พิมพ์หน้านี้ - ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Achaya ที่ 20-06-2020 02:32:59

หัวข้อ: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 20-06-2020 02:32:59
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


----------

ความลับในม่านหมอก
ข้อมูลเบื้องต้น



     ‘ม่านฟ้า’ ชายหนุ่มที่ต้องการเพียงใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่ายและประหยัดพลังงาน กลับต้องมาพบกับความลับบางอย่างของน้องชายอย่าง ‘ภูหมอก’ โดยที่ไม่รู้ว่าความลับครั้งนี้จะนำพาเรื่องดีหรือเรื่องร้ายมาสู่ชีวิตเขากันแน่

     และที่สำคัญเพราะความลับของน้องชายกลับทำให้ 'ความลับ' ของเขาที่เก็บซ่อนมานานเริ่มสั่นคลอนไปด้วย


     เครื่องสำอางและเสื้อผ้าผู้หญิงที่พบในห้องนอนของน้องชายทำให้เขาคิดว่าเจ้าตัวคงพาแฟนสาวมานอนค้างที่ห้อง แต่ความรู้สึกคาใจพร้อมลางสังหรณ์แปลกๆ นี่มันอะไรกัน
'ทำไมเสื้อแฟนมันตัวใหญ่จังว่ะ'

 
     'ความลับในม่านหมอก' เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งและสองพี่น้องที่ช่วยกันผ่านเรื่องราวต่างๆ พร้อมกับผู้ช่วยเหลือคนสำคัญ ซึ่งบอสใหญ่ของเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือพ่อบังเกิดเกล้าของพวกเขานี้แหละ

สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4042663#msg4042663)
บทที่ 1 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4043081#msg4043081) บทที่ 2 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4043468#msg4043468) บทที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4044161#msg4044161)
บทที่ 4 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4044438#msg4044438) บทที่ 5 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4044677#msg4044677) บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4045209#msg4045209)
บทที่ 7 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4045682#msg4045682) บทที่ 8 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4046125#msg4046125) บทที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4046989#msg4046989)
บทที่ 8.5 (Special) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4046563#msg4046563)
บทที่ 10 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4047450#msg4047450) บทที่ 11 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4047854#msg4047854) บทที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4048240#msg4048240)
บทที่ 13 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4048547#msg4048547) บทที่ 14 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4048879#msg4048879) บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4049177#msg4049177)
บทที่ 16 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4049473#msg4049473) บทที่ 17 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4049758#msg4049758) บทที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4050036#msg4050036)
ตอนพิเศษ (Minispecial) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4050336#msg4050336)

ภาคความจริง : บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4050515#msg4050515)
บทที่ 1 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4050713#msg4050713) บทที่ 2 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4051016#msg4051016) บทที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4051280#msg4051280)
บทที่ 4 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4051598#msg4051598) บทที่ 5 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4051956#msg4051956) บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4052210#msg4052210)
บทที่ 7 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4052445#msg4052445) บทที่ 8 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4052670#msg4052670) บทที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4058297#msg4058297)
บทที่ 8.5 (Special) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4052918#msg4052918)
บทที่ 10 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4058440#msg4058440) บทที่ 11 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4058603#msg4058603) บทที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4058725#msg4058725)
บทที่ 13 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4058846#msg4058846) บทที่ 14 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4058989#msg4058989) บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059103#msg4059103)
บทที่ 16 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059272#msg4059272) บทที่ 17 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059384#msg4059384) บทที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059516#msg4059516)
บทที่ 19 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059613#msg4059613) บทที่ 20 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059709#msg4059709) บทที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059825#msg4059825)
บทที่ 22 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4059937#msg4059937) บทที่ 23 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4060017#msg4060017) บทที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4060150#msg4060150)
บทที่ 25 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4060380#msg4060380) บทที่ 26 l (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4060434#msg4060434) บทที่ 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4060534#msg4060534)
บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72117.msg4060622#msg4060622)

     ----------
 

     นิยายเรื่องนี้จั่วหัวว่าเป็นนิยายวาย (ชายรักชาย) ก็จริง แต่ขอเตือนว่าอย่าคาดหวังถึงความหวานของคู่พระนายมากนัก

     เนื้อเรื่องหลักจะเป็นชีวิตสบายๆ ผสมวุ่นวายของสองพี่น้อง จะมีดราม่าเสียดสีสังคมที่เกี่ยวข้องกับเพศที่สามบ้าง ส่วนเรื่องพระนายนั้น เจอใครก็จับจิ้นไปก่อนนะ แล้วเรามาลุ้นกันอีกที ว่าจะตรงกับที่ทุกคนลุ้นกันไว้ไหม

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทนำ (20.06.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 20-06-2020 02:43:24
บทนำ

     อากาศร้อนอบอ้าวในช่วงสายทำให้ชายหนุ่มรู้สึกล้าจนแทบหมดแรง หนุ่มอักษรฯ ออกเดินทางจากหอพักมหาวิทยาลัยเพื่อกลับบ้านช่วงปิดเทอมใหญ่ เขาใช้เวลากว่าสองชั่วโมงจนมาถึงบ้านที่อยู่มาแต่เกิดในเวลาเกือบสิบเอ็ดโมง

     ‘ม่านฟ้า’ ไขประตูบ้านเข้าไปมองสำรวจรอบๆ พ่อแม่คงออกไปทำงานหมดแล้ว แต่กลับไร้วี่แววของคนที่ควรจะอยู่บ้านอีกหนึ่งคน น้องชายคนเดียวของเขาที่อยู่ในช่วงปิดเทอมของชั้นมัธยมปลายและเป็นต้นเหตุของการเรียกกลับบ้านด่วนในครั้งนี้

     “หมอก!”

     เขาลองตะโกนเรียกดูเผื่อน้องชายจะอยู่บนห้องนอนชั้นสอง แต่กลับไร้เสียงตอบรับใดๆ ม่านฟ้าขมวดคิ้วมุ่น นึกไปถึงเรื่องที่แม่บ่นให้เขาฟังจนเป็นที่มาของการให้ช่วยดูแลน้องช่วงที่ยังปิดเทอม
 
     ด้วยความที่ ‘หมอก’ หรือ ‘ภูหมอก’ น้องชายคนเดียวที่คลานตามกันมาเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดี อาจไม่ถึงกับระดับซุปเปอร์สตาร์ แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เกินไปนัก ยิ่งตัวสูง ผิวขาว บวกกับเป็นคนยิ้มแย้ม อารมณ์ดี จึงสามารถจัดเป็น ‘ผู้ชายเจ้าเสน่ห์’ คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่แม่เขากลับเรียกสิ่งนี้ว่า ‘เพลย์บอย’

    "เมฆ กลับบ้านปิดเทอมนี้ดูแลเจ้าหมอกให้แม่ด้วยนะ ชักจะทำตัวไม่น่ารักใหญ่แล้ว แม่เคยเห็นเดินห้างอยู่กับผู้หญิง แต่พอถามก็บอกไม่ใช่แฟนๆ วันก่อน แม่กลับบ้านไป ก็เจอพาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน แม่ล่ะกลัวน้องมันจะทำตัวออกนอกลู่นอกทาง เมฆช่วยๆดูน้องให้แม่หน่อยนะ"

     แม่บอกกับเขาไว้แบบนั้น การที่หมอกพาผู้หญิงเข้ามาบ้านได้บ่อยๆจนมาแจ็คพอตแตกเจอแม่เข้า คงเป็นเพราะปกติพ่อกับแม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แม่ของเขาเป็นพยาบาลต้องอยู่เวรบ่อยๆ จนบางทีก็นอนที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาล ส่วนพ่อถึงจะทำงานบริษัทแต่ก็ต้องออกตรวจต่างจังหวัดประจำ และตัวเขาพอขึ้นมหาลัยก็อยู่หอของมหาลัย จะให้เดินทางไปกลับที่ใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมงไปกลับทุกวันก็คงไม่ไหว ครอบครัวที่มีกันสี่คนของเขาจึงเหลือเพียงไอน้องรักของเขาที่อยู่บ้านคนเดียวซึ่งนั่นคงเป็นโอกาสที่จะพาสาวมาเที่ยวบ้านหรือ ‘ทำอะไรๆ’ ที่มากกว่านั้นได้

     "ช่วงหลังหมอกไม่ค่อยยอมให้แม่เข้าไปในห้องเท่าไหร่ แต่เมฆนอนห้องเดียวกับน้องก็ช่วยดูในห้องให้แม่ด้วย แม่กลัวน้องมันจะพาผู้หญิงเข้ามาค้างถึงในบ้าน ถ้าพ่อรู้นะ พ่อเอาตายแน่ แล้วยิ่งถ้าวันไหนเดินมาบอกพ่อกับแม่ว่าไปทำแฟนท้องอะไรแบบนี้นะ แม่คงได้ช็อกตาย"

     ตอนฟังแม่ที่โทรมาบ่น ม่านฟ้าถึงกับแอบกลอกตากับคำบ่นยาวเหยียด เขาพยายามจะบอกแม่ว่าเรื่องพวกนี้มันห้ามกันไม่ได้ วัยรุ่นก็คือวัยรุ่น ยิ่งไปทำตัวจับผิดก็จะยิ่งซ่อน แม้แปลกใจกับพฤติกรรมที่คาดไม่ถึงของน้องชายที่ปกติทำตัวดีมาตลอด และแนะนำให้แม่เปิดหลักสูตรเพศศึกษาและการป้องกันให้น้องมันเรียนรู้ดีกว่า แต่พูดไปคงไม่พ้นตัวเขาเองที่จะโดนบ่นพร้อมด้วยระแวงเขาไปอีกคน ในฐานะพี่ชายที่แสนดีเขาเลยกะมาทำหน้าที่ในการเป็น’ครู’แทนแม่เสียเอง แต่ดูเหมือน’ลูกศิษย์’ของเขาจะไม่อยู่บ้านเสียแล้ว

     ม่านฟ้าเดินขึ้นบันไดไปอย่างยังมีความหวังว่าจะเจอเจ้าตัวนอนอุตุอยู่ในห้อง แต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่า ห้องนอนนี้พวกเขาใช้ร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งพอเขาเข้ามหาลัยไปอยู่หอ ก็เหมือนหมอกจะยึดไปเป็นของตัวเองเรียบร้อย ข้าวของต่างๆว่างเต็มห้องไปหมด ทั้งที่เมื่อก่อนจะแบ่งส่วนที่เป็นของเขาและส่วนที่เป็นของหมอกไว้ค่อนข้างชัดเจน เขาไล่สายตาไปเรื่อยๆ มองห้องที่เปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อยพลันสะดุดตากับของบางอย่างที่อยู่บนหัวเตียง

     ‘เครื่องสำอาง’
 
     ทั้งลิปสติก กระปุกครีม ดินสอเขียนคิ้ว และอื่นๆ ถึงจะไม่แน่ใจแต่มันเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ควรจะอยู่ในห้องนอนของผู้ชายที่อยู่คนเดียวแน่ๆ ต่อให้เป็นผู้ชายเจ้าสำอางแค่ไหนก็เถอะ เว้นเสียแต่ว่า ‘ผู้ชาย’คนนั้นจะไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว

     ลางสังหรณ์บอกชายหนุ่มให้รีบสาวเท้าไปที่ตู้เสื้อผ้าเป็นอย่างถัดไป เปิดประตูตู้ออกแล้วเบนสายตาไปยังเสื้อผ้าที่ดูผิดปกติ ไวเท่าความคิด มือของม่านฟ้าเอื้อมไปหยิบชุดนั้นออกมาดู ลมหายใจสะดุดไปทันทีที่เห็นสิ่งนั้นเต็มๆตา

     ‘ชุดเดรส’
 
     คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างแรง เสียงหอบหายใจของเจ้าของห้องอีกคนที่วิ่งขึ้นมาเพราะเห็นรองเท้าของเขาที่หน้าบ้าน ใบหน้าขาวซีดเผือดกว่าเดิมเมื่อเห็นของที่อยู่ในมือเขา ร่างสูงของน้องชายพุ่งเข้ามาคว้าชุดที่อยู่ในมือเขาออกไปยัดกลับเข้าตู้ก่อนปิดเสียงดังลั่น จนม่านฟ้าต้องรีบผงะออกจากรัศมีบานประตู

     “พี่เมฆจะกลับมาทำไมไม่บอกหมอกก่อน!!!”  เสียงตะโกนอย่างไม่พอใจคือคำทักทายแรกของเด็กหนุ่ม

     “เออ คือ.. หมอก หมอกยังไม่ได้เก็บของในห้องเลย ปกติเวลาพี่จะกลับก็บอกกันก่อนนิ”
     
     สายตาหลุกหลิกกลอกไปมา มือไม้สั่นเทากำเข้าหากัน เสียงลมหายใจหนักๆบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังบังคับความตื่นตระหนกของตนเอาไว้ ภูหมอกลดระดับเสียงจนเป็นปกติเมื่อนึกได้ว่าตะโกนใส่หน้าพี่ชายไปก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นก็มีเพียงความเงียบระหว่างสองพี่น้อง ก่อนพี่ชายจะเป็นผู้ทำลายความเงียบลงก่อน

     “กู…” ม่านฟ้ากลืนน้ำลายลงคอ หายใจลึกๆเหมือนพยายามเรียกสติและคำพูดที่เตรียมเอาไว้ก่อนมา

     “คือ.. แม่เขาห่วงมึง เรื่องที่มึง.. เออ..  พาผู้หญิงเข้าบ้าน เขากลัวว่ามึงจะพามาค้างคืน แต่… กูคงห้ามไม่ทันแล้วมั้ง” ชายหนุ่มพูดจาตะกุกตะกักในช่วงแรก แต่ก็ค่อยๆปรับอารมณ์ได้ในเวลาไม่นาน

     บอกตรงๆว่าคาดไม่ถึงเหมือนกัน เพราะจากคำบอกของแม่และนิสัยน้องชาย เขาคิดว่าแม่อาจจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง แต่การเห็นทั้งเครื่องสำอางและเสื้อผ้าในห้องนอน เหมือนจะยิ่งตอกย้ำความกลัวของแม่ ไม่ใช่แค่พาผู้หญิงเข้าบ้าน แบบนี้มันคล้ายพามาอยู่บ้านเลยมากกว่า
 
     “ยังไง... มึงรีบเก็บของพวกนี้ให้เรียบร้อยก่อนเลย ถ้าพ่อแม่มาเจอกูไม่ช่วยเก็บศพให้นะ เสร็จแล้วลงไปคุยกับกูข้างล่างด้วย” ม่านฟ้าพูดไปก็ถอนหายใจไปด้วย  ก้าวเท้าเตรียมเดินออกจากห้องแต่ก็ยังไม่วายหันมาสำทับอีกหน “แล้วหัดป้องกันซะด้วยนะ อย่าซ่าเล่นสด ท้องขึ้นมาล่ะฉิบหาย”

     ม่านฟ้าเดินออกมาจากห้องเตรียมจะก้าวเท้าลงบันไดไปชั้นล่าง แต่ลางสังหรณ์บางอย่างดึงเขาไว้จนชะงักแล้วหันกลับไปมองที่ห้องนอนอีกครั้งอย่างค้างคาใจ เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าที่เขาหยิบออกมาดูเมื่อครู่

     ‘ทำไมเสื้อแฟนมันตัวใหญ่จังว่ะ’

     TBC
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 1 (23.06.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 23-06-2020 04:13:37
บทที่ 1


     ‘กูจะทำยังไงดีว่ะ’

     คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของม่านฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ออกจากห้องนอนมายืนสติแตก แล้วเคลื่อนกายมารอภูหมอกอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น จนเวลานี้ที่ร่างสูงลงมานั่งอยู่ข้างกัน

     บางครั้งเขาก็เกลียดลางสังหรณ์ของตัวเองนัก เมื่อคำถามที่ค้างคาใจเกิดขึ้นในหัว คำตอบที่ลงล็อกได้ทุกอย่างก็ผุดขึ้นมาตามกัน

     ‘ถ้าไม่ใช่ของแฟน แต่เป็นของหมอกเองล่ะ’

     เพราะเขาโดนแม่ล้างสมองเรื่องกลัวน้องชายพาสาวเข้าบ้าน พอเห็นของต่างๆ ก็ชักจูงเขาไปในทาง ‘ของของแฟนหมอก’ มากกว่า ‘ของของหมอก’

     พอกลับมานั่งคิดดีๆ ม่านฟ้าอยู่กับน้องมา เขารู้อยู่ว่าเพลย์บอยเป็นคำที่ห่างไกลจากภูหมอกมาก หมอกเป็นเด็กค่อนข้างเรียบร้อย ถึงช่วงหลังจะไม่ได้เจอน้องบ่อยอย่างสมัยที่ยังอยู่บ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าน้องจะเปลี่ยนไปมากนัก

     สมองของเขายังคงสับสนกับสิ่งที่เจอซึ่งกลับตาลปัตรจากที่เตรียมใจไว้มาก จากความคิดที่ว่าน้องชาย ‘เป็นเพลย์บอยพาสาวเข้าบ้าน’ สู่เป็นความจริงที่ว่าน้องชาย ‘กำลังจะกลายเป็นสาว’ มันต่างกันราวฟ้ากับเหว หลายทางเลือกที่จะใช้คุยกับน้องชายผุดขึ้นมาในหัว แต่เข้าจำเป็นที่จะต้องคิดให้ดีก่อน ม่านฟ้าบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าคำพูดจะกลายเป็นนายเราเมื่อพูดออกไป

     ม่านฟ้าพยายามคิดในมุมมองของพ่อแม่ หากมาเจอสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะทำอย่างไร

     ‘ด่า’ สิ่งนี้เป็นความคิดแรกที่โผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อคิดถึงพ่อ แต่ก็ถูกม่านฟ้าปัดตกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การด่าไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เรื่องพวกนี้เขารู้ดี ใช่ว่าภูหมอกจะอยากเป็นอย่างนี้ ถึงด่ามันจนร้องห่มร้องไห้ก็ใช่ว่าจะทำให้น้องกลับมาเป็นผู้ชายได้ ภูหมอกถูกบังคับให้เป็น ‘ผู้ชาย’ โดยเพศสภาพทันทีที่เกิดมา ขณะที่ความจริงจากการยอมรับตัวเองบอกว่าหัวใจของภูหมอกเป็น ‘ผู้หญิง’ และผลสุดท้ายสังคมได้ตัดสินสิ่งเหล่านี้เป็น ‘สิ่งที่ผิด’ หรือ ‘การเบี่ยงเบนทางเพศ’ น้องของเขาเป็นแค่เหยื่อที่ไร้ทางเลือกในเส้นทางนี้เท่านั้น

     ‘ปลอบ’ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจหากเป็นแม่ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา จะให้มานั่งปลอบน้องชายตัวโตๆ แค่คิดก็ขนพองสยองเกล้าแล้ว ทางเลือกสุดท้ายจึงเหลือเพียง ‘นิ่งไว้’ คือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แสดงออกเหมือนเข้าใจผิดคิดว่าน้องเป็นเพลย์บอยอย่างที่แม่คิด รอเวลาจนถึงวันที่น้องพร้อมบอกเรื่องเหล่านี้กับครอบครัวด้วยปากของตัวเอง

     ทั้งที่ทางเลือกที่สามน่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย แต่เขาก็ยังอดห่วงไม่ได้ ภูหมอกเป็นเด็กเรียนเก่ง แต่ซื่อบื้อ นิยามที่เป็นตัวน้องมากที่สุดสำหรับเขาคือ ‘ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่ค่อยจะรอด’ ถ้าเขาปล่อยไปแล้วทำเฉย สักวันหนึ่งพ่อคงรู้เข้าจนบ้านแตกแน่ จากความไม่ระวังตัวระดับนี้เขาให้ไม่เกินปีหรอก อีกอย่างถึงพ่อไม่รู้เขาก็ไม่แน่ใจว่าการเป็นแบบนี้จะทำให้น้องต้องเจอกับอะไรบ้าง

     เขาเห็นข่าวมาไม่น้อยสำหรับคนที่ถูกหลอกไปกินกลูต้า เทคฮอร์โมน ไปจนถึงผ่าตัดเนื้อเน่า หลายครั้งที่เห็นก็มีความรู้สึกนะว่าทำไมถึงได้โดนหลอกได้ มันดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย แต่พอมองกลับมาที่น้องชายก็เห็นความเป็นไปได้ที่จะเชื่ออะไรอย่างซื่อๆ นั้นเหมือนกัน

     การบอกถึงสิ่งที่เขารู้วันนี้อาจทำให้น้องยังอยู่ในสายตาของเขา ช่วยกันแก้ปัญหาให้คำแนะนำเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ น่าจะดีกว่าการปล่อยให้น้องเตลิดไปไหนเองโดยที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ดังนั้นทางเลือกพิเศษสำหรับเขาในตอนนี้ คือการบอกถึงการรับรู้ของเขาและ ‘เก็บข้อมูล’ ให้ได้มากที่สุด

     “เป็นมานานแค่ไหนแล้ว” คือคำถามแรกจากปากของม่านฟ้า แต่เพราะถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จึงไม่แปลกใจที่จะได้รับสายตางุนงงตอบกลับมา

     “กูหมายถึงสิ่งที่มึงซ่อนไว้น่ะ” ม่านฟ้าอธิบายเพิ่มเติม แต่กลับเรียกสีหน้ากระอักกระอ่วนให้กับน้องชายแทน

     “เออ.. ก็ไม่นานนี้เอง แล้ว.. เออ หมอกก็ป้องกันตลอดนะ พี่เมฆไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

     คำตอบรับอ้อมแอ้มกับสายตาที่ไม่ยอมมองสบกับเขา ทำให้ม่านฟ้าถอนหายใจ คิดเอาไว้แล้วว่าน้องคงไม่อยากให้ใครรู้ความจริง แต่ในเมื่อตัดสินใจว่าจะคุยกันให้เรียบร้อย เขาจึงวัดดวงกับลางสังหรณ์ของตัวเอง แล้วหลอกให้พูดความจริงออกมา

     “ลืมเรื่องที่กูพูดบนห้องไปเหอะ แล้วบอกความจริงกูมาให้หมด”

     “... พี่เมฆหมายถึงอะไร”

     “ก็หมายถึงเรื่องที่ผู้หญิงที่มึงพามาบ้าน ไม่ใช่แฟน แต่เป็น ‘เพื่อนสาว’ และไอเครื่องสำอางกับเสื้อผ้าในห้องก็ไม่ใช่ของแฟนมึงที่มาค้างอย่างที่กูคิด แต่เป็น ‘ของมึงเอง’ น่ะสิ”

     “!!!” สีหน้าของภูหมอกซีดลงทันตา ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองพี่ชายด้วยอาการตระหนก “พี่.. พี่พูดอะไร สะ เสื้อผ้านั่น เป็นของแฟนหมอก เขาเอามาฝากไว้เฉยๆ”

     “เหรอ เสื้อผ้าไซส์ใหญ่แบบนั้นเนี่ยนะ”

     “แฟนหมอกเป็นคนตัวใหญ่”

     “ชุดนั้นใหญ่กว่าตัวกูอีกมั้ง กูก็สูง 170 กว่าแล้วนะ แฟนมึงสูง 180 เหรอว่ะ”

     เมื่อเถียงต่อไปไม่รอด ทางเลือกของภูหมอกคือการเงียบ แต่ม่านฟ้าไม่ยอมปล่อยให้น้องเงียบได้นาน ในเมื่อการจี้ถามด้วยไม้แข็งไม่ได้ผล การใช้ไม้อ่อนอย่างการเกลี้ยกล่อมจึงเป็นวิธีถัดไป

     “หมอก กูเป็นพี่มึงนะเว้ย กูถาม.. ไม่ได้จะเอาไปมึงแบล็คเมล์ กูอยากรู้เรื่องของมึง อยากช่วยอะไรมึงได้บ้างเผื่อมึงมีปัญหา กูอาจจะไม่ใช่พี่ที่ดีอะไร เรื่องเรียนมึง เรื่องเหี้ยอะไรมึง บางทีกูอาจจะช่วยไม่ได้ แต่นี่มันเรื่องใหญ่ กูไม่อยากให้มึงเก็บไว้คนเดียว มึงไม่อึดอัดเหรอว่ะ ถึงมึงจะมีเพื่อนที่เข้าใจมึง แต่การมีคนในครอบครัวสักคนที่เข้าใจมึงเพิ่มมาด้วยมันไม่ดีกว่าเหรอ”

     ประโยคยาวๆ ถูกส่งจากพี่สู่น้อง ภูหมอกนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ม่านฟ้าพูดมาไม่เป็นความจริง แต่มันจริงทุกอย่างเลยต่างหาก เขาอึดอัด ทั้งจากการหลบซ่อนและความกดดันจากสังคมที่มองเขาเหมือนตัวประหลาด แม้สังคมนี้จะบอกว่ายอมรับได้ แต่มันก็แค่เปลือกเท่านั้นแหละ ในใจลึกๆ ของหลายคนก็ยังมองว่ามันคือ ‘ความผิดปกติ’ หลายครั้งที่อยากจะบอกคนในครอบครัวให้รู้ แต่แค่ปฏิกิริยาของพ่อต่อเพศที่สามก็ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด

     ร่างสูงเหลือบมองหน้าพี่ชายตัวเองที่กำลังทำหน้าตาจริงจัง สำหรับเขาพี่เมฆเป็นคน ‘อินดี้’ อยากทำอะไรก็ทำ ถึงจะไม่ค่อยสนใจใคร แถมทะเลาะหาเรื่องกันเป็นประจำ แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่า ‘พี่ชายคนนี้’ จะเป็นที่พึ่งให้กับเขาได้

     “สองสามปีก่อน” คำพูดลอยๆ ถูกเอ่ยขึ้นมาจากปากน้องชาย ม่านฟ้าเพิ่งมาเข้าใจว่านั่นคือคำตอบของคำถามแรกที่เขาถามออกไปเมื่อเจ้าตัวเริ่มเล่าต่อ

     “หมอกเริ่มรู้สึกชอบมองเวลาแม่แต่งหน้า ชอบมองผมยาวๆ ของเพื่อนที่ทำทรงนั้นทรงนี้ กระโปรงสั้นๆ ชุดน่ารักๆ ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะเราเป็นผู้ชายที่รู้สึกชอบผู้หญิง แต่พอนานเข้าก็รู้ว่าไม่ใช่ หมอกไม่ได้ชอบในฐานะผู้ชาย แต่อยากที่จะแต่งตัวแบบเขามากกว่า”

     เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจจากอาการเกร็งในทีแรกก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น เหมือนคนที่ได้ระบายออกมาแล้วก็หยุดไม่อยู่ คำพูดต่างๆ พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงปนความน้อยใจ

     ภูหมอกเริ่มรู้สึกสนิทใจเวลาคุยกับเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย รู้ตัวอีกทีน้องชายของเขาก็เริ่มแอบซื้อครีมบำรุงผิว ลิปมัน ลิปสติก กิ๊บติดผม เริ่มจากของเล็กๆ ที่พอซ่อนได้ ถ้าใหญ่หน่อยก็ฝากเพื่อนไว้ จนเขาไปอยู่หอภูหมอกถึงได้เอาของกลับมา แอบแต่งตัวอยู่ในห้อง ส่องกระจกเสร็จก็ลบออก กลับไปเป็น ‘นายภูหมอก’ อีกครั้ง วนถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำอะไรผิด ถึงต้องซ่อนแต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักที รู้แค่ว่า... ก็คงต้องซ่อนไว้ตลอดไป

     ม่านฟ้านั่งฟังเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากน้องชายสู่น้องสาวของภูหมอกไปเรื่อยๆ ทั้งความสนุกที่ได้เลือกซื้อเครื่องสำอางที่ชอบ ความตื่นเต้นของการวิ่งหนีครูฝ่ายปกครองที่จับได้ว่าแอบแต่งหน้า จนถึงความรู้สึกที่เหมือนโลกถล่มเมื่อตื่นเช้ามาแล้วหน้าพังเพราะแพ้เครื่องสำอางราคาถูก เขาตั้งใจฟังบ้าง เคลิ้มหลับบ้างสลับกันไป แต่ก็ไม่คิดจะขัด ปล่อยให้น้องได้เล่าไปยิ้มไปแบบนี้น่าจะดีกว่า



     “จะเรียนอักษรฯ เรียนภาษาไปแล้วแกจะทำงานอะไร! ชอบก็ส่วนชอบแต่จะเอามาเป็นอาชีพแบบนี้มันไม่ใช่ ฉันเห็นแกเข้าสายวิทย์ก็โล่งใจ คิดว่าจะกลับมามีความคิดเป็นผู้เป็นคนเหมือนคนอื่นเขา นี่อะไร! จะเอ็นทรานซ์เข้าอักษรฯ”

     เสียงตะโกนของหัวหน้าครอบครัวดังขึ้นในเย็นวันหนึ่งหลังจากที่ลูกชายคนโตที่อยู่ม.6 บอกความต้องการของตัวเองในการเรียนต่อ

     “เมฆเข้าสายวิทย์ก็เพราะพ่อขอไว้ บอกว่ามีทางเลือกมากกว่าเผื่อเปลี่ยนใจ ทั้งที่เมฆก็บอกแล้วว่าเมฆอยากเรียนภาษา แต่เลือกคณะมันเป็นอนาคตของเมฆจริงๆ แล้วไง เมฆก็ต้องเลือกที่ชอบไหมอ่ะพ่อ”

     “ชอบแล้วมันมีอนาคตหรือเปล่า พ่อถึงถามไง ว่าเรียนแล้วจะทำงานอะไร ไปเป็นนักเขียน นักแปล ล่าม ไกด์อย่างงั้นเหรอ อาชีพมันไม่มีความมั่นคงสักนิด หรือแกจะไปเป็นสจ๊วตที่ดูเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วแบบนั้นเหรอ ทุเรศ!!”

     “สายงานด้านอื่นมันก็มีพ่อ แล้วก็ใช่ว่างานพวกนี้มันจะไม่มั่นคงเสียหน่อย จบวิศวะ จบบัญชีไปก็ตกงานได้เหมือนกันนั่นแหละ พ่ออคติไปเองมากกว่า!!” จากที่พยายามอดทนคุยกับพ่ออย่างใจเย็นพอโดนตะโกนใส่มากเข้า อารมณ์โมโหของม่านฟ้าก็แล่นริ้วใส่อารมณ์กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

     “แกนั่นแหละที่เพ้อฝัน เอาแต่ความชอบไร้สาระของตัวเองเป็นหลัก ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ก็ขึ้นห้องนอนไปเลย ไป!!!” ม่านฟ้าหันตัววิ่งขึ้นบันไดเข้าห้องไปทันที ใช่ว่าเขาเองจะอยากมายืนเถียงอยู่กับพ่อแบบนี้ พ่อไม่มีเหตุผล ยึดติดเกินไป เขาไม่ใช่เด็กดีอย่างภูหมอกที่พ่อบอกให้ทำอะไรก็ทำตามโดยไม่เถียง เขามีความชอบ มีความฝันที่อยากทำ และจะไม่ให้พ่อมาบังคับเขาได้

     เสียงปิดประตูปังดังมาจากชั้นสองที่เป็นห้องนอนทำให้ภูหมอกเงยหน้ามองอย่างกังวล แอบห่วงความรู้สึกของพี่ชายที่ทะเลาะเรื่องนี้กับพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ดูท่าจะไม่สามารถหาข้อสรุปที่สวยงามสำหรับทั้งคู่ได้

     แกร๊ก

     เสียงเปิดประตูห้องนอนพร้อมหัวทุยของน้องชายโผล่เข้ามาก่อน ภูหมอกที่ปีนี้อยู่เพียงแค่ม.3 แต่กำลังจะสูงแซงหน้าพี่ชายไปในไม่ช้าเอ่ยออกมา “พี่เมฆ โอเคมั้ย”

     “ไม่” เสียงห้วนตอบกลับมาสั้นๆ

     “ให้หมอกลองช่วยคุยกับพ่อให้ป่ะ”

     “ไม่ต้องหรอก พ่อไม่ฟังใครอยู่แล้วนอกจากความคิดตัวเอง แกไปพูดจะโดนด่ากลับมาอีกคน”

     “...”

     “หมอกลงไปดูแม่เหอะ มีเรื่องทะเลาะกันแบบนี้ เดี๋ยวแม่ก็ไม่กินข้าวอีก ขอบใจมากเว้ยที่เป็นห่วง”

     ม่านฟ้าพูดขอบคุณจากใจจริง แต่เวลานี้เขายังไม่อยากคุยกับใคร รู้ดีว่าตัวเองกำลังอารมณ์ไม่ดี พูดกับใครไปตอนนี้คงไม่พ้นใส่อารมณ์ด้วยเป็นแน่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเข้าไปในไลน์กลุ่มเพื่อนสนิทที่รู้ปัญหาของเขากับที่บ้านเป็นอย่างดีแล้วบ่นให้เพื่อนฟัง

     คิน : ‘เอาน่า มึงก็ใจเย็นหน่อย ลองค่อยๆ พูดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพ่อมึงก็เข้าใจเอง’

     พัฒน์ : 'ใช่ๆ หรือไม่ก็ชินไปเอง 555’

     นัท : ‘แต่น้องมึงนี่ดีนะ มีค่อยห่วง ค่อยถามด้วย ถ้าเป็นไอเชี่ยนนท์น้องกูนะ แม่งหัวเราะใส่หน้ากูไปแล้วมั้ง’

     พัฒน์ : ‘หืม? ปกติเวลามีปัญหาไรแพรวมันก็คอยช่วยกูนะ น้องมึงแม่งไม่รักมึงป่าว ไอนัท 5555’

     นัท : ‘เห้ยย น้องมึงมันน้องสาว คนละมาตรฐานกันดิว่ะ เอามาเทียบกับน้องชายได้ไง’


     
'น้องกูก็น้องชาย แม่งก็ไม่เคยใจร้ายขนาดนั้นนะ': เมฆ     

     คิน : 'อ้าวๆๆ เจอคนน้องไม่รักอยู่แถวนี้คนนึงคร้าบบ น่าสงสารจังเลยย’

     แล้วประเด็นการคุยก็เริ่มเปลี่ยนไปแซวเพื่อนจนเริ่มออกทะเลไร้สาระ จากคนอารมณ์เสียตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีขึ้น เขาคิดไปถึงน้องชายที่กลายมาเป็นประเด็นให้เพื่อนโดนแซวก็รู้สึกโชคดีนิดๆ หมอกเป็นเด็กจิตใจดี ถึงจะขี้กลัวมากไปหน่อย แต่ก็คอยห่วงความรู้สึกคนในบ้านตลอด จนบางทีเขาก็รู้สึกเหมือนมีน้องสาวมากกว่าน้องชายเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ฮาร์ดคอร์กับพี่มันมากนักอย่างบ้านเพื่อนที่ชอบเอาน้องมาบ่นให้ฟัง



     เสียงเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างออกอรรถรสของน้องชายกลับเข้ามาในภวังค์อีกครั้งหลังจากเขาปล่อยความคิดของตัวเองกลับไปสู่เรื่องในอดีต ข้อสงสัยในอดีตที่เคยคิดว่าบางทีหมอกก็เหมือนน้องสาวมากกว่าน้องชายเพิ่งจะได้รับการคลายปมก็วันนี้ เพราะความจริงเขาก็มี ‘น้องสาว’ จริงๆ นั่นแหละ หากนับกันที่หัวใจ ไม่ใช่เพศสภาพล่ะก็นะ



     TBC




     Achaya (Writer) :

     ช่วงแรกของเรื่องจะเอื่อยๆ หน่อย ตามแฮชแท็กเรื่องนี้เป็นนิยายครอบครัวนะ อาจจะไม่ได้มีสืบสวนหาความลับมากมายอะไร หากใครคาดหวังไว้ขออภัยด้วย แต่อยากแสดงมุมมองที่เน้นด้านครอบครัวมากกว่าแค่มุมความรักของคนสองคนอย่างนิยายรัก

     นิยายเรื่องนี้จะลงทุกวันเสาร์ (จะพยายามตรงต่อเวลานะ) หากสามารถลงวันอังคารเพิ่มมาได้อาทิตย์ใดก็ถือว่าโชคดีไป

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 1 (23.06.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-06-2020 11:12:52
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 1 (23.06.20)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-06-2020 13:38:48
สนุก น่าติดตาม มาต่อๆ 55
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 1 (23.06.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 24-06-2020 23:22:20
น่าติดตามมากค่าา ปักมุดรอเลย  :really2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 2 (27.06.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 27-06-2020 03:27:51
บทที่ 2

     “คิดยังไงวันนี้อาสามาช่วยแม่ทำกับข้าว”

     “หืม?” ม่านฟ้าเงยหน้าขึ้นมองแม่ของเขาชั่วครู่ ก่อนก้มลงไปปอกกระเทียมต่อ “ก็ไม่มีอะไรนิแม่”

     “ปกติเอาแต่นอนอ่านการ์ตูนอยู่ที่โซฟา ไม่ก็ขลุกตัวอยู่ในห้องนอนทั้งพี่ ทั้งน้อง”

     “เปล่า ก็แค่เหม็นขี้หน้าไอหมอกมันแล้ว”

     นัชชาเหลือบมองลูกชายเหมือนพยายามจับผิดอะไรบางอย่าง แต่เจ้าตัวก็แค่ยักไหล่ มันไม่ใช่ข้อแก้ตัวเลยที่บอกว่าเหม็นขี้หน้าหมอกน่ะ เป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง เพราะตั้งแต่วันที่เขารู้ความจริงเกี่ยวกับภูหมอกแล้ว น้องชายของเขาก็เอาแต่โม้ไม่ยอมหยุด แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างเขียนคิ้วไม่เท่ากันก็ยังเอามาบ่น

     “หรือว่า… มีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังอย่างงั้นเหรอ”

     มือที่ปอกกระเทียมชะงักไปเล็กน้อย อมยิ้มให้กับคนเป็นแม่ แต่ก็ยังเงียบไม่ได้ตอบอะไรออกไป

     “แล้วเรื่องที่แม่ให้ช่วยดูน้อง ว่ายังไงบ้าง ใช่แฟนรึเปล่า แล้ว… เคยเอามาค้างที่บ้านด้วยไหม” คงไม่มีใครเข้าประเด็นไปได้เร็วกว่าแม่ของเขาอีกแล้ว ถามครบ จบเรื่องได้ในประโยคเดียว

     “ไม่นะครับ” คำตอบสั้นมากเกินกว่าจะได้ใจความของลูกชายคนโตทำเอาเธอขมวดคิ้ว เริ่มหงุดหงิดท่าทางกั๊กๆ เหมือนจะพูดก็ไม่พูด ยียวนกวนประสาทกันอยู่อย่างนี้

     “ไม่คืออะไร ยังไม่ได้สืบ ไม่รู้สืบไม่ได้ ไม่ใช่แฟนน้อง หรือไม่เคยพาเข้าบ้าน พูดให้มันชัดๆ อย่าให้ต้องถามซ้ำๆ นะ ม่านฟ้า” ถ้าชื่อเต็มยศแบบนี้เมื่อไหร่ เสียงในหัวของม่านฟ้าก็ดังขึ้นมาทันทีว่า ‘หมดเวลาสนุกแล้วสิ’ แล้วถึงเวลาหยุดแกล้งสาวสวยคนนี้เสียที

     “ไม่ได้เป็นแฟนกันครับ หมอกยังไม่มีแฟน คนที่มาบ้านนั่นก็เพื่อนจริงๆ แล้วก็ไม่เคยพาผู้หญิงที่ไหนมานอนค้างที่บ้านด้วย”

     “จริงนะ” สายตาของนัชชาจ้องมองไปที่ตาของ ‘นักสืบ’ ส่วนตัว มองเข้าไปในแววตาเพื่อหาพิรุธใดๆ แต่ก็ไม่พบ

     “จริงครับ เมฆไม่โกหกแม่หรอกน่า” เขาไม่ได้โกหกจริงนะ เพราะเรื่องที่เจอน่ะ มันใหญ่กว่านั้นเยอะ

     “งั้นก็ดีไป แม่ไม่ได้คิดจะกีดกันหรอกนะถ้าหมอกคิดจะมีแฟน เมฆเองก็ด้วย แต่แม่ไม่ชอบให้ปิดบังอะไรไว้ อยากให้ทำอะไรก็ยังอยู่ในสายตาของแม่ ไม่ว่าลูกจะทำอะไรตราบใดที่ไม่ใช่สิ่งไม่ดี แม่ก็พร้อมจะสนับสนุนเสมอ แต่อย่างพาผู้หญิงมาบ้าน แม่ว่ามันไม่เหมาะสม ถึงต้องคอยห้าม คอยเตือนและให้เมฆเป็นหูเป็นตาให้แม่ … เข้าใจแม่ใช่ไหม”

     ม่านฟ้าหัวเราะแห้งๆ ให้กับเนื้อความในประโยค ก่อนจะพยักหน้ารับแบบขอไปทีกับอาการร้อนตัวของหญิงสาวคนเดียวในบ้าน ทั้งที่เขายังไม่ทันว่าอะไรด้วยซ้ำ เจ้าตัวก็พรั่งพรูเหตุผลออกมาร้อยแปดพันเก้าเพื่อให้เขาเข้าใจ หลังจากรับค้อนวงใหญ่ ม่านฟ้าก็ยิ้มหวานแล้วล้างมือก่อนหันมามองแม่อย่างเต็มตาเอ่ยคำถามที่ผู้ฟังถึงกับต้องแสดงสีหน้าแปลกใจ

     “แม่… ตราบใดที่ไม่ใช่สิ่งไม่ดี แม่ก็พร้อมจะสนับสนุนและเข้าใจลูกเสมอจริงๆ ใช่ไหม”

     ----

     “พี่เมฆๆ ชุดนี้น่ารักป่ะ”

     เสียงเรียกของน้องชายทำให้ม่านฟ้าเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งไปรื้อออกมาเตรียมอ่านช่วงปิดเทอม ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในห้องนอนหลังจากโดนเจ้าน้องชายตัวดีลากขึ้นมาบนห้อง บอกว่าจะแต่งตัว แต่งหน้าอวดเขา ปกติแต่งเองอยู่คนเดียว ไม่มีคนช่วยแสดงความคิดเห็น

     หลังจากรู้ความจริงก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว ภูหมอกเปิดเทอมขึ้นม.5 มาได้สองอาทิตย์แล้ว สิ่งหนึ่งที่เขารู้เพิ่มจากวันนั้นคือ น้องเขามัน ‘แรดมาก’ คันปากอยากด่าให้หายแรดอยู่เหมือนกัน ตักเตือนให้อยู่ในกรอบมากกว่านี้สักหน่อย แต่คงไม่พ้นต้องมาฟังเสียงเถียงกลับง้องแง้งของมันให้รำคาญหูเลยสงบปากสงบคำไว้ดีกว่า

     เขาหันไปมองน้องชายที่อยู่ในชุดกระโปรงตัวใหญ่ที่เขาไม่รู้ว่ามันไปหาเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ขนาดนี้มาจากไหน ยังดีที่ถึงแม้หมอกจะเป็นคนตัวสูงกว่า 180 แต่ก็ผิวขาว ตัวผอม บวกกับหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ จะขัดตาก็ตรงผมที่สั้นเกรียนจากการเรียนรด. และการแต่งหน้าเหมือนละครลิงของมัน

     หน้าขาวๆ ของภูหมอกถูกตบแป้งจนขาวหนักกว่าเดิม แก้มสีชมพูอ่อน และปากแดง รวมแล้วดูทุเรศกว่าหน้าตาปกติของมันกว่าสองถึงสามเท่าตัว

     “แก้มสองข้างไม่เท่ากันอ่ะ”

     แต่พี่ชายที่แสนดีอย่างเขากลับพูดออกไปได้แค่นั้น ภูหมอกได้ยินคำวิจารณ์ถึงกลับสะดุ้งยกมือปิดสองแก้มร้องโอ๊ะออกมาอย่างตอแหลเป็นที่สุด ที่ปัดแก้มถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้งเพื่อปัดให้แก้มข้างหนึ่งเท่ากับอีกข้าง แต่แทนที่ทุกอย่างจะดีขึ้น กว่าทั้งสองข้างจะเป็นสีเดียวกัน แก้มของเด็กหนุ่มก็…

     “...กลายเป็นตูดลิงไปแล้ว”

     “พี่เมฆ!!!”

     คำพูดลอยลมของพี่ชายแต่คงกระแทกกลางใจหนุ่มน้อยเข้าอย่างจัง สีหน้าของเขากลายเป็นสีแดงก่ำทั้งจากความอายและความโกรธทะลุแป้งรองพื้นขาวๆ และแก้มแดงๆ จนสุกลามไปถึงใบหู

     “ไม่คุยกับพี่เมฆล่ะ รำคาญ ช่วยก็ไม่ช่วยแล้วยังแซวอีก” เมื่อน้องชายบ่นงุ๊งงิ๊งแถมทำท่าสะบัดสะบิ้ง ระดับความหมั่นไส้ของม่านฟ้าพุ่งปรี๊ดเกินพิกัด มือขาวคว้าหมอนเขวี้ยงไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่หน้ากระจก

     “ก็กูไม่มีความรู้พวกนี้ จะให้ช่วยอะไรได้สักเท่าไหร่ว่ะ” เขายิ้มสะใจเมื่อน้องชายตัวดีปัดหมอนตกไปกับพื้นแล้วยืนหน้าบูดเถียงอะไรไม่ออกเชิดหน้าเบาๆ ใส่พี่อีกครั้ง ความเงียบโรยตัวเข้าสู่ภายในห้อง จนเวลาผ่านไปเป็นม่านฟ้าที่ทำลายความเงียบลง

     “หมอก… มึงเคยคิดที่จะบอกแม่บ้างไหมว่ะ กับพ่อกูเข้าใจ แต่กับแม่.. เขาอาจจะเข้าใจมึงก็ได้นะ”

     ภูหมอกหันมามองพี่ชายอย่างงุนงงในแวบแรก ก่อนจะหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า เขาไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีพ่อแม่ที่ไหนรับได้หรือต่อให้รับได้ คงต้องมีทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไม่พ้นจะต้องเสียใจกันทั้งสองฝ่าย ถึงจะอึดอัดที่ปกปิดไว้แต่ก็น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว

     “แล้วกับกูตอนแรกมึงคิดว่ากูจะรับได้รึเปล่า แล้วพอกูรู้ กูด่ากูว่ามึงไหม แม่เอง.. เขาอาจจะรับได้ก็ได้นะ กูว่าลองค่อยๆ พูดกับเขา มันน่าจะดีกว่าที่วันหนึ่งเขามารู้เองนะเว้ย”

     “ไม่เอาอ่ะ” ภูหมอกส่ายหัวยิก หน้าตาที่ยังประดับเครื่องสำอางพอส่ายหัวรัวๆ ยิ่งดูตลกขึ้นไปอีก

     “ถ้าแม่รู้ เขาคงช่วยอะไรมึงได้เยอะกว่ากู อย่างน้อยก็เรื่องแต่งหน้าเนี่ย กูก็ทำได้แค่วิจารณ์กับด่า แต่แม่เขาอาจจะแนะนำอะไรมึงได้นะ”

     คนเด็กกว่าเม้มปากอย่างใช้ความคิดแต่ก็ยังจบลงที่การส่ายหัว ม่านฟ้ามองน้องชายนิ่งไม่อยากเร่งรัดมาก แต่ที่เขาเลือกยุให้มันบอกแม่ก็เพราะห่วง ถึงช่วงนี้เขาจะปิดเทอมอยู่เป็นเพื่อนเล่นคอยระวังหลังให้มันได้ แต่พอเปิดเทอมเขาก็ต้องกลับไปอยู่หอ เขาถึงอยากให้มีใครสักคนคอยดูมันบ้าง

     และที่สำคัญไปกว่านั้น ไอห่วงก็ห่วงหรอกนะ แต่จะให้เขามาเป็นพี่เลี้ยงเด็กคอยดูแล พร้อมเก็บความลับให้มันแบบนี้ตลอดมันไม่ไหวจริงๆ สู้บอกให้แม่เข้าใจแล้วผลักภาระไปที่แม่ดีกว่า

     ม่านฟ้ายิ้มชั่วร้ายมาแวบหนึ่งแล้วใส่ไฟอีกหน่อย ถึงบอกตัวเองว่าไม่อยากเร่งรัดก็เถอะ

     “มึงลองเอาไปคิดดูก่อนก็ได้ แต่กูว่า... แม่เราไม่ใช่คนใจแคบหรอกนะ”

     คำตอบที่ได้รับจากน้องชายมีเพียงความเงียบ

     ----

     ใครว่าสิ่งที่เขาใส่ไฟไปวันนั้นไม่ได้ผล

     ประมาณสองอาทิตย์หลังจากเกริ่นกับภูหมอกเรื่องคุยกับแม่ แม้ทีแรกอาการของภูหมอกยังเอาแต่ปฏิเสธมาตลอด แต่หลังจากโดนกล่อมด้วยเหตุผลนั้น เหตุผลนี้มาตลอดหลายสัปดาห์วันหนึ่งภูหมอกก็มาพูดกับม่านฟ้าว่า

     ‘พี่เมฆ ถ้า… หมอกจะบอกเรื่องของหมอกกับแม่ พี่เมฆอยู่เป็นเพื่อนหมอกด้วยได้ไหม’

     น้องรักพูดมาขนาดนี้มีหรือพี่ชายที่แสนดีอย่างม่านฟ้าจะใจร้ายกับน้องได้ลงคอ ถึงจะมีคำกระซิบต่อท้ายมาเบาๆ ‘แต่เอาเป็นวันที่พ่อไม่กลับบ้านล่ะกันนะ’ ก็เถอะ

     ตอนนี้สามคนแม่ลูกเลยมานั่งครบองค์ประชุมกันอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น แม่ดูจะแปลกใจเล็กน้อยที่ปกติลูกชายสองคนจะแยกย้ายกันคนละทิศละทางทันทีที่ทานข้าวกันเสร็จ ปล่อยแม่นั่งดูละครอยู่คนเดียว แต่เธอไม่คิดจะคาดคั้นเอาความอะไร เพียงทิ้งเวลาไว้จนกว่าพร้อมจะพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาเอง

     นัชชาสบตากับลูกชายคนโตซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยว แล้วหันกลับมามองลูกชายคนเล็กซึ่งนั่งติดอยู่กับเธอ เจ้าตัวเล็กของเธอนั่งลุกลี้ลุกลน นัยน์ตาสีดำสนิทกลอกไปมาอย่างกังวล จากอาการนั้นทำให้เธอพอจะเดาได้ว่าเรื่องที่มาคุยวันนี้คงเป็นเรื่องของลูกชายคนนี้แต่ลากพี่ชายมาเป็นเพื่อนมากกว่า

     “แม่…” สุดท้ายภูหมอกก็เริ่มพูดขึ้นมา มือที่กำอยู่บนตักคลี่ออกเล็กน้อย ปรากฏให้เห็นมือสั่นๆ และลายเส้นปากกาขยุกขยิกบนฝ่ามือ ม่านฟ้าเบิกตาโต อยากจะขำกับความขี้กลัวของน้องจนถึงขั้นต้องเขียนสคริปต์มาคุยกับแม่ แต่ก็กลั้นเอาไว้ก่อนที่น้องจะเสียความมั่นใจไปมากกว่านี้

     “คือ.. เออ แม่..” เมื่อเวลาผ่านไปสักพักและเนื้อความที่ได้ยังคงเป็นศูนย์ นัชชาก็เอ่ยขัดขึ้นมาอย่างอ่อนใจปนสงสาร “ถ้ามันพูดยากนัก ยื่นมือมาให้แม่อ่านเองไหม”

     เสียงหัวเราะดังลั่นออกมาจากคนที่พยายามกลั้นขำแล้วแต่ไม่เป็นผล ถึงจะโดนนัยน์ตาอีกสองคู่ตวัดกลับมามองอย่างไม่พอใจโดยเฉพาะจากภูหมอก แต่เขากลับรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องค่อยๆ ผ่อนคลายมากกว่าเดิม แม่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างใจดี ขณะที่ภูหมอกถอนหายใจลดอาการเกร็งแล้วเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง

     “แม่.. หมอกมีเรื่องจะบอก” แม่พยักหน้ารอฟังคำพูดของลูกคนเล็ก

     คำอธิบายง่ายๆ ถึงตัวตนภายในทำให้รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากริมฝีปากหญิงวัยกลางคน ใบหน้าของมารดายังเจือความสับสนเล็กน้อยกับคำกล่าวของลูกชายก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ภูหมอกหน้าซีดลงเมื่อเห็นแววตาของคนเป็นแม่ที่สะท้อนความตกใจ มือไม้ร่างสูงพลันสั่นระริก ริมฝีปากขบกันแน่น

     “คือ หมอก หมายถึง..” ภูหมอกรู้สึกราวขาดอากาศหายใจ เขารู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งอกจากความกดดันและอึดอัดใจ ชั่วขณะที่ความรู้สึกทุกอย่างประดังเข้ามา เขาคิดที่จะกลับคำพูด บอกว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องหยอกล้อเท่านั้น แต่เมื่อเงยหน้ามาสบตากับพี่ชาย สายตานิ่งๆ ที่มองมา ทำให้ยั้งคำพูดไว้ ขอบตาเขาร้อนผ่าวพร้อมความรู้สึกผิดที่ประดังเข้ามา

     “หมอก ขอโทษครับ หมอกขอโทษ” เสียงของเด็กหนุ่มสั่นพร่าดังขึ้นพร้อมเสียงสะอื้น หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาสีดำอย่างน่าสงสาร แสดงถึงความกลัวในผลลัพธ์ที่จะเกิดต่อมาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภายใต้ความหวาดกลัวนั้นเจือไปด้วยความโล่งใจจากการได้กล่าวความจริง

     เสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มตัวโตทำให้นัชชาร้าวในอกไม่ต่างกัน เธอดึงร่างผอมของลูกชายคนเล็กมากอดไว้แนบอก ลูบหัวแล้วโยกตัวปลอบโยนไม่ต่างจากตอนเป็นเด็ก ทั้งที่ตัวเธอก็ร้องไห้ออกมาเช่นกัน

     “ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไรนะครับ” เธอลูบหลังปลอบโยนเด็กหนุ่ม พร้อมรับสัมผัสอุ่นที่แผ่นหลังจากฝ่ามือของลูกชายคนโตที่ตอนนี้ย้ายมานั่งเบียดในโซฟาเดียวกัน เธอสัญญากับตัวเองในขณะนั้น ว่าหากอคติของเธอนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำร้ายลูกของเธอเอง เธอก็จะทิ้งอคติทุกอย่างไปให้หมด สำหรับหัวอกคนเป็นแม่ตอนนี้ เธอเพียงแค่ไม่อยากเห็นเขาต้องมาร้องไห้เสียใจอย่างตอนนี้ก็เท่านั้น

     ม่านฟ้าสบตากับแม่ของตนแล้วยิ้มบาง นึกขอบคุณแม่อยู่ในใจ ก่อนนึกย้อนไปถึงวันนั้น



    “แม่… ตราบใดที่ไม่ใช่สิ่งไม่ดี แม่ก็พร้อมจะสนับสนุนและเข้าใจลูกเสมอจริงๆ ใช่ไหม”

     “หมายความว่ายังไง มีอะไรรึเปล่า”

     “เรื่องที่แม่ให้เมฆไปดูน้องอ่ะ มันมีมากกว่านั้น”

     ทันทีที่เรื่องทุกอย่างถูกเล่าผ่านปากของม่านฟ้า สีหน้าของหญิงวัยกลางคนก็เปลี่ยนไป ความผิดหวังฉายชัดในดวงตาคู่สวยที่เขาชอบมองอยู่เสมอ เขาเห็นหยาดน้ำที่คลอหน่วยอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้น กระนั้นเสียงสั่นๆ ก็ยังย้ำถามเพื่อความแน่ใจ

     “เมฆ.. เมฆไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม จะแกล้งแม่ หรือแกล้งอะไรน้องรึเปล่า”

     เมื่อคำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า ร่างอวบของแม่ที่เข้มแข็งเสมอก็คลายจะหมดแรงลงตรงนั้น ม่านฟ้าโอบประคองเอวมารดาเอาไว้ พร้อมกับที่เธอก็เอื้อมมือมากอดลูกชายคนโตไว้เช่นกัน ใบหน้าที่ซบลงกับอกส่ายไปมาเหมือนไม่อยากยอมรับสิ่งที่ได้ยิน พร่ำรำพันหาสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น

     “ทำไม แม่เลี้ยงลูกผิดตรงไหน ทำไมหมอกถึงกลายเป็นแบบนั้น”

     “แม่... มันไม่ได้เกี่ยวกับเลี้ยงลูกยังไง เรื่องแบบนี้มันจะเป็นก็คือเป็น ใช่ว่าจะห้ามกันได้ซะที่ไหน”

     ม่านฟ้าสะอึกไปกับคำพูดของแม่ก่อนเอ่ยออกมาเสียงอ่อน ใจหนึ่งก็สงสารแม่ที่ต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้ แต่อีกใจก็คิดว่าเขาทำถูกแล้วที่บอกแม่ก่อน หากปฏิกิริยาของแม่ที่เกิดขึ้นกับเขาไปปรากฏกับภูหมอกเอง เขาว่าคนที่ช้ำใจคงไม่ได้มีแค่แม่คนเดียว แต่อย่างน้อยถึงแม่จะมีอาการผิดหวัง เสียใจ อย่างไรเขาก็ยังดีใจที่แม่ไม่แสดงท่าทางรังเกียจคนเหล่านี้เหมือนกับพ่อ

     “เรา เราแก้ปัญหาอะไรได้ไหม มีทางที่น้องจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า” ทั้งที่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่เธอก็ยังอดถามออกไปไม่ได้ เธอไม่อยากเชื่อว่าการเป็นเช่นนี้ของลูกชายจะไม่มีทางแก้ไข และทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น

     “แม่…” ม่านฟ้าเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจหนักกว่าเดิม เขารู้ว่าแม่เข้าใจถึงสภาพคนที่เป็นแบบนี้ว่าเป็นก็คือเป็น มันเป็นเพศสภาพ ไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วหายได้ แม่เองก็เคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับผู้ปกครองหลายคนที่ถึงกับมาปรึกษาหมอเรื่องวิธีการรักษา แม่ของเขายังพูดปลอบเลยว่า ‘ลูกก็คือลูก อย่างไรเขาก็คือลูกของเรา’ แต่พอมาเกิดขึ้นจริงกับตัวเอง แม่กลับยอมรับมันไม่ได้เสียอย่างนั้น

     “แม่ครับ… แม่รู้ดีกว่าใครว่านี้ไม่ใช่โรคที่จะรักษากันได้ ถ้าเราเองที่เป็นครอบครัวของหมอกยังไม่ยอมรับ แล้วน้องจะเหลือใคร แม่ไม่สงสารน้องเหรอ มันพยายามเก็บความลับนี้ไว้เพราะคิดว่าถ้าแม่รู้จะทำให้แม่เสียใจแต่ตัวมันอึดอัดจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

     สิ้นคำนัชชาก็ร้องไห้โฮออกมา ความรู้สึกหลากหลายอย่างตีกันไปหมด เธอไม่ต้องการให้ลูกเป็นเพศที่สามแต่กับเรื่องนี้เธอเชื่อว่ามันคงจะฝืนไม่ได้จริงๆ

     หลังจากร้องไห้จนเหนื่อย เธอจึงค่อยๆ ดึงอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ในเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ต้องเดินหน้ากันต่อไปเท่านั้น เธอเชื่อว่าการที่ลูกชายคนโตของเธอเอาเรื่องนี้มาบอกคงต้องมีเหตุผลเป็นแน่

     “แล้วแม่.. แล้วเราควรจะทำยังไงดี เมฆ”

     “แม่ไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวเมฆจะตะล่อมไอหมอกให้มาบอกแม่เรื่องนี้ด้วยตัวมันเอง มันไม่รู้หรอกว่าเมฆเอามาบอกแม่ก่อน เมฆแค่อยากให้แม่ยอมรับมัน อย่าแสดงอาการรังเกียจมันก็พอ อยากให้มันมั่นใจว่าต่อให้ใครไม่ยอมรับแต่คนในครอบครัวเรายอมรับไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหน”



     หญิงวัยกลางคนผละออกจากลูกชายทั้งสอง เงยหน้ามองภูหมอกเต็มตา มืออวบปาดน้ำใสที่แก้มขาวออกอย่างเบามือ แล้วเลือนไปลูบหัวทุยอย่างอ่อนโยน

     “ไม่เอา ไม่ร้องแล้วครับ ไม่เป็นไรนะลูกนะ เรามาค่อยๆ คุยกันดีกว่า ว่าหมอกต้องทำตัวแบบไหนถึงจะเหมาะ ดีไหมครับ” นัชชายิ้มให้ลูกชายคนเล็ก เหลือบเห็นรอยยิ้มจากลูกชายอีกคนก็เผยยิ้มกว้างขึ้น สิ่งหนึ่งที่เธอดีใจอย่างที่สุดคือ ถึงแม้ลูกสองคนจะทะเลาะเรื่องไร้สาระกันบ่อย แต่พี่น้องคู่นี้ก็ยังรักกัน แม้จะแอบทำลับๆ ล่อๆ กลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าเป็นห่วงก็ตามเถอะ



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ตอนแรกที่แต่งวางแผนไว้ให้เป็นแค่เรื่องสั้น เพราะฉะนั้นบางช่วงเลยค่อนข้างจะรวบรัดหน่อยนะ แต่ตอนนี้เนื้อเรื่องหลักเรื่องนี้จะอยู่ที่ประมาณ 20 ตอนเลยเปลี่ยนเป็นเรื่องยาวไปเรียบร้อย
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 2 (27.06.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-06-2020 17:47:17
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 3 (04.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 04-07-2020 01:44:51
บทที่ 3


     “พี่เมฆๆ สวยป่ะ”

     ภูหมอกวิ่งลงมาจากชั้นสองหลังจากหมกตัวอยู่บนนั้นตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียนเพื่อมาเสนอหน้าแป้นแล้นให้เขาดู นิสัยมีอะไรแล้วต้องวิ่งโร่มาอวดพี่ชายเป็นคนแรกนี้ยังแก้ไม่หายตั้งแต่เด็กจนโต

     ม่านฟ้าเหลือบมองน้องชายที่เพิ่งจะใช้เครื่องสำอางอย่างถูกวัตถุประสงค์คือ ‘การเสริมความงามให้กับใบหน้า’ ไม่ใช่ทำให้แย่ลงอย่างที่ผ่านมา ใบหน้าของภูหมอกถูกปัดด้วยเครื่องประทินโฉมเล็กน้อย ปกปิดรอยดำ รอยสิวและรอยโทรม เผยให้เห็นใบหน้าใสที่มีสีชมพูอมส้มน้อยๆ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ดูตลกเป็นละครลิงอย่างคราวก่อน

     “ก็พอดูได้” เขาพยักหน้ารับแกนๆ เอ่ยด้วยเสียงเรียบแต่ในใจชื่นชมฝีมือการสอนแต่งหน้าของแม่ไม่น้อย ถึงเขาไม่มีความรู้เรื่องเครื่องสำอาง แต่ก็พอดูออกว่าแม่ของเขาเป็นคนแต่งหน้าเก่ง หน้าสดก่อนออกจากบ้านกับหน้าสวยของแม่ที่ทำงานยังทำให้เขาแปลกใจในปาฏิหาริย์ของเครื่องสำอางได้ทุกครั้ง

     แท้จริงแล้วแม่ไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องการแต่งตัวและใช้เครื่องสำอางเท่าไหร่นักเพราะมองว่ายังเด็กเกินไป แต่เจอลูกอ้อนพร้อมตาใสๆ ของภูหมอกเข้าไปแม่ก็ยอมสอนเทคนิคต่างๆ ให้อยู่ดี

     “เชอะ เดี๋ยวน้องมีคนมาจีบแล้วอย่ามาหวงนะ” แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไปคงเป็นท่าทางตอแหลของมันเนี่ยแหละที่ยังแก้ไม่หาย

     หลังจากวันที่สารภาพกับแม่ คอร์สอบรมการเป็น ‘ลูกสาว’ ที่ดีก็เริ่มต้นขึ้น



     “เพราะว่าลูกสองคนเป็นผู้ชาย หลายเรื่องแม่เลยยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อเป็นคนสอนเรา แต่ในเมื่อวันนี้หนูเลือกที่จะเป็นผู้หญิง พฤติกรรม การกระทำ การวางตัวของหนูก็ต้องทำให้ดีด้วย หนูต้องรู้จักรักนวลสงวนตัว เพศที่สามหลายคนถูกมองไม่ดีเพราะการวางตัว ไม่ระมัดระวังตัว มองว่าไม่เสียหายอะไรก็เลยยอมเขาง่ายๆ แต่แม่ว่ามันไม่ถูก จะหาว่าแม่หัวโบราณก็เอาเถอะ นี่.. เมฆก็ฟังเอาไว้ด้วย”

     สมแล้วที่เป็นหัวหน้าพยาบาลมานาน เด็กกี่รุ่นๆ นี่ผ่านแม่เขาสอนมาหมด ถึงคำพูดยาวๆ ของแม่จะทำเอาม่านฟ้าเคลิ้มใกล้หลับก็เถอะ แต่ม่านฟ้าก็ผงกหัวที่นอนอยู่บนโซฟาขึ้นมาพยักหน้ารับแกนๆ ให้แม่เห็นว่าฟังอยู่ก่อนนอนลงไปงีบต่อ นัชชายู่หน้าให้ลูกชายคนโตเล็กน้อย แล้วหันกลับมาที่ลูกชายคนเล็กอีกครั้ง

     “ใช่ว่าแค่ผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องรักนวลสงวนตัว ไม่ว่าผู้ชาย เพศที่สาม หรือเพศไหนก็เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเพศ มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราให้ค่าของตัวเองมากแค่ไหน และเขามีค่าพอที่จะดูแลเกียรติและศักดิ์ศรีของเราหรือเปล่า”

     ม่านฟ้าฟังแม่ไปสักพักก็ขยับตัวเตรียมหลับอย่างจริงจัง ถึงอย่างนั้นมุมปากเขากลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างมีความสุข เขาดีใจที่บรรยากาศในบ้านตอนนี้ไม่ได้เป็นไปในทางที่แย่อย่างที่นึกกลัว แม่เองก็ค่อยๆ ปรับตัว หมอกเองก็ลดความเกร็งลงมาก จะเหลือก็แต่… พ่อ ที่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และคิดว่าคงอีกสักพักกว่าที่พวกเราจะตัดสินใจบอกออกไป

     หรืออาจไม่มีวันนั้นเลยก็ได้




     “อย่าบ่นมาก รีบขึ้นไปเลยป่ะ วันนี้พ่อกลับบ้านนะเว้ย เกิดกลับเร็วแล้วมาเห็นมึงสภาพนี้ศพมึงไม่สวยแน่”

     วันนี้พ่อจะกลับบ้านหลังจากไม่ได้กลับมาเป็นอาทิตย์ ถึงจะกลับดึกหน่อยแต่พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะรอกินข้าวพร้อมกัน แม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว น้องรักกำลังแปลงร่างกลับเป็นผู้ชาย และเขา...กำลังนอนอืดอยู่ที่โซฟา

     ม่านฟ้าชอบเป็นที่สุดกับบรรยากาศเรียบๆ แบบนี้ บางคนอาจจะมองว่าน่าเบื่อ ชีวิตต้องมีสีสัน ปิดเทอมต้องไปทำกิจกรรม เข้าค่าย ขึ้นดอย ปลูกป่า แต่ไม่..ไม่ใช่สำหรับเขา เขาต้องการแค่นอนผึ่งพุงอยู่บ้าน แม่ว่าทีก็ลุกไปทำตัวเป็นประโยชน์บ้างอย่างรดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า ถูบ้าน

     ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับรอบค่ำอีกรอบเสียงเลื่อนประตูรั้วบ้านก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงถอยรถเข้าที่จอด ม่านฟ้าหลับตานิ่งต่อไปรู้ดีว่าคงเป็นพ่อที่มาถึงบ้านแล้ว เขาเอ่ยเสียงยานคางออกไปต้อนรับเป็นอย่างแรกเมื่อเสียงกุกกักของประตูบ้านดังขึ้น

     “พ่อหวัดดี” ยกมือพนมไหว้ไว้กลางอกทั้งที่ยังนอนหลับตาอยู่บนโซฟา รู้ดีว่านอนอยู่แบบนี้พ่อคงไม่เห็น แต่สบายใจที่ได้ไหว้แล้ว

     “อืม” เสียงทุ้มๆ ของพ่อตอบรับคำ “ทำไมไม่ไปช่วยแม่ทำกับข้าว” ยังไม่ทันไร เสียงบ่นของพ่อก็ลอยมาก่อนแล้ว นภดลเหลือบตามองลูกชายคนโตที่นอนกางแขนกางขาเต็มโซฟา แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ ม่านฟ้าเป็นคนเอื่อยๆ มาแต่เด็ก ทำตัวเหมือนเด็กขี้เกียจ ดีที่สอบติดมหาลัยมีที่เรียนถึงจะเป็นคณะที่เขาไม่ถูกใจแต่มหาลัยก็ยังพอมีชื่อเสียง

     “แม่บอกใกล้เสร็จแล้ว อยู่ในครัวไปก็เกะกะ” หนุ่มอักษรฯ ตอบพ่อ ยอมรับว่าโกหกเพราะแม่ไม่ได้พูดแบบนั้นเลย แต่ตอนนี้ขอเอาตัวรอดไม่ให้โดนพ่อด่าก่อนเถอะ อย่างไรเสียแม่ก็คงไม่ฆ่าเขาทั้งเป็นด้วยการแฉกันโต้งๆ คำพูดนั้นส่งผลให้คนเป็นแม่ที่เดินออกมาจากครัวพอดีค้อนให้ลูกชายคนโตไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

     “งั้นก็ไปตามน้องลงมากินข้าว” คำสั่งของพ่อถือเป็นประกาศิต…สำหรับภูหมอก แต่สำหรับม่านฟ้า…แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เขาขยับตัวลุกจากโซฟาแต่แทนที่จะเดินขึ้นบันไดไปเรียกน้องดีๆ ม่านฟ้ากลับหยุดอยู่หน้าตีนบันไดชั้นล่างแล้วตะโกนขึ้นไป

     “ไอหมอก!!! กินข้าว!!!” นภดลมองตามร่างสันทัดของลูกชายตาเขียว คิดในใจว่าถ้าจะตะโกนเอาแบบนี้เขาตะโกนเองก็ได้ แต่ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วย เถียงไปอย่างไรก็ไม่เคยชนะ

     ม่านฟ้าเดินกลับมา รู้ดีว่าคงไม่พ้นโดนพ่อด่าอยู่ในใจแต่ไม่คิดจะสน เขาเองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพ่อมาแต่ไหนแต่ไร พอเป็นแบบนั้นก็อดทำตัวให้พ่อหมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีกไม่ได้ ติดแต่เกรงใจสายตาของแม่ที่มองมาอย่างปรามๆ ไม่อยากให้มีเรื่องอารมณ์เสียกัน

     จบการกินข้าวในเย็นวันนั้นอย่างราบรื่น ครอบครัวเขาก็มานั่งดูข่าวกันที่ห้องนั่งเล่น โซฟาแต่ละที่ถูกจับจองตามตำแหน่ง โซฟาเดี่ยวตัวเล็กเป็นของภูหมอก โซฟาตัวใหญ่ช่วงยาวเป็นที่นั่งของพ่อแม่ และส่วนตัวแอลที่ติดกัน...เป็นที่นอนของม่านฟ้า

     “กินข้าวเสร็จแล้วอย่านอน ลุกขึ้นมานั่งดีๆ” ไม่ เสียงนี้ไม่ใช่เสียงบ่นของพ่อแต่เป็นของแม่ คงทั้งขัดตาลูกชายและกลัวว่าหากคนดุเป็นสามีของเธอคงไม่จบแค่ตักเตือน แต่ร่ายยาวไปตั้งแต่ความประพฤติที่ควรทำและไม่ควรทำทั้งหมด ทั้งที่ปกติม่านฟ้าก็ไม่ได้นิสัยเสีย สันหลังยาวโดยสันดาน ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลานภดลกลับบ้านถึงชอบทำตัวให้โดนบ่นอยู่เรื่อย นัชชาหันกลับไปสนใจเนื้อหาข่าวในทีวีเมื่อลูกชายคนโตค่อยๆ เลื้อยกลับมานั่งเหมือนคนปกติ

     ภาพข่าวในโทรทัศน์แสดงข่าวสังคมที่พวกวัยรุ่นยกพวกตีกัน ไล่ยิงคู่อริจนผู้อยู่ในเหตุการณ์บาดเจ็บ ก่อนเปลี่ยนไปเป็นข่าวบันเทิงซึ่งนักข่าวกำลังรุมสัมภาษณ์ดาราดังที่มีข่าวเรื่องเป็นเกย์

     ‘ผมว่าเรื่องแบบนี้เป็นแค่เรื่องของรสนิยม ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือถูก ผมไม่ขอตอบว่าเป็นหรือไม่เป็น เพราะผมมองว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญขนาดนั้น มันเป็นเพียงเพศสภาพที่ไม่ได้ระบุถึงความสามารถของใครแต่อย่างใดครับ’

     นักแสดงในโทรทัศน์ตอบออกมาอย่างหล่อๆ และเป็นกลาง ขณะที่ภูหมอกเหลือบมองพ่อที่ส่ายหัวและเบ้หน้า ใบหน้าที่เจื่อนอยู่แล้วของเด็กหนุ่มดูแย่ลงไปอีกเมื่อพ่อเอ่ยประโยคต่อมา “ทุเรศ!!!”

     “เขาไม่ได้ไปฆ่าแกงใครอย่างพวกข่าววัยรุ่นพวกนั้นเสียหน่อย พวกวัยรุ่นพวกนั้นพ่อยังไม่เห็นด่าเลย แค่เขาเป็นเกย์จะไปด่าเขาทำไม” ม่านฟ้าพูดขึ้นมา แวบแรกเขาเห็นสายตามีความหวังของภูหมอกมองมาที่พ่อตอนเห็นข่าวและแย่ลงเมื่อได้ยินคำด่า เจ้าตัวคงอยากรู้ว่าพ่อจะรับเรื่องนี้ได้มากแค่ไหน…ทั้งที่เราก็รู้กันอยู่แล้ว แต่ม่านฟ้าก็ยังอยากจะพูด ไม่ใช่เพราะอยากยั่วโมโหอย่างทุกที แต่เพียงต้องการให้พ่อลองคิดดูเท่านั้น

     “ไม่ว่าแบบไหนมันก็แย่พอกันนั่นแหละ! สมัยนี้เป็นตุ๊ดเป็นเกย์กันไปหมดแล้ว พ่อแม่เลี้ยงมาแต่ดันทำตัวผิดเพศ น่ารังเกียจ!” คำพูดของม่านฟ้าเหมือนยิ่งไปกระตุ้นให้พ่ออารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก จนคนเป็นแม่ต้องเอื้อมมือไปบีบต้นขาลูกชายคนโตเบาๆ เป็นการปรามให้หยุดเมื่อเห็นชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะเถียงกลับไป

     “หมอก ขึ้นไปทำการบ้านอาบน้ำนอนได้แล้วไป” แม่ไล่ลูกชายคนเล็กที่ยังสีหน้าไม่ดีขึ้นห้องไปเมื่อข่าวจบและกำลังจะต่อด้วยละครภาคค่ำ “คุณก็ขึ้นไปอาบน้ำเถอะ กลับมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวให้เมฆมันช่วยล้างจานแป๊บเดียวก็เสร็จ”

     หลังจากแยกย้ายกันไป ก็เหลือเพียงสองแม่ลูกที่อยู่ชั้นล่างเพื่อเก็บล้างจานชาม นัชชาเหลือบมองลูกชายที่หน้าตาเรียบเฉย เธอรู้ดีว่าใต้ใบหน้าเรียบนั้นเจ้าตัวคงฉุนเฉียวไม่น้อยกับคำพูดของพ่อ แต่ก็อดตำหนิไม่ได้

     “เราไม่ควรพูดออกไปแบบนั้น กับพ่อ…คงต้องใช้เวลาสักพักนั่นแหละกว่าที่จะบอกเรื่องของน้องได้ ก็รู้อยู่ว่าพ่อรับเรื่องนี้ไม่ได้มากแค่ไหน แล้วจะพูดออกไปทำไม”

     “เมฆก็ไม่ได้คิดจะให้บอกวันนี้ พรุ่งนี้ แต่เรื่องทัศนคติของพ่อ เมฆว่ามันไม่ค่อยถูก อย่างน้อยก็อยากให้เขาค่อยๆ เปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่สิ แค่ลดอคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ลงบ้างก็ได้”

     พ่อมีอคติที่รุนแรงกับเรื่องเพศที่สามมาก ท่านมองว่าคนพวกนี้คือคนที่มีปัญหาหรืออาการทางจิตทำให้เบี่ยงเบนทางเพศ ม่านฟ้าแทบจะไม่มีความคิดที่จะบอกพ่อเรื่องของน้องเลย โอกาสในการที่พ่อจะยอมรับไม่ใช่ ‘เกือบจะเป็นศูนย์’ แต่ ‘เป็นศูนย์’ อย่างน้อยก็ต้องทะเลาะกันใหญ่โต คงไม่จบแค่การนั่งกอดกันร้องไห้อย่างในกรณีของแม่แน่

     แต่หากวันหนึ่งภูหมอกทนเก็บมันไว้ไม่ไหว เขาคงให้มันได้สารภาพกับพ่อแต่ก็ต้องเป็นหลังจากที่น้องสอบเข้ามหาลัยเรียบร้อยแล้วเท่านั้น เผื่อเป็นกรณีอย่างไล่ออกจากบ้าน มันก็แค่ไปอยู่หอกับเขา หรือหากไม่ส่งเสียเรื่องเรียนก็ขอทุนเอา ภูหมอกเป็นคนหัวดีและขยัน จึงไม่น่ามีปัญหาแถมตอนนั้นเขาก็ใกล้จบแล้ว คงพอช่วยเหลือน้องได้บ้าง

     ม่านฟ้าหวังไว้เพียงว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ความลับนี้… ถูกเปิดเผยก่อนเวลาอันสมควรก็พอ



     TBC
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 3 (04.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-07-2020 22:29:37
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 4 (07.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 07-07-2020 03:42:32
บทที่ 4

     หนึ่งปีผ่านไป ปิดเทอมสามเดือนที่ม่านฟ้ารอคอยกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เขาหวังว่าปิดเทอมนี้ของเขาจะเป็นปิดเทอมที่สงบสุข ไม่เหมือนปีที่แล้วซึ่งเขาดันไปรู้ความลับของน้องรักจนมีแต่เรื่องให้ปวดหัว ร่างสันทัดค่อนไปทางผอมนอนแผ่อยู่บนเตียงในหอพักนิสิต ตั้งใจจะนอนสักตื่นแล้วค่อยลุกมาเก็บของเตรียมกลับบ้านพรุ่งนี้หลังสอบวันสุดท้ายของปีสองจบลง

     ขณะกำลังเคลิ้มใกล้หลับเสียงโทรศัพท์ก็ดังปลุกเขาขึ้นมา

     “พี่เมฆ สอบเสร็จแล้วใช่ป่ะ” เมื่อไรจะเลิกขัดความสุขกูเสียที ม่านฟ้าคิดอย่างหงุดหงิดกับตัวขัดเส้นทางการไปเฝ้าพระอินทร์เมื่อเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ “ยัง กำลังนั่งสอบอยู่เลยเนี่ย แค่นี้นะ”

     “เดี๋ยวๆๆๆ จะบ้าเหรอ ถ้าสอบพี่จะมารับโทรศัพท์อย่างงี้ได้ไง แล้วหมอกจำได้พี่บอกสอบเสร็จครึ่งเช้าวันนี้”

     “รู้แล้วถามเพื่อ” เสียงของม่านฟ้าเริ่มห้วนขึ้น

     “ก็ถามตามมารยาทไง” แต่เสียงภูหมอกก็ยังระรื่นแบบไม่รู้สึกรู้สาจนเห็นภาพหน้าตาอ้อนเท้าของมันตามมา

     “ถ้ามีมารยาทมึงไม่ควรโทรมากวนตอนกูหลับ” เขาเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อบทสนทนายังไม่จบเสียที

     “หมอกจะฝากซื้อของหน่อย” ภูหมอกตัดเข้าเรื่องที่โทรมา เพราะเริ่มจับน้ำเสียงไม่พอใจของพี่ชายได้

     “ส่งรายละเอียดมาในไลน์แล้วอย่าลืมจ่ายตังค์กูทีหลังด้วย แค่นี้ใช่ไหม”

     “จริงๆ ก็มีเรื่องอยากเม้าท์ให้ฟังอ่ะ” หนุ่มน้อยดักคอไว้ก่อนพี่ชายจะวางสาย

     “พรุ่งนี้แล้วกัน พรุ่งนี้กูก็กลับแล้ว” ม่านฟ้ากดวางสายแล้วทิ้งตัวนอนต่อทันที

     ----

     ‘ไม่น่าเลยกู’

     ม่านฟ้ายืนมองลิสต์รายการในโทรศัพท์ที่น้องชายส่งมาให้ เพราะง่วงนอนเมื่อวานเลยตอบรับไปโดนไม่ได้ถามถึงของดังกล่าว มาเห็นรายการก็ตอนเช้าที่ตื่นมาและนึกขึ้นได้ว่ารับปากภูหมอกไว้ สถานที่จำหน่ายไม่ใช่ปัญหาเพราะเป็นห้างสรรพสินค้าห่างจากมหาลัยเขาไปไม่ไกล นั่งรถสวัสดิการหรือเดินเอาก็ยังได้

     ภูหมอกมักจะฝากเขาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เป็นประจำเวลาจะกลับบ้านเพราะบ้านอยู่แถวชานเมือง ห้างที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายสิบกิโล เพียงแต่ของที่ฝากซื้อครั้งนี้มันค่อนข้างเป็นปัญหาสำหรับเขา

     หนุ่มอักษรฯ ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ในร้านเครื่องสำอางซึ่งมีคนอยู่ไม่น้อย ถึงแม่จะรู้เรื่องของภูหมอกดีแต่ไม่ค่อยสนับสนุนการซื้อเครื่องสำอางเท่าไหร่ หากอยากได้ก็ต้องใช้เงินเก็บของตัวเอง และเพราะภูหมอกเคยมีประสบการณ์แพ้เครื่องสำอางโนเนมมาไม่น้อย เจ้าตัวจึงขยาดจนต้องยอมซื้อเครื่องสำอางมีชื่อแต่อาศัยซื้อช่วงที่มีโปรโมชั่นเอาเท่านั้น

     ผู้ชายคนเดียวมาเลือกซื้อเครื่องสำอางในร้านที่มีแต่ผู้หญิงย่อมกลายเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก ม่านฟ้ารับรู้ถึงสายตาที่มองมาและบรรยากาศที่ทำให้อึดอัด หญิงวัยกลางคนมองมาที่เขาอย่างตำหนิ เขาอาจจะรู้สึกลำบากใจนิดหน่อยตอนที่จะมาซื้อ แต่ไม่ได้เตรียมใจจะเจอสายตาที่มองมาอย่างดูแคลนเช่นนี้

     สังคมสมัยนี้บอกว่ายอมรับเรื่องพวกนี้มากขึ้น แท้จริงมันก็แค่คำพูดที่ทำให้ดูดี สวยหรูก็เท่านั้น แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมรับเรื่องแบบนี้ได้จริง

     ม่านฟ้าเทียบสินค้าที่อยู่บนชั้นกับรูปที่น้องส่งมาให้ ก่อนหยิบใส่ตะกร้าซึ่งมีของวางอยู่ก่อนแล้วสองสามชิ้น เขาพยายามเมินสายตารอบข้างและรีบซื้อของให้เสร็จ รู้สึกพลาดที่ไม่เรียกพนักงานมาหยิบของให้ตั้งแต่แรกเพราะกลัวโดนมองแปลกๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ถึงไม่เรียกเขาก็ยังโดนมองไม่ต่างกัน จังหวะที่เขามายืนเลือกสินค้าบริเวณใกล้กับหน้าร้าน ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่ยืนคุยกันอยู่หน้าร้านก็หันมามองเขา

     เสียงพูดคุยและหัวเราะขบขันพร้อมสายตาที่รู้สึกได้ว่ากำลังมองมาทางตนทำให้ม่านฟ้าอดหงุดหงิดไม่ได้ พยายามที่จะระงับความโกรธเอาไว้ แล้วหันกลับมาทางเดิมเพื่อตั้งหน้าตั้งตาเลือกของต่ออย่างข่มอารมณ์

     “พอแล้วมั้ง แค่นี้ก็น่ารัก จนผัวรักผัวหลงแล้ว”

     เสียงทุ้มหนึ่งดังขึ้นอย่างจงใจส่งมาหาม่านฟ้าก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะครืนจากคนกลุ่มใหญ่ ม่านฟ้าหันไปมองเต็มๆ ตาถึงเห็นว่าเป็นเด็กวิศวะมหาลัยเดียวกับตน เขาไม่แน่ใจว่าใครคือคนที่พูดออกมา แต่ที่เห็นชัดสุดคงไม่พ้นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อช็อปสีเทาที่ดูท่าทางคงจะเป็นหัวโจก ยิ้มกว้างๆ ถูกส่งมาให้อย่างจงใจกวนและไม่คิดจะปิดบัง

     จากที่พยายามมองข้ามหลายๆ อย่างและเมินเฉยกับสายตาของคนรอบข้าง พอมาเจอกลุ่มคนตรงหน้าแซวตรงๆ แบบนี้ อารมณ์ที่พยายามข่มไว้ก็เหมือนจะขาดลง ม่านฟ้าเพิ่งเข้าใจคำว่าโมโหจนตาลายก็วันนี้ ปากอ้าออกเหมือนอยากด่าใครบางคนแถวนั้น แต่คำพูดของตนเองที่เคยพูดไว้กับน้องชาย เรียกสติเขากลับมาอีกครั้ง

     "ใครมันจะล้อ จะแซวก็ท่องไว้ ช่าง-หัว-แม่ง!!"

     วันนั้นเขาเคยไม่เข้าใจอารมณ์หงุดหงิดของภูหมอกเมื่อถูกล้อ แต่วันนี้เขาเข้าใจได้เป็นอย่างดี

     ม่านฟ้าสูดลมหายใจ ปรายตากลับไปมองชายหนุ่มกลุ่มนั้น ก่อนสบตาเข้ากับหัวโจกตัวโตอีกครั้ง เขาฝากแค่ความอาฆาตไปทางสายตาที่แสดงให้รู้ถึงความไม่พอใจ จากนั้นก็หันหลังออกมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

     ----

     ร่างสันทัดของม่านฟ้าไขกุญแจเดินเข้ามาในบ้าน เหลือบเห็นรองเท้าของน้องชายที่วางอยู่หน้าประตู แต่ไม่เห็นอยู่ชั้นล่างก็นึกรู้ว่าคงหมกตัวอยู่ในห้องนอนเป็นแน่ ความคิดที่จะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อกลับมาถึงบ้านถูกโยนทิ้งไปพร้อมกับการทิ้งตัวลงบนโซฟาประจำตำแหน่ง

     ‘ถ้าขึ้นไปตอนนี้มีหวังต้องฟังมันบ่นไม่หยุดแน่ ถึงรู้ว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้น แต่ขอต่อเวลาไปอีกหน่อยแล้วกัน’

     เสียงวิ่งลงบันไดมาทำให้คนที่นอนอยู่บนโซฟาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ถึงนาทีต่อมาร่างสูงของน้องชายก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า มือเรียวยาวคว้าถุงเครื่องสำอางที่เขาวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟารีบเปิดสำรวจของภายในด้วยความตื่นเต้น ม่านฟ้าเหลือบมองท่าทางของภูหมอกเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากไล่

     “วางเงินไว้ แล้วจะไปไหนก็ไป” พี่ชายพลิกตัวหนีไปอีกทางของโซฟา

     “ได้ไงเล่า! ก็หมอกบอกแล้วว่ามีเรื่องจะเม้าท์ให้ฟัง” แต่คนเด็กกว่าไม่ยอมแพ้

     “อะไร” หมอนหนุนหัวถูกนำมาปิดหูไว้ บ่งบอกความต้องการฟังที่เป็นศูนย์

     “พ่อเจอเครื่องสำอางในห้องหมอก”

     “อะไรนะ!!!!”

     ร่างสันทัดลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา หมอนใบน้อยถูกขว้างทิ้งด้วยอารามตกใจ ม่านฟ้าพุ่งประชิดตัวน้องชายอย่างรวดเร็ว มือเรียวจับบ่าเด็กหนุ่มไว้ก่อนเลื่อนไปจับที่ใบหน้า จับพลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจจนแน่ใจว่าไม่มีรอยตบ รอยต่อยใดๆ จึงผละออกมาสำรวจทั้งร่างกายอีกครั้ง

     “แล้วมึงรอดมาได้ไง!!” เสียงของม่านฟ้ายังไม่ทิ้งแววตระหนก

     “ฟังก่อนสิ ถึงบอกไงว่าจะเล่าให้ฟัง”





    หลังจากวันที่ความลับของภูหมอกถูกเปิดเผย หากถามว่ามีความสุขขึ้นหรือไม่ ภูหมอกคงต้องตอบว่า ‘ใช่’ แต่บางครั้งมันก็ไม่สุด เรื่องนี้ยังคงเป็นความลับกับพ่อของเขาอยู่และหากตามที่พี่ชายบอกมันอาจต้องเป็นความลับไปอีกหลายปี

     อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะจบมัธยม

     ร่างสูงถือของพะรุงพะรังเข้ามาในบ้าน เขาเพิ่งกลับจากการเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าในวันเสาร์ ช่วงนี้แม่ชอบลากเขาไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ท่านบอกว่าลูกสาวบ้านอื่นก็ชอบไปชอปปิงกับแม่ ท่านเก็บกดมาหลายปีกับการมีแต่ลูกชายจึงไม่มีเพื่อนเดินเที่ยว มาถึงวันนี้เธอจะไม่ยอมให้เขาอุดอู้อยู่แต่ในห้องอีกต่อไป

     แน่นอนภูหมอกไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เด็ดขาด แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้วางของให้เรียบร้อย ของบางอย่างก็ถูกขว้างมาอย่างแรงกระแทกกับอกของภูหมอกจนต้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

     "โอ๊ะ!!"

     สิ่งที่กระแทกกับอกของหนุ่มน้อยและกระดอนตกลงไปบนพื้นคือ ‘กระปุกครีม’ ที่ถูกปามาจากชายวัยกลางคนหน้าตาดุดัน

     “อะ อะไรเนี่ยพ่อ” ภูหมอกเบิกตากว้าง แต่ยังพยายามทำเสียงนิ่งถามออกไป

     "ฉันสิต้องถามแกว่านี่มันอะไร!!!"

     ภูหมอกสูดหายใจเก็บอาการลนลานของตนไว้ เขามั่นใจว่ามันคือกระปุกครีมที่อยู่ในห้องของเขาอย่างแน่นอน ด้วยเมื่อเช้ารีบออกไปบวกกับความประมาทคงทำให้เขาลืมเก็บครีมนี้ใส่ตู้ให้เรียบร้อยทั้งที่พี่ชายก็เคยเตือนแล้ว เขาไม่คิดว่าพ่อจะกลับบ้านก่อนเวลาและเข้าไปในห้องนอนจนพบมันเข้า

     “มีครีมแบบนี้อยู่ในห้อง แกเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วหรือไงถึงใช้ของแบบนี้!”

     เสียงตะโกนของนภดลทำให้นัชชาที่เดินตามเข้ามารีบทิ้งของในมือแล้ววิ่งมาดู สองแม่ลูกมองตากันอย่างตกใจ วินาทีนั้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดร้องบอกให้ภูหมอกคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เมื่อเช้าเขาหยิบออกมาแค่กระปุกนี้เพื่อบำรุงหน้า เขาภาวนาขอให้พ่อเห็นแค่กระปุกนี้โดยไม่รื้อไปเจอเครื่องสำอางอย่างอื่นที่เก็บไว้ในตู้

     “เปล่านะพ่อ อันนี้ของแม่” ‘เจ้าของครีมจำเป็น’ หันขวับไปมองหน้าลูกชาย แต่ก็ยังหันไปพยักหน้าให้กับสามีเพื่อยืนยัน

     “เมื่อวานหมอกไปตากแดดแล้วหน้าลอก แม่ก็เลยเอาครีมมาให้ใช้” เด็กหนุ่มรีบให้เหตุผลเพิ่มเติม

     “จริงๆ มันควรใช้พวกว่านหางจระเข้แต่ไม่มี แม่ไม่รู้จะให้ใช้อะไรเลยเอาครีมบำรุงแม่ไปให้ทาก่อน กลัวหน้าลอกจนเป็นแผลแล้วจะเจ็บ” พยาบาลสาวที่เริ่มตั้งสติได้อธิบายให้ฟัง พยายามลืมวิธีการรักษาที่ถูกต้องเพื่อเอาตัวรอดเวลานี้ให้ได้ก่อน

     “....”

     นภดลยังคงเงียบเหมือนจับผิดอาการของสองแม่ลูก เขายังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของลูกชายร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ใจหนึ่งจะให้น้ำหนักคำพูดนั้นว่ามีเหตุผลอีกทั้งปกติลูกชายคนเล็กของเขาก็ไม่ได้มีอาการตุ้งติ้งอะไรให้ต้องสงสัย แต่อีกใจหนึ่งก็ยังนึกระแวงจนไม่กล้ายอมรับ

     เจ้าของครีมตัวจริงเดินไปหยิบกระปุกที่กลิ้งอยู่กับพื้น หมุนฉลากที่เขียนสรรพคุณและวิธีการใช้งานมาให้พ่อดู เขาจำได้ว่าตอนซื้อครีมตัวนี้มาเพื่อลดรอยสิว รอยดำ มันยังมีสรรพคุณลดเลือนริ้วรอยสำหรับผู้เริ่มมีอายุด้วย

     “นี่ไงพ่อ มันเขียน ‘Anti-aging’ ลดเลือนริ้วรอย ถ้าหมอกจะใช้เครื่องสำอางจริงจะใช้แบบนี้ทำไม รักษาตีนกาแบบนี้ของแม่ชัดๆ”

     “เจ้าหมอก!!”

     ถึงแม่จะทำเสียงดุแต่เรื่องวันนั้นก็จบลงไปด้วยดี



     “หมอกเพิ่งนึกขึ้นมาได้ทีหลังว่าถ้าแค่ยืมแม่มาใช้ทำไมรู้สรรพคุณละเอียดนัก ดีนะพ่อไม่ติดใจสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ” ภูหมอกเล่าให้ฟังพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก

     ม่านฟ้าขมวดคิ้ว เขาเองก็อยากจะถอนหายใจโล่งอกไปกับน้องที่เริ่มจะเอาตัวรอดเป็นกับเขาแต่ยังติดเรื่องที่สงสัยอยู่จึงรีบถามออกไป

     “ทำไมพ่อถึงเข้าไปในห้องเราว่ะ”

     “อันนั้นหมอกก็กังวลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าแค่บังเอิญเข้าไปเจอ หรือได้ยินอะไรมาจนต้องเขาไปค้นห้อง แต่ตอนหมอกเข้าห้องไปก็ไม่เห็นวี่แววการค้นอะไรนะ แต่ก็ไม่กล้าถามเหตุผลพ่ออยู่ดีอ่ะ กลัวจะยิ่งดูมีพิรุธ”

     “ไม่ถามอ่ะดีแล้ว แต่จากนี้มึงจะทำอะไรก็ระวังไว้หน่อย ของของมึงก็ต้องซ่อนไว้ให้ดี ทางที่ดีกูว่าซื้อลังมาสักใบไว้ใส่ ล็อกกุญแจไว้ ข้างบนก็วางๆ พวกหนังสือโป๊หรือเหี้ยไรก็ได้ทับไปอีกชั้น เผื่อเขาเจอแล้วถามว่าซ่อนไรไว้” ม่านฟ้าพูดไปก็เอามือคลึงขมับไป ไม่เข้าใจว่าทำไมกลับบ้านมาแล้วต้องมาเจอเรื่องหนักหัวทันทีอย่างไม่ทันได้พักหายใจ

     เขามีอีกความคิดหนึ่งคือการฝากของพวกนี้เอาไว้กับแม่เพราะอย่างไรเสียแม่ก็เป็นผู้หญิง มีของเช่นนั้นอยู่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่แม่อยู่ห้องเดียวกันกับพ่อ จะเอาเข้าเอาออกก็กลัวจะลำบาก เก็บไว้กับตัวในที่ที่เห็นได้น่าจะดีที่สุด ขณะที่กำลังคิดสะระตะอยู่ถึงทางออกอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้ ภูหมอกก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนนึกได้

     “พี่เมฆ ไม่แน่ว่าอาจเป็นป้าเดือนข้างบ้านก็ได้นะ”

     “อะไร” ม่านฟ้าที่ยังจับใจความไม่ถูกขมวดคิ้วหนัก

     “ก็คนที่อาจจะเสี้ยมพ่อเรื่องหมอกเป็นตุ๊ดไง ป้าเดือนชอบถามหมอกบ่อยๆ ว่ามีแฟนหรือยัง แล้วพี่เมฆล่ะ ไม่มีแฟนเหรอ ทำไมถึงไม่มีแฟนเสียทีล่ะ ไม่ได้เป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไปใช่ไหม”

     ม่านฟ้าถึงกับกลอกตามองบน ‘มนุษย์ป้าข้างบ้าน’ เป็นอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เขาเบื่อพอๆ กับแก๊งอันธพาลปากไม่มีหูรูด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีอาชีพหลักคือ ‘การสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน’ และชอบ ‘เดือดร้อนแทนคนอื่น’ เป็นงานอดิเรก เขาจำได้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เคยบ่นให้แม่เขาฟังเรื่องลูกชายบ้านตรงข้ามมีแฟนโดยหาว่าเป็นเด็กใจแตกและริมีแฟนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่พอมาถึงคราวบ้านเขาที่ยังไม่มีแฟน กลับถูกหาว่าเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วไปเสียอีก

     “อีป้าเดือนนี่มีปัญหามากใช่ป่ะ เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูลองไปคุยกับป้าเขาเอง” เสียงม่านฟ้าบ่งบอกความรำคาญปนโมโหออกมาอย่างปิดไม่มิด

     “ไม่ต้องเลย แค่สันนิษฐานเผื่อให้ช่วยกันระวังไว้ ไม่ได้ให้ไปหาเรื่องเขา” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยชอบเวลาพี่ชายพูดจาหยาบคายเท่าไหร่ แต่บอกไปก็ไม่ได้จะกลายเป็นโดนด่ากลับมาเสียเอง

     “...”

     “แล้วพี่เมฆไม่คิดจะมีแฟนจริงๆ บ้างเหรอ” ภูหมอกพยายามหาเรื่องคุยให้พี่ชายอารมณ์เย็นขึ้น

     “...ไม่อ่ะ เนื้อคู่กูอาจจะตายห่าไปแล้วก็ได้” แต่เหมือนจะไม่ได้ผล พี่ชายของเขากลับยิ่งดูอารมณ์เสียหนักกว่าเดิม

     “งั้น… เดี๋ยว… หมอกไปเอาตังค์ค่าเครื่องสำอางมาจ่ายให้พี่เมฆเลยดีไหม” คนเด็กกว่าลองวิธีอื่น

     “อืม ดี” เสียงของคนแก่กว่าเริ่มกลับมาเป็นปกติ

     หนุ่มน้อยยิ้มจางๆ ดูท่าว่าพี่ชายเขาจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว



     TBC



     Achaya (Writer) :

     อย่างที่กล่าวไว้ในข้อมูลเบื้องต้น นิยายเรื่องนี้เน้นกล่าวถึงชีวิตวุ่นวายของสองพี่น้องในช่วงแรก ส่วนเนื้อเรื่องหลักที่เป็นแกนนั้นจะค่อยๆถูกเปิดปมออกมาทีละเรื่องหลังจากนี้
     ปล.เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวนะคะ หากก่อนหน้านี้เขียนให้เข้าใจผิดขอโทษด้วย

     ขอบคุณที่ติดตามและเข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 5 (11.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 11-07-2020 03:53:58
บทที่ 5

     ปริมาณคนภายในห้างสรรพสินค้าของวันธรรมดาน้อยกว่าช่วงสุดสัปดาห์หลายเท่านัก ม่านฟ้ามองซ้ายมองขวาอย่างแปลกใจ เขาไม่ค่อยได้เดินห้างในช่วงเวลาแบบนี้สักเท่าไหร่หรือต่อให้เป็นห้างแถวมหาลัยเขาซึ่งเป็นห้างใหญ่นั้น ไม่ว่าเวลาไหนก็จะมีคนพลุกพล่านอยู่เสมอ

     ร่างสันทัดเดินตามน้องชายเข้าไปในโซนเครื่องสำอางของร้านเวชภัณฑ์แห่งหนึ่งหลังจากโดนน้องรักอ้อนวอนปนบังคับให้พามาเดินห้างแก้เครียดจากการอ่านหนังสือสอบ เหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ภูหมอกก็จะเปิดเทอมชั้นม.6แล้ว คนเป็นพี่อย่างเขาซึ่งผ่านช่วงเวลาที่แสนทรมานจากการเอ็นทรานซ์มาแล้ว จึงทำได้เพียงส่งกำลังใจให้น้องเงียบๆ

     มือเรียวยาวของภูหมอกหยิบสินค้าหลายชิ้นมาเทียบราคากันอย่างคล่องแคล่ว บางตัวก็หยิบขึ้นมาให้พี่ชายช่วยตัดสินใจซึ่งม่านฟ้าไม่สามารถช่วยสิ่งใดได้เลยนอกจากพยักหน้ารับแกนๆ ยังไม่ทันได้สินค้าเป็นชิ้นเป็นอันดี เสียงของใครบางคนก็ดังมาจากชั้นวางสินค้าด้านหลัง

     “โอ๊ะ วันนี้ไม่ได้มาคนเดียว พากิ๊กมาด้วยเหรอ”

     หน้าตายียวนกวนประสาทแบบนี้ม่านฟ้าจำได้ดี ผู้ชายคนนี้คือคนเดียวกับผู้ชายตัวโตหัวโจกที่เขาเจอตรงหน้าร้านเครื่องสำอางในห้างแถวมหาลัย นอกจากความรู้สึกหงุดหงิดที่เริ่มก่อตัวจากคำพูดทักทายยังมีความรู้สึกแปลกใจปนอยู่ด้วย เมื่อไม่คิดว่าจะแจ็กพอตโลกกลมมาเจอคนตรงหน้าในห้างเวลาอย่างนี้

     สีหน้าแปลกใจของร่างสันทัดคงแสดงออกมาชัดเจนเกินไป แขกผู้มาเยือนเจ้าของใบหน้าคมเข้มจึงหัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยตอบคำถามราวกับรู้ใจอีกฝ่าย

     “ทำไม แปลกใจอะไร คิดว่ามาห้างได้คนเดียวเหรอ” ม่านฟ้าไม่คิดจะใส่ใจคำยียวน ปรายตามองเสื้อผ้าของคนตรงหน้าที่ดูคล้ายชุดอยู่บ้านมากกว่ามาเดินห้าง ในมือมีครีมโกนหนวดที่คงได้จากชั้นสินค้าตรงข้ามพวกเขา ม่านฟ้าส่ายหน้าหน่ายก่อนหันกลับไปตั้งใจจะเร่งน้องชายให้ซื้อของให้เสร็จ

     ภูหมอกที่เริ่มแรกยังงุนงงกับสถานการณ์แต่จากคำพูดและท่าทางก็พอเดาได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคงไม่ได้มาทักด้วยจุดประสงค์ที่ดีแน่

     “ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรหรือครับ ท่าทางคุณดูชอบเรียกร้องความสนใจเสียจริง!”

     เสียงแว้ดจากหนุ่มน้อยที่ติดจริตสาวกลับทำให้ผู้มาเยือนต้องเลิกคิ้วแปลกใจเสียเอง ใบหน้าคมเข้มคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำเสียดสีพร้อมกลั้วหัวเราะในลำคอ ส่งผลให้รอยยิ้มที่เผยออกมาดูชั่วร้ายยิ่งว่าเดิม

     “อ้าว นึกว่ามากับกิ๊ก ที่ไหนได้...”

     ประโยคที่พูดไม่จบดีของชายร่างสูง แต่กลับสื่อความหมายให้ใบหน้าขาวของภูหมอกแดงจัด ริมฝีปากของเด็กหนุ่มใจสาวเบะออกแต่ยังพยายามหายใจเข้าลึกเรียกสติตัวเองกลับมา เด็กหนุ่มเชิดหน้าขึ้นทั้งที่นัยน์ตาแดงก่ำ

     “เป็นแบบนี้แล้วมันผิดตรงไหน หนักหัวคุณหรือไง ทำไมถึงต้องมายุ่งด้วย”

     ม่านฟ้าเหลือบมองน้องชายที่เริ่มหายใจแรงเข้าใจว่าเจ้าตัวตีความคำที่หายไปทำนอง 'เพื่อนสาว' จึงทำท่าโกรธเคืองเช่นนี้ เขารีบเอื้อมมือไปคว้ามือน้องไว้แล้วบีบเบาๆ ให้หยุดคำพูดที่เตรียมด่าคนตรงหน้าไปอีกหน ชายหนุ่มไม่อยากให้น้องต้องมาต่อปากต่อคำกับใคร แต่ประโยคต่อมากลับทำให้อารมณ์ของคนพี่ขาดผึงเสียเอง

     “ผิดดิ เรื่องแบบนี้น่ะ... จะมีพ่อแม่ที่ไหนรับได้ที่ลูกเป็นแบบนี้ ลูกชายที่เป็นลูกชายให้ไม่ได้มันคงน่าอาย น่ารังเกียจมาก ถึงต้องปิดเป็นความลับไง” สายตาจริงจังจากดวงหน้าเข้มจ้องมองมา ม่านฟ้าขบกรามแน่นนึกอยากต่อยหน้าชายคนนี้สักหมัด บีบมือภูหมอกที่หน้าเสียและเริ่มน้ำตาคลอไว้แน่น ก่อนหลุดตวาดออกไป

     “มึงประสาทป่ะ! เป็นบ้าอะไรเดินซื้อของดีๆ ไม่ชอบ มาพูดจาแบบนี้ทำไม ว่างนักก็กลับไปนอนไป”

     ม่านฟ้าคว้าแขนน้องชายเดินออกจากร้านทันทีโดยไม่สนใจคนที่มองตามหลังมาด้วยแววตาหลากอารมณ์

     ----

     บรรยากาศภายในรถยนต์คันเก่าของแม่ที่มีเสียงเครื่องปรับอากาศดังเป็นระยะเต็มไปด้วยความอึดอัด ม่านฟ้าซึ่งเป็นคนขับเหลือบมองน้องชายของเขา คิดถึงคำพูดของคนที่เพิ่งเจอที่ห้างอีกครั้งก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดแบบนั้นออกมา

     ภูหมอกดูเงียบลงไปทันทีหลังออกจากร้าน แม้เขาจะพาไปกินข้าวและซื้อของใช้จำเป็นที่แม่ฝากซื้อก่อนกลับ เจ้าตัวก็ยังซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด คำพูดที่ใครบางคนพูดออกมาอย่างไม่คิด บางครั้งมันก็ทำร้ายใครอีกคนได้อย่างแสนสาหัส ในกรณีของน้องเขาก็เช่นกัน คำพูดของไอ้บ้านั่นคงกระแทกเข้ากลางใจภูหมอกอย่างจัง

     “หมอกไม่ได้อยากเป็นแบบนี้” เสียงอ่อยๆ ดังมาจากคนนั่งข้างคนขับ

     “กูรู้… กูบอกแล้วไงอย่าไปสนใจคำพูดพวกนั้น”

     “ไม่ใช่แค่เขาที่ว่าแบบนั้น หลายครั้งหมอกก็โดนแซวแบบนี้ ทั้งจากเพื่อน คนรู้จักหรือแม้แต่อาจารย์ และที่เขาพูด… มันก็จริง ใช่ว่าหมอกไม่รู้สึกถึงสายตาที่มองมา ปากหลายคนพูดว่ารับได้ ไม่เป็นไร แต่สายตาเขาไม่ได้บอกแบบนั้นจริงๆ”

     “...”

     “ที่สำคัญ… หมอกยังรู้สึกผิดกับพ่อ พวกเขาชอบพูดว่า ‘เป็นแบบนี้คิดว่าพ่อแม่จะช้ำใจแค่ไหน’ และมันก็จริงอีกเหมือนกัน ถึงแม่จะเข้าใจหมอกแต่หมอกรู้ ถ้าเลือกได้แม่คงอยากให้หมอกเป็นลูกชายปกติเหมือนลูกคนอื่นมากกว่า”

     ม่านฟ้ายังคงเงียบจนกระทั่งถึงบ้าน เขาไม่สามารถให้คำตอบหรือคำปลอบใจน้องได้ในตอนนี้ และไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากด้วยว่าแม่ไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะเขา… ก็ไม่ต้องการที่จะโกหก

     ----

     ม่านฟ้าพยายามจะทำทุกอย่างให้เหมือนเป็นปกติ หลังจากวันนั้นใช่ว่าภูหมอกจะซึมเศร้ายาว เจ้าตัวกลับมาร่าเริงได้ในเวลาไม่นานซึ่งนั่นก็ดี มีบ้างที่เขาแอบกังวลถึงความรู้สึกของภูหมอก แต่ตราบใดที่เด็กหนุ่มไม่ได้พูดหรือแสดงทีท่าอะไรออกมา เขาเองก็คงไม่สามารถเดาความคิดน้องได้

     ชายหนุ่มกดเข้าไปอ่านกระทู้แนะนำภาพยนตร์จัดอันดับที่เพื่อนแชร์มา แล้วก็กดอ่านกระทู้โน้นกระทู้นี้ต่อไปเรื่อยตามประสาคนว่าง แถมวันนี้ไม่มีน้องชายที่รักมารบกวนการพักผ่อนเพราะต้องไปติวสอบอีกต่างหาก หนุ่มอักษรฯ ไล่อ่านตั้งแต่เรื่องวิชาการไปยันเรื่องไร้สาระ กำลังเลือกแท็กที่จะเข้าไปดูต่อกลับต้องมาสะดุดกับแท็ก ‘เพศที่สาม’ เข้า ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง คำพูดพล่อยๆ ของใครบางคนกลับดังขึ้นมาในหัว

     ‘จะมีพ่อแม่ที่ไหนรับได้ที่ลูกเป็นแบบนี้’

     ม่านฟ้าหลับตาลงพร้อมสูดหายใจเข้าลึกก่อนเลือกหากระทู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาครอบครัวและเพศที่สาม เขาอยากรู้มุมมองจากสังคมและมุมมองของคนในครอบครัวที่มีลูกเป็นเพศที่สามว่าคิดเห็นกันอย่างไร

     ‘ปัจจุบันนี้การเป็นเพศที่สามก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากเลือกได้...คงไม่อยากให้มีคนในครอบครัวเราเป็นหรอก’

     หลังจากที่เข้าไปอ่านกระทู้ปรึกษาปัญหาชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มาระบายความในใจถึงเรื่องที่ตนเป็นเพศที่สาม เพียงแค่ความคิดเห็นแรกก็เล่นเอาม่านฟ้าถึงกับสะอึกเบาๆ ยิ้มแหยออกมาอย่างให้กำลังใจตัวเองและเจ้าของกระทู้ กลั้นใจอ่านความเห็นต่อไปอย่างรวดเร็ว

     ‘แค่เป็นคนดี รับผิดชอบ มีอนาคตที่ดี รุ่งๆ พ่อแม่ต้องการเพียงให้ลูกประสบความสำเร็จเท่านั้น พอเราได้ดีเราก็ค่อยๆ บอกเขาก็ได้ เขาก็จะค่อยๆ รับได้เอง’

     ‘สำหรับผมที่มีลูกชาย ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว บอกตรงๆ ว่าถ้าลูกผิดเพศ ผมคงรับไม่ได้’

     ‘ตั้งใจเรียน ประพฤติตนให้เหมาะสม เป็นลูกที่ดีก็พอ ให้เวลาเขาสักนิดนะครับ แต่ผมแนะนำว่าให้บอกท่านนะครับ ช้าเร็วท่านก็ต้องรู้ รู้จากปากเราดีกว่าจากปากคนอื่นนะ สู้ๆ ครับ’

     ‘จะมีใครเขาชื่นชมกับเรื่องพวกนี้จริงสักแค่ไหนกันเชียว ยิ่งที่เห็นว่ามีการแต่งงานของเพศที่สามขึ้นมามากขึ้น ผมยิ่งรู้สึกว่าโลกของเรามันวิปริตเข้าไปทุกที’

     ‘ผมเองก็รู้สึกท้อเหมือนกันครับ พ่อแม่ยอมรับไม่ได้เอามากๆ ไม่กล้าแม้แต่จะบอก เพราะแค่คุยถึงว่ามีเพื่อนเป็นเพศที่สามก็บอกว่าไม่ต้องพูดถึงคนแบบนั้น ถ้ามาก็อย่าให้เข้าบ้าน เลยได้แต่เงียบไม่กล้าบอก’

     ‘จะเป็นก็ไม่เป็นไร แค่เป็นคนเก่งไว้ก็พอ ขอให้เด่นไปเลย จะได้ตอกหน้าคนอื่นที่มาล้อเลียนได้’


     ความคิดเห็นทั้งในแง่ลบ แง่บวกหรือแม้กระทั่งการเหยียดเพศมีให้เห็นกระจายกันไป บางความคิดเห็นก็ให้รู้สึกราวกับเอาบ้านเขาไปเขียนเพราะหลายครั้งที่พ่อด่าเพศที่สามมากลางโต๊ะอาหารเพียงแค่มีการกล่าวถึงเล็กน้อย ทำเอาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอึดอัดเสมอ ทั้งนี้นอกจากการให้กำลังใจก็มีหลายคำแนะนำที่บอกให้ประพฤติตัวเป็นคนดีเข้าไว้แต่กับอีกหลายความเห็นที่เหมือนจะให้คำแนะนำม่านฟ้ากลับรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

     ‘ลูกชายเราก็เป็นเพศที่สาม ตอนแรกก็ยังไม่ค่อยอยากยอมรับ แต่ตอนนี้มีงานดีๆ ทำ รายได้ก็สูง หาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ ใครที่เคยมาดูถูกลูกเราทำงานสู้ลูกเราไม่ได้สักคน’

     ‘พ่อแม่ที่มีลูกเป็นกะเทย ก็คงต้องทนไปเท่านั้น อย่างไรลูกก็คือลูก แค่ตัวคุณเท่านั้นที่จะเลิกเป็นให้พ่อแม่สบายใจและตายตาหลับได้ไหม’

     ‘การเป็นกะเทยเป็นเรื่องที่พ่อแม่รับไม่ได้อยู่แล้ว เราแค่ต้องมีจุดเด่น เรียนให้เก่งเข้าไว้หรือทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆ ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วคนก็จะยอมรับได้เอง อดทนเข้าไว้’

     ‘คหสต. คือถ้าจะเป็นก็ควรเป็นแอบๆ ไหม จะออกมาเปิดเผยทำไมให้คนอื่นรังเกียจ’

     ‘คนชนะคือคนเขียนประวัติศาสตร์ ไม่ว่าเขาจะทำเลวมาแค่ไหนตราบใดที่ชนะ เขาจะเขียนอย่างไรก็ใดและคนก็พร้อมจะสรรเสริญเขาเยี่ยงวีรบุรุษ ผมว่าเรื่องนี้ก็เหมือนกัน พ่อแม่พร้อมจะมองข้ามเรื่องเพศไปเสมอตราบใดที่คุณประสบความสำเร็จ’


     ม่านฟ้าเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เขาพยายามเมินความคิดเห็นที่ทำให้รู้สึกไม่ดีทิ้งไป แต่บางความเห็นกลับทำให้เขาสงสัยว่าคนพวกนี้ ‘ยอมรับ’ เพศที่สามได้จริงหรือ เพราะมันทำให้เขารู้สึกได้ถึงความกดดันและความคาดหวังบางอย่าง การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเป็นคนดี เป็นคนเก่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมจึงต้องเด่น ต้องเก่ง ต้องประสบความสำเร็จเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับ คนเหล่านี้ทำเหมือนกับว่าการเป็นเพศที่สามคือ ‘ปมด้อย’ ที่ต้องหาเรื่องอื่นมาทดแทน

     เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องนอนที่มีเพียงเสียงพัดลมเป่า กว่าจะรู้ตัวม่านฟ้าก็กดส่งความคิดเห็นของตัวเองลงไปในกระทู้นั้นเสียแล้ว

     ‘เพศที่สามเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้เหรอ ทำไมใครๆ ต้องบอกให้เก่งเหนือคนอื่น การเป็นเพศที่สามไม่ใช่ปมด้อยที่จำเป็นต้องเอาข้อดีด้านอื่นมาปกปิดไม่ใช่เหรอครับ’

     เสียงตะโกนของแม่ดังขึ้นมาจากชั้นล่างทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากข้อความที่เพิ่งพิมพ์ลงไป ม่านฟ้าลุกขึ้นเดินลงไปตามเสียงเรียกเพื่อช่วยแม่ยกของลงจากรถ

     “ทำอะไรอยู่ข้างบนถึงลงมาช้า แล้วเจ้าหมอกไปไหน”

     “มันบอกว่าไปติวหนังสือกับเพื่อน” สองคำถามของคนเป็นแม่ ถูกคนลูกตอบกลับมาแค่คำถามเดียว

     นัชชาเหลือบมองลูกชายคนโตที่ยังคงทำหน้าตาเนือยๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติ ราวกับมีความเครียดและความกังวลใจแสดงผ่านดวงตาออกมา

     “เป็นอะไรรึเปล่า”

     “หืม? เปล่านิ แค่...ง่วงๆ เมื่อกี้นอนอยู่น่ะ” ม่านฟ้าเงยหน้ามาตอบมารดาก่อนก้มหน้าจัดของที่ยกมาจากรถเข้าตู้ รู้ตัวดีว่าผิดศีลข้อสี่แต่ก็ยังทำเฉยต่อไป

     “งั้นจัดของเสร็จออกไปรดน้ำต้นไม้ด้วย จะได้แก้ง่วง เดี๋ยวพ่อกลับมาต้นไม้ตายหมดได้โดยดุกันอีกยกใหญ่”

     ไม่ทันให้คนรับคำสั่งตอบรับหรือปฏิเสธ นัชชาก็เดินตัวปลิวขึ้นชั้นสอง ทิ้งไว้เพียงลูกชายและภารกิจอีกสองอย่างที่ได้รับมอบหมาย ชายหนุ่มถอนหายใจมองข้าวของเครื่องใช้ที่แม่ซื้อมากองอยู่เต็มพื้น แล้วเหลือบมองไปยังแสงแดดที่แผดเผาสนามหญ้าข้างบ้านอย่างโหดร้าย

     หลังเสร็จภารกิจม่านฟ้ากลับขึ้นมาที่ห้องนอนอีกครั้งสวนกับแม่ที่เดินออกมาจากห้องนอนของเขา ร่างสันทัดยืนงงอยู่ชั่วครู่ ยังไม่ทันถามถึงสาเหตุที่มารดาเข้ามาในห้อง นัชชาก็เดินผ่านหน้าเขาไปเสียแล้ว ชายหนุ่มเหลียวกลับไปมองมารดาอีกครั้งแต่ก็คร้านจะซักไซ้เอาความ หากแม่คิดจะบอกอะไรคงพูดออกมาเองแล้ว

     เจ้าของห้องเดินกลับมานั่งที่โต๊ะซึ่งเปิดโน้ตบุ๊กค้างเอาไว้ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าได้เขียนแสดงความเห็นลงไปอย่างเผลอตัวทั้งที่ปกติเขาไม่ค่อยชอบแสดงความเห็นในกระทู้เหล่านี้ เขียนดีก็ดีไป เขียนไม่ดีก็โดนดราม่าใส่เสียเปล่า แต่ขณะที่กำลังคิดจะปิดโน้ตบุ๊กเพื่อล้มตัวนอน ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ทำให้เขายิ้มออกมาและไม่คิดจะถามถึงเหตุผลที่มารดาเข้ามาในห้องอีก

     ต่อจากความคิดเห็นของม่านฟ้าที่พิมพ์ลงไป กลับมีอีกความเห็นหนึ่งแสดงออกมาด้วยชื่อแอคเคาท์ของเขา

     ‘พ่อแม่คือบุคคลที่ให้ชีวิต การให้ชีวิตไม่ได้หมายถึงเพียงการให้กำเนิดแต่หมายถึงการให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการ เราแค่คอยดูแลให้เขามีความสุข ไม่ทำร้ายตัวเองและคนอื่นก็พอค่ะ อย่ากดดันเขาด้วยเพศที่เขาจะต้องเป็นเลย #ยืมแอคเคาท์ลูกมาใช้ค่ะ’

     เอาเถอะ สังคมจะมองอย่างไรก็ช่าง ขอแค่มีคนในครอบครัวที่พร้อมจะเป็นที่พักพิงให้กันก็พอแล้ว



     TBC
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 6 (18.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 18-07-2020 14:14:29
บทที่ 6

     ภูหมอกเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่งแถมยังว่านอนสอนง่าย จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกชายคนเล็กคนนี้เป็นความหวังและความภาคภูมิใจของผู้เป็นพ่ออย่างนภดล เขาไม่ได้ตั้งเป้าว่าลูกจะต้องเป็นหมอ เป็นวิศวะฯ เท่านั้นจึงจะพอใจ เขาเพียงแต่ต้องการให้ลูกเรียนในสายอาชีพที่มีความมั่นคง จบมามีงานทำ ไม่ใช่ไขว่คว้าจะเรียนแต่สิ่งที่ชอบโดยไม่มองว่าจะมีอนาคตหรือไม่ และเป็นอีกหนึ่งโชคดีของเขาที่ภูหมอกตั้งเป้าจะเรียนหมอ ไม่ใช่คณะที่ยังเห็นอนาคตไม่ชัดเจนอย่างที่ม่านฟ้าเลือก

     เขามีลูกชายสองคน ทั้งที่โตจนเข้ามหาลัยไปคนหนึ่งและอีกคนก็อยู่ม.6 แล้วแต่ก็ยังให้นอนห้องเดียวกัน นภดลเคยมีความคิดที่จะต่อเติมบ้านแยกห้องนอนของใครของมันแต่ก็ถูกเลื่อนแผนการออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเหตุผลต่างๆ จนกระทั่งลูกชายคนโตเข้ามหาลัยและย้ายไปอยู่หอพักในเมืองเขาจึงเลื่อนแผนการนั้นออกไปอย่างไม่มีกำหนด

     ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องนอนในเวลาเกือบ 10 โมง วันนี้เป็นวันหยุดเขาจึงตื่นสายกว่าปกติ ขณะกำลังจะเดินลงบันไดก็อดมองไปที่ห้องของลูกชายทั้งสองไม่ได้ ช่วงนี้เจ้าพวกนั้นชอบทำตัวเหมือนมีความลับ ไม่ยอมให้เข้าห้องนอนและมักจะส่งสายตาหรือคุยซุบซิบกันบ่อยครั้ง แม้ภรรยาของเขาจะบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นแต่ยังอดระแวงไม่ได้ ทั้งที่ปกติเขาก็ไม่เคยระแวงจนกระทั่งวันนั้น… วันที่เขาเจอกระปุกครีมในห้องของม่านฟ้าและภูหมอก

     เนื่องด้วยหน้าที่การงานทำให้นภดลไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านเท่าไหร่ หลายครั้งที่มักมีเพื่อนบ้านที่ห่วงใยและ ‘เดือดร้อนแทน’ ในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะคุณเดือนที่อยู่บ้านติดกัน หลังจากบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันแล้วก็เกิดประโยคนี้ขึ้นมา

    ‘ได้ยินข่าวรึเปล่าคะ บ้านท้ายซอย 5 น่ะ เหมือนว่าเพิ่งจับได้ว่าลูกชายเป็นตุ๊ด ตอนแรกก็เห็นเป็นเด็กเงียบๆ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ สงสัยคงปิดพ่อแม่มานานแล้ว ทะเลาะกันเรื่องราวใหญ่โต ได้ยินกันไปทั้งซอย เจ้าเมฆกับเจ้าหมอกก็ออกจะเงียบๆ เก็บตัวกันเสียด้วย คุณนภก็ต้องระวังเรื่องลูกชายไว้บ้างนะคะ’

     เรื่องที่ว่าลูกชายจะเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ นภดลไม่เคยมีความคิดเรื่องนี้อยู่ในหัวเพราะเขากีดกันและแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับเรื่องเหล่านี้ แต่เรื่องที่คุณเดือนพูดว่าลูกชายของเขามักเก็บตัวเงียบนั้นก็จริง จึงทำให้เขาอดกังวลไม่ได้ ใช่จะไม่รู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มโตมาภูหมอกเก็บตัวมากขึ้น ไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน วันนั้นเขาจึงเข้าไปในห้องนอนของลูก และสิ่งที่เห็นทำให้คำพูดของคุณเดือนลั่นเข้ามาในหัว

    ‘... คุณนภก็ต้องระวังเรื่องลูกชายไว้บ้างนะคะ’

     ขณะนั้นความโกรธแล่นริ้วขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาไม่ชอบผู้ชายที่ทำตัวสำอาง เขาเชื่อว่าการที่ผู้ชายทำตัวสำอางอย่างทาแป้ง ทาครีม หรือเรื่องมากในการแต่งตัวเป็นสัญญาณการบ่งบอกว่าคนนั้นเริ่มมีอาการเบี่ยงเบนทางเพศ คำตอบที่ได้รับจากภูหมอกแม้ทำให้เขาอารมณ์เย็นขึ้น แต่ความระแวงใจเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถทำให้หายไปได้โดยง่าย ภูหมอกไม่ได้มีอาการอย่างเพศที่สามที่เขาเคยเห็นแต่ก็พอจับอาการตระหนกได้จากใบหน้าที่พยายามแสร้งทำเป็นปกติ

     หรือว่า… จะเป็นของม่านฟ้า ลูกชายคนโตของเขาเพิ่งจะกลับบ้านมาอาทิตย์ก่อนหน้าอาจจะลืมไว้ก็เป็นได้

     ยิ่งช่วงนี้ม่านฟ้าชอบเถียงกับเขาเวลาที่พูดถึงพวกผิดเพศราวกับจะออกตัวปกป้อง บวกกับไม่ยอมให้เข้าไปยุ่งกับห้องนอนเหมือนซ่อนบางอย่างไว้

     ทั้งที่ไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายมากไปกว่านี้ แต่สมองกลับหยุดนำเหตุการณ์ต่างๆ มาผสมรวมกันจนอดไม่ได้ที่จะแคลงใจ ประมุขของบ้านเดินลงมาถึงชั้นล่างก่อนขมวดคิ้วอย่างงุนงงเมื่อไม่เห็นสมาชิกในครอบครัวคนใดทั้งบริเวณของห้องครัวและห้องนั่งเล่น เดินไปเกือบถึงเฉลียงหน้าบ้านก็ยังไม่มีวี่แววของผู้ร่วมอาศัยคนอื่น จึงขยับมือกดโทรศัพท์ที่ถือติดมาต่อสายหาภรรยาอย่างรวดเร็ว

     “ไปไหนกันหมด” ทันทีที่เสียงรอสายหยุดลง นภดลก็กรอกสายถามกลับไป

     “อ๋อ เจ้าหมอกออกไปติวหนังสือกับเพื่อนค่ะ ส่วนแม่กำลังจะไปทำบุญที่วัดเลยลากเจ้าเมฆมาเป็นคนขับรถให้ เห็นพ่อพักอยู่เลยไม่อยากกวน นานๆ จะมีวันหยุดเสียที” เสียงของภรรยาตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล “เอ๊ แม่ให้เจ้าเมฆเขียนโพสต์อิทบอกไว้แล้วนิ เมฆไม่ได้เขียนตามที่แม่สั่งเหรอ” ประโยคหลังเหมือนหันไปถามลูกชายมากกว่าจะพูดกับเขา

     “อืมเห็นแล้ว” นภดลเหลือบไปมองโพสต์อิทที่แปะอยู่ข้างตู้เย็นด้วยลายมือของลูกชายคนโต

     “แล้วพ่อมีอะไรรึเปล่า หรือจะไปด้วยกันไหม แม่เพิ่งจะถึงหน้าหมู่บ้านนี่เอง กลับไปรับแป๊บเดียว”

     “ไม่เป็นไร แม่ไปเถอะ แล้ว… จะกลับประมาณกี่โมงล่ะ”

     “คงสักบ่ายๆ เกือบเย็นนั่นแหละ”

     “อืม ไม่มีอะไรแล้ว บอกเจ้าเมฆขับรถดีๆ ล่ะ” นภดลวางสายจากภรรยา พยายามบอกตัวเองให้เลิกคิด เลิกแคลงใจ แต่เมื่อสถานการณ์เป็นใจเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาคิดขึ้นมาคือโอกาสในการเข้าไปในห้องของลูกชายที่ไม่อยู่บ้านทั้งสองคนอีกครั้ง

     เพื่อเขาจะได้เลิกสงสัยถึงสิ่งที่เด็กๆ ซ่อนเอาไว้ในห้องเสียที

     ----

     “พ่อว่าอะไรแม่”

     ทันทีที่แม่วางสายจากพ่อ ม่านฟ้าก็รีบถามอย่างคนระแวง บางครั้งเขาก็เกลียดที่ตัวเองต้องมารู้ความลับของภูหมอกเช่นนี้ ยิ่งหลังจากที่น้องเล่าให้ฟังเรื่องที่พ่อเจอครีมในห้องจนอาละวาดยกใหญ่ เขาก็รู้ว่าชักทำตัวกระวนกระวายเหมือนมีชนักติดหลังทุกครั้งเวลาพ่อเข้าใกล้ห้องของพวกเขา หากไม่ใช่เพราะไม่รู้มาก่อนว่าภูหมอกจะออกไปข้างนอกวันนี้ เขาไม่มีทางรับปากไปวัดและปล่อยให้พ่ออยู่บ้านคนเดียวแน่นอน

     “แค่ถามว่าไปไหน แล้วจะกลับกี่โมงแค่นั้น” เมื่อแม่ตอบออกมา ม่านฟ้าก็พยายามเก็บความร้อนรนเอาไว้ในใจ ไม่อยากคิดสิ่งใดในแง่ลบ ภาวนาขอให้พวกเขาไม่ซวยถึงขนาดทำบุญกลับมาเจอพ่อทำหน้ายักษ์ถือเครื่องสำอางที่ค้นเจอในห้องของภูหมอก

     “แต่แปลกดี ตอนแรกที่โทรมาแม่นึกว่าพ่อจะบ่นนิดหน่อยที่ออกมาโดยไม่บอกแต่กลับนิ่งอย่างกับคิดอะไรอยู่ เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้วอยากอยู่คนเดียว จะแอบนัดสาวที่ไหนมาบ้านรึเปล่าเนี่ย”

     ประโยคหลังแม่พูดขำๆ แต่คนขับรถจำเป็นเวลานี้กลับไม่ขำไปด้วย เขาตัดสินใจกลับรถตั้งแต่ยังฟังไม่จบประโยคดี ไม่สนใจเสียงโวยวายถามเหตุผลของคนเป็นแม่ ลางสังหรณ์ของม่านฟ้าบอกตัวเองว่า พ่ออาจใช้โอกาสนี้ในการเข้าไปในห้องของพวกเขาก็เป็นได้ นึกแค้นน้องชายในใจที่ทำให้เขาจะเป็นบ้าอยู่ทุกเวลาแบบนี้

     "ไหนๆ ก็ซื้อลังที่มีกุญแจมาแล้ว มึงก็เก็บของมึงเข้าลังไปให้หมด พอจะใช้ค่อยไขออกมา มึงกับกูจะได้เลิกระแวงกลัวใครจะเข้ามาในห้องซะที"

     บทสนทนาในวันหนึ่งที่เขาคุยกับภูหมอกหลังซื้อลังมาเพื่อใส่ทั้งเครื่องสำอางและเครื่องประดับทั้งหลายของเจ้าตัวดังขึ้นมาในหัว ส่วนพวกเสื้อผ้าโชคดีที่เอาไปฝากไว้ที่ตู้เสื้อผ้าของแม่แล้วจึงไม่น่ามีปัญหา และ ‘ใคร’ ที่กลัวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พ่อของพวกเขานี่แหละ

    “ของอย่างอื่นหมอกก็เก็บเข้าไปหมดแล้ว ขอแค่ครีม แป้ง แล้วก็ลิปมันนะ เพราะถ้าจะใช้แต่ละครั้งต้องเอาออกจากลังตลอดมันลำบากอ่ะ”

     “งั้นมึงก็เอาติดตัวมึงเวลาไปไหนมาไหนด้วยเลย กูเบื่อการทำตัวเป็นปู่โสมเฝ้าห้องเต็มทนล่ะ”

     “มันเกะกะน่ะสิ แต่พี่เมฆไม่ต้องห่วง ใช้แล้วหมอกจะซุกไว้ในตู้อย่างดีต่อให้พ่อมาค้นก็ไม่เจอง่ายๆ หรอก”


     ม่านฟ้าอยากจะเชื่อใจคำพูดของน้องชายเหลือเกิน แต่เพราะเมื่อเช้าเขาจำได้ว่าภูหมอกตื่นสายและรีบร้อนออกไปติวกับเพื่อนแค่ไหน ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้ว่า 'ไม่เจอง่ายๆ’ ของภูหมอกนั้นไม่ได้แปลว่า 'ไม่เจอ’

     เขาจอดรถเทียบกับหน้าบ้านหลังหนึ่งในซอยถัดจากบ้านเขาไปหนึ่งซอยเพื่อไม่ให้พ่อสังเกตเห็น แล้ววิ่งลงจากรถไปโดยบอกให้แม่รออยู่ข้างใน ม่านฟ้าเลื่อนประตูรั้วย่องเข้าไปจนถึงตัวบ้าน ชะโงกดูทางหน้าต่างเห็นพ่อนั่งดูข่าวอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เขาเริ่มลังเลด้วยใจหนึ่งบอกตัวเองว่าเขาอาจคิดมากเกินไป แต่อีกใจกลับเชื่อว่าพ่อคงเห็นว่าเขาไปทั้งวันจึงไม่รีบร้อนที่จะขึ้นไปค้นดูในห้อง

     สุดท้ายความหวาดระแวงก็เป็นฝ่ายชนะ ชายหนุ่มวิ่งอ้อมไปที่หลังบ้าน ตัดสินใจเข้ามาเช็กเครื่องสำอางของภูหมอกอย่างเงียบๆ ดีกว่าบอกพ่อว่าลืมของไว้จึงกลับมาเอาเพราะคงไม่พ้นโดนพ่อสงสัยอีกแน่ เขาแง้มประตูตรงลานซักล้างหลังบ้านเพื่อเข้าไปในตัวบ้านก่อนย่องขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบจนถึงห้องนอนตัวเอง

     ดวงตาคู่สวยของม่านฟ้ากวาดมองไปทั่วห้องอย่างรวดเร็วเมื่อไม่พบว่ามีสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อการรักษาความลับวางอยู่ให้สะดุดตาก็ถอนหายใจเฮือก ม่านฟ้าพุ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งเป็นจุดอันตรายอันดับสองแล้วพบกับเครื่องสำอางสองสามชิ้น เขาด่าน้องชายในใจก่อนคว้าของเหล่านั้นขึ้นมา เหลือบมองไปที่ลังใบย่อมซึ่งวางปะปนอยู่กับตั้งหนังสือของภูหมอกอย่างไม่ผิดสังเกต ร่างสันทัดคว้าลังใบนั้นขึ้นมาโดยหวังว่าจะใส่ของทั้งหมดลงไปแต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อมันถูกล็อกกุญแจไว้

    “ถ้าล็อกไว้แล้วก็อย่าลืมเอากุญแจติดตัวไปด้วยล่ะ อุตส่าห์ใส่ลังซ่อนไว้ อย่าโง่วางกุญแจไว้ให้เขาเอามาเปิดง่ายๆล่ะ”

     คำพูดของเขาที่บอกน้องชายไว้ทำให้ม่านฟ้าหงุดหงิดใจแต่ก็พาลใครไม่ได้ ทางเลือกสุดท้ายของเขาในเวลานี้คือการเอาของพวกนี้ติดตัวไปด้วยและออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด เขาไม่อยากเสี่ยงซ่อนเอาไว้ในห้องแม้ลึกแค่ไหนก็ตาม

     เสียงเดินขึ้นบันไดส่งผลให้ม่านฟ้าเสียวสันหลังวาบ เขารีบยัดเครื่องสำอางในมือใส่กระเป๋ากางเกงมองหาทางหนีทีไล่ จังหวะการเดินของคนที่อยู่นอกห้องมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของเขาแต่ยังไม่เปิดเข้ามาราวกับยังลังเลทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในหัวบอกชายหนุ่มให้ใช้โอกาสนี้รีบออกไปจากที่นี่ ร่างสันทัดพุ่งไปที่หน้าต่างฝั่งหนึ่งซึ่งด้านล่างต่อเติมไว้ให้มีหลังคาสำหรับลานซักล้าง

     ม่านฟ้ากลืนน้ำลายเรียกความกล้า ถึงปกติจะบ้าดีเดือดขนาดไหนแต่การกระโดดจากชั้นสองก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกสำหรับเขาสักนิด มือเรียวเอื้อมจับที่ขอบหน้าต่างแล้วปืนออกไปทิ้งตัวเหยียบที่หลังคาชั้นล่างให้เบาที่สุด ขณะที่ยื่นมือออกไปปิดหน้าต่างให้เข้าที่ ยังไม่ทันหันหลังกลับมายืนดีๆ เสียงเปิดประตูห้องของเขาก็ดังขึ้น ม่านฟ้าก้มลงให้หัวต่ำกว่าขอบหน้าต่าง ไถลตัวลงไปให้สุดปลายหลังคาแล้วกลั้นใจกระโดดลงไปในพุ่มไม้

     ความเคลื่อนไหวที่ผ่านหางตาทำให้นภดลหันขวับไปทางหน้าต่างห้องของลูกชาย พุ่มไม้ด้านล่างขยับไหวแรงๆ แวบแรงเขาคิดว่าเป็นแมวหรือหมาข้างบ้านที่หลุดเข้ามา แต่หัวทุยๆ ที่โผล่ออกมาเล็กน้อยทำให้เขามั่นใจ

     จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกชายคนโตของเขาเอง!

     แรงกระโดดที่ลงมาจากที่สูงทำให้ข้อเท้าของม่านฟ้าปวดแปลบ รู้ตัวว่าลงมาผิดท่าแถมยังโดดกิ่งก้านของต้นไม้ข่วนเอาจนต้องยู่หน้า ชายหนุ่มโผล่หัวขึ้นมาจากพุ่มไม้แต่เมื่อเห็นบิดาที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องเขาก็ก้มหัวหลบลงไปอีกครั้ง จังหวะหัวใจเต้นถี่รัวเร็ว เหงื่อกาฬไหลออกมาจนชุ่มเสื้อยืดสีเข้ม แอบมองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องอีกครั้งผ่านพุ่มไม้เห็นบิดาที่มองมาเขม็งก่อนหายไปจากหน้าต่าง

     ฉิบหาย! พ่อเห็นเขาแล้วและต้องออกมาลากคอเขาแน่

     รู้งี้แกล้งเป็นลืมของแล้วเดินเข้าไปแอบเก็บแบบชิวๆ ดีกว่า!

     ชายหนุ่มก่นด่าตัวเองในใจที่เลือกการแอบเข้าบ้านแทนที่จะเข้ามาตรงๆ เขายอมถูกสงสัยดีกว่าถูกจับได้คาหนังคาเขา ไม่สิ คาของกลางที่ไม่ใช่ของเขาซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงตอนนี้

     กว่าจะรู้ตัว ขาของม่านฟ้าก็พาตัวเองออกมานอกรั้วบ้านวิ่งไปตามถนนของหมู่บ้านอย่างไม่รู้ทิศทางทั้งเท้าเปล่า อย่างไรเสียก็ขอหาที่ซ่อนของกลางในกระเป๋าให้ได้ก่อน ส่วนจะหาข้ออ้างกับพ่ออย่างไรเรื่องที่กระโดดลงมาจากหน้าต่างห้องตัวเองค่อยว่ากันอีกที

     ม่านฟ้าต้องด่าตัวเองอีกครั้งที่วิ่งออกมาในเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับรถที่จอดเอาไว้ หันกลับไปมองข้างหลังเห็นร่างของพ่อโผล่ออกมาที่เฉลียงหน้าบ้านก็วิ่งตัดหลบไปอีกซอย ม่านฟ้ายืนละล้าละลังมองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางเอาตัวรอด ขณะนั้นเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นด้านหลัง

     “เห้ย มึง”



     TBC
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 6 (18.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-07-2020 19:37:28
สนุกดีคับ จะคอยติดตามคับ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 7 (25.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 25-07-2020 20:45:29
บทที่ 7

     นภดลวิ่งตามหลังของม่านฟ้าที่เห็นอยู่ไวๆ มาอีกซอย เขากวาดตามองไปทั่วเพื่อหาตัวชายหนุ่ม มั่นใจได้ทันทีตั้งแต่เห็นหัวทุยโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ เจ้าตัวคงแอบกลับมาที่บ้านหลังจากเขาโทรไปหาภรรยาเพื่อมาเอา 'บางอย่าง' ที่ซ่อนไว้ในห้องออกไปก่อนที่เขาจะเข้าไปค้นและเจอเข้า ความโกรธแล่นริ้วขึ้นจนทำให้รู้สึกถึงลมหายใจหนักๆ ของตนเอง ก่อนจะเห็นร่างของลูกชายยืนอยู่อย่างพะว้าพะวังหน้าบ้านหลังถัดไปไม่ไกล

     ร่างสันทัดของม่านฟ้าหันกลับมาแล้วสบเข้ากับสายตาของผู้เป็นบิดาเข้าอย่างจัง ขาของเขาชักถอยหลังโดยอัตโนมัติ ไม่ทันได้หันหลังวิ่งอีกครั้ง เสียงตวาดของผู้เป็นบิดาก็ดังขึ้นจนเขาไม่กล้าขยับไปไหน

     “หยุด!!!”

     ม่านฟ้ากำมือแน่นเมื่อพ่อสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นระส่ำราวกับจะหลุดออกมานอกอก สมองพยายามคิดหาทางแก้ไขต่อไปแต่เหมือนว่าร่างกายจะบอกให้เขายอมแพ้เสียตรงนี้

     “แกซ่อนอะไรไว้” คำถามแรกถูกส่งมาอย่างไม่อ้อมค้อม สายตาของพ่อตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหนที่เขาเคยเจอ มือเรียวคลายออกแล้วยกมือขึ้นสูงแสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดในมือเหมือนคนร้ายที่ยอมจำนน “เปล่านี่ครับ”

     นภดลเดินเข้ามาประชิดตัวลูกชาย มือกร้านจับไปตามเสื้อและกระเป๋ากางเกงเพื่อสำรวจถึงสิ่งที่ซ่อนไว้ เมื่อไม่พบของสิ่งใดนอกจากโทรศัพท์เครื่องเดียวในกระเป๋ากางเกง เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มตาเขม็ง

     “เอาไปซ่อนไว้ที่ไหน เอาออกมา!” ยิ่งไร้วี่แววของ ‘ของกลาง’ ยิ่งเป็นผลให้ชายวัยกลางคนโมโหหนักขึ้นไปกว่าเดิม ขณะเดียวกันจำเลยก็ยังคงให้การปฏิเสธ “ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงพ่อ จะให้เอาอะไรออกมาเล่า”

     “แกวิ่งหนีมาขนาดนี้ แถมโดดลงมาจากหน้าต่างอีกจะบอกว่าไม่มีอะไรได้ยังไง แกเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้วมากกว่า!!”

     ม่านฟ้าอยากจะเอ่ยคำแก้ตัวอะไรออกไปแต่ก็อับจนคำพูดขึ้นมาเสียเฉยๆ เขากลืนน้ำลายลงคอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้าพ่อจะตามมาถึงเพียงชั่วครู่



     “เห้ย มึง”

     เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ม่านฟ้าถึงกับสะดุ้ง

     “มาด้อมๆ มองๆ อะไรหน้าบ้านกู”

     ร่างสันทัดรีบหันกลับไปเพื่อพบกับเจ้าของเสียงดังกล่าว เขาทำได้เพียงเบิกตาอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ไอ้บ้า’ ที่มาพูดจาร้ายๆ ใส่น้องเขาจนน้ำตาตกในที่ห้างแถวบ้าน จากคำพูดที่เอ่ยทักเขาเมื่อครู่ประกอบการแต่งตัวเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนแถมสายยางรดน้ำต้นไม้ที่ตกอยู่ไม่ไกลแสดงชัดเจนว่าเป็นผู้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้

     สมองของม่านฟ้ารีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว แม้จังหวะแรกยังมีความลังเลเล็กน้อย แต่เสียงในหัวก็บอกว่าเขาจะมาท่ามากตอนนี้ไม่ได้ มือขาวที่มีแต่ร่องรอยของกิ่งไม้ข่วนจนแดงรีบคว้าเครื่องสำอางในกระเป๋ากางเกงยัดใส่มือคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

     “ฝากหน่อย!”

     “เห้ย! อะไรเนี่ย!” คนรับฝากถึงกับร้องลั่นเมื่ออยู่ๆ ของบางอย่างก็ถูกยัดใส่มือผ่านรั้วบ้านมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาก้มมองของในมือสลับกับมองสารรูปของคนที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตามตัวก็มีแต่รอยข่วนแถมเศษใบไม้ที่เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเจ้าตัวคงต้องไปทำกิจกรรมผาดโผนที่ไหนมาก่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นแต่เสียงที่ถามกลับไปยังเจือความขบขัน

     “มึงไปยกเค้าบ้านใครเขามาแล้วเอาของกลางมายัดใส่กู ให้กูกลายเป็นแพะรึเปล่าเนี่ย”

     “โอย มึงอย่าเพิ่งเล่นตัวตอนนี้ได้ไหม ช่วยกูก่อน กูขอล่ะ” ม่านฟ้าถึงกับชักสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ทั้งที่อยากจะทำหยิ่งใส่แต่ด้วยสถานการณ์ที่บังคับให้ต้องขอความช่วยเหลือจากคนปากหมานี่ แค่นี้เขาก็รู้สึกเสียหน้าพออยู่แล้ว ยังจะต้องมาเจอมันกวนให้เสียอารมณ์ขึ้นไปอีก

     จนเมื่อคนปากหมายอมรับของฝากแต่โดยดี ม่านฟ้าก็โบกมือไล่ให้เจ้าตัวรีบเข้าไปซ่อนตัวเพื่อที่พ่อของเขาจะได้ไม่สังเกตเห็นว่าเขาฝากของไว้กับใครก่อนจะหันหลังวิ่งออกมา




     “ม่านฟ้า!!! พ่อถามว่าเอาไปไว้ที่ไหน เอาออกมา!” เสียงตวาดของผู้เป็นบิดาดึงเจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์ความคิด เขาก้มหน้าลงมองพื้นไม่ยอมพูดอะไร เหงื่อที่แห้งไปบ้างแล้วเริ่มซึมชื้นขึ้นที่ไรผมอีกครั้ง “หรือว่าฝากคนแถวนี้เอาไว้”

     ชายวัยกลางคนจ้องลูกชายที่เอาแต่ก้มหน้า เม้มปากแน่นราวกับกลัวคำพูดใดจะหลุดออกจากปาก สายตาของม่านฟ้าลอกแลกไปมาแต่กลับมองไปที่หน้าบ้านหลังหนึ่งบ่อยๆ จนเขาสังเกตได้ นภดลเลื่อนสายตามองตามไปจนพบสิ่งผิดปกติบางอย่างที่วางแอบอยู่ในกระถางต้นไม้หน้าบ้านหลังนั้น เร็วเท่าความคิดชายวัยกลางคนพุ่งเข้าไปเพื่อไขข้อสงสัย จังหวะเดียวกับที่ม่านฟ้าเห็นการเคลื่อนไหวของพ่อและพุ่งตัวไปคว้าสิ่งนั้นไว้เช่นกัน

     คนที่ถึงก่อนคือผู้เป็นบิดา นภดลรีบพลิกฝ่ามือเพื่อดูของกลางที่ลูกชายตัวดีพยายามซ่อนไว้จนถึงกับยอมกระโดดลงมาจากชั้นสอง

     ‘Marlboro’

     ซองบุหรี่สีดำขลิบเขียวคือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในมือ

     นภดลชะงักไปครู่หนึ่งก่อนหันขวับไปมองม่านฟ้าที่เบิกตากว้างอย่างคนตกใจ ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วซีดเผือดลงกว่าเดิม ชายหนุ่มละล่ำละลักพยายามอธิบายกับเขาด้วยสีหน้าเหยเก

     “พ่อ คือ.. เมฆ… เมฆแค่อยากลองดู แต่เมฆไม่ได้ติดนะ แค่เวลาที่เครียดๆ หรือไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้างนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เมื่อพูดออกไปแล้วแต่มีเพียงความเงียบตอบกลับมา ม่านฟ้าก็หลับตาเข้าใจว่าพ่อไม่ต้องการคำอธิบายใดนอกจาก..

     “ขอโทษครับ”

     ผู้เป็นพ่อยืนมองลูกชายที่พนมมือไหว้เขาอยู่ตรงหน้า ความจริงคือเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอสิ่งนี้ เขามัวแต่กังวลเรื่องคำพูดของคุณเดือนที่เป่าหูว่าลูกชายเขาอาจเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว ดังนั้นเขาจึงเดาว่าของที่ม่านฟ้าพยายามซ่อนไว้น่าจะเป็นเครื่องสำอางหรือไม่ก็เครื่องประดับ การที่เขามาพบว่าสิ่งที่ซ่อนไว้คือ 'ซองบุหรี่' จึงทำให้เขางุนงงไม่น้อย แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมลูกชายจึงไม่อยากให้เขาเห็น

     น่าแปลกที่เมื่อเขาพบว่าของกลางที่วิ่งไล่ล่ากันมาแต่เช้าคือบุหรี่กลับไม่ทำให้นภดลโมโหนัก อาจมีกังวลใจบ้างแต่ก็เป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นที่อยากรู้อยากลอง อย่างน้อยก็ดีกว่าการที่เขาจะพบว่าลูกชายซ่อนเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าผู้หญิงเอาไว้เพราะเขาคงทำใจไม่ได้แน่

     เสียงถอนหายใจของคนเป็นพ่อดังขึ้นแต่กลับไม่มีเสียงโวยวายหรือตวาดด่าอย่างที่ม่านฟ้านึกกลัว ทำให้เขากล้าที่จะลืมตาขึ้นมามองผู้เป็นพ่อ หลังจากนั้นพ่อก็ลากเขากลับมาคุยที่บ้านเกี่ยวกับเรื่องที่ ‘คิดว่า’ เขาแอบสูบบุหรี่



     “เดี๋ยวมึง!”

     ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินออกมา ชายหนุ่มที่รับ 'ของฝาก' เอาไว้อย่างจำใจกลับเรียกขึ้นมาเสียก่อน

     “เอานี่ไป” ซองขนาดประมาณฝ่ามือถูกโยนมาให้เขาตะครุบเอาไว้ “ถ้ามึงออกไปตัวเปล่า พ่อมึงที่ตามมาก็ต้องสงสัยแน่ว่ามึงเอาไปซ่อนไว้แล้ว เอานี่ติดตัวไปด้วย เผื่อได้ใช้”



     ม่านฟ้านึกขอบคุณไอ้บ้านั่นในใจที่ทำให้อย่างน้อยเขาก็รอดพ้นสถานการณ์ต่างๆ มาได้โดยที่ความลับของน้องชายยังไม่แตก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในใจกลับรู้สึกสะท้อนใจที่พ่อแทบไม่ว่าอะไรเมื่อพบว่าลูกชายสูบบุหรี่ แต่กลับด่าเสียๆ หายๆ เมื่อคิดว่าลูกเป็นกะเทย มันทำให้เขาสงสัยนักว่าทำไมพ่อถึงยึดติดกับ ‘เพศ’ ของลูกมากกว่าที่ ‘พฤติกรรม’ ของเขา

     ----

     หลังจากกลับถึงบ้านและโดนพ่อเรียกคุยเรื่องการใช้บุหรี่ในปริมาณที่พอเหมาะ ม่านฟ้าก็เพิ่งสังเกตว่ารถมาจอดอยู่ที่บ้านแล้ว เขามองซ้ายมองขวาเห็นมารดาเดินลงมาจากบันได สีหน้าของมารดาดูตกใจเมื่อเห็นสภาพของเขา แต่ก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้

     “ไปไหนกันมา พ่อลูก แม่ตกใจหมด” นัชชาพยายามมองสำรวจไปตามร่างกายของลูกชาย ถึงจะมอมแมมไปบ้างแต่การที่ยังนั่งทำหน้าตาเอื่อยเฉื่อยแบบนี้ได้ แสดงว่าคงไม่มีอะไรแตกหัก จึงวางแผนไล่สามีไปเพื่อจะได้สอบสวนลูกชายอย่างเต็มที่

     “เหงื่อซกเชียวพ่อ ไปอาบน้ำก่อนไหม”

     “อืม ดูเจ้าลูกชายของแม่ด้วย ซ่านัก กระโดดลงมาจากชั้นสอง แข้งขาไม่หักก็บุญแล้ว”

     หญิงวัยกลางคนเบิกตาโตปราดมานั่งข้างลูกชายทันที จนเมื่อสามีขึ้นไปบนห้องนอนเรียบร้อย เธอก็มาซักไซ้เอาความจากลูกชายต่อ ม่านฟ้าเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้แม่ฟังด้วยเสียงกระซิบ

     “เราบอกความจริงพ่อไปเลยดีกว่าไหมเมฆ แม่ว่ายิ่งเราโกหกอย่างหนึ่ง เราก็ต้องโกหกอีกอย่างต่อไปเรื่อยๆ แล้วยังต้องมาระแวงแบบนี้อีก แม่ว่าสิ่งที่หมอกเป็นก็คงเก็บไว้ไม่ได้ตลอด สักวันพ่อก็ต้องรู้”

     เมื่อเห็นมารดาพูดออกมาอย่างอึดอัดใจ ม่านฟ้าก็อดถอนหายใจไปด้วยไม่ได้ ใช่ว่าเขาไม่คิดเรื่องบอกความจริงกับพ่อ ยิ่งนานวันเข้าเขายิ่งอยากบอกไปให้จบๆ แต่ทำได้เพียงบอกตัวเองให้อดทน อีกแค่ปีเดียวภูหมอกก็จะเข้ามหาลัย น้องชายของเขาคาดหวังไว้กับไว้กับการสอบเข้าหมอมาก ม่านฟ้าไม่อยากให้มีสิ่งใดมารบกวนสภาพจิตใจของน้อง ไม่นับทางกายภาพที่อาจโดนพ่อทำร้ายหรือถึงขั้นไล่ออกจากบ้าน หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

     “อย่าเพิ่งเลยแม่ อดทนอีกนิดเถอะ”

     หรือเหตุผลที่แท้จริงของการปิดบังนี้ อาจเป็นเพียงเพราะ… เขาขี้ขลาดเกินไปก็ได้

     ----

     หนึ่งอาทิตย์หลังจากเหตุการณ์ระทึกใจผ่านไป ม่านฟ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ภูหมอกฟังพร้อมยื่นคำขาดให้เก็บทุกอย่างลงไปในลัง ห้ามโวยวาย ถ้าแค่เอาออกจากลังมาใช้แล้วลำบากก็ไม่ต้องใช้ อยู่แค่มอปลายแรดจะแต่งหน้าก็อย่าสร้างปัญหาเพิ่ม และอีกสารพัดคำบ่นที่ร่ายยาวตั้งแต่เช้าจรดเย็น

     ม่านฟ้าไปเอาของที่ฝากไว้คืนมาจาก ‘พีท’ หรือ ‘พิธาน’ แล้ว ซึ่งหลังจากที่พิธานยอมคุยกันดีๆ แบบไม่มีคำพูดกวนประสาทมาให้ระคายหู พิธานก็ได้เลื่อนตำแหน่งจาก ‘ไอ้บ้าปากหมา’ มาเป็น ‘ผู้ช่วยชีวิต’ โดยไม่รู้ตัว

     “กูก็บอกแล้วว่าจำไม่ได้ๆ มึงงอแงกับกูมากกว่านี้ก็ใช่ว่าจะทำให้กูจำได้นะ”

     เสียงม่านฟ้าบ่นน้องชายดังขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ภูหมอกกำลังประสบปัญหาที่เด็กม.6 หลายคนต้องเผชิญคือการอ่านหนังสือไม่ทัน ยิ่งกับภูหมอกที่จะสอบเข้าคณะแพทย์ฯ วิชาที่ต้องใช้ยื่นคะแนนจึงมีหลายวิชา นอกจากนี้ถึงเด็กหนุ่มจะเป็นคนหัวดีแต่การสอนที่โรงเรียนบางทีก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจจนไปสอบแข่งขันได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ภูหมอกมางอแงขอให้เขาอธิบายโจทย์คณิตศาสตร์ให้ฟังโดยบอกว่าเขาเองก็เรียนสายวิทย์มาน่าจะจำได้บ้าง

     “กูบอกให้ไปเรียนพิเศษกับเพื่อนมึง มึงก็ไม่เอา อ้างนู่นอ้างนี่ พอเวลาทำไม่ได้จริงๆ แล้วเสือกมาถามกูอีก”

     “ก็เรียนพิเศษมันต้องนั่งไปเรียนไกลอ่ะ พี่เมฆก็รู้ แถมครูสอนพิเศษที่เพื่อนไปเรียนกันก็เกลียดตุ๊ดอย่างกับอะไรดี หมอกเคยไปนั่งรอเพื่อนได้ยินแว่วๆ ยังโมโหเลย ให้ไปเรียนกับคนแบบนั้นไม่ไหวหรอก”

     “แล้วยังไง จะเอายังไง กูบอกแล้วไทย อังกฤษ สังคมกูพอช่วยติวให้มึงได้ แต่วิชาอื่นอย่ามายุ่งกับกู กูจบมาได้ก็บุญแล้ว ก็รู้ว่ากูโดนบังคับเรียนสายวิทย์ยังจะมาให้กูสอนอีก” ประโยคสุดท้ายม่านฟ้าพึมพำเบาๆ พร้อมคำสบถใส่น้องชาย

     “แล้ว… มีเพื่อนพี่เมฆคนไหนพอจะช่วยสอนหมอกได้ไหมอ่ะ” หลังจากโดนพี่ชายด่าจนหน้างอไปสักพัก ภูหมอกก็พูดขึ้นมาอีกครั้งอย่างเกรงๆ อยากจะขอให้เพื่อนช่วยอยู่เหมือนกัน แต่เพื่อนเขาก็กำลังอ่านหนังสือกันอย่างหนัก เขาเองจึงไม่อยากรบกวนนัก

     “เพื่อนกูแต่ละคนบ้านแม่งก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ไหมล่ะ ไกลกว่าที่เรียนพิเศษมึงอีก” เพื่อนที่ม่านฟ้ากล่าวถึงคือเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยม เพราะเพื่อนที่มหาลัยไม่มีใครเรียนสายวิทย์มาเลยสักคนเดียว แต่เมื่อเห็นหน้าที่ยิ่งง้ำลงไปของน้องชาย พี่ชายก็จำใจเสนอทางเลือกสุดท้าย “...มีไอพีทอ่ะ เอาไหม”

     “พีทไหน” ภูหมอกถามอย่างเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดี เพราะชื่อที่ได้ยินดันตรงกับคนที่พี่ชายเพิ่งเล่าให้ฟังว่าเคยฝากของเอาไว้

     “ก็ไอพีทที่เคยเจอที่ห้างแล้วกูไปฝากของไว้อ่ะ มันเรียนวิศวะฯ อาจจะพอช่วยได้”

     “ไม่มีทาง!!! หมอกเกลียดเขา!” ถึงจะช่วยให้รอดมาได้ แต่ยังไงก็ไม่คิดจะญาติดีกับคนปากเสียแบบนั้นเด็ดขาด แค่พี่ชายเขาใจง่ายยอมไปขอบคุณที่ช่วยไว้แค่นั้นก็มากพอแล้ว เขายังแอบหวั่นว่าคนแบบนี้จะเอาเรื่องของเขาไปแบล็กเมล์กับพ่อหรือเปล่าด้วยซ้ำ

     “เกลียดอะไรมักจะได้แบบนั้นนะ ระวังเถอะ” หนุ่มอักษรฯ เหลือบมองน้องชายด้วยสีหน้าอ่านไม่ออกและพึมพำกับตัวเอง แต่เพราะอยู่กันสองคน จึงไม่แปลกที่น้องชายจะได้ยินด้วย

     “พี่เมฆ!!! ถึงหมอกจะเป็นตุ๊ดหรือชอบผู้ชายแต่ก็ไม่ตาต่ำถึงขนาดเอาผู้ชายอย่างหมอนั่นมาเป็นแฟนหรอกนะ” ภูหมอกตะโกนใส่พี่ชายจนม่านฟ้าถึงกับสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเริ่มไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเมื่อเห็นน้องชายองค์ลง พูดตอบกลับไปเสียงเบา

     “กูก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น”

     “แล้วหมายความว่ายังไง”

     “... ก็เปล่า” เมื่อน้องชายยังไม่ยอมเลิกราแถมซักไซ้ไม่หยุด คนพี่จึงทำได้แค่รีบบอกปัดไป “เออๆ ตกลงไม่เอาใช่ไหม ไม่เอาก็ไม่เอาดิ กูก็แค่เสนอไหม โวยกูทำไมเนี่ย”

     ภูหมอกยังทำหน้าตาบึ้งตึงแม้พี่ชายจะเดินหนีไปแล้ว บางครั้งเขาก็เบื่อที่ม่านฟ้าเป็นคนเอื่อยขนาดยังทำเฉยกับคนที่เคยล้อเลียนและปากเสียกับพวกเขาได้ถึงเพียงนี้ เด็กหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าอย่างไรเสียเขาก็จะไม่ยอมเป็นมิตรกับคนแบบนี้เด็ดขาด



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 7 (25.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-07-2020 00:18:18
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 7 (25.07.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-07-2020 15:59:40
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 8 (01.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 01-08-2020 20:05:33
บทที่ 8

     ‘แล้วเป็นอย่างไร คนใกล้ตายไม่มีทางเลือกให้เล่นตัวได้หรอกนะ’

     ม่านฟ้าคิดถึงคำนี้ขึ้นมาหลังนั่งมองน้องชายต่อล้อต่อเถียงอยู่กับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เหลืออีกเกือบ 5 เดือนก่อนภูหมอกจะต้องสอบเข้ามหาลัย แม้จะดูนานแต่สำหรับเด็กเตรียมตัวเอ็นทรานซ์มันสั้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลานั้นมาย่อมรู้ดี และสุดท้ายภูหมอกก็ต้องยอมให้เขาไปคุยกับพิธานเพื่อมาช่วยสอนพิเศษให้

     ถ้าว่ากันตามตรง พิธานก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวทีเดียวสำหรับการมาเป็นครูสอนพิเศษให้ภูหมอก เพราะเจ้าตัวก็ยังเก็บหนังสือติวสมัยเอ็นทรานซ์ไว้แถมบ้านยังใกล้ขนาดเดินมาได้ แม้จะไม่ใช่คนสอนเก่งแถมกวนประสาทน้องเขาไม่เลิกแต่ก็ยังตอบคำถามหรือทำโจทย์ที่เขาไม่คิดแม้แต่จะอ่านคำสั่งได้

     “พี่พีทปากเสียขนาดนี้ต้องมีแต่คนเกลียดแน่ๆ เชื่อเลยว่าคนอย่างพี่พีทต้องไม่มีแฟนชัวร์”

     “ปากเสียอะไรกูแค่บอกให้มึงเลิกกระดุ๊กกระดิ๊กเหมือนเด็กสมาธิสั้นแค่นั้นเอง แล้วขอบอกว่าอย่างกูก็มีแฟนเหอะ น่ารักด้วย” ถึงจะเพิ่งทะเลาะกันเรื่องที่เขาชอบปากเสียจนหวุดหวิดจะเลิกกันอยู่รอมร่อก็เถอะ พิธานต่อประโยคหลังในใจแล้ว

     หนุ่มอักษรฯ เหลือบมองนักเรียนกับติวเตอร์ที่ก็เรียนด้วยกันมาเกือบสองเดือนแล้วแต่ก็ยังตีกันไม่เลิก ไม่สิ ถ้าเอาจริงๆ คงต้องบอกว่าน้องเขายังกัดพิธานไม่เลิก ขณะที่พิธานก็กวนประสาทภูหมอกไม่เลิกเหมือนกัน จนม่านฟ้าอยากย้ายตัวเองไปนั่งตรงอื่นให้พ้นจากความวุ่นวาย ติดก็แต่ภูหมอกขอไว้ให้นั่งอยู่ด้วยกันเพราะไม่อยากอยู่กับพิธานสองต่อสอง

     “นั่นแหละที่เรียกว่าปากเสีย ปากไม่ดี ตอนเจอหมอกกับพี่เมฆที่ห้างก็เหมือนกัน รู้จักกันหรือก็เปล่า ยังเข้ามาทักมาแซว แถมพูดจาไม่ดีอีก” ภูหมอกยู่หน้ายามที่พิธานอวดแฟนอย่างน่าหมั่นไส้แสดงสีหน้าบ่งบอกความไม่เชื่อออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็ยังกัดไม่ปล่อย เถียงตอบกลับไปอีกรอบ

     “เลิกทะเลาะกันทีดิ รำคาญ” เสียงม่านฟ้าดังขึ้นมาแทรกการโต้เถียงราวกับเด็กตีกัน

     “พี่เมฆดูพี่พีทดิ ว่าหมอกอ่ะ ชอบปากเสียด้วย ทำไมพี่เมฆไม่ว่าพี่พีทบ้าง” ประโยคหลังภูหมอกหันมาทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่คนเป็นพี่จนอดหมั่นไส้อยากด่าสักทีไม่ได้

     “เรื่องตอนนั้นกูก็เคยด่ามันไปแล้ว ด่าทีเดียวจบ ไม่อยากขุดเรื่องเก่ามาด่าซ้ำ”

     อีกหนึ่งพฤติกรรมการด่าของม่านฟ้าคือเจ้าตัวจะไม่หยิบเรื่องที่เคยด่าแล้วมาด่าซ้ำอีก อาจเพราะฝังใจเวลาโดนพ่อด่า ไม่ว่าเรื่องใหม่ที่ทำผิดจะเป็นอย่างไร จะเกี่ยวกันหรือไม่ พ่อจะขุดเรื่องเก่าออกมาด่ารวมกันอีกรอบ ไม่ว่าจะเป็นความผิดตอนเด็กแค่ไหน หรือความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจอันเกิดจากความประมาท รวมถึงความผิดที่เคยทำและปรับปรุงตัวแล้วก็ยังโดนเหมารวมมาทีเดียว

     ม่านฟ้าจึงถือคติที่ว่าเรื่องอะไรที่ด่าไปแล้วนั่นคือจบแล้วให้โอกาสไปปรับปรุงตัว ไม่ซ้ำเติมอะไรกันอีก แต่หากยังไม่เลิกทำผิดก็อาจต้องพิจารณาการด่าชุดที่ใหญ่กว่าเดิมและเพิ่มเติมบทลงโทษเข้าไปด้วย อย่างกรณีของพิธานตอนนี้แม้จะปากเสียอยู่นิดหน่อยก็จริง แต่ถือว่าน้องเขาเองก็ปากไม่ดีอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะปล่อยผ่านกรณีนี้ไปแล้วกัน

     “พี่เมฆจะไปไหน / มึงจะไปไหน”

     สองเสียงประสานดังขึ้นพร้อมกันเมื่อม่านฟ้าคว้ากระเป๋าตังค์ และโทรศัพท์เดินออกไปนอกห้อง

     “ไปซื้อข้าวให้พวกมึงแดกไง แม่ไม่ได้ทำกับข้าวอะไรไว้หรอกนะ”

     “เห้ย นี่มึงจะให้กูกินนอนอยู่ในนี้เลยเหรอว่ะ สงสารกูบ้างเหอะ ปล่อยกูออกไปหาอะไรกินเองบ้างก็ยังดี” เสียงโวยวายคราวนี้มาจากครูสอนพิเศษจำเป็น ใบหน้าคมเข้มของพิธานแสดงออกถึงอาการเบื่อจัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเนื้อหาที่สอนหรือลูกศิษย์ตัวแสบกันแน่

     “ไม่ต้องเลยมึง รับปากว่าจะสอนน้องกูแล้วก็อย่าอู้ แล้วเลิกแหย่น้องกูเสียที ตั้งใจสอนให้มันคุ้มค่าจ้างหน่อย” ม่านฟ้าสบถออกมาอีกครั้ง หลังจบประโยคจึงเดินออกจากห้องไปทิ้งไว้เพียงสองครูศิษย์ที่หันมาแยกเขี้ยวใส่กันอีกหน

     ครั้นเมื่อกลับมาถึงห้องอีกครั้งพร้อมผัดไทยสามกล่อง หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ก็ยังแขวะกันไม่เลิก ม่านฟ้าเห็นน้องชายจดๆ จ้องๆ อยู่กับกล่องอาหารในมือพิธานครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้นมา

     “ทำไมผัดไทยของพี่พีทไม่มีถั่วงอกอ่ะ” พอภูหมอกทัก พิธานก็ชะงักก้มหน้าลงมองผัดไทยในมือตัวเองแล้วพูดออกมาทั้งที่ยังเต็มปาก

     “แม่ค้าลืมใส่มั้ง”

     “โห คนอะไรน่าสงสารจัง ขนาดแม่ค้าที่ไม่รู้จักกันยังเกลียดถึงขนาดไม่ยอมใส่ถั่วงอกมาให้อ่ะคิดดู”

     พิธานที่พยายามอดทนไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเด็กให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ที่ดี อย่างน้อยก็ต่อหน้าม่านฟ้าที่กำลังมองอยู่ แต่ดูเหมือนภูหมอกจะไม่ให้ความร่วมมือสักนิดกลับยั่วโมโหเขามากขึ้นเรื่อย ๆ

     “กูก็ไม่ได้ชอบกินถั่วงอกอยู่แล้วเหอะ เหม็นเขียวจะตาย เขาอาจจะสงสารกูที่ต้องมาเจอเด็กขี้วีนอย่างมึง เลยใจดีไม่ใส่ถั่วงอกให้กูต้องมานั่งเขี่ยอีกไง”

     เสียงทุ่มเถียงยังดังต่อมาเป็นระยะ แม้จะรู้ดีว่าพวกมันไม่ได้ทะเลาะกันเป็นจริงเป็นจัง แค่อยากแหย่กันเล่นเอาความสะใจเท่านั้นแต่ก็สร้างความรำคาญให้คนฟังอย่างม่านฟ้าไม่น้อย จนถึงจุดหนึ่งที่ความอดทนขาดสะบั้นลง

     “พวกมึงเป็นบ้าอะไรกัน! หุบปากทั้งคู่เลยนะ!!”

     ความเงียบปกคลุมห้องนอนเล็กๆ ของสองพี่น้องทันที เสียงที่เคยต่อปากต่อคำกันหยุดชะงักไปเมื่อเห็นคนตัวเล็กที่สุดในห้ององค์ลง มีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ เป็นตัวยืนยันอารมณ์ที่แปรปรวนของเจ้าของห้อง ก่อนม่านฟ้าจะตวัดสายตาจ้องเขม็งไปยังตัวต้นเหตุทั้งสองคน

     “เรียนกันดีๆ สอนกันดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม เดี๋ยวพวกมึงก็ไม่ต้องมานั่งติวกันอยู่แบบนี้แล้ว ทนอีกไม่กี่วันไม่ได้หรือไง” คำพูดของม่านฟ้าทำให้ภูหมอกเงยหน้าขึ้นมาทันควัน เปลี่ยนจากสีหน้างุนงงเป็นตกใจเมื่อคิดถึงเหตุผลในการหยุดสอน ละล่ำละลักถามออกมาปากคอสั่น

     “ทะ- ทำไมอ่ะ มะ- หมอกเป็นเด็กไม่ดีใช่ไหม พี่เมฆ พี่พีท หมอกขอโทษ เห้ย ไม่เอานะ” ภูหมอกมองซ้ายมองขวาสลับไปมาระหว่างครูสอนพิเศษทั้งสองคน “อย่าทิ้งกันกลางทางดิ พี่พีท เพราะหมอกกวนใช่ไหม หมอกขอโทษ อย่าเลิกสอนกันไปอย่างงี้เลย สัญญาว่าจะเป็นเด็กดี นะ”

     เมื่อลูกศิษย์ถึงกับยกมือไหว้ทำตาละห้อย พิธานก็เหลือบไปมองครูสอนพิเศษอีกคนที่ยังทำหน้ามุ่ยไม่เลิกจึงตอบเหตุผลในการหยุดสอนออกมาเอง

     “เปล่า แต่อาทิตย์หน้าพวกกูก็จะเปิดเทอมปีสามกันแล้ว ก็ต้องกลับไปอยู่หอดิ”

     “งั้น งั้นหมอกนั่งรถไปเรียนกับพวกพี่ที่หอได้ไหม เย็นก็กลับมาบ้าน”

     “หมอกกูถามจริงทำไมไม่ไปเรียนพิเศษดีๆ ว่ะ มึงไม่ชอบเรียนกับวิดีโอ ครูสอนติวแบบตัวต่อตัวก็มี ถ้ามึงไม่มีเงินกูให้มึงกู้ก่อนก็ได้” เพราะบ้านเขาพ่อไม่สนับสนุนเรื่องการเรียนพิเศษ ท่านบอกว่าอยากเรียนก็เรียนได้ แต่ก็ให้ใช้เงินเก็บตัวเอง เพราะมองว่าไม่ตั้งใจเรียนในห้องเอง เขาจึงเข้าใจว่าภูหมอกอาจมีเงินเก็บไม่มากพอเนื่องจากเอาไปลงกับเครื่องสำอางหมด ของใช้ต่างๆ ที่แอบซื้อมาก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ

     “ไม่- ไม่ใช่เรื่องนั้น คือ- หมอกไม่กล้าไปเรียนกับคนไม่รู้จักอ่ะ หมอกไม่ชอบ”

     “ไม่ชอบอะไร” พอเห็นท่าทางหงอยๆ ของน้องชาย ม่านฟ้าก็ค่อยมีทีท่าอ่อนลงตามไปด้วย

     “ก่อนที่จะให้พี่พีทมาสอน หมอกเคยไปขอลองเรียนกับครูที่เพื่อนเรียนอยู่ แต่...” ม่านฟ้านึกตามไปถึงครูซึ่งเกลียดเพศที่สามและชอบว่าแรงๆ ที่ภูหมอกเคยเล่าให้ฟัง มองน้องชายที่เบะปากทำตาแดงๆ จนรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

     “... เขาชอบมาแกล้งหมอก ทำท่าเหมือนหมอกจะไปลวนลามเขาบ้าง หรือไม่ก็แกล้งจับนมบ้าง บีบก้นบ้าง...” สุดท้ายภูหมอกที่ถูกพี่ชายกดดันจนสารภาพออกมาปล่อยน้ำตาร่วงลงมาเป็นสาย ใบหน้าขาวกลายเป็นสีแดงจัดจากการร้องไห้ เด็กหนุ่มบีบมือตัวเองแน่น ใบหน้าเหยเกส่ายหัวไปมา “...คนที่เห็นก็มองเป็นเรื่องตลก ไม่มีใครคิดจะช่วยหมอกสักคน เขาตลกกันแต่หมอกไม่ตลกด้วยอะ หมอกโคตรรู้สึกแย่!”

     สิ่งที่ได้ยินทำให้ชายหนุ่มสองคนในห้องถึงกับนิ่งอึ้ง ทั้งตกใจและสะท้อนใจในคราวเดียวกัน ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าผู้ชายหลายคนชอบทำท่าทางรังเกียจเพศที่สามเพราะคิดว่าตัวเองจะโดนลวนลาม แต่ถึงขั้นแกล้งล่วงเกินโดยการจับเนื้อต้องตัวเช่นนี้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการที่มีคนเห็นแต่ไม่เข้าช่วยเหลือ มองเพียงเป็นเรื่องตลก ทั้งที่เรื่องแบบนี้มันคือการล่วงละเมิดทางเพศชัดๆ

     ‘หรือเพราะถูกมองว่าเป็นเพศที่สาม ถึงถูกลวนลามก็ไม่มีใครคิดจะมาปกป้องสิทธิให้’

     “ไอครูกฤตนั่นใช่ไหม ทำไมไม่บอกกู” ม่านฟ้าเหมือนจะตั้งสติได้ก่อนจึงถามออกมาเสียงสั่น

     พิธานไม่แน่ใจว่าเสียงที่สั่นของม่านฟ้าเกิดจากความสงสารหรือเจ็บใจ แต่ที่เห็นได้ชัดในแววตาของม่านฟ้าในเวลานี้คือ ‘ความโกรธ’ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกโกรธ ‘ใคร’ กันแน่ระหว่างครูกฤตคนนั้นที่ลวนลามลูกศิษย์ ผู้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่ยอมช่วยเหลือ ภูหมอกที่ไม่ยอมบอกเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง หรือตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้และปกป้องน้องไม่ได้

     “ถึงหมอกบอกไป พี่เมฆก็คงบอกว่าเพราะหมอกแรดอีกนั่นแหละ!!” ภูหมอกที่พูดออกมาด้วยอารมณ์ตัดพ้อแต่กลับทำให้คนเป็นพี่ถึงกับสะอึก ความรู้สึกโกรธปนน้อยใจตีตื้นขึ้นมาจนถึงกับหลุดตวาดน้องชายไปอีกครั้ง

     “ภูหมอก!! กูบอกให้มึงหยุดแรดเพราะคนจะมองมึงไม่ดี แต่เวลามึงมีปัญหามากูเคยซ้ำเติมมึงมั้ย! กูเคยไม่ช่วยมึงรึเปล่า! ตอบกูดิ เคยมั้ย!!!”

     “เมฆ!!!” พิธานรีบลุกขึ้นมาขวางระหว่างพี่น้องสองคนเมื่อเห็นม่านฟ้าเดือดถึงขีดสุด หันไปมองคนน้องที่ยังร้องไห้ไม่เลิก แล้วยีหัวแรงๆ พูดเสียงเบา “หมอกมึงหยุดร้องก่อน เดี๋ยวพี่มึงก็แดกหัวเอาหรอก” ก่อนหันกลับมากล่อมคนพี่ต่อ เขาจับที่ต้นแขนของม่านฟ้าแล้วบีบเบาๆ “มึงก็ใจเย็นก่อน เมฆ”

     ในห้องเงียบลงอีกครั้งเหลือเพียงเสียงหายใจหนักของม่านฟ้าซึ่งคนห้ามศึกอย่างพิธานก็ไม่แน่ใจนักว่า มันเป็นเสียงลมหายใจหรือเสียงกลั้นสะอื้นเมื่อขอบตาของคนเป็นพี่ก็แดงเรื่อเหมือนจะร้องไห้ไม่ต่างจากน้องสักเท่าไหร่

     “คุยกันดีๆ ได้ยัง ตกลงเรื่องเรียนหมอกจะเอายังไง” หลังนั่งเงียบเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างสงบสติอารมณ์กันเรียบร้อยแล้ว หนุ่มวิศวะฯ ก็เป็นคนเริ่มไกล่เกลี่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้ามึงถ่อไปที่มอกูตลอดไหวกูก็ไม่ขัด เพียงแต่ถ้าวันไหนกูมีทำแล็บเลิกดึกกูจะโทรบอกอีกที จะได้ไม่มาเสียเที่ยว ไม่งั้นวันนั้นมึงก็ไปติวกับพี่มึง เอาแบบนี้ไหม”

     ภูหมอกฟังข้อเสนอของคนตัวโตก็รู้สึกเข้าที เขายอมเหนื่อยที่จะนั่งรถไปเรียนแล้วได้เรียนอย่างสบายใจดีกว่าเรียนกับใครไม่รู้ จริงๆ พอขึ้นม.6 เนื้อหาวิชาที่ต้องเรียนก็น้อยลงเพราะที่โรงเรียนเขาพยายามอัดเนื้อหาส่วนมากในช่วงม.4-5 เพื่อให้ปีนี้เด็กมีเวลาเตรียมตัวในการอ่านสอบและสามารถหยุดเรียนได้ภายในโควตาที่กำหนด

     แขกคนเดียวของห้องนี้เห็นภูหมอกจ้องไปยังพี่ชายซึ่งตอนนี้เบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอย่างคนที่ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีนัก เด็กหนุ่มคงอยากขอความเห็นจากพี่ชายด้วย แต่เพราะม่านฟ้ายังนิ่งเงียบเหมือนไม่สนใจ น้องชายจึงอดไม่ได้ที่จะหลุดคำพูดเหน็บแนมออกมาอีกครั้ง

     “แต่ถ้าพี่เมฆไม่อยากสอ-”

     “หมอก” เสียงกดต่ำของพิธานคราวนี้ถูกส่งไปเพื่อปรามภูหมอก “ถ้าจะประชดอะไรกันอีกก็หยุดเลย มึงบอกกูชอบปากเสีย แต่ตอนนี้มึงกำลังจะเป็นแบบนั้นนะ”

     “ขอโทษครับ” หนุ่มน้อยเม้มปากก้มหน้าเชิงลุแก่โทษ “หมอก… จะถามว่าพี่เมฆจะว่ายังไง”

     “...ก็แล้วแต่มึง” ม่านฟ้าหันกลับมามองหน้าน้องชายอีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ อย่างพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติที่สุด หันไปถามอีกคนด้วยท่าทางลังเลเพราะเท่าที่คุยไว้คือให้พิธานมาช่วยสอนแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น “แล้วมึงโอเคใช่ไหม”

     “อืม” พิธานพยักหน้าตอบ ปกติเวลาเลิกเรียนเขาก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว ว่างๆ ก็ไปเดินเที่ยวห้างกับเพื่อน เล่นบาสบ้าง เข้าผับบ้าง ไม่ได้มีกิจวัตรอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ต้องกังวล “แต่มึงต้องเลี้ยงข้าวเย็นกูเวลามาติวให้ไอหมอกด้วยนะ”

     ม่านฟ้าพยักหน้ารับ โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่เรื่องเรียนของภูหมอกจบไปแล้ว ส่วนเรื่องที่เขาเพิ่งรู้วันนี้ค่อยหาเวลาซักไซ้กันอีกที อย่างน้อยให้ภูหมอกได้ระบายออกมาบ้างก็ดี เขาคิดว่าเรื่องที่แค่คิดก็ทำให้ร้องไห้ได้คงต้องเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเจ้าตัวไม่น้อย และไม่อยากให้เก็บไว้ทรมานตัวเองอยู่คนเดียว

     ที่สำคัญเขาคงต้องหาโอกาสขอบคุณพิธานสักครั้ง ไม่เช่นนั้นเรื่องวันนี้คงไม่จบลงง่ายๆ



     TBC

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 8 (01.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 01-08-2020 21:10:56
อ่านแล้วก็รู้สึกผิดเราเคยตลกขำทั้งๆที่ไม่รู้ว่าคนที่โดนอ่ะตลกกับเรามั้ย พอเราโดนบ้างมันไม่ตลกเลยอ่ะ :m15:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 8 (01.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-08-2020 21:19:17
ติดตามตลอดครับ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 8.5 (Special) (08.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 08-08-2020 16:30:30
บทที่ 8.5 (Special)

     ‘นายภูหมอก’ เริ่มรู้ตัวเองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายภูหมอกว่าเขาต้องการเปลี่ยนคำนำหน้าเป็น ‘นางสาว’ เหมือนเพื่อนผู้หญิงคนอื่นในห้องมากกว่าจะเป็น ‘นาย’ อย่างเด็กชายคนอื่นๆ เขาพอรู้ตัวว่าชอบเล่นขายของ แต่งตัวกับเพื่อนผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่คิดว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะเพื่อนผู้ชายเล่นกันรุนแรงและเขาแค่ไม่อยากเจ็บตัวเท่านั้น

     จนเริ่มโตมาหลายครั้งที่เขาชอบเลียนแบบอาการวี้ดว้ายของผู้หญิง ตอนแรกก็แค่เล่นกันเพื่อความสนุก ไปๆ มาๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ได้ฝืนตัวเองกับการทำตัวเช่นนี้เลย ภูหมอกชอบมองการแต่งหน้าของแม่ กระโปรงพลิ้วๆ คำพูดคำจาที่ฟังดูน่ารักระหว่างผู้หญิงด้วยกัน จึงไม่แปลกที่เขาจะชอบเข้าไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย

     สุดท้ายเมื่อภูหมอกยอมรับตัวเองได้เขาก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงอย่างเต็มตัวและเต็มใจ การได้พูดคุยในเรื่องที่ชอบ เรื่องที่สนใจเหมือนๆ กันยิ่งทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น

     “ขอโทษทีน้าา เพราะเราลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านแล้วต้องกลับมาเอา เลยกลับช้ากันไปหมด”

     วันนี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบวิชาสามัญที่ต้องใช้ยื่นเพื่อเข้ามหาลัย กลุ่มของพวกเขาจึงนัดมาเที่ยวกันคลายเครียดก่อนกลับไปเตรียมตัวอ่านหนังสือโค้งสุดท้าย จากแผนที่วางไว้ว่าจะกลับประมาณช่วงเย็น แต่เพราะเพื่อนคนหนึ่งลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านขนมสุดท้ายที่ไปกินจึงต้องวกกลับมา ซึ่งกว่าจะออกจากห้างสรรพสินค้าอีกรอบ แสงของวันก็หมดลงจนรอบตัวมืดสนิทเสียแล้ว

     “ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง รีบกลับกันเถอะเดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้” ขณะกำลังคุยกัน เพื่อนอีกคนก็หันมามองที่ภูหมอก “เอ๊ะ หมอก แกไม่ได้กลับทางนี้นิ”

     “เดี๋ยวเค้าไปส่งพวกแกก่อน มืดแล้ว มีแต่ผู้หญิงกลับกันมันอันตราย”

     หนุ่มน้อยคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาก่อนหันกลับไปมองเพื่อนสาวอีกคนที่เดินรั้งท้ายเพราะติดคุยโทรศัพท์

     “มิ้นท์ แกเดินให้มันอยู่ในกลุ่มได้ไหม เดี๋ยวใครก็ฉุดไปหรอก มา เค้าเดินรั้งท้ายเอง” พูดจบภูหมอกก็ลดฝีเท้าลงให้เท่ากับเพื่อนสาวแล้วเดินรั้งท้ายของกลุ่มไว้

     สิ่งที่พ่อสอนไว้เสมอคือการทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ภูหมอกคิดว่าแม้เขาจะมีจิตใจเป็นผู้หญิง เขาก็ยังเป็นสุภาพบุรุษได้ ไม่จำเป็นต้องดูแลในฐานะ ‘ผู้ชายดูแลผู้หญิง’ แต่ดูแลในฐานะ ‘เพื่อน’ อย่างไรเสียเขาก็ตัวใหญ่ที่สุด น่าจะปกป้องเพื่อนๆ ได้มากกว่าใคร

     เด็กสาวที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์จากที่บ้านหันมามองเพื่อนชายใจสาวคนเดียวในกลุ่ม

     “หมอก แกนี้แมนกว่าผู้ชายอีกมั้ง เวลาเค้าไปเดินกับแฟนนะ มันเดินนำลิ่วไปไหน ไม่เห็นสนใจกันเลยด้วยซ้ำ จะมืดจะค่ำแค่ไหนก็เถอะ”

     “จริง ถ้าหมอกชอบผู้หญิงนะ เราขอสมัครเป็นแฟนหมอกคนแรกเลย เทคแคร์สุดๆ”

     หลังจบกระบวนการยอของเพื่อนสาวในกลุ่มที่ผลัดกันชมเขาแบบนั้นแบบนี้จนภูหมอกอดจะเขินไม่ได้จบลง พวกเขาก็หาประเด็นอื่นมาพูดคุยกันต่อเพื่อไม่ให้ระหว่างทางกลับบ้านเงียบเหงาจนเกินไป

     “เออ รูปที่ถ่ายกันวันนี้น่ารักเนอะ รูปที่ร้านขนมร้านสุดท้ายอยู่กับแกใช่ป่ะ อันนั้นอ่ะ เค้าว่าหมอกพอแต่งหน้าโทนส้มหน่อยๆ แล้วดีนะ มันเข้ากับหน้าแกดี”

     “มันไม่ดูมีอายุไปหน่อยเหรอแก เค้าชอบโทนชมพูมากกว่า แต่งสีส้มแล้วมันไม่ค่อยมั่นใจเลย” หนุ่มน้อยที่ถูกกล่าวถึงพูดอ้อมแอ้มออกมาอย่างไม่มั่นใจ

     เวลาพวกเขาออกมาเที่ยวกัน บางครั้งภูหมอกก็แอบหยิบเครื่องสำอางตัวเองออกมาแต่งข้างนอกบ้าง หรือไม่ก็ให้เพื่อนสอนเทคนิคการแต่งหน้าใหม่ๆ บ้าง แต่พอแต่งแล้วก็ต้องระแวงว่าจะเจอคนรู้จักเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกมนุษย์ป้าทั้งหลายที่พร้อมจะเอาเรื่องของเขาไปบอกพ่อ

     เขาพยายามจะระมัดระวังเรื่องทุกอย่างให้มากขึ้น ทั้งเรื่องการเก็บเครื่องสำอางตามที่พี่ชายบอก และเรื่องสายตาของคนรู้จักที่อาจกลายเป็นสายสืบปากโป้งไปบอกพ่อก่อนเวลาอันควรตามที่ครูสอนพิเศษเตือน ภูหมอกระวังมากขึ้นโดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกมานอกบ้านเช่นนี้ จะลดความระแวงลงได้ก็ต่อเมื่ออยู่บ้านซึ่งคิดว่าพ่อคงไม่กล้าเข้าไปค้นห้องของเขากันโต้งๆ

     ก่อนกลับบ้านภูหมอกจะลบเครื่องสำอางออก เก็บไว้แค่ความทรงจำและรูปถ่ายที่พกไว้ในกระเป๋าสตางค์ซึ่งติดตัวอยู่ตลอด มันคือของสำคัญของเขา คือสิ่งยืนยันเพียงหนึ่งเดียวที่บอกว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นตัวของตัวเองในแบบที่ ‘เขาอยากจะเป็น’ ไม่ใช่ที่ ‘ใครอยากให้เป็น’

     ----

     กว่าภูหมอกจะกลับถึงบ้านก็ปาไปเกือบห้าทุ่ม เขาค่อยๆ ย่องเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบแต่เห็นไฟในห้องครัวเปิดอยู่จึงชะโงกหน้าเข้าไปดู เห็นพ่อที่นั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง ยังไม่ทันเอ่ยปากสวัสดี พ่อก็หันกลับมามองแล้วทักขึ้นมาก่อน

     “ทำไมกลับบ้านดึก” เสียงของผู้เป็นพ่อห้วนจนติดเป็นนิสัย แม้คนในครอบครัวอย่างภูหมอกจะชินแล้วแต่ก็ยังอดรู้สึกหวาดไม่ได้

     “ไปเที่ยวกับเพื่อนนิดหน่อยครับ แล้วก็ไปส่งเพื่อนผู้หญิงด้วยก่อนกลับ” ภูหมอกตอบพลางเม้มปาก รู้สึกไม่มั่นใจกับใบหน้าของตัวเอง ทั้งที่ก่อนออกจากห้างสรรพสินค้าก็คิดว่าลบเครื่องสำอางออกหมดแล้ว แต่ก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ว่าจะยังหลงเหลืออยู่จนพ่อสังเกตได้

     “ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแบบนี้มันก็ดี แต่ก็ต้องห่วงตัวเองด้วย สมัยนี้ไม่ใช่แค่กับผู้หญิงหรอกนะที่อันตราย ทางที่ดีจะไปไหน วางแผนให้เรียบร้อย อย่าให้ต้องกลับดึกๆ ดื่นๆ” นภดลเหลือบมองหน้าลูกชายจนเมื่อเห็นภูหมอกพยักหน้าตอบรับจึงหันกลับไปทานข้าวต่อ

     “...พ่อเพิ่งถึงบ้านเหรอ” เสียงของภูหมอกดังขึ้นมาทำลายความเงียบในห้องครัว

     “อืม” ผู้เป็นพ่อตอบรับเพียงสั้นๆ แล้วจึงถามลูกชายคนเล็กกลับไป “แล้วแกล่ะ กินข้าวมารึยัง”

     “กินมาแล้วครับ”

     “...” นภดลเพียงพยักหน้ารับ

     “ขาหมูนี่พ่อซื้อมากินเองหรอ” ภูหมอกลากเก้าอี้ออกเพื่อนั่งร่วมกับพ่อที่โต๊ะกินข้าว ก้มพิจารณากับข้าวอย่างเดียวที่อยู่บนโต๊ะซึ่งเป็นขาหมูมันล้วนไม่มีเนื้อผสม พร้อมกับจานข้าวสวยพูนๆ ที่พ่อกำลังตักเข้าปาก

     “อืม.. แม่แกไปเข้าเวร ฉันเลยหาซื้อกินเอง ไม่อยากลำบากแม่เขา” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดว่าพ่อคงเข้าใจความหมายของคำถามที่ส่งไปผิดประเด็น เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจถามเกี่ยวกับใครเป็นคนซื้อมาแต่เป็นเมนูอาหารที่กิน

     “พ่อไขมันสูงไม่ใช่เหรอ” เสียงอ้อมแอ้มในลำคอของลูกชาย ทำเอาเอาชายวัยกลางคนที่มีพุงพลุ้ยค้อนขวับ พูดเสียงแข็งขึ้นอย่างทุกครั้งที่มีคนคอยขัดคอ “ก็ไม่ได้กินทุกวันเสียหน่อย”

     ‘ใช่ ไม่ได้กินขาหมูทุกวัน แต่ทุกวันก็จะมีเมนูที่ไขมันสูงหรือคอเลสเตอรอลสูงสลับกินตลอดอยู่ดี’ ภูหมอกได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกไป ขืนพูดไปพ่อได้มีอารมณ์เสียใส่เขาอีกแน่ แต่เขาก็แค่เป็นห่วงอยากให้พ่อแข็งแรงและอยู่กับเขาไปนานๆ

     สองพ่อลูกได้แต่ปล่อยให้บรรยากาศภายในบ้านตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง แม้พวกเขาจะคุยกันแบบถามคำตอบคำก็ไม่ได้มีความรู้สึกอึดอัดอย่างใด เพราะเป็นพ่อกับลูกชายจะให้มาจิ๊จ๊ะจี๋จ๋าคุยกันกะหนุงกะหนิงก็ไม่ใช่ ถึงภูหมอกจะไม่ใช่ชายแท้แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อก็ต้องเก็บอาการไว้ให้เหมือนลูกชายปกติ

     “เรื่องอ่านหนังสือสอบเป็นยังไงบ้าง” คราวนี้เป็นเสียงของนภดลที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

     หลังจากที่พี่ชายของเขาและครูสอนพิเศษจำเป็นอย่างพิธานเปิดเทอม ภูหมอกก็นั่งรถไปกลับระหว่างบ้าน โรงเรียน และมหาลัยบ่อยครั้งเพื่อให้ม่านฟ้าและพิธานติวหนังสือให้ แม้ทั้งคู่จะกลับบ้านบ่อยขึ้นเพื่อให้เขาไม่ต้องเทียวไปเทียวมา แต่พ่อกับแม่ก็บอกให้เขานั่งรถไปหาดีกว่าด้วยความเกรงใจพิธานที่นอกจากจะติวให้ฟรีแล้วยังต้องเสียเวลาขับรถไปๆ กลับๆ ทั้งที่ก็มีหอพักอยู่แถวมหาลัย

     “ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยครับ แต่ก็พยายามอ่านอยู่” เขาเงยหน้ามองคนถามก่อนก้มหน้าหลบตา เม้มปากจนเป็นเส้นตรง มือขยับจับกันไว้แน่น และแน่นอนทุกการกระทำของลูกชายไม่รอดพ้นสายตาของชายวัยกลางคนไปได้

     “แต่พี่แกบอกว่าแกอ่านจบหมดแล้ว แบบฝึกหัดก็ทำจบไปรอบสองกำลังขึ้นรอบสาม เหลือทวนนิดหน่อยก็น่าจะพอ”

     “...” ความเงียบเป็นคำตอบที่ได้รับจากคู่สนทนา นภดลถอนหายใจแล้วส่ายหัวอย่างระอากับนิสัยขี้กังวลและไม่มั่นใจในตัวเองมากจนเกินไปของเด็กหนุ่ม

     “แกต้องมั่นใจในตัวเองหน่อย แล้วเลิกกังวลเล็กๆ น้อยๆ เสียที ท่องไว้ว่าแกทำได้ แกอ่านมาไม่น้อยกว่าคนอื่นเขาเลย จะกลัวอะไร บางครั้งเพราะแกกังวลมากเกินไป จากที่จะทำได้เลยกลายเป็นทำไม่ได้ไปเสียอย่างนั้น มั่นใจให้ได้สักครึ่งของพี่แกหน่อยสิ รายนั้นฉันค้านเรื่องเรียนหัวชนฝา ก็ยังจะดันทุรังเรียน ไม่เห็นมีกลัวเรื่องตกงานสักนิด มั่นใจฝีมือตัวเองเหลือเกิน”

     พ่อร่ายยาวถึงพฤติกรรมของลูกชายคนเล็กจนเลยไปแขวะลูกชายคนโตด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิด อยากจะหาความพอดีในลูกทั้งสองคนแต่กลับเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน เมื่อเอ่ยปากถึงลูกอีกคนก็อดที่จะห่วงขึ้นมาไม่ได้

     “... แล้วดูๆ พี่แกด้วย ฉันคุยกับมันทีไรทะเลาะกันทุกที แกสนิทกับเจ้าเมฆมากกว่าก็คอยเป็นหูเป็นตาให้ฉันที เรียนจบมาเรื่องหางานก็ว่ายากแล้ว ขืนมีพฤติกรรมไม่ดีอีกจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ หรือถ้ามันมีปัญหาอะไรที่มันไม่ยอมบอกที่บ้านแล้วแกรู้ก็เอามาบอกบ้างจะได้ช่วยกันแก้ ยิ่งเป็นประเภทมีปัญหาอะไรชอบเก็บไว้คนเดียวอยู่”

     สายตาที่เด็กหนุ่มทอดมองบิดาอ่อนแสงลง คำพูดของผู้เป็นพ่อที่แม้จะติดห้วนแต่ก็ยังแสดงออกถึงความห่วงใยลูกชายทั้งสองคนทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกผิดปนปวดใจ หากพ่อเป็นคนที่ไม่สนใจลูก ด่าสาดเสียเทเสียอย่างไร้เหตุผล เขาอาจบอกความจริงกับพ่อไปโดยไม่สนใจอะไรได้ง่ายกว่านี้

     แต่เพราะพ่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะอารมณ์ร้าย เกลียดเพศที่สามเข้าไส้ ชอบพูดจาเสียดสี แต่อย่างไรพ่อยังให้ความสำคัญกับลูกและห่วงใยเสมอมา การบอกความจริงที่ทำให้พ่อต้องเสียใจ เสียความรู้สึกจึงเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่าการรับอารมณ์โกรธและคำต่อว่าของพ่อเสียอีก

     “อะไรของแก” ภูหมอกมัวแต่คิดโน่นคิดนี่เพลิน รู้ตัวอีกทีความรู้สึกสารพัดก็ผลักดันให้หนุ่มน้อยขยับตัวกอดเอวของพ่อเอาไว้ ใบหน้าอ่อนวัยซุกเข้ากับพุงใหญ่ราวท้อง 7 เดือนแต่กลับนิ่มจนภูหมอกติดใจ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงถามของบิดาพร้อมมือสากที่จับต้นแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มไว้

     “เปล่าครับ… แค่..อยากให้พ่อกินของมันๆ น้อยลงหน่อย ไม่อยากอยู่กับลูกไปนานๆ เหรอ” ภูหมอกพยายามเปลี่ยนไปเรื่องอื่นอย่างไม่ให้พ่อนึกสงสัยอาการที่แปลกไปและเสียงติดสั่นของเขา

     “...” ไร้คำตอบจากพ่อในครั้งนี้ แต่ลูกชายอย่างภูหมอกกลับสัมผัสได้ถึงลมหายใจหนักที่ส่งผ่านมายังหน้าท้องซึ่งเขาซุกอยู่ หนุ่มน้อยผละออกมาเมื่อรู้ว่าอารมณ์ของพ่อเริ่มแปรปรวนอีกครั้ง แต่ความใจกล้าไม่เป็นเวลาของภูหมอกก็ทำให้เด็กหนุ่มหลุดปากพูดออกไป

     “ไม่งั้นหมอกจะฟ้องแม่นะ”

     “พอเลย! แกทำฉันหมดอร่อย ขึ้นไปอาบน้ำเลยไป แล้ววันหลังอย่ากลับบ้านค่ำๆ มืดๆ แบบนี้อีกนะ!”

     สุดท้ายก็ไม่พ้นโดนพ่อโวยใส่ให้สบายหูก่อนนอน ภูหมอกรีบลุกจากเก้าอี้แล้วพุ่งออกไปจากห้องครัวมุ่งตรงสู่ชั้นสองก่อนจะโดนบ่นลากยาวไปมากกว่านี้ ไม่ลืมกล่าวราตรีสวัสดิ์ผู้เป็นบิดาเบาๆ ขณะวิ่งออกมา ในใจก็คิดถึงสิ่งที่ยังรบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอด

     ‘หมอกขอผัดเรื่องที่จะบอกไปอีกหน่อยนะ แต่สัญญาว่าถ้าพร้อมเมื่อไร หมอกจะบอกพ่อแน่ๆ’



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 8.5 (Spcial) (08.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-08-2020 18:24:47
หมอกสตอรี่ล้วนๆครับ :ling1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 8.5 (Spcial) (08.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-08-2020 01:46:18
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 9 (15.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 15-08-2020 14:38:31
บทที่ 9

     จากหน้าฝนผลัดเป็นหนาว แม้ฤดูหนาวเมืองไทยอาจไม่หนาวเย็นเหมือนประเทศอื่น แต่เป็นเพียงแค่กระแสลมเย็นในยามเช้าและยามเย็นให้พอได้รู้สึกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปก็เถอะ หลังจากวันที่ทะเลาะกัน ม่านฟ้าบังคับให้ภูหมอกเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังเสมอไม่ว่าเรื่องอะไร โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะไม่ด่า ไม่ซ้ำเติมเพียงแต่อาจมีสั่งสอนบ้างเท่าที่จำเป็นซึ่งท่อนหลังเป็นเงื่อนไขที่ม่านฟ้าบอกกับตัวเองในใจ

     เวลากว่าเกือบครึ่งปีผ่านไป ม่านฟ้ากำลังจะเปิดเทอมใหม่ในภาคการศึกษาที่ 2 ของปี 3 ขณะที่ภูหมอกเหลืออีกเพียง 2 เดือนกับการใช้ชีวิตในฐานะเด็กมัธยม

     แต่ก่อนหน้านั้น สิ่งที่เด็กม.6 หลายคนนับวันนับคืนเฝ้ารอก็มาถึง วันนี้เป็นวันสอบวันแรกของวิชาสามัญสำหรับยื่นคะแนนคณะแพทยศาสตร์ ม่านฟ้าที่ลงบันไดไปแล้วรอบหนึ่งแต่กลับขึ้นมาเพื่อเข้าห้องน้ำบนชั้นสองมองน้องชายที่ไหว้พระอยู่หน้าหิ้งพระอยู่นาน อาทิตย์ก่อนเขาเพิ่งจะเจอตุ๊กแกตัวใหญ่ในห้องน้ำชั้นล่างจึงยังหวาดผวาไม่กล้าเข้าจนถึงทุกวันนี้

     หนุ่มอักษรฯ เดินออกมาจากห้องน้ำหลังทำธุระเรียบร้อยแต่ก็ยังเห็นน้องชายยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเดิม ไม่แน่ใจว่าสวดมนต์ขอพรไปจนถึงไหน สีหน้าเจ้าตัวดูซีดยิ่งกว่าทุกวัน สายตาหลุกหลิกลุกลนอย่างคนกระวนกระวาย เจ้าตัวบ่นปวดท้องมาตั้งแต่เช้าจากความเครียด จนตอนนี้ก็ยังทำหน้ายุ่งเหมือนคนท้องผูกไม่เลิก

     “หมอก ถ้ามึงยังช้ากว่านี้ มึงจะไปสอบสายนะเว้ย อย่าลืมว่าต้องไปส่งแม่ที่โรงบาลฯ ก่อนด้วย”

     การสอบมีด้วยกันสองวัน โชคดีที่ตอนนี้ม่านฟ้ายังไม่เปิดเทอม 2 และตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ แต่แม่ของเขาก็ยังมีเข้าเวรในตอนเช้า ม่านฟ้าที่อาสาไปส่งภูหมอกสอบจึงตัดสินใจเอารถของแม่ไปส่งแม่ก่อนแล้วจึงเลยไปส่งภูหมอกทีหลัง ทั้งที่เขาคิดว่าจะออกเผื่อเวลารถติดและไปให้ถึงสนามสอบก่อนจะได้มีเวลาเตรียมใจ แต่กลับกำลังจะสายเพราะความโอ้เอ้ของน้องชาย

     “อืมๆ ไปแล้ว” ภูหมอกรับคำเสียงอ้อมแอ้ม ท่าทางยังไม่ได้ดูดีขึ้นสักเท่าไหร่ จนลงเดินมาถึงชั้นล่างมารดาที่เห็นสีหน้าเช่นนั้นของน้องชายจึงเดินมากอดลูกชายตัวใหญ่แต่ใจเล็กของเธอไว้

     “ไม่เอา ไม่เครียดนะครับ ทำใจเย็นๆ นะ หมอกทำได้ เชื่อแม่นะ”

     “หมอกจำไม่ได้เลยอ่ะแม่ ที่ติวมาคือตอนนี้ลืมหมดเลยอ่ะ ทำไงดี จะอ่านตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ไม่รู้จะอ่านวิชาไหนก่อนดี เครียดจะตายแล้ว”

     นิสัยเสียๆ ของภูหมอกคือ ยิ่งปลอบยิ่งร้อง จากที่ตอนแรกหน้าตาไม่สู้ดีอยู่แล้ว พอมารดาปลอบใจตอนนี้ยิ่งไปกันใหญ่ จมูกแดงเรื่อ น้ำตาคลอเบ้าในเช้าวันสอบคือสภาพของหนุ่มน้อยเวลานี้

     ม่านฟ้าถอนหายใจอีกหน เหลือบมองบิดาที่มองมานิ่งๆ แต่สายตาแสดงออกถึงความกังวลแทนลูกชายคนเล็กไม่น้อย ลูกชายคนโตคว้ากุญแจรถเดินนำออกไปเมื่อเห็นน้องชายไหว้พ่อขอพรเตรียมออกจากบ้าน ในหัวคิดเตรียมแผนปลอบน้องหลังสอบเสร็จเผื่อไว้ก่อนอย่างรู้นิสัยน้องดี

     สภาพแบบนี้ สอบเสร็จออกมาร้องไห้ตายแน่

     ----

     ม่านฟ้าก้มลงมองข้อความที่ตนส่งไปหาน้องชายเมื่อกลางวัน หลังจากที่ส่งน้องเสร็จ เขาก็ขับรถออกมาที่ห้างสรรพสินค้าในละแวกเดียวกันเพื่อซื้อของใช้สำหรับการกลับไปอยู่หอพักในอาทิตย์หน้า จึงไลน์บอกภูหมอกเอาไว้ให้รอที่โรงอาหารโรงเรียนซึ่งวันนี้เปิดให้คนนอกเข้าได้เป็นกรณีพิเศษ

     เขาตั้งใจที่จะเปลี่ยนแผนโดยให้ออกมารอที่หน้าโรงเรียนแทน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องวนหาที่จอดรถให้เสียเวลา แต่ข้อความเดิมที่ถูกส่งไปกลับยังไม่มีการตอบรับใดๆ แม้ขึ้นแจ้งว่ามีการอ่านข้อความแล้วก็ตาม

     ม่านฟ้าพอจะเดาท่าทีเช่นนี้ของน้องชายได้ และเปลี่ยนใจอีกครั้งโดยวนเข้าไปในโรงเรียนเพื่อหาที่จอดแล้วลงไปรับน้องด้วยตัวเอง กว่าจะหาที่จอดรถเรียบร้อยโรงเรียนก็เหลือคนอยู่ไม่มากแล้ว ทันทีที่เดินเข้าไป แวบแรกในสายตาของชายหนุ่มไม่ใช่น้องชายตัวโตที่ชอบทำตัวกระดี๊กระด๊าใส่เขาตลอดเวลา แต่กลับกลายเป็นน้องชายตัวเล็กๆ ที่นั่งหงอยซึมเหมือนโลกกำลังจะแตก

     เสียงฝีเท้าที่ดังเข้าไปใกล้ทำให้ภูหมอกเงยหน้าขึ้นมา มุมปากกดลงคล้ายคนเตรียมจะร้องไห้ ส่ายหัวเป็นพัลวันเหมือนคนเสียสติ เสียงสั่นเครือถูกส่งมาเป็นอย่างแรกก่อนคำทักทายใดๆ

     “มันไม่โอเคอ่ะพี่เมฆ”

     ภูหมอกงอแงออกมาทันทีที่พี่ชายนั่งลงข้างกัน ขณะที่ม่านฟ้านั่งนิ่งรอรับฟังน้องชายอย่างเงียบๆ เขาไม่อยากปลอบโยนอะไร เพียงแค่ปล่อยให้น้องชายได้ระบายสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมาเท่านั้น

     “หมอกทำไม่ทันอ่ะ คือบางข้อมันเหมือนแบบฝึกหัดที่เราทำเลยนะ แต่พอเข้าห้องสอบไป หมอกกลับลืมวิธีทำหมดเลยอ่ะ” ภูหมอกเอื้อมมาจับมือพี่ชายแล้วบีบแน่นพร้อมเขย่าไปมา “แล้วบางข้อที่ทำไม่ได้ หมอกก็ดันงมอยู่แบบนั้น จนข้อง่ายๆ ท้ายๆ หมอกก็เลยทำไม่ทัน มันแย่มากเลยอ่ะ ทำไงดีๆ”

     ชายหนุ่มไม่รู้จะตอบกลับประโยคของน้องอย่างไร พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ปลอบใจน้อง แต่ก็คิดว่าการกล่าวอะไรที่เป็นการสั่งสอนไปตอนนี้ดูจะเป็นการซ้ำเติมเสียมากกว่าจึงเลือกนั่งฟังต่อเงียบๆ

     “หมอกไม่อยากมาสอบพรุ่งนี้แล้วอ่ะ ยังไงก็คงไม่ได้แน่ๆ ตั้งแต่คะแนนวันนี้แล้ว”

     ม่านฟ้าถอนหายใจกับท่าทางของน้องชายที่บ่นงึมงำกับตัวเองด้วยน้ำตาคลอ เข้าใจความรู้สึกของคนที่พยายามมาตลอดแต่ก็ต้องมาผิดหวังกับความผิดพลาดในตอนท้ายของตัวเอง เผลอใจอ่อนดึงตัวน้องชายเข้ามากอด วินาทีนั้นหนุ่มน้อยก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร จนพี่ชายลูบหลังปลอบใจและเอ่ยเสียงนุ่มออกมา

     “กลับบ้านเรากันก่อนไหม แล้วจะทำไงค่อยว่ากันอีกที”

     ----

     กลางห้องนั่งเล่นในบ้านหลังคุ้นตาปรากฏภาพชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาท่ามกลางเสียงโทรทัศน์และเสียงทำกับข้าวที่ดังมาจากในครัวของภรรยา

     นภดลรีบกลับบ้านมาเพราะรู้ว่าวันนี้ลูกชายคนเล็กของเขาต้องการกำลังใจแค่ไหน หวนคิดไปถึงเรื่องราวตั้งแต่สมัยที่ลูกชายสองคนของเขายังเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กสูงไม่พ้นไหล่ มีทะเลาะกันบ้าง แย่งของกันบ้าง แต่อย่างไรสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจว่าสอนลูกมาอย่างดี คือสอนให้รักกัน ดูแลกัน โดยเฉพาะม่านฟ้าที่เป็นพี่ชาย เขาฝากฝังให้ดูแลภูหมอกมาตั้งแต่เล็ก แม้อายุจะห่างกันไม่มาก แต่เพราะเขาและภรรยาต่างทำงานหนัก ม่านฟ้าจึงต้องทำหลายๆ อย่างแทนพวกเขา

     ทั้งสมัยที่ทางโรงเรียนยกเลิกบริการรถรับส่งนักเรียน ม่านฟ้าที่อยู่ป.6 ต้องเดินไปรับภูหมอกที่ฝั่งโรงเรียนประถมต้นแล้วจึงพาน้องนั่งรถเมล์กลับบ้าน หรือกระทั่งเหตุการณ์ที่พาน้องไปขี่จักรยานในเย็นวันหนึ่งของช่วงปิดเทอม



    เสียงเปิดประตูรั้วบ้านดังขึ้นทำให้ชายเจ้าของบ้านหันไปมองตามต้นเสียง ภาพเด็กชายที่ลากจักรยานของตัวเองเข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเลพร้อมน้องชายที่ขี่คออยู่ปรากฏขึ้นมาในสายตา ดวงตาดุไล่สำรวจไปจนเห็นแผลถลอกและรอยเลือดที่หัวเข่าของลูกชายคนเล็ก พอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้รางๆ จากการปล่อยลูกชายออกไปขี่จักรยานในหมู่บ้านด้วยกันเอง

     หญิงสาวผู้เป็นแม่รีบโผเข้าไปหา และพาเจ้าตัวน้อยมาทำแผลทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น ขณะที่พี่ชายลากจักรยานไปเก็บแล้วจึงมานั่งหน้าเสียอยู่ในบ้านเมื่อน้องชายไม่ยอมหยุดร้อง

     ‘จะออกไปกันก็ได้ แต่ดูแลน้องด้วย’

     นั่นคือคำสั่งของผู้เป็นพ่อก่อนคำอนุญาตให้ออกไป ไม่แปลกใจที่ม่านฟ้าจะกลัวอารมณ์ของพ่อในตอนนี้ จนได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าร้องงอแงแม้ตามตัวจะมีรอยแผลถลอกอยู่ไม่น้อย

     นภดลถอนหายใจหนักๆ ก่อนลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจรถเดินออกจากบ้านไป แอบเห็นลูกชายคนโตสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาขยับตัว และมองตามเขาจนลับตา

     ชายวัยกลางคนกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งหลังจากนั้นไม่กี่นาทีพร้อมถุงจากร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่พ่อขับรถออกไปจนกลับมา ภูหมอกก็ยังไม่หยุดสะอึกสะอื้น จนกระทั่งพ่อล้วงมือเข้าไปหยิบของในถุงออกมา เสียงสะอื้นจึงหยุดชะงักลง

     ไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รีถูกยื่นมาให้ลูกชายคนเล็ก เด็กชายภูหมอกเบิ่งตาโตขึ้นอย่างแปลกใจ ขนมหวานและของกินเล่นเป็นสิ่งที่พ่อมักจะห้ามไม่ให้พวกเขากินเพราะมองว่าเป็นของไม่มีประโยชน์ จะได้กินแค่ในโอกาสพิเศษอย่างวันเกิดหรือให้รางวัลเท่านั้น

     ที่สำคัญคือพ่อจำได้ว่าเขาชอบรสสตรอว์เบอร์รีมากกว่ารสชาติใด

     “ถ้าพ่อให้กินไอติมแล้วต้องหยุดร้องไห้นะ ตกลงไหม”

     เด็กชายยังคงจ้องไอศกรีมตรงหน้าตาไม่กะพริบ ความเจ็บจากแผลที่ขาหายไปหมดสิ้นเมื่อมีสิ่งล่อตาล่อใจมาอยู่ตรงหน้า

     “ว่ายังไง” เมื่อผู้เป็นพ่อถามซ้ำอีกครั้งหลังจากถามไปแต่ลูกชายยังคงเงียบ ภูหมอกเหมือนเพิ่งได้สติ รีบพยักหน้ารับ ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนคว้าไอศกรีมมาแกะห่ออย่างดีใจ

     นภดลหันกลับมามองลูกชายอีกคนที่มองไอศกรีมของน้องชายตาละห้อย แต่เมื่อเห็นเขาหันกลับมาก็รีบหลบตา ก้มหน้าลงไปมองพื้นอีกครั้ง

     สัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือหนาของพ่อที่ถูกวางลงบนศีรษะทำให้เด็กชายม่านฟ้าเงยหน้าขึ้นมามอง

     ไอศกรีมรสช็อกโกแลตลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ก่อนคำพูดของพ่อจะทำให้เด็กชายหลุดออกจากภวังค์

     “พ่อเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ลูกเก่งมากนะที่ดูแลน้อง พาน้องกลับบ้าน ไม่ต้องกลัว พ่อไม่ดุหรอก”

     ยิ่งมารู้ความจริงในภายหลังว่าแผลขนาดใหญ่ที่เข่าของม่านฟ้าไม่ได้เกิดจากจักรยานล้ม แต่เกิดจากพยายามจะพาภูหมอกกลับบ้านโดยให้น้องขี่หลัง ด้วยน้ำหนักตัวของภูหมอกที่เริ่มโตแข่งกับพี่ชายทำให้ม่านฟ้ารับน้ำหนักไม่ไหว ล้มกลิ้งโค่โร่กันไปอีกรอบหนึ่งก่อนจะพยายามเอาน้องขึ้นหลังอีกครั้ง ผู้เป็นพ่อยิ่งรู้สึกคิดถูกที่ไม่ดุลูกชายคนโตในครั้งนั้น



     เสียงเปิดประตูรั้วบ้านดังขึ้นทำให้ชายเจ้าของบ้านหันไปมองตามต้นเสียง ภาพชายหนุ่มถอยรถเข้ามาจอดในบ้าน แล้วเดินลงมาพร้อมน้องชายตัวโตที่ดวงตาแดงก่ำปรากฏขึ้นมาในสายตาซ้อนทับกับภาพในอดีต ดวงตาดุของนภดลไล่สำรวจสภาพของลูกชายคนเล็ก แม้คราวนี้ไม่มีบาดแผลทางกาย แต่สาเหตุที่เจ้าตัวร้องไห้กลับบ้านมาในครั้งนี้ก็ใช่จะเกินความคาดหมายของผู้เป็นพ่อสักเท่าไหร่

     หญิงสาวผู้เป็นแม่รีบรุดออกมาหาลูกชาย เธอกลับมาเตรียมอาหารเย็นไว้รอลูกชายทั้งสองคน และเตรียมของโปรดลูกชายคนเล็กมากหน่อย แม้รู้ว่าเวลาแบบนี้ภูหมอกแทบจะกินข้าวกินปลาไม่ลงเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยได้เป็นกำลังใจให้เจ้าตัวดีของเธอสักหน่อยก็ยังดี

     ม่านฟ้าปล่อยให้น้องชายพาร่างผอมๆ ที่เหมือนจะหมดแรงไปนั่งที่โซฟา ส่วนตัวเขาเดินมาหน้าตู้เย็นหยิบน้ำมารินเพื่อดื่มดับกระหาย ตลอดทางกลับบ้านเขาพยายามพูดให้กำลังใจสารพัดวิธี แต่ก็ดูเหมือนยังไม่ได้ผลดีเท่าไหร่ แม้จะหยุดร้องไห้ แต่ก็ยังไม่เลิกทำหน้าเศร้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก

     “เอาของในช่องฟรีซออกมากินสิ” เสียงของบิดาดังขึ้นมาทำให้ม่านฟ้าหลุดออกจากภวังค์ความคิด หันไปมองทางต้นเสียงอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเพราะเจ้าของเสียงยังคงตั้งหน้าตั้งตาดูโทรทัศน์อย่างสนอกสนใจทั้งที่เป็นเพียงโฆษณา “แล้วหยิบมาให้น้องแกด้วย”

     ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆ อย่างจนใจจะหาคำตอบ ทำได้เพียงเปิดช่องแช่แข็งตามคำกล่าวของบิดาแต่กลับต้องเลิกคิ้วอย่างตื่นเต้นระคนแปลกใจอีกครั้ง

     ไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รีและรสช็อกโกแลตสองแท่งถูกวางไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน

     ม่านฟ้าพยายามกัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้เผยออกมามากเกินไปจนเหมือนคนบ้าหรือเด็กเล็กๆ ที่เห็นขนมถูกใจ มือเรียวเอื้อมไปหยิบไอศกรีมเย็นๆ ออกมา แต่น่าแปลกที่ความเย็นของมันทำให้หัวใจพลันอุ่นขึ้นอย่างประหลาด สัมผัสของแท่งไอศกรีมในมือทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า

     เขาคงไม่ต้องคิดวิธีปลอบน้องแบบใดอีกแล้ว ในเมื่อมีคนตัดหน้าปลอบใจแถมท่าทางจะได้ผลมากกว่าเสียด้วย



     TBC

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 9 (15.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-08-2020 14:59:22
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 9 (15.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 18-08-2020 01:25:51
เรื่องภายในครอบครัวนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ นะ ไม่อยากคิดสภาพเลยว่าถ้าพ่อรู้เรื่องที่ภูหมอกปกปิดเอาไว้จะเป็นยังไง ดูก็รู้ว่าพ่อรักครอบครัวรักลูกมากๆ ถ้ารู้คงทะเลาะกัน เป็นเรื่องใหญ่ แต่คงตัดไม่ขาด พอเวลาผ่านไปพ่อเปิดใจรับได้คงจะหวงลูกน่าดู

แอบลุ้นให้คนพี่คู่หนุ่มวิศวะ5555
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 10 (22.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 22-08-2020 18:23:38
บทที่ 10

     แม้ไอศกรีมของพ่อจะช่วยให้ภูหมอกรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายคิดมากเข้าไปอีกว่า พ่อแม่ใจดีด้วยขนาดนี้แต่เขากลับทำให้พ่อแม่ผิดหวัง พาลจนหมดกำลังใจสอบวันรุ่งขึ้น เพราะคิดว่าคะแนนวันนี้คงแย่เกินกว่าที่คะแนนวันพรุ่งนี้จะฉุดขึ้นมาได้

     ม่านฟ้ามองน้องชายที่บอกว่าไม่อยากสอบพลิกชีทสรุปในมืออ่านทวนรอบที่สิบเห็นจะได้ทั้งที่หน้าตายังบึ้งตึงหมดอาลัยตายอยาก ‘จะใกล้ตายแค่ไหนก็ตาม แต่จะหยุดอ่านไม่ได้’ น่าจะเป็นคติของภูหมอกตอนนี้ ม่านฟ้าพยายามบอกน้องชายหลายครั้งให้หยุดอ่านและพักสมอง แต่พูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟังจนได้แต่ปล่อยไปเท่านั้น

     “กริ๊ง”

     เสียงกระดิ่งหน้าบ้านดังขึ้นมาให้สองพี่น้องต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนพี่ชายจะพูดสั่งขึ้นมาก่อน

     “หมอกไปดูดิ ใครมา”

     “ทำไมเป็นหมอกอ่ะ หมอกอ่านหนังสืออยู่” เสียงน้องชายโวยวายเมื่อถูกใช้งาน คิ้วขมวดเป็นปมแน่นขึ้นอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากเบะออกอย่างที่คนเป็นพี่เห็นแล้วอยากดีดแรงๆ ให้หายหมั่นไส้

     “ก็มึงเป็นน้องไง เหตุผลแค่นั้นแหละ ออกไป แล้วหยุดอ่านได้แล้วหนังสืออ่ะ”

     ม่านฟ้าร่ายยาวออกมาทีเดียว ไม่วายโดนแม่มองค้อนจากคำหยาบที่ใช้กับน้อง สุดท้ายภูหมอกก็ต้องเป็นคนออกไปหาผู้มาเยือนยามวิกาลด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก

     ชายหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาที่แรกเริ่มภูหมอกเคยเกลียดนักเกลียดหนา แต่สุดท้ายกลับกลายมาเป็นครูสอนพิเศษให้กับเขายืนพิงรั้วอยู่หน้าบ้าน ภูหมอกเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแต่ก็เอ่ยเสียงทักทายออกไปก่อน

     “พี่พีท? ” เสียงเรียกทำให้เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ในมือ “มาหาใคร”

     “หมามั้ง” คำตอบห้วนๆ ทำเอาภูหมอกยู่หน้า ถึงจะรู้จักกันมาสักพักจนพอรู้ว่าที่พิธานปากเสียไปเรื่อย ที่จริงแล้วไม่ได้คิดอะไรและไม่ได้เป็นคนไม่ดี แต่พอเจอหมาในปากของคนตัวโตตรงหน้าทีไรก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้

     “บ้านนี้ไม่เลี้ยงหมา มาผิดบ้านแล้วมั้งพี่”

     “ผิดบ้านที่ไหนก็ยืนคุยกับกูอยู่นี้”

     “พี่พีท!! นิสัยไม่ดีอ่ะ” ภูหมอกโวยวายขึ้นมา อยากจะกระทืบเท้าแสดงความไม่พอใจ แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้เพราะกลัวพ่อออกมาเห็นอาการแล้วจะจับพิรุธได้ กำลังจะหันหลังเข้าบ้านเพราะไม่อยากคุยกับคนกวนประสาทต่อไป แต่ก็ต้องชะงักกับการเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

     “สอบเป็นไงบ้าง”

     “...”

     “ได้ยินกูไหมเนี่ย”

     “อืม”

     “แล้วว่าไง”

     “... ไม่โอเคเลย” ภูหมอกตอบด้วยคำตอบเดียวกันกับที่ใช้บอกพี่ชาย อารมณ์หงุดหงิดตอนเจอหน้าพิธานหายไป กลับมาเป็นอารมณ์หงอยๆ อีกครั้ง

     “อืม งั้นก็รอซิ่วปีหน้าละกัน”

     “เดี๋ยว!! พี่พีทอย่าแช่งกันดิ!!” หนุ่มน้อยถึงกับหันหลังกลับมาเพื่อเผชิญหน้าโต้เถียงกับครูสอนพิเศษใจร้ายที่นอกจากจะไม่ให้กำลังใจแล้ว ยังจะแช่งเขาให้ไม่ติดจนต้องรอซิ่วใหม่ปีหน้าอีก

     “แช่งห่าอะไร ก็มึงบอกเองว่าไม่โอเค ก็คือทำไม่ได้ แล้วก็ต้องรอซิ่วปีหน้าป่ะล่ะ หรือมึงจะเปลี่ยนคณะ”

     “ไม่!!”

     “เออ ก็แค่นั้น แล้วก็เลิกเครียด เลิกอ่าน พรุ่งนี้ก็ไปสอบเล่นๆ ถือว่าไปดูข้อสอบเผื่อไว้สำหรับปีหน้า ไหนๆ ก็เสียค่าสมัครสอบแล้ว ดีกว่าคิดว่ายังไงก็ไม่ติดแล้วไม่ไปสอบ”

     เด็กหนุ่มฟังคำกล่าวของรุ่นพี่ตรงหน้าควบตำแหน่งครูสอนพิเศษก็ได้แต่เม้มปากครุ่นคิด โดยไม่ได้เอะใจถึงสาเหตุที่เจ้าตัวรู้ว่าเขาไม่อยากไปสอบวันรุ่งขึ้น

     “ไปๆ ไปอาบน้ำนอนได้แล้วไป สอบเครียดๆ มาทั้งวัน แม่งยังมาอ่านหนังสือต่อได้ไงว่ะ เหลือเชื่อ เป็นกูนะ น็อคตั้งแต่ถึงบ้านล่ะ”

     ภูหมอกเงยหน้ามามองพิธานอีกครั้ง อยากจะอ้าปากเถียงอะไรออกไปอีกแต่ก็เบลอเกินกว่าจะนึกคำใดออก ใจลึกๆ ที่เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือต่อ เพราะยังหวังไว้ว่าที่เขาทำไม่ได้วันนี้ก็น่าจะมีอีกหลายคนที่พลาดเหมือนเขา หากเขาทำคะแนนวันพรุ่งนี้ได้ดี ก็ยังพอมีลุ้น

     แต่พอพิธานพูดมาแบบนี้ เขากลับรู้สึกปลงและทำใจยอมรับขึ้นมาได้จริงๆ ว่าอาจจะต้องซิ่วใหม่ปีหน้าก็เป็นได้ อีกทั้งตัวเขาเองรู้ดีกว่าใครว่าเวลานี้อ่านหนังสือไปก็ไม่เข้าหัว สมองของเขาล้าจนอยากจะล้มตัวลงนอนทันทีที่ถึงบ้านแต่ก็ยังรู้สึกผิดที่จะทำเช่นนั้น ถึงได้ดึงดันอ่านเข้าไปเรื่อยๆ แบบนี้

     หนุ่มน้อยถอนหายใจออกมาดังๆ พยักหน้ารับคำตามที่คู่สนทนาบอกแล้วยกมือไหว้ลา ก่อนหันหลังเดินเข้าบ้านไป ถึงกระนั้นผู้มาเยือนยามวิกาลคนนี้ก็ยังไม่ยอมจากไป กลับยืนรั้งรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าอีกคู่เดินเข้ามาใกล้

     “ขอบใจที่มาช่วยกล่อมมัน”

     เป็นม่านฟ้าที่เดินออกมาหาพิธานพร้อมคำขอบคุณ แท้จริงแล้วก็เป็นม่านฟ้าอีกเช่นกันที่เรียกพิธานมาช่วยพูด ช่วยปลอบน้องชายเขา เพราะถึงแม้ว่าปกติจะตีกัน กัดกันมากแค่ไหน แต่เขาสังเกตว่าภูหมอกกลับยอมเชื่อฟังพิธานอยู่ไม่น้อย อาจมากกว่าพี่ชายอย่างเขาเสียด้วยซ้ำ

     “อืม”

     ชายหนุ่มร่างสูงตอบรับในลำคอ ถึงจะโวยวายตอนโดนขอให้มาช่วย แต่ก็พูดไปอย่างนั้น แค่นี้ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเขาแต่อย่างใด บ้านก็อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ซอย อีกทั้งภูหมอกเองก็ถือเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของเขา จะเป็นห่วงเป็นใยบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

     ความเงียบปกคลุมคนทั้งคู่อีกครั้ง ทั้งที่เหมือนจะหมดบทสนทนาระหว่างกันเพียงเท่านั้น แต่กลับยังไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผละออกไปก่อน ทิ้งเวลาเอาไว้จนหนุ่มวิศวะเอ่ยชวนคุยเรื่อยเปื่อยออกมา

     “กูถามจริงเหอะ น้องมึงแม่งจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้แล้วแม่งจะเป็นหมอไหวเหรอว่ะ งอแงชิบ”

     เสียงบ่นเบาๆ ของอีกฝ่ายทำให้ม่านฟ้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้

     “เป็นหมอมันต้องจิตแข็งมากเลยนะเว้ย ตอนม.ปลายกูเคยไปโอเพ่นเฮ้าส์กับเพื่อน เจออาจารย์ใหญ่เข้าไปกูยังกลัวจนถึงทุกวันนี้เลย” คนพูดไม่ว่าเปล่า ยังทำท่าขนลุกประกอบคำอธิบายเพื่อเพิ่มอรรถรส

     “ไม่ไหวมันก็ซิ่วเองแหละ”

     เสียงตอบกลับเอื่อยๆ อย่างไม่ใส่ใจนักของม่านฟ้าทำให้พิธานเลิกคิ้วมองคนห่วงน้องที่คราวนี้กลับดูเฉยเสียจนเขาแปลกใจ จนอดเอ่ยทักออกไปไม่ได้

     “คิดอะไรอยู่ ดูเหม่อๆ นะมึงน่ะ” คนถูกทักเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของคำถามแวบเดียวก็หลุบตาลงต่ำ แพขนตาหนาปกปิดดวงตาคู่สวยเอาไว้จนคาดเดาความคิดอีกฝ่ายไม่ได้ แต่พิธานก็ยังลองเสี่ยงถามถึงสิ่งที่เขาคิดไว้ในใจ “เรื่องที่จะบอกพ่อเกี่ยวกับไอหมอกใช่ไหม”

     คำตอบเป็นเพียงการพยักหน้ารับเบาๆ และยังคงเป็นพิธานอีกครั้งที่เริ่มบทสนทนา

     “เมื่อไหร่มึงจะบอกเสียที กูว่านะ ยังไงบอกให้เขารู้ด้วยตัวเอง มันน่าจะดีกว่าการถูกจับได้นะเว้ย”

     “กู… ขอเวลาอีกหน่อยละกัน ก็บอกแล้วไงว่ารอให้ไอหมอกสอบเสร็จก่อน อีกนิดเดียวเอง”

     สายตาที่มองอย่างไม่เชื่อพร้อมเสียงแค่นหัวเราะคือปฏิกิริยาของคนรับฟังอย่างพิธาน เจ้าตัวส่ายหัวเบาๆ ก่อนยักไหล่ ท่าทางน่าหมั่นไส้นั้นทำเอาม่านฟ้าถึงกับคิ้วกระตุก ส่งเสียงห้วนถามกลับไป

     “อะไรของมึง”

     “มึงนั่นแหละ อะไร พนันได้เลยว่าพอสอบเสร็จ มึงก็จะบอกว่ารอผลออกก่อนแล้วกัน ถ้าน้องมึงต้องซิ่วจริงมึงก็จะอ้างว่า อีกปีเดียวรอมันเอ็นติดก่อน หรือถ้าติด มึงก็.. อาจจะขอเวลาอีกสักปีรอให้น้องมึงปรับตัวกับมหาลัยให้ได้ก่อน”

     “...”

     คำกล่าวหาของพิธานทำให้ม่านฟ้าได้แต่เม้มปากแน่น อยากเถียงออกไปใจจะขาด แต่ตัวเขาเองนั่นแหละที่รู้ว่าคนตรงหน้าพูดออกมาอย่างจี้ใจดำแค่ไหน แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่พอใจกับการพูดประชดประชันครั้งนี้ไม่ได้

     “มึงมันก็ผัดไปเรื่อย.. แบบนี้มันจะดีจริงๆ เหรอ” ท้ายประโยคพิธานปรับเสียงให้อ่อนลงเมื่อเห็นท่าทีของอีกคนนิ่งไป เขาเองก็รู้สึกเห็นใจคนตรงหน้าไม่น้อย แต่เขาไม่ค่อยชอบวิธีการหนีปัญหาแบบนี้สักเท่าไหร่ จึงหลุดปากออกไปอย่างลืมตัว

     “กู… ก็ไม่รู้ว่าแบบไหนมันจะดีที่สุด แต่บางที.. กูคิดว่าที่เป็นอยู่แบบนี้มันก็ไม่ได้แย่ การบอกความจริงออกไปอาจจะทำให้ทุกอย่างพังลงก็ได้”

     ม่านฟ้ารู้ดี การปิดบังมีแต่จะทำให้อึดอัดทั้งสองฝ่าย แต่เขาไม่เข้าใจ ทำไมใครๆ มักจะมองว่าการปิดความลับคือเรื่องที่เลวร้าย โดยไม่ได้มองถึงจุดประสงค์ในการปกปิดนั้น ว่าอาจจะเป็นการทำไปเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าการบอกความจริงก็เป็นได้ ไม่ต้องมองกรณีใดไกล แค่เรื่องของน้องชายเขาตอนนี้ การบอกความจริงกับพ่อไม่มีทางได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นทางบวกอย่างแน่นอน ม่านฟ้าเอาหัวเป็นประกัน

     “แต่การที่ต้องปิดบัง และรอคอยไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดน่ะ...มันทรมานนะ” เสียงพูดแผ่วเบาเหมือนกล่าวกับตัวเองของร่างสูงทำให้ม่านฟ้าต้องเงยหน้าขึ้นมอง สบกับสายตาที่อ่านไม่ออกของอีกคนแล้วหลุบตาลงต่ำ คำพูดนั้นทำให้เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยต่อบทสนทนาอะไรออกไปอีก

     “เอาเถอะ ทางเลือกมันอยู่ที่มึงอยู่แล้วนิ”


     TBC



     Achaya (Writer) :

     อาจจะสั้นไปหน่อยแต่สัญญาว่าจะมาลงสม่ำเสมอ

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 10 (22.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-08-2020 19:47:10
 :z3:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 10 (22.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-08-2020 00:29:54
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 10 (22.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 23-08-2020 04:33:08
ไม่อยากคิดสภาพวันที่พ่อรู้ความจริงเลย :katai1:

จริงอย่างที่ว่าละ บอกความจริงให้รู้ดีกว่าไปรู้เอง
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 11 (29.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 29-08-2020 17:01:51
บทที่ 11

     การสอบวิชาสามัญสำหรับเด็กม.6 จบลงไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือการสอบความถนัดแพทย์อีกหนึ่งตัวซึ่งนับเป็นคะแนนอีก 30% สำหรับการยื่นรับตรง ภายหลังการสอบวันนั้นภูหมอกดูไม่ได้สติแตกอย่างวันแรกที่สอบเสร็จ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะปลงได้แล้วหรือวันที่สองทำข้อสอบได้มากกว่าวันแรก แต่จากการบอกกล่าวของเจ้าตัว เหมือนกับว่าเขาอาจจะต้องเตรียมใจสำหรับการซิ่วของน้องเอาไว้บ้างไม่มากก็น้อย

     และนั่นคือเหตุผลที่ม่านฟ้ามานั่งอยู่บนโซฟาข้างบิดาในวันหยุดแทนที่จะตีพุงนอนแผ่อยู่ในห้องนอนขณะนี้

     “พ่อ พ่อคิดยังไงถ้า…ไอหมอกมันจะขอซิ่วอีกปี ถ้าปีนี้มันสอบไม่ติดอ่ะ”

     คำถามแรกถูกส่งออกไปอย่างตรงประเด็น

     เพราะพ่อเป็นคนเข้มงวดกับชีวิตเสมอ และไม่ค่อยยอมผ่อนปรนให้กับเรื่องใดๆ ในชีวิต ดังนั้นม่านฟ้าจึงกังวลเป็นพิเศษกับเรื่องนี้ พ่อมักบอกว่าการยอมเสียเวลาอีกหนึ่งปีเพื่อสอบเข้าเรียน แล้วต้องตามเพื่อนไปหนึ่งปีถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

     “ผลสอบยังไม่ออกเลย จะรู้ได้ไง”

     พ่อตอบกลับทั้งที่สายตายังจดจ่ออยู่กับข่าวในโทรทัศน์ราวกับเรื่องที่ลูกชายพูดมาเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ

     “เมฆก็พูดเผื่อไว้ ดูหมอกมันไม่ค่อยโอเคกับสอบที่ผ่านมาเท่าไร”

     “เวลามันสอบเสร็จก็บอกทำไม่ได้ทุกที แต่ผลสอบออกมาก็ดีตลอด น้องแกชอบกังวลอะไรมากไปเองก็แค่นั้น”

     ม่านฟ้าขมวดคิ้วสับสนความรู้สึกของตนระหว่างหงุดหงิดกับกังวลแทนน้องชาย บิดาของพวกเขาพูดออกมาแบบนี้เหมือนกับว่าพ่อไม่ได้เตรียมใจเผื่อการที่ภูหมอกจะสอบไม่ติดเอาไว้เลย คิดว่าที่ภูหมอกพูดว่าทำไม่ได้เป็นเพียงนิสัยขี้ตื่นของเจ้าตัวเท่านั้น

     หากพูดกันตามจริงแล้ว ม่านฟ้าเองก็รู้ถึงพฤติกรรมนี้ของน้องชายดี เขาเองก็แอบคิดว่าคะแนนของภูหมอกอาจไม่แย่อย่างที่เจ้าตัวว่า แต่เขาก็เผื่อใจเอาไว้ไม่น้อย จนต้องลงทุนมาพูดลองเชิงกับพ่อดูก่อน เผื่อไม่ติดขึ้นมาจริงๆ เขาไม่ต้องการให้น้องเสียใจกับเรื่องสอบไม่ติดไม่พอ ยังต้องมาเครียดกับการโดนพ่อบังคับให้สอบเข้าคณะใดคณะหนึ่งที่พ่อเห็นว่าดีแทน

     หลายคนอาจมองว่า ‘การซิ่ว’ คือการเสียเวลาเปล่าๆ หนึ่งปี แทนที่จะเข้าเรียนคณะอื่นที่ ‘ก็ทำงานได้เหมือนกัน’ ใช่ เขาไม่ปฏิเสธว่าคณะอื่นก็อาจทำงานได้เหมือนกัน แต่การสอบเข้ามหาลัย หมายถึงคณะที่จะใช้ในการทำงานไปตลอดชีวิต เขาจึงมองว่าควรจะได้เข้าเรียนสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะนั้นอาจเป็นตัวกำหนดแนวทางชีวิตที่เหลืออยู่ก็เป็นได้

     “แล้วถ้ามันไม่ติดขึ้นมาจริงๆ อ่ะ”

     คำพูดที่ฟังดูดึงดันและติดจะห้วนของลูกชายทำให้ผู้เป็นพ่อหันกลับมามอง

     “แล้วมันจะสอบไม่ติดสักคณะเลยรึไง”

     นั่นไง เขาว่าแล้วเชียว

     ม่านฟ้าถึงกับถอนหายใจออกมา พยายามปลอบตัวเองว่าดีแล้วที่มาพูดกับพ่อไว้เสียแต่เนิ่นๆ อย่างน้อยก็ให้พ่อได้รับรู้และเตรียมใจสักระยะ รู้สึกดีขึ้นมาอีกนิดที่น้ำเสียงที่พ่อใช้ในการพูดยังเป็นโทนเสียงปกติ ไม่ใช่การตวาดอย่างฉุนเฉียวยามพูดเรื่องไม่เข้าหู ทำให้เขายังพอมีหวังว่าการเกลี้ยกล่อมครั้งนี้อาจไม่ยากอย่างที่คิด

     “มันไม่เหมือนกันไงพ่อ ต่อให้ติดคณะอื่น แต่ไม่ใช่หมอที่มันอยากเรียนมันก็ไม่มีความหมายป่ะ”

     “แล้วแกจะให้ฉันปล่อยน้องแกนั่งเฉยๆ อยู่ปีนึงเพื่อเตรียมสอบอีกทีนะเหรอ”

     อย่างไรเสียพ่อที่ยอมรับอะไรได้ง่ายๆ ก็คงไม่ใช่พ่อของเขา

     “หมอนะพ่อ คนเขาซิ่วกันปีสองปีปกติจะตาย แค่โตกว่าเพื่อนสักปีนึง ไม่มีใครสนใจหรอก ยังไงหมอก็เรียนจนแก่อยู่แล้ว กับการให้มันไปเรียนคณะอะไรก็ไม่รู้ แถมมันไม่ชอบอีก ดีไม่ดีจะไปไม่รอด โดนไทร์มาแย่กว่าอีกนะ”

     หนุ่มอักษรฯ พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ วิธีการพูดเหมือนแกล้งขู่แบบนี้ คงได้ผลกับแค่เด็กประถมเท่านั้น

     “...”

     หรือตอนนี้ในบ้านเขาจะมีเด็กอยู่หนึ่งคน

     ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หน้าโซฟานิ่งไปอย่างคนใช้ความคิดทำให้ม่านฟ้าตาโต อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าการเกลี้ยกล่อมห่วยๆ ของเขาจะใช้ได้ผลจริงหรือ

     หลายนาทีผ่านไป เสียงในบ้านยังคงมีแต่เสียงของโทรทัศน์ที่ผู้ประกาศข่าวเล่าเรื่องราวอย่างออกรสออกชาติ แต่กลับไม่มีเสียงพูดคุยของคนในบ้านดังโต้ตอบกันสักนิด ม่านฟ้าเลือกที่จะทิ้งเวลาไว้ให้พ่อได้ลองคิดแทนที่จะรีบเซ้าซี้จนเสียโอกาส อย่างน้อยเขาก็พอมองเห็นเค้าลางของการยอมอ่อนข้อของพ่อบ้างแล้ว

     “เดี๋ยวรอผลออกมาก่อนเถอะ แล้วจะว่ายังไงค่อยมาคิดกันอีกที”

     เพียงแต่จะให้พ่อยอมรับอะไรง่ายๆ ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่พ่อเขาหรอก

     ชายหนุ่มอมยิ้มไว้ในแก้มไม่อยากให้บิดาเห็น ถึงคำตอบรับครั้งนี้จะไม่ใช่การตอบตกลงหรือเห็นด้วยเสียทีเดียว แต่แค่ไม่ปฏิเสธดึงดันหรือโวยวายอะไรออกมาก็นับว่าเป็นการตกลงครั้งยิ่งใหญ่สำหรับพ่อแล้ว

     .

     .

     "ยังไงบอกให้เขารู้ด้วยตัวเอง มันน่าจะดีกว่าการถูกจับได้นะเว้ย"

     หลังเจรจาเรื่องแรกจบไป ม่านฟ้าก็นึกย้อนไปถึงคำพูดของใครบางคนที่ขู่เขาเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน

     ม่านฟ้านั่งทำใจอยู่ครู่หนึ่งหลังจากหาจังหวะดีๆ ในการคุยกับพ่อถึงอีกเรื่องซึ่งเขา ‘ผลัด’ มาตลอด จนกระทั่งถึงช่วงโฆษณา บทสนทนาจึงเริ่มต้นตั้งแต่นั้น

     “พ่อ… คือ.. / ฉันจะขึ้นไปงีบสักหน่อย”

     “...”

     เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ม่านฟ้าถึงกับชะงัก ผู้เป็นพ่อเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดชนเข้ากับลูกชายที่กำลังจะพูดบางอย่างออกมา จึงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

     “แกจะพูดอะไรนะ”

     “...เออ เปล่าครับ”

     นภดลนิ่งไปเล็กน้อยมองหน้าลูกชายคนโตที่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบ พยักหน้ารับคำของชายหนุ่ม ไม่อยากซักไซ้ให้มากความ คิดว่าหากเป็นเรื่องสำคัญเจ้าตัวคงพูดออกมาแล้ว

     “อืม งั้นถ้าแกไม่ดูทีวีแล้ว ก็ปิดซะด้วยล่ะ”

     บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น

     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองตามหลังบิดาที่เดินขึ้นชั้นสองไปอย่างเหนื่อยใจ แล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง ทั้งที่ยังไม่ทันได้พูดออกไปสักนิด แต่กลับใช้พลังงานในการเตรียมใจไปมากเหลือเกิน

     สุดท้ายก็ไม่ได้บอกออกไป

     เขาคงเป็นคนขี้ขลาดที่ชอบหนีปัญหาอย่างที่พิธานชอบปรามาสไว้จริงๆ

     .

     .

     .

     หรือบางที เขาควรบอกพ่อตั้งแต่วันนั้น ก่อนที่เรื่องจะบานปลายมาจนถึงขั้นนี้

     โครม!!!

     เสียงของลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ถูกโยนลงมาจากชั้นสองดังขึ้น ปลุกให้ทั้งบ้านที่เงียบสงบในยามเย็นร้อนระอุขึ้นมาด้วยพายุอารมณ์ของผู้เป็นพ่อ อีกสามชีวิตในบ้านที่อยู่ชั้นล่างต่างตระหนกและวิ่งไปยังตีนบันไดชั้นล่าง เห็นเพียงผู้ก่อเหตุก้าวลงมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าถมึงทึง ยิ่งไม่มีคำอธิบายใดจากปากผู้เป็นพ่อยิ่งทำให้บรรยากาศภายในบ้านมาคุมากขึ้น

     ม่านฟ้าเป็นคนแรกที่เริ่มสังเกตลังตรงหน้า ตอนแรกเขาพุ่งเป้าไปที่อารมณ์ของผู้เป็นพ่อแทนสิ่งที่ถูกโยนลงมา โดยคิดว่าเป็นเพียงลังโชคร้ายที่ถูกพ่อระบายอารมณ์ใส่แต่เมื่อสังเกตให้ดี ใบหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือด หัวใจเต้นระรัวเมื่อเข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด

     ลังเก็บเครื่องสำอางของภูหมอก

     ลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกเปิดออกมาจนเห็นของที่อยู่ภายใน การเจอเครื่องสำอางเยอะแยะในห้องนอนของลูกชายต่อให้ไม่เป็นพ่อของเขาที่ระแวงกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่เป็นคนอื่นมาเจอเช่นนี้ก็คงไม่พ้นคิดไปในทางเดียวกัน

     ม่านฟ้าไม่คิดจะหาสาเหตุต่อไปว่าเหตุใดพ่อจึงสามารถเปิดลังที่ล็อคกุญแจไว้ของภูหมอกได้ จะด้วยน้องชายของเขาลืมล็อคเอง ลืมกุญแจไว้บนห้อง หรือจะเป็นเพราะพ่องัดขึ้นมาอย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลเท่าสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญ

     “ของใคร”

     ประโยคแรกที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวไม่ได้เกินความคาดหมายหนัก แต่เนื้อหาของคำถามพร้อมสายตาแข็งกร้าวที่มองมาทางเขาทำให้ม่านฟ้าถึงกับชะงัก

     ‘จะถามทำไมในเมื่อก็พุ่งเป้ามาที่เขาอยู่แล้ว’

     สายตาของชายวัยกลางคนทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดคนเป็นพ่อ แต่เสียงร้องไห้ของภูหมอกก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิด

     อาการของน้องชายกำลังเป็นคำสารภาพทุกอย่าง เจ้าตัวเริ่มร้องไห้หนักขึ้นจนพ่อหันไปมอง ม่านฟ้ากัดริมฝีปากเข้าหากัน สมองคิดคำโกหกต่างๆ ขึ้นมาทันควันแต่ปากก็ยั้งคำพูดแก้ตัวนั้นเอาไว้ เขาบอกตัวเองให้เลิกโกหกเสียที ที่เรื่องต่างๆ บานปลายมาถึงขั้นนี้ก็เพราะการโกหกปิดบังไม่ใช่หรือ

     ขณะที่ความยับยั้งชั่งใจกำลังตีกันในหัวของม่านฟ้า เสียงตะคอกของบิดาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     “อย่าคิดจะโกหกกูเชียวนะ กูถามว่าของใคร!!?”

     ยิ่งเสียงตะโกนดังเท่าไหร่ ภูหมอกก็ยิ่งร้องไห้หนักเท่านั้น นภดลเห็นอาการแล้วจึงกระชากแขนของลูกชายคนเล็กมาแล้วบีบอย่างแรงจนเจ้าตัวเบ้หน้า

     “ของมึงเหรอไอหมอก นี้มึงเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อย่างงั้นเหรอ!!”

     การที่ภูหมอกเอาแต่ร้องไห้ ส่ายหน้าพัลวันเหมือนคนเสียสติ ยิ่งจุดไฟอารมณ์ของพ่อให้ลุกโชน ชายวัยกลางคนเงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะตบลงไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างขาดสติ

     หมับ!

     ม่านฟ้าคว้าแขนของบิดาไว้แล้วแทรกเอาตัวเข้ามาบังน้องชาย คิดเพียงแต่จะหยุดการลงไม้ลงมือของพ่อลงเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงการที่ตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อรองรับอารมณ์และกลายเป็นแพะรับบาปไปเสียเอง

     “หรือว่าเป็นของมึง ไอเมฆ มึงยิ่งชอบทำตัวประชดประชันกู สั่งให้ทำอย่างมึงก็จะรั้นไปทำอีกอย่าง มึงบังคับให้น้องช่วยมึงเก็บความลับใช่ไหม ไอหมอกมันถึงได้ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้”

     ผัวะ!

     แรงตบจากฝ่ามือของพ่อที่กระชากจากการยึดจับฟาดเข้าที่บ้องหูของม่านฟ้าเขาอย่างจัง ชายหนุ่มเซไปตามแรงมือ แต่ความรู้สึกเจ็บกลับมีน้อยกว่าความมึนงง ไม่รู้เพราะแรงฟาดหรือคำพูดที่ถูกกล่าวหา ม่านฟ้าเงยหน้ามองบิดาที่ตอนนี้พ่นคำด่าสารพัดออกมาจนเขาฟังแทบไม่ทัน ความน้อยเนื้อต่ำใจที่พยายามเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกมาตลอดผสมปนเปไปกับความโกรธ ดวงตาของเขาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำใส แต่เป็นเจ้าตัวที่พยายามรั้งไว้ไม่ให้ไหลออกมา จนคำพูดสุดท้ายที่ทำให้เส้นอารมณ์ขาดผึง

     “แกมันลูกเฮงซวย สร้างแต่ปัญหา เกิดมามึงทำอะไรได้ดีบ้าง แล้วยังกลายมาเป็นปัญหาสังคมอย่างเป็นตุ๊ดเป็นเกย์แบบนี้อีก!!!”

     “ใช่!! พ่อ!! ผมมันลูกเฮงซวย แม่งไม่มีอะไรดีสักอย่าง ขอโทษจริงๆ ที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ น่าจะตายๆ ไปตั้งแต่ในท้องแม่แล้ว อย่างงั้นใช่ไหมที่พ่อต้องการ!!! ”

     ม่านฟ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไป เขาเพียงรู้สึกน้อยใจที่พ่อเข้าใจผิดทั้งที่เขาเพียงต้องการเข้าไปห้าม ราวกับพ่อมีอคติและพุ่งเป้ามาที่เขาอยู่แล้ว ม่านฟ้าไม่รู้ตัวแม้กระทั่งน้ำตาไหลลงมาตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่วิ่งมารั้งแขนของเขาไว้ แต่เขาก็รั้งคำพูดของตัวเองไว้ไม่ทันอีกต่อไปแล้ว

     “อะไรก็ตามที่พ่อเกลียด เมฆก็จะเป็นอย่างงั้น เพราะไม่ว่าจะพยายามทำอะไร ยังไงพ่อก็ว่าไม่ดีอยู่แล้วนี่!!!”

     ผัวะ! ผัวะ!

     เสียงไม้เมตรที่วางอยู่ข้างทีวีฟาดเข้าที่ร่างของลูกชายคนโตอย่างแรง ใบหน้าของคนตีแดงก่ำไปด้วยความโกรธ มือหนึ่งลากภรรยาที่พยายามเอาตัวเข้าขวางลูกชายไว้ ขณะที่อีกมือก็หวดไม้ลงไปไม่ยั้ง

     “ถอยออกไป อย่ามายุ่ง” นภดลสะบัดตัวออกจากแรงจับของภูหมอกที่พยายามจับเขาไว้อีกคน “กูจะตีมันให้ตาย ให้มันเลิกทำตัวบ้าๆ เสียที!”

     ผัวะ!!! เพล้ง!!

     เสียงหวดไม้อย่างแรงก่อนที่ไม้เมตรเก่าๆ จะหักกลางจากการรับแรงกระแทกไม่ไหว บางส่วนของไม้ที่หักกลับกระเด็นไปโดนแก้วน้ำที่วางอยู่จนตกมาแตก นภดลขว้างไม้เมตรไร้ประโยชน์ลงที่พื้น เปลี่ยนมาเป็นชี้หน้าลูกชายตัวดีที่ยังจ้องตาเขากลับมาอย่างไม่ลดละ

     “มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยนะ เก็บเสื้อผ้าออกไปให้หมด ของทุเรศๆ ของมึงพวกนี้ด้วย ถ้ากลับมาเป็นคนปกติไม่ได้ก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก!!”

     ม่านฟ้ายืนนิ่งๆ มองบิดาของตนคว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจรถขับออกไปนอกบ้านจนลับสายตา ความรู้สึกชาจากการโดนตีเริ่มแสดงอาการปวดหน่วงตามเนื้อตัว แต่คงไม่ชาเท่าหัวใจที่ตอนนี้แทบไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วจากคำพูดสุดท้าย

     "กรรมอะไรของกูว่ะ ที่มีลูกอย่างมึง"

     อ้อมกอดอุ่นๆ พร้อมกับน้ำตาของแม่ดึงม่านฟ้ากลับมาที่ความจริงตรงหน้าอีกครั้ง เขากอดมารดากลับไปเบาๆ ปลอบใจว่าเขาไม่เป็นไร พร้อมเหลือบไปมองน้องชายแท้ๆ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สมควรเกิดขึ้นในฐานะพี่ชายผุดขึ้นมาในหัว

     ‘ทำไมกูต้องมาโดนพ่อด่า พ่อเกลียดเพราะความสะเพร่าของมันด้วยว่ะ’

     ชายหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดของมารดาแล้วคุกเข่าลงไปหาน้องชายที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น มองใบหน้าเหยเกที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของภูหมอกด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย มันไม่ใช่ความรัก ความอ่อนโยน แต่ก็ไม่ใช่ความเกลียด

     นั่นสิ

     .

     ทำไมถึงไม่ใช่เกลียด

     .

     ทั้งที่เขาควรจะเกลียด… เด็กขี้แยที่ชอบร้องไห้เวลาเล่นกันทำให้เขาโดนพ่อตี เด็กที่ชอบประจบเอาใจพ่อแม่จนเขากลายเป็นหมาหัวเน่า เด็กที่เรียนเก่งจนพี่ชายอย่างเขาที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบไม่เคยได้รับคำชมจากพ่อแม้จะสอบได้คะแนนดีแค่ไหน เด็กที่เอาแต่ใจแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า เด็กที่ชอบสร้างเรื่องจนทำให้เขาต้องเดือดร้อนเสียหลายหน

     …รวมทั้งครั้งนี้ด้วย

     .

     หรือควรพูดว่า ‘ทำไมเขาถึงเกลียดมันไม่ลงสักที’



     “หมอก หยุดร้อง”

     ภูหมอกเงยหน้าขึ้นมาตามเสียง แต่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่พี่ชายสั่งได้ กลับกันน้ำตากลับไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อแขนผอมๆ ของม่านฟ้าอ้าออกเพื่อรอรับ เด็กหนุ่มโผตัวเข้าหาร่างที่เล็กกว่าแต่กลับเป็นเข้มแข็งกว่าเขาหลายเท่า พี่ชายตัวเล็กๆ ของเขา พี่ชายที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรแต่กลับเป็นฮีโร่ของเขามาเสมอ

     “พี่เมฆ หมอกขอโทษๆ”

     ม่านฟ้ารู้สึกถึงน้ำตามากมายของน้องชายบนบ่า ร่างกายเด็กหนุ่มสั่นเทาจากแรงสะอื้นอย่างหนัก ภูหมอกร้องไห้ราวกับโลกพังลงตรงหน้าแล้วพร่ำขอโทษเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาได้แต่ถอนหายใจ

     ‘ก็เพราะมันเป็นแบบนี้...’

     ‘...จะให้เขาเกลียดมันลงได้ยังไง’



     TBC



     Achaya (Writer) :

     คนทุกคนก็มีด้านมืดในใจกันทั้งนั้น

     หรือแม้แต่ม่านฟ้าเองก็เป็นเพียงแค่คนสีเทาคนหนึ่งที่มีความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นได้เช่นกัน

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 11 (29.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-08-2020 17:42:43
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 11 (29.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 30-08-2020 16:39:01
อย่าทำพีีเฆม :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 11 (29.08.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-09-2020 18:01:39
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 12 (05.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 05-09-2020 23:36:40
บทที่ 12

     เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานขึ้นเมื่อเสียบคีย์การ์ดลงไปในช่องหน้าประตู ม่านฟ้าเดินเข้ามาในห้องพักเล็กๆ ของโรงแรมที่เขามาเปิดซุกหัวนอนในคืนนี้

     ทั้งที่แม่พยายามห้ามไม่ให้เขาออกมาและรอคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง หมอกเองก็บอกว่าจะสารภาพกับพ่อว่าของทั้งหมดเป็นของตน แต่เขารู้ พ่อเวลานี้ไม่ยอมคุยหรือฟังอะไรทั้งนั้น เขาควรออกมาเพื่อให้พ่อสงบอารมณ์ลงก่อนดีกว่า

     ใช่

     เขารู้...นั่นก็แค่ข้ออ้างของเขา


     ความจริง…

     เขาแค่อยากหลบออกมาสงบสติอารมณ์ของตัวเองมากกว่า


     ม่านฟ้ารู้ตัวว่าพูดแรงเกินไป ทั้งยังพูดจาประชดประชันทำให้เรื่องแย่ขึ้นไปอีก รู้ทั้งรู้ว่าการปล่อยให้พ่อเข้าใจผิดเรื่องเครื่องสำอางนั้นไม่ถูกต้อง วันหนึ่งเมื่อความจริงเรื่องภูหมอกถูกเปิดเผย เมื่อนั้น...พ่อก็คงต้องเสียใจซ้ำอีกครั้ง

     ในตอนนี้ม่านฟ้าไม่คิดโทษใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง ทั้งหมดเกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของเขา ทั้งการปล่อยให้ภูหมอกทำตามใจ พยายามปิดเรื่องต่างๆ ไว้ ไปจนถึงการทำให้ทุกอย่างบานปลายมาถึงขั้นนี้

     ชายหนุ่มสะบัดหัวพยายามไล่ความคิดออกไป การโทษตัวเองในเวลานี้ไม่ช่วยอะไรนอกจากยิ่งฟุ้งซ่านไปใหญ่ บอกตัวเองให้รีบนอนให้หมดวันนี้ไปเร็วๆ

     แต่คำบางคำกลับยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

     ‘ลูกเฮงซวย สร้างแต่ปัญหา’

     ม่านฟ้าบอกตัวเองว่าอย่าถือโทษกับคำพูดของคนเป็นพ่อ แต่ลึกในใจเขากลับอดคิดไม่ได้ว่า แม้จะอยู่ในอารมณ์โกรธเพียงใด คนเราจะสามารถพูดใน ‘สิ่งที่ไม่เคยคิด’ ออกมาได้เหรอ หรือเพียงแต่ขาดความยับยั้งชั่งใจจน ‘สิ่งที่เคยคิดไว้’ แต่ ‘ไม่กล้าพูด’ หลุดออกมาในยามที่เราโมโหเท่านั้น

     หมายความว่าพ่อ...คิดว่าเขาเป็นลูกที่สร้างปัญหาให้พ่อมาตลอดอย่างนั้นหรือ

     ที่นอนขนาดห้าฟุตยวบลงจากแรงทิ้งตัวของชายหนุ่ม ม่านฟ้าซุกใบหน้าลงกับหมอนอย่างหมดแรง พยายามฝืนตัวให้หลับลงไปแต่ก็ยากเต็มที

     ดวงตาใต้แพขนตาหนาเหลือบมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่ปิดแล้ววางไว้บนหัวเตียงพร้อมความคิดบางอย่าง แต่ยังไม่ทันขยับตัวทำสิ่งใด เสียงเคาะประตูหน้าห้องกลับทำให้ชายหนุ่มชะงัก

     ก๊อกๆๆ

     ม่านฟ้าขมวดคิ้วกับเสียงที่ได้ยิน คิดอย่างไรก็ไม่น่ามีใครมาหาเขาในเวลานี้ แต่เสียงเคาะที่ดังขึ้นอีกครั้งยืนยันว่าเสียงนั้นเกิดขึ้นจริงใช่เพียงหูแว่วอย่างที่คิดไว้

     ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับตัวลงจากที่นอน มองไปทางประตูห้องด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น กวาดตามองสภาพโดยรวมของห้องพักอีกครั้ง ปรากฏภาพห้องกลางเก่ากลางใหม่สีทึมด้วยไฟสลัว เขาเลือกห้องที่ถูกที่สุดเพราะคิดว่านอนเพียงแค่คืนเดียวคงไม่เป็นไรมาก แต่พอมาได้ยินเสียงเคาะประตูเช่นนี้ก็อดหวั่นใจไม่ได้

     ไม่หรอก เขาแค่สงสัยเท่านั้นเองว่าจะเป็นใครที่มาหาเขาตอนนี้ ไม่ได้กลัวสิ่งลี้ลับใดๆ เสียเมื่อไหร่

     ขาเรียวก้าวไปยังหน้าประตูช้าๆ เลื่อนใบหน้าให้ดวงตาอยู่ในระดับเดียวกับช่องตาแมวเพื่อมองหาเจ้าของเสียงเคาะ แต่กลับต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนในยามวิกาลชัดเจน

     ‘มาได้ไงเนี่ย’

     ----

     ภายในห้องพักของโรงแรมมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและแมลงกลางคืนด้านนอกดังแว่ว แต่กลับไร้เสียงพูดคุยแม้ในห้องจะเพิ่มสมาชิกเข้ามาอีกหนึ่ง

     ม่านฟ้าเหลือบมองไปยังคนที่นั่งพิงเตียงอยู่กับพื้นห่างออกไปไม่ไกล จากความรู้สึกมึนงงเริ่มกลายเป็นหงุดหงิด เพราะผู้ชายตัวโตๆ ที่มาหาแต่กลับไม่ยอมพูดอะไรสักอย่างนอกจากนั่งตากแอร์นิ่งๆ อยู่กับพื้น

     ‘อะไรของมันกันว่ะ’ เจ้าของห้องพักถอนหายใจแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ จากอารมณ์ที่ไม่ปกติอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าถูกกวนอารมณ์มากยิ่งขึ้น

     พิธานหันไปมองคนที่นั่งงุ่นง่านอยู่บนเตียง ยกมือปิดปากหาวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องดึงตัวเองออกมาจากที่นอนอันแสนสุข



     เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในเวลาหัวค่ำปลุกชายหนุ่มขึ้นมาจากที่นอน โดยปกติเขาไม่ใช่คนนอนเร็ว แต่เพราะวันนี้ไปเล่นบอลกับเพื่อนสมัยมัธยมมาทั้งวัน ถึงบ้านก็อาบน้ำนอนอย่างเดียว แต่กลับโดนขัดจังหวะการนอนเข้าจนได้

     “ฮาโหล”

     ‘พี่พีททท ฮึก ช่วยด้วย’

     เสียงทุ้มติดสาวที่คุ้นเคยดังออกมาก่อนคำทักทายของเจ้าตัวพร้อมเสียงสะอื้น พิธานขมวดคิ้วเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง

     “อะไรของมึง พูดดีๆ ดิ ร้องไห้เพื่อ?”

     ‘พี่เมฆ พี่เมฆ…’

     พิธานนั่งฟังเรื่องราวปนเสียงสะอื้นของภูหมอกพร้อมคิ้วที่ขมวดปมขึ้นเรื่อยๆ กะแล้วไม่มีผิดว่าต้องเกิดเรื่อง ทั้งที่เขาพยายามบอกม่านฟ้าหลายครั้งแล้วว่าให้พูดความจริงไปก่อนที่เรื่องจะบานปลาย สุดท้ายก็เป็นเรื่องจนได้

     ‘...พี่พีทช่วยไปดูพี่เมฆหน่อยได้ไหมอ่ะ นี้เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้’

     “โอยยย อะไรกันว่ะเนี่ย” ปากทั้งด่าทั้งบ่นแต่ตัวกลับลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าไปด้วยขณะเปิดลำโพงพูดตอบคนในสาย

     พิธานเตือนแล้วเตือนอีกให้รีบบอกไปก่อนที่จะสาย เรื่องของภูหมอกอย่างไรก็ปิดไว้ได้ไม่นาน คงเพราะภูหมอกเป็น ‘ตุ๊ด’ หรือก็คือผู้ชายใจสาวนั่นแหละ ผิดกับ ‘เกย์’ ที่อย่างไรก็คือผู้ชายที่เพียงแต่ชอบผู้ชายด้วยกัน หากภูหมอกเป็นเกย์ แค่ไม่มองตามผู้ชายจนผิดสังเกตหรือพาแฟนผู้ชายเข้าบ้านก็คงไม่มีใครรู้ แต่เพราะภูหมอกเป็นเช่นนี้ ทั้งอาการและความชอบหลายอย่างมันจึงปิดกันยาก สักวันใดวันหนึ่งพ่อก็ต้องดูออก

     ถ้ายอมสารภาพความจริงไปแต่แรก แน่นอนว่าคงโดนโกรธ โดนด่า แต่อย่างน้อย… เหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจผิดแบบนี้ก็คงไม่เกิด

     “นะ พี่พีท ช่วยไปหาพี่เมฆหน่อย หมอกกับแม่ก็โดนพ่อสั่งไม่ให้ออกไปหา แต่ตอนนี้ก็ห่วงว่าจะอยู่ที่ไหน”

     “มันอาจจะกลับไปอยู่ที่หอแล้วก็ได้”

     “ไม่ใช่หอในพี่ปิดปรับปรุงจะเปิดให้เข้าก็พรุ่งนี้เที่ยงไม่ใช่เหรอ”

     เออ ก็จริง เขาลืมนึกไป ช่วงนี้จริงๆ แล้วมหาลัยเปิดเทอมแล้ว แต่เพราะมีกีฬามหาลัยถึงได้วันหยุดเพิ่มมาฟรีอีกหนึ่งอาทิตย์ให้นอนเล่นอยู่บ้าน ตัวเขาเองวางแผนจะกลับหอตั้งแต่เมื่อวานซืน แต่เพราะหอปิดปรับปรุงกะทันหันจึงต้องเลื่อนกำหนดออกไปอย่างช่วยไม่ได้

     “นะ พี่ หมอกว่าพี่เมฆคงไม่ไปไหนไกล อาจจะพักอยู่โรงแรมแถวนี้หรือบ้านเพื่อนก็ได้ แม่เป็นห่วงกลัวพี่เมฆคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเอง”

     ไม่หรอก เมฆไม่ใช่คนแบบนั้น แม้เขาจะด่าบ่อยๆ ว่าเมฆเป็นคนขี้ขลาด แต่เรื่องไร้สาระอย่างการทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นตัดออกไปได้เลย อย่างมากก็ไปนั่งกินเหล้าย้อมใจที่ไหนเท่านั้น

     สมองคิดแบบนั้น แต่ในใจก็ต้องยอมรับว่าห่วงปนไปกับความน้อยใจลึกๆ มือคว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจรถบนโต๊ะขณะที่ปากกลับว่าไปอีกเรื่อง

     “กูจะต้องมาวุ่นวายกับบ้านมึงอีกเยอะไหมเนี่ยห้ะ เป็นผัวพี่มึงรึก็ไม่ใช่”

     “โอย พี่พีท ช่วยกันมาตั้งหลายเรื่อง ขออีกเรื่องเถอะน่า อย่ามาเล่นตัวตอนนี้ได้ไหม จะเครียดตายอยู่แล้ว

     “เออๆ เดี๋ยวกูลองไปหาดูให้”


     ผลลัพธ์ของการรับปากคือเขาต้องขับรถวนไปตามโรงแรมต่างๆ แล้วถามชื่อคนเข้าพัก หลายโรงแรมไม่ยอมบอกเพราะถือว่าเป็นความลับของลูกค้า เขาจึงต้องโกหกว่าถ้าไม่ยอมบอกอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็ได้

     ‘พี่คงไม่อยากให้พรุ่งนี้มีข่าวออกมาว่ามีแขกฆ่าตัวตายในโรงแรมของพี่หรอกนะ เพื่อนผมมันทะเลาะกับพ่อแล้วหนีออกจากบ้านมา ผมกลัวมันคิดสั้น’

     สุดท้ายเขาก็เจอโรงแรมที่ม่านฟ้าอยู่ พนักงานโรงแรมพาเขามาที่ห้องและรออยู่ด้วยจนแน่ใจว่าเป็นคนรู้จักกับแขกจริงๆ จึงผละออกไป




     “พีท”

     เสียงเจ้าของห้องเรียกเขาให้หลุดออกจากภวังค์แล้วหันกลับไปมอง

     “มึงมาทำไม”

     “ก็เห็นมึงมานอนโรงแรมทั้งที่บ้านก็อยู่แค่นี้ เลยนึกว่าจะไปเที่ยวไหน กูเลยอยากไปเที่ยวด้วย”

     “กวน”

     “กูรู้เรื่องหมดแล้ว”

     "..."

     จบคำ ทั้งห้องก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง พิธานไม่กล่าวอะไรต่อนอกจากนั้น ขณะที่ม่านฟ้าเองก็กำลังประมวลผลกับสิ่งที่อีกคนพูดออกมา

     ใช่ว่าเขาแปลกใจที่พิธานรู้เรื่อง เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่ามาหาเขาถึงที่ขนาดนี้คงต้องรู้เรื่องบ้างไม่มากก็น้อยแต่ก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่ดี ยิ่งเขาหนีออกมาโดยไม่บอกอะไรอีกฝ่ายสักคำแบบนี้ด้วย

     “กูบอกแล้วใช่ไหม..”

     อารมณ์ที่ไม่ค่อยคงที่ดีเมื่อคิดได้ว่าจะต้องโดนคนตรงหน้าดุซ้ำเขาอีกครั้งเร่งเร้าให้ม่านฟ้ารู้สึกกลัวจนต้องรีบพูดสวนออกไป “อย่าซ้ำนะ! ขอร้องเหอะ”

     ม่านฟ้าพูดออกมาเสียงดัง ก่อนหางเสียงจะแผ่วลงจนฟังเหมือนคนจะร้องไห้ พิธานถอนหายใจหนักๆ แล้วเบนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากให้ทะเลาะกันมากไปกว่านี้จึงเปลี่ยนไปอีกเรื่อง

     “แล้วโดนพ่อไล่ออกจากบ้านทำไมไม่มาหากู บ้านกูก็อยู่แค่นั้น หนีออกมาทำไมไกลถึงโรงแรมนี่ หรือพอเกิดเรื่องแล้วมันไม่มีชื่อกูอยู่ในหัวมึงเลยงั้นสิ”

     “...”

     “แล้วมึงจะทำยังไงต่อ พ่อมึงเข้าใจผิดไปขนาดนี้ กูถามจริงๆ เหอะ มึงตั้งใจรับแทนน้องรึเปล่า”

     “...”

     ทั้งที่พยายามปรับอารมณ์ตนเองให้เย็นลง แต่พอเจอความเงียบของอีกคนเช่นนี้ก็ฉุดอารมณ์ของพิธานให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องกดเสียงต่ำถามย้ำอีกคนออกไป “เมฆ ตอบกู”

     “...”

     “เมฆ!!”

     “กูไม่ได้ตั้งใจ!! ไม่ได้ตั้งใจรับแทนน้อง แค่ตอนนั้นอารมณ์มันพาไป กูคุมสติตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันบานปลาย! ไม่ได้ตั้งใจให้ผลลัพธ์มันออกมาแย่แบบนี้! แต่การตัดสินใจของกูมันพลาดเอง กูพลาดไปทุกอย่างเอง!!”

     ม่านฟ้าตะโกนออกมาสุดเสียง พอจบประโยคก็ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นจนพิธานถึงกับผงะ เห็นคนที่เคยนิ่งมาตลอดร้องไห้จนตัวโยนแบบนี้เขาถึงกับไปไม่ถูก จากตอนแรกที่หงุดหงิดการกระทำของม่านฟ้า พอมาเจอแบบนี้กลับอดใจอ่อนให้ไม่ได้ เพราะถึงเขาจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจหลายอย่าง แต่เขารู้ดี ว่าทุกอย่างที่ทำ ล้วนมีจุดประสงค์ที่ดีต่อน้องและทุกคนทั้งนั้น

     ม่านฟ้าเพียงต้องการให้ยืดเรื่องนี้ออกไปก่อน เขาเพียงอยากรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ใจจริงเขาอยากจะให้หมอกมีการมีงานทำ มีรายได้เป็นของตัวเองก่อนด้วยซ้ำ เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อพ่อรู้ความจริงจะยังส่งเสียค่าเทอม ค่าขนมให้หมอกอีกไหม แต่รู้ดีว่าน้องอึดอัด ถึงเลือกที่จะบอกหลังน้องสอบเข้ามหาลัยเสร็จเรียบร้อย

     แต่สุดท้าย… ก็ไม่ทัน

     เหตุการณ์สุดท้ายที่ม่านฟ้าจะอยากให้เกิดขึ้น แต่กลับเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขาที่ประชดประชันพ่อออกไปจนเกิดความเข้าใจผิด พ่อจะต้องเสียใจเรื่องของเขาในครั้งนี้ และเมื่อความจริงที่ว่าของเหล่านั้นเป็นของภูหมอก ใช่ว่าความเสียใจในครั้งนี้ของพ่อจะเรียกกลับมาได้เสียเมื่อไหร่

     ทางแก้ของปัญหาในวันนี้ คือเขาควรที่จะบอกความจริงกับพ่อทั้งหมด แก้ไขความเข้าใจผิดเสีย แต่นึกถึงสภาพน้องที่ร้องไห้อย่างหนักก็ทำให้เขายิ่งลังเล เขาไม่มั่นใจในการกระทำของตัวเองอีกต่อไป ราวกับว่าถ้าเขาตัดสินใจทำสิ่งใดอีกก็คงจะมีแต่เรื่องผิดพลาด

     พิธานถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงข้างตัวเจ้าของห้องที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วเรียกด้วยเสียงที่อ่อนลง

     “เมฆ”

     วงแขนหนาอ้าออกเพื่อเรียกใครคนหนึ่งเข้ามาภายใน

     “มานี่มา”



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ตอนนี้เพียงอยากให้ทุกคนเข้าใจ ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าการเลือกเส้นทางนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบไหน หรือต่อให้รู้ ก็ใช่ว่าคนเราจะสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เป็นไปอย่างที่คิดว่าถูกว่าดีได้เสมอ

     แต่เมื่อผิดแล้วก็ต้องแก้ ส่วนจะแก้ปัญหากันอย่างไรก็มาลุ้นต่อไปด้วยกันนะคะ (ใครลุ้นอะไรไว้ก็คงต้องลุ้นต่อไปอีกหน่อยนะ)

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นกันค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 12 (05.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-09-2020 00:40:56
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 12 (05.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 07-09-2020 04:56:39
อยากไปช่วยปลอบพี่เฆม :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 13 (12.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 12-09-2020 14:13:39
บทที่ 13

     ผ่านไปกว่าสามอาทิตย์แล้วจากเหตุการณ์ที่พี่ชายโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน จนมาถึงวันนี้ วันที่ภูหมอกเหลือสอบวิชาสุดท้าย คือความถนัดแพทย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ในการคำนวณคะแนนเพื่อยื่นเข้าคณะแพทยศาสตร์

     ภูหมอกตรวจเช็กของที่จะนำไปสอบอีกครั้งอย่างตั้งใจ ถึงจะมีปัญหาหลายอย่างผ่านเข้ามาในช่วงนี้ แต่เขาบอกกับตัวเองให้ตัดปัญหาทุกอย่างออกไปจากหัวก่อน แล้วย้อนคิดไปถึงโทรศัพท์จากพี่ชายที่โทรมาตั้งแต่เช้า

     ‘ทำให้เต็มที่ มึงอ่านมาไม่น้อยกว่าใครเขาแน่ ตอนนี้เรื่องเหี้ยอะไรก็ตัดออกไปก่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน แล้วเดี๋ยวสอบเสร็จกูไปรับ กูจะเข้าไปหาพ่อด้วย’

     เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้จะกังวลอยู่ไม่น้อยเรื่องที่พี่ชายจะเข้ามาหาพ่อวันนี้ แต่ต้องตัดใจทิ้งทุกอย่างออกไปตามพี่บอก เขาวางกระเป๋าสตางค์ไว้บนโต๊ะหนังสือ หลายคนบอกว่าอย่าเอาของมีค่าไป เพราะจะต้องวางกระเป๋าทั้งหมดไว้ที่หน้าห้องสอบ เขาจึงเอาไปเพียงโทรศัพท์สำหรับติดต่อพี่ชายที่จะมารับ และเงินติดตัวไปไม่กี่บาทใส่ในถุงใสที่มีเครื่องเขียนและบัตรประชาชนสำหรับเข้าห้องสอบเพียงเท่านั้น

     เสียงแม่ดังมาจากชั้นล่างทำให้ภูหมอกตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วลงไปตามเสียงเรียก

     ----

     ม่านฟ้าวางหูจากน้องชายเสร็จก็พอดีกับที่เดินมาถึงห้องเรียน วันนี้เขามีเรียนเพิ่มแค่คาบเช้าจึงรับปากน้องว่าจะไปรับหลังสอบเสร็จ สนามสอบของภูหมอกอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยเขามากนัก คิดว่านั่งรถเมล์ไปหลังเลิกเรียนคงถึงพอดีกัน

     วันนี้เขาจะได้กลับบ้านครั้งแรกในช่วงสามอาทิตย์

     หลังจากวันที่น้องชายตัวดีส่งผู้ช่วยมาหาเขาถึงโรงแรมแต่กลับมาด่าเขาปาวๆ ม่านฟ้าก็กลับมาอยู่ที่หอในวันรุ่งขึ้นเพราะเข้าช่วงเปิดเทอมพอดี จะแตกต่างไปตรงที่ไม่ได้กลับบ้านช่วงเสาร์อาทิตย์เลยก็เท่านั้น และอีกหนึ่งความแตกต่างที่เพิ่มเข้ามาคือแทนที่จะกลับบ้านในวันหยุดเขากลับเริ่มทำงานพิเศษเพื่อเงินค่าขนม

     ใช่ พ่อไม่ได้โอนเงินค่าขนมมาให้แล้ว เหมือนจะตัดขาดจริงๆ ดังที่กล่าวไว้ แม่เองก็คงไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเรื่องเงินพ่อเป็นคนส่งเสียมาตลอด แต่เขาเองก็ไม่คิดที่จะกระโตกกระตากออกไป ไม่ให้เงินใช้ก็แค่หาเงินเอง ยากอะไร

     พอรู้ตัวว่าต้องหางานพิเศษทำ ความคิดแรกของเขาคือไปเป็นพนักงานสะดวกซื้อ หรือไม่ก็เด็กเสิร์ฟตามร้านเหล้า ได้ยินมาว่าเงินดีไม่น้อย แต่กลับถูกพิธานปัดตกไปเป็นอย่างแรก ด้วยเหตุผลที่ว่างานแบบนี้อาจกระทบกับเรื่องเรียน เพราะมักจะต้องทำงานเลิกดึก ให้หางานที่สามารถบริหารเวลาเองได้ดีกว่า

     สุดท้ายก็มาจบลงที่ ‘งานแปล’ เขาเปิดรับงานแปลทางอินเทอร์เน็ต เพราะอย่างไรก็เรียนมาสายภาษา ความคิดนี้ก็ไม่ใช่ของใครอีกนอกจากพิธานเจ้าเก่าเจ้าเดิม ที่นอกจากจะสนับสนุนแล้วยังช่วยเขาโปรโมทอีกต่างหาก และถ้าใครคิดว่างานแปลเป็นเรื่องง่าย บอกเลยว่าไม่ ยิ่งเจอศัพท์เฉพาะทางเข้าไป ถึงกับต้องรื้อหาข้อมูลกันให้ยุ่ง แถมบางงานยังต้องศึกษาไปถึงวัฒนธรรมของภาษานั้น เพื่อที่จะได้แปลความในออกมาได้อย่างครบถ้วน ซึ่งโดยรวมก็นับว่าสนุกดี

     แต่พอแล้ว

     ใช่ว่าเขาแก้ปัญหาเรื่องที่ไม่ส่งเงินมาให้ได้แล้วทุกอย่างจะจบ เขาไม่อยากให้ทุกอย่างคาราคาซังอยู่แบบนี้ ม่านฟ้ารู้ดีว่าทั้งแม่ ทั้งน้องต่างไม่สบายใจที่ปล่อยให้ความเข้าใจผิดเลยเถิดมาเรื่อยๆ และวันนี้ เขาตัดสินใจที่จะไปคุยความจริงทุกอย่างกับพ่อเสียที

     สัญญาว่าจะไม่ปิดบังอะไรพ่ออีกแล้ว พอกันทีกับความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้

     ในทุกๆ เรื่อง

     ----

     ม่านฟ้ามองออกไปนอกรถประจำทางที่นั่งมากับน้องชายเพื่อกลับบ้าน เพราะตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง เขาถึงได้กระสับกระส่ายเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวัน บวกกับลางสังหรณ์แปลกๆ ที่ทำให้คิดว่าเรื่องทุกอย่างคงจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ภาวนา

     ก็นะ ต่อให้ไม่ต้องใช้ลางสังหรณ์ก็พอจะรู้อยู่ว่าวันนี้คงศพไม่สวยแน่

     โทษสถานเบาก็อาจจะเป็น...โดนตบบวกด่าอีกสักรอบ

     ส่วนโทษสถานหนัก… อย่าเพิ่งไปคิดเลย

     หนุ่มอักษรส่ายหัวแล้วขยับตัวให้ชิดกับหน้าต่างมากขึ้นเมื่อชนเขากับน้องชายที่นั่งขยุกขยิกอยู่ข้างกายอีกครั้ง ภูหมอกนั่งกระวนกระวายตั้งแต่ขึ้นรถมา ดวงหน้าขาวใสของเจ้าตัวดึงดูดสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่ภายในรถให้หันมาเมียงมองได้ไม่ยาก ยิ่งเจ้าตัวทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเสริมให้เจ้าตัวดูเคร่งขรึมน่ามองกว่าเดิม

     ทั้งหน้าตาดี เรียนเก่ง นิสัยโอบอ้อมอารี ใจดีไปทั่ว แถมยังว่านอนสอนง่ายอีกต่างหาก

     พ่อคนไหนก็ต้องวาดฝันถึงอนาคตที่ดีของลูกแบบนี้อยู่แล้ว

     ภูหมอกจึงรับความคาดหวังของพ่อที่มาพร้อมความกดดันอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

     ม่านฟ้าถอนหายใจเงียบๆ แล้วดึงความคิดกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง ก่อนมาเขาตั้งใจเตรียมคำพูดเพื่อมาโน้มน้าวพ่อเสียมากมาย อธิบายเหตุผลร้อยแปดทั้งจิตวิทยา ชีววิทยา สิ่งแวดล้อมและสังคม แม้จะไม่ถึงขั้นเขียนสคริปต์อย่างภูหมอกคราวสารภาพกับแม่ แต่ก็เตรียมคำพูดไว้มากมายจนล้นหัว ก่อนทั้งหมดจะถูกหยุดด้วยคำพูดง่ายๆ



     "มึงไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ความจริงมันเป็นยังไงก็พูดไปให้หมด สารภาพให้หมดเปลือกก็แค่นั้น อธิบายเยอะแยะถ้าเขาไม่ฟังเขาก็มองว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง"

     พิธานผลักหัวคนคิดมากแรงๆ ก่อนจับกลับมาให้ตั้งตรงฟังเขาอีกครั้ง

     "ที่มึงต้องทำคือตั้งสติ มึงไม่ใช่คนใจร้อน ออกจะเย็นจนเฉื่อยเกินไปด้วยซ้ำ แต่กับพ่อ คุยกันไม่กี่คำมึงต้องหัวร้อนตลอด ไม่ก็มึงเองที่ไปกวนเขาจนเขาเดือด ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากับเขา อย่าใช้อารมณ์ เขาแรงมามึงแรงกลับก็หักกันไปข้างดิ ไม่ไหวก็ถอยก่อน ค่อยหาทางคุยใหม่ ยังไงก็พ่อลูกกัน"

     ใครจะเชื่อ พิธานเจ้าพ่อปากปีจอ มาสอนเขาเรื่องการพูด

     "เชื่อกูสักครั้ง.. นะ"




     ม่านฟ้าสูดลมหายใจรับควันข้างถนนเข้าไปเต็มปอด แล้วขยับตัวดันน้องชายให้ไปยืนเตรียมตัวเมื่อใกล้ถึงป้ายรถที่เป็นจุดหมาย เขาบีบไหล่น้องชายเบาๆ เป็นการส่งกำลังใจให้ทั้งเด็กหนุ่มและตนเอง

     คงต้องลองดูสักตั้ง

     ----

     เวลาบ่ายสามของวันปรากฏร่างของชายวัยกลางคนนั่งดูโทรทัศน์อยู่ภายในห้องรับแขก เมื่อเช้าเขาให้ภรรยาไปส่งลูกชายคนเล็กไปสอบ เพราะต้องออกไปเข้าเวรอยู่แล้ว ส่วนตอนเย็น นภดลวางแผนไปรับลูกชายที่สนามสอบด้วยตัวเอง เพราะเจ้าตัวอาจไม่คุ้นเส้นทางในการกลับบ้านจากสนามสอบในเมือง

     ถึงจะอ้างกับตัวเองแบบนั้น แต่เขารู้ดีว่าก็แค่ ‘เป็นห่วง’ นั่นแหละ

     ภูหมอกเป็นลูกชายที่เขาค่อนข้างเอาใจใส่มากกว่าม่านฟ้า จะด้วยความเป็นน้อง ความหัวอ่อนและนิสัยหลายๆ อย่างทำให้เขาไม่ค่อยปล่อยภูหมอกนัก ผิดกับม่านฟ้า รายนั้นตะแบงได้ทุกเรื่อง ดื้อจนเขาปล่อยเลยตามเลย ให้ดูแลตัวเองตั้งแต่เด็ก

     เมื่อกลับมาคิดถึงเรื่องลูกชายคนโตที่ไม่เห็นหน้ากว่าสามอาทิตย์นับจากที่เขาไล่ออกจากบ้าน ชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจหนักๆ ทั้งที่เขาเกลียดเพศที่สามเข้าไส้ กลับกลายเป็นลูกชายของเขาเองที่เป็นในสิ่งที่เขาเกลียด เขาตัดเงินเดือนก็แล้ว ตัดขาดการติดต่อไม่ไยดีในทุกทาง ก็อยากจะรู้ว่าจะดันทุรังไปได้สักกี่น้ำ

     เขาคิดว่าอีกไม่นาน หากม่านฟ้าทนไม่ไหว...ก็คงยอมกลับใจมาเป็นลูกชายของเขาเหมือนเดิม

     นภดลลุกขึ้นปิดโทรทัศน์เพื่อขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปรับลูกชายคนเล็ก ระหว่างทางที่เดินผ่านห้องของลูกชายจึงได้เห็นถึงความผิดปกติ ประตูห้องถูกเปิดอ้าเอาไว้จนมองเข้าไปเห็นถึงภายใน

     ประมุขของบ้านเดินเข้าไปยังเป้าสายตาที่เห็นตั้งแต่ภายนอก เขาเหลือบมองกองหนังสือมากมายภายในห้อง ยิ่งย้ำชัดถึงความพยายามของภูหมอก ก่อนหันกลับมาที่ ‘สิ่งของ’ เจ้าปัญหาที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ

     ‘กระเป๋าสตางค์’

     นภดลจำได้ว่าของสิ่งนี้เป็นของภูหมอก ผู้เป็นพ่อถึงกับขมวดคิ้วเมื่อคิดได้ว่า หากไม่เอากระเป๋าสตางค์ไป แล้วเมื่อกลางวันลูกชายจะทานข้าวอย่างไร

     ‘หรือจะเอาเงินติดตัวไปบ้างแล้ว’

     ชายวัยกลางคนพยายามคิดในแง่ดี แต่ก็คว้ากระเป๋าสตางค์มาเปิดดูภายใน มีธนบัตรสีเขียวและสีแดงอยู่อย่างละใบ ไม่แน่ใจว่าเอาเงินติดตัวไปแล้วจึงเหลือแค่นี้ หรือเงินทั้งหมดมีแค่นี้อยู่แล้วกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล และหนักยิ่งขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นคล้ายกระดาษแข็งสีขาวเสียบอยู่ในช่องธนบัตร

     ‘อย่าบอกนะว่าลืมบัตรสอบ’

     ทันเท่าความคิดมือใหญ่ดึงกระดาษดังกล่าวออกมาเพื่อพิสูจน์ความคิดตัวเอง ก่อนถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงรูปโพลารอยด์เท่านั้น

     ผู้เป็นพ่อทำท่าจะเก็บรูปดังกล่าวเข้ากระเป๋าสตางค์อีกครั้ง แต่สัญชาตญาณคนเราเมื่อเห็นรูปกลุ่ม มักมองหาภาพตัวเองหรือคนที่เรารู้จักก่อนเป็นอย่างแรก นภดลกวาดตามองภาพกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วก็ขมวดคิ้ว

     ‘หรือจะเป็นรูปแฟนของภูหมอก’

     ยังไม่ทันคิดไปไกลกว่านั้น ความจริงที่ปรากฏขึ้นเมื่อพินิจภาพถ่ายนั้นอีกครั้งกลับทำให้หัวใจของผู้เป็นพ่อกระตุกพร้อมกับความเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด



     TBC

     Achaya (Writer) :

     ใครรอเรื่องรักก็บอกแล้วว่าต้องรออีกหน่อย มาลุ้นเรื่องของพี่น้องคู่นี้ไปด้วยกันก่อนดีกว่า

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 13 (12.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-09-2020 14:52:12
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 13 (12.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 12-09-2020 18:40:25
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 14 (19.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 19-09-2020 16:20:24
บทที่ 14

     บรรยากาศภายในบ้านช่วงใกล้ค่ำวันนี้เงียบสงัด ไร้เสียงโทรทัศน์หรือเสียงเดินของคนในบ้านจนภูหมอกลอบกลืนน้ำลาย เสียงต้นไม้เสียดสีกับลมดังหวีดหวิด พาให้รอบด้านดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เขาปลอบตัวเองว่าคงเพราะเครียดมากเกินไปจึงสร้างบรรยากาศกดดันตัวเองขึ้นมา ทั้งที่เย็นวันนี้ก็เป็นเพียงเย็นของวันธรรมดาทั่วไป

     แม้แปลกใจที่ไม่มีเสียงโทรทัศน์ทั้งที่บิดาก็อยู่บ้าน แต่เพราะคิดว่าเจ้าตัวคงหลับอยู่ที่โซฟาหรือบนห้องนอน จึงก้าวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบเชียบ

     สิ่งที่น่าแปลกใจอีกสิ่งคือไฟในบ้านยังไม่ถูกเปิด ทั้งที่ปกติเพียงเริ่มจะเย็นก็เปิดไฟเพื่อช่วยให้สว่างแล้ว ส่งผลให้ทั้งบ้านในเวลาเกือบค่ำเช่นนี้เห็นเป็นเพียงแสงสลัวเท่านั้น

     ภูหมอกมองซ้ายมองขวาจึงเห็นบิดานั่งอยู่บนโซฟา ไร้ท่าทางสัปหงกอย่างคนหลับ แต่นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นจนลมหายใจของภูหมอกติดขัด เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องพร้อมกับหัวใจที่เริ่มเต้นกระหน่ำ

     เค้าลางบางอย่างบอกเขาว่านี้ไม่ใช่ท่าทางปกติ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้า เขาทบทวนเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ว่ามีสิ่งใดผิดปกติไปที่ทำให้พ่อเกิดอาการเช่นนี้ แต่ก็ไม่พบ เขาไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าพี่ชายจะกลับมาที่บ้าน จะว่าพ่อโกรธที่พี่ชายกลับบ้านมาก็คงไม่ใช่

     แล้วอะไร เกิดอะไรขึ้นอีก..

     ทันทีที่เสียงฝีเท้าไม่หนักไม่เบาเดินเข้ามาภายในบ้าน ร่างของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็หันกลับมาหาต้นเสียง กล่าวเสียงทุ้มต่ำราวคำรามออกมาจากลำคอ

     "กลับมาแล้วเหรอ ไอ้ตัวดี"

     ดวงตาสองข้างของชายวัยกลางคนที่หันกลับมาแดงก่ำ หลากหลายอารมณ์สะท้อนออกมาจากภายในจนสับสน แต่เห็นชัดเจนที่สุดคงไม่พ้นความผิดหวังและเสียใจ ภูหมอกจับต้นชนปลายไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ก็ยังรีบก้าวเข้าไปหาบิดาด้วยความเป็นห่วง

     "พ่อ พ่อเป็นอะไร เกิดอะไ-"

     "ฉันเป็นอะไรเหรอ!!! ฉัน! ฉัน เป็นพ่อของแกไงภูหมอก! " เสียงของบิดาดังแทรกขึ้นมาจนภูหมอกนิ่ง เสียงตะโกนสั่นเครือของคนตรงหน้าบ่งบอกความปวดร้าวภายในอย่างสุดจะกลั้น

     "แล้วแกล่ะ แกเป็นอะไร เป็นลูกชายของฉันใช่ไหม!!! " กระเป๋าสตางค์กับรูปใบหนึ่งถูกโยนเข้ามาใส่หน้าของเด็กหนุ่ม ภูหมอกผงะถอยหลังอย่างตกใจ ก่อนรู้สึกถึงเลือดในกายที่เย็นเฉียบเมื่อเห็นภาพนั้นชัดเจน

     รูปถ่ายที่เขาแต่งตัวเป็นผู้หญิงครั้งไปเที่ยวกับเพื่อน

     หัวใจของภูหมอกบีบรัดแน่น ราวกับอากาศรอบด้านเหือดไปจนหายใจไม่ออก เสียงที่ขาดห้วงของบิดาและแววตาที่สะท้อนความอ้อนวอนออกมาในคำกล่าวสุดท้าย

     "แก ยังเป็นลูกชายของฉัน..ใช่ไหม ภูหมอก"

     พ่อที่ไม่เคยร้องไห้ ขณะนี้กลับมีน้ำใสไหลลงมาจากดวงตาคู่นั้น เสียงที่คล้ายกลั้นสะอื้นออกมาจากอก ไหล่สองข้างตกลงอย่างคนสิ้นหวัง ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่เหมือนพ่อผู้ใจร้ายที่ชอบเขวี้ยงปาข้าวของหรือตีเขาหนักๆ ด้วยไม้เมตรคนก่อน เป็นเพียงภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ราวกับ...ใจสลาย

     ม่านฟ้าเดินเข้ามาทันเห็นภาพตรงหน้าก็ชะงัก เขาไม่ได้เตรียมใจมาเห็นภาพเช่นนี้ แม้จะเห็นไม่ชัดว่ารูปที่ตกอยู่ข้างตัวภูหมอกคืออะไร แต่ให้เดาก็คงไม่พ้นหลักฐานสำคัญที่มัดตัวภูหมอก

     เขาจะไม่แปลกใจหากพ่อหยิบไม้ขึ้นมาตี หรือไล่ตะเพิดพวกเขาอย่างหมูอย่างหมา แต่ภาพผู้ชายคนหนึ่งที่อ่อนแอลงได้ขนาดนี้เพราะรูปเพียงใบเดียวนั้นยิ่งย้ำชัด

     ภูหมอกเป็นราวกับแก้วตาดวงใจของพ่อจริงๆ

     เด็กหนุ่มเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เขาก้าวเข้าไปหาพ่ออีกครั้งทั้งน้ำตานอง ปากขยับจะปัดเรื่องทุกอย่างตรงหน้าให้หมดไป คิดเพียงลบความเสียใจของพ่อให้ได้เท่านั้น

     'ไม่ใช่ เป็นแค่การแสดง เป็นการถ่ายรูปเล่นเท่านั้น เขาโดนเพื่อนแกล้ง บังคับให้แต่งหน้าแต่งตัว'

     ข้ออ้างร้อยพันเกิดขึ้นในสมองของภูหมอก แต่ก่อนคำพูดจะหลุดออกจากปาก หางตาก็เหลือบไปเห็นพี่ชายที่ก้าวเข้ามาในบ้าน

     กี่ครั้งแล้วที่เขาปัดเรื่องออกไปจากตัว กี่ครั้งที่ความเห็นแก่ตัวของเขาทำพี่ชายเดือดร้อน เขาห่วงความรู้สึกของพ่อ แต่กับพี่ชายที่รับทุกอย่างไว้กับตัวจะให้เขาเมินเฉยอย่างไร แค่ครั้งที่พ่อเข้าใจผิดเรื่องเครื่องสำอางของเขานั่นก็หนักหนามากแล้ว หากครั้งนี้เขายังปฏิเสธ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรที่แย่ยิ่งกว่าเดิมอีกหรือไม่

     ภูหมอกหายใจเข้าลึก ก้าวเข้าไปใกล้กับบิดา พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

     “หมอกขอโทษ พ่อ หมอกเป็นลูกชายให้พ่อไม่ได้”

     ดวงตาที่เจ็บปวด กับสีหน้าบิดเบี้ยวของชายวัยกลางคนปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อคำสารภาพพรากเอาความหวังสุดท้ายของเขาไป ริมฝีปากอ้าออกเหมือนจะกล่าวบางอย่างแต่ได้เพียงอึกอักในลำคอราวกับก้อนความเสียใจจุกอยู่ที่อกจนทำได้เพียงหลับตาแน่น ร่างหนาถอยไปจนพิงโซฟาก่อนกลั่นคำพูดออกมา

     “ออกไป”

     มีเพียงเสียงเบาหวิวราวคนจะขาดใจเท่านั้นดังขึ้น

     “แกออกไปซะ”

     ภูหมอกผวาเข้าไปจะรับบิดาที่ทำท่าเหมือนจะล้มลง แต่ช้ากว่าม่านฟ้าที่เข้าไปถึงตัวก่อน สองแขนประคองร่างที่สูงพอกับตนไว้แล้วกระชับแน่น นภดลเงยหน้ามามองลูกชายอีกคนที่เข้ามารับไว้ด้วยสายตาไม่บอกความหมาย ปล่อยเสียงหอบเบาๆ ก่อนพูดเสียงลอดไรฟัน

     “แกเองก็รู้สินะ แล้วก็คงช่วยน้องมึงปิดบังสินะ ดีนักนิ ดี”

     “พ่อ พ่อฟังก่อนได้ไหม” ม่านฟ้าหายใจลึกๆ จะว่ารับมือไม่ถูกก็ไม่ผิดนัก เขาเตรียมรับมือกับคำโวยวายบ้านแตก แต่ไม่ได้คิดถึงพ่อที่นิ่งจนน่ากลัวขนาดนี้ “เราค่อยๆ มานั่งคุยกันได้ไหม ให้เมฆได้อธิบาย ให้หมอกได้อธิบาย นะพ่อนะ”

     คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการส่ายหน้า

     “ออกไปให้หมด โดยเฉพาะแก” พ่อเหลือบตาขึ้นมามองตรงไปยังลูกชายคนเล็ก “ภูหมอก” ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น “อย่า… อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” เหมือนแต่ละคำพูดที่เปล่งออกมาดึงพลังงานจากร่างชายวัยกลางคนไปมากจนหอบตัวโยน เสียงตะกุกตะกักปนสะอื้นของพ่อพาลเอาลูกทั้งสองเป็นกังวล แต่ยิ่งพวกเขายืนนิ่ง พ่อก็ยิ่งไล่ จนสุดท้ายม่านฟ้าก็ต้องตัดใจ

     “หมอก เราออกไปก่อนเถอะ รอพ่อใจเย็นกว่านี้แล้วเราค่อยกลับมา"

     "ไม่เอาพี่เมฆ หมอกจะอยู่กับพ่อ"

     "แต่พ่อเขาไม่อยากให้แกอยู่แล้วไง" คำพูดตรงๆ ของม่านฟ้า ทำเอาภูหมอกสะอึก ไม่เพียงภูหมอกเท่านั้น แม้แต่คนเป็นพ่อเองก็กัดฟันแน่น เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนคนทำลายความเงียบจะเป็นม่านฟ้าอีกครั้ง

     "ถอยก่อน ให้พ่อเขาทำใจได้กว่านี้หน่อย"

     ภูหมอกทำท่าจะปฏิเสธ มือเรียวยาวเอื้อมไปหาบิดาเหมือนอยากจะยื้อไว้ แต่กลับถูกปัดออกอย่างรังเกียจ เด็กหนุ่มหน้าเสียกว่าเดิม จนสุดท้ายก็ต้องยอมถอยออกมาตามคำเตือนของพี่ชาย

     ----

     สองพี่น้องเมฆหมอกออกมายืนแกร่วอยู่หน้าบ้าน ม่านฟ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ต่างกับภูหมอกที่เพิ่มเติมด้วยน้ำตานอง แม้คราวนี้ภูหมอกไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญดังครั้งก่อน แต่สภาพจิตใจดูท่าว่าจะบอบช้ำกว่าครั้งก่อนไม่น้อย ม่านฟ้ามองน้องชายสักพักก็สะบัดหัว บอกตัวเองว่าไม่ใช่เวลามาปลอบกัน ต้องแก้ปัญหาตรงหน้าเสียก่อน

     มือเรียวของม่านฟ้าคว้าโทรศัพท์ออกมากดไปยังเบอร์ที่คุ้นเคย

     “แม่” รอไม่นานปลายสายก็ตอบรับกลับมา

     “แม่อยู่ไหนแล้ว”

     ‘อยู่แถวตลาดหน้าหมู่บ้านแล้ว มีอะไร’

     “มีเรื่องไงแม่ แม่รีบกลับมาบ้านเหอะ”

     ‘เรื่องอะไร เรื่องเจ้าหมอกเหรอ’

     “อืม พ่อรู้แล้ว แม่รีบกลับมาดูพ่อเหอะ ดูเครียดๆ โคตรน่ากลัว ตอนนี้เมฆกับหมอกก็ออกมาอยู่นอกบ้านแล้วด้วย เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกตายไปไม่มีใครช่วย แม่รีบๆ มาแล้วกัน”

     ‘แล้วทำไมถึงรีบบอก แม่บอกให้รอแม่ก่อนใช่ไหม’

     ม่านฟ้าก็ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดกับมารดา จึงรีบตัดบทไปเสียก่อน

     “เดี๋ยวเมฆเล่าให้ฟังอีกที ตอนนี้เมฆพาน้องไปหลบก่อนแล้วกัน แม่รีบกลับมานะ” พอย้ำแล้วย้ำอีกกับมารดาให้รีบกลับ ม่านฟ้าก็จูงน้องชายออกจากบริเวณหน้าบ้าน พาเดินเรื่อยๆ รับลมอุ่นในช่วงเย็นผ่านซอยนั้นทะลุซอยนี้ในหมู่บ้าน จนมาถึงที่หมายแห่งแรก



    “แล้วมึงจะกลับบ้านทำไม พรุ่งนี้มึงก็มีกิจกรรมอีกไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่นอนหอ”

     “สแตนด์บายไง เผื่อวันนี้มีเด็กโดนไล่ออกจากบ้านมาเพิ่ม”

     “ปากเสีย”

     “เออๆ ขอให้กูไปสแตนด์บายเก้อก็แล้วกัน”



     ไม่เก้อแล้วล่ะ

     ม่านฟ้าถอนหายใจ หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในสถานการณ์อย่างนี้ก็ได้แต่รู้สึกขอบคุณบริการเสริมจากอาจารย์สอนพิเศษของน้องชายที่หวังดีมารอให้ความช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ แม้เขาจะไม่อยากใช้บริการแค่ไหนก็ตาม

     กริ๊ง

     ชายหนุ่มกดกริ่งสั้นๆ เพียงครั้งเดียวแล้วยืนรอ ปล่อยน้องชายที่ดูหมดเรี่ยวหมดแรงนั่งยองๆ ลงกอดเข่าอยู่ด้านข้าง เจ้าตัวดูไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาพามาที่ไหน แค่เห็นเขาหยุดก็นั่งลงไปเท่านั้น ไม่นานร่างของเจ้าของบ้านที่เขามากดกริ่งก็เดินออกมา พิธานไล่สายตามองสองพี่น้องที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบดี แต่กลับมองออกถึงสภาพที่ดูไม่จืดสักเท่าไหร่

     “เป็นไง”

     ดูเป็นคำถามที่โง่มาก แม้จะยั้งปากไม่ทันแล้วก็ตาม แต่พิธานก็ยังด่าตัวเองในใจ

     ไม่มีคำตอบรับ มีเพียงการส่ายหน้าเบาๆ ที่บ่งบอกคำตอบและความหมายทุกอย่างของคนเป็นพี่ พิธานพยักหน้ารับ จะว่าไม่เกินคาดก็ไม่ผิด ถ้าพ่อรับได้สิคงเป็นเรื่องแปลก

     “พ่อรับไม่ได้สินะ”

     “จริงๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เขารู้เรื่องหมอกก่อนแล้ว พอถึงบ้าน ก็ระเบิดลง ยับ”

     คิ้วของพิธานขมวดลงเล็กน้อย เอ่ยย้ำความเข้าใจของตนกับคนตรงหน้า

     “หมายถึง… มึงเลยยังไม่ได้พูดอะไรเลย ..งั้นสิ”

     สายตาของคนตัวเล็กกว่าช้อนมองขึ้นมาเสี้ยววินาทีก่อนจะหลุบลงไป แล้วพยักหน้าตอบเบาๆ แวบหนึ่งที่ได้รับคำตอบสายตาของพิธานกลับฉายแววบางอย่าง ร่างใหญ่เบือนหน้าไปอีกทาง จากนั้นสูดลมหายใจเข้าหนักๆ

     “แล้ว.. จะทำยังไงต่อ” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหันกลับมาอีกครั้ง “กูหมายถึงเรื่องหมอก”

     “ไปส่งหน่อยสิ”

     “นี่มึงจะไปไหน นอนบ้านกูเนี่ยแหละ”

     “ไปส่งหน่อย” เหมือนม่านฟ้าไม่ได้ยินประโยคคำถามและประโยคคำสั่งจากพิธาน อีกทั้งยังย้ำคำเดิมให้ฟังอีกครั้งพร้อมสายตาที่ช้อนขึ้นมามอง สารถีจำเป็นมองคนตรงหน้าคิ้วขมวด เห็นเค้าลางของ ‘เด็กดื้อ’ ปรากฏตัวขึ้นมารางๆ

     “จะไปไหนทำไม ไม่เอาอ่ะ กูขี้เกียจขับรถแล้ว มืดแล้วด้วย พรุ่งนี้ไปมออีก”

     พูดจบก็สะบัดหน้าไปอีกทาง แสดงออกว่าคราวนี้อย่างไรก็ไม่ยอมคนตรงหน้า แต่ยังไม่ทันเก๊กท่าได้เกินห้าวินาทีก็รู้สึกถึงแสงสว่างจนต้องหันกลับมอง

     แอพลิเคชั่นเรียกรถสีเขียวปรากฏขึ้นที่หน้าจอโทรศัพท์ของผู้มาเยือนยามวิกาล ทำให้พิธานฉุนกึก เอื้อมมือทะลุรั้วเหล็กไปคว้าข้อมือของคนตรงหน้า แล้วดึงให้ทะลุรั้วมาฝั่งตนก่อนคว้าโทรศัพท์ตัวการไว้

     “เมฆ” หนุ่มวิศวะกดเสียงลงต่ำ พร้อมกระชับข้อมืออีกคนเอาไว้

     สงครามการจ้องตาของสองหนุ่มเริ่มขึ้นเงียบๆ ก่อนที่ผลแพ้ชนะจะปรากฏในเวลาไม่นาน

     “เออๆ กูไปส่งก็ได้” พิธานส่ายหัวทั้งขำทั้งหงุดหงิด รู้สึกปลงขึ้นมาที่สุดท้ายเขาก็เอาชนะคนตัวเล็กกว่าคนนี้ไม่ได้เสียที เขาปล่อยข้อมือม่านฟ้าลง จากนั้นเอื้อมมือไปลากรั้วบ้านออก “เข้ามาก่อน กูไปหยิบของแปบ”

     ม่านฟ้าขยับตัวดึงน้องชายให้เดินตามเข้ามา พอดีกับเสียงบ่นของร่างสูงที่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน “ทำไมถึงไม่ยอมมานอนบ้านกูสักทีว่ะ แม่ง”

     หนุ่มอักษรฯ เหลือบมองคนขี้บ่นนิ่งๆ ไม่ปริปากพูดอะไรจนกระทั่งบางคำหลุดออกมา “กลัวผิดผีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้ง”

     เสียงลมพัดใบไม้เสียดสีจนเกิดเสียงดังแว่ว นกฝูงใหญ่ที่บินกลับรัง และแมลงกลางคืนที่เริ่มออกหากิน ท่ามกลางเสียงธรรมชาติเล่านั้น กลับได้ยินคล้ายเสียงสบถด่าของผู้มาเยือนเบาๆ

     ----

     “จะไปไหน”

     คำถามที่เขาจำไม่ได้ว่าถามออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน

     “เดี๋ยวกูบอกทางให้”

     แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเสียที

     พิธานส่ายหัวเอือม บอกตัวเองว่าควรชินได้แล้ว จะว่าม่านฟ้ากวนประสาทเขาก็พูดได้ไม่เต็มปาก สภาพม่านฟ้าตอนนี้เหมือนคนเบลอๆ งงๆ มากกว่า

     ตั้งแต่รู้จักกันมา สิ่งที่เขานิยามได้จากคนคนนี้คือ ‘คนเอื่อยๆ เรื่อยๆ’ ม่านฟ้าเป็นคนที่มีพลังงานในแต่ละวันอย่างจำกัด วันไหนที่ต้องใช้ความคิดมากเป็นพิเศษ หรือออกแรงมากเกินไป ก็มักจะเกินอาการ ‘เครื่องรวน’ ให้ได้เห็นกันบ้าง ทั้งอาการเบลอๆ มึนๆ หรือหนักหน่อยก็จะเอาแต่ใจ (หรืองอแง) เป็นบางครั้ง

     อย่างตอนนี้ที่เขาพยายามถามถึงจุดมุ่งหมายของการเดินทาง แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมบอกเขาเสียที

     อย่าถามว่าภูหมอกรู้ไหม เด็กนั่นตอนนี้ดูเอ๋อกว่าพี่ชายเสียอีก

     “มึงบอกไม่ยอมนอนบ้านกูเพราะเกรงใจพี่กู กลัวน้องมึงเกร็ง แล้วไม่แคร์กูบ้างรึไง มึงต้องจ่ายค่าเสียเวลากับค่าน้ำมันรถให้กูด้วยนะ ไม่งั้นกูไม่ยอมจริงด้วย” พิธานออกปากกวนประสาทตุ๊กตาหน้ารถที่นั่งนิ่ง หวังไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเกินไปนัก

     “...” สายตาว่างเปล่าที่ส่งกลับมา ทำให้พิธานรู้ตัว

     โอเค ม่านฟ้าตอนนี้เหมือนฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องแล้ว แบลงค์โดยสมบูรณ์

     พิธานตัดสินใจหุบปากนั่งเงียบๆ ขับรถไปตามทางที่ม่านฟ้าบอกมาเป็นระยะ จนมาจอดหน้าทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆ หลังหนึ่งห่างจากหมู่บ้านพวกเขาไปไม่ไกล

     ม่านฟ้าเปิดประตูลงไปก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยพิธาน ชายหนุ่มอ้อมตัวรถมายืนข้างเนวิเกเตอร์ เขาเห็นสายตาลังเลของเจ้าตัวครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ม่านฟ้าหันกลับไปเปิดประตูแล้วคว้าแขนของน้องชายลงมาจากรถ สายตาของภูหมอกที่ส่งกลับมาหาพี่ชายและคุณครูเป็นคำถามเดียวกับที่อยู่ในใจชายหนุ่มตัวโตเช่นกัน

     ‘ที่นี่ที่ไหน’

     แน่นอน พิธานไม่คิดที่จะถามคำถามนี้ออกไปแน่ รู้ทั้งรู้ว่าจะไม่ได้คำตอบ เพราะฉะนั้นถามไปก็เปลืองน้ำลาย เขาถึงได้แต่เลยตามเลย ปล่อยให้ม่านฟ้าเดินนำไปถึงหน้าประตูรั้วสีซีด

     ไม่มีการกดกริ่งที่หน้าบ้าน มือเรียวของม่านฟ้าจับเข้าที่รั้วเหล็ก แล้วออกแรงลากไปด้านข้างโดยไม่มีการไขกุญแจใดๆ จนกว้างพอที่คนจะเดินเข้าไปได้ ชายหนุ่มก็แทรกตัวเข้าไปด้านในทันที

     พิธานกับภูหมอกมองหน้ากันอย่างงุนงงปนตกใจ ม่านฟ้าเหมือนรู้ดีว่าเจ้าของบ้านหลังนี้จะไม่ล็อกประตูรั้วและเดินตรงเข้าไปถึงบริเวณหน้าประตูบ้านแล้ว

     ก๊อกๆๆๆ

     เสียงเคาะประตูบ้านออกจะดังและรัวไปสักหน่อย ราวกับคนเคาะร้อนใจจนเผลอส่งแรงไปพร้อมกับจังหวะ เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวถึงรีบผละมือออกมา แต่ก็ปิดอาการกระวนกระวายไว้ได้ไม่มิด

     “ใครน่ะ มาค่ำๆ มืดๆ” เสียงอู้อี้ปนแหบแห้งดังออกมาจากภายใน พวกเขาได้ยินคล้ายเสียงใครบางคนเดินใกล้เข้ามาหลังประตูบานนี้ ก่อนที่ผู้มาเยือนจะตะโกนกลับไป

     “ผมเอง เมฆครับ”

     เสียงฝีเท้าของคนที่อยู่ภายในบ้านชะงักไปอย่างชัดเจน ทำเอาภูหมอกกับพิธานเหลือบมองหน้ากันอีกครั้ง

     จากนั้นการก้าวเท้าก็ดังขึ้นมาอีกหนด้วยจังหวะที่เปลี่ยนไป

     ประตูไม้บานเล็กถูกเปิดออก ปรากฏร่างหญิงวัยกลางคนในชุดนอนตัวยาว ผมสีดำยาวทิ้งตัวลงกลางหลัง ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉม แต่ยังสังเกตได้ถึงความสวยงามของเจ้าของที่แม้จะมีอายุแล้วก็ตาม รูปร่างเพรียวบางแต่กลับมีส่วนเว้าโค้งที่ชัดเจน ทั้งหมดประกอบเป็นเจ้าบ้านที่เกินความคาดหมายสำหรับสองหนุ่มอย่างพิธานและภูหมอกมาก ก่อนที่สถานะของเจ้าบ้านจะได้รับการเฉลย

     “จำผมได้รึเปล่าครับ อาที”



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 14 (19.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-09-2020 18:33:00
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 14 (19.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 20-09-2020 19:53:45
คุณพ่อเปิดใจยอมรับเร็วๆ นะ จะได้ปรับความเข้าใจกัน อยากให้กลับมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนเดิมไวๆ

สงสารสองพี่น้อง :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 15 (26.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 26-09-2020 23:32:29
บทที่ 15

     ในเวลาห้าทุ่มที่ควรเป็นเวลานอนของนทีวันนี้กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ภายในบ้านของ ‘เธอ’ ถึงสามคน สองในสามคือหลานชายที่เธอไม่ค่อยจะคุ้นหน้าเสียเท่าไหร่ คงเพราะเธอเองก็ใช่ว่าจะญาติดีกับพี่ชายแท้ๆ ผู้เป็นพ่อของเจ้าเด็กพวกนี้นัก จึงไม่ได้เจอหน้าหลานบ่อยเท่าที่ควร อีกหนึ่งเป็นสารถีที่พาเจ้าพวกนี้มาส่งแต่ก็ยังคงปักหลักรออยู่ด้วยไม่ไปไหน

     นทีพุ่งเป้าของการหาคำตอบไปที่หลานชายคนโตก่อน และดูท่าว่าม่านฟ้าเองก็รอที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟังอยู่เช่นกัน

     เรื่องราวต่างๆ ของภูหมอกถูกเล่าผ่านปากของพี่ชายโดยมีเจ้าของบ้านตอบรับเป็นระยะ พิธานเพิ่งเข้าใจว่าที่ม่านฟ้าเงียบมาตลอดคงเก็บพลังงานไว้สำหรับตอนนี้ และอีกเรื่องที่ได้รู้คือ ‘คุณอานที’ ของม่านฟ้า ก็เป็นเหมือนกันกับภูหมอก

     ใช่

     นทีเป็นสาวประเภทสอง เป็นสาวประเภทสองที่ดูท่าว่าจะผ่านการผ่าตัดมาแล้วด้วย สิ่งเดียวที่ยังชี้ชัดให้เห็นถึงบุรุษเพศคงเป็นเสียงที่ทุ้มแหบกว่าผู้หญิงทั่วไป ตอนแรกเขาไม่สังเกตเพราะคิดว่าคงเป็นเสียงแหบของคนเพิ่งตื่นนอนจนกระทั่งฟังมาเรื่อยๆ ถึงเข้าใจ

     เข้าใจว่าทำไมภูหมอกถึงดูไม่รู้จักเธอคนนี้ ทั้งที่เป็นอาแท้ๆ ของตัวเอง การที่นทีเป็น ‘แบบนี้’ และพ่อของม่านฟ้าก็เกลียดคน ‘แบบนี้’ เข้าไส้ ไม่แปลกใจที่จะตัดพี่ตัดน้องกันจนภูหมอกจำคุณอาคนนี้ไม่ได้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมม่านฟ้าดูคุ้นเคยทางจนมาได้โดยไม่หลง

     “อืม คือจะเอาเจ้าหมอกมาฝากไว้ก่อนว่างั้น” ผู้สูงวัยกว่าถามขึ้นมาเมื่อรับรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

     “ครับ” ม่านฟ้าตอบเบาๆ ก็ใช่ว่าจะไม่เกรงใจ ที่อยู่ๆ ก็เอาน้องมาฝากไว้แบบนี้ แถมมากันอย่างกะทันหันไม่มีเกริ่นไม่มีกล่าวล่วงหน้า ใจจริงม่านฟ้าคิดที่จะมาคุยกับนทีก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่คิดว่าจะไปคุยกับพ่อวันนี้ แต่เพราะมาทีไรก็ไม่เคยเจอนทีอยู่บ้านเสียที จึงยังไม่มีโอกาสคุย

     ม่านฟ้าพอจะจำอาคนนี้ได้เพราะตอนเด็กๆ แม่มักจะพาเขากับหมอกมาหา ถึงแม้พ่อจะตัดพี่ตัดน้องเพราะสิ่งที่อาเป็นแล้ว แต่แม่ก็ยังไปมาหาสู่กับนทีอยู่ นทีเองก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก แม่จึงเทียวมาหาเรื่อยๆ จนพวกเขาเริ่มโตจึงลดการไปมาหาสู่กันลงเพราะไม่ค่อยมีเวลา ครั้งล่าสุดที่แม่วานให้เขาเอาขนมมาฝากอาตอนปีใหม่ก็เมื่อสองปีที่แล้ว โชคยังดีที่อาพอจะจำเขาได้ จึงเปิดประตูให้เข้าบ้านมาแบบนี้

     “แล้วแกล่ะ” คำถามที่ถูกส่งมา ดึงม่านฟ้าหลุดจากภวังค์

     “ผมอยู่หออยู่แล้ว แต่คงเทียวไปเทียวมาแหละ กลัวเจ้าหมอกจะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

     “ฉันไม่กัดน้องชายแกหรอกหน่า ห่วงอะไรนัก” นทีอดกระแนะกระแหนหลานชายคนโตไม่ได้ จากนั้นเหลือบไปมองหลานชายคนเล็กที่ยังนั่งเซ่อซ่าทำตาเหลือกเมื่อได้ยินว่าจะถูกพี่ชายเอามาปล่อยทิ้งไว้

     “ไม่ คือ.. แบบ.. ผมกลัวเจ้าหมอกจะมาสร้างปัญหาอะไรให้อาไงเลยจะมาดูบ่อยๆ ผมจะเอามันไปอยู่ด้วยก็ไม่ได้ ผมอยู่หอใน เขาไม่อนุญาตให้คนนอกนอนค้างด้วยได้ ก็เล-”

     “เออๆๆ รู้แล้ว พูดอะไรเยอะแยะ หลานมาขออยู่ด้วยทั้งที จะให้ฉันใจจืดใจดำไล่ไปนอนข้างถนนได้ลงคอรึไง” นทีตัดบทพูดของม่านฟ้าแล้วแดกดันไปอีกหน รู้ตัวว่าไม่ใช่คนพูดจาไพเราะ ติดจะพูดแรงเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ยังห้ามปากตัวเองไม่ได้ “ถึงแม้ว่าปู่กับพ่อแกจะเคยไล่ฉันอย่างหมูอย่างหมา แทบจะไปนอนข้างถนนมาแล้วก็เถอะ”

     สิ้นคำของเจ้าบ้าน วงสนทนาก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ภูหมอกเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกว่าตนเองคงจะไม่ได้รับการต้อนรับอย่างเต็มใจนัก คิดจะท้วงพี่ชายแต่ก็ไม่กล้า ขณะที่ม่านฟ้ากำลังคิดหาคำพูดมาเกลี้ยกล่อมคนเป็นอาอีกครั้งแต่กลับช้ากว่าใครบางคน

     “ผมพูดไปอาจจะดูเสือกไปนิด แต่ผมคิดว่า เมฆไม่ได้ตั้งใจเอาหมอกมาหาแค่ที่อยู่ แต่คิดแล้วว่าต้องเป็นอาเท่านั้น ถึงจะสามารถดูแลสภาพจิตใจของหมอกตอนนี้ได้ คุณอาเคยผ่านวันเหล่านั้นมาได้ แต่หมอกไม่ใช่ เมฆถึงอยากให้อาเป็นคนดูแลหมอกให้เข้มแข็งได้อย่างอาก็เท่านั้น”

     นทีเหลือบไปมองเจ้าหนุ่มสารถีที่ทำลายความเงียบขึ้นมา สายตาที่ส่งคำถามมาว่า 'เธอเป็นใคร' ทำให้พิธานอึกอัก ขยับตัวเล็กน้อยก่อนเสริม

     "เออ ผม.. พิธานครับ เป็น…" สายตาของพิธานเหลือบไปมองม่านฟ้า ก่อนหลุบตาลงแล้วพูดต่อ "...ครูสอนพิเศษของภูหมอกน่ะครับ"

     เจ้าบ้านพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้ ถอนหายใจก่อนพูดเบาๆ "ก็บอกแล้วไง ใช่ว่าจะไม่ให้อยู่สักหน่อย"

     "แต่คุณอาดูไม่ค่อยเต็มใจนี่ครับ"

     "นี่เธอ ฉันเพิ่งเจอหลานที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีจนแทบจำหน้าไม่ได้มาขออยู่ด้วย เธอจะให้ฉันแสดงอาการยังไง อ้าแขนให้กอดแล้วร้องห่มร้องไห้หรือไง"

     "แต่.."

     "พีท พอ"

     คำสั้นๆ จากปากม่านฟ้า ทำให้พิธานหุบปากฉับ กลับมานั่งสงบเสงี่ยมเป็นผู้ฟังที่ดีอีกครั้ง

     "ยังไง ผมก็ขอบคุณอาทีมากนะครับที่ให้หมอกอยู่ด้วย ผมจะรีบหาที่อยู่ให้หมอกให้เร็วที่สุด จะได้ไม่รบกวนคุณอานาน" แม้น้ำเสียงจะยังนุ่มนวลแต่ท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของม่านฟ้าทำให้นทีชะงักและเป็นเธอเองที่เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด

     "ฉัน.. ก็ไม่ได้ว่าอะไร จะอยู่นานๆ ก็ได้ คือ.. ฉันเองก็ ก็อยู่คนเดียว มีหลานมาอยู่ด้วยสักคนก็คงไม่เหงาดี” นทีเองยังแปลกใจที่ตัวเองพูดอึกอักได้ขนาดนี้ เบนสายตาไปมองหลานชายคนเล็กที่นั่งนิ่งมาตลอด ก่อนเบนกลับมาหาหลานอีกคนที่ท่าทางนิ่งขึ้นกว่าเดิม

     เธอเองก็คิดถึงการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวไม่น้อย อยู่คนเดียวมาตลอดเกือบสิบปีใช่ว่าจะไม่เหงา แม้จะเคยมีคนรักแต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดอย่างครอบครัว พอหลานมาขออยู่ด้วย ทั้งๆ ที่แอบดีใจ แต่เพราะเห็นหลานมาง้อ เธอถึงได้เผลอเล่นตัวมากไปหน่อย จนเกือบเสียโอกาสดีๆ

     'ม่านฟ้าเป็นคนรู้จักพูด'

     พิธานรู้เรื่องนี้มาตลอด เพียงแค่คุยกันไม่นาน ม่านฟ้าจะรู้ว่าคนคนนี้ต้องรับมือยังไง คุยด้วยอย่างไรจึงจะได้ผล

     เมื่อเริ่มบทสนทนา เขารู้สึกว่าม่านฟ้าใช้ไม้อ่อนมาตลอด ด้วยเดาว่านิสัยของอาคือคนแข็งและหยิ่งในศักดิ์ศรี คนแบบนี้จะแข็งด้วยไม่ได้ ถึงได้เริ่มมาด้วยการพูดเกลี้ยกล่อมและขอความเห็นใจ แต่เพราะดูแล้ว นอกจากนิสัย ปากก็ยังแข็ง นทีใช่ว่าจะไม่อยากให้อยู่ ลึกๆ อาจจะแอบดีใจอยู่ก็ได้ แต่พูดรักษาฟอร์มไปเรื่อยจนลงไม่ได้ ม่านฟ้าถึงได้เปลี่ยนมาใช้ท่าทีที่ดูเย็นชาขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้นทียอมลงเสียที

    "คนเรา ต้องรู้จักใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง ต่อให้เป็นคนคนเดียวกัน บางครั้งก็ต้องปรับใช้ให้ถูกจังหวะด้วย"

     ชายหนุ่มร่างสูงขยับยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดถึงคำพูดของคนตรงหน้าที่ชอบบ่นเขาเวลาพุ่งชนกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ ตอนนั้นเขายังแอบคิด ว่าคนที่ใช้แต่ไม้อ่อนอย่างม่านฟ้าจะรู้จักการใช้ไม้แข็งกับใครด้วยหรืออย่างไร วันนี้เขาก็เพิ่งจะประจักษ์

     ถ้าม่านฟ้ารู้จักคิดและใช้เหตุผลในการคุยกับพ่อแบบนี้ เรื่องต่างๆ อาจจะเป็นไปในทางที่ดีมากกว่านี้ก็ได้

     พิธานส่ายหน้ากับความคิดของตัวเอง

     ต่อให้คิดไปตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว

     ----

     ก๊อกๆๆ

     เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นก่อนเจ้าของบ้านอย่างนทีจะเดินออกมาเพื่อเปิดประตูให้กับอาคันตุกะยามเย็น ดวงตาเรียวสวยเบิกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ เวลาประมาณนี้ทำให้เธอคิดว่าผู้มาเยือนคงเป็นหลานชายคนโตที่เทียวส่งข้าวส่งน้ำ พร้อมอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ให้น้องชายบ่อยๆ ในช่วงนี้ แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูงอย่างพิธานที่ยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมถุงข้าวของสารพัด

     จะว่าแปลกใจที่เป็นพิธานก็ไม่เชิง เพราะในช่วงสองสัปดาห์หลังจากรับฝากหลานชายคนเล็กไว้ที่บ้าน เธอก็เห็นหน้าชายหนุ่มคนนี้หลายครั้ง แต่ก็ยังแปลกใจทุกครั้งเมื่อรู้สึกว่าเขาคนนี้ ดูเข้ามามีบทบาทกับสองพี่น้องเกินกว่าฐานะของครูสอนพิเศษหรือเพื่อนสนิท

     “มาบ่อยเหลือเกินนะ จะมาจีบหลานชายฉันรึไง”

     คำพูดลอยๆ ของนที แต่กลับทำให้คนตัวโตสะดุ้ง สายตาเลิ่กลั่กชั่วครู่ที่ปรากฏขึ้นมา ทำให้นทีหรี่ตาลงอย่างจับผิด

     “พูดอะไรเนี่ยอา ก็แค่ช่วยเหลือกันนิดๆ หน่อยๆ เมฆมันไม่มีรถ แล้วจากมอกว่าจะถึงบ้านอาต้องต่อรถอีกตั้งกี่ต่อ ผมก็เลยมาส่งบ้างเท่าที่พอมีเวลา จะได้กลับบ้านด้วย”

     นทีไม่โต้ตอบข้ออ้างสารพัด เพียงมองกลับไปนิ่งๆ สายตาที่เหมือนมองได้ทะลุปรุโปร่งทำให้พิธานขยับตัวอึดอัด ปากเอ่ยข้ออ้างขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อปฏิเสธ

     “แล้วผมก็มีแฟนแล้วด้วยเหอะ อย่างไอหมอกหลานอา ผมไม่สนใจหรอกนะ เด็กกะโปโลขนาดนั้น”

     พิธานพูดแล้วรีบเลี่ยงบทสนทนาโดยการเดินแทรกตัวเข้าไปในบ้าน อาจจะดูเสียมารยาทแต่เขาคิดว่ายังดีกว่ายอมปล่อยให้ตัวเองโดนซักฟอกอยู่หน้าประตูแบบนั้น จนไม่ทันสังเกตรอยยิ้มแปลกๆ ของเจ้าของบ้านและคำพึมพำเบาๆ

     “แล้วหลานชายฉันมีคนเดียวเหรอ”

     ----

     ภูหมอกวิ่งลงบันไดมาเมื่อได้ยินเสียงรถ คิดว่าพิธานคงมาส่งพี่ชายตนเหมือนเคย เมื่อลงมาก็ไม่ผิดจากที่คิดเมื่อพบครูสอนพิเศษของตนเดินเข้ามาในบ้าน แต่กลับไร้วี่แววคนที่อยากเจอ

     เพราะวันนี้เป็นวันที่คะแนนสอบวิชาเฉพาะประกาศ แม้จะยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะติดหรือไม่ติด แต่เพราะคะแนนสูงกว่าที่เขาคาดไว้ จึงอยากรีบบอกพี่ชายก่อนเป็นคนแรก

     “พี่พีท พี่เมฆอ่ะ”

     “ขี้บ่นนัก กูเลยทิ้งกลางทาง ปล่อยให้เดินมาเองแล้ว”

     ภูหมอกถลึงตาใส่คนกวนประสาท แต่ก็ต้องเบิกตาโตขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูรั้วเลื่อนออก หันไปมองที่หน้าบ้านเห็นพี่ชายเดินเข้ามาพร้อมเหงื่อเต็มตัว ก็แว้ดขึ้นมาเสียงแหลม

     “พี่ปล่อยให้พี่เมฆเดินเข้ามาเองจริงๆ เหรอ!!? คนใจร้าย!”

     ม่านฟ้าเดินเข้ามาได้ยินเสียงแหลมของน้องชายก็ขมวดคิ้ว อดเอ่ยปากบ่นไม่ได้

     “เสียงดังอะไรหมอก”

     “ก็..” ภูหมอกจะหันมาโอดครวญกับพี่ชายก็ชะงักเมื่อเห็นถุงของร้านอาหารร้านโปรดที่เขาชอบกินในมือพี่ชาย “พี่ซื้อข้าวร้านโคมมาเหรอ”

     โคมเป็นร้านโปรดของภูหมอก ติดเสียแต่ไม่ค่อยมีที่จอดรถ แถมข้างถนนก็แทบจะจอดรอไม่ได้ด้วยตำรวจเข้มงวดมาก โชคดีที่ร้านกับบ้านของอาทีไม่ไกลกันนัก เขาจึงให้พิธานส่งที่ร้านแล้วนั่งวินกลับมาเอง เพียงแค่อากาศร้อนมากไปหน่อยตอนยืนรอจึงเหงื่อเต็มตัวเช่นนี้

     “ฉลองไง ไม่ดีเหรอ”

     ภูหมอกเผลอยิ้มกว้าง ม่านฟ้าจำได้แม้กระทั่งวันที่ผลสอบของเขาออก แต่ก็ยังอดเม้มปากกลั้นยิ้มแกล้งถามออกมาไม่ได้ “แล้วไม่กลัวว่าผลออกมาไม่ดี แล้วจะซื้อมาเก้อรึไง”

     “อย่างงั้นก็ถือว่าซื้อมาปลอบใจ”

     “โถ่ นึกว่าเชื่อใจน้อง” ภูหมอกบ่น

     “เมฆมันก็แค่หาโอกาสกินของอร่อยๆ เท่านั้นแหละ เรื่องซื้อฉลองหรือปลอบใจมันก็แค่ข้ออ้าง” พิธานพูดกลั้วหัวเราะ ยั่วเย้าคนมาทีหลัง แต่ก็ไม่วายยื่นกระดาษทิชชูให้ซับเหงื่อที่ไหลเต็มหน้า

     “รู้ใจ” ม่านฟ้านอกจากจะไม่โกรธยังยิ้มนิดๆ อย่างถูกใจ รับกระดาษจากมือคนตัวโตมาแล้วหัวเราะหน้าตาเอือมระอาของภูหมอกขัดกับท่าทางยักไหล่ยียวนตอบรับของคนเป็นอาจารย์ “แน่นอน”

     “แล้วเป็นไง” ม่านฟ้าเงยหน้าจากถุงอาหารที่ส่งให้พิธานเอาไปวางในครัวมามองหน้าน้องชาย

     “ระดับภูหมอก” เด็กหนุ่มยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว พุ่งเข้ากอดพี่ชายที่ตัวเล็กกว่า “ขอบคุณนะครับที่ช่วยหมอกมาตลอด”

     ม่านฟ้ารับน้องชายไว้ในอ้อมกอด รู้สึกเขินหน่อยๆ เพราะไม่ใช่ปกติที่พวกเขาจะมากอดกันกลมแบบนี้ แต่วันนี้จะขอยกให้เป็นกรณีพิเศษหน่อยแล้วกัน

     เด็กหนุ่มเงยหน้าจากบ่าพี่ชายแล้วมองเลยไปในครัว เห็นครูสอนพิเศษจำเป็นที่มองกลับมาก็ยิ้มให้ กล่าวขอบคุณอีกคนด้วยความจริงใจเช่นกัน “ขอบคุณพี่พีทด้วยนะครับ”

     พิธานเพียงพยักหน้ารับน้อยๆ อย่างวางมาด แต่ก็ห้ามมุมปากไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้ คล้ายกับว่าสิ่งที่พวกเขาพยายามกันมานั้นสำเร็จไปแล้วเรื่องหนึ่ง

     ทีนี้ ก็เหลือแค่เรื่องพ่อ...

     เอาล่ะ ถึงเวลาวางแผน ละลายใจคนแก่หัวแข็งกันแล้ว



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 15 (26.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-09-2020 00:39:58
 :z3:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 15 (26.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 28-09-2020 04:12:49
พีทยังไงๆ :hao7: :hao7: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 15 (26.09.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Gagagade ที่ 01-10-2020 09:09:51
 o13 เขียนดีค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 16 (03.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 03-10-2020 20:08:59
บทที่ 16

     ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากบ้านของนทีแล้ว ม่านฟ้าเองก็กลับไปที่บ้านบ่อยครั้ง แม้ตอนแรกพ่อแทบจะไล่ตะเพิดเขาออกมาอีกคน แต่พอนานเข้าก็เหมือนพ่อจะรำคาญเกินกว่าจะมาไล่เขาเสียทุกครั้งไป



    “มึงคิดว่าจะทำยังไงให้พ่อยอมรับเรื่องหมอกว่ะ” ขณะติดรถพิธานเพื่อไปมหาลัยด้วยตอนเช้าวันหนึ่ง สารถีหนุ่มก็ถามม่านฟ้าที่นั่งคู่มาด้วยกัน

     “เอาจริงๆ คือยังไม่รู้เลย ขนาดตอนแรกที่คิดจะบอกก็แค่คิดเรื่องจะบอกจริงๆ แต่ไม่ได้คิดหาทางให้พ่อยอมรับได้หรืออะไรหรอก” ม่านฟ้าตอบเรื่อยๆ มือขยับปรับช่องแอร์ให้พอดีกับตัวเขาที่นั่ง

     “อืม” พิธานเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงตอบรับเสียงเบาในลำคอ

     “มึงว่าทำไงดีอ่ะ” ม่านฟ้าหันไปขอความเห็นจากคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถ

     “อืม...ถ้าเป็นอย่างในหนังหรือนิยายนี่ มันก็ต้องแบบ... มีเหตุการณ์อะไรหน่อยไหม อย่าง...ลูกเกิดอุบัติเหตุกำลังจะตาย แล้วพ่อก็แบบ พ่อยอมแล้วๆ ลูกจะเป็นอย่างไรก็ได้ พ่อจะไม่ว่าแล้ว แค่กลับมาหาพ่อเถอะนะ อะไรแบบนี้ม่ะ หรือว่า-“

     “พอเลย มาแช่งน้องกูอีก” ตุ๊กตาหน้ารถของพิธานถึงกับส่ายหัวเอือม ทั้งจากความคิดและความโอเว่อร์แอ็คติ้งที่ทำเสียงเล็กเสียงน้อยให้ดูน่าตื่นเต้น “ถ้าต้องเป็นงั้น กูยอมให้พ่อรับไม่ได้ไปตลอดดีกว่า”

     พิธานพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกคน แล้วถามต่อ “มึงว่าช่วงที่หมอกไม่ได้อยู่บ้านแบบนี้ พ่อมึงจะคิดถึงมันป่ะว่ะ”

     “คิดถึงชัวร์ 100%” ม่านฟ้าตอบกลับมาทันควันแบบไม่เสียเวลาคิดแล้วสาธยายต่อด้วยน้ำเสียงติดจะหมั่นไส้ “ตาลุงนั่นอ่ะนะ เห็นแบบนี้รักไอหมอกจะตาย ประคบประหงมสุดๆ กลับมาถึงบ้านยังไม่ทันไรก็ ‘หมอกไปไหนๆ ’ ร้องหาลูกชายคนโปรดมาก่อนเลย”

     พิธานเหลือบมองคนที่ยังบ่นโน่นนี่งุ้งงิ้งๆ แล้วก็ส่ายหน้า ลอบคิดในใจเบาๆ

     ‘แล้วเวลามึงไม่อยู่ ถ้าพ่อถามหามึงบ้างมึงจะได้ยินหรือไง’

     “ไอ้เด็กขี้อิจฉา” แต่เหมือนเขาจะเผลอพูดท่อนสุดท้ายของความคิดออกไปเบาๆ

     “อะไรนะ” ม่านฟ้าถึงกับหันมามอง คิดว่าตัวเองได้ยินคำพูดชัดเจน แต่ก็ยังไม่แน่ใจจึงถามย้ำเสียงแข็ง

     “เปล่า แค่คิดว่า.. ถ้าพ่อมึงคิดถึงน้องมึงมากๆ เข้า สักวันก็คงยอมให้เข้าบ้าน แล้วก็ค่อยๆ ยอมรับไปเองมั้ง”

     “ก็จริง กูก็คงทำได้แค่ค่อยๆ กล่อมหรือกระตุ้นให้เขาคิดถึงหมอกมันมากๆ แหละมั้ง ถ้ากูไม่โดนระเบิดกระจุยก่อนอ่ะนะ” หนุ่มอักษรฯ พยักหน้ารับคำ ปล่อยเบลอๆ กับคำพูดของคนข้างตัวไปเพราะถือว่าให้คำแนะนำที่ฟังเข้าท่า




     หลังจากนั้นม่านฟ้าพยายามเข้าไปเกลี้ยกล่อมพ่อ บอกเรื่องความเป็นอยู่ของน้องชาย เพราะรู้ทั้งรู้ว่าอย่างไรพ่อก็อดห่วงภูหมอกไม่ได้ แม้จะทำท่าทางราวไม่อยากฟัง ด่าเขาทุกครั้งที่เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับน้องชาย แต่เขารู้พ่อคอยเก็บรายละเอียดและใส่ใจฟังอยู่เสมอ

     ครั้งแรกที่พ่อรู้ว่าเขาพาภูหมอกไปฝากไว้กับอาที เหมือนระเบิดลูกใหญ่ถล่มบ้านเขาอีกครั้ง แรงระเบิดทำเอาทั้งเขาและแม่กระเด็นกันไปคนละทิศละทาง เขาโดนแม่ไล่กลับหอด่วน พอๆ กับที่พ่อปึงปังเข้าห้องนอนไป กลัวใจเหลือเกินว่าพ่อจะเครียดตายก่อนปรับความเข้าใจกันได้หรือไม่

     สุดท้ายวันที่เด็ก ม.6 หลายคนรอคอยก็มาถึง

     ม่านฟ้านั่งลงบนโซฟาข้างผู้เป็นพ่อ สังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนเหลือบมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตากลับไปที่ข่าวภาคค่ำในจอโทรทัศน์

     ลูกชายคนโตของบ้านนั่งนิ่งอยู่สักพักก่อนล้วงกระดาษที่พับไว้ออกจากกระเป๋าเสื้อ คลี่มันออกช้าๆ แล้ววางบนตักผู้สูงวัยกว่า

     “พ่อ”

     ชายหนุ่มเรียกความสนใจของพ่อจากโทรทัศน์ให้มาอยู่ที่กระดาษแผ่นนั้น

     นภดลขมวดคิ้วก้มมองมาที่กระดาษด้วยความสงสัย สายตาถูกบังคับให้มองไปยังข้อความที่ถูกไฮไลท์ด้วยสีเหลืองสว่างด้านบนกระดาษ เหมือนลมหายใจขาดห้วงไปชั่วครู่เมื่อได้อ่านข้อความนั้น

     ‘ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ คณะแพทยศาสตร์’

     ไม่ต้องไล่สายตาอ่านรายชื่อที่อยู่ด้านล่างประกาศให้ยากเย็น เมื่อรายชื่อหนึ่งถูกไฮไลท์ไว้ด้วยสีเดียวกันกับหัวข้อ

     ‘นายภูหมอก บุญรักษ์วาณิช’

     หัวใจของคนเป็นพ่อเต้นระรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้เพราะรายชื่อของคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นชื่อของคนที่เขาเฝ้ามองความสำเร็จมาตลอด หรือเพราะความโกรธที่ทั้งอย่างนั้น คนคนนี้กลับเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจที่สุดในตอนนี้

     พรึบ!

     กระดาษแผ่นบางถูกมือคนถือสะบัดออกทันทีราวกับต้องของร้อน นภดลผุดลุกขึ้นแล้วหันหลังให้ลูกชายตัวดีที่คาบข่าวดีมาบอก รู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้นมาของตัวเอง

     ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากคนทั้งคู่ ม่านฟ้านั่งนิ่งหยั่งเชิงดูอารมณ์ของคนเป็นพ่อ แต่จนแล้วจนรอด ก็มีเพียงความเงียบและแผ่นหลังที่สะท้อนขึ้นลงจากการหายใจของชายวัยกลางคน

     ก่อนม่านฟ้าจะสะดุ้งตกใจอีกครั้งเมื่อคนเป็นพ่อหันกลับมาตวาดใส่

     “เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นแกรึไงห้ะ! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเลิกเอาเรื่องของไอเด็กนี้มาบอกฉันเสียที ฉันรำคาญ มันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องของมัน ฉันไม่คิดจะสนใจ!”

     ม่านฟ้าอดลอบถอนหายใจหนักๆ กับคนแก่ปากแข็งไม่ได้ กี่ครั้งๆ ก็พูดแต่คำนี้ ทั้งที่พ่อแทบจะรอเรื่องราวของภูหมอกที่เขาคาบมาบอกอยู่ตลอดในแต่ละสัปดาห์แทบไม่ไหว

     “เมื่อไหร่พ่อจะเลิกปากแข็ง อย่างน้อยตอนนี้ที่มันสอบติด ก็ชมมันสักนิดก็ได้ ให้เมฆได้ไปบอกมันอย่างไม่ต้องโกหกว่าอย่างน้อย พ่อก็แสดงความยินดีกับมัน เมฆไม่ได้ขอให้ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ แต่แค่วันนี้มองข้ามมันไปหน่อยเท่านั้น”

     “ฉันไม่มีลูกน่ารังเกียจอย่างมัน”

     ม่านฟ้ารู้สึกถึงเส้นความอดทนของตนที่กำลังจะขาด เขาหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดกลั้น

     เพราะรับปากแม่ที่ต้องอยู่เวรที่โรงพยาบาลไว้ว่าอย่างไรวันนี้ต้องทำใจให้เย็น ห้ามทะเลาะกันรุนแรงอีก ทีแรกแม่ไม่อยากให้เขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังตื๊อที่จะเข้ามาเพราะอยากบอกเรื่องสำคัญให้ได้

     "สิ่งที่พ่อภูมิใจในตัวหมอกมาตลอด มันแค่ความเป็นผู้ชายของหมอกเท่านั้นเหรอพ่อ เมฆเคยคิดว่าพ่อภูมิใจที่มันเป็นเด็กดี เรียนเก่ง หรืออะไรก็ตามที่ทำให้พ่อรักหมอก"
     
     .

     .

     "แต่สุดท้าย พ่อรักแค่ความเป็นผู้ชายของมันเท่านั้นรึไง ถึงต้องตัดขาดพ่อลูกเพียงแค่มันเป็นแบบนั้นน่ะ!!"

     คำตัดพ้อของลูกชายคนโตทำให้นภดลนิ่งเงียบไปอย่างจนด้วยคำพูด เขาอยากจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของลูกชาย แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเพราะเมื่อคิดดูแล้ว สิ่งที่เขาทำก็ไม่ต่างจากที่ม่านฟ้ากล่าวจริงๆ

     แต่จะให้เขายอมรับกับสิ่งที่ภูหมอกเป็นมันก็…

     เกินกว่าที่เขาจะรับได้จริงๆ

     สำหรับคนเป็นพ่อ ทุกคนคงต้องการเพียงให้ลูกมี ‘อนาคตที่ดี’ และสำหรับเขา การจะมีอนาคตที่ดีได้ ลูกควรจะเรียนในคณะที่มีอาชีพรองรับการงานมั่นคง มีครอบครัวที่ดี และเป็นที่ยอมรับในสังคม นั่นคือนิยามของการมีอนาคตที่ดีของลูก

     ม่านฟ้าเลือกที่จะเรียนในเส้นทางที่เขาไม่ชอบใจ ไม่รู้ว่าจบมาจะมีงานทำไหม หาอาชีพรองรับให้กับตนเองแทบไม่ได้ เขาถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟยามรู้ความตั้งใจของลูก
     
     แต่เพราะเรื่องอาชีพการงาน เขาคิดว่าคงพอช่วยหาทางออกให้ลูกได้ในอนาคต เกือบสามปีที่ผ่านมาตั้งแต่ม่านฟ้าเรียนมหาลัย เขาเองก็ค่อยหาช่องทางด้านอาชีพให้กับลูกชายที่เรียนเรื่องภาษามาตลอด

     สำหรับภูหมอก ลูกคนนี้เป็นเด็กดีของเขามาเสมอ ภูหมอกไม่มีปัญหาเรื่องเรียน อีกทั้งยังอยากเข้าในคณะที่มีอาชีพมั่นคง มีคนเคารพนับหน้าถือตาอย่างที่เขาไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ แต่สุดท้าย...เรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้จากสิ่งที่ภูหมอกเป็นเหมือนจะดับหนทางที่เขาวาดไว้ทั้งหมด

     การเป็นเพศที่สามไม่มีทางที่สังคมจะยอมรับได้

     แม้ว่าต่อไปจะมีการงานที่ดี มีฐานะ หรือเป็นคนดีอย่างไร ก็คงไม่วายถูกนินทาลับหลัง ให้กลายเป็นเพียงตัวตลกในวงสังคมเท่านั้น

     “แกจะไปไหนก็ไป ฉันไม่อยากคุยกับแกแล้ว”

     แต่พูดไปอย่างไร ลูกชายเขาก็คงไม่เข้าใจ

     ชายวัยกลางคนยังคงหันหลังอยู่เช่นนั้น รอฟังเสียงการจากไปของม่านฟ้า แต่ทุกอย่างกลับยังคงเงียบ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะหันหลังกลับไปมองก็ต้องสะดุ้งกับวงแขนของลูกชายที่ตวัดรัดจากด้านหลัง

     "มีคนฝากกอด"
     
     น้ำเสียงที่พูดออกไปเป็นเพียงเสียงพึมพำเบาๆ ที่ยังเจือความหงุดหงิดของม่านฟ้าแต่ก็แฝงไปด้วยความเขินอายนิดๆ เขาแทบจะไม่เคยกอดหรืออ้อนพ่อสักครั้งตั้งแต่เริ่มโต ผิดกับภูหมอกที่ทั้งออดทั้งอ้อนพ่อเป็นประจำ พอต้องมาแสดงความรักแบบนี้จึงอดเขินไม่ได้

     ม่านฟ้ารัดรอบพุงใหญ่แรงๆ อีกครั้งแล้วผละออก

     “ทิฐิอะไรของพ่อน่ะ ก็ลดลงหน่อย ให้อภัยน้องมันซะทีเหอะ”

     เสียงเก็บข้าวของและฝีเท้าที่เดินห่างออกไปยังประตูหน้าบ้านทำให้นภดลถอนหายใจ แต่ก็ยังไม่วายหงุดหงิดกับเสียงที่ตะโกนกลับมาจากหน้าประตู

     “น้องมันรอพ่อพาไปเลี้ยงฉลองอยู่นะ รีบๆ หายโกรธได้แล้ว”

     ----

     หลังวันประกาศผลสอบ ม่านฟ้าก็หายหน้าหายตาไปจากที่บ้านแถมไม่ได้รายงานข่าวเรื่องน้องชายเหมือนอย่างเคยเพราะม่านฟ้าดันเกิดไม่สบาย ไม่แปลกที่เมื่อสายข่าวคนสำคัญหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปกะทันหัน จะทำให้ใครบางคนที่บ้านอดรู้สึกโหวงไม่ได้

     “ถ้าห่วงลูกนัก ทำไมไม่โทรไปหา”

     นัชชาเอ่ยปากบ่นคนปากแข็ง ทั้งที่ตีหน้านิ่งเหมือนไม่สนใจ แต่เธอรู้ช่วงเวลาที่ม่านฟ้าหายไป ใครบางคนเหลือบมองไปที่ประตูบ่อยครั้ง แต่กลับไม่คิดจะโทรหา เจ้าตัวคงคิดว่าลูกชายคนโตจงใจหายไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเรื่องภูหมอก จึงยิ่งตั้งแง่ทำใจแข็งกว่าเดิม

     โดยเฉพาะวันนี้ที่คนเป็นพ่อดูกระวนกระวายเป็นพิเศษ

     หลังรู้เรื่องจากลูกชาย ผู้เป็นพ่อก็แอบไปหาข้อมูลเพิ่มจนรู้ว่า วันนี้เป็น ‘วันสอบสัมภาษณ์’ แม้หลายคนจะบอกว่าการสอบสัมภาษณ์ของคณะแพทย์เป็นเพียงการวัดความผิดปกติที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าศึกษาเท่านั้น แต่คนเป็นพ่อก็อดเป็นห่วงไม่ได้

     ยิ่งกับลูกชายคนเล็กที่ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่เพียงใด เจ้าตัวก็กังวลไปได้เสียหมด

     ปัง!!

     เสียงประตูหน้าบ้านดังขึ้น ทำเอาเจ้าของบ้านทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก เห็นหลังไวๆ ของลูกชายคนโตวิ่งผ่านห้องนั่งเล่นก่อนพุ่งพรวดขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองของบ้านอย่างรีบร้อน

     “เมฆ” นัชชาตะโกนเรียกลูกชายคนโตอย่างไม่แน่ใจ แต่เสียงที่ได้ยินแว่วกลับมาคล้ายเป็นเสียงคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

     “อยู่แฟ้มไหนของมึงเนี่ย แฟ้มเต็มห้องไปหมด”

     “เออๆ เจอแล้วๆ มึงเรียกแท็กซี่รอเลย เดี๋ยวไม่ทัน”

     สิ้นเสียงคุย ม่านฟ้าก็วิ่งลงมาจากชั้นสองพร้อมเอกสารบางอย่างในมือ พนมมือไหว้พ่อแม่ที่ขามารีบจนลืมไหว้ เสียงหายใจหอบหนักๆ ทำเอาคนเป็นแม่ขมวดคิ้ว รั้งตัวลูกชายไว้ก่อนจะพุ่งออกจากบ้านไปอีกรอบ

     “เดี๋ยวๆ จะรีบไปไหน มาถึงก็โวยวายเสียงดังแต่เช้า”

     “วันนี้หมอกมีสอบสัมภาษณ์ที่มอ ลงทะเบียนแปดโมง แต่ไอหมอกแม่งเสือกหาเอกสารไม่เจอ ต้องกลับมาเอาที่บ้านเนี่ย”

     ม่านฟ้าพูดไปหอบไป ชะเง้อไปหน้าบ้านมองหารถแท็กซี่ที่ให้ภูหมอกเรียก แต่ก็ยังไม่เห็น ยกแขนขึ้นมาดูเวลาก็ยิ่งกระวนกระวายใหญ่เมื่อเห็นเวลาหกโมงกว่าเข้าไปแล้ว จากบ้านเขาไปถึงมอต้องเผื่อเวลาเกือบสองชั่วโมงถึงจะสบายใจ ยิ่งวันที่มีสอบสัมภาษณ์แบบนี้ อะไรก็ไว้ใจไม่ได้

     “แล้วน้องล่ะ”

     เพราะได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กผ่านโทรศัพท์แว่วมาตอนคุยกับพี่ชาย เธอจึงคิดว่าสองพี่น้องคงไม่ได้อยู่ด้วยกัน

    “รออยู่หน้าบ้าน”

     คำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาคนเป็นแม่สะอึก ชายอีกคนที่ลอบสังเกตและฟังการสนทนาของสองแม่ลูกก็นิ่งไปเช่นกัน ทั้งที่ลูกมาถึงบ้านแล้ว แต่กลับเข้าบ้านไม่ได้ คงเพราะคำประกาศิตของผู้เป็นพ่อที่ลั่นเอาไว้ไม่ให้กลับมา ภูหมอกถึงทำได้เพียงยืนรออยู่หน้าบ้านเท่านั้น

     “เมฆบอกให้มันรออยู่หน้าบ้านเองแหละ เข้ามาเดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก วันสัมภาษณ์ไม่อยากให้มันเครียดกว่าเดิม”

     “แล้วกินข้าวเช้ากันรึยัง” นัชชาพยักหน้าเข้าใจ พยายามปรับอารมณ์ตามลูกชายที่กำลังร้อนรน แต่ก็ยังอดถามด้วยความเป็นห่วงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้

     “ยังเลยแม่ แม่ ซาลาเปานี่เมฆเอาไปนะ”

     ม่านฟ้าคุ้ยตู้เย็นเจอซาลาเปาไส้หมูก็หยิบออกมาดึงแผ่นรองออกแล้วยัดไส้ปากทั้งที่ยังไม่ได้อุ่น

     “เอาไปๆ หยิบไปเผื่อน้องด้วยลูกนึง เอานมไปด้วย เดี๋ยวติดคอ ยังไม่ได้เวฟเลย แม่เวฟให้ก่อนไหม หรือเอาเป็นข้าว เดี๋ยวแม่ตักใส่กล่องให้ดีกว่า”

     “ไม่เป็นไรๆ แค่ซาลาเปากับนมก็พอ เดี๋ยวไม่ทัน เมฆไปนะ พ่อหวัดดีครับ แม่หวัดดีครับ” ม่านฟ้าพูดไปเคี้ยวไป คว้าซาลาเปามาอีกลูก หนีบแฟ้มเอกสารไว้กับแขนแล้วคว้านมข้างตู้ไปอีกสองกล่อง

     “มา เดี๋ยวแม่ถือไปส่ง แม่.. แม่จะออกไปหาน้องด้วย” ม่านฟ้าได้ยินเสียงสั่นๆ จากมารดาก็หันไปมอง เหลือบไปมองอีกคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาโดยไม่เอ่ยปากอะไรก็ถอนหายใจ พยักหน้ายอมให้แม่ช่วยถือของออกไปรอแท็กซี่หน้าบ้าน

     นัชชาเองก็หันกลับไปมองสามีของเธอ ความลังเลปรากฏขึ้นชั่วครู่ แต่เธอก็เลือกที่จะหันหลังเดินออกไปเพื่อหาลูกชายอีกคนของเธอ

     ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจความรู้สึกของสามี เธอคอยพูดกับม่านฟ้าอยู่ตลอด คอยกล่อมลูกชายให้ค่อยๆ พูดกับผู้เป็นพ่อ เพราะเธอรู้ คนเราเกิดมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ถูกปลูกฝังและสั่งสอนด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน ในรุ่นของพวกเธอ การมีเพศสภาพที่ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิงเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกยอมรับ

      เป็นสิ่งที่ถูกมองว่า ‘ไม่ถูกต้อง’

     แม้เธอจะพยายามเข้าใจและเรียนรู้ถึงสังคมปัจจุบันที่เริ่มยอมรับและเปิดกว้างเพศสภาพเหล่านี้มากขึ้น แต่ลึกๆ เธอยอมรับว่ายังมีความตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกันกับ ‘ความสุข’ ของลูกชายเธอ

     เพราะอย่างไร เธอรู้ว่ามันเป็นเพียงความยึดติดกับคำสอนเก่าๆ เท่านั้น เมื่อคิดถึงหลักเหตุผล ลูกชายของเธอไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นความผิด ลูกชายเธอไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครเสียด้วยซ้ำ

     เธอจึงไม่เห็นเหตุผลของการขัดขวางสิ่งที่ลูกเป็น เธอพยายามให้เวลากับสามีของเธอ ให้โอกาสม่านฟ้าได้เข้ามาเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อ แอบเล่าเรื่องของลูกชายคนเล็กให้ฟังบางเมื่อรู้ข่าวคราวจากการโทรคุยกัน

     แต่คนหัวรั้นบางคน ก็ควรโดนดัดนิสัยบ้าง

     ทั้งที่คิดถึงลูก ห่วงลูกไม่แพ้เธอแต่กลับดื้อรั้น ทิฐิมาก ทั้งที่ลูกมาถึงบ้าน กลับต้องรออยู่ข้างนอก แค่เอ่ยปากออกมาสักนิด ให้ลูกเข้ามาเอาของ เข้ามากินข้าวได้ ทุกอย่างคงจะดีขึ้นกว่านี้

     อยากจะนิ่งก็เชิญนิ่งไป อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะทนได้อีกสักแค่ไหน


     TBC



     Achaya (Writer) :

     อดทนกันอีกหน่อยนะ

     ในชีวิตจริงของบางครอบครัว ต้องใช้เวลาเป็นปี สิบปีหรืออาจไม่มีวันที่รอคอยมาถึงเลยก็ได้ แต่สำหรับครอบครัวนี้ ก็ได้แต่หวังว่าความพยายามของทุกคนจะเห็นผลในเร็ววัน

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 16 (03.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-10-2020 20:26:44
 :hao5: :o12:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 16 (03.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-10-2020 20:53:57
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 17 (10.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 10-10-2020 15:08:16
บทที่ 17

     จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน เมื่อไม่มีคำให้อภัยจากพ่อ ลูกชายคนเล็กของบ้านจึงไม่ได้รับโอกาสในการกลับบ้าน แต่เขารู้ จากการตอดเล็กตอดน้อยของม่านฟ้าและคนเป็นแม่ เชื่อได้เลยว่าตอนนี้พ่อของเขาก็ใจอ่อนลงมามากแล้ว

     อย่างไรก็ตามชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ภูหมอกสอบติดเตรียมพร้อมในการเป็นนิสิตแพทย์มหาลัยเดียวกันกับม่านฟ้า เนื่องด้วยช่วงเวลาที่เหลื่อมกันระหว่างการเปิดปิดภาคการศึกษาของมัธยมและมหาลัย ทำให้ว่าที่นิสิตปี 1 มีเวลาช่วงปิดเทอมก่อนกลายเป็นนิสิตเต็มตัวเกือบห้าเดือน

     ม่านฟ้าเริ่มวางแผนจัดการธุระต่างๆ ของน้องชายบ้างแล้ว เขาคิดจะให้ภูหมอกมาอยู่หอในกับเขา ถึงแม้ว่าคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเขาจะไม่บังคับให้อยู่หอ แต่ระยะทางจากบ้านมามหาลัยนั้นไม่สะดวกจะไปกลับ ม่านฟ้าจึงได้ทำการระเห็จรูมเมทที่จองหอไว้ แต่มักไปอยู่กับแฟน ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวมาตลอดออกไปอยู่กับแฟนโดยสมบูรณ์หลังสอบปลายภาคของปีสามเทอมสองเรียบร้อย แล้วเตรียมย้ายน้องตัวดีมาอยู่ด้วยกัน

     จากนี้เขาจะได้มีคนช่วยทำความสะอาดห้อง ซักผ้า ล้างห้องน้ำซะที หลังจากต้องทำคนเดียวมาตลอด

     “เมฆ” เสียงนทีทักขึ้นเรียกม่านฟ้าให้หลุดจากภวังค์

     “ครับ”

     “วันนี้หมอกต้องเข้ามอสินะ”

     “ครับ”

     “จะพาน้องมันเข้าบ้านก่อนด้วยใช่ไหมวันนี้”

     “ครับ”

     “...”

     “อามีอะไรรึเปล่า” ม่านฟ้าหันไปมองคนเป็นอาที่ลงมาเปิดประตูบ้านให้เขาแต่เช้านั่งลงที่โซฟาข้างกัน หลังจากวันสัมภาษณ์และรายงานตัว ม่านฟ้าเพียงปล่อยน้องชายไปครู่เดียว ภูหมอกก็ถูกรุ่นพี่หลอกให้ไปช่วยกิจกรรมที่มออย่างการเป็นแบบถ่ายรูปตัวแทนนิสิตปี 1 แล้ว

     ดังนั้นวันนี้ม่านฟ้าจึงถูกน้องชายตื๊อให้ไปเป็นเพื่อนเพราะอ้างว่ายังไม่ค่อยชินกับเส้นทางในมหาลัยเท่าไหร่

     ตอนมาเรียนพิเศษที่มอเขาน่ะมาได้ แค่นี้ทำเป็นบอกกลัวหลง ก็แค่ตื่นเต้นจนไม่กล้าไปคนเดียวนั่นแหละ

     นทีมองหลานชายที่ทำหน้าที่ผู้ปกครองให้กับน้องชายอย่างสมบูรณ์ทั้งที่อายุก็ห่างกันเพียงสองสามปี ลอบถอนหายใจระอาหลานชายคนโตที่มักบ่นว่าน้องไม่รู้จักโต ทั้งๆ ที่เป็นเพราะตัวเองนั่นแหละ ทำให้น้องไม่ค่อยได้ทำอะไรเอง แทนที่หลุดจากอกพ่อที่คอยประคบประหงมมา ภูหมอกจะได้เริ่มเรียนรู้การทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น แต่ก็ดันมีพี่ชายทำโน่นทำนี่ให้หมดอีกต่อหนึ่ง

     “วันๆ คิดแต่เรื่องของหมอก แล้วเรื่องของตัวเองล่ะ ว่ายังไง”

     “...เรื่องอะไรอา” ม่านฟ้านิ่งไปครู่ก็เหลือบไปมองอีกคนที่มองมาเหมือนไม่รู้เรื่อง

     “...”

     “...” ม่านฟ้าสบสายตารู้เท่าทันของผู้เป็นอา สักพักก็หลุบตาลงมาเล่นโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง

     “แกพยายามเพื่อน้องมันมามากขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ลองพยายามเพื่อตัวเองดูบ้าง”

     “...มันไม่เหมือนกัน”

     ม่านฟ้าเม้มปาก รู้สึกอึดอัดกับคำถามที่ถูกส่งมา ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมา เริ่มคิดว่าตัวเองมาเช้าเกินไปหรือเปล่า จนเหลือเวลาให้คนเป็นอามานั่งซักแบบนี้

     “ไม่เหมือนยังไง” นทียังคงซักไซ้เด็กดื้อตรงหน้า

     “ก็… หลายๆ อย่าง”

     นทีกอดอกมองจ้องไปที่ม่านฟ้า เหมือนกดดันกลายๆ ว่า ‘ก็พูดออกมาสิ’

     “เรื่องหมอกมันพลาดก็เลยหลุดออกไป ตอนแรกก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะบอกสักหน่อย ที่คิดไว้คืออย่างน้อยก็รอมันสอบติด เรียนจบ หรือไม่ก็พอจะดูแลตัวเองได้แล้ว ถึงค่อยให้มันบอกความจริง ไม่งั้นมันก็จะเกิดปัญหาแบบนี้ไง โดนตัดเงิน ไล่ออกจากบ้าน แต่พอเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้กันไปเท่านั้นเอง”

     “แต่แกก็ยังมีความคิดจะบอก”

     “ก็เพราะมันเป็นเรื่องของหมอก ไอหมอกแม่งเป็นคนเก็บความลับได้ที่ไหนกัน ถ้าต้องให้เก็บความลับไปตลอดนะ หมอกแม่งอกแตกตายก่อนแน่”

     เขาไม่ได้พูดเกินจริงสักนิด เพราะรู้นิสัยของน้องชายดี หมอกมีอะไรก็วิ่งบอกพ่อบอกแม่ก่อนทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่บางเรื่องก็รู้นะว่าบอกไปแล้วจะโดนว่าโดนตี แต่เจ้าตัวมักจะบอกเพียงแค่ว่า ไม่อยากปิดบังพ่อแม่ จึงเลือกที่จะบอกไปให้หมด

     ส่วนอีกเรื่องที่ว่าไม่เหมือนกันก็เพราะ…

     มันเป็นเรื่องของเขาล่ะมั้ง

     เขาคิดว่า ที่พ่อเริ่มใจอ่อนได้ง่ายขนาดนี้ ก็เพราะว่าพ่อรักหมอกมาก แค่ปฏิกิริยาของพ่อในวันที่รู้เรื่องระหว่างที่คิดว่าเป็นเขากับคิดว่าเป็นหมอกก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขายังจำสายตาที่เจ็บปวดของพ่อในวันนั้นได้ดี มันเหมือนคนใจสลายที่ผิดหวังจากคนที่รักมากที่สุด

     แต่สุดท้ายก็เพราะหมอก เพราะเด็กดีของพ่อเก่งจนสอบติดหมอได้อย่างที่พ่อหวัง พ่อถึงค่อยๆ ใจอ่อนกับหมอกได้ในที่สุด

     แล้วเขาล่ะ มีอะไรดีจนทำให้พ่อยอมใจอ่อนได้หรือไง

     เขาต้องได้เกียรตินิยม สอบชิงทุนไปเรียนโทที่ต่างประเทศ หรือต้องทำงานเงินเดือนเป็นแสนให้พ่อหรือเปล่า

     เขารู้ตัวว่าไม่ได้เก่ง ไม่ได้ดีขนาดนั้น จะให้เอาอะไรไปซื้อใจพ่อได้อย่างหมอก ช่วงที่พ่อเข้าใจผิดแล้วเขาไม่กลับบ้าน พ่อจะนึกถึงเขาเหมือนที่คิดถึงหมอกหรือเปล่าเถอะ หรือหากจะให้เขากลับตัวกลับใจ ซิ่วไปเรียนหมอ เรียนวิศวะ หรือทำตัวเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายของพ่อตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว

     ม่านฟ้าถึงคิดที่จะปิดมันไว้ ให้ความลับนี้มันอยู่กับเขาไปจนวันตายนั่นแหละ

     “แต่ผมโอเคไง ให้ผมอยู่กับความลับนี้ไปทั้งชีวิต... ผมก็อยู่ได้”

     ใช่ เขาเคยคิดแบบนั้น

     “แล้วคนของแกล่ะ เขาจะอยู่กับแกรึเปล่า เขาจะทนอยู่กับความลับกับแกได้แค่ไหน”

     “...” ไม่มีเสียงตอบรับจากหลานชายคนโต นทีหลับตาลงถอนหายใจ ไม่ใช่ไม่สงสารที่พูดออกไปแบบนี้ ยิ่งเห็นม่านฟ้าเบนหน้าไปทางอื่นและเริ่มหายใจแรงขึ้นพร้อมกับจมูกแดงๆ ก็ยิ่งสงสาร

     “เมฆ… ความลับมันไม่มีในโลกหรอกนะ”



     “...หมายความว่าเราต้องปิดเป็นความลับเหรอ”

     “อืม”

     “จนถึงเมื่อไหร่”

     “ตลอดไป”

     “...”

     “นี่เป็นเงื่อนไขเดียวของกู...นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ว่าจะรับเงื่อนไขนี้ไหม”

     “เรา...จะปิดมันไว้ได้ตลอดไปหรือไง”

     “...”

     “เมฆ… ความลับน่ะ มันไม่มี--”

     “กูจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันมี พิสูจน์ด้วยตัวของกู ด้วยเรื่องของเรานี่แหละ”




     “เมฆ” เสียงเรียกพร้อมสัมผัสที่ไหล่ทำให้ม่านฟ้าหลุดออกจากภวังค์อีกครั้ง เขาหันกลับไปมองพิธานที่มานั่งแทนที่นทีที่หลังจากพูดจบก็เดินเข้าครัวไป

     “มาแล้วเหรอ”

     เป็นพิธานคนเดิมที่อาสาไปส่งเขาและน้องที่มหาวิทยาลัย แต่เพราะเมื่อคืนเจ้าตัวกลับไปนอนที่บ้าน ขณะที่ม่านฟ้านั้นเพิ่งช่วยรูมเมทเก็บข้าวของเพื่อเตรียมย้ายออกไปอยู่ที่หอถึงไม่ได้มาด้วยกันเหมือนอย่างเคย

     “กูก็บอกแล้วว่ารับน้องมึงไปให้ก็ได้ มึงจะถ่อมาเพื่อ” พิธานบ่นคนที่ดูเบลอๆ จึงคาดเดาเอาว่าคงเพราะต้องตื่นเช้าแล้วนั่งรถจากหอมาถึงนี่ สติสตังจึงยังไม่เข้าที่เข้าทางแบบนี้

     “วันนี้กูจะเข้าบ้านอ่ะ”

     “วันนี้...ไปหาพ่อเหรอ” พิธานเลิกคิ้วสงสัย แอบใจเต้นตุ้มๆ ต้อมๆ กับการพาภูหมอกเข้าไปเสี่ยงกับสถานการณ์ที่ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นแบบนี้ จนเขาเองก็อดหวั่นใจแทนไม่ได้

     “อืม จริงๆ จะโทรบอกมึงไม่ต้องมารับที่นี่ก็ได้ ว่าจะให้รออยู่ที่บ้านก่อน จะได้ไม่ต้องตีรถไปๆ กลับๆ แต่กูก็ลืม โทษที”

     “เออๆ ไม่เป็นไร ให้กูมารับเนี่ยแหละ แล้วจะเข้าไปคุยอะไรกับพ่อ” ม่านฟ้าเหลือบตามามองพิธานครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปมองทางบันไดซึ่งมีเสียงเดินของคนที่เขากำลังรอคอยเดินลงมา

     “.. ว่าจะเคลียร์กันไปเลย เรื่องไอ้หมอก เราทิ้งเวลามานานล่ะ น่าจะตัดสินกันได้เสียที”

     ----

     ม่านฟ้าไขประตูเข้าไปในบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคย เขาเดินนำภูหมอกเข้าไปก่อน กวาดตามองรอบบ้านที่ยังคงเงียบสงัด เห็นแสงไฟจากภายในครัวก่อนที่เขาจะสบตาเข้ากับมารดาที่เดินออกมาเพื่อดูว่าใครคือผู้มาเยือนในยามเช้าตรู่

     “เมฆ ทำไมมาเช้าจ-“ เสียงทักทายของมารดาขาดหายไปเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่เดินตามลูกชายคนโตมา

     ภูหมอกเดินตามหลังพี่ชายเข้าบ้านมาอย่างประหม่า เขาไม่ได้เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้เกือบสามเดือน ทั้งกลิ่นอายและบรรยากาศต่างๆ พาลให้เขาคิดถึงเหลือเกิน ยิ่งภาพของมารดาที่ผูกผ้ากันเปื้อนทับชุดทำงานซึ่งมักทำอาหารให้เขาในยามเช้าก่อนไปเรียนทำให้ภูหมอกเผลอคลี่ยิ้ม

     เขาคิดถึงบ้านหลังนี้ คิดถึงแม่

     นัชชาเดินเข้ามาหาลูกชายคนเล็กราวกับคนละเมอ เกือบนาทีที่เธอทำเพียงมองนิ่งๆ ไปที่ใบหน้าของลูกชายคนเล็ก ดวงตาของคนเป็นแม่อ่อนแสงลงเมื่อมองเห็นดวงตาแดงๆ ของลูกชาย เธอยิ้มบางแล้วเกลี่ยแก้มขาวของภูหมอกอย่างรักใคร่

     “ดูสิใครมา หืม คนเก่งของแม่”

     ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยคำพูดใดมากกว่านั้น เสียงเดินลงจากบันไดชั้นสองก็ดังขึ้นให้ทุกคนต้องหันไปมอง

     นภดลเดินลงมาพร้อมกับขยับสายนาฬิกาข้อมือให้เข้าที่ เขาเดินลงมาถึงชั้นล่างพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาก่อนสบเข้ากับดวงตาคู่ที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางดึงสายตาของนภดลให้นิ่งอยู่กับที่ ดวงหน้าของเด็กน้อยที่เขาคอยเฝ้ามองการเติบโตมาตลอด

     ชายวัยกลางคนไล่สายตาลงมองมาที่ชุดนิสิตแขนยาว เนคไทตรามหาวิทยาลัยและกางเกงสแล็ก ภาพจำสุดท้ายของคนตรงหน้าคือเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นที่ร้องไห้อย่างเสียใจ จนวันนี้… ดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยังเจือความเศร้า แต่มันกลับแฝงไปด้วยความคิดถึงอย่างล้นเหลือ

     ภูหมอกไม่ปฏิเสธว่าก่อนมาเขากลัวและประหม่าเพียงใดที่ต้องกลับมาเจอหน้าผู้เป็นพ่ออีกครั้ง แต่เมื่อได้พบหน้า ความกลัวนั้นกลับหดหายไปเหลือเพียงความคิดถึง เขาคิดถึงเสียงดุๆ คิดถึงใบหน้าบึ้งตึง คิดถึงพุงพลุ้ยๆ ของพ่อ แม้จะยังมีความประหม่าอยู่บ้าง แต่ภูหมอกก็ไม่คิดจะถอยหนีเมื่อผู้เป็นพ่อขยับเท้าเดินใกล้เข้ามา

     เขาอยากกอดพ่อใจจะขาด

     ผู้เป็นพ่อมองเนคไทนิสิตที่บูดเบี้ยวแล้วยังดึงขึ้นไปติดคอจนเกินพอดีก่อนถอนหายใจเบาๆ มือหนาขยับจับที่กลางเนคไทก่อนใช้อีกมือประคองปมแล้วขยับจัดให้เข้าที่ นภดลพิถีพิถันในการจัดเนคไทจนเรียบร้อยก่อนค่อยๆ วางปลายเนคไทให้ตรงกับแถบกระดุมเสื้อ ดึงชายเสื้อที่ดูใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยให้ทิ้งตัวพอดี แล้วไล่สายตาสำรวจลูกชายอีกครั้ง

     เด็กหนุ่มกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เมื่อสบดวงตาที่แดงก่ำไม่ต่างกันของผู้เป็นพ่อ แม้มันยังเจือความเศร้าแต่มันสู้ไม่ได้กับความภาคภูมิใจที่พ่อส่งออกมาทางดวงตาคู่นั้น พ่อไม่ได้เอ่ยคำให้อภัยแต่ท่าทีที่พ่อยอมมองหน้าเขาเช่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มเผลอตัว

     ภูหมอกขยับเขากอดผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น ร่างกายสั่นสะท้านกับความอบอุ่นที่โหยหา เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับบ่าของบิดา แม้พ่อจะทำเพียงยืนนิ่งไม่ขยับกอดตอบแต่อย่างใด แต่เพียงไม่ปฏิเสธก็ทำให้ภูหมอกมีความสุขเหลือเกินแล้ว

     ทุกการกระทำนั้นตกอยู่ในความเงียบจนมีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของคนในบ้าน จนสุดท้ายชายวัยกลางคนก็เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา เขาหลับตาลงแล้วขยับมือเพื่อกอดตอบเด็กหนุ่มในอ้อมแขน

     ภูหมอกปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง แต่หาใช่เสียงร้องจากความทุกข์อีกต่อไป มันเป็นเพียงเสียงร้องไห้จากความสุขของเด็กชายคนหนึ่งที่ได้กลับบ้าน

     กลับมาหาครอบครัวที่เขารัก

     ม่านฟ้ามองภาพตรงหน้าดวงรอยยิ้มจางๆ ดวงตาของเขาก็แดงก่ำไม่แพ้คนอื่นในบ้าน เหยียดยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นพ่อตบหลังปลอบใจลูกชายคนเล็ก สายตาของชายหนุ่มนั้นสะท้อนทั้งความดีใจ โล่งใจ และ...อิจฉาปะปนกัน



     “มึงกลับบ้านครั้งนี้จะทำอะไรอีกล่ะ” เสียงพิธานถามขึ้นขณะขับรถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน

     “ไม่ทำอะไรเลย” ม่านฟ้าตอบเสียงนิ่งๆ แต่ทำให้คนฟังถึงกับหันมามอง

     “ห้ะ!!? ”

     “มองทาง! ” ม่านฟ้าผลักหน้าคนขับรถให้หันกลับไปทางถนน แม้รถในหมู่บ้านตอนเช้าแทบจะไม่มีวิ่งแต่อย่างไรก็ยังอันตรายอยู่ดี

     คนตัวเล็กกว่าหันไปมองนอกหน้าต่างที่กลายเป็นบ้านเรือนหลังคุ้นตา ขยับปากขยายความให้สารถีหนุ่มที่ถึงไม่จ้องมาแต่ก็รู้ว่ากำลังรอคำอธิบายเพิ่มเติมจากเขาอยู่

     “กูว่าความรู้สึกทุกอย่างตอนนี้มันอิ่มตัวแล้ว ก็แค่ปล่อยออกไป แล้วมันก็จะทำงานของมันเอง”



     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเบาๆ กับความคิดของตน

     เขาบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก

     แค่ ‘ความคิดถึง’ และ ‘ความรัก’ ของพ่อในตอนนี้

     ...ก็เพียงพอแล้ว


     TBC



     Achaya (Writer) :

     สำหรับเรื่องของ ‘ภูหมอก’ เราได้แนวคิดการวางโครงเรื่องมาจาก framework หนึ่ง ถึงจะเป็นการตีความที่ผิดไปมากก็เถอะ
     1. Identify ช่วงแรกของการรู้ถึงความความลับ
     2. Protect พี่น้องช่วยกันปกปิดความลับเอาไว้ (แสดงมุมมองต่างๆ ในส่วนนี้)
     3. Detect การถูกพ่อจับได้ถึงความลับนั้น
     4. Respond วิธีแก้ปัญหาของพวกเขาจากเหตุที่เกิด
     5. Recover การเยียวยาครอบครัวให้กลับมาสู่เป้าหมายสุดท้ายคือคำว่า ‘ความสุข’

     เนื้อเรื่องในส่วนนี้ของภาคหลักได้ดำเนินมาถึงส่วนสุดท้ายแล้ว มาเอาใจช่วยพวกเขากันอีกหน่อยนะ ส่วนเรื่องของใครบางคนที่ยังไม่ถูกเปิดเผย...ก็อย่างที่บอก ทุกๆอย่างต้องใช้เวลาและความอดทนเสมอ

     ขอบคุณมากๆจริงๆสำหรับการติดตามและคอมเมนต์



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 17 (10.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-10-2020 15:56:43
 :-[
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 17 (10.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-10-2020 17:41:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 17 (10.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Gagagade ที่ 11-10-2020 07:19:22
 :m15: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 18 (17.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 17-10-2020 15:37:15
บทที่ 18

     “แล้ว?”

     “ก็ Happy Ending ไง จบ”

     “เหอะ Ending เหรอ Ending แล้วเหรอ”

     “แล้วอาจะเอาอะไรอีกล่ะ” ม่านฟ้าหันไปถามคนเป็นอาหน้าซื่อ แต่กลับโดนนทีทำหน้าเหม็นเบื่อกลับมา

     “ฉันเบื่อจะคุยกับแก”

     ว่าจบก็เดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ตรงเข้าไปแกล้งหลายชายคนเล็กในห้องครัว พิธานที่เดินสวนเข้ามาทันได้ยินประโยคสุดท้ายหลังจากเพิ่งช่วยภูหมอกล้างจานเสร็จก็ขมวดคิ้ว

     “มึงไปแกล้งอะไรอาทีอีก”

     “เปล่า ก็แค่เล่าเรื่องให้ฟังแค่นั้น” ม่านฟ้าตอบเอื่อยๆ ตามองไปทางโทรทัศน์ที่กำลังโฆษณาเหมือนน่าสนใจนักหนา ก่อนหันมาแขวะคนข้างๆ “แล้วมึงอ่ะ อิ่มม่ะ”

     “อิ่มสิ กินฟรี มีคนเลี้ยงขนาดนี้”

     วันนี้พวกเขากลับมาที่บ้านของนทีอีกครั้งเพื่อเลี้ยงพิซซ่าขอบคุณนทีที่ดูแลหมอกช่วงที่ผ่านมา แต่แถมท้ายด้วยพิธานไปอีกคนเพราะเขาดันไปตกปากรับคำจะเลี้ยงข้าวอีกคนเป็นการขอโทษ



    “พีท มึงจะโกรธกูม่ะ ถ้า... กูจะบอกว่ามึงอาจจะตื่นเช้าฟรีก็ได้อ่ะ” ม่านฟ้าเอ่ยประโยคนี้ขึ้นเมื่อพิธานขับรถมาส่งสองพี่น้องเมฆหมอกที่หน้าบ้านในวันที่ภูหมอกเข้าไปหาพ่อ

     “หืม?” แต่ละประโยคที่ม่านฟ้าพูดออกมาทีไรทำไมทำให้เขางงได้ตลอด พิธานก็ไม่เข้าใจ

     “คือ.. กูว่าถ้าอะไรๆ มันจบลงด้วยดี พ่ออาจจะอยากไปส่งหมอกเองก็ได้ไรงี้”

     “อ๋อ” พิธานรับคำอย่างเข้าใจ แล้วพยักหน้า

     “ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ถือว่ากูได้ตื่นมาให้กำลังใจมึงไง” คนกำลังจะโดนเทพูดแล้วก็ชะงักเหลือบไปมองภูหมอกที่นั่งตาแป๋วอยู่ด้านหลัง “เอ่อ กูหมายถึง พวกมึงอ่ะ แล้ว...ขอคำขอโทษเป็นข้าวสักมื้อก็พอ”




     สุดท้ายม่านฟ้าก็มาเลี้ยงพิซซ่าตามคำสัญญาที่ให้ไว้ เพราะหลังจากวันนั้นที่ทำซึ้งกันอยู่สักพัก ม่านฟ้าก็ขัดบรรยากาศขึ้นมาด้วยการเตือนว่าภูหมอกอาจไปสายก็ได้หากยังกอดกันกลมอยู่แบบนี้ พ่อจึงเป็นคนอาสาไปส่งภูหมอกที่มหาลัยเอง แต่ก็ยังไม่วายกระเตงลูกชายคนโตไปด้วยเพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนน้องโดยที่พ่อจะแค่ขับไปส่งแล้วไปทำงานต่อ

     ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นลงตัว แม้ไม่มีคำยอมรับจากพ่อมาอย่างชัดเจน พวกเขาก็รู้ว่าแค่ต้องค่อยๆ ให้เวลากันไป ตอนนี้ภูหมอกก็กลับไปอยู่บ้านอีกครั้ง แต่ก็มีเทียวมาหานทีเป็นบางครั้งบางคราว อย่างตอนนี้ที่ยกขบวนจัดเต็มกันมาถล่มบ้านนทีอีกครั้ง

     “เก็บล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยกันด้วยนะ ถ้าฉันเจอตรงไหนเลอะ วันหลังมานะจะไล่ตะเพิดไปให้หมดเลย”

     นทีบ่นแล้วก็เดินไปดูแลต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน ม่านฟ้าอมยิ้มนิดๆ กับคนปากแข็ง ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่เขาก็รู้ นทีคงแอบเหงาอยู่ไม่น้อย เวลาเกือบสามเดือนที่ภูหมอกมาอยู่ด้วยคงทำให้เจ้าตัวนึกถึงการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง

     เอาหน่า ก็บอกแล้วไงว่าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ

     หลังเก็บกวาด ถูบ้าน ทิ้งขยะจนสะอาดเอี่ยมอ่องเรียบร้อยแล้ว สามหนุ่มก็มานั่งพักเอาแรงอยู่ที่โซฟากลางบ้าน พิธานเลื้อยไปกับโซฟาแล้วทำท่าเหมือนจะหลับ ขณะที่ภูหมอกคว้ารีโมตมาเปิดซีรีส์เกาหลีดูไม่สนใจใคร ม่านฟ้านั่งพักอยู่สักครู่จนได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากร่างสูงข้างกาย ถึงลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นมา

     “โอ๊ะ!”

     เสียงร้องตกใจของผู้เป็นอาดังขึ้นเมื่อหลานชายคนโตเดินมากอดไว้จากด้านหลัง เธอที่กำลังเหม่อลอยอยู่ถึงกับสะดุ้ง หันไปมองหน้าม่านฟ้าที่มองตรงไปข้างหน้าผ่านไหล่ของเธอ

     “มองอะไรอยู่อ่ะ” ชายหนุ่มถามขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูราวกับไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจริงจัง

     “เปล่า มองไปเรื่อยๆ” นทีเองก็ตอบคำถามส่งๆ ไปไม่ต่างกัน

     บทสนทนาสิ้นสุดลงเหลือเพียงเสียงธรรมชาติรอบด้าน แต่บรรยากาศกลับไม่ได้เป็นไปอย่างอึดอัด ม่านฟ้ากระชับอ้อมกอดผู้เป็นอาเล็กน้อยแล้วซบหน้าลงกับบ่าเล็ก นทีเป็นคนตัวบางอยู่แล้วต่อให้เป็นผู้ชายก็คงเป็นผู้ชายตัวเล็ก คุณอาสูงน้อยกว่าเขาเสียอีก ตอนเด็กเขายังเคยคิดว่าตัวเองมีอาผู้หญิงที่เสียงใหญ่หน่อยเท่านั้น มาเริ่มรู้ความจริงก็ตอนที่โตขึ้นมาหน่อยแล้ว

     ม่านฟ้าสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวอาแล้วอมยิ้มนิดๆ ต่อให้เขาชอบต่อล้อต่อเถียงกับอาบ่อยเสียจนโดนทั้งพิธานและภูหมอกบ่น แต่เขากลับชอบมาที่นี่เสียเหลือเกิน มันเป็นความสบายใจที่เขารู้สึกได้จากคนคนนี้

     หรือเพราะ… อยู่กับคนนี้ ที่นี่ เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังความลับอะไร

     “ทำไมอาถึงกล้าบอกความจริงกับปู่” เสียงชายหนุ่มอู้อี้เล็กน้อยเพราะพูดทั้งๆ ที่ยังซุกหน้าอยู่กับบ่าผู้เป็นอา

     “เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรผิด และฉันอึดอัดที่ต้องมาปิดเป็นความลับ”

     นทีเชิดหน้าขึ้น ในยุคสมัยของเธอการเป็นเช่นนี้แย่ยิ่งกว่าปัจจุบันมากนัก ยิ่งพ่อเธอเองก็เกลียดเรื่องพวกนี้เข้าไส้ไม่ต่างจากพี่ชาย ไม่สิ ต้องเรียกว่าพี่ชายของเธอได้พ่อมาเต็มๆ เลยมากกว่า นภดลไม่คิดที่จะช่วยเหลืออะไรเลยยามเธอโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน เจ้าตัวเพียงแต่มาเกลี้ยกล่อมให้ไปขอโทษพ่อและกลับใจเป็นผู้ชายอย่างเดิม

     เหอะ กลับใจเหรอ เรื่องพวกนี้มันกลับใจได้ด้วยเหรอไง

     ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องกับภูหมอก ราวกับเธอได้เห็นตัวเองในอดีตอีกครั้ง แต่ผิดกันตรงที่เธอมีเพียงตัวคนเดียว ขณะที่ภูหมอกมีม่านฟ้าคอยช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มที่ แถมท้ายด้วยผู้ช่วยกิตติมศักดิ์อย่างพิธานเข้าไปอีก หากวันนั้นเธอมีพี่ชายคอยช่วยเหลือบ้างก็คงไม่ต้องลำบากมากนัก

     จะว่าอิจฉาภูหมอกก็คงใช่ล่ะมั้ง

     “ผมเคยคิดว่าการต้องเก็บความลับ มันอึดอัดขนาดนั้นเลยรึไง”

     เสียงม่านฟ้าดึงเธอให้หลุดออกจากภวังค์อีกครั้งและหันกลับมามองหน้าหลานชาย

     “แล้วแบบนี้เธอมีความสุขเหรอ” นทีประคองใบหน้าขาวของม่านฟ้าเอาไว้แล้วถามด้วยรอยยิ้มจางๆ ดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มเศร้าลงจนสังเกตได้ชัด

     “ก็การบอกความจริงมันคงทุกข์มากกว่า” ม่านฟ้าตอบกลับมาเสียงแผ่ว

     “สักวันความทุกข์นั้นมันก็จะค่อยทุเลาลง แต่ความอึดอัดน่ะ นานวันก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นนะ”

     ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อได้รับคำตอบนั้น เขาไม่เคยคิดที่จะบอกความลับนี้มาก่อน แต่เพราะผลลัพธ์ของการเก็บความลับมันส่งผลมากขึ้นเรื่อยๆ จนยิ่งมาเกิดเรื่องภูหมอกเขาก็ยิ่งลังเล

     “ผมต้องทำยังไง ต้องพูดยังไงเขาถึงจะยอมฟัง” ม่านฟ้าไม่ได้ต้องการให้ได้รับการอภัย แค่ขอให้ยอมรับฟังกันสักนิดก็พอแล้ว

     “หึ ไม่ต้องคิดเยอะพูดเยอะอย่างที่แกชอบทำหรอก...”

     “แค่พูดตรงๆ ไปก็พอ”

     ----

     เหลืออีกแค่หนึ่งเดือนสำหรับปิดเทอมใหญ่ครั้งสุดท้ายของม่านฟ้าและการเริ่มต้นเข้าสู่มหาลัยของภูหมอก ม่านฟ้าบอกพ่อแม่แล้วเรื่องจะให้น้องไปอยู่หอด้วย แม้ตอนนี้จะปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแผนที่จะเอาน้องไปอยู่ด้วย ในช่วงปิดเทอมนี้ภูหมอกต้องไปทำกิจกรรมรับน้องที่มหาลัยบ้างเป็นครั้งคราว ขณะที่ม่านฟ้านอนยาวอยู่บ้านนานกว่าครั้งไหนๆ

     โดยปกติปิดเทอมอื่นม่านฟ้าก็มีเข้าไปช่วยกิจกรรมรับน้องบ้างนิดหน่อยขึ้นอยู่กับความขยันหรือโดนเพื่อนจิก แต่ปิดเทอมสุดท้ายนี้ม่านฟ้าปณิธานไว้ว่าใครหน้าไหนก็มาเอาตัวเขาออกจากบ้านไม่ได้เด็ดขาด

     นี่จึงแทบจะเป็นการออกจากบ้านที่ไกลกว่าร้านสะดวกซื้อหรือบ้านนทีครั้งแรกในรอบหลายเดือนของม่านฟ้า

     ใช่ พวกเขากำลังจะไปเที่ยว

     พ่อวางแผนจะพาพวกเขาไปเที่ยวหัวหินกันทั้งครอบครัวตั้งแต่เรื่องภูหมอกผ่านไปด้วยดี แต่กว่าจะว่างลงตัวพร้อมกันก็กลางเดือนกรกฎาหน้ามรสุมพอดี

     ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้คิดจะลงทะเลว่ายน้ำให้แสบตัวกันอยู่แล้ว

     ตอนนี้เขากับพ่อจึงมานั่งจิบเบียร์พร้อมปลาหมึกย่างราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดกันอยู่ที่ชานระเบียงห้องพัก พ่อจองรีสอร์ตที่เป็นบ้านหลังเล็กติดทะเล สองห้องนอนพร้อมโถงกลางที่มีห้องครัวขนาดไม่ใหญ่มากมาด้วย แม่กับหมอกตอนนี้จึงขับรถออกไปตลาดใกล้ๆ เพื่อหาซื้อของสดมาทำกินกัน

     บ้านเขาปกติก็ไม่ได้กินแอลกอฮอล์บ่อยหนัก พ่อไม่ใช่คนติดเหล้าหรือสูบบุหรี่ จะมีกินบ้างก็เวลามีงานปาร์ตี้เล็กๆ น้อยๆ หรือมาเที่ยวกันอย่างคราวนี้

     ลมทะเลกับเมฆครึ้มๆ ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวหน่อยๆ แต่สองพ่อลูกก็ยังนั่งกันสบายๆ ไม่แคร์ฟ้าฝน ใบหน้าของพ่อขึ้นสีแดงเล็กน้อยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ มองตรงไปสุดสายตาพลางถอนหายใจ

     “เมฆ”

     “ครับ?” ม่านฟ้าเหลือบตามามองผู้เป็นพ่อเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ยังคงมองตรงไปด้านหน้า ไม่หันมาสบตา

     “เรื่องหมอก ขอบใจนะ” นภดลพูดออกมาด้วยเสียงปกติ แต่เพราะเสียงคลื่นและลมที่เริ่มแรงขึ้น เสียงจากปากพ่อจึงดูแผ่วนัก “ขอบใจที่ยังทำให้บ้านเป็นบ้าน ไม่งั้นเราคงไม่ได้มาเที่ยวกันสี่คนแบบนี้แล้ว แกมันเจ้าเล่ห์ตัววางแผน”

     ชายหนุ่มยิ้มรับคำแขวะจากพ่อแล้วเงยหน้าเมื่อพ่อพูดประโยคถัดมา

     “ฉันอาจจะไม่เคยพูดกับแกดีๆ แต่…” เสียงพูดของพ่อขาดหายไปเหมือนคนไม่แน่ใจว่าควรพูดดีหรือไม่ สุดท้ายก็ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ ม่านฟ้าเองเมื่อรอฟังแล้วไม่ได้คำตอบที่รอก็ยักไหล่ เหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย

     “ที่ผมพยายามกล่อมพ่อไปทั้งหมด ผมอาจจะไม่ได้ทำเพื่อหมอกคนเดียวก็ได้นะ”

     “หมายความว่ายังไง” พ่อมองอย่างสงสัยก่อนส่งสายตาเค้นคำตอบจากลูกชายจอมกวน แต่เขากลับรู้สึกคล้ายเห็นตาแดงๆ ของลูกชายแทน

     ม่านฟ้ามองหน้าผู้เป็นพ่อนิ่ง ก่อนหลุบตาลงต่ำ แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดทำให้เขาอ่อนไหวมากขึ้น ใจหนึ่งอยากบอกเรื่องราวทุกอย่างให้จบ แต่อีกใจหนึ่งกลับกลัวมากขึ้นกว่าเดิม

     เสียงไขกุญแจห้องพักดังขึ้นมาก่อนปรากฏร่างของสองแม่ลูกที่ออกไปซื้อของหอบหิ้วถุงใส่ของสดเต็มสองมือ นภดลละสายตาจากลูกชายคนโตหันไปมองชั่วครู่ เมื่อหันกลับมาก็เห็นคนข้างกายลุกขึ้นยืนวางกระป๋องเบียร์แล้วเดินเข้าไปในห้อง

     “ผมไปช่วยแม่ทำกับข้าวนะ”

     นภดลมองร่างลูกชายคนโตที่เดินเข้าไปก่อความวุ่นวายมากกว่าจะช่วยดังคำกล่าว คิดถึงคำพูดที่ติดค้างเจ้าตัวเอาไว้และไม่ได้พูดมันออกไป

     ‘แต่… แกเองก็เป็นลูกชายที่ฉันภูมิใจมากนะ’

     ----

     อีกหนึ่งสัปดาห์จะถึงวันเปิดเทอม พวกเขาย้ายข้าวของที่จำเป็นไปไว้ที่หอในแล้วบางส่วน อาทิตย์หน้าก็แค่ย้ายตัวกับของใช้อีกนิดหน่อยไปก็ถือว่าพร้อมแล้ว วันเสาร์นี้จึงเป็นเสาร์สุดท้ายที่พวกเขาจะได้อยู่กันพร้อมหน้า

     หญิงวัยกลางคนกำลังรื้อหาของกุกกักอยู่ในครัวโดยมีภูหมอกนั่งกินแอปเปิลอยู่ที่โต๊ะกินข้าวด้วยอีกหนึ่ง ห้องนั่งเล่นยามนี้จึงมีเพียงม่านฟ้าและพ่อที่นั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟาเพียงสองคนเท่านั้น

     เสียงรื้อข้าวของจากในครัวยังดังมาเรื่อยๆ จนคนในบ้านอดเหลือบตาไปมองไม่ได้ แม่ดูหงุดหงิดที่หาไม่เจอจนสุดท้ายม่านฟ้าก็เป็นผู้เอ่ยปากถามขึ้นมา

     “หาอะไรแม่”

     “แก้วน่ะสิ ใบที่เป็นลายเลอะๆ ที่เมฆชอบใช้น่ะ ขนาดกำลังดีแม่จะเอามาทำขนม”

     “...” ม่านฟ้านิ่งไปนิดหนึ่งเมื่อคิดถึงแก้วใบที่แม่อยากได้ “แตกไปแล้วไง”

     “หืม แตกไปตอนนะ-” คำพูดของแม่ขาดห้วงลงเมื่อเธอเองก็เหมือนจะจำได้แล้วเหมือนกันถึงช่วงเวลาที่มันแตก ไม่ใช่เพียงนัชชาเท่านั้นที่นึกออก ทุกคนในบ้านก็เหมือนหวนกลับไปในช่วงเวลาที่แก้วใบนั้นแตกลงเช่นกัน





     “แกมันลูกเฮงซวย สร้างแต่ปัญหา แล้วยังกลายมาเป็นปัญหาสังคมอย่างเป็นตุ๊ดเป็นเกย์แบบนี้อีก!!!”

     “ใช่!! พ่อ!! ผมมันลูกเฮงซวย ...ขอโทษจริงๆ ที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ”

     “อะไรก็ตามที่พ่อเกลียด เมฆก็จะเป็นอย่างงั้น”

     “กูจะตีมันให้ตาย ให้มันเลิกทำตัวบ้าๆ เสียที! ”

     เพล้ง!

     “มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยนะ”

     "กรรมอะไรของกูว่ะ ที่มีลูกอย่างมึง"





     เพราะถ้อยคำมากมายที่เคยกล่าวไว้ยามขาดสติ จะกลายเป็นดาบสองคมที่กลับมาทิ่มแทงผู้พูดเองเมื่อช่วงเวลานั้นผ่านไป เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เสียไป...ต่อให้ประกอบใหม่อย่างไร

     ก็ไม่มีวันเหมือนเดิม

     ม่านฟ้านิ่งคิดไปถึงช่วงเวลาที่เขากับพ่อต่างตะโกนใส่กันด้วยแรงอารมณ์ในครั้งนั้น ต่อให้ยามนั้นแม้บางส่วนจะเป็นเพียงความเข้าใจผิด แต่อย่างไรเสียคำพูดพวกนั้นก็ออกมาจากปากของพวกเขาจริงๆ

     ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกให้กับความรู้สึกหนักในอก คำพูดของพ่อในคราวนั้นเป็นฝันร้ายสำหรับเขาเสมอ ยามใดที่รู้สึกน้อยใจหรือท้อแท้ คำพูดเหล่านั้นจะวนเวียนมาเพื่อตอกย้ำว่าตนเองคือลูกชายที่ไม่ได้เรื่อง เป็นลูกชายที่สร้างความลำบากใจให้พ่อตลอด

     และหากว่า

     เรื่องเข้าใจผิดวันนั้นไม่ใช่เพียงความเข้าใจผิด

     ทุกอย่างที่พ่อพูดออกมา

     ก็คงเป็นความจริงที่พ่อคิดเช่นกัน





     ทั้งบ้านยังตกอยู่ในความเงียบ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพ่อที่นั่งข้างกันก็อึดอัดกับบรรยากาศที่เกิดขึ้น เขาเห็นพ่อขยับปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็เม้มปากเก็บมันไว้อีกครั้ง สายตาของพ่อหลุกหลิกไปมาอย่างอึดอัดใจ แต่เท่านั้นก็ทำให้ม่านฟ้ายิ้มจางๆ ออกมาสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างให้กำลังใจตัวเอง ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วโน้มตัวเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อ

     ม่านฟ้ากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนสูดลมหายใจพร้อมกลั้นเสียงสะอื้นและความรู้สึกหลายอย่างที่เกิด ซบหน้าลงกับบ่าที่เคยซบนอนตอนพ่ออุ้มครั้งยังเด็ก ม่านฟ้าพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่นยามเมื่อเอ่ยคำพูดออกไป

     “ขอโทษนะพ่อ วันนั้นที่พูดไม่ดี เมฆไม่ควรประชดพ่อแบบนั้น” ชายหนุ่มเสียงพร่าตัวสั่นทั้งที่ยังซบอยู่กับบ่า ก่อนผละออกมามองผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตาที่ฝืนไว้ไม่ไหวและรอยยิ้มขมขื่น “แต่วันนี้เมฆมีเรื่องจะบอกพ่อ จริงๆ แล้ว”

     นภดลยังไม่ทันหายตกใจกับภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของลูกชายกลับต้องยิ่งตกใจหนักขึ้นกับประโยคที่ตามมา

     .

     .

     “เมฆเป็นเกย์ครับ”



     TBC





     Achaya (Writer) :

     ใกล้แล้ว ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์นะคะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 18 (17.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-10-2020 17:18:43
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ตอนพิเศษ (Minispecial) (24.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 24-10-2020 12:24:00
ตอนพิเศษ (Minispecial)

Minispecial 1

     คุณเคยไหม ไม่รู้จักคนคนหนึ่งแต่เหมือนรู้จัก เจอหน้ากันทุกวัน กลับบ้านด้วยกันทุกวัน แต่.. เราไม่รู้จักกัน

     ใช่ ผมกับเขาเป็นแบบนั้น

     เราเรียนพิเศษที่เดียวกัน มันค่อนข้างไกลจากบ้าน และน่าแปลก คือดันมีคนเลือกเรียนพิเศษไกลเหมือนผมด้วย ผมเห็นเหมือนเขาเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ขณะที่ผม.. เรียนภาษาสเปน

     เวลาเลิกคลาสเย็นของเราเป็นเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้น ต่อให้คลาสใดคลาสหนึ่งเลิกช้าหรือเร็วก็แตกต่างกันไม่มาก สุดท้ายก็มายืนรอรถเมล์ด้วยกันอยู่ดี

     ผมไม่แน่ใจว่าเราเจอกันมากี่ครั้งแล้ว แต่เริ่มสังเกตเขา เมื่อเริ่มอาทิตย์ที่สามของการเรียน

     ในวันที่ป้ายรถเมล์แทบจะไม่มีใครแล้ว เราพุ่งขึ้นรถเมล์คันเดียวกัน เพราะมันเป็นสายเดียวที่ตรงถึงหน้าหมู่บ้านได้โดยไม่ต้องต่อรถ และนั่นทำให้ผมรู้อีกว่า

     เราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน

     จะว่าโลกกลมหรือไง หมู่บ้านเราคนก็ไม่น้อย มีร้อยกว่าหลังคาเรือน การจะมีเด็กมัธยมปลายวัยเดียวกันที่ไปเรียนพิเศษบ้างคงไม่แปลก อืม แต่ถึงขั้นเรียนพิเศษที่เดียวกัน เลิกพร้อมกันนี่มัน… ก็ออกจะโลกกลมจริงๆ นั่นแหละ

     พวกเราจะเดินทิ้งระยะออกจากกันเล็กน้อย ไม่ว่าใครจะเดินอยู่หน้าหรืออยู่หลัง ระยะห่างของเรายังเท่าเดิม เขามักเลี้ยวไปในซอยหลักอีกซอยที่ลึกกว่าซอยของผม จบการเดินทางที่ไร้บทสนทนาต่อกัน

     และเจอกันอีกครั้งในเย็นของวันเรียนพิเศษครั้งต่อมา



Minispecial 2

     การเรียนพิเศษในช่วงท้ายๆ แต่ละคอร์สเริ่มเลิกดึกขึ้น เลยเวลาเรียนปกติไปค่อนข้างมาก นั่นทำให้ที่นั่งบนรถเมล์เหลือว่างมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ผมได้นั่งเมื่อเลยจากป้ายที่ขึ้นมาสามป้าย และป้ายต่อมา ที่นั่งข้างผมก็ว่างลง ผมเหลือบไปมองคนไม่รู้จักที่คุ้นเคยที่ยืนอยู่เยื้องออกไป ก่อนจะขยับตัวไปชิดหน้าต่างก็ยื่นมือไปสะกิดคนตัวสูง

     “นั่งไหม”

     ใช่ นั่นคือบทสนทนาแรกระหว่างเรา

     จริงๆ จะเรียกว่าการพูดคุยได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเขาตอบมาเพียงสั้นๆ ว่า

     “อืม”

     จบบทสนทนาแรกของพวกเราเพียงเท่านั้น

     หลังจากวันนั้น บนรถอาจจะมีที่ว่างบ้าง แต่เราก็ไม่ได้นั่งข้างกันอีก ทันทีที่นั่ง เขามักจะหลับ หลับแบบไม่สนใจไยดีว่าจะถึงป้ายแล้วหรือยัง

     หรือเพราะ.. มั่นใจว่าจะมีคนปลุก

     ทุกครั้งที่จะลงแล้วยังเห็นใครบางคนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วชี้ออกไป จิ้มแรงๆ ที่ต้นแขนคนหลับ เขาจะงัวเงียเล็กน้อยก่อนจะโซซัดโซเซพาร่างสูงๆ มายืนรอที่หน้าประตู ถัดจากผมไปนิดหน่อย ก่อนที่เราจะลงจากรถไปพร้อมกัน



Minispecial 3

     ผมเป็นคนชอบฟังเพลง ยิ่งตอนที่นั่งรถไกลๆ แบบนี้ยิ่งต้องฟัง มันเพลินดี ไม่งั้นผมจะมัวแต่พะวงว่าเมื่อไหร่จะถึงจนหงุดหงิดใจ ผมไม่รู้เหตุผลของเขาจะเหมือนผมหรือเปล่า แต่เขาก็มักจะเสียบหูฟังแล้วนอนหลับเสมอ

     เสียงขยุกขยิกของผมทำให้เขาที่นั่งเยื้องไปด้านข้างหันมามอง ผมกำลังหาหูฟังที่ยัดไว้ในกระเป๋า แต่หาเท่าไร่ก็ไม่เจอ เสียงฝนตกกระทบกับหน้าต่างรถดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ผู้โดยสารที่นั่งข้างผมลุกขึ้นเพื่อรอลงจากรถแต่ผมไม่ได้สนใจ รู้สึกถึงใครบางคนที่นั่งลงมาข้างผมแทนที่ผู้โดยสารคนเดิม

     สติของผมยังคงจดจ่ออยู่กับการหาของในกระเป๋า สมองคิดทบทวนการใช้ครั้งสุดท้าย ผมว่าผมต้องวางไว้ใต้โต๊ะตัวเองในห้องเรียนแน่ คิดได้ดังนั้น ก็พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาอย่างหงุดหงิดปิดกระเป๋านักเรียนแรงๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมา

     เพื่อพบว่า

     เขามานั่งข้างๆ ผมแล้ว

     เจ้าตัวขยับตัวเหมือนหาจังหวะให้นั่งหลับได้พอดี เหลือบตามองมาที่ผมเล็กน้อย และทำสิ่งที่ผมได้แต่นิ่ง

     เขาปลดหูฟังข้างหนึ่งของเขายื่นมาให้ผม สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ตาของเขาปรือลงเหมือนคนที่พร้อมจะหลับ จนผมไม่แน่ใจว่าเขารู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไร จะให้ผู้ชายสองคนนั่งใช้หูฟังคนละข้างฟังเพลงเหรอ โรแมนติกเกินไปจนขนลุกเลยล่ะ

     และที่สำคัญ คือเราไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ

     .

     .

     แต่ที่แปลกที่สุด

     คงไม่พ้น...

     ผม...ที่เอื้อมมือรับมันมาแต่โดยดี



Minispecial 4

     ในวันต่อๆ มา ไม่รู้โชคดีหรือเพราะเขามักจะเปลี่ยนที่ เราถึงได้นั่งข้างกันบ่อยขึ้น แต่ทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยน เขายังคงหลับ ขณะที่ผมก็แค่ฟังเพลงเล่นเกมไป อ๋อ ผมใช้หูฟังตัวเองนะ ไม่ได้ลืมแล้ว

     ผมคิดแค่ว่าเขาคงมานั่งใกล้ เพื่อให้ผมได้ปลุกถนัด หรือไม่..ก็นั่งดักทางออกผมไว้ เผื่อวันไหนผมแกล้งไม่ปลุกเขาขึ้นมา

     แต่ผมไม่ชอบ.. ที่ใครจะมาไว้ใจผมแบบนี้เลย

     เพราะบางครั้ง

     .

     ผมก็เหนื่อย

     .

     .

     และก็เผลอหลับไปด้วยเหมือนกันน่ะสิ!!



     “เห้ย!”

     ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงอุทานของคนข้างๆ และการขยับตัวของเขาที่ทำให้ไหล่เรากระแทกกัน ผมรีบมองออกไปนอกหน้าต่าง ทางไม่คุ้นแล้ว ไม่สิ ไม่ใช่ทาง สถานที่ต่างหาก เพราะรถจอดลงที่อู่แล้วไงล่ะ

     กระเป๋ารถเมล์ที่เหมือนกำลังจะเดินมาปลุกชะงัก แล้วเดินกลับไปเมื่อเห็นว่าพวกผมตื่นแล้ว

     “ไม่ทำหน้าที่เลยอ่ะ”

     เสียงคนนั่งข้างบ่นลอยๆ ขึ้นมา จนผมเผลอตวัดค้อนให้หนึ่งที

     ไม่ใช่นาฬิกาปลุกส่วนตัวนะเว้ย!

     และก่อนที่จะรู้ตัว ข้อมือผมก็ถูกคว้าแล้วลากลงมาจากรถ พวกเรามายืนคว้างอยู่กลางอู่ เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกาแล้วพึมพำเบาๆ

     “ไม่น่ามีรถเหลือแล้ว แท็กซี่แล้วกัน” ประโยคหลังหันกลับมาพูดกับผม

     เราเดินออกมาหารถที่ริมถนน ไม่รู้ว่ายังง่วงอยู่หรือยังตกใจอะไร ผมถึงยังปล่อยให้เขาจับข้อมือลากไปไหนมาไหนตลอด จนมาปล่อยเมื่อเราขึ้นนั่งบนแท็กซี่

     เขาบอกทางกลับหมู่บ้านเราไปตลอดทาง จนมาปล่อยพวกเราลงที่หน้าหมู่บ้าน จริงๆ ให้แท็กซี่ไปส่งหน้าบ้านเลยก็ได้ แต่ยังงงๆ ว่าจะให้ส่งหน้าบ้านใคร สุดท้ายก็ให้ส่งหน้าหมู่บ้านเสียเลย

     เราหารกันจ่ายค่าแท็กซี่ แล้วเดินแยกกันกลับเหมือนทุกวัน

     ใช่

     ก็เหมือนกับทุกวัน

     .

     .

     แต่ทำไม เหมือนจะมีความรู้สึกแปลกเกิดขึ้นเล็กๆ กันนะ



Minispecial 5

     วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคอร์สภาษาสเปนที่ผมเรียนอยู่ เนื้อหาอะไรที่สอนไม่ทันก็อัดมาจนเต็ม เล่นเอากว่าจะเลิกก็เลยเวลาเลิกปกติมาเป็นชั่วโมง กว่าจะขึ้นรถจนมาถึงหมู่บ้านได้ก็ดึกมากแล้ว แต่แปลกที่ผมกับเขาคนนั้นก็ยังได้นั่งรถคันเดียวกันกลับอีกเหมือนเคย ผมลากเท้าเดินเข้าหมู่บ้านด้วยความเร็วช้ากว่าปกติ คงเพราะเหนื่อยจนสมองตื้อ แต่ก็ไม่กล้าหลับบนรถอีก กลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับคราวก่อน

     ผมยังรู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่วันนี้ก็เดินช้าเหมือนกันกับผมดังเยื้องไปด้านหลัง แปลกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่มันเลยซอยที่เขาจะต้องแยกไปแล้ว แต่ทำไมถึงยังมีเสียงเดินของเขาตามมาอีก

     หรือว่าเรียนหนักจนเบลอกลับบ้านไม่ถูกแล้วหรือไง

     ผมส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระของตัวเองก่อนหยุดลงที่หน้าบ้าน ไขกุญแจบ้านได้ก็หันกลับไปมองคนที่หยุดเดินห่างจากผมไปไม่ไกล

     เขามองซ้ายมองขวาเหมือนสำรวจสภาพรอบๆ แล้วมาหยุดสายตาลงที่บ้านเลขที่ของผม ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับไป สายตาของเราสบกันชั่วครู่ เขาหันหลังเดินไปเพียงสองก้าวก็หยุดชะงัก ทำให้ผมที่มองเขาอยู่ชะงักค้างไปเช่นกัน

     “วันนี้…” เขาหันกลับมาหาผมอีกครั้ง

     ไฟหมู่บ้านที่ตั้งห่างๆ กันทำให้ผมมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก แต่เหมือนผมจะเห็นความลังเลจากเขาพริบตาหนึ่ง “...ของฉันปิดคอร์สแล้ว”

     ผมยังยืนงงเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาพูดออกมา เสียงทุ้มๆ ของเขาที่เคยได้ฟังแม้ไม่บ่อยนัก ยังทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เสมอ แต่เมื่อความเงียบหลังคำพูดของเขาเกิดขึ้น ผมก็ตอบออกไปเบาๆ ไม่ให้เสียมารยาท

     “อืม… เหมือนกัน”

     จากนั้นความเงียบก็เกิดกับเราสองคนอีกครั้ง เขาดูอึกอักที่จะพูดอะไรบางอย่าง ผมเห็นเขาก้มหน้าเม้มปาก ก่อนเงยขึ้นมาหาผมอีกครั้ง

     “แต่.. ฉันว่าจะลงเรียนคอร์สต่อไปด้วย”

     “...”

     “...”

     “อืม...”

     สายตาของเขาที่มองมาเหมือนยังรออะไรบางอย่างมากกว่าคำตอบรับของผม ก่อนที่เขาจะหลุบตาลงแล้วหันหลังกลับไป ผมจึงพูดประโยคเดิมที่ค้างไว้จนสุด

     “... เหมือนกัน”

     ผมตอบไปเพียงแค่นั้นจริงๆ แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้หันกลับมา แล้วยิ้มกว้างให้ผมเสียขนาดนั้น ยิ้มที่หวานไปถึงดวงตาที่พาลให้ผมรู้สึกว่ารอบตัวสว่างขึ้นมานิดหน่อย

     และก็ไม่รู้ทำไม..ผมถึงรู้สึกว่า

     มุมปากของผมก็ยกยิ้มขึ้นมาเหมือนกัน



     END





     Achaya (Writer) :

     เราขอเอาตอนพิเศษมาให้คิดว่าคงเดากันได้ว่าเป็นใคร แต่เราอาจจะขอปรับเปลี่ยนการวางเรื่องเล็กน้อย

     แท้จริงแล้วตอนจบของ 'ความลับในม่านหมอก' ได้จบลงตั้งแต่ตอนที่แล้ว เพราะอย่างไร ความลับของทั้ง'ม่าน' ฟ้า และภู 'หมอก' ก็ได้ถูกเปิดเผยจนหมดในตอนที่แล้ว เราจะขอเปลี่ยนตอนที่ 18 ให้กลายเป็นบทส่งท้าย และตอนนี้ก็กลายเป็นตอนพิเศษไป

     แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เราไม่ทิ้งไปกลางคันแค่นี้แน่ เพราะเมื่อมีความลับก็ต้องมี 'ความจริง' เราจะต่อเนื้อเรื่องด้วย 'ภาคความจริง' ต่อจากนี้ และเพื่อเป็นการขออภัยที่อาจทำให้สับสน เดี๋ยววันอังคารนี้เราจะมาลงบทนำของภาคความจริงให้ ใครที่เคยเดา เคยสงสัย เคย 'จิ้น' อะไรไว้ ก็ลองติดตามกันต่อ ว่าจะตรงตามที่จิ้นกันไว้ไหม

     ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเมนต์ค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ตอนพิเศษ (Minispecial) (24.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-10-2020 13:54:12
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทนำ (27.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 27-10-2020 22:15:07
ภาคความจริง : บทนำ

     ‘4th year anniversary’

     ม่านฟ้ามองโพสต์ของคนที่เป็น ‘Friend’ กันบนสื่อโซเชียล ก่อนไล่อ่านไปตามความคิดเห็นของเพื่อนเจ้าตัวที่ทยอยกันเข้ามาล้อเลียนความอวดแฟนของเจ้าของโพสต์ จากข้อความไม่ได้ถูกแท็กไปถึงใคร แต่เหมือนเพื่อนที่สนิทกันก็รู้ดีอยู่ว่าความหมายที่เจ้าของกล่าวถึง คือความรักของเจ้าตัวที่คบกับแฟนมาถึงสี่ปีแล้ว

     ไม่ทันที่ม่านฟ้าจะได้เลื่อนไปดูโพสต์อื่นๆ ฆ่าเวลา เสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้น ข้อความเหล่านั้นถูกส่งมาจากเพื่อนคนหนึ่งของคนรัก นึกแปลกใจเหมือนกันเพราะโดยปกติ พวกเขามักไม่ได้คุยอะไรกันโดยตรงนัก

     ‘ลองฟังฆ่าเวลาตอนรอคุณแฟนเพลินๆ นะครับ 5555’

     ‘Happy anniversary ด้วยนะเว้ยย’

     ต่อจากข้อความที่ถูกเขียนมาก็ตามด้วยข้อความเสียงความยาวประมาณเกือบ 10 นาที ทันทีที่กดฟัง ม่านฟ้าก็ต้องขมวดคิ้วกับเสียงเซ็งแซ่รอบๆ เหมือนคนอัดเสียงแอบอัดมาโดยที่เจ้าของเสียงบางคนไม่รู้ตัว





     ‘อัดยังๆ ’

     ‘อัดแล้วๆ ’

     ‘ดีๆ กูจะเก็บไว้แซวมัน’


     เริ่มคลิปมาด้วยเสียงกระซิบกระซาบของคนสองคน แสดงหลักฐานชัดเจนว่าเป็นคลิปหลุดที่แอบอัดไว้แกล้งคน ซึ่งคนโดนแกล้งก็คงไม่พ้นคนที่ถูกถามคำถามต่อมา

     ‘เห้ย แล้วมึงจะรีบเก็บของไปไหนเนี่ย’

     ‘ไปหาเมฆ’
สามคำสั้นๆ แต่ส่งผลให้เกิดเสียงโห่แซวดังขึ้น ม่านฟ้าอดอมยิ้มนิดๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงคนคุ้นเคยดังขึ้นในคลิป

    ‘โอย มีคนติดแฟนแล้วทิ้งเพื่อนอ่ะ เค้าเสียใจจังตัวเอง’ เสียงผู้ชายที่ดัดจนสะดีดสะดิ้ง ตามมาด้วยเสียงผลัวะเบาๆ คาดเดาได้ไม่อยากว่าคงมีคนโดนฟาดเขาที่ใดสักที่

    ‘ทิ้งก็เหี้ยล่ะ อาทิตย์นึงกูอยู่กับพวกมึงแม่งเกือบทุกวัน ขอสักวันให้กูไปหาแฟนกูมั้งเหอะ’

     ‘เออ แต่ก็จริง ดีนะ แฟนมึงแม่งไม่งี่เง่า’ อีกเสียงดังขึ้นไกลออกไป คาดว่าไม่ได้รวมอยู่ในผู้ร่วมอุดมการณ์อัดคลิปลับ เพราะเสียงของคนอัดอีกสองคนดูตั้งใจพูดให้ดังฟังชัดมากจนเกินธรรมดา

     ‘แล้ววันนี้ทำไมมึงดูรีบจังว่ะ’

     ‘ก็วันครบรอบกูไหมล่ะ’
เสียงโห่ดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงหัวเราะ

     ‘คบกันมานานขนาดนี้ รักจริงหวังแต่งเลยป่ะเนี่ย’

     ‘อะไรของพวกมึงเนี่ยห้ะ ทำไมวันนี้เสือกเรื่องกูจัง’

     ‘ไม่ได้ๆ วันนี้กูต้องทำให้มึงเขินให้ได้ก่อนปล่อยไป’

     ‘ขอสัมภาษณ์หน่อยครับ ไม่ทราบว่าแฟนคนนี้นี่รักมากแค่ไหนครับ เห็นคบกันมาตั้งสี่ปี’

     ‘ไอพวกเหี้ย ปล่อยกู’

     ‘ไม่ปล่อย มึงตอบมาก่อน’

     ‘เออๆ รักดิ ไม่รักกูจะคบเหรอ พอใจยัง!? ’

     ‘ฮิ้ววววววว’
เสียงโห่ดังมาอีกระลอกทำเอาม่านฟ้าหลุดขำ รู้สึกร้อนๆ ที่หน้าหน่อย แม้จะคิดว่าคนตอบอาจจะตอบปัดๆ ให้จบเพื่อจะได้หลุดจากกลุ่มเพื่อนก็เป็นได้ เขาคิดว่าจุดประสงค์ของคลิปคงตั้งใจส่งมาแซวเขาแค่เรื่องนี้ แต่เรื่องต่อมาที่ได้ฟังทำให้เขาต้องนิ่ง

     ‘งั้นกูถามจริง จนถึงตอนนี้พวกมึงเคย.. อะไรๆ กันยังว่ะ’

     ‘ไอเหี้ย อัดเสียงอยู่’

     ‘เออน่ะ เดี๋ยวค่อยไปตัดท่อนหลังออก’


     เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอีกครั้งแล้วตามด้วยเสียงผลัวะ คราวนี้ดังชัดเจนจนเหมือนคนที่ถือโทรศัพท์จะเป็นคนโดนฝ่ามือพิฆาตเสียเอง

    ‘ทะลึ่งล่ะ ไอเหี้ย’

     ‘เออ เอาจริงกูก็อยากรู้ จากบรรยากาศพวกมึงก็ดูสนิทกันนะ แต่ไม่ได้เหมือนคู่ผัวเมียเท่าไหร่’

     ‘...’
ม่านฟ้าไม่แน่ใจว่าอีกคนไม่ตอบหรือตอบด้วยท่าทางกันแน่

     ‘ไม่เคย?’ แต่เขาเดาว่าคำตอบคงเป็นการส่ายหน้าจากคำถามย้ำของเพื่อนในกลุ่ม

     ‘ทำไมว่ะ คบกันมาก็ตั้งหลายปีล่ะ เมฆมันเล่นตัวหรือว่ามึงมันกาก’

     เขาได้ยินเสียงสบถด่าขึ้นมาคำหนึ่งก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงจนได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากตัวเอกของคลิปเสียงนี้

    ‘.. กู..’ เสียงตอบรับราวกับคนพูดไม่ออกและอึกอักอยู่ในลำคอ แต่กลับไม่มีเสียงแซวออกมาให้เสียสมาธิ ราวกับทุกคนใจจดใจจ่อรอฟังคำตอบนั้น ใช่ ม่านฟ้าเองก็ด้วย

    ‘กูอยากให้เกียรติมันมั้ง’

     ‘...’ น่าแปลก ม่านฟ้าคิดว่าหลังจากคำตอบนี้จะตามมาด้วยเสียงโห่แซวแบบทุกทีแต่ก็ไม่ ก็ดี เพราะเขาก็อยากฟังประโยคต่อมาของอีกคนให้ชัดๆ

    'แล้ว.. เราคบกันตั้งแต่ยังเด็กด้วย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ พอจะข้ามความสัมพันธ์ไปมันก็เหมือนยังหาเส้นแบ่งไม่เจอ กูเลยคิดว่างั้นกูจะรอขอมันจากที่บ้านก่อนแล้วกัน'

    ‘ห้ะ? แต่ที่บ้านมัน…’

     ‘เออ กูรู้ เพราะงั้นอย่างน้อยก็รอให้เราเรียนจบก่อน คือ กูนึกถึงถ้า.. มันเป็นผู้หญิง กูก็คงต้องรอเราเรียนจบ เก็บตังค์ได้สักก้อนแล้วค่อยไปขอมัน ถึงจริงๆ มันจะเป็นผู้ชาย แต่.. กูก็ยังอยากจะให้เกียรติมันแบบนั้นอยู่ดีอ่ะ ไม่ได้อยากให้มันดูฉาบฉวย แต่อยากให้เห็นว่ากูจริงจังกับมัน ยิ่งถ้าที่บ้านมันไม่ยอมรับ กูยิ่งอยากจะทำให้มันมั่นใจว่า.. กูพร้อมจะดูแลมันจริงๆ นะ แล้ว..จากนั้นก็ค่อยว่ากัน’

     ‘...’

     ‘...แค่นั้นเอง’

     ‘...’

     ‘เออ คือ กู.. กูรู้แหละ ว่า กูหัวโบราณไปหน่อยอ่ะ’
น้ำเสียงของคนพูดปิดความประหม่าเอาไว้ไม่มิด ทั้งคำพูดตะกุกตะกัก และเสียงแผ่วๆ อย่างคนไม่มั่นใจ แต่กลับทำให้คนฟังทางโทรศัพท์อีกคนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ถึงจะรู้สึกสะท้อนใจจากคำพูดของคนรักแต่ก็ห้ามหัวใจที่เต้นแรงขึ้นไม่ได้

     คนที่ดูห่ามๆ แต่กลับคิดเรื่องของเขามากขนาดนี้ จะไม่ให้เขารู้สึกดีด้วยอย่างไรไหว ม่านฟ้ารู้ดี คนรักของเขาไม่ใช่คนอบอุ่น ไม่ใช่คนโรแมนติกที่จะพูดจาหวานๆ ต่อกัน เขาเองก็เช่นกัน เราอยู่กันเหมือนเพื่อนเสียด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นเพื่อนนั้นกลับมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราใส่ใจกันเสมอมา

     เสียงในคลิปดังต่อมาอีกนิดหน่อยซึ่งไม่พ้นเสียงแซวจากกลุ่มเพื่อนที่เพิ่งตั้งสติได้ก่อนคลิปเสียงนั้นจะจบลง

     ‘กูแอบอัดมา อย่าให้มันรู้นะ’

     ‘เดี๋ยวมันฆ่าพวกกู’

     ‘แฟนดีๆ อย่างเพื่อนกูนี่มึงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะเว้ยยย’

     ม่านฟ้ายิ้มน้อยๆ กับคำทิ้งท้ายของเพื่อนคนรัก ยังไม่ทันได้ตอบข้อความอะไร เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เขาเดาว่าคนรักของเขาคงมาถึงแล้ว

     ทั้งที่คบกันมานานขนาดนี้ แต่เหมือนวันนี้เขาจะใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดถึงหน้าคนที่อยู่หน้าประตูในตอนนี้ ราวกับหัวใจได้ความหวานเข้ามาเติมเต็ม

     ----

     พิธานกำลังงงกับอารมณ์ของคนรัก ใช่ว่าปกติคนรักของเขาจะเป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียว แต่วันนี้มัน...ดูอารมณ์ดีแปลกๆ ปกติคนรักของเขาค่อนข้างนิ่งแถมมึนอีกต่างหาก แต่วันนี้มุมปากกลับมีรอยยิ้มแต้มไว้ตลอด อีกทั้งดวงตาที่เห็นได้ชัดว่าเป็นประกายสดใสกว่าทุกวัน

     หรือวันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆนะ

     เซอร์ไพรส์เหรอ ไม่น่าใช่มั้ง

     พวกเขาไม่ใช่พวกโรแมนติกทั้งคู่ ต่อให้เป็นวันครบรอบก็แทบจะไม่มีการเซอร์ไพรส์หรือของขวัญอะไรให้กันด้วยซ้ำ แค่มากินข้าวข้างนอกด้วยกันก็ถือว่าพิเศษแล้ว

     อย่างตอนนี้ที่พวกเขากำลังเดินหาร้านนั่งกินในห้างสรรพสินค้าใกล้มหาลัย พิธานพยายามมองซ้ายมองขวาก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ท่าทางของคนรักเองก็ไม่ได้มีอาการลุกลี้ลุกลนอย่างคนเตรียมเซอร์ไพรส์ใดๆ ปกติทุกอย่างยกเว้นอารมณ์เนี่ยแหละ

     แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มีความผิดปกติใดเกิดขึ้น พวกเขากินข้าวในร้านอาหารเกาหลีที่คนไม่เยอะมาก ก่อนกลับหอมาด้วยกันอีกครั้ง

     “กูไปอาบน้ำห้องกูก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวกูไปหาที่ห้อง”

     พิธานโยกหัวคนรักเบาๆ ก่อนเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นของตน เขากับคนรักอยู่หอในด้วยกันก็จริง แต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ต่างคนต่างมีรูมเมท ถามว่าทำไมทั้งๆ ที่ก็คบกันมาตั้งแต่มัธยม จนตอนนี้ก็ปีสามกันแล้ว

     เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะเขากลัวอดใจไม่ไหวมั้ง

     อาจจะลำบากหน่อยที่ไปมาหาสู่กันต้องเดินไปหาอีกคนที่อยู่คนละห้อง คนละชั้น แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก มันเป็นความสมัครใจของพวกเขาทั้งคู่ ใครจะว่าแปลกก็คงใช่ แต่พวกเราต่างอยากเว้นระยะสำหรับพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคน

     ส่วนเรื่องหลังจากที่เรียนจบแล้วจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างไรนั้น เขาว่ากว่าจะถึงตอนนั้น ทุกๆ อย่างก็จะมีคำตอบของมันเอง

     พิธานเดินกลับห้องทั้งที่สมองยังคงคิดหาคำตอบให้กับท่าทางของคนรักที่วันนี้ออกจะอารมณ์ดีเหลือเกิน

     ----

     ม่านฟ้ากลับมาถึงห้องอีกครั้งหลังออกไปกินข้าวในวันครบรอบ สำหรับพวกเขา แค่ออกไปกินข้าวด้วยกันแค่นี้ก็ถือว่าพิเศษมากแล้ว รู้สึกตัวว่าถูกคนรักมองด้วยแววตาสงสัยอยู่หลายครั้ง คงเพราะตัวเขาปิดอารมณ์ดีๆ เอาไว้ไม่อยู่ละมั้ง

     เขาเผลอคิดไปถึงเสียงตกประหม่าที่ได้ยินจากคลิปเมื่อตอนเย็น แล้วก็รู้สึกอยากฟังขึ้นมาอีกหน

     เมื่อตอนเย็นเขาเปิดฟังด้วยลำโพงของโทรศัพท์ แม้จะไม่ชัดมากแต่ก็จับใจความต่างๆได้ แต่ตอนนี้เขาอยากฟังชัดๆ อีกสักที ถึงได้หยิบหูฟังมาต่อเข้ากับโทรศัพท์แล้วเปิดฟังอีกครั้งอย่างตั้งใจ

     ก๊อกๆๆ

     จนเมื่อม่านฟ้าฟังคลิปจบไปอีกรอบ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร อาบน้ำไวอย่างกับวิ่งผ่านขนาดนี้ หนุ่มอักษรฯ ปลดหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วเดินไปเปิดประตูให้กับอาคันตุกะยามค่ำคืน

     ร่างสูงของคนรักยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยชุดนอนที่ประกอบด้วยเสื้อยืดและกางเกงบอล ผมที่มักเซตและแต่งทรงปรกหน้าลงมาดูแปลกตา สังเกตเห็นได้ถึงหยดน้ำที่เจ้าตัวยังไม่ได้เช็ดให้แห้งดีจากปลายผมแต่ก็รีบวิ่งขึ้นมาหาเขาที่ห้องเสียแล้ว

     พิธาน รัตนพาณิชย์ ขมวดคิ้วมองคนรักที่ยังอยู่ในชุดนิสิต เพิ่มเติมเพียงหูฟังที่เสียบอยู่ข้างหนึ่งกับรอยยิ้มที่ดูกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย

     “ทำไมยังไม่อาบน้ำ”

     “ถ้ากูอาบน้ำอยู่แล้วใครจะมาเปิดประตูให้มึง” ม่านฟ้าตอบเสียงเรียบ แต่ไม่ได้ฉุนเฉียวกับการถูกคนรักบ่น

     “งั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้ว ถ้ามึงช้ากูจะนอนห้องมึงเลยนะคืนนี้” คำสั่งกับบทลงโทษที่ดูไม่ได้เกี่ยวข้องกันถูกประกาศจากร่างสูงที่เดินตัวหอมฟุ้งเข้ามาในห้อง

     “เอาสิ แล้วแต่มึง”

     คำตอบรับง่ายๆ จากปากอีกคนแต่ทำให้พิธานถึงกับตาถลน เข้าหูฟาดหรือว่าคนรักเขาละเมอ หนึ่งพันสี่ร้อยหกสิบเอ็ดวันที่คบกันมา ไม่มีวันไหนที่คนรักของเขาจะยอมให้นอนค้างด้วย เว้นแต่วันที่ม่านฟ้าเตลิดไปเปิดโรงแรมนอนหลังทะเลาะกับพ่อ เพราะเจ้าตัวมักจะระวังตัวกับเขาตลอด แม้ปกติจะไม่ได้ถืออะไรมากเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวหรือแสดงความรักอย่างการกอดจูบ แต่กับการนอนค้างเป็นอย่างเดียวที่ม่านฟ้าไม่ยอม

     เจ้าของห้องเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ระเบิดลูกโตที่ทำให้ในหัวของพิธานสับสนไปหมด แค่เรื่องที่อารมณ์ดีแปลกๆ ก็ปวดหัวจะคิดแล้ว ดันมาเจอแบบนี้เข้าไปอีก

     เอ๊ะ หรือว่าจะเกี่ยวกัน

     แล้วอะไรที่ทำให้ม่านฟ้าอารมณ์ดีล่ะ

     นักสืบพิธานเริ่มทำการวิเคราะห์ เขาเหลือบไปมองผู้ต้องสงสัยรายแรกคือโทรศัพท์พร้อมหูฟัง สัญชาตญาณของเขาบอกว่า ม่านฟ้าไม่ได้ฟังเพลงเหมือนปกติทั่วไป

     มือหนาคว้าโทรศัพท์ที่คนรักวางทิ้งไว้ที่โต๊ะหนังสือแล้วนั่งลงบนเตียง แม้ปกติจะไม่ได้ตามเช็กโทรศัพท์กันอย่างบางคู่ แต่เขาก็รู้รหัสโทรศัพท์ของคนรักดี พวกเขาเชื่อใจกันค่อนข้างมาก ยิ่งบทเรียนของการหูเบาและระแวงคนรักของเขาคราวก่อนเป็นเหตุให้พวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตจนเกือบต้องเลิกกันทำให้เขาเข็ดจนขยาด

     พิธานกดปุ่มหลักหน้าจอค้างไว้เบาๆ เพื่อให้แสดงผลการเปิดแอพลิเคชั่นล่าสุด เขาเลิกคิ้วเมื่อสิ่งที่คนรักเปิดเป็นแอพลิเคชั่นโทรและส่งข้อความสุดฮิต ข้อความล่าสุดที่เจ้าตัวเปิดไว้มาจากคนที่เขาคุ้นเคยดี

     หึ ไอเพื่อนทรยศ!!!

     “อ้าว เห็นแล้วเหรอ” ม่านฟ้าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำทักขึ้นเมื่อเห็นคนรักนั่งจ้องโทรศัพท์ของตนด้วยหน้าตาน่ากลัว ไม่ต้องมองเห็นหน้าจอก็พอเดาได้ว่าคนรักของตนเจออะไรเข้าไปถึงได้มีอาการเช่นนี้

     “...” พิธานไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เลือกปั้นหน้าไม่ถูกระหว่างโกรธกับเขินเมื่อได้ฟังคลิปเสียงที่ถูกส่งมาเสร็จ ยิ่งคนรักเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นสบู่ก็หอมจนเขาเกือบเผลอทำหน้าเคลิ้ม ทำให้หน้าตาพิธานตอนนี้ออกมาดูพิลึกพิลั่นจนคนมองอมยิ้ม

     “ก็เกลือมันเป็นหนอนอ่ะ ช่วยไม่ได้นี่หน่า” ม่านฟ้าพูดตาใสใส่คนรัก ทำหน้าตาช่วยไม่ได้อย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด

     “กูก็แค่พูดให้มันดูหล่อไปงั้นแหละ ระวังเหอะมึง คืนนี้นะ” พิธานได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็กลบหน้าแดงๆ ของตัวเองกับคนรักไม่ได้ ม่านฟ้าเองก็พยายามจะไม่ล้อ แต่พอเห็นคนหน้าแดงหูแดง มือไม้เกะกะไปหมดก็อดเอ็นดูไม่ได้ เผลอหลุดปากแกล้งคนรักไปอีก

     “ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เนี่ย วันนี้ดันอยากใส่เสื้อคอกว้างๆ กางเกงขาสั้นๆ แค่นั้นเอง” ไม่ว่าเปล่ายังดึงคอเสื้อย้วยๆ ให้กว้างไปอีกจนพิธานอดไม่ได้ ฟาดมือไปที่ก้นคนรักที่กำลังเดินผ่านหน้าไปตากผ้าเช็ดตัว

     “มึงแม่ง เด็กนิสัยไม่ดี”

     หนุ่มวิศวะบ่นอุบ แต่ก็ไม่ได้เขยิบออกเมื่อคนรักมานั่งลงข้างกัน ม่านฟ้าหัวเราะเบาๆ ก่อนมองหน้าคนตัวสูงนิ่งๆ

     ใช่ สี่ปีแล้ว

     สี่ปีที่พวกเขาแอบคบกันมา จะว่าแอบคบเหรอ จริงๆ ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับของสองเราอะไรขนาดนั้น เพื่อนพวกเขารู้ ครอบครัวของพิธานเองก็รู้ ม่านฟ้าไปแนะนำตัว รู้จักกับที่บ้านของพิธานหมดแล้วด้วยซ้ำ จะเป็นความลับก็กับเพียงบ้านของม่านฟ้าเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าครอบครัวของเขา ไม่สิ พ่อของเขาไม่มีทางรับเรื่องนี้ได้ ถึงขอให้คนรักปิดเรื่องนี้มาตลอด

     เขาเชื่อว่าพ่อคงจะไม่มาที่มหาลัยจนรู้เรื่องของเขาหรอก เพราะฉะนั้น เขาจึงระวังแค่ทางโซเชียลเท่านั้น พวกเพื่อนที่รู้เรื่องของพวกเขาก็เข้าใจดีและช่วยเหลือกันเต็มที่ที่จะไม่โพสต์อะไรที่พาดพิงจนทำให้ความแตก

     ตัวพิธานเองอาจมีโพสต์ด้วยสื่อทางโซเชียลบ้าง จนคนพอจะรู้ว่ามีแฟนแล้ว แต่ก็ไม่เคยแท็กอะไรเขา ปล่อยให้คนที่ตามส่องอยากรู้กันไปว่าใครคือเจ้าของหัวใจหนุ่มวิศวะขี้เล่นคนนี้

     มันก็ดีตรงที่จะได้ลดประชากรคนที่อยากเข้าถึงพิธานในเชิงชู้สาวลงไปได้หน่อยล่ะนะ

     พิธานสบตากับคนรักที่มองมาก่อนแล้วยิ้มจางๆ ม่านฟ้าไม่เคยงอแงหรือขออะไรจากเขาเลย วันครบรอบในแต่ละปีจึงผ่านไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้เสมอ แต่เขาพอใจในความเรียบง่ายนี้ อย่างที่เขาพูดกับเพื่อน เราไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากด้วยซ้ำ ได้เจอกันอาทิตย์ละครั้งหรือแค่โทรศัพท์คุยกันนั้นถือเป็นเรื่องปกติของพวกเขาเลย

     ม่านฟ้าขยับตัวเข้าไปอีกนิดแล้วยื่นหน้าไปใกล้คนข้างกาย ได้กลิ่นสบู่อาบน้ำจางๆ มาแตะจมูกก็ยิ้มหวานเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อริมฝีปากของพวกเขาห่างกันเพียงนิ้วกั้น

     “จูบหน่อย”

     คนถูกขอร้องขมวดคิ้วเล็กน้อยมองคนขี้ยั่วตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว ยิ่งได้ยินคำพูดต่อมาก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะทำตามคำขอ

     “นะ นิดเดียว อยากจูบจริงๆ แล้วจะเป็นเด็กดี”

     มืออุ่นของคนที่ถูกขอร้องประคองแก้มอีกคนไว้ บดริมฝีปากลงไปช้าๆ ละเลียดสัมผัสกับกลีบปากที่ทั้งนุ่ม ทั้งหอม โดยไม่มีการรุกล้ำใด แต่เป็นเพียงการสัมผัสเพื่อส่งต่อและรับรู้ความรู้สึกรักของกันและกันเพียงเท่านั้น

     “ขอบคุณนะที่อยู่ด้วยกันมา” ม่านฟ้าเอ่ยแผ่วเบากับริมฝีปากอีกคน พิธานตอบรับเบาๆ ในลำคอก่อนจูบซ้ำอีกครั้งเป็นรางวัลเด็กดี

     “กูเองก็จะทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิม อะไรไม่ดีก็จะปรับปรุงตัว เราจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ”

     “อืม… เหมือนกัน”

     คำตอบรับของม่านฟ้าทำให้พิธานหลุดหัวเราะ ขยี้หัวคนรักอย่างหมั่นไส้เมื่อคำตอบรับของคนรักทำให้เขาคิดย้อนไปสมัยที่ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายแล้วเดินตามคนไม่รู้จักคนหนึ่งไปถึงบ้าน

     “มึงแม่ง… ชอบลอกคำพูดกูตลอด”

     ม่านฟ้ายิ้มรับ รู้ดีว่าคนข้างกายหมายถึงอะไร นับจากวันนั้นที่เราเริ่มรู้จัก เริ่มคุย และเริ่มคบกันจนร่วมปกปิดความลับนี้มาด้วยกัน เขาเคยคิดว่ามันไม่เป็นไรมาตลอดตามคำพูดของคนรัก จนเมื่อปีก่อน ความบาดหมางครั้งนั้นทำให้เขาได้รู้ความจริงว่าคนรักของเขาต้องทนอยู่กับความทรมานมานานแค่ไหนภายใต้ความลับนี้

     สายตาของม่านฟ้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น มองพิธานที่หันไปก้มหน้าด่าเพื่อนตัวเองทางโทรศัพท์ถึงการเป็นไส้ศึกให้เขาแล้วก็ยิ้มออกมาจางๆ

     หากเป็นไปได้ เขาเองก็อยากให้คนรักได้ออกมายืนเคียงข้างกันอย่างไม่ต้องหลบซ่อนเสียที



     TBC





     Achaya (Writer) :

     ขออนุญาต talk ยาวหน่อย

     นิยายเรื่องนี้เริ่มต้นจากเรื่องสั้นในหัวที่มีเนื้อหาแค่บทนำของภาคหลัก และใช่ มันไม่ใช่นิยายวายเลย เราเองเป็นชาววายก็จริง แต่ก็อ่านทั้งหนังสือธรรมดาและหนังสือวาย เพราะฉะนั้นด้วยสายเลือดที่ยังมีความวาย บางครั้งไปอ่านนิยายธรรมดาก็จะมีอาการ ‘จิ้น’ เกิดขึ้น แต่ต่อให้ดูเรียลมากแค่ไหนแล้วยังไง ก็มันไม่ใช่นิยายวาย จิ้นเสร็จก็จบ พายเรือกลับบ้าน

     ดังนั้น เรื่องนี้และภาคพิเศษจึงเกิดขึ้น ภาคหลักมันดูเหมือนนิยายธรรมดาที่มีฉาก ‘จิ้น’ โผล่มาบ้าง แต่เรื่องนี้เราจิ้นแล้วมัน ’ไม่จบ’ เพราะเราคือ อฟช. และเราจะทำให้มันเรียลได้แค่ไหนมาลองติดตามกันในภาคพิเศษ สัญญาว่าจะพาทุกคนไปให้ถึงฝั่ง

     ปล. Timeline ของบทนำนี้จะอยู่ประมาณบทที่ 12-13 ของภาคหลัก แต่ตอนหน้า เราจะไล่ timeline เพื่อไขข้อข้องใจของการพบกัน (ที่เหมือนจะเป็น) ครั้งแรกของพวกเขาให้ได้รู้กัน

     ขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่ติดตามอ่านกันมาถึงตรงนี้ ลุ้นเหมือนกันว่ากว่าจะถึงตรงนี้จะเหลือคนอ่านสักกี่คน แต่ก็ยังมีอยู่ทั้งตั้งใจเข้ามาอ่านหรือเผลอกดเข้ามาก็ขอบคุณ รวมทั้งคอมเมนต์ที่น่ารักก็ต้องยิ่งขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทนำ (27.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-10-2020 22:29:16
 :o8:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทนำ (27.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-10-2020 11:12:03
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทนำ (27.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Gagagade ที่ 30-10-2020 07:11:40
ว้าววว ภาคเก่าว่าดีมากๆแล้ว แต่ภาคใหม่มันดีต่อใจจริงๆ

เขียนดีมากค่ะ เป็นกำลังใจให้  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 1 (31.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 31-10-2020 23:39:44
ภาคความจริง : บทที่ 1

     พิธานยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจหลังจากนั่งทบทวนรายงานสำหรับโปรเจกต์จบปีสองเรียบร้อย หันกลับไปมองสภาพเพื่อนแต่ละคนที่นั่งทำสไลด์บ้าง นอนตายบ้างเกลื่อนกลาดในคอนโดขนาดกลางของสมาชิกในกลุ่ม

     พวกเขามีโปรเจกต์กลุ่มที่ต้องทำร่วมกัน พวกเขาหลายคนจึงมาฝังตัวอยู่ที่คอนโดของเพื่อนแทนการกลับหอพักของตัวเอง พิธานเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้กลับหอของตัวเองมากว่าสองอาทิตย์แล้ว เพราะทั้งสอบปลายภาคทั้งงานสารพัดอย่าง มีเพื่อนไว้ช่วยกันติวช่วยกันทำน่าจะดีกว่า

     แต่เพราะเหตุนี้ เขาถึงไม่ได้เจอม่านฟ้ามาเกือบเดือนแล้ว

     ปกติเขากับคนรักก็ใช่ว่าจะเจอกันบ่อย ยิ่งตัวเขายุ่งๆ แถมม่านฟ้าเองก็ต้องสอบปลายภาคเหมือนกันทำให้ยิ่งไม่มีเวลา มีบ้างที่คุยกันผ่านข้อความหรือโทรศัพท์ แต่มันก็ไม่เหมือนการเจอหน้า

     ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังว่าจะโทรหาคนรักสักหน่อยแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเวลาจากโทรศัพท์

     เที่ยงคืนกว่าแล้ว

     เขาจำได้ว่าพรุ่งนี้เช้าม่านฟ้ามีสอบตัวสุดท้ายสำหรับจบปีสองป่านนี้คงหลับไปแล้ว หากโทรไปปลุกตอนนี้คงไม่พ้นโดนบ่นกลับมาแน่

     ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อยทำใจว่าทนคิดถึงอีกสักวันสองวันก็คงไม่เป็นไร เดี๋ยวปิดเทอมแล้วเขาแอบไปหาที่บ้านบ่อยๆ ก็ได้

     บ้านของพวกเขาอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพียงแต่อยู่คนละซอย บางครั้งที่พวกเขาสอบเสร็จพร้อมกัน เขาก็จะได้ตุ๊กตาหน้ารถมาประดับเพื่อกลับบ้านด้วย แต่เพราะครั้งนี้ม่านฟ้าสอบเสร็จเร็วกว่าอีกทั้งเขาเองก็มีโปรเจกต์ที่ต้องส่ง แถมท้ายด้วยไปฉลองกันต่ออีก ม่านฟ้าจึงเลือกที่จะกลับเองในครั้งนี้

     โอย ไม่อยากทำตัวติดแฟน แต่นานเข้าก็คิดถึงชะมัด

     ----

     การพรีเซนต์โปรเจกต์จบลงไปได้ด้วยดีตั้งแต่ตอนเช้า สายวันนี้พิธานและกลุ่มเพื่อนจึงออกมาหาของกินที่ห้างสรรพสินค้าแถวมหาลัย กลุ่มของเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างใหญ่ เดินไปไหนมาไหนทีก็เสียงไม่ใช่เบา แถมมีพวกปากหมาที่เดินแซวคนนั้นทีคนนี้ทีไปตลอดทางให้น่าปวดหัว

     พิธานเองก็เหนื่อยที่จะปรามจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนสนิทอีกคนคอยด่าคอยเตือนแทน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคิดจะโทรหาคนรักที่สอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน

     แต่จะด้วยโลกกลมหรืออย่างไร เขาจึงเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่คุ้นเคยจากร้านเครื่องสำอางที่กำลังจะเดินผ่าน

     ฝีเท้าที่หยุดชะงักลงของร่างสูงอย่างพิธานทำให้เพื่อนในกลุ่มต่างหยุดชะงักไปด้วย เห็นเพื่อนตัวโตกำลังยิ้มกว้างออกมาก็มองตามสายตาของชายหนุ่มเข้าไปในร้านขายเครื่องสำอาง

     ชายหนุ่มร่างสันทัดค่อนไปทางผอมร่างหนึ่งกำลังยืนเก้ๆ กังๆ หยิบกระปุกเครื่องสำอางออกมาจากชั้นสลับกับมองหน้าจอโทรศัพท์ เสร็จจากชิ้นนั้นก็เดินไปหยิบชิ้นต่อไป แม้ไม่ได้ดูคล่องแคล่วอย่างสาวๆ คนอื่นในร้าน แต่สินค้าที่อยู่ในตะกร้าที่เจ้าตัวถือก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าใคร

     หมาในปากของเพื่อนๆ แต่ละคนเริ่มทำงานอีกครั้ง

     “โอย ไม่ต้องมองตามตาเยิ้มขนาดนั้นก็ได้ รู้แล้วว่าหลงเมีย”

     ดอกแรกเป็นการแซวพิธานอย่างไม่ต้องสงสัยก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนในกลุ่ม พิธานส่ายหน้าอย่างเอือมๆ แต่ก็ไม่โกรธอะไร จนมาสะดุ้งอีกครั้งเมื่อหมาในปากเพื่อนอาละวาดไปกัดถึงอีกคนที่อยู่ในร้าน

     “พอแล้วมั้ง แค่นี้ก็น่ารัก ผัวรักผัวหลงแล้ว”

     “ไอสัด”

     พิธานรีบหันไปด่าเพื่อนที่บังอาจมาแซวแฟนเขา แต่เสียงหัวเราะจากคนในกลุ่มดังกว่าจนกลบคำด่าของเขาไป แม้จะหงุดหงิดไม่น้อยแต่ก็รีบเงยหน้าไปมองคนรักที่ยืนอยู่ในร้าน เผยยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นอีกคนหันมามองเขา จงใจยกยิ้มกวนๆ ไปหาอีกคนอย่างติดนิสัย แต่เขากลับรู้สึกว่าอารมณ์ของคนรักคงไม่ได้ดีอย่างเขาในตอนนี้

     ชายหนุ่มร่างสูงเห็นอีกคนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนเป็นเม้มแน่นไว้อย่างเดิม เจ้าตัวถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างหงุดหงิด แล้วปรายตามองเขาอย่างโกรธเคืองก่อนจะหันหลังเดินออกไป

     เอ๊ะ เขาทำอะไรผิดไปเหรอ

     ----

     ม่านฟ้ากำลังหงุดหงิด

     เขาต้องมาซื้อของให้น้องรักท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างดูแคลนที่ผู้ชายอย่างเขามาเลือกซื้อเครื่องสำอาง เท่านั้นก็ทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อยอยู่แล้ว เขาอาจจะคบกับคนรักที่เป็นผู้ชายมากว่าสามปี แต่คงเพราะปกติต่อให้ไปไหนมาไหนด้วยกัน พฤติกรรมของพวกเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนคนรักสักเท่าไหร่ ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกับสายตาเหยียดจากรอบข้างเช่นนี้

     ชายหนุ่มพยายามข่มใจให้ตัวเองรีบซื้อของให้เสร็จ บอกตัวเองว่าอย่าสนใจสายตาคนอื่น เขาไม่อยากเอาอารมณ์ตนเองมาเสียกับใครก็ไม่รู้ที่ดูถูกเราเพียงชั่วครู่แล้วก็กลับไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ

     คิดได้ดังนั้นม่านฟ้าก็ก้มหน้าก้มตาเลือกของต่อ แม้จะมีเสียงหัวเราะของกลุ่มคนที่รู้สึกได้ว่ายืนอยู่ไม่ไกลและน่าจะกำลังพูดถึงเขา แต่ชายหนุ่มก็กัดฟันไม่หันไปมองจนสิ้นความอดทนเมื่อเสียงหนึ่งตะโกนเข้ามาเจาะจงถึงเขาพร้อมเสียงหัวเราะ

     ม่านฟ้าแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจ้าของเสียงและกลุ่มที่ยืนอยู่นั้นเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างเพื่อนของคนรัก ไม่ต้องมองหาก็เห็นคนที่คิดถึงยืนยิ้มยียวนส่งมาให้

     ไม่รู้เพราะอะไรความโกรธถึงพุ่งสูงถึงเพียงนี้ อาจเพราะเขาคิดว่าไม่เป็นไรที่ ‘คนอื่น’ จะมองเขาอย่างไร แต่กับการที่ ‘คนรัก’ ก็ยังเห็นการถูกมองของเขาในยามนี้เป็นเรื่องเล่น

     ม่านฟ้าระงับอารมณ์ตัวเองไว้อย่างเต็มที่แล้วหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่คิดจะทักทายคนที่ไม่เจอหน้ากันเกือบเดือนแม้แต่น้อย

     ----

     พิธานยังคงงงกับอาการของคนรัก ไม่ทันเดินตามไปก็ถูกเพื่อนลากไปกินข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่นแถวนั้น ประกบตัวเขาไว้อย่างแน่นหนากลัวว่าจะโดนเขาเทไปหาม่านฟ้า เขาคิดที่จะโทรไปหาคนรักหลังกินข้าวเสร็จแต่ก็ดันเกิดเรื่องกับกลุ่มเพื่อนของเขาเสียก่อน

     ชายหนุ่มยังเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ถูกเมื่อเห็นเพื่อนหลายคนฉุดเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งของเขาเอาไว้ เจ้าตัวดูโวยวายและทำท่าจะเข้าไปต่อยผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก แต่จำได้ดีว่าข้างกายผู้ชายคนนั้นคือผู้หญิงซึ่งเพื่อนพามาแนะนำในฐานะแฟน

     หลังจากลากตัวเพื่อนไปสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่งก็ได้ความว่าเพื่อนในกลุ่มอย่างอัคถูกแฟนบอกเลิกไปอย่างสายฟ้าแลบเมื่อครู่นี้เลย เพราะสาวเจ้าบอกว่าเจอคนที่ดีกว่าแล้ว พิธานมองเพื่อนที่เลิกปากหมาแล้วมานั่งปลอบใจกันแทน ที่ดูเห็นอกเห็นใจอัคมากที่สุดก็คงเป็นซัน ไอหมอนี่ก็เพิ่งถูกแฟนบอกเลิกมาเพราะไม่มีเวลาให้สดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้เอง

     “เพราะไอโปรเจกต์เฮงซวยนี้แท้ๆ เขาถึงขอเลิกกับกู”

     เสียงซันโวยวายขึ้นหลังจากยกเบียร์เข้าปากไปแล้วเกือบขวด พวกเขาเปลี่ยนกำหนดการฉลองจบโปรเจกต์ในเวลาเกือบสามทุ่มมาเป็นไว้อาลัยแด่คนอกหักตั้งแต่ทุ่มหนึ่งแทน

     “กูน่าจะสนใจเขามากกว่านี้ ช่วงนี้เพราะกูยุ่งอยู่กับโปรเจกต์บ้าๆ นี่แน่ๆ กูเห็นเขาไม่โทรมาจิกกูอย่างแต่ก่อนก็เข้าใจว่าเขาห่วงว่ากูจะยุ่งอยู่ เลยไม่กล้าโทรมา ที่ไหนได้ ไอเหี้ย! เขามีคนใหม่ไปแล้ววว”

     คราวนี้เป็นเสียงของอัคที่ระบายอารมณ์ออกมาบ้าง เพื่อนคนอื่นก็ตบหลังบ้าง ลูบไหล่บ้างอย่างให้กำลังใจ พิธานหันไปพยักหน้ารับแกนๆ กับกรณ์เพื่อนสนิทเข้าใจความตรงกันว่าปล่อยมันระบายไปให้พอ แต่ไม่ทันหันไปชงเหล้าของตัวเองต่อ เมื่อเห็นสายตาของเพื่อนสนิทแปลกไป

     พิธานหันหลังกลับไปมองตามสายตาเพื่อนก็พบเข้ากับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง จำได้ว่าเป็นแฟนเก่าของเพื่อนเขาเอง แถมแผลเจ้าตัวก็ยังดูไม่สมานดีเท่าไหร่

     “ไงพวกมึง”

     ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำทักของแฟนเก่าเพื่อนสนิทก่อนที่อีกคนจะเดินแยกไป แล้วหันกลับมามองตาเศร้าๆ ของเพื่อนถึงได้ตบบ่าปลอบไปที

     แม่งเอ๊ย สมาคมคนเศร้ารึไงว่ะวันนี้

     “อาลัยอาวรณ์เมียเก่าขนาดนี้ ทำไมมึงไม่ลองง้อมันดูอีกทีอ่ะ แม่งก็ดูยังไม่มีใครไม่ใช่อ๋อ กูไม่เห็นมีผัวใหม่ตามมาอะไรแบบนี้เลย”

     คำพูดจากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่เห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกันเอ่ยขึ้น แต่เพื่อนสนิทเขากลับส่ายหน้าหัวเราะเหอะในลำคอก่อนตอบรับกลับไป

     “ไม่มีอะไรล่ะ ผู้หญิงที่เดินข้างๆ มันไง”

     “อ้าว แบบนี้ก็ได้เหรอว่ะ พลิกโพไปพลิกโพมาแบบนี้ก็ได้เหรอ”

     “ทำไมจะไม่ได้ ก่อนมาเป็นเมียกูมันก็ฟันสาวมาก่อนม่ะ”

     กรณ์พูดแล้วกระดกเหล้าเข้าปากตามไป เจ้าตัวดูเซ็งที่มาเจอแฟนเก่าให้ความรู้สึกที่พยายามลืมถูกกวนขึ้นมาอีกครั้ง

     พิธานถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกเหมือนกลุ่มเขาไปเผลอกวนตีนใส่เทพเจ้าแห่งความรักกันมารึไง วันนี้ถึงได้เจอคราวเคราะห์กันขนาดนี้ ชายหนุ่มส่ายหน้าไล่ความคิดนั้นออกไป ไม่อยากรวมเรื่องของตัวเองเข้าไปด้วย เพราะเขาแค่โทรหาคนรักไม่ติดหลังจากนั้น แต่มันยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย

     เขาโทรไปหาคนรักตอนก่อนเข้าร้านเหล้าแต่ก็ไม่มีคนรับสาย และโทรไปอีกครั้งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนแต่ผลลัพธ์ก็ยังออกมาเป็นเหมือนเดิม

     สภาพเพื่อนแต่ละคนที่ถูกทิ้งเพราะไม่ใส่ใจและไม่มีเวลาให้คนรักทำให้เขาย้อนกลับมามองที่ตนเอง ช่วงนี้เขาก็ไม่มีเวลาให้ม่านฟ้าเลย ประกอบกับท่าทางวันนี้ที่ดูหงุดหงิดยามเห็นเขาก็ยิ่งทำให้เขากังวล

     ‘ปรากฏตัวให้เธอเห็นที่ใด เธอร้อนใจรีบทักทายแล้วเดินผ่าน ไม่มีแล้วยิ้มแห่งความสุขตลอดกาล
     เพราะว่าฉันคือวิญญาณ ผู้ทุกข์ทรมาน หลอกหลอนเธอมาตั้งนาน ไม่รู้ตัวว่าตาย
     ฉันได้ตายไปจากใจของเธอ กลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย’


     “แฟนกูแม่งก็เริ่มจากทำท่าทางแปลกๆ เวลาเจอกู ดูหงุดหงิดเหมือนไม่อยากเจอแบบนี้เลย ทำไมกูไม่เอะใจตั้งแต่ตอนนั้นว่ะ” เสียงอัคยังโวยวายต่อมาเรื่อยๆ เมื่อเพลงในร้านดังขึ้นโดนใจ

     พิธานตัดสินใจโทรหาคนรักอีกครั้งอย่างมีความหวัง แม้ปานนี้จะล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้วก็ตาม ยังไม่ทันทิ้งความกังวลออกไปจากใจได้หมด เสียงอ้อแอ้อย่างคนเมาของเพื่อนที่เพิ่งถูกหักอกก็ดังขึ้น

     “มึงระวังตัวไว้ให้ดี ไอพีท มึงชอบบอกไว้ใจๆ รู้ตัวอีกทีระวังไอเมฆมันมีผัวใหม่หรือไม่ก็เมียใหม่มาโชว์มึงนะ”

     “ไอเหี้ย! ปากหมาอย่างงี้เจอตีนกูสักทีม่ะ”

     พิธานลุกขึ้นเหมือนจะทำตามที่พูด ลำบากเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกันคว้าแขนรั้งไว้คนละข้าง ร่างสูงดูหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีกเมื่อความกังวลของเขาถูกคนอื่นกระตุ้นซ้ำขึ้นมา เขามองกลับไปที่โทรศัพท์ซึ่งถูกตัดสายไปโดยไม่มีคนรับก็กระแทกตัวลงนั่งกับเก้าอี้แรงๆ

     “มันเมาน่ะ มึงอย่าถือสา”

     กรณ์ตบบ่าปลอบใจเพื่อนสนิทแล้วผสมเหล้าใส่แก้วให้เพิ่ม พิธานกระดกเหล้าเข้าปากแล้วยกมือห้ามเพื่อนที่จะคว้าแก้วไปชงให้ใหม่ เปลี่ยนแผนที่จะกลับบ้านวันพรุ่งนี้เป็นกลับตั้งแต่คืนนี้ทันที ควักตังค์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วหันไปบอกเพื่อนสนิท

     “ฝากมึงจ่ายด้วย เดี๋ยววันนี้กูกลับบ้าน ไม่อยากดื่มเยอะ”

     ว่าจบร่างสูงก็ขยับตัวลุกขึ้น ส่ายหน้าบอกเพื่อนที่มองมาด้วยคำถามว่าโมโหเพื่อนอีกคนขนาดนั้นเลยเหรอ พิธานไม่ได้โกรธมาก พอจะเข้าใจอารมณ์คนเมาที่เพิ่งโดนหักอกมันก็พาลไปทั่วแบบนี้ แต่ตัวเขาเองที่ดันหงุดหงิดเพราะทุกอย่างที่เกิดกับเพื่อนมันดันลงล็อกเข้ากับเรื่องของเขาพอดีเช่นกัน

     ----

     ม่านฟ้าเดินหาโทรศัพท์ตัวเองทั่วบ้าน ไม่แน่ใจว่าวางเอาไว้ตรงไหนหลังจากกลับมาถึงบ้านเมื่อวานตอนบ่าย เขาไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ ถ้าไม่ได้เล่นเกม บางเวลาที่อยู่บ้านก็สามารถทิ้งโทรศัพท์ไว้โดยที่ไม่แตะต้องเป็นวันๆ แต่เพราะเช้าวันนี้กำลังจะออกไปนอกบ้านกับน้องชาย เขาถึงจำเป็นต้องมาตามหาปัจจัยที่ห้าของยุคนี้อยู่อย่างตอนนี้

     หลายครั้งที่ม่านฟ้าโดนคนรักบ่นเรื่องติดต่อไม่ได้แต่ก็ยังแก้นิสัยนี้ไม่ได้เสียที เขาถอนหายใจออกมานิดหน่อยเมื่อคิดถึงคนรัก เมื่อวานเขาหงุดหงิดคนรักที่เจ้าตัวและกลุ่มเพื่อนแซวเขากลางห้าง แต่พอมาวันนี้ความรู้สึกโกรธนั้นก็จางลงไปมากแล้ว

     เดี๋ยวกลับจากซื้อของแล้วโทรหาสักหน่อยแล้วกัน

     ไม่ได้คุยกันสักพักแล้ว

     ชายหนุ่มเดินหาจนมาเจอโทรศัพท์ตกอยู่ที่ซอกโซฟา คงเพราะเมื่อวานเขากลับบ้านมาแล้วนอนตรงนี้จึงเผลอทำตกไว้ ลองกดปุ่มที่หน้าจอก็ไร้วี่แววการตอบสนอง เดาไว้ไม่ผิดว่าลืมไว้เกือบวันขนาดนี้คงแบตตายไปนานแล้ว

     เขาสอดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแม้ว่าจะไม่มีแบต คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปเสียบชาร์ตกับแบตเตอรี่สำรองในรถแล้วเดินตามเสียงเรียกของน้องชายออกไปอย่างไม่เร่งรีบ

     ----

     พิธานตื่นมาในเช้าวันใหม่อย่างไม่สดใสนัก เขานอนไม่ค่อยหลับเพราะกระวนกระวายใจ ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้แต่ก็ห้ามความคิดในแง่ลบของตัวเองไม่ได้ หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ สิ่งแรกที่เขาทำคือการโทรหาอีกคนที่เฝ้าโทรตลอดทั้งคืน แต่ผลที่ได้รับกลับแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อข้อความตอบรับบ่งบอกว่าอีกคนปิดเครื่องไปแล้ว

     ชายหนุ่มพยายามคิดว่าเป็นเพราะนิสัยเสียของม่านฟ้าที่ชอบทิ้งโทรศัพท์ไว้ไม่เป็นที่และปล่อยไว้จนแบตหมดเท่านั้น

     ไม่ใช่เพราะไม่ต้องการคุยกับเขา

     เสียงเดินลงบันไดดังก้องอยู่ในบ้านเดี่ยวที่มีเขาอยู่เพียงคนเดียวในเวลานี้ พิธานอยู่กับพี่ชายแค่สองคนเท่านั้น พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ที่ต่างประเทศทั้งคู่ตั้งแต่เขาอยู่มัธยม มีบินกลับมาหาบ้างหรือให้เขาบินไปหาบ้างเป็นครั้งคราว

     หนุ่มวิศวะตัวโตจึงต้องทำกับข้าวเองให้เป็นและกำลังทำอาหารเช้าง่ายๆ ให้ตัวเองอยู่ในขณะนี้ กลิ่นอาหารหอมๆ ทำให้เขาใจเย็นขึ้นเล็กน้อยและตัดสินใจได้ว่าในเมื่อติดต่อไม่ได้ เขาก็จะแอบไปหาคนรักที่บ้านเสียเลย

     เมื่อตัดสินใจได้พิธานก็มานั่งกินข้าวพร้อมเปิดโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้อัปเดตเสียนานหวังให้ตัวเองคลายอาการหงุดหงิดใจที่ยังหลงเหลืออยู่

     แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

     ภาพหญิงสาวคนหนึ่งกำลังแกล้งทำปากเบะเซลฟี่ใบหน้าของตัวเองมาครึ่งหน้า และโฟกัสไปที่แผ่นหลังของคนคนหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่

     ไม่ต้องคิดให้นานเมื่อแผ่นหลังนั้นถูกแท็กด้วยชื่อของคนรักเขา พิธานขมวดคิ้วหนักขึ้นเมื่อเห็นข้อความที่เจ้าของภาพลงเอาไว้ประกอบ

     ‘ผิดที่เราเจอกันช้าไป ไม่จำเป็นต้องไปโทษใคร เพราะผลสุดท้าย คนที่ต้องเจ็บคือฉันคนเดียว’

     แม้จะเป็นแค่ท่อนหนึ่งของเนื้อเพลงดัง แต่ความหมายที่เจ้าของโพสต์ต้องการจะสื่อคืออะไรกันแน่

     อารมณ์ที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วของพิธานทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองงุ่นง่านยิ่งกว่าเดิม พิธานไม่อยากทำตัวงี่เง่าอย่างการตามส่องโซเชียลคนอื่นอย่างที่เขาชอบบ่นแฟนสาวของเพื่อน แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้กดเข้าไปที่บัญชีของหญิงสาวเพื่อดูสิ่งที่เจ้าตัวได้ลงเอาไว้ไม่ได้

     ความอยากอาหารของพิธานยิ่งลดน้อยลงเมื่อเลื่อนไปเรื่อยๆ กลับยิ่งเห็นรูปที่หญิงสาวคนนี้แท็กคู่กับแฟนเขา ทั้งถ่ายแค่สองคนหรือถ่ายกันเป็นกลุ่ม ความสนิทกันแสดงให้เห็นชัดเจนโดยเฉพาะภาพสุดท้ายที่ทำให้เขาแทบฟิวส์ขาด

     ‘รักคนนี้ คนดีที่หนึ่ง’

     แล้วตามด้วยภาพหญิงสาวเจ้าของบัญชีกำลังกอดแขนและซบหน้าลงกับบ่าของชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้ถ่ายติดชายหนุ่มมาแค่ครึ่งตัวและไม่เห็นหน้าแต่ทำไมเขาจะจำไม่ได้ ยิ่งแท็กที่สาวเจ้าแท็กไปหาคนรักของเขายิ่งมั่นใจ และหนักขึ้นเมื่อพิธานกดเข้าไปอ่านความคิดเห็นที่แสดงไว้ใต้ภาพ

     ‘มีความแฟนเว่อร์’

     ‘แงงง อยากมีพี่เมฆเป็นของตัวเองบ้าง’

     อีกหลายความเห็นที่พิธานไม่คิดจะทนอ่านต่อไป เขาปิดหน้าจอลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก นึกไปถึงแฟนหนุ่มของเพื่อนสนิทที่เพิ่งเลิกกันแล้วไปคบกับผู้หญิงแทน สมองสั่งตัวเองไม่ให้คิดไปในแง่ร้าย แต่อารมณ์ของเขากลับคิดย้อนไปถึงแฟนเก่าของคนรัก

     ใช่ ม่านฟ้าเป็นแฟนคนแรกของเขา

     แต่เขา… ไม่ได้เป็นแฟนคนแรกของม่านฟ้า

     ก่อนที่จะคบกันคนรักของเขาเคยมีแฟนเก่ามาก่อนคนหนึ่ง แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ได้คบกันจริงจัง สถานะเหมือนคนคุยเสียด้วยซ้ำและยังไม่ทันไรพวกเขาก็รู้ดีว่าไปกันไม่รอด จึงกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

     และใช่ แฟนเก่าของม่านฟ้าเป็นผู้หญิง หน้าตาน่ารักไม่ต่างไปจากเจ้าของบัญชีนี้เท่าไหร่ ไม่ได้สวยมากแต่สดใส ร่าเริงและเป็นธรรมชาติ หากเหตุการณ์เป็นว่าม่านฟ้าเองก็ชอบผู้หญิงคนนี้เหมือนกันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

     หลายสิ่งหลายอย่างทำให้ชายหนุ่มยิ่งกังวล มือคว้ากุญแจรถกับของใช้จำเป็นอย่างกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินไปสตาร์ทรถเพื่อออกไปหาคนรักที่บ้าน

     ไม่รู้โชคดีหรือเพราะความร้อนใจที่ทำให้วันนี้พิธานขับรถมาที่บ้านของม่านฟ้า ไม่ได้เดินมาหาอย่างทุกครั้ง เพราะเมื่อมาถึงหน้าบ้านที่คุ้นเคย เขากลับเห็นเพียงหลังไวๆ ของคนรักที่เปิดประตูขึ้นรถและขับออกจากบ้านไป

     พิธานขับตามรถของคนรักไปอย่างไม่ทันได้คิด มานึกขึ้นได้ว่ากำลังทำตัวเป็นภรรยาสาวจอมจุ้นจ้านที่แอบตามสามีไปทำงานเพราะกลัวจะมีกิ๊กก็ตอนที่ออกมาหลายกิโลแล้ว

     เอาเถอะ มาขนาดนี้แล้ว ตามต่ออีกหน่อยจะเป็นไร

     ชายหนุ่มรู้นิสัยคนรักว่าขี้เกียจตัวเป็นขนแค่ไหน ม่านฟ้าเป็นคนประหยัดพลังงานในชีวิตค่อนข้างมาก หากไม่จำเป็นจริงๆ การเห็นม่านฟ้าออกจากบ้านด้วยธุระของตัวเองค่อนข้างเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย

     เพราะมัวแต่คิดมากทำให้เขาคลาดกับรถของคนรักเมื่อมาถึงที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า ไฟบริเวณที่จอดรถไม่ได้สว่างมากจึงยากต่อการหารถที่หน้าตาออกจะคล้ายๆ กันไปหมด แต่พิธานมั่นใจว่าคนรักของเขาขับรถเข้ามาที่ชั้นนี้และคงจะเข้าไปในตัวห้างผ่านประตูเชื่อมลานจอดรถ

     หนุ่มวิศวะรีบจอดรถแล้วเดินเข้าไปในห้างเช่นกัน หงุดหงิดที่ตัวเองเผลอคลาดสายตาไป การจะตามหาคนภายใต้ห้างสรรพสินค้าไม่ใช่เรื่องง่าย พิธานพยายามคิดว่าคนรักของเขาจะเดินไปที่แผนกใดและรีบเดินไปตามทางที่ตัวเองสันนิษฐานเอาไว้

     แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะเดินตามร้านหนังสือ ร้านกาแฟ หรือที่ไหนที่เขาคิดว่าจะเป็นจุดหมายของคนรักก็ไม่พบ จนสุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่ยืนคอตกถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

     ‘กูกำลังทำบ้าอะไรอยู่ว่ะ’

     ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่พิธานถามคำถามเหล่านี้กับตัวเอง จนสุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอดใจที่จะตามหา หันหลังเตรียมเดินกลับไปที่ลานจอดรถก็สะดุดตากับร้านเวชภัณฑ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบริเวณที่เขายืนอยู่

     ไหนๆ มาแล้ว ซื้อของเข้าบ้านหน่อยแล้วกัน

     ขายาวๆ ก้าวเข้าไปที่ร้านเวชภัณฑ์แล้วเดินหาโซนของใช้ส่วนตัวผู้ชาย ขณะก้มลงหยิบครีมโกนหนวดแบบที่เคยใช้มาไว้ในมือ เขาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายสองคนที่ยืนหันหลังให้เขากำลังเลือกของบนชั้นวางของถัดไปไม่ไกล


     TBC



     Achaya (Writer) :

     การบาดหมางกันบางครั้งก็เกิดขึ้นมาจากเรื่องไม่เป็นเรื่องเล็กๆ การไม่รับโทรศัพท์ การฟังคำคนอื่นแล้วคิดมาก แต่หากมองในมุมมองของแต่ละคน ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองที่ทำให้คิดเช่นนั้นได้เหมือนกัน อีกทั้งเหตุการณ์ที่เราเคยมองว่าเป็นแบบหนึ่ง แท้จริงแล้วอาจมีความจริงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ก็ได้

     ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์นะคะ



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 1 (31.10.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 31-10-2020 23:58:14
 :angry2: :hao7:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 2 (07.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 07-11-2020 23:20:25
ภาคความจริง : บทที่ 2

     พิธานมองเสี้ยวหน้าของคนรักที่หันมาคุยกับผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกันแล้วพลันรู้สึกเลือดขึ้นหน้า เสียงของเพื่อนปากหมาดังขึ้นมาในหัวโดยไม่ได้ตั้งใจ

     “มึงระวังตัวไว้ให้ดี ไอพีท มึงชอบบอกไว้ใจๆ รู้ตัวอีกทีระวังไอเมฆมันมีผัวใหม่หรือไม่ก็เมียใหม่มาโชว์มึงนะ”

     ชายหนุ่มเหยียดยิ้มออกมาทั้งที่โกรธจนตาลาย เขาปั้นหน้ายียวนก่อนเอ่ยเสียงทักทายคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามออกไป

     “โอ๊ะ วันนี้ไม่ได้มาคนเดียว พากิ๊กมาด้วยเหรอ”

     ร่างของคนรักเขาหันกลับมาพร้อมกับชายร่างสูงโปร่งข้างกัน เพราะไม่ได้ยืนห่างกันไกล เขาจึงมองเห็นว่าแววตาของม่านฟ้าฉายแววแปลกใจออกมาก่อนตามด้วยความหงุดหงิด

     พิธานรู้ว่าม่านฟ้ากำลังสงสัยอะไรจึงยกครีมโกนหนวดในมือขึ้นสูงหน่อย ก่อนหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วเอ่ยออกไปอย่างยียวนยิ่งกว่าเดิม

     “ทำไม แปลกใจอะไร คิดว่ามาห้างได้คนเดียวเหรอ”

     ปฏิกิริยาต่อมาของคนรักยิ่งทำให้เขาโมโห ม่านฟ้าส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันหลังให้อย่างคนที่ไม่อยากสนใจ กลับกันคนที่ดูสนใจการมาของเขามากกว่ากลับเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกัน

     “ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรหรือครับ ท่าทางคุณดูชอบเรียกร้องความสนใจเสียจริง!”

     เสียงและท่าทางติดสาวของเด็กหนุ่มทำให้พิธานเลิกคิ้ว ครั้งแรกที่เห็นหน้าเขาก็มีความรู้สึกคุ้นหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่น้อยแต่เพราะกำลังอารมณ์เสีย เขาจึงมองข้ามเรื่องเหล่านั้นไป จนมานึกขึ้นได้เมื่อเด็กหนุ่มออกอาการดังว่าออกมา

     ‘ภูหมอกเหรอ?’

     พิธานเคยเห็นภูหมอกมาบ้าง แต่นานแล้วตั้งแต่สมัยเขาเรียนมัธยม จนเมื่อเข้ามหาลัยเขาก็ไม่เคยได้เห็นเด็กหนุ่มที่เป็นน้องชายของคนรักอีกเลย ใครจะคิดว่าเด็กที่ตัวไล่ๆ กับม่านฟ้าในวันนั้น มาวันนี้จะตัวสูงแซงพี่ชายไปแล้ว ผนวกกับเรื่องราวของภูหมอกที่เขาเคยได้ยินมาจากม่านฟ้า จึงทำให้เขามั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือน้องชายของคนรักไม่ผิดแน่

     “อ้าว นึกว่ามากับกิ๊ก ที่ไหนได้...”

     ชายหนุ่มร่างสูงรั้งคำว่า ‘น้องชาย’ ที่กำลังจะหลุดออกไปเอาไว้ในลำคอ ไม่ได้มีเจตนาจะกวนประสาทสองพี่น้องตรงหน้าแต่อย่างใด แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ต่อให้เขารู้จักภูหมอกและรู้ว่าคนตรงหน้าคือน้องชาย แต่ภูหมอกไม่ได้รู้จักเขาสักนิด การพูดออกไปเหมือนว่ารู้จักรังแต่จะทำให้เกิดข้อสงสัย

     ชายหนุ่มกลืนก้อนแข็งที่จุกขึ้นมาที่ลำคอลงไป เมื่อความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาและสำเหนียกได้ถึงตัวตนของเขา

     สำหรับบ้านของม่านฟ้า เขาเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตนหรือเป็นแม้กระทั่งคนรู้จักเลยด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ของเขากับคนรักต้องถูกปิดบังมาตลอด แม้ไม่ใช่กับทุกคน แต่กับคนสำคัญของม่านฟ้าอย่างคนในครอบครัว เขากลับไม่มีสิทธิ์แม้จะเดินออกไปพูดคุยอย่างคนรู้จัก

     เงื่อนไขที่คนรักของเขาให้ไว้มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาตลอด แม้ปากจะบอกกับคนรักออกไปกี่ครั้งว่าไม่เป็นไร แต่ตัวเขาเองที่รู้ดีที่สุดว่ามันทรมานแค่ไหน

     แค่เพียงเพราะเขาทั้งคู่เป็นผู้ชาย เราจึงรักกันอย่างเปิดเผยไม่ได้

     “เป็นแบบนี้แล้วมันผิดตรงไหน หนักหัวคุณหรือไง ทำไมถึงต้องมายุ่งด้วย”

     เสียงของภูหมอกดังขึ้นทำให้พิธานรู้สึกตัว

     นั่นสิ ผิดตรงไหน เป็นแบบนี้แล้วผิดตรงไหน

     แม้ม่านฟ้าจะเคยเสนอให้มาทำความรู้จักกับคนในบ้านในฐานะเพื่อนก่อน แต่เป็นเขาเองที่ปฏิเสธไปอย่างไม่พอใจ

     เพราะไม่ว่าอย่างไร ม่านฟ้าก็ยืนยันว่าพ่อไม่มีทางรับความสัมพันธ์ของพวกเขาได้

     แล้ว...ม่านฟ้าเองจะรู้สึกอึดอัดกับความสัมพันธ์แบบนี้บ้างรึเปล่านะ

     จะรู้สึกอึดอัดเหมือนกันกับที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ไหม

     และหากคำตอบของคนรักคือคำว่า...

     ใช่

     จะมีสักวันหรือเปล่าที่ม่านฟ้าอยากจะกลับไปคบกับใครสักคนที่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ได้อย่างไม่ต้องปิดบัง

     กับผู้หญิงสักคนที่จะได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว

     ภาพของหญิงสาวที่เห็นผ่านโซเชียลเมื่อเช้าผุดขึ้นมาในหัว พิธานรู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนขึ้นของตัวเอง เขากัดกรามเข้าหากันแน่นก่อนจ้องเขม็งไปที่คนรักและกล่าวประชดประชันคนตรงหน้าออกไปอย่างลืมตัว

     “ผิดดิ เรื่องแบบนี้น่ะ... จะมีพ่อแม่ที่ไหนรับได้ที่ลูกเป็นแบบนี้ ลูกชายที่เป็นลูกชายให้ไม่ได้มันคงน่าอาย น่ารังเกียจมาก ถึงต้องปิดเป็นความลับไง”

     ----

     ม่านฟ้ากำลังหงุดหงิด...อีกครั้ง

     การเจอกับคนรักสองวันติดควรเป็นเรื่องที่น่าดีใจสำหรับพวกเขาที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่สองวันที่เจอกันมานี้กลับทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดติดต่อกันทั้งสองวัน ทั้งที่ความรู้สึกหงุดหงิดในวันแรกจางลงไปมากแล้ว แต่การเจอกันวันนี้กับทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

     แค่การทักทายในตอนแรกที่พูดว่า ‘พากิ๊กมาด้วย’ ก็ทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดแล้ว ถึงได้ไม่อยากต่อปากต่อคำต่อไปให้ต้องอารมณ์เสียกันมากกว่าเดิม แต่คนรักของเขากลับกวนไม่เลิก แม้คำลงท้ายที่เว้นไว้เขาพอจะรู้ว่าเจ้าตัวคงตั้งใจหมายถึง ‘เป็นน้องชาย’ หรืออะไรทำนองนั้น

     แต่จะด้วยหน้าตากวนประสาทที่มีมาแต่กำเนิดหรือความยียวนที่มาฝึกเพิ่มให้เข้ากับนิสัยถึงทำให้น้องชายของเขาเข้าใจผิดไปไกล ยังไม่ทันที่เขาจะห้ามปรามน้องชายที่หลุดคำพูดออกไป กลับต้องโมโหหนักขึ้นเมื่อคำพูดพล่อยๆ ของคนรักสวนกลับมา

     "จะมีพ่อแม่ที่ไหนรับได้ที่ลูกเป็นแบบนี้ ลูกชายที่เป็นลูกชายให้ไม่ได้มันคงน่าอาย น่ารังเกียจมาก"

     ทันทีที่ได้ยินม่านฟ้ายอมรับว่าไม่เข้าใจความหมายที่คนรักพูดออกมา เขาไม่คิดว่าคนรักจะพูดเรื่องแบบนั้นกับน้องชายของเขา แต่ ณ เวลานั้น คำพูดของพิธานจะสามารถแปลเป็นความหมายอะไรได้อีกหากไม่ต้องการกระทบกระทั่งภูหมอกที่ถามคำถามก่อนหน้าออกไป

     พิธานรู้เรื่องของภูหมอกดีจากการเล่าเรื่องของเขา เมื่อยามที่เล่าเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงตอบรับอย่างเข้าใจกลับมาก็เท่านั้น

     แล้วทำไมวันนี้มาพูดแบบนี้

     ด้วยอารมณ์โมโหและความไม่เข้าใจทำให้ม่านฟ้าเผลอสวนคำด่าออกไปแล้วลากตัวน้องชายออกมาให้ห่างจากคนรัก

     ช่วงระยะเวลาหลังจากนั้นชายหนุ่มก็พาน้องชายไปกินข้าว ม่านฟ้าพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองจึงหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตกับแบตเตอรี่สำรองเอาไว้ออกมาเปิดเครื่องโดยคิดว่าจะหาอะไรเล่นขณะรออาหารเพื่อให้อารมณ์เย็นลง

     ครั้นเปิดโทรศัพท์ที่ไม่จับมาตั้งแต่เมื่อวาน ข้อความแจ้งเตือนหลายอย่างก็ดังขึ้นแข่งกันเรียกร้องความสนใจ

     หนึ่งในข้อความแจ้งเตือนบ่งบอกถึงสายไม่ได้รับจากใครบางคนที่เพิ่งเจอกันมาเมื่อครู่ เจ้าตัวโทรมาหาเขาตั้งแต่เมื่อวาน แต่แทนที่จะรู้สึกผิด ในเวลานี้ม่านฟ้ากลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เขากดออกโดยที่ไม่คิดจะโทรกลับไปหาคนปากหมาคนนั้นสักพัก

     ปากหมานักก็อย่าเพิ่งคุยกันเลย

     ----

     เกือบอาทิตย์แล้วหลังจากที่เจอคนรักที่ห้างสรรพสินค้า ภาพคนรักที่เดินออกไปทำให้พิธานที่กำลังโกรธรู้สึกแย่ไม่น้อย รู้ตัวดีว่าไม่ควรพูดประชดประชันออกไปแบบนั้น ครั้นจะโทรไปเพื่อขอโทษหรือปรับความเข้าใจ ทิฐิในใจบางอย่างกลับรั้งเขาเอาไว้

     เขาเฝ้าโทรหาม่านฟ้าตั้งแต่คืนก่อน ทำไมถึงไม่เป็นม่านฟ้าบ้างที่คิดจะโทรมาหาเขา หรือเพราะแท้จริงคนรักไม่คิดจะสนใจเขาแล้วถึงได้ไม่รับสายกันแบบนี้

     พิธานตัดสินใจที่จะไม่โทรไปหาม่านฟ้าอีก คิดว่าม่านฟ้าควรจะเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาเอง แต่จนแล้วจนรอดแม้เขาจะถือโทรศัพท์ไปมา หยิบดูเช้าหยิบดูเย็นก็ไม่มีวี่แววของการโทรมาของคนรักเลยสักครั้ง

     ขณะที่คิดจะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างนอกจากหายใจเข้าออกแล้วเฝ้าคิดถึงใครบางคน พิธานก็ออกมารดน้ำต้นไม้พร้อมคิดจะแอบสูบบุหรี่นิดหน่อยพอให้หัวโล่ง

     แท้จริงแล้ว แม้ม่านฟ้าจะไม่ได้บังคับแต่ก็เคยถามปนขอเขาเอาไว้ให้ลองเลิกหรือลดบุหรี่ดู อย่างไรในระยะยาวมันก็ส่งผลเสียมากกว่าดี เขาเองก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะพยายามเลิกให้ได้ แต่ช่วงที่ผ่านมาเพราะฟุ้งซ่านแต่กับเรื่องของคนรัก เขาจึงอดกลับมาพึ่งมวนนิโคตินพวกนี้ไม่ได้

     มือที่กำลังจะเคาะบุหรี่ออกจากซองเพื่อคาบใส่ปากถึงกับอ่อนแรงลงจนแทบทำบุหรี่ร่วงเมื่อเห็นคนที่วิ่งมาหน้าบ้านเขาในยามเช้าเช่นนี้ พิธานรีบซุกซองบุหรี่ไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ได้ทำอะไรผิด

     เขาบอกแล้วว่าจะ 'พยายาม' แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกได้

     แวบแรกหลังอาการตกใจ พิธานรู้สึกดีใจที่ม่านฟ้ามาหาเขาถึงบ้าน แต่ท่าทางของคนรักที่หันรีหันขวางผิดปกติทำให้พิธานขมวดคิ้ว อีกทั้งเสียงฝีเท้าที่เบาผิดปกติทำให้เขาก้มลงไปมองที่เท้าของคนรัก

     ม่านฟ้าไม่ได้ใส่รองเท้าแล้วยืนอยู่บนถนนที่ร้อนจัดด้วยเท้าเปล่า เท้าขาวๆ แดงขึ้นจากความร้อนและการวิ่งด้วยความเร็ว แม้จะยังเดาสาเหตุไม่ได้แต่พิธานก็เอ่ยทักคนรักขึ้นก่อน

     “เห้ย มึง”

     ทันทีที่คนรักหันกลับมา ชายหนุ่มร่างสูงก็พยายามบอกตัวเองให้ปั้นหน้าดุเอาไว้ เขายังไม่ลืมเรื่องที่เคืองและน้อยใจคนรัก ถึงได้พูดออกไปอย่างวางท่า

     “มาด้อมๆ มองๆ อะไรหน้าบ้านกู”

     ไม่ทันที่คนวางท่าจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อคนรักกระโดดเข้ามาติดประตูบ้านเขาพร้อมแขนเรียวยื่นของบางอย่างผ่านรั้วเข้ามา

     “ฝากหน่อย!”

     “เห้ย! อะไรเนี่ย!”

     ระยะที่ใกล้เข้ามาห่างเพียงรั้วเหล็กกั้นทำให้เขาสังเกตสภาพของคนรักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

     นอกจากเท้าเปล่าเปลือยแล้ว ตามตัวของม่านฟ้ายังเต็มไปด้วยรอยข่วน ดูมอมแมมไม่ต่างจากลูกแมวข้างถนนที่ไปเล่นซนมา ยิ่งแก้มขาวๆ ที่ขึ้นสีเรื่อจากอากาศและการวิ่ง พิธานจึงทำได้เพียงแสร้งขมวดคิ้วแล้วถามล้อออกไปด้วยเสียงปนหัวเราะเจือความเอ็นดู

     “มึงไปยกเค้าบ้านใครเขามาแล้วเอาของกลางมายัดใส่กู ให้กูกลายเป็นแพะรึเปล่าเนี่ย”

     “โอย มึงอย่าเพิ่งเล่นตัวตอนนี้ได้ไหม ช่วยกูก่อน กูขอล่ะ”

     เมื่อเห็นสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ของคนรัก แฟนที่แสนดีอย่างเขาก็ทำได้เพียงใจอ่อน ยอมรับของฝากอย่างเครื่องสำอางเอาไว้ เขาพอจะเดาเรื่องต่างๆ ได้จากของในมือ แม้ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นม่านฟ้าที่หยิบของพวกนี้หนีมา แต่ก็มั่นใจได้ว่าของใช้ของน้องชายคนรักคงสร้างเรื่องให้กับคนเป็นพี่เข้าแล้ว

     แต่ก่อนคนรักจะวิ่งออกไป เขามองเท้าแดงๆ นั้นอย่างเป็นห่วงแต่ก็ต้องดึงความคิดกลับมาที่สิ่งสำคัญกว่า

     พิธานคว้าซองบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาโยนให้คนรัก ไม่สนใจว่าสุดท้ายแล้วจะโดนคนรักบ่นหรือไม่ แต่สถานการณ์แบบนี้เขาคิดว่าของที่ให้ไปน่าจะจำเป็น

     ----

     ม่านฟ้าลังเลเล็กน้อยเมื่อจ้องมองโทรศัพท์ที่แสดงเบอร์ของคนรัก เมื่อวานพิธานรับฝากเครื่องสำอางจากเขาไว้ให้พ้นจากสายตาของพ่อ ม่านฟ้าบอกตัวเองว่าที่วิ่งไปหน้าบ้านของคนรักในยามนั้นเป็นเพราะความบังเอิญล้วนๆ หาใช่เพราะสัญชาตญาณหรือความเคยชินแต่อย่างใด

     เขาคิดวนเวียนอยู่หลายวันว่าจะโทรไปหาคนรัก แต่เมื่อคิดไปถึงการเจอกันครั้งสุดท้ายและคำพูดที่พูดออกมากลับยิ่งทำให้เขาสับสน ไม่เข้าใจว่าทำไมคนรักจึงพูดออกมาเช่นนั้น

     จะว่าพิธานรังเกียจที่ภูหมอกเป็นเพศที่สาม แต่การที่พวกเขาคบกันอยู่ก็คือการถูกขนานนามว่าเพศที่สามเช่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ

     หรือว่าพิธานจะไม่ชอบ ‘ตุ๊ด’ ทั้งที่ตัวเองก็เป็น ‘เกย์’ เนี่ยนะ

     ชายหนุ่มคิดออกแต่เพียงแง่นั้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าหากไม่ชอบ ทำไมไม่บอกเขาเสียตั้งแต่ตอนที่เขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับภูหมอกให้ฟัง แต่มาพูดเอาต่อหน้าน้องเขาเช่นนี้ทำไม

     แต่สุดท้ายเพราะมีของที่ฝากไว้กับคนรัก ม่านฟ้าถึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องโทรไปหาพิธานเพื่อเอา 'ของกลาง' คืนมาอยู่ดี

     เสียงรอสายดังอยู่สักพักราวกับอีกฝั่งไม่ได้อยู่ใกล้โทรศัพท์ แต่ม่านฟ้าก็ยังเฝ้ารออย่างใจเย็น ก่อนสัญญาณจะถูกตัดไปเสียงรับสายจากคนคุ้นเคยก็ดังขึ้น

     ‘ฮัลโหล’

     “...”

     ‘โทรมาได้แล้วเหรอ’ ม่านฟ้ายังไม่ทันได้นึกคำพูดอะไรต่อจากคำทักทาย คำพูดต่อมาที่ดังขึ้นกลับทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ‘นึกว่าลืมไปแล้วว่ามีแฟนคนนี้อยู่’

     ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกพยายามไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดยียวน แล้วรีบกล่าวถึงวัตถุประสงค์แรกที่โทรมา “...เรื่องเครื่องสำอา-”

     ‘อ๋อ ต้องมีเรื่องก่อนใช่ไหมถึงจะยอมโทรมาหาได้’

     ชายหนุ่มที่เป็นฝ่ายโทรหารู้สึกถึงอารมณ์หงุดหงิดของตนเองที่เพิ่มมากขึ้น แม้พยายามจะดึงเสียงตัวเองไว้ให้เรียบนิ่งเหมือนปกติแต่คำพูดที่หลุดออกไปก็ยังแฝงไปด้วยอารมณ์จิกกัดไม่แพ้กัน

     “ก็คงงั้น กับคนปากไม่ดีทำไมกูต้องโทรหาด้วย”

     ‘แล้วเวลากูโทรหามึงเคยรับกูไหมล่ะ! ต้องให้กูพูดอีกกี่ทีว่าให้รับโทรศัพท์ หรือมึงเอาเวลาไปคุยกับใครอยู่หรือไงถึงไม่ว่างมารับโทรศัพท์กูน่ะ!’

     “...”

     ม่านฟ้าถึงกับขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นของคนรัก รู้นิสัยของคนรักที่เป็นคนอารมณ์ร้อน เขาจึงยิ่งพยายามดึงตัวเองให้เย็นลงไปอีก...

     ‘ทำไมไม่โทรกลับมาหากู!!’

     แต่ความอดทนบางอย่างก็มีขอบเขต

     “แล้วมึงปากหมาทำไมล่ะ ทำไมถึงต้องไปพูดกับไอหมอกมันแบบนั้น กูไม่เข้าใจ”

     ม่านฟ้าหลุดพูดออกไปด้วยอารมณ์ไม่แพ้กัน แม้ไม่ได้ขึ้นเสียงตะคอกอย่างที่คนรักทำ แต่อีกฝ่ายคงสัมผัสได้ถึงเสียงที่ไม่มั่นคงอย่างคนอารมณ์ไม่ดี

     ‘...’

     “ไม่เข้าใจว่าวันนั้นมึงพูดแบบนั้นทำไม กูก็เคยบอกเรื่องของหมอกกับมึงแล้วนิ มึงก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ แล้วทั้งที่กูก็เคยบอกว่ามันเซ้นซิทีฟแค่ไหนแต่ก็ยังพูดแบบนั้นต่อหน้ามัน ทำไมว่ะ กูไม่เข้าใจ”

     ปลายเสียงในตอนท้ายของม่านฟ้าอ่อนลงอย่างคนมืดมน คิดไม่ออกถึงสาเหตุการพูดจาร้ายๆ ในครั้งนั้น อีกทั้งอารมณ์รุนแรงกับการพูดราวกับว่าเขามี 'ใครอื่น' ในครั้งนี้

     ‘...’

     “...”

     ความเงียบครอบคลุมปลายสายทั้งสองอีกครั้ง ราวกับทั้งคู่พยายามปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ แต่ม่านฟ้าคงคิดเช่นนั้นไปเองคนเดียว เมื่อได้ยินเสียงที่กดต่ำดังขึ้นมาจากอีกคน

     ‘แล้วถ้าคำพูดนั้น...กูไม่ได้หมายถึงน้องมึง แต่หมายถึงเรื่องของเราล่ะ’

     “...”

     ม่านฟ้านิ่งไปชั่วครู่ก่อนรู้สึกตัวเย็นวาบ เขาแค่นหัวเราะออกมาอย่างสมเพชตัวเองเมื่อได้ยินประโยคนั้นของคนรัก คำพูดในวันนั้นดังย้อนขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

     “ผิดดิ เรื่องแบบนี้น่ะ... จะมีพ่อแม่ที่ไหนรับได้ที่ลูกเป็นแบบนี้ ลูกชายที่เป็นลูกชายให้ไม่ได้มันคงน่าอาย น่ารังเกียจมาก ถึงต้องปิดเป็นความลับไง”

     เพียงแค่เปลี่ยนความคิดที่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจเสียดสีน้องเขา มาเป็นพูดกับตัวของเขาเอง เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็กระจ่าง

     นั้นคงเป็นคำพูดประชดประชันเขาที่บังคับให้อีกฝ่ายต้องปิดความสัมพันธ์ไว้เป็นความลับมาตลอด

     ม่านฟ้านิ่งค้างอยู่เช่นนั้นเมื่อสมองเข้าใจถึงความหมายในคำพูด แต่กลับไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้พิธานพูดเรื่องนั้นขึ้นมา

     ทำไม

     ทำไมอยู่ๆ ถึงโกรธเขาเรื่องนี้

     เขาทำอะไรผิดไปเหรอ

     สามปีที่ผ่านมาเขาเป็นกังวลกับความรู้สึกของคนรักอยู่เสมอ แต่เพราะเจ้าตัวเอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร ไม่คิดมาก อีกทั้งพิธานก็ไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดหรือไม่พอใจออกมา เขาถึงได้พอวางใจและเชื่อคำพูดนั้นอย่างไม่ทันระวัง

     ไม่ทันระวังว่าคนรักเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้เพียงเพื่อให้เขาสบายใจ

     การที่พิธานระเบิดความรู้สึกออกมาเป็นคำประชดประชันเหล่านั้น

     นั่นหมายถึง…

     เจ้าตัวทนไม่ไหวแล้วกับการปิดบังเช่นนี้

     ...และไม่อยากจะทนแล้วอย่างนั้นเหรอ

     “มึง...ทนอึดอัดมาตลอดเหรอ”

     ‘ใช่...กูอึดอัด อึดอัดจนแทบบ้าที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ต่างจากเมียน้อยแบบนี้!! ’

     อีกครั้งที่เสียงดังราวกับตวาดของอีกคนดังลอดมาตามสายจนม่านฟ้าสะดุ้ง ความรู้สึกที่อัดแน่นและบีบคั้นอยู่ในอกทำให้ชายหนุ่มกำมือแน่น

     “มึง...เหนื่อยมากไหมว่ะ”

     ม่านฟ้าพูดออกไปด้วยเสียงเบาหวิวอย่างอับจนเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่พูดออกมากลับเป็นคำพูดต้องห้ามที่ยิ่งกระตุ้นอารมณ์โมโหให้อีกฝั่งเข้าใจว่ามันคือการประชดประชัน

     'แล้วมึงล่ะ เหนื่อยมากไหมที่มาคบกับผู้ชายอย่างกูเนี่ย'

     "..."

     ทันทีที่เสียงลอดไรฟันนั้นจบลง ความเงียบที่น่าอึดอัดก็ก่อตัวขึ้น ราวกับปลายสายทั้งสองต่างกลั้นหายใจกันเอาไว้ ประโยคต่อมาที่ทั้งคู่ต่างรู้ว่ามันคืออะไรดังขึ้นในหัวแต่ไม่มีใครพูดมันออกมา

     งั้นก็เลิกกันไปเลย

     ม่านฟ้าส่ายหน้าไม่อยากให้คำพูดที่กลัวนั้นหลุดออกมา มือของเขากำโทรศัพท์แน่นจนสั่นไปหมด ก่อนสะดุ้งแล้วกลั้นหายใจอีกครั้งเมื่อได้ยินอีกฝั่งพูดขึ้นมา

     ‘มึง…’ หากฟังไม่ผิดเสียงของอีกฝ่ายก็สั่นไม่แพ้กันเมื่อเอ่ยออกมา

     ‘มาหากูที่บ้าน กูไม่อยากคุยเรื่องนี้ทางโทรศัพท์’



     TBC





     Achaya (Writer) :

     เหรียญมีสองด้าน คนมีสารพันความคิด เรื่องราวต่างๆ เองก็มีได้หลายมุมเหมือนกัน ตอนนี้อาจจะเน้นความคิดของตัวละครมากหน่อย ส่วน Fact ที่เกิดขึ้นจากการกระทำและคำพูดนั้นลองย้อนกลับไปอ่านที่ภาคหลักอีกทีก็ได้

     ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์ที่น่ารักนะคะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 2 (07.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-11-2020 23:39:16
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 2 (07.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-11-2020 21:20:48
รวดเดียวจบรีบมาอีกน้าาาา
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 3 (14.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 14-11-2020 22:43:49
ภาคความจริง : บทที่ 3

     ‘มาหากูเดี๋ยวนี้ ถ้ามึงมาช้ากูจะทุบเครื่องสำอางน้องมึงทิ้งทีละอันเลย’

     คำสำทับสุดท้ายก่อนที่สายจะตัดไปทำให้ม่านฟ้าได้แต่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกกลัวการไปบ้านของคนรักเท่าครั้งนี้ ต่อให้เป็นวันที่เขาเข้าไปหาพ่อแม่ของพิธานครั้งแรกก็ยังมีคนรักปลอบใจอยู่ข้างๆ

     แต่เวลานี้ กำลังจะไม่มีแล้ว

     ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนหยัดตัวลุกขึ้นอีกครั้ง คว้าโทรศัพท์ที่เผลอปล่อยทิ้งไว้แล้วหยิบกุญแจบ้านขึ้นมา ก้าวเดินออกจากบ้านไปด้วยความกลัวสุดหัวใจ แต่ต่อให้เขารั้งรอไปก็ใช่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยน

     คงมีแต่ต้องยอมรับมันเท่านั้นสินะ

     ----

     พิธานกำลังจะเป็นบ้าตายอีกครั้ง เขาตบปากตัวเองแรงๆ ก่อนทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติ โมโหใส่คนรักและพูดจาไม่ดีใส่สารพัด

     ทั้งที่คิดว่าการคุยกันครั้งนี้ของพวกเขาจะทำให้พวกเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เพราะตัวเขา เพราะปากหมาๆ เพราะสมองที่ไม่รู้จักคิดนี้ ทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ขึ้นไปอีก

     เขาเผลอประชดประชันอีกคนไปเพราะรู้สึกน้อยใจเมื่อคนรักพูดถึงเรื่องของที่ฝากไว้ขึ้นมาทันทีราวกับไม่อยากต่อบทสนทนากันให้ยืดยาว

     ความรู้สึกของการโทรหาคนรักซ้ำๆ ในค่ำคืนที่เขาเป็นกังวลใจแต่ไม่มีการตอบรับจากอีกคนดึงอารมณ์ฉุนเฉียวของเขากลับมาอีกครั้ง ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปถึงภาพหญิงสาวอีกคนที่ดูสนิทกับคนรักทำให้เขาเผลอตะโกนออกไปอย่างลืมตัว

     เสียงพูดของม่านฟ้าถึงจะดูไม่พอใจเมื่อเข้าใจผิดเรื่องคำพูดของเขา แต่ไม่มีสักครั้งที่ม่านฟ้าจะขึ้นเสียงใส่ เป็นเขาเองที่ตวาดคนรักไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเมื่อเขาบอกถึงความหมายแท้จริงที่ต้องการสื่อ ความเงียบและเสียงสั่นๆ ที่ได้ยินผ่านโทรศัพท์ยิ่งทำให้พิธานปวดใจเมื่อคิดย้อนกลับไป ชายหนุ่มโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงก่อนนั่งลงคิดหาวิธีแก้ไขให้ทุกอย่างดีขึ้น

     แต่ไม่ทันได้คำตอบที่กำลังตามหา เสียงรั้วบ้านก็ดังขึ้นก่อนตามมาด้วยเสียงประตูบ้านชั้นล่างถูกเปิดออก

     คนรักเขารู้ดีว่าเวลากลางวันเขามักไม่ล็อกประตูบ้าน เสียงที่ได้ยินเงียบลงไปชั่วครู่ก่อนตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังเดินขึ้นมายังชั้นสองและหยุดลงตรงหน้าห้องนอนของเขา

     ราวกับอีกฝ่ายกำลังทำใจเช่นเดียวกับเขาที่ลุกขึ้นยืนมองไปหน้าประตู หัวใจของเขาสั่นรัวเมื่อความรู้สึกผิดยังคงบีบรัดอยู่ในอก

     ประตูที่เปิดออกพร้อมกับการเข้ามาของคนรักทำให้พิธานเม้มปาก ม่านฟ้าเหลือบมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำก่อนขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้น

     พิธานมองร่างคนรักที่เสหน้าหลบไปทางอื่นไม่ยอมมองหน้าเขา ก่อนอีกฝ่ายจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยักหน้าให้เขาพูดในสิ่งที่ต้องการ

     แต่เพราะระยะห่างเพียงเอื้อมมือ เขาจึงเห็นแววตาที่สั่นไหวของคนรักและริมฝีปากที่ขบกันไว้แน่น ท่าทางของคนรักยิ่งสะท้อนให้พิธานโมโหกับการกระทำของตัวเองหนักขึ้น

     "เอาหน่า คบกับกูรับรองไม่เสียใจ"

     "สัญญา จะดูแลอย่างดีเลย"

     .

     .

     "อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ"


     คำพูดของเขาที่กระซิบบอกคนรักในวันเกิดที่ผ่านมาดังขึ้น รอยยิ้มหวานที่ปรากฏพร้อมดวงตาวาวระยับในตอนนั้น ขัดกับดวงตาที่สั่นไหวของคนรักในตอนนี้ ริมฝีปากที่เขาเคยสัมผัสกำลังขบกันแน่นจนพิธานได้แต่ปวดใจ

     ปวดใจกับการกระทำโง่ๆ ของตัวเอง

     หัวใจของเขาบีบรัดจนอึดอัดแต่กลับพูดสิ่งใดไม่ออก เกลียดทิฐิโง่ๆ และการพูดไม่คิดของตัวเอง

     ทั้งที่บอกจะดูแลให้ดีและไม่ทำให้เสียใจแท้ๆ

     ใบหน้าที่หันมาพร้อมดวงตาเศร้าของคนรักทำให้ความอดทนของพิธานสิ้นสุดลง เขาคว้าร่างของคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่นก่อนซบหน้าลงกับบ่า สัมผัสอุ่นที่รับรู้ได้ยิ่งทำให้เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น

     “ขอโทษ กูขอโทษ”

     ไม่ต้องคิดคำพูดใดอีกต่อไป เมื่อรู้ตัวดีว่าผิด ก็เพียงขอโทษเท่านั้น

     ม่านฟ้ายังยืนเกร็งอยู่ในอ้อมกอดของคนรัก ราวกับไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พิธานพูดออกมา จนร่างสูงกล่าวย้ำคำขอโทษออกมาอีกครั้ง

     “ขอโทษที่พูดจาไม่ดี ขอโทษที่ตะคอกใส่มึง ขอโทษที่งี่เง่า ขอโทษนะ”

     เท่านั้นร่างกายของม่านฟ้าก็อ่อนลง สองแขนตวัดรัดร่างสูงของคนรักไว้และซบลงกับบ่าอีกคนเช่นกัน หลากหลายความรู้สึกที่อัดแน่นมาตลอดนับจากวางสายกับคนรักถูกปล่อยออกมาเป็นการถอนหายใจยาวๆ

     เมื่อความเครียดถูกลดระดับลง ม่านฟ้าถึงได้รู้สึกถึงความร้อนที่ขอบตาตนเอง

     เสียงสะอื้นและความชื้นบริเวณไหล่ทำให้แทบพิธานกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาขยับกอดคนรักไว้แน่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้นจากบ่าของเขา

     “กูสิที่ต้องขอโทษ ขอโทษที่เห็นแก่ตัว แต่...”

     “...”

     “เราไม่เลิกกันได้ไหม”

     คำสุดท้ายทั้งแผ่วเบาและสั่นเครือ แต่ร่างสูงกลับได้ยินชัดเจนจนเขาร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น

     พิธานมองไม่เห็นความโกรธที่ทำให้ตนเองพูดจาร้ายๆ ใส่คนรักอีกต่อไป แต่กลับเห็นเพียงความรักของพวกเขาที่ใช้เวลาก่อตัวกันมามากกว่าสามปี

     เรื่องราวต่างๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันฉายซ้ำเข้ามาในหัว ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความสบายใจที่ได้อยู่ใกล้กัน นึกถึงวันแรกที่เขาเฝ้ามองใครบางคนจากป้ายรถเมล์ในยามค่ำ เสียงเพลงที่เคยฟังด้วยกันในวันฝนตก และข้อมือผอมที่ได้สัมผัสในวันที่เราเผลอหลับในรถ

     ความทรงจำเกี่ยวกับคนตรงหน้ายิ่งย้อนให้พิธานร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และย้ำเตือนให้เขาได้รู้

     ว่าเขาเกือบจะทำลายวันเวลาเหล่านั้นลง

     เพียงเพราะคำพูดและอารมณ์ของตัวเอง

     ร่างสูงลูบหัวคนรักเบาๆ อย่างปลอบโยนทั้งที่ตนเองก็ยังไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้

     “ไม่ เราจะไม่เลิกกัน กูไม่ยอมเลิกกับมึงหรอกนะ

     แม้เสียงของเขาจะเบา แต่ความใกล้ชิดในยามนี้ของพวกเขาทำให้พิธานมั่นใจว่าอีกคนจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาจึงพูดสิ่งที่ติดค้างไว้ในใจออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ

     “กูแค่กลัว...กลัวว่ามึงจะทิ้งกูไป จะทิ้งคนแย่ๆ อย่างกูไป จนยิ่งทำนิสัยแย่ๆ กับมึง กูขอโทษนะ”

     พิธานรู้สึกถึงอาการส่ายหน้าของคนรัก เจ้าตัวยังคงพูดขอโทษเขาซ้ำๆ พร้อมย้ำว่าตนเองเห็นแก่ตัว พิธานขยับกอดคนรักอย่างต้องการย้ำให้ทั้งตนเองและคนในอ้อมแขนรู้ว่าพวกเขายังอยู่ด้วยกันตรงนี้ ยังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันเช่นที่ผ่านมา และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป

     “เรายังรักกันเหมือนเดิมนะ เรายังรักกันเหมือนเดิม”

     ----

     หลังผลัดกันขอโทษและร้องไห้จนหมดแรง พิธานก็กอดคนรักเอาไว้นิ่งๆ สภาพของพวกเขาตอนนี้ไม่น่าดูเท่าไหร่นัก ตัวเขานั่งอยู่กับพื้นโดยเอนหลังพิงที่นอน ขณะที่คนรักของเขานั่งอยู่ในอ้อมกอดตรงหว่างขา ใบหน้าของม่านฟ้าซบลงที่บ่าของเขาเหมือนหมดแรงไปกับการร้องไห้ไม่น้อย

     เพราะได้ร้องไห้ออกไปจนหัวโล่ง พิธานจึงกลับมาคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง

     หลายคนที่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา ต่างก็คิดว่าม่านฟ้าคือคนเห็นแก่ตัว เพราะไม่กล้าบอกความจริงกับครอบครัวจึงให้เขาปิดบังสถานะระหว่างเราไว้ แต่ใครจะรู้...ว่าแท้จริงแล้ว คนที่เห็นแก่ตัวน่ะ

     ...คือเขาเอง




     “เมฆ เป็นแฟนกันนะ”

     คำพูดเรียบดังมาจากปากของเด็กหนุ่มข้างกายทำให้ม่านฟ้านิ่งอึ้ง เขาเม้มปากลงอย่างกดดันเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้ามาจ้องตากับเขาราวกับรอคำตอบของคำถามเมื่อครู่

     ม่านฟ้ากำลังกลัว

    เขากลัวมาตลอดว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาเมื่อไหร่

     ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและคนตรงหน้า เขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ระยะเวลาเกือบปีตั้งแต่ได้เริ่มคุยกัน ทั้งความสนิทสนมและสายตาของคนตรงหน้าบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เป็นไปอย่าง ‘เพื่อน’ ม่านฟ้าเองก็รู้ว่าความรู้สึกของตนเองต่อคนคนนี้นั้นไม่ได้แตกต่างกัน

     แต่มันเป็นไปไม่ได้

     ไม่ใช่เพราะความรู้สึก...แต่เพราะเพศ

     พวกเขาทั้งคู่เป็นผู้ชาย สถานะที่ถูกเรียกร้องอยู่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ในเพศสภาพเช่นนี้ของพวกเขา ม่านฟ้าไม่เคยรังเกียจเพศที่สามแต่อย่างใด แต่รู้ดีว่ามีใครบางคนเกลียดเพศสภาพนั้นเข้าไส้

     หากใครบางคนที่ว่าเป็นสังคมคนนอกที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเขาหรือใครก็ตามที่ไม่ได้สำคัญจนเขาต้องเอาความรู้สึกของตนเองมาเสีย เขาจะรีบตอบรับคำขอนั้นอย่างดีใจ

     แต่ใครบางคนคนนั้นคือ ‘พ่อ’ ของเขา

     เขาจึงจำเป็นต้องเลือกทางนี้เพื่อคนที่ ‘สำคัญกว่า’

     “ขอโทษนะ”

     ดวงตาที่หลุบลงพร้อมคำพูดแผ่วเบาทำให้พิธานนิ่งค้าง เขาไม่ได้คาดคิดถึงคำตอบเช่นนี้ในวันที่เขารอมานาน พิธานเองก็กลัวคำตอบรับเช่นนี้ จึงได้แต่รอเวลาจนมั่นใจว่าความรู้สึกของคนตรงหน้านั้นไม่ต่างไปจากความรู้สึกของตนเอง แต่คำตอบที่ได้รับในตอนนี้ก็ยังไม่เป็นที่ต้องการของเขาอยู่ดี

     ทำไม

     พิธานอยากถามคำถามนั้นออกไปแต่ราวกับหาเสียงของตัวเองไม่เจอ เขาใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมความกล้ามาขอคนตรงหน้า คิดซ้ำไปซ้ำมาเพื่อหาสาเหตุของการปฏิเสธตนในครั้งนี้แต่ก็ยังไม่พบ

     “มึง...อยากได้เวลามากกว่านี้เหรอ”

     เขาถามออกไปได้เพียงแค่นั้น

     เขาคิดว่าม่านฟ้าคงตกใจและยังไม่กล้าที่จะตอบรับเขาทันที อาจต้องการเวลาในการคิดทบทวน เพียงแต่ตอบออกมาในประโยคที่ทำให้เขาตกใจเท่านั้น

     เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเขาส่ายหน้าออกมาเล็กน้อยก่อนถอนหายใจ ดวงตาคู่สวยที่เงยหน้ามาสบกับเขาสะท้อนความเสียใจออกมาก่อนหลุบลงจนเห็นแพขนตายาว เมื่อไม่มีคำอธิบายอะไรมากไปกว่านั้นยิ่งทำให้พิธานว้าวุ่นใจ

     พิธานถามตัวเองว่าเขาทำพลาดไปตรงไหน หรือเพราะคนตรงหน้าไม่ได้รู้สึกเหมือนเขา เป็นเขาที่คิดไปเองหรือ หากเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมม่านฟ้าต้องทำสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาเช่นนี้

     “ทำไม กูไม่ดีพอเหรอ หรือว่ามึงไม่ได้คิดกับกูแบบนั้นตั้งแต่แรก”

     เมื่อคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ พิธานจึงถามออกไปด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก

     แน่ล่ะ มาขอคนคนหนึ่งเป็นแฟนก็ควรอารมณ์ไม่คงที่อยู่แล้ว ยิ่งได้รับคำปฏิเสธเช่นนี้ยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาแกว่งหนักขึ้นไปอีก พิธานมองม่านฟ้าที่เม้มปากเล็กน้อยและพูดออกมาด้วยคำเดิม

     “...กูขอโทษ”

     “กูไม่ได้อยากได้คำขอโทษ กูแค่อยากรู้เหตุผล มึงชอบกูรึเปล่า” เมื่อคำพูดของม่านฟ้าไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างแก่เขา พิธานจึงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองแล้วถามขึ้นมาทีละเรื่อง

     “ชอบ” คำพูดตรงๆ ของอีกคนทำให้พิธานเริ่มใจชื้น น้ำเสียงที่ตอบแม้แผ่วเบาแต่ก็แน่วแน่ เริ่มกลับมาเป็นม่านฟ้าคนเดิมที่เขารู้จัก

     “ชอบแบบเพื่อนหรือแบบแฟน”

     “...แฟน” เขารู้สึกถึงอาการลังเลเล็กน้อยพร้อมการกลืนน้ำลายของอีกคน แต่ท่าทางของคนตรงหน้าไม่ได้เป็นไปอย่างคนที่ไม่แน่ใจกับความรู้สึก แต่คล้ายจะเขินอายเล็กน้อยที่จะพูดออกมา

     “กูยังดีไม่พอ หรือมึงต้องการเวลามากกว่านี้เหรอ”

     “เปล่า”

     “หรือจริงๆ มึงมีแฟนแล้ว แต่คุยกับกูไว้เผื่อเลือก”

     “บ้าเหรอ ไอสัด” เมื่อคำถามที่ถูกส่งออกมาเริ่มออกนอกลู่นอกทางไปไกล จำเลยจึงเผลอด่าผู้ซักความไปหนึ่งดอก

     “โอเค งั้นมึงเป็นแฟนกู”

     ใบหน้าของม่านฟ้าที่กำลังจะได้แฟนสายฟ้าแลบแสดงอาการเหวอออกมาเมื่อถูกอีกคนมัดมือชก รีบปฏิเสธออกมาอีกครั้ง “เดี๋ยว ก็บอกว่าไม่ได้ไง”

     “งั้นมึงมีปัญหาอะไรวะ! ” คำพูดที่ดูเหมือนการหาเรื่องชกต่อยมากกว่าคนขอเป็นแฟนดังออกมาจากปากพิธาน ใบหน้าหล่อคมคายขมวดคิ้วมุ่นจนยิ่งดูเหมือนอันธพาลหัวไม้ เจ้าตัวดูหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีกเมื่อทุกคำถามที่ถามไปก็ได้รับคำตอบที่น่าฟังทั้งสิ้น ยกเว้นก็แต่คำถามแรก

     ความเงียบครอบคลุมพวกเขาทั้งสองคนอีกครั้ง เหมือนต่างคนต่างกำลังใช้ความคิดของตัวเอง จนสุดท้าย…

     .

     .

     “ถ้ามึงอยากจะคบกับกูจริง...จะให้ที่บ้านกูรู้เรื่องนี้ไม่ได้”

     ม่านฟ้าโพล่งออกมาเมื่อโดนอีกคนไล่ต้อนมากเข้า เขาคิดว่าทางเลือกแรกที่ตอบพิธานไปคือทางเลือกที่ดีที่สุด เจ็บน้อยที่สุดกันทั้งสองฝ่าย แต่เมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่ยอมง่ายๆ เขาก็ได้แต่ลองบอกอีกทางเลือกหนึ่งดูก็เท่านั้น

     แท้จริงแล้ว ในใจลึกๆ ของม่านฟ้าเองก็อยากลองเสี่ยงกับทางเลือกที่สองนี้ดูไม่น้อย แม้เป็นทางที่มองไม่เห็นแสงสว่างหรือรู้ดีว่าทางเลือกนี้คงไปได้ไม่ไกล ยอมรับว่าเห็นแก่ตัวตั้งแต่เริ่มสถานะคนคุยกับคนตรงหน้าแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ยังคิดที่จะเรียกร้องมากขึ้น เหนื่อยใจกับตนเองที่ทำตัวไม่ต่างจากวัยรุ่นไร้หัวคิด ไม่สนใจอนาคตและต้องการเพียงความสุขที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

     แต่การให้จบความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีต่อกันเช่นนี้...มันก็อดปวดใจไม่ได้

     เอาเถอะ คงต้องแล้วแต่คนตรงหน้าว่าจะเลือกทางไหน

     .

     .

     “...หมายความว่าเราต้องปิดเป็นความลับเหรอ”

     เสียงของพิธานแผ่วเบาอย่างไม่แน่ใจ เขาพอรู้มาบ้างว่าพ่อของม่านฟ้าเป็นคนเข้มงวดมากแค่ไหน หากสาเหตุของการปฏิเสธที่เขาตามหาคือการกีดกันจากที่บ้าน เขาก็พอจะเข้าใจว่าทำไมม่านฟ้าจึงยื่นข้อเสนอออกมาเช่นนี้

     “อืม”

     “จนถึงเมื่อไหร่”

     “ตลอดไป”

     “...”

     ลมหายใจของพิธานสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบสุดท้าย เขาให้ความสำคัญกับครอบครัวเสมอแม้จะไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่ และการยอมรับจากครอบครัวของคนที่เขาชอบก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาฝันไว้

     เขาเคยคิดจะพาม่านฟ้าไปคุยกับที่บ้านของเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่เพราะพวกเขายังไม่มีสถานะที่ชัดเจนต่อกัน เขาจึงตัดสินใจจะพาม่านฟ้าไปแนะนำตัวและเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขาหลังจากนี้

     แต่สิ่งนั้นจะเป็นไปไม่ได้สำหรับครอบครัวของม่านฟ้าเหรอ

     เขาจะไม่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคนที่เขาชอบได้

     ไม่ว่าวันนี้...หรือวันใดก็ตาม

     “นี่เป็นเงื่อนไขเดียวของกู...นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ว่าจะรับเงื่อนไขนี้ไหม”

     “เรา...จะปิดมันไว้ได้ตลอดไปหรือไง”

     “...”

     เด็กหนุ่มตัวสูงส่ายหน้า ไม่มีทางที่เราจะปิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ได้ตลอดไป ต่อให้เป็นความลับสุดยอดเพียงใด สุดท้ายวันหนึ่งก็ต้องถูกเปิดเผยออกมา เขาอ้าปากเถียงคนตรงหน้าแต่ยังทันพูดจบประโยคดีก็ถูกแทรกขึ้นมาเสียงก่อน

     “เมฆ… ความลับน่ะ มันไม่มี--”

     “กูจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันมี พิสูจน์ด้วยตัวของกู ด้วยเรื่องของเรานี่แหละ”

     "..."

     เมื่อสิ่งที่ได้รับต่อมาคือความเงียบดวงตาคู่สวยที่ชั่วครู่ทอประกายความหวังของม่านฟ้าก็ดับลงไป เขาเข้าใจดีว่าเงื่อนไขของเขานั้นเห็นแก่ตัวต่ออีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เขาก็จำเป็นที่จะต้องพูดมันออกมา

     ไม่มีใครรู้นิสัยของพ่อดีไปกว่าเขาอีกแล้ว

     เมื่อหนทางในการได้รับการยอมรับนั้นไม่มี เขาก็ไม่เห็นเหตุผลในการบอกความจริงออกไป สู้ปิดมันไว้เป็นความลับตลอดไปคงดีกว่า

     เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าคลี่ยิ้มออกมาด้วยนัยน์ตาหม่นแสง อย่างน้อยเขาก็ดีใจที่ได้ปฏิเสธและบอกเงื่อนไขกับคนตรงหน้าเสียแต่ตอนนี้ ดีกว่าต้องมานั่งเสียใจหลังจากที่ถลำลึกกันไปมากกว่านี้หรือเสียใจที่ไม่ได้ลองพูดดู เด็กหนุ่มมองคนตรงหน้าที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นเดิมแล้วถอนหายใจ

     คงจะโกรธ

     เราไม่ควรแม้แต่จะเริ่มคุยกันด้วยซ้ำสินะ

     “ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำให้มึงเสียเวลา มึงอยากจะกลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิมหรือไม่อยากจะเจอหน้ากันอีกแล้วก็ได้...แล้วแต่มึง”

     “กูไม่เคยเป็นเพื่อนกับมึง” เสียงพูดลอดไรฟันดังขึ้นให้ม่านฟ้าพยักหน้ารับ แม้รู้สึกเจ็บอยู่บ้างกับคำพูดนั้นแต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเลือกทางที่ไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกแล้ว เด็กหนุ่มตอบรับในลำคอเบาแล้วลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเพื่อหันหลังเดินจากมา

     .

     .

     “กูยอม”

     เสียงที่ดังขึ้นทำให้จังหวะการก้าวเดินของม่านฟ้าหยุดชะงัก เขาหันกลับมามองอีกคนที่ยังนั่งก้มหน้าอยู่ที่เดิม คิดว่าตัวเองคงหูฝาด ก่อนหันกลับไปอีกครั้งแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น

     “กูบอกว่ายอมไง! กูยอมรับเงื่อนไขมึง”

     ม่านฟ้าหันหลังกลับมาอีกครั้งและต้องสะดุ้งอีกหนเมื่อคนที่เมื่อครู่ยังนั่งห่างออกไปตอนนี้วิ่งมาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

     “มึงอย่าใช้อารมณ์พูดพล่อยๆ น่ะ มึงรับไม่ได้ก็คือรับไม่ได้ จะมาพูดว่ายอมรับทำไม”

     ม่านฟ้าคิดว่าพิธานอาจจะพูดทั้งที่อารมณ์ไม่มั่นคงและพูดตอบรับเงื่อนไขของเขาไปโดยที่ยังไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วน เขาคิดว่าการรับเงื่อนไขทั้งแบบนั้นมันเอาเปรียบอีกฝ่ายมากเกินไปจึงอดเอ่ยค้านออกมาไม่ได้

     “มึงไม่ต้องพูดมากอะไรแล้ว กูยอมรับเงื่อนไขมึงแล้วไง ห้ามเพิ่มเติมกว่านี้ด้วย”

     “เดี๋ยวดิ! รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออ-”

     “หยุด! กูรู้ตัวดี ตอนนี้มึงเป็นแฟนกูแล้ว จบมั้ย”

     เห้ย ม่านฟ้าร้องครวญครางในใจ เริ่มไม่แน่ใจว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่ยื่นเงื่อนไขออกไป หรือเขาควรปฏิเสธให้เด็ดขาดไม่ใช่เพียงเพราะการไม่ยอมรับของพ่อ แต่เพราะไอหมอนี้มันบ้าเกินไป




     พิธานนึกถึงสีหน้าของคนรักในยามนั้น เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอย่างไร ม่านฟ้าอาจคิดว่าเขาตอบไปอย่างไม่คิด เพียงเพราะต้องการเป็นแฟนกับคนตรงหน้าให้ได้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาคิดดีแล้ว

     ม่านฟ้ายอมปฏิเสธเขาทั้งที่ตัวเองก็แสดงสีหน้าเสียใจออกมาขนาดนั้น ข้อหนึ่งที่มั่นใจคือความพยายามเกือบปีที่ผ่านมานั่นไม่สูญเปล่า ม่านฟ้ามีใจให้เขาอย่างแน่นอน

     แต่เพราะว่าตัวเขา 'ในตอนนั้น' มีความสำคัญน้อยกว่าครอบครัวของอีกฝ่าย คนรักของเขาจึงเลือกครอบครัวมาก่อนเป็นอันดับแรก

     อย่างไรเขาก็เชื่อว่าการปิดความลับไว้ตลอดนั้นเป็นไปไม่ได้

     ม่านฟ้าแฟร์กับเขามาตั้งแต่วันแรกที่คบกัน มีแต่เขานี้แหละที่คิดจะทำลายเงื่อนไขนั้นอย่างเงียบๆ มาตลอด เขาเพียงต้องรอให้ถึงวันหนึ่งที่เขาจะ ‘สำคัญพอ’ จนม่านฟ้ายอมที่จะบอกเรื่องของพวกเขากับครอบครัวและเขาจะไม่ต้องทนอยู่กับความอึดอัดนี้อีกต่อไป

     และตอนนี้แผนของเขา...ก็ใกล้จะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว



     TBC




     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์ที่มีมาให้เสมอนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 3 (14.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-11-2020 23:25:49
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 3 (14.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-11-2020 00:20:43
กดดันมากเลยเนาะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 4 (21.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 21-11-2020 23:35:19
ภาคความจริง : บทที่ 4

     “หยุดร้องได้แล้ว ไอขี้แย”

     พิธานตบหลังคนรักพร้อมกระซิบข้างหู ก่อนได้ยินคนรักพูดตัดพ้อออกมาเบาๆ

     “กูน่าจะปฏิเสธมึงไปตั้งแต่วันนั้น มาถึงวันนี้มึงจะสั่งอะไรกูก็ต้องยอมทั้งนั้น เพราะกูไม่อยากเลิกกับมึง”

     พิธานหัวเราะในลำคอเบาๆ พอจะรู้ว่าวันนั้นที่ม่านฟ้ากล่าวถึงคงไม่พ้นวันที่เขาขอเจ้าตัวเป็นแฟน รู้สึกแปลกใจที่เขากับคนรักดันคิดย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นแรกเหมือนกัน ชายหนุ่มจูบที่ขมับคนรักแล้วพูดออกมาอย่างยอมรับ

     “คิดได้ก็สายไปแล้วที่รัก มึงตกหลุมพรางกูมาสามปีแล้วเมฆ”

     เมื่อจบคำทุกอย่างจึงตกสู่ความเงียบอีกครั้งเหมือนทั้งคู่กำลังทบทวนความรู้สึกของตน ก่อนม่านฟ้าจะเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน

     “มึงอยากให้กูบอกเรื่องเราไหม”

     เสียงของม่านฟ้าดึงพิธานให้หลุดจากภวังค์ สายตาของพิธานฉายแววดีใจออกมาครู่หนึ่งก่อนที่จะหายไป ใจหนึ่งพิธานอยากรีบรับข้อเสนอของคนรัก แต่อีกใจเขาก็รู้ดีว่าคนที่ลำบากใจมากที่สุดก็คือม่านฟ้าเช่นกัน

     พิธานคลี่ยิ้มออกมาบางๆ แววตาทอแสงอ่อนลงเมื่อมองไปที่ดวงตาติดจะบวมเล็กน้อยจากการร้องไห้ของคนในอ้อมแขน ถึงเขาจะอยากให้บอกแค่ไหนแต่ตอนนี้ทางเลือกมันก็เห็นชัดเจนอยู่แล้ว

     “ไม่เอาอ่ะ”

     ในตอนนี้เขาต้องเลือกห่วงความรู้สึกของคนรักก่อนอยู่แล้ว

     เพราะไม่ใช่เพียงเขาที่กลายเป็นคนสำคัญของม่านฟ้า แต่ม่านฟ้าก็กลายเป็นคนสำคัญของเขาเหมือนกัน แม้โอกาสที่เฝ้ารอมานานจะยื่นมาถึงตรงหน้าแต่เขาคงต้องเลื่อนแผนที่วางไว้ออกไปอีกหน่อย

     ร่างสูงขยับตัวนั่งหลังตรง ยิ้มออกมาแล้วพูดอย่างทีเล่นทีจริง

     “เดี๋ยวมึงใช้โอกาสนี้มาบอกเลิกกู หาว่ากูทำผิดเงื่อนไข ตราบใดก็ตามที่กูยังเป็นเด็กดีตามเงื่อนไขของมึงอยู่แบบนี้ มึงไม่มีสิทธิ์เลิกกับกู จำไว้”

     หนุ่มวิศวะหน้าเป็นกลับมาทำหน้าตายียวนอีกครั้ง ลงท้ายประโยคพร้อมกับกดจมูกลงไปชนกับจมูกคนรักเบาๆ ก่อนยิ้มกว้างออกมา

     “ไอ้บ้า คิดว่ากูจะกล้าทำแบบนั้นรึไง” ม่านฟ้ามองคนรักของเขานิ่งก่อนค่อยเผยรอยยิ้มออกมา

     ถึงอย่างนั้นพิธานก็ไม่อยากเสียโอกาสที่ได้มาตรงหน้าไป เขาจึงยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมกับคนรักเพื่อรับประกันว่าน้ำตาที่เสียไปวันนี้จะไม่สูญเปล่า

     “แต่กูขอได้ไหม คำว่า ‘ตลอดไป’ มันทรมานเกินไปจริงๆ มึงช่วยกำหนดเวลารอให้กูได้รึเปล่า” พิธานดึงคนรักออกมานั่งดีๆ ขืนปล่อยให้นั่งซบอยู่แบบนี้ ถ้าบทม่านฟ้าจะอ้อนอะไรขึ้นมาเขาก็คงไม่วายใจอ่อนให้อีกแน่

     ม่านฟ้าพยักหน้าตอบรับ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกคนแล้วเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

     “รอเราเรียนจบก่อนได้ไหม”

     ม่านฟ้าเพียงต้องการให้พวกเขามีงานทำและหาเงินได้เองแล้ว แท้จริงเขาอยากจะขอยืดเวลาออกไปให้พอดูแลตัวเองและตั้งตัวได้หลังเรียนจบอีกหน่อย แต่ตอนนี้แค่ยืดเวลาออกไปอีกสองปีจนพวกเขาเรียนจบก็ถือว่าขอมากเกินไปแล้ว

     พิธานฟังของเสนอของคนรักแล้วพยักหน้าออกมาเบาๆ คิดว่าเรื่องของภูหมอกเองม่านฟ้าก็คงคิดจะรอจนภูหมอกเรียนจบเหมือนกัน แม้จะต้องอดทนอีกถึงสองปี แต่เขาเองก็ทนมาแล้วถึงสามปี แค่นี้ทำไมจะรอไม่ได้

     เพราะเขาคาดหวังว่าอีกสิบปีหรือยี่สิบปีหลังจากนี้ พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แลกกับเวลาห้าปีอย่างไรก็ถือว่าคุ้ม

     “ถ้ากูโดนไล่ออกจากบ้าน มึงต้องเลี้ยงกูนะ”

     ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดพูดออกมาพร้อมดึงแขนเสื้อมาเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนหลุดหัวเราะเมื่อคนรักตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     “สัญญาเลย ต่อให้เงินเดือนกูจะไม่เยอะ แต่สมบัติป๊าม้ากูเยอะ เดี๋ยวขโมยมาให้มึงใช้หมดเลย”

     ม่านฟ้าลุกขึ้นยืนเดินเข้าห้องน้ำในห้องนอนของคนรักเพื่อล้างหน้า ก่อนถือวิสาสะคว้าผ้าเช็ดผมผืนเล็กออกมาเช็ดหน้าแถมใจดีชุบน้ำหมาดๆ มายื่นให้คนรักเพื่อเช็ดหน้าด้วยอีกคน

     กิริยาทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ม่านฟ้าเคยมาที่นี่หลายครั้ง แม้กระทั่งห้องนอนของคนรัก แต่บอกไว้ก่อนถึงจะดูไม่ค่อยดีที่เข้าออกบ้านแฟนจนชินแบบนี้ แต่เขาก็ไม่เคยมานอนค้างนะ

     พิธานดึงตัวคนรักมานั่งข้างกันอีกครั้งเมื่อเขาขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียงแทน ต่อให้เป็นชายหนุ่มอายุยังน้อย แต่การนั่งกับพื้นนานๆ แถมมีอีกคนนั่งซ้อนอยู่ก็ทำให้เมื่อยขาได้เหมือนกัน

     “กูขออีกเรื่องได้ไหม” เมื่อพิธานพูดขึ้น ม่านฟ้าจึงหันมามองอย่างตั้งใจฟังแล้วพยักหน้าน้อยๆ “ที่กูเคยบอกไปว่าไม่อยากรู้จักกับบ้านมึงถ้าต้องไปในฐานะเพื่อน ตอนนี้กูเปลี่ยนใจได้ไหม แค่ฐานะเพื่อนก็ได้ กูอยากรู้จักพวกเขา แล้วก็ให้พวกเขารู้จักกู อยากจะมีตัวตนในสายตาพวกเขามากกว่านี้”

     ‘เผื่อเขาจะมีโอกาสชิงทำคะแนนไว้ก่อนด้วย’

     พิธานคิดต่อในใจ แต่คำพูดที่ออกมากลับดูน่าสงสารในสายตาม่านฟ้าเหลือเกิน จนหนุ่มอักษรได้แต่ถอนหายใจและพยักหน้ารับ

     “งั้นเริ่มจากหมอกก่อนเป็นไง ยังไงตอนนี้มันก็พอจะรู้จักมึงบ้างแล้ว ทั้งเรื่องที่ห้าง แล้วก็เรื่องเครื่องสำอาง ยังไงมึงก็ช่วยพวกเราไว้”

     ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้ารับก่อนเลื่อนสายตาลงมาที่แขนของม่านฟ้า เขาจับแขนผอมๆ ขึ้นมามอง เห็นรอยถลอกและรอยข่วนไม่น้อย แท้จริงเขาสังเกตตั้งแต่เมื่อวานที่ม่านฟ้าวิ่งมาหาว่าตามตัวมีร่องรอยแถมเศษใบไม้ติดตัวมา เมื่อคืนดีกันได้แล้วจึงถือโอกาสนี้ซักความเอากับจำเลยตรงหน้าต่อ

     “แล้วเมื่อวานมึงไปซนอะไรมา”

     ม่านฟ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้คนรักฟัง นอกจากจะไม่มีอาการเป็นห่วงแล้วยังได้สายตาเอือมระอากลับมาอีกด้วย ก่อนตามมาด้วยบทสนทนาในเรื่องต่างๆ ระหว่างที่พวกเขาห่างกัน

     สุดท้ายพิธานก็ยื่นคำขาดให้ม่านฟ้า ‘ต้อง’ พกโทรศัพท์ติดตัว และต้องโทรกลับไม่ว่าจะเหตุผลอะไรถ้าเห็นสายไม่ได้รับ คนตัวโตยังบ่นต่ออีกว่าหากได้คุยกันแต่แรกเรื่องอาจไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้

     ทั้งหมดนั้นจำเลยยอมรับความผิดแต่โดยดีและรับปากว่าจะ ‘พยายาม’ ทำให้ได้อย่างว่า ก่อนคดีสุดท้ายจะถูกขุดขึ้นมาเพื่อไต่สวน

     “ผู้หญิงที่ชอบลงรูปคู่กับมึง แท็กมึงเป็นใครกันแน่”

     ม่านฟ้าเลิกคิ้วขึ้นกับคำถามนั้น หน้าตาไม่มีแววพิรุธที่ส่ออาการตกใจหรือปกปิดอะไรทำให้พิธานสามารถถามต่อได้อย่างใจเย็น “ที่กอดแขนมึงแล้วบอกว่ารักมึง”

     เมื่อคำขยายความยังไม่สามารถไขข้อข้องใจของจำเลยได้ พิธานจึงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์แล้วแสดงพยานหลักฐานออกมาเพื่อชี้มูลความผิด

     จนเมื่อเห็นภาพที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของความไม่พอใจ ม่านฟ้าก็ร้องอ๋อออกมาเบาๆ แล้วตอบออกมาอย่างสบายๆ

     “น้องรหัสน่ะ”

     “แล้วน้องรหัสมาบอกรักพี่รหัสทำไม”

     “ก็กูติวสอบให้”

     “แล้วที่บอกเจอกันช้าไปคืออะไร”

     “น่าจะเพราะว่าตอนมิดเทอมน้องมันไม่ยอมให้กูติวให้เพราะเกรงใจ คะแนนเลยดิ่งลงใต้มีนฉุดไม่อยู่ เพิ่งมานึกได้ว่าให้กูติวดีกว่าก็ตอนไฟนอลแล้ว มันเลยบอกว่าเจอกันช้าไปมั้ง”

     ม่านฟ้าตอบออกมาอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน เล่นเอาพิธานถึงกับขมวดคิ้ว สิ่งที่ทำให้เขาแทบเป็นบ้าเป็นหลังกับมีที่มาเรียบง่ายขนาดนี้ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนคนงี่เง่าเข้าไปใหญ่

     “แต่มึงดูสนิทกันเกินไปไหม”

     ชายหนุ่มตัวโตแต่ใจน้อยเหลือเกินในตอนนี้พูดอ้อมแอ้มออกมา

     “กูก็รู้สึกแหละ กูเลยบอกน้องว่าให้เพลาๆ หน่อย กลัวมึงเข้าใจผิด” ม่านฟ้าพูดแล้วเหลือบตามองคนรักที่ยังทำหน้าบูดอยู่ “แต่ก็ไม่ทันแล้ว ขอโทษนะ กูน่าจะระวังตัวกว่านี้”

     พอได้ยินคนรักยอมรับผิดออกมาแบบนั้นพิธานก็ได้แต่ถอนหายใจ เอ่ยคำขอโทษออกมาเช่นกัน

     “กูก็ประสาทไปเองด้วยแหละ โทษที”

     “...”

     พิธานเหลือบไปมองคนรักที่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็งับปากตัวเองไว้แล้วทำหน้าครุ่นคิด ก่อนที่คำพูดต่อมาจะทำเขาโวยออกมาจริงๆ

     “จริงๆ เพื่อนน้องมันก็เชียร์ๆ พวกกูอยู่แหละตอนแรก ถึงบิ้วท์ให้น้องมันลงโซเชียลบ่อย กูเลยเรียกมาคุยให้ชัดว่ากูมีแฟนแล้ว ให้น้องมันหยุด น้องมันก็เลยเลิกไป”

     “นั่นไง!!! กูว่าแล้ว! แม่งแปลกๆ ”





     สุดท้ายหลังกล่อมพิธานจนสงบลงจากพิษรักแรงหึงได้แล้ว ม่านฟ้าก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนคว้าเครื่องสำอางเจ้าปัญหาที่เอามาฝากคนรักไว้ พิธานเองก็ลุกขึ้นเตรียมไปส่งคนรักที่หน้าบ้านเมื่อเห็นเจ้าตัวหยิบเครื่องสำอางใส่กระเป๋ากางเกง

     ม่านฟ้าหันกลับมามองหน้าคนรักอีกครั้ง ก่อนเอื้อมมือไปลูบแก้มพร้อมมองไปทั่วใบหน้าของพิธานอีกหนอย่างตั้งใจ

     “กูนึกว่าเราจะต้องเลิกกันซะแล้ว ใจหายหมด”

     “กูขอโทษนะที่ปากไม่ดีทั้งเรื่องวันนี้ แล้วก็ที่ห้างด้วย” พิธานกุมมือที่ลูบแก้มเขาไว้อีกที

     “อืม มึงก็ปากหมาจริงๆนั่นแหละ แต่กูเองที่ผิด ผิดมากกว่ามึงเยอะ”

     พิธานส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆ ให้กับคนรัก เมื่อมองย้อนกลับไปจากจุดนี้ ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเขาที่งี่เง่ามาก โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรื่องทุกอย่างไม่เลวร้ายไปกว่านี้และคนตรงหน้ายังให้อภัยเขา

     “เรื่องนั้นกูเป็นคนยอมรับเงื่อนไขเองตั้งแต่แรก”

     “กูเองก็ยอมรับกับปากแบบนี้ของมึงมาตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ใช่ว่ามึงเพิ่งจะมาปากหมาเอาตอนนี้ซะหน่อย ยิ่งมีเรื่องให้หึงก็ยิ่งกลายเป็นหมาบ้า” ม่านฟ้าพูดออกมาพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ดึงมือของตัวเองกลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง “เพราะฉะนั้นเลิกขอโทษกันได้แล้ว”

     ชายหนุ่มร่างสูงดึงคนรักมากอดแรงๆ อีกครั้งก่อนผละออก ยู่หน้าขมวดคิ้วเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

     “แต่กูก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี มึงตบปากกูสักทีเหอะ กูจะได้สบายใจ”

     เพียะ!!

     สิ้นคำมือเรียวของม่านฟ้าก็ฟาดเข้าไปที่ปากของคนรักดังลั่นทันที พิธานสะดุ้งเอามือกุมปากอย่างตกใจปนเจ็บปวด เขาตบปากตัวเองเพราะโมโหอยู่หลายครั้งแต่ความเจ็บปวดยังไม่เท่ากับการลงมือของม่านฟ้าเพียงครั้งเดียวเลย

     ใส่เต็มแรงเลยนี่หว่า

     “สบายใจยัง”

     คนประทุษร้ายถามออกมาเสียงเรียบเฉย แต่ดวงตาฉายแววขบขันไม่น้อยก่อนดึงมือคนรักออกมามองปากที่ขึ้นสีแดงเรื่อแล้วลูบให้เบาๆ

     “มึงลงโทษกูแล้ว ให้กูลงโทษบ้างเลย”

     พิธานยู่ปากพูดเล็กน้อยแล้วก้มตัวลงมาหวังใช้ริมฝีปากของคนตรงหน้าลดความเจ็บปวดลงบ้าง แต่กลับช้ากว่าฝ่ามือของอีกคนที่อยู่ใกล้กับริมฝีปากมากกว่าจึงปิดไว้ได้ก่อนจะถึงที่หมาย

     “มุกเก่ามาก ขออะไรที่ใจเต้นกว่านี้ได้ป่ะ”

     ถึงฝ่ามือจะปิดปากคนรักอยู่ แต่ม่านฟ้าก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากที่อยู่ด้านหลังเบะออกอย่างไม่พอใจ หนุ่มอักษรคลี่ยิ้มหวานออกมาก่อนผละฝ่ามือจากริมฝีปากอุ่นแล้วประคองใบหน้าคนรักให้โน้มลงมาพร้อมปรือตาลงเล็กน้อย

     พิธานฉีกยิ้มกว้างแล้วก้มลงไปด้วยใจเต้นแรง แต่ม่านฟ้ากลับเขย่งตัวขึ้นแล้วยื่นหน้าขึ้นไปกดริมฝีปากเข้ากับหน้าผากของเขา

     เอ๊ะ

     ม่านฟ้าหลุดขำออกมาเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการค้างไปของร่างสูงเมื่อเขากลับมายืนตามปกติ

     พิธานขมวดคิ้วมุ่นเมื่อหลุดออกจากอาการงุนงง รู้สึกถึงความร้อนที่แก้มเมื่อคิดได้ว่าตัวเองเผลอปล่อยไก่ให้คนรักแกล้งอีกแล้ว เขาเม้มริมฝีปากที่เก้อเป็นครั้งที่สอง นอกจากจะไม่ได้ยารักษาแผลแล้วยังรู้สึกเจ็บกว่าเดิมอีก

     เจ็บที่ใจเนี่ย โว้ย!

     “บุหรี่มึงกูลืมหยิบมา เดี๋ยววันหลังกูค่อยเอามาคืนนะ”

     คำพูดเรียบง่ายแต่กลับดึงพิธานออกจากภวังค์พร้อมอาการสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองคนรักอย่างคนมีชนักติดหลัง

     “คือ...จริงๆ วันนั้นอ่ะ กูว่าจะเอาออกไปทิ้งพอดี กูไม่ค่อยได้สูบแล้ว มึงทิ้งไปเลยก็ได้ ไม่ต้องเอามาคืนหรอก”

     คำพูดลนๆ ของคนรักทำให้ม่านฟ้าพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ กล่าวตอบรับพร้อมหันไปมองอีกทาง

     “เหรอ แต่ซองเบาเชียวนะ”

     “กูพูดจริงๆ นะ!”

     พิธานบอกตัวเองว่าอย่าพูดอึกอักเหมือนคนมีพิรุธ แต่ก็ดันเผลอพูดเร็วปรื๋อจนลิ้นแทบพันกันแถมเสียงดังขึ้นมาระดับหนึ่ง แสดงพิรุธที่คงหาชัดเจนกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

     “กูก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนิครับ”

     ยิ่งม่านฟ้าตอบรับเรียบๆ อย่างไม่มีทีท่าจะต่อว่า พิธานก็ยิ่งร้อนรนจนสมองคิดบางอย่างออกมาได้และรีบพูดออกไปทันที

     “อ่ะ ไม่งั้นกูพิสูจน์ให้ดูก็ได้”

     ว่าจบพิธานก็ก้มตัวลงมาหวังครอบครองริมฝีปากที่ยั่วตาเขามาหลายรอบแต่ก็ไม่สำเร็จสักที

     และครั้งนี้ก็เช่นกัน

     เป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากของพิธานถูกปิดเอาไว้ก่อนถึงเป้าหมายเพียงลมหายใจกั้น

     ยัง ยังมีคนไม่ยอมแพ้

     ม่านฟ้าส่ายหน้าระอาพร้อมยิ้มมองคนรักอย่างเอ็นดู มองอีกคนพยายามจะดันหน้าเข้ามาทั้งที่มีมือของเขากั้นอยู่ สงสารก็สงสารคนมีความพยายาม แต่เขาเองก็อยากแกล้งคนรักให้สะใจสมกับที่ทำเครียดแทบตายตอนเดินมาหา ละมือออกจากริมฝีปากอีกคนแล้วตบแก้มคนรักเบาๆ

     “บุหรี่มึงอยู่กับกูแล้วมึงจะสูบได้ไงห๊ะ แล้วขอโทษนะ มุกนี้ก็เก่าพีท ไปเรียนมาใหม่นะครับ”


     TBC



     Achaya (Writer) :

     เอาตอนเบาๆ มาเสิร์ฟ ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์ค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 4 (21.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-11-2020 02:37:04
อยากอ่านอีกกกกก
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 5 (28.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 28-11-2020 23:41:58
ภาคความจริง : บทที่ 5

     ม่านฟ้าอธิบายเรื่องราวการผจญภัยของตนที่กระโดดลงจากหน้าต่าง วิ่งหนีออกจากบ้าน จนกระทั่งไปพบเจ้าชาย เอ๊ย ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งดันบังเอิญเป็นคนเดียวกับคนใจร้ายที่เคยพบแต่ขณะนั้นกำลังถูกปีศาจร้ายเข้าครอบงำอยู่ให้น้องชายฟังอย่างสัตย์จริง สาบานว่าใส่ไข่ให้คนรักไปนิดเดียวเท่านั้น เพราะรู้ว่าพิธานอยากจะทำคะแนนกับครอบครัวของเขาก่อนจะถึงเวลาบอกความจริง

     ถามว่าทำไมถึงรู้ว่าเจ้าตัวอยากจะทำคะแนนน่ะเหรอ

     “จริงๆ ถ้ามึงอยากบอกก่อน กูว่า แม่กูอาจจะโอเคก็ได้นะ”

     คำพูดลอยๆ ดังขึ้นขณะที่พิธานกำลังเดินลงมาส่งคนรักที่หน้าบ้าน ใบหน้าที่ยังแสดงออกถึงความ ‘เซ็ง’ ขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย

     “หมายถึง? ”

     “บอกแม่ไง แม่กู” ม่านฟ้าขยายความด้วยคำอธิบายที่ไม่ใช่คำอธิบาย แต่เป็นเพียงการพูดซ้ำ

     “เรื่องของเรา พ่ออาจรับไม่ได้ แต่แม่น่าจะพอคุยได้ ไม่ต้องรอเวลาขนาดนั้นก็ได้ ถ้ามึงต้องการ”

     สุดท้ายหนุ่มอักษรฯ ก็กล่าวคำอธิบายจริงๆ ออกมาให้คนรักพยักหน้าเข้าใจ ม่านฟ้านึกไปถึงข้อความที่แม่เคยเขียนโดยใช้แอคเคาท์ของเขาเมื่อครั้งที่กำลังเป็นกังวล

     ‘พ่อแม่คือบุคคลที่ให้ชีวิต การให้ชีวิตไม่ได้หมายถึงเพียงการให้กำเนิดแต่หมายถึงการให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการ เราแค่คอยดูแลให้เขามีความสุข ไม่ทำร้ายตัวเองและคนอื่นก็พอค่ะ อย่ากดดันเขาด้วยเพศที่เขาจะต้องเป็นเลย’

     เพราะความคิดเห็นนั้นของแม่ ทำให้ม่านฟ้าเลือกที่จะเลิกคิดถึง ‘คนอื่น’ แต่พอใจอยู่กับแค่การยอมรับของ ‘ครอบครัว’ ก็พอ

     ต่อให้ในกระทู้นั้นหรือโลกภายนอกจะสารพัดไปด้วยความคิดเห็นเช่นไร อย่างไรก็ไม่กระทบเขาอยู่ดี เมื่อเขาเล่าเรื่องดังกล่าวให้ภูหมอกฟัง เจ้าตัวก็ดูมั่นใจในตัวเองมากขึ้นกับการใช้ชีวิตภายใต้สายตาคนรอบข้าง แถมเขาเองก็รู้สึกมีหวังขึ้นมาเหมือนกัน

     “ไม่เอาอ่ะ”

     เสียงของพิธานดึงหนุ่มอักษรฯ ออกจากภวังค์แล้วต้องขมวดคิ้วเมื่อได้รับคำตอบที่ทำให้แปลกใจนี้ถึงสองครั้งในวันเดียว

     “...”

     แม้คนรักไม่ได้เอ่ยคำถามออกมาแต่สีหน้างุนงงและการเอียงคอเล็กน้อยนั้นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเดาความคิดของอีกคนได้

     “กูว่าได้เข้าไปรู้จักกับบ้านมึงแบบปกติก่อนดีกว่า”

     พิธานพูดแล้วเริ่มมืออยู่ไม่สุขขยับจับผมคนรักมาพันนิ้วเล่น

     “ตอนแรกกูก็คิดว่ายังไงก็อยากบอกให้ได้ต่อให้อะไรจะเกิดกูก็พร้อมรับ แต่ตอนนี้กูเปลี่ยนแผนล่ะ มาคิดอีกที ถ้าเราพอจะทำให้ผลลัพธ์ในวันที่เราบอกความจริงมันไม่เลวร้ายมากได้ มันก็คงดี”

     หนุ่มวิศวะอธิบายให้คนรักฟังเพิ่มก่อนลูบผมคนรักให้กลับมาเป็นทรงเดิมแต่ดูเหมือนคำพูดนั้นจะยังเป็นนามธรรมมากเกินไป

     “กูถึงบอกว่าอยากไปทำความรู้จักบ้านมึงก่อน แบบทำคะแนนไว้ก่อนงี้ ระหว่างผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้เป็นใครเดินมาขอเป็นลูกเขยกับผู้ชายที่พ่อแม่ก็พอจะรู้จักอยู่แล้ว แถมเป็นคนดี๊ดี หาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วมาขอ แบบหลังก็น่าจะดูโอเคกว่าอยู่แล้วม่ะ ต่อให้พวกเราอาจจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ไม่แน่พ่อมึงอาจจะอ้าแขนรับลูกเขยสุดหล่อคนนี้โดยไม่เกิดเรื่องอะไรเลยก็ได้”

     “อา..”

     ม่านฟ้าคิดว่าเรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งเรื่องที่พ่อยอมรับแต่โดยดีและเรื่องลูกเขยสุดหล่อ ‘ดี๊ดี’ ที่เขาไม่รู้ว่าคนที่พูดถึงนั้นคือใคร แต่ก็พูดไม่ออกจนได้แต่ส่งเสียงตอบรับไปเบาๆ

     “เป็นไงเจ๋งม่ะ”

     “อืม...หมายถึงมึงจะเข้าไปทำคะแนนกับบ้านกูก่อนในฐานะเพื่อน แล้วค่อยบอกความจริงทีหลังว่าเป็นแฟนงี้เหรอ” เมื่อโดนเร่งเร้า ม่านฟ้าก็อธิบายแค่ส่วนที่ตัวเองเข้าใจออกมาก่อน

     “ใช่ จริงๆ นี้ก็ถือเป็นเบสิกที่ส่วนใหญ่เขาทำกันป่ะ ต่อให้เป็นคู่รักหญิงชายบางทีก็เริ่มที่แบบนี้ กูก็เพิ่งนึกได้ตอนที่มึงย้ำว่ามุกเก่าซ้ำๆ นั่นแหละ” ท่อนสุดท้ายพิธานลดเสียงลงจนคล้ายพูดกับตัวเองพร้อมทำสีหน้าเอือมออกมาอีกหน

     ม่านฟ้าเม้มปากเล็กน้อยและทำได้เพียงพยักหน้ารับออกมาเบาๆ

     นึกถึงคะแนนแรกที่พิธานได้ไปจากการเจอภูหมอกครั้งนั้นก็รู้สึกสงสารเพราะเจ้าตัวไม่ได้เริ่มต้นที่ศูนย์แต่เริ่มต้นที่ติดลบไปเสียแล้ว

     เอาหน่า เขาเองก็จะเป็นกำลังใจและคอยช่วยเหลือคนรักอีกแรงแล้วกัน






     หลังจากวันนั้นเกือบสัปดาห์แล้วที่เขาคอยหาช่องทางทำคะแนนให้คนรัก คิดว่าควรหาลู่ทางให้คนรักเองดีกว่าปล่อยเจ้าตัวจัดการเพราะความคิดแต่ละอย่างของคนรักมันดูทีเล่นทีจริงเสียจนเขากลัว

     “หรือมึงว่ากูไปจ้างเพื่อนกูมาย่องเข้าบ้านมึงจะขโมยของ แล้วกูก็มาช่วยจับโจรอย่างงี้ดีม่ะ”

     ครับ...ที่รัก

     ม่านฟ้าได้แต่ดึงสีหน้าตัวเองไว้ไม่ให้แสดงออกชัดนักว่าท้อใจกับแผนนั้น แล้วรับปากจะช่วยหาทางให้

     .

     .

     และเหมือนวันนี้...เขาจะเริ่มมองเห็นโอกาสการทำคะแนนของคนรักซะแล้วสิ

     ตอนนี้ภูหมอกกำลังร้องหาครูสอนพิเศษสำหรับติวสอบ เพราะม่านฟ้าไม่สามารถช่วยเหลือด้านวิชาการอื่นให้แก่น้องได้เลยนอกจากวิชาด้านภาษาและสังคม

     ไม่ได้แกล้งไม่เข้าใจเพื่อให้น้องหาครูสอนพิเศษด้วย

     โง่จริง ไม่ได้หลอก

     แต่แล้วความจริงกลับโหดร้ายกับเราเสมอ เพราะการพบกันครั้งแรกของพิธานและภูหมอกที่ห้างสรรพสินค้า ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง

     “ไม่มีทาง!!! หมอกเกลียดเขา!”

     ภูหมอกตะโกนขึ้นมาเมื่อเขาพูดถึงพิธาน เด็กหนุ่มยังฝังใจกับสิ่งที่ชายร่างสูงคนนั้นเคยพูดไว้ เขาคิดว่าการต้องฝืนเรียนกับคนที่มองเขาเป็น ‘ตัวน่ารังเกียจ’ อย่างที่อีกฝ่ายเคยพูดมันมากเกินไปจริงๆ

     ม่านฟ้ามองน้องชายอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรเมื่อเจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองไม่ใช่เป้าหมายของคำพูดวันนั้นด้วยซ้ำ แต่อย่างไรแม้แต่ตัวเขาเองยังเคยเข้าใจผิดเลย แล้วนับประสาอะไรกับภูหมอกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด

     ชายหนุ่มมองหน้าตาบูดบึ้งพร้อมท่าทาง ‘เกลียดเข้าไส้’ เช่นนี้ของน้องชายก็ได้แต่ถามตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป หากวันหนึ่งภูหมอกรู้เข้าว่าคนที่ตัวเองเกลียดดันเป็นคนรักของพี่ชาย

     “เกลียดอะไรมักจะได้แบบนั้นนะ ระวังเถอะ”

     ได้มาเป็นพี่เขยมึงอ่ะ

     ความคิดในใจไม่ได้กล่าวออกไปแต่คำพูดพึมพำเสียงเบาของม่านฟ้ากลับทำให้น้องชายตีความไปได้อีกแบบหนึ่ง

     “พี่เมฆ!!! ถึงหมอกจะเป็นตุ๊ดหรือชอบผู้ชายแต่ก็ไม่ตาต่ำถึงขนาดเอาผู้ชายอย่างหมอนั่นมาเป็นแฟนหรอกนะ”

     'คนตาต่ำ' ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อน้องชายตะโกนออกมา ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเบาๆ แล้วพยายามอธิบายแก้ความเข้าใจผิดนั้น

     “กูก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น”

     “แล้วหมายความว่ายังไง”

     เมื่อไม่เห็นหนทางในการอธิบายให้เข้าใจได้ ม่านฟ้าจึงทำได้เพียงตอบปัดออกไป

     “... ก็เปล่า เออๆ ตกลงไม่เอาใช่ไหม ไม่เอาก็ไม่เอาดิ กูก็แค่เสนอไหม โวยกูทำไมเนี่ย”

     ขอโทษนะพีท คนตาต่ำคนนี้ได้พยายามแล้ว

     ----

     ‘โอยย ไม่เอาๆๆ ถึงน้องมึงไม่ปฏิเสธ กูเนี่ยแหละจะปฏิเสธเอง’

     เสียงของพิธานรีบปฏิเสธเมื่อได้ยินเรื่องราวจากม่านฟ้าผ่านทางโทรศัพท์ นั้นทำให้คนโทรมาขมวดคิ้วเมื่อไม่มีใครเห็นตรงกับเขาสักคน

     หนุ่มอักษรฯ คิดว่าหากให้พิธานมาเป็นครูสอนพิเศษได้ พิธานจะได้รู้จักบ้านของเขาได้อย่างไม่ผิดสังเกต การต้องมาที่บ้านบ่อยๆ ก็คงจะช่วยให้ได้รู้จักพ่อกับแม่ของเขาไปด้วย หากเทียบกันระหว่างเพื่อนที่มาหาธรรมดากับครูสอนพิเศษที่มา ‘ช่วย’ สอนน้อง อย่างหลังนั้นดูจะทำคะแนนได้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

     ไม่ทันที่ม่านฟ้าจะอ้าปากถามถึงเหตุผล อีกคนก็ตอบมาให้พร้อมสรรพ

     ‘กูเคยติวให้ลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง แม่ง โคตรโง่ สอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ พูดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ’ พิธานพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความท้อแท้เสียเหลือเกิน แล้วย้ำประโยคสุดท้ายใส่คนรักเต็มๆ ‘บอกตรงๆ เหนื่อยมาก..’

     “...”

     ‘..ถึงจะได้ค่าสอนที่โคตรคุ้มก็เหอะ’

     “ค่าสอนอะไร” แม้หน้าตาของม่านฟ้าจะเริ่มนิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้เมื่อคนรักพูดถึงค่าสอนที่เขาไม่เคยรู้

     ‘ก็ได้มาเป็นแฟนนี้ไง’

     ใช่ พิธานเคยติวคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ให้ม่านฟ้าสมัยมัธยม แม้ไม่ใช่การติวเพื่อสอบเอ็นทรานซ์อย่างของภูหมอก แต่เป็นเพียงการสอบเก็บคะแนนที่โรงเรียนก็เถอะ

     พิธานยังฝังใจกับการสอนให้ลูกศิษย์ได้ดีไม่ได้ ม่านฟ้าสอบเก็บคะแนนเทอมนั้นได้เกรดเพียงสามจุดห้า ทั้งที่เขาคาดหวังว่าจะให้เจ้าตัวเอาสี่ไปฝากพ่อเสียหน่อย

     ‘ข้อง่ายๆ ก็ยังงงแล้วงงอีก จนกูงงไปด้วยเลยว่างงอะไร’ เมื่อคนรักยังไม่เลิกบ่น ม่านฟ้าก็สวนกลับไปบ้างด้วยอารมณ์ที่เริ่มฉุนเฉียว

     “แหม อังกฤษอ่ะ แม่งมีอยู่แค่ 12 tenses มึงก็งงเหี้ยอะไรของมึงนักหนาก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละ” ไม่ใช่เพียงพิธาน แต่ม่านฟ้าเองก็เคยติวภาษาอังกฤษที่พิธานไม่ถนัดมาก่อนเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก

     ‘ภาษาอังกฤษแม่งแค่พอพูดได้ ฟังได้ อ่านออกก็พอป่ะ ทำไมต้องแกรมม่าเป๊ะๆ ด้วยก็ไม่รู้’

     “แล้วเวลามึงสอบ มึงไม่พูดงี้กับอาจารย์ล่ะครับที่รัก”

     ‘เชอะ ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่กู ทำไมกูต้องไปทำความเข้าใจมันนักหนาด้วย’

     “แล้วฟิสิกส์กับเลขนี่ต้นตระกูลมึงคิดสูตรออกมารึไง”

     จากเสียงพูดคุยธรรมดาก็เริ่มมีเสียงทุ่มเถียงดังขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะถูกพิธานดึงออกไปเรื่องอื่นและจบบทสนทนาเกี่ยวกับการสอนพิเศษไว้เพียงแค่นั้น

     ----

     “ทำไร ไม่อ่านหนังสือรึไง”

     เสียงของม่านฟ้าทักขึ้นเรียกน้องชายให้หันไปมอง ชายหนุ่มเห็นภูหมอกกำลังเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อหาอะไรบางอย่าง ทั้งที่บ่นเช้าบ่นเย็นว่ากลัวอ่านหนังสือไม่ทัน แต่กลับเห็นนั่งเล่นอยู่แบบนี้จึงอดแปลกใจไม่ได้

     “หาวิธีทำข้อนี้”

     ภูหมอกพูดแล้วพยักพเยิดไปทางแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ที่กำลังทำอยู่ หน้าบึ้งๆ เหลือบมามองพี่ชายเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มถามขึ้นมาอีกประโยค

     “แล้วในหนังสือไม่เฉลยหรือไง”

     “มันเฉลยแค่คำตอบ ไม่ได้บอกวิธีทำไง”

     หนุ่มอักษรฯ ฟังเสียงถอนหายใจของน้องชายแล้วก็ส่ายหน้าจนปัญญาที่จะช่วยเหลือ แต่มือก็เผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปโจทย์ข้อดังกล่าวแล้วกดส่งไปหาใครบางคน

     ‘ช่วยหน่อย’

     เสียงกดส่งข้อความดังขึ้นให้ภูหมอกหันกลับไปมอง เพราะระยะห่างที่อยู่ไม่ไกลแถมมือของม่านฟ้าที่ยืนถือโทรศัพท์ก็อยู่ในระดับสายตาของภูหมอกที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือพอดี ทำให้เด็กหนุ่มเห็นอีโมติคอนหน้าเอือมระอาถูกส่งกลับมาจากคู่สนทนาอีกฝั่ง

     ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีภาพบางอย่างก็ถูกส่งกลับมาโดยไร้ข้อความประกอบ ม่านฟ้ากดขยายภาพให้เห็นชัดขึ้นแล้วส่งโทรศัพท์ที่แสดงภาพกระดาษยับๆ พร้อมลายมือหวัดๆ ไปให้น้องชาย

     ภูหมอกก้มลงมองวิธีการแก้โจทย์ที่ถูกเขียนมาแล้วก็ได้แต่เม้มปากหงุดหงิดตัวเองที่คิดไม่ออก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาควรสงสัยถึงตัวตนคู่สนทนาอีกฝั่งของพี่ชายก่อน

     “ใครอ่ะ”

     “...”

     “พี่พีทเหรอ” เมื่อเห็นพี่ชายยังคงเงียบแต่ยักไหล่ตอบกลับมาก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้คำตอบ “ยังติดต่อกันอยู่อีกเหรอเนี่ย ถึงเขาจะเคยช่วยเรา แต่ก็เคยทำไม่ดีกับเราเหมือนกัน ก็ถือว่าเจ๊ากันแล้วไง ไม่เห็นต้องยังติดต่อกันอยู่เลย”

     น้ำเสียงไม่พอใจของน้องชายทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจ ขยับตัวไปนั่งขอบโต๊ะเขียนหนังสือ ถึงทั้งสองฝ่ายจะดูไม่อยากสอนอยากเรียนกันสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่สุดแล้ว

     มือเรียวขยับโทรศัพท์ในมือเล็กน้อยแล้วยกขึ้นจิ้มไปที่หน้าผากน้องชายเบาๆ

     “โอกาสสุดท้ายแล้วนะ จะสอบไม่ติดหรือจะลดทิฐิลง เอาไง”

     ----

     ไม่ต่างจากที่คิดไว้ หลังจากม่านฟ้ากล่อมน้องชายเสร็จก็ต้องมากล่อมอีกคนหนึ่งต่อ แถมคนนี้ดูจะไม่ได้กล่อมง่ายเหมือนน้องชายเขาเสียด้วย

     “ไม่”

     ทันทีที่เอ่ยปาก คนรักของเขาก็ปฏิเสธออกมาทันทีอย่างไม่ต้องคิด

     พิธานสังหรณ์ใจแปลกๆ ตั้งแต่ม่านฟ้าส่งรูปโจทย์คณิตศาสตร์มาถาม ตอนนั้นได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ลางสังหรณ์ของเขาเป็นจริง แต่ดูเหมือนผลลัพธ์จะเห็นชัดอยู่ตรงหน้าแล้ว

     “หมอกมันไม่โง่แบบกูหรอกน่า แถมวิธีนี้มึงจะได้รู้จักทั้งบ้านกูเลยนะ ทำคะแนนได้มากกว่าเดินเข้าไปแนะนำตัวเฉยๆ แน่นอน” ม่านฟ้าอธิบายเหตุผลที่เคยคิดไว้ แต่ไม่ทันอธิบายให้คนรักฟังในคราวก่อนเพราะมัวแต่เถียงกันเรื่องไม่เข้าเรื่อง

     “แถมมึงจะได้มาหากูบ่อยๆ แบบไม่ผิดสังเกตด้วยนะ ยังไงได้เจอหน้ากันก็ดีกว่าแค่คุยโทรศัพท์ไม่ใช่เหรอ”

     “...”

     เมื่อพิธานเงียบไปอย่างเริ่มคิดหนัก ม่านฟ้าจึงต้องรีบแถมท้ายด้วยประโยคที่ซื้อใจคนตัวโตได้แทบจะทันที

     “ทั้งหมดนี้กูทำเพื่อเรานะ” ม่านฟ้าพูดแล้วดึงชายเสื้อคนรักเบาๆ ระยะที่ใกล้เข้ามาทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าต้องเงยหน้ามองอีกคน สายตาที่มองขึ้นไปจึงคล้ายกับจะอ้อนอยู่ในทีจนพิธานรู้สึกถึงสัญญาณอันตราย

     มือใหญ่จับไหล่สองข้างของคนรักแล้วดันออกสุดแขน ทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยต่อบทสนทนาก่อนที่เขาจะเสียดุลการค้ามากจนเกินไป

     “แล้วกูจะได้อะไร”

     “คะแนนไง”

     “เป็นนามธรรมเกินไป แถมมีความเสี่ยงอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าจะได้สักแค่ไหน กูอยากได้อะไรที่เป็นรูปธรรมหน่อย” ม่านฟ้ามองคนรักที่ทำลอยหน้าลอยตาอยู่ขณะนี้ รู้ดีว่าใจเจ้าตัวยอมตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เพียงแค่เล่นตัวเพราะอยากได้อะไรก็เท่านั้น

     จะไม่แกล้งสักวันแล้วกัน

     ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าขยับเข้าไปใกล้คนรักอีกครั้งหลังจากเมื่อครู่โดนดันออกมา ยืดตัวตรงแล้วเงยหน้าขึ้นจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นของคนตัวสูงแต่กลับไม่ยอมสัมผัสริมฝีปากกับคนรักเว้นระยะไว้เพียงเล็กน้อยก่อนเสนอออกมา

     “งั้นแบบนี้ได้ไหม”

     ผิดคาด ม่านฟ้าคิดว่าพิธานคงทำหน้าตาระริกระรี้หรือยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างคนมีชัย แต่พิธานกลับรีบดึงตัวออกห่างจากเขาอย่างคนระแวง แล้วมองกลับมาด้วยสายตาจับผิด

     “เห้ย ให้จริงอ่ะ มุกนี้มันก็เก่าไม่ใช่เหรอ”

     ได้ฟังอย่างนั้นม่านฟ้าถึงกับอมยิ้มจนแก้มตุ่ย เอียงคอมองคนรักอย่างเอ็นดูแล้วถามกลับไป

     “หรือจะไม่เอา”

     “เอา! ”

     คราวนี้ไม่ผิดจากที่คาด พิธานรีบตอบออกมาอย่างไม่ต้องคิดและก็ไม่คิดจะมีมาดอะไรอีกแล้ว โอกาสมาถึงแล้วคนฉลาดอย่างเขาย่อมต้องรีบคว้าไว้ ปฏิกิริยานั้นทำให้ม่านฟ้าอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบแก้มคนรัก แล้วลองเอ่ยเงื่อนไขข้อหนึ่งออกมาเล่นๆ

     “หลับตาก่อน”

     “ไม่! ” พิธานรีบปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมคำขยายความ “เดี๋ยวมึงแกล้งอะไรกูอีก ยิ่งชอบเล่นตุกติกอยู่”

     คราวนี้คนชอบเล่นตุกติกถึงกับหลุดขำออกมา ไม่คิดว่าตัวเองจะแกล้งบ่อยจนคนรักกลัวขนาดนี้ สัญญากับตัวเองในใจว่าจากนี้จะพยายามแกล้งคนตรงหน้าให้น้อยลงแล้วพยักหน้ายอมรับคำปฏิเสธนั้น

     พิธานใช้มือใหญ่ข้างหนึ่งประคองแก้มคนรักขึ้นมา รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นหนึ่งจังหวะ ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยจูบกัน แต่มันก็ห่างหายเรื่องแบบนี้มาพอสมควรแล้ว ครั้นได้กลับมาทำอีกครั้งก็อดตื่นตัวไม่ได้

     ไม่ทันที่ริมฝีปากของพิธานจะถึงที่หมายดังหวัง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

     ไอเชี่ยย นี่มันมุกเก่าของจริง!!!

     ก่อนที่มุกเก่าเหล่านั้นจะดำเนินต่อไป พิธานที่กำลังสบถด่าโชคชะตาอาภัพของตนเองก็รีบดึงมืออีกข้างมาจับที่ใบหน้าคนรักไว้ด้วยสองมือ ริมฝีปากอุ่นรีบประกบลงไปทันทีโดยไม่คิดจะสนใจเสียงโทรศัพท์ที่กำลังร้องประท้วง บดจูบอยู่เนิ่นนานกว่าริมฝีปากทั้งคู่จะผละออกจากกันอย่างแผ่วเบา

     ม่านฟ้าหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของคนรัก แต่ก่อนจะทันได้ตั้งตัว มือของอีกคนก็เปลี่ยนมาคว้าเข้าที่ท้ายทอยของเขาแล้วกดจูบลงมาอีกหน เพราะไม่ได้เตรียมใจถึงการจูบครั้งที่สองม่านฟ้าจึงไม่ได้เตรียมรับมือให้ดีนัก เขารู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นของอีกฝ่ายที่ขบเข้ากับริมฝีปากล่างจนเผลอเผยอริมฝีปากออก

     เรียวลิ้นอุ่นถูกแทรกเข้ามาในโพรงปากทันที ตวัดเกี่ยวลิ้นของร่างเล็กกว่าอย่างจาบจ้วง พิธานรู้สึกถึงมือที่ขยุ้มเสื้อของเขาไว้และแรงดิ้นเล็กน้อยก่อนที่จะคลายลง ม่านฟ้านึกเจ็บใจที่เผลอประมาทแต่เพราะรสจูบที่แปรเปลี่ยนเป็นหวานล้ำทำให้สมองของเขาเริ่มนึกสิ่งใดไม่ออก ก่อนที่ทุกอย่างจะขาวโพลน ความคำนึงสุดท้ายของม่านฟ้าก็ผุดขึ้นมาในหัว

     ค่าสอนคอร์สนี้มันชักจะแพงไปแล้วนะ!!



     TBC




     Achaya (Writer) :

     ช่วงนี้จะชิวๆหวานๆ เอาจริงๆคนแต่งเองก็เก็บกดมาไม่น้อยที่ต้องเก็บความลับมาตลอดภาคหลัก ขอเติมหวานนิดหนึ่งละกัน

     ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และที่เข้ามาอ่านกันนะคะ


หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 5 (28.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-11-2020 01:11:59
 :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 5 (28.11.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-11-2020 22:18:23
ขอนิดขอหน่อยย
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 6 (06.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 06-12-2020 01:24:53
ภาคความจริง : บทที่ 6


      พิธานถูกคนรักเรียกให้มาหาที่บ้านในอีกสองวันหลังจากนั้น โดยม่านฟ้าบอกว่าให้เวลาเขาสำหรับการหาหนังสือติวสมัยเอ็นทรานซ์และเวลาเตรียมใจสำหรับทั้งครูและศิษย์ ชายหนุ่มร่างสูงเดินเอื่อยๆ จากบ้านตัวเองทะลุซอยต่างๆ จนมาถึงบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ของคนรักที่เขาคุ้นเคย

      เขาเริ่มสังเกตบ้านหลังนี้ครั้งแรกก็สักสี่ปีก่อนในตอนดึกของวันปิดคอร์สเรียนที่ดันเผลอเดินตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เจอหน้ากันบ่อยเหลือเกิน แต่ไม่เคยกล้าที่จะทำความรู้จัก

      บ้านหลังคุ้นเคยที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็มีสิทธิ์เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังนี้เท่านั้น

      แต่วันนี้...เขากำลังจะได้ก้าวเข้าไปอีกขั้น ก้าวเข้าไปเพื่อรู้ถึงตัวตนของคนรักให้มากขึ้น ได้สัมผัสถึงบ้านหลังที่ม่านฟ้าเติบโตมาด้วยตาของเขาเอง

      “ยืนเล่นเอ็มวีอะไรอยู่ ไม่ร้อนรึไง”

      เสียงของคนรักดังขึ้นฉุดเขาออกจากภวังค์ ม่านฟ้าโผล่หัวออกมาจากประตูบ้าน กวักมือเรียกให้เขาลากประตูรั้วออกแล้วเดินเข้าไปหาที่หน้าประตู

      หลังจากร่างสูงเดินเข้ามาภายใน ม่านฟ้าก็ปิดประตูบ้านปล่อยให้คนรักมองซ้ายมองขวาสำรวจรอบบ้านของเขาจนพอใจแล้วหันกลับมามองที่เขา สายตาสองคู่ที่สบกันต่างชะงักไปเล็กน้อย ความรู้สึกเมื่อครั้งที่เจอกันล่าสุดถูกดึงย้อนกลับมาอีกครั้งจนทั้งคู่เผลอเบนสายตาออกจากกัน

 

      หลังจูบที่ยาวนานผ่านพ้นไปอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์ที่ร้องงอแงก็ดับลงไปพักหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มทั้งคู่ยืนหอบหายใจเงียบๆ ราวกับยังติดอยู่ในภวังค์ ม่านฟ้าเป็นคนแรกที่ดึงสติของตัวเองกลับมาได้ก่อน เขารีบฉวยโอกาสที่อีกคนยังเผลอ พูดประโยคมัดมือชกออกไป

      “ค่าสอนทั้งคอร์สนะ”

      กว่าว่าที่ครูสอนพิเศษจะรู้ตัว ผู้ปกครองของเด็กก็ถอยหลังออกไปจนพ้นรัศมีแขนยาวๆ ของเขาแล้ว จะอ้าปากเถียงถึงค่าจ้างที่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมแต่กลับไม่ทันอีกคนที่เอ่ยขอเสนอเพิ่มเติมมาให้

      “แต่ถ้าทำงานดีจะมีทิปให้”

      ไม่ต้องบอกว่า ‘ทิป’ ที่ว่าคืออะไร เมื่อเจ้าตัวขยับเท้าก้าวเข้ามาใกล้อีกหนแล้วยื่นหน้ามาจุ๊บเบาๆ ที่ปากของเขาอีกครั้ง

      พิธานมองคนรักฉีกยิ้มกว้างออกมาเหมือนไม่สะทกสะท้าน หากไม่เห็นว่าแก้มขาวขึ้นสีแดงเรื่อคงดูไม่ออกว่าเจ้าตัวก็เขินเช่นกัน ผิดกับเขาที่รู้สึกถึงความร้อนบริเวณใบหน้าลามไปถึงใบหู จนมือไม้เกะกะไปหมด

      ตั้งแต่คบกันมามีไม่กี่ครั้งที่พวกเขาจะจูบกันลึกซึ้งเช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาที่เป็นคนนำแต่ก็อดรู้สึกเขินไม่ได้

      ม่านฟ้าเองก็ต้องข่มความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างเต็มที่ พยายามแทบตายเพื่อให้สามารถวางท่าทีได้เช่นนี้ และก่อนที่อาการใดจะหลุดออกไป เขาก็หันเท้ารีบเดินออกมาจากบ้านของคนรักทันที

      เจ้าของบ้านอยากจะรั้งตัวคนตรงหน้าไว้อีกหน่อยเพื่อเรียกร้องถึงค่าแรงที่ถูกเอาเปรียบ แต่พอขยับตัว ความรู้สึกตึงบริเวณกางเกงก็ทำให้เขาต้องชะงัก ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นก่อนขยี้หัวตัวเองแรงๆ ก่อนหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้องน้ำไป


 

      พิธานเริ่มรู้สึกว่าอากาศข้างนอกร้อนอย่างที่คนรักว่าก็เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นบริเวณแก้ม กลั้นใจเหลือบไปมองคนรักที่หันหน้าไปทางอื่นแต่ใบหูขาวกลับขึ้นสีแดงก่ำแล้วก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้

      เขาได้ยินเสียงคนรักกระแอมออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้าให้เขาเดินตามขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนที่จะใช้สำหรับติวกันวันนี้

      ----

      ม่านฟ้าเริ่มไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกที่ให้คนรักมาเป็นครูสอนพิเศษ จากตอนแรกที่คิดจะให้พิธานมาทำคะแนน คว้าภูหมอกมาเป็นพวกในวันที่พวกเขาสารภาพความจริง ไปๆ มาๆ เขากลับกลัวเหลือเกินว่าคะแนนที่ติดลบอยู่แต่แรกของพิธานจะถอยหลังลงไปอีก

      เพราะตอนนี้...พิธานกับภูหมอกทะเลาะกันทุกวัน

      ทะเลาะกันตั้งแต่เรื่องเล็กไปยันเรื่องเล็กกว่า ไอเรื่องใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีให้ทะเลาะกันจริงจังหรอก แต่เรื่องไร้สาระกลับหามาเถียงกันได้ทุกวันนับตั้งแต่เริ่มสอนกันมาจนตอนนี้ก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว

      เขาเคยกังวลว่าคนรักจะไม่เป็นตัวของตัวเองจนดูเสแสร้งมากเกินไปเพื่อทำคะแนนพิชิตใจที่บ้านของเขาหรือไม่ แต่เวลานี้ม่านฟ้าบอกอย่างมั่นใจได้เลยว่า

      ไม่มีแอ๊บสักนิด พิธานเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

      ไม่ว่าจะเรื่องปากเอย นิสัยเอย ปล่อยธาตุแท้ออกมาหมดไม่มีกั๊กจนเขานึกอยากให้ช่วงเวลาของการติวนี้จบลงไวๆ

      “ไอหมอก กูบอกให้ทำให้เร็วขึ้น ไม่ได้บอกให้มึงทำลวกๆ นะเว้ย”

      ม่านฟ้าที่เดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มต่อไปบนชั้นเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอนพร้อมเหลือบตามองคนรักที่เริ่มบ่นออกมาอีกครั้ง

      สองครูศิษย์นั่งประจันหน้ากันอยู่ที่พื้นโดยมีโต๊ะญี่ปุ่นกั้นอยู่ระหว่างกลาง พิธานกับม่านฟ้าผลัดกันสอนแล้วแต่ช่วงเวลาโดยพิธานจะสอนคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ส่วนม่านฟ้าจะเน้นสอนไปที่ภาษาอังกฤษมีแถมภาษาไทยบ้างเล็กน้อย

      อย่างไรก็ตามชั่วโมงการสอนของพิธานจะมีมากกว่า เพราะส่วนใหญ่วิชาที่จะใช้วัดผลคะแนนชี้ขาดกันได้ก็มักจะเป็นคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์หลักสามวิชา สำหรับชีววิทยาและเคมี โชคดีที่ภูหมอกพอจะมีกึ๋นในด้านนี้อยู่บ้างและพอจะอ่านสอบเองได้ จึงไม่ต้องลำบากพี่ชายให้ไปหาใครมาช่วยสอนอีก

      “มึงทำผิดโง่ๆ เยอะมากอ่ะหมอก x2 คูณ x3 ทำไมถึงได้ x6 ว่ะกูไม่เข้าใจ เด็กประถมก็รู้ไหมว่า 3 บวก 2 มันได้ 5 อ่ะ”

      หลังจากม่านฟ้าเดินกลับมาจากห้องน้ำอีกหน ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงบ่นของคนรักดังมาอีกระลอกพร้อมเสียงบ่นง้องแง้งของน้องชายเป็นคอรัส เห็นพิธานดูบ้าๆ บวมๆ ในบางครั้งแต่เป็นคนที่จริงจังมากเวลาติว ม่านฟ้าที่เคยเจอฤทธิ์เช่นนี้มาหมดแล้วได้แต่ให้กำลังใจน้องชายอยู่เงียบๆ เพราะรู้ว่าสุดท้ายต่อให้บ่นมากไปหน่อยแต่พิธานก็สอนดีจริงๆ นะ

      พิธานขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิดเมื่อตรวจแบบฝึกหัดที่เพิ่งให้ภูหมอกลองจับเวลาทำจริง พร้อมภูหมอกที่นั่งหน้ายู่เป็นตูดลิงอยู่ฝั่งตรงข้าม ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มแก้ตัวออกมาเบาๆ แต่ก็โดนคุณครูจอมเฮี้ยบใส่เข้าไปอีกชุด

      ม่านฟ้าตัดสินใจเลิกสนใจสองคนตรงหน้า หันกลับมาอ่านหนังสือการ์ตูนในมืออีกครั้ง จนเมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายก็รีบลุกขึ้นเดินไปหยิบเล่มต่อมาอ่านทันที

      “แล้วข้อง่ายๆ อย่างนี้ทำไมไม่ทำ โอย!! ไอนี้ก็เดินอยู่นั่นแหละ!”

      ป้าบ!

      สิ้นเสียงพูดอย่างหงุดหงิดของพิธาน เจ้าตัวก็ฟาดมือลงไปที่ก้นของคนรักที่เดินผ่านพวกเขาไปๆ มาๆ หลายครั้งแล้วอย่างลืมตัว ส่งผลให้ชายหนุ่มอีกคนที่กำลังคิดถึงเนื้อหาของการ์ตูนเล่มต่อไปสะดุ้งโหยง ไม่เพียงแต่ม่านฟ้าเท่านั้นที่สะดุ้งแต่ภูหมอกที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็สะดุ้งออกมาเช่นกัน

      “พี่พีท!”

      เสียงโวยวายนี้ไม่ได้มาจากผู้เสียหาย แต่มาจากน้องชายของผู้เสียหายอีกที ภูหมอกหน้าแดงแล้วทำหน้าตาบึ้งตึงหนักกว่าเดิม ถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างคนโมโห หากเป็นในการ์ตูนป่านนี้คงเห็นหูสองข้างของเด็กหนุ่มมีควันพุ่งออกมาแล้ว

      “การตีก้นถือเป็นการล่วงละเมิดทางเพศนะ นิสัยไม่ดี!”

      ถึงคราวที่พิธานเป็นคนสะดุ้งบ้างเมื่อลูกศิษย์คนดีตะโกนเข้าใส่ แถมท้ายด้วยการต่อว่าเข้าไปอีกหนึ่งดอก

      “เออ กูเผลอไปหน่อย”

      “เผลอก็ไม่ได้! หยาบคายมาก!”

      เมื่อภูหมอกยังหงุดหงิดไม่เลิกแถมดูจะไม่ยอมง่ายๆ คนที่เผลอตีก้น ‘แฟน’ ไปอย่างไม่รู้ตัวก็ดูจะลืมอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองไปชั่วขณะ พิธานพยายามจะหาข้อแก้ต่างอะไรมาอธิบายแต่เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกจึงหาโอกาสชิ่งทันที

      “เออๆ ขอโทษ โวะ กูไปเข้าห้องน้ำดีกว่า”

      เด็กหนุ่มมองตามหลังคนที่ชิ่งหนีไปแล้วอย่างหงุดหงิด เขาเคยโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งตีก้นเช่นนี้หลายครั้ง หลายคนมักมองเป็นเรื่องสนุกยิ่งพวกผู้ชายด้วยกันยิ่งไม่ให้ความสำคัญ แต่สำหรับภูหมอกที่มีใจเป็น ‘ผู้หญิง’ เช่นนี้กลับรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เจอ

      ยิ่งเห็นพี่ชายที่เป็นผู้เสียหายยังวางหน้าเฉยไม่ทุกข์ร้อนแล้วหยิบการ์ตูนมาอ่านต่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ แตกต่างจากเดิมแค่หยิบหนังสือมาเพิ่มหลายเล่มแล้วมากองที่เตียงเพื่อไม่ให้โดนใครบางคนบ่นเข้าให้อีก ภูหมอกก็ยิ่งหงุดหงิดใจ

      “พี่เมฆควรจะว่าพี่พีทบ้าง”

      “ก็มึงบ่นไปแล้วไง”

      ม่านฟ้าตอบกลับเสียงนิ่งๆ แต่ภูหมอกยังดูไม่พอใจ ครั้นจะขุดเรื่องเดิมมาพูดอีกก็คงไม่ได้เมื่อเจ้าทุกข์ยังไม่เอาความแล้วน้องชายเจ้าทุกข์อย่างเขาจะมีสิทธิ์อะไร ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังดึงความรู้สึกหงุดหงิดก่อนหน้าที่โดนคุณครูจำเป็นบ่นสารพัดอย่างออกมาระบายให้พี่ชายฟัง

      “แล้วพี่พีทนะ เดี๋ยวข้อนั้นก็ง่าย เดี๋ยวข้อนี้ก็ง่าย ง่ายๆๆ ง่ายไปหมด ง่ายประสาอะไรกันคิดแทบตายยังคิดไม่ออกเลย”

      “ก็คงง่ายของมันนั่นแหละ”

      “พี่พีทเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”

      “ไม่รู้สิ แต่เห็นมันเคยไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิกอยู่นะ”

      “หา!?”

      ความจริงที่เด็กหนุ่มเพิ่งรู้ถึงดีกรีครูสอนพิเศษทำให้เจ้าตัวถึงกับเผลออ้าปากหวอ ก่อนเก็บอาการแล้วทำปากขมุบขมิบมองค้อนครูสอนพิเศษที่เดินกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

      ใครจะคิดว่าท่าทางนักเลงขนาดนี้จะเรียนเก่งกันเล่า!

      เด็กหนุ่มมองค้อนครูสอนพิเศษอีกทีอย่างเจ็บใจ ไม่รู้เพราะนึกอิจฉาคนสมองดีหรืออย่างไร จึงเอ่ยปากขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้าง

      ม่านฟ้าเห็นน้องชายเดินออกไปบ้างในคราวนี้ก็นึกรู้ว่า เมื่อหมดเวลาที่น้องชายจะนินทาแฟนหนุ่มแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาแฟนหนุ่มของเขาจะนินทาน้องชายบ้างแล้ว ดูจากอาการมองตามหลังภูหมอกไปแบบนั้น แล้วก็ไม่ผิดคาดเมื่อคนรักของเขาเริ่มต้นบ่นขึ้นมา

      “อะไรของน้องมึงวะ”

      คงไม่พ้นเรื่องที่ทำแบบฝึกหัดอีกล่ะสิ ม่านฟ้าคิดในใจแต่กลับต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างผิดคาดแล้วยิ้มขำออกมาน้อยๆ

      “กูตีก้นแฟนกู กูผิดตรงไหน”

      พิธานยังฝังใจกับคำต่อว่าของภูหมอกถึงเผลอบ่นออกมาเบาๆ แถมด้วยหน้าตาบูดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ แต่แฟนที่ดีอย่างม่านฟ้าก็จำเป็นต้องบอกความจริง

      “ผิด มันเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ” ในกรณีที่อีกฝ่ายไม่ยินยอมอ่ะนะ ม่านฟ้าต่อประโยคดังกล่าวในใจ

      ชายร่างสูงอดจะค้อนคนรักไม่ได้เมื่อเจ้าตัวพูดประโยคที่แทบจะเหมือนกับน้องชายออกมาเป๊ะๆ ขยับตัวที่นั่งอยู่กับพื้นติดโต๊ะญี่ปุ่นเข้าไปชิดกับขอบเตียงแทน แขนยาวๆ กวาดร่างคนรักที่นั่งอยู่บนเตียงมากอดไว้ด้วยแรงที่ไม่เบานัก

      “แต่กอดแฟนไม่ผิด ซุกพุงแฟนก็ไม่ผิด”

      คำพูดสุดท้ายอู้อี้ลงจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์เมื่อพิธานกดหน้าตนเองลงไปกับหน้าท้องของคนรัก ม่านฟ้าเผลอแขม่วท้องกับการจู่โจมแบบไม่ตั้งตัว แต่เมื่อตั้งสติได้ก็รีบขยุ้มผมคนรักแล้วดึงออกมาจากหน้าท้อง เหลือบมองไปที่หน้าประตูแล้วพูดลอดไรฟันออกมา

      “เดี๋ยวไอหมอกมาเห็นมึงก็โดนด่าอีก ไอ้บ้านี่”

      ภาพที่ภูหมอกซึ่งเปิดประตูเข้ามาเห็นจึงเป็นภาพของพี่ชายกำลังจิกหัวครูสอนพิเศษ ขณะที่ผู้เสียหายก็ยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก แต่ความลำเอียงกลับทำให้เด็กหนุ่มหูหนวกตาบอดไปชั่วขณะ ถามคำถามที่ทำให้แขกคนเดียวของบ้านหันไปมองตาเขียว

      “พี่พีทแกล้งอะไรพี่เมฆอีกอ่ะ”

      หลักฐานคาตาขนาดนี้ยังจะหาว่ากูแกล้งพี่มึงอีกเหรอ!

      ม่านฟ้าราวกับได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากในใจคนรัก รีบปล่อยมือที่ขยุ้มผมของพิธานออกแล้วหันกลับไปหวังแก้ตัวกับน้องชาย แต่ก็ช้าเกินไปเมื่อชายหนุ่มร่างสูงเขยิบตัวออกห่างแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกด้านราวกับสาวน้อยแสนงอน

      “เออ ใช่สิ! ไม่มีใครเข้าข้างกูสักคน คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด!”

      ----

      “ผัดไทยสามกล่องครับ ธรรมดาสอง พิเศษหนึ่งไม่ใส่ถั่วงอกครับ”
     
      ม่านฟ้าเดินไปสั่งอาหารกับป้าร้านผัดไทยที่อยู่หน้าหมู่บ้านก่อนกลับมานั่งรอที่เก้าอี้พลาสติกของร้าน เขาเดินออกมาซื้ออาหารกลางวันให้กับสองครูศิษย์พร้อมด้วยของตัวเองอีกหนึ่งกล่อง คิดแล้วก็ยังไม่อยากเดินกลับไปเลยเพราะอากาศร้อนๆ ที่ทำเอาหัวแทบแตกแถมกลับไปก็ยังต้องเจอกับเสียงทะเลาะกันของอีกสองคน

      เกือบจะครบสองเดือนตามกำหนดที่เขาคุยไว้กับพิธานให้มาช่วยสอนน้องชายแล้ว อะไรที่พอสอนได้หรือดูติดปัญหาก็พยายามให้พิธานดึงมาดูให้ก่อน เพราะอีกอาทิตย์เดียวพวกเขาก็จะต้องกลับไปอยู่หอของมหาวิทยาลัยแล้ว

      ส่วนเป้าหมายแฝงที่เคยคิดไว้อย่างการทำคะแนนก็คืบหน้าไปเล็กน้อย ในกรณีของพ่อกับแม่ อย่างน้อยตอนนี้พ่อแม่ของเขาก็รู้จักพิธานในฐานะเพื่อนที่มาช่วยติวให้กับภูหมอก พิธานเคยเจอพ่อเพียงไม่กี่ครั้ง จะบ่อยหน่อยก็แม่ของเขาที่บางทีกลับมาตอนที่พิธานยังอยู่และชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน

      ในกรณีของภูหมอก ม่านฟ้าไม่รับประกันว่าผลคะแนนจะออกมาเป็นอย่างไร แต่จากการเถียงกันวันเว้นวันซึ่งดีกว่าแต่ก่อนที่เถียงกันทุกวันก็พอจะเห็นเค้าลางที่ดีมากขึ้น

      หรือเขาจะคิดผิด

 
 
      “พวกมึงเป็นบ้าอะไรกัน! หุบปากทั้งคู่เลยนะ!! เรียนกันดีๆ สอนกันดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม เดี๋ยวพวกมึงก็ไม่ต้องมานั่งติวกันอยู่แบบนี้แล้ว ทนอีกไม่กี่วันไม่ได้หรือไง”

      ม่านฟ้าตวาดคนสองคนที่เมื่อเขาซื้อข้าวกลางวันมาให้แล้วก็ยังไม่หยุดตีกัน แต่เพราะอย่างนั้นเขาถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองลืมบอกเรื่องระยะเวลาการสอนที่ตกลงไว้เพียงสองเดือนกับภูหมอกเมื่อเจ้าตัวละล่ำละลักถามออกมา

      “ทะ- ทำไมอ่ะ มะ- หมอกเป็นเด็กไม่ดีใช่ไหม พี่เมฆ พี่พีท หมอกขอโทษ เห้ย ไม่เอานะ”

      จากที่เห็นทะเลาะกันอยู่จะเป็นจะตาย พอถึงคราวที่อ้อนพี่ชายไม่ได้ภูหมอกก็หันกลับไปอ้อนครูสอนพิเศษต่อทันที “อย่าทิ้งกันกลางทางดิ พี่พีท เพราะหมอกกวนใช่ไหม หมอกขอโทษ อย่าเลิกสอนกันไปอย่างงี้เลย สัญญาว่าจะเป็นเด็กดี นะ”

      และแล้วพิธานก็ตกหลุมพรางลูกอ้อนนั้นไปอีกคน

      “เปล่า แต่อาทิตย์หน้าพวกกูก็จะเปิดเทอมปีสามกันแล้ว ก็ต้องกลับไปอยู่หอดิ”

      ม่านฟ้ามองคนรักที่อธิบายเหตุผลที่คุยไว้ให้ลูกศิษย์ฟัง จนเขาแปลกใจที่บทจะญาติดีก็ญาติดีกันได้

      หรือต้องรอเขาโกรธก่อนถึงจะยอมเป็นพันธมิตรกันได้ ไอพวกนี้นี่!

      แต่เมื่อภูหมอกดูจะไม่ยอมรับข้อตกลงเรื่องระยะเวลาการสอน และตื๊อจะเรียนกับพวกเขาต่อไปให้ได้ ม่านฟ้าจึงอดถามเหตุผลออกมาไม่ได้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่มีใครคาดถึง

      “... เขาชอบมาแกล้งหมอก ทำท่าเหมือนหมอกจะไปลวนลามเขาบ้าง หรือไม่ก็แกล้งจับนมบ้าง บีบก้นบ้าง คนที่เห็นก็มองเป็นเรื่องตลก ไม่มีใครคิดจะช่วยหมอกสักคน เขาตลกกันแต่หมอกไม่ตลกด้วยอะ หมอกโคตรรู้สึกแย่!”

      ม่านฟ้ารู้สึกถึงความเครียดที่พุ่งสูงขึ้นพร้อมกับความโกรธ เขาไม่เคยรู้ว่าน้องชายเคยถูกลวนลามเช่นนั้น ยิ่งกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครู แต่กลับทำพฤติกรรมน่ารังเกียจแบบนั้น ไม่แปลกใจที่ทำไมภูหมอกถึงไม่ชอบใจนักเวลาที่พิธานชอบแกล้งหรือจับเนื้อต้องตัวเขา

      คงเพราะนึกถึงครั้งที่ตัวเองเคยโดนรังแกแต่ไม่มีใครช่วย

      สุดท้ายอารมณ์ที่ไม่มั่นคงของทั้งคู่ก็ทำให้ทั้งพี่ทั้งน้องเผลอขึ้นเสียงใส่กัน ก่อนที่สถานการณ์จะกลายเป็นการทะเลาะกันจริงจัง พิธานก็ลุกขึ้นขวางระหว่างม่านฟ้ากับภูหมอก

      “เมฆ!!!” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยเสียงปราบคนรักแต่ก็ลำบากหันกลับไปปลอบลูกศิษย์ตัวเองเช่นกัน เขาจับแขนคนรักบีบเบาๆ พร้อมบอกให้ใจเย็นลง อาศัยจังหวะที่ภูหมอกก้มลงไปปาดน้ำตาตบแก้มคนรักเบาๆ อย่างปลอบใจ

      ไม่ใช่เพียงภูหมอกที่กำลังรู้สึกแย่ จากสีหน้าของม่านฟ้าในยามนี้ทำให้เขารู้ว่าเจ้าตัวก็รู้แย่ไม่ต่างกัน

      ม่านฟ้ามักแสดงท่าทางเหมือนเบื่อและรำคาญน้องชายเต็มทน ทุกครั้งเจ้าตัวมักจะเอาเรื่องของภูหมอกมาบ่นให้ฟังเสมอ ทั้งความเอาแต่ใจและการถูกเปรียบเทียบจากพ่อทำให้แต่แรกเขาเคยคิดว่าม่านฟ้าจะเกลียดน้องตัวเองด้วยซ้ำ

      แต่นั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่ม่านฟ้าคิดและพูดมันออกมา เหมือนสมองสั่งการให้เกลียดน้องด้วยเหตุผลสารพัดอย่างที่เจ้าตัวต้องเจอ แต่สุดท้ายแล้วเพราะม่านฟ้าถูกสั่งสอนให้ดูแลน้องมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ถูกปลูกฝังเข้าไปจนติดเป็นนิสัย ต่อให้สมองสั่งการอย่างไร การกระทำก็จะไปในทางที่อดจะดูแลน้องไม่ได้อยู่ดี

      ยิ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับรสนิยมของภูหมอก ม่านฟ้าก็ยิ่งเป็นห่วง เขารู้ว่าลึกๆ ม่านฟ้าคิดว่าตัวเองจะช่วยเหลือน้องได้ เป็นที่พึ่งให้น้องยามมีปัญหา แต่เมื่อสุดท้ายมาพบว่าน้องชายกลับโดนรังแกโดยที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเช่นนี้คงทำให้ม่านฟ้าอดโทษตัวเองไม่ได้เหมือนกัน



      เมื่อจบการเจรจา ข้อตกลงสุดท้ายที่ว่าภูหมอกจะเรียนพิเศษกับพวกเขาต่อจนกว่าจะถึงวันสอบ โดยยอมนั่งรถไปหาพวกเขาที่มหาลัยหรือไม่ก็ลองทำแบบฝึกหัดเองแล้วส่งคำถามมาถามเขาบ้างถ้าติดปัญหา พวกเขาจึงเริ่มติวหนังสือกันต่อ

      ถึงหลายๆ อย่างจะดูกลับมาเป็นปกติ แต่ม่านฟ้ากลับซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด พิธานอาศัยจังหวะที่ไล่ให้ภูหมอกลงไปเติมน้ำดื่มและหาของกินเล่นข้างล่างเพื่อถามไถ่ความรู้สึกของอีกคน

      “มึงโอเคไหม”

      เมื่อได้ยินเสียงของพิธาน ม่านฟ้าก็ดึงตัวเองออกจากภวังค์และเงยหน้าขึ้นมา ก่อนพบว่าน้องชายไม่ได้นั่งอยู่ด้วย เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มให้คนรักสบายใจ พร้อมเอ่ยสิ่งที่คิดเอาไว้ออกมา

      “ขอบคุณนะพีท”

      พิธานมองรอยยิ้มหวานๆ ของคนรักตาค้าง น้อยครั้งที่ม่านฟ้าจะยิ้มหวานออกมาจนเต็มแก้มเช่นนี้ รู้ตัวดีว่าช่วงนี้กำลังหลงแฟนมาก จนเหมือนกับคนเพิ่งคบกันใหม่ๆ ไม่สิ ช่วงที่คบกันใหม่ๆ พวกเขายังทำตัวเหมือนเพื่อนกันอยู่เลย แทบนึกถึงช่วงเวลาที่หลงแฟนแบบนี้ไม่ออกด้วยซ้ำ

      อาจเพราะช่วงนี้พวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เขามาสอนพิเศษให้ภูหมอกแทบจะวันเว้นวัน หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีคนรักของเขาก็ขยับตัวลงมานั่งที่พื้นข้างกันแล้วกางแขนคร่อมตัวของเขาเอาไว้ ใบหน้าขาวที่ขึ้นสีชมพูระเรื่ออย่างน่ารักขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ

      เขาจ้องมองริมฝีปากที่ขยับเข้ามาใกล้ก่อนหยุดลงแล้วกระซิบเบาๆ ติดริมฝีปากของเขาด้วยเสียงหวาน

      “ขอบคุณจริงๆ นะครับ”

      เมื่อถูกคนรักยั่วขนาดนี้มีเหรอพิธานจะอดใจไว้ ชายร่างสูงคว้าเอวคนรักมากอดไว้แน่นแล้วบดริมฝีปากลงไป ไม่ว่าจะกี่ครั้งเขาก็ยังติดใจกับความอุ่นนุ่มของริมฝีปากนี้เสมอ พิธานขบเม้มริมฝีปากของคนรักสลับบนล่างอย่างหยอกล้อก่อนเปลี่ยนมาเป็นบดจูบอย่างแผ่วเบา รสจูบวนซ้ำอยู่เช่นนั้นจนคนในอ้อมแขนเริ่มดิ้นประท้วง

      “เดี๋ยวหมอกมา”

      คนรักของเขาพึมพำออกมาเสียงเบาพร้อมใบหน้าแดงจัด ม่านฟ้าเม้มริมฝีปากตัวเองเบาๆ อย่างเขินอาย ขณะที่พิธานได้แต่มองภาพนั้นอย่างหลงใหลแล้วกล่าวกับคนรักอย่างเอาแต่ใจ

      “ไม่เป็นไรหน่า เดี๋ยวกูดูต้นทางให้เอง”

      พูดจบคนดูต้นทางก็โน้มหน้าลงไปหาคนรักอีกครั้งอย่างย่ามใจ

      .

      .

      “พีท!!!”

      พิธานสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงคนรักตะโกนขึ้น เขากะพริบตาถี่ๆ เรียกสติของตนเองกลับมาอีกครั้ง หันไปมองที่มาของเสียงซึ่งยังนั่งอยู่บนเตียงแล้วหันมาอีกทาง ภูหมอกกลับมาจากชั้นล่างพร้อมเหยือกน้ำและจานขนมในมือกำลังยืนมองเขาตาปริบๆ

      อย่าว่าแต่ภูหมอกที่มองอย่างสงสัย แม้แต่ม่านฟ้าเองก็ยังงุนงงกับพฤติกรรมของคนรัก เขาเพียงพูดขอบคุณเจ้าตัวเรื่องที่ช่วยเกลี้ยกล่อมและห้ามศึกระหว่างเขากับน้อง รวมถึงเรื่องที่เจ้าตัวถามไถ่ความรู้สึกของเขา

      แต่เมื่อพูดจบพิธานก็มีอาการนิ่งค้างไปคล้ายตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ อย่างเคลิบเคลิ้ม กระทั่งภูหมอกกลับมาที่ห้อง เจ้าตัวก็ยังไม่มีท่าทีจะรู้ตัวจนเขาต้องตะโกนเรียกซ้ำ

      อาคันตุกะคนเดียวของบ้านนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังเรียบเรียงเรื่องราวและแยกแยะความจริงความฝัน ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะหนังสือคล้ายคนหมดแรงจนสองพี่น้องถึงกับตกใจ

      ----

      จนกระทั่งการสอนในวันนี้จบลง พิธานที่สอนไปแต่ก็ยังไม่วายทำท่าทางเนือยๆ ออกมาตลอดการสอนจนม่านฟ้าถึงกับส่งสัญญาณบอกน้องชายว่าวันนี้ให้เลิกกันเร็วหน่อย ภูหมอกที่นั่งทนมานานวิ่งฉิวไปเข้าห้องน้ำทันที ทิ้งไว้เพียงพิธานและม่านฟ้าที่ต่างคนต่างยังนั่งนิ่ง

      เป็นพิธานที่เริ่มขยับตัวก่อนแล้วมองไปที่คนรักซึ่งกำลังมองมาทางตนอยู่แล้ว ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วลุกขึ้นคว้าแขนของคนรักให้ลุกขึ้นยืนตาม

      ก่อนที่ม่านฟ้าจะทันได้สงสัยถึงพฤติกรรมดังกล่าว พิธานก็ดึงตัวม่านฟ้าเขาไปกอดแรงๆ แต่นั่นกลับทำให้คนถูกกอดงุนงงหนักเข้าไปอีก เขาร้องประท้วงออกมาเบาๆ เมื่อคนรักเพิ่มแรงกอดแน่นจนรู้สึกเจ็บ

      พิธานคลายวงแขนออกเพื่อมองหน้าคนรักให้ชัด แสดงสีหน้าปั้นปึ่งออกมาอย่างเผลอตัวและนึกทุเรศตัวเองที่ดันฝันกลางวันถึงแฟนทั้งที่แฟนก็อยู่ตรงหน้า ก่อนจะดึงคนรักเข้ามากอดอีกครั้งอย่างหงุดหงิด

      ม่านฟ้าปล่อยให้คนอารมณ์แปรปรวนกอดจนพอใจแล้วถึงได้ผละออกมาสบตากันอีกครั้ง เอ่ยถามออกไปอย่างใจเย็น

      “เป็นไร”

      คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการส่ายหน้าเล็กน้อยของคนรัก ชายหนุ่มจึงทำเพียงถอนหายใจเบาๆ ไม่คิดจะซักไซ้คนตรงหน้าอีก ก่อนนึกขึ้นได้ว่าคำขอบคุณที่เคยพูดไปเจ้าตัวอาจไม่ทันได้ฟัง จึงกล่าวซ้ำออกมาอีกหนอย่างจริงใจ

      “ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณอีกครั้งนะ”

      ว่าจบม่านฟ้าก็ขยับตัวขึ้นจูบริมฝีปากคนรักเบาๆ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปอีกคน

      .

      .

      .
     
      ‘แล้วที่เธอกอด จูบนั้นที่ได้ บอกฉันทีว่าจริง หรือฉันคิดไปเอง’

      ภูหมอกที่เดินฮัมเพลงกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้งเพื่อเก็บหนังสือเรียนถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอสายตาของครูสอนพิเศษที่หันขวับมามองด้วยใบหน้าแดงก่ำ

      เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ

 

      TBC

 

 

      Achaya (Writer) :

      ภาคความจริงบางส่วนจะมีฉากใหม่ๆ ที่โผล่มาบ้างหรือฉากเดิมที่ซ้อนทับกับภาคหลักแต่คนละมุมมอง เพราะฉะนั้นบางทีเราอาจจะไม่ได้บรรยายใหม่หมด แต่ลองย้อนกลับไปอ่านที่เรื่องหลักอีกทีก็ได้ บางทีคุณอาจจะพบ Easter Egg ที่ถูกซ่อนเอาไว้ก็ได้ (ถึงเราจะเขียนออกมาได้ไม่ค่อยสมูทก็เถอะ 5555)

      ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนท์นะคะ

 


หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 6 (06.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-12-2020 08:36:21
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 6 (06.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-12-2020 22:24:50
เอ็นดูัววว
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 7 (13.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 13-12-2020 09:05:24
ภาคความจริง : บทที่ 7

     ก่อนลูกชายคนโตจะเปิดเทอมปีสามและหายหน้าหายตาไปจากบ้านอีกพักใหญ่ สาวสวยคนเดียวของบ้านจึงชวนทุกคนมาทำบุญด้วยกันในวันพระหนึ่งที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์

     “แล้วพี่เขาเปิดเทอมแบบนี้ ยังจะตามเขาไปเรียนที่มออีกเหรอ”

     นัชชาถามขึ้นเมื่อลูกชายคนเล็กบอกเกี่ยวกับการเรียนพิเศษที่จะยังดำเนินต่อไป เพียงแต่ย้ายสถานที่จากที่บ้านเป็นหอพักของพี่ชายเท่านั้น

     “ครับ พี่พีทเขาก็โอเคนะ ถึงจะสอนไวไปหน่อยแต่เฮียแกเก่งอ่ะเอาจริง”

     “แม่เกรงใจพี่เขา”

     “ไม่เป็นไรหรอกแม่ เดี๋ยวหมอกซื้อขนมเลี้ยงบ่อยๆ”

     สารถีหนุ่มอย่างม่านฟ้าที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับเผลอมองน้องชายผ่านกระจกมองหลังด้วยสายตาเอือมระอา

     คนซื้อน่ะกูทั้งนั้น ข้าวกูก็ต้องเลี้ยง แถมยังโดนหาเศษหาเลยเป็นระยะอีก

     ม่านฟ้าคิดอยากจะไปเก็บตังค์เอากับภูหมอกให้สมอย่างที่เจ้าตัวพูดหรืออย่างน้อยก็ค่าเรียนพิเศษคอร์สนี้ที่เมื่อคำนวณดูใหม่แล้วอย่างไรก็ไม่คุ้มสำหรับเขา ภูหมอกได้ครูสอนพิเศษ พิธานเองก็ได้คะแนนความดีความชอบ คนที่ไม่ได้อะไรแล้วมีแต่เสียมีเพียงเขาเท่านั้นล่ะ

     “เป็นแฟนกันก็เท่ากับคนคนเดียวกัน กูได้ก็เท่ากับมึงได้หน่า”

     ถึงพิธานจะอ้างข้างๆ คูๆ เช่นนั้นก็เถอะ

     “แล้วพีทเขาไม่คิดค่าสอนหรืออะไรหน่อยเหรอเมฆ”

     คำถามของแม่ดึงลูกชายคนโตออกจากภวังค์ เขาแนะนำพิธานว่าเป็นเพื่อนที่อยู่มหาลัยเดียวกันและเพราะอยู่บ้านใกล้เลยจะมาช่วยสอนภูหมอกให้ ดังนั้นคำถามนี้จึงถูกส่งมาหาเขาที่ดูจะติดต่อกับพิธานมากที่สุด

     “ไม่นะแม่” ม่านฟ้าตอบมารดากลับไปเสียงเรียบ แล้วขยายความต่อให้เมื่อผู้เป็นแม่ยังดูกังวล “ไม่ต้องห่วงหรอก พีทมันบอกสอนไอหมอกก็สนุกดี...เถียงกันมันดี”

     ท่อนหลังม่านฟ้าลดเสียงลงจนเหลือเพียงเสียงพึมพำแต่ก็ไม่รอดพ้นหูของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับ นภดลเหลือบตามองลูกชายคนโตเล็กน้อยก่อนหันไปถามลูกชายคนเล็ก

     “ไปเถียงอะไรพี่เขา”

     ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนลูกชายคนนี้ถึงจะเคยเจอไม่กี่ครั้ง แต่ที่มาช่วยติวให้ลูกชายอีกคนของเขาแบบนี้นภดลเองก็รู้สึกขอบคุณอยู่ไม่น้อย เท่าที่เห็นก็ดูเป็นคนอัธยาศัยดีแม้หน้าตาจะดูเหมือนคนร้ายๆ ไปบ้างแต่เขาคิดว่าคงไม่เป็นไร

     “ก็นิดหน่อยครับ” ภูหมอกอ้อมแอ้มตอบเมื่อพ่อถามมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง

     “อย่าไปดื้อกับพี่เขานะ เฮี้ยวให้น้อยๆ ลงหน่อย เราน่ะ”

     นัชชาบ่นลูกชายคนเล็กต่ออีกหนึ่งประโยคก็มาถึงสถานที่เป้าหมายพอดี แค่เปิดประตูออกไปกลิ่นบุหรี่ก็ลอยมาแตะจมูกจนทุกคนต้องเบ้หน้าหนี

     เพราะบริเวณที่จอดรถตรงนี้ยังอยู่นอกพื้นที่ของวัด เด็กวัดที่ดูจะเคร่งกฎเสียเหลือเกินจึงมายืนสูบบุหรี่กันอยู่หน้าวัดให้เลยเขตปลอดบุหรี่มาหน่อย

     นภดลได้ยินเสียงภรรยาบ่นออกมาเล็กน้อยแต่ก็เดินเข้าวัดนำหน้าไปก่อนที่ลูกชายคนเล็กจะเดินตามไปติดๆ เขาเห็นม่านฟ้ายู่หน้ายกมือขึ้นปัดอากาศตรงหน้าด้วยเหม็นควันบุหรี่ ดวงตาสีสนิมของลูกชายเหลือบมองเด็กวัดกลุ่มนั้นคล้ายไม่พอใจก่อนล็อกรถแล้วเดินตามอีกสองคนไป

     ชายวัยกลางคนหรี่ตามองลูกชายคนโตเล็กน้อยแล้วเดินตามไปเป็นคนสุดท้าย

     เหม็นบุหรี่ทั้งที่ตัวเองก็สูบเนี่ยนะ

     ----

     “วันนี้มึงไม่ต้องมาหรอกพีทมันไปกินเหล้ากับเพื่อน” ม่านฟ้ากรอกเสียงใส่โทรศัพท์เพื่อตอบน้องชายออกไปเมื่อเจ้าตัวโทรมาถามถึงความสะดวก “ส่วนกูขี้เกียจสอน”

     เกือบเดือนแล้วนับแต่เขาเปิดเทอมมา ภูหมอกก็เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้าน โรงเรียนและมหาลัยของเขา เคยถามว่าเจ้าตัวไม่เหนื่อยหรือไงกับการวิ่งไปวิ่งมาเช่นนี้ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบออกมาตรงๆ ว่า

     “เหนื่อย แต่ดีกว่าไปอ่านเอง ไม่ใช่แค่ทำไม่ได้ แต่พอไม่มีคนนั่งคุมแล้วมันขี้เกียจอ่ะ”

     ว่าง่ายๆ ก็คือมีวินัยในตนเองไม่ได้นั่นแหละ

     ม่านฟ้าอยากจะบ่นแต่ก็ขี้เกียจ ถ้าภูหมอกยอมเหนื่อยเองเขาก็ไม่รู้จะบ่นไปทำไม อาจจะลำบากเขาบ้างที่ต้องคอยนัดเวลาให้ทั้งสองคนแต่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่

     เขาได้ยินเสียงน้องชายบ่นกลับมานิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ต้องจำยอมก่อนวางสายไป

     ชายหนุ่มทิ้งตัวลงที่เตียงอีกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จ เวลานี้เพิ่งจะห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนแต่ม่านฟ้าก็พร้อมเข้าจะนอนแล้ว รูมเมทของเขามักบอกว่าเขาคือเด็กอนามัยที่นอนเร็ว ขณะที่คนรักแก้ต่างให้ว่าไม่ใช่ เขาเป็นเพียงตัวขี้เกียจที่นอนได้ตลอดเวลาต่างหาก

     ไม่ได้ช่วยให้ดูดีขึ้นเลย

     อย่างไรม่านฟ้าก็ไม่คิดจะสนใจคำพูดของใคร เขาจะนอนตอนไหนก็ได้ที่อยากนอน รวมถึงตอนนี้ด้วย

     ถ้าไม่มีอะไรมาขัดขวางเสียก่อน

     เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีที่ม่านฟ้าทิ้งหัวลงบนหมอนใบนุ่ม เขาเอื้อมมือคลำโทรศัพท์แล้วต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายจากใครบางคน ถอนหายใจเล็กน้อยอย่างพอจะเดาสาเหตุในการโทรมาครั้งนี้ได้

     ‘มาเก็บศพผัวมึงหน่อย’

     เล่นหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้ ม่านฟ้าถึงกับเผลอทำหน้าระอาออกไปใส่อากาศเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนของคนรัก ก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ ไล่ความรู้สึกโหวงในใจ

     หากใครที่ได้ทิ้งตัวลงบนเตียงอุ่นแต่กลับต้องเด้งตัวขึ้นมาทันทีเช่นนี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

     “มันเอารถไปรึเปล่า”

     ถึงอย่างนั้นม่านฟ้าก็กรอกเสียงถามออกไปแล้วลุกขึ้นคว้ากางเกงขายาวมาสวมทับกางเกงนอนเพื่อเตรียมออกจากห้อง

     ‘เอามาๆ มึงนั่งวินมาก็ได้ ร้านเดิม’

     ----

     หนุ่มอักษรฯ มาถึงหน้าร้านประจำของคนรักภายในสิบนาที เขาเองก็เคยมาร้านนี้อยู่หลายหน รู้ว่าร้านนี้เด่นเรื่องเพลงกับกับแกล้มสูตรเด็ด ไม่แน่ใจว่าคนรักฟังเพลงมากเกินไปหรือกินกับแกล้มจนจุกถึงต้องให้เพื่อนโทรมาตามเขาเก็บศพ

     เอาเถอะ จะอย่างไรก็คงว่าไม่ได้ เจ้าตัวบอกกับเขาไว้ก่อนแล้วว่าวันนี้ขอมาเมากับเพื่อน แล้วก็เล่นมากันเสียตั้งแต่ร้านเปิด ไม่แปลกใจที่ยังไม่พ้นวันใหม่ก็หมอบกระแตจนต้องมาลากกลับเช่นนี้

     ม่านฟ้าเดินเข้าไปจังหวะเดียวกับที่ทำนองเพลงต่อไปดังขึ้น ทำนองที่คุ้นหูทำให้เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเพลงที่คุ้นเคย

     'ชอบเวลาที่เธอยิ้ม ชั่งน่ารักสวยเกินกว่าใคร

     ปากสีชมพู ตาเธอชั่งโต ชั่งน่ารักเหลือเกิน'


     ชายหนุ่มเดินเข้าไปถึงโต๊ะที่เพื่อนคนรักโบกมือเรียก ก้มลงมองร่างของใครบางคนที่ฟุบอยู่บนโต๊ะ เขาเห็นมือของเพื่อนคนหนึ่งตบลงไปเพื่อเรียกให้ใครคนนั้นเงยขึ้นมา ภาพของใบหน้าคมเข้มที่หันมามองเขาตาเยิ้มแล้วฉีกยิ้มกว้างซ้อนทับกับภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งในอดีต



    ‘จะแสดงอาการยังไงให้เธอได้รู้ว่าฉันหลงรักเธอ

     ได้โปรดใครก็ได้ช่วยทีบอกให้เธอได้รู้ ว่าผมรักคุณตั้งแต่แรกเจอ’

     เพลงที่ดังออกมาจากหูฟังของ 'คนไม่รู้จักแต่คุ้นเคย' ที่ส่งให้เขา ทำให้ม่านฟ้าอดแปลกใจไม่ได้ เขาเหลือบไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งข้างกันแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ใครจะคิดว่าผู้ชายตัวโตจะฟังเพลงน่ารักขนาดนี้

     ม่านฟ้าเม้มปากเข้าหากันแล้วสูดหายใจเอาควันรถเข้าปอด เมื่อรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย

     ‘จะไม่ให้หลงให้ได้ยังไง ชั่งน่ารักจะตายไป

     เธอคงจะมีใครต่อใคร ที่แอบชอบเธอเหมือนฉัน

     เพ้อๆ ไปแล้วเธอคือของฉัน แต่ความจริงนั้นมันคือความฝัน ลมๆ แล้งๆ เรื่อยไป’

     น่าแปลกที่เขาเห็นเด็กหนุ่มข้างกายทำท่าเหมือนจะหลับ แต่กลับกำขากางเกงตัวเองไว้แน่น ใบหน้าที่หันออกไปอีกทางทำให้ม่านฟ้าไม่เห็นสีหน้าของเขาในยามนี้นอกจากหูแดงๆ เท่านั้น

     ช่างเถอะ ม่านฟ้าไม่คิดจะจ้องเพื่อให้เห็นหน้าของอีกคนตอนนี้หรอก

     เพราะเขาก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นหน้าร้อนๆ ของเขาตอนนี้เหมือนกัน




     ม่านฟ้าคว้าเข้าที่เอวของพิธานเมื่อคนตัวโตลุกขึ้นยืนและเซเล็กน้อย กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยออกมาจากคนตรงหน้าผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ไม่แปลกใจที่เพื่อนของคนรักเรียกเขามาเพราะถึงแม้เจ้าตัวจะยังดูมีสติแต่ไม่สามารถบังคับร่างกายตัวเองได้ดั่งใจเท่าไหร่แล้ว

     แขนยาวๆ ของคนรักพาดเข้ากับบ่าของเขาเพื่อทรงตัว ม่านฟ้าคว้าโทรศัพท์ของอีกคนที่วางอยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋าตัวเองแล้วล้วงมือไปหยิบกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงคนรัก

     เขาได้ยินเสียงพิธานฮัมเพลงตามเพลงที่เปิดอยู่ ขณะพาอีกคนเดินออกมาจากร้าน รู้ว่านี้เป็นเพลงโปรดของเจ้าตัวแต่เพราะเสียงในร้านที่ดังเกินไปเขาถึงฟังออกมาไม่เป็นคำนอกจากคำที่เจ้าตัวตั้งใจพูดหยอกอยู่ข้างหูของเขา

     “ละลายแล้ว”

     ชายหนุ่มร่างสันทัดหันไปมองคนรักด้วยสีหน้าหน่ายใจปนขัน จนเมื่อเขาพาอีกคนออกมานอกร้านเพื่อเดินไปที่จอดรถด้านหน้า เสียงเพลงในร้านก็ยังดังออกมาให้เขาได้ยิน

    ‘จะแสดงอาการยังไงให้เธอได้รู้ว่าฉันหลงรักเธอ

     ได้โปรดใครก็ได้ช่วยทีบอกให้เธอได้รู้ ว่าผมรักคุณตั้งแต่แรกเจอ’


     ม่านฟ้าเปิดประตูรถออกแล้วยัดร่างของคนรักเข้าไปก่อนเดินอ้อมมาเพื่อประจำตำแหน่งสารถี จนเมื่อปิดประตูรถเรียบร้อย เขากลับต้องเลิกคิ้วอีกครั้งเมื่อยังได้ยินเพลงท่อนต่อไปที่ไม่ได้มาจากเครื่องเสียง แต่มาจากคนข้างกายที่กำลังมองมา

     “จะไม่ให้หลงให้ได้ยังไง ชั่งน่ารักจะตายไป

     เธอคงจะมีใครต่อใคร ที่แอบชอบเธอ ‘คือ’ ฉัน

     เพ้อๆ ไปแล้วเธอคือของฉัน แต่ความจริงนั้นมันคือความฝัน ลมๆ แล้งๆ เรื่อยไป”

     เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวที่แสร้งทำตาละห้อยอย่างน่าสงสารทำให้ม่านฟ้าหลุดหัวเราะ อารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อยที่ต้องลุกจากที่นอนหายไปทันทีเมื่อเจอคนตรงหน้า เอื้อมไปรัดสายเข็มขัดนิรภัยให้คนรักแล้วผลักหัวของคนตัวโตเบาๆ

     “ฝันอะไรของมึง ไม่ฝันแล้ว”

     ม่านฟ้ามองคนตรงหน้าที่ยิ้มหวานตอบกลับมาก่อนค่อยๆ หลับไป เขาถอนหายใจมองเด็กหนุ่มในวันนั้นที่เติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มตรงหน้า เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ก็พัฒนาขึ้นมาจนไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

     สารถีจำเป็นเอื้อมมือไปลูบแก้มคนหลับเบาๆ ย้อนคิดไปถึงความสุขและเสียงหัวใจที่เต้นแรงยามถูกใครบางคนจีบด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ใครบางคนที่ชอบหลับบนรถเป็นประจำจนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องปลุก

     และเป็นคนเดียวกันกับคนตรงหน้าที่เขาอยากใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่

     แต่ก็ไม่รู้จะเป็นไปได้ไหม

     ม่านฟ้าไม่รู้ว่าอนาคตที่ไม่มองเห็นกับอนาคตที่รู้แน่ชัดอยู่แล้วอย่างใดจะน่ากลัวกว่ากัน สำหรับเขาการสารภาพความจริงกับพ่อเป็นอนาคตที่เห็นคำตอบชัดเจนอยู่แล้วเช่นเดียวกับเรื่องของภูหมอก

     ชัดเจนจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้

     หนุ่มอักษรฯ ถอนหายใจออกมาเบาๆ ผละมือออกจากแก้มอีกคนแล้วหันกลับมาสตาร์ทรถ ก้มลงมองเกียร์ที่อยู่ในตำแหน่ง P ก่อนขยับลงมาให้อยู่ในตำแหน่ง D

     รถสีควันบุหรี่เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ รู้อยู่แก่ใจว่าถึงจะได้หยุดพักสักเล็กน้อย แต่สุดท้ายชีวิตเราก็ต้องเดินต่อไป...แม้จะต้องทนรับความเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

     ----

     ชายวัยกลางคนกวาดตาไปรอบห้องนอนของลูกชายอีกครั้ง ทั้งที่วันนั้นเขาเจอแล้วว่าสิ่งที่ม่านฟ้าพยายามซ่อนเอาไว้คือ ‘บุหรี่’ แต่ความรู้สึกบางอย่างของเขากลับบอกว่า ‘ไม่ใช่’

     ไม่เพียงแต่อาการของม่านฟ้าที่ดูเหม็นกลิ่นบุหรี่ เขาเคยได้ยินว่าคนสูบบุหรี่หากไม่ได้สูบเองก็จะรู้สึกเหม็นบุหรี่ที่คนอื่นสูบเหมือนกัน แต่ท่าทางของม่านฟ้าดูไม่ค่อยชอบใจคนที่สูบบุหรี่เลยด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้เขาคิดว่าบุหรี่ในวันนั้นอาจเป็นเพียงตัวล่อให้เขาตายใจ

     แล้วอะไรกันแน่ที่ซ่อนอยู่ในห้อง

     เขาถามตัวเองหลายครั้งว่ากำลังคิดมากเกินไปหรือเปล่า จึงได้รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของลูกชายที่เริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว แต่อย่างไรก็ตามหากไม่มีอะไรต้องซ่อนก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ต้องกลัว

     ช่วงนี้เป็นช่วงที่ม่านฟ้าเปิดเทอมและอยู่ที่หอพัก ส่วนภูหมอกที่ปกติจะกลับมาจากโรงเรียนก่อนเขาเสมอก็ต้องไปติวหนังสือกับพี่ชายและเพื่อนพี่ชาย

     และนั่นเป็นโอกาสที่เขาจะเข้าไป ‘ตรวจสอบ’ ห้องของลูกชายได้อย่างสบาย

     นภดลกวาดตามองไปรอบห้องก่อนครั้งหนึ่ง เขาไม่พบอะไรที่ผิดปกติก็จริง แต่ของที่อยากจะซ่อนก็คงไม่วางเอาไว้ให้เห็นชัดเจนนักหรอก

     ชายวัยกลางคนเริ่มสำรวจจากโต๊ะวางของ หัวเตียง ตู้เสื้อผ้า และมาจบที่โต๊ะเขียนหนังสือของภูหมอกที่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งมากนัก

     มันเต็มไปด้วยกองหนังสือ เครื่องเขียน โน้ตย่อและกระดาษทดอีกสารพัด ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อไล่สายตาไปเรื่อยก็ไม่พบสิ่งใดอีก ในความคิดของเขาตอนนี้ไม่ได้รู้สึกสบายใจเพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกันเขากลับคิดว่าม่านฟ้าอาจเอาของ ‘บางอย่าง’ นั้นไปที่หอพักแล้วมากกว่า

     เหตุผลที่ชายวัยกลางคนค่อนข้างปักใจว่าเจ้าของ ‘ความลับ’ นั้นคือม่านฟ้า เพราะเจ้าตัวคือคนที่วิ่งหนีเขาหัวซุกหัวซุนออกจากบ้านเพื่อซ่อนของสิ่งนั้น หากของดังกล่าวเป็นของภูหมอก เหตุใดม่านฟ้าจึงต้องพยายามซ่อนขนาดนั้นกัน

     ต่อให้ม่านฟ้าพยายามช่วยน้องปกปิดเพียงใดแต่สายตาของเจ้าตัวยามพูดแก้ต่างให้พวกเบี่ยงเบนทางเพศนั้นมันดูตัดพ้อออกมาจากใจจริงจนเขามองเป็นทางอื่นไปไม่ได้

     ใช่ ต่อให้เขาไม่รู้ว่ากำลัง ‘หาอะไร’ แต่ความคิดของเขากลับเดาได้ว่าลูกชายของเขา ‘เป็นอะไร’

     นภดลกัดฟันแน่นขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เขาเกลียดคนพวกนั้น รวมถึงน้องชายแท้ๆ ที่ก็เป็น 'เช่นนั้น' ไม่ต่างกัน เขายังจำวันที่นทีมาสารภาพความจริงต่อหน้าพ่อของเขาได้ ไม่ใช่เพียงพ่อแม่ของเขาที่ตกใจ แม้แต่เขาเองก็ยังตกใจไม่ต่างกัน

     เขาพยายามหลายครั้งที่จะพูดให้นที ‘กลับตัวกลับใจ’ เสียใหม่และไปขอโทษพ่อ แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นเพียงการประชดประชันอย่างไม่เห็นถึงน้ำใจของเขาสักนิด

     “พี่ประสาทไปแล้วเหรอ ถ้าฉันให้พี่กลับใจไปเป็นผู้หญิงพี่ทำได้ไหมล่ะ”

     นภดลส่ายหัวไล่เรื่องราวในอดีตออกไป ถอนหายใจอย่างยอมแพ้เมื่อคิดว่าคงไม่พบของที่กำลังตามหาได้ง่ายๆ แต่สมองกลับทวนคิดถึงท่าทางของลูกชายคนเล็ก

     เขาสังเกตเห็นว่าภูหมอกจะต้องตรวจเช็กห้องของตัวเองทุกครั้งก่อนออกไปไหน แม้ไม่ได้ล็อกห้องตัวเองเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ใช้เวลานานกว่าจะออกมาจากห้องในแต่ละครั้ง

     แสดงว่ามันอาจยังอยู่ในห้อง

     และม่านฟ้าอาจสั่งให้น้องชายคอยดูแลของให้

     ความคิดยังไม่ทันจบดี สายตาของชายวัยกลางคนก็เลื่อนไปจับเข้ากับของบางอย่าง กล่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่วางไว้เป็นฐานของหนังสือหลายเล่มจนเขาไม่ได้สังเกตเห็นในตอนแรก มือกร้านเอื้อมไปหยิบโดยพยายามมองรอบโต๊ะก่อนเพื่อจะได้เก็บทุกอย่างให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้

     สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือกล่องไม้ขนาดประมาณเอสี่กับความสูงมากกว่าคืบ เขาขยับมือเพื่อเปิดกล่องตรงหน้าในทันทีแต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง

     กล่องตรงหน้าถูกล็อกกุญแจเอาไว้

     การซ่อนของที่ง่ายที่สุดก็คือการล็อกกุญแจ เขาเองก็มีกล่องคล้ายกันนี้อยู่เพื่อเก็บของมีค่าอย่างธนบัตรหายากหรือเครื่องประดับของภรรยา แต่เหตุผลในการมีของเช่นนี้อยู่ในห้องของลูกชายทั้งสองนั้น คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

     เว้นเสียแต่ว่า...จะเป็นความลับบางอย่างที่เขากำลังตามหา



     TBC



     Achaya (Writer) :

     วันนี้มาลงช้าไปหน่อย ขออภัยค่ะ

     เนื้อเรื่องช่วงนี้อาจจะเอื่อยๆหน่อย พักสมองจากความเครียดเล็กน้อย (บอกแล้วว่าคนเขียนเก็บกด อยากมีฉากหวานบ้าง หลังทนเก็บมานาน) ถึงหลายเหตุการณ์จะรู้ผลลัพธ์กันอยู่แล้วในภาคหลัก แต่ระหว่างทางที่เดินไปจะมีอะไรให้ลุ้นกันบ้างก็รอติดตามกันนะ บอกได้แค่ว่าทุกๆการกระทำ ทุกๆความคิด มันก็มีเหตุผลในแบบของมันอยู่

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 7 (13.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-12-2020 10:39:56
  :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 7 (13.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-12-2020 23:17:40
รีบมาอีกน้าาาา
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8 (20.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 20-12-2020 13:59:27
ภาคความจริง : บทที่ 8

     หลังรับงานสอนพิเศษให้ภูหมอกโดยมีค่าจ้างเป็นปากนุ่มๆ หรือแก้มหอมๆ ของคนเป็นพี่ พิธานก็รู้สึกเหมือนระดับความหวานระหว่างเขากับคนรักจะไต่ระดับขึ้นอย่างน่าพอใจ

     เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ค่อยมีฉากหวานอย่างคู่อื่น แถมยังรู้สึกว่าถ้าหวานกันมากๆ เดี๋ยวจะเฉากันเร็วเสียเปล่า เพิ่งมารู้สึกว่ามันดีก็ตอนที่ได้สัมผัสกับตัวเอง

     นอกจากนี้ ‘ทิป’ ที่ม่านฟ้าสัญญาไว้ว่าจะให้ก็เป็นข้ออ้างให้เขาทำตามใจได้มากขึ้น

     พิธานยิ้มกริ่มขณะล้างฟองยาสระผมออกจากศีรษะ เขาได้ยินเสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออกก่อนจะปิดลง เดาว่าน่าจะเป็นคนรักที่เขาเรียกให้ลงมาหาเพราะรูมเมทเขาบอกว่าจะไม่กลับห้องวันนี้

     สาเหตุที่เขาเรียกคนรักลงมาเพราะจะให้ช่วยยกหนังสือติวสมัยมัธยมที่เพิ่งขนมาจากบ้านขึ้นไปเท่านั้น แต่เอาจริงแค่ลังใบเดียวเขาเองก็ยกคนเดียวไหว เพียงแค่อยากจะเรียกคนรักมา ให้เจ้าตัวได้เดินออกกำลังกายบ้างเท่านั้น

     ไม่ได้ ตัวม่านฟ้าเหลวไปหมดแล้ว สักวันคงได้เป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะความขี้เกียจแน่ๆ

     เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกลิ่นสบู่เรียกให้ม่านฟ้าเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ พิธานเดินออกมาด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่เกาะหมิ่นเหม่อยู่ที่เอว เจ้าตัวดูไม่สนใจกับการโชว์เนื้อหนังออกมาเช่นนี้แม้จะมีเขานั่งอยู่ในห้องอีกคนหนึ่ง

     ร่างสูงเดินเอื่อยๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบกางเกงมาใส่ ม่านฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกคนขยับผ้าเช็ดตัวลูบๆ คลำๆ เพื่อเช็ด ‘บางอย่าง’ ที่อยู่ใต้ผ้านั้นก่อนเจ้าตัวจะสวมชั้นในและกางเกงขาสั้นเข้าไป พิธานดึงผ้าเช็ดตัวออกทั้งที่ยังสวมเพียงอาภรณ์ท่อนล่าง เดินลอยชายไปตากผ้าเช็ดตัวที่ระเบียงแล้ววกกลับมาที่ตู้เสื้อผ้าอีกครั้งเพื่อเลือกอาภรณ์ท่อนบน

     พิธานไม่ได้มีซิกซ์แพ็กชัดเจนอย่างคนเล่นกล้าม แต่ก็เห็นเส้นกล้ามเนื้อขึ้นรูปกำลังดี เจ้าตัวเลือกเสื้อยืดคอย้วยออกมาหนึ่งตัวจากตู้ แต่แทนที่จะสวมมันลงไป คนตรงหน้ากลับพาดเสื้อไว้กับบ่าแล้วเดินมานั่งข้างกันกับม่านฟ้า

     ชายหนุ่มร่างสูงกอดคอคนรักเข้ามาใกล้ แสร้งทำเป็นก้มมองโทรศัพท์ที่ม่านฟ้ากำลังให้ความสนใจจนแก้มแนบไปกับแก้มของอีกคน ไม่เพียงเท่านั้นเพราะความใกล้ชิดนี้จึงทำให้ท่อนบนเปลือยเปล่าแนบอยู่กับหลังและแขนของคนรักอีกด้วย

     พิธานยิ้มกริ่มเมื่อรู้สึกถึงการขยับตัวเล็กน้อยของม่านฟ้า ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคนรักแอบมองตามเขาที่เดินไปเดินมาในสภาพเช่นนี้ แต่ความสนุกของพิธานก็ได้จบลงเมื่อรู้สึกถึงคนรักที่ถอนหายใจก่อนหันมามองเขาอย่างเอือมระอา

     “จะอ่อยเพื่อ”

     แม้ใบหน้าจะดูเอือมระอาแต่น้ำเสียงกับแฝงความไม่พอใจปนเขินอายเอาไว้ จนได้ยินม่านฟ้าพึมพำออกมาอีกประโยค พิธานจึงหลุดขำออกมาจนได้ “กูก็แฟนมึงอยู่แล้วป่ะ”

     ม่านฟ้าเองก็รู้ว่ากำลังโดนคนรักแกล้ง แต่ก็ยังอดเผลอมองตามไม่ได้ เขาเคยคิดอยากมีกล้ามเนื้อบ้างเล็กน้อย แต่พอคิดถึงวิธีการได้มาอย่างการออกกำลังกายเขาก็ขอเลือกนอนขดเป็นตัวนิ่มอยู่ที่ห้องเหมือนเดิมดีกว่า

     “ก็เพิ่มความหวานของเราไง ที่รัก”

     พิธานแกล้งกระซิบแนบใบหูของคนรักก่อนรุกหนักขึ้นโดยการล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวนิ่ม แต่กลับเป็นพิธานเองที่ต้องชะงักเมื่อไม่มีการโต้ตอบใดๆ กลับมา ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วแปลกใจอดไม่ได้ที่จะถามคนรักที่นิ่งผิดปกติ

     “ไม่ขัดขืนรึไง”

    “มึงไม่ทำหรอก”

     สิ้นคำสบประมาท พิธานก็รู้สึกได้ถึงเส้นอารมณ์ที่ขึงแน่น มือหนาข้างหนึ่งเลื่อนสูงขึ้นไปขยี้ยอดอกของคนรัก อีกข้างรวบแขนสองข้างของคนรักไว้ไม่ให้ขัดขืนแล้วตะโบมจูบลงกับซอกคอหอมกรุ่น ร่างสูงลากตัวคนรักขึ้นมานั่งบนตักเพื่อให้สามารถออกแรงรั้งแขนและล็อกตัวม่านฟ้าได้ถนัด

     ม่านฟ้าสะดุ้งสุดตัวก่อนจะดิ้นหนีออกจากการรุกรานดังกล่าว แต่แขนที่ถูกล็อกไว้และท่าทางตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถขัดขืนคนรักได้อย่างใจคิด

     แรงมือของพิธานที่ขยี้ยอดอกเขาสลับหนักเบาจนม่านฟ้านิ่วหน้าด้วยความเจ็บพร้อมด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน เช่นเดียวกับการจูบที่ส่งเสียงน่าอายออกมา

     สัมผัสอุ่นร้อนของริมฝีปากนั้นซุกไซร้ไปทั่วต้นคอขาวอย่างตะกละตะกลามเรียกความรู้สึกที่ทำให้ม่านฟ้าตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม และจำต้องเอ่ยปากยอมแพ้ออกมาในที่สุด

     “พีท กูขอโทษ พีท”

     เมื่อคนรักละล่ำละลักออกมาอย่างน่าสงสารพร้อมอาการดิ้นที่หยุดลงอย่างคนหมดแรง พิธานจึงยอมละริมฝีปากออกก่อนดึงมือออกจากเสื้อคนรัก

     ตัวที่สั่นเล็กน้อยของคนตรงหน้าทำให้พิธานถอนหายใจ พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องอย่างว่า การที่ม่านฟ้าถูกเขาจู่โจมกะทันหันจนตกใจกลัวเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจนัก

     แต่ยั่วนักก็ต้องเจอเสียบ้าง

     เขาขยับขากางออกให้คนรักนั่งอยู่กลางหว่างขาแล้วพลิกให้หันมาหาตนเองก่อนกอดไว้หลวมๆ พิธานตบหลังคนรักเบาๆ อย่างปลอบใจพร้อมก้มลงกระซิบที่ข้างหู

     “โทษที กูทำเกินไป”

     พิธานไม่ได้โกรธม่านฟ้าจริงจังเพียงแต่หมั่นไส้คนช่างแกล้งตรงหน้า อีกทั้งสัญชาตญาณของเขาบอกว่าควรกำราบเจ้าแมวขี้เกียจนี้สักทีก่อนจะเผลอยั่วสุนัขล่าเนื้ออย่างเขามากไปกว่านี้

     ร่างสูงรั้งตัวคนรักออกมาเพื่อคุยกัน แต่กลับเป็นม่านฟ้าที่ขยับแขนกอดร่างของเขาเอาไว้ไม่ปล่อย ใบหน้าของคนรักซบลงบนบ่าของเขาแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น

     พิธานได้แต่นิ่งรอจนร่างของคนรักหายสั่นแล้วจึงได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากในอ้อมแขน

     “มึงเคยคิดอยากจะทำจริงๆ บ้างไหม”

     คนถูกถามได้แต่เลิกคิ้วขึ้นสูงรู้ดีว่า ‘ทำ’ ที่อีกคนหมายถึงคืออะไร เพราะถึงจะหยอกแรงขนาดนี้ แต่เขาก็แก่ใจรู้ดีว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการฝืนใจม่านฟ้าเด็ดขาด

     ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าถามมาตรงๆ เขาเองก็จะตอบไปตรงๆ เหมือนกัน

     “ไม่ใช่แค่ ‘เคย’ ทุกวันนี้กูก็ยังอยาก แฟนกูทั้งคน ถ้ากูไม่อยากกูก็ตายด้านแล้วไหม”

     “...”

     บทสนทนาระหว่างพวกเขาจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อม่านฟ้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก ขณะที่ร่างสูงเองก็ไม่ได้หวังจะได้รับคำตอบรับหรือคำพูดใดกลับมา จนเวลาล่วงเลยไปสักพักเจ้าของห้องตัวโตก็ตบหลังคนรักเบาๆ อีกครั้ง

     “ไปเถอะ ไอหมอกน่าจะใกล้ถึงแล้ว”

     พิธานพูดแล้วกดจูบที่ขมับคนรักแรงๆ ดันตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนก่อนลุกขึ้นตามพร้อมคว้าเสื้อที่ตกลงไปบนที่นอนขึ้นมาสวม เขาขยับยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางเหมือนแมวซึมของคนรักแล้วเดินนำหน้าเพื่อออกจากห้อง แต่ยังไม่ทันเดินถึงประตู เสียงเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้นมาเบาๆ ให้ต้องหันกลับไปมอง

     คนตัวโตหันมาพบกับสายตาที่ช้อนมองขึ้นมา ริมฝีปากของคนรักขยับคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ทันพิธานที่เผลอพูดออกไปเสียก่อน

     “จะอ้อนอะไรอีก”

     ก็รู้ว่ามองแบบนี้มันอันตรายต่อใจเขา

     “กูไม่ได้อ้อนไหม”

     เสียงของม่านฟ้ากลับมาแข็งขึ้นทันที เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อถูกคนรักกล่าวหา หลายครั้งแล้วที่พิธานชอบบอกว่าเขาอ้อนใส่ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

     “ก็มึงชอบช้อนตามองแบบนี้ ไม่อ้อนแล้วคือไร”

     “ก็กูเตี้ยกว่ามึงไหม ไม่มองขึ้นไปแล้วจะให้กูยืนบนเก้าอี้แล้วมองมึงลงมารึไง”

     เสียงทุ่มเถียงกันดังขึ้นอีกครั้งแต่กลับทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่ลงจนหมด พิธานชี้มือให้คนรักอุ้มลังหนังสือลงไปขณะที่ตัวเองเดินตัวเปล่ากอดคอแฟนอย่างสบายอารมณ์ กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าออกนอกเรื่องที่จะคุยไปไกล ม่านฟ้าก็ลืมไปเสียแล้วว่าจะพูดอะไรกับคนรัก

     ----

     “พี่พีท”

     “หืม”

     พิธานตอบรับคำเรียกในลำคอเบาๆ โดยยังเพ่งสมาธิไปกับการตรวจข้อสอบในมือ เขาเพิ่งให้ภูหมอกทำแบบฝึกหัดที่เขาคิดเองเพราะสามารถทำให้โจทย์มันพลิกแพลงมากกว่าแบบฝึกหัดทั่วไป

     ช่วงแรกเพราะคิดว่ามีเวลาสอนแค่สองเดือน เขาจึงอัดเนื้อหารวมๆ เน้นตะลุยโจทย์ แต่ตอนนี้ในเมื่อได้เวลามาเพิ่ม เขาถึงให้ภูหมอกลองทำข้อสอบแล้วสอนอัดให้แน่นทีละเรื่อง โชคดีที่ภูหมอกเป็นคนหัวดีและมีพื้นฐานอยู่แล้ว เขาแค่เน้นสอนข้อยากๆ หรือวิธีการคิดให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้แข่งชิงคะแนนกับคนอื่นเขาได้ก็พอ

     ครูสอนพิเศษวงกลมเนื้อหาเรื่องที่ลูกศิษย์ผิดมาหลายครั้ง และวางแผนว่าจะเน้นให้ทำแบบฝึกหัดมากเป็นพิเศษ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้นเสียงของลูกศิษย์ก็ดังขึ้นมา

     “พี่ว่า...สิ่งที่หมอกเป็น มันน่ารังเกียจมากป่ะ”

     ดูเหมือนคำถามข้อนี้ของลูกศิษย์จะยากอยู่แฮะ

     “ทำไมคิดงั้น”

     พิธานขมวดคิ้ว หยุดมือจากข้อสอบตรงหน้าแล้วเงยหน้ามาคุยกับเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง เขาเพิ่งสังเกตว่าภูหมอกในวันนี้ดูหงอยลงไปกว่าทุกวัน

     “ครั้งแรกที่เจอกันพี่พีทก็บอกเองนี่ว่ามันน่าอาย น่ารังเกียจ”

     คุณครูสอนพิเศษถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วตอบปัดๆ “ตอนนั้นกูก็แค่กวนไปงั้น ไม่ได้ตั้งใจจะว่าแบบนั้น”

     คงไม่มีใครรู้ความหมายของคำพูดนั้นดีไปกว่าเขาและม่านฟ้า เขาเองก็อยากจะรู้คำตอบในสิ่งที่ภูหมอกกำลังถามอยู่จึงได้พูดมันออกไปในวันนั้น

     อยากรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างไรเพียงแค่เขารักคนคนหนึ่งและคนคนนั้นเป็นผู้ชาย

     รสนิยมของเขามันผิดที่ตรงไหน

     “ไม่เชื่อหรอก” ภูหมอกบอกเขาแบบนั้นแต่ก็ยังถามขึ้นมาอีกประโยค “แล้วในมุมของพี่พีทที่เป็นผู้ชายแท้ๆ เนี่ย มองคนแบบหมอกยังไง”

     คำถามแรกว่ายากแล้ว คำถามที่สองนั้นยากกว่า

     “ไม่รู้ดิ”

     พิธานจะตอบได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็ใช่ว่าจะเป็น ‘ผู้ชายแท้ๆ ’ นั้นเสียหน่อย

     “เกิดอะไรขึ้น”

     ก่อนที่จะถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าถามอะไรมากไปกว่านี้ พิธานจึงเลือกที่จะถามเด็กหนุ่มขึ้นมาก่อน

     “เรื่องเดิมๆ เพื่อนผู้ชายบางคน จริงๆ มันก็เป็นคนดีนะแต่ก็มีแซวบ้าง ทำเป็นกลัวเหมือนหมอกจะไปปล้ำบ้าง เหอะ หรือผู้หญิงที่พูดว่า ‘อย่าไปแกล้งหมอก’ ดูเหมือนแม่พระอ่ะแต่ตัวเองก็หัวเราะไง” ภูหมอกพูดแล้วก็ส่ายหัวทำหน้าระอา “จริงๆ ก็ชินแล้ว แต่มากๆ เข้าก็เบื่อ”
     
     “อืม” พิธานเพียงตอบรับในลำคอเบาๆ แล้วปล่อยให้อีกคนเล่าออกมาเรื่อยๆ

     พิธานยังจำครั้งที่ม่านฟ้ายื่นคำขาดให้ภูหมอกเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังเพราะไม่อยากให้มาทะเลาะกันอีกอย่างครั้งก่อนเปิดเทอม

     และครั้งนั้นที่ภูหมอกมาหาพวกเขาที่มอพร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนไป



     “พี่เมฆอ่ะ? พี่พีท”

     พิธานเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์เมื่อลูกศิษย์ถามขึ้น เห็นภูหมอกมองซ้ายมองขวาไปทั่วห้องพักของพี่ชายแต่ก็ไม่พบ “ลงไปซื้อข้าว วันนี้มึงจะติวกับกูไม่ใช่เหรอ”

     “...” ภูหมอกไม่ได้ตอบรับคำถามของครูสอนพิเศษแต่ก้มหน้าก้มตาหยิบการบ้านที่ให้ไปทำออกมาจากกระเป๋า ท่าทางที่ดูแปลกไปเล็กน้อยของลูกศิษย์ทำให้พิธานขมวดคิ้ว ลองถามหยั่งเชิงไปอีกประโยค

     “หรือมึงอยากไปกินข้าวข้างนอกไหม กูก็เบื่อที่ต้องกินแต่ข้าวกล่องเหมือนกัน”

     “...ยังไงก็ได้ครับ”

     ชัดเลย ภูหมอกผิดปกติไปจริงๆ

     อาการที่นั่งนิ่งแล้วบีบมือสองข้างเข้าหากันพร้อมกับเม้มปากเช่นนี้ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ สีหน้าของภูหมอกเองก็ย่ำแย่เต็มที เจ้าตัวเหลือบมองไปที่ประตูบ่อยครั้งเหมือนอยากให้พี่ชายรีบกลับมาที่ห้อง อาการทั้งหลายทำให้พิธานตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกมาที่ระเบียงเพื่อโทรศัพท์หาคนรัก

     ม่านฟ้าเพิ่งเดินลงไปซื้อข้าวที่โรงอาหารพร้อมกันกับที่เขาลงไปรับภูหมอกที่หน้าหอ จำนวนคนในตอนนี้ก็น่าจะไม่น้อย ม่านฟ้าอาจจะยังไม่ได้สั่งข้าวด้วยซ้ำ รีบเรียกกลับมาตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า

     พิธานเดินกลับมาอีกครั้งเพื่อสังเกตอาการของภูหมอก เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกแล้วก้มหน้าอยู่กับแบบฝึกหัดเหมือนพยายามจะกลบเกลื่อนอาการผิดปกติของตัวเอง จนเมื่อชายหนุ่มร่างสูงได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นในจังหวะที่เร็วกว่าการเดินปกติจากทางเดินก็คิดว่าน่าจะเป็นม่านฟ้า เขาลุกขึ้นเปิดประตูห้องก็เห็นคนรักกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาถึงหน้าห้องพอดี

     ทั้งคู่สบตากันชั่วครู่ก่อนที่ม่านฟ้าจะแทรกตัวเข้ามาในห้องเพื่อมองน้องชายตนเอง เจ้าของห้องขมวดคิ้วเล็กน้อยและสบตากับน้องชายที่เงยหน้าขึ้นมอง ม่านฟ้ากวาดของต่างๆ บนโต๊ะขึ้นไปโยนไว้บนเตียง ยกโต๊ะญี่ปุ่นออกมาแล้วพับเก็บก่อนจะขยับตัวลงนั่งที่พื้นข้างน้องชาย ฝ่ายพิธานเองเมื่อปิดประตูแล้วก็มานั่งอีกข้างของภูหมอกประกบเด็กหนุ่มเอาไว้

     “เป็นอะไร”

     คงเพราะม่านฟ้ารีบกลับมาตามคำเรียกของคนรัก เจ้าตัวจึงยังเหลืออาการหอบเล็กน้อยและทำให้เสียงที่ถามออกไปติดจะห้วนกว่าปกติ

     ภูหมอกที่เห็นพี่ชายพรวดพราดกลับมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็มึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อปฏิเสธคำถามนั้น

     ม่านฟ้าคิดว่าคงเป็นเพราะเสียงของตนเองที่ดูห้วน น้องชายจึงยังกลัวและไม่กล้าพูดก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับจังหวะการหายใจให้เป็นปกติ ขยับตัวเข้าไปใกล้น้องชายอีกนิดแล้วเอื้อมมือขึ้นไปลูบหัวภูหมอกเบาๆ

     “เป็นอะไร บอกพี่ดิ”

     ไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป แต่สรรพนามที่ม่านฟ้าใช้แทนตัวเองก็เปลี่ยนไปด้วย พิธานมองคนรักที่กำลังใช้ ‘ไม้อ่อน’ เพื่อเกลี้ยกล่อมน้องชายก่อนหันกลับมาสนใจกับท่าทางและคำตอบของเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง

     เพียงเจอน้ำเสียงที่อ่อนลงและสัมผัสอุ่นบนศีรษะก็ทำให้ภูหมอกเริ่มตัวสั่น ใบหน้าของภูหมอกเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจากการกลั้นสะอื้นก่อนน้ำตาเม็ดโตจะหยดลงตักของเจ้าตัว เด็กหนุ่มร้องไห้อยู่เงียบๆ พร้อมกับบีบมือตัวเองแน่นจนม่านฟ้าต้องดึงมือข้างหนึ่งของภูหมอกมากุมไว้แทน

     คนเป็นพี่มองน้องชายที่เป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ คิดว่าคงไม่พ้นถูกเพื่อนล้อหรือแซวที่โรงเรียนมาอีก เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมครั้งนี้จึงเป็นหนักกว่าทุกที จนเมื่อได้ยินประโยคต่อมาสีหน้าของม่านฟ้าก็เผือดลงอย่างตกใจ

     “ถ้าหมอกไม่เป็นแบบนี้ หมอกก็จะไม่ถูกทำแบบนี้ใช่ไหม”

     คำว่า ‘ทำ’ นั้นทำให้ท่าทางของชายหนุ่มสองคนเปลี่ยนไป หากเป็นเพียงการถูกล้ออย่างทุกครั้งภูหมอกคงไม่ใช่คำนี้

     “หมอกหยิบของจากเพื่อนผู้ชายแล้วเผลอจับไปโดนมือมันเขา มันก็แกล้งทำเป็นสะดีดสะดิ้งว่าหมอกลวนลามมัน เพื่อนในกลุ่มมันได้ยินก็เข้ามาแกล้งหมอกไปอีก ทำเป็นว่าหมอกเป็นตุ๊ดไม่ดีแล้วก็ตีก้นหมอก” ภูหมอกเล่าไปก็สะอึกสะอื้นออกมาอย่างน่าสงสาร

     ภูหมอกพยายามขัดขืนกลุ่มเด็กผู้ชายพวกนั้น แต่ด้วยแรงที่น้อยกว่าและตัวคนเดียวถึงได้ถูกล็อกตัวเอาไว้รุมแกล้ง สัมผัสของมือกักขฬะที่จับตามตัวของเขายังฝังลึกอยู่ในใจจนเกิดความรู้สึกขยะแขยงพร้อมกับหวาดกลัว ยิ่งกับฝ่ามือหนึ่งที่ล้วงเข้ามาในกางเกงของเขากับอีกมือที่พยายามกดท้ายทอยของเขาลงไปที่หว่างขาของตัวเอง

     เด็กหนุ่มพูดไปร้องไห้ไปแล้วใช้มือที่เหลืออีกข้างลูบที่ต้นขาตัวเองแรงๆ เหมือนอยากไล่ความรู้สึกของการโดนสัมผัสพวกนั้นทิ้งออกไป พิธานเอื้อมมือไปคว้ามือนั้นของลูกศิษย์ที่เปลี่ยนมาจิกลงบนขากางเกงแล้วตบบนหลังมือแผ่วเบา

     ภูหมอกหลุดจากสถานการณ์นั้นออกมาได้ด้วยการร้องไห้โฮออกมา เสียงร้องเรียกสายตาของใครอีกหลายคนให้หันมามอง เด็กกลุ่มนั้นจึงได้ผละมือจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ

     “แล้วกลุ่มเพื่อนมึงไปไหนหมด” ม่านฟ้าพยายามควบคุมเสียงตัวเองให้อยู่ในอารมณ์ปกติทั้งที่ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงเลือดที่ซูบฉีดแรงขึ้นจากความโกรธ

     หลายครั้งที่ภูหมอกถูกล้อเลียน ม่านฟ้าจะแนะนำให้เจ้าตัวทำเป็นนิ่งเฉยไว้ ความสนุกของคนพวกนี้หากเรายิ่งวิ่งตามเกมก็จะยิ่งแกล้ง หรือหากทนไม่ได้ก็พูดกัดเจ็บๆ สักทีก็อาจจะพอทำให้หมาในปากของคนพวกนี้บาดเจ็บล้มตายไปได้บ้าง แต่ถึงกับเข้ามาทำร้ายแบบนี้...

     “ตอนนั้นมันเป็นคาบพละ เพื่อนหมอกเลยถูกแยกไปอีกสนามหนึ่งกันหมด” เพราะเพื่อนในกลุ่มภูหมอกมีแต่เพื่อนผู้หญิง หากมีการแยกหญิงชาย ภูหมอกก็จะไม่เหลือเพื่อนไว้ช่วยเหลือได้เลย “หมอกรังเกียจอ่ะ ขยะแขยง! ไอ้พวกชั่ว หมอกเกลียดพวกมัน!! เกลียด!! ”

     ภูหมอกพูดจบก็ปล่อยโฮออกมา โถมตัวเข้ากอดพี่ชายเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “หมอกอยากจะด่าพวกมัน แต่พวกมันก็จะบอกว่าหมอกเป็นตุ๊ดปากจัดอีก ไอ้พวกเหี้ยนั่น!”

     ใครต่อใครชอบกล่าวหาว่าเพศที่สามมักจะปากจัด พูดแรง แต่ใครจะรู้บ้างว่าต่อให้คนคนนั้นจะเป็นคนเรียบร้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่เขาถูกกระทำจากสังคมรอบข้างบังคับให้เขาต้องเข้มแข็ง ต้องปกป้องตัวเอง ทางเลือกหนึ่งก็คือการพูดโต้ตอบออกไปเพื่อไม่ให้ใครกล้าเข้ามาทำร้ายเขาได้อีก

     ม่านฟ้าพยายามคิดวิธีการแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้ให้น้องชาย แต่ในยามที่กำลังโกรธเช่นนี้ เขาคิดเพียงอยากจะเห็นหน้าไอ้เด็กพวกนั้นแล้วถามหาเหตุผลในการเกิดมาให้รกโลกของพวกมันมากกว่า

     “พรุ่งนี้ให้กูไปเคลียร์ที่โรงเรียนให้ไหม”

     “เมฆ”

     คำพูดนั้นถูกขัดขึ้นมาทันทีด้วยเสียงของพิธาน เขาพอจะรู้ว่าคนรักกำลังโมโห เขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกันเพียงแต่ทางเลือกที่ม่านฟ้าเสนอออกมานั้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ “ยิ่งมึงไป น้องมึงก็ยิ่งดูเป็นลูกแหง่ไหม พ้นหลังมึงไป น้องมึงก็ถูกแกล้งอีกเหมือนเดิม”

     ความคิดเช่นนี้พิธานก็ได้มาจากคนรักที่เคยเตือนสติเขาไว้นั่นแหละ

     ก่อนหน้านี้สมัยมัธยม ม่านฟ้าเองก็เคยเล่าให้เขาฟังว่าเพื่อนคนหนึ่งดันรู้เข้าว่าม่านฟ้ามีแฟนเป็นผู้ชาย เจ้าตัวก็ล้อเลียนและแกล้งทำเป็นกลัวม่านฟ้าเช่นนี้ ในตอนนั้นที่เขาได้ยินยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและคิดจะไปจัดการไอ้คนนั้นให้คนรักเองถึงที่โรงเรียน

     แต่ก็ถูกม่านฟ้าห้ามเอาไว้

     และตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร

     'กูจัดการเองได้หน่า จัดการไปแล้วด้วย ถ้าคอยแต่จะให้มึงปกป้อง พอวันไหนมึงไม่อยู่กูก็โดนล้ออีก แค่มาเล่าให้มึงฟังเพราะไม่อยากปิดบังอะไรไว้แค่นั้น ไม่ต้องห่วงหรอก'

     ใช่ ทางแก้ปัญหาของเรื่องพวกนี้...คือเราต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยตัวเอง

     การจัดการของม่านฟ้าก็เพียงการเงียบไว้อย่างที่เคยสอนภูหมอก ถ้ามากเข้าคนรักของเขาก็จะควักคำพูดนิ่มๆ ตามสไตล์ม่านฟ้าออกมาให้อีกฝ่ายได้เจ็บๆ คันๆ แต่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายหรือลวนลามเช่นนี้ก็ยังไม่เคยเจอเหมือนกัน

     คงเพราะที่โรงเรียน ม่านฟ้าก็มีพรรคมีพวกพอที่จะไม่มีใครกล้ามาแกล้งล่ะมั้ง

     เห็นนิ่งๆ แบบนี้เรื่องวิวาทก็เก่งพอตัวอยู่

     พิธานเห็นคนรักพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจความหมายที่เขาสื่อแล้วจึงหันไปพูดกับน้องชายอีกครั้ง “งั้นวันหลังกูจะสอนให้มึงป้องกันตัวไว้บ้างจะได้ไม่โดนแกล้งง่ายๆ แบบนี้อีก”

     ชายร่างสูงพยักหน้าเห็นพ้องตรงกันกับคนรัก แต่ก็ต้องสะดุ้งออกมาเล็กน้อยเมื่อประโยคต่อมาม่านฟ้าดันพาดพิงมาถึงเขาด้วย “แต่ถ้ามึงอยากได้ถึงขั้นชกต่อยจริงจังมึงก็ไปให้ไอพีทมันสอนแล้วกัน เนี่ย วิวาทที่หนึ่ง”

     คนวิวาทเก่งเห็นคนรักพยักพเยิดมาทางเขาก็อดถลึงตาใส่ไม่ได้ ยอมรับเช่นกันว่าก็มีบ้างกับเรื่องพวกนี้ ยิ่งแต่ก่อนเขาเป็นพวกใจร้อนมุทะลุ ถึงตอนนี้จะน้อยลงมากแล้วแต่ก็ยังเหลืออยู่บ้างนิดหน่อยให้คนรักได้กัดได้แขวะ

     พิธานมองม่านฟ้าตบหลังปลอบใจน้องชายเงียบๆ รู้สึกคิดถูกที่เรียกคนรักกลับมาก่อน ขืนให้ภูหมอกทนเก็บเรื่องนี้ไว้ แล้วไม่ได้เล่าออกมาอาจเป็นปัญหาต่อไปก็ได้ ตัวเขาเองก็มองภูหมอกเป็นเหมือนน้องชาย ก็ได้แต่หวังว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ในที่สุด

     “พยายามเกาะกลุ่มเพื่อนมึงไว้ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ มึงก็ต้องโต้กลับบ้าง ที่สำคัญที่สุดคืออย่าทำให้มันเห็นว่าเรากลัวมัน เราอ่อนกว่ามัน” ม่านฟ้าผลักน้องชายออกมามองหน้าให้ชัด ยู่หน้าเล็กน้อยอย่างไม่เก็บอาการรังเกียจ แล้วดึงเสื้อนักเรียนตัวใหญ่ของภูหมอกเองขึ้นมาเช็ดหน้าให้เจ้าตัวหลังเห็นว่าใบหน้าของน้องชายเลอะไปด้วยน้ำมูกและน้ำตามากแค่ไหน

     “มึงต้องรู้จักเข้มแข็งนะ มึงเป็นน้องกู มึงทำได้ ภูหมอก”



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8 (20.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 20-12-2020 14:02:15
ภาคความจริง : บทที่ 8 (ต่อ)



     “แถมวันนี้มีนัดคุยกับครูแนะแนว เรื่องยื่นที่เรียนเนี่ยแหละ แต่พอเห็นอาการหมอกเขาก็พูดว่า เป็นแบบนี้ที่บ้านรู้ไหม กลับตัวดีกว่านะ พ่อแม่จะได้ไม่เสียใจ โอย! แทงใจดำไปอีก”

     เสียงบ่นต่อมาเรียกพิธานจากเหตุการณ์ในวันเก่าให้กลับมาสนใจน้องชายคนรักที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

     ถึงน้ำเสียงของภูหมอกจะเหมือนบ่นแต่ก็ยังแฝงความน้อยใจอยู่ในที ท่าทางของภูหมอกตอนนี้ไม่ได้ดูเหมือนคนที่จะร้องไห้กับการถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งอย่างแต่ก่อนแล้วพิธานจึงอดภูมิใจเล็กน้อยแทนพี่ชายของเจ้าตัวไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มใจสาวคนนี้กำลังเข้มแข็งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

     “พี่พีทเคยรู้สึกกลัวจะถูกตุ๊ดถูกกะเทยปล้ำบ้างม่ะ”

     จนเมื่อคำถามต่อมาถูกส่งมาที่เขา พิธานก็ส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่ต้องคิด “กูดูน่าปล้ำมากรึไง ถ้าหล่ออย่างพระเอกหนังก็ว่าไปอย่าง พี่มึงด่ากูทุกวันว่าหน้าเหมือนตัวร้าย ใครเห็นไม่วิ่งหนีก็บุญแล้ว” พูดไปเจ้าตัวก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

     ภูหมอกมองหน้าตาของครูสอนพิเศษให้ละเอียดอีกครั้ง พิธานก็ไม่ใช่คนขี้เหร่อะไร ยิ่งตัวสูงใหญ่ยิ่งดูน่าสนใจ แถมหน้าตาร้ายๆ แบบนี้เขายังคิดว่าน่าจะเป็นเสน่ห์ให้สาวติดตรึมด้วยซ้ำ ไม่ค่อยเข้าใจพี่ชายที่พูดออกมาแบบนั้นแต่ก็ดึงครูสอนพิเศษกลับเข้าบทสนทนาเดิม

     “ก็ถ้าสมมติมีกะเทยที่สนใจพี่ หรือตัวใหญ่กว่าพี่อีกอะไรแบบนี้ ไม่คิดจะกลัวบ้างรึไง”

     “ถ้าหน้ามืดตามัวจะปล้ำกูจริงแล้วคุยไม่รู้เรื่องกูก็คงต่อยอ่ะ” พิธานตอบกลับไปง่ายๆ อย่างไม่คิดอะไรมาก แล้วขยายความคิดของตนเองต่อให้เด็กหนุ่มฟัง

     “แต่จะกลัวไปทำไม ชีวิตแม่งอาจมีอะไรน่ากลัวกว่านั้นอีกเยอะ ถ้ากลัวโดนกะเทยปล้ำ กูต้องกลัวโดนอันธพาลตีหัวล้วงกระเป๋าด้วยรึเปล่า กูต้องกลัวทุกครั้งเวลาขับรถว่าจะเกิดอุบัติเหตุรึเปล่า หรือกูต้องกลัวจะมีลูกปืนหล่นจากฟ้ามาเจาะหัวกูตายไหม”

     คำถามของชายหนุ่มคล้ายหาเรื่องแต่ก็ดึงให้เด็กหนุ่มได้คิด

     “เรากลัวทุกอย่างไม่ได้...มึงเองก็เหมือนกัน คนอื่นจะคิดยังไงช่างแม่ง ไม่ต้องกลัว ทุกวันนี้มึงเก่งกว่าแต่ก่อนเยอะแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนแต่มึงเริ่มกล้าใช้ชีวิตขึ้น มั่นใจในตัวเองมากขึ้น อย่างเรื่องวันนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนมึงคงวิ่งร้องไห้มาซบอกพี่มึงแล้ว แต่ตอนนี้มึงก็ยังดูโอเคอยู่”

     ภูหมอกเม้มปากเข้าหากัน รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกแย่ที่เจอในวันนี้ลดลงไปมาก เอ่ยคำขอบคุณครูสอนพิเศษออกมาเบาๆ พร้อมรอยยิ้มก็พอดีกับที่ประตูห้องพักถูกเปิดออก

     ม่านฟ้าถือถุงข้าวเย็นที่เพิ่งไปซื้อมาว่างลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ เหลือบมองน้องชายกับคนรักที่ดูเงียบกันจนผิดปกติ บรรยากาศแปลกๆ เกิดขึ้นจนม่านฟ้าขมวดคิ้วหันไปถามน้องชายก่อนเป็นคนแรก

     “มีอะไรรึเปล่า”

     ภูหมอกมองพี่ชายที่ถึงจะดูนิ่ง ดูห้วนแบบนี้แต่ก็เป็นคนเดียวกันกับคนที่มอบความเข้มแข็งให้เขาเสมอมา ขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะญี่ปุ่นที่นั่งอยู่กับพื้นเดินไปกอดพี่ชายตัวเล็กเอาไว้

     ม่านฟ้าถึงกับผงะแล้วเผลอหลุดหน้าเหวอ ตั้งตัวไม่ทันเมื่อน้องชายอยู่ๆ ก็มากอดเช่นนี้ เขาเหลือบตาไปมองคนรักผ่านไหล่ของเด็กหนุ่มก็เห็นอีกคนทำท่ายักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้

     เด็กหนุ่มผละออกมาแล้วทำกลบเกลื่อนเสหน้ามองไปยังกล่องอาหารที่พี่ชายเพิ่งซื้อมา หยิบกล่องนั้นจับกล่องนี้แล้วเดินกลับไปเคลียร์โต๊ะญี่ปุ่นให้มีที่ว่างสำหรับทานอาหาร

     หนุ่มอักษรฯ มองน้องชายอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ยักไหล่ เอ่ยปากขอตัวไปล้างมือในห้องน้ำ

     “จริงๆ อย่างพี่พีทก็ดีนะ ไม่กลัวอะไรเลย”

     พิธานหันไปมองคนที่พูดขึ้นมาต่อบทสนทนาที่คุยกันค้างไว้ทั้งที่มือยังขยับจัดของอยู่ เขาหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ เหลือบมองคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ

     แม้ไม่ได้ตอบรับคำของเด็กหนุ่มออกไปแต่ก็มีคำตอบนั้นในใจ

     ‘กลัวสิ’

     ‘เขามีเรื่องให้กลัวอีกหลายอย่างเลยล่ะ’

     พิธานมองตามการกระทำของม่านฟ้าที่เดินไปหยิบโน่นวางนี่ก่อนจะเดินลงมานั่งข้างกัน ดวงตาสองคู่สบกันชั่วครู่ก่อนเป็นพิธานที่คลี่ยิ้มออกมาบางๆ

     ‘แต่ต้องข่มมันเอาไว้ ต้องเข้มแข็งเข้าไว้’

     ชายหนุ่มตัวโตอาศัยจังหวะที่ภูหมอกเดินไปล้างมือในห้องน้ำ ขยับตัวยื่นหน้าเข้าจูบหน้าผากของคนรักแผ่วเบา

     ‘เพื่อปกป้องใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน’



     TBC



     Achaya (Writer) :

     น้องก็น่าสงสาร แต่พวกพี่มันก็ยังหวานกันอยู่นั่นแหละ ตอนหน้าที่จะลงจะเป็นตอนพิเศษ พร้อมมีเรื่องประกาศอีกนิดหน่อย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8 (20.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-12-2020 15:18:27
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8 (20.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-12-2020 21:59:07
รีบมาอีกน้าาาา
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8.5 (Special) (27.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 27-12-2020 12:27:46
ภาคความจริง : บทที่ 8.5 (Special)

     นายภูหมอก เด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่สันทัดกับการไปเรียนโรงเรียนสอนพิเศษ ทางเลือกสุดท้ายที่ได้รับเสนอมาเพื่อให้สอบได้ติดจากพี่ชายคนดีก็คือ 'เพื่อนพี่ชาย' อย่างพิธานที่เขาได้แต่สงสัยว่าไปเป็นเพื่อนกันตอนไหน

     เด็กหนุ่มไม่ได้ตั้งแง่โกรธเกลียดครูสอนพิเศษคนนี้อย่างช่วงแรกอีกแล้ว เข้าใจว่าพิธานเป็นคนปากร้าย อาจเป็นคนพูดตรงไปบ้าง ห้วนไปหน่อยแต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นคนดี เพียงแต่ก็ขอกัดบ้าง แซวบ้างให้ได้ทะเลาะกันนิดหน่อยเพื่อความสนุกสนาน

     “กูซื้อขนมปังลดราคามา อันใหญ่อยู่ กินม่ะ”

     เสียงของพี่ชายที่ดังขึ้นหลังจากเข้ามาในห้องและนั่งลงบนเตียง

     การติวภาษาอังกฤษของม่านฟ้าเพิ่งจบไป เจ้าตัวถึงลงไปซื้อขนมมากินเล่นในช่วงพักก่อนจะถึงเวลาการติวของพิธานต่อ แต่ตอนนี้ทั้งพิธานและภูหมอกต่างก็นั่งอยู่บนพื้นประจำที่เตรียมพร้อมอยู่หน้าโต๊ะญี่ปุ่นแล้ว

     เสียงคำถามที่ถูกส่งมาไม่ได้เจาะจงที่ใคร แต่เมื่อไม่มีใครปฏิเสธม่านฟ้าจึงฉีกขนมปังแท่งยาวที่โรยน้ำตาลไอซิ่งด้านบนออกเป็นสามส่วนอย่างพยายามให้มันเท่ากัน

     เจ้าของขนมปังยื่นขนมปังท่อนหนึ่งให้ครูสอนฟิสิกส์ที่นั่งอยู่ด้านขวา ก่อนจะหันมายื่นขนมปังอีกท่อนให้กับน้องชายที่อยู่ด้านซ้าย เด็กหนุ่มมองขนมปังที่โรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งด้านหน้าจนขาวแล้วเหลือบไปมองขนมปังของครูสอนพิเศษที่นั่งอยู่ตรงข้าม

     “ของหมอกไอซิ่งเยอะกว่าแหละ อิอิ”

     เห็นลูกศิษย์ตัวดียิ้มยิงฟันอย่างน่าหมั่นไส้แถมด้วยเสียงหัวเราะสุดจะกวนบาทาทำให้พิธานดึงความเป็นผู้ใหญ่ออกมาใช้ไม่ทัน

     “แต่ของกูอันยาวกว่าเหอะ”

     ม่านฟ้ามองสองครูศิษย์ที่ยื่นขนมปังออกมาเทียบกันอย่างหน่ายใจก่อนเริ่มกัดขนมปังท่อนที่เหลืออยู่ในมือ คิดว่าเดี๋ยวพวกมันก็หยุดตีกันไปเอง เขาเห็นสองคนส่งประกายไฟทางสายตาใส่กันครู่หนึ่งก่อนหันกลับมากินขนมปังแล้วสมานฉันท์กันเหมือนเดิม

     “หอมดีอ่ะ”

     “อืม หวานด้วย แต่ไส้น้อยไปหน่อย”

     “ใช่ น้อยมาก”

     สองครูศิษย์กินไปคำหนึ่งก็ช่วยกันวิจารณ์ออกมาอย่างจริงจัง แต่คำวิจารณ์ท่อนหลังกลับทำให้เจ้าของขนมปังเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

     หนุ่มอักษรฯ ก้มมองขนมปังที่เหลืออยู่ในมือ ไส้ช็อกโกแลตด้านในแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้ว เขากินไปยังรู้สึกว่าไส้มากกว่าขนมปังอย่างไม่สมดุลเอาเสียเลยจึงพูดแก้ต่างออกไปเบาๆ

     “กูว่าไม่นะ”

     คำพูดสั้นๆ นั้นแต่กลับทำให้อีกสองคนหันมามอง พิธานเริ่มจับสังเกตถึงนิ้วมือที่เลอะช็อกโกแลตเช่นเดียวกันกับภูหมอกที่ก็เห็นแล้วว่าขนมปังชิ้นน้อยที่ตอนนี้เหลืออยู่ในมือของพี่ชายมีไส้ทะลักออกมาแค่ไหน

     เพราะว่าม่านฟ้านั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนจึงยื่นขนมปังท่อนขวาให้พิธานที่อยู่ทางขวา และขนมปังท่อนซ้ายให้ภูหมอกที่อยู่ด้านซ้าย ส่วนตัวเองก็ได้ขนมปังบริเวณตรงกลางไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่โดยธรรมชาติของขนมปังมีไส้ ไส้ก็จะล้นอยู่บริเวณตรงกลางอยู่แล้ว

     “เห้ย!”

     เสียงของสองคนที่ก่อนหน้านี้เถียงกันแทบตายว่าใครจะได้ขนมปังท่อนที่ดีกว่า เพิ่งมาสำนึกได้ว่าจะขนาดใหญ่กว่าหรือน้ำตาลไอซิ่งมากกว่าก็สู้ไส้ที่เยอะกว่าไปไม่ได้

     ม่านฟ้าเองก็เพิ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ ด้วยอารมณ์ตกใจปนสะใจถึงได้รีบยัดขนมปังที่เหลือในมือเข้าปากจนหมด เขาเห็นอีกสองคนมองมาตาค้างก่อนจะค่อยๆ ทำตัวเหี่ยวลงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม ม่านฟ้าอมยิ้มจนแก้มปริเมื่อคนรักพึมพำออกมาเสียงเบา

     “กูก็อยากกินไส้อ่ะ มึงแม-”

     เจ้าของขนมปังมองไส้ช็อกโกแลตที่ยังเลอะอยู่บริเวณปลายนิ้วตัวเองก่อนยัดเข้าปากของคนขี้บ่นทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคแล้วสำทับ “อ่ะ พอใจยัง”

     ม่านฟ้าหลุดขำออกมาอีกรอบเมื่อคนอยากกินไส้ทำหน้าตาบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิมก่อนดึงปลายนิ้วที่ยังเหลือช็อกโกแลตติดอยู่อีกนิดหน่อยเข้าปากตัวเองเพื่อดูดต่อให้หมด

     ภูหมอกมองการกระทำที่ดูเป็นธรรมชาติและการดูดนิ้วต่อจากอีกคนอย่างไม่รังเกียจระหว่างพี่ชายและครูสอนพิเศษอย่างงุนงง แม้จะยังเสียใจกับไส้ช็อกโกแลตแต่ความสนิทสนมของสองคนตรงหน้ากลับทำให้ภูหมอกสนใจได้มากกว่า

     หยั่งกะจูบทางอ้อม

     “มองไรมึง กินดิ ยังไงก็ไม่มีไส้ให้กินทั้งคู่อยู่แล้ว”

     ถ้าเป็นหนังโรแมนติกอ่ะนะ

     เด็กหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ความคิดมามองครูสอนพิเศษที่ยังนั่งทำหน้าเอือมอยู่ขณะที่พี่ชายของเขาเดินไปล้างมือในห้องน้ำแล้ว เขาก้มลงกัดขนมปังในมือที่เหลืออยู่แล้วตอบรับคำที่อีกคนพึมพำออกมาโดยลืมเรื่องที่คิดก่อนหน้าไป

     “อืม แต่ก็นุ่มดี”

     “ครับ ก็พอใช้ได้แหละ”

     สองครูศิษย์ได้แต่ก้มลงกินขนมปังไม่มีไส้แล้วปลอบใจกันเองเบาๆ

     ----

     เสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังขึ้นเรียกให้ภูหมอกเงยหน้าขึ้นไปมองครูสอนพิเศษที่เพิ่งเดินกลับมาจากเข้าห้องน้ำ วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เขามาติวหนังสือที่หอพักของพี่ชาย เขาเห็นพิธานส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อมองไปที่เตียงด้านข้างตัวของเขา

     ภูหมอกเลื่อนสายตาตามอีกคนไปจึงพบกับพี่ชายที่ตอนแรกยังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ดีๆ แต่ตอนนี้กลับหลับคอพับลงไปกับที่นอนแล้ว

     ร่างสูงของครูสอนพิเศษเดินเข้ามาข้างเตียงบดบังทัศนวิสัยของเขาไปเล็กน้อยแต่ก็ยังพอเห็นได้ว่าคนตัวโตช้อนมือเข้าไปใต้ศีรษะของพี่ชายเขา ก่อนประคองขึ้นมาเล็กน้อยแล้วดึงหมอนหนุนมารองคอให้ด้วยมืออีกข้าง

     ไม่เพียงแค่นั้น ‘เพื่อน’ ของพี่ชายคนนี้ยังดึงโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนอกออกมาวางไว้ข้างตัวแทนและปัดผมที่ปรกหน้าพี่ชายเขาออกเบาๆ

     เด็กหนุ่มมองการกระทำที่ไม่ได้ดูอ่อนโยนมากมายแต่กลับเห็นได้ถึงความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ

     “เหลืออีกห้านาทีหมดเวลา ทำเสร็จแล้วใช่ไหมถึงเหม่อเนี่ย”

     เสียงคุณครูจอมเฮี้ยบดังขึ้นให้ภูหมอกต้องละความสนใจกลับมาที่แบบฝึกหัดตรงหน้าอีกครั้งอย่างร้อนรน

     อีกห้านาทีเองเหรอ จะทันได้ไง!?

     ----

     “มึงจะนอนนี้ไหม”

     เสียงของพี่ชายที่ถามขึ้นหลังจากก้มมองเวลาที่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว

     เหลืออีกแค่ประมาณสองเดือนก่อนถึงกำหนดการสอบของภูหมอก เดือนหน้าพวกเขาก็จะกลับไปติวหนังสือกันที่บ้านเหมือนเดิมเพราะคุณครูทั้งคู่กำลังจะปิดเทอมช่วงปี 3 เทอม 1

     แต่ก่อนหน้านั้น เหล่าคุณครูก็จะมีสอบปลายภาคกันให้ปวดหัวไม่ต่างไปจากเด็กมัธยมอย่างเขาทำให้ช่วงนี้ต้องเร่งเนื้อหาการติวขึ้นจนดึกดื่นเพราะอาจต้องหยุดติวกันไปสักระยะ

     “หอพี่ให้คนนอกนอนได้เหรอ”

     “ไม่ได้”

     “อ้าว แล้วพูดทำไม”

     “มีขนมอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวกูลองไปคุยกับลุงยามให้”

     รูปประโยคที่ดูไม่ไปด้วยกันแต่ภูหมอกก็พอจะเข้าใจความหมายนั้นดี ถึงได้ทำหน้าเอือมระอาใส่พี่ชายแล้วพูดตอบกลับไป

     “นั่นไม่เรียกคุยพี่เมฆ เขาเรียกติดสินบน”

     “อ๋อเหรอ”

     หนุ่มอักษรฯ ส่งเสียงตอบรับออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้าเป็นการรวบรัดให้น้องชายนอนพักที่หอ อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ไม่มีปัญหาเรื่องการไปเรียนของภูหมอกอยู่แล้ว

     ภูหมอกนวดขมับตนเองจากการอ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดกว่าสองชั่วโมง แล้วมองซ้ายมองขวาเพื่อพักสายตา เขามองพี่ชายที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ก่อนหันมาที่ครูสอนพิเศษอีกคนที่ก็กำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน

     เฮ้อ สังคมก้มหน้า

     เด็กหนุ่มเห็นพิธานสิงตัวอยู่ในห้องนี้ราวกับเจ้าของห้องคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเคยเจอรูมเมทของพี่ชายที่ไม่เคยมานอนห้องแต่กลับมาเอาของเป็นครั้งคราว เขาคงคิดว่าพิธานเป็นรูมเมทของพี่ชายแน่ๆ

     เหยื่อในการคุยเล่นพักสมองในครั้งนี้ของภูหมอกตกเป็นของพิธาน เด็กหนุ่มไม่ค่อยกล้าแกล้งพี่ชายเล่นเท่าไหร่เมื่อวันนี้จำต้องอาศัยพี่ชายนอนด้วย กลัวว่าแกล้งมากเดี๋ยวจะโดนระเห็จออกไปนอนนอกห้องเสียก่อน
     
     “พี่พีททำไรอ่ะ”
     
     “คุยกับแฟน”

     “ไหนๆ อยากเห็นหน้า ขอดูรูปหน่อย”

     นี่เป็นอีกหนึ่งปริศนาที่ภูหมอกยังไขไม่ได้ เขาเคยได้ยินครูสอนพิเศษคนนี้พูดถึงแฟนมาหลายหน แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าสักที อยากรู้เหมือนกันว่าจะสวยแค่ไหน

     “ไม่ให้”

     “นิดเดียวเอง หมอกอยากเห็นคนที่เขาพลาดมาเป็นแฟนพี่พีทเนี่ย”

     “เดี๋ยวกูตีปากให้ ไอ้เด็กนี่”

     เมื่อเห็นว่าครูสอนพิเศษยังคงใจแข็งไม่ยอมให้ดูรูปสาวปริศนาคนนั้น เด็กหนุ่มก็ทำท่าครุ่นคิดแล้วพยายามงัดกลวิธีต่างๆ ออกมาอีกหน

     “จริงๆ ไม่มีใช่ไหมเนี่ย ถึงไม่มีให้ดูเนี่ย”

     “มี”

     “ไม่เชื่อ มีจริงต้องเอาให้ดู”

     “โถ่ มุกหลอกควาย เอาไปหลอกพี่มึงโน่นไป”

     ภูหมอกบึนปากใส่ครูสอนพิเศษที่โยกหัวหลบหมอนหนุนใบโตที่ถูกขว้างมาโดยพี่ชายของเขาก่อนบ่นออกมาเบาๆ “เบื่อคนรู้ทัน” แล้วเปลี่ยนมาใช้วิธีการอ้อนซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลกับทั้งพ่อ แม่ และพี่ชาย

     “น้าาา ขอดูหน่อย นิดเดียวๆ ”

     แต่ไม่ได้ผลกับชายคนนี้

     “ไม่”

     เมื่อคำตอบยังเป็นคำเดิมภูหมอกก็กลับตัวเองกลายเป็นคนจริงจังขึ้นมาเพื่อแผนต่อไป

     “พี่พีท” เสียงภูหมอกที่ดูจริงจังขึ้นเรียกสายตาของครูสอนพิเศษให้เหลือบขึ้นมามอง “พี่พีทเป็นเพื่อนพี่เมฆ เป็นครูสอนพิเศษของหมอก แถมยังเป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเด็กน้อยคนนี้ไว้อีกหลายครั้ง”

     พิธานเริ่มระแวงท่าทางและการหว่านล้อมที่ยังเดาทางไม่ถูก ชักแขนหลบมือเจ้าตัวที่ยื่นมาคว้าแขนเขาไว้แต่ก็ไม่ทัน “พี่พีทก็เปรียบเป็นเหมือนพี่ชายของหมอกอีกคนนะครับ”

     เช่นเดียวกับม่านฟ้าที่ก็เริ่มสนใจบทเกลี้ยกล่อมในครั้งนี้เหมือนกันว่าน้องชายจะมาไม้ไหน

     .

     .

     “ถ้าหากหมอกไปเจอพี่สะใภ้ข้างนอก แล้วหมอกไม่ได้ทักทายทำความเคารพ มันจะเป็นเรื่องไม่งามนะครับ”

     สิ้นประโยคทั้งพี่ชายและ ‘พี่สะใภ้’ ก็กลอกตาส่ายหัวออกมาพร้อมกัน ลงมติว่าการเกลี้ยกล่อมนี้ก็ไม่ผ่านอีกตามเคยจนภูหมอกเริ่มแผลงฤทธิ์ความงอแงออกมาจนได้

     “โอยยย อยากเห็นอ่าา ไม่งั้นหมอกไม่เชื่อน้าา หน้าตาเป็นไงอ่ะ ชื่ออะไร บอกหน่อยย”

    “เมฆ”

     คำพูดสั้นๆ ของพี่ชายคนใหม่รั้งให้ภูหมอกถึงกับชะงัก

     เขาหันไปมองเจ้าของชื่ออย่างงุนงง เหมือนเห็นว่าพริบตาหนึ่งเจ้าของชื่อเรียกจะสะดุ้งออกมาเล็กน้อย เด็กหนุ่มยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่พี่ชายคนใหม่เรียกชื่อพี่ชายตัวจริงของเขาออกมาเมื่อเขาถามถึงชื่อแฟน จนกระทั่งอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ

     “มึงยืนยันกับน้องมึงดิ ว่ากูมีแฟนแล้วจริงๆ ไม่งั้นมันก็ตื๊อกูไม่เลิก”

     ภูหมอกหันไปมองพี่ชายที่แสดงท่าทางอึกอักออกมาครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นปกติแล้วตอบเขาออกมาด้วยเสียงนิ่ง

     “เออ มันมีแฟนแล้วจริงๆ เลิกแกล้งมันได้แล้ว ทำแบบฝึกหัดต่อเร็ว”

     เด็กหนุ่มยังพยายามจับสังเกตหาพิรุธของพี่ชาย แต่เมื่อไม่พบอะไรภายใต้ท่าทางนิ่งๆ เหมือนแมวขี้เกียจนั้น เขาก็หันกลับมาทำสายตาจับผิดใส่ครูสอนพิเศษต่อ จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเมื่อตัดใจได้แล้วว่าคงไม่ได้ดูรูป ‘พี่สะใภ้’ อีกตามเคย

     “ถ้าพี่เมฆไม่ยืนยันหมอกไม่เชื่อนะเนี่ย”

     “รีบทำชุดต่อไปเลยมึง กูเริ่มจับเวลาล่ะ”

     “โอย เดี๋ยว ขอพักอีกหน่อย”

     เมื่อพิธานเอาเรื่องติวมาอ้าง เด็กหนุ่มก็โอดครวญออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่คนตัวโตดูจะไม่สนใจกดจับเวลาในโทรศัพท์ของภูหมอกแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงข้างพี่ชายเขา ชี้ชวนให้ดูของบางอย่างในโทรศัพท์ด้วยกันสองคน

     “มึงว่าจิวอันนี้ดีม่ะ”

     “แล้วมันต่างกับอันที่มึงใส่อยู่ตรงไหนเนี่ย”

     ถึงจะเริ่มจับเวลาแล้วแต่คราวนี้ภูหมอกไม่สนใจ เขาหันไปมองพฤติกรรมของคนทั้งคู่ที่กระซิบกระซาบจนหัวแทบชนกัน เห็นพี่ชายเอื้อมมือไปดึงติ่งหูที่มีจิวสีดำใส่อยู่ของอีกคนแล้วคลึงเบาๆ ก่อนโดนเจ้าของติ่งหูดึงมือออกมาแล้วกุมไว้แทน

     “ต่าง อันนี้มันเป็นสเตนเลส

     ภาพผู้ชายสองคนที่คุยกันงุ้งงิ้งกลับไม่ได้ดูขัดตาในสายตาภูหมอก แต่กลับดูน่ารักนิดหน่อยด้วยซ้ำ

     ภูหมอกหรี่ตามองพี่ชายทั้งสองคนตรงหน้าแล้วครุ่นคิด

     เขาคิดมานานแล้วว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้เนี่ย

     .

     .

     เป็นเพื่อนที่สนิทกันจริงๆ นะ



     TBC





     Achaya (Writer) :

     ก็เพื่อนสนิทไงงงง เด็กมันซื่อ 55555

     วันนี้มีเรื่องมาประกาศคือ จะขอหยุดการลงนิยายชั่วคราว ย้ำว่า 'ชั่วคราว' เท่านั้น เพราะว่าแต่งไม่ทันจริงๆ คือเราเป็นคนที่จะเริ่มยุ่งตั้งแต่ช่วงปลายปี และจะพีคมากๆช่วงต้นปีจนถึงเดือน 4-5 (ยุ่งแบบอย่าเพิ่งคิดถึงเวลาแต่งนิยาย แค่เวลานอนยังหาแทบไม่ได้เลย) และจะเริ่มมีเวลาอีกครั้งก็เดือน 6 (คือช่วงที่เริ่มลงนิยายเรื่องนี้ครั้งแรกนั่นแหละ) ตอนแรกที่ลงก็มีตอนในสต๊อกเก็บไว้เยอะอยู่ แต่ตอนนี้คือเกลี้ยงและปั่นไม่ทันจริง

     แต่ "สัญญา ไม่ทิ้งแน่นอน"

     เราคิดว่าน่าจะกลับมาอีกทีประมาณเดือน 6 2021 เลย ใครแวะผ่านเข้ามาก็ทิ้งคอมเมนต์ กำลังใจ หรือคำติชมไว้ได้ พร้อมรับฟังเสมอ หรือจะทวงนิยายก็ได้

     ปล.นิยายเรื่องนี้ยังไม่มีแท็กของตัวเอง ใครผ่านเข้ามาช่วยกันเสนอได้นะ 5555

     ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเมนต์และคนที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ รักษาสุขภาพกันด้วยนะ



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8.5 (Special) (27.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-12-2020 12:58:47
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8.5 (Special) (27.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-12-2020 23:23:55
อีกยาวเลยยยย
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 8.5 (Special) (27.12.20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-02-2021 07:09:37
คิดถึง :hao5:
หัวข้อ: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 9 (05.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 05-07-2021 10:16:38
ภาคความจริง : บทที่ 9

     "ทำไมวันนี้มาสายจังเลย"

     ภูหมอกเดินออกมารับคุณครูสอนพิเศษที่หน้าบ้านในเวลาเกือบเที่ยง เพราะเห็นว่าวันนี้คุณครูคนเก่งยังไม่มาสักทีจึงถูกพี่ชายไล่ลงมายืนเฝ้าอยู่ข้างล่าง

     ตอนนี้กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการติวสอบแล้ว พิธานจึงเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านสองพี่น้องนี้แทบทุกวันเพราะอีกเพียงสองอาทิตย์ก็จะถึงวันสอบ

     ครูสอนพิเศษกำลังจะก้าวตามลูกศิษย์เข้าไปในบ้านแต่กลับต้องชะงักขาเอาไว้ ชายหนุ่มเหลือบไปมองบ้านหลังข้างๆ ผ่านรั้วที่ติดกัน เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนมีสายตาที่มองมาจากตรงนั้น พิธานส่ายหัวเล็กน้อยไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธคำถามแรกของเด็กหนุ่มแต่เพราะรู้สึกมึนหัวจนต้องจะสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกหนักออกไป

     คิดไปเองเหรอว่ะ

     พิธานเดินตามเด็กหนุ่มขึ้นไปบนบ้าน แท้จริงช่วงนี้ชายหนุ่มมาบ่อยจนเข้าออกบ้านได้เองโดยไม่ต้องให้ใครลงมารับแล้วแต่มีคนลงมารับแบบนี้ก็ดี ถึงจะอยากให้คนลงมารับเป็นคนรักของเขาก็เถอะ

     อยากอ้อนแฟนจัง

     "เป็นไร ไม่สบายเหรอ"

     เนี่ย แฟนที่ดีต้องรู้ทุกอย่าง

     แค่พิธานเดินมาถึงห้องพร้อมท่าทางที่ดูซึมลงม่านฟ้าก็ถามออกไปทันที มือของม่านฟ้าเอื้อมไปอังหน้าผากของอีกคนโดยไม่รอคำตอบจากคนมาใหม่ อุณหภูมิที่สูงขึ้นเล็กน้อยทำให้ม่านฟ้าเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ปล่อยให้คนที่เตรียมแบบฝึกหัดมานั่งประจำที่หน้าโต๊ะญี่ปุ่นตรงข้ามน้องชายเขาเหมือนเดิม ต่างไปแค่เขาเองก็ขยับลงมานั่งที่พื้นข้างคนป่วยด้วย

     "กูจะจับเวลาเหมือนสอบจริงเลยนะ จำนวนข้อก็เท่ากับของจริง มึงไม่ควรทำเกินข้อละสามนาที แม็กสุดสี่นาทีพอ ถ้ารู้สึกว่าเกินมึงข้ามข้อนั้นไปเลย ข้อไหนเกือบนาทีแล้วยังแกะไม่ออกก็ข้าม อย่าถึก อย่ายื้อ"

     คนป่วยพูดไปก็ยกแบบฝึกหัดในมือออกมาให้ภูหมอก ยื่นมือออกไปกวาดของบนโต๊ะออกจนเหลือแค่เครื่องเขียนให้เหมือนโต๊ะสอบจริงๆ

     เด็กหนุ่มมองหน้าคุณครูที่วันนี้ดูท่าจะไม่สบายอย่างที่พี่เขาพูด เขาเห็นหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อยของอีกคนตั้งแต่ข้างล่างแต่ไม่ทันนึกถึง ภูหมอกเหลือบมองพี่ชายที่พยักหน้าให้เขาเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องห่วงก็หันกลับมาฟังคุณครูย้ำอีกครั้งก่อนเริ่มทำแบบฝึกหัด

     "สามถึงสี่นาทีกูเผื่อสำหรับมึงกลับมาทวนแล้วด้วย และก็เผื่อพวกข้อที่มึงงมแล้วแกะไม่ได้ข้ออื่นอีก แต่ก็อย่ากังวลเรื่องเวลามากขนาดหันมามองตลอดเวลา กะในใจเอาก็พอ"

     ม่านฟ้าลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินออกไปนอกห้องขณะที่พิธานเตรียมความพร้อมให้กับภูหมอก กลับมาอีกครั้งพิธานก็กดจับเวลาในโทรศัพท์พร้อมกับภูหมอกที่ก้มลงไปทำข้อสอบ ในห้องนอนของสองพี่น้องยามนี้ดำเนินไปอย่างเงียบๆ มีเสียงขีดเขียนของภูหมอกดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับเสียงฉีกซองพลาสติก

     หนุ่มอักษรเดินเข้ามาด้านหลังของคนป่วย มือเสยผมที่ปรกหน้าผากของคนรักออกก่อนแปะแผ่นเจลลดไข้ลงไป ขยับตัวกลับมานั่งข้างคนรักอีกครั้งพร้อมหันไปมองคนป่วยที่ไม่วายเอ่ยปากแซว

     "ทำอย่างกะกูเป็นเด็ก"

     ภูหมอกพยายามตั้งสมาธิอยู่กับแบบฝึกหัดตรงหน้าแต่ก็ยังอดเหลือบไปมองครูสอนพิเศษที่ตอนนี้ทิ้งตัวลงไปนอนบนตักของพี่ชายแล้วไม่ได้ เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะเพื่อดึงสมาธิกลับมา เมินการกระทำทั้งหลายของอีกสองคนในห้องเหมือนเขากำลังอยู่คนเดียว
     
     ม่านฟ้าเพิ่งคิดได้ว่าท่าทางของพวกเขาในตอนนี้ออกจะดูล่อแหลมเกินเพื่อนไปสักหน่อยเมื่อพิธานขยับหัวมาหนุนตัก เขาขยับมือจะดึงศีรษะคนป่วยออกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นๆ และเสียงหายใจที่หนักกว่าปกติ

     เจ้าของตักเหลือบมองน้องชายที่ยังก้มหน้าอยู่กับแบบฝึกหัดแล้วเผลอวางมือที่ยกค้างไว้ลูบหัวคนป่วยเบาๆ

     ดวงตาสีสนิมของม่านฟ้าก้มมองคนรักอีกครั้งก่อนเงยหน้าไปมองน้องชาย นึกถึงครั้งหนึ่งที่คนรักเคยถามเขาเกี่ยวกับการบอกความจริงแก่ภูหมอก





    "ทำไมตอนแรก มึงถึงคิดจะบอกแม่ก่อนบอกไอหมอกว่ะ" เสียงของคนรักถามขึ้นในวันหนึ่งขณะที่กำลังรอสอนพิเศษให้ภูหมอก

     "มันก็ไม่น่าจะว่าหรือมีปัญหาในเรื่องของเราม่ะ" เขาหมายถึงกรณีที่พวกเขาเป็นผู้ชาย ไม่นับกรณีความไม่ชอบส่วนตัวนะ พิธานกล่าวอธิบายสิ่งที่ตนคิดพร้อมต่ออีกประโยคในใจ

     ม่านฟ้าเหลือบไปมองอีกคนเล็กน้อย ไม่แปลกใจกับคำถามนี้เท่าไหร่จึงตอบออกไปตามที่คิดไว้แต่แรก "กับแม่ เขาดูพอจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ แต่กับหมอก...มันก็คงเข้าใจแหละ แต่กูกลัว"

     "กลัวมันว่าเหรอ"

     "กลัวมันรั่ว หมอกเป็นคนเก็บความลับไม่เก่ง เด็กๆ กูเก็บความลับอะไรมา บอกหมอกวันเดียววันรุ่งขึ้นพ่อรู้ตลอด โดนตีแทบตายจนต้องเข็ด" ม่านฟ้าพูดแล้วทำท่าขนลุกเมื่อคิดถึงคราวที่ถูกพ่อตีตอนเด็ก เกลียดที่สุดก็ไม้เมตรของพ่อที่ป่านนี้คงเก่าจนหมดสภาพการใช้งานแล้ว

     "เออ กูพอนึกออกเลย อย่างน้องมึงต่อให้รับปากว่าจะไม่บอก แต่ก็คงหลุดพิรุธออกมาจนโดนพ่อซักอ่วมแหง"

     คนเป็นพี่ชายพยักหน้าตอบรับคำของคนรัก คิดเอาไว้ว่าไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่ก็ขอเก็บภูหมอกเอาไว้บอกเป็นคนสุดท้ายพร้อมพ่อเลยคงดีกว่า





     จนเวลาการทำแบบฝึกหัดจบลง ภูหมอกก็ฟุบลงไปกับโต๊ะ ไม่คิดสนใจใครอีกต่อไป เขารู้สึกหมดแรงกับการเค้นสมองแก้โจทย์ที่ซ้อนแล้วซ้อนอีกของคุณครูคนเก่งแถมยังถูกกดดันด้วยเวลาจำกัดอีก

     วันสอบจริงเขาจะตายไหมนะ

     ชายหนุ่มร่างสันทัดมองสภาพน้องชายก่อนหันกลับมามองอีกคนที่ยังนอนตักของเขาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกำลังนอนตรวจแบบฝึกหัดของลูกศิษย์ไปด้วย แม้กำลังป่วยแต่เมจิกสีแดงที่ใช้ตรวจนั้นยังประจานการทำผิดออกมาได้อย่างโหดร้ายเหมือนเดิม

     จวบจนพิธานโยนแบบฝึกหัดกลับขึ้นไปบนโต๊ะ ภูหมอกถึงเงยหน้าขึ้นมามองผลคะแนนที่ทำไว้ มันไม่ได้ออกมาดีเท่าไหร่แต่ก็ไม่แย่จนเกินไปนัก เห็นคุณครูถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนอนแผ่กางแขนกางขาอยู่บนตักพี่ชายก็นึกรู้ว่าจะต้องโดนเทศน์อีกครั้ง

     “มึง...ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”

     คำพูดลอยๆ ที่ไม่เกี่ยวกับบทสนทนาใดดังขึ้นมาทำให้สองพี่น้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ภูหมอกเผยหน้าเหวออกมาเอียงคอมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าอย่างพยายามทำความเข้าใจแต่สุดท้ายก็ถามออกมา “เดี๋ยวนะ คือ...เรื่องสอบเหรอ? ”

     “ห้ะ? อ๋อ เรื่องสอบอ่ะดีและ ตอนสอบทำให้ได้แบบนี้นะ”

     “แล้วที่บอกให้ระวังตัวคืออะไร”

     คราวนี้เป็นม่านฟ้าที่ถามออกมาบ้าง เขารู้สึกถึงลางไม่ดีหลังจากคนรักเกริ่นเรื่องเมื่อครู่ออกมา

     “เมื่อกี้ที่หมอกลงไปรับกู มึงไม่ค่อยเก็บอาการเลย” แค่คำพูดสั้นๆ แต่ทำให้ม่านฟ้าพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง คนรักของเขาคงหมายถึงอาการติดสาวของน้องชายที่นับวันก็ชักจะเก็บไม่ค่อยอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อพิธานเอ่ยขยายความเขาก็ยิ่งขมวดคิ้ว “ตอนนี้พ่อมึงไม่อยู่ก็จริง แต่พวกเพื่อนบ้านน่ะ แม่งยิ่งกว่ากล้องวงจรปิดอีกนะ”

     สิ้นคำพูดสองพี่น้องก็เหลือบมองหน้ากันอีกครั้ง พิธานไม่ได้พูดผิดไปแม้แต่นิดเดียว กล้องวงจรปิดยังแสดงออกมาแค่ความจริง แต่พวกเพื่อนบ้านพวกนี้นอกจากเรื่องจริงจะเพี้ยนออกไปแล้วบางครั้งยังใส่สีตีไข่จนเละเทะอีก

     สำหรับพวกเขาแค่ความจริงก็น่ากลัวแล้ว

     “คนพวกนี้เขาเป็นอะไรกัน”

     ‘คนพวกนี้’ ที่ภูหมอกพูดถึงอย่างติดจะฉุนคงไม่พ้นเพื่อนบ้านผู้หวังดีทั้งหลายที่ค่อยเป็นกล้องวงจรปิดให้ฟรีเหล่านี้ แต่เสียงพูดเรียบๆ กลับดังมาจากครูสอนพิเศษที่ปกติมักใจร้อนมากที่สุด

     “ก็เป็นคนธรรมดาเนี่ยแหละ”

     พิธานขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง มือข้างหนึ่งยันตัวไว้ส่วนมืออีกข้างยังยกขึ้นกุมศีรษะ

     “เขาไม่ได้เป็นผู้รู้แจ้งเห็นธรรมละทางโลกอะไรแบบนั้น คนธรรมดาที่ไหนก็ต้องเคยนินทา เคยคันปากอยากเม้าท์ทั้งเรื่องของตัวเองและเรื่องคนอื่นกันทั้งนั้นแหละ เพราะเขามองว่าสิ่งที่เขาทำ มันไม่ผิด เขาแค่พูดความจริงที่เห็น แสดงความคิดเห็นส่วนตัวอีกนิดหน่อย คิดว่าเขาควรหวังดีกับเพื่อนบ้าน เขาถึงทำ ก็แค่นั้น”

     ชายร่างสูงยังพูดด้วยเสียงนิ่ง เหลือบมองไปที่คนรักที่มองมาที่เขาอย่างอึ้งๆ รู้ดีว่าคนรักกำลังตกใจที่เขาพูดจาดีแบบนี้ออกมาได้

     ก็ม่านฟ้านั่นแหละที่เคยพูดให้เขาฟังตอนที่พิธานจะไปมีเรื่องต่อยกับคนข้างบ้านที่มานินทาพ่อแม่เขา

     คนป่วยขยับตัวคลายกล้ามเนื้อแล้วหันกลับมามองตรงไปที่ภูหมอกด้วยสีหน้าจริงจัง “เราห้ามเขาไม่ได้ ก็ต้องระวังที่ตัวเรา เข้าใจไหม” ใบหน้าเข้มของหนุ่มวิศวะเมื่อยามทำหน้านิ่งและพูดด้วยเสียงจริงจังเช่นนี้ก็ทำเอาภูหมอกรู้สึกเกร็งขึ้นมาไม่น้อย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำเข้าใจดีว่าคนตรงหน้าต้องการจะสื่อถึงอะไร

     สำหรับภูหมอกบ้านคือสถานที่ที่อยู่อย่างสบายใจ เขาถึงได้ปล่อยตัวตามสบาย อาจต้องพยายามเก็บอาการบ้างเมื่ออยู่กับพ่อ แต่เขาก็ลืมเรื่องเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างกันเพียงรั้วกั้นนี้ไป

     ขอเถอะ อย่าให้นี้เป็นการรู้ตัวที่สายเกินไปเลย

     ----

     “ไม่ต้องเอาเทปพันก็ได้มึง” เสียงร้องทักของพิธานดังขึ้นเมื่อเห็นคนรักกำลังดึงเทปกาวให้ยาวขึ้นเตรียมพันทับกล่องกระดาษที่ใช้ใส่หนังสือเรียน

     ตอนนี้ทั้งเขาและคนรักกำลังช่วยกันเก็บหนังสือเรียนสมัยมัธยมและชีทเรียนของเขากลับเข้าลังอีกครั้ง เพราะหน้าที่ในการเป็นครูสอนพิเศษของพิธานได้จบลงแล้วตั้งแต่อาทิตย์ก่อน คุณครูจำเป็นทั้งสองให้เวลาอาทิตย์สุดท้ายกับลูกศิษย์คนเก่งเพื่อทวนสอบด้วยตัวเองก่อนถึงเวลาสอบจริงในวันพรุ่งนี้

     ในวันนี้พิธานจึงได้หาข้ออ้างอย่างการเก็บหนังสือเพื่อเรียกคนรักมาหาที่บ้านของเขาอีกครั้ง ครั้นพอเห็นคนรักทำหน้าตางุนงงกับคำพูดประโยคก่อนหน้าของเขาก็เอ่ยคำขยายความออกไป

     “เผื่อน้องมึงไม่ติดแล้วปีหน้าต้องซิ่วใหม่ จะได้หยิบออกมาติวให้มันอีกรอบได้สะดวกไง”

     ม่านฟ้าฟังคำพูดทีเล่นทีจริงของคนรักแล้วส่ายหัว มองคนรักที่ทำเป็นพูดดีไปทั้งที่เวลาสอนออกจะเข้มงวดปานนั้นแต่กลับทำตัวดูเหมือนไม่สนใจว่าภูหมอกจะสอบติดหรือไม่ติดเช่นนี้

     “ถ้ามันมาได้ยินเขา มึงได้โดนด่าอีกแน่”

     “เออ กูก็ว่างั้น” คนตัวสูงตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ ภูหมอกออกจะขี้บ่นมากสักหน่อยเมื่อเทียบกันกับพี่ชายที่แทบไม่ค่อยพูดอะไรออกมายามอยู่ด้วยกัน แต่ก็นับว่าเป็นสีสันให้ได้ครื้นเครงกันอยู่เรื่อยๆ พิธานเลิกคิ้วออกมาเล็กน้อยเมื่อคนรักเอ่ยพูดประโยคต่อมา

     “แต่เห็นแบบนั้น มันก็เกรงใจมึงนะ อาจจะกลัวมึงมากกว่ากูอีก”

     “ก็แหงล่ะ มึงมันน่ากลัวที่ไหน โดนมันอ้อนนิดอ้อนหน่อยที่กำลังดุอยู่ก็ยอมมันหมด” พิธานบ่นคนรักออกมาบ้างหันไปมองคนที่ตอนนี้ยกลังเดินตามเขาเข้ามาในห้องเก็บของ “ดีนะ กูมีภูมิคุ้มกันดี”

     “...” สายตาที่มองมาของม่านฟ้าที่วางของเสร็จแล้วเดินตามเขาออกมานอกห้องแปลความหมายออกมาว่า ‘แล้วมึงไปมีภูมิต้านทานจากไหน’ ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะออกมาเบาๆ

     “กูเจอพี่มันอ้อนบ่อยแล้วไง เลยชิน ไม่แพ้ลูกอ้อนน้องมันแล้วเว้ย”

     ‘พี่มัน’ ที่ถูกใส่ความเบ้หน้ามองคนรักของตัวเอง ถึงม่านฟ้าจะไม่เคยลงไม้ลงมือเมื่อยามโกรธ แต่ในเวลาที่กำลังหมั่นไส้คนที่เดินเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อยเช่นนี้ มันก็…

     “โอ๊ย!”

     เสียงร้องของเจ้าของบ้านดังขึ้นเมื่อรู้สึกถึงเข่าของคนรักที่ตอกลงมาที่ข้อพับหลังเข่าจนร่างสูงล้มลงกับพื้น พิธานเอามือข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้ แล้วยื่นมืออีกข้างไปคว้าข้อเท้าของคนที่กำลังจะเดินผ่านเขาไปอย่างสะใจให้ล้มลงมาด้วยกันอีกคน

     ภาพการตะลุมบอนของชายหนุ่มสองคนปรากฏขึ้นที่ทางเดินระหว่างห้องนอนและห้องเก็บของชั้นสอง จวบจนต่างคนต่างเหนื่อยจึงได้รามือนอนแผ่ลงไปกับพื้นทั้งคู่ ไม่มีบาดแผลอย่างการชกต่อยเกิดขึ้นมีเพียงเหงื่อที่โซมกายจากการที่พิธานพยายามรั้งตัวคนรักมากอดเพื่อจั๊กจี้และม่านฟ้าที่ผลักอีกคนออกอย่างสุดตัวเพื่อให้รอดพ้นจากมือปลาหมึก

     “เพื่อนกูบางคนแม่งเคยไม่เชื่อด้วยว่าเราเป็นแฟนกัน มันบอกดูยังไงก็เหมือนเพื่อนสนิทมากกว่าแฟน” เพราะการตะลุมบอนของพวกเขาเช่นนี้ดูเหมือนการเล่นกันของเพื่อนสนิทกันมากกว่าจะเป็นการกระทำของคนรักกันจึงทำให้ร่างสูงอดจะนึกย้อนไปสมัยปีหนึ่งและพูดออกมาอย่างติดขำไม่ได้

     ม่านฟ้าอมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนั้น คว้ามือของคนรักที่ลุกขึ้นยืนก่อนแล้วส่งมือมาให้เขารั้งตัวขึ้นไป หนุ่มอักษรฯ ลุกขึ้นมายืนข้างกันกับคนรักแล้วมองคนที่ยื่นมือมาเกลี่ยแก้มเขาเบาๆ อย่างอยู่ไม่สุข

     “แต่ถึงยังไง กูก็อยากเป็น ‘แฟน’ นะ ไม่ใช่ ‘เพื่อน’”

     ความนัยที่คนรักต้องการสื่อม่านฟ้าเข้าใจดี เขาพยักหน้ารับเบาๆ ดึงมือคนรักออกจากแก้มแล้วกุมเอาไว้ ทำท่าจะพูดอะไรออกมาแต่กลับถูกคนรักดีดที่หน้าผากเข้าให้ก่อน

     “กูก็กดดันมึงไปงั้น กลัวมึงลืม ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่มึงยอมรับปากว่าจะบอกที่บ้านมึงตอนเราเรียนจบ แค่นี้กูก็มีความหวังมากแล้ว” พิธานทำร้ายร่างกายคนรักเสร็จก็ยื่นมือต่อไปโยกหัวทุยอย่างไม่เบาแรงหนัก ก่อนจับให้ศีรษะคนรักกลับมาตั้งตรงแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น

     “แต่อย่างที่กูเคยบอก เรื่องของเรามันรอได้แต่เรื่องของไอหมอกพวกมึงต้องระวังให้มากนะ”

     คนที่ถูกประทุษร้ายต่อเนื่องยังดูงุนงงจากศีรษะที่ถูกโยกไปมา แต่เมื่อนิ่งไปสักครู่ก็เข้าใจความหมายของคนรักที่เคยบอกไว้เรื่องท่าทางของภูหมอก ทั้งลักษณะการพูด น้ำเสียง และท่าทางหลายอย่างของภูหมอกเริ่มออกสาวมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งแม้กระทั่งคุยกับพ่อ ม่านฟ้ายังรู้สึกว่าลักษณะการพูดของน้องมีจริตจะก้านมากกว่าปกติ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาติดหูกับการพูดของน้องชายไปเองหรือเพราะเริ่มเก็บอาการไม่อยู่แล้วกันแน่

     พิธานเองก็ไม่อยากให้เรื่องที่พยายามปิดกันมาของพวกเขาทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับม่านฟ้าและเรื่องของภูหมอกต้องถูกเปิดเผยจากการถูกจับได้หรือจากปากคนอื่นเพราะไม่ว่าทางไหนก็ย่อมไม่ดีกับคนรักของเขาทั้งนั้น

     “กูเห็นป้าคนหนึ่งข้างบ้านพวกมึง ชอบมองพวกเราบ่อยๆ เลยกลัวว่า...เขาจะเห็นท่าทางของหมอกมัน”
     
     สีหน้าของม่านฟ้าเครียดขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของคนรัก เข้าใจแล้วว่าทำไมพิธานถึงเอ่ยปากเตือนเรื่องนี้หลายครั้ง ไม่ใช่แค่เพราะระแวงไปเองแต่เจ้าตัวคงเห็นและรู้สึกถึงการถูกจับตามองอยู่จึงพูดมันออกมา “กูว่าเรื่องหมอก ควรรีบหาเวลาบอกพ่อให้เร็วที่สุดนะ”

     เสียงถอนหายใจของม่านฟ้าดังขึ้น ขยับตัวเข้าใกล้คนรักมากขึ้นแล้วปักหัวลงไปกับบ่ากว้างอย่างคนหมดแรง ได้กลิ่นเหงื่อจากร่างคนตรงหน้าเล็กน้อยแต่ไม่คิดรังเกียจเพราะเวลานี้ตัวเขาเองก็คงมีกลิ่นเหงื่อเหมือนกัน

     “กูขอจนกว่ามันจะเข้ามหาลัยได้ไหม ให้มันมีที่เรียนก่อนหรืออย่างน้อยให้มันสอบเสร็จก่อนก็ได้”

     ม่านฟ้าพูดเสียงเบา รู้ตัวว่าลึกๆ แล้วเขากลัว เขาอาจเป็นคนขี้กลัวไม่ต่างจากน้องชายเลยก็ได้เพียงแต่พยายามข่มมันไว้เท่านั้น ผิดกับพิธาน รายนี้พุ่งชนมันทุกเรื่อง พิธานไม่ชอบอะไรที่ค้างคาใจหรือต้องปิดบัง แค่เจ้าตัวยอมเก็บความลับเรื่องของเรามานานขนาดนี้ เมื่อคิดย้อนกลับไปอีกครั้งก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว

     “ถ้าต้องมาทะเลาะกับพ่อช่วงจะสอบแบบนี้มันต้องไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ ไม่มีสมาธิสอบแน่ แล้วนี่มันโอกาสครั้งเดียวในชีวิตนะ จะต้องรอซิ่วอีกปีหรือต้องไปเรียนในคณะที่ไม่ชอบ มันก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้เลยนะ”

     พิธานพยักหน้าเข้าใจในเหตุผลของคนรัก ไม่คิดจะโต้แย้งออกไป นึกกลัวใจคนรักจะขอผัดไปอีกเมื่อถึงคราวจริงแต่ก็ต้องระงับคำพูดของตัวเองเอาไว้อย่างห้ามใจ เขาไม่อยากก้าวก่ายการตัดสินใจของคนรักมากเกินไป ขอเพียงให้เขาได้อยู่ข้างคนรักไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนก็พอ





     จวบจนการสอบวิชาสามัญของภูหมอกจบลงไป พิธานที่ไปหาม่านฟ้าที่บ้านก็อดกดดันคนรักออกไปอีกครั้งไม่ได้ แต่ม่านฟ้าก็ยังขอเลื่อนเวลาออกไปเพื่อให้อีกการสอบอย่างวิชาความถนัดแพทย์จบลงก่อน

     เจ้าตัวบอกกับเขาว่าเคยพยายามจะพูดแล้วแต่ไม่มีโอกาส

     ‘ไม่มีหรือไม่กล้า’

     ม่านฟ้ารู้ดีว่าคนรักคิดอะไรในใจเมื่อเขาเล่าให้ฟังว่าได้ลองพยายามแล้ว เพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่า ‘คนรู้ใจ’ อย่างถ่องแท้ก็วันนี้ แต่ก็ทำได้เพียงเมินสีหน้านั่นไป ได้แต่ภาวนาให้สังหรณ์และความระแวงของคนรักเป็นเพียงความกังวลเกินกว่าเหตุ มิเช่นนั้นเขาคงไม่พ้นถูกคนรักบ่นซ้ำเข้าให้จริงๆ

     ----

     นภดลตื่นขึ้นมาจากการนอนกลางวันในเวลาเกือบสี่โมงเย็น เพราะเมื่อวานเห็นว่าต้นชมพู่ภายในบ้านเริ่มออกลูกมากแล้ว เช้าวันนี้จึงได้ใช้ให้ลูกชายคนโตปีนขึ้นไปเก็บพร้อมตัดแต่งกิ่งที่เริ่มรกให้เข้าที่เข้าทาง กว่าจะเสร็จก็เข้าบ่ายโมงจึงได้แยกย้ายกับลูกชายไปอาบน้ำ ก่อนที่เขาจะมางีบหลับอยู่ในห้องนอนชั้นสองจนถึงเวลานี้

     ชายวัยกลางคนขยับตัวเล็กน้อยอย่างเมื่อยล้า แม้ไม่ได้เป็นคนปีนขึ้นต้นไม้อย่างม่านฟ้าแต่การยืนคุมอยู่นานก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อย นภดลลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ คิดถึงม่านฟ้าที่ปีนขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่วแล้วก็นึกย้อนไปถึงวันที่เห็นเจ้าตัวกระโดดลงจากหน้าต่าง

     เขาเริ่มที่จะตัดใจจากความสงสัยในตัวลูกชายแล้ว เมื่อพยายามสังเกตดูก็ไม่มีใครแสดงพิรุธออกมาอีกแม้จะยังสงสัยถึงกล่องไม้ในห้องของลูกชาย แต่ก็คิดว่าลูกชายที่เริ่มโตกันแล้วก็คงต้องมีความลับกันบ้าง และตราบใดที่เขาไม่มีกุญแจต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็คงไม่มีทางรู้ สู้ปล่อยเมินไปเสียดีกว่า

     เสียงขยับปิดหน้าต่างห้องนอนดังขึ้นจากชายวัยกลางคน ก่อนขยับมือปิดม่านเขาก็เหลือบไปมองบ้านหลังติดกันซึ่งเป็นของเพื่อนบ้านผู้หวังดีของเขา

     คุณเดือนนี้ก็เป็นอีกคนที่หวังดีและดูท่าจะห่วงลูกชายสองคนของเขาเหลือเกิน ยังจำได้ว่าเจ้าตัวมาพูดกับเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ราวกับเป็นสายลับของซีไอเอเมื่ออาทิตย์ก่อนไว้อย่างไร

    “ช่วงนี้เดือนเห็นเมฆกับหมอกชอบพาเพื่อนคนหนึ่งมาบ้านบ่อยๆ เป็นผู้ชายตัวโตๆ ท่าทางเหมือนเด็กเกเรเชียวค่ะ พูดจากูๆ มึงๆ กันดูนักเลงมาก มาทีก็หายเข้าไปกันครึ่งค่อนวันแถมดูท่าทางสนิทสนม ไม่รู้ว่าเป็นเด็กดีรึเปล่า เดือนก็แอบห่วงว่าเมฆกับหมอกจะไปคบกับเพื่อนไม่ดีแล้วพากันเสียคนไป”

     เวลานั้นที่เขาได้ฟังความจากเพื่อนบ้านก็นึกไปถึงแขกคนเดียวที่มาบ้านเขาบ่อยๆ ช่วงที่ผ่านมา ‘เด็กเกเร’ ที่คุณเดือนพูดถึงคงไม่พ้นครูสอนพิเศษของภูหมอกที่ชื่อว่า ‘พีท’ คนนั้น คราวแรกที่เห็นก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเพื่อนบ้าน แต่พอฟังเรื่องราวของเจ้าตัวจากลูกชายคนเล็กรวมทั้งพฤติกรรมที่เคยเห็นถึงได้รู้ว่าดูคนแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ

     ภูหมอกบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนเรียนเก่งมาก หัวไว แม้จะสอนเร็วเกินไปแต่ก็ถือว่าเป็นครูที่ช่วยเหลือได้อย่างมากคนหนึ่ง ทั้งประวัติการเรียนของคนตัวโตที่รู้มาจากพี่ชายก็ไม่ใช่ย่อย ดูจากคณะวิศวะฯ ที่เรียนอยู่ในมหาลัยเดียวกันกับม่านฟ้าก็พอจะยืนยันความสามารถของเจ้าตัวได้

     แม้จะมีเรื่องพูดกูมึงบ้าง แต่เขาคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กสมัยนี้จึงมองว่าเรื่องที่คุณเดือนเล่าให้ฟังเป็นเพียงเรื่องไร้สาระที่คุณเธอคิดไปเอง จะติดสงสัยก็เพียงแต่ประโยคสุดท้ายที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา

     “แถมบางครั้งอยู่บ้านกันเอง ท่าทางลูกชายของคุณนภก็ดูออกจะตุ้งติ้งด้วยนะคะ เดือนก็แอบกลัวว่าจริงๆ แล้วจะเป็นแฟนที่พามาที่บ้านรึเปล่า”

     เรื่องแฟนนั้นคงตัดไปได้เลย เพราะเขารู้สถานะของพิธานดีว่าเจ้าตัวมาเพื่อสอนพิเศษให้ภูหมอก แต่ท่าทาง ‘ตุ้งติ้ง’ ที่พูดถึงนั้นคืออะไร เป็นเพียงคำพูดไร้สาระของคุณเดือนเช่นเดียวกันกับเรื่องของพิธานนั่นเหรอ

     ว่ากันว่าเมื่อคุณกลัวอะไร คุณก็จะระแวงอยู่กับสิ่งนั้น สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องการเบี่ยงเบนทางเพศของลูกจึงยังอดรู้สึกแคลงใจไม่ได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาที่เดินมาถึงหน้าบันไดชั้นสองก็ได้ยินเสียงภรรยาและลูกชายอีกสองคนอยู่ชั้นล่าง ชายวัยกลางคนเหลือบกลับไปมองที่ห้องของลูกชายอีกครั้งอย่างลังเลใจ

     หากเขารู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในกล่องไม้ใบนั้นได้ อย่างน้อยข้อสงสัยในตัวของภูหมอกก็จะหมดไป เหลือเพียงม่านฟ้าซึ่งอาจมีของอื่นซ่อนไว้นอกเหนือไปจากสายตาของเขา นภดลก้าวเท้าไปในห้องนอนของลูกชายอีกครั้ง กวาดตามองไปรอบห้อง สภาพทุกอย่างไม่ต่างจากเดิมไปมากนัก เพียงแต่คราวนี้เขากลับเห็นกล่องไม้ใบนั้นได้อย่างชัดเจน

     เขายังไม่สามารถสรุปได้ว่าเจ้าของกล่องใบนี้จะเป็นม่านฟ้าหรือว่าภูหมอก เพียงแต่มีสังหรณ์บางอย่างที่ทำให้เขาเชื่อว่าต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่

     ชายวัยกลางคนยื่นมือไปลองเปิดกล่องไม้ใบนั้นอีกครั้งแต่ผลลัพธ์กลับเป็นเช่นเดิม เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วหันตัวออกจากห้อง พลันเห็นพวงกุญแจพวงหนึ่งที่มีกุญแจเสียบคาไว้กับลิ้นชัก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอย่างคนตื่นเต้น ไม่คิดว่าโอกาสจะมาถึงเขาได้ง่ายดายเพียงนี้

     ผู้เป็นพ่อคว้าพวงกุญแจนั่นออกมา กวาดสายตามองกุญแจแต่ละดอก เขาตัดกุญแจที่มีเหมือนกันกับพวงกุญแจของเขาซึ่งหน้าจะเป็นประตูบ้านหรือประตูรั้วออกไป กุญแจที่เหลือซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าคู่กันกับกล่องไม้ตรงหน้านั้นจึงเหลือเพียงสองดอก เขาลองไขมันดูอย่างตั้งใจก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้น

     แกร๊ก!

     ฝากล่องไม้ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับใจของนภดล สิ่งแรกที่เขาเห็นนั้นทำให้เขาเผลอกลั้นลมหายใจ...

     ก่อนจะผ่อนออกมาอย่างโล่งอก

     ชายวัยกลางคนส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับความขี้ระแวงของตนเองก่อนทำสีหน้าเอือมระอาใส่เจ้าของกล่องใบนี้ ถึงแม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นของลูกชายคนไหนที่พยายามซ่อนหนังสือลามกพวกนี้ก็เถอะ

     ใช่ ของในกล่องเป็นเพียงหนังสือลามกที่หน้าปกเป็นสาวน้อยทรงโตกับเสื้อผ้าน้อยชิ้น

     เสียงถอนหายใจและรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของชายวัยกลางคนก่อนรั้งฝากล่องลงมาเพื่อให้ปิดลงดังเดิม

     เท่านี้ เขาก็พอวางใจไปได้เปลาะหนึ่ง

     แต่เพราะของภายในนั้นถูกยัดจนแน่น เมื่อชายวัยกลางคนจะปิดกล่องลงไปจึงทำได้ยากนัก เขาพยายามกดฝาลงไปอีกครั้งแต่กลับทำให้หนังสือหลายเล่มด้านบนตกลงมา นภดลส่ายหน้าเล็กน้อยกำลังจะก้มลงไปเก็บกลับเห็นคล้ายแท่งดินสอโผล่ออกจากมาด้านในของกล่อง

     เขาหยิบดินสอแท่งนั้นขึ้นมาแล้วขมวดคิ้ว หน้าตาดินสอนั้นเมื่อดูดีๆ กลับไม่เหมือนดินสอ มันมีฝาเปิดสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นแปรงและอีกด้านเป็นไส้ดินสอสีน้ำตาลเข้ม เมื่อนึกรู้ว่าของตรงหน้าคืออะไรร่างกายของชายวัยกลางคนก็พลันเย็นวาบ

     เขายกหนังสือด้านบนอีกสองสามเล่มออกมาเพื่อพบกับ ‘ความลับ’ ที่แท้จริงซึ่งถูกซ่อนเอาไว้

     .

     .

     .

     โครม!!!



     TBC



     Achaya (Writer) :

     กลับมาแล้วหลังจากหายไปนาน(ช้ากว่าที่บอกไปหน่อย) แต่คราวนี้มั่นใจจะมาต่อจนจบแน่ ใครที่เคยติดตามอยู่หรือเข้ามาอ่านใหม่ก็ขอบคุณมากนะคะ และขอบคุณมากจริงๆ สำหรับคนที่ยังรอแถมคอมเมนต์ให้ด้วย(เราดีใจมากๆเลยนะ) ต่อให้เหลือแค่คนเดียวที่ยังอ่านเราก็จะลงจนจบแน่นอน
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 9 (05.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-07-2021 10:48:59
 :fire: :fire: :angry2: :m31:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 9 (05.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-07-2021 00:01:31
รีบมาน้าาา
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 10 (11.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 11-07-2021 17:52:00
ภาคความจริง : บทที่ 10

     พิธานทำอะไรโดยใช้ความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก เขาค่อนข้างเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง อย่างเรื่องคราวก่อนที่ระแวงเรื่องการนอกใจของม่านฟ้า แม้ความจริงจะปรากฏว่าม่านฟ้าไม่ได้คิดอะไรกับน้องรหัสคนนั้นแต่ตอนแรกผู้หญิงคนนั้นก็แอบชอบแฟนของเขาจริงๆ

     คราวนี้ก็เช่นกัน เขามีลางสังหรณ์บางอย่างเกี่ยวกับเพื่อนบ้านคนนั้นทำให้เขาคิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นเร็วๆ นี้ จึงเผลอกดดันคนรักไปหลายครั้ง รู้ดีว่าพูดไปก็มีแต่จะทำให้คนรักกังวล แต่ก็ไม่อยากปล่อยไว้จนเกิดปัญหาขึ้นก่อน

     “แต่การที่ต้องปิดบัง และรอคอยไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดน่ะ...มันทรมานนะ”

     อยากจะตบปากตัวเองสักทีที่พูดแบบนั้นออกไป

     เขาเผลอพูดออกไปเพราะความน้อยใจลึกๆ แต่แค่นี้ม่านฟ้าก็มีเรื่องให้เครียดมากแล้ว แทนที่จะเป็นกำลังใจกลับไปย้ำคนรักเช่นนั้นอีก

     พิธานพยายามบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรและทำหัวให้โล่งก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง ความเหนื่อยล้าสะสมของการเล่นกีฬาในวันนี้ทำให้เขาเคลิ้มไปกับเตียงนุ่มอุ่นนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หลับลงอย่างเป็นสุข เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดขึ้นกลับขัดความสุนทรีย์ในการนอนของเขาไปจนหมด

     ชักเข้าใจอารมณ์ของคนรักเวลาเขาโทรไปกวนตอนนอนแล้วสิ

     ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เบอร์ของภูหมอกที่โทรเข้ามาในเวลาเช่นนี้เปลี่ยนอารมณ์หงุดหงิดของกลายเป็นหายใจไม่ทั่วท้องแทน

     “ฮาโหล”

     ‘พี่พีททท ฮึก ช่วยด้วย’

     อา ลางไม่ดีจริงๆ ด้วยสิ

     ----

     พิธานตระเวนขับรถหาคนรักจนทั่ว โทรศัพท์ของม่านฟ้าถูกปิดเอาไว้ เขาที่ทั้งห่วงทั้งหัวเสียฟาดมือเข้ากับพวงมาลัยพร้อมถอนหายใจออกมาหนักๆ

     ทั้งที่ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ ยามมีปัญหาเท่านั้น แต่ก็กลับทำไม่ได้

     ภูหมอกโทรมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งการที่พ่อเจอเครื่องสำอาง การทะเลาะกันของม่านฟ้าและพ่อที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเครื่องสำอางเหล่านั้นเป็นของม่านฟ้า ไปจนถึงผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างการเตลิดหายไปจากบ้านของคนรัก

     ความรู้สึกโกรธของพิธานทุเลาลงเปลี่ยนเป็นความโล่งใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักหลังบานประตูห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง เจ้าตัวให้เขาเข้าไปนั่งด้วยในห้องอย่างมึนงง รอจนเวลาผ่านไปสักพัก ความโมโหของเขาก็กลับมาเมื่อเริ่มคุยกันอีกครั้งจนเผลอตวาดคนรักออกไป

     เขาแค่กลัวว่าสิ่งที่ม่านฟ้าทำไปเป็นเพราะตั้งใจรับผิดแทนน้องชาย

     เสียงร้องไห้ของคนรักทำให้เขาดึงสติตัวเองกลับมาอีกครั้งแล้วถอนหายใจ ต่อให้เคยคิดว่าชอบดวงตาคู่สวยนี้เวลาทำหน้าเศร้าเพียงใดแต่ก็ไม่คิดอยากให้เจ้าตัวต้องเศร้าเลยสักครั้ง ยิ่งแพขนตาหนาที่ตอนนี้พรมไปด้วยน้ำตาและเสียงสะอื้นก็ทำให้เขาใจอ่อนลงอีกครั้ง

     “มานี่มา”

     เขารับตัวของม่านฟ้าเข้ามาในอ้อมกอด ปล่อยให้เจ้าตัวร้องไห้และระบายออกมาจนพอใจ "กูแค่โกรธ ถึงประชดออกไปแบบนั้น เหมือนเขาพุ่งเป้ามาที่กูแต่แรกอยู่แล้วว่าเป็นกู ต่อให้ไอหมอกมันจะร้องไห้ออกมาเขาก็คิดว่าเพราะกูไปกดดันน้องให้เก็บความลับ น้องถึงได้ร้องไห้แบบนั้น"

     พิธานรู้สึกถึงแรงจากฝ่ามือที่กำแน่นบนเสื้อของเขา คนตัวโตกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นของอีกคน เขารับฟังเรื่องราวจากปากของม่านฟ้าอีกครั้ง ถ้อยคำรุนแรงหลายคำจากผู้เป็นพ่อทำให้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมม่านฟ้าถึงเตลิดออกมาและร้องไห้หนักแบบนี้

     คำพูดบางคำมันหนักหนาเกินไปจริงๆ

     ชายหนุ่มร่างสูงกอดคนรักเอาไว้และโยกตัวเบาๆ เหมือนกล่อมเด็ก เขาไม่แสดงความเห็นหรือเอ่ยปลอบใจม่านฟ้ากับคำพูดเหล่านั้น รู้ดีว่าต่อให้พูดมากไปก็ลบเลือนสิ่งที่ม่านฟ้าเจอมาไม่ได้

     ทำได้เพียงกอดไว้ให้แน่น ให้ร่างกายของม่านฟ้าจดจำความอบอุ่นของการมีเขาอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่เลวร้ายเช่นนี้

     หลังม่านฟ้าร้องไห้จนเริ่มหมดแรง พิธานที่นั่งกอดคนรักก็ตบหลังอีกคนอย่างแผ่วเบาและพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับการกระทำออกไป

     “กูไม่อยากปลอบมึงเลย” ชายร่างสูงพูดแล้วดึงคนรักออกจากอก พยายามไม่สนใจใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่น่าสงสารของคนรักและรู้สึกถึงอารมณ์ของตัวเองที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกหน “กูโกรธมึงอยู่รู้ไหม ทำไมถึงไม่มาหากู ต่อให้เจอเรื่องหนักแค่ไหนแต่อย่างน้อยเกิดเรื่องก็บอกกูสักคำ ทำไมถึงหนีออกมาแบบนี้”

     “ตะ ตอนนั้นกู...กูคิดว่าอยากอยู่คนเดียว” เสียงที่กดต่ำลงของคนรักทำให้ม่านฟ้าเริ่มพูดติดขัด สำหรับเขานอกจากพ่อก็มีพิธานเวลาโกรธเนี่ยแหละที่เขากลัวมากที่สุด

     “ถ้าปกติมึงอยากอยู่คนเดียว แล้วมึงขังตัวเองอยู่ในห้องยังไงกูก็ไม่ว่า แต่ขอให้กูรู้ว่ามึงอยู่ที่ไหน ให้กูรู้ว่ามึงยังอยู่ดี ไม่ใช่หนีเตลิดไปไม่บอกใครแบบนี้ แต่นี่มึงไม่บอกกู ไม่บอกที่บ้านมึงสักคำว่าไปไหนแล้วไม่ให้กูห่วงได้ยังไง”

     ท่อนสุดท้ายของประโยคเหมือนพิธานจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ถึงกดเสียงต่ำออกมาเมื่อเด็กดื้อยังไม่ยอมหยุดเถียง ม่านฟ้าหดคอลงอย่างหวาดๆ รู้ดีว่าคนรักเวลาโมโหน่ากลัวแค่ไหน จึงไม่คิดเถียงอะไรอีก

     “จากนี้ไปกูขอได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คิดถึงกูเป็นคนแรก” เสียงของพิธานติดจะสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะความโมโหอย่างเมื่อครู่ ชายหนุ่มร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกระงับความน้อยใจที่ผุดขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ให้กูได้อยู่ข้างๆ มึง จะฐานะเหี้ยอะไรก็ได้ แต่อย่าทำให้กูห่วงที่ไม่รู้ว่ามึงไปอยู่ที่ไหนแบบนี้อีก”

     พิธานคิดว่าทั้งความรู้สึกน้อยใจ โกรธและเป็นห่วงที่ปะปนกันมาตลอดทางที่ตามหาคนรักได้จางลงไปแล้วเมื่อได้เจอหน้าแต่จนถึงตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันยังกรุ่นอยู่ในอกตลอด เขาเห็นคนรักเม้มปากเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเขาพร้อมน้ำตาที่ร่วงลงไปบนตัก พยักหน้าตอบรับเขาเล็กน้อยแล้วดึงชายเสื้อเขาไว้เบาๆ

     “ขอโทษครับ”

     คนถูกขอโทษถอนหายใจออกมา มองคนที่ก้มหน้าหงอลงไปอีกครั้งแล้วเขย่าหัวคนรักอย่างแรงแต่อารมณ์ที่เคยรุนแรงกลับเริ่มสงบลงอีกครั้ง “แล้วบอกว่าไม่อ้อน”

     “คราวนี้อ้อน ยอมรับ”

     เสียงอ้อมแอ้มในลำคออย่างยอมจำนนของม่านฟ้าทำให้พิธานหลุดยิ้ม ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าให้คนรักแล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนทำท่าจะเดินไปที่ประตูห้อง “เดี๋ยวกูลงไปเอาเสื้อผ้าสำรองในรถก่อน”

     พิธานส่งข้อความไปบอกภูหมอกตั้งแต่รู้ว่าม่านฟ้าพักอยู่ที่โรงแรมนี้จากพนักงาน ในตอนนี้จึงไม่ต้องห่วงอะไรอีก แต่การกระทำและคำพูดนั้นกลับทำให้ม่านฟ้าแสดงสีหน้างุนงงออกมา

     “มึงจะนอนนี่เหรอ”

     คนที่กำลังจะก้าวขาออกจากประตูหันมามองเจ้าของห้องอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเย็น

     “นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วที่รัก มึงจะให้กูกลับบ้านอีกเหรอ” พิธานหันกลับมามองคนรักเต็มตาแล้วพูดอย่างติดจะกวนปนหมั่นไส้ “หรือยังอยากอยู่คนเดียวอีก จะให้กูไปนอนห้องข้างๆ เอาไหม”

     แม้ม่านฟ้าจะยังนึกไม่ออกว่าแค่คำถามนั้นทำไมถึงทำให้คนรักทำหน้าตาน่ากลัวออกมาอีก แต่ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธไว้ก่อน จนเมื่อคนรักกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเป๋าใบย่อมที่เขาเคยเห็นเจ้าตัวหิ้วไปเวลามีเล่นกีฬา เขาก็ถูกคนรักสั่งขึ้นมาอีกหน

     “ไปอาบน้ำ” พิธานส่ายหน้าเมื่อขึ้นมาแล้วยังเจอคนรักนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิมราวกับถูกสตัฟฟ์ไว้แล้วเริ่มบ่นต่อ “ออกมาก็ไม่เอาอะไรมาสักอย่าง มึงกะจะนอนทั้งที่ไม่อาบน้ำเลยใช่ม่ะ”

     พิธานรู้ตัวว่ากลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไปแล้วแต่ก็หยุดตัวเองไม่ให้บ่นไม่ได้ มองม่านฟ้าที่นิ่งเงียบไม่ตอบรับคำใดก็รู้ว่านั้นคือการยอมรับข้อกล่าวหาตามสไตล์ม่านฟ้า เพียงแต่เป็นม่านฟ้าในเวลาที่พลังงานใกล้หมดเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงโยนเสื้อผ้าตัวเองชุดหนึ่งในกระเป๋าให้คนบนเตียงแล้วเอ่ยปากไล่ “ไป ไอ้เน่า ไปอาบน้ำ”

     จนเมื่อไล่มนุษย์ถ่านอ่อนอย่างม่านฟ้าเข้าห้องน้ำไปแล้ว เขาถึงหยิบเสื้อผ้าออกมาอีกชุดเพื่อเตรียมอาบต่อ ทั้งที่ตนอาบน้ำมาแล้ว แต่วิ่งวุ่นไปมาขนาดนี้ไม่อาบอีกรอบก็คงไม่ไหว โชคดีที่มีเสื้อผ้าสำรองอยู่พอสมควร ไม่เช่นนั้นคงต้องนอนเน่ากันทั้งคู่

     รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่เวลา อารมณ์ของม่านฟ้ายามนี้คงไม่คิดจะเขินหรือโรแมนติกอะไรแล้ว แต่นี่คือการนอนค้างด้วยกันครั้งแรกของพวกเขา ไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ที่เป็นบวกเพียงแค่ขอให้มันไม่เป็นลบก็พอ

     หลังทั้งคู่อาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนขนาดควีนส์ไซส์ เพราะม่านฟ้าคิดว่าจะนอนคนเดียวจึงจองห้องเตียงเดี่ยวเอาไว้ ในเวลานี้ที่มีแขกกิตติมศักดิ์มาร่วมพักด้วยจึงต้องนอนด้วยกันอย่างไม่มีทางเลือก

     พิธานหลับตาลงพยายามดึงความง่วงของตัวเองที่เคยเกือบจะได้หลับไปแล้วรอบหนึ่งกลับมา แต่เสียงถอนหายใจของคนข้างตัวทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง พิธานหันไปมองผู้ร่วมเตียงอีกคนที่ตอนนี้นอนนิ่งมองเพดานด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ดวงตาคู่สวยที่บวมขึ้นเล็กน้อยแต่กลับไม่มีวี่แววของความง่วงเลยสักนิดทำให้พิธานรู้ได้ทันทีว่าม่านฟ้ายังคงคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่

     “เมฆนอน”

     คำสั่งเรียบง่ายดังขึ้นอีกครั้งพร้อมการพลิกตัวนอนตะแคงหันไปหาคนคิดมาก

     ม่านฟ้าเหลือบตามองคนรักที่หันมาหาพร้อมกางแขนออก เขาชะงักไปเล็กน้อยจากความรู้สึกเขินที่ก่อตัวขึ้น แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วเมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องจุกจิกเหล่านี้ก่อนขยับตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย รู้สึกถึงแขนที่รัดรอบเอวและสัมผัสอุ่นบนหน้าผาก

     เขารู้ดีว่าเรื่องทุกอย่างบานปลายมาถึงขั้นนี้เพราะเขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ในช่วงเวลานั้นเขาเพียงแต่ต้องการหยุดการลงไม้ลงมือของพ่อ ไม่คิดว่าตนเองจะกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยของพ่อเสียเอง คำพูดที่พูดออกไปในยามนั้นนอกจากความน้อยใจจนประชดประชันออกมา ยังแฝงไปด้วยความจริงบางอย่างที่เก็บเอาไว้มาตลอด

     “ไม่ว่าจะพยายามทำอะไร ยังไงพ่อก็ว่าไม่ดีอยู่แล้วนี่!!!”

     ว่ากันว่าคนเมาและคนโมโหจะพูดสิ่งที่ ‘เก็บ’ เอาไว้ในใจออกมา เขาเองก็เป็นคนโมโหที่หลุดคำพูดตัดพ้อเหล่านั้นออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

     แล้วสำหรับพ่อ คำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่เก็บไว้ในใจพ่อมาตลอดเหมือนกันรึเปล่า

     "กรรมอะไรของกูว่ะ ที่มีลูกอย่างมึง"

     “ไม่ต้องไปคิดมันแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยเริ่มใหม่ ค่อยช่วยกันหาทางแก้” พิธานลูบกลุ่มผมของคนในอ้อมแขนแผ่วเบาแล้วก้มลงจูบหน้าผากอีกครั้งอย่างปลอบโยน “นอนซะ ไม่ต้องฝันอะไรทั้งนั้น พักผ่อนให้เต็มที่”

     คำพูดของคนรักทำให้ม่านฟ้าคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย คนรักกันทั่วไปมีแต่พูดว่า ‘ฝันดี’ คงมีแต่คนรักของเขานี่แหละที่บอกว่าไม่ต้องฝัน พิธานเคยบอกเขาว่าอย่างไรการหลับโดยไม่ฝันย่อมให้การพักผ่อนที่ดีกว่าการฝันแถมยังมีความเสี่ยงว่าจะเป็นฝันร้ายอีก หรือต่อให้เป็นฝันดีการที่เราตื่นมาและพบว่าฝันดีนั้นหายไปเหลือเพียงความจริงตรงหน้าย่อมทำให้เจ็บปวดไม่น้อย

     ม่านฟ้าขยับใบหน้าซุกลงกับบ่าของคนรัก ปล่อยวางเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ลงชั่วคราว สูดกลิ่นสบู่หอมจากคนตรงหน้าแล้วค่อยเคลิ้มหลับไปจากสัมผัสของฝ่ามือที่ตบหลังกล่อมเขาเบาๆ

     ----

     สามวันหลังการทะเลาะกัน ก็ถึงรอบที่ปกติพ่อจะโอนเงินค่าขนมเข้าบัญชีให้ม่านฟ้าพอดี แต่ครั้งนี้กลับไม่มีวี่แววของเงินค่าขนมนั้นแล้วแม้จะผ่านไปอีกหลายวันก็ตาม ดูท่าว่าพ่อจะตัดหางปล่อยวัดเขาแล้วจริงๆ

     ม่านฟ้าพยายามดึงตัวเองออกมาจากเรื่องราววันที่ทะเลาะกับพ่อ หาเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ตัวเองทำมากกว่าปกติแต่หลายครั้งที่เผลอก็ยังอดคิดไปถึงคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหล่านั้นไม่ได้

     ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมาถึงหอพักนั่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าคงถึงเวลาที่ต้องหางานพิเศษทำแล้ว เขาไม่อยากบอกแม่ให้ต้องกังวลเพิ่มไปอีก เงินเก็บในบัญชีของเขาเองก็ยังพอจะเหลืออยู่จึงไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่แต่จะให้นั่งเฉยๆ ใช้เงินเก็บอย่างเดียวก็คงไม่ไหว

     ม่านฟ้าพยายามคิดถึงงานพิเศษที่เด็กมหาลัยอย่างเขาจะพอทำได้ เพื่อนสนิทของเขาหลายคนรับสอนพิเศษให้กับเด็กมัธยมหรือถึงขั้นเด็กประถมเลยก็มี เพียงแต่ช่วงนี้น่าจะเลยช่วงสอบของเด็กมัธยมไปแล้ว คงไม่ค่อยมีคนอยากหาครูพิเศษตอนนี้เท่าไหร่

     งานพิเศษอย่างอื่นที่พอจะนึกออกก็มีแต่พาร์ทไทม์ร้านสะดวกซื้อหรือไม่ก็เด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร หลายคนอาจจะรู้สึกอายที่ต้องไปทำงานพิเศษหาเงินใช้แต่ม่านฟ้ารู้ตัวว่าไม่ได้หน้าบางขนาดนั้น เขาเพียงแต่ขี้เกียจและเสียดายที่เวลาในการพักผ่อนของเขาจะน้อยลงเท่านั้นเอง

     ม่านฟ้ามองไปยังเตียงชั้นสองที่เป็นของรูมเมทผู้ไม่ค่อยได้กลับห้องของเขา หมอนั่นก็ทำงานพิเศษอยู่เหมือนกันถึงจะไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องเงิน แต่ก็ได้ยินว่าได้เงินไม่น้อย รูมเมทของเขาร้องเพลงอยู่ที่ร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัยแถมยังเคยบอกอีกว่าเด็กเสิร์ฟในร้านมักจะได้ทิปกันวันละไม่น้อย แต่อาจจะทำงานหนักหน่อยจึงมีคนลาออกอยู่เรื่อยๆ

     ถ้าให้รูมเมทของเขาดูให้ อาจจะได้งานมาแบบไม่ยากเย็นอะไรนักก็ได้

     หนุ่มอักษรฯ คิดได้ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเลื่อนหาเบอร์ของเพื่อนรัก กะว่าจะถามรายละเอียดและค่าจ้างของร้านที่เพื่อนทำอยู่ แต่ก่อนจะได้กดโทรออกก็นึกถึงคำพูดของใครบางคนขึ้นมาได้

    “จากนี้ไปกูขอได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คิดถึงกูเป็นคนแรก”

     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเล็กน้อย โล่งอกที่ยังไม่ทันได้โทรหาเพื่อนแต่คิดถึงคนรักขึ้นมาได้ก่อน ขืนคุยกับรูมเมทเสร็จสรรพว่าจะไปทำงานแล้วคุณแฟนตัวดีเพิ่งมารู้เอาทีหลังคงไม่พ้นโดนดุอีกแน่

     ร่างสันทัดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคว้ากุญแจห้องพร้อมโทรศัพท์เพื่อเดินออกไปที่ห้องของคนที่กำลังคิดถึง เขาเคาะประตูหน้าห้องของคนรักเบาๆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในจนเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ ม่านฟ้าก้มลงมองกุญแจสำรองที่อยู่ในมือ ลังเลว่าจะเข้าไปนั่งรอคนรักข้างในหรือว่ากลับห้องไปก่อนดี แต่กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง

     “เมฆ”
     
     พิธานเลิกคิ้วมองคนรักที่มาหาถึงห้องอย่างแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ม่านฟ้าจะพาร่างของตัวเองออกมาจากห้องได้หากไม่มีเรื่องจำเป็น เขามองคนรักที่มองตอบเขากลับมาตาใสแล้วอดยกมือโยกหัวคนตรงหน้าไม่ได้

     “มีอะไรรึเปล่า” ชายหนุ่มเจ้าของห้องถามพลางไขกุญแจห้องแล้วให้คนรักเดินตามเข้ามาก่อนจะปิดประตูลง เขามองคนรักที่เดินไปนั่งบนเตียงแล้วตอบกลับมาง่ายๆ

     “กูว่าจะทำงานพิเศษอ่ะ”

     “ห้ะ? ”

     คำพูดที่กล่าวขึ้นมาแบบไม่มีการเกริ่นใดๆ ทำให้พิธานงุนงงไปไม่น้อย จนเมื่อได้ยินคนรักเริ่มเล่าแผนการที่วางเอาไว้ หัวคิ้วของชายหนุ่มก็เริ่มขมวดขึ้นเรื่อยๆ

     “ไม่ต้องเลย ร้านเหล้าไม่ให้ทำแน่ๆ ”

     “ห้ะ? ”

     คราวนี้เป็นม่านฟ้าที่งุนงงกับคำพูดของคนรัก เขาเพิ่งพูดอยู่ว่าร้านเหล้าน่าจะได้เงินดีที่สุดแต่กลับถูกปฏิเสธมาเป็นอย่างแรก พิธานส่ายหน้าแรงๆ แค่คิดให้คนรักไปทำงานร้านเหล้าแล้วมีคนมองตามก็รู้สึกไม่พอใจแล้ว เวลาม่านฟ้าไปสังสรรค์กับเพื่อนเขาไม่เคยห้ามเพราะรู้ดีว่าม่านฟ้าจะนั่งกินอยู่ที่โต๊ะของตัวเองอย่างเดียว ไม่ได้ไปดึงดูดความสนใจของใครเขาแต่กับการเป็นเด็กเสิร์ฟมันแทบจะเลี่ยงการถูกมองไม่ได้เลย

     แค่คิดว่าจะมีไอ้ขี้เมามองตามแฟนเขา พูดจาแทะโลมหรือลวนลามพิธานก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

     ม่านฟ้ามองอาการของคนรักที่ดูหงุดหงิดขึ้นมา พอจะเดาความคิดของคนรักออกว่าคงไม่พ้นพฤติกรรมขี้หึงของเจ้าตัวกำเริบอีกแล้ว

     “มึงจะหวงอะไรนัก ยังไงกูก็ผู้ชายไหม ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะมาชอบกูนะเว้ย” ม่านฟ้าพูดออกไปแล้วก็ยิ่งคิดว่าคำพูดตัวเองสมเหตุสมผล จึงอดสำทับเข้าไปอีกครั้งไม่ได้ “ทำหยั่งกะเวลาไปร้านเหล้ามึงมองตามเด็กเสิร์ฟอย่างงั้นแหละ”

     “กูไม่เคยมองเหอะ!! อย่ามาปรักปรำกู แต่กูไม่มองไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มองไง” พิธานพยายามดึงอารมณ์หึงหวงของตัวเองให้เบาลง แต่ท่าทางของคนรักที่ยังไม่ยอมง่ายๆ แม้เขาจะใช้เหตุผลในแบบของเขาเข้าสู้ จึงได้แต่ค้านหัวชนฝา “ไม่รู้แหละยังไงร้านเหล้ากูก็ไม่ให้ทำ”

     “เออ มึงเดือดขนาดนี้ ถ้าขืนกูยังดื้อทำคงได้ทะเลาะกันตลอดแน่”

     “คิดได้ก็ดี” ม่านฟ้าถลึงตามองใส่คนรักที่กอดอกเชิดหน้าวางท่าเหมือนคนชนะ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องยอมตลอด แต่ก็ไม่ค้านว่าลึกๆ เขาเองก็ไม่ได้อยากทำงานที่ร้านเหล้าขนาดนั้น ถึงจะเงินดีแต่ถ้าต้องอยู่ในที่เสียงดังๆ แบบนั้นทุกวันคงหูชาแน่แต่ถ้าเป็นพวกร้านสะดวกซื้อ…

     “พวกพาร์ทไทม์เซเว่นก็ไม่เอานะ”

     ม่านฟ้าถึงกับกลอกตาเมื่อฟังคำพูดต่อมาของคนรัก หันไปจ้องคนรักอย่างคาดคั้นให้พูดเหตุผลดีๆ ของการปฏิเสธครั้งนี้ออกมา ถ้าขืนยังตะแบงงอแงอย่างก่อนหน้านี้ได้มีวางมวยกันแน่

     “ก็.. งานพวกนี้กูว่ามันต้องทำงานเป็นกะ แล้วมึงเองก็มีเรียน ถ้าจะทำได้จริงๆ ก็ต้องเป็นกะเย็นกะดึก ดีไม่ดีเดี๋ยวกระทบเรื่องเรียนเข้าไปอีก มึงเองก็พยายามทำเกรดอยู่ไม่ใช่หรือไง ขืนเกรดมาตกเพราะเรื่องแบบนี้กูว่าไม่คุ้มนะ”

     พิธานที่ได้รับสายตาของคนรักเข้าไปก็รู้ว่าคราวนี้ตัวเองต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นให้คนรัก ถึงได้พูดอธิบายออกไปยืดยาว พิธานยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองพูดถูกจึงจบประโยคลงอย่างที่คิดว่าสวยงามที่สุด “มึงควรหางานที่บริหารเวลาเองได้ดีกว่านะ”

     “งานอะไร”

     “...”

     แต่ไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนพูด

     เกิดความเงียบขึ้นระหว่างชายหนุ่มสองคนในห้อง พิธานเองก็คิดไม่ทันเหมือนกันว่าจะให้ทำงานอะไรดี ใจจริงเขาไม่อยากให้ม่านฟ้าไปทำงานเลยด้วยซ้ำแต่รู้ดีว่าห้ามไปก็คงห้ามไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องเลือกงานดีๆ ให้กับคนรักเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องมาห่วงทีหลัง

     จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก สมองที่ทำงานอย่างหนักของพิธานก็คิดอะไรออกขึ้นมา

     “เด็กป๋าม่ะ เดี๋ยวกูเลี้ยงดูมึงเอง”

     ป้าบ!

     เสียงหมอนหนุนใบโตถูกฟาดเข้าที่หน้าของเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ข้างกัน พิธานยกมือขึ้นมากันไม่ทันถึงได้โดยหมอนนุ่มแต่ความแรงไม่นุ่มตามฟาดจนหน้าหงาย

     “เอาดีๆ พีท”

     “...ก็กูยังคิดไม่ออก แล้วกูแค่หมายความว่าให้มึงยืมตังค์กูก่อน ไม่ได้หมายความให้เป็นเด็กป๋าที่เอาตัวเข้าแลกแบบนั้นซะหน่อย” เมื่อเจอคนรักดุกลับมาเสียงนิ่ง พิธานถึงได้ตอบกลับไปอย่างอ้อมแอ้มและเถียงข้างๆ คูๆ

     ยิ่งเมื่อเห็นม่านฟ้าถอนหายใจใส่และเบือนหน้าไปทางอื่น คนที่เสนอเป็น ‘ป๋า’ ก็ยิ่งร้อนรน “เงินเก็บกูเยอะนะ ไม่ต้องไปทำงานพิเศษก็ได้ ตอนแรกมึงยังบอกเลยไม่ใช่เหรอว่าถ้าโดนไล่ออกจากบ้านจะให้กูเลี้ยงอ่ะ”

     เสียงเล็กเสียงน้อยของคนตัวโตที่พยายามเกลี้ยกล่อมทำให้ม่านฟ้ากลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ถึงได้หันหน้าหนีไม่ให้อีกคนได้เห็น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วเก๊กหน้าขรึมหันมาอีกรอบ

     “ตอนนั้นกูหมายถึงถ้าเราเรียนจบแล้ว ไม่ใช่ตอนที่มึงก็ยังขอเงินป๊าเงินม้าอยู่เหมือนกันแบบนี้”

     พิธานที่ได้ยินคำตอบของคนรักแถมด้วยหน้าตาบึ้งตึงก็บึนปากออกมาอย่างไม่น่ารัก ขมวดคิ้วคิดหาทางออกแล้วเสนอออกมาอีกครั้ง “งั้นกูไปทำงานพิเศษด้วยดีม่ะ ช่วยมึงอีกแรง ได้เท่าไหร่กูให้มึงหมดเลย เป็นเด็กเสิร์ฟร้านเหล้าก็ได้นะ”

     ม่านฟ้ามองท่าทางของคนรักที่เอานิ้วจิ้มแก้มทำเป็นคิดก็ทนไม่ไหวหลุดขำออกมาแล้วค้อนวงเล็กๆ ให้คนรัก ทั้งที่บอกเองว่าไม่ให้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟแต่ตัวเองกลับจะไปแทนเสียอย่างนั้น

     “ไม่ต้องเลยมึง” หนุ่มวิศวะฯ ตัวโตที่เห็นคนรักยิ้มออกพร้อมบ่นเบาๆ ก็ยิ้มกริ่มตาม เอื้อมมือไปกอดคอคนรักแล้วกระซิบข้างหู “ทำไม กลัวสาวๆ มาติดอกติดใจกูล่ะซี่หรือกลัวว่ากูจะโดนสาวๆ ลวนลาม”

     ไม่ว่าเปล่า มือของคนพูดก็เริ่มแสดงตัวอย่างการ ‘ลวนลาม’ กับคนข้างกาย มือหนาลูบไปตามหน้าท้องของคนรักรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งเล็กน้อยก็ยิ่งได้ใจเลื่อนมือลงต่ำไปที่ต้นขาจนม่านฟ้าต้องผลักออกแล้วตีมือปลาหมึกให้หนึ่งทีถึงจะขยับกลับไปนั่งดีๆ ได้

     “ใครจะมาเอามึง หน้าหยั่งกะตัวร้ายขนาดนี้” ถึงพูดไปแบบนั้นแต่ไม่ปฏิเสธหรอกว่าหน้าตาอย่างพิธานก็น่าจะดึงดูดสาวได้ไม่น้อย แต่ที่น่ากลัวมากกว่าสาวๆ ก็คือหน้าตาอ้อนเท้าเช่นนี้จะทำให้ไปมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นเสียมากกว่า

     พิธานได้ยินข้อกล่าวหานั้นก็บึนปากอีกครั้งแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง จนผ่านไปสักพักถึงรู้ว่าคนข้างตัวคงไม่ง้อจึงหันกลับมาเจอใบหน้ากลั้นยิ้มของคนรัก นึกรู้ว่าโดนแกล้งเข้าอีกแล้วก็ประกบแก้มสองข้างของคนอารมณ์ดีดึงเข้ามาจูบหนักๆ บนหน้าผากอย่างหมั่นไส้

     ม่านฟ้ายิ้มกว้างออกมาเมื่อเจอการพาลอย่างน่ารักของอีกคนแล้วไหลตัวลงซบกับบ่าของพิธาน แม้จะถูกคนรักว่าบ่อยๆ ว่าทำตัวเหมือนไม่มีกระดูกแต่ก็ไม่สนใจ

     “เนี่ย ว่าเค้าเสร็จแล้วก็มาซบเค้า”

     คนซบเงยหน้าขึ้นมามองแล้วทำลอยหน้าลอยตาถามเสียงซื่อ “ทำไม ซบไม่ได้เหรอ”

     เจอคำท้าทายเช่นนี้มีเหรอที่พิธานจะตอบเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากคำว่า

     “ได้ดิ”

     ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวยังกดหัวม่านฟ้าให้ซบกลับลงไปอีกครั้ง



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 10 (11.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 11-07-2021 17:54:15
ภาคความจริง : บทที่ 10 (ต่อ)


     หลังถกเถียงกันอีกสักพัก ม่านฟ้าก็ตัดใจว่าวันนี้คงหาข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องงานไม่ได้แล้วก็พอดีกับที่คนรักชวนลงไปกินข้าว เขาพยักหน้าตอบรับเบาๆ พิธานถึงได้ผละออกไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่โยนไว้ข้างกระเป๋าเรียน

     “เอ๊ะ...งานแปลม่ะ? ” เสียงร้องของคนรักทำให้ม่านฟ้าเงยหน้าขึ้นมอง

     หน้าตาของม่านฟ้าคงดูงุนงงมากกับคำถามของเขา พิธานจึงกลับมานั่งข้างคนรักอีกหน เขานึกถึงงานพิเศษที่เหมาะกับคนรักได้เพราะเห็นรายงานที่ให้คนรักช่วยแปลงานวิจัยภาษาอังกฤษตอนหาข้อมูลอยู่ในกระเป๋า

     “มึงลองรับงานแปลดูม่ะ ยังไงมึงก็เทพอิ๊งอยู่แล้ว แถมสเปนก็ได้ พวกงานแปลทางเน็ต ไม่ต้องคิดแพงมากกูว่าน่าจะโอเคนะ”

     หนุ่มอักษรฯ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดเรื่องงานนี้ในหัวเลย ได้ยินอาชีพนี้อยู่บ้างเพราะก็เรียนมาสายนี้ ในตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าลูกค้าของงานเช่นนี้จะเป็นใคร สมัยนี้หาในอินเทอร์เน็ตไม่ถึงนาทีก็ได้คำตอบแล้ว เรื่องอะไรจะต้องมาเสียเงินเพื่อแปลภาษาด้วย

     “จะมีคนมาจ้างเหรอว่ะ แค่แปลภาษาเนี่ยนะ กูเกิ้ลก็ทำได้ม่ะ”

     “คนที่มาจ้างไม่ได้ให้มึงแปลแค่ I Love You โง่ๆ แค่นี้ซะหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรีเสิร์ชอย่างที่กูให้มึงช่วยอ่ะ เพื่อนกูหลายคนแม่งก็ไปจ้างแปลมาโดนกันทีเป็นพัน”

     ม่านฟ้าคิดไปถึงงานที่คนรักให้ช่วยแปล งานนั้นจะว่าหินก็หินอยู่ คงเพราะมีศัพท์เฉพาะอยู่ไม่น้อยถึงต้องหาข้อมูลเพิ่มด้วยแต่โดยรวมก็นับว่าสนุกดี ถ้าการแปลนี้สามารถเป็นงานพิเศษได้จริงก็ถือว่าลงตัว เขาเองก็ขี้เกียจออกไปทำงานข้างนอก อีกทั้งยังจัดสรรเวลาไม่ให้กระทบเวลาเรียนได้อีก

     แบบนี้ก็พอจะแก้ปัญหาเรื่องเงินได้แล้ว

     “เดี๋ยวกูไปช่วยโปรโมทให้ด้วย พวกเพื่อนกูยังเคยถามว่ามึงรับงานถูกๆ ไหมเวลาเห็นกูให้มึงช่วยแปลมาให้” หนุ่มอักษรฯ ฟังคนรักพูดไปเรื่อยก็พยักหน้าตามเอนตัวลงซบไหล่ของคนรักอีกครั้งอย่างเผลอตัว เสียงพูดของพิธานชะงักไปเล็กน้อยแล้วหันมามองคนที่หลับตายิ้มบางอยู่บนไหล่

     ชายหนุ่มร่างสูงเผลอยิ้มตามรอยยิ้มนั้น เขาก้มลงจูบกลุ่มผมหอมของคนรักแล้วประสานนิ้วกับมือของคนรักที่วางอยู่บนตักของเขา “กำลังคิดว่าโชคดีที่มีกูเป็นแฟนอ่ะดิ”

     ม่านฟ้าเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา ไม่ปฏิเสธคำพูดอวดตัวของคนรัก พิธานเองก็ยิ้มกว้างขึ้นมาตามกัน เขาหลงรักรอยยิ้มของม่านฟ้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นที่ป้ายรถเมล์

     เด็กหนุ่มที่ก้มลงมองโทรศัพท์กับหน้าตาเฉยชาเหมือนแมวง่วงคือภาพที่เขาเห็นจนชินตา จนเจ้าตัวเผลอยิ้มออกมากับคลิปตลกในโทรศัพท์ หลังจากวันนั้นเขาก็ถอนตัวจากรอยยิ้มนี้ไม่ได้เสียที

     จนวันนี้ก็ยิ่งหลงรักมากขึ้นไปอีก

     ---

     หลังจากตกลงเรื่องงานพิเศษได้ พิธานก็ชวนคนรักลงมากินข้าวที่โรงอาหารของหอใน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คนรักของเขามีสัมภาษณ์ทุนที่เจ้าตัวเพิ่งยื่นใบสมัครไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

     “สัมภาษณ์วันนี้เป็นไงบ้าง”

     ม่านฟ้าเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยน้ำแข็งไสก่อนหลุบตาลงไปอีกครั้ง อ้อมแอ้มตอบออกมาเสียงเบา “ก็ตอบๆ เขาไป กูไม่ค่อยรู้เรื่องโครงการเท่าไหร่ แต่ก็ตอบเท่าที่รู้”

     พิธานถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะม่านฟ้าเป็นเด็กเรียนดี อาจารย์ที่ปรึกษาจึงแนะนำโครงการสอบชิงทุนให้ แม้ไม่มีสอบข้อเขียนเพราะคนที่อาจารย์จะให้สอบนั้นคัดจากคะแนนมาแล้วแต่ก็ยังมีสอบสัมภาษณ์

     ตอนแรกที่ได้มาม่านฟ้าไม่มีท่าทีสนใจเลยสักนิดแถมบอกปฏิเสธอาจารย์ไปแล้วเรียบร้อย แต่อยู่ดีๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนก็ไปขออาจารย์ลองยื่นใบสมัครดูก่อนปิดรับสมัคร

     ไม่ต้องถามเหตุผลก็พอจะเดาได้ว่าทำไมม่านฟ้าถึงกระตือรือร้นขึ้นมา

     คำปรามาสของพ่อที่ว่าเอาไว้อาจจะทำให้ม่านฟ้าอยากลองทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ลึกๆ ในใจเขารู้ว่าม่านฟ้าต้องการการยอมรับจากพ่อมาตลอดแต่กลับไม่เคยได้รับสิ่งนั้น ม่านฟ้าเหมือนเด็กขี้อิจฉาที่เห็นน้องได้รับคำชมแต่ตัวเองที่ทำดีแค่ไหนก็ไม่เคยได้ หลายครั้งถึงได้ตะแบงทำตรงข้ามกับสิ่งที่พ่อต้องการไปเสียเลย

     ชายร่างสูงมองคนรักที่ก้มลงไปกินน้ำแข็งไสต่อเงียบๆ แล้วก็ยักไหล่ ลากถ้วยขนมของอีกคนมาตักกินบ้างแล้วพูดคำปลอบใจ

     “ช่างเหอะ รอลุ้นผลอีกทีแล้วกัน”

     จะยังไงเขาก็อยู่ข้างๆ เสมอนั่นแหละ



     TBC





     Achaya (Writer) :

     จะแอบบอกว่าภาคนี้ในช่วงกลางๆ เป็นแค่การเฉลยความสัมพันธ์ของไอคู่นี้ในแต่ละเหตุการณ์เท่านั้น แต่เราอาจจะไม่ได้ flash back เหตุการณ์ที่เกิดเรื่องให้ทั้งหมดเหมือนภาคแรกเพราะมันจะเยอะเกิน มันอาจจะมีเหตุการณ์ลับที่ไม่มีใครเห็นในภาคแรกโผล่ออกมานิดหน่อย ส่วนปมในตอนสุดท้ายของภาคแรกที่ทิ้งระเบิดไว้ก็รอลุ้นกันต่อไปนะว่าจะเป็นยังไง แต่มีเฉลยในภาคนี้แน่นอน

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ



หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 10 (11.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-07-2021 18:20:16
 :katai4: :katai1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 10 (11.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-07-2021 00:32:22
สู้น้าาาา
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 11 (18.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 18-07-2021 07:12:17
ภาคความจริง : บทที่ 11


     ผลสอบชิงทุนออกมาแล้ว

     ม่านฟ้ามองรายชื่อผู้ผ่านสอบชิงทุนด้วยแววตานิ่งเฉย ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้เตรียมพร้อมอย่างคนอื่นเขา เพื่อนในคณะที่ลงสมัครใช้เวลาเกือบเดือนในการเตรียมตัวตอบคำถามและศึกษาเกี่ยวกับโครงการ ขณะที่เขาเองแค่เตรียมเอกสารไปสัมภาษณ์ยังแทบจะไม่ทัน

     เขามั่นใจพอควรว่าเรื่องภาษาเขาน่าจะไม่แพ้ใคร คงเป็นเพราะการตอบคำถามมากกว่าที่ใช้วัดผลคะแนน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องพวกนั้นสำหรับเขามันก็แค่ข้ออ้าง ไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน

     ถามว่าเสียใจไหมมันก็มีบ้าง คนเราต่อให้ปากบอกไม่หวังแต่ใจก็ยังแอบหวัง พอเจอความจริงตรงหน้าก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ที่สำคัญในเวลาแบบนี้คำบางคำกลับย้อนเข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง

     “ทำอะไรไม่เคยได้เรื่อง เกิดมามึงทำอะไรได้ดีบ้าง”

     หนุ่มอักษรฯ เผลอถอนหายใจ ในเวลาที่รู้สึกแย่แบบนี้ดันนึกถึงคำพูดพวกนั้นมาซ้ำเติมตัวเองอีกทำไมกัน เขาฟุบหน้าลงกับโต๊ะหนังสือหวังจะพักสายตาและสมองให้พ้นจากสารพันความคิด



    ผลั่ก!

     “เรียนยังไงให้ได้เกรดสองห้ะ!!?”

     เสียงหนังสือพิมพ์ในยามเช้าถูกพ่อเขวี้ยงลงกับพื้นทำให้ม่านฟ้าในวัยสิบเจ็ดปีถอยหลังออกมาสองก้าว

     เพราะเมื่อวานภูหมอกเอาผลสอบมาให้พ่อดู วันนี้พ่อถึงได้ถามหาผลการเรียนของเขาเช่นกัน

     หลังจากเข้ามัธยมปลายสายวิทย์ผลการเรียนของม่านฟ้าก็ค่อยๆ ดิ่งลง จากมอสี่ที่ยังพอใช้ลูกฮึดบวกความขยันเข้าสู้ไหวจนมาถึงตอนนี้ที่เกรดของชั้นมอห้าแย่ลงจนฉุดแทบไม่อยู่

     ม่านฟ้าที่ไม่ชอบวิชาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อยู่แล้วแต่ต้องมาเรียนในเอกที่มีแต่วิชาพวกนี้เป็นวิชาหลัก เกรดรวมจึงออกมาไม่น่าดูสักเท่าไหร่ แต่ที่แย่ที่สุดคงไม่พ้นวิชาฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์ที่ได้เกรดสองถ้วนมาอย่างไม่มีข้อแก้ตัว

     “ไม่ได้เรื่อง”

     คำบ่นพึมพำต่อมาพร้อมการส่ายหน้าทำให้ม่านฟ้าลอบถอนหายใจเบาๆ ก็พอจะเดาอาการเช่นนี้ของพ่อได้อยู่แล้ว จึงพยายามไม่เก็บมาใส่ใจ คงเพราะมันต่างจากเกรดสี่ถ้วนทุกวิชาของภูหมอกมากเกินไป ไม่แปลกใจที่พ่อจะผิดหวัง

     “...” สายตากดดันที่พ่อมองจ้องกลับมาเหมือนต้องการให้ม่านฟ้าเอ่ยคำอธิบายถึงผลการเรียนเช่นนี้ทำให้ม่านฟ้าถึงกับอึกอัก “เออ ก็เมฆบอกแล้วว่าไม่ถนัดวิชาสายวิทย์ พอเข้าสายวิทย์มันก็เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง”

     “ถนัดไม่ถนัดมันไม่ใช่ข้อแก้ตัว ในเมื่อแกเรียนแล้วก็ควรเรียนมันให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้เกรดมันออกมาทุเรศแบบนี้!” คนเป็นพ่อยังมีอารมณ์เดือดดาลไม่หาย ยิ่งกับคำอธิบายที่เค้นได้จากลูกชายนั้นไม่น่าฟังสักเท่าไหร่จึงยิ่งพาลโมโหนักขึ้นไปอีก

     แล้วทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ก่อนที่จะเดินจากไป

     “ถ้าเกรดเทอมหน้ายังไม่ดีอีกก็ไม่ต้องเรียนมันแล้ว เปลืองค่าเทอม ออกมาขัดรองเท้าไป”

     .

     “หรือถ้าโง่นักก็ไปขอให้ไอ้หมอกมันสอน อาจจะทำได้ดีกว่าแกอีก”




     พิธานไขกุญแจสำรองเข้ามาในห้องของคนรัก เห็นไฟในห้องดับอยู่ก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่นั้นหมายความว่าน่าจะมีคนอยู่ในห้อง มือของแขกประจำเอื้อมไปเปิดไฟก่อนจึงหันไปเห็นคนรักที่ฟุบอยู่กับโต๊ะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

     จากมุมนี้เขาไม่สามารถเห็นหน้าของม่านฟ้าได้แต่เห็นเจ้าตัวเช็ดหน้ากับแขนเสื้อสองสามครั้ง

     แสงของหน้าจอโน้ตบุ๊กสว่างขึ้นมาอีกครั้งหลังม่านฟ้าขยับตัวและเผลอไปโดนแป้นคีย์บอร์ดเข้า แม้อาการต่างๆ จะยังดูปกติ แต่เขากลับเห็นว่าม่านฟ้าพยายามรีบปิดหน้าต่างที่เปิดค้างอยู่ลงไปจนหมด ก่อนที่โน้ตบุ๊กจะถูกพับลงมือของพิธานก็ยันหน้าจอเอาไว้และดึงเข้ามาไว้ในมือ

     พิธานกดเปิดไปที่ประวัติการเข้าชมที่เพิ่งถูกปิดลง ผลประกาศรายชื่อผู้ผ่านสอบชิงทุนปรากฏอยู่ตรงหน้า เริ่มเข้าใจอาการของคนรักเมื่อกวาดสายตามองแล้วพบว่าไม่มีรายชื่อของคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาตอนนี้

     ชายหนุ่มร่างสูงวางโน้ตบุ๊กกลับลงไปบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วถอยหลังไปนั่งลงบนเตียง เขามองดวงตาคู่สวยที่แดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนเหลือบไปมองแขนเสื้อที่ยังชื้นอยู่ก็ลอบถอนหายใจ

     “คุยกันหน่อยไหม”

     พิธานถามออกไปแต่เสียงทุ้มนั้นคล้ายคำสั่งเสียมากกว่า เขาตบลงบนที่นอนข้างตัวเบาๆ เป็นเชิงเรียกให้คนรักมานั่งข้างกัน จนเมื่อเจ้าของห้องเดินมานั่งอย่างว่าง่ายพิธานก็ถามกลับไปอีกหนึ่งประโยค “เสียใจเหรอ”

     “...”

     ดวงตาคมดุจ้องมองอาการของคนรักที่ก้มหน้าเม้มปากไม่ตอบอะไร เขาไม่แปลกใจกับผลการสัมภาษณ์ที่เห็นวันนี้สักเท่าไหร่ แม้ค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของคนรักแต่เพราะม่านฟ้าไม่มีการเตรียมตัว ผิดกับคู่แข่งคนอื่นที่ทำการบ้านกันมาอย่างดี การสัมภาษณ์พวกนี้ใช่ว่าแค่ตอบอย่างที่คิดแล้วก็จะได้

     การตอบเกี่ยวกับโครงการแสดงถึงความใส่ใจ คำตอบอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นถึงแง่มุมและแนวความคิดของผู้เข้าสัมภาษณ์เช่นกัน การหาข้อมูลเกี่ยวกับคำตอบของผู้ที่เคยผ่านการสอบก็ช่วยทำให้รู้ถึงแนวทางคำตอบที่กรรมการจะถูกใจ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนอื่นมีแต่ม่านฟ้าไม่มี ผลที่ออกมาวันนี้จึงไม่ผิดจากที่คาดนัก

     เขาไม่อยากพูดอะไรมากเมื่อม่านฟ้าอยากลองยื่นใบสมัครดูหลังจากวันที่ทะเลาะกับพ่อ แต่เมื่อผลออกมาเช่นนี้ เขาไม่พูดก็คงไม่ได้แล้ว

     “อยากได้มากเลยเหรอทุนนี้น่ะ” พิธานมองคนข้างกายที่เหลือบตาขึ้นมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหลุบสายตาลงไปอีกแต่ก็ยังไม่ตอบคำถาม จึงได้เริ่มต้นการเทศนาอย่างจริงจัง

     “ถ้าตอนนี้มึงกำลังเสียใจเพราะอยากได้ทุน แต่ไม่ได้ กูก็เข้าใจ กูจะปลอบมึงด้วยว่าคนอื่นเขาเตรียมตัวมามากกว่ามึงเป็นเดือน ทุนอื่นก็ยังมีอีกเยอะแยะ ไม่ต้องเสียใจไป…” หนุ่มวิศวะฯ พูดแล้วก็เว้นจังหวะจนคนฟังเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

     “แต่ถ้ามึงกำลังเสียใจที่ผลสอบแม่งยิ่งย้ำว่ามึงเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องอย่างที่พ่อมึงว่า แล้วก็ย้ำคิดอยู่กับคำด่าของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงกับร้องไห้เนี่ย…” มือใหญ่ของพิธานคว้าศีรษะของคนรักแล้วโยกแรงๆ ก่อนดึงเข้ามากระซิบข้างหู “กูจะด่ามึงซ้ำให้”

     ม่านฟ้าหดคอจากลมหายใจร้อนที่เป่าอยู่ข้างหู อีกทั้งคำพูดที่ราวกับกำลังขู่กรรโชกมากกว่าปลอบทำให้ม่านฟ้ายู่หน้าแล้วเบนไปอีกทางแต่ก็ไม่พ้นมือใหญ่นั้นเมื่อพิธานหันหัวเขากลับมาอีกครั้ง “มองกูแล้วตอบ ตกลงมึงเสียใจเพราะอะไร”

     ท่าทางของม่านฟ้าในสายตาพิธานตอนนี้คงไม่ต่างไปจากเด็กดื้อคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับความผิดที่ตัวเองก่อ ขณะที่ม่านฟ้าก็ได้แต่งึมงำบ่นคนรักอยู่ในใจ หลายคนที่รู้จักพิธานมักคิดว่าคนรักของเขาเป็นคนสบายๆ ติดจะกวนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งนั้นก็จริง แต่ตัวตนจริงๆ ของพิธานไม่มีใครรู้ดีไปกว่าม่านฟ้าว่าคนตรงหน้าแท้จริงแล้ว ‘ดุ’ มากแค่ไหน

     “ถ้ากูตอบ...กูก็โดนด่าอ่ะดิ”

     ทั้งที่รู้ว่าจะโดนดุแต่ม่านฟ้าก็ยังไม่คิดจะโกหกอยู่ดี

     พิธานถึงกับหลุดยิ้มออกมา เก๊กหน้านิ่งต่อไปไม่ไหวเพราะม่านฟ้าเป็นแบบนี้เขาถึงชอบ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรม่านฟ้าก็จะไม่โกหกเขา ชายหนุ่มร่างสูงเลื่อนมือลงไปที่เอวของคนรักแล้วลากตัวอีกคนเข้ามาจนชิด โน้มใบหน้าลงไปจนแนบกับหน้าผากของอีกคน

     “มึงจะคิดมากไปทำไม วันนี้มึงคิดหัวแทบแตก ร้องไห้ไปสองลิตรว่าพ่อมองมึงแบบนั้น แบบนี้ แล้วความจริงคืออะไรมึงรู้ไหม” คำพูดที่เหมือนทิ้งไว้เป็นคำถามทำให้ม่านฟ้าสบตากับอีกคนแล้วส่ายหน้าเบาๆ

     “เออ...กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     พิธานตอบแล้วเผยยิ้มกว้างขึ้นมาอีกนิดเมื่อเห็นหน้าเหวอของคนรักก่อนพูดต่อ “คนที่จะรู้คำตอบมีแต่พ่อมึง เขาอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นจริงก็ได้ อาจจะแค่โมโหร้ายก็เลยพูดแบบนั้นออกมา มึงอาจจะเสียใจฟรีเพราะคิดมากไปเอง หรือว่า…”

     “เขาอาจจะคิดว่ามึงเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องสำหรับเขาจริงๆ ก็ได้”

     คำพูดตรงๆ ของคนรักทำให้ม่านฟ้าถึงกับลอบกลืนน้ำลาย คำพูดนั้นดูโหดร้ายก็จริง แต่ที่พิธานพูดออกมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น เขาไม่มีทางรู้ได้ว่าพ่อคิดอย่างไร ต่อให้ย้อนคิดไปเรื่องเก่าๆ แต่ก็ไม่สามารถหาอะไรมาพิสูจน์ความคิดของพ่อได้ คำพูดของพิธานก็เพียงแค่บอกให้เขาหยุดคิดมากแต่ก็ไม่ได้ให้ความหวังที่ดูโลกสวยกับเขา

     แม้กระนั้นม่านฟ้าก็ยังอดจะบ่นคนที่พูดจาขวานผ่าซากออกมาโดยไม่เห็นใจคนฟังเลยสักนิด

     “ใจร้ายจังว่ะ”

     คนใจร้ายอาศัยจังหวะที่อีกคนกำลังเผลอ กดจูบลงไปบนริมฝีปากที่บ่นงึมงำแทบไม่ได้ศัพท์ก่อนผละออกมา แต่ยังคงคลอเคลียอยู่ไม่ห่างจากริมฝีปากนุ่ม ลมหายใจอุ่นที่เจือกลิ่นมิ้นต์เล็กน้อยของอีกคนทำให้ม่านฟ้าได้แต่นิ่งงัน

     “แต่กูรู้ความรู้สึกของกูนะ...สำหรับแฟนอย่างกู มึงเป็นคนที่มีค่ามากสำหรับกูนะ ม่านฟ้า”

     เสียงทุ้มที่เรียกชื่อของเขาพร้อมคำพูดที่ไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัวเรียกความร้อนให้ไปกองอยู่บนใบหน้าเจ้าของชื่อ ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจเพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงอาการเขินออกมาราวกับสาวน้อยที่ถูกสารภาพรัก แต่ยิ่งพยายามเก็บอาการกลับยิ่งเผยไต๋ให้คนตรงหน้ายิ้มกว้างขึ้นไปอีก ม่านฟ้าจึงได้เบี่ยงหน้าหลบออกมาแล้วซบลงไปกับบ่าของคนรักเพื่อซ่อนหน้าแดงๆ นั้นเสีย

     ความรู้สึกสับสนและกังวลเกี่ยวกับความคิดของผู้เป็นพ่อยังคงมีเหลืออยู่ แต่ตอนนี้มันกลับน้อยลงกว่าความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นหัวใจที่คนตรงหน้านี้มอบให้อย่างเทียบกันไม่ได้



     หลังจากดึงอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ม่านฟ้าก็เขยิบออกมานั่งห่างจากคนรักเล็กน้อย อดบ่นอีกคนไม่ได้ว่า ‘น้ำเน่าเป็นบ้า’ แต่ก็ทำได้เพียงคิดในใจ ขืนพูดออกไปตอนนี้เขาเองก็ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองสักเท่าไหร่ รู้สึกว่าคนรักน่ากลัวมากกว่าทุกวันทั้งในแง่ของคำพูดที่ทั้งดุทั้งห้วนและพฤติกรรมถึงเนื้อถึงตัวที่พาลทำเขาใจสั่น

     พิธานมองคนรักที่นั่งนิ่งมองซ้ายมองขวาพยายามทำตัวให้เป็นปกติก็คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง รู้สึกได้ว่าวันนี้เขาเป็นต่อคนรักอยู่ไม่น้อย จนอยากจะแกล้งคืนให้สมใจ เร็วเท่าความคิดพิธานเอื้อมมือออกไปหวังจากคว้าตัวคนรักให้เข้ามาใกล้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันอีกคนที่ตาไวและโดดผลุงกลับไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะหนังสือ

     “เออ มันร้อนอ่ะ ตรงนี้แอร์มันลงพอดี” ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนลวนลามให้ใจสั่นอีกหรอกนะ

     เห็นคนรักพูดลอยหน้าลอยตาด้วยสีหน้าเฉย ผิดกับอาการที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เรียกว่าร้อนรน พิธานก็ถอนหายใจและหลุดขำออกมา ยอมรับว่าเขาคิดจะดุม่านฟ้าเรื่องที่คิดมากแต่ก็ใจอ่อนยอมปล่อยไปอีกจนได้ ม่านฟ้าไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่ก็ใช่ว่าจะเข้มแข็งและเรื่องที่ทำให้ม่านฟ้าอ่อนแอได้เสมอก็คงไม่พ้นเรื่องพ่อ

     จากคำบอกเล่าของม่านฟ้าประกอบกับที่เขาเคยเจอ พื้นฐานนิสัยของพ่อเป็นที่คนดุและเข้มงวด การเลี้ยงลูกและสิ่งที่เขาคาดหวังจากลูกทั้งสองคนจึงเข้มงวดมากตามไปด้วย ภูหมอกเองยังดีที่สามารถทำตามมาตรฐานที่พ่อตั้งไว้ได้ ผิดกับม่านฟ้าที่มีเส้นทางเป็นของตัวเอง

     เพราะเหตุนั้นหลายครั้งที่ความคาดหวังที่ตั้งไว้กลับมาทำร้ายม่านฟ้าทั้งในรูปแบบของคำพูดกระทบกระทั่งและคำดุด่า แม้สิ่งที่ม่านฟ้าแสดงออกต่อหน้าทุกคนจะดูคล้ายปกติแต่ต่อหน้าเขาม่านฟ้าไม่เคยปิดบังแววตาที่สะท้อนความเสียใจและน้อยใจเอาไว้ได้มิด

     ม่านฟ้าก็บอกว่าไม่ต้องการคิดมากแต่คิดกับทำได้จริงมันต่างกัน ยิ่งเมื่อทะเลาะกันเช่นนี้ การห้ามไม่ให้รื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ออกมาทำร้ายตนเองยิ่งเป็นไปได้ยาก เขาถึงทำได้เพียงอยู่ข้างๆ และคอยรั้งคนรักกลับมาเมื่อม่านฟ้าเผลอจมดิ่งลงไปกับความรู้สึกด้านลบ ดึงคนรักเอาไว้ข้างกายให้กลับมาอยู่ในที่ปลอดภัยอีกครั้ง

     “เออ แล้วมึงมามีอะไรป่ะ”

     เสียงของคนรักดึงพิธานออกมาจากภวังค์ความคิด เขานึกย้อนกลับไปหาเหตุผลแรกที่มาหาคนรักถึงห้อง “เปล่า ก็ไม่มีไรหรอก แค่อยากมาหา” คำพูดที่ตรงข้ามกับความคิดและเหตุผลที่แท้จริงนั้นใช่ว่าม่านฟ้าจะดูไม่ออก คนตัวเล็กกว่าถึงได้เลิกคิ้วขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความไม่เชื่อในคำพูดนั้น

     “อาทิตย์หน้ามึงอยากได้ไรไหม”

     สุดท้ายพิธานก็ถอนหายใจและเอ่ยปากถึงเหตุผลในการมาหาครั้งนี้ ใช่ เขาเพียงแต่ต้องการมาถามคำถามนี้เท่านั้นแหละ

     คราวนี้ม่านฟ้าถึงกับเลิกคิ้วขึ้นมาอีกหน แต่เป็นไปเพราะความแปลกใจ ดวงตาคู่สวยเบนมองทางอื่นเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองหน้าคนรัก “อาทิตย์หน้า? อา-ทิตย์-หน้า? ” คำพูดทวนซ้ำเหมือนเจ้าของประโยคกำลังพยายามใช้ความคิดถึงเหตุการณ์ในอาทิตย์หน้าที่เป็นต้นเหตุของคำถาม

     ชายหนุ่มเจ้าของคำถามแรกถึงกับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเอือมระอา ยิ่งเมื่อเห็นคนตรงหน้าหลุบตาลงต่ำแล้วพึมพำออกมาเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง “วันเกิดมึง...ก็ผ่านไปแล้ว เออ…”

     “ถ้าวันเกิดกู กูจะถามคำถามนี้เหรอ” พิธานตั้งคำถามตอบกลับเพื่อแนะแนวทางให้คนรักคิดออกได้เร็วขึ้น

     “เออเนอะ เออ หืม? วันเกิดกูเหรอ?” ม่านฟ้าก็ตอบรับคำช่วยเหลือนั้นแต่ยิ่งคิดต่อก็ยิ่งขมวดคิ้ว เหลือบไปมองร่างสูงที่หน้าตาติดจะบึ้งตึงเล็กน้อย แล้วถามออกไปเบาๆ “มึงจำวันเกิดกูผิดรึเปล่า?”

     จนเมื่อม่านฟ้าได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากคนรัก เขาก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ ลากเก้าอี้เข้าไปใกล้คนรักจนอยู่ในระยะแขนเอื้อมถึงแล้วตบบ่าคนรักเบาๆ “จำได้หรอกหน่า ไม่อยากได้อะไรหรอก”

     พิธานยังดูไม่แน่ใจว่าคนรักจำได้จริงหรือว่าแค่แกล้งทำเป็นจำได้เพราะเห็นเขาเริ่มเดือด ไม่ได้โมโหนักหรอกหากคนรักจะลืมไปบ้าง แต่เพราะท่าทางยียวนแบบนั้นมากกว่าที่ทำให้เขาหงุดหงิด สายตาที่แสดงออกถึงความไม่ไว้ใจของคนรักทำให้ม่านฟ้าต้องเอ่ยสำทับขึ้นมาอีกประโยค

     “วันครบรอบสี่ปีทั้งที กูไม่ลืมหรอกหน่า” ถึงตอนแรกจะลืมจริงๆ แต่พอคนรักทักถึงอาทิตย์หน้าเขาก็นึกออกแล้ว แค่ยังอยากจะแกล้งคนรักอีกนิดหน่อยเท่านั้น “ก็ปกติมึงเคยมาถามอะไรแบบนี้ซะที่ไหน”

     “แล้วช่วงนี้มันปกติหรือไง มึงเพิ่งโดนไล่ออกจากบ้านแถมโดนตัดเงินอีก กูก็เลยถามดูเผื่อมึงอยากได้อะไรหรือพอทำอะไรให้มึงได้บ้าง” พิธานถลึงตาใส่คนรักที่แกล้งเขาไม่พอยังจะมายิ้มตาใสใส่ ก่อนเปลี่ยนมาเป็นบ่นพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “คนแม่งอุตส่าห์ห่วง”

     “โอ๋” ม่านฟ้าถึงกับลุกจากเก้าอี้แล้วย้ายตัวไปนั่งข้างคนรักอีกครั้งอย่างลืมเหตุผลของการย้ายที่ในครั้งแรก แขนเรียวสองข้างตวัดกอดคุณแฟนตัวโตเอาไว้แล้วโยกเล็กน้อยเหมือนกล่อมเด็ก “แค่เป็นคุณแฟนที่น่ารักของกูแค่นี้ก็พอแล้ว หรือวันนั้นถ้ามึงว่างเราไปกินข้าวกันไหม กูสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีไม่เบี้ยวนัดมึงเพราะความขี้เกียจเด็ดขาด”

     ‘คุณแฟนที่น่ารัก’ เหลือบมองคนที่ยกนิ้วก้อยออกมาเป็นสัญลักษณ์แห่งคำสัญญา ทิ้งคราบความเศร้าหมองที่เขาเจอในตอนแรกออกไปจนเกือบหมดแล้วก็อมยิ้ม ก้มลงหอมแก้มคนที่กลับมานั่งข้างเขาอีกครั้งจนอีกคนสะดุ้งเล็กน้อย

     “สัญญาแล้วนะ”

     ----

     “กินไก่มากระวังเป็นเกาต์นะมึง”

     ม่านฟ้าทักขึ้นด้วยรอยยิ้มเอือมระอาเมื่อเห็นพิธานเดินกลับมาจากการตักไก่ทอดเป็นรอบที่สาม ขณะที่คนถูกทักกลับยักไหล่แล้วนั่งลงตรงข้ามกับคนรัก เวลานี้พวกเขามากินข้าวด้วยกันในโอกาสวันครบรอบสี่ปี แต่อย่าได้คาดหวังถึงดินเนอร์สุดหรูหรือเซอร์ไพรส์สุดพิเศษ แค่มาด้วยกันได้โดยไม่ติดโน่นนี่อย่างทุกครั้งก็ดีแล้ว

     แต่วันนี้ม่านฟ้าดูอารมณ์ดีแปลกๆ

     “มากินบุฟเฟต์เกาหลีมันก็ต้องกินไก่ไหม ใครจะนั่งกินแต่ต๊อกกับกิมจิอย่างมึงอ่ะ”

     พิธานตอบกลับพร้อมกับกัดไก่ทอดเข้าไปอีกคำโตแล้วตามด้วยข้าวอีกช้อน เขาตัดใจที่จะหาสาเหตุอารมณ์ดีๆ ของคนรักและตั้งหน้าตั้งตากินก่อนชั่วคราว

     หนุ่มอักษรฯ มองคนรักก้มหน้าเคี้ยวข้าวตุ้ยแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย นึกย้อนไปถึงคำพูดที่ได้ยินจากคลิปเสียงของคนรักเมื่อเย็นนี้


     ‘ถึงจริงๆ มันจะเป็นผู้ชาย แต่.. กูก็ยังอยากจะให้เกียรติมันแบบนั้นอยู่ดีอ่ะ ไม่ได้อยากให้มันดูเหมือนวัยรุ่นคลั่งรัก แต่อยากให้เห็นว่ากูจริงจังกับมัน ยิ่งถ้าที่บ้านมันไม่ยอมรับ กูยิ่งอยากจะทำให้มันมั่นใจว่า.. กูพร้อมจะดูแลมันจริงๆ นะ แล้ว..เราค่อยก้าวไปด้วยกันอีกขั้นนึง’


     ตัวเขาเองก็ใช่จะไม่รู้สึก ถึงหลายครั้งพิธานจะทำทีเล่นทีจริงกับเรื่องอย่างว่า แต่ไม่มีครั้งไหนที่เจ้าตัวจะทำจนถึงที่สุด เคยคิดว่าเพราะเขาเองระวังตัวพิธานถึงได้ไม่กล้าและไม่มีโอกาสมากนัก แต่เมื่อคิดให้ดีหากเจ้าตัวต้องการจริงๆ มีหรือที่เขาจะปฏิเสธได้

     ม่านฟ้าไม่เคยคิดรังเกียจพิธาน แต่เหตุผลที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ยอมก้าวข้ามความสัมพันธ์นั้นทั้งที่ผ่านมากว่าสี่ปีแล้วคงเป็นเพราะว่าเขา...กำลังกลัว

     ในส่วนลึก เขากลัวมาตลอดว่าเส้นทางของความสัมพันธ์นี้จะไปได้ไม่ไกล กลัวว่าความรู้สึกและการคบกันในวันนี้เมื่อสี่ปีที่แล้วจะเป็นเพียงเพราะความอยากเอาชนะแบบเด็กๆ ของคนตรงหน้า จึงไม่กล้าที่จะปล่อยความรู้สึกของตัวเองให้ถลำลึกลงไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้

     แต่การทะเลาะและเคลียร์ใจกันคราวก่อนก็ย้ำชัดแล้วว่าความรู้สึกของพวกเขามันเกินกว่าคำว่าถลำลึกเสียแล้ว

     ถึงอย่างนั้นม่านฟ้าก็อยากดึงความสัมพันธ์นี้เอาไว้อีกหน่อย เพราะกลัวว่าหากพวกเขาเกินเลยกันมากไปกว่านี้ ถ้าวันหนึ่งที่ทุกอย่างต้องจบลงอย่างไม่สมหวัง ไม่ใช่แค่ตัวเขาแต่พิธานเองก็คงต้องเจ็บปวดกับมันเช่นกัน เขาไม่อยากให้มันเป็นความทรงจำที่เลวร้ายกับอีกคนมากเกินไปนัก แค่คำว่ารักแรกและแฟนคนแรกที่เขาได้มาจากพิธานมันก็มากเกินพอแล้ว

     หากเขาจะได้รับครั้งแรกของอีกคนมาอีก ก็อยากจะให้เป็นตอนที่มั่นใจได้จริงๆ ว่าทุกอย่างมันจะจบลงอย่างแฮปปี้

     แต่ขืนเขาพูดเรื่องนี้ออกไป คงไม่วายถูกบ่นว่าคิดมากอีกแน่
     
     “อย่างอื่นกูก็กินเหอะ แค่ค่อยๆ กิน กินเร็วอย่างมึงเดี๋ยวก็อิ่มเร็ว แถมปวดท้องด้วยระวังเหอะ”

     ม่านฟ้าส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดมากมายในหัว ไม่อยากให้อารมณ์ดีๆ ของวันนี้ต้องหม่นลงเพราะความฟุ้งซ่านของตัวเองแล้วกลับมาต่อบทสนทนากับคนรัก

     พูดได้ไม่ทันไร ระดับความเร็วในการกินของพิธานก็ค่อยลดลงจนจอดสนิททิ้งไว้ให้เขากินที่เหลือเพียงคนเดียว พิธานมองคนรักที่คีบอันนั้นเข้าปากอันนี้เขาปากได้เรื่อยๆ แม้ระดับการกินจะไม่เร็ว ปริมาณการกินในแต่ละครั้งจะไม่มาก แต่ตั้งแต่มองมาเขายังไม่เห็นม่านฟ้าหยุดตะเกียบเลยสักนิด

     “ตัวแค่นี้ กินจุจังว่ะ” ม่านฟ้าเงยหน้ามองคนรักที่ไปหยิบผลไม้มากินตัดเลี่ยน ก่อนเปลี่ยนเป็นถลึงตาเมื่อได้ยินคำพูดถัดมา “กินยาถ่ายพยาธิบ้างม่ะ อาจจะเยอะก็ได้นะ ในท้องมึงอ่ะ”

     ชายร่างสูงฟังคนรักสบถด่าออกมาคำสองคำจนสบายใจก็เอนหลังพิงไปกับเก้าอี้ นั่งมองคนรักกินไปเรื่อยๆ แล้วก็กลับมาคิดหาเหตุผลที่ทำให้คนรักอารมณ์ดีอีกครั้ง เขามองซ้ายมองขวาหาความผิดปกติจากรอบข้างแต่ก็ไม่พบ ม่านฟ้าเองก็เดินมาตัวเปล่า พกแค่กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ ไม่ได้มีของติดไม้ติดมือมาด้วยให้ผิดสังเกต

     ตกลงม่านฟ้าอารมณ์ดีเพราะอะไรกันแน่นะ



     สุดท้ายพิธานก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้คนรักอารมณ์ดีจนได้ คลิปเสียงของเขาที่ถูกส่งมาจากเพื่อนรักทำให้เขาโกรธทั้งตัวเอง โกรธทั้งเพื่อนจนแทบจะพาลไปโกรธคนรักอีกต่อ แต่สุดท้ายก็ได้แต่กลืนความโกรธนั้นลงไปเมื่อเจอยิ้มหวานพร้อมด้วยคำพูดที่น่ารัก

     “ขอบคุณนะที่อยู่ด้วยกันมา”

     ยิ่งสัมผัสของจูบหวานที่ยังค้างอยู่บนริมฝีปาก ยิ่งทำให้เขารู้สึกหลงคนตรงหน้ามากกว่าเดิม นึกขอบคุณตนเองเมื่อสี่ปีก่อนที่คว้าโอกาสการเป็นคนรักของม่านฟ้าเอาไว้ แม้ความรู้สึกอึดอัดในใจจะเกิดขึ้นหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมาแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะนึกเสียใจกับการยอมรับเงื่อนไขของคนตรงหน้า

     ความชอบในวันนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรัก จากความรักก็พัฒนาเป็นความรู้สึกล้ำค่าที่มีต่อกันและกันมากขึ้นและยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป

     “กูเองก็จะทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิม อะไรไม่ดีก็จะปรับปรุงตัว เราจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ”

     และแล้วเมื่อลงความโกรธของตัวเองกับใครไม่ได้ หนอนบ่อนไส้ตัวโตอย่างเพื่อนของเขาจึงต้องเป็นเหยื่อระบายอารมณ์อย่างไม่มีข้อแก้ตัว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นไอ้เพื่อนทรยศ ไม่สนใจว่าโทรศัพท์ที่ใช้พิมพ์ด่าอยู่จะเป็นของคนรัก เพราะแค่เห็นเขาเปิดไปด้วยสติกเกอร์หมีโกรธก็เหมือนเพื่อนเขาจะรู้ตัวแล้วว่าใครกำลังครองโทรศัพท์อยู่ตอนนี้

     ไม่รู้ผีบ้าอะไรเข้าสิงเขาในตอนนั้นให้พูดเรื่องน่าอายแบบนั้นออกไปกับเพื่อน อายเพื่อนไม่พอ เสือกมีคลิปหลุดออกมาให้อายแฟนต่ออีกรอบ ยิ่งคิดยิ่งแค้นจนแทบทึ้งผมตัวเองอยู่รอมร่อ

     พิธานรู้ตัวดีว่าเขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีขนาดนั้น เรื่องที่คิดจะให้เกียรติม่านฟ้านั่นก็จริงอยู่ แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคงไม่พ้นท่าทางของคนรัก เขารู้ว่าม่านฟ้ายังมีความกลัว แม้ไม่แน่ใจว่าคือเรื่องอะไรแต่ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นเรื่องครอบครัว เขาก็ได้แต่หวังว่าหากเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี ม่านฟ้าจะยอมเปิดใจให้เราได้เข้าใกล้กันมากขึ้นกว่าเดิม

     ม่านฟ้ามองคนรักที่จดจ่ออยู่กับการด่าเพื่อนในโทรศัพท์ แอบขอโทษอีกฝ่ายในใจที่เขาดันประมาท แทนที่จะเซฟเก็บไว้ในเครื่องแล้วลบข้อความทำลายหลักฐาน แต่กลับนั่งฟังมันทั้งอย่างนั้น


     ‘กูเองก็อยากได้รับการยอมรับจากคนสำคัญของมันก่อน’


     ท่อนหนึ่งของคำพูดจากคลิปเสียงที่เขาเปิดฟังดังย้อนเข้ามาในหัวอีกครั้ง ปัดเป่าความลังเลในใจให้หายไปจนหมด ก่อนตัดสินใจแน่วแน่ถึงสิ่งที่วางแผนเอาไว้

     ชายหนุ่มร่างสูงโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียงไม่คิดสนใจคำพูดงอแงหาความยุติธรรมของเพื่อนอีกต่อไป เขาหันกลับมาหาคนรักก็พบกับดวงตาคู่สวยที่หลุบลงต่ำแม้ใบหน้ายังคงแต้มรอยยิ้มจางๆ แต่ก็พอจะจับสังเกตถึงความคิดบางอย่าง

     “มึงไม่ต้องคิดมากกับคำพูดกูเลยนะ รู้ป่าว กูก็พูดไปงั้นแหละ”

     ม่านฟ้าก้มหน้าลงอีกหน่อยเมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของคนรักที่ลูบลงบนหัว เขาครางรับในลำคอแผ่วเบาเป็นเชิงรับรู้ถึงคำพูดนั้น แต่กลับเอ่ยอีกเรื่องออกไป

     “แต่...กูว่า เสาร์นี้ที่ไอ้หมอกมันสอบเสร็จ...กูจะบอกความจริงกับพ่อนะ”

     หนุ่มอักษรฯ พูดความในใจจบก็ซบลงไปกับไหล่ของคนรัก รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากการถอนหายใจ ตามด้วยความรู้สึกหนักบนหัวจากศีรษะของอีกคนที่ซบกลับลงมา “กูบอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก อย่าเอามันมากดดันมึง”

     “กูคิดไว้ก่อนแล้ว” ม่านฟ้าพูดสวนคำพูดของคนรักขึ้นมาด้วยเสียงจริงจัง แล้วเริ่มอธิบายถึงเหตุผลที่คิดไว้ “กูว่าที่มึงพูดก็ถูก เราไม่ควรผัดมันออกไปเรื่อยๆ แบบนี้”

     "ยังไงตอนนี้พ่อก็เข้าใจว่ากูไม่ใช่ผู้ชาย เพราะงั้นกูจะบอกความจริงทุกอย่างหลังไอ้หมอกสอบเสร็จเนี่ยแหละ ทั้งเรื่องหมอก...ทั้งเรื่องเรา” ม่านฟ้าผงกหัวขึ้นมองหน้าคนรักแต่เพราะสายตาของพิธานยังแสดงออกถึงความไม่สบายใจ ม่านฟ้าถึงคลี่ยิ้มหวานออกมาอีกหนแล้วเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง

     “วันครบรอบห้าปีของเราปีหน้า กูอยากให้มึงมากินข้าวที่บ้านกูนะ”

     ถ้าเรายังได้อยู่ด้วยกัน

     แววตาของพิธานฉายประกายความหวังออกมาครู่หนึ่งแต่ก็ไม่พ้นสายตาของม่านฟ้าที่มองอยู่ ม่านฟ้าตัดสินใจแน่วแน่กว่าเดิม พอกันทีกับความลับของทั้ง ‘ม่านฟ้า’ และ ‘ภูหมอก’

     ขอเถอะ ขอให้การสารภาพครั้งนี้อย่ามีอุปสรรคอะไรเลย



     TBC




     Achaya (Writer) :

     มาแบบเรื่อยๆ ใจเย็นนะ ถ้ายังจำภาคหลักได้เดี๋ยวมันจะค่อยไต่ระดับขึ้น สำหรับตอนนี้ถ้าใครงงมันคือ timeline เดียวกันกับ บทนำภาคความจริง ที่เป็นวันครบรอบสี่ปีของทั้งคู่ บทสนทนาเต็มๆ จะอยู่ตรงนั้นเพียงแต่พอไล่ timeline เนื้อเรื่องดูมันจะอยู่ในช่วงที่เมฆโดนไล่ออกจากบ้านในภาคหลักนี่แหละ

     ขอบคุณสำหรับที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 11 (18.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-07-2021 08:23:40
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 11 (18.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 18-07-2021 10:00:21
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 11 (18.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-07-2021 00:45:25
เหัออออ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 11 (18.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-07-2021 15:34:07
+1 ep11 อัพ 18-07-21 ครับ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 12 (25.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 25-07-2021 18:03:29
ภาคความจริง : บทที่ 12

     คืนนี้เป็นคืนที่สองหลังคบกันมาสี่ปีที่พวกเขาจะได้นอนด้วยกัน เป็นการนอนที่หมายถึง ‘นอน’ จริงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง ม่านฟ้าฟังคำบ่นจากคนรักอยู่นานว่าให้ใจเย็นและใช้สติตอนสารภาพกับพ่อลากยาวมาถึงเรื่องไร้สาระอื่นๆ อย่างเรื่องผ้าห่มก่อนนอน

     ม่านฟ้าที่ชอบซุกผ้าห่มหนาๆ ถึงจะหลับสบายกับพิธานที่แค่พาดผ้าห่มไว้กับตัวก็แทบจะถีบออกทันทีตัดสินใจร่วมกันได้ว่าจะให้ม่านฟ้าได้พันตัวเป็นดักแด้ใต้ผ้าห่มหนาตามใจ ส่วนพิธานก็อยู่นอกผ้าห่มไปตามระเบียบ แม้พิธานจะไม่พอใจกับทางเลือกที่ดูจะวินวินแต่เขากลับรู้สึกไม่วินเพราะไม่ได้กอดคนรักตรงๆ

     สุดท้ายพิธานก็ขยับมากอดก้อนดักแด้เอาไว้ ถึงไม่ได้กอดตรงๆ แต่ได้กอดทางอ้อมเช่นนี้ก็ยังดี ขณะที่กำลังหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา เขากลับรู้สึกได้ถึงสายตาของคนข้างกายที่มองมาในความมืด

     ก้อนดักแด้อย่างม่านฟ้าไล่มองไปยังคิ้วเข้มที่พาดเฉียงแถมปลายตวัดขึ้นเล็กน้อยของคนรัก ไล่มาจนถึงจมูกโด่งและสันกรามกว้าง เขาหลุบตาลงต่ำอย่างใช้ความคิด

     แม้ม่านฟ้าบอกคนรักว่าจะสารภาพ ‘เรื่องของเรา’ กับพ่อ แต่ที่จริงม่านฟ้าคิดจะบอกเพียงเรื่องที่เขารักชอบผู้ชายด้วยกันแต่อาจจะเก็บเรื่องที่มีแฟนไว้ก่อน เขาไม่อยากให้พ่อเพ่งเล็งที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือตัวพิธานมากนัก หากพ่อจะรับได้หรือไม่ได้ก็ให้ลงที่ 'ตัวเขา' ซึ่งชอบผู้ชาย ไม่ใช่ ‘คนรัก’ ของเขาที่ดันเป็นผู้ชาย หากปาฏิหาริย์มีจริงและพ่อรับเรื่องของเขาได้ ครั้งต่อไปที่จะพาพิธานเข้าไปแนะนำในฐานะคนรักก็คงไม่ถูกจ้องตำหนินัก

    “กูถึงบอกว่าอยากไปทำความรู้จักบ้านมึงก่อน แบบทำคะแนนไว้ก่อนงี้ ระหว่างผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้เป็นใครเดินมาขอเป็นลูกเขยกับผู้ชายที่พ่อแม่ก็พอจะรู้จักอยู่แล้ว แถมเป็นคนดี๊ดี หาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วมาขอ แบบหลังก็น่าจะดูโอเคกว่าอยู่แล้วม่ะ ต่อให้พวกเราอาจจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ไม่แน่พ่อมึงอาจจะอ้าแขนรับลูกเขยสุดหล่อคนนี้โดยไม่เกิดเรื่องอะไรเลยก็ได้”

     ม่านฟ้าเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงคำพูดของคนรักที่วางแผนจะทำคะแนนกับครอบครัวของเขาไว้แต่เนิ่นๆ และหลุดปากถามอีกคนออกไป “มึงทำคะแนนกับพ่อแม่กูพอแล้วใช่ไหมเนี่ย”

     คำพูดของม่านฟ้าทำให้พิธานหลุดยิ้มออกมาอีกคน นึกไปถึงคราวที่เขาบอกคนรักว่าขอเวลาในการทำคะแนนก่อนจะบอกความจริง จึงได้ยืดเวลาออกมาเช่นนี้

     คนห่ามที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างเขา หากจะให้เข้าหาครอบครัวของคนรักทั้งที่คะแนนความประทับใจเป็นศูนย์หรือแม้แต่ติดลบเขาก็ยังกล้า ที่พูดไปเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็คิดว่าหากทำคะแนนไว้ก่อนก็คงดีแต่อีกส่วนก็เพราะไม่ต้องการให้คนรักคิดมากจนเกินไป

     “แค่เรื่องในห้องน้ำวันนั้นกูก็ได้คะแนนมาอื้อแล้วมั้ง”

     เสียงพูดกลั้วหัวเราะปนหยอกล้อของคนรักส่งผลให้ม่านฟ้าทำหน้าสงสัยออกมาครู่หนึ่งก่อนยู่หน้าเมื่อหวนคิดไปถึงฝันร้ายในคราวก่อน



     “อ้าว พีท”

     เสียงของมารดาคนรักทักขึ้นเมื่อเขาเดินลงมาจากห้องนอนลูกชาย พิธานยกมือขึ้นไหว้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ครัว “วันนี้แม่กลับเร็วจังเลยนะครับ”

     นัชชายิ้มรับคำพูดของ ‘เพื่อน’ ลูกชาย เธอรู้สึกเอ็นดูชายหนุ่มตรงหน้าไม่น้อย คงเพราะเจ้าตัวค่อยช่วยเรื่องสอบของภูหมอกอีกทั้งอัธยาศัยก็ใช่ว่าจะแย่ เดิมทีที่เจอเพื่อนลูกชายคนนี้เธอยังนึกว่าคนตัวโตที่ดูเหมือนเด็กเกเรเช่นนี้จะมาเป็นครูสอนพิเศษให้ภูหมอกจริงเหรอ แต่จากคำบอกเล่าของภูหมอกหลายครั้งก็ทำให้เธอรู้ว่าจะดูคนจากเพียงภายนอกไม่ได้ อีกทั้งคำพูดคำจา แม้จะติดห้วนอยู่บ้างตามประสาผู้ชายแต่ก็ไม่ได้ดูพยายามให้สุภาพจนขัดหู เธอจึงรู้สึกสนิทใจเหมือนได้ลูกชายมาเพิ่มอีกคน

     “แม่ออกเวรเร็ว แต่ก็แวะไปซื้อของมาเลยกลับมาช้าไปหน่อย พีทอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ”

     เวลากว่าครึ่งปีที่พิธานมาช่วยสอนพิเศษให้ภูหมอก แม้จะหายหน้าหายตาไปเกือบสี่เดือนช่วงที่เปิดเทอมแต่ก็รู้ว่าเจ้าตัวมักอยู่บ้านคนเดียว เธอเองเมื่อมีโอกาสจึงมักจะชวนให้ชายหนุ่มมากินข้าวด้วยกันเป็นการขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ และที่สำคัญเห็นแบบนี้แต่ทำกับข้าวเก่งใช้ได้เลยล่ะ

     “งั้นผมช่วยนะครับ”

     ม่านฟ้าที่เพิ่งเดินลงมาข้างล่างหลังเฉลยข้อสอบภาษาอังกฤษให้ภูหมอกจึงเห็นภาพคนรักกำลังช่วยมารดาของเขาทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว เพราะพิธานไม่ชอบกินอาหารสำเร็จรูป เจ้าตัวถึงได้ทำอาหารกินเองบ่อย ไม่แปลกใจที่มือไม้จะหยิบโน่นจับนี่รวดเร็วและกลายเป็นลูกมือดีเด่นในดวงใจแม่เขา

     หลังกินข้าวเย็นด้วยกันเสร็จ ภูหมอกก็รับหน้าที่ในการเก็บล้าง ขณะที่พิธานขยับตัวลุกขึ้นช่วยภูหมอกยกจานไปวางที่ซิงค์ก็เห็นคนรักเดินเข้าห้องน้ำไป เขาคิดว่าจะเอ่ยปากขอตัวกลับหลังจากม่านฟ้าออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินเสียงชักโครกและน้ำจากก๊อกน้ำล้างมือดังขึ้นก็ขยับปากเตรียมเอ่ยลากับมารดาของคนรัก แต่กลับได้ยินเสียงร้องดังมาจากในห้องน้ำเสียก่อน

     พิธานสะดุ้งสุดตัวเพราะอยู่ใกล้กับห้องน้ำมากที่สุด เขาถลันไปที่หน้าประตูแล้วตะโกนเรียกคนรักที่อยู่ภายใน

     “เมฆ!! เป็นไร!!”

     “พีท! ไอ้พีท! ช่วยด้วย!” เสียงของคนรักที่ตะโกนตอบกลับมาไม่ช่วยให้เขารู้สถานการณ์ภายในเพิ่มขึ้นนอกจากเป็นห่วงคนรักมากกว่าเดิม

     “อะไร! มึงเป็นอะไร! บอกกูดิ!” พิธานพูดไปก็ทุบประตูไปด้วย เขาพยายามหมุนลูกบิดแต่ก็พบว่าคนรักล็อกประตูเอาไว้ จึงได้ละมือมาทุบประตูอีกครั้งอย่างร้อนใจ

     “ไอ้เหี้ย! มึงอย่าทุบ! ตุ๊กแก!!! มันเกาะประตูอยู่ เดี๋ยวมันตกลงมาหากู!”

     คำพูดครั้งนี้ของม่านฟ้าสั่นเครือไปหมด พิธานใจหายวาบนึกถึงศัตรูคู่อาฆาตของม่านฟ้าที่เจอหน้ากันไม่ได้ ม่านฟ้าเป็นต้องเข่าอ่อนทำอะไรไม่ถูกทุกครั้ง คนรักของเขาแทบจะไม่กลัวสัตว์หรือแมลงอะไรนอกจากไอ้ตัวที่อยู่ในห้องน้ำด้วยกันตอนนี้ แล้วก็เสือกมีแต่มันที่เจอเนี่ย!!

     พิธานหันกลับมาเห็นมารดาของคนรักและภูหมอกเดินมาใกล้ๆ สีหน้าของหญิงวัยกลางคนดูเป็นกังวล คงรู้ดีว่าม่านฟ้าเกลียดสัตว์ชนิดนี้มากแค่ไหน ผิดกับภูหมอกที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดไปแล้ว

     “หมอก มีกุญแจห้องน้ำป่ะ”

     ภูหมอกได้ยินครูสอนพิเศษถามขึ้นมาก็สะดุ้งเล็กน้อย พยักหน้าจะเดินไปหากุญแจก็สะดุ้งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อตุ๊กแกภายในห้องน้ำร้องประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ออกมา

     ไม่เพียงแค่ภูหมอก แต่พิธานก็ได้ยินเสียงคนข้างในร้องออกมาแว่วๆ ทั้งขำทั้งสงสารคนรักจึงหันกลับไปหวังช่วยกล่อมให้ม่านฟ้าลองหาวิธีหลีกเลี่ยงศัตรูตัวฉกาจด้วยตัวเองขณะที่น้องชายกำลังไปหากุญแจมาให้

     “มึงค่อยๆ เดินวนมาฝั่งนี้ได้ไหม เผื่อมันเดินหนีไปอีกฝั่ง วนเป็นวงกลมเมื่อไหร่มึงจะได้เปิดประตูให้กูช่วยได้ไง” แม้ไม่เห็นภายในแต่พิธานก็พอจะเดาได้ว่าคนรักคงยึดกำแพงอีกฝั่งเป็นที่ตั้ง เพราะหากตุ๊กแกเกาะประตูฝั่งนี้อยู่ คนรักของเขาจะต้องพยายามอยู่ห่างมันให้มากที่สุดเป็นแน่

     ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงครางเหมือนจะร้องไห้มาจากข้างใน เข้าใจว่าคนไม่กลัวก็พูดออกมาได้ง่ายแต่คนที่กลัวอย่างม่านฟ้าคงไม่กล้าแม้แต่จะขยับ

     “มีอะไรกัน”

     เสียงหนึ่งดังขึ้นดึงให้ทั้งนัชชาและพิธานหันกลับไปมอง ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนของเจ้าของบ้านที่เพิ่งเดินเข้าประตูบ้านมา

     นภดลที่กลับมาถึงบ้านมองสภาพสมาชิกในบ้านแต่ละคนรวมทั้งแขกประจำแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เดาได้จากเสียงที่อยู่ในห้องน้ำว่าน่าจะเป็นลูกชายคนโต ซึ่งไม่ผิดเขาเห็นลูกชายคนเล็กวิ่งลงบันไดมาจากชั้นบนพร้อมกับกล่องกุญแจหลักของบ้าน

     นัชชาปราดเขามาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีฟังแล้วหันกลับไปที่หน้าห้องน้ำอีกครั้งเมื่อภูหมอกยื่นกุญแจห้องน้ำให้พิธานแล้วกระโดดออกมายืนไกลๆ

     พิธานรับกุญแจมาก่อนเงยหน้ามองบิดาของคนรักที่เดินเข้ามาใกล้เหมือนตั้งใจมาเป็นกำลังเสริมให้เขา ชายหนุ่มยกมือไหว้เจ้าของบ้านแล้วหันกลับมาไขกุญแจหวังกู้ชีพผู้โชคร้ายที่ติดอยู่ภายใน

     เพียงไขกุญแจและแง้มประตูออกเล็กน้อย พิธานก็ได้ยินเสียง 'แปะ' ดังขึ้นเบาๆ หลังประตูห้องน้ำ ตามด้วยเสียงกรีดร้องอีกครั้งจากภายใน

     "พีท มันตกลงมา!!! อย่าเพิ่งเปิด!" มือที่จับลูกบิดประตูของพิธานชะงักไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปมองเจ้าของบ้านอย่างต้องการถามความเห็น จนเมื่อได้สัญญาณที่แปลความว่า 'เปิดเข้าไปเลย' จึงได้เดินหน้าดันประตูเข้าไปอีกครั้ง

     ประตูที่ถูกดันออกทำให้ตุ๊กแกวิ่งไปอยู่กลางห้องน้ำ หากคิดในมุมของเจ้าตุ๊กแกตัวร้ายมุมด้านหนึ่งที่มีมนุษย์ตัวโตหน้าตาถมึงทึงพร้อมด้วยมนุษย์อีกคนยืนสมทบอยู่ด้านหลัง กับอีกด้านที่มีเพียงมนุษย์ตัวซีดยืนเอาหลังแนบกำแพงราวกับจะฝังร่างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมัน แค่ปริมาณก็ทำให้รู้ได้แล้วว่ามันควรจะวิ่งหนีไปทางไหน

     เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งจากม่านฟ้าพร้อมกับที่พิธานอาศัยขายาวของตนก้าวพรวดไปสองก้าวให้ถึงตัวคนรัก เขาหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับตุ๊กแกตัวใหญ่ที่เบรกตัวโก่งแล้วชะงักเท้าอยู่อย่างนั้นเมื่อเจอมนุษย์ตนนี้มาดักทาง

     ชายร่างสูงรู้สึกถึงมือของคนรักที่จับเสื้อด้านหลังของเขาไว้ พิธานเอื้อมไปตบมือนั้นเบาๆ แล้วดึงออกจากเสื้อมาจับไว้ด้วยมือข้างเดียวอย่างให้กำลังใจ

     ฝ่ามือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของม่านฟ้าทำให้พิธานตัดสินใจได้ เดิมทีเขาคิดที่จะค่อยๆ ต้อนมันออกจากห้องน้ำ แต่การไล่ต้อนเช่นนั้นก็ไม่สามารถรับประกันทิศทางการวิ่งของสัตว์เลื้อยคลานตรงหน้าได้ รั้งแต่จะยิ่งทำให้เสียเวลา
     
     "พ่อมีผ้าไหมครับ ผ้าขี้ริ้วก็ได้"

     ทันทีที่พิธานถามขึ้น ชายวัยกลางคนก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการทำอะไร จะเป็นอะไรไปได้อีกนอกจากการเผด็จศึกตุ๊กแกตรงหน้าด้วยการจับให้ได้ในครั้งเดียว รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแต่คงต้องเสี่ยงดูสักที

     พิธานเลือกที่จะเป็นคนจับดีกว่าให้บิดาคนรักที่ล้อมอยู่อีกฝั่งจัดการ เขาคิดว่าหากมีการจับพลาดขึ้นมาจริงๆ ตุ๊กแกก็คงวิ่งออกไปทางหน้าประตูห้องน้ำ แต่หากให้ชายวัยกลางคนเป็นคนจับแล้วมันวิ่งกลับมาทางเขาล่ะก็…

     ม่านฟ้าคงได้เป็นลมไปจริงๆ

     ผ้าเช็ดโต๊ะผืนไม่เล็กไม่ใหญ่แต่หนาพอสมควรถูกส่งต่อมาจากหญิงสาวคนเดียวของบ้านที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก ผ่านนภดลมาจนถึงมือของพิธาน ชายร่างสูงบีบมือคนรักที่ซ่อนอยู่ด้านหลังอย่างกำลังใจก่อนผละออก

     หน่วยกู้ภัยสองคนสบตากันเล็กน้อยอย่างให้สัญญาณ ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะเริ่มขยับทำท่าคล้ายจะเข้าไปจับแขกไม่ได้รับเชิญของค่ำคืนนี้

     ตุ๊กแกตัวใหญ่จ้องมองมนุษย์ร่างท้วมตรงหน้าอย่างระวัง ย่างถอยหลังมาเล็กน้อยจนลืมมนุษย์อีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง

     พิธานได้จังหวะที่ตุ๊กแกไม่ได้ระวังตัวพุ่งเข้าตะครุบด้วยความเร็ว เขากดลงไปบนตัวของมันผ่านผ้าเช็ดโต๊ะแต่เพราะมองไม่เห็นจึงไม่สามารถจับเข้าที่หัวของตุ๊กแกได้พอดีจนเจ้าตัวร้ายวกเข้ามากัดมือเขาผ่านผ้าได้สำเร็จ

     "โอ๊ย!" หนุ่มวิศวะฯ อุทานออกมาเบาๆ แต่ไม่คิดจะปล่อยมือ เขาล็อกหัวของมันได้สำเร็จและยกขึ้นมาจากพื้น โชคดีที่ตุ๊กแกไม่ได้ฤทธิ์เยอะหรือว่องไวนักจึงจับได้ง่ายๆ เช่นนี้

     "เอามาปล่อยข้างนอก มา" เจ้าของบ้านอย่างนภดลพูดขึ้นแล้วหันหลังเดินนำพิธานให้ตามไปปล่อยตุ๊กแกในสวน

     เหตุการณ์ลุ้นระทึกผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังทุกอย่างเรียบร้อยดีชายสองวัยก็เดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง นภดลที่เพิ่งนึกได้รีบหันกลับมาถามถึงเสียงร้องที่ได้ยินเมื่อครู่กับชายหนุ่มตัวโต "โดนกัดรึเปล่า ถ้าโดนกัดรีบไปให้แม่เขาทำแผลให้"

     เสียงที่ดูร้อนรนอยู่สักหน่อยทำให้พิธานต้องแอบอมยิ้มไว้ในแก้ม มองชายวัยกลางคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ก็แสดงอาการเป็นห่วงออกมาชัดเจน

     "เป็นแผลรึเปล่าลูก" ฝ่ายนัชชาเองก็รีบเข้ามาดูมือของพิธานและถามออกมาไม่ต่างกัน จนพิธานหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไป "ไม่เป็นไรครับ มันกัดผ่านผ้า เลยไม่เข้าเนื้อ"

     ชายหญิงเจ้าของบ้านพยักหน้ารับเบาๆ อย่างโล่งอกก่อนมองหน้ากันเล็กน้อย

     เมื่อกลับเข้ามาถึงจุดเกิดเหตุอีกครั้ง พิธานถึงได้สังเกตคนรักที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องน้ำจุดเดิมกับที่เขาทิ้งไป สภาพของม่านฟ้าเข้าขั้น 'ดูไม่ได้' โดยสมบูรณ์ สีหน้าของผู้เคราะห์ร้ายย่ำแย่เหลือทน ประกอบกับดวงตาแดงก่ำและการคู้ตัวนั่งเช่นนั้นยิ่งทำให้ม่านฟ้าเหมือนคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตมา

     นภดลที่เห็นภาพนั้นเช่นกันหันกลับมามองลูกชายอีกคนที่นั่งอยู่ห่างๆ และเห็นเพียงใบหน้าซีดเผือดไม่ต่างจากพี่ชาย เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ส่ายหน้าหน่ายใจกับความขี้กลัวของลูกชายทั้งสองคน แล้วเบนสายตากลับมามองชายหนุ่มตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยสายตาที่แปลความไม่ออก

     พิธานเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกหนแล้วรั้งแขนม่านฟ้าให้ลุกขึ้น คำว่า 'แข้งขาอ่อนแรง' สามารถนำมานิยามกับม่านฟ้าตอนนี้ได้อย่างตรงตามความหมาย ชายหนุ่มร่างสูงจึงต้องพยุงคนรักออกมานั่งข้างนอกอย่างช่วยไม่ได้

     ม่านฟ้าได้สติกลับมาอีกหนเมื่อคนรักพาเขามานั่งเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด เหลือบตาขึ้นไปมองคนรักแล้วนึกอยากกอดตัวโตๆ นั้นให้ใจที่หายไปกลับคืนที่เดิม

     แต่ทำได้ที่ไหนกัน

     หนุ่มอักษรฯ มองมารดาที่เดินเข้ามาใกล้เพื่อดูรอยแดงบนมือพิธานอีกครั้ง เขาจึงคว้าเอวของผู้เป็นแม่เข้ามากอด

     "หืม? " นัชชาถึงกับก้มหน้าลงมองลูกชายคนโตอย่างแปลกใจ ค่อยๆ ปล่อยมือเพื่อนลูกชายออกเมื่อเห็นว่าไม่เป็นไรจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า ก่อนสัมผัสได้ถึงแผ่นหลังที่ยังติดสั่นเล็กน้อย

     มือของหญิงวัยกลางคนลูบแผ่นหลังม่านฟ้าหนักๆ เหมือนต้องการให้อาการสั่นหายไป ทั้งขำทั้งสงสารลูกชายคนนี้เมื่อมาดที่มักสร้างไว้หายไปจนหมด "ไม่อายเพื่อนรึไง งอแงเป็นเด็ก"

     เด็กงอแงส่ายหน้าอยู่กับหน้าท้องของมารดา นึกในใจว่าจะอายทำไมในเมื่อปกติที่อยู่กับ 'เพื่อน' คนนี้ ต่อให้งอแงมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว




     พิธานมองคนรักที่นิ่งไปเหมือนย้อนคิดตามคำพูดของเขา แอบคิดเล่นๆ ว่าหากตอนนั้นฐานะของพวกเขาเป็นที่เปิดเผย คนที่ม่านฟ้าจะพุ่งเข้ามากอดจะเป็นเขาหรือเปล่า

     ชายหนุ่มร่างสูงส่ายหัวไล่ความคิดเด็กๆ ของตัวเองออกไป ถึงจะเปิดตัวกันแล้วก็ใช่ว่าจะกอดกันอย่างประเจิดประเจ้อต่อหน้าพ่อแม่ของคนรักได้เสียหน่อย

     ม่านฟ้าเห็นคนรักส่ายหัวก็หลุดออกจากภวังค์ความคิด สะบัดหน้าไล่เรื่องราวในวันนั้นออกไปจากหัวเช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงมือของคนรักที่กระชับกอดเขาอยู่นอกผ้าห่ม ถึงเหตุการณ์ในวันนั้นจะเป็นฝันร้ายที่ไม่น่าจดจำแต่ก็จำได้ดีว่ามือคู่นี้ของคนรักที่กุมมือเขาไว้และพยุงออกมานั้นชวนให้รู้สึกปลอดภัยแค่ไหน

     กี่ครั้งแล้วที่เขาได้รับความอบอุ่นจากมือคู่นี้ กี่ครั้งที่ได้รับคำปลอบโยนกึ่งดุจากเสียงทุ้มของคนตรงหน้า และกี่ครั้งที่ได้รับความรักส่งผ่านมาจากสายตาดุดัน

     แล้วมีอะไร...ที่เขาพอจะทำให้คนรักได้บ้าง

     แค่เขาบอกว่าจะสารภาพกับครอบครัว แม้พิธานจะดูเป็นกังวลแต่ก็ซ่อนความดีใจในดวงตาได้ไม่มิด การเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาในครั้งนี้ คงจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ม่านฟ้าพอจะทำให้คนรักของเขาได้ นอกจากนั้น...

     “มึงเคยคิดอยากจะทำจริงๆ บ้างไหม”

     คำถามที่เขาเคยถามคนรักเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าดังขึ้นมาในหัวอีกครั้งและม่านฟ้ายังจำได้ดีถึงคำตอบของคนรัก

     “ไม่ใช่แค่ ‘เคย’ ทุกวันนี้กูก็ยังอยาก แฟนกูทั้งคน ถ้ากูไม่อยากกูก็ตายด้านแล้วไหม”

     จนถึงวันนี้ ม่านฟ้าเพิ่งจะนึกถึงคำพูดที่เขาเคยคิดจะพูดกับคนรักได้

     “ถ้าทุกอย่างจบลงเมื่อไหร่...กูจะยกให้มึงนะ กูสัญญา”

     พิธานที่ได้ยินคนรักพูดขึ้นมาก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ยังงุนงงถึงความหมายที่คนรักต้องการจะสื่อจนรู้สึกตัวอีกทีม่านฟ้าก็จูบเข้าที่ลำคอของเขาแผ่วเบา พิธานพอจะรู้ความหมายของจูบที่ลำคอตามความหมายทั่วไปแต่ไม่แน่ใจว่าคนกระทำจะรู้ตัวหรือไม่ จนสบเข้ากับดวงตาคู่สวยที่มองมา พิธานถึงเข้าใจว่าเจ้าตัวต้องการสื่อถึงอะไร

     จูบที่คอหมายถึง ‘ความปรารถนา’

     ชายหนุ่มร่างสูงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ขยับตัวเข้าไปกดจูบที่หน้าผากของคนรักอย่างอ่อนโยนและกระชับก้อนผ้าห่มในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม “ถึงกับเอาตัวเข้าแลกเลยเหรอ”

     คำล้อเลียนพร้อมรอยยิ้มของอีกคนทำให้ม่านฟ้ากระถดตัวลงไปในผ้าห่มมากขึ้น ซุกหน้าเข้ากับความหนาของผ้าและบ่นอีกฝ่ายออกมาเบาๆ “ก็ไม่รู้จะให้อะไรแล้ว หมดตัวจริงๆ แล้วกูเนี่ย”

     พิธานเผยยิ้มกว้างออกมามากขึ้น โน้มใบหน้าไปชนกับหน้าผากของอีกคนแล้วกระซิบติดริมฝีปากที่เม้มแน่นเพื่อตอบรับข้อเสนอแสนหวาน

     “กูไม่ปฏิเสธหรอกนะ ขอรับคำสัญญานั้นไว้แล้วกัน”

     ----

     จนวันที่รอคอยมาถึง ม่านฟ้าที่แต่งตัวเรียบร้อยก็สำรวจของในกระเป๋าอีกครั้ง ถึงจะเป็นวันหยุดแต่ภาคเขามีนัดเรียนเพิ่มเพราะต้องหยุดเรียนจากกีฬามหาลัยในช่วงต้นเทอม เขามีเรียนแค่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายวันนี้จึงวางแผนจะไปรับน้องที่สนามสอบและกลับบ้านพร้อมกัน

     จะบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหก ไม่เพียงแค่เรื่องภูหมอกที่ต้องบอกความจริงในวันนี้ เรื่องราวของเขาเองก็จะถูกเปิดเผยในวันนี้เช่นกัน ม่านฟ้าได้แต่ทุบอกหวังระงับใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้นและให้กำลังใจตัวเองเงียบๆ

     ม่านฟ้ายกกระเป๋าเรียนขึ้นสะพายบ่าเปิดประตูออกไปก็ปะทะเข้ากับใครบางคนที่กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตู

     ทั้งม่านฟ้าและพิธานต่างถอยหลังกันไปคนละหนึ่งก้าว กะพริบตาเรียกสติกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเป็นเจ้าของห้องที่เปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน “มีอะไรป่าว ทำไมวันนี้มาหาแต่เช้า ปกติมีกิจกรรมมึงก็ไม่ตื่นเช้าขนาดนี้นิ”

     ม่านฟ้าพอจะรู้ว่าช่วงนี้ที่คณะของพิธานกำลังจัดกิจกรรม เจ้าตัวเองก็ต้องไปช่วยบ้างบางวันทั้งช่วงเย็นของวันธรรมดาและวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้ นี่เองก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ม่านฟ้ายกขึ้นมากล่อมพิธานที่จะไปกับเขาให้ได้เมื่อรู้ว่าวันนี้เขาจะไปสารภาพความจริงกับพ่อ

     “แล้ววันนี้มันปกติไหมล่ะ”

     พิธานทำตาปรือใส่คนรัก เขายังรู้สึกง่วงอยู่ไม่น้อยแต่ก็รีบตื่นขึ้นมาเพื่อมาชวนคนรักไปกินข้าวด้วยกัน ม่านฟ้าฟังคำพูดแล้วเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่พิธานจะมาชวนกินข้าวเช้าเช่นนี้ พวกเขามีกินข้าวเย็นด้วยกันบ้างแล้วแต่โอกาสและความขยันจะเอื้ออำนวย แต่ข้าวเช้าเป็นอะไรที่ไม่ปกติเอาเสียเลย

     ถึงจะยังงุนงงแต่ม่านฟ้าก็ยอมเดินตามคนรักออกมาจากห้อง หันไปมองจ้องคนรักต่ออย่างรอคำตอบที่พูดค้างไว้ถึงความ ‘ไม่ปกติ’

     “ไม่ใช่ว่ามึงกำลังตื่นเต้นที่ต้องไปคุยกับพ่ออยู่รึไง” พิธานหันกลับมาเจอดวงตาของคนรักจ้องมองอยู่ก็ตอบคำถามในใจม่านฟ้าออกไปพร้อมกดลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่างแล้วพลิกตัวไปยืนพิงกับกำแพง หลับตาลงอย่างคนง่วงนอน

     คนที่กำลังจะไปคุยกับพ่อมองท่าทางของคนตรงหน้าแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบออกมาเสียงเบา “ก็นิดนึง”

     “ไม่นิดมั้ง ใส่เสื้อกลับตะเข็บขนาดนี้” พิธานลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วมองไปที่ชุดนิสิตของคนตรงหน้าจนม่านฟ้าอุทานออกมาแล้วรีบก้มลงมองเสื้อของตนเอง ครั้นรู้ตัวว่าโดนคนรักแกล้งถึงได้รีบหันกลับไปถลึงตาใส่คนรักที่บังอาจมาหลอกกันแต่เช้า

     คนขี้แกล้งยกยิ้มมุมปากรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก้าวนำเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก ชายร่างสูงยกแขนขึ้นพาดบ่าคนรักแล้วรั้งเข้ามาใกล้ ซบหัวลงไปกับศีรษะของคนรักแล้วพึมพำออกมาแผ่วเบาด้วยเสียงที่จริงจัง

     “ขอโทษนะ งานวันนี้มันโดดไม่ได้จริงๆ”

     ม่านฟ้าเหลือบมองคนรักที่พิงหัวอยู่ในระยะใกล้แล้วยกแขนถองเข้าไปที่หน้าท้องของคนรักเบาๆ “ก็บอกว่าไม่เป็นไร ถึงมึงว่างกูก็ไม่ให้มึงไปอยู่ดี บอกแล้วว่ากูจะลองคุยกับพ่อดูเองก่อน ใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยอย่างที่มึงบอกไง”

     พิธานได้ฟังคำพูดนั้นก็ขมวดคิ้ว ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ท่าทางยังติดกังวลอยู่แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างจำยอม “แต่เดี๋ยวเย็นนี้กูคงกลับเร็วหน่อย ว่าจะกลับบ้านด้วย”

     บ้านที่พิธานพูดถึงคงหมายถึงบ้านที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเขา ไม่ใช่หอพักนี้อย่างทุกครั้งที่มีกิจกรรม แต่นั่นกลับทำให้ม่านฟ้าเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจอีกหน จับมือที่พาดบ่าของตัวเองไว้แล้วเขย่าเบาๆ เมื่อเห็นอีกคนยืนนิ่งเหมือนจะหลับกลางอากาศ

     “แล้วมึงจะกลับบ้านทำไม พรุ่งนี้มึงก็มีกิจกรรมอีกไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่นอนหอ”

     คนง่วงนอนผงกหัวขึ้นมาเดินเกาะคนรักออกมาจากลิฟต์เหมือนเหาฉลามตัวโต จนกระทั่งเดินเรื่อยๆ มาเกือบถึงโรงอาหารถึงเพิ่งนึกได้ว่ามีคำถามของคนรักที่ถามค้างไว้ “สแตนด์บายไง เผื่อวันนี้มีเด็กโดนไล่ออกจากบ้านมาเพิ่ม”

     “ปากเสีย”

     เด็กที่โดนไล่ออกจากบ้านมาแล้วก่อนหน้านี้พูดสวนกลับไปทันที ไม่เถียงหรอกว่าสิ่งที่พิธานพูดมีโอกาสเกิดขึ้นจริงค่อนข้างสูง แต่การถูกแช่งเสียก่อนที่จะเริ่มไปคุยเช่นนี้ก็พาลให้หวาดหวั่นจนต้องรีบปฏิเสธเอาไว้ก่อน

     “เอ่อๆ ขอให้กูไปสแตนด์บายเก้อก็แล้วกัน”

     ม่านฟ้ามองคนรักที่ยักไหล่เหมือนไม่สนใจอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าเวลาไหนก็ทำให้เขาอุ่นใจได้จริงๆ



     เมื่อยามเย็นมาถึงม่านฟ้าเดินทางกลับบ้านด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย ในหัวคิดเรื่องมากมายทั้งเรื่องของน้องชายและตนเอง นึกสะท้อนใจแทนบิดาออกมาไม่น้อยเมื่อคนที่เกลียดเพศที่สามอย่างพ่อกลับมีลูกชายเป็นเพศที่สามทั้งคู่

     แอบคิดจริงจังว่าควรเรียกรถพยาบาลรอไว้ก่อนเลยไหม ไม่สิ เขาโทรตามแม่ให้กลับบ้านเร็วแล้ว อย่างไรแม่ก็เป็นพยาบาลอาวุโสชำนาญการ พ่อเองก็ไม่ได้มีโรคประจำตัวอย่างความดันหรือโรคหัวใจให้ต้องกังวล แค่เบาหวานและไขมันในเลือดสูงที่เกิดมาจากพฤติกรรมการกินของพ่อก็เท่านั้น

     แต่จะให้ทำอย่างไร เรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าจะห้ามกันได้

     ต่อให้วันนั้นเขาไม่ตอบรับคำขอของพิธาน ม่านฟ้าก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับไปชอบผู้หญิงด้วยความรู้สึกเดิมได้อีกหรือไม่ เขาอาจจะยังไม่เคยชอบผู้ชายคนอื่นแต่หลังจากคบกับพิธาน เขาเองก็ไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนใดเลยเหมือนกัน

     ม่านฟ้าเดินเอื่อยๆ ตามน้องชายเข้ามาในหมู่บ้าน บรรยากาศในช่วงเวลาโพล้เพล้ของวันยังเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบใจเสมอ อีกทั้งเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่เขาต้องออกจากบ้านไปกว่าสามอาทิตย์ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้เช่นกัน

     ชายหนุ่มร่างสันทัดขยับปากจะเตรียมคำพูดกับน้องชายไว้ก่อนแต่ก็ไม่ทันเมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย เขาเห็นภูหมอกหันมามองหน้าเขาเล็กน้อยจึงได้แต่จำใจพยักหน้าปล่อยเลยตามเลย

     เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ อดเหลือบมองไปทางบ้านของคนรักไม่ได้ ภาวนาให้เขาสามารถรอดตายจากแรงระเบิดครั้งนี้และกลับไปหาพิธานได้ครบสามสิบสองแล้วกัน


     TBC




     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ


หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 12 (25.07.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 25-07-2021 21:05:30
 :sad4: :jul1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 13 (01.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 01-08-2021 18:42:39
ภาคความจริง : บทที่ 13

     สิ่งที่ม่านฟ้าเห็นล้วนกลับตาลปัตรจากที่คิด แผนการที่เตรียมจะพูดหายไปจากสมอง ไม่คิดว่าเวลาไม่ถึงห้านาทีที่เขาเดินตามน้องชายเข้ามาภูหมอกจะสารภาพความจริงกับพ่อไปแล้ว

     ไม่สิ เหมือนพ่อจะรู้อะไรมาก่อนที่พวกเขาจะกลับมาด้วยซ้ำ

     “แล้วแกล่ะ แกเป็นอะไร เป็นลูกชายของฉันใช่ไหม!!!”

     สีหน้าของภูหมอกดูตกตะลึงกับอาการของพ่อ กระเป๋าสตางค์และรูปใบหนึ่งที่ตกอยู่ข้างตัวน้องชายทำให้ม่านฟ้าเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้ สมองของม่านฟ้าตื้อไปชั่วขณะ ถามตัวเองว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งที่เขาก็เตรียมจะมาบอกความจริงกับพ่อแล้วแต่ก็ยังช้าเกินไป

     ภูหมอกคงเคยถ่ายรูปตอนตัวเองแต่งหญิงไว้เวลาไปกับเพื่อน และเผลอทิ้งหลักฐานมัดตัวชิ้นสำคัญนี้ไว้จนพ่อมาเจอเข้า เครื่องสำอางที่เคยเจอในห้องลูกชายทั้งสองผนวกกับรูปภาพเหล่านี้ทำให้พ่อตระหนักถึงความจริงที่ว่าผู้ร้ายตัวจริงในคดีนี้ แท้จริงแล้วคือลูกชายสุดรักอย่างภูหมอกต่างหาก

     ซึ่งนั่นก็จริง...แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

     ในความคิดพ่อตอนนี้ ม่านฟ้าคงเป็นเพียงพี่ชายที่รับเคราะห์แทนน้องที่เบี่ยงเบนทางเพศ

     และนั่นก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอีกครั้ง

     เพราะในคดีนี้ พ่อไม่ได้รู้เลยว่า ‘ผู้ร้าย’ น่ะ ไม่ได้มีแค่คนเดียว

     ความคิดเหล่านั้นทำให้ม่านฟ้าอยากจะแค่นหัวเราะออกมากับเรื่องราวที่เหมือนชะตาเล่นตลกแต่ก็ทำไม่ลง ภาพของชายวัยกลางคนที่ร้องไห้ออกมาอย่างหมดมาดทำให้ม่านฟ้าจุกในอกจนหายใจไม่ออก เขาอยากให้พ่อหยิบไม้มาตีหรือตวาดด่าอย่างเดิมดีกว่าต้องเห็นพ่อเป็นเช่นนี้ ดวงหน้าของพ่อแดงก่ำ สีหน้าย่ำแย่ราวกับพบเจอเรื่องทำร้ายจิตใจอย่างแสนสาหัส สายตาที่มองไปที่ภูหมอกยังสะท้อนความรักแต่ก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง

     ม่านฟ้าเกลียดตัวเองที่ชั่วขณะนั้น กลับเกิดคำถามในใจว่าครั้งก่อนที่พ่อด่าเขา มีสายตาเช่นนี้หลุดออกมาให้เขาบ้างหรือไม่ หรือมีเพียงความโกรธ ความเกลียดและความไม่พอใจในสายตาคู่นั้น

     เพราะจ้องมองผู้เป็นพ่ออยู่ตลอดเวลา เมื่อชายวัยกลางคนทำท่าจะเซล้มลง ม่านฟ้าจึงพุ่งเข้าไปรับร่างหนานั้นเอาไว้ได้ทัน เขาสัมผัสได้ถึงตัวที่สั่นเทาและการกลั้นสะอื้นของผู้เป็นพ่อชัดเจนจนได้แต่กระชับวงแขนของตนให้แน่นขึ้น

     ชายวัยกลางคนเงยหน้ามามองลูกชายคนโตพร้อมส่งคำตัดพ้อมาถึงเขาที่ช่วยกันปิดบังความจริง “แกเองก็รู้สินะ แล้วก็คงช่วยน้องมึงปิดบังสินะ ดีนักนิ ดี”

     ม่านฟ้าได้แต่หายใจเข้าลึก จากสถานการณ์ตอนนี้เพียงแค่รักษาสภาพจิตใจของพ่อและน้องชายให้ได้ก็นับว่าเต็มกลืนแล้ว นึกไม่ออกว่าแล้วเขาจะพูดเรื่องของตนเองออกไปซ้ำได้อย่างไร ชายหนุ่มกระชับแขนที่กอดผู้เป็นพ่อไว้อีกครั้งอย่างปลอบใจทั้งตนเองและคนตรงหน้า เขาจึงพยายามที่จะทำให้ผู้เป็นพ่อใจเย็นลงก่อน “พ่อ พ่อฟังก่อนได้ไหม”

     เขาไม่ต้องการให้เรื่องเข้าใจผิดบานปลายไปมากกว่านี้ ไม่ต้องการจะเห็นพ่อต้องช้ำเช่นนี้อีกครั้งในคราวที่เขาบอกความจริงแต่อย่างไรมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ การควบคุมสติและนั่งคุยกันทั้งเรื่องของเขาและภูหมอกน่าจะเป็นทางออกที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

     “เราค่อยๆ มานั่งคุยกันได้ไหม ให้เมฆได้อธิบาย ให้หมอกได้อธิบาย นะพ่อนะ”

     คำพูดของม่านฟ้าใส่ความขอร้องลงไปอย่างเต็มเปี่ยม เขาพยายามดึงสถานการณ์เอาไว้ให้อยู่ภายใต้การควบคุมอีกครั้งแต่ก็ดูเหมือนจะยากเกินไป เมื่อคำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการส่ายหน้าจากผู้เป็นพ่อ

     “ออกไปให้หมด โดยเฉพาะแก...ภูหมอก”

     ถ้อยคำไล่ส่งถูกเอ่ยออกมาอีกครั้งโดยเจ้าของบ้าน ม่านฟ้าเห็นสีหน้าของภูหมอกที่ดูแย่เต็มทนแต่ก็ยังฝืนอยากรั้งอยู่ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ตนเองควรทำอย่างไร เขาไม่อยากปล่อยให้เรื่องทุกอย่างคาราคาซังเช่นนี้ แต่การฝืนพูดความจริงออกไปในตอนนี้อาจทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

     ม่านฟ้าไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตนเองเลยสักนิดว่าทางเลือกที่ถูกต้องคือทางไหน นึกถึงท่าทางของน้องชายและพ่อในตอนนี้ นึกถึงรอยยิ้มดีใจและแววตาที่มีความหวังของคนรักเมื่อรู้ว่าเขาจะบอกความจริงกับพ่อ

     และคำพูดที่เจ้าตัวเคยเอ่ยเตือนเขาไว้

     “ไม่ไหวก็ถอยก่อน ค่อยหาทางคุยใหม่ ยังไงก็พ่อลูกกัน"

     สุดท้ายม่านฟ้าก็ทำได้เพียงแค่ต้องตัดใจ



     หลังออกมาหน้าบ้านและโทรหามารดาให้รีบกลับ ม่านฟ้าก็หันกลับไปดึงมือน้องชายที่นั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น สภาพแบบนี้อาจยิ่งย้ำว่าคิดถูกแล้วที่เลือกถอยออกมาก่อน พ่อเองก็คงไม่พร้อมจะฟังอะไรในตอนนี้ จะเหลือก็แต่ความรู้สึกผิดกับคนรักที่ยังอัดแน่นอยู่ในอก

     ม่านฟ้าหลุบตาลงคิดถึงคนรักที่ป่านนี้น่าจะกลับมาถึงบ้านแล้วแต่ก็ยังกลัวที่จะไปหา เขาจะมีหน้าไปหาพิธานได้จริงเหรอ ในเมื่อพูดให้ความหวังอีกคนไปขนาดนั้นแต่ก็กลับทำไม่ได้

     คราวก่อนที่เกิดเรื่องเขาไม่พร้อมไปหาพิธานเพราะคำด่าทอของพ่อทำให้เขารู้สึกถึงความไร้ค่าของตัวเอง ตระหนักว่าตนเองเป็นแค่คนที่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไปทั่ว ไม่คู่ควรที่จะได้รับความช่วยเหลือจากใคร

    “จากนี้ไปกูขอได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คิดถึงกูเป็นคนแรก”

     แต่ก็เพราะคำพูดที่อีกคนเคยพูดไว้ เขาจะขอเห็นแก่ตัวและหน้าด้านไปหาคนรักอีกครั้งแล้วกัน

     ----

     “หมายถึง… มึงเลยยังไม่ได้พูดอะไรเลย ..งั้นสิ”

     เพียงคำถามง่ายๆ ของคนรักแต่กลับทำให้ม่านฟ้าไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เขาพยักหน้าตอบรับคำถามนั้นเบาๆ ได้ยินเสียงถอนหายใจของคนรักดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยคำถามต่อๆ มา

     ม่านฟ้าไม่อยากกดดันคนรักให้ต้องไปส่ง แต่ก็ไม่ต้องการที่จะค้างบ้านของคนรักจริงๆ ไม่ใช่ว่าหวงเนื้อหวงตัวหรือกลัวไม่เหมาะสมอย่างที่คนรักกล่าวหา แต่การที่ทั้งเขาทั้งน้องชายจะมาขออาศัยอยู่ในบ้านก็อดที่จะเกรงใจพี่ชายของคนรักไม่ได้

     และที่สำคัญต่อให้คืนนี้เขายอมค้างที่บ้านของคนรัก พรุ่งนี้เขาก็ยังต้องจัดการเรื่องที่อยู่ของภูหมอกอยู่ดี สู้จัดการให้เรียบร้อยวันนี้เลยดีกว่า

     ตั้งแต่เด็กม่านฟ้าจำได้ว่ามีอาอยู่หนึ่งคน แม่มักจะพาเขาไปเยี่ยมบ่อยๆ เคยแปลกใจว่าทำไมพ่อถึงไม่เคยมาด้วยหรือต้องติดธุระเสียทุกครั้งเมื่อไปหา ทั้งที่อา ’สาว’ ของเขาก็เป็นน้องแท้ๆ ของพ่อ

     จนเริ่มโตถึงได้เข้าใจอะไรมากขึ้น

     หลายคนที่พอจะรู้เรื่องความลับของเขาและพิธานมักพูดปลอบใจในยามที่รู้เหตุผลของการปิดบังทำนองว่า ‘พ่อลูกกันยังไงก็ตัดกันไม่ขาด’ แต่ม่านฟ้ารู้ดีขนาดน้องชายแท้ๆ ที่คลานตามกันมา พ่อยังตัดได้ นับประสาอะไรกับลูกอย่างเขา

     “จะไปไหน”

     เขาได้ยินคนรักถามขึ้นมาขณะที่จำใจมาเป็นสารถีให้เขาและน้องชาย ม่านฟ้าหันกลับไปมองคนรัก นึกได้ว่าพิธานไม่ชอบการที่ต้องขับรถโดยไม่รู้เส้นทางที่ต้องไป แต่เขาก็ไม่รู้จะอธิบายตำแหน่งที่จะไปอย่างไรเพราะพิธานคงจะไม่รู้จักชื่อทาวน์เฮ้าส์ของนทีเป็นแน่

     “เดี๋ยวกูบอกทางให้”

     หนุ่มอักษรฯ พูดเพื่อให้ความมั่นใจกับคนรัก นึกแปลกใจเล็กน้อยที่พิธานกลับทำสีหน้าเอือมระอาตอบกลับมา แต่ม่านฟ้าก็หวนกลับมาคิดถึงที่พักของผู้เป็นอาอีกครั้ง

     ก่อนหน้านี้ ม่านฟ้าคิดเอาไว้เหมือนกันว่าหากถึงวันที่ต้องสารภาพความจริงกับพ่อก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางและเกิดเหตุการณ์อย่างไล่ออกจากบ้านเช่นนี้จะทำอย่างไร พวกเขาไม่ได้มีญาติที่ไหนมากนัก ทั้งปู่ย่าตายายก็เสียไปหมดแล้ว แม่ของเขาก็เป็นลูกคนเดียว จะมีก็เพียงน้องของพ่ออย่างนทีเท่านั้นที่เหลืออยู่

     แท้จริงแล้วม่านฟ้าคิดไปถึงการเช่าหอพักรายเดือนเลยด้วยซ้ำ จากงานพิเศษที่เขาทำและเงินเก็บก็พอจะให้ภูหมอกอาศัยอยู่ได้สักพัก แต่คิดอีกทีเขาคงไม่กล้าให้น้องต้องอยู่คนเดียวทั้งที่เพิ่งถูกพ่อไล่ออกมาจากบ้านแบบนี้หรอก ถึงพิธานจะบอกว่าน้องเขาเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมแล้วแต่ม่านฟ้าก็ยังอดห่วงไม่ได้

     ทางเลือกที่เข้าท่ามากที่สุดจึงเป็นคุณอาของเขาคนนี้ ยิ่งคิดถึงเพศสภาพของนทีและเรื่องราวที่น่าจะเคยเกิดขึ้นกับนทีมาก่อน เขาจึงคิดว่านทีน่าจะเข้าใจและสามารถดูแลน้องชายของเขาได้ดีที่สุด

     หลังจากตัดสินใจจะมาสารภาพกับพ่อวันนี้ ม่านฟ้าก็เทียวมาแถวละแวกบ้านของนทีหลายครั้ง หวังจะได้พูดคุยกับนทีเสียแต่เนิ่นๆ แต่มากี่ครั้งก็ไม่เคยได้เจอคุณอาสาวคนนี้สักครั้ง แม้จะพออุ่นใจได้จากการถามเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่านทียังอยู่บ้านหลังนั้น แต่กลับไม่มีอะไรรับประกันได้ว่านทีจะอยู่ที่บ้านในวันที่เกิดเหตุ

     จะอย่างไรก็คงต้องวัดดวงกันแล้ว

     ม่านฟ้าหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อได้ยินคนรักบ่นอะไรบางอย่างคล้ายๆ ‘ค่าเสียเวลากับค่าน้ำมันรถ’ จึงหันกลับไปมองคนรักอย่างงุนงง แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาเพียงความเงียบ

     จนมาถึงทาวน์เฮ้าส์ของนที ม่านฟ้าเม้มปากอย่างประหม่าเล็กน้อย กลัวเหมือนกันว่าจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากเจ้าบ้าน แต่เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็คงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

     หนุ่มอักษรฯ เห็นรถยนต์จอดอยู่หน้าบ้านก็พอให้ใจชื้นได้บ้าง จำได้ว่าตอนเด็กที่มาหา นทีมักพูดบอกกับเขาว่าการล็อกประตูรั้วไม่ได้ช่วยอะไร รั้งแต่จะสร้างความเกะกะและเสียเวลาในยามที่จะเอารถเข้าออกเท่านั้น หากโจรจะเข้ามาจริงปีนรั้วเข้ามานิดเดียวก็ได้แล้ว ล็อกแค่ประตูหน้าบ้านก็พอ

     ชายหนุ่มร่างสันทัดจึงเลื่อนประตูรั้วบ้านออกทันทีและเป็นอย่างที่คิด นทีไม่ได้ล็อกรั้วไว้จริงๆ เขาเดินเข้าไปถึงประตูบ้านและเคาะประตูเรียกผู้ที่เป็นความหวังให้กับพวกเขาได้ในตอนนี้

     “จำผมได้รึเปล่าครับ อาที”

     ----

     การเจรจาของนทีและม่านฟ้าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยอาศัยความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากพิธาน เมื่อสามารถหาที่พักทั้งทางกายและทางใจให้กับน้องชายได้แล้ว ม่านฟ้าก็ตั้งใจที่จะกลับไปกับพิธานด้วยเพราะไม่อยากเป็นภาระให้กับนทีเพิ่มไปอีกคน

     ภูหมอกที่เพิ่งตั้งสติได้ว่ากำลังจะถูกพี่ชายทิ้งไว้กับคุณอาที่ไม่คุ้นหน้าได้แต่ผวาเข้าคว้าแขนของพี่ชายเอาไว้ราวกับเด็กน้อยติดแม่

     'อย่าทิ้งน้อง' สายตาของภูหมอกไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นไปได้อีกแล้ว

     "..."

     ทุกคนในที่นั้นได้แต่มองภาพนั้นพร้อมกับถอนหายใจรวมทั้งพี่ชายที่ถูกน้องชายอ้อนด้วยสายตาอยู่ขณะนี้ ม่านฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นอาอย่างลังเลใจ นทีเองก็พอจะเข้าใจความหมายของแววตานั้น จึงเอ่ยปากชวนให้ม่านฟ้านอนค้างอยู่ด้วยกันกับเธอ

     สุดท้ายม่านฟ้าก็ต้องตกปากรับคำยอมอยู่กับน้องชายด้วยสักคืน ไม่งั้นกลัวว่าหากเขายังดึงดันจะกลับไปจริง อาจมีคนเห็นภาพเด็กม.6 คนหนึ่งวิ่งตามหลังรถพร้อมกับร้องไห้โฮก็เป็นได้

     “แล้วเธอล่ะ จะนอนนี่ไหม ฉันจะได้เตรียมที่นอนให้ทีเดียว” นทีหันไปถามสารถีหนุ่มที่ขยับตัวลุกเตรียมจะกลับ ถึงเธอจะอยู่ตัวคนเดียว แต่ก็มีห้องนอนแขกอยู่อีกห้องหนึ่งเล็กๆ นอนบนที่นอนหนึ่งคน ปูพื้นนอนอีกคน แล้วลงมานอนที่โซฟาห้องรับแขกหรือเบียดกันสามคนในห้องก็ยังพอได้

     “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว”

     “บ้านเธออยู่ไหน ดึกแล้วนะ” ถึงจะดูกวนประสาทไปบ้าง แต่อย่างไรก็เป็นผู้ที่ช่วยหลานชายทั้งสองของเธอไว้ จะใจจืดใจดำใช้งานเสร็จแล้วเขี่ยทิ้งก็คงดูไม่งาม

     “จริงๆ บ้านผมก็อยู่หมู่บ้านเดียวกับเมฆแหละครับ ไม่ไกลจากนี่มาก แต่เดี๋ยวผมคงกลับไปนอนหอแถวมหาลัย พรุ่งนี้ผมมีกิจกรรมที่มอแต่เช้า ขี้เกียจตื่นเช้ามากน่ะครับ”

     ม่านฟ้าฟังคนรักพูดแล้วหันกลับมามอง ขณะที่นทีฟังเหตุผลของชายหนุ่มร่างสูงแล้วได้แต่พยักหน้าตอบรับเบาๆ พยักพเยิดไปทางหลานชายคนโตให้เดินไปส่งสารถีจำเป็นที่หน้าบ้าน

     “มึงจะกลับหอเลยเหรอ มันดึกแล้วนะ”

     พี่ชายที่โดนน้องชายรั้งไว้จนไม่ได้กลับไปด้วยเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาถึงรถที่จอดไว้ ตอนแรกม่านฟ้าตั้งใจจะกลับไปกับคนรัก ต่อให้ต้องกลับหอที่ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงแต่นั่งไปด้วยกันก็ยังมีเพื่อนคุย ครั้นถูกน้องชายอ้อนไว้ให้อยู่ด้วยแถมคนรักก็จะกลับหอพักตั้งแต่คืนนี้ก็ทำให้อดห่วงไม่ได้

     “อืม พรุ่งนี้ขี้เกียจตื่นเช้า” พิธานตอบกลับคนรักอย่างสบายๆ แค่เห็นว่าตอนนี้คนรักและน้องชายน่าจะพออยู่ได้ เขาเองก็สบายใจไปได้เปลาะหนึ่ง มือคว้ากุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเตรียมเปิดล็อก

     “พีท” แต่เสียงเรียกของคนรักที่ดังขึ้นกลับดึงคนที่กำลังจะเดินไปถึงตัวรถให้หันกลับมา

     “ขอบคุณนะ แล้วก็...ขอโทษ...ที่เอาแต่ใจ”

     คำพูดที่ดูหงอยลงไปของคนรักทำให้พิธานหลุดยิ้ม เขาไม่เห็นภาพหลานชายคนเก่งที่เมื่อครู่ยังพูดจาดูเป็นผู้ใหญ่อีกต่อไปแล้ว เหลือเพียงนายม่านฟ้ามนุษย์ถ่านอ่อนที่เริ่มกลับมาทำท่าทางเบลอๆ อีกครั้ง

     “ไม่เป็นไร ยังดีที่อย่างน้อยมึงก็คิดถึงกูในเวลาแบบนี้ ไม่ใช่หนีเตลิดไปไหนไม่รู้อีก เป็นแบบนี้กูสบายใจกว่าเยอะ”

     "แต่มึงก็ต้องมาขับรถกลับดึกๆ แบบนี้ไง" ม่านฟ้ายังคงบ่นพร้อมขมวดคิ้วเมื่อหลายอย่างดูไม่ได้ดั่งใจจนถูกคนตรงหน้าเอื้อมมือมาจิ้มที่หน้าผากหนักๆ "คิดมาก มึงอ่ะ"

     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาอย่างตัดใจก่อนผลักร่างสูงออกแล้วพลิกตัวให้หันกลับไปทางรถยนต์ "เออ งั้นกลับได้แล้ว ยิ่งคุยยิ่งดึก ขับรถกลับดีๆ ล่ะ"

     "ครับ" พิธานตอบกลับอย่างง่ายๆ

     "อย่าขับเร็วนะ"

     "ครับผม" ชายหนุ่มขยับยิ้มเอ่ยเสียงยียวนเมื่อคนด้านหลังเริ่มบ่นมากขึ้น

     "ถึงแล้วไลน์มาบอกนะ กูจะรอ"

     "ครับ" แต่ถึงอย่างนั้นพิธานก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่อีกฝ่ายส่งมาอย่างเต็มเปี่ยม

     ครั้นมาถึงตัวรถ คนออกปากไล่กลับขยับมือที่ทาบอยู่บนแผ่นหลังกว้างและเปลี่ยนเป็นกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้ ความรู้สึกผิดต่อคนรักที่ไม่สามารถทำตามที่รับปากได้ยังคงเกาะกินอยู่ในใจเขา ยิ่งพิธานคอยช่วยเหลือเขาทุกอย่างเช่นนี้ยิ่งทำให้ม่านฟ้าไม่สบายใจ

     "กู...ขอโทษอีกทีนะ"

     น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็พอจะทำให้พิธานจับสังเกตได้ เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย พอจะรู้ว่าคนรักกำลังหมายถึงเรื่องอะไรจึงหันกลับมาอีกครั้งเพื่อคว้ามือของคนรักไว้

     “บอกว่าอย่าคิดมากไง เอาจริงๆ ตอนนี้กูไม่คิด ไม่แคร์แล้วว่ามึงจะบอกเรื่องของเรารึเปล่า ที่ตอนแรกกูเอาแต่กดดันให้มึงบอก เพราะเอาตรงๆ มันก็มีแหละที่อึดอัด แฟนกูทั้งคน กูทำไม่ได้แม้แต่จะห่วงมึงในฐานะแฟนด้วยซ้ำ กูได้เข้าไปรู้จักกับบ้านมึง แต่ก็ต้องพยายามดึงตัวเองไว้ในสถานะของเพื่อนอีก”

     พิธานพูดไปพูดมาก็ขมวดคิ้วเสียเอง พยายามจะไม่ให้คนรักคิดมากและไม่กดดันมากไปกว่านี้ แต่ยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งกดดันอ้อมๆ เข้าไปใหญ่ เขาเม้มปากนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจที่จะพูดต่อ

     “แต่เพราะกูเห็นว่า ถึงบอกความจริงหรือไม่บอก ตอนนั้นมึงก็กังวลอยู่ดี สู้พูดไปเลยแล้วมารอลุ้นผลกัน มันอาจจะดีกว่าไหม”

     ดวงตาของคนรักที่ช้อนมองขึ้นมาทำให้พิธานคลี่ยิ้มออกมาจางๆ “แต่ตอนนี้กูยอมให้มันเป็นความลับตลอดไปก็ได้ แค่ไม่อยากเห็นมึงต้องมานั่งเครียดแบบนี้”

     ชายหนุ่มร่างสูงไม่ได้ต้องการพูดเพื่อให้คนรักสบายใจเพียงเท่านั้น แต่เขาคิดเช่นนั้นจริง แค่เห็นสภาพม่านฟ้าในวันที่พ่อเข้าใจผิด ทั้งน้ำตาและเสียงร้องไห้ ทั้งเนื้อตัวที่เขียวช้ำจากการถูกตี มันทำให้เขาไม่อยากเห็นคนรักในสภาพนั้นอีกแล้ว

     เมื่อวันนี้ความเข้าใจผิดครั้งนั้นกลับถูกทำให้ตาลปัตรยิ่งขึ้นไปอีก การบอกความจริงก็คงจะยิ่งยากกว่าเดิม พวกเขาทำได้เพียงแต่ต้องถอยกลับมาตั้งหลักกันใหม่ ดีกว่าปล่อยให้คนรักของเขาฝืนเข้าไปบอกความจริงกับพ่อแล้วต้องเจอกับความเจ็บปวดนั้นเหล่าอีกครั้ง

     เพียงแต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเส้นทางการบอกความจริงใดที่จะไม่ทำให้คนรักของเขาต้องเจ็บปวด

     เพราะฉะนั้น...เขายอมแล้ว

     ไม่ต้องเปิดเผยความลับของพวกเขากับใครแล้วก็ได้ แค่ให้คนรักของเขากลับมามีความสุขก็พอ

     พิธานกระชับมือคนรักแน่นขึ้น คิดอยากดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดแต่ก็ติดที่ว่าอยู่ในที่สาธารณะ ลึกๆ เขาดีใจที่คนรักห่วงความรู้สึกของเขาเช่นนี้ แต่เขาเองก็ไม่ต้องการเห็นคนรักทำหน้าเศร้าอยู่แบบนี้เช่นกัน แค่เรื่องของภูหมอกตอนนี้ก็ว่ายุ่งแล้ว หากม่านฟ้ายังเอาเรื่องของเขาพวกเขามาคิดเข้าไปอีกคงได้เครียดตายเข้าสักวัน

     “มึงกลับเข้าบ้าน อาบน้ำให้สดชื่น กล่อมน้องชายมึงเข้านอนแล้วรอโทรศัพท์จากกูนะ เดี๋ยวกูถึงหอแล้วโทรมาหา วันนี้มึงใช้พลังงานเกินขีดจำกัดแล้ว หยุดปัญหามึงไว้แค่นี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้พอชาร์ตพลังเต็มเมื่อไหร่ เราค่อยมาเริ่มกันใหม่อีกทีนะ”

     ม่านฟ้าถอนหายใจมองคนรักที่ทำราวกับกำลังปะเหลาะลูกน้อยให้เข้านอน แต่ก็หลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยักหน้ารับช้าๆ ยืนมองอีกคนสอดตัวเข้าไปในรถแล้วหันมายิ้มกวนให้เขาอีกทีผ่านกระจกรถก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     ก่อนที่รถสีควันบุหรี่จะได้เคลื่อนตัวออกไป ม่านฟ้าก้มลงเคาะเข้าที่กระจกรถฝั่งคนขับเพื่อให้คนรักเปิดกระจกลงมา พิธานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนสัมผัสได้ถึงริมฝีปากนุ่มที่แตะลงมาบนริมฝีปากของเขาแผ่วเบา เสียงพึมพำของคนที่หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านทำให้ชายหนุ่มร่างสูงได้แต่ยกยิ้มเมื่อคำบ่นเรื่อยเปื่อยของเขาก็ดูเหมือนจะเข้าหูอีกคนอยู่เหมือนกัน

     "มึงต้องจ่ายค่าเสียเวลากับค่าน้ำมันรถให้กูด้วยนะ ไม่งั้นกูไม่ยอมจริงด้วย"

     “ค่าเสียเวลากับค่าน้ำมันรถ กูมีจ่ายแค่นี้แหละ”



     TBC





     Achaya (Writer) :

     อาจจะเป็นแค่มุกเก่าๆ แค่ก็หวังว่าจะทำให้ยิ้มได้กันนะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 13 (01.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-08-2021 20:20:28
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 13 (01.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-08-2021 00:28:32
รอต่ออออ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 13 (01.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-08-2021 06:29:14
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 13 (01.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 02-08-2021 21:26:02
อุตส่าว่าจะดองให้ลงจนจบแล้วค่อยอ่านทีเดียวสุดท้ายก็ทนไม่ได้ มาต่อไวๆน๊าาาาา
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 14 (09.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 09-08-2021 09:35:08
ภาคความจริง : บทที่ 14

     ม่านฟ้ากำลังนั่งอยู่บนรถพร้อมด้วยสารถีคนเดิม พิธานมารับเขาที่บ้านและกำลังจะมุ่งตรงไปที่มหาลัยในเช้าวันจันทร์ เขาเหลือบมองคนรักที่ขับรถเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับมหาลัยหลายต่อหลายครั้งทั้งที่มีหอพักใกล้มหาลัยแค่นิดเดียว

     พูดให้น้ำลายหมดปากก็ไม่รู้จักฟัง บอกว่าไม่ต้องมารับก็อ้างโน่นอ้างนี่ว่าเมื่อคืนกลับมานอนที่บ้านเพราะลืมของ

     เมื่อวานเขาเข้าไปเอาเสื้อผ้าและของใช้ของภูหมอกจากบ้านเพื่อไปให้น้องชายที่บ้านของนที ถึงตอนนี้การสอบจะจบลงแล้ว เหลือเพียงการสอบ O-NET อีกอย่างเดียว แต่ภูหมอกก็ยังเรียนไม่จบม.6 อย่างไรก็ยังต้องไปโรงเรียนอยู่ดี

     ทันทีที่พ่อรู้ว่าม่านฟ้าพาน้องไปฝากไว้ที่บ้านของน้องชายอย่างนที ความคิดที่จะลองพูดเรื่องของเขาอีกครั้งก็เป็นอันต้องพับเก็บไป พ่ออาละวาดขึ้นมาอีกยกใหญ่ โมโหจนแทบจะเห็นเส้นเลือดข้างขมับวิ่งตุบๆ ในเวลานั้นหากพ่อได้รู้ความจริงเกี่ยวกับเขาเข้าอีกเรื่อง เขาคงต้องถูกไล่ออกจากบ้านอีกหนอย่างไม่ต้องสงสัย

     หากเป็นเช่นนั้นจริง ทั้งเรื่องของเขาและภูหมอกคงหมดหนทางในการปรับความเข้าใจกับพ่อไปตลอดกาล

     เมื่อถึงตอนนั้น คนที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นแม่ของเขา

     ดังนั้นสิ่งที่ควรทำตอนนี้คือต้องหาทางสมานรอยร้าวระหว่างพ่อและภูหมอกให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก อย่างไรเสียตอนนี้พ่อก็ยังคิดว่าเขาเป็นลูกชายของพ่อเหมือนเดิมและเรื่องที่เขาถูกไล่ออกจากบ้านวันนั้นเป็นเพียงความเข้าใจผิด

     จากสายตาที่พ่อมองภูหมอกในวันนั้น เขาเชื่อว่าพ่อยังคงเหลือเยื่อใยกับน้องชายเขาไม่มากก็น้อย อย่างไรพ่อก็ตัดภูหมอกได้ไม่ขาด ทางเลือกในการผสานรอยร้าวนี้จึงมีโอกาสที่จะเป็นไปได้

     ซึ่งหมายถึง..ความลับของเขาก็อาจจะต้องยืดเวลาในการบอกไปอีก


     พิธานหันไปมองคนรักที่ถอนหายใจออกมารอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้หลังจากขึ้นมาบนรถ ตอนแรกก็คิดว่าเจ้าตัวหงุดหงิดที่เขาดันทุรังจะกลับบ้านในคืนวันอาทิตย์เพื่อมารับคนรักไปมหาลัยด้วยกันในวันนี้

     ปกติแล้วก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคุณแฟนที่แสนดีคอยไปรับไปส่งม่านฟ้าตลอดเวลา เขาปล่อยให้คนรักโหนรถเมล์ขึ้นรถไฟฟ้าไปไหนมาไหนเองจนชินแล้ว เพียงแต่เมื่อวานเขาต้องกลับมาบ้านเพราะลืมของไว้จริงๆ

     พูดให้น้ำลายหมดปากก็ไม่เชื่อ บอกว่าลืมของสำคัญไว้ก็ยังคิดว่าเขาตอแหล

     ลืมแฟนไว้ทั้งคนไม่สำคัญได้ไง แถมเป็นคุณแฟนช่วงจิตตกด้วย ถึงต้องดูแลมากๆ หน่อย

     สารถีหนุ่มคิดเข้าข้างตัวเองจนสบายใจก็หันกลับไปมองคนรักอีกครั้งเมื่อเข้าสู่ช่วงรถติดใกล้มหาลัย อาการเช่นนี้ของคนรักหากคนนอกมองก็เหมือนคนเหม่อลอยทั่วไป ส่วนในสายตาของคนรู้จักอาจมองว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจบางอย่าง แต่ในสายตาคนรักอย่างเขา มองอย่างไรก็เป็นเพียงอาการคิดมากที่เกิดขึ้นบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้

     “กูบอกอย่าคิดมากเนี่ย เคยฟังที่กูพูดบ้างไหม”

     เสียงถอนหายใจและคำบ่นที่ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงเปลี่ยนเกียร์ว่างแล้วขึ้นเบรกมือแรงๆ ม่านฟ้าหันไปมองคนรักอย่างหวาดๆ อาการเช่นนี้เหมือนคนที่พร้อมจะหันมาดุเขาอย่างจริงจังถึงขึ้นเบรกมือขนาดนี้

     ตุ๊กตาหน้ารถตาโตกลืนน้ำลายลงคออย่างหวั่นใจ ไม่แน่ใจว่าแค่ถอนหายใจบ่อยไปหน่อย ทำไมคนรักถึงเริ่มจะองค์ลงอีกครั้ง

     ทั้งที่คิดว่าคนขับจะหันมาดุอะไรเขาอีก แต่พิธานกลับก้มหน้าลงไปเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้เบรกมือ ก้มกดโทรศัพท์อยู่สักพักจนม่านฟ้าเริ่มสบายใจเพราะคิดว่าคงจะคิดไปเอง ก่อนหันกลับไปมองไฟจราจรข้างหน้าให้แทนคนรักที่ยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้น

     แต่แล้วโทรศัพท์เครื่องคุ้นตาของคนรักก็ถูกส่งมาตรงหน้าเขาพร้อมคำชวนประหลาด “มึงลองเล่นดูไหม”

     ม่านฟ้าก้มลงมองหน้าจอ ในนั้นปรากฏภาพลายเส้นแปลกๆ คล้ายเกมจิตวิทยาที่ชอบส่งต่อกันในช่วงนี้ พร้อมกับคำถาม ‘คุณเห็นสีอะไร’ แวบแรกที่ม่านฟ้าเห็นภาพดังกล่าวเขาเห็นเป็นสีชมพูสด จึงพูดตอบคนรักไปอย่างงุนงง “สีชมพู”

     เมื่อตอบออกไปแล้วเขาก็เลื่อนลงไปอ่านความคิดเห็นของคนอื่นที่มีทั้งสีชมพู สีน้ำเงิน หรือแม้กระทั่งขาวดำ ยังไม่ทันได้กดต่อไปเพื่อดูเฉลยของสีที่แตกต่างกัน พิธานก็คว้าโทรศัพท์กลับไปเพื่ออ่านเฉลยให้เขาฟัง

     เออดี ให้คนขับรถมาอ่านให้คนนั่งฟัง ปลอดภัยมากจริงๆ

     “คนที่เห็นสีชมพู คุณเป็นคนมีความสามารถด้านศิลปะ ภาษา และความคิดสร้างสรรค์ มีความคิดนอกกรอบแต่มักไม่ถนัดการคำนวณ การคิดเชิงวิเคราะห์และการทำงานแบบ Multi-tasking (การทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน)”

     พิธานอ่านจบก็เงยหน้ามามองคนรักด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ล็อกหน้าจอแล้ววางโทรศัพท์ลงที่เดิม เจ้าตัวพยักหน้าออกมาเล็กน้อยเหมือนเห็นด้วยแล้วพูดสำทับ “อืม กูก็ว่าตรงนะ”

     ขณะที่ม่านฟ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธความแม่นยำของแบบทดสอบตรงหน้า แต่กำลังสงสัยในท่าทางเช่นนี้ของคนรักมากกว่า คล้ายกับว่าพิธานกำลังต้องการสื่ออะไรบางอย่าง

     สายตาของคนรักที่มองกดดันอยู่เงียบๆ ทำให้พิธานหันหน้ากลับมามองคนรักอีกครั้งแล้วเอ่ยปาก “แบบทดสอบก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่ามึงทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้เรื่อง”

     สารถีหนุ่มหันกลับไปมองด้านหน้าอีกครั้ง ปลดเบรกมือลงและเปลี่ยนเป็นเกียร์เดินหน้าเมื่อรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัว

     ถึงคำพูดของคนรักจะยังดูกำกวม แต่ม่านฟ้าก็พอจะตีความออกและเริ่มมั่นใจขึ้นเมื่อคนรักใจดีอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน “ตอนนี้แค่เรื่องไอ้หมอกก็แย่แล้ว มึงจัดการแค่เรื่องไอ้หมอกก่อน อย่าเพิ่งพะวงเรื่องของเราเข้าไปอีก เอาทีละเรื่อง เราอยู่ด้วยกันมาตั้งสี่ปี แค่ให้กูอดทนอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป กูไม่รีบหนีมึงไปไหนหรอกหน่า”

     ม่านฟ้าได้ยินคนรักพูดเช่นนั้นก็นิ่งไป พิธานพูดในสิ่งที่เขากำลังกังวลออกมาได้อย่างพอดี พอรู้อยู่ว่าคนรักของเขาเป็นคนเซนส์แรงแต่แบบนี้มันออกจะแม่นเกินไปแล้ว

     หนุ่มวิศวะเห็นคนรักยังคงนั่งนิ่งก็คิดว่าม่านฟ้ายังกังวลอยู่ไม่หาย จึงได้พูดในมุมมองของตนเองออกมาให้คนรักฟัง

     “กูรู้นะ ว่ามึงกลัวว่าถ้าพ่อมารู้ทีหลังแล้วพ่อมึงจะเจ็บซ้ำสอง ซ้ำสามเข้าไปอีก แต่มึงฝืนพูดออกไปตอนนี้แล้วยังไง ตอนนี้พ่อมึงเขาก็มีแผลเรื่องไอ้หมอกอยู่แล้ว มึงรีบบอกเรื่องของเราไปตอนนี้ก็คือการฟันซ้ำลงไปบนแผลของเขาอีกครั้ง จาก ‘เจ็บ’ มันจะกลายเป็น ‘เจ็บสาหัส’ เอานะ ในเมื่อรู้ว่าสุดท้ายยังไงก็ต้องทำพ่อเจ็บ สู้พยายามรักษาแผลแรกให้เขาก่อนที่จะฟันซ้ำลงไปอีกทีก็ยังดี”

     พิธานหลุดจากไฟแดงได้ก็เพิ่มความเร็วขึ้นจนสามารถเลี้ยวเข้าไปในรั้วมหาลัยได้ เขาเลี้ยวรถเข้าไปในคณะของม่านฟ้า ขณะที่ปากก็ยังพูดโน้มน้าวคนรักต่อไป “มึงพูดเองว่าพ่อรักไอ้หมอกมาก เพราะฉะนั้นกูว่าไม่ยากหรอกนะถ้าจะเกลี้ยกล่อมพ่อให้เขายอมใจอ่อนอ่ะ อาจจะใช้เวลาหน่อยก็ไม่เป็นไร บอกแล้วกูไม่หนีไปไหน”

     เพราะตอนนี้รถยนต์สีควันบุหรี่ของพิธานกำลังเลี้ยวขึ้นที่จอดรถคณะอักษรฯ ความมืดภายใต้อาคารจอดรถทำให้เขามองไม่เห็นสีหน้าของคนนั่งข้างกันในตอนนี้ ได้ยินเพียงคำพูดค่อนแขวะออกมาเล็กน้อย “สำบัดสำนวนเหลือเกินนะ”

     หนุ่มวิศวะยิ้มรับข้อกล่าวหานั้นหน้าตาเฉย แถมยังโยนความผิดไปให้อีกคนเสียอย่างนั้น “ช่วยไม่ได้ แฟนกูเรียนอักษรฯ”

     ถึงคราวที่หนุ่มอักษรฯ คลี่ยิ้มออกมาบ้าง เขาคว้ากระเป๋าเรียนขึ้นมาเตรียมตัวลงเมื่อเห็นคนรักถอยเข้าซองในที่จอดรถเรียบร้อย หยิบโทรศัพท์ของคนรักข้างเบรกมือมาส่งให้เจ้าของเพราะกลัวอีกคนจะลืมไว้บนรถและแก้ต่างคำพูดของคนตรงหน้าอีกหน “แต่กูเรียนเอกสเปนไง ไม่ใช่เอกไทย”

     “โถ่ Querido”

     คำพูดสุดท้ายของคนรักทำเอาม่านฟ้าถึงกับหลุดขำ แกล้งเอามือปาดปากที่เบะออกอย่างงอแงของคนรัก พูดออกมาอย่างหมั่นไส้ปนขำ “ก็พูดเป็นอยู่คำเดียวเนี่ยมึงอ่ะ”

     ก่อนม่านฟ้าจะเปิดประตูลงจากรถไปจริงๆ พิธานก็คว้ามือของคนรักเอาไว้ เขาเปลี่ยนสีหน้ากลับมาจริงจังอีกหนเพื่อเค้นคำสัญญาออกมาจากปากของคนรัก “สัญญากับกูก่อนว่าจะไม่คิดมากแล้ว”

     คนคิดมากหันกลับมามองคนรักด้วยดวงตาที่ทอแสงอ่อนลง เขาเผยยิ้มหวานออกมาแล้วกระชับมือของคนรักแน่นขึ้น ม่านฟ้าก้มหน้าลงไปจูบที่หลังมือใหญ่แผ่วเบาก่อนผละออกมา “อืม กูสัญญา”

     ถึงจะพูดแซวอีกฝ่ายไปเสียมาก แต่ม่านฟ้าก็เพียงต้องการจะกลบเกลื่อนหัวใจที่เต้นแรงขึ้นในอก รู้สึกโชคดีซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการได้คนตรงหน้ามาเป็นคนรัก คนที่คอยห่วงใยเขา เข้าใจเขาและทำให้เขาสบายใจได้เสมอ

     เพราะแบบนี้ เขาถึงขาดคนคนนี้ไม่ได้ยังไงล่ะ

     Mi amor



     เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้วหลังจากที่ภูหมอกย้ายมาอยู่กับนที ขณะที่ม่านฟ้าก็เทียวไปเทียวมาระหว่างสองบ้านกับหอพักอย่างสม่ำเสมอ ที่จะบ่อยหน่อยช่วงนี้ก็คือบ้านพ่อ เขากลับไปนอนบ้านบ่อยมากขึ้น ไม่ใช่เพราะโดนไล่ออกจากบ้านไปช่วงหนึ่งจึงคิดถึงหรอกนะ เพียงแต่ต้องเข้าไปเพื่อหาโอกาสในการโน้มน้าวและเกลี้ยกล่อมพ่อเรื่องภูหมอก

     และแน่นอนคนที่ทำตัวติดกับเขาเป็นปาท่องโก๋คอยไปรับไปส่งเช้าเย็นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Mi amor ของเขานี้ไง

     ‘โคม’ ชื่อร้านอาหารที่สกรีนอยู่บนถุงพลาสติกที่ใส่อาหารมาทำให้ม่านฟ้ามองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผละมือจากถุงบนเคาร์เตอร์ครัวมาหยิบจานชามสำหรับใส่อาหาร ปล่อยให้พิธานที่ยืนอยู่ข้างกันคว้าถุงมาแก้ยางที่มัดปากออกเตรียมใส่จาน

     หลังจากสัญญากับคนรักว่าจะไม่คิดมากและพักเรื่องการสารภาพของเขาไปก่อน ม่านฟ้าก็ได้คนรักคอยเป็นที่ปรึกษามาให้เรื่อยๆ ทั้งมีประโยชน์บ้างไม่มีประโยชน์บ้างก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

     แต่อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็คงไม่ง่ายดายนัก จึงต้องอดทนให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้

     คืนนี้เขาโทรบอกแม่แล้วว่าคงกลับดึก เพราะจะอยู่กินเลี้ยงกับภูหมอกที่บ้านของนทีโดยลากพิธานมาเป็นสารถีประจำตัวเช่นเคย อดคิดไม่ได้ว่าหากวันนี้เป็นเพียงวันธรรมดาอย่างทุกครั้ง วันที่พ่อยังไม่ได้รู้ความลับของภูหมอกจนไล่น้องออกจากบ้านมาแบบนี้ คนที่หมอกจะเข้าไปอ้อนและบอกเรื่องผลคะแนนคนแรกคงเป็นพ่อ

     เขานึกภาพที่พ่อกลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตกออกมาได้ไม่ยาก

     เราคงออกมากินข้าวนอกบ้าน ซึ่งก็คงไม่พ้นร้านโปรดของภูหมอก เราจะสั่งอาหารกันจนเต็มโต๊ะ และสุดท้ายก็ต้องห่อกลับบ้านเป็นถุงๆ เพราะมักจะหิวโซตอนสั่งเสมอจนโดนพ่อบ่นทุกครั้งไป

     แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น

     เพราะสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนเดิมและไม่เป็นไปตามคาด ภูหมอกถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ที่บ้านของคุณอาที่พ่อแสนจะเกลียด แต่เขาก็ยังอยากให้น้องได้กินของที่ชอบในวันดีๆ แบบนี้

     ครั้งแรกเขาคิดจะให้พิธานวนไปรับภูหมอกและอาทีมากินด้วยกันที่ร้าน แต่คิดอีกที เขากลัวภูหมอกจะยิ่งคิดถึง

     คิดถึงบรรยากาศที่ครอบครัวของเราอยู่กันพร้อมหน้า

     คิดถึงเมนูที่แม่ชอบสั่งมาแต่ไม่เคยกินหมด

     คิดถึงที่ประจำมุมร้าน

     .

     คิดถึงพ่อ

     สุดท้ายก็เลือกที่จะสั่งกลับมากินที่บ้านนที ให้ลำบากล้างถ้วยล้างชามในยามอิ่ม

     ม่านฟ้าคิดแค้นน้องชายอยู่ในใจว่าห่วงขนาดนี้ แต่ตอนนี้เจ้าตัวดันไม่คิดจะลงมาช่วยจัดอาหารเสียด้วยซ้ำ เหตุผลแสนง่ายของน้องมีเพียง

     ‘เพื่อนหมอกคนหนึ่งเหมือนจะคะแนนแย่อ่ะพี่ เดี๋ยวไปช่วยกันปลอบก่อน’

     ก่อนจะวิ่งขึ้นชั้นสองไป

     พิธานสังเกตเห็นอารมณ์หงุดหงิดของคนข้างกายก็อมยิ้มน้อยๆ นึกเอ็นดูคนที่ชอบโมโหใส่น้องชายแต่ก็เป็นคนเดียวกับพี่ชายที่วิ่งทำโน่นทำนี้ให้น้องสารพัด เขาก้มมองห่อหมกมะพร้าวอ่อนที่เพิ่งจัดใส่จานแล้วจึงชวนม่านฟ้าคุยให้คลายอาการหงุดหงิด “กูอยากลองทำห่อหมกมาหลายทีล่ะ แต่กลัวไม่รอด กูโคตรชอบกิน เฮียก็ชอบ”

     เฮียที่พิธานพูดถึงก็คือพี่ชายคนเดียวของเจ้าตัว เห็นหน้าตาคมเข้มแบบนี้แต่พิธานก็เป็นคนจีน พ่อของชายหนุ่มเป็นคนจีนแท้ เพียงแต่คุณแม่เป็นสาวไทยที่หน้าตาคมเข้ม พิธานจึงได้คุณแม่มาเต็มๆ

     “อ้าว แล้วไม่บอก จะได้ซื้อมาฝากเฮียด้วย”

     ม่านฟ้ารู้อยู่แล้วว่าคนรักชอบกินอะไร ถึงได้สั่งมากินกันถึงสองชุดเพราะกลัวคนรักไม่อิ่ม แต่ไม่รู้ว่าพี่ชายคนรักเองก็ชอบ ไม่งั้นเขาคงสั่งเพิ่มมาอีกชุดเพื่อให้พิธานเอากลับไปที่บ้านด้วย

     คนอยากลองทำอาหารส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วใช้ช้อนแอบตักเข้าปากไปคำหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่

     รสสัมผัสของเนื้อห่อหมกร้อนๆ ที่ละมุนจากไข่และกะทิบวกกับความนุ่มลิ้นของเนื้อมะพร้าวอ่อน กลิ่นพริกแกงกับโหระพาที่คลุกเคล้าอยู่ภายในทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหลับตาอมยิ้มอย่างเป็นสุข

     ชายหนุ่มร่างสันทัดมองคนรักที่หลับตาพริ้มแล้วก็หลุดขำ ชกเบาๆ ที่ต้นแขนของคนรักเรียกสติให้กลับมา นอกจากจะอู้ไม่ช่วยกันแล้วยังจะแอบจกกับข้าวกินก่อนอีกต่างหาก

     ภาพทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กลับทำให้คนที่มองอยู่อย่างนทียิ่งมั่นใจ เธอสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างหลานชายเธอและเจ้าหนุ่มตัวโตนี้มาหลายครั้งแล้ว ไม่เพียงครั้งแรกที่มาส่ง แต่กับครั้งต่อมาที่ม่านฟ้ามาหาเธอก็มักจะมีชายหนุ่มคนนี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย

     ทั้งที่สองคนนี้ก็ไม่เคยแสดงท่าทางที่เหมือนกับคนรักกันหรือแม้แต่พูดจาน่าฟังใส่กันด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เพราะอะไรเธอจึงคิดว่าความสนิทสนมกันเช่นนี้มีบางอย่างที่เกินกว่าเพื่อนสนิท

     เสียงกระแอมที่ดังขึ้นดึงสายตาของสองหนุ่มมาจากจานอาหารตรงหน้า เห็นเจ้าของบ้านยืนมองเข้ามาจากหน้าประตูห้องครัวแล้วก็ขยับยืนตัวตรงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ใช่ว่าเพราะทำอะไรผิด แต่เพราะสายตาที่มองมาทางพวกเขาเหมือนกำลังจ้องจับผิดนั้นมากกว่า

     “มีอะไรอยากสารภาพไหม”

     คำถามตรงๆ ที่หลุดออกมาจากปากของนทีทำให้สองหนุ่มต้องแอบเหลือบมองกัน ถึงจะควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนปกติ แต่สายตาที่ล่อกแล่กไปมาบ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

     ม่านฟ้ากำลังคิดว่าพวกเขาเผลอแสดงอาการอะไรออกไปทำให้ผู้เป็นอาสงสัยหรืออาจมีเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาแต่เป็นอย่างอื่นที่พวกเขาทำผิดไปหรือไม่

     ขณะที่สัญญาณซึ่งกำลังดังในหัวพิธานตอนนี้บ่งบอกว่าเรื่องที่นทีถามต้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่

     คำทักทายอย่าง ‘จะมาจีบหลานชายฉันรึไง’ ในวันนี้คงไม่ได้เกิดจากการประชดประชันหรือแซวเล่นทั่วไป แต่ต้องเป็นเพราะพอจะเดาบางอย่างได้นทีจึงพูดมันออกมา

     “เร็ว จะพูดไม่พูด” นทีกดดันชายหนุ่มตรงหน้าเข้าไปอีกหนหลังยืนกดดันเงียบๆ อีกสักพัก หวังให้เผลอหลุดสิ่งที่ซ่อนไว้ออกมา

     พิธานหายใจเข้าลึก ตัดสินได้ทันทีเมื่อถูกเจ้าของบ้านเร่งเร้าให้พูดความจริง

     .

     .

     “อาพูดเรื่องอะไรเหรอครับ”

     “...” เจ้าของบ้านสาวเบิกตามองชายหนุ่มตัวโตที่ตีหน้าซื่อถามกลับมาด้วยท่าทางปกติอีกครั้ง ส่วนพิธานก็แอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อการวัดดวงของเขาได้ผล เขาคิดว่านทีคงเพียงคาดเดาได้แต่ก็ไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นจึงพูดวนหลอกให้พวกเขาเป็นคนสารภาพออกมาเองเช่นนี้

     เพียงแค่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องต่อไป ต่อให้นทีอยากเค้นคอพวกเขาแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ

     นทีเบะปากมองชายหนุ่มที่ทำหน้าซื่อแต่ก็รู้ว่าภายในมันคงยิ้มสะใจที่เธอต้อนมันจนมุมไม่ได้ หญิงวัยกลางคนกัดฟันอย่างแค้นเคืองก่อนพูดออกไปอย่างติดจะเดือด “ก็เรื่องของพวกแกนี่ไง เป็นเพื่อนที่ดีกันเหลือเกินนะ เช้าถึงเย็นถึงตัวติดกันตลอด หัวกระไดไม่แห้งแล้วบ้านฉัน”

     “โถ่ ถ้าอาอยากชมว่าผมเป็นคนดีก็ชมมาตรงๆ ก็ได้ครับ แหม ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน หลายคนก็บอกว่าผมเป็นคนดีแหละ ผมเข้าใจๆ ”

     พ่อคนดีลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินคำพูดของนทีก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มยียวนแล้วแสร้งทำเป็นยกมือลูบท้ายทอยอย่างเขินอายได้อย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด ขนาดคนรักที่ยืนอยู่ข้างกันยังอดมองท่าทางเช่นนั้นแล้วทำสีหน้าเอือมระอาใส่ไม่ได้

     นับประสาอะไรกับนทีที่ตอนแรกก็เคืองไม่น้อยแล้ว ยิ่งเจอท่าทางเช่นนี้ไปถึงกับคว้ามีดทำครัวที่อยู่ใกล้มือมาง้างขู่จะขว้างออกไปหาคนหน้าเป็น

     รู้ทั้งรู้ว่านทีคงไม่ขว้างมีดออกมาจริงๆ แต่พิธานก็ยังอดสะดุ้งแล้วกระโดดผลุงไปหลบหลังคนรักไม่ได้

     “เหอะ คนดีเหลือเกิน เจอมีดแล้วหลบหลัง 'แฟน' เนี่ย”

     “แหม ยังไงอาก็คงไม่ทำร้ายหลานชายตั-” พิธานโผล่หน้าออกมายิ้มเผล่ แต่พูดไม่ทันจบประโยคดีก็รู้ตัวแล้วว่าตนเองเผลอประมาทจนพลาดเข้าให้แล้ว

     รอยยิ้มของพิธานค่อยๆ หดหายกลายเป็นใบหน้าซีด ขณะที่รอยยิ้มสะใจกลับไปปรากฏอยู่ที่ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านแทน

     นทีรู้สึกสะใจที่สามารถเอาชนะ ‘หลานเขย’ ผู้กวนประสาทคนนี้มากกว่าดีใจที่ได้รู้ความจริงเสียอีก ยิ่งเห็นท่าทางของพิธานที่เปลี่ยนไปเป็นลุกลี้ลุกลนยิ่งทำให้เธอเผยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น

     ม่านฟ้าที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความนิ่งเฉยมาตลอดเผยยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ แอบสงสารคนรักที่สุดท้ายก็ต้องพ่ายไปในเกมนี้แล้วดึงคนตัวโตที่ยังเกาะอยู่ด้านหลังออกมา แววตาของพิธานซ่อนความลำบากใจอยู่ในนั้น มือเรียวของม่านฟ้าจึงขยับไปจับมือคนรักแล้วพยักหน้าให้เบาๆ

     ‘อาคงไม่ว่าอะไรหรอก ไม่เป็นไร’

     รอยยิ้มและท่าทางของม่านฟ้าสื่อได้ถึงข้อความนี้ พิธานที่ได้เห็นจึงถอนหายใจออกมาแล้วกุมมือคนรักแน่นขึ้นเมื่อเจ้าตัวหันไปมองหน้าผู้เป็นอาเต็มตาก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

     “ก็อย่างที่อาคิดแหละครับ”


     TBC


     Achaya (Writer) :

     อาทิตย์นี้มาช้าไปหน่อย ขออภัยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ เลย
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 14 (09.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-08-2021 15:57:09
 :z10: :z3: :z2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 15 (15.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 15-08-2021 18:55:18
ภาคความจริง : บทที่ 15

     นทียกแก้วกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จร้อนๆ ขึ้นมาเป่าพร้อมขยับนั่งไขว่ห้าง ถัดไปไม่ไกลมีหลานชายคนโตและหลานเขยนั่งนิ่งรอรับการไต่สวนอยู่ หญิงวัยกลางคนดมกลิ่นหอมของกาแฟแล้วขยับเชิดคอขึ้นอย่างไว้ท่าเพื่อเพิ่มความกดดันให้กับชายหนุ่มทั้งสองคน

     หลังคำสารภาพกลายๆ ของม่านฟ้า ภูหมอกก็วิ่งลงมาจากชั้นสองอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ขัดจังหวะทั้งสามคนไว้ด้วยการร้องว่าหิวข้าวอย่างไม่รู้ตัว หญิงเจ้าของบ้านจึงเหลือบไปมองชายหนุ่มอีกสองคนแล้วส่งสายตาบอกให้รู้ว่าจะเลื่อนการสอบสวนออกไปจนกว่าจะกินข้าวเสร็จ

     จนตอนนี้ที่มื้ออาหารจบลงไปแล้ว ภูหมอกถูกใช้ไปล้างจานแทนที่ไม่ได้ช่วยจัดอาหารในตอนแรกก่อนเจ้าตัวจะกลับขึ้นห้องไปอีกครั้งเมื่อได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิท

     พิธานขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อพวกเขานั่งเงียบกันมาเกือบห้านาทีแล้วแต่ก็ยังไม่มีบทสนทนาใดออกมาระหว่างพวกเขาทั้งสามคน เขาคิดว่านทีอาจต้องการให้พวกเขาเป็นผู้เล่าเรื่องขึ้นเองแทนที่จะถาม ขณะที่กำลังจะอ้าปากเพื่อเริ่มบทสนทนาก็รู้สึกถึงมือคนรักที่ขยับมาวางบนหลังมือเขาแผ่วเบา

     ม่านฟ้าเข้าใจความคิดของพิธานในตอนนี้ดี แต่ก็รู้เช่นกันว่ารออีกไม่นาน นทีจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวและเริ่มถามขึ้นมาเอง

     “คบกันมานานแค่ไหนแล้ว”

     สุดท้ายหญิงวัยกลางคนก็เป็นผู้เริ่มต้นบทสนทนาพร้อมยกกาแฟขึ้นจิบอย่างมีมาด

     “สี่ปีแล้วครับ”

     พรู่ด!!

     นทีถึงกับสำลักและพ่นกาแฟร้อนนั้นออกมา ภาพคุณอาที่สำลักจนหน้าดำหน้าแดงทำให้ผู้ตอบคำถามเมื่อครู่อย่างม่านฟ้ารีบคว้ากระดาษทิชชูใกล้มือออกมาส่งให้ ขณะที่พิธานก็ขยับตัวลุกไปรินน้ำเปล่ามาส่งให้คนที่กำลังไอด้วยอีกคน

     หญิงวัยกลางคนกระแอมออกมาเล็กน้อยหลังได้รับความช่วยเหลือจากชายหนุ่มทั้งสอง เหลือบมองทั้งคู่ที่ยังทำท่าทางปกติราวกับไม่ได้พูดอะไรที่น่าตกใจออกมา

     จะว่าน่าตกใจก็ใช่ เธอคิดคำเทศนาสองคนนี้เอาไว้พอสมควรระหว่างรอคุย หนึ่งในนั้นคือคำถามอย่าง ‘คิดว่าจะคบกันไปได้นานแค่ไหน’ เพราะคิดว่าสองคนนี้คงเพิ่งคบกันได้ไม่นาน อาจมาจากการที่พิธานมาช่วยสอนพิเศษให้ภูหมอกจึงเริ่มสนิทกันเสียด้วยซ้ำ แต่จากระยะเวลาที่สองคนนี้คบกันมาก็ดูท่าว่าสิ่งที่คิดเอาไว้จะล้มไม่เป็นท่า

     เล่นเอาไปไม่ถูกเลย

     เจ้าของบ้านกระแอมออกมาอีกเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกมาดของผู้ปกครองจอมโหดกลับมา ซึ่งคำถามถัดไปก็ทำให้บรรยากาศกลับมาจริงจังปนอึดอัดอีกครั้ง

     “แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้าง”

     “...” คำถามง่ายๆ แต่ดูยากสำหรับอีกสองคนเหลือเกิน นทีเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ระยะเวลาขนาดนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครรู้จึงถามออกไปอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “ไม่มีใครรู้เลยเหรอ? ”

     “เพื่อนที่มหาลัยก็มีรู้บ้างครับ” เป็นม่านฟ้าที่ตอบออกมาก่อน

     “หมอกล่ะ? ” คำตอบที่ได้รับมีเพียงการส่ายหน้า

     “พี่น้ำ? ” บุคคลที่นทีกล่าวถึงก็คือนัชชา ผู้เป็นแม่ของทั้งม่านฟ้าและภูหมอก แต่อย่างไรคำตอบที่ได้รับก็ยังคงเป็นการส่ายหน้าเช่นเดิม

     นทีถอนหายใจออกมา ใช่ว่าไม่รู้เหตุผลของการปกปิดเรื่องราวนี้ไว้ เพราะคงไม่พ้นเหตุผลเดียวกันกับที่ทำให้ภูหมอกต้องออกจากบ้านและมาอาศัยอยู่กับเธอในตอนนี้ “พ่อแกนี้มันเป็นตัวปัญหาจริงๆ ”

     ผู้ปกครองจำเป็นของม่านฟ้าอย่างนทีหันไปมองร่างสูงที่มักทำหน้าตายียวนกวนประสาทให้เต็มตา ยามนี้ใบหน้าที่เคยส่งยิ้มขี้เล่นกลับเปลี่ยนเป็นจริงจังส่งผลให้ใบหน้าคมดูดุดันยิ่งกว่าเดิม

     ใช่ว่าเธอจะไม่ชอบใจพิธาน แต่เธอเองก็ผ่านโลกมาไม่น้อย การคบกันระหว่างผู้ชายด้วยกันใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะง่าย ต่อให้เป็นคู่รักชายหญิงก็ยังมีปัญหาในแบบของมัน ยิ่งคู่รักที่เป็นผู้ชายทั้งคู่เช่นนี้ก็จะยิ่งมีเงื่อนไขและเรื่องที่น่ากังวลใจหนักเข้าไปอีก ทั้งเรื่องทางสังคมและทางกายภาพ

     แน่นอนว่าทางสังคมย่อมเห็นปัญหาที่ชัดเจนอยู่แล้ว ยังมีอีกหลายคนและหลายสังคมที่ยอมรับเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ หากไม่ยอมรับแล้วอยู่เฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่พวกที่ชอบสอดปากมากระแหนะกระแหน่หรือกีดกันอย่างโจ่งแจ่งก็มีมากจนน่ารำคาญเช่นกัน

     ไม่ต้องมองไกล แค่พ่อของหลานชายเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ยอมรับแล้ว

     ส่วนทางกายภาพ เพราะเป็นเพศเดียวกัน โอกาสในการมีลูกจึงเป็นศูนย์ พวกที่กล่าวว่า ‘คนไม่มีลูกมีโอกาสเลิกกันมากกว่าคนมีลูก’ อันนี้เธอก็พอจะเห็นด้วย อย่างไรเสียเมื่อมีลูกก็คงต้องคิดให้ถี่ถ้วนกว่าเดิมก่อนตัดสินใจทำอะไร ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำว่า ‘โซ่ทองคล้องใจ’ มาให้ได้ยินกันอย่างทุกวันนี้หรอก

     เดี๋ยวนะ พูดถึงมีลูก

     เธอลืมเรื่องอะไรไปรึเปล่า
     
     .

     .

     “มีอะไรกันรึยัง”

     พรู่ด!!

     ถึงคราวของม่านฟ้าบ้างที่พ่นน้ำอัดลมที่เพิ่งยกดื่มออกมา เจ้าตัวไอค่อกแค่กจนหน้าแดง แยกไม่ออกว่าแดงเพราะเขินหรือสำลักกันแน่ อาการเช่นนั้นทำให้เธอตีความออกมาได้เพียงว่า ‘ไม่รอด’ จึงได้สาธยายวิชาเพศศึกษาอย่างถูกวิธีออกมาหน้าตาเฉย

     “ต่อให้เป็นผู้ชายด้วยกันก็ต้องป้องกันนะ อย่าซ่านัก แล้วที่สำคัญที่สุดคือความสะอาด ไม่ใช่เคลิ้มๆ แล้วอยากนัวก็นัวได้ แกต้องให้เวลามันทำความสะอาดก่อน” นทีหันไปพูดกับพิธานแล้วชี้มือไปที่ม่านฟ้า

     “แกเองก็ทำความสะอาดเป็นใช่ไหม ทำให้ถูกวิธีแล้วก็ครบขั้นตอนด้วยล่ะ พลาดขึ้นมามันไม่น่าพิสมัยนักหรอกนะ”

     นทียังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สังเกตใบหน้าที่เหวอจัดของชายหนุ่มอีกสองคน รู้ว่าพูดไปก็อาจไม่มีประโยชน์ในเมื่อสี่ปีที่ผ่านมาคงกินกันไปหลายยกแล้ว แต่ก็อยากจะพูด! พิธานเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ก่อนแล้วรีบพูดห้ามเจ้าของบ้านออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำไม่แพ้กัน

     “เดี๋ยวๆๆ อาที ยัง.. ยังไม่เคย”

     ประโยคสั้นๆ แต่ก็เหมือนพิธานจะใช้พลังงานในการพูดไปไม่น้อย นทีชะงักค้างไปชั่วครู่ สีหน้าแปลกใจถูกแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก่อนสายตาดูถูกจะถูกส่งไปที่ร่างสูงอย่างเผลอตัว

     พิธานได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอาเมื่อเห็นสายตาที่สื่อความหมายออกมาชัดเจนว่า

     ‘ตั้งสี่ปี ไม่มีน้ำยาจริงๆ ’

     “เอาเถอะ งั้นก็ดีไป เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าเพิ่งนั่นแหละดีแล้ว”

     “เป็นเด็กเป็นเล็ก ครั้งแรกของอานี้อายุเท่าไหร่เหรอครับ” พิธานพึมพำกัดออกมาอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกันที่ถูกลูบคมทางสายตาและเพราะเริ่มสนิทกันแล้วระดับหนึ่งจึงกล้าพูดออกมาแบบนี้

     “เอ๊ะ ไอนี่!” นทีขว้างหมอนบนโซฟาใส่ไอ้คนกวน แต่พิธานกลับคว้าหมับแล้วจึงกอดไว้

     หลังถามเรื่องราวอีกเล็กน้อย หญิงวัยกลางคนเหลือบก็มองท่าทางที่เพิ่งดึงกลับมาจนเป็นปกติได้ของม่านฟ้าก่อนถอนหายใจ กลัวเหมือนกันว่าหลานชายเธอจะไม่ทันไอ้คนจอมกวนข้างๆ ถึงได้เอ่ยปากเพื่อแยกหลานชายออกไป

     “ฉันขอคุยกันแฟนแกตัวต่อตัวหน่อย”



     ม่านฟ้าถูกแยกออกไปแล้วแม้จะดูไม่สบายใจอยู่บ้าง เหลือเพียงหนึ่งหนุ่มกับหนึ่งสาววัยกลางคนนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้วยกัน พิธานไม่ได้มีท่าทางกังวลเมื่อคนรักเดินจากไปแต่ยังวางท่าทีนิ่งเฉยได้ไม่ต่างจากเดิม

     จะว่านทีไม่ไว้ใจก็คงได้ กลัวเหมือนกันว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะเป็นประเภทมาหลอกทำให้หลานชายเธอเสียใจแล้วทิ้งไปอย่างที่เธอก็เจอมาไม่น้อย แต่ทั้งคู่คบกันมานานขนาดนี้ เธอเองที่เป็นแค่อาแถมไม่ได้สนิทกันมาตั้งแต่แรกจะมีสิทธิ์เข้าไปพูดอะไรได้มากมาย

     “จริงๆ คบกันมาสี่ปีแล้วฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรมากหรอก” นทีพูดขึ้นมาก่อนพลางถอนหายใจ “เธออาจจะรู้จักเมฆมากกว่าฉันเสียด้วยซ้ำไป”

     พิธานไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดนั้น เพียงนั่งฟังอย่างสงบ

     “ที่บ้านเธอว่ายังไงบ้าง รู้เรื่องนี้รึเปล่า” ผู้เป็นอาถามหลานเขยขึ้นมาอีกครั้งหลังปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมบรรยากาศมาสักพัก

     “รู้ครับ ที่บ้านผมไม่ได้ว่าอะไร ผมเคยพาเมฆไปแนะนำตัวกับที่บ้านแล้วครับ” นทีพยักหน้ารับคำ แบบนี้ก็คงพอจะมั่นใจได้ว่าพิธานคงคิดจริงจังกับหลานชายเธอไม่น้อย น่าจะหมดห่วงไปได้อีกเรื่องหนึ่ง เหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อยและพึมพำเบาๆ อย่างเข้าใจอะไรได้ดียิ่งขึ้น

     “ก็เหลือแต่บ้านฝั่งนี้สินะ”

     “...” พิธานไม่ได้ตอบรับ แต่การเงียบนั้นก็เป็นคำยอมรับได้กลายๆ

     “อึดอัดรึเปล่า” นทีถามออกมาตรงๆ การที่ตนเองเปิดเผยกับครอบครัวอย่างเต็มที่ ถึงขั้นพาไปแนะนำตัวกับที่บ้าน แต่กลับไม่สามารถบอกความจริงกับครอบครัวอีกฝั่งได้ ต่อให้ไม่มีใครบอกเธอก็พอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นได้

     “...อึดอัดครับ” พิธานเองก็ตอบรับออกมาโดยไม่อ้อมค้อมเช่นกัน

     “...” คำตอบที่ได้รับไม่ได้เกินความคาดหมาย แต่ทำให้นทียิ้มออกมาเล็กน้อย ถูกใจกับความตรงไปตรงมาของชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาอีกนิด ขณะที่พิธานก็รอฟังคำถามต่อมาอย่างใจเย็น เขาไม่เคยกลัวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่กับพ่อของม่านฟ้าหากต้องคุยกันตรงๆ เช่นนี้เขาก็กล้า เพียงแต่ไม่อยากให้ม่านฟ้าต้องมากังวลไปด้วยเท่านั้น

     แยกเมฆออกไปก็ถือว่าดีแล้ว

     “เคยคิดอยากเลิกกับเมฆเพราะต้องเก็บเป็นความลับแบบนี้ไหม” ยิ่งถามคำถามของนทีก็ยิ่งตรงขึ้นเรื่อยๆ พิธานนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนตอบออกมา

     “ไม่ครับ” นทีเลิกคิ้วขึ้น คำตอบนี้เธอค่อนข้างจะคาดไม่ถึงสักหน่อย แต่ก็พยักหน้ารับในคำพูดต่อมาของอีกฝ่าย “แต่ผมเคยกลัวว่าความลับนี้ จะทำให้เมฆอึดอัดจนอยากเลิกกับผมไหม”

     “แล้วเป็นยังไง”

     “ก็...ทะเลาะจนเกือบเลิกกัน แต่โชคดีเราคุยกันได้” พิธานแค่นยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดย้อนไปถึงการทะเลาะกันครั้งนั้น เพียงแค่เรื่องไร้สาระที่เขาคิดไปเอง แต่เพราะผนวกเข้ากับความอึดอัดที่สะสมมาตลอดอย่างไม่รู้ตัว ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น

     “หึ ความลับเนี่ย มันไม่ดีเลยเนอะ”

     นทีหัวเราะเหอะในลำคอเบาๆ นึกสงสารความสัมพันธ์ของหลานชายและคนตรงหน้าไม่น้อย สี่ปีที่ฝืนคบกันมาไม่เพียงแต่คนตรงหน้าที่อึดอัด แต่หลานชายเธอที่เป็นคนกลางก็คงไม่ได้สบายใจนัก

     ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบกลืนกินบทสนทนาระหว่างกันไปเหมือนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิด จนสุดท้ายก็เป็นนทีที่เริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง

     “แต่เธอก็รู้ใช่ไหม ว่ามันไม่ง่าย ที่บ้านนั้นเขาจะยอมรับเรื่องนี้”

     “...”

     “โดยเฉพาะพ่อเขา”

     ชายหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตอกย้ำเขาว่าสิ่งที่ม่านฟ้าคิดและกลัวไม่ใช่เรื่องที่มากเกินไป เพราะม่านฟ้ารู้จักพ่อดี ถึงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความจริงถูกเปิดเผย แม้ตอนนี้เรื่องของพวกเขาจะยังเป็นความลับ แต่การเข้าใจผิดในครั้งก่อนและเรื่องราวของภูหมอกในครั้งนี้ก็ทำให้เขาเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

     รอยเขียวช้ำตามตัวจากการถูกพ่อตีและเสียงร้องไห้ของม่านฟ้ายังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเขา

     “ฉันเข้าใจความอึดอัดนั้นนะ แต่ตอนนี้...มันคงยังไม่ถึงเวลาของบ้านนั้น”

     พิธานเข้าใจดี เพราะเขาเองก็บอกกับม่านฟ้าเหมือนกันว่าให้แก้เรื่องของภูหมอกก่อน แต่กระนั้นเมื่อได้ยินคำพูดย้ำก็อดถอนใจออกมาไม่ได้

     “แต่…”

     คำพูดต่อมาของนทีนุ่มลงจนพิธานต้องเงยหน้าขึ้นมามอง สบกับดวงตาที่อ่อนแสงลงและรอยยิ้มที่ส่งมาให้อย่างใจดี

     .

     .

     “..ให้บ้านนี้ยอมรับเธอก่อนได้ไหม”

     ชายหนุ่มรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นในอก อย่างไรนทีก็ถือเป็นครอบครัวคนหนึ่งของม่านฟ้า สัมผัสของมืออุ่นที่เอื้อมมาตบบ่าเขาเบาๆ ทำให้พิธานอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างออกมาพร้อมความรู้สึกยินดีที่อัดแน่นอยู่ในอก รู้สึกถึงขอบตาที่แสบร้อนขึ้นมากะทันหัน

     “ขอต้อนรับสู่ครอบครัวเรานะ พีท”



     ม่านฟ้าถึงกับผงะเมื่อคนรักเดินออกมาจากห้องแล้วกอดเขาเอาไว้ ใบหน้าคมเข้มที่ก้มลงซบกับบ่าของเขายิ่งทำให้ม่านฟ้างุนงง หันไปมองผู้เป็นอาที่เดินตามหลังออกมาพร้อมรอยยิ้ม

     “จะกลับก็ล็อกประตูให้ด้วย”

     ยังไม่ทันให้ความกระจ่างอะไรได้ นทีก็เดินตัวปลิวขึ้นบ้านไป ทิ้งม่านฟ้าให้ต้องรับมือกับชายร่างสูงตรงหน้าเพียงลำพัง ม่านฟ้ากำลังจะเอ่ยปากถามก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่บ่าของตนเอง

     มือขาวของม่านฟ้ารีบผลักร่างคนรักออกอย่างกังวลแต่กลับถูกรัดแน่นขึ้นราวกับไม่ต้องการให้ม่านฟ้าเห็น สุดท้ายหนุ่มอักษรฯ จึงต้องผ่อนแรงลงอย่างจำยอม

     “โดนอาดุมาเหรอ”

     “...”

     “พีท”

     “...”

     “เป็นอะไร บอกกูได้ไหม” ม่านฟ้ากระซิบเบาๆ กับบ่ากว้างของอีกคน ขณะที่มือก็ค่อยๆ ลูบหลังไปด้วยอย่างปลอบโยน เขาปล่อยให้คนรักกอดตนเองต่อไปจนรู้สึกถึงการสูดหายใจเข้าลึกที่บ่า

     ร่างสูงคลายวงแขนที่กอดคนรักออกมาแล้วยิ้มจางๆ ให้เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย หนุ่มอักษรฯ เม้มปากเข้าหากันอย่างไม่สบายใจเมื่อเห็นดวงตาของคนรักแดงเรื่อ

     พิธานแทบไม่เคยร้องไห้

     ความคิดนั้นทำให้ม่านฟ้าเอื้อมไปลูบแก้มคนรักอย่างเบามือ ก่อนร่างสูงจะเอียงหน้าเข้าหามือเรียวแล้วเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาที่ยังติดแดงส่อประกายของความสุขอย่างเหลือล้น

     “เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังในรถ ตอนนี้กลับกันก่อนเถอะ”

     ถึงม่านฟ้าจะยังไม่ค่อยสบายใจ แต่เห็นคนรักยิ้มได้แบบนี้ก็เบาใจ

     คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอกนะ

     ----

     หลังจากเห็นว่าน้องชายเริ่มปรับตัวเข้ากับผู้เป็นอาได้แล้ว ม่านฟ้าก็เริ่มปล่อยภูหมอกให้อยู่ในความรับผิดชอบของนทีมากขึ้น ส่วนตัวเขาเองก็วิ่งไปวิ่งมาระหว่างหอพักกับที่บ้านเพื่อทำการ ‘ตื๊อ’ บิดาให้ใจอ่อนเรื่องภูหมอก แถมลำบากหนักขึ้นไปอีกเมื่อช่วงนี้ยังเข้าสู่ช่วงสอบกลางภาคของม่านฟ้าให้วุ่นวายหนักกว่าเดิม

     ม่านฟ้ากำลังใช้แผน ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ กับผู้เป็นพ่อ เพราะฉะนั้นต่อให้กำลังอยู่ในช่วงสอบแต่เคล็ดลับสำคัญของแผนการนี้คือความสม่ำเสมอ แม้ม่านฟ้าไม่ว่างกลับบ้านก็จะโทรศัพท์ไปหามารดาเพื่อให้แอบส่งข่าวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับน้องชายอยู่ตลอด

     “มึงมีความสุขที่ได้อ่านหนังสือสอบขนาดนั้นเลยเหรอ”

     เจ้าของห้องอย่างม่านฟ้าหันไปทักอาคันตุกะขาประจำอย่างพิธานที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าเจ้าตัวอารมณ์ดีต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ได้คุยกับนทีแต่ไม่คิดจะขัดจนเริ่มเคืองตาก็ตอนที่แม้จะอ่านหนังสือสอบก็ยังอารมณ์ดีเนี่ยแหละ

     “ก็กูเหลือตัวสุดท้ายแล้ว แถมวิชานี้ชิว ไม่แฮปปี้ได้ไง ไม่เหมือนใครบางคนหรอก เหลืออีกตั้งสามวิชา”

     คนเหลือสอบอีกสามวิชาขมวดคิ้วมุ่น มันก็ดีที่หลังๆ มานี้พิธานชอบทำตัวติดกับเขา ว่างๆ ก็มานั่งมานอนเล่นที่ห้อง แต่มาแล้วกวนประสาทแบบนี้ทำให้เขาอยากข่วนหน้าคนรักแรงๆ สักที

     ม่านฟ้าหันกลับไปอ่านหนังสือของตัวเองต่อสักพักก็ได้ยินเสียงขยับตัวของคนที่นอนอยู่ด้านหลัง รู้สึกถึงการลุกขึ้นมายืนของเจ้าตัว ม่านฟ้าเหลือบมองเวลาคิดว่าคนรักคงเตรียมตัวไปหาอะไรกินแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่ข้างแก้ม

     พิธานก้มลงกอดไหล่คนรักจากด้านหลัง ฉวยโอกาสกดจูบลงไปบนริมฝีปากเมื่อคนรักหันหน้ามามองเขาจนม่านฟ้าต้องหดคอหนี

     คนถูกฉวยโอกาสเพียงตกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้เกร็งมากอย่างช่วงแรก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่ หลังจากวันนั้นเขารู้สึกว่าพิธานชอบเข้ามาสัมผัสเขามากขึ้น ทั้งการกอด การจูบ หรือการคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ถึงจะรู้สึกแปลกและคันหัวใจนิดหน่อยกับความหวานที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาเองก็รู้สึกดี

     ชายร่างสูงยังคงกดจูบซ้ำๆ ที่ริมฝีปากของคนรักอย่างหยอกล้อ จนม่านฟ้าต้องเบือนหน้าหนีทิ้งให้แก้มกลายเป็นเหยื่อของการลวนลามครั้งนี้แทน “พีท พอ”

     เสียงปรามเบาๆ อย่างไม่จริงจังแต่ก็ทำให้พิธานคลายมือออกจากไหล่คนรักแล้วขยับยืดตัวเต็มความสูง คลี่ยิ้มออกมากับคนที่พยายามเก็บอาการแต่ก็ยังเก็บใบหูที่ขึ้นสีแดงเรื่อไม่มิด ตัดสินใจเลิกแกล้งคนรักแล้วชวนลงไปกินข้าวด้วยกัน

     จนเมื่อการสอบวิชาสุดท้ายของม่านฟ้าจบลง หนุ่มอักษรฯ ก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรงโดยไม่สนใจว่าจะมีใครอีกคนนอนอยู่บนเตียงของเขาอยู่ก่อน

     พิธานสอบเสร็จก่อนตั้งแต่เมื่อวานและมานอนรอคนรักที่ห้องเพราะรู้ว่าเจ้าตัวจะต้องกลับมานอนแผ่เพื่อชาร์ตพลังตามนิสัยมนุษย์ถ่านอ่อน แต่พอโดนคนรักโถมทับลงมาก็อดสะดุ้งไม่ได้

     ม่านฟ้าปล่อยตัวเองให้นอนพังพาบนิ่งอยู่กับที่แม้ครึ่งตัวด้านข้างจะอยู่บนเตียง...และอีกครึ่งตัวจะทับอยู่บนร่างของคนรักก็ตาม

     โทรศัพท์ของม่านฟ้าร้องสั่นเบาๆ อยู่ภายในกระเป๋ากางเกงแต่เจ้าตัวก็ยังนิ่ง ผิดกับพิธานที่ไม่สนใจไม่ได้เพราะจุดที่โทรศัพท์สั่นนั้นทาบอยู่บนตัวเขาและใกล้กับจุดที่อันตรายเหลือเกิน

     พิธานขยับตัวม่านฟ้าออกเล็กน้อยแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงคนรัก หน้าจอโทรศัพท์แสดงการแจ้งเตือนหนึ่งขึ้นมาให้พิธานเลิกคิ้วขึ้น

     “ประกาศผล? ”

     เสียงคนรักอ่านข้อความที่เขาตั้งเตือนไว้ในโทรศัพท์เรียกกำลังในร่างกายของม่านฟ้าให้ตื่นขึ้นมาอีกหน เขาผงกหัวขึ้นมามองหน้าคนรัก อธิบายถึงความหมายของข้อความนั้นให้ฟัง “ผลสอบไอ้หมอก”

     ชายหนุ่มสองคนลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกัน ม่านฟ้านั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือแล้วเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาเพื่อตรวจสอบรายชื่อ ขณะที่พิธานก็ก้มตัวลงมองหน้าจอและลุ้นไปด้วยกันกับคนรัก

     สายตาสองคู่ช่วยกันกวาดมองไปตามรายชื่อในประกาศก่อนที่จะจิ้มไปที่หน้าจอพร้อมกันเมื่อเจอรายชื่อที่ตามหา ไม่มีเสียงโห่ร้องอย่างดีใจเพราะอย่างไรคนที่ติดก็ไม่ใช่พวกเขา แต่ผลที่ออกมาก็ทำให้พวกเขาถอนหายใจออกมาพร้อมกันอย่างโล่งอก

     ม่านฟ้าหันมาสบตากับคนรักแล้วเผยยิ้มกว้างเช่นเดียวกับพิธานที่เผยยิ้มจนเห็นเขี้ยวแล้วกางแขนออกเรียกคนรักเข้ามาภายใน ม่านฟ้าขยับตัวลุกขึ้นเพื่อกอดคออีกคนแน่นก่อนพึมพำเบาๆ “ขอบคุณนะ”

     หนุ่มวิศวะพยักหน้ารับและกอดตอบคนรัก เขากระซิบเย้าม่านฟ้าที่ข้างหู “แบบนี้กูต้องได้รางวัลแล้วไหมอ่ะ”

     ชายหนุ่มร่างสันทัดผละออกมาเหลือเพียงแขนที่ยังโอบรอบคอของคนรัก แซวอดีตครูสอนพิเศษของน้องชายเล็กน้อยแต่ก็ยังถามออกไปอย่างอารมณ์ดี “สอนพิเศษไอ้หมอกแต่มาเก็บเอากับกูตลอดเลยนะ...อยากได้อะไร? ”

     “ก็มึงเป็นคนมาขอให้กูสอน” คนทวงรางวัลยิ้มกริ่มแล้วตอบกลับไป โน้มหน้าลงไปใกล้คนรักแล้วกดจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนกดซ้ำลงไปอีกครั้งเมื่อพูดจบประโยค “ขอเป็นจูบได้ไหม”

     “มึงก็ทำอยู่ไหมล่ะ” ม่านฟ้าอ้อมแอ้มออกมาอย่างพูดไม่ถนัดเมื่ออีกคนยังวนเวียนกดริมฝีปากลงมา

     “ไม่เหมือนกัน อ้าปาก”

     คำสั่งของพิธานทำให้ม่านฟ้าเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย พอจะรู้แล้วว่าไม่เหมือนอย่างไรจากคำสั่งนั้น พิธานคงหมายความถึง ‘จูบจริง’ แบบที่ไม่ใช่การจูบแบบหยอกเย้าเช่นนี้

     ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกพร้อมหลุบตาลงต่ำ ใช้เวลาทำใจอยู่ครึ่งนาทีก็เงยหน้าขึ้นมาหาคนรักพร้อมกับค่อยหลับตาลง ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อยเพื่อตอบรับคำสั่งก่อนหน้า

     ไม่ช้าริมฝีปากของอีกคนก็กดแนบลงมาพร้อมปลายลิ้นที่ตวัดเข้าไปภายใน ม่านฟ้าได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงปนไปกับเสียงจูบที่ดังออกมาอย่างน่าอาย พยายามฝืนตัวเองไว้ไม่ให้ขาอ่อนแรงและโอนอ่อนไปกับสัมผัสสุดรัญจวนที่อีกฝ่ายมอบให้

     ทั้งที่ก็เตรียมใจก่อนแล้ว แต่เมื่อรสจูบเร่าร้อนนั้นไม่จบลงเสียที ม่านฟ้าก็ได้แต่ขยุ้มเสื้อคนรักหวังยึดไว้เป็นหลักพิง ดีที่พิธานประคองหลังของเขาเอาไว้ เขาจึงไม่ล้มลงไปให้ต้องขายขี้หน้าในตอนนี้

     พิธานเก็บเกี่ยวความหวานจากริมฝีปากคนรักอยู่นาน จนรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเล็กน้อยของคนในอ้อมแขนเป็นสัญญาณบอกถึงขีดจำกัดของเจ้าตัว สมองเขาร้องบอกให้หยุดตัวเองลงในตอนนี้ แต่ริมฝีปากก็ยังฉวยโอกาสกับคนตรงหน้าอย่างไม่รู้จักพอ จนเกิดความรู้สึกวาบหวิวบางอย่างขึ้นมาที่ท้องน้อยเขาถึงต้องรีบตัดใจก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยมากไปกว่านี้

     คนถูกเอาเปรียบซบหน้าลงไปกับบ่าคนรักอย่างอ่อนแรง ประท้วงออกมาแผ่วเบาด้วยเสียงที่ยังติดสั่น “รางวัลนี้มันแพงกว่าค่าสอนอีกนะ”

     คนรับรางวัลไปหมาดๆ หัวเราะแผ่วเบาแล้วเงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ เขาไม่แน่ใจว่าหากก้มลงสูดหายใจเข้าไปแล้วได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวคนรักจนทำให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นดีขึ้นหรือแย่ลง จึงได้แต่นิ่งอยู่ท่านั้นครู่หนึ่ง

     จนเมื่ออารมณ์ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พิธานจึงค่อยดันตัวคนรักออกแล้วตั้งใจวนกลับมาคุยเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่ริมฝีปากที่แดงเล็กน้อยของม่านฟ้าทำให้เขาขมวดคิ้วกดจูบลงไปเบาๆ อีกครั้งให้หายอยากแล้วเอ่ยเตือนคนรักถึงสิ่งที่คิดไว้ “ผลสอบไอ้หมอก อย่าลืมบอกพ่อล่ะ”

     ม่านฟ้าพยักหน้ารับส่งเสียงตอบในลำคอเบาๆ เขาเม้มริมฝีปากไว้ไม่ให้คนตรงหน้าได้ฉวยโอกาสอีก อย่างไรก็คิดว่าต้องบอกพ่ออยู่แล้ว ช่วงที่ผ่านมาเขามัวแต่ติดอ่านหนังสือจึงต้องรีบกลับไปเพื่อดำเนินตามแผนต่อไม่ให้หยุดชะงัก แล้วเรื่องใหญ่อย่างผลสอบวันนี้เขาคงต้องไปคุยกับพ่ออีกครั้งด้วยตัวเอง

     ไม่แน่วันนี้อาจจะเห็นความคืบหน้ามากขึ้นก็ได้

     ตื๊อบ่อยๆ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง

     “กูว่าจะกลับบ้านวันนี้แหละ”

     พิธานพยักหน้าและตอบรับในลำคอ ม่านฟ้าเหลือบตาขึ้นมองคนรักก่อนหลุบลง ยิ่งพิธานคอยเตือนและช่วยเหลือเขาไปหมดทุกอย่างแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด สมองฝั่งหนึ่งบอกตัวเองให้ตัดใจเลิกคิดมากแล้วเคลียร์เป็นเรื่องๆ ไปก่อน แต่อีกฝั่งกลับอยากทำอะไรให้คนรักได้มากกว่านี้ ม่านฟ้าลังเลอยู่เล็กน้อยสุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจและกล่าวขอโทษออกมา “ส่วนเรื่องของเราอ่ะ...มึงรออีกหน่อยนะ”

     ชายหนุ่มร่างสูงคลี่ยิ้มระอากับคนคิดมากแล้วกดจูบที่หน้าผากคนรักแทนริมฝีปากที่ถูกเม้มไว้ เข้าใจว่าม่านฟ้ากำลังรู้สึกอย่างไรและคงเริ่มคิดมากอีกครั้ง ชั่วครู่หนึ่งที่ความคิดบางอย่างแล่นผ่าน พิธานก็เผยยิ้มร้ายออกมาเมื่อนึกวิธีทำให้คนคิดมากหัวว่างได้สักพักแถมตัวเขาเองก็ยังได้กำไรอีกต่างหาก

     “รู้แล้วน่า ถ้ามึงไม่สบายใจ ให้กูเก็บดอกเบี้ยรอดีไหม ยิ่งช้าดอกเบี้ยก็ยิ่งแพง วันนี้ถือว่าเก็บค่าปรับงวดแรกไปก่อน”

     ม่านฟ้าไม่ทันถามถึงดอกเบี้ยและค่าปรับที่คนรักพูดถึง พิธานก็โน้มใบหน้าลงมาอีกครั้งแสดงหลักฐานการเก็บค่าปรับล่าช้างวดแรกให้ได้เห็น

     จากนี้ถ้ายังคิดมากอีกบ่อยๆ คงได้มีคนปากเปื่อยจริงๆ แน่


     TBC




     Achaya (Writer) :

     อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นโรแมนติกดราม่า ขอโรแมนติกก่อนละกัน แล้วเดี๋ยวดราม่าค่อยตามมา หวังว่าจะไม่เบื่อกันนะ

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 15 (15.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-08-2021 19:51:24
 o13 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 16 (23.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 23-08-2021 22:04:33
ภาคความจริง : บทที่ 16

     เสียงฉ่าของน้ำมันดังขึ้นเมื่อม่านฟ้าโยนไก่ลงไปทอดในกระทะ เขารีบปิดฝาก่อนที่น้ำมันจะกระเด็นมาโดนตัวแล้วหันมาปอกกระเทียมเตรียมผัดผักอีกจาน

     ม่านฟ้าไม่ชอบการทำอาหารเท่าไหร่ถึงทำได้แค่อาหารง่ายๆ อย่างผัดผัก ของทอดและเมนูไข่อีกนิด แต่เพราะวันนี้เขากลับบ้านเร็วแม่จึงวานให้เขาทำอาหารเย็นให้พ่อแทนตัวเองที่มีเวรเลิกดึก

     ชายหนุ่มเม้มปากแดงเจ่อของตัวเองเล็กน้อยเมื่อกลิ่นของอาหารเริ่มทำให้พยาธิในท้องตื่นมาร้องโวยวาย ตักผัดผักใส่จาน แล้วหันไปวางกระดาษซับมันบนจานเพื่อนำไก่ทอดที่สะเด็ดน้ำมันแล้วเทลงไป เขาหยิบเมนูสุดท้ายอย่างไข่ตุ๋นออกจากซึ้งก็พอดีกับได้ยินเสียงรถที่ถอยเข้ามาจอด

     สองพ่อลูกนั่งกินข้าวกันเงียบๆ เหมือนกำลังหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน นภดลคิดว่าการกลับบ้านของลูกชายคนโตครั้งนี้ก็คงไม่พ้นการพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาอภัยให้ลูกชายคนเล็กอีกตามเคย บอกตัวเองว่าเขาเบื่อที่จะบ่นม่านฟ้าแล้วจึงได้แต่ทนๆ ฟังไปแม้ไม่ได้อยากรู้เลยก็ตามที

     ไม่ผิดจากที่พ่อคิด ม่านฟ้ากำลังหาวิธีในการบอกผลสอบของภูหมอกอยู่ วันนี้เขาบอกพ่อกับแม่แล้วว่าจะไปนอนบ้านนที หวังเอาไว้ไม่น้อยว่าวันนี้เขาจะสามารถงัดเอาคำชมจากพ่อไปฝากน้องชายให้ได้

     จนเมื่อมื้ออาหารจบลง ม่านฟ้าก็บอกถึงผลการสอบด้วยการวางกระดาษแผ่นกระดาษลงบนตักพ่อเงียบๆ กระดาษที่เขาปริ๊นซ์มาพร้อมรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์คณะแพทย์ฯ ถูกสะบัดทิ้งราวกับต้องของร้อน ท่าทางในตอนแรกที่พ่อเห็นทำเอาม่านฟ้าลุ้นตัวโก่ง แต่กลับกลายเป็นหงุดหงิดเมื่อเจอคำพูดของคนปากแข็ง

     “ฉันไม่มีลูกน่ารังเกียจอย่างมัน”

     ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกอย่างระงับอารมณ์ เริ่มคิดว่าพ่อของเขาใช่เป็นเพียงคนปากแข็ง แต่ยังเป็นคนที่มีทิฐิสูงมากอีกด้วย เขาไม่เคยคาดหวังการยอมรับในตัวเขาจากพ่อเพราะรู้ตัวดีว่าตนเองไม่ได้เรื่อง หากจะเป็นเพศที่สามเข้าไปอีกก็คงไม่แปลกที่จะยิ่งถูกเกลียด

     แต่กับภูหมอก น้องเป็นเด็กดีของพ่อมาตลอด เขาจึงคิดว่าพ่อคงพอจะให้อภัยในสิ่งที่น้องเป็นได้สักวัน แต่การปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าของผู้เป็นพ่อทั้งที่เวลาก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้วทำให้ม่านฟ้าอึดอัดจนเกินจะทน

     “สิ่งที่พ่อภูมิใจในตัวหมอกมาตลอด มันแค่ความเป็นผู้ชายของหมอกเท่านั้นเหรอพ่อ ผมเคยคิดว่าพ่อภูมิใจที่มันเป็นเด็กดี เรียนเก่ง หรืออะไรก็ตามที่ทำให้พ่อรักหมอก แต่สุดท้าย พ่อรักแค่ความเป็นผู้ชายของมันเท่านั้นรึไง ถึงต้องตัดขาดพ่อลูกเพียงแค่มันเป็นแบบนั้นน่ะ!!

     ภาพของพ่อที่นิ่งงันไปทำให้ม่านฟ้ากลั้นหายใจ แอบหวังว่าคำพูดนั้นจะกระตุ้นทำให้พ่อคิดและลดทิฐิลงได้ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม

     “แกจะไปไหนก็ไป ฉันไม่อยากคุยกับแกแล้ว”

     ชายหนุ่มที่ถูกไล่หลุบตาลงและลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หงุดหงิดตัวเองที่เผลอหวังลมๆ แล้งๆ ทั้งเหนื่อยใจ ท้อใจแต่ก็กลับทำอะไรไม่ได้ ในเวลาที่อะไรๆ ไม่ได้ดั่งใจแบบนี้เขาอยากจะทำหน้าบึ้งแล้วโวยวายออกมาให้ลั่นบ้าน แต่ก็ทำได้เพียงหันกลับมามองแผ่นหลังของผู้เป็นพ่ออย่างติดจะปลง

     นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้กอดพ่อ

     ความคิดชั่วครู่ที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้เขาขมวดคิ้ว ในเวลาแบบนี้หากเป็นภูหมอก เจ้าเด็กนั้นคงพุ่งเข้าไปกอดและอ้อนพ่อแล้ว ทุกครั้งที่อะไรไม่ได้ดั่งใจภูหมอกก็มักจะงอแงเป็นเด็กเสมอ แม้แต่ครั้งสุดท้ายที่โดนพ่อไล่ออกจากบ้าน เจ้าตัวก็ยังเดินเข้ามาหาอ้อมกอดของพ่ออย่างอ้อนวอน ขณะที่เขา...ไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นสักครั้ง

     ก็มันน่าอายจะตาย

     แต่ต้องทำยังไงพ่อถึงจะใจอ่อน

     หมับ!

     ไม่ทันได้คิดถึงเหตุผลของการกระทำ ม่านฟ้าก็เผลอกอดชายวัยกลางคนตรงหน้าไปแล้ว เขาเพียงอยากจะลองอ้อนดูอย่างภูหมอกเผื่อมันจะได้ผล และคิดว่าในวันที่น่ายินดีแบบนี้เขาควรจะมีของไปฝากน้องบ้างก็เท่านั้น

     ไม่ได้ทำไป...เพราะคิดถึงการกอดพ่อหรอกนะ

     "มีคนฝากกอด"

     ทั้งที่คิดว่ามันคือการเอากอดไปฝากน้อง แต่ม่านฟ้ากลับพูดไปอีกอย่าง แอบอ้างเอาน้องชายมาใช้ประโยชน์ แล้วรีบผละออกมาเมื่อเริ่มรู้สึกถึงความกระดากอายในน้ำเสียงและความร้อนที่แก้มจนได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาแก้มอย่างทำตัวไม่ถูก

     “ทิฐิอะไรของพ่อน่ะ ก็ลดลงหน่อย ให้อภัยน้องมันซะทีเหอะ”

     ม่านฟ้าได้แต่อ้อมแอ้มพูดออกไป คิดว่าวันนี้ไม่ได้รับคำชมของพ่อมาแต่อย่างน้อยก็อยากให้พ่อได้คิดอีกสักนิด ใจอ่อนลงอีกสักหน่อย เพื่อให้เขารู้ว่าการกระทำของเขาในช่วงนี้ไม่ได้สูญเปล่าและพอจะเห็นความคืบหน้าของผลงานบ้างก็เท่านั้น

     “น้องมันรอพ่อพาไปเลี้ยงฉลองอยู่นะ รีบๆ หายโกรธได้แล้ว”

     ชายหนุ่มได้แต่ถอดถอนใจเมื่อทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายไว้กวนประสาทพ่อก่อนจะวิ่งหนีออกมา ถึงจะทำเป็นเล่นแต่ก็รู้ดีว่าการตื๊อครั้งนี้อาจไม่ใช่แผนการที่ดีอีกต่อไป แล้วนึกสะท้อนใจตัวเองออกมาเงียบๆ

     ถ้ากับภูหมอกลูกรักยังไม่มีหวัง แล้วกับลูกชังอย่างเขาจะเหลืออะไร

     ----

     'ศุกร์นี้กลับบ้านไหม'

     เสียงคนรักถามดังผ่านโทรศัพท์ขึ้นมาในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่ม่านฟ้าขยับตัวลงนั่งบนที่นอนในหอพัก เตรียมทิ้งตัวหลังผ่านการส่งรายงานชิ้นสำคัญในวันนี้

     "ไม่แน่ใจ แต่ถ้าจะกลับจริงกูก็กลับเองได้ มึงจะไปรับไปส่งตลอดเพื่อ"

     เพราะช่วงนี้พิธานมักคอยไปรับไปส่งเวลาเขากลับบ้านหรือไปบ้านนทีเสมอ จนบางครั้งม่านฟ้าก็รู้สึกเหนื่อยแทนเจ้าตัวที่ต้องเทียวไปเทียวมา พยายามบอกให้หยุดหลายครั้งแต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม

     'ก็แฟนอ่ะ อยากไปรับไปส่งแล้วมึงจะทำไม กูยังไม่เหนื่อยแล้วมึงจะบ่นเพื่อ'

     คำตอบติดจะกวนสวนกลับมาอย่างไม่เกินความหมายแต่ก็ทำให้หัวที่มึนอยู่แล้วของม่านฟ้าเริ่มปวดตุบขึ้นมาอีก เขาเคยจับเข่าคุยกับคนรักเรื่องนี้และได้คำยอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็สบายใจที่ได้ไปส่ง อาจเพราะสถานการณ์ในบ้านของม่านฟ้าตอนนี้ก็ใช่ว่าจะปกติ พิธานจึงอดกังวลไปด้วยไม่ได้และเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เอาไว้เท่านั้น

     "เออๆ ถ้ากลับแล้วจะบอกแล้วกัน กูนอนล่ะ"

     'อืม งั้นคืนนี้กูไปเล่นบอลกับเพื่อนนะ อาจจะไปดื่มต่อกันด้วย'

     "อืม ไม่ต้องเอารถไปนะ วันนี้กูงดเก็บศพ ถ้าเมาหนักก็ให้พวกมันลากกลับไปนอนเลย"

     ม่านฟ้าทิ้งตัวลงนอนเมื่อตกลงกับคนรักเรียบร้อย รู้สึกปวดหัวกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติตั้งแต่เมื่อวาน คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาโต้รุ่งกัดฟันทำรายงานหลายวันจนร่างกายพักผ่อนไม่พอก็เป็นได้ถึงได้รีบห่มผ้าเพื่อชดเชยเวลานอนที่หายไป

     เขารู้สึกตัวอีกครั้งในยามดึก รู้สึกไม่สบายตัวจากอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นกว่าเดิม นึกรู้ว่าตนเองคงเป็นไข้จริงจังแล้ว แต่ก็ฝืนนอนต่อไปหวังว่าพรุ่งนี้อาการจะดีขึ้น



     พิธานเปิดประตูเข้ามาในห้องคนรักในเวลาเกือบเที่ยง เห็นร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจหน่าย นึกไว้ว่าที่โทรไม่รับ ไลน์ไม่ตอบต้องเป็นเพราะยังนอนอุตุอยู่แล้วก็ไม่ผิด วันนี้เขากับม่านฟ้ามีเรียนบ่ายทั้งคู่จึงกะมาลากคนรักออกไปกินข้าวก่อนเข้ามอด้วยกัน

     "เมฆ จะเที่ยงแล้วมึง ลุก"
     
     อาคันตุกะขาประจำเห็นเจ้าของห้องขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะนิ่งไปอีกครั้ง มือใหญ่ถึงได้เขย่าตัวคนรักผ่านผ้าห่มอีกครั้งเบาๆ "เมฆ ตื่น"

     "..."

     ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก…

     ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจหนักๆ อีกทีอย่างระอาคนขี้เซา ถอดปอกผ้าห่มชั้นนอกออกจากตัวหนอนขี้เซาเพราะรู้ว่าขาดผ้าห่มม่านฟ้าก็จะไม่สามารถนอนได้อย่างเป็นสุขอีก แต่ความร้อนภายในผ้าห่มที่สูงกว่าปกติทำให้พิธานขมวดคิ้ว

     เขาเอื้อมมือไปสัมผัสซอกคอของคนรัก เมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติก็เสยผมที่ปรกหน้าอีกคนขึ้นเพื่อยืนยันให้แน่ใจจากการทาบฝ่ามือลงบนหน้าผาก

     "อ้าว ไข้ขึ้นเฉย เป็นไรเนี่ย"

     หนุ่มวิศวะตบแก้มคนรักเบาๆ เรียกให้ม่านฟ้าลืมตาขึ้นมา ดวงตาที่ปรือขึ้นติดแดงเล็กน้อยจากอาการไข้จ้องคนรักนิ่งอย่างกำลังประมวลผล เมื่อนึกได้ว่าพิธานคงมาตามไปเรียนถึงได้เอ่ยออกไปเบาๆ

     "มึงไปเรียนเลย กูขอโดด"

     "กินยาบ้างยัง หรือเอาแต่นอน" พิธานพยักหน้ารับคำคนรักแล้วถามออกไปทั้งที่มีคำตอบอยู่ในใจ "แล้วข้าวเนี่ยได้กินไหม"

     "..."

     ม่านฟ้าเองก็รู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นของคนรักไม่ใช่คำถาม แต่เป็นเหมือนคำบ่นไปเรื่อยมากกว่าถึงได้หลับตาลงไม่ตอบให้ยิ่งเข้าตัว ก่อนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคนรักเดินออกจากห้องไป

     พิธานกลับเข้ามาในห้องพร้อมข้าวกล่องของตัวเองกับโจ๊กคัพใส่ไข่ของม่านฟ้า วางของไว้บนโต๊ะหนังสือแล้วเปิดลิ้นชักหายาพร้อมเรียกคนรักอีกหน "ลุก"

     ม่านฟ้าขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างว่าง่าย รับโจ๊กคัพจากคนรักแล้วมองพิธานที่หันเก้าอี้โต๊ะหนังสือมาทางเขาก่อนเปิดฝาข้าวกล่อง กลิ่นกะเพราจากกล่องของอีกคนลอยมาให้ม่านฟ้าเงยหน้ามองก่อนก้มหน้ากลับมาที่โจ๊กในมือตัวเอง เจ็บใจที่น่าจะบอกคนรักสักหน่อยว่าเขาไม่ได้เจ็บคอ ไม่ต้องซื้อของอ่อนๆ อย่างโจ๊กมาก็ได้

     แม้กระนั้นทั้งที่อาหารในห้องออกจะหอม แทนที่คนป่วยจะรู้สึกหิวกลับรู้สึกคล้ายจะเบื่ออาหารขึ้นมาเสีย พะอืดพะอมเล็กน้อยกับอาหารตรงหน้าแต่ก็ฝืนกินเข้าไปจนหมด

     หลังมื้ออาหารผ่านไปอย่างเงียบเฉียบ พิธานก็ส่งยาให้คนรักที่รับไปกินแต่โดยดีก่อนจะถูกม่านฟ้าไล่ให้ไปเรียน ถึงกระนั้นพิธานก็ยังไม่วายสัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้งในตอนเย็น

     หนุ่มวิศวะขมวดคิ้วเมื่อกลับมาแล้วแต่ไข้ของคนรักก็ยังไม่ลด เบาใจได้หน่อยที่ไม่มีอาการไอหรือเจ็บคอให้ต้องกังวลว่าจะเป็นไข้หวัด เขาเสนอให้ไปหาหมอแต่ก็ได้คำตอบรับเพียงการส่ายหน้า ม่านฟ้าว่ากินยาอีกสักหน่อยก็คงดีขึ้นเอง

     จนเช้าวันรุ่งขึ้นที่พิธานแวะมาหาอีกครั้งก่อนไปเรียน เขาเบาใจขึ้นเมื่อสัมผัสถึงอุณหภูมิที่ลดลง จึงปล่อยให้คนรักนอนต่อพร้อมกับวางถุงข้าวต้มเอาไว้ที่โต๊ะ อนุโลมให้คนรักโดดเรียนอีกสักวันแล้วส่งสารไปบอกเพื่อนสนิทคนรักให้เก็บชีทเรียนมาให้ด้วย

     ทั้งที่น่าจะสบายใจได้แล้ว แต่เพราะเขามีเรียนพร้อมทำแล็บจนถึงบ่ายจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลและส่งข้อความไปหาตัวช่วยเพิ่ม

     'กลับห้องบ้างไหมมึง หรือจำทางกลับห้องไม่ถูกแล้ว'

     ข้อความถูกส่งไปหารูมเมทของม่านฟ้า เจ้าตัวเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของม่านฟ้าจนตกลงมาเป็นรูมเมทกันเมื่อย้ายเข้ามาอยู่หอพัก แต่เพราะณัฐดนัยติดแฟนมากจนแทบจะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ด้วยกัน ม่านฟ้าจึงเหมือนอยู่คนเดียวเสียส่วนใหญ่

     'อะไรของมึง เมียมึงเหงามากรึไงถึงทักมาหากูเนี่ย'

     พิธานด่าออกไปทั้งทางข้อความและออกเสียงในโลกแห่งความจริง ก่อนจะรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้อ่านข้อความต่อมา

     'เออน่า วันนี้กูว่าจะกลับไปเอาของที่ห้องอยู่แล้ว



     ม่านฟ้าลืมตาขึ้นมาในเวลาสายรู้สึกถึงอุณหภูมิที่ลดลงของตัวเอง แต่กลับกระสับกระส่ายปวดเมื่อยเนื้อตัวยิ่งกว่าเดิม เขาเหลือบมองถุงข้าวต้มที่วางไว้บนโต๊ะก็ฝืนตัวขึ้นมาเพื่อกินข้าวก่อนกินยาตามลงไปหวังให้อาการป่วยที่หลงเหลืออยู่หมดไปเสียที

     ชายหนุ่มนั่งพักท้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วล้มตัวลงนอน ไม่รู้ว่าเคลิ้มหลับไปนานแค่ไหนแต่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงอาการพะอืดพะอมและอาหารที่กำลังตีตื้นขึ้นมา

     ร่างสันทัดพุ่งไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วอาเจียนข้าวต้มออกมาจนหมด รู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าเดิมแม้จะล้างหน้าให้สดชื่นขึ้นแล้วก็ตาม เหงื่อผุดพรายขึ้นตามหน้าผาก แต่ฝ่ามือกลับเย็นจนต้องกำมือตัวเองหลายๆ ครั้งเพื่อเรียกสติ

     ณัฐดนัยเปิดประตูห้องพักเข้ามาในเวลาบ่ายและภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือรูมเมทของเขาที่กำลังโซซัดโซเซออกมาจากห้องน้ำ

     "เห้ย! เป็นไรมึง"

     คนมาใหม่คว้าแขนเพื่อนได้ก็กึ่งลากกึ่งประคองมาที่เตียง มองสภาพของรูมเมทที่หน้าซีด มือเย็น บวกกับอาการเซเมื่อครู่อย่างคนไม่มีแรง ก็พลันนึกไปถึงคนรักของเพื่อนที่ส่งข้อความมาหาเมื่อเช้า

     หรือไอ้พีทจะรู้ว่าเมฆป่วยเลยทักให้เข้ามาช่วยดูแล

     เอ๊ะ? หรือมันเองเป็นคนที่ 'ทำให้' ป่วย

     "นี่มึงโดนไอ้พีทเปิดซิงมาเหรอ!? "

     สายตาของคนป่วยตวัดค้อนรูมเมทที่แค่กลับมาก็พูดจาหมาๆ ใส่แต่ก็ไม่มีแรงจะด่ากลับไป ก้มตัวลงกุมหัวเมื่อรู้สึกคล้ายจะหน้ามืดอีกหน สัมผัสได้ถึงฝ่ามือของเพื่อนที่ทาบบนหน้าผากและน้ำเสียงที่เริ่มร้อนรนเมื่ออาการของม่านฟ้าดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล่น “ตัวก็ไม่ร้อนนิหว่า แต่สีหน้ามึงดูไม่ดีเลย อ้วกด้วยเหรอว่ะ”

     คงเพราะคอเสื้อของม่านฟ้าเปียกน้ำเป็นวงใหญ่จากการวักน้ำล้างหน้าล้างปากและการเดินออกจากห้องน้ำทำให้ณัฐดนัยคาดเดาไปในทางนั้น ซึ่งคำตอบของม่านฟ้าก็คือการพยักหน้ารับเงียบๆ

     “ไปโรงบาลฯ เหอะมึง”

     ณัฐดนัยพูดจบก็ไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธจากคนป่วย ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง สมองค้นหารายชื่อคนที่จะมีรถยนต์พาพวกเขาไปโรงพยาบาลมหาลัยได้ในเวลานี้

     ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาไม่พ้นคนรักของรูมเมทที่เมื่อเช้าเพิ่งจะทักเขามาให้กลับห้อง

     "ไอ้พีทมึงอยู่ไหนเนี่ย"

     'เพิ่งถึงหน้าหอเนี่ย มึงมีไร'

     “รีบขึ้นมาเลยมึง ไอ้เมฆมันไม่สบาย อาการแม่งไม่ดีเลย"

     ไม่มีคำตอบรับจากปลายสายนอกจากความเงียบ ณัฐดนัยมองโทรศัพท์และสายที่ถูกตัดไปอย่างงุนงง แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่หน้าห้อง

     ไม่ต้องรอให้ผู้มาใหม่หากุญแจหรือเคาะประตู เจ้าของห้องก็เปิดประตูให้ร่างสูงถลันพรวดเข้ามา

     "ไข้กลับมาอีกรอบเหรอว่ะ"

     คำถามของพิธานไม่ได้ต้องการคำตอบจากใครเมื่อเจ้าตัวทาบมือกับหน้าผากคนป่วยเพื่อพิสูจน์คำถามด้วยตัวเอง ก่อนขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสถึงอุณหภูมิที่ต่ำกว่าปกติแต่กลับมีเหงื่อชื้นขึ้นตามใบหน้า

     พิธานพยายามทบทวนอาการของคนรักเพื่อสันนิษฐานถึงสิ่งที่ม่านฟ้าเป็น แต่กลับกระวนกระวายจนคิดสิ่งใดแทบไม่ออก เขาตัดใจแล้วหันไปสั่งเพื่อนคนรักแทน

     "มึงไปหาผ้าขนหนูสักผืนกับน้ำสักขวดไว้ เผื่อไข้มันกลับจะได้เช็ดตัวมันบนรถ กูจะพามันไปโรงบาลฯ"

     ตัวคนสั่งการก็ไม่รอช้า หันหลังกลับไปที่โต๊ะหนังสือของม่านฟ้าที่อีกคนชอบวางของเอาไว้ เขาคว้ากระเป๋าสตางค์คนรักมาตรวจดูบัตรนิสิตและบัตรโรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม

     ม่านฟ้าเห็นเพื่อนกับคนรักวิ่งวุ่นกันอยู่ในห้องก็รู้สึกตาลายจนต้องหลับตาลง ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสัมผัสถึงฝ่ามือคนรักที่รั้งแขนของเขาขึ้น

     "ไปเมฆ"

     พิธานพาดแขนของคนรักไว้กับบ่าและเอื้อมมืออีกข้างไปประคองเอวคนป่วยไว้ บังคับให้ม่านฟ้าต้องเดินไปด้วยกันจนถึงรถยนต์ที่จอดไว้

     เจ้าของรถส่งคนรักให้เพื่อนที่เดินตามกันมาติดๆ ขณะที่ตนเองอ้อมตัวรถไปเพื่อทำหน้าที่ของสารถี "มึงนั่งหลังกับไอ้เมฆไป ดูมันด้วย"

     แม้จะถูกสั่งหลายครั้งแต่ณัฐดนัยก็ไม่ได้มีอาการโกรธเคือง ดีเสียอีกเพราะในเวลานี้เขาก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกเหมือนกัน ได้คนรักของเพื่อนมาบอกแบบนี้ก็แค่ทำตามคำสั่งไปเท่านั้น

     ม่านฟ้าขึ้นรถได้ก็ล้มตัวลงนอนตักเพื่อน รู้สึกเวียนหัวตาลายหลังผ่านการเดินเร็วๆ พร้อมอาการพะอืดพะอมที่กลับมาอีกครั้ง เขากำขากางเกงของเพื่อนแน่น รู้สึกทรมานกับอาการต่างๆ ที่เป็นอยู่จนต้องขมวดคิ้ว พยายามหลับตาเพื่อให้ตนเองหลับไปหวังว่าอาการจะดีขึ้น

     เจ้าของตักที่ถูกยึดเป็นที่นอนลูบหัวเพื่อนเบาๆ กังวลกับอาการของเพื่อนไม่น้อย ตั้งแต่รู้จักกันมาน้อยครั้งที่ม่านฟ้าจะไม่สบาย เท่าที่จำได้ม่านฟ้าเคยหยุดเรียนไปเพราะไข้เลือดออกที่เป็นสมัยมัธยมเท่านั้น

     "ไข้เลือดออกรึเปล่าว่ะ"

     เสียงพึมพำของคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเรียกสายตาของพิธานให้มองกลับไปผ่านกระจกมองหลัง คิดว่าเป็นไปได้สูงจากอาการของคนรักตอนนี้ แต่ถ้าใช้จริงก็หมายความว่าอาการของม่านฟ้าตอนนี้เลยระยะไข้และกำลังเข้าสู่ระยะช็อกแล้ว

     พิธานเปิดไฟเพื่อขอทางมาตลอดจนมาถึงโรงพยาบาลของมหาลัย ระยะทางไม่ได้ไกลมากแต่เพราะการจราจรที่ค่อนข้างติดทำให้กว่าจะมาถึงก็เกือบสิบห้านาที

     รถยนต์สีควันบุหรี่จอดลงที่หน้าประตูห้องฉุกเฉินก่อนที่คนขับรถจะพุ่งออกมาเป็นคนแรก พิธานร้องขอรถเข็นจากบุรุษพยาบาลแล้วเปิดประตูหลังเพื่อพาคนรักลงมา

     ขณะที่หมอนจำเป็นอย่างณัฐดนัยกลับไม่กล้าขยับตัวผลุนผลันอย่างอีกคน เขาเขย่าเรียกเพื่อนเบาๆ แต่ก็ต้องหลุดหน้าเหวอเมื่อเจ้าของรถเปิดประตูอีกฝั่งเข้ามาช้อนตัวอุ้มเพื่อนของเขาออกไปวางบนรถเข็น

     "นัท มึงตามเมฆไป เดี๋ยวกูเอารถไปจอดแป๊บ"

     คนที่ถูกสั่งอีกครั้งได้แต่งุนงงแล้วรีบลงจากรถเพื่อตามรถเข็นของเพื่อนไป

     "เอาเถอะ เขาจะทำเป็นมองไม่เห็นท่าอุ้มเจ้าสาวเมื่อกี้แล้วกันนะ



     TBC



     Achaya (Writer) :

     วันนี้มาช้านิด ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 16 (23.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-08-2021 23:02:14
 :katai5: :z10:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 16 (23.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-08-2021 18:41:27
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 15 (15.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-08-2021 00:04:46
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 17 (29.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 29-08-2021 19:01:05
ภาคความจริง : บทที่ 17

     "เป็นไง"

     พิธานเอ่ยถามคนที่นั่งรออยู่ด้านหน้า ณัฐดนัยจึงเงยหน้าขึ้นมองคนตัวโตที่นั่งลงข้างกัน

     "หมอบอกน่าจะไข้เลือดออกแหละ แต่รอผลอยู่ ตอนนี้ก็รอดูอาการ มันน่าจะเกือบเข้าระยะวิกฤตแล้วด้วย โดนหมอด่าอีกว่าทำไมเพิ่งพามา"

     ณัฐดนัยยักไหล่แล้วตอบออกไป มองใบหน้าที่มักจะยิ้มกวนอยู่เสมอของพิธาน บัดนี้กลับเคร่งเสียจนน่ากลัว "แต่ถึงมือหมอแล้ว ไม่เป็นไรหรอก"

     ถึงจะได้ยินคำพูดนั้น แต่พิธานก็ยังไม่เลิกทำคิ้วขมวด เขาพอจะรู้อาการของไข้เลือดออกอยู่บ้าง เท่าที่เขารู้ การจะเข้าสู่ระยะวิกฤตหรือระยะช็อกได้ก็ต้องกินเวลาอย่างน้อย 2-3 วัน แต่ม่านฟ้าเพิ่งเป็นไข้มาได้วันเดียว ทำไมถึงไข้ลดจนเป็นอย่างนี้ได้

     หรือว่าเป็นไข้มาหลายวันแล้วแต่ไม่บอก

     ณัฐดนัยเห็นคนรักของเพื่อนถอนหายใจหนักอย่างคนหงุดหงิดก็อดรู้สึกหวาดไม่ได้ เขาได้ยินเพื่อนรักบ่นหลายครั้งว่ามักถูกคนตรงหน้าดุ ยามนั้นเขายังคิดว่าคนขี้เล่นอย่างพิธานจะดุใครได้ มายามนี้ถึงเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของเพื่อน

     "มึงไม่ต้องไปดุอะไรมันเลยนะ"

     พิธานเหลือบตามองเพื่อนของคนรักที่กำลังพยายามช่วยเพื่อนแต่ก็ไม่ยอมรับปาก สุดท้ายณัฐดนัยก็ทำได้เพียงหาเรื่องอื่นมาดึงความสนใจหลังเวลาผ่านไปสักพัก

     "แล้วมึงได้บอกพ่อแม่ไอ้เมฆยัง กูว่ามันคงต้องแอดมิทแหละ"

     คนอารมณ์ไม่ดีเหมือนกับเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาหยิบโทรศัพท์ของม่านฟ้าที่คว้ามาแล้วไล่หาเบอร์ของมารดาคนรัก พิธานลังเลเล็กน้อยที่จะโทรไปเมื่อดูเวลาแล้วอาจจะเป็นช่วงที่นัชชากำลังขับรถกลับบ้าน ขืนเขาโทรไปบอกว่าลูกชายคนโตอยู่โรงพยาบาลอาจทำให้คุณแม่คนรักต้องตกใจจนเกิดอุบัติเหตุได้ แต่อย่างไรก็คงต้องลองดู

     ----

     นัชชาแปลกใจไม่น้อยที่พิธานโทรมาหาด้วยเบอร์ของลูกชายคนโต ยิ่งแปลกใจหนักขึ้นไปเมื่อเจ้าตัวถามถึงที่อยู่ของเธอ จนเมื่อได้คำตอบว่าเธอเพิ่งถึงบ้าน เธอถึงได้เนื้อหาของการโทรมาว่าลูกชายคนโตอยู่ที่โรงพยาบาล

     หลังรู้เรื่องราว เธอนึกกังวลถึงอาการของม่านฟ้าไม่น้อยเพราะเจ้าตัวเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้วครั้งหนึ่ง การเป็นครั้งที่สองหลายคนมักมีอาการหนักขึ้น หญิงวัยกลางคนเตรียมขับรถไปหาลูกชายที่โรงพยาบาลก็พอดีกับรถยนต์ของสามีขับมาถึงหน้าบ้าน

     สองสามีภรรยามุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลทันที นัชชาติดต่อกับพิธานตลอดการเดินทางทั้งถามไถ่อาการจนถึงเบอร์ห้องพักของม่านฟ้าในตอนนี้

     'ไอ้หนุ่มนี่อีกแล้ว'

     นภดลเลิกคิ้วมองชายหนุ่มตัวโตที่เคยเจอในฐานะครูสอนพิเศษของลูกชายคนเล็กและในฐานะเพื่อนของลูกชายคนโตกับภาพลักษณ์ที่ต่างออกไปเล็กน้อย

     นัชชาเองก็ชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ยกมือรับไหว้พิธานที่ออกมารับบริเวณชั้นล่างของโรงพยาบาล สองสามีภรรยาเหลือบตามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะทิ้งความคิดอื่นออกไปและมุ่งความสนใจกลับมาที่ลูกชายก่อน

     เมื่อมาถึงห้องพักม่านฟ้ายังคงหลับอยู่ นัชชาเดินเข้าไปถึงเตียงคนป่วยก่อนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถึงจะรู้ว่าอยู่ในมือหมอแล้วแต่ก็ยังอยากเห็นกับตาว่าลูกปลอดภัย

     โชคดีที่อาการของม่านฟ้าไม่รุนแรงมาก ไม่จำเป็นต้องเข้าไอซียู เพียงแค่คอยดูอาการอีกสักสองสามวันก็น่าจะเพียงพอ

     พิธานมองมารดาของคนรักลูบแขนคนป่วยเบาๆ แล้วหันกลับมามองบุพการีอีกคน รายนี้ยังคงเว้นระยะออกมาจากเตียงคนป่วย ทำเพียงมองนิ่งๆ ด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกไปที่ลูกชายคนโต จนเขาเผลอนึกไปถึงคำที่เคยคุยเล่นเอาไว้กับคนรัก

     “มึงคิดว่าจะทำยังไงให้พ่อยอมรับ...”

     "อืม...ถ้าเป็นอย่างในหนังหรือนิยายนี่ มันก็ต้องแบบ... มีเหตุการณ์อะไรหน่อยไหม อย่าง...ลูกเกิดอุบัติเหตุกำลังจะตาย แล้วพ่อก็แบบ พ่อยอมแล้วๆ "


     ใช่แน่เหรอ

     เมฆป่วยขนาดนี้ ยังไม่มีท่าทางวิตกอะไรเลย

     เหอะ เป็นคุณพ่อที่ใจแข็งจังเลยแฮะ

     ร่างสูงมองบิดาของคนรักอยู่ครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด ก่อนผละสายตาออกมาเมื่อได้ยินคำถามจากผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในห้อง

     "แล้วเพิ่งมาหาหมอตอนเข้าระยะวิกฤตแล้วแบบนี้ แสดงว่าเป็นไข้มาหลายวันแล้วใช่ไหม

     คำถามจากมารดาคนรักทำให้พิธานอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย ถึงจะไม่มีใครรู้สถานะระหว่างเขาและม่านฟ้า แต่ความรู้สึกผิดที่ดูแลคนรักไม่ดีก็ยังเกาะอยู่ในใจ พิธานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งคู่ฟังก่อนปิดท้ายด้วยคำขอโทษจากใจจริง

     "ขอโทษด้วยครับ ที่จริงผมน่าจะระวังและพาเมฆมาโรงบาลฯ เร็วกว่านี้"

     สัมผัสแผ่วเบาที่ตบลงบนไหล่พร้อมเสียงนุ่มๆ ของนัชชากล่าวค้านประโยคก่อนหน้านั้นทันที "ขอโทษทำไม แม่ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่พีทช่วยดูแลเมฆ ฝากขอบคุณนัทอีกคนด้วยนะ"

     หลังพาม่านฟ้าเข้าห้องพักได้ไม่นาน ณัฐดนัยก็ขอตัวกลับก่อนเพราะมีธุระจึงเหลือเพียงพิธานที่อยู่รอพ่อแม่ของคนรัก ไม่ทันตอบรับคำของนัชชา พิธานกลับรู้สึกถึงสายตาที่มองมาจากชายวัยกลางคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล

     นภดลมองชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้านิ่งๆ เรื่องเล่าจากปากของเจ้าตัวเขาเชื่อว่าเป็นความจริง แต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคาใจแปลกๆ

     พิธานเองก็สบตาคู่นั้นกลับไป ยอมรับว่าไม่ค่อยพอใจกับท่าทางนิ่งเฉยของคนตรงหน้าที่ทำราวกับไม่สนใจอาการป่วยของม่านฟ้า คล้ายกับแค่มาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนภรรยาเท่านั้น

     เขามักบ่นม่านฟ้าที่ชอบคิดไร้สาระว่าพ่อไม่รัก ทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉา แต่เมื่อต้องเจอกับท่าทางเช่นนี้แม้เขาจะคิดว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกยังอดรู้สึกไม่พอใจไม่ได้

     ไม่แปลกหากม่านฟ้าที่ต้องเจอท่าทางเช่นนี้เสมอจะมีความคิดเช่นนั้น

     ชายหนุ่มร่างสูงหลุดออกจากภวังค์อีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของนัชชา "เดี๋ยวแม่ขอออกไปคุยกับพยาบาลเรื่องอาการเมฆหน่อยดีกว่า"

     พิธานพยักหน้ารับแล้วผายมือออกเพื่อพาหญิงวัยกลางคนไปหาพยาบาลที่รู้รายละเอียดอาการมากกว่า แต่ก่อนจะก้าวพ้นออกจากประตูไป หนุ่มวิศวะที่หันกลับมาอีกครั้งกลับต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจพร้อมด้วยอาการหงุดหงิดที่ค่อยเจือจางลง

     ภาพของบิดาคนรักที่ขยับเข้าไปยืนข้างเตียงคนป่วยและก้มลงลูบหัวม่านฟ้าเบาๆ ถึงจะมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนแต่ก็ยังมองออกถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านสายตานั้นออกไปพร้อมการถอนหายใจอย่างโล่งอก

     ชายหนุ่มร่างสูงขยับยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ

     เช่นนี้เขาก็คงบ่นคนรักได้เต็มปาก

     ว่าความคิดน้อยใจของม่านฟ้า...เป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ

     ----

     เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงดังขึ้นเรียกนภดลให้ขยับลุกขึ้นไปมอง เขากำลังนั่งรอภรรยาที่ออกไปพร้อมไอ้หนุ่มตัวโตเพื่อถามไถ่อาการของลูกชาย แต่ชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของม่านฟ้ากลับทำให้ชายวัยกลางคนต้องชะงัก

     ‘อาที’

     นภดลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อมองชื่อน้องชายที่ตัดขาดกันไป นานจนสัญญาณถูกตัดแล้วเริ่มร้องขึ้นมาใหม่ราวกับปลายสายยังไม่ยอมแพ้

     สุดท้ายนภดลก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับก่อนที่ลูกชายคนโตจะตื่นขึ้นมา เขาเลื่อนปลายนิ้วเพื่อรับสายจากใครบางคนแต่กลับไม่คิดที่จะกรอกเสียงลงไป

     ‘ฮัลโหล เมฆ แกเป็นยังไงบ้าง’

     เสียงที่พูดสวนกลับมาทำให้นภดลขมวดคิ้ว เขายังจำเสียงของคนปลายสายได้ดี เสียงที่พูดออกมาแล้วมีจริตจะก้านเหมือนผู้หญิง เสียงที่เคยทุ่มเถียงกับเขาและยืนยันถึงความชอบของตนเองจนสุดท้ายก็ได้แต่ตัดขาดความสัมพันธ์กันไป

     ‘ฉันโทรหาแกไม่ติด โทรไปหาแฟนแกมันก็บอกว่าแกเข้าโรงพยาบาลเป็นไข้เลือดออก พอจะถามอาการมันก็พูดอะไรของมันไม่รู้เหมือนกำลังยุ่งอีก อย่ามาทำให้ฉันเป็นห่วงแบบนี้ได้ไหม ไอ้เด็กพวกนี้’

     ประโยคยาวๆ ที่เต็มไปด้วยคำบ่นแต่ก็แฝงความห่วงใยอย่างเหลือล้นทำให้ชายวัยกลางคนที่รับฟังคำพูดพวกนั้นขมวดคิ้ว ก่อนหัวใจกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงแว่วของใครอีกคนผ่านทางโทรศัพท์

     ‘พี่เมฆเป็นไงบ้าง อาที’

     เสียงของภูหมอก

     นภดลกัดฟัน ไม่อยากได้ยินเสียงของคนที่เขาเกลียดพวกนี้ ปฏิเสธความรู้สึกตัวเองว่าไม่ได้คิดถึงเสียงนั้นจนนึกอยากจะตัดสายโทรศัพท์ทิ้งแต่ก็ทำไม่ลง จึงได้แต่ปล่อยให้คนปลายสายพูดออกมาเรื่อยๆ และมารู้ตัวเมื่อถูกผู้เป็นน้องเรียกซ้ำๆ

     ‘เมฆๆ แกได้ยินฉันไหมเนี่ย เมฆ’

     “...”

     ‘ไอ้เมฆ ตอบหน่อย ได้ยินไหม’

     “มันนอนอยู่”

     คำตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้เสียงจากปลายสายชะงักไป เกิดความเงียบขึ้นระหว่างผู้ถือสายทั้งสองฝั่ง ก่อนที่เสียงจากคนเป็นน้องจะดังขึ้นมาก่อนอย่างไม่แน่ใจ ‘พี่นภเหรอ? ’

     “...” มีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ แต่ถึงอย่างนั้นกลับยืนยันคำถามก่อนหน้าได้อย่างชัดเจน ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากปลายสาย แต่ก่อนที่จะได้ยินคำพูดอะไรเพิ่มเติม นภดลก็รีบพูดตัดบทออกไปราวกับไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ “แค่นี้นะ”

     ‘ดะ- เดี๋ยว! พี่!”

     “...”

     ‘ไอ้เมฆ...เป็นยังไงบ้าง’

     “...” นภดลได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายอีกครั้งเหมือนคนอึดอัดแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

     การได้กลับมาคุยกันอีกครั้งทำให้คนเป็นพี่นึกย้อนไปถึงเรื่องราวของคนปลายสายที่ดันมาซ้อนทับกับเรื่องราวของลูกชายคนเล็กของเขาเหมือนชะตาเล่นตลก ความหงุดหงิดใจจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

     ‘แค่ตอบๆ มายากนักรึไง’

     สุดท้ายเมื่อเสียงบ่นพึมพำหลุดออกมาจากน้อง คนเป็นพี่จึงพูดสวนออกไป

     “ลูกฉัน ฉันดูแลเองได้ ไม่ต้องให้คนแบบแกมาเป็นห่วง”

     ‘...’ ถึงคราวที่นทีเงียบไปบ้าง ขณะที่ชายวัยกลางคนคิดจะตัดสายโทรศัพท์ กลับได้ยินเสียงหัวเราะหยันที่ทำให้ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

     ‘แล้วที่มาฝากฉันดูแลอยู่เนี่ย ไม่ใช่ลูกพี่หรือไง ลูกต้องซมซานร้องห่มร้องไห้มาเพราะโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน แบบนี้น่ะเหรอคือคำว่าดูแลได้ของพี่’

     นภดลอึ้งไปอย่างจนคำพูด ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มที่ ‘ถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน’ ครางเรียกคนเป็นอาเสียงเบา ตอกย้ำถึงคำพูดของปลายสาย จนเมื่อนภดลได้สติอีกครั้งเขาก็พยายามสูดหายใจเข้าลึก พูดลอดไรฟันออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ

     “พวกเบี่ยงเบนน่ารังเกียจ ฉันไม่นับญาติทั้งนั้น ไม่ว่าจะน้องแท้ๆ หรือว่าลูกในไส้ก็ตาม”

     ชายวัยกลางคนดึงหูโทรศัพท์ออกเพื่อกดตัดสายทันที บอกตัวเองว่าไม่อยากได้ยินเสียงที่ทำให้ต้องโมโหนั้นอีก หาใช่เพราะรับไม่ได้ถึงคำพูดแทงใจดำของอีกคน แต่ก็ยังทันได้ยินเสียงที่แว่วดังออกมาจากโทรศัพท์ก่อนวางสาย

     ‘เป็นบ้าขนาดนี้ ระวังสักวันพี่จะไม่เหลือใคร ไอ้คนใจดำ’

     ----

     นัชชาตัดสินใจลางานเพื่อมาเฝ้าลูกชายในช่วงนี้ แม้ ‘เพื่อน’ ของลูกชายอย่างพิธานจะเสนอตัวมาเฝ้าให้แต่เธอก็รู้สึกเกรงใจเกินไป อีกทั้งเมื่อรู้ว่าลูกชายนอนอยู่โรงพยาบาล เธอเองก็เตรียมชุดมาสำหรับเฝ้าไข้ลูกชายอยู่แล้วจึงไม่นับว่าลำบากอะไร

     ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเธอได้เจอกับชายหนุ่มตัวโตอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวแวะเอาเสื้อผ้าของลูกชายมาให้เผื่อวันที่ม่านฟ้าออกจากโรงพยาบาล รูปลักษณ์ของพิธานวันนี้ต่างออกไปจากเมื่อวานเล็กน้อย และเมื่อเจอกันอีกครั้งในตอนบ่ายหญิงวัยกลางคนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซวชายหนุ่มตรงหน้า

     “แหม พีท เช้าถึงเย็นถึงเลยนะ นี่ถ้าเมฆเป็นผู้หญิงแม่คงคิดว่าพีทมาตามจีบเมฆแล้วมั้งเนี่ย”

     คำทักทายแรกของมารดาคนรักทำให้พิธานรู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหันจนต้องกระแอมออกมาเบาๆ ฉีกยิ้มเก้อๆ อย่างไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรในเมื่อคำพูดดังกล่าวจะว่าผิดก็ไม่ใช่ จะว่าถูกก็ไม่เชิง

     ไม่ได้มาจีบ แค่มาดูแลในฐานะแฟน

     “เออ ผมซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝากแม่น่ะครับ กลัวว่าแม่เอาแต่เฝ้าไอ้เมฆแล้วจะไม่ได้ลงไปหาข้าวกิน”

     หลังจากเหลือบมองไปทางคนรักแล้วยังเห็นว่าเจ้าตัวหลับอยู่ อีกทั้งยังไร้วี่แววจะตื่นมาช่วยเขาพูดแก้ต่างใดๆ พิธานก็รีบพูดเรื่องอาหารที่ซื้อมาพร้อมยกให้ดูเพื่อเบี่ยงประเด็นออกไป

     คราวนี้กลับเป็นนัชชาที่เลิกคิ้วแปลกใจ ตอนแรกยังสงสัยที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้าซื้อของกินมาเต็มไม้เต็มมือ คิดจะเอ่ยปากบอกอยู่เหมือนกันว่าม่านฟ้าไม่ควรกินของอื่นนอกจากอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้เพราะไข้เลือดออกมีข้อจำกัดในการกิน ไม่คิดว่าของที่ซื้อมาจะตั้งใจซื้อมาให้เธอ

     ถึงจะดูเหมือนผู้ชายหยาบๆ แต่ก็ใส่ใจรายละเอียดมากกว่าที่คิด แถมเธอเองก็ยังไม่ได้ลงไปหาซื้อข้าวจริงๆ เสียด้วย

     คงต้องแอบทดคะแนนไว้ให้สักหน่อยแล้ว

     “ตายแล้ว ดูสิ ต้องมาให้พีทซื้อข้าวมาให้แม่เนี่ย แถมซื้อมาเยอะแยะเชียว”

     กระนั้นแล้วนัชชาก็ยังอดเกรงใจเพื่อนลูกชายคนนี้ไม่ได้ เธอพยายามจะขอออกค่าอาหารเหล่านี้แทนแต่ก็เถียงไม่ชนะเจ้าคนตัวโตที่ทำเฉไฉออกไปเรื่อย จนได้แต่จำยอมและนั่งกินข้าวกลางวันในเวลาเกือบบ่ายโมงก่อนที่อาหารจะหายร้อนไปเสียก่อน

     หญิงวัยกลางคนมองชายหนุ่มที่อ้างว่าอยากมานั่งเย็นๆ ที่โรงพยาบาลดีกว่ากลับหอไปให้เปลืองแอร์ เดินไปจัดโน่นจัดนี่ที่ข้างเตียงคนป่วยทั้งที่ของทุกอย่างก็ออกจะเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ดวงตาคมดุวนเวียนมองไปที่คนไข้หลายต่อหลายครั้งอย่างเผลอตัวแต่ก็ไม่พ้นสายตาของคนเป็นแม่ที่มองอยู่

     เสียงถอนหายใจดังขึ้นเล็กน้อยจากคนที่เพิ่งทานข้าวเสร็จ ดวงตาสีสนิมของนัชชาทอแสงอ่อนลงเล็กน้อย มองไปที่ชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้าแล้วตัดสินใจเอ่ยปากขอตัวไปทำธุระข้างนอก

     พิธานยังดูงุนงงกับคำกล่าวของมารดาคนรัก แต่ก็พยักหน้ารับคำพร้อมรับผิดชอบเฝ้าคนป่วยให้ ในใจแอบดีใจขึ้นมาเล็กน้อยที่จะมีเวลาอยู่กับคนรักบ้าง เพราะตั้งแต่เมื่อคืนที่พาม่านฟ้ามาโรงพยาบาล จนตามมาที่ห้องพักม่านฟ้าก็หลับสนิทจนไม่มีโอกาสได้คุยกันแม้แต่น้อย

     ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เตียงคนป่วยมากขึ้นเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนเก็บของเตรียมเดินออกไป มองใบหน้าของคนรักที่มีสีมากกว่าเมื่อวานแล้วก็โล่งใจขึ้นอีกนิด

     “พีท”

     เสียงเรียกของนัชชาทำให้พิธานตอบรับและหันกลับมามอง ดวงตาคู่สวยไม่ต่างไปจากคนรักของเขามองมาด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความใจดี พร้อมคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

     “แม่ฝากเมฆด้วยนะ”

     พิธานนิ่งงันไปกับคำพูดนั้น คงเพราะมีชนักติดหลังจึงทำให้ระแวงคำพูดฝากฝังที่อาจไม่มีอะไรแอบแฝงในครั้งนี้ เขาไม่รู้ว่าความหมายที่หญิงวัยกลางคนตรงหน้าต้องการสื่อคือความหมายใด แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม คำตอบของเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

     “ครับ จะดูแลอย่างดีครับ”


     คนเฝ้าไข้ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วยเมื่อหญิงวัยกลางคนออกจากห้องไป คิดว่าคงอีกสักพักกว่าม่านฟ้าจะตื่นขึ้นมา ไม่คิดว่าเพียงแค่เขาหย่อนก้นลงนั่งเรียบร้อย แพขนตาหนาก็กระพือเบาๆ ก่อนเผยดวงตาคู่สวยขึ้นมาสบกับเขา

     แกล้งหลับเหรอ

     ม่านฟ้าเริ่มรู้สึกตัวตั้งแต่มีใครบางคนมาเดินป้วนเปี้ยนแถวข้างเตียง แต่เพราะยังง่วงอยู่จึงไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาหวังนอนต่ออีกสักหน่อย

     เสียงพูดคุยที่ได้ยินทำให้พอจับใจความได้ว่าแม่เขากำลังจะออกไปทำธุระข้างนอก ทิ้งให้คนรักของเขาอยู่เป็นเพื่อนเพียงลำพัง จนได้ยินเสียงลากเก้าอี้มาข้างตัวถึงคิดได้ว่าถ้านอนต่อไม่หลับก็สู้ตื่นขึ้นมาคุยกับอีกคนเสียดีกว่า

     ไม่คิดว่าลืมตาขึ้นมาจะเจอกับตาดุๆ ที่มองมาเขม็ง

     อะไรวะ เขาทำอะไรผิดอีกเนี่ย

     คนป่วยเผลอเม้มปากทันทีแล้วมองอีกคนอย่างระแวง คิดไม่ออกว่าทำอะไรผิด รู้แต่ว่าขอกลัวไว้ก่อน

     “เป็นไข้มากี่วันแล้ว ก่อนที่กูจะรู้เนี่ย”

     กดเสียงต่ำ น่ากลัวไปอีก

     “คือ...วันสองวันก่อนหน้า ก็รู้สึกเหมือนตัวร้อนแหละ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นไข้จริงจัง ช่วงนั้นต้องปั่นรายงานส่งด้วย เลยคิดว่าหัวร้อนเพราะทำงาน นอนน้อย”

     พิธานมองคนรักที่ตอบออกมาเสียงแผ่วพร้อมดวงตาที่ปรือลงเล็กน้อยอย่างคนไม่สบาย รู้ทั้งรู้ว่าป่วยจริงแต่ก็ยังแปลกใจที่เมื่อครู่ตอนลืมตาขึ้นมาก็ยังทำตาแป๋วอยู่แท้ๆ ก่อนพยักหน้ารับเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นแต่ก็ยังเก๊กหน้าดุขู่ให้กลัวไว้ก่อน

     “วันหลังเป็นอะไรต้องรีบบอก กูกับไอ้นัทตกใจกันจะตายห่า แถมโดนหมอด่ามาอีกดอกด้วย”

     หนุ่มอักษรฯ พยักหน้าตอบคนรักที่ยังดูขึงขังด้วยท่าทางที่คิดว่าเจี๋ยมเจี้ยมมากที่สุด ดึงมือออกจากผ้าห่มไปคว้ามือคนรักเอาไว้แล้วจูบที่หลังมือแสดงความขอโทษ รู้สึกถึงอาการเกร็งเล็กน้อยจากมือหนาก่อนจะถูกเจ้าของดึงกลับไปเพื่อเปลี่ยนมาลูบหัวเขาเบาๆ

     “มึงก็แบบนี้ทุกที” เอะอะอะไรก็เอาจูบมาล่อ จะง้อทีก็ใช้จูบอีก

     เหมือนรู้ว่าเขาแพ้ทาง ก็ทำตลอด

     พิธานพึมพำบ่นคนรักแต่ก็ว่าอะไรไม่ได้มากเพราะความผิดครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะร้ายแรงแถมเขาเองนั่นแหละที่ประมาท แทนที่จะพาม่านฟ้ามาหาหมอตั้งแต่ที่รู้ก็ดันตามใจเจ้าตัวจนเกือบแย่ “ง้อด้วยมุกเดิมๆ ”

     “อ้าว ก็… กูเห็นมุกเดิมจริง แต่มันก็ได้ผลทุกทีอะ” คนป่วยตอบกลับมาหน้าซื่อ

     จากที่คิดว่าจะไม่โกรธ พิธานชักจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกหนเสียแล้ว มือที่ลูบหัวอีกคนเปลี่ยนเป็นโยกแรงๆ อย่างหมั่นไส้ ก้มหน้าลงไปเอาหัวโขกกับอีกคนเบาๆ จนม่านฟ้าต้องหลับตาหนี แต่แทนที่จะดึงตัวกลับมานั่งได้เหมือนเดิม กลับถูกม่านฟ้าล็อกคอเอาไว้เพื่อมองหน้าในระยะใกล้

     ลมหายใจอุ่นรินรดกันเพียงแผ่วเบา ก่อนม่านฟ้าจะยืดตัวขึ้นจูบหน้าผากคนรักอย่างออดอ้อน แล้วไล่ลงมาที่ปลายจมูกก่อนจบลงที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา

     “อะ ง้อ พอใจยัง”

     พูดไม่พอม่านฟ้ายังเผยยิ้มกว้างที่ติดจะกวนเล็กน้อยพร้อมดวงตาพราวระยับไปให้อีกคน ชายหนุ่มร่างสูงที่เจอความหวานในระยะประชิดถึงกับตั้งตัวไม่ทัน ต้องแพ้บายไปอย่างไม่มีทางเลือก

     โอเค ยอม

     ม่านฟ้าอมยิ้มขำเมื่อคนรักฟุบหน้าลงกับไหล่ของเขาเหมือนคนหมดแรง ขยับมือสางผมคนรักเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงอู้อี้ติดงอแงออกมาจากไหล่ตนเอง “กูโคตรเป็นห่วง”

     “ขอโทษนะครับ”

     ศีรษะที่ขยับเล็กน้อยตอบรับคำขอโทษแล้วนิ่งไปสักพัก ได้ยินเสียงคนเฝ้าไข้สูดหายใจเข้าลึกก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่งตามเดิม ผมที่ปรกลงมาด้านหน้าของพิธานทำให้ม่านฟ้าขยับมือเสยผมขึ้นไปให้คนรักก่อนชะงักอีกรอบเมื่อพิจารณาคนตรงหน้าให้ชัดเจนอีกครั้ง

     “มึง...มีสอบเหรอ?”

     คำถามประหลาดที่ถูกส่งมาอย่างไร้ที่มาที่ไปทำให้พิธานเลิกคิ้ว แต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธคนรักไปเบาๆ แม้จะยังงุนงง แต่นั่นกลับทำให้ม่านฟ้าเลิกคิ้วสูงขึ้นกว่าเดิม “แล้วทำไม...เออ...มึงดูเรียบร้อยแปลกๆ”

     พิธานเริ่มเข้าใจความหมายของคนรักเมื่อได้ยินคำถามต่อมา เผลอหลุดสีหน้าไม่มั่นใจออกมาพร้อมกับเกาแก้มเก้อๆ อธิบายเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ให้คนรักฟังด้วยประโยคสั้นๆ “เดี๋ยวพ่อแม่มึงตกใจ”

     ภาพลักษณ์ปกติของพิธานนั้นค่อนข้างคล้าย ‘แบดบอย’ พอสมควร แต่เพราะวันนี้ดูจะไม่ ‘ปกติ’ เท่าไหร่นักจึงทำให้ม่านฟ้าเผลอหลุดปากทักออกไป

     “เมื่อวานกลับไป พอส่องกระจกแล้วก็รู้สึกว่า เดี๋ยวจะดูแบดในสายตาพ่อแม่มึงเกิน ช่วงนี้เลยว่าจะทำตัวเป็นเด็กเรียบร้อยหน่อย เดี๋ยวคะแนนที่พยายามสร้างมาจะหายหมด”

     พิธานพูดอ้อมแอ้มออกมาอย่างเขินๆ กลัวเหมือนกันว่าภาพลักษณ์ที่ปกติก็ดู 'เหมือนตัวร้าย' อยู่แล้วของตัวเองจะแย่กว่าเก่า “ดีนะกูถอดเสื้อช็อปออกแล้ว ไม่งั้นจากว่าที่ลูกเขยแสนดีได้กลายเป็นนักเลงหัวไม้แหง"

     ม่านฟ้าส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปเป็นกำลังใจให้คนรักที่ปลอบตัวเองอยู่ ก่อนคิดย้อนไปถึงบทสนทนาของพ่อแม่ที่เขาแอบได้ยินมาเมื่อคืน


     “เพิ่งเคยเห็นคนที่ใส่ชุดอยู่บ้านแต่ดูเรียบร้อยกว่าชุดนิสิต”

     เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมาขำๆ คล้ายจะเอ็นดูหลังพิธานกลับไปได้เพียงไม่นานเรียกสายตาของสามีให้หันมามอง

     คงหมายถึงไอ้เด็กพีทเมื่อครู่นี้

     นภดลย้อนคิดไปถึงเพื่อนลูกชายที่ภรรยาพูดถึงแล้วก็เผลอขมวดคิ้วออกมา

     ภาพคุ้นตาที่จำได้คือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กับชุดอยู่บ้านสบายๆ อย่างเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ผมสีดำมักตกลงมาปรกหน้าปรกตาให้ต้องเสยขึ้นไปบ่อยๆ จนชายวัยกลางคนยังเผลอรำคาญแทน ในตอนนั้นเขายังเคยคิดว่าเด็กรุ่นลูกคนนี้ดูเหมือนเด็กเกเรเสียจริง ทั้งหน้าตากวนๆ ตัวใหญ่ๆ แถมด้วยการยิ้มที่เผยให้เห็นฟันเขี้ยวชัดเจน

     จนมาเจอในสภาพชุดนิสิต ถึงเพิ่งเข้าใจว่าชุดอยู่บ้านอาจดูเรียบร้อยกว่าเป็นไหนๆ

     เสื้อนิสิตที่หลุดลุ่ยออกมานอกกางเกง แขนเสื้อที่ถูกพับขึ้นไปแถมยับย่นจนน่าตี ผมสีดำที่เขาเคยรำคาญตาถูกเซตขึ้นไปเป็นทรงเผยให้เห็นคิ้วเข้มได้อย่างชัดเจน จนเพิ่งตระหนักว่าปลายคิ้วเข้มข้างหนึ่งยกขึ้นคล้ายคิ้วยักษ์รับกับดวงตาดุและฟันเขี้ยวที่เผยออกมา สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นจิวสีดำบนติ่งหูสองข้าง ประกอบรวมกันเป็นชายหนุ่มที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็คล้ายกับตัวร้ายในละครมากกว่าอดีตครูสอนพิเศษของลูก

     แต่ก็เป็นคนเดียวกับที่วิ่งวุ่นจัดการโน่นนี่ให้จนเขายังเกรงใจ

     นภดลตอบรับคำพูดของภรรยาด้วยการส่งเสียงในลำคอเบาๆ แล้วพึมพำสำทับความคิดของตัวเองออกมา

     "ท่าทางนักเลงขนาดนั้น บ้านไหนได้ไปเป็นเขยคงช็อกตาย"



     "แต่กูคิดว่าเมื่อวานพ่อแม่มึงคงยังไม่ทันมอง วันนี้เลยรีบแปลงร่างมาใหม่นิดหน่อย”

     ม่านฟ้ามองพิธานที่หัวเราะเบาๆ เมื่อพูดออกมาแล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองในชั่วข้ามคืนกลายเป็น 'เด็กเรียบร้อย' ด้วยความไม่คุ้นชินปนสงสาร

     ‘นิดหน่อย’ ของพิธานในตอนนี้คือถอดจิวสองข้างออกหมดแล้ว ผมก็ไม่ได้เซตและปล่อยลงมาตามธรรมชาติ เสื้อที่ใส่ในกางเกงเรียบแปล้แถมด้วยแขนเสื้อที่ยาวถึงข้อมือที่ดูเรียบร้อยยิ่งกว่าเวลามีสอบกับอาจารย์สุดโหด ดีที่พิธานไม่ถึงขั้นติดกระดุมคอพร้อมใส่เนกไทมาให้เว่อร์วังเข้าไปอีก

     รู้สึกได้เลยว่าเจ้าตัวเองก็ไม่มั่นใจกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นกัน ม่านฟ้าจึงเลือกที่จะเงียบไว้และไม่พูดทำลายความหวังให้เจ้าตัวต้องใจเสีย

     แม้ความจริงแล้ว… พิธานจะกลายเป็นนักเลงในสายตาพ่อเขาไปแล้วก็เถอะ


     TBC



     Achaya (Writer) :

     เตรียมเครื่องปั๊มหัวใจไว้รอคุณพ่อช็อกได้เลย เพราะบ้านคุณพ่อเนี่ยแหละจะได้นักเลงคนนี้ไปเป็นเขย 5555 (//ใครแปลกใจที่พีทใส่เสื้อช็อปทับชุดนิสิตแทนที่จะเป็นเสื้อยืด ก็คิดเสียว่าคาบเช้านางมีเรียนที่ต้องใส่เสื้อนิสิตเข้าห้องเช็กชื่อละกัน)

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์เป็นกำลังใจกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 17 (29.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-08-2021 19:39:30
 :katai1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 17 (29.08.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-08-2021 01:33:21
ให้ช้อคไปเลยยย
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 18 (06.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 06-09-2021 10:17:35
ภาคความจริง : บทที่ 18

     หลังจากนอนเล่นที่โรงพยาบาลสักพักจนมั่นใจว่าหายขาด ม่านฟ้าก็กลับมาที่หอพักอีกครั้งโดยมีมารดามาส่ง ม่านฟ้าทิ้งตัวนอนบนเตียงที่มีใครอีกคนมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

     คนเพิ่งหายป่วยถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกไปถึงเมื่อคืนที่ผู้เป็นพ่อมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลแต่ดันบังเอิญมาในช่วงที่เขากำลังคุยโทรศัพท์กับนทีพอดี สีหน้าถมึงทึงของคนเป็นพ่อยามรู้ว่าปลายสายเป็นใครยังหลอนติดตาจนถึงตอนนี้

     ม่านฟ้าขยับหัวไปนอนตักคนรักแล้วตวัดแขนรอบเอวหนา ซุกหน้าลงกับหน้าท้องของคนรัก ก่อนเอ่ยพึมพำออกมาด้วยเสียงอู้อี้ “แค่คิดว่าต้องกลับไปตื๊อพ่อเรื่องไอ้หมอกต่อก็เหนื่อยล่ะ การที่กูพยายามอยู่ตอนนี้มันมีประโยชน์จริงๆ ใช่ไหมว่ะ”

     เจ้าของตักลูบหัวคนรักเบาๆ เอ่ยถามถึงที่มาของอารมณ์ ‘นอยด์ๆ ’ ตอนนี้ของม่านฟ้าก็ได้ความว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน

     “ชีวิตคนเรามันสั้นนิดเดียวเองนะเว้ย ทำไมพ่อถึงโกรธนานจังว่ะ” พิธานมองคนรักที่บ่นงุ้งงิ้งอยู่ที่หน้าท้อง คิดจะปล่อยให้บ่นไปจนกว่าจะพอใจ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วแล้วส่งเสียงปรามเมื่อได้ยินประโยคต่อมา “ถ้ากูตายห่าไปตั้งแต่วันนั้น แล้วใครจะมาค่อยเกลี้ยกล่อมพ่อให้คืนดีกับไอ้หมอกเล่า ไม่คิดเลยรึไง แทนที่จะรีบๆ หายโกรธ”

     "พูดให้มันดีๆ "

     อดีตคนป่วยเหลือบตาขึ้นมองคนรักหลังได้รับเสียงดุ พลันรู้ตัวว่าพูดไม่ถูกหูเข้าแล้วถึงได้มุดหน้ากลับลงไปที่หน้าท้องของพิธานอีกครั้ง พิธานขยับมือเล่นหูคนบนตักครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพูดออกมา “งั้นก็เลิก”

     คำพูดเรียบง่ายแต่กลับทำให้ม่านฟ้าเงยหน้ามามองอย่างงุนงง

     "เลิกตื๊อ มึงก็ตื๊อมาสักพักแล้ว ช่วงนี้ถอยออกมาก่อน ถึงเขาจะไล่ไอ้หมอกออกจากบ้าน แต่ก็รู้เรื่องไอ้หมอกจากมึงมาตลอด รู้ว่ามันยังอยู่ดีไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล แต่ถ้ามึงหายไป อะไรที่เคยรู้กลับไม่รู้ เขาต้องกระวนกระวายอยู่แล้ว"

     ม่านฟ้าขยับตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินคำพูดยาวๆ จากคนรัก พิธานชอบบอกว่าเขาเป็นนักพูด เกลี้ยกล่อมคนอื่นได้ดี (เว้นแต่กับพ่อ) แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วพิธานนั่นแหละที่เป็นนักวางแผน

     "ค่อยกลับไปอีกทีวันที่ไอหมอกสอบสัมภาษณ์เลยก็ได้"



     เสียงตึงตังดังขึ้นเมื่อลูกชายคนโตวิ่งลงมาจากชั้นสองของบ้าน เป็นเหตุให้นัชชาต้องรีบดักคนที่กลับบ้านมาตอนเช้าตรู่แต่ก็จะหุนหันออกไปอีกครั้งไว้

     “วันนี้หมอกมีสอบสัมภาษณ์ที่มอ ลงทะเบียนแปดโมง แต่ไอหมอกแม่งเสือกหาเอกสารไม่เจอ ต้องกลับมาเอาที่บ้านเนี่ย”

     ม่านฟ้าตอบคำถามผู้เป็นแม่ก่อนเหลือบตามองไปยังผู้เป็นพ่อ เล่นละครให้ใหญ่ขึ้นโดยการทำตัวลุกลี้ลุกลนเหมือนกำลังจะไปสายแล้ว

     จริงๆ ก็ไม่หลอกเสียทั้งหมดหรอก ไอเรื่องกำลังจะสายเนี่ยก็เกือบจะจริงแล้ว เพราะเขาดันตื่นสายไปหน่อย

     "แล้วน้องล่ะ"

     "รออยู่หน้าบ้าน"

     ม่านฟ้าไม่ได้ตั้งใจให้เสียงดังกว่าปกตินะ

     แค่กำลังหอบ เลยเผลอพูดดังไปหน่อย

     เห็นได้ชัดว่าคำพูดของม่านฟ้าทำให้คนเป็นแม่นิ่งไป แต่คนที่เขาอยากดูปฏิกิริยามากกว่าคือผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาต่างหาก

     “เมฆบอกให้มันรออยู่หน้าบ้านเองแหละ เข้ามาเดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก วันสัมภาษณ์ไม่อยากให้มันเครียดกว่าเดิม”

     เพราะเห็นคนเป็นพ่อยังนิ่งอยู่กับที่ ม่านฟ้าจึงพูดเสริมเข้าไปอีกหน่อย อยากจะพรรณนาโวหารความน่าสงสารของน้องชายที่ต้องยืนตากแดดอยู่หน้าบ้านเพราะคำประกาศิตของพ่อที่ไม่ให้กลับเข้าบ้าน แต่แม่ก็ดันถามเรื่องข้าวเช้าขึ้นมาเสียก่อน

     ม่านฟ้าตัดสินใจหันกลับมาที่ตู้เย็นหลังได้ยินคำถามของแม่ คุ้ยหาของกินอย่างต้องการถ่วงเวลาให้คนเป็นพ่อได้ใช้เวลาคิดเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่จนแล้วจนรอดคนใจแข็งอย่างไรก็เป็นคนใจแข็ง

     ชายหนุ่มพยักหน้ารับเมื่อแม่จะถือข้าวเช้าไปให้ภูหมอกพร้อมเคี้ยวซาลาเปาเย็นชืดในปาก มองตามมารดาที่เดินออกไปหาน้องชายที่หน้าบ้านก่อนแล้ววกกลับมามองผู้ให้กำเนิดอีกคนหนึ่ง

     เขาไม่ได้คาดหวังให้พ่อยอมรับได้ในวันนี้ แต่แค่อยากเห็นการตอบสนองบางอย่างที่ทำให้ชื่นใจได้ว่าความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า แค่เพียงการเอ่ยปากถาม ท่าทางหรือแม้แต่สายตาที่แสดงว่าพ่อเริ่มจะใจอ่อนลงบ้างก็ยังดี ใช่เพียงนิ่งเฉยเหมือนคนที่รออยู่หน้าบ้านเป็นเพียงคนไม่รู้จักเช่นนี้

     “แท็กซี่ก็ยังไม่มา เรียกรถได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เช้าๆ แถมไกลขนาดนี้ไม่ค่อยมีแท็กซี่ยอมรับซะด้วย สายแน่ไอหมอกเอ๊ย”

     แม้จะรู้ว่าความหวังริบหรี่แค่ไหน แต่ม่านฟ้าก็ขอหยอดให้สุดเท่าที่จะทำได้

     ภาพชายวัยกลางคนที่ขยับตัวเล็กน้อยเหมือนคนกระสับกระส่ายแม้คอจะยังตั้งตรงมองไปข้างหน้าอยู่ภายใต้สายตาของม่านฟ้าทั้งหมด คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนตรงหน้ากำลังกังวลถึงสิ่งที่เขาเปรยขึ้นมาเช่นกันจึงแอบหวังว่าจะมีคนอาสาไปส่งหรืออะไรทำนองนั้นบ้าง

     “...”

     “...”

     “...”

     ไร้คำพูดใดหลังจากนั้นจนได้ยินเพียงเสียงโทรทัศน์ยามเช้า ม่านฟ้าอดทนยืนรออยู่นานแต่ก็ไร้วี่แววของสิ่งที่หวัง อยากจะกัดฟันรออีกสักหน่อยแต่ก็ได้ยินเสียงบีบแตรที่หน้าบ้านดังขึ้นเสียก่อน สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ต้องตัดใจ

     ใจดำสมกับที่อาทีชอบบ่นให้ฟังจริงๆ นั่นแหละ

     ----

     ม่านฟ้าเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน เขาคิดว่าจะเป็นแท็กซี่สีเขียวเหลืองหรือสีสดใสสักคัน แต่กลับกลายเป็นรถยนต์สีควันบุหรี่ที่คุ้นเคย

     พี่ชายคนโตหันไปมองน้องชายที่ถูกสั่งให้เรียกแท็กซี่ด้วยสายตาตั้งคำถาม ก่อนจะได้รับยิ้มแหยตอบกลับมาพร้อมคำอธิบายเรียบง่าย “ไม่มีแท็กซี่ยอมรับเลยอ่ะพี่ หมอกเลยลองโทรหาพี่พีทดูเผื่อพี่พีทอยู่บ้านแล้วต้องเข้ามอ จะได้ติดรถไปด้วย”

     เออ ดี ใช้แฟนกูเป็นสารถีส่วนตัวเลยเว้ย

     “อ้าว เรียกแท็กซี่ไม่ได้ก็บอกแม่สิ แม่ไปส่งหรือเอารถแม่ไปก่อนก็ได้ ไปรบกวนพี่เขาทำไม”

     ไม่ทันที่คนเป็นพี่ชายจะบ่น ผู้เป็นมารดาก็บ่นลูกชายคนเล็กขึ้นมาก่อน แค่ตอนที่ม่านฟ้าเข้าโรงพยาบาลเธอก็เกรงใจชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้ามากแล้ว ภูหมอกยังไปรบกวนคนตรงหน้าอีก

     “ไม่เป็นไรครับ ผมจะเข้ามออยู่แล้ว แค่ตื่นเช้าขึ้นอีกนิดไม่มีปัญหาครับ ให้เมฆกับหมอกไปกับผมนี่แหละ สะดวกดี” ม่านฟ้าหันกลับไปมองคนรักที่พูดผิดกับเมื่อคืนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าแล้วได้แต่ค้อนคนตอแหลไปหนึ่งวง

     ‘พรุ่งนี้มึงไปเองล่ะกัน กูขี้เกียจเข้ามอ ขี้เกียจตื่นเช้าด้วย กระเตงน้องมึงไปดีๆ ล่ะ กูโต้รุ่งทำรายงานมาหลายวัน จะนอนยาวๆ แม่งทั้งวันไปเลย’

     ตอนนั้นม่านฟ้าก็ไม่คิดจะให้คนรักขับรถไปส่งอยู่แล้วเพราะรู้ว่าเจ้าตัวกำลังปั่นพรีธีสิส กลับกลายเป็นว่าสุดท้ายก็ต้องมาส่งพวกเขาจนได้ ไม่รู้จะเคืองไอน้องชายที่รู้จักเลือกคนขอความช่วยเหลือ หรือจะเคืองคนรักที่ก็ไม่รู้จักปฏิเสธแถมมายืนยิ้มเอาหน้าแม่เขาอยู่ตอนนี้ดี

     ‘เซนส์กูมันบอกว่า ช่วงนี้ต้องรีบทำคะแนน โกยได้ก็ต้องโกย แหลได้ก็ต้องแหล สะสมแต้มบุญเอาไว้เยอะๆ เผื่อวันไหนพ่อแม่รู้ขึ้นมาจริงๆ จะได้เป็นเกราะคุ้มภัยไม่ให้กูโดนตีหัวแตก’

     ครั้งที่ได้ยิน ม่านฟ้ายังขำกับคำพูดทีเล่นทีจริงของเจ้าตัวอยู่เลย คิดว่าต่อให้ถึงวันที่บอกพ่อจริงก็คงไม่อ้างถึงพิธานให้โดนพ่อโกรธไปด้วยอีกคนหรอก ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะจริงจังมากถึงเพียงนี้

     "ไง”

     ม่านฟ้าหันกลับไปมองคนขับที่ทักขึ้นมาพร้อมดวงตาปรืออย่างคนง่วงนอน ผิดกับท่าทางยิ้มหวานประจบประแจงต่อหน้าแม่เขาแล้วก็ถอนหายใจออกมา ยักไหล่ให้พิธานเข้าใจว่าการเข้าไปครั้งนี้ก็เหลวไม่เป็นท่าอีกครั้ง ดูจากการที่ต้องไปมอกันเองอย่างตอนนี้

     "แล้วเมื่อเช้ามาไง"

     "เมล์ต่อวิน"

     ม่านฟ้าตอบคำถามเรียบๆ แต่ตามองคนขับที่ยังไม่เลิกทำตาปรือ พูดไปก็หาวไปด้วย “ขับไหวไหมเนี่ย แล้วกินข้าวมายัง”

     “ไหว ข้าวเดี๋ยวค่อยไปกินที่มอก็ได้” พิธานสะบัดหน้าเล็กน้อยไล่ความง่วงอีกที เมื่อเห็นสายตาที่บ่งบอกความไม่พอใจของคนรัก รู้ว่าม่านฟ้าไม่ชอบให้ขับรถตอนง่วงหรือตอนเมา จึงพยายามฝืนสติตัวเองเข้าไว้

     ตุ๊กตาหน้ารถอย่างม่านฟ้าหันกลับมามองนมกล่องที่อยู่ในมือ ขยับมือเขย่ากล่องเล็กน้อยก่อนเจาะหลอดลงไป

     บางอย่างที่ถูกยื่นมาใกล้ใบหน้าทำให้พิธานหันไปมอง นมกล่องเย็นๆ พร้อมหลอดที่เจาะแล้วถูกยื่นมาเกือบชิดริมฝีปาก เขาก้มลงไปเล็กน้อยก่อนดูดนมจากมือคนรักเงียบๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น

     ม่านฟ้าเขย่ากล่องอีกเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่านมในกล่องถูกดูดจนเกลี้ยงแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเตรียมไปทิ้งข้างนอก นึกอยากหาของล้างปากแทนนมที่ยกให้คนรักไปก็เจอเข้ากับลูกอมรสโปรดที่กองอยู่ในช่องใส่แก้วน้ำหลายเม็ด

     “กูกินลูกอมนะ”

     “อืม ก็ซื้อมาตุนให้มึงนั่นแหละ ใส่ปากกูด้วยเม็ดนึง”

     ภูหมอกนั่งมองคนขับและคนนั่งหน้าพูดคุยกันเบาๆ สลับไปมา ทั้งเรื่องที่เขารู้บ้างไม่รู้บ้างเพลินๆ รู้สึกว่าภายใต้เรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้น หนึ่งในความโชคดีของเขาคือการมีสองคนตรงหน้าอยู่เคียงข้างมาตลอด ทั้งคอยฉุดรั้ง ผลักดัน และประคองจนเดินต่อมาถึงตอนนี้

     ภาพพี่ชายที่เพิ่งป้อนนมให้คนขับเสร็จก็หันมาป้อนลูกอมใส่ปากให้กันต่อดึงความคิดภูหมอกที่กำลังเล่นเอ็มวีชีวิตรันทดแต่ได้พบคนใจดีให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

     เอิ่ม บรรยากาศตอนนี้ ทำไมดูไปแล้วเหมือนเป็นกอขอคออยู่นิดๆ เนี่ย

     ----

     แรงทิ้งตัวและศีรษะทุยของหลานชายคนโตที่วางมาบนตักทำให้นทีต้องรีบยกแขนขึ้นหลบ ก่อนขยับลูบผมนุ่มเมื่อผู้มาใหม่พลิกตัวมากอดเอวพร้อมซุกหน้าเข้ากับหน้าท้อง

     "เหนื่อยอ่ะ เมฆท้อแล้วนะอาที"

     นทีก้มมองคนที่งอแงอยู่บนตัก เป็นเดือนแล้วที่เห็นม่านฟ้าพยายามตื๊อพี่ชายหัวแข็งของเธอ จนเปลี่ยนแผนโน่นก็แล้วแผนนี้ก็แล้ว เธอยังเคยคิดว่าการกระทำของม่านฟ้าดูแล้วไม่ต่างไปจากคลื่นกระทบฝั่ง อาจไม่ตรงตามสำนวนเสียทีเดียว แต่ดูแล้วทำไปอย่างไรก็เหมือนจะเงียบหาย ไร้ประโยชน์

     ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็ยังบอกว่ากระทบทุกวัน ฝั่งก็ต้องมีทรุด มีสึกกันบ้าง

     ก็คงทำได้แค่ให้กำลังใจ

     เหมือนอย่างที่คนตัวโตนี้กำลังทำอยู่

     "งอแงจริงๆ มึงเนี่ย”

     เจ้าของบ้านสาวเงยหน้ามอง ‘หลานเขย’ ที่เดินบ่นตามเข้ามา พยักหน้ารับไหว้อีกคนเบาๆ ก่อนก้มลงมามองหลานชายอีกครั้ง “โดนอาละวาดมาอีกแล้วหรือไง”

     เสียงตอบรับคือการถอนหายใจรดใส่หน้าท้องของเธอ

     คนตอบคำถามจึงกลายเป็นคนตัวโตอีกคนที่มาด้วยกันแทน “อาเคยได้ยินไหมที่ว่า ‘ยอมให้เขาเกลียดยังดีกว่าให้เขาเมิน’ น่ะครับ”

     คำพูดเรียบง่ายแต่ชัดเจนถึงสิ่งที่ม่านฟ้าพบเจอมาในช่วงนี้ พักหลังมานี้พ่อไม่ได้ด่า ไม่ได้ไล่เขาอย่างทุกที ใช่ว่าม่านฟ้าเป็นพวกมาโซคิสม์ที่ชอบฟังคำด่าแต่อย่างใด แต่การไม่ด่าของพ่อคือการเมินเฉย นิ่งเงียบ ทำเหมือนคำพูดของเขาเป็นอากาศธาตุ

     ช่วงแรกที่รู้สึกตัว ม่านฟ้ายังคิดว่านั่นอาจเป็นสัญญาณว่าพ่อเริ่มรับฟังและเข้าใจพวกเขามากขึ้น จนเมื่อเวลาผ่านไปถึงเข้าใจว่าพ่อไม่ได้ ‘เข้าใจ’ แต่เพียงแค่ ‘ปล่อย’ ให้เขาพูดไปโดยไม่คิดจะรับฟังกันอีกแล้ว

     นทีหัวเราะขำหลานชายที่นอนบ่นงุ้งงิ้งไม่ได้ดั่งใจก่อนเงยหน้ามามองหลานชายอีกคนที่เดินเข้ามาจากทางหลังบ้าน เธอเพิ่งใช้ให้ภูหมอกออกไปรดน้ำต้นไม้ หลังจากภูหมอกสอบสัมภาษณ์เรียบร้อยและเป็นว่าที่นิสิตแพทย์เต็มตัว เจ้าตัวก็ปิดเทอมยาวๆ เป็นโอกาสให้นทีได้คนดูแลบ้านคนใหม่มาชั่วคราว

     “ตัวติดกันอีกแล้วสองคนนี้”

     ภูหมอกทักพี่ชายกับอดีตครูสอนพิเศษที่แวะมาหาทีไรก็มักจะมาด้วยกันตลอด แทบจะนับครั้งได้ที่ม่านฟ้าจะมาเพียงคนเดียวโดยขาดสารถีคนนี้คอยไปรับไปส่ง “พี่พีทไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้วเหรอ ถึงไปไหนมาไหนกับพี่เมฆอยู่คนเดียวเนี่ย”

     เด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าเกิดความรู้สึก ‘หวง’ พี่ชายแบบนี้ขึ้นได้ยังไง

     ทำยังกับพี่เมฆจะมีแฟน ทั้งๆ ที่พี่พีทก็เป็นแค่เพื่อนแท้ๆ

     “มีเว้ย” แต่นี่แฟนไง ไม่ใช่เพื่อน

     พิธานต่อประโยคหลังในใจแล้วเตรียมอ้าปากเถียงออกไปอีกหน่อย ติดที่ว่าโดนเบรกไว้เสียก่อน

     "โอ๊ย พอๆ อย่ามาทะเลาะกัน หมอกไปเตรียมข้าวเย็นไป พีทแกไปคุมด้วย เดี๋ยวมันทำครัวฉันไหม้"

     ก่อนที่สองคนจะตีกันจริงจัง นทีก็ไล่อดีตครูศิษย์เข้าครัวไปทั้งคู่ เหลือเพียงอาและหลานชายคนโตนั่งอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

     นทีพอจะรู้ว่าม่านฟ้านั่นอยากเล่า อยากอ้อนถึงได้มาหาเธอที่นี่ แต่ตราบใดที่ภูหมอกอยู่ด้วย ม่านฟ้าก็จะไม่ค่อยกล้าอ้อนราวกับกลัวจะเสียภาพลักษณ์ของพี่ชายที่สั่งสมมา

     ม่านฟ้าเอนตัวลงซบกับไหล่เล็กของผู้เป็นอาหลังจากรีบลุกขึ้นมาเมื่อเห็นน้องชาย หลับตาแล้วนิ่งอยู่เช่นนั้นเหมือนกำลังใช้ความคิด นทีเองก็ปล่อยให้หลานชายได้ใช้เวลาทบทวนเรื่องต่างๆ แล้วระบายออกมาให้เธอฟัง

     เจ้าของบ้านสาวตอบรับคำพูดและคำบ่นของม่านฟ้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงคำถามสุดท้าย

     "หรือว่า...เมฆควรยอมแพ้ได้แล้ว"

     "..."

     คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงความเงียบและเสียงถอนหายใจของคนเป็นอาเท่านั้น

     ----

     “ไปเล่นกันยังไง ทำไมน้องข้อเท้าพลิกมาแบบนั้น”

     เสียงดุของพ่อดังขึ้นอย่างไม่เกินความคาดหมายของเด็กชายม่านฟ้านัก

     “เมฆพาน้องไปเล่นที่สวน พอกระโดดแล้วน้องลื่นก็เลยหกล้ม” นอกจากผู้เป็นพ่อที่ขมวดคิ้วแน่น คนเป็นพี่เองก็หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ต่างกัน เด็กชายเล่าให้พ่อฟังถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่วายโดนดุขึ้นมาอีก

     “แล้วพ่อบอกว่ายังไง ให้ดูแลน้องใช่ไหม อยู่บ้านกันไม่ถึงครึ่งวันแล้วน้องเจ็บตัวแบบนี้วันหลังพ่อจะไว้ใจให้เมฆดูน้องได้ยังไง”

     ม่านฟ้าหน้าบึ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อถูกคนเป็นพ่อดุต่อ แม้เขาจะพยายามอธิบายเหตุผลให้ฟังแล้ว แต่เหมือนสุดท้ายการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ยังเป็นความผิดของ ‘พี่’ ที่ดูแล ‘น้อง’ ไม่ดีอยู่นั่นเอง

     เด็กชายหันไปมองน้องชายที่ตอนนี้ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดขณะที่แม่กำลังทำแผลให้ ข้อเท้าของภูหมอกบวมแดงจนน่ากลัว เขาถึงรีบโทรหาแม่ให้มาดูน้อง แต่กลับกลายเป็นว่านอกจากพ่อจะไม่ชมเชยแล้วยังจะดุเขาเพิ่มอีก

     “เป็นพี่ก็ต้องดูแลน้อง จำเอาไว้นะเมฆ”

     ม่านฟ้าเกลียดคำนี้

     ทุกครั้งที่มีเรื่องหรือมีปัญหา พ่อจะพูดคำนี้ย้ำๆ กับเขาเสมอ จนสุดท้ายเด็กชายก็ถามออกมาด้วยความรู้สึกทั้งสงสัยและไม่พอใจปะปนกัน

     “แล้วถ้ามันเกินกำลังของเมฆที่จะดูแลน้อง เมฆต้องทำยังไงล่ะครับ ในเมื่อเมฆพยายามแล้วจริงๆ”

     เขาจำไม่ได้ว่าพ่อแสดงสีหน้าออกมาอย่างไรเมื่อพูดประโยคต่อมา จำได้เพียงเสียงถอนหายใจและการส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบ

     เสียงตอบคำถามของพ่อหายออกไปจากความทรงจำ ม่านฟ้าจำได้เพียงเสียงร้องไห้ของน้องที่ดังขึ้นมาในจังหวะเดียวกันนั้นพอดี จนพ่อได้แต่ถอนหายใจอีกครั้งแล้วจูงมือเขาเข้าไปหาน้อง




     ม่านฟ้าวางพวงมาลัยที่หน้าหิ้งพระแล้วถอยออกมาเพื่อพนมมือไหว้ ชายหนุ่มมองพระพุทธรูปที่อยู่บนหิ้งบูชาอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้มลงไปกราบพระ

     หากมีใครมาเห็นเข้าคงแปลกใจไม่น้อยที่มาคุยกับพ่อที ถึงกับต้องไหว้พระจริงจังเหมือนจะไปออกรบแบบนี้

     ไม่หรอก วันนี้เป็นวันพระ แถมเขาสงสารเด็กน้อยขายพวงมาลัย ก็เลยเผลอซื้อมา

     ม่านฟ้าเดินลงบันไดมาชั้นล่างก็เห็นพ่อนั่งอยู่หน้าทีวีที่ประจำเรียบร้อย เริ่มชินกับการที่ต้องอยู่กับพ่อสองคนแบบนี้เพราะช่วงนี้พ่อไม่ค่อยได้ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วจึงกลับบ้านเสมอ ขณะที่แม่ของเขาก็ยังมีเข้าเวรมากมายอยู่เหมือนเดิม

     ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งที่โซฟาข้างตัวบิดาแล้วนั่งดูข่าวกับพ่อเงียบๆ

     ช่วงเวลาแบบนี้หากเป็นก่อนที่พ่อจะรู้ความจริง คงมีพ่อและภูหมอกอยู่ด้วยกันสองคนแทนที่จะเป็นเขาซึ่งขี้เกียจเกินกว่าจะกลับบ้านในช่วงวันธรรมดาแบบนี้

     และบรรยากาศก็คงไม่อึมครึมเช่นนี้ด้วยสินะ

     ม่านฟ้านั่งรอเวลาเพื่อหาจังหวะในการคุยกับพ่อ เขาดูข่าวที่เห็นผ่านตามาหลายวันและกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทางโทรทัศน์

     ‘น้องเอคนนี้ ก่อนที่จะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอย่างครั้งนี้ คุณแม่ของน้องเล่าว่า ก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่กลุ่มเพื่อนในชั้นเรียนทำร้ายร่างกายและล้อเลียนจากการที่น้องเนี่ย เอ่อ จะว่ายังไงดี เป็นเด็กผู้ชายที่..มีจิตใจเป็นสาว ก็คือเป็นหนุ่มน้อยตุ้งติ้งนั่นแหละครับ น้องเนี่ยทั้งถูกบูลลี่ทั้งถูกรังแก ก่อนที่จะมาเกิดเหตุการณ์ที่โหดร้ายอย่างครั้งนี้ขึ้น”

     นักข่าวหนุ่มในโทรทัศน์เรียบเรียงเหตุการณ์และเล่าออกมาอย่างมีอรรถรส ลูกชายคนโตของบ้านเหลือบตามองอาการของผู้เป็นพ่อ เห็นคิ้วที่ขมวดเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีคำกล่าวใดหลุดออกมา

     ม่านฟ้าดึงสายตากลับมาที่หน้าจออีกครั้งแต่ความคิดกลับหลุดไปในช่วงเวลาที่เคยนั่งดูข่าวนี้กับคนรัก



    “พ่อมึง...เคยรู้เรื่องที่หมอกมันโดนล้อหรือโดนแกล้งอะไรแบบนี้บ้างไหม” พิธานถามขึ้นมาขณะที่พวกเขากำลังนั่งดูข่าวกันหลังกินข้าวเย็นเสร็จที่บ้านของนที

     คนถูกถามหันไปมองหน้าคนรักอย่างงุนงง ก่อนจะเข้าใจความหมายที่คนรักพูดแล้วเสหน้ากลับไปมองที่โทรทัศน์อีกครั้ง “ไม่ กูไม่เคยบอกนะ...กลัวเขากังวล ไม่อยากให้เป็นห่วง”

     “...”

     พิธานไม่ได้ตอบรับอะไรเมื่อได้ฟังคำตอบของเขา ทำเพียงหันมามองด้วยแววตาที่อ่านยาก แต่เขารู้การพูดของพิธานครั้งนี้ดูจริงจังเกินกว่าจะเป็นเพียงการถามลอยๆ หรือล้อเล่นอย่างทุกที

     เหมือนมีจุดประสงค์ให้เขาคิดอะไรบางอย่าง



     ม่านฟ้าหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อเสียงร้องไห้ของมารดาผู้เสียหายในโทรทัศน์ดังขึ้นหลังนักข่าวไปสัมภาษณ์ที่โรงพยาบาล เสียงร้องไห้นั้นหวนให้เขานึกถึงใบหน้าอาบน้ำตาของน้องชายในวันที่ถูกรุมแกล้งจากเพื่อนในชั้นเพราะเหตุผลเดียวกัน

     เสียงสะอื้น

     ฝ่ามือที่บีบเข้าหากัน

     และตัวที่สั่นเทาของภูหมอกในวันนั้น

     ทำให้เขาตัดสินใจพูดมันออกไป

     “พ่อ”

     “...”

     “พ่อเคยรู้ไหม ลูกของพ่อ ไม่สิ น้องชายของเมฆน่ะ ก็เคยโดนทำร้ายแบบนี้เหมือนกัน”

     “น้องกลับมา...ร้องไห้ ไม่มีใครที่อยู่ตรงนั้นจะช่วยน้องสักคน...แม้กระทั่งคนเป็นครู”

     “ตอนนั้นเมฆทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ปลอบ และบอกให้น้องเข้มแข็ง อดทน”

     .

     .

     “ทั้งๆ ที่...พ่อเคยบอกว่า ‘เป็นพี่ก็ต้องดูแลน้อง’ แต่สุดท้าย...เมฆก็ทำไม่ได้”

     ความเงียบกลืนกินระหว่างสองพ่อลูกหลังม่านฟ้าพูดจบ เขาไม่ได้หันไปมองท่าทางของผู้เป็นพ่อ และเลือกที่จะพูดต่อไปพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน "เมฆทำอะไรให้น้องไม่ได้สักอย่าง...แม้กระทั่งทำให้น้อง.. ได้กลับมาเป็นลูกของพ่อ เมฆยังทำไม่ได้เลย"

     ม่านฟ้าขยับตัวเล็กน้อยก่อนถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง หันไปมองสบตากับผู้เป็นบิดาด้วยดวงตาที่ท้อแท้และหมดหวัง

     "เมฆเคยถามพ่อ...ว่าถ้ามันเกินกำลังของเมฆที่จะดูแลน้องได้ แล้วเมฆควรทำยังไง"

     “คำตอบในวันนั้นของพ่อ คืออะไรกันแน่เหรอครับ"



    "หรือว่า...เมฆควรยอมแพ้ได้แล้ว"

     "..."

     คำถามที่ม่านฟ้าส่งไปถามผู้เป็นอาได้รับกลับมาเพียงความเงียบ ก่อนที่เขาจะตัดใจ คำพูดของนทีพร้อมฝ่ามืออุ่นที่ลูบเบาๆ บนศีรษะก็ทำให้เขาต้องหยุดคิด

     “แกรู้ไหม สำหรับฉัน...แกเป็นพี่ชายที่ดีมากเลยนะ”

     คำพูดลอยๆ ในตอนนั้นทำให้ม่านฟ้างุนงงแต่ก็ยังเงียบเพื่อรอฟังต่อ

     “ถึงแกจะทำเป็นเบื่อน้องมากแค่ไหน ทำบ่นโน่นบ่นนี่เหมือนสิ่งที่ทำอยู่คือหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ถ้าแกไม่ได้ห่วงน้องแกจริงๆ แกจะไม่ทำขนาดนี้หรอก แกจะทำเหมือนจำต้องทำ แล้วพอเจอทางตัน...แกก็จะปล่อยมือไป”

     ม่านฟ้ายังจำสายตาของนทีในวันนั้นได้ มันดูเศร้า

     เหมือนกำลังหวนคิดไปถึงใครบางคน

     “เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก แกทำดีแล้ว แกพยายามได้ดีมาก”

     “แต่เรื่องบางเรื่อง ถ้าไม่ไหวก็พอเถอะ อย่าฝืนอีกเลย"



     ม่านฟ้าส่ายหน้าเบาๆ ก่อนก้มหน้าลงต่ำ ไม่หวังว่าจะได้รับคำตอบจากผู้เป็นพ่อ เพียงแค่ถามออกไปด้วยความน้อยใจ ไหล่ของม่านฟ้าคู้ลงจนน่าสงสาร เอ่ยคำพูดสุดท้ายออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

     "เมฆยอมแล้ว เมฆจะปล่อยให้น้องใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ในเมื่อหมอกเลือกที่จะเป็นแบบนั้น น้องก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นเอง เพราะเมฆคิดว่าน้องยังไม่เข้มแข็งพอถึงยังยื้อที่จะดูแลน้องอยู่อย่างนี้"

     .

     .

     "แต่จากนี้...เมฆจะไม่ยุ่งแล้ว พอแล้วครับ"



     TBC





     Achaya (Writer) :

     เรื่องนี้ที่วางแผนไว้คือจะมีภาคหลัก 18 ตอน ภาคความจริงทั้งหมด 27 ตอน (ช่วงนี้จะอยู่ประมาณตอนที่ 16 ของภาคหลักแล้ว) ขอบคุณมากๆ สำหรับคนที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 18 (06.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-09-2021 15:13:18
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 18 (06.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-09-2021 17:51:27
 :pig4:
 :เฮ้อ:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 19 (12.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 12-09-2021 18:47:07
ภาคความจริง : บทที่ 19

     ‘มาชิม’

     ข้อความสั้นๆ ที่ถูกส่งมาในวันเสาร์พร้อมรูปห่อหมกที่ถูกจัดใส่ลูกมะพร้าวและแต่งหน้าด้วยใบมะกรูดกับพริกชี้ฟ้าทำให้ม่านฟ้าเอ่ยขอตัวกับแม่ก่อนเดินเอื่อยๆ ออกจากบ้านมาหาพ่อครัวที่ส่งรูปอาหารหน้าตาน่าทานมาให้

     แค่เดินเข้ามาในบ้าน กลิ่นพริกแกงและส่วนผสมอะไรสักอย่างที่ม่านฟ้าไม่รู้ รู้เพียงว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะของห่อหมกก็ลอยมาแตะจมูก ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา คิดว่าในวันหยุดเช่นนี้พี่ชายคนรักก็น่าจะอยู่บ้านแต่กลับไม่เห็นจึงเดินเลยเข้าไปในครัวเพื่อถามเอากับคนตัวโตที่ขยับมือผัดพริกแกงในกระทะอยู่

     “เฮียอะ”

     “ไปทำงาน บ้าม่ะ วันหยุดยังไปทำงานเนี่ย” พ่อครัวที่ถูกถามหันมามองคนรักเล็กน้อยก่อนบ่นพี่ชายออกมาพร้อมออกคำสั่ง “เอาไข่มาสามฟองดิ๊”

     ม่านฟ้าหมุนตัวไปเปิดตู้เย็นหยิบไข่ออกมาให้คนรักตอกลงไปในกระทะ แล้วจึงถามต่อ “แล้วทำห่อหมก นึกว่าจะให้เฮียกินด้วย”

     “เฮียเพิ่งออกไปไม่นานเนี่ย กูทำไปให้กินที่ทำงานแล้ว รูปที่ส่งให้มึงอะ ส่วนอันนี้เดี๋ยวให้มึงชิมแล้วเอาไปฝากพ่อกับแม่ แม่ทำกับข้าวยัง” พิธานผัดจนไข่เริ่มเข้ากันกับพริกแกงและอาหารทะเลในกระทะก็ใส่ใบโหระพาตามลงไป เหลือบมองคนรักที่จ้องกระทะแล้วกลืนน้ำลายดังอึก

     “น่าจะกำลังทำมั้ง” ม่านฟ้าตอบคำถามแต่ตายังมองอีกคนใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปผัดให้เข้ากัน มือใหญ่ของพ่อครัวคว้าช้อนมาตักเนื้อห่อหมกข้นๆ ขึ้นมาเป่า ก่อนส่งไปจ่อปากม่านฟ้าที่อ้าปากรับไปอย่างไม่กลัวคำเตือน “ร้อนนะ”

     “เป็นไง” พ่อครัวคนเก่งถามออกมาแต่มือก็ขยับปิดไฟแล้วตะล่อมอาหารในกระทะ

     ม่านฟ้าเคี้ยวห่อหมกในปากแล้วพยักหน้าตอบคำถามคนรักไปอีกครั้ง “อร่อยแล้ว อืม แต่แอบเผ็ด”

     “เหรอ สงสัยกูหนักมือไปหน่อย กินได้ป่าวเนี่ย เปิดไฟซึ้งให้หน่อย” คนตัวโตถามไปด้วย สั่งไปด้วยขณะที่มือก็ตักห่อหมกในกระทะใส่ลูกมะพร้าวไปด้วย แต่กลับทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น

     “ได้ๆ กินกับข้าวน่าจะกำลังดี” ผู้ช่วยพ่อครัวอีกคนเองก็เปิดไฟเตาแก๊สสำหรับหม้อซึ้ง แล้วตอบคำถามคนรักไปง่ายๆ ก่อนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “อ้าว งั้นมึงก็กินข้าวคนเดียวอีกแล้วดิ เฮียไม่อยู่อย่างงี้”

     “หืม? อืม ชินแล้ว” พิธานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วยักไหล่ตอบไปอย่างไม่ยี่หระ ราดหัวกะทิลงไปแล้วยกห่อหมกไปวางบนหม้อซึ้งโดยมีม่านฟ้าเปิดและปิดฝาให้

     “...ให้กูมากินด้วยไหม”

     คนที่ต้องกินข้าวคนเดียวคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วยกมือขยี้หัวคนรัก รู้ว่าม่านฟ้าคงกังวลว่าเขาจะเหงาถึงถามเช่นนี้ “ไม่เป็นไร มึงกลับไปกินกับที่บ้านเถอะ บอกแล้วไงว่าชินแล้ว ตักข้าวราดให้กูหน่อย”

     พิธานชี้ไปที่กระทะที่เหลือห่อหมกอยู่สำหรับส่วนที่เป็นข้าวเย็นของตัวเอง แล้วหันไปเก็บอุปกรณ์ต่างๆ วางในซิงค์เตรียมตัวล้าง

     ส่วนม่านฟ้าหลังตักข้าวจากหม้อแล้วราดห่อหมกลงไปตามคำสั่งคนรักก็กลับมายื่นข้างๆ อีกคนพร้อมถามออกไปอีกหนเมื่อยังรู้สึกไม่สบายใจ “หรือมึงไปกินข้าวบ้านกูไหม จานนี้ก็เก็บไว้กินดึกๆ ก็ได้”

     ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหันทั้งตัวมามองม่านฟ้า มือคว้าคออีกคนเพื่อดึงตัวเข้ามาใกล้ก่อนก้มลงไปกดหน้าผากชนกับหน้าผากของอีกคนแล้วถูไปมา “บอกว่าไม่เป็นไรไง ไม่ต้องห่วงหน่า เดี๋ยวปิดเทอมแล้วมีเวลามึงค่อยมากินกับกูบ่อยๆ ก็ได้”

     สุดท้ายม่านฟ้าก็ได้แต่ยอมแพ้ เสหน้าออกเล็กน้อยเมื่ออีกคนเริ่มก้มมาใกล้จนเกินไปแล้วจึงเหลือบไปเห็นมะพร้าวอีกสองลูกที่ยังไม่ได้ใช้วางไว้อยู่ไม่ไกล “นี่ซื้อมาเป็นลูกแล้วปอกเองเลยเหรอ”

     คุณพ่อครัวหันไปมองตามสายตาคนรักแล้วพยักหน้ารับ ก่อนหันมามองมือตัวเองที่ถูกคนรักยกขึ้นมามอง

     “ซ่านัก เข้าลึกไหมเนี่ย”

     ม่านฟ้าสังเกตเห็นตั้งแต่เดินเข้าครัวมาได้ไม่นานว่ามือซ้ายของคนรักมีปลาสเตอร์พันอยู่แต่ยังไม่ได้ทักออกไป จนเมื่อรู้ว่าพิธานปอกมะพร้าวเองก็นึกรู้สาเหตุของแผลขึ้นมาได้ทันที

     วันก่อนเพิ่งบ่นกับเขาว่ามะพร้าวอ่อนแบบปอกแล้วมันแพงแต่มาปอกเองก็ไม่เคยทำ

     แล้วเป็นไง คุ้มไหมที่เจ็บตัวเนี่ย

     “แค่ถากๆ แต่เลือดมันออก รำคาญเลยพันปลาสเตอร์ไว้”

     พิธานตอบออกไปพร้อมมองคนรักลูบที่แผลของเขาเบาๆ อดไม่ได้ที่จะแกล้งนิดแซวหน่อยให้นอนหลับฝันดี “ถ้าได้จูบสักทีแผลคงหายเร็วอะ”

     คนตัวเล็กกว่าเหลือบขึ้นไปมองคนรักแล้วทิ้งมือข้างที่จับอยู่ทันทีก่อนเดินผ่านคนเจ็บไปที่หน้าซิงค์ล้างจาน “งั้นก็ปล่อยให้แผลมันเน่าไปเถอะ”

     ถึงจะโดนพูดแบบนั้นใส่แต่คนเจ็บกลับยิ้มกว้างหนักกว่าเดิมเมื่อคนแช่งให้แผลเน่ากลับเริ่มล้างจานในซิงค์ให้แล้วเรียบร้อยเหมือนไม่อยากให้แผลของเขาโดนน้ำมาก แถมท้ายด้วยการสั่งมาอีกหนึ่งประโยค “นั่งกินข้าวไปเลยไป มึงกินเสร็จแล้วกูค่อยกลับ”



     นัชชาเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อลูกชายคนโตซึ่งออกไปตัวเปล่าแต่กลับมาพร้อมกับห่อหมกมะพร้าวอ่อนหนึ่งลูกถ้วนหลังหายไปเกือบชั่วโมง

     กำลังจะโทรตามให้กลับมากินข้าวแต่ก็มาได้จังหวะพอดี

     “ไปเอาของกินมาจากไหน” ยังไม่ทันที่หญิงสาวคนเดียวของบ้านจะเอ่ยถาม ผู้เป็นสามีของเธอก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน คงนึกแปลกใจไม่แพ้กันเพราะของแบบนี้ดูไม่น่าเป็นของติดมือที่ได้รับมาจากบ้านเพื่อน

     “พีทมันทำมาฝาก” จริงๆ คืออยากทำคะแนนแหละ

     คำตอบเรียบง่ายแต่เรียกใบหน้างุนงงจากผู้เป็นพ่อก่อนเปลี่ยนมาเป็นขมวดคิ้ว นัชชาไม่แน่ใจว่าที่สามีขมวดคิ้วเพราะจำเพื่อนลูกชายที่ชื่อพีทคนนี้ไม่ได้หรือคำตอบที่ได้ดูไม่น่าเป็นไปได้กับบุคคลที่นึกถึง เธอจึงตอบข้อสงสัยที่เป็นไปได้ข้อแรกให้ก่อน

     “พีท เพื่อนเจ้าเมฆที่เคยมาบ้านบ่อยๆ แล้วก็เจอที่โรงพยาบาลไงพ่อ ตัวโตๆ น่ะ”

     นภดลพยักหน้ารับเงียบๆ แต่ยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ นัชชาจึงเฉลยข้อสงสัยที่เป็นไปได้ข้อสอง “เจ้าพีททำกับข้าวเก่ง มาทีไรช่วยแม่ทำกับข้าวทุกที คล่องกว่าลูกเราเยอะ เจ้าพวกนี้บางทีเก้ๆ กังๆ ไม่ช่วยแถมเกะกะอีก”

     คนเป็นแม่อวย ‘เพื่อน’ ลูกไม่พอ หันมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเองให้เห็นภาพชัดเจนไปอีก ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคคล้ายกันกับที่ใครบางคนเคยพูดไว้

     แต่ต่างความหมายกันอย่างสิ้นเชิง
     
     “เสน่ห์ปลายจวักขนาดนั้น บ้านไหนได้ไปเป็นเขยคงโชคดีตาย”



     มื้ออาหารของพวกเขาสามคนผ่านไปอย่างเรียบง่ายพร้อมเสียงพูดคุยกันบ้างเล็กน้อย หลังจากแม่ได้ชิมอาหารฝีมือพิธาน เจ้าตัวก็ชมเปาะจนม่านฟ้าไม่รู้จะดีใจแทนคนรักหรือแอบเศร้าใจที่เห็นแววตกกระป๋องมารางๆ ตั้งแต่พิธานยังไม่มาเป็น ‘ลูกเขย’ ให้แม่เลยด้วยซ้ำ

     ม่านฟ้าทำหน้าที่แผนกเก็บล้างอีกเหมือนเคย เสร็จแล้วก็เดินมานั่งรวมกับพ่อแม่ที่กำลังดูข่าวในโทรทัศน์

     'วันนี้มีข่าวน่าสลดใจอีกอย่างนะครับ น้องเอ ที่เคยมีข่าวว่าถูกทำร้ายจากเพื่อนเพราะว่าน้องเป็นเพศที่สามเนี่ย...ตอนนี้เสียชีวิตแล้วครับ คุณแม่ของน้องร้องไห้แถมขาดใจและแจ้งกับทีมข่าวว่าอย่างไรก็จะเดินหน้าคดีต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ว่าน้องจะจากไปแล้วก็ตาม ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องด้วยนะครับ'

     "..."

     ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่เมื่อผู้ประกาศข่าวกล่าวจบ ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาเล็กน้อยจากหญิงวัยกลางคนแต่ก็ยังไร้บทสนทนาใดต่อมา

     นภดลเหลือบตามองลูกชายคนโตที่นั่งดูข่าวต่อไปนิ่งๆ หากเป็นก่อนหน้านี้ ม่านฟ้าคงใช้โอกาสนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องภูหมอกบ้างแล้ว แต่หลังจากวันนั้นที่เจ้าตัวบอกว่าจะ 'พอ' ก็ไม่มีการเอ่ยถึงลูกชายคนเล็กของเขาอีก

     ราวกับเจ้าตัวกำลังทำอย่างที่พูดจริงๆ

     แม้กระทั่งการกลับบ้าน ม่านฟ้าที่เคยกลับบ้านช่วงวันธรรมดาเพื่อหาโอกาสมาคุยเรื่องน้องกับเขาบ่อยๆ ก็กลายเป็นกลับบ้านแต่ช่วงวันเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม

     ทุกอย่างคล้ายกำลังเข้าที่เข้าทาง กลับสู่วงจรการใช้ชีวิตปกติโดยขาดใครคนหนึ่งไปอย่างไม่เหลือร่องรอย

     ไม่มีการพูดถึง

     ไม่มีการถามถึง

     ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ใดที่ทำให้สะดุดตาว่าเคยมีอีกหนึ่งชีวิตอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาก่อน

     แม้แต่เก้าอี้บนโต๊ะกินข้าวก็ยังเหลือเพียงสามตัว

     ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง...นภดลกลับไม่ได้รู้สึกสบายใจแม้แต่น้อย



     “ทำอะไรเมฆ”

     เสียงของผู้เป็นแม่ถามขึ้นเมื่อม่านฟ้าเดินไปยกเก้าอี้โต๊ะกินข้าวออกมาตัวหนึ่ง

     “เก็บเก้าอี้ไงแม่ แม่เปิดประตูห้องเก็บของให้หน่อย”

     ม่านฟ้าตอบผู้เป็นแม่กลับไปง่ายๆ แล้วยกเก้าอี้เข้าไปไว้ในห้องเก็บของรวมกับของต่างๆ ที่เก็บเข้าลังมา นัชชาเห็นแล้วว่าลูกชายเดินหยิบโน่นจัดนี่มาสักพัก จนมาเริ่มเอะใจว่าของต่างๆ ที่ม่านฟ้าเก็บล้วนมีความสัมพันธ์กับ ‘ภูหมอก’ ทั้งสิ้น

     ทั้งเก้าอี้โต๊ะกินข้าวของภูหมอก แก้วน้ำประจำตัว กรอบรูปที่ถ่ายรูปของพวกเขาสี่คน หนังสือเรียนที่วางทิ้งไว้ หรือแม้กระทั่งรองเท้าในชั้นวางทุกคู่

     “คิดจะทำอะไร”

     คำถามของมารดาเปลี่ยนไปพร้อมเสียงที่เข้มขึ้นทำให้ม่านฟ้าหันไปมอง ชายหนุ่มเลือกไม่ตอบคำถามแล้วยักไหล่ออกมาแทน สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงถอนหายใจหนักๆ ของผู้เป็นแม่และการก้าวเท้าเข้ามาใกล้

     “เมฆ แกคิดจะทำอะไร” ถึงจะถามย้ำออกไปอีกครั้งแต่นัชชาก็พอรู้จุดประสงค์ของลูกชายคนโตแล้ว ทั้งที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ใจเย็น ให้เวลาคนเป็นพ่ออีกหน่อย แต่เหมือนม่านฟ้าจะเริ่มทนไม่ไหวและใช้มาตรการที่เด็ดขาดมากขึ้น “สงสารพ่อเขาบ้าง”

     ม่านฟ้าคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของคนเป็นแม่ รู้ดีถึงความหมายที่มารดาต้องการสื่อ ถึงกระนั้นกลับสบายใจว่าอย่างไรพ่อก็ยังมีแม่อยู่ข้างๆ “เพราะงั้นเมฆถึงยังปล่อยให้แม่อยู่ข้างพ่อไง ไม่งั้นเมฆกล่อมแม่ให้มาร่วมมือกับเมฆนานแล้ว”

     คำพูดทีเล่นทีจริงของลูกชายคนโตทำให้นัชชาเผลอทำหน้าบึ้งออกมา “วางแผนเล่นกับใจพ่อใจแม่แบบนี้ไม่น่ารักเลย เจ้าเด็กคนนี้”

     “โถ่ แม่พูดอย่างกับเมฆวางแผนฆาตกรรมอย่างงั้นแหละ” เด็กไม่น่ารักเดินเข้าไปกอดผู้เป็นมารดาไว้อย่างออดอ้อน ยังคงยิ้มเผล่อย่างไม่สะทกสะท้านในคำบ่นแต่แววตากลับจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินแม่กระซิบประโยคต่อมา “แต่แบบนี้มันใจหายเกินไป”

     ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกแล้วกระชับกอดมารดาให้แน่นก่อนผละออก เขามองเข้าไปในดวงตาสีสนิมเช่นเดียวกันกับเขาแล้วพูดออกมาด้วยเสียงจริงจัง

     “แม่ไม่ต้องห่วงนะ ทนอีกแค่นิดเดียว ของที่เราเก็บวันนี้มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมฆสัญญา...เมฆจะพาน้องกลับบ้านมาให้ได้”



     ม่านฟ้ารู้ตัวว่ากำลังถูกพ่อมองแต่ก็ตีหน้านิ่งเอาไว้ เขาเหลือบตาไปมองผู้เป็นพ่อเล็กน้อยเมื่อไม่รู้สึกถึงสายตาของอีกคน ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่หน้าจออีกครั้ง

     "แต่จากนี้...เมฆจะไม่ยุ่งแล้ว พอแล้วครับ"

     ใช่ พอแล้ว

     พอกันที

     เขาจะเลิกแผนเดิมๆ แล้วหักดิบพ่อดูสักที

     ถ้าพ่ออยากให้ภูหมอกหายไปจากชีวิต หายไปจากครอบครัวเราขนาดนั้น เขาก็จะจัดให้ หากเขาตัดทุกเส้นทางการรับรู้ของพ่อเกี่ยวกับภูหมอก ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อจะทนได้สักแค่ไหน

     นี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายของเขาแล้วจริงๆ หากยังพลาดอีก เรื่องนี้คงต้องจบลงแบบแบดเอนดิ้งแล้วล่ะ

     ----

     “เป็นอะไร”

     พิธานทักคนรักที่ทำหน้ามึนเป็นปกติแต่ก็พอจะดูออกว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี

     เป็นอีกหนึ่งวันหยุดที่ม่านฟ้ามาที่บ้านของคนรัก แต่คราวนี้ม่านฟ้าไม่ได้มาตัวเปล่าแต่มาเป็นเพื่อนกินข้าวพร้อมกับข้าวที่แม่ทำมาฝากอีกคนจนเต็มสองมือ และก่อนถึงเวลาอาหารม่านฟ้าก็ถูกคนรักลากมาช่วยงานอีกครั้ง

     “กู...แอบรู้สึกผิดยังไงไม่รู้”

     ม่านฟ้าตอบคนรักออกมาพร้อมกับถอนหายใจ มือขยับฟองน้ำถูไปตามตัวรถสีควันบุหรี่ที่ช่วงนี้ได้อาศัยมันไปไหนมาไหนบ่อยครั้ง

     มาถึงก็ถูกใช้ให้ล้างรถเลย

     ส่วนเจ้าของรถก็กระโดดไปล้างรถอีกคันให้พี่ชายแทน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เฮียพีหรือพิรัลต้องออกไปนอกบ้านในวันหยุด แม้ไม่ได้ออกไปทำงานแต่ก็ไปงานเลี้ยงของบริษัท คุณพี่ชายถึงได้ไปแท็กซี่แล้วทิ้งรถไว้ให้น้องชายจัดการล้าง

     “เรื่องอะไร” พิธานถามออกไปแต่เริ่มจะเดาเรื่องขึ้นมาได้รางๆ แล้วก็ไม่ผิดนัก

     “พ่อ เขาดู...เงียบๆ ไป” ตั้งแต่ที่ม่านฟ้า ‘หลอก’ พ่อว่าจะเลิกยุ่งกับน้องชาย อีกทั้งยังเล่าให้ผู้เป็นพ่อฟังว่าน้องเคยโดนแกล้งอย่างไรมาอีก หลังจากนั้นพ่อก็ดูเงียบไป เหมือนคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

     และคนที่กระตุ้นให้เขาบอกเรื่องภูหมอกก็ไม่ใช่ใครอื่น

     คนตรงหน้านี้ไง



     'พ่อมึง...เคยรู้เรื่องที่หมอกมันโดนล้อหรือโดนแกล้งอะไรแบบนี้บ้างไหม'

     “ที่มึงถามแบบนี้ คือมึง...อยากให้เขารู้สึกเป็นห่วงหมอกบ้าง...งั้นเหรอ” ม่านฟ้าพูดลองเชิงดูเมื่อพิธานไม่พูดอะไรต่อแล้วเปลี่ยนมาจับสังเกตที่ท่าทางของคนรักแทน “คิดว่าถ้าเขาห่วงหมอกมากๆ เขาอาจจะ...ใจอ่อนลงบ้างก็ได้ ใช่ไหม”

     คำตอบที่ได้รับจากพิธานยังคงเป็นความเงียบ

     มีเพียงมุมปากเท่านั้นที่ยกขึ้นเล็กน้อย

     .

     ก่อนเริ่มต้นพูดไปอีกเรื่องที่ดู 'เหมือน' จะไม่เกี่ยวกันสักนิด

     "มึงรู้ไหม ตอนกูเลิกบุหรี่ครั้งแรก กูเคยใช้วิธีหักดิบเหมือนกัน หลายคนบอกว่ามันได้ผล แม้จะทรมานหน่อยก็เถอะ" ทั้งที่ดูเหมือนพูดเรื่องทั่วไป แต่สายตาของพิธานที่มองจ้องมากลับคล้ายจะสื่อความไปอีกอย่าง

     "แต่มึงรู้ไหม บางคนที่พยายามจะหักดิบ สุดท้าย.."

     "แม่งกลับมาติดมันยิ่งกว่าเดิมอีก"



     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาอีกหนเมื่อนึกย้อนกลับไป เกลียดตัวเองที่ดันทำตามคำล่อลวงของอีกฝ่ายแล้วก็มานั่งรู้สึกผิดเองแบบนี้ แต่ตอนนั้นเขามืดแปดด้านแล้วจริงๆ แค่เห็นความหวังจากทางไหนสักทาง เขาก็ได้แต่รีบคว้าไว้

     “เพราะมึงอะแหละ”

     หงุดหงิดหาทางไปไม่ได้ก็ขอโทษแฟนไว้ก่อน

     ถึงกระนั้นพิธานกลับไม่ได้หงุดหงิดกับคำกล่าวหา ขยับยักไหล่ก่อนตอบออกมาเหมือนคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ “กูทำอะไร กูไม่ได้ทำอะไรเลยเหอะ มึงตีความไปเองทั้งนั้น”

     ม่านฟ้าอดหันไปค้อนคนรักที่หันหลังล้างรถอีกคันหนึ่งอยู่ แม้เจ้าตัวไม่ได้หันมามองแต่ขอได้ส่งกระแสจิตแค้นเคืองไปสักหน่อยก็ยังดี "หน้าตาก็เหมือนตัวร้ายอยู่แล้ว ยังจะทำตัวเป็นตัวร้ายเข้าไปอีก"

     ลงกับคนไม่ได้ก็ลงกับรถแล้วกัน

     "บ่น บ่นเข้าไป" พิธานหันไปมองคนรักที่ออกแรงขัดรถเขาแรงๆ เหมือนคนโมโห แต่ฟองน้ำก็คือฟองน้ำ ออกแรงแค่ไหนก็มีแต่จะสะอาดมากกว่าเดิม "บ่นเสร็จแล้วยังไง ความจริงที่ว่ามึงก็เผลอมาเป็นแฟนตัวร้ายอย่างกูแล้วก็ไม่เปลี่ยนป่ะ"

     "..." ม่านฟ้าหดคอหนีเมื่อ 'ตัวร้าย' ที่ว่าโผล่มากระซิบที่ข้างหู

     "แต่ที่กูร้าย กูวางแผนทั้งหมด...ก็เพื่อมึงทั้งนั้น" ลมหายใจที่รดเข้าซอกคอทำให้ม่านฟ้าขยับตัวหวังจะออกห่างอีกคน แต่กลับโดนมือหนาคว้าเอวเอาไว้
     
     มันคงเป็นฉากโรแมนติกที่สองคนใกล้ชิดกันตอนล้างรถ หากมือของพิธานไม่ถือฟองน้ำที่ชุ่มน้ำอยู่เช่นกัน

     "ไอพีท!" ม่านฟ้ารีบปัดมือคนรักออกแต่ก็สายไปเสียแล้วเมื่อเสื้อของเขาเลอะทั้งฟอง ทั้งน้ำยาจนเปียกไปหมด ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็ยังหันกลับมาบ่นเรื่องเดิมต่อ "นี่มึงวางแผนตั้งแต่จีบกูเลยป่ะเนี่ย"

     "หวาา โดนจับได้ซะแล้ว" พิธานพูดไปหัวเราะไปก่อนจะต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่อเห็นคนรักทำท่าจะถอดเสื้อออก "เห้ย! ทำไรเนี่ย!"

     "ก็มึงทำเสื้อกูเปียก" ม่านฟ้าที่โดนโวยมาก็โวยกลับเมื่อพิธานกระชากเสื้อของเขาลงก่อนที่เสื้อจะพ้นออกจากหัว

     "แล้วมึงจะมาถอดเสื้อล้างรถเนี่ยนะ อายฟ้าอายดินบ้างเหอะ ถ้าตัวลีนบางหรือมีซิกส์แพ็คน่าอวดก็ว่าไปอย่าง นี่มีแต่ก้อนไขมันหยุ่นๆ สักแต่ว่าขาวหน่อยเลยคิดว่าจะอวดได้เหรอ ไม่ต้องเลยนะ ไม่ต้องคิดจะถอดเลยนะ"

     ม่านฟ้าหลุดหน้าเหวอออกมาเมื่อพิธานพ่นอะไรต่อมิอะไรออกมาอีกเป็นชุด แถมยังทำท่ามองซ้ายมองขวาพร้อมจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น อารมณ์หงุดหงิดหายไปอย่างชั่วคราวเมื่อเจอคนหงุดหงิดมากกว่า

     "ถ้าอยากจะเปลี่ยนเสื้อก็เข้าไปเปลี่ยนในบ้าน อย่ามาถอดตรงนี้" พิธานหอบออกมาเล็กน้อยหลังบ่นยาวไม่พักหายใจ เริ่มรู้ตัวว่าเผลอทำตัวร้อนรนออกไปแต่ก็ยังไม่หยุด ปล่อยมือจากเสื้อคนรักแล้วหันไปอีกทางอย่างวางท่า

     หารู้ไม่ว่าทำให้ใครอีกคนหมั่นไส้เข้าให้แล้ว

     “เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะนึกว่ากูพาโรคจิตเข้าบ้าน”

     เก๊กท่าอยู่ได้ไม่นาน พิธานก็แอบหันมามองคนที่เงียบไป ภาพของคนรักก้มลงหยิบสายยางฉีดน้ำทำให้พิธานเริ่มเห็นลางร้าย ขยับถอยห่างออกจากคนรัก แล้วละล่ำละลักออกมาแทน “เห้ยๆๆ พูดเล่น เมฆ ไม่เล่นนะๆ ”

     “...”

     พิธานเห็นมือเรียวของม่านฟ้าขยับไปใกล้กับปากสายยางเหมือนเตรียมส่งแรงน้ำความดันสูงก็ตัดสินใจพุ่งเข้าชาร์จเจ้าของร่างเล็กกว่าแต่ก็ดูเหมือนจะสายเกินไป

     และทำให้การเล็ง ‘เป้า’ ของม่านฟ้าแม่นยำมากขึ้น

     “อ๊ะ โอ๊ยยยยย!!!”



     สุดท้ายก็เปียกทั้งคู่

     ม่านฟ้าเดินมานั่งบนโซฟาข้างคนรักหลังอาบน้ำเสร็จ มือขยี้ผมเพื่อเช็ดให้หมาดแต่สายตากลับมองไปยังคนที่นั่งคอแข็งไม่ยอมหันมามองกันสักนิดแล้วเปิดบทง้อขึ้นมาก่อน “นี่ มันไม่เจ็บขนาดนั้นหรอกหน่า ก็แค่น้ำ”

     “น้ำ น้ำที่มีแรงดันมันก็เจ็บได้นะเว้ย สึนามิที่ทำตึกรามบ้านช่องเสียหายแม่งก็น้ำเหมือนกันไง แม่ง...ถ้าใช้การไม่ได้นะ มึงอะต้องรับผิดชอบ” หนุ่มอักษรฯ มองคนรักที่หันกลับมาบ่นเสร็จก็เชิดหน้ากลับไปทางเดิมอีกครั้งแล้วถอนหายใจ คิดในใจว่าตัวก็โตยังทำสะบัดสะบิ้งเป็นเด็กสาวไปได้

     “อะๆๆ เค้าขอโทษ มาๆๆ เดี๋ยวพี่เมฆนวดให้ แป๊บเดียวหายปวด”

     ไม่รอฟังคำอนุญาต ม่านฟ้าก็ขยับมือลงต่ำเตรียมคว้า ‘ผู้บาดเจ็บ’ จากแรงดันน้ำมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดทันที

     หมับ!

     “ไอเหี้ย!” พิธานหลุดสบถออกมาเต็มคำเมื่อหันมาเห็นคนรักเตรียมคว้าของสงวนของเขาอย่างไม่มีท่าทีจะพูดเล่น ไม่แน่ใจว่าคนรักแค่จะแกล้งเขาอีกหรือเปล่าแต่ก็ต้องคว้ามือม่านฟ้าไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

     ขืนโดนจับขึ้นมาจริงๆ นอกจากจะหายป่วยแล้วกลัว ‘น้องชาย’ เขาจะลุกขึ้นมากระปรี้กระเปร่าด้วยน่ะสิ!

     ชายหนุ่มตัวโตถลึงตาใส่คนรักที่เผยยิ้มกว้างอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาออกแรงดันข้อมือของม่านฟ้าให้ห่างจากระยะอันตราย ด้วยแรงของเขาที่มีมากกว่านั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาก็ดันเกิดขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของคนรัก

     “เอ้า! ไม่ให้นวด ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวพี่เมฆเป่าให้ เพี้ยงเดียวหาย”

     หายกะผีน่ะสิ!!!

     “ไอเมฆ!!!!!” พิธานถึงกับกรีดร้องออกมาเมื่อม่านฟ้าก้มหัวลงมาคล้ายจะลงไป ‘เป่า’ ผู้ป่วยให้หายดี มือใหญ่อีกข้างของพิธานรีบดันหัวทุยของคนรักออกห่างทันทีราวกับต้องของร้อน

     “มึงทำอะไรเนี่ยยย!! แล้วมึงพูดอะไรออกมารู้ตัวไหมห่ะ เป่าเปิ่วเหี้ยอะไรของมึงงง!!”

     มือที่ดันหัวม่านฟ้าผละออกมาปิดปากของอีกคนไว้ด้วยมือข้างเดียว แรงบีบทำให้ใบหน้าของม่านฟ้ายู่ยี่แต่ก็ยังเห็นแววตาที่พราวระยับหลังฝ่ามือนั้น จนม่านฟ้าดึงหน้าของตัวเองออกมาจากมือใหญ่ได้ก็มองไปที่สีหน้าของคนรักอีกครั้ง

     พิธานหน้าแดงก่ำไปหมดทั้งยังลามไปยันหูและลำคอ มือไม้เกะกะหาทางไปไม่ถูกเมื่อปล่อยมือออกจากใบหน้าของเขา ขณะที่อีกมือก็ยังบีบข้อมือของเขาแน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน เจ้าตัวทำปากพะงาบๆ เหมือนอยากจะด่าเขาเพิ่มแต่ก็นึกไม่ออกจึงได้แต่เม้มปากกลับลงไปอย่างหงุดหงิดใจ

     สุดท้าย...ม่านฟ้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

     เจ้าของบ้านมองคนรักงอตัวลงไปกุมท้องหัวเราะอย่างน่ากลัวว่าจะหายใจไม่ทันแล้วก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึก พยายามยุบหนอพองหนออยู่ในใจไม่ให้คว้าตัวคนขี้แกล้งมาเขย่าแรงๆ เรียกสติ จนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักมาจากอีกคนไม่หยุด

     “สนุกไหม แกล้งกูได้เนี่ย สนุกมากมั้ย”

     “ซา-หนุก”

     ม่านฟ้าหัวเราะตอบพร้อมกับเลื้อยตัวลงมาซบกับแขนของเขา แถมตอบรับคำประชดของเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน คนที่ดูอารมณ์ไม่ดีก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้วไม่รู้เหลือแต่แฟนหนุ่มขี้แกล้งของเขาเท่านั้น

     พิธานขยับตัวนั่งดีๆ ให้ม่านฟ้าพิงได้สะดวกแต่ก็ยังไม่วายบ่นอีกคนออกมาจนได้ “เนี่ย ชอบเลื้อยมาซบแบบนี้เนี่ย แล้วไม่ให้กูว่าไม่มีกระดูกได้ไง”

     “บ่นอยู่นั่น อยากให้ไปซบคนอื่นเหรอ”

     ป้าบ!

     “ก็ลองดูสิ” โดนตีก้นไปหนึ่งดอกข้อหาพูดจาไม่น่าฟัง ม่านฟ้าสะดุ้งแล้วซบหน้าลงพึมพำกับแขนของคนรักอีกหน่อยว่า 'ล้อเล่นหน่า'

     เสียงท้องร้องโครกดังขึ้นมาพร้อมกันทำให้ชายหนุ่มสองคนที่เถียงกันง้องแง้งหยุดชะงัก ตัดสินใจระงับศึกเอาไว้ชั่วคราว แล้วลุกขึ้นมาช่วยกันหาอาหารยาไส้ให้กับน้ำย่อยที่เริ่มร้องครวญคราง

     มื้ออาหารกลางวันง่ายๆ จบลงไปโดยที่พิธานไม่ได้ออกแรงทำอาหารเลยแม้แต่น้อย เพราะแค่อาหารจากแม่ของม่านฟ้าก็มากพอที่จะกินไปได้ถึงพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

     หลังทำงานเป็นพ่อบ้านล้างรถให้คนรักแล้ว ม่านฟ้าก็มาทำหน้าที่แม่บ้านล้างจานให้ต่อ ส่วนเจ้าของบ้านอย่างคุณชายพิธานก็ไม่ไปไหนไกลนอกจากยื่นวอแวอยู่ข้างคนรักหลังเป่ายิงฉุบหาคนล้างจานชนะ

     ถึงอย่างนั้นม่านฟ้าก็ใช่ว่าจะมีท่าทีหงุดหงิด ริมฝีปากของม่านฟ้ายังแต้มรอยยิ้มเล็กๆ จนพลอยให้คนมองอย่างพิธานยิ้มตามไปด้วย

     ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มที่กว้างขึ้นเมื่อคิดแผนเอาคืนคนขี้แกล้งได้

     ม่านฟ้ารู้ดีว่าต้องแกล้งเรื่องไหนถึงทำให้เขาสติแตก และเขาเองก็รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ม่านฟ้าเขินจนทำตัวไม่ถูก

     พิธานโอบมือรอบเอวของคนรัก ก้มหน้าลงซบบนบ่าแล้วผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนขยับขึ้นไปกระซิบเสียงนุ่มที่ข้างหูอีกฝ่าย

     "เห็นมึงมีความสุขแบบนี้กูก็ดีใจ"

     ชายหนุ่มร่างสูงรู้สึกถึงอาการชะงักเล็กน้อยของคนในอ้อมแขน ม่านฟ้าเบี่ยงคอหลบแล้วถามออกมาอย่างติดจะตะกุกตะกัก "อะ อะไรของมึงเนี่ย"

     ใช่ ม่านฟ้าแพ้คำหวาน

     แพ้เสียงนุ่ม

     และแพ้สัมผัสอ่อนโยน

     ถึงจะแกล้งทำเป็นเก่งแต่ความจริงที่ว่าพวกเขาต่างไม่ประสาเรื่องอย่างว่ากันทั้งคู่ก็คือความจริง ชัยชนะในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้เปรียบในการรุกแกล้งอีกฝ่ายให้ได้เขินก่อนกันเท่านั้น

     มือใหญ่ลูบวนอยู่บริเวณหน้าท้องของคนรัก ทั้งจมูกทั้งปากวนเวียนอยู่กับขมับและกลุ่มผมหอม รู้สึกถึงอาการเกร็งเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นคนปากกล้าก็ยังเป็นคนปากกล้า

     "จะจับจะลูบเพื่อ แม่งก็มีแต่ก้อนไขมันหยุ่นๆ อย่างที่มึงว่าไม่ใช่หรือไง"

     เหยื่อของเขาเริ่มร้อนรนแล้ว

     พิธานมองม่านฟ้าล้างจานใบสุดท้ายเสร็จแล้วคว่ำไว้ในที่วางจาน นึกรู้ว่าต่อไปที่ม่านฟ้าจะทำก็คือการหาทางออกจากสถานการณ์น่าเขินอายเหล่านี้

     ม่านฟ้าเช็ดมือกับผ้าให้เรียบร้อยแล้วหันกลับมาเตรียมผลักอีกคนออกแต่ก็ยังช้าเกินไป พิธานผละมือออกจากเอวคนรักในจังหวะที่อีกคนหมุนตัวแล้วเปลี่ยนเป็นกักตัวม่านฟ้าเอาไว้กับเคาน์เตอร์แทน

     ใบหน้าของอีกคนที่โผล่มาในระยะประชิดทำให้ม่านฟ้าผงะ กลิ่นสบู่อาบน้ำยังหลงเหลืออยู่บนร่างสูง ดวงตาสีดำสนิทของพิธานสบกับดวงตาสวยของม่านฟ้าไม่ให้เจ้าตัวได้มองไปทางอื่นขณะที่ลดความห่างของใบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ

     ริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสกันเพียงแผ่วเบาแต่เนิ่นนาน ไม่มีการล่วงเกินใดไปกว่าการขบเม้มเบาๆ ที่ริมฝีปาก ถึงกระนั้นการจูบที่ยังสบตากันในระยะใกล้เช่นนี้กลับเรียกความร้อนบนใบหน้าของม่านฟ้าได้ดีเหลือเกิน

     ร่างของม่านฟ้าแข็งเกร็งอยู่เช่นนั้นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

     "..."

     จนเมื่อพิธานขยับไปจูบใบหูแดงเรื่อพร้อมเสียงกระซิบยั่วยวน

    "เมฆ คืนนี้เค้าขอนะ"

     วิญญาณของม่านฟ้าก็หลุดออกจากร่างไป



     TBC



     Achaya (Writer) :

     มาหยอดน้ำตาลให้อีกก้อน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 19 (12.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-09-2021 20:02:25
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 19 (12.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-09-2021 21:56:44
อุ้ยยย
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 20 (19.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 19-09-2021 18:52:46
ภาคความจริง : บทที่ 20

     "โอ๊ยๆๆ พอๆ ยอมแล้ววว"

     พิธานชักแขนหลบหมัดของม่านฟ้าที่กระหน่ำมาที่ต้นแขนของเขา ท่าทางคราวนี้จะโกรธจริงเขินจริงถึงขั้นที่ต้องลงไม้ลงมือพร้อมกับคำโวยวายหลังเขาพูดจบประโยค "แล้วมึง 'ขอ' เหี้ยอะไรของมึงเล่า!!!"

     "กูก็แค่อยากลองพูดดู เห็นพระเอกซีรีส์ชอบพูดกันบ่อยๆ โอ๊ยๆๆ พอแล้วที่รัก เขินแรงไปแล้ว" ชายหนุ่มเจ้าของบ้านตัดสินใจรวบมือคนรักเอาไว้ มองใบหน้าของคนรักที่บึ้งตึงแต่ก็ยังไม่ลดความแดงลงแม้แต่น้อย

     เขาปล่อยให้คนรักสูดลมหายใจลึกๆ เรียกสติครู่หนึ่งก่อนที่จะลากตัวมาที่โซฟา…

     มาคุยกันเฉยๆ ไม่ได้ลากมาทำอะไรอย่างที่ขอ

     “จะคุยกันดีๆ ได้ยัง”

     คนตัวสูงปล่อยคนรักให้นั่งตามใจชอบ ซึ่งคราวนี้เจ้าตัวก็กระเถิบไปนั่งชิดอีกฝั่งของโซฟาแสดงออกถึงความไม่พอใจให้เห็นกันชัดๆ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสน ม่านฟ้าก็โกรธแค่แป๊บเดียวแหละ จานยังไม่ทันแห้งก็หายโกรธแล้ว

     “คุยอะไร” ม่านฟ้าถามเสียงห้วนกลับมา

     “ที่มาเนี่ย เพราะอยากคุยอะไรไม่ใช่หรือไง” พิธานมองอาการของคนรักที่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนม่านฟ้าจะถอนหายใจออกมาเบาๆ หันหน้ามาสบตากับเขาแล้วก็ถอนหายใจอีกหน
     
     “ก็แค่เครียด เรื่องพ่อกับหมอก กูวางเดิมพันหมดหน้าตักแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะได้ผลไหม”

     อีกสองอาทิตย์ ภูหมอกจะต้องเข้ามอเพื่อไปถ่ายแบบชุดนิสิต ม่านฟ้าคิดจะใช้โอกาสนี้ในการพาภูหมอกกลับไปที่บ้าน อย่างน้อยขอแค่พ่อไม่ระเบิดลงอีกรอบเขาก็พอใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้นทั้งภูหมอกและก็พิธาน

     ไม่อยากให้ภูหมอกเครียดเกินเหตุ แล้วก็ไม่อยากให้พิธานต้องมากังวลแทนเขาด้วย

     “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใจเย็น เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา”

     กลับกลายเป็นคนใจร้อนอย่างพิธานที่ปลอบคนใจเย็นอย่างม่านฟ้า พิธานมองคนรักที่เริ่มจมลงไปกับความกังวลอีกครั้งจนเผลอไหลตัวมาซบไหล่เขาอีกหน เหลือบไปมองที่ซิงค์ล้างจาน เชื่อได้ว่าจานยังไม่แห้งดีม่านฟ้าก็ลืมความโกรธไปแล้ว

     “เอาจริงๆ กูเข้าใจพ่อมึงนะ คนเราเกิดมาด้วยความคิดต่างกัน เขาใช้เวลากว่าสี่สิบห้าสิบปีกับความคิดอย่างหนึ่ง คิดว่าการเป็นเพศที่สามคือเรื่องไม่เหมาะสม เป็นความผิดปกติ แล้วเราจะใส่ความคิดอีกอย่างให้เขาโดยให้เวลาเขาแค่สามสี่เดือน ต่อให้มันมีเหตุผลมากแค่ไหน แต่บางทีมันก็ยาก”

     ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพูดพร้อมเหม่อออกไปไกล ขยับแขนเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงการขยับตัวของคนรักก่อนพูดต่อ

     “ขนาดป๊าม้ากูนะ กว่าจะแต่งกันได้เนี่ยยากเย็นแสนเข็ญ เพราะกงม่าอยากให้ป๊าแต่งกับคนจีนด้วยกัน แต่ม้าเป็นคนไทย ใช้เวลาเป็นปีกว่าม้าจะเอาชนะใจกงม่าได้ แค่เรื่องเชื้อชาติอ่ะ มันดูไม่น่าจะเป็นเรื่องให้มากีดกันกันได้เลยนะ แต่ความคิดของคน กงม่าก็คงคิดว่าไม่อยากให้สายเลือดผสมกันมั่วซั่วมั้ง หรือไม่ก็กลัวไม่ขยันทำมาหากิน แต่สุดท้ายเรื่องทุกอย่างมันก็ต้องใช้เวลาให้เขาค่อยๆ ปรับความคิดไปนั่นแหละ”

     พิธานเคยได้ยินป๊าเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่เด็ก จนมาถึงเรื่องของเขากับม่านฟ้า ตอนแรกพิธานก็กังวลว่าพ่อแม่ของเขาจะโกรธม่านฟ้าหรือเปล่าที่ไม่ยอมบอกกับที่บ้าน แต่ป๊าม้ากลับเข้าใจม่านฟ้าเสียยิ่งกว่าเขาซะอีก

    “เป็นคนกลางน่ะ มันโคตรลำบากใจเลยนะเว้ย ฝั่งนึงก็พ่อแม่ ฝั่งนึงก็แฟน”

     ชายหนุ่มยังจำคำพูดของป๊าในวันนั้นได้ดี แถมท้ายด้วยชมม่านฟ้าและต่อด้วยด่าเขามาหนึ่งชุดเบาๆ

    “เอาจริง แฟนแกมันแฟร์กับแกมากนะ มันก็ปฏิเสธมาแต่แรกแล้วว่าไม่คบ ถ้าคบกันก็บอกพ่อแม่ไม่ได้ ประกาศเงื่อนไขมาตั้งแต่แรกเลย ไม่ใช่ว่าคบๆ กันไปพอจะพาไปรู้จักพ่อแม่ก็บอกว่าไม่ได้งั้นงี้แล้วต้องมาเลิกกันทีหลัง งานนี้ถ้าถามว่าใครที่บ้าก็แกนั่นแหละ ใจรับไม่ได้แต่เสือกรับเงื่อนไขเขามา อนาคตต่อไปนี้น่าสงสารแฟนแกจริงๆ”

     ก็น่าสงสารจริงๆ แหละ

     พิธานเองถึงจะยังแกล้งยังหยอกม่านฟ้าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็พอจับสังเกตได้ว่าม่านฟ้ายังคงคิดมากเรื่องของเขาอยู่ ไหนจะเรื่องภูหมอกอีก ต้องพยายามประคองความรู้สึกของทั้งคนในบ้านและตัวเขาไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บเกินไปนัก

     เครียดจนพุงน้อยๆ หายไปหมดแล้ว

     “กูก็รู้แหละ”

     เสียงของม่านฟ้าดึงพิธานกลับมาที่เรื่องราวตรงหน้าอีกครั้ง งงเหมือนกันที่จากซบไหล่เขาอยู่ดีๆ กลายเป็นมุดแขนของเขาเข้ามากอดเอวและซบอกอยู่อย่างตอนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

     คนที่มันเผลออ้อนโดยไม่รู้ตัวนี้มันก็มีจริงๆ นะ

     ยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเผลออ้อนมากเท่านั้น

     “แต่บางเรื่อง ถ้าเราเอาแต่รอแล้วไม่ทำอะไร กูกลัวมันจะเป็นเหมือนพ่อ...กับอาที”

     เสียงนิ่งของม่านฟ้าดึงพิธานให้กลับมาจริงจังและสนใจกับคำพูดของคนรักมากขึ้น ดวงตาสวยหลุบลงต่ำพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย อาจเพราะช่วงที่ผ่านมาม่านฟ้าเข้าไปสนิทกับนทีมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าภายใต้ท่าทีเหมือนไม่สนใจของคนเป็นอา ลึกลงไปก็ยังมีแผลเป็นของเรื่องราวในวันเก่าๆ ซ่อนอยู่

     “เป็นสิบปีที่เวลาผ่านไป พ่อก็ยังคงไม่ให้อภัย และเพราะทิ้งปัญหาเอาไว้จนความผูกพันที่เคยมีให้กันมันหายไปจนหมด ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ที่ไม่มีกันและกันได้แล้ว ความจำเป็นของการกลับมาเข้าใจกันมันถึงไม่มี”

     .

     .

     “กูแค่ไม่อยากให้พ่อกับหมอกเป็นแบบนั้น”

     พิธานขยับมือลูบหัวทุยของคนรักที่เผลอทำหน้าเศร้าออกมาก่อนก้มลงไปกดจูบลงบนกลุ่มผม ไม่มีความคิดที่จะแกล้งอะไรอีกนอกจากการให้กำลังใจคนในอ้อมแขน

     เขากอดคนรักให้แน่นขึ้นปล่อยให้คนที่อยากระบายได้คลายความอึดอัดออกมา รับฟังม่านฟ้าพร้อมตอบรับเบาๆ ถึงจะมีแกล้งกัน หยอกกันบ่อยๆ แต่ในเวลาเช่นนี้การได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันนั้นถือเป็นการให้กำลังใจที่ดีที่สุดแล้ว



     "เมฆ"

     เสียงผู้เป็นพ่อดังขึ้นเมื่อลูกชายคนโตเดินกลับมาถึงบ้านหลังหายไปบ้านเพื่อนตัวโตอยู่นานสองนาน

     "ครับ? "

     ม่านฟ้าเองก็ตอบกลับไปอย่างติดจะงุนงง ยิ่งเมื่อหันกลับมาเจอสายตาของพ่อที่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเริ่มทำให้ม่านฟ้าขยับตัวอย่างอึดอัด

     "ตอนไปไปชุดนี้เหรอ"

     "...เออ" คำถามที่ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ม่านฟ้าถึงกับไปไม่ถูก พอรู้อยู่ว่าพ่อเป็นคนช่างสังเกต แต่ถึงขั้นจำได้ว่าเขาออกไปด้วยชุดไหนแล้วกลับมาด้วยอีกชุดที่ต่างกันก็จะมากเกินไปแล้ว "เมฆ...ไปอาบน้ำบ้านพีทมาน่ะครับ"

     คำตอบง่ายๆ แต่กลับเรียกสายตาของมารดาให้หันขวับมา เริ่มสังเกตลูกชายให้ชัดจึงพบว่าเสื้อผ้าที่ลูกชายใส่ดูใหญ่กว่าตัว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเป็นเสื้อผ้าเจ้าของบ้านที่ลูกชายเพิ่งกลับมา แต่ที่น่าสงสัยกลับเป็นอีกเรื่องมากกว่า

     "แล้วไป ทำอะไรกันมา ทำไมถึงต้องอาบน้ำ"

     ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ม่านฟ้าจึงรู้สึกว่าเสียงถามในครั้งนี้ของมารดาดูดุดันกว่าเคยจนเผลอตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก

     "คะ แค่ไปช่วยมันล้างรถมาเองครับ"

     ----

     และแล้ววันที่ม่านฟ้ารอก็มาถึง

     “.. ว่าจะเคลียร์กันไปเลย เรื่องไอ้หมอก เราทิ้งเวลามานานล่ะ น่าจะตัดสินกันได้เสียที”

     ถึงจะพูดแบบนั้น ถึงจะวางแผนมาเกือบเดือน แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ม่านฟ้าคิดจะทำกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง อย่างที่เขาบอกคนรักนั่นแหละ

    'มึงกลับบ้านครั้งนี้จะทำอะไรอีกล่ะ'

     'ไม่ทำอะไรเลย'


     ก็ขอให้มันเป็นไปอย่างที่เขาหวัง ถึงม่านฟ้าจะไม่ได้ใส่ไฟหรือเกลี้ยกล่อมพ่ออีกแล้วนับจากวันนั้น อาจมีกระตุ้นนิดหน่อยอย่างการเก็บของของภูหมอกไป แต่เขาก็พอจะเห็นถึงท่าทีที่เริ่มเปลี่ยนไป

     นภดลดูอึดอัดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน เขารู้ว่าพ่อเองก็ใจหายที่อยู่ๆ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภูหมอกหายไป พ่อเหมือนคนที่เริ่มใจอ่อนแต่ก็ยังหาทางลงให้กับการกระทำของตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ม่านฟ้าทำได้ก็เพียงแค่การพาน้องมาส่งให้ถึงมือพ่ออีกครั้ง

     แล้วจากนั้นก็แค่รอ

     เขาเชื่อในลูกอ้อนของภูหมอก เขาเชื่อในความคิดถึงของพ่อ เขาเชื่อในความรักของครอบครัวว่าทุกอย่างจะทำให้มันกลับมาดีอีกครั้ง

     เมื่อรถยนต์ของพิธานจอดลงที่หน้าบ้านของม่านฟ้าและภูหมอก เด็กหนุ่มก็รีบเดินลงไปก่อนอย่างคนร้อนใจ ขณะที่ม่านฟ้ายังอ้อยอิ่งถอดสายนิรภัยออกอย่างสบายๆ ม่านฟ้ากำลังจะก้าวลงจากรถก็รู้สึกถึงมืออุ่นๆ ของคนขับเลื่อนมากุมมือของเขาไว้ พิธานเพียงบีบมือเขาแล้วยิ้มอย่างให้กำลังใจ ม่านฟ้าเองก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจความหมายที่คนรักต้องการสื่อ

     ม่านฟ้ามองส่งรถของคนรักที่ขับออกไปแล้วหันกลับมามองหน้าน้องชาย ถามออกไปเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่มั่นใจนั้น “พร้อมไหม”

     ภูหมอกพยักหน้ารับเบาๆ แม้เขาจะประหม่ากับการกลับบ้านครั้งนี้ไม่น้อย แต่ก็โกหกไม่ได้ว่าเขาดีใจ

     ความทรงจำในอดีตครั้งที่ม่านฟ้าไปมหาลัยครั้งแรกแล่นเข้ามาในหัว ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้น้องชายแล้วไล่สายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งจนมาถึงเนกไทเรียบๆ ที่ตรงราบอยู่กับเสื้อนิสิตอย่างเรียบร้อย

     เขานิ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อมมือไปดึงเนกไทนั้นแรงๆ!

     เด็กหนุ่มตกใจกับการกระทำนั้นไม่น้อยและยิ่งสงสัยเมื่อพี่ชายดึงเนกไทที่เขาใช้เวลากว่าสิบนาทีในการจัดเข้าไปจนติดคอเสื้อเกินกว่าพอดี

     ภูหมอกขยับมือจะจัดเนกไทให้เรียบร้อยอีกครั้ง แต่กลับถูกพี่ชายตีมือเอาไว้ก่อนลากตัวเข้าไปในบ้าน ภูหมอกได้แต่งุนงงกับพฤติกรรมแปลกแต่ก็เดินตามเข้าบ้านไปด้วยกัน

     เรื่องบางเรื่องต้องอาศัยการวัดดวงและโชคช่วย แต่โชคคงไม่ช่วย หากเราไม่ทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง

    “กูว่าความรู้สึกทุกอย่างตอนนี้มันอิ่มตัวแล้ว ก็แค่ปล่อยออกไป แล้วมันก็จะทำงานของมันเอง”

     ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ม่านฟ้าก็เพียงอยากเพิ่มความน่าจะเป็นที่ทำให้ 'อะไรๆ มันดีขึ้น' ได้อีกนิดเท่านั้น

     ----

     นภดลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงรถหน้าบ้าน เดาเอาว่าคงไม่พ้นเพื่อนลูกชายตัวโตที่มักแวะมาส่งม่านฟ้าบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้

     พิธานกลายเป็นบุคคลที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเขามากขึ้น จากครูสอนพิเศษของภูหมอก เพื่อนสนิทของลูกชาย จนตอนนี้แทบจะกลายเป็นลูกชายคนโปรดของภรรยาเขาอีกคนหลังเจ้าตัวเทียวส่งอาหารที่ทำเองมาให้บ่อยเหลือเกินด้วยข้ออ้างสารพัด

     ขณะที่ลูกชายตัวจริงอีกคน กลับหายไปจากชีวิตอย่าง 'แทบจะ' สมบูรณ์

     ตัวตนของภูหมอกกำลังจะหายไปจากบ้านหลังนี้

     เขาตระหนักถึงคำนี้ได้อย่างชัดเจนเมื่อแม้แต่รูปสักใบหรือของสักชิ้นที่เป็นของภูหมอกก็ยังไม่มีในบ้านหลังนี้

     ไอ้ลูกชายคนโตของเขามันแสบถึงทรวงจริงๆ

     ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงในบ้านที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของม่านฟ้า บางครั้งพอเห็นเขามองอยู่ก็ทำลอยหน้าลอยตา พูดออกมาเหมือนว่า ‘อยากเป็นลูกคนเดียวมานานแล้ว’

     เหอะ วิ่งเก็บของในบ้านแทบตายโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเก็บอย่างไรก็เก็บไม่หมดหรอก

     เพราะมันอยู่ติดตัวเขาตลอดเวลา

     นภดลเปิดกระเป๋าสตางค์หนังที่เริ่มเก่าออกมา ภาพที่เห็นคือภาพเด็กชายสามขวบที่อุ้มทารกอีกคนอยู่อย่างทุลักทุเลแต่ก็ยังหันมามองกล้องตามคำเรียกของเขา ชายวัยกลางคนดึงภาพที่ซ้อนอยู่ด้านหลังอีกหลายใบออกมา มีทั้งภาพแต่งงานของเขาและภรรยา ภาพของเด็กชายทั้งสองคนที่โตขึ้นอีกหน่อยและแต่งตัวเหมือนกันราวกับฝาแฝด น้องชายคนเล็กยิ้มแฉ่งเมื่อได้แต่งตัวเหมือนพี่ชาย ขณะที่พี่ชายกลับทำหน้าตามู่ทู่อย่างไม่พอใจที่ถูกจับแต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมเหมือนเด็กๆ

     ม่านฟ้าตอนเด็กนั้นทั้งแสบทั้งซน ถึงอยากไปเล่นคนเดียวก็จริง แต่น้องชายที่ติดพี่แจก็งอแงจะตามไปด้วยทุกครั้ง และก็นับได้ไม่กี่ครั้งที่จะกลับมาอย่างไม่มีบาดแผลทั้งพี่ทั้งน้อง

     ชายวัยกลางคนขยับมือหยิบนาฬิกาที่ลูกชายทั้งสองซื้อให้ แม้จะมีรอยบิ่นเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงใส่มันอยู่ถึงทุกวันนี้ นาฬิกาที่ไม่ได้แพงมากมายแต่ถูกเลือกมาอย่างดีด้วยความใส่ใจ

     นภดลถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงวันเก่าๆ ก้าวเดินลงบันไดเหมือนกับทุกวันขณะขยับสายนาฬิกาให้พอดี แต่วันนี้กลับมีบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

     ไม่สิ สิ่งที่เคยหายไปกำลังจะกลับมาต่างหาก



     ภาพลูกชายคนเล็กที่ผละออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ปรากฏสู่สายตา ร่างของเด็กหนุ่มเหมือนจะสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยจากครั้งสุดท้ายที่เห็น ยิ่งเปลี่ยนจากชุดนักเรียนที่เห็นจนชินตากลายเป็นชุดนิสิตยิ่งทำให้ภูหมอกดูโตขึ้นกว่าเดิมมาก

     และเพียงแค่สบตา ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของชายวัยกลางคนไม่ใช่ความโกรธ ความเกลียด หรืออคติใดๆ แต่เป็นเพียงคำสั้นๆ สองคำที่ดังชัดยิ่งกว่าสิ่งใด

     ‘คิดถึง’

     เขามองลูกชายยืนห่างออกไปด้วยความภาคภูมิใจ ภูหมอกไม่เคยทำให้เขาผิดหวังแม้สักครั้ง จนกระทั่งตอนนี้ที่ว่าที่คุณหมอในชุดนิสิตกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา การใส่ชุดนิสิตหรือนักศึกษาเป็นความฝันของเขา นภดลไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยปิดเพราะเมื่อจบม.3 ก็ต่อสายอาชีพเพื่อที่จะได้หางานช่วยพ่อแม่ได้เร็วขึ้น ก่อนจะมาเรียนมหาวิทยาลัยเปิดควบกับทำงานไปด้วยโดยการส่งเสียตัวเอง

     การได้เห็นลูกทั้งสองใส่ชุดนิสิตจึงเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเขา

     “สิ่งที่พ่อภูมิใจในตัวหมอกมาตลอด มันแค่ความเป็นผู้ชายของหมอกเท่านั้นเหรอพ่อ"

     ไม่ ไม่ใช่

     คำถามพร้อมตัดพ้อของลูกชายคนโตดังขึ้นมาในหัว ถึงเขาจะรู้อยู่แก่ใจในตอนนี้ว่าภูหมอกไม่ได้เป็นลูกชายคนเดิมของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ความรักและความภาคภูมิใจในลูกคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนไป ภูหมอกเป็นความภาคภูมิใจของเขาในหลายสิ่ง ทั้งนิสัยดี เรียนเก่งและยังเป็นลูกที่น่ารักของเขาไม่ต่างไปจากที่ม่านฟ้าเคยพูดเอาไว้เลยสักนิด ทุกสิ่งที่ประกอบรวมกันเป็นภูหมอก มันคือสิ่งที่ทำให้เขา..ภูมิใจ และรักเด็กคนนี้ที่สุด

     เขาถึงได้เฝ้าดูแลและทะนุถนอมเจ้าลูกคนนี้จนโดนทั้งภรรยาและลูกชายคนโตบ่นเอาบ่อยๆ

     ถึงแม้ลูกจะโตจนสูงเลยเขาไปแล้ว แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้

     มือสองข้างยื่นออกไปจัดเนกไทให้เด็กหนุ่มอย่างเผลอตัว ดึงเสื้อที่ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยให้ทิ้งตัวกำลังดี ชายวัยกลางคนแค่นยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาสบกับดวงตาเศร้าของเด็กหนุ่มเมื่อได้ยินเสียงคล้ายสะอื้น

     “พ่อเคยรู้ไหม ลูกของพ่อ ไม่สิ น้องชายของเมฆน่ะ ก็เคยโดนทำร้ายแบบนี้เหมือนกัน”

     “น้องกลับมา...ร้องไห้ ไม่มีใครที่อยู่ตรงนั้นจะช่วยน้องสักคน”


     จะเมื่อไหร่ก็ยังทำให้เขาเป็นห่วงได้เสมอ

     เสียงร้องไห้ของภูหมอกดังหนักขึ้น ก่อนที่เขาจะได้รู้สึกถึงแรงโถมเข้ากอดจากเด็กหนุ่มตัวโต เสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มในเวลานี้ดังสะท้อนซ้อนกับเสียงในความทรงจำของเขาและคำถามของลูกชายอีกคน



     “แล้วถ้ามันเกินกำลังของเมฆที่จะดูแลน้อง เมฆต้องทำยังไงล่ะครับ”

     คำถามซื่อๆ ของลูกชายกับหน้าตาบึ้งตึงที่ติดจะมอมแมมนั้นทำให้อารมณ์ที่ร้อนของเขาบรรเทาลง มองสภาพลูกชายคนโตให้ดีก็เห็นว่าม่านฟ้าตัวเล็กมากแค่ไหน

     ใช่ ม่านฟ้ายังเป็นเพียงเด็ก แต่เขาก็ฝากฝังหลายเรื่องไว้กับเด็กตัวแค่นี้

     ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เขาและภรรยาก็รีบกลับมาบ้าน ได้ความว่าม่านฟ้ากับภูหมอกออกไปเล่นและเกิดอุบัติเหตุ ม่านฟ้าจึงรีบไปยืมโทรศัพท์จากเพื่อนบ้านก่อนรื้อกล่องปฐมพยาบาลมาพันข้อเท้าน้องจนหนาเตอะ

     เป็นเหตุให้เลือดไม่เดินและบวมหนักกว่าเก่า

     ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย คำพูดของลูกชายไม่ได้เกินความจริงไปสักนิด ม่านฟ้าพยายามในแบบของตนเองเต็มที่แล้วจริงๆ ถึงบางอย่างจะยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงไปอีกแต่ก็ล้วนเกิดจากความหวังดีทั้งนั้น

     ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าออกมาเบาๆ แล้วนั่งยองลงเพื่อสบตากับลูกชายให้ชัดเจน เสียงร้องไห้ของลูกชายคนเล็กยังคงดังมาให้ได้ยิน

     ม่านฟ้าในวัยเด็กอาจจำคำพูดของเขาไม่ได้ แต่เขากลับจำมันได้ขึ้นใจ

     “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร เมฆทำดีที่สุดแล้ว”

     .

     .

    “ถึงเวลานั้น...พ่อจะเป็นคนดูแลเมฆกับน้องเองนะ”




     เสียงร้องของลูกชายที่ดังอยู่ข้างหูพร้อมด้วยแรงที่กระชับกอดเขามากขึ้นดึงชายวัยกลางคนออกจากภวังค์ เขาถอนหายใจออกมายาวๆ เหลือบมองลูกชายอีกคนที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล

     แล้วเลือกที่จะปล่อยวางและละทิ้งทิฐิที่อยู่ในใจลง ก่อนขยับมือขึ้นเพื่อกอดตอบเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาไว้

     “ไม่เป็นไรนะ ลูก ไม่เป็นไร”

     มันคงถึงเวลาที่เขาต้องกลับมาทำหน้าที่ของพ่อแล้ว



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 20 (19.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-09-2021 20:56:40
 :hao5: :a5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 21 (26.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 26-09-2021 18:24:13
ภาคความจริง : บทที่ 21

     “แล้วเลิกกี่โมง ให้พ่อมารับไหม”

     ม่านฟ้าหันกลับมามองพ่อที่เปิดกระจกมาถามหลังส่งพวกเขาลงหน้ามหาวิทยาลัย “ไม่เป็นไรหรอกพ่อ ไม่น่าจะถึงเย็นหรอกมั้ง เดี๋ยวกลับเองก็ได้ครับ”

     ชายวัยกลางคนดูลังเลนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ เหลือบตาไปมองลูกชายอีกคนที่ไม่พูดอะไรทำเพียงยกยิ้มน้อยๆ มาตลอดทาง “งั้นก็กลับบ้านกันดีๆ ล่ะ เจอกันที่บ้าน”

     ภูหมอกขยับยิ้มกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำนั้น ยกมือไหว้คนเป็นพ่ออีกทีก่อนรถสีดำจะเคลื่อนตัวออกไป ม่านฟ้าหันกลับมามองเด็กหนุ่มที่ยืนยิ้มเหมือนคนบ้าท่ามกลางแดดจ้าในยามเช้าแล้วก็ถอนหายใจ ผลักไหล่น้องชายให้เดินไปยังจุดนับพบของวันนี้

     วันนี้ภูหมอกถูกเรียกตัวมาเป็นแบบสำหรับถ่ายรูปโปรโมทเฟรชชี่และตัวอย่างการใส่ชุดนิสิตที่ถูกระเบียบ เขาปล่อยน้องชายทิ้งไว้กับรุ่นเพื่อนรุ่นพี่ ฟังคำงอแงนิดหน่อยของน้องชายแล้วนั่งรถเวียนกลับไปที่หอใน เขารับปากกับรูมเมทไว้ว่าจะกลับมาช่วยเก็บของหลังจากเก็บไปบ้างแล้วบางส่วนตั้งแต่เมื่อวาน อยากจะรีบทำให้เสร็จก่อนน้องชายตัวดีจะงอแงขึ้นมาอีกรอบ

     "แล้วแฟนมึงไปไหน ทำไมไม่มาช่วยกูเก็บของ"

     คำถามของณัฐดนัยเรียกสายตาม่านฟ้าขึ้นมาจากชั้นเก็บของ พวกเขากำลังช่วยกันเก็บของครั้งใหญ่เพื่อให้ณัฐดนัยย้ายสำมะโนครัวไปอยู่กับคนรักโดยสมบูรณ์หลังเช่าหอไว้เป็นปีแต่แทบไม่ได้อยู่เลยสักวันเดียว
     
     "แล้วมึงเป็นเมียน้อยมันเหรอ มันถึงต้องมาช่วยมึงเก็บอ่ะ"

     คำถามง่ายๆ สไตล์มึนๆ ของม่านฟ้าเล่นเอาณัฐดนัยถึงกับหันขวับ

     "แรงงง ปากร้ายมาก นี่มึงปากร้ายติดไอพีทมารึไง กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี แค่มึงกล้าไล่กูออกจากหอกูก็เจ็บมากแล้ว มึงยังจะพูดจาทำร้ายจิตใจแถมใส่ความกูแบบนี้อีก"

     ม่านฟ้าเก็บของพร้อมฟังเพื่อนดราม่าไปเรื่อยๆ แต่สมองกลับยังวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องในวันนี้ จะว่าเหนือความคาดหมายก็ไม่แปลก จริงอยู่ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้เยอะแยะ แต่พอทุกอย่างมันจบลงได้แบบง่ายๆ เช่นนี้ก็เล่นเอาไปไม่ถูกเหมือนกัน

     “กูแค่จะเตรียมเอาน้องมาอยู่ด้วย มีมึงเป็นรูมเมทตอนนี้ก็เหมือนไม่มี จะมาแชร์ค่าห้องกับกูทำไมตั้งหลายปี”

     “ยังไงกูก็ยังอยากจะมีห้องเป็นของตัวเองบ้างนิหว่า ไม่ใช่ไปอยู่กับพี่เขาอย่างเดียวเลย” 'พี่' ที่ณัฐดนัยพูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากแฟนของเจ้าตัวนั่นแหละ แถมอายุยังห่างกันตั้งเจ็ดปีอีกต่างหาก

     “แล้วตอนนี้? ” ม่านฟ้าหันไปเลิกคิ้วถามเพื่อนที่บทจะยอมย้ายก็ยอมง่ายๆ ทั้งที่ม่านฟ้าเคยบอกหลายต่อหลายรอบแล้วว่าจะย้ายก็ย้ายไป เขาหารูมเมทใหม่ได้

     “พี่เขาบอกเดี๋ยวก็เรียนจบแล้ว ก็… เหมือนซ้อมไปอยู่ด้วยกันถาวรเลยดู”

     "เออ ดีๆ ขอให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะมึง" ถึงตอนนี้จะเหมือนอยู่ด้วยกันถาวรแล้วก็เหอะ

     "ไอxxx"

     อ้าว โดนด่าอีก อุตส่าห์อวยพร

     ม่านฟ้าส่ายหน้าขำๆ เมื่อเพื่อนรักสบถด่าออกมาเต็มคำ แต่ถึงจะแซวมันไปแบบนั้นแต่ก็ยินดีกับชีวิตดีๆ ของเพื่อนและคนรักที่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนอกจากงอนงุ้งงิ้งกันไปวันๆ

     "เห้อ อีกเดี๋ยวก็ไฟนอลแล้ว เผลอแป๊บๆ เราจะจบปีสามกันแล้วนะไอเมฆ"

     ม่านฟ้าพยักหน้าตอบรับคำเพื่อนแต่นึกได้ว่าต่างคนต่างก้มหน้าเก็บของจึงส่งเสียงตอบรับไปเบาๆ "อืม"

     "ไอพวกที่ถ่ายรูปเฟรชชี่ของน้องมึงแม่งก็รีบ เรายังไม่ทันปิดเทอมแม่งเรียกเด็กมาถ่ายรูปล่ะ" ณัฐดนัยก็ยังเป็นณัฐดนัย เจ้าตัวสามารถพูดและเปลี่ยนเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปได้เรื่อยๆ แบบไม่มีหยุด
     
     "เห็นบอกว่าพอปิดเทอม รุ่นพี่บางคนแม่งต้องไปค่ายหรือไม่ก็มีคนไปเวิร์ค เลยรีบๆ ถ่ายไปก่อนเลย" ม่านฟ้าคลายข้อสงสัยของเพื่อนก่อนจนถูกคำถามต่อไปยิงสวนมาอีก

     "แล้วปิดเทอมนี้มึงไปไหนป่าว ต้องฝึกงานป่ะ ของกูก็ต้องไปฝึกงานเหมือนกัน แต่โคตรขี้เกียจ" ณัฐดนัยว่าแล้วเรียกม่านฟ้ามาช่วยยกลังที่เก็บของไว้จนเต็มไปไว้ที่หน้าห้อง

     "ของกูไม่นะ กูยื่นฝึกไปตอนปีสี่เทอม 2 เลย กูอัดวิชาที่จำเป็นไว้แล้ว มีแต่ไอพีทอ่ะ ที่ต้องไปฝึกงาน"

     "..."

     "...อะไร" ม่านฟ้าถามกลับเมื่อโดนเพื่อนมองกลับมาด้วยสายตาเอือมระอาพร้อมเบะปากน้อยๆ

     "ไม่ได้อยากรู้เรื่องแฟนมึง พูดเพื่อ" คนเตรียมย้ายออกทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงเมื่อมองซ้ายมองขวาก็เห็นว่าเก็บของทุกอย่างครบแล้ว

     "อ้าว ก็เมื่อกี้มึงยังถามถึงผัวน้อยมึงอยู่เลย ทีแบบนี้ทำมาเป็นไม่อยากรู้" หนุ่มอักษรฯ ยักไหล่แล้วพูดขำๆ พิธานกับณัฐดนัยเป็นอีกคู่หนึ่งที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมากัน เจอหน้ากันทีไรต้องทะเลาะกันตลอดจนขนาดม่านฟ้ายังอดแซวไม่ได้

     ทั้งๆ ที่อีกไม่นานก็จะดองกันอยู่แล้ว ยังจะกัดกันไม่เลิก

     "โอ๊ยย รำคาญมึง" ณัฐดนัยบ่นขึ้นมาอีกหน่อยแล้วผลักหัวม่านฟ้าที่มานั่งอยู่บนพื้นเอาหลังพิงเตียงอยู่ข้างตัว "ว่าแต่เรื่องน้องมึง โอแล้วเหรอ"

     "...อืม" ม่านฟ้าครางรับในลำคอเบาๆ ไหลตัวลงไปวางหัวกับที่นอนแล้วกล่าวต่อ "จบไปแบบงงๆ แต่ก็ดี"

     "แต่น้องมึงนี่แม่งก็เก่งนะ หมอที่นี่คะแนนแม่งอย่างสูง น้องเพื่อนกู..."

     เสียงของณัฐดนัยเริ่มเข้าสู่โสตประสาทของม่านฟ้าน้อยลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มเห็นพระอินทร์กวักมือเรียกอยู่ไกลๆ แต่ก็พยายามคิดตามในสิ่งที่เพื่อนพูด แล้วก็เห็นจะจริง

     หมอกมันเป็นเด็กเก่งจริงๆ นั่นแหละ

     'เรียนให้เก่งเข้าไว้หรือทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆ ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วคนก็จะยอมรับได้เอง'

     'พ่อแม่พร้อมจะมองข้ามเรื่องเพศไปเสมอตราบใดที่คุณประสบความสำเร็จ'


     ความคิดเห็นที่เคยอ่านจากกระทู้ในวันวานย้อนเข้ามาในหัวของเขา

     ทุกคนก็คงคิดแบบนั้นสินะ

     แล้วเขาล่ะ

     'เพศที่สามเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้เหรอ ทำไมใครๆ ต้องบอกให้เก่งเหนือคนอื่น การเป็นเพศที่สามไม่ใช่ปมด้อยที่จำเป็นต้องเอาข้อดีด้านอื่นมาปกปิดไม่ใช่เหรอ'

     นั่นสิ ไม่ได้เหรอ เขาเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้จริงๆ เหรอ

     ----

     วันหนึ่ง

     พีท : ‘วันนี้กลับบ้านไหม’

‘ไม่อ่ะ ขี้เกียจ’ : เมฆ

     พีท : ‘โอเค วันนี้กูกลับบ้านนะ เฮียเรียกตัวไปกินข้าวด้วย’

‘เค ขับรถดีๆ ’ : เมฆ

     วันหนึ่ง

     พีท : ‘กลับบ้านป่าว’

‘ม่าย’ : เมฆ

     พีท : ‘เค’

     พีท : ‘กูไม่อยู่หอนะ วันนี้กลับบ้าน ลืมชีทไว้’

‘อาห่ะ’ : เมฆ

     วันหนึ่ง

     พีท : ‘มึงอยู่ไหน’

‘หอ’ : เมฆ

     พีท : ‘กลับบ้านป่ะ’

‘ไม่’ : เมฆ

‘มึงจะกลับบ้านอีกแล้วเหรอ’ : เมฆ

‘ทำไมช่วงนี้กลับบ้านบ่อยจัง’ : เมฆ

     พีท : ‘อ๋อ’

     พีท : ‘เปล่าๆ วันนี้จะไปทำงานคอนโดไอซัน คงไม่กลับหอ’

     พีท : ‘ถามดู เผื่อมึงกลับ จะได้ไปส่ง’

‘อ๋อ ไม่เป็นไร’ : เมฆ

‘ไม่กลับๆ ’ : เมฆ

 

     ม่านฟ้าวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกินข้าว เขากำลังทานข้าวอยู่ในโรงอาหารก็ถูกคนรักทักมาด้วย..เรื่องคล้ายๆ เดิม หลายวันแล้วที่พิธานทักมาด้วยประโยคคล้ายกัน แต่เนื้อความเดียวกันคือ ‘กลับบ้านไหม’ และทุกวันที่ทักมาก็ไม่ใช่วันศุกร์หรือวันที่ไม่มีเรียน แต่เป็นวันธรรมดาๆ เนี่ยแหละ

     จะว่าแปลก แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน ก็แค่กลับบ้าน

     ไม่ได้แอบไปมีกิ๊กซะหน่อย

     ถึงการกลับบ้านของพิธานช่วงนี้จะทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เขาคิดถึงหรืออาวรณ์อะไรกันขนาดนั้น ปกติก็ไม่ได้ตัวติดกันมากอยู่แล้ว (ถึงช่วงที่ผ่านมาจะมากไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ)

     “ไอ้เมฆ ไงมึง”

     เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้ม่านฟ้าเงยหน้ามอง เห็นรูมเมทของคนรักอย่างกรณ์เดินมากับเพื่อนสนิทอีกคนก็พยักหน้าทักทายตอบ สองหนุ่มที่มาใหม่เดินมานั่งตรงข้ามกับม่านฟ้าพร้อมจานข้าว การเจอคนรู้จักในโรงอาหารหอในไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอย่างไรก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ แต่ที่แปลกคือคำถามต่อมา

     “ไม่ได้อยู่กับไอ้พีทเหรอ” ม่านฟ้าส่ายหน้าให้เล็กน้อยแล้วถามกลับไปแทน “นึกว่าไปทำงานด้วยกันหมด มันบอกไปทำงานหอซันนี่”

     “...” สองคนมาใหม่เหลือบมองกันเล็กน้อยอย่างงุนงง แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ปฏิกิริยาของสองหนุ่มวิศวะตรงหน้าทำให้ม่านฟ้าเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรจนเมื่อประโยคต่อมาที่ทำเขาชะงักไปจริงๆ “ไอ้ซันมันลาทั้งอาทิตย์เพราะกลับบ้านต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอวะ”

     อ้าว แล้วพีทไปไหน

     คำถามจากสีหน้าของม่านฟ้าคงชัดเจนจนชายหนุ่มอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะเริ่มนั่งไม่ติด สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วก็ยิงคำถามกันทางสายตา ท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนกลัวจะทำให้เพื่อนเดือดร้อนทำให้ม่านฟ้าถอนหายใจเบาๆ สองคนนี้คงไม่รู้เหมือนกันว่าพิธานไปไหน แต่เหมือนม่านฟ้าจะมีคำตอบที่ผุดขึ้นมาในใจ

     กลับบ้านอีกแล้วเหรอ

     แล้วทำไมต้องปิด หรือไม่อยากตอบคำถามที่เขาถามว่าทำไมถึงกลับบ้านบ่อย จริงๆ ถ้าพิธานจะกลับบ้านก็ไม่เห็นแปลก จะกลับไปโดยไม่บอกเขาก่อนเลยก็ได้ แต่นี่กลับถามเขาก่อนทุกครั้งว่าจะกลับบ้านไหม จนม่านฟ้าเหมือนจะเชื่อมโยงบางอย่างได้แต่ก็เหมือนจะไม่ได้

     ช่างเถอะ

     หนุ่มอักษรฯ คนเดียวในโต๊ะส่ายหน้าปัดความคิดออกไป ตัดสินใจว่าเจอหน้ากันค่อยถามก็ได้ ตลอดสี่ปีที่คบมาพิธานไม่เคยมีเรื่องให้เขาต้องกังวลอย่างการนอกใจ แม้แต่โกหกหรือปิดบังยังแทบจะไม่เคยด้วยซ้ำ หรือมี..แต่เขาไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีแล้วกัน

     “เออ แล้วเรื่องฝึกงาน มึงรู้ไหมว่าไอ้พีทต้องไปฝึกที่ไหน บริษัทที่มันได้เขาชอบส่งไปไซต์ต่างจังหวัด รุ่นพี่ที่ได้ปีที่แล้วแม่งต้องไปถึงหาดใหญ่เลยนะเว้ย” ม่านฟ้าดึงความคิดตัวเองออกมาเมื่อเจอคำถามต่อมาจากเพื่อนคนรัก

     นั่นสิ เขายังไม่ได้ถามเลยว่าพิธานจะต้องไปที่ไหน

     .

     .

     "ระยอง"

     พิธานตอบคนรักพร้อมเอาตัวโตๆ มาแปะติดไว้กับหลังของม่านฟ้าในอีกสองวันต่อมา ม่านฟ้าขยับหัวหลบอีกคนที่เริ่มทำตัวไม่มีกระดูกแทนเขาแล้วเอาคางมาเกยอยู่ที่บ่า พิธานที่ยื่นเรื่องขอฝึกงานไปกับบริษัทหนึ่งกำลังจะถูกส่งตัวไปฝึกงานที่ระยองเป็นเวลาเกือบสองเดือนในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนเข้าปีสี่

     แท้จริงแล้วก็ใช่ว่าจะไปยาวไม่กลับตลอดสองเดือนหรอก แต่เพราะต้องทำงานหกวัน หยุดเพียงวันอาทิตย์วันเดียว พิธานจึงอาจจะกลับอาทิตย์เว้นอาทิตย์หรือแล้วแต่ความสะดวก โชคดีที่บริษัทมีบ้านพักสำหรับพนักงานอยู่ด้วย ไม่งั้นถ้าต้องจองโรงแรมหรือเทียวไปเทียวกลับคงแย่

     “อย่าหงอยนะ คุณแฟนไม่อยู่เดี๋ยวทิ้งกางเกงในไว้ให้ดม”

     ‘คุณแฟน’ คนปากเสียที่ยังไม่ทิ้งลายเดิมโดนสบถด่าเข้าไปหนึ่งดอกจากคนรัก ม่านฟ้าส่ายหน้าระอากับคำพูดเพ้อเจ้อและความวอแวของเจ้าตัวที่ยังไม่เลิกนัวเนีย ไม่ได้คิดมากเท่าไหร่กับการที่ความรักของพวกเขาอาจจะต้องเป็นรักทางไกลกันสักพัก สำหรับคู่รักคู่อื่นอาจเป็นเรื่องใหญ่กับการต้องห่างกัน แต่พวกเขาเองก็ใช่ว่าจะตัวติดกันหรือหวานกันมากมายจนจะทนไม่ได้หากต้องจากกันสักระยะเช่นนี้

     อืม ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะนะ

     โอเค ยอมรับว่าแอบหงุดหงิดใจนิดหน่อย หงุดหงิดตัวเองที่เกิดความรู้สึกแปลกๆ นี่แหละ ม่านฟ้าไม่เคยคิดว่าการไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดของคนรักจะเป็นปัญหาหรอก แต่เพราะช่วงนี้พิธานมักทำตัวติดกับเขามากเกินไป เผลอก็จับ เผลอก็กอด แถมบางทียังมีจูบให้งงๆ เขินๆ กันไปอีก...จนเขาเริ่มชิน

     เริ่มติด

     ติดไปกับสัมผัสอุ่นๆ ของคนคนนี้ เสียงทุ้มที่ได้ยิน ร่างสูงที่มักเห็นอยู่ในสายตา พร้อมทั้งความรู้สึกดีๆ ที่มีใครคอยคุยเล่น ปรึกษา ปรับทุกข์ ไปจนถึงหยอกล้อเรื่อยเปื่อยอยู่เกือบทุกวัน

     เกลียดการมาทำให้ติดแล้วก็ทิ้งแบบนี้จังว่ะ

     “กูไม่อยู่ก็อย่าคิดมากล่ะ... อนุญาตให้คิดได้อย่างเดียวคือคิดถึงเค้า เข้าใจไหมตัวเอง”

     ม่านฟ้าถอนหายใจใส่อีกคนแถมด้วยการมองบนไปอีกหนึ่งดอก อารมณ์หงุดหงิดใจหายไปเปลี่ยนเป็นเหนื่อยใจกับคนที่กอดอยู่ด้านหลังแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยแทน คำหยอดพวกนี้พวกเขาเคยมีกันที่ไหน ได้ยินทีไรขนลุกทุกที

     “โอยๆๆ ล้อเล่นๆ แหม ก็อยากลองหยอดบ้าง เห็นคู่อื่นเขาก็หยอดกัน กะงุกะงิ” พิธานรีบรั้งเอวม่านฟ้าไว้เมื่อเห็นคนรักทำท่าจะขยับออกจากวงแขนจึงดึงมานั่งตรงหว่างขาเสียเลย คนถูกหยอดเหลือบตามองคนรักที่พูดภาษาแปลกๆ ออกมาแล้วส่ายหัว ยื่นมือออกไปอังหน้าผากคนรักให้มั่นใจว่าไม่ได้ป่วยจนเพี้ยนก่อนพยักหน้าตอบรับแกนๆ กลับไป “โอเคๆ เมฆจะคิดถึงพีทนะครับ”

     ม่านฟ้าเผลอยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นอีกคนมีเลือดฝาดขึ้นที่ข้างแก้มอย่างคนเขิน สายตาคนตัวโตเบนออกไปทางอื่นแล้วพึมพำออกมาเบาๆ “เห้ยย อย่าแทนตัวเองด้วยชื่องี้ดิ มันดาเมจจ”

     คนสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นเหมือนยังไม่สาแก่ใจหันกลับไปจูบเบาๆ ที่ปลายคางแล้วพลิกตัวมาซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง คนตัวโตที่โดนดาเมจซ้ำๆ กอดคนรักไว้นิ่งเหมือนรอเวลาให้เลือดเต็มหลอดก่อนก้มลงสูดกลิ่นที่คุ้นเคยเข้าไปอีกครั้ง “กูรู้สึกเหมือนช่วงนี้กูติดมึงมากยังไงไม่รู้ ไอพวกเพื่อนแม่งก็บอกงั้น”

     “อืม..” คนตัวเล็กกว่ายังซุกหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่อยากบอกว่าเขาเองก็กำลังพยายามเก็บเกี่ยวความอบอุ่นของคนตรงหน้าไว้เหมือนกัน ทั้งเขินทั้งคันหัวใจแปลกๆ กับอาการราวกับข้าวใหม่ปลามันเช่นนี้ทั้งที่ก็คบกันมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกอีกคนจี้ให้ตอบจนได้

     “อืมอะไร”

     “อืม…” ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเขาหมายความว่าอะไร ก็ยังจะเร่งให้เขาพูดมันออกมา “เหมือนกัน”

     เมื่อได้คำตอบที่ถูกใจ พิธานก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบางๆ “แต่จะไปก็ยังอดห่วงมึงไม่ได้อยู่ดี” เขาขยับตัวม่านฟ้าออกมาเพื่อสบตากันตรงๆ เสยผมที่ปรกหน้าลงมาให้คนรักก่อนประคองแก้มอีกฝ่ายไว้ด้วยมือข้างเดียว “เมฆ”

     “...” ม่านฟ้าได้แต่นิ่งรอฟังคำพูดของอีกคนที่เปลี่ยนท่าทางเป็นจริงจังมากขึ้น

     “อย่าเพิ่งบอกอะไรกับพ่อทั้งนั้นตอนที่กูไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพ่อจะโมโหขึ้นมาอีกไหม แต่ให้กูอยู่ใกล้ๆ มึงก่อน ไม่เอาตอนที่กูอยู่ไกลแบบนี้ รู้มั้ย” พิธานมองคนรักที่มองมาครู่หนึ่งก่อนหลุบตาหนีลงไป แล้วฝืนตัวเองเอนมาซบบ่าของเขาอีกครั้งอย่างเนียนๆ

     “อย่าเงียบ รับปากกูมาก่อน เร็ว” ว่าที่นิสิตฝึกงานเขย่าตัวคนรักเบาๆ เป็นการเร่ง

     "กูว่ากูลองคุยเองได้" ม่านฟ้าไม่ได้คิดจะจูงมือพิธานเข้าบ้านแล้วเดินไปสารภาพกับพ่ออย่าง 'พ่อครับ นี่แฟนผม' ให้ช็อกตาตั้งแบบนั้น ขืนทำเช่นนั้นจริงพิธานคงไม่พ้นโดนตะเพิดแถมโดนพ่อเกลียดขี้หน้าไปด้วยแน่นอน

     "ไม่ดิ ไม่เกี่ยวกับให้กูไปด้วยไหม แต่หมายถึงให้กูสแตนด์บายอยู่ใกล้ๆ ก่อน ไม่ใช่เกิดเรื่องอะไรแล้วกูอยู่ถึงระยองโน่น" พิธานก็รู้ว่าม่านฟ้าคงไม่ยอมให้เขาเข้าไปคุยกับพ่อด้วย แต่ขออยู่ใกล้ไว้ก่อนอุ่นใจกว่า

     "..." ม่านฟ้านิ่งเงียบเหมือนคนหลับอยู่ในอ้อมแขน

     "มึงอยากให้กูขับรถเร็วๆ กลับมาหามึงเหรอ" แต่พิธานรู้ เจ้าตัวไม่ได้หลับหรอก

     "..." พิธานชอบเรียกอาการนี้ว่าดื้อเงียบ แต่แท้จริงแล้วม่านฟ้ากำลังใช้ความคิดต่างหาก

     "แล้วไม่ใช่คิดว่า แค่ยังไม่ต้องบอก แก้ปัญหาอะไรไปเอง รอกูกลับมาแล้วค่อยบอกนะ กูมารู้เรื่องอะไรทีหลังกูโกรธจริงๆ นะเมฆ" เมื่อซบก็แล้วนิ่งก็แล้วก็ยังไม่ได้ผล ม่านฟ้าก็เริ่มออกอาการเบะปากเล็กน้อย..แต่ไม่พ้นสายตาของคนตัวโต "เบะปากทำไม คิดจะทำใช่ไหม"

     "..."

     "..."

     "พีท" หลังจากเงียบให้โดนบ่นมานาน ม่านฟ้าก็เริ่มออกปากบ้าง

     "กูให้มึงเก็บเป็นความลับมาตลอด ทำให้มึงต้องอึดอัด แล้วพอถึงคราวที่จะบอกความจริง ก็ยังจะให้กูทำตัวเป็นภาระมึงอีกเหรอ" พอสิ้นคำของม่านฟ้าเสียงถอนหายใจแรงๆ ก็ดังมาจากอีกคน ก่อนจะถูกดันลงมานั่งข้างกัน ระดับความจริงจังเพิ่มขึ้นห้าระดับทันที

     "นี่คิดแบบนี้เหรอ"

     "ตอนนั้นที่มึงพากูไปหาป๊าม้าครั้งแรก" ม่านฟ้าไม่ได้ตอบคำถามของคนรักแต่เริ่มพูดในสิ่งที่คิดออกมา "เพราะมึงบอกท่านไว้แล้ว มึงจัดการความรู้สึกของคนในบ้านไว้หมดแล้ว ตอนกูไปครั้งนั้นมันเลย...ดีมาก ทั้งที่กูกลัวแทบตาย แต่ป๊าม้าเขาต้อนรับกูดีมากๆ เลย"

     "กูก็แค่อยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง" ยิ่งพูดเสียงของม่านฟ้ายิ่งเบาลงเรื่อยๆ ใบหน้าก้มต่ำจนพิธานจับได้เพียงเสียงที่สั่นเล็กน้อย "แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง"

     "...อืม"

     เพียงได้ยินคำตอบรับสั้นๆ ของพิธาน คนตัวเล็กกว่าก็เหลือบตาขึ้นมองอีกคน สายตาของม่านฟ้าแดงก่ำซึ่งก็แทบไม่ต่างจากคนที่ส่งเสียงดุออกมาตอนนี้ ม่านฟ้าหดคอลงไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรู้ว่าตาแดงๆ ของพิธานก็เกิดขึ้นจากอารมณ์อ่อนไหวเช่นกัน

     "..."

     "มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม" ม่านฟ้าเม้มปากอยากจะบอกว่าไม่ แต่ปากก็หลุดพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปก่อน

     "เมื่อไหร่เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งเสียทีว่ะ"

     หน้าตาหงอยๆ ของคนรักทำให้พิธานหลุดยิ้มออกมาอย่างอาดูร ก้มหน้าลงไปชนหน้าผากกับคนรัก "นั่นสินะ"

     มือหนาของพิธานเอื้อมลงจับมือเรียวของอีกคนไว้ เขาไล่นิ้วโป้งกับหลังมือเนียนช้าๆ อย่างใช้ความคิด...และกำลังเรียบเรียงความรู้สึกของตัวเอง

     "แล้วมึงรู้ไหม กูรู้สึกยังไง"

     "..."

     "หรือมึงคิดว่ากูควรรู้สึกยังไง” พิธานหายใจเข้าลึกจนรู้สึกได้ถึงไหล่ที่กระเพื่อมขึ้นลง “คนที่ยอมรับเงื่อนไขของมึงตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็ดิ้นรนจะทำลายเงื่อนไขนั้น ผลักให้มึงออกไปสู้กับพ่อของมึง เหมือนบังคับให้มึงออกไปสู้สิ ออกไปสู้เพื่อกู กูจะได้หายอึดอัด มึงคิดว่ากูต้องรู้สึกยังไง”

     เสียงที่เริ่มสั่นของพิธานทำให้ม่านฟ้ากำมือของคนรักแน่นขึ้น “ถึงวันนั้นจะไม่ใช่เพราะพ่อรู้เรื่องของเรา แต่วันที่พ่อเข้าใจผิดแล้วมึงหนีออกจากบ้าน กูที่ต้องเห็นมึงร้องไห้อยู่กับอกกูเนี่ย ต้องเห็นตัวมึงเขียวมึงช้ำไปหมดเพราะโดนพ่อตี มึงคิดว่ากูต้องรู้สึกยังไงเมฆ”

     ม่านฟ้านิ่งงันอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตาของคนรักร่วงลงมาบนตัก พิธานไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เจ้าตัวเพียงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเหมือนคนที่อัดอั้นกับความรู้สึก

     “กูอยากจะบอกให้มึงพอ พอแล้ว ไม่ต้องบอกแล้ว เราอยู่กันอย่างงี้ก็ได้...แต่กูก็ยังเห็นแก่ตัว”

     “กูดิ้นรน กูอยากทำอะไรได้บ้าง กูอยากจะเดินไปให้พ่อมึงต่อย พ่อมึงตบ ถ้าเรื่องมันจะจบลงได้อย่างงั้น แต่กูก็รู้ว่ามันไม่ใช่...กูถึงทำได้แค่อดทน” ม่านฟ้าพยายามปาดน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้มของคนรัก ปวดหนึบที่หัวใจเมื่อสบกับสายตาที่อัดอั้นและเจ็บปวดของคนรัก เข้าใจความรู้สึกของพิธานที่ต้องเห็นเขาร้องไห้ซ้ำๆ ก็เมื่อต้องมาเห็นน้ำตาของคนรักเช่นนี้

     “เพราะงั้นแค่ให้กูได้อยู่ข้างๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กูจะทำให้มึงได้...มึงให้กูเถอะนะ”

     เป็นม่านฟ้าที่สะอื้นขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว เขาพยักหน้าให้คนรักซ้ำๆ เหมือนยิ่งย้ำให้คนรักเชื่อ “ได้ๆ กูสัญญา กูจะบอกมึง กูจะรอมึงกลับมานะ ไม่ร้องแล้วนะพีท กูขอโทษ”

     พิธานหายใจเข้าลึกอีกหน หลับตาลงครู่หนึ่งอย่างปรับอารมณ์ตัวเอง กุมมือของม่านฟ้าเอาไว้ก่อนดึงขึ้นมาจูบเบาๆ “มึงจะขอโทษทำไม กูไม่ได้โทษมึงเลย มึงก็อย่าร้องนะ ขี้แยที่สุด แฟนกูเนี่ย”

     ม่านฟ้าพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี ขยับเข้าไปกอดพิธานเอาไว้แล้วลูบหลังอีกคนเหมือนปลอบเด็กร้องไห้ให้หยุดร้อง จนพิธานเผลอยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

     “แทนที่มึงจะส่งกูไปฝึกงานอย่างหวานๆ ทำไมมันถึงเต็มไปด้วยน้ำตาแบบนี้กันเนี่ย”

 

     TBC

 

     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันและคอมเมนต์นะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 21 (26.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-09-2021 18:50:57
 :hao5: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 21 (26.09.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-09-2021 17:44:02
ไม่มีกลิ่นแปลกๆใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 22 (03.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 03-10-2021 19:20:07
ภาคความจริง : บทที่ 22

     “จับดีๆ ล่ะ กิ่งไหนเกะกะก็ตัดทิ้งเลย”

     เสียงของชายวัยกลางคนเจ้าของบ้านดังขึ้นเมื่อลูกชายคนโตเริ่มวางเท้าลงบนกิ่งของต้นมะม่วงในสวน วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันหยุดปิดเทอมที่แสนจะธรรมดาของม่านฟ้าเพียงแต่ถูกพ่อใช้งานให้เป็นคนสวนจำเป็น เห็นรูปร่างแบบนี้แต่ม่านฟ้าเป็นลิงลมที่ปีนต้นไม้เก่งพอสมควรจนพ่อแทบจะยกตำแหน่งคนสวนประจำบ้านให้แล้ว

     ถึงม่านฟ้าจะไม่อยากได้แม้แต่น้อยก็เถอะ

     “โห สูงเหมือนกันนะพ่อ” คนสวนประจำบ้านเริ่มบ่นออกมาเมื่อเห็นว่ามะม่วงที่พ่ออยากให้เก็บอยู่สูงขึ้นไปจากจุดที่เขาปีนไม่น้อย อุปกรณ์ในมือม่านฟ้ามีเพียงกรรไกรตัดกิ่งไม้และตะกร้าไม้หนึ่งใบ เขาผูกตะกร้าไว้กับกิ่งที่สูงพอสมควรแล้วเริ่มโหนตัวขึ้นไปสู่กิ่งที่สูงขึ้น

     “ชั้นสองยังโดดมาแล้ว กลัวอะไรกับแค่นี้” เสียงพูดลอยลมของพ่อดังขึ้นแต่ทำให้ม่านฟ้าหันขวับมามองตาเขียว เบื่อตาลุงที่ย้ำจังกับวีรกรรมในครั้งที่คว้าเครื่องสำอางของภูหมอกวิ่งหนีแล้วโดดลงมาจากชั้นสองของบ้าน แต่ก็เถียงอะไรไม่ออกจึงได้แต่บ่นลอยๆ กลับไป “เออ ถ้าตกลงมาคอหักก็ส่งโรงบาลฯ ให้ด้วยละกัน”

     มหกรรมการบ่นลอยๆ ใส่กันยังไม่หยุดเมื่อพ่อเองก็ได้ยินเสียงบ่นของลูกชาย ถึงได้สวนกลับไปด้วยเสียงเรียบๆ “ส่งทำไม แม่แกก็เป็นพยาบาล”

     “ถ้าคอหักจริงพยาบาลก็ช่วยไม่ได้นะ นิมนต์พระอย่างเดียวเลย” เสียงของคุณพยาบาลประจำบ้านที่ตอนนี้ทำหน้าที่ฝ่ายสวัสดิการเดินถือกระติกน้ำเย็นมาส่งให้ผู้เป็นพ่อขัดการต่อปากต่อคำของสองพ่อลูกได้เป็นอย่างดี ม่านฟ้ามองพ่อที่ดื่มน้ำเย็นเหมือนเหนื่อยเสียเต็มประดาทั้งที่ตัวเองแค่ยืนสั่งอยู่เฉยๆ เท่านั้น

     คนที่ควรได้กินน้ำคือเมฆไหม
     
     กระแสจิตที่ม่านฟ้าส่งไปหามารดาแต่ดูท่าจะไปไม่ถึง พ่อแม่ถึงได้ยืนกะหนุงกะหนิงเช็ดหน้าเช็ดตาให้กันอยู่แบบนั้น ลูกชายคนโตถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วหันหน้าไปจริงจังกับการเก็บมะม่วงให้พ่อต่อ เขาตัดให้เหลือขั้วมะม่วงอยู่บ้างแล้วหย่อนลงไปในตะกร้าที่ผูกไว้ นึกได้ว่ามะม่วงดิบแบบนี้แหละที่พิธานชอบกิน เสียแต่ว่าเจ้าตัวอยู่ไกลถึงระยอง ไม่งั้นจะเอาไปฝากไว้ให้ที่บ้านเสียหน่อย

     ตอนนี้พิธานไปฝึกงานได้เกือบเดือนแล้ว ช่วงแรกก็ยังกลับบ้านเกือบทุกอาทิตย์ จนมาช่วงหลังนี้ที่ท่าทางจะเหนื่อยถึงได้กลับบ้างไม่กลับบ้าง มีโทรมางอแงบ้างเล็กน้อยตามประสาหนุ่มน้อยขี้เหงากับเวลาเมาแล้วเรื้อน

     จริงๆ อาทิตย์นี้ก็บอกว่าจะกลับนี่หน่า

     ม่านฟ้าเล็งมะม่วงบางลูกแล้วทดไว้ในใจว่าจะแอบเอาไปฝากอีกคนที่จะกลับมาพรุ่งนี้ ขณะคิดเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงพ่อเรียกขึ้นมาอีกหน ม่านฟ้าหันกลับไปมองตามเสียงเรียก เห็นแม่กลับเข้าบ้านไปแล้ว ส่วนพ่อก็มานั่งกำกับอยู่ที่ม้าหินข้างๆ ต้นแทน

     “เรื่องคราวนั้น...ตกลงแกสูบบุหรี่รึเปล่า”

     ม่านฟ้าที่กำลังหย่อนมะม่วงอีกลูกลงในตะกร้าถึงกับชะงัก เรื่องคราวนั้นที่พ่อพูดถึงคงไม่พ้นครั้งที่เขาวิ่งหนีไปและทำให้พ่อคิดว่าของที่เขาซ่อนไว้คือบุหรี่ ม่านฟ้าแกะปมเชือกที่ผูกตะกร้าไว้กับต้นไม้ออกเมื่อเห็นว่ามะม่วงเต็มตะกร้าแล้วจึงค่อยๆ หย่อนลงไปให้พ่อนำผลไม้ออก เขาสบตากับผู้เป็นบิดาที่มองขึ้นมาก่อนจะส่ายหน้าให้เบาๆ “เปล่า เหม็นจะตาย เมฆไม่สูบหรอก”

     ครั้งที่ม่านฟ้าดึงตะกร้าเปล่ากลับขึ้นมาผูกกับต้นไม้อีกครั้งก็ได้รับสายตาเป็นคำถามที่สื่อความได้ว่า ‘แล้วไปเอามาจากไหน’ กลับมา ชายหนุ่มเม้มปากอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ตัดสินใจบอกออกไป “ของพีทน่ะ มันให้ยืม”

     ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ ท่าทางของพ่อในยามนี้ทำให้ม่านฟ้าร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย นึกถึงคะแนนที่พิธานพยายามทำไว้ หากจะให้มาเสียคะแนนในช่วงสุดท้ายอย่างนี้คงไม่ดีแน่ “แต่ตอนนี้มันบอกมันเลิกสูบแล้ว เมฆก็ไม่เห็นมันสูบมาสักพักแล้วจริงๆ นะ”

     ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรีบแก้ตัวขนาดนี้ รู้ทั้งรู้ว่าพ่ออาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ก็แค่อยากบอกไว้ก่อน

     ม่านฟ้าเห็นผู้เป็นพ่อนิ่งไปเหมือนใช้ความคิดก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่ายหัวเบาๆ พึมพำออกมาเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามาคุยกับเขาต่อ “ดีแล้ว ไม่สูบก็ดี ว่าแต่แกได้ดูเรื่องที่พักรึยัง โปรแกรมเที่ยวอะไรก็จัดการเองล่ะ...โตแล้ว”

     ประโยคท่อนหลังนภดลมองลูกชายนิ่งๆ แล้วจึงพูดออกมา เขามีความหมายเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเวลาเริ่มผ่านไปชายวัยกลางคนถึงเริ่มรู้สึกปลงสังขารมากขึ้น เขาเคยปีนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีม่านฟ้าเป็นลูกมือ แต่ในยามนี้เพียงแค่ยืนมองและช่วยเหลือเจ้าลูกชายคนนี้นิดหน่อยก็รู้สึกล้าเสียแล้ว

     ‘ลูกๆ ก็โตกันแล้ว พ่อก็ปล่อยพวกเขาบ้าง ให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาเลือกเถอะ’

     คำพูดของภรรยาดังขึ้นในความทรงจำ

     ก่อนหน้านี้เขายังเถียงเรื่องนี้กับภรรยาสุดใจ เจ้าพวกเด็กที่คอยแต่จะสร้างเรื่องปวดหัวให้เขาไม่หยุดดูอย่างไรก็ไม่เหมาะกับคำว่า 'โตแล้ว' ที่ภรรยาชอบพูด แต่จากหลายเรื่องที่ผ่านมา เขาอาจต้องยอมรับแล้วว่าลูกของเขาโตขึ้นมากแล้วจริงๆ

     อย่างน้อยก็เริ่มช่วยแบ่งเบาภาระต่างๆ ได้แล้ว...โดยที่เขาไม่ต้องสั่งน่ะนะ

     เขาเองไม่ได้ตัดหญ้าหรือรดน้ำต้นไม้มาสักระยะ แต่ก็ไม่เห็นว่าหญ้าจะขึ้นรกหรือมีต้นไม้เหี่ยวตายไปแต่อย่างใด จะว่าไปรถเขาก็ไม่ค่อยได้ล้าง ไม่ได้เอาเข้าอู่ด้วยแต่ก็ยังสะอาดดี ดูท่าว่าคงไม่พ้นคนสวนประจำบ้านที่จัดการให้

     “เมฆดูเรื่องที่พักแล้ว ว่าจะจองเป็นบ้านหลังเล็กๆ สักหลัง” ม่านฟ้าเอ่ยตอบเมื่อเห็นพ่อเงียบไป อาทิตย์หน้าบ้านของเขามีแผนจะไปเที่ยวหัวหินกันสามวันสองคืน ทริปเที่ยวที่นานๆ จะมีสักครั้งของครอบครัวเพราะภารกิจโน่นนี่ที่มักจะมีเข้ามาจนหาเวลาว่างตรงกันยาก แถมตั้งแต่ภูหมอกเริ่มเตรียมตัวสอบเข้า เจ้าตัวก็เห็นวันหยุดมีค่ามากกว่าเงินแล้วสละทุกอย่างให้กับการอ่านหนังสือแทน

     “มันเป็นส่วนตัวดีมีที่ทำครัวด้วย แม่ไม่ค่อยชอบไปกินอาหารทะเลตามร้านนิ ชอบบ่นว่าไม่สะอาด น้ำจิ้มก็ใส่ผงชูรสเยอะ เมฆเลยจะให้ทำเองซะเลย ส่วนเรื่องเที่ยว เมฆให้ไอหมอกจัดการ” ชายหนุ่มนั่งพิงกับกิ่งไม้เพื่อพักเอาแรงแล้วคุยกับพ่อไปพลาง บุ้ยหน้าไปทางกระติกน้ำเย็นที่พ่อวางไว้ข้างตัวแล้วตอแหลทำหน้าละห้อยเหมือนเด็กขาดน้ำ ถึงจะดูเหมือนไม่เหนื่อยแต่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ก็ทำเอาหน้ามืดได้ง่ายๆ เลยหากไม่ระวังให้ดี

     “อืม ก็ดี จัดการกันเอง ก่อนจะจองก็ส่งรูปไปให้แม่แกดูก่อนด้วยล่ะ ว่าถูกใจเขาไหม” ชายวัยกลางคนขยับตัวลุกขึ้นส่งกระติกน้ำขึ้นไปให้ลูกชาย ตามมาด้วยเสียงดื่มน้ำจากกระติกอึกใหญ่แล้วแขวนเอาไว้ที่กิ่งไม้ถัดจากตัวไปอีกนิด

     นภดลมองลูกชายที่นั่งอยู่บนต้นไม้ ข้างซ้ายเป็นตะกร้าใส่ผลไม้ ข้างขวาเป็นกระติกน้ำที่ห้อยต่องแต่ง ดูคล้ายกับจะลงหลักปักฐานอยู่บนต้นไม้ยาวๆ แล้วก็ส่ายหน้า ก่อนที่จะชะงักไปเล็กน้อย

     สายตาที่เริ่มยาวของคนเป็นพ่อเห็นบางอย่างที่ไต่ขึ้นมาบนกระติกน้ำสีน้ำเงินจนเห็นได้ชัดเจน นึกถึงเมื่อครู่ที่ม่านฟ้าขยับแหวกกิ่งไม้เพื่อให้แขวนกระติกน้ำได้สะดวกแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย กำลังจะอ้าปากส่งสัญญาณเตือนภัยให้เจ้าลูกชายแต่ก็เหมือนจะช้าเกินไปเมื่อม่านฟ้าเริ่มขยับมือทำงานอีกหน และกิ่งแรกที่ม่านฟ้าแหวกออกก็ดันเป็นพุ่มไม้เจ้าปัญหา

     ฝูงมดแดงขนาดใหญ่ทะลักทลายออกมาจากพุ่มนั้น คำว่าสู้จนตัวตายนำมาใช้นิยามได้กับมดพวกนี้เป็นอย่างดี เมื่อรังขนาดใหญ่ของมันถูกรุกรานโดยบุคคลนอก แม้จะตัวใหญ่กว่าแค่ไหนก็ไม่กลัว ผิดกลับม่านฟ้าที่ถึงกับร้องออกมาเสียงหลง “เหวอ!!! มดแดง!! พ่อๆๆ!”

     ลูกชายที่ตัวไม่เล็กแล้วแต่ร้องเรียกให้เขาช่วยเป็นเด็กอยู่บนต้นไม้ทำให้ชายวัยกลางคนทำอะไรไม่ถูก เขาเห็นลูกชายไถลตัวพรวดเดียวลงมาอยู่บนพื้นพร้อมกับการดิ้นและสะบัดตัวไปมา ภาพตรงหน้าซ้อนทับกับภาพในอดีตที่ม่านฟ้าเล่นซนขึ้นไปบนต้นมะม่วงต้นนี้แล้วก็เจอเจ้าถิ่นต้อนรับคล้ายๆ กัน

     วันนั้นเด็กชายม่านฟ้าก็รีบปีนลงมาจากต้นไม้ เรียกร้องหา ‘พ่อ’ ซ้ำๆ พร้อมกับร้องไห้โยเย จนเขาปัดมดออกจากตัวให้จนหมดแล้วเจ้าตัวยังไม่เลิกร้องเรียกเขาซ้ำๆ สองมือเล็กกำชายเสื้อของเขาแน่นสองเท้าย่ำไปมาอย่างหวาดกลัว เหมือนทุกครั้งที่ทำอะไรไม่ถูกเจ้าตัวก็จะเรียกแต่ ‘พ่อ’ อยู่อย่างนี้

     เสียงร้องให้ช่วยของนายม่านฟ้าดังเรียกชายวัยกลางคนกลับมาจากอดีตอีกครั้ง คิดว่าตัวเองคงแก่แล้วจริงๆ เมื่อเอาแต่คิดถึงอดีตอยู่เช่นนี้ นภดลเดินเข้าไปช่วยปัดมดแดงออกจากตัวลูกชายของเขา พร้อมถอนหายใจและส่ายหัวออกมาเบาๆ

     จะกี่ปีก็ยังร้องหาพ่ออยู่อย่างนี้ เขาคงคิดผิดไปจริงๆ ที่คิดว่าเจ้าพวกนี้มันโตแล้ว


 
     “พ่อ..จะเอามะม่วงให้ใครบ้างรึเปล่า” ม่านฟ้าถามขึ้นเมื่อเห็นพ่อเริ่มเลือกมะม่วงใส่ถุงเหมือนเวลาจะแจกให้ใคร เวลานี้พวกเขากลับเข้ามาในบ้านและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว แม่เองก็เตรียมอาหารเย็นอยู่กับภูหมอกในครัว ในห้องนั่งเล่นตอนนี้จึงเหลือเพียงสองพ่อลูกอีกครั้ง ม่านฟ้าอ้าปากถามออกไปเช่นนั้นแต่มือก็ยังทายาไปตามตัวที่เริ่มขึ้นตุ่มแดงแถมแสบๆ คันๆ จากเจ้ามดแดงแฝงพวงมะม่วงเหล่านั้น

     “ว่าจะให้คุณเดือนบ้านข้างๆ หน่อย เมื่อวานเขาทำแกงเขียวหวานมาให้บ้านเรานิ” พ่อพูดออกมาพร้อมหยิบมะม่วงใส่ถุงไปด้วย จนเมื่อได้เต็มถุงเขาก็เห็นพ่อเหม่อมองไปทางโต๊ะวางของข้างโซฟาครู่หนึ่ง ม่านฟ้ามองตามไปที่โต๊ะแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ บนนั้นมีแค่ของรกๆ อย่างนาฬิกาตั้งโต๊ะ รีโมตแล้วก็...กล่องหมากรุก? “เอาไปฝากเพื่อนแกด้วยสิ เจ้าพีทน่ะ บ้านอยู่แค่นี้เองไม่ใช่เหรอ”

     ห่ะ?

     ม่านฟ้าถึงกับติดสถานะมึนงงไปชั่วครู่เมื่อพ่อของเขาเอ่ยถึงคนรัก เขาเองก็กะจะเอ่ยปากขอมะม่วงพวกนี้ไปฝากคนรักอยู่แล้วหลังจากเอาชีวิตเสี่ยงตายไปเก็บมา แต่ไม่คิดว่าพ่อจะเป็นคนออกปากขึ้นมาเองแบบนี้ “บ้านเขามีกันกี่คน หยิบๆ ไปเผื่อหน่อยก็ได้”

     “อะ เออ พีทอยู่กับพี่ชายแค่สองคนเองพ่อ เออ ไม่ต้องเยอะมากก็ได้ เดี๋ยวกินไม่หมด” ลูกชายคนโตของบ้านตอบออกมาแทบไม่ทันเมื่อพ่อเงยหน้าขึ้นมาถาม ก่อนจะยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีกกับประโยคต่อมา “เออๆ หยิบไปเถอะ ไม่เป็นไร เผื่อให้มันเอาไปกินที่ทำงานด้วยก็ได้ ไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดอยู่ไม่ใช่เหรอ”

     ไม่ใช่ว่าตกใจที่พ่อรู้ว่าพิธานไปฝึกงานต่างจังหวัด เพราะคิดว่าไม่เขาก็ภูหมอกคงจะเผลอพูดออกมาให้พ่อได้ยินบ้าง แต่ที่น่าแปลกใจคือไม่คิดว่าพ่อจะจำได้ แถมยังใจดีให้ผลไม้ไปกินแบบนี้อีก

     ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พ่อเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้น้ำใจ มีของอะไรก็แจกจ่ายเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักกันเป็นปกติอยู่แล้ว และกับพิธาน..พ่อก็รู้ว่าเป็นเพื่อนของเขาแถมเคยเป็นครูสอนพิเศษให้ภูหมอก การจะมีน้ำใจให้พิธานด้วยแบบนี้ก็คง...ไม่แปลกละมั้ง

     “ยืนเอ๋ออะไรอยู่ รีบมาช่วยกันสิ จะได้รีบไปกินข้าว”

     “อะ เออ ครับ”

     เอาเถอะ ช่างมันล่ะกัน

     ----

     เสียงลมทะเลที่ดังมาพร้อมกับเสียงคลื่นทำให้ชายหนุ่มเหม่อออกไปไกล เขาได้ยินเสียงดนตรีจากร้านอาหารดังมาไกลๆ แต่ก็ไม่สามารถรบกวนบรรยากาศของความเป็นธรรมชาติในยามนี้ได้เลย ห้องพักที่พวกเขามาเข้าพักอยู่ห่างจากส่วนกลางของรีสอร์ตพอสมควร ถึงได้หลุดพ้นจากความวุ่นวายของแสงสีเสียงเหล่านั้นได้

     ม่านฟ้าสูดกลิ่นเกลือเข้าไปในปอด นานแล้วที่ไม่ได้มาสัมผัสลมทะเลแบบนี้ เขานั่งอยู่ที่ชานระเบียงห้องพักหันหน้าไปทางทะเลที่มืดมิด มีเพียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งมาเป็นระยะและแสงจากเรือประมงที่อยู่ไกลออกไป

     หัวหินนี่มันทะเลอ่าวไทยหรือเปล่านะ ทะเลระยองก็เป็นอ่าวไทยนิ

     ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่บอกว่าห้องพักอยู่ใกล้ทะเลแค่เปิดหน้าต่างออกไปก็เห็นทะเลแล้วโอ้อวดออกมายกใหญ่ เหลือบไปมองขวดน้ำที่วางอยู่ไม่ไกลแล้วนึกถึงหนังที่ส่งข้อความหากันผ่านกระดาษที่สอดไว้ในขวดเพื่อส่งให้อีกคน

     เหอะๆ ถึงจะเป็นทะเลเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะไปถึงเสียหน่อย ความเป็นไปได้ที่จะพัดไปถึงคนที่ต้องการแทบจะเป็นศูนย์แถมยังจะเป็นขยะในทะเลอีกต่างหาก ชายหนุ่มส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระแล้วหันกลับไปมองทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง

     ใครว่ากันว่าทะเลทำให้เศร้า เหงา แต่สำหรับเขาตอนนี้...ทะเลทำให้คิดถึง

     เขากับพิธานแทบไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย อาจเคยไปค่ายอาสาของมหาลัยฯ ด้วยกัน แต่ก็เฮโลไปด้วยกันหมดทั้งแก๊งของเขาและของพิธาน ไม่ต้องพูดเรื่องสวีทหวานแหว่วหรือบรรยากาศซึ้งๆ น่าจดจำ แค่รับมือกับพวกบ้าที่กลางวันเต้นแร้งเต้นกาเหมือนกินยาม้าส่วนกลางคืนก็ตั้งวงแจกไพ่เล่าเรื่องผีก็เหนื่อยจะตายแล้ว

     จะว่าไปตอนนั้นพิธานยังโม้ว่าชอบเล่นเจ็ตสกีมาก เวลาไปเที่ยวกับครอบครัวทีไรเจ้าตัวชอบไปขับเล่นแข่งกับพี่ชายทุกครั้ง วันนี้เขาเองก็เห็นมีให้เช่าที่ชายหาด แต่ราคาแพงสุดๆ หากให้เช่าเล่นคงเสียดายเงินตายชัก

     แต่เอาเถอะ ถ้ามาด้วยกัน ไม่สิ ถ้า 'มีโอกาส' ได้มาด้วยกันเมื่อไหร่ เขาจะยอมให้พิธานเล่นตามใจก็ได้

     แอลกอฮอล์ในร่างกายทำให้สมองของเขาคิดฟุ้งซ่านไม่หยุด จากตอนเย็นที่นั่งจิบเบียร์กับพ่อเล่นๆ จนกลายเป็นแข่งขันจริงจังหลังมื้อเย็นทำให้สติของม่านฟ้าพร่าเบลอไปไม่น้อย คำพูดของพ่อเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดง่ายๆ แต่ม่านฟ้ากลับรับมันไว้อย่างไม่สบายใจนัก

     “เรื่องหมอก ขอบใจนะ ขอบใจที่ยังทำให้บ้านเป็นบ้าน ไม่งั้นเราคงไม่ได้มาเที่ยวกันสี่คนแบบนี้แล้ว”

     เขารู้ดี ว่าสิ่งที่ทำไปไม่ใช่เพียงเพื่อหมอก คำที่พูดออกไปกับพ่อหลายคำมันก็ออกมาจากใจเขาเอง ออกมาจากใจของลูกที่ไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ของพ่อเหมือนกัน

    “ที่ผมพยายามกล่อมพ่อไปทั้งหมด ผมอาจจะไม่ได้ทำเพื่อหมอกคนเดียวก็ได้นะ”

     ใช่ ไม่ใช่แค่หมอก แต่เพื่อตัวเขา เพื่อพิธาน เพียงแต่ตอนนี้เขาเดินมาได้ครึ่งทางเท่านั้น เรื่องของเขากับพิธานหากเทียบกับเรื่องของภูหมอกก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ชั่วขณะหนึ่งม่านฟ้าคิดจะบอกพ่อออกไปให้หมด เขาคิดถึงคำพูดของนทีที่บอกให้เขาพูดมันออกไปตรงๆ แต่ถึงกระนั้น...ม่านฟ้าก็ยังไม่กล้าพอ

     ฤทธิ์แอลกอฮอล์อาจยังไม่มากพอที่จะทำให้เขากล้าพูดมันออกไป หรือจะเป็นความขลาดกลัวที่ติดเข้าไปในสันดานของเขานั่นแหละเป็นตัวขวางเอาไว้

     อีกทั้ง...

     “เพราะงั้นแค่ให้กูได้อยู่ข้างๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กูจะทำให้มึงได้...มึงให้กูเถอะนะ”

     ม่านฟ้าซบหน้าลงไปกับเข่าตัวเองขยับมือหมุนโทรศัพท์ในมือเล่นจนทำให้หน้าจอสว่างวาบขึ้นมา เขามองภาพพักหน้าจอโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย มันเป็นเพียงภาพลูกแมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ตัวเล็กเกาะอยู่บนหัวของเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ พิธานชอบบ่นเขาบ่อยๆ ยามเห็นภาพนี้ว่าเห็นเจ้าตัวเป็นโกลเด้นฯ หรืออย่างไรถึงได้ใช้รูปนี้ อย่างเขาถ้าจะเป็นหมาก็ต้องเยอรมัน เชพเพิร์ด ไม่ก็เบลเจียน มาลินอยส์ที่ดูสง่างามมากกว่า

     ทำไมถึงคิดว่าเขาใช้รูปคู่เป็นภาพพักหน้าจอนะ ทั้งที่เขาก็แค่ใช้รูปหมาแมวน่ารักๆ เท่านั้นเอง

     แต่ก็คงไม่แปลก คู่รักหลายคู่ก็ชอบตั้งภาพหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปคู่บ้างหรือรูปแฟนบ้าง ขนาดแม่ของเขายังตั้งรูปที่ถ่ายคู่กับพ่อเป็นรูปพื้นหลังเลย ม่านฟ้าหลุดยิ้มขำออกมาเล็กน้อย เวลาเห็นใครทำอะไรหวานๆ กันแบบนี้แล้วก็แอบจั๊กจี้หัวใจชะมัด เผลอคิดว่าถ้าเขาตั้งรูปพักหน้าจอเป็นรูปพิธานบ้างคงตลกน่าดู

     คิดถึงหน้าเหวอแต่แอบเขินนิดๆ ของเจ้าตัวตอนที่เห็นออกเลย ปากก็คงขยับบ่นงุ้งงิ้งตามประสา

     แต่ทำได้ที่ไหนกัน

     เพ้อเจ้อชะมัด

     รู้ตัวอีกทีม่านฟ้าก็ได้ยินเสียงรอสายดังขึ้นจากโทรศัพท์ เขาเผลอกดโทรออกหาคนรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงโทรหา รู้เพียงว่าอยากได้ยินเสียง

     ‘ฮัลโหล’ จนเสียงของอีกฝ่ายตอบกลับมาแล้วแต่ม่านฟ้าก็ยังตั้งตัวไม่ทันอยู่ดี

     “...” คนโทรหาผละโทรศัพท์ออกมามองเวลาก็เห็นว่าล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว

     ยังไม่หลับด้วยแฮะ หรือตื่นขึ้นมารับนะ

     ‘เมฆ?’ เสียงจากปลายสายดังขึ้นอีกครั้งทำให้ม่านฟ้าพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา...อีกนิด

     “ครับ เมฆเองครับ” แต่เหมือนสติที่ได้กลับมาจะยังไม่พอ คำพูดที่ตอบรับกลับไปถึงฟังดูน่างุนงงเช่นนี้

     ‘ห่ะ อะไรของมึงเนี่ย’ ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากอีกฝั่ง นึกออกเลยว่าเวลานี้พิธานต้องยิ้มออกมาจนเห็นฟันเขี้ยวแน่ๆ

     “ไม่นอน?” สองคำสั้นๆ ของคนมึนแต่พิธานก็พอจะตีความได้ จึงตอบรับออกมาพร้อมคำอธิบาย ‘อืม นั่งเล่นเกมอยู่ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด คืนนี้กูนอนที่ระยองนะ ขี้เกียจกลับ กลับไปก็ไม่เจอมึง มีคนหนีเที่ยว’ เสียงของพิธานยังดูสดใสแถมหยอกล้ออย่างไม่คิดอะไร แต่กลับกวนความรู้สึกในใจของม่านฟ้าขึ้นมา

     “...อืม ก็อยาก...ให้มาด้วยเหมือนกัน” ม่านฟ้ารู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนขึ้นของตัวเอง อาจด้วยลมที่แรงขึ้นจากทะเลถึงทำให้เขารู้สึกแสบตาจนอยากร้องไห้แบบนี้ “เมฆอยากให้พีทมาด้วย”

     ‘...ห่ะ?’

     “คิดถึง”

     ‘...’ ม่านฟ้าได้ยินเพียงเสียงลมแว่วมาจากอีกฝั่งและเริ่มไม่แน่ใจว่าพิธานจะเผลอหลับไปหรือยัง จนได้ยินเสียงคล้ายคนขยับตัวบนโซฟาก่อนเสียงอ้ำอึ้งจะตอบกลับมา ‘เออ เอิ่ม มึง...เมาเหรอ’

     “..อืม ก็น่าจะเมาแหละ กินไปหลายขวดอยู่ ดวลกับพ่อ” เสียงถอนหายใจดังชัดเจนมาจากปลายสาย

     ‘วันหลังไม่ให้กินตอนอยู่ห่างกันแบบนี้แล้ว...ไม่ดีต่อใจเลย’ คนเมาเผลอยู่ปากออกมาเล็กน้อยแล้วฟังคนรักบ่นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าการบอกคิดถึงกันเป็นสิ่งไม่ดีตรงไหน ถึงจะแอบน้อยใจลึกๆ ที่อีกคนไม่อยากให้เขาคิดถึงแต่ก็ช่างเถอะ เขาแค่อยากจะบอกเพราะคิดถึงพิธานจริงๆ นี่หน่า

     “พีท”

     เสียงบ่นของพิธานชะงักไปเมื่อได้ยินคนรักเรียก

     .

     .
     
     “ถ้าทุกอย่างจบลงอย่างแฮปปี้เมื่อไหร่...กูจะเปลี่ยนภาพหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปมึงหนึ่งปีเต็มไปเลย”

     ‘ห่ะ?’ พิธานเริ่มสับสนหนักขึ้นไปอีกเมื่อแต่ละอย่างที่คนรักพูดออกมาไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย พยายามจะทำความเข้าใจตรรกะความคิดคนเมา แต่ก็ยังอึ้งไม่หายถึงจะมีคำสำทับออกมาให้มั่นใจก็ไม่ช่วยอะไร

     “จริงๆ นะ สัญญาเลย” สุดท้ายก็เป็นพิธานที่ต้องถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ เผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ‘เออ เอายังไงก็เอา ตามใจมึงเลย’

     ม่านฟ้าเองรู้ทั้งรู้ว่าพิธานคงมองไม่เห็นแต่ก็พยักหน้ารับคำของอีกคน “ดีมาก ใจดีจัง ถ้าปกติมึงใจดีกับกูบ่อยๆ แบบนี้ก็ดีสิ”

     ‘อย่างมึงอ่ะ ถ้าใจดีด้วยบ่อยๆ ได้เสียคนแน่ ดีนะได้แฟนเข้มงวดแบบกู ถ้าไปได้แฟนสายสปอยด์นะมึงเอ๊ย-’ เสียงคำพูดของพิธานยังไม่ทันจบคำดี กลับโดนอีกคนสวนกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

     “มึงจะยอมให้กูไปเป็นแฟนคนอื่นจริงๆ เหรอ”

     กระโดดไปอีกเรื่องได้ยังไงเนี่ย

     พิธานทั้งขำทั้งเหนื่อยใจในฤทธิ์ของคนเมา ระบบความคิดและการเรียงลำดับหายไปหมดแล้วแน่ๆ ม่านฟ้าถึงได้พูดเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ทีตามแต่อารมณ์เช่นนี้...แต่ก็น่ารักดี พิธานขยับตัวลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างเพื่อมองทะเลบ้างเมื่อได้ยินเสียงคลื่นมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ ‘ไม่มีทาง มึงเป็นแฟนกูได้แค่คนเดียวเท่านั้น’

     “อืม.. ดี กูก็อยากมีมึงแค่คนเดียว” ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ได้ยินเสียงคลื่นมาจากอีกฝั่งเช่นเดียวกัน คาดว่าพิธานคงเดินออกมารับลมที่ระเบียงไม่ก็เปิดหน้าต่างออกมาดูทะเลเหมือนกับเขา ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กวนความทรงจำและความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหล เขาอยากให้พิธานอยู่ข้างกันในเวลานี้ อยากจับมือ อยากพิงหัวที่หนักนี้ลงไปกับไหล่หนา อุณหภูมิร่างกายที่อุ่นกว่าทำให้เขาชอบที่จะซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนเวลาอยู่ห้องแอร์เย็นๆ ชอบทำตัวไร้กระดูกให้อีกคนบ่นเพราะเบาะพิงที่ทั้งอุ่นแถมลูบหัวกล่อมได้ด้วยคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

     “กูอยากกอดมึงจัง ...ครั้งหน้า เราไปเที่ยวด้วยกันนะ” เสียงคลื่นทะเลดังโหมขึ้นมาพร้อมกับเสียงลม แต่ก็ยังกลบคำพูดสุดท้ายอันแผ่วเบาของม่านฟ้าไม่ได้

     “อดทนอีกนิดนะ พีท”


     TBC


     Achaya (Writer) : อดทนอีกนิดนะ ใกล้แล้วๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 22 (03.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-10-2021 20:46:04
 :hao5: :hao7:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 22 (03.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-10-2021 23:55:00
ไม่มีอะไรมาม่าอีกกรอกเนาะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 22 (03.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-10-2021 08:19:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 22 (03.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 08-10-2021 21:13:19
ตอนหน้าอย่ามีมาม่าเลยนะ :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 23 (10.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 10-10-2021 18:58:15
ภาคความจริง : บทที่ 23

     นัชชาเดินมาเรียกม่านฟ้าให้เข้าไปนอน ทันเห็นเจ้าตัววางหูโทรศัพท์ที่คุยกับใครสักคนอยู่นานสองนาน จึงขยับตัวเข้าไปนั่งข้างลูกชายที่หันมามองแล้วเขยิบที่นั่งให้

     หญิงสาวคนเดียวของบ้านสูดลมหายใจเข้าลึกรับอากาศที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นทะเลแล้วเผยยิ้มออกมาก่อนหันกลับไปมองลูกชายที่หน้าแดงก่ำแถมตาปรือจากฤทธิ์แอลกอฮอล์

     ที่จริงแล้วม่านฟ้าเป็นคนคอแข็งในระดับหนึ่ง แต่เพราะสองพ่อลูกดันท้าดวลกันไปตั้งแต่หัวค่ำจนคนเป็นพ่อแพ้น็อกหลับไปแล้วและทิ้งผลลัพธ์เป็นอาการมึนเมาไว้กับผู้ชนะ

     ผู้เป็นแม่เอื้อมมือไปลูบแก้มลูกชายคนโตเบาๆ อย่างเอ็นดู ตั้งแต่เกิดเรื่องของภูหมอกเธอไม่กล้าคาดฝันถึงวันที่ครอบครัวจะได้กลับมาอยู่รวมกันอย่างมีความสุขเช่นนี้นัก ทำใจไว้ตั้งแต่รู้เรื่องว่าเหตุการณ์คงไม่ได้เป็นไปในทางที่ดี ในเมื่อลูกชายไม่สามารถกลับมาเป็นลูกชายให้พ่อได้ และสามีเธอก็คงไม่สามารถยอมรับมันได้เช่นกัน ขอแค่ต่างคนต่างอยู่กันได้อย่างมีความสุขก็พอแล้ว

     แต่มันดีกว่าที่คิด

     เพราะม่านฟ้าคอยเกลี้ยกล่อมคนใจแข็งจนเริ่มยอมเปิดใจ

     เธอรู้ว่าเวลากว่าห้าสิบปีของชายวัยกลางคนที่ถูกปลูกฝังว่า 'ตัวตนภายในที่แตกต่างไปจากเพศสภาพภายนอกคือสิ่งผิด' นั้นไม่สามารถลบล้างไปด้วยเวลาวันสองวันหรือเดือนสองเดือน ถึงกระนั้นม่านฟ้ากลับทำให้เห็นว่าความรู้สึกเหล่านั้นสามารถเจือจางลงได้ด้วยเหตุผล ความเห็นใจ...และความรัก

     'ความรักของพ่อ' ที่เดิมทีก็มีอยู่มากล้นแม้จะไม่เคยแสดงออก

     จนสุดท้ายเรื่องทุกอย่างก็ลงเอ่ยได้ด้วยดี

     ม่านฟ้าซุกหน้าลงกับมืออุ่นของมารดาแล้วหลับตาพริ้ม เขาไม่ค่อยได้อ้อนพ่อแม่เท่าไหร่นัก แต่คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อีกเช่นกันที่ทำให้เขากล้าทำเช่นนี้ ชายหนุ่มขยับตัวห่างออกมาเล็กน้อยแล้วทิ้งตัวนอนลงบนตักของหญิงวัยกลางคน

     “เมฆ” เสียงมารดาดังขึ้นให้ม่านฟ้าตอบรับคำเรียกด้วยเสียงครางจากลำคอเบาๆ “ขอบคุณนะครับ”

     ไม่ต้องบอกถึงเหตุผลที่ผู้เป็นแม่กล่าวขอบคุณแต่ม่านฟ้าก็รู้ดี เพราะเขาก็เพิ่งได้รับคำขอบคุณเช่นเดียวกันนี้จากพ่อเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเช่นกัน

     แต่แปลก ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกดีใจกับคำขอบคุณที่ได้รับเลยนะ

     “เมฆทำเพื่อน้องมามากขนาดนี้…” คำพูดของแม่ที่เอ่ยขึ้นทำให้ม่านฟ้าแปลกใจและรอฟังคำกล่าวต่อมาอย่างสงสัย “แล้วเคยคิดอยากทำเพื่อตัวเองบ้างไหม”

     สิ้นคำกล่าวม่านฟ้าก็นิ่งไป เขาโทษฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้เขางุนงงและไม่เข้าใจคำพูดที่ดูเรียบง่ายของแม่ในเวลานี้ คำพูดนั้นคล้ายกับคำพูดของนทีอย่างประหลาด ชายหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเหล็กเช่นเดียวกันกับเขาอย่างหาคำตอบและความนัยจากประโยคนั้น แต่กลับพบเพียงความอ่อนโยนที่มองมาเหมือนทุกครั้ง

     คำตอบของคำถามนั้นร้องลั่นอยู่ในหัวของม่านฟ้า

     เขาบอกได้เพียงว่า ‘อยาก’

     เขาอยากทำเพื่อตัวเอง อยากทำเพื่อคนรักของเขาบ้าง ทั้งที่พิธานก็คอยช่วยเหลือเรื่องภูหมอกมาไม่น้อยไปกว่าใคร แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำให้คนที่รักเพื่อตอบแทนได้เลย

     ม่านฟ้าอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาบอกเรื่องของพวกเขาให้ที่บ้านรู้ก่อนนี้ วันนี้ที่ครอบครัวของเขามาเที่ยวด้วยกัน จะมีพิธานเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเขาหรือไม่

     ความคิดถึงเหล่านั้นดันม่านฟ้าให้ต้องลุกออกจากวงสนทนาในครอบครัวเพื่อโทรหาใครบางคนด้วยใจที่รู้สึกผิด

     ชายหนุ่มพลิกตัวเข้ากอดเอวและซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องของมารดา รู้สึกถึงหัวตาที่ร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้อีกครั้ง

     “เมฆทำได้เหรอแม่” เสียงของลูกชายดังขึ้นให้ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ “เมฆเป็นแค่คนธรรมดา เมฆมีสิทธิ์เอาแต่ใจแบบนั้นเหรอ” เสียงที่ดังขึ้นอู้อี้และแผ่วเบาจนเธอแทบจับใจความไม่ได้ กระนั้นก็ยังไม่คิดจะพูดขัดทำเพียงลูบหัวชายหนุ่มบนตักเบาๆ ก่อนก้มลงจูบกลุ่มผมหนาเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นและรู้สึกถึงความเปียกชื้นผ่านเสื้อบริเวณหน้าท้องของเธอ

     “เมฆเป็นแค่คนขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง เมฆขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดกับพ่อ เมฆเห็นแก่ตัวกับเขามาถึงสี่ปี แค่ทุกวันนี้เขายังยอมอยู่กับเมฆ มันก็มากเกินไปแล้ว”

     นัชชาฟังเสียงร้องไห้ของลูกชายที่พูดออกมาพร้อมสะอื้นจนแทบไม่เป็นประโยค เธอขมวดคิ้วมุ่นมองชายหนุ่มขี้แยบนตักอย่างอาดูร แม้จับใจความได้เพียงกระท่อนกระแท่น แต่เดาได้ว่าเรื่องที่ทำให้ลูกชายคนเก่งของเธอร้องไห้ออกมาคงไม่พ้นความลับที่เขาปิดซ่อนเอาไว้



     เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อนัชชาผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟชั้นดีลอยมาแตะจมูกช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานและเรื่องปวดหัวภายในบ้านได้ไม่น้อย ถึงนัชชาหัวหน้าพยาบาลประจำโรงพยาบาลชื่อดังจะพ้นวัยสาวน้อยมาสักพักแล้ว แต่ก็ใช่ว่าหญิงวัยกลางคนเช่นเธอจะชอบมาคาเฟ่บ้างไม่ได้

     ไม่นานมานี้ ภายในบ้านของเธอมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน เริ่มตั้งแต่ที่ความลับของภูหมอกทำให้สามีของเธอเข้าใจผิดในตัวม่านฟ้า ลามมาถึงรู้ความจริงของภูหมอกจนลูกชายคนเล็กต้องระหกระเหินออกจากบ้านไปอยู่กับน้องชาย ไม่สิ น้องสาวคนเดียวของสามีเธอ

     ยิ่งตอนนี้ลูกชายคนโตก็เทียวกลับบ้านเพื่อมากล่อมสามีของเธอให้ยอมรับเรื่องของภูหมอก เพียงแต่ไม่รู้กล่อมอย่างไรจึงเหมือนหาเรื่องทะเลาะกับพ่อได้เสียทุกครั้งจนเธอได้แต่ถอนหายใจเป็นร้อยรอบต่อวัน

     แต่อย่างไรก็ใช่ว่าเธอจะไม่ห่วงหรือสนใจไยดีลูก ตั้งแต่รู้ว่าภูหมอกไปอยู่กับนทีเธอก็แอบติดต่อเพื่อถามข่าวคราวกับนทีเสมอ ก่อนหน้านี้เธอเองก็สนิทกับนทีไม่น้อยอยู่แล้วเพียงแต่ห่างหายไปด้วยเวลาว่างที่ไม่ตรงกัน จนตอนนี้ที่ได้กลับมาติดต่อกันอีกครั้งเพราะลูกชายเธอไปรบกวนถึงบ้าน

     ถามว่าแล้วทำไมถึงไม่ไปเจอลูก ตลอดเวลาเกือบเดือนที่ลูกต้องออกจากบ้านไป เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่คิดถึง เพียงแต่คิดถึงแล้วก็ต้องห้ามใจไว้ เธอกลัวว่าหากไปหาลูกแล้วจะใจแข็งไม่พอจนพาลูกกลับบ้านมา ถึงเวลานั้นก็อาจจะต้องทะเลาะกับสามีจนแตกหักกันไปข้าง

     และที่สำคัญเธออยากให้เขาได้ลองต่อสู้ด้วยตัวเอง

     สำหรับเธอช่วงเวลานี้เป็นเพียงบททดสอบเล็กๆ อย่างหนึ่งที่เขาจะต้องเจอเมื่อเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง ในอนาคตเขาจะต้องเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาร้อยพ่อพันแม่ที่มีอิทธิพลกับเขา อาจเป็นเพื่อนเป็นพี่หรือเป็นหัวหน้างานในอนาคต คนเหล่านี้ก็อาจไม่ยอมรับในสิ่งที่ภูหมอกเป็นเช่นกัน แล้วลูกของเธอจะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ไหม จะเอาชนะใจพวกเขาได้อย่างไร หากในวันนี้กับคนที่รักเขามากที่สุดอย่าง ‘พ่อ’ เขายังไม่สามารถเอาชนะใจได้

     เธออาจดูเป็นแม่ที่ใจร้าย แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อไหร่ที่ลูกทำท่าจะล้มลง เธอจะเป็นคนแรกที่เข้าไปพยุงลูกเอง ในตอนนี้เธอเพียงอยากให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย

     เข้มแข็งให้ได้เหมือนผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้

     “พี่มาช้าเหรอเนี่ย” นัชชาเอ่ยปากขึ้นเมื่อขยับตัวนั่งลงตรงข้ามกับนที เธอเห็นแก้วน้ำของนทีลดลงไปเกือบครึ่งแล้วก็ตกใจเหลือบมองเวลาอีกครั้งอย่างกังวล นทีส่ายหน้าให้เบาๆ ขยับมือปัดไปในอากาศเป็นเชิงไม่ให้เธอคิดมากแล้วออกปากปฏิเสธ

     “ไม่หรอกพี่ ทีมาก่อนเวลาเยอะเอง” นทีส่งยิ้มให้หญิงวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนขมวดคิ้วแล้วรับของที่อีกคนถืออยู่แล้วส่งมาให้ “โอ๊ย บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเอาอะไรมาฝากแล้ว เต็มบ้านไปหมดแล้วเนี่ย”

     นัชชาส่ายหน้าทำเป็นไม่สนใจคำบ่นของนที สองสาวพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่ครู่หนึ่ง นัชชาก็เริ่มถามเกี่ยวกับลูกชายคนเล็ก เมื่อได้ความว่าอยู่ดีมีสุข ไม่ได้นั่งร้องไห้ร้องห่มคิดถึงบ้านอย่างที่เธอเป็นกังวลก็โล่งใจ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีพี่ชายคอยแวะเวียนไปหาบ่อยๆ ไม่ให้เหงาหรือรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงกะทันหันจึงทำให้ภูหมอกยังสดใสร่าเริงได้

     “ตกลง พี่รับเรื่องที่เจ้าหมอกมันเป็นแบบนั้นได้จริงๆ ใช่ไหม” นทีถามออกมาบ้าง เพราะเห็นว่านัชชาเพียงถามข่าวคราวทั่วไปด้วยความเป็นห่วงตามประสามารดา แต่ไม่ได้มีท่าทีกังวลหรืออึดอัดใจกับสิ่งที่ภูหมอกเป็นเสียเท่าไหร่

     คนถูกถามนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เธอพยักหน้าตอบนทีก่อนเอ่ยออกมาคลายความสงสัย “คงเพราะพี่รู้เรื่องเจ้าหมอกมาก่อน แล้วก็ทำใจมาสักพักแล้ว สงสารลูกด้วย หมอกเป็นเด็กอ่อนไหวง่าย ยิ่งเขาเป็นแบบนี้เขายิ่งกังวลก็เลยไม่อยากจะไปต่อต้านหรือกีดกันเขาอีก แค่พ่อเขาคนเดียวก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว”

     “แต่ถ้าถามกันจริงๆ พี่ก็ยังไม่ได้หัวสมัยใหม่ถึงขั้นที่จะยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจหรอกนะ เพียงแต่รู้สึกว่ายิ่งเราไปฝืน ก็มีแต่เราเองที่จะยิ่งเป็นทุกข์ มองแต่สิ่งดีๆ ด้านดีๆ ดีกว่า” นัชชายอมรับออกมาจากใจจริง ไม่คิดที่จะปกปิดแล้วฝืนยิ้มทำเป็นยินดีทั้งที่ไม่ใช่ “อย่างน้อยเจ้าหมอกมันก็ไปช้อปปิ้งกับพี่ได้ พี่เก็บกดไม่ได้เดินช้อปปิ้งกับใครมานาน พวกเพื่อนๆ บางคนก็มีลูกสาวไปเดินด้วย ส่วนทีก็เอาแต่ทำงานไม่ยอมไปกับพี่ซะที มีเจ้าหมอกไปด้วยพี่ก็ไม่เหงาดี”

     นทีฟังพี่สะใภ้พูดไปบ่นไปก็ยิ้มออกมา แล้วหลุดปากถามออกมา “แล้วพี่ไม่ห่วงเจ้าเมฆบ้างรึไง”

     คุณแม่ลูกสองชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ห่วงสิ ทำไมจะไม่ห่วง รายนั้นบางครั้งน่ากลัวกว่าหมอกอีกเพราะดื้อเงียบ มีอะไรไม่เคยบอกกันหรอก แต่ยังดีเมฆมันเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง ก็เลยพอจะวางใจได้บ้าง”

     “หึ เก่งจนจะเป็นปลาไหลอยู่แล้วพี่ ลื่นไหลไปได้เรื่อยมันน่ะ ได้ยินว่าเพิ่งเข้าไปต่อปากต่อคำกับพ่อมันมาอีกแล้ว” นัชชาพยักหน้ารับคำของอีกคนด้วยสีหน้าหน่าย ก่อนที่ทั้งคู่จะปล่อยให้บทสนทนาอยู่ในความเงียบสักพักเมื่อขนมที่สั่งไปเพิ่มเพิ่งจะมาถึง

     หลังขยับจัดจาน ถ่ายรูป ชิมรสชาติและวิจารณ์กันอยู่ครู่หนึ่ง สองสาวก็กลับเข้ามาสู่บทสนทนาเดิมโดยมีนทีเป็นผู้เปิดประเด็นร้อนขึ้นมาด้วยคำถามที่ว่า

     “พี่น้ำ...พี่เคยอยากเป็นย่าคนบ้างไหม”

     นัชชาถึงกับลืมรสสัมผัสของมูสผลไม้ในปากเมื่อได้ยินคำถามนั้น รู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหันจนต้องรีบดื่มน้ำตามเข้าไป

     ถ้าจำไม่ผิดก่อนที่จะถูกตัดหน้าด้วยของหวานเหล่านี้ นทีกำลังพูดถึงเรื่องของม่านฟ้าอยู่ นั่นหมายความว่าเจ้าตัวต้องการเอ่ยอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับม่านฟ้า อีกทั้งลูกชายอีกคนของเธออย่างภูหมอกก็เป็นลูกชายใจสาวไม่มีทางที่จะมีหลานให้เธอได้เป็นย่าอยู่แล้ว!

     ความหมายเดียวของคำถามนี้ก็คือเธอกำลังจะได้เป็นย่าคนเพราะลูกชายคนโต!

     “เมฆไปทำใครท้องเหรอ!!?”

     พรวด! แค่กๆๆๆ

     นทีถึงกับสำลักน้ำผลไม้ปั่นออกมาจนหน้าดำหน้าแดง แต่เพราะการสำลักที่แรงเกินไปจนทำให้เธอหยุดไอไม่ได้ ถึงได้รีบร้อนคว้ากระดาษทิชชูจนมือไม้พันกันไปหมดและปัดกระเป๋าถือที่วางอยู่บนโต๊ะตกลงบนพื้น อาการทั้งหลายของนทีนั้นนัชชามองว่ามันคือการร้อนรนและย้ำชัดว่าสิ่งที่เธอพูดนั้น...ถูกต้อง

     หัวหน้าพยาบาลวัยกลางคนถึงกับหน้าซีด รู้สึกถึงอาการที่คล้ายจะหน้ามืดของตัวเอง จากที่คิดว่าจะช่วยลูบหลังนทีที่ยังไอออกมาเป็นระยะกลับเปลี่ยนไปคว้ายาดมในกระเป๋ามาสูดเสียเอง “ตายๆๆ จะต้องมีหลานแล้วเหรอฉัน ไม่นะๆๆ”

     ก่อนที่พี่สะใภ้คนเก่งจะคิดฟุ้งซ่านไปถึงไหน นทีก็พยายามปรับจังหวะลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติเพื่อห้ามเธอไว้ก่อน “หยุด! พี่น้ำหยุด หยุดคิดก่อน”

     คำพูดของนทีหยุดการสติแตกของนัชชาได้ชั่วคราว แต่พยาบาลสาวก็ยังไม่ไว้ใจมองผู้ร่วมโต๊ะตรงหน้าอย่างรอคอยคำอธิบาย “เมฆไม่ได้ไปทำใครท้อง หรือแม้กระทั่งหมอกด้วย ฉันแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าพี่กำลังจะกลายเป็นย่าคนเสียหน่อย”

     เสียงถอนหายใจของนัชชาดังขึ้นเมื่อนทีอธิบายจบประโยค นั่นทำให้นทีเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนแซวกลับไปอย่างทีเล่นทีจริง “ทำไม ไม่อยากเป็นคุณย่าขนาดนั้นเลยเหรอ”

     "แหมม ก็.." พอโดนนทีแซวเข้าหน่อย คนที่เผลอปล่อยไก่ไปไม่น้อยก็แอบเขินอยู่บ้าง แล้วงึมงำออกมาเบาๆ "อย่างน้อยก็ไม่อยากมีเร็วๆ นี้ พี่ยังอยากมีเวลาที่เกษียณแล้วออกไปเที่ยวกับพ่อมันสองคนบ้าง ไม่ใช่ต้องมานั่งเลี้ยงหลานให้ลูกๆ มัน"

     "..." รอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าของนทีทำให้นัชชาเริ่มสงสัย

     "ทำไม ทีมีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า" เสียงถอนหายใจของนทีดังขึ้นก่อนคำถามต่อมาจะยิ่งทำให้งุนงง

     "แล้วถ้าพี่ไม่มีโอกาสจะได้เป็นคุณย่าเลยล่ะ"

     "..."

     ความสัมพันธ์ของม่านฟ้าและพิธานถูกเล่าผ่านปากผู้เป็นอา เรื่องราวเรียบง่ายความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อนใดนอกจากการเป็นคนรักที่ต้องปิดบังสถานะของกันและกันเอาไว้ นัชชานิ่งงันไปอย่างทำอะไรไม่ถูก ภายในหัวของเธอเหมือนยังไม่สามารถเรียบเรียงสิ่งที่นทีเล่าออกมาได้ จนเมื่อเสียงเล่าเรื่องของนทีเงียบลงไปสักพักนัชชาถึงเพิ่งจะรู้ตัว

     “พี่น้ำๆ ...พี่โอเคไหม” พยาบาลสาวเงยหน้าขึ้นมองน้องสามีอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าให้ แต่นัยน์ตาที่แดงก่ำทั้งสองข้างกลับทำให้นทีถอนหายใจ เธอส่งกระดาษทิชชูให้พี่สะใภ้และนั่งรอเงียบๆ

     นัชชาไม่คิดมาก่อนว่าลูกชายคนโตของเธอก็จะมีรสนิยมเช่นนี้ ม่านฟ้าไม่ได้มีท่าทางอ่อนหวานหรืออาการใดที่ดูเหมือนจะชอบผู้ชายด้วยกันสักนิด ในคราวของภูหมอกเมื่อรู้ความจริงถึงเธอจะเสียใจแต่ก็ไม่แปลกใจมากนัก แม้เธอจะเคยเข้าใจผิดว่าลูกชายเป็นหนุ่มเพลย์บอยที่พาสาวเข้าบ้าน แต่เมื่อมองดีๆ ภูหมอกก็เป็นเด็กอ่อนไหวและเรียบร้อยแต่เดิมอยู่แล้ว

     ผิดกับม่านฟ้ารายนี้ถึงจะนิ่ง จะดื้อแค่ไหนแต่เธอก็ไม่คิดว่าม่านฟ้าจะชอบผู้ชายด้วยกัน เธอยังเคยบังเอิญเจอแฟนเก่าของม่านฟ้าคราวที่ลากเจ้าตัวไปช่วยซื้อของและจำได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง

     แต่แฟนคนปัจจุบันกลับเป็นผู้ชายแถมตัวโตเสียจนจะชนประตูบ้านของเธออยู่แล้ว

     คนเป็นแม่ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาให้หมดก่อนสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้งปรับอารมณ์ให้คงที่แล้วพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้

     เอาเถอะ จะเพศไหนก็ช่าง ขอแค่เป็นคนดีกับรักลูกเธอก็พอ

     “พี่โอเคล่ะ” นัชชาตอบกลับคำถามแรกของนทีออกมาแผ่วเบา สายตาที่หันกลับมาสบกับคู่สนทนาทำให้นทีเผยรอยยิ้มได้อีกครั้ง ภูมิใจไม่น้อยที่เธอมีพี่สะใภ้ที่เข้มแข็งขนาดนี้ นัชชามักบอกว่าเธอเป็นคนเข้มแข็งที่ผ่านเรื่องราวในชีวิตมากมายมาได้ แต่แท้จริงแล้วเธอว่าผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุดที่เธอเคยเจอก็คือพี่สะใภ้ของเธอนี่แหละ

     “เล่าเรื่องพีทกับเมฆให้พี่ฟังอีกหน่อยเถอะ พี่อยากรู้ว่าเป็นยังไง” หลังปรับอารมณ์ได้แล้วตอนนี้ที่เหลืออยู่มีเพียงความเป็นห่วงลูกชายเท่านั้น นัชชาฟังสิ่งที่นทีเล่าออกมาอยากตั้งใจ เธอเองก็เคยเจอพิธานหลายครั้ง ยังดีที่คนที่กลายเป็นคนรักของลูกชายเป็นคนที่เธอพอจะรู้จักอยู่บ้าง หากเป็นใครไม่รู้เธอคงกังวลมากกว่านี้

     “จริงๆ ทีก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก เพิ่งมารู้จักพีทก็ตอนที่พวกมันหอบเจ้าหมอกมาฝากกัน พอรู้เรื่องของมันสองคนทีก็แอบกังวลเหมือนกันนะว่ามันจะมาหลอกเมฆหรือเปล่า พี่ก็รู้สมัยนี้รักแท้มันหายากขึ้นทุกที อย่าว่าแต่เป็นผู้ชายด้วยกันเลย ต่อให้เป็นผู้หญิงผู้ชายสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ แต่พอรู้ว่ามันคบกันมานานแค่ไหน ทีก็พูดอะไรไม่ออก”

     คุณแม่ลูกสองถอนหายใจออกมาอีกหน จากที่จะมาถามไถ่ข่าวคราวของลูกชายคนเล็ก แต่กลับต้องมารู้เรื่องของลูกชายคนโตเช่นนี้ทำให้เธอคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน “พี่รู้สึกว่าเป็นแม่ที่แย่จัง พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกเลย แล้วยิ่งเมฆมันทำตัวเข้มแข็งอยู่ตลอด พี่ถึงไม่รู้ว่ามันต้องเก็บปัญหานี้ไว้กับตัวนานขนาดนี้”

     “เมฆมันก็เป็นเด็กเข้มแข็งแหละพี่ แค่ยกเว้นเรื่องพ่อมันไว้เรื่องหนึ่ง” นทีเอ่ยปากปลอบพี่สะใภ้เมื่อเห็นอีกคนเริ่มทำหน้าเศร้า

     “...” นัชชานิ่งไปอย่างรอฟังคำอธิบาย

     “กับเรื่องอื่น ไอ้เมฆมันก็พร้อมสู้ แต่กับพ่อมัน… พี่คิดว่าการที่มันถูกด่า ถูกกดดัน ถูกเปรียบเทียบกับน้องชายมาตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งชาชินได้ มันต้องเจ็บมามากแค่ไหนกัน มันอาจจะไม่ได้เกลียดน้องเพราะเรื่องนั้นแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เจ็บหรือมันไม่รู้สึก ทุกวันนี้สิ่งที่รั้งไอเมฆไว้จนไม่กล้าบอกพ่อเรื่องของมันกับพีทอาจเป็นเพราะความกลัวที่สะสมมาจากความเจ็บเหล่านั้นก็ได้นะพี่”

     นทีพูดไปก็นึกถึงหลานชายของเธอและคนรัก ไม่เพียงแค่ม่านฟ้าที่ทรมานแต่คนที่อยู่ข้างๆ อย่างพิธานก็อึดอัดไปด้วย เธอกลัวเพียงว่าวันหนึ่งหากความอึดอัดนั้นทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทนไม่ไหว หลานชายเธอจะต้องเสียความรักดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

     “ถ้าไม่มีเจ้าพีทอยู่ข้างๆ ไม่แน่ว่าเมฆมันอาจจะล้มไปแล้วก็ได้”

     นัชชาหลุบตาลงอย่างใช้ความคิด เธอเองก็คิดมาตลอดว่าม่านฟ้าน่าจะมีแฟนแล้ว สมัยก่อนเธอมักเห็นเจ้าตัวออกมาคุยโทรศัพท์ที่ม้าหินหลังบ้านตอนดึกๆ ในช่วงปิดเทอม จะมีแค่ช่วงปีที่ผ่านมานี้ที่ไม่ค่อยเห็นจึงคิดว่าอาจเลิกรากันไปแล้ว

     ที่ไหนได้กลับพาแฟนเข้ามาในบ้านแล้วต่างหาก ถึงไม่ต้องโทรศัพท์คุยกัน

     ‘แม่ไม่ได้คิดจะกีดกันหรอกนะถ้าหมอกคิดจะมีแฟน เมฆเองก็ด้วย แต่แม่ไม่ชอบให้ปิดบังอะไรไว้ อยากให้ทำอะไรก็ยังอยู่ในสายตาของแม่’

     ที่เคยพูดไว้แบบนั้นก็เพราะเผื่อเจ้าลูกชายคนโตจะหลุดปากออกมาบ้าง แต่ก็ไม่มีสักนิดแถมปิดเก่งจนเธอไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย พิธานเองก็แสดงบทบาทความเป็นเพื่อนได้ดีเสียจนน่าตีไปด้วยอีกคน

     “พีทมันดูแลเมฆดีรึเปล่า”

     นทีส่งยิ้มพร้อมพยักหน้าให้นัชชาสบายใจ แต่ก็ยังพูดเผื่อเอาไว้ไม่ให้ดูเข้าข้างเกินไปจนน่าเกลียด

     “ทีก็บอกได้แค่ในมุมของที พี่น้ำลองสังเกตเจ้าพีทมันเองดีกว่าพี่จะได้มั่นใจ ที่ทีมาบอกพี่ก่อนก็เพราะอยากให้พี่คอยดูท่าทีว่าที่ลูกเขยพี่นี่แหละ แล้วให้พี่ตัดสินใจเองว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน”

     ถึงคราวที่นัชชาเป็นผู้พยักหน้าบ้าง เธอจะขอเริ่มนับคะแนนว่าที่ลูกเขยเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!



     จากวันนั้นมาเธอเองก็คอยสังเกตท่าทีของพิธานและลูกชายคนนี้มาตลอด นัชชาอาจไม่ได้เจอพิธานบ่อยเท่าเมื่อก่อนที่เจ้าตัวมาสอนพิเศษภูหมอกที่บ้าน แต่ครั้งที่ม่านฟ้าต้องเข้ามากล่อมพ่อเป็นครั้งคราวก็มักจะมีพิธานเป็นผู้มารับมาส่งเสมอ ยิ่งคราวที่ม่านฟ้าป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล คนที่วิ่งวุ่นมากที่สุดก็คงไม่พ้นเจ้าหนุ่มตัวโตคนนี้

     พิธานยังคงความเป็นธรรมชาติในตัวเอง เขาไม่ได้ดูเหมือนคนที่พยายามฝืนตัวเองเพื่อเอาใจคนในบ้าน (ถึงการแต่งตัวในวันแรกที่เจอที่โรงพยาบาลกับวันหลังๆจะต่างกันหน่อยแต่ก็พอเข้าใจได้) อย่างอาหารที่ทำมาส่งให้บ่อยครั้งก็ไม่ได้ดูทำไปเพราะพยายามจะเอาใจ แต่เหมือนหนุ่มน้อยขี้เหงาที่อยู่บ้านคนเดียวแล้วไม่มีอะไรทำเลยลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้แฟนและครอบครัวแฟนกินมากกว่า

     ถึงเธอจะไม่ได้มองพิธานด้วยอคติหรือเข้าข้าง แต่ตอนนี้เธอก็เทคะแนนให้พิธานไปไม่น้อยแล้ว

     นัชชาก้มลงมองลูกชายคนโตที่ตอนนี้ซุกหลับอยู่บนตักของเธอ น้ำตาของม่านฟ้าบนเสื้อเธอเริ่มแห้งจากลมแรงภายนอกแต่เธอรู้ดีว่าความทรมานในใจของลูกชายยังคงไม่หายไป ตราบใดที่ยังต้องเก็บความลับสำคัญเอาไว้เช่นนี้

     “เมฆมันก็เป็นเด็กเข้มแข็งแหละพี่ แค่ยกเว้นเรื่องพ่อมันไว้เรื่องหนึ่ง”

     ผู้เป็นแม่ก้มลงจูบกลุ่มผมหนาของลูกชายอีกครั้ง ลูบหัวให้คนที่กำลังหลับสบายก่อนพูดออกไป “ถ้ามันอึดอัดก็พูดมันออกไปเถอะลูก ไม่ต้องกลัว แม่อยู่ข้างเมฆเสมอนะครับ”

   
   

(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 23 (10.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 10-10-2021 19:00:45
ภาคความจริง : บทที่ 23  (ต่อ)

  ‘อดทนอีกนิดนะ พีท’

     คำพูดแผ่วเบาจากปลายสายก่อนที่ม่านฟ้าจะวางไปกลับทำให้พิธานคิดมากจนถึงตอนนี้ เขายืนรับลมทะเลอยู่ที่หน้าต่างอีกครู่หนึ่งก็หันกลับมาหาอีกคนในห้องที่นั่งเล่นเกมอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้หันไปเล่นโทรศัพท์แชตกับแฟนแทนแล้ว

     “มาๆ ต่อเหอะเฮีย” พิธานเรียกอีกคนให้เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์

     จะว่าไปเหมือนลืมบอกเมฆว่าเฮียมาหาถึงที่ไซต์ตั้งแต่เมื่อวานเย็น

     ชายหนุ่มตรงหน้าพิธานตอนนี้มีโครงหน้าที่คล้ายกับพิธานอยู่หลายส่วนเพียงแต่ขาวกว่าและดูตี๋กว่าเท่านั้น เจ้าตัวพยักหน้าเล็กน้อยแต่มือก็ยังจิ้มโทรศัพท์คุยกับแฟนไม่เลิก คนคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ชายสุดที่รักของพิธานที่วันๆเอาแต่บ้างานและติดแฟน ส่วนน้องชายก็ปล่อยให้นั่งเหงาเป็นหมาเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว

     ห้องพักที่บริษัทมีไว้สำหรับพนักงานจะเป็นห้องเดี่ยวเล็กๆ แต่ก็แยกโซนห้องนอนกับห้องนั่งเล่นเอาไว้ และเพราะหนึ่งห้องมีให้สำหรับหนึ่งคน พิธานถึงปล่อยให้พี่ชายมาค้างด้วยได้อย่างที่ไม่ต้องเกรงใจเพื่อนร่วมห้อง พี่ชายแสนดีที่เวลาปกติไม่กลับบ้านมาหาน้องหรือมากหน่อยก็ซุกหัวนอนที่ทำงานไปเลย เวลานี้กลับทำเป็นบ่นเมื่อน้องชายไม่กลับบ้านและถ่อสังขารมาหาถึงระยอง

     รู้นะว่าโดนแม่บังคับให้มาหา ถึงได้ยังเห็นหัวน้องชายอยู่เนี่ย
     
     พิธานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมเล่นเกมอีกครั้งเมื่อเห็นพี่ชายออกจากแชตที่คุยกับแฟน เห็นชีวิตการทำงานของพี่ชายอย่างพิรัลหรือ ‘เฮียพี’ ที่อายุมากกว่าเขาถึงเจ็ดปีแล้วนึกไม่อยากเรียนจบขึ้นมาเสียอย่างนั้น แค่ตอนนี้ที่เขามาฝึกงานยังมีเรื่องยุ่งยากให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าต้องทำงานจริงๆ จะเป็นยังไง

     เสียงถอนหายใจของน้องชายที่ดังขึ้นเรียกให้พิรัลกลับมามองน้องชายตัวโตอีกครั้ง นึกไปถึงที่เจ้าตัวออกไปคุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “ทะเลาะกับเมฆหรือไง”

     พิธานละสายตาออกจากจอเกม FPS (First person shooter) ที่กำลังจะเริ่มเล่นแข่งกับพี่ชาย หน้าจอเกมปรากฏมุมมองของสไนเปอร์คนละฝั่งที่ซ่อนอยู่ในฐานของตัวเองแล้วส่ายหน้าให้เล็กน้อย “เปล่า แค่..ห่วงมันนิดหน่อย” 

     “...” พิรัลไม่ได้ถามอะไรต่อ รู้ว่านิสัยน้องชายอีกไม่นานถ้าอยากพูดเดี๋ยวก็พูดออกมาเอง

     “เอาจริง ไม่คิดเลยว่าชีวิตแม่งต้องมาเจอเหมือนพวกรักต้องห้ามอย่างที่ดูในหนัง โดนกีดกันโดยครอบครัวคนรักอะไรแบบนี้ สมัยที่ดูพีทยังบ่นอยู่เลยว่าเจอบ้านเขากีดกันแล้วมึงจะไปรักเขาต่อให้เมื่อยตุ้มทำไมว่ะ แต่พอเอาเข้าจริง แม่ง ไม่แฟร์เลยถ้าต้องมาเลิกกันทั้งๆ ที่ยังรักกันอยู่” พิธานบ่นไปก็ขยับมือเปลี่ยนที่ซ่อนตัวละครไปอีกฝั่งให้เข้าใกล้ศัตรูมากขึ้น

     “แกเลือกเองพีท” พิรัลก็ยังเป็นพี่ชายที่นิ่งเหมือนน้ำเช่นเคย เจ้าตัวยังอยู่ในที่ซ่อนของตัวเองนิ่งๆ ขยับปุ่มซ้ายขวาเพื่อดูความเป็นไปรอบๆ ตัว เขารู้เรื่องของพิธานและคนรักมาตั้งแต่ต้น เรียกว่าเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่น้องชายนำเรื่องของเด็กผู้ชายอีกคนมาปรึกษา แม้กระทั่งเรื่องที่พิธานเพิ่งรู้ตัวว่ามีใจให้กับผู้ชายด้วยกันแล้วสติแตกไปพักหนึ่งก็ได้พี่ชายคนนี้แหละนั่งปลอบนั่งสอนอยู่

     เขาเองก็คิดไม่ต่างกันกับน้องชายเท่าไหร่นัก ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นเค้าลางความยุ่งยากของบ้านอีกฝั่งที่ท่าทางจะรับเรื่องเพศที่สามไม่ได้อย่างรุนแรง เขายังเคยเตือนให้พิธานถอยออกมาก่อนที่จะถล้ำลึกแต่สุดท้ายก็เป็นน้องชายของเขาเองที่ไม่เชื่อฟังและรับปากเงื่อนไขนั่นมา

     ในเมื่อยอมรับเงื่อนไขเองก็ต้องยอมรับสภาพเองให้ได้

     พิรัลเองหลังจากรู้จักกับม่านฟ้าก็ไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจคนรักของน้องชาย ม่านฟ้าอาจจะดูเป็นคนมึนๆ อย่างที่พิธานว่า แต่ก็เป็นเด็กดี มีน้ำใจและรู้จักสัมมาคารวะ ขนาดพ่อกับแม่ของเขายังถูกใจม่านฟ้าจนแม่กลับมาทีไรเป็นต้องหิ้วของฝากมาให้เจ้าตัวเป็นถุงๆ เสมอ

     ที่สำคัญม่านฟ้าเป็นเด็กที่ใส่ใจพิธานไม่น้อยกว่าเขาหรือพ่อกับแม่เลย

     นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาและพ่อแม่มองเห็นเหมือนกัน ม่านฟ้าคอยกล่อมคนใจร้อนอย่างพิธานให้ใจเย็นลง ใช้เหตุผลและอดทนกับความมุทะลุบ้าดีเดือดของน้องชายเขา กลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กชายพิธานขี้เหงาที่งอแงเอาแต่ใจอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และคอยประคองน้องชายของเขาไว้ในวันที่พิธานผิดหวังหรือไม่เป็นตัวของตัวเอง

     แม้กระทั่งความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ อย่างการขยับแก้วน้ำออกจากระยะมือของพิธานให้เพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะปัดตก การสำรวจรอบๆ เวลาจะออกไปไหนเผื่อว่าน้องชายของเขาจะลืมของ หรือการสังเกตสีหน้าและอาการที่บางทีแม้แต่เขาก็ยังมองไม่ออกว่าพิธานกำลังป่วย มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ ที่ม่านฟ้าทำไปทั้งที่ไม่รู้ตัวแต่เขาก็รู้สึกได้ และรู้ดีว่าคนที่รู้สึกถึงมันมากที่สุดคือพิธาน

     ม่านฟ้าไม่ได้เป็นเพียงคนรักที่ดี แต่ทำให้พิธานเป็นคนดีและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย
     
     เขาถึงไม่อยากให้น้องต้องเสียคนรักดีๆ ไป

     “พีทรู้แต่พีทก็แค่อยากจะทำอะไรได้บ้าง พีทรู้ว่าเห็นมันเอื่อยเฉื่อยแบบนั้นแต่จริงๆ มันเครียดจะตายเพราะพีทไปกดดันมันเรื่องพ่อ ไปทำให้มันรู้สึกผิด แต่สุดท้ายพีทกลับช่วยอะไรมันไม่ได้สักอย่าง” ตัวละครของพิธานขยับออกจากที่ซ่อนแล้วกราดยิงใส่คู่ต่อสู้ที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เสียงปืนในเกมดังรัวๆ เหมือนคนกดกำลังหงุดหงิดไม่น้อย

     “พีท ชีวิตคู่อะนะ มันไม่จำเป็นว่าต้องมีคนหนึ่งเป็นผู้นำหรือออกหน้าปกป้องเสมอหรอกนะ แกอาจจะถนัดกับการออกลุยเป็นแนวหน้าทุกเรื่อง แต่บางครั้งมันก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมหลายๆ อย่าง หรือบางครั้งแกอาจต้องถอยออกมาเพื่อให้เขาจัดการ แล้วก็เชื่อใจเขา” พิรัลยังคงพูดต่ออย่างใจเย็นแล้วขยับมือบังคับตัวละครของตัวเองให้รีบหลบอยู่หลังถังไม้ใบใหญ่ก่อนจะวิ่งไปหลบที่รถอีกคันเมื่อที่ซ่อนเก่าถูกน้องชายระเบิดจนกระจุย

     “แล้วยังไง เราทำได้แค่ให้กำลังใจ เชื่อใจแล้วก็รออยู่เฉยๆ เหรอเฮีย” พิธานที่จัดการศัตรูไม่ได้วิ่งขึ้นหน้าเข้าไปใกล้ที่ซ่อนของอีกคนแล้วรอจังหวะจัดการอีกครั้ง

     “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรู้ว่าเราควรจะอยู่ตรงไหน การที่เราพยายามจะออกจากที่ซ่อนของเราในเวลาที่ทุกอย่างมันยังไม่พร้อมและยังไม่ถึงเวลา...มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้นะ” ดวงตาเล็กรีของคนเป็นพี่หรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวด้านหน้าของศัตรู

     ปัง!

     “ความใจร้อนของแกจะทำให้สิ่งที่พยายามมาตลอดมันเสียเปล่านะ”

     พิธานหลังเหงื่อเย็นออกมาเมื่อคำพูดประโยคสุดท้ายของพี่ชายดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอของเขาที่กลายเป็นสีแดงก่อนจะจางลงพร้อมกับตัวอักษรที่ขึ้นว่า ‘Game over’


 ----

     ม่านฟ้าผละสายตาออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์ เขากดออกจากหน้าสนทนาเมื่อเห็นว่ายังไม่มีการตอบกลับมาจากข้อความสุดท้ายที่เขาส่งไปว่า ‘ถึงบ้านแล้วบอกด้วย’ เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว

     ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโซฟาข้างตัวแล้วเหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกที่มืดสนิทผ่านหน้าต่างในห้องนั่งเล่น อีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ม่านฟ้าก็จะเปิดเทอมปีสี่พร้อมกับภูหมอกที่เปิดเทอมปีหนึ่ง อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันสุดท้ายของเด็กฝึกงานบางคนอีกด้วย

     รถอาจจะติดหน่อยมั้ง

     เสียงรื้อของในชั้นดังกุกกักไม่หยุดจากภายในครัวดึงความสนใจของม่านฟ้าออกมาจากการคำนวณเวลาและระยะทางจากระยองสู่ชานเมืองกรุงเทพฯ เห็นเพียงมารดาที่ก้มๆ เงยๆ หาของอยู่จึงอดถามออกไปไม่ได้ “หาอะไรแม่”

     ไม่คิดว่าคำพูดถัดมาของคนเป็นแม่จะทำให้เขานิ่งงันไป

     “แก้วน่ะสิ ใบที่เป็นลายเลอะๆ ที่เมฆชอบใช้น่ะ ขนาดกำลังดีแม่จะเอามาทำขนม” ผู้เป็นมารดาคล้ายกับยังไม่รู้ตัวจึงพูดอธิบายออกมาให้ลูกชายได้ฟัง ผิดกับม่านฟ้าที่ตอบผู้เป็นแม่กลับไปเสียงเบา “...แตกไปแล้วไง”

     เพล้ง!

     ภาพความทรงจำในวันเก่าผุดขึ้นมาในหัว ไม้เมตรอันเก่าที่ฟาดเข้ากับร่างของลูกชายคนโตหักครึ่งออกจากกัน ส่วนหนึ่งยังค้างอยู่ในมือของผู้เป็นพ่อ ขณะที่อีกส่วนกลับกระเด็นไปจนกระแทกกับแก้วน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แก้วน้ำลายสวยที่แต้มสีน้ำเงิน สีฟ้าและสีขาวไปทั่วใบคล้ายรูปก้อนเมฆที่ไม่มีรูปร่างชัดเจนตกลงบนพื้นก่อนที่จะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในเวลานั้นไม่มีใครหันมาสนใจว่าสิ่งที่แตกลงไปคือสิ่งใด เมื่อเสียงตวาดยังคงดังก้องอยู่ในหู

     “มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยนะ”

     “กรรมอะไรของกูที่มีลูกอย่างมึง”


     ม่านฟ้าหลับตาลงเมื่อเขายังได้ยินคำพูดจากตอนนั้นซ้ำๆ ทั้งในยามหลับและยามตื่น จากความเจ็บช้ำกลายเป็นความชินชา คอยย้ำเตือนให้เขาได้จดจำไว้...ถึงตัวตนของเขาในสายตาพ่อ

     ช่างเถอะ เขาไม่ควรจะคิดเยอะอย่างที่อาบอกนั่นแหละ

    “ผมต้องทำยังไง ต้องพูดยังไงเขาถึงจะยอมฟัง” ลูกชายคนโตของบ้านนึกย้อนไปถึงบทสนทนาของเขากับผู้เป็นอาและคำตอบแสนจะเรียบง่าย

     “ไม่ต้องคิดเยอะพูดเยอะอย่างที่แกชอบทำหรอก...แค่พูดตรงๆ ไปก็พอ”

     ในเวลานั้นสีหน้าของเขาคงว่างเปล่าเสียจนผู้เป็นอาขยับยิ้ม ม่านฟ้ายังจำสัมผัสของมือเรียวที่ข้างแก้มและคำพูดของอีกคนได้ดี “แกจะจูงมือแฟนแกแล้วเดินเข้าไปหาพ่อบอกว่า ‘พ่อครับนี่แฟนผม’ แค่นี้ก็ได้”

     ไม่มีทาง หากทำเช่นนั้นจริงพิธานคงไม่พ้นถูกพ่อตีหัวแตกเป็นแน่ ในตอนนั้นเขาคงเผลอทำหน้ายู่ให้อาเห็น นทีถึงใจดีเปลี่ยนประโยคให้เขาอย่างไม่เกี่ยงงอน “หรือจะเป็นแค่ ‘พ่อครับ เมฆเป็นเกย์’ แค่นี้ก็ได้ ซ้อมท่องเช้าท่องเย็นเอาไว้ให้ติดปาก พอถึงคราวที่ต้องพูดจะได้ไม่มีปัญหา เห็นไหมง่ายนิดเดียว”

     นั่นสินะ

     คำพูดหลายคำดังขึ้นมาในหัวม่านฟ้าในชั่วพริบตา เขาเหลือบมองน้องชายโดยหวังว่าการตัดสินใจนี้ของเขาจะไม่ทำให้เจ้าตัวต้องโดนหางเลขไปกับเขาด้วย ม่านฟ้าสูดหายใจเข้าลึกเมื่อคิดว่านี่คงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วติดก็แต่เพียงคำสัญญาเดียวที่เคยให้ไว้

     “อย่าเพิ่งบอกอะไรกับพ่อทั้งนั้นตอนที่กูไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพ่อจะโมโหขึ้นมาอีกไหม แต่ให้กูอยู่ใกล้ๆ มึงก่อน ไม่เอาตอนที่กูอยู่ไกลแบบนี้ รู้มั้ย”

     “แค่ให้กูได้อยู่ข้างๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กูจะทำให้มึงได้...มึงให้กูเถอะนะ”


     .

     .

     แสงจากโทรศัพท์มือถือข้างตัวสว่างขึ้นแสดงให้เห็นว่ามีข้อความจากใครบางคนส่งมาถึงเขา

     เอาล่ะ เท่านี้เขาก็ไม่ได้ผิดสัญญาแล้ว



     TBC



     Achaya (Writer) :
     
     หากใครจำได้ ฉากนี้จะตรงกับตอนสุดท้ายของภาคหลัก (บทที่ 18) พอดี สุดท้ายก็ตามทันแล้วว เราเคยคิดวิธีการสารภาพมาหลายแบบมาก แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยคำง่ายๆ เนี่ยแหละ
     
     ตอนนี้ยังไม่มาม่านะคะ (แค่ต้มน้ำรอ) ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมมเมนต์กันนะคะ


หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 23 (10.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-10-2021 19:50:07
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 23 (10.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-10-2021 00:27:05
โอ่ยยยยย
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 23 (10.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 13-10-2021 12:32:16
เมื่อคนแต่งต้มน้ำร้อนรอ คนอ่านอย่างเราคงต้องหากุ้ง หมู ปลาหมึก ไข่ มาไว้ใส่มาม่าซะแล้ว :ling1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 24 (17.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 17-10-2021 18:17:17
ภาคความจริง : บทที่ 24

     พิธานรีบวิ่งมาที่หน้าบ้านของคนรักในยามดึก เขาเพิ่งส่งข้อความไปหาคนรักว่า ‘ถึงบ้านแล้ว’ แต่กลับได้รู้ข่าวที่ทำให้ต้องรีบมาหาอีกคนทันทีจากโทรศัพท์ของภูหมอก

     เขาผลุนผลันเข้าไปในบ้านทันเห็นภาพที่ชายวัยกลางคนฟาดไม้เข้าไปที่ร่างของคนรักอย่างแรง พิธานรีบเอาตัวเข้าไปขวางแล้วดึงอีกคนออกมาแต่ก็เหมือนจะยังไม่ทันกาล ตามร่างกายของม่านฟ้าเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ อย่างน่าตกใจ ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาทำให้พิธานพูดอะไรไม่ออก

     ชายหนุ่มพยายามปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของคนรักแต่ม่านฟ้ากลับเบี่ยงใบหน้าออกจากฝ่ามือของเขา สายตาที่มองสบมาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาหันกลับไปมองพ่อของคนรักที่ยังคงตวาดด่าทอม่านฟ้าไม่หยุดก่อนที่สายตาจะมาหยุดลงที่เขา

     “เป็นแกเองสินะ” เสียงคำรามลอดไรฟันของชายวัยกลางคนทำให้พิธานเกร็งตัวขึ้นมา “ที่เข้ามาในบ้าน ที่ทำเป็นพูดดี ที่มาเอาใจฉัน...มันคือแผนของแกใช่ไหม” พิธานได้แต่กลืนน้ำลายลงไปในคอ ภาพพ่อของคนรักในเวลานี้กลับดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ใบหน้าแดงก่ำและสายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความโกรธทำให้พิธานได้แต่จับมือคนรักไว้ให้แน่นขึ้น

     “การที่เราพยายามจะออกจากที่ซ่อนของเราในเวลาที่ทุกอย่างมันยังไม่พร้อมและยังไม่ถึงเวลา...มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้นะ”

     คำพูดของพี่ชายดังสะท้อนขึ้นมาในหัว

     “ที่แกบอกว่าแค่รักคนที่เป็นผู้ชายด้วยกันมันผิดอะไร กูไม่สน! แต่มันต้องไม่ใช่ลูกกู ทำไมต้องเป็นลูกกู!” ไม่พูดเปล่าชายวัยกลางคนตรงหน้าคว้ากล่องหมากรุกที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กมาเขวี้ยงใส่เขา “อยากได้ลูกกูนักรึไง กูไม่ให้! ลูกกูต้องไม่มีแฟนเป็นผู้ชาย มันต้องไม่เป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไปกับมึง!”

     ม่านฟ้าถูกคนเป็นพ่อกระชากตัวกลับไปอยู่ข้างกาย แรงอารมณ์ของผู้เป็นพ่อทำให้ม่านฟ้าที่ถูกบีบแขนแน่นหลุดเสียงร้องไห้ออกมา บรรยากาศภายในบ้านตึงเครียดเสียจนพิธานรู้สึกถึงความร้อนระอุที่ลอยอยู่ในอากาศ เขาพยายามจะเดินเข้าไปหวังเกลี้ยกล่อมพ่อของคนรักและดึงตัวม่านฟ้ากลับมา แต่ใครจะคิดว่าพ่อที่ถอยหลังลงไปกลับเอื้อมมือคว้ามีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ข้างตัว

     และยกขึ้นมาจ่อลำคอของตัวเอง

     พิธานมองภาพนั้นอย่างตกใจ เขาเห็นม่านฟ้าพยายามจะพุ่งเข้าไปดึงมีดออกมาแต่ชายวัยกลางคนกลับถอยหลังลงไปอีก พิธานนิ่งงันอยู่กับที่ เสียงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหายไปจากหูของเขาราวกับโทรทัศน์ที่ถูกปิดเสียง เขาไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะบานปลายมาถึงขั้นนี้ แต่ก็ฝืนเดินหน้าเขาไปหาชายวัยกลางคนที่กำลังคลุ้มคลั่งในเวลานี้

     “พ่อ พ่อใจเย็นก่อนนะ ค่อยๆ คุยกันเถอะพ่อ” เสียงของม่านฟ้าสั่นพร่าไปหมดเมื่อเห็นปลายมีดยังจ่ออยู่บริเวณลำคออย่างน่าหวาดเสียว แต่สายตาของพ่อกลับมองตรงมาที่พิธานคนเดียวอย่างต้องการให้เขาเป็นผู้เอ่ยปาก ชายหนุ่มร่างสูงเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา

     “โอเค ผมยอมแล้วพ่อ พ่ออยากให้ผมทำอะไร ผมยอมทุกอย่าง”

     แต่นั้นคงเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่

     เขาเห็นชายวัยกลางคนตรงหน้าเผยยิ้มก่อนเอ่ยคำพูดที่เขากลัวที่สุดออกมา

     “เลิกกับไอเมฆ เลิกยุ่งกับลูกกูซะ”

     พิธานได้แต่กัดฟันแน่นเมื่อคำประกาศิตนั้นคือสิ่งที่เขากลัวสุดใจ

     “มึงห้ามมาให้คนในบ้านกูเห็นหน้าอีก ออกไปจากชีวิตลูกกูและคนในบ้านกู! ออกไป!!! ” เสียงคำรามลั่นของผู้เป็นพ่อทำให้ม่านฟ้าหน้าซีดเผือด น้ำตายังไหลลงมาไม่ขาดสาย พิธานพยายามจะเข้าไปกล่อมชายวัยกลางคนอีกครั้งและเดินหน้าเข้าไปแต่นภดลกลับถอยหลังและหันกลับมาขู่ม่านฟ้าแทน “มึง ไอ้เมฆ อย่าให้กูเห็นว่ามึงไปยุ่งกับมันอีก เอามันออกจากบ้านกูไป ไป!!!”

     ม่านฟ้าส่ายหน้าและยืนละล้าละลังอย่างทำตัวไม่ถูก จนพ่อจ่อมีดเข้ากับคอของตัวเองอีกครั้งอย่างแรงจนลำคอมีเลือดไหลซิบออกมา “หรือมึงอยากเห็นกูตายก่อนห่ะ!!”

     ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมด พิธานยืนมองชายวัยกลางคนตรงหน้าที่ตวาดด่าทุกคนรอบข้างอย่างไร้สติ มองม่านฟ้าที่ร้องไห้ไม่หยุด เรี่ยวแรงภายในร่างกายเหือดหายไปจนเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อม่านฟ้าหันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง

     “ได้ๆ พ่อ เมฆยอมแล้ว”

     สิ้นคำร้องอย่างผวาของม่านฟ้า เจ้าตัวก็ค่อยๆ หันกลับมามองหน้าคนรัก พิธานยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเห็นเพียงคนรักที่ก้าวเข้ามาใกล้ตัวเขาขึ้นเรื่อยๆ เขาส่ายหน้าให้ม่านฟ้าเมื่อรู้ว่าเจ้าตัวกำลังจะทำอะไร ฝ่ามือของคนรักวางลงบนหน้าอกของเขา แรงผลักของม่านฟ้าดันให้ตัวเขาถอยหลังออกมาจากเสียงโวยวายของชายคลุ้มคลั่ง เมื่อรู้ตัวอีกครั้งพิธานก็มายืนอยู่นอกบ้านที่มีประตูรั้วกั้นระหว่างเราเอาไว้

     เขาเห็นคนรักสะอื้นออกมาอย่างหนัก ดวงตาคู่สวยของม่านฟ้าแดงช้ำอย่างน่าสงสาร เขาอยากยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้กับคนรักแต่ร่างกายกลับหนักอึ้งจนไม่มีแรง หัวใจบีบรัดหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก รู้สึกถึงความชื้นบนใบหน้าของตัวเองก็เมื่อมือเรียวคู่ที่เขาชอบสัมผัสเอื้อมมาปาดน้ำตาบนใบหน้าให้

     “ขอโทษนะ พีท”

     หมายความว่ายังไง ในเวลานี้แม้คำพูดเรียบง่ายแต่เขากลับแปลความไม่ออก

     “กู.. กูขอให้มึงเจอคนใหม่ที่ดี คนที่เขารักมึงมากๆ ขอ..ให้มึงมีความสุขมากๆ นะ”

     ไม่ ทำไม ไม่เอาแบบนี้

     พิธานได้แต่เถียงและมีคำถามอยู่ในใจ แต่กลับไม่มีคำพูดใดจะพูดออกไปได้เลย

     ม่านฟ้ายังคงสะอื้นออกมาจนตัวโยน พิธานเห็นม่านฟ้ากะพริบไล่น้ำตาออกไปเพื่อหวังจะได้จำภาพของคนตรงหน้าไว้ให้ชัดเป็นครั้งสุดท้าย ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามใบหน้าของคนรักอย่างอาวรณ์ ความรักสี่ปีที่สั่งสมมาพังทลายลงเพียงเพราะการเปิดเผยความจริงออกไป

     เพียงเพราะเขาไม่ยอมอยู่ในที่ของตัวเอง

     “กูขอโทษจริงๆ นะ พีท”

     ทำไมเราถึงต้องจบกันแบบนี้
     
     .

     .

     .

     “โหยยย กี่ปีแล้วมึง เมื่อไหร่มึงจะเลิกจมปลักซะทีว่ะเพื่อน” เสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นเมื่อพวกเขานัดรวมตัวกันเพื่ออัปเดตชีวิตของแต่ละคน ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ยังคงเสียงดังเฮฮาไม่ต่างไปจากสมัยเรียน โชคดีที่ในร้านก็เปิดเพลงเสียงดังสู้ไม่งั้นคงได้กลายเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านแน่

     พิธานที่ถูกเพื่อนกล่าวถึงพร้อมตบหัวหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนหนึ่งทีก่อนหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาชงเหล้าต่อ รู้ตัวว่ากลายเป็นคนดื่มเหล้าหนักมากขึ้น แต่ก็หลอกตัวเองว่าไม่ได้ดื่มบ่อยแค่เวลานัดสังสรรค์กับเพื่อนเป็นครั้งคราวเท่านั้น “เฮ้ย เบาได้เบานะมึง ไม่มีคนแบกศพมึงกลับนะ แถมมึงเอารถมาด้วยนิ”

     ใช่สินะ ไม่มีคนแบกเขากลับเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต้องดูแลตัวเองให้ได้

     “มึงเลิกกันมาหกเจ็ดปีแล้วนะ ลูกกูเกือบขวบแล้วเนี่ย ทำไมมึงยังจมอยู่กับไอ้เมฆว่ะ หาคนใหม่สักคนเหอะมึง จะผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ได้แค่ให้มึงโงหัวขึ้นมาจากอดีตของมึงซะทีเนี่ย” เสียงเพื่อนในกลุ่มยังดังขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเดิมคือพิธานแต่คราวนี้ดีหน่อยที่เปลี่ยนจากตบหัวเป็นบีบมือลงบนไหล่แทน

     “ถามจริง มึงโกรธไอ้เมฆหรือยังยึดติดอะไรวะ ถ้าวันนั้นสุดท้ายแล้วเมฆมันเลือกมึง แล้วทิ้งพ่อ มึงจะยังโอเคกับแฟนที่ทิ้งพ่อแม่มาหามึงได้เหรอ” บทสนทนาของเพื่อนทุกคนเริ่มรุมกลับมาที่พิธาน เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนอยู่ทุกปีเพราะไม่ว่าจะกี่ปีที่นัดเจอกันเพื่อนตัวโตคนนี้ก็ยังมาพร้อมใจช้ำๆ ทุกครั้งไป “กูว่ามึงก็คงไม่โอเคไหม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกลับไปแก้ไขยังไงผลลัพธ์ก็ต้องออกมาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

     “ทำใจซะเถอะว่าพวกมึงคงไม่ได้เกิดมาคู่กัน”

     คำพูดประโยคนั้นของเพื่อนสนิทเหมือนหมุดที่ตอกลึกลงไปในใจของพิธาน มันเป็นสิ่งที่เขารู้ดีมาตั้งแต่วันแรกแต่ก็ยอมรับมันไม่ได้เสียที เฝ้าหลอกตัวเองซ้ำๆ ว่ามันต้องมีทางเป็นไปได้ที่ความรักของพวกเขาจะสมหวัง

     แม้ในยามที่พยายามทำใจยอมรับ แล้วเปิดใจมองหาใครสักคนแต่สุดท้ายก็ยังจบลงที่คำว่า ‘ไม่รอด’ ไม่ใช่เพราะใครคนใหม่ไม่ดีพอแต่เป็นเพราะเขาเองที่เห็นแก่ตัวและยังทิ้งภาพจำของม่านฟ้าออกไปจากใจไม่ได้

     ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ดวงตาสวยที่เป็นประกายยามได้หยอกล้อกัน สัมผัสอุ่นๆ และคำสัญญามากมายในวันวานยังคงอัดแน่นอยู่ในหัวของเขา

     จะทำอย่างไรก็ลืมไม่ได้เสียที



     รถยนต์สีดำจอดลงหน้าบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดสูทเปิดประตูฝั่งคนขับเดินอ้อมออกมาเปิดประตูรั้ว เขาถอยรถเข้าจอดในลานก่อนที่ไฟหน้ารถจะดับลง ชายวัยกลางคนเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับออกมา สีหน้าคล้ายยังหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

     “ฉันไปงานแต่งงานลูกเพื่อนมากี่คนแล้ว เมื่อไหร่ฉันจะได้ไปงานแก จะสามสิบอยู่แล้วทำไมไม่คิดจะหาแฟนสักคน” พวกเขาทะเลาะกันมาตั้งแต่ในรถ นภดลพูดย้ำๆ ถึงแต่เรื่องนี้ตั้งแต่ออกจากงานเลี้ยงมาจนกระทั่งถึงบ้านก็ยังไม่ยอมจบ

     “เมฆ..ยังไม่อยากมีใครน่ะพ่อ” เสียงลูกชายตอบกลับมาแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยหลุบลงมองพื้นเมื่อผู้เป็นพ่อเริ่มต้นยืนด่าอย่างจริงจัง “ยังไม่อยากมีใครหรือแกยังลืมไอเด็กนั้นไม่ได้!!”

     “...” นัยน์ตาโศกสะท้อนแววไหววูบหนึ่งก่อนกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง “เมฆแค่ยังไม่อยากมีใครจริงๆ”

     “ทำไมว่ะ แค่หาแฟนผู้หญิงสักคนมันยากนักรึไง ผู้หญิงในโลกมีตั้งเยอะให้แกเลือกทำไมไม่เลือกสักคนหรือแกต้องรอให้ฉันแก่ตายไปก่อน ชาตินี้ฉันจะได้อุ้มหลานไหม ห่ะ หรือกูต้องขู่อย่างคราวที่มึงเลิกกับไอเด็กพีทนั่นอีกมึงถึงจะฟัง!” สรรพนามที่เปลี่ยนพร้อมอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นทำให้ม่านฟ้าเม้มปาก ยังดีที่เพื่อนบ้านไม่อยู่วันนี้ไม่งั้นคงได้มีทะเลาะกับข้างบ้านต่อ

     “ขอเวลาผมอีกหน่อยเถอะพ่อ” ม่านฟ้าพยายามใช้ไม้อ่อนกับพ่ออีกครั้ง เขามองพ่อที่ชี้หน้าคาดโทษไว้ขณะเดินเข้าบ้านแล้วถอนหายใจออกมา ม่านฟ้ายังคงทะเลาะกับพ่อเรื่องเดิมซ้ำๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

     ชายหนุ่มเดินกลับไปที่หน้าบ้านเพื่อปิดประตูรั้วก่อนสายตาจะไปปะทะกับร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล

     ร่างสูงที่เคยเห็นเหมือนจะสูงขึ้นกว่าเดิม รูปร่างก็หนาและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อน สองขายาวก้าวเข้ามาใกล้รั้วบ้านของเขามากขึ้นก่อนจะหยุดอยู่ตรงที่เดิม...ที่เดิมที่พวกเขาเคยจากกัน

     พิธานฝืนยิ้มจางๆ มาให้อีกคน เห็นม่านฟ้าหลุบตาลงมองพื้นตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาใกล้ เจ้าตัวทำเหมือนมองไม่เห็นเขาแล้วหันหลังกลับเตรียมจะเข้าบ้าน จึงต้องรีบเอ่ยปากเพื่อรั้งอีกคนไว้ “มึงเป็นไงบ้าง”

     เขาเห็นอีกคนเหลือบสายตากลับมามองครู่หนึ่งก่อนหันกลับไป ไหล่ที่เคลื่อนขึ้นลงทำให้รู้ว่าเจ้าตัวถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบเขา “อืม ก็ดี”

     “...”

     “...”

     พิธานยังคงฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าอีกคนไม่ได้หันกลับมามองแต่ก็ยังอยากจะยิ้มให้ “กู… ตอนนี้กูเก็บตังค์ได้เยอะแล้วนะ” เสียงที่พูดออกมาพยายามจะทำให้สดใสแต่ก็ยังปิดความสั่นเครือเอาไว้ไม่มิด “กูว่า..กูพอจะซื้อบ้านในเมืองได้แล้วด้วย”

     “อืม ดีแล้วล่ะ”

     “แต่..กูว่ากูคงไม่ซื้อหรอก ถ้าไป.. กูก็คงต้องไปอยู่คนเดียว” เสียงพิธานหัวเราะๆ ออกมาแผ่วเบา “กูอยู่กับเฮียดีกว่า ถึงจะเป็นกอขอคอหน่อยก็เถอะ”

     “อืม”

     “กูเรียนจบโทบริหารแล้วด้วยนะ หนีแทบตายสุดท้ายกูก็ต้องกลับมาช่วยงานที่บริษัทป๊าอยู่ดี จะรับปริญญาสิ้นเดือนนี้แหละ ถ้า...ถ้ามึงว่างก็มานะ”

     “อืม...โทษทีนะ กูคงไปไม่ได้”

     “...”

     “...กู เข้าบ้านก่อนนะ” ม่านฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกว่าคนด้านหลังยังคงไม่จากไปและมองเขาอยู่อย่างนั้น

     ชายหนุ่มที่กำลังจะเดินเข้าบ้านชะงักขาก่อนหันกลับมามองอดีตคนรักที่ยืนอยู่หน้าบ้าน เขาเม้มปากเข้าหากันแน่นก่อนตัดสินใจเดินกลับไปที่หน้าประตู สายตาของม่านฟ้าเหลือบกลับไปมองในบ้านอย่างระแวง เสียงที่ถามออกมาแผ่วเบาราวกระซิบ “มึงมาทำไม” แต่ก็สั่นเครือเสียจนเหมือนคนร้องไห้

     “...” กลับเป็นพิธานบ้างที่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแล้วเอาแต่มองใบหน้าของอดีตคนรักที่ไม่ได้เจอนาน

     “มึงทำแบบนี้ทำไม มาพูดแบบนี้ทำไม” เสียงม่านฟ้าคล้ายจะหงุดหงิดแต่กลับปิดความเสียใจและดวงตาที่มองไปอย่างตัดพ้อไม่ได้

     .

     .

     “มันเป็นฝันของเรา...เป็นฝันที่เราคุยกันไว้ ฝันที่กูพูดว่ากูจะทำให้ได้ก่อนสามสิบ”

     สายตาที่มองมาของพิธานทำให้ม่านฟ้าหลุดสะอื้นออกมา เขาเม้มปากแน่นกว่าเดิมเพื่อกลั้นมันเอาไว้แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่หยุด

     ม่านฟ้าก็ยังจำได้...ความฝันที่พวกเขาเคยคุยกันไว้ครั้งยังคบกันอยู่ พวกเขาอยากจะซื้อบ้านหลังเล็กๆ สักหลังในเมืองเพื่อพิธานจะได้ไม่ต้องขับรถไปกลับให้เหนื่อย ม่านฟ้าเองถ้าอยากนั่งรถสาธารณะก็สะดวกกว่า พวกเขาคุยกันว่าจบตรีไปควรจะเรียนต่อโทอีกใบ พิธานยังบ่นว่าเขาคงไม่พ้นต้องเรียนบริหารเผื่อวันหนึ่งต้องกลับไปช่วยบริษัทของพ่อขณะม่านฟ้ายังไม่แน่ใจแต่ก็อาจจะเป็นบริหารที่น่าจะมีประโยชน์และเรียนเป็นเพื่อนอีกคนได้

     และอีกหลายความฝันที่วาดไว้ด้วยกันในครั้งที่ความรักของพวกเขายังสวยงาม

     ...และยังเป็นความลับ

     “กูทำทุกอย่างได้แล้ว กูพยายามทำมันจนได้ แต่...สุดท้ายพอได้มันมา กูไม่เห็นมีความสุขกับมันเลยเมฆ”

     “...”

     “เพราะฝันนี้กูวางเอาไว้ตอนที่อยู่กับมึง ตอนที่มีมึงอยู่ด้วย แต่ตอนนี้...ฝันของกูมันไม่มีค่าอะไรเลยเว้ย!”

     “แล้วมึงจะทำตามแผนพวกนั้นทำไม!! เรื่องของเรามันจบไปแล้วพีท ทำไมมึงยังจะดันทุรังทำตามแผนพวกนั้นต่อ ทำไมมึงไม่หาใครสักคน คนที่จะมาอยู่ข้างๆ มึง วาดฝันขึ้นมาใหม่กับมึง แล้วก็ใช้ชีวิตตามแผนกับเขาไปซะ!!” ม่านฟ้าหันกลับไปตวาดใส่คนรัก เขาไม่อยากให้พิธานยังต้องทรมานอยู่กับความรักครั้งนี้และทำได้เพียงพยายามผลักไสอีกคนออกไปให้พ้นจากอดีตเหล่านี้เสียที

     “กูพยายามแล้ว!!! กูอยากจะมีคนใหม่ มีเพื่อให้มึงสบายใจ แต่กูไม่สบายใจเลยเว้ย กูไม่ได้มีความสุขกับการมีใครใหม่เพราะกูไม่พร้อมจะมีใคร แล้วสุดท้ายมันก็ล่มหมด!” พิธานคว้าประตูรั้วก่อนกระแทกแรงลงไปอย่างระบายความอัดอั้น “แล้วมึงล่ะ มึงไม่พยายามที่จะมีใครใหม่ด้วยซ้ำ แล้วมึงจะมาบังคับให้กูหาใครใหม่ทำไม!”

     “...!!”

     ก่อนที่จะรู้ตัว ม่านฟ้าก็ถูกพิธานลากออกมาจากในรั้วบ้านแล้วยัดให้นั่งลงไปในรถที่จอดแอบไว้ก่อนที่ตัวเองจะอ้อมกลับมานั่งอีกฝั่ง ม่านฟ้าที่ถูกลากออกมายังดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก่อนจะได้เอ่ยปากพูดสิ่งใดกลับได้กลิ่นที่ทำให้ขมวดคิ้ว

     “นี่มึงกินเหล้ามาเหรอ กินเหล้าแล้วมึงขับ-” คำพูดของม่านฟ้าหายไปเมื่อเจ้าตัวเม้มปากระงับคำพูดเอาไว้ รู้ตัวว่าไม่ควรจุ้นจ้านกับอีกคนเกินฐานะอดีตคนรักแล้วหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่างแทน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหงุดหงิดคนที่ไม่รู้จักดูแลแม้แต่ความปลอดภัยของตัวเองอยู่

     ความเงียบกลืนกินอยู่ภายในรถราวกับทั้งสองคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง สุดท้ายแล้วคำพูดแรกก็หลุดออกมาจากปากของพิธานที่มองมา “จูบกูหน่อย”

     “...” ม่านฟ้าหันกลับไปมองอีกคนเมื่อคิดว่าตนฟังผิด แต่เมื่อสบกับดวงตาที่มองมาอย่างเว้าวอนก็ได้รู้

     “มึงจูบกูหน่อยได้ไหม” พิธานยังคงพูดซ้ำอีกครั้งและครั้งนี้ม่านฟ้าก็ส่ายหน้าออกมาเบาๆ

     “ทำไม” เสียงถอนหายใจของม่านฟ้าดังขึ้นเมื่ออีกคนยังคงดื้อดึง เขาหลับตาลงก่อนลืมขึ้นมาใหม่เม้มปากเข้าหากันและพยายามที่จะไม่หันกลับไปมองสายตาของคนข้างตัว “เราเลิกกันแล้วนะพีท”

     คำพูดแผ่วเบาของอีกคนแต่พิธานกลับส่ายหน้าอย่างแรง “เราไม่เคยเลิกกันเว้ย มึงเข้าใจป่ะ กูไม่เคยพูดคำนั้น มึงเองก็ไม่เคยพูด ไม่ว่าจะวันนั้นหรือวันไหน เราแค่ขาดการติดต่อกันไป ไม่ได้หมายความว่าเราเลิกกันซะหน่อย” พิธานหายใจแรงขณะที่ละล่ำละลักออกมาไม่หยุด “เรา เรายังไม่ได้เลิกกันไม่ใช่เหรอเมฆ”

     เป็นอีกครั้งที่ม่านฟ้าถอนหายใจออกมา ยิ่งพิธานทำแบบนี้ก็ยิ่งเจ็บ เจ็บกันทั้งคู่ทั้งตัวพิธานเองและตัวเขา เขารู้ว่าพิธานเป็นคนดื้อดึงมากแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าผ่านมาหลายปีเช่นนี้เจ้าตัวก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจแต่หากไม่ตัดใจ...พิธานก็จะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้เสียที

     ม่านฟ้าหันหน้ากลับไปมองอีกคนที่ยังคงจ้องมองมาที่เขา ขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนฝ่ามือจะบังคับใบหน้าของอีกคนให้ใกล้เข้ามา ริมฝีปากบดลงไปกับริมฝีปากอุ่นที่เคยคุ้น ไม่มีการรุกล้ำใดเพียงกดแนบลงไปอย่างแนบแน่นให้สมกับเป็นการจูบลา...ครั้งสุดท้าย

     “งั้น.. เราเลิกกันพีท”

     เสียงของอีกคนที่กระซิบอยู่ติดกับริมฝีปากทำให้พิธานปวดใจซ้ำๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรหรือยื้อแค่ไหนแต่อีกฝ่ายกลับไม่สู้ไปกับเขาอีกต่อไปแล้ว “ไม่ กูไม่เลิก ตอนคบกันเรายังต้องเห็นด้วยทั้งสองฝ่าย ตอนจะเลิกกันเราก็ต้องเห็นด้วยกันทั้งคู่ กูไม่ยอม”

     แต่เขาก็ยังพยายาม

     “แล้วมึงจะเอายังไง” เสียงของม่านฟ้าทั้งเหนื่อยใจทั้งเจ็บปวดปนกันไป

     .

     .

     “เรากลับมารักกันเหมือนเดิมได้ไหม ต่อให้ต้องแอบคบกันเหมือนแต่ก่อนก็ได้ กูยอมแล้ว กูสัญญา กูจะอยู่ในที่ของกู กูจะไม่พยายามออกไปอีกแล้ว ขอแค่อย่างเดียว...เรากลับมารักกันเถอะนะ”

     เขายอมทุกอย่างแล้วจริงๆ

     แต่ก็ยังไม่พอ

     “ไม่พีท ทุกอย่างมันจบแล้ว”



 

     พิธานสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งบนโซฟา ทั้งเหงื่อกาฬและน้ำตาไหลเต็มหน้าจนได้แต่ใช้แขนเสื้อเช็ดออกไปอย่างลวกๆ เขาหอบหายใจและกุมหน้าอกที่ปวดร้าวจากความฝันอันยาวนานและเจ็บปวด

     ฝันร้ายที่น่ากลัวเกินไป

     ชายหนุ่มรีบคว้าโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างโซฟาขึ้นมาดู ถอนหายใจออกมาเมื่อไม่มีเสียงเรียกเข้าจากภูหมอกเพื่อบอกข่าวร้ายอย่างเช่นในฝัน เขาเปิดหน้าบทสนทนาระหว่างเขากับคนรัก ข้อความสุดท้ายเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่เขาส่งไปว่า ‘ถึงบ้านแล้ว’ แต่กลับยังไม่มีข้อความใดตอบกลับมาแม้จะขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว

     ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

     เขารู้ใครต่างก็มองความรักในวัยนี้ว่าเป็นวัยคึกคะนอง จะมีสักกี่คนที่ได้แต่งงานและมีชีวิตบั้นปลายกับรักแรก บทสรุปของรักจึงมักจบลงอย่างรวดเร็ว อาจมีคำปลอบใจอย่างให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ความรัก ให้การรอเป็นตัวพิสูจน์ความคิดถึงและหากว่าพวกคุณได้เกิดมาคู่กันจริง คุณจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

     เหอะ คำพูดสวยหวานในหนังน้ำเน่าที่เขาเพิ่งดูจบก่อนกลับมาทำเขาเป็นบ้าจนเก็บไปฝัน แถมเอาไปพันกับเรื่องจริงของพวกเขาได้อย่างแนบเนียนจนต้องเสียน้ำตาแบบนี้

     แต่เขาไม่เข้าใจทำไมเราต้องพิสูจน์ความรักด้วยการจากลา ถ้าเขาพิสูจน์มันด้วยความรักสี่ปีของเขามันยังไม่พอ เขาก็จะพิสูจน์ให้เห็นด้วยอีกสิบปี อีกยี่สิบปีที่เขาจะยังอยู่กับคนรักต่อจากนี้

     ใช่ เขารับปากอะไรไม่ได้หรอก ได้แต่พิสูจน์ด้วยตัวของเขา...ด้วยเรื่องของเราจากนี้เท่านั้น

     “เฮียบอกแล้วว่าอย่านอนโซฟา มันทำให้หลับไม่สนิท” เสียงพี่ชายดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวที่ก้าวเดินลงมาจากบันได พิธานสำรวจโดยรอบอีกครั้งจึงพบว่าห้องนั่งเล่นที่เขานอนอยู่ถูกเปิดแอร์เรียบร้อยแถมมีผ้าห่มผืนเล็กวางพาดอยู่บนตัวผิดกับตอนแรกที่เขาเพิ่งมาถึงบ้านแล้วล้มตัวลงบนโซฟาทั้งที่ยังไม่เปิดแอร์หรือเปิดไฟ

     ภาพน้องชายที่ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ตอบคำถามหรือโวยวายออกมาตามปกติทำให้พิรัลเดินเข้าไปใกล้และนั่งลงที่โซฟาข้างกันกับน้องชาย “เป็นไร ฝันร้ายเหรอ”

     พิธานพยักหน้าเบาๆ ท่าทางเซื่องซึมของน้องชายตัวโตทำให้พิรัลหลุดยิ้มนึกอยากให้น้องชายกลับไปเป็นเด็กแสบตัวอ้วนๆ ที่โวยวายลั่นบ้านเวลาโดนเขาแกล้ง ไม่ใช่น้องชายที่สูงกว่าเขาไปโขแถมไม่น่ารักน่าแกล้งเหมือนเดิมแบบนี้ สัมผัสของฝ่ามืออุ่นที่ลูบลงบนหัวทำให้อาการหงอยของพิธานดูน่าสงสารหนักขึ้นไปอีก “โอ๋ๆ น่าสงสารตี๋น้อยของเฮียจัง ไหนฉี่รดที่นอนรึเปล่าเนี่ย”

     “เฮียนิ!” พิธานถึงกับรีบปัดมือพี่ชายออกจากหัว รู้ว่าเฮียแค่อยากแกล้งให้เขาไม่คิดมากกับฝันร้ายแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าที่เขาคิดมากจนเก็บมาฝันร้ายแบบนี้ก็เพราะคำพูดในวันนั้นของเฮียต่างหาก

    “การที่เราพยายามจะออกจากที่ซ่อนของเราในเวลาที่ทุกอย่างมันยังไม่พร้อมและยังไม่ถึงเวลา...มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้นะ”

     “เกือบเพี้ยนแล้วนะ เสียงสูงอีกหน่อยนี่ความหมายเปลี่ยนเลยนะ” พิรัลยังคงหัวเราะแผ่วเบาอย่างไม่ทุกข์ร้อนกับหน้าตายับยู่ยี่ของน้องชาย ขณะที่พิธานส่ายหน้าออกมาอย่างสงสารตัวเองที่มีพี่ชายขี้แกล้งไม่ต่างไปกับม่านฟ้าคนรักของเขาเลย

     เอาเถอะ เขาคงคิดมากไปเองจริงๆ ไม่มีอะไรหร-

     เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ความคิดของพิธานชะงักลง ความรู้สึกหนาววูบเกิดขึ้นที่แผ่นหลัง เหงื่อเย็นไหลออกมาทางขมับเมื่อเหลือบไปเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา ภาพตรงหน้าซ้อนทับกับภาพที่เกิดขึ้นในฝันราวกับเป็นเหตุการณ์เดียวกัน

     ‘ภูหมอก’


 

     Achaya (Writer) : อะ ล้อเล่นขำๆ แค่ฝันจ้า สารภาพว่าตอนแรกเคยคิดฉากประมาณนี้ไว้เหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ รู้สึกว่ามีความไม่สมเหตุสมผลอยู่เต็มไปหมด เลยให้เป็นแค่ฝันไปแล้วกัน

     ใครขวัญหายไปก็ขวัญเอ๊ยขวัญมานะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ให้กันเสมอมานะคะ เจอกันตอนหน้าใกล้แล้วๆ


 
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 24 (17.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-10-2021 19:51:28
 :a5: o22
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 24 (17.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-10-2021 20:57:22
นี่คือด่รพ่อเต็มที่เลยนะ

ถ้ามีพ่อแบบนั้นคงแย่ โชคดีนะพ่อเราน่ารัก
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 24 (17.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 20-10-2021 12:37:19
ขวัญเอ้ยขวัญมานะ อย่าให้ฝันเป็นจริงเลย :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 24 (17.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 25-10-2021 22:08:41
แอบย่องมาขออนุญาตงดลงหนึ่งสัปดาห์ แต่งมาบ้างแล้วนะ แต่ยังไม่จบดี งานยุ่งจัด ขออภัยจริงๆ ค่ะ อาทิตย์หน้ามาแน่ๆ จะพยายามรีบปั่นน้าา  :katai4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 24 (17.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-10-2021 23:00:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 25 (31.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 31-10-2021 19:15:26
ภาคความจริง : บทที่ 25

     “เมฆเป็นเกย์ครับ”

     คำพูดจากปากของลูกชายทำให้นภดลนิ่งงันไป เขาขมวดคิ้วคล้ายไม่สามารถตีความถึงสิ่งที่ม่านฟ้าพูดออกมาได้ “แก..หมายความว่ายังไง”

     ม่านฟ้าหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ หลับตานิ่งแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาจากอารมณ์อ่อนไหวก่อนหน้านี้ไปให้หมด

     “เมฆเป็นเกย์ เมฆชอบผู้ชาย ถึงพ่อจะพูดว่าไม่ลองหาแฟนดูสักที ผู้หญิงน่ารักๆ ก็มีเยอะแต่ว่า..ขอโทษนะพ่อ” ม่านฟ้ายิ้มแหยส่งให้ผู้เป็นพ่อ คงไม่มีนิยามคำใดเหมาะไปกว่าใจดีสู้เสือที่จะเข้ากับสภาพของม่านฟ้าตอนนี้ได้อีกแล้ว

     แต่ถึงม่านฟ้าจะฝืนยิ้มออกมาเช่นนั้น มือสองข้างกลับกำแน่นอย่างหวาดหวั่น

     “ทำไม” สองคำสั้นๆ จากผู้เป็นพ่อก่อนความเงียบจะกลืนกินทั้งบ้านไปชั่วขณะ ม่านฟ้ารู้สึกถึงลมหายใจที่แรงขึ้นจากคนตรงหน้าบ่งบอกอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นเช่นกัน เขาเหลือบตาขึ้นมาก่อนจะเห็นมือกร้านที่ยกขึ้นสูง

     ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมรับกับแรงตบจากฝ่ามือของพ่ออีกครั้ง แต่พ่อกลับทำเพียงคว้าใบหน้าของเขาไว้ก่อนจะตะโกนออกมาอีกครั้ง “ทำไม!!!”

     มือกร้านผลักหัวลูกชายออกไปอย่างแรง แหวนที่นิ้วขูดกับแก้มของม่านฟ้าจนเป็นแผล เสียงหอบหายใจของพ่อดังขึ้นอย่างพยายามระงับอารมณ์ เสียงกดต่ำเล็ดลอดออกมาจากลำคอราวกับคำราม

     "ทำไมห่ะไอเมฆ เรียนหนังสือแกก็เรียนได้ไม่ดี ทำตัวก็เอาแต่ใจ แถมยังดื้อหัวชนฝา จะหยิบจะจับอะไรก็ฉิบหายวายป่วงไปหมด ฉันก็พยายามไม่สนใจ พอมาวันนี้ที่เริ่มจะทำตัวดีกับเขาบ้างแกกลับมาบอกว่าแกเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อย่างนั้นเหรอ!”

     ม่านฟ้าเม้มปากแน่นพยายามหายใจเข้าลึกอีกครั้ง บอกตัวเองว่าสิ่งที่พ่อพูดก็ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น “เหอะ หรือเห็นว่าหมอกมันเป็น แกก็เลยอยากเรียกร้องความสนใจบ้างอย่างนั้นเหรอ แกมันเด็กขี้อิจฉาอยู่แล้วนิ ใช่ไหม!!!”

     "สิ่งเดียวที่แกยังมีดี คือแกยังเป็นลูกชายให้ฉัน เพราะงั้นฟังฉันให้ดีนะ"

     “ถ้าแกยังเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไปอีก ทั้งชีวิตของแกเนี่ย…"

     .

     .

     .

     "มันก็ไม่เหลือชิ้นดีตรงไหนแล้ว!"


     ลมหายใจของม่านฟ้าขาดห้วงไปทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น สมองของเขาขาวโพลนไปหมดจนได้แต่เงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ สายตาที่โกรธเกลียดถูกส่งมาทำให้ม่านฟ้าเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น ดวงตาสองข้างของเขาร้อนผ่าว ชายหนุ่มกัดฟันและพยักหน้ารับทุกคำเอาไว้ พยายามกลั้นความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาในอกจนหายใจแทบไม่ออก

     “จากนี้มึงจะทำอะไร จะเป็นอะไรก็เรื่องของมึง"

     "เลือดแค่ก้อนเดียวกูตัดทิ้งได้"


     คำพูดสุดท้ายของพ่อทำให้ม่านฟ้าหลุดเสียงสะอื้นออกมา ชายหนุ่มยกมืออุดปากของตัวเองเอาไว้แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่ขาด เขามองภาพของผู้เป็นพ่อที่หันหลังไปทางอื่นและทำท่าจะลุกออกไปผ่านม่านน้ำตาที่พร่าเบลอ ม่านฟ้าคว้าเข้าที่ชายเสื้อด้านหลังของผู้เป็นพ่อแล้วก้มหัวลงไปพนมมือไหว้อยู่กับแผ่นหลังนั้น “เมฆขอโทษพ่อ เมฆขอโทษ”

     สายตาโกรธเกลียดเป็นสิ่งที่ม่านฟ้าเคยเจอ แต่การเมินหน้าหนีไปพร้อมเอ่ยปากตัดทุกอย่างระหว่างพ่อลูกแบบนี้ม่านฟ้ายังรับไม่ไหวจริงๆ

     ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรักพ่อ ยังอยากที่จะเป็นลูกของพ่ออยู่

     รู้ตัวว่าไม่ใช่ลูกที่ดี แต่ก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับความรักบ้าง

     ม่านฟ้าร้องไห้พร้อมกับรั้งชายเสื้อของพ่อไว้ราวกับเด็กๆ เขาเหมือนกลับกลายไปเป็นเด็กชายม่านฟ้าที่วิ่งตามพ่อพร้อมร้องไห้อีกครั้ง ในคราวนั้นม่านฟ้าก็ถูกพ่อกระชากออกไปนอกบ้านพร้อมคำขู่คล้ายจะตัดขาดเช่นนี้



    "ไป พ่อจะพาเอาไปทิ้งที่บ้านเด็กกำพร้า ดีไหม! ดื้อนัก พ่อสั่งให้ช่วยแม่ดูน้อง ทำไมไม่ฟัง แม่ไม่สบายอยู่ก็ยังออกไปเล่น" ชายวัยกลางคนดึงเด็กชายลงจากรถหลังขับออกมาไม่นาน สองข้างทางในยามนั้นมืดสนิท เหลือเพียงเสียงกึกก้องของพ่อที่ดังลึกในความทรงจำ

     "เด็กไม่ดีก็ต้องถูกทิ้ง พ่อไม่อยากเป็นพ่อของเด็กดื้อแล้ว"

     ม่านฟ้าถูกทิ้งไว้บริเวณที่ทิ้งขยะหลังหมู่บ้าน ยามนั้นเด็กชายไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ห่างจากบ้านไปไม่ไกล คิดแต่เพียงวิ่งตามรถของพ่อที่ขับออกไปสุดฝีเท้า

     แต่ก็ยังไม่ทัน

     เด็กชายทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ เขาเรียกหาพ่อซ้ำๆ หวังว่าพ่อจะกลับมารับเขา ม่านฟ้าไม่รู้ว่าตัวเองนั่งร้องไห้อยู่นานแค่ไหนแต่มันยาวนานมากสำหรับเด็กชายในยามนั้น เขามองไปรอบด้านที่เต็มไปด้วยกองขยะ ตระหนักชัดว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาไร้ค่า เขาก็จะถูกทิ้งเช่นนี้

     "พ่อ เมฆขอโทษ เมฆจะไม่ดื้ออีกแล้ว"




     ม่านฟ้าวิ่งขึ้นมาบนห้องนอนตามคำสั่งของแม่หลังจากนั้น เขาถูกแม่ดึงมาปลอบไว้แทนก่อนจะเกลี้ยกล่อมให้เขาหลบขึ้นมาก่อนจนกว่าพ่อจะใจเย็นลง

     ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วกอดเข่าตัวเองเอาไว้ เขายังหยุดร้องไห้ไม่ได้ น้ำตามากมายยังคงไหลลงมาไม่หยุด สมองของเขาสั่งการให้หยุดร้องไห้แต่หัวใจยังคงบีบรัดหนักหน่วง


     “เขาอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นจริงก็ได้ อาจจะแค่โมโหร้ายก็เลยพูดแบบนั้นออกมา มึงอาจจะเสียใจฟรีเพราะคิดมากไปเอง หรือว่า…”

     “เขาอาจจะคิดว่ามึงเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องสำหรับเขาจริงๆ ก็ได้”



     เสียงของคนรักดังขึ้นในหัวของม่านฟ้า วันที่เคยคุยกันว่าพ่อรู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่ วันนั้นถึงพิธานจะพูดออกมาตรงๆ แต่ตัวเขาเองก็ยังแอบหวัง

     หวังว่าพ่อจะแค่โมโหและไม่ได้โกรธเกลียดเขาจริงๆ

     แต่วันนี้มันก็ชัดเจนแล้ว

     เขาได้รับคำตอบทุกอย่างแล้ว

     ‘ทั้งชีวิตของแกเนี่ย…มันก็ไม่เหลือชิ้นดีตรงไหนแล้ว’


     เขาไม่มีค่าอะไรในสายตาของพ่อเลย ไม่มีแม้แต่ 'ชิ้นดี' สักแห่ง ยิ่งความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่ 'ลูกชาย' อย่างที่พ่อหวังถูกเปิดเผย ม่านฟ้ายิ่งกลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของพ่อไปอย่างสมบูรณ์

     กลายเป็นเด็กที่ถูกทิ้งอีกครั้ง


     “สำหรับแฟนอย่างกู มึงเป็นคนที่มีค่ามากสำหรับกูนะ ม่านฟ้า”


     ท่ามกลางความเสียใจ เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาในความทรงจำ

     ม่านฟ้ากอดเข่าตัวเองแน่นขึ้น เลื่อนมือไปที่กระเป๋ากางเกงก่อนจะรู้ตัวว่าทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างล่าง ม่านฟ้าหงุดหงิดตัวเองเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวังสักอย่าง เขาเคยคิดจะพูดกับพ่อด้วยเหตุผลแต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับพูดไม่ออกสักนิด รู้ตัวว่าสภาพจิตใจตัวเองแย่เต็มทนแต่ก็ไม่พยายามที่จะดึงตัวเองขึ้นมา

     เขายังคงร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆ

     ปล่อยให้คำพูดของพ่อกัดกร่อนและทำร้ายจิตใจซ้ำๆ

     เสียงลมพัดหวิวด้านนอกดึงเขาให้เหลือบขึ้นไปมองที่หน้าต่างห้อง

     เขาคิดถึงพิธาน เขาอยากไปหาคนรัก

     ...คนคนเดียวที่บอกว่าเขามีค่า



     หลังลูกชายคนโตขึ้นบ้านไป นัชชาทำเพียงนั่งนิ่งมองไปยังแผ่นหลังกว้างของสามี ไหล่สองข้างของชายวัยกลางคนลู่ลงและสั่นเล็กน้อยทำให้เธอรู้ว่าไม่ใช่แค่ลูกชายที่เสียใจแต่คนตรงหน้าก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
     
     “พ่อเสียใจ ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้ไปหมด” เสียงชายวัยกลางคนอู้อี้และสั่นพร่า เขากล่าวออกมาราวกับระบายความอัดอั้นในใจตนเอง เขาไม่เข้าใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นความอึดอัดที่ทรมานมากที่สุด เหมือนแผลเก่าในวันวานยังไม่ทันสมานดี เขากลับได้รับแผลใหม่ที่บาดลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม

     "พ่อเลี้ยงลูกไม่ดีตรงไหน"

     นภดลปิดหน้าตัวเองด้วยมือข้างหนึ่งแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น มืออีกข้างกำมือของภรรยาเอาแน่นไว้ราวกับต้องการที่พึ่งพิง นัชชาขยับตัวเข้าไปใกล้สามีแล้วกอดแผ่นหลังเขาเอาไว้ ในยามนี้เธอเองก็ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน

     “พ่อเหนื่อย” นภดลหันกลับมากอดภรรยาเอาไว้แน่น เขาเหมือนคนหมดแรงอย่างที่กล่าว ฟุบหน้าลงกับไหล่คู่ชีวิตแล้วร้องไห้อีกครั้ง “พ่อเหนื่อยจะด่าพวกมันแล้ว มันไม่รู้หรือไงว่าพ่อเสียใจ ทำไมต้องเป็นแบบนี้”

     “พ่อ” หญิงวัยกลางคนเรียกสามีด้วยเสียงอ่อนใจปนสะอื้น เธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าเสียใจเพียงใด แต่ก็เข้าใจลูกชายทั้งสองคนว่าไม่ได้ต้องการทำให้พ่อเสียใจแม้แต่น้อย

     เพียงแต่มันไม่มีทางเลือก

     “แล้วพ่อทำอะไรได้ ยังไงมันก็ลูก” นภดลยังคงพรั่งพรูคำต่างๆ ออกมาอย่างน้อยใจ “ต่อให้พ่อไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้แต่พ่อก็ห้ามมันไม่ได้ ด่าไปมันก็มีแต่เสียใจแต่มันก็เลิกให้พ่อไม่ได้ พ่ออยากจะด่ามัน ให้มันเข้าใจบ้างว่าพ่อเสียใจ” คำพูดของชายวัยกลางคนวกวนไปมาและเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น นภดลคิดย้อนกลับไปถึงภาพลูกชายคนโตเมื่อครู่ที่ร้องไห้อย่างหนักเมื่อเขาพูดตัดพ่อลูกด้วยความโกรธ

     คราแรกเขาคิดว่าม่านฟ้าจงใจประชดประชันหรือลองใจเขาขึ้นมาอีก จึงเผลอพูดถ้อยคำร้ายๆ นั้นออกไป จนได้ยินเสียงร้องไห้ของม่านฟ้าถึงได้รับรู้ว่าทุกอย่างนั้นคือเรื่องจริง

     นภดลยังคงร้องไห้ออกมา ความรู้สึกเจ็บปวดจากความจริงที่ได้รู้ปะปนไปกับความรู้สึกผิดและสงสาร รู้ตัวว่าทำร้ายจิตใจลูกชายคนโตไปเพียงใดเพราะคำพูดเหล่านั้นมันร้ายแรงเกินไปจริงๆ


     “ผมก็แค่รักคนคนหนึ่งแต่เขาเป็นผู้ชาย ผมถึงได้ถูกมองว่าเป็นเกย์”



     บทสนทนาของเขากับใครบางคนดังขึ้นในหัวจนนภดลต้องหลับตาแน่น เขาสูดหายใจเข้าลึก เหลือบตามองลูกชายอีกคนที่มานั่งอยู่กับพื้นข้างกายและร้องไห้ไม่ต่างกัน ตั้งแต่ภูหมอกเกิดเขาก็ฝากความหวังและความกดดันไว้กับม่านฟ้าหลายอย่าง เขาแทบจะไม่เห็นม่านฟ้าร้องไห้หนักนับแต่นั้นและกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทันทีที่มีน้อง ลดความเอาแต่ใจรวมถึงความสดใสออกไปเพื่อดูแลน้องชายคนนี้

     “ทั้งชีวิตของแกเนี่ย...มันก็ไม่เหลือชิ้นดีตรงไหนแล้ว”

     แล้วเขาพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง

     ชายวัยกลางคนตบปากของตัวเองอย่างแรงพร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปอย่างไม่น่าให้อภัย ภูหมอกคว้าแขนของพ่อเอาไว้เมื่อเห็นว่าพ่อจะตบปากตัวเองอีกครั้งและกอดแขนเขาไว้ทั้งน้ำตา


     “หรืออย่างหมอกมันก็แค่เป็นผู้ชายที่รักสวยรักงาม อยากแต่งตัวแต่งหน้าทำให้ตัวเองดูดีแต่คนก็มองสิ่งที่มันเป็นคือตุ๊ด ...แบบนี้มันไม่ใจร้ายเกินไปเหรอครับ”


     ใช่ ใจร้ายเกินไป เขาใจร้ายกับลูกเกินไป

     มือของคนเป็นพ่อเอื้อมไปลูบหัวลูกชายคนเล็กที่นั่งอยู่ข้างกายแล้วถามออกมาอย่างเสียใจ “พ่อทำร้ายพวกแกมากใช่ไหม คำพูดของพ่อทำร้ายพวกแกมากใช่ไหม”

     ใช่ว่าเขาจะจำไม่ได้ คำต่อว่าต่างๆ ที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้และเมื่อครู่ ล้วนแล้วแต่ทำให้เด็กพวกนี้เสียใจไม่ต่างกับที่ลูกทำให้เขาเสียใจ ภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของลูกชายคนโตเมื่อครู่และลูกชายคนเล็กที่กอดแขนเขาอยู่ยิ่งย้ำให้เขารู้สึก “ไม่ ไม่เป็นไรครับ หมอกผิดเอง หมอกขอโทษนะพ่อ” ภูหมอกละล่ำละลักบอกพร้อมส่ายหน้า

     “เมฆขอโทษพ่อ เมฆขอโทษ”

     แต่เพราะรู้ว่าทำให้เขาเสียใจ ลูกชายของเขาจึงขอโทษซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ทั้งที่รู้ว่าการเป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่ ‘ความผิด’ เลยด้วยซ้ำ


     “เพศที่สามเราแค่ให้กำเนิดลูกหลานไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ไปเป็นภาระหรือเดือดร้อนใคร ทำไมเราถึงต้องถูกเหยียดและไม่ได้รับการยอมรับด้วยล่ะครับ เพศที่สามทำอะไรผิดกัน”


     นั่นสิ แล้วเขาล่ะ

     เขาเลือกที่จะยั้งคำพูดของตัวเองไว้ได้ เลือกได้ที่จะรักษาความรู้สึกของลูกแต่กลับไม่เคยทำ เขาทำให้ลูกเสียใจมากี่ครั้งจากทั้งคำพูดและการกระทำ แต่กลับไม่เคยพูดมันออกไป

     .

     .

     “พ่อขอโทษนะ”

     ภูหมอกเงยหน้ามองผู้เป็นพ่ออย่างตกใจและงุนงง ทั้งตกใจคำพูดและสงสัยในความนัยนั้น “พ่อด่าพวกแกเพราะพ่อเสียใจ แต่เพราะอย่างนั้นพ่อเองก็ทำให้พวกแกเสียใจเหมือนกัน ...พ่อขอโทษนะ”

     เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาอีกหนเมื่อเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น นภดลกอดลูกชายคนเล็กเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งก่อนจูบหัวลูกคนเล็กเบาๆ อีกข้างก็ประคองภรรยาเอาไว้พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ


     “ถ้าอคติของคุณมันทำร้ายลูก ทำไมถึงไม่ทิ้งมันลงไปบ้างล่ะคะ”


     คำพูดของภรรยาที่เคยกล่าวไว้ทำให้เขาตัดใจทิ้งอคติที่บังตา เช่นเดียวกับที่ใครบางคนบอกไว้ เขาควรใส่ใจกับความสุขของลูกที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าหน้าตาและสังคม หากเขาที่เป็นครอบครัวยังไม่ยอมรับ ลูกของเขาจะเข้มแข็งพอเผชิญหน้ากับสังคมที่โหดร้ายได้อย่างไร

     ----

     “พี่เมฆ” ภูหมอกเคาะประตูเรียกพี่ชายที่ขังตัวเองอยู่ในห้องนอนแต่ไร้เสียงตอบรับกลับมา เด็กหนุ่มหันกลับไปมองพ่อแม่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตอนนี้พวกเขาขึ้นมาหาม่านฟ้าหลังจากที่พ่อเริ่มอารมณ์เย็นลง

     “ไปเอากุญแจมา” เสียงของพ่อพูดขึ้นเบาๆ ให้ภูหมอกพยักหน้าทำตาม

     เสียงไขกุญแจดังขึ้นเรียกสติของม่านฟ้ากลับมาแม้ศีรษะจะยังฟุบอยู่กับเข่าตัวเองก็ตาม หลังร้องไห้อยู่เกือบชั่วโมงความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาจนทำให้เขาเกือบตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆ ออกไป

     เขาเกือบปีนหน้าต่างหนีออกไปหาพิธานแล้ว

     แต่รู้ดีว่าไม่ควร

     ต่อให้คิดถึงมากแค่ไหน แต่เวลานี้เขายังไปหาอีกคนไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างในหนังที่คิดจะหนีตามผู้ชายแล้วก็กลับมาง่ายๆ ในเป็นความจริงเขาไม่อยากจะคิดว่าหากพ่อมารู้ว่าเขาหายไปจากห้องเพราะโดดหน้าต่างหนีไปหาแฟนแล้วจะเป็นยังไง

     เขาคงหมดโอกาสกลับบ้านหลังนี้ไปตลอดชีวิต

     และเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ เขาถึงปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ไม่สนใจแล้วว่าลูกผู้ชายไม่ควรร้องไห้หรืออะไร เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายอยู่แล้ว

     ครั้นได้ยินเสียงเรียกของน้องชาย ใจก็อยากตอบออกไปแต่เสียงของเขากลับแหบจากการร้องไห้อย่างหนัก แถมหัวของเขายังหนักเกินกว่าจะผงกขึ้นมามองยามได้ยินเสียงประตูเปิดออกด้วยซ้ำ

     สัมผัสอุ่นๆ ของฝ่ามือบนหัวทำให้ม่านฟ้าขมวดคิ้ว ฝืนยกหัวหนักๆ ของตนขึ้นเงยหน้ามองเจ้าของฝ่ามือ ผู้เป็นพ่อยืนมองเขาอยู่นิ่งๆ ก่อนนั่งลงบนเตียง นภดลมองหน้าลูกชายคนโตที่ตาบวมแดงจากการร้องไห้กำลังทำหน้างงๆ เบลอๆ ใส่เขา ก็ตบที่ว่างข้างๆ บนที่นอนเรียกคนที่กอดเข่าอยู่กับพื้นให้ขึ้นมานั่งข้างกัน

     แต่ม่านฟ้ากลับทำเพียงหันกลับมาหาพ่อแล้วเปลี่ยนจากชันเข่ามาเป็นพับเพียบอย่างคนหมดแรง ไหล่สองข้างห่อลงยิ่งทำให้ม่านฟ้าดูตัวเล็กลงกว่าเดิม จนเมื่อพ่อเรียกอีกหน ม่านฟ้าจึงซบหน้าลงไปกับเข่าของพ่อแล้วกอดขาเอาไว้ รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกหนจนขอบตาร้อนผ่าวทั้งที่ดวงตานั้นปวดไปหมดแล้ว

     ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นเบาๆ ในลำคอของลูกชายก็ถอนหายใจ ลูบหัวลูกชายคนโตช้าๆ แต่กลับยิ่งทำให้เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกครั้ง

     ม่านฟ้าไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองจึงร้องไห้ออกมาอีก ในหัวคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นรู้เพียงตอนนี้เขาอยากร้องไห้ออกมาให้หมด เขาร้องจนรู้สึกว่าไม่สามารถร้องได้มากกว่านี้แล้ว จึงถูกพ่อดึงตัวขึ้นมานั่งข้างกันได้สำเร็จ

     ชายวัยกลางคนลูบหน้าลูบตาลูกชายคนโตที่หน้าตาแดงก่ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาทั้งของเก่าและของใหม่ที่ยังไหลออกมาไม่หยุด เอ่ยคำถามออกไปอย่างอาดูรชายหนุ่มตรงหน้า

     “กลัวอะไร” ตัวสั่นๆ ของม่านฟ้าทำให้นภดลรู้สึกเช่นนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะกำลังร้องไห้ แต่เขารู้สึกว่าลูกชายเขากำลังกลัว “กลัวพ่อจะด่าแกอีกเหรอ กลัวพ่อจะทิ้งแกใช่ไหม”

     ม่านฟ้าเพียงพยักหน้าแรงๆ เป็นคำตอบ เสียงสะอื้นยังดังต่อมาเรื่อยๆ จนคนเป็นพ่อสะท้อนใจ ดึงลูกชายมากอดไว้แล้วลูบหลังเบาๆ เขารู้ว่าม่านฟ้ากลัวการถูกทิ้งและตัดขาดเป็นที่สุด

     และรู้ดีว่าที่ม่านฟ้าเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา

     ภาพเหตุการณ์ครั้งที่เขาขู่จะเอาม่านฟ้าไปทิ้งและพาไปที่ทิ้งขยะหลังหมู่บ้านฉายชัดขึ้น ยามนั้นเขาโกรธจัดและเพียงอยากให้เจ้าตัวรู้สำนึก เขาขับรถออกมาจนพ้นสายตาของเด็กชาย แต่ก็รีบจอดแอบเอาไว้และคอยเฝ้ามองอยู่เงียบๆ จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เขาถึงเดินกลับไปรับเจ้าตัวอีกครั้ง

     ม่านฟ้าในวันนั้นรีบวิ่งเข้ามาหาเขา หกล้มเสียรอบหนึ่งจนได้แผลแต่ก็ยังลุกขึ้นมาวิ่งสุดฝีเท้าอีกครั้ง

     เพียงเพื่อมารั้งชายเสื้อของเขาไว้

     ระยะทางเพียงไม่กี่กิโลที่ขับรถจนถึงบ้านแต่ม่านฟ้าไม่ยอมปล่อยมือจากเขาสักนิด เด็กชายยังคงสะอึกสะอื้นจนถึงบ้านก่อนจะหลับไป วันนั้นเขาทะเลาะกับภรรยาเสียใหญ่โตกับสิ่งที่เขาทำ แถมวันต่อๆ มาม่านฟ้าก็ยังเป็นไข้ขึ้นสูงจนหวิดจะได้ส่งโรงพยาบาล

     เขาจดจำได้แม่น ภาพของม่านฟ้าที่รั้งชายเสื้อของเขาไว้ในวันนี้ซ้อนทับกับภาพในอดีต เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ม่านฟ้ากลัวในตอนนี้คืออะไร

     แรงกอดรัดของชายหนุ่มตรงหน้าดึงชายวัยกลางคนจากภวังค์ความคิด ม่านฟ้ากอดตอบผู้เป็นพ่อแล้วพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พ่อจะได้กล่าวอะไรอีก

     “ไม่ทิ้งนะ” เสียงแหบแห้งจากลูกชายทำให้นภดลขมวดคิ้ว แม้เสียงนั้นจะอู้อี้เพียงใด แต่เขาก็ได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน “อย่าทิ้งเมฆนะ ให้เมฆได้เป็นลูกพ่อเถอะ อย่าตัดขาดเมฆเลยนะ” คำพูดขยายความของลูกชายทำให้เขาสะอึก ก่อนจะยิ่งตะลึงกับคำพูดถัดมาที่ม่านฟ้าพูดออกมาพร้อมเสียงสะอื้น

     “อย่าเกลียดเมฆไปมากกว่านี้เลยนะ”

     “เกลียดเหรอ? ” เสียงของนภดลแผ่วเบาจนแทบไม่หลุดออกมาจากลำคอ

     “อย่าไล่เมฆไปไหน อย่าเกลียดเมฆไปกว่านี้เลย แค่พ่อไม่รักก็แย่แล้ว อย่าตัดขาดเมฆแบบนี้เลยนะ” เสียงม่านฟ้ากระท่อนกระแท่นเมื่อเจ้าตัวยังร้องไห้ไม่หยุด ในหัวของเขายังมีแต่เสียงคำพูดของพ่อที่ดุด่าวนซ้ำอยู่ในหัว

     "เมฆรู้เมฆไม่เคยเป็นเด็กดี ไม่เคยเป็นคนเก่งของพ่อ เมฆขอโทษๆ "

     ม่านฟ้ารู้ว่าควรยอมรับผลที่ออกมาเมื่อบอกความจริงและใช่ว่ามันผิดจากที่กลัวเสียเมื่อไหร่ แต่เมื่อผลลัพธ์ที่รู้ดีปรากฏขึ้นตรงหน้า เขากลับยังงอแงและดึงดันอยู่เช่นนี้

     “แกคิดว่าพ่อไม่รักแกเหรอ”

     คำถามของพ่อทำให้ม่านฟ้าเหมือนกลายเป็นเด็กชายม่านฟ้าอีกครั้ง ชายหนุ่มถามพ่อกลับไปอย่างตัดพ้อปนเสียใจและร้องไห้ออกมาอย่างหมดมาด “แล้วพ่อรักเมฆรึไงล่ะ”

     “รักสิ! แกเป็นลูกพ่อ ทำไมพ่อจะไม่รัก ต่อให้แกเป็นหมูเป็นหมาที่ไหนแต่พ่อเลี้ยงแกมาขนาดนี้ทำไมพ่อจะไม่รัก เพราะพ่อด่าแกเหรอ หรือเพราะพ่อไม่ค่อยใส่ใจแก แกถึงได้คิดว่าพ่อไม่รัก” นภดลรู้สึกถึงอารมณ์ที่เริ่มพุ่งสูงขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความโกรธแต่อาจเป็นเพราะความตกใจปนน้อยใจที่ทำให้เขาขึ้นเสียงใส่ลูกชายอีกครั้ง

     “แต่เมฆไม่มีดีสักอย่าง ไม่เคยทำอะไรถูกใจพ่อ แล้วเมฆยังเป็นแบบนี้ เป็นในสิ่งที่พ่อเกลียด เป็น…” ม่านฟ้าถึงกับร้องไห้จนตัวโยนอีกครั้งจนคำพูดขาดหายไป เขาสูดลมหายใจอีกครั้งแล้วพูดออกมาเบาๆ ปนเสียงสะอื้น “เป็นลูกเฮงซวยที่ไม่น่าเกิดมา เป็นกรรมของพ่อที่มีลูกอย่างเมฆไง”

     คำพูดที่ได้ยินตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเคยพูดไป ผู้รับฟังยังจดจำและฝังใจจนยากจะถอน ชายวัยกลางคนถึงกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาเสียใจกับคำพูดที่เคยพูดออกไปจนทำร้ายลูกชายตรงหน้าอย่างแสนสาหัส นภดลไม่คิดหาคำแก้ต่างใดๆ เขาทำเพียงดึงลูกชายมากอดแน่นอีกครั้ง พูดในสิ่งที่สมควรพูดมันออกมามากที่สุดในตอนนี้

     “พ่อขอโทษ พ่อขอโทษนะ พ่อไม่ได้ตั้งใจ” นภดลตบหลังม่านฟ้าเบาๆ “พ่อภูมิใจที่มีแกเป็นลูก ทั้งแกทั้งหมอกพวกแกเป็นสิ่งสำคัญที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตพ่อนะ”

     ยิ่งพ่อพูดออกมามากเท่าไหร่ ม่านฟ้ายิ่งไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้ จนคนเป็นพ่อดันตัวลูกชายออกมาแล้วลูบหน้าลูบตาให้อีกครั้ง นภดลมองดูสภาพลูกชายคนโตที่หมดมาดกวนอย่างที่มักเห็น แล้วยิ้มออกมาบางๆ ด้วยดวงตาที่ทอแสงอ่อนลง
     
     “ที่ฉันเข้มงวดกับแก ดุด่าแก เพราะอยากให้แกมีอนาคตที่ดี” เสียงของพ่อขาดหายไปเมื่อเจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าลึก “จนฉันอาจลืมบอกแกไป ว่าจริงๆ ฉันรักแกมากนะ รู้ไหม”

     สิ้นคำม่านฟ้าปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงร้องไห้ไม่ได้มาจากความเสียใจหรือน้อยใจอีกต่อไป มันเต็มไปด้วยความสุขราวกับถูกปลดออกจากโซ่ตรวนที่พันธนาการตัวเขาเอาไว้

    "ไม่เป็นไร แกจะเป็นอะไร...อย่างไรแกก็เป็นลูกของพ่อ"


     นัชชาและภูหมอกมองสองพ่อลูกที่อยู่ภายในห้องแล้วหันมายิ้มให้กันทั้งน้ำตา พวกเขาเดินเข้าไปหาคนที่เขารักทั้งสองคนและกอดพวกเขาเอาไว้ ให้น้ำตาและไออุ่นของครอบครัวช่วยสมานบาดแผลในใจของแต่ละคน

     พ่อคงไม่สามารถยอมรับเรื่องทุกอย่างได้ในทันที ขณะที่ม่านฟ้าเองก็ไม่สามารถลืมคำพูดที่โหดร้ายนั้นได้เช่นกัน พวกเขาทำได้เพียงให้อภัยและปล่อยวาง ให้เวลาได้เยียวยาและบรรเทาความเจ็บปวดเหล่านั้นลง

     ทั้งหมด...ก็เพื่อให้ครอบครัวของพวกเขาได้กลับมามีความสุขกันอีกครั้ง




     Achaya (Writer) : ความรักของพ่อ ความรักของครอบครัว เราว่าคำนี้คือคำที่มีค่าที่สุดแล้วจริงๆ บทสรุปอาจจะไม่ซึ้งเท่าไหร่นักและเราพยายามมากกับบทนี้แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีพอ ฉากอารมณ์มันเขียนยากจริงๆ นะ จะพยายามพัฒนาต่อไปค่ะ

     เอาล่ะ สึนามิได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนหน้าก็เหลือแค่รอรับอาฟเตอร์ช็อก เอ๊ย รอรับลูกเขยอย่างเดียวแล้ว เหลืออีกสองตอนก็จะจบแล้ว (บวกบทส่งท้ายอีกหนึ่ง) ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 25 (31.10.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 31-10-2021 20:00:21
 :hao5: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 26 (07.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 07-11-2021 06:32:33
ภาคความจริง : บทที่ 26

    “เนกไทไปไหน”

     เสียงถามดังขึ้นในบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคย ก่อนคนถูกถามจะดึงเนกไทที่ถูกพับไว้อย่างลวกๆ ในกระเป๋าเสื้อออกมาโชว์

     “แล้วทำไมไม่ใส่ ไปมหาลัยวันแรกแต่งตัวให้มันเรียบร้อยสิ” ผู้เป็นบิดาลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้ามาใกล้

     “เดี๋ยวค่อยไปใส่ที่มอก็ได้” คนเป็นลูกตอบออกมาอย่างอ้อมแอ้มไม่อยากให้รู้ว่าที่ไม่ใส่เพราะเขาผูกไม่เป็นด้วยซ้ำ ชายหนุ่มมองพ่อที่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนดึงเนกไทออกจากมือลูกชายแล้วตวัดคล้องคอเจ้าตัวไว้

     “ผูกไม่เป็นล่ะสิ แกน่ะ” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคน ชายวัยกลางคนก็ส่งเสียงเหอะในลำคอเบาๆ เอื้อมมือไปติดกระดุมคอก่อนจัดปกเสื้อให้เรียบร้อย มือขยับผูกเนกไทด้วยความเร็วช้ากว่าปกติ “ดูไว้ แล้วครั้งหน้าก็หัดผูกเองให้เป็น”

     ชายวัยกลางคนค่อยๆ ผูกเนกไทโดยแสดงถึงวิธีการอย่างค่อยเป็นค่อยไป จบลงที่การดึงให้ปมอยู่พอดีกับคอเสื้อ ผู้เป็นพ่อเสยผมที่ยาวปรกหน้าผากของลูกชายขึ้นไปแล้วบ่นต่ออีกนิดหน่อย ก่อนถอยหลังออกมาเพื่อมองให้ชัด

     เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายหนุ่ม แววตาภาคภูมิใจฉายแวบขึ้นมาชั่วครู่ให้คนเป็นลูกหรี่ตามอง เขาคิดว่าตัวเองอาจเมาขี้ตาเนื่องจากตื่นเช้าเกินไปเพราะเมื่อกะพริบตาอีกที เขาก็เห็นเพียงตาแก่ขี้บ่นที่ส่ายหัวทำหน้าหงุดหงิดใส่เขาอีกครั้ง

     “คะแนนก็สูง ติดมหาลัยก็ดี ดันเลือกอักษรฯ ถ้ารู้จักเลือกคณะสักหน่อยฉันคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มแบบนี้”

     ชายหนุ่มมองผู้เป็นพ่อส่ายหน้าเดินออกไปสตาร์ตรถรอไปส่งเขาในวันนี้ก่อนก้มลงมองเนกไทที่ถูกจัดอย่างเรียบร้อยตรงอก รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยกับการใส่เสื้อติดกระดุมคอ แต่ก็ไม่คิดจะปลดออกจวบจนจบวันเพียงเพราะไม่อยากให้เนกไทที่ใครอีกคนบรรจงผูกให้ต้องเสียรูปไปก็เท่านั้น




     ม่านฟ้าลืมตาขึ้นในยามเช้า ขมวดคิ้วเมื่อความรู้สึกแรกคืออาการปวดหัวและกระบอกตาอย่างแรงตามมาด้วยอาการเจ็บคอที่เป็นหนักไม่น้อยหน้ากัน ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง แปลกใจตัวเองที่ฝันถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่เขาเข้ามหาลัยและใส่ชุดนิสิตครั้งแรก

     คงเพราะคำพูดของพ่อเมื่อวาน ทำให้เขาแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า แววตาของพ่อในวันนั้นอาจไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองก็ได้

     ม่านฟ้ายังคงอยู่ในสภาวะมึนงงหลังตื่นนอน แถมเมื่อคืนก็เกิดเรื่องราวมากมายเต็มไปหมด หากไม่ใช่เพราะร่างกายมันฟ้องว่าเขาร้องไห้ไปมากแค่ไหน เขาอาจจะคิดว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเพียงความฝันก็เป็นได้

     ทุกอย่างมันจบลงไวมากเมื่อเทียบกับเรื่องของภูหมอก น้องชายของเขายังต้องระเห็จไปอยู่บ้านอาทีตั้งหลายเดือน ขณะที่เรื่องของเขากลับจบลงภายในคืนเดียว

     ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ แต่การที่พ่อยอมรับทุกอย่างได้ง่ายดายเช่นนี้…

     มันโชคดีราวกับมีผีตนไหนมาดลใจและเป่าหูพ่อเขาก่อนอย่างนั้นแหละ

     ยังไม่ทันคิดอะไรต่อให้ปวดหัวมากขึ้น ม่านฟ้าก็ได้ยินเสียงน้องชายดังขึ้นเหนือหัว “พี่เมฆ ตื่นๆ แม่เรียกลงไปกินข้าว”

     ชายหนุ่มดันตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอน รู้สึกมึนหัวหนักกว่าเดิมแต่ก็ฝืนพยักหน้าตอบรับคำเรียกของน้องชายไป

     “แล้วรีบตามลงมานะ” สิ้นคำน้องชายของเขาก็วิ่งลงไปข้างล่างอีกหน ทิ้งเขานั่งมึนอยู่ที่เดิมก่อนลากสังขารลงจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ

     บรรยากาศในเช้าวันนี้เป็นไปอย่างเงียบๆ แม้ไม่ได้อึดอัด แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเกร็งโดยเฉพาะจากพ่อและลูกชายคนโต นัชชาเพียงมองนิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ใช่ว่าบรรยากาศที่เกิดขึ้นนี้จะแย่เสมอไป การที่พ่อลูกได้เปิดใจคุยกันแม้จะมีเสียน้ำตากันบ้างแต่ก็ทำให้ตอนนี้บ้านยังเป็นบ้านอยู่เหมือนเดิม

     นัชชามองดวงตาบวมๆ ของลูกชายคนโตอย่างอ่อนใจ ดวงตาคู่สวยของม่านฟ้าแทบจะลืมไม่ขึ้นเพราะเจ้าตัวร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา กำลังจะอ้าปากบอกให้หาผ้าประคบกลับถูกเสียงของสามีดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

     “แล้วไปหาผ้าประคบตาด้วย บวมจนดูไม่ได้”

     ม่านฟ้าพยักหน้ารับคำเบาๆ แต่กลับทำให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในบ้านยิ้มออกมากับบรรยากาศที่เริ่มดีขึ้น เห็นสามีทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างออกมาอีกก็มองอย่างคอยฟัง คิดว่าคงเป็นคำพูดห้วนๆ แต่แฝงความห่วงใยจากคนปากแข็ง แต่เธอกลับคิดผิดจนต้องยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา


     “จริงๆ...แกมีแฟนแล้วใช่ไหม”

     คำพูดขวานผ่าซากถูกทิ้งมากลางวงกินข้าวเปลี่ยนบรรยากาศละมุนยามเช้าในบ้านให้ระอุขึ้น

     ภูหมอกหันหน้าไปมองพี่ชายทีพ่อทีอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำถามประหลาดจากปากพ่อ ก่อนหันไปสบตากับผู้เป็นแม่อย่างงุนงงกับคำถามที่ไร้ที่มาที่ไปนี้

     ไม่ต่างกันกับม่านฟ้าที่นิ่งค้างไปแล้วมองพ่อด้วยแววตาตระหนกก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความสงสัย เขาจำได้ว่าบอกเรื่องที่ตัวเองชอบผู้ชาย แต่ไม่ได้ปริปากเรื่องการมีคนรักออกไปสักนิด

     "มันไม่มีเหตุผลอะไรที่แกจะมาบอกเรื่องนี้กับฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแกมีแฟน แกไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ความลับรั่วออกมาได้อย่างไอ้หมอกเสียหน่อย"

     คำเฉลยสั้นๆ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าอาการปวดหัวที่มีมาแต่เช้ารุนแรงขึ้นกว่าเดิมจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติของตัวเองตั้งแต่เช้าก็จริง แต่เขาอยากจะหน้ามืดเป็นลมขึ้นมาเสียตอนนี้เลย

     “พ่อเป็นโคนันรึไง”

     ไม่มีคำปฏิเสธหรือตอบรับจากม่านฟ้า แต่คำที่เผลอบ่นออกมาก็แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำในการสันนิษฐานของพ่อ บรรยากาศของโต๊ะอาหารดำเนินต่อไปอีกครั้ง แต่ความคิดของสมาชิกร่วมโต๊ะกลับเปลี่ยนไปคนละทิศละทาง จนคนเป็นพ่อเริ่มอิ่ม คนอื่นๆ ก็ทยอยวางช้อนลงแสดงถึงมื้ออาหารที่จบลงเช่นกัน

     แต่การสอบสวนยังไม่จบลง

     นภดลขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรง เท้าศอกสองข้างลงบนโต๊ะ มือสองข้างกุมกันวางมาดราวกับอัยการใหญ่กำลังซักความจำเลยในสายตาของลูกชาย แต่กลับเหมือนพ่อตาที่หวงลูกสาวมากกว่าในสายตาของนัชชาผู้เป็นภรรยา

     “มันเป็นใคร”

     ม่านฟ้าอยากจะเบ้หน้าให้กับชะตากรรมอันแสนรันทดของตัวเอง คอก็เจ็บ หัวก็ปวด ตาก็จะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว นอกจากจะไม่มีใครสังเกตอาการป่วยนี้แล้วยังต้องมาเจอพ่อซักไซ้แบบนี้อีก สายตาของสมาชิกอีกสองคนบนโต๊ะอาหารก็ดูไม่มีวี่แววจะช่วยเหลือกันเลย เพราะต่างเต็มไปด้วยความอยากรู้ไม่ต่างกัน การให้การในศาลครั้งนี้ม่านฟ้าจึงต้องต่อสู้ต่อไปด้วยตัวคนเดียว

     “ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งไง”

     “ตอบดีๆ”

     ไม่ คำสั่งนี้ไม่ได้มาจากพ่อ แต่มาจากผู้เป็นแม่ที่มองมาไม่วางตา ม่านฟ้าสามารถยืนยันความคิดที่ว่าตนเองไม่เหลือผู้ช่วยอีกต่อไปเมื่อน้องชายก็จ้องเขม็งมาพร้อมพยักหน้ารับให้เขารีบตอบออกไป

     แกล้งเป็นลมตอนนี้แม่จะรู้ไหมนะว่าตอแหล

     ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไร เพียงแต่คิดว่าจะค่อยเป็นค่อยไป รอให้พ่อทำใจเรื่องเขาชอบผู้ชายได้ก่อนแล้วค่อยๆ แง้มเรื่องมีแฟน กลัวจะตกอกตกใจมากจนเกินไปก็เท่านั้น แต่ในเมื่อพ่อเขาเก่งขนาดนี้แถมทุกคนก็เต็มใจจะรับฟัง เขาก็ไม่รู้จะปิดไปทำไม

     “เป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ หรือเป็นรุ่นน้องอะไรแบบนี้อ่ะพี่เมฆ”

     คงเพราะเห็นหน้าตายุ่งๆ ของม่านฟ้าที่เหมือนเรียบเรียงคำพูดในหัวไม่ถูก ภูหมอกจึงได้เอ่ยแนะนำไป เข้าใจว่าคงอธิบายยากเพราะต่อให้บอกชื่อออกมาก็ใช่ว่าพ่อแม่ที่ไม่ได้รู้จักเพื่อนหรือใครๆ ในมหาลัยของม่านฟ้าจะรู้จัก เขาจึงคิดว่าการใช้คำอธิบายออกมาเป็นลักษณะทีละอย่างน่าจะดีกว่า

     ม่านฟ้าที่ได้ยินคำถามของน้องชายก็ตอบไปตามความจริง

     “เป็นเพื่อน”

     “อยู่มหาลัยเดียวกันเหรอ”

     “ครับ”

     “คณะเดียวกันด้วยเหรอ”

     “เปล่า”

     “แล้วอยู่คณะอะไร”

     “วิศวะฯ”

     คำถามถูกส่งมาเรื่อยๆ สลับกันจากสมาชิกในบ้าน ม่านฟ้าก็ตอบกลับไปสั้นๆพอได้ใจความ เริ่มรู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาจริงๆ แบบไม่ได้ตอแหล จนได้ยินเสียงแม่พูดขัดขึ้นมา

     “เมฆ ไม่สบายหรือเปล่า”

     นัชชาที่จับสังเกตอาการของลูกชายได้คนแรกทักขึ้น เธอสังเกตเห็นหน้าซีดๆของม่านฟ้าตั้งแต่เช้าแต่ไม่มั่นใจ จนมาเห็นอาการที่เริ่มนั่งโอนไปเอนมากับลมหายใจหนักๆ จึงถามขึ้นอย่างกังวล เรื่องที่จะถามถูกปัดออกไปก่อนเมื่อนึกได้ว่าการร้องไห้อย่างหนักคงไม่ได้ทำให้เพียงตาบวม แต่อาจส่งผลให้เป็นไข้ต่ำๆ และปวดหัวด้วย

     ไวเท่าความคิด พยาบาลวัยกลางคนก็เอื้อมมือมาทาบเข้ากับหน้าผากของลูกชาย สัมผัสถึงอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติก็เดินอ้อมโต๊ะมาหาลูกชายคนโตทันที ศาลไต่สวนบนโต๊ะอาหารจึงถูกเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน นัชชาวิ่งจัดยาให้ลูกชายคนโตแล้วลากตัวขึ้นไปนอนบนห้อง

     ม่านฟ้าทำทุกอย่างตามอย่างว่าง่าย เขารู้สึกหนักหัวจนไม่อยากคิดอะไร แม่สั่งอะไรก็ทำจนมาล้มตัวลงบนที่นอนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่บอกชื่อคนรักไปเสียแต่แรก มาเสียเวลาตอบคำถามทีละข้อทำไม

     อย่างไร...คนรักของเขา

     คนในบ้านก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว



     แม้จำเลยจะป่วยจนไม่สามารถให้การได้ แต่อัยการและคณะลูกขุนทั้งสองกลับยังวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่คุยค้างกันไว้ ทั้งสามย้ายมานั่งที่โซฟา เปิดโทรทัศน์คลอเบาๆ ให้เกิดเสียงแต่กลับไม่มีใครสนใจดูสักเท่าไหร่

     สุดท้ายคนที่เด็กสุดในบ้านก็เสนอชื่อๆ หนึ่งขึ้นมาเป็นแสงสว่างให้กับทุกคน

     “พี่พีทไงแม่ พี่พีท”

     “หืม?”

     นัชชายังตามความคิดลูกชายคนเล็กไม่ทันจึงส่งเสียงออกไปอย่างสงสัย จนภูหมอกขยายความขึ้นมาอีกครั้ง

     “พี่พีทก็เรียนวิศวะ อยู่ปีเดียวกับพี่เมฆด้วย...” เด็กหนุ่มอธิบายให้แม่ฟัง คิดว่าแม่คงจำครูสอนพิเศษของเขาได้

     .

     .
     
     “พี่พีทอาจจะรู้จักแฟนพี่เมฆก็ได้นะ”

     "..." นัชชาถึงกับเงียบไป

     “พีท?”

     คำพูดของภูหมอกเรียกความสนใจจากประมุขของบ้านได้เป็นอย่างดี เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ชายวัยกลางคนนิ่งไปอย่างใช้ความคิด นึกถึงบทสนทนากับใครบางคนที่ผุดขึ้นมาและช่วยเตือนสติเขาในยามเกิดเรื่องเมื่อวานนี้



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 26 (07.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 07-11-2021 06:42:25
ภาคความจริง : บทที่ 26 (ต่อ)


     เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นทำให้นภดลก้าวออกไปมอง วันนี้เขาอยู่บ้านเพียงแค่คนเดียวเพราะลูกชายคนโตกลับไปอยู่หอแล้ว ส่วนลูกชายคนเล็กก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มรูปร่างสูงที่เขาเคยขนานนามเอาไว้ว่าเหมือนนักเลงกำลังชะเง้อคอมองเข้ามาในบ้าน

     ชายวัยกลางคนเปิดประตูบ้านออกไปแล้วพยักหน้าให้อีกคนเดินเข้ามา ขณะที่อาคันตุกะในยามเย็นยกมือไหว้ก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมบอกจุดประสงค์ “ผมให้เมฆมันยืมสายชาร์ตคอมไป แต่มันบอกลืมไว้ที่บ้านน่ะครับ พอดีต้องใช้เลยมาขอคืนหน่อยน่ะครับ”

     นภดลพยักหน้าเข้าใจในจุดประสงค์นั้น พยักพเยิดให้พิธานเดินขึ้นไปเอาของที่ว่าในห้องนอนของลูกชายแต่ก็ยังอดถามถึงคนยืมตัวจริงไม่ได้ “แล้วเมฆล่ะ ไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอ”

     คงเพราะช่วงนี้เขาเห็นม่านฟ้าติดรถคนตัวโตกลับบ้านมาบ่อยๆ ยิ่งช่วงที่ม่านฟ้ากลับบ้านเพื่อตื๊อทำคะแนนให้ภูหมอก เขาก็แทบจะเห็นคนตรงหน้าทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็นให้ม่านฟ้าเสียเกือบทุกครั้ง

     “วันนี้มันบอกไม่กลับน่ะครับ พอดีผมกลับมานอนบ้านวันนี้เลยแวะเข้ามาเอาเลย”

     เจ้าของบ้านอย่างนภดลพยักหน้าตอบรับแล้วปล่อยให้พิธานขึ้นบ้านไปเอาของ ไม่นานเจ้าตัวก็เดินลงมาพร้อมสายชาร์ตในมือ เจ้าตัวเดินมาหาเขาเหมือนจะมาลาแต่กลับทักถึงของที่ว่างอยู่บนโต๊ะนั่งเล่นแทน “คุณพ่อก็ชอบเล่นหมากรุกเหรอครับ”

     คำถามของชายหนุ่มรุ่นลูกทำให้นภดลหันมองตามสายตาของอีกคน กล่องหมากรุกที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ตอนนี้มีฝุ่นจับอยู่ไม่น้อย เขาพยักหน้าพร้อมตอบรับ “อืม แต่ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไหร่แล้ว” ไม่ค่อยมีใครเล่นด้วย

     ท่อนหลังนภดลตอบตัวเองในใจ

     เขาชอบเล่นหมากรุก มันเป็นเกมที่ต้องใช้สมองและกลยุทธ์พอสมควร ตั้งแต่เด็กเขาเองก็สอนให้ทั้งม่านฟ้าและภูหมอกเล่นแต่ก็ดูเหมือนไม่มีลูกคนไหนชอบเล่นนัก ให้เล่นทีก็เหมือนโดนบังคับมาเล่นด้วย พอโตเข้าหน่อยเขาเองก็ไม่อยากไปฝืนใจ

     “ผมเองก็ชอบเล่นครับ แต่ไม่ค่อยมีใครให้เล่นด้วยเท่าไหร่” พิธานพูดแล้วก็เดินเข้าไปดูกล่องหมากรุกนั้นใกล้ๆ “พี่ชายผมก็ไม่ค่อยมีเวลาเล่น ป๊าก็อยู่เมืองนอก ส่วนพวกเพื่อนๆ สมัยนี้ไม่มีใครเล่นอะไรแบบนี้กันแล้ว หันไปเล่นเกมโทรศัพท์กันหมด บางทีผมเลยต้องเล่นในคอมแทน”

     เสียงหัวเราะแฮะของชายหนุ่มตัวโตทำให้นภดลนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนคำพูดจะหลุดออกไปอย่างเผลอตัว “งั้นวันหลังถ้าเธอมีเวลาก็มาเล่นกับฉันก็ได้”

     โดยที่ไม่รู้เลยว่าติดกับของใครบางคนเข้าแล้ว

     “จริงเหรอครับ งั้นวันไหนพ่ออยู่บ้านผมขอแวะมาบ้างนะครับ”




     มันเริ่มต้นจากตรงนั้น แล้วไอ้หนุ่มคนนี้ก็แวะเวียนมาที่บ้านของเขาเรื่อยๆ บางทีเขาควรจะเอะใจสักนิดว่าทำไมมันมักจะมาช่วงที่บ้านเขาไม่ค่อยมีคนอยู่หรือไม่ก็มีแค่เขากับภรรยา เสาร์อาทิตย์เจ้าตัวก็มักจะอ้างว่าไม่อยากรบกวนเวลาครอบครัวของเขา



     เสียงวางหมากลงบนกระดานดังขึ้นแทรกกับเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอไม่ให้บ้านเงียบจนเกินไป พิธานเล่นเก่งไม่น้อยทีเดียวทำเอาตาแก่อย่างเขามีไฟลุกฮึกเหิมกับการเล่นไม่น้อย การเล่นกับคู่ต่อที่เก่งมักจะทำให้เกมสนุกกว่าการเล่นกับคนที่เดินไปเรื่อยๆ แถมผิดกติกาบ้างถูกกติกาบ้างอย่างภูหมอกและม่านฟ้า

     “เราเนี่ย ไปรู้จักกับเมฆมันได้ยังไง” เป็นธรรมดาที่พวกเขามักจะหาบทสนทนามาคุยกันไปเรื่อยขณะเล่นเกม ทั้งเรื่องทั่วไป เรื่องไร้สาระหรือการถามไถ่เช่นนี้ พิธานเงยหน้าขึ้นมาจากกระดานครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มก่อนตอบ “ผมกับเมฆเรียนพิเศษที่เดียวกันน่ะครับแล้วเพราะบ้านอยู่แถวนี้เหมือนกันก็เลยได้นั่งรถกลับด้วยกันบ่อยๆ”

     นภดลพยักหน้ารับคำตอบของอีกคน ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นม้าของอีกฝั่งมาป้วนเปี้ยนแถวๆ ควีนของเขา ชายวัยกลางคนขยับควีนหลบไปอีกทางก่อนจะถามคำถามถัดไป “แล้วที่มาสอนเจ้าหมอกเพราะเมฆมันไปขอสินะ”

     “ครับ หมอกมันไม่อยากไปเรียนพิเศษพวกที่เป็นวิดีโอ แต่ติวเตอร์ส่วนตัวของเพื่อนที่มันรู้จัก มันก็...ไม่อยากไปเรียน” คำพูดสุดท้ายของพิธานแผ่วลงจนนภดลต้องเหลือบไปมอง สายตาสื่อคำถามที่ส่งมาทำให้พิธานต้องอธิบายเพิ่มเติม “หมายถึงมัน...ไม่ค่อยถูกกับครูคนนั้นเท่าไหร่น่ะครับ”

     ยิ่งพูดคำพูดของพิธานยิ่งวกวนอ้อมค้อมจนผู้เป็นพ่อของคนในบทสนทนาขมวดคิ้ว จากที่ไม่ได้สนใจกลายเป็นยิ่งสงสัยจนเผลอส่งสายตากดดันไปให้ ภูหมอกดูไม่ใช่เด็กที่จะมีปัญหากับครูอย่างที่อีกคนว่าเว้นเสียแต่จะมีเหตุผลอื่น

     พิธานกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึกขยับม้าไล่ต้อนอีกฝั่งไปแต่สมองกลับไม่มีสมาธิอยู่กลับกระดานเท่าไหร่

     เพราะเดินตามควีนไปอย่างไม่ทันระวังตัว ม้าตัวเก่งของพิธานจึงถูกบิชอปของอีกฝั่งกินไปตามระเบียบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากันเหลือบมองคู่ต่อสู้ที่ยังส่งสายตามองมาไม่หยุด สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมจำนน
     
     “พ่อก็..รู้เรื่องที่หมอกเป็นแล้วใช่ไหมครับ” คำเกริ่นของพิธานทำให้นภดลเลิกคิ้ว พอจะเดาเรื่องราวได้จากการพูดประโยคแรกของเจ้าตัว “ครูคนนั้นเขาก็รู้ว่าหมอกเป็นยังไงก็เลยชอบแกล้ง ชอบล้อมัน หมอกมันเลยเกลียดเข้าไส้สุดท้ายก็เลยมางอแงกับเมฆให้ช่วยสอน เมฆมันก็เลยมาขอให้ผมช่วยอีกทีน่ะครับ”

     ไม่ต้องอธิบายให้มากความนภดลก็รู้ว่าทำไมม่านฟ้าถึงไม่สอนน้องเอง เพราะครั้งที่เจ้าตัวเรียนมัธยมแค่เรียนจบมาได้โดยเกรดเฉลี่ยถึงสามก็นับว่าเก่งมากแล้ว ก่อนนึกขึ้นได้ว่าสมัยมอปลายก็มีช่วงที่ม่านฟ้าคะแนนดีขึ้นหลังจากโดนเขาด่าเข้าไปยกใหญ่ แอบสงสัยว่าเบื้องหลังความสำเร็จก็อาจเป็นคนคนเดียวกันที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ได้

     “ยังไงก็ขอบใจนะที่มาช่วยสอนเจ้าหมอก” คำพูดของนภดลตรงข้ามกับการกระทำที่เจ้าตัวเดินหน้าไปกินบิชอปของพิธานที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในฝั่งของเขาอย่างไม่ระวังตัวแล้วเงยหน้ามามองคนที่ทำหน้าแหยอีกครั้งอย่างจริงจัง

     “แล้วเธอล่ะ คิดยังไงกับสิ่งที่หมอกมันเป็น”




     ช่วงเวลานั้นเหมือนชายวัยกลางคนเห็นประกายในดวงตาของชายหนุ่มรุ่นลูกชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะหายไป เจ้าตัวบ่นออกมาเหมือนตัวเองเป็นผู้ถูกหลอกให้ประมาทจากกระดานโดยการชวนคุย ทั้งที่พอมาคิดอีกทีแล้วตัวเขานั่นแหละที่ถูกหลอกให้ฟังการเกลี้ยกล่อมของอีกคนโดยใช้ความตายใจจากกระดานหมากรุกตรงหน้า



    “สำหรับผม ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ ที่บ้านผมก็ไม่ได้เข้มงวดเรื่องแบบนี้ อยากจะเป็นยังไงก็แล้วแต่แค่อย่าให้เดือดร้อนตัวเองกับคนอื่นก็พอ” พิธานพูดแล้วก็เม้มปากอย่างใช้ความคิด เหงื่อเริ่มไหลออกมาตามขมับทั้งที่ภายในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ ในกระดานของเขาเสียตำแหน่งสำคัญไปหลายจุดจนทำให้เริ่มขยับตัวยากแต่ความใจร้อนของพิธานก็ทำให้เขาขยับควีนออกมาเพื่อรุกสู้ต่อไป

     “ถึงได้ช่วยเจ้าหมอกมันเต็มที่เลยสินะ” สายตาของนภดลตอนนี้เหมือนเห็นเหยื่ออันโอชะรออยู่ข้างหน้า มองควีนตัวเก่งของอีกฝั่งล้ำหน้าออกมาอย่างไม่ห่วงคิงของตน

     “ครับ ผมเห็นหมอกมันเหมือนน้อง” การขยับม้าของคู่ต่อสู้ทำให้พิธานเริ่มรู้ตัว เขาถอนควีนกลับมายังที่มั่นแล้วถอนหายใจออกมาตามกัน “ที่สำคัญที่ผมทำเหมือนมันเป็นเรื่องของตัวเองก็เพราะว่า…"

     .

     .

     "ผมเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน”

     คำพูดนั่นของคู่ต่อสู้ทำให้มือที่ขยับจะวางเบี้ยลงไปของชายวัยกลางคนชะงัก เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างจริงจัง สายตาของนภดลตอนนี้ฉายความไม่พอใจออกมาชัดเจนพร้อมความสงสัย เขารู้สึกถูกใจเจ้าหนุ่มตรงหน้าไม่น้อยแต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวก็เป็นเพศที่สามไม่ต่างกับภูหมอกเช่นกัน

     “ที่บ้านผมเขาไม่ได้ว่าอะไรแต่ที่บ้านแฟนผมเขารับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังคาราคาซังวุ่นวายกันไปหมด” ยังไม่ทันที่นภดลจะพูดสิ่งใด พิธานก็พูดเสริมออกมาและโดนนภดลพูดสวนกลับมาทันที

     “แล้วมันน่าไหมล่ะ”

     เสียงที่ส่อความไม่พอใจออกมานั่นทำให้พิธานหดคอลง ทำหน้าตาหงอจนนภดลที่มองอยู่ถอนหายใจออกมาและพยายามปรับอารมณ์ “ทำไม ผู้หญิงดีๆ มีเยอะแยะทำไมไม่ไปเลือก ไปเลือกผู้ชายด้วยกันมาเป็นแฟนทำไม แล้วก็มามีปัญหา มันน่าปวดหัวไหมล่ะอย่างนี้ คบกันต่อไปจะแต่งงานก็แต่งไม่ได้ มีลูกก็มีไม่ได้ ไม่มีอะไรดีสักอย่างแล้วจะคบกันไปทำไม”

     ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจแต่เพราะเอ็นดูชายหนุ่มคนนี้ไม่น้อยเขาถึงไม่อยากใส่อารมณ์มาก เขาไม่ได้โวยวายบ้านแตกอย่างคราวที่รู้เรื่องของภูหมอกหรือเข้าใจผิดกับม่านฟ้า อาจเพราะเป็นเรื่องที่ไกลตัวเขาออกมาอีกหน่อย เขาถึงสามารถใช้สติและค่อยๆ มองหาเหตุผลกับอีกคนได้เช่นนี้

     “แค่แต่งงานกับมีลูกไม่ได้มันไม่เห็นจะเป็นปัญหาเลยนะพ่อ ถ้าเกิดผมไปชอบผู้หญิงสักคนหนึ่งแล้วมารู้ทีหลังว่าเขามีลูกไม่ได้ แล้วจะให้ผมเลิกกับเขาเพราะแบบนั้นมันก็ไม่โอเคไหมครับ” พิธานยังพยายามจะสู้ต่อขยับเบี้ยของตัวเองไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว

     “แล้วมันเป็นธรรมชาติไหมล่ะ ธรรมชาติมันก็ควรให้ผู้หญิงเกิดมาคู่กับผู้ชายไหม” จากอารมณ์หงุดหงิดเริ่มเปลี่ยนเป็นรำคาญคนที่ยังฝืนสู้ คว้าเบี้ยไปกินเบี้ยของอีกคนอย่างแรงแถมกระดกตูดปัดจนเบี้ยตัวนั้นล้ม ปล่อยให้เจ้าของมาเก็บออกจากสนามเองด้วย

     “ธรรมชาติคืออะไรล่ะพ่อ ถ้าเรามองว่าควรปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ใช้สิ่งที่พระเจ้าสร้างมาให้ตั้งแต่แรกทำไมเราไม่นอนบ้านต้นไม้ ใช้แก้วน้ำดินเผาแล้วเปลี่ยนจากกินยาแคปซูลไปกินสมุนไพรรักษาโรค”

     พิธานอาศัยทีเผลอรุกเอาเบี้ยตัวน้อยอีกตัวของเขาไปถึงเส้นหลังของอีกฝั่งแล้วเปลี่ยนเป็นควีน ยิ้มกริ่มออกมาเหมือนเด็กๆ แล้วพิงพนักเก้าอี้คว้าแก้วน้ำมาดื่มอย่างสบายใจ

     “แก้วพลาสติกต่อให้เรารู้ว่าจริงๆ มันเป็นภัยต่อโลก ย่อยสลายได้ยากมากแต่เราก็ยังใช้กัน ถึงประโยชน์ใช้สอยมันจะดีแต่โทษก็มีมาก แต่กับคนที่เป็นเพศที่สามเราแค่ให้กำเนิดลูกหลานไม่ได้ แต่ไม่ได้ไปเป็นภาระหรือเดือดร้อนใครเลย ทำไมถึงต้องถูกเหยียดและไม่ได้รับการยอมรับด้วยล่ะครับ เพศที่สามทำอะไรผิดกัน”

     “ดันทุรัง” นภดลขยับม้าไปกินเรือของพิธานพร้อมบ่นออกมาเล็กน้อย

     “ผมก็แค่รักคนคนหนึ่งแต่เขาเป็นผู้ชาย ผมถึงได้ถูกมองว่าเป็นเกย์ หรืออย่างหมอกมันก็แค่เป็นผู้ชายที่รักสวยรักงาม อยากแต่งตัวแต่งหน้าทำให้ตัวเองดูดีแต่คนก็มองสิ่งที่มันเป็นคือตุ๊ด ทำไมล่ะครับ ตอนพระเจ้าสร้างโลกห้ามไม่ให้คนที่เกิดมาพร้อมปิ๊กาจูแต่งตัวเหรอ งั้นทำไมไม่ให้แก้ผ้าไปเลยล่ะ ถ้าคนสมัยก่อนสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาว่าแก้ผ้าเป็นผู้ชาย แต่งตัวเป็นผู้หญิง ถ้าวันหนึ่งผู้ชายที่เกิดมารู้สึกไม่อยากเดินโทงเทงแล้ว เลยอยากใส่เสื้อผ้าสักหน่อยก็เลยถูกมองว่ามีใจเป็นสาว บัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาว่ามันเป็นตุ๊ด แบบนี้มันไม่ใจร้ายเกินไปเหรอครับ” 

     ชายหนุ่มพูดออกมายืดยาวเริ่มหมดหวังกับการเล่นเกมกระดานตรงหน้าเมื่อหมากตัวสำคัญเหลือน้อยลงทุกทีแต่สำหรับศึกการเจรจาตรงหน้ายังไม่จบ “ผมเองก็อยากจะไปพูดแบบนี้กับบ้านแฟนผมเหมือนกันนะ แต่กลัวจะโดนตีหน้าแหกกลับมาก่อน”

     “อย่าว่าแต่บ้านแฟนเธอเลย ถ้ายังพูดมากไปกว่านี้ฉันก็จะตีเธอเหมือนกัน เดิน” นภดลเหลือบมองชายหนุ่มตัวโตที่ทำไหล่ลู่ลงแล้วถอนหายใจ ไม่เข้าใจเด็กสมัยนี้ว่าทำไมถึงได้ดื้อกันนัก ม่านฟ้าก็เป็นอีกคนที่มักจะดื้อดึงแบบนี้ ครั้งเกิดเรื่องของภูหมอกเจ้าตัวก็เข้ามางอแงกับเขาแบบนี้ไม่ต่างกันเลย

     พิธานขยับเรืออีกตัวของตัวเองไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ที่นิ่งเฉยไม่ยอมเดินก็เพราะไม่รู้จะไปทางใดต่อ ตอนนี้ก็ได้แต่ขยับตัวหมากให้ได้ผ่านตาของตัวเองไป เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ววัดดวงคุยต่อไปอย่างหวิดใจกับระเบิดที่อาจลงมาบนหัวเขาได้

     “ทำไมล่ะครับ ถ้ามองกันจริงๆ เราก็รู้ว่ามันไม่ได้ผิดเลยแล้วเรากำลังห่วงอะไร ห่วงว่าสังคมจะมองบ้านเราไม่ดี ห่วงว่าจะไม่มีทายาทสืบสกุลหรือห่วงว่าจะถูกเพื่อนบ้านนินทาเอาลูกไปอวดต่อไม่ได้แล้ว เรื่องพวกนั้นเราต้องให้ความสนใจมากกว่าความสุขของคนที่เรารักตรงหน้าเหรอครับ”




     นภดลยอมรับ ในชั่วขณะหนึ่งที่เขายังคงดึงดัน คำพูดเหล่านั้นของชายหนุ่มรุ่นลูกทำให้เขาหยุดคิด ทำให้เขาพยายามที่จะเข้าใจลูกชายให้มากขึ้นแล้วทบทวนดูอีกครั้งว่าลูกชายของเขาไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างที่เจ้าตัวพูด

     และที่สำคัญเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าวันที่บทสนทนาของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สามหรือความรักของเจ้าตัวทีไร พิธานมักจะเดินเกมอย่างไม่ระมัดระวังและจบลงที่แพ้ให้แก่เขาเสมอ นั่นคงเพราะเจ้าตัวเอาแต่ใช้ความคิดอยู่กับการปั้นคำที่จะพูดกับเขา...หรือไม่ก็

     จิตวิทยาง่ายๆ ของการเจรจา หากเราทำให้อีกฝ่ายตายใจในยามที่กำลังเจรจาว่าเขากำลังเป็นต่อ อีกฝ่ายก็มักจะลดการ์ดลงและรับฝั่งคำพูดของเรามากขึ้น



    “รุก” นภดลทำเหมือนเสียงบ่นของชายหนุ่มตรงหน้าเป็นเพียงธาตุอากาศ เขาประกาศคำเตือนในศึกออกไปและพูดตอบเพียงแผ่วเบา “เธอยังเด็ก เธอไม่เข้าใจหรอก” เหมือนลูกชายคนโตของเขาเจ้าตัวก็ชอบตัดพ้อเขาแบบนี้คราวพูดเรื่องภูหมอก

     เสียงถอนหายใจคราวนี้ดังชัดเจน ไม่รู้เป็นเพราะเกมกระดานตรงหน้าหรือเพราะบทสนทนาที่ไร้วี่แววจะเป็นไปด้วยดี “พ่อทำให้ผมท้อนะ ผมก็คิดว่าจะลองเข้าไปคุยกับที่บ้านแฟนดูดีไหมแต่พ่อทำให้ผมคิดว่ามันคงไม่ได้ผล” พิธานขยับคิงของตนหลบออกมาแล้วถามต่อ “พ่อรังเกียจเพศที่สามมากเหรอครับ”

     “...” ไม่มีเสียงตอบมีเพียงเสียงการวางหมากของชายวัยกลางคนและคำประกาศสุดท้าย “รุกฆาต”




     ถึงท่าทางของพิธานวันนั้นจะดูหงอลงไปไม่สมกับตัวใหญ่ๆ ของเจ้าตัวแต่พิธานก็ขอมาแก้ตัวใหม่ในวันรุ่งขึ้นแถมเอาชนะเขาได้อีกต่างหาก ชายหนุ่มไม่ได้เซ้าซี้อยากได้คำตอบจากเขาแต่คำถามในวันนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของชายวัยกลางคน

     เรื่องของภูหมอกและการเกลี้ยกล่อมของม่านฟ้าตลอดหลายเดือนทำให้เขาคิดว่าตัวเองคงปลงกับเรื่องเหล่านี้แล้วจึงปล่อยให้มันเป็นไป แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกทีจากคำถามนั้น ถึงรู้ว่าความคิดของเขาต่างหากที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว

     ถึงตอนนี้หากจะให้เขาพูดว่า ‘รังเกียจ’ อย่างเต็มปากเหมือนเดิมก็คงไม่ได้แล้ว

     ที่เขาดุด่าม่านฟ้าไปอย่างแรงทันทีที่เจ้าตัวสารภาพ มันเป็นคล้ายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่บอกให้เขาต่อต้านคำพูดนั้น คล้ายกับที่คนตื่นตัวเวลาเจองูแม้ว่างูตัวนั้นจะเป็นงูที่ไม่มีพิษก็ตาม

     นภดลรู้สึกว่าตนเองเสียรู้ให้กับเด็กรุ่นลูกอย่างพิธานเข้าไปเต็มเปา อยากจะโกรธที่กล้ามาตีเนียนเกลี้ยกล่อมเขาไว้ แต่เพราะคำพูดหนึ่งที่เคยคุยกันไว้กลับผุดขึ้นมาจะให้เขาโมโหก็โมโหมันได้ไม่เต็มที่



     “ถ้าตอนนี้ผมกำลังพยายามเพื่อแฟนผม เพื่อให้เขามีความสุข แต่ผมก็กลัวนะว่าสิ่งที่ผมทำจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงรึเปล่า ผมควรทำยังไงดีล่ะพ่อ ผมควรถอยออกมาจนกว่าจะแน่ใจในผลลัพธ์ได้ก่อนหรือว่าเดินหน้าต่อไปกันดี”



     พิธานเคยถามเขาขึ้นมาในวันหนึ่งและนภดลก็จำคำตอบของตัวเองได้ดี



     “หมากทุกตาที่เธอก้าวมันก็หวังผลแน่นอนไม่ได้เหมือนกันแต่เราก็ต้องเดิน สิ่งที่สำคัญคืออย่าลังเล”



     เหอะ เขาโดนมันดักเอาไว้ทุกทางแล้ว แถมยังเป็นคนแนะนำให้มันหลอกเขาต่อไปอีกต่างหาก

     ในเกมนี้คงเป็นเขาเองที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

     ชายวัยกลางคนแค่นยิ้มออกมากับตัวเอง ทั้งที่เขามีชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ทุกชิ้นอยู่ในมือแล้ว แต่กลับไม่ยอมประกอบมันขึ้นมาด้วยเกรงว่าภาพที่ปรากฏขึ้นจะเป็นสิ่งที่เขากลัว

     ภาพของชายหนุ่มตัวโตที่จับมือกับลูกชายของเขาครั้งที่ม่านฟ้าเผชิญหน้าอยู่กับตุ๊กแกตัวใหญ่ในห้องน้ำ

     ภาพของคนที่วิ่งวุ่นจัดการทุกอย่างให้เมื่อม่านฟ้าเข้าโรงพยาบาล

     "ขอโทษด้วยครับ ที่จริงผมน่าจะระวังและพาเมฆมาโรงบาลฯ เร็วกว่านี้"

     ทำไมต้องขอโทษ

     "โทรไปหาแฟนแกมันก็บอกว่าแกเข้าโรงพยาบาล"

     แฟนเหรอ

     ชั่วขณะหนึ่งที่ม่านฟ้าบอกว่าไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เหม็นๆ อีกทั้งออกตัวว่าเจ้าของบุหรี่ที่ยืมมาอย่างพิธานก็เลิกสูบแล้ว ทำให้เขาคิดถึงเจ้าตัวที่บอกว่าเลิกสูบบุหรี่ได้ก็เพราะแฟนไม่ชอบ วันนั้นเขาคล้ายจะคิดอะไรออกแต่ก็กลับปัดมันทิ้งออกไปอย่างรวดเร็ว



     “ครับ พี่พีทไงพ่อ” เสียงตอบรับของภูหมอกดึงนภดลออกจากภวังค์ความคิดกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังตามหาตัวคนรักของลูกชายคนโต เด็กหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังว่าจะช่วยไขข้อข้องใจให้กับทุกคนได้ “เดี๋ยวหมอกลองโทรถามดูดีกว่า”

     ไม่ทันที่ภูหมอกจะกดโทรออก คำสั่งของผู้เป็นพ่อก็ทำให้เขาแปลกใจยิ่งขึ้น

     “ไม่ต้องโทรถามแล้ว เรียกมันมาคุยที่นี่เลย”




     TBC


     Achaya (Writer) : ปมสุดท้ายคลายหมดแล้ว เหลือให้ตื่นเต้นตอนหน้ากันอีกนิดก่อนส่งท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ


หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 26 (07.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-11-2021 11:33:37
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 26 (07.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-11-2021 12:28:15
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 26 (07.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-11-2021 19:26:57
 :z2: :z13:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 26 (07.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-11-2021 00:20:31
อะเรียกคุย 555
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 26 (07.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-11-2021 21:54:26
 :z6: :a5:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 27 (15.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 15-11-2021 21:34:12
ภาคความจริง : บทที่ 27

     ณัฐดนัยหันกลับไปมองพิธานที่วิ่งสวนออกไปจากบ้าน ท่าทีของเจ้าตัวเหมือนคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลาถึงกับมองข้ามหัวเขาไปแบบไม่มีทักทั้งที่ปกติแล้วต้องมีจิกมีกัดเขาพอเป็นพิธีบ้างแล้ว ชายหนุ่มร่างโปร่งหันกลับไปยกมือไหว้พิรัลที่เดินตามออกมาก่อนจะถาม “พีทมันรีบไปไหนเหรอเฮีย”

     “ไปบ้านเมฆน่ะ เหมือนจะมีเรื่อง”

     พิรัลถอนหายใจออกมาเบาๆ มองตามน้องชายที่วิ่งออกไปทันทีเมื่อได้รับโทรศัพท์จากภูหมอก เขาไม่ได้ยินบทสนทนาก็จริงแต่ท่าทางที่เครียดขึ้นของเจ้าตัวทำให้เขาพอจะเดาได้ ชายหนุ่มในวัยเกือบสามสิบหันมาพยักหน้าให้ณัฐดนัยเดินเข้ามาในบ้าน สมองคิดให้กำลังใจน้องชายอยู่เงียบๆ

     ขอให้ผ่านพ้นไปด้วยดีเถอะ


 

     พิธานกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าบ้านหลังคุ้นเคย เขาสังหรณ์ใจแปลกๆ ตั้งแต่ส่งข้อความไปแต่ไม่มีการตอบกลับจนเช้าวันนี้ พยายามคิดในแง่ดีว่าม่านฟ้าคงไม่เห็นข้อความของเขาหรือไม่ก็ลืมตอบ แต่ดันได้รับโทรศัพท์จากลูกศิษย์คนเก่งเข้าเสียก่อน

     ภูหมอกไม่ได้บอกอะไรกับเขามากนอกจากว่ามีเรื่องอยากคุยให้มาหาที่บ้านหน่อย แม้จะขัดใจกับน้ำเสียงที่ดูอ้ำอึ้งมากกว่าปกติแต่คิดไปก็ไม่ช่วยอะไร เขาจึงรีบออกจากบ้านมาเพื่อไขข้อสงสัยทั้งหมด

     หนุ่มวิศวะยกมือไหว้ผู้ใหญ่สองคนที่นั่งอยู่บนโซฟากลางบ้าน สอดส่ายสายตาหาสมาชิกในบ้านอีกคนแต่ก็ไม่พบจึงวนกลับมาสบตากับลูกศิษย์ตนเอง สายตาที่สื่อถึงคำถามถูกส่งไปให้ภูหมอกจนเด็กหนุ่มได้แต่ละล่ำละลักถามออกไปตรงๆ

     “เออ คือ.. พี่พีทพอจะรู้ไหมอ่ะว่า.. พี่เมฆเขามีแฟนแล้ว”

     แค่คำถามแรกก็ทำเอาพิธานนิ่งงันไป เขาเหลือบไปมองผู้ใหญ่อีกสองคนที่นั่งอยู่ ก่อนจะรีบเก็บอาการสะดุ้งของตัวเองเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของชายวัยกลางคน พิธานกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วหันกลับมามองภูหมอกอีกครั้ง เขาไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่รู้ว่าควรตอบเด็กหนุ่มไปอย่างไร

     เมื่อนั้นเด็กหนุ่มจึงชิงพูดออกมาอีกประโยค

     “แถม... เป็นผู้ชายด้วยอ่ะ”

     พิธานเกร็งตัวขึ้นมาทันที เหงื่อเย็นไหลลงมาตามขมับ เขาไม่รู้ว่าม่านฟ้าบอกอะไรกับครอบครัวไปบ้างจึงยังไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแต่จากลางสังหรณ์และคำถามของภูหมอกทำให้เขามั่นใจว่าคงเกิดเรื่องขึ้นแล้ว

     อีกทั้งยังพุ่งเป้ามาถามเขาแบบนี้ แสดงว่า..
 

     “เมฆมันบอกหมดทุกอย่างแล้ว”

     เสียงประมุขของบ้านดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ นัชชาและภูหมอกหันกลับไปมองชายวัยกลางคนอย่างงุนงงในคำกล่าวแต่ก็รีบเก็บอาการไว้เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวจากชายหนุ่มอีกคน

     พิธานขมวดคิ้วเครียดเมื่อสิ้นคำกล่าว ใจพะวงถึงอีกคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ขึ้นมาทันที ถึงกระนั้นก็จำเป็นต้องแก้ไขเรื่องตรงหน้าให้เรียบร้อย

     ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปคุกเข่าลงต่อหน้าชายหญิงเจ้าของบ้าน ดวงตาที่มักฉายแววขี้เล่นสะท้อนออกมาถึงความจริงใจและเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับเสียงที่เอ่ยออกมา

     “ครับพ่อ ผมนี่แหละ แฟนเมฆ”

     ----

     ม่านฟ้าปล่อยสายตามองเหม่อไปยังเพดานห้องก่อนเหลือบมองโทรศัพท์ที่กำลังชาร์จแบตอยู่ข้างหัวนอน หัวเขาหนักและอยากนอนเต็มทีเสียแต่พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ยังนอนไม่หลับ เขาพลิกตัวมองโทรศัพท์ที่แสดงแบตเตอรี่เพียง 2% แล้วถอนหายใจหลับตาลงเพื่อพักสายตาอีกครั้งหวังว่าครั้งนี้จะหลับลงได้

     เสียงเดินขึ้นบันไดและประตูห้องที่แง้มเปิดออกทำให้ม่านฟ้าลืมตาขึ้นมอง เห็นน้องชายแอบแง้มประตูเข้ามาเหมือนกลัวจะรบกวนการนอนของเขา ม่านฟ้าจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นทีแล้วคงหลับไม่ลงจริงๆ

     “ไม่นอนล่ะ” ภูหมอกส่งคำถามมาที่เขาแล้วขยับตัวไปนั่งที่เตียงของตัวเอง ม่านฟ้าส่ายหน้าให้เล็กน้อยเป็นคำตอบก่อนมองหน้าน้องชายอย่างจริงจัง เด็กหนุ่มที่ถูกมองก็เหมือนรู้ตัว เขามองสบตาพี่ชายกลับไปอย่างตั้งคำถามแต่คำถามที่ถูกส่งกลับมากลับทำให้เขางุนงง

     “โกรธกูไหม?”

     “หืม?”

     “ที่กูไม่เคยบอกเรื่องนี้กับมึง” ไม่ต้องรอให้น้องชายถามม่านฟ้าก็อธิบายเพิ่มขึ้นมาเสียก่อน

     “...” ภูหมอกนิ่งไปกับคำถามนั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ หากว่ากันตามจริงตอนนี้ภูหมอกยังคงมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากกว่า

     “ที่ผ่านมา...กูทำเหมือนดีที่ช่วยมึงคุยกับพ่อ แต่จริงๆ ส่วนหนึ่งกูก็ทำเพื่อตัวกูเองด้วย” ม่านฟ้าถอนหายใจออกมา หลบสายตาที่สบกับน้องชายลงมามองมือของตัวเอง “แม่งเหมือนกูเอามึงมาเป็นหนูทดลองว่าพ่อจะรับได้ไม่ได้แค่ไหน แล้วพอทุกอย่างมันออกมาว่าพ่อเริ่มยอมเปิดใจ กูถึงเพิ่งมาสารภาพว่าจริงๆ กูก็เป็นไม่ต่างจากมึงเลย”

     ภูหมอกขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มองไหล่สองข้างของพี่ชายที่ลู่ลง ดวงตาสองข้างที่บวมช้ำยิ่งทำม่านฟ้าดูอ่อนแอลงไปกว่าเดิมเป็นเท่าตัว บทสนทนาที่เคยคุยไว้กับอดีตครูสอนพิเศษในวันวานดังย้อนขึ้นมา

     “จริงๆ อย่างพี่พีทก็ดีนะ ไม่กลัวอะไรเลย”

     ภูหมอกเคยพูดคำนี้ไว้กับอดีตครูสอนพิเศษอย่างพิธาน ในคราวนั้นเขาเห็นพิธานมองเหม่อไปทางม่านฟ้าด้วยสายตาที่สื่อความหมายบางอย่าง ครั้งเมื่อการสอนพิเศษในวันนั้นจบลงเขาถึงได้มีโอกาสคุยกับพิธานอีกครั้ง

 

    “หมอกต้องทำยังไง ถึงจะเข้มแข็งขึ้นได้บ้างอย่างพี่พีทหรือพี่เมฆล่ะ”

     เด็กหนุ่มถามออกไปพร้อมเหม่อมองไปทางพี่ชายที่ตอนนี้ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ พิธานที่ลุกขึ้นจากโต๊ะญี่ปุ่นมาบิดขี้เกียจ หันกลับไปมองตามสายตาภูหมอกแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบเด็กหนุ่ม “คนเรามันไม่ได้เข้มแข็งมาตั้งแต่เกิดหรืออยู่ๆ จะเข้มแข็งก็เข้มแข็งขึ้นมาหรอก”

     “พี่จะเข้มแข็งขึ้นก็ต่อเมื่อมีน้อง พ่อแม่จะเข้มแข็งขึ้นก็ต่อเมื่อมีลูก กูเองก็เป็นน้องคนเล็กของบ้านได้รับการปกป้องดูแลมาตลอด แต่กูว่ากูเริ่มเข้มแข็งก็ตอนที่กูมีแฟน” พิธานพูดแล้วเดินไปชะโงกหน้ามองม่านฟ้า แก้มของเจ้าตัวยู่เพราะแรงกดของหนังสือที่ทับอยู่จนเขาเผลอยิ้มออกมา “แฟนกูไม่ใช่คนอ่อนแอแต่มันก็ไม่ได้เข้มแข็ง เพราะฉะนั้นกูถึงคิดว่ากูเองก็ต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อดูแลเขาให้ได้”

     ภูหมอกเห็นพิธานยิ้มออกมาเมื่อพูดถึงแฟนแล้วก็ยิ้มตาม เอ่ยแซวออกมาอย่างทีเล่นทีจริง “แหม แค่พูดถึงแฟนนี่ต้องยิ้มนะ แต่ก็ดีจัง ถ้าวันหนึ่งหมอกมีคนที่ต้องปกป้องหรืออยากดูแลบ้างก็คงดี หมอกจะได้เข้มแข็งขึ้นบ้าง”



      ตอนนั้นเขาคิดว่าเพราะตัวเองเป็นน้องคนเล็กแถมยังไม่เคยคิดเรื่องจะมีแฟน ดังนั้นคงอีกนานกว่าเขาจะมีโอกาสเจอคนที่ผลักดันให้เขาเข้มแข็งขึ้น แต่พิธานกลับยิ้มขำแล้วปฏิเสธความคิดนั้นของเขาทันที
 


    “ไม่เห็นต้องรอสักวันหนึ่ง ถ้ามึงอยากจะเข้มแข็งขึ้น” พิธานพูดแล้วลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ “พี่มึงก็ตัวแค่นี้ ถ้าวันไหนที่มันกำลังอ่อนแอแล้วมันมีบางเรื่องหรือบางเวลาที่กูไม่สามารถดูแลมันได้ เวลานั้นกูขอให้มึงเข้มแข็งขึ้นแล้วดูแลพี่มึงแทนกูก่อนก็พอ”
 


     เด็กหนุ่มขยับตัวไปนั่งที่เตียงข้างกันกับพี่ชาย มองสบเข้าไปในดวงตาโศกของผู้เป็นพี่แล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “แล้วยังไงล่ะ”

     “พี่เป็นคนบังคับให้หมอกเป็นแบบนี้หรือไง พี่ตั้งใจให้ความลับของหมอกถูกพ่อจับได้เหรอ ทุกอย่างมันเป็นเพราะตัวของหมอกเอง แล้วการที่พ่อเปิดใจก็เพราะพี่เข้ามาช่วยคุยกับพ่อให้ ต่อให้จะแถมความในใจของพี่ไปด้วยแต่ความจริงที่ว่าเรื่องของหมอกมันจบลงได้เพราะพี่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”

     ภูหมอกขยับไปจับมือของพี่ชายเอาไว้แล้วบีบกระชับให้แน่น เขารู้ดีว่ายามนี้บาดแผลจากคำพูดของพ่อยังคงส่งผลต่อม่านฟ้า ม่านฟ้าเหมือนคนที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง โทษตัวเองและมองทุกอย่างในแง่ร้าย หากมีสิ่งใดที่เขาพอจะทำให้พี่ชายได้ก็เพียงแค่พูดความจริงออกไป

     ความจริงของคุณค่าในตัวม่านฟ้าที่เขาเห็นมาตลอด

     “ถ้าไม่มีพี่ตอนนี้หมอกอาจจะนอนอยู่ข้างถนนเพราะพ่อไล่ออกจากบ้านแล้วก็ได้ อาจจะต้องยอมให้คนอื่นเขารังแกเพราะสู้ใครเขาไม่เป็น” เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกภาพหลายภาพอย่างฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ “หรือตอนเด็กๆ.. หมอกอาจจะหลงทางตอนกลับบ้าน อาจจะหกล้มหัวฟาดพื้นหรืออาจจะเดินตกถนนแล้วรถชนตายไปแล้วก็ได้...ถ้าไม่มีพี่คอยจูงมือหมอกอยู่ตลอดน่ะ”

     ภูหมอกพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้บอกกับตัวเองว่ายามนี้เขาต้องเข้มแข็ง นึกถึงภาพของพี่ชายที่พาเขากลับบ้านครั้งยังเด็ก พี่ชายที่ไม่ว่าเขาจะมีปัญหาอะไรก็แก้ไขให้เขาได้เสมอ สองมือของเด็กหนุ่มบีบมือของม่านฟ้าแน่นขึ้นอีก

     “แล้วพี่จะเป็นคนที่ไม่มีค่าได้ยังไง”

     ม่านฟ้ากระชับมือของน้องชายกลับไป แปลกใจตนเองที่รู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อคลออีกครั้ง เขาคิดว่าตนเองร้องไห้ไปจนหมดแล้วแต่กลับยังสามารถร้องได้อีก ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแหงนหน้ามองเพดานไม่ให้น้ำตาร่วงหล่นลงมา “แต่กูก็เป็นพี่ที่คอยแต่จะอิจฉามึงตลอด”

     “แล้วยังไงล่ะ” ภูหมอกถามคำถามเดิมขึ้นมาอีกครั้ง “นั่นมันก็แค่พี่คิดไปเอง พี่คิดว่าพี่อิจฉาหมอกแต่พี่เคยทำอะไรให้หมอกเดือดร้อนไหมล่ะ มีแต่จะช่วยทั้งนั้น” เด็กหนุ่มแว้ดใส่เข้าให้เมื่อเห็นพี่ชายยังคงโทษตัวเองซ้ำๆ

     “เลิกคิดมากได้แล้ว พี่ไม่ใช่เด็กดีที่จะเชื่อฟังคำพ่อขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ ต่อให้พ่อเขาจะว่าพี่ยังไงพี่ก็ลืมๆ ไปบ้างเถอะ อายุอย่างพ่อน่ะเข้าวัยทองแล้ว อารมณ์ก็ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนง่ายเป็นธรรมดา”

     น้ำตาของม่านฟ้าสลายกลายเป็นไอทันทีเมื่อน้องชายเปลี่ยนโหมดกะทันหัน เขาเห็นน้องชายเริ่มเบะปากอย่างไม่พอใจที่พูดอย่างไรพี่ชายก็ยังไม่เลิกเศร้าเสียที “อาการของคนเข้าวัยทองน่ะมีทั้งอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ขี้บ่น ลงพุง หย่อนสมรรถภาพ ยกเว้นอาการสุดท้ายที่ต้องไปถามแม่ อาการอื่นๆ น่ะก็คืออาการวัยทองของพ่อชัดๆ”

     ว่าที่นิสิตแพทย์เริ่มทำการวิเคราะห์อาการของคนไข้แล้วหันกลับมาปลอบใจพี่ชายต่อ “พี่ไม่ต้องคิดมาหรอกน่า ยิ่งพ่อเป็นคนขี้โมโหอยู่แล้วตั้งแต่ยังหนุ่มพอเริ่มแก่ตัวอาการก็อาจจะยิ่งหนักก็ได้”

     "..."

     "นะ เชื่อหมอกเถอะ"

     สุดท้ายก็กลายเป็นม่านฟ้าที่หลุดยิ้มขำออกมาเหนื่อยใจกับวิธีการปลอบแปลกๆ ของน้องชายแต่ก็สมกับเป็นภูหมอกที่สุด “อะไรของมึงเนี่ย มาเป็นชุด ถ้าพ่อมาได้ยินนี่จากไม่โกรธเปลี่ยนเป็นโกรธเลยนะ”

     ภูหมอกเหม่อมองรอยยิ้มของพี่ชาย สายตาเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่เห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า เด็กหนุ่มขยับยิ้มตามพี่ชายออกมาแล้วดึงอีกคนเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง “ยิ้มแล้ว พี่เมฆยิ้มแล้ว”

     เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนในอ้อมกอด ภูหมอกยิ้มภูมิใจกับตนเองที่สามารถเป็นที่พึ่งให้พี่ชายได้แม้จะยังไม่มากนักแต่ก้าวแรกของการเปลี่ยนจาก ‘ผู้ถูกปกป้อง’ เป็น ‘ผู้ปกป้อง’ มันก็น่าจดจำไม่น้อย

     เด็กหนุ่มนึกถึงคำพูดของพิธานในคราวนั้นแล้วก็อดขำตัวเองออกมาไม่ได้ ทั้งที่พิธานพูดทุกอย่างชัดเจนขนาดนั้นแต่เขากลับยังไม่รู้ว่าแฟนของพิธานแท้จริงแล้วก็คือคนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาตรงนี้

     “ไม่รู้ตอนนี้พี่พีทเป็นไงบ้าง”

     คำพูดสั้นๆ ของน้องชายเมื่อปล่อยตัวม่านฟ้าเป็นอิสระทำให้คนเป็นพี่ขมวดคิ้ว ภูหมอกเล่าถึงการถูกเรียกตัวของใครบางคนมาอย่างกะทันหันให้พี่ชายฟัง ตาบวมๆ ของม่านฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ เข้าใจถ่องแท้ถึงคำว่า ‘ใจหายวาบ’ ก็ตอนนี้แล้วรีบผุดลุกจากเตียงไปยังประตูห้อง

     ไม่ทันที่ม่านฟ้าจะผลักประตูออกบานประตูกลับถูกดึงแล้วแทนที่ด้วยร่างของใครบางคนจนม่านฟ้ากระแทกเข้าอย่างจัง

     “จะไปไหน”

     ----

     บรรยากาศของบ้านบริเวณชั้นล่างวันนี้เต็มไปด้วยความกดดัน วงสนทนาตอนนี้เหลือเพียงชายหญิงเจ้าของบ้านและผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งว่าที่ลูกเขยอย่างพิธานเท่านั้นหลังภูหมอกถูกไล่ขึ้นห้องไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ชาย

     พิธานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของนัชชา อย่างน้อยในครั้งนี้ม่านฟ้าก็ไม่ได้เตลิดออกจากบ้านไปไหนอีกเพียงแค่ยังอยู่บนห้องนอนเท่านั้น

     ยังไม่ทันโล่งใจเรื่องม่านฟ้าได้เต็มที่พิธานก็ต้องกลับมาหนักใจกับสถานการณ์ปัจจุบันต่อ ชายหนุ่มถูกนัชชาดึงขึ้นมานั่งที่โซฟาเดี่ยวถัดไป แรงกดดันจากมารดาคนรักไม่มากเท่าของกับอีกคน เขารู้สึกถึงแรงจ้องจากนภดลเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สุดท้ายพิธานก็เป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้นเอง

     “ผมขอโทษจริงๆ ครับพ่อ” พิธานพนมมือไหว้อีกครั้งรู้ดีว่าเรื่องอะไรที่ทำให้นภดลโกรธ หลายครั้งที่เขาแอบเข้ามาคุยกับพ่อ เขาหวังแค่ว่าจะตีสนิทพ่อให้ได้อีกหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะบอกพ่อว่ามีคนรักเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ แต่ก็ดันเผลอหลุดปากออกไป

     นภดลถอนหายใจออกมา โกรธก็ส่วนโกรธแต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ชายหนุ่มคนนี้ก็เพียงพยายามในแบบที่ตนเองพอจะทำได้เท่านั้น ส่วนหนึ่งเขานึกปลอบใจตนเองว่ายังดีที่เจ้าตัวก็มีความพยายาม หากปล่อยให้ลูกชายเขาสู้อยู่คนเดียวโดยที่ตนเองเพียงรอการเปิดเผยและยอมรับอยู่เงียบๆ เขาอาจมีอคติกับเจ้าตัวมากกว่านี้

     “ฉันจะเชื่ออะไรในสิ่งที่เธอพูดได้บ้าง” แต่บอกแล้วว่าโกรธก็ส่วนโกรธ ถึงแม้ว่าพอได้ยินคำขอโทษกับท่าทางที่ดูสำนึกผิดจริงๆ เขาเองจะให้อภัยไปแล้วบางส่วนก็เถอะ

     “ที่ผมเคยพูดไปทั้งหมดมันคือความจริงครับพ่อ ผมไม่เคยโกหกพ่อสักครั้ง” พิธานรีบตอบออกมาอย่างร้อนรน เขาหวังจะตีสนิทกับพ่อก็จริงแต่เขาก็แค่เอาความจริงใจเข้าสู้ ถึงจะพยายามเรียบเรียงคำพูดออกมาให้สวยหรูแต่สาบานได้ว่าที่เขาพูดไปทั้งหมดไม่มีคำโกหกเลย

     “ไม่โกหก แค่พูดไม่หมดใช่ไหม” คนเป็นพ่อส่วนกลับมาจนพิธานเม้มปากหลุบตาลงต่ำ ยอมรับออกมาอย่างไม่คิดหาข้อแก้ตัว “ครับ ขอโทษครับ”

     เสียงหัวเราะขึ้นจมูกอย่างประชดประชันดังขึ้นและตามมาด้วยคำถามที่เสียดสี “เธออยากจะไปชอบผู้ชายที่ไหนก็เรื่องของเธอ ทำไมต้องเป็นลูกฉัน”

     คำถามที่คล้ายคลึงกับความฝันเพียงแต่ลดความรุนแรงลงทำให้พิธานเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ความฝันของเขายังชัดเจนอยู่ในความทรงจำทำให้ทุกคำที่พูดออกไปต้องใช้พลังงานมากกว่าเดิมเท่าตัว “ต่อให้ผมไม่มาชอบเมฆก็ไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายแล้วเมฆจะกลับไปคบผู้หญิงหรือจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้น เพียงแค่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจได้ถ้าเมฆคบกับผม คือผมจะพยายามทำให้เมฆมีความสุขให้ได้”

     “ผมจะพยายามปรับตัวให้ดีขึ้น หรือ…ถ้าคุณพ่ออยากให้ผมทำอะไร คุณพ่อก็บอกผมเถอะครับ...ถ้าผมทำได้ ผมก็จะทำ”

     นภดลเหลือบมองชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้า ทุกคำพูดของเจ้าตัวไม่ได้ให้ 'คำมั่น' หรือ 'คำสัญญา' ที่ดูจอมปลอม พิธานเพียงกล่าวว่าจะ ‘พยายาม’ ทำให้เมฆมีความสุขและทิ้งท้ายไว้ว่า ‘ถ้าทำได้ก็จะทำ’

     ถึงจะดูไม่หนักแน่นอย่างที่ควร แต่กลับไม่เปิดช่องโหว่ให้เขาได้สวนกลับอย่างที่หวัง

     คราแรกที่นภดลคิด คือหากพิธานรับปากว่าจะทำให้ม่านฟ้ามีความสุขหรือสัญญาสวยหรูอย่างไม่ทำให้เสียใจ เขาคงตอกหน้ากลับไปว่าเจ้าตัวเป็นเพียงคนขี้โม้ที่มีดีแต่ปาก หรือหากเจ้าตัวเผลอรับปากว่าจะทำทุกอย่างในสิ่งที่เขาขอ สิ่งแรกที่นภดลจะขอคือการท้าให้เจ้าตัวเลิกกับลูกชายเขาเสีย

     แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับระวังในทุกคำพูดของตัวเอง

     “ไม่กลัวว่าฉันจะบอกให้เลิกกันเหรอ” นภดลลองถามดูตามที่คิดแต่สิ่งที่อีกคนตอบกลับมาทำให้ชายวัยกลางคนแค่นหัวเราะ

     “ผมบอกว่าถ้าผมทำให้ได้ครับ”

     คำพูดนั้นหมายความว่าทำให้ไม่ได้สินะ นภดลหัวเราะขึ้นมาเบาๆ อีกครั้งจะว่าเจ็บใจชายหนุ่มตรงหน้าก็ใช่แต่จะว่าถูกใจมันมากขึ้นก็ไม่เชิง

     เขาชอบความหัวไวและไม่ยอมแพ้ของชายหนุ่มตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเสี้ยวหนึ่งของความคิดกลับระแวงในความหัวหมอนี้ กลัวว่าถ้าวันหนึ่งเจ้าตัวใช้มันเพื่อหลอกม่านฟ้า ลูกของเขาคงไม่พ้นต้องเสียใจ

     "แต่กับเมฆก็ไม่แน่…"

     คำพูดต่อมาของพิธานเรียกความคิดของชายวัยกลางคนกลับสู่บทสนทนาอีกครั้ง

     “เห็นมันชอบเถียงพ่อหรือทำตัวดื้อแค่ไหน แต่จริงๆ มันรักพ่อมากนะครับ ถ้าพ่อยืนยันจะให้เลิก...สุดท้ายเมฆก็จะเลิกกับผมตามที่พ่อพูด เพราะมันห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวมากที่สุด”

     ในเวลาที่เป็นต่อเช่นนี้พิธานกลับเผยไต๋ออกมาตรงๆ เขาวางเดิมพันกับความจริงใจครั้งนี้ที่มีให้กับบิดาของคนรัก ถึงกระนั้นเสียงที่พูดออกไปก็ยังปิดความน้อยใจเอาไว้ไม่มิด

     นภดลถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เปลี่ยนจากระแวงกลายเป็นเหนื่อยใจกับคนตรงหน้า เขาคิดว่ามันฉลาดไปเสียหมดแต่กับบางเรื่องที่เห็นชัดอยู่แล้วกลับยังไม่รู้ตัว

     “แล้วที่มันยอมมาคุยกับฉันทั้งน้ำตาเนี่ย ไม่ใช่เพราะมันก็ห่วงความรู้สึกเธอเหรอ มันห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวก็จริง แต่เพราะเธอเองก็กลายเป็นคนในครอบครัวของมันแล้วไง มันถึงได้ห่วงเธอน่ะ”

     พิธานเผลอทำหน้าเหลอหลาออกมาอย่างหลุดมาด หันไปมองคู่สนทนาที่หันไปทางอื่นอย่างไม่ต้องการสบตาเขา ท่าทางคล้ายจนหงุดหงิดปนไปกับความอ่อนใจนั้นทำให้พิธานยิ้มออก สายตาและรอยยิ้มเด็กๆ ของพิธานทำให้ชายวัยกลางคนที่เหลือบกลับมามองถอนหายใจหน่ายอีกครั้ง

     “ดูแลเมฆมันให้ดีล่ะ”

     คำพูดสั้นๆ แต่พิธานกลับเผยยิ้มกว้างออกมา ฟันเขี้ยวที่โผล่ออกมาพร้อมดวงตาที่หยีลงเปลี่ยนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในสายตาเขาเป็นเพียงเด็กชายที่ยิ้มดีใจยามได้ของขวัญล้ำค่า

     จะว่าเจ้าเล่ห์ก็ใช่แต่บางครั้งก็ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ แล้วเขาจะเชื่อใจฝากลูกชายไว้ได้มากแค่ไหนกันเนี่ย

     “ขอบคุณครับพ่อ ขอบคุณครับ ขอบคุณแม่ด้วยนะครับ” พิธานพนมมือไหว้ขอบคุณพ่อแม่คนรักคล้ายยกภูเขาสิบใบออกจากอก รู้สึกแสบจมูกและร้อนที่ดวงตาแต่ก็พยายามจะฮึบเอาไว้ ไม่อยากให้เสียภาพพจน์ของตัวเองตอนนี้

     นภดลหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้งและพูดในสิ่งสุดท้ายที่คิดไว้

     “ระวังในทุกคำพูดของเธอ ให้เหมือนกับที่ระวังเวลาพูดกับฉัน อย่าให้อารมณ์หรือคำพูดของเธอมันทำร้ายเมฆหรือใครจนต้องเสียใจ”

     อย่างที่เขาเคยทำ

     พิธานหันมาสบตากับชายวัยกลางคนอีกครั้ง แววสงสัยปรากฏขึ้นชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประกายที่แสดงความเด็ดเดี่ยวมั่นใจอีกครั้ง

     “ครับพ่อ”

     คำมั่นนั้นนภดลจะถือว่าเป็นสัญญาจากลูกเขยคนนี้แล้วกัน


 (ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 27 (15.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 15-11-2021 21:36:10
ภาคความจริง : บทที่ 27 (ต่อ)

     หลังจากพิธานลุกออกไปจนเหลือเพียงสองสามีภรรยา นัชชาที่เงียบมาตลอดก็ขยับมาใกล้สามีมากขึ้นแล้วคว้ามือของอีกคนมากุมเอาไว้ เอนตัวลงพิงไหล่คู่ชีวิตที่แต่งงานกันมากว่ายี่สิบปี

     เสียงถอนหายใจของสามีเรียกสายตาของนัชชาให้หันไปมอง นภดลยังดูไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแต่ไม่โวยวายหรืออาละวาดออกมาเท่านั้น ถึงจะยอมคุยกับลูกดีๆ ถึงจะยอมรับในตัวพิธาน แต่เธอก็รู้ว่าในใจลึกๆ ของเขายังคงกังวลและไม่สบายใจ

     เธอรู้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา

     ปัญหาทุกอย่างของคนเราสามารถแก้ได้ด้วยสามสิ่ง คือตัวเรา คนอื่นและเวลา ในยามนี้ทั้งตัวม่านฟ้า ภูหมอก พิธาน หรือแม้กระทั่งสามีของเธอก็ได้พยายามที่จะแก้ไขมันด้วยตัวพวกเขาแล้ว แต่หากมันยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด สิ่งสุดท้ายที่จะช่วยสมานรอยแผลในใจของทุกคนได้ก็คงเป็น เวลา

     “พ่อจำได้ไหม ตอนที่แม่ท้องเมฆกับหมอก..”

     ถึงอย่างนั้นเธอก็จะลองพยายามในส่วนของเธอดู

     “แม่ถามพ่อว่าอยากได้ลูกสาวหรือลูกชาย พ่อบอกว่าจะลูกสาวหรือลูกชายก็ได้ ขอเพียงเขาเกิดมาแข็งแรงปลอดภัยก็พอ”

     คำพูดของภรรยาทำให้นภดลหันมามองค้อน ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่ควรออกมาเป็นแบบนี้ไหม แต่ขืนพูดไปภรรยาก็คงจะบ่นเขาอีก เขาถึงทำได้เพียงถอนหายใจและบ่นออกมาเบาๆ “แล้วจากนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

     “ก็เอาไว้บนบ่าพ่อนั่นแหละ” เสียงบ่นงึมงำของสามีไม่รอดพ้นหูของภรรยาไปได้ “พ่อจะห่วงอะไรมากกว่าความรู้สึกของลูก อีกเดี๋ยวพ่อก็เกษียณแล้ว กลับมานอนอยู่บ้านสบายใจ ใครจะว่ายังไงก็ช่างสิ”

     “แต่เราก็ยังต้องอยู่ในสังคม เราจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านที่พูดว่ามีลูกเป็นตุ๊ดเป็นเกย์” พ่อยังคงเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นเสียงใส่อารมณ์ แค่พูดคุยกันคล้ายพ่อแง่แม่งอนกันธรรมดาเพียงแต่สลับฝั่งกันเท่านั้น

     “แล้วยังไงล่ะพ่อ เขามานินทาให้พ่อได้ยินหรือไง หรือพ่อแค่คิดไปเองกังวลไปเอง”

     “ไม่ได้ยินพ่อก็รู้”

     “แล้วยังไง พ่อไม่เคยนินทาใครเลยรึไง ต่อให้เขาไม่นินทาเรื่องลูก เขาก็เอาเรื่องอื่นไปนินทาได้อยู่ดีแหละ อาจจะเป็นตาแก่อ้วนลงพุงขี้บ่นหรือหัวหน้างานสุดโหดที่ด่าตั้งแต่หน้าประตูลิฟต์ไปจนถึงดาดฟ้าอาคาร” นัชชาดึงสามีให้หันหน้ามาสบตากันแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “คนเรามันก็ไม่พ้นเรื่องนินทากันหรอก หนีอะไรหนีได้แต่หนีคำนินทาน่ะหนีไม่ได้หรอกนะพ่อ เราก็แค่มีความสุขของเรา ทำเพื่อครอบครัวของเรา ทำเพื่อลูก”

     นภดลมองกลับเข้าไปในดวงตาคู่สวยของภรรยาและถอนหายใจอีกครั้ง สิ่งที่นัชชาพูดไม่ต่างกับสิ่งที่พิธานเคยพูดไว้กับเขาสักเท่าไหร่ และบางทีคงถึงเวลาที่เขาต้องยอมรับมันแล้วจริงๆ

 

     “อีกเรื่องนะพ่อ แม่ถามจริงๆ พ่อรู้ได้ไงว่าแฟนเมฆคือพีท จะบอกว่าพีทเป็นเด็กวิศวะฯ คนเดียวที่พ่อรู้จักผ่านเมฆแต่พ่อดูมั่นใจมากเลยนะ” ภรรยาที่เปลี่ยนโหมดกะทันหันมาเป็นคำพูดทีเล่นทีจริงทำให้คนที่ยังอยู่กับภวังค์ความคิดของการปลงตกถอนหายใจออกมาแทน

     “เดาเอา” นภดลตอบง่ายๆ เหมือนปัดรำคาญถึงได้โดนภรรยามองค้อนก่อนประชดเข้าให้ “แหม เดาแม่นจัง บูชาพระวัดไหนเนี่ยบอกแม่หน่อยเพื่อเล่นงวดหน้าแม่จะได้เดาเก่งอย่างพ่อบ้าง”

     หลังโดนประชดเข้าไปหนึ่งดอกนภดลก็ทำหน้าเอือมแล้วอธิบายออกมาให้ฟังอย่างจริงจัง

     “แค่คิดว่าถ้าเมฆมันมีแฟน ตอนมันเข้าโรงบาลฯ อย่างน้อยแฟนมันก็ควรมาเยี่ยมบ้าง ถึงจะบอกว่าแอบมาแต่แม่นอนเฝ้าลูกที่โรงพยาบาลยังไงแม่ก็ต้องเจอ แล้วตอนนั้นแม่เจอใครบ้างล่ะ เพื่อนที่คณะมัน เจ้านัท ที่เหลือก็แค่ไอ้พีทนี่แหละที่วิ่งโร่พามาโรงบาลฯ อาสาเฝ้าเช้าเย็น ไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร” เพราะคราวนั้นถึงนภดลไม่ได้อยู่เฝ้าแต่ก็รู้เรื่องราวจากภรรยาตลอด เขาถึงได้รู้ความเป็นไปและเห็นถึงความใส่ใจของ ‘แฟน’ ลูกชายคนนี้

     “อืมก็จริงนะ แม่ว่าเป็นเจ้าพีทก็ดี ถึงจะดูห่ามๆ ไปหน่อยแต่ก็ดูแลเมฆดี ทำกับข้าวก็เก่ง เรื่องเรียนก็ไม่ได้แย่ แบบนี้แม่ก็พอจะสบายใจฝากเมฆไว้ได้” นัชชาออกความเห็น เธออยากจะพูดว่าแม่ให้ผ่านตั้งแต่เมื่อครู่ที่พิธานยังอยู่แต่ก็เกรงใจสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน

     “หึ” นภดลไม่ตอบเพียงแต่หันหน้าไปมองทางอื่น งึมงำออกมาอย่างยังไม่ยอมแพ้ “รอมันกลายเป็นผู้หญิงก่อนเถอะพ่อถึงจะยอมรับ”

     ถึงไม่อยากยอมรับแต่ใจลึกๆ ก็รู้ว่าหากแฟนม่านฟ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะยอมรับได้ยากกว่านี้

     คราวนี้เป็นนัชชาบ้างที่ทำหน้าเอือมใส่สามี นึกถึงใครบางคนที่เมื่อกี้ยังพูดฝากฝังลูกชายราวกับจะส่งลูกเข้าห้องหอแต่พอมาตอนนี้กลับเปลี่ยนท่าทีมาเป็นดื้อดึงอีกครั้ง

     ทำเป็นพูดว่าไม่ยอมรับแฟนลูกทั้งที่จริงๆ แล้วตอนนี้ก็แค่ตาแก่หวงลูกเท่านั้นแหละ

    "ท่าทางนักเลงขนาดนั้น บ้านไหนได้ไปเป็นเขยคงช็อกตาย"

     นภดลนึกเจ็บใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงคำพูดของตนเองในคราวนั้น ไม่คิดเหมือนกันว่า ‘บ้านไหน’ ที่ว่าจะวนกลับมาเป็นบ้านของตัวเองจนได้

     ----

     “จะไปไหน”

     ม่านฟ้าเงยหน้ามองผู้ที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับคำถาม เขาลูบจมูกที่กระแทกกับปลายคางของอีกคนเบาๆ แล้วก้าวถอยหลังกลับมา พิธานเองก็ลูบปลายคางตัวเองเบาๆ ไม่คิดว่าทันทีที่เปิดประตูออกเจ้าของห้องจะพุ่งออกมารับจนกระแทกกันเต็มๆ อย่างนี้

     ผู้มาใหม่ก้มลงมองใบหน้าของคนรัก หน้าขาวๆ ของม่านฟ้าซีดลงไปกว่าเดิมแถมด้วยดวงตาที่บวมช้ำทำให้ม่านฟ้าดูคล้ายคนป่วยยิ่งขึ้นไปอีก พิธานยกมือขึ้นมาหวังสัมผัสแก้มของคนรัก เขาเห็นบาดแผลเล็กๆ ที่ข้างแก้มของม่านฟ้า แม้ไม่ได้เป็นแผลใหญ่แต่ดูคล้ายกับเพิ่งได้รับมาไม่นาน

     คงได้มาตอนเกิดเรื่องเมื่อวาน

     เขาจะต้องเห็นภาพแบบนี้อีกสักกี่ครั้งกัน

     ไม่ทันที่มือของพิธานจะถึงเป้าหมาย ตัวของม่านฟ้ากลับถูกดึงไปข้างหลังแล้วแทนที่ด้วยเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่า ภูหมอกยืนจังก้าเท้าสะเอวเหมือนกุมารทองตัวใหญ่ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นในสายตาของพิธาน ดวงหน้าขาวของของเด็กหนุ่มบึ้งตึงแต่ก็ยังไม่วายลอยหน้าลอยตาให้มือที่ค้างอยู่ของพิธานเปลี่ยนจุดประสงค์เป็นตบหัวเด็กตรงหน้าแทน

     “โอ๊ย นิสัย! มาหลอกเจาะไข่แดงพี่คนอื่นเค้าแล้วยังจะมาทำร้ายร่างกายกันอีกเหรอ”

     พิธานที่ได้ยินคำพูดนั้นถึงกับถลึงตาใส่คนพูดแม้ในใจจะตอบว่า ‘ยังไม่ได้เจาะโว้ย’ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปให้เสียหมาถึงได้เปลี่ยนเรื่องเพื่อไล่กอขอคอตัวโตออกจากห้องแทน “ไปเลยมึง ออกไปเลย กูจะคุยกับพี่มึง”

     ภูหมอกที่โดนไล่ไปโน่นทีไล่ไปนี่ทีทำหูทวนลมกับคำไล่แล้วเปลี่ยนมาทำท่าครุ่นคิดคนเดียวอย่าตอแหลที่สุดในสายตาพิธาน “อืม งั้นปกติที่ดูสนิทกันมากก็เพราะว่าพี่เป็นแฟนกันอยู่แล้วใช่ม่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท ไม่น่าล่ะ เพื่อนสนิทอะไรจะดูหวานกันขนาดนั้น”

     “ยัง” พิธานพูดสั้นๆ

     “อ้าว ตอนนั้นยังไม่เป็นแฟนกันเหรอ?”

     “ยังไม่ไปอีกมึงเนี่ย!”

     ภูหมอกทำหน้ายู่เมื่อได้ยินคำไล่อีกหน ครั้งพ่อแม่จะคุยกับพิธานก็ไล่เขาขึ้นมาอยู่ข้างบน พอพิธานจะขึ้นมาคุยกับม่านฟ้าเขาเป็นส่วนเกินที่ถูกไล่ออกไปอีก แล้วแบบนี้ภูหมอกจะเสือก เอ๊ย รับข่าวสารด้วยได้ไงล่ะ เด็กหนุ่มกรีดร้องอยู่ในใจแต่ก็ทำได้เพียงสะบัดหน้าเตรียมเดินออกจากห้อง

     “หมอก” แต่ก่อนภูหมอกจะเดินพ้นประตูกลับถูกม่านฟ้าเรียกไว้เสียก่อน “ขอบใจนะ”

     คำขอบคุณสั้นๆ แต่ภูหมอกรู้ดีว่าพี่ชายหมายถึงอะไร เด็กหนุ่มหันมายิ้มให้พี่ชายอีกครั้งอย่างดีใจ เขาดีใจที่เป็นประโยชน์ให้พี่ชายได้แต่ก็ยังไม่วายหันไปแยกเขี้ยวใส่อีกคนที่สะบัดมือไล่ยิกๆ

     จนเมื่อเด็กหนุ่มเดินออกไปแล้ว สองหนุ่มที่อยู่ในห้องก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง พิธานลากม่านฟ้ามานั่งลงบนเตียงข้างกันก่อนสำรวจสภาพของคนรักอย่างตั้งใจ “สภาพดูไม่ได้เลย แฟนใครวะเนี่ย”

     “แฟนมึงอ่ะแหละ ชัดม่ะ” ม่านฟ้าตอบออกไปชัดถ้อยชัดคำถอนหายใจออกมาแผ่วเบาเมื่อเห็นอีกคนยังคุยเล่นได้ “บอกกูว่าถ้ากูโดนไล่ออกจากบ้านจะเลี้ยงกู แต่พอบอกความจริงพ่อเข้าหน่อยก็ลืมรีบแฟนเลยเหรอ”

     พิธานคลี่ยิ้มออกมาแล้วขยี้หัวอีกคนแรงๆ สบายใจขึ้นเมื่อเห็นอีกคนต่อปากต่อคำได้ปกติจนเผลอบ่นเข้าให้อีกหน่อย “แล้วโทรศัพท์ล่ะ เอาไปทำเป็นเศษเหล็กแล้วเหรอถึงไม่รู้จักโทรหา”

     ม่านฟ้าหน้าเจื่อนไปทันทีความผิดนี้เขารู้ตัวดีและไม่คิดจะแก้ตัว พยักพเยิดหน้าไปทางโทรศัพท์ที่ชาร์ตไว้หัวเตียงให้อีกคนดูพร้อมอธิบาย “เมื่อคืนพอบอกพ่อเสร็จแล้ววิ่งขึ้นมาข้างบน กูดันลืมเอาไว้ข้างล่าง เช้ามาแบตก็ตายแล้วอ่ะ”

     พิธานถอนหายใจ เขาควรทำใจกับเรื่องโทรศัพท์ของม่านฟ้าได้แล้ว คิดในใจเอาไว้ว่าต่อไปจะแอบเอาโทรศัพท์ม่านฟ้าไปขายแล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องดักฟังคงจะดีเสียกว่า

     "เมื่อคืนกูอุตส่าห์ส่งโทรจิตไปหามึงแทน แต่มึงไม่รับ นอนหลับฝันหวานอยู่อ่ะดิ"

     ฝันหวานกะผีน่ะสิ!

     พิธานเผลอแยกเขี้ยวออกมาเมื่อได้ยินม่านฟ้าพูดและคิดถึงฝันร้ายเมื่อคืน ขยับตัวเข้าไปใกล้ม่านฟ้าอีกนิดแล้วรั้งเอวอีกคนมาไว้ในวงแขน เขาจรดหน้าผากเข้ากับหน้าผากของคนรัก ทิ้งให้ต่างฝ่ายต่างซึมซับความอบอุ่นของกันและกัน ก่อนสัมผัสได้ถึงมือของม่านฟ้าที่เอื้อมมากอดเอวเขาไว้เช่นกัน

     ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว

     ทั้งความลับ ความกลัว พวกเขาได้ก้าวข้ามมันไปหมดแล้ว

     "พ่อว่ายังไงบ้าง" ม่านฟ้าผละตัวออกห่างจากอีกคนเมื่อนึกได้ว่าก่อนมาหาเขา พิธานจะต้องผ่านด่านของพ่อเขาขึ้นมา ดวงตาคู่สวยสำรวจคนรักจนทั่ว แม้ไม่เห็นส่วนไหนบุบสลายแต่ก็ยังถามออกไปอย่างติดจะกังวล "มึงโดนดุรึเปล่า พ่อไม่ได้ตีมึงใช่ไหม”

     "ไม่โดนอะไรทั้งนั้นแหละ พ่อมึงไม่ได้ว่าอะไร บอกแค่ว่าจะยกขันหมากมาตอนไหนก็ให้บอกก่อน” พิธานยกยิ้มขำ แกล้งหยอกคนขี้ห่วงเข้าไปอีกนิดให้ได้รับสายตาค้อนวงเล็กๆ มาหนึ่งวง

     ม่านฟ้าเองก็ใช่ว่าจะพอใจกับเพียงคำตอบเล่นๆ เช่นนั้น เจ้าตัวถึงได้เค้นคอคนรักให้เล่ามาทุกรายละเอียด แน่นอนว่าเมื่อเริ่มลงลึก เรื่องราวครั้งที่เขาแอบมาทำตัวตีสนิทกับพ่อจึงถูกเล่าออกมาด้วย

     หลังได้ยินพิธานเล่า ม่านฟ้าก็ถลึงตาใส่คนรักอีกรอบ เข้าใจแล้วว่าทำไมช่วงก่อนปิดเทอมเจ้าตัวถึงแอบกลับบ้านบ่อยๆ

     มิน่าวันนั้นพ่อถึงถามหาพิธานแถมให้เอาผลไม้ไปฝาก คงเพราะนึกถึงคนที่มาเล่นหมากรุกด้วยบ่อยๆ นี่เอง

     ทุกอย่างลงล็อกกับความสงสัยของเขาได้พอดี ม่านฟ้าถึงได้ปักหัวลงไปกับบ่าของคนรัก อยากจะบ่นพิธานที่วู่วามแต่ก็คงบ่นได้ไม่เต็มปาก ใครจะรู้ว่าที่พ่อยอมเรื่องของเขาได้ง่ายดายเช่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคำพูดและความพยายามของพิธานก็ได้

     เมื่อเค้นคอพิธานเสร็จ คราวนี้กลับเป็นม่านฟ้าที่ถูกสอบสวนบ้าง ชายหนุ่มเจ้าของตาบวมแดงหลุบตาลงต่ำเมื่อย้อนคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน คำด่าทอทั้งหลายถูกเล่าออกมาให้คนรักฟังด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ท่าทางที่ดูซึมไปของม่านฟ้าทำให้พิธานรู้ดีว่าในเวลานั้นม่านฟ้าต้องเจ็บปวดเพียงใด

     ไม่สิ แม้แต่เวลานี้ก็อาจยังรู้สึก

     ชายหนุ่มตัวโตก้มลงจูบเปลือกตาที่บวมช้ำเบาๆ เห็นชัดว่าม่านฟ้าร้องไห้มามากเพียงใดก่อนผละออกเพื่อกดจูบเข้ากับแก้มขาวที่ยังเหลือบาดแผลเอาไว้ เขาสวมกอดคนรักเอาไว้หลวมๆ ก่อนก้มลงกระซิบกับอีกคนซ้ำไปซ้ำมา

     "ไม่เป็นไรนะ กูอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นไรแล้ว"

     ม่านฟ้าพยักหน้ารับคำปลอบแล้วซุกหน้าลงกับซอกคออีกฝ่าย คำพูดของพิธานที่บอกว่าเขาคือคนสำคัญเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวสำหรับเขาในตอนนั้น เช่นเดียวกับตอนนี้ที่ความอบอุ่นของร่างกายใครอีกคนช่วยสมานรอยแผลในใจให้ทีละน้อย

     ความเงียบกลืนกินคนทั้งคู่ ไร้บทสนทนาต่อกันเหลือเพียงสัมผัสของร่างกายที่แนบชิด พิธานลูบหัวคนรักเบาๆ แล้วทบทวนคำพูดของนภดลที่พูดกับเขาก่อนขึ้นมาพลันเข้าใจถึงความหมายของคำพูดเหล่านั้นมากขึ้น

     ม่านฟ้าเหลือบตาขึ้นมองอีกคนก่อนยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง สะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อปัดอารมณ์ขุ่นมัวในใจออกไปแล้วสูดหายใจเข้าลึก ริมฝีปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาเมื่อทั้งน้องชายและคนรักดูจะเป็นกังวลแทนเขากันเหลือเกิน “ตอนนี้กูโอเคแล้วน่า ไม่ต้องห่วงหรอก”

     ม่านฟ้าเผยยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อเอื้อมมือไปลูบแก้มที่มีตอหนวดขึ้นมานิดๆ รู้ได้ทันทีว่าพิธานรีบร้อนแค่ไหนยามออกจากบ้าน ดวงตาที่เป็นประกายของม่านฟ้าสบเข้ากับดวงตาดุแล้วเอ่ยคำที่อยากพูดมากที่สุด

     .

     .

    “จากนี้เราไม่ต้องมีความลับอีกต่อไปแล้วนะ”

 

     “...หมายความว่าเราต้องปิดเป็นความลับเหรอ จนถึงเมื่อไหร่”

     “ตลอดไป”

 

     ใช่ ไม่ต้องมีความลับอีกแล้ว

     เสียงสนทนาในอดีตระหว่างเขาและคนตรงหน้าผุดขึ้นมาในหัว พิธานยิ้มรับคำพูดนั้นแล้วดึงม่านฟ้าเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง นึกขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ตั้งแต่วันแรก และทุกๆ อย่างที่หลอมรวมกันจนทำให้พวกเขาเดินมาด้วยกันได้จนถึงวันนี้

     วันที่ไม่ต้องมีความลับสำหรับรักนี้อีกต่อไป

 




 

     “โอ๊ะ ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว มึงอย่าลืมที่เคยสัญญาไว้กับกูล่ะ” พิธานยิ้มกริ่มขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้หลังกอดกันกลมอยู่นานสองนาน ขอบคุณน้องชายของคนรักที่พูดเรื่อง ‘เจาะไข่แดง’ ขึ้นมาทำให้เขาไม่ลืมที่จะทวงสัญญาในวันวาน

     “...” เสียงที่เงียบไปของม่านฟ้าทำให้พิธานกระหยิ่มยิ้มย่องมากกว่าเดิมคิดว่าคนรักคงต้องเขินจนหน้าแดงอยู่แน่ๆ ที่เคยสัญญาเรื่องอย่างว่ากับเขาไว้ ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วดันตัวคนรักออกมาหวังสบตาให้เจ้าตัวได้เขินหนักกว่าเดิม

     “...”

     กลายเป็นพิธานที่เงียบไปเองเมื่อเห็นม่านฟ้าฟุบหลับคาอกเขาไปแล้ว…

     เฮ้ย! ฉากที่ควรหวานโรแมนติกมันต้องไม่จบลงแบบนี้สิ!


 

     TBC

 

     Achaya (Writer) :

     ขอโทษที่มาช้าค่ะ ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายแล้วก็จะ the end จริงๆ แล้วจ้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันนะคะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 27 (15.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-11-2021 02:54:29
 :katai2-1: :pighaun:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 27 (15.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2021 10:31:47
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทที่ 27 (15.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-11-2021 22:57:36
โล่ง
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 22-11-2021 21:17:43
ภาคความจริง : บทส่งท้าย

     หลังเรื่องราวทุกอย่างจบลง เวลาก็ผ่านไปจนม่านฟ้ากลายเป็นเด็กฝึกงานบ้าง ส่วนพิธานก็เป็นนิสิตปีสี่ที่เหลือเวลาอีกเทอมเดียวก็จะกลายเป็นบัณฑิตเต็มตัว ความสัมพันธ์ทุกเรื่องเป็นไปอย่าง...เรื่อยๆ มันไม่ได้ราบรื่นสมบูรณ์แบบไปเสียหมดและต้องใช้เวลาค่อยๆ ปรับกันไป ทั้งความสัมพันธ์ของพ่อลูก ความสัมพันธ์ของพี่น้อง รวมถึงความสัมพันธ์ของพ่อตาลูกเขย?

     อ๋อ อีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่เกือบลืมไป

     ความสัมพันธ์ของคนรัก

     แน่นอนความสัมพันธ์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกระดับหลังจากพิธานทวงคำสัญญาสำเร็จ ทั้งที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลอย่างดีแต่เจ้าตัวกลับไม่อ่อนโยนสักเท่าไหร่สำหรับครั้งแรกของม่านฟ้า เล่นเอาม่านฟ้านอนซมไปเป็นวันและประกาศกร้าวว่าจะไม่ลุกจากเตียงจนกว่าจะเช้าของอีกวัน

     เอาเถอะ เรื่องพรรค์นั้นอย่าเพิ่งกล่าวถึงให้ประดักประเดิดเลย

     เวลานี้ม่านฟ้ากำลังนั่งทวนคำศัพท์อยู่กับพื้น แผ่นหลังพิงโซฟาในท่าประจำอยู่ที่บ้านของนที หลังจากโทรคุยถึงได้รู้ว่าเจ้าของบ้านออกไปซื้อของจึงปล่อยให้เขาและพิธานเข้ามารอในบ้านด้วยกุญแจสำรองก่อน เสียงฝีเท้าของพิธานที่เดินไปเดินมาหาของใส่ปากมาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของเขาก่อนตัวใหญ่ๆ จะเบียดแทรกเข้ามานั่งซ้อนด้านหลังของม่านฟ้าให้เจ้าตัวพิงอกส่วนพิธานก็พิงโซฟาแทน

     ม่านฟ้าเหลือบไปมองคนรักด้วยสีหน้าเอือมระอา สายตาแปลความหมายออกมาได้ชัดเจนว่า ‘ที่ตั้งเยอะไม่ไปนั่ง’ แต่คนถูกมองกลับไม่ใส่ใจคว้าสมุดคำศัพท์ของม่านฟ้ามาแล้วเอ่ยถามศัพท์

     หนุ่มอักษรฯ ที่นั่งทวนศัพท์ด้วยตัวเองมาสักพักพอมีคนช่วยทวนให้ก็ไม่ปฏิเสธเอ่ยปากตอบอีกคนกลับไป เสียงของคนสองคนดังขึ้นถามตอบกันอยู่ครู่หนึ่งจนเมื่อม่านฟ้าตอบคำถามไปอีกหนึ่งประโยค สัมผัสของจูบหนักบริเวณต้นคอก็ทำให้เขาสะดุ้ง

     “สัด” ม่านฟ้าเผลอสบถออกมาเพราะคนข้างหลังไม่เพียงแค่จูบแต่ยังเม้มแรงจนเขารู้สึกได้ว่าอาจขึ้นเป็นรอยในไม่ช้า คนถูกลวนลามผลักหัวของคนฉวยโอกาสออกอย่างแรงจนหัวของพิธานสะบัดไปด้านหลัง ดีที่มีโซฟารับกระแทกอยู่ไม่งั้นอาจมีคนคอหักเพราะแฟนเขินก็เป็นได้

     “ผิด” พิธานเอ่ยออกมาหลังกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง เพิ่มเติมคือรัดเอวของอีกฝ่ายไว้แน่นขึ้นเพราะกลัวอีกคนจะลุกหนีไปเสีย แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ม่านฟ้านิ่งไปอย่างงุนงงก่อนนึกขึ้นได้ว่าการกระทำเมื่อครู่คงเป็นบทลงโทษที่เขาตอบผิด?

     ชายหนุ่มสองคนจ้องตาเพื่อสื่อสารความในใจและม่านฟ้าก็ได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มมุมปากจากคนรัก ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเบาๆ กับคนฉวยโอกาสแต่กลับโดนพิธานรัดเอวแน่นขึ้นพร้อมเร่ง “เร็ว ให้โอกาสตอบอีกรอบ”

     ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ใบหน้าของพิธานก็โน้มลงมาใกล้กับต้นคอของเขาอีกครั้ง ลมหายใจที่เป่ารดซอกคอทำให้ม่านฟ้าต้องหดคอหนี สมาธิที่ใช้ในการนึกคำศัพท์กระเด็นกระดอนหายไปจนหมด สุดท้ายม่านฟ้าก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมจำนน

     คนที่รอจังหวะอยู่แล้วกดจูบลงไปอย่างแรงพร้อมเม้มเนื้อขาวๆ ขึ้นมาด้วยอย่างมันเขี้ยว ม่านฟ้าหลับตาปี๋เกร็งตัวเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสของคนรัก ตีมือพิธานที่วางอยู่บริเวณหน้าท้องหนึ่งทีอีกคนจึงจะหยุด

     สมุดคำศัพท์ถูกส่งคืนให้ม่านฟ้าได้ดูเฉลยด้วยตัวเอง ม่านฟ้าร้องอ๋อออกมาคำใหญ่แล้วปล่อยตัวพิงลงไปกับแผ่นอกของคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างหมดแรง

     คนฉวยโอกาสยังทำหน้าที่ของตนอย่างต่อเนื่อง พิธานก้มลงฟัดแก้มของคนรักอย่างสบายใจเมื่ออีกคนลดการ์ดไร้การป้องกัน พึมพำออกมาโดยที่ทั้งปากทั้งจมูกยังซุกไซร้อยู่กับทั้งแก้มทั้งคอของคนรัก “กูชอบติวให้มึงจัง”

     พิธานพูดไปยิ้มไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวรู้ตัวอีกทีม่านฟ้าก็ลุกพรวดแล้วกระโดดไปนั่งห่างจากเขาเป็นเมตรเมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอออกมาจากหน้าประตู

     “พวกมึงนี่นะ” เสียงนทีกัดฟันพูดหลังมองหลานชายกับหลานเขยหวานกันมาสักพัก สรรพนามเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากความหมั่นไส้ผสมหงุดหงิด

     “โอ๊ย! อาที” เป้าหมายแรกของนทีไม่พ้นหูแดงๆ ของหลานชายที่โดนบิดจนม่านฟ้าถึงกับน้ำตาเล็ด “ถ้าป่องก่อนเรียนจบขึ้นมานะ ฉันจะตีแก” นทีพูดออกไปตามฟีลลิ่งและหลับหูหลับตาไม่มองความจริง เน้นด่าเอาความสะใจเท่านั้น

     “ไม่ใช่ล่ะอา จะป่องได้ไง” ม่านฟ้าโวยวายขึ้นมาทันทีใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม

     “ใช่อา จะป่องได้ไง ผมใส่ถุงตลอด” พิธานแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังแต่แววตากลับปิดความขบขันเอาไว้ไม่มิด

     “ไอ้เหี้ยพีท” มีสัดแล้วก็ต้องมีเหี้ยด้วย คนถูกด่าเอียงหัวหลบหมอนที่ถูกม่านฟ้าขว้างมาแล้วยังไม่วายแซวคนเขินกลับไปอีกหน่อย “โอ๊ย เขินแรงตลอด อะล้อเล่นขำๆ”

     ยังไม่ทันที่พิธานจะได้ขำจริงอย่างปากว่าก็ต้องร้องจ๊ากออกมาบ้างเมื่อนทีปล่อยมือจากหูของม่านฟ้ามาเป็นใบหูของเขาแทนแถมแรงบิดน่าจะมากกว่าหลายเท่าจนพิธานได้แต่ยกมือไหว้ร้องขอชีวิต “โอ๊ยยย อา ขอโทษครับบบ”




     หลังจากในบ้านกลับมาสงบอีกครั้งพร้อมหูแดงๆ ของสองหนุ่มนทีก็เปิดปากถามถึงวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้ “มีอะไร มาทำไม”

     “มารับอาไปกินข้าวน่ะครับ พ่อชวนไปกินข้าวที่บ้าน” คนที่ตอบกลับไม่ใช่ลูกชายตัวจริงอย่างม่านฟ้าแต่เป็นลูกเขยที่เรียกพ่อตาว่า ‘พ่อ’ อย่างหน้าตาเฉยจนนทีอดเบะปากหมั่นไส้ไม่ได้

     ม่านฟ้าเงยหน้ามองสองคนที่ฝ่ายหนึ่งก็ลอยหน้าลอยตา อีกฝ่ายก็ถลึงตาใส่จนตาจะหลุดแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างระอา จะเมื่อไหร่สองคนนี้ก็ยังตีกันไม่เลิก หลายครั้งที่พิธานเข้าไปคุยกับนทีดีๆ แต่คุยไปทะเลาะไปเหมือนจะบ่อยกว่า ไม่ต่างกับภูหมอกรายนั้นจนบัดนี้ก็ยังแง่งๆ ใส่พิธานอยู่ แถมหลังจากรู้ความจริงก็เหมือนจะเพิ่มระดับความหวงพี่ชายขึ้นเป็นเท่าตัว

     นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อเอ่ยปากให้ชวนนทีมากินข้าวด้วย ถึงจะอ้อมไปอ้อมมายิ่งกว่าแม่น้ำสิบสาย แต่ก็พอจะตีความจุดประสงค์ของคุณท่านที่ได้ ม่านฟ้ากับพิธานถึงได้รับหน้าที่สารถีจำเป็นมาเรียนเชิญนทีอย่างในตอนนี้

     “ไม่เอาหรอก ไม่อยากไป รำคาญตาแก่นั่น” นทีสะบัดหน้าไปอีกทางให้เห็นว่าไม่สนใจคำชวนสักนิด

     “รู้สึกว่าอากับพ่อจะอายุห่างกันแค่สองปีไม่ใช่เหรอครับ” ก่อนจะสะบัดกลับมาถลึงตาใส่คนพูดแทบไม่ทัน พิธานยิ้มนิดๆ แล้วถามออกมาเหมือนซื่อแต่แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วว่าเจ้าตัวจงใจกวน ลำบากม่านฟ้าต้องเป็นคนห้ามทัพแล้วดึงกลับเข้าเรื่องเดิมแล้วเปิดบทเชิญชวนบ้าง

     “เห็นพ่อบอกจะเปิดไวน์ที่เก็บมาตั้งแต่สมัยปู่ยังอยู่ด้วย” นทีเป็นคนรักไวน์ตัวจริง ที่บ้านนี้เจ้าตัวก็เก็บสะสมไว้เยอะไปหมด ก่อนมาม่านฟ้าจึงเตรียมการและขอพ่อเอาไว้ก่อนแล้วซึ่งมันก็...

     "..."

     "..."

     “เหอะ เอาเถอะพวกแกอุตส่าห์มา ฉันจะไปให้แป๊บหนึ่งก็ได้”




     สนามหญ้าหลังบ้านวันนี้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นงานปาร์ตี้ขนาดย่อม ม่านฟ้าลงทุนตัดหญ้าตั้งแต่เมื่อวานไม่ให้เป็นที่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ในการจิบไวน์ของเจ้าคุณพ่อและเจ้าคุณอา เช่นเดียวกับพิธานที่ลงทุนหมักซี่โครงหมูตั้งแต่เช้าเพื่อเป็นเมนูหลักพร้อมด้วยกับแกล้มชั้นดีอย่างบาร์บีคิวหมูติดมันเล็กน้อยของโปรดคุณพ่อตา

     พวกเขาปูเสื่อพร้อมตั้งโต๊ะกินกันอยู่ที่พื้นแถมด้วยเก้าอี้ผ้าใบให้นัชชาที่เป็นหนึ่งในแม่ครัวหลักของงานวันนี้ ส่วนผู้ที่เริ่มมีอายุและปัญหาข้อเข่าเสื่อมอย่างพ่อและนทีแยกไปนั่งจิบไวน์กันอยู่ที่โต๊ะม้าหินด้านข้าง

     เสียงฉ่าของเนื้อหมูที่ถูกความร้อนบนเตาพร้อมกลิ่นหอมอบอวลทำให้พิธานที่ทำบาร์บีคิวอยู่ข้างเตารู้สึกหิวไปด้วย เขาวางบาร์บีคิวที่เพิ่งเสียบไม้เสร็จลงบนเตาให้ม่านฟ้าเป็นคนจัดการต่อแล้วกลืนน้ำลายมองเนื้อหมูที่ถูกปิ้งจนกลายเป็นสีน้ำตาลถูกยกออกมาวางในจานเมื่อสุกได้ที่

     “ป้อนหน่อย” เสียงพูดเบาๆ จากคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามทำให้ม่านฟ้าเหลือบตาขึ้นมอง ปากกำลังจะถามว่า ‘ไม่มีมือกินเองเหรอ’ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่มือของคนทำบาร์บีคิวภายใต้ถุงมือเลอะๆ ม่านฟ้าเหลือบตาไปมองมารดาที่กำลังง่วนอยู่กับการทำยำวุ้นเส้น ก่อนยื่นบาร์บีคิวไม้หนึ่งไปหาคนตรงหน้า

     จนเมื่อเห็นพิธานก้มหน้าลงมาม่านฟ้าก็ดึงไม้นั้นกลับมาใกล้กับปากของตัวเอง

     "..."

     พิธานที่กำลังจะงับเนื้อหมูจนแทบจินตนาการถึงรสชาติเค็มนิดหวานหน่อยของซอสที่เขาหมักได้แล้วแต่กลับต้องเก้อ ยังไม่ทันหันไปถลึงตาใส่คนขี้แกล้ง ม่านฟ้าก็เป่าลมลงบนเนื้อหมูเบาๆ “ร้อน เป่าก่อน”

     ชายหนุ่มที่เตรียมบ่นคนรักถึงกับรีบหุบปากลงทันทีพร้อมกลืนน้ำลายลงไปด้วย

     ม่านฟ้ายื่นบาร์บีคิวไปตรงหน้าพิธานอีกหนเมื่อเนื้ออุ่นกำลังดี แอบยืดตัวขึ้นมองผ่านไหล่ของพิธานไปยังผู้เป็นพ่อและอา จากมุมนี้พิธานน่าจะบังตัวเขาได้มิดและสองคนนั้นก็คงมองไม่เห็น

     แต่ภูหมอกเห็น

     เนื้อหมูนุ่มเพิ่งเข้าปากพิธานไปเพียงครึ่งไม้ ความสุขของเขาก็ถูกขัดขวางเสียแล้ว
     
     “นี่! ประเจิดประเจ้อไปไหม” เด็กหนุ่มเสนอหน้ามาขวางไว้กลางวงแต่เพราะระหว่างม่านฟ้าและพิธานคือเตาบาร์บีคิวที่ส่งควันโขมงแค่พูดจบประโยคเจ้าตัวก็สำลักควันไปยกใหญ่

     พิธานมองเด็กหนุ่มอย่างเอือมระอาระคนสงสาร ถึงตอนแรกจะรำคาญที่ภูหมอกชอบเข้ามาขวางเวลาเขาจะหวานกับคนรักแต่เพราะภูหมอกทั้งซื่อทั้งเซ่อทั้งซ่า เขาถึงได้เปลี่ยนจากความรำคาญเป็นรอลุ้นว่าเด็กหนุ่มจะขวางเขาได้สักแค่ไหน

     ม่านฟ้าที่เห็นน้องชายยืนสำลักควันจนหน้าดำหน้าแดง พี่ชายที่แสนดีก็เหมือนจะนึกได้ว่าต้องรีบพลิกบาร์บีคิวก่อนที่จะไหม้แล้วปล่อยเบลอน้องชายที่ไอค่อกแค่กไม่หยุดไว้อย่างนั้น

     เหอๆ แบบนี้จะไม่ให้พิธานสงสารได้ยังไง

     แหม น่าสงสารจนอยากจะลูบหัวปลอบโยน

     พิธานยื่นมือออกไปหวังลูบหัวภูหมอกอย่างใจคิดโดยไม่ลืมหรอกว่าเขายังใส่ถุงมือที่เลอะเนื้อหมูดิบอยู่ด้วย

     “เฮ้ย! พี่พีท มันเลอะ”

     ภูหมอกดึงหัวตัวเองออกจากรัศมีอันตรายได้ทันแล้วกระโดดหนีไปเกาะหลังพี่ชาย พิธานดึงมือกลับมาอย่างเสียดายที่น้องชายคนรักไม่ยอมรับไมตรีที่เขามีให้ก่อนจะหันกลับมาเสียบไม้บาร์บีคิวต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

     “หมอกเอาจานนี้ไปให้พ่อดิ” ม่านฟ้าดึงน้องชายที่เกาะอยู่ด้านหลังออกพร้อมด้วยใช้งาน “แล้วมึงไปหยิบกล่องในครัวมาด้วย ให้ใหญ่พอใส่สักสิบไม้นะมึง”

     เด็กหนุ่มอิดออดอยู่เล็กน้อยทั้งขี้เกียจเดินทั้งไม่อยากปล่อยพี่ชายไว้กับหมาป่าเจ้าเล่ห์แต่สุดท้ายก็ขัดคำสั่งคุณพี่ที่รักไม่ได้ถึงต้องเดินจากไปพร้อมสายตาคาดโทษใส่อีกคน

     “เอากล่องมาใส่ทำไม กลัวกินไม่หมดเหรอ” หลังพ้นหลังภูหมอกไปพิธานก็หันกลับมาถามคนรัก เขาถอดถุงมือออกเมื่อวางไม้สุดท้ายลงบนเตาแล้วหยิบบาร์บีคิวที่กินค้างไว้มากินต่อเอง

     “ให้มึงไปฝากเฮียหน่อย” ม่านฟ้าตอบสั้นๆ

     “เฮ้ย ไม่ต้องหรอก อยู่บ้านกูก็ทำให้เฮียกินบ่อยๆ เรากินกันไปเลย” พิธานรีบปฏิเสธ

     “เถอะน่า อุตส่าห์ยืมตัวน้องชายเฮียมาเป็นพ่อครัว” ม่านฟ้ามัดมือชกอีกคนแต่กลายเป็นว่าประโยคนั้นกำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง..

     “หืมมม แค่เป็น 'พ่อครัว' เหรอ ไม่ใช่ว่ามาเป็น...ด้วยเหรอ?”


     ม่านฟ้าหันไปถลึงตาใส่คนที่ถามพร้อมรอยยิ้มล้อเลียน เกลียดที่สุดก็ไอ้การเติมคำในช่องว่างที่อีกคนเว้นไว้ให้เนี่ยแหละ จะด่าก็ด่าได้ไม่เต็มปากเพราะอีกคนไม่ได้พูด แต่สมองของเขามันดันเสกคำที่คล้องจองกับคำว่า ‘ครัว’ ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

     แต่จะยอมแพ้ไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้

     “อ๋อ อันนั้นกูไม่ได้ยืม แต่กูขอมาเลย” ม่านฟ้าฉีกยิ้มกริ่มแกล้งทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน พิธานที่เห็นอีกคนยังส่วนกลับมาได้ก็เลิกคิ้วแปลกใจหย่อนคำถามลงไปอีกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “อ๋อเหรอ ขอตอนไหน แล้วไหนอ่ะสินสอด”

     บาร์บีคิวหนึ่งไม้ถูกยัดใส่มือคนทวงสินสอด พิธานก้มลงมองแล้วเบะปากแกล้งทำหน้าบึ้ง “ไรว่ะ ไม่ลงทุนเลย”

     เสียงบ่นงุ้งงิ้งยังดังมาจากคนที่กัดสินสอดเข้าปากไปแล้ว ม่านฟ้าขยับพลิกไม้บาร์บีคิวในมืออีกครั้งก่อนผละออกมาเช็ดมือกับผ้าชุบน้ำข้างตัว เขาเม้มปากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจคว้าของบางอย่างในกระเป๋ามาส่งให้อีกคน “อ่ะ งั้นอันนี้อ่ะ พอไหม”

     ของบางอย่างที่ม่านฟ้ากำเอาไว้ถูกปล่อยลงบนมือของคนรัก ครั้งแรกที่พิธานเห็นยังดูงุนงงว่าคืออะไรแต่เมื่อตั้งสติได้เจ้าตัวก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนทันที “เฮ้ย จริงดิ”

     “...” คนถูกถามกลับไม่ยอมตอบคำถามก้มหน้าลงไปจัดเตาบาร์บีคิวต่อ

     “เฮ้ยยยย จริงป่ะเนี่ย ไม่เล่นนะ” คราวนี้ไม่แค่ถามแต่พิธานวางของกินในมือลงแล้วอ้อมไปเขย่าแขนเสื้อม่านฟ้าเป็นเด็กๆ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ขืนม่านฟ้าตอบออกมาว่าพูดเล่น สงสัยว่าคงได้มีคนร้องไห้เป็นแน่

     เพราะตอนนี้ดวงตาของพิธานเป็นประกายระริกอย่างดีใจ

     กับแค่แหวนเงินวงเดียวเอง

     เมื่อฟังคำคะยั้นคะยอไม่ไหวแถมคนตัวโตก็เริ่มเขย่าตัวเขาหนักขึ้น ม่านฟ้าถึงได้ตอบออกไปอย่างคล้ายจะตัดรำคาญ “เออ ใครเขาเล่นกับมึงเล่า ถึงจะไม่ได้แพงอะไรก็เหอะ” ประโยคหลังม่านฟ้าพึมพำออกมาเบาๆ เขาเองก็เขินไม่น้อยแค่พยายามจะเก๊กเอาไว้เท่านั้น

     “อะไรของมึงเนี่ย” พิธานเหมือนคนที่พูดอะไรไม่ออกได้แต่โวยวายออกมาด้วยหน้าแดงๆ “มาตัดหน้ากูแบบนี้ได้ไง”

     “กูก็แค่อยากแปะป้ายจองเอาไว้หน่อย ไม่ได้รึไง” ไม่พูดเปล่าม่านฟ้ายกมือขึ้นแปะหน้าผากพิธานให้เหมือนกำลังแปะป้ายประกาศจองจริงๆ คงเพราะช่วงที่ผ่านมาเหมือนพิธานจะเนื้อหอมขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว ไม่รู้มือดีที่ไหนเอารูปเจ้าตัวไปปล่อยในเพจจนกลายเป็นมีสาวๆ หนุ่มๆ มาเมียงมองเจ้าตัวกันให้เพียบ ม่านฟ้าถึงอยากใช้โอกาสนี้แสดงความเป็นเจ้าของเสียเลย

     “ถ้ามึงไม่อยากใส่ก็แค่เก็บไว้ก็ได้ กูก็แค่อยากให้ วันเกิดมึงครั้งที่แล้วก็ยังไม่ได้ให้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถือว่าควบกับวันนี้ไปเลยทีเดียว” ม่านฟ้าพูดออกมาอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ เพราะพิธานยืนค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนโดนแปะแข็งจนเขาทำอะไรไม่ถูก

     พิธานได้ยินคนรักพูดแล้วก็เผยยิ้มกว้าง หนุ่มหลายคนอาจไม่ชอบให้แฟนแสดงความเป็นเจ้าของแต่บอกเลยว่าไม่ใช่กับพิธาน ยิ่งเห็นม่านฟ้าทำท่าประดักประเดิดเขายิ่งฉีกยิ้มจนแทบจะถึงใบหู ชายหนุ่มร่างสูงลูบหน้าตัวเองแก้เขินแล้วเสหน้าไปทางอื่นก่อนจะสะดุ้งเฮือก

     ภูหมอกโผล่มายื่นข้างพวกเขาอีกครั้งตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบแต่สายตาของเด็กหนุ่มถลนจ้องแหวนในมือเขาอย่างตกใจ พิธานรีบกำแหวนเอาไว้โดยสัญชาตญาณ ก่อนได้ยินเด็กหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ อย่างไร้ความหมาย

     “พี่พีทที่เหมือนแม่ศรีเรือน ทำกับข้าวเก่งแถมยังขี้บ่นจุกจิก มาตอนนี้พี่เมฆก็เป็นคนให้แหวนอีก”

     แต่สื่ออะไรแปลกๆ

     "..." พิธานขมวดคิ้วกับคำพึมพำนั้น

     "...!!" ก่อนเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมากะทันหันแล้วทำท่าเหมือนแก้โจทย์เลขสุดหินได้ “หรือว่า... โอ้ว! นี่หมอกเข้าใจผิดฝั่งมาตลอดเหรอเนี่ย!!”

     พิธานเข้าใจความหัวร้อนของการเติมคำในช่องว่างก็ตอนนี้ รู้ซึ้งถึงคำว่ากรรมติดจรวดแถมด้วยคำว่า ‘โอ้ว!’ ของภูหมอกก็ดันใส่สำเนียงอเมริกันพร้อมห่อปากออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้และทำให้เจ็บใจเป็นที่สุด

     “โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะพี่พีท หมอกเข้าใจ บางทีเราก็ไม่ได้อยากตัวโตขนาดนี้หรอกเนอะ” เด็กหนุ่มพูดเสริมก่อนยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูพิธาน

     “แต่ไม่เป็นไร ส่วนสูงไม่ได้มีผลในแนวราบหรอกเนอะ..พี่สะใภ้”

     ความโรแมนติกของการมอบแหวนแทนใจมลายหายไปทันที

     “ไอ้หมอก!!!”




     รสชาตินุ่มละมุนของไวน์แดงที่เจือความฝาดเล็กน้อยทำให้นทียกขึ้นจิบอย่างเพลิดเพลิน สายตาของเธอมองเหม่อออกไปยังสนามหญ้าที่พวกทโมนทั้งหลายกำลังยืนคุยกันเจี๊ยวจ๊าวอยู่

     “นี่มันวันอะไรเนี่ยฮะ ถึงได้มาจัดงานกินเลี้ยงกันแบบนี้” นทีถามลอยๆ ขึ้นมาแต่ไม่พ้นคนที่นั่งม้าหินเดียวกันต้องเป็นผู้ตอบ

     “วันเกิดอยากจะกินของไอ้เมฆมัน อะไรของมันไม่รู้ บอกอยากนัดกินข้าวแล้วก็วิ่งวุ่นซื้อของเตรียมสถานที่ให้ยุ่งไปหมด” แถมยังหลอกล่อเขาให้ยอมชวนนทีมากินข้าวด้วยกันวันนี้อีก

     นทีมองตาแก่ขี้บ่นที่หลานชายชอบเอ่ยถึงแล้วก็คิดว่าจริง ดูก็รู้ว่านภดลก็รู้สึกสนุกและมีความสุขกับงานเลี้ยงครั้งนี้แต่ก็ยังทำเป็นบ่นโน่นบ่นนี่เหมือนรำคาญเต็มแก่

     นภดลเปลี่ยนไปมากจากครั้งสุดท้ายที่เธอเคยเห็น ใช่ เคยเห็นไม่ใช่เคยเจอ เธอเพียงเห็นพี่ชายที่วิ่งวุ่นอยู่ในงานศพของพ่อขณะที่เธอแอบมางานตามคำเชิญของพี่สะใภ้ เรื่องราวของเธอนั้น แม้แต่วันสุดท้ายที่พ่อจากไปเธอก็ยังไม่ได้รับการยอมรับหรือให้อภัย ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปแม้แต่งานศพเพราะเธอจะทำให้พ่อต้องเสียเกียรติแม้ในวันสุดท้ายของชีวิต

     เรื่องราวของแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวอาจไม่เหมือนกัน บางบ้านอาจยอมรับได้ง่ายๆ บางบ้านอาจเหนื่อยแทบตายกว่าจะได้รับการยอมรับหรือบางบ้านต่อให้ตายกันไปข้างก็จะไม่มีวันนั้น ม่านฟ้าและภูหมอกอาจโชคดีกว่าเธอที่สุดท้ายเรื่องก็จบลงอย่างแฮปปี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะโชคช่วย ความพยายามของพวกเด็กๆ หรือความรักในครอบครัวที่มีมากกว่าทิฐิในใจ

     นทีปล่อยความคิดของตัวเองให้ไหลไปกับกระแสของวันเวลา คิดว่าผ่านมานานขนาดนี้หัวใจของเธอคงด้านชากับเรื่องนี้แล้ว แต่เมื่อย้อนคิดดูถึงได้รู้ว่ายังมีความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่

     “อย่างกับแกแช่งฉันเลยนะ” เสียงของนภดลดังขึ้นดึงนทีออกจากภวังค์ “เพราะฉันด่าแกเรื่องที่แกเป็นแบบนี้ สุดท้ายลูกชายสองคนของฉันก็ดันเป็นอย่างที่ฉันด่าแกไปซะหมด”

     ผู้เป็นน้องหันกลับมามองหน้าพี่ชาย เธอถอนหายใจพร้อมเบะปากเล็กน้อยกับคำพูดนั้นก่อนสวนออกไป “แช่งบ้าแช่งบออะไร ‘แช่ง’ เขาไว้ใช้กับเรื่องไม่ดี สิ่งที่ไอเมฆหรือไอหมอกเป็นมันไม่ใช่สิ่งไม่ดีเสียหน่อย เมื่อไหร่จะเข้าใจ มันก็แค่เพศสภาพหนึ่งที่เขาเลือกด้วยตัวเอง”

     "..."

     “ครอบครัวคนจีนข้างๆ บ้านเดิมเราเธอจำได้ไหม เมื่อก่อนที่ลูกคนโตเขาเป็นลูกสาวแล้วไม่มีใครในบ้านรัก เรียนก็ไม่ให้เรียนต่อจบแค่ม.3 ทั้งที่เขาเป็นคนดีและก็ขยันทำมาหากิน แต่น้องชายที่เกเรสอบเข้ามหาลัยไม่ได้พ่อแม่กลับส่งเรียนเอกชน เธอยังบอกอยู่เลยว่าแค่เรื่องเพศทำไมต้องไปเกลียดเขา คนเราดีไม่ดีทำไมไม่ดูกันที่พฤติกรรม วันนั้นเธอยังบอกบ้านนั้นไม่มีเหตุผลอยู่เลย แล้วนี่มันต่างกันยังไง แก่จนหัวหงอกแล้วเมื่อไหร่เธอจะเข้าใจซะที”

     นทีบ่นออกมายืดยาว ไม่กล้าบอกออกไปว่าเพราะคำพูดของพี่ชายในวันนั้นทำให้เธอกล้าตัดสินใจที่จะบอกเรื่องของเธอกับครอบครัว เธอคิดขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อยแล้วทำไมจึงต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ

     หญิงวัยกลางคนคว้ามือของพี่ชายขึ้นมากุมไว้ หันหน้าไปมองนภดลอย่างจริงจัง “ฉันขอได้ไหม ฉันรักพวกมัน ฉันไม่อยากให้พวกมันต้องมาเจออย่างที่ฉันเคยเจอ เธอไม่รักมันรึไง” คนที่นทีพูดถึงคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลานชายทั้งสองคนของเธอ

     “ก็เพราะว่าฉันรักมันไง ฉันถึงต้องทนอยู่อย่างนี้” นภดลพูดตอบ เขาไม่หันไปสบตากับน้องแต่ก็ยังปล่อยให้อีกคนกุมมือไว้อย่างนั้น

     “แล้วทำไมต้องทน เธอไม่จำเป็นต้องทนเลย แค่เธอเปิดใจเท่านั้นแหละ”

     นภดลส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงเอาแต่บอกให้เขาเปิดใจ ลดอคติและวางทิฐิลงทั้งภรรยาของเขา ลูกชาย พิธานหรือแม้แต่นทีเองก็ด้วย เล่นพูดกันซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้จนเขาจะปลงโลกออกบวชอยู่แล้ว

     “พี่นภ” นทีที่เห็นพี่ชายส่ายหน้าเหมือนปฏิเสธก็ถอนหายใจออกมาอีกหนกระชับมือของพี่ชายแน่นขึ้นอีก “ทีขอนะ ทีไม่ได้ขอให้พี่ยอมรับที ทีอยู่ได้ แต่ลูกของพี่ถึงมันจะอยู่กันได้แต่มันไม่มีความสุขหรอกถ้าพี่ยังเป็นทุกข์อยู่แบบนี้ มันรักพี่มากนะ ถ้าพี่ต้องอยู่ด้วยความอดทนแบบนี้สักวันความอดทนมันก็จะขาด แต่แค่พี่เปิดใจพี่ก็จะเห็นความสุขได้เอง”

     “...” นภดลไม่ได้ตอบคำถามของน้องกลับนั่งเฉยอยู่อย่างนั้น นทีจึงต้องเร่งอีกหน “ทีขอเถอะนะพี่”

     เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ เพียงแต่เสียงที่พูดออกมาก็ทำให้นทีคลี่ยิ้ม

     “อืม ฉันจะลองดู”

     นภดลก็แค่ตอบปัดรำคาญน้องไปเท่านั้น เพราะถึงจะทำเก๊กไปมากมายนภดลก็รู้ดีว่าเขาได้เปิดใจให้กับเด็กพวกนั้นรวมถึงคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขามาสักพักแล้ว

     นทีกำลังจะผละมือออกจากฝ่ามือของพี่ชายแต่กลับถูกกระชับไว้ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อย การกระทำแปลกๆ นั้นทำให้นทีเลิกคิ้วอย่างแปลกใจและหันกลับไปมองคนข้างตัว

     “แกเองน่ะ…” มือที่ผละออกจากนทีเอื้อมไปหยิบแก้วไวน์มาเขย่าเล็กน้อย เขาก้มลงไปดมกลิ่นหอมของมันและจดจ้องสายตาลงไปในแก้วทรงสูงราวกับมันมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ในนั้น

     .

     .

     “ถ้าว่างๆ จะแวะมาที่บ้านบ้างก็ได้นะ”

     สายตาของนทีกระทบแสงไฟจนเห็นคล้ายแสงสะท้อนของหยดน้ำ นทีสูดลมหายใจเข้าพลางคว้าแก้วไวน์ของตัวเองมาก้มมองบ้าง

     “ก็ได้ แต่ฉันมาหาหลานนะ ฉันแค่คิดถึงหลานฉัน”




     ตอนจบบริบูรณ์ในนิยายรักโรแมนติกควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ คู่พระนางต้องรายล้อมไปด้วยฉากธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่ ทะเลกว้างไกลสุดหูสุดตา ภูเขาที่เรียงซ้อนกันเป็นกำแพงธรรมชาติหรือตึกระฟ้าท่ามกลางไฟประดับระยิบตา บทสรุปของเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีสถานที่เหล่านั้นหรอก เพียงแค่กลับมาที่บ้าน สนามหญ้าหลังบ้านของเขาที่มีครอบครัวรออยู่กันพร้อมหน้า นั่นก็คือตอนจบที่บริบูรณ์ที่สุดสำหรับเขาแล้ว

     ม่านฟ้าเหม่อมองออกไปยังม้าหินที่ผู้เป็นพ่อและอานั่งอยู่ด้วยกันจากภายในบ้านพร้อมกอดถังน้ำแข็งที่กลับเข้ามาเอาไว้ เขาไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันเพียงแต่ท่าทางและรอยยิ้มที่เห็นก็ทำให้เขารู้ว่านั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความสัมพันธ์ที่เกือบจะตัดขาดกันไปแล้ว

     ชายหนุ่มสะดุ้งตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแขนใครบางคนที่สอดเข้ามาด้านหลังและกอดเขาเอาไว้ กระติกน้ำแข็งในมือถูกอีกคนยกไปวางไว้ข้างตัวก่อนที่คนมาใหม่จะวางคางลงบนบ่าและมองเหม่อไปยังทิศเดียวกับเขา

     พิธานหันมาจูบที่ขมับคนรักเบาๆ พร้อมกระซิบ “ขอบคุณนะมึง วันนี้กูโคตรมีความสุข” คำพูดที่ต่อให้พูดเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ

     สายตาที่มองมาของพิธานทำให้ม่านฟ้าคลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน “ก็บอกแล้วไง วันครบรอบห้าปีของเรากูอยากให้มึงมากินข้าวที่บ้านกู…”

     “มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกู”

     รอยยิ้มของพิธานเผยออกกว้าง ยิ้มที่ทำให้โลกรอบด้านสว่างขึ้นไม่ต่างจากวันแรกที่เห็นรอยยิ้มหน้าบ้านหลังนี้

     “ขอบคุณนะ”

     เสียงขอบคุณสุดท้ายถูกกล่าวพร้อมกันก่อนแทนที่คำขอบคุณด้วยสัมผัสแนบชิดผ่านริมฝีปาก


     The End



     (มีแถมด้านล่าง)

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Achaya ที่ 22-11-2021 21:20:10
ภาคความจริง : บทส่งท้าย (แถม)

     แถม1

     เมื่อผละริมฝีปากออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างมองตา ม่านฟ้าลูบหลังมือของคนที่กอดเอวเขาอยู่เบาๆ สัมผัสถึงแหวนที่คนเห่อเอามาใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายเป็นที่เรียบร้อยก็คลี่ยิ้ม แล้วดึงมือของอีกคนขึ้นมาจูบเบาๆ

     ...ก่อนจะขมวดคิ้ว

     "มือมึงมีแต่กลิ่นซอสหมัก"

     ม่านฟ้ายู่หน้าแกล้งทำท่ารังเกียจใส่ พิธานถึงได้ก้มลงไปหอมหัวม่านฟ้าแล้วบ่นออกมาเหมือนกัน

     "หัวมึงแม่งก็มีแต่กลิ่นหมูปิ้ง"

     ไม่ต้องพูดถึงจูบรสบาร์บีคิวเมื่อกี้แต่ต่างฝ่ายต่างรู้กัน

     "..."

     "..."

     ความเงียบกลืนกินสองคนอยู่ครู่หนึ่ง สายตาสองคู่จ้องกันราวกับกำลังวัดใจ ริมฝีปากของม่านฟ้าถูกเม้มแน่น ขณะที่คิ้วเข้มของพิธานก็ขมวดลง ก่อนที่ทั้งคู่จะ..

     ระเบิดเสียงหัวเราะผสานกันออกมา

     พร้อมความสุขที่อบอวลไปทั่วบ้านหลังนี้



     แถม2

     หลังส่งนทีกลับบ้าน แทนที่พิธานจะพาคนรักที่ติดรถไปด้วยมาส่งบ้านโดยสวัสดิภาพ กลับฉุดคุณแฟนไปที่บ้านตัวเองเพื่อทำมิดีมิร้ายเสียก่อน ม่านฟ้าที่ทั้งตัวยังมีแต่กลิ่นบาร์บีคิวถูกคนรักกินไปถึงสองรอบอย่างเอร็ดอร่อย พิธานที่พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้กินไปมากกว่านี้รีบพาม่านฟ้าไปส่งที่บ้านก่อนที่จะอดใจไม่ไหว

     ภูหมอกถึงกับงุนงงเมื่อพี่ชายรีบกลับมาอาบน้ำและหลับไปอย่างรวดเร็ว

     สงสัยวิ่งวุ่นทั้งวันคงเหนื่อย

     เด็กหนุ่มพยักหน้าเข้าใจกับตัวเองแล้วปิดไฟในห้องนอน โดยที่ไม่รู้ว่าพี่ชายเปิดเปลือกตาขึ้นมาพร้อมกับกัดฟัน เขาขยับตัวเมื่อความรู้สึกปวดที่สะโพกยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ไม่ให้ใครรู้

     เรื่องบางเรื่องก็ให้มันเป็นความลับต่อไปเถอะ




     Achaya (Writer) : จบจริงๆ แล้วจ้า ทั้งโล่งใจ ดีใจแล้วก็ใจหายจริงๆ เคยอ่านที่นักเขียนหลายคนบอกว่าใจหายเมื่อแต่งนิยายจบมาเยอะ แต่เพิ่งมารู้สึกเองครั้งแรกเลย ขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่เข้ามาอ่าน

     ทุกๆ คอมเมนต์ของคุณ AkuaPink คุณNattie69 คุณNoM!_KunG คุณKong6336 คุณGagagade คุณfc_fic พวกคุณคือบุคคลสำคัญที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สามารถลงมาได้จนถึงตอนจบ เป็นแขกประจำที่เห็นแล้วใจชื้นมากๆ เลย การมีคอมเมนต์ของคุณทำให้เรารู้สึกว่ายุ่งแค่ไหนก็จะพยายามลงให้ได้ แม้เหลือแค่หนึ่งคนที่ยังรออ่านอยู่เราก็จะลง รวมทั้งคุณMayuYume คุณกาแฟมั้ยฮะจ้าว คุณblove คุณAc118 ที่เข้ามาคอมเมนต์และนักอ่านท่านอื่นๆ ที่เข้ามาอ่านกันแม้จะไม่ได้แสดงตนด้วยนะคะ

     สำหรับใครที่อยากรู้ว่า พิธานจะทวงสัญญายังไงแล้วเรื่องราวช่วงนั้นเป็นยังไง เดี๋ยวรอตามต่อใน ‘ตอนพิเศษ’ ที่จะลงให้นะคะ ตอนนี้กำลังปั่น จะพยายามลงให้ทันอาทิตย์หน้าหรือไม่ก็อีกอาทิตย์ถัดไป

     ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ

หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-11-2021 22:31:36
สนุกมากค่ะ จุดหักมุมก็เก๋
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-11-2021 23:26:41
ขอบคุณคนเขียนเหมือนกันนะที่ไม่ทิ้งสิ่งที่ตัวเองสร้างมา

ลุ้นกันจนจบ มีความสุขกันสักที

ขอบคุณอีกครั้งน้า
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 23-12-2021 01:22:04
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Goldenfishja ที่ 08-01-2022 13:14:20
 เป็นฝันร้ายที่ทำเอาคนอ่านใจเสียไปด้วยเลยจริงๆ นะ แต่หักมุมได้ดีมากก  o13 o13
หัวข้อ: Re: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 03-05-2022 00:02:24
ชอบมากเลยครับ เป็นอีกเรื่องที่เขียนได้เห็นมุมมองLGBTQ ในสังคมได้ดีครับ