ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)  (อ่าน 29884 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 19

     ‘มาชิม’

     ข้อความสั้นๆ ที่ถูกส่งมาในวันเสาร์พร้อมรูปห่อหมกที่ถูกจัดใส่ลูกมะพร้าวและแต่งหน้าด้วยใบมะกรูดกับพริกชี้ฟ้าทำให้ม่านฟ้าเอ่ยขอตัวกับแม่ก่อนเดินเอื่อยๆ ออกจากบ้านมาหาพ่อครัวที่ส่งรูปอาหารหน้าตาน่าทานมาให้

     แค่เดินเข้ามาในบ้าน กลิ่นพริกแกงและส่วนผสมอะไรสักอย่างที่ม่านฟ้าไม่รู้ รู้เพียงว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะของห่อหมกก็ลอยมาแตะจมูก ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา คิดว่าในวันหยุดเช่นนี้พี่ชายคนรักก็น่าจะอยู่บ้านแต่กลับไม่เห็นจึงเดินเลยเข้าไปในครัวเพื่อถามเอากับคนตัวโตที่ขยับมือผัดพริกแกงในกระทะอยู่

     “เฮียอะ”

     “ไปทำงาน บ้าม่ะ วันหยุดยังไปทำงานเนี่ย” พ่อครัวที่ถูกถามหันมามองคนรักเล็กน้อยก่อนบ่นพี่ชายออกมาพร้อมออกคำสั่ง “เอาไข่มาสามฟองดิ๊”

     ม่านฟ้าหมุนตัวไปเปิดตู้เย็นหยิบไข่ออกมาให้คนรักตอกลงไปในกระทะ แล้วจึงถามต่อ “แล้วทำห่อหมก นึกว่าจะให้เฮียกินด้วย”

     “เฮียเพิ่งออกไปไม่นานเนี่ย กูทำไปให้กินที่ทำงานแล้ว รูปที่ส่งให้มึงอะ ส่วนอันนี้เดี๋ยวให้มึงชิมแล้วเอาไปฝากพ่อกับแม่ แม่ทำกับข้าวยัง” พิธานผัดจนไข่เริ่มเข้ากันกับพริกแกงและอาหารทะเลในกระทะก็ใส่ใบโหระพาตามลงไป เหลือบมองคนรักที่จ้องกระทะแล้วกลืนน้ำลายดังอึก

     “น่าจะกำลังทำมั้ง” ม่านฟ้าตอบคำถามแต่ตายังมองอีกคนใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปผัดให้เข้ากัน มือใหญ่ของพ่อครัวคว้าช้อนมาตักเนื้อห่อหมกข้นๆ ขึ้นมาเป่า ก่อนส่งไปจ่อปากม่านฟ้าที่อ้าปากรับไปอย่างไม่กลัวคำเตือน “ร้อนนะ”

     “เป็นไง” พ่อครัวคนเก่งถามออกมาแต่มือก็ขยับปิดไฟแล้วตะล่อมอาหารในกระทะ

     ม่านฟ้าเคี้ยวห่อหมกในปากแล้วพยักหน้าตอบคำถามคนรักไปอีกครั้ง “อร่อยแล้ว อืม แต่แอบเผ็ด”

     “เหรอ สงสัยกูหนักมือไปหน่อย กินได้ป่าวเนี่ย เปิดไฟซึ้งให้หน่อย” คนตัวโตถามไปด้วย สั่งไปด้วยขณะที่มือก็ตักห่อหมกในกระทะใส่ลูกมะพร้าวไปด้วย แต่กลับทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น

     “ได้ๆ กินกับข้าวน่าจะกำลังดี” ผู้ช่วยพ่อครัวอีกคนเองก็เปิดไฟเตาแก๊สสำหรับหม้อซึ้ง แล้วตอบคำถามคนรักไปง่ายๆ ก่อนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “อ้าว งั้นมึงก็กินข้าวคนเดียวอีกแล้วดิ เฮียไม่อยู่อย่างงี้”

     “หืม? อืม ชินแล้ว” พิธานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วยักไหล่ตอบไปอย่างไม่ยี่หระ ราดหัวกะทิลงไปแล้วยกห่อหมกไปวางบนหม้อซึ้งโดยมีม่านฟ้าเปิดและปิดฝาให้

     “...ให้กูมากินด้วยไหม”

     คนที่ต้องกินข้าวคนเดียวคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วยกมือขยี้หัวคนรัก รู้ว่าม่านฟ้าคงกังวลว่าเขาจะเหงาถึงถามเช่นนี้ “ไม่เป็นไร มึงกลับไปกินกับที่บ้านเถอะ บอกแล้วไงว่าชินแล้ว ตักข้าวราดให้กูหน่อย”

     พิธานชี้ไปที่กระทะที่เหลือห่อหมกอยู่สำหรับส่วนที่เป็นข้าวเย็นของตัวเอง แล้วหันไปเก็บอุปกรณ์ต่างๆ วางในซิงค์เตรียมตัวล้าง

     ส่วนม่านฟ้าหลังตักข้าวจากหม้อแล้วราดห่อหมกลงไปตามคำสั่งคนรักก็กลับมายื่นข้างๆ อีกคนพร้อมถามออกไปอีกหนเมื่อยังรู้สึกไม่สบายใจ “หรือมึงไปกินข้าวบ้านกูไหม จานนี้ก็เก็บไว้กินดึกๆ ก็ได้”

     ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหันทั้งตัวมามองม่านฟ้า มือคว้าคออีกคนเพื่อดึงตัวเข้ามาใกล้ก่อนก้มลงไปกดหน้าผากชนกับหน้าผากของอีกคนแล้วถูไปมา “บอกว่าไม่เป็นไรไง ไม่ต้องห่วงหน่า เดี๋ยวปิดเทอมแล้วมีเวลามึงค่อยมากินกับกูบ่อยๆ ก็ได้”

     สุดท้ายม่านฟ้าก็ได้แต่ยอมแพ้ เสหน้าออกเล็กน้อยเมื่ออีกคนเริ่มก้มมาใกล้จนเกินไปแล้วจึงเหลือบไปเห็นมะพร้าวอีกสองลูกที่ยังไม่ได้ใช้วางไว้อยู่ไม่ไกล “นี่ซื้อมาเป็นลูกแล้วปอกเองเลยเหรอ”

     คุณพ่อครัวหันไปมองตามสายตาคนรักแล้วพยักหน้ารับ ก่อนหันมามองมือตัวเองที่ถูกคนรักยกขึ้นมามอง

     “ซ่านัก เข้าลึกไหมเนี่ย”

     ม่านฟ้าสังเกตเห็นตั้งแต่เดินเข้าครัวมาได้ไม่นานว่ามือซ้ายของคนรักมีปลาสเตอร์พันอยู่แต่ยังไม่ได้ทักออกไป จนเมื่อรู้ว่าพิธานปอกมะพร้าวเองก็นึกรู้สาเหตุของแผลขึ้นมาได้ทันที

     วันก่อนเพิ่งบ่นกับเขาว่ามะพร้าวอ่อนแบบปอกแล้วมันแพงแต่มาปอกเองก็ไม่เคยทำ

     แล้วเป็นไง คุ้มไหมที่เจ็บตัวเนี่ย

     “แค่ถากๆ แต่เลือดมันออก รำคาญเลยพันปลาสเตอร์ไว้”

     พิธานตอบออกไปพร้อมมองคนรักลูบที่แผลของเขาเบาๆ อดไม่ได้ที่จะแกล้งนิดแซวหน่อยให้นอนหลับฝันดี “ถ้าได้จูบสักทีแผลคงหายเร็วอะ”

     คนตัวเล็กกว่าเหลือบขึ้นไปมองคนรักแล้วทิ้งมือข้างที่จับอยู่ทันทีก่อนเดินผ่านคนเจ็บไปที่หน้าซิงค์ล้างจาน “งั้นก็ปล่อยให้แผลมันเน่าไปเถอะ”

     ถึงจะโดนพูดแบบนั้นใส่แต่คนเจ็บกลับยิ้มกว้างหนักกว่าเดิมเมื่อคนแช่งให้แผลเน่ากลับเริ่มล้างจานในซิงค์ให้แล้วเรียบร้อยเหมือนไม่อยากให้แผลของเขาโดนน้ำมาก แถมท้ายด้วยการสั่งมาอีกหนึ่งประโยค “นั่งกินข้าวไปเลยไป มึงกินเสร็จแล้วกูค่อยกลับ”



     นัชชาเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อลูกชายคนโตซึ่งออกไปตัวเปล่าแต่กลับมาพร้อมกับห่อหมกมะพร้าวอ่อนหนึ่งลูกถ้วนหลังหายไปเกือบชั่วโมง

     กำลังจะโทรตามให้กลับมากินข้าวแต่ก็มาได้จังหวะพอดี

     “ไปเอาของกินมาจากไหน” ยังไม่ทันที่หญิงสาวคนเดียวของบ้านจะเอ่ยถาม ผู้เป็นสามีของเธอก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน คงนึกแปลกใจไม่แพ้กันเพราะของแบบนี้ดูไม่น่าเป็นของติดมือที่ได้รับมาจากบ้านเพื่อน

     “พีทมันทำมาฝาก” จริงๆ คืออยากทำคะแนนแหละ

     คำตอบเรียบง่ายแต่เรียกใบหน้างุนงงจากผู้เป็นพ่อก่อนเปลี่ยนมาเป็นขมวดคิ้ว นัชชาไม่แน่ใจว่าที่สามีขมวดคิ้วเพราะจำเพื่อนลูกชายที่ชื่อพีทคนนี้ไม่ได้หรือคำตอบที่ได้ดูไม่น่าเป็นไปได้กับบุคคลที่นึกถึง เธอจึงตอบข้อสงสัยที่เป็นไปได้ข้อแรกให้ก่อน

     “พีท เพื่อนเจ้าเมฆที่เคยมาบ้านบ่อยๆ แล้วก็เจอที่โรงพยาบาลไงพ่อ ตัวโตๆ น่ะ”

     นภดลพยักหน้ารับเงียบๆ แต่ยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ นัชชาจึงเฉลยข้อสงสัยที่เป็นไปได้ข้อสอง “เจ้าพีททำกับข้าวเก่ง มาทีไรช่วยแม่ทำกับข้าวทุกที คล่องกว่าลูกเราเยอะ เจ้าพวกนี้บางทีเก้ๆ กังๆ ไม่ช่วยแถมเกะกะอีก”

     คนเป็นแม่อวย ‘เพื่อน’ ลูกไม่พอ หันมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเองให้เห็นภาพชัดเจนไปอีก ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคคล้ายกันกับที่ใครบางคนเคยพูดไว้

     แต่ต่างความหมายกันอย่างสิ้นเชิง
     
     “เสน่ห์ปลายจวักขนาดนั้น บ้านไหนได้ไปเป็นเขยคงโชคดีตาย”



     มื้ออาหารของพวกเขาสามคนผ่านไปอย่างเรียบง่ายพร้อมเสียงพูดคุยกันบ้างเล็กน้อย หลังจากแม่ได้ชิมอาหารฝีมือพิธาน เจ้าตัวก็ชมเปาะจนม่านฟ้าไม่รู้จะดีใจแทนคนรักหรือแอบเศร้าใจที่เห็นแววตกกระป๋องมารางๆ ตั้งแต่พิธานยังไม่มาเป็น ‘ลูกเขย’ ให้แม่เลยด้วยซ้ำ

     ม่านฟ้าทำหน้าที่แผนกเก็บล้างอีกเหมือนเคย เสร็จแล้วก็เดินมานั่งรวมกับพ่อแม่ที่กำลังดูข่าวในโทรทัศน์

     'วันนี้มีข่าวน่าสลดใจอีกอย่างนะครับ น้องเอ ที่เคยมีข่าวว่าถูกทำร้ายจากเพื่อนเพราะว่าน้องเป็นเพศที่สามเนี่ย...ตอนนี้เสียชีวิตแล้วครับ คุณแม่ของน้องร้องไห้แถมขาดใจและแจ้งกับทีมข่าวว่าอย่างไรก็จะเดินหน้าคดีต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ว่าน้องจะจากไปแล้วก็ตาม ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องด้วยนะครับ'

     "..."

     ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่เมื่อผู้ประกาศข่าวกล่าวจบ ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาเล็กน้อยจากหญิงวัยกลางคนแต่ก็ยังไร้บทสนทนาใดต่อมา

     นภดลเหลือบตามองลูกชายคนโตที่นั่งดูข่าวต่อไปนิ่งๆ หากเป็นก่อนหน้านี้ ม่านฟ้าคงใช้โอกาสนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องภูหมอกบ้างแล้ว แต่หลังจากวันนั้นที่เจ้าตัวบอกว่าจะ 'พอ' ก็ไม่มีการเอ่ยถึงลูกชายคนเล็กของเขาอีก

     ราวกับเจ้าตัวกำลังทำอย่างที่พูดจริงๆ

     แม้กระทั่งการกลับบ้าน ม่านฟ้าที่เคยกลับบ้านช่วงวันธรรมดาเพื่อหาโอกาสมาคุยเรื่องน้องกับเขาบ่อยๆ ก็กลายเป็นกลับบ้านแต่ช่วงวันเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม

     ทุกอย่างคล้ายกำลังเข้าที่เข้าทาง กลับสู่วงจรการใช้ชีวิตปกติโดยขาดใครคนหนึ่งไปอย่างไม่เหลือร่องรอย

     ไม่มีการพูดถึง

     ไม่มีการถามถึง

     ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ใดที่ทำให้สะดุดตาว่าเคยมีอีกหนึ่งชีวิตอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาก่อน

     แม้แต่เก้าอี้บนโต๊ะกินข้าวก็ยังเหลือเพียงสามตัว

     ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง...นภดลกลับไม่ได้รู้สึกสบายใจแม้แต่น้อย



     “ทำอะไรเมฆ”

     เสียงของผู้เป็นแม่ถามขึ้นเมื่อม่านฟ้าเดินไปยกเก้าอี้โต๊ะกินข้าวออกมาตัวหนึ่ง

     “เก็บเก้าอี้ไงแม่ แม่เปิดประตูห้องเก็บของให้หน่อย”

     ม่านฟ้าตอบผู้เป็นแม่กลับไปง่ายๆ แล้วยกเก้าอี้เข้าไปไว้ในห้องเก็บของรวมกับของต่างๆ ที่เก็บเข้าลังมา นัชชาเห็นแล้วว่าลูกชายเดินหยิบโน่นจัดนี่มาสักพัก จนมาเริ่มเอะใจว่าของต่างๆ ที่ม่านฟ้าเก็บล้วนมีความสัมพันธ์กับ ‘ภูหมอก’ ทั้งสิ้น

     ทั้งเก้าอี้โต๊ะกินข้าวของภูหมอก แก้วน้ำประจำตัว กรอบรูปที่ถ่ายรูปของพวกเขาสี่คน หนังสือเรียนที่วางทิ้งไว้ หรือแม้กระทั่งรองเท้าในชั้นวางทุกคู่

     “คิดจะทำอะไร”

     คำถามของมารดาเปลี่ยนไปพร้อมเสียงที่เข้มขึ้นทำให้ม่านฟ้าหันไปมอง ชายหนุ่มเลือกไม่ตอบคำถามแล้วยักไหล่ออกมาแทน สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงถอนหายใจหนักๆ ของผู้เป็นแม่และการก้าวเท้าเข้ามาใกล้

     “เมฆ แกคิดจะทำอะไร” ถึงจะถามย้ำออกไปอีกครั้งแต่นัชชาก็พอรู้จุดประสงค์ของลูกชายคนโตแล้ว ทั้งที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ใจเย็น ให้เวลาคนเป็นพ่ออีกหน่อย แต่เหมือนม่านฟ้าจะเริ่มทนไม่ไหวและใช้มาตรการที่เด็ดขาดมากขึ้น “สงสารพ่อเขาบ้าง”

     ม่านฟ้าคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของคนเป็นแม่ รู้ดีถึงความหมายที่มารดาต้องการสื่อ ถึงกระนั้นกลับสบายใจว่าอย่างไรพ่อก็ยังมีแม่อยู่ข้างๆ “เพราะงั้นเมฆถึงยังปล่อยให้แม่อยู่ข้างพ่อไง ไม่งั้นเมฆกล่อมแม่ให้มาร่วมมือกับเมฆนานแล้ว”

     คำพูดทีเล่นทีจริงของลูกชายคนโตทำให้นัชชาเผลอทำหน้าบึ้งออกมา “วางแผนเล่นกับใจพ่อใจแม่แบบนี้ไม่น่ารักเลย เจ้าเด็กคนนี้”

     “โถ่ แม่พูดอย่างกับเมฆวางแผนฆาตกรรมอย่างงั้นแหละ” เด็กไม่น่ารักเดินเข้าไปกอดผู้เป็นมารดาไว้อย่างออดอ้อน ยังคงยิ้มเผล่อย่างไม่สะทกสะท้านในคำบ่นแต่แววตากลับจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินแม่กระซิบประโยคต่อมา “แต่แบบนี้มันใจหายเกินไป”

     ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกแล้วกระชับกอดมารดาให้แน่นก่อนผละออก เขามองเข้าไปในดวงตาสีสนิมเช่นเดียวกันกับเขาแล้วพูดออกมาด้วยเสียงจริงจัง

     “แม่ไม่ต้องห่วงนะ ทนอีกแค่นิดเดียว ของที่เราเก็บวันนี้มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมฆสัญญา...เมฆจะพาน้องกลับบ้านมาให้ได้”



     ม่านฟ้ารู้ตัวว่ากำลังถูกพ่อมองแต่ก็ตีหน้านิ่งเอาไว้ เขาเหลือบตาไปมองผู้เป็นพ่อเล็กน้อยเมื่อไม่รู้สึกถึงสายตาของอีกคน ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่หน้าจออีกครั้ง

     "แต่จากนี้...เมฆจะไม่ยุ่งแล้ว พอแล้วครับ"

     ใช่ พอแล้ว

     พอกันที

     เขาจะเลิกแผนเดิมๆ แล้วหักดิบพ่อดูสักที

     ถ้าพ่ออยากให้ภูหมอกหายไปจากชีวิต หายไปจากครอบครัวเราขนาดนั้น เขาก็จะจัดให้ หากเขาตัดทุกเส้นทางการรับรู้ของพ่อเกี่ยวกับภูหมอก ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อจะทนได้สักแค่ไหน

     นี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายของเขาแล้วจริงๆ หากยังพลาดอีก เรื่องนี้คงต้องจบลงแบบแบดเอนดิ้งแล้วล่ะ

     ----

     “เป็นอะไร”

     พิธานทักคนรักที่ทำหน้ามึนเป็นปกติแต่ก็พอจะดูออกว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี

     เป็นอีกหนึ่งวันหยุดที่ม่านฟ้ามาที่บ้านของคนรัก แต่คราวนี้ม่านฟ้าไม่ได้มาตัวเปล่าแต่มาเป็นเพื่อนกินข้าวพร้อมกับข้าวที่แม่ทำมาฝากอีกคนจนเต็มสองมือ และก่อนถึงเวลาอาหารม่านฟ้าก็ถูกคนรักลากมาช่วยงานอีกครั้ง

     “กู...แอบรู้สึกผิดยังไงไม่รู้”

     ม่านฟ้าตอบคนรักออกมาพร้อมกับถอนหายใจ มือขยับฟองน้ำถูไปตามตัวรถสีควันบุหรี่ที่ช่วงนี้ได้อาศัยมันไปไหนมาไหนบ่อยครั้ง

     มาถึงก็ถูกใช้ให้ล้างรถเลย

     ส่วนเจ้าของรถก็กระโดดไปล้างรถอีกคันให้พี่ชายแทน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เฮียพีหรือพิรัลต้องออกไปนอกบ้านในวันหยุด แม้ไม่ได้ออกไปทำงานแต่ก็ไปงานเลี้ยงของบริษัท คุณพี่ชายถึงได้ไปแท็กซี่แล้วทิ้งรถไว้ให้น้องชายจัดการล้าง

     “เรื่องอะไร” พิธานถามออกไปแต่เริ่มจะเดาเรื่องขึ้นมาได้รางๆ แล้วก็ไม่ผิดนัก

     “พ่อ เขาดู...เงียบๆ ไป” ตั้งแต่ที่ม่านฟ้า ‘หลอก’ พ่อว่าจะเลิกยุ่งกับน้องชาย อีกทั้งยังเล่าให้ผู้เป็นพ่อฟังว่าน้องเคยโดนแกล้งอย่างไรมาอีก หลังจากนั้นพ่อก็ดูเงียบไป เหมือนคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

     และคนที่กระตุ้นให้เขาบอกเรื่องภูหมอกก็ไม่ใช่ใครอื่น

     คนตรงหน้านี้ไง



     'พ่อมึง...เคยรู้เรื่องที่หมอกมันโดนล้อหรือโดนแกล้งอะไรแบบนี้บ้างไหม'

     “ที่มึงถามแบบนี้ คือมึง...อยากให้เขารู้สึกเป็นห่วงหมอกบ้าง...งั้นเหรอ” ม่านฟ้าพูดลองเชิงดูเมื่อพิธานไม่พูดอะไรต่อแล้วเปลี่ยนมาจับสังเกตที่ท่าทางของคนรักแทน “คิดว่าถ้าเขาห่วงหมอกมากๆ เขาอาจจะ...ใจอ่อนลงบ้างก็ได้ ใช่ไหม”

     คำตอบที่ได้รับจากพิธานยังคงเป็นความเงียบ

     มีเพียงมุมปากเท่านั้นที่ยกขึ้นเล็กน้อย

     .

     ก่อนเริ่มต้นพูดไปอีกเรื่องที่ดู 'เหมือน' จะไม่เกี่ยวกันสักนิด

     "มึงรู้ไหม ตอนกูเลิกบุหรี่ครั้งแรก กูเคยใช้วิธีหักดิบเหมือนกัน หลายคนบอกว่ามันได้ผล แม้จะทรมานหน่อยก็เถอะ" ทั้งที่ดูเหมือนพูดเรื่องทั่วไป แต่สายตาของพิธานที่มองจ้องมากลับคล้ายจะสื่อความไปอีกอย่าง

     "แต่มึงรู้ไหม บางคนที่พยายามจะหักดิบ สุดท้าย.."

     "แม่งกลับมาติดมันยิ่งกว่าเดิมอีก"



     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาอีกหนเมื่อนึกย้อนกลับไป เกลียดตัวเองที่ดันทำตามคำล่อลวงของอีกฝ่ายแล้วก็มานั่งรู้สึกผิดเองแบบนี้ แต่ตอนนั้นเขามืดแปดด้านแล้วจริงๆ แค่เห็นความหวังจากทางไหนสักทาง เขาก็ได้แต่รีบคว้าไว้

     “เพราะมึงอะแหละ”

     หงุดหงิดหาทางไปไม่ได้ก็ขอโทษแฟนไว้ก่อน

     ถึงกระนั้นพิธานกลับไม่ได้หงุดหงิดกับคำกล่าวหา ขยับยักไหล่ก่อนตอบออกมาเหมือนคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ “กูทำอะไร กูไม่ได้ทำอะไรเลยเหอะ มึงตีความไปเองทั้งนั้น”

     ม่านฟ้าอดหันไปค้อนคนรักที่หันหลังล้างรถอีกคันหนึ่งอยู่ แม้เจ้าตัวไม่ได้หันมามองแต่ขอได้ส่งกระแสจิตแค้นเคืองไปสักหน่อยก็ยังดี "หน้าตาก็เหมือนตัวร้ายอยู่แล้ว ยังจะทำตัวเป็นตัวร้ายเข้าไปอีก"

     ลงกับคนไม่ได้ก็ลงกับรถแล้วกัน

     "บ่น บ่นเข้าไป" พิธานหันไปมองคนรักที่ออกแรงขัดรถเขาแรงๆ เหมือนคนโมโห แต่ฟองน้ำก็คือฟองน้ำ ออกแรงแค่ไหนก็มีแต่จะสะอาดมากกว่าเดิม "บ่นเสร็จแล้วยังไง ความจริงที่ว่ามึงก็เผลอมาเป็นแฟนตัวร้ายอย่างกูแล้วก็ไม่เปลี่ยนป่ะ"

     "..." ม่านฟ้าหดคอหนีเมื่อ 'ตัวร้าย' ที่ว่าโผล่มากระซิบที่ข้างหู

     "แต่ที่กูร้าย กูวางแผนทั้งหมด...ก็เพื่อมึงทั้งนั้น" ลมหายใจที่รดเข้าซอกคอทำให้ม่านฟ้าขยับตัวหวังจะออกห่างอีกคน แต่กลับโดนมือหนาคว้าเอวเอาไว้
     
     มันคงเป็นฉากโรแมนติกที่สองคนใกล้ชิดกันตอนล้างรถ หากมือของพิธานไม่ถือฟองน้ำที่ชุ่มน้ำอยู่เช่นกัน

     "ไอพีท!" ม่านฟ้ารีบปัดมือคนรักออกแต่ก็สายไปเสียแล้วเมื่อเสื้อของเขาเลอะทั้งฟอง ทั้งน้ำยาจนเปียกไปหมด ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็ยังหันกลับมาบ่นเรื่องเดิมต่อ "นี่มึงวางแผนตั้งแต่จีบกูเลยป่ะเนี่ย"

     "หวาา โดนจับได้ซะแล้ว" พิธานพูดไปหัวเราะไปก่อนจะต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่อเห็นคนรักทำท่าจะถอดเสื้อออก "เห้ย! ทำไรเนี่ย!"

     "ก็มึงทำเสื้อกูเปียก" ม่านฟ้าที่โดนโวยมาก็โวยกลับเมื่อพิธานกระชากเสื้อของเขาลงก่อนที่เสื้อจะพ้นออกจากหัว

     "แล้วมึงจะมาถอดเสื้อล้างรถเนี่ยนะ อายฟ้าอายดินบ้างเหอะ ถ้าตัวลีนบางหรือมีซิกส์แพ็คน่าอวดก็ว่าไปอย่าง นี่มีแต่ก้อนไขมันหยุ่นๆ สักแต่ว่าขาวหน่อยเลยคิดว่าจะอวดได้เหรอ ไม่ต้องเลยนะ ไม่ต้องคิดจะถอดเลยนะ"

     ม่านฟ้าหลุดหน้าเหวอออกมาเมื่อพิธานพ่นอะไรต่อมิอะไรออกมาอีกเป็นชุด แถมยังทำท่ามองซ้ายมองขวาพร้อมจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น อารมณ์หงุดหงิดหายไปอย่างชั่วคราวเมื่อเจอคนหงุดหงิดมากกว่า

     "ถ้าอยากจะเปลี่ยนเสื้อก็เข้าไปเปลี่ยนในบ้าน อย่ามาถอดตรงนี้" พิธานหอบออกมาเล็กน้อยหลังบ่นยาวไม่พักหายใจ เริ่มรู้ตัวว่าเผลอทำตัวร้อนรนออกไปแต่ก็ยังไม่หยุด ปล่อยมือจากเสื้อคนรักแล้วหันไปอีกทางอย่างวางท่า

     หารู้ไม่ว่าทำให้ใครอีกคนหมั่นไส้เข้าให้แล้ว

     “เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะนึกว่ากูพาโรคจิตเข้าบ้าน”

     เก๊กท่าอยู่ได้ไม่นาน พิธานก็แอบหันมามองคนที่เงียบไป ภาพของคนรักก้มลงหยิบสายยางฉีดน้ำทำให้พิธานเริ่มเห็นลางร้าย ขยับถอยห่างออกจากคนรัก แล้วละล่ำละลักออกมาแทน “เห้ยๆๆ พูดเล่น เมฆ ไม่เล่นนะๆ ”

     “...”

     พิธานเห็นมือเรียวของม่านฟ้าขยับไปใกล้กับปากสายยางเหมือนเตรียมส่งแรงน้ำความดันสูงก็ตัดสินใจพุ่งเข้าชาร์จเจ้าของร่างเล็กกว่าแต่ก็ดูเหมือนจะสายเกินไป

     และทำให้การเล็ง ‘เป้า’ ของม่านฟ้าแม่นยำมากขึ้น

     “อ๊ะ โอ๊ยยยยย!!!”



     สุดท้ายก็เปียกทั้งคู่

     ม่านฟ้าเดินมานั่งบนโซฟาข้างคนรักหลังอาบน้ำเสร็จ มือขยี้ผมเพื่อเช็ดให้หมาดแต่สายตากลับมองไปยังคนที่นั่งคอแข็งไม่ยอมหันมามองกันสักนิดแล้วเปิดบทง้อขึ้นมาก่อน “นี่ มันไม่เจ็บขนาดนั้นหรอกหน่า ก็แค่น้ำ”

     “น้ำ น้ำที่มีแรงดันมันก็เจ็บได้นะเว้ย สึนามิที่ทำตึกรามบ้านช่องเสียหายแม่งก็น้ำเหมือนกันไง แม่ง...ถ้าใช้การไม่ได้นะ มึงอะต้องรับผิดชอบ” หนุ่มอักษรฯ มองคนรักที่หันกลับมาบ่นเสร็จก็เชิดหน้ากลับไปทางเดิมอีกครั้งแล้วถอนหายใจ คิดในใจว่าตัวก็โตยังทำสะบัดสะบิ้งเป็นเด็กสาวไปได้

     “อะๆๆ เค้าขอโทษ มาๆๆ เดี๋ยวพี่เมฆนวดให้ แป๊บเดียวหายปวด”

     ไม่รอฟังคำอนุญาต ม่านฟ้าก็ขยับมือลงต่ำเตรียมคว้า ‘ผู้บาดเจ็บ’ จากแรงดันน้ำมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดทันที

     หมับ!

     “ไอเหี้ย!” พิธานหลุดสบถออกมาเต็มคำเมื่อหันมาเห็นคนรักเตรียมคว้าของสงวนของเขาอย่างไม่มีท่าทีจะพูดเล่น ไม่แน่ใจว่าคนรักแค่จะแกล้งเขาอีกหรือเปล่าแต่ก็ต้องคว้ามือม่านฟ้าไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

     ขืนโดนจับขึ้นมาจริงๆ นอกจากจะหายป่วยแล้วกลัว ‘น้องชาย’ เขาจะลุกขึ้นมากระปรี้กระเปร่าด้วยน่ะสิ!

     ชายหนุ่มตัวโตถลึงตาใส่คนรักที่เผยยิ้มกว้างอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาออกแรงดันข้อมือของม่านฟ้าให้ห่างจากระยะอันตราย ด้วยแรงของเขาที่มีมากกว่านั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาก็ดันเกิดขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของคนรัก

     “เอ้า! ไม่ให้นวด ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวพี่เมฆเป่าให้ เพี้ยงเดียวหาย”

     หายกะผีน่ะสิ!!!

     “ไอเมฆ!!!!!” พิธานถึงกับกรีดร้องออกมาเมื่อม่านฟ้าก้มหัวลงมาคล้ายจะลงไป ‘เป่า’ ผู้ป่วยให้หายดี มือใหญ่อีกข้างของพิธานรีบดันหัวทุยของคนรักออกห่างทันทีราวกับต้องของร้อน

     “มึงทำอะไรเนี่ยยย!! แล้วมึงพูดอะไรออกมารู้ตัวไหมห่ะ เป่าเปิ่วเหี้ยอะไรของมึงงง!!”

     มือที่ดันหัวม่านฟ้าผละออกมาปิดปากของอีกคนไว้ด้วยมือข้างเดียว แรงบีบทำให้ใบหน้าของม่านฟ้ายู่ยี่แต่ก็ยังเห็นแววตาที่พราวระยับหลังฝ่ามือนั้น จนม่านฟ้าดึงหน้าของตัวเองออกมาจากมือใหญ่ได้ก็มองไปที่สีหน้าของคนรักอีกครั้ง

     พิธานหน้าแดงก่ำไปหมดทั้งยังลามไปยันหูและลำคอ มือไม้เกะกะหาทางไปไม่ถูกเมื่อปล่อยมือออกจากใบหน้าของเขา ขณะที่อีกมือก็ยังบีบข้อมือของเขาแน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน เจ้าตัวทำปากพะงาบๆ เหมือนอยากจะด่าเขาเพิ่มแต่ก็นึกไม่ออกจึงได้แต่เม้มปากกลับลงไปอย่างหงุดหงิดใจ

     สุดท้าย...ม่านฟ้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

     เจ้าของบ้านมองคนรักงอตัวลงไปกุมท้องหัวเราะอย่างน่ากลัวว่าจะหายใจไม่ทันแล้วก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึก พยายามยุบหนอพองหนออยู่ในใจไม่ให้คว้าตัวคนขี้แกล้งมาเขย่าแรงๆ เรียกสติ จนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักมาจากอีกคนไม่หยุด

     “สนุกไหม แกล้งกูได้เนี่ย สนุกมากมั้ย”

     “ซา-หนุก”

     ม่านฟ้าหัวเราะตอบพร้อมกับเลื้อยตัวลงมาซบกับแขนของเขา แถมตอบรับคำประชดของเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน คนที่ดูอารมณ์ไม่ดีก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้วไม่รู้เหลือแต่แฟนหนุ่มขี้แกล้งของเขาเท่านั้น

     พิธานขยับตัวนั่งดีๆ ให้ม่านฟ้าพิงได้สะดวกแต่ก็ยังไม่วายบ่นอีกคนออกมาจนได้ “เนี่ย ชอบเลื้อยมาซบแบบนี้เนี่ย แล้วไม่ให้กูว่าไม่มีกระดูกได้ไง”

     “บ่นอยู่นั่น อยากให้ไปซบคนอื่นเหรอ”

     ป้าบ!

     “ก็ลองดูสิ” โดนตีก้นไปหนึ่งดอกข้อหาพูดจาไม่น่าฟัง ม่านฟ้าสะดุ้งแล้วซบหน้าลงพึมพำกับแขนของคนรักอีกหน่อยว่า 'ล้อเล่นหน่า'

     เสียงท้องร้องโครกดังขึ้นมาพร้อมกันทำให้ชายหนุ่มสองคนที่เถียงกันง้องแง้งหยุดชะงัก ตัดสินใจระงับศึกเอาไว้ชั่วคราว แล้วลุกขึ้นมาช่วยกันหาอาหารยาไส้ให้กับน้ำย่อยที่เริ่มร้องครวญคราง

     มื้ออาหารกลางวันง่ายๆ จบลงไปโดยที่พิธานไม่ได้ออกแรงทำอาหารเลยแม้แต่น้อย เพราะแค่อาหารจากแม่ของม่านฟ้าก็มากพอที่จะกินไปได้ถึงพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

     หลังทำงานเป็นพ่อบ้านล้างรถให้คนรักแล้ว ม่านฟ้าก็มาทำหน้าที่แม่บ้านล้างจานให้ต่อ ส่วนเจ้าของบ้านอย่างคุณชายพิธานก็ไม่ไปไหนไกลนอกจากยื่นวอแวอยู่ข้างคนรักหลังเป่ายิงฉุบหาคนล้างจานชนะ

     ถึงอย่างนั้นม่านฟ้าก็ใช่ว่าจะมีท่าทีหงุดหงิด ริมฝีปากของม่านฟ้ายังแต้มรอยยิ้มเล็กๆ จนพลอยให้คนมองอย่างพิธานยิ้มตามไปด้วย

     ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มที่กว้างขึ้นเมื่อคิดแผนเอาคืนคนขี้แกล้งได้

     ม่านฟ้ารู้ดีว่าต้องแกล้งเรื่องไหนถึงทำให้เขาสติแตก และเขาเองก็รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ม่านฟ้าเขินจนทำตัวไม่ถูก

     พิธานโอบมือรอบเอวของคนรัก ก้มหน้าลงซบบนบ่าแล้วผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนขยับขึ้นไปกระซิบเสียงนุ่มที่ข้างหูอีกฝ่าย

     "เห็นมึงมีความสุขแบบนี้กูก็ดีใจ"

     ชายหนุ่มร่างสูงรู้สึกถึงอาการชะงักเล็กน้อยของคนในอ้อมแขน ม่านฟ้าเบี่ยงคอหลบแล้วถามออกมาอย่างติดจะตะกุกตะกัก "อะ อะไรของมึงเนี่ย"

     ใช่ ม่านฟ้าแพ้คำหวาน

     แพ้เสียงนุ่ม

     และแพ้สัมผัสอ่อนโยน

     ถึงจะแกล้งทำเป็นเก่งแต่ความจริงที่ว่าพวกเขาต่างไม่ประสาเรื่องอย่างว่ากันทั้งคู่ก็คือความจริง ชัยชนะในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้เปรียบในการรุกแกล้งอีกฝ่ายให้ได้เขินก่อนกันเท่านั้น

     มือใหญ่ลูบวนอยู่บริเวณหน้าท้องของคนรัก ทั้งจมูกทั้งปากวนเวียนอยู่กับขมับและกลุ่มผมหอม รู้สึกถึงอาการเกร็งเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นคนปากกล้าก็ยังเป็นคนปากกล้า

     "จะจับจะลูบเพื่อ แม่งก็มีแต่ก้อนไขมันหยุ่นๆ อย่างที่มึงว่าไม่ใช่หรือไง"

     เหยื่อของเขาเริ่มร้อนรนแล้ว

     พิธานมองม่านฟ้าล้างจานใบสุดท้ายเสร็จแล้วคว่ำไว้ในที่วางจาน นึกรู้ว่าต่อไปที่ม่านฟ้าจะทำก็คือการหาทางออกจากสถานการณ์น่าเขินอายเหล่านี้

     ม่านฟ้าเช็ดมือกับผ้าให้เรียบร้อยแล้วหันกลับมาเตรียมผลักอีกคนออกแต่ก็ยังช้าเกินไป พิธานผละมือออกจากเอวคนรักในจังหวะที่อีกคนหมุนตัวแล้วเปลี่ยนเป็นกักตัวม่านฟ้าเอาไว้กับเคาน์เตอร์แทน

     ใบหน้าของอีกคนที่โผล่มาในระยะประชิดทำให้ม่านฟ้าผงะ กลิ่นสบู่อาบน้ำยังหลงเหลืออยู่บนร่างสูง ดวงตาสีดำสนิทของพิธานสบกับดวงตาสวยของม่านฟ้าไม่ให้เจ้าตัวได้มองไปทางอื่นขณะที่ลดความห่างของใบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ

     ริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสกันเพียงแผ่วเบาแต่เนิ่นนาน ไม่มีการล่วงเกินใดไปกว่าการขบเม้มเบาๆ ที่ริมฝีปาก ถึงกระนั้นการจูบที่ยังสบตากันในระยะใกล้เช่นนี้กลับเรียกความร้อนบนใบหน้าของม่านฟ้าได้ดีเหลือเกิน

     ร่างของม่านฟ้าแข็งเกร็งอยู่เช่นนั้นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

     "..."

     จนเมื่อพิธานขยับไปจูบใบหูแดงเรื่อพร้อมเสียงกระซิบยั่วยวน

    "เมฆ คืนนี้เค้าขอนะ"

     วิญญาณของม่านฟ้าก็หลุดออกจากร่างไป



     TBC



     Achaya (Writer) :

     มาหยอดน้ำตาลให้อีกก้อน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 20

     "โอ๊ยๆๆ พอๆ ยอมแล้ววว"

     พิธานชักแขนหลบหมัดของม่านฟ้าที่กระหน่ำมาที่ต้นแขนของเขา ท่าทางคราวนี้จะโกรธจริงเขินจริงถึงขั้นที่ต้องลงไม้ลงมือพร้อมกับคำโวยวายหลังเขาพูดจบประโยค "แล้วมึง 'ขอ' เหี้ยอะไรของมึงเล่า!!!"

     "กูก็แค่อยากลองพูดดู เห็นพระเอกซีรีส์ชอบพูดกันบ่อยๆ โอ๊ยๆๆ พอแล้วที่รัก เขินแรงไปแล้ว" ชายหนุ่มเจ้าของบ้านตัดสินใจรวบมือคนรักเอาไว้ มองใบหน้าของคนรักที่บึ้งตึงแต่ก็ยังไม่ลดความแดงลงแม้แต่น้อย

     เขาปล่อยให้คนรักสูดลมหายใจลึกๆ เรียกสติครู่หนึ่งก่อนที่จะลากตัวมาที่โซฟา…

     มาคุยกันเฉยๆ ไม่ได้ลากมาทำอะไรอย่างที่ขอ

     “จะคุยกันดีๆ ได้ยัง”

     คนตัวสูงปล่อยคนรักให้นั่งตามใจชอบ ซึ่งคราวนี้เจ้าตัวก็กระเถิบไปนั่งชิดอีกฝั่งของโซฟาแสดงออกถึงความไม่พอใจให้เห็นกันชัดๆ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสน ม่านฟ้าก็โกรธแค่แป๊บเดียวแหละ จานยังไม่ทันแห้งก็หายโกรธแล้ว

     “คุยอะไร” ม่านฟ้าถามเสียงห้วนกลับมา

     “ที่มาเนี่ย เพราะอยากคุยอะไรไม่ใช่หรือไง” พิธานมองอาการของคนรักที่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนม่านฟ้าจะถอนหายใจออกมาเบาๆ หันหน้ามาสบตากับเขาแล้วก็ถอนหายใจอีกหน
     
     “ก็แค่เครียด เรื่องพ่อกับหมอก กูวางเดิมพันหมดหน้าตักแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะได้ผลไหม”

     อีกสองอาทิตย์ ภูหมอกจะต้องเข้ามอเพื่อไปถ่ายแบบชุดนิสิต ม่านฟ้าคิดจะใช้โอกาสนี้ในการพาภูหมอกกลับไปที่บ้าน อย่างน้อยขอแค่พ่อไม่ระเบิดลงอีกรอบเขาก็พอใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้นทั้งภูหมอกและก็พิธาน

     ไม่อยากให้ภูหมอกเครียดเกินเหตุ แล้วก็ไม่อยากให้พิธานต้องมากังวลแทนเขาด้วย

     “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใจเย็น เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา”

     กลับกลายเป็นคนใจร้อนอย่างพิธานที่ปลอบคนใจเย็นอย่างม่านฟ้า พิธานมองคนรักที่เริ่มจมลงไปกับความกังวลอีกครั้งจนเผลอไหลตัวมาซบไหล่เขาอีกหน เหลือบไปมองที่ซิงค์ล้างจาน เชื่อได้ว่าจานยังไม่แห้งดีม่านฟ้าก็ลืมความโกรธไปแล้ว

     “เอาจริงๆ กูเข้าใจพ่อมึงนะ คนเราเกิดมาด้วยความคิดต่างกัน เขาใช้เวลากว่าสี่สิบห้าสิบปีกับความคิดอย่างหนึ่ง คิดว่าการเป็นเพศที่สามคือเรื่องไม่เหมาะสม เป็นความผิดปกติ แล้วเราจะใส่ความคิดอีกอย่างให้เขาโดยให้เวลาเขาแค่สามสี่เดือน ต่อให้มันมีเหตุผลมากแค่ไหน แต่บางทีมันก็ยาก”

     ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพูดพร้อมเหม่อออกไปไกล ขยับแขนเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงการขยับตัวของคนรักก่อนพูดต่อ

     “ขนาดป๊าม้ากูนะ กว่าจะแต่งกันได้เนี่ยยากเย็นแสนเข็ญ เพราะกงม่าอยากให้ป๊าแต่งกับคนจีนด้วยกัน แต่ม้าเป็นคนไทย ใช้เวลาเป็นปีกว่าม้าจะเอาชนะใจกงม่าได้ แค่เรื่องเชื้อชาติอ่ะ มันดูไม่น่าจะเป็นเรื่องให้มากีดกันกันได้เลยนะ แต่ความคิดของคน กงม่าก็คงคิดว่าไม่อยากให้สายเลือดผสมกันมั่วซั่วมั้ง หรือไม่ก็กลัวไม่ขยันทำมาหากิน แต่สุดท้ายเรื่องทุกอย่างมันก็ต้องใช้เวลาให้เขาค่อยๆ ปรับความคิดไปนั่นแหละ”

     พิธานเคยได้ยินป๊าเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่เด็ก จนมาถึงเรื่องของเขากับม่านฟ้า ตอนแรกพิธานก็กังวลว่าพ่อแม่ของเขาจะโกรธม่านฟ้าหรือเปล่าที่ไม่ยอมบอกกับที่บ้าน แต่ป๊าม้ากลับเข้าใจม่านฟ้าเสียยิ่งกว่าเขาซะอีก

    “เป็นคนกลางน่ะ มันโคตรลำบากใจเลยนะเว้ย ฝั่งนึงก็พ่อแม่ ฝั่งนึงก็แฟน”

     ชายหนุ่มยังจำคำพูดของป๊าในวันนั้นได้ดี แถมท้ายด้วยชมม่านฟ้าและต่อด้วยด่าเขามาหนึ่งชุดเบาๆ

    “เอาจริง แฟนแกมันแฟร์กับแกมากนะ มันก็ปฏิเสธมาแต่แรกแล้วว่าไม่คบ ถ้าคบกันก็บอกพ่อแม่ไม่ได้ ประกาศเงื่อนไขมาตั้งแต่แรกเลย ไม่ใช่ว่าคบๆ กันไปพอจะพาไปรู้จักพ่อแม่ก็บอกว่าไม่ได้งั้นงี้แล้วต้องมาเลิกกันทีหลัง งานนี้ถ้าถามว่าใครที่บ้าก็แกนั่นแหละ ใจรับไม่ได้แต่เสือกรับเงื่อนไขเขามา อนาคตต่อไปนี้น่าสงสารแฟนแกจริงๆ”

     ก็น่าสงสารจริงๆ แหละ

     พิธานเองถึงจะยังแกล้งยังหยอกม่านฟ้าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็พอจับสังเกตได้ว่าม่านฟ้ายังคงคิดมากเรื่องของเขาอยู่ ไหนจะเรื่องภูหมอกอีก ต้องพยายามประคองความรู้สึกของทั้งคนในบ้านและตัวเขาไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บเกินไปนัก

     เครียดจนพุงน้อยๆ หายไปหมดแล้ว

     “กูก็รู้แหละ”

     เสียงของม่านฟ้าดึงพิธานกลับมาที่เรื่องราวตรงหน้าอีกครั้ง งงเหมือนกันที่จากซบไหล่เขาอยู่ดีๆ กลายเป็นมุดแขนของเขาเข้ามากอดเอวและซบอกอยู่อย่างตอนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

     คนที่มันเผลออ้อนโดยไม่รู้ตัวนี้มันก็มีจริงๆ นะ

     ยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเผลออ้อนมากเท่านั้น

     “แต่บางเรื่อง ถ้าเราเอาแต่รอแล้วไม่ทำอะไร กูกลัวมันจะเป็นเหมือนพ่อ...กับอาที”

     เสียงนิ่งของม่านฟ้าดึงพิธานให้กลับมาจริงจังและสนใจกับคำพูดของคนรักมากขึ้น ดวงตาสวยหลุบลงต่ำพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย อาจเพราะช่วงที่ผ่านมาม่านฟ้าเข้าไปสนิทกับนทีมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าภายใต้ท่าทีเหมือนไม่สนใจของคนเป็นอา ลึกลงไปก็ยังมีแผลเป็นของเรื่องราวในวันเก่าๆ ซ่อนอยู่

     “เป็นสิบปีที่เวลาผ่านไป พ่อก็ยังคงไม่ให้อภัย และเพราะทิ้งปัญหาเอาไว้จนความผูกพันที่เคยมีให้กันมันหายไปจนหมด ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ที่ไม่มีกันและกันได้แล้ว ความจำเป็นของการกลับมาเข้าใจกันมันถึงไม่มี”

     .

     .

     “กูแค่ไม่อยากให้พ่อกับหมอกเป็นแบบนั้น”

     พิธานขยับมือลูบหัวทุยของคนรักที่เผลอทำหน้าเศร้าออกมาก่อนก้มลงไปกดจูบลงบนกลุ่มผม ไม่มีความคิดที่จะแกล้งอะไรอีกนอกจากการให้กำลังใจคนในอ้อมแขน

     เขากอดคนรักให้แน่นขึ้นปล่อยให้คนที่อยากระบายได้คลายความอึดอัดออกมา รับฟังม่านฟ้าพร้อมตอบรับเบาๆ ถึงจะมีแกล้งกัน หยอกกันบ่อยๆ แต่ในเวลาเช่นนี้การได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันนั้นถือเป็นการให้กำลังใจที่ดีที่สุดแล้ว



     "เมฆ"

     เสียงผู้เป็นพ่อดังขึ้นเมื่อลูกชายคนโตเดินกลับมาถึงบ้านหลังหายไปบ้านเพื่อนตัวโตอยู่นานสองนาน

     "ครับ? "

     ม่านฟ้าเองก็ตอบกลับไปอย่างติดจะงุนงง ยิ่งเมื่อหันกลับมาเจอสายตาของพ่อที่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเริ่มทำให้ม่านฟ้าขยับตัวอย่างอึดอัด

     "ตอนไปไปชุดนี้เหรอ"

     "...เออ" คำถามที่ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ม่านฟ้าถึงกับไปไม่ถูก พอรู้อยู่ว่าพ่อเป็นคนช่างสังเกต แต่ถึงขั้นจำได้ว่าเขาออกไปด้วยชุดไหนแล้วกลับมาด้วยอีกชุดที่ต่างกันก็จะมากเกินไปแล้ว "เมฆ...ไปอาบน้ำบ้านพีทมาน่ะครับ"

     คำตอบง่ายๆ แต่กลับเรียกสายตาของมารดาให้หันขวับมา เริ่มสังเกตลูกชายให้ชัดจึงพบว่าเสื้อผ้าที่ลูกชายใส่ดูใหญ่กว่าตัว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเป็นเสื้อผ้าเจ้าของบ้านที่ลูกชายเพิ่งกลับมา แต่ที่น่าสงสัยกลับเป็นอีกเรื่องมากกว่า

     "แล้วไป ทำอะไรกันมา ทำไมถึงต้องอาบน้ำ"

     ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ม่านฟ้าจึงรู้สึกว่าเสียงถามในครั้งนี้ของมารดาดูดุดันกว่าเคยจนเผลอตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก

     "คะ แค่ไปช่วยมันล้างรถมาเองครับ"

     ----

     และแล้ววันที่ม่านฟ้ารอก็มาถึง

     “.. ว่าจะเคลียร์กันไปเลย เรื่องไอ้หมอก เราทิ้งเวลามานานล่ะ น่าจะตัดสินกันได้เสียที”

     ถึงจะพูดแบบนั้น ถึงจะวางแผนมาเกือบเดือน แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ม่านฟ้าคิดจะทำกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง อย่างที่เขาบอกคนรักนั่นแหละ

    'มึงกลับบ้านครั้งนี้จะทำอะไรอีกล่ะ'

     'ไม่ทำอะไรเลย'


     ก็ขอให้มันเป็นไปอย่างที่เขาหวัง ถึงม่านฟ้าจะไม่ได้ใส่ไฟหรือเกลี้ยกล่อมพ่ออีกแล้วนับจากวันนั้น อาจมีกระตุ้นนิดหน่อยอย่างการเก็บของของภูหมอกไป แต่เขาก็พอจะเห็นถึงท่าทีที่เริ่มเปลี่ยนไป

     นภดลดูอึดอัดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน เขารู้ว่าพ่อเองก็ใจหายที่อยู่ๆ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภูหมอกหายไป พ่อเหมือนคนที่เริ่มใจอ่อนแต่ก็ยังหาทางลงให้กับการกระทำของตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ม่านฟ้าทำได้ก็เพียงแค่การพาน้องมาส่งให้ถึงมือพ่ออีกครั้ง

     แล้วจากนั้นก็แค่รอ

     เขาเชื่อในลูกอ้อนของภูหมอก เขาเชื่อในความคิดถึงของพ่อ เขาเชื่อในความรักของครอบครัวว่าทุกอย่างจะทำให้มันกลับมาดีอีกครั้ง

     เมื่อรถยนต์ของพิธานจอดลงที่หน้าบ้านของม่านฟ้าและภูหมอก เด็กหนุ่มก็รีบเดินลงไปก่อนอย่างคนร้อนใจ ขณะที่ม่านฟ้ายังอ้อยอิ่งถอดสายนิรภัยออกอย่างสบายๆ ม่านฟ้ากำลังจะก้าวลงจากรถก็รู้สึกถึงมืออุ่นๆ ของคนขับเลื่อนมากุมมือของเขาไว้ พิธานเพียงบีบมือเขาแล้วยิ้มอย่างให้กำลังใจ ม่านฟ้าเองก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจความหมายที่คนรักต้องการสื่อ

     ม่านฟ้ามองส่งรถของคนรักที่ขับออกไปแล้วหันกลับมามองหน้าน้องชาย ถามออกไปเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่มั่นใจนั้น “พร้อมไหม”

     ภูหมอกพยักหน้ารับเบาๆ แม้เขาจะประหม่ากับการกลับบ้านครั้งนี้ไม่น้อย แต่ก็โกหกไม่ได้ว่าเขาดีใจ

     ความทรงจำในอดีตครั้งที่ม่านฟ้าไปมหาลัยครั้งแรกแล่นเข้ามาในหัว ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้น้องชายแล้วไล่สายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งจนมาถึงเนกไทเรียบๆ ที่ตรงราบอยู่กับเสื้อนิสิตอย่างเรียบร้อย

     เขานิ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อมมือไปดึงเนกไทนั้นแรงๆ!

     เด็กหนุ่มตกใจกับการกระทำนั้นไม่น้อยและยิ่งสงสัยเมื่อพี่ชายดึงเนกไทที่เขาใช้เวลากว่าสิบนาทีในการจัดเข้าไปจนติดคอเสื้อเกินกว่าพอดี

     ภูหมอกขยับมือจะจัดเนกไทให้เรียบร้อยอีกครั้ง แต่กลับถูกพี่ชายตีมือเอาไว้ก่อนลากตัวเข้าไปในบ้าน ภูหมอกได้แต่งุนงงกับพฤติกรรมแปลกแต่ก็เดินตามเข้าบ้านไปด้วยกัน

     เรื่องบางเรื่องต้องอาศัยการวัดดวงและโชคช่วย แต่โชคคงไม่ช่วย หากเราไม่ทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง

    “กูว่าความรู้สึกทุกอย่างตอนนี้มันอิ่มตัวแล้ว ก็แค่ปล่อยออกไป แล้วมันก็จะทำงานของมันเอง”

     ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ม่านฟ้าก็เพียงอยากเพิ่มความน่าจะเป็นที่ทำให้ 'อะไรๆ มันดีขึ้น' ได้อีกนิดเท่านั้น

     ----

     นภดลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงรถหน้าบ้าน เดาเอาว่าคงไม่พ้นเพื่อนลูกชายตัวโตที่มักแวะมาส่งม่านฟ้าบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้

     พิธานกลายเป็นบุคคลที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเขามากขึ้น จากครูสอนพิเศษของภูหมอก เพื่อนสนิทของลูกชาย จนตอนนี้แทบจะกลายเป็นลูกชายคนโปรดของภรรยาเขาอีกคนหลังเจ้าตัวเทียวส่งอาหารที่ทำเองมาให้บ่อยเหลือเกินด้วยข้ออ้างสารพัด

     ขณะที่ลูกชายตัวจริงอีกคน กลับหายไปจากชีวิตอย่าง 'แทบจะ' สมบูรณ์

     ตัวตนของภูหมอกกำลังจะหายไปจากบ้านหลังนี้

     เขาตระหนักถึงคำนี้ได้อย่างชัดเจนเมื่อแม้แต่รูปสักใบหรือของสักชิ้นที่เป็นของภูหมอกก็ยังไม่มีในบ้านหลังนี้

     ไอ้ลูกชายคนโตของเขามันแสบถึงทรวงจริงๆ

     ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงในบ้านที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของม่านฟ้า บางครั้งพอเห็นเขามองอยู่ก็ทำลอยหน้าลอยตา พูดออกมาเหมือนว่า ‘อยากเป็นลูกคนเดียวมานานแล้ว’

     เหอะ วิ่งเก็บของในบ้านแทบตายโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเก็บอย่างไรก็เก็บไม่หมดหรอก

     เพราะมันอยู่ติดตัวเขาตลอดเวลา

     นภดลเปิดกระเป๋าสตางค์หนังที่เริ่มเก่าออกมา ภาพที่เห็นคือภาพเด็กชายสามขวบที่อุ้มทารกอีกคนอยู่อย่างทุลักทุเลแต่ก็ยังหันมามองกล้องตามคำเรียกของเขา ชายวัยกลางคนดึงภาพที่ซ้อนอยู่ด้านหลังอีกหลายใบออกมา มีทั้งภาพแต่งงานของเขาและภรรยา ภาพของเด็กชายทั้งสองคนที่โตขึ้นอีกหน่อยและแต่งตัวเหมือนกันราวกับฝาแฝด น้องชายคนเล็กยิ้มแฉ่งเมื่อได้แต่งตัวเหมือนพี่ชาย ขณะที่พี่ชายกลับทำหน้าตามู่ทู่อย่างไม่พอใจที่ถูกจับแต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมเหมือนเด็กๆ

     ม่านฟ้าตอนเด็กนั้นทั้งแสบทั้งซน ถึงอยากไปเล่นคนเดียวก็จริง แต่น้องชายที่ติดพี่แจก็งอแงจะตามไปด้วยทุกครั้ง และก็นับได้ไม่กี่ครั้งที่จะกลับมาอย่างไม่มีบาดแผลทั้งพี่ทั้งน้อง

     ชายวัยกลางคนขยับมือหยิบนาฬิกาที่ลูกชายทั้งสองซื้อให้ แม้จะมีรอยบิ่นเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงใส่มันอยู่ถึงทุกวันนี้ นาฬิกาที่ไม่ได้แพงมากมายแต่ถูกเลือกมาอย่างดีด้วยความใส่ใจ

     นภดลถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงวันเก่าๆ ก้าวเดินลงบันไดเหมือนกับทุกวันขณะขยับสายนาฬิกาให้พอดี แต่วันนี้กลับมีบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

     ไม่สิ สิ่งที่เคยหายไปกำลังจะกลับมาต่างหาก



     ภาพลูกชายคนเล็กที่ผละออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ปรากฏสู่สายตา ร่างของเด็กหนุ่มเหมือนจะสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยจากครั้งสุดท้ายที่เห็น ยิ่งเปลี่ยนจากชุดนักเรียนที่เห็นจนชินตากลายเป็นชุดนิสิตยิ่งทำให้ภูหมอกดูโตขึ้นกว่าเดิมมาก

     และเพียงแค่สบตา ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของชายวัยกลางคนไม่ใช่ความโกรธ ความเกลียด หรืออคติใดๆ แต่เป็นเพียงคำสั้นๆ สองคำที่ดังชัดยิ่งกว่าสิ่งใด

     ‘คิดถึง’

     เขามองลูกชายยืนห่างออกไปด้วยความภาคภูมิใจ ภูหมอกไม่เคยทำให้เขาผิดหวังแม้สักครั้ง จนกระทั่งตอนนี้ที่ว่าที่คุณหมอในชุดนิสิตกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา การใส่ชุดนิสิตหรือนักศึกษาเป็นความฝันของเขา นภดลไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยปิดเพราะเมื่อจบม.3 ก็ต่อสายอาชีพเพื่อที่จะได้หางานช่วยพ่อแม่ได้เร็วขึ้น ก่อนจะมาเรียนมหาวิทยาลัยเปิดควบกับทำงานไปด้วยโดยการส่งเสียตัวเอง

     การได้เห็นลูกทั้งสองใส่ชุดนิสิตจึงเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเขา

     “สิ่งที่พ่อภูมิใจในตัวหมอกมาตลอด มันแค่ความเป็นผู้ชายของหมอกเท่านั้นเหรอพ่อ"

     ไม่ ไม่ใช่

     คำถามพร้อมตัดพ้อของลูกชายคนโตดังขึ้นมาในหัว ถึงเขาจะรู้อยู่แก่ใจในตอนนี้ว่าภูหมอกไม่ได้เป็นลูกชายคนเดิมของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ความรักและความภาคภูมิใจในลูกคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนไป ภูหมอกเป็นความภาคภูมิใจของเขาในหลายสิ่ง ทั้งนิสัยดี เรียนเก่งและยังเป็นลูกที่น่ารักของเขาไม่ต่างไปจากที่ม่านฟ้าเคยพูดเอาไว้เลยสักนิด ทุกสิ่งที่ประกอบรวมกันเป็นภูหมอก มันคือสิ่งที่ทำให้เขา..ภูมิใจ และรักเด็กคนนี้ที่สุด

     เขาถึงได้เฝ้าดูแลและทะนุถนอมเจ้าลูกคนนี้จนโดนทั้งภรรยาและลูกชายคนโตบ่นเอาบ่อยๆ

     ถึงแม้ลูกจะโตจนสูงเลยเขาไปแล้ว แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้

     มือสองข้างยื่นออกไปจัดเนกไทให้เด็กหนุ่มอย่างเผลอตัว ดึงเสื้อที่ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยให้ทิ้งตัวกำลังดี ชายวัยกลางคนแค่นยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาสบกับดวงตาเศร้าของเด็กหนุ่มเมื่อได้ยินเสียงคล้ายสะอื้น

     “พ่อเคยรู้ไหม ลูกของพ่อ ไม่สิ น้องชายของเมฆน่ะ ก็เคยโดนทำร้ายแบบนี้เหมือนกัน”

     “น้องกลับมา...ร้องไห้ ไม่มีใครที่อยู่ตรงนั้นจะช่วยน้องสักคน”


     จะเมื่อไหร่ก็ยังทำให้เขาเป็นห่วงได้เสมอ

     เสียงร้องไห้ของภูหมอกดังหนักขึ้น ก่อนที่เขาจะได้รู้สึกถึงแรงโถมเข้ากอดจากเด็กหนุ่มตัวโต เสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มในเวลานี้ดังสะท้อนซ้อนกับเสียงในความทรงจำของเขาและคำถามของลูกชายอีกคน



     “แล้วถ้ามันเกินกำลังของเมฆที่จะดูแลน้อง เมฆต้องทำยังไงล่ะครับ”

     คำถามซื่อๆ ของลูกชายกับหน้าตาบึ้งตึงที่ติดจะมอมแมมนั้นทำให้อารมณ์ที่ร้อนของเขาบรรเทาลง มองสภาพลูกชายคนโตให้ดีก็เห็นว่าม่านฟ้าตัวเล็กมากแค่ไหน

     ใช่ ม่านฟ้ายังเป็นเพียงเด็ก แต่เขาก็ฝากฝังหลายเรื่องไว้กับเด็กตัวแค่นี้

     ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เขาและภรรยาก็รีบกลับมาบ้าน ได้ความว่าม่านฟ้ากับภูหมอกออกไปเล่นและเกิดอุบัติเหตุ ม่านฟ้าจึงรีบไปยืมโทรศัพท์จากเพื่อนบ้านก่อนรื้อกล่องปฐมพยาบาลมาพันข้อเท้าน้องจนหนาเตอะ

     เป็นเหตุให้เลือดไม่เดินและบวมหนักกว่าเก่า

     ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย คำพูดของลูกชายไม่ได้เกินความจริงไปสักนิด ม่านฟ้าพยายามในแบบของตนเองเต็มที่แล้วจริงๆ ถึงบางอย่างจะยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงไปอีกแต่ก็ล้วนเกิดจากความหวังดีทั้งนั้น

     ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าออกมาเบาๆ แล้วนั่งยองลงเพื่อสบตากับลูกชายให้ชัดเจน เสียงร้องไห้ของลูกชายคนเล็กยังคงดังมาให้ได้ยิน

     ม่านฟ้าในวัยเด็กอาจจำคำพูดของเขาไม่ได้ แต่เขากลับจำมันได้ขึ้นใจ

     “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร เมฆทำดีที่สุดแล้ว”

     .

     .

    “ถึงเวลานั้น...พ่อจะเป็นคนดูแลเมฆกับน้องเองนะ”




     เสียงร้องของลูกชายที่ดังอยู่ข้างหูพร้อมด้วยแรงที่กระชับกอดเขามากขึ้นดึงชายวัยกลางคนออกจากภวังค์ เขาถอนหายใจออกมายาวๆ เหลือบมองลูกชายอีกคนที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล

     แล้วเลือกที่จะปล่อยวางและละทิ้งทิฐิที่อยู่ในใจลง ก่อนขยับมือขึ้นเพื่อกอดตอบเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาไว้

     “ไม่เป็นไรนะ ลูก ไม่เป็นไร”

     มันคงถึงเวลาที่เขาต้องกลับมาทำหน้าที่ของพ่อแล้ว



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 21

     “แล้วเลิกกี่โมง ให้พ่อมารับไหม”

     ม่านฟ้าหันกลับมามองพ่อที่เปิดกระจกมาถามหลังส่งพวกเขาลงหน้ามหาวิทยาลัย “ไม่เป็นไรหรอกพ่อ ไม่น่าจะถึงเย็นหรอกมั้ง เดี๋ยวกลับเองก็ได้ครับ”

     ชายวัยกลางคนดูลังเลนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ เหลือบตาไปมองลูกชายอีกคนที่ไม่พูดอะไรทำเพียงยกยิ้มน้อยๆ มาตลอดทาง “งั้นก็กลับบ้านกันดีๆ ล่ะ เจอกันที่บ้าน”

     ภูหมอกขยับยิ้มกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำนั้น ยกมือไหว้คนเป็นพ่ออีกทีก่อนรถสีดำจะเคลื่อนตัวออกไป ม่านฟ้าหันกลับมามองเด็กหนุ่มที่ยืนยิ้มเหมือนคนบ้าท่ามกลางแดดจ้าในยามเช้าแล้วก็ถอนหายใจ ผลักไหล่น้องชายให้เดินไปยังจุดนับพบของวันนี้

     วันนี้ภูหมอกถูกเรียกตัวมาเป็นแบบสำหรับถ่ายรูปโปรโมทเฟรชชี่และตัวอย่างการใส่ชุดนิสิตที่ถูกระเบียบ เขาปล่อยน้องชายทิ้งไว้กับรุ่นเพื่อนรุ่นพี่ ฟังคำงอแงนิดหน่อยของน้องชายแล้วนั่งรถเวียนกลับไปที่หอใน เขารับปากกับรูมเมทไว้ว่าจะกลับมาช่วยเก็บของหลังจากเก็บไปบ้างแล้วบางส่วนตั้งแต่เมื่อวาน อยากจะรีบทำให้เสร็จก่อนน้องชายตัวดีจะงอแงขึ้นมาอีกรอบ

     "แล้วแฟนมึงไปไหน ทำไมไม่มาช่วยกูเก็บของ"

     คำถามของณัฐดนัยเรียกสายตาม่านฟ้าขึ้นมาจากชั้นเก็บของ พวกเขากำลังช่วยกันเก็บของครั้งใหญ่เพื่อให้ณัฐดนัยย้ายสำมะโนครัวไปอยู่กับคนรักโดยสมบูรณ์หลังเช่าหอไว้เป็นปีแต่แทบไม่ได้อยู่เลยสักวันเดียว
     
     "แล้วมึงเป็นเมียน้อยมันเหรอ มันถึงต้องมาช่วยมึงเก็บอ่ะ"

     คำถามง่ายๆ สไตล์มึนๆ ของม่านฟ้าเล่นเอาณัฐดนัยถึงกับหันขวับ

     "แรงงง ปากร้ายมาก นี่มึงปากร้ายติดไอพีทมารึไง กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี แค่มึงกล้าไล่กูออกจากหอกูก็เจ็บมากแล้ว มึงยังจะพูดจาทำร้ายจิตใจแถมใส่ความกูแบบนี้อีก"

     ม่านฟ้าเก็บของพร้อมฟังเพื่อนดราม่าไปเรื่อยๆ แต่สมองกลับยังวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องในวันนี้ จะว่าเหนือความคาดหมายก็ไม่แปลก จริงอยู่ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้เยอะแยะ แต่พอทุกอย่างมันจบลงได้แบบง่ายๆ เช่นนี้ก็เล่นเอาไปไม่ถูกเหมือนกัน

     “กูแค่จะเตรียมเอาน้องมาอยู่ด้วย มีมึงเป็นรูมเมทตอนนี้ก็เหมือนไม่มี จะมาแชร์ค่าห้องกับกูทำไมตั้งหลายปี”

     “ยังไงกูก็ยังอยากจะมีห้องเป็นของตัวเองบ้างนิหว่า ไม่ใช่ไปอยู่กับพี่เขาอย่างเดียวเลย” 'พี่' ที่ณัฐดนัยพูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากแฟนของเจ้าตัวนั่นแหละ แถมอายุยังห่างกันตั้งเจ็ดปีอีกต่างหาก

     “แล้วตอนนี้? ” ม่านฟ้าหันไปเลิกคิ้วถามเพื่อนที่บทจะยอมย้ายก็ยอมง่ายๆ ทั้งที่ม่านฟ้าเคยบอกหลายต่อหลายรอบแล้วว่าจะย้ายก็ย้ายไป เขาหารูมเมทใหม่ได้

     “พี่เขาบอกเดี๋ยวก็เรียนจบแล้ว ก็… เหมือนซ้อมไปอยู่ด้วยกันถาวรเลยดู”

     "เออ ดีๆ ขอให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะมึง" ถึงตอนนี้จะเหมือนอยู่ด้วยกันถาวรแล้วก็เหอะ

     "ไอxxx"

     อ้าว โดนด่าอีก อุตส่าห์อวยพร

     ม่านฟ้าส่ายหน้าขำๆ เมื่อเพื่อนรักสบถด่าออกมาเต็มคำ แต่ถึงจะแซวมันไปแบบนั้นแต่ก็ยินดีกับชีวิตดีๆ ของเพื่อนและคนรักที่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนอกจากงอนงุ้งงิ้งกันไปวันๆ

     "เห้อ อีกเดี๋ยวก็ไฟนอลแล้ว เผลอแป๊บๆ เราจะจบปีสามกันแล้วนะไอเมฆ"

     ม่านฟ้าพยักหน้าตอบรับคำเพื่อนแต่นึกได้ว่าต่างคนต่างก้มหน้าเก็บของจึงส่งเสียงตอบรับไปเบาๆ "อืม"

     "ไอพวกที่ถ่ายรูปเฟรชชี่ของน้องมึงแม่งก็รีบ เรายังไม่ทันปิดเทอมแม่งเรียกเด็กมาถ่ายรูปล่ะ" ณัฐดนัยก็ยังเป็นณัฐดนัย เจ้าตัวสามารถพูดและเปลี่ยนเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปได้เรื่อยๆ แบบไม่มีหยุด
     
     "เห็นบอกว่าพอปิดเทอม รุ่นพี่บางคนแม่งต้องไปค่ายหรือไม่ก็มีคนไปเวิร์ค เลยรีบๆ ถ่ายไปก่อนเลย" ม่านฟ้าคลายข้อสงสัยของเพื่อนก่อนจนถูกคำถามต่อไปยิงสวนมาอีก

     "แล้วปิดเทอมนี้มึงไปไหนป่าว ต้องฝึกงานป่ะ ของกูก็ต้องไปฝึกงานเหมือนกัน แต่โคตรขี้เกียจ" ณัฐดนัยว่าแล้วเรียกม่านฟ้ามาช่วยยกลังที่เก็บของไว้จนเต็มไปไว้ที่หน้าห้อง

     "ของกูไม่นะ กูยื่นฝึกไปตอนปีสี่เทอม 2 เลย กูอัดวิชาที่จำเป็นไว้แล้ว มีแต่ไอพีทอ่ะ ที่ต้องไปฝึกงาน"

     "..."

     "...อะไร" ม่านฟ้าถามกลับเมื่อโดนเพื่อนมองกลับมาด้วยสายตาเอือมระอาพร้อมเบะปากน้อยๆ

     "ไม่ได้อยากรู้เรื่องแฟนมึง พูดเพื่อ" คนเตรียมย้ายออกทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงเมื่อมองซ้ายมองขวาก็เห็นว่าเก็บของทุกอย่างครบแล้ว

     "อ้าว ก็เมื่อกี้มึงยังถามถึงผัวน้อยมึงอยู่เลย ทีแบบนี้ทำมาเป็นไม่อยากรู้" หนุ่มอักษรฯ ยักไหล่แล้วพูดขำๆ พิธานกับณัฐดนัยเป็นอีกคู่หนึ่งที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมากัน เจอหน้ากันทีไรต้องทะเลาะกันตลอดจนขนาดม่านฟ้ายังอดแซวไม่ได้

     ทั้งๆ ที่อีกไม่นานก็จะดองกันอยู่แล้ว ยังจะกัดกันไม่เลิก

     "โอ๊ยย รำคาญมึง" ณัฐดนัยบ่นขึ้นมาอีกหน่อยแล้วผลักหัวม่านฟ้าที่มานั่งอยู่บนพื้นเอาหลังพิงเตียงอยู่ข้างตัว "ว่าแต่เรื่องน้องมึง โอแล้วเหรอ"

     "...อืม" ม่านฟ้าครางรับในลำคอเบาๆ ไหลตัวลงไปวางหัวกับที่นอนแล้วกล่าวต่อ "จบไปแบบงงๆ แต่ก็ดี"

     "แต่น้องมึงนี่แม่งก็เก่งนะ หมอที่นี่คะแนนแม่งอย่างสูง น้องเพื่อนกู..."

     เสียงของณัฐดนัยเริ่มเข้าสู่โสตประสาทของม่านฟ้าน้อยลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มเห็นพระอินทร์กวักมือเรียกอยู่ไกลๆ แต่ก็พยายามคิดตามในสิ่งที่เพื่อนพูด แล้วก็เห็นจะจริง

     หมอกมันเป็นเด็กเก่งจริงๆ นั่นแหละ

     'เรียนให้เก่งเข้าไว้หรือทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆ ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วคนก็จะยอมรับได้เอง'

     'พ่อแม่พร้อมจะมองข้ามเรื่องเพศไปเสมอตราบใดที่คุณประสบความสำเร็จ'


     ความคิดเห็นที่เคยอ่านจากกระทู้ในวันวานย้อนเข้ามาในหัวของเขา

     ทุกคนก็คงคิดแบบนั้นสินะ

     แล้วเขาล่ะ

     'เพศที่สามเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้เหรอ ทำไมใครๆ ต้องบอกให้เก่งเหนือคนอื่น การเป็นเพศที่สามไม่ใช่ปมด้อยที่จำเป็นต้องเอาข้อดีด้านอื่นมาปกปิดไม่ใช่เหรอ'

     นั่นสิ ไม่ได้เหรอ เขาเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้จริงๆ เหรอ

     ----

     วันหนึ่ง

     พีท : ‘วันนี้กลับบ้านไหม’

‘ไม่อ่ะ ขี้เกียจ’ : เมฆ

     พีท : ‘โอเค วันนี้กูกลับบ้านนะ เฮียเรียกตัวไปกินข้าวด้วย’

‘เค ขับรถดีๆ ’ : เมฆ

     วันหนึ่ง

     พีท : ‘กลับบ้านป่าว’

‘ม่าย’ : เมฆ

     พีท : ‘เค’

     พีท : ‘กูไม่อยู่หอนะ วันนี้กลับบ้าน ลืมชีทไว้’

‘อาห่ะ’ : เมฆ

     วันหนึ่ง

     พีท : ‘มึงอยู่ไหน’

‘หอ’ : เมฆ

     พีท : ‘กลับบ้านป่ะ’

‘ไม่’ : เมฆ

‘มึงจะกลับบ้านอีกแล้วเหรอ’ : เมฆ

‘ทำไมช่วงนี้กลับบ้านบ่อยจัง’ : เมฆ

     พีท : ‘อ๋อ’

     พีท : ‘เปล่าๆ วันนี้จะไปทำงานคอนโดไอซัน คงไม่กลับหอ’

     พีท : ‘ถามดู เผื่อมึงกลับ จะได้ไปส่ง’

‘อ๋อ ไม่เป็นไร’ : เมฆ

‘ไม่กลับๆ ’ : เมฆ

 

     ม่านฟ้าวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกินข้าว เขากำลังทานข้าวอยู่ในโรงอาหารก็ถูกคนรักทักมาด้วย..เรื่องคล้ายๆ เดิม หลายวันแล้วที่พิธานทักมาด้วยประโยคคล้ายกัน แต่เนื้อความเดียวกันคือ ‘กลับบ้านไหม’ และทุกวันที่ทักมาก็ไม่ใช่วันศุกร์หรือวันที่ไม่มีเรียน แต่เป็นวันธรรมดาๆ เนี่ยแหละ

     จะว่าแปลก แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน ก็แค่กลับบ้าน

     ไม่ได้แอบไปมีกิ๊กซะหน่อย

     ถึงการกลับบ้านของพิธานช่วงนี้จะทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เขาคิดถึงหรืออาวรณ์อะไรกันขนาดนั้น ปกติก็ไม่ได้ตัวติดกันมากอยู่แล้ว (ถึงช่วงที่ผ่านมาจะมากไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ)

     “ไอ้เมฆ ไงมึง”

     เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้ม่านฟ้าเงยหน้ามอง เห็นรูมเมทของคนรักอย่างกรณ์เดินมากับเพื่อนสนิทอีกคนก็พยักหน้าทักทายตอบ สองหนุ่มที่มาใหม่เดินมานั่งตรงข้ามกับม่านฟ้าพร้อมจานข้าว การเจอคนรู้จักในโรงอาหารหอในไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอย่างไรก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ แต่ที่แปลกคือคำถามต่อมา

     “ไม่ได้อยู่กับไอ้พีทเหรอ” ม่านฟ้าส่ายหน้าให้เล็กน้อยแล้วถามกลับไปแทน “นึกว่าไปทำงานด้วยกันหมด มันบอกไปทำงานหอซันนี่”

     “...” สองคนมาใหม่เหลือบมองกันเล็กน้อยอย่างงุนงง แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ปฏิกิริยาของสองหนุ่มวิศวะตรงหน้าทำให้ม่านฟ้าเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรจนเมื่อประโยคต่อมาที่ทำเขาชะงักไปจริงๆ “ไอ้ซันมันลาทั้งอาทิตย์เพราะกลับบ้านต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอวะ”

     อ้าว แล้วพีทไปไหน

     คำถามจากสีหน้าของม่านฟ้าคงชัดเจนจนชายหนุ่มอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะเริ่มนั่งไม่ติด สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วก็ยิงคำถามกันทางสายตา ท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนกลัวจะทำให้เพื่อนเดือดร้อนทำให้ม่านฟ้าถอนหายใจเบาๆ สองคนนี้คงไม่รู้เหมือนกันว่าพิธานไปไหน แต่เหมือนม่านฟ้าจะมีคำตอบที่ผุดขึ้นมาในใจ

     กลับบ้านอีกแล้วเหรอ

     แล้วทำไมต้องปิด หรือไม่อยากตอบคำถามที่เขาถามว่าทำไมถึงกลับบ้านบ่อย จริงๆ ถ้าพิธานจะกลับบ้านก็ไม่เห็นแปลก จะกลับไปโดยไม่บอกเขาก่อนเลยก็ได้ แต่นี่กลับถามเขาก่อนทุกครั้งว่าจะกลับบ้านไหม จนม่านฟ้าเหมือนจะเชื่อมโยงบางอย่างได้แต่ก็เหมือนจะไม่ได้

     ช่างเถอะ

     หนุ่มอักษรฯ คนเดียวในโต๊ะส่ายหน้าปัดความคิดออกไป ตัดสินใจว่าเจอหน้ากันค่อยถามก็ได้ ตลอดสี่ปีที่คบมาพิธานไม่เคยมีเรื่องให้เขาต้องกังวลอย่างการนอกใจ แม้แต่โกหกหรือปิดบังยังแทบจะไม่เคยด้วยซ้ำ หรือมี..แต่เขาไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีแล้วกัน

     “เออ แล้วเรื่องฝึกงาน มึงรู้ไหมว่าไอ้พีทต้องไปฝึกที่ไหน บริษัทที่มันได้เขาชอบส่งไปไซต์ต่างจังหวัด รุ่นพี่ที่ได้ปีที่แล้วแม่งต้องไปถึงหาดใหญ่เลยนะเว้ย” ม่านฟ้าดึงความคิดตัวเองออกมาเมื่อเจอคำถามต่อมาจากเพื่อนคนรัก

     นั่นสิ เขายังไม่ได้ถามเลยว่าพิธานจะต้องไปที่ไหน

     .

     .

     "ระยอง"

     พิธานตอบคนรักพร้อมเอาตัวโตๆ มาแปะติดไว้กับหลังของม่านฟ้าในอีกสองวันต่อมา ม่านฟ้าขยับหัวหลบอีกคนที่เริ่มทำตัวไม่มีกระดูกแทนเขาแล้วเอาคางมาเกยอยู่ที่บ่า พิธานที่ยื่นเรื่องขอฝึกงานไปกับบริษัทหนึ่งกำลังจะถูกส่งตัวไปฝึกงานที่ระยองเป็นเวลาเกือบสองเดือนในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนเข้าปีสี่

     แท้จริงแล้วก็ใช่ว่าจะไปยาวไม่กลับตลอดสองเดือนหรอก แต่เพราะต้องทำงานหกวัน หยุดเพียงวันอาทิตย์วันเดียว พิธานจึงอาจจะกลับอาทิตย์เว้นอาทิตย์หรือแล้วแต่ความสะดวก โชคดีที่บริษัทมีบ้านพักสำหรับพนักงานอยู่ด้วย ไม่งั้นถ้าต้องจองโรงแรมหรือเทียวไปเทียวกลับคงแย่

     “อย่าหงอยนะ คุณแฟนไม่อยู่เดี๋ยวทิ้งกางเกงในไว้ให้ดม”

     ‘คุณแฟน’ คนปากเสียที่ยังไม่ทิ้งลายเดิมโดนสบถด่าเข้าไปหนึ่งดอกจากคนรัก ม่านฟ้าส่ายหน้าระอากับคำพูดเพ้อเจ้อและความวอแวของเจ้าตัวที่ยังไม่เลิกนัวเนีย ไม่ได้คิดมากเท่าไหร่กับการที่ความรักของพวกเขาอาจจะต้องเป็นรักทางไกลกันสักพัก สำหรับคู่รักคู่อื่นอาจเป็นเรื่องใหญ่กับการต้องห่างกัน แต่พวกเขาเองก็ใช่ว่าจะตัวติดกันหรือหวานกันมากมายจนจะทนไม่ได้หากต้องจากกันสักระยะเช่นนี้

     อืม ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะนะ

     โอเค ยอมรับว่าแอบหงุดหงิดใจนิดหน่อย หงุดหงิดตัวเองที่เกิดความรู้สึกแปลกๆ นี่แหละ ม่านฟ้าไม่เคยคิดว่าการไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดของคนรักจะเป็นปัญหาหรอก แต่เพราะช่วงนี้พิธานมักทำตัวติดกับเขามากเกินไป เผลอก็จับ เผลอก็กอด แถมบางทียังมีจูบให้งงๆ เขินๆ กันไปอีก...จนเขาเริ่มชิน

     เริ่มติด

     ติดไปกับสัมผัสอุ่นๆ ของคนคนนี้ เสียงทุ้มที่ได้ยิน ร่างสูงที่มักเห็นอยู่ในสายตา พร้อมทั้งความรู้สึกดีๆ ที่มีใครคอยคุยเล่น ปรึกษา ปรับทุกข์ ไปจนถึงหยอกล้อเรื่อยเปื่อยอยู่เกือบทุกวัน

     เกลียดการมาทำให้ติดแล้วก็ทิ้งแบบนี้จังว่ะ

     “กูไม่อยู่ก็อย่าคิดมากล่ะ... อนุญาตให้คิดได้อย่างเดียวคือคิดถึงเค้า เข้าใจไหมตัวเอง”

     ม่านฟ้าถอนหายใจใส่อีกคนแถมด้วยการมองบนไปอีกหนึ่งดอก อารมณ์หงุดหงิดใจหายไปเปลี่ยนเป็นเหนื่อยใจกับคนที่กอดอยู่ด้านหลังแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยแทน คำหยอดพวกนี้พวกเขาเคยมีกันที่ไหน ได้ยินทีไรขนลุกทุกที

     “โอยๆๆ ล้อเล่นๆ แหม ก็อยากลองหยอดบ้าง เห็นคู่อื่นเขาก็หยอดกัน กะงุกะงิ” พิธานรีบรั้งเอวม่านฟ้าไว้เมื่อเห็นคนรักทำท่าจะขยับออกจากวงแขนจึงดึงมานั่งตรงหว่างขาเสียเลย คนถูกหยอดเหลือบตามองคนรักที่พูดภาษาแปลกๆ ออกมาแล้วส่ายหัว ยื่นมือออกไปอังหน้าผากคนรักให้มั่นใจว่าไม่ได้ป่วยจนเพี้ยนก่อนพยักหน้าตอบรับแกนๆ กลับไป “โอเคๆ เมฆจะคิดถึงพีทนะครับ”

     ม่านฟ้าเผลอยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นอีกคนมีเลือดฝาดขึ้นที่ข้างแก้มอย่างคนเขิน สายตาคนตัวโตเบนออกไปทางอื่นแล้วพึมพำออกมาเบาๆ “เห้ยย อย่าแทนตัวเองด้วยชื่องี้ดิ มันดาเมจจ”

     คนสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นเหมือนยังไม่สาแก่ใจหันกลับไปจูบเบาๆ ที่ปลายคางแล้วพลิกตัวมาซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง คนตัวโตที่โดนดาเมจซ้ำๆ กอดคนรักไว้นิ่งเหมือนรอเวลาให้เลือดเต็มหลอดก่อนก้มลงสูดกลิ่นที่คุ้นเคยเข้าไปอีกครั้ง “กูรู้สึกเหมือนช่วงนี้กูติดมึงมากยังไงไม่รู้ ไอพวกเพื่อนแม่งก็บอกงั้น”

     “อืม..” คนตัวเล็กกว่ายังซุกหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่อยากบอกว่าเขาเองก็กำลังพยายามเก็บเกี่ยวความอบอุ่นของคนตรงหน้าไว้เหมือนกัน ทั้งเขินทั้งคันหัวใจแปลกๆ กับอาการราวกับข้าวใหม่ปลามันเช่นนี้ทั้งที่ก็คบกันมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกอีกคนจี้ให้ตอบจนได้

     “อืมอะไร”

     “อืม…” ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเขาหมายความว่าอะไร ก็ยังจะเร่งให้เขาพูดมันออกมา “เหมือนกัน”

     เมื่อได้คำตอบที่ถูกใจ พิธานก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบางๆ “แต่จะไปก็ยังอดห่วงมึงไม่ได้อยู่ดี” เขาขยับตัวม่านฟ้าออกมาเพื่อสบตากันตรงๆ เสยผมที่ปรกหน้าลงมาให้คนรักก่อนประคองแก้มอีกฝ่ายไว้ด้วยมือข้างเดียว “เมฆ”

     “...” ม่านฟ้าได้แต่นิ่งรอฟังคำพูดของอีกคนที่เปลี่ยนท่าทางเป็นจริงจังมากขึ้น

     “อย่าเพิ่งบอกอะไรกับพ่อทั้งนั้นตอนที่กูไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพ่อจะโมโหขึ้นมาอีกไหม แต่ให้กูอยู่ใกล้ๆ มึงก่อน ไม่เอาตอนที่กูอยู่ไกลแบบนี้ รู้มั้ย” พิธานมองคนรักที่มองมาครู่หนึ่งก่อนหลุบตาหนีลงไป แล้วฝืนตัวเองเอนมาซบบ่าของเขาอีกครั้งอย่างเนียนๆ

     “อย่าเงียบ รับปากกูมาก่อน เร็ว” ว่าที่นิสิตฝึกงานเขย่าตัวคนรักเบาๆ เป็นการเร่ง

     "กูว่ากูลองคุยเองได้" ม่านฟ้าไม่ได้คิดจะจูงมือพิธานเข้าบ้านแล้วเดินไปสารภาพกับพ่ออย่าง 'พ่อครับ นี่แฟนผม' ให้ช็อกตาตั้งแบบนั้น ขืนทำเช่นนั้นจริงพิธานคงไม่พ้นโดนตะเพิดแถมโดนพ่อเกลียดขี้หน้าไปด้วยแน่นอน

     "ไม่ดิ ไม่เกี่ยวกับให้กูไปด้วยไหม แต่หมายถึงให้กูสแตนด์บายอยู่ใกล้ๆ ก่อน ไม่ใช่เกิดเรื่องอะไรแล้วกูอยู่ถึงระยองโน่น" พิธานก็รู้ว่าม่านฟ้าคงไม่ยอมให้เขาเข้าไปคุยกับพ่อด้วย แต่ขออยู่ใกล้ไว้ก่อนอุ่นใจกว่า

     "..." ม่านฟ้านิ่งเงียบเหมือนคนหลับอยู่ในอ้อมแขน

     "มึงอยากให้กูขับรถเร็วๆ กลับมาหามึงเหรอ" แต่พิธานรู้ เจ้าตัวไม่ได้หลับหรอก

     "..." พิธานชอบเรียกอาการนี้ว่าดื้อเงียบ แต่แท้จริงแล้วม่านฟ้ากำลังใช้ความคิดต่างหาก

     "แล้วไม่ใช่คิดว่า แค่ยังไม่ต้องบอก แก้ปัญหาอะไรไปเอง รอกูกลับมาแล้วค่อยบอกนะ กูมารู้เรื่องอะไรทีหลังกูโกรธจริงๆ นะเมฆ" เมื่อซบก็แล้วนิ่งก็แล้วก็ยังไม่ได้ผล ม่านฟ้าก็เริ่มออกอาการเบะปากเล็กน้อย..แต่ไม่พ้นสายตาของคนตัวโต "เบะปากทำไม คิดจะทำใช่ไหม"

     "..."

     "..."

     "พีท" หลังจากเงียบให้โดนบ่นมานาน ม่านฟ้าก็เริ่มออกปากบ้าง

     "กูให้มึงเก็บเป็นความลับมาตลอด ทำให้มึงต้องอึดอัด แล้วพอถึงคราวที่จะบอกความจริง ก็ยังจะให้กูทำตัวเป็นภาระมึงอีกเหรอ" พอสิ้นคำของม่านฟ้าเสียงถอนหายใจแรงๆ ก็ดังมาจากอีกคน ก่อนจะถูกดันลงมานั่งข้างกัน ระดับความจริงจังเพิ่มขึ้นห้าระดับทันที

     "นี่คิดแบบนี้เหรอ"

     "ตอนนั้นที่มึงพากูไปหาป๊าม้าครั้งแรก" ม่านฟ้าไม่ได้ตอบคำถามของคนรักแต่เริ่มพูดในสิ่งที่คิดออกมา "เพราะมึงบอกท่านไว้แล้ว มึงจัดการความรู้สึกของคนในบ้านไว้หมดแล้ว ตอนกูไปครั้งนั้นมันเลย...ดีมาก ทั้งที่กูกลัวแทบตาย แต่ป๊าม้าเขาต้อนรับกูดีมากๆ เลย"

     "กูก็แค่อยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง" ยิ่งพูดเสียงของม่านฟ้ายิ่งเบาลงเรื่อยๆ ใบหน้าก้มต่ำจนพิธานจับได้เพียงเสียงที่สั่นเล็กน้อย "แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง"

     "...อืม"

     เพียงได้ยินคำตอบรับสั้นๆ ของพิธาน คนตัวเล็กกว่าก็เหลือบตาขึ้นมองอีกคน สายตาของม่านฟ้าแดงก่ำซึ่งก็แทบไม่ต่างจากคนที่ส่งเสียงดุออกมาตอนนี้ ม่านฟ้าหดคอลงไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรู้ว่าตาแดงๆ ของพิธานก็เกิดขึ้นจากอารมณ์อ่อนไหวเช่นกัน

     "..."

     "มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม" ม่านฟ้าเม้มปากอยากจะบอกว่าไม่ แต่ปากก็หลุดพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปก่อน

     "เมื่อไหร่เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งเสียทีว่ะ"

     หน้าตาหงอยๆ ของคนรักทำให้พิธานหลุดยิ้มออกมาอย่างอาดูร ก้มหน้าลงไปชนหน้าผากกับคนรัก "นั่นสินะ"

     มือหนาของพิธานเอื้อมลงจับมือเรียวของอีกคนไว้ เขาไล่นิ้วโป้งกับหลังมือเนียนช้าๆ อย่างใช้ความคิด...และกำลังเรียบเรียงความรู้สึกของตัวเอง

     "แล้วมึงรู้ไหม กูรู้สึกยังไง"

     "..."

     "หรือมึงคิดว่ากูควรรู้สึกยังไง” พิธานหายใจเข้าลึกจนรู้สึกได้ถึงไหล่ที่กระเพื่อมขึ้นลง “คนที่ยอมรับเงื่อนไขของมึงตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็ดิ้นรนจะทำลายเงื่อนไขนั้น ผลักให้มึงออกไปสู้กับพ่อของมึง เหมือนบังคับให้มึงออกไปสู้สิ ออกไปสู้เพื่อกู กูจะได้หายอึดอัด มึงคิดว่ากูต้องรู้สึกยังไง”

     เสียงที่เริ่มสั่นของพิธานทำให้ม่านฟ้ากำมือของคนรักแน่นขึ้น “ถึงวันนั้นจะไม่ใช่เพราะพ่อรู้เรื่องของเรา แต่วันที่พ่อเข้าใจผิดแล้วมึงหนีออกจากบ้าน กูที่ต้องเห็นมึงร้องไห้อยู่กับอกกูเนี่ย ต้องเห็นตัวมึงเขียวมึงช้ำไปหมดเพราะโดนพ่อตี มึงคิดว่ากูต้องรู้สึกยังไงเมฆ”

     ม่านฟ้านิ่งงันอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตาของคนรักร่วงลงมาบนตัก พิธานไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เจ้าตัวเพียงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเหมือนคนที่อัดอั้นกับความรู้สึก

     “กูอยากจะบอกให้มึงพอ พอแล้ว ไม่ต้องบอกแล้ว เราอยู่กันอย่างงี้ก็ได้...แต่กูก็ยังเห็นแก่ตัว”

     “กูดิ้นรน กูอยากทำอะไรได้บ้าง กูอยากจะเดินไปให้พ่อมึงต่อย พ่อมึงตบ ถ้าเรื่องมันจะจบลงได้อย่างงั้น แต่กูก็รู้ว่ามันไม่ใช่...กูถึงทำได้แค่อดทน” ม่านฟ้าพยายามปาดน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้มของคนรัก ปวดหนึบที่หัวใจเมื่อสบกับสายตาที่อัดอั้นและเจ็บปวดของคนรัก เข้าใจความรู้สึกของพิธานที่ต้องเห็นเขาร้องไห้ซ้ำๆ ก็เมื่อต้องมาเห็นน้ำตาของคนรักเช่นนี้

     “เพราะงั้นแค่ให้กูได้อยู่ข้างๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กูจะทำให้มึงได้...มึงให้กูเถอะนะ”

     เป็นม่านฟ้าที่สะอื้นขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว เขาพยักหน้าให้คนรักซ้ำๆ เหมือนยิ่งย้ำให้คนรักเชื่อ “ได้ๆ กูสัญญา กูจะบอกมึง กูจะรอมึงกลับมานะ ไม่ร้องแล้วนะพีท กูขอโทษ”

     พิธานหายใจเข้าลึกอีกหน หลับตาลงครู่หนึ่งอย่างปรับอารมณ์ตัวเอง กุมมือของม่านฟ้าเอาไว้ก่อนดึงขึ้นมาจูบเบาๆ “มึงจะขอโทษทำไม กูไม่ได้โทษมึงเลย มึงก็อย่าร้องนะ ขี้แยที่สุด แฟนกูเนี่ย”

     ม่านฟ้าพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี ขยับเข้าไปกอดพิธานเอาไว้แล้วลูบหลังอีกคนเหมือนปลอบเด็กร้องไห้ให้หยุดร้อง จนพิธานเผลอยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

     “แทนที่มึงจะส่งกูไปฝึกงานอย่างหวานๆ ทำไมมันถึงเต็มไปด้วยน้ำตาแบบนี้กันเนี่ย”

 

     TBC

 

     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันและคอมเมนต์นะคะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ไม่มีกลิ่นแปลกๆใช่ไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 22

     “จับดีๆ ล่ะ กิ่งไหนเกะกะก็ตัดทิ้งเลย”

     เสียงของชายวัยกลางคนเจ้าของบ้านดังขึ้นเมื่อลูกชายคนโตเริ่มวางเท้าลงบนกิ่งของต้นมะม่วงในสวน วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันหยุดปิดเทอมที่แสนจะธรรมดาของม่านฟ้าเพียงแต่ถูกพ่อใช้งานให้เป็นคนสวนจำเป็น เห็นรูปร่างแบบนี้แต่ม่านฟ้าเป็นลิงลมที่ปีนต้นไม้เก่งพอสมควรจนพ่อแทบจะยกตำแหน่งคนสวนประจำบ้านให้แล้ว

     ถึงม่านฟ้าจะไม่อยากได้แม้แต่น้อยก็เถอะ

     “โห สูงเหมือนกันนะพ่อ” คนสวนประจำบ้านเริ่มบ่นออกมาเมื่อเห็นว่ามะม่วงที่พ่ออยากให้เก็บอยู่สูงขึ้นไปจากจุดที่เขาปีนไม่น้อย อุปกรณ์ในมือม่านฟ้ามีเพียงกรรไกรตัดกิ่งไม้และตะกร้าไม้หนึ่งใบ เขาผูกตะกร้าไว้กับกิ่งที่สูงพอสมควรแล้วเริ่มโหนตัวขึ้นไปสู่กิ่งที่สูงขึ้น

     “ชั้นสองยังโดดมาแล้ว กลัวอะไรกับแค่นี้” เสียงพูดลอยลมของพ่อดังขึ้นแต่ทำให้ม่านฟ้าหันขวับมามองตาเขียว เบื่อตาลุงที่ย้ำจังกับวีรกรรมในครั้งที่คว้าเครื่องสำอางของภูหมอกวิ่งหนีแล้วโดดลงมาจากชั้นสองของบ้าน แต่ก็เถียงอะไรไม่ออกจึงได้แต่บ่นลอยๆ กลับไป “เออ ถ้าตกลงมาคอหักก็ส่งโรงบาลฯ ให้ด้วยละกัน”

     มหกรรมการบ่นลอยๆ ใส่กันยังไม่หยุดเมื่อพ่อเองก็ได้ยินเสียงบ่นของลูกชาย ถึงได้สวนกลับไปด้วยเสียงเรียบๆ “ส่งทำไม แม่แกก็เป็นพยาบาล”

     “ถ้าคอหักจริงพยาบาลก็ช่วยไม่ได้นะ นิมนต์พระอย่างเดียวเลย” เสียงของคุณพยาบาลประจำบ้านที่ตอนนี้ทำหน้าที่ฝ่ายสวัสดิการเดินถือกระติกน้ำเย็นมาส่งให้ผู้เป็นพ่อขัดการต่อปากต่อคำของสองพ่อลูกได้เป็นอย่างดี ม่านฟ้ามองพ่อที่ดื่มน้ำเย็นเหมือนเหนื่อยเสียเต็มประดาทั้งที่ตัวเองแค่ยืนสั่งอยู่เฉยๆ เท่านั้น

     คนที่ควรได้กินน้ำคือเมฆไหม
     
     กระแสจิตที่ม่านฟ้าส่งไปหามารดาแต่ดูท่าจะไปไม่ถึง พ่อแม่ถึงได้ยืนกะหนุงกะหนิงเช็ดหน้าเช็ดตาให้กันอยู่แบบนั้น ลูกชายคนโตถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วหันหน้าไปจริงจังกับการเก็บมะม่วงให้พ่อต่อ เขาตัดให้เหลือขั้วมะม่วงอยู่บ้างแล้วหย่อนลงไปในตะกร้าที่ผูกไว้ นึกได้ว่ามะม่วงดิบแบบนี้แหละที่พิธานชอบกิน เสียแต่ว่าเจ้าตัวอยู่ไกลถึงระยอง ไม่งั้นจะเอาไปฝากไว้ให้ที่บ้านเสียหน่อย

     ตอนนี้พิธานไปฝึกงานได้เกือบเดือนแล้ว ช่วงแรกก็ยังกลับบ้านเกือบทุกอาทิตย์ จนมาช่วงหลังนี้ที่ท่าทางจะเหนื่อยถึงได้กลับบ้างไม่กลับบ้าง มีโทรมางอแงบ้างเล็กน้อยตามประสาหนุ่มน้อยขี้เหงากับเวลาเมาแล้วเรื้อน

     จริงๆ อาทิตย์นี้ก็บอกว่าจะกลับนี่หน่า

     ม่านฟ้าเล็งมะม่วงบางลูกแล้วทดไว้ในใจว่าจะแอบเอาไปฝากอีกคนที่จะกลับมาพรุ่งนี้ ขณะคิดเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงพ่อเรียกขึ้นมาอีกหน ม่านฟ้าหันกลับไปมองตามเสียงเรียก เห็นแม่กลับเข้าบ้านไปแล้ว ส่วนพ่อก็มานั่งกำกับอยู่ที่ม้าหินข้างๆ ต้นแทน

     “เรื่องคราวนั้น...ตกลงแกสูบบุหรี่รึเปล่า”

     ม่านฟ้าที่กำลังหย่อนมะม่วงอีกลูกลงในตะกร้าถึงกับชะงัก เรื่องคราวนั้นที่พ่อพูดถึงคงไม่พ้นครั้งที่เขาวิ่งหนีไปและทำให้พ่อคิดว่าของที่เขาซ่อนไว้คือบุหรี่ ม่านฟ้าแกะปมเชือกที่ผูกตะกร้าไว้กับต้นไม้ออกเมื่อเห็นว่ามะม่วงเต็มตะกร้าแล้วจึงค่อยๆ หย่อนลงไปให้พ่อนำผลไม้ออก เขาสบตากับผู้เป็นบิดาที่มองขึ้นมาก่อนจะส่ายหน้าให้เบาๆ “เปล่า เหม็นจะตาย เมฆไม่สูบหรอก”

     ครั้งที่ม่านฟ้าดึงตะกร้าเปล่ากลับขึ้นมาผูกกับต้นไม้อีกครั้งก็ได้รับสายตาเป็นคำถามที่สื่อความได้ว่า ‘แล้วไปเอามาจากไหน’ กลับมา ชายหนุ่มเม้มปากอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ตัดสินใจบอกออกไป “ของพีทน่ะ มันให้ยืม”

     ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ ท่าทางของพ่อในยามนี้ทำให้ม่านฟ้าร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย นึกถึงคะแนนที่พิธานพยายามทำไว้ หากจะให้มาเสียคะแนนในช่วงสุดท้ายอย่างนี้คงไม่ดีแน่ “แต่ตอนนี้มันบอกมันเลิกสูบแล้ว เมฆก็ไม่เห็นมันสูบมาสักพักแล้วจริงๆ นะ”

     ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรีบแก้ตัวขนาดนี้ รู้ทั้งรู้ว่าพ่ออาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ก็แค่อยากบอกไว้ก่อน

     ม่านฟ้าเห็นผู้เป็นพ่อนิ่งไปเหมือนใช้ความคิดก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่ายหัวเบาๆ พึมพำออกมาเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามาคุยกับเขาต่อ “ดีแล้ว ไม่สูบก็ดี ว่าแต่แกได้ดูเรื่องที่พักรึยัง โปรแกรมเที่ยวอะไรก็จัดการเองล่ะ...โตแล้ว”

     ประโยคท่อนหลังนภดลมองลูกชายนิ่งๆ แล้วจึงพูดออกมา เขามีความหมายเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเวลาเริ่มผ่านไปชายวัยกลางคนถึงเริ่มรู้สึกปลงสังขารมากขึ้น เขาเคยปีนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีม่านฟ้าเป็นลูกมือ แต่ในยามนี้เพียงแค่ยืนมองและช่วยเหลือเจ้าลูกชายคนนี้นิดหน่อยก็รู้สึกล้าเสียแล้ว

     ‘ลูกๆ ก็โตกันแล้ว พ่อก็ปล่อยพวกเขาบ้าง ให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาเลือกเถอะ’

     คำพูดของภรรยาดังขึ้นในความทรงจำ

     ก่อนหน้านี้เขายังเถียงเรื่องนี้กับภรรยาสุดใจ เจ้าพวกเด็กที่คอยแต่จะสร้างเรื่องปวดหัวให้เขาไม่หยุดดูอย่างไรก็ไม่เหมาะกับคำว่า 'โตแล้ว' ที่ภรรยาชอบพูด แต่จากหลายเรื่องที่ผ่านมา เขาอาจต้องยอมรับแล้วว่าลูกของเขาโตขึ้นมากแล้วจริงๆ

     อย่างน้อยก็เริ่มช่วยแบ่งเบาภาระต่างๆ ได้แล้ว...โดยที่เขาไม่ต้องสั่งน่ะนะ

     เขาเองไม่ได้ตัดหญ้าหรือรดน้ำต้นไม้มาสักระยะ แต่ก็ไม่เห็นว่าหญ้าจะขึ้นรกหรือมีต้นไม้เหี่ยวตายไปแต่อย่างใด จะว่าไปรถเขาก็ไม่ค่อยได้ล้าง ไม่ได้เอาเข้าอู่ด้วยแต่ก็ยังสะอาดดี ดูท่าว่าคงไม่พ้นคนสวนประจำบ้านที่จัดการให้

     “เมฆดูเรื่องที่พักแล้ว ว่าจะจองเป็นบ้านหลังเล็กๆ สักหลัง” ม่านฟ้าเอ่ยตอบเมื่อเห็นพ่อเงียบไป อาทิตย์หน้าบ้านของเขามีแผนจะไปเที่ยวหัวหินกันสามวันสองคืน ทริปเที่ยวที่นานๆ จะมีสักครั้งของครอบครัวเพราะภารกิจโน่นนี่ที่มักจะมีเข้ามาจนหาเวลาว่างตรงกันยาก แถมตั้งแต่ภูหมอกเริ่มเตรียมตัวสอบเข้า เจ้าตัวก็เห็นวันหยุดมีค่ามากกว่าเงินแล้วสละทุกอย่างให้กับการอ่านหนังสือแทน

     “มันเป็นส่วนตัวดีมีที่ทำครัวด้วย แม่ไม่ค่อยชอบไปกินอาหารทะเลตามร้านนิ ชอบบ่นว่าไม่สะอาด น้ำจิ้มก็ใส่ผงชูรสเยอะ เมฆเลยจะให้ทำเองซะเลย ส่วนเรื่องเที่ยว เมฆให้ไอหมอกจัดการ” ชายหนุ่มนั่งพิงกับกิ่งไม้เพื่อพักเอาแรงแล้วคุยกับพ่อไปพลาง บุ้ยหน้าไปทางกระติกน้ำเย็นที่พ่อวางไว้ข้างตัวแล้วตอแหลทำหน้าละห้อยเหมือนเด็กขาดน้ำ ถึงจะดูเหมือนไม่เหนื่อยแต่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ก็ทำเอาหน้ามืดได้ง่ายๆ เลยหากไม่ระวังให้ดี

     “อืม ก็ดี จัดการกันเอง ก่อนจะจองก็ส่งรูปไปให้แม่แกดูก่อนด้วยล่ะ ว่าถูกใจเขาไหม” ชายวัยกลางคนขยับตัวลุกขึ้นส่งกระติกน้ำขึ้นไปให้ลูกชาย ตามมาด้วยเสียงดื่มน้ำจากกระติกอึกใหญ่แล้วแขวนเอาไว้ที่กิ่งไม้ถัดจากตัวไปอีกนิด

     นภดลมองลูกชายที่นั่งอยู่บนต้นไม้ ข้างซ้ายเป็นตะกร้าใส่ผลไม้ ข้างขวาเป็นกระติกน้ำที่ห้อยต่องแต่ง ดูคล้ายกับจะลงหลักปักฐานอยู่บนต้นไม้ยาวๆ แล้วก็ส่ายหน้า ก่อนที่จะชะงักไปเล็กน้อย

     สายตาที่เริ่มยาวของคนเป็นพ่อเห็นบางอย่างที่ไต่ขึ้นมาบนกระติกน้ำสีน้ำเงินจนเห็นได้ชัดเจน นึกถึงเมื่อครู่ที่ม่านฟ้าขยับแหวกกิ่งไม้เพื่อให้แขวนกระติกน้ำได้สะดวกแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย กำลังจะอ้าปากส่งสัญญาณเตือนภัยให้เจ้าลูกชายแต่ก็เหมือนจะช้าเกินไปเมื่อม่านฟ้าเริ่มขยับมือทำงานอีกหน และกิ่งแรกที่ม่านฟ้าแหวกออกก็ดันเป็นพุ่มไม้เจ้าปัญหา

     ฝูงมดแดงขนาดใหญ่ทะลักทลายออกมาจากพุ่มนั้น คำว่าสู้จนตัวตายนำมาใช้นิยามได้กับมดพวกนี้เป็นอย่างดี เมื่อรังขนาดใหญ่ของมันถูกรุกรานโดยบุคคลนอก แม้จะตัวใหญ่กว่าแค่ไหนก็ไม่กลัว ผิดกลับม่านฟ้าที่ถึงกับร้องออกมาเสียงหลง “เหวอ!!! มดแดง!! พ่อๆๆ!”

     ลูกชายที่ตัวไม่เล็กแล้วแต่ร้องเรียกให้เขาช่วยเป็นเด็กอยู่บนต้นไม้ทำให้ชายวัยกลางคนทำอะไรไม่ถูก เขาเห็นลูกชายไถลตัวพรวดเดียวลงมาอยู่บนพื้นพร้อมกับการดิ้นและสะบัดตัวไปมา ภาพตรงหน้าซ้อนทับกับภาพในอดีตที่ม่านฟ้าเล่นซนขึ้นไปบนต้นมะม่วงต้นนี้แล้วก็เจอเจ้าถิ่นต้อนรับคล้ายๆ กัน

     วันนั้นเด็กชายม่านฟ้าก็รีบปีนลงมาจากต้นไม้ เรียกร้องหา ‘พ่อ’ ซ้ำๆ พร้อมกับร้องไห้โยเย จนเขาปัดมดออกจากตัวให้จนหมดแล้วเจ้าตัวยังไม่เลิกร้องเรียกเขาซ้ำๆ สองมือเล็กกำชายเสื้อของเขาแน่นสองเท้าย่ำไปมาอย่างหวาดกลัว เหมือนทุกครั้งที่ทำอะไรไม่ถูกเจ้าตัวก็จะเรียกแต่ ‘พ่อ’ อยู่อย่างนี้

     เสียงร้องให้ช่วยของนายม่านฟ้าดังเรียกชายวัยกลางคนกลับมาจากอดีตอีกครั้ง คิดว่าตัวเองคงแก่แล้วจริงๆ เมื่อเอาแต่คิดถึงอดีตอยู่เช่นนี้ นภดลเดินเข้าไปช่วยปัดมดแดงออกจากตัวลูกชายของเขา พร้อมถอนหายใจและส่ายหัวออกมาเบาๆ

     จะกี่ปีก็ยังร้องหาพ่ออยู่อย่างนี้ เขาคงคิดผิดไปจริงๆ ที่คิดว่าเจ้าพวกนี้มันโตแล้ว


 
     “พ่อ..จะเอามะม่วงให้ใครบ้างรึเปล่า” ม่านฟ้าถามขึ้นเมื่อเห็นพ่อเริ่มเลือกมะม่วงใส่ถุงเหมือนเวลาจะแจกให้ใคร เวลานี้พวกเขากลับเข้ามาในบ้านและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว แม่เองก็เตรียมอาหารเย็นอยู่กับภูหมอกในครัว ในห้องนั่งเล่นตอนนี้จึงเหลือเพียงสองพ่อลูกอีกครั้ง ม่านฟ้าอ้าปากถามออกไปเช่นนั้นแต่มือก็ยังทายาไปตามตัวที่เริ่มขึ้นตุ่มแดงแถมแสบๆ คันๆ จากเจ้ามดแดงแฝงพวงมะม่วงเหล่านั้น

     “ว่าจะให้คุณเดือนบ้านข้างๆ หน่อย เมื่อวานเขาทำแกงเขียวหวานมาให้บ้านเรานิ” พ่อพูดออกมาพร้อมหยิบมะม่วงใส่ถุงไปด้วย จนเมื่อได้เต็มถุงเขาก็เห็นพ่อเหม่อมองไปทางโต๊ะวางของข้างโซฟาครู่หนึ่ง ม่านฟ้ามองตามไปที่โต๊ะแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ บนนั้นมีแค่ของรกๆ อย่างนาฬิกาตั้งโต๊ะ รีโมตแล้วก็...กล่องหมากรุก? “เอาไปฝากเพื่อนแกด้วยสิ เจ้าพีทน่ะ บ้านอยู่แค่นี้เองไม่ใช่เหรอ”

     ห่ะ?

     ม่านฟ้าถึงกับติดสถานะมึนงงไปชั่วครู่เมื่อพ่อของเขาเอ่ยถึงคนรัก เขาเองก็กะจะเอ่ยปากขอมะม่วงพวกนี้ไปฝากคนรักอยู่แล้วหลังจากเอาชีวิตเสี่ยงตายไปเก็บมา แต่ไม่คิดว่าพ่อจะเป็นคนออกปากขึ้นมาเองแบบนี้ “บ้านเขามีกันกี่คน หยิบๆ ไปเผื่อหน่อยก็ได้”

     “อะ เออ พีทอยู่กับพี่ชายแค่สองคนเองพ่อ เออ ไม่ต้องเยอะมากก็ได้ เดี๋ยวกินไม่หมด” ลูกชายคนโตของบ้านตอบออกมาแทบไม่ทันเมื่อพ่อเงยหน้าขึ้นมาถาม ก่อนจะยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีกกับประโยคต่อมา “เออๆ หยิบไปเถอะ ไม่เป็นไร เผื่อให้มันเอาไปกินที่ทำงานด้วยก็ได้ ไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดอยู่ไม่ใช่เหรอ”

     ไม่ใช่ว่าตกใจที่พ่อรู้ว่าพิธานไปฝึกงานต่างจังหวัด เพราะคิดว่าไม่เขาก็ภูหมอกคงจะเผลอพูดออกมาให้พ่อได้ยินบ้าง แต่ที่น่าแปลกใจคือไม่คิดว่าพ่อจะจำได้ แถมยังใจดีให้ผลไม้ไปกินแบบนี้อีก

     ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พ่อเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้น้ำใจ มีของอะไรก็แจกจ่ายเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักกันเป็นปกติอยู่แล้ว และกับพิธาน..พ่อก็รู้ว่าเป็นเพื่อนของเขาแถมเคยเป็นครูสอนพิเศษให้ภูหมอก การจะมีน้ำใจให้พิธานด้วยแบบนี้ก็คง...ไม่แปลกละมั้ง

     “ยืนเอ๋ออะไรอยู่ รีบมาช่วยกันสิ จะได้รีบไปกินข้าว”

     “อะ เออ ครับ”

     เอาเถอะ ช่างมันล่ะกัน

     ----

     เสียงลมทะเลที่ดังมาพร้อมกับเสียงคลื่นทำให้ชายหนุ่มเหม่อออกไปไกล เขาได้ยินเสียงดนตรีจากร้านอาหารดังมาไกลๆ แต่ก็ไม่สามารถรบกวนบรรยากาศของความเป็นธรรมชาติในยามนี้ได้เลย ห้องพักที่พวกเขามาเข้าพักอยู่ห่างจากส่วนกลางของรีสอร์ตพอสมควร ถึงได้หลุดพ้นจากความวุ่นวายของแสงสีเสียงเหล่านั้นได้

     ม่านฟ้าสูดกลิ่นเกลือเข้าไปในปอด นานแล้วที่ไม่ได้มาสัมผัสลมทะเลแบบนี้ เขานั่งอยู่ที่ชานระเบียงห้องพักหันหน้าไปทางทะเลที่มืดมิด มีเพียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งมาเป็นระยะและแสงจากเรือประมงที่อยู่ไกลออกไป

     หัวหินนี่มันทะเลอ่าวไทยหรือเปล่านะ ทะเลระยองก็เป็นอ่าวไทยนิ

     ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่บอกว่าห้องพักอยู่ใกล้ทะเลแค่เปิดหน้าต่างออกไปก็เห็นทะเลแล้วโอ้อวดออกมายกใหญ่ เหลือบไปมองขวดน้ำที่วางอยู่ไม่ไกลแล้วนึกถึงหนังที่ส่งข้อความหากันผ่านกระดาษที่สอดไว้ในขวดเพื่อส่งให้อีกคน

     เหอะๆ ถึงจะเป็นทะเลเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะไปถึงเสียหน่อย ความเป็นไปได้ที่จะพัดไปถึงคนที่ต้องการแทบจะเป็นศูนย์แถมยังจะเป็นขยะในทะเลอีกต่างหาก ชายหนุ่มส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระแล้วหันกลับไปมองทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง

     ใครว่ากันว่าทะเลทำให้เศร้า เหงา แต่สำหรับเขาตอนนี้...ทะเลทำให้คิดถึง

     เขากับพิธานแทบไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย อาจเคยไปค่ายอาสาของมหาลัยฯ ด้วยกัน แต่ก็เฮโลไปด้วยกันหมดทั้งแก๊งของเขาและของพิธาน ไม่ต้องพูดเรื่องสวีทหวานแหว่วหรือบรรยากาศซึ้งๆ น่าจดจำ แค่รับมือกับพวกบ้าที่กลางวันเต้นแร้งเต้นกาเหมือนกินยาม้าส่วนกลางคืนก็ตั้งวงแจกไพ่เล่าเรื่องผีก็เหนื่อยจะตายแล้ว

     จะว่าไปตอนนั้นพิธานยังโม้ว่าชอบเล่นเจ็ตสกีมาก เวลาไปเที่ยวกับครอบครัวทีไรเจ้าตัวชอบไปขับเล่นแข่งกับพี่ชายทุกครั้ง วันนี้เขาเองก็เห็นมีให้เช่าที่ชายหาด แต่ราคาแพงสุดๆ หากให้เช่าเล่นคงเสียดายเงินตายชัก

     แต่เอาเถอะ ถ้ามาด้วยกัน ไม่สิ ถ้า 'มีโอกาส' ได้มาด้วยกันเมื่อไหร่ เขาจะยอมให้พิธานเล่นตามใจก็ได้

     แอลกอฮอล์ในร่างกายทำให้สมองของเขาคิดฟุ้งซ่านไม่หยุด จากตอนเย็นที่นั่งจิบเบียร์กับพ่อเล่นๆ จนกลายเป็นแข่งขันจริงจังหลังมื้อเย็นทำให้สติของม่านฟ้าพร่าเบลอไปไม่น้อย คำพูดของพ่อเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดง่ายๆ แต่ม่านฟ้ากลับรับมันไว้อย่างไม่สบายใจนัก

     “เรื่องหมอก ขอบใจนะ ขอบใจที่ยังทำให้บ้านเป็นบ้าน ไม่งั้นเราคงไม่ได้มาเที่ยวกันสี่คนแบบนี้แล้ว”

     เขารู้ดี ว่าสิ่งที่ทำไปไม่ใช่เพียงเพื่อหมอก คำที่พูดออกไปกับพ่อหลายคำมันก็ออกมาจากใจเขาเอง ออกมาจากใจของลูกที่ไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ของพ่อเหมือนกัน

    “ที่ผมพยายามกล่อมพ่อไปทั้งหมด ผมอาจจะไม่ได้ทำเพื่อหมอกคนเดียวก็ได้นะ”

     ใช่ ไม่ใช่แค่หมอก แต่เพื่อตัวเขา เพื่อพิธาน เพียงแต่ตอนนี้เขาเดินมาได้ครึ่งทางเท่านั้น เรื่องของเขากับพิธานหากเทียบกับเรื่องของภูหมอกก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ชั่วขณะหนึ่งม่านฟ้าคิดจะบอกพ่อออกไปให้หมด เขาคิดถึงคำพูดของนทีที่บอกให้เขาพูดมันออกไปตรงๆ แต่ถึงกระนั้น...ม่านฟ้าก็ยังไม่กล้าพอ

     ฤทธิ์แอลกอฮอล์อาจยังไม่มากพอที่จะทำให้เขากล้าพูดมันออกไป หรือจะเป็นความขลาดกลัวที่ติดเข้าไปในสันดานของเขานั่นแหละเป็นตัวขวางเอาไว้

     อีกทั้ง...

     “เพราะงั้นแค่ให้กูได้อยู่ข้างๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กูจะทำให้มึงได้...มึงให้กูเถอะนะ”

     ม่านฟ้าซบหน้าลงไปกับเข่าตัวเองขยับมือหมุนโทรศัพท์ในมือเล่นจนทำให้หน้าจอสว่างวาบขึ้นมา เขามองภาพพักหน้าจอโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย มันเป็นเพียงภาพลูกแมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ตัวเล็กเกาะอยู่บนหัวของเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ พิธานชอบบ่นเขาบ่อยๆ ยามเห็นภาพนี้ว่าเห็นเจ้าตัวเป็นโกลเด้นฯ หรืออย่างไรถึงได้ใช้รูปนี้ อย่างเขาถ้าจะเป็นหมาก็ต้องเยอรมัน เชพเพิร์ด ไม่ก็เบลเจียน มาลินอยส์ที่ดูสง่างามมากกว่า

     ทำไมถึงคิดว่าเขาใช้รูปคู่เป็นภาพพักหน้าจอนะ ทั้งที่เขาก็แค่ใช้รูปหมาแมวน่ารักๆ เท่านั้นเอง

     แต่ก็คงไม่แปลก คู่รักหลายคู่ก็ชอบตั้งภาพหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปคู่บ้างหรือรูปแฟนบ้าง ขนาดแม่ของเขายังตั้งรูปที่ถ่ายคู่กับพ่อเป็นรูปพื้นหลังเลย ม่านฟ้าหลุดยิ้มขำออกมาเล็กน้อย เวลาเห็นใครทำอะไรหวานๆ กันแบบนี้แล้วก็แอบจั๊กจี้หัวใจชะมัด เผลอคิดว่าถ้าเขาตั้งรูปพักหน้าจอเป็นรูปพิธานบ้างคงตลกน่าดู

     คิดถึงหน้าเหวอแต่แอบเขินนิดๆ ของเจ้าตัวตอนที่เห็นออกเลย ปากก็คงขยับบ่นงุ้งงิ้งตามประสา

     แต่ทำได้ที่ไหนกัน

     เพ้อเจ้อชะมัด

     รู้ตัวอีกทีม่านฟ้าก็ได้ยินเสียงรอสายดังขึ้นจากโทรศัพท์ เขาเผลอกดโทรออกหาคนรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงโทรหา รู้เพียงว่าอยากได้ยินเสียง

     ‘ฮัลโหล’ จนเสียงของอีกฝ่ายตอบกลับมาแล้วแต่ม่านฟ้าก็ยังตั้งตัวไม่ทันอยู่ดี

     “...” คนโทรหาผละโทรศัพท์ออกมามองเวลาก็เห็นว่าล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว

     ยังไม่หลับด้วยแฮะ หรือตื่นขึ้นมารับนะ

     ‘เมฆ?’ เสียงจากปลายสายดังขึ้นอีกครั้งทำให้ม่านฟ้าพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา...อีกนิด

     “ครับ เมฆเองครับ” แต่เหมือนสติที่ได้กลับมาจะยังไม่พอ คำพูดที่ตอบรับกลับไปถึงฟังดูน่างุนงงเช่นนี้

     ‘ห่ะ อะไรของมึงเนี่ย’ ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากอีกฝั่ง นึกออกเลยว่าเวลานี้พิธานต้องยิ้มออกมาจนเห็นฟันเขี้ยวแน่ๆ

     “ไม่นอน?” สองคำสั้นๆ ของคนมึนแต่พิธานก็พอจะตีความได้ จึงตอบรับออกมาพร้อมคำอธิบาย ‘อืม นั่งเล่นเกมอยู่ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด คืนนี้กูนอนที่ระยองนะ ขี้เกียจกลับ กลับไปก็ไม่เจอมึง มีคนหนีเที่ยว’ เสียงของพิธานยังดูสดใสแถมหยอกล้ออย่างไม่คิดอะไร แต่กลับกวนความรู้สึกในใจของม่านฟ้าขึ้นมา

     “...อืม ก็อยาก...ให้มาด้วยเหมือนกัน” ม่านฟ้ารู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนขึ้นของตัวเอง อาจด้วยลมที่แรงขึ้นจากทะเลถึงทำให้เขารู้สึกแสบตาจนอยากร้องไห้แบบนี้ “เมฆอยากให้พีทมาด้วย”

     ‘...ห่ะ?’

     “คิดถึง”

     ‘...’ ม่านฟ้าได้ยินเพียงเสียงลมแว่วมาจากอีกฝั่งและเริ่มไม่แน่ใจว่าพิธานจะเผลอหลับไปหรือยัง จนได้ยินเสียงคล้ายคนขยับตัวบนโซฟาก่อนเสียงอ้ำอึ้งจะตอบกลับมา ‘เออ เอิ่ม มึง...เมาเหรอ’

     “..อืม ก็น่าจะเมาแหละ กินไปหลายขวดอยู่ ดวลกับพ่อ” เสียงถอนหายใจดังชัดเจนมาจากปลายสาย

     ‘วันหลังไม่ให้กินตอนอยู่ห่างกันแบบนี้แล้ว...ไม่ดีต่อใจเลย’ คนเมาเผลอยู่ปากออกมาเล็กน้อยแล้วฟังคนรักบ่นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าการบอกคิดถึงกันเป็นสิ่งไม่ดีตรงไหน ถึงจะแอบน้อยใจลึกๆ ที่อีกคนไม่อยากให้เขาคิดถึงแต่ก็ช่างเถอะ เขาแค่อยากจะบอกเพราะคิดถึงพิธานจริงๆ นี่หน่า

     “พีท”

     เสียงบ่นของพิธานชะงักไปเมื่อได้ยินคนรักเรียก

     .

     .
     
     “ถ้าทุกอย่างจบลงอย่างแฮปปี้เมื่อไหร่...กูจะเปลี่ยนภาพหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปมึงหนึ่งปีเต็มไปเลย”

     ‘ห่ะ?’ พิธานเริ่มสับสนหนักขึ้นไปอีกเมื่อแต่ละอย่างที่คนรักพูดออกมาไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย พยายามจะทำความเข้าใจตรรกะความคิดคนเมา แต่ก็ยังอึ้งไม่หายถึงจะมีคำสำทับออกมาให้มั่นใจก็ไม่ช่วยอะไร

     “จริงๆ นะ สัญญาเลย” สุดท้ายก็เป็นพิธานที่ต้องถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ เผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ‘เออ เอายังไงก็เอา ตามใจมึงเลย’

     ม่านฟ้าเองรู้ทั้งรู้ว่าพิธานคงมองไม่เห็นแต่ก็พยักหน้ารับคำของอีกคน “ดีมาก ใจดีจัง ถ้าปกติมึงใจดีกับกูบ่อยๆ แบบนี้ก็ดีสิ”

     ‘อย่างมึงอ่ะ ถ้าใจดีด้วยบ่อยๆ ได้เสียคนแน่ ดีนะได้แฟนเข้มงวดแบบกู ถ้าไปได้แฟนสายสปอยด์นะมึงเอ๊ย-’ เสียงคำพูดของพิธานยังไม่ทันจบคำดี กลับโดนอีกคนสวนกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

     “มึงจะยอมให้กูไปเป็นแฟนคนอื่นจริงๆ เหรอ”

     กระโดดไปอีกเรื่องได้ยังไงเนี่ย

     พิธานทั้งขำทั้งเหนื่อยใจในฤทธิ์ของคนเมา ระบบความคิดและการเรียงลำดับหายไปหมดแล้วแน่ๆ ม่านฟ้าถึงได้พูดเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ทีตามแต่อารมณ์เช่นนี้...แต่ก็น่ารักดี พิธานขยับตัวลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างเพื่อมองทะเลบ้างเมื่อได้ยินเสียงคลื่นมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ ‘ไม่มีทาง มึงเป็นแฟนกูได้แค่คนเดียวเท่านั้น’

     “อืม.. ดี กูก็อยากมีมึงแค่คนเดียว” ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ได้ยินเสียงคลื่นมาจากอีกฝั่งเช่นเดียวกัน คาดว่าพิธานคงเดินออกมารับลมที่ระเบียงไม่ก็เปิดหน้าต่างออกมาดูทะเลเหมือนกับเขา ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กวนความทรงจำและความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหล เขาอยากให้พิธานอยู่ข้างกันในเวลานี้ อยากจับมือ อยากพิงหัวที่หนักนี้ลงไปกับไหล่หนา อุณหภูมิร่างกายที่อุ่นกว่าทำให้เขาชอบที่จะซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนเวลาอยู่ห้องแอร์เย็นๆ ชอบทำตัวไร้กระดูกให้อีกคนบ่นเพราะเบาะพิงที่ทั้งอุ่นแถมลูบหัวกล่อมได้ด้วยคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

     “กูอยากกอดมึงจัง ...ครั้งหน้า เราไปเที่ยวด้วยกันนะ” เสียงคลื่นทะเลดังโหมขึ้นมาพร้อมกับเสียงลม แต่ก็ยังกลบคำพูดสุดท้ายอันแผ่วเบาของม่านฟ้าไม่ได้

     “อดทนอีกนิดนะ พีท”


     TBC


     Achaya (Writer) : อดทนอีกนิดนะ ใกล้แล้วๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ไม่มีอะไรมาม่าอีกกรอกเนาะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ตอนหน้าอย่ามีมาม่าเลยนะ :ling1: :katai1:

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 23

     นัชชาเดินมาเรียกม่านฟ้าให้เข้าไปนอน ทันเห็นเจ้าตัววางหูโทรศัพท์ที่คุยกับใครสักคนอยู่นานสองนาน จึงขยับตัวเข้าไปนั่งข้างลูกชายที่หันมามองแล้วเขยิบที่นั่งให้

     หญิงสาวคนเดียวของบ้านสูดลมหายใจเข้าลึกรับอากาศที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นทะเลแล้วเผยยิ้มออกมาก่อนหันกลับไปมองลูกชายที่หน้าแดงก่ำแถมตาปรือจากฤทธิ์แอลกอฮอล์

     ที่จริงแล้วม่านฟ้าเป็นคนคอแข็งในระดับหนึ่ง แต่เพราะสองพ่อลูกดันท้าดวลกันไปตั้งแต่หัวค่ำจนคนเป็นพ่อแพ้น็อกหลับไปแล้วและทิ้งผลลัพธ์เป็นอาการมึนเมาไว้กับผู้ชนะ

     ผู้เป็นแม่เอื้อมมือไปลูบแก้มลูกชายคนโตเบาๆ อย่างเอ็นดู ตั้งแต่เกิดเรื่องของภูหมอกเธอไม่กล้าคาดฝันถึงวันที่ครอบครัวจะได้กลับมาอยู่รวมกันอย่างมีความสุขเช่นนี้นัก ทำใจไว้ตั้งแต่รู้เรื่องว่าเหตุการณ์คงไม่ได้เป็นไปในทางที่ดี ในเมื่อลูกชายไม่สามารถกลับมาเป็นลูกชายให้พ่อได้ และสามีเธอก็คงไม่สามารถยอมรับมันได้เช่นกัน ขอแค่ต่างคนต่างอยู่กันได้อย่างมีความสุขก็พอแล้ว

     แต่มันดีกว่าที่คิด

     เพราะม่านฟ้าคอยเกลี้ยกล่อมคนใจแข็งจนเริ่มยอมเปิดใจ

     เธอรู้ว่าเวลากว่าห้าสิบปีของชายวัยกลางคนที่ถูกปลูกฝังว่า 'ตัวตนภายในที่แตกต่างไปจากเพศสภาพภายนอกคือสิ่งผิด' นั้นไม่สามารถลบล้างไปด้วยเวลาวันสองวันหรือเดือนสองเดือน ถึงกระนั้นม่านฟ้ากลับทำให้เห็นว่าความรู้สึกเหล่านั้นสามารถเจือจางลงได้ด้วยเหตุผล ความเห็นใจ...และความรัก

     'ความรักของพ่อ' ที่เดิมทีก็มีอยู่มากล้นแม้จะไม่เคยแสดงออก

     จนสุดท้ายเรื่องทุกอย่างก็ลงเอ่ยได้ด้วยดี

     ม่านฟ้าซุกหน้าลงกับมืออุ่นของมารดาแล้วหลับตาพริ้ม เขาไม่ค่อยได้อ้อนพ่อแม่เท่าไหร่นัก แต่คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อีกเช่นกันที่ทำให้เขากล้าทำเช่นนี้ ชายหนุ่มขยับตัวห่างออกมาเล็กน้อยแล้วทิ้งตัวนอนลงบนตักของหญิงวัยกลางคน

     “เมฆ” เสียงมารดาดังขึ้นให้ม่านฟ้าตอบรับคำเรียกด้วยเสียงครางจากลำคอเบาๆ “ขอบคุณนะครับ”

     ไม่ต้องบอกถึงเหตุผลที่ผู้เป็นแม่กล่าวขอบคุณแต่ม่านฟ้าก็รู้ดี เพราะเขาก็เพิ่งได้รับคำขอบคุณเช่นเดียวกันนี้จากพ่อเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเช่นกัน

     แต่แปลก ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกดีใจกับคำขอบคุณที่ได้รับเลยนะ

     “เมฆทำเพื่อน้องมามากขนาดนี้…” คำพูดของแม่ที่เอ่ยขึ้นทำให้ม่านฟ้าแปลกใจและรอฟังคำกล่าวต่อมาอย่างสงสัย “แล้วเคยคิดอยากทำเพื่อตัวเองบ้างไหม”

     สิ้นคำกล่าวม่านฟ้าก็นิ่งไป เขาโทษฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้เขางุนงงและไม่เข้าใจคำพูดที่ดูเรียบง่ายของแม่ในเวลานี้ คำพูดนั้นคล้ายกับคำพูดของนทีอย่างประหลาด ชายหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเหล็กเช่นเดียวกันกับเขาอย่างหาคำตอบและความนัยจากประโยคนั้น แต่กลับพบเพียงความอ่อนโยนที่มองมาเหมือนทุกครั้ง

     คำตอบของคำถามนั้นร้องลั่นอยู่ในหัวของม่านฟ้า

     เขาบอกได้เพียงว่า ‘อยาก’

     เขาอยากทำเพื่อตัวเอง อยากทำเพื่อคนรักของเขาบ้าง ทั้งที่พิธานก็คอยช่วยเหลือเรื่องภูหมอกมาไม่น้อยไปกว่าใคร แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำให้คนที่รักเพื่อตอบแทนได้เลย

     ม่านฟ้าอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาบอกเรื่องของพวกเขาให้ที่บ้านรู้ก่อนนี้ วันนี้ที่ครอบครัวของเขามาเที่ยวด้วยกัน จะมีพิธานเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเขาหรือไม่

     ความคิดถึงเหล่านั้นดันม่านฟ้าให้ต้องลุกออกจากวงสนทนาในครอบครัวเพื่อโทรหาใครบางคนด้วยใจที่รู้สึกผิด

     ชายหนุ่มพลิกตัวเข้ากอดเอวและซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องของมารดา รู้สึกถึงหัวตาที่ร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้อีกครั้ง

     “เมฆทำได้เหรอแม่” เสียงของลูกชายดังขึ้นให้ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ “เมฆเป็นแค่คนธรรมดา เมฆมีสิทธิ์เอาแต่ใจแบบนั้นเหรอ” เสียงที่ดังขึ้นอู้อี้และแผ่วเบาจนเธอแทบจับใจความไม่ได้ กระนั้นก็ยังไม่คิดจะพูดขัดทำเพียงลูบหัวชายหนุ่มบนตักเบาๆ ก่อนก้มลงจูบกลุ่มผมหนาเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นและรู้สึกถึงความเปียกชื้นผ่านเสื้อบริเวณหน้าท้องของเธอ

     “เมฆเป็นแค่คนขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง เมฆขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดกับพ่อ เมฆเห็นแก่ตัวกับเขามาถึงสี่ปี แค่ทุกวันนี้เขายังยอมอยู่กับเมฆ มันก็มากเกินไปแล้ว”

     นัชชาฟังเสียงร้องไห้ของลูกชายที่พูดออกมาพร้อมสะอื้นจนแทบไม่เป็นประโยค เธอขมวดคิ้วมุ่นมองชายหนุ่มขี้แยบนตักอย่างอาดูร แม้จับใจความได้เพียงกระท่อนกระแท่น แต่เดาได้ว่าเรื่องที่ทำให้ลูกชายคนเก่งของเธอร้องไห้ออกมาคงไม่พ้นความลับที่เขาปิดซ่อนเอาไว้



     เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อนัชชาผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟชั้นดีลอยมาแตะจมูกช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานและเรื่องปวดหัวภายในบ้านได้ไม่น้อย ถึงนัชชาหัวหน้าพยาบาลประจำโรงพยาบาลชื่อดังจะพ้นวัยสาวน้อยมาสักพักแล้ว แต่ก็ใช่ว่าหญิงวัยกลางคนเช่นเธอจะชอบมาคาเฟ่บ้างไม่ได้

     ไม่นานมานี้ ภายในบ้านของเธอมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน เริ่มตั้งแต่ที่ความลับของภูหมอกทำให้สามีของเธอเข้าใจผิดในตัวม่านฟ้า ลามมาถึงรู้ความจริงของภูหมอกจนลูกชายคนเล็กต้องระหกระเหินออกจากบ้านไปอยู่กับน้องชาย ไม่สิ น้องสาวคนเดียวของสามีเธอ

     ยิ่งตอนนี้ลูกชายคนโตก็เทียวกลับบ้านเพื่อมากล่อมสามีของเธอให้ยอมรับเรื่องของภูหมอก เพียงแต่ไม่รู้กล่อมอย่างไรจึงเหมือนหาเรื่องทะเลาะกับพ่อได้เสียทุกครั้งจนเธอได้แต่ถอนหายใจเป็นร้อยรอบต่อวัน

     แต่อย่างไรก็ใช่ว่าเธอจะไม่ห่วงหรือสนใจไยดีลูก ตั้งแต่รู้ว่าภูหมอกไปอยู่กับนทีเธอก็แอบติดต่อเพื่อถามข่าวคราวกับนทีเสมอ ก่อนหน้านี้เธอเองก็สนิทกับนทีไม่น้อยอยู่แล้วเพียงแต่ห่างหายไปด้วยเวลาว่างที่ไม่ตรงกัน จนตอนนี้ที่ได้กลับมาติดต่อกันอีกครั้งเพราะลูกชายเธอไปรบกวนถึงบ้าน

     ถามว่าแล้วทำไมถึงไม่ไปเจอลูก ตลอดเวลาเกือบเดือนที่ลูกต้องออกจากบ้านไป เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่คิดถึง เพียงแต่คิดถึงแล้วก็ต้องห้ามใจไว้ เธอกลัวว่าหากไปหาลูกแล้วจะใจแข็งไม่พอจนพาลูกกลับบ้านมา ถึงเวลานั้นก็อาจจะต้องทะเลาะกับสามีจนแตกหักกันไปข้าง

     และที่สำคัญเธออยากให้เขาได้ลองต่อสู้ด้วยตัวเอง

     สำหรับเธอช่วงเวลานี้เป็นเพียงบททดสอบเล็กๆ อย่างหนึ่งที่เขาจะต้องเจอเมื่อเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง ในอนาคตเขาจะต้องเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาร้อยพ่อพันแม่ที่มีอิทธิพลกับเขา อาจเป็นเพื่อนเป็นพี่หรือเป็นหัวหน้างานในอนาคต คนเหล่านี้ก็อาจไม่ยอมรับในสิ่งที่ภูหมอกเป็นเช่นกัน แล้วลูกของเธอจะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ไหม จะเอาชนะใจพวกเขาได้อย่างไร หากในวันนี้กับคนที่รักเขามากที่สุดอย่าง ‘พ่อ’ เขายังไม่สามารถเอาชนะใจได้

     เธออาจดูเป็นแม่ที่ใจร้าย แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อไหร่ที่ลูกทำท่าจะล้มลง เธอจะเป็นคนแรกที่เข้าไปพยุงลูกเอง ในตอนนี้เธอเพียงอยากให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย

     เข้มแข็งให้ได้เหมือนผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้

     “พี่มาช้าเหรอเนี่ย” นัชชาเอ่ยปากขึ้นเมื่อขยับตัวนั่งลงตรงข้ามกับนที เธอเห็นแก้วน้ำของนทีลดลงไปเกือบครึ่งแล้วก็ตกใจเหลือบมองเวลาอีกครั้งอย่างกังวล นทีส่ายหน้าให้เบาๆ ขยับมือปัดไปในอากาศเป็นเชิงไม่ให้เธอคิดมากแล้วออกปากปฏิเสธ

     “ไม่หรอกพี่ ทีมาก่อนเวลาเยอะเอง” นทีส่งยิ้มให้หญิงวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนขมวดคิ้วแล้วรับของที่อีกคนถืออยู่แล้วส่งมาให้ “โอ๊ย บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเอาอะไรมาฝากแล้ว เต็มบ้านไปหมดแล้วเนี่ย”

     นัชชาส่ายหน้าทำเป็นไม่สนใจคำบ่นของนที สองสาวพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่ครู่หนึ่ง นัชชาก็เริ่มถามเกี่ยวกับลูกชายคนเล็ก เมื่อได้ความว่าอยู่ดีมีสุข ไม่ได้นั่งร้องไห้ร้องห่มคิดถึงบ้านอย่างที่เธอเป็นกังวลก็โล่งใจ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีพี่ชายคอยแวะเวียนไปหาบ่อยๆ ไม่ให้เหงาหรือรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงกะทันหันจึงทำให้ภูหมอกยังสดใสร่าเริงได้

     “ตกลง พี่รับเรื่องที่เจ้าหมอกมันเป็นแบบนั้นได้จริงๆ ใช่ไหม” นทีถามออกมาบ้าง เพราะเห็นว่านัชชาเพียงถามข่าวคราวทั่วไปด้วยความเป็นห่วงตามประสามารดา แต่ไม่ได้มีท่าทีกังวลหรืออึดอัดใจกับสิ่งที่ภูหมอกเป็นเสียเท่าไหร่

     คนถูกถามนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เธอพยักหน้าตอบนทีก่อนเอ่ยออกมาคลายความสงสัย “คงเพราะพี่รู้เรื่องเจ้าหมอกมาก่อน แล้วก็ทำใจมาสักพักแล้ว สงสารลูกด้วย หมอกเป็นเด็กอ่อนไหวง่าย ยิ่งเขาเป็นแบบนี้เขายิ่งกังวลก็เลยไม่อยากจะไปต่อต้านหรือกีดกันเขาอีก แค่พ่อเขาคนเดียวก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว”

     “แต่ถ้าถามกันจริงๆ พี่ก็ยังไม่ได้หัวสมัยใหม่ถึงขั้นที่จะยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจหรอกนะ เพียงแต่รู้สึกว่ายิ่งเราไปฝืน ก็มีแต่เราเองที่จะยิ่งเป็นทุกข์ มองแต่สิ่งดีๆ ด้านดีๆ ดีกว่า” นัชชายอมรับออกมาจากใจจริง ไม่คิดที่จะปกปิดแล้วฝืนยิ้มทำเป็นยินดีทั้งที่ไม่ใช่ “อย่างน้อยเจ้าหมอกมันก็ไปช้อปปิ้งกับพี่ได้ พี่เก็บกดไม่ได้เดินช้อปปิ้งกับใครมานาน พวกเพื่อนๆ บางคนก็มีลูกสาวไปเดินด้วย ส่วนทีก็เอาแต่ทำงานไม่ยอมไปกับพี่ซะที มีเจ้าหมอกไปด้วยพี่ก็ไม่เหงาดี”

     นทีฟังพี่สะใภ้พูดไปบ่นไปก็ยิ้มออกมา แล้วหลุดปากถามออกมา “แล้วพี่ไม่ห่วงเจ้าเมฆบ้างรึไง”

     คุณแม่ลูกสองชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ห่วงสิ ทำไมจะไม่ห่วง รายนั้นบางครั้งน่ากลัวกว่าหมอกอีกเพราะดื้อเงียบ มีอะไรไม่เคยบอกกันหรอก แต่ยังดีเมฆมันเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง ก็เลยพอจะวางใจได้บ้าง”

     “หึ เก่งจนจะเป็นปลาไหลอยู่แล้วพี่ ลื่นไหลไปได้เรื่อยมันน่ะ ได้ยินว่าเพิ่งเข้าไปต่อปากต่อคำกับพ่อมันมาอีกแล้ว” นัชชาพยักหน้ารับคำของอีกคนด้วยสีหน้าหน่าย ก่อนที่ทั้งคู่จะปล่อยให้บทสนทนาอยู่ในความเงียบสักพักเมื่อขนมที่สั่งไปเพิ่มเพิ่งจะมาถึง

     หลังขยับจัดจาน ถ่ายรูป ชิมรสชาติและวิจารณ์กันอยู่ครู่หนึ่ง สองสาวก็กลับเข้ามาสู่บทสนทนาเดิมโดยมีนทีเป็นผู้เปิดประเด็นร้อนขึ้นมาด้วยคำถามที่ว่า

     “พี่น้ำ...พี่เคยอยากเป็นย่าคนบ้างไหม”

     นัชชาถึงกับลืมรสสัมผัสของมูสผลไม้ในปากเมื่อได้ยินคำถามนั้น รู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหันจนต้องรีบดื่มน้ำตามเข้าไป

     ถ้าจำไม่ผิดก่อนที่จะถูกตัดหน้าด้วยของหวานเหล่านี้ นทีกำลังพูดถึงเรื่องของม่านฟ้าอยู่ นั่นหมายความว่าเจ้าตัวต้องการเอ่ยอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับม่านฟ้า อีกทั้งลูกชายอีกคนของเธออย่างภูหมอกก็เป็นลูกชายใจสาวไม่มีทางที่จะมีหลานให้เธอได้เป็นย่าอยู่แล้ว!

     ความหมายเดียวของคำถามนี้ก็คือเธอกำลังจะได้เป็นย่าคนเพราะลูกชายคนโต!

     “เมฆไปทำใครท้องเหรอ!!?”

     พรวด! แค่กๆๆๆ

     นทีถึงกับสำลักน้ำผลไม้ปั่นออกมาจนหน้าดำหน้าแดง แต่เพราะการสำลักที่แรงเกินไปจนทำให้เธอหยุดไอไม่ได้ ถึงได้รีบร้อนคว้ากระดาษทิชชูจนมือไม้พันกันไปหมดและปัดกระเป๋าถือที่วางอยู่บนโต๊ะตกลงบนพื้น อาการทั้งหลายของนทีนั้นนัชชามองว่ามันคือการร้อนรนและย้ำชัดว่าสิ่งที่เธอพูดนั้น...ถูกต้อง

     หัวหน้าพยาบาลวัยกลางคนถึงกับหน้าซีด รู้สึกถึงอาการที่คล้ายจะหน้ามืดของตัวเอง จากที่คิดว่าจะช่วยลูบหลังนทีที่ยังไอออกมาเป็นระยะกลับเปลี่ยนไปคว้ายาดมในกระเป๋ามาสูดเสียเอง “ตายๆๆ จะต้องมีหลานแล้วเหรอฉัน ไม่นะๆๆ”

     ก่อนที่พี่สะใภ้คนเก่งจะคิดฟุ้งซ่านไปถึงไหน นทีก็พยายามปรับจังหวะลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติเพื่อห้ามเธอไว้ก่อน “หยุด! พี่น้ำหยุด หยุดคิดก่อน”

     คำพูดของนทีหยุดการสติแตกของนัชชาได้ชั่วคราว แต่พยาบาลสาวก็ยังไม่ไว้ใจมองผู้ร่วมโต๊ะตรงหน้าอย่างรอคอยคำอธิบาย “เมฆไม่ได้ไปทำใครท้อง หรือแม้กระทั่งหมอกด้วย ฉันแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าพี่กำลังจะกลายเป็นย่าคนเสียหน่อย”

     เสียงถอนหายใจของนัชชาดังขึ้นเมื่อนทีอธิบายจบประโยค นั่นทำให้นทีเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนแซวกลับไปอย่างทีเล่นทีจริง “ทำไม ไม่อยากเป็นคุณย่าขนาดนั้นเลยเหรอ”

     "แหมม ก็.." พอโดนนทีแซวเข้าหน่อย คนที่เผลอปล่อยไก่ไปไม่น้อยก็แอบเขินอยู่บ้าง แล้วงึมงำออกมาเบาๆ "อย่างน้อยก็ไม่อยากมีเร็วๆ นี้ พี่ยังอยากมีเวลาที่เกษียณแล้วออกไปเที่ยวกับพ่อมันสองคนบ้าง ไม่ใช่ต้องมานั่งเลี้ยงหลานให้ลูกๆ มัน"

     "..." รอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าของนทีทำให้นัชชาเริ่มสงสัย

     "ทำไม ทีมีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า" เสียงถอนหายใจของนทีดังขึ้นก่อนคำถามต่อมาจะยิ่งทำให้งุนงง

     "แล้วถ้าพี่ไม่มีโอกาสจะได้เป็นคุณย่าเลยล่ะ"

     "..."

     ความสัมพันธ์ของม่านฟ้าและพิธานถูกเล่าผ่านปากผู้เป็นอา เรื่องราวเรียบง่ายความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อนใดนอกจากการเป็นคนรักที่ต้องปิดบังสถานะของกันและกันเอาไว้ นัชชานิ่งงันไปอย่างทำอะไรไม่ถูก ภายในหัวของเธอเหมือนยังไม่สามารถเรียบเรียงสิ่งที่นทีเล่าออกมาได้ จนเมื่อเสียงเล่าเรื่องของนทีเงียบลงไปสักพักนัชชาถึงเพิ่งจะรู้ตัว

     “พี่น้ำๆ ...พี่โอเคไหม” พยาบาลสาวเงยหน้าขึ้นมองน้องสามีอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าให้ แต่นัยน์ตาที่แดงก่ำทั้งสองข้างกลับทำให้นทีถอนหายใจ เธอส่งกระดาษทิชชูให้พี่สะใภ้และนั่งรอเงียบๆ

     นัชชาไม่คิดมาก่อนว่าลูกชายคนโตของเธอก็จะมีรสนิยมเช่นนี้ ม่านฟ้าไม่ได้มีท่าทางอ่อนหวานหรืออาการใดที่ดูเหมือนจะชอบผู้ชายด้วยกันสักนิด ในคราวของภูหมอกเมื่อรู้ความจริงถึงเธอจะเสียใจแต่ก็ไม่แปลกใจมากนัก แม้เธอจะเคยเข้าใจผิดว่าลูกชายเป็นหนุ่มเพลย์บอยที่พาสาวเข้าบ้าน แต่เมื่อมองดีๆ ภูหมอกก็เป็นเด็กอ่อนไหวและเรียบร้อยแต่เดิมอยู่แล้ว

     ผิดกับม่านฟ้ารายนี้ถึงจะนิ่ง จะดื้อแค่ไหนแต่เธอก็ไม่คิดว่าม่านฟ้าจะชอบผู้ชายด้วยกัน เธอยังเคยบังเอิญเจอแฟนเก่าของม่านฟ้าคราวที่ลากเจ้าตัวไปช่วยซื้อของและจำได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง

     แต่แฟนคนปัจจุบันกลับเป็นผู้ชายแถมตัวโตเสียจนจะชนประตูบ้านของเธออยู่แล้ว

     คนเป็นแม่ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาให้หมดก่อนสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้งปรับอารมณ์ให้คงที่แล้วพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้

     เอาเถอะ จะเพศไหนก็ช่าง ขอแค่เป็นคนดีกับรักลูกเธอก็พอ

     “พี่โอเคล่ะ” นัชชาตอบกลับคำถามแรกของนทีออกมาแผ่วเบา สายตาที่หันกลับมาสบกับคู่สนทนาทำให้นทีเผยรอยยิ้มได้อีกครั้ง ภูมิใจไม่น้อยที่เธอมีพี่สะใภ้ที่เข้มแข็งขนาดนี้ นัชชามักบอกว่าเธอเป็นคนเข้มแข็งที่ผ่านเรื่องราวในชีวิตมากมายมาได้ แต่แท้จริงแล้วเธอว่าผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุดที่เธอเคยเจอก็คือพี่สะใภ้ของเธอนี่แหละ

     “เล่าเรื่องพีทกับเมฆให้พี่ฟังอีกหน่อยเถอะ พี่อยากรู้ว่าเป็นยังไง” หลังปรับอารมณ์ได้แล้วตอนนี้ที่เหลืออยู่มีเพียงความเป็นห่วงลูกชายเท่านั้น นัชชาฟังสิ่งที่นทีเล่าออกมาอยากตั้งใจ เธอเองก็เคยเจอพิธานหลายครั้ง ยังดีที่คนที่กลายเป็นคนรักของลูกชายเป็นคนที่เธอพอจะรู้จักอยู่บ้าง หากเป็นใครไม่รู้เธอคงกังวลมากกว่านี้

     “จริงๆ ทีก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก เพิ่งมารู้จักพีทก็ตอนที่พวกมันหอบเจ้าหมอกมาฝากกัน พอรู้เรื่องของมันสองคนทีก็แอบกังวลเหมือนกันนะว่ามันจะมาหลอกเมฆหรือเปล่า พี่ก็รู้สมัยนี้รักแท้มันหายากขึ้นทุกที อย่าว่าแต่เป็นผู้ชายด้วยกันเลย ต่อให้เป็นผู้หญิงผู้ชายสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ แต่พอรู้ว่ามันคบกันมานานแค่ไหน ทีก็พูดอะไรไม่ออก”

     คุณแม่ลูกสองถอนหายใจออกมาอีกหน จากที่จะมาถามไถ่ข่าวคราวของลูกชายคนเล็ก แต่กลับต้องมารู้เรื่องของลูกชายคนโตเช่นนี้ทำให้เธอคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน “พี่รู้สึกว่าเป็นแม่ที่แย่จัง พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกเลย แล้วยิ่งเมฆมันทำตัวเข้มแข็งอยู่ตลอด พี่ถึงไม่รู้ว่ามันต้องเก็บปัญหานี้ไว้กับตัวนานขนาดนี้”

     “เมฆมันก็เป็นเด็กเข้มแข็งแหละพี่ แค่ยกเว้นเรื่องพ่อมันไว้เรื่องหนึ่ง” นทีเอ่ยปากปลอบพี่สะใภ้เมื่อเห็นอีกคนเริ่มทำหน้าเศร้า

     “...” นัชชานิ่งไปอย่างรอฟังคำอธิบาย

     “กับเรื่องอื่น ไอ้เมฆมันก็พร้อมสู้ แต่กับพ่อมัน… พี่คิดว่าการที่มันถูกด่า ถูกกดดัน ถูกเปรียบเทียบกับน้องชายมาตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งชาชินได้ มันต้องเจ็บมามากแค่ไหนกัน มันอาจจะไม่ได้เกลียดน้องเพราะเรื่องนั้นแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เจ็บหรือมันไม่รู้สึก ทุกวันนี้สิ่งที่รั้งไอเมฆไว้จนไม่กล้าบอกพ่อเรื่องของมันกับพีทอาจเป็นเพราะความกลัวที่สะสมมาจากความเจ็บเหล่านั้นก็ได้นะพี่”

     นทีพูดไปก็นึกถึงหลานชายของเธอและคนรัก ไม่เพียงแค่ม่านฟ้าที่ทรมานแต่คนที่อยู่ข้างๆ อย่างพิธานก็อึดอัดไปด้วย เธอกลัวเพียงว่าวันหนึ่งหากความอึดอัดนั้นทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทนไม่ไหว หลานชายเธอจะต้องเสียความรักดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

     “ถ้าไม่มีเจ้าพีทอยู่ข้างๆ ไม่แน่ว่าเมฆมันอาจจะล้มไปแล้วก็ได้”

     นัชชาหลุบตาลงอย่างใช้ความคิด เธอเองก็คิดมาตลอดว่าม่านฟ้าน่าจะมีแฟนแล้ว สมัยก่อนเธอมักเห็นเจ้าตัวออกมาคุยโทรศัพท์ที่ม้าหินหลังบ้านตอนดึกๆ ในช่วงปิดเทอม จะมีแค่ช่วงปีที่ผ่านมานี้ที่ไม่ค่อยเห็นจึงคิดว่าอาจเลิกรากันไปแล้ว

     ที่ไหนได้กลับพาแฟนเข้ามาในบ้านแล้วต่างหาก ถึงไม่ต้องโทรศัพท์คุยกัน

     ‘แม่ไม่ได้คิดจะกีดกันหรอกนะถ้าหมอกคิดจะมีแฟน เมฆเองก็ด้วย แต่แม่ไม่ชอบให้ปิดบังอะไรไว้ อยากให้ทำอะไรก็ยังอยู่ในสายตาของแม่’

     ที่เคยพูดไว้แบบนั้นก็เพราะเผื่อเจ้าลูกชายคนโตจะหลุดปากออกมาบ้าง แต่ก็ไม่มีสักนิดแถมปิดเก่งจนเธอไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย พิธานเองก็แสดงบทบาทความเป็นเพื่อนได้ดีเสียจนน่าตีไปด้วยอีกคน

     “พีทมันดูแลเมฆดีรึเปล่า”

     นทีส่งยิ้มพร้อมพยักหน้าให้นัชชาสบายใจ แต่ก็ยังพูดเผื่อเอาไว้ไม่ให้ดูเข้าข้างเกินไปจนน่าเกลียด

     “ทีก็บอกได้แค่ในมุมของที พี่น้ำลองสังเกตเจ้าพีทมันเองดีกว่าพี่จะได้มั่นใจ ที่ทีมาบอกพี่ก่อนก็เพราะอยากให้พี่คอยดูท่าทีว่าที่ลูกเขยพี่นี่แหละ แล้วให้พี่ตัดสินใจเองว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน”

     ถึงคราวที่นัชชาเป็นผู้พยักหน้าบ้าง เธอจะขอเริ่มนับคะแนนว่าที่ลูกเขยเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!



     จากวันนั้นมาเธอเองก็คอยสังเกตท่าทีของพิธานและลูกชายคนนี้มาตลอด นัชชาอาจไม่ได้เจอพิธานบ่อยเท่าเมื่อก่อนที่เจ้าตัวมาสอนพิเศษภูหมอกที่บ้าน แต่ครั้งที่ม่านฟ้าต้องเข้ามากล่อมพ่อเป็นครั้งคราวก็มักจะมีพิธานเป็นผู้มารับมาส่งเสมอ ยิ่งคราวที่ม่านฟ้าป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล คนที่วิ่งวุ่นมากที่สุดก็คงไม่พ้นเจ้าหนุ่มตัวโตคนนี้

     พิธานยังคงความเป็นธรรมชาติในตัวเอง เขาไม่ได้ดูเหมือนคนที่พยายามฝืนตัวเองเพื่อเอาใจคนในบ้าน (ถึงการแต่งตัวในวันแรกที่เจอที่โรงพยาบาลกับวันหลังๆจะต่างกันหน่อยแต่ก็พอเข้าใจได้) อย่างอาหารที่ทำมาส่งให้บ่อยครั้งก็ไม่ได้ดูทำไปเพราะพยายามจะเอาใจ แต่เหมือนหนุ่มน้อยขี้เหงาที่อยู่บ้านคนเดียวแล้วไม่มีอะไรทำเลยลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้แฟนและครอบครัวแฟนกินมากกว่า

     ถึงเธอจะไม่ได้มองพิธานด้วยอคติหรือเข้าข้าง แต่ตอนนี้เธอก็เทคะแนนให้พิธานไปไม่น้อยแล้ว

     นัชชาก้มลงมองลูกชายคนโตที่ตอนนี้ซุกหลับอยู่บนตักของเธอ น้ำตาของม่านฟ้าบนเสื้อเธอเริ่มแห้งจากลมแรงภายนอกแต่เธอรู้ดีว่าความทรมานในใจของลูกชายยังคงไม่หายไป ตราบใดที่ยังต้องเก็บความลับสำคัญเอาไว้เช่นนี้

     “เมฆมันก็เป็นเด็กเข้มแข็งแหละพี่ แค่ยกเว้นเรื่องพ่อมันไว้เรื่องหนึ่ง”

     ผู้เป็นแม่ก้มลงจูบกลุ่มผมหนาของลูกชายอีกครั้ง ลูบหัวให้คนที่กำลังหลับสบายก่อนพูดออกไป “ถ้ามันอึดอัดก็พูดมันออกไปเถอะลูก ไม่ต้องกลัว แม่อยู่ข้างเมฆเสมอนะครับ”

   
   

(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 23  (ต่อ)

  ‘อดทนอีกนิดนะ พีท’

     คำพูดแผ่วเบาจากปลายสายก่อนที่ม่านฟ้าจะวางไปกลับทำให้พิธานคิดมากจนถึงตอนนี้ เขายืนรับลมทะเลอยู่ที่หน้าต่างอีกครู่หนึ่งก็หันกลับมาหาอีกคนในห้องที่นั่งเล่นเกมอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้หันไปเล่นโทรศัพท์แชตกับแฟนแทนแล้ว

     “มาๆ ต่อเหอะเฮีย” พิธานเรียกอีกคนให้เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์

     จะว่าไปเหมือนลืมบอกเมฆว่าเฮียมาหาถึงที่ไซต์ตั้งแต่เมื่อวานเย็น

     ชายหนุ่มตรงหน้าพิธานตอนนี้มีโครงหน้าที่คล้ายกับพิธานอยู่หลายส่วนเพียงแต่ขาวกว่าและดูตี๋กว่าเท่านั้น เจ้าตัวพยักหน้าเล็กน้อยแต่มือก็ยังจิ้มโทรศัพท์คุยกับแฟนไม่เลิก คนคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ชายสุดที่รักของพิธานที่วันๆเอาแต่บ้างานและติดแฟน ส่วนน้องชายก็ปล่อยให้นั่งเหงาเป็นหมาเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว

     ห้องพักที่บริษัทมีไว้สำหรับพนักงานจะเป็นห้องเดี่ยวเล็กๆ แต่ก็แยกโซนห้องนอนกับห้องนั่งเล่นเอาไว้ และเพราะหนึ่งห้องมีให้สำหรับหนึ่งคน พิธานถึงปล่อยให้พี่ชายมาค้างด้วยได้อย่างที่ไม่ต้องเกรงใจเพื่อนร่วมห้อง พี่ชายแสนดีที่เวลาปกติไม่กลับบ้านมาหาน้องหรือมากหน่อยก็ซุกหัวนอนที่ทำงานไปเลย เวลานี้กลับทำเป็นบ่นเมื่อน้องชายไม่กลับบ้านและถ่อสังขารมาหาถึงระยอง

     รู้นะว่าโดนแม่บังคับให้มาหา ถึงได้ยังเห็นหัวน้องชายอยู่เนี่ย
     
     พิธานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมเล่นเกมอีกครั้งเมื่อเห็นพี่ชายออกจากแชตที่คุยกับแฟน เห็นชีวิตการทำงานของพี่ชายอย่างพิรัลหรือ ‘เฮียพี’ ที่อายุมากกว่าเขาถึงเจ็ดปีแล้วนึกไม่อยากเรียนจบขึ้นมาเสียอย่างนั้น แค่ตอนนี้ที่เขามาฝึกงานยังมีเรื่องยุ่งยากให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าต้องทำงานจริงๆ จะเป็นยังไง

     เสียงถอนหายใจของน้องชายที่ดังขึ้นเรียกให้พิรัลกลับมามองน้องชายตัวโตอีกครั้ง นึกไปถึงที่เจ้าตัวออกไปคุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “ทะเลาะกับเมฆหรือไง”

     พิธานละสายตาออกจากจอเกม FPS (First person shooter) ที่กำลังจะเริ่มเล่นแข่งกับพี่ชาย หน้าจอเกมปรากฏมุมมองของสไนเปอร์คนละฝั่งที่ซ่อนอยู่ในฐานของตัวเองแล้วส่ายหน้าให้เล็กน้อย “เปล่า แค่..ห่วงมันนิดหน่อย” 

     “...” พิรัลไม่ได้ถามอะไรต่อ รู้ว่านิสัยน้องชายอีกไม่นานถ้าอยากพูดเดี๋ยวก็พูดออกมาเอง

     “เอาจริง ไม่คิดเลยว่าชีวิตแม่งต้องมาเจอเหมือนพวกรักต้องห้ามอย่างที่ดูในหนัง โดนกีดกันโดยครอบครัวคนรักอะไรแบบนี้ สมัยที่ดูพีทยังบ่นอยู่เลยว่าเจอบ้านเขากีดกันแล้วมึงจะไปรักเขาต่อให้เมื่อยตุ้มทำไมว่ะ แต่พอเอาเข้าจริง แม่ง ไม่แฟร์เลยถ้าต้องมาเลิกกันทั้งๆ ที่ยังรักกันอยู่” พิธานบ่นไปก็ขยับมือเปลี่ยนที่ซ่อนตัวละครไปอีกฝั่งให้เข้าใกล้ศัตรูมากขึ้น

     “แกเลือกเองพีท” พิรัลก็ยังเป็นพี่ชายที่นิ่งเหมือนน้ำเช่นเคย เจ้าตัวยังอยู่ในที่ซ่อนของตัวเองนิ่งๆ ขยับปุ่มซ้ายขวาเพื่อดูความเป็นไปรอบๆ ตัว เขารู้เรื่องของพิธานและคนรักมาตั้งแต่ต้น เรียกว่าเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่น้องชายนำเรื่องของเด็กผู้ชายอีกคนมาปรึกษา แม้กระทั่งเรื่องที่พิธานเพิ่งรู้ตัวว่ามีใจให้กับผู้ชายด้วยกันแล้วสติแตกไปพักหนึ่งก็ได้พี่ชายคนนี้แหละนั่งปลอบนั่งสอนอยู่

     เขาเองก็คิดไม่ต่างกันกับน้องชายเท่าไหร่นัก ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นเค้าลางความยุ่งยากของบ้านอีกฝั่งที่ท่าทางจะรับเรื่องเพศที่สามไม่ได้อย่างรุนแรง เขายังเคยเตือนให้พิธานถอยออกมาก่อนที่จะถล้ำลึกแต่สุดท้ายก็เป็นน้องชายของเขาเองที่ไม่เชื่อฟังและรับปากเงื่อนไขนั่นมา

     ในเมื่อยอมรับเงื่อนไขเองก็ต้องยอมรับสภาพเองให้ได้

     พิรัลเองหลังจากรู้จักกับม่านฟ้าก็ไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจคนรักของน้องชาย ม่านฟ้าอาจจะดูเป็นคนมึนๆ อย่างที่พิธานว่า แต่ก็เป็นเด็กดี มีน้ำใจและรู้จักสัมมาคารวะ ขนาดพ่อกับแม่ของเขายังถูกใจม่านฟ้าจนแม่กลับมาทีไรเป็นต้องหิ้วของฝากมาให้เจ้าตัวเป็นถุงๆ เสมอ

     ที่สำคัญม่านฟ้าเป็นเด็กที่ใส่ใจพิธานไม่น้อยกว่าเขาหรือพ่อกับแม่เลย

     นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาและพ่อแม่มองเห็นเหมือนกัน ม่านฟ้าคอยกล่อมคนใจร้อนอย่างพิธานให้ใจเย็นลง ใช้เหตุผลและอดทนกับความมุทะลุบ้าดีเดือดของน้องชายเขา กลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กชายพิธานขี้เหงาที่งอแงเอาแต่ใจอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และคอยประคองน้องชายของเขาไว้ในวันที่พิธานผิดหวังหรือไม่เป็นตัวของตัวเอง

     แม้กระทั่งความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ อย่างการขยับแก้วน้ำออกจากระยะมือของพิธานให้เพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะปัดตก การสำรวจรอบๆ เวลาจะออกไปไหนเผื่อว่าน้องชายของเขาจะลืมของ หรือการสังเกตสีหน้าและอาการที่บางทีแม้แต่เขาก็ยังมองไม่ออกว่าพิธานกำลังป่วย มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ ที่ม่านฟ้าทำไปทั้งที่ไม่รู้ตัวแต่เขาก็รู้สึกได้ และรู้ดีว่าคนที่รู้สึกถึงมันมากที่สุดคือพิธาน

     ม่านฟ้าไม่ได้เป็นเพียงคนรักที่ดี แต่ทำให้พิธานเป็นคนดีและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย
     
     เขาถึงไม่อยากให้น้องต้องเสียคนรักดีๆ ไป

     “พีทรู้แต่พีทก็แค่อยากจะทำอะไรได้บ้าง พีทรู้ว่าเห็นมันเอื่อยเฉื่อยแบบนั้นแต่จริงๆ มันเครียดจะตายเพราะพีทไปกดดันมันเรื่องพ่อ ไปทำให้มันรู้สึกผิด แต่สุดท้ายพีทกลับช่วยอะไรมันไม่ได้สักอย่าง” ตัวละครของพิธานขยับออกจากที่ซ่อนแล้วกราดยิงใส่คู่ต่อสู้ที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เสียงปืนในเกมดังรัวๆ เหมือนคนกดกำลังหงุดหงิดไม่น้อย

     “พีท ชีวิตคู่อะนะ มันไม่จำเป็นว่าต้องมีคนหนึ่งเป็นผู้นำหรือออกหน้าปกป้องเสมอหรอกนะ แกอาจจะถนัดกับการออกลุยเป็นแนวหน้าทุกเรื่อง แต่บางครั้งมันก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมหลายๆ อย่าง หรือบางครั้งแกอาจต้องถอยออกมาเพื่อให้เขาจัดการ แล้วก็เชื่อใจเขา” พิรัลยังคงพูดต่ออย่างใจเย็นแล้วขยับมือบังคับตัวละครของตัวเองให้รีบหลบอยู่หลังถังไม้ใบใหญ่ก่อนจะวิ่งไปหลบที่รถอีกคันเมื่อที่ซ่อนเก่าถูกน้องชายระเบิดจนกระจุย

     “แล้วยังไง เราทำได้แค่ให้กำลังใจ เชื่อใจแล้วก็รออยู่เฉยๆ เหรอเฮีย” พิธานที่จัดการศัตรูไม่ได้วิ่งขึ้นหน้าเข้าไปใกล้ที่ซ่อนของอีกคนแล้วรอจังหวะจัดการอีกครั้ง

     “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรู้ว่าเราควรจะอยู่ตรงไหน การที่เราพยายามจะออกจากที่ซ่อนของเราในเวลาที่ทุกอย่างมันยังไม่พร้อมและยังไม่ถึงเวลา...มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้นะ” ดวงตาเล็กรีของคนเป็นพี่หรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวด้านหน้าของศัตรู

     ปัง!

     “ความใจร้อนของแกจะทำให้สิ่งที่พยายามมาตลอดมันเสียเปล่านะ”

     พิธานหลังเหงื่อเย็นออกมาเมื่อคำพูดประโยคสุดท้ายของพี่ชายดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอของเขาที่กลายเป็นสีแดงก่อนจะจางลงพร้อมกับตัวอักษรที่ขึ้นว่า ‘Game over’


 ----

     ม่านฟ้าผละสายตาออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์ เขากดออกจากหน้าสนทนาเมื่อเห็นว่ายังไม่มีการตอบกลับมาจากข้อความสุดท้ายที่เขาส่งไปว่า ‘ถึงบ้านแล้วบอกด้วย’ เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว

     ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโซฟาข้างตัวแล้วเหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกที่มืดสนิทผ่านหน้าต่างในห้องนั่งเล่น อีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ม่านฟ้าก็จะเปิดเทอมปีสี่พร้อมกับภูหมอกที่เปิดเทอมปีหนึ่ง อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันสุดท้ายของเด็กฝึกงานบางคนอีกด้วย

     รถอาจจะติดหน่อยมั้ง

     เสียงรื้อของในชั้นดังกุกกักไม่หยุดจากภายในครัวดึงความสนใจของม่านฟ้าออกมาจากการคำนวณเวลาและระยะทางจากระยองสู่ชานเมืองกรุงเทพฯ เห็นเพียงมารดาที่ก้มๆ เงยๆ หาของอยู่จึงอดถามออกไปไม่ได้ “หาอะไรแม่”

     ไม่คิดว่าคำพูดถัดมาของคนเป็นแม่จะทำให้เขานิ่งงันไป

     “แก้วน่ะสิ ใบที่เป็นลายเลอะๆ ที่เมฆชอบใช้น่ะ ขนาดกำลังดีแม่จะเอามาทำขนม” ผู้เป็นมารดาคล้ายกับยังไม่รู้ตัวจึงพูดอธิบายออกมาให้ลูกชายได้ฟัง ผิดกับม่านฟ้าที่ตอบผู้เป็นแม่กลับไปเสียงเบา “...แตกไปแล้วไง”

     เพล้ง!

     ภาพความทรงจำในวันเก่าผุดขึ้นมาในหัว ไม้เมตรอันเก่าที่ฟาดเข้ากับร่างของลูกชายคนโตหักครึ่งออกจากกัน ส่วนหนึ่งยังค้างอยู่ในมือของผู้เป็นพ่อ ขณะที่อีกส่วนกลับกระเด็นไปจนกระแทกกับแก้วน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แก้วน้ำลายสวยที่แต้มสีน้ำเงิน สีฟ้าและสีขาวไปทั่วใบคล้ายรูปก้อนเมฆที่ไม่มีรูปร่างชัดเจนตกลงบนพื้นก่อนที่จะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในเวลานั้นไม่มีใครหันมาสนใจว่าสิ่งที่แตกลงไปคือสิ่งใด เมื่อเสียงตวาดยังคงดังก้องอยู่ในหู

     “มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยนะ”

     “กรรมอะไรของกูที่มีลูกอย่างมึง”


     ม่านฟ้าหลับตาลงเมื่อเขายังได้ยินคำพูดจากตอนนั้นซ้ำๆ ทั้งในยามหลับและยามตื่น จากความเจ็บช้ำกลายเป็นความชินชา คอยย้ำเตือนให้เขาได้จดจำไว้...ถึงตัวตนของเขาในสายตาพ่อ

     ช่างเถอะ เขาไม่ควรจะคิดเยอะอย่างที่อาบอกนั่นแหละ

    “ผมต้องทำยังไง ต้องพูดยังไงเขาถึงจะยอมฟัง” ลูกชายคนโตของบ้านนึกย้อนไปถึงบทสนทนาของเขากับผู้เป็นอาและคำตอบแสนจะเรียบง่าย

     “ไม่ต้องคิดเยอะพูดเยอะอย่างที่แกชอบทำหรอก...แค่พูดตรงๆ ไปก็พอ”

     ในเวลานั้นสีหน้าของเขาคงว่างเปล่าเสียจนผู้เป็นอาขยับยิ้ม ม่านฟ้ายังจำสัมผัสของมือเรียวที่ข้างแก้มและคำพูดของอีกคนได้ดี “แกจะจูงมือแฟนแกแล้วเดินเข้าไปหาพ่อบอกว่า ‘พ่อครับนี่แฟนผม’ แค่นี้ก็ได้”

     ไม่มีทาง หากทำเช่นนั้นจริงพิธานคงไม่พ้นถูกพ่อตีหัวแตกเป็นแน่ ในตอนนั้นเขาคงเผลอทำหน้ายู่ให้อาเห็น นทีถึงใจดีเปลี่ยนประโยคให้เขาอย่างไม่เกี่ยงงอน “หรือจะเป็นแค่ ‘พ่อครับ เมฆเป็นเกย์’ แค่นี้ก็ได้ ซ้อมท่องเช้าท่องเย็นเอาไว้ให้ติดปาก พอถึงคราวที่ต้องพูดจะได้ไม่มีปัญหา เห็นไหมง่ายนิดเดียว”

     นั่นสินะ

     คำพูดหลายคำดังขึ้นมาในหัวม่านฟ้าในชั่วพริบตา เขาเหลือบมองน้องชายโดยหวังว่าการตัดสินใจนี้ของเขาจะไม่ทำให้เจ้าตัวต้องโดนหางเลขไปกับเขาด้วย ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกเมื่อคิดว่านี่คงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วติดก็แต่เพียงคำสัญญาเดียวที่เคยให้ไว้

     “อย่าเพิ่งบอกอะไรกับพ่อทั้งนั้นตอนที่กูไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพ่อจะโมโหขึ้นมาอีกไหม แต่ให้กูอยู่ใกล้ๆ มึงก่อน ไม่เอาตอนที่กูอยู่ไกลแบบนี้ รู้มั้ย”

     “แค่ให้กูได้อยู่ข้างๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กูจะทำให้มึงได้...มึงให้กูเถอะนะ”


     .

     .

     แสงจากโทรศัพท์มือถือข้างตัวสว่างขึ้นแสดงให้เห็นว่ามีข้อความจากใครบางคนส่งมาถึงเขา

     เอาล่ะ เท่านี้เขาก็ไม่ได้ผิดสัญญาแล้ว



     TBC



     Achaya (Writer) :
     
     หากใครจำได้ ฉากนี้จะตรงกับตอนสุดท้ายของภาคหลัก (บทที่ 18) พอดี สุดท้ายก็ตามทันแล้วว เราเคยคิดวิธีการสารภาพมาหลายแบบมาก แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยคำง่ายๆ เนี่ยแหละ
     
     ตอนนี้ยังไม่มาม่านะคะ (แค่ต้มน้ำรอ) ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมมเมนต์กันนะคะ



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โอ่ยยยยย

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เมื่อคนแต่งต้มน้ำร้อนรอ คนอ่านอย่างเราคงต้องหากุ้ง หมู ปลาหมึก ไข่ มาไว้ใส่มาม่าซะแล้ว :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 24

     พิธานรีบวิ่งมาที่หน้าบ้านของคนรักในยามดึก เขาเพิ่งส่งข้อความไปหาคนรักว่า ‘ถึงบ้านแล้ว’ แต่กลับได้รู้ข่าวที่ทำให้ต้องรีบมาหาอีกคนทันทีจากโทรศัพท์ของภูหมอก

     เขาผลุนผลันเข้าไปในบ้านทันเห็นภาพที่ชายวัยกลางคนฟาดไม้เข้าไปที่ร่างของคนรักอย่างแรง พิธานรีบเอาตัวเข้าไปขวางแล้วดึงอีกคนออกมาแต่ก็เหมือนจะยังไม่ทันกาล ตามร่างกายของม่านฟ้าเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ อย่างน่าตกใจ ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาทำให้พิธานพูดอะไรไม่ออก

     ชายหนุ่มพยายามปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของคนรักแต่ม่านฟ้ากลับเบี่ยงใบหน้าออกจากฝ่ามือของเขา สายตาที่มองสบมาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาหันกลับไปมองพ่อของคนรักที่ยังคงตวาดด่าทอม่านฟ้าไม่หยุดก่อนที่สายตาจะมาหยุดลงที่เขา

     “เป็นแกเองสินะ” เสียงคำรามลอดไรฟันของชายวัยกลางคนทำให้พิธานเกร็งตัวขึ้นมา “ที่เข้ามาในบ้าน ที่ทำเป็นพูดดี ที่มาเอาใจฉัน...มันคือแผนของแกใช่ไหม” พิธานได้แต่กลืนน้ำลายลงไปในคอ ภาพพ่อของคนรักในเวลานี้กลับดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ใบหน้าแดงก่ำและสายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความโกรธทำให้พิธานได้แต่จับมือคนรักไว้ให้แน่นขึ้น

     “การที่เราพยายามจะออกจากที่ซ่อนของเราในเวลาที่ทุกอย่างมันยังไม่พร้อมและยังไม่ถึงเวลา...มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้นะ”

     คำพูดของพี่ชายดังสะท้อนขึ้นมาในหัว

     “ที่แกบอกว่าแค่รักคนที่เป็นผู้ชายด้วยกันมันผิดอะไร กูไม่สน! แต่มันต้องไม่ใช่ลูกกู ทำไมต้องเป็นลูกกู!” ไม่พูดเปล่าชายวัยกลางคนตรงหน้าคว้ากล่องหมากรุกที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กมาเขวี้ยงใส่เขา “อยากได้ลูกกูนักรึไง กูไม่ให้! ลูกกูต้องไม่มีแฟนเป็นผู้ชาย มันต้องไม่เป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไปกับมึง!”

     ม่านฟ้าถูกคนเป็นพ่อกระชากตัวกลับไปอยู่ข้างกาย แรงอารมณ์ของผู้เป็นพ่อทำให้ม่านฟ้าที่ถูกบีบแขนแน่นหลุดเสียงร้องไห้ออกมา บรรยากาศภายในบ้านตึงเครียดเสียจนพิธานรู้สึกถึงความร้อนระอุที่ลอยอยู่ในอากาศ เขาพยายามจะเดินเข้าไปหวังเกลี้ยกล่อมพ่อของคนรักและดึงตัวม่านฟ้ากลับมา แต่ใครจะคิดว่าพ่อที่ถอยหลังลงไปกลับเอื้อมมือคว้ามีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ข้างตัว

     และยกขึ้นมาจ่อลำคอของตัวเอง

     พิธานมองภาพนั้นอย่างตกใจ เขาเห็นม่านฟ้าพยายามจะพุ่งเข้าไปดึงมีดออกมาแต่ชายวัยกลางคนกลับถอยหลังลงไปอีก พิธานนิ่งงันอยู่กับที่ เสียงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหายไปจากหูของเขาราวกับโทรทัศน์ที่ถูกปิดเสียง เขาไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะบานปลายมาถึงขั้นนี้ แต่ก็ฝืนเดินหน้าเขาไปหาชายวัยกลางคนที่กำลังคลุ้มคลั่งในเวลานี้

     “พ่อ พ่อใจเย็นก่อนนะ ค่อยๆ คุยกันเถอะพ่อ” เสียงของม่านฟ้าสั่นพร่าไปหมดเมื่อเห็นปลายมีดยังจ่ออยู่บริเวณลำคออย่างน่าหวาดเสียว แต่สายตาของพ่อกลับมองตรงมาที่พิธานคนเดียวอย่างต้องการให้เขาเป็นผู้เอ่ยปาก ชายหนุ่มร่างสูงเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา

     “โอเค ผมยอมแล้วพ่อ พ่ออยากให้ผมทำอะไร ผมยอมทุกอย่าง”

     แต่นั้นคงเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่

     เขาเห็นชายวัยกลางคนตรงหน้าเผยยิ้มก่อนเอ่ยคำพูดที่เขากลัวที่สุดออกมา

     “เลิกกับไอเมฆ เลิกยุ่งกับลูกกูซะ”

     พิธานได้แต่กัดฟันแน่นเมื่อคำประกาศิตนั้นคือสิ่งที่เขากลัวสุดใจ

     “มึงห้ามมาให้คนในบ้านกูเห็นหน้าอีก ออกไปจากชีวิตลูกกูและคนในบ้านกู! ออกไป!!! ” เสียงคำรามลั่นของผู้เป็นพ่อทำให้ม่านฟ้าหน้าซีดเผือด น้ำตายังไหลลงมาไม่ขาดสาย พิธานพยายามจะเข้าไปกล่อมชายวัยกลางคนอีกครั้งและเดินหน้าเข้าไปแต่นภดลกลับถอยหลังและหันกลับมาขู่ม่านฟ้าแทน “มึง ไอ้เมฆ อย่าให้กูเห็นว่ามึงไปยุ่งกับมันอีก เอามันออกจากบ้านกูไป ไป!!!”

     ม่านฟ้าส่ายหน้าและยืนละล้าละลังอย่างทำตัวไม่ถูก จนพ่อจ่อมีดเข้ากับคอของตัวเองอีกครั้งอย่างแรงจนลำคอมีเลือดไหลซิบออกมา “หรือมึงอยากเห็นกูตายก่อนห่ะ!!”

     ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมด พิธานยืนมองชายวัยกลางคนตรงหน้าที่ตวาดด่าทุกคนรอบข้างอย่างไร้สติ มองม่านฟ้าที่ร้องไห้ไม่หยุด เรี่ยวแรงภายในร่างกายเหือดหายไปจนเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อม่านฟ้าหันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง

     “ได้ๆ พ่อ เมฆยอมแล้ว”

     สิ้นคำร้องอย่างผวาของม่านฟ้า เจ้าตัวก็ค่อยๆ หันกลับมามองหน้าคนรัก พิธานยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเห็นเพียงคนรักที่ก้าวเข้ามาใกล้ตัวเขาขึ้นเรื่อยๆ เขาส่ายหน้าให้ม่านฟ้าเมื่อรู้ว่าเจ้าตัวกำลังจะทำอะไร ฝ่ามือของคนรักวางลงบนหน้าอกของเขา แรงผลักของม่านฟ้าดันให้ตัวเขาถอยหลังออกมาจากเสียงโวยวายของชายคลุ้มคลั่ง เมื่อรู้ตัวอีกครั้งพิธานก็มายืนอยู่นอกบ้านที่มีประตูรั้วกั้นระหว่างเราเอาไว้

     เขาเห็นคนรักสะอื้นออกมาอย่างหนัก ดวงตาคู่สวยของม่านฟ้าแดงช้ำอย่างน่าสงสาร เขาอยากยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้กับคนรักแต่ร่างกายกลับหนักอึ้งจนไม่มีแรง หัวใจบีบรัดหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก รู้สึกถึงความชื้นบนใบหน้าของตัวเองก็เมื่อมือเรียวคู่ที่เขาชอบสัมผัสเอื้อมมาปาดน้ำตาบนใบหน้าให้

     “ขอโทษนะ พีท”

     หมายความว่ายังไง ในเวลานี้แม้คำพูดเรียบง่ายแต่เขากลับแปลความไม่ออก

     “กู.. กูขอให้มึงเจอคนใหม่ที่ดี คนที่เขารักมึงมากๆ ขอ..ให้มึงมีความสุขมากๆ นะ”

     ไม่ ทำไม ไม่เอาแบบนี้

     พิธานได้แต่เถียงและมีคำถามอยู่ในใจ แต่กลับไม่มีคำพูดใดจะพูดออกไปได้เลย

     ม่านฟ้ายังคงสะอื้นออกมาจนตัวโยน พิธานเห็นม่านฟ้ากะพริบไล่น้ำตาออกไปเพื่อหวังจะได้จำภาพของคนตรงหน้าไว้ให้ชัดเป็นครั้งสุดท้าย ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามใบหน้าของคนรักอย่างอาวรณ์ ความรักสี่ปีที่สั่งสมมาพังทลายลงเพียงเพราะการเปิดเผยความจริงออกไป

     เพียงเพราะเขาไม่ยอมอยู่ในที่ของตัวเอง

     “กูขอโทษจริงๆ นะ พีท”

     ทำไมเราถึงต้องจบกันแบบนี้
     
     .

     .

     .

     “โหยยย กี่ปีแล้วมึง เมื่อไหร่มึงจะเลิกจมปลักซะทีว่ะเพื่อน” เสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นเมื่อพวกเขานัดรวมตัวกันเพื่ออัปเดตชีวิตของแต่ละคน ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ยังคงเสียงดังเฮฮาไม่ต่างไปจากสมัยเรียน โชคดีที่ในร้านก็เปิดเพลงเสียงดังสู้ไม่งั้นคงได้กลายเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านแน่

     พิธานที่ถูกเพื่อนกล่าวถึงพร้อมตบหัวหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนหนึ่งทีก่อนหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาชงเหล้าต่อ รู้ตัวว่ากลายเป็นคนดื่มเหล้าหนักมากขึ้น แต่ก็หลอกตัวเองว่าไม่ได้ดื่มบ่อยแค่เวลานัดสังสรรค์กับเพื่อนเป็นครั้งคราวเท่านั้น “เฮ้ย เบาได้เบานะมึง ไม่มีคนแบกศพมึงกลับนะ แถมมึงเอารถมาด้วยนิ”

     ใช่สินะ ไม่มีคนแบกเขากลับเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต้องดูแลตัวเองให้ได้

     “มึงเลิกกันมาหกเจ็ดปีแล้วนะ ลูกกูเกือบขวบแล้วเนี่ย ทำไมมึงยังจมอยู่กับไอ้เมฆว่ะ หาคนใหม่สักคนเหอะมึง จะผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ได้แค่ให้มึงโงหัวขึ้นมาจากอดีตของมึงซะทีเนี่ย” เสียงเพื่อนในกลุ่มยังดังขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเดิมคือพิธานแต่คราวนี้ดีหน่อยที่เปลี่ยนจากตบหัวเป็นบีบมือลงบนไหล่แทน

     “ถามจริง มึงโกรธไอ้เมฆหรือยังยึดติดอะไรวะ ถ้าวันนั้นสุดท้ายแล้วเมฆมันเลือกมึง แล้วทิ้งพ่อ มึงจะยังโอเคกับแฟนที่ทิ้งพ่อแม่มาหามึงได้เหรอ” บทสนทนาของเพื่อนทุกคนเริ่มรุมกลับมาที่พิธาน เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนอยู่ทุกปีเพราะไม่ว่าจะกี่ปีที่นัดเจอกันเพื่อนตัวโตคนนี้ก็ยังมาพร้อมใจช้ำๆ ทุกครั้งไป “กูว่ามึงก็คงไม่โอเคไหม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกลับไปแก้ไขยังไงผลลัพธ์ก็ต้องออกมาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

     “ทำใจซะเถอะว่าพวกมึงคงไม่ได้เกิดมาคู่กัน”

     คำพูดประโยคนั้นของเพื่อนสนิทเหมือนหมุดที่ตอกลึกลงไปในใจของพิธาน มันเป็นสิ่งที่เขารู้ดีมาตั้งแต่วันแรกแต่ก็ยอมรับมันไม่ได้เสียที เฝ้าหลอกตัวเองซ้ำๆ ว่ามันต้องมีทางเป็นไปได้ที่ความรักของพวกเขาจะสมหวัง

     แม้ในยามที่พยายามทำใจยอมรับ แล้วเปิดใจมองหาใครสักคนแต่สุดท้ายก็ยังจบลงที่คำว่า ‘ไม่รอด’ ไม่ใช่เพราะใครคนใหม่ไม่ดีพอแต่เป็นเพราะเขาเองที่เห็นแก่ตัวและยังทิ้งภาพจำของม่านฟ้าออกไปจากใจไม่ได้

     ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ดวงตาสวยที่เป็นประกายยามได้หยอกล้อกัน สัมผัสอุ่นๆ และคำสัญญามากมายในวันวานยังคงอัดแน่นอยู่ในหัวของเขา

     จะทำอย่างไรก็ลืมไม่ได้เสียที



     รถยนต์สีดำจอดลงหน้าบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดสูทเปิดประตูฝั่งคนขับเดินอ้อมออกมาเปิดประตูรั้ว เขาถอยรถเข้าจอดในลานก่อนที่ไฟหน้ารถจะดับลง ชายวัยกลางคนเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับออกมา สีหน้าคล้ายยังหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

     “ฉันไปงานแต่งงานลูกเพื่อนมากี่คนแล้ว เมื่อไหร่ฉันจะได้ไปงานแก จะสามสิบอยู่แล้วทำไมไม่คิดจะหาแฟนสักคน” พวกเขาทะเลาะกันมาตั้งแต่ในรถ นภดลพูดย้ำๆ ถึงแต่เรื่องนี้ตั้งแต่ออกจากงานเลี้ยงมาจนกระทั่งถึงบ้านก็ยังไม่ยอมจบ

     “เมฆ..ยังไม่อยากมีใครน่ะพ่อ” เสียงลูกชายตอบกลับมาแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยหลุบลงมองพื้นเมื่อผู้เป็นพ่อเริ่มต้นยืนด่าอย่างจริงจัง “ยังไม่อยากมีใครหรือแกยังลืมไอเด็กนั้นไม่ได้!!”

     “...” นัยน์ตาโศกสะท้อนแววไหววูบหนึ่งก่อนกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง “เมฆแค่ยังไม่อยากมีใครจริงๆ”

     “ทำไมว่ะ แค่หาแฟนผู้หญิงสักคนมันยากนักรึไง ผู้หญิงในโลกมีตั้งเยอะให้แกเลือกทำไมไม่เลือกสักคนหรือแกต้องรอให้ฉันแก่ตายไปก่อน ชาตินี้ฉันจะได้อุ้มหลานไหม ห่ะ หรือกูต้องขู่อย่างคราวที่มึงเลิกกับไอเด็กพีทนั่นอีกมึงถึงจะฟัง!” สรรพนามที่เปลี่ยนพร้อมอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นทำให้ม่านฟ้าเม้มปาก ยังดีที่เพื่อนบ้านไม่อยู่วันนี้ไม่งั้นคงได้มีทะเลาะกับข้างบ้านต่อ

     “ขอเวลาผมอีกหน่อยเถอะพ่อ” ม่านฟ้าพยายามใช้ไม้อ่อนกับพ่ออีกครั้ง เขามองพ่อที่ชี้หน้าคาดโทษไว้ขณะเดินเข้าบ้านแล้วถอนหายใจออกมา ม่านฟ้ายังคงทะเลาะกับพ่อเรื่องเดิมซ้ำๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

     ชายหนุ่มเดินกลับไปที่หน้าบ้านเพื่อปิดประตูรั้วก่อนสายตาจะไปปะทะกับร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล

     ร่างสูงที่เคยเห็นเหมือนจะสูงขึ้นกว่าเดิม รูปร่างก็หนาและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อน สองขายาวก้าวเข้ามาใกล้รั้วบ้านของเขามากขึ้นก่อนจะหยุดอยู่ตรงที่เดิม...ที่เดิมที่พวกเขาเคยจากกัน

     พิธานฝืนยิ้มจางๆ มาให้อีกคน เห็นม่านฟ้าหลุบตาลงมองพื้นตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาใกล้ เจ้าตัวทำเหมือนมองไม่เห็นเขาแล้วหันหลังกลับเตรียมจะเข้าบ้าน จึงต้องรีบเอ่ยปากเพื่อรั้งอีกคนไว้ “มึงเป็นไงบ้าง”

     เขาเห็นอีกคนเหลือบสายตากลับมามองครู่หนึ่งก่อนหันกลับไป ไหล่ที่เคลื่อนขึ้นลงทำให้รู้ว่าเจ้าตัวถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบเขา “อืม ก็ดี”

     “...”

     “...”

     พิธานยังคงฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าอีกคนไม่ได้หันกลับมามองแต่ก็ยังอยากจะยิ้มให้ “กู… ตอนนี้กูเก็บตังค์ได้เยอะแล้วนะ” เสียงที่พูดออกมาพยายามจะทำให้สดใสแต่ก็ยังปิดความสั่นเครือเอาไว้ไม่มิด “กูว่า..กูพอจะซื้อบ้านในเมืองได้แล้วด้วย”

     “อืม ดีแล้วล่ะ”

     “แต่..กูว่ากูคงไม่ซื้อหรอก ถ้าไป.. กูก็คงต้องไปอยู่คนเดียว” เสียงพิธานหัวเราะๆ ออกมาแผ่วเบา “กูอยู่กับเฮียดีกว่า ถึงจะเป็นกอขอคอหน่อยก็เถอะ”

     “อืม”

     “กูเรียนจบโทบริหารแล้วด้วยนะ หนีแทบตายสุดท้ายกูก็ต้องกลับมาช่วยงานที่บริษัทป๊าอยู่ดี จะรับปริญญาสิ้นเดือนนี้แหละ ถ้า...ถ้ามึงว่างก็มานะ”

     “อืม...โทษทีนะ กูคงไปไม่ได้”

     “...”

     “...กู เข้าบ้านก่อนนะ” ม่านฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกว่าคนด้านหลังยังคงไม่จากไปและมองเขาอยู่อย่างนั้น

     ชายหนุ่มที่กำลังจะเดินเข้าบ้านชะงักขาก่อนหันกลับมามองอดีตคนรักที่ยืนอยู่หน้าบ้าน เขาเม้มปากเข้าหากันแน่นก่อนตัดสินใจเดินกลับไปที่หน้าประตู สายตาของม่านฟ้าเหลือบกลับไปมองในบ้านอย่างระแวง เสียงที่ถามออกมาแผ่วเบาราวกระซิบ “มึงมาทำไม” แต่ก็สั่นเครือเสียจนเหมือนคนร้องไห้

     “...” กลับเป็นพิธานบ้างที่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแล้วเอาแต่มองใบหน้าของอดีตคนรักที่ไม่ได้เจอนาน

     “มึงทำแบบนี้ทำไม มาพูดแบบนี้ทำไม” เสียงม่านฟ้าคล้ายจะหงุดหงิดแต่กลับปิดความเสียใจและดวงตาที่มองไปอย่างตัดพ้อไม่ได้

     .

     .

     “มันเป็นฝันของเรา...เป็นฝันที่เราคุยกันไว้ ฝันที่กูพูดว่ากูจะทำให้ได้ก่อนสามสิบ”

     สายตาที่มองมาของพิธานทำให้ม่านฟ้าหลุดสะอื้นออกมา เขาเม้มปากแน่นกว่าเดิมเพื่อกลั้นมันเอาไว้แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่หยุด

     ม่านฟ้าก็ยังจำได้...ความฝันที่พวกเขาเคยคุยกันไว้ครั้งยังคบกันอยู่ พวกเขาอยากจะซื้อบ้านหลังเล็กๆ สักหลังในเมืองเพื่อพิธานจะได้ไม่ต้องขับรถไปกลับให้เหนื่อย ม่านฟ้าเองถ้าอยากนั่งรถสาธารณะก็สะดวกกว่า พวกเขาคุยกันว่าจบตรีไปควรจะเรียนต่อโทอีกใบ พิธานยังบ่นว่าเขาคงไม่พ้นต้องเรียนบริหารเผื่อวันหนึ่งต้องกลับไปช่วยบริษัทของพ่อขณะม่านฟ้ายังไม่แน่ใจแต่ก็อาจจะเป็นบริหารที่น่าจะมีประโยชน์และเรียนเป็นเพื่อนอีกคนได้

     และอีกหลายความฝันที่วาดไว้ด้วยกันในครั้งที่ความรักของพวกเขายังสวยงาม

     ...และยังเป็นความลับ

     “กูทำทุกอย่างได้แล้ว กูพยายามทำมันจนได้ แต่...สุดท้ายพอได้มันมา กูไม่เห็นมีความสุขกับมันเลยเมฆ”

     “...”

     “เพราะฝันนี้กูวางเอาไว้ตอนที่อยู่กับมึง ตอนที่มีมึงอยู่ด้วย แต่ตอนนี้...ฝันของกูมันไม่มีค่าอะไรเลยเว้ย!”

     “แล้วมึงจะทำตามแผนพวกนั้นทำไม!! เรื่องของเรามันจบไปแล้วพีท ทำไมมึงยังจะดันทุรังทำตามแผนพวกนั้นต่อ ทำไมมึงไม่หาใครสักคน คนที่จะมาอยู่ข้างๆ มึง วาดฝันขึ้นมาใหม่กับมึง แล้วก็ใช้ชีวิตตามแผนกับเขาไปซะ!!” ม่านฟ้าหันกลับไปตวาดใส่คนรัก เขาไม่อยากให้พิธานยังต้องทรมานอยู่กับความรักครั้งนี้และทำได้เพียงพยายามผลักไสอีกคนออกไปให้พ้นจากอดีตเหล่านี้เสียที

     “กูพยายามแล้ว!!! กูอยากจะมีคนใหม่ มีเพื่อให้มึงสบายใจ แต่กูไม่สบายใจเลยเว้ย กูไม่ได้มีความสุขกับการมีใครใหม่เพราะกูไม่พร้อมจะมีใคร แล้วสุดท้ายมันก็ล่มหมด!” พิธานคว้าประตูรั้วก่อนกระแทกแรงลงไปอย่างระบายความอัดอั้น “แล้วมึงล่ะ มึงไม่พยายามที่จะมีใครใหม่ด้วยซ้ำ แล้วมึงจะมาบังคับให้กูหาใครใหม่ทำไม!”

     “...!!”

     ก่อนที่จะรู้ตัว ม่านฟ้าก็ถูกพิธานลากออกมาจากในรั้วบ้านแล้วยัดให้นั่งลงไปในรถที่จอดแอบไว้ก่อนที่ตัวเองจะอ้อมกลับมานั่งอีกฝั่ง ม่านฟ้าที่ถูกลากออกมายังดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก่อนจะได้เอ่ยปากพูดสิ่งใดกลับได้กลิ่นที่ทำให้ขมวดคิ้ว

     “นี่มึงกินเหล้ามาเหรอ กินเหล้าแล้วมึงขับ-” คำพูดของม่านฟ้าหายไปเมื่อเจ้าตัวเม้มปากระงับคำพูดเอาไว้ รู้ตัวว่าไม่ควรจุ้นจ้านกับอีกคนเกินฐานะอดีตคนรักแล้วหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่างแทน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหงุดหงิดคนที่ไม่รู้จักดูแลแม้แต่ความปลอดภัยของตัวเองอยู่

     ความเงียบกลืนกินอยู่ภายในรถราวกับทั้งสองคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง สุดท้ายแล้วคำพูดแรกก็หลุดออกมาจากปากของพิธานที่มองมา “จูบกูหน่อย”

     “...” ม่านฟ้าหันกลับไปมองอีกคนเมื่อคิดว่าตนฟังผิด แต่เมื่อสบกับดวงตาที่มองมาอย่างเว้าวอนก็ได้รู้

     “มึงจูบกูหน่อยได้ไหม” พิธานยังคงพูดซ้ำอีกครั้งและครั้งนี้ม่านฟ้าก็ส่ายหน้าออกมาเบาๆ

     “ทำไม” เสียงถอนหายใจของม่านฟ้าดังขึ้นเมื่ออีกคนยังคงดื้อดึง เขาหลับตาลงก่อนลืมขึ้นมาใหม่เม้มปากเข้าหากันและพยายามที่จะไม่หันกลับไปมองสายตาของคนข้างตัว “เราเลิกกันแล้วนะพีท”

     คำพูดแผ่วเบาของอีกคนแต่พิธานกลับส่ายหน้าอย่างแรง “เราไม่เคยเลิกกันเว้ย มึงเข้าใจป่ะ กูไม่เคยพูดคำนั้น มึงเองก็ไม่เคยพูด ไม่ว่าจะวันนั้นหรือวันไหน เราแค่ขาดการติดต่อกันไป ไม่ได้หมายความว่าเราเลิกกันซะหน่อย” พิธานหายใจแรงขณะที่ละล่ำละลักออกมาไม่หยุด “เรา เรายังไม่ได้เลิกกันไม่ใช่เหรอเมฆ”

     เป็นอีกครั้งที่ม่านฟ้าถอนหายใจออกมา ยิ่งพิธานทำแบบนี้ก็ยิ่งเจ็บ เจ็บกันทั้งคู่ทั้งตัวพิธานเองและตัวเขา เขารู้ว่าพิธานเป็นคนดื้อดึงมากแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าผ่านมาหลายปีเช่นนี้เจ้าตัวก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจแต่หากไม่ตัดใจ...พิธานก็จะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้เสียที

     ม่านฟ้าหันหน้ากลับไปมองอีกคนที่ยังคงจ้องมองมาที่เขา ขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนฝ่ามือจะบังคับใบหน้าของอีกคนให้ใกล้เข้ามา ริมฝีปากบดลงไปกับริมฝีปากอุ่นที่เคยคุ้น ไม่มีการรุกล้ำใดเพียงกดแนบลงไปอย่างแนบแน่นให้สมกับเป็นการจูบลา...ครั้งสุดท้าย

     “งั้น.. เราเลิกกันพีท”

     เสียงของอีกคนที่กระซิบอยู่ติดกับริมฝีปากทำให้พิธานปวดใจซ้ำๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรหรือยื้อแค่ไหนแต่อีกฝ่ายกลับไม่สู้ไปกับเขาอีกต่อไปแล้ว “ไม่ กูไม่เลิก ตอนคบกันเรายังต้องเห็นด้วยทั้งสองฝ่าย ตอนจะเลิกกันเราก็ต้องเห็นด้วยกันทั้งคู่ กูไม่ยอม”

     แต่เขาก็ยังพยายาม

     “แล้วมึงจะเอายังไง” เสียงของม่านฟ้าทั้งเหนื่อยใจทั้งเจ็บปวดปนกันไป

     .

     .

     “เรากลับมารักกันเหมือนเดิมได้ไหม ต่อให้ต้องแอบคบกันเหมือนแต่ก่อนก็ได้ กูยอมแล้ว กูสัญญา กูจะอยู่ในที่ของกู กูจะไม่พยายามออกไปอีกแล้ว ขอแค่อย่างเดียว...เรากลับมารักกันเถอะนะ”

     เขายอมทุกอย่างแล้วจริงๆ

     แต่ก็ยังไม่พอ

     “ไม่พีท ทุกอย่างมันจบแล้ว”



 

     พิธานสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งบนโซฟา ทั้งเหงื่อกาฬและน้ำตาไหลเต็มหน้าจนได้แต่ใช้แขนเสื้อเช็ดออกไปอย่างลวกๆ เขาหอบหายใจและกุมหน้าอกที่ปวดร้าวจากความฝันอันยาวนานและเจ็บปวด

     ฝันร้ายที่น่ากลัวเกินไป

     ชายหนุ่มรีบคว้าโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างโซฟาขึ้นมาดู ถอนหายใจออกมาเมื่อไม่มีเสียงเรียกเข้าจากภูหมอกเพื่อบอกข่าวร้ายอย่างเช่นในฝัน เขาเปิดหน้าบทสนทนาระหว่างเขากับคนรัก ข้อความสุดท้ายเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่เขาส่งไปว่า ‘ถึงบ้านแล้ว’ แต่กลับยังไม่มีข้อความใดตอบกลับมาแม้จะขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว

     ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

     เขารู้ใครต่างก็มองความรักในวัยนี้ว่าเป็นวัยคึกคะนอง จะมีสักกี่คนที่ได้แต่งงานและมีชีวิตบั้นปลายกับรักแรก บทสรุปของรักจึงมักจบลงอย่างรวดเร็ว อาจมีคำปลอบใจอย่างให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ความรัก ให้การรอเป็นตัวพิสูจน์ความคิดถึงและหากว่าพวกคุณได้เกิดมาคู่กันจริง คุณจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

     เหอะ คำพูดสวยหวานในหนังน้ำเน่าที่เขาเพิ่งดูจบก่อนกลับมาทำเขาเป็นบ้าจนเก็บไปฝัน แถมเอาไปพันกับเรื่องจริงของพวกเขาได้อย่างแนบเนียนจนต้องเสียน้ำตาแบบนี้

     แต่เขาไม่เข้าใจทำไมเราต้องพิสูจน์ความรักด้วยการจากลา ถ้าเขาพิสูจน์มันด้วยความรักสี่ปีของเขามันยังไม่พอ เขาก็จะพิสูจน์ให้เห็นด้วยอีกสิบปี อีกยี่สิบปีที่เขาจะยังอยู่กับคนรักต่อจากนี้

     ใช่ เขารับปากอะไรไม่ได้หรอก ได้แต่พิสูจน์ด้วยตัวของเขา...ด้วยเรื่องของเราจากนี้เท่านั้น

     “เฮียบอกแล้วว่าอย่านอนโซฟา มันทำให้หลับไม่สนิท” เสียงพี่ชายดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวที่ก้าวเดินลงมาจากบันได พิธานสำรวจโดยรอบอีกครั้งจึงพบว่าห้องนั่งเล่นที่เขานอนอยู่ถูกเปิดแอร์เรียบร้อยแถมมีผ้าห่มผืนเล็กวางพาดอยู่บนตัวผิดกับตอนแรกที่เขาเพิ่งมาถึงบ้านแล้วล้มตัวลงบนโซฟาทั้งที่ยังไม่เปิดแอร์หรือเปิดไฟ

     ภาพน้องชายที่ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ตอบคำถามหรือโวยวายออกมาตามปกติทำให้พิรัลเดินเข้าไปใกล้และนั่งลงที่โซฟาข้างกันกับน้องชาย “เป็นไร ฝันร้ายเหรอ”

     พิธานพยักหน้าเบาๆ ท่าทางเซื่องซึมของน้องชายตัวโตทำให้พิรัลหลุดยิ้มนึกอยากให้น้องชายกลับไปเป็นเด็กแสบตัวอ้วนๆ ที่โวยวายลั่นบ้านเวลาโดนเขาแกล้ง ไม่ใช่น้องชายที่สูงกว่าเขาไปโขแถมไม่น่ารักน่าแกล้งเหมือนเดิมแบบนี้ สัมผัสของฝ่ามืออุ่นที่ลูบลงบนหัวทำให้อาการหงอยของพิธานดูน่าสงสารหนักขึ้นไปอีก “โอ๋ๆ น่าสงสารตี๋น้อยของเฮียจัง ไหนฉี่รดที่นอนรึเปล่าเนี่ย”

     “เฮียนิ!” พิธานถึงกับรีบปัดมือพี่ชายออกจากหัว รู้ว่าเฮียแค่อยากแกล้งให้เขาไม่คิดมากกับฝันร้ายแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าที่เขาคิดมากจนเก็บมาฝันร้ายแบบนี้ก็เพราะคำพูดในวันนั้นของเฮียต่างหาก

    “การที่เราพยายามจะออกจากที่ซ่อนของเราในเวลาที่ทุกอย่างมันยังไม่พร้อมและยังไม่ถึงเวลา...มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้นะ”

     “เกือบเพี้ยนแล้วนะ เสียงสูงอีกหน่อยนี่ความหมายเปลี่ยนเลยนะ” พิรัลยังคงหัวเราะแผ่วเบาอย่างไม่ทุกข์ร้อนกับหน้าตายับยู่ยี่ของน้องชาย ขณะที่พิธานส่ายหน้าออกมาอย่างสงสารตัวเองที่มีพี่ชายขี้แกล้งไม่ต่างไปกับม่านฟ้าคนรักของเขาเลย

     เอาเถอะ เขาคงคิดมากไปเองจริงๆ ไม่มีอะไรหร-

     เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ความคิดของพิธานชะงักลง ความรู้สึกหนาววูบเกิดขึ้นที่แผ่นหลัง เหงื่อเย็นไหลออกมาทางขมับเมื่อเหลือบไปเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา ภาพตรงหน้าซ้อนทับกับภาพที่เกิดขึ้นในฝันราวกับเป็นเหตุการณ์เดียวกัน

     ‘ภูหมอก’


 

     Achaya (Writer) : อะ ล้อเล่นขำๆ แค่ฝันจ้า สารภาพว่าตอนแรกเคยคิดฉากประมาณนี้ไว้เหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ รู้สึกว่ามีความไม่สมเหตุสมผลอยู่เต็มไปหมด เลยให้เป็นแค่ฝันไปแล้วกัน

     ใครขวัญหายไปก็ขวัญเอ๊ยขวัญมานะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ให้กันเสมอมานะคะ เจอกันตอนหน้าใกล้แล้วๆ


 

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
นี่คือด่รพ่อเต็มที่เลยนะ

ถ้ามีพ่อแบบนั้นคงแย่ โชคดีนะพ่อเราน่ารัก

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ขวัญเอ้ยขวัญมานะ อย่าให้ฝันเป็นจริงเลย :ling1: :katai1:

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
แอบย่องมาขออนุญาตงดลงหนึ่งสัปดาห์ แต่งมาบ้างแล้วนะ แต่ยังไม่จบดี งานยุ่งจัด ขออภัยจริงๆ ค่ะ อาทิตย์หน้ามาแน่ๆ จะพยายามรีบปั่นน้าา  :katai4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 25

     “เมฆเป็นเกย์ครับ”

     คำพูดจากปากของลูกชายทำให้นภดลนิ่งงันไป เขาขมวดคิ้วคล้ายไม่สามารถตีความถึงสิ่งที่ม่านฟ้าพูดออกมาได้ “แก..หมายความว่ายังไง”

     ม่านฟ้าหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ หลับตานิ่งแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาจากอารมณ์อ่อนไหวก่อนหน้านี้ไปให้หมด

     “เมฆเป็นเกย์ เมฆชอบผู้ชาย ถึงพ่อจะพูดว่าไม่ลองหาแฟนดูสักที ผู้หญิงน่ารักๆ ก็มีเยอะแต่ว่า..ขอโทษนะพ่อ” ม่านฟ้ายิ้มแหยส่งให้ผู้เป็นพ่อ คงไม่มีนิยามคำใดเหมาะไปกว่าใจดีสู้เสือที่จะเข้ากับสภาพของม่านฟ้าตอนนี้ได้อีกแล้ว

     แต่ถึงม่านฟ้าจะฝืนยิ้มออกมาเช่นนั้น มือสองข้างกลับกำแน่นอย่างหวาดหวั่น

     “ทำไม” สองคำสั้นๆ จากผู้เป็นพ่อก่อนความเงียบจะกลืนกินทั้งบ้านไปชั่วขณะ ม่านฟ้ารู้สึกถึงลมหายใจที่แรงขึ้นจากคนตรงหน้าบ่งบอกอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นเช่นกัน เขาเหลือบตาขึ้นมาก่อนจะเห็นมือกร้านที่ยกขึ้นสูง

     ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมรับกับแรงตบจากฝ่ามือของพ่ออีกครั้ง แต่พ่อกลับทำเพียงคว้าใบหน้าของเขาไว้ก่อนจะตะโกนออกมาอีกครั้ง “ทำไม!!!”

     มือกร้านผลักหัวลูกชายออกไปอย่างแรง แหวนที่นิ้วขูดกับแก้มของม่านฟ้าจนเป็นแผล เสียงหอบหายใจของพ่อดังขึ้นอย่างพยายามระงับอารมณ์ เสียงกดต่ำเล็ดลอดออกมาจากลำคอราวกับคำราม

     "ทำไมห่ะไอเมฆ เรียนหนังสือแกก็เรียนได้ไม่ดี ทำตัวก็เอาแต่ใจ แถมยังดื้อหัวชนฝา จะหยิบจะจับอะไรก็ฉิบหายวายป่วงไปหมด ฉันก็พยายามไม่สนใจ พอมาวันนี้ที่เริ่มจะทำตัวดีกับเขาบ้างแกกลับมาบอกว่าแกเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อย่างนั้นเหรอ!”

     ม่านฟ้าเม้มปากแน่นพยายามหายใจเข้าลึกอีกครั้ง บอกตัวเองว่าสิ่งที่พ่อพูดก็ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น “เหอะ หรือเห็นว่าหมอกมันเป็น แกก็เลยอยากเรียกร้องความสนใจบ้างอย่างนั้นเหรอ แกมันเด็กขี้อิจฉาอยู่แล้วนิ ใช่ไหม!!!”

     "สิ่งเดียวที่แกยังมีดี คือแกยังเป็นลูกชายให้ฉัน เพราะงั้นฟังฉันให้ดีนะ"

     “ถ้าแกยังเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไปอีก ทั้งชีวิตของแกเนี่ย…"

     .

     .

     .

     "มันก็ไม่เหลือชิ้นดีตรงไหนแล้ว!"


     ลมหายใจของม่านฟ้าขาดห้วงไปทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น สมองของเขาขาวโพลนไปหมดจนได้แต่เงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ สายตาที่โกรธเกลียดถูกส่งมาทำให้ม่านฟ้าเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น ดวงตาสองข้างของเขาร้อนผ่าว ชายหนุ่มกัดฟันและพยักหน้ารับทุกคำเอาไว้ พยายามกลั้นความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาในอกจนหายใจแทบไม่ออก

     “จากนี้มึงจะทำอะไร จะเป็นอะไรก็เรื่องของมึง"

     "เลือดแค่ก้อนเดียวกูตัดทิ้งได้"


     คำพูดสุดท้ายของพ่อทำให้ม่านฟ้าหลุดเสียงสะอื้นออกมา ชายหนุ่มยกมืออุดปากของตัวเองเอาไว้แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่ขาด เขามองภาพของผู้เป็นพ่อที่หันหลังไปทางอื่นและทำท่าจะลุกออกไปผ่านม่านน้ำตาที่พร่าเบลอ ม่านฟ้าคว้าเข้าที่ชายเสื้อด้านหลังของผู้เป็นพ่อแล้วก้มหัวลงไปพนมมือไหว้อยู่กับแผ่นหลังนั้น “เมฆขอโทษพ่อ เมฆขอโทษ”

     สายตาโกรธเกลียดเป็นสิ่งที่ม่านฟ้าเคยเจอ แต่การเมินหน้าหนีไปพร้อมเอ่ยปากตัดทุกอย่างระหว่างพ่อลูกแบบนี้ม่านฟ้ายังรับไม่ไหวจริงๆ

     ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรักพ่อ ยังอยากที่จะเป็นลูกของพ่ออยู่

     รู้ตัวว่าไม่ใช่ลูกที่ดี แต่ก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับความรักบ้าง

     ม่านฟ้าร้องไห้พร้อมกับรั้งชายเสื้อของพ่อไว้ราวกับเด็กๆ เขาเหมือนกลับกลายไปเป็นเด็กชายม่านฟ้าที่วิ่งตามพ่อพร้อมร้องไห้อีกครั้ง ในคราวนั้นม่านฟ้าก็ถูกพ่อกระชากออกไปนอกบ้านพร้อมคำขู่คล้ายจะตัดขาดเช่นนี้



    "ไป พ่อจะพาเอาไปทิ้งที่บ้านเด็กกำพร้า ดีไหม! ดื้อนัก พ่อสั่งให้ช่วยแม่ดูน้อง ทำไมไม่ฟัง แม่ไม่สบายอยู่ก็ยังออกไปเล่น" ชายวัยกลางคนดึงเด็กชายลงจากรถหลังขับออกมาไม่นาน สองข้างทางในยามนั้นมืดสนิท เหลือเพียงเสียงกึกก้องของพ่อที่ดังลึกในความทรงจำ

     "เด็กไม่ดีก็ต้องถูกทิ้ง พ่อไม่อยากเป็นพ่อของเด็กดื้อแล้ว"

     ม่านฟ้าถูกทิ้งไว้บริเวณที่ทิ้งขยะหลังหมู่บ้าน ยามนั้นเด็กชายไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ห่างจากบ้านไปไม่ไกล คิดแต่เพียงวิ่งตามรถของพ่อที่ขับออกไปสุดฝีเท้า

     แต่ก็ยังไม่ทัน

     เด็กชายทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ เขาเรียกหาพ่อซ้ำๆ หวังว่าพ่อจะกลับมารับเขา ม่านฟ้าไม่รู้ว่าตัวเองนั่งร้องไห้อยู่นานแค่ไหนแต่มันยาวนานมากสำหรับเด็กชายในยามนั้น เขามองไปรอบด้านที่เต็มไปด้วยกองขยะ ตระหนักชัดว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาไร้ค่า เขาก็จะถูกทิ้งเช่นนี้

     "พ่อ เมฆขอโทษ เมฆจะไม่ดื้ออีกแล้ว"




     ม่านฟ้าวิ่งขึ้นมาบนห้องนอนตามคำสั่งของแม่หลังจากนั้น เขาถูกแม่ดึงมาปลอบไว้แทนก่อนจะเกลี้ยกล่อมให้เขาหลบขึ้นมาก่อนจนกว่าพ่อจะใจเย็นลง

     ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วกอดเข่าตัวเองเอาไว้ เขายังหยุดร้องไห้ไม่ได้ น้ำตามากมายยังคงไหลลงมาไม่หยุด สมองของเขาสั่งการให้หยุดร้องไห้แต่หัวใจยังคงบีบรัดหนักหน่วง


     “เขาอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นจริงก็ได้ อาจจะแค่โมโหร้ายก็เลยพูดแบบนั้นออกมา มึงอาจจะเสียใจฟรีเพราะคิดมากไปเอง หรือว่า…”

     “เขาอาจจะคิดว่ามึงเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องสำหรับเขาจริงๆ ก็ได้”



     เสียงของคนรักดังขึ้นในหัวของม่านฟ้า วันที่เคยคุยกันว่าพ่อรู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่ วันนั้นถึงพิธานจะพูดออกมาตรงๆ แต่ตัวเขาเองก็ยังแอบหวัง

     หวังว่าพ่อจะแค่โมโหและไม่ได้โกรธเกลียดเขาจริงๆ

     แต่วันนี้มันก็ชัดเจนแล้ว

     เขาได้รับคำตอบทุกอย่างแล้ว

     ‘ทั้งชีวิตของแกเนี่ย…มันก็ไม่เหลือชิ้นดีตรงไหนแล้ว’


     เขาไม่มีค่าอะไรในสายตาของพ่อเลย ไม่มีแม้แต่ 'ชิ้นดี' สักแห่ง ยิ่งความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่ 'ลูกชาย' อย่างที่พ่อหวังถูกเปิดเผย ม่านฟ้ายิ่งกลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของพ่อไปอย่างสมบูรณ์

     กลายเป็นเด็กที่ถูกทิ้งอีกครั้ง


     “สำหรับแฟนอย่างกู มึงเป็นคนที่มีค่ามากสำหรับกูนะ ม่านฟ้า”


     ท่ามกลางความเสียใจ เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาในความทรงจำ

     ม่านฟ้ากอดเข่าตัวเองแน่นขึ้น เลื่อนมือไปที่กระเป๋ากางเกงก่อนจะรู้ตัวว่าทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างล่าง ม่านฟ้าหงุดหงิดตัวเองเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวังสักอย่าง เขาเคยคิดจะพูดกับพ่อด้วยเหตุผลแต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับพูดไม่ออกสักนิด รู้ตัวว่าสภาพจิตใจตัวเองแย่เต็มทนแต่ก็ไม่พยายามที่จะดึงตัวเองขึ้นมา

     เขายังคงร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆ

     ปล่อยให้คำพูดของพ่อกัดกร่อนและทำร้ายจิตใจซ้ำๆ

     เสียงลมพัดหวิวด้านนอกดึงเขาให้เหลือบขึ้นไปมองที่หน้าต่างห้อง

     เขาคิดถึงพิธาน เขาอยากไปหาคนรัก

     ...คนคนเดียวที่บอกว่าเขามีค่า



     หลังลูกชายคนโตขึ้นบ้านไป นัชชาทำเพียงนั่งนิ่งมองไปยังแผ่นหลังกว้างของสามี ไหล่สองข้างของชายวัยกลางคนลู่ลงและสั่นเล็กน้อยทำให้เธอรู้ว่าไม่ใช่แค่ลูกชายที่เสียใจแต่คนตรงหน้าก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
     
     “พ่อเสียใจ ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้ไปหมด” เสียงชายวัยกลางคนอู้อี้และสั่นพร่า เขากล่าวออกมาราวกับระบายความอัดอั้นในใจตนเอง เขาไม่เข้าใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นความอึดอัดที่ทรมานมากที่สุด เหมือนแผลเก่าในวันวานยังไม่ทันสมานดี เขากลับได้รับแผลใหม่ที่บาดลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม

     "พ่อเลี้ยงลูกไม่ดีตรงไหน"

     นภดลปิดหน้าตัวเองด้วยมือข้างหนึ่งแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น มืออีกข้างกำมือของภรรยาเอาแน่นไว้ราวกับต้องการที่พึ่งพิง นัชชาขยับตัวเข้าไปใกล้สามีแล้วกอดแผ่นหลังเขาเอาไว้ ในยามนี้เธอเองก็ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน

     “พ่อเหนื่อย” นภดลหันกลับมากอดภรรยาเอาไว้แน่น เขาเหมือนคนหมดแรงอย่างที่กล่าว ฟุบหน้าลงกับไหล่คู่ชีวิตแล้วร้องไห้อีกครั้ง “พ่อเหนื่อยจะด่าพวกมันแล้ว มันไม่รู้หรือไงว่าพ่อเสียใจ ทำไมต้องเป็นแบบนี้”

     “พ่อ” หญิงวัยกลางคนเรียกสามีด้วยเสียงอ่อนใจปนสะอื้น เธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าเสียใจเพียงใด แต่ก็เข้าใจลูกชายทั้งสองคนว่าไม่ได้ต้องการทำให้พ่อเสียใจแม้แต่น้อย

     เพียงแต่มันไม่มีทางเลือก

     “แล้วพ่อทำอะไรได้ ยังไงมันก็ลูก” นภดลยังคงพรั่งพรูคำต่างๆ ออกมาอย่างน้อยใจ “ต่อให้พ่อไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้แต่พ่อก็ห้ามมันไม่ได้ ด่าไปมันก็มีแต่เสียใจแต่มันก็เลิกให้พ่อไม่ได้ พ่ออยากจะด่ามัน ให้มันเข้าใจบ้างว่าพ่อเสียใจ” คำพูดของชายวัยกลางคนวกวนไปมาและเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น นภดลคิดย้อนกลับไปถึงภาพลูกชายคนโตเมื่อครู่ที่ร้องไห้อย่างหนักเมื่อเขาพูดตัดพ่อลูกด้วยความโกรธ

     คราแรกเขาคิดว่าม่านฟ้าจงใจประชดประชันหรือลองใจเขาขึ้นมาอีก จึงเผลอพูดถ้อยคำร้ายๆ นั้นออกไป จนได้ยินเสียงร้องไห้ของม่านฟ้าถึงได้รับรู้ว่าทุกอย่างนั้นคือเรื่องจริง

     นภดลยังคงร้องไห้ออกมา ความรู้สึกเจ็บปวดจากความจริงที่ได้รู้ปะปนไปกับความรู้สึกผิดและสงสาร รู้ตัวว่าทำร้ายจิตใจลูกชายคนโตไปเพียงใดเพราะคำพูดเหล่านั้นมันร้ายแรงเกินไปจริงๆ


     “ผมก็แค่รักคนคนหนึ่งแต่เขาเป็นผู้ชาย ผมถึงได้ถูกมองว่าเป็นเกย์”



     บทสนทนาของเขากับใครบางคนดังขึ้นในหัวจนนภดลต้องหลับตาแน่น เขาสูดหายใจเข้าลึก เหลือบตามองลูกชายอีกคนที่มานั่งอยู่กับพื้นข้างกายและร้องไห้ไม่ต่างกัน ตั้งแต่ภูหมอกเกิดเขาก็ฝากความหวังและความกดดันไว้กับม่านฟ้าหลายอย่าง เขาแทบจะไม่เห็นม่านฟ้าร้องไห้หนักนับแต่นั้นและกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทันทีที่มีน้อง ลดความเอาแต่ใจรวมถึงความสดใสออกไปเพื่อดูแลน้องชายคนนี้

     “ทั้งชีวิตของแกเนี่ย...มันก็ไม่เหลือชิ้นดีตรงไหนแล้ว”

     แล้วเขาพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง

     ชายวัยกลางคนตบปากของตัวเองอย่างแรงพร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปอย่างไม่น่าให้อภัย ภูหมอกคว้าแขนของพ่อเอาไว้เมื่อเห็นว่าพ่อจะตบปากตัวเองอีกครั้งและกอดแขนเขาไว้ทั้งน้ำตา


     “หรืออย่างหมอกมันก็แค่เป็นผู้ชายที่รักสวยรักงาม อยากแต่งตัวแต่งหน้าทำให้ตัวเองดูดีแต่คนก็มองสิ่งที่มันเป็นคือตุ๊ด ...แบบนี้มันไม่ใจร้ายเกินไปเหรอครับ”


     ใช่ ใจร้ายเกินไป เขาใจร้ายกับลูกเกินไป

     มือของคนเป็นพ่อเอื้อมไปลูบหัวลูกชายคนเล็กที่นั่งอยู่ข้างกายแล้วถามออกมาอย่างเสียใจ “พ่อทำร้ายพวกแกมากใช่ไหม คำพูดของพ่อทำร้ายพวกแกมากใช่ไหม”

     ใช่ว่าเขาจะจำไม่ได้ คำต่อว่าต่างๆ ที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้และเมื่อครู่ ล้วนแล้วแต่ทำให้เด็กพวกนี้เสียใจไม่ต่างกับที่ลูกทำให้เขาเสียใจ ภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของลูกชายคนโตเมื่อครู่และลูกชายคนเล็กที่กอดแขนเขาอยู่ยิ่งย้ำให้เขารู้สึก “ไม่ ไม่เป็นไรครับ หมอกผิดเอง หมอกขอโทษนะพ่อ” ภูหมอกละล่ำละลักบอกพร้อมส่ายหน้า

     “เมฆขอโทษพ่อ เมฆขอโทษ”

     แต่เพราะรู้ว่าทำให้เขาเสียใจ ลูกชายของเขาจึงขอโทษซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ทั้งที่รู้ว่าการเป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่ ‘ความผิด’ เลยด้วยซ้ำ


     “เพศที่สามเราแค่ให้กำเนิดลูกหลานไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ไปเป็นภาระหรือเดือดร้อนใคร ทำไมเราถึงต้องถูกเหยียดและไม่ได้รับการยอมรับด้วยล่ะครับ เพศที่สามทำอะไรผิดกัน”


     นั่นสิ แล้วเขาล่ะ

     เขาเลือกที่จะยั้งคำพูดของตัวเองไว้ได้ เลือกได้ที่จะรักษาความรู้สึกของลูกแต่กลับไม่เคยทำ เขาทำให้ลูกเสียใจมากี่ครั้งจากทั้งคำพูดและการกระทำ แต่กลับไม่เคยพูดมันออกไป

     .

     .

     “พ่อขอโทษนะ”

     ภูหมอกเงยหน้ามองผู้เป็นพ่ออย่างตกใจและงุนงง ทั้งตกใจคำพูดและสงสัยในความนัยนั้น “พ่อด่าพวกแกเพราะพ่อเสียใจ แต่เพราะอย่างนั้นพ่อเองก็ทำให้พวกแกเสียใจเหมือนกัน ...พ่อขอโทษนะ”

     เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาอีกหนเมื่อเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น นภดลกอดลูกชายคนเล็กเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งก่อนจูบหัวลูกคนเล็กเบาๆ อีกข้างก็ประคองภรรยาเอาไว้พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ


     “ถ้าอคติของคุณมันทำร้ายลูก ทำไมถึงไม่ทิ้งมันลงไปบ้างล่ะคะ”


     คำพูดของภรรยาที่เคยกล่าวไว้ทำให้เขาตัดใจทิ้งอคติที่บังตา เช่นเดียวกับที่ใครบางคนบอกไว้ เขาควรใส่ใจกับความสุขของลูกที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าหน้าตาและสังคม หากเขาที่เป็นครอบครัวยังไม่ยอมรับ ลูกของเขาจะเข้มแข็งพอเผชิญหน้ากับสังคมที่โหดร้ายได้อย่างไร

     ----

     “พี่เมฆ” ภูหมอกเคาะประตูเรียกพี่ชายที่ขังตัวเองอยู่ในห้องนอนแต่ไร้เสียงตอบรับกลับมา เด็กหนุ่มหันกลับไปมองพ่อแม่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตอนนี้พวกเขาขึ้นมาหาม่านฟ้าหลังจากที่พ่อเริ่มอารมณ์เย็นลง

     “ไปเอากุญแจมา” เสียงของพ่อพูดขึ้นเบาๆ ให้ภูหมอกพยักหน้าทำตาม

     เสียงไขกุญแจดังขึ้นเรียกสติของม่านฟ้ากลับมาแม้ศีรษะจะยังฟุบอยู่กับเข่าตัวเองก็ตาม หลังร้องไห้อยู่เกือบชั่วโมงความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาจนทำให้เขาเกือบตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆ ออกไป

     เขาเกือบปีนหน้าต่างหนีออกไปหาพิธานแล้ว

     แต่รู้ดีว่าไม่ควร

     ต่อให้คิดถึงมากแค่ไหน แต่เวลานี้เขายังไปหาอีกคนไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างในหนังที่คิดจะหนีตามผู้ชายแล้วก็กลับมาง่ายๆ ในเป็นความจริงเขาไม่อยากจะคิดว่าหากพ่อมารู้ว่าเขาหายไปจากห้องเพราะโดดหน้าต่างหนีไปหาแฟนแล้วจะเป็นยังไง

     เขาคงหมดโอกาสกลับบ้านหลังนี้ไปตลอดชีวิต

     และเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ เขาถึงปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ไม่สนใจแล้วว่าลูกผู้ชายไม่ควรร้องไห้หรืออะไร เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายอยู่แล้ว

     ครั้นได้ยินเสียงเรียกของน้องชาย ใจก็อยากตอบออกไปแต่เสียงของเขากลับแหบจากการร้องไห้อย่างหนัก แถมหัวของเขายังหนักเกินกว่าจะผงกขึ้นมามองยามได้ยินเสียงประตูเปิดออกด้วยซ้ำ

     สัมผัสอุ่นๆ ของฝ่ามือบนหัวทำให้ม่านฟ้าขมวดคิ้ว ฝืนยกหัวหนักๆ ของตนขึ้นเงยหน้ามองเจ้าของฝ่ามือ ผู้เป็นพ่อยืนมองเขาอยู่นิ่งๆ ก่อนนั่งลงบนเตียง นภดลมองหน้าลูกชายคนโตที่ตาบวมแดงจากการร้องไห้กำลังทำหน้างงๆ เบลอๆ ใส่เขา ก็ตบที่ว่างข้างๆ บนที่นอนเรียกคนที่กอดเข่าอยู่กับพื้นให้ขึ้นมานั่งข้างกัน

     แต่ม่านฟ้ากลับทำเพียงหันกลับมาหาพ่อแล้วเปลี่ยนจากชันเข่ามาเป็นพับเพียบอย่างคนหมดแรง ไหล่สองข้างห่อลงยิ่งทำให้ม่านฟ้าดูตัวเล็กลงกว่าเดิม จนเมื่อพ่อเรียกอีกหน ม่านฟ้าจึงซบหน้าลงไปกับเข่าของพ่อแล้วกอดขาเอาไว้ รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกหนจนขอบตาร้อนผ่าวทั้งที่ดวงตานั้นปวดไปหมดแล้ว

     ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นเบาๆ ในลำคอของลูกชายก็ถอนหายใจ ลูบหัวลูกชายคนโตช้าๆ แต่กลับยิ่งทำให้เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกครั้ง

     ม่านฟ้าไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองจึงร้องไห้ออกมาอีก ในหัวคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นรู้เพียงตอนนี้เขาอยากร้องไห้ออกมาให้หมด เขาร้องจนรู้สึกว่าไม่สามารถร้องได้มากกว่านี้แล้ว จึงถูกพ่อดึงตัวขึ้นมานั่งข้างกันได้สำเร็จ

     ชายวัยกลางคนลูบหน้าลูบตาลูกชายคนโตที่หน้าตาแดงก่ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาทั้งของเก่าและของใหม่ที่ยังไหลออกมาไม่หยุด เอ่ยคำถามออกไปอย่างอาดูรชายหนุ่มตรงหน้า

     “กลัวอะไร” ตัวสั่นๆ ของม่านฟ้าทำให้นภดลรู้สึกเช่นนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะกำลังร้องไห้ แต่เขารู้สึกว่าลูกชายเขากำลังกลัว “กลัวพ่อจะด่าแกอีกเหรอ กลัวพ่อจะทิ้งแกใช่ไหม”

     ม่านฟ้าเพียงพยักหน้าแรงๆ เป็นคำตอบ เสียงสะอื้นยังดังต่อมาเรื่อยๆ จนคนเป็นพ่อสะท้อนใจ ดึงลูกชายมากอดไว้แล้วลูบหลังเบาๆ เขารู้ว่าม่านฟ้ากลัวการถูกทิ้งและตัดขาดเป็นที่สุด

     และรู้ดีว่าที่ม่านฟ้าเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา

     ภาพเหตุการณ์ครั้งที่เขาขู่จะเอาม่านฟ้าไปทิ้งและพาไปที่ทิ้งขยะหลังหมู่บ้านฉายชัดขึ้น ยามนั้นเขาโกรธจัดและเพียงอยากให้เจ้าตัวรู้สำนึก เขาขับรถออกมาจนพ้นสายตาของเด็กชาย แต่ก็รีบจอดแอบเอาไว้และคอยเฝ้ามองอยู่เงียบๆ จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เขาถึงเดินกลับไปรับเจ้าตัวอีกครั้ง

     ม่านฟ้าในวันนั้นรีบวิ่งเข้ามาหาเขา หกล้มเสียรอบหนึ่งจนได้แผลแต่ก็ยังลุกขึ้นมาวิ่งสุดฝีเท้าอีกครั้ง

     เพียงเพื่อมารั้งชายเสื้อของเขาไว้

     ระยะทางเพียงไม่กี่กิโลที่ขับรถจนถึงบ้านแต่ม่านฟ้าไม่ยอมปล่อยมือจากเขาสักนิด เด็กชายยังคงสะอึกสะอื้นจนถึงบ้านก่อนจะหลับไป วันนั้นเขาทะเลาะกับภรรยาเสียใหญ่โตกับสิ่งที่เขาทำ แถมวันต่อๆ มาม่านฟ้าก็ยังเป็นไข้ขึ้นสูงจนหวิดจะได้ส่งโรงพยาบาล

     เขาจดจำได้แม่น ภาพของม่านฟ้าที่รั้งชายเสื้อของเขาไว้ในวันนี้ซ้อนทับกับภาพในอดีต เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ม่านฟ้ากลัวในตอนนี้คืออะไร

     แรงกอดรัดของชายหนุ่มตรงหน้าดึงชายวัยกลางคนจากภวังค์ความคิด ม่านฟ้ากอดตอบผู้เป็นพ่อแล้วพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พ่อจะได้กล่าวอะไรอีก

     “ไม่ทิ้งนะ” เสียงแหบแห้งจากลูกชายทำให้นภดลขมวดคิ้ว แม้เสียงนั้นจะอู้อี้เพียงใด แต่เขาก็ได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน “อย่าทิ้งเมฆนะ ให้เมฆได้เป็นลูกพ่อเถอะ อย่าตัดขาดเมฆเลยนะ” คำพูดขยายความของลูกชายทำให้เขาสะอึก ก่อนจะยิ่งตะลึงกับคำพูดถัดมาที่ม่านฟ้าพูดออกมาพร้อมเสียงสะอื้น

     “อย่าเกลียดเมฆไปมากกว่านี้เลยนะ”

     “เกลียดเหรอ? ” เสียงของนภดลแผ่วเบาจนแทบไม่หลุดออกมาจากลำคอ

     “อย่าไล่เมฆไปไหน อย่าเกลียดเมฆไปกว่านี้เลย แค่พ่อไม่รักก็แย่แล้ว อย่าตัดขาดเมฆแบบนี้เลยนะ” เสียงม่านฟ้ากระท่อนกระแท่นเมื่อเจ้าตัวยังร้องไห้ไม่หยุด ในหัวของเขายังมีแต่เสียงคำพูดของพ่อที่ดุด่าวนซ้ำอยู่ในหัว

     "เมฆรู้เมฆไม่เคยเป็นเด็กดี ไม่เคยเป็นคนเก่งของพ่อ เมฆขอโทษๆ "

     ม่านฟ้ารู้ว่าควรยอมรับผลที่ออกมาเมื่อบอกความจริงและใช่ว่ามันผิดจากที่กลัวเสียเมื่อไหร่ แต่เมื่อผลลัพธ์ที่รู้ดีปรากฏขึ้นตรงหน้า เขากลับยังงอแงและดึงดันอยู่เช่นนี้

     “แกคิดว่าพ่อไม่รักแกเหรอ”

     คำถามของพ่อทำให้ม่านฟ้าเหมือนกลายเป็นเด็กชายม่านฟ้าอีกครั้ง ชายหนุ่มถามพ่อกลับไปอย่างตัดพ้อปนเสียใจและร้องไห้ออกมาอย่างหมดมาด “แล้วพ่อรักเมฆรึไงล่ะ”

     “รักสิ! แกเป็นลูกพ่อ ทำไมพ่อจะไม่รัก ต่อให้แกเป็นหมูเป็นหมาที่ไหนแต่พ่อเลี้ยงแกมาขนาดนี้ทำไมพ่อจะไม่รัก เพราะพ่อด่าแกเหรอ หรือเพราะพ่อไม่ค่อยใส่ใจแก แกถึงได้คิดว่าพ่อไม่รัก” นภดลรู้สึกถึงอารมณ์ที่เริ่มพุ่งสูงขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความโกรธแต่อาจเป็นเพราะความตกใจปนน้อยใจที่ทำให้เขาขึ้นเสียงใส่ลูกชายอีกครั้ง

     “แต่เมฆไม่มีดีสักอย่าง ไม่เคยทำอะไรถูกใจพ่อ แล้วเมฆยังเป็นแบบนี้ เป็นในสิ่งที่พ่อเกลียด เป็น…” ม่านฟ้าถึงกับร้องไห้จนตัวโยนอีกครั้งจนคำพูดขาดหายไป เขาสูดลมหายใจอีกครั้งแล้วพูดออกมาเบาๆ ปนเสียงสะอื้น “เป็นลูกเฮงซวยที่ไม่น่าเกิดมา เป็นกรรมของพ่อที่มีลูกอย่างเมฆไง”

     คำพูดที่ได้ยินตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเคยพูดไป ผู้รับฟังยังจดจำและฝังใจจนยากจะถอน ชายวัยกลางคนถึงกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาเสียใจกับคำพูดที่เคยพูดออกไปจนทำร้ายลูกชายตรงหน้าอย่างแสนสาหัส นภดลไม่คิดหาคำแก้ต่างใดๆ เขาทำเพียงดึงลูกชายมากอดแน่นอีกครั้ง พูดในสิ่งที่สมควรพูดมันออกมามากที่สุดในตอนนี้

     “พ่อขอโทษ พ่อขอโทษนะ พ่อไม่ได้ตั้งใจ” นภดลตบหลังม่านฟ้าเบาๆ “พ่อภูมิใจที่มีแกเป็นลูก ทั้งแกทั้งหมอกพวกแกเป็นสิ่งสำคัญที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตพ่อนะ”

     ยิ่งพ่อพูดออกมามากเท่าไหร่ ม่านฟ้ายิ่งไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้ จนคนเป็นพ่อดันตัวลูกชายออกมาแล้วลูบหน้าลูบตาให้อีกครั้ง นภดลมองดูสภาพลูกชายคนโตที่หมดมาดกวนอย่างที่มักเห็น แล้วยิ้มออกมาบางๆ ด้วยดวงตาที่ทอแสงอ่อนลง
     
     “ที่ฉันเข้มงวดกับแก ดุด่าแก เพราะอยากให้แกมีอนาคตที่ดี” เสียงของพ่อขาดหายไปเมื่อเจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าลึก “จนฉันอาจลืมบอกแกไป ว่าจริงๆ ฉันรักแกมากนะ รู้ไหม”

     สิ้นคำม่านฟ้าปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงร้องไห้ไม่ได้มาจากความเสียใจหรือน้อยใจอีกต่อไป มันเต็มไปด้วยความสุขราวกับถูกปลดออกจากโซ่ตรวนที่พันธนาการตัวเขาเอาไว้

    "ไม่เป็นไร แกจะเป็นอะไร...อย่างไรแกก็เป็นลูกของพ่อ"


     นัชชาและภูหมอกมองสองพ่อลูกที่อยู่ภายในห้องแล้วหันมายิ้มให้กันทั้งน้ำตา พวกเขาเดินเข้าไปหาคนที่เขารักทั้งสองคนและกอดพวกเขาเอาไว้ ให้น้ำตาและไออุ่นของครอบครัวช่วยสมานบาดแผลในใจของแต่ละคน

     พ่อคงไม่สามารถยอมรับเรื่องทุกอย่างได้ในทันที ขณะที่ม่านฟ้าเองก็ไม่สามารถลืมคำพูดที่โหดร้ายนั้นได้เช่นกัน พวกเขาทำได้เพียงให้อภัยและปล่อยวาง ให้เวลาได้เยียวยาและบรรเทาความเจ็บปวดเหล่านั้นลง

     ทั้งหมด...ก็เพื่อให้ครอบครัวของพวกเขาได้กลับมามีความสุขกันอีกครั้ง




     Achaya (Writer) : ความรักของพ่อ ความรักของครอบครัว เราว่าคำนี้คือคำที่มีค่าที่สุดแล้วจริงๆ บทสรุปอาจจะไม่ซึ้งเท่าไหร่นักและเราพยายามมากกับบทนี้แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีพอ ฉากอารมณ์มันเขียนยากจริงๆ นะ จะพยายามพัฒนาต่อไปค่ะ

     เอาล่ะ สึนามิได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนหน้าก็เหลือแค่รอรับอาฟเตอร์ช็อก เอ๊ย รอรับลูกเขยอย่างเดียวแล้ว เหลืออีกสองตอนก็จะจบแล้ว (บวกบทส่งท้ายอีกหนึ่ง) ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 26

    “เนกไทไปไหน”

     เสียงถามดังขึ้นในบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคย ก่อนคนถูกถามจะดึงเนกไทที่ถูกพับไว้อย่างลวกๆ ในกระเป๋าเสื้อออกมาโชว์

     “แล้วทำไมไม่ใส่ ไปมหาลัยวันแรกแต่งตัวให้มันเรียบร้อยสิ” ผู้เป็นบิดาลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้ามาใกล้

     “เดี๋ยวค่อยไปใส่ที่มอก็ได้” คนเป็นลูกตอบออกมาอย่างอ้อมแอ้มไม่อยากให้รู้ว่าที่ไม่ใส่เพราะเขาผูกไม่เป็นด้วยซ้ำ ชายหนุ่มมองพ่อที่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนดึงเนกไทออกจากมือลูกชายแล้วตวัดคล้องคอเจ้าตัวไว้

     “ผูกไม่เป็นล่ะสิ แกน่ะ” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคน ชายวัยกลางคนก็ส่งเสียงเหอะในลำคอเบาๆ เอื้อมมือไปติดกระดุมคอก่อนจัดปกเสื้อให้เรียบร้อย มือขยับผูกเนกไทด้วยความเร็วช้ากว่าปกติ “ดูไว้ แล้วครั้งหน้าก็หัดผูกเองให้เป็น”

     ชายวัยกลางคนค่อยๆ ผูกเนกไทโดยแสดงถึงวิธีการอย่างค่อยเป็นค่อยไป จบลงที่การดึงให้ปมอยู่พอดีกับคอเสื้อ ผู้เป็นพ่อเสยผมที่ยาวปรกหน้าผากของลูกชายขึ้นไปแล้วบ่นต่ออีกนิดหน่อย ก่อนถอยหลังออกมาเพื่อมองให้ชัด

     เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายหนุ่ม แววตาภาคภูมิใจฉายแวบขึ้นมาชั่วครู่ให้คนเป็นลูกหรี่ตามอง เขาคิดว่าตัวเองอาจเมาขี้ตาเนื่องจากตื่นเช้าเกินไปเพราะเมื่อกะพริบตาอีกที เขาก็เห็นเพียงตาแก่ขี้บ่นที่ส่ายหัวทำหน้าหงุดหงิดใส่เขาอีกครั้ง

     “คะแนนก็สูง ติดมหาลัยก็ดี ดันเลือกอักษรฯ ถ้ารู้จักเลือกคณะสักหน่อยฉันคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มแบบนี้”

     ชายหนุ่มมองผู้เป็นพ่อส่ายหน้าเดินออกไปสตาร์ตรถรอไปส่งเขาในวันนี้ก่อนก้มลงมองเนกไทที่ถูกจัดอย่างเรียบร้อยตรงอก รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยกับการใส่เสื้อติดกระดุมคอ แต่ก็ไม่คิดจะปลดออกจวบจนจบวันเพียงเพราะไม่อยากให้เนกไทที่ใครอีกคนบรรจงผูกให้ต้องเสียรูปไปก็เท่านั้น




     ม่านฟ้าลืมตาขึ้นในยามเช้า ขมวดคิ้วเมื่อความรู้สึกแรกคืออาการปวดหัวและกระบอกตาอย่างแรงตามมาด้วยอาการเจ็บคอที่เป็นหนักไม่น้อยหน้ากัน ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง แปลกใจตัวเองที่ฝันถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่เขาเข้ามหาลัยและใส่ชุดนิสิตครั้งแรก

     คงเพราะคำพูดของพ่อเมื่อวาน ทำให้เขาแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า แววตาของพ่อในวันนั้นอาจไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองก็ได้

     ม่านฟ้ายังคงอยู่ในสภาวะมึนงงหลังตื่นนอน แถมเมื่อคืนก็เกิดเรื่องราวมากมายเต็มไปหมด หากไม่ใช่เพราะร่างกายมันฟ้องว่าเขาร้องไห้ไปมากแค่ไหน เขาอาจจะคิดว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเพียงความฝันก็เป็นได้

     ทุกอย่างมันจบลงไวมากเมื่อเทียบกับเรื่องของภูหมอก น้องชายของเขายังต้องระเห็จไปอยู่บ้านอาทีตั้งหลายเดือน ขณะที่เรื่องของเขากลับจบลงภายในคืนเดียว

     ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ แต่การที่พ่อยอมรับทุกอย่างได้ง่ายดายเช่นนี้…

     มันโชคดีราวกับมีผีตนไหนมาดลใจและเป่าหูพ่อเขาก่อนอย่างนั้นแหละ

     ยังไม่ทันคิดอะไรต่อให้ปวดหัวมากขึ้น ม่านฟ้าก็ได้ยินเสียงน้องชายดังขึ้นเหนือหัว “พี่เมฆ ตื่นๆ แม่เรียกลงไปกินข้าว”

     ชายหนุ่มดันตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอน รู้สึกมึนหัวหนักกว่าเดิมแต่ก็ฝืนพยักหน้าตอบรับคำเรียกของน้องชายไป

     “แล้วรีบตามลงมานะ” สิ้นคำน้องชายของเขาก็วิ่งลงไปข้างล่างอีกหน ทิ้งเขานั่งมึนอยู่ที่เดิมก่อนลากสังขารลงจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ

     บรรยากาศในเช้าวันนี้เป็นไปอย่างเงียบๆ แม้ไม่ได้อึดอัด แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเกร็งโดยเฉพาะจากพ่อและลูกชายคนโต นัชชาเพียงมองนิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ใช่ว่าบรรยากาศที่เกิดขึ้นนี้จะแย่เสมอไป การที่พ่อลูกได้เปิดใจคุยกันแม้จะมีเสียน้ำตากันบ้างแต่ก็ทำให้ตอนนี้บ้านยังเป็นบ้านอยู่เหมือนเดิม

     นัชชามองดวงตาบวมๆ ของลูกชายคนโตอย่างอ่อนใจ ดวงตาคู่สวยของม่านฟ้าแทบจะลืมไม่ขึ้นเพราะเจ้าตัวร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา กำลังจะอ้าปากบอกให้หาผ้าประคบกลับถูกเสียงของสามีดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

     “แล้วไปหาผ้าประคบตาด้วย บวมจนดูไม่ได้”

     ม่านฟ้าพยักหน้ารับคำเบาๆ แต่กลับทำให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในบ้านยิ้มออกมากับบรรยากาศที่เริ่มดีขึ้น เห็นสามีทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างออกมาอีกก็มองอย่างคอยฟัง คิดว่าคงเป็นคำพูดห้วนๆ แต่แฝงความห่วงใยจากคนปากแข็ง แต่เธอกลับคิดผิดจนต้องยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา


     “จริงๆ...แกมีแฟนแล้วใช่ไหม”

     คำพูดขวานผ่าซากถูกทิ้งมากลางวงกินข้าวเปลี่ยนบรรยากาศละมุนยามเช้าในบ้านให้ระอุขึ้น

     ภูหมอกหันหน้าไปมองพี่ชายทีพ่อทีอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำถามประหลาดจากปากพ่อ ก่อนหันไปสบตากับผู้เป็นแม่อย่างงุนงงกับคำถามที่ไร้ที่มาที่ไปนี้

     ไม่ต่างกันกับม่านฟ้าที่นิ่งค้างไปแล้วมองพ่อด้วยแววตาตระหนกก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความสงสัย เขาจำได้ว่าบอกเรื่องที่ตัวเองชอบผู้ชาย แต่ไม่ได้ปริปากเรื่องการมีคนรักออกไปสักนิด

     "มันไม่มีเหตุผลอะไรที่แกจะมาบอกเรื่องนี้กับฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแกมีแฟน แกไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ความลับรั่วออกมาได้อย่างไอ้หมอกเสียหน่อย"

     คำเฉลยสั้นๆ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าอาการปวดหัวที่มีมาแต่เช้ารุนแรงขึ้นกว่าเดิมจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติของตัวเองตั้งแต่เช้าก็จริง แต่เขาอยากจะหน้ามืดเป็นลมขึ้นมาเสียตอนนี้เลย

     “พ่อเป็นโคนันรึไง”

     ไม่มีคำปฏิเสธหรือตอบรับจากม่านฟ้า แต่คำที่เผลอบ่นออกมาก็แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำในการสันนิษฐานของพ่อ บรรยากาศของโต๊ะอาหารดำเนินต่อไปอีกครั้ง แต่ความคิดของสมาชิกร่วมโต๊ะกลับเปลี่ยนไปคนละทิศละทาง จนคนเป็นพ่อเริ่มอิ่ม คนอื่นๆ ก็ทยอยวางช้อนลงแสดงถึงมื้ออาหารที่จบลงเช่นกัน

     แต่การสอบสวนยังไม่จบลง

     นภดลขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรง เท้าศอกสองข้างลงบนโต๊ะ มือสองข้างกุมกันวางมาดราวกับอัยการใหญ่กำลังซักความจำเลยในสายตาของลูกชาย แต่กลับเหมือนพ่อตาที่หวงลูกสาวมากกว่าในสายตาของนัชชาผู้เป็นภรรยา

     “มันเป็นใคร”

     ม่านฟ้าอยากจะเบ้หน้าให้กับชะตากรรมอันแสนรันทดของตัวเอง คอก็เจ็บ หัวก็ปวด ตาก็จะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว นอกจากจะไม่มีใครสังเกตอาการป่วยนี้แล้วยังต้องมาเจอพ่อซักไซ้แบบนี้อีก สายตาของสมาชิกอีกสองคนบนโต๊ะอาหารก็ดูไม่มีวี่แววจะช่วยเหลือกันเลย เพราะต่างเต็มไปด้วยความอยากรู้ไม่ต่างกัน การให้การในศาลครั้งนี้ม่านฟ้าจึงต้องต่อสู้ต่อไปด้วยตัวคนเดียว

     “ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งไง”

     “ตอบดีๆ”

     ไม่ คำสั่งนี้ไม่ได้มาจากพ่อ แต่มาจากผู้เป็นแม่ที่มองมาไม่วางตา ม่านฟ้าสามารถยืนยันความคิดที่ว่าตนเองไม่เหลือผู้ช่วยอีกต่อไปเมื่อน้องชายก็จ้องเขม็งมาพร้อมพยักหน้ารับให้เขารีบตอบออกไป

     แกล้งเป็นลมตอนนี้แม่จะรู้ไหมนะว่าตอแหล

     ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไร เพียงแต่คิดว่าจะค่อยเป็นค่อยไป รอให้พ่อทำใจเรื่องเขาชอบผู้ชายได้ก่อนแล้วค่อยๆ แง้มเรื่องมีแฟน กลัวจะตกอกตกใจมากจนเกินไปก็เท่านั้น แต่ในเมื่อพ่อเขาเก่งขนาดนี้แถมทุกคนก็เต็มใจจะรับฟัง เขาก็ไม่รู้จะปิดไปทำไม

     “เป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ หรือเป็นรุ่นน้องอะไรแบบนี้อ่ะพี่เมฆ”

     คงเพราะเห็นหน้าตายุ่งๆ ของม่านฟ้าที่เหมือนเรียบเรียงคำพูดในหัวไม่ถูก ภูหมอกจึงได้เอ่ยแนะนำไป เข้าใจว่าคงอธิบายยากเพราะต่อให้บอกชื่อออกมาก็ใช่ว่าพ่อแม่ที่ไม่ได้รู้จักเพื่อนหรือใครๆ ในมหาลัยของม่านฟ้าจะรู้จัก เขาจึงคิดว่าการใช้คำอธิบายออกมาเป็นลักษณะทีละอย่างน่าจะดีกว่า

     ม่านฟ้าที่ได้ยินคำถามของน้องชายก็ตอบไปตามความจริง

     “เป็นเพื่อน”

     “อยู่มหาลัยเดียวกันเหรอ”

     “ครับ”

     “คณะเดียวกันด้วยเหรอ”

     “เปล่า”

     “แล้วอยู่คณะอะไร”

     “วิศวะฯ”

     คำถามถูกส่งมาเรื่อยๆ สลับกันจากสมาชิกในบ้าน ม่านฟ้าก็ตอบกลับไปสั้นๆพอได้ใจความ เริ่มรู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาจริงๆ แบบไม่ได้ตอแหล จนได้ยินเสียงแม่พูดขัดขึ้นมา

     “เมฆ ไม่สบายหรือเปล่า”

     นัชชาที่จับสังเกตอาการของลูกชายได้คนแรกทักขึ้น เธอสังเกตเห็นหน้าซีดๆของม่านฟ้าตั้งแต่เช้าแต่ไม่มั่นใจ จนมาเห็นอาการที่เริ่มนั่งโอนไปเอนมากับลมหายใจหนักๆ จึงถามขึ้นอย่างกังวล เรื่องที่จะถามถูกปัดออกไปก่อนเมื่อนึกได้ว่าการร้องไห้อย่างหนักคงไม่ได้ทำให้เพียงตาบวม แต่อาจส่งผลให้เป็นไข้ต่ำๆ และปวดหัวด้วย

     ไวเท่าความคิด พยาบาลวัยกลางคนก็เอื้อมมือมาทาบเข้ากับหน้าผากของลูกชาย สัมผัสถึงอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติก็เดินอ้อมโต๊ะมาหาลูกชายคนโตทันที ศาลไต่สวนบนโต๊ะอาหารจึงถูกเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน นัชชาวิ่งจัดยาให้ลูกชายคนโตแล้วลากตัวขึ้นไปนอนบนห้อง

     ม่านฟ้าทำทุกอย่างตามอย่างว่าง่าย เขารู้สึกหนักหัวจนไม่อยากคิดอะไร แม่สั่งอะไรก็ทำจนมาล้มตัวลงบนที่นอนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่บอกชื่อคนรักไปเสียแต่แรก มาเสียเวลาตอบคำถามทีละข้อทำไม

     อย่างไร...คนรักของเขา

     คนในบ้านก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว



     แม้จำเลยจะป่วยจนไม่สามารถให้การได้ แต่อัยการและคณะลูกขุนทั้งสองกลับยังวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่คุยค้างกันไว้ ทั้งสามย้ายมานั่งที่โซฟา เปิดโทรทัศน์คลอเบาๆ ให้เกิดเสียงแต่กลับไม่มีใครสนใจดูสักเท่าไหร่

     สุดท้ายคนที่เด็กสุดในบ้านก็เสนอชื่อๆ หนึ่งขึ้นมาเป็นแสงสว่างให้กับทุกคน

     “พี่พีทไงแม่ พี่พีท”

     “หืม?”

     นัชชายังตามความคิดลูกชายคนเล็กไม่ทันจึงส่งเสียงออกไปอย่างสงสัย จนภูหมอกขยายความขึ้นมาอีกครั้ง

     “พี่พีทก็เรียนวิศวะ อยู่ปีเดียวกับพี่เมฆด้วย...” เด็กหนุ่มอธิบายให้แม่ฟัง คิดว่าแม่คงจำครูสอนพิเศษของเขาได้

     .

     .
     
     “พี่พีทอาจจะรู้จักแฟนพี่เมฆก็ได้นะ”

     "..." นัชชาถึงกับเงียบไป

     “พีท?”

     คำพูดของภูหมอกเรียกความสนใจจากประมุขของบ้านได้เป็นอย่างดี เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ชายวัยกลางคนนิ่งไปอย่างใช้ความคิด นึกถึงบทสนทนากับใครบางคนที่ผุดขึ้นมาและช่วยเตือนสติเขาในยามเกิดเรื่องเมื่อวานนี้



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทที่ 26 (ต่อ)


     เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นทำให้นภดลก้าวออกไปมอง วันนี้เขาอยู่บ้านเพียงแค่คนเดียวเพราะลูกชายคนโตกลับไปอยู่หอแล้ว ส่วนลูกชายคนเล็กก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มรูปร่างสูงที่เขาเคยขนานนามเอาไว้ว่าเหมือนนักเลงกำลังชะเง้อคอมองเข้ามาในบ้าน

     ชายวัยกลางคนเปิดประตูบ้านออกไปแล้วพยักหน้าให้อีกคนเดินเข้ามา ขณะที่อาคันตุกะในยามเย็นยกมือไหว้ก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมบอกจุดประสงค์ “ผมให้เมฆมันยืมสายชาร์ตคอมไป แต่มันบอกลืมไว้ที่บ้านน่ะครับ พอดีต้องใช้เลยมาขอคืนหน่อยน่ะครับ”

     นภดลพยักหน้าเข้าใจในจุดประสงค์นั้น พยักพเยิดให้พิธานเดินขึ้นไปเอาของที่ว่าในห้องนอนของลูกชายแต่ก็ยังอดถามถึงคนยืมตัวจริงไม่ได้ “แล้วเมฆล่ะ ไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอ”

     คงเพราะช่วงนี้เขาเห็นม่านฟ้าติดรถคนตัวโตกลับบ้านมาบ่อยๆ ยิ่งช่วงที่ม่านฟ้ากลับบ้านเพื่อตื๊อทำคะแนนให้ภูหมอก เขาก็แทบจะเห็นคนตรงหน้าทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็นให้ม่านฟ้าเสียเกือบทุกครั้ง

     “วันนี้มันบอกไม่กลับน่ะครับ พอดีผมกลับมานอนบ้านวันนี้เลยแวะเข้ามาเอาเลย”

     เจ้าของบ้านอย่างนภดลพยักหน้าตอบรับแล้วปล่อยให้พิธานขึ้นบ้านไปเอาของ ไม่นานเจ้าตัวก็เดินลงมาพร้อมสายชาร์ตในมือ เจ้าตัวเดินมาหาเขาเหมือนจะมาลาแต่กลับทักถึงของที่ว่างอยู่บนโต๊ะนั่งเล่นแทน “คุณพ่อก็ชอบเล่นหมากรุกเหรอครับ”

     คำถามของชายหนุ่มรุ่นลูกทำให้นภดลหันมองตามสายตาของอีกคน กล่องหมากรุกที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ตอนนี้มีฝุ่นจับอยู่ไม่น้อย เขาพยักหน้าพร้อมตอบรับ “อืม แต่ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไหร่แล้ว” ไม่ค่อยมีใครเล่นด้วย

     ท่อนหลังนภดลตอบตัวเองในใจ

     เขาชอบเล่นหมากรุก มันเป็นเกมที่ต้องใช้สมองและกลยุทธ์พอสมควร ตั้งแต่เด็กเขาเองก็สอนให้ทั้งม่านฟ้าและภูหมอกเล่นแต่ก็ดูเหมือนไม่มีลูกคนไหนชอบเล่นนัก ให้เล่นทีก็เหมือนโดนบังคับมาเล่นด้วย พอโตเข้าหน่อยเขาเองก็ไม่อยากไปฝืนใจ

     “ผมเองก็ชอบเล่นครับ แต่ไม่ค่อยมีใครให้เล่นด้วยเท่าไหร่” พิธานพูดแล้วก็เดินเข้าไปดูกล่องหมากรุกนั้นใกล้ๆ “พี่ชายผมก็ไม่ค่อยมีเวลาเล่น ป๊าก็อยู่เมืองนอก ส่วนพวกเพื่อนๆ สมัยนี้ไม่มีใครเล่นอะไรแบบนี้กันแล้ว หันไปเล่นเกมโทรศัพท์กันหมด บางทีผมเลยต้องเล่นในคอมแทน”

     เสียงหัวเราะแฮะของชายหนุ่มตัวโตทำให้นภดลนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนคำพูดจะหลุดออกไปอย่างเผลอตัว “งั้นวันหลังถ้าเธอมีเวลาก็มาเล่นกับฉันก็ได้”

     โดยที่ไม่รู้เลยว่าติดกับของใครบางคนเข้าแล้ว

     “จริงเหรอครับ งั้นวันไหนพ่ออยู่บ้านผมขอแวะมาบ้างนะครับ”




     มันเริ่มต้นจากตรงนั้น แล้วไอ้หนุ่มคนนี้ก็แวะเวียนมาที่บ้านของเขาเรื่อยๆ บางทีเขาควรจะเอะใจสักนิดว่าทำไมมันมักจะมาช่วงที่บ้านเขาไม่ค่อยมีคนอยู่หรือไม่ก็มีแค่เขากับภรรยา เสาร์อาทิตย์เจ้าตัวก็มักจะอ้างว่าไม่อยากรบกวนเวลาครอบครัวของเขา



     เสียงวางหมากลงบนกระดานดังขึ้นแทรกกับเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอไม่ให้บ้านเงียบจนเกินไป พิธานเล่นเก่งไม่น้อยทีเดียวทำเอาตาแก่อย่างเขามีไฟลุกฮึกเหิมกับการเล่นไม่น้อย การเล่นกับคู่ต่อที่เก่งมักจะทำให้เกมสนุกกว่าการเล่นกับคนที่เดินไปเรื่อยๆ แถมผิดกติกาบ้างถูกกติกาบ้างอย่างภูหมอกและม่านฟ้า

     “เราเนี่ย ไปรู้จักกับเมฆมันได้ยังไง” เป็นธรรมดาที่พวกเขามักจะหาบทสนทนามาคุยกันไปเรื่อยขณะเล่นเกม ทั้งเรื่องทั่วไป เรื่องไร้สาระหรือการถามไถ่เช่นนี้ พิธานเงยหน้าขึ้นมาจากกระดานครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มก่อนตอบ “ผมกับเมฆเรียนพิเศษที่เดียวกันน่ะครับแล้วเพราะบ้านอยู่แถวนี้เหมือนกันก็เลยได้นั่งรถกลับด้วยกันบ่อยๆ”

     นภดลพยักหน้ารับคำตอบของอีกคน ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นม้าของอีกฝั่งมาป้วนเปี้ยนแถวๆ ควีนของเขา ชายวัยกลางคนขยับควีนหลบไปอีกทางก่อนจะถามคำถามถัดไป “แล้วที่มาสอนเจ้าหมอกเพราะเมฆมันไปขอสินะ”

     “ครับ หมอกมันไม่อยากไปเรียนพิเศษพวกที่เป็นวิดีโอ แต่ติวเตอร์ส่วนตัวของเพื่อนที่มันรู้จัก มันก็...ไม่อยากไปเรียน” คำพูดสุดท้ายของพิธานแผ่วลงจนนภดลต้องเหลือบไปมอง สายตาสื่อคำถามที่ส่งมาทำให้พิธานต้องอธิบายเพิ่มเติม “หมายถึงมัน...ไม่ค่อยถูกกับครูคนนั้นเท่าไหร่น่ะครับ”

     ยิ่งพูดคำพูดของพิธานยิ่งวกวนอ้อมค้อมจนผู้เป็นพ่อของคนในบทสนทนาขมวดคิ้ว จากที่ไม่ได้สนใจกลายเป็นยิ่งสงสัยจนเผลอส่งสายตากดดันไปให้ ภูหมอกดูไม่ใช่เด็กที่จะมีปัญหากับครูอย่างที่อีกคนว่าเว้นเสียแต่จะมีเหตุผลอื่น

     พิธานกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึกขยับม้าไล่ต้อนอีกฝั่งไปแต่สมองกลับไม่มีสมาธิอยู่กลับกระดานเท่าไหร่

     เพราะเดินตามควีนไปอย่างไม่ทันระวังตัว ม้าตัวเก่งของพิธานจึงถูกบิชอปของอีกฝั่งกินไปตามระเบียบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากันเหลือบมองคู่ต่อสู้ที่ยังส่งสายตามองมาไม่หยุด สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมจำนน
     
     “พ่อก็..รู้เรื่องที่หมอกเป็นแล้วใช่ไหมครับ” คำเกริ่นของพิธานทำให้นภดลเลิกคิ้ว พอจะเดาเรื่องราวได้จากการพูดประโยคแรกของเจ้าตัว “ครูคนนั้นเขาก็รู้ว่าหมอกเป็นยังไงก็เลยชอบแกล้ง ชอบล้อมัน หมอกมันเลยเกลียดเข้าไส้สุดท้ายก็เลยมางอแงกับเมฆให้ช่วยสอน เมฆมันก็เลยมาขอให้ผมช่วยอีกทีน่ะครับ”

     ไม่ต้องอธิบายให้มากความนภดลก็รู้ว่าทำไมม่านฟ้าถึงไม่สอนน้องเอง เพราะครั้งที่เจ้าตัวเรียนมัธยมแค่เรียนจบมาได้โดยเกรดเฉลี่ยถึงสามก็นับว่าเก่งมากแล้ว ก่อนนึกขึ้นได้ว่าสมัยมอปลายก็มีช่วงที่ม่านฟ้าคะแนนดีขึ้นหลังจากโดนเขาด่าเข้าไปยกใหญ่ แอบสงสัยว่าเบื้องหลังความสำเร็จก็อาจเป็นคนคนเดียวกันที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ได้

     “ยังไงก็ขอบใจนะที่มาช่วยสอนเจ้าหมอก” คำพูดของนภดลตรงข้ามกับการกระทำที่เจ้าตัวเดินหน้าไปกินบิชอปของพิธานที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในฝั่งของเขาอย่างไม่ระวังตัวแล้วเงยหน้ามามองคนที่ทำหน้าแหยอีกครั้งอย่างจริงจัง

     “แล้วเธอล่ะ คิดยังไงกับสิ่งที่หมอกมันเป็น”




     ช่วงเวลานั้นเหมือนชายวัยกลางคนเห็นประกายในดวงตาของชายหนุ่มรุ่นลูกชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะหายไป เจ้าตัวบ่นออกมาเหมือนตัวเองเป็นผู้ถูกหลอกให้ประมาทจากกระดานโดยการชวนคุย ทั้งที่พอมาคิดอีกทีแล้วตัวเขานั่นแหละที่ถูกหลอกให้ฟังการเกลี้ยกล่อมของอีกคนโดยใช้ความตายใจจากกระดานหมากรุกตรงหน้า



    “สำหรับผม ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ ที่บ้านผมก็ไม่ได้เข้มงวดเรื่องแบบนี้ อยากจะเป็นยังไงก็แล้วแต่แค่อย่าให้เดือดร้อนตัวเองกับคนอื่นก็พอ” พิธานพูดแล้วก็เม้มปากอย่างใช้ความคิด เหงื่อเริ่มไหลออกมาตามขมับทั้งที่ภายในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ ในกระดานของเขาเสียตำแหน่งสำคัญไปหลายจุดจนทำให้เริ่มขยับตัวยากแต่ความใจร้อนของพิธานก็ทำให้เขาขยับควีนออกมาเพื่อรุกสู้ต่อไป

     “ถึงได้ช่วยเจ้าหมอกมันเต็มที่เลยสินะ” สายตาของนภดลตอนนี้เหมือนเห็นเหยื่ออันโอชะรออยู่ข้างหน้า มองควีนตัวเก่งของอีกฝั่งล้ำหน้าออกมาอย่างไม่ห่วงคิงของตน

     “ครับ ผมเห็นหมอกมันเหมือนน้อง” การขยับม้าของคู่ต่อสู้ทำให้พิธานเริ่มรู้ตัว เขาถอนควีนกลับมายังที่มั่นแล้วถอนหายใจออกมาตามกัน “ที่สำคัญที่ผมทำเหมือนมันเป็นเรื่องของตัวเองก็เพราะว่า…"

     .

     .

     "ผมเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน”

     คำพูดนั่นของคู่ต่อสู้ทำให้มือที่ขยับจะวางเบี้ยลงไปของชายวัยกลางคนชะงัก เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างจริงจัง สายตาของนภดลตอนนี้ฉายความไม่พอใจออกมาชัดเจนพร้อมความสงสัย เขารู้สึกถูกใจเจ้าหนุ่มตรงหน้าไม่น้อยแต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวก็เป็นเพศที่สามไม่ต่างกับภูหมอกเช่นกัน

     “ที่บ้านผมเขาไม่ได้ว่าอะไรแต่ที่บ้านแฟนผมเขารับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังคาราคาซังวุ่นวายกันไปหมด” ยังไม่ทันที่นภดลจะพูดสิ่งใด พิธานก็พูดเสริมออกมาและโดนนภดลพูดสวนกลับมาทันที

     “แล้วมันน่าไหมล่ะ”

     เสียงที่ส่อความไม่พอใจออกมานั่นทำให้พิธานหดคอลง ทำหน้าตาหงอจนนภดลที่มองอยู่ถอนหายใจออกมาและพยายามปรับอารมณ์ “ทำไม ผู้หญิงดีๆ มีเยอะแยะทำไมไม่ไปเลือก ไปเลือกผู้ชายด้วยกันมาเป็นแฟนทำไม แล้วก็มามีปัญหา มันน่าปวดหัวไหมล่ะอย่างนี้ คบกันต่อไปจะแต่งงานก็แต่งไม่ได้ มีลูกก็มีไม่ได้ ไม่มีอะไรดีสักอย่างแล้วจะคบกันไปทำไม”

     ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจแต่เพราะเอ็นดูชายหนุ่มคนนี้ไม่น้อยเขาถึงไม่อยากใส่อารมณ์มาก เขาไม่ได้โวยวายบ้านแตกอย่างคราวที่รู้เรื่องของภูหมอกหรือเข้าใจผิดกับม่านฟ้า อาจเพราะเป็นเรื่องที่ไกลตัวเขาออกมาอีกหน่อย เขาถึงสามารถใช้สติและค่อยๆ มองหาเหตุผลกับอีกคนได้เช่นนี้

     “แค่แต่งงานกับมีลูกไม่ได้มันไม่เห็นจะเป็นปัญหาเลยนะพ่อ ถ้าเกิดผมไปชอบผู้หญิงสักคนหนึ่งแล้วมารู้ทีหลังว่าเขามีลูกไม่ได้ แล้วจะให้ผมเลิกกับเขาเพราะแบบนั้นมันก็ไม่โอเคไหมครับ” พิธานยังพยายามจะสู้ต่อขยับเบี้ยของตัวเองไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว

     “แล้วมันเป็นธรรมชาติไหมล่ะ ธรรมชาติมันก็ควรให้ผู้หญิงเกิดมาคู่กับผู้ชายไหม” จากอารมณ์หงุดหงิดเริ่มเปลี่ยนเป็นรำคาญคนที่ยังฝืนสู้ คว้าเบี้ยไปกินเบี้ยของอีกคนอย่างแรงแถมกระดกตูดปัดจนเบี้ยตัวนั้นล้ม ปล่อยให้เจ้าของมาเก็บออกจากสนามเองด้วย

     “ธรรมชาติคืออะไรล่ะพ่อ ถ้าเรามองว่าควรปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ใช้สิ่งที่พระเจ้าสร้างมาให้ตั้งแต่แรกทำไมเราไม่นอนบ้านต้นไม้ ใช้แก้วน้ำดินเผาแล้วเปลี่ยนจากกินยาแคปซูลไปกินสมุนไพรรักษาโรค”

     พิธานอาศัยทีเผลอรุกเอาเบี้ยตัวน้อยอีกตัวของเขาไปถึงเส้นหลังของอีกฝั่งแล้วเปลี่ยนเป็นควีน ยิ้มกริ่มออกมาเหมือนเด็กๆ แล้วพิงพนักเก้าอี้คว้าแก้วน้ำมาดื่มอย่างสบายใจ

     “แก้วพลาสติกต่อให้เรารู้ว่าจริงๆ มันเป็นภัยต่อโลก ย่อยสลายได้ยากมากแต่เราก็ยังใช้กัน ถึงประโยชน์ใช้สอยมันจะดีแต่โทษก็มีมาก แต่กับคนที่เป็นเพศที่สามเราแค่ให้กำเนิดลูกหลานไม่ได้ แต่ไม่ได้ไปเป็นภาระหรือเดือดร้อนใครเลย ทำไมถึงต้องถูกเหยียดและไม่ได้รับการยอมรับด้วยล่ะครับ เพศที่สามทำอะไรผิดกัน”

     “ดันทุรัง” นภดลขยับม้าไปกินเรือของพิธานพร้อมบ่นออกมาเล็กน้อย

     “ผมก็แค่รักคนคนหนึ่งแต่เขาเป็นผู้ชาย ผมถึงได้ถูกมองว่าเป็นเกย์ หรืออย่างหมอกมันก็แค่เป็นผู้ชายที่รักสวยรักงาม อยากแต่งตัวแต่งหน้าทำให้ตัวเองดูดีแต่คนก็มองสิ่งที่มันเป็นคือตุ๊ด ทำไมล่ะครับ ตอนพระเจ้าสร้างโลกห้ามไม่ให้คนที่เกิดมาพร้อมปิ๊กาจูแต่งตัวเหรอ งั้นทำไมไม่ให้แก้ผ้าไปเลยล่ะ ถ้าคนสมัยก่อนสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาว่าแก้ผ้าเป็นผู้ชาย แต่งตัวเป็นผู้หญิง ถ้าวันหนึ่งผู้ชายที่เกิดมารู้สึกไม่อยากเดินโทงเทงแล้ว เลยอยากใส่เสื้อผ้าสักหน่อยก็เลยถูกมองว่ามีใจเป็นสาว บัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาว่ามันเป็นตุ๊ด แบบนี้มันไม่ใจร้ายเกินไปเหรอครับ” 

     ชายหนุ่มพูดออกมายืดยาวเริ่มหมดหวังกับการเล่นเกมกระดานตรงหน้าเมื่อหมากตัวสำคัญเหลือน้อยลงทุกทีแต่สำหรับศึกการเจรจาตรงหน้ายังไม่จบ “ผมเองก็อยากจะไปพูดแบบนี้กับบ้านแฟนผมเหมือนกันนะ แต่กลัวจะโดนตีหน้าแหกกลับมาก่อน”

     “อย่าว่าแต่บ้านแฟนเธอเลย ถ้ายังพูดมากไปกว่านี้ฉันก็จะตีเธอเหมือนกัน เดิน” นภดลเหลือบมองชายหนุ่มตัวโตที่ทำไหล่ลู่ลงแล้วถอนหายใจ ไม่เข้าใจเด็กสมัยนี้ว่าทำไมถึงได้ดื้อกันนัก ม่านฟ้าก็เป็นอีกคนที่มักจะดื้อดึงแบบนี้ ครั้งเกิดเรื่องของภูหมอกเจ้าตัวก็เข้ามางอแงกับเขาแบบนี้ไม่ต่างกันเลย

     พิธานขยับเรืออีกตัวของตัวเองไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ที่นิ่งเฉยไม่ยอมเดินก็เพราะไม่รู้จะไปทางใดต่อ ตอนนี้ก็ได้แต่ขยับตัวหมากให้ได้ผ่านตาของตัวเองไป เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ววัดดวงคุยต่อไปอย่างหวิดใจกับระเบิดที่อาจลงมาบนหัวเขาได้

     “ทำไมล่ะครับ ถ้ามองกันจริงๆ เราก็รู้ว่ามันไม่ได้ผิดเลยแล้วเรากำลังห่วงอะไร ห่วงว่าสังคมจะมองบ้านเราไม่ดี ห่วงว่าจะไม่มีทายาทสืบสกุลหรือห่วงว่าจะถูกเพื่อนบ้านนินทาเอาลูกไปอวดต่อไม่ได้แล้ว เรื่องพวกนั้นเราต้องให้ความสนใจมากกว่าความสุขของคนที่เรารักตรงหน้าเหรอครับ”




     นภดลยอมรับ ในชั่วขณะหนึ่งที่เขายังคงดึงดัน คำพูดเหล่านั้นของชายหนุ่มรุ่นลูกทำให้เขาหยุดคิด ทำให้เขาพยายามที่จะเข้าใจลูกชายให้มากขึ้นแล้วทบทวนดูอีกครั้งว่าลูกชายของเขาไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างที่เจ้าตัวพูด

     และที่สำคัญเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าวันที่บทสนทนาของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สามหรือความรักของเจ้าตัวทีไร พิธานมักจะเดินเกมอย่างไม่ระมัดระวังและจบลงที่แพ้ให้แก่เขาเสมอ นั่นคงเพราะเจ้าตัวเอาแต่ใช้ความคิดอยู่กับการปั้นคำที่จะพูดกับเขา...หรือไม่ก็

     จิตวิทยาง่ายๆ ของการเจรจา หากเราทำให้อีกฝ่ายตายใจในยามที่กำลังเจรจาว่าเขากำลังเป็นต่อ อีกฝ่ายก็มักจะลดการ์ดลงและรับฝั่งคำพูดของเรามากขึ้น



    “รุก” นภดลทำเหมือนเสียงบ่นของชายหนุ่มตรงหน้าเป็นเพียงธาตุอากาศ เขาประกาศคำเตือนในศึกออกไปและพูดตอบเพียงแผ่วเบา “เธอยังเด็ก เธอไม่เข้าใจหรอก” เหมือนลูกชายคนโตของเขาเจ้าตัวก็ชอบตัดพ้อเขาแบบนี้คราวพูดเรื่องภูหมอก

     เสียงถอนหายใจคราวนี้ดังชัดเจน ไม่รู้เป็นเพราะเกมกระดานตรงหน้าหรือเพราะบทสนทนาที่ไร้วี่แววจะเป็นไปด้วยดี “พ่อทำให้ผมท้อนะ ผมก็คิดว่าจะลองเข้าไปคุยกับที่บ้านแฟนดูดีไหมแต่พ่อทำให้ผมคิดว่ามันคงไม่ได้ผล” พิธานขยับคิงของตนหลบออกมาแล้วถามต่อ “พ่อรังเกียจเพศที่สามมากเหรอครับ”

     “...” ไม่มีเสียงตอบมีเพียงเสียงการวางหมากของชายวัยกลางคนและคำประกาศสุดท้าย “รุกฆาต”




     ถึงท่าทางของพิธานวันนั้นจะดูหงอลงไปไม่สมกับตัวใหญ่ๆ ของเจ้าตัวแต่พิธานก็ขอมาแก้ตัวใหม่ในวันรุ่งขึ้นแถมเอาชนะเขาได้อีกต่างหาก ชายหนุ่มไม่ได้เซ้าซี้อยากได้คำตอบจากเขาแต่คำถามในวันนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของชายวัยกลางคน

     เรื่องของภูหมอกและการเกลี้ยกล่อมของม่านฟ้าตลอดหลายเดือนทำให้เขาคิดว่าตัวเองคงปลงกับเรื่องเหล่านี้แล้วจึงปล่อยให้มันเป็นไป แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกทีจากคำถามนั้น ถึงรู้ว่าความคิดของเขาต่างหากที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว

     ถึงตอนนี้หากจะให้เขาพูดว่า ‘รังเกียจ’ อย่างเต็มปากเหมือนเดิมก็คงไม่ได้แล้ว

     ที่เขาดุด่าม่านฟ้าไปอย่างแรงทันทีที่เจ้าตัวสารภาพ มันเป็นคล้ายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่บอกให้เขาต่อต้านคำพูดนั้น คล้ายกับที่คนตื่นตัวเวลาเจองูแม้ว่างูตัวนั้นจะเป็นงูที่ไม่มีพิษก็ตาม

     นภดลรู้สึกว่าตนเองเสียรู้ให้กับเด็กรุ่นลูกอย่างพิธานเข้าไปเต็มเปา อยากจะโกรธที่กล้ามาตีเนียนเกลี้ยกล่อมเขาไว้ แต่เพราะคำพูดหนึ่งที่เคยคุยกันไว้กลับผุดขึ้นมาจะให้เขาโมโหก็โมโหมันได้ไม่เต็มที่



     “ถ้าตอนนี้ผมกำลังพยายามเพื่อแฟนผม เพื่อให้เขามีความสุข แต่ผมก็กลัวนะว่าสิ่งที่ผมทำจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงรึเปล่า ผมควรทำยังไงดีล่ะพ่อ ผมควรถอยออกมาจนกว่าจะแน่ใจในผลลัพธ์ได้ก่อนหรือว่าเดินหน้าต่อไปกันดี”



     พิธานเคยถามเขาขึ้นมาในวันหนึ่งและนภดลก็จำคำตอบของตัวเองได้ดี



     “หมากทุกตาที่เธอก้าวมันก็หวังผลแน่นอนไม่ได้เหมือนกันแต่เราก็ต้องเดิน สิ่งที่สำคัญคืออย่าลังเล”



     เหอะ เขาโดนมันดักเอาไว้ทุกทางแล้ว แถมยังเป็นคนแนะนำให้มันหลอกเขาต่อไปอีกต่างหาก

     ในเกมนี้คงเป็นเขาเองที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

     ชายวัยกลางคนแค่นยิ้มออกมากับตัวเอง ทั้งที่เขามีชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ทุกชิ้นอยู่ในมือแล้ว แต่กลับไม่ยอมประกอบมันขึ้นมาด้วยเกรงว่าภาพที่ปรากฏขึ้นจะเป็นสิ่งที่เขากลัว

     ภาพของชายหนุ่มตัวโตที่จับมือกับลูกชายของเขาครั้งที่ม่านฟ้าเผชิญหน้าอยู่กับตุ๊กแกตัวใหญ่ในห้องน้ำ

     ภาพของคนที่วิ่งวุ่นจัดการทุกอย่างให้เมื่อม่านฟ้าเข้าโรงพยาบาล

     "ขอโทษด้วยครับ ที่จริงผมน่าจะระวังและพาเมฆมาโรงบาลฯ เร็วกว่านี้"

     ทำไมต้องขอโทษ

     "โทรไปหาแฟนแกมันก็บอกว่าแกเข้าโรงพยาบาล"

     แฟนเหรอ

     ชั่วขณะหนึ่งที่ม่านฟ้าบอกว่าไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เหม็นๆ อีกทั้งออกตัวว่าเจ้าของบุหรี่ที่ยืมมาอย่างพิธานก็เลิกสูบแล้ว ทำให้เขาคิดถึงเจ้าตัวที่บอกว่าเลิกสูบบุหรี่ได้ก็เพราะแฟนไม่ชอบ วันนั้นเขาคล้ายจะคิดอะไรออกแต่ก็กลับปัดมันทิ้งออกไปอย่างรวดเร็ว



     “ครับ พี่พีทไงพ่อ” เสียงตอบรับของภูหมอกดึงนภดลออกจากภวังค์ความคิดกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังตามหาตัวคนรักของลูกชายคนโต เด็กหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังว่าจะช่วยไขข้อข้องใจให้กับทุกคนได้ “เดี๋ยวหมอกลองโทรถามดูดีกว่า”

     ไม่ทันที่ภูหมอกจะกดโทรออก คำสั่งของผู้เป็นพ่อก็ทำให้เขาแปลกใจยิ่งขึ้น

     “ไม่ต้องโทรถามแล้ว เรียกมันมาคุยที่นี่เลย”




     TBC


     Achaya (Writer) : ปมสุดท้ายคลายหมดแล้ว เหลือให้ตื่นเต้นตอนหน้ากันอีกนิดก่อนส่งท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด