ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ความลับในม่านหมอก (จบแล้ว) : ภาคความจริง - บทส่งท้าย (22.11.21)  (อ่าน 29873 ครั้ง)

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 11

     การสอบวิชาสามัญสำหรับเด็กม.6 จบลงไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือการสอบความถนัดแพทย์อีกหนึ่งตัวซึ่งนับเป็นคะแนนอีก 30% สำหรับการยื่นรับตรง ภายหลังการสอบวันนั้นภูหมอกดูไม่ได้สติแตกอย่างวันแรกที่สอบเสร็จ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะปลงได้แล้วหรือวันที่สองทำข้อสอบได้มากกว่าวันแรก แต่จากการบอกกล่าวของเจ้าตัว เหมือนกับว่าเขาอาจจะต้องเตรียมใจสำหรับการซิ่วของน้องเอาไว้บ้างไม่มากก็น้อย

     และนั่นคือเหตุผลที่ม่านฟ้ามานั่งอยู่บนโซฟาข้างบิดาในวันหยุดแทนที่จะตีพุงนอนแผ่อยู่ในห้องนอนขณะนี้

     “พ่อ พ่อคิดยังไงถ้า…ไอหมอกมันจะขอซิ่วอีกปี ถ้าปีนี้มันสอบไม่ติดอ่ะ”

     คำถามแรกถูกส่งออกไปอย่างตรงประเด็น

     เพราะพ่อเป็นคนเข้มงวดกับชีวิตเสมอ และไม่ค่อยยอมผ่อนปรนให้กับเรื่องใดๆ ในชีวิต ดังนั้นม่านฟ้าจึงกังวลเป็นพิเศษกับเรื่องนี้ พ่อมักบอกว่าการยอมเสียเวลาอีกหนึ่งปีเพื่อสอบเข้าเรียน แล้วต้องตามเพื่อนไปหนึ่งปีถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

     “ผลสอบยังไม่ออกเลย จะรู้ได้ไง”

     พ่อตอบกลับทั้งที่สายตายังจดจ่ออยู่กับข่าวในโทรทัศน์ราวกับเรื่องที่ลูกชายพูดมาเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ

     “เมฆก็พูดเผื่อไว้ ดูหมอกมันไม่ค่อยโอเคกับสอบที่ผ่านมาเท่าไร”

     “เวลามันสอบเสร็จก็บอกทำไม่ได้ทุกที แต่ผลสอบออกมาก็ดีตลอด น้องแกชอบกังวลอะไรมากไปเองก็แค่นั้น”

     ม่านฟ้าขมวดคิ้วสับสนความรู้สึกของตนระหว่างหงุดหงิดกับกังวลแทนน้องชาย บิดาของพวกเขาพูดออกมาแบบนี้เหมือนกับว่าพ่อไม่ได้เตรียมใจเผื่อการที่ภูหมอกจะสอบไม่ติดเอาไว้เลย คิดว่าที่ภูหมอกพูดว่าทำไม่ได้เป็นเพียงนิสัยขี้ตื่นของเจ้าตัวเท่านั้น

     หากพูดกันตามจริงแล้ว ม่านฟ้าเองก็รู้ถึงพฤติกรรมนี้ของน้องชายดี เขาเองก็แอบคิดว่าคะแนนของภูหมอกอาจไม่แย่อย่างที่เจ้าตัวว่า แต่เขาก็เผื่อใจเอาไว้ไม่น้อย จนต้องลงทุนมาพูดลองเชิงกับพ่อดูก่อน เผื่อไม่ติดขึ้นมาจริงๆ เขาไม่ต้องการให้น้องเสียใจกับเรื่องสอบไม่ติดไม่พอ ยังต้องมาเครียดกับการโดนพ่อบังคับให้สอบเข้าคณะใดคณะหนึ่งที่พ่อเห็นว่าดีแทน

     หลายคนอาจมองว่า ‘การซิ่ว’ คือการเสียเวลาเปล่าๆ หนึ่งปี แทนที่จะเข้าเรียนคณะอื่นที่ ‘ก็ทำงานได้เหมือนกัน’ ใช่ เขาไม่ปฏิเสธว่าคณะอื่นก็อาจทำงานได้เหมือนกัน แต่การสอบเข้ามหาลัย หมายถึงคณะที่จะใช้ในการทำงานไปตลอดชีวิต เขาจึงมองว่าควรจะได้เข้าเรียนสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะนั้นอาจเป็นตัวกำหนดแนวทางชีวิตที่เหลืออยู่ก็เป็นได้

     “แล้วถ้ามันไม่ติดขึ้นมาจริงๆ อ่ะ”

     คำพูดที่ฟังดูดึงดันและติดจะห้วนของลูกชายทำให้ผู้เป็นพ่อหันกลับมามอง

     “แล้วมันจะสอบไม่ติดสักคณะเลยรึไง”

     นั่นไง เขาว่าแล้วเชียว

     ม่านฟ้าถึงกับถอนหายใจออกมา พยายามปลอบตัวเองว่าดีแล้วที่มาพูดกับพ่อไว้เสียแต่เนิ่นๆ อย่างน้อยก็ให้พ่อได้รับรู้และเตรียมใจสักระยะ รู้สึกดีขึ้นมาอีกนิดที่น้ำเสียงที่พ่อใช้ในการพูดยังเป็นโทนเสียงปกติ ไม่ใช่การตวาดอย่างฉุนเฉียวยามพูดเรื่องไม่เข้าหู ทำให้เขายังพอมีหวังว่าการเกลี้ยกล่อมครั้งนี้อาจไม่ยากอย่างที่คิด

     “มันไม่เหมือนกันไงพ่อ ต่อให้ติดคณะอื่น แต่ไม่ใช่หมอที่มันอยากเรียนมันก็ไม่มีความหมายป่ะ”

     “แล้วแกจะให้ฉันปล่อยน้องแกนั่งเฉยๆ อยู่ปีนึงเพื่อเตรียมสอบอีกทีนะเหรอ”

     อย่างไรเสียพ่อที่ยอมรับอะไรได้ง่ายๆ ก็คงไม่ใช่พ่อของเขา

     “หมอนะพ่อ คนเขาซิ่วกันปีสองปีปกติจะตาย แค่โตกว่าเพื่อนสักปีนึง ไม่มีใครสนใจหรอก ยังไงหมอก็เรียนจนแก่อยู่แล้ว กับการให้มันไปเรียนคณะอะไรก็ไม่รู้ แถมมันไม่ชอบอีก ดีไม่ดีจะไปไม่รอด โดนไทร์มาแย่กว่าอีกนะ”

     หนุ่มอักษรฯ พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ วิธีการพูดเหมือนแกล้งขู่แบบนี้ คงได้ผลกับแค่เด็กประถมเท่านั้น

     “...”

     หรือตอนนี้ในบ้านเขาจะมีเด็กอยู่หนึ่งคน

     ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หน้าโซฟานิ่งไปอย่างคนใช้ความคิดทำให้ม่านฟ้าตาโต อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าการเกลี้ยกล่อมห่วยๆ ของเขาจะใช้ได้ผลจริงหรือ

     หลายนาทีผ่านไป เสียงในบ้านยังคงมีแต่เสียงของโทรทัศน์ที่ผู้ประกาศข่าวเล่าเรื่องราวอย่างออกรสออกชาติ แต่กลับไม่มีเสียงพูดคุยของคนในบ้านดังโต้ตอบกันสักนิด ม่านฟ้าเลือกที่จะทิ้งเวลาไว้ให้พ่อได้ลองคิดแทนที่จะรีบเซ้าซี้จนเสียโอกาส อย่างน้อยเขาก็พอมองเห็นเค้าลางของการยอมอ่อนข้อของพ่อบ้างแล้ว

     “เดี๋ยวรอผลออกมาก่อนเถอะ แล้วจะว่ายังไงค่อยมาคิดกันอีกที”

     เพียงแต่จะให้พ่อยอมรับอะไรง่ายๆ ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่พ่อเขาหรอก

     ชายหนุ่มอมยิ้มไว้ในแก้มไม่อยากให้บิดาเห็น ถึงคำตอบรับครั้งนี้จะไม่ใช่การตอบตกลงหรือเห็นด้วยเสียทีเดียว แต่แค่ไม่ปฏิเสธดึงดันหรือโวยวายอะไรออกมาก็นับว่าเป็นการตกลงครั้งยิ่งใหญ่สำหรับพ่อแล้ว

     .

     .

     "ยังไงบอกให้เขารู้ด้วยตัวเอง มันน่าจะดีกว่าการถูกจับได้นะเว้ย"

     หลังเจรจาเรื่องแรกจบไป ม่านฟ้าก็นึกย้อนไปถึงคำพูดของใครบางคนที่ขู่เขาเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน

     ม่านฟ้านั่งทำใจอยู่ครู่หนึ่งหลังจากหาจังหวะดีๆ ในการคุยกับพ่อถึงอีกเรื่องซึ่งเขา ‘ผลัด’ มาตลอด จนกระทั่งถึงช่วงโฆษณา บทสนทนาจึงเริ่มต้นตั้งแต่นั้น

     “พ่อ… คือ.. / ฉันจะขึ้นไปงีบสักหน่อย”

     “...”

     เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ม่านฟ้าถึงกับชะงัก ผู้เป็นพ่อเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดชนเข้ากับลูกชายที่กำลังจะพูดบางอย่างออกมา จึงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

     “แกจะพูดอะไรนะ”

     “...เออ เปล่าครับ”

     นภดลนิ่งไปเล็กน้อยมองหน้าลูกชายคนโตที่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบ พยักหน้ารับคำของชายหนุ่ม ไม่อยากซักไซ้ให้มากความ คิดว่าหากเป็นเรื่องสำคัญเจ้าตัวคงพูดออกมาแล้ว

     “อืม งั้นถ้าแกไม่ดูทีวีแล้ว ก็ปิดซะด้วยล่ะ”

     บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น

     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองตามหลังบิดาที่เดินขึ้นชั้นสองไปอย่างเหนื่อยใจ แล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง ทั้งที่ยังไม่ทันได้พูดออกไปสักนิด แต่กลับใช้พลังงานในการเตรียมใจไปมากเหลือเกิน

     สุดท้ายก็ไม่ได้บอกออกไป

     เขาคงเป็นคนขี้ขลาดที่ชอบหนีปัญหาอย่างที่พิธานชอบปรามาสไว้จริงๆ

     .

     .

     .

     หรือบางที เขาควรบอกพ่อตั้งแต่วันนั้น ก่อนที่เรื่องจะบานปลายมาจนถึงขั้นนี้

     โครม!!!

     เสียงของลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ถูกโยนลงมาจากชั้นสองดังขึ้น ปลุกให้ทั้งบ้านที่เงียบสงบในยามเย็นร้อนระอุขึ้นมาด้วยพายุอารมณ์ของผู้เป็นพ่อ อีกสามชีวิตในบ้านที่อยู่ชั้นล่างต่างตระหนกและวิ่งไปยังตีนบันไดชั้นล่าง เห็นเพียงผู้ก่อเหตุก้าวลงมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าถมึงทึง ยิ่งไม่มีคำอธิบายใดจากปากผู้เป็นพ่อยิ่งทำให้บรรยากาศภายในบ้านมาคุมากขึ้น

     ม่านฟ้าเป็นคนแรกที่เริ่มสังเกตลังตรงหน้า ตอนแรกเขาพุ่งเป้าไปที่อารมณ์ของผู้เป็นพ่อแทนสิ่งที่ถูกโยนลงมา โดยคิดว่าเป็นเพียงลังโชคร้ายที่ถูกพ่อระบายอารมณ์ใส่แต่เมื่อสังเกตให้ดี ใบหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือด หัวใจเต้นระรัวเมื่อเข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด

     ลังเก็บเครื่องสำอางของภูหมอก

     ลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกเปิดออกมาจนเห็นของที่อยู่ภายใน การเจอเครื่องสำอางเยอะแยะในห้องนอนของลูกชายต่อให้ไม่เป็นพ่อของเขาที่ระแวงกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่เป็นคนอื่นมาเจอเช่นนี้ก็คงไม่พ้นคิดไปในทางเดียวกัน

     ม่านฟ้าไม่คิดจะหาสาเหตุต่อไปว่าเหตุใดพ่อจึงสามารถเปิดลังที่ล็อคกุญแจไว้ของภูหมอกได้ จะด้วยน้องชายของเขาลืมล็อคเอง ลืมกุญแจไว้บนห้อง หรือจะเป็นเพราะพ่องัดขึ้นมาอย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลเท่าสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญ

     “ของใคร”

     ประโยคแรกที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวไม่ได้เกินความคาดหมายหนัก แต่เนื้อหาของคำถามพร้อมสายตาแข็งกร้าวที่มองมาทางเขาทำให้ม่านฟ้าถึงกับชะงัก

     ‘จะถามทำไมในเมื่อก็พุ่งเป้ามาที่เขาอยู่แล้ว’

     สายตาของชายวัยกลางคนทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดคนเป็นพ่อ แต่เสียงร้องไห้ของภูหมอกก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิด

     อาการของน้องชายกำลังเป็นคำสารภาพทุกอย่าง เจ้าตัวเริ่มร้องไห้หนักขึ้นจนพ่อหันไปมอง ม่านฟ้ากัดริมฝีปากเข้าหากัน สมองคิดคำโกหกต่างๆ ขึ้นมาทันควันแต่ปากก็ยั้งคำพูดแก้ตัวนั้นเอาไว้ เขาบอกตัวเองให้เลิกโกหกเสียที ที่เรื่องต่างๆ บานปลายมาถึงขั้นนี้ก็เพราะการโกหกปิดบังไม่ใช่หรือ

     ขณะที่ความยับยั้งชั่งใจกำลังตีกันในหัวของม่านฟ้า เสียงตะคอกของบิดาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     “อย่าคิดจะโกหกกูเชียวนะ กูถามว่าของใคร!!?”

     ยิ่งเสียงตะโกนดังเท่าไหร่ ภูหมอกก็ยิ่งร้องไห้หนักเท่านั้น นภดลเห็นอาการแล้วจึงกระชากแขนของลูกชายคนเล็กมาแล้วบีบอย่างแรงจนเจ้าตัวเบ้หน้า

     “ของมึงเหรอไอหมอก นี้มึงเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อย่างงั้นเหรอ!!”

     การที่ภูหมอกเอาแต่ร้องไห้ ส่ายหน้าพัลวันเหมือนคนเสียสติ ยิ่งจุดไฟอารมณ์ของพ่อให้ลุกโชน ชายวัยกลางคนเงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะตบลงไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างขาดสติ

     หมับ!

     ม่านฟ้าคว้าแขนของบิดาไว้แล้วแทรกเอาตัวเข้ามาบังน้องชาย คิดเพียงแต่จะหยุดการลงไม้ลงมือของพ่อลงเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงการที่ตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อรองรับอารมณ์และกลายเป็นแพะรับบาปไปเสียเอง

     “หรือว่าเป็นของมึง ไอเมฆ มึงยิ่งชอบทำตัวประชดประชันกู สั่งให้ทำอย่างมึงก็จะรั้นไปทำอีกอย่าง มึงบังคับให้น้องช่วยมึงเก็บความลับใช่ไหม ไอหมอกมันถึงได้ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้”

     ผัวะ!

     แรงตบจากฝ่ามือของพ่อที่กระชากจากการยึดจับฟาดเข้าที่บ้องหูของม่านฟ้าเขาอย่างจัง ชายหนุ่มเซไปตามแรงมือ แต่ความรู้สึกเจ็บกลับมีน้อยกว่าความมึนงง ไม่รู้เพราะแรงฟาดหรือคำพูดที่ถูกกล่าวหา ม่านฟ้าเงยหน้ามองบิดาที่ตอนนี้พ่นคำด่าสารพัดออกมาจนเขาฟังแทบไม่ทัน ความน้อยเนื้อต่ำใจที่พยายามเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกมาตลอดผสมปนเปไปกับความโกรธ ดวงตาของเขาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำใส แต่เป็นเจ้าตัวที่พยายามรั้งไว้ไม่ให้ไหลออกมา จนคำพูดสุดท้ายที่ทำให้เส้นอารมณ์ขาดผึง

     “แกมันลูกเฮงซวย สร้างแต่ปัญหา เกิดมามึงทำอะไรได้ดีบ้าง แล้วยังกลายมาเป็นปัญหาสังคมอย่างเป็นตุ๊ดเป็นเกย์แบบนี้อีก!!!”

     “ใช่!! พ่อ!! ผมมันลูกเฮงซวย แม่งไม่มีอะไรดีสักอย่าง ขอโทษจริงๆ ที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ น่าจะตายๆ ไปตั้งแต่ในท้องแม่แล้ว อย่างงั้นใช่ไหมที่พ่อต้องการ!!! ”

     ม่านฟ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไป เขาเพียงรู้สึกน้อยใจที่พ่อเข้าใจผิดทั้งที่เขาเพียงต้องการเข้าไปห้าม ราวกับพ่อมีอคติและพุ่งเป้ามาที่เขาอยู่แล้ว ม่านฟ้าไม่รู้ตัวแม้กระทั่งน้ำตาไหลลงมาตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่วิ่งมารั้งแขนของเขาไว้ แต่เขาก็รั้งคำพูดของตัวเองไว้ไม่ทันอีกต่อไปแล้ว

     “อะไรก็ตามที่พ่อเกลียด เมฆก็จะเป็นอย่างงั้น เพราะไม่ว่าจะพยายามทำอะไร ยังไงพ่อก็ว่าไม่ดีอยู่แล้วนี่!!!”

     ผัวะ! ผัวะ!

     เสียงไม้เมตรที่วางอยู่ข้างทีวีฟาดเข้าที่ร่างของลูกชายคนโตอย่างแรง ใบหน้าของคนตีแดงก่ำไปด้วยความโกรธ มือหนึ่งลากภรรยาที่พยายามเอาตัวเข้าขวางลูกชายไว้ ขณะที่อีกมือก็หวดไม้ลงไปไม่ยั้ง

     “ถอยออกไป อย่ามายุ่ง” นภดลสะบัดตัวออกจากแรงจับของภูหมอกที่พยายามจับเขาไว้อีกคน “กูจะตีมันให้ตาย ให้มันเลิกทำตัวบ้าๆ เสียที!”

     ผัวะ!!! เพล้ง!!

     เสียงหวดไม้อย่างแรงก่อนที่ไม้เมตรเก่าๆ จะหักกลางจากการรับแรงกระแทกไม่ไหว บางส่วนของไม้ที่หักกลับกระเด็นไปโดนแก้วน้ำที่วางอยู่จนตกมาแตก นภดลขว้างไม้เมตรไร้ประโยชน์ลงที่พื้น เปลี่ยนมาเป็นชี้หน้าลูกชายตัวดีที่ยังจ้องตาเขากลับมาอย่างไม่ลดละ

     “มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยนะ เก็บเสื้อผ้าออกไปให้หมด ของทุเรศๆ ของมึงพวกนี้ด้วย ถ้ากลับมาเป็นคนปกติไม่ได้ก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก!!”

     ม่านฟ้ายืนนิ่งๆ มองบิดาของตนคว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจรถขับออกไปนอกบ้านจนลับสายตา ความรู้สึกชาจากการโดนตีเริ่มแสดงอาการปวดหน่วงตามเนื้อตัว แต่คงไม่ชาเท่าหัวใจที่ตอนนี้แทบไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วจากคำพูดสุดท้าย

     "กรรมอะไรของกูว่ะ ที่มีลูกอย่างมึง"

     อ้อมกอดอุ่นๆ พร้อมกับน้ำตาของแม่ดึงม่านฟ้ากลับมาที่ความจริงตรงหน้าอีกครั้ง เขากอดมารดากลับไปเบาๆ ปลอบใจว่าเขาไม่เป็นไร พร้อมเหลือบไปมองน้องชายแท้ๆ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สมควรเกิดขึ้นในฐานะพี่ชายผุดขึ้นมาในหัว

     ‘ทำไมกูต้องมาโดนพ่อด่า พ่อเกลียดเพราะความสะเพร่าของมันด้วยว่ะ’

     ชายหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดของมารดาแล้วคุกเข่าลงไปหาน้องชายที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น มองใบหน้าเหยเกที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของภูหมอกด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย มันไม่ใช่ความรัก ความอ่อนโยน แต่ก็ไม่ใช่ความเกลียด

     นั่นสิ

     .

     ทำไมถึงไม่ใช่เกลียด

     .

     ทั้งที่เขาควรจะเกลียด… เด็กขี้แยที่ชอบร้องไห้เวลาเล่นกันทำให้เขาโดนพ่อตี เด็กที่ชอบประจบเอาใจพ่อแม่จนเขากลายเป็นหมาหัวเน่า เด็กที่เรียนเก่งจนพี่ชายอย่างเขาที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบไม่เคยได้รับคำชมจากพ่อแม้จะสอบได้คะแนนดีแค่ไหน เด็กที่เอาแต่ใจแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า เด็กที่ชอบสร้างเรื่องจนทำให้เขาต้องเดือดร้อนเสียหลายหน

     …รวมทั้งครั้งนี้ด้วย

     .

     หรือควรพูดว่า ‘ทำไมเขาถึงเกลียดมันไม่ลงสักที’



     “หมอก หยุดร้อง”

     ภูหมอกเงยหน้าขึ้นมาตามเสียง แต่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่พี่ชายสั่งได้ กลับกันน้ำตากลับไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อแขนผอมๆ ของม่านฟ้าอ้าออกเพื่อรอรับ เด็กหนุ่มโผตัวเข้าหาร่างที่เล็กกว่าแต่กลับเป็นเข้มแข็งกว่าเขาหลายเท่า พี่ชายตัวเล็กๆ ของเขา พี่ชายที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรแต่กลับเป็นฮีโร่ของเขามาเสมอ

     “พี่เมฆ หมอกขอโทษๆ”

     ม่านฟ้ารู้สึกถึงน้ำตามากมายของน้องชายบนบ่า ร่างกายเด็กหนุ่มสั่นเทาจากแรงสะอื้นอย่างหนัก ภูหมอกร้องไห้ราวกับโลกพังลงตรงหน้าแล้วพร่ำขอโทษเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาได้แต่ถอนหายใจ

     ‘ก็เพราะมันเป็นแบบนี้...’

     ‘...จะให้เขาเกลียดมันลงได้ยังไง’



     TBC



     Achaya (Writer) :

     คนทุกคนก็มีด้านมืดในใจกันทั้งนั้น

     หรือแม้แต่ม่านฟ้าเองก็เป็นเพียงแค่คนสีเทาคนหนึ่งที่มีความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นได้เช่นกัน

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :hao5:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
อย่าทำพีีเฆม :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 12

     เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานขึ้นเมื่อเสียบคีย์การ์ดลงไปในช่องหน้าประตู ม่านฟ้าเดินเข้ามาในห้องพักเล็กๆ ของโรงแรมที่เขามาเปิดซุกหัวนอนในคืนนี้

     ทั้งที่แม่พยายามห้ามไม่ให้เขาออกมาและรอคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง หมอกเองก็บอกว่าจะสารภาพกับพ่อว่าของทั้งหมดเป็นของตน แต่เขารู้ พ่อเวลานี้ไม่ยอมคุยหรือฟังอะไรทั้งนั้น เขาควรออกมาเพื่อให้พ่อสงบอารมณ์ลงก่อนดีกว่า

     ใช่

     เขารู้...นั่นก็แค่ข้ออ้างของเขา


     ความจริง…

     เขาแค่อยากหลบออกมาสงบสติอารมณ์ของตัวเองมากกว่า


     ม่านฟ้ารู้ตัวว่าพูดแรงเกินไป ทั้งยังพูดจาประชดประชันทำให้เรื่องแย่ขึ้นไปอีก รู้ทั้งรู้ว่าการปล่อยให้พ่อเข้าใจผิดเรื่องเครื่องสำอางนั้นไม่ถูกต้อง วันหนึ่งเมื่อความจริงเรื่องภูหมอกถูกเปิดเผย เมื่อนั้น...พ่อก็คงต้องเสียใจซ้ำอีกครั้ง

     ในตอนนี้ม่านฟ้าไม่คิดโทษใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง ทั้งหมดเกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของเขา ทั้งการปล่อยให้ภูหมอกทำตามใจ พยายามปิดเรื่องต่างๆ ไว้ ไปจนถึงการทำให้ทุกอย่างบานปลายมาถึงขั้นนี้

     ชายหนุ่มสะบัดหัวพยายามไล่ความคิดออกไป การโทษตัวเองในเวลานี้ไม่ช่วยอะไรนอกจากยิ่งฟุ้งซ่านไปใหญ่ บอกตัวเองให้รีบนอนให้หมดวันนี้ไปเร็วๆ

     แต่คำบางคำกลับยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

     ‘ลูกเฮงซวย สร้างแต่ปัญหา’

     ม่านฟ้าบอกตัวเองว่าอย่าถือโทษกับคำพูดของคนเป็นพ่อ แต่ลึกในใจเขากลับอดคิดไม่ได้ว่า แม้จะอยู่ในอารมณ์โกรธเพียงใด คนเราจะสามารถพูดใน ‘สิ่งที่ไม่เคยคิด’ ออกมาได้เหรอ หรือเพียงแต่ขาดความยับยั้งชั่งใจจน ‘สิ่งที่เคยคิดไว้’ แต่ ‘ไม่กล้าพูด’ หลุดออกมาในยามที่เราโมโหเท่านั้น

     หมายความว่าพ่อ...คิดว่าเขาเป็นลูกที่สร้างปัญหาให้พ่อมาตลอดอย่างนั้นหรือ

     ที่นอนขนาดห้าฟุตยวบลงจากแรงทิ้งตัวของชายหนุ่ม ม่านฟ้าซุกใบหน้าลงกับหมอนอย่างหมดแรง พยายามฝืนตัวให้หลับลงไปแต่ก็ยากเต็มที

     ดวงตาใต้แพขนตาหนาเหลือบมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่ปิดแล้ววางไว้บนหัวเตียงพร้อมความคิดบางอย่าง แต่ยังไม่ทันขยับตัวทำสิ่งใด เสียงเคาะประตูหน้าห้องกลับทำให้ชายหนุ่มชะงัก

     ก๊อกๆๆ

     ม่านฟ้าขมวดคิ้วกับเสียงที่ได้ยิน คิดอย่างไรก็ไม่น่ามีใครมาหาเขาในเวลานี้ แต่เสียงเคาะที่ดังขึ้นอีกครั้งยืนยันว่าเสียงนั้นเกิดขึ้นจริงใช่เพียงหูแว่วอย่างที่คิดไว้

     ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับตัวลงจากที่นอน มองไปทางประตูห้องด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น กวาดตามองสภาพโดยรวมของห้องพักอีกครั้ง ปรากฏภาพห้องกลางเก่ากลางใหม่สีทึมด้วยไฟสลัว เขาเลือกห้องที่ถูกที่สุดเพราะคิดว่านอนเพียงแค่คืนเดียวคงไม่เป็นไรมาก แต่พอมาได้ยินเสียงเคาะประตูเช่นนี้ก็อดหวั่นใจไม่ได้

     ไม่หรอก เขาแค่สงสัยเท่านั้นเองว่าจะเป็นใครที่มาหาเขาตอนนี้ ไม่ได้กลัวสิ่งลี้ลับใดๆ เสียเมื่อไหร่

     ขาเรียวก้าวไปยังหน้าประตูช้าๆ เลื่อนใบหน้าให้ดวงตาอยู่ในระดับเดียวกับช่องตาแมวเพื่อมองหาเจ้าของเสียงเคาะ แต่กลับต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนในยามวิกาลชัดเจน

     ‘มาได้ไงเนี่ย’

     ----

     ภายในห้องพักของโรงแรมมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและแมลงกลางคืนด้านนอกดังแว่ว แต่กลับไร้เสียงพูดคุยแม้ในห้องจะเพิ่มสมาชิกเข้ามาอีกหนึ่ง

     ม่านฟ้าเหลือบมองไปยังคนที่นั่งพิงเตียงอยู่กับพื้นห่างออกไปไม่ไกล จากความรู้สึกมึนงงเริ่มกลายเป็นหงุดหงิด เพราะผู้ชายตัวโตๆ ที่มาหาแต่กลับไม่ยอมพูดอะไรสักอย่างนอกจากนั่งตากแอร์นิ่งๆ อยู่กับพื้น

     ‘อะไรของมันกันว่ะ’ เจ้าของห้องพักถอนหายใจแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ จากอารมณ์ที่ไม่ปกติอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าถูกกวนอารมณ์มากยิ่งขึ้น

     พิธานหันไปมองคนที่นั่งงุ่นง่านอยู่บนเตียง ยกมือปิดปากหาวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องดึงตัวเองออกมาจากที่นอนอันแสนสุข



     เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในเวลาหัวค่ำปลุกชายหนุ่มขึ้นมาจากที่นอน โดยปกติเขาไม่ใช่คนนอนเร็ว แต่เพราะวันนี้ไปเล่นบอลกับเพื่อนสมัยมัธยมมาทั้งวัน ถึงบ้านก็อาบน้ำนอนอย่างเดียว แต่กลับโดนขัดจังหวะการนอนเข้าจนได้

     “ฮาโหล”

     ‘พี่พีททท ฮึก ช่วยด้วย’

     เสียงทุ้มติดสาวที่คุ้นเคยดังออกมาก่อนคำทักทายของเจ้าตัวพร้อมเสียงสะอื้น พิธานขมวดคิ้วเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง

     “อะไรของมึง พูดดีๆ ดิ ร้องไห้เพื่อ?”

     ‘พี่เมฆ พี่เมฆ…’

     พิธานนั่งฟังเรื่องราวปนเสียงสะอื้นของภูหมอกพร้อมคิ้วที่ขมวดปมขึ้นเรื่อยๆ กะแล้วไม่มีผิดว่าต้องเกิดเรื่อง ทั้งที่เขาพยายามบอกม่านฟ้าหลายครั้งแล้วว่าให้พูดความจริงไปก่อนที่เรื่องจะบานปลาย สุดท้ายก็เป็นเรื่องจนได้

     ‘...พี่พีทช่วยไปดูพี่เมฆหน่อยได้ไหมอ่ะ นี้เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้’

     “โอยยย อะไรกันว่ะเนี่ย” ปากทั้งด่าทั้งบ่นแต่ตัวกลับลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าไปด้วยขณะเปิดลำโพงพูดตอบคนในสาย

     พิธานเตือนแล้วเตือนอีกให้รีบบอกไปก่อนที่จะสาย เรื่องของภูหมอกอย่างไรก็ปิดไว้ได้ไม่นาน คงเพราะภูหมอกเป็น ‘ตุ๊ด’ หรือก็คือผู้ชายใจสาวนั่นแหละ ผิดกับ ‘เกย์’ ที่อย่างไรก็คือผู้ชายที่เพียงแต่ชอบผู้ชายด้วยกัน หากภูหมอกเป็นเกย์ แค่ไม่มองตามผู้ชายจนผิดสังเกตหรือพาแฟนผู้ชายเข้าบ้านก็คงไม่มีใครรู้ แต่เพราะภูหมอกเป็นเช่นนี้ ทั้งอาการและความชอบหลายอย่างมันจึงปิดกันยาก สักวันใดวันหนึ่งพ่อก็ต้องดูออก

     ถ้ายอมสารภาพความจริงไปแต่แรก แน่นอนว่าคงโดนโกรธ โดนด่า แต่อย่างน้อย… เหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจผิดแบบนี้ก็คงไม่เกิด

     “นะ พี่พีท ช่วยไปหาพี่เมฆหน่อย หมอกกับแม่ก็โดนพ่อสั่งไม่ให้ออกไปหา แต่ตอนนี้ก็ห่วงว่าจะอยู่ที่ไหน”

     “มันอาจจะกลับไปอยู่ที่หอแล้วก็ได้”

     “ไม่ใช่หอในพี่ปิดปรับปรุงจะเปิดให้เข้าก็พรุ่งนี้เที่ยงไม่ใช่เหรอ”

     เออ ก็จริง เขาลืมนึกไป ช่วงนี้จริงๆ แล้วมหาลัยเปิดเทอมแล้ว แต่เพราะมีกีฬามหาลัยถึงได้วันหยุดเพิ่มมาฟรีอีกหนึ่งอาทิตย์ให้นอนเล่นอยู่บ้าน ตัวเขาเองวางแผนจะกลับหอตั้งแต่เมื่อวานซืน แต่เพราะหอปิดปรับปรุงกะทันหันจึงต้องเลื่อนกำหนดออกไปอย่างช่วยไม่ได้

     “นะ พี่ หมอกว่าพี่เมฆคงไม่ไปไหนไกล อาจจะพักอยู่โรงแรมแถวนี้หรือบ้านเพื่อนก็ได้ แม่เป็นห่วงกลัวพี่เมฆคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเอง”

     ไม่หรอก เมฆไม่ใช่คนแบบนั้น แม้เขาจะด่าบ่อยๆ ว่าเมฆเป็นคนขี้ขลาด แต่เรื่องไร้สาระอย่างการทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นตัดออกไปได้เลย อย่างมากก็ไปนั่งกินเหล้าย้อมใจที่ไหนเท่านั้น

     สมองคิดแบบนั้น แต่ในใจก็ต้องยอมรับว่าห่วงปนไปกับความน้อยใจลึกๆ มือคว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจรถบนโต๊ะขณะที่ปากกลับว่าไปอีกเรื่อง

     “กูจะต้องมาวุ่นวายกับบ้านมึงอีกเยอะไหมเนี่ยห้ะ เป็นผัวพี่มึงรึก็ไม่ใช่”

     “โอย พี่พีท ช่วยกันมาตั้งหลายเรื่อง ขออีกเรื่องเถอะน่า อย่ามาเล่นตัวตอนนี้ได้ไหม จะเครียดตายอยู่แล้ว

     “เออๆ เดี๋ยวกูลองไปหาดูให้”


     ผลลัพธ์ของการรับปากคือเขาต้องขับรถวนไปตามโรงแรมต่างๆ แล้วถามชื่อคนเข้าพัก หลายโรงแรมไม่ยอมบอกเพราะถือว่าเป็นความลับของลูกค้า เขาจึงต้องโกหกว่าถ้าไม่ยอมบอกอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็ได้

     ‘พี่คงไม่อยากให้พรุ่งนี้มีข่าวออกมาว่ามีแขกฆ่าตัวตายในโรงแรมของพี่หรอกนะ เพื่อนผมมันทะเลาะกับพ่อแล้วหนีออกจากบ้านมา ผมกลัวมันคิดสั้น’

     สุดท้ายเขาก็เจอโรงแรมที่ม่านฟ้าอยู่ พนักงานโรงแรมพาเขามาที่ห้องและรออยู่ด้วยจนแน่ใจว่าเป็นคนรู้จักกับแขกจริงๆ จึงผละออกไป




     “พีท”

     เสียงเจ้าของห้องเรียกเขาให้หลุดออกจากภวังค์แล้วหันกลับไปมอง

     “มึงมาทำไม”

     “ก็เห็นมึงมานอนโรงแรมทั้งที่บ้านก็อยู่แค่นี้ เลยนึกว่าจะไปเที่ยวไหน กูเลยอยากไปเที่ยวด้วย”

     “กวน”

     “กูรู้เรื่องหมดแล้ว”

     "..."

     จบคำ ทั้งห้องก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง พิธานไม่กล่าวอะไรต่อนอกจากนั้น ขณะที่ม่านฟ้าเองก็กำลังประมวลผลกับสิ่งที่อีกคนพูดออกมา

     ใช่ว่าเขาแปลกใจที่พิธานรู้เรื่อง เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่ามาหาเขาถึงที่ขนาดนี้คงต้องรู้เรื่องบ้างไม่มากก็น้อยแต่ก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่ดี ยิ่งเขาหนีออกมาโดยไม่บอกอะไรอีกฝ่ายสักคำแบบนี้ด้วย

     “กูบอกแล้วใช่ไหม..”

     อารมณ์ที่ไม่ค่อยคงที่ดีเมื่อคิดได้ว่าจะต้องโดนคนตรงหน้าดุซ้ำเขาอีกครั้งเร่งเร้าให้ม่านฟ้ารู้สึกกลัวจนต้องรีบพูดสวนออกไป “อย่าซ้ำนะ! ขอร้องเหอะ”

     ม่านฟ้าพูดออกมาเสียงดัง ก่อนหางเสียงจะแผ่วลงจนฟังเหมือนคนจะร้องไห้ พิธานถอนหายใจหนักๆ แล้วเบนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากให้ทะเลาะกันมากไปกว่านี้จึงเปลี่ยนไปอีกเรื่อง

     “แล้วโดนพ่อไล่ออกจากบ้านทำไมไม่มาหากู บ้านกูก็อยู่แค่นั้น หนีออกมาทำไมไกลถึงโรงแรมนี่ หรือพอเกิดเรื่องแล้วมันไม่มีชื่อกูอยู่ในหัวมึงเลยงั้นสิ”

     “...”

     “แล้วมึงจะทำยังไงต่อ พ่อมึงเข้าใจผิดไปขนาดนี้ กูถามจริงๆ เหอะ มึงตั้งใจรับแทนน้องรึเปล่า”

     “...”

     ทั้งที่พยายามปรับอารมณ์ตนเองให้เย็นลง แต่พอเจอความเงียบของอีกคนเช่นนี้ก็ฉุดอารมณ์ของพิธานให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องกดเสียงต่ำถามย้ำอีกคนออกไป “เมฆ ตอบกู”

     “...”

     “เมฆ!!”

     “กูไม่ได้ตั้งใจ!! ไม่ได้ตั้งใจรับแทนน้อง แค่ตอนนั้นอารมณ์มันพาไป กูคุมสติตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันบานปลาย! ไม่ได้ตั้งใจให้ผลลัพธ์มันออกมาแย่แบบนี้! แต่การตัดสินใจของกูมันพลาดเอง กูพลาดไปทุกอย่างเอง!!”

     ม่านฟ้าตะโกนออกมาสุดเสียง พอจบประโยคก็ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นจนพิธานถึงกับผงะ เห็นคนที่เคยนิ่งมาตลอดร้องไห้จนตัวโยนแบบนี้เขาถึงกับไปไม่ถูก จากตอนแรกที่หงุดหงิดการกระทำของม่านฟ้า พอมาเจอแบบนี้กลับอดใจอ่อนให้ไม่ได้ เพราะถึงเขาจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจหลายอย่าง แต่เขารู้ดี ว่าทุกอย่างที่ทำ ล้วนมีจุดประสงค์ที่ดีต่อน้องและทุกคนทั้งนั้น

     ม่านฟ้าเพียงต้องการให้ยืดเรื่องนี้ออกไปก่อน เขาเพียงอยากรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ใจจริงเขาอยากจะให้หมอกมีการมีงานทำ มีรายได้เป็นของตัวเองก่อนด้วยซ้ำ เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อพ่อรู้ความจริงจะยังส่งเสียค่าเทอม ค่าขนมให้หมอกอีกไหม แต่รู้ดีว่าน้องอึดอัด ถึงเลือกที่จะบอกหลังน้องสอบเข้ามหาลัยเสร็จเรียบร้อย

     แต่สุดท้าย… ก็ไม่ทัน

     เหตุการณ์สุดท้ายที่ม่านฟ้าจะอยากให้เกิดขึ้น แต่กลับเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขาที่ประชดประชันพ่อออกไปจนเกิดความเข้าใจผิด พ่อจะต้องเสียใจเรื่องของเขาในครั้งนี้ และเมื่อความจริงที่ว่าของเหล่านั้นเป็นของภูหมอก ใช่ว่าความเสียใจในครั้งนี้ของพ่อจะเรียกกลับมาได้เสียเมื่อไหร่

     ทางแก้ของปัญหาในวันนี้ คือเขาควรที่จะบอกความจริงกับพ่อทั้งหมด แก้ไขความเข้าใจผิดเสีย แต่นึกถึงสภาพน้องที่ร้องไห้อย่างหนักก็ทำให้เขายิ่งลังเล เขาไม่มั่นใจในการกระทำของตัวเองอีกต่อไป ราวกับว่าถ้าเขาตัดสินใจทำสิ่งใดอีกก็คงจะมีแต่เรื่องผิดพลาด

     พิธานถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงข้างตัวเจ้าของห้องที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วเรียกด้วยเสียงที่อ่อนลง

     “เมฆ”

     วงแขนหนาอ้าออกเพื่อเรียกใครคนหนึ่งเข้ามาภายใน

     “มานี่มา”



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ตอนนี้เพียงอยากให้ทุกคนเข้าใจ ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าการเลือกเส้นทางนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบไหน หรือต่อให้รู้ ก็ใช่ว่าคนเราจะสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เป็นไปอย่างที่คิดว่าถูกว่าดีได้เสมอ

     แต่เมื่อผิดแล้วก็ต้องแก้ ส่วนจะแก้ปัญหากันอย่างไรก็มาลุ้นต่อไปด้วยกันนะคะ (ใครลุ้นอะไรไว้ก็คงต้องลุ้นต่อไปอีกหน่อยนะ)

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นกันค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2020 18:04:40 โดย Achaya »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :hao5:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
อยากไปช่วยปลอบพี่เฆม :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 13

     ผ่านไปกว่าสามอาทิตย์แล้วจากเหตุการณ์ที่พี่ชายโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน จนมาถึงวันนี้ วันที่ภูหมอกเหลือสอบวิชาสุดท้าย คือความถนัดแพทย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ในการคำนวณคะแนนเพื่อยื่นเข้าคณะแพทยศาสตร์

     ภูหมอกตรวจเช็กของที่จะนำไปสอบอีกครั้งอย่างตั้งใจ ถึงจะมีปัญหาหลายอย่างผ่านเข้ามาในช่วงนี้ แต่เขาบอกกับตัวเองให้ตัดปัญหาทุกอย่างออกไปจากหัวก่อน แล้วย้อนคิดไปถึงโทรศัพท์จากพี่ชายที่โทรมาตั้งแต่เช้า

     ‘ทำให้เต็มที่ มึงอ่านมาไม่น้อยกว่าใครเขาแน่ ตอนนี้เรื่องเหี้ยอะไรก็ตัดออกไปก่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน แล้วเดี๋ยวสอบเสร็จกูไปรับ กูจะเข้าไปหาพ่อด้วย’

     เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้จะกังวลอยู่ไม่น้อยเรื่องที่พี่ชายจะเข้ามาหาพ่อวันนี้ แต่ต้องตัดใจทิ้งทุกอย่างออกไปตามพี่บอก เขาวางกระเป๋าสตางค์ไว้บนโต๊ะหนังสือ หลายคนบอกว่าอย่าเอาของมีค่าไป เพราะจะต้องวางกระเป๋าทั้งหมดไว้ที่หน้าห้องสอบ เขาจึงเอาไปเพียงโทรศัพท์สำหรับติดต่อพี่ชายที่จะมารับ และเงินติดตัวไปไม่กี่บาทใส่ในถุงใสที่มีเครื่องเขียนและบัตรประชาชนสำหรับเข้าห้องสอบเพียงเท่านั้น

     เสียงแม่ดังมาจากชั้นล่างทำให้ภูหมอกตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วลงไปตามเสียงเรียก

     ----

     ม่านฟ้าวางหูจากน้องชายเสร็จก็พอดีกับที่เดินมาถึงห้องเรียน วันนี้เขามีเรียนเพิ่มแค่คาบเช้าจึงรับปากน้องว่าจะไปรับหลังสอบเสร็จ สนามสอบของภูหมอกอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยเขามากนัก คิดว่านั่งรถเมล์ไปหลังเลิกเรียนคงถึงพอดีกัน

     วันนี้เขาจะได้กลับบ้านครั้งแรกในช่วงสามอาทิตย์

     หลังจากวันที่น้องชายตัวดีส่งผู้ช่วยมาหาเขาถึงโรงแรมแต่กลับมาด่าเขาปาวๆ ม่านฟ้าก็กลับมาอยู่ที่หอในวันรุ่งขึ้นเพราะเข้าช่วงเปิดเทอมพอดี จะแตกต่างไปตรงที่ไม่ได้กลับบ้านช่วงเสาร์อาทิตย์เลยก็เท่านั้น และอีกหนึ่งความแตกต่างที่เพิ่มเข้ามาคือแทนที่จะกลับบ้านในวันหยุดเขากลับเริ่มทำงานพิเศษเพื่อเงินค่าขนม

     ใช่ พ่อไม่ได้โอนเงินค่าขนมมาให้แล้ว เหมือนจะตัดขาดจริงๆ ดังที่กล่าวไว้ แม่เองก็คงไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเรื่องเงินพ่อเป็นคนส่งเสียมาตลอด แต่เขาเองก็ไม่คิดที่จะกระโตกกระตากออกไป ไม่ให้เงินใช้ก็แค่หาเงินเอง ยากอะไร

     พอรู้ตัวว่าต้องหางานพิเศษทำ ความคิดแรกของเขาคือไปเป็นพนักงานสะดวกซื้อ หรือไม่ก็เด็กเสิร์ฟตามร้านเหล้า ได้ยินมาว่าเงินดีไม่น้อย แต่กลับถูกพิธานปัดตกไปเป็นอย่างแรก ด้วยเหตุผลที่ว่างานแบบนี้อาจกระทบกับเรื่องเรียน เพราะมักจะต้องทำงานเลิกดึก ให้หางานที่สามารถบริหารเวลาเองได้ดีกว่า

     สุดท้ายก็มาจบลงที่ ‘งานแปล’ เขาเปิดรับงานแปลทางอินเทอร์เน็ต เพราะอย่างไรก็เรียนมาสายภาษา ความคิดนี้ก็ไม่ใช่ของใครอีกนอกจากพิธานเจ้าเก่าเจ้าเดิม ที่นอกจากจะสนับสนุนแล้วยังช่วยเขาโปรโมทอีกต่างหาก และถ้าใครคิดว่างานแปลเป็นเรื่องง่าย บอกเลยว่าไม่ ยิ่งเจอศัพท์เฉพาะทางเข้าไป ถึงกับต้องรื้อหาข้อมูลกันให้ยุ่ง แถมบางงานยังต้องศึกษาไปถึงวัฒนธรรมของภาษานั้น เพื่อที่จะได้แปลความในออกมาได้อย่างครบถ้วน ซึ่งโดยรวมก็นับว่าสนุกดี

     แต่พอแล้ว

     ใช่ว่าเขาแก้ปัญหาเรื่องที่ไม่ส่งเงินมาให้ได้แล้วทุกอย่างจะจบ เขาไม่อยากให้ทุกอย่างคาราคาซังอยู่แบบนี้ ม่านฟ้ารู้ดีว่าทั้งแม่ ทั้งน้องต่างไม่สบายใจที่ปล่อยให้ความเข้าใจผิดเลยเถิดมาเรื่อยๆ และวันนี้ เขาตัดสินใจที่จะไปคุยความจริงทุกอย่างกับพ่อเสียที

     สัญญาว่าจะไม่ปิดบังอะไรพ่ออีกแล้ว พอกันทีกับความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้

     ในทุกๆ เรื่อง

     ----

     ม่านฟ้ามองออกไปนอกรถประจำทางที่นั่งมากับน้องชายเพื่อกลับบ้าน เพราะตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง เขาถึงได้กระสับกระส่ายเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวัน บวกกับลางสังหรณ์แปลกๆ ที่ทำให้คิดว่าเรื่องทุกอย่างคงจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ภาวนา

     ก็นะ ต่อให้ไม่ต้องใช้ลางสังหรณ์ก็พอจะรู้อยู่ว่าวันนี้คงศพไม่สวยแน่

     โทษสถานเบาก็อาจจะเป็น...โดนตบบวกด่าอีกสักรอบ

     ส่วนโทษสถานหนัก… อย่าเพิ่งไปคิดเลย

     หนุ่มอักษรส่ายหัวแล้วขยับตัวให้ชิดกับหน้าต่างมากขึ้นเมื่อชนเขากับน้องชายที่นั่งขยุกขยิกอยู่ข้างกายอีกครั้ง ภูหมอกนั่งกระวนกระวายตั้งแต่ขึ้นรถมา ดวงหน้าขาวใสของเจ้าตัวดึงดูดสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่ภายในรถให้หันมาเมียงมองได้ไม่ยาก ยิ่งเจ้าตัวทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเสริมให้เจ้าตัวดูเคร่งขรึมน่ามองกว่าเดิม

     ทั้งหน้าตาดี เรียนเก่ง นิสัยโอบอ้อมอารี ใจดีไปทั่ว แถมยังว่านอนสอนง่ายอีกต่างหาก

     พ่อคนไหนก็ต้องวาดฝันถึงอนาคตที่ดีของลูกแบบนี้อยู่แล้ว

     ภูหมอกจึงรับความคาดหวังของพ่อที่มาพร้อมความกดดันอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

     ม่านฟ้าถอนหายใจเงียบๆ แล้วดึงความคิดกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง ก่อนมาเขาตั้งใจเตรียมคำพูดเพื่อมาโน้มน้าวพ่อเสียมากมาย อธิบายเหตุผลร้อยแปดทั้งจิตวิทยา ชีววิทยา สิ่งแวดล้อมและสังคม แม้จะไม่ถึงขั้นเขียนสคริปต์อย่างภูหมอกคราวสารภาพกับแม่ แต่ก็เตรียมคำพูดไว้มากมายจนล้นหัว ก่อนทั้งหมดจะถูกหยุดด้วยคำพูดง่ายๆ



     "มึงไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ความจริงมันเป็นยังไงก็พูดไปให้หมด สารภาพให้หมดเปลือกก็แค่นั้น อธิบายเยอะแยะถ้าเขาไม่ฟังเขาก็มองว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง"

     พิธานผลักหัวคนคิดมากแรงๆ ก่อนจับกลับมาให้ตั้งตรงฟังเขาอีกครั้ง

     "ที่มึงต้องทำคือตั้งสติ มึงไม่ใช่คนใจร้อน ออกจะเย็นจนเฉื่อยเกินไปด้วยซ้ำ แต่กับพ่อ คุยกันไม่กี่คำมึงต้องหัวร้อนตลอด ไม่ก็มึงเองที่ไปกวนเขาจนเขาเดือด ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากับเขา อย่าใช้อารมณ์ เขาแรงมามึงแรงกลับก็หักกันไปข้างดิ ไม่ไหวก็ถอยก่อน ค่อยหาทางคุยใหม่ ยังไงก็พ่อลูกกัน"

     ใครจะเชื่อ พิธานเจ้าพ่อปากปีจอ มาสอนเขาเรื่องการพูด

     "เชื่อกูสักครั้ง.. นะ"




     ม่านฟ้าสูดลมหายใจรับควันข้างถนนเข้าไปเต็มปอด แล้วขยับตัวดันน้องชายให้ไปยืนเตรียมตัวเมื่อใกล้ถึงป้ายรถที่เป็นจุดหมาย เขาบีบไหล่น้องชายเบาๆ เป็นการส่งกำลังใจให้ทั้งเด็กหนุ่มและตนเอง

     คงต้องลองดูสักตั้ง

     ----

     เวลาบ่ายสามของวันปรากฏร่างของชายวัยกลางคนนั่งดูโทรทัศน์อยู่ภายในห้องรับแขก เมื่อเช้าเขาให้ภรรยาไปส่งลูกชายคนเล็กไปสอบ เพราะต้องออกไปเข้าเวรอยู่แล้ว ส่วนตอนเย็น นภดลวางแผนไปรับลูกชายที่สนามสอบด้วยตัวเอง เพราะเจ้าตัวอาจไม่คุ้นเส้นทางในการกลับบ้านจากสนามสอบในเมือง

     ถึงจะอ้างกับตัวเองแบบนั้น แต่เขารู้ดีว่าก็แค่ ‘เป็นห่วง’ นั่นแหละ

     ภูหมอกเป็นลูกชายที่เขาค่อนข้างเอาใจใส่มากกว่าม่านฟ้า จะด้วยความเป็นน้อง ความหัวอ่อนและนิสัยหลายๆ อย่างทำให้เขาไม่ค่อยปล่อยภูหมอกนัก ผิดกับม่านฟ้า รายนั้นตะแบงได้ทุกเรื่อง ดื้อจนเขาปล่อยเลยตามเลย ให้ดูแลตัวเองตั้งแต่เด็ก

     เมื่อกลับมาคิดถึงเรื่องลูกชายคนโตที่ไม่เห็นหน้ากว่าสามอาทิตย์นับจากที่เขาไล่ออกจากบ้าน ชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจหนักๆ ทั้งที่เขาเกลียดเพศที่สามเข้าไส้ กลับกลายเป็นลูกชายของเขาเองที่เป็นในสิ่งที่เขาเกลียด เขาตัดเงินเดือนก็แล้ว ตัดขาดการติดต่อไม่ไยดีในทุกทาง ก็อยากจะรู้ว่าจะดันทุรังไปได้สักกี่น้ำ

     เขาคิดว่าอีกไม่นาน หากม่านฟ้าทนไม่ไหว...ก็คงยอมกลับใจมาเป็นลูกชายของเขาเหมือนเดิม

     นภดลลุกขึ้นปิดโทรทัศน์เพื่อขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปรับลูกชายคนเล็ก ระหว่างทางที่เดินผ่านห้องของลูกชายจึงได้เห็นถึงความผิดปกติ ประตูห้องถูกเปิดอ้าเอาไว้จนมองเข้าไปเห็นถึงภายใน

     ประมุขของบ้านเดินเข้าไปยังเป้าสายตาที่เห็นตั้งแต่ภายนอก เขาเหลือบมองกองหนังสือมากมายภายในห้อง ยิ่งย้ำชัดถึงความพยายามของภูหมอก ก่อนหันกลับมาที่ ‘สิ่งของ’ เจ้าปัญหาที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ

     ‘กระเป๋าสตางค์’

     นภดลจำได้ว่าของสิ่งนี้เป็นของภูหมอก ผู้เป็นพ่อถึงกับขมวดคิ้วเมื่อคิดได้ว่า หากไม่เอากระเป๋าสตางค์ไป แล้วเมื่อกลางวันลูกชายจะทานข้าวอย่างไร

     ‘หรือจะเอาเงินติดตัวไปบ้างแล้ว’

     ชายวัยกลางคนพยายามคิดในแง่ดี แต่ก็คว้ากระเป๋าสตางค์มาเปิดดูภายใน มีธนบัตรสีเขียวและสีแดงอยู่อย่างละใบ ไม่แน่ใจว่าเอาเงินติดตัวไปแล้วจึงเหลือแค่นี้ หรือเงินทั้งหมดมีแค่นี้อยู่แล้วกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล และหนักยิ่งขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นคล้ายกระดาษแข็งสีขาวเสียบอยู่ในช่องธนบัตร

     ‘อย่าบอกนะว่าลืมบัตรสอบ’

     ทันเท่าความคิดมือใหญ่ดึงกระดาษดังกล่าวออกมาเพื่อพิสูจน์ความคิดตัวเอง ก่อนถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงรูปโพลารอยด์เท่านั้น

     ผู้เป็นพ่อทำท่าจะเก็บรูปดังกล่าวเข้ากระเป๋าสตางค์อีกครั้ง แต่สัญชาตญาณคนเราเมื่อเห็นรูปกลุ่ม มักมองหาภาพตัวเองหรือคนที่เรารู้จักก่อนเป็นอย่างแรก นภดลกวาดตามองภาพกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วก็ขมวดคิ้ว

     ‘หรือจะเป็นรูปแฟนของภูหมอก’

     ยังไม่ทันคิดไปไกลกว่านั้น ความจริงที่ปรากฏขึ้นเมื่อพินิจภาพถ่ายนั้นอีกครั้งกลับทำให้หัวใจของผู้เป็นพ่อกระตุกพร้อมกับความเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด



     TBC

     Achaya (Writer) :

     ใครรอเรื่องรักก็บอกแล้วว่าต้องรออีกหน่อย มาลุ้นเรื่องของพี่น้องคู่นี้ไปด้วยกันก่อนดีกว่า

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :serius2:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 13 (12.09.20)
« ตอบ #39 เมื่อ: 12-09-2020 18:40:25 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 14

     บรรยากาศภายในบ้านช่วงใกล้ค่ำวันนี้เงียบสงัด ไร้เสียงโทรทัศน์หรือเสียงเดินของคนในบ้านจนภูหมอกลอบกลืนน้ำลาย เสียงต้นไม้เสียดสีกับลมดังหวีดหวิด พาให้รอบด้านดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เขาปลอบตัวเองว่าคงเพราะเครียดมากเกินไปจึงสร้างบรรยากาศกดดันตัวเองขึ้นมา ทั้งที่เย็นวันนี้ก็เป็นเพียงเย็นของวันธรรมดาทั่วไป

     แม้แปลกใจที่ไม่มีเสียงโทรทัศน์ทั้งที่บิดาก็อยู่บ้าน แต่เพราะคิดว่าเจ้าตัวคงหลับอยู่ที่โซฟาหรือบนห้องนอน จึงก้าวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบเชียบ

     สิ่งที่น่าแปลกใจอีกสิ่งคือไฟในบ้านยังไม่ถูกเปิด ทั้งที่ปกติเพียงเริ่มจะเย็นก็เปิดไฟเพื่อช่วยให้สว่างแล้ว ส่งผลให้ทั้งบ้านในเวลาเกือบค่ำเช่นนี้เห็นเป็นเพียงแสงสลัวเท่านั้น

     ภูหมอกมองซ้ายมองขวาจึงเห็นบิดานั่งอยู่บนโซฟา ไร้ท่าทางสัปหงกอย่างคนหลับ แต่นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นจนลมหายใจของภูหมอกติดขัด เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องพร้อมกับหัวใจที่เริ่มเต้นกระหน่ำ

     เค้าลางบางอย่างบอกเขาว่านี้ไม่ใช่ท่าทางปกติ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้า เขาทบทวนเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ว่ามีสิ่งใดผิดปกติไปที่ทำให้พ่อเกิดอาการเช่นนี้ แต่ก็ไม่พบ เขาไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าพี่ชายจะกลับมาที่บ้าน จะว่าพ่อโกรธที่พี่ชายกลับบ้านมาก็คงไม่ใช่

     แล้วอะไร เกิดอะไรขึ้นอีก..

     ทันทีที่เสียงฝีเท้าไม่หนักไม่เบาเดินเข้ามาภายในบ้าน ร่างของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็หันกลับมาหาต้นเสียง กล่าวเสียงทุ้มต่ำราวคำรามออกมาจากลำคอ

     "กลับมาแล้วเหรอ ไอ้ตัวดี"

     ดวงตาสองข้างของชายวัยกลางคนที่หันกลับมาแดงก่ำ หลากหลายอารมณ์สะท้อนออกมาจากภายในจนสับสน แต่เห็นชัดเจนที่สุดคงไม่พ้นความผิดหวังและเสียใจ ภูหมอกจับต้นชนปลายไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ก็ยังรีบก้าวเข้าไปหาบิดาด้วยความเป็นห่วง

     "พ่อ พ่อเป็นอะไร เกิดอะไ-"

     "ฉันเป็นอะไรเหรอ!!! ฉัน! ฉัน เป็นพ่อของแกไงภูหมอก! " เสียงของบิดาดังแทรกขึ้นมาจนภูหมอกนิ่ง เสียงตะโกนสั่นเครือของคนตรงหน้าบ่งบอกความปวดร้าวภายในอย่างสุดจะกลั้น

     "แล้วแกล่ะ แกเป็นอะไร เป็นลูกชายของฉันใช่ไหม!!! " กระเป๋าสตางค์กับรูปใบหนึ่งถูกโยนเข้ามาใส่หน้าของเด็กหนุ่ม ภูหมอกผงะถอยหลังอย่างตกใจ ก่อนรู้สึกถึงเลือดในกายที่เย็นเฉียบเมื่อเห็นภาพนั้นชัดเจน

     รูปถ่ายที่เขาแต่งตัวเป็นผู้หญิงครั้งไปเที่ยวกับเพื่อน

     หัวใจของภูหมอกบีบรัดแน่น ราวกับอากาศรอบด้านเหือดไปจนหายใจไม่ออก เสียงที่ขาดห้วงของบิดาและแววตาที่สะท้อนความอ้อนวอนออกมาในคำกล่าวสุดท้าย

     "แก ยังเป็นลูกชายของฉัน..ใช่ไหม ภูหมอก"

     พ่อที่ไม่เคยร้องไห้ ขณะนี้กลับมีน้ำใสไหลลงมาจากดวงตาคู่นั้น เสียงที่คล้ายกลั้นสะอื้นออกมาจากอก ไหล่สองข้างตกลงอย่างคนสิ้นหวัง ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่เหมือนพ่อผู้ใจร้ายที่ชอบเขวี้ยงปาข้าวของหรือตีเขาหนักๆ ด้วยไม้เมตรคนก่อน เป็นเพียงภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ราวกับ...ใจสลาย

     ม่านฟ้าเดินเข้ามาทันเห็นภาพตรงหน้าก็ชะงัก เขาไม่ได้เตรียมใจมาเห็นภาพเช่นนี้ แม้จะเห็นไม่ชัดว่ารูปที่ตกอยู่ข้างตัวภูหมอกคืออะไร แต่ให้เดาก็คงไม่พ้นหลักฐานสำคัญที่มัดตัวภูหมอก

     เขาจะไม่แปลกใจหากพ่อหยิบไม้ขึ้นมาตี หรือไล่ตะเพิดพวกเขาอย่างหมูอย่างหมา แต่ภาพผู้ชายคนหนึ่งที่อ่อนแอลงได้ขนาดนี้เพราะรูปเพียงใบเดียวนั้นยิ่งย้ำชัด

     ภูหมอกเป็นราวกับแก้วตาดวงใจของพ่อจริงๆ

     เด็กหนุ่มเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เขาก้าวเข้าไปหาพ่ออีกครั้งทั้งน้ำตานอง ปากขยับจะปัดเรื่องทุกอย่างตรงหน้าให้หมดไป คิดเพียงลบความเสียใจของพ่อให้ได้เท่านั้น

     'ไม่ใช่ เป็นแค่การแสดง เป็นการถ่ายรูปเล่นเท่านั้น เขาโดนเพื่อนแกล้ง บังคับให้แต่งหน้าแต่งตัว'

     ข้ออ้างร้อยพันเกิดขึ้นในสมองของภูหมอก แต่ก่อนคำพูดจะหลุดออกจากปาก หางตาก็เหลือบไปเห็นพี่ชายที่ก้าวเข้ามาในบ้าน

     กี่ครั้งแล้วที่เขาปัดเรื่องออกไปจากตัว กี่ครั้งที่ความเห็นแก่ตัวของเขาทำพี่ชายเดือดร้อน เขาห่วงความรู้สึกของพ่อ แต่กับพี่ชายที่รับทุกอย่างไว้กับตัวจะให้เขาเมินเฉยอย่างไร แค่ครั้งที่พ่อเข้าใจผิดเรื่องเครื่องสำอางของเขานั่นก็หนักหนามากแล้ว หากครั้งนี้เขายังปฏิเสธ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรที่แย่ยิ่งกว่าเดิมอีกหรือไม่

     ภูหมอกหายใจเข้าลึก ก้าวเข้าไปใกล้กับบิดา พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

     “หมอกขอโทษ พ่อ หมอกเป็นลูกชายให้พ่อไม่ได้”

     ดวงตาที่เจ็บปวด กับสีหน้าบิดเบี้ยวของชายวัยกลางคนปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อคำสารภาพพรากเอาความหวังสุดท้ายของเขาไป ริมฝีปากอ้าออกเหมือนจะกล่าวบางอย่างแต่ได้เพียงอึกอักในลำคอราวกับก้อนความเสียใจจุกอยู่ที่อกจนทำได้เพียงหลับตาแน่น ร่างหนาถอยไปจนพิงโซฟาก่อนกลั่นคำพูดออกมา

     “ออกไป”

     มีเพียงเสียงเบาหวิวราวคนจะขาดใจเท่านั้นดังขึ้น

     “แกออกไปซะ”

     ภูหมอกผวาเข้าไปจะรับบิดาที่ทำท่าเหมือนจะล้มลง แต่ช้ากว่าม่านฟ้าที่เข้าไปถึงตัวก่อน สองแขนประคองร่างที่สูงพอกับตนไว้แล้วกระชับแน่น นภดลเงยหน้ามามองลูกชายอีกคนที่เข้ามารับไว้ด้วยสายตาไม่บอกความหมาย ปล่อยเสียงหอบเบาๆ ก่อนพูดเสียงลอดไรฟัน

     “แกเองก็รู้สินะ แล้วก็คงช่วยน้องมึงปิดบังสินะ ดีนักนิ ดี”

     “พ่อ พ่อฟังก่อนได้ไหม” ม่านฟ้าหายใจลึกๆ จะว่ารับมือไม่ถูกก็ไม่ผิดนัก เขาเตรียมรับมือกับคำโวยวายบ้านแตก แต่ไม่ได้คิดถึงพ่อที่นิ่งจนน่ากลัวขนาดนี้ “เราค่อยๆ มานั่งคุยกันได้ไหม ให้เมฆได้อธิบาย ให้หมอกได้อธิบาย นะพ่อนะ”

     คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการส่ายหน้า

     “ออกไปให้หมด โดยเฉพาะแก” พ่อเหลือบตาขึ้นมามองตรงไปยังลูกชายคนเล็ก “ภูหมอก” ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น “อย่า… อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” เหมือนแต่ละคำพูดที่เปล่งออกมาดึงพลังงานจากร่างชายวัยกลางคนไปมากจนหอบตัวโยน เสียงตะกุกตะกักปนสะอื้นของพ่อพาลเอาลูกทั้งสองเป็นกังวล แต่ยิ่งพวกเขายืนนิ่ง พ่อก็ยิ่งไล่ จนสุดท้ายม่านฟ้าก็ต้องตัดใจ

     “หมอก เราออกไปก่อนเถอะ รอพ่อใจเย็นกว่านี้แล้วเราค่อยกลับมา"

     "ไม่เอาพี่เมฆ หมอกจะอยู่กับพ่อ"

     "แต่พ่อเขาไม่อยากให้แกอยู่แล้วไง" คำพูดตรงๆ ของม่านฟ้า ทำเอาภูหมอกสะอึก ไม่เพียงภูหมอกเท่านั้น แม้แต่คนเป็นพ่อเองก็กัดฟันแน่น เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนคนทำลายความเงียบจะเป็นม่านฟ้าอีกครั้ง

     "ถอยก่อน ให้พ่อเขาทำใจได้กว่านี้หน่อย"

     ภูหมอกทำท่าจะปฏิเสธ มือเรียวยาวเอื้อมไปหาบิดาเหมือนอยากจะยื้อไว้ แต่กลับถูกปัดออกอย่างรังเกียจ เด็กหนุ่มหน้าเสียกว่าเดิม จนสุดท้ายก็ต้องยอมถอยออกมาตามคำเตือนของพี่ชาย

     ----

     สองพี่น้องเมฆหมอกออกมายืนแกร่วอยู่หน้าบ้าน ม่านฟ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ต่างกับภูหมอกที่เพิ่มเติมด้วยน้ำตานอง แม้คราวนี้ภูหมอกไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญดังครั้งก่อน แต่สภาพจิตใจดูท่าว่าจะบอบช้ำกว่าครั้งก่อนไม่น้อย ม่านฟ้ามองน้องชายสักพักก็สะบัดหัว บอกตัวเองว่าไม่ใช่เวลามาปลอบกัน ต้องแก้ปัญหาตรงหน้าเสียก่อน

     มือเรียวของม่านฟ้าคว้าโทรศัพท์ออกมากดไปยังเบอร์ที่คุ้นเคย

     “แม่” รอไม่นานปลายสายก็ตอบรับกลับมา

     “แม่อยู่ไหนแล้ว”

     ‘อยู่แถวตลาดหน้าหมู่บ้านแล้ว มีอะไร’

     “มีเรื่องไงแม่ แม่รีบกลับมาบ้านเหอะ”

     ‘เรื่องอะไร เรื่องเจ้าหมอกเหรอ’

     “อืม พ่อรู้แล้ว แม่รีบกลับมาดูพ่อเหอะ ดูเครียดๆ โคตรน่ากลัว ตอนนี้เมฆกับหมอกก็ออกมาอยู่นอกบ้านแล้วด้วย เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกตายไปไม่มีใครช่วย แม่รีบๆ มาแล้วกัน”

     ‘แล้วทำไมถึงรีบบอก แม่บอกให้รอแม่ก่อนใช่ไหม’

     ม่านฟ้าก็ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดกับมารดา จึงรีบตัดบทไปเสียก่อน

     “เดี๋ยวเมฆเล่าให้ฟังอีกที ตอนนี้เมฆพาน้องไปหลบก่อนแล้วกัน แม่รีบกลับมานะ” พอย้ำแล้วย้ำอีกกับมารดาให้รีบกลับ ม่านฟ้าก็จูงน้องชายออกจากบริเวณหน้าบ้าน พาเดินเรื่อยๆ รับลมอุ่นในช่วงเย็นผ่านซอยนั้นทะลุซอยนี้ในหมู่บ้าน จนมาถึงที่หมายแห่งแรก



    “แล้วมึงจะกลับบ้านทำไม พรุ่งนี้มึงก็มีกิจกรรมอีกไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่นอนหอ”

     “สแตนด์บายไง เผื่อวันนี้มีเด็กโดนไล่ออกจากบ้านมาเพิ่ม”

     “ปากเสีย”

     “เออๆ ขอให้กูไปสแตนด์บายเก้อก็แล้วกัน”



     ไม่เก้อแล้วล่ะ

     ม่านฟ้าถอนหายใจ หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในสถานการณ์อย่างนี้ก็ได้แต่รู้สึกขอบคุณบริการเสริมจากอาจารย์สอนพิเศษของน้องชายที่หวังดีมารอให้ความช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ แม้เขาจะไม่อยากใช้บริการแค่ไหนก็ตาม

     กริ๊ง

     ชายหนุ่มกดกริ่งสั้นๆ เพียงครั้งเดียวแล้วยืนรอ ปล่อยน้องชายที่ดูหมดเรี่ยวหมดแรงนั่งยองๆ ลงกอดเข่าอยู่ด้านข้าง เจ้าตัวดูไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาพามาที่ไหน แค่เห็นเขาหยุดก็นั่งลงไปเท่านั้น ไม่นานร่างของเจ้าของบ้านที่เขามากดกริ่งก็เดินออกมา พิธานไล่สายตามองสองพี่น้องที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบดี แต่กลับมองออกถึงสภาพที่ดูไม่จืดสักเท่าไหร่

     “เป็นไง”

     ดูเป็นคำถามที่โง่มาก แม้จะยั้งปากไม่ทันแล้วก็ตาม แต่พิธานก็ยังด่าตัวเองในใจ

     ไม่มีคำตอบรับ มีเพียงการส่ายหน้าเบาๆ ที่บ่งบอกคำตอบและความหมายทุกอย่างของคนเป็นพี่ พิธานพยักหน้ารับ จะว่าไม่เกินคาดก็ไม่ผิด ถ้าพ่อรับได้สิคงเป็นเรื่องแปลก

     “พ่อรับไม่ได้สินะ”

     “จริงๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เขารู้เรื่องหมอกก่อนแล้ว พอถึงบ้าน ก็ระเบิดลง ยับ”

     คิ้วของพิธานขมวดลงเล็กน้อย เอ่ยย้ำความเข้าใจของตนกับคนตรงหน้า

     “หมายถึง… มึงเลยยังไม่ได้พูดอะไรเลย ..งั้นสิ”

     สายตาของคนตัวเล็กกว่าช้อนมองขึ้นมาเสี้ยววินาทีก่อนจะหลุบลงไป แล้วพยักหน้าตอบเบาๆ แวบหนึ่งที่ได้รับคำตอบสายตาของพิธานกลับฉายแววบางอย่าง ร่างใหญ่เบือนหน้าไปอีกทาง จากนั้นสูดลมหายใจเข้าหนักๆ

     “แล้ว.. จะทำยังไงต่อ” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหันกลับมาอีกครั้ง “กูหมายถึงเรื่องหมอก”

     “ไปส่งหน่อยสิ”

     “นี่มึงจะไปไหน นอนบ้านกูเนี่ยแหละ”

     “ไปส่งหน่อย” เหมือนม่านฟ้าไม่ได้ยินประโยคคำถามและประโยคคำสั่งจากพิธาน อีกทั้งยังย้ำคำเดิมให้ฟังอีกครั้งพร้อมสายตาที่ช้อนขึ้นมามอง สารถีจำเป็นมองคนตรงหน้าคิ้วขมวด เห็นเค้าลางของ ‘เด็กดื้อ’ ปรากฏตัวขึ้นมารางๆ

     “จะไปไหนทำไม ไม่เอาอ่ะ กูขี้เกียจขับรถแล้ว มืดแล้วด้วย พรุ่งนี้ไปมออีก”

     พูดจบก็สะบัดหน้าไปอีกทาง แสดงออกว่าคราวนี้อย่างไรก็ไม่ยอมคนตรงหน้า แต่ยังไม่ทันเก๊กท่าได้เกินห้าวินาทีก็รู้สึกถึงแสงสว่างจนต้องหันกลับมอง

     แอพลิเคชั่นเรียกรถสีเขียวปรากฏขึ้นที่หน้าจอโทรศัพท์ของผู้มาเยือนยามวิกาล ทำให้พิธานฉุนกึก เอื้อมมือทะลุรั้วเหล็กไปคว้าข้อมือของคนตรงหน้า แล้วดึงให้ทะลุรั้วมาฝั่งตนก่อนคว้าโทรศัพท์ตัวการไว้

     “เมฆ” หนุ่มวิศวะกดเสียงลงต่ำ พร้อมกระชับข้อมืออีกคนเอาไว้

     สงครามการจ้องตาของสองหนุ่มเริ่มขึ้นเงียบๆ ก่อนที่ผลแพ้ชนะจะปรากฏในเวลาไม่นาน

     “เออๆ กูไปส่งก็ได้” พิธานส่ายหัวทั้งขำทั้งหงุดหงิด รู้สึกปลงขึ้นมาที่สุดท้ายเขาก็เอาชนะคนตัวเล็กกว่าคนนี้ไม่ได้เสียที เขาปล่อยข้อมือม่านฟ้าลง จากนั้นเอื้อมมือไปลากรั้วบ้านออก “เข้ามาก่อน กูไปหยิบของแปบ”

     ม่านฟ้าขยับตัวดึงน้องชายให้เดินตามเข้ามา พอดีกับเสียงบ่นของร่างสูงที่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน “ทำไมถึงไม่ยอมมานอนบ้านกูสักทีว่ะ แม่ง”

     หนุ่มอักษรฯ เหลือบมองคนขี้บ่นนิ่งๆ ไม่ปริปากพูดอะไรจนกระทั่งบางคำหลุดออกมา “กลัวผิดผีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้ง”

     เสียงลมพัดใบไม้เสียดสีจนเกิดเสียงดังแว่ว นกฝูงใหญ่ที่บินกลับรัง และแมลงกลางคืนที่เริ่มออกหากิน ท่ามกลางเสียงธรรมชาติเล่านั้น กลับได้ยินคล้ายเสียงสบถด่าของผู้มาเยือนเบาๆ

     ----

     “จะไปไหน”

     คำถามที่เขาจำไม่ได้ว่าถามออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน

     “เดี๋ยวกูบอกทางให้”

     แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเสียที

     พิธานส่ายหัวเอือม บอกตัวเองว่าควรชินได้แล้ว จะว่าม่านฟ้ากวนประสาทเขาก็พูดได้ไม่เต็มปาก สภาพม่านฟ้าตอนนี้เหมือนคนเบลอๆ งงๆ มากกว่า

     ตั้งแต่รู้จักกันมา สิ่งที่เขานิยามได้จากคนคนนี้คือ ‘คนเอื่อยๆ เรื่อยๆ’ ม่านฟ้าเป็นคนที่มีพลังงานในแต่ละวันอย่างจำกัด วันไหนที่ต้องใช้ความคิดมากเป็นพิเศษ หรือออกแรงมากเกินไป ก็มักจะเกินอาการ ‘เครื่องรวน’ ให้ได้เห็นกันบ้าง ทั้งอาการเบลอๆ มึนๆ หรือหนักหน่อยก็จะเอาแต่ใจ (หรืองอแง) เป็นบางครั้ง

     อย่างตอนนี้ที่เขาพยายามถามถึงจุดมุ่งหมายของการเดินทาง แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมบอกเขาเสียที

     อย่าถามว่าภูหมอกรู้ไหม เด็กนั่นตอนนี้ดูเอ๋อกว่าพี่ชายเสียอีก

     “มึงบอกไม่ยอมนอนบ้านกูเพราะเกรงใจพี่กู กลัวน้องมึงเกร็ง แล้วไม่แคร์กูบ้างรึไง มึงต้องจ่ายค่าเสียเวลากับค่าน้ำมันรถให้กูด้วยนะ ไม่งั้นกูไม่ยอมจริงด้วย” พิธานออกปากกวนประสาทตุ๊กตาหน้ารถที่นั่งนิ่ง หวังไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเกินไปนัก

     “...” สายตาว่างเปล่าที่ส่งกลับมา ทำให้พิธานรู้ตัว

     โอเค ม่านฟ้าตอนนี้เหมือนฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องแล้ว แบลงค์โดยสมบูรณ์

     พิธานตัดสินใจหุบปากนั่งเงียบๆ ขับรถไปตามทางที่ม่านฟ้าบอกมาเป็นระยะ จนมาจอดหน้าทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆ หลังหนึ่งห่างจากหมู่บ้านพวกเขาไปไม่ไกล

     ม่านฟ้าเปิดประตูลงไปก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยพิธาน ชายหนุ่มอ้อมตัวรถมายืนข้างเนวิเกเตอร์ เขาเห็นสายตาลังเลของเจ้าตัวครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ม่านฟ้าหันกลับไปเปิดประตูแล้วคว้าแขนของน้องชายลงมาจากรถ สายตาของภูหมอกที่ส่งกลับมาหาพี่ชายและคุณครูเป็นคำถามเดียวกับที่อยู่ในใจชายหนุ่มตัวโตเช่นกัน

     ‘ที่นี่ที่ไหน’

     แน่นอน พิธานไม่คิดที่จะถามคำถามนี้ออกไปแน่ รู้ทั้งรู้ว่าจะไม่ได้คำตอบ เพราะฉะนั้นถามไปก็เปลืองน้ำลาย เขาถึงได้แต่เลยตามเลย ปล่อยให้ม่านฟ้าเดินนำไปถึงหน้าประตูรั้วสีซีด

     ไม่มีการกดกริ่งที่หน้าบ้าน มือเรียวของม่านฟ้าจับเข้าที่รั้วเหล็ก แล้วออกแรงลากไปด้านข้างโดยไม่มีการไขกุญแจใดๆ จนกว้างพอที่คนจะเดินเข้าไปได้ ชายหนุ่มก็แทรกตัวเข้าไปด้านในทันที

     พิธานกับภูหมอกมองหน้ากันอย่างงุนงงปนตกใจ ม่านฟ้าเหมือนรู้ดีว่าเจ้าของบ้านหลังนี้จะไม่ล็อกประตูรั้วและเดินตรงเข้าไปถึงบริเวณหน้าประตูบ้านแล้ว

     ก๊อกๆๆๆ

     เสียงเคาะประตูบ้านออกจะดังและรัวไปสักหน่อย ราวกับคนเคาะร้อนใจจนเผลอส่งแรงไปพร้อมกับจังหวะ เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวถึงรีบผละมือออกมา แต่ก็ปิดอาการกระวนกระวายไว้ได้ไม่มิด

     “ใครน่ะ มาค่ำๆ มืดๆ” เสียงอู้อี้ปนแหบแห้งดังออกมาจากภายใน พวกเขาได้ยินคล้ายเสียงใครบางคนเดินใกล้เข้ามาหลังประตูบานนี้ ก่อนที่ผู้มาเยือนจะตะโกนกลับไป

     “ผมเอง เมฆครับ”

     เสียงฝีเท้าของคนที่อยู่ภายในบ้านชะงักไปอย่างชัดเจน ทำเอาภูหมอกกับพิธานเหลือบมองหน้ากันอีกครั้ง

     จากนั้นการก้าวเท้าก็ดังขึ้นมาอีกหนด้วยจังหวะที่เปลี่ยนไป

     ประตูไม้บานเล็กถูกเปิดออก ปรากฏร่างหญิงวัยกลางคนในชุดนอนตัวยาว ผมสีดำยาวทิ้งตัวลงกลางหลัง ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉม แต่ยังสังเกตได้ถึงความสวยงามของเจ้าของที่แม้จะมีอายุแล้วก็ตาม รูปร่างเพรียวบางแต่กลับมีส่วนเว้าโค้งที่ชัดเจน ทั้งหมดประกอบเป็นเจ้าบ้านที่เกินความคาดหมายสำหรับสองหนุ่มอย่างพิธานและภูหมอกมาก ก่อนที่สถานะของเจ้าบ้านจะได้รับการเฉลย

     “จำผมได้รึเปล่าครับ อาที”



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :hao5:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
คุณพ่อเปิดใจยอมรับเร็วๆ นะ จะได้ปรับความเข้าใจกัน อยากให้กลับมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนเดิมไวๆ

สงสารสองพี่น้อง :hao5:

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 15

     ในเวลาห้าทุ่มที่ควรเป็นเวลานอนของนทีวันนี้กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ภายในบ้านของ ‘เธอ’ ถึงสามคน สองในสามคือหลานชายที่เธอไม่ค่อยจะคุ้นหน้าเสียเท่าไหร่ คงเพราะเธอเองก็ใช่ว่าจะญาติดีกับพี่ชายแท้ๆ ผู้เป็นพ่อของเจ้าเด็กพวกนี้นัก จึงไม่ได้เจอหน้าหลานบ่อยเท่าที่ควร อีกหนึ่งเป็นสารถีที่พาเจ้าพวกนี้มาส่งแต่ก็ยังคงปักหลักรออยู่ด้วยไม่ไปไหน

     นทีพุ่งเป้าของการหาคำตอบไปที่หลานชายคนโตก่อน และดูท่าว่าม่านฟ้าเองก็รอที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟังอยู่เช่นกัน

     เรื่องราวต่างๆ ของภูหมอกถูกเล่าผ่านปากของพี่ชายโดยมีเจ้าของบ้านตอบรับเป็นระยะ พิธานเพิ่งเข้าใจว่าที่ม่านฟ้าเงียบมาตลอดคงเก็บพลังงานไว้สำหรับตอนนี้ และอีกเรื่องที่ได้รู้คือ ‘คุณอานที’ ของม่านฟ้า ก็เป็นเหมือนกันกับภูหมอก

     ใช่

     นทีเป็นสาวประเภทสอง เป็นสาวประเภทสองที่ดูท่าว่าจะผ่านการผ่าตัดมาแล้วด้วย สิ่งเดียวที่ยังชี้ชัดให้เห็นถึงบุรุษเพศคงเป็นเสียงที่ทุ้มแหบกว่าผู้หญิงทั่วไป ตอนแรกเขาไม่สังเกตเพราะคิดว่าคงเป็นเสียงแหบของคนเพิ่งตื่นนอนจนกระทั่งฟังมาเรื่อยๆ ถึงเข้าใจ

     เข้าใจว่าทำไมภูหมอกถึงดูไม่รู้จักเธอคนนี้ ทั้งที่เป็นอาแท้ๆ ของตัวเอง การที่นทีเป็น ‘แบบนี้’ และพ่อของม่านฟ้าก็เกลียดคน ‘แบบนี้’ เข้าไส้ ไม่แปลกใจที่จะตัดพี่ตัดน้องกันจนภูหมอกจำคุณอาคนนี้ไม่ได้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมม่านฟ้าดูคุ้นเคยทางจนมาได้โดยไม่หลง

     “อืม คือจะเอาเจ้าหมอกมาฝากไว้ก่อนว่างั้น” ผู้สูงวัยกว่าถามขึ้นมาเมื่อรับรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

     “ครับ” ม่านฟ้าตอบเบาๆ ก็ใช่ว่าจะไม่เกรงใจ ที่อยู่ๆ ก็เอาน้องมาฝากไว้แบบนี้ แถมมากันอย่างกะทันหันไม่มีเกริ่นไม่มีกล่าวล่วงหน้า ใจจริงม่านฟ้าคิดที่จะมาคุยกับนทีก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่คิดว่าจะไปคุยกับพ่อวันนี้ แต่เพราะมาทีไรก็ไม่เคยเจอนทีอยู่บ้านเสียที จึงยังไม่มีโอกาสคุย

     ม่านฟ้าพอจะจำอาคนนี้ได้เพราะตอนเด็กๆ แม่มักจะพาเขากับหมอกมาหา ถึงแม้พ่อจะตัดพี่ตัดน้องเพราะสิ่งที่อาเป็นแล้ว แต่แม่ก็ยังไปมาหาสู่กับนทีอยู่ นทีเองก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก แม่จึงเทียวมาหาเรื่อยๆ จนพวกเขาเริ่มโตจึงลดการไปมาหาสู่กันลงเพราะไม่ค่อยมีเวลา ครั้งล่าสุดที่แม่วานให้เขาเอาขนมมาฝากอาตอนปีใหม่ก็เมื่อสองปีที่แล้ว โชคยังดีที่อาพอจะจำเขาได้ จึงเปิดประตูให้เข้าบ้านมาแบบนี้

     “แล้วแกล่ะ” คำถามที่ถูกส่งมา ดึงม่านฟ้าหลุดจากภวังค์

     “ผมอยู่หออยู่แล้ว แต่คงเทียวไปเทียวมาแหละ กลัวเจ้าหมอกจะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

     “ฉันไม่กัดน้องชายแกหรอกหน่า ห่วงอะไรนัก” นทีอดกระแนะกระแหนหลานชายคนโตไม่ได้ จากนั้นเหลือบไปมองหลานชายคนเล็กที่ยังนั่งเซ่อซ่าทำตาเหลือกเมื่อได้ยินว่าจะถูกพี่ชายเอามาปล่อยทิ้งไว้

     “ไม่ คือ.. แบบ.. ผมกลัวเจ้าหมอกจะมาสร้างปัญหาอะไรให้อาไงเลยจะมาดูบ่อยๆ ผมจะเอามันไปอยู่ด้วยก็ไม่ได้ ผมอยู่หอใน เขาไม่อนุญาตให้คนนอกนอนค้างด้วยได้ ก็เล-”

     “เออๆๆ รู้แล้ว พูดอะไรเยอะแยะ หลานมาขออยู่ด้วยทั้งที จะให้ฉันใจจืดใจดำไล่ไปนอนข้างถนนได้ลงคอรึไง” นทีตัดบทพูดของม่านฟ้าแล้วแดกดันไปอีกหน รู้ตัวว่าไม่ใช่คนพูดจาไพเราะ ติดจะพูดแรงเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ยังห้ามปากตัวเองไม่ได้ “ถึงแม้ว่าปู่กับพ่อแกจะเคยไล่ฉันอย่างหมูอย่างหมา แทบจะไปนอนข้างถนนมาแล้วก็เถอะ”

     สิ้นคำของเจ้าบ้าน วงสนทนาก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ภูหมอกเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกว่าตนเองคงจะไม่ได้รับการต้อนรับอย่างเต็มใจนัก คิดจะท้วงพี่ชายแต่ก็ไม่กล้า ขณะที่ม่านฟ้ากำลังคิดหาคำพูดมาเกลี้ยกล่อมคนเป็นอาอีกครั้งแต่กลับช้ากว่าใครบางคน

     “ผมพูดไปอาจจะดูเสือกไปนิด แต่ผมคิดว่า เมฆไม่ได้ตั้งใจเอาหมอกมาหาแค่ที่อยู่ แต่คิดแล้วว่าต้องเป็นอาเท่านั้น ถึงจะสามารถดูแลสภาพจิตใจของหมอกตอนนี้ได้ คุณอาเคยผ่านวันเหล่านั้นมาได้ แต่หมอกไม่ใช่ เมฆถึงอยากให้อาเป็นคนดูแลหมอกให้เข้มแข็งได้อย่างอาก็เท่านั้น”

     นทีเหลือบไปมองเจ้าหนุ่มสารถีที่ทำลายความเงียบขึ้นมา สายตาที่ส่งคำถามมาว่า 'เธอเป็นใคร' ทำให้พิธานอึกอัก ขยับตัวเล็กน้อยก่อนเสริม

     "เออ ผม.. พิธานครับ เป็น…" สายตาของพิธานเหลือบไปมองม่านฟ้า ก่อนหลุบตาลงแล้วพูดต่อ "...ครูสอนพิเศษของภูหมอกน่ะครับ"

     เจ้าบ้านพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้ ถอนหายใจก่อนพูดเบาๆ "ก็บอกแล้วไง ใช่ว่าจะไม่ให้อยู่สักหน่อย"

     "แต่คุณอาดูไม่ค่อยเต็มใจนี่ครับ"

     "นี่เธอ ฉันเพิ่งเจอหลานที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีจนแทบจำหน้าไม่ได้มาขออยู่ด้วย เธอจะให้ฉันแสดงอาการยังไง อ้าแขนให้กอดแล้วร้องห่มร้องไห้หรือไง"

     "แต่.."

     "พีท พอ"

     คำสั้นๆ จากปากม่านฟ้า ทำให้พิธานหุบปากฉับ กลับมานั่งสงบเสงี่ยมเป็นผู้ฟังที่ดีอีกครั้ง

     "ยังไง ผมก็ขอบคุณอาทีมากนะครับที่ให้หมอกอยู่ด้วย ผมจะรีบหาที่อยู่ให้หมอกให้เร็วที่สุด จะได้ไม่รบกวนคุณอานาน" แม้น้ำเสียงจะยังนุ่มนวลแต่ท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของม่านฟ้าทำให้นทีชะงักและเป็นเธอเองที่เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด

     "ฉัน.. ก็ไม่ได้ว่าอะไร จะอยู่นานๆ ก็ได้ คือ.. ฉันเองก็ ก็อยู่คนเดียว มีหลานมาอยู่ด้วยสักคนก็คงไม่เหงาดี” นทีเองยังแปลกใจที่ตัวเองพูดอึกอักได้ขนาดนี้ เบนสายตาไปมองหลานชายคนเล็กที่นั่งนิ่งมาตลอด ก่อนเบนกลับมาหาหลานอีกคนที่ท่าทางนิ่งขึ้นกว่าเดิม

     เธอเองก็คิดถึงการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวไม่น้อย อยู่คนเดียวมาตลอดเกือบสิบปีใช่ว่าจะไม่เหงา แม้จะเคยมีคนรักแต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดอย่างครอบครัว พอหลานมาขออยู่ด้วย ทั้งๆ ที่แอบดีใจ แต่เพราะเห็นหลานมาง้อ เธอถึงได้เผลอเล่นตัวมากไปหน่อย จนเกือบเสียโอกาสดีๆ

     'ม่านฟ้าเป็นคนรู้จักพูด'

     พิธานรู้เรื่องนี้มาตลอด เพียงแค่คุยกันไม่นาน ม่านฟ้าจะรู้ว่าคนคนนี้ต้องรับมือยังไง คุยด้วยอย่างไรจึงจะได้ผล

     เมื่อเริ่มบทสนทนา เขารู้สึกว่าม่านฟ้าใช้ไม้อ่อนมาตลอด ด้วยเดาว่านิสัยของอาคือคนแข็งและหยิ่งในศักดิ์ศรี คนแบบนี้จะแข็งด้วยไม่ได้ ถึงได้เริ่มมาด้วยการพูดเกลี้ยกล่อมและขอความเห็นใจ แต่เพราะดูแล้ว นอกจากนิสัย ปากก็ยังแข็ง นทีใช่ว่าจะไม่อยากให้อยู่ ลึกๆ อาจจะแอบดีใจอยู่ก็ได้ แต่พูดรักษาฟอร์มไปเรื่อยจนลงไม่ได้ ม่านฟ้าถึงได้เปลี่ยนมาใช้ท่าทีที่ดูเย็นชาขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้นทียอมลงเสียที

    "คนเรา ต้องรู้จักใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง ต่อให้เป็นคนคนเดียวกัน บางครั้งก็ต้องปรับใช้ให้ถูกจังหวะด้วย"

     ชายหนุ่มร่างสูงขยับยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดถึงคำพูดของคนตรงหน้าที่ชอบบ่นเขาเวลาพุ่งชนกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ ตอนนั้นเขายังแอบคิด ว่าคนที่ใช้แต่ไม้อ่อนอย่างม่านฟ้าจะรู้จักการใช้ไม้แข็งกับใครด้วยหรืออย่างไร วันนี้เขาก็เพิ่งจะประจักษ์

     ถ้าม่านฟ้ารู้จักคิดและใช้เหตุผลในการคุยกับพ่อแบบนี้ เรื่องต่างๆ อาจจะเป็นไปในทางที่ดีมากกว่านี้ก็ได้

     พิธานส่ายหน้ากับความคิดของตัวเอง

     ต่อให้คิดไปตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว

     ----

     ก๊อกๆๆ

     เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นก่อนเจ้าของบ้านอย่างนทีจะเดินออกมาเพื่อเปิดประตูให้กับอาคันตุกะยามเย็น ดวงตาเรียวสวยเบิกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ เวลาประมาณนี้ทำให้เธอคิดว่าผู้มาเยือนคงเป็นหลานชายคนโตที่เทียวส่งข้าวส่งน้ำ พร้อมอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ให้น้องชายบ่อยๆ ในช่วงนี้ แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูงอย่างพิธานที่ยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมถุงข้าวของสารพัด

     จะว่าแปลกใจที่เป็นพิธานก็ไม่เชิง เพราะในช่วงสองสัปดาห์หลังจากรับฝากหลานชายคนเล็กไว้ที่บ้าน เธอก็เห็นหน้าชายหนุ่มคนนี้หลายครั้ง แต่ก็ยังแปลกใจทุกครั้งเมื่อรู้สึกว่าเขาคนนี้ ดูเข้ามามีบทบาทกับสองพี่น้องเกินกว่าฐานะของครูสอนพิเศษหรือเพื่อนสนิท

     “มาบ่อยเหลือเกินนะ จะมาจีบหลานชายฉันรึไง”

     คำพูดลอยๆ ของนที แต่กลับทำให้คนตัวโตสะดุ้ง สายตาเลิ่กลั่กชั่วครู่ที่ปรากฏขึ้นมา ทำให้นทีหรี่ตาลงอย่างจับผิด

     “พูดอะไรเนี่ยอา ก็แค่ช่วยเหลือกันนิดๆ หน่อยๆ เมฆมันไม่มีรถ แล้วจากมอกว่าจะถึงบ้านอาต้องต่อรถอีกตั้งกี่ต่อ ผมก็เลยมาส่งบ้างเท่าที่พอมีเวลา จะได้กลับบ้านด้วย”

     นทีไม่โต้ตอบข้ออ้างสารพัด เพียงมองกลับไปนิ่งๆ สายตาที่เหมือนมองได้ทะลุปรุโปร่งทำให้พิธานขยับตัวอึดอัด ปากเอ่ยข้ออ้างขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อปฏิเสธ

     “แล้วผมก็มีแฟนแล้วด้วยเหอะ อย่างไอหมอกหลานอา ผมไม่สนใจหรอกนะ เด็กกะโปโลขนาดนั้น”

     พิธานพูดแล้วรีบเลี่ยงบทสนทนาโดยการเดินแทรกตัวเข้าไปในบ้าน อาจจะดูเสียมารยาทแต่เขาคิดว่ายังดีกว่ายอมปล่อยให้ตัวเองโดนซักฟอกอยู่หน้าประตูแบบนั้น จนไม่ทันสังเกตรอยยิ้มแปลกๆ ของเจ้าของบ้านและคำพึมพำเบาๆ

     “แล้วหลานชายฉันมีคนเดียวเหรอ”

     ----

     ภูหมอกวิ่งลงบันไดมาเมื่อได้ยินเสียงรถ คิดว่าพิธานคงมาส่งพี่ชายตนเหมือนเคย เมื่อลงมาก็ไม่ผิดจากที่คิดเมื่อพบครูสอนพิเศษของตนเดินเข้ามาในบ้าน แต่กลับไร้วี่แววคนที่อยากเจอ

     เพราะวันนี้เป็นวันที่คะแนนสอบวิชาเฉพาะประกาศ แม้จะยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะติดหรือไม่ติด แต่เพราะคะแนนสูงกว่าที่เขาคาดไว้ จึงอยากรีบบอกพี่ชายก่อนเป็นคนแรก

     “พี่พีท พี่เมฆอ่ะ”

     “ขี้บ่นนัก กูเลยทิ้งกลางทาง ปล่อยให้เดินมาเองแล้ว”

     ภูหมอกถลึงตาใส่คนกวนประสาท แต่ก็ต้องเบิกตาโตขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูรั้วเลื่อนออก หันไปมองที่หน้าบ้านเห็นพี่ชายเดินเข้ามาพร้อมเหงื่อเต็มตัว ก็แว้ดขึ้นมาเสียงแหลม

     “พี่ปล่อยให้พี่เมฆเดินเข้ามาเองจริงๆ เหรอ!!? คนใจร้าย!”

     ม่านฟ้าเดินเข้ามาได้ยินเสียงแหลมของน้องชายก็ขมวดคิ้ว อดเอ่ยปากบ่นไม่ได้

     “เสียงดังอะไรหมอก”

     “ก็..” ภูหมอกจะหันมาโอดครวญกับพี่ชายก็ชะงักเมื่อเห็นถุงของร้านอาหารร้านโปรดที่เขาชอบกินในมือพี่ชาย “พี่ซื้อข้าวร้านโคมมาเหรอ”

     โคมเป็นร้านโปรดของภูหมอก ติดเสียแต่ไม่ค่อยมีที่จอดรถ แถมข้างถนนก็แทบจะจอดรอไม่ได้ด้วยตำรวจเข้มงวดมาก โชคดีที่ร้านกับบ้านของอาทีไม่ไกลกันนัก เขาจึงให้พิธานส่งที่ร้านแล้วนั่งวินกลับมาเอง เพียงแค่อากาศร้อนมากไปหน่อยตอนยืนรอจึงเหงื่อเต็มตัวเช่นนี้

     “ฉลองไง ไม่ดีเหรอ”

     ภูหมอกเผลอยิ้มกว้าง ม่านฟ้าจำได้แม้กระทั่งวันที่ผลสอบของเขาออก แต่ก็ยังอดเม้มปากกลั้นยิ้มแกล้งถามออกมาไม่ได้ “แล้วไม่กลัวว่าผลออกมาไม่ดี แล้วจะซื้อมาเก้อรึไง”

     “อย่างงั้นก็ถือว่าซื้อมาปลอบใจ”

     “โถ่ นึกว่าเชื่อใจน้อง” ภูหมอกบ่น

     “เมฆมันก็แค่หาโอกาสกินของอร่อยๆ เท่านั้นแหละ เรื่องซื้อฉลองหรือปลอบใจมันก็แค่ข้ออ้าง” พิธานพูดกลั้วหัวเราะ ยั่วเย้าคนมาทีหลัง แต่ก็ไม่วายยื่นกระดาษทิชชูให้ซับเหงื่อที่ไหลเต็มหน้า

     “รู้ใจ” ม่านฟ้านอกจากจะไม่โกรธยังยิ้มนิดๆ อย่างถูกใจ รับกระดาษจากมือคนตัวโตมาแล้วหัวเราะหน้าตาเอือมระอาของภูหมอกขัดกับท่าทางยักไหล่ยียวนตอบรับของคนเป็นอาจารย์ “แน่นอน”

     “แล้วเป็นไง” ม่านฟ้าเงยหน้าจากถุงอาหารที่ส่งให้พิธานเอาไปวางในครัวมามองหน้าน้องชาย

     “ระดับภูหมอก” เด็กหนุ่มยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว พุ่งเข้ากอดพี่ชายที่ตัวเล็กกว่า “ขอบคุณนะครับที่ช่วยหมอกมาตลอด”

     ม่านฟ้ารับน้องชายไว้ในอ้อมกอด รู้สึกเขินหน่อยๆ เพราะไม่ใช่ปกติที่พวกเขาจะมากอดกันกลมแบบนี้ แต่วันนี้จะขอยกให้เป็นกรณีพิเศษหน่อยแล้วกัน

     เด็กหนุ่มเงยหน้าจากบ่าพี่ชายแล้วมองเลยไปในครัว เห็นครูสอนพิเศษจำเป็นที่มองกลับมาก็ยิ้มให้ กล่าวขอบคุณอีกคนด้วยความจริงใจเช่นกัน “ขอบคุณพี่พีทด้วยนะครับ”

     พิธานเพียงพยักหน้ารับน้อยๆ อย่างวางมาด แต่ก็ห้ามมุมปากไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้ คล้ายกับว่าสิ่งที่พวกเขาพยายามกันมานั้นสำเร็จไปแล้วเรื่องหนึ่ง

     ทีนี้ ก็เหลือแค่เรื่องพ่อ...

     เอาล่ะ ถึงเวลาวางแผน ละลายใจคนแก่หัวแข็งกันแล้ว



     TBC



     Achaya (Writer) :

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ค่ะ




ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :z3:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พีทยังไงๆ :hao7: :hao7: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ Gagagade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 o13 เขียนดีค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 16

     ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากบ้านของนทีแล้ว ม่านฟ้าเองก็กลับไปที่บ้านบ่อยครั้ง แม้ตอนแรกพ่อแทบจะไล่ตะเพิดเขาออกมาอีกคน แต่พอนานเข้าก็เหมือนพ่อจะรำคาญเกินกว่าจะมาไล่เขาเสียทุกครั้งไป



    “มึงคิดว่าจะทำยังไงให้พ่อยอมรับเรื่องหมอกว่ะ” ขณะติดรถพิธานเพื่อไปมหาลัยด้วยตอนเช้าวันหนึ่ง สารถีหนุ่มก็ถามม่านฟ้าที่นั่งคู่มาด้วยกัน

     “เอาจริงๆ คือยังไม่รู้เลย ขนาดตอนแรกที่คิดจะบอกก็แค่คิดเรื่องจะบอกจริงๆ แต่ไม่ได้คิดหาทางให้พ่อยอมรับได้หรืออะไรหรอก” ม่านฟ้าตอบเรื่อยๆ มือขยับปรับช่องแอร์ให้พอดีกับตัวเขาที่นั่ง

     “อืม” พิธานเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงตอบรับเสียงเบาในลำคอ

     “มึงว่าทำไงดีอ่ะ” ม่านฟ้าหันไปขอความเห็นจากคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถ

     “อืม...ถ้าเป็นอย่างในหนังหรือนิยายนี่ มันก็ต้องแบบ... มีเหตุการณ์อะไรหน่อยไหม อย่าง...ลูกเกิดอุบัติเหตุกำลังจะตาย แล้วพ่อก็แบบ พ่อยอมแล้วๆ ลูกจะเป็นอย่างไรก็ได้ พ่อจะไม่ว่าแล้ว แค่กลับมาหาพ่อเถอะนะ อะไรแบบนี้ม่ะ หรือว่า-“

     “พอเลย มาแช่งน้องกูอีก” ตุ๊กตาหน้ารถของพิธานถึงกับส่ายหัวเอือม ทั้งจากความคิดและความโอเว่อร์แอ็คติ้งที่ทำเสียงเล็กเสียงน้อยให้ดูน่าตื่นเต้น “ถ้าต้องเป็นงั้น กูยอมให้พ่อรับไม่ได้ไปตลอดดีกว่า”

     พิธานพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกคน แล้วถามต่อ “มึงว่าช่วงที่หมอกไม่ได้อยู่บ้านแบบนี้ พ่อมึงจะคิดถึงมันป่ะว่ะ”

     “คิดถึงชัวร์ 100%” ม่านฟ้าตอบกลับมาทันควันแบบไม่เสียเวลาคิดแล้วสาธยายต่อด้วยน้ำเสียงติดจะหมั่นไส้ “ตาลุงนั่นอ่ะนะ เห็นแบบนี้รักไอหมอกจะตาย ประคบประหงมสุดๆ กลับมาถึงบ้านยังไม่ทันไรก็ ‘หมอกไปไหนๆ ’ ร้องหาลูกชายคนโปรดมาก่อนเลย”

     พิธานเหลือบมองคนที่ยังบ่นโน่นนี่งุ้งงิ้งๆ แล้วก็ส่ายหน้า ลอบคิดในใจเบาๆ

     ‘แล้วเวลามึงไม่อยู่ ถ้าพ่อถามหามึงบ้างมึงจะได้ยินหรือไง’

     “ไอ้เด็กขี้อิจฉา” แต่เหมือนเขาจะเผลอพูดท่อนสุดท้ายของความคิดออกไปเบาๆ

     “อะไรนะ” ม่านฟ้าถึงกับหันมามอง คิดว่าตัวเองได้ยินคำพูดชัดเจน แต่ก็ยังไม่แน่ใจจึงถามย้ำเสียงแข็ง

     “เปล่า แค่คิดว่า.. ถ้าพ่อมึงคิดถึงน้องมึงมากๆ เข้า สักวันก็คงยอมให้เข้าบ้าน แล้วก็ค่อยๆ ยอมรับไปเองมั้ง”

     “ก็จริง กูก็คงทำได้แค่ค่อยๆ กล่อมหรือกระตุ้นให้เขาคิดถึงหมอกมันมากๆ แหละมั้ง ถ้ากูไม่โดนระเบิดกระจุยก่อนอ่ะนะ” หนุ่มอักษรฯ พยักหน้ารับคำ ปล่อยเบลอๆ กับคำพูดของคนข้างตัวไปเพราะถือว่าให้คำแนะนำที่ฟังเข้าท่า




     หลังจากนั้นม่านฟ้าพยายามเข้าไปเกลี้ยกล่อมพ่อ บอกเรื่องความเป็นอยู่ของน้องชาย เพราะรู้ทั้งรู้ว่าอย่างไรพ่อก็อดห่วงภูหมอกไม่ได้ แม้จะทำท่าทางราวไม่อยากฟัง ด่าเขาทุกครั้งที่เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับน้องชาย แต่เขารู้พ่อคอยเก็บรายละเอียดและใส่ใจฟังอยู่เสมอ

     ครั้งแรกที่พ่อรู้ว่าเขาพาภูหมอกไปฝากไว้กับอาที เหมือนระเบิดลูกใหญ่ถล่มบ้านเขาอีกครั้ง แรงระเบิดทำเอาทั้งเขาและแม่กระเด็นกันไปคนละทิศละทาง เขาโดนแม่ไล่กลับหอด่วน พอๆ กับที่พ่อปึงปังเข้าห้องนอนไป กลัวใจเหลือเกินว่าพ่อจะเครียดตายก่อนปรับความเข้าใจกันได้หรือไม่

     สุดท้ายวันที่เด็ก ม.6 หลายคนรอคอยก็มาถึง

     ม่านฟ้านั่งลงบนโซฟาข้างผู้เป็นพ่อ สังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนเหลือบมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตากลับไปที่ข่าวภาคค่ำในจอโทรทัศน์

     ลูกชายคนโตของบ้านนั่งนิ่งอยู่สักพักก่อนล้วงกระดาษที่พับไว้ออกจากกระเป๋าเสื้อ คลี่มันออกช้าๆ แล้ววางบนตักผู้สูงวัยกว่า

     “พ่อ”

     ชายหนุ่มเรียกความสนใจของพ่อจากโทรทัศน์ให้มาอยู่ที่กระดาษแผ่นนั้น

     นภดลขมวดคิ้วก้มมองมาที่กระดาษด้วยความสงสัย สายตาถูกบังคับให้มองไปยังข้อความที่ถูกไฮไลท์ด้วยสีเหลืองสว่างด้านบนกระดาษ เหมือนลมหายใจขาดห้วงไปชั่วครู่เมื่อได้อ่านข้อความนั้น

     ‘ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ คณะแพทยศาสตร์’

     ไม่ต้องไล่สายตาอ่านรายชื่อที่อยู่ด้านล่างประกาศให้ยากเย็น เมื่อรายชื่อหนึ่งถูกไฮไลท์ไว้ด้วยสีเดียวกันกับหัวข้อ

     ‘นายภูหมอก บุญรักษ์วาณิช’

     หัวใจของคนเป็นพ่อเต้นระรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้เพราะรายชื่อของคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นชื่อของคนที่เขาเฝ้ามองความสำเร็จมาตลอด หรือเพราะความโกรธที่ทั้งอย่างนั้น คนคนนี้กลับเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจที่สุดในตอนนี้

     พรึบ!

     กระดาษแผ่นบางถูกมือคนถือสะบัดออกทันทีราวกับต้องของร้อน นภดลผุดลุกขึ้นแล้วหันหลังให้ลูกชายตัวดีที่คาบข่าวดีมาบอก รู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้นมาของตัวเอง

     ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากคนทั้งคู่ ม่านฟ้านั่งนิ่งหยั่งเชิงดูอารมณ์ของคนเป็นพ่อ แต่จนแล้วจนรอด ก็มีเพียงความเงียบและแผ่นหลังที่สะท้อนขึ้นลงจากการหายใจของชายวัยกลางคน

     ก่อนม่านฟ้าจะสะดุ้งตกใจอีกครั้งเมื่อคนเป็นพ่อหันกลับมาตวาดใส่

     “เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นแกรึไงห้ะ! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเลิกเอาเรื่องของไอเด็กนี้มาบอกฉันเสียที ฉันรำคาญ มันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องของมัน ฉันไม่คิดจะสนใจ!”

     ม่านฟ้าอดลอบถอนหายใจหนักๆ กับคนแก่ปากแข็งไม่ได้ กี่ครั้งๆ ก็พูดแต่คำนี้ ทั้งที่พ่อแทบจะรอเรื่องราวของภูหมอกที่เขาคาบมาบอกอยู่ตลอดในแต่ละสัปดาห์แทบไม่ไหว

     “เมื่อไหร่พ่อจะเลิกปากแข็ง อย่างน้อยตอนนี้ที่มันสอบติด ก็ชมมันสักนิดก็ได้ ให้เมฆได้ไปบอกมันอย่างไม่ต้องโกหกว่าอย่างน้อย พ่อก็แสดงความยินดีกับมัน เมฆไม่ได้ขอให้ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ แต่แค่วันนี้มองข้ามมันไปหน่อยเท่านั้น”

     “ฉันไม่มีลูกน่ารังเกียจอย่างมัน”

     ม่านฟ้ารู้สึกถึงเส้นความอดทนของตนที่กำลังจะขาด เขาหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดกลั้น

     เพราะรับปากแม่ที่ต้องอยู่เวรที่โรงพยาบาลไว้ว่าอย่างไรวันนี้ต้องทำใจให้เย็น ห้ามทะเลาะกันรุนแรงอีก ทีแรกแม่ไม่อยากให้เขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังตื๊อที่จะเข้ามาเพราะอยากบอกเรื่องสำคัญให้ได้

     "สิ่งที่พ่อภูมิใจในตัวหมอกมาตลอด มันแค่ความเป็นผู้ชายของหมอกเท่านั้นเหรอพ่อ เมฆเคยคิดว่าพ่อภูมิใจที่มันเป็นเด็กดี เรียนเก่ง หรืออะไรก็ตามที่ทำให้พ่อรักหมอก"
     
     .

     .

     "แต่สุดท้าย พ่อรักแค่ความเป็นผู้ชายของมันเท่านั้นรึไง ถึงต้องตัดขาดพ่อลูกเพียงแค่มันเป็นแบบนั้นน่ะ!!"

     คำตัดพ้อของลูกชายคนโตทำให้นภดลนิ่งเงียบไปอย่างจนด้วยคำพูด เขาอยากจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของลูกชาย แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเพราะเมื่อคิดดูแล้ว สิ่งที่เขาทำก็ไม่ต่างจากที่ม่านฟ้ากล่าวจริงๆ

     แต่จะให้เขายอมรับกับสิ่งที่ภูหมอกเป็นมันก็…

     เกินกว่าที่เขาจะรับได้จริงๆ

     สำหรับคนเป็นพ่อ ทุกคนคงต้องการเพียงให้ลูกมี ‘อนาคตที่ดี’ และสำหรับเขา การจะมีอนาคตที่ดีได้ ลูกควรจะเรียนในคณะที่มีอาชีพรองรับการงานมั่นคง มีครอบครัวที่ดี และเป็นที่ยอมรับในสังคม นั่นคือนิยามของการมีอนาคตที่ดีของลูก

     ม่านฟ้าเลือกที่จะเรียนในเส้นทางที่เขาไม่ชอบใจ ไม่รู้ว่าจบมาจะมีงานทำไหม หาอาชีพรองรับให้กับตนเองแทบไม่ได้ เขาถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟยามรู้ความตั้งใจของลูก
     
     แต่เพราะเรื่องอาชีพการงาน เขาคิดว่าคงพอช่วยหาทางออกให้ลูกได้ในอนาคต เกือบสามปีที่ผ่านมาตั้งแต่ม่านฟ้าเรียนมหาลัย เขาเองก็ค่อยหาช่องทางด้านอาชีพให้กับลูกชายที่เรียนเรื่องภาษามาตลอด

     สำหรับภูหมอก ลูกคนนี้เป็นเด็กดีของเขามาเสมอ ภูหมอกไม่มีปัญหาเรื่องเรียน อีกทั้งยังอยากเข้าในคณะที่มีอาชีพมั่นคง มีคนเคารพนับหน้าถือตาอย่างที่เขาไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ แต่สุดท้าย...เรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้จากสิ่งที่ภูหมอกเป็นเหมือนจะดับหนทางที่เขาวาดไว้ทั้งหมด

     การเป็นเพศที่สามไม่มีทางที่สังคมจะยอมรับได้

     แม้ว่าต่อไปจะมีการงานที่ดี มีฐานะ หรือเป็นคนดีอย่างไร ก็คงไม่วายถูกนินทาลับหลัง ให้กลายเป็นเพียงตัวตลกในวงสังคมเท่านั้น

     “แกจะไปไหนก็ไป ฉันไม่อยากคุยกับแกแล้ว”

     แต่พูดไปอย่างไร ลูกชายเขาก็คงไม่เข้าใจ

     ชายวัยกลางคนยังคงหันหลังอยู่เช่นนั้น รอฟังเสียงการจากไปของม่านฟ้า แต่ทุกอย่างกลับยังคงเงียบ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะหันหลังกลับไปมองก็ต้องสะดุ้งกับวงแขนของลูกชายที่ตวัดรัดจากด้านหลัง

     "มีคนฝากกอด"
     
     น้ำเสียงที่พูดออกไปเป็นเพียงเสียงพึมพำเบาๆ ที่ยังเจือความหงุดหงิดของม่านฟ้าแต่ก็แฝงไปด้วยความเขินอายนิดๆ เขาแทบจะไม่เคยกอดหรืออ้อนพ่อสักครั้งตั้งแต่เริ่มโต ผิดกับภูหมอกที่ทั้งออดทั้งอ้อนพ่อเป็นประจำ พอต้องมาแสดงความรักแบบนี้จึงอดเขินไม่ได้

     ม่านฟ้ารัดรอบพุงใหญ่แรงๆ อีกครั้งแล้วผละออก

     “ทิฐิอะไรของพ่อน่ะ ก็ลดลงหน่อย ให้อภัยน้องมันซะทีเหอะ”

     เสียงเก็บข้าวของและฝีเท้าที่เดินห่างออกไปยังประตูหน้าบ้านทำให้นภดลถอนหายใจ แต่ก็ยังไม่วายหงุดหงิดกับเสียงที่ตะโกนกลับมาจากหน้าประตู

     “น้องมันรอพ่อพาไปเลี้ยงฉลองอยู่นะ รีบๆ หายโกรธได้แล้ว”

     ----

     หลังวันประกาศผลสอบ ม่านฟ้าก็หายหน้าหายตาไปจากที่บ้านแถมไม่ได้รายงานข่าวเรื่องน้องชายเหมือนอย่างเคยเพราะม่านฟ้าดันเกิดไม่สบาย ไม่แปลกที่เมื่อสายข่าวคนสำคัญหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปกะทันหัน จะทำให้ใครบางคนที่บ้านอดรู้สึกโหวงไม่ได้

     “ถ้าห่วงลูกนัก ทำไมไม่โทรไปหา”

     นัชชาเอ่ยปากบ่นคนปากแข็ง ทั้งที่ตีหน้านิ่งเหมือนไม่สนใจ แต่เธอรู้ช่วงเวลาที่ม่านฟ้าหายไป ใครบางคนเหลือบมองไปที่ประตูบ่อยครั้ง แต่กลับไม่คิดจะโทรหา เจ้าตัวคงคิดว่าลูกชายคนโตจงใจหายไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเรื่องภูหมอก จึงยิ่งตั้งแง่ทำใจแข็งกว่าเดิม

     โดยเฉพาะวันนี้ที่คนเป็นพ่อดูกระวนกระวายเป็นพิเศษ

     หลังรู้เรื่องจากลูกชาย ผู้เป็นพ่อก็แอบไปหาข้อมูลเพิ่มจนรู้ว่า วันนี้เป็น ‘วันสอบสัมภาษณ์’ แม้หลายคนจะบอกว่าการสอบสัมภาษณ์ของคณะแพทย์เป็นเพียงการวัดความผิดปกติที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าศึกษาเท่านั้น แต่คนเป็นพ่อก็อดเป็นห่วงไม่ได้

     ยิ่งกับลูกชายคนเล็กที่ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่เพียงใด เจ้าตัวก็กังวลไปได้เสียหมด

     ปัง!!

     เสียงประตูหน้าบ้านดังขึ้น ทำเอาเจ้าของบ้านทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก เห็นหลังไวๆ ของลูกชายคนโตวิ่งผ่านห้องนั่งเล่นก่อนพุ่งพรวดขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองของบ้านอย่างรีบร้อน

     “เมฆ” นัชชาตะโกนเรียกลูกชายคนโตอย่างไม่แน่ใจ แต่เสียงที่ได้ยินแว่วกลับมาคล้ายเป็นเสียงคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

     “อยู่แฟ้มไหนของมึงเนี่ย แฟ้มเต็มห้องไปหมด”

     “เออๆ เจอแล้วๆ มึงเรียกแท็กซี่รอเลย เดี๋ยวไม่ทัน”

     สิ้นเสียงคุย ม่านฟ้าก็วิ่งลงมาจากชั้นสองพร้อมเอกสารบางอย่างในมือ พนมมือไหว้พ่อแม่ที่ขามารีบจนลืมไหว้ เสียงหายใจหอบหนักๆ ทำเอาคนเป็นแม่ขมวดคิ้ว รั้งตัวลูกชายไว้ก่อนจะพุ่งออกจากบ้านไปอีกรอบ

     “เดี๋ยวๆ จะรีบไปไหน มาถึงก็โวยวายเสียงดังแต่เช้า”

     “วันนี้หมอกมีสอบสัมภาษณ์ที่มอ ลงทะเบียนแปดโมง แต่ไอหมอกแม่งเสือกหาเอกสารไม่เจอ ต้องกลับมาเอาที่บ้านเนี่ย”

     ม่านฟ้าพูดไปหอบไป ชะเง้อไปหน้าบ้านมองหารถแท็กซี่ที่ให้ภูหมอกเรียก แต่ก็ยังไม่เห็น ยกแขนขึ้นมาดูเวลาก็ยิ่งกระวนกระวายใหญ่เมื่อเห็นเวลาหกโมงกว่าเข้าไปแล้ว จากบ้านเขาไปถึงมอต้องเผื่อเวลาเกือบสองชั่วโมงถึงจะสบายใจ ยิ่งวันที่มีสอบสัมภาษณ์แบบนี้ อะไรก็ไว้ใจไม่ได้

     “แล้วน้องล่ะ”

     เพราะได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กผ่านโทรศัพท์แว่วมาตอนคุยกับพี่ชาย เธอจึงคิดว่าสองพี่น้องคงไม่ได้อยู่ด้วยกัน

    “รออยู่หน้าบ้าน”

     คำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาคนเป็นแม่สะอึก ชายอีกคนที่ลอบสังเกตและฟังการสนทนาของสองแม่ลูกก็นิ่งไปเช่นกัน ทั้งที่ลูกมาถึงบ้านแล้ว แต่กลับเข้าบ้านไม่ได้ คงเพราะคำประกาศิตของผู้เป็นพ่อที่ลั่นเอาไว้ไม่ให้กลับมา ภูหมอกถึงทำได้เพียงยืนรออยู่หน้าบ้านเท่านั้น

     “เมฆบอกให้มันรออยู่หน้าบ้านเองแหละ เข้ามาเดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก วันสัมภาษณ์ไม่อยากให้มันเครียดกว่าเดิม”

     “แล้วกินข้าวเช้ากันรึยัง” นัชชาพยักหน้าเข้าใจ พยายามปรับอารมณ์ตามลูกชายที่กำลังร้อนรน แต่ก็ยังอดถามด้วยความเป็นห่วงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้

     “ยังเลยแม่ แม่ ซาลาเปานี่เมฆเอาไปนะ”

     ม่านฟ้าคุ้ยตู้เย็นเจอซาลาเปาไส้หมูก็หยิบออกมาดึงแผ่นรองออกแล้วยัดไส้ปากทั้งที่ยังไม่ได้อุ่น

     “เอาไปๆ หยิบไปเผื่อน้องด้วยลูกนึง เอานมไปด้วย เดี๋ยวติดคอ ยังไม่ได้เวฟเลย แม่เวฟให้ก่อนไหม หรือเอาเป็นข้าว เดี๋ยวแม่ตักใส่กล่องให้ดีกว่า”

     “ไม่เป็นไรๆ แค่ซาลาเปากับนมก็พอ เดี๋ยวไม่ทัน เมฆไปนะ พ่อหวัดดีครับ แม่หวัดดีครับ” ม่านฟ้าพูดไปเคี้ยวไป คว้าซาลาเปามาอีกลูก หนีบแฟ้มเอกสารไว้กับแขนแล้วคว้านมข้างตู้ไปอีกสองกล่อง

     “มา เดี๋ยวแม่ถือไปส่ง แม่.. แม่จะออกไปหาน้องด้วย” ม่านฟ้าได้ยินเสียงสั่นๆ จากมารดาก็หันไปมอง เหลือบไปมองอีกคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาโดยไม่เอ่ยปากอะไรก็ถอนหายใจ พยักหน้ายอมให้แม่ช่วยถือของออกไปรอแท็กซี่หน้าบ้าน

     นัชชาเองก็หันกลับไปมองสามีของเธอ ความลังเลปรากฏขึ้นชั่วครู่ แต่เธอก็เลือกที่จะหันหลังเดินออกไปเพื่อหาลูกชายอีกคนของเธอ

     ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจความรู้สึกของสามี เธอคอยพูดกับม่านฟ้าอยู่ตลอด คอยกล่อมลูกชายให้ค่อยๆ พูดกับผู้เป็นพ่อ เพราะเธอรู้ คนเราเกิดมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ถูกปลูกฝังและสั่งสอนด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน ในรุ่นของพวกเธอ การมีเพศสภาพที่ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิงเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกยอมรับ

      เป็นสิ่งที่ถูกมองว่า ‘ไม่ถูกต้อง’

     แม้เธอจะพยายามเข้าใจและเรียนรู้ถึงสังคมปัจจุบันที่เริ่มยอมรับและเปิดกว้างเพศสภาพเหล่านี้มากขึ้น แต่ลึกๆ เธอยอมรับว่ายังมีความตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกันกับ ‘ความสุข’ ของลูกชายเธอ

     เพราะอย่างไร เธอรู้ว่ามันเป็นเพียงความยึดติดกับคำสอนเก่าๆ เท่านั้น เมื่อคิดถึงหลักเหตุผล ลูกชายของเธอไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นความผิด ลูกชายเธอไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครเสียด้วยซ้ำ

     เธอจึงไม่เห็นเหตุผลของการขัดขวางสิ่งที่ลูกเป็น เธอพยายามให้เวลากับสามีของเธอ ให้โอกาสม่านฟ้าได้เข้ามาเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อ แอบเล่าเรื่องของลูกชายคนเล็กให้ฟังบางเมื่อรู้ข่าวคราวจากการโทรคุยกัน

     แต่คนหัวรั้นบางคน ก็ควรโดนดัดนิสัยบ้าง

     ทั้งที่คิดถึงลูก ห่วงลูกไม่แพ้เธอแต่กลับดื้อรั้น ทิฐิมาก ทั้งที่ลูกมาถึงบ้าน กลับต้องรออยู่ข้างนอก แค่เอ่ยปากออกมาสักนิด ให้ลูกเข้ามาเอาของ เข้ามากินข้าวได้ ทุกอย่างคงจะดีขึ้นกว่านี้

     อยากจะนิ่งก็เชิญนิ่งไป อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะทนได้อีกสักแค่ไหน


     TBC



     Achaya (Writer) :

     อดทนกันอีกหน่อยนะ

     ในชีวิตจริงของบางครอบครัว ต้องใช้เวลาเป็นปี สิบปีหรืออาจไม่มีวันที่รอคอยมาถึงเลยก็ได้ แต่สำหรับครอบครัวนี้ ก็ได้แต่หวังว่าความพยายามของทุกคนจะเห็นผลในเร็ววัน

     ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2020 18:05:35 โดย Achaya »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :hao5: :o12:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
 :mew2: :mew2: :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ความลับในม่านหมอก : บทที่ 16 (03.10.20)
« ตอบ #49 เมื่อ: 03-10-2020 20:53:57 »





ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 17

     จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน เมื่อไม่มีคำให้อภัยจากพ่อ ลูกชายคนเล็กของบ้านจึงไม่ได้รับโอกาสในการกลับบ้าน แต่เขารู้ จากการตอดเล็กตอดน้อยของม่านฟ้าและคนเป็นแม่ เชื่อได้เลยว่าตอนนี้พ่อของเขาก็ใจอ่อนลงมามากแล้ว

     อย่างไรก็ตามชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ภูหมอกสอบติดเตรียมพร้อมในการเป็นนิสิตแพทย์มหาลัยเดียวกันกับม่านฟ้า เนื่องด้วยช่วงเวลาที่เหลื่อมกันระหว่างการเปิดปิดภาคการศึกษาของมัธยมและมหาลัย ทำให้ว่าที่นิสิตปี 1 มีเวลาช่วงปิดเทอมก่อนกลายเป็นนิสิตเต็มตัวเกือบห้าเดือน

     ม่านฟ้าเริ่มวางแผนจัดการธุระต่างๆ ของน้องชายบ้างแล้ว เขาคิดจะให้ภูหมอกมาอยู่หอในกับเขา ถึงแม้ว่าคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเขาจะไม่บังคับให้อยู่หอ แต่ระยะทางจากบ้านมามหาลัยนั้นไม่สะดวกจะไปกลับ ม่านฟ้าจึงได้ทำการระเห็จรูมเมทที่จองหอไว้ แต่มักไปอยู่กับแฟน ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวมาตลอดออกไปอยู่กับแฟนโดยสมบูรณ์หลังสอบปลายภาคของปีสามเทอมสองเรียบร้อย แล้วเตรียมย้ายน้องตัวดีมาอยู่ด้วยกัน

     จากนี้เขาจะได้มีคนช่วยทำความสะอาดห้อง ซักผ้า ล้างห้องน้ำซะที หลังจากต้องทำคนเดียวมาตลอด

     “เมฆ” เสียงนทีทักขึ้นเรียกม่านฟ้าให้หลุดจากภวังค์

     “ครับ”

     “วันนี้หมอกต้องเข้ามอสินะ”

     “ครับ”

     “จะพาน้องมันเข้าบ้านก่อนด้วยใช่ไหมวันนี้”

     “ครับ”

     “...”

     “อามีอะไรรึเปล่า” ม่านฟ้าหันไปมองคนเป็นอาที่ลงมาเปิดประตูบ้านให้เขาแต่เช้านั่งลงที่โซฟาข้างกัน หลังจากวันสัมภาษณ์และรายงานตัว ม่านฟ้าเพียงปล่อยน้องชายไปครู่เดียว ภูหมอกก็ถูกรุ่นพี่หลอกให้ไปช่วยกิจกรรมที่มออย่างการเป็นแบบถ่ายรูปตัวแทนนิสิตปี 1 แล้ว

     ดังนั้นวันนี้ม่านฟ้าจึงถูกน้องชายตื๊อให้ไปเป็นเพื่อนเพราะอ้างว่ายังไม่ค่อยชินกับเส้นทางในมหาลัยเท่าไหร่

     ตอนมาเรียนพิเศษที่มอเขาน่ะมาได้ แค่นี้ทำเป็นบอกกลัวหลง ก็แค่ตื่นเต้นจนไม่กล้าไปคนเดียวนั่นแหละ

     นทีมองหลานชายที่ทำหน้าที่ผู้ปกครองให้กับน้องชายอย่างสมบูรณ์ทั้งที่อายุก็ห่างกันเพียงสองสามปี ลอบถอนหายใจระอาหลานชายคนโตที่มักบ่นว่าน้องไม่รู้จักโต ทั้งๆ ที่เป็นเพราะตัวเองนั่นแหละ ทำให้น้องไม่ค่อยได้ทำอะไรเอง แทนที่หลุดจากอกพ่อที่คอยประคบประหงมมา ภูหมอกจะได้เริ่มเรียนรู้การทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น แต่ก็ดันมีพี่ชายทำโน่นทำนี่ให้หมดอีกต่อหนึ่ง

     “วันๆ คิดแต่เรื่องของหมอก แล้วเรื่องของตัวเองล่ะ ว่ายังไง”

     “...เรื่องอะไรอา” ม่านฟ้านิ่งไปครู่ก็เหลือบไปมองอีกคนที่มองมาเหมือนไม่รู้เรื่อง

     “...”

     “...” ม่านฟ้าสบสายตารู้เท่าทันของผู้เป็นอา สักพักก็หลุบตาลงมาเล่นโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง

     “แกพยายามเพื่อน้องมันมามากขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ลองพยายามเพื่อตัวเองดูบ้าง”

     “...มันไม่เหมือนกัน”

     ม่านฟ้าเม้มปาก รู้สึกอึดอัดกับคำถามที่ถูกส่งมา ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมา เริ่มคิดว่าตัวเองมาเช้าเกินไปหรือเปล่า จนเหลือเวลาให้คนเป็นอามานั่งซักแบบนี้

     “ไม่เหมือนยังไง” นทียังคงซักไซ้เด็กดื้อตรงหน้า

     “ก็… หลายๆ อย่าง”

     นทีกอดอกมองจ้องไปที่ม่านฟ้า เหมือนกดดันกลายๆ ว่า ‘ก็พูดออกมาสิ’

     “เรื่องหมอกมันพลาดก็เลยหลุดออกไป ตอนแรกก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะบอกสักหน่อย ที่คิดไว้คืออย่างน้อยก็รอมันสอบติด เรียนจบ หรือไม่ก็พอจะดูแลตัวเองได้แล้ว ถึงค่อยให้มันบอกความจริง ไม่งั้นมันก็จะเกิดปัญหาแบบนี้ไง โดนตัดเงิน ไล่ออกจากบ้าน แต่พอเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้กันไปเท่านั้นเอง”

     “แต่แกก็ยังมีความคิดจะบอก”

     “ก็เพราะมันเป็นเรื่องของหมอก ไอหมอกแม่งเป็นคนเก็บความลับได้ที่ไหนกัน ถ้าต้องให้เก็บความลับไปตลอดนะ หมอกแม่งอกแตกตายก่อนแน่”

     เขาไม่ได้พูดเกินจริงสักนิด เพราะรู้นิสัยของน้องชายดี หมอกมีอะไรก็วิ่งบอกพ่อบอกแม่ก่อนทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่บางเรื่องก็รู้นะว่าบอกไปแล้วจะโดนว่าโดนตี แต่เจ้าตัวมักจะบอกเพียงแค่ว่า ไม่อยากปิดบังพ่อแม่ จึงเลือกที่จะบอกไปให้หมด

     ส่วนอีกเรื่องที่ว่าไม่เหมือนกันก็เพราะ…

     มันเป็นเรื่องของเขาล่ะมั้ง

     เขาคิดว่า ที่พ่อเริ่มใจอ่อนได้ง่ายขนาดนี้ ก็เพราะว่าพ่อรักหมอกมาก แค่ปฏิกิริยาของพ่อในวันที่รู้เรื่องระหว่างที่คิดว่าเป็นเขากับคิดว่าเป็นหมอกก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขายังจำสายตาที่เจ็บปวดของพ่อในวันนั้นได้ดี มันเหมือนคนใจสลายที่ผิดหวังจากคนที่รักมากที่สุด

     แต่สุดท้ายก็เพราะหมอก เพราะเด็กดีของพ่อเก่งจนสอบติดหมอได้อย่างที่พ่อหวัง พ่อถึงค่อยๆ ใจอ่อนกับหมอกได้ในที่สุด

     แล้วเขาล่ะ มีอะไรดีจนทำให้พ่อยอมใจอ่อนได้หรือไง

     เขาต้องได้เกียรตินิยม สอบชิงทุนไปเรียนโทที่ต่างประเทศ หรือต้องทำงานเงินเดือนเป็นแสนให้พ่อหรือเปล่า

     เขารู้ตัวว่าไม่ได้เก่ง ไม่ได้ดีขนาดนั้น จะให้เอาอะไรไปซื้อใจพ่อได้อย่างหมอก ช่วงที่พ่อเข้าใจผิดแล้วเขาไม่กลับบ้าน พ่อจะนึกถึงเขาเหมือนที่คิดถึงหมอกหรือเปล่าเถอะ หรือหากจะให้เขากลับตัวกลับใจ ซิ่วไปเรียนหมอ เรียนวิศวะ หรือทำตัวเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายของพ่อตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว

     ม่านฟ้าถึงคิดที่จะปิดมันไว้ ให้ความลับนี้มันอยู่กับเขาไปจนวันตายนั่นแหละ

     “แต่ผมโอเคไง ให้ผมอยู่กับความลับนี้ไปทั้งชีวิต... ผมก็อยู่ได้”

     ใช่ เขาเคยคิดแบบนั้น

     “แล้วคนของแกล่ะ เขาจะอยู่กับแกรึเปล่า เขาจะทนอยู่กับความลับกับแกได้แค่ไหน”

     “...” ไม่มีเสียงตอบรับจากหลานชายคนโต นทีหลับตาลงถอนหายใจ ไม่ใช่ไม่สงสารที่พูดออกไปแบบนี้ ยิ่งเห็นม่านฟ้าเบนหน้าไปทางอื่นและเริ่มหายใจแรงขึ้นพร้อมกับจมูกแดงๆ ก็ยิ่งสงสาร

     “เมฆ… ความลับมันไม่มีในโลกหรอกนะ”



     “...หมายความว่าเราต้องปิดเป็นความลับเหรอ”

     “อืม”

     “จนถึงเมื่อไหร่”

     “ตลอดไป”

     “...”

     “นี่เป็นเงื่อนไขเดียวของกู...นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ว่าจะรับเงื่อนไขนี้ไหม”

     “เรา...จะปิดมันไว้ได้ตลอดไปหรือไง”

     “...”

     “เมฆ… ความลับน่ะ มันไม่มี--”

     “กูจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันมี พิสูจน์ด้วยตัวของกู ด้วยเรื่องของเรานี่แหละ”




     “เมฆ” เสียงเรียกพร้อมสัมผัสที่ไหล่ทำให้ม่านฟ้าหลุดออกจากภวังค์อีกครั้ง เขาหันกลับไปมองพิธานที่มานั่งแทนที่นทีที่หลังจากพูดจบก็เดินเข้าครัวไป

     “มาแล้วเหรอ”

     เป็นพิธานคนเดิมที่อาสาไปส่งเขาและน้องที่มหาวิทยาลัย แต่เพราะเมื่อคืนเจ้าตัวกลับไปนอนที่บ้าน ขณะที่ม่านฟ้านั้นเพิ่งช่วยรูมเมทเก็บข้าวของเพื่อเตรียมย้ายออกไปอยู่ที่หอถึงไม่ได้มาด้วยกันเหมือนอย่างเคย

     “กูก็บอกแล้วว่ารับน้องมึงไปให้ก็ได้ มึงจะถ่อมาเพื่อ” พิธานบ่นคนที่ดูเบลอๆ จึงคาดเดาเอาว่าคงเพราะต้องตื่นเช้าแล้วนั่งรถจากหอมาถึงนี่ สติสตังจึงยังไม่เข้าที่เข้าทางแบบนี้

     “วันนี้กูจะเข้าบ้านอ่ะ”

     “วันนี้...ไปหาพ่อเหรอ” พิธานเลิกคิ้วสงสัย แอบใจเต้นตุ้มๆ ต้อมๆ กับการพาภูหมอกเข้าไปเสี่ยงกับสถานการณ์ที่ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นแบบนี้ จนเขาเองก็อดหวั่นใจแทนไม่ได้

     “อืม จริงๆ จะโทรบอกมึงไม่ต้องมารับที่นี่ก็ได้ ว่าจะให้รออยู่ที่บ้านก่อน จะได้ไม่ต้องตีรถไปๆ กลับๆ แต่กูก็ลืม โทษที”

     “เออๆ ไม่เป็นไร ให้กูมารับเนี่ยแหละ แล้วจะเข้าไปคุยอะไรกับพ่อ” ม่านฟ้าเหลือบตามามองพิธานครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปมองทางบันไดซึ่งมีเสียงเดินของคนที่เขากำลังรอคอยเดินลงมา

     “.. ว่าจะเคลียร์กันไปเลย เรื่องไอ้หมอก เราทิ้งเวลามานานล่ะ น่าจะตัดสินกันได้เสียที”

     ----

     ม่านฟ้าไขประตูเข้าไปในบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคย เขาเดินนำภูหมอกเข้าไปก่อน กวาดตามองรอบบ้านที่ยังคงเงียบสงัด เห็นแสงไฟจากภายในครัวก่อนที่เขาจะสบตาเข้ากับมารดาที่เดินออกมาเพื่อดูว่าใครคือผู้มาเยือนในยามเช้าตรู่

     “เมฆ ทำไมมาเช้าจ-“ เสียงทักทายของมารดาขาดหายไปเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่เดินตามลูกชายคนโตมา

     ภูหมอกเดินตามหลังพี่ชายเข้าบ้านมาอย่างประหม่า เขาไม่ได้เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้เกือบสามเดือน ทั้งกลิ่นอายและบรรยากาศต่างๆ พาลให้เขาคิดถึงเหลือเกิน ยิ่งภาพของมารดาที่ผูกผ้ากันเปื้อนทับชุดทำงานซึ่งมักทำอาหารให้เขาในยามเช้าก่อนไปเรียนทำให้ภูหมอกเผลอคลี่ยิ้ม

     เขาคิดถึงบ้านหลังนี้ คิดถึงแม่

     นัชชาเดินเข้ามาหาลูกชายคนเล็กราวกับคนละเมอ เกือบนาทีที่เธอทำเพียงมองนิ่งๆ ไปที่ใบหน้าของลูกชายคนเล็ก ดวงตาของคนเป็นแม่อ่อนแสงลงเมื่อมองเห็นดวงตาแดงๆ ของลูกชาย เธอยิ้มบางแล้วเกลี่ยแก้มขาวของภูหมอกอย่างรักใคร่

     “ดูสิใครมา หืม คนเก่งของแม่”

     ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยคำพูดใดมากกว่านั้น เสียงเดินลงจากบันไดชั้นสองก็ดังขึ้นให้ทุกคนต้องหันไปมอง

     นภดลเดินลงมาพร้อมกับขยับสายนาฬิกาข้อมือให้เข้าที่ เขาเดินลงมาถึงชั้นล่างพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาก่อนสบเข้ากับดวงตาคู่ที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางดึงสายตาของนภดลให้นิ่งอยู่กับที่ ดวงหน้าของเด็กน้อยที่เขาคอยเฝ้ามองการเติบโตมาตลอด

     ชายวัยกลางคนไล่สายตาลงมองมาที่ชุดนิสิตแขนยาว เนคไทตรามหาวิทยาลัยและกางเกงสแล็ก ภาพจำสุดท้ายของคนตรงหน้าคือเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นที่ร้องไห้อย่างเสียใจ จนวันนี้… ดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยังเจือความเศร้า แต่มันกลับแฝงไปด้วยความคิดถึงอย่างล้นเหลือ

     ภูหมอกไม่ปฏิเสธว่าก่อนมาเขากลัวและประหม่าเพียงใดที่ต้องกลับมาเจอหน้าผู้เป็นพ่ออีกครั้ง แต่เมื่อได้พบหน้า ความกลัวนั้นกลับหดหายไปเหลือเพียงความคิดถึง เขาคิดถึงเสียงดุๆ คิดถึงใบหน้าบึ้งตึง คิดถึงพุงพลุ้ยๆ ของพ่อ แม้จะยังมีความประหม่าอยู่บ้าง แต่ภูหมอกก็ไม่คิดจะถอยหนีเมื่อผู้เป็นพ่อขยับเท้าเดินใกล้เข้ามา

     เขาอยากกอดพ่อใจจะขาด

     ผู้เป็นพ่อมองเนคไทนิสิตที่บูดเบี้ยวแล้วยังดึงขึ้นไปติดคอจนเกินพอดีก่อนถอนหายใจเบาๆ มือหนาขยับจับที่กลางเนคไทก่อนใช้อีกมือประคองปมแล้วขยับจัดให้เข้าที่ นภดลพิถีพิถันในการจัดเนคไทจนเรียบร้อยก่อนค่อยๆ วางปลายเนคไทให้ตรงกับแถบกระดุมเสื้อ ดึงชายเสื้อที่ดูใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยให้ทิ้งตัวพอดี แล้วไล่สายตาสำรวจลูกชายอีกครั้ง

     เด็กหนุ่มกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เมื่อสบดวงตาที่แดงก่ำไม่ต่างกันของผู้เป็นพ่อ แม้มันยังเจือความเศร้าแต่มันสู้ไม่ได้กับความภาคภูมิใจที่พ่อส่งออกมาทางดวงตาคู่นั้น พ่อไม่ได้เอ่ยคำให้อภัยแต่ท่าทีที่พ่อยอมมองหน้าเขาเช่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มเผลอตัว

     ภูหมอกขยับเขากอดผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น ร่างกายสั่นสะท้านกับความอบอุ่นที่โหยหา เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับบ่าของบิดา แม้พ่อจะทำเพียงยืนนิ่งไม่ขยับกอดตอบแต่อย่างใด แต่เพียงไม่ปฏิเสธก็ทำให้ภูหมอกมีความสุขเหลือเกินแล้ว

     ทุกการกระทำนั้นตกอยู่ในความเงียบจนมีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของคนในบ้าน จนสุดท้ายชายวัยกลางคนก็เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา เขาหลับตาลงแล้วขยับมือเพื่อกอดตอบเด็กหนุ่มในอ้อมแขน

     ภูหมอกปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง แต่หาใช่เสียงร้องจากความทุกข์อีกต่อไป มันเป็นเพียงเสียงร้องไห้จากความสุขของเด็กชายคนหนึ่งที่ได้กลับบ้าน

     กลับมาหาครอบครัวที่เขารัก

     ม่านฟ้ามองภาพตรงหน้าดวงรอยยิ้มจางๆ ดวงตาของเขาก็แดงก่ำไม่แพ้คนอื่นในบ้าน เหยียดยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นพ่อตบหลังปลอบใจลูกชายคนเล็ก สายตาของชายหนุ่มนั้นสะท้อนทั้งความดีใจ โล่งใจ และ...อิจฉาปะปนกัน



     “มึงกลับบ้านครั้งนี้จะทำอะไรอีกล่ะ” เสียงพิธานถามขึ้นขณะขับรถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน

     “ไม่ทำอะไรเลย” ม่านฟ้าตอบเสียงนิ่งๆ แต่ทำให้คนฟังถึงกับหันมามอง

     “ห้ะ!!? ”

     “มองทาง! ” ม่านฟ้าผลักหน้าคนขับรถให้หันกลับไปทางถนน แม้รถในหมู่บ้านตอนเช้าแทบจะไม่มีวิ่งแต่อย่างไรก็ยังอันตรายอยู่ดี

     คนตัวเล็กกว่าหันไปมองนอกหน้าต่างที่กลายเป็นบ้านเรือนหลังคุ้นตา ขยับปากขยายความให้สารถีหนุ่มที่ถึงไม่จ้องมาแต่ก็รู้ว่ากำลังรอคำอธิบายเพิ่มเติมจากเขาอยู่

     “กูว่าความรู้สึกทุกอย่างตอนนี้มันอิ่มตัวแล้ว ก็แค่ปล่อยออกไป แล้วมันก็จะทำงานของมันเอง”



     ม่านฟ้าถอนหายใจออกมาเบาๆ กับความคิดของตน

     เขาบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก

     แค่ ‘ความคิดถึง’ และ ‘ความรัก’ ของพ่อในตอนนี้

     ...ก็เพียงพอแล้ว


     TBC



     Achaya (Writer) :

     สำหรับเรื่องของ ‘ภูหมอก’ เราได้แนวคิดการวางโครงเรื่องมาจาก framework หนึ่ง ถึงจะเป็นการตีความที่ผิดไปมากก็เถอะ
     1. Identify ช่วงแรกของการรู้ถึงความความลับ
     2. Protect พี่น้องช่วยกันปกปิดความลับเอาไว้ (แสดงมุมมองต่างๆ ในส่วนนี้)
     3. Detect การถูกพ่อจับได้ถึงความลับนั้น
     4. Respond วิธีแก้ปัญหาของพวกเขาจากเหตุที่เกิด
     5. Recover การเยียวยาครอบครัวให้กลับมาสู่เป้าหมายสุดท้ายคือคำว่า ‘ความสุข’

     เนื้อเรื่องในส่วนนี้ของภาคหลักได้ดำเนินมาถึงส่วนสุดท้ายแล้ว มาเอาใจช่วยพวกเขากันอีกหน่อยนะ ส่วนเรื่องของใครบางคนที่ยังไม่ถูกเปิดเผย...ก็อย่างที่บอก ทุกๆอย่างต้องใช้เวลาและความอดทนเสมอ

     ขอบคุณมากๆจริงๆสำหรับการติดตามและคอมเมนต์



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2020 18:06:04 โดย Achaya »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :-[

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Gagagade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :m15: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 18

     “แล้ว?”

     “ก็ Happy Ending ไง จบ”

     “เหอะ Ending เหรอ Ending แล้วเหรอ”

     “แล้วอาจะเอาอะไรอีกล่ะ” ม่านฟ้าหันไปถามคนเป็นอาหน้าซื่อ แต่กลับโดนนทีทำหน้าเหม็นเบื่อกลับมา

     “ฉันเบื่อจะคุยกับแก”

     ว่าจบก็เดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ตรงเข้าไปแกล้งหลายชายคนเล็กในห้องครัว พิธานที่เดินสวนเข้ามาทันได้ยินประโยคสุดท้ายหลังจากเพิ่งช่วยภูหมอกล้างจานเสร็จก็ขมวดคิ้ว

     “มึงไปแกล้งอะไรอาทีอีก”

     “เปล่า ก็แค่เล่าเรื่องให้ฟังแค่นั้น” ม่านฟ้าตอบเอื่อยๆ ตามองไปทางโทรทัศน์ที่กำลังโฆษณาเหมือนน่าสนใจนักหนา ก่อนหันมาแขวะคนข้างๆ “แล้วมึงอ่ะ อิ่มม่ะ”

     “อิ่มสิ กินฟรี มีคนเลี้ยงขนาดนี้”

     วันนี้พวกเขากลับมาที่บ้านของนทีอีกครั้งเพื่อเลี้ยงพิซซ่าขอบคุณนทีที่ดูแลหมอกช่วงที่ผ่านมา แต่แถมท้ายด้วยพิธานไปอีกคนเพราะเขาดันไปตกปากรับคำจะเลี้ยงข้าวอีกคนเป็นการขอโทษ



    “พีท มึงจะโกรธกูม่ะ ถ้า... กูจะบอกว่ามึงอาจจะตื่นเช้าฟรีก็ได้อ่ะ” ม่านฟ้าเอ่ยประโยคนี้ขึ้นเมื่อพิธานขับรถมาส่งสองพี่น้องเมฆหมอกที่หน้าบ้านในวันที่ภูหมอกเข้าไปหาพ่อ

     “หืม?” แต่ละประโยคที่ม่านฟ้าพูดออกมาทีไรทำไมทำให้เขางงได้ตลอด พิธานก็ไม่เข้าใจ

     “คือ.. กูว่าถ้าอะไรๆ มันจบลงด้วยดี พ่ออาจจะอยากไปส่งหมอกเองก็ได้ไรงี้”

     “อ๋อ” พิธานรับคำอย่างเข้าใจ แล้วพยักหน้า

     “ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ถือว่ากูได้ตื่นมาให้กำลังใจมึงไง” คนกำลังจะโดนเทพูดแล้วก็ชะงักเหลือบไปมองภูหมอกที่นั่งตาแป๋วอยู่ด้านหลัง “เอ่อ กูหมายถึง พวกมึงอ่ะ แล้ว...ขอคำขอโทษเป็นข้าวสักมื้อก็พอ”




     สุดท้ายม่านฟ้าก็มาเลี้ยงพิซซ่าตามคำสัญญาที่ให้ไว้ เพราะหลังจากวันนั้นที่ทำซึ้งกันอยู่สักพัก ม่านฟ้าก็ขัดบรรยากาศขึ้นมาด้วยการเตือนว่าภูหมอกอาจไปสายก็ได้หากยังกอดกันกลมอยู่แบบนี้ พ่อจึงเป็นคนอาสาไปส่งภูหมอกที่มหาลัยเอง แต่ก็ยังไม่วายกระเตงลูกชายคนโตไปด้วยเพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนน้องโดยที่พ่อจะแค่ขับไปส่งแล้วไปทำงานต่อ

     ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นลงตัว แม้ไม่มีคำยอมรับจากพ่อมาอย่างชัดเจน พวกเขาก็รู้ว่าแค่ต้องค่อยๆ ให้เวลากันไป ตอนนี้ภูหมอกก็กลับไปอยู่บ้านอีกครั้ง แต่ก็มีเทียวมาหานทีเป็นบางครั้งบางคราว อย่างตอนนี้ที่ยกขบวนจัดเต็มกันมาถล่มบ้านนทีอีกครั้ง

     “เก็บล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยกันด้วยนะ ถ้าฉันเจอตรงไหนเลอะ วันหลังมานะจะไล่ตะเพิดไปให้หมดเลย”

     นทีบ่นแล้วก็เดินไปดูแลต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน ม่านฟ้าอมยิ้มนิดๆ กับคนปากแข็ง ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่เขาก็รู้ นทีคงแอบเหงาอยู่ไม่น้อย เวลาเกือบสามเดือนที่ภูหมอกมาอยู่ด้วยคงทำให้เจ้าตัวนึกถึงการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง

     เอาหน่า ก็บอกแล้วไงว่าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ

     หลังเก็บกวาด ถูบ้าน ทิ้งขยะจนสะอาดเอี่ยมอ่องเรียบร้อยแล้ว สามหนุ่มก็มานั่งพักเอาแรงอยู่ที่โซฟากลางบ้าน พิธานเลื้อยไปกับโซฟาแล้วทำท่าเหมือนจะหลับ ขณะที่ภูหมอกคว้ารีโมตมาเปิดซีรีส์เกาหลีดูไม่สนใจใคร ม่านฟ้านั่งพักอยู่สักครู่จนได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากร่างสูงข้างกาย ถึงลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นมา

     “โอ๊ะ!”

     เสียงร้องตกใจของผู้เป็นอาดังขึ้นเมื่อหลานชายคนโตเดินมากอดไว้จากด้านหลัง เธอที่กำลังเหม่อลอยอยู่ถึงกับสะดุ้ง หันไปมองหน้าม่านฟ้าที่มองตรงไปข้างหน้าผ่านไหล่ของเธอ

     “มองอะไรอยู่อ่ะ” ชายหนุ่มถามขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูราวกับไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจริงจัง

     “เปล่า มองไปเรื่อยๆ” นทีเองก็ตอบคำถามส่งๆ ไปไม่ต่างกัน

     บทสนทนาสิ้นสุดลงเหลือเพียงเสียงธรรมชาติรอบด้าน แต่บรรยากาศกลับไม่ได้เป็นไปอย่างอึดอัด ม่านฟ้ากระชับอ้อมกอดผู้เป็นอาเล็กน้อยแล้วซบหน้าลงกับบ่าเล็ก นทีเป็นคนตัวบางอยู่แล้วต่อให้เป็นผู้ชายก็คงเป็นผู้ชายตัวเล็ก คุณอาสูงน้อยกว่าเขาเสียอีก ตอนเด็กเขายังเคยคิดว่าตัวเองมีอาผู้หญิงที่เสียงใหญ่หน่อยเท่านั้น มาเริ่มรู้ความจริงก็ตอนที่โตขึ้นมาหน่อยแล้ว

     ม่านฟ้าสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวอาแล้วอมยิ้มนิดๆ ต่อให้เขาชอบต่อล้อต่อเถียงกับอาบ่อยเสียจนโดนทั้งพิธานและภูหมอกบ่น แต่เขากลับชอบมาที่นี่เสียเหลือเกิน มันเป็นความสบายใจที่เขารู้สึกได้จากคนคนนี้

     หรือเพราะ… อยู่กับคนนี้ ที่นี่ เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังความลับอะไร

     “ทำไมอาถึงกล้าบอกความจริงกับปู่” เสียงชายหนุ่มอู้อี้เล็กน้อยเพราะพูดทั้งๆ ที่ยังซุกหน้าอยู่กับบ่าผู้เป็นอา

     “เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรผิด และฉันอึดอัดที่ต้องมาปิดเป็นความลับ”

     นทีเชิดหน้าขึ้น ในยุคสมัยของเธอการเป็นเช่นนี้แย่ยิ่งกว่าปัจจุบันมากนัก ยิ่งพ่อเธอเองก็เกลียดเรื่องพวกนี้เข้าไส้ไม่ต่างจากพี่ชาย ไม่สิ ต้องเรียกว่าพี่ชายของเธอได้พ่อมาเต็มๆ เลยมากกว่า นภดลไม่คิดที่จะช่วยเหลืออะไรเลยยามเธอโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน เจ้าตัวเพียงแต่มาเกลี้ยกล่อมให้ไปขอโทษพ่อและกลับใจเป็นผู้ชายอย่างเดิม

     เหอะ กลับใจเหรอ เรื่องพวกนี้มันกลับใจได้ด้วยเหรอไง

     ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องกับภูหมอก ราวกับเธอได้เห็นตัวเองในอดีตอีกครั้ง แต่ผิดกันตรงที่เธอมีเพียงตัวคนเดียว ขณะที่ภูหมอกมีม่านฟ้าคอยช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มที่ แถมท้ายด้วยผู้ช่วยกิตติมศักดิ์อย่างพิธานเข้าไปอีก หากวันนั้นเธอมีพี่ชายคอยช่วยเหลือบ้างก็คงไม่ต้องลำบากมากนัก

     จะว่าอิจฉาภูหมอกก็คงใช่ล่ะมั้ง

     “ผมเคยคิดว่าการต้องเก็บความลับ มันอึดอัดขนาดนั้นเลยรึไง”

     เสียงม่านฟ้าดึงเธอให้หลุดออกจากภวังค์อีกครั้งและหันกลับมามองหน้าหลานชาย

     “แล้วแบบนี้เธอมีความสุขเหรอ” นทีประคองใบหน้าขาวของม่านฟ้าเอาไว้แล้วถามด้วยรอยยิ้มจางๆ ดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มเศร้าลงจนสังเกตได้ชัด

     “ก็การบอกความจริงมันคงทุกข์มากกว่า” ม่านฟ้าตอบกลับมาเสียงแผ่ว

     “สักวันความทุกข์นั้นมันก็จะค่อยทุเลาลง แต่ความอึดอัดน่ะ นานวันก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นนะ”

     ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อได้รับคำตอบนั้น เขาไม่เคยคิดที่จะบอกความลับนี้มาก่อน แต่เพราะผลลัพธ์ของการเก็บความลับมันส่งผลมากขึ้นเรื่อยๆ จนยิ่งมาเกิดเรื่องภูหมอกเขาก็ยิ่งลังเล

     “ผมต้องทำยังไง ต้องพูดยังไงเขาถึงจะยอมฟัง” ม่านฟ้าไม่ได้ต้องการให้ได้รับการอภัย แค่ขอให้ยอมรับฟังกันสักนิดก็พอแล้ว

     “หึ ไม่ต้องคิดเยอะพูดเยอะอย่างที่แกชอบทำหรอก...”

     “แค่พูดตรงๆ ไปก็พอ”

     ----

     เหลืออีกแค่หนึ่งเดือนสำหรับปิดเทอมใหญ่ครั้งสุดท้ายของม่านฟ้าและการเริ่มต้นเข้าสู่มหาลัยของภูหมอก ม่านฟ้าบอกพ่อแม่แล้วเรื่องจะให้น้องไปอยู่หอด้วย แม้ตอนนี้จะปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแผนที่จะเอาน้องไปอยู่ด้วย ในช่วงปิดเทอมนี้ภูหมอกต้องไปทำกิจกรรมรับน้องที่มหาลัยบ้างเป็นครั้งคราว ขณะที่ม่านฟ้านอนยาวอยู่บ้านนานกว่าครั้งไหนๆ

     โดยปกติปิดเทอมอื่นม่านฟ้าก็มีเข้าไปช่วยกิจกรรมรับน้องบ้างนิดหน่อยขึ้นอยู่กับความขยันหรือโดนเพื่อนจิก แต่ปิดเทอมสุดท้ายนี้ม่านฟ้าปณิธานไว้ว่าใครหน้าไหนก็มาเอาตัวเขาออกจากบ้านไม่ได้เด็ดขาด

     นี่จึงแทบจะเป็นการออกจากบ้านที่ไกลกว่าร้านสะดวกซื้อหรือบ้านนทีครั้งแรกในรอบหลายเดือนของม่านฟ้า

     ใช่ พวกเขากำลังจะไปเที่ยว

     พ่อวางแผนจะพาพวกเขาไปเที่ยวหัวหินกันทั้งครอบครัวตั้งแต่เรื่องภูหมอกผ่านไปด้วยดี แต่กว่าจะว่างลงตัวพร้อมกันก็กลางเดือนกรกฎาหน้ามรสุมพอดี

     ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้คิดจะลงทะเลว่ายน้ำให้แสบตัวกันอยู่แล้ว

     ตอนนี้เขากับพ่อจึงมานั่งจิบเบียร์พร้อมปลาหมึกย่างราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดกันอยู่ที่ชานระเบียงห้องพัก พ่อจองรีสอร์ตที่เป็นบ้านหลังเล็กติดทะเล สองห้องนอนพร้อมโถงกลางที่มีห้องครัวขนาดไม่ใหญ่มากมาด้วย แม่กับหมอกตอนนี้จึงขับรถออกไปตลาดใกล้ๆ เพื่อหาซื้อของสดมาทำกินกัน

     บ้านเขาปกติก็ไม่ได้กินแอลกอฮอล์บ่อยหนัก พ่อไม่ใช่คนติดเหล้าหรือสูบบุหรี่ จะมีกินบ้างก็เวลามีงานปาร์ตี้เล็กๆ น้อยๆ หรือมาเที่ยวกันอย่างคราวนี้

     ลมทะเลกับเมฆครึ้มๆ ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวหน่อยๆ แต่สองพ่อลูกก็ยังนั่งกันสบายๆ ไม่แคร์ฟ้าฝน ใบหน้าของพ่อขึ้นสีแดงเล็กน้อยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ มองตรงไปสุดสายตาพลางถอนหายใจ

     “เมฆ”

     “ครับ?” ม่านฟ้าเหลือบตามามองผู้เป็นพ่อเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ยังคงมองตรงไปด้านหน้า ไม่หันมาสบตา

     “เรื่องหมอก ขอบใจนะ” นภดลพูดออกมาด้วยเสียงปกติ แต่เพราะเสียงคลื่นและลมที่เริ่มแรงขึ้น เสียงจากปากพ่อจึงดูแผ่วนัก “ขอบใจที่ยังทำให้บ้านเป็นบ้าน ไม่งั้นเราคงไม่ได้มาเที่ยวกันสี่คนแบบนี้แล้ว แกมันเจ้าเล่ห์ตัววางแผน”

     ชายหนุ่มยิ้มรับคำแขวะจากพ่อแล้วเงยหน้าเมื่อพ่อพูดประโยคถัดมา

     “ฉันอาจจะไม่เคยพูดกับแกดีๆ แต่…” เสียงพูดของพ่อขาดหายไปเหมือนคนไม่แน่ใจว่าควรพูดดีหรือไม่ สุดท้ายก็ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ ม่านฟ้าเองเมื่อรอฟังแล้วไม่ได้คำตอบที่รอก็ยักไหล่ เหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย

     “ที่ผมพยายามกล่อมพ่อไปทั้งหมด ผมอาจจะไม่ได้ทำเพื่อหมอกคนเดียวก็ได้นะ”

     “หมายความว่ายังไง” พ่อมองอย่างสงสัยก่อนส่งสายตาเค้นคำตอบจากลูกชายจอมกวน แต่เขากลับรู้สึกคล้ายเห็นตาแดงๆ ของลูกชายแทน

     ม่านฟ้ามองหน้าผู้เป็นพ่อนิ่ง ก่อนหลุบตาลงต่ำ แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดทำให้เขาอ่อนไหวมากขึ้น ใจหนึ่งอยากบอกเรื่องราวทุกอย่างให้จบ แต่อีกใจหนึ่งกลับกลัวมากขึ้นกว่าเดิม

     เสียงไขกุญแจห้องพักดังขึ้นมาก่อนปรากฏร่างของสองแม่ลูกที่ออกไปซื้อของหอบหิ้วถุงใส่ของสดเต็มสองมือ นภดลละสายตาจากลูกชายคนโตหันไปมองชั่วครู่ เมื่อหันกลับมาก็เห็นคนข้างกายลุกขึ้นยืนวางกระป๋องเบียร์แล้วเดินเข้าไปในห้อง

     “ผมไปช่วยแม่ทำกับข้าวนะ”

     นภดลมองร่างลูกชายคนโตที่เดินเข้าไปก่อความวุ่นวายมากกว่าจะช่วยดังคำกล่าว คิดถึงคำพูดที่ติดค้างเจ้าตัวเอาไว้และไม่ได้พูดมันออกไป

     ‘แต่… แกเองก็เป็นลูกชายที่ฉันภูมิใจมากนะ’

     ----

     อีกหนึ่งสัปดาห์จะถึงวันเปิดเทอม พวกเขาย้ายข้าวของที่จำเป็นไปไว้ที่หอในแล้วบางส่วน อาทิตย์หน้าก็แค่ย้ายตัวกับของใช้อีกนิดหน่อยไปก็ถือว่าพร้อมแล้ว วันเสาร์นี้จึงเป็นเสาร์สุดท้ายที่พวกเขาจะได้อยู่กันพร้อมหน้า

     หญิงวัยกลางคนกำลังรื้อหาของกุกกักอยู่ในครัวโดยมีภูหมอกนั่งกินแอปเปิลอยู่ที่โต๊ะกินข้าวด้วยอีกหนึ่ง ห้องนั่งเล่นยามนี้จึงมีเพียงม่านฟ้าและพ่อที่นั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟาเพียงสองคนเท่านั้น

     เสียงรื้อข้าวของจากในครัวยังดังมาเรื่อยๆ จนคนในบ้านอดเหลือบตาไปมองไม่ได้ แม่ดูหงุดหงิดที่หาไม่เจอจนสุดท้ายม่านฟ้าก็เป็นผู้เอ่ยปากถามขึ้นมา

     “หาอะไรแม่”

     “แก้วน่ะสิ ใบที่เป็นลายเลอะๆ ที่เมฆชอบใช้น่ะ ขนาดกำลังดีแม่จะเอามาทำขนม”

     “...” ม่านฟ้านิ่งไปนิดหนึ่งเมื่อคิดถึงแก้วใบที่แม่อยากได้ “แตกไปแล้วไง”

     “หืม แตกไปตอนนะ-” คำพูดของแม่ขาดห้วงลงเมื่อเธอเองก็เหมือนจะจำได้แล้วเหมือนกันถึงช่วงเวลาที่มันแตก ไม่ใช่เพียงนัชชาเท่านั้นที่นึกออก ทุกคนในบ้านก็เหมือนหวนกลับไปในช่วงเวลาที่แก้วใบนั้นแตกลงเช่นกัน





     “แกมันลูกเฮงซวย สร้างแต่ปัญหา แล้วยังกลายมาเป็นปัญหาสังคมอย่างเป็นตุ๊ดเป็นเกย์แบบนี้อีก!!!”

     “ใช่!! พ่อ!! ผมมันลูกเฮงซวย ...ขอโทษจริงๆ ที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ”

     “อะไรก็ตามที่พ่อเกลียด เมฆก็จะเป็นอย่างงั้น”

     “กูจะตีมันให้ตาย ให้มันเลิกทำตัวบ้าๆ เสียที! ”

     เพล้ง!

     “มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยนะ”

     "กรรมอะไรของกูว่ะ ที่มีลูกอย่างมึง"





     เพราะถ้อยคำมากมายที่เคยกล่าวไว้ยามขาดสติ จะกลายเป็นดาบสองคมที่กลับมาทิ่มแทงผู้พูดเองเมื่อช่วงเวลานั้นผ่านไป เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เสียไป...ต่อให้ประกอบใหม่อย่างไร

     ก็ไม่มีวันเหมือนเดิม

     ม่านฟ้านิ่งคิดไปถึงช่วงเวลาที่เขากับพ่อต่างตะโกนใส่กันด้วยแรงอารมณ์ในครั้งนั้น ต่อให้ยามนั้นแม้บางส่วนจะเป็นเพียงความเข้าใจผิด แต่อย่างไรเสียคำพูดพวกนั้นก็ออกมาจากปากของพวกเขาจริงๆ

     ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกให้กับความรู้สึกหนักในอก คำพูดของพ่อในคราวนั้นเป็นฝันร้ายสำหรับเขาเสมอ ยามใดที่รู้สึกน้อยใจหรือท้อแท้ คำพูดเหล่านั้นจะวนเวียนมาเพื่อตอกย้ำว่าตนเองคือลูกชายที่ไม่ได้เรื่อง เป็นลูกชายที่สร้างความลำบากใจให้พ่อตลอด

     และหากว่า

     เรื่องเข้าใจผิดวันนั้นไม่ใช่เพียงความเข้าใจผิด

     ทุกอย่างที่พ่อพูดออกมา

     ก็คงเป็นความจริงที่พ่อคิดเช่นกัน





     ทั้งบ้านยังตกอยู่ในความเงียบ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพ่อที่นั่งข้างกันก็อึดอัดกับบรรยากาศที่เกิดขึ้น เขาเห็นพ่อขยับปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็เม้มปากเก็บมันไว้อีกครั้ง สายตาของพ่อหลุกหลิกไปมาอย่างอึดอัดใจ แต่เท่านั้นก็ทำให้ม่านฟ้ายิ้มจางๆ ออกมาสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างให้กำลังใจตัวเอง ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วโน้มตัวเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อ

     ม่านฟ้ากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนสูดลมหายใจพร้อมกลั้นเสียงสะอื้นและความรู้สึกหลายอย่างที่เกิด ซบหน้าลงกับบ่าที่เคยซบนอนตอนพ่ออุ้มครั้งยังเด็ก ม่านฟ้าพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่นยามเมื่อเอ่ยคำพูดออกไป

     “ขอโทษนะพ่อ วันนั้นที่พูดไม่ดี เมฆไม่ควรประชดพ่อแบบนั้น” ชายหนุ่มเสียงพร่าตัวสั่นทั้งที่ยังซบอยู่กับบ่า ก่อนผละออกมามองผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตาที่ฝืนไว้ไม่ไหวและรอยยิ้มขมขื่น “แต่วันนี้เมฆมีเรื่องจะบอกพ่อ จริงๆ แล้ว”

     นภดลยังไม่ทันหายตกใจกับภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของลูกชายกลับต้องยิ่งตกใจหนักขึ้นกับประโยคที่ตามมา

     .

     .

     “เมฆเป็นเกย์ครับ”



     TBC





     Achaya (Writer) :

     ใกล้แล้ว ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์นะคะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :hao5:

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนพิเศษ (Minispecial)

Minispecial 1

     คุณเคยไหม ไม่รู้จักคนคนหนึ่งแต่เหมือนรู้จัก เจอหน้ากันทุกวัน กลับบ้านด้วยกันทุกวัน แต่.. เราไม่รู้จักกัน

     ใช่ ผมกับเขาเป็นแบบนั้น

     เราเรียนพิเศษที่เดียวกัน มันค่อนข้างไกลจากบ้าน และน่าแปลก คือดันมีคนเลือกเรียนพิเศษไกลเหมือนผมด้วย ผมเห็นเหมือนเขาเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ขณะที่ผม.. เรียนภาษาสเปน

     เวลาเลิกคลาสเย็นของเราเป็นเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้น ต่อให้คลาสใดคลาสหนึ่งเลิกช้าหรือเร็วก็แตกต่างกันไม่มาก สุดท้ายก็มายืนรอรถเมล์ด้วยกันอยู่ดี

     ผมไม่แน่ใจว่าเราเจอกันมากี่ครั้งแล้ว แต่เริ่มสังเกตเขา เมื่อเริ่มอาทิตย์ที่สามของการเรียน

     ในวันที่ป้ายรถเมล์แทบจะไม่มีใครแล้ว เราพุ่งขึ้นรถเมล์คันเดียวกัน เพราะมันเป็นสายเดียวที่ตรงถึงหน้าหมู่บ้านได้โดยไม่ต้องต่อรถ และนั่นทำให้ผมรู้อีกว่า

     เราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน

     จะว่าโลกกลมหรือไง หมู่บ้านเราคนก็ไม่น้อย มีร้อยกว่าหลังคาเรือน การจะมีเด็กมัธยมปลายวัยเดียวกันที่ไปเรียนพิเศษบ้างคงไม่แปลก อืม แต่ถึงขั้นเรียนพิเศษที่เดียวกัน เลิกพร้อมกันนี่มัน… ก็ออกจะโลกกลมจริงๆ นั่นแหละ

     พวกเราจะเดินทิ้งระยะออกจากกันเล็กน้อย ไม่ว่าใครจะเดินอยู่หน้าหรืออยู่หลัง ระยะห่างของเรายังเท่าเดิม เขามักเลี้ยวไปในซอยหลักอีกซอยที่ลึกกว่าซอยของผม จบการเดินทางที่ไร้บทสนทนาต่อกัน

     และเจอกันอีกครั้งในเย็นของวันเรียนพิเศษครั้งต่อมา



Minispecial 2

     การเรียนพิเศษในช่วงท้ายๆ แต่ละคอร์สเริ่มเลิกดึกขึ้น เลยเวลาเรียนปกติไปค่อนข้างมาก นั่นทำให้ที่นั่งบนรถเมล์เหลือว่างมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ผมได้นั่งเมื่อเลยจากป้ายที่ขึ้นมาสามป้าย และป้ายต่อมา ที่นั่งข้างผมก็ว่างลง ผมเหลือบไปมองคนไม่รู้จักที่คุ้นเคยที่ยืนอยู่เยื้องออกไป ก่อนจะขยับตัวไปชิดหน้าต่างก็ยื่นมือไปสะกิดคนตัวสูง

     “นั่งไหม”

     ใช่ นั่นคือบทสนทนาแรกระหว่างเรา

     จริงๆ จะเรียกว่าการพูดคุยได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเขาตอบมาเพียงสั้นๆ ว่า

     “อืม”

     จบบทสนทนาแรกของพวกเราเพียงเท่านั้น

     หลังจากวันนั้น บนรถอาจจะมีที่ว่างบ้าง แต่เราก็ไม่ได้นั่งข้างกันอีก ทันทีที่นั่ง เขามักจะหลับ หลับแบบไม่สนใจไยดีว่าจะถึงป้ายแล้วหรือยัง

     หรือเพราะ.. มั่นใจว่าจะมีคนปลุก

     ทุกครั้งที่จะลงแล้วยังเห็นใครบางคนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วชี้ออกไป จิ้มแรงๆ ที่ต้นแขนคนหลับ เขาจะงัวเงียเล็กน้อยก่อนจะโซซัดโซเซพาร่างสูงๆ มายืนรอที่หน้าประตู ถัดจากผมไปนิดหน่อย ก่อนที่เราจะลงจากรถไปพร้อมกัน



Minispecial 3

     ผมเป็นคนชอบฟังเพลง ยิ่งตอนที่นั่งรถไกลๆ แบบนี้ยิ่งต้องฟัง มันเพลินดี ไม่งั้นผมจะมัวแต่พะวงว่าเมื่อไหร่จะถึงจนหงุดหงิดใจ ผมไม่รู้เหตุผลของเขาจะเหมือนผมหรือเปล่า แต่เขาก็มักจะเสียบหูฟังแล้วนอนหลับเสมอ

     เสียงขยุกขยิกของผมทำให้เขาที่นั่งเยื้องไปด้านข้างหันมามอง ผมกำลังหาหูฟังที่ยัดไว้ในกระเป๋า แต่หาเท่าไร่ก็ไม่เจอ เสียงฝนตกกระทบกับหน้าต่างรถดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ผู้โดยสารที่นั่งข้างผมลุกขึ้นเพื่อรอลงจากรถแต่ผมไม่ได้สนใจ รู้สึกถึงใครบางคนที่นั่งลงมาข้างผมแทนที่ผู้โดยสารคนเดิม

     สติของผมยังคงจดจ่ออยู่กับการหาของในกระเป๋า สมองคิดทบทวนการใช้ครั้งสุดท้าย ผมว่าผมต้องวางไว้ใต้โต๊ะตัวเองในห้องเรียนแน่ คิดได้ดังนั้น ก็พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาอย่างหงุดหงิดปิดกระเป๋านักเรียนแรงๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมา

     เพื่อพบว่า

     เขามานั่งข้างๆ ผมแล้ว

     เจ้าตัวขยับตัวเหมือนหาจังหวะให้นั่งหลับได้พอดี เหลือบตามองมาที่ผมเล็กน้อย และทำสิ่งที่ผมได้แต่นิ่ง

     เขาปลดหูฟังข้างหนึ่งของเขายื่นมาให้ผม สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ตาของเขาปรือลงเหมือนคนที่พร้อมจะหลับ จนผมไม่แน่ใจว่าเขารู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไร จะให้ผู้ชายสองคนนั่งใช้หูฟังคนละข้างฟังเพลงเหรอ โรแมนติกเกินไปจนขนลุกเลยล่ะ

     และที่สำคัญ คือเราไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ

     .

     .

     แต่ที่แปลกที่สุด

     คงไม่พ้น...

     ผม...ที่เอื้อมมือรับมันมาแต่โดยดี



Minispecial 4

     ในวันต่อๆ มา ไม่รู้โชคดีหรือเพราะเขามักจะเปลี่ยนที่ เราถึงได้นั่งข้างกันบ่อยขึ้น แต่ทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยน เขายังคงหลับ ขณะที่ผมก็แค่ฟังเพลงเล่นเกมไป อ๋อ ผมใช้หูฟังตัวเองนะ ไม่ได้ลืมแล้ว

     ผมคิดแค่ว่าเขาคงมานั่งใกล้ เพื่อให้ผมได้ปลุกถนัด หรือไม่..ก็นั่งดักทางออกผมไว้ เผื่อวันไหนผมแกล้งไม่ปลุกเขาขึ้นมา

     แต่ผมไม่ชอบ.. ที่ใครจะมาไว้ใจผมแบบนี้เลย

     เพราะบางครั้ง

     .

     ผมก็เหนื่อย

     .

     .

     และก็เผลอหลับไปด้วยเหมือนกันน่ะสิ!!



     “เห้ย!”

     ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงอุทานของคนข้างๆ และการขยับตัวของเขาที่ทำให้ไหล่เรากระแทกกัน ผมรีบมองออกไปนอกหน้าต่าง ทางไม่คุ้นแล้ว ไม่สิ ไม่ใช่ทาง สถานที่ต่างหาก เพราะรถจอดลงที่อู่แล้วไงล่ะ

     กระเป๋ารถเมล์ที่เหมือนกำลังจะเดินมาปลุกชะงัก แล้วเดินกลับไปเมื่อเห็นว่าพวกผมตื่นแล้ว

     “ไม่ทำหน้าที่เลยอ่ะ”

     เสียงคนนั่งข้างบ่นลอยๆ ขึ้นมา จนผมเผลอตวัดค้อนให้หนึ่งที

     ไม่ใช่นาฬิกาปลุกส่วนตัวนะเว้ย!

     และก่อนที่จะรู้ตัว ข้อมือผมก็ถูกคว้าแล้วลากลงมาจากรถ พวกเรามายืนคว้างอยู่กลางอู่ เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกาแล้วพึมพำเบาๆ

     “ไม่น่ามีรถเหลือแล้ว แท็กซี่แล้วกัน” ประโยคหลังหันกลับมาพูดกับผม

     เราเดินออกมาหารถที่ริมถนน ไม่รู้ว่ายังง่วงอยู่หรือยังตกใจอะไร ผมถึงยังปล่อยให้เขาจับข้อมือลากไปไหนมาไหนตลอด จนมาปล่อยเมื่อเราขึ้นนั่งบนแท็กซี่

     เขาบอกทางกลับหมู่บ้านเราไปตลอดทาง จนมาปล่อยพวกเราลงที่หน้าหมู่บ้าน จริงๆ ให้แท็กซี่ไปส่งหน้าบ้านเลยก็ได้ แต่ยังงงๆ ว่าจะให้ส่งหน้าบ้านใคร สุดท้ายก็ให้ส่งหน้าหมู่บ้านเสียเลย

     เราหารกันจ่ายค่าแท็กซี่ แล้วเดินแยกกันกลับเหมือนทุกวัน

     ใช่

     ก็เหมือนกับทุกวัน

     .

     .

     แต่ทำไม เหมือนจะมีความรู้สึกแปลกเกิดขึ้นเล็กๆ กันนะ



Minispecial 5

     วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคอร์สภาษาสเปนที่ผมเรียนอยู่ เนื้อหาอะไรที่สอนไม่ทันก็อัดมาจนเต็ม เล่นเอากว่าจะเลิกก็เลยเวลาเลิกปกติมาเป็นชั่วโมง กว่าจะขึ้นรถจนมาถึงหมู่บ้านได้ก็ดึกมากแล้ว แต่แปลกที่ผมกับเขาคนนั้นก็ยังได้นั่งรถคันเดียวกันกลับอีกเหมือนเคย ผมลากเท้าเดินเข้าหมู่บ้านด้วยความเร็วช้ากว่าปกติ คงเพราะเหนื่อยจนสมองตื้อ แต่ก็ไม่กล้าหลับบนรถอีก กลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับคราวก่อน

     ผมยังรู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่วันนี้ก็เดินช้าเหมือนกันกับผมดังเยื้องไปด้านหลัง แปลกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่มันเลยซอยที่เขาจะต้องแยกไปแล้ว แต่ทำไมถึงยังมีเสียงเดินของเขาตามมาอีก

     หรือว่าเรียนหนักจนเบลอกลับบ้านไม่ถูกแล้วหรือไง

     ผมส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระของตัวเองก่อนหยุดลงที่หน้าบ้าน ไขกุญแจบ้านได้ก็หันกลับไปมองคนที่หยุดเดินห่างจากผมไปไม่ไกล

     เขามองซ้ายมองขวาเหมือนสำรวจสภาพรอบๆ แล้วมาหยุดสายตาลงที่บ้านเลขที่ของผม ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับไป สายตาของเราสบกันชั่วครู่ เขาหันหลังเดินไปเพียงสองก้าวก็หยุดชะงัก ทำให้ผมที่มองเขาอยู่ชะงักค้างไปเช่นกัน

     “วันนี้…” เขาหันกลับมาหาผมอีกครั้ง

     ไฟหมู่บ้านที่ตั้งห่างๆ กันทำให้ผมมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก แต่เหมือนผมจะเห็นความลังเลจากเขาพริบตาหนึ่ง “...ของฉันปิดคอร์สแล้ว”

     ผมยังยืนงงเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาพูดออกมา เสียงทุ้มๆ ของเขาที่เคยได้ฟังแม้ไม่บ่อยนัก ยังทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เสมอ แต่เมื่อความเงียบหลังคำพูดของเขาเกิดขึ้น ผมก็ตอบออกไปเบาๆ ไม่ให้เสียมารยาท

     “อืม… เหมือนกัน”

     จากนั้นความเงียบก็เกิดกับเราสองคนอีกครั้ง เขาดูอึกอักที่จะพูดอะไรบางอย่าง ผมเห็นเขาก้มหน้าเม้มปาก ก่อนเงยขึ้นมาหาผมอีกครั้ง

     “แต่.. ฉันว่าจะลงเรียนคอร์สต่อไปด้วย”

     “...”

     “...”

     “อืม...”

     สายตาของเขาที่มองมาเหมือนยังรออะไรบางอย่างมากกว่าคำตอบรับของผม ก่อนที่เขาจะหลุบตาลงแล้วหันหลังกลับไป ผมจึงพูดประโยคเดิมที่ค้างไว้จนสุด

     “... เหมือนกัน”

     ผมตอบไปเพียงแค่นั้นจริงๆ แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้หันกลับมา แล้วยิ้มกว้างให้ผมเสียขนาดนั้น ยิ้มที่หวานไปถึงดวงตาที่พาลให้ผมรู้สึกว่ารอบตัวสว่างขึ้นมานิดหน่อย

     และก็ไม่รู้ทำไม..ผมถึงรู้สึกว่า

     มุมปากของผมก็ยกยิ้มขึ้นมาเหมือนกัน



     END





     Achaya (Writer) :

     เราขอเอาตอนพิเศษมาให้คิดว่าคงเดากันได้ว่าเป็นใคร แต่เราอาจจะขอปรับเปลี่ยนการวางเรื่องเล็กน้อย

     แท้จริงแล้วตอนจบของ 'ความลับในม่านหมอก' ได้จบลงตั้งแต่ตอนที่แล้ว เพราะอย่างไร ความลับของทั้ง'ม่าน' ฟ้า และภู 'หมอก' ก็ได้ถูกเปิดเผยจนหมดในตอนที่แล้ว เราจะขอเปลี่ยนตอนที่ 18 ให้กลายเป็นบทส่งท้าย และตอนนี้ก็กลายเป็นตอนพิเศษไป

     แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เราไม่ทิ้งไปกลางคันแค่นี้แน่ เพราะเมื่อมีความลับก็ต้องมี 'ความจริง' เราจะต่อเนื้อเรื่องด้วย 'ภาคความจริง' ต่อจากนี้ และเพื่อเป็นการขออภัยที่อาจทำให้สับสน เดี๋ยววันอังคารนี้เราจะมาลงบทนำของภาคความจริงให้ ใครที่เคยเดา เคยสงสัย เคย 'จิ้น' อะไรไว้ ก็ลองติดตามกันต่อ ว่าจะตรงตามที่จิ้นกันไว้ไหม

     ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเมนต์ค่ะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Achaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาคความจริง : บทนำ

     ‘4th year anniversary’

     ม่านฟ้ามองโพสต์ของคนที่เป็น ‘Friend’ กันบนสื่อโซเชียล ก่อนไล่อ่านไปตามความคิดเห็นของเพื่อนเจ้าตัวที่ทยอยกันเข้ามาล้อเลียนความอวดแฟนของเจ้าของโพสต์ จากข้อความไม่ได้ถูกแท็กไปถึงใคร แต่เหมือนเพื่อนที่สนิทกันก็รู้ดีอยู่ว่าความหมายที่เจ้าของกล่าวถึง คือความรักของเจ้าตัวที่คบกับแฟนมาถึงสี่ปีแล้ว

     ไม่ทันที่ม่านฟ้าจะได้เลื่อนไปดูโพสต์อื่นๆ ฆ่าเวลา เสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้น ข้อความเหล่านั้นถูกส่งมาจากเพื่อนคนหนึ่งของคนรัก นึกแปลกใจเหมือนกันเพราะโดยปกติ พวกเขามักไม่ได้คุยอะไรกันโดยตรงนัก

     ‘ลองฟังฆ่าเวลาตอนรอคุณแฟนเพลินๆ นะครับ 5555’

     ‘Happy anniversary ด้วยนะเว้ยย’

     ต่อจากข้อความที่ถูกเขียนมาก็ตามด้วยข้อความเสียงความยาวประมาณเกือบ 10 นาที ทันทีที่กดฟัง ม่านฟ้าก็ต้องขมวดคิ้วกับเสียงเซ็งแซ่รอบๆ เหมือนคนอัดเสียงแอบอัดมาโดยที่เจ้าของเสียงบางคนไม่รู้ตัว





     ‘อัดยังๆ ’

     ‘อัดแล้วๆ ’

     ‘ดีๆ กูจะเก็บไว้แซวมัน’


     เริ่มคลิปมาด้วยเสียงกระซิบกระซาบของคนสองคน แสดงหลักฐานชัดเจนว่าเป็นคลิปหลุดที่แอบอัดไว้แกล้งคน ซึ่งคนโดนแกล้งก็คงไม่พ้นคนที่ถูกถามคำถามต่อมา

     ‘เห้ย แล้วมึงจะรีบเก็บของไปไหนเนี่ย’

     ‘ไปหาเมฆ’
สามคำสั้นๆ แต่ส่งผลให้เกิดเสียงโห่แซวดังขึ้น ม่านฟ้าอดอมยิ้มนิดๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงคนคุ้นเคยดังขึ้นในคลิป

    ‘โอย มีคนติดแฟนแล้วทิ้งเพื่อนอ่ะ เค้าเสียใจจังตัวเอง’ เสียงผู้ชายที่ดัดจนสะดีดสะดิ้ง ตามมาด้วยเสียงผลัวะเบาๆ คาดเดาได้ไม่อยากว่าคงมีคนโดนฟาดเขาที่ใดสักที่

    ‘ทิ้งก็เหี้ยล่ะ อาทิตย์นึงกูอยู่กับพวกมึงแม่งเกือบทุกวัน ขอสักวันให้กูไปหาแฟนกูมั้งเหอะ’

     ‘เออ แต่ก็จริง ดีนะ แฟนมึงแม่งไม่งี่เง่า’ อีกเสียงดังขึ้นไกลออกไป คาดว่าไม่ได้รวมอยู่ในผู้ร่วมอุดมการณ์อัดคลิปลับ เพราะเสียงของคนอัดอีกสองคนดูตั้งใจพูดให้ดังฟังชัดมากจนเกินธรรมดา

     ‘แล้ววันนี้ทำไมมึงดูรีบจังว่ะ’

     ‘ก็วันครบรอบกูไหมล่ะ’
เสียงโห่ดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงหัวเราะ

     ‘คบกันมานานขนาดนี้ รักจริงหวังแต่งเลยป่ะเนี่ย’

     ‘อะไรของพวกมึงเนี่ยห้ะ ทำไมวันนี้เสือกเรื่องกูจัง’

     ‘ไม่ได้ๆ วันนี้กูต้องทำให้มึงเขินให้ได้ก่อนปล่อยไป’

     ‘ขอสัมภาษณ์หน่อยครับ ไม่ทราบว่าแฟนคนนี้นี่รักมากแค่ไหนครับ เห็นคบกันมาตั้งสี่ปี’

     ‘ไอพวกเหี้ย ปล่อยกู’

     ‘ไม่ปล่อย มึงตอบมาก่อน’

     ‘เออๆ รักดิ ไม่รักกูจะคบเหรอ พอใจยัง!? ’

     ‘ฮิ้ววววววว’
เสียงโห่ดังมาอีกระลอกทำเอาม่านฟ้าหลุดขำ รู้สึกร้อนๆ ที่หน้าหน่อย แม้จะคิดว่าคนตอบอาจจะตอบปัดๆ ให้จบเพื่อจะได้หลุดจากกลุ่มเพื่อนก็เป็นได้ เขาคิดว่าจุดประสงค์ของคลิปคงตั้งใจส่งมาแซวเขาแค่เรื่องนี้ แต่เรื่องต่อมาที่ได้ฟังทำให้เขาต้องนิ่ง

     ‘งั้นกูถามจริง จนถึงตอนนี้พวกมึงเคย.. อะไรๆ กันยังว่ะ’

     ‘ไอเหี้ย อัดเสียงอยู่’

     ‘เออน่ะ เดี๋ยวค่อยไปตัดท่อนหลังออก’


     เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอีกครั้งแล้วตามด้วยเสียงผลัวะ คราวนี้ดังชัดเจนจนเหมือนคนที่ถือโทรศัพท์จะเป็นคนโดนฝ่ามือพิฆาตเสียเอง

    ‘ทะลึ่งล่ะ ไอเหี้ย’

     ‘เออ เอาจริงกูก็อยากรู้ จากบรรยากาศพวกมึงก็ดูสนิทกันนะ แต่ไม่ได้เหมือนคู่ผัวเมียเท่าไหร่’

     ‘...’
ม่านฟ้าไม่แน่ใจว่าอีกคนไม่ตอบหรือตอบด้วยท่าทางกันแน่

     ‘ไม่เคย?’ แต่เขาเดาว่าคำตอบคงเป็นการส่ายหน้าจากคำถามย้ำของเพื่อนในกลุ่ม

     ‘ทำไมว่ะ คบกันมาก็ตั้งหลายปีล่ะ เมฆมันเล่นตัวหรือว่ามึงมันกาก’

     เขาได้ยินเสียงสบถด่าขึ้นมาคำหนึ่งก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงจนได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากตัวเอกของคลิปเสียงนี้

    ‘.. กู..’ เสียงตอบรับราวกับคนพูดไม่ออกและอึกอักอยู่ในลำคอ แต่กลับไม่มีเสียงแซวออกมาให้เสียสมาธิ ราวกับทุกคนใจจดใจจ่อรอฟังคำตอบนั้น ใช่ ม่านฟ้าเองก็ด้วย

    ‘กูอยากให้เกียรติมันมั้ง’

     ‘...’ น่าแปลก ม่านฟ้าคิดว่าหลังจากคำตอบนี้จะตามมาด้วยเสียงโห่แซวแบบทุกทีแต่ก็ไม่ ก็ดี เพราะเขาก็อยากฟังประโยคต่อมาของอีกคนให้ชัดๆ

    'แล้ว.. เราคบกันตั้งแต่ยังเด็กด้วย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ พอจะข้ามความสัมพันธ์ไปมันก็เหมือนยังหาเส้นแบ่งไม่เจอ กูเลยคิดว่างั้นกูจะรอขอมันจากที่บ้านก่อนแล้วกัน'

    ‘ห้ะ? แต่ที่บ้านมัน…’

     ‘เออ กูรู้ เพราะงั้นอย่างน้อยก็รอให้เราเรียนจบก่อน คือ กูนึกถึงถ้า.. มันเป็นผู้หญิง กูก็คงต้องรอเราเรียนจบ เก็บตังค์ได้สักก้อนแล้วค่อยไปขอมัน ถึงจริงๆ มันจะเป็นผู้ชาย แต่.. กูก็ยังอยากจะให้เกียรติมันแบบนั้นอยู่ดีอ่ะ ไม่ได้อยากให้มันดูฉาบฉวย แต่อยากให้เห็นว่ากูจริงจังกับมัน ยิ่งถ้าที่บ้านมันไม่ยอมรับ กูยิ่งอยากจะทำให้มันมั่นใจว่า.. กูพร้อมจะดูแลมันจริงๆ นะ แล้ว..จากนั้นก็ค่อยว่ากัน’

     ‘...’

     ‘...แค่นั้นเอง’

     ‘...’

     ‘เออ คือ กู.. กูรู้แหละ ว่า กูหัวโบราณไปหน่อยอ่ะ’
น้ำเสียงของคนพูดปิดความประหม่าเอาไว้ไม่มิด ทั้งคำพูดตะกุกตะกัก และเสียงแผ่วๆ อย่างคนไม่มั่นใจ แต่กลับทำให้คนฟังทางโทรศัพท์อีกคนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ถึงจะรู้สึกสะท้อนใจจากคำพูดของคนรักแต่ก็ห้ามหัวใจที่เต้นแรงขึ้นไม่ได้

     คนที่ดูห่ามๆ แต่กลับคิดเรื่องของเขามากขนาดนี้ จะไม่ให้เขารู้สึกดีด้วยอย่างไรไหว ม่านฟ้ารู้ดี คนรักของเขาไม่ใช่คนอบอุ่น ไม่ใช่คนโรแมนติกที่จะพูดจาหวานๆ ต่อกัน เขาเองก็เช่นกัน เราอยู่กันเหมือนเพื่อนเสียด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นเพื่อนนั้นกลับมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราใส่ใจกันเสมอมา

     เสียงในคลิปดังต่อมาอีกนิดหน่อยซึ่งไม่พ้นเสียงแซวจากกลุ่มเพื่อนที่เพิ่งตั้งสติได้ก่อนคลิปเสียงนั้นจะจบลง

     ‘กูแอบอัดมา อย่าให้มันรู้นะ’

     ‘เดี๋ยวมันฆ่าพวกกู’

     ‘แฟนดีๆ อย่างเพื่อนกูนี่มึงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะเว้ยยย’

     ม่านฟ้ายิ้มน้อยๆ กับคำทิ้งท้ายของเพื่อนคนรัก ยังไม่ทันได้ตอบข้อความอะไร เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เขาเดาว่าคนรักของเขาคงมาถึงแล้ว

     ทั้งที่คบกันมานานขนาดนี้ แต่เหมือนวันนี้เขาจะใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดถึงหน้าคนที่อยู่หน้าประตูในตอนนี้ ราวกับหัวใจได้ความหวานเข้ามาเติมเต็ม

     ----

     พิธานกำลังงงกับอารมณ์ของคนรัก ใช่ว่าปกติคนรักของเขาจะเป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียว แต่วันนี้มัน...ดูอารมณ์ดีแปลกๆ ปกติคนรักของเขาค่อนข้างนิ่งแถมมึนอีกต่างหาก แต่วันนี้มุมปากกลับมีรอยยิ้มแต้มไว้ตลอด อีกทั้งดวงตาที่เห็นได้ชัดว่าเป็นประกายสดใสกว่าทุกวัน

     หรือวันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆนะ

     เซอร์ไพรส์เหรอ ไม่น่าใช่มั้ง

     พวกเขาไม่ใช่พวกโรแมนติกทั้งคู่ ต่อให้เป็นวันครบรอบก็แทบจะไม่มีการเซอร์ไพรส์หรือของขวัญอะไรให้กันด้วยซ้ำ แค่มากินข้าวข้างนอกด้วยกันก็ถือว่าพิเศษแล้ว

     อย่างตอนนี้ที่พวกเขากำลังเดินหาร้านนั่งกินในห้างสรรพสินค้าใกล้มหาลัย พิธานพยายามมองซ้ายมองขวาก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ท่าทางของคนรักเองก็ไม่ได้มีอาการลุกลี้ลุกลนอย่างคนเตรียมเซอร์ไพรส์ใดๆ ปกติทุกอย่างยกเว้นอารมณ์เนี่ยแหละ

     แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มีความผิดปกติใดเกิดขึ้น พวกเขากินข้าวในร้านอาหารเกาหลีที่คนไม่เยอะมาก ก่อนกลับหอมาด้วยกันอีกครั้ง

     “กูไปอาบน้ำห้องกูก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวกูไปหาที่ห้อง”

     พิธานโยกหัวคนรักเบาๆ ก่อนเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นของตน เขากับคนรักอยู่หอในด้วยกันก็จริง แต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ต่างคนต่างมีรูมเมท ถามว่าทำไมทั้งๆ ที่ก็คบกันมาตั้งแต่มัธยม จนตอนนี้ก็ปีสามกันแล้ว

     เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะเขากลัวอดใจไม่ไหวมั้ง

     อาจจะลำบากหน่อยที่ไปมาหาสู่กันต้องเดินไปหาอีกคนที่อยู่คนละห้อง คนละชั้น แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก มันเป็นความสมัครใจของพวกเขาทั้งคู่ ใครจะว่าแปลกก็คงใช่ แต่พวกเราต่างอยากเว้นระยะสำหรับพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคน

     ส่วนเรื่องหลังจากที่เรียนจบแล้วจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างไรนั้น เขาว่ากว่าจะถึงตอนนั้น ทุกๆ อย่างก็จะมีคำตอบของมันเอง

     พิธานเดินกลับห้องทั้งที่สมองยังคงคิดหาคำตอบให้กับท่าทางของคนรักที่วันนี้ออกจะอารมณ์ดีเหลือเกิน

     ----

     ม่านฟ้ากลับมาถึงห้องอีกครั้งหลังออกไปกินข้าวในวันครบรอบ สำหรับพวกเขา แค่ออกไปกินข้าวด้วยกันแค่นี้ก็ถือว่าพิเศษมากแล้ว รู้สึกตัวว่าถูกคนรักมองด้วยแววตาสงสัยอยู่หลายครั้ง คงเพราะตัวเขาปิดอารมณ์ดีๆ เอาไว้ไม่อยู่ละมั้ง

     เขาเผลอคิดไปถึงเสียงตกประหม่าที่ได้ยินจากคลิปเมื่อตอนเย็น แล้วก็รู้สึกอยากฟังขึ้นมาอีกหน

     เมื่อตอนเย็นเขาเปิดฟังด้วยลำโพงของโทรศัพท์ แม้จะไม่ชัดมากแต่ก็จับใจความต่างๆได้ แต่ตอนนี้เขาอยากฟังชัดๆ อีกสักที ถึงได้หยิบหูฟังมาต่อเข้ากับโทรศัพท์แล้วเปิดฟังอีกครั้งอย่างตั้งใจ

     ก๊อกๆๆ

     จนเมื่อม่านฟ้าฟังคลิปจบไปอีกรอบ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร อาบน้ำไวอย่างกับวิ่งผ่านขนาดนี้ หนุ่มอักษรฯ ปลดหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วเดินไปเปิดประตูให้กับอาคันตุกะยามค่ำคืน

     ร่างสูงของคนรักยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยชุดนอนที่ประกอบด้วยเสื้อยืดและกางเกงบอล ผมที่มักเซตและแต่งทรงปรกหน้าลงมาดูแปลกตา สังเกตเห็นได้ถึงหยดน้ำที่เจ้าตัวยังไม่ได้เช็ดให้แห้งดีจากปลายผมแต่ก็รีบวิ่งขึ้นมาหาเขาที่ห้องเสียแล้ว

     พิธาน รัตนพาณิชย์ ขมวดคิ้วมองคนรักที่ยังอยู่ในชุดนิสิต เพิ่มเติมเพียงหูฟังที่เสียบอยู่ข้างหนึ่งกับรอยยิ้มที่ดูกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย

     “ทำไมยังไม่อาบน้ำ”

     “ถ้ากูอาบน้ำอยู่แล้วใครจะมาเปิดประตูให้มึง” ม่านฟ้าตอบเสียงเรียบ แต่ไม่ได้ฉุนเฉียวกับการถูกคนรักบ่น

     “งั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้ว ถ้ามึงช้ากูจะนอนห้องมึงเลยนะคืนนี้” คำสั่งกับบทลงโทษที่ดูไม่ได้เกี่ยวข้องกันถูกประกาศจากร่างสูงที่เดินตัวหอมฟุ้งเข้ามาในห้อง

     “เอาสิ แล้วแต่มึง”

     คำตอบรับง่ายๆ จากปากอีกคนแต่ทำให้พิธานถึงกับตาถลน เข้าหูฟาดหรือว่าคนรักเขาละเมอ หนึ่งพันสี่ร้อยหกสิบเอ็ดวันที่คบกันมา ไม่มีวันไหนที่คนรักของเขาจะยอมให้นอนค้างด้วย เว้นแต่วันที่ม่านฟ้าเตลิดไปเปิดโรงแรมนอนหลังทะเลาะกับพ่อ เพราะเจ้าตัวมักจะระวังตัวกับเขาตลอด แม้ปกติจะไม่ได้ถืออะไรมากเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวหรือแสดงความรักอย่างการกอดจูบ แต่กับการนอนค้างเป็นอย่างเดียวที่ม่านฟ้าไม่ยอม

     เจ้าของห้องเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ระเบิดลูกโตที่ทำให้ในหัวของพิธานสับสนไปหมด แค่เรื่องที่อารมณ์ดีแปลกๆ ก็ปวดหัวจะคิดแล้ว ดันมาเจอแบบนี้เข้าไปอีก

     เอ๊ะ หรือว่าจะเกี่ยวกัน

     แล้วอะไรที่ทำให้ม่านฟ้าอารมณ์ดีล่ะ

     นักสืบพิธานเริ่มทำการวิเคราะห์ เขาเหลือบไปมองผู้ต้องสงสัยรายแรกคือโทรศัพท์พร้อมหูฟัง สัญชาตญาณของเขาบอกว่า ม่านฟ้าไม่ได้ฟังเพลงเหมือนปกติทั่วไป

     มือหนาคว้าโทรศัพท์ที่คนรักวางทิ้งไว้ที่โต๊ะหนังสือแล้วนั่งลงบนเตียง แม้ปกติจะไม่ได้ตามเช็กโทรศัพท์กันอย่างบางคู่ แต่เขาก็รู้รหัสโทรศัพท์ของคนรักดี พวกเขาเชื่อใจกันค่อนข้างมาก ยิ่งบทเรียนของการหูเบาและระแวงคนรักของเขาคราวก่อนเป็นเหตุให้พวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตจนเกือบต้องเลิกกันทำให้เขาเข็ดจนขยาด

     พิธานกดปุ่มหลักหน้าจอค้างไว้เบาๆ เพื่อให้แสดงผลการเปิดแอพลิเคชั่นล่าสุด เขาเลิกคิ้วเมื่อสิ่งที่คนรักเปิดเป็นแอพลิเคชั่นโทรและส่งข้อความสุดฮิต ข้อความล่าสุดที่เจ้าตัวเปิดไว้มาจากคนที่เขาคุ้นเคยดี

     หึ ไอเพื่อนทรยศ!!!

     “อ้าว เห็นแล้วเหรอ” ม่านฟ้าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำทักขึ้นเมื่อเห็นคนรักนั่งจ้องโทรศัพท์ของตนด้วยหน้าตาน่ากลัว ไม่ต้องมองเห็นหน้าจอก็พอเดาได้ว่าคนรักของตนเจออะไรเข้าไปถึงได้มีอาการเช่นนี้

     “...” พิธานไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เลือกปั้นหน้าไม่ถูกระหว่างโกรธกับเขินเมื่อได้ฟังคลิปเสียงที่ถูกส่งมาเสร็จ ยิ่งคนรักเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นสบู่ก็หอมจนเขาเกือบเผลอทำหน้าเคลิ้ม ทำให้หน้าตาพิธานตอนนี้ออกมาดูพิลึกพิลั่นจนคนมองอมยิ้ม

     “ก็เกลือมันเป็นหนอนอ่ะ ช่วยไม่ได้นี่หน่า” ม่านฟ้าพูดตาใสใส่คนรัก ทำหน้าตาช่วยไม่ได้อย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด

     “กูก็แค่พูดให้มันดูหล่อไปงั้นแหละ ระวังเหอะมึง คืนนี้นะ” พิธานได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็กลบหน้าแดงๆ ของตัวเองกับคนรักไม่ได้ ม่านฟ้าเองก็พยายามจะไม่ล้อ แต่พอเห็นคนหน้าแดงหูแดง มือไม้เกะกะไปหมดก็อดเอ็นดูไม่ได้ เผลอหลุดปากแกล้งคนรักไปอีก

     “ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เนี่ย วันนี้ดันอยากใส่เสื้อคอกว้างๆ กางเกงขาสั้นๆ แค่นั้นเอง” ไม่ว่าเปล่ายังดึงคอเสื้อย้วยๆ ให้กว้างไปอีกจนพิธานอดไม่ได้ ฟาดมือไปที่ก้นคนรักที่กำลังเดินผ่านหน้าไปตากผ้าเช็ดตัว

     “มึงแม่ง เด็กนิสัยไม่ดี”

     หนุ่มวิศวะบ่นอุบ แต่ก็ไม่ได้เขยิบออกเมื่อคนรักมานั่งลงข้างกัน ม่านฟ้าหัวเราะเบาๆ ก่อนมองหน้าคนตัวสูงนิ่งๆ

     ใช่ สี่ปีแล้ว

     สี่ปีที่พวกเขาแอบคบกันมา จะว่าแอบคบเหรอ จริงๆ ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับของสองเราอะไรขนาดนั้น เพื่อนพวกเขารู้ ครอบครัวของพิธานเองก็รู้ ม่านฟ้าไปแนะนำตัว รู้จักกับที่บ้านของพิธานหมดแล้วด้วยซ้ำ จะเป็นความลับก็กับเพียงบ้านของม่านฟ้าเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าครอบครัวของเขา ไม่สิ พ่อของเขาไม่มีทางรับเรื่องนี้ได้ ถึงขอให้คนรักปิดเรื่องนี้มาตลอด

     เขาเชื่อว่าพ่อคงจะไม่มาที่มหาลัยจนรู้เรื่องของเขาหรอก เพราะฉะนั้น เขาจึงระวังแค่ทางโซเชียลเท่านั้น พวกเพื่อนที่รู้เรื่องของพวกเขาก็เข้าใจดีและช่วยเหลือกันเต็มที่ที่จะไม่โพสต์อะไรที่พาดพิงจนทำให้ความแตก

     ตัวพิธานเองอาจมีโพสต์ด้วยสื่อทางโซเชียลบ้าง จนคนพอจะรู้ว่ามีแฟนแล้ว แต่ก็ไม่เคยแท็กอะไรเขา ปล่อยให้คนที่ตามส่องอยากรู้กันไปว่าใครคือเจ้าของหัวใจหนุ่มวิศวะขี้เล่นคนนี้

     มันก็ดีตรงที่จะได้ลดประชากรคนที่อยากเข้าถึงพิธานในเชิงชู้สาวลงไปได้หน่อยล่ะนะ

     พิธานสบตากับคนรักที่มองมาก่อนแล้วยิ้มจางๆ ม่านฟ้าไม่เคยงอแงหรือขออะไรจากเขาเลย วันครบรอบในแต่ละปีจึงผ่านไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้เสมอ แต่เขาพอใจในความเรียบง่ายนี้ อย่างที่เขาพูดกับเพื่อน เราไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากด้วยซ้ำ ได้เจอกันอาทิตย์ละครั้งหรือแค่โทรศัพท์คุยกันนั้นถือเป็นเรื่องปกติของพวกเขาเลย

     ม่านฟ้าขยับตัวเข้าไปอีกนิดแล้วยื่นหน้าไปใกล้คนข้างกาย ได้กลิ่นสบู่อาบน้ำจางๆ มาแตะจมูกก็ยิ้มหวานเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อริมฝีปากของพวกเขาห่างกันเพียงนิ้วกั้น

     “จูบหน่อย”

     คนถูกขอร้องขมวดคิ้วเล็กน้อยมองคนขี้ยั่วตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว ยิ่งได้ยินคำพูดต่อมาก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะทำตามคำขอ

     “นะ นิดเดียว อยากจูบจริงๆ แล้วจะเป็นเด็กดี”

     มืออุ่นของคนที่ถูกขอร้องประคองแก้มอีกคนไว้ บดริมฝีปากลงไปช้าๆ ละเลียดสัมผัสกับกลีบปากที่ทั้งนุ่ม ทั้งหอม โดยไม่มีการรุกล้ำใด แต่เป็นเพียงการสัมผัสเพื่อส่งต่อและรับรู้ความรู้สึกรักของกันและกันเพียงเท่านั้น

     “ขอบคุณนะที่อยู่ด้วยกันมา” ม่านฟ้าเอ่ยแผ่วเบากับริมฝีปากอีกคน พิธานตอบรับเบาๆ ในลำคอก่อนจูบซ้ำอีกครั้งเป็นรางวัลเด็กดี

     “กูเองก็จะทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิม อะไรไม่ดีก็จะปรับปรุงตัว เราจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ”

     “อืม… เหมือนกัน”

     คำตอบรับของม่านฟ้าทำให้พิธานหลุดหัวเราะ ขยี้หัวคนรักอย่างหมั่นไส้เมื่อคำตอบรับของคนรักทำให้เขาคิดย้อนไปสมัยที่ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายแล้วเดินตามคนไม่รู้จักคนหนึ่งไปถึงบ้าน

     “มึงแม่ง… ชอบลอกคำพูดกูตลอด”

     ม่านฟ้ายิ้มรับ รู้ดีว่าคนข้างกายหมายถึงอะไร นับจากวันนั้นที่เราเริ่มรู้จัก เริ่มคุย และเริ่มคบกันจนร่วมปกปิดความลับนี้มาด้วยกัน เขาเคยคิดว่ามันไม่เป็นไรมาตลอดตามคำพูดของคนรัก จนเมื่อปีก่อน ความบาดหมางครั้งนั้นทำให้เขาได้รู้ความจริงว่าคนรักของเขาต้องทนอยู่กับความทรมานมานานแค่ไหนภายใต้ความลับนี้

     สายตาของม่านฟ้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น มองพิธานที่หันไปก้มหน้าด่าเพื่อนตัวเองทางโทรศัพท์ถึงการเป็นไส้ศึกให้เขาแล้วก็ยิ้มออกมาจางๆ

     หากเป็นไปได้ เขาเองก็อยากให้คนรักได้ออกมายืนเคียงข้างกันอย่างไม่ต้องหลบซ่อนเสียที



     TBC





     Achaya (Writer) :

     ขออนุญาต talk ยาวหน่อย

     นิยายเรื่องนี้เริ่มต้นจากเรื่องสั้นในหัวที่มีเนื้อหาแค่บทนำของภาคหลัก และใช่ มันไม่ใช่นิยายวายเลย เราเองเป็นชาววายก็จริง แต่ก็อ่านทั้งหนังสือธรรมดาและหนังสือวาย เพราะฉะนั้นด้วยสายเลือดที่ยังมีความวาย บางครั้งไปอ่านนิยายธรรมดาก็จะมีอาการ ‘จิ้น’ เกิดขึ้น แต่ต่อให้ดูเรียลมากแค่ไหนแล้วยังไง ก็มันไม่ใช่นิยายวาย จิ้นเสร็จก็จบ พายเรือกลับบ้าน

     ดังนั้น เรื่องนี้และภาคพิเศษจึงเกิดขึ้น ภาคหลักมันดูเหมือนนิยายธรรมดาที่มีฉาก ‘จิ้น’ โผล่มาบ้าง แต่เรื่องนี้เราจิ้นแล้วมัน ’ไม่จบ’ เพราะเราคือ อฟช. และเราจะทำให้มันเรียลได้แค่ไหนมาลองติดตามกันในภาคพิเศษ สัญญาว่าจะพาทุกคนไปให้ถึงฝั่ง

     ปล. Timeline ของบทนำนี้จะอยู่ประมาณบทที่ 12-13 ของภาคหลัก แต่ตอนหน้า เราจะไล่ timeline เพื่อไขข้อข้องใจของการพบกัน (ที่เหมือนจะเป็น) ครั้งแรกของพวกเขาให้ได้รู้กัน

     ขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่ติดตามอ่านกันมาถึงตรงนี้ ลุ้นเหมือนกันว่ากว่าจะถึงตรงนี้จะเหลือคนอ่านสักกี่คน แต่ก็ยังมีอยู่ทั้งตั้งใจเข้ามาอ่านหรือเผลอกดเข้ามาก็ขอบคุณ รวมทั้งคอมเมนต์ที่น่ารักก็ต้องยิ่งขอบคุณจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2020 23:34:09 โดย Achaya »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด