ และยิ่งได้รู้ความรู้สึกที่เขามีต่อแม่ของผม ผมก็รู้สึกพ่ายแพ้และสับสน

ทั้งคาบเช้าจนถึงเที่ยง ผมแทบจะไม่ได้เรียนเอาอะไรเข้าหัวเลย มันมีแต่ความคิดเรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งผมอธิบายไม่ถูก แม้แต่เพื่อนสนิทในกลุ่มอย่างไอ้ต้นน้ำและไอ้ต้นกล้า จะกวนบาทาผมอย่างหนักก็ยังทำให้ผลหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลย

“เออ!! มึงเย็นที่แม่นัดไปวัดชุดน่ะ มึงไปกับอาโต้งก่อนนะ กูมีธุระเดี๋ยวกูตามไป” ไอ้เฟรมพูดขึ้นช่วงพักกินข้าวเที่ยง

“หะ…!! หา!?! อะไรนะ?” อยู่ๆ ก็มีเรื่องที่ทำให้ผมสนใจสงสัยขึ้นมาจากปากพี่ชายฝาแฝด

“อ้าว! ไอ้สัด สมควรที่โดนแม่ด่าตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นอะไรไปวะ ช่วงนี้ หรือมึงจะไม่อยากให้แม่แต่งงานใหม่จริงๆดูมึงใจลอยๆ ตลอดเลย!!” ไอ้เฟรมนิ่วหน้าหันมามองหน้าผมอย่างหาเรื่อง

“ไม่!! ไม่ใช่อย่างนั้น กูมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องแม่หรอก” ผมแก้ตัว ที่จริงก็มีส่วนจริงอยู่กึ่งหนึ่งล่ะ แต่ไม่เล่าให้ไอ้พี่ชายฟังดีกว่า มันคงไม่เข้าใจ

“ไม่ใช่เรื่องของแม่ก็แล้วไป ! แล้วเอาไงเรื่องที่ไปลองชุดน่ะ มึงไปก่อนนะ!!”

“แล้วมึงจะไปไหน? ทำไมไม่ไปกับกู แล้วต้องตัดชุดอะไรวะ!?!”

“อ้าว! สัด! นั่นไง ชุดที่จะไปงานแต่งงานแม่มึงไง!!”

“ก็แม่มึงเหมือนกันไหม!! สัด!!”  พี่น้องที่พูดกันแบบนี้ประจำจนเพื่อนๆ ในคณะฯ เห็นจนชินตา


หลังจากเรียนครบจบทุกคาบ ผมก็มานั่งเบื่อๆ คนเดียวที่พื้นที่เอนกประสงค์ใต้อาคารเรียนรวม ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของกลุ่มผม แต่ตอนนี้จะเรียกว่ากลุ่มคงไม่ได้เพราะผมนั่งอยู่คนเดียว

ไอ้ต้นน้ำติดเมีย เลิกเรียนก็หายหัวไปเลย
ไอ้พี่ชายเฮงซวยก็หายศรีษะไปกับไอ้เพื่อนปากหมาอีกคนหนึ่ง ก็คือไอ้ต้นกล้า 

น่าสงสัยบอกได้คำเดียว ใกล้จะสอบปิดภาคเรียนแล้ว พวกมันทำไมทำตัวตามสบายขนาดนี้วะ เดี๋ยวพอใกล้สอบพวกมันก็จะมาขอร้องผมให้ช่วยติวให้เหมือนเดิม เป็นอย่างนี้มาเกือบสามปีแล้ว

ในระหว่างที่ผมผ่อนลมหายใจไปกับเรื่องเพื่อนๆ ในกลุ่มแต่ละคน การที่คนหน้าตาดีอย่างผมมาอยู่คนเดียวในสถานที่สิงสถิตเป็นประจำของกลุ่มผมแบบนี้ ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาไม่น้อย และแน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่ยังแยกผมกับไอ้เฟรมไม่ออก สาวๆ หนุ่มๆ เลยทำได้แต่เดินผ่านและยิ้มให้เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายผมดีไหม กลัวหน้าแหก

โดยเฉพาะสาวๆ เพราะผมมักจะบอกกับสาวๆ ที่มาวอแวกับผมเป็นประจำว่า ผมไม่สนใจผู้หญิงนะครับ ผู้ชายหน้าสวยๆ เท่านั้นที่เป็นสเปก ต่างจากพี่ชายผมที่สนิทกับผู้หญิงทุกคนแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะให้เบอร์หรือ ไลน์ไอดีกับใคร เพราะแฟนมันโคตรดุ สาวๆก็เลยดูมีความหวังกับไอ้เฟรมมากกว่า (รูปหล่อกัปตันทีมบาส)

ผมมองนาฬิกาข้อมือครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะมันเลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นอนาคตพ่อเลี้ยงของตนเองจะมารับเสียที ปกติผมเป็นโรครออะไรนานๆ ไม่เป็น เลยยิ่งหงุดหงิดกับการอยู่เงียบๆ คนเดียวแบบนี้

หลังจากคิดคำด่าหยาบคายในหัวสักสิบประโยคกับอนาคตครอบครัวตัวเอง ผมจึงตัดสินใจจะกลับไปรอที่บ้าน เพื่อให้แม่ด่าไอ้คุณอาโต้งที่ผิดเวลาขนาดนี้ นี่หากเป็นผมผิดนัดกับแม่นะคงโดนดึงหูขาดไปแล้ว

“เฮ้ย!! ทำไมเหลือคนเดียว?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปด้วยความประหลาดใจ

“พี่โน่ อ้าว!! มาทำอะไรแถวนี้!!” ผมเอ่ยทักคนรูปร่างเล็กที่มีเหงื่อพรายผุดขึ้นเต็มใบหน้าขาวๆ นั่น

“มึงอย่าเพิ่งถาม!! รีบตามกูมา!!” คนตัวเล็กเดินมาจับข้อมือผมให้ลุกขึ้น

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ! ไปไหน?” ผมยื้อแขนข้างนั้นและถามต่อ

“ก็มารับมึงไปวัดชุดงานแต่งแทนพ่อมึงไง!!” อีกฝ่ายยื้อแรงขึ้นจนผมต้องลุกก้าวตาม

“พ่อเลี้ยง!!” ผมสวนเพื่อให้อีกฝ่ายใช้คำให้ถูกต้อง

“จะพ่อเลี้ยงหรืออะไรก็ช่าง!! แต่กูต้องมารับมึงแทนมันเนี่ย!! ไอ้สัด จะแต่งงานกับแม่แต่กลับลืมลูกเขาเนี่ยนะ ก็ต้องเป็นกูสิเนี่ยต้องมาตามเก็บตามเช็ดให้ทุกครั้ง!!” พี่โน่เดินลากผมไปบ่นไป

ผมเห็นอีกฝ่ายดูเดือนดาลก็ปฎิบัติตามอย่างว่าง่าย เพราะใครๆ ก็รู้ว่า แม่ผมไม่ชอบการผิดแผน การที่อาโต้งลืมที่จะมารับผมด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แม่ผมคงไม่ยอมจบง่ายๆ

แต่อาการกลัวเกรงแม่ผมของอาโต้งแบบนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าอาโต้งก็รักแม่ผมไม่น้อยเช่นกัน

พี่โน่ปล่อยมือผมตรงที่เขาจอดรถสปอร์ตคันงามราคาหลายล้าน พร้อมพยักหน้าเป็นเป็นคำสั่งให้ขึ้นรถ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นรถกันแต่สองคน แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นของผมก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นจนเกือบเก็บอาการไม่ค่อยจะอยู่

แม้เครื่องปรับอากาศในรถจะเย็นฉ่ำแต่เม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าอีกฝ่ายต่างก็ผุดออกมาไม่ขาด มันไหลลู่ลงตามรูปหน้าที่เล็กได้รูปจนกระทั้งผมทนเห็นภาพตรงหน้าไม่ไหว จัดการหยิบกระดาษเช็ดหน้าบนรถซับหน้าให้ระหว่างที่อีกฝ่ายขับรถ

“ทำไมไม่เช็ดให้เรียบร้อย เดี๋ยวก็เข้าตากันพอดี!!” เหงื่อเค็มๆ เข้าตาน่าจะแสบ และมันก็ขับนถเร็วเสียเหลือเกิน

“เดี๋ยวเหงื่อเข้าตาก็แสบจนมองทางไม่ได้หรอก ผมยังไม่อยากตายนะ!!” ผมเสริมแก้เขินขณะค่อยๆ ใช้กระดาษเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาไปตามรูปหน้าและเหนือคิ้ว

“ก็รออยู่ ว่าเมื่อไหร่จะเช็ดให้” คนขับรถตอบเสียงเรียบ

“เช็ดเองก็ได้นี่เห็นขับรถมือเดียวออกจะบ่อย!!”

“ก็อยากให้เช็ดให้”

อยู่ๆ ก็โดนอีกฝ่ายรุกมากแบบนี้ทำให้ผมถึงกับทำตัวไม่ถูกรีบเก็บไม้เก็บมือนั่งนิ่งเรียบร้อยตลอดทาง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มองแต่ทำไมผมถึงรู้ว่า ไอ้เตี้ยนั่นมันอมยิ้มอยู่ก็ไม่รู้

ในที่สุดก็ถึงที่หมายเสียที ผมพึมพำในใจเมื่อเห็นอาคารร้าน เวดดิ้ง เพลเนอร์ชื่อดังในจังหวัด หลังจากรถจอดสนิท ผมกล่าวคำขอบคุณและก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มองคนที่ขับมาส่ง

ขณะที่กำลังรีบเร่งเข้าประตูร้านที่ตกแต่งด้วยกระจกสไตล์โบสถ์ยุคกลางของทางยุโรป ที่ปลายสายตาผมก็ไปกระทบกับชายร่างท่วมที่วิ่งมาจากลานจอดรถอีกฝั่งของอาคาร

“เซฟ!!” ชายร่างท้วมวิ่งกระหืดกระหอบมาแตะประตูร้านพร้อมพูดเหมือนกีฬาเบสบอล

“อ่า…..ครับ” ผมมองคนที่เหงื่อท่วมร่างจนเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ใส่ลู่เปียกติดลำตัว พร้อมเอ่ยทักเป็นเชิงคำถาม

“ติดธุระนิดหน่อยน่ะ…..เอ่อ… ไอซ์ใช่ไหม?” ลุงโต้งพูดไปหอบไป แต่ก็สร้างความประทับใจให้ผมได้ดีทีเดียว เพราะน้อยคนนะที่จะจำแนกพวกผมได้ หากไม่สนิทกัน

“ใช่ครับ! ผมเข้าใจครับ รีบเข้าไปกันเถอะครับ ป่านนี้แม่ผมคงนั่งเคาะนาฬิกาข้อมือจนกระจกพังแล้วครับ” ผมรีบชวนอีกฝ่ายทันทีที่ผมเหลืบไปมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง

“เห็นภาพเลย” อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆ เห็นด้วย

เป็นไปตามคาด แม่ผมนั่งหน้านิ่วในชุดเดรสสีขาวเกาะอก ผ้าลายลูกไม้ที่ประดับไปด้วยลูกปัดนับไม่ถ้วนที่ส่องประกายระยิบระยับ ช่วยส่งเสริมให้คนที่สวมใส่เหมือนนางฟ้าที่ร่วงลงมาจากสวรรค์ แต่ใบหน้าที่แสดงอยู่ของนางฟ้ากลับทำให้รู้สึกว่านรกอยู่แค่เอื้อม

“ที่รัก ยางรถผมมันระเบิดน่ะ กว่าจะหาที่เปลี่ยนได้แทบแย่” ลุงโต้งที่มีไหวพริบดีรีบแก้ตัว ในขณะที่ผมนั่น ยอมรับบทลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว ถึงจะสายแค่สิบนาทีแต่แม่ผมผู้รักษาเวลายิ่งกว่าผู้ใดนั้น มันเหมือนจะเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้

ผิดคาด …. แม่ผมกลับเปลี่ยนใบหน้าที่บึ้งบูด กลายเป็นรอยยิ้มพร้อมทั้งโผเข้ามากอดลุงตัวอวบได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปได้อย่างเหลือเชื่อ 

หากเป็นผมที่เดินเข้ามาคนเดียวคงกลายเป็นศพกองอยู่หน้าร้านไปแล้ว เห็นสวยๆ แบบนี้ ความโหดไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ผมรู้ซึ่งดี เพราะการลงโทษของแม่ ไม่ได้มีแค่การลงมือหนัก แต่ยังบทลงโทษอื่นๆ ที่คิดว่าโดนไม้เรียวฟาดให้มันจบๆ น่าจะดีกว่า

“แม่ครับ ผมว่า…. มัน….” ลูกชายอีกคนที่เรียบร้อยกว่าผม เดินออกมาพร้อมกับการแต่งกายที่คนทั่วไปคงไม่ใส่

“หล่อมากเลยจ๊ะ” แม่ผมโผจากคนตัวท้วมไปพินิจพี่ชายผมในระยะประชิด พี่ชายผมที่อยู่ชุดทักซิโด แบบในสมัยก่อตั้งอาณานิคมยุโรป เสื้อตัวนอกมีชายเสื้อทางด้านหลังเป็นหางแหลมชี้ลงพื้นยาวจนเลยหัวเข่า หมวกทรงสูงสีดำเงาวาว ถูกชี้นิ้วสั่งให้หมุนตัวไปมา ผมมองไปด้วยสายตาที่หวาดหวั่น อย่าบอกนะว่าต้องแต่งแบบนี้ นี่มันธีมอะไรวะ?!?

“เหมาะดีนะ” เสียงปนหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมหันไปก็พบพี่โน่เดินเข้ามายิ้มร่าเริงปนหัวเราะ

“ไม่ต้องหัวเราะ เธอก็ต้องแต่งตัวแบบนี้!!” แม่ผมหันมาทางผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มเพชรฆาต ทำให้คนมาใหม่ยิ้มสลายไปทันที

“เฮ้ย!! ไม่เห็นบอกกันก่อน!! นี่มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลง!!” คนตัวเล็กโวยวาย แต่ก็ถูกเพื่อนสนิทอย่างลุงโต้งเดินเข้ามาจับไหล่และส่ายหน้า

“เพราะมึงคือเพื่อนเจ้าบ่าวไงล่ะ! มึงก็รู้ว่าเถียงไปก็ไม่ชนะหรอก” ลุงโต้งพูดด้วยสีหน้าทำใจ

“ที่บอกว่าธีมแวมไพร์ยุคอาณานิคม กูนึกว่าพูดเล่น!!” ผมเห็นเส้นเลือดของคนตัวเล็กปูดโปนที่ขมับ

“เอาน่าๆ กูบอกไปแล้วว่างานแต่งก็แล้วแต่เขา” ลุงโต้งที่เห็นชุดของตนถูกเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอนำมาให้ตรงหน้าก็แอบกลืนน้ำลาย

“มึงตามใจยัยมลไปแล้วนะ!!” นักเลงตัวเล็กโวยวายไม่เลิก จนกระทั้งแม่ผมเอาชุดของเพื่อนเจ้าบ่าวมาส่งให้กับมือ นีโน่จึงได้แต่ทำใจยอมรับ เพราะสายตาของแม่ผมนั้นไม่ธรรมดา ไม่มีใครต้านทานได้หรอก รังสีอำมหิตเหล่านั้นผมยังสามารถรับรู้ได้จากอีกฝากหนึ่งของห้อง หลังจากที่ผมมารับชุดของตนเองจากพนักงานของสตูดิโอ

“เจ้าบ่าวไปเปลี่ยนห้องทางนั่นนะคะ ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวและลูกชายไปเปลี่ยนที่ห้องนี้คะ เหลือห้องเดียวเปลี่ยนด้วยกันได้นะคะ?” พนักงานสาวสวยแจ้งพร้อมผายมือไปตามทางเดินที่จะไปแต่ละฟากของห้องตามกำหนด ภายใต้สายตาและรอยยิ้มเย็นเยียบของแม่ของผม

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ผมเดินเข้ามาถึงห้องแต่งตัวด้านในของอีกฟากหนึ่งของห้องเจ้าบ่าว โดยมีคนตัวเล็กอย่างนีโน่เดินตามมาติดๆ

ในห้องมีขนาดประมาณ 3x3 เมตร ผนังเป็นกระจกรอบ นอกจากกระจกก็จะทาสีผนังด้วยสีขาว แสงสว่างของห้องที่มากกว่าด้านนอกทำให้ผมต้องป้องตาเพื่อให้ปรับแสงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ โดยมีนีโน่ปิดประตูลงกลอนตามหลังมา

“เฮ้ย!!” ผมแอบตกใจกับเสียงลงกลอนพร้อมกับหันมาเจออีกคนที่ตามหลังมาติดๆ

“ตกใจเชี้ยอะไร! น้องสาวคนนั้นก็บอกอยู่ว่าให้มาเปลี่ยนห้องเดียวกัน!” คนตัวเล็กพูดพลางแขวนเสื้อที่ถูกสวมถุงพลาสติกใสอย่างดีกับราวแขวนใกล้กับประตู

ผมฟังก็คิดได้ว่า ‘มันก็จริง’ จึงทำได้เพียงพยักหน้าตามและหาที่แขวนเสื้อผ้าเช่นกัน ซึ่งมันอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู

หลังจากที่แขวนเสื้อผ้าแฟนซีเหล่านั้นเรียบร้อย ผมก็ต้องเก็บอาการกับภาพที่เห็นตรงหน้า คนตัวเล็กที่อายุคราวพ่อได้ถอดเสื้อและกางเกงออกอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงกางเกงในตัวจิ๋วที่ปกปิดบางอย่างที่ไม่จิ๋วสมกับตัวตนเจ้าของเอาไว้  มัดกล้ามที่ขึ้นเห็นเด่นชัดถายใต้แสงดาวน์ไลท์สีขาวอมส้ม ผิวขาวที่อยู่ภายใต้ร่มผ้าตัดกับผิวที่โผล่พ้นเสื้อโปโลแขนสั้นแบบชัดเจน แสดงให้เห็นว่าเป็นคนทำงานหนักและอยู่กลางแจ้งพอสมควร ผิวภายในร่มผ้าที่ละเอียดขาวผิดกับวัยกลางคนมาก แปลว่าก็เป็นคนที่ดูแลตัวเองดีระดับหนึ่ง ลอนกล้ามอกไล่ไปจนถึงลอนกล้ามท้องที่ชัดเจนตามเส้นเงาที่แสงตกกระทบไม่ถึงเหล่านั้น ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ โดยเฉพาะส่วนที่นูนเด่นเย้ายวนที่ช่วงล่างไล่จากกลางลำตัวลงไปมันทำให้ผมรู้สึกถึงความวูบช่วงท้องน้อย

“ที่มองนี่คือ อิจฉา! ใชไหม?” นักเลงตัวจ้อยยืนยึดตัวหันมาให้เห็นเด่นชัดทุกสัดส่วนแบบไม่ปิดบังด้วยรอยยิ้มเหมือนแกล้งหยอกให้ผมตื่นเต้นขึ้นไปอีก

“แค่นี้ผมก็มีไหมล่ะ” ผมไม่พูดเปล่า ผมจัดการถอดเสื้อและกางเกงออกอย่างลวกๆ พร้อมเผยให้เห็นสิ่งที่ผมมีและไม่ได้ด้อยไปกว่าไอ้คนขี้อวดตรงหน้า

ความจริงผมไม่ควรจะไปตื่นเต้นกับไอ้คนขี้อวดคนนี้เลยเพราะช่วงที่ไปเที่ยวทะเล มันก็ชอบแก้ผ้าอวดลำกล้ามลำโคนของมันให้พี่กวีเห็นบ่อยครั้ง ตอนนั้นรู้สึกหมั่นไส้จนอยากอ้วก!!

นึกคิดมาถึงตรงนี้ก็เกิดอาการร้อนวูบที่ช่วงท้องด้านบนและอารมณ์ขุ่นมัวแบบบรรยายไม่ถูกจนต้องทำเสียง ‘ชิชะ’ ในใจ

รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองมีอารมณ์แปรปรวน

“อืม… ขาวเนียนดี หุ่นก็สมเป็นนักกีฬา แต่ดูท่าจะยังไม่โตเต็มที่” นีโน่พูดด้วยอาการยกยิ้มมุมปาก

“หมายความว่าไง!!??!” ไอ้เรื่องขนาดนี่แหละที่ผมยอมไม่ได้ คู่นอนที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบ่นเรื่องขนาดเลย ใครก็ต่างเรียกผมว่า อนาคอนดาแห่งมหาวิทยาลัย!

“เข้าใจว่าอะไรอยู่ กูหมายถึงรูปร่างมึงน่ะดีนะ แต่ยังดูเด็กๆ อยู่เลย กล้ามแบบเด็กๆ รูปร่างแบบยังโตไม่เต็มที่ ดูยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว” นีโน่อธิบายพลางสำรวจทุกซอกมุมจนผมรู้สึกอึดอัด

“งั้นก็แล้วไป” ผมรู้สึกเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้นรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า ตอนนี้อยู่กันสองคนด้วยแต่ละคนนุ่งเพียงกางเกงใน มันให้ความรู้สึกแปลกยังไงไม่รู้ ยิ่งได้มองสายตาคนตัวเล็กก็ยิ่งรู้สึกโดนคุกคาม และเอนเอียงไปในทางความใคร่มากขึ้น เดี๋ยวน้องชายตัวเล็กจะตื่นเสียก่อน รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จดีกว่า

“ส่วนเรื่องขนาดความเป็นชายก็อยากเห็นนะว่าจะสมคำร่ำลือหรือเปล่า?” เสียงพูดลอยๆ ดังขึ้นมาจนผมตัวเกร็งไปหมด รู้สึกหน้าร้อนขึ้นจนผมต้องจดจ่อกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่หันหลังไปโต้ตอบ เพราะกลัวสายตาของคนตรงนั้นมาก มันทำให้ใจสั่นจนตัวร้อนวูบวาบไปหมด

…………………

หลังจากวันลองเสื้อผ้าวันแรก เหตุการณ์ต่างๆ ที่บ้านผมก็วุ่นวายมากกว่าเดิมด้วยการเตรียมงานแต่งงานที่กระชั้นชิด ไม่ใช่เพราะว่าไปดูฤกษ์งามยามดีอะไรมาเพียงแต่แม่ของผมอยากจัดงานแต่งให้เรียบร้อยก่อนไปฮันนีมูน ที่จองทริปในฝันไปมัลดีฟได้ด้วยความโชคดีในอีก สองเดือนข้างหน้า

บวกกับทุกกำหนดการที่ประเดประดังเข้ามามันไปประจวบกับตารางสอบปลายภาคของผมและพี่ชาย มันเลยมีอะไรไม่ลงตัวหลายอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ทุกกำหนดการที่ผมต้องช่วยแม่จัดการเรื่องการเตรียมการต่างๆ ต้องมาเจอกับชายตัวเล็กที่ต้องเวรต้องกรรมมาช่วยงานนี้ให้ลุล่วงด้วยเช่นกัน ทำให้เขาและผมต้องมาเจอกันบ่อยครั้งจนเกิดเป็นความเคยชิน จนกระทั้งถึงวันงานแต่งงาน ที่จัดขึ้นหลังจากปิดภาคเรียนมาได้ 1 สัปดาห์

ในวันงานพิธีรอบเช้าที่ทุกอย่างถูกจัดขึ้นแบบพิธีการแบบไทยประยุกต์ โถงห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่จองไว้ ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นงานบุญระดับย่อม มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อทำบุญถวายเพลแบบเรียบง่ายตามอย่างไทยนิยม ผู้คนที่มาร่วมงานต่างใส่ชุดไทยตามประเพณีมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพียง  ดอกไม้แบบไทยๆ ถูกประดับตกแต่งไปทั่วบริเวณงาน ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วบริเวณ

ผมที่ถูกจับให้แต่งตัวแบบไทยๆ ในชุดราชปะแตน สวมโจงกระเบนผ้าเงามันสีสด มันช่างขัดกับใบหน้าที่ออกเค้าไปทางชาติตะวันตกอย่างมาก แต่เพื่อแม่ ผมและพี่ชายก็เลยยอมแต่โดยดี แม้มันจะรู้สึกไม่มั่นใจและแปลกตา แต่บรรดาเพื่อนๆ ของแม่ผมก็ต่างมาจับจองขอถ่ายรูปกับฝาแฝดหน้าฝรั่งในชุดไทยจนต้องนัดแนะมีคิวเพื่อถ่ายรูปกัน

คนที่ถ่ายภาพให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือเพื่อนสนิทของพวกผมนี่แหละ ไอ้ต้นกล้าที่ใส่ชุดเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เคยเห็นตั้งแต่คบกันมา แม้จะไม่ได้แต่งชุดไทย แต่มันก็เรียบร้อยแปลกตาเหมือนกัน มาดูดีๆ คนผิวสีแทนอย่างมันก็หล่อแบบวัวตายควายล้มเหมือนกันเวลาตั้งใจแต่งตัวแบบนี้  คล้ายดาราผิวเข้มช่องมากสีคนหนึ่งเหมือนกัน สังเกตได้จากเห็นลูกสาวของเพื่อนๆ แม่หลายคนแอบมองมาทางมันแล้วพลางอมยิ้มตลอด

ส่วนเพื่อนสนิทมากๆ อีกคนของผมน่ะหรือ ‘ไอ้ต้นน้ำ’ ติดต่อไม่ได้ครับ หายศรีษะไปเลย ตอนไปตามมันที่บ้านก็เจอแต่แม่มัน  แม่ต้นน้ำก็เพียงฝากขอโทษและฝากซองกลับมาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นผมคงมีเพื่อนช่วยทำงาน หรือเพื่อนคุยแก้เขิน เพราะไอ้พี่ชายผมกับไอ้ต้นกล้า มันชอบซุบซิบกันสองคนจนผมรำคาญ อย่าบอกนะว่าพวกมันจะได้กันเอง  ผมคงทำใจยากสักหน่อย ไม่ได้ไม่ชอบไอ้ต้นกล้านะแค่รำคาญความพูดมากของมัน

ลิ่งหนึ่งในงานเช้าที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ ไอ้พี่นีโน่ ที่เป็นคนจัดการพิธีรีตรองต่างๆ ได้อย่างมืออาชีพ จัดการให้พิธีต่างเสร็จตรงตามเวลาจนทำให้แม่และลุงโต้งเอ่ยปากชมไม่ขาดปาก เพราะทั้งสองแทบไม่ต้องเหนื่อยมาห่วงอะไรเลย ผมเอ่ยชมต่อหน้าผมและทุกคนหลังเสร็จงาน ผมเห็นคนที่พูดถ่อมตัวตรงหน้าแล้วอดที่จะคว่ำปากแสดงออกมาไม่ได้ แต่ปฏิกิริยาของผมดันไม่สามารถรอดพ้นจากไอ้คนตัวเล็กได้ มันจ้องผมเขม็ง ในขณะที่ส่งยิ้มให้กับทุกคนในบริเวณนั้น ส่วนผมน่ะหรือ ขอตัวหายไปจากตรงนั้นดีกว่า เพราะวันนี้ยังอีกยาวไกล ยังต้องเหนื่อยอีกเยอะ ขอตัวแอบไปพักก่อนดีกว่า คิดได้ดังนั้นผมก็ทะยานหายไปจากบริเวณนั่นทันที แม้จะรู้ ผมอาจจะต้องโดนแม่บ่นเรื่องนี่แน่ๆ ก็ตาม

……..

ช่วงงานเย็น….. ผมไม่อยากบอกว่ามันคืองานแต่งงานนะ มันเหมือนแม่ ลุงโต้งและบรรดาเพื่อนๆ ของทั้งสองคนนั้นหาเรื่องจัดปาร์ตี้แฟนซีเสียมากกว่า แทบจะไม่มีพิธีรีตองอะไรเลยนอกจากการแนะนำบ่าวสาวและกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน

และก็เหมือนๆ งานเช้านั้นแหละ พวกผมสองคนถูกปฏิบัติไม่ต่างจากมาสคอตของงานถูกตามล่าให้ไปถ่ายรูปร่วมเฟรมกับบรรดาลุงๆ น้าๆ เพื่อนแม่จนผมและไอ้เฟรมคิดว่า นี่มันงานอะไรกันวะ?!?

ระหว่างที่ผมปลีกตัวออกจากบรรดาน้าๆ เพื่อนแม่และบรรดาญาติๆ ได้ ผมก็ไปเจอไอ้คนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออยู่ตรงมุมห้องจัดเลี้ยงเพื่อสั่งการคนดูแลงานให้ทำงานอย่างเรียบร้อย ทำให้ผมได้เห็นมุมที่จริงจังของอีกฝ่ายอีกครั้งในระยะประชิด ที่ไม่ได้มีแต่มุมน่ากลัวหรือมุมเจ้าสำราญ ผมเผลอมองด้วยใจระทึกจนผมรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนออกมานอกอก และต้องหลบสายตาเมื่อพบว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นผมจ้องมองเขาอยู่ จนต้องเบี่ยงหน้าหลบสายตาอันคมกริบนั้น

“มีปัญหาอะไรในงานหรือเปล่า?” เสียงคนตัวเล็กดังขึ้นจากด้านหลังในระยะประชิด (นี่มันหายตัววาปมาหรือไง?)

“เอ่อ… เปล่า ไม่มีอะไรนี่” ผมพยายามทำให้ตัวเองมีพิรุธน้อยที่สุด บังคับเสียงให้เป็นปกติ สูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงหน้าตัวเองก่อนจะหันไป

“เฮ้ย!!” เป็นใครเจอคนที่เราแอบตื่นเต้นในระยะประชิดไม่ถึงคืบแบบนี้ก็คงตกใจเหมือนผม ชายวัยกลางคนหน้าเด็กตัวเล็กคนนี้ แต่งกายในชุดแบบเดียวกับผมและการแต่งหน้าให้ดูซีดกว่าปกติ แต่ปากที่แดงแบบธรรมชาติแบบนั้นมันเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ได้รู้สึกตัวว่าตัวเองรู้สึกแปลกๆ กับคนตรงนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่า นักเลงตัวเล็กคนนี้มันช่าง ‘น่ารัก’ เกินไปแล้ว

ผมถอยไปครึ่งก้าวด้วยความประหม่า แต่ด้วยที่มันกระทันหันเกินไป และรองเท้าทรงโบราณหัวแหลมไม่เป็นใจ ผมเลยเสียหลักถลาล่อนไปทางด้านหลังพร้อมร้องเสียงหลง ที่ปลายสายตาของผมเหลือบไปเห็นคนตัวเล็กรีบพุ่งตัวมาด้านข้างเพื่อประคองลำตัวคนที่กำลังจะล้มอย่างผม ไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

โครม!!

ผมหงายล้มลงไปนอนทับคนตัวเล็กอย่างช่วยไม่ได้

“ไอ้เด็กควายซุ่มซ่ามเอ้ย!! ทำไมตัวหนักแบบนี้นะ!!” คนที่มีส่วนสูงไม่เกิน 165 เซ็นติเมตร โวยใส่เด็กวัยรุ่นที่สูงเกิน 180 เซ็นติเมตรลั่น จนกระทั่ง แม่ สามีใหม่ และผองเพื่อนมารุมล้อมและต่างช่วยกันฉุดผมและไอ้เตี้ยขี้โวยวายนั้นขึ้นมาปัดตามตัว เพื่อตรวจสอบความเสียหาย

โชคดีที่ไอ้เตี้ยนั้นกระดูกตัน ไม่เป็นอะไรมากมาย ผมเคยได้ยินข่าวว่ามันเคยมีอริขับรถมาชน ไอ้พี่นีโน่มันยังลุกขึ้นมาลากคนไอ้คนขับรถมาต่อยจนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวัน ส่วนผมนี่สิ เหมือนขาจะแพลงเลย รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อเท้าขวาอย่างรุนแรงจนต้องขอเก้าอี้เพื่อนั่งพัก

ผมบอกแม่ว่าไม่เป็นไร ให้แม่ไปดูแลแขกในงาน ผมขอนั่งพักอยู่ตรงนี่ก็พอ (ได้เวลาอู้เสียที ผมขี้เกียจเดินไปช่วยดูแขกให้แม่ ไหนจะโดนขอถ่ายรูปร่วมเฟรมกับพี่ชายอีก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจำอวดที่ทุกคนต่างต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก)

หลังจากที่พี่ชายของผมที่ควรจะนั่งคอยดูแลผมที่ลุกไปไหนไม่ไหวตามคำสั่งของมารดาในชุดเจ้าสาวสีขาว ไอ้เฟรมเหมือนมันจะรู้ว่าผมแสร้งเจ็บหนัก เพราะแค่มองตาผมมันก็รู้แล้ว นี่เป็นแผนอู้ของผม มันก็เลยขอตัวและหายไปจากสายตาผมทันทีที่รู้ทัน ผมเองก็คิดว่าดีเหมือนกัน ขืนมานั่งทำหน้าตาเหมือนกันแบบนี้ก็ยิ่งเด่น ยิ่งดึงดูดสายตาให้คนเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย คงไม่ได้พักจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็แอบสงสารมันเหมือนกัน เพราะไม่นานหลังจากที่ไอ้เฟรมลับตาไป ผมก็ได้ยินบรรดาน้าๆ ลุงๆ เพื่อนแม่กรี๊ดกร๊าด ผมเดาว่ามันคงถูกลากไปเป็นพร๊อบถ่ายรูปแน่นอน

ระหว่างที่ผมนั่งดื่มน้ำอัดลมพลางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่วันนี้พ้นจากหน้าที่รับแขกเร็วกว่ากำหนด ก็มีชายคนหนึ่งมาขอนั่งด้วยจากทางหางตา ผมผู้ซึ่งไม่ได้ใส่ใจจึงตอบรับไปโดยไม่ได้หันไปมอง

“พี่ว่าพี่แต่งเยอะแล้วนะ แต่มาเจอน้องนี่ พี่ยอมเลย” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจนผมต้องหันไปมอง

“พี่ไห่?!?” ผมทักคนที่แต่งตัวด้วยทักซิโดสีดำขลับ ประดับด้วยลายลูกไม้บางๆ ที่ปกเสื้อนอกและ หูกระต่ายประดับหมุดสีดำแวววาว ใบหน้าถูกแต่งให้ซีดกว่าปกติ และทำผมเรียบเหมือนดูเปียกน้ำ เป็นคนที่แต่งแบบไหนก็หล่อเหลือรับประทานจริงๆ

“ผมไม่รู้ว่าพี่ไห่ถูกเชิญมาร่วมงานด้วย!?!” ผมถามด้วยอาการมืนงงกับภาพหล่อๆ ตรงหน้า

“อืม…. ก็ไม่เชิง พี่มาทำงานมากกว่า….. แต่ถูกบังคับให้แต่งตัวแบบนี้” จินไห่ตอบด้วยอาการขวนเขินกับชุดที่ไม่คุ้นเคย พลางก้มมองเสื้อผ้าที่ใส่

“ก็นึกว่าอาหารมันหน้าตา และรสชาติคุ้นๆ ที่แท้ก็มาจากร้านพี่นี่เอง ส่วนเสื้อผ้าพวกนี้ พี่โน่คงบังคับพี่ใส่น่ะสิ” ผมเดาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในงาน

“ตามนั้น” จินไห่ตอบพลางส่ายหน้าเบาๆ ผมได้ยิ้มตามอย่างเข้าใจสถานการณ์

“ขอบใจนะ ที่มาช่วยดูแลเรื่องอาหารให้ พักสักหน่อยก็ได้ แขกที่มาก็เริ่มอยู่ตัวกันแล้ว” คนที่กำลังถูกพูดถึงในบทสนทนาก็ปรากฏร่างจากทางด้านหลังเหมือนได้ยินเสียงเรียก เขาเดินมายืนข้างจินไห่และวางมือหยาบลงบนบ่าจินไห่ ที่ตอนนี้หันไปยิ้มให้ และนีโน่ยิ้มกลับอย่างพึงใจ

ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้เลือดในอกมันสูบฉีดขึ้นไปถึงหน้าและวิ่งไปทั่วร่างอย่างประหลาด ผมหายใจแรงและหันหน้าไปมองทางอื่นในงานเผื่อมันจะดีขึ้น ทำไมมันหงุดหงิดแบบนี้นะ ผมคิดทบทวน จนได้คำตอบว่า ผมคงโมโหแทนเพื่อนสนิทแน่นอน ก็แฟนมันโดนจีบทางอ้อมแบบนี้นี่หว่า!!

“เฮ้ย ไอ้เด็กเป๋จะไปไหน?!?” นีโน่ทักขึ้นเสียงแข็งเมื่อผมกำลังจะลุกหนี

“ไปให้ไกลจากตรงนี้ ผมไม่อยากอยู่เป็นก้าง พี่จะได้ทำอะไรสะดวกๆ !!” ผมพูดสวนกลับไปทั้งที่ไม่มอง

“นั่งอยู่นี่แหละ จะเอาอะไรก็บอก เดี๋ยวกูไปเอาให้!!” ไอ้นักเลงโตตะคอกกลับมา พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอของจินไห่

เฮ้ย! อะไรว่ะ ไอ้การตอบสนองที่ไม่คาดคิดแบบนี้ ผมอึ้งและย่อตัวลงนั่งที่เดิมช้าๆ

“เฮ้ย!! พี่เพิ่งรู้ว่าน้องขาเจ็บ! เดี๋ยวไปหาน้ำแข็งมาประคบให้ไหม?” จินไห่ยิ้มอย่างสุภาพและขอตัวเดินหายไปในฝูงชนของงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานที่ไร้ซึ่งแบบแผน มีแต่ความวุ่นวายตรงหน้า เหมือนแค่จะหาเรื่องจัดปาร์ตี้กันมากกว่า

“แล้วเมื่อกี้มึงจะไปเอาอะไร?” คนตัวเล็กถามพลางขมวดคิ้ว

“เปล่า…. ” แต่รำคาญ… เสียงในใจบอกแบบนั้น

“นี่มึงยังคิดอกุศลเรื่องกูกับน้องไห่อีกเหรอวะ?” อีกฝ่ายถามเข้าเรื่องพร้อมนั่งลงข้างๆ ผม

“ก็มึงเคยชอบเขานี่ แล้วยังทำตัวเจ้าชู้ใส่พี่ไห่เหมือนเดิมแบบนี้ใครจะไม่คิด!” ผมเริ่มกลับมาใช้คำเรียกเดิมระหว่างผมกับมันอีกครั้ง อะไรบางอย่างในอกมันสั่งมาแบบนั้น

“มึงนี่ก็คิดมาก ถึงกูจะดูเลวนะ แต่เรื่องความรักนี่กูไม่เคยฝืนใจใครนะ หากเขาบอกว่า ‘ไม่’ กูก็ ‘ไม่’ แค่นั้น ทุกวันนี้กูก็ห่วงกันเหมือนพี่น้อง ขนาดกับมลกูยังเป็นเพื่อนกันได้เลย!!” นีโน่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ประโยคเหล่านั้นมันทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะมันหมายถึงว่าคนๆ นี้เกือบจะมาเป็นแฟนแม่เขานี่หว่า

“ไม่เห็นต้องมาอธิบายอะไรก็ได้นี่หว่า?!?” ผมตอบกลับไปลอยๆ

“กูแค่อยากเคลียร์ตัวเอง!!”

“เพื่อ?!?”

“กูไม่อยากให้มึงเข้าใจผิด!”

“ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจว่ะ”

“…….” นักเลงตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงจ้องหน้าผมเหมือนพยายามให้ผมอ่านใจมันให้ได้

แต่ไอ้ใจที่ไม่รักดี  มันกลับเต้นระงมระรัวจนแทบจะทำให้ผมหน้ามืด ในใจได้แต่คิดว่า พี่จินไห่ที่หายตัวไปเอาน้ำแข็งเมื่อไหร่จะกลับมาเสียที

“เป็นอะไรมากไหมเนี่ย หน้าเปลี่ยนสี?” คนตัวเล็กเบียดตัวเข้ามาใกล้ ชุดทักซิโดสีดำที่ให้ดูเก่าอย่างตั้งใจเข้ามาใกล้จนเกือบแนบกับเสื้อผ้าของผมส่งให้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของอีกฝ่ายลอยเข้ามาเตะจมูกผมอย่างจัง กลิ่นหอมอ่อนเหมือนไม้สมุนไพรที่รู้สึกเย็นชื่นใจทุกครั้งที่ได้กลิ่น ยิ่งเร่งจังหวะหัวใจผมให้ดังขึ้น

มือของนีโน่ที่แตะหน้าผากของผมจนอุ่นร้อน ยิ่งทำให้ผมสั่นไปทั้งร่าง ท่าทางผมคงเป็นโรคอะไรสักอย่าง เวลาอยู่ใกล้คนนี้ๆ ผมจะแสดงอาการแปลกๆ แบบนี้ หรือแพ้น้ำหอมวะ?!?

“ไม่สบายหรือเปล่า ตัวอุ่นเชียว” ลมหายใจของคนตรงหน้าผ่อนลงมาบดไล้มาตามใบหน้าผม ทำให้ผมรู้สึกขนลุก ผมผลุดลึกขึ้นทันที

“อ้าว! หายเจ็บแล้วเหรอ” คนตัวเล็กอมยิ้มถามผม

นี่มันเหมือนแกล้งกันชัดๆ คงรู้ว่าผมเจ็บไม่มาก จะมาเผยไต๋ว่าผมป่วยการเมืองแน่นอน เกลียดไอ้พวกคนรู้ทันแบบนี้ชะมัด ผมไม่พูดอะไรนอกจากผ่อนลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ บวกกับหมุนตัวเดินกะโผลกกะเผลกออกจากจุดเดิม ระหว่างทางก็เห็นพี่จินไห่เดินสวนทางไปที่โต๊ะ ในมือถือถุงน้ำแข็งถุงใหญ่มาด้วย แต่ผมไม่สนใจแล้ว หลบไปให้พ้นๆ ดีกว่า

……………..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2021 17:02:21 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากที่ผมต้องเก็บตัวจากงาน after party ของงานแต่งงานแม่บังเกิดเกล้าของตนเองได้สำเร็จ ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปจนถึงวันรุ่งขึ้นในช่วงสายของวันต่อมา ที่บ้านผมก็เหมือนเกิดเหตุจราจลกลางเมือง

ลุงโต้งที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว วิ่งวุ่นไปมากับแม่ของผมและต่างโวยวายหาของกันวุ่นวาย ปกติแม่ผมก็ไม่ค่อยเป็นงานแม่บ้านแม่เรือนเท่าไหร่อยู่แล้ว นับตั้งแต่เปิดบริษัทของตนเอง  คราวนี้เพิ่มลุงโต้งที่มีนิสัยเหมือนกันเข้าไปอีก ทำให้บ้านวุ่นวายมากกว่าเดิมเท่าตัว นั่นทำให้แม่บ้านที่ดูแลบ้านต้องหนักใจมากขึ้นเป็นสองเท่า

“หาอะไรกัน?” ผมถามพี่ชายฝาแฝดตนเองที่เหมือนกำลังเมาค้างอยู่ที่โต๊ะอาหารของบ้าน พร้อมโอบแก้วกาแฟอย่างหวงแหนเหมือนแหวนครองพิภพ

“พาสปอร์ต” เฟรมพูดพร้อมใช้นิ้วชี้และโป้งบดนวดบริเวณขมับตัวเอง

“อ้าว!! ไหนว่าเตรียมไว้แล้วไง!! เห็นคุยกันมาสามวันแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว!!” ผมเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประหลาดใจ

“ก็แล้วไง… แม่ก็คือแม่ พอบอกว่าจะเช็คครั้งสุดท้าย ก็เป็นอย่างที่เห็น คืนนี้จะบินอยู่แล้วเนี่ย!” เฟรมบ่นอุบ พร้อมทั้งยกกาแฟร้อนๆ ขึ้นซดเสียงดัง

“แม่น่ะ…..กูไม่แปลกใจ แต่ลุงโต้งนี่สิ!” ผมเห็นภาพตรงหน้าพลางถอนหายใจยาวเหยียด

“กิ่งทองใบหยกไหมล่ะมึง!” เฟรมพูดจบ ผมกับมันก็หัวเราะกันอย่างเงียบสงบในลำคอพลางส่ายหน้า

“หาอะไรกัน?!?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน ชายตัวเล็กในชุดสีเขียวอ่อนทั้งเสื้อโปโลและกางเกงขาสั้นนั่นมันช่างกระชากวัยพอสมควร ถ้าหน้าไม่เด็กอย่างไอ้คุณพี่นีโน่ อายุรุ่นนี้ใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้คงดูขบขันไม่น้อย

“พาสปอร์ตสิมึง!! ไม่รู้วางไว้ที่ไหน? จำได้ว่าจัดเตรียมใส่กระเป๋าเดินทางไว้แล้ว แต่พอมาหาอีกทีก็หายไปแล้ว เชี้ยเอ้ย!!” ลุงโต้งพูดจาภาษาเพื่อนกับผู้มาใหม่

“เฮ้ออออออ…” นีโน่ส่ายหน้าพลางผ่อนลมหายใจยาว

“จะมาถอนหายใจเพื่อ!?! มึงก็มาช่วยกันหาสิ เดี๋ยวไปขึ้นเครื่องฯ ไม่ทัน!!” ลุงโต้งขมวดคิ้วตึงเครียด

“มลอยู่ไหน?” นีโน่เอ่ยถาม

“ขึ้นไปหาที่ห้องนอนแล้ว” ลุงโต้งตอบพลางหันซ้ายหันขวาเหมือนพยายามระลึกเรื่องที่ผ่านมาในช่วงสองสามวันนี้

“ไปตามลงมา….. เอ้า!! ไม่ต้องงง ไปตามลงมา” นีโน่โบกมือเชิงไล่ให้ชายร่างท้วมที่กำลังงงกับคำสั่งของเพื่อนตัวเล็ก

 หลังจากที่ลุงโต้งไปตามแม่ของผมลงมาด้วยอาการหัวกระเซิงและหน้ามันเยิ้มจนหมดสวย ทั้งสองสามีภรรยาคู่ใหม่ก็มายืนประจันหน้ากับเพื่อนผู้ทรงอิทธิพลตัวจ้อย

“อะไร!! คนกำลังรีบ” แม่ผมทักด้วยอาการหงุดหงิด เห็นแบบนี้ผมเลยหามื้อเช้าที่แม่บ้านทำไว้ให้ในครัวมานั่งดูละครฉากนี้กับพี่ชายฝาแฝดที่กำลังทรมานจากอาการเมาค้างอยู่ข้างๆ

“ขนาดนี้ก็ยังนึกไม่ออกอีก…..เฮ้อ!!! เธอนี่มัน ขี้ลืมเหมือนเคย! จำวันก่อนพิธีได้ไหมว่าพูดอะไรกับเราไว้!?!” นี่โน่พยายามช่วยอีกฝ่ายพลางเกาศรีษะกับอาการหลงลืมของคู่สนทนา

ลุงโต้งหันไปมองแม่ผมด้วยความสงสัย ส่วนแม่ผมก็พยายามคิดจนคิ้วย่นขมวดเข้าหากัน ภาพที่เห็นทำให้ผมคิดว่าแม่คงต้องไปโบท็อกซ์อีกรอบแน่นอนหลังจากจบเรื่องนี้

“อืม…… ถ้าจำไม่ผิดก็เรื่อง………โรงแรม……. ที่ให้ลูกน้องจองให้…….. มลบ่นไม่ชอบก็เลยอยากเปลี่ยน……… อ้อ!! แล้วโน่ก็อาสาไปเปลี่ยนให้!!” แม่ผมเรียบเรียงเรื่องราวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก

“นึกออกยัง?” นีโน่ยิ้มอย่างโล่งอก

“แล้วมันเกี่ยวกับพาสปอร์ตที่หายยังไงล่ะ?” แม่ผมแสดงความสีหน้าว่าเสียเวลากับเรื่องนี้

“เออ…เอาเข้าไป…. เฉลย เราขอพาสปอร์ตพวกเธอไปเพื่อจองโรงแรมใหม่ให้ไง! เอานี่ เราเอามาคืน!! แล้วก็นี่!! เอกสารเกี่ยวกับโรงแรมใหม่ที่จองให้!! ได้ตามที่ขอเลย” คนตัวเล็กเฉลยพร้อมยื่นพาสปอร์ตของทั้งสองและซองเอกสารคืนให้โดยหยิบจากกระเป๋าพาดไหล่ใบเล็กที่เขาถือติดมาด้วย

“โถ่!! เอ้ย!!  จะลีลาทำไมเนี่ย คนยิ่งรีบๆ อยู่ ขอบใจนะ!!” แม่ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ไม่วายแอบต่อว่าเพื่อนสนิทไปนิดหน่อยตามประสาคุณนายขี้บ่น

นีโน่ยิ้มอย่างพอใจเหมือนว่าได้แกล้งเพื่อนสนิททั้งสองแล้วสบายใจ เห็นเพื่อนทั้งสองกลับขึ้นไปเตรียมตัวเดินทางไปฮันนีมูน เขาก็เดินไปห้องครัว ไปหยิบมื้อเช้าจากเคาน์เตอร์ครัวที่แม่บ้านเตรียมไว้มานั่นกินร่วมโต๊ะกับผมเหมือนเป็นบ้านของตนเอง

“ผมว่าพี่จะทำตัวตามสบายไปนะ” ผมแซวคนที่มานั่งข้างๆ

“ก็ยังดีที่ยังเรียกพี่อยู่ ให้เรียกลุงเหมือนไอ้โต้งกูคงสะเทือนใจน่าดู” นีโน่ยิ้มกวนประสาทกลับมา

“จริงสิ รุ่นเดียวกัน ผมควรจะเรียก ‘ลุง’ แบบนั้นสินะ” ผมแซวกลับ

“เฮ้ย! อย่าเลยกูยังไม่อยากแก่ ว่าแต่มึงอยู่บ้านก็ดูสุภาพดีนะ”

“ก็อยู่ในบ้านนี้ พี่ก็คือเพื่อนแม่ จะให้ผมพูดกูมึงกับพี่เหมือนปกติ ผมได้หัวโนเพราะไม้เบสบอลแน่นอน” ผมแต่คิดก็ขนลุกแล้ว ไอ้ไม้สำหรับลงโทษของแม่น่ะ แอบรู้สึกสงสารลุงโต้งพอควร

“ก็ดี!! งั้นต่อไปนี่ก็พูดสุภาพกับกูให้ชินเสียล่ะ”

“หา?!?! เพื่อ?”  ผมหันไปถามพร้อมคิ้วขมวด แต่พี่ชายผมมันก็แค่หันมาทำหน้างงงวย (มึงควรไปนอนไอ้เฟรม)

“แม่มึงให้กูมาอยู่ดูแลมึงในช่วงที่พวกนั้นไปฮันนีมูน”

“!?!?” วันนี้มีแต่เรื่องน่าตกใจว่ะ ผมแสดงสีหน้าเกินบรรยายออกไป นี่แปลว่าพวกผมต้องอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันกับไอ้จอมเผด็จการอย่างไอ้เตี้ยนี่นะ!!

…………

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

เนื่องจากเป็นวันหยุดช่วงปิดเทอม ผมจึงว่างมากเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วในเวลาเปิดภาคเรียน ผมที่นอกจากต้องทำงานตัวเองแบบหามรุ่งหามค่ำแล้ว เสร็จงานตัวเองก็ยังต้องช่วยเหลือเพื่อนๆ ในกลุ่มให้ผ่านพ้นงานต่างๆ ไปด้วยกันให้ได้ ช่วงเปิดภาคเรียนสภาพของผมเสมือนผีดิบดีๆ นี่เอง

ช่วงเรียนปีสามที่ผ่านมา ทำให้ผมงดเว้นกิจกรรมบันเทิงต่างๆ โดยเฉพาะงานบริการหนุ่มรูปงามที่ต้องการค้นพบตนเองในอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต ซึ่งโดยปกติผมเล็งใครไว้ก็จะไม่เคยพลาด จุดด่างพร้อยของผมมีเพียงคนเดียวคือ พี่กวี เทพบุตรที่ใครๆ ต่างหมายปอง อดีตของยัยนิ่มแฟนคนปัจจุบันของไอ้แฝดพี่ของผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันไปคว้ามาได้ยังไง?

ช่วงปิดภาคเรียนแบบนี้ นอกจากจะได้พักร่างให้กลับมาผ่องใสเหมือนเดิม ยังได้ทำกิจกรรมที่ผมโหยหามานานด้วย งานล่าแต้มหนุ่มรูปงาม ยังไงล่ะ!!

หากอยากจะถามผมว่าผมชอบแบบไหนน่ะหรือ?  ผมไม่มีสเปกตายตัวหรอกนะ เพียงแค่เห็นว่ามีเสน่ห์ หน้าตาน่ารัก นิสัยไม่เรื่องมาก และที่สำคัญเปิดใจมาคุยกับหนุ่มลูกครึ่งรูปหล่อ ดีกรีนักกีฬามหาวิทยาลัยอย่างผม ก็แค่นั้นเอง

ในระหว่างที่ผมกำลังประทินผิวหน้าด้วยแผ่นมาร์กหน้าที่นำเข้าโดยแม่ตัวเอง อย่างอารมณ์ดี ผมพาดร่างตนเองนอนลงที่โซฟาที่ห้องนั่งเล่น ชื่นชมกับสวนสวยหน้าบ้านยามเช้าที่สดใส ในชุดเสื้อผ้าแบรนด์เนมพร้อมล่าเหยื่อ จากความเงียบของบ้านตอนนี้ผมเดาว่าไม่มีใครอยู่บ้านแน่นอน

“เฮ้ย!! พี่ชายมึงไปไหน?!?” เสียงคุ้นหูที่ไม่คุ้นชินเอ่ยขึ้นเหนือศรีษะ

ผมผุดลุกขึ้นมองต้นเสียงอย่างอารมณ์เสีย ผมลืมไปเสียสนิทที่มีไอ้เผด็จการนี้อยู่ที่นี่ด้วยตามคำสั่งของแม่

“ว่าไง! รู้ไม่รู้ก็บอก กูต้องทำหน้าที่ผู้ปกครองพวกมึงอยู่นะ ตลอดหนึ่งเดือนนี้เนี่ย!!” ชายรูปร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายพรางสีเขียวมิ้นท์และกางเกงขาสั้นสีขาวยืนกอดอกคิ้วขมวดมองมาทางเขา

“กูกับมันไม่ได้ตัวติดกันนี่ กูจะรู้ได้ยังไง!?!” ผมตอบกลับไปตามประสาผม

“พอแม่ไม่อยู่นี่ก็กลับมากวนบาทาเหมือนเคยนะ! แล้วนี่มลเลี้ยงลูกยังไงให้ไปไม่ลามาไม่ไหว้แบบนี้ว่ะ!” สุดท้ายมันก็คนแก่คนหนึ่ง บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย

ผมที่ได้ยินอีกฝ่ายขึ้นเสียงแบบนี้เหมือนโดนด่าว่า แม่ไม่สั่งสอนเลย

“แม่ผมเลี้ยงลูกด้วยการไว้ใจ ดูแลแบบผู้ใหญ่ และพวกผมก็ไม่เคยทำตัวให้แม่เป็นห่วงเลยสักครั้ง!!” ผมสวนกลับไป

“จริงน่ะ?” ผู้ปกครองมือใหม่ถามกลับทันควัน แต่เป็นคำถามที่ผมคิดทบทวนแล้วว่าตอบกลับยืนยันเป็นความจริงว่ายากเอาการ ผมเลยเลือกนิ่งเฉยและหันหลังกลับไปนอนพาดที่โซฟาที่เดิม

อย่าว่าแต่ไอ้คุณพี่นีโน่เลย ผมสิยังไม่รู้เลยว่าช่วงนี้พี่ชายผมมันหายไปไหนบ่อยๆ  ปกติมันก็จะบอกผมกับแม่ตลอดนะ หากเป็นผมก็ว่าไปอย่างที่ชอบทำตัวแบบนี้

“ดีจริงๆ เฮ้อ!……” คนตัวเล็กเอามือหยาบกุมศรีษะพลางสบถเบาๆ และเหมือนจะพึมพำว่า ‘คิดถูกแล้วที่ไม่มีลูก’

ผมปลีกตัวจากจุดเดิมที่เห็นผู้ปกครองจำเป็นกำลังเดินตรึกตรองบางอย่างด้วยอาการนิ่วหน้าใจลอย ผมจัดการดึงแผ่นมาร์กหน้าออกไปทิ้งที่ขยะในห้องครัวก่อนที่จะเดินเลยเข้าไปที่โต๊ะอาหารที่วางอาหารเช้าแบบไทยๆ ไว้เต็มโต๊ะ

ภาพที่เห็นไม่ค่อยชินตาเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่แม่ผมจะให้แม่บ้านอาหารง่ายๆ อย่างข้าวต้มกุ้ง หรือ ขนมปังปิ้งไข่ดาว วางไว้ให้อย่างง่ายๆ  ซึ่งผมก็มีนั่งกินบ้าง ไม่กินบ้างแล้วแต่ความรีบร้อนในแต่ละวัน แต่วันนี้มันต่างไป

บนโต๊ะมีทั้งข้าวสวยหอมกรุ่นอยู่ในภาชนะขนาดใหญ่ มีไข่ดาวทอดกึ่งสุกกึ่งดิบวางอยู่บนจานเปลเรียงตัวสวยมันวาว หมูแดดเดียวทอดที่หั่นเป็นเส้นยาวพอดีคำ และแกงจืดฟักเขียว หมูสับก้อน และเต้าหู้ไข่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดี ส่งควันร้อนระเหยขึ้นมาเหมือนเพิ่งทำเสร็จ

“หิวก็ลงนั่งกิน!” ชายตัวเล็กที่เดินตามหลังมาเอ่ยทักพร้อมเดินผ่านผมมานั่งฝั่งตรงข้าม

พี่ฟางแม่บ้านจึงได้เตรียมจานช้อนส้อมให้ พร้อมทั้งเดินไปตักข้าวใส่จานไว้สองจาน ผมไม่นึกว่าจะต้องนั่งกินมื้อสายกับไอ้พี่นีโน่จึงยังคงยืนเกร็งอยู่

“คุณไอซ์จะรับประทานเลยใช่ไหมคะ? ขอโทษนะคะคุณนีโน่บอกว่าหากคุณไอซ์เข้ามาให้ตักข้าวได้เลย” แม่บ้านวัยกลางคนผิวเข้มหันมามองผมและพูดทักผมที่ยืนมองนิ่ง

“อ่อ… ครับ ผมจะกินเลยครับ ขอบคุณครับ” ผมเหมือนถูกคำถามนั้นกระทุ้งให้รีบตอบและรีบลงไปนั่งเก้าอี้ที่มีจานข้าวตักเตรียมไว้ทันที

ทุกการกระทำของผมอยู่ภายใต้สายตาของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม มุมปากที่หยิบยกขึ้นมาเป็นครั้งๆ นั่น ทำให้ผมเดาไม่ออกว่าคนๆนี้คิดอะไรอยู่

ผมทำเป็นไม่สนใจและรีบตักทุกอย่างตรงหน้าใส่จานข้าวของตนเอง และเริ่มลงมือกินเหมือนกินข้าวราดแกง ที่ทำแบบนี้เพื่อที่จะได้ปฎิสัมพันธ์กับคนร่วมโต๊ะอาหารให้น้อยที่สุด

แต่ทุกคำที่กินเข้าไป รสชาติอาหารเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ อาหารง่ายๆ แบบนี้ทำไมมันถึงได้รสดีแบบนี้

“อร่อยก็ชมพี่บ้างก็ได้” ชายร่างเล็กเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้มที่เหมือนมีชัย (ไม่ได้ไปแข่งอะไรกับมันเสียหน่อย!!)

“ทำเองจริงง่ะ?!?” ผมถามด้วยใบหน้ากวนบาทาสไตล์ผม

“อยากรู้เย็นนี้ก็มาดูกูทำกับข้าวด้วยก็ได้!!”

“เอาจริง พี่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยว่ะ”

“กูอยากทำ แล้วช่วยปรับปรุงวิธีพูดกับผู้ใหญ่หน่อยสิวะ!!”

“ตามใจ! เออ ลืมไปเลยว่ามึงก็เพื่อนแม่ ให้กู … เอ้ย! ผมเรียกลุงเหมือนลุงโต้งไหมล่ะครับ ลุงโน่”

“เรียกลุง หนึ่งครั้งกูต่อย หนึ่งหมัด”

เชี้ยแล้วไง ไอ้โหดของแท้ ผมควรจะเลิกกวนตีนมันดีกว่า ผมรู้ว่ามันเกรงใจแม่ผม แต่… ผมก็รู้ว่า เวลามันเลือดขึ้นหน้า มันทำได้ทุกอย่าง!!

ผมเลือกที่จะเงียบครับ และนั่งกินข้าวต่อไป

หลังจากจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย ผมก็เตรียมตัวออกไปท่องเที่ยวตามใจตัวหลังจากที่ไม่ได้ทำแบบนี้มานาน นานๆทีจะได้อยู่คนเดียวเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนลากเข้าไปพัวพันกับปัญหาร้อยแปดพันเก้าของบรรดาเพื่อนๆ ในกลุ่ม ซึ่งไอ้นิสัยขี้เผือกอย่างผมมันก็อดไม่ได้เสียด้วย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็โสดมาเป็นปีแล้ว

ของที่พ่อให้มาอย่างเต็มไม้เต็มมือแทบจะไม่ได้ใช้ ปิดเทอมนี้ พ่อจะใช้ให้หนำใจ ถึงผมจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมช่วงนี้ไอ้ต้นน้ำเพื่อนยากมันจะหายหน้าหายตาไปชนิดเหมือนมันติดอยู่ในถ้ำที่ถูกน้ำท่วมจนออกไม่ได้ก็เถอะ (ถ้ำที่ว่าน่าจะชื่อจินไห่) แต่แบบนี้ก็อาจจะดีกว่า

คิดได้ดังนั้น ผมก็รู้สึกอารมณ์ดีถึงกับฮัมเพลงออกมา ขณะลุกเดินออกจากโต๊ะอาหาร

“เฮ้ย!!” คนที่ยังนั่งอยู่เอ่ยทักเสียเข้ม

“อะไรของละ…..เอ่อ….พี่ อะไรของพี่อีกละครับ?” ผมรู้สึกเสียววูบวาบบริเวณใบหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำมือแน่น

“เก็บจานด้วย!” เสียงเข้มขึ้นไปอีก

“ก็ปกติ…” ผมพูดพลางมอง พี่ฟางแม่บ้านที่ยืนส่งยิ้มแห้งกลับมา

“กูไม่ใช่มล จะให้สปอยเด็กแบบนี้ ไม่ใช่ทางกู ฟางเขาเตรียมโต๊ะอาหารให้แล้ว มึงควรจะรับผิดชอบในการไปเก็บเองบ้าง!! กูไม่ให้ล้างด้วยก็บุญแล้ว!!” นีโน่พูดเสียงเข้ม ดวงตาจริงจัง

ผมรู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมาเลย ถึงแม่ผมจะดุและ เข้มงวด แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผมไม่เคยต้องทำเองเลย (รวมถึงเรื่องความสะอาดด้วย)

“…….” ผมรู้ดีว่าไม่ควรไปขัดอะไรมัน แม่ไว้ใจมันมาดูแลพวกเรา มันก็เลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ผมทำตามอย่างว่าง่าย เดินไปเก็บจานบนโต๊ะไปวางไว้ที่อ่างล้างจาน

“จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นี่หว่า”  ไอ้คนตัวเล็กเดินมาลูบศรีษะผมอย่างกับหมาเชื่อง หากเป็นปกติผมคงเลือดขึ้นหน้ากระชากคอเสื้อมันจนตัวลอยแล้ว แต่วันนี้…… ต่างออกไป ผมใจเต้นแรงและรู้สึกเขินอายที่ถูกทำแบบนี้ต่อหน้าพี่ฟาง

“หมดธุระกับผมแล้วใช่ไหม? ผมไปล่ะนะ!” ผมรีบรุดหน้าเดินหนีคนตัวเล็กที่กำลังพยายามลูบศรีษะผมอย่างต่อเนื่อง แม้ท่าเขย่งเท้าของเขาจะดูตลก แต่ผมกลับไม่รู้สึกขำ เพราะอยากจะรีบไปให้พ้นๆ จากตรงนี้

“จะไปไหน?” อีกฝ่ายตะโกนถามมา

“จะต้องรู้ไปทำไมวะ? เรื่องส่วนตัวไหม?”

“ไม่มีอะไร อยากรู้ว่าที่ๆ ไปไม่น่าเป็นห่วง กูจะได้สบายใจ”

“เอ่อ….. ไปแค่คาเฟ่ ‘Like Bar Lies’ นัดกับเพื่อนไว้!!” เจออีกฝ่ายพูดประโยคแบบนี้มาทำให้ผมอดที่จะเขินไม่ได้อีกครั้ง เลยเฉลยว่าจะไปไหน ชื่อคาเฟ่แหล่งรวมวัยรุ่นของจังหวัด แต่เรื่องนัดกับเพื่อนไว้นี่ ผมโกหก แต่ก็ไม่เชิง เพราะกะว่าจะไปหาเพื่อนใหม่ที่นั่นไง!!

พูดจบผมก็คว้ากุญแจรถขับออกไปทันที

………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


คาเฟ่ ‘LikeBarLies’ (อ่านว่า ไลค์ บาร์ ลี่ส์ คนที่เคยอยู่ต่างประเทศอย่างผมก็งงกับคนตั้งขื่อ ว่าต้องการสื่ออะไร แต่ก็ช่างเถอะ เพราะมันฮิต) เป็นแหล่งรวมของวัยรุ่น จนถึงวัยเริ่มต้นทำงาน อายุเฉลี่ยของลูกค้าที่นี่ก็ประมาณ 18 - 25 ปี  เหตุที่มันกลายเป็นแหล่งนัดพบก็คือ เมนูเครื่องดื่มสไตล์มอคเทล อร่อยแบบไร้แอลกอฮอล์ แต่ได้บรรยากาศแบบบาร์และไนท์คลับในช่วงเวลากลางวัน มีโต๊ะเก้าอี้นั่งแบบสะดวกสบาย แม้จะไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวมากนักเพราะจัดโต๊ะได้เรียกว่าแน่นขนัด แต่บรรดาหนุ่มสาวที่ชอบปฏิสัมพันธ์กันมันจึงเป็นที่นิยมไม่น้อย นอกเหนือจากนี้ บรรดาพนักงานที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี ที่มีดีกรีไม่น้อยหน้านายแบบ นางแบบ ที่มาบริการลูกค้าภายในร้าน จึงกลายเป็นแหล่งดึงดูดหนุ่มสาวได้อย่างดี ที่สำคัญที่สุดคือ ขนมร้านนี้อร่อยมาก และเชฟขนมหวานที่นี่ก็ทำกันที่หลังร้านสดๆ เลย และที่สำคัญ เชฟขนมหวานก็มีหน้าตาที่น่าอร่อยไม่แพ้หน้าตาของขนมที่นี่เลย

ความจริงผมก็เล็งเชฟอยู่นี่แหละ แต่ไม่มีโอกาสได้เจอเลย ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ไม่มีใครมีโอกาสได้เจอเลยมากกว่า เป็นคนเก็บตัวมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก เท่าที่สืบมาคือโสด! เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพมหานคร เป็นคนที่มีฐานะดีแน่นอน เพราะรถที่ขับแพงระดับซุปเปอร์คาร์ซึ่งแอบจอดอยู่หลังร้าน

วันนี้ผมขับรถยนต์คันโปรด BMW สีน้ำเงินสด มาจอดที่หน้าร้านเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนในร้าน เวลาเข้าหาคนจะได้ง่ายหน่อย แน่นอนว่าผู้หญิงน้อยใหญ่ในร้านมองมาทางผมที่เพิ่งลงจากรถตาเป็นประกาย แต่ผมต้องเสียใจด้วยที่ผมสนใจเฉพาะผู้ชายเท่านั้นครับ แต่ผมก็ยังคงเก็กเดินเข้าไปในร้านต่อไปและพยายามไม่สนใจเหล่าสาวสาวที่ทำตาเป็นประกายใส่ผม  ผมเองก็ไม่อยากเสียมารยาทบอกความจริงไป เพราะการที่มีคนหันมาสนใจ ยังไงมันก็ดีกว่าคนที่ไม่มีใครอยากแม้แต่ขายตามอง ถึงผมจะไม่ใช่เดือนมหาวิทยาลัยและกัปตันทีมบาสเกตบอลมหาวิทยาลัย เหมือนอย่างพี่ชายผม แต่ด้วยหน้าตาและผลการเรียนที่รอเกียรตินิยมแค่นี้ผมก็ฮอตมากแล้ว (ผมกับพี่ชายเป็นฝาแฝด พูดไปก็เท่านั้น หากมันฮอต ผมก็ฮอตเหมือนกันล่ะวะ)

คนมักจะเข้าใจผิดระหว่างผมกับพี่ชายฝาแฝดที่เป็นชายแท้ๆ บ่อยครั้ง แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมเริ่มภารกิจสแกนหาเหยื่อทันที

เหมือนเป็นโชคดีของผม วันนี้เชฟขนมหวานคนนั้นกำลังจัดเตรียมวางของหวานสำหรับขายที่ตู้โชว์กระจกไอเย็นหน้าเคาน์เตอร์พอดี  ผมรีบเดินไปจัดการเป้าหมายอย่างว่องไว

“วันนี้มีอะไรพิเศษไหมครับ?” ผมเดินหยุดตรงหน้าเขาพอดี พร้อมพูดทักทายในขณะที่คนอื่นๆในร้านทำได้แค่มอง  (ความมั่นหน้าเกินร้อย)

“เอ่อ…..คุณ….” ชายหนุ่มในชุดขาวและผ้ากันเปื้อนสีเดียวกันเงยหน้าขึ้นมามองผม ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นทำให้เลือดเสือในใจผมตื่นขึ้นจนสูบฉีดร้อนลุ่มไปหมด

“รู้จักผมด้วยหรือครับ ผมไอซ์ครับ” ด้วยความเป็นคนดังเสียจนเคยชิน ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนรู้จักบ้าง เพราะอย่างน้อยก็ขึ้นทำเนียบหนุ่มหล่อประจำมหาวิทยาลัย ผมเติมคำพูดต่อด้วยความเป็นธรรมชาติ และแนะนำตัวด้วยร้อยยิ้มที่ ผู้ชายน้อยใหญ่ต่างก็เสร็จผมทุกราย

“อ้อ คุณไอซ์ ผมนึกว่าคุณเฟรม เขาชอบมากับแฟนบ่อยๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันนะครับว่า ทำไมวันนี้มาคนเดียว แถมมาทักผมด้วย! เลยแอบตกใจนิดหน่อยครับ” เสียงหวานที่พูดเนิบนาบทำให้ชายคนนี้มีเสน่ห์มากไปอีก เขาเป็นคนสุภาพมากกว่าที่คิด และเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าคนที่ทำงานแต่ในครัวทั่วไป (ใช่ครับ ผมอ้างอิงจากพี่จินไห่ คนนั้นนั่นล่ะ)

“อ้าวรู้จักพี่ชายผมด้วย!” ผมแสดงสีหน้าแปลกใจออกไป เพราะดูจากท่าทางของเชฟหนุ่มนี่สงสัยคงแอบชอบพี่ชายผมแน่นอน แต่เสียใจด้วยนะ คนนั้นมันชอบชะนีครับ นั่นแปลว่าอย่างผมก็มีลุ้น!

“ใครจะไม่รู้จักล่ะครับ ก็ลูกค้าประจำที่นี่ครับ ……..แล้วก็…. เคยคุยกัน……….บ้าง……  แล้วก็ที่สำคัญ!!” สีหน้าหนุ่มหน้าใสเหมือนคิดได้ว่าหลุดปากเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา แล้วก็เฉไฉไปเรื่องอื่น เขาก้มตัวลงไปค้นอะไรสักอย่างหลังจากพูดจบ

“อะไรครับ?” ผมเอ่ยทักพร้อมพยายามก้มมองว่สคนฝั่งตรงข้ามตู้กระจกนั้นทำอะไร

เพียงชั่วครู่เชฟหนุ่มก็เฉลย โดยการยกเสี้ยวเค้กสีสดใสใส่จานขนาดพอดีกับชิ้นเค้กยื่นให้

“อภินันทนาการจากทางร้านครับ” เชฟหนุ่มยิ้มหวาน

“เอ่อ……” ผมมองสีของเค้กก็ทำให้แสบคอเสียแล้ว น่าจะหวานมาก เค้กที่เคลือบไปด้วยน้ำเชื่อมสีสดมันวาวสะท้อนแสงสีส้มในร้านสวยงามกำลังสะท้อนอยู่เต็มสองดวงตาของผม ผมไม่ค่อยถูกกับของหวานแบบนี้ก็เลยยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป

‘ไม่รับเขาจะเสียใจไหมวะ’ ผมคิด

“เค้กนี้เป็นของใหม่เลยนะครับ เอ่อ…. ทางร้านทดลองทำดู มีคนบอกผมว่าคุณเป็นเซียนขนมหวานเลย น่าจะวิจารณ์ได้ดี ถือว่าช่วยผมนะๆๆๆ” เชฟหนุ่มทำหน้าตาและส่งเสียงอ้อน ที่ใครเห็นก็ต้องตอบตกลงทั้งนั้น ส่วนผมเองก็เช่นกัน แค่เห็นอีกฝ่ายพูดคุยสนิทสนมด้วยแบบนี้ก็อยากจะแนบสนิทชิดเนื้อเสียแล้ว

แค่คิดว่า ใครว่ะ ที่พูด!! ถึงผมจะมาตามร้านคาเฟ่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ชอบกินขนมหวานนะ หนุ่มๆ ต่างหากที่ผมอยากกิน!

“ได้ครับ แต่มีข้อแม้ ผมอยากรู้ชื่อเล่นหน่อยน่ะครับ”
ผมยื่นมือไปรับด้วยร้อยยิ้ม เพราะข้อมูลนี้ไม่มีใครเคยรู้นอกจากเจ้าของร้าน!!

“นึกว่าอะไร? แค่นี่เอง ผมชื่อ กรณ์ ครับ” อีกฝ่ายฉีกยิ้มตาตี่

“อ้าว! ก็เหมือนชื่อจริงสิ อย่างนี้ผมก็เสียเปรียบสิ!!” ผมยื่นมือไปรับจานเค้กพร้อมแอบสัมผัสผิวมือที่หนุ่มกว่าที่คิด เชฟก็ไม่ได้มีปฎิกิริยาปฏิเสธ แถมยังยิ้มหวานกลับมาอีก ก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปทำงานในครัวต่อ

ผมเดินหันหลังกลับไปหาที่นั่งอย่างอารมณ์ดีพร้อมเค้กในมือ พร้อมสั่งเครื่องดื่ม อเมริกาโนเย็น ไม่หวานมาทานคู่กับเค้ก โดยคาดหวังว่าความขมของกาแฟจะทำให้ความหวานลดลงบ้าง….

แต่ผมคิดผิด…..

แต่คงต้องพยายามกินให้หมดเพราะกรณ์ เชฟหนุ่มเดินมาแอบมองอยู่เป็นระยะๆ

“เป็นไง? สูตรนี้กูช่วยคิดเลยนะ!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังพยายามขยับก้อนความหวานแสบคอลงผ่านลำคอไปด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความอร่อยเหลือล้น

“หา! ว่าไงนะ? แล้วนี่มาได้ยังไงเนี่ย!?!” หันไปเจอชายกลางคนตัวเล็กในชุดเครื่องแบบของร้าน ที่ขัดกับอายุพอควร

“ก็นี่มันร้านกู!! แล้วเป็นไงบ้าง ไอ้เค้กนั่นน่ะ อร่อยใช่ไหม?” พูดจบนีโน่ก็ยิ้มกว้าง

“……..” จริงๆ แล้วหูผมดับหลังจากที่ได้ยินประโยคแรกแล้ว ผมได้แต่คิดว่า มีที่ไหนที่ไม่ใช่กิจการของมันบ้างเนี่ย!

“เฮ้ย! ผู้ใหญ่ถามน่ะก็หัดตอบบ้าง” คนตัวเล็กไม่ถามเปล่าเขาก้าวมานั่งฝั่งตรงข้ามผมทันที

“เอ่อ……ก็…..อร่อย” ผมมี่พยายามพยามส่ายตาไปรอบร้าน เพื่อหาผู้ทำเค้กที่หวานแสบไส้นี่ หลังจากที่ไม่เจอในจอเรดาร์ ผมจึงตอบไอ้คนที่ขยั้นขยอจะเอาคำตอบจากผมอยู่ที่ด้านหน้า

“เฮ้ย! จริงดิ!” นีโน่พูดพร้อมคว้าช้อนจากมือผมไปตักเค้กหลากสีตรงหน้าเข้าปาก

“หืม!!!” คนตัวเล็กทำสีหน้าที่ทำให้ผมหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นไงล่ะ อร่อยไหม?” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายชูมือเพื่อให้ลูกน้องในร้านหาน้ำให้ดื่มด้วยหน้าตาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เป็นไงครับ?” คนที่นำน้ำมาให้คือเชฟขาวหล่อคนนั้น กรณ์ถามพร้อมรอยยิ้มที่ขบขันอีกฝ่ายไม่แพ้ผม

“ทำไมไม่เตือนกันก่อนว่ารสชาติมันแย่แบบนี้!” ชายตัวเล็กที่ดูน่าแกงเพราะพยายามกลืนเค้กที่รสชาติเหมือนน้ำอ้อยทั้งสวนมาอยู่ในคำเดียว

“ผมเตือนแล้วพี่ฟังที่ไหน พี่จะชอบหวานก็ให้มีขอบเขตหน่อยนะครับ มันไม่จำเป็นต้องใส่น้ำตาลและน้ำผึ้งในคราวละมากๆ ระดับนี้เลยนะ ไหนจะไอ้พวกสารให้ความหวานสารพัดสีนี่อีก!!” เชฟหนุ่มพูดไปหัวเราะไป เป็นคนที่สามารถทำให้ทั้งร้านยิ้มตามได้ทั้งบริเวณจริงๆ

“อย่าบอกนะว่า พี่จะแกล้งผม!” ผมหันไปหาคนที่กึ่งๆ จะหน้าแดงเพราะตอนนี้ตกเป็นเป้าสายตา ถึงมันจะดูขัดตากับภาพนักเลงของไอ้พี่โน่ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นภาพที่ไม่เลว

“ป่าวหรอกครับ สูตรนี้พี่เขาอยากทำให้ใครสักคนลองกินเย็นนี้ผมก็เลยลองเอามาให้กินเสียเลย” เชฟหนุ่มพูดพลางมองเจ้าของร้านตัวเล็กด้วยสายตาขี้แกล้ง

“อ้าวนี่!! คุณกรณ์แกล้งผมเหรอ แหม!! อย่างนี้ต้องชดเชยนะครับ” ผมรีบทำแต้มทันที ผมเองก็ไม่รู้ว่าบทสนทนาเมื่อครู่นี่มันคืออะไรนะ แต่ก็ต้องรีบทำแต้มไว้ก่อน

“ไม่มีอะไรทำรึไง!” นีโน่พูดสวนขึ้นมาเสียงเรียบ มองหน้ากรณ์ด้วยตาดุดัน

“มีครับ งั้นขอตัวนะครับ” กรณ์โบกมือและวิ่งเหยาะเข้าหลังร้านไปด้วยท่าทางน่ารัก ผมอดที่จะจ้องมองส่งเชฟหล่อไปจนลับตา

“อะไรเนี่ย กันซีนชะมัด!” ผมหันมาค้อนใส่ไอ้คนตัวเล็กที่จ้องเขม็งมาเหมือนหมาหวงก้าง และไร้คำพูด

“อย่ามาหวงไปหน่อย คิดจะจ้องกินเด็กในสังกัดอีกกี่คนกันวะ คราวพี่ไห่ก็คน คราวนี้ก็คุณกรณ์อีก แต่ผมไม่กลัวหรอกครับ ยังไงผมก็จะเอาให้ได้!!” ผมพูดต่อโดยท้าทายต่อสายตาเข้มๆคู่นั่น

“มึงควรจะกลัว เพราะนั่น ลูกพี่ลูกน้องกู!!” ประโยคสั้นๆ แต่ทรงพลัง ทำให้เข้าใจความสนิทของทั้งสองคนแต่… ไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นจากสายตาคนตรงข้ามนี่คืออะไร และไอ้เค้กเลี่ยนๆนี่อีก

“……..งั้น….ขอไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมคิดแผนบางอย่างออกจึงรีบขอตัวชิ่งจากตรงนี้ดีกว่า ในเมื่อไอ้เตี้ยญาติผู้ใหญ่นั่งอยู่แบบนี้คงจะปฏิบัติการจีบตรงนี้ไม่ได้

ผมแสร้งว่าปลีกตัวมาห้องน้ำที่ต้องเดินออกไปอีกอาคารหนึ่งไม่ไกลโดยมีระเบียบงทางเดินแคบๆ เชื่อมอยู่ให้พอเดินไปมาได้เต็มที่ก็สองคน

ระหว่างเดินสายตาเหยี่ยวของผมก็จับจ้องสอดส่องไปทั่วบริเวณเพื่อหาช่องทางลัดเลาะเข้าท้ายครัว ในเมื่อทัพหน้ามีแม่ทัพใหญ่อย่างนีโน่ขวางทางอยู่ ผมก็คงต้องบุกเข้าท่งทวารหลังแล้วล่ะ คิดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกวาบวามในใจจนคึกคักขึ้นมา

ทันใดนั้นสายตาที่ดีบวกดวงอภิชาตบุตรอย่างผม ทำให้เห็นคนที่ผมหมายตาเดินย่องออกมาทางหลังร้านที่มีรถสปอร์ตคันหรูจอดอยู่ ไม่รอช้าผมรีบหาทางลัดเลาะเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยพลัน

ทันทีที่ไปถึงจุดที่เชพหนุ่มยืนอยู่ ผมก็ต้องเจอภาพที่ต้องตกตลึงจนอธิบายไม่ถูก เพราะเชพหนุ่มในตอนนี้กลายสภาพเป็นโรงงานยาสูบพ่นควันฉุยจนแทบจะหมดราศี

ผมไม่ชอบคนสูบบุหรี่ครับ มันเลยเป็นภาพที่ขัดตาเสียจนมองคนตรงหน้าถูกลดความหล่อไปกว่าครึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า หนุ่มหน้าใสแบบนี้ และยิ่งเป็นเชพขนมหวานแบบนี้จะเป็นสิงห์อมควันแบบนี้

“อุ้ย!” เชพกรณ์ที่เหมือนเพิ่งจะเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมาเจอเขาในสภาพที่ไม่น่ามองแบบนี้จึงมีอาการขวัญเสียอย่างมากจนทำบุหรี่ที่คีบอยู่หลุดมือลงพื้น แต่ควันเหล่านั้นก็ยังคงพวยพุ่งอยู่จนผมมีอาการจะสำลักควันเลย

“ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายลนลานจนรีบใช้เท้าขยี้บุหรี่มวนที่ตกอยู่ที่พื้นจนควันจางหายไป

“น้อง…น้องไอซ์ อย่าบอกใครเลยนะ โดยเฉพาะ….พี่โน่น่ะ” เชฟกรณ์กล่าวลนลานพร้อมพยายามปัดเสื้อผ้าหมายจะให้กลิ่นมันบรรเทาลงไปจากเสื้อผ้าบ้าง (ซึ่งมันไม่จริงเลย)

“นี่เชฟติด….หรือครับ?” ผมถามด้วยความสงสัย ไม่คิดว่าหนุ่มหน้าใสคนนี้จะขอบอะไรแบบนี้

“ก็พยายามเลิกอยู่นะ นี่ก็สูบน้อยลงแล้วนะ เหลือวันละมวน”

“เหลือแค่วันละมวนก็เลิกเถอะครับ” ผมสวนกลับไป รู้สึกมองคนตรงหน้าดีขึ้นมาหน่อย

“ก็พยายามอยู่นะ คือผมประหม่าเวลาเจอคนเยอะๆ น่ะ ก็เลือกมาเป็นเชพเพราะพอจะมีฝีมือทำขนมอยู่บ้าง”

“ไม่บ้างแล้วนะผมว่า คนติดใจมากินกันเยอะขนาดนี้”

“ก็นั่นน่ะสิ! ก็เลยต้องสูดให้หายเครียดเสียหน่อย”

“แล้วหายเครียดไหม?”

“………..” อีกฝ่ายทำท่าคิด คิ้วขมวดเหมือนจะผูกเป็นปมเข้าหากันได้

“แปลว่าไม่สินะครับ” ผมผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าแบบนั้น

“รู้สึกผิดมากกว่าน่ะ ว่าแต่อย่าไปบอกพี่โน่นะ ไม่งั้นผมโดนดุแย่เลย”  สีหน้าตอนพูดของเชฟกรณ์เหมือนเด็กที่แอบทำความผิดที่กลัวพ่อแม่จับได้

“เอ่อ….ขอถามหน่อยนะ คุณกรณ์เป็นอะไรกับพี่โน่น่ะ” ผมพยักหน้าก่อนจะเริ่มต้นคำถามต่อไป

“เฮ้ยๆๆ พูดด้วยน้ำเสียงหวาดเสียวแบบนั้นเดี๋ยวผมก็โดนฟ้าผ่าพอดี!! เขาเป็นลูกชายของป้าน่ะครับ ก็ลูกพี่ลูกน้องนั่นแหละ” โอเคข้อมูลตรงกัน ผมคิด ยิ่งเห็นท่าทางแหยงของอีกฝ่ายยิ่งยืนยันได้ชัดมากขึ้น

“แบบนี้ผมก็มีสิทธิ์สิเนอะ” ผมขยิบตาให้และส่งยิ้มเสน่ห์ไปให้

“โหยยย อย่าเลยครับ ผมยังไม่อยากตาย” เป็นอีกครั้งที่คนหล่อตรงหน้าแสดงสีหน้าแหยงใส่ผม แต่ก็ยังน่ารักอยู่

“หมายความไงครับ?” ผมเผยสีหน้างงงวยกับคำตอบของอีกฝ่าย

“ก็ผมเคยเล็งคนเดียวกับเฮียโน่ ผมโดนซ้อมเกือบตาย……อ่า…… ผมไม่ควรพูดสินะ” เชฟกรณ์พูดจบประโยคแรกจบก็ทำท่าทางตกใจ ตาเบิกโพลงยกมือขึ้นปิดปาก และจบด้วยพูดประโยคสุดท้ายเสียงอ่อน

“อะไรนะครับ ถ้าจะเล่นมุกแบบนี้ก็แรงไปนะครับ!!” คนที่ตกใจกว่าน่าจะเป็นผมนะ ถึงจะคิดว่าล้อเล่นแต่ก็ทำให้คลื่นหัวใจผมสั่นกระเพื่อมขึ้นมาอย่างรุนแรงมาจังหวะหนึ่ง

“อืม…… เอาวะ เห็นแล้วก็ไม่สมกับเป็นเฮียโน่เลย! น้องไม่สงสัยเหรอว่าเฮียโน่เขาจะมาทำเค้กกับผมทำไม? ไอ้คนเกลียดของหวานเข้าไส้แบบนั้น ก็เขาคิดว่าน้องชอบกินไง!!”  เชฟหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนเฉลย

“ใครบอกว่าผมชอบ มันคิดจะแกล้งผมล่ะมากกว่า ที่ผมชอบมาก็เพราะว่าที่นี่คนหน้าตาดีให้สอยเยอะต่างหาก” ใช่ครับที่ผมมาบ่อยเพราะคนครับไม่ใช่ขนม

“ถึงจะอย่างนั้น เฮียก็ตั้งใจทำเลยนะ มันมาให้ผมสอนทุกวันเลย ไอ้คนที่ไม่คิดแม้แต่จะชิมของหวานได้แต่คิดว่าทดลองใส่โน่นนี่แล้วมันจะอร่อยนี่ ผมล่ะหมดความอดทนเลย ไอ้คนไม่เคารพขนมหวานแบบนั้น!” เชฟกรณ์พูดประโยคจบท้ายด้วยความโมโห

“……..เอ่อ….. ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? ผมออกจะไม่ถูกกับมันขนาดนั่นเนี่ยนะ คนอย่างมันจะมาชอบผมได้ไง?”

“ไม่รู้ครับ ผมรู้สึกแบบนั่นจริงๆ ลองนึกดูเอาเองก็แล้วกันว่ามันมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ เฮียเขาเปลี่ยนไป จากร้ายเป็นรักน่ะ” ผมฟังเชฟหน้าใสพูดแล้วรู้สึกเวียนหัว ถึงจะมีบางส่วนในจิตใจรู้สึกลิงโลด แต่มันก็แฝงไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ไอ้พี่โน่มันแค่ต้องการกันซีนผมกับคุณเชฟนี่หรือเปล่า?

“ไม่รู้แหละครับ ช่วยไปบอกไอ้เฮียด้วยว่า เลิกมายุ่งกับครัวของผมเสียที!! บอกไปเลยว่า น้องไม่ขอบขนมหวาน!!”  เชพหนุ่มชี้กลับไปที่ร้านคาเฟ่ที่มีคนแน่นขนัด

ผมมองเข้าไปในร้านผ่านช่องกระจกที่ประตูห้องครัวที่สามารถมองทะลุไปที่ฝั่งหน้าร้าน ก็เห็นไอ้นักเลงไซส์เอส เดินไปมาในร้านเหมือนมองหาอะไรด้วยสีหน้าเป็นห่วง สีหน้าแบบนั้นทำให้ผมหวนกลับไปนึกถึงครั้งแรกที่สายตาของคนตรงนั้นแปรเปลี่ยนไป วันสุดท้ายที่รีสอร์ตเกาะช้าง!

…………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากขับรถยนต์คันหรูของบ้านเดินทางไปทั่วเมือง สุดท้ายผมก็หมดอารมณ์จะไปไหนทั้งสิ้น (เพราะจะไปไหนก็คงไม่พ้นหูพ้นตาของคนมีอิทธิพลอย่างมัน แต่ก็แปลกที่ผมเองก็ไม่เจอพี่ชายผมเลย) ที่หมายสุดท้ายคือ บ้าน

สิ่งแรกที่ผมเห็นในบ้านรถยนต์ยี่ห้อญี่ปุ่นคันเก่า ของไอ้ต้นกล้าจอดอยู่ที่บ้าน และเสียงโหวกเหวกจากทางสวนหลังบ้าน

หลังจากเดินไปถึงต้นเสียง สิ่งที่คาดไว้ตั้งแต่เห็นรถไอ้ต้นกล้าก็คือ ขวดเบียร์ กองพะเนินและคนขี้เมาสองคนที่คุ้นตา

ไอ้คนที่หน้าตาเหมือนผมยังกะแกะกับไอ้เพื่อนสนิทของมันต้นกล้า ที่น่าจะดื่มเบียร์ตรงหน้าไปเกินครึ่งลัง

“กูก็นึกว่าพวกมึงไปไหน?” ผมทักขึ้นทันทีที่ถึงโต๊ะริมสวนสวยของบ้านที่เปิดโล่งเป็นสนามหญ้าและแผ่นหินอ่อนที่ปูเรียบคล้ายตารางหมารุกบวกรวมกับการจัดสวนแบบอังกฤษ ที่แม่ผมชื่นชอบ ทุกอย่างสวยลงตัวหมดยกเว้นไอ้ขี้เมาสองตัวนี่

“……..” ไอ้เฟรมแฝดพี่ของผมมันจ้องหน้าผมเขม็งและตอบด้วยการชูแก้วมาทางผมและยกดื่มน้ำสีอำพันฟองฟู่เต็มแก้วลงคอจนหมดตามด้วยเสียงเรอดังลั่น

“ใครเอาเหล้าให้มันกินขนาดนี้วะ!! นี่พวกมึงแข่งกินเบียร์กันรึไง?” ผมนั่งลง หันไปถามไอ้เพื่อนสนิทมัน พร้อมหยิบแก้วว่างที่วางอยู่แถวนั้นมารินเบียร์ลงแก้วจนเต็มโดยไม่ต้องรอให้ใครชวน

“เดี๋ยวค่อยคุยได้ไหม? ช่วยกูห้ามมันก่อน ไม่ใช่ลงมานั่งกินด้วยแบบนี้!” ไอ้ต้นกล้าโยกแก้วของผมและพี่ชายออกห่างจากตัว

“หนึ่งนะ นี่มันบ้านพวกกู พวกกูจะเมาเหมือนหมาก็ไม่เป็นไร สอง มึงก็แดกเบียร์เหมือนกันไม่ใช่เรอะดังนั้นมึงไม่มีสิทธิ์มาห้ามพวกกู!!” ผมดึงแก้วเหล้ากลับบวกทำตาขวางใส่ พี่ชายผมก็ไม่ต่างกันเพียงแค่มีสายตาเชื่อมด้วยน้ำเมาที่กินเข้าไปมากกว่าทุกที

“เออ! เรื่องนั้นกูรู้ แต่มึงเคยเห็นมันเมาเป็นหมาแบบนี้ไหม? เด็กดีอย่างไอ้เฟรมน่ะ มันเคยทำแบบนี้ที่ไหน?!?! แม่ง!! มึงก็อีกคน พูดเหมือนกันหมด!” ไอ้ต้นกล้าดูเหมือนจะไม่กล้ายุ่งกับแก้วของพวกผมแล้ว ผมทำได้แต่ทำท่าทางหงุดหงิดใส่เหมือนยอมแพ้กับความดื้อดึงตรงหน้า

“พวกกูไม่รู้นะ ว่าพวกมึง ไปโดนอะไรตัวไหนมาถึงได้เป็นขนาดนี้ แต่ว่านะปล่อยมันไปเถอะ เขื่อกู พอวันพรุ่งนี้มันตื่นมา ด้วยสิ่งที่มันจะเจอรับรองมันไม่กล้ายุ่งกับเหล้าเบียร์ขนาดนี้อีกแน่นอน!” ผมพูดพร้อมรินเบียร์ใส่แก้วให้เต็มใหม่อีกครั้ง

“เฮ้อ!! แล้วแต่พวกมึงแล้ว!!” พูดจบไอ้ต้นหล้ามันก็กรอกเหล้าเข้าปากไปหลายอึก เหมือนจะประชดและจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมาไปพร้อมกันให้หมดเลย

“เดี๋ยวนะ!! แล้วที่มึงว่า ใครพูดเหมือนกันหมด!!!??” ผมเหมือนเพิ่งจะสะดุดกับประโยคจึงเอ่ยถามไอ้ต้นกล้า แต่ไม่นานก็ได้รับคำตอบ

ชายร่างเล็กถือถาดขนาดใหญ่กว่าความกว้างช่วงไหล่ของเขาเดินมาจากด้านในของบ้าน ตอนนี้พี่โน่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบลำลองแล้ว เสื้อยืดสีขาวแขนสั้นเนื้อผ้าบางแนบลำตัวจนเกือบจะเห็นตุ่มเนื้อสีน้ำตาลอ่อนนูนเด่น บวกกับกางเกงขาสั้นเสมอเข่าแบบนักกีฬา ทำให้คนที่ถือถาดพร้อมอาหารบนนั่นดูอายุเด็กลงไปอีกโข หากมองไกล ๆ ก็เหมือนจะเป็นเพื่อนหรือรุ่นพี่มากกกว่าผู้ปกครอง

“เอ้า!! แดกอะไรเสียบ้าง เดี๋ยวพวกมึงได้เมาตายห่า!!” ชายร่างเล็กพูดเสียงเข้มพร้อมวางอาหารบนโต๊ะ ที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มมึนเมา อาหารที่เหมือนจะเพิ่งทำเสร็จหมาดๆ ส่งกลิ่นและไอร้อนหอมไปทั่วบริเวณ

ผมอยากจะตะโกนสวนไปว่าไม่ทันแล้วพลางมองไอ้พี่ชายฝาแฝดที่มีในหน้าไม่ต่างอะไรกับผิวมะเขือเทศสุกสดใหม่

เหมือนผู้ปกครองตัวเล็กจะส่ายตามองไปตามสายตาของผม เขาถอนหายใจแสดงสีหน้าเห็นด้วยโดยไม้ต้องพูดออกมาก็เข้าใจกัน ผมดันไปสบตากับมันและผ่อนลมหายใจออกพร้อมกัน แล้วอาการกระอักกระอ่วนก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

แต่โชคดีที่มีคนไม่อ่านกระแสอากาศบริเวณนั้นพูดแทรกขึ้นมา

“โอโห!! โคตรน่ากิน พี่โน่ทำเองหมดเลยเหรอ!!?” ไอ้ต้นกล้าแสดงความสนิทสนมที่เกินเบอร์ พวกมึงสองคนไปสนิทกันตอนไหนมิทราบ

แต่อย่างน้อยผมก็หายใจออกอย่างโล่งอกที่เป็นแบบนี้ ขืนต้องกระอักกระอ่วนอยู่กับไอ้พี่โน่สองคนนี่คงลำบากใจ เพราะดันไปรู้เรื่องแปลกๆ เข้า แล้วก็ไม่รู้ว่าพี่เชฟกรณ์สุดหล่อเล่าอะไรให้พี่โน่ฟังบ้าง

“อืม ทำเองหมดแหละ ปกติก็ชอบทำอาหารอยู่แล้ว พวกมึงคิดว่าใครสอนน้องไห่ทำอาหารไทยล่ะ กูนี่ระดับอาจารย์!!” ได้ทีไอ้นักเลงโตรีบคุยโว

ผมได้แต่แอบเบะปากและตักเอาต้มยำไก่เข้าปากพร้อมน้ำซุปสีร้อนแรงเข้าปาก ภายใต้สายตายิ้มเยาะของไอ้คนทำอาหารทั้งหมด

“อร่อย!” ผมอุทานอย่างไม่ตั้งใจหลังจากที่เอาสิ่งนั่นเข้าปาก

นีโน่ยิ้มอย่างพอใจ พร้อมกับไอ้ต้นกล้าที่รีบเอาถ้วยแบ่งตักออกมาวางไว้ให้ไอ้พี่ชายขี้เมาของผมกินเผื่อว่าจะอาการดีขึ้น

แต่ไอ้เฟรมก็ทำได้แค่มองถ้วยแบ่งด้วยน้ำตาคลอและกรอกเบียร์เข้าปากอีกรอบ

“พี่ชายมึงเป็นอะไรเนี่ย?” ผู้ปกครองจำเป็นเอ่ยถามผม

“ไม่รู้… ปกติเดี๋ยวมันก็เล่าให้ผมฟังเองแหละ ผมก็เลยรอเวลานั้นดีกว่า หากมันไม่อยากเล่ามันก็จะไม่เล่าเด็ดขาด” ผมตอบพร้อมมองไปทางพี่ชายที่เหมือนเครื่องจักรสูบเบียร์ ได้แต่คิดสงสารมันตอนเช้า มันคงจะแฮ้งค์น่าดู

“แล้วมึงล่ะเป็นอะไร หนีกูเพื่ออะไร ตอนกลางวัน” และแล้วก็เจอคำถามเงินล้าน ผมอุตส่าห์เลี่ยงมาโดยตลอด ผมไม่คิดว่าทันจะถามตรงกลางวงเพื่อนผมแบบนี้

ไอ้เฟรมเมาหนักมากตัดไป ส่วนไอ้ต้นกล้าขี้เผือกหันมามองผมสลับกับพี่โน่ไปมา ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยตำถามอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเสียงพูดของไอ้ตี๋ตัวเตี้ยที่หันมามองผมตาเยิ้ม (ผมแน่ใจว่ามันไม่เมา ตั้งแต่รู้จักไอ้เตี้ยนี่มาผมไม่เคยเห็นมันเมาเลย)

ผมจ้องมันกลับและส่งความคิดในใจกลับไปที่มันว่า ‘อย่าเสือก!’  ไอ้ต้นกล้าเหมือนจะเข้าใจ มันหันไปหาพี่ชายผมทันทีและทำทีว่าห้ามปรามฝ่ายนั้นไม่ให้ดื่มเพิ่ม ซึ่งเหมือนจะไม่ได้ผล ทำได้เพียงดื่มตามมันไปเพราะปวดหัวกับภาพตรงหน้า

ส่วนผมนั้นนอกจากจะปวดหัวกับพี่ชายฝาแฝดที่ไม่รู้มันเป็นอะไร ยังต้องมาปวดหัวไอ้คนที่ดูห่วงผมจนผมไม่ชินแบบนี้ จะบอกว่าแม่ฝากมันไว้ แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะสนใจไอ้เฟรมเท่าไหร่

“ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ” นีโน่ถามย้ำเหมือนต้องการคำตอบให้ได้

“ไม่มีอะไร” ผมตอบพร้อมยกแก้วเบียร์รินของเหลวสีอำพันเข้าปากจนก้นแก้วชี้ฟ้า

“ไม่มีอะไร? มึงออกจากร้านแล้วไม่คิดจะบอกกู!!” ผู้ปกครองจำเป็นเริ่มมีอาการเสียงแข็ง

“ฟังนะ ผมไม่ได้นัดกับ ‘มึง’ ไงครับ จะไปไหนก็เรื่องของผมไหม?” ผมพยายามสุภาพกับคนตรงหน้าที่สุดแล้วครับ เพื่อแม่ อย่างน้อยมันก็เพื่อนแม่

“……….” ไอ้คนเสียงกร้าวเมื่อครู่เหมือนจะมีสีหน้าแปรปรวนเล็กน้อย ก่อนที่มันจะกระดกแก้วเบียร์ที่เต็มจนล้นปล่อยให้ของเหลวไหลเจ้าปากจนหมดอย่างรวดเร็วราวกลืนทั้งหมดนั้นในอึกเดียว

คนตัวเล็กกระแทกก้นแก้วลงบนโต๊ะสนามสีขาวดังลั่น ส่วนผมที่ทึ่งกับความรวดเร็วในการดื่มนั่นยังคงจับจ้องที่แก้วเปล่านั้นอยู่ ไม่นานของเหลวสีอำพันโป๊ะด้วยฟองนุ่มก็เติมลงในแก้วนั้นจนล้น โดยไอ้เพื่อนผู้ไม่เคยดูกาลเทศะใดๆ

เสียงปรบมือของไอ้ต้นกล้าดังลั่นสวน (มันน่าจะเริ่มเมาแล้ว)

“โหย… พี่!! สุดยอดไปเลย ผมว่าแน่แล้วนะ ผมยอมพี่เลยว่ะ!!” ไอ้ต้นน้ำทำท่าคาราวะแบบคนจีน โดยเอากำปั้นประทับลงกลางฝ่ามือที่กลางอก พร้อมนอบน้อมตัวโค้งลงต่ำ

“มึงน่ะอ่อนสุดไอ้กล้า” ผมรู้สึกขอบคุณมันอยู่เหมือนกันที่ช่วยผมหาทางเบี่ยงเบนประเด็นที่ทำให้ตัวเองสับสนหัวใจ

“สัด! หรือมึงจะลอง!!” ไอ้ต้นกล้าหันมาท้าทายทันที

“สองคนมันจะสนุกอะไร?” ผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มนอกจากจะไม่ห้ามแล้ว ยังจะเสริมการท้าทายไปอีก

“กูไม่มีอารมณ์จะมาเมาค้างวันพรุ่งนี้หรอกนะ!!” วันนี้ผมยังไม่ได้ปลดปล่อยเลย พรุ่งผมต้องพร้อม!! ไม่ใช่เอาเวลามาปวดหัวเพราะอาการเมาค้าง! ผมคิดไว้อย่างนี้เลยรีบหาทางปฏิเสธ

“อ้าว!! ไอ้เชี้ย! ป๊อด เก่งแต่ปากนี่หว่า !!” ไอ้ต้นกล้าผู้คออ่อนที่สุดในกลุ่ม แต่มันคือผู้มั่นหน้าที่สุดในกลุ่มไม่เคยเปลี่ยน ไอ้เกรียนนี่มันรู้จุดอ่อนเพื่อนอย่างผมดี ผมไม่ชอบถูกท้าทาย โดยเฉพาะจากไอ้อ่อนอย่างมัน!

“มึงหาเรื่องเองนะ ไปเอาเบียร์มาเพิ่มเลย กูว่าลังนี่ไม่พอหรอก ใครเมาน็อคก่อนแพ้!!” ผมสั่งให้มันไปเอาเบียร์จากในบ้านมาเพิ่มเพื่อการแข่งขัน แต่สุดท้ายคุณลุงตัวเล็กก็อาสาไปเอา และกลับมาด้วยจำนวนที่มากกว่าที่คิด (ยกมาคนเดียวสองลังมันจะแข็งแรงไปหรือเปล่าวะ! แล้วบ้านเรามีเบียร์เยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?)

ผ่านไปเพียงสามแก้ว การท้าทายด้วยการดื่มรวดเดียวหมดแก้วก็จบลงด้วยไอ้ต้นกล้าที่ฟุบหน้าลงที่ท่อนแขนสีแทนของมัน พร้อมเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ‘กูขอพักเดี๋ยว’ ซึ่งก็ไม่ได้เดี๋ยวอย่างที่มันว่า เพราะมันเงียบหายไปเลย (นี่ขนาดผมต่อให้ตลอดการประลองโดยการดื่มเพิ่มไปล่วงหน้าก่อนการแข่งขันไปหนึ่งขวดใหญ่รวดเดียวนะ)

สุดท้ายผมกับพี่โน่ก็ต่างมองหน้ากันเป็นการเข้าใจว่าไอ้ต้นหล้ามันร่วงไปแล้ว

ในขณะเดียวกัน คู่ซี้ของมันก็หลับคาเก้าอี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมมองพี่ชายฝาแฝดตัวเองพร้อมส่ายหน้าอย่างระอาและสงสารในทีเดียวเพราะผมรู้ว่าพรุ่งนี้ ไอ้สองคนนี้มันได้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแน่นอน

ส่วนตัวผมเองแม้จะยังครองสติได้อยู่ แต่ก็ดูเหมือนมันจะเลือนลางอยู่ไม่น้อย อาจเพราะห่างหายจากการดื่มหนักแบบนี้มานานในช่วงปลายภาคเรียนที่ผ่านมา

ในขณะที่ผมตัดใจว่าจะปล่อยให้ไอ้พวกไม่เจียมสองคนนี้นอนเป็นอาหารยุงอยู่ตรงสวนนี้ คนที่ดื่มไม่ต่างจากผมได้ลุกขึ้นและพาวัยรุ่นสองคนที่ตัวสูงใหญ่กว่าเขาเข้าไปในตัวบ้านด้วยพละกำลังที่ผมยังทึ่งเพราะ เหมือนเขาจะยังคงมีสติและแรงสมบูรณ์อยู่

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“เมาแล้วสิมึง!” ขนาดแบกคนตัวโตกว่าตั้งสองรอบเข้าบ้านมันยังสามารถมาปากสุนัขใส่ผมได้นี่สุดยอด

ผมที่กำลังกินลมชมวิว และจิบเบียร์อย่างสุนทรียะ ในความเงียบกลับต้องมาอารมณ์เสียเพราะไอ้เตี้ยนี่ ผมนึกว่ามันไม่กลับมาแล้วเสียอีกหลังจากหายไปจากสายตาหลายนาที

“แค่นี้ยังสบายๆ อยู่เลย!” ผมตอบสวนกลับไปด้วยความหมั่นไส้ไอ้คนมันยืนยิ้มค้ำหัวผมอยู่

“งั้นต่อกันเลยไหม ยังไม่ได้ที่หนึ่งเลย!!” ไอ้คนหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกกล่าวอย่างกระตือรือร้น

อย่างที่บอก! อย่ามาท้าทาย

“ก็มาดิครับ กลัวอะไร!!” ผมตอบไปทั้งๆ ที่รู้ว่า หากดื่มต่ออีกสองแก้วผมอาจจะน็อคได้ ผมรู้ข้อจำกัดของตัวเอง แต่พอมาเจอท้าทายแบบนี้ ด้วยสติที่เหลืออยู่น้อยเพราะจำนวนความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด ทำให้คำพูดไม่ได้กลั่นกรองอย่างใจนึกคิดไว้

แล้วสติผมก็หายไปตั้งแต่เบียร์ในแก้วที่สองหมดลง

……….

นีโน่

แก้วที่เท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับ ที่ผมนั่งชนแก้วกับไอ้เด็กขาดสัมมาคารวะคนนี้ เด็กวัยรุ่นผมสีน้ำตาลอ่อนทรงอันเดอร์คัทที่ยาวขึ้นจนเกือบจะไม่เป็นทรงอยู่แล้ว โครงหน้าออกไปทางชาวตะวันตก และจมูกที่โด่งทรงสวยนั้นค่อนข้างขัดใจผมพอสมควร มันเหมือนตอกย้ำเกี่ยวกับแผลเก่าที่ไม่สามารถรักคนที่เราคิดว่าเป็นรักแรก สุดท้ายก็ตกเป็นของคนชาติอื่น มันทำให้มองกี่รอบก็ของขึ้น

แต่ดวงตาและริมฝีปากที่ได้จากแม่ของเขานั้นมันทำให้ผมให้อภัยทั้งหมดทั้งมวลที่คิดถึงในตอนแรกได้เสียหมด ดวงตากลมโตได้รูปและเรียวริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูน่าสัมผัสเหล่านั้นมันทำให้ใจเต้นอย่างประหลาด

ผมนั่งมองไอ้เด็กที่ยกแก้วขึ้นดื่มอย่างฝืนๆ ตรงหน้าพลางขบขัน นึกถึงครั้งแรกที่เจอมันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ตั้งแต่ร่างกายยังผอมสูงดูเก้งก้าง ต่างจากปัจจุบันที่มีกล้ามเนื้อและโครงหน้าแบบผู้ใหญมากขึ้น ตอนนี้โดยรวมดูเหมือนคนไทยมากกว่าสมัยเด็กมาก (คงเพราะมาโตที่ไทย) ใบหน้าที่คล้ายกับมารดานั่นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่แรกเห็น แต่ด้วยความเป็นปรปักษ์ตั้งแต่ที่เจอกันเพราะเรื่องหัวใจ ผมกับมันก็เลยต้องอยู่ต่างขั้วกันไปโดยปริยาย

นับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมมองเห็นหน้าของมลทาบติดอยู่บนใบหน้าของไอ้เด็กกวนบาทาคนนี้ ยิ่งตั้งแต่ได้รู้ว่าไอ้ฝาแฝดนี่เป็นลูกของอดีตรักแรก ทุกอย่างก็กระจ่างชัด เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ผมยอมลดราวาศอกกับมันได้ตลอด มิเช่นนั้นมันคงได้นอนจมกองเลือด หยอดน้ำข้าวต้มไปหลายครั้งแล้ว

จนกระทั้งเหตุการณ์ล่าสุดที่ทำให้ผมรู้สึกแปรเปลี่ยนไป ใบหน้าของมล แม่ของไอ้เด็กไอซ์นี่ค่อยจางหายไปจนกลายไปเป็นหน้าของเด็กคนนี้ที่คอยกวนใจผมมาโดยตลอด

วันสุดท้ายที่รีสอร์ต ระหว่างที่ผมกำลังดื่มเหล้าย้อมใจที่ในที่สุดผมก็ตัดใจจากมลได้เสียที เพราะคราวนี้มันชัดเจนยิ่งไปอีกว่า มลไม่ได้รักผมไปมากกว่าเพื่อนเลย และได้สมหวังกับรักแรกของเธอ ในคืนนั้นลูกของเธอก็ได้มาเติมเต็มผม

วันนั้นมันก็เมาเหมือนวันนี้แหละ ใบหน้าที่แดงก่ำและบุคลิกที่ต่างไปทำให้ผมรู้สึกไม่ชิน มันดูเปิดเผย เข้าถึงง่าย และเป็นคนอ่อนโยนกว่าที่เคย

ระหว่างที่กำลังคิดถึงเรื่องคืนนั้น ไอซ์คนที่ควรจะเว้นระยะห่างอย่างทุกครั้งก็ขยับเข้ามาใกล้

“พอดึกแล้วอากาศเย็นเนอะ?” ไอซ์ขยับเข้ามาใกล้จนขาแนบกับขา

ลำดับเหตุการณ์แบบเดิมเลย ไอ้เด็กนี่เมาแล้วเลื้อย!!

คำว่า ‘เลื้อย’ ก็ตรงตามคำเลย ไอ้เด็กนี่มันจะตัวอ่อน กระดูกสันหลังจะไม่แข็งแรง โอนเอียงไปตามแรงโน้มถ่วง สุดท้ายก็จะหาหลักที่แข็งแรงมาพาดมาพิงและดื่มเหล้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไอ้หลักที่มาพึ่งพิงก็ผมนี่แหละ

มือไม้ที่อ่อนพวกเปียกยังคงรินน้ำสีอำพันฟองล้นใส่แก้วอย่างต่อเนื่อง กว่าที่เบียร์จะเข้าปากมันก็หกไปกว่าครึ่ง ผมมองด้วยความเสียดายและกลัวว่าเจ้าของบ้านตัวจริงจะมีสีหน้าไม่พอใจหากสวนหลังบ้านที่ตกแต่งแบบอังกฤษจะเต็มไปด้วยกลิ่นของเบียร์เยอรมัน

ที่สำคัญไอ้คนแบบนี้มันไม่ยอมแพ้ มันยังท้าชนกับผมไม่เลิก จนผมต่างหากที่เป็นคนที่ยอมแพ้และสั่งให้มันเลิกดื่มเสียที

“โธ่…อ่อน….. เห็นหรือยังว่ากูน่ะคอแข็งกว่า….มึงเยอะ!” ไอ้คนที่พูดไม่เป็นผู้เป็นคนใช้มือที่ถือแก้วเบียร์เปล่าๆ ชี้หน้า

ผมได้แต่ส่ายหน้าใส่ไอ้คนไม่เจียมตรงหน้า ท้าทายกันยังไม่ถึงครึ่งลัง ไอ้คนที่ผมท้าทายไปก็แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว

“เออๆ กูยอมแพ้ กูไม่ยังไม่อยากฆ่าคนด้วยแอลกอฮอล์!” ผมปัดมือที่ถือแก้วนั่นลงไปวางที่โต๊ะ แล้วจับมันนั่งลงดีๆ

ขณะที่มันกำลังมองผมเก็บโต๊ะ ทำความสะอาดพื้นที่สวนอยู่นั้น ไอ้เด็กนั่นมันก็จ้องผมไม่วางตา หลังจากที่ผมเก็บขยะไปได้กว่าครึ่ง ผมก็เห็นมันทำท่าเหมือนจะกวักมือเรียกผมทั้งๆ ที่ทรงตัวแทบจะไม่อยู่

“อะไร!” ผมเดินไปตรงหน้ามันเพื่อจะได้ดูอาการใกล้ๆ ผมไม่เคยรู้เรื่องขีดจำกัดของไอ้เด็กนี่ เลยรู้สึกห่วงเล็กๆ

มันไม่ตอบอะไรนอกจากใช้มือที่เกือบไร้เรี่ยวแรงตบที่นั่งข้างๆ เบาๆ อยู่หลายครั้งจนผมยอมลงไปนั่งข้างๆ

ทันทีที่ก้นผมสัมผัสเก้าอี้สวนเย็นเยียบ ศรีษะของไอ้เด็กไอซ์ก็ลดลงมาสัมผัสที่บ่าของผมดังพลั่ก

“เฮ้ย!! เป็นอะไร?” ผมรีบหันไปจับหน้ามันตั้งขึ้นและยืนขึ้นมองมันจากที่สูงกว่า

“ห่วงอ่ะดิ?” หน้าแดงๆของมันยิ้มปริ่มทั้งที่ดวงตาลดเหลือครึ่งดวง

“กวนตีน ใครห่วงมึง!” แต่ในใจผมหลังจากที่ได้เห็นภาพตรงหน้ากลับคิดอีกแบบ ‘น่ารัก’

คำๆนี้มันติดอยู่ในใจของผมตั้งแต่คืนนั้นที่รีสอร์ต วงหน้าของคนที่เมาไม่ได้สติ และเสื้อผ้าที่เปียกปอนไปด้วยเหล้า ทำให้ผมเวทนาช่วยถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าของไอ้เด็กนี้ ทำให้ได้สำรวจหลายๆ อย่างทั่วร่าวกายโดยเฉพาะใบหน้า วงหน้าที่ทำให้ผมใจเต้นได้ทุกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล ในคืนนั้นที่ผมนั่งมองวงหน้างามๆ นั้นอยู่นานจนเผลอหลับไปเหมือนกัน

มารู้ตัวทีหลังว่าใบหน้านั้นได้มาจากแม่ของเด็กไอซ์ซึ่งเป็นรักแรกของผม แน่นอนว่าผมเองก็สับสนไม่น้อย ถึงขั้นถอยออกมาเพื่อทบทวนใจตัวเอง แต่หลังจากเหตุการณ์ช่วยเพื่อนให้ได้กันมันก็ชัดเจนขึ้น ผมไม่ได้คิดกับมลเหมือนก่อนแล้ว

ทุกสิ่งที่เรามีให้กันก็แค่ความทรงจำอันแสนวิเศษ และไอ้ความรู้สึกที่ผมมีให้กับไอ้เด็กนี่มาตลอดนี่คืออะไร? ผมถึงได้ตัดสินกลับเข้ามาในชีวิตมันอีกครั้ง โดยไม่ได้ปรึกษาแม่ของเขาที่เป็นเพื่อนผมเลยสักคำ (รอให้แน่ใจก่อนก็ไม่สาย)

แต่แค่เพียงเจอครั้งแรกหลังจากที่หายไปนาน ผมก็แน่ใจได้ทันที ขณะที่คิดผมก็ยืนมองไอ้คนที่นิสัยเปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือด้วยความเอ็นดู ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องปกปิดสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกต่อไอ้เด็กตรงหน้า เพราะพรุ่งนี้เข้า เด็กคนนี้มันก็จำไม่ได้แล้ว

“เฮ้ย!!” ผมตกใจที่อยู่เด็กขี้เมาตรงหน้ายกมือสองข้างขึ้นคว้าเอวผมเข้าไปแนบกับใบหน้าตัวเอง

“ลุงนี่ก็น่ารักเหมือนกันเนอะ ตัวเล็กๆ แบบนี้สเป็กเลย!!” เด็กขี้เมาหน้าแดงพูดด้วยการลากเสียงจนจบประโยค

หากเป็นปกติผมคงตบมันคว่ำ แต่วันนี้จะลองเปิดใจดูก็แล้วกัน

“ปล่อย” ผมพูดพลางแกะมือที่วนรอบเอวและเกาะติดอย่างกับหนวดปลาหมึก

“อืมมมม ลุงไม่ชอบหรือครับ?” ไอซ์พูดด้วยเสียงสองอย่างน่ารักพร้อมเงยหน้าขึ้นมองตาผม

ดวงตาสีน้ำอ่อนนั่นมันทำให้ผมยอมแพ้และปล่อยทิ้งมือลงข้างลำตัว

“ไม่ใช่ ไม่ชอบ….. แต่พี่ขอเก็บของให้เรียบร้อยก่อนได้ไหม แล้วจะมานั่งดื่มด้วยนะ” ผมพูดพลางทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนอย่างลูบศรีษะคนข้างหน้าอย่างแผ่วเบา

ความรู้สึกดีหลายๆ อย่างมันพรั่งพรู ฟูอิ่มเปี่ยมในใจ ยิ่งได้เห็นไอซ์พลิกหน้าแนบไปกับช่วงท้องของผม มันยิ่งทำให้ใจเต้นสั่นและวูบวาบไปทั่วท้อง

“อืมม” คนที่กอดผมอยู่เมื่อครู่ ปล่อยแขน พลิกหน้าและทิ้งตัวไปพิงพนักทางด้านหลังอย่างอ่อนแอ

ผมยิ้มกับภาพตรงหน้า ไอ้เด็กคนนี้เวลามันเมาไม่ได้สตินี่มันก็น่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน ผิดกับยามปกติที่พยายามจะกวนบาทาผมตลอดเวลาที่เจอกัน

หลังจากพยายามจัดเก็บทุกอย่างให้กลับสู่สภาพเดิมอย่างเร็วที่สุดแล้ว ผมรีบเดินไปที่เก้าอี้ริมสวนสวยหลังบ้านทันทีเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขจากคนที่เมาแอ๋ตรงนั้นให้มากที่สุด

‘ก็ใครใช้ให้มันเมาแล้วน่ารักอย่างนี้ล่ะวะ’ ผมคิดแก้ตัวในใจ

หลังจากที่เดินไปถึง สิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ภาพของเด็กไอซ์ที่กำลังหลับ พร้อมแก้วเบียร์คามือ ที่เอียงคล้อยลงมาจนของเหลวสีอำพันและฟองสีขาวนุ่มรินลงพื้นหญ้าอย่างช้าๆ

ผมส่ายหน้าและตัดสินใจพาเด็กดื้อคนนี้ไปนอนที่ห้องของมันทันที ด้วยร่างกายที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทำให้การอุ้มคนที่สูงใหญ่กว่าผมเกือบฟุตจึงไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ แต่ปัญหาอยู่ที่ไอ้เด็กเวรนี่กันดิ้นเก่งเสียเหลือ ระหว่างอุ้มขึ้นบันไดไปถึงห้องของไอ้เด็กคนนี่ก็เกือบจะทำหลุดมือหลายหน กว่าจะจับมันโยนลงเตียงได้เล่นเอาเหงื่อแตกพล่านไปหมด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
 :pighaun:
เนื้อหา 18+ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากอายุไม่ถึงแนะนำให้กดผ่านไปก่อนได้



“พี่โน่ๆ”

เสียงแผ่วจากปากเด็กโตตัวใหญ่พูดพร่ำไปมา ผมจึงรีบเดินไปหาใกล้ๆ พร้อมถุงขยะใบย่อม เผื่อว่ามันอยากคายของเก่าออกมาเพราะความเมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันมีของเก่าในท้องมากน้อยแค่ไหน เพราะตั้งแต่เห็นมันมานั่งก็ดื่มแต่เบียร์กรอกเข้ามาปากไม่หยุด ผมไม่อยากต้องมาทำความสะอาดตอนที่เกือบจะเที่ยงคืนแบบนี้

“……..” เสียงงึมงำอะไรสักอย่างจากปากของเด็กวัยรุ่นที่เมามายทำให้ผมต้องยกตัวของมันให้นั่งและเงี่ยหูเข้าไปฟัง

งับ!

ผมโดนไอ้ไอซ์มันใช้ริมฝีปากงับเข้าให้ ความร้อนจากร่างกายแผ่ขึ้นมาถึงทั่วศรีษะทันที

“เฮ้ย!!” ผมตกใจพงะถอยไปครึ่งก้าว ปล่อยให้ไอ้เด็กดื้อตรงหน้าหัวเราะเยาะอย่างพึงใจ

“มีคนบอกว่าพี่ มีจุดอ่อนตรงนี้ คงจะจริงว่ะ” ไอซ์พูดด้วยสำเนียงยานคาง ตัวสั่นเพราะความขันขณะที่นอนหงายลงไปแบบนั้น

ผมที่ได้ยินอย่างนั้นแทบจะนึกถึงใครไม่ออกนอกจาก จินไห่น้องสุดที่รัก นึกว่าจะเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่นึกว่าจะเล่าเรื่องแบบนี่ให้ไอ้เด็กบ้านี่ฟังด้วย แม้แต่ตอนที่จ้องหน้าแดงๆ ของมันเขม็งด้วยความตกใจ หัวใจของผมก็สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากกว่าปกติ เหมือนมีกลองชุดตีรัวๆ อยู่ที่หน้าอก

“ไอ้สัด! ไม่นึกว่ามึงจะกล้านะเนี่ย!” ผมต้องทำเป็นโกรธเพื่อไม่ให้แสดงภาคที่อ่อนแอออกไป

“โหย….พี่โน่… เนี่ย! ไม่อ่อนโยนกับน้องเลย ผมก็แค่ล้อเล่นไหมครับ?” ไอ้เด็กนี่พยายามตะกายอากาศลุกขึ้นนั่ง ผมสิไม่นึกว่าจะเจอมันตอบกลับมาแบบนี้ ถึงกับไม่สามารถฝืนทำหน้าโหดใส่มันได้ต่อไป

ผมหลุดยิ้มและส่ายหน้ากับอาการน่าเอ็นดูของคนที่โดนน้ำเปลี่ยนนิสัยแผลงฤทธิ์ ซึ่งผมดันชอบ!

“เมาแล้วก็นอนไป” ผมรีบตัดบทก่อนที่ใจจะอดกลั้นความรู้สึกที่ถาโถมและเข้าไปจัดการคนตรงหน้าไม่ไหว ผมเดินเข้าไปใกล้และผลักให้ไอ้คนหูแดงล้มลงไปนอนอย่างช้าๆ

หมั่บ!!

มือข้างหนึ่งของไอซ์คว้าแขนของผมอย่างแน่นแรง

“อะไรอีก เมาขนาดนี้ นอนได้แล้ว”  ปากพูดแบบนั้นแต่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายมันกลับต้องการอีกแบบ

“ผมอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า……มันเปียก…..” พูดพลางใช้มืออีกข้างขยำเสื้อตัวเองไปทั่ว จากที่ผมพิจารณาด้วยสายตา เสื้อมันก็ชุ่มไปทั่ว นี่มันกินเบียร์เอาตัวไปจุ่มเบียร์วะ

“เออๆ” ผมพูดตัดบทแบบรำคาญ แต่ในใจก็เป็นห่วงอีกฝ่ายจะตื่นมาแล้วป่วยจึงเดินไปค้นตู้เสื้อผ้าจนได้ ชุดใส่นอนและผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่

หันมาอีกทีมันก็นอนแผ่หมดสติไปแล้ว ผมจึงเริ่มปฏิบัติการทันที ผมใช้มือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นออก ซึ่งจริงๆก็ไม่กี่เม็ดเพราะไอ้เด็กนี้ไม่ชอบติดจนครบ มันเปิดเสื้อจนแทบจะเห็นสะดือของมันทุกครั้งเวลาใส่ชุดลำลองแบบนี้ ช่วงแรกก็ไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ แต่ช่วงหลังมานี้อยากจะโดดไปกระชากเสื้อมาใส่กระดุมให้

ผิวเนื้อที่เนียนแดงถูกเผยให้เห็นหลังจากถอดเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ผมรู้สึกลังเลนิดหน่อยเมื่อต้องรู้ว่าลำดับถัดไปคือ การถอดกางเกงของอีกฝ่าย ซึ่งปกติผมไม่เคยรู้สึกลังเลแบบนี้ การถอดกางเกงคนอื่นมันเรื่องที่ชำนาญของผมมากๆ เรื่องใส่คืนต่างหากที่ผมไม่ถนัด

ระหว่างที่มือกำลังยื่นไปที่ชายขอบกางเกงยีนส์ทรงสวยที่เปียกเป็นย่อมๆ มือหนึ่งของคนที่นอนอยู่ก็ยกขี้นมาสัมผัสหน้าผมอย่างอ่อนโยน มือที่อ่อนแรงลูบไปตามวงหน้าและสันกรามลงไปถึงปลายคาง

“พี่ไม่น่าเป็นเพื่อนแม่เลย” เสียงแผ่วเบาจากคนที่นอนเปลือยอกแผ่อยู่เบื้องล่าง

“ทำไม?” ผมลืมตัวหันไปถามด้วยเสียงที่คล้ายคลึงกัน

“ไม่อย่างนั้น…..” คนที่นอนแผ่หลับตาลงหลังจากที่เมื่อครู่ลืมเพียงครึ่ง

“ไม่อย่างนั้นจะทำไม?” ผมมองไปที่วงหน้าที่กึ่งมีสติ

“ผมคงจีบพี่….. และจับพี่ทำเมียไปแล้ว”

“นั่นมันคำพูดกูมากกว่านะ” ผมคิ้วขมวดแกมยิ้มเมื่อได้ยินนั้นออกจากปากสีชาดสด

พูดจบผมก็พลิกตัวไปนอนประจันหน้ากับเขาและกดหน้าลงไปใกล้ใช้ริมฝีปากบดริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างทะนุถนอม ส่วนไอซ์เองก็ตอบโต้กลับด้วยความต้องการที่แฝงลึกอยู่ในใจ

เราสองคนต่างเคล้าคลึงรูปปากพลิกไปวนมาอยู่นาน ลิ้มชิมความหวานปนฝาดจากรสแฝงของเบียร์ในปากของเราทั้งสองอย่างลืมเวลา

ร่างกายของผมที่บดเบียดร่างที่สูงใหญ่กว่าไปมาด้วยความปรารถนาที่แฝงอยู่มานาน ร่างกายเสียดสีกันจนเกิดไอร้อนแฝงอยู่ในเนื้อผ้าของผม

“ร้อน…..” เด็กไอซ์พูดเหมือนละเมอออกมาเมื่อผมถอนปากเพื่อหอบพักหายใจเพราะคล้ายโดนอีกฝ่ายดึงดูดอากาศออกไปในร่างตนเองจนหมด

ผมเข้าใจในความหมายทันที ผมผุดลุกนั่งคล่อมอีกฝ่ายพลางถอดเสื้อหนาๆ ที่โดนเสียดสีจนอุ่น แล้วโยนไปที่ปลายเตียงอย่างไม่ใยดี ภายใต้สายตาเร้าร้อนที่เฝ้ามองดูผมทุกอากัปกิริยา และไล่เรียงสายตาสำรวจเหมือนผมเป็นเหมือนอาหารจานโปรดที่พร้อมจะรับประทานเสียให้ได้

มือที่ว่างอยู่มั้งสองของคนที่นอนแผ่อยู่เบื้องล่างต่างลูบไล้ไล่เรียงจากเนื้อผ้าบริเวณต้นขาวนไล่ขึ้นไปถึงลอนท้องที่ผมดูแลตัวเองอย่างดี จนถึงหน้าอกแน่นเกลี้ยงเกลา เพียงแค่สัมผัสเหล่านี้ก็แทบจะทำให้ผมใจเต้นทะลุออกนอกอก ความสุขจากคนที่แอบปรารถนามานานทำให้ไม่สามารถบรรยายสัมผัสเหล่านี้ได้ สิ่งที่อยู่ภายใต้ร่มผ้ามันเริ่มคะนองจนผมควบคุมไม่ได้เสียแล้ว

ผมจับข้อมือทั้งสองที่กำลังปรนเปรอผมด้วยสัมผัสรอบหน้าอกและลอนท้องลงไปพาดเหนือศรีษะขนาดกับที่นอนนุ่มสบาย ผมก้มลงใช้หน้าซุกไซร้ไปตามซอกคอและยอดอก ทำให้คนที่ผมมอบลีลาจากลิ้นอุ่นชื่นส่งเสียงพอใจออกมาเป็นระยะ ผมไล่ลิ้นชอนไชไปตามเนื้อหนุ่มสีขาวนวลกึ่งแดงไล่จากต้นคอ ไปยอดอก จากยอดอกไล่ลงลอนท้องและไหลลงสู่สะดือ จนถึงท้องน้อย เสียงแสดงความพึงใจไม่ขาดหายไปตลอดทุกสัมผัส (เรื่องนี้เป็นเรื่องผมมั่นใจว่าใครโดนก็ต้องร้อง)

ผมใช้มือที่ไหลลงมาพร้อมกับท่วงท่าเลื่อนลงมาปลดกางเกงที่เจ้าของยินยอมพร้อมใจให้ความสะดวกอย่างว่าง่าย กางเกงทั้งสองชั้น ปราการทั้งหมดหลุดลงไปที่ปลายเตียงหมดแล้วเผยให้เห็นวัยหนุ่มที่แข็งแรง และได้สัดส่วนสวยงาม สีสวยอ่อนน่าลิ้มลอง

เหมือนเด็กที่ชื่นชอบของหวาน เมื่อเห็นอมยิ้มสีสวยตรงหน้าย่อมต้องขอลิ้มลองไม่รอช้า ผมใช้ทุกวิชาในชีวิตในการจัดการของหวานตรงหน้า ปรนเปรอทุกท่วงท่าเพื่อมอบความหฤหรรษ์แก่คนที่ผมปรารถนา อยากลิ้มรสทุกซอกมุม

เสียงของเจ้าของอมยิ้มเร่งเร้าไปมาจนผมอดไม่ได้ที่จะมอบความสุขให้อีกหลายกระบวนท่า มือทั้งสองของเด็กวัยรุ่นบิดกำผ้าห่มผืนหนาที่ปูคลุมเตียงอยู่อย่างไม่สนใจว่ามันจะขาดหรือไม่

เสียงและอากัปกิริยาแบบนั่นทำให้อสูรที่อยู่ในร่มผ้าตื่นเต้นจนกางเกงผมจะรั้งไว้ไม่อยู่ รู้สึกถึงความอึดอัด เจ็บแน่นไปหมด จนผมยอมแพ้ ผมยืดตัวยืนขึ้นและจัดการปลดพันธนาการสัตว์ร้ายของผมให้ตื่นเต็มที่ ภายใต้ดวงตาเบิกกว้างของคนที่พบเห็นมันซึ่งนอนแผ่อยู่ด้านล่าง ทำให้เหมือนสติของอีกฝ่ายจะกระจ่างขึ้นเล็กน้อย

เหมือนไอซ์จะพูดอะไรออกมา แต่เมื่อผมปลดปล่อยอสูรของผมแล้วไม่มีอะไรสามารถมาขวางมันไม่ให้ขย้ำเหยื่อตรงหน้าได้ ผมยอมรับว่าตั้งแต่มีความรู้สึกแบบนี้กับไอซ์ ผมก็ไม่สามารถคิดทำอะไรแบบนี้กับใครได้อีก ความปรารถนาของผมตอนนี้มีเพียงบุคคลตรงหน้าเพียงคนเดียว!

ผมกระโจนใส่คนตรงหน้าอย่างหิวโหย สีหน้าที่เจือไปด้วยความหวาดหวั่นปนกระสันต์นั่นทำให้นิสัยดิบเถื่อนในกายพลั่งพลูออกมาท่วมท้นใส่คนตรงหน้า

ลีลาชิวหาพาสุข และลวดลายดัชนีทั้งสิบของผมทำให้คนตรงหน้าไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ ใบหน้าของผมซุกไซ้ไปทั่ว มือของผมสัมผัสทุกส่วนของร่างกายคนที่นอนครางเบาๆอยู่เบื้องล่างอย่างอ่อนแอ ยิ่งได้เห็นคนตรงหน้าอ่อนแอเท่าไหร่ ผมยิ่งคึกคักและใส่ทุกวิชาที่รู้มาไม่ยั้ง ผมพรมจูบและลิ้มรสกายหนุ่มที่นอนปะทะผมตั้งแต่ศรีษะไล่ลงมาถึงท้องน้อย ผมจับคนเบื้องล่างพลิกกลับ จนกระทั่งเจอจุดยุทธศาสตร์ที่มีความงามไม่น้อยกว่าหน้าเล็กๆ ของเขา

ผมไม่รอช้ารีบลิ้มลองทันทีเหมือนของหวานที่รอมานาน

“พี่ครับ…ยะ….อย่า…. มัน สก…กระ…” เสียงแหบหายไปพร้อมกับการเริ่มปฏิบัติการของผม ผมรู้ดีว่าไอ้คนรักสะอาดอย่างไอซ์จะพูดว่าอะไร แต่ผมก็ไม่สนใจปรนเปรอคนที่นอนครวญครางในลำคออย่างสุดฝีมือ

“พี่ครับ….คือ……” เสียงหายใจหอบถี่ดังขึ้นหลังจากที่ผมลิ้มรสวัยหนุ่มอยู่นานพอควร ผมปรายตามองสีหน้าก็รู้ว่าไอซ์จะสื่อถึงอะไร ผมหยุดให้บริการและเริ่มปฏิบัติการการขั้นถัดไป

“ไม่…ไม่…นะ….ครา…บ…..” เสียงปฏิเสธเกิดขึ้นทันทีที่ลิ้นชุ่มอุ่นของผมไล่วนไปในช่องทางด้านหลัง สิ่งที่ไอซ์แสนจะหวงแหนกำลังจะถูกพรากออกไป

จะว่าอย่างไร เอาไอ้คำว่าบริสุทธิ์ออกไปก่อน แต่การทำอะไรแบบนี้มันไม่ใช่ทางของคนอย่างไอซ์แน่นอนจากสิ่งที่ผมเคยได้ยินข่าวแซ่บๆ มา แต่ตอนนี้คนที่เคยเป็นแค่รุกไล่คนอื่นกลับถูกคนอื่นบุกรุกเสียเอง ไอซ์คงจะรู้สึกเสียงเชิงไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นสิ่งผมถนัดเท่านั้น

อีกฝ่ายแม้จะขัดขืนบ้าง แต่ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านไม่สามารถขัดขวางการเล้าโลมระดับเทพชิวหาอย่างนีโน่ได้ ไม่นานสัตว์ร้ายของนีโน่ก็จออยู่หน้าปราการที่ชุ่มชื้น

“โอยยยยย”  มันเดินทางเข้าไปอย่างลำบาก อึดอัดและแน่นเบียดจนคนที่นอนแผ่อยู่ร้องโอยออกมา

“พี่….โน่…. ….คือ…” เสียงสั่นเทาทำให้คนที่คลั่งรักอย่างผมไม่อาจเดินทางต่อได้ ผมยอมตัดใจ ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของเราสองคนมันเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัว

“มีเจลอยู่ที่ลิ้นชักใต้เตียง” คำพูดประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ผมมีความคึกคักขึ้นมาอีกโข และแน่นอนเรียกสติผมให้ใช้สิ่งป้องกันด้วย เพราะพอเดินไปเปิดลิ้นชักที่ว่า ก็พบอุปกรณ์ทุกอย่างที่ควรจะมี

ผมรีบจัดการกับอุปกรณ์ป้องกันให้ตัวเอง แต้มเจลหล่อลื่นให้กับปราการด่านหลังของไอซ์ ที่ทำให้เขาเหมือนส่างเมาขึ้นมาหน่อย เพราะสะดุ้งกับความเย็นของเจลที่ลูบไล้ไปทั่วบริเวณทั้งภายในภายนอก แต่….ถึงกระนั้นตัวของเด็กไอซ์ก็ยังสั่นไม่หยุด

ผมโอบกอดไอซ์จากด้านบน และพรมจูบปลอบประโลมไปทั่ว และค่อยๆ ดันตัวเองเข้าไปในกายอีกฝ่าย ไอซ์เหมือนจะพยายามอดทนและกลั้นเสียงแห่งความเจ็บปวดเอาไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะทำได้ไม่นาน เพราะหลังจากที่สัตว์ร้ายของผมเข้าไปจนสุดตัว เขาก็ร้องออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ มือหยาบใหญ่ขยำกำผ้าห่มที่คลุมที่นอนไว้จนยับยู่

ไอซ์เผยปากเหมือนจะร้องออกมา ผมรีบกัมลงไปใช้ริมฝีปากอุดไว้อย่างเร้าร้อน แต่เพียงไม่นายผมก็ต้องรู้สึกตัว หลุดพ้นจากสัตว์ร้ายที่เข้าครองร่างอย่างหื่นกระหาย เมื่อหยดหยาดน้ำของคนเบื้องล่างกระเซ็นมาที่หน้า

น้ำใสๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคนที่ประชันหน้ากันในแนวนอนทำให้ผมหยุดและถอนกายออกมาจากไอซ์อย่างช้า ผมส่ายหน้าอมยิ้มกับภาพเบื้องล่างที่ดูน่าเอ็นดู และอ่อนต่อโลกกว่าที่คิด นี่แปลว่าผมเป็นคนเปิดโลกเบื้องหลังให้มันหรือนี่ ผมคิดพลางรู้สึกลิงโลดอยู่ในใจ เหมือนมีปูตัวเล็กๆ นับล้านคลานยุบยับในอก

ผมยกมือลูบผมสีอ่อนที่กระเซิงให้เป็นทรง พลางมองคนกึ่งหมดสติอย่างอารมณ์ดี

“น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย มีมุมแบบนี้ด้วย” ผมพึมพำกับตัวเอง

ผมรู้สึกตัดใจกับการกระทำศึกตรงหน้าและคิดว่าจะปล่อยไปก่อน ขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นก็โดนมืออีกฝ่ายรั้งไว้อย่างแรงจนผมเด้งกลับไปอยู่ท่าเดิม ท่าที่ผมและมันประจันหน้ากันด้วยร่างเปลือยเปล่า แน่นอนน้องชายผมมันยังไม่สงบดังนั้นผมเลยแอบร้องโอดโอยบ้างเมื่อโดนกระทบกับเนื้อแน่นทางด้านล่าง

“พี่จะ….ปล่อย……ปล่อย… ให้ผมเหงาเหรอ?”   สีหน้าของคนเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยความต้องการ ปนเจ็บปวด

ผมรู้ดีว่าคงพูดด้วยอาการเมา ผมรู้ว่าไอ้เด็กนี่มันยังไม่พร้อมกับสัตว์ร้ายของผมหรอก แต่ผมรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ไอ้เด็กนี่หมดฤทธิ์ที่จะเรียกร้อง

ผมปรับท่าตัวเองและไอซ์เสียใหม่ ให้เขานอนสบายมากขึ้นบนเตียงนุ่มๆ ไอซ์นอนแผ่อย่างอ่อนแรงอยู่ด้วยท่าทางไม่ปกปิด ผิวที่แดงเป็นจ้ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ก็ยังดูเนียนน่าสัมผัส กล้ามเนื้อที่กำลังเติบโตอย่างดี เป็นลอนสวยตามอายุของเขา และจุดยุทธศาสตร์ที่ยังตื่นตัวตั้งตรง ผมรู้ว่าหากไม่ทำให้ไอ้สิ่งนี้สงบ วัยรุ่นแบบนี้ไม่รามือยอมหลับไปง่ายๆ แน่นอน ผมจึงใช้วิทยายุทธ์ลับในการปลดปล่อยสิ่งตรงหน้าให้ลุล่วง ผมลงมือรวบจับและจัดการสิ่งเหล่านั้นด้วยทักษะของนางทั้งสิบ และลิ้มรสวัยหนุ่มจนชุ่มชื้น จนในที่สุดเด็กคนนี้ก็สิ้นฤทธิ์

…………
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2022 15:52:59 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ไอซ์

ความจริงคือ ผมวูบไปแล้วล่ะ อาจเพราะตะเวนไปโน่นนี่ทั้งวันแต่มารู้สึกตัวตอนโดนอุ้มขึ้นสองแขนที่คิดแล้วว่าไม่น่าจะพาผมขึ้นไปถึงห้องได้อย่างรอดปลอดภัย แต่ก็ยอมรับว่า ‘มันแข็งแรงมากจริงๆ’

ผมยอมอยู่นิ่งๆ จนกระทั่งถึงที่หมาย แต่หัวใจที่เต้นตูมตามของผมหลังจากได้แนบชิดกล้ามอกแน่นมัดเหล่านั้น มันยังไม่หายไป กลิ่นน้ำหอมแบบไม้หอมเหล่านั้นมันยังติดจมูกจนแทบจะกลบกลิ่นแอลกอฮอล์ของตนเองไปเสียหมด มันเลยให้ความต้องการส่วนลึกที่เก็บไว้เริ่มล้นปรี่ออกมา

‘ผมไม่ได้เมาขนาดนั้นนะสาบาน’ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นตอนที่พยายามจะยั่วยวนอีกฝ่ายเพราะอยากลองใจ

ไม่ได้ลองใจไอ้พี่โน่นะครับ

ลองใจตัวเองนี่แหละ เพียงแค่จูบอย่างดูดดื่มก็รู้แล้วว่าใจเราอ่อนกับเขาจริงหรือไม่จริง

แต่ก็นั่นแหละ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่จูบผมจะปล่อยตัวไปขนาดที่ว่าโดนรุกล้ำอธิปไตยโดยไม่คาดคิด ผมไม่เคยปล่อยให้ใครทำแบบนี้เลยตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่! คนอย่างผมมันต้องรุกเท่านั้น!!

แต่ด้วยลีลากระชากอารมณ์ของไอ้พี่โน่ทำให้ผมรู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมแอบคิดว่าคนที่โดนผมรุกใส่น่าจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ

มันทรมาน….. แต่ก็รู้สึกดีในคราเดียว รู้สึกถึงไออุ่นของเขาเข้ามาในกายมันดีมากมายจนแทบจะคลั่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ไหวจริงๆ คือ อะไรมันจะใหญ่ขนาดนั้นวะ!! มันผิดกับขนาดตัวเลยนี่หว่า?!?!

ตอนที่ผมโดนเข้าไปถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จนเกือบจะคลายจากอาการมึนเมา โชคยังดีที่ไอ้พี่โน่มันใจดี มันหยุดและถอยออกก่อน ไม่งั้นผมต้องไปหาหมอในวันรุ่งขึ้นแน่ๆ (เคยมีประสบการณ์กับคนอื่น ไม่คิดอยากลองกับตัวเอง)

แต่นั้นก็ทำให้ผมประทับใจ…. และดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรได้สักอย่าง….. เกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองกับพี่โน่

และยิ่งรู้สึกดียิ่งไปอีกเมื่ออีกฝ่ายไม่พยายามยัดเยียดความต้องการของตนเองให้ผม ทั้งๆ ที่ผมในตอนนั้นก็อารมณ์พาไปจนจะยอมให้ทำแล้ว แต่ความใจดีของไอ้พี่โน่กลับทำอย่างอื่นเป็นการตอบแทน ซึ่งมันดี… ดีจริงๆ ดีมากๆ แล้วผมก็หลับไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่า… หากสลับกัน หากผมเป็นคนรุก ผมจะทนได้แบบพี่โน่ไหม?

……..

แสงยามสายบ่ายเข้ามาในห้องสีขาว แสงสีทองที่ส่องสะท้อนผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้มกึ่งซาตินทำให้ห้องถูกย้อมด้วยสีน้ำเงินอ่อนๆ สวยงาม ผมลืมตาตื่นด้วยอาการงัวเงีย ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมก็ไม่ได้เมามายอะไรมาก แต่กลับตื่นมาด้วยอาหารปวดเมื่อยไปหมด ในจิตสำนึกต่างพยายามควานหาความทรงจำล่าสุดของตนเมื่อคืน และภาพสุดท้ายก็คือ ร่างตัวเองที่เปลือยเปล่า

ผมผลุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ พร้อมอาการปวดจี๊ดเล่นขึ้นสมองอย่างเฉียบพลัน ผมแปลกใจที่ค้นพบว่าตนเองอยู่ในชุดนอนเรียบร้อย เนื้อตัวก็สะอาดสะอ้านไม่ได้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการละเล่นเกินร้อยเมื่อคืน

“โอ้ยย  อูยยยย” ผมขยับตัวเพื่อพลิกตัวสำรวจตัวเองก็ต้องรู้สึกเจ็บปราดที่ปราการด้านหลังทันที ก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็ดันลืมตัวเสียได้

ผมเผลอใช้มือไปสัมผัสจุดที่ปวดก็พบกับอาการเปียกชื้นที่จุดนั้น

“เฮ้ย!!” ผมดึงมือขึ้นมาสำรวจก็พบว่าที่ปลายนิ้วมันมีรอยของเหลวสีแดงจางๆ

“เชี้ย!!” ผมสบถทันทีด้วยเสียงหงุดหงิด ไม่เคยนึกว่าอารมณ์ตัวเองจะพามาถึงจุดนี้!

“เฮ้ย!! อยู่นิ่งๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกผลักเปิดอ้าออกสุดแรง เหมือนอีกฝ่ายะจะรู้ตัวว่าผมตื่นมาพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว

“เฮ้ย!! พี่!! นี่มัน!!!” มันมีคำพูดเป็นร้อยที่อยากจะพูดแต่มันไม่สามารถลำดับออกมาได้

“เออ!! โทษทีว่ะ กูไม่นึกว่ามึงจะ….. ซิงตรงนั้น!!” อีกฝ่ายที่ถือถาดอาหารและข้าวของจิปาถะวางเต็มพื้นที่ของถาดพูดขึ้นด้วยอาการขัดๆ

“……..” ผมที่พูดอะไรไม่ออก เพราะดันเป็นคนแส่หาเรื่องเอง เลยได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่หวังว่าพี่โน่จะไม่รู้ว่า ผมเองก็สมยอมส่วนหนึ่ง

ผมควรจะปล่อยให้มันเข้าใจว่ากระทำผิดต่อผมต่อไปแบบนี้คงดี ผมคิดแบบนี้ในใจ

“กูให้ลูกน้องซื้อยามาให้แล้ว เดี๋ยวกินข้าวก็กินยา ทายาแล้วก็พักผ่อนนะ” พี่โน่วางทุกอย่างไว้โต๊ะอ่านหนังสือไม่ไกลแล้วก็จัดแจงทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะนั่นอย่างเป็นระเบียบไม่ต่างกับพ่อบ้าน

“เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ ยาที่ว่า….” ผมถามพลางคิดภาพพลาง

“ไม่ต้องห่วงลูกน้องกูไว้ใจได้ ไม่เล่าให้ใครฟังหรอก เรื่องที่กูได้มึงแล้วน่ะ” พี่โน่ตอบด้วยท่าทางสบาย แต่ประโยคที่มันพูดไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเท่าไหร่ แต่….

“เรื่องนั้นก็หนึ่งแต่อีกหนึ่ง….. ก็คือ…” ผมพยายามทำใจทีละประเด็น ผมรู้ว่าตัวเองหน้าซีดลง

“ยาทา…. แปลว่าอะไร?” ผมไม่อยากนึกถึงแต่คงต้องถามให้เคลียร์!

“ก็มันฉีกขาดล่ะมั้ง หรือมีแผลสักแห่ง กูเห็นว่ามันมีเลือดซึม มันก็ต้องทายาฆ่าเชื้อนะ ปล่อยไว้ไม่ได้!!” พี่โน่ยังคงพูดหน้าตายอยู่

“รู้โว้ย!! เรื่องนี้ แค่พี่ทำกับผมจนเป็นแผลเลยนะโว้ย!! แล้วไหนจะให้คนอื่นไปซื้อยาแบบนี้อีก หมดกันชีวิตผม!!”  ผมโวยลั่น

“เสียงดังขนาดนี้ มึงอยากให้พี่ชายกับเพื่อนมึงที่ห้องข้างๆ รู้ด้วยใช่ปะ?” มันทำสีหน้ากวนบาทาใส่ผมไม่ยั้ง

ผมได้แต่ทำเสียงฟึดฟัดในลำคอ และล้มตัวลงนอนด้วยความเจ็บปวดที่บั้นท้าย

ได้แต่ติดในใจว่าไม่น่ามีใจให้ไอ้คนพรรณนี้เลย!!

……………

ผ่านไปสองวันนับตั้งแต่วันที่ผมเสียท่าให้กับไอ้พี่นีโน่ (บางทีก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเรียก ลุง น้า หรือพี่ดี) ผมก็ต้องอยู่แต่บ้านเพราะอาการแกล้งป่วยหนัก เพื่อปกปิดที่ว่าผมขยับตัวลำบาก แล้วยังต้องทั้งกิน ทั้งทายาที่ไอ้พี่โน่เตรียมไว้ให้อย่างดีตลอดสองวัน อย่างน้อยก็สามารถหลอกไอ้พี่ชายเซ่อๆ ของผมได้ล่ะ แต่กับไอ้เพื่อนเวรเพื่อนกรรมอย่างไอ้ต้นกล้า มันกลับทำสีหน้าสงสัยและสอดส่องทุกการกระทำระหว่างผมกับไอ้พี่โน่เกือบตลอดเวลาที่มันมาอยู่ที่บ้านผม สกิลเผือกมันค่อนข้างสูงผมเลยต้องระวังตัวมากขึ้น

“มื้อเช้า แล้วก็….ยา” คนที่นำมื้อเช้าเข้ามาให้ถึงห้องนอนทุกวันกล่าวอย่างแจ่มใส และลงท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่เคยไว้ใจเลย

“ขะ…ขอบคุณครับ” ผมพยายามทำตัวสุภาพเพราะจะให้ลุกไปหาอะไรกินเองมันก็ลำบาก เลยต้องยอมๆ มันไปก่อน (มันก็ควรจะต้องดูแลผมไหมล่ะ ก็มันคือตัวต้นเหตุ)

“จะกินอาหารก่อนหรือ….ทายาก่อน”  รู้สึกว่าการทายาในจุดซ่อนเร้นของผมจะกลายเป็น นาทีแสนสุขของมัน

อายก็อาย แต่ก็ต้องยอม เพราะทำเองมันไม่ถนัดจริง ถึงแม้ว่าไอ้พี่โน่มันจะดูสนุกมากกว่ารังเกียจ แต่ผมก็แอบรู้สึกว่า ควรจะรังเกียจเสียบ้างนะ เพราะ เห็นสีหน้ามันเวลาทายาให้แล้วมันรู้สึกขนลุกแปลก ของๆ ผมไม่ใช่ของเล่นที่สามารถเขี่ยเล่นเพลินๆ นะเว้ย!

“ขอกินข้าวก่อนแล้วกัน” ผมคิ้วขมวดชนกันพลางตอบออกไป

วันนี้มีอาหารบนถาดมากกว่าปกติ ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อยเพราะช่วงนี้ผมกินน้อยกว่าเดิมมาก อาจเพราะผมคิดว่า เอาเข้าน้อยก็ลำบากตอนออกน้อย แบบนี้มันไม่สะดวกเอาเสียเลย

“โอเคงั้นเดี๋ยวพี่เตรียมให้” พูดจบพี่โน่ก็เดินเข้ามาจัดแจงกลุ่มอาหารเช้าบนถาดลงไปวางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือที่เดิม ที่เพิ่มเติมคือมีจานเปล่าเล็กๆ สองจานวางอยู่คนละมุมของโต๊ะ

“หมายความว่าไง!” ผมถามทั้งยังไม่คลายหัวคิ้วที่ชนกัน

“พี่ก็จะกินด้วย จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงให้เสียเวลา” พี่โน่พูดจบก็หาก็ลากเก้าอี้เสริมในห้องมากางและนั่งลงทันที

“……..” ผมได้แต่คิดว่า แล้วกูจะกินลงไหมเนี่ย รู้สึกปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ทันเลย

แต่สุดท้ายผมก็ลงไปนั่งและลงมือกินมื้อเช้าที่ถูกเตรียมอย่างพิถีพิถันตรงหน้าโดยไม่รอคนที่นำมันขึ้นมาเลย แต่แทนที่ผมจะคิดว่าไอ้พี่โน่มันจะเลือดขึ้นหน้าที่ผมทำเสียมารยาท ตามแผนที่ผมคิดไว้ แต่ผมกลับเห็นมันอมยิ้มขณะที่สายตามองผมด้วยความเอ็นดู แล้วก็ลงมือกินมื้อเช้าตามผมไปอย่างเรียบร้อย

ผมไม่ชอบสายตาของมันเลย มันไม่เหมือนเดิม….. แต่ผมน่ะยังคิดไม่ตกเลยว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ดี

……………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

อือ……อืมมม…… โอย……ซี๊ดดด…

อย่าเข้าใจผิดกับเสียงนี้นะครับ นี่มันคือเสียงของผมเวลาโดนไอ้พี่โน่ทายาฆ่าเชื้อให้อย่างสุนทรี ไอ้โรคจิตอย่างไอ้พี่โน่นี่มันแกล้งผม หรือห่วงผมกันวะ

จังหวะที่มันใช้นิ้วหยาบป้ายยาเนื้อครีมและชะโลมไปตามรอยแยกเหล่านั้น การใช้สัมผัสที่อ่อนเบา สอดถูเข้าไปอย่างเป็นจังหวะ ผมรู้สึกว่ามันต้องการทรมานผมจากอาการทั้งเจ็บและทั้งรู้สึกดีแบบนี้แน่นอน!!

“เสร็จแล้ว! ดีขึ้นบ้างหรือยัง?” ไอ้คนซาดิสม์มันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มผมรู้สึกได้ทั้งๆ ที่หันหลังให้มัน

“ดีขึ้นแล้ว อีกหน่อยคงไม่รบกวนแล้วล่ะ!” ผมตอบด้วยอาการหอบอย่างทุกครั้ง ทำไมต้องหอบกับการทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ผมก็งงกับตัวเอง

“หมดประโยชน์ก็จะถีบส่งสินะ” มีความน้อยใจแฝงมากับคำพูดของอีกฝ่าย

ผมใส่กางเกงให้เรียบร้อยแล้วหันไปมองหน้าของคนที่กำลังเก็บข้าวของอย่างใจลอย ผมเจอแบบนี้ถึงกับหาทางโต้ตอบไม่ถูกทั้งๆ ที่ปกติผมคงพูดจากวนบาทาจนถึงที่สุด ไม่ใช่แต่มันเปลี่ยนไป ตัวผมเองก็เปลี่ยนไปจนตัวเองรู้สึกได้เลย

“เอ่อ…. เฮ้ย! พี่โน่ เป็นอะไร? อย่าบอกนะว่าชอบก้นผมขนาดนั้นนะ!?!” ผมพยายามพูดติดตลกและเดินเข้าไปใกล้

แต่สิ่งที่ไอ้นักเลงตัวเล็กนั้นทำกลับทำให้ผมตกใจสุดขีด

“เฮ้ย!!” ผมร้องเสียหลงเมื่อเจออีกฝ่ายหันมาตะครุบไหล่กว้างของผม และบังคับให้ไปประจันหน้ากับเขา

“มึงควรจะรู้ไว้ว่ากูอดทนกับมึงมากขนาดไหนนะ!!” สีหน้าไอ้พี่โน่ดูเกรี้ยวกราดทำให้ผมเสียวสันหลังวูบ นี่มันจะต่อยผมกับแค่คำพูดล้อเล่นแค่นี้หรือวะเนี่ย?

“ใจเย็นๆ สิพี่…..” ผมพูดพยายามให้อีกฝ่ายใจเย็น ทั้งที่น้ำเสียงของพี่โน่ดุดัน แต่สายตากลับ…. ผมเองก็บรรยายไม่ถูก มันลังเล และร้อนแรง….

“กู…อดทน..มา สองวันแล้วนะ แล้วกูก็จะอดกลั้นไม่อยู่แล้วนะ” พี่โน่พูดจบก็ผลักผมล้มไปนอนลงที่เตียง ความเจ็บปราบแล่นขึ้นมาจากแผลที่เริ่มสมาน

พี่โนกระโจนขึ้นคล่อมตัวผมและกดริมฝีปากสีชาดอ่อนลงประทับที่ริมฝีปากผม กลิ่นน้ำหอมกลิ่นนั้นเย้ายวนอบอวนจนผมแทบคลั่ง สัมผัสชุ่มอุ่นที่ถูกชะโลมไปทั่วริมฝีปากและสอดลึกลงไปในช่องปากทำให้ผมขาดสติยั้งคิด จนกระทั้งผมปล่อยจากทำตัวแข็งขืน ผมปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์แรกที่ปะทุขึ้นมาแทรกผ่านตรรกะทั้งหลายที่ผมพยายามขวางกั้นไว้

ผมแลกจูบกับพี่โน่อย่างเผ็ดร้อนและลืมตัว พี่โน่เริ่มขยับร่างกายขึ้นมาทับเหนือตัวผมมากขึ้น เสื้อผ้าที่เริ่มเสียดสีกันมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนอยากปลดออกให้หมด ผมโดนพี่โน่จัดท่าชันเข่าและใช้เข่าดันขาถ่างออกห่างจากกัน มือของพี่โน่อยู่ไม่นิ่ง ลูบไล้ทั่วอกขาวของผมจนแดงร้อน และเข่าข้างหนึ่งของพี่โนก็พยายามเลื่อนขึ้นแทรกมาตรงกลางระหว่างช่องขาที่แยกออกด้วย อารมณ์พาไป

โอ้ย!!

ผมร้องเพราะเข่าของคนที่คล่อมตัวอยู่เหนือผมกระแทกเข้าที่แผลที่เริ่มสมาน

ฝ่ายที่รีบถอนตัวออก และถอยห่างออกมายืนห่างจากผมครึ่งก้าวคือพี่โน่ ที่ตอนนี้มีการอาการสำนึกผิดอยู่เต็มใบหน้า

ผมยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ อย่างไม่เข้าใจในตัวเอง ทำไมถึงได้ใจอ่อนใจง่ายแบบนี้นะ ถึงจะเป็นวัยรุ่นที่มีความต้องการสูงแต่แบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น

“เป็นอะไรไหม?” อีกฝ่ายโถมตัวเองเข้ามาใกล้อีกครั้ง ทำให้ผมต้องยกมือขี้นยันหน้าอกอีกฝ่ายเป็นการเตือนให้เว้นระยะ

ปัง!!

เสียงประตูกระแทกกับที่หยุดประตูที่พื้นห้อง แล้วไอ้เฟรมโผล่พรวดเข้ามาในจังหวะที่ไม่ดีเท่าไหร่

“ทำอะไรกันน่ะ?” ไอ้เฟรมชะงักเท้าและถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจกับท่าทางของผมและไอ้พี่โน่ที่ดูเหมือนกำลังจะเริ่มกิจกรรมบนเตียง

“คือกูเผลอล้มน่ะ เลยดึงพี่เขาลงมาด้วย” ผมพูดแก้ตัวอย่างคล่องแคล้ว ผมรู้ว่าไอ้พี่ชายผมมันคงไม่ค่อยมีไหวพริบเรื่องแบบนี้เท่าไหร่

“งั้นพี่ไปเก็บจานก่อนนะ” ไอ้พี่โน่ยิ่งเนียนเลย ปรับตัวยืนตรงและเก็บข้าวของหนีออกจากห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เสียงปิดประตูดังแกร๊ก พร้อมกับสีหน้าของไอ้พี่ชายของผมที่เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่างหันมาทางผม

ผมที่ลุกขึ้นมานั่งแล้วถึงกับเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถาม

“กูไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่นะ แต่จะทำอะไรก็นึกถึงแม่บ้างนะ กูไม่เคยเตือนมึงเพราะเห็นว่ามึงรับผิดชอบตัวเองได้ แต่คราวนี้มึงล้ำเส้นอยู่นะ อีกอย่าง…กูนึกว่าพวกมึงไม่ถูกกันเสียอีก!”

“ไม่มีอะไรเสียหน่อย มีงก็คิดมาก” คำพูดที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ทั้งที่เกิดก่อนผมแค่สามนาที ทำให้หน้าแม่ลอยเข้ามาในนโนจิต แต่ก็ต้องทำตัวปกติต่อไป

“ตอนแรกกูก็นึกว่าจะต้องมานั่งเป็นคนคอยห้ามทัพพวกมึงตีกันเสียแล้ว แต่พอเห็นแบบนี้แล้วกูยิ่งกังวล” ไอ้เฟรมดูมันเหมือนจะไม่เชื่อเท่าไหร่ มันเห็นอะไรมากกว่านี้หรือเปล่าวะ ผมชักสงสัย แอบใจไม่ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ที่กูทำแบบนี่เพราะต้องแกล้งทำดีกับมันไหม?  อย่างน้อยมันก็เพื่อนสนิทแม่นะมึง กูไม่ได้งี่เง่าขนาดนั่น”พูดไปพลางเหมือนมีเข็มหลายเล่มค่อยๆ แทงเข้าที่ใจที่ละเล่ม แต่ยังคงต้องรักษาอาการไว้ ทั้งที่ใจอยากจะจับที่อกข้างซ้ายที่แปลบปลาบจนขาสั่น

“เออ! คิดแบบนั้นก็ดี กูไม่อยากให้มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับกูอีกแล้ว” มันบ่นพึมพำเหมือนทุกครั้งที่ผมกับมันสนทนาเพื่อเคลียร์ใจกันตามประสาพี่น้อง

“อีกแล้ว?” ผมทวนท้ายประโยคเพราะไม่เข้าใจว่านอกจากเรื่องของแม่ที่แต่งงานกระทันหัน กับเรื่องของผมที่มันกังวล มันจะมีเรื่องอะไรอีก?

“ไม่มีอะไร กูไปนอนต่อแล้ว เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ไอ้เชี่ยต้นกล้าดันเหมือนไม่ค่อยสบาย กูเลยต้องดูแลมันอีก!!” ไอ้เฟรมที่พูดด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด แต่สีหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“มันนอนที่นี่อีกแล้ว?” ผมเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ไอ้ต้นกล้านับจากปิดเทอม มันจะมานอนค้างที่นี่บ่อยเกินไปแล้ว

“มันมาอยู่เป็นเพื่อนกูนะ ก็แค่อกหัก กูไม่ถึงขนาดอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้หรอก!!” ไอ้พี่ชายที่หน้าเหมือนผมกำลังทำสายตาล่อกแล่ก มันทำให้ผมตลกมากกว่าสงสาร อย่าว่าแต่กูแปลก พวกมึงก็ดูแปลกไม่ต่างกัน!!

ผมยิ้มเยาะใส่หน้าตลกของมัน และมันก็ฟึดฟัดเดินหายเข้าไปจากห้องทันที

………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ไม่มีไข้ - เช็ค
ไม่รู้สึกเจ็บเวลาขยับตัว - เช็ค
ยากินหมดแล้ว - เช็ค
สีหน้าดีขึ้นแล้ว - เช็ค
ขับถ่ายสะดวก - เช็ค

ผมนั่งทำเช็คลิสท์ขณะนั่งกินมื้อสายที่โต๊ะอาหารโดยไร้วี่แววผู้ปกครองจำเป็นอย่างพี่โน่ภายในบ้าน ด้วยความรู้สึกลิงโลด อยากออกจากบ้านใจจะขาด การนอนป่วยอยู่ที่บ้านมาตลอด 1 สัปดาห์ทำให้ผมรู้สึกเครียดและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

วันนี้ผมต้องหาทางระบายฮอร์โมนวัยหนุ่มที่มันพลุ่งพล่านอยู่ในกายออกให้ได้!!

เพราะที่ผ่านตลอดทั้งสัปดาห์ ผู้ชายที่ผมเจอ (นอกจากไอ้แฝดพี่) ก็มีแต่ผู้ใหญ่ตัวเตี้ยที่คอยดูแลผมอยู่ไม่ห่าง ฮอร์โมนในร่างมันก็พยายามที่จะผลักดันให้ผม ต้องการไอ้พี่โน่คนนี้จนผมร้อนรนไปหมด แต่ก็ดับได้ด้วยคำพูดของไอ้เฟรมที่สะท้อนอยู่ในใจตลอด ‘นึกถึงแม่หน่อย’ ดังก้องไปก้องมาจนผมห่อเหี่ยวและมองมันต่างไปได้ชั่วคราว แต่ก็ยังรู้สึกสับสนเมื่อต้องอยู่ด้วยกันใกล้ๆ

ไอ้พี่โน่เองก็ไม่พยายามปิดบังความรู้สึกตัวเองเลย มันแสดงออกทั้งสีหน้าและท่าทาง หรือว่าผมรู้สึกไปเอง เวลาเรามองใครเปลี่ยนไป มันจะมีตัวกรองบางๆ ทำให้ความรู้สึกของเราต่อการกระทำของคนๆ นั้นเปลี่ยนไปในทุกการกระทำของอีกฝ่ายเสมอ ความรู้สึกตอนนี้ของผมมันเหมือนกับสมัยที่เจอพี่กวีครั้งแรกเลย มันมีแต่ความต้องการอยู่เต็มไปหมด

วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจออกไปเที่ยวแบบไม่ต้องหลบใครก็มาถึง! ในเมื่อผู้ปกครองจำเป็นไม่อยู่ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครจะมาตามติดหรือจับผิดผมไปฟ้องแม่ที่ป่านนี้น่าจะมีความสุขกับสามีใหม่ของเธอ

ผมกินมื้อเช้าอย่างรีบร้อน และแต่งตัวอย่างรวดเร็ว จับเสื้อกีฬายัดใส่กระเป๋าสะพายบ่าไนกี้สีดำตัวเก่ง ตอนนี้ผมรู้สึกร่างกายเคล็ดขัดยอกไปหมด นอนป่วยติดเตียงหลายวันมันไม่ใช่นิสัยของผมเลย ดังนั้นวันนี้เลยวางแผนที่จะไปล่าเหยื่อที่มหาวิทยาลัย เผื่อจะได้นักกีฬาหรือกองเชียร์แถวนั้นมาช่วยเอาความต้องการที่อัดอั้นมานานไประบายออกเสียบ้าง ผมว่าส่วนหนึ่งที่ผมงุ่นง่านกับไอ้พี่โน่อาจเพราะอัดอั้นก็ได้ คิดได้ดังนี้ ผมเลยหยิบเสื้อผ้าและกระเป๋าของใช้สำหรับค้างคืนออกมาเผื่อว่าวันนี้จะไม่ได้กลับบ้าน!

สนามบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยยังคงเนืองแน่นไปด้วยฝูงชนที่ต้องการพักผ่อนและออกกำลังกายอย่างประหยัด ชายวัยรุ่นพลังงานสูงหลายคนใช้ที่นี่เป็นที่ระบายความเครียดและความเบื่อหน่ายจากการอยู่บ้าน

นักศึกษาหญิงชายส่วนหนึ่งที่เรียนภาคฤดูร้อนก็มีมานั่งพักผ่อนระหว่างรอคาบเรียนอยู่ตามม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่รอบสนาม ทำให้ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เหมาะกับการทำความรู้จักกันระหว่างเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน

หลังจากจอดรถไม่ไกลจากสนามบาสฯ ผมเร่งฝีเท้าเดินถึงโต๊ะที่นั่งประจำสำหรับนักกีฬาของมหาวิทยาลัยและก็พบกระเป๋าสะพายจำนวนหนี่งที่คุ้นตา ผมจึงรีบกวาดสายตาไปทางสนามบาสฯ ทั้งสี่สนามทันที

แล้วผมก็พบเป้าหมาย! ผมพุ่งไปหามันอย่างไม่รอช้า

“ไอ้เชี้ยเฟรม มึงหายหัวไปไหนเมื่อคืน ปล่อยกูอยู่กับไอ้นักเลงเตี้ยนั่น กูได้ยินเสียงแม่งบ่นให้ฟัง จนแทบไม่ได้นอน!!”
ผมบ่นใส่ไอ้คนที่เตรียมชู๊ตลูกบาสเกตบอล ลูกบอลจ่ออยู่เหนือจมูกเป็นสันของมัน

“โทษทีว่ะ….กูเมา กลับไม่ไหว เลย….. ให้ไอ้กล้าพากลับบ้าน ตื่นมาก็อยู่บ้านมันแล้ว” ไอ้พี่ชายมันลดมือที่ถือลูกบาสฯ ลงและพูดเหมือนแก้ตัว

“จะตื่นเต้นเชี้ยอะไร กูนะ ไม่ใช่แม่!” ผมสวนไปแบบรำคาญพร้อมยื่มมือคว้าแย่งลูกบาสจากมัน

“เฮ้ย!! โทษที กูเมาเองแหละเลยให้มันพาไปส่งบ้าน มันดึกแล้ว แม่กูเลยให้มันนอนด้วยเลย” ไอ้ต้นกล้าที่กระหืดกระหอบมาจากอีกฝากของสนามฯ มาแก้ตัวด้วยอีกคน

“สรุปว่าใครเมา? พวกมึงดูมีพิรุธนะ!!” ผมมองพวกมันสลับกัน

“ก็เมาทั้งคู่แหละ” มันมองกันเองพักหนึ่งก่อนที่ไอ้กล้าจะตอบกลับมา

“ว่าแต่ พี่โน่ไปบ่นในห้องมึงหรือไง ถึงได้ยิน?!” ไอ้เฟรมเบี่ยงประเด็นทันที

แต่ก็ทำได้ดี เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ใครใช้ให้มันเดินเข้ามาบ่นกับผมเป็นระยะๆ ล่ะ มันหาเรื่องเข้าห้องผมทุกๆ 20 นาที ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง พวกผมโตกันแล้วดูแลตัวเองได้ เข้าใจในมุมมองของไอ้พี่โน่นะ แต่มันจะมาทำแบบนี้กับผมทุกๆ 20 นาทีแบบนี้ไม่ได้

ผมไม่คุยมันก็หาเรื่องคุย พยายามหาเรื่องมาคุยในห้องกับผมบ่อยไปแล้วนะ ผมคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็ว้าวุ่นไปหมด ความรู้สึกแบบนี้มันแปลกชัดๆ

“ก็เสียงมันดัง ไอ้เตี้ยนั้นโวยวายน่าดูเลย!!” ผมแก้ตัวไปแบบนั้น

“เออ! กูเล่นด้วยสิ พูดจบผมก็วิ่งนำหน้าไปหาเพื่อนๆ ที่เหลือในสนามทันที ทิ้งให้ไอ้สองคนนั้นแอบถอนหายใจกัน เรื่องคราวนี้เอาไว้ก่อน เดี๋ยวหมดเรื่องของผมแล้วจะไปสืบเรื่องพวกมันให้รู้เรื่อง

สามเซ็ตติดต่อกันที่ทีมผมชนะเพื่อนร่วมสนามมาได้ การชู้ตและการรีบาวน์ของผมเรียกเสียงกรี๊ดให้กับกองเชียร์รอบสนามได้ไม่น้อย 

หลังจากจบเกมที่สาม ผมขอตัวเพื่อนๆ พาร่างที่ห่างการออกกำลังหายมานานไปนั่งพักเหนื่อยที่โต๊ะประจำที่ขอบสนาม

สิ่งแรกที่กระทบคลองสายตาของผมก็คือชายหนุ่มหน้าหวานยืนอยู่ใกล้โต๊ะประจำของพวกผมพร้อมน้ำดื่มหนึ่งขวดในมือ เขายิ้มให้ผมทันทีที่สบหน้า ผมจำรอยยิ้มนั่นได้ทันที นั่นคือ น้องอาร์ท คณะมนุษย์ศาสตร์ ตัวท้อปของปีหนึ่งที่กำลังจะขึ้นปีสอง ผมแลกยิ้มกลับไปอย่างไม่หวงแหน แม้จะอยู่ห่างกันเกือบสิบเก้าแต่ผมก็เห็นหน้าน้องอาร์ทแดงรื่อขึ้นมา (น่ารักโคตร)

“เหนื่อยไหมครับ….พี่ไอซ์…ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนไหมครับ?” น้องอาร์ทใช้มือเรียวยาวที่ขาวจนทำให้พื้นที่โดนรอบเรืองแสงไปด้วยยื่นส่งน้ำขวดหนึ่งมาให้ผมด้วยท่าทางกายสั่นเทา

“ขอบคุณครับ” ผมรีบโผไปรับน้ำขวดนั้นด้วยความกระหาย แต่ไม่ใช่ความกระหายน้ำแน่นอนผมมั่นใจ  มือผมไม่ได้จับเพียงแค่ขวดแต่ยังลูบไล้จับลู่ลงจากข้อมือจนสุดปลายนิ้วของน้องอาร์ท

น้องอาร์ทรีบดึงมือกลับอย่างเขินอาย ใบหน้าที่ขาวใสกระจ่างจนเรียกได้ว่าเรืองแสงได้นั่นยิ่งเห็นเป็นรื่อสีแดงชัดขึ้น

“นั่งเป็นเพื่อนพี่ก่อนไหม? พี่เพิ่งหายป่วยมา คงเล่นได้แค่นี้แหละ เพื่อนพี่มันคงอีกนานกว่าจะหมดแรงเล่นต่อ” มาเชิญชวนถึงที่ผมจะปล่อยไปมันก็เสียชาติเสือ

น้องอาร์ทพยักหน้าอย่างว่าง่าย ผมยิ้มกว้างรับคำตกลงนั่น และชวนคุยทันที วันนี้ผมคงไม่อ้างว้างแล้วแน่นอน ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่เล็งไว้จะมาให้จัดการถึงที่

น้องอาร์ทเป็นคนน่ารักคุยเก่ง รอยยิ้มที่สดใสของน้องทำให้ผมเป็นเสมือนเนยที่โดนไอแดดโลมเลียจนละลาย ฟันสีขาวที่เรียงสวยเหล่านั้นทำให้ผมมองได้ไม่เบื่อ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนธรรมชาติทำให้ผมคิดไปไกลว่าสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง

น้องอาร์ทหยิบขนมบิสกิตแบบแท่งขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ใบเล็กทันทีที่ผมบ่นหิว ผมบอกน้องอาร์ทอ้อมๆ ทันทีว่ามือเปื้อนเหงื่อไม่อยากหยิบกินเอง มันกลายเป็นนิสัยไปแล้วเวลาเจอคนน่ารักๆ ตรงหน้า น้องอาร์ทเองก็เป็นคนที่แพรวพราวไม่น้อยเช่นกัน น้องแกะห่อขนมบิสกิตแบบแท่งและยื่นมาทางปากผมทันที และแน่นอนว่าผมคว้ามือน้องไว้และขยับให้แท่งขนมเข้าปากอย่างช้าๆ ทันที ผมค่อยๆ กัดและเล็มรสเค็มอ่อนๆ ของขนมบิสกิตแบบแท่งรสเกลืออย่างช้าๆ จนหมด พร้อมใช้ลิ้นเล็มเศษรสชาติของขนมที่ปลายนิ้วของน้องอาร์ทอย่างช้าๆ

น้องอาร์ทรีบชักมือเก็บด้วยอาการเขินอาย หน้าที่ขาวใสก่อนหน้านี้กลายเป็นสีแดงเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นน้องก็ยังหยิบขนมชิ้นใหม่ขึ้นมาป้อนแทบจะทันทีที่หายจากอาการเขินอาย

ระหว่างที่ผมกำลังสนทนาภาษารักกับน้องอาร์ทจนขนมเกือบหมดห่อ สายตาผมก็ดันไปจับกับสัมผัสของคนที่ผมเคยเล็งไว้อย่างหลงไหลในคลองสายตาด้านหลังน้องอาร์ทซึ่งเป็นภาพถนนในมหาวิทยาลัย

‘พี่กวี’
ผมเอ่ยในใจ

แม้จะอยู่ในสภาพชุดฝึกงานสัตวแพทย์ที่เป็นเครืองแบบที่ดูธรรมดา แต่ออร่าความน่ารักยังคงส่องสว่างแม้พี่กวีจะอยู่ห่างจากผมมากกว่าสิบเมตร

แม้น้องอาร์ทจะน่ารัก แต่รักแรกของผมมันก็ประทับใจไม่รู้ลืม ทำให้ผมละสายตาจากคนเบื้องหน้า ไปจดจ่ออยู่กับคนที่ยืนอยู่บนบาทวิถีที่ไกลออกไปแบบไม่ตั้งใจ

เพียงแค่ผมต้องจดจ่อกับขนมที่น้องอาร์ทยื่นให้เพียงครู่เดียว รถสปอร์ตคันหรูที่แสนคุ้นตาก็ขับมาจอดขนาบข้างบาทวิธีจุดที่พี่กวียืนอยู่

ผมเล็งทะเบียนอยู่พักใหญ่ก็ทำให้รู้ว่ารถคันนั้นมันคือรถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถบ้านผมอยู่ทุกวันนั่นเอง

“รถไอ้พี่โน่!” ผมหลุดปากพูดออกมาทำให้ขนมบิสกิตแท่งที่คาปากอยู่หล่นลงบนพื้นโต๊ะจนหักครึ่ง

“พี่ดูไม่สนใจผมเลย ผมจะงอนแล้วนะ” อาร์ทเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าปั้นปึง แต่แม้จะดูโกรธยังไง น้องอาร์ทก็ยังน่ารักเปล่งประกายอยู่ดี

ผมยิ้มให้กับความน่ารักตรงหน้าอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็เพียงชั่วครู่เมื่อเห็นพี่กวีกัมตัวลงและริมฝีปากขยับเริ่มบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม ทำให้ใจผมมันสั่นไหวแปลกๆ  และรู้สึกตัวอีกทีผมก็ลุกขึ้นยืนมองภาพตรงนั้นเสียแล้ว

“เอ่อ…พี่ขอโทษนะ พี่นึกได้ว่ามีธุระ เรื่องคอขาดบาดตาย!!” ผมส่งยิ้มให้รุ่นน้องตรงหน้า น้องอาร์ทตอบกลับด้วยสีหน้างุนงงไร้คำพูด

ผมเดินออกจากโต๊ะแทบจะทันที แต่ก่อนออกห่างผมก็ได้ก้มลงไปขโมยหอมแก้มรุ่นน้องหน้าใสอีกหนึ่งรอบทิ้งท้าย ซึ่งสร้างเสียงกรีดร้องจากเพื่อนๆ ของน้องอาร์มรอบสนามได้จนเหมือนเสียงเอคโค่ที่ดังกังวาลอยู่โดยรอบสนาม

ผมเห็นรอยยิ้มจากคนที่ผมโดนขโมยหอมแก้มแล้วรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แต่เท้าเจ้ากรรมยังคงเดินพาผมห่างออกไปจากรอยยิ้มนั่น ไปยังทิศทางของคู่สนทนาริมถนนนั้น

แต่ผมเหมือนจะช้าไปหลายก้าว หันมาตั้งตัวอีกที พี่กวีก็เปิดประตูขึ้นรถไปกับพี่กวีเสียแล้ว

ด้วยความร้อนใจผมใส่เกียร์ห้าที่เท้า ขยับตัวไปยังรถด้วยความเร็วที่ผมเองก็คิดไม่ถึง ทั้งที่เมื่อครู่แข้งขาเปลี้ยร้าวไปถึงกระดูก

ผมพยายามขับรถตามโดยรักษาระยะห่างเพราะไอ้พี่โน่มันตาดีและความจำที่แสนแม่นยำ หากขับเข้าไปใกล้มากเดี๋ยวมันจะรู้ตัว

รถสปอร์ตคันหรูถูกขับมายังเขตชานเมืองที่เป็นพื้นที่อโคจร พื้นที่บริเวณนี้ที่กินอาณาเขตกว่าสิบกิโลเมตรเป็นแหล่งสิ่งปลูกสร้างประเภทผับ บาร์ คาราโอเกะ และโรงแรม รีสอร์ตระดับตั้งแต่ ไม่มีดาวจนกระทั้งถึงระดับ 4 ดาว

ผมขับไปพลางมองสองข้างถนนที่แสนจะคุ้นตาและคุ้นชินกับชีวิตปีหนึ่งและปีสองที่สุดเหวี่ยง  ผมมองทอดออกไปด้านหน้ากระจกรถที่ยังคงเห็นรถหรูวิ่งนำหน้าห่างออกไปเกือบสองกิโลเมตร

ในที่สุดรถคันหน้าก็ตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าโรงแรมม่านรูดที่มีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ ป้ายชื่อโรงแรมเหมือนกำลังถูกปรับปรุงจึงค่อนข้างอ่านยากว่ามันชื่ออะไร บอกตามตรงแม้แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดพาใครเข้าที่พักลักษณะนี้ ต่อให้หิวโหยขนาดไหนก็เถอะ ผมให้เกียรติคู่นอนผมเสมอ (แม้แทบจะหมดตัวในแต่ละเดือนเลยก็ตาม)

ผมชะลอและหยุดรถลงข้างทางภาวนาให้คนทั้งสองที่ขับรถเข้าไปในสถานที่แบบนั้น เข้าไปเพื่อเป็นทางผ่าน ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเหยียบคันเร่งและมุ่งหน้าตามไปอย่างช้าๆ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ผมเลี้ยวเข้าไปอย่าเก้ๆ กัง ๆ เพราะความไม่คุ้นสถานที่ และไม่เคยคิดที่จะเข้ามา ผมขับวนโดยรอบสถานที่พักที่สามารถนำรถเข้าไปจอดในที่พักได้พร้อมรั่วเลื่อนที่เหมือนม่านปิดอยู่หลายช่อง แต่ไร้วี่แววคนที่เข้ามาก่อนหน้า พร้อมทั้งพยายามหาประตูหลัง หรือเส้นทางอื่นที่สามารถออกจากที่นี่ได้ จนกระทั่งมีพนักงานเดินเข้ามาทักด้วยความสุขภาพปนแปลกใจที่ผมขับรถเข้ามาคนเดียว

ได้ความว่า ที่นี่ทางเข้าออกมีทางเดียว และกำลังปิดปรับปรุงอยู่ครึ่งหนึ่ง แม้ผมจะถามว่าเห็นลูกค้าที่ขับรถคันหรูที่เข้ามาก่อนหน้านี้หรือไม่ น้องได้แต่ส่ายหน้า เพราะเขาเพิ่งเดินเข้ามาทำงานได้ ไม่ถึงห้านาทีเลย พร้อมทำหน้าสงสัยในการกระทำของผมพร้อมกับกำวิทยุในมือแน่น (น่าจะคิดเรียก รปภ.)

ผมรีบขับรถออกไปด้วยใจห่อเหี่ยว ผมขับรถกลับมาที่บ้านตนเองด้วยความคิดในสมองร้อยล้านแปด ผมรู้สึกสับสนกับภาพที่เห็น พยายามหาข้อแก้ตัวให้พี่กวีเท่าที่จะทำได้ แต่ลงท้ายความคิดทั้งหมดเหล่านั้นก็ไล่ลงต่ำไปสู่ความคิดแย่ๆ ทุกความคิด

ขณะที่ที่ผมกำลังขยี้หัวตัวเองด้วยความเครียด สายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องหน้ารถ ความคิดวูบแรงที่ผุดขึ้นมามันช่างเลวร้ายแต่ผมก็คิดอะไรไม่ออกจริง และเรื่องนี่ผมคงคิดหาทางออกคนเดียวไม่ได้ หลังจากตรึกตรองอยู่พักใหญ่ ผมก็คว้าเอาเมมโมรีการ์ดจากในตัวกล้องและรีบขึ้นไปทำภาระกิจที่ห้องตัวเองทันที

……………

“มึงส่งเชี้ยอะไรให้กู!!” ชายผู้ที่ได้ชื่อว่า หวงก้างที่สุเตั้งแต่ผมเกิดมากำลังเกรี้ยวกราดใส่โทรศัพท์ หลังจากได้รับคลิปวีดีโอที่ผมส่งให้ไปพักใหญ่

ผมพยายามสุภาพด้วยจนถึงที่สุดและพยายามเล่าเรื่องที่ตาเนื้อผมเห็นและถ่ายทอดทุกอย่างให้ไอ้พี่ชัยฟังอย่างไม่บวกลบอะไร และลงท้ายด้วยคำพูดว่า

“คือ….. ฟังนะ…. ผมก็ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตาเห็นหรอกนะ แต่คนที่อยู่ในรถของไอ้พี่โน่เนี่ย คือพี่กวี”

อีกฝ่ายนิ่งไปพักใหญ่…….และตอบกลับมา
“กู….ติดต่อกวีไม่ได้ตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว กูก็เป็นห่วงอยู่” เสียงที่ตอบกลับมามันช่างไร้พลังจนผิดปกติ

“พี่ทะเลาะอะไรกับพี่กวีหรือเปล่า!!” ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำเป็นห่วงไอ้คนที่ปลายสายด้วย เพราะความจริงผมกับมันก็ไม่ถูกกันเพราะเรื่องพี่กวี แต่ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันต่างไป มันเหมือนผมเห็นอกเห็นใจมัน เหมือนผมกำลังตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ‘หึงหวงและโดนนอกใจ’

อยู่ๆ ไอ้ความคิดประหลาดแบบนั้นมันก็เข้ามาจู่โจมผมแบบนี้ โคตรจะไม่ชอบเลย

ผมคุยกับมันต่ออีกพักใหญ่ ต่างฝ่ายต่างพยายามหาคำตอบ แต่สุดท้ายก็วางสายด้วยอาการอยากเคลียร์กับคนของตนเอง

‘เอ๋!! ใครเป็นคนของผม บ้าน่า!!’ ผมใช้มือปัดความคิดในหัวที่ผุดขึ้นมา

ครู่ใหญ่หลังจากที่วางสาย ผมก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถขับเคลื่อนเข้ามาจอดในรั่วบ้าน ผมรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงและลงไปข้างล่างทันที

ภาพที่เห็นมันช่างบาดใจไม่น้อย พี่กวีที่เดินนำเข้ามาในตัวบ้านซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากไปฟัดกับฝูงหมาข้างถนนฝูงใหญ่ เนื้อตัวมอมแมมและมีรอยเปื้อนตามเนื้อผ้าเต็มไปหมด เพียงแค่เห็นภาพเหล่านั้น ในหัวก็เตลิดไปไกลลิบ

ไม่มีความคิดดีๆ เกิดขึ้นในหัวผมตอนนี้เลย

“ขอโทษนะ พี่ขอมาล้างตัวหน่อย” พี่กวียิ้มทักและขออนุญาตผมผู้เสมือนเป็นเจ้าของบ้านตอนนี้

“เอ่อ….. ครับ” ในใจมีคำถามล้านแปด แต่ไม่กล้าเอ่ยออกไป ผมตอบกลับพร้อมผายมือเป็นการเชิญชวน

“ไปใช้ห้องผมก็ได้ครับ อยู่ชั้นสองห้องแรกเลยครับ” ผมรีบรับแขกตามมารยาทที่เหมาะสม พร้อมกับเห็นพี่โน่ที่เดินตามหลังมาในสภาพไม่ต่างกันมากนัก

‘นี่ไปทำอะไรกันท่าไหนวะ? แล้วที่โรงแรมมันไม่มีน้ำให้อาบหรือไง?!?’ ผมคิดในใจพร้อมมองค้อนใส่ครู่ใหญ่ ไอ้พี่โน่ก็มองกลับอย่างไม่หลบสายตา

“โห… บ้านน้องไอซ์สวยมากเลย” พี่กวีมองสำรวจด้วยความชื่นชม

“ไม่สวยเท่าพี่หรอก ได้ข่าวว่ายังกะวัง! แต่บ้านนี้ต้องยกความดีความชอบให้แม่นะครับ แม่เขารสนิยมดี” ผมตอบและมองรอยยิ้มพี่กวีจนเดินหายขึ้นไปด้านบน

“ผู้ใหญ่เข้าบ้านไม่ทักไม่ทายเลยนะ”  พี่โน่ที่เดินไปจนถึงบาร์น้ำของบ้านเอ่ยทักพร้อมแก้วน้ำเย็นในมือ (นี่มันจะทำตัวเหมือนเป็นบ้านตัวเองไปไหมเนี่ย?)

“ผมว่าพี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหมครับ น่าจะเจอศึกหนักมาทั้งคู่!!” ผมรู้สึกว่าตัวเองกระแทกเสียงลงในทุกคำของประโยค

แปลกดีเหมือนกัน หากเป็นปกติผมคงเดินตามไปดูแลพี่กวีเรื่องอาบน้ำอาบท่าแล้ว แต่ตอนนี้ผมเหมือนอยากจะระบายอารมณ์ใส่ไอ้คนตรงหน้าอย่างอธิบายไม่ถูก รู้ว่าอยากหาอะไรขว้างใส่หน้ามอมแมมของมัน

“โกรธอะไรกูวะ?” พี่โน่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น

“……..” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งตนเองคิดถูกหรือไม่ ไม่อยากคิดไปเอง ถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นคนเอาไม่เลือกแต่พี่กวีไม่ใช่คนแบบนั้น

“ยังนิสัยเป็นเด็กเหมือนเดิม! หรือว่าหึงที่กูกลับบ้านมากับน้องกวี!!” พี่โน่ยกมุมปากยิ้มขึ้นมาอย่างจงใจยั่วโมโหผม และปรากฏว่า มันได้ผล

“ไม่ใช่โว้ย!! พี่จะไปทำอะไรกับพี่กวี ไม่เกี่ยวกับผม ผมจะไปโกรธเรื่องนี้ทำไม คนที่ควรน่าจะโกรธ ควรเป็นแฟนพี่กวีนะ และก็พูดดีๆ ด้วยว่าใครหึงคนอย่างมึง!!” ส่วนลึกในใจผมกลับมีแต่คำว่า
 ‘เชี้ยแล้วไง หรือว่าจริงวะ ไอ้ความรู้สึกเชี้ยๆ เหล่านี้เนี่ยนะ!!’

ติ่งน่องๆๆๆๆๆๆ

กริ่งที่รั้วบ้านถูกกดอย่างรัวลั่นไปทั้งบ้าน จนผมคิดว่าปุ่มกดกริ่งหน้าบ้านน่าจะยุบลงไปเรียบร้อยแล้ว ผมมองหน้าพี่โน่ด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้ากลับมาด้วยอาการมึนงงไม่ต่างกัน

สุดท้ายมันจึงเป็นหน้าที่ของผมในการวิ่งไปหาต้นตอของเสียงกริ่งที่ดังระรัวต่อเนื่อง

“เฮ้ย!! มาได้ไง” ผมอุทานหลังจากเปิดช่องแอบมองที่รั้วบ้าน วงหน้าที่คุ้นเคยและวงหน้าที่แผ่รังสีอำมหิตจนผมรู้เสียวสันหลังไปหมด มันคือแฟนของคนที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องของผม

‘จังหวะนรกแล้วไง’ ผมคิดในใจพลางปาดเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลลงจากศรีษะ

“กวีอยู่ไหน?” เสียงแข็งกร้าว ข้ามกำแพงรั้วพุ่งเข้ามาหาผมอย่างมาดร้าย

“ใจเย็นๆ พี่! แล้วมึงมาได้ไงเนี่ย?!?” ผมพยายามผ่อนหนักเป็นเบา แต่ก็พูดอะไรออกมาตามใจปากจนได้ อย่างนี้มันก็ยิ่งเข้าใจผิดสิ!

“Find my phone! สรุปว่าที่มึงส่งคลิปมานี่คือกะจะอวดใช่ไหม?” เสียงของชัย แฟนของพี่กวีที่ขึ้นชื่อเรื่องหึงโหด (ถึงขั้นใช้แอปฯ สะกดรอยแฟนเลย สุดยอด!!

“พี่ชัย! มึงกำลังขาดสติ รถนั่นมึงก็รู้จัก!! มึงสะกดสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยเข้ามาคุยกัน” ผมพยายามสุดความสามารถ

“กูรู้สิ ก็มันจอดอยู่ข้างหลังมึงไง!!” คนพูดมันชี้ผ่านด้านหลังผมเข้าไป

ผมไม่ต้องหันไปมอง ก็คิดในใจคำเดียว ‘เชี้ยแล้วไง!!’

“กูรู้ว่า ไม่ใช่มึง  แต่กวีกับไอ้เจ้าของรถมันอยู่ข้างในใช่ไหม?” ท่าทางอารมณ์ของชัยจะยิ่งรุนแรงมากกว่าสงบลง

“ใจเย็นๆ ก่อน นี่บ้านผมนะ!” ผมยกมือขึ้นแผ่ออกขนานกับอกเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็น ผมไม่อยากเช็ดเลือดในบ้านตนเอง

แต่แทนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะเย็นลง กลับยิ่งดุร้ายขึ้นเหมือนเสือหิวที่ถูกขุมขัง ผมปิดช่องแอบมองแล้วเดินวนไปวนมาเพื่อคิดหาทางออก อย่างน้อยก็ประวิงเวลาให้อีกฝ่ายที่นอกประตูได้ใจเย็นลงบ้าง

ปึงๆๆๆ

ตอนนี้มันเลยทุบรั่วบ้านผมแล้ว ไอ้คนคลั่งรัก ขี้หึงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เคยได้ข่าวว่ามันเคยซัดกับพี่นีโน่อย่างสูสีเรื่องพี่กวีเห็นจะจริง!

“ปล่อยมันเข้ามา!!” พี่โน่ที่มาจากในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ มายืนอยู่หลังผมด้วยบรรยาเตรียมพร้อมรับมือ

“พี่อย่าเลยครับ ฟังจากเสียงทุบรั่วนี่ไม่น่าจะใช่มือนะครับ ไอ้พี่ชัยน่าจะมีอาวุธ” ผมยืนขวางทางไม่ให้อีกฝ่ายเดินไปเปิดประตูรั่ว

“หลีก! กูไม่กลัว!” พูดจบไอ้นักเลงบ้าเลือดเดินตัดผ่านผมไปอย่างง่ายดาย เขาเดินไปปลดล็อกประตูและเลื่อนเปิดกว้างออก

วูบ….ฟ้าว…. เพียงมีช่องทางเปิดออกเพียงพอให้ตนเองเข้ามาไอ้พี่ชัยมันก็รีบแทรกตัวผ่านและเริ่มจู่โจมพี่โน่ด้วยไม้เบสบอลทันที

ตัวไม้เหวี่ยงโดนลมดังและปะทะกับรั่วเหล็กทึบสีขาวดังสนั่น ตัวรั่วที่ทำจากเหล็กสั่นระรัวไม่หยุด จุดตรงที่ไม้ตกกระทบเป็นรอบบุบลงไปพอควร รั่วที่ทำจากเหล็กกล้าหน้าหลายเซ็นติเมตรยังขนาดนี่ ถ้าพี่โน่หลบไม่ทันมีหวัง…..จบชีวิต เข้าใจแล้วว่าหลายคนบอกผมบ่อยๆ ว่าอย่าไปยุ่งกับหมาบ้าเพราะแบบนี้นี่เอง

“มึง!! ล่อลวงกวีไปทำ……..” ขณะที่เจ้าของไม้เบสบอลกำลังถอนไม้ออกจากรอยบุบขนาดเท่าหัวเด็กทารก ก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าและร่างของไอ้พี่ชัยก็ลอยห่างออกไปครึ่งก้าว พร้อมกับปลายไม้เบสบอลที่ตอนนี้ถูกกำแน่นอยู่ที่มือนักเลงตัวเล็ก กล้ามที่โปนปูดขึ้นมาคับเต็มเสื้อโปโลคลุกฝุ่นมันช่างเป็นภาพที่หาชมได้ยาก

พี่โน่สมกับสมญานามว่า หมัดเดียวสลบจริงๆ

“ไอ้หมาบ้าตัวนี้พูดดีๆ ไม่เข้าใจหรอก เราต้องน้อคมันก่อน!!” นีโน่พูดขึ้นพร้อมปาไม้เบสบอลไปคนละทางกับร่างที่ลอยไปกองอยู่เบื้องหน้า (โคตรเท่และโคตรน่ากลัว)

“โอย….” ผมไม่รู้ว่าไอ้หมาบ้านี่โดนซัดตรงไหนแต่ความอึดของมันนี่สุดยอดไม่แพ้กัน ชัยพยายามขยับตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ

“สงสัยว่าประเมินมันต่ำไปเลยออมมือไปหน่อย” พี่โน่พูดจบก็กำมือชกฝ่ามือดังลั่นและเดินก้าวไปทางคนที่หมอบหมดแรงอยู่

“มึง!!” คนที่นอนหมอบอยู่ตาแดงก่ำมองมาทางพี่โน่อย่างเอาเรื่อง ไอ้พี่ชัยเวลามันเป็นแบบนี้มันโคตรน่ากลัวไม่น้อย แปลว่าที่ผ่านมามันไม่ได้เห็นผมในสายตาก็เลยปล่อยๆ ผม ตอดเล็กตอดน้อยพี่กวีอย่างไม่คิดมาก แต่กับพี่โน่คงเป็นคนละเรื่อง

“ผมว่าพี่หยุดเถอะครับ!” ผมรีบวิ่งไปขวางทางพี่โน่ไว้ แต่ผมก็ต้องสะดุดหยุดขาตัวเอง รู้สึกถึงเลือดไม่ไหลเวียนไปทีหน้า ของเหลวสีแดงข้นไหลนองลงมาที่ครึ่งหน้าพี่โน่ ด้วยสายตาที่ฉุนเฉียวที่ผมไม่เคยเห็นทำให้ผมกลัวจนไม่กล้าขยับตัว

แต่ทันทีพี่โน่มองเห็นอาการของผม เขาก็เหมือนรู้สึกตัว แววตาเปลี่ยนไปจนผมรู้สึกได้ และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ

“กูจะฆ่ามึง!!” แต่ไอ้หมาบ้าข้างหลังผมดูจะตรงกันข้าม ตอนนี้มันลุกขึ้นมาด้วยท่าทางหงิกงอด้วยความเจ็บปวดแต่แววตายังคงดุดันไม่เปลี่ยน

“ไอซ์ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” พักใหญ่ก็มีเสียงเย็นๆ มาจากทางตัวบ้าน พี่กวีในชุดไปรเวทของตนเอง  หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เหมือนมีออร่าแผ่ออกมา น่ารักฉิบหายหลังจากที่พี่กวีเดินเข้ามาในระยะประชิดบรรยากาศบริเวณนี้ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

“กวี…..” เสียงของไอ้หมาบ้าเมื่อครู่ตอนนี้เหมือนหมาที่กำลังจะโดนเชือด….โดยสัตวแพทย์สุดน่ารัก

“ไหวไหม?” เสียงของกวีที่แสนอ่อนโยนทำให้ชัยสีหน้าท่าทางอ่อนลงไปมาก พร้อมพยักหน้าอย่างน่าสงสาร

“งั้น……” เพียงแค่เริ่มต้นประโยค กวีก็ยกมือขึ้นคว้าผมดกดำจากคนเบื้องหน้า ขยำสุดแรงและเตะข้อพับขาของชัยให้หงายตัวล้มลงอย่างรวดเร็ว จนผมและพี่โน่ตกตะลึงจนยืนนิ่งอยู่กับที่

“นอนนิ่งๆ ไปก่อนนะ เจ็บก็นอนเฉยๆ เถอะ” กวีก้มหน้าลงพูดกับคนที่นอนแผ่อยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านด้วยเสียงเย็นยะเยือก แม้แต่ผมยังรู้สึกกลัวพี่กวีที่อยู่ตรงหน้า ใครจะไปคิดว่าคนน่ารักๆ แบบนี้เวลาโมโหจะน่ากลัวขนาดนี้

“ที่รัก ผมเจ็บนะครับ ทำไม….” ฝ่ายที่นอนแผ่อย่างเลือกไม่ได้ ได้แต่นอนดีดดิ้นโอดโอย

“ดีแล้วจะได้จำ ทีหลังจะได้ใจเย็นลงบ้าง!! ทำไมนายถึงไม่เคยเปลี่ยนเลย รู้ไหมว่าทำแบบนี้เท่ากับ ไม่ไว้ใจเรา คิดว่าใจง่าย หรือไม่ก็ดูแลตัวเองไม่ได้!!” กวีมองคนที่อยู่เบื้องต่ำที่มองกลับด้วยแววตาที่ปริ่มทุกข์

“เรา……ขอโทษ……เรา…….” ชัยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสำนึกผิดแต่ก็ยังไม่กล้าขยับตัว

“แล้วยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย!! ถ้าเป็นแบบนี้อีก……” น้ำตาของคนที่มีใบหน้าเทพประทานให้ถึงกับร่วงหล่นไหลอาบแก้ม

“ไม่ๆ ไม่นะ เราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว! เราจะมีสติขึ้น เราจะคิดก่อนทำ อย่าเลิกกับเราเลยนะ เราอยู่ไม่ได้นะ หากไม่ได้รักกวีนะ” อีกฝ่ายพยายามพยุงร่างที่เกือบจะพังขึ้นมาทีละน้อย และเข้ามาทำมาใกล้กวีและอ้าแขนเพื่อเตรียมเข้ากอดอีกฝ่าย

“หยุดอยู่ตรงนั้น! วันนี้ทำโทษ นอนให้ยุงกัดอยู่ตรงนี้แหละจนกว่าเราจะทำแผลให้พี่โนเสร็จเรียบร้อย” กวีใช้มือหยิกเนื้ออกอีกฝ่ายจนร้องโอย

ชัยแม้จะได้ยินประโยคของกวีเมื่อครู่ ก็ได้แต่ทำหน้าไม่พอใจและยืนถอยห่างออกไปตามสายตาที่ดุดันจากคนเป็นแฟน

ผมที่เห็นภาพตรงหน้าได้แต่ทึ่งกับการปราบม้าพยศของพี่กวีตรงหน้า  เรียกได้ทั้งอ้อนทั้งดุได้อย่างมีชั้นเชิงจนคนเป็นหมาบ้าอย่างไอ้พี่ชัยสยบอย่างราบคาบ แอบสงสารไอ้พี่ชัยมันเหมือนกัน แต่มันก็ทำตัวเองแหละ

(ผมไม่แปลกใจเลยเพราะพี่กวีก็ได้ชื่อว่าเป็นกัปตันทีมบาสเกตบอลที่โหดจนเป็นตำนาน โชคดีที่ไม่ได้อยู่คณะฯเดียวกัน)

“เดี๋ยวพี่ทำแผลเองดีกว่า น้องอยู่เคลียร์กับไอ้หมาบ้านี่เถอะ” นีโน่พูดกับกวีที่มีท่าทางห่วงแฟนตนเองไม่น้อย ถึงไอ้พี่ชัยจะบ้าๆ บอๆ แต่ก็โชคดีของมันที่พี่กวีรักมันเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรพี่” ขณะที่พี่กวีพูด ไอ้คนที่โดนทำโทษก็ยังเขม่นใส่พี่โน่ไม่เลิก รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจนอุณหภูมิแถวนี้เย็นขึ้นชัดเจน

“กูน่ะไว้ใจแฟนกู แต่มึงไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอวะ!!” ชัยพูดแหวกอากาศออกมา จนกระทั้งโดนสายตาพิฆาตจากพี่กวีถึงได้ก้มหน้าเงียบ

“กูพูดแล้วมึงจะเชื่อกู!!?” พี่โน่พูดข้ามศรีษะกวี

“ไม่เชื่อ!!” อีกฝ่ายตอบกลับสั้นๆ ตาขวาง

“แล้วมึงจะถามกูเพื่อ!!?” พี่โน่ก้าวเข้าไปใกล้อย่างดุดัน

“พอเลย!! เดี๋ยวผมเคลียร์เอง!! ไอซ์พี่ฝากได้ไหม!!” พี่กวีเสียงแข็งขึ้นมา คู่วิวาทตัวแข็งทื่อ ผมซึ่งอยู่นอกวงกลับโดนมอบหมายงานสำคัญเสียอย่างนั้น!!

“ดะ…ได้ครับ” ผมตอบตกลงอย่างอึกอัก เพราะไม่ทันตั้งตัว

สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในความคิดเลยคือ ผมจะสามารถลากไอ้เตี้ยแรงช้างสารนี่หลับบ้านไหวไหม ผมรู้จักความดื้อและความอึดของมันดี อย่างผมเนี่ยมันจะไปบังคับอะไรมันได้ แต่พี่กวีพูดขนาดนี้แล้วก็น่าจะได้ล่ะ

ผมก้าวออกไปกุมแขนคนตัวเล็กที่ออกแรงต้านจนแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นสัมฤทธิ์ ผมพยายามออกแรงดึงก็แล้วมันก็แทบจะไม่ขยับตัว พี่โน่ยังกำหมัดจ้องมองคู่แฟนตรงหน้าที่พยายามปรับความเข้าใจกัน ผมรู้ว่าพี่โน่เป็นห่วงพี่กวีมากแต่จากที่ผมเห็นตรงนี้ คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นพี่ชัยมากกว่า

แมะ!

เสียงของเหลวข้นสีแดงหยดลงบนฝ่ามือผมโดยบังเอิญ ความรู้สึกผมที่เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายมีแผลฉกรรจ์บริเวณมุมหน้าผาก ทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ ไม่ใช่ว่าผมกลัวเลือดกลัวบาดแผล แต่เป็นความรู้กลัวอีกแบบที่ผมไม่อยากยอมรับ

“พี่โน่ ผมขอร้อง ไปทำแผลกับผม” ผมปรับโทนเสียงตัวเองอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง

พี่โน่หันหน้ามองผมอย่างตั้งใจ สีหน้าที่เคร่งเครียดเมื่อครู่มลายหายไป เขาพยักหน้าเบาๆ และยอมอ่อนแรงที่ลำตัวและท่อนแขน

ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าที่คิดว่าน่าจะยังสะอาดอยู่ออกจากกระเป๋ากางเกงและยกมันขึ้นเพื่อจะใช้มันซับเลือดที่เลอะอยู่ครึ่งหน้าพี่โน่

มือผมถูกคว้าด้วยความเร็ว และหยุดมือที่ถือผ้าเช็ดหน้านั้นไว้

“เดี๋ยวเปื้อน เลือดมันซักไม่ออกนะ” ไอ้พี่โน่พูดขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน

“ใช่เวลามาห่วงเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ไหม ไม่รีบห้ามเลือดเดี๋ยวได้ตายหรอก!!” ผมดุใส่อีกฝ่ายเบาๆ ด้วยอารมณ์ที่อาจจะเรียกได้ว่า ‘เป็นห่วง’ มั้ง

พูดจบผมก็สะบัดมืออีกฝ่ายได้โดยง่าย และใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเทาที่พับบรรจบอย่างบรรจง ค่อยๆ เช็ดและซับของเหลวสีแดงออกจากใบหน้าอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

“ดีจัง” พี่โน่เอ่ยอะไรเบาๆ ออกมาให้ผมได้ยินอย่างจงใจและยกยิ้มมุมปากอย่างน่ารัก (โอ้ยยย หัวใจ)

“จับและกดไว้ แล้วก็ตามมา เดี๋ยวทำแผลให้!” ผมหยิบมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมผ้าเช็ดหน้าบริเวณเหนือคิ้วข้างซ้าย ที่ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของของเหลวสีแดงจำนวนมาก พูดจบผมก็หันหลังเดินนำเข้าบ้านมาทันที โดยไม่มองว่าอีกฝ่ายจะนามมาหรือไม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2022 07:26:16 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ระหว่างเดินไปถึงประตูบ้าน ผมพยายามใช้มือซ้ายกุมหน้าอกข้างซ้ายไว้ไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายในเต้นตูมตามจนอีกฝ่ายจะได้ยิน

หลังผลักประตูหน้าบ้านจนเปิดเข้าจึงคิดได้ว่า ผมไม่ควรปล่อยมือจากไอ้พี่โน่ เพราะหากไม่ลากมันมาด้วย เดี๋ยวก็ไปยืนจ้องอริจนคู่รักคู่นั้นหงุดหงิดเสียเปล่าๆ

ทันทีที่หมุนตัวกลับไป สายตาก็ปะทะกับพี่โน่ในระยะประชิด คนที่ยืนเอามือกุมผ้าเช็ดหน้าไว้บริเวณแผลถึงกับถอยไปครึ่งก้าวอย่างแปลกใจ แต่โชคร้ายที่ก้าวที่พี่โน่ถอยกลับไปมันดันเป็นพื้นต่างระดับ พี่โน่จึงมีอาการเซไปทางด้านหลังเล็กน้อย

จากสายตาของผม มันเหมือนคนตัวเล็กกำลังเสียหลักหงายหลังลงไป และห่างออกไปทุกที ด้วยปฏิกิริยานักกีฬา ผมพุ่งตัวออกไปคว้าอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด

ตอนนี้หากคนอื่นมาเห็นคงเหมือนเป็นอนุเสาวรีย์คู่รักที่เกาะนามิ ยืนกอดกันกลมอย่างใกล้ชิด

ผมพละออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวอีกฝ่ายจับจังหวะหัวใจของผมได้ เพราะมันกำลังเต้นเป็นจังหวะแรปอยู่อย่างรวดเร็ว รัวทำนองแปลกๆ ที่ผมไม่รู้จักออกมา

“ระวังหน่อยสิ!” ผมดุใส่อีกฝ่ายที่ยืนยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดนองคล้ายกับคนโรคจิต เจ็บขนาดนี้ยังจะสามารถยิ้มได้อีก

ผมเดินนำหน้าอีกฝ่ายมายังพื้นที่นั่งเล่นบริเวณสวนหย่อมข้างบ้าน เพราะมันทำความสะอาดง่าย หากเลือดหรือเบตาดีนหยดเลอะเทอะชุดเก้าอี้รับแขกหนังสีขาวอันหรูหราของแม่มีหวังผมจะเป็นคนหัวแตกเพิ่มขึ้นอีกคน

พี่โน่ว่าง่ายกว่าที่คิด มาถึงสวนหลังบ้านผมก็เจ้ากี้เจ้าการสั่งให้เขานั่งลงรออย่างสงบ เขาก็ปฏิบัติตามอย่างไร้เสียงโต้ตอบ จนกระทั่งผมเข้าไปหยิบกล่องยาสามัญประจำบ้านเขาก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมและท่วงท่าเดิมแทบไม่ขยับเลย

ผมรู้สึกอายนิดหน่อยที่ต้องโดนคนที่เคยเป็นศัตรูกันมองทุกการกระทำของผมอย่างไม่วางตา ไม่ว่าจะหยิบจับผ้าปิดแผล น้ำเกลือ เบตาดีน ออกจากกล่องและเริ่มจัดวางตามขั้นตอนล้วนอยู่ในสายของพี่โน่ตลอด

“ขอดูแผลหน่อย” ผมหันไปพูดกับอีกฝ่ายที่จ้องผมแบบแทบไม่กระพริบตา

แผลไม่ลึก และไม่ใหญ่มาก แปลว่า น่าจะแค่หลบไม่พ้นเท่านั้น เลยโดนแค่ถากๆ ผมรู้สึกทึ่งกับทักษะการวิวาทของพี่โน่อย่างมากระยะใกล้ขนาดนั่นยังสามารถหลบทัน หากเป็นผมโดนแบบนี้ คงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแน่นิ่ง
หลังจากสำรวจแผลจากทุกมุม ผมบรรจงทำการล้างแผลใส่ยาฆ่าเชื้ออย่างชำนาญ

“โห… นี่ถ้าไม่รู้ว่าเรียนสถาปัตย์ก็คิดว่าเรียนหมอนะเนี่ย” พี่โน่แซวขี้นมาขณะที่ผมกำลังเล็งตัดผ้าปิดแผลให้พอดีกับบาดแผลและรูปหน้าอีกฝ่าย

“เด็กๆ ผมกับไอ้เฟรมตีกันบ่อย จนแม่เลิกห้าม แล้วหันมาสอนให้ทำแผลด้วยตัวเองน่ะ แม่บอกว่าจะทะเลาะกันแม่ไม่ว่า แต่หากเลือดตกยางออกก็จัดการกันเอง แม่จะไม่ยุ่ง!!” ผมเผลอเล่าอะไรแบบนี้ออกไปจนตัวเองก็แปลกใจ

“สมเป็นมล” พี่โน่พูดจบก็หัวเราะในลำคอ

หลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น ในอกของผมก็ไหววูบวาบทันที ผมระลึกได้ทันใดว่า คนตรงนี้คือ อดีตคนรักของแม่และปัจจุบันคือเพื่อนสนิทของแม่

ความรู้สึกแปลกๆ ก่อนหน้านี้มันกลายเป็นความรู้สึกผิดจู่โจมเข้าที่กลางอกซ้ำ ๆๆ

ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ยิ่งรู้สึกเจ็บแปลบปลาบ ผมรีบจัดแจงปิดแผลอีกฝ่ายและเตรียมเก็บของเพื่อหนีออกจากตรงนี้ทันที


“เลือดน่าจะหยุดแล้ว พี่โน่อย่าลืมเปลี่ยนเสื้อผ้านะครับ แช่ผ้าไว้ก็ดีนะครับเดี๋ยวซักคราบเลือดไม่ออก ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมกล่าวเสียงเรียบและหันหลังกลับ


“เดี๋ยว!!” ผมโดนอีกฝ่ายดึงรั้งแขนเอาไว้

“อะไรอีก!!” ผมสะบัดแขนข้างที่โดนจับแต่กลับไม่สามารถทำให้มืออีกฝ่ายหลุดออกท่อนแขนผมได้ ผมโบกแขนไปมาในอากาศจนรู้สึกเจ็บบริเวณที่กดทับ สุดท้ายผมก็หยุดและหันมามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตากร้าวร้าว

“มึงจะงอนเรื่องกูกับน้องกวีใช่ไหม? มันไม่เป็นอย่างที่มึงคิดนะ!!” คนที่จับแขนผมบีบจนเลือดแทบไม่เลี้ยงปลายนิ้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าอมยิ้ม

“พูดอะไร ผมไม่รู้เรื่อง!!” ผมผ่อนแขนตัวเองลงเผื่อว่าอีกฝ่ายจะลดแรงบีบลง แต่ก็ยังคงจับผมด้วยแรงเท่าเดิม

“แล้วไอ้ลิงกังตัวไหนมันขับรถตามกูมา แล้วขับรถวนรอบโรงแรมที่กูเป็นเจ้าของ!!” มันดึงผมเข้ามาใกล้มันอีกครึ่งก้าว พร้อมจ้องเข้าไปในดวงตาของผม

‘เชี้ย!! ตาดีไปแล้ว!!” ผมคิดพลางหลบสายตาอีกฝ่าย

“แปลว่ายอมรับสินะ!!”  อีกฝ่ายเสียงดังขึ้น

“เออ!! กูเอง! กูก็แค่อยากจะปกป้องพี่กวี กลัวมึงพาไปทำมิดีมิร้ายก็เท่านั้น แล้วไงสมใจหรือยัง ดูสิเสื้อผ้ายับเยินยังกะไปฟัดกับหมา!!” อารมณ์ที่พยายามสะกดไว้มันพรั่งพรูออกมาอย่างกับเขื่อนแตก ในใจมันยังมีอะไรอีกเยอะแต่อย่างน้อยมันก็ได้ระบายออกไปบ้าง ผมจ้องกลับเข้าไปในตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

“ในสายตามึงเคยมองกูดีบ้างไหมเนี่ย?” อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ ผมรู้สึกแปลกใจที่มันไม่แก้ตัว หรือหาคำอธิบายแบบเสียดสีที่ทำให้ผมเจ็บใจที่เข้าใจมันผิด แต่นี่มันแปลกไป

“…….” ผมมองกลับวงใบหน้าประหลาดใจกับคำพูดของไอ้พี่โน่

“อืม….กูก็ไปฟัดกับหมาจริงๆ นั่นแหละ”  พี่โน่ตอบด้วยถ้อยคำเอื่อยเฉื่อย

“ห๊ะ!!” ผมได้แต่อุทานเพราะไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้อง

“คืองี้นะ หมาจรจัดที่กูบังเอิญเลี้ยงไว้ที่โรงแรมนั่น มันกำลังจะคลอดลูก แต่เห็นร้องไม่หยุด และไม่คลอดเสียที กูเลยขอยืมตัวกวีจากที่ฝึกงานไปช่วยหน่อย แต่มันก็ไม่คุ้นกับกวี กูกลัวมันกัดน้องกวีก็เลยต้องออกแรงกันหน่อย”  อีกฝ่ายอธิบายพร้อมปล่อยท่อนแขนผม ผมที่รู้สึกได้ถึงเลือดที่กลับมาเลี้ยงที่ปลายนิ้วอีกครั้ง ถึงกับยกมือขึ้นมาลูบแขนหลายครั้ง ภายใต้สายตาสำนึกผิดผิดจากไอ้คนจับ

“คือกูต้องเชื่อ!!” ผมสวนกลับไป

“มึงไม่ต้องเชื่อกูก็ได้ แต่มึงไปถามกวีได้ ป่านนี้คงเล่าให้ไอ้หมาบ้านั้นฟังอยู่” นีโน่พูดพลางใช้นิ้วเขี่ยรอบๆ ผ้าปิดแผล

“เออ! ตามนั้นก็ได้! แล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป! อย่าเอามือไปโดนแผล ดีนะไม่ต้องเย็บ!!” ผมใช้มือตีมืออีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถอยห่างมาครึ่งก้าวแล้ว

“เออ….กูรู้…. แต่แผลขนาดนี้ให้กูอาบน้ำยังไงล่ะ!” ไอ้พี่โน่ยิ้มแปลกอีกแล้ว นอกจากผมจะไม่โดนต่อยกลับแล้ว ผมยังโดนสายตาแปลกๆ ของมันจู่โจมอีก

“เรื่องของมึง!” ผมพูดจบก็เตรียมเดินถอยฉากทันที

“เดี๋ยว!!” คำพูดนั้นมาพร้อมกับที่ผมถูกมืออีกฝ่ายดึงจนเซไปนั่งอยู่บนตักของไอ้คนตัวเล็ก

“กูไม่ไหวแล้ว กูไม่เคยเหนื่อยตื้อใครขนาดนี้เลยนะ” ผมตะคอกใส่หน้าผมด้วยน้ำเสียงที่ดังแต่ไร้อารมณ์ฉุนเฉียว

“หมาย….หมาย…ความว่าไง?” ผมรู้นะแต่ใจยังไม่ยอมรับหากมันไม่พูดออกมาตรงๆ

“นี่มึงไร้เดียงสาหรือไง?” นั่นไงปากหมาเหมือนเคย

“ก็…กูอยากแน่ใจ…” ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมดเมื่อโดนอีกฝ่ายพูดกรอกหูแบบนี้

“กูจีบมึงอยู่ไง ไอ้โง่ กูทำตัวว่าชอบมึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกนะ ไอ้ลิงกังเอ้ย!!” แม้มันจะดูเหมือนคำด่าแต่ผมรู้สึกหมดแรงต้านยังไงบอกไม่ถูก ผมที่เคยพยายามดิ้นรนออกจากอกของพี่โน่ กลับนิ่งเฉยเมื่อเจอประโยคนี้กรอกเข้าหู

“จะแกล้งอะไรกูอีก!” ผมยังไม่เชื่อสนิทใจแม้จะเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่าย

“มึงมองตากูสิแล้วบอกหน่อยว่านี่คือการแกล้ง?” แววตาจริงจังของมันมีเงางงๆของผมสะท้อนอยู่

ผมมองตามันได้แค่พักเดียวก่อนที่จะหันหนี มันเป็นแววตาจริงใจที่ผมไม่เคยเห็นจากมัน

“เออ…เชื่อก็เชื่อ!!” ผมหลบหน้าไปทางอื่นเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเห็นสีหน้าที่ตอนนี้ร้อนผ่าวไปหมด

“งั้นกูขออะไรหน่อยสิ?” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ลมหายใจของมันไหลกระทบหลัง

“อะไร?!?” ผมหันพลางถอยห่างไปครึ่งก้าว

“อาบน้ำให้หน่อย” น้ำเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกตัวร้อนผ่าว

“?!?!!” ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยืนนิ่งกับอาการรุกคืบของอีกฝ่าย

พี่โน่เหมือนได้ใจที่ผมไม่โต้ตอบใดๆ เดินเข้ามากอดผมไว้อย่างอบอุ่น การที่โดนคนตัวเล็กกว่ารุกใส่แบบนี้มันทำให้รู้สึกแปลกแตกต่างไม่น้อย แต่ความอบอุ่นที่อีกฝ่ายแผ่เข้ามาในร่างของผม ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“อ้าว! นึกว่าต้องมาเคลียร์อีกคน! แบบนี้คงเข้าใจกันแล้วใช่ไหม?” เสียงพี่กวีดังขึ้นจากทางด้านหลัง

ด้วยความตกใจกับภาพที่ทำให้รู้สึกตัว ผมพยายามดิ้นรนให้ตนเองออกจากอ้อมแขนล่ำๆ ของพี่โน่ แต่แรงนักกีฬาของผมอย่างผมกลับสู้แรงนักเลงตัวเล็กไม่ได้  จึงเป็นภาพที่ออกมาขบขันไม่น้อย สังเกตจากอาการอมยิ้มของพี่กวีได้

“พี่โน่! ปล่อย!!” ผมโวยเบาๆ กับพี่โน่ที่ยังคงเกร็งแขนโอบรัดผมจนแทบขยับตัวไม่ได้

“ไม่! รับปากพี่ก่อน” เสียงยียวนอีกฝ่ายยิ่งทำให้หงุดหงิดปนเขินคนที่จ้องมองมาอย่างกับกำลังดูละครของพี่กวี

“เฮ้ย! อย่ามาฉวยโอกาส” คำที่เรียกตัวเองว่า ‘พี่’ ของอีกฝ่ายวันนี้ทำให้ความรู้สึกแปลกไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยายามดิ้นจนสุดแรง

“รับปากพี่สิจะได้ไม่เจ็บตัว” ไอ้พี่โน่ ทำเสียงอ่อนหวานแบบนี้ไม่ชินอย่างแรง

“โอ้ย” ผมร้องเมื่ออีกฝ่ายรัดแน่นขึ้น แต่เหมือนผมจะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนกระทั่งเผลอผ่อนแรงลง

และนั่นทำให้ผมสะบัดหลุดจากไอ้คนแรงยักษ์อย่างพี่โน่

“อ้าว!! ไม่เป็นไรนี่ ขี้โกงนี่นา” ไอ้คนตัวเล็กที่เริ่มทำนิสัยเหมือนเด็กโดยไม่สมกับอายุ ถึงจะดูน่ารัก แต่ผมก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

“แล้วทำแผลให้พี่โน่เสร็จแล้ว?” พี่กวีเอ่ยถามเมื่อผมเดินออกห่างจากไอ้หื่นนั้นได้สองสามก้าว

“เอ่อ…..ยัง….ครับ……. เอ่อ…. ตามมาสิ จะรอข้างบนนะ” ผมพูดจบก็รีบเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปที่ห้องทันที

รู้สึกถึงสีหน้าพึงใจของไอ้คนตัวเล็กได้แม้หันหลังให้

ได้แต่ยินเสียงพี่กวีพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ผมจะขึ้นบันไดว่า
“เบาได้เบานะพี่ น้องมันยังเด็ก”

นี่พี่กวีก็เป็นกับเขาด้วยหรือเนี่ย!! แต่อีกใจก็อยากจะหันไปบอกว่าผมไม่เด็กแล้วนะ!!

………………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากที่ผมเดินมาถึงในห้องและปิดประตูสนิท ผมก็ยืนอยู่บริเวณประตูอยู่พักใหญ่ ลังเลว่าจะล๊อกห้องไปเลยไหม? แล้วปล่อยเรื่องเมื่อสักครู่ผ่านไป ไอ้พี่โน่มันคงแค่จะหยอกให้ผมบิดเขินด้วยความสนุกสนานแบบที่มันชอบทำ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะลองพิสูจน์ว่าเรื่องที่มันพูดข้างล่างมันพูดจริงหรือไม่!!

ระหว่างที่ยืนลังเลอยู่พักใหญ่ประตูก็ถูกผลักเปิดออกเผยให้เห็นคนตัวเล็กเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยคล้ายกับเดินเข้าห้องนอนตัวเอง

หลังจากเข้ามาในห้องและเดินผ่านผมไปทางเตียงนอน เขาก็จัดแจงผลัดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวังแผลที่ศรีษะตนเอง

“เดี๋ยวๆ กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะมาอาบที่ห้องกู ห้องมึงก็มีก็ไปอาบสิ!!” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจับชายขอบกางเกงในสีขาวเพื่อปลดลดลง

“ก็ไหน ไอซ์บอกให้พี่ตามมา ก็คิดว่าหมายถึงแบบนี้” คำพูดสุภาพแบบนี่ฟังกี่ทีก็ไม่คุ้นเคย

“เอ่อ…….ก็…. นั่นแหละ… ยังไม่ได้ตกลงเรื่องอาบน้ำเลย แล้วอาบน้ำที่ห้องพี่ไม่ดีกว่าเหรอ?”  ผมหน้าร้อนผ่าวไปหมด ใช่ว่าผมจะไม่เคยเห็นมันเปลือยเสียหน่อย

“ไม่ล่ะอาบที่นี่แหละ ไหนๆ ก็ถอดแล้ว” มันพูดหน้าตาเฉยพร้อมปลดกางเกงในลง

“อาบห้องตัวเองน่าจะสะดวกนะ แบบมีพวกชุดที่จะเปลี่ยน และผ้าเช็ดตัวอะไรแบบเนี่ย”  ผมพยายามเลี่ยงที่จะมองคนที่เปลือยตรงหน้า

“วันนี้ไม่ได้เตรียมมา ขอยืมหน่อย!” ไอ้พี่โน่มันยื่นมือมาขอผมแบบง่ายๆ ด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า หัดอายอะไรบ้างสิวะ อีกอย่างไม่ใช่ว่า นอนค้างที่บ้านนี้ทุกวัน มันควรจะมีเตรียมเก็บไว้เลย แบบนี้มันใช่เหรอวะ!!

“เฮ้ยๆๆ ไม่ต้องเดินเข้ามา เดี๋ยวจัดการให้!” ผมเดินเลี่ยงมันไปทางตู้เสื้อผ้า และหยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวที่ใกล้มือที่สุดยื่นให้ โดยพยายามเลี่ยงที่จะมองจุดยุทธศาสตร์ของไอ้คนหน้าไม่อายที่พยายามจะยัดเยียดมันเข้าสายตาผม

“แปลกนะ ปกติไอซ์น่าจะเปลือยกับเพื่อนๆ หรือบรรดาคู่นอนเป็นปกตินี่ ทำตัวแบบนี้ ไร้เดียงสากว่าที่คิด” พี่โน่เลิกคิ้วก่อนที่พูดแซวออกมา

“ก็เพราะเป็นพี่นั่นแหละ!!” ผมโพล่งพูดออกไป

“อะไรนะ!?!” ไอ้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นปรากฏบนหน้ามันอีกแล้ว!! อยากหาอะไรปาใส่ปากนั่นให้เลือดกลบปาก

“จะไปอาบน้ำก็ไปสิ” รู้ตัวอีกทีก็ร้อนผ่าวไปหมด ลมหายใจมันกระชั้นเหมือนขาดอากาศหายใจ

“ตามมานะ” พี่โน่หยิบผ้าเช็ดตัวที่ผมยื่นให้และเดินตัวเปล่าเข้าห้องน้ำไป แทนที่นำผ้าเช็ดตัวไปนุ่งห่มให้เรียบร้อย พี่โน่กลับเอาไปพาดบ่าเอาไว้

“อือๆ” ผมรับปากแบบขอไปที ตอนแรกคิดว่าให้มันเข้าไปรอในห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมันรอไม่ไหว มันก็คงอาบเองไปก่อน

แต่ที่ไหนได้ นอกจากจะไม่ปิดประตูห้องน้ำแล้ว ยังไปยืนรออยู่นิ่งๆ ในพื้นที่อาบน้ำ พร้อมจ้องหน้าผมผ่านกระจกใสที่กั้นอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

แม้ว่าพี่โน่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รู้สึกถึงคำเรียกร้องของอีกฝ่ายผ่านทางสายตาได้

“เอาก็เอาวะ คิดว่าอาบน้ำให้ชิวาว่าก็แล้วกัน” ผมพูดกับตัวเองพร้อมถอดเสื้อและกางเกงออกเหลือเพียงการเกงบ๊อกเซอร์ตัวจิ๋วตัวเดียว

ผมคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ระหว่างที่เดินและแขวนผ้าเช็ดตัว จนกระทั่งปิดประตูห้องน้ำลง ล้วนอยู่ในสายตาของพี่โน่ทั้งหมด ผมบอกได้คำเดียวเลยว่า…..

ไม่ชิน ไม่ชินกับกับสายตาแบบนั้นเลย มันไม่ใช่สายตาหื่นกระหายแบบจ้องตระครุบเหยื่อแบบหมาป่า แต่มันเหมือนสายตาของหมาน้อยที่จ้องกระดูกชิ้นโตที่ถูกห้ามมิให้แตะต้อง ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงกับอาการของมัน แต่มันก็ทำให้ผมไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ เลย

“อ้าว ไม่ถอดให้หมด!”  พี่โน่ที่มองผมหัวจรดเท้าเอ่ยขึ้นมาเหมือนมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

“ผมยังไม่อาบนี่ อาบน้ำให้พี่เสร็จก่อน ถอดแค่นี้ก็พอ” ผมตอบไปพลางปรับอุณหภูมิที่เครื่องทำน้ำอุ่น

“อืม….แต่พี่ไม่เอาน้ำอุ่นนะ ไม่ชอบ” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นอีกนิด น้ำเสียงทุ้มแปลกกว่าปกติ

“แหม อาบน้ำเย็น เดี๋ยวหด…..หมด….เอ่อ… ช่างมันเถอะ” ผมพูดเล่นแก้ความอึดอัดของตนเอง แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปมองจุดกึ่งกลางลำตัวโดยบังเอิญ คิดเหมือนกันว่าหรือเราควรจะลองรดน้ำเย็นตรงนั้นดูเผื่อว่ามันจะหดเล็กลงจริง ผมสาบานได้ว่านั่นมันคือขนาดปกติครับ แต่มันช่างโอโหจริงๆ อุทานได้คำเดียว คนตัวเล็กแค่นี้สามารถรับน้ำหนักสิ่งนั่นได้อย่างไร?

โลกช่างออกแบบมันได้แปลกจริง ไม่ชินตาเสียที

ผมปรับน้ำให้เป็นอุณหภูมิธรรมชาติ ลดระดับแรงน้ำฝักบัวให้อ่อนลง ใช้มือรองแล้วรองอีกเพื่อให้เหมาะสมกับคนเจ็บผมไม่อยากให้แผลของพี่โน่โดนน้ำเพราะเดี๋ยวจะหายยากกว่าเดิม อีกอย่าง เดี๋ยวจะหาเรื่องคาดโทษผมเรื่องนี้ และกลายเป็นว่าต้องชดใช้ดูแลมันอีกยาวๆ รีบๆ ให้หาย รีบๆ ให้จบไปเสียดีกว่า

หลังจากทุกอย่างเข้าที่แล้ว ผมพยายามใช้น้ำจากฝักบัวรินรดร่างกายที่เปลือยเปล่าของคนตรงหน้าทีละส่วน ภายใต้สายตาที่ผมรู้สึกอึดอัดและสงสัยกับความคิดในหัวของคนตัวเล็ก

กว่าจะทำความสะอาคคนตัวเล็กที่คิดว่าไม่น่าจะมีพื้นที่ให้ทำความสะอาดมาก แต่กลับอยู่กับพี่โน่ในห้องน้ำเสียนาน อาจเพราะผมอาจจะระวังที่จะสัมผัสกับผิวแน่นๆ ของมันมากจนเกินไป ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็กๆ นับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านั้นไม่น่าเชื่อว่าจะมีเสน่ห์กับผมไม่น้อย แอบยอมรับกับตัวเองเหมือนกันว่ามันเพลินมือเพลินตาไม่น้อยที่ได้เห็นและสัมผัสกับมือและตาระยะใกล้ แต่ผมก็พยายามเก็บอารมณ์และสีหน้าได้ดี หน้าและมือนิ่งจนผมยังแปลกใจกับตัวเองเลย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าพี่โน่ นอกจากมองอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว พี่โน่แทบจะไม่ได้ทำอะไรเกินเลยผมแม้แต่น้อย

ผมยังแอบคิดเลยว่าหากมันเผลอใช้มือมาปลดกางเกงผมลง ผมอาจจะรั้งตัวเองไม่อยู่กระโจนเข้าใส่ไปแล้ว

“ช่วยนุ่งผ้าเช็ดตัวได้ไหม?” ผมเอ่ยทักเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินเปลือยออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ผมอุตส่าห์แขวนผ้าเช็ดตัวตัวให้ที่ประตูห้องน้ำ หยาดน้ำพรายที่เกาะทั่งร่างมันส่องประกายกับดวงไฟแอลอีดีในห้อง ทำให้คนตรงหน้าดูมีเสน่ห์น่าหลงไหลไปอีก ผมรู้สึกถึงไอร้อนบริเวณใบหน้าจึงได้แต่ทำกระฟัดกระเฟียดไปหยิบผ้าเช็ดตัวมายื่นให้คนที่ยืนเปลือยเปล่าอยู่หน้าห้องน้ำ

“ถามจริง ขนาดนี้แล้วยังไม่คิดจะเช็ดให้หน่อยเรอะ?” พี่โน่คว้ามือที่มีผ้าเช็ดตัวของผมแล้วกำแน่นขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่มีโทนอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกไม่รู้จักคนตรงหน้าแม้แต่น้อย

“พี่ใช่พี่โน่หรือเปล่าวะ ถามจริง? อะไรเข้าสิงวะ!” ผมกระขากมือกลับอย่างแรงจนเกือนหงายหลัง ดีที่พี่โน่คว้ามือของผมไว้ได้ทัน ผมไม่คิดว่ามันจะกำมือผมอ่อนขนาดนี้

“กูก็คือกู แค่…..กับคนที่กูชอบ…. มันก็จะเป็นแบบนี้ กูก็แค่เลือกแสแสร้ง…. ว่าแต่ให้กู….. เอ่อ…แทนว่าตัวเองว่าพี่ได้ไหม? พี่รู้สึกว่ามันค้านกับความรู้สึกแปลกๆ”  อีกฝ่ายส่งสายตามาที่ผมด้วยร่างกายแบบนั้น…. มัน…. รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด

“เออๆ เช็ดให้ก็ได้” ผมพูดแก้อาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้า รู้สึกใจเต้นระรัวจนมือไม้สั่นไปหมด ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครเลยให้ตายเถอะ มันไม่ใช่ครั้งแรกของผมเสียหน่อย

ผมพยายามใช้มือที่คลุมผ้าเช็ดตัวลูบและซับน้ำจนทั่วร่างกายยกเว้นหนึ่งบริเวณที่ผมไม่กล้าสัมผัสเพราะกลัวไปปลุกสัตว์ร้ายให้ตื่น

“เสร็จแล้ว เอาผ้าไปนุ่งให้เรียบร้อย ส่วนเสื้อผ้าก็วางให้บนเตียงแล้ว ส่วนแผลก็……” ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้ไอ้คนหน้าไม่อายทั้งที่ไม่มอง แล้วก็ต้องหยุดเมื่อมือของตนเองไปปะทะกับของนุ่มนิ่มของร่างกายอีกฝ่าย

“โอ้ย!!” คนที่โดนทำร้ายก้มโค้งตัวงอ จนผมรีบปรี่ไปพยุง

แต่ก็นั่นแหละ ผมโง่เองที่ไปห่วงหมาป่าเจ้าเล่ห์อย่างมัน!! รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกผลัก และดันให้หงายหลังบนเตียงเสียแล้ว

ที่สำคัญมันคล่อมผมอยู่ พวกเรามีคนหนึ่งที่เปลือยเปล่า ส่วนอีกคนก็แทบไม่ใส่อะไรเลย กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวน้อยของผมที่ชื้นแฉะจนแทบจะปิดบังอะไรไม่ได้ แบบนี้มันเกินไป ยิ่งสายตาที่จ้องมองลงมาแบบนั้นผมยิ่งรู้สึกควบคุมอะไรบางอย่างในร่างกายไม่ได้ นี่ผมโดนยาหรือเปล่าวะ?

“อืม…… ก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม? ปากแข็งเหมือนแม่เลยนะ!” พี่โน่โน้มตัวลงมาพูดใกล้ๆ ลมหายใจที่รดรินลงมาที่คางและลำคอทำเอาผมสั่นไปหมด

“หยุดเลย!! อย่าทำแบบนี้ ดูสิเตียงผมเปียกหมดแล้ว!!” ผมพยายามขัดขืนทั้งที่ตอนนี้เหลือแรงอยู่น้อยนิดจนผิดปกติ ผมต้องสู้ทั้งใจตัวเองและแรงกดดันของอีกฝ่าย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้

“อ้อ…. งั้นก็ถอดออกสิ เห็นมันเกะกะมาตั้งนาน…” พูดจบไม่ทันไร กางเกงตัวจิ๋วของผมก็ปลิวลงไปอยู่ที่พื้นปลายเตียง

‘เชี้ย!!’  ผมอุทานในใจ พยายามทำตัวคูลๆ จะได้คุมสถานการณ์ได้ แต่จากรอยยิ้มอีกฝ่ายที่เห็นน้องชายผมที่พร้อมทำศึกแล้ว ท่าทางเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ

“ไอซ์เนี่ยก็มีมุมน่ารักแบบนี้ด้วยเนอะ” อีกฝ่ายเบื้องบนที่มองจ้องลงมาที่ผมอย่างสำรวจพร้อมรอยยิ้มพึงใจพูดขึ้น

“จะทำอะไรของมึงเนี่ยปล่อย!! มันหนักนะ” ต้องเกรี้ยวกราดผมคิดได้แบบนั้น ไอ้คนตัวเล็กเท่าเด็กมัธยมปลายเนี่ยไม่หนักขนาดนั้นหรอก แต่ต้องทำให้มันยอมลุกออกจากตัวผมก่อน

“ก็จะทำอะไรที่ผู้ใหญ่สองคนเขาทำกันเวลาที่มีอารมณ์อย่างว่าไง!” ดวงตาที่ไล่เรียงจ้องผมตั้งแต่เส้นผมที่ชื้นแฉะและท่อนบนที่เปลือยเปล่า แถมยังทำท่ากลืนน้ำลายอย่างเห็นได้ชัด (แบบนี้มันเกินไปจริงๆ)

“จะขืนใจผมเหรอไง?” ผมดิ้นอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่อาจพ้นจากแรงกดของคนที่พลังดุจช้างสารได้

“ปล่อย……อุบ!!” ผมเตรียมปล่อยโวยเสียงดังเป็นไม้ตาย แต่สุดท้ายก็เจอริมฝีปากบางจากด้านบนกดประทับลงบนริมฝีปากของผม

มันอบอุ่น นุ่มนวลแผ่วเบา ลิ้นที่ชุ่มอุ่นสอดแทรกเข้ามาอย่างได้จังหวะ จังหวะที่ผมเริ่มโอนอ่อนกับลีลาจุมพิตที่แสนเร้าร้อน ไม่นานผมก็เริ่มปล่อยใจไปกับความรู้สึกวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้

หลังจากที่อีกฝ่ายรู้สึกว่าผมไม่ต่อต้านเขาก็จับมือของผมไปลูบไล้บริเวณช่วงอก ผมกลับปฏิบัติอย่างว่าง่ายเหมือนต้องมนต์ ผิวแน่นเป็นลอนคลื่นแข็งของช่วงอกนั่นมันทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอ และรู้สึกอยากสัมผัสอย่างไม่มีจำกัด ผมเพลิดเพลินกับการลูบไล้อีกฝ่ายจนไล่ลงมาถึงช่วงท้อง

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ขณะที่มือของผมกำลังไหลไล่ลงมาเรื่อยๆ ริมฝีปากผู้ใหญ่ตัวเล็กก็ผละออกจากปากของผมและไล่เลียลงไปตามความยาวลำตัว เขาทำเหมือนกำลังซดสูดกลิ่นของผมไปทุกอณูขุมขน ลมหายใจหอบอุ่นที่ไหลลามไปตามทางที่จมูกเป็นสันพาดผ่านทำให้ขนบนร่างกายต่างชี้ชูชันอย่างไร้การควบคุม ความรู้สึกเหล่านี้มันช่างสุดยอดจริงๆ

ขณะที่ใบหน้าของพี่โน่ที่กำลังซุกไซ้ไปตามลอนกล้ามเนื้อของผมลงต่ำไปเรื่อยๆ  และไปหยุดอยู่ตรงชายป่าดกครึ้มสีน้ำตาลเข้ม ลมหายใจหอบใหญ่พัดเข้าดงหญ้าและต้นไม้ใหญ่ อยู่ๆ สติผมก็คืนมาพร้อมกับใช้มือรวบจับศรีษะคนเบื้องล่างให้หยุด และรีบถอยหนีไปจนสุดหัวเตียง

ภาพต่างๆ เมื่อวันก่อนช่วงเมาแทบไม่ได้สติมันวกกลับเข้ามาพร้อมเสียงของแม่เมื่อวันที่ทั้งหมดนั่งอยู่ร่วมโต๊ะอาหารกัน ความกลัวบางอย่างเข้ามาคลอบคลุมจิตใจของผม ทั้งๆ ที่ร่างกายมันฟ้องอยู่ว่ากำลังต้องการคนตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรนะ” พี่โน่ยืนยิ้มอยู่ที่ปลายเตียง มันทำกับผมเป็นเด็กเวอร์จิ้นที่เพิ่งจะเคยมีอะไรครั้งแรก มีสายตาเอ็นดูและขบขันอยู่ในที

ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ากลัว มองจากตรงนี้ที่เห็นขนาดคนตรงหน้าใครไม่กลัวก็แปลก อีกอย่างผมไม่เคย….แบบนี้เลย แล้วคนๆนี้คือเพื่อนแม่อีก โอยยย คิดหัวจะแตก อีกใจก็อยากได้ใจจะขาด อีกใจก็….ปฏิเสธจนมีเสียงแปลกๆ เต็มหัวไปหมด

ผมได้แต่นิ่งมองเขา มองคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเสียแล้ว แต่คนอย่างมันคงไม่ปล่อยให้ผมรุกอยู่แล้ว…. ผมได้มองเขานิ่งๆ แบบนั้นไปอีกสักพัก

“เอางี้วันนี้พี่เหนื่อยแล้ว ขอนอนที่นี่เลยก็แล้วกันนะ” พูดจบมันก็เดินกระโดดขึ้นเตียงมานอนห่มผ้าห่มทั้งๆ ที่ร่างกายเปลือยเปล่าแบบนั้น

ไม่เกินสิบวินาที เสียงลมหายอันสงบและสม่ำเสมอก็ดังขึ้น

“เฮ้ย มันหลับจริงว่ะ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจแต่ก็อมยิ้มจนผมเองก็รู้สึกงงกับตัวเองเช่นกัน

ด้วยความปรารถนาดีหรือด้วยกันอนาจารเพราะร่างกายที่นอนตะแคงเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มบนเตียงครึ่งตัว ผมตัดสินใจหยิบผ้าห่มสำรองในตู้เสื้อผ้าไปห่มคลุมเพิ่มให้คนตัวเล็กที่ท่าทางไร้สติ

แต่ด้วยความรวดเร็วที่เกินกว่าที่ผมจะทันรู้สึกตัว ผมก็ถูกลากเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายขณะที่กำลังจะห่มผ้าห่มให้เสียแล้ว

หนุบหนับๆ พัลวันกันพักใหญ่ ในที่สุดผมก็ถูกผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมกอดจากทางด้านหลังเสียแล้ว ร่างกายที่เปลือยเปล่าของพวกเราสัมผัสกันเกือบทุกส่วน ผมรู้สึกถึงผิวที่เย็นเยียบหลังการอาบน้ำได้ทั้งแผ่นหลัง แต่ส่วนที่เป็นแท่งแข็งที่แนบนอนขนานอยู่ที่ช่วงเอวของผมกลับอุ่นร้อน

“เฮ้ย! แกล้งหลับหรือวะ? ปล่อย” รู้สึกใจสั่นระรัวจนกลัวอีกฝ่ายรับรู้ถึงแรงสั่นทะเทือน ผมจึงพยายามดิ้นรนสุดกำลัง

แต่อนิจจาแรงเราสู้เขาไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่นอนหอบอยู่ในอ้อมกอดเขา ด้วยใจที่สั่นลั่นเป็นกลองศึก

“ก็นอนแล้วล่ะ แต่เวลามีใครเข้ามาใกล้มันก็อดจะรู้สึกตัวไม่ได้ พี่เห็นว่าเป็นน้องมันก็เลยอดใจไม่ไหว” ไอ้คนตัวเล็กที่พูดผ่านแผ่นหลังของผมภายใต้ผ้าห่มสำรอง ไอร้อนจากปาก มันทำให้ผมวาบหวามจนขนลุก

“งั้นปล่อยผมได้ไหม?” ผมหมดแรงจนต้องลองใช้ไม่อ่อนดู

“ทำขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่จะใจอ่อนสักที” อีกฝ่ายบ่นพึมพำใส่แผ่นหลังผม เหมือนมันพูดกับตัวเองนะ แต่กล้ามเนื้อบริเวณท้องน้อยของผมมันวูบวาบไปหมด

“จริงๆ ก็อ่อนมาได้พักหนึ่งแล้วล่ะ” ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง

“เฮ้ย!! จริงเหรอ!” อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทางเป็นลิงโลด ลุกขึ้นมาพลิกตัวผมให้นอนหงายและมีตัวมันคล่อมทับผมอยู่ (กลับมาท่านี้อีกแล้ว)

ผมไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้าและตอบในลำคอหนึ่งคำ

อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างและประทับริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากผมฟอดใหญ่ ในขณะที่กำลังจะโดนอีกระลอก ผมยกมือคว้าริมฝีปากอีกฝ่ายไว้ก่อนและสั่นหน้าเบา

“ผม….เอ่อ…. ผม” ผมอ้ำอึ้งกับเรื่องแบบนี่เป็นครั้งแรก แม้แต่การเสียหนุ่มครั้งแรกผมยังไม่เป็นแบบนี้เลย อะไรบางอย่างมันขวางกั้นผมไว้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้พี่ขอนอนกอดนะ!” พูดจบมันก็พลิกตัวมันและตัวผมให้กลับมาอยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คิดว่ารอให้มันหลับแล้วผมค่อยแอบมาแต่งตัวและลงไปนอนข้างล่าง

แต่ร่างกายผมมันช่างทรยศ พยายามถ่างตาไว้แค่ 15 นาที ผมก็หลับเสียแล้ว

………..

ผมลืมตาโพลงตกใจด้วยเนื้อหาความฝันที่กระทบจิตใจ แสงสว่างจ้าในห้องจากแสงแดดยามสายส่องทะลุผ้าม่านบางๆ จนแสบตาไปหมด

ผมใช้มือปิดตาทั้งสองข้างลงเพื่อความบรรเทาความเจ็บแปลบที่กระบอกตา พลางพยายามระลึกความฝันที่ทำให้ตนตกใจ แม้จะดูเลือนลางแต่ผมก็พอที่จะนึกได้ว่า มันคือภาพที่แม่ของผมตบผมจนหน้าหันในขณะที่ร่างกายบนเปลือยเปล่ากับไอ้พี่โน่!!

คิดได้ถึงตรงนี้ผมผลุดลุกขึ้นนั่งพร้อมเช็คทั่วทั้งตัว ผมพบว่าผมอยู่สภาพสวมใส่ชุดนอนตามปกติ ทำให้ผ่อนลมหายใจออกมายาวอย่างโล่งอก

“อ้าว! ตื่นแล้วเหรออย่าเสียงดังสิ!” เสียงปริศนาและร่างปริศนาเคลื่อนตัวจากด้านข้างเข้ามากอดฟุบที่เอวของผมพร้อมซุกหน้าที่บริเวณเอวของผมอย่างไม่เกรงใจ

ผมสะดุ้งตัวโยนและอุทานในใจ ‘เชี้ย! ไม่ใช่ความฝันเหรอวะ!’

ผมพยายามขยับตัวถอยห่างจากเตียง ผมสังเกตว่าอีกฝ่ายก็ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นเช่นเดียวกับผม แล้วที่จำได้เมื่อคืนนี่มันอะไรกันวะ

“เอาจริงๆ นี่คือตื่นแล้วใช่ไหม? แล้วไอ้ท่าทางแบบนั่นมันอะไร!” พี่โน่ยันตัวขึ้นมาทักผม ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่าย สับสนกับลำดับเหตุการณ์ก่อนนอน

“เฮ้อ…. มึงนี่ก็ใสๆ เกินคาดนะ เอางี้กูเล่าให้ฟัง” พี่โน่ลุกขึ้นมากอดโดยใช้มือทั้งสองของเขาพาดมาบนต้นคอผมเบาๆ ตอนนี้ผมกับมันหันหน้าขนานกันอยู่เกือบจะระนาบเดียวกัน

“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้!” ปากผมก็พูดปฏิเสธมันนะ แต่ในใจกลับคิดว่า ‘อบอุ่นใจดี’

“ก็อยากสาธิต เมื่อวานตอนน้องนอนนี่กอดพี่กลมเลยนะ” ผมรู้สึกขนลุกกับคำพูดที่ไม่คุ้นชินสักทีของมัน จนแสดงออกทางสีหน้า

พี่โน่ที่เหมือนเข้าใจก็ยกยิ้มกับอาการของผม แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอผม

“เมื่อคืนมึงสั่นเป็นเจ้าเข้า ทำเอากูแปลกใจเลยว่าฝรั่งแบบไหนว่ะที่กลัวความหนาวขนาดนี้กูก็เลย…หาเสื้อผ้ามาใส่ให้น่ะ แต่สุดท้ายก็มานอนเบียดกูแล้วก็กอดกูกลมไม่ห่าง”  พี่โน่บรรยายด้วยรอยยิ้ม

“พูดเกินจริงไปป่าวเนี่ย กูเนี่ยนะไปกอดมึง ขนลุก!” เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามต่อต้านตัวเองสุดกำลัง

ฟุบ!!

พี่โน่เหวี่ยงตัวผมลงนอนไปนอนราบกับที่นอนอย่างง่ายดาย ผมเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นที่อีกฝ่ายสามารถโยกย้ายที่วางได้ตามใจชอบ

“ทำอะไร เจ็บนะ” ผมโวยอย่างขัดเขิน ไม่รู้เป็นอย่างไรเวลาอยู่กับคนๆ นี้ช่วงนี้ ผมถึงได้ไม่มีแรงต้านทานเอาเสียเลย

“เมื่อคืน นึกว่ากูปราบพยศได้แล้วเสียอีก” พูดจบก็ก้มลงใกล้จนผมสามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิลมหายใจของคนตรงหน้า

‘สงบไว้!’

ผมเอ่ยกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมา หัวใจที่ทรยศมันกลับเต้นตูมตามจนดังไปทั่วบริเวณ ความร้อนแผ่ซ่านไปทั้งใบหน้าและลำคอ ทำไมแม้ว่าอีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าเต็มชุดก็ตามแต่ทำไมผมถึงต้องการอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้นะ

‘พี่โน่ในชุดนอนของผมนี่มันก็น่ารักไปอีกแบบ’ ผมเผลอคิด

“ใจอ่อนให้พี่เสียที พี่ไม่เคยให้เกียรติใครแบบนี้มานานแล้วนะ” อีกฝ่ายก้มมากระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงที่อ้อนวอน

“พี่กวีน่ะสิ!” พูดชื่อนี้แล้วทำไมตัวเองถึงโกรธก็ไม่รู้

“พูดไปก็ไม่รู้จักหรอก……. ส่วนกวี… จนถึงตอนนี้หากมีโอกาสกูก็อยากจะขย้ำให้สาแก่ใจเหมือนกันแต่…. น้องมันใจแข็งเกินไป….. กวีเคยบอกนะว่า สักวันพี่จะเข้าใจ สักวันหนึ่งพี่จะรอได้ ตอนนี้กูเข้าใจแล้ว” พูดจบพี่โน่ก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและมองลงมาในดวงตาของผมอย่างอ่อนโยน

ความรู้สึกของผมตอนนี้คือ วูบ เหมือนตกลงเหวลึกที่มีแต่เสียงธารน้ำไหลเย็น ไหลไปตามสายรุ้งที่อ่อนนุ่ม บ้าจริง!! ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกัน มันทำให้ผมคิดได้ว่า..

ผมไม่อยากเสียความรู้สึกแบบนี้ไป…..

ผมลืมทุกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ ปลดปล่อยทุกความคิดที่บดบังความรู้สึกนี้อยู่และปล่อยตัวเองให้กระทำเรื่องโง่ๆ นี้ลงไป

ผมใช้มือคล้องคออีกฝ่ายให้ลงมาประทับจูบที่ดูดดื่มจากผม มันอบอุ่นและเร้าร้อนในเวลาเดียวกัน  ในที่สุดกำแพงของผมก็พังทลายพร้อมให้อีกฝ่ายได้ฝ่าเข้ามา

……… ขณะที่มือของผมกำลังไหลไล่ลงมาเรื่อยๆ ริมฝีปากผู้ใหญ่ตัวเล็กก็ผละออกจากปากของผมและไล่เลียลงไปตามความยาวลำตัว เขาทำเหมือนกำลังซดสูดกลิ่นของผมไปทุกอณูขุมขน ลมหายใจหอบอุ่นที่ไหลลามไปตามทางที่จมูกเป็นสันพาดผ่านทำให้ขนบนร่างกายต่างชี้ชูชันอย่างไร้การควบคุม ความรู้สึกเหล่านี้มันช่างสุดยอดจริงๆ

ขณะที่ใบหน้าของพี่โน่ที่กำลังซุกไซ้ไปตามลอนกล้ามเนื้อของผมลงต่ำไปเรื่อยๆ  และไปหยุดอยู่ตรงชายป่าดกครึ้มสีน้ำตาลเข้ม ลมหายใจหอบใหญ่พัดเข้าดงหญ้าและต้นไม้ใหญ่ อยู่ๆ สติผมก็คืนมาพร้อมกับใช้มือรวบจับศรีษะคนเบื้องล่างให้หยุด และรีบถอยหนีไปจนสุดหัวเตียง

ภาพต่างๆ เมื่อวันก่อนช่วงเมาแทบไม่ได้สติมันวกกลับเข้ามาพร้อมเสียงของแม่เมื่อวันที่ทั้งหมดนั่งอยู่ร่วมโต๊ะอาหารกัน ความกลัวบางอย่างเข้ามาคลอบคลุมจิตใจของผม ทั้งๆ ที่ร่างกายมันฟ้องอยู่ว่ากำลังต้องการคนตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรนะ” พี่โน่ยืนยิ้มอยู่ที่ปลายเตียง มันทำกับผมเป็นเด็กเวอร์จิ้นที่เพิ่งจะเคยมีอะไรครั้งแรก มีสายตาเอ็นดูและขบขันอยู่ในที

ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ากลัว มองจากตรงนี้ที่เห็นขนาดคนตรงหน้าใครไม่กลัวก็แปลก อีกอย่างผมไม่เคย….แบบนี้เลย แล้วคนๆนี้คือเพื่อนแม่อีก โอยยย คิดหัวจะแตก อีกใจก็อยากได้ใจจะขาด อีกใจก็….ปฏิเสธจนมีเสียงแปลกๆ เต็มหัวไปหมด

ผมได้แต่นิ่งมองเขา มองคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเสียแล้ว แต่คนอย่างมันคงไม่ปล่อยให้ผมรุกอยู่แล้ว…. ผมได้มองเขานิ่งๆ แบบนั้นไปอีกสักพัก

“เอางี้วันนี้พี่เหนื่อยแล้ว ขอนอนที่นี่เลยก็แล้วกันนะ” พูดจบมันก็เดินกระโดดขึ้นเตียงมานอนห่มผ้าห่มทั้งๆ ที่ร่างกายเปลือยเปล่าแบบนั้น

ไม่เกินสิบวินาที เสียงลมหายอันสงบและสม่ำเสมอก็ดังขึ้น

“เฮ้ย มันหลับจริงว่ะ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจแต่ก็อมยิ้มจนผมเองก็รู้สึกงงกับตัวเองเช่นกัน

ด้วยความปรารถนาดีหรือด้วยกันอนาจารเพราะร่างกายที่นอนตะแคงเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มบนเตียงครึ่งตัว ผมตัดสินใจหยิบผ้าห่มสำรองในตู้เสื้อผ้าไปห่มคลุมเพิ่มให้คนตัวเล็กที่ท่าทางไร้สติ

แต่ด้วยความรวดเร็วที่เกินกว่าที่ผมจะทันรู้สึกตัว ผมก็ถูกลากเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายขณะที่กำลังจะห่มผ้าห่มให้เสียแล้ว

หนุบหนับๆ พัลวันกันพักใหญ่ ในที่สุดผมก็ถูกผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมกอดจากทางด้านหลังเสียแล้ว ร่างกายที่เปลือยเปล่าของพวกเราสัมผัสกันเกือบทุกส่วน ผมรู้สึกถึงผิวที่เย็นเยียบหลังการอาบน้ำได้ทั้งแผ่นหลัง แต่ส่วนที่เป็นแท่งแข็งที่แนบนอนขนานอยู่ที่ช่วงเอวของผมกลับอุ่นร้อน

“เฮ้ย! แกล้งหลับหรือวะ? ปล่อย” รู้สึกใจสั่นระรัวจนกลัวอีกฝ่ายรับรู้ถึงแรงสั่นทะเทือน ผมจึงพยายามดิ้นรนสุดกำลัง

แต่อนิจจาแรงเราสู้เขาไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่นอนหอบอยู่ในอ้อมกอดเขา ด้วยใจที่สั่นลั่นเป็นกลองศึก

“ก็นอนแล้วล่ะ แต่เวลามีใครเข้ามาใกล้มันก็อดจะรู้สึกตัวไม่ได้ พี่เห็นว่าเป็นน้องมันก็เลยอดใจไม่ไหว” ไอ้คนตัวเล็กที่พูดผ่านแผ่นหลังของผมภายใต้ผ้าห่มสำรอง ไอร้อนจากปาก มันทำให้ผมวาบหวามจนขนลุก

“งั้นปล่อยผมได้ไหม?” ผมหมดแรงจนต้องลองใช้ไม่อ่อนดู

“ทำขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่จะใจอ่อนสักที” อีกฝ่ายบ่นพึมพำใส่แผ่นหลังผม เหมือนมันพูดกับตัวเองนะ แต่กล้ามเนื้อบริเวณท้องน้อยของผมมันวูบวาบไปหมด

“จริงๆ ก็อ่อนมาได้พักหนึ่งแล้วล่ะ” ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง

“เฮ้ย!! จริงเหรอ!” อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทางเป็นลิงโลด ลุกขึ้นมาพลิกตัวผมให้นอนหงายและมีตัวมันคล่อมทับผมอยู่ (กลับมาท่านี้อีกแล้ว)

ผมไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้าและตอบในลำคอหนึ่งคำ

อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างและประทับริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากผมฟอดใหญ่ ในขณะที่กำลังจะโดนอีกระลอก ผมยกมือคว้าริมฝีปากอีกฝ่ายไว้ก่อนและสั่นหน้าเบา

“ผม….เอ่อ…. ผม” ผมอ้ำอึ้งกับเรื่องแบบนี่เป็นครั้งแรก แม้แต่การเสียหนุ่มครั้งแรกผมยังไม่เป็นแบบนี้เลย อะไรบางอย่างมันขวางกั้นผมไว้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้พี่ขอนอนกอดนะ!” พูดจบมันก็พลิกตัวมันและตัวผมให้กลับมาอยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คิดว่ารอให้มันหลับแล้วผมค่อยแอบมาแต่งตัวและลงไปนอนข้างล่าง

แต่ร่างกายผมมันช่างทรยศ พยายามถ่างตาไว้แค่ 15 นาที ผมก็หลับเสียแล้ว

………..

ผมลืมตาโพลงตกใจด้วยเนื้อหาความฝันที่กระทบจิตใจ แสงสว่างจ้าในห้องจากแสงแดดยามสายส่องทะลุผ้าม่านบางๆ จนแสบตาไปหมด

ผมใช้มือปิดตาทั้งสองข้างลงเพื่อความบรรเทาความเจ็บแปลบที่กระบอกตา พลางพยายามระลึกความฝันที่ทำให้ตนตกใจ แม้จะดูเลือนลางแต่ผมก็พอที่จะนึกได้ว่า มันคือภาพที่แม่ของผมตบผมจนหน้าหันในขณะที่ร่างกายบนเปลือยเปล่ากับไอ้พี่โน่!!

คิดได้ถึงตรงนี้ผมผลุดลุกขึ้นนั่งพร้อมเช็คทั่วทั้งตัว ผมพบว่าผมอยู่สภาพสวมใส่ชุดนอนตามปกติ ทำให้ผ่อนลมหายใจออกมายาวอย่างโล่งอก

“อ้าว! ตื่นแล้วเหรออย่าเสียงดังสิ!” เสียงปริศนาและร่างปริศนาเคลื่อนตัวจากด้านข้างเข้ามากอดฟุบที่เอวของผมพร้อมซุกหน้าที่บริเวณเอวของผมอย่างไม่เกรงใจ

ผมสะดุ้งตัวโยนและอุทานในใจ ‘เชี้ย! ไม่ใช่ความฝันเหรอวะ!’

ผมพยายามขยับตัวถอยห่างจากเตียง ผมสังเกตว่าอีกฝ่ายก็ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นเช่นเดียวกับผม แล้วที่จำได้เมื่อคืนนี่มันอะไรกันวะ

“เอาจริงๆ นี่คือตื่นแล้วใช่ไหม? แล้วไอ้ท่าทางแบบนั่นมันอะไร!” พี่โน่ยันตัวขึ้นมาทักผม ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่าย สับสนกับลำดับเหตุการณ์ก่อนนอน

“เฮ้อ…. มึงนี่ก็ใสๆ เกินคาดนะ เอางี้กูเล่าให้ฟัง” พี่โน่ลุกขึ้นมากอดโดยใช้มือทั้งสองของเขาพาดมาบนต้นคอผมเบาๆ ตอนนี้ผมกับมันหันหน้าขนานกันอยู่เกือบจะระนาบเดียวกัน

“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้!” ปากผมก็พูดปฏิเสธมันนะ แต่ในใจกลับคิดว่า ‘อบอุ่นใจดี’

“ก็อยากสาธิต เมื่อวานตอนน้องนอนนี่กอดพี่กลมเลยนะ” ผมรู้สึกขนลุกกับคำพูดที่ไม่คุ้นชินสักทีของมัน จนแสดงออกทางสีหน้า

พี่โน่ที่เหมือนเข้าใจก็ยกยิ้มกับอาการของผม แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอผม

“เมื่อคืนมึงสั่นเป็นเจ้าเข้า ทำเอากูแปลกใจเลยว่าฝรั่งแบบไหนว่ะที่กลัวความหนาวขนาดนี้กูก็เลย…หาเสื้อผ้ามาใส่ให้น่ะ แต่สุดท้ายก็มานอนเบียดกูแล้วก็กอดกูกลมไม่ห่าง”  พี่โน่บรรยายด้วยรอยยิ้ม

“พูดเกินจริงไปป่าวเนี่ย กูเนี่ยนะไปกอดมึง ขนลุก!” เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามต่อต้านตัวเองสุดกำลัง

ฟุบ!!

พี่โน่เหวี่ยงตัวผมลงนอนไปนอนราบกับที่นอนอย่างง่ายดาย ผมเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นที่อีกฝ่ายสามารถโยกย้ายที่วางได้ตามใจชอบ

“ทำอะไร เจ็บนะ” ผมโวยอย่างขัดเขิน ไม่รู้เป็นอย่างไรเวลาอยู่กับคนๆ นี้ช่วงนี้ ผมถึงได้ไม่มีแรงต้านทานเอาเสียเลย

“เมื่อคืน นึกว่ากูปราบพยศได้แล้วเสียอีก” พูดจบก็ก้มลงใกล้จนผมสามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิลมหายใจของคนตรงหน้า

‘สงบไว้!’

ผมเอ่ยกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมา หัวใจที่ทรยศมันกลับเต้นตูมตามจนดังไปทั่วบริเวณ ความร้อนแผ่ซ่านไปทั้งใบหน้าและลำคอ ทำไมแม้ว่าอีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าเต็มชุดก็ตามแต่ทำไมผมถึงต้องการอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้นะ

‘พี่โน่ในชุดนอนของผมนี่มันก็น่ารักไปอีกแบบ’ ผมเผลอคิด

“ใจอ่อนให้พี่เสียที พี่ไม่เคยให้เกียรติใครแบบนี้มานานแล้วนะ” อีกฝ่ายก้มมากระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงที่อ้อนวอน

“พี่กวีน่ะสิ!” พูดชื่อนี้แล้วทำไมตัวเองถึงโกรธก็ไม่รู้

“พูดไปก็ไม่รู้จักหรอก……. ส่วนกวี… จนถึงตอนนี้หากมีโอกาสกูก็อยากจะขย้ำให้สาแก่ใจเหมือนกันแต่…. น้องมันใจแข็งเกินไป….. กวีเคยบอกนะว่า สักวันพี่จะเข้าใจ สักวันหนึ่งพี่จะรอได้ ตอนนี้กูเข้าใจแล้ว” พูดจบพี่โน่ก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและมองลงมาในดวงตาของผมอย่างอ่อนโยน

ความรู้สึกของผมตอนนี้คือ วูบ เหมือนตกลงเหวลึกที่มีแต่เสียงธารน้ำไหลเย็น ไหลไปตามสายรุ้งที่อ่อนนุ่ม บ้าจริง!! ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกัน มันทำให้ผมคิดได้ว่า..

ผมไม่อยากเสียความรู้สึกแบบนี้ไป…..

ผมลืมทุกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ ปลดปล่อยทุกความคิดที่บดบังความรู้สึกนี้อยู่และปล่อยตัวเองให้กระทำเรื่องโง่ๆ นี้ลงไป

ผมใช้มือคล้องคออีกฝ่ายให้ลงมาประทับจูบที่ดูดดื่มจากผม มันอบอุ่นและเร้าร้อนในเวลาเดียวกัน  ในที่สุดกำแพงของผมก็พังทลายพร้อมให้อีกฝ่ายได้ฝ่าเข้ามา

………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

………

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ตอนนี้ผมรู้สึกแต่ความอ่อนล้าและเสียงท้องที่ร้องโวยวายเพราะขาดอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายเกินครึ่งวัน

ผมพลิกตัวเองที่นอนในท่าคว่ำหน้าอย่างช้าๆ พร้อมความเจ็บปวดที่เสียดแทงทางด้านหลัง ผมร้องโอดโอยเบาๆ จนกระทั้งหลังสัมผัสที่นอนและท่อนแขนคนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงเดียวกัน

ไอ้ความรู้สึกแปลกใหม่ก่อนหน้านี้ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำมันก็ไม่เลวนะ แต่ไอ้ความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี่มันก็ยากจะลืมเช่นกัน ผมไม่ได้นับว่าทำให้อีกฝ่ายเสร็จกิจไปกี่รอบ รู้แต่เพียงว่าตนเองไม่สามารถขัดขืนแรงรบเร้าของอีกฝ่ายได้เลย ทำได้เพียงร้องประสานเสียงตามจังหวะที่อีกฝ่ายเป็นผู้นำตลอดเวลา พี่โน่เป็นเสมือนมัคุเทศน์นำทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่ผมไม่เคยนึกว่าจะได้เจอ ความรู้สึกเจ็บปวดที่แฝงไปด้วยความสุขล้ำเหล่านี้ เพียงแต่ไม่เคยคิดเลยว่าผมจะไม่เข็ดหลาบจากครั้งที่ผ่านมา ป่านนี้ของมือหนึ่งตรงนั้นของผมคงยับเยินจนไม่อยากจะคิด

ทุกครั้งที่ขยับตัว ความเจ็บปวดจะแล่นไปทั่วส่วนล่าง เริ่มรู้สึกไม่เข้าใจคู่นอนตัวเองที่ผ่านมาเลยว่า ทำไมถึงยังอยากมาซ้ำกับผมอีกทั้งๆ ที่มันเจ็บขนาดนี้

“ตื่นแล้วเหรอเด็กดื้อ” คนตัวเล็กร่างแกร่งพลิกตัวหันมาหาผมในท่านอนตะแคงด้วยร่างที่เปลือยเปล่า ดวงตาที่เพิ่งลืมตื่น ทรงผมที่ไม่ได้จัดทรง รอยยิ้มที่ฝืนฉีกแบบคนยังไม่สร่างจากการนอนหลับสนิท มันทำให้ผมใจเต้นแรงอีกครั้ง มัดกล้ามเหล่านั้นมันเหมือนปูนปั้นจากโรมันมันสวยงามเหมือนสวรรค์สร้าง

“อืม” ผมพยักหน้าเล็กน้อยเพราะไม่อยากขยับตัวมาก

“น้องนี่มันน่ารักฉิบหายเลยรู้ไหม มองกี่ทีก็ทำพี่ตื่นเต้นได้ทุกครั้ง” ไม่พูดเปล่ามันลุกขึ้นมาคล่อมผมด้วยร่างแกร่งและส่วนกลางลำตัวที่ตื่นขึ้นอีกครั้ง (มันเกินไปไหม ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะลุง)

“พูดเหมือนปกติก็ได้ พูดสุภาพแบบนี้ไม่ชินเลย แบบเดิมมัน….. เร้าอารมณ์กว่านะ” บางผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่พูดอะไรไม่คิดแบบนี้ออกมา แต่ก็เหมือนจะได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะพี่โน่ฉีกยิ้มหว่ากว่าเดิมมาก

“นั่นสินะ แบบนี้ยิ่งรักมากกว่าเดิม ไม่ไหวแล้ว” พูดจบมันก็กดริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากของผมทันที แม้ผมจะพยายามขัดขืนริมฝีปากสีชาดนั่น แต่ก็ทำได้ไม่นาน เมื่อเจอกลิ่นกายและลมหายใจอีกฝ่ายราดรดอย่างต่อเนื่อง ความต้องการขัดขืนของผมมันก็หายไปเหมือนน้ำที่ระเหยไปกลางทะเลทราย

ผมน้อมรับทุกการกระทำของอีกฝ่ายอีกครั้ง ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม คนเราถึงอยากจะเจ็บซ้ำๆ แบบนี้อีก

จนกระทั้งถึงจุดที่ผมถูกถ่างกางขาออก ในขณะที่พี่โน่กำลังจะเผด็จศึก เขาก็หยุดทุกการเคลื่อนไหว และลุกขึ้นมาอุ้มผมเข้าห้องน้ำทันที

“ไอ้เด็กบ้า ไม่ไหวทำไม่ไม่บอก ฝืนทำไม!?!” พี่โน่โวยวายขณะที่ที่อุ้มผมเข้าไปในพื้นที่ฝักบัว
ผมตกใจไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหันไปมองที่เตียงนอนที่ตอนนี้ผ้าปูที่นอนเปลี่ยนสีไปเป็นบางจุด แล้วทุกอย่างก็กระจ่างขึ้นมาในหัว จากประสบการณ์แบบนี้มัน

เลือด!!

………….

ผมนอนถอนหายใจอยู่บนเตียง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย โดยมีพี่โน่คอยดูแลปรนนิบัติอาการเจ็บป่วยเหมือนเดิม ภาพจำเก่าๆ มันย้อนกลับมา ความเจ็บปวดต่างๆ ที่จุดเดิม แม้จะไม่ได้แย่เท่ารอบแรก แต่สีหน้าของพี่โน่นั้นก็ยังทำให้ผมช้อคจนถึงตอนนี้

อย่างน้อยความรู้สึกก็เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งก่อน ผมได้รับความเอาใจใส่มากขึ้น พี่โน่ไม่ใช่คนที่เอาแต่ดึงหน้าใส่อีกต่อไป เขามักจะส่งสายตาห่วงใยมาที่ผมตลอดเวลาที่เขาจัดการเรื่องยาต่างๆ ให้ คอยถามไถ่จนผมเริ่มจะไม่ชินอีกแล้ว ความอ่อนโยนที่ผมได้รับมันอบอุ่นหัวใจมากๆ

และที่สะใจที่สุดคือ ผมสามารถใช้พี่โน่ทำโน่นนี่ได้ทุกอย่าง ตั้งแต่หาอาหารและงานทำความสะอาด เพราะจากกิจกรรมของเราเมื่อเช้า มันทำให้ต้องซักล้างอะไรหลายอย่าง โดยที่ไม่บ่นสักคำ มีแต่รอยยิ้มส่งให้ผมที่นอนเป็นผักเปื่อยอยู่บนเตียงทั้งวัน

“พี่ไปทำงานแปปนะ ถ้าต้องการอะไรโทรเรียกได้นะ อย่าฝืน” เสียงอ่อนโยนและถ้อยคำสุภาพที่ผมเริ่มทำใจให้คุ้นชิน ทำให้คิดไปไกลว่าทำไมป่านนี้คนๆนี่ถึงยังไม่มีแฟนวะ?

ผมพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มที่ยังฝืนๆ อยู่

“ยังไม่ชินจริงๆ เหรอ? หรือจะให้ขึ้นกูมึงเหมือนเดิมก็ได้นะ” อีกฝ่ายมองผมด้วยรอยยิ้ม เหมือนคนได้รับรางวัลชิ้นใหญ่และกำลังชื่นชมสิ่งนั่นอยู่

“แล้วแต่พี่โน่เลยครับ ผม…. ไม่ติด” รู้สึกร้อนใบหน้าไปหมด ก็โดนพูดด้วยประโยคแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว มันก็เริ่มจะทำใจได้แล้ว อีกอย่างผมก็รู้สึกชอบขึ้นมาแล้วด้วย

“น่ารัก” พี่โน่พูดพลางใช้มือขยี้หัวผมเบาๆ

รู้สึกถึงเสียงระเบิดในหัวดัง ‘ตูม’ อยู่ๆ ตัวเองก็เข้าสู่โหมดหนุ่มน้อยไร้เดียงสาขึ้นมา

“ไปสักที…..จะได้รีบกลับมา” ผมพูดพลางผลักที่อกอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ พี่โน่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและเดินห่างออกไป

“กลับมาจัดอีกสักรอบไหม? เห็นไอซ์เป็นแบบนี้แล้ว พี่จะทนไม่ไหวแล้ว” พี่โน่หันมาพูดก่อนเปิดประตูและจากไปด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ

“ไอ้….ไอ้….. จะบ้าเรอะ!! ดูสภาพผมด้วย!!” ผมโวยวายขณะที่ประตูห้องปิดลง

ผมเหมือนคนบ้านอนยิ้มอยู่บนเตียงคนเดียว

……….

“ไอ้ไอซ์!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล ผมตื่นจากสภาพง่วงหาวเพราะฤทธิ์ยาสารพัดที่กินไปก่อนหน้านั้น ผมฝืนลืมตาขึ้นมามองไปที่ต้นเสียงที่ปลายเตียง ผมเห็นเงาร่างที่คล้ายตนเองยืนอยู่ที่ปลายเตียง แม้โครงหน้าจะเหมือนกันจนหลายคนแยกไม่ออก แต่รังสีอารมณ์ที่แผ่ออกมาทำให้บรรยากาศระหว่างผมกับไอ้คนปลายเตียงห่างไกลกันลิบลับ

“อะไรของมึง มายืนอารมณ์บูดอะไรในห้องกู!!” ผมพูดด้วยความหงุดหงิด ภาพแรกที่เห็นตอนตื่นนอนไม่ควรเป็นมันที่ดูอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้

“จะบ่ายแล้วมึง กูถามจริงมึงป่วยเป็นอะไร มึงมีเรื่องอะไรจะสารภาพกับกูไหม?” คนตรงๆ อย่างไอ้เฟรมไม่เคยอ้อมค้อม แต่มันก็ซื่อบื้อ ดังนั้นพูดอะไรไปมันก็คงเชื่อ

“ไข้หวัดมั้ง มึงก็รู้ว่าช่วงเปิดเทอม กูใช้ร่างตัวเองไปเปลืองแค่ไหน? แค่นี้นะ ทำไมกูไม่สบายแล้วกูต้องรายงานมึงด้วย!  มึงก็แปลก ออกไปก่อนไป กูจะนอน” ผมทำตัวปกติ ผมทำบ่อยๆ เวลามีความลับกับมัน มันไม่เคยทันผมเลยสักครั้ง

“พี่โน่เขาดูแลมึงดีไปไหมวะ กูก็ป่วยเมาค้างอยู่ห้องข้างๆ ไม่เห็นจะดูแลดีเท่ามึงเลย! มึงแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรที่กูควรจะรู้” คราวนี้มันแปลก ไอ้เฟรมปักหลักไม่เคลื่อนไหว สายตาแน่วแน่มองผมอย่างคาดคั้น มันไปโดนตัวไหนมาวะ?

“คิดไปเองมั้งมึง มันแค่อยากหาเรื่องแกล้งกูมากกว่า” ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเลย มันไปรู้อะไรมาวะ ผมยังไม่พร้อมเลยนะ

“มึง! แน่! ใจ! นะ!!” มันย้ำด้วยใบหน้าจริงจัง แบบที่ผมไม่มีวันทำอะไรแบบนั้น มันรู้สึกแปลกดีที่เห็นตัวเองมีกล้ามเนื้อแบบนั้นบนใบหน้า

“แน่ใจสิ!!” เอาสิกูโทการละคร มึงจะมาโปกเกอร์เฟซใส่กูไม่ได้หรอก!

“เชี้ย! มึงแม่ง!! เอาเป็นว่ามึงกำลังทำอะไรอยู่ก็คิดดูดีๆ ก็แล้วกัน! อย่าลืมว่ามึงใช้ผนังห้องร่วมกับกู!! มึงไม่คิดว่ากูได้ยินทุกกิจกรรมของมึงหรือไง!!”  มันพูดจบก็เดินกระฟัดกระเฟียดจากไป

ผมได้แต่ลุกขึ้นมานั่งอึ้งบนที่นอน สบถคำหยาบคายภาษาไทยที่รู้จักทั้งหมดในใจ พร้อมหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาคนตัวเล็กที่ผมเผลอมีใจให้เสียแล้ว

…………………

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

บรรยากาศบริเวณโต๊ะอาหารของบ้านที่สว่างไสวด้วยโคมระย้าหลักหลายหมื่น กลับดูทมึนตึงขึ้นมาแบบผิดปกติ หากเป็นทุกวันผมจะชอบบรรยากาศที่สดใสและกลิ่นหอมๆ ของอาหารไทยที่ผมชื่นชอบลอยอวลอยู่ในอากาศ บรรยากาศที่ผิดปกติทั้งหมดที่เกิดจากไอ้คนที่หน้าเหมือนผมอย่างกับส่องกระจกซึ่งตอนนี่มันนั่งหน้านิ่งมองผมอย่างเอาเป็นเอาตายที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมนี่แหละ

แม้แต่พี่โน่นักเลงโตผู้จัดแจงทำอาหารอย่างเลิศหรูมื้อนี้ ผู้ที่ผมเคยคิดว่าไม่เคยหวั่นเกรงใครในโลกนี้ ก็กลับมานั่งหน้านิ่งกอดอกอยู่ข้างผม

“กูชวนมากินข้าวด้วยกัน ไม่ใช่มาชวนทะเลาะ!” ผมเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบนิ่งเหมือนปลาตาย

นอกจากจะไม่ได้คำตอบจากไอ้เฟรมแล้ว มันยังแบะปากไม่รับแขกใส่ผมอีก แทบจะไม่ได้มองอาหารที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งตั้งใจทำให้เลย ต่างจากผมที่น้ำย่อยเริ่มทำงานแล้ว

“มีอะไรก็คุยกันดีๆ โตๆ กันแล้ว” พี่โน่ยึดอกช่วยผมพูดกับไอ้คนหน้าบึ้งฝั่งตรงข้าม

“พี่จะต่อยผมหลังจากนี้ก็ได้นะ!! แต่จะให้ผมเคารพคำพูดของคนที่ทำเรื่องไม่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้ผมว่ามันก็ยังไงๆ อยู่นะ!!” ไอ้เฟรมมันตาขวางใส่ผมทีหนึ่งแล้วค่อยหันไปพูดกับพี่โน่อย่างเป็นศัตรู

อาการมันเหมือนจะบอกผมว่า กูไม่กลัวคนของมึงหรอกนะ!!

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ เรื่องนี้…พี่จะขอคุยกับแม่ของพวกเธอเอง แต่จะให้พี่บอกตั้งแต่แรกเริ่มคบกันนี้มันก็เร็วไป เฟรมไม่คิดแบบนั้นรึ?” พี่โน่ใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่กว่าที่ผมคิด

“ผมไม่ใช่ว่าผมไม่โอเคนะ เพียงแค่มัน….. มันไม่เหมาะสมหรือเปล่า? ในขณะที่เพื่อนของตัวเองฝากฝังลูกๆ ของตัวเองให้ดูแล แต่ผมว่ามันไม่ใช่การดูแลแบบนี้นะครับผมว่า!!” ไอ้เฟรมยังคงตั้งป้อมไม่รับคำตอบจากพี่โน่

มันมักจะพยายามทำตัวเป็นพี่ใหญ่เสมอ ผมเข้าใจนะว่ามันเป็นห่วงผม แต่ทีกับมันผมยังไม่เคยไปยุ่งเลย ผมก็ทะเลาะกับมันเรื่องนี่หลายครั้งเหมือนกัน เรื่องการใช้ชีวิตของผม แต่ครั้งนี้ดูท่าทางจะเกรี้ยวกราดกว่าทุกครั้ง

“ผมยังไม่ได้ว่าจะคบกับพี่เลยป่ะ!” ผมพยายามทำบรรยายกาศให้ผ่อนคลาย แต่ดูท่าทางจะแย่กว่าเดิม

พี่โน่หันมาทำหน้ามาขยับปากประมาณว่า “อะไร? ขนาดนี้แล้วนะ!”

“โห!! แบบนี้ยิ่งแย่ไปอีก จะมาเอากันเล่นๆ แบบนี้ในบ้านของเพื่อนตัวเองแบบนี้ยิ่งดูเลวไปอีก” มันใช้คำแรงขึ้นเรื่อยๆ

“แบบนี้มันฝากกระดูกไว้กับหมาชัดๆ” ไอ้เฟรมทุบโต๊ะอย่างไม่พอใจ

“น่าจะเป็นแมวกับปลาย่างนะกูว่า” ผมอดไม่ได้ที่จะทำให้สำนวนถูกต้อง

“เออ! ก็เหมือนกันนั่นแหละ!!” ในแววตาของไอ้เฟรมมีความเขินอายเล็กน้อย แต่ก็รีบทำโมโหกลบเกลื่อน

“เรื่องนี้ผมจะรายงานแม่!!” ไอ้เฟรมลุกขึ้นและเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกล

แต่ด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลม พี่โน่ที่ลุกขึ้นและวิ่งไปถึงตัวเฟรมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ พี่โน่โผเข้าไปคว้าโทรศัพท์มือถือของไอ้เฟรมอย่างไม่ทันตั้งตัว

“พี่โน่! ผมเคารพพี่นะ พี่ก็รู้ส่ว่าทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องยังไงแม่ก็ต้องรู้สักวัน!!  รีบบอกก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายเถอะ ผมขอร้อง!!” แม้ไอ้เฟรมจะรูปร่างสูงใหญ่กว่าแต่ก็ไม่สามารถแย่งโทรศัพท์ตนเองจากพี่โน่ได้ กลายเป็นภาพที่เหมือนเด็กวิ่งไล่แย่งของจากผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กกว่า ผมแอบขำกับภาพที่ดูจริงจังตรงหน้า

“พี่ขอร้องนะ รอให้พี่พร้อมก่อนได้ไหม? พี่ขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนได้ไหม? พี่อยากเป็นคนบอกกับมลเอง” พี่โน่ทำสีหน้าจริงจัง

“พิสูจน์สิ!!” ไอ้เฟรมก็จริงจังไม่แพ้กัน

“…….” พี่โน่นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนที่ยื่นโทรศัพท์มือถือคือไอ้เฟรม พร้อมกับย่อเข่าลงทั้งสองข้าง

เข่าที่กำลังจะลงต่ำสู่พื้นกลับถูกวัยรุ่นร่างใหญ่ทั้งสองรั้งพยุงไว้พร้อมร้องเสียงหลง

“เฮ้ย!! พี่จะทำอะไร?” ผมถามเสียงหลงขณะพยายามใช้แรงที่รั้งร่างเล็กๆ แต่ทรงพลังนั่นเอาไว้

“จะพิสูจน์ไง” เสียงเรียบตอบออกจากปากพร้อมดวงตาที่แน่วแน่ ชายที่ได้ชื่อว่าหัวเข่าไม่เคยแตะพื้นกำลังจะคุกเข่าขอร้องพี่ชายของผมให้ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน

ไอ้เฟรมที่ทำหน้าอ่อนใจกับคนที่เขาพยายามใช้แรงทั้งหมดร่วมกับผมพยายามยื้อรั้งให้อีกฝ่ายยืนขึ้นอย่างยากลำบาก มันถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา

“โอเคๆ ผมยอมแล้ว!” พูดจบไอ้เฟรมก็ปล่อยมือเดินถอยไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว

ผมกับพี่โน่ถึงกับเซไปทางด้านของมันจนเกือบล้ม โชคดีที่พี่โน่แข็งแรงพอที่จะยืดหยัดให้ตัวทรงตัวได้ทัน พร้อมกับดึงรั้งผมไว้ในอ้อมแขนไม่ให้เซล้ม

“กูน่ะ ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ ปัญหาของกูเองก็เยอะ ไม่มีอารมณ์มายุ่งเรื่องของมึงหรอก กูก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่า หากมึงกับพี่โน่จะเจอด่านมหาหินอย่างแม่ มึงกับพี่โน่จะรับมือไหว!” ไอ้เฟรมเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารเช่นเดิม

พูดมาถึงตรงนี้ผมกับพี่โน่ก็ได้แต่มองหน้ากัน ผมมองสีหน้าพี่โน่เองก็มีแววตากังวลใจไม่น้อยแฝงอยู่กับหน้าตาที่เข้มตึงจริงจังไปทางไอ้เฟรม

คำพูดของพี่ชายฝาแฝดทำให้ผมคิดภาพตามและถึงขั้นกลืนก้อนน้ำลายขมๆ ลงคอ

“กูชอบพี่โน่ ตอนนี้กูบอกได้แค่นี้ แต่ไอ้ความรู้สึกชอบนี้มันจะพัฒนาไปในทางไหน กูก็ไม่รู้ แต่กูเป็นคนอยู่กับปัจจุบัน กูไม่รู้ว่ามันจะเวิร์คไหม? แม่จะรับได้ไหม? ที่กูจะมีเพื่อนแม่เป็นแฟน แต่กูบอกได้เลยว่า กูเลือกแล้ว” ผมตอบไปด้วยอาการใจเต้นตุบตับ มันออกมาจากใจเลย ผมแทบไม่กรอกความคิดตัวเองก่อนที่จะพูดเหมือนทุกครั้ง แค่คิดหวังว่ามันจะได้ผล หากได้พี่ชายฝาแฝดตนเองช่วยหนุนหลัง

ที่หางตาของผมแอบเห็นไอ้พี่โน่ที่ยิ้มจนตาปิด รอยตีนกาเพิ่มมากกว่าปกติ ดวงตาหวานเยิ้มจ้องมาทางผมจนผมขนลุก เริ่มรู้สึกคิดผิดที่พูดออกไป

“มึงรู้ไหม? สิ่งที่กูกลัวน่ะ ไม่ใช่พี่โน่ แต่เป็นมึง!! ใจของมึงน่ะกูบอกเลย มันไม่ได้มั่นคงขนาดนั่น!” ไอ้เฟรมพูดมาแบบนี้ผมก็เข้าใจและเถียงไม่ออก

“พี่ว่าพี่มองคนไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็จะทำให้เห็นว่าไอ้เด็กโย่งนี่ มันหลงพี่จนโงหัวไม่ขึ้นเลย” พี่โน่ยิ้มพลางขยี้ศรีษะผมจนยุ่ง

“มั่นใจจัง”  ผมมองมันตาขวาง

“เดี๋ยวก็รู้!” พี่โน่ยักคิ้วใส่ ผมได้แต่ถอนหายใจ เพราะตอนนี้ผมเห็นมันทำอะไรก็น่ารักไปหมดเสียแล้ว

“ช่วยไปจีบกันเวลาอื่นได้ไหม เดี๋ยวผมกินข้าวไม่ลง เฮ้อ!!” สีหน้าของไอ้เฟรมผ่อนคลายขึ้นมาก ผมรู้ใจมันดีว่าหมายถึงอะไร

หมายถึงว่ามันยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่โน่แล้ว รวมถึงผมที่ยอมรับที่จะลองคบกับมันดูสักตั้ง

………….

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากเหตุการณ์ท้าพิสูจน์ของพี่ชายฝาแฝดผม ที่กล้าหาญท้าทายอำนาจมืดแบบไม่กลัวเกรง บอกตามตรงว่าผมเองก็เผื่อใจเรื่องที่มันจะสลบคาหมัดเสยคางของไอ้นักเลงตัวเล็กนั่น

แต่ผลลัพธ์มันเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ไม่คิดว่ามันจะยอมทำอะไรเพื่อผมขนาดนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าที่มันไม่ลงไม้ลงมือเพราะมันเกรงใจแม่ผม (เพื่อนที่น่ายำเกรงของพี่โน่) หรือเกรงใจผมกันแน่ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมสบายใจ และทำให้ไอ้คนติดแฟนอย่างไอ้เฟรมหายตัวไปตามตูดแฟนสาวแสนสวยของมันได้เหมือนทุกวัน

ผมรู้ว่ามันก็เป็นห่วงผมแหละ แม้ว่ามันจะทะเลาะกับผมแทบทุกวันก็ตาม

“วันนี้ไม่ไปไหน?” ไอ้คนตัวเล็กที่ตอนนี้มีอิทธิพลกับผมมากขึ้นเอ่ยถาม

“ที่ถามนี่คือจะกวนตีนใช่ไหม?” ผมก้มลงมองไอ้คนที่ขอมานอนตักผมหลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อย ก็ตามกันแจแบบนี้จะไปไหนได้วะ

“เปล่าเสียหน่อย มึงก็พูดไปเรื่อย คือ….. วันนี้มีวงดนตรีใหม่มาลองเล่นที่ผับพี่ จะไปด้วยกันไหม?” มันเงยหน้า ยิ้มตาปิดอย่างอารมณ์ดี ช่วงนี้ได้เห็นอะไรแบบนี้บ่อยขึ้นจนเกือบจะลืมพี่โน่ผู้เคร่งขรึมคนเก่าไปเสียแล้ว เห็นแล้วอยากหยิกแก้ม แต่ของแก๊กไว้ก่อน

“ไม่มีตังค่าเหล้าแล้ว แม่กลัวหนีเที่ยวเลยตัดค่าขนมเรียบร้อย” ผมถอนหายใจทำหน้าเซ็ง เพราะแม่รู้ทันพวกผมไปเสียทุกเรื่อง ว่าแต่ทำไมไอ้เฟรมมันถึงออกไปข้างนอกบ้านได้ทุกวันฟะ

“นี่มึงพูดกับใคร? มากับพี่จะต้องจ่ายเหรอ?” พี่โน่ลุกขึ้นยักคิ้ว  ตอนนี้เริ่มชินกับการพูดแบบนี้ของมันแล้ว เดี๋ยวมึงกู เดี๋ยวพี่เดี๋ยวน้อง นี่ผมผิดเองใช่ไหมที่ไม่ปล่อยตามใจมัน

“จะเลี้ยง?!?” ผมทวน

“เป็นเมียเจ้าของร้าน ทำไมต้องจ่าย” มันยกยิ้มมุมปากบวกกับแววตาวูบวาบนั่น รู้เลยว่ามันกำลังวางแผนอะไรอยู่

“ผมไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นเลย ว่าแต่ก็ระวังหลังตัวเองให้ดีก็แล้วกัน!!”  ผมจ้องตาคนตรงหน้าด้วยสายตาพิฆาต

“กูมั่นใจว่าไม่มีวันนั้น” คนพูดยึดอกอย่างภูมิใจ

ผมถอนหายใจส่ายหน้ากับอาการภูมิใจของคนตรงหน้า

“หรือน้อง… เอ่อ… มึงจะลองกันก่อนไป” พี่โน่ขยับเข้ามาโอบไหล่ผมให้กระชับเข้ามาหาเขา กลิ่นอายจากตัวของเขามันกรุ่นอยู่ในจมูกผมจนแทบเคลิ้ม

ผมกำมือและเหยียดกายยืนถอยห่าง

“หยุดเลย เดี๋ยวเหนื่อยแล้วไปเที่ยวไม่สนุก ไม่อยากเจ็บตัวก่อนไปเที่ยว” ผมยื่นมือห้าม พี่โน่กลับอมยิ้มใส่ผม

“คนเป็นเมียเขามักจะพูดกันแบบนี้นะ” ไอ้คนตัวเล็กยิ้มแบบมีเลศนัย

“เชี้ย!!” ผมสบถ แบบไม่ตั้งใจ ถูกของมันจิตใต้สำนึกของผมยอมเป็นเมียมันเรียบร้อย

“เออ!! แล้วไอ้การพูดสองระดับแบบนั้น ถ้าฝืนก็ไม่ต้อง พี่จะพูดอะไรก็เรื่องของพี่แล้ว ผมจะพยายามชินก็แล้วกัน” ความจริงผมก็ไม่รู้ว่าผมเริ่มพูดสุภาพกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะผมใจอ่อนกับมันมานานแล้วก็เป็นได้

ผมพูดจบ ไอ้พี่โน่ก็วิ่งเข้ามากอดผมอย่างแนบแน่น ผมต้องรีบโวยวายให้ปล่อยเพราะพี่ฟางที่ดูแลงานบ้านยังล้างจานอยู่ในห้องครัว

……………..

ผมถูกพามายังย่านบันเทิงของจังหวัด ถนนสายโลกีย์ที่เต็มไปด้วยผับบาร์นานาประเภท ตั้งแต่นั่งดื่มชิลๆ จนถึงระดับผับที่เต้นกันให้ยับเมากันให้เละ และสถานที่อโคจรจำนวนมากที่แฝงอยู่ตามตรอกซอกซอยยิบย่อย จนแทบจะนับไม่ไหวเพื่อรองรับบุคคลหรือลูกค้าหลากหลายประเภท

และเกินครึ่งมีพี่โน่เป็นเจ้าของ หรือไม่ก็เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ (ไม่ให้เรียกเจ้าพ่อจะให้เรียกอะไร)

รถสปอร์ตคันหรูสีสะดุดตาของพี่โน่พาผมเข้าไปในผับที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เป็นสถานที่ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จนจะเรียกได้ว่าเป็นผับเกย์อยู่แล้ว แต่เจ้าของอย่างพี่โน่บอกว่า ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นแต่เพราะมีนักดนตรีเป็นผู้ชายล้วนบวกกับพนักงานทุกคนก็เป็นผู้ชายหน้าตาดีทุกคน ใครจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก (ที่แปลกน่าจะเป็นคนที่มาเที่ยวที่นี่ล้วนเป็นคนที่มีความลื่นไหลทางเพศทั้งสิ้น คือจีบได้หมดทั้งหญิงและชาย)
ความตั้งใจแรกอยากดึงดูดลูกค้าเพศหญิง แต่กลับมีเพศชายมามากว่าเสียอย่างนั้น หรือคนแบบนี้มันเยอะขึ้นวะ)

รถของพี่โน่หาที่จอดได้ไม่ยากเย็นเลย เพราะมีคนคอยดูแลตั้งแต่เลี้ยวรถเข้ามาแล้ว ความจริงใครเห็นรถคันนี้บนถนนเส้นนี้ก็ต่างหลบให้หมด เพราะใครๆ ก็รู้ว่าใครเป็นคนขับ ทำให้คนที่นั่งมาด้วยอย่างผมถึงกลับเกร็งไปหมด

“ทำไมไม่ลง?” พี่โน่ที่เปิดประตูออกไปยืนข้างรถแล้วก้มลอดผ่านประตูรถอีกฝั่งเข้ามาถาม

“เดี๋ยวนะครับ” ผมมองไปที่ประตูด้านของผมซึ่งถูกเปิดออกทันทีที่รถจอดสนิท

ผมทั้งแปลกใจและสงสัยว่าคนที่ดูแลลานจอดรถ เขารู้ได้อย่างไรว่ามีคนนั่งมาด้วยทั้งๆ ที่กระจกของพี่โน่มันดำวาวเสียขนาดนั้น หรือว่า…..มันเป็นความเคยชิน

“คุณผู้ชายครับ” พนักงานดูแลลานจอดยื่นผายมือมาทางผมอย่างสุภาพ หลังจากที่พี่โน่พูด ‘เฮ้ย’ คำเดียว

“ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธพร้อมโบกมือให้พนักงานคนนั้นลดมือลง

หลังจากยืนยืดตรงทำให้ผมเห็นว่าพนักงานลานจอดก็งานดีไม่น้อยทีเดียว แม้ผิวจะเข้ม แต่หน้าตาคมขำจนต้องหันมองอีกครั้งหลังจากที่เขาพยายามเชิญผมเดินออกจากรถและจะปิดประตูรถให้

“อะแฮ่ม!!” พี่โน่กระแอมเสียงดัง ทำให้ผมหันไปสนใจเขา ในขณะเดียวกัน พนักงานคนนั้นก็รีบไหว้ลาและเดินดูแลบริเวณอื่นอย่างรวดเร็ว

“มีคนมาด้วยบ่อยล่ะสิ!!” ผมหันไปพูดแก้เขินแกมประชด

“ไม่บ่อย….แต่วันนี้พี่บอกว่าพี่จะมากับแฟน!” มันพูดนิ่งๆ และกวักมือเรียกผมอย่างน่ารัก ด้วยใบหน้าที่อมเลือดฝาด

‘เชี้ย……..’ ผมพูดในใจและก้าวเดินเข้าไปในร้านแบบไม่รอไอ้คนที่พูดจาเลี่ยนๆ แบบนี้ แต่ก็แอบเขินไม่น้อย

“เดินนำแบบนี้รู้เหรอว่าจะไปทางไหน?” พี่โน่เดินมาคว้าแขนผมไว้ ผมรู้สึกหูอื้อไปหมดพร้อมส่ายหน้า

“เดี๋ยวพี่พาไป” พูดจบพี่โน่ก็เดินนำพลางจับมือผมไปด้วยจนถึงที่นั่งวีไอพีไม่ไกลจากเวทีแสดงดนตรี

…………

ช่วงหัวค่ำแบบนี้ดนตรีที่เปิดจะยังเป็นสไตล์บรรเลงเบาๆ คลอไปกับเสียงพนักงานที่กำลังตระเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้ายก่อนที่ลูกค้าจะเริ่มแน่นเนืองในช่วงกลางดึก

ผมถูกจับให้นั่งจุดที่เรียกได้ว่าเงินไม่หนักจริง ไม่สามารถจองได้เพราะนอกจากชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ดูดีโดดเด่นกว่าทุกโต๊ะแล้ว ยังมีบริกรรูปหล่อในชุดสูทสีกรมท่าสุดเท่คอยดูแลอยู่ประจำโต๊ะ จากมุมที่ผมนั่งอยู่สามารถมองเห็นทุกคนในบริเวณได้ไม่ยาก ร้านที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำและกระจกเคลือบสีเข้มจึงทำให้มีความรู้สึกหรูหราเมื่อเข้ามาอยู่ท่ามกลางบรรยกาศที่ประดับไฟแอลอีดีหลากสีโทนขาว ทอง และสีโรสโกลด์  ดวงไฟระย้าคริสตัล หลากหลายสไตล์ในแต่ละจุด ช่วยขับให้แต่ละจุดมีความรู้สึกแตกต่างกันไปไม่น้อย แต่ละพื้นที่อยู่ห่างกันพอควร ทางเดินกว้างขวางไม่แออัด ไม่แปลกใจที่ร้านนี้จะเป็นที่นิยมมานานหลานเดือนตั้งแต่เปิดทำการมา

โดยเฉพาะบริการและบาร์เทนเดอร์ที่คัดมาอย่างตั้งใจ ผมมองไปรอบๆ อย่างเพลิดเพลินจนทำให้คนที่พามาทำตาขวางใส่อย่างแสดงออก สังเกตได้จากบริกรคนอื่นที่แทบจะไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้โต๊ะวีไอพีที่ผมนั่งเลย ไม่รู้ว่าเป็นกฏหรืออะไร ทำไมผมถึงได้รู้สึกติดเกาะร้างแบบนี้

“เครื่องดื่มที่สั่งได้แล้วครับ” บริกรประจำโต๊ะสุดหล่อสไตล์ตี๋อินเตอร์หุ่นล่ำสันเดินมาพร้อมกับกับเครื่องดื่มคอกเทลสีสวยสี่แก้ว

ผมยิ้มตอบการบริการที่น่าประทับใจของบริกรหนุ่ม แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มตอบตามมารยาทเพียงสามวินาที ก่อนที่จะขอตัวเดินออกจากโต๊ะไป

ผมรู้ครับว่าบริกรหนุ่มคนนี้ไม่ได้เสียมารยาท อาจเพราะรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากคนข้างๆ จนผมรู้สึกได้นั่นเอง

“สั่งมาทำไมเยอะแยะ?” ผมหันไปหาชายเจ้าของสถานที่ด้วยรอยยิ้มอย่างฝืนๆ

“เมนูใหม่ อยากให้ลอง” ตั้งแต่เข้ามาในร้าน ไอ้พี่โน่ก็ได้แต่แก๊กและพูดน้อยลงจนผมหงุดหงิด โดยเฉพาะไออำมหิตเหล่านั้น มันแผ่ออกมาไม่หยุดหย่อนเลย แม้ผมจะหันไปหาแล้วเจอไอ้คนที่พยายามฝืนยิ้มใส่ผมและลดรังสีอำมหิตลงครึ่งแล้วก็ตาม

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?” ผมถามอย่างไม่เกรงใจ พร้อมใช้มือชอนคางให้เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ชอบเหรอจ๊ะ?” ไอ้พี่โน่มันยิ้มอย่างลิงโลดหลังจากที่มือผมถูกคว้าไว้ทันทีที่สัมผัสกับคางของมัน

“เปล่า…. แค่รู้สึกเหมือนพี่ไม่สนุก” ผมสะบัดมือออกจากการจับกุมไว้ของพี่โน่

“ก็พี่มาทำงานนี่นา เดี๋ยวขอเสร็จธุระก่อนนะ คุณแฟน” อีกครั้งที่ผมถูกกระชากไหล่ให้ผุบลงไปนอนเอนกับพนักโซฟาตัวหนานุ่นและแนบเบียดกับอีกฝ่ายจนแทบจะแทรกซ้อนทับกับ

“ใครแฟนพี่? ยังไม่ได้ยอมรับสักคำ” แรงที่จับกุมไหล่ผมไว้ทำให้ผมดิ้นไม่หลุดและเลิกพยายาม มันก็อบอุ่นดี แม้จะกลัวใครมาเห็นผมแบบนี้ แต่ตรงนี้มันก็ดูส่วนตัวดี

“แต่ก็ไม่ปฏิเสธเนอะ” ไอ้พี่โน่พูดพลางหัวเราะชอบใจจนบริกรในร้านหันมามองเป็นตาเดียว แต่ก็ต้องหันกลับไปจดจ่อกับงานตนเองแทบจะทันทีที่สบตาพี่โน่

ทำให้ผมรู้สึกว่าการได้คบกับคนแบบนี้มันก็เร้าใจไม่น้อยเหมือนกัน

………….

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
น้องไอซ์ปากตรงกับใจได้แล้ววววว
รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากคอกเทลแสนอร่อยผ่านลำคอไปหลายแก้ว ฟังเพลงบรรเลงสด จากนักดนตรีวงใหม่ที่มาเล่นที่นี่เป็นครั้งแรกเพื่อทดสอบความนิยมและความไพเราะ ผมพบว่าตัวเองกำลังเริ่มมึนๆ กับระดับแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้นในกระแสเลือดอย่างรวดเร็วจนต้องขอวิจารณ์กับเจ้าของสถานที่เล็กน้อย


“ดนตรีดี! เสียงเพราะฟังเพลิน ดื่มเพลิน แต่ไอ้คอกเทลพวกนี้มัน…..แรงไปไหมครับพี่?” ผมหันไปหาไอ้คนที่จ้องเวทีตาไม่กระพริบ

“อืม….ก็นะ ก็ตั้งใจนี่นา เมนูใหม่พวกนี้อยู่ในเซ็ตน้อกเกอร์นี่นา สำหรับพวกคนที่ต้องการของแรงๆ เมาเร็วๆ” ไอ้พี่โน่เหลือบตามามองผมครู่หนึ่ง อมยิ้มและหันไปทางเวทีอีกครั้ง


มองจำนวนแก้วที่วางเรียงรายบนโต๊ะขณะที่บริกรหนุ่มกำลังเก็บแก้วที่เครื่องดื่มภายในหมดเกลี้ยง บรรจงวางลงบนถาดอย่างเป็นระบบ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเกิดเหตุการณ์นี้มารอบที่เท่าไหร่แล้ว รู้แต่ว่าทุกครั้งที่ผมดื่มหมดแก้ว ก็จะมีแก้วใหม่มาเติมอยู่เรื่อย ๆ ด้วยรูปแบบและสีสันที่ต่างกันออกไป ผมยอมรับว่าแต่ะแก้วช่างสร้างสรรค์และรสเลิศ


“นักร้องก็หน้าตาดีนะ แต่ทำไมแต่งตัวไม่ได้เรื่องแบบนั้น” พี่โน่ เอ่ยถึงนักร้องนำบนเวทีที่เรียกความสนใจให้กับทุกคนในผับได้อย่างดี ใบหน้าขาวใสที่ส่องสว่างอยู่บนเวที แต่กลับถูกชุดเสื้อผ้ามอซอพวกนั่นดับรัศมีไปพอควร กางเกงยีนส์เก่าๆ ซีดๆ กับเสื้อยืดตัวใหญ่โคล่งสีขาวหม่น กับหมวกแก๊บสีแดงซีดๆ มันเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันเสียเลย


ขณะที่พี่โน่เอ่ยปากพูดกับผม แต่สายตาของเขากลับไม่ละจากนักร้องที่กำลังร้องเพลงช้าสไตล์อกหักนั่นเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอกของผม มันวูบวาบร้อนรนกับภาพที่เห็น มือของผมคว้ารวบไปที่คางของชายร่างเล็ก และบังคับให้หันมาสบตากับผมทันที

“พูดกับคนอื่นก็หัดมองหน้ากันบ้าง!!” ผมพูดเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ


บริกรบริเวณนั้นแทบจะหยุดหายใจ ผมสังเกตจากอาการของพวกเขาได้ ทุกคนหยุดชะงักการทำงานและหายใจเข้าเสียงดัง แม้แต่บริกรที่อยู่ประจำโต๊ะวีไอพีที่ผมนั่งยังต้องถอยห่างไปหนึ่งก้าว

แต่สุดท้ายทุกคนก็กลับไปทำงานปกติได้หลังจากที่พี่โน่เผยรอยยิ้มกวนประสาทใส่ผม

“พี่ดีใจนะ”

“ดีใจที่จะได้วงดนตรีใหม่ ดูท่าทางน่าจะเรียกแขกได้เยอะแหละ” ไม่รู้ว่าทำไมตนเองต้องใส่เสียงประชดประชันลงไปในประโยคเหล่านี้ด้วย ไม่เข้าใจเลย

“ไม่ พี่ดีใจไอซ์หึงพี่!” คราวนี้ไอ้ลุงร่างเด็กนี้ก็ฉีกยิ้มจนเห็นรอยตีนกาชัดเจน

“ใคร? อะไร? ไม่มีอ่ะ?” หรือว่ากูหึงจริงวะ หรือกูเมาแล้ว ไอ้พี่โน่มันแอบมอมเหล้าเราอีกแล้วเรอะ โอยๆๆๆ ผมโอยครวญในใจซ้ำไปมา

หลังจากฉีกยิ้มกว้าง มือหยาบของพี่โน่ก็อ้อมมาโอบไหล่ผมพร้อมกับกระชับให้ผมเข้าไปในอ้อมอกเขาอย่างแนบแน่น ผมแทบไม่มีโอกาสขัดขืน แต่ผมก็ไม่ได้ฝืน เพราะสุดท้ายผมก็เริ่มชอบไออุ่นบนอกผืนย่อของชายร่างเล็กคนนี้เสียแล้ว


………………


วงดนตรีประจำของผับนี้ขึ้นไปวาดลวดลายให้แขกภายในผับกรี๊ดลั่นแก้วเกือบแตก เมื่อนักร้องหน้าสวยอันโด่งดัง ที่มีเสียงดุจเสียงสวรรค์ร้องได้ทั้งเพลงเร็วและช้าติดต่อกันจนแทบไม่พัก ผมยอมรับว่าสนุกมาก ไม่เคยได้มีโอกาสได้ชมการแสดงสดที่ทรงพลังขนาดนี่ แต่จะสนุกกว่านี้หากไม่ต้องนั่งดูคนเดียว!

หลังจากวงแรกเล่นจบไปได้ไม่นาน พี่โน่ก็ถูกเรียกตัวโดยลูกน้องจำนวนหนึ่ง ที่ต่างกรูกันเข้ามาขอคิวเพื่ออัพเดทโน่นนั่นนี่ จนพี่โน่ยกมือขึ้นปรามทุกคนจนบริเวณนี้เงียบสนิท พี่โน่เหล่มองผมครู่หนึ่ง หลังจากเห็นผมพยักหน้าว่าไม่เป็นไร พี่โน่จึงตัดสินใจบอกทุกคนให้ตามไปที่ห้องทำงาน เพราะอย่างไรต้องไปประเมินและให้คำตอบวงคนตรีวงน้องใหม่ที่เพิ่งทำการแสดงไป


“นั่งคนเดียวไม่เหงาหรือครับ?” หนุ่มตี๋ตาขีดเดียวเดินมาทักทายถึงโต๊ะวีไอพีของผม

ผมเหลือบไปมองก็พบว่าคนที่มาทักผมนี่หน้าตาดีไม่น้อยทีเดียว วงหน้าที่เรียวยาว ผมรองทรงด้านหน้ายาวจนเกือบปิดตา หน้าขาวใส เจาะหูทั้งสองข้างด้วยห่วงที่ใหญ่พอประมาณ แต่ก็รับกับใบหน้าของเขาไม่เลว การแต่งตัวที่เนี๊ยบและทันสมัย จึงทำให้เขาดูน่ามองไม่น้อย ด้วยความไม่คุ้นหน้า ผมเลยยิ้มกลับไปเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาจดจ่อกับคอดเทลแก้วโปรดตรงหน้า (สั่งมาซ้ำสามแก้วแล้ว)

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่า บริกรประจำโต๊ะนั่นพยายามห้ามปรามคนหน้าตี๋ที่มาทักทายผมไม่ให้ร่วมโต๊ะด้วยแล้ว แต่ดูเหมือนจะทำไม่สำเร็จ

ในที่สุดบุคคลผู้มาใหม่ก็ลงนั่งข้างผมอย่างแนบชิด พร้อมถือวิสาสะนำแก้วของตนมาชนที่แก้วผมอย่างทุลักทุเลจนแก้วสีสวยของผมเกือบคว่ำ 

ผมที่มีอาการมึนเมาได้ที่แล้วจึงมองคนข้างๆ อย่างเฉื่อยชา และมองไปที่บริกรประจำโต๊ะที่น่ารัก ซึ่งตอนนี้ทำหน้าซีดอย่างน่ากลัวอยู่ สุดท้ายผมเลยมองที่เขาและโบกมือให้ประมาณว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง

“เด็กใหม่ของไอ้เตี…… เอ่อ….. พี่นีโน่เรอะ?” ไอ้ท่าทางยียวนแบบนี้ ทำให้คะแนนความหน้าตาดีของคนๆ นี่ลดลงไปเกินครึ่ง

“ไม่ใช่” ผมตอบห้วนๆ และแสดงออกว่าผมไม่สนใจ

“แต่เห็นว่าด้วยกัน ดูท่าทาง พี่นีโน่จะหลงคุณมากเลยนะ รายนั้นเขาไม่เคยพาใครมานั่งตรงนี้เลยนะ” มือไม้อีกฝ่ายโอบอ้อมข้ามไหล่มาวางอย่างถือดี

“เหรอครับ”  ผมสะบัดให้มือข้างนั้นไหลลงไปตามหลัง และตอบกลับด้วยถ้อยคำเย็นชา แต่ในใจกลับตรงกันข้าม รู้สึกถึงความพิเศษของตัวเอง

มือที่ควรจะถูกเก็บไป กลับเลื่อนลงไปจนถึงเอวและออกแรงให้กระชับแน่นไปหาเจ้าของมืออย่างรุนแรง

“มากับพี่ไหม? พี่ให้เยอะกว่ามากเลยนะ” คำพูดเบาที่ไหลผ่านหูพร้อมลมอุ่นๆ เมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ทำให้ผมของขึ้น

ด้วยแอลกอฮอล์ในเลือดหรืออะไรไม่ทราบ จากการที่ผมจะลุกขึ้นมาต่อยมันคว่ำ แต่กลับเป็นผมเสียเองที่เสียหลักลงไปนอนหงายที่โซฟา พร้อมที่อีกฝ่ายขึ้นคล่อมผมด้วยรอยยิ้มมีชัย

สายตาที่มากไปด้วยแรงปรารถนาบางอย่างมันท้วมท้นจนผมรู้สึกได้

มันเป็นคนมีฝีมือ!! ไม่ได้เก่งแต่ปากเสียแล้วคนๆ นี้ ผมคิดพลางเบือนหน้าหนีจากสายตาของเสือโหยที่พร้อมจะกินเหยื่อ

ผมบอกตามตรงว่า ผมสู้แรงไอ้หน้าตี๋ตาตี่นี่ไม่ได้จริงๆ
“ไม่เลว…. พี่โน่ไปคว้าของดีๆ มาได้อีกแล้ว แบบนี้ยิ่งอยากแย่งเข้าไปอีก” ไอ้ตาตี่มันไม่ใช่แค่เพียงพูดมือหยาบใหญ่ที่เย็นจากการถือแก้วเครื่องดื่มก็แทรกตัวเข้ามาในเสื้อผม


ผมพยายามขัดขืนดิ้นรน แต่กลับสู้แรงไอ้หมอนี่ไม่ได้เลย ผมคงจะเมาแล้วจริงๆ ผมพยายามมองหาคนรอบข้างเพื่อขอความช่วยเหลือ มีเพียงบริกรประจำโต๊ะวีไอพีเท่านั้นที่มีท่าทีจะเข้ามาช่วยแต่เพียงแค่การปลายตาของไอ้หน้าตี๋ บริกรคนนั้นก็กลับหยุดชะงักและทำสีหน้าหวาดกลัว

‘ไอ้หมอนี่ มันเป็นใครกันวะ’ ผมคิดพลางพยายามมองหน้ามันให้ชัดในพื้นที่แสงสลัวแบบนี้

มือเย็นที่พยายามรุกคืบจากเอวไล่มาจนถึงกล้ามเนื้อหน้าอก มือหนึ่งผมโดนรวบไปไว้เหนือศรีษะ มือหนึ่งผมกำท่อนแขนของไอ้คนด้านบนไว้แน่น พยายามยื้อสุดแรงไม่ให้มันสัมผัสไปถึงจุดปุ่มอ่อนไหวที่กลางอก

โครม!!

ไอ้คนหน้าตี๋อยู่ๆ ก็ลอยคว้างไปทางด้านหลังจนกระแทกกับแผงกั้นบันไดทางต่างระดับที่อยู่ไม่ไกล

“ที่ผ่านมากูให้อภัยได้ แต่กับคนนี้กูไม่ให้!!” พี่โน่ตาขวางยืนกำหมัดด้วยบรรยากาศตึงเครียด ที่ทำให้ทั้งร้านเพ่งจุดสนใจมาที่นี่

“อะไรวะ เฮีย! มีอะไรเราก็แบ่งกันหรือเปล่าวะ!” ไอ้หน้าตี๋ยืนขึ้นพร้อมทำท่าปัดฝุ่นตามร่างกาย มันเหมือนไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย

“กูไม่เคยจำได้ว่าเคยคิดแบ่งกับมึง” พี่โน่พูดเสียงแข็ง

“เด็กพวกนั้น มันก็ไม่เคยปฏิเสธผมนี่หว่า ก็นึกว่าทำได้ ไหนๆ ร้านนี้ และอีกหลายๆ ร้าน เราก็เป็นหุ้นส่วนกันนะ แค่นี้ไม่น่าจะมีปัญหา” ไอ้หน้าตี๋นั่นมันพูดเรื่องเลวๆ แบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย

“ที่ผ่านมากูไม่เอาเรื่องเพราะกูเกรงใจพ่อมึง! แต่คราวนี้มึงล้ำเส้นเกินไป เพราะนี่แฟนกู!! กู ไม่ เคย คิด แบ่ง แฟน ให้ ใคร!!” คราวนี้พี่โน่เดินมาขวางหน้าผมไว้ เหมือนพยายามบังผมให้พ้นจากสายตาโลมเลียของอีกฝ่าย

“ผมไม่เห็นเฮียจริงจังกับใครขนาดนี้?”

“ครั้งนี้กูจริงจัง!!”

หลังจากจ้องหน้ากันสักพัก ไอ้หน้าตี้ก็ยักไหล่ คิ้วขมวด กัดฟันกรอดและเดินจากไป

หลังจากเหตุการณ์สงบ พี่โน่ก็เอนกายปะทะเบาะที่นั่งข้างผมเสียงดังพร้อมถอนหายใจยาว

“ใครกันครับ ไอ้หน้าตี๋นั่น!!” ผมถามพี่โน่แบบเกร็งๆ

“อย่าไปใส่ใจเลย” พี่โน่ตอบผมแบบผ่านๆ

ผมเอนลงกลับไปนั่งอย่างเซ็งๆ รู้สึกหมดสนุกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพปกติที่ทุกคนในผับกำลังดื่มอย่างสนุกสนาน

พี่โน่ที่เห็นผมทำหน้านิ่งเฉยแปลกแยกไปจากบรรยากาศโดยรอบจึงยื่นมือหยาบมาลูบศรีษะผมไปมาด้วยความอ่อนโยน

“อยากรู้ขนาดนั้น!?!” พี่โน่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

“รู้ดี!!” ทำไมมันรู้ว่าผมคิดอะไรวะ ความเผือกของผมมันร้อนจนอกเริ่มไหม้

“จะอยากรู้ไปทำไม? ตัวมันเองก็บอกไปแล้วนี่ว่ามันเป็นหุ้นส่วนที่นี่” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้ จนผมเริ่มร้อน

“ผมมองออกนะว่า ไอ้ตี้นั่นมันชอบพี่”

“แต่พี่ชอบไอซ์นะ จะไปสนใจทำไม?” เป็นคำตอบที่ละเอียดอ่อนจนเหมือนไม่ใช่ตัวตนของพี่โน่ แต่นั่นก็ทำให้ผมพูดต่อไม่ได้สักระยะ นี่มันจะขี้แกล้งกันไปถึงไหน

“อยากรู้! เล่าเถอะ!” ผมรีบเซ้าซี้อีกครั้งก่อนที่พี่โน่จัเปลี่ยนประเด็น

“เออๆ จะได้เลิกหึงเนอะ” มันผ่อนลมหายใจอมยิ้ม มองผมอย่างได้ใจ ผมหลบตาทันที ทำไมก็ไม่รู้

ไอ้ตี๋นั่นชื่อ เก๋อ ลูกเจ้าของที่ดินบริเวณนี้ที่พี่โน่กว้านซื้อเพื่อทำผับและโรงแรมบริเวณนี้ เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ของจังหวัด แม้พี่โน่จะกว้านซื้อมาเยอะแล้ว แต่ที่ดินโดยรอบย่านนี้ก็ยังเป็นของเสี่ยเฉิน พ่อของ ‘เก๋อ’ อยู่มาก

ลูกของเศรษฐีเชื้อสายจีนอันเก่าแก่ของจังหวัด ที่แสนจะไม่เอาอ่าวใดๆ นอกจากเที่ยวเล่นไปวันๆ โดนบังคับให้หาธุรกิจทำเป็นชิ้นเป็นอัน ไปๆ มาๆ พี่โน่ก็ถูกขอร้องให้รับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มาเป็นหุ้นส่วนช่วยดูแลธุรกิจย่านนี้ แม้จะมีหุ้นส่วน 20% แต่เก๋อก็ยังทำตัวกร่างเหมือนเป็นเจ้าของมาโดยตลอด ที่ทุกคนไม่กล้าไปหือกับคนอย่างเก๋อก็เพราะพี่โน่ขอทุกคนไว้

“อย่างน้อยมันก็มาช่วยดูแลร้านเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน มันเป็นคนเก่งนะ แต่มันเป็นคนขี้เกียจ ไม่จริงจังเท่านั้นเอง แล้วก็….. อย่างที่เห็น….. มันติดเซ็กส์” พี่โน่กล่าวทิ้งท้ายพร้อมผ่อนลมหายใจออกมา

“ถามอีกอย่างได้ไหม?” ผมครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยถามแบบไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนที่เคยเป็น

“อะไร?” พี่โน่เลิกคิ้วแล้วหันมาถามด้วยหน้าตาสงสัย คงคิดว่าตนเองเล่าละเอียดแล้ว

“เคยได้กันกันยัง?” ผมจ้องตาอีกฝ่ายขณะรอคำตอบ

พี่โน่หัวเราะลั่นก่อนจะพูดว่า “นี่เราก็มีส่วนน่ารักเหมือนกันนะ”

“ถามก็ตอบ!!” ผมใส่อารมณ์เข้าไปเพราะไม่เข้าใจว่าไอ้การขี้สงสัยของผมมันจะน่ารักตรงไหน?

“พี่เห็นมันตั้งแต่ตัวเล็กกว่าพี่ จนตอนนี้มันสูงกว่าพี่ร่วมฟุต ไม่เคยคิดเกินกว่าน้องชายเลยจริงๆ” พี่โน่ตอบพลางพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองไปพลาง

“ก็แค่สงสัยไหมล่ะ แบบนี้มันนิสัยหวงก้างชัดๆ ประมาณว่ากูไม่ได้ ใครก็อย่าได้ไปชัดๆ!”  ผมแสดงความคิดแบบที่ใจคิดและรู้สึกได้ เพราะอาการของไอ้ตี๋นั่น มันแค่อยากปู้ยี่ปู้ยำคู่แข่งให้แหลกลาญมากกว่าทำไปเพราะหิว! ผมไม่ใช่คนไร้ประสบการณ์จะได้ดูไม่ออก

“บางทีก็แปลกใจนะว่า ไปโตอยู่ที่ต่างประเทศจริงไหม? ไอ้สำบัดสำนวนแบบนี้ได้มาจากแม่เต็มๆ เลย” พี่โน่คือคนที่พร้อมจะออกนอกเรื่องได้อย่างอิสระ

บริกรที่อยู่รอบข้างถึงกับมีท่าทีสนใจโต๊ะเราสองคนเป็นพิเศษจนผมรู้สึกแปลกใจ ในขณะที่พี่โน่เรียกลูกน้องอีกคนให้มาทำการเก็บกวาดบริเวณให้เรียบร้อย ผมจึงสบโอกาสถามบริกรประจำโต๊ะวีไอพีไปว่า ทำไมทุกคนถึงได้ทำหน้าแปลกๆ แบบนั้น

น้องบริกรสุดหล่อจึงแอบกระซิบว่า
“พวกผมไม่เคยเห็นเฮียโน่ เป็นแบบนี้เลยน่ะสิ เขาไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะขนาดนี้ในช่วงเวลาทำงานในร้านเลยสักครั้ง”
พูดจบก็รีบถอนตัวออกห่างเพราะพี่โน่เหล่มองมาพอดี

ผมฟังจบก็รู้สึกอึ้งปนรู้สึกดี ไม่คิดเลยว่ากับคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกันมาตลอด ในเวลาแบบนี้จะทำให้พี่โน่มีความสุขจนล้นออกมาขนาดนี้ แต่พอมาลองทบทวนดี พี่โน่เป็นผู้ประสบความสำเร็จทุกเรื่องยกเว้นเรื่องความรัก มันก็เลยพอจะเข้าใจได้บ้าง

ขณะที่ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยในหัวสมองที่แสนจะยุ่งเหยิง พี่โน่ก็ขยับตัวเข้ามาโอบไหล่ มือหนึ่งก็ถือแก้ววิสกี้ออนเดอะร็อคที่ไม่รู้ว่าไปได้มาตอนไหน พี่โน่หันหน้าไปทางเวทีที่มีศิลปินประจำผับกำลังแสดงดนตรีสดสไตล์ป้อปร็อค ซึ่งดึงความสนใจคนทั้งผับไปที่จุดกึ่งกลางเวทีได้อย่างหมดจด นักร้องนำที่มีเสียงที่มีเสน่ห์และหน้าตาดี คืออาวุธหลักของผับแห่งนี่ สมคำร่ำลือจริงๆ

ผมหันไปมองใบหน้านิ่งที่แฝงไปด้วยความสุขวงนั้น ทำให้ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ การแสดงบนเวทีไม่สามารถทำให้ผมสนใจได้เลย นอกจากวงหน้าที่อมยิ้มเล็กที่มุมปากของคนข้างๆ นี้ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมหลงคนๆ จนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นขนาดนี้

พี่นี่โน่หันมามองผมและเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัยกับสายตาที่ผมส่องวงหน้าเขาไม่หยุด ผมยอมรับว่าผมไม่รู้ว่าตนเองทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มและโน้มใบหน้าเข้ามาและเอาหน้าผากของตนเองมาสัมผัสกับหน้าผากของผมอย่างนุ่มนวลก่อนจะค่อยๆ ผละอออกไป

ในวินาทีที่ใบหน้านั้นค่อยห่างออกไป ผมตัดสินใจโน้มศรีษะตนเองไปหาและขโมยจุมพิศปากสีชาดอ่อนนั่นอย่างเผลอไผล

แต่พี่โน่เองก็ไม่ละทิ้งโอกาสนี้ไป เขาใช้มือรวบด้านหลังศรีษะผมและออกแรงดันเข้าไปหาเขา ไม่ให้ผมมีโอกาสผละออก  ทำให้เราสัมผัสริมฝีปากอีกฝ่ายได้ยาวนานขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นการแลกลิ้นพัวพันกันจนบริกรบริเวณต่างหันหลบกิจกรรมของเราสองคน

เวลาล่วงเลินเกินเที่ยงคืนมาเล็กน้อย ผมถูกลูกน้องคนหนึ่งของพี่โน่ขับมาส่งถึงที่บ้านเรียบร้อย ขณะที่ผมยืนอยู่ในห้องน้ำ กำลังชำระล้างตนเองด้วยน้ำเย็นๆ ที่โปรยปรายมาจากฝักบัว พลางใช้นิ้วไล่เรียงสัมผัสริมฝีปากตนเองที่ยังรู้สึกถึงกลิ่นอายของพี่โน่อยู่ในปาก

ความปรารถนาบางอย่างครุกรุ่น เผาผลาญอยู่ภายในกายจนแทบทำให้ร่างกายไม่ยอมสงบหลับนิ่ง ผมไม่แน่ใจว่าตนเองจะนอนหลับลงด้วยความรู้สึกค้างคาแบบนี้

สุดท้ายทำได้แค่ใช้น้ำเย็นราดรดทั้งตัวเพื่อลดความต้องการตัวเองลง ถามว่าทำไม่ผมถึงไม่จัดการกับความรู้สึกนี้ให้หมดไปด้วยมือตัวเอง คำตอบคือ แล้วเราจะมีแฟนทำไมล่ะครับ? ผมไม่ได้ต้องการแค่นั้น อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ตามสำนวนที่แม่ชอบพูดบ่อย

แต่งตัว ปิดไฟ เข้านอน ด้วยอาการตื่นตัวอยู่นานพอควรกว่าทำใจให้สงบและหลับลงได้ แต่เมื่อยามใกล้รุ่งก็ต้องรู้สึกตัวในความมืดเพราะมีสิ่งที่ขยับไปมาอยู่บนเตียงนอน

“พี่เอง….. พี่ว่าพี่จะรอ ….แต่พี่ไม่ไหวแล้ว” เสียงที่คุ้นหูกับรูปร่างแกร่งกระทัดรัดพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังเกร็งและขัดขืนเพราะเพิ่งรู้สึกตัว และตื่นจากอาการง่วงนอน

ไม่นานผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งเข้าคลุกวงในภายใต้ผ้าห่มสำเร็จ

…………..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2022 07:28:08 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

แสงยามสายพยายามแทรกตัวเข้ามาในห้องนอนสีเหลี่ยมจัตุรัสผ่านผ้าม่านป้องกันยูวีที่เปิดพริ้วแง้มออกเป็นบางเวลาเมื่อลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบ ร่างกายที่อ่อนเปรี๊ยของผมค่อย ๆ ฟื้นตัวจากอาการเหนื่อยล้าจากการออกกำลังในร่มผ้าติดต่อกันหลายชั่วโมง

ผมยกมือก่ายหน้าผากเย็นๆ ของตนเองพลางเหล่มองคนตัวเล็กหน้าเด็กที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย ความสงบของใบหน้าคนเคียงข้างตอนนี้ช่างต่างจากเมื่อไม่มีชั่วโมงก่อน

ตอนนี้มันเหมือนคลื่นลมที่สงบของชายหาดยามเย็น มันสวยงามและสงบสุข แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่เป็นดั่งพายุโหมกระหน่ำ เหมือนคลื่นยักณ์ซึนามิที่พร้อมจะกวาดทุกอย่างลงสู่มหาสมุทร

ผมจำไม่ได้แล้วว่าเราเล่นโต้คลื่นยักษ์กันไปกี่รอบ รู้แต่ว่ารอบสุดท้ายมันช่างสุดยอดจนผมแทบหมดแรงและเผลอหลับไปหลังจากเสร็จกิจ

คราวนี้แม้อีกฝ่ายจะเมามายไม่น้อย แต่ก็ยังกระทำกับผมเยี่ยงคนรัก ผมสำรวจตัวเองโดยการพลิกตัวเล็กน้อยไปมาก็พบว่ามีอาการเจ็บปวดเหลือเพียงเล็กน้อยเหลืออยู่

บางทีผมเองก็กลัวตัวเองจะติดใจจนกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้เสียแล้ว แต่พอนึกถึงลีลาที่ได้รับเมื่อรุ่งสาง มันก็ทำให้วัยหนุ่มของผมสดชื่นตื่นตัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากพยายามคิดเรื่องอื่นไปหลายนาที เพื่อสงบสติอารมณ์ ก็พบว่ามันทำได้ยากเมื่อมีคนที่ผมปรารถนานอนแนบชิดอยู่แบบนี้ เสียงลมหายใจ และจังหวะขึ้นลงของกล้ามอกและลอนท้องตามการหายใจเข้าออก มันทำให้ผมฟุ้งซ่านไปหมด

สุดท้ายผมตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปห้องทั้งอย่างนั้นเพื่อใช้น้ำเย็นรดร่างให้หายฟุ้งซ่าน

มันได้ผล

ผมนึกขึ้นในใจที่เห็นน้องชายของตัวเองค่อย ๆ สงบ พร้อมสำรวจเรือนร่างตนเองว่าได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด

อาการเจ็บเสียดก็มีบ้าง แต่ก็ดูจะคุ้มค้ากับสิ่งที่ได้มา รอยแดงที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้มันมีให้เห็นบางๆ ทั่วทั้งตัว โชคดีที่อีกฝ่าย ไม่ทำอะไรนอกร่มผ้าเลย สมกับเป็นผู้มีประสบการณ์

แอ๊ดดดด

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกเบาๆ

“ทำไมอาบน้ำไม่เรียก?” ชายร่างเล็กกับลอนกล้ามอันแข็งแกร่ง เปิดประตูห้องน้ำออกอย่างไม่ปกปิดเรือนร่างที่เปล่าเปลือย

มันสวยงามจนผมจับจ้องไม่วางตา อะไรที่กล่อมให้หลับไปแล้วพลันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“สมเป็นวัยหนุ่ม” พี่โน่ยิ้มและแอบเลียรืมฝีปาก

(ไม่นะ)


พี่โน่ย่างท้าวอย่างไม่ลังเลที่จะก้าวเข้ามาในพื้นที่ฝักบัวและโอบกอดผมจากด้านหลัง อย่างไร้ทางป้องกัน แรงเสียดทานบางอย่างแข็งขืนอยู่ทางด้านหลัง อาวุธที่ติดตัวตั้งแต่เกิดของพี่โน่ซึ่งมีขนาดขัดกับรูปร่างกระทัดรัดนั่น กำลังถูไถส่วนหลังของผมที่พยายามย่อให้อย่างไม่รู้ตัว

ความต้องการจากส่วนลึกในใจมันทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ริมฝีปากที่ชะโลมผิวพื้นหลังผมอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนทั่ว ลมอุ่นๆ ที่ไหลผ่านจากจมูกอีกฝ่ายกำลังสัมผัสผิวที่เย็นเยียบเพราะน้ำจากฝักบัวที่ยังคงเปิดให้ไหลเอื่อยลงมาชะร่างเราสองอย่างอ่อนนุ่ม

แม้ส่วนสูงของเราสองคนจะแตกต่างกันมาก แต่ก็ไม่ทำให้พี่โน่มีความลำบากในการละเลงบทรักในแนวตั้งแบบนี้เลย เขาหยิบจับขยับร่างผมให้เหมาะสมจนอยู่ในท่าทางที่เขาจะสามารถนำเอาน้องชายของเขาเข้ามาเพลิดเพลินอยู่ในร่างของผมได้ไม่ยาก พี่โน่จัดการอยู่หลายกระบวนท่ากว่าจะได้ตำแหน่งที่เหมาะสม ผมไม่รู้ว่าพี่โน่เป็นอย่างไรบ้าง ผมรู้แต่ว่า ผมเผลอร้องจนเกือบสุดเสียง พยายามห้ามมิให้เผยอปากร้องไปตามความสุขที่อีกฝ่ายมอบให้

เวลาผ่านไปพอควรจนผมร่างกายท่อนล่างล้าไปหมด ผมหันไปมองหน้าพี่โน่ที่กำลังตั้งใจกับเรือนร่างของผมอยู่เหมือนจิตรกรที่กำลังปั้นงานชิ้นเอก แต่ปฏิมากรรมของพี่อย่างผมมันถึงขีดจำกัดแล้ว ซึ่งเหมือนพี่โน่จะเข้าใจ เขาพยักหน้า และพยายามทำผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ไปให้สุดทาง ในที่สุดเขาก็ระเบิดเสียงออกมาและยิ้มอย่างภูมิใจในผลงานชิ้นเอกของเขา

พี่โน่ถอนตัวออกห่างจากผมครึ่งก้าวด้วยอาการหอบถี่ กล้ามเนื้อที่ผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงสั่นไหวและเปลี่ยนสีเรื่อแดง ตอนนี้พี่โน่มีท่าทางเหมือนยักษ์แดงขนาดกระทัดรัดน่ารักซึ่งขณะที่ผมยืนยึดตัวและเอนทิ้งร่างดันกำแพงไว้อย่างไร้กำลัง ผมเองก็หอบถี่ไม่น้อยไปกว่าเขา

“เดี๋ยวพี่ช่วย” พี่โน่มองสิ่งที่ยังคงตื่นตัวตั้งตรงชี้หน้าพี่โน่อยู่

“ไม่ๆๆๆๆ” ผมทำท่าทางแข็งขืน แต่ก็รั้งอีกฝ่ายได้ไม่นาน

พี่โน่ก้มลงจัดการน้องชายที่ดื้อรั้นของผมจนสงบลงอย่างเอร็ดอร่อยและล้ำลึก

“เฮ้ย!!” พี่โน่โวยขึ้นหลังจากที่จัดการน้องชายผมจนร้องไห้เลอะไปทั่วร่างของพี่โน่เอง

“ขอโทษครับ” ผมพยายามคว้าฝักบัวมาทำความสะอาดให้อีกฝ่าย

“ไม่ใช่ๆ พี่ไม่ได้รังเกลียดหรอก”  อีกฝ่ายยืนขี้นจนสุดความสูง สีหน้าจริงจัง

“แล้วพี่ร้องทำไม ตกใจหมด!”

“เมื่อกี้พี่ คือของพี่ อยู่ในตัวน้องหมดเลย พี่ลืมไปว่าไม่ได้ใส่ถุงยาง!!”

“เชี้ย!! แล้วเอาออกยังไง?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เดี๋ยวพี่สวนออกให้เอง”

“ไม่ตลก!!”

“พูดจริงเดี๋ยวพี่สอน”

แล้วพี่โน่ก็โผเข้ามากอดผมอย่างให้กำลังใจ

เป็นแบบนี้มันไม่ง่ายเลยว่ะ อย่าให้มีโอกาสจับพี่โน่กดบ้างก็แล้วกัน

*****************

เสร็จสิ้นกิจจากในห้องน้ำ ผมที่อ่อนแรงเหมือนไม่ได้หลับเต็มอิ่ม เหนื่อยล้ายิ่งกว่าการลงแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย แทนที่จะได้นอนผึ่งเครื่องปรับอากาศอยู่ที่ห้อง กลับโดนลากออกมาจากบ้าน เพื่อไปหาอะไรกินเพราะแฟนตัวเล็กหิวโหยจนแทบจะแทะเนื้อผมกิน (ไม่รู้ทำไมว่าตอนมันกัดขบผม ผมถึงได้รู้สึกดีวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง)

ระหว่างที่เดินผ่านห้องรับแขกที่ไอ้เฟรมพี่ชายหน้าเหมือนของผม มันนั่งทำหน้านิ่วคิ้วผูกกันกับการที่ผมถูกพี่โน่จูงมือไล่ออกจากบ้าน ต่อด้วยสีหน้าที่ผมบรรยายไม่ถูกว่ามันหมายถึงอะไร เหมือนมันไม่เคยเห็นอาการแบบนี้ของผมมาก่อน คนที่เคยเป็นสิงโตล่าเหยื่ออย่างผม วันนี้กลับกลายเป็นเหยื่อเสียเอง

“เป็นอะไร? ไม่สบาย?” พี่โน่ทักขึ้นขณะขับรถไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งตามที่พี่โน่แนะนำว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน

“ปะ…..เปล่า…. แค่…..” ผมพยายามเค้นคำที่จะบอกความรู้สึกของตนเองออกมา

“ไม่ชิน?” อีกฝ่ายพูดขณะเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนทิศทางรถ

“ไม่…. อืม….ก็ใช่….แต่….” ผมยังคงนึกถึงใบหน้าของไอ้พี่ชายฝาแฝด

“พี่ถามคำถามหนึ่ง…แล้วมีความสุขไหน?” พูดจบก็เปลี่ยนมือข้างหนึ่งที่จับพวงมาลัยรถ ย้ายมาเกาะกุมที่มือของผมที่วางบนตักตนเองอย่างเกร็งๆ

ความอบอุ่นของพี่โน่ไหลแผ่ลงมา มือที่อ่อนโยนของพี่โน่ มันช่างให้ความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้จากใคร มือหยาบที่มีรอยแผลเป็นเล็กๆ นับไม่ถ้วนกลับอ่อนโยนนุ่มนวลขนาดนี้

“มีสิ มีความสุขมาก” ผมใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นมาเกาะกุมบนมืออีกฝ่ายจนกลายเป็นเหมือนแซนด์วิชที่มีมือของพี่โน่สอดอยู่ตรงกลาง

“งั้นก็ไม่ต้องคิดมาก แค่ระลึกถึงช่วงเวลาแบบนี้ และความสุขที่ได้รับก็พอนะ” พี่โน่ยกยิ้มมุมปากฉีกกว้าง แม้ตาจะมองอยู่ที่ถนน แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ

“อืม” ผมพยักหน้าตอบและลูบไล้มือเขาไปมา มันเป็นความรู้สึกที่ผม อยากมีกับใครสักคนมานาน แต่ไม่นึกว่าจะได้ค้นพบกับคนๆ นี้

เพียงพักใหญ่ รถคันหรูก็เดินทางมาจนถึงทิวทัศน์ที่คุ้นตา นี่มันแถวบ้านไอ้ต้นน้ำนี่นา!

“อย่าบอกนะว่ามากินร้านพี่จินไห่!” น้ำเสียงของผมมันออกอาการงอนจนผมเองยังตกใจ ที่ตัวเองพูดแบบนี้ออกไป

“เอาจริงๆก็ดีใจนะเนี่ยที่โดนหึงแบบเนี่ย!” ไอ้คนตัวเล็กที่ไม่ได้สำนึกผิดอะไร แถมยังยียวนกลับมาอีกด้วย

“พี่โน่!!” ผมทำเสียงแข็งใส่อีกฝ่าย อย่างที่ไม่เคยกล้าทำมาก่อน

“ล้อเล่นๆ พี่ก็บอกอยู่ว่า จินไห่น่ะคิดแบบพี่น้อง ก็ พี่น้องสิ เชื่อพี่!” อีกฝ่ายโต้ตอบกลับด้วยแววตาจริงจัง แล้วผมก็ดันเชื่อเสียด้วย รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย


“อืม” ผมพยักตอบแบบไว้เชิง ส่วนอีกฝ่ายกลับฉีกยิ้มแบบกวนโมโห ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ ผมเดินลงจากรถทันที


“โมโหได้ขนาดนี้แปลว่า….หลังจากที่เรา…ทำกัน…. ก็ไม่ป่วยแล้วสิ แบบนี้ก็ชินจนทำได้ทุกวันแล้วใช่ไหม?” คนพูดเดินตามผมลงจากรถและวิ่งเข้ามากอดจากทางด้านหลัง

“ไปบ้ากามไกลๆ เลย” ผมผลักให้คนตัวเล็กถอยหลังไปครึ่งก้าว

“ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่โน่หัวเราะเดินเข้าร้านนำไป

ผมเดินตามไปด้วยอาการร้อนใบหน้าไปหมด


…………..

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
หลังจากผ่านมื้อใหญ่ที่ผมล้มทับเจ้ามือได้สำเร็จ ไม่ว่าจะแนะนำอะไรมาผมก็สั่งมาวางไว้บนโต๊ะจนแทบจะต้องต่อโต๊ะเพิ่ม พี่โน่ถึงกับเอ่ยปากถามว่ากินหมดหรือเปล่าสั่งมาขนาดนี้

“อย่ามาดูถูก ผมเสียแรงเสียเหงื่อไปตั้งเยอะ สั่งอาหารแค่นี้ไม่พอกับสิ่งที่เสียไปด้วยซ้ำ!!” ผมยึดอกพูดแต่ในใจก็แอบหวั่นไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่สั่งไปเพราะจะแกล้งอีกฝ่าย แต่พี่โน่กลับไม่มีทีท่าที่จะห้ามปรามใดๆ ก็เลยแอบหมดสนุก

“เสียแรง เสียเหงื่อ เสียแค่นั้น?” พี่โน่ส่งสายตาล้อเลียนมาทางผม

“เออ!!” ผมตอบห้วนๆ และบังคับสายตาให้ไปจดจ่อกับอาหารบนโต๊ะที่วางเลยไปจนถึงโต๊ะเสริม ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่โน่ที่ปลดล็อกแล้วจะทำตัวได้น่ารักและยียวนขนาดนี้ หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่ไอ้พี่โน่มันทำท่าหื่นใส่แบบนี้

“จีบติดแล้วเหรอพี่?” คำถามตรงๆ ที่ออกจากปากเจ้าของร้านที่มาดูแลแขกโต๊ะนี้ด้วยตนเอง

“อืม” พี่โน่พยักหน้าและยักคิ้วยิ้มปากกว้าง มือข้างหนึ่งก็โอบไหล่กว้างของผมไว้แน่น

“นี่มันอะไรกัน นี่! พวกพี่คุยกันเรื่องผมเหรอ?” ผมยกมือขึ้นชี้ผู้ใหญ่สองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารจานเด่นของร้านอย่างเอร็ดอร่อย

“พี่โน่ก็มาปรึกษาบ้างนะ อย่าเรียกว่าปรึกษาเลยเรียกระบายมากกว่า” พี่จินไห่พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ พร้อมด้วยเชิญตัวเองลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“พี่เนี่ยนะให้คำปรึกษา?!? กว่าจะจีบไอ้ต้นน้ำติด ผมยังลุ้นแทบตาย” ผมผู้เป็นคนปากไวพูดไปโดยไม่คิด แต่เหมือนไปจี้จุดจี้ใจพี่จินไห่จนเขาหน้าสลดและความสดใสซีดจางลงจนเห็นได้ชัด

“เอ่อ….. ผมพูดอะไรไม่ดีไปผมขอโทษครับ” ผมกล่าวขอโทษทันที ถึงจะปากหมาแต่ก็มีมารยาทนะครับ

“พี่ถามหน่อย เรารู้เรื่องเพื่อนเราไหม?” พี่โน่ยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่กลางศรีษะอย่างเอ็นดู

“ก็แม่มันบอกว่า ต้องไปช่วยงานญาติที่ต่างจังหวัด แค่เดือนเดียวเองนี่ครั้ง ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนเลิกกับมันแล้วเลย?” ผมตอบกลับไปด้วยความสงสัย

“เฮ้อ….. มันมีอะไรมากกว่านั้นน่ะสิ” พี่โน่พูดถึงตรงนี้ก็เล่ารายเอียดเรื่องระยะเวลาทดสอบใจที่วางเงื่อนไขโดยแม่ของไอ้ต้นน้ำให้ฟัง

“แต่เดือนเดียวเองพี่ คิดถึงก็โทรศัพท์หามันสิ” ผมพูดแบบไม่คิดมาก

“โทรศัพท์ต้นน้ำโดนยึดอยู่ที่แม่” พี่จินไห่พูดเสียงเรียบ

“เชี้ย… โคตรโหด เป็นผมคงอกแตกตาย ไม่ได้เจอ ไม่ได้ยินเสียง แถมยังต้องอยู่ห่างกันอีก มันเกินไปไหมแม่” ผมพูดขึ้นแบบไม่คิดอีกครั้ง ปากกับใจมันตรงกันเลยบังคับยาก แต่พี่จินไห่กลับไม่ตอบอะไร เขานั่งหน้านิ่งใจลอย

“อีกแค่สัปดาห์เดียวเอง สู้ๆนะครับ” ผมทำได้แค่พูดให้กำลังใจ


“พี่น่ะทนได้ แต่พี่ห่วงต้นน้ำมากกว่า มันเป็นคนความอดทนต่ำ พี่ไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” พี่จินไห่มีสีหน้าวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก

“เดี๋ยวผมช่วยไหมครับ?” ผมยกมือขึ้นครึ่งทางเสนอตัวช่วย

“ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องของเขา เอาเรื่องตัวเองให้รอด เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้วนี่” พี่โน่ขยำเส้นผมของผมให้หันไปทางเขา

อยู่ๆก็โดนพี่โน่จี้ใจดำ จนผมรู้สึกเหมือนมีมีดมาปักกลางอก

“พูดดีไปแล้วพี่มีแผนแล้วเหรอ?” ผมสวนกลับไป

“ไม่มี…. กูก็แค่ต้องการโอกาสดีๆ บอกก็เท่านั้น แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” พี่โน่มีสีหน้ามั่นใจจนทำให้ผมมั่นใจไปด้วย

สุดท้ายอาหารมื้อนี้เหมือนมานั่งปรับทุกข์เรื่องความรักของกันและกันมากกว่ามาพูดคุยกันปกติ

พี่โน่กับผมเดินทางกลับบ้านด้วยอาหารแสนอร่อยเต็มท้อง วันนี้กินดื่มเต็มที่จนรู้สึกเมื่อยปาก ไม่อยากที่จะเคี้ยวอะไรอีกแล้ว

ผมเดินเข้าบ้านและล้มตัวลงนอนที่โซฟาหนังสีขาวตัวใหญ่ในห้องรับแขก ซึ่งเป็นที่ประจำที่ผมจะทำอะไรแบบนี้เมื่อมาถึงบ้านทุกครั้งเมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน (แม่ผมหวงโซฟาชุดนี้ยิ่งกว่าลูกเสียอีก ขืนทำแบบนี้ตอนแม่อยู่มีหวัง ตายคาส้นสูงคุณแม่)

พั่บ!!

เสียงคนตัวเล็กปล่อยตัวตามแรงโน้มถ่วงลงมาที่ตัวผมเต็มๆ ผมที่ตั้งรับไม่ทันรู้สึกจุกร้าวจนแทบจะลำรอกอาหารที่เพิ่งยัดเข้าไปออกมา (เสียดาย)

“ทำอะไรของพี่วะ?” ผมโวยลั่นพร้อมทั้งผลักทั้งดันให้คนตัวเล็กออกไปจากตัวผม

“ก็นอนตรงนี้มันสบายดี” คนตัวเล็กตอบออกมาอย่างสบายๆ ในขณะที่ผมพยายามดันร่างกายกระทัดรัดนั่นออกไปอย่างยากลำบาก ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าพี่โน่เล่นของหรือเปล่า

“พี่โน่ผมอึดอัด ขอร้องนะครับ ขยับตัวที” ผมพยายามพูดอย่างสุภาพ

“อืม.. พูดดีก็เป็นนะ” พี่โน่พูดจบก็หันหลังมาประจันหน้ากับผม  ชันแขนดันเบาะโซฟาไว้เพื่อให้มีพื้นที่ระหว่างใบหน้าผมและเขา

“ทำอะไร? ผมอิ่มอยู่นะ” ผมคิ้วขมวดใส่อีกฝ่ายเพราะรู้ทัน

“เปล่า! คิดอะไรอยู่เนี่ย?” พี่โน่ยิ้มหยอก

“อย่ามาทำตัวน่ารัก ลุกออกไป ผมไม่ทำอะไรกับพี่ตรงนี้นะ” ผมเพียงมองนัยตาอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร

ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เพราะวัตถุทรงแท่งแข็งแรงที่ผมสัมผัสได้จากเบื้องล่างช่วยสนับสนุนทฤษฎีของผมด้วย

“ยังไม่ขอเลย รู้ได้ยังไง?” พี่โน่เริ่มก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ

“โห… ช่วยเก็บไอ้นั่นให้ห่างๆ ผมหน่อยสิ ผมจะได้ไม่ทราบ” คราวนี้ผมรำคาญอีกฝ่ายเลยใช้มือล้วงลงไปสัมผัสอวัยวะที่มันตื่นตัวดันกางเกงอยู่เบื้องล่างอย่างเต็มไม้เต็มมือ

แต่แทนที่พี่โน่มันจะหยุดและผละออกไป มันกลับขยับให้ผมจับได้ถนัดมือขึ้น พร้อมกดริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากเบื้องล่างของผมอย่างเร่าร้อน

ถึงมันจะเป็นการจู่โจมอย่างกระทันหัน แต่ความเร้ราร้อนของพี่โน่ก็ทำให้ผมลืมไปหมดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอใครจูบเก่งขนาดนี้มาก่อน

ผมเผลอไผลไปกับรสหวานวาบของปากสีชาดซีดได้พักใหญ่ มือของผมที่เคล้าคลึงอยู่ภายนอกกางเกง กลับถูกมือหยาบจับไว้แล้วถูกจับให้ล้วงเข้าไปในกางเกงเอวยางยืดอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ผมสัมผัสกับเนื้อหนังที่แข็งโปนภายใต้ร่มผ้าก็เหมือนดึงสติผมกลับมา ผมผลักคนตัวเล็กที่ผ่อนแรงกดทับลงหมายให้หงายนั่งยึดตัวตรง ผมดึงมือตัวเองกลับมาจากภายใต้ร่มผ้าอีกฝ่ายและขยับลุกขึ้นนั่งอย่างเรียบร้อย

“พี่โน่!!”  ผมหอบเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างต่อว่า

“อะไร ไม่มีใครอยู่สักหน่อย ก่อนเข้ามาก็เช็คแล้ว ไม่มีรถอยู่สักคัน!” พี่โน่สายตาเชื่อมและเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีสดใส

“ไอซ์เขาพูดถูกแล้วครับ” เสียงพี่ชายผมดังขึ้นจากด้านหลังไกลๆ

“กูเกือบได้ดูหนังสดแล้วเชียว” ไอ้ต้นกล้าเดินนำหน้าไอ้เฟรมเข้ามาในห้อง

“ห้องนี้มีกล้องวงจรปิด ซึ่งคนในบ้านดูจากที่ไหนก็ได้ผ่านมือถือ!!” ไอ้เฟรมเดินตามมายืนเทียบไอ้ต้นกล้า

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” พี่โน่ถามแบบไม่อ้อมค้อม

“นานพอจะเห็นการกระทำแปลกๆ” ไอ้เฟรมพูดห้วน ผมรู้ว่ามันคงกำลังโกรธผมที่ไม่รู้จักระวัง

“งั้นเราขึ้นห้องกัน!” ไอ้ผู้ใหญ่ไม่รู้สำนึกลุกขึ้นยืนและหันมาทางผม

ผมหันไปมองสลับกันระหว่างพี่โน่ที่มีสีหน้ายิ้มเยาะกับพี่ชายฝาแฝดของผมที่จ้องพี่โน่อย่างขุ่นเคือง

“ผมขอร้องว่า… ที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่!” ไอ้พี่ชายผมพูดเสียงเย็นใส่ไอ้พี่โน่

คราวนี้พี่โน่ไม่ได้โต้ตอบ แต่มีสีหน้าเปลี่ยนไป ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร และฝ่ายไอ้เฟรมเองก็ไม่ยอมลดราวาศอกด้วยเลย นี่มันหาที่ตายชัดๆ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นคนเคร่งเครียดแบบแปลกๆ แบบนี้ แต่ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง

คิดได้ดังนี้ผมก็ลุกขึ้นทันที พยายามเดินไปขวางทัพทั้งสอง

“จะให้อาช่วยให้ล่ะ เรื่องนั้นน่ะ” อยู่ๆ ไอ้พี่โน่มันก็พูดอะไรแปลกออกมา

“ก็แล้วแต่ ‘ลุง’ นะ!” ไอ้เฟรมมันพยายามยั่วโมโหอีกฝ่ายชัดๆ

“ก็ได้ลุงยอมแล้ว” อีกฝ่ายยื่นมือซ้ายออกไปหาพี่ชายผมเพื่อจับมือ

“คิดได้แบบนี้ก็จบแล้ว!!”  อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาจับประมาณว่า เป็นอันตกลง

“เดี๋ยวๆๆๆ นี่มันอะไรกัน?!”  ผมยื่นมือไปแยกทั้งสองคนออกห่างกัน

“ไม่มีอะไร พี่ชายไอซ์มันร้ายกว่าที่คิด”  พี่โน่ส่ายหน้าอย่างยอมแพ้

“ผมแค่รู้จุดอ่อนของลุงไงครับ” ไอ้เฟรมยิ้มร่า

“เฮ้ยๆๆ เล่ามาก่อน!” ผมมองหน้าไอ้คนที่หน้าเฟมือนผมอย่างหาเรื่อง

“มึงให้ลุง อืม….. แฟนมึงเล่าเหอะ” มันบอกผมพร้อมส่ายหน้าใส่ไอ้ต้นกล้าเพื่อเป็นสัญญาณให้ตามมันไป ไอ้ต้นกล้านี่มันก็แปลก ช่วงนี้เชื่อฟังกันเหลือเกิน

“ผมคงไม่ต้องบอกอะไรลุง ลุงก็รู้ว่าต้องทำอะไรนะ” ไอ้เฟรมเอียงคอพูดกับพี่โน่อย่างอวดดีถึงชัยชนะ แล้วก็เดินจากไป

พี่โน่ก็แค่พยักหน้า และทำสีหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง

“พี่โน่เล่ามาเลย!” ผมหันไปไอ้คนที่ล้มตัวลงนั่งก้วยท่าทางอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่

“คงรู้นะว่าทำยังไง พี่ถึงจะเล่า” คนตัวเล็กพูดด้วยใบหน้าอมยิ้ม

เรื่องนี้ยังไงผมก็เป็นเหยื่ออยู่ดีใช่ไหมเนี่ย ผมคิดพลางผ่อนลมหายใจออกมายาวเกือบนาที

“ไม่ใช่ตรงนี้!!” ผมพูดจบก็จับมืออีกฝ่ายและลากขึ้นไปที่ห้องนอนตนเองทันที

……………

ผมนอนกางแขนกางขาเปลือยกายผึ่งลงที่เป่าจากเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เหงื่อที่โทรมกายเพราะกิจกรรมที่พี่โน่เล้าโลมให้ผมร่วมด้วย มันยิ่งกว่าเล่นบาสเกตบอลครบทั้งสี่ควอเตอร์ผมเหนื่อยหอบแต่พี่โน่ที่นอนพิงหัวเตียงมองผมพร้อมยิ้มอย่างพอใจ ไอ้ความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่แบบนี้ จะกี่ครั้งก็ไม่เคยชินเสียที

ความสุขที่เจือความเจ็บปวดบางๆ มันเป็นอะไรที่ผมเสพติดไปเสียแล้ว

“พี่ชายไอซ์มันมีเรื่องมาขอให้ช่วย!” พี่โน่ที่หอบเอาอากาศอึกใหญ่เข้าปอดก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว!

“หือ??” ผมทำได้แค่หันไปหาต้นเสียงด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ก็รู้ใช่ไหมว่าพี่กว้างขวาง การจะสืบหาความจริงอะไร มันก็ไม่ยาก” พี่โน่พูดต่อ ผมทำได้แค่พยักหน้าและขยับตัวเข้าไปใกล้

“มันให้พี่สืบเรื่องคนๆหนึ่ง แต่พี่ไม่อยากยุ่งก็เลยปฏิเสธไป จนมันมาท้าทายพี่ขึ้นมา….” พูดถึงตรงนี้ พี่โน่ก็ลังเลขึ้นมาที่จะพูดต่อ

“มันบอกว่า จะทำให้จุดอ่อนของพี่ไม่มีความสุข” พี่โน่นิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะมองหน้าผม

“แล้วมันก็ทำสำเร็จ” คราวนี้เป็นผมที่หลบสายตามัน

“หมายความว่ายังไง?” ผมโพล่งถามขึ้นทั้งๆ ที่เลี่ยงการมองหาคู่สนทนา

“มันก็พูดแค่นั้น ตอนแรกพี่ก็ไม่เข้าใจนะ เพิ่งมาเข้าจริงๆก็วันนี้” พี่โน่ขยับตัวเข้าโอบหัวไหล่ผมและกระชับให้ผมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ผมเห็นตัวเองในเงาสะท้อนสีดำคลับของตู้เสื้อผ้าที่ปลายเตียงแล้วรู้สึกขัดกับความรู้สึกตัวเองพอควร ผมไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่ผมรู้สึกเลย แต่แรงและวิธีการของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกตัวเล็กลงมาก

“ยังไง?!?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัยแต่ดวงตายังคงมองเงาร่างตนเองและอีกคนอย่างไม่วางตา มันรู้สึกดีเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม

“สีหน้ากังวลเวลาที่พี่ชายไอซ์พูดถึงเรื่องแม่ ไอซ์จะมีสีหน้ากังวลจนพี่ไม่สบายใจไปด้วย” นีโน่รู้สึกตัวมาสักพักแล้ว แต่แค่ไม่อยากจะยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาหนักใจของไอซ์มากเรื่องหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เฟรมไปสุมไฟอะไรเรื่องนี้บ้าง แต่ดูจากอาการของไอซ์แล้วคงกังวลใจไม่น้อย

“เจอหน้ามันทีไรก็พูดแต่เรื่องนี้ พวกเรารู้ดีว่าแม่เป็นอย่างไร แม่ไม่ชอบใจแน่ๆ ก็พี่โน่น่ะ…..” ผมไม่อยากพูดต่อแล้ว รู้สึกว่ามีอากาศแน่นและหนักมาจุกอยู่กลางอก

แม่เป็นคนน่ากลัว แต่ก็เต็มไปด้วยหลักการและเหตุผลมากกว่าอารมณ์ หากแม่ไม่เห็นชอบ ไม่ว่าลมพายุจะแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถพัดหลักการและเหตุผลที่แม่เขื่อและยึดได้เด็ดขาด

และเรื่องระหว่างผมกับพี่โน่ ก็ถูกตราไว้แล้วว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“พูดต่อให้จบสิ จะบอกว่า เจ้าชู้?”

“นั่นก็ใช่”

“เป็นเหมือนมาเฟียน่ากลัว?”

“นี่ก็ใช่”

“เป็นเพื่อนแม่ เป็นคนที่เคยชอบแม่?”

“อืม นะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“แก่คราวพ่อ?”

“อันนี้ถูกต้องที่สุด”

“กวนตีน!!”

“ใช่! โคตรกวนตีน!”

“ไม่! กูหมายถึงมึงน่ะ” พี่โน่จ้องหน้าผมด้วยสายตาเคร่งเครียด

“อ้าว…ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

“แบบนี้ต้องลงโทษ!!” พูดจบประโยค ร่างของผมก็ถูกพลิกคว่ำ  มือของผมถูกจับไพล่หลังไว้อย่างง่ายดาย

“โอย!! ทำอะไรน่ะ?” ผมร้องเสียงหลง

“ทำโทษเด็กกวนตีน” เสียงตอนนี้ของพี่โน่ดูหื่นมากกว่าโกรธ

“ไม่นะ พอแล้ว วันนี้พอก่อน!!” ผมโวย

“เอาน่า จะได้ไม่คิดมาก เรื่องแบบนี้ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตนะ” แล้วผมก็โดนพรมจูบทั่วแผ่นหลัง ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายยึดหัวหาด และโจมตีใส่อย่างไม่ยั้งฝีมือ

ผมยอมรับว่า มันก็รู้สึกดีจนลืมเรื่องที่กลุ้มใจเมื่อครู่ไปหมดสิ้น

……………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

……………..

เช้าวันใหม่กับลำแสงสว่างที่พยายามสอดแทรกผ้าม่านกันแสงผืนหน้าเข้ามาให้น้องที่สลัวและเย็นฉ่ำ ผมตื่นมาในสภาพอ่อนล้า และเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนบางตัวโปรดของผม

มือของคนที่ผมรักยังคงพัวพันอยู่รอบกายผมอย่างหลวมๆ ในสภาพร่างกายที่เปลื้องผ้าออกจนหมดไม่ต่างจากผม ช่วงนี้ผมตื่นมาเจอตัวเองในสภาพนี้บ่อยจนเริ่มชิน

คนที่มีชีวิตกลางคืนมากกว่ากลางวันอย่างพี่โน่ยังคงนอนหลับไหลไม่ได้สติ และยังโอบรัดผมไม่ให้ไปไหนจนกว่าเขาจะตื่นอีกเช่นเดิม

“ผมปวดฉี่ ขอตัวได้ไหม?” บางทีผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องขออนุญาตมันทุกครั้งที่ต้องลุกออกจากเตียงทำไม

พี่โน่พยักหน้าและผ่อนแรงแขนจนกระทั่งผมสามารถโยกท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามออกจากตัวผมได้

ทันทีที่ผมลุกออกจากที่นอนสำเร็จ แสงวูบวาบที่หน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายวาบจนห้องสว่างขึ้นมา ผมรีบวิ่งไปเลื่อนสัญลักษณ์รูปโทรศัพท์ที่หน้าจอเพื่อรับทันที และเตรียมคำที่จะด่าไอ้คนที่มากวนเวลานอนของผมกับพี่โน่ตอนนี้ ทันทีที่ผมเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่ที่หน้าจอ (นี่ผมเกรงใจมันอีกแล้วใช่ไหม?)

“ไอ้เชี้ยเฟรม…มึง”

“เดี๋ยวไอ้สัด ไม่ใช่เวลา ฟังกูก่อน!” พี่ชายฝาแฝดของผมรีบสวนผมกลับมาอย่างร้อนรน

“อะไรของมึง!?!”  ผมคิ้วขมวดใส่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง

“แม่กับอาโต้งมา ไอ้สัด! พี่…เอ่อ…. แฟนมึงยังนอนอยู่กับมึงไหม?” เสียงของพี่ชายผมมันก้องๆ แปลกๆ คล้ายมีลักษณะแอบโทรศัพท์มาหาผม

“เชี้ยแล้วไง!?! นี่มันก่อนกำหนดตั้ง 2 วัน!” ผมโวยใส่โทรศัพท์ดังขึ้นจนกระทั้งพี่โน่เงยหน้าขึ้นมามอง

“เฟรม…. ลูก…. อาโน่ของลูกอยู่ไหนล่ะ เห็นรถยังจอดอยู่ โทรไปก็ไม่รับ…” เสียงแม่ของผมดังลอดออกจากลำโพงของผม ผ่านโทรศัพท์ไอ้พี่ชายฝาแฝดผม

“นั่นไง กูวางก่อนนะ” ผมกดวางสายทันทีที่จบประโยค

“พี่โน่!! แม่มา” ผมทำท่าโวยวายในขณะที่เสียงของผมกลับเป็นเพียงเสียงกระซิบ

อีกฝ่ายไม่ได้ร้อนรนอะไร แต่กลับลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าทุกอย่างใกล้ตัว และเดินออกจากประตูอย่างระมัดระวัง

“อย่าร้อนรนสิ ห้องรับรองแขกก็อยู่ชั้นบน พี่ก็แค่ย้ายห้อง เราก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเหอะ” แล้วพี่โน่ก็หายไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแผ่วเบา

ส่วนผมน่ะหรือ รีบเร่งวิ่งเข้าห้องอาบน้ำอย่างเร็วที่สุด

……

สิ่งแรกที่ผมเจอหลังจากที่เปิดประตูห้องน้ำมาคือ แม่ของผมที่นั่งอยู่บนเตียงที่ไร้ระเบียบของผม ถึงผมจะเป็นคนไม่ได้เรียบร้อยอะไรมากซึ่งต่างจากพี่ชายผม แต่การที่ทั้งหมอน หมอนข้าง และผ้าห่มวางอย่างผิดปกติและยับยู่ มันก็ดูแปลกไม่น้อยในสายตาผม ยิ่งเมื่อแม่ลงนั่งไปบนเตียงที่มีสภาพแบบนั้นผมก็ยิ่งหวั่นไหว

“แม่!! สวัสดีครับ แม่กลับมาเร็วกว่ากำหนดอีกนะเนี่ย นึกว่าจะอยู่ยาวกว่านี้!” ผมทำทีตกใจอย่างแนบเนียนและพยายามส่ายส่องไปทั่วบริเวณว่าไร้สิ่งผิดปกติในห้อง

“แม่เบื่อน่ะสิ….. มัลดีพนี่มันน่าเบื่อกว่าที่คิดเนอะ มีแค่ที่พักกับทะเล เฮ้อ……” ถึงจะบ่นอุบอิบ และอารมณ์บนใบหน้าและผิวสีแทนเข้มขึ้นของแม่ก็ขัดกับคำพูดอย่างเบื่อหน่ายของแม่

“ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงอยากไป ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมรับมุกอย่างหลบเกลื่อนท่าทีตื่นเต้นของตนเอง

แม่มองไปทั่วห้องอย่างสำรวจพลางเดาะลิ้นไปมายิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจ แม่ไม่เคยเข้ามาวุ่นวายในห้องส่วนตัวมาก่อน เพราะแม่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว เพราะห้องของแม่ผมก็ไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไป

“ช่วงที่แม่ไม่อยู่แกเกเรบ้างไหม? เขื่อฟังอานีโน่ดีใช่ไหม?” แม่ถามขึ้นพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“อยู่ดีมีสุขครับ ยิ่งกับพี่…. เอ่ออาโน่ ใครจะไปกล้า” ผมนึกพลางตอบพลาง ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดว่าอะไร  เพราะรู้ว่าพูดไปแม่ก็ไม่เชื่อง่ายๆ

“เห็นว่าไม่สบาย เป็นอะไร? ไอ้เรื่องบนเตียงนี่เพลาๆบ้างนะ ถึงแม่จะไม่ว่า แต่ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองบ้างนะ!!” แมหันมามองผมทั้งตัว ผมซึ่งนุ่งคาดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ยิ่งรู้สึกหวั่นๆ ไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นมันจะทำรอยไว้ตรงไหนอีกหรือเปล่า

“โหย…แม่ก็พูดเกินไป ผมไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ แค่ท้องเสีย แค่นั่นครับ” ผมมองหาเสื้อใกล้ตัวมาสวมก่อนทั้งที่ตัวยังไม่แห้งสนิท

“ถ้าไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ จนไม่สบายก็ดีไป แม่ไปพักผ่อนก่อนล่ะ เออ! แล้วเย็นนี่ไปหาอะไรกินข้างนอกกันนะ แม่อยากได้อะไรแซ่บๆ เข้าปาก” พูดจบแม่ก็หันหลังเดินไปทางประตู

แต่ดวงตาเจ้ากรรมของผมดันไปเจอกางเกงในทรงบรีฟสีขาวแขวนห้อยอยู่ที่มุมใกล้ขอบเตียง ซึ่งเป็นทิศทางที่แม่กำลังเดินไปพอดี

“แม่! แม่ๆ” ผมใช้เสียงดังดึงดูดความสนใจของแม่

“อะไรของแก?!?” แม่หันมาค้อนใส่ แต่ก็ทำให้ดวงตาหลุดจากโฟกัสที่ควรจะเป็น คนอย่างแม่ หากเห็นต้องถามแล้ว แต่ที่ไม่ถามเพราะยังไม่เห็น

“ของฝาก ของฝากไง!!” ผมโพล่งออกไปเสียงดัง นึกอะไรไม่ออกนอกจากคำนี้

“ก็อยู่ข้างล่าง!! ฉันเคยลืมหรือไง!! เรียกเสียตกอกตกใจ ถ้าจะถามแค่นี้ก็ไม่ต้องใช้เสียงดังขนาดนี้!!” แม่ฉุนเฉียวแล้วก็ปึงปังออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก พลางมองกางเกงในสีขาวสะอาดอย่างหงุดหงิด ทำไมสะเพร่าอย่างนี้นะพี่โน่ หวังว่าคงไม่ได้ตั้งใจทำแบบนี้นะ

…….

ผมจัดห้องให้เรียบร้อยพร้อมตรวจตราความสะอาดอย่างละเอียด ในตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งผมเห็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังวูบไปหมดคือ สิ่งของที่ทิ้งในถังขยะในห้องมันเต็มไปด้วยอุปกรณ์ประกอบการทำกิจกรรมบนเตียง บรรจุภัณฑ์ฟลอยหลากสีที่เน้นทางสีเงินวาวมัน มันเติมอยู่เต็มก้นถังขยะ ผมไม่เคยนับเลยว่าเราสองคนผ่านกันไปกี่ศึก แต่แค่เดินผ่านก็สังเกตเห็นได้ว่ามันคืออะไร แบบนี่ก็ผิดปกติแล้ว

นี่ผมกลายเป็นพวกเสพติดเซ็กส์ไปแล้วหรือ? ไอ้พี่โน่นี่มันเป็นคนรุ่นแม่ผมจริงหรือเปล่า? ทำไมกำลังมันถึงยังได้ดีอะไรอย่างนี้

ระหว่างที่ทำความสะอาดก็นึกถึงลีลาท่วงท่าต่างๆ ที่พี่โน่มอบให้ผม ผมก็แอบที่จะสัมผัสบั้นท้ายและปราการด่านหลังของตนเองไม่ได้

มันยังเจ็บอยู่แต่ก็ไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อครั้งแรกแล้ว ผมคิดว่าท่าทางของผม แม่คงจับอะไรไม่ได้แน่นอน การรุกกับการโดนรุกนี่มันห่างไกลกันพอสมควรกับสิ่งที่ตกค้างอยู่บนร่างกาย

“นี่เธอตื่นสายแบบนี้ทุกวันเหรอ?” เสียงแม่ของผมดังทะลุกำแพงมาถึงบริเวณบันได ขณะที่ผมกำลังเดินลงไปตามหาของฝาก

ผมแอบแปลกใจที่แม่ยังไม่ไปนอนพักผ่อน

“ก็เมื่อคืนมัน….ทำงานหนักไปหน่อยนะ” เสียงพี่โน่ตอบกลับมาแบบพยายามแก้ตัว

“ให้มันเป็นงานจริงๆ นะ มลหวังว่าโน่คงไม่ได้พาใครมา…แบบ นอนที่นี่นะ!!” แม่ผมมีน้ำเสียงลังเลที่จะถาม แต่ตามนิสัยของแม่แล้ว คือแม่อยากรู้จริงๆ

“ตกลงกับเธอแล้วนี่ ไม่เอาใครคนอื่นมานอนเพื่อมาทำอย่างว่าในบ้านเธอหรอก!” พี่โน่ตอบเสียงใส

อันนี้จริง ไม่ได้โกหก ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย ก็คนในบ้านนี่แหละ บทสมทนามาถึงตรงนี้ ตรงที่ผมไม่อยากโผล่ออกไปเลย

“อ้าว เอ่ออออ ไอซ์ ลุงวางของฝากไว้บนโต๊ะนะ!!” ลุงโต้งที่เดินแยกตัวจากบทสนทนาดังกล่าวและเดินมาเจอผมที่กำลังลังเลที่จะเดินเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ผมคิดว่า หลีกเลี่ยงไว้ดีที่สุด

“ขะ..ขอบคุณครับ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวทักทายสามีใหม่ของแม่

ในเมื่อทุกคนรับรู้แล้วว่าผมลงมาถึงชั้นล่างแล้ว ผมจึงทำใจเดินเข้าไปในห้องรับแขกเพื่อไปรับของฝาก

“ผิดกับบางคนนะ ท่าทางจะได้สมใจไม่น้อย!!” แม่พูดแหนบผมทันทีที่เจอหน้าผม

ก็คิดไว้แล้วเชียวว่าแม่เห็น คงโดนแซวไปอีกหลายวัน ผมไม่อยากให้แม่รู้เรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แม่ไม่ห้ามหากป้องกัน แต่แม่ผมจะพูดถึงมันจนผมอายไปตลอดสัปดาห์

แม่ทราบถึงรสนิยมทางเพศของผม แต่แม่ไม่ได้ว่าอะไร เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยม มันไม่ได้แปลกสำหรับสมัยนี้แล้ว เพียงแต่ไม่อยากให้หมกหมุ่น เลยใช้วิธีแซวให้อาย คงจะมีแม่คนเดียวที่แซวจนผมอายได้ และผมก็คิดว่าใครเจอแม่ตัวเองจับได้ว่ามีอะไรกับใครในบ้านก็คงอายไม่แพ้กันแน่นอน

“แม่ของฝาก?” ผมถามเรื่องอื่นกลบเกลื่อน

“อยู่บนเตาเตอร์ในครัว แกนี่ก็รสนิยมแปลกๆนะ” แม่ผมชี้ไปทางครัว

“ไม่เห็นแปลกเลย” ผมบ่นงึมงำและเดินออกจากบริเวณที่แม่อยู่

“แปลกยังไง?” ไอ้พี่โน่ถามขึ้น

“ใครเขาเก็บพวกขวนเหล้าขวดเบียร์กันล่ะ” แม่ผมตอบอย่างหน่ายใจ

ส่วนไอ้พี่โน่ยิ้มแปลกๆ พร้อมหันหน้ามามองผม

ผมทำได้แค่ใช้สายตาค้อนคืนไปและเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ

“แปลกยังไง Dad ก็สะสม”

“Your dad collected only exotic liquor’s bottles but you collect everything!” แม่ผมสวนกลับมาด้วยภาษาที่คุ้นเคย ซึ่งมักจะใช้เวลาอยู่กันแค่สองแม่ลูก

“It’s the same!!” ผมเถียงกลับแบบข้างๆ คูๆ เพราะรู้ว่ารสนิยมมันต่างจากพ่อที่เป็นคนต่างชาติพอควร

“Whatever!!” แม่ผมหน่ายที่จะเถียงเรื่องซ้ำซาก หรืออาจเพราะไม่อยากนึกถึงพ่อของผม

ส่วนผมเลือกที่จะหยิบของฝาก คือกระเป๋าที่บรรจุเหล้าต่างประเทศที่มีขายเฉพาะถิ่น เดินหนีออกจากพื้นที่ตรงนั้นทันที อาจเพราะเป็นเหตุผลเดียวกับแม่หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่นอน คือไม่อยากให้แม่คิดถึงพ่อที่เสียไป ไม่อยากให้แม่ต้องเสียน้ำตาอีก

ผมหันกลับไปมองก็เจอกับภาพที่แปลกไป เพราะลุงโต้งที่เดินสวนเข้ามาพอดี ได้มากอดและหอมแก้มแม่ของผมจนสีหน้าดีขึ้น ผมรู้สึกดีใจกับแม่ที่มีใครสักคนอยู่เคียงข้าง

ในขณะเดียวกันผมก็เห็นพี่โน่ก็พยายามเข้าไปชวนคุยเรื่องอื่นและพยายามสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นกับทั้งสองคนเช่นกัน เขาคือเพื่อนแท้ของแม่คนหนึ่ง

คิดมาถึงตรงนี้ผมก็เจ็บจี๊ดที่อกข้างซ้าย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมไม่มีปัญญาไปแทรกความสัมพันธ์ของทั้งสามได้เลย ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของผม มันจะทำให้แม่เสียเพื่อนดีๆ คนนี้ไปหรือไม่? คิดแบบนี้ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเสี่ยงเลย

………….

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ผมจัดเรียงขวดแอลกอฮอล์ที่มีลวดลายและการออกแบบแปลกตาอย่างเป็นระเบียบที่ห้องใต้ดินของบ้าน ที่แม่มักจะโยนของที่ไม่ใช้แล้วลงมาเก็บเบื้องล่าง พร้อมกับของสะสมเก่าๆ บางชิ้นของพ่อที่ไม่ได้ให้ญาติฝั่งพ่อไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมสนใจเก็บของสะสมเจริญตามรอยพ่อ

ผมขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในการจัดเรียงของสะสมเหล่านี้จากแม่ ซึ่งแม่ก็ยินยอมเพราะอย่างน้อยก็มีคนช่วยจัดเรียงขยะที่ไม่กล้าทิ้งของแม่ที่ชั้นใต้ดิน

ผมยืนชื่นชมชั้นขวดที่ผมบรรจงจัดเรียงด้วยตนเอง เสียเงินส่วนตัวซื้อตู้กระจก ซื้อตู้ทำความเย็น เพื่อเก็บของสะสมของตนเอง ผมหมดเงินหลายหมื่นบาทไปกับมันอย่างไม่เสียดาย เวลาเครียดๆ เหงาๆ ก็ได้พวกมันนี่แหละปบอบประโลม

“ไม่นึกว่าจะมีงานอดิเรกแบบนี้” เสียงคุ้นหูดังขึ้น

“เฮ้ย! ตกใจหมด ตามมาถูกได้ยังไง?” ผมหันไปเจอชายตัวเล็กเดินหลบของที่
วางเป็นทางวงกตที่ชั้นใต้ดิน

“ก็เคยเข้ามา แต่ไม่นึกว่าจะมีของแบบนี้ที่มุมห้องตรงนี้ด้วย” พี่โน่มองขั้นวางและตู้ทำความเย็นที่แต่ละชั้นสูงเกินศรีษะของเขาทุกชิ้น

“ผมหมายถึงรู้ได้ยังไงว่าผมสะสมของพวกนี้ไว้ที่นี่ แล้วทำไมตามมาถูก” ผมคิ้วขมวดใส่ชายร่างเล็กตรงหน้า ด้วยแสงสลัวที่ชั้นใต้ดินทำให้เขาดูมีบรรยากาศแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย เหมือนกับว่าเวลาที่เขาอยู่กับแม่ของผม เขาจะดูเป็นผู้ใหญ่และเข้าถึงยาก

“เดาเอา เป็นที่เดียวที่พี่ไม่เคยเข้ามา” พูดจบเขาก็มองไปรอบอย่างสำรวจ

“ด้านในนี่เป็นระเบียบกว่าด้านนอกเสียอีก ดูสะอาดกว่าด้วย ท่าทางดูแลดีเป็นพิเศษ” เขาพูดต่อ

“ก็ของสะสม จะให้จมขี้ฝุ่นก็ไม่ดีต่อใจนี่ครับ ว่าแต่….” ผมยิ้มที่ปลายประโยค

“อะไร?” พี่โน่คิ้วขมวดใส่ผมเหมือนไม่ชอบรอยยิ้มที่ผมมอบให้ตอนนี้

“พี่กลัวความมืด?” ผมจ้องพี่โน่ด้วยสายตาหยอกล้อ

“กูเปิดผับไหม? หากกูไม่ขอบความมืด กูไปเปิดคาเฟ่ดีกว่าไหม?” พี่โน่มีน้ำเสียงแข็งขึ้น เหมือนปกปิดอะไร

“พี่กลัวที่แคบละสิ!!” ผมยังไม่คิดจะหยุด จนกว่าจะหาจุดอ่อนคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานคนนี้เจอ

“กูยืนอยู่กับมึงโดยขาไม่สั่นนะ มึงน่าจะรู้ โรงแรมแคปซูลกูก็เคยพักนะ แถมเปิดกิจการแล้วด้วย!!” พี่โน่ยังคงเสียงแข็งขึงขัง (และอวดรวยเบาๆ)

“พี่กลัวผีล่ะสิ!!” ผมกระโจนใส่พี่โน่แบบไม่ทันตั้งตัว

“ไม่กลัวโว้ย” พี่โน่มีอาการสั่นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยเสียงอันไร้พลัง

“เชี้ย!! คนที่ล้มหมีล้มด้วยหมัดเดียวอย่างพี่เนี่ยนะ กลัวของไร้สาระแบบนั้น” ผมกลั้นขำที่เห็นมุมน่ารักของคนรักตนเองจนได้

“กูไม่กลัว”

“แล้วทำไมถึงเดินมาไม่ถึงด้านในสุด?”

“กุกู…เอ่อ…แพ้ฝุ่น” หน้าพี่โน่เต็มไปด้วยอารมณ์อึดอัด ที่ให้ผมรู้จุดอ่อนที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน

“พี่โน่….. ยอมรับมาเถอะ” ผมโผเข้าใช้แขนไปโอบรอบลำคอด้วยความสนิทสนม

“กูสู้ของที่ไม่ทีตัวตนไม่ได้นี่หว่า” พี่โน่บ่นพึมพำเบาๆ แต่ผมน่ะหูดี ได้ยินชัดเจน จนหัวเราะลั่น

“หุบปาก ไม่อย่างนั้น…” ผมถูกผลักและดันร่างติดกำแพงอีกฝั่งของชั้นวางขวด พี่โน่พูดด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตกใจที่โดนกระทำด้วยความกระทันหัน ยังไม่ทันสิ้นประโยคผมก็ถูกชายร่างเล็กแรงช้างขโมยริมฝีปากและคำพูดร้อยคำที่ผมคิดที่จะล้อเลียนเขากลืนหายไปริมฝีปากสีชาดอ่อนของเขา

ทักษะการใช้ลิ้นชุ่มอุ่นนั่นไม่ธรรมดา แม้ผมจะพยายามต่อต้านก็ทำได้เพียงชั่วคราว ความคิดขันขืนทั้งหมดละลายหายไปกับอารมณ์ที่ถูกชักนำโดนชายมากประสบการณ์ตรงหน้า

จากริมฝีปากของผมที่อ่อนปวกเปียกไปหมดลืมจุดประสงค์ก่อนหน้านี้ไปสิ้น ริมฝีปากสีชาดอ่อนของพี่โน่ก็ขบและสัมผัสบริเวณคางลากวนไปจนถึงลำคอ ผมทำได้เพียงกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้ร้องไปตามอารมณ์ที่เอ่อล้นออกมา

สิ่งแปลกใจอีกสิ่งที่ตามมาคือกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของผมกลับถูกปลดออกไปครึ่งทางได้อย่างดาย ทั้งที่มือสองข้างของคนที่จู่โจมนั้นยังจับกุมมือผมทั้งสองข้างแน่นหนา

นี่มันออกจะมหัศจรรย์เกินไปแล้ว!  ผมคิดขณะร่างกายไร้อิสระทางความคิด ได้แต่โอนอ่อนไปตาม ริมฝีปากและชิวหาพาเพลินของคนตัวเล็ก

“กอดคอพี่ไว้” เสียงกระซิบของปากสีชาดอ่อนที่เหมือนข้ามมิติมาพูดอย่างรวดเร็ว แม้จะตกใจแต่ผมก็ว่าง่ายทำตามไม่อิดออด เหมือนโดนมนต์สะกด

เมื่ออีกฝ่ายเป็นอิสระ พี่โน่ก็ใช้มือหยาบสอดเข้าในช่องว่างของซิปที่ถูกรูดลงไปอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้สึกตัว และใช้มือนั่นจับลูบไล้น้องชายของผมอย่างมีชั้นเชิง

ตอนนี้ผมเผลอร้องครางออกมาเบาๆ อย่างไม่ตั้งใจเสียแล้ว

“ไอซ์! ไอซ์ ลูก!! อยู่ในนี้หรือเปล่า? พี่เฟรมอยู่กับไอซ์หรือเปล่าลูก!! นี่หายไปไหนไม่รู้เนี่ย จะให้ไปซื้อของทีไรเนี่ยหายไปทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ!!” เสียงแม่จากบริเวณประตูทางเข้าห้องใต้ดิน

เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกัน ผมกับพี่โน่เหมือนถูกแรงอะไรบางอย่างผลักออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น

ผมที่ตอนนี้เสื้อผ้าหลุดหลุ่ยผมเผ้ายุ่งเหยิงก็กำลังจัดทรงผมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมันไม่มีกระจออยู่แถวนี้ผมก็เลยได้แต่สะกิดให้ตัวต้นเหตุมาช่วยผมจัดแต่งเสื้อผ้าให้มันปกติที่สุด

เสื้อผ้าของพี่โน่ที่แทบจะไม่มีชิ้นไหนหลุดหลุ่ย เขาเลยสามารถมาช่วยผมได้เกือบจะทันที แต่สิ่งหนึ่งพี่โน่เก็บทรงไม่อยู่จริงๆ น่าจะเป็นของในกางเกงที่ผมจ้องมองอยู่ด้วยความสงสาร มันคงอึดอัดไม่ใช่เล่นเลย

พี่โน่ทำได้เพียงเดินทำสมาธิไปมาเพื่อลดขนาดลง เพราะจะให้เดินออกไปพร้อมกับความคับแน่นแบบนี้น่าจะไม่งามแน่นอน

แม่ผมตะโกนเรียกผมอีกหลายครั้ง  ผมจึงต้องตอบรับแม่ไปแบบลนลาน

“เรียกตั้งนาน ทำไมไม่ขาน!!” เสียงแม่ดังใกล้เข้ามา โชคดีที่ห้องบริเวณบันไดทางลงมา มีข้าวของกองสุมไว้รกพอควร และด้วยนิสัยของแม่จะไม่เคยเดินเข้ามาเรียกเขาเลย

แต่ป้องกันไว้ก่อน ผมรีบเดินออกไปเพื่อรั้งแม่ไว้ที่ต้นทาง ส่วนพี่โน่ที่แสนจะกล้าแกร่ง กลับนั่งลงที่มุมห้อง แอบเพื่อนตัวเองเสียอย่างนั้น

“แม่ไม่เข้าใจว่าแกจะอยู่ขื่นชมของสะสมของแกในห้องที่ทั้งรกทั้งสกปรกแบบนี้ได้ยังไงตั้งนานสองนาน!” แม่มองผมอย่างสำรวจ

“ก็มันเพลินน่ะแม่”

“เปียกเหงื่อไปหมดเลยแก แล้วทำไม่เสื้อผ้ามันยับเยินไปหมด!” แม่มองผมหัวจรดเท้าในแสงไฟจำกัดที่ห้องใต้ดิน

“ก็ต้องย้ายโน่นนี่นิดหน่อย” ผมพูดพลางสบถด่าแฟนคราวพ่อของตนเอง เวลาแบบนี้ยังจะหื่นได้อีก

“แล้วไหนล่ะจะซื้ออะไร?” ผมถามต่อ พร้อมแบบมือขอเงิน

“…….” แม่มองผมอย่างพิจารณา พลางผ่อนลมหายใจออกที่ช่วงท้ายก่อนจะบอกเอ่ยปากอย่างรำคาญ

“ไม่ต้องแล้ว ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน แล้วค่อยแวะซื้อก็ได้” แม่พูดจบก็กรอกตาและหันหลังเดินจากไป 

ผมได้ยินเสียงดังแว่วๆ มาจากที่ไกลๆ บ่นกับลุงโต้งเสียงดังเกี่ยวกับข้าวของที่ซื้อกลับมา และบ่นตามหาพี่โน่ว่าหายตัวไปไหน

ผมหันมองไปทางด้านที่มีคนซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน และพูดกับอากาศตรงหน้าว่า “รีบปรากฏตัวได้แล้ว แม่ตามหา”

หลังจากไร้เสียงตอบกลับ ผมได้แต่ส่ายหน้าและวิ่งขึ้นไปที่ห้องตัวเองเพื่ออาบน้ำตามคำสั่งแม่บังเกิดเกล้า

ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ อย่างสบายอารมณ์ ฟองแชมพูกลิ่นอ่อนผุดเต็มศรีษะ ขณะที่หลับตาชื่นชมกลิ่นอ่อนๆ ของแชมพูกลิ่นโปรดและฮัมเพลงอย่างสบายใจ

มือปริศนาสองมือก็คว้าพันรอบเอวของผม

ผมร้องอย่างตกใจ และก็เงียบเสียงลงเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น

“พี่เอง”

ผมเปิดน้ำชะเอาฟองละมุนเหล่านั้นออก สิ่งแรกที่ลืมตาเข้ามาเจอคือ ร่างเปลื่อยเปล่าของพี่โน่ ที่เข้ามาได้ยังไงตอนไหนไม่ทราบ ยืนอ้าแขนรออยู่ด้านหน้าผม และคว้ารวบตัวผมทันทีผมลืมตา

“ถามจริง! มาได้ไงวะ?” ไม่อยากจะคิดว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไปตอนถามเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ฉีกยิ้มเหมือนคนบ้า

“พี่รู้โครงสร้างบ้านหลังนี้ดีหมดแล้ว” เขาพูดพลางเดินมากอดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เดี๋ยวนะ” ผมใช้มือผลักอีกฝ่ายที่อกเบาๆ ดันให้ห่างจากกันหน่อย

“ข้อ 1 ที่พูดแปลว่าอะไร?
ข้อ 2 แล้วมันใช่เวลามาทำอะไรแบบนี้ไหม?” ผมรู้สึกว่าคิ้วของผมคงผูกติดกันพันกันเป็นรังไหม จินตานาจากแรงตึงบนผิวหน้าได้อย่างดี

“ข้อ 1 ประตูห้องใต้ดินปกติจะทำไว้สองบาน โชคดีที่ไม่เคยล็อค ข้อ 2 เป็นแฟนกันแล้ว ทำไมต้องเลือกเวลา” พี่โน่ตอบพลางซุกหน้าแนบเนื้ออกที่ชุ่มน้ำที่ไหลออกจากฝักบัวใหญ่ด้านบน

“โอ้ย! พอเลย แม่อยู่ข้างล่าง แล้วนี่หายขึ้นมาแบบนี้ แม่ไม่ตามหาแย่เลยหรือไง เมื่อกี้ก็ยังถามหาต่อหน้าผมอยู่เลย” ผมพยายามฝืนตัวเองไม่ให้โอนอ่อนไปตามการเล่าโลมของอีกฝ่าย

“หาไม่เจอเดี๋ยวก็เลิกหาไปเองนั่นแหละ” พี่โน่พูดมามันก็ถูกเพราะแม่ผมนะสมาธิค่อนข้างสั้นและใจร้อน หากหาคนไม่เจอก็โดดไปทำอย่างอื่นแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมข้องใจอยากถามมาก

“แล้วรถพี่ที่จอดที่หน้าบ้านล่ะ?”  ใช่ครับ มึงจอดรถไว้ที่ลานจอดหน้าบ้านกูครับพี่โน่ มึงหายไปทั้งคนแม่กูคงไม่สงสัยเลยครับ

พี่โน่เหมือนนึกอะไรออกและยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา

“พี่ควรออกไปก่อนครับ!!” ผมชี้นิ้วไปที่ประตูห้องน้ำ

“อืมมม งั้น… ขอจูบทีหนึ่ง” พูดจาตามประสาลุงขี้อ้อนอีกแล้ว

“ไม่!!” ผมต้องเด็ดขาดไม่มองตา

“นะๆๆๆๆ” ผู้ใหญ่ที่ทำเสียงออดอ้อนแบบนี้ มันช่าง… น่ารัก เหมือนกัน ต้องแข็งใจไว้

หลังจากผ่านการออดอ้อนอยู่นานหลายนาที ผมจึงใจอ่อน…. ไม่ใช่สิ ตัดรำคาญโดยการเออๆ ออๆ ตัดสินใจทำให้มันจบๆ ไป

ริมฝีปากที่อบอุ่นสัมผัสโดนกันอย่างแนบแน่น ผมเคยคิดว่าพี่โน่คงทำได้แค่รสสัมผัสอันเร้าร้อน แต่คราวนี้นสชาติมันต่างไป มันนุ่นนวลอบอุ่น บอบเบาและไม่เร่งรีบ ลิ้นของพี่โน่ทะลวงผ่านม่านฟันของผมเข้ามาสัมผัสลิ้นอุ่นชุ่มของผมอย่างทะนุถนอม และยังเร้าโลมฟันหน้าเหมือนพยายามตั้งใจจะนับให้ครบทุกซี่

มือที่อบอุ่นไล้ลูบขึ้นจากด้านข้างลำตัวไปจนถึงหน้าอก ความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้ผมไม่สามารถผละตัวออกจากเขาได้ ร่ายกายที่ไม่ซื่อสัตย์กับสมองมันทรยศโดยการคล้อยตามทุกอย่างที่พี่โน่ชี้นำ เสียงฮึดฮัดขัดขืนที่ผมมีในช่วงแรกกลายเป็นเสียงที่แสดงออกถึงความสุขสม

ผู้ชายคนนี้ซ่อนกลเม็ดเด็ดพลายไว้เยอะมาก สมกับเป็นผู้มสดประสบการณ์ มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมอยากลิ้มลอง

สุดท้ายผมก็ใช้เวลาร่วมกับพี่โน่ในห้องน้ำร่วมชั่วโมง

สุดท้ายผมได้ยินแต่เสียงหอบหายใจของตนเองและพี่โน่

“พี่โน่…โถ่เว้ย!! รีบออกไปเลยไป” ผมพูดไล่พลางหอบไปพลาง รู้สึกเพลียไปหมดทั้งร่างกาย

“แหมเสร็จแล้วก็ไล่เลยนะ เฮ้ย!! แต่เดี๋ยวนะ” พี่โนยืนมือมาจับมือผมที่พยายามจะผลักให้เขาออกจากห้องอาบน้ำ

“ไม่ต้องมาเดี๋ยว ออกไปเลย” ผมไม่ไหวกับไอ้ลุงหื่นนี่แล้ว

“กูไม่ได้ใส่ถุง… แล้วกูปล่อยไปในตัวมึงหมดเลย!!” สีหน้าของพี่โน่ตกใจปนอมยิ้ม (หรือว่าตั้งใจวะ)

“เชี้ย!!” ผมสบถเสียงดัง และถูกมืออีกฝ่ายพาดมาปิดปากอย่างรวดเร็ว

“งั้นเดี๋ยวช่วย… เอ่อ…. เอาออกให้!!”

“ทำเป็นเหรอ?!?”

“………” ดูจากสีหน้าพี่โน่ก็ได้คำตอบ คนเป็นฝ่ายกระทำมาตลอดชีวิตคงไม่รู้ความลำบากเรื่องนี้

ผมเองก็ด้วย!

“ผมพอรู้มาบ้าง….. เดี๋ยวทำเอง!!” คิดว่าได้มั้ง รู้แต่ทฤษฎีงูๆ ปลาๆ จากคู่นอนเก่าๆ

“แน่ใจนะ!?” อีกฝ่ายอมยิ้มมองมาทางบั้นท้ายผม

“เออ ออกไป” ผมพูดเสียงห้วน พี่โน่จึงยอมออกไปแต่โดยดี

โคตรอายเลยโว้ยยยยยยย ผมสบถในใจวนไปมาขณะเริ่มกระบวนการทำความสะอาดตนเอง

………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ความวุ่นวายในบ้านวันนี้จบลงด้วย ที่คำแก้ตัวที่ดูแล้วคงมีแต่เด็กเท่านั้นที่เชื่อ คำตอบที่พี่โน่ที่หายไปเป็นชั่วโมงคือ ปวดท้องเลยวิ่งไปเข้าห้องน้ำในห้องรับรองแขกที่ตัวเองมาอาศัยนอนช่วงนี้ (แถมอาบน้ำแล้วเสียด้วย)

ผมก็ยอมรับนะว่าพี่โน่มันหัวไว และด้วยที่ลุงโต้งกำลังวุ่นวายกับพวกของฝากลูกน้องที่ทำงานจึงทำให้แม่ของผมไม่มีเวลาถามอะไรมากความ นอกจากจะชวนไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกัน

ครอบครัวของผมตกลงมานั่งรับประทานมื้อเย็นที่ร้านซึ่งพี่โน่เป็นหุ้นส่วน ร้านอาหารบรรยากาศดีในสวนสวย ซึ่งไม่ไกลจากบ้านเพื่อนสนิทของผม ร้านของพี่จินไห่นั่นเอง (อีกแล้ว)

แม่และลุงโต้งเองก็รู้จักจึงตกลงที่จะมาฝากท้องมื้อเย็นที่นี่ พี่โน่แยกตัวออกมาจากบ้านก่อนเพราะต้องไปทำธุระ ผมกับครอบครัวพร้อมหน้าจึงไปนั่งรอที่ร้านก่อน

วันนี่พี่จินไห่มาต้อนรับตามปกติด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและมีเสน่ห์เช่นเคย แต่ที่ต่างจากปกติคือ พี่จินไห่ขอตัวไปในครัวพร้อมกับหญิงสาวหน้าหมวยแต่สวยและไม่คุ้นตา

ใจผมร้อนรนทันทีที่เห็นแต่จนใจที่ไม่สามารถติดต่อไอ้ต้นน้ำเพื่อนสนิทตนเองได้ เพราะโดนแม่ของมันตัดขาดการติดต่อสื่อสาร มันกลับมาคงมีเรื่องต้องสะสางอีกแน่นอน แค่คิดก็แอบเหนื่อยใจ

ผมถอนหายใจยาว ส่ายศรีษะจนแม่ผมจ้องหน้าตำหนิ แม่ไม่ชอบให้ทำหน้าอารมณ์ไม่ดีที่โต๊ะอาหารเพราะที่โต๊ะอาหารไม่ควรเอาเรื่องอื่นมาคิด นอกจากการร่วมกินข้าวกับครอบครัว

ผมกระแอมในลำคอเบาๆ และรีบปรับสีหน้าทันทีพลางนึกถึงเรื่องของตนเองที่น่าจะมีปัญหาไม่ต่างจากเพื่อนของตนเอง

…………

ผ่านไปร่วมสัปดาห์แล้วนับจากวันที่แม่ของผมกลับมาจากการฮันนีมูนแบบฟ้าผ่า คือไปเร็วและมาเร็วกว่าที่คิด ทุกอย่างแทบจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนที่ผมกับพี่โน่ตกลงคบกันคือ เจอหน้ากันบ้างเป็นครั้งคราวที่พี่โน่มาเยี่ยมแม่ของผมหรือลุงโต้ง แต่ก็ทำได้แค่มองตาและแอบยิ้มให้กันบางๆ

เราสองคนเจอหน้ากันบ่อยกว่าที่คิดมาก เพราะพี่โน่อาศัยความเป็นเพื่อนของทั้งแม่และลุงโต้งในการมาเยี่ยมเยียนบ้านของผมเรื่อย ๆ

แต่สิ่งเดียวที่ผมต้องการและอดอยากมากๆ คือ เรื่องบนเตียง!!

ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทรมานขนาดนี้!

เห็นแต่ไม่ได้สัมผัส ทักทายแต่ไม่สามารถพูดคุยได้ ขนาดผมยังขนาดนี้ แล้วพี่โน่ที่มีความต้องการสูงกว่าผมมาก เขาจะทนได้ขนาดไหนนะ (หวังว่ามันคงไม่ไปหาเศษหาเลยแถวที่ทำงานมันนะ)

จนกระทั้งวันหนึ่งผมตัดสินใจชวนเพื่อนๆ ไปฉลองก่อนเปิดเทอม ซึ่งแม่ของผมไฟเขียวเรียบร้อย

ปกติผมจะไปไหนมาไหนแม่ก็ไม่ว่าหรอก หากรู้จักบริหารค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ให้ไป การที่จะให้ผมไปหามันถึงที่ทุกวันมันก็ไม่ดี เพราะผมจะทำอะไรก็ไม่เคยรอดพ้นสายตากว้างไกลของแม่ผมได้เลย การเป็นที่รู้จักของทุกคนในจังหวัดแบบนี่มันลำบากเหมือนกัน

ตึกตักๆ

เสียงหัวใจผมมันเต้นไม่เป็นจังหวะ นานมากแล้วที่ประสบการณ์พรากเอาอารมณ์ส่วนนี้ของผมไป ความคุ้นเคยและความโชกโชนตั้งแต่วัยรุ่นมันก็มีข้อเสียของมันเหมือนกัน

ผมเฝ้ารอวันนี้พอๆ กับการเปิดเทอม ไม่ใช่ว่าผมชอบการเรียนอะไรหรอกนะครับ เพียงแต่พอขึ้นปีการศึกษาใหม่ เด็กใหม่ๆ ก็จะมีเข้ามาให้ผมเต๊าะมากขึ้น

ผมนัดเจอกันที่ผับประจำของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เป็นแหล่งรวมเด็กเกรียนที่พร้อมจะทำอะไรห่ามๆ กันแบบไม่แคร์สายตาใครเพราะเป็นคนกลุ่มใหญ่ของผับ เป็นแหล่งรวมพลกันมาหลายปีตั้งแต่พื้นที่ 20 โต๊ะ จนตอนนี้ขยายจนไม่รู้แล้วว่ามีกี่โต๊ะ ถือว่าเป็นผับเก่าแก่ของคนที่นี่ (จริงๆก็เปิดไม่ถึง 10 ปี เลย แต่ผมถูกพามาเปิดประสบการณ์ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็เลยคิดว่านาน ที่เกริ่นมาทั้งหมดก็มาจากปากต่อปากของรุ่นพี่ทั้งนั้น) แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัย!)

ผมเฮฮากับทุกคนเป็นปกติ ทุกคนแสดงออกถึงความไม่ตื่นเต้นของการเปิดเทอมเลยสักคน

“แม่ง ตดยังไม่หายเหม็น แม่งก็เปิดเทอมแล้ว กูยังพักผ่อนไม่พอเลย” ไอ้ต้นกล้าผู้เลี้ยงฝูงสุนัขวัดอยู่ในปากโอดขึ้นหลังจากเจอกรอกวิสกี้รสร้อนราคาถูกเข้าปากอย่างต่อเนื่อง (ไอ้คนคออ่อน มึงไม่เจ๋งเหมือนปากว่าเลย)

“กูว่านะ…..มึงควรไปหาหมอนะ ถ้าจะเหม็นข้ามวันข้ามเดือนขนาดนี้!” สาวห้าวประจำคณะฯ สวนกลับเสียงดัง ทำให้ทุกคนทั้งบริเวณที่เราจองไว้หัวเราะเสียงดังลั่น

“เชี้ย! พวกมึง!! เบาๆ หน่อย ถูกคนดูแลผับมองแล้ว!!” ผมพูดทักขึ้น

“ไอ้ไอซ์ มึง!! เปลี่ยนไป อย่าคิดว่ามีผัวเป็นหุ่นส่วนใหญ่แล้ว….”  ไอ้ต้นกล้ามันชี้หน้าผมแล้วกร่นด่าเสียงดัง โชคดีที่ท้ายประโยคผมสามารถปิดปากหมาๆ ของมันได้ทัน  ไม่อย่างนั้นรู้กันหมดร้าน

ไอ้เชี้ยเฟรม มึงไม่ควรเล่าอะไรให้มันฟัง ไอ้ปากสุนัขเนี่ยรู้ทุกคนในโลกรู้หมด

“มึงหุบปากหากไม่อยากเจออย่างไอ้พี่ชัย!!” ผมกรรโชกใส่หูแดงๆ ของมัน

ไอ้ต้นกล้าน่าจะรู้เรื่องที่พี่ชัยโดนพี่โน่ซัดลอยไปหลายก้าวจนเกือบตาย มันถึงได้ทำหน้าตกใจสุดขีดแล้วเอามือข้างหนึ่งมาอุดปากตนเองพร้อมกับอีกมือหนึ่งทำนิ้วสัญญาณว่า โอเค!

ผมรีบปล่อยมันทันทีก่อนมีพิรุธ เพียงครู่ใหญ่มันก็หันมาหาผมทั้งที่ตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้

“มึงๆ กูขอโทษ กูขอร้องว่าอย่าเล่าอะไรให้ผัวมึงฟังเลยนะ” มันกุมมือผมแน่น

“กูจะกระทืบตรงที่มึงเรียกมันว่าผัวกูนี่แหละ!!” แล้วผมก็มองเลยผ่านหน้าของไอ้ต้นกล้าไป ก็เจอกับต้นเหตุที่ให้ไอ้ขี้เมาปอดแหกคนนี้กลัว

พี่โน่ที่ยืนยิ้มมาทางผมอย่างใจดีจากทางบาร์เทนเดอร์ ทำให้ผมแก้เขินโดนการผลักให้ไอ้ต้นกล้าไปให้พ้นทาง

“จำไว้ให้ดีก็แล้วกัน” ผมพูดกับไอ้ต้นกล้าแบบนั้น มันก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วไปเฮฮาต่อกับเพื่อนอีกโต๊ะหนึ่งอย่างกับเมื่อครู่ไม่เกิดอะไรขึ้น

ผมส่ายหน้าพลางคิดว่านี่ผมทนคบกับมันมาตั้งสามปีได้อย่างไรเนี่ย? (แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ดีแหละ)

หลังเที่ยงคืน บรรดาเพื่อนผมที่เริ่มมีอาการ ‘เลื้อย’ เต็มที่ หลายคนยืนเต้นแบบไร้ความสมดุล หลายคนแทบไม่มีแรงยืนแต่ก็ยังคงยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นชนขึ้นดื่มอย่างไม่กลัวตาย หลายคนนอนราบหลับคาเก้าอี้ยาวที่มีจัดไว้ให้ เหมือนกับคำขวัประจำคณะฯ ‘สถาปัตย์เมาโลกแตก’ คือเหมือนโลกจะแตกวันพรุ่งนี้ ไม่สนใจอะไรนอกจากเต็มที่กับวันนี้

ส่วนผมที่พยายามดื่มแบบเซฟๆ แสร้งเป็นเมามายไม่ได้สติ ก็เพื่อเวลานี้ เวลาที่สามารถหายไปจากสถานที่แห่งนี้เหมือนที่เคยทำมา เพื่อนผมรู้ดีว่าผมเน้นล่า ไม่เน้นเมา!

ก่อนจะทำตัวเป็นเงาและหายวับเข้าไปในความมืด สายตาของผมส่ายส่องไปทั่วเพื่อมองหาพี่ชายหน้าเหมือนและไอ้เพื่อนปากเสีย แต่ทั้งสองคนมันกลับหายตัวไปก่อนผมเสียอีก

หวังว่าพี่โน่คงไม่ลากมันไปจัดการที่ซอยเปลี่ยวนะ คิดพลางนึกภาพข่าวตามเวปไซต์ต่างๆ

ระหว่างที่ผมคิดไปพลางถอยหลังไปพลางก็ถูกสองมือที่ยืดยาวออกจากความมืดมาโอบรัดและดึงเข้าไปในมุมมืดของผับ

“เฮ้ย!” ผมโวยลั่นแต่อีกฝ่ายก็เรียกชื่อผมจนผมเบาเสียงตัวเองลงเหมือนเสียกระซิบ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ขวัญอ่อนจริง” คนตัวเล็กที่เกาะกุมผมอยู่พูดขึ้น

“อย่าเล่นแบบนี้อีก!!” ผมหันหน้าไปดุอีกฝ่าย

“ครับๆ ได้ครับ เมีย” ยิ้มที่สว่างวาบในที่มืดแค่เห็นก็อยากหยิบแก้มให้เขียว

“ใครเมียพี่วะ” โชคดีที่มันมืด ผมไม่อยากให้มันเห็นหน้าผมตอนนี้เลยว่าตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้แสดงออกกับมันขนาดนี้

“จ้าๆ รู้ว่าไม่ชอบให้เรียก แต่พี่ชอบนะ”  พี่โน่ยิ้มจนเห็นตีนการขึ้น ผมที่ทำอะไรไม่ถูกทำได้เพียงใช้กำลังแกะมือที่โอบรัดผมไว้ เพราะอย่างไรพวกเราก็ยังอยู่ในร้าน ตั้งแต่แม่กลับมาผมก็ระแวงไปหมด

“ว่างไหม?” พี่โน่ถามพร้อมกับจับศรีษะผมขยี้เบาๆ

“จะถามทำไมในเมื่อผมเป็นคนชวนพี่ให้มาเจอที่นี่”

“ก็ที่พี่ถามเพราะจะชวนไปต่อ”

“ที่ไหน?”

“ไม่น่าถาม”

“แล้วมันที่ไหนล่ะ?” กวนบาทาจริงๆ ไอ้ลุงคนนี้

“บ้านพี่”

ผมอึ้งกับคำตอบเล็กน้อย เพราะเท่าที่รู้ ไม่เคยมีใครไปบ้านพี่โน่เลย มีแม้กระทั่งข่าวลือว่าพี่โน่เวียนไปนอนตามโรงแรมต่างๆ ที่ตนเองเป็นเจ้าของ ไม่จำเป็นต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง

“บ้านพี่??” สีหน้าผมคงตลกมาก พี่โน่ถึงกับหัวเราะชอบใจ

“เออ พี่ก็มีบ้านนะ แต่พี่ไม่ชอบให้ใครคนอื่นไปน่ะ มันเสียความเป็นส่วนตัว” พี่โน่เดินมาโอบไหล่

“คนอื่น?” ผมสะบัดไหล่ให้มืออีกฝ่ายตกไป

“แต่ไอซ์ไม่ใช่คนอื่นไง”

เชี้ย….. กูหลงไอ้คนตรงหน้าอีกแล้ว ใจผมมันไม่เป็นของตัวเองเสียแล้ว สภาพของแข็งในอกด้านซ้ายมันไหลเหลวลงไปกองที่เท้าหมดแล้ว คำไม่กี่คำก็ทำให้ผมเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ้คนๆ นี้มันร้ายกาจมาก

“อย่ามาพูดให้ดีใจ ผมไม่ใช่เด็กในสังกัดพี่นะ หยอดอยู่ได้”

“ก็ไม่ใช่ไง ก็แฟนไง!”

“โอเคๆ จะไปไหนก็ไป!!” ผมพูดตัดรำคาญและเดินนำหน้าไป อย่างไม่รู้ทิศทาง รู้แต่ว่าอยู่ตรงนั้นไม่ได้แล้ว

………..

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด