35
ข้อเสนอของพี่ภู
ผมเปิดประตูลงจากรถมองนำทัพที่กำลังยืนจ้องไปที่ประตูบ้าน สีหน้าเบื่อหน่ายปนกังวลเข้าปกคลุมในทันทีที่เข้าสู่เขตตัวบ้านทั้งที่บอกว่าเตรียมใจมาแล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่ยอมแพ้
แต่พอเอาจริงแล้ว หัวใจก็เริ่มสั่นเหมือนกัน ..
จริงๆ บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตเป็นคฤหาสน์แบบที่ผมคิดแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นบ้านที่หรูหรา การตกแต่งดูดีมีระดับ ราคาแพง สมฐานะเจ้าของบ้านตามแบบฉบับเจ้าของธุรกิจใหญ่โตระดับประเทศ รอบบ้านตกแต่งด้วยสวนดอกไม้นานาชนิดให้อารมณ์ผ่อนคลายในยามที่ต้องการหามุมสงบระหว่างวัน
แม่บ้าน และ สาวใช้ ต่างเดินเข้ามาต้อนรับคุณหนูของบ้านที่เอาแต่ยืนมองประตูโดยไม่ยอมก้าวเท้าเดินต่อไป ผมยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร หันกลับไปมองนำทัพ สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีลอบหายใจออกยาวๆ เพื่อขจัดความตื่นเต้นที่มีด้วยต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้หลังประตูบ้านนี้
“ กูพร้อมแล้ว ... มึงละ พร้อมหรือยัง”
“ พร้อม ”
แตะแขนคนตัวสูงให้ผ่อนคลายพร้อมกับส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆ เขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเพียงแค่หันกลับมามอง .....
เขาจะไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียว ...
นำทัพยังมีผมที่ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจแบบนี้เสมอ ...
เราสองคนเดินผ่านเข้ามาในตัวบ้านมายังห้องโถงขนาดใหญ่ ภายนอกว่าสวยแล้วภายในสวยยิ่งกว่า กว้างขวาง ใหญ่โต ทว่าเงียบสนิทไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นภายในนี้เลยนอกจากเสียงเดินของเราสองคน
“ คุณท่านรอคุณหนูอยู่ที่ห้องรับแขกครับ ”
ชายชุดสูทสีดำทำหน้าที่เป็นการ์ดของคุณท่านเดินเข้ามาหาผมกับนำทัพ พร้อมผายมือไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านในสุดของทางเดิน นำทัพไม่ได้ตอบหรือแสดงท่าทีใดเขาพาผมเดินมาตามทาง จนหยุดอยู่ตรงหน้าห้องรับแขกหลับตาอยู่สักพักแล้วจับมือผมก้าวเดินเข้าไป
ใจสั่นด้วยความตื่นเต้นในทุกก้าวขณะที่เดิน .....
ยิ่งได้เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยแล้วหัวใจยิ่งสั่นระรัว
ดูยังไงก็เหมือนมากจริงๆ .... ไม่ว่าจะลักษณะท่าทาง รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับนำทัพไปหมด ต่างกันตรงที่คุณท่านดูภูมิฐานกับบรรยากาศที่นิ่งกว่า โดยเฉพาะสายตาที่ละจากไอแพดที่อยู่ตรงหน้าแล้วเงยขึ้นมามองเราสองคน
เยือกเย็น .... ดุดัน .. เต็มไปด้วยความกดดัน !!!!
ส่วนผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนจะเป็นภรรยาใหม่ของคุณท่าน เธอสวยตามวัย ใบหน้าคล้ายกับพี่ภู แต่ดูเป็นมิตรกว่า รอยยิ้มที่ดูจริงใจนั้นส่งมาทักทายต้อนรับเราสองคนอาจด้วยเพราะต้องการทำลายความนิ่งของผู้เป็นสามี
“ มากันแล้วหรอคะ คุณนำทัพ เชิญค่ะ คุณพ่อรออยู่ ”
เธอลุกขึ้นแล้วเดินออกจากที่นั่งคล้ายกับต้องการให้พ่อลูกคุยกันอย่างเป็นส่วนตัว ทำไมภรรยาใหม่ของคุณท่านถึงไม่ได้ดูร้ายกาจเหมือนแบบที่นำทัพเล่าให้ฟังเลยแม้แต่น้อย
“ เราออกไปนั่งเล่นที่สวน จิบชากับดีมั้ยคะ ”
ภรรยาของคุณท่านเดินมาทักทายผมชวนให้ออกไปข้างนอกตามเธอ ผมหันกลับไปมองนำทัพที่ส่งสายตาไม่พอใจไปที่ผู้หญิงคนนั้น ท่าทางจะไม่ชอบเอามากอย่างที่เคยพูดไว้
“ เธอจะไปก็ไปคนเดียว อย่ามายุ่งกับโซล เค้ามากับฉัน ”
“ แต่ดิฉันอยากให้คุณนำทัพกับคุณท่าน ....”
“ อย่ายุ่ง ”
ความครุกรุ่นของอารมณ์ ผสมกับความเยือกเย็น ชวนให้บรรยากาศในห้องที่เงียบอยู่แล้วกดดันชวนอึดอัดเข้าไปกันใหญ่ แค่นำทัพคนเดียวก็ว่าแย่แล้ว ยังมาเจอทั้งคุณพ่อทั้งภรรยาใหม่อีก
“ แกอย่าเสียมารยาท เจ้าทัพ ให้คนของแกออกไปก่อนตามที่พิมพ์บอกฉันต้องการคุยกับแกตามลำพัง”
ตอนแรกนึกว่าจะเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่ตอนนี้คงต้องเพิ่มว่าเหมือนแม้กระทั่งการใช้เสียง โทนการพูดและความเด็ดขาดที่ปนมากับน้ำเสียงนั้น
พ่อลูก .. เหมือนกันทุกอย่าง
ไม่แปลกที่จะไม่มีใครยอมใคร
“ แต่โซลมากับผมถ้าจะคุยก็ต้องคุยด้วยกัน พ่อให้เมียใหม่พ่อออกไปคนเดียว ”
“อย่าเรื่องมาก ที่เรียกมาฉันต้องการคุยกับแก...”
คุณท่านเว้นประโยคนั้นแล้วเบือนสายตาคมดุมาที่ผม ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่แค่เกร็งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพ่อแฟนแบบนี้ คงทำอะไรมากไม่ได้ในเมื่อผู้ใหญ่ ยังไม่ต้องการจะคุยกับผมคงต้องยอมให้พ่อกับลูกคุยกันตามลำพัง
“ส่วนเธอ ... เราค่อยคุยกันส่วนตัวอีกที ฉันก็มีเรื่องจะคุยด้วยเหมือนกัน”
“ ได้ครับท่าน .. ผมพร้อมที่จะคุยกับท่านครับ ”
กระชับมือที่กุมนำทัพไว้ให้เขาเข้าใจและมีสติมากยิ่งขึ้น การใช้อารมณ์ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมีแต่จะแย่ลง คุยด้วยความเข้าใจ เหตุผล และความจริงเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
“ กูจะออกไปรอข้างนอกนะ ถึงแม้เราจะไม่ได้จับมืออยู่ข้างกัน แต่จำไว้ กูไม่เคยหายไปไหนเลย ยังยืนยันคำเดิมว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ”
“ เราจะผ่านไปด้วยกัน กูจะทำให้ได้ เพื่อมึง เพื่อเรา ”
ความมั่นใจของนำทัพกลับมาประจำที่อีกครั้งแววตาที่ดูกังวลคลายลงสิ้น จนผมรู้สึกโล่งใจเขายิ้มให้ผมเล็กน้อยอย่างเข้าใจในสถานการณ์
***************
ภรรยาของคุณท่านพาผมมาที่ศาลาตรงสวนดอกไม้ ด้านหลังของบ้าน ตลอดทางเธอชวนผมคุยเรื่องทั่วไปอย่างไม่ถือตัว แนะนำส่วนต่างๆ ของบ้านที่เดินผ่านถามสารทุกข์สุขดิบ ดินฟ้าอากาศ รวมถึงเรื่องของนำทัพบ้างเล็กน้อยว่าลูกของคุณท่านเป็นอย่างไรบ้างอยู่ข้างนอกตามลำพังนานหลายปี
“ คุณนำทัพอยู่ข้างนอกสบายดีใช่ไหมคะ คุณท่านเป็นห่วงมากค่ะ ”
“ สบายดีครับ ไม่มีอะไรต้องห่วง ”
คุณพิมพ์อัปสร เอ่ยถามขณะเราเดินไปยังศาลาที่ให้คนจัดชุดของว่างเอาไว้รับแขก
“ ดีค่ะ ยังไงฝากหนูดูแลคุณนำทัพด้วยนะคะ มีอะไรที่ให้น้าช่วยยินดีค่ะ ”
“ ขอบคุณครับ “
“ ส่วนเรื่องของหนูกับคุณนำทัพ ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณท่านอาจจะดูดุไปบ้าง แต่ยังไงน้าจะช่วยพูดให้อีกแรง ”
“ กังวลนิดหน่อยครับ กลัวว่านำทัพ จะดื้อกับท่านจนคุยกันไม่จบ ”
ยิ่งเห็นท่าทางที่แข็งกร้าวของทั้งพ่อทั้งลูกผมยิ่งอดห่วงไม่ได้ คนหนึ่งต่อต้านอีกคนยิ่งต่อต้านพาลจะเสียไปกันใหญ่
“ เชื่อน้าเถอะค่ะ ว่าคุณท่านใจดีกว่าที่เราคิดเอาไว้มาก น้าเอาใจช่วยค่ะ ”
“ ขอบคุณมากครับ ”
“หนูนั่งรอตรงนี้นะคะ น้าให้คนจัดของว่างไว้แล้ว ต้องการอะไรเพิ่มเรียกเด็กได้เลย”
“ ขอบคุณครับ ”
“ ตามสบายนะคะ น้าขอตัวก่อน ”
คุณนายของบ้าน ส่งยิ้มให้ผม ก่อนที่เธอจะกลับไปเตรียมของว่างให้กับผู้เป็นสามี มองไปยังโต๊ะด้านหน้าชาและของว่างยามบ่ายถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มีสาวใช้อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมนั่งเพื่อคอยดูแลเผื่อแขกมีสิ่งใดขาดเหลือ
เท่าที่จับความรู้สึกได้ .. ผมว่าภรรยาใหม่ของคุณท่าน ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ กิริยามารยาทดูเรียบร้อย แต่แฝงไปด้วยความฉลาดในคำพูดและสีหน้าที่ฉายออกมาไม่แปลกเลยที่คนอย่างคุณท่านจะเลือกให้มาอยู่เคียงข้างในฐานะคู่ชีวิต
คนระดับคุณท่านคงพิจารณาดีแล้ว ถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น
สายตาเหม่อมองดอกไม้ภายในสวน ทว่าภายในร้อนรน วุ่นวายจนแทบจะทนไม่ไหว เพราะกังวลนำทัพที่คุยกับคุณท่านตามลำพัง ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นในตัวของเขา แต่ใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้ด้วยไม่อาจรู้ได้ว่าสองคนที่แทบจะเหมือนกัน จะปล่อยพลังทำลายล้างกันได้มากเพียงไหน
“ พี่ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ ”
เสียงขออนุญาตของผู้มาเยือนฉุดใจของผมให้ออกจากตะกอนความคิดและหมู่มวลดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพบว่าเจ้าของคำพูดขยับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ พี่ภู ”
คนยิ้มง่ายส่งรอยยิ้มนั้นมาให้ผม หากเป็นเมื่อก่อนผมคงมองว่ารอยยิ้มนั้นเป็นมิตร แต่ตอนนี้กลับคิดตรงกันข้ามเมื่อผ่านเรื่องวันนั้นมารอยยิ้มของพี่ภูไม่ได้สวยงามน่ามองชวนให้รู้สึกดีแบบเดิมอีกแล้ว
มันน่ากลัว ... เจ้าเล่ห์ และร้ายกาจที่สุด
“ พี่เองครับ คุณแม่บอกว่าน้องโซลมาด้วย นั่งอยู่คนเดียว พี่เลยอาสามานั่งเป็นเพื่อนระหว่างรอนำทัพ จะได้ไม่เหงาไงครับ ”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งคนเดียวได้ อีกไม่นานนำทัพคงกลับมา ”
“ อิจฉานำทัพจัง ที่มีแฟนน่ารักแบบนี้ ทำไมพี่ไม่โชคดีแบบนั้นบ้าง ”
ไม่เข้าใจว่าพี่ภูกำลังต้องการอะไร ในสิ่งที่พูดออกมา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ นำทัพเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ภูเป็นคนที่ชอบเอาชนะและ เจ้าแผนการมาก
“ ผมขอตัวกลับไปหานำทัพดีกว่าครับ คงจะคุยกับคุณท่านเสร็จแล้ว ”
แม้การเดินหนีเจ้าของบ้าน ขณะที่ยังคงสนทนาแบบนี้จะเป็นการเสียมารยาทแต่คงดีกว่านั่งอยู่ตรงนี้ หากนำทัพมาเห็นเข้าคงได้โวยวายทะเลาะกันอีกรอบ ทั้งๆที่เรื่องราวกำลังจะไปได้ดี
“ ทำไมเดินหนีพี่แบบนั้นละครับ ไม่อยากฟังหน่อยหรอว่าพี่ทำอะไรแฟนของโซลไว้บ้าง ที่สำคัญพี่ช่วยเราสองคนได้นะลองนั่งลงฟังข้อเสนอพี่หน่อยดีกว่าไหมครับ ”
ผมหยุดฝีเท้าขณะก้าวออกจากตรงนั้นได้เพียงสองก้าว ในใจไต่ตรองอยู่นานว่าควรกลับไปหรือปล่อยให้พี่ภูพล่ามอยู่แบบนั้น
“ ก็ได้ครับ ถ้าพี่ภูจะเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด ... หากมีเหตุผลมากพอ ผมจะรีบข้อเสนอของพี่ ”
หันกลับมาในขณะที่ตัดสินใจได้ว่า การเดินออกไปอาจทำให้ผมเสียโอกาสที่จะรู้ความจริงบางประการที่สำคัญ และสิ่งนั้นน่าจะต่อยอดให้ผมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
พี่ภูคงเข้าใจว่าผมเป็นเด็กที่อ่อนต่อโลก ...
แต่ขอโทษทีครับพี่ .... ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น
“ พูดง่ายแบบนี้ คุยกันได้ยาวครับ ”
คนเจ้าแผนการยิ้มขึ้นอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเหยื่อกำลังนั่งลงประจำเก้าอี้ตัวเดิม พี่ภูยกชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจสายตาจดจ้องใบหน้าผมอยู่นาน สำรวจไปทั่วจนพอใจแล้ววางแก้วลง
“ เสียดายนะ ที่คนของพี่ทำงานพลาด ไม่อย่างนั้น โซลคงเป็นของพี่แล้ว ”
“ ทำงานพลาด หมายความว่ายังไงหรอครับ ”
“ อยากรู้ขึ้นมาทันทีเลยหรอ ”
“ ก็พี่ภูบอกจะเล่า แต่ถ้าไม่ ผมก็คงบังคับไม่ได้ ”
เหมือนจะพอใจกับท่าทีอยากรู้ของผม พี่ภูยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแกล้งทำเหมือนลังเลว่าจะพูดในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ดีหรือไม่ในขณะเดียวกันผมเองก็ทำบางสิ่งร่วมด้วยเช่นกัน
“ นำทัพคงเล่าให้โซลฟังบ้างแล้วว่าพี่กับมันไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กๆ มันก็เอาแต่บอกว่าพี่กับแม่มาแย่งความสุขของเขาไป ...แรกๆ พี่ก็ไม่ได้สนใจ แต่พอหนักเข้าพี่เองก็หมดความอดทน ต้องสั่งสอนให้มันรู้บ้างว่าคนอื่นก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ”
“ โดยการคิดจะแย่งทุกอย่างแบบนั้นหรอครับ ที่เรียกว่าการสั่งสอน ”
“ ฉลาดดีนะเรา ”
พี่ภูไม่ได้เล่าเรื่องในอดีตต่อ แต่กลายเป็นนั่งนิ่ง ปลายตามองผมอีกครั้ง มือยกชาขึ้นจิบหลายรอบท่ามกลางความเงียบ ผมรู้จักคนมาก็มาก แต่ยอมรับเลย ว่าพี่ภูคือมนุษย์ที่เดาใจได้ยากมากที่สุด
“ พี่ภูวันนี้ กับพี่ภูที่ช่วยผมคืนนั้น ทำไมต่างกันจังครับ ผมถามได้ไหม ”
“ ก็คนเดียวกันนั่นแหละ .. แต่บางทีคนเราก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวตนให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ ”
“ แล้วอะไรคือสิ่งที่พี่ต้องการหรอครับ ”
ขยับตัวจากพิงเก้าอี้ แล้วเคลื่อนเข้าไปอีกนิด เพื่อให้คนพูดรู้ว่าผมกำลังสนใจในสิ่งที่เขาจะเล่า ภาวนาให้พี่ภูหลงกลแล้วเผลอหลุดสิ่งที่เก็บเอาไว้ออกมา
พี่ภูพูดถูก บางทีคนเราก็ต้องปรับตัวตน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ... ให้ได้สิ่งที่ต้องการ
“ น้องโซลไง ”
“ ผมหรอครับ ”
“ ใช่ครับ ซึ่งมันก็ได้ผลนะ พี่ได้จังหวะแสดงความเป็นพระเอก เข้าไปช่วยโซล ได้รู้จัก ได้คุย และที่สำคัญพี่ได้ทำให้นำทัพ มันร้อนรนอยู่นิ่งแทบไม่ไหว ... ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะแหย่เล่น แต่ตอนนี้พี่ขอเปลี่ยนใจแล้วกัน ”
ผมว่าเรื่องมันไม่น่าจะมีแค่นี้ พี่ภูฉลาดกว่าที่จะพูดทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก มั่นใจว่ายังมีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่เอาไว้อีกมาก ...
ผมจะทำทุกอย่างให้ได้ความลับนั้นมา
“ คุณท่านกำลังจะส่งนำทัพไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ท่านโกรธมากที่รู้ว่ามันกับโซลคบกัน ท่านรับไม่ได้ และไม่มีวันยอมรับได้ที่ทายาทคนเดียวจะต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย .. น้องโซลทนได้หรอครับ หากว่าต้องเลิกกัน ”
“ แต่ผมกับทัพรักกันนะครับ พวกเรามั่นใจว่าเขาจะทำให้คุณท่านเปลี่ยนใจได้ ”
“ ไม่มีทาง คุณท่านเป็นคนเด็ดขาด แต่พี่ช่วยเราได้นะ พี่จะพูดกับคุณท่านให้ แต่เราต้องยอมมาเป็นคนของพี่ ”
รู้สึกโกรธจนแทบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ พยายามกำมือที่จับโทรศัพท์เอาไว้แน่น เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่พี่ภูพยายามจะสื่อถึง ... โคตรทุเรศเลย คิดได้ยังไงกัน
มือของพี่ภู เอื้อมแตะหลังมือข้างหนึ่งของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมปล่อยให้พี่ภูเกาะกุมมันเอาไว้ แม้ภายในใจจะรังเกียจมากแค่ไหนก็ตาม อยากรู้ว่าเขาจะร้ายกาจได้สุดที่ตรงไหน
“ ทำไมพี่ภูถึงคิดว่าจะพูดกับคุณท่านได้ครับ ในเมื่อขนาดนำทัพที่เป็นลูกแท้ๆ ท่านยังไม่รับฟังเลย”
“ พี่ช่วยงานคุณท่านหลายอย่าง ตามใจท่านทุกเรื่อง อยู่ใกล้ชิดท่านเสมอ ท่านเชื่อทุกอย่างที่พี่พูด ทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว ลองให้พี่ได้พูดกับท่าน ยังไงท่านก็ต้องเปลี่ยนใจ ยอมรับแน่นอน ขอเพียงแค่ ....”
แกล้งทำหน้าอ่อนต่อโลก แบบคนไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ภูกำลังจะพูด ...
“ รับข้อเสนอของพี่ ”
ส่งยิ้มให้กับคนหน้าตาดีแต่ร้ายกาจตรงหน้า ก่อนจะดึงมือที่ถูกเกาะกุมกลับมาไว้บนตักของตัวเอง บางทีคนเราก็ไม่สามารถตัดสินใครได้จากสิ่งสวยงามภายนอกที่มองเห็น ต้องมองลึกเข้าไปในจิตใจ ต้องรู้จักกันให้มากขึ้น ถึงจะรู้จักตัวตนที่แท้จริง
และวันนี้พี่ภูได้สอนผมให้รู้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างกระจ่างแจ้ง ...
“ ผมขอคิดดูก่อนนะครับ ”
“ ได้ครับ นี่เบอร์พี่ ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็โทรมา แล้วพี่จะรอนะครับ แต่อย่านานนะ เพราะพี่ไม่รับประกันว่านำทัพจะโดนอะไรบ้าง ”
“ ได้ครับ ผมจะรีบตัดสินใจนะครับ ขอบคุณพี่ภูมากครับ ”
นามบัตรถูกเลื่อนส่งมาให้ผมตรงหน้า พี่ภูมองใบหน้าผมอยู่แบบนั้น ถ้ากลืนกินได้คงทำไปแล้ว หมดกันคนดีที่ผมแอบชื่นชมมาเสมอ ... เหลือแต่คนเจ้าแผนการคนนี้เท่านั้น
ผมส่งยิ้มให้พี่ภู แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ถูกใจกับสิ่งที่เขาพูด
ตรงกันข้าม เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ผมส่งให้แบบผู้ชนะ
ในเมื่อมันมาถึงทางตันแล้ว ผมก็จะสู้หลังชนฝา
วัดกันสักตั้ง ว่าใครจะเหนือกว่าใคร
ซึ่งผมมั่นใจ ว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่าอย่างแน่นอน ....
“ โซล กลับบ้านกันได้แล้ว ”
เสียงของนำทัพเรียกผมมาจากด้านหลัง หันไปยิ้มให้กับคนที่ผมเป็นกังวลอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหา นำทัพมองพี่ภูซึ่งยกยิ้มส่งให้อย่างคนเจ้าเล่ห์ ก่อนที่คนตัวสูงแฟนผมจะหันกลับมาหา
“ มันทำอะไรมึงบ้างไหม ”
“ เปล่าหรอก แค่มานั่งคุยด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะ ”
“ ได้ครับ ”
เอื้อมไปจับมือนำทัพไว้แล้วพาเดินออกจากตรงนั้น โดยมีสายตาของพี่ภูมองตามหลังอย่างไม่หยุด ผมรู้ว่าพี่ภูกำลังปั่นหัวทั้งผมและนำทัพเพื่อให้เข้าไปอยู่ในแผนการแสนจะสกปรก ทว่านำทัพวันนี้มีสติมากกว่าเดิมจึงไม่บ้าจี้ไปด้วย เราพากันเดินมาจนถึงรถแล้วขึ้นไปปะจำที่ก่อนนำทัพจะขับออกไป
วันนี้รถไม่ติดแบบทุกวัน นำทัพพาผมมาทางที่ไม่ใช่ถนนซึ่งมุ่งหน้ากลับคอนโด ทว่าเป็นเส้นทางที่จะไปยังโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมของเรา ก่อนจะขับเลยโรงเรียน แล้วจอดอยู่ตรงสวนสาธารณะใกล้ๆ สถานที่ที่เราชอบมานั่งกันตอนเย็นเพื่อซ้อมกีตาร์ หรือทำการบ้าน
วินาทีแรกที่เท้าเหยียบลงสู่พื้นหญ้าของสวนแห่งนี้ ความทรงจำในวันเด็กถูกเปิดภาพฉายย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ด้วยที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนพิเศษ ระหว่างผมกับเจ้าของรอยยิ้มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อหลายปีก่อนเรามาที่นี่ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง แต่ในวันนี้เรามาในฐานะแฟน
นำทัพพาผมเดินผ่านร้านขายลูกชิ้นเจ้าประจำ แวะซื้อและทักทายคุณป้าที่ยังจำพวกผมได้แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแค่ไหนก็ตาม ถัดไปเป็นร้านช็อกโกแลตปั่นเจ้าประจำที่ผมชอบสั่งแล้วนำทัพชอบแกล้งตักวิปครีมของผมไปกินจนงอนอยู่หลายครั้ง เมื่อได้ของกินในวัยเด็กตามแบบที่ชอบแล้ว จึงมุ่งหน้าไปสู่ม้านั่งริมน้ำตัวเดิม เดินผ่านคนที่มาออกกำลังกายในยามเย็น เด็กนักเรียนที่มานั่งจับกลุ่มกินขนม
เห็นภาพนั้นแล้วอดยิ้มออกไม่ได้ ...
ความทรงจำที่แสนดี มักจะมีค่าในความรู้สึกของคนจำเสมอ
เรามักจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ระลึกถึงมันอีกครั้ง แม้จะผ่านเวลาล่วงเลยมานานแสนนาน
เหมือนผมกับเขา
“ จำมุมนี้ของเราได้ไหม ”
ทันทีที่นั่งลงตรงม้านั่งตัวเดิม คนข้างตัวก็ถามคำถามขึ้นมาทันที มุมนี้ที่หมายถึงคือมุมโปรดที่เรามาซ้อมกีตาร์ด้วยกัน ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ อยู่ริมสระน้ำขนาดใหญ่ สวยงามในยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ลมเย็นพัดพาความสดชื่นให้คลายจากความเหนื่อยล้าต่างๆ ที่สะสมไปจนสิ้น ให้ปลิวไปตามสายลม
“ จำได้สิ มึงเคยล่อลวงกูมาที่นี่ ”
“ สมยอมเองไม่ใช่หรือไง ”
“ เออ ”
นำทัพเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบา จนผมต้องส่งหน้ายู่ ๆ กลับไปให้ ไม่รู้สาเหตุใดถึงพาผมแวะมาสถานที่แห่งนี้
“ ทำไมถึงพามาที่นี่ละ ”
“ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมาระลึกความทรงจำนิดหน่อย มึงรู้ไหมตอนที่มึงทิ้งกูไปกูมาที่นี่ทุกวันเลยนะ หวังว่ามึงจะกลับมาสักวัน .. แต่วันนี้กูมีมึงเหมือนเดิมแล้ว ก็เลยอยากจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ”
“ มึงไม่สบายใจเรื่องที่คุยกับคุณท่านใช่ไหม ถึงอยากมาที่นี่ ”
ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลหลักของการพาผมมาที่นี่ แต่เพราะเขาไม่สบายใจมากต่างหากถึงต้องให้ความทรงจำที่ดีในตอนเด็กช่วยบรรเทาความอึดอัดในใจให้ลดลงไป
“ ก็นิดหน่อย กูทะเลาะกับคุณพ่อมา เพราะกูไม่ยอมเลิกกับมึง ”
“ มึงไหวใช่ไหม ”
“ ไหวดิ .. แค่เห็นมึงยิ้มกูก็ไหวแล้ว ”
ผมดึงคนที่พยายามเข้มแข็งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด นำทัพเกยคางไว้ตรงไหล่ของผม สองมือผมที่สอดวางอยู่ตรงแผ่นหลังกว้างทำหน้าที่ลูบปลอบประโลมให้คนที่เพิ่งเผชิญหน้ากับความบททดสอบที่ยากแสนเข็ญมาให้กลับมารู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง
“ กูจะไม่ยอมให้เราต้องแยกจากกันอีกนะโซล ขอแค่มึงเชื่อว่ากูทำได้ ”
“ กูเชื่อมั่นในตัวมึงมาก มึงเก่ง มึงทำได้อยู่แล้ว กูเป็นกำลังใจให้นะ ”
“ ขอบคุณนะมึง ”
“ มึงเห็นพระอาทิตย์นั่นไหม .. “
ผมคลายกอดคนที่หมดแรงแล้วดันตัวให้กลับไปนั่งปกติ ชี้นิ้วให้ดูพระอาทิตย์ตรงหน้าที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าหลังจากทำหน้าที่สิ้นสุดของวันนี้แล้ว อีกไม่นานพระจันทร์จะกลับขึ้นมาทำหน้าที่แทน
“ ปัญหาก็เหมือนพระอาทิตย์ มีขึ้นก็มีลง มีปัญหาเดี๋ยวก็มีทางแก้ปัญหา พระอาทิตย์ร้อนแรงจนเราแทบจะทนมองดูไม่ไหวก็เหมือนกับปัญหาที่มีแต่จะทำให้เราท้อแท้ แต่อย่าลืมว่าพระอาทิตย์ไม่ได้มีตลอดทั้งวัน ไม่นานพระจันทร์ที่เยือกเย็นจะเข้ามาแทนที่ ”
“ เข้าใจแล้ว ”
“ ดีมาก ”
เราสองคนนั่งจับมือมองพรระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าของวันไป ... จวบจนกระทั่งพระจันทร์ขึ้นมาทำงานแทนที่
ความร้อนในความกลางวันคลายสิ้นแล้วเหลือแต่ความเย็นสบายเข้ามาแทนที่
เปรียบดั่งปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ถาวร มีเกิดได้ก็มีจบได้เช่นกัน
อยู่ที่เราจะเลือกเผชิญหน้าหรือหนีมันเพียงเท่านั้น
แต่สำหรับเราสองคน ตอนนี้แม้จะกำลังเผชิญกับความร้อนแรงของพระอาทิตย์
แต่เชื่อสิ ว่าอีกไม่นานพระจันทร์ของเราจะต้องส่องสว่างขึ้นมาแทนที่อย่างแน่นอน
แค่เรามีกันและกัน
และแค่เรา เคียงข้างกันไปแบบนี้ !!! ---------
Talk :: มาถึงตรงนี้เราอยากให้เห็นว่า ทุกความรักมักจะมีบททดสอบเข้ามาเสมอ ไม่มีรักใดที่ราบรื่นเสมอไป เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ฝ่าฟันอุปสรรคกันด้วยนะครับ
:: ขอกำลังใจให้น้องโซลกับพี่นำทัพด้วยนะครับ ขอบคุณครับ