ภาคความจริง : บทที่ 10
พิธานทำอะไรโดยใช้ความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก เขาค่อนข้างเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง อย่างเรื่องคราวก่อนที่ระแวงเรื่องการนอกใจของม่านฟ้า แม้ความจริงจะปรากฏว่าม่านฟ้าไม่ได้คิดอะไรกับน้องรหัสคนนั้นแต่ตอนแรกผู้หญิงคนนั้นก็แอบชอบแฟนของเขาจริงๆ
คราวนี้ก็เช่นกัน เขามีลางสังหรณ์บางอย่างเกี่ยวกับเพื่อนบ้านคนนั้นทำให้เขาคิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นเร็วๆ นี้ จึงเผลอกดดันคนรักไปหลายครั้ง รู้ดีว่าพูดไปก็มีแต่จะทำให้คนรักกังวล แต่ก็ไม่อยากปล่อยไว้จนเกิดปัญหาขึ้นก่อน
“แต่การที่ต้องปิดบัง และรอคอยไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดน่ะ...มันทรมานนะ”
อยากจะตบปากตัวเองสักทีที่พูดแบบนั้นออกไป
เขาเผลอพูดออกไปเพราะความน้อยใจลึกๆ แต่แค่นี้ม่านฟ้าก็มีเรื่องให้เครียดมากแล้ว แทนที่จะเป็นกำลังใจกลับไปย้ำคนรักเช่นนั้นอีก
พิธานพยายามบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรและทำหัวให้โล่งก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง ความเหนื่อยล้าสะสมของการเล่นกีฬาในวันนี้ทำให้เขาเคลิ้มไปกับเตียงนุ่มอุ่นนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หลับลงอย่างเป็นสุข เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดขึ้นกลับขัดความสุนทรีย์ในการนอนของเขาไปจนหมด
ชักเข้าใจอารมณ์ของคนรักเวลาเขาโทรไปกวนตอนนอนแล้วสิ
ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เบอร์ของภูหมอกที่โทรเข้ามาในเวลาเช่นนี้เปลี่ยนอารมณ์หงุดหงิดของกลายเป็นหายใจไม่ทั่วท้องแทน
“ฮาโหล”
‘พี่พีททท ฮึก ช่วยด้วย’
อา ลางไม่ดีจริงๆ ด้วยสิ
----
พิธานตระเวนขับรถหาคนรักจนทั่ว โทรศัพท์ของม่านฟ้าถูกปิดเอาไว้ เขาที่ทั้งห่วงทั้งหัวเสียฟาดมือเข้ากับพวงมาลัยพร้อมถอนหายใจออกมาหนักๆ
ทั้งที่ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ ยามมีปัญหาเท่านั้น แต่ก็กลับทำไม่ได้
ภูหมอกโทรมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งการที่พ่อเจอเครื่องสำอาง การทะเลาะกันของม่านฟ้าและพ่อที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเครื่องสำอางเหล่านั้นเป็นของม่านฟ้า ไปจนถึงผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างการเตลิดหายไปจากบ้านของคนรัก
ความรู้สึกโกรธของพิธานทุเลาลงเปลี่ยนเป็นความโล่งใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักหลังบานประตูห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง เจ้าตัวให้เขาเข้าไปนั่งด้วยในห้องอย่างมึนงง รอจนเวลาผ่านไปสักพัก ความโมโหของเขาก็กลับมาเมื่อเริ่มคุยกันอีกครั้งจนเผลอตวาดคนรักออกไป
เขาแค่กลัวว่าสิ่งที่ม่านฟ้าทำไปเป็นเพราะตั้งใจรับผิดแทนน้องชาย
เสียงร้องไห้ของคนรักทำให้เขาดึงสติตัวเองกลับมาอีกครั้งแล้วถอนหายใจ ต่อให้เคยคิดว่าชอบดวงตาคู่สวยนี้เวลาทำหน้าเศร้าเพียงใดแต่ก็ไม่คิดอยากให้เจ้าตัวต้องเศร้าเลยสักครั้ง ยิ่งแพขนตาหนาที่ตอนนี้พรมไปด้วยน้ำตาและเสียงสะอื้นก็ทำให้เขาใจอ่อนลงอีกครั้ง
“มานี่มา”
เขารับตัวของม่านฟ้าเข้ามาในอ้อมกอด ปล่อยให้เจ้าตัวร้องไห้และระบายออกมาจนพอใจ "กูแค่โกรธ ถึงประชดออกไปแบบนั้น เหมือนเขาพุ่งเป้ามาที่กูแต่แรกอยู่แล้วว่าเป็นกู ต่อให้ไอหมอกมันจะร้องไห้ออกมาเขาก็คิดว่าเพราะกูไปกดดันน้องให้เก็บความลับ น้องถึงได้ร้องไห้แบบนั้น"
พิธานรู้สึกถึงแรงจากฝ่ามือที่กำแน่นบนเสื้อของเขา คนตัวโตกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นของอีกคน เขารับฟังเรื่องราวจากปากของม่านฟ้าอีกครั้ง ถ้อยคำรุนแรงหลายคำจากผู้เป็นพ่อทำให้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมม่านฟ้าถึงเตลิดออกมาและร้องไห้หนักแบบนี้
คำพูดบางคำมันหนักหนาเกินไปจริงๆ
ชายหนุ่มร่างสูงกอดคนรักเอาไว้และโยกตัวเบาๆ เหมือนกล่อมเด็ก เขาไม่แสดงความเห็นหรือเอ่ยปลอบใจม่านฟ้ากับคำพูดเหล่านั้น รู้ดีว่าต่อให้พูดมากไปก็ลบเลือนสิ่งที่ม่านฟ้าเจอมาไม่ได้
ทำได้เพียงกอดไว้ให้แน่น ให้ร่างกายของม่านฟ้าจดจำความอบอุ่นของการมีเขาอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่เลวร้ายเช่นนี้
หลังม่านฟ้าร้องไห้จนเริ่มหมดแรง พิธานที่นั่งกอดคนรักก็ตบหลังอีกคนอย่างแผ่วเบาและพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับการกระทำออกไป
“กูไม่อยากปลอบมึงเลย” ชายร่างสูงพูดแล้วดึงคนรักออกจากอก พยายามไม่สนใจใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่น่าสงสารของคนรักและรู้สึกถึงอารมณ์ของตัวเองที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกหน “กูโกรธมึงอยู่รู้ไหม ทำไมถึงไม่มาหากู ต่อให้เจอเรื่องหนักแค่ไหนแต่อย่างน้อยเกิดเรื่องก็บอกกูสักคำ ทำไมถึงหนีออกมาแบบนี้”
“ตะ ตอนนั้นกู...กูคิดว่าอยากอยู่คนเดียว” เสียงที่กดต่ำลงของคนรักทำให้ม่านฟ้าเริ่มพูดติดขัด สำหรับเขานอกจากพ่อก็มีพิธานเวลาโกรธเนี่ยแหละที่เขากลัวมากที่สุด
“ถ้าปกติมึงอยากอยู่คนเดียว แล้วมึงขังตัวเองอยู่ในห้องยังไงกูก็ไม่ว่า แต่ขอให้กูรู้ว่ามึงอยู่ที่ไหน ให้กูรู้ว่ามึงยังอยู่ดี ไม่ใช่หนีเตลิดไปไม่บอกใครแบบนี้ แต่นี่มึงไม่บอกกู ไม่บอกที่บ้านมึงสักคำว่าไปไหนแล้วไม่ให้กูห่วงได้ยังไง”
ท่อนสุดท้ายของประโยคเหมือนพิธานจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ถึงกดเสียงต่ำออกมาเมื่อเด็กดื้อยังไม่ยอมหยุดเถียง ม่านฟ้าหดคอลงอย่างหวาดๆ รู้ดีว่าคนรักเวลาโมโหน่ากลัวแค่ไหน จึงไม่คิดเถียงอะไรอีก
“จากนี้ไปกูขอได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คิดถึงกูเป็นคนแรก” เสียงของพิธานติดจะสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะความโมโหอย่างเมื่อครู่ ชายหนุ่มร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกระงับความน้อยใจที่ผุดขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ให้กูได้อยู่ข้างๆ มึง จะฐานะเหี้ยอะไรก็ได้ แต่อย่าทำให้กูห่วงที่ไม่รู้ว่ามึงไปอยู่ที่ไหนแบบนี้อีก”
พิธานคิดว่าทั้งความรู้สึกน้อยใจ โกรธและเป็นห่วงที่ปะปนกันมาตลอดทางที่ตามหาคนรักได้จางลงไปแล้วเมื่อได้เจอหน้าแต่จนถึงตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันยังกรุ่นอยู่ในอกตลอด เขาเห็นคนรักเม้มปากเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเขาพร้อมน้ำตาที่ร่วงลงไปบนตัก พยักหน้าตอบรับเขาเล็กน้อยแล้วดึงชายเสื้อเขาไว้เบาๆ
“ขอโทษครับ”
คนถูกขอโทษถอนหายใจออกมา มองคนที่ก้มหน้าหงอลงไปอีกครั้งแล้วเขย่าหัวคนรักอย่างแรงแต่อารมณ์ที่เคยรุนแรงกลับเริ่มสงบลงอีกครั้ง “แล้วบอกว่าไม่อ้อน”
“คราวนี้อ้อน ยอมรับ”
เสียงอ้อมแอ้มในลำคออย่างยอมจำนนของม่านฟ้าทำให้พิธานหลุดยิ้ม ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าให้คนรักแล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนทำท่าจะเดินไปที่ประตูห้อง “เดี๋ยวกูลงไปเอาเสื้อผ้าสำรองในรถก่อน”
พิธานส่งข้อความไปบอกภูหมอกตั้งแต่รู้ว่าม่านฟ้าพักอยู่ที่โรงแรมนี้จากพนักงาน ในตอนนี้จึงไม่ต้องห่วงอะไรอีก แต่การกระทำและคำพูดนั้นกลับทำให้ม่านฟ้าแสดงสีหน้างุนงงออกมา
“มึงจะนอนนี่เหรอ”
คนที่กำลังจะก้าวขาออกจากประตูหันมามองเจ้าของห้องอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเย็น
“นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วที่รัก มึงจะให้กูกลับบ้านอีกเหรอ” พิธานหันกลับมามองคนรักเต็มตาแล้วพูดอย่างติดจะกวนปนหมั่นไส้ “หรือยังอยากอยู่คนเดียวอีก จะให้กูไปนอนห้องข้างๆ เอาไหม”
แม้ม่านฟ้าจะยังนึกไม่ออกว่าแค่คำถามนั้นทำไมถึงทำให้คนรักทำหน้าตาน่ากลัวออกมาอีก แต่ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธไว้ก่อน จนเมื่อคนรักกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเป๋าใบย่อมที่เขาเคยเห็นเจ้าตัวหิ้วไปเวลามีเล่นกีฬา เขาก็ถูกคนรักสั่งขึ้นมาอีกหน
“ไปอาบน้ำ” พิธานส่ายหน้าเมื่อขึ้นมาแล้วยังเจอคนรักนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิมราวกับถูกสตัฟฟ์ไว้แล้วเริ่มบ่นต่อ “ออกมาก็ไม่เอาอะไรมาสักอย่าง มึงกะจะนอนทั้งที่ไม่อาบน้ำเลยใช่ม่ะ”
พิธานรู้ตัวว่ากลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไปแล้วแต่ก็หยุดตัวเองไม่ให้บ่นไม่ได้ มองม่านฟ้าที่นิ่งเงียบไม่ตอบรับคำใดก็รู้ว่านั้นคือการยอมรับข้อกล่าวหาตามสไตล์ม่านฟ้า เพียงแต่เป็นม่านฟ้าในเวลาที่พลังงานใกล้หมดเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงโยนเสื้อผ้าตัวเองชุดหนึ่งในกระเป๋าให้คนบนเตียงแล้วเอ่ยปากไล่ “ไป ไอ้เน่า ไปอาบน้ำ”
จนเมื่อไล่มนุษย์ถ่านอ่อนอย่างม่านฟ้าเข้าห้องน้ำไปแล้ว เขาถึงหยิบเสื้อผ้าออกมาอีกชุดเพื่อเตรียมอาบต่อ ทั้งที่ตนอาบน้ำมาแล้ว แต่วิ่งวุ่นไปมาขนาดนี้ไม่อาบอีกรอบก็คงไม่ไหว โชคดีที่มีเสื้อผ้าสำรองอยู่พอสมควร ไม่เช่นนั้นคงต้องนอนเน่ากันทั้งคู่
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่เวลา อารมณ์ของม่านฟ้ายามนี้คงไม่คิดจะเขินหรือโรแมนติกอะไรแล้ว แต่นี่คือการนอนค้างด้วยกันครั้งแรกของพวกเขา ไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ที่เป็นบวกเพียงแค่ขอให้มันไม่เป็นลบก็พอ
หลังทั้งคู่อาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนขนาดควีนส์ไซส์ เพราะม่านฟ้าคิดว่าจะนอนคนเดียวจึงจองห้องเตียงเดี่ยวเอาไว้ ในเวลานี้ที่มีแขกกิตติมศักดิ์มาร่วมพักด้วยจึงต้องนอนด้วยกันอย่างไม่มีทางเลือก
พิธานหลับตาลงพยายามดึงความง่วงของตัวเองที่เคยเกือบจะได้หลับไปแล้วรอบหนึ่งกลับมา แต่เสียงถอนหายใจของคนข้างตัวทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง พิธานหันไปมองผู้ร่วมเตียงอีกคนที่ตอนนี้นอนนิ่งมองเพดานด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ดวงตาคู่สวยที่บวมขึ้นเล็กน้อยแต่กลับไม่มีวี่แววของความง่วงเลยสักนิดทำให้พิธานรู้ได้ทันทีว่าม่านฟ้ายังคงคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่
“เมฆนอน”
คำสั่งเรียบง่ายดังขึ้นอีกครั้งพร้อมการพลิกตัวนอนตะแคงหันไปหาคนคิดมาก
ม่านฟ้าเหลือบตามองคนรักที่หันมาหาพร้อมกางแขนออก เขาชะงักไปเล็กน้อยจากความรู้สึกเขินที่ก่อตัวขึ้น แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วเมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องจุกจิกเหล่านี้ก่อนขยับตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย รู้สึกถึงแขนที่รัดรอบเอวและสัมผัสอุ่นบนหน้าผาก
เขารู้ดีว่าเรื่องทุกอย่างบานปลายมาถึงขั้นนี้เพราะเขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ในช่วงเวลานั้นเขาเพียงแต่ต้องการหยุดการลงไม้ลงมือของพ่อ ไม่คิดว่าตนเองจะกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยของพ่อเสียเอง คำพูดที่พูดออกไปในยามนั้นนอกจากความน้อยใจจนประชดประชันออกมา ยังแฝงไปด้วยความจริงบางอย่างที่เก็บเอาไว้มาตลอด
“ไม่ว่าจะพยายามทำอะไร ยังไงพ่อก็ว่าไม่ดีอยู่แล้วนี่!!!”
ว่ากันว่าคนเมาและคนโมโหจะพูดสิ่งที่ ‘เก็บ’ เอาไว้ในใจออกมา เขาเองก็เป็นคนโมโหที่หลุดคำพูดตัดพ้อเหล่านั้นออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
แล้วสำหรับพ่อ คำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่เก็บไว้ในใจพ่อมาตลอดเหมือนกันรึเปล่า
"กรรมอะไรของกูว่ะ ที่มีลูกอย่างมึง"
“ไม่ต้องไปคิดมันแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยเริ่มใหม่ ค่อยช่วยกันหาทางแก้” พิธานลูบกลุ่มผมของคนในอ้อมแขนแผ่วเบาแล้วก้มลงจูบหน้าผากอีกครั้งอย่างปลอบโยน “นอนซะ ไม่ต้องฝันอะไรทั้งนั้น พักผ่อนให้เต็มที่”
คำพูดของคนรักทำให้ม่านฟ้าคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย คนรักกันทั่วไปมีแต่พูดว่า ‘ฝันดี’ คงมีแต่คนรักของเขานี่แหละที่บอกว่าไม่ต้องฝัน พิธานเคยบอกเขาว่าอย่างไรการหลับโดยไม่ฝันย่อมให้การพักผ่อนที่ดีกว่าการฝันแถมยังมีความเสี่ยงว่าจะเป็นฝันร้ายอีก หรือต่อให้เป็นฝันดีการที่เราตื่นมาและพบว่าฝันดีนั้นหายไปเหลือเพียงความจริงตรงหน้าย่อมทำให้เจ็บปวดไม่น้อย
ม่านฟ้าขยับใบหน้าซุกลงกับบ่าของคนรัก ปล่อยวางเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ลงชั่วคราว สูดกลิ่นสบู่หอมจากคนตรงหน้าแล้วค่อยเคลิ้มหลับไปจากสัมผัสของฝ่ามือที่ตบหลังกล่อมเขาเบาๆ
----
สามวันหลังการทะเลาะกัน ก็ถึงรอบที่ปกติพ่อจะโอนเงินค่าขนมเข้าบัญชีให้ม่านฟ้าพอดี แต่ครั้งนี้กลับไม่มีวี่แววของเงินค่าขนมนั้นแล้วแม้จะผ่านไปอีกหลายวันก็ตาม ดูท่าว่าพ่อจะตัดหางปล่อยวัดเขาแล้วจริงๆ
ม่านฟ้าพยายามดึงตัวเองออกมาจากเรื่องราววันที่ทะเลาะกับพ่อ หาเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ตัวเองทำมากกว่าปกติแต่หลายครั้งที่เผลอก็ยังอดคิดไปถึงคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหล่านั้นไม่ได้
ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมาถึงหอพักนั่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าคงถึงเวลาที่ต้องหางานพิเศษทำแล้ว เขาไม่อยากบอกแม่ให้ต้องกังวลเพิ่มไปอีก เงินเก็บในบัญชีของเขาเองก็ยังพอจะเหลืออยู่จึงไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่แต่จะให้นั่งเฉยๆ ใช้เงินเก็บอย่างเดียวก็คงไม่ไหว
ม่านฟ้าพยายามคิดถึงงานพิเศษที่เด็กมหาลัยอย่างเขาจะพอทำได้ เพื่อนสนิทของเขาหลายคนรับสอนพิเศษให้กับเด็กมัธยมหรือถึงขั้นเด็กประถมเลยก็มี เพียงแต่ช่วงนี้น่าจะเลยช่วงสอบของเด็กมัธยมไปแล้ว คงไม่ค่อยมีคนอยากหาครูพิเศษตอนนี้เท่าไหร่
งานพิเศษอย่างอื่นที่พอจะนึกออกก็มีแต่พาร์ทไทม์ร้านสะดวกซื้อหรือไม่ก็เด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร หลายคนอาจจะรู้สึกอายที่ต้องไปทำงานพิเศษหาเงินใช้แต่ม่านฟ้ารู้ตัวว่าไม่ได้หน้าบางขนาดนั้น เขาเพียงแต่ขี้เกียจและเสียดายที่เวลาในการพักผ่อนของเขาจะน้อยลงเท่านั้นเอง
ม่านฟ้ามองไปยังเตียงชั้นสองที่เป็นของรูมเมทผู้ไม่ค่อยได้กลับห้องของเขา หมอนั่นก็ทำงานพิเศษอยู่เหมือนกันถึงจะไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องเงิน แต่ก็ได้ยินว่าได้เงินไม่น้อย รูมเมทของเขาร้องเพลงอยู่ที่ร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัยแถมยังเคยบอกอีกว่าเด็กเสิร์ฟในร้านมักจะได้ทิปกันวันละไม่น้อย แต่อาจจะทำงานหนักหน่อยจึงมีคนลาออกอยู่เรื่อยๆ
ถ้าให้รูมเมทของเขาดูให้ อาจจะได้งานมาแบบไม่ยากเย็นอะไรนักก็ได้
หนุ่มอักษรฯ คิดได้ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเลื่อนหาเบอร์ของเพื่อนรัก กะว่าจะถามรายละเอียดและค่าจ้างของร้านที่เพื่อนทำอยู่ แต่ก่อนจะได้กดโทรออกก็นึกถึงคำพูดของใครบางคนขึ้นมาได้
“จากนี้ไปกูขอได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คิดถึงกูเป็นคนแรก”
ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเล็กน้อย โล่งอกที่ยังไม่ทันได้โทรหาเพื่อนแต่คิดถึงคนรักขึ้นมาได้ก่อน ขืนคุยกับรูมเมทเสร็จสรรพว่าจะไปทำงานแล้วคุณแฟนตัวดีเพิ่งมารู้เอาทีหลังคงไม่พ้นโดนดุอีกแน่
ร่างสันทัดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคว้ากุญแจห้องพร้อมโทรศัพท์เพื่อเดินออกไปที่ห้องของคนที่กำลังคิดถึง เขาเคาะประตูหน้าห้องของคนรักเบาๆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในจนเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ ม่านฟ้าก้มลงมองกุญแจสำรองที่อยู่ในมือ ลังเลว่าจะเข้าไปนั่งรอคนรักข้างในหรือว่ากลับห้องไปก่อนดี แต่กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง
“เมฆ”
พิธานเลิกคิ้วมองคนรักที่มาหาถึงห้องอย่างแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ม่านฟ้าจะพาร่างของตัวเองออกมาจากห้องได้หากไม่มีเรื่องจำเป็น เขามองคนรักที่มองตอบเขากลับมาตาใสแล้วอดยกมือโยกหัวคนตรงหน้าไม่ได้
“มีอะไรรึเปล่า” ชายหนุ่มเจ้าของห้องถามพลางไขกุญแจห้องแล้วให้คนรักเดินตามเข้ามาก่อนจะปิดประตูลง เขามองคนรักที่เดินไปนั่งบนเตียงแล้วตอบกลับมาง่ายๆ
“กูว่าจะทำงานพิเศษอ่ะ”
“ห้ะ? ”
คำพูดที่กล่าวขึ้นมาแบบไม่มีการเกริ่นใดๆ ทำให้พิธานงุนงงไปไม่น้อย จนเมื่อได้ยินคนรักเริ่มเล่าแผนการที่วางเอาไว้ หัวคิ้วของชายหนุ่มก็เริ่มขมวดขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ต้องเลย ร้านเหล้าไม่ให้ทำแน่ๆ ”
“ห้ะ? ”
คราวนี้เป็นม่านฟ้าที่งุนงงกับคำพูดของคนรัก เขาเพิ่งพูดอยู่ว่าร้านเหล้าน่าจะได้เงินดีที่สุดแต่กลับถูกปฏิเสธมาเป็นอย่างแรก พิธานส่ายหน้าแรงๆ แค่คิดให้คนรักไปทำงานร้านเหล้าแล้วมีคนมองตามก็รู้สึกไม่พอใจแล้ว เวลาม่านฟ้าไปสังสรรค์กับเพื่อนเขาไม่เคยห้ามเพราะรู้ดีว่าม่านฟ้าจะนั่งกินอยู่ที่โต๊ะของตัวเองอย่างเดียว ไม่ได้ไปดึงดูดความสนใจของใครเขาแต่กับการเป็นเด็กเสิร์ฟมันแทบจะเลี่ยงการถูกมองไม่ได้เลย
แค่คิดว่าจะมีไอ้ขี้เมามองตามแฟนเขา พูดจาแทะโลมหรือลวนลามพิธานก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
ม่านฟ้ามองอาการของคนรักที่ดูหงุดหงิดขึ้นมา พอจะเดาความคิดของคนรักออกว่าคงไม่พ้นพฤติกรรมขี้หึงของเจ้าตัวกำเริบอีกแล้ว
“มึงจะหวงอะไรนัก ยังไงกูก็ผู้ชายไหม ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะมาชอบกูนะเว้ย” ม่านฟ้าพูดออกไปแล้วก็ยิ่งคิดว่าคำพูดตัวเองสมเหตุสมผล จึงอดสำทับเข้าไปอีกครั้งไม่ได้ “ทำหยั่งกะเวลาไปร้านเหล้ามึงมองตามเด็กเสิร์ฟอย่างงั้นแหละ”
“กูไม่เคยมองเหอะ!! อย่ามาปรักปรำกู แต่กูไม่มองไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มองไง” พิธานพยายามดึงอารมณ์หึงหวงของตัวเองให้เบาลง แต่ท่าทางของคนรักที่ยังไม่ยอมง่ายๆ แม้เขาจะใช้เหตุผลในแบบของเขาเข้าสู้ จึงได้แต่ค้านหัวชนฝา “ไม่รู้แหละยังไงร้านเหล้ากูก็ไม่ให้ทำ”
“เออ มึงเดือดขนาดนี้ ถ้าขืนกูยังดื้อทำคงได้ทะเลาะกันตลอดแน่”
“คิดได้ก็ดี” ม่านฟ้าถลึงตามองใส่คนรักที่กอดอกเชิดหน้าวางท่าเหมือนคนชนะ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องยอมตลอด แต่ก็ไม่ค้านว่าลึกๆ เขาเองก็ไม่ได้อยากทำงานที่ร้านเหล้าขนาดนั้น ถึงจะเงินดีแต่ถ้าต้องอยู่ในที่เสียงดังๆ แบบนั้นทุกวันคงหูชาแน่แต่ถ้าเป็นพวกร้านสะดวกซื้อ…
“พวกพาร์ทไทม์เซเว่นก็ไม่เอานะ”
ม่านฟ้าถึงกับกลอกตาเมื่อฟังคำพูดต่อมาของคนรัก หันไปจ้องคนรักอย่างคาดคั้นให้พูดเหตุผลดีๆ ของการปฏิเสธครั้งนี้ออกมา ถ้าขืนยังตะแบงงอแงอย่างก่อนหน้านี้ได้มีวางมวยกันแน่
“ก็.. งานพวกนี้กูว่ามันต้องทำงานเป็นกะ แล้วมึงเองก็มีเรียน ถ้าจะทำได้จริงๆ ก็ต้องเป็นกะเย็นกะดึก ดีไม่ดีเดี๋ยวกระทบเรื่องเรียนเข้าไปอีก มึงเองก็พยายามทำเกรดอยู่ไม่ใช่หรือไง ขืนเกรดมาตกเพราะเรื่องแบบนี้กูว่าไม่คุ้มนะ”
พิธานที่ได้รับสายตาของคนรักเข้าไปก็รู้ว่าคราวนี้ตัวเองต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นให้คนรัก ถึงได้พูดอธิบายออกไปยืดยาว พิธานยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองพูดถูกจึงจบประโยคลงอย่างที่คิดว่าสวยงามที่สุด “มึงควรหางานที่บริหารเวลาเองได้ดีกว่านะ”
“งานอะไร”
“...”
แต่ไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนพูด
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างชายหนุ่มสองคนในห้อง พิธานเองก็คิดไม่ทันเหมือนกันว่าจะให้ทำงานอะไรดี ใจจริงเขาไม่อยากให้ม่านฟ้าไปทำงานเลยด้วยซ้ำแต่รู้ดีว่าห้ามไปก็คงห้ามไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องเลือกงานดีๆ ให้กับคนรักเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องมาห่วงทีหลัง
จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก สมองที่ทำงานอย่างหนักของพิธานก็คิดอะไรออกขึ้นมา
“เด็กป๋าม่ะ เดี๋ยวกูเลี้ยงดูมึงเอง”
ป้าบ!
เสียงหมอนหนุนใบโตถูกฟาดเข้าที่หน้าของเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ข้างกัน พิธานยกมือขึ้นมากันไม่ทันถึงได้โดยหมอนนุ่มแต่ความแรงไม่นุ่มตามฟาดจนหน้าหงาย
“เอาดีๆ พีท”
“...ก็กูยังคิดไม่ออก แล้วกูแค่หมายความว่าให้มึงยืมตังค์กูก่อน ไม่ได้หมายความให้เป็นเด็กป๋าที่เอาตัวเข้าแลกแบบนั้นซะหน่อย” เมื่อเจอคนรักดุกลับมาเสียงนิ่ง พิธานถึงได้ตอบกลับไปอย่างอ้อมแอ้มและเถียงข้างๆ คูๆ
ยิ่งเมื่อเห็นม่านฟ้าถอนหายใจใส่และเบือนหน้าไปทางอื่น คนที่เสนอเป็น ‘ป๋า’ ก็ยิ่งร้อนรน “เงินเก็บกูเยอะนะ ไม่ต้องไปทำงานพิเศษก็ได้ ตอนแรกมึงยังบอกเลยไม่ใช่เหรอว่าถ้าโดนไล่ออกจากบ้านจะให้กูเลี้ยงอ่ะ”
เสียงเล็กเสียงน้อยของคนตัวโตที่พยายามเกลี้ยกล่อมทำให้ม่านฟ้ากลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ถึงได้หันหน้าหนีไม่ให้อีกคนได้เห็น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วเก๊กหน้าขรึมหันมาอีกรอบ
“ตอนนั้นกูหมายถึงถ้าเราเรียนจบแล้ว ไม่ใช่ตอนที่มึงก็ยังขอเงินป๊าเงินม้าอยู่เหมือนกันแบบนี้”
พิธานที่ได้ยินคำตอบของคนรักแถมด้วยหน้าตาบึ้งตึงก็บึนปากออกมาอย่างไม่น่ารัก ขมวดคิ้วคิดหาทางออกแล้วเสนอออกมาอีกครั้ง “งั้นกูไปทำงานพิเศษด้วยดีม่ะ ช่วยมึงอีกแรง ได้เท่าไหร่กูให้มึงหมดเลย เป็นเด็กเสิร์ฟร้านเหล้าก็ได้นะ”
ม่านฟ้ามองท่าทางของคนรักที่เอานิ้วจิ้มแก้มทำเป็นคิดก็ทนไม่ไหวหลุดขำออกมาแล้วค้อนวงเล็กๆ ให้คนรัก ทั้งที่บอกเองว่าไม่ให้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟแต่ตัวเองกลับจะไปแทนเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องเลยมึง” หนุ่มวิศวะฯ ตัวโตที่เห็นคนรักยิ้มออกพร้อมบ่นเบาๆ ก็ยิ้มกริ่มตาม เอื้อมมือไปกอดคอคนรักแล้วกระซิบข้างหู “ทำไม กลัวสาวๆ มาติดอกติดใจกูล่ะซี่หรือกลัวว่ากูจะโดนสาวๆ ลวนลาม”
ไม่ว่าเปล่า มือของคนพูดก็เริ่มแสดงตัวอย่างการ ‘ลวนลาม’ กับคนข้างกาย มือหนาลูบไปตามหน้าท้องของคนรักรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งเล็กน้อยก็ยิ่งได้ใจเลื่อนมือลงต่ำไปที่ต้นขาจนม่านฟ้าต้องผลักออกแล้วตีมือปลาหมึกให้หนึ่งทีถึงจะขยับกลับไปนั่งดีๆ ได้
“ใครจะมาเอามึง หน้าหยั่งกะตัวร้ายขนาดนี้” ถึงพูดไปแบบนั้นแต่ไม่ปฏิเสธหรอกว่าหน้าตาอย่างพิธานก็น่าจะดึงดูดสาวได้ไม่น้อย แต่ที่น่ากลัวมากกว่าสาวๆ ก็คือหน้าตาอ้อนเท้าเช่นนี้จะทำให้ไปมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นเสียมากกว่า
พิธานได้ยินข้อกล่าวหานั้นก็บึนปากอีกครั้งแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง จนผ่านไปสักพักถึงรู้ว่าคนข้างตัวคงไม่ง้อจึงหันกลับมาเจอใบหน้ากลั้นยิ้มของคนรัก นึกรู้ว่าโดนแกล้งเข้าอีกแล้วก็ประกบแก้มสองข้างของคนอารมณ์ดีดึงเข้ามาจูบหนักๆ บนหน้าผากอย่างหมั่นไส้
ม่านฟ้ายิ้มกว้างออกมาเมื่อเจอการพาลอย่างน่ารักของอีกคนแล้วไหลตัวลงซบกับบ่าของพิธาน แม้จะถูกคนรักว่าบ่อยๆ ว่าทำตัวเหมือนไม่มีกระดูกแต่ก็ไม่สนใจ
“เนี่ย ว่าเค้าเสร็จแล้วก็มาซบเค้า”
คนซบเงยหน้าขึ้นมามองแล้วทำลอยหน้าลอยตาถามเสียงซื่อ “ทำไม ซบไม่ได้เหรอ”
เจอคำท้าทายเช่นนี้มีเหรอที่พิธานจะตอบเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากคำว่า
“ได้ดิ”
ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวยังกดหัวม่านฟ้าให้ซบกลับลงไปอีกครั้ง
(ต่อด้านล่าง)