บทที่ 11
การสอบวิชาสามัญสำหรับเด็กม.6 จบลงไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือการสอบความถนัดแพทย์อีกหนึ่งตัวซึ่งนับเป็นคะแนนอีก 30% สำหรับการยื่นรับตรง ภายหลังการสอบวันนั้นภูหมอกดูไม่ได้สติแตกอย่างวันแรกที่สอบเสร็จ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะปลงได้แล้วหรือวันที่สองทำข้อสอบได้มากกว่าวันแรก แต่จากการบอกกล่าวของเจ้าตัว เหมือนกับว่าเขาอาจจะต้องเตรียมใจสำหรับการซิ่วของน้องเอาไว้บ้างไม่มากก็น้อย
และนั่นคือเหตุผลที่ม่านฟ้ามานั่งอยู่บนโซฟาข้างบิดาในวันหยุดแทนที่จะตีพุงนอนแผ่อยู่ในห้องนอนขณะนี้
“พ่อ พ่อคิดยังไงถ้า…ไอหมอกมันจะขอซิ่วอีกปี ถ้าปีนี้มันสอบไม่ติดอ่ะ”
คำถามแรกถูกส่งออกไปอย่างตรงประเด็น
เพราะพ่อเป็นคนเข้มงวดกับชีวิตเสมอ และไม่ค่อยยอมผ่อนปรนให้กับเรื่องใดๆ ในชีวิต ดังนั้นม่านฟ้าจึงกังวลเป็นพิเศษกับเรื่องนี้ พ่อมักบอกว่าการยอมเสียเวลาอีกหนึ่งปีเพื่อสอบเข้าเรียน แล้วต้องตามเพื่อนไปหนึ่งปีถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
“ผลสอบยังไม่ออกเลย จะรู้ได้ไง”
พ่อตอบกลับทั้งที่สายตายังจดจ่ออยู่กับข่าวในโทรทัศน์ราวกับเรื่องที่ลูกชายพูดมาเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
“เมฆก็พูดเผื่อไว้ ดูหมอกมันไม่ค่อยโอเคกับสอบที่ผ่านมาเท่าไร”
“เวลามันสอบเสร็จก็บอกทำไม่ได้ทุกที แต่ผลสอบออกมาก็ดีตลอด น้องแกชอบกังวลอะไรมากไปเองก็แค่นั้น”
ม่านฟ้าขมวดคิ้วสับสนความรู้สึกของตนระหว่างหงุดหงิดกับกังวลแทนน้องชาย บิดาของพวกเขาพูดออกมาแบบนี้เหมือนกับว่าพ่อไม่ได้เตรียมใจเผื่อการที่ภูหมอกจะสอบไม่ติดเอาไว้เลย คิดว่าที่ภูหมอกพูดว่าทำไม่ได้เป็นเพียงนิสัยขี้ตื่นของเจ้าตัวเท่านั้น
หากพูดกันตามจริงแล้ว ม่านฟ้าเองก็รู้ถึงพฤติกรรมนี้ของน้องชายดี เขาเองก็แอบคิดว่าคะแนนของภูหมอกอาจไม่แย่อย่างที่เจ้าตัวว่า แต่เขาก็เผื่อใจเอาไว้ไม่น้อย จนต้องลงทุนมาพูดลองเชิงกับพ่อดูก่อน เผื่อไม่ติดขึ้นมาจริงๆ เขาไม่ต้องการให้น้องเสียใจกับเรื่องสอบไม่ติดไม่พอ ยังต้องมาเครียดกับการโดนพ่อบังคับให้สอบเข้าคณะใดคณะหนึ่งที่พ่อเห็นว่าดีแทน
หลายคนอาจมองว่า ‘การซิ่ว’ คือการเสียเวลาเปล่าๆ หนึ่งปี แทนที่จะเข้าเรียนคณะอื่นที่ ‘ก็ทำงานได้เหมือนกัน’ ใช่ เขาไม่ปฏิเสธว่าคณะอื่นก็อาจทำงานได้เหมือนกัน แต่การสอบเข้ามหาลัย หมายถึงคณะที่จะใช้ในการทำงานไปตลอดชีวิต เขาจึงมองว่าควรจะได้เข้าเรียนสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะนั้นอาจเป็นตัวกำหนดแนวทางชีวิตที่เหลืออยู่ก็เป็นได้
“แล้วถ้ามันไม่ติดขึ้นมาจริงๆ อ่ะ”
คำพูดที่ฟังดูดึงดันและติดจะห้วนของลูกชายทำให้ผู้เป็นพ่อหันกลับมามอง
“แล้วมันจะสอบไม่ติดสักคณะเลยรึไง”
นั่นไง เขาว่าแล้วเชียว
ม่านฟ้าถึงกับถอนหายใจออกมา พยายามปลอบตัวเองว่าดีแล้วที่มาพูดกับพ่อไว้เสียแต่เนิ่นๆ อย่างน้อยก็ให้พ่อได้รับรู้และเตรียมใจสักระยะ รู้สึกดีขึ้นมาอีกนิดที่น้ำเสียงที่พ่อใช้ในการพูดยังเป็นโทนเสียงปกติ ไม่ใช่การตวาดอย่างฉุนเฉียวยามพูดเรื่องไม่เข้าหู ทำให้เขายังพอมีหวังว่าการเกลี้ยกล่อมครั้งนี้อาจไม่ยากอย่างที่คิด
“มันไม่เหมือนกันไงพ่อ ต่อให้ติดคณะอื่น แต่ไม่ใช่หมอที่มันอยากเรียนมันก็ไม่มีความหมายป่ะ”
“แล้วแกจะให้ฉันปล่อยน้องแกนั่งเฉยๆ อยู่ปีนึงเพื่อเตรียมสอบอีกทีนะเหรอ”
อย่างไรเสียพ่อที่ยอมรับอะไรได้ง่ายๆ ก็คงไม่ใช่พ่อของเขา
“หมอนะพ่อ คนเขาซิ่วกันปีสองปีปกติจะตาย แค่โตกว่าเพื่อนสักปีนึง ไม่มีใครสนใจหรอก ยังไงหมอก็เรียนจนแก่อยู่แล้ว กับการให้มันไปเรียนคณะอะไรก็ไม่รู้ แถมมันไม่ชอบอีก ดีไม่ดีจะไปไม่รอด โดนไทร์มาแย่กว่าอีกนะ”
หนุ่มอักษรฯ พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ วิธีการพูดเหมือนแกล้งขู่แบบนี้ คงได้ผลกับแค่เด็กประถมเท่านั้น
“...”
หรือตอนนี้ในบ้านเขาจะมีเด็กอยู่หนึ่งคน
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หน้าโซฟานิ่งไปอย่างคนใช้ความคิดทำให้ม่านฟ้าตาโต อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าการเกลี้ยกล่อมห่วยๆ ของเขาจะใช้ได้ผลจริงหรือ
หลายนาทีผ่านไป เสียงในบ้านยังคงมีแต่เสียงของโทรทัศน์ที่ผู้ประกาศข่าวเล่าเรื่องราวอย่างออกรสออกชาติ แต่กลับไม่มีเสียงพูดคุยของคนในบ้านดังโต้ตอบกันสักนิด ม่านฟ้าเลือกที่จะทิ้งเวลาไว้ให้พ่อได้ลองคิดแทนที่จะรีบเซ้าซี้จนเสียโอกาส อย่างน้อยเขาก็พอมองเห็นเค้าลางของการยอมอ่อนข้อของพ่อบ้างแล้ว
“เดี๋ยวรอผลออกมาก่อนเถอะ แล้วจะว่ายังไงค่อยมาคิดกันอีกที”
เพียงแต่จะให้พ่อยอมรับอะไรง่ายๆ ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่พ่อเขาหรอก
ชายหนุ่มอมยิ้มไว้ในแก้มไม่อยากให้บิดาเห็น ถึงคำตอบรับครั้งนี้จะไม่ใช่การตอบตกลงหรือเห็นด้วยเสียทีเดียว แต่แค่ไม่ปฏิเสธดึงดันหรือโวยวายอะไรออกมาก็นับว่าเป็นการตกลงครั้งยิ่งใหญ่สำหรับพ่อแล้ว
.
.
"ยังไงบอกให้เขารู้ด้วยตัวเอง มันน่าจะดีกว่าการถูกจับได้นะเว้ย"
หลังเจรจาเรื่องแรกจบไป ม่านฟ้าก็นึกย้อนไปถึงคำพูดของใครบางคนที่ขู่เขาเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน
ม่านฟ้านั่งทำใจอยู่ครู่หนึ่งหลังจากหาจังหวะดีๆ ในการคุยกับพ่อถึงอีกเรื่องซึ่งเขา ‘ผลัด’ มาตลอด จนกระทั่งถึงช่วงโฆษณา บทสนทนาจึงเริ่มต้นตั้งแต่นั้น
“พ่อ… คือ.. / ฉันจะขึ้นไปงีบสักหน่อย”
“...”
เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ม่านฟ้าถึงกับชะงัก ผู้เป็นพ่อเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดชนเข้ากับลูกชายที่กำลังจะพูดบางอย่างออกมา จึงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“แกจะพูดอะไรนะ”
“...เออ เปล่าครับ”
นภดลนิ่งไปเล็กน้อยมองหน้าลูกชายคนโตที่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบ พยักหน้ารับคำของชายหนุ่ม ไม่อยากซักไซ้ให้มากความ คิดว่าหากเป็นเรื่องสำคัญเจ้าตัวคงพูดออกมาแล้ว
“อืม งั้นถ้าแกไม่ดูทีวีแล้ว ก็ปิดซะด้วยล่ะ”
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น
ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองตามหลังบิดาที่เดินขึ้นชั้นสองไปอย่างเหนื่อยใจ แล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง ทั้งที่ยังไม่ทันได้พูดออกไปสักนิด แต่กลับใช้พลังงานในการเตรียมใจไปมากเหลือเกิน
สุดท้ายก็ไม่ได้บอกออกไป
เขาคงเป็นคนขี้ขลาดที่ชอบหนีปัญหาอย่างที่พิธานชอบปรามาสไว้จริงๆ
.
.
.
หรือบางที เขาควรบอกพ่อตั้งแต่วันนั้น ก่อนที่เรื่องจะบานปลายมาจนถึงขั้นนี้
โครม!!!
เสียงของลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ถูกโยนลงมาจากชั้นสองดังขึ้น ปลุกให้ทั้งบ้านที่เงียบสงบในยามเย็นร้อนระอุขึ้นมาด้วยพายุอารมณ์ของผู้เป็นพ่อ อีกสามชีวิตในบ้านที่อยู่ชั้นล่างต่างตระหนกและวิ่งไปยังตีนบันไดชั้นล่าง เห็นเพียงผู้ก่อเหตุก้าวลงมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าถมึงทึง ยิ่งไม่มีคำอธิบายใดจากปากผู้เป็นพ่อยิ่งทำให้บรรยากาศภายในบ้านมาคุมากขึ้น
ม่านฟ้าเป็นคนแรกที่เริ่มสังเกตลังตรงหน้า ตอนแรกเขาพุ่งเป้าไปที่อารมณ์ของผู้เป็นพ่อแทนสิ่งที่ถูกโยนลงมา โดยคิดว่าเป็นเพียงลังโชคร้ายที่ถูกพ่อระบายอารมณ์ใส่แต่เมื่อสังเกตให้ดี ใบหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือด หัวใจเต้นระรัวเมื่อเข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด
ลังเก็บเครื่องสำอางของภูหมอก
ลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกเปิดออกมาจนเห็นของที่อยู่ภายใน การเจอเครื่องสำอางเยอะแยะในห้องนอนของลูกชายต่อให้ไม่เป็นพ่อของเขาที่ระแวงกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่เป็นคนอื่นมาเจอเช่นนี้ก็คงไม่พ้นคิดไปในทางเดียวกัน
ม่านฟ้าไม่คิดจะหาสาเหตุต่อไปว่าเหตุใดพ่อจึงสามารถเปิดลังที่ล็อคกุญแจไว้ของภูหมอกได้ จะด้วยน้องชายของเขาลืมล็อคเอง ลืมกุญแจไว้บนห้อง หรือจะเป็นเพราะพ่องัดขึ้นมาอย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลเท่าสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญ
“ของใคร”
ประโยคแรกที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวไม่ได้เกินความคาดหมายหนัก แต่เนื้อหาของคำถามพร้อมสายตาแข็งกร้าวที่มองมาทางเขาทำให้ม่านฟ้าถึงกับชะงัก
‘จะถามทำไมในเมื่อก็พุ่งเป้ามาที่เขาอยู่แล้ว’
สายตาของชายวัยกลางคนทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดคนเป็นพ่อ แต่เสียงร้องไห้ของภูหมอกก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิด
อาการของน้องชายกำลังเป็นคำสารภาพทุกอย่าง เจ้าตัวเริ่มร้องไห้หนักขึ้นจนพ่อหันไปมอง ม่านฟ้ากัดริมฝีปากเข้าหากัน สมองคิดคำโกหกต่างๆ ขึ้นมาทันควันแต่ปากก็ยั้งคำพูดแก้ตัวนั้นเอาไว้ เขาบอกตัวเองให้เลิกโกหกเสียที ที่เรื่องต่างๆ บานปลายมาถึงขั้นนี้ก็เพราะการโกหกปิดบังไม่ใช่หรือ
ขณะที่ความยับยั้งชั่งใจกำลังตีกันในหัวของม่านฟ้า เสียงตะคอกของบิดาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อย่าคิดจะโกหกกูเชียวนะ กูถามว่าของใคร!!?”
ยิ่งเสียงตะโกนดังเท่าไหร่ ภูหมอกก็ยิ่งร้องไห้หนักเท่านั้น นภดลเห็นอาการแล้วจึงกระชากแขนของลูกชายคนเล็กมาแล้วบีบอย่างแรงจนเจ้าตัวเบ้หน้า
“ของมึงเหรอไอหมอก นี้มึงเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อย่างงั้นเหรอ!!”
การที่ภูหมอกเอาแต่ร้องไห้ ส่ายหน้าพัลวันเหมือนคนเสียสติ ยิ่งจุดไฟอารมณ์ของพ่อให้ลุกโชน ชายวัยกลางคนเงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะตบลงไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างขาดสติ
หมับ!
ม่านฟ้าคว้าแขนของบิดาไว้แล้วแทรกเอาตัวเข้ามาบังน้องชาย คิดเพียงแต่จะหยุดการลงไม้ลงมือของพ่อลงเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงการที่ตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อรองรับอารมณ์และกลายเป็นแพะรับบาปไปเสียเอง
“หรือว่าเป็นของมึง ไอเมฆ มึงยิ่งชอบทำตัวประชดประชันกู สั่งให้ทำอย่างมึงก็จะรั้นไปทำอีกอย่าง มึงบังคับให้น้องช่วยมึงเก็บความลับใช่ไหม ไอหมอกมันถึงได้ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้”
ผัวะ!
แรงตบจากฝ่ามือของพ่อที่กระชากจากการยึดจับฟาดเข้าที่บ้องหูของม่านฟ้าเขาอย่างจัง ชายหนุ่มเซไปตามแรงมือ แต่ความรู้สึกเจ็บกลับมีน้อยกว่าความมึนงง ไม่รู้เพราะแรงฟาดหรือคำพูดที่ถูกกล่าวหา ม่านฟ้าเงยหน้ามองบิดาที่ตอนนี้พ่นคำด่าสารพัดออกมาจนเขาฟังแทบไม่ทัน ความน้อยเนื้อต่ำใจที่พยายามเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกมาตลอดผสมปนเปไปกับความโกรธ ดวงตาของเขาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำใส แต่เป็นเจ้าตัวที่พยายามรั้งไว้ไม่ให้ไหลออกมา จนคำพูดสุดท้ายที่ทำให้เส้นอารมณ์ขาดผึง
“แกมันลูกเฮงซวย สร้างแต่ปัญหา เกิดมามึงทำอะไรได้ดีบ้าง แล้วยังกลายมาเป็นปัญหาสังคมอย่างเป็นตุ๊ดเป็นเกย์แบบนี้อีก!!!”
“ใช่!! พ่อ!! ผมมันลูกเฮงซวย แม่งไม่มีอะไรดีสักอย่าง ขอโทษจริงๆ ที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ น่าจะตายๆ ไปตั้งแต่ในท้องแม่แล้ว อย่างงั้นใช่ไหมที่พ่อต้องการ!!! ”
ม่านฟ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไป เขาเพียงรู้สึกน้อยใจที่พ่อเข้าใจผิดทั้งที่เขาเพียงต้องการเข้าไปห้าม ราวกับพ่อมีอคติและพุ่งเป้ามาที่เขาอยู่แล้ว ม่านฟ้าไม่รู้ตัวแม้กระทั่งน้ำตาไหลลงมาตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่วิ่งมารั้งแขนของเขาไว้ แต่เขาก็รั้งคำพูดของตัวเองไว้ไม่ทันอีกต่อไปแล้ว
“อะไรก็ตามที่พ่อเกลียด เมฆก็จะเป็นอย่างงั้น เพราะไม่ว่าจะพยายามทำอะไร ยังไงพ่อก็ว่าไม่ดีอยู่แล้วนี่!!!”
ผัวะ! ผัวะ!
เสียงไม้เมตรที่วางอยู่ข้างทีวีฟาดเข้าที่ร่างของลูกชายคนโตอย่างแรง ใบหน้าของคนตีแดงก่ำไปด้วยความโกรธ มือหนึ่งลากภรรยาที่พยายามเอาตัวเข้าขวางลูกชายไว้ ขณะที่อีกมือก็หวดไม้ลงไปไม่ยั้ง
“ถอยออกไป อย่ามายุ่ง” นภดลสะบัดตัวออกจากแรงจับของภูหมอกที่พยายามจับเขาไว้อีกคน “กูจะตีมันให้ตาย ให้มันเลิกทำตัวบ้าๆ เสียที!”
ผัวะ!!! เพล้ง!!
เสียงหวดไม้อย่างแรงก่อนที่ไม้เมตรเก่าๆ จะหักกลางจากการรับแรงกระแทกไม่ไหว บางส่วนของไม้ที่หักกลับกระเด็นไปโดนแก้วน้ำที่วางอยู่จนตกมาแตก นภดลขว้างไม้เมตรไร้ประโยชน์ลงที่พื้น เปลี่ยนมาเป็นชี้หน้าลูกชายตัวดีที่ยังจ้องตาเขากลับมาอย่างไม่ลดละ
“มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยนะ เก็บเสื้อผ้าออกไปให้หมด ของทุเรศๆ ของมึงพวกนี้ด้วย ถ้ากลับมาเป็นคนปกติไม่ได้ก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก!!”
ม่านฟ้ายืนนิ่งๆ มองบิดาของตนคว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจรถขับออกไปนอกบ้านจนลับสายตา ความรู้สึกชาจากการโดนตีเริ่มแสดงอาการปวดหน่วงตามเนื้อตัว แต่คงไม่ชาเท่าหัวใจที่ตอนนี้แทบไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วจากคำพูดสุดท้าย
"กรรมอะไรของกูว่ะ ที่มีลูกอย่างมึง"
อ้อมกอดอุ่นๆ พร้อมกับน้ำตาของแม่ดึงม่านฟ้ากลับมาที่ความจริงตรงหน้าอีกครั้ง เขากอดมารดากลับไปเบาๆ ปลอบใจว่าเขาไม่เป็นไร พร้อมเหลือบไปมองน้องชายแท้ๆ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สมควรเกิดขึ้นในฐานะพี่ชายผุดขึ้นมาในหัว
‘ทำไมกูต้องมาโดนพ่อด่า พ่อเกลียดเพราะความสะเพร่าของมันด้วยว่ะ’
ชายหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดของมารดาแล้วคุกเข่าลงไปหาน้องชายที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น มองใบหน้าเหยเกที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของภูหมอกด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย มันไม่ใช่ความรัก ความอ่อนโยน แต่ก็ไม่ใช่ความเกลียด
นั่นสิ
.
ทำไมถึงไม่ใช่เกลียด
.
ทั้งที่เขาควรจะเกลียด… เด็กขี้แยที่ชอบร้องไห้เวลาเล่นกันทำให้เขาโดนพ่อตี เด็กที่ชอบประจบเอาใจพ่อแม่จนเขากลายเป็นหมาหัวเน่า เด็กที่เรียนเก่งจนพี่ชายอย่างเขาที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบไม่เคยได้รับคำชมจากพ่อแม้จะสอบได้คะแนนดีแค่ไหน เด็กที่เอาแต่ใจแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า เด็กที่ชอบสร้างเรื่องจนทำให้เขาต้องเดือดร้อนเสียหลายหน
…รวมทั้งครั้งนี้ด้วย
.
หรือควรพูดว่า ‘ทำไมเขาถึงเกลียดมันไม่ลงสักที’
“หมอก หยุดร้อง”
ภูหมอกเงยหน้าขึ้นมาตามเสียง แต่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่พี่ชายสั่งได้ กลับกันน้ำตากลับไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อแขนผอมๆ ของม่านฟ้าอ้าออกเพื่อรอรับ เด็กหนุ่มโผตัวเข้าหาร่างที่เล็กกว่าแต่กลับเป็นเข้มแข็งกว่าเขาหลายเท่า พี่ชายตัวเล็กๆ ของเขา พี่ชายที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรแต่กลับเป็นฮีโร่ของเขามาเสมอ
“พี่เมฆ หมอกขอโทษๆ”
ม่านฟ้ารู้สึกถึงน้ำตามากมายของน้องชายบนบ่า ร่างกายเด็กหนุ่มสั่นเทาจากแรงสะอื้นอย่างหนัก ภูหมอกร้องไห้ราวกับโลกพังลงตรงหน้าแล้วพร่ำขอโทษเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาได้แต่ถอนหายใจ
‘ก็เพราะมันเป็นแบบนี้...’
‘...จะให้เขาเกลียดมันลงได้ยังไง’
TBC
Achaya (Writer) :
คนทุกคนก็มีด้านมืดในใจกันทั้งนั้น
หรือแม้แต่ม่านฟ้าเองก็เป็นเพียงแค่คนสีเทาคนหนึ่งที่มีความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ