อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020  (อ่าน 84611 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
34

กลัว


สีหน้าของนำทัพที่ยิ้มแย้ม ร่าเริงก่อนหน้า หายไปโดยพลัน แปรเปลี่ยนเป็นความนิ่ง เงียบ แทนที่ นับตั้งแต่



วางสายล่าสุดที่โทรเข้ามา ...



เขาขอตัวแยกไปนั่งคนเดียวตรงระเบียง ยังไม่พร้อมจะเล่าหรือพูดเรื่องที่ไม่สบายใจให้ผมฟัง น้ำเสียงตอนคุยโทรศัพท์ดูเกรี้ยวกราด แฝงไม่ด้วยความไม่พอใจกับคำพูดของคนปลายสาย บ่อยครั้งที่เขาลอบมองมาที่ใบหน้าของผม สีหน้าฉายความกังวลใจเอาไว้ จนผมต้องเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของเขาไว้ อย่างให้กำลังใจ



ตั้งแต่กลับมาจากเชียงราย ได้เกือบเดือน ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปมาก นำทัพมักจะแสดงออกว่าสดใส ร่าเริงเป็นปกติ ทว่าคนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน  รู้จักเขาดีกว่าใคร ทำไมจะมองไม่ออกว่านำทัพ มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในใจเอาไว้ตั้งมากมาย ยิ่งนับวันก็ยิ่งดูออกถึงอาการที่แปลกไป



คนที่โทรมา คงมีอิทธิพลกับความรู้สึกและชีวิตของเขามากเป็นแน่ !!



ผมอุ่นนมร้อนเดินถือมันออกมาหานำทัพที่นั่งเหม่ออยู่ตรงโซฟา ดึกมากแล้วเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย วางมือลงบนไหล่ของคนตัวสูงอย่างเบามือให้เขารับรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างเขาเสมอไม่เคยไปไหนไกล นำทัพละสายตาจากภาพตรงหน้าหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะจับมือผมบนไหล่ตัวเอง แล้วพยักหน้าให้ผมนั่งลงข้างกาย



“ ถ้ามีคนบอกให้เราเลิกกัน มึงจะเลิกกับกูมั้ย ”

 “ ทำไมถึงถามแบบนั้น”

“ พ่อกู .. บังคับให้กูเลิกกับมึง”

นำทัพไม่กล้าที่จะสบตาผมเลยแม้แต่น้อย สีหน้าที่กังวลเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนเมื่อต้องฝืนใจพูดเรื่องที่ไม่อยากแม้แต่จะคิดออกมา ตลอดหลายวันที่เขาเหม่อ เขาเครียด คงจะมาจากเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และคนที่โทรมาก็คงจะเป็นคุณพ่อของเขา ที่บังคับให้ลูกชายต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจแบบนั้น

“แล้วมึงอยากเลิกกับกูมั้ย”

“ ไม่อยาก กูคงอยู่ไม่ได้ถ้ามึงต้องหายออกไปจากชีวิตของกูอีกครั้ง ”

ใช่ว่าจะมีเพียงเขาคนเดียวที่จะอยู่ไม่ได้หากต้องไกลจากผมอีกครั้ง ผมเองก็เช่นกัน แม้จะมีอุปสรรคใดเกิดขึ้นต่อจากนี้ ความมั่นคงของเราสองเท่านั้นที่จะพากันก้าวข้ามสิ่งต่างๆไปได้

“ จำไว้นะ กูจะไม่มีวันปล่อยมือมึง..นอกจากมึงจะขอให้กูปล่อยเอง ”

เรื่องของคุณพ่อนำทัพ ยังเป็นสิ่งที่ผมไม่กล้าจะถามเขา ว่าทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางใจกันหรืออย่างไร ถึงได้ไม่ค่อยจะลงรอยกันได้มากขนาดนี้ อย่างที่เคยบอกว่านำทัพไม่แม้แต่จะพูดถึงพ่อของเขาเลย ผมรู้จักคุณพ่อของนำทัพจากประวัติในอินเตอร์เน็ต ไม่ก็ตามข่าวธุรกิจทั่วไป  แต่ในชีวิตจริงยังไม่เคยได้เจอสักครั้ง



รู้แต่เพียงว่า สองคนนี้ .. ทั้งพ่อทั้งลูก น่ากลัวพอกัน



“ กังวลกับเรื่องนี้ตลอดเลยหรอ “

“ ใช่ ..ขอโทษนะที่ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง กูแค่อยากจะจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง แล้วถึงจะบอกมึง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะคุณพ่อให้คนมาตามดูเรา คอยรายงานข่าวตลอด หลายครั้งที่ท่านโทรมาเรียกให้กูไปพบ คุยแต่เรื่องของมึง บังคับให้เลิกกับมึงอยู่แบบนั้น และทุกครั้งมันก็จบด้วยการทะเลาะกัน”

ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเรียบเฉย ทำให้เข้าใจว่าหัวใจของคนพูด ต้องอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่เพียงใด ผมไม่นึกโกรธแม้เพียงสักน้อยที่คุณพ่อของนำทัพ บังคับให้เราต้องเลิกกัน



ยังไงคนเป็นพ่อ ก็ต้องหวังดีกับลูกทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่การแสดงออกอาจจะต่างกัน



“เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน สักวันพ่อมึงจะต้องยอมรับเราสองคน ไม่ว่านานแค่ไหนก็ตาม กูจะอดทน เพื่อมึง”

แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะย้อมแพ้ให้กับคำของผู้ใหญ่ ผมเชื่อมั่นในความดี ความอดทนของตัวเองเสมอ และหวังว่า หากได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับคุณพ่อของนำทัพ ท่านจะต้องเข้าใจเราสองคน ผมจะทำให้ท่านเห็นว่า



ผมรักและหวังดีกับลูกของท่านมากเพียงใด !!



“ พ่อกูบอกว่าถ้ากูไม่ยอมเลิกกับมึง ท่านจะส่งคนมาทำร้ายมึง จะทำทุกอย่างให้เราเลิกกัน”

“ แล้วยังไง กูต้องกลัวหรอ ”

“ กูรู้ว่ามึงเป็นคนเก่ง ดูแลตัวเองได้ แต่กูก็กังวล ว่าถ้าพ่อทำแบบที่พูดขึ้นมาจริงๆ มึงคงตกอยู่ในอันตราย .. เพราะกู ”

ที่เขาพูดมา .. มันเหมือนกำลังจะบอกว่า คุณพ่อของตัวเองเป็นคนเด็ดขาดมากแค่ไหน และ หากคำขู่นั้นเป็นจริงขึ้นมา คงกลัวว่าจะปกป้องผมได้ไม่ดีเหมือนที่เคยสัญญาเอาไว้

“ โซล...”

ผมมองมือที่สั่นเทาของตัวเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดจากอะไร



กลัว ?



“ โซล ...”

ผมเงยหน้าขึ้นมองนำทัพที่จับมือผมเอาไว้แน่น ใบหน้าที่มักนิ่งเฉย เปลี่ยนเป็นความห่วงใยที่มีต่อผมชัดเจน ดวงตานั้นจ้องมองผมอยู่นาน เหมือนต้องการถามว่าผมเป็นอะไร

“ มึงนิ่งไป กังวลอยู่ใช่ไหม”

ผมวางมือหนึ่งไว้บนหลังมือของนำทัพ ลูบขึ้นลงวนอยู่แบบนั้นให้ทั้งตัวเอง และ คนที่จ้องอยู่รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ก่อนจะส่ายหัวแล้วส่งรอยยิ้มบางไปให้ เพื่อแสดงให้เข้าทราบว่าผมไม่ได้กังวลเลย



ที่ใจสั่น มือสั่น หรือความรู้สึกทุกอย่างที่เริ่มก่อตัวเข้ามาเมื่อครู่ ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความยากหรืออุปสรรคใด ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อจากนี้



แต่มันคือความกลัว กับบางสิ่งที่ผมคงไม่อาจทนได้ถ้ามันเกิดขึ้น

แม้ผมจะพยายามฝืนหรือต่อสู้กับมันสักแค่ไหน



คือความกลัว....

กลัวว่าสักวันเขาจะเป็นห่วงผมมากจนทำตามที่ผู้เป็นพ่อบังคับ



ผมกลัวว่าเขาจะปล่อยมือผม

กลัวว่าจะต้องเสียเขาไปอีกครั้ง ....





ผมปล่อยให้ตัวเองนั่งอยู่ตรงระเบียงมุมโปรดนี้แทนนำทัพ ไล่ให้คนตัวสูงไปอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่น คลายความกดดันที่มีให้เบาลง  เหม่อมองออกไปข้างนอก โดยสายตากับสิ่งที่อยู่ภายในใจไม่ได้สัมพันธ์กันเลย  ความฟุ้งซ่านวิ่งเข้าเต็มสมองของผมอย่างวุ่นวาย



เพราะเรื่องเล่าของคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ตอนนี้ ...



นำทัพเล่าเรื่องของครอบครัวเขาให้ผมก่อนเมื่อครู่ เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเขากับพ่อถึงไม่ถูกกัน และทำไมคุณแม่ถึงต้องไปอยู่ที่อเมริกา นั่นมาจากสาเหตุที่ว่า ทั้งคู่เลิกรากันไปแล้ว



หนุ่มนักธุรกิจใหญ่กับสาวสังคมผู้มีอิทธิพล แต่งงานกัน ด้วยความเหมาะสมทางฐานะในสังคม ไม่ได้เกิดจากความรักตั้งแต่ต้น คิดว่าการอยู่ใกล้ชิดกันจะทำให้ก่อเกิดความรักขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่คงคาดการณ์ผิดไปมาก ยิ่งนับวันความรักที่ตั้งใจว่าจะมี ยิ่งหายากเข้าไปทุกที จนกระทั่งมีลูกชายเป็นโซ่ทองคล้องใจทั้งคู่จึงต้องฝืนอยู่ด้วยกันตามหน้าที่



เมื่อต่างฝ่าย ต่างไม่สามารถปล่อยให้ชีวิตที่เหลืออยู่ ฝืนทนกันแบบไม่มีความสุขต่อไปได้ ในเวลาที่ลูกชายคนเดียวของตระกูลโตเป็นหนุ่มพอที่จะเข้าใจเหตุผลของผู้เป็นบิดามารดา ว่าจำเป็นจะต้องแยกทางเพื่อใช้ชีวิตของกันและกันแล้ว



พ่อและแม่ของนำทัพจึงหย่ากัน ... ตอนที่เขาอายุได้เพียงสิบขวบ !!



คุณแม่ของนำทัพบินไปใช้ชีวิตที่อเมริกาคนเดียว ส่วนคุณพ่อของนำทัพแต่งงานใหม่กับแม่หม้ายลูกติดซึ่งอายุของลูกชายผู้หญิงคนนั้นแก่ความนำทัพหลายปี  นับตั้งแต่วันที่พ่อแม่แยกทางกัน นำทัพที่เคยนิ่งเงียบอยู่แล้วก็ นิ่งมากกว่าเดิม เขาเริ่มต่อต้านผู้เป็นพ่อทุกอย่าง เพราะคิดว่าพ่อทิ้งแม่ ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเข้าใจ จนนำทัพไม่อาจฝืนอยู่ที่บ้านหลังนั้นร่วมกับครอบครัวใหม่ของพ่อได้ จึงต้องย้ายออกมาอยู่ที่นี่ตามลำพัง



และก่อนที่ความเหม่อลอยจะเข้าครอบงำผมมากไปกว่านี้ ...





“ ใครให้มึงมาที่นี่ กลับไป”

เสียงของนำทัพดังลั่นจากภายในห้อง ฉุดดึงผมออกจากภวังค์ความคิดวุ่นวายที่มี รีบลุกขึ้นจากที่นั่งวิ่งเข้าไปในห้องทันทีตามเสียงนั้น ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงได้โกรธจนส่งเสียงดังขนาดนั้น



นำทัพยืนอยู่ตรงประตู ที่เปิดไว้ ตรงข้ามเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้า ว่าแต่พี่เขามาที่นี่ได้ยังไง

“ พี่ภู ”

ผมเผลอเรียกชื่อคนตัวสูงพอๆกับนำทัพที่ยืนส่งรอยยิ้มแบบกวน เชิญชวนให้คนที่เกรี้ยวกราดผู้เป็นเจ้าของห้อง อารมณ์พุ่งพล่านไปกันใหญ่ พี่ภูหันมาตามเสียงเรียกของผม  ส่งรอยยิ้มคนละความหมายกับเมื่อครู่มาให้ ส่วนนำทัพหันมามองผมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ แล้วกลับไปผลักอกพี่ภูให้ถอยออกไป

“มึงอย่ายุ่งกับโซล กูบอกมึงแล้วไม่ใช่หรอ”

“ ก็น้องโซลโคตรจะน่ารักเลย กูจะอดใจไหวได้ยังไง”

“ไอ้ภู..”

นำทัพตั้งท่าจะกระชากคอเสื้อพี่ภู ดีที่ว่าผมคว้ามือของเขาเอาไว้ได้ทัน ดึกแล้วจะมายืนมีเรื่องกันหน้าห้องแบบนี้ไม่ได้ เกรงใจคนที่กำลังพักผ่อนอยู่ ตั้งแต่คราวที่เจอกันก่อนหน้า สองคนนี้ก็ไม่ค่อยจะญาติดีกันเท่าไหร่ แล้วนี่จะยังบุกมาถึงคอนโดนำทัพอีก เรื่องพ่อยังไม่จบเรื่องพี่ภูก็มาทำให้ผมสงสัยอีก

“ พี่ภูมาที่นี่ทำไมครับ ”

ตัดปัญหาด้วยการ ทำลายความวุ่นวายนั้นทิ้ง กับคำถามที่ส่งไปให้ผู้มาเยือน พี่ภูก้าวเดินขึ้นมาเล็กน้อย พลางใช้มือปัดตรงบริเวณที่นำทัพผลักเมื่อครู่



โคตรจะปั่นเลย ... เดี๋ยวก็ได้มีเรื่องกันอีก



“ พี่มาตามคำสั่งของคุณท่านครับ”

“ คุณท่าน ... ใครหรอครับ”

“ก็คุณพ่อของนำทัพไงครับ พอดีว่าท่านโทรหานำทัพแล้วมันไม่รับสาย ท่านก็เลยให้พี่มาที่นี่เพื่อบอกมัน ว่าพรุ่งนี้ให้ไปหาที่บ้านด้วย จะคุยเรื่องที่ค้างไว้ให้จบ”

“ /// ”

แล้วพี่ภูเป็นใครทำไมถึงต้องมาตามคำสั่งของคุณพ่อนำทัพ หรือว่า ....

“ ใช่ครับ พี่เป็นพี่ชายของนำทัพ ”

“ ห๊ะ....อะไรนะครับ”

พี่ชายที่เป็นลูกติดภรรยาใหม่ของคุณพ่อนำทัพ คือพี่ภู คนเดียวกันกับที่เคยช่วยชีวิตผมไว้ตอนมีเรื่องที่เบิกบานบาร์เมื่อหลายวันก่อน ความสงสัยที่มีได้ถูกเฉลยสิ้น เข้าใจกระจ่างถึงเหตุผลที่นำทัพไม่ชอบหน้าพี่ภูตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ  คงไม่ใช่เพราะเป็นแค่พี่น้องต่างพ่อต่างแม่



แต่คงเพราะท่าทีของพี่ภูที่แสดงออกต่อผมชัดเจนแบบนั้น ...



“มึงไม่ใช่พี่ชายกู มึงก็แค่พวกปลิง พวกเห็บ ไม่ใช่แค่มึง แต่แม่มึงด้วย ทั้งคู่เลย ”

“ มึงอย่ามาลามปามแม่กูนะ กูมาที่นี่ไม่ได้จะมามีเรื่องกับมึง กูแค่มาส่งข่าว โน่นถ้าอยากมีเรื่องคุณพ่อรอให้มึงกลับไปเคลียร์อีกเยอะ ได้มีเรื่องสมใจมึงแน่”

พี่ภูที่ยิ้มเมื่อครู่ ดึงสีหน้ากลับมาฉายแววนิ่งข่มกลับนำทัพในทันที คนที่ยิ้มง่าย อ่อนโยนเวลาโกรธหรือไม่พอใจขึ้นมาบางทีก็นิ่งจนน่ากลัว ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่ใช่แค่ฝั่งนั้นที่นิ่ง คนข้างตัวผมก็ไม่ต่างกัน บรรยากาศรอบตัวชวนอึดอัดไปหมด ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กัน

“ มึงกลับไปบอกคุณท่านของมึงด้วย ว่ากูไม่ไป ”

“ แต่มึงต้องไป .. เพราะถ้ามึงไม่ไป กูจะบอกให้คุณพ่อ จัดการกับมึง.....“

พี่ภูมองมาที่ผม จดจ้องอยู่แบบนั้น ก่อนจะหันกลับไปหาคู่สนทนา ที่กำลังกำหมัดแน่น ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

“และคนของมึง อย่างเด็ดขาด”

“ ไอ้ภู”

“ แต่กูอาจจะช่วยมึงได้นะ ถ้ามึงยอมให้คนของมึง มาเป็นของกู ”



ผลั๊วววว !!!



ใบหน้าพี่ภูหันตามแรงชกของนำทัพ จนเลือดไหลออกที่มุมปาก คนโดนหมัดหันกลับมาด้วยอารมณ์โกรธเต็มที่ ตั้งท่าจะชกสวนกลับ ผมจึงรีบเข้าไปแทรกตรงกลาง ยืนบังนำทัพเอาไว้ ถ้าพี่ภูสวนมา ผมนี่แหละจะต่อยให้ร่วงเลย ... แฟนผมใครก็ห้ามแตะทั้งนั้น

“ ปกป้องกันจังเลยนะน้องโซล มันชกพี่ก่อนนะ”

“ แต่พี่มาก่อกวนเรา ”

“ พี่แค่ทำตามหน้าที่ เปล่าก่อกวนนะครับ อย่ามองพี่ในแง่ร้ายสิครับน้องโซลของพี่ ”

คนที่เคยอ่อนโยน ใจดี สุขุมและสุภาพคนนั้น ใช่คนเดียวกันกับที่ยืนทำหน้าร้ายเหมือนตัวโกงในละครหลังข่าวคนนี้หรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะต่างกันได้มากขนาดนี้ ทั้งคำพูด การกระทำ และ แววตา ไม่แปลกที่คนนิ่งนำทัพจะสติหลุดได้อย่างง่าย

“ มึงอย่ายุ่งกับคนของกูนะ  ”

“ คนอย่างมึงจะปกป้องอะไรได้ กูจะแย่งมาให้หมด ทุกอย่างที่เป็นของมึง ทั้งพ่อมึง บริษัทมึง สมบัติมึง รวมถึงแฟนมึงด้วย มึงคอยดู  ”

“ ไอ้เหี้ยยยยย ”

“แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่บ้านนะครับ น้องชายของพี่ ”

พี่ภูไม่ได้สนใจว่านำทัพจะตอบตกลงหรือไม่ เขาหัวเราะร่วนอย่างกวนประสาทแล้วเดินออกไปจากหน้าห้อง ทิ้งให้นำทัพหลับตาข่มความโกรธให้ลดลงไว้แบบนั้น ผมจึงปิดประตูห้องลง แตะแขนของเขาเล็กน้อย แล้วพากันเดินไปยังโซฟา

“กูโคตรเกลียดมันเลย ร้ายทั้งแม่ทั้งลูก ”

ครอบครัวใหม่ของคุณพ่อนำทัพ  ร้ายกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก  ตัวลูกชายยังขนาดนี้ คนเป็นแม่คงจะร้ายจนเกินต้านทานไหวเป็นแน่ เขาคงต้องทนกับเรื่องพวกนี้อยู่หลายปีทีเดียว นึกแล้วก็สงสาร  ชีวิตที่คนต่างพากันอิจฉา มองจากภายนอก เพียบพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล ทว่าเบื้องลึก เต็มไปด้วยความบาดหมางเอาไว้มากมาย

“ กูว่ามึงควรไปนะพรุ่งนี้ ”

“ แต่กูไม่อยากไป ไม่อยากเจอพ่อ ไม่อยากเจอพวกนั้น ”

“ มึงต้องไปจัดการปัญหาให้จบ คุยให้รู้เรื่อง อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน  ”

การหนีปัญหาไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่การเผชิญหน้ากับมันต่างหากคือสิ่งที่เราควรจะทำ ปัญหาทุกย่างผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อให้รู้ว่า นี่คือชีวิต นี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ไม่มีสิ่งใดจะราบรื่นไปได้ตลอด ถ้าเราจัดการกับมันได้ ผ่านไปได้ ปลายทางที่รออยู่คือภูมิคุ้มกันให้จิตใจแกร่งมากกว่าเดิมหลายเท่า

“แต่กูจะไม่ยอมให้มึงไปคนเดียวเด็ดขาด เรื่องนี้มันเกี่ยวกับกูโดยตรง กูจะไปกับมึง”

“แต่พ่อกูไม่ได้ใจดี อย่างที่มึงคิดนะ”

“ไม่มีความจำเป็นที่กูจะต้องกลัว เราไม่ได้ทำอะไรผิด เรากำลังจะทำในสิ่งที่ถูกต้องให้ท่านเห็นว่าความรักของเราคือสิ่งที่ดี ”



เมื่อความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ... ดังนั้นปัญหาที่เข้ามาจึงไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่าย ก้าวข้ามไปเพียงลำพัง วินาทีที่ตัดสินใจตกลงเป็นแฟนกันแล้ว เราทั้งสองคือคนเดียวกัน

“ กูรักมึงนะทัพ กูเป็นแฟนมึง กูเป็นคนของมึง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูจะไม่ทิ้งมึง ”

“ ถึงแม้ว่ามันจะหนักจนมึงแทบรับไม่ไหวอย่างนั้นหรอ ”

“ กูไม่เคยกลัวกับอะไรเลย .. แค่กูมองตามึง เห็นรอยยิ้มของมึง กูก็มีแรงสู้ต่อแล้ว กูจะสู้เพื่อความรักของเรา มึงละ พร้อมจะสู้ไปด้วยกันไหม ”

ส่งยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในหัวใจส่งมอบไปยังคนที่กังวลอยู่ใกล้ๆ ผมรู้ว่านำทัพไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่ปัญหานี้มันอาจทำให้ผมต้องเดือดร้อน เขาจึงต้องตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เพื่อให้ผมได้รับผลกระทบน้อยมากที่สุด

“ กูไม่เคยคิดจะหนีเลยโซล กูแค่ห่วงมึง กูรักมึงมากนะ มึงคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่กูต้องปกป้องจากทุกอย่าง ”

“  ไหนบอกว่าพูดหวานไม่เป็นไง ”

“ สงสัยจะจูบคนพูดหวานบ่อย เลยติดมา ”



นำทัพยิ้มออกแล้ว พร้อมกับดึงมือของผมไปกุมเอาไว้แน่น รอยยิ้มที่เป็นกำลังของเราสองคนปรากฏในสายตาของกันและกัน สื่อความหมายโดยไร้คำพูดใดๆ ออกมา

ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ความมั่นคงจะทำให้เราผ่านไปได้

มือของเราสองคนจะจับกันแน่น ไม่ยอมปล่อย





“ พรุ่งนี้เราสองคนจะไปเจอคุณท่านด้วยกันนะ ”



---------------

Talk :: มาเอาใจช่วยน้องโซลกับพี่ทัพกันด้วยนะครับ จะไปพบคุณท่านกันแล้ว …

 :katai2-1: :katai4: :katai1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
สู้เด้อ

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
35

ข้อเสนอของพี่ภู




ผมเปิดประตูลงจากรถมองนำทัพที่กำลังยืนจ้องไปที่ประตูบ้าน สีหน้าเบื่อหน่ายปนกังวลเข้าปกคลุมในทันทีที่เข้าสู่เขตตัวบ้านทั้งที่บอกว่าเตรียมใจมาแล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่ยอมแพ้



แต่พอเอาจริงแล้ว หัวใจก็เริ่มสั่นเหมือนกัน ..



จริงๆ บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตเป็นคฤหาสน์แบบที่ผมคิดแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นบ้านที่หรูหรา การตกแต่งดูดีมีระดับ ราคาแพง สมฐานะเจ้าของบ้านตามแบบฉบับเจ้าของธุรกิจใหญ่โตระดับประเทศ  รอบบ้านตกแต่งด้วยสวนดอกไม้นานาชนิดให้อารมณ์ผ่อนคลายในยามที่ต้องการหามุมสงบระหว่างวัน



แม่บ้าน และ สาวใช้ ต่างเดินเข้ามาต้อนรับคุณหนูของบ้านที่เอาแต่ยืนมองประตูโดยไม่ยอมก้าวเท้าเดินต่อไป ผมยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร หันกลับไปมองนำทัพ สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีลอบหายใจออกยาวๆ เพื่อขจัดความตื่นเต้นที่มีด้วยต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้หลังประตูบ้านนี้



“ กูพร้อมแล้ว ... มึงละ พร้อมหรือยัง”

“ พร้อม ”



แตะแขนคนตัวสูงให้ผ่อนคลายพร้อมกับส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆ เขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเพียงแค่หันกลับมามอง .....



เขาจะไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียว ...

นำทัพยังมีผมที่ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจแบบนี้เสมอ ...



เราสองคนเดินผ่านเข้ามาในตัวบ้านมายังห้องโถงขนาดใหญ่ ภายนอกว่าสวยแล้วภายในสวยยิ่งกว่า กว้างขวาง ใหญ่โต  ทว่าเงียบสนิทไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นภายในนี้เลยนอกจากเสียงเดินของเราสองคน



“ คุณท่านรอคุณหนูอยู่ที่ห้องรับแขกครับ ”

ชายชุดสูทสีดำทำหน้าที่เป็นการ์ดของคุณท่านเดินเข้ามาหาผมกับนำทัพ พร้อมผายมือไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านในสุดของทางเดิน  นำทัพไม่ได้ตอบหรือแสดงท่าทีใดเขาพาผมเดินมาตามทาง จนหยุดอยู่ตรงหน้าห้องรับแขกหลับตาอยู่สักพักแล้วจับมือผมก้าวเดินเข้าไป



ใจสั่นด้วยความตื่นเต้นในทุกก้าวขณะที่เดิน .....



ยิ่งได้เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยแล้วหัวใจยิ่งสั่นระรัว



ดูยังไงก็เหมือนมากจริงๆ .... ไม่ว่าจะลักษณะท่าทาง รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับนำทัพไปหมด ต่างกันตรงที่คุณท่านดูภูมิฐานกับบรรยากาศที่นิ่งกว่า  โดยเฉพาะสายตาที่ละจากไอแพดที่อยู่ตรงหน้าแล้วเงยขึ้นมามองเราสองคน



เยือกเย็น .... ดุดัน .. เต็มไปด้วยความกดดัน !!!!



ส่วนผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนจะเป็นภรรยาใหม่ของคุณท่าน เธอสวยตามวัย ใบหน้าคล้ายกับพี่ภู แต่ดูเป็นมิตรกว่า รอยยิ้มที่ดูจริงใจนั้นส่งมาทักทายต้อนรับเราสองคนอาจด้วยเพราะต้องการทำลายความนิ่งของผู้เป็นสามี



“ มากันแล้วหรอคะ คุณนำทัพ เชิญค่ะ คุณพ่อรออยู่ ”

เธอลุกขึ้นแล้วเดินออกจากที่นั่งคล้ายกับต้องการให้พ่อลูกคุยกันอย่างเป็นส่วนตัว ทำไมภรรยาใหม่ของคุณท่านถึงไม่ได้ดูร้ายกาจเหมือนแบบที่นำทัพเล่าให้ฟังเลยแม้แต่น้อย

“ เราออกไปนั่งเล่นที่สวน จิบชากับดีมั้ยคะ ”

ภรรยาของคุณท่านเดินมาทักทายผมชวนให้ออกไปข้างนอกตามเธอ ผมหันกลับไปมองนำทัพที่ส่งสายตาไม่พอใจไปที่ผู้หญิงคนนั้น ท่าทางจะไม่ชอบเอามากอย่างที่เคยพูดไว้

“ เธอจะไปก็ไปคนเดียว อย่ามายุ่งกับโซล เค้ามากับฉัน ”

“ แต่ดิฉันอยากให้คุณนำทัพกับคุณท่าน ....”

“ อย่ายุ่ง ”

ความครุกรุ่นของอารมณ์ ผสมกับความเยือกเย็น ชวนให้บรรยากาศในห้องที่เงียบอยู่แล้วกดดันชวนอึดอัดเข้าไปกันใหญ่ แค่นำทัพคนเดียวก็ว่าแย่แล้ว ยังมาเจอทั้งคุณพ่อทั้งภรรยาใหม่อีก

“ แกอย่าเสียมารยาท เจ้าทัพ ให้คนของแกออกไปก่อนตามที่พิมพ์บอกฉันต้องการคุยกับแกตามลำพัง”

ตอนแรกนึกว่าจะเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่ตอนนี้คงต้องเพิ่มว่าเหมือนแม้กระทั่งการใช้เสียง โทนการพูดและความเด็ดขาดที่ปนมากับน้ำเสียงนั้น



พ่อลูก .. เหมือนกันทุกอย่าง

ไม่แปลกที่จะไม่มีใครยอมใคร



“ แต่โซลมากับผมถ้าจะคุยก็ต้องคุยด้วยกัน พ่อให้เมียใหม่พ่อออกไปคนเดียว ”

“อย่าเรื่องมาก ที่เรียกมาฉันต้องการคุยกับแก...”

คุณท่านเว้นประโยคนั้นแล้วเบือนสายตาคมดุมาที่ผม ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่แค่เกร็งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพ่อแฟนแบบนี้ คงทำอะไรมากไม่ได้ในเมื่อผู้ใหญ่ ยังไม่ต้องการจะคุยกับผมคงต้องยอมให้พ่อกับลูกคุยกันตามลำพัง

“ส่วนเธอ ... เราค่อยคุยกันส่วนตัวอีกที ฉันก็มีเรื่องจะคุยด้วยเหมือนกัน”

“ ได้ครับท่าน .. ผมพร้อมที่จะคุยกับท่านครับ ”

กระชับมือที่กุมนำทัพไว้ให้เขาเข้าใจและมีสติมากยิ่งขึ้น การใช้อารมณ์ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมีแต่จะแย่ลง คุยด้วยความเข้าใจ เหตุผล และความจริงเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

“ กูจะออกไปรอข้างนอกนะ ถึงแม้เราจะไม่ได้จับมืออยู่ข้างกัน แต่จำไว้ กูไม่เคยหายไปไหนเลย ยังยืนยันคำเดิมว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ”

“ เราจะผ่านไปด้วยกัน กูจะทำให้ได้ เพื่อมึง เพื่อเรา ”

ความมั่นใจของนำทัพกลับมาประจำที่อีกครั้งแววตาที่ดูกังวลคลายลงสิ้น จนผมรู้สึกโล่งใจเขายิ้มให้ผมเล็กน้อยอย่างเข้าใจในสถานการณ์





***************



ภรรยาของคุณท่านพาผมมาที่ศาลาตรงสวนดอกไม้ ด้านหลังของบ้าน ตลอดทางเธอชวนผมคุยเรื่องทั่วไปอย่างไม่ถือตัว  แนะนำส่วนต่างๆ ของบ้านที่เดินผ่านถามสารทุกข์สุขดิบ ดินฟ้าอากาศ  รวมถึงเรื่องของนำทัพบ้างเล็กน้อยว่าลูกของคุณท่านเป็นอย่างไรบ้างอยู่ข้างนอกตามลำพังนานหลายปี

“ คุณนำทัพอยู่ข้างนอกสบายดีใช่ไหมคะ คุณท่านเป็นห่วงมากค่ะ ”

“ สบายดีครับ ไม่มีอะไรต้องห่วง ”

คุณพิมพ์อัปสร เอ่ยถามขณะเราเดินไปยังศาลาที่ให้คนจัดชุดของว่างเอาไว้รับแขก

“ ดีค่ะ ยังไงฝากหนูดูแลคุณนำทัพด้วยนะคะ  มีอะไรที่ให้น้าช่วยยินดีค่ะ ”

“ ขอบคุณครับ “

“ ส่วนเรื่องของหนูกับคุณนำทัพ ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณท่านอาจจะดูดุไปบ้าง แต่ยังไงน้าจะช่วยพูดให้อีกแรง ”

“ กังวลนิดหน่อยครับ กลัวว่านำทัพ จะดื้อกับท่านจนคุยกันไม่จบ  ”

ยิ่งเห็นท่าทางที่แข็งกร้าวของทั้งพ่อทั้งลูกผมยิ่งอดห่วงไม่ได้  คนหนึ่งต่อต้านอีกคนยิ่งต่อต้านพาลจะเสียไปกันใหญ่

“ เชื่อน้าเถอะค่ะ ว่าคุณท่านใจดีกว่าที่เราคิดเอาไว้มาก  น้าเอาใจช่วยค่ะ ”

“ ขอบคุณมากครับ ”

“หนูนั่งรอตรงนี้นะคะ น้าให้คนจัดของว่างไว้แล้ว ต้องการอะไรเพิ่มเรียกเด็กได้เลย”

“ ขอบคุณครับ ”

“ ตามสบายนะคะ น้าขอตัวก่อน ”



คุณนายของบ้าน ส่งยิ้มให้ผม ก่อนที่เธอจะกลับไปเตรียมของว่างให้กับผู้เป็นสามี มองไปยังโต๊ะด้านหน้าชาและของว่างยามบ่ายถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มีสาวใช้อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมนั่งเพื่อคอยดูแลเผื่อแขกมีสิ่งใดขาดเหลือ



เท่าที่จับความรู้สึกได้ .. ผมว่าภรรยาใหม่ของคุณท่าน ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามเธอดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ กิริยามารยาทดูเรียบร้อย แต่แฝงไปด้วยความฉลาดในคำพูดและสีหน้าที่ฉายออกมาไม่แปลกเลยที่คนอย่างคุณท่านจะเลือกให้มาอยู่เคียงข้างในฐานะคู่ชีวิต



คนระดับคุณท่านคงพิจารณาดีแล้ว ถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น



สายตาเหม่อมองดอกไม้ภายในสวน ทว่าภายในร้อนรน วุ่นวายจนแทบจะทนไม่ไหว เพราะกังวลนำทัพที่คุยกับคุณท่านตามลำพัง ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นในตัวของเขา แต่ใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้ด้วยไม่อาจรู้ได้ว่าสองคนที่แทบจะเหมือนกัน จะปล่อยพลังทำลายล้างกันได้มากเพียงไหน



“ พี่ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ ”

เสียงขออนุญาตของผู้มาเยือนฉุดใจของผมให้ออกจากตะกอนความคิดและหมู่มวลดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพบว่าเจ้าของคำพูดขยับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ พี่ภู ”

คนยิ้มง่ายส่งรอยยิ้มนั้นมาให้ผม หากเป็นเมื่อก่อนผมคงมองว่ารอยยิ้มนั้นเป็นมิตร แต่ตอนนี้กลับคิดตรงกันข้ามเมื่อผ่านเรื่องวันนั้นมารอยยิ้มของพี่ภูไม่ได้สวยงามน่ามองชวนให้รู้สึกดีแบบเดิมอีกแล้ว



มันน่ากลัว ... เจ้าเล่ห์ และร้ายกาจที่สุด



“ พี่เองครับ คุณแม่บอกว่าน้องโซลมาด้วย นั่งอยู่คนเดียว พี่เลยอาสามานั่งเป็นเพื่อนระหว่างรอนำทัพ จะได้ไม่เหงาไงครับ ”

“ ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งคนเดียวได้ อีกไม่นานนำทัพคงกลับมา ”

“ อิจฉานำทัพจัง ที่มีแฟนน่ารักแบบนี้ ทำไมพี่ไม่โชคดีแบบนั้นบ้าง  ”

ไม่เข้าใจว่าพี่ภูกำลังต้องการอะไร ในสิ่งที่พูดออกมา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ นำทัพเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ภูเป็นคนที่ชอบเอาชนะและ เจ้าแผนการมาก

“ ผมขอตัวกลับไปหานำทัพดีกว่าครับ คงจะคุยกับคุณท่านเสร็จแล้ว ”

แม้การเดินหนีเจ้าของบ้าน ขณะที่ยังคงสนทนาแบบนี้จะเป็นการเสียมารยาทแต่คงดีกว่านั่งอยู่ตรงนี้ หากนำทัพมาเห็นเข้าคงได้โวยวายทะเลาะกันอีกรอบ ทั้งๆที่เรื่องราวกำลังจะไปได้ดี

“ ทำไมเดินหนีพี่แบบนั้นละครับ ไม่อยากฟังหน่อยหรอว่าพี่ทำอะไรแฟนของโซลไว้บ้าง ที่สำคัญพี่ช่วยเราสองคนได้นะลองนั่งลงฟังข้อเสนอพี่หน่อยดีกว่าไหมครับ ”

ผมหยุดฝีเท้าขณะก้าวออกจากตรงนั้นได้เพียงสองก้าว ในใจไต่ตรองอยู่นานว่าควรกลับไปหรือปล่อยให้พี่ภูพล่ามอยู่แบบนั้น

“ ก็ได้ครับ ถ้าพี่ภูจะเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด ... หากมีเหตุผลมากพอ ผมจะรีบข้อเสนอของพี่ ”

หันกลับมาในขณะที่ตัดสินใจได้ว่า การเดินออกไปอาจทำให้ผมเสียโอกาสที่จะรู้ความจริงบางประการที่สำคัญ และสิ่งนั้นน่าจะต่อยอดให้ผมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้



พี่ภูคงเข้าใจว่าผมเป็นเด็กที่อ่อนต่อโลก ...

แต่ขอโทษทีครับพี่ .... ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น



“ พูดง่ายแบบนี้ คุยกันได้ยาวครับ ”

คนเจ้าแผนการยิ้มขึ้นอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเหยื่อกำลังนั่งลงประจำเก้าอี้ตัวเดิม  พี่ภูยกชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจสายตาจดจ้องใบหน้าผมอยู่นาน สำรวจไปทั่วจนพอใจแล้ววางแก้วลง

“ เสียดายนะ ที่คนของพี่ทำงานพลาด ไม่อย่างนั้น โซลคงเป็นของพี่แล้ว ”

“  ทำงานพลาด หมายความว่ายังไงหรอครับ ”

“ อยากรู้ขึ้นมาทันทีเลยหรอ ”

“ ก็พี่ภูบอกจะเล่า แต่ถ้าไม่ ผมก็คงบังคับไม่ได้ ”

เหมือนจะพอใจกับท่าทีอยากรู้ของผม  พี่ภูยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแกล้งทำเหมือนลังเลว่าจะพูดในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ดีหรือไม่ในขณะเดียวกันผมเองก็ทำบางสิ่งร่วมด้วยเช่นกัน



“ นำทัพคงเล่าให้โซลฟังบ้างแล้วว่าพี่กับมันไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กๆ มันก็เอาแต่บอกว่าพี่กับแม่มาแย่งความสุขของเขาไป ...แรกๆ พี่ก็ไม่ได้สนใจ แต่พอหนักเข้าพี่เองก็หมดความอดทน ต้องสั่งสอนให้มันรู้บ้างว่าคนอื่นก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ”

“ โดยการคิดจะแย่งทุกอย่างแบบนั้นหรอครับ ที่เรียกว่าการสั่งสอน ”

“ ฉลาดดีนะเรา ”

พี่ภูไม่ได้เล่าเรื่องในอดีตต่อ แต่กลายเป็นนั่งนิ่ง ปลายตามองผมอีกครั้ง มือยกชาขึ้นจิบหลายรอบท่ามกลางความเงียบ ผมรู้จักคนมาก็มาก แต่ยอมรับเลย ว่าพี่ภูคือมนุษย์ที่เดาใจได้ยากมากที่สุด

“ พี่ภูวันนี้ กับพี่ภูที่ช่วยผมคืนนั้น ทำไมต่างกันจังครับ ผมถามได้ไหม  ”

“ ก็คนเดียวกันนั่นแหละ .. แต่บางทีคนเราก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวตนให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ ”

“ แล้วอะไรคือสิ่งที่พี่ต้องการหรอครับ ”

ขยับตัวจากพิงเก้าอี้ แล้วเคลื่อนเข้าไปอีกนิด  เพื่อให้คนพูดรู้ว่าผมกำลังสนใจในสิ่งที่เขาจะเล่า ภาวนาให้พี่ภูหลงกลแล้วเผลอหลุดสิ่งที่เก็บเอาไว้ออกมา



พี่ภูพูดถูก บางทีคนเราก็ต้องปรับตัวตน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ... ให้ได้สิ่งที่ต้องการ



“ น้องโซลไง ”

“ ผมหรอครับ ”

“ ใช่ครับ ซึ่งมันก็ได้ผลนะ พี่ได้จังหวะแสดงความเป็นพระเอก เข้าไปช่วยโซล ได้รู้จัก ได้คุย และที่สำคัญพี่ได้ทำให้นำทัพ มันร้อนรนอยู่นิ่งแทบไม่ไหว ... ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะแหย่เล่น แต่ตอนนี้พี่ขอเปลี่ยนใจแล้วกัน ”

ผมว่าเรื่องมันไม่น่าจะมีแค่นี้ พี่ภูฉลาดกว่าที่จะพูดทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก มั่นใจว่ายังมีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่เอาไว้อีกมาก ...



ผมจะทำทุกอย่างให้ได้ความลับนั้นมา



“ คุณท่านกำลังจะส่งนำทัพไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ท่านโกรธมากที่รู้ว่ามันกับโซลคบกัน ท่านรับไม่ได้ และไม่มีวันยอมรับได้ที่ทายาทคนเดียวจะต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย .. น้องโซลทนได้หรอครับ หากว่าต้องเลิกกัน ”

“ แต่ผมกับทัพรักกันนะครับ พวกเรามั่นใจว่าเขาจะทำให้คุณท่านเปลี่ยนใจได้ ”

“ ไม่มีทาง คุณท่านเป็นคนเด็ดขาด แต่พี่ช่วยเราได้นะ  พี่จะพูดกับคุณท่านให้ แต่เราต้องยอมมาเป็นคนของพี่ ”

รู้สึกโกรธจนแทบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ พยายามกำมือที่จับโทรศัพท์เอาไว้แน่น เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่พี่ภูพยายามจะสื่อถึง ... โคตรทุเรศเลย คิดได้ยังไงกัน

มือของพี่ภู เอื้อมแตะหลังมือข้างหนึ่งของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมปล่อยให้พี่ภูเกาะกุมมันเอาไว้ แม้ภายในใจจะรังเกียจมากแค่ไหนก็ตาม  อยากรู้ว่าเขาจะร้ายกาจได้สุดที่ตรงไหน

“ ทำไมพี่ภูถึงคิดว่าจะพูดกับคุณท่านได้ครับ ในเมื่อขนาดนำทัพที่เป็นลูกแท้ๆ ท่านยังไม่รับฟังเลย”

“ พี่ช่วยงานคุณท่านหลายอย่าง ตามใจท่านทุกเรื่อง อยู่ใกล้ชิดท่านเสมอ  ท่านเชื่อทุกอย่างที่พี่พูด  ทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว  ลองให้พี่ได้พูดกับท่าน ยังไงท่านก็ต้องเปลี่ยนใจ ยอมรับแน่นอน ขอเพียงแค่ ....”

แกล้งทำหน้าอ่อนต่อโลก แบบคนไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ภูกำลังจะพูด ...

“ รับข้อเสนอของพี่ ”

ส่งยิ้มให้กับคนหน้าตาดีแต่ร้ายกาจตรงหน้า ก่อนจะดึงมือที่ถูกเกาะกุมกลับมาไว้บนตักของตัวเอง  บางทีคนเราก็ไม่สามารถตัดสินใครได้จากสิ่งสวยงามภายนอกที่มองเห็น  ต้องมองลึกเข้าไปในจิตใจ ต้องรู้จักกันให้มากขึ้น ถึงจะรู้จักตัวตนที่แท้จริง



และวันนี้พี่ภูได้สอนผมให้รู้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างกระจ่างแจ้ง ...



“ ผมขอคิดดูก่อนนะครับ ”

“ ได้ครับ นี่เบอร์พี่ ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็โทรมา แล้วพี่จะรอนะครับ  แต่อย่านานนะ เพราะพี่ไม่รับประกันว่านำทัพจะโดนอะไรบ้าง ”

“ ได้ครับ ผมจะรีบตัดสินใจนะครับ ขอบคุณพี่ภูมากครับ ”

นามบัตรถูกเลื่อนส่งมาให้ผมตรงหน้า  พี่ภูมองใบหน้าผมอยู่แบบนั้น ถ้ากลืนกินได้คงทำไปแล้ว หมดกันคนดีที่ผมแอบชื่นชมมาเสมอ ... เหลือแต่คนเจ้าแผนการคนนี้เท่านั้น



ผมส่งยิ้มให้พี่ภู แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ถูกใจกับสิ่งที่เขาพูด

ตรงกันข้าม เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ผมส่งให้แบบผู้ชนะ



ในเมื่อมันมาถึงทางตันแล้ว ผมก็จะสู้หลังชนฝา

วัดกันสักตั้ง ว่าใครจะเหนือกว่าใคร



ซึ่งผมมั่นใจ ว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่าอย่างแน่นอน ....

“ โซล กลับบ้านกันได้แล้ว ”

เสียงของนำทัพเรียกผมมาจากด้านหลัง หันไปยิ้มให้กับคนที่ผมเป็นกังวลอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหา นำทัพมองพี่ภูซึ่งยกยิ้มส่งให้อย่างคนเจ้าเล่ห์ ก่อนที่คนตัวสูงแฟนผมจะหันกลับมาหา

“ มันทำอะไรมึงบ้างไหม ”

“ เปล่าหรอก แค่มานั่งคุยด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะ ”

“ ได้ครับ ”

เอื้อมไปจับมือนำทัพไว้แล้วพาเดินออกจากตรงนั้น โดยมีสายตาของพี่ภูมองตามหลังอย่างไม่หยุด ผมรู้ว่าพี่ภูกำลังปั่นหัวทั้งผมและนำทัพเพื่อให้เข้าไปอยู่ในแผนการแสนจะสกปรก  ทว่านำทัพวันนี้มีสติมากกว่าเดิมจึงไม่บ้าจี้ไปด้วย  เราพากันเดินมาจนถึงรถแล้วขึ้นไปปะจำที่ก่อนนำทัพจะขับออกไป



วันนี้รถไม่ติดแบบทุกวัน นำทัพพาผมมาทางที่ไม่ใช่ถนนซึ่งมุ่งหน้ากลับคอนโด ทว่าเป็นเส้นทางที่จะไปยังโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมของเรา ก่อนจะขับเลยโรงเรียน แล้วจอดอยู่ตรงสวนสาธารณะใกล้ๆ สถานที่ที่เราชอบมานั่งกันตอนเย็นเพื่อซ้อมกีตาร์ หรือทำการบ้าน



วินาทีแรกที่เท้าเหยียบลงสู่พื้นหญ้าของสวนแห่งนี้ ความทรงจำในวันเด็กถูกเปิดภาพฉายย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ด้วยที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนพิเศษ ระหว่างผมกับเจ้าของรอยยิ้มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อหลายปีก่อนเรามาที่นี่ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง แต่ในวันนี้เรามาในฐานะแฟน



นำทัพพาผมเดินผ่านร้านขายลูกชิ้นเจ้าประจำ แวะซื้อและทักทายคุณป้าที่ยังจำพวกผมได้แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแค่ไหนก็ตาม ถัดไปเป็นร้านช็อกโกแลตปั่นเจ้าประจำที่ผมชอบสั่งแล้วนำทัพชอบแกล้งตักวิปครีมของผมไปกินจนงอนอยู่หลายครั้ง  เมื่อได้ของกินในวัยเด็กตามแบบที่ชอบแล้ว จึงมุ่งหน้าไปสู่ม้านั่งริมน้ำตัวเดิม เดินผ่านคนที่มาออกกำลังกายในยามเย็น เด็กนักเรียนที่มานั่งจับกลุ่มกินขนม



เห็นภาพนั้นแล้วอดยิ้มออกไม่ได้ ...

ความทรงจำที่แสนดี มักจะมีค่าในความรู้สึกของคนจำเสมอ



เรามักจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ระลึกถึงมันอีกครั้ง แม้จะผ่านเวลาล่วงเลยมานานแสนนาน

เหมือนผมกับเขา



“ จำมุมนี้ของเราได้ไหม ”

ทันทีที่นั่งลงตรงม้านั่งตัวเดิม คนข้างตัวก็ถามคำถามขึ้นมาทันที มุมนี้ที่หมายถึงคือมุมโปรดที่เรามาซ้อมกีตาร์ด้วยกัน  ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ อยู่ริมสระน้ำขนาดใหญ่ สวยงามในยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ลมเย็นพัดพาความสดชื่นให้คลายจากความเหนื่อยล้าต่างๆ ที่สะสมไปจนสิ้น ให้ปลิวไปตามสายลม

“ จำได้สิ มึงเคยล่อลวงกูมาที่นี่ ”

“ สมยอมเองไม่ใช่หรือไง ”

“ เออ ”

นำทัพเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบา จนผมต้องส่งหน้ายู่ ๆ กลับไปให้ ไม่รู้สาเหตุใดถึงพาผมแวะมาสถานที่แห่งนี้

“ ทำไมถึงพามาที่นี่ละ ”

“ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมาระลึกความทรงจำนิดหน่อย มึงรู้ไหมตอนที่มึงทิ้งกูไปกูมาที่นี่ทุกวันเลยนะ หวังว่ามึงจะกลับมาสักวัน .. แต่วันนี้กูมีมึงเหมือนเดิมแล้ว ก็เลยอยากจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ”

“ มึงไม่สบายใจเรื่องที่คุยกับคุณท่านใช่ไหม ถึงอยากมาที่นี่ ”

ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลหลักของการพาผมมาที่นี่ แต่เพราะเขาไม่สบายใจมากต่างหากถึงต้องให้ความทรงจำที่ดีในตอนเด็กช่วยบรรเทาความอึดอัดในใจให้ลดลงไป

“ ก็นิดหน่อย กูทะเลาะกับคุณพ่อมา  เพราะกูไม่ยอมเลิกกับมึง ”

“ มึงไหวใช่ไหม ”

“ ไหวดิ .. แค่เห็นมึงยิ้มกูก็ไหวแล้ว ”

ผมดึงคนที่พยายามเข้มแข็งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด นำทัพเกยคางไว้ตรงไหล่ของผม สองมือผมที่สอดวางอยู่ตรงแผ่นหลังกว้างทำหน้าที่ลูบปลอบประโลมให้คนที่เพิ่งเผชิญหน้ากับความบททดสอบที่ยากแสนเข็ญมาให้กลับมารู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง

“ กูจะไม่ยอมให้เราต้องแยกจากกันอีกนะโซล  ขอแค่มึงเชื่อว่ากูทำได้  ”

“ กูเชื่อมั่นในตัวมึงมาก มึงเก่ง มึงทำได้อยู่แล้ว กูเป็นกำลังใจให้นะ ”

“ ขอบคุณนะมึง ”

“ มึงเห็นพระอาทิตย์นั่นไหม .. “

ผมคลายกอดคนที่หมดแรงแล้วดันตัวให้กลับไปนั่งปกติ ชี้นิ้วให้ดูพระอาทิตย์ตรงหน้าที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าหลังจากทำหน้าที่สิ้นสุดของวันนี้แล้ว อีกไม่นานพระจันทร์จะกลับขึ้นมาทำหน้าที่แทน

“ ปัญหาก็เหมือนพระอาทิตย์ มีขึ้นก็มีลง  มีปัญหาเดี๋ยวก็มีทางแก้ปัญหา  พระอาทิตย์ร้อนแรงจนเราแทบจะทนมองดูไม่ไหวก็เหมือนกับปัญหาที่มีแต่จะทำให้เราท้อแท้ แต่อย่าลืมว่าพระอาทิตย์ไม่ได้มีตลอดทั้งวัน ไม่นานพระจันทร์ที่เยือกเย็นจะเข้ามาแทนที่ ”

“ เข้าใจแล้ว ”

“ ดีมาก ”



เราสองคนนั่งจับมือมองพรระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าของวันไป ... จวบจนกระทั่งพระจันทร์ขึ้นมาทำงานแทนที่

ความร้อนในความกลางวันคลายสิ้นแล้วเหลือแต่ความเย็นสบายเข้ามาแทนที่



เปรียบดั่งปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ถาวร มีเกิดได้ก็มีจบได้เช่นกัน

อยู่ที่เราจะเลือกเผชิญหน้าหรือหนีมันเพียงเท่านั้น



แต่สำหรับเราสองคน ตอนนี้แม้จะกำลังเผชิญกับความร้อนแรงของพระอาทิตย์

แต่เชื่อสิ ว่าอีกไม่นานพระจันทร์ของเราจะต้องส่องสว่างขึ้นมาแทนที่อย่างแน่นอน



แค่เรามีกันและกัน

และแค่เรา เคียงข้างกันไปแบบนี้ !!!


---------

Talk :: มาถึงตรงนี้เราอยากให้เห็นว่า ทุกความรักมักจะมีบททดสอบเข้ามาเสมอ ไม่มีรักใดที่ราบรื่นเสมอไป  เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ฝ่าฟันอุปสรรคกันด้วยนะครับ 

        :: ขอกำลังใจให้น้องโซลกับพี่นำทัพด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

 :katai4: :katai2-1: :hao5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
36

เผชิญหน้ากับคุณท่าน


หลังจากลงไปส่งนำทัพที่ลานจอดรถแล้ว ผมก็กลับมานั่งประจำที่ ทำรายงานอยู่บนโซฟา พร้อมกับเปิดเพลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ  วันนี้ผมไม่มีเรียน ส่วนนำทัพมีเรียนเรียนเช้า และจะแวะกลับมากินข้าวเที่ยงกับผมก่อน   เพราะช่วงบ่ายมีนัดทำรายงานกับเพื่อต่อ คนตัวสูงตั้งท่าจะไม่ยอมไปทำรายงานในตอนบ่ายลูกเดียว บอกแค่ว่าอยากกลับมาหาผม



เรื่องอื่นผมตามใจได้ แต่เรื่องเรียนไม่ตามใจเด็ดขาด  ...



เมื่อเห็นว่า พยายามมากแค่ไหนผมก็ไม่มีทางยอม นำทัพจึงต้องจำใจไปทำรายงานกับกลุ่มเพื่อน ถึงอย่างนั้นก็ไม่หยุดที่จะโทรมาหาผม ตั้งแต่ขึ้นรถ ขับออกจากคอนโด กระทั่งถึงห้องเรียน



ตั้งแต่กลับมาจากบ้านคุณท่าน นำทัพพยายามปกปิดความกังวล ความเครียดที่มีอยู่ด้วยการพาผมไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง ใช้ชีวิตอยู่กับผมมากขึ้น จนแทบไม่ได้กลับคอนโดของตัวเอง  เรื่องที่นำทัพเจอมาคงยากที่จะทำใจยอมรับได้ ต่อให้แกร่งขนาดไหนก็ตาม มนุษย์เรา ย่อมมีจุดอ่อนแอด้วยกันทั้งสิ้น



พออยู่คนเดียวผมก็เริ่มคิดว่าจะทำยังไงต่อกับเรื่องวุ่นวาย แสนยากที่เกิดขึ้นนี้ดี ทุกอย่างเหมือนกำลังบีบรัดให้พวกเรา เดินไปอย่างหน้าต่อไม่ได้ ด้วยจุดหมายเป็นทางตัน ให้ก้าวเดินต่อไปไม่ได้ 



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



ผมวางปากกาที่ถืออยู่ในมือ พร้อมความคิดสับสนลง ลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้าไปมองประตูโดยอัตโนมัติ เสียงเคาะประตูไม่ได้ดังขึ้นอีก แต่ผมคิดว่าคนเคาะน่าจะยังอยู่หน้าห้อง  หลังจากส่งดูแล้วก็พบว่าคนที่มาเคาะประตู แทนการกดกริ่ง เป็นการ์ดบ้านคุณท่าน คนที่คุยกับนำทัพวันนั้น จึงรีบเปิดประตูแล้วยิ้มทักทายให้ตามมารยาท

“ สวัสดีครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ ”

“ มีคนอยากคุณกับคุณครับ  ”

ชายชุดสูทสีดำพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะขยับตัวถอยออกไปก่อน .. และนั่นทำให้ผมได้เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง คนที่หน้าตาคล้ายนำทัพคนนั้น



“ สวัสดีครับคุณท่าน”

ผมรีบยกมือไหว้คนตรงหน้า ริมฝีปากเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยแก้ความเกร็งที่มีอยู่ในตัว ใครจะคิดว่าคุณท่านจะมายืนอยู่ตรงนี้ เวลานี้ ...ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวใดๆ



ถึงแม้จะเคยบอกไปก็ตามว่า .. ผมพร้อมจะคุยกับท่าน

คุณพ่อของนำทัพ เดินเข้าไปด้านในห้องโดยไม่พูดหรือตอบอะไรสักคำ เดินเข้ามาตามลำพัง โดยให้คนติดตามรออยู่ด้านนอก เดาได้ไม่ยากว่าคงอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว จึงรีบปิดประตูแล้วไปยังส่วนของครัว รินน้ำดื่มใส่แก้ว แล้วยกไปที่โซฟา



ยังคงยืนยันคำเดิมว่า เหมือนนำทัพมาก แม้กระทั่งท่านั่ง ...



“ รู้ใช่ไหม ว่าฉันมาที่นี่จะมาพูดเรื่องอะไร ”

คุณท่านพูดด้วยหน้าตานิ่ง เรียบเฉยไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ อื่นนอกเหนือจากนั้น

“ ทราบครับ ”

“ รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วคบกันนานแค่ไหนแล้ว ”

“ เรารู้จักกันตอนมอต้นครับ หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างหายไปจากกันและกัน กลับมาเจอกันอีกทีก็ตอนปีหนึ่งเพราะเรียนที่เดียวกัน  ส่วนเรืองคบกัน เพิ่งตกลงเป็นแฟนกันได้ไม่นานครับ”

“ เธอจะอยู่ได้ใช่ไหม ถ้านำทัพต้องไปจากที่นี่ ฉันหมายถึง ถ้าต้องแยกกัน เพราะฉันจะส่งมันไปเรียนต่อที่อเมริกา”



นั่งนิ่งกับคำถามที่ยิงกระหน่ำมาอย่างรวดเร็ว จนตั้งสติตอบแทบไม่ทัน โดยเฉพาะคำถามสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของคุณท่าน  ด้วยสีหน้าคงเดิมไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกพอใจหรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย



ใบหน้า คำพูด ท่าที ดูซับซ้อนเกินนกว่าจะเดาความคิดได้ ...



แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหา ในเมื่อผมเองก็ไม่ใช่เด็กแบบที่ท่านคิดอยู่แล้ว

ความชัดเจนของผม เคยเอาชนะความซับซ้อนลูกชายของท่านได้แล้ว

คราวนี้ก็ต้องชนะผู้เป็นพ่อได้ด้วยเช่นกัน ...



“ วิธีที่ท่านพูด คงใช้ไม่ได้ผลกับผมหรอกครับ ”

ลอบเห็นว่าสายตาของคนอาวุโสกว่าเลิกคิ้วเหมือนจะถาม แต่ก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น

“ ตลอดเวลาสามปีที่ผมหายไปจากชีวิตของลูกชายท่าน ผมไม่เคยเปลี่ยนไปใจจากเขาได้เลย และถ้าครั้งนี้มันจะต้องเกิดขึ้นอีก ผมมั่นใจว่าผมมั่นคงของผม จะทำให้ผมฝ่าฟันอุปสรรคที่ท่านสร้างขึ้นมาได้ครับ ระยะทาง เวลา ไม่ใช่เรื่องยาก หากหัวใจของคนสองคน ยังเกาะกุมไว้ซึ่งกันและกัน ”

“ มั่นใจหรอ ว่าแค่ความรักเท่านั้นที่เพียงพอ .. สำหรับเธออาจจะใช่ แต่สำหรับลูกชายฉันมันไม่ใช่ ”

“  แล้วอะไรคือสิ่งที่ใช่หรอครับ ”

“  ความเหมาะสมไง ฉันมีลูกชายคนเดียว นำทัพคือทุกอย่างของตระกูล เขาต้องสานต่อธุรกิจที่ฉันก่อตั้งเอาไว้ และ ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสม ”

“ แล้วการที่นำทัพคบผู้ชาย เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่คุณท่านอยากให้ทำได้หรอครับ ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอุปสรรคใดที่จะทำให้เขา ทำในสิ่งที่คุณท่านเตรียมไว้ให้  ”

ผมแอบยิ้มเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เรียบเฉยนั้น เริ่มมีความไม่พอใจเกิดขึ้นเล็กน้อย คงพูดกระตุ้นจุดสำคัญถึงได้หลุดออกมาแบบนั้น ...



“ ในเมื่อพูดกันดีดีไม่ได้ ฉันก็จะลงมือขั้นเด็ดขาด .... ”

ผมนิ่งรอให้ฝั่งคุณท่าน เฉลยสิ่งที่เตรียมมาให้หมดก่อน

“ ฉันจะทำทุกอย่างให้เธอกับลูกชายฉันเลิกกัน ถ้าพูดกันด้วยเหตุผลไม่เข้าใจ อย่ามาว่าฉันใจดำที่หลังแล้วกัน”

“ คุณท่านรู้จักผมดีแค่ไหนครับ ”

ผมถือวิสาสะไม่ตอบคำถามนั้น แต่เปลี่ยนเป็นตั้งคำถามกลับไปแทน ใบหน้าของคุณท่านฉายแววไม่พอใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยิ่งโกรธก็ยิ่งเหมือนลูกชาย ความซับซ้อนที่มียังไงก็ต้องพ่ายให้กับความชัดเจนอยู่ดี

“ ก็พอรู้มา ว่าเธอเป็นคนตั้งใจเรียน เก่ง พ่อแม่เสียแล้ว ต้องดูแลตัวเอง ”

“ แล้วนอกเหนือจากนั้นละครับ ท่านทราบอะไรอีกหรือเปล่าครับ ..”

ผมสบสายตาคุณท่านซึ่งกำลังทำหน้าแปลกใจ กับการกระทำและท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม

“ ทำไมฉันต้องรู้ ”

“ คุณท่านยังไม่รู้จักผมเลย ว่าผมเป็นคนแบบไหน นิสัยใจคอยังไง คุณท่านยังไม่สามารถตัดสินผมได้ครับ ... มนุษย์เราไม่ควรมองที่เปลือกนอก โดยปราศจากการสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ภายใน เพียงแค่ท่านให้โอกาสผม ท่านจะทราบว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า รักและปรารถนาดีกับลูกชายของท่านมากแค่ไหน ”

“ ///// ”

“ ผมเคยมีครอบครัว ทราบดีว่าคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ ต้องการให้ลูกพบเจอแต่สิ่งที่ดี แต่สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกของตนเองมีความสุข  คุณท่านเป็นคนที่น่านับถือ และ หวงแหนลูกชายกว่าสิ่งอื่นใด ผมมั่นใจว่าหากท่านจะต้องเลือกสิ่งใดให้กับลูกชายของท่าน .... สิ่งนั้นต้องทำให้เขามีความสุข เพราะนั่นจะเป็นสิ่งที่อยู่กับเขาไปตลอดชั่วทั้งชีวิต ”

“ เธอกล้ากว่าที่ฉันคิดไว้มากนะ ”

คุณท่านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ราบเรียบ แต่ผมกลับรู้สึกดีใจ .. ที่อย่างน้อยเหมือนกับท่านกำลังให้โอกาสผมได้พูดในสิ่งที่คิด อย่างตั้งใจฟัง



ทั้งพ่อ ทั้งลูก ... ต้องเจรจาทุกอย่างด้วยเหตุผลสินะ



“ และก่อนที่ท่านจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ผมมีบางสิ่งที่อยากให้ท่านทราบ เพื่อประกอบการตัดสินใจอีกครั้งครับ”

ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยยู่บนโต๊ะ ปลดล็อคแล้วหาบางอย่างที่เก็บไว้ภายใน ส่งให้คุณท่าน ใบหน้าที่เคยเรียบร้อย เปลี่ยนเป็นแดงจัด สายตากร้าวชัดด้วยความโกรธที่พุ่งขึ้นสูง

“ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะแสดงให้ท่านเห็นว่าผมเป็นคนยังไง รักลูกชายของท่านมากแค่ไหน ”

คุณท่านวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เบาลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลานี้ ... หันมามองผมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม

“ ผมจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนจบ ... แล้วหลังจากนั้นหากคุณท่านยังคงตัดสินใจแบบเดิมผมก็คงต้องยอมรับมัน”

สิ่งผมพูดตรงข้ามกับความคาดหวังของผม ด้วยเพราะประเมินคนที่อยู่ตรงหน้ากับท่าทีที่อ่อนลงมาแล้วหลังจากเจรจากันมาได้สักพัก ผมมั่นใจว่าหากผมทำเรื่องนี้สำเร็จ



ความรู้สึกของคุณท่านที่มีต่อผมจะเปลี่ยนไป ....



“ นี่เบอร์ของฉัน .. มีอะไรให้ช่วยก็บอก แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันยอมรับเธอนะ .. ก็แค่ให้เบอร์เท่านั้น”

ผมยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม  เผลอส่งยิ้มแบบที่เคยมีให้พ่อของตัวเองออกไป รู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่ท่านมอบโอกาสนี้ให้กับคนอย่างผมเพื่อพิสูจน์ตัวเอง  และถึงแม้ท่านจะปากแข็งแต่ผมก็พอทราบ ว่าถึงอย่างไรหากเรื่องนี้มันลุกลามบานปลาย ท่านจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในทันที

“ ผมไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างคุณท่านกับนำทัพ มีปัญหาอะไรกัน แต่นำทัพรักท่านมากนะครับ ถึงแม้จะดื้อกับท่านไปบ้างก็ตาม ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ตามกำลัง ผมยินดีนะครับ ”

แม้เขาไม่เคยพูดถึงคุณท่านให้ผมฟังเลย แต่นำทัพไม่เคยพุดถึงคนเป็นพ่อในแง่ร้าย เพียงแค่คงยังมีบางสิ่งที่ฝังใจจึงทำให้เขาไม่สนิทใจเหมือนเดิม ที่จะกลับไปเป็นอย่างเก่า .. แต่ถึงอย่างไรสายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด

“ถึงเขาจะโกรธฉันก็เข้าใจ .. ฉันเป็นพ่อที่ไม่ดีเอง แต่ยังไงก็ขอบใจเธอมากที่คิดจะช่วย ”

น้ำเสียงของคุณท่านต่างจากครั้งแรกที่เจอกันมาก ความอบอุ่นนุ่มนวลที่ซ่อนมากับเสียงที่ดุดันนั้น ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะต่อสู้ได้อีกมาก



จ๊อกกกกกก   เสียงท้องผมร้องดังขึ้น ขัดจังหวะสนทนาอย่างเสียมารยาท



“ หิวหรอ ”

“นิดนึงครับ ตั้งแต่เช้ากินแค่นมกับขนมปัง”

คุณท่าน ส่งยิ้มแล้วส่ายหัวเล็กน้อย พลางมองนาฬิกาที่อยู่ในมือ  นั่งทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ จะเที่ยงแล้ว ก็คงหิวสินะ ฉันจะอยู่กินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ ”

“ แต่ผมทำกับข้าวไม่เป็นนะครับ ”

“ แต่ฉันทำเป็น ... อยากกินอะไรละ”

“ จะดีหรอครับคุณท่าน ... เอาเป็นไข่เจียวกุ้งก็ได้ครับ นำทัพชอบทำให้ผมทาน ”

ประโยคที่เอ่ยออกมา ช่างย้อนแย้งกันเหลือเกิน ตอนแรกก็อยากปฏิเสธ แต่ความหิวมันครอบงำ ประกอบกับอยากรู้ว่าคุณท่านจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกลับมา



สิ่งที่ได้คือท่านลุกขึ้นจากโซฟา แล้วตรงไปที่ครัว....



“ หุงข้าวเป็นมั้ยเรา”

“ พอทำได้ครับ นำทัพเคยสอน ”

คุณท่านพยักหน้าเป็นอันรับทราบ ผมจึงเดินไปหุงข้าว ส่วนคนอาวุโสกว่าก็ลงมือทำไข่เจียวกุ้งในด้วยท่าทีที่คล่องแคล่ว ไม่น่าเชื่อว่านักธุรกิจพันล้านจะมาทำข้าวไข่เจียวให้ผมกิน เป็นบุญปากบุญท้องผมจริงๆ  ไม่นานนักข้าวที่หุงก็สุก พร้อมกับไข่เจียวสีเหลืองหอมชวนให้รับประทาน คุณท่านตักข้าวแล้ววางไข่เจียวลงไป



หน้าตาเหมือนกับที่นำทัพทำให้ผมทานเลย ...



“ นั่งมองอะไร ทำไมไม่กิน ไหนบอกว่าหิว ”

“ ผมมองว่าทำไม หน้าตามันเหมือนกับที่นำทัพทำให้ผมทานเลยครับ”

“ ก็ฉันเป็นคนสอนให้มันทำเอง จะไม่เหมือนได้ยังไง ”

ที่แท้คนสอนทำอาหาร ไม่ใช่คุณแม่ แต่เป็นคุณพ่อแบบนั้นสินะ แสดงว่าเมื่อก่อน นำทัพต้องสนิทกับคุณท่านมาก ถึงขนาดมีเวลาสอนทำอาหารแบบนี้ อย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่พ่อกับลูกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ..

“ อร่อยมากเลยครับท่าน”

“ อร่อยก็กินเยอะๆ ”

“ ขอบคุณครับ ”





เคร๊กกกกกกกก ....





เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของห้องในท่าทีดูรีบเกินปกติ โยนกระเป๋าลงพื้นแล้วพาตัวเองเข้ามายังโต๊ะอาหารที่ผมกับคุณท่านนั่งอยู่  นำทัพมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่พอใจ สลับกับหน้าผมอยู่นาน

“ พ่อมาที่นี่ทำไม จะมาหาเรื่องกันหรอ ”

“ ฉันมาคุยธุระ ไม่ได้มาหาเรื่อง ”

“ พ่อกลับไปเลย ”

นำทัพทำตัวไม่น่ารักกับคุณท่านเลย จนผมต้องตีไปที่เอวของคนตัวสูงซึ่งยืนอยู่ให้หยุดการกระทำนั้นลง ส่วนผู้เป็นพ่อได้แต่ยิ้มบาง กับภาพที่เห็นตรงหน้า โดยไม่ได้ถือสาอะไร

“ มึงเงียบเลย คุณท่านมาคุยธุระ ไม่ได้มีอะไรอย่าเสียมารยาท กับพ่อตัวเอง ”

“ ไม่เชื่อ คุณพ่อจะมาขู่โซล จะมาแยกโซลให้ไปจากผมใช่ไหมครับ ผมไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม ..”

โวยวายดังลั่นทั่วห้องเหมือนเด็กที่กลับมาจากโรงเรียนแล้วพบว่าขนมในตู้หายไปแบบนั้น

 “ ผมยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ยอม ถ้าพ่อยังไม่เลิกวุ่นวายกับผม ผมจะพาโซลหนีไปที่อื่น พ่อจะไม่ได้เห็นหน้าผมอีกตลอดชีวิต”

เห็นท่าไม่ดีผมจึงลุกขึ้น ลากแขนนำทัพให้ออกมาจากห้องรับแขก สู่บริเวณระเบียง จะได้สงบจิต สงบใจลงก่อน

นำทัพตั้งท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง



ทว่าถูกผมดึงหูเอาไว้ได้ทัน....



“ โอ๊ยยยย กูเจ็บ ”

“ เงียบ .. แล้วฟังอย่างเดียว อย่าโวยวายไม่อย่างนั้นคืนนี้กูจะกลับไปนอนคอนโด ”

วิธีนี้ได้ผลชะงัก คนที่กำลังจะตั้งท่าโวยวาย หยุดในทันทีที่จะเตรียมอ้าปาก นำทัพกลับไปสงบนิ่งยืนกุมมือของผมเอาไว้  เหนื่อยโคตรกว่าจะปราบความป่วนได้ในแต่ละครั้ง

“ คุณท่านมาคุยแบบสันติวิธี เราคุยกันด้วยเหตุผล คุยกันแบบผู้ใหญ่ ”

“ จริงหรอ ”

“ มึงเหมือนคุณท่านมาก .. คุณท่านก็เหมือนมึงมาก  น่าจะพอเดาใจฝั่งตรงข้ามออกนะ ”

นำทัพเบาลงมาก เหมือนจะคิดได้ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง คุณท่านไม่ได้ตั้งใจจะขู่ผม แต่คงต้องการวัดใจก็เท่านั้น คนระดับท่านไม่มีทางที่จะทำร้ายลูกชายคนเดียวของตนเองเป็นแน่ มองแค่สายตาเวลาพูดถึงนำทัพก็พอจะรู้ ว่ารักมากแค่ไหน 

“ มึงควรมีสติ คุยกับพ่อให้เพราะหน่อย มึงโชคดีมากนะที่ยังมีพ่อ มึงดูกูสิ ไม่มีใครเลย  ”

“ มีกูไง ”

บางทีก็อยากตีปากคนชอบนอกเรื่อง นอกประเด็น .. มันใช่เวลาจะมาหวานไหมละ

“ กูไม่รู้หรอกนะ ว่าระหว่างมึงกับพ่อ มีปัญหาอะไรกัน แต่มึงช่วยเปิดใจหน่อยได้ไหม อะไรที่เป็นเหตุให้ต้องบาดหมางใจกัน ก็แก้ที่ตรงนั้นสิ ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวเป็นพันปีนะ เราต้องทำมันให้มีความสุข”

“ /// ”

“มึงลองเปิดใจนะ อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เราคงกลับไปแก้ไขมันไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ แต่มึงต้องมองให้ลึกลงไป ว่ามันเป็นยังไง อย่าใช้แต่อารมณ์กับความโกรธจนลืมมองหาเหตุผล ... เหตุผลที่มนุษย์ทุกคนย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น”

หากเขาลองเปิดใจอีกสักหน่อย โดยปราศจากความอคติ นำทัพจะเจอว่าแท้จริงแล้ว พ่อแม่ของเขาไม่ได้เลิกรากันด้วยปัญหาอื่นเลย นอกจาก ...พวกท่านไม่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ได้แล้ว แต่นั่นไม่ได้แปลว่า ความเป็นพ่อ เป็นแม่จะสิ้นสุดลงตามสถานะ หรือ เอกสารใบหย่า



หากเขาตั้งใจค้นหาความจริง นำทัพจะพบว่า

ความรักของพ่อ และ แม่ ยังอยู่เสมอ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย



“ กูจะพยายาม ”

“มึงมองเข้าไปในห้องสิ เห็นอะไรไหม ”



นำทัพ มองเข้าไปในห้อง ที่คุณท่านนั่งอยู่ พร้อมข้าวไข่เจียวสามจาน

ของคุณท่าน ... ของผม

และของนำทัพ



“ คุณท่านทำไว้รอมึง เพราะกูบอกว่ามึงจะกลับมากินข้าวเที่ยง  คนที่มึงกำลังโกรธเค้ารักมึงมากนะ ”

เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงมากหลังจากเห็นภาพที่อยู่ในห้อง สายตาของนำทัพบ่งบอกถึงความคิดถึงอย่างเต็มหัวใจ ผมจึงพานำทัพ กลับมายังโต๊ะกินข้าว จัดแจงให้คนตัวสูงนั่งข้างผู้เป็นพ่อ โดยมีผมนั่งข้างๆ คอยประกบ เผื่อแผลงฤทธิ์ จะได้บิดหูโชว์คุณท่าน



นำทัพมองข้าวไข่เจียวในจานอยู่นาน สลับกับมองหน้าผม จับมือของคนนั่งข้างที่อยู่ใต้โต๊ะให้ทำตามความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้น

“ ขอบคุณนะครับพ่อ ”

คุณท่านทำท่าราวกับตกใจในสิ่งที่ลูกชายพูดออกมา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างเอ็นดูแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนส่งให้นำทัพ ความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่ไม่ได้ดูแลลูกมานานคงเกาะกุมหัวใจของคุณท่านตลอดหลายปี

“ กินเยอะๆ นะลูก ”

“ ครับพ่อ ”



คุณท่านเหลือบสายตามามองที่ผม  ส่งยิ้มมาให้เป็นเชิงของบคุณกับสิ่งที่ผมได้ทำให้ แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้ลงมือทำอะไรแม้แต่น้อย เพราะนั้นเป็นความรู้สึกในส่วนลึกของพ่อกับลูกที่ยังคงคำนึงหากันและกันเสมอมา



แต่นั่นก็ทำให้ผมดีใจ ที่ได้เห็นนำทัพของผมมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่เขารักมากที่สุดในชีวิต

การเริ่มต้นแก้ปมในใจของเขา เพื่อให้กลับมาดีในเร็ววัน คงเริ่มจากตรงนี้



อีกไม่นานทุกอย่างต้องกลับมาดีดังเดิม ...



นำทัพตักข้าวไข่เจียวเข้าปาก พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งไปให้ผู้เป็นบิดา ใช่ว่าความรู้สึกผิดจะอยู่กับคุณท่านเพียงฝ่ายเดียวเสียที่ไหน



นำทัพเองก็คงไม่ต่างกัน ....



---------

Talk :: อยากกินไข่นำทัพ .. เอ๊ย ไม่ใช่ไข่เจียวของนำทัพ !!
 :katai2-1: :katai4: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:
ถ้าได้กิน อย่าลืมถ่ายรูปโพสอวดก่อนกินด้วยนะ ไข่นำทัพ เอ๊ยไข่เจียวนำทัพ อิอิ
 :hao6:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
37

หัวใจนำทัพ ( Special Part 3 )



ตอนเด็กผมคิดเสมอว่าตัวเองโชคดีที่เติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์...



มีคุณพ่อ คุณแม่ ที่รักและเอาใจใส่ผม มองไปทางไหนก็เพียบพร้อมไปด้วยชื่อเสียง เงินทอง คนดูแล และหน้าตาในสังคม จนหลายคนต่างพากันอิจฉา

และคิดโดยตลอดว่านั่น คือสิ่งที่เรียกว่าความสุข ....



“ นำทัพพ่อจะสอนทำไข่เจียวกุ้งให้สนใจมั้ย”

“ สนใจครับพ่อ ”

“  เอาไว้ทำให้คนที่ทัพรักทานนะลูก”

“ ครับผม ”



พ่อผมเป็นนักธุรกิจชื่อดังของประเทศ ในแต่ละวันของพ่อหมดไปกับการทำงานอย่างหนัก แต่ก็มีเวลาให้ผมเสมอ แม้จะงานยุ่งมากแค่ไหนก็ตาม เราสองคนมีกิจกรรมทำร่วมกันมากมาย .. ผมสนิทกับพ่อมาก ตัวติดกันตลอด แม้กระทั่งตอนนอนผมก็ไม่เคยให้พ่อห่างจากตัว



“ ทัพรักพ่อนะครับ ”

“ พ่อก็รักทัพเหมือนกัน ”

“ ลูกอยากรู้ไหม ว่าทำไมตัวเองถึงชื่อนำทัพ”

“ ครับ ”

“ พ่อลูกเป็นทุกอย่างของพ่อกับแม่ .. เป็นผู้นำคนเดียวของบ้าน ... ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น นำทัพต้องเข้มแข็งนะลูก ”



ผมยังจำประโยคนั้นที่เอ่ยออกมา กับแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยได้ดี ...แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อหมายถึงด้วยยังเด็กเกินกว่าจะรับรู้ถึงสิ่งที่พ่อสื่อ



แต่ผมก็ไม่เคยลืมคำพูดนั้นเลย .. จวบจนทุกวันนี้



ส่วนคุณแม่ แม้จะเป็นสาวสังคม แต่ก็คอยหาเวลามาดูแลผมเช่นกัน คุณแม่เป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ดูแลผมกับคุณพ่อเป็นอย่างดี คุณแม่มักจะสอนผมให้อดทน ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง และให้โอกาสตัวเองอยู่เสมอ



“ ลูกชายแม่เล่นกีต้าร์เพราะมากครับ  ”

“ ผมจะฝึกไว้ .. ร้องให้คุณแม่ในวันเกิดนะครับ ”



ผมเรียนกีตาร์ตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่าจะเล่นให้คุณพ่อ คุณแม่ฟังในงานวันเกิดที่จะถึงในเดือนหน้า ..



เมื่อความรักของคนสองคนมาถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ ...



“ ผมว่าเราหย่ากันเถอะ .. อยู่ต่อไปแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างไม่มีความสุข ”

“ แต่ลูกยังเด็ก .. รอให้แกโตกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้หรือไง ”

“ นำทัพโตมากพอที่จะเข้าใจว่าพ่อกับแม่ ไม่ได้รักกันแล้ว .. ”

“ แต่ฉันสงสารลูก ”

“ ถึงเวลาแล้วที่นำทัพจะต้องรู้ความจริงสักที ”



ผมตั้งใจจะเอารูปวาดครอบครัวที่ชนะการประกวดไปอวดคุณพ่อกับคุณแม่ แต่ทว่าต้องชะงักอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อได้ยินทั้งสองคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง  ‘ หย่า ’



ผมไม่เข้าใจว่า การหย่าคืออะไร .. แต่ที่ผมเข้าใจคือ คุณแม่กับคุณแม่ไม่ได้รักกันแล้ว

และทั้งคู่ .. กำลังจะแยกจากกัน



โดยไม่สนใจเลยว่าผมจะรู้สึกยังไง





ไม่นานคุณพ่อ คุณแม่ก็หย่าร้างกัน .. ผมยังจำวันนั้นได้ วันที่คุณแม่เก็บของออกไปจากบ้าน พร้อมกับคำลาที่ผมไม่อยากจะรับฟัง



“ คนเก่งของแม่ .. เป็นเด็กดีนะลูก แล้วแม่จะกลับมาหาบ่อยๆ ”

“ คุณแม่จะไปไหนครับ ทำไมไม่พาทัพไปด้วย ”

“ คุณแม่จะไปอยู่เมืองนอกครับ .. นำทัพอยู่กับคุณพ่อนะครับ ”

“ ไม่ไปได้ไหมครับคุณแม่ .. ทัพคิดถึง ”



อ้อมกอดอุ่นของคุณแม่ แทนคำตอบว่าท่านไม่สามารถฝืนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก คุณแม่ไม่ร้องไห้หรือแสดงท่าทีว่าเสียใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย ท่านยิ้มกว้างให้ผมกับลูบหัวอย่างเบามือ ก่อนจะไล้มาที่ขอบตาฉ่ำคราบน้ำตาของผม

ผมยืนร้องไห้ในอ้อมกอดของคุณแม่แบบนั้น เนิ่นนาน .. จนไม่อยากให้ถึงเวลาที่ต้องปล่อย



ทว่าบางทีกฎของเวลา มักจะไม่สนใจฟังความรู้สึกของมนุษย์เท่าไหร่ ..

เมื่อคุณแม่คลายกอดผมออกอย่างช้าๆ แล้วเดินจากไปขึ้นรถคันหรูที่จอดอยู่หน้าบ้าน



แล้วหายไป ... พร้อมกับความสุขของผมที่หมดลงไปด้วยเช่นกัน



เมื่อผมโตขึ้น .. ผมจึงได้รู้ว่า



การที่คนแต่งงานกัน หรืออยู่ด้วยกัน ใช่ว่าจะด้วยเหตุผลเกี่ยวข้องกับคำว่ารัก เสมอไป .. ทว่าในความเป็นจริงแล้ง มีเหตุอีกมากมาย ที่ทำให้หลายคู่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน



เช่น... ความเหมาะสมทางสังคม

เหมือนคุณพ่อ คุณแม่ของผม



ท่านทั้งสองคนแต่งงานกัน ด้วยความเหมาะสมทางธุรกิจและความเห็นสมควรของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่ตกลงกัน โดยไม่ได้ปรึกษาหรือถามความสมัครใจของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย หวังเพียงแค่เงินต่อเงิน .. นามสกุลต่อนามสกุล



ความเท่าเทียม.. และคู่ควรเท่านั้นที่ปรารถนา



หวังว่าความใกล้ชิดจะทำให้ก่อเกิดความรักกันได้ในเร็ววัน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เมื่อทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างพยายามปรับ แก้ไข ลองเปิดใจให้กันและกันอย่างสุดความสามารถแล้ว ใช้เวลาผ่านไปนานหลายปี

จนกระทั่งมีลูก ... ความรักที่ตั้งใจให้เกิดขึ้น ก็ยิ่งห่างไกลลงไปทุกที



จนกระทั่งต้องเลิกรากันไปในที่สุด



คุณแม่เลือกที่จะไปอยู่อเมริกา ไปทำธุรกิจที่นั่น เพราะคุณแม่เติบโตมาจากเมืองนอก ส่วนคุณพ่อยังคงทำธุรกิจอยู่ที่เมืองไทยตามเดิม  ทุกอย่างได้แปรเปลี่ยนไปสิ้น หลังจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลง



รวมถึงความรู้สึกภายในใจของผมด้วย !!!



ผมโกรธคุณพ่อที่ไม่รั้งคุณแม่ไว้ .. คุณพ่อไม่พยายามที่จะรักษาครอบครัวเอาไว้ เหมือนคุณพ่อไม่รักคุณแม่เลยแม้แต่น้อย หลังจากที่คุณแม่ไป ผมก็ไม่ค่อยคุยกับคุณพ่อเหมือนกัน ส่วนท่านเองก็ทำงานหนักมากยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เราเคยมี นับวันยิ่งเหินห่างลงไปทุกขณะชั่วโมงที่พ้นผ่าน



จนกลายเป็นความห่างเหินไปในเวลาต่อมา ...





ผมจำได้ดี วันที่คุณพ่อมีครอบครัวใหม่



ตอนนี้นั้นผมกำลังจะขึ้นมอหนึ่ง ... คุณพ่อพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้าน เธอเป็นผู้หญิงที่สวย และ เด็กกว่าคุณแม่ผมหลายปี ที่สำคัญเธอมีลูกติดมาด้วยหนึ่งคน เด็กผู้ชายคนนั้นอายุห่างจากผม สี่ปี   วินาทีแรกที่พบหน้ากัน ผมไม่ชอบหน้าพวกเขาในทันที ...



จากเดิมที่ไม่พอใจคุณพ่ออยู่แล้ว .. ความรู้สึกนั้นกลับเพิ่มหนักมากขึ้นกว่าเดิม

คุณพ่อทิ้งคุณแม่ เพื่อไปมีผู้หญิงคนใหม่ .. ผมเกลียดคุณพ่อ



ผู้หญิงของคุณพ่อชื่อว่า พิมพ์อัปสร ส่วนลูกชายชื่อภูษิต .. ทั้งคู่พยายามทำดีกับผม แต่เปล่าประโยชน์ผมกลับแสดงออกด้วยท่าทีที่รำราญ และไม่พอใจทุกครั้งที่คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ .. พวกเขาเข้ามาเพื่อจะแย่งทุกอย่างไปจากผม



นานวันเข้าผมก็ทะเลากับคุณพ่อเรื่องที่ผมทำตัวไม่น่ารักกับครอบครัวใหม่ของเขา ผมมักจะชกต่อยกับไอ้ภูเป็นประจำในทุกครั้งที่มันเข้ามาใกล้ .. ปกติผมไม่ชอบใช้กำลังแต่กับคนพวกนี้ เป็นข้อยกเว้น



“ ถ้าแกยังทำตัวมีปัญหาอีก ฉันจะส่งแกไปอยู่กับแม่ที่อเมริกา ”

“ คุณพ่อทำได้เลยครับ .. ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน ”

“ แกอย่ามาท้าฉันนะ เจ้าทัพ ”

“ ผมไม่ได้ท้า .. คุณพ่อน่าจะทราบว่าคนอย่างผม ... พูดจริงทำจริง “



ผมเกลียดไอ้ภูจนเข้าไส้ มันพยายามจะเอาใจคุณพ่อทุกอย่าง ชอบพูดให้ร้ายผมจนคุณพ่อตำหนิผมบ่อยๆ ประจบประแจงเป็นที่หนึ่ง จนนานวันเข้า มันก็กลายเป็นคนโปรดของคุณพ่อ .. และคุณพ่อก็เหมือนจะฟังทุกอย่างที่มันพูด .. มากกว่าลูกแท้ๆ อย่างผมเสียอีก



“ ในเมื่อกูทำดีกับมึง แล้วมึงไม่ดีตอบ .. กูก็จะแย่งทุกอย่างที่เป็นของมึงมาให้หมด ”

“ มึงอยากทำอะไรก็เชิญ  พวกเห็บ พวกปลิง ”

“ ไอ้ทัพ ”

“ ไอ้ภู ”





ผมตัดสินใจย้ายออกมาอยู่ข้างนอก โดยบอกให้คุณแม่ทราบ ..



ท่านไม่ได้ว่าอะไร แถมยังให้คนจัดการซื้อคอนโดให้ผมอีกต่างหาก คุณแม่คงเห็นว่าหากปล่อยให้ผมอยู่ที่บ้าน สภาพจิตของผมคงจะแย่ในสักวัน เพราะต้องมีเรื่องกับคนพวกนั้นไม่เว้นแต่ละวัน



ส่วนคุณพ่อไม่ได้ห้ามหรือสนใจผมเลยในวันที่ผมลากกระเป๋าออกมาจากบ้าน ท่านเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์จนผมขึ้นรถออกมา ... แม้แต่คำพูดสักคำหรือรอยยิ้มสักเพียงน้อยก็ไม่มี



นั่นไม่ใช่คุณพ่อคนเดิมของผมอีกแล้ว ..

เขาคือคุณท่าน .... อย่างที่ใครๆ เรียก



การใช้ชีวิตคนเดียวตามลำพัง เป็นความสุขที่ผมสัมผัสได้ ไม่ต้องไปอยู่ในความอดดันหรือแย่งชิงกับใคร แม้จะเหงาไปบ้าง เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ก็สุขใจ



ทุกครั้งที่เหงาผมจะโทรคุยกับคุณแม่ พอให้หัวใจได้อุ่นขึ้นมาบ้าง ...

เรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของคนที่ผมแอบชอบ



เกี่ยวกับโซลทั้งนั้น !!!



หลายปีผ่านไปที่ผมใช้ชีวิตตามลำพัง ความโดดเดี่ยวมันสอนให้ผมโตขึ้นอย่างเข้มแข็งและมีสติ ผมไม่เคยกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลยนับตั้งแต่วันที่เลือกจะเดินออกมา และไม่เคยได้คุยกับคุณท่านอีกเลยนับแต่วันนั้น



ได้แต่ดูรูป ดูข่าวของท่านผ่านทางสื่อต่างๆ ที่ลงข่าวอยู่บ่อยครั้ง แค่รู้ว่าท่านสบายดีผมก็พอใจแล้ว ...

ไม่ได้หวังจะให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม



เพราะผมรู้ดีว่า ...

ครอบครัวที่มันพังทลายลงไปแล้ว ก็เปรียบเสมือนกองทรายที่ผมสร้างขึ้นริมชายหาดตอนเด็ก

เมื่อถูกกระแสน้ำพัดสาดเข้ามา จนเสียหายแล้ว ..



ท้ายที่สุดทรายก็กลับไปเป็นทรายตามเดิม ... ไม่อาจฝืนอยู่เป็นปราสาทสวยแบบที่เราหวังจะให้มันเป็นไปตลอดเวลาได้อีก



ความรักของครอบครัวก็เช่นกัน .. เมื่อมันไม่ได้สร้างขึ้นจากความรักที่มากพอ ..

วันหนึ่งเมื่อถูกอุปสรรคต่างๆ พากันทำลายให้สิ้นลง ...



มันก็กลับไปเป็นความรักตัวเองตามเดิม .. ใช่ความรักที่หล่อหลอมกันเหมือนที่ฝันหรืออย่างที่เห็น



คงไม่มีวันที่ผมจะได้กลับไปใช้คำว่าครอบครัวอีก



เพราะปราสาททรายที่ผมก่อไว้ ....

มันพังลงทลายไปหมดแล้ว ....



หมายเหตุ ::  ตอนนี้จะเล่าย้อนไปก่อนที่นำทัพจะเจอโซลนะครับ ..

 :katai4: :katai5: :mew5:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
38

รับข้อเสนอ

สมาชิกแก๊งห่าม มารวมตัวกันที่ห้องของผม ครบองค์ประชุมเพราะผมมีบางอย่างที่ต้องขอความช่วยเหลือจากพวกมัน .. เพื่อให้แผนการของผมเป็นไปตามที่ตั้งใจเอาไว้



ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับปัญญาที่เกิดขึ้น ระหว่างนำทัพ ผม คุณท่าน และ พี่ภู ทั้งสามคนต่างรับฟังอย่างเข้าใจ และ พยักหน้าตาม โดยไร้ซึ่งคำถามใดๆ ตั้งแต่เริ่มพูดจนจบ



“  มึงแน่ใจแล้วจริงๆ ใช่ไหม ว่าจะเอาตัวเข้าเสี่ยงแบบนี้ ”

ไอ้แม็กซ์ที่นั่งนิ่งอยู่นานพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง  ผมรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะลงมือทำมันอันตรายมากแค่ไหน เพราะถ้าหากเกิดพลาดทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้



ผมจะตกอยู่ในอันตรายทันที ..



“ กูมั่นใจ .. มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้คุณท่านรู้ความจริงทุกอย่าง และ เป็นโอกาสที่กูจะได้พิสูจน์ตัวเอง”

แม้จะยากหรือต้องเผชิญกับหนทางที่ยากลำบาก และ เต็มไปด้วยอันตรายมากสักเท่าไหร่ ผมก็ต้องทำ เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่ผมมีอยู่ .. จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้

“ ที่สำคัญ .. คนอย่างกู ถ้าไม่แน่ใจว่าจะชนะ กูจะไม่ลงแข่งเด็ดขาด ขอแค่พวกมึงช่วยกูตามที่คุยไว้ก็พอ”

สำหรับผมแล้ว  การจะลงมือทำสิ่งใดที่คาดเดาได้ยาก ผมจะไม่ประมาท และ ลงมือทำโดยปราศจากคนช่วยคิด หรือ แผนการใดๆ เนื่องด้วยเราไม่อาจคาดเดาความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าได้เลย  ดังนั้นการมีเพื่อนที่ช่วยคิดหาวิธีและร่วมมือกัน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ ถ้ามึงมั่นใจแบบนั้น พวกกูก็จะไม่ห้าม .. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกกูจะไม่ปล่อยให้มึงต้องตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด”

“ แก๊งห่ามเราจะต้องชนะ ”

“ ขอบคุณมากพวกมึง ”

ในเวลาที่ยากลำบาก การมีเพื่อนอยู่เคียงข้าง ร่วมฟันฝ่า ช่วยให้หนทางที่หมายจะก้าวเดิน ลดความน่าหวั่นไปได้เกือบครึ่ง เพราะหากหันมาข้างกายในยามเหนื่อยล้า หรือ กลัว ผมก็แน่ใจว่าไม่ได้อยู่คนเดียว



ยังมีพวกมันที่ไม่ทิ้งไปไหน  ...



เมื่อแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว พวกห่ามจึงขอแยกตัวกลับไป ปล่อยให้ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว วันนี้ผมขอนำทัพกลับมาค้างที่คอนโด อ้างว่ามีนัดทำรายงานกับเพื่อน ฝ่ายนั้นไม่ได้งอแงแต่อย่างใด นอกจากขับรถมาส่งที่คอนโดแล้วกลับไป ...



ตั้งแต่เจอคุณท่านคราวนั้น ท่าทีของนำทัพก็เปลี่ยนไป ยามที่ผมเอ่ยถามถึงเรื่องครอบครัว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลี่ยงที่จะไม่พูด  เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น  แต่ตอนนี้เขาตอบมากขึ้นเล่าให้ผมฟังมากขึ้น



นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี .. ที่นำทัพกับคุณท่านจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที



ครืด  ครืด ครืด

นำทัพ



มีธุระอะไรหรือเปล่า

[คิดถึงแฟนครับ .. ไปรับตอนนี้เลยได้ไหม ]

ไม่ได้ คืนนี้จะนอนคอนโด ยังปั่นรายงานไม่เสร็จเลย

[ แล้วกูจะอยู่ยังไง คืนนี้ไม่ได้นอนกอดมึง ]

กอดหมอนข้างไปก่อนนะ

[ พรุ่งนี้จะรีบไปรับแต่เช้า .. ]

พรุ่งนี้ต้องไปทำธุระกับพวกห่าม ไว้เสร็จแล้วจะไลน์บอกให้มารับนะ

[ ก็คงต้องตามนั้น ]

ไปนอนได้แล้ว ดึกแล้วเนี่ย

[  รับทราบครับ ฝันดีครับแฟน ]

ฝันดีครับผม





วางสายคนขี้อ้อน แล้วยิ้มให้กับโทรศัพท์ราวกับว่าเป็นใบหน้าของเขา พักหลังนำทัพติดผมหนักมาก ไม่ยอมให้อย่างไกลตัวเลย นี่กว่าจะขอมาค้างที่ห้องก็ต้องงัดสารพัดเหตุผล กว่าจะยอม



ปรับอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะหยิบนามบัตรที่วางข้างๆ ขึ้นมา จ้องมองอยู่นาน ก่อนจะกดไปตามเบอร์ที่โชว์อยู่บนนั้น คนที่ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยเลย หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ



กำลังโทร – 099-990-XXXX



สวัสดีครับพี่ภู ..โซลเองนะครับ

[ ครับน้องโซล กำลังรออยู่เลย ตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมครับ ]

ใช่ครับ ผมรับข้อเสนอของพี่นะครับ

[ ดีมากครับ คิดถูกแล้วครับ  ]

แล้วยังไงต่อหรอครับ

[ พรุ่งนี้เย็นเจอกันนะครับ เดี๋ยวพี่ส่งแชร์โลเคชั่นไปให้ ]

ครับพี่ภู

[ แล้วเจอกันนะครับ ]



ไม่นานพี่ภูก็ส่งสถานที่นัดหมายของพรุ่งนี้มาให้ผมทางไลน์  มันคือคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง ผมบีบโทรศัพท์ในมือแน่นเมื่อกำลังนึกถึงสิ่งที่ต้องเผชิญในวันพรุ่งนี้  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเสี่ยงมากแค่ไหน  ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรที่ผมมี





ผมจะทำเพื่อนำทัพ ....







ลิฟท์คอนโดหรูจอดที่ชั้นเป้าหมาย บนสุดของตึกสูง ผมก้าวเดินออกจากลิฟท์พร้อมคนของพี่ภู ที่ไปคอยรับผมทันทีที่ลงจากแท็กซี่ ในตอนแรกพี่ภูจะให้คนไปรับ ทว่าผมกลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมนัดเจอพี่ภูที่นี่ ส่วนนำทัพ วันนี้ผมไม่ได้เจอเขาตามที่คุยกัน  ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแก๊งค์ห่ามจัดการไป



ส่วนทุกอย่างที่นี่ผมจะจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง ...



วันนี้ผมแต่งตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังให้พี่ภูพอใจมากที่สุดเมื่อได้เห็นผม เชิ๊ตสีดำกับกางเกงขายาวเป็นเครื่องแต่งตัวที่ขับให้ผมชวนมองมากยิ่งขึ้น  เลือกกลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆ ฉีดทั่วตัว ชวนให้คนอยู่ใกล้หลงใหล



คนของพี่ภู เปิดประตูต้อนรับผมให้เข้าไปสู่ภายในห้องสวยมีระดับ ผมยืนนิ่งอยู่นาน หลับตาเรียกสมาธิของตัวเองให้พร้อม ก่อนจะยกยิ้มขึ้นเพื่อให้ไม่มีพิรุธ แล้วก้าวเดินเข้าไป ด้วยหัวใจที่แทบคลั่งด้วยความตื่นเต้น



ภาวนาขอให้สิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ สำเร็จไปได้ด้วยดี ...



“ คุณโซลมาถึงแล้วครับเจ้านาย ”

คนของพี่ภู ส่งเสียงบอกเจ้านายให้ทราบถึงการมาของแขกคนสำคัญ ผมยืนสำรวจภายในห้องที่สวยกว้าง กับโต๊ะอาหารมือเย็นที่จัดแต่งอย่างหรูหรา พร้อมกับเทียนสีสวยแสนโรแมนติค ส่วนเจ้าของห้องที่ยืนมองวิวผ่านกระจกกว้างอยู่นาน หันกลับมาตามคำเรียกของลูกน้อง



พี่ภูใช้สายตาสำรวจผมอยู่นาน แล้วยกยิ้มขึ้นด้วยความพอใจกับสิ่งที่เขาปรารถนา ...



“ ทำไมวันนี้แต่งตัวน่ารักจัง ”

“ แล้วไม่ดีหรอครับ .. ไม่ชอบหรอ ”

“ ชอบมาก ”



พี่ภูก้าวเข้ามาใกล้ผม แต่ยังอยู่ในระยะที่ปลอดภัย วันนี้เขาเองก็แต่งตัวดูดีเลยทีเดียว .. สายตาเจ้าเล่ห์ที่เต็มไปด้วยความต้องการส่งมาให้ผม เพื่อสื่อให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดในตอนนี้

“ วันนี้มีดินเนอร์ด้วยหรอครับพี่ภู ”

“ ใช่ครับ ดินเนอร์สำหรับเราสองคน ”



พี่ภูฉวยจับมือผมไว้ แล้วพาเดินจากส่วนกลางของห้อง มายังโต๊ะ ทานข้าวที่อยู่ไม่ไกล พี่ภูเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งอย่างเป็นสุภาพบุรุษ ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งของตนเอง



“ ดื่มเป็นใช่ไหมครับ ”

“ พอได้ครับ ”



พี่ภูหยิบไวน์ขึ้นมายกเชื้อเชิญผมให้เริ่มดื่ม  พยักหน้ารับก่อนจะจับแก้วของตัวเอง แล้วส่งยิ้มให้กลับไป จิบไวน์ที่อยู่ในมือตาม บรรยากาศโดยรอบดูส่วนตัวมากเหลือเกิน  ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้เลย นอกจากเราสองคน



“ ทำไมพี่ภู ถึงชอบผมหรอครับ โซลถามได้ไหม ”

ขยับตัวเพื่อให้ถนัดกับการทำบางสิ่ง  ก่อนจะส่งสายตาหวานย้อยไปให้พี่ภู ที่ยังไม่หยุดจ้องมองผมอยู่แบบนั้น

“ ก็โซลน่ารัก ”

“ แค่นั้นหรอครับ ”

“ ที่จริงพี่ชอบโซลมาตั้งนานแล้ว .. ตั้งแต่ตอนที่พี่เห็นโซลอยู่กับนำทัพ สมัยมอต้น ”

“ หลายปีแล้วสินะครับ ”

“ ใช่ครับ .. ตอนนั้น คุณท่านให้พี่ไปตามดูว่านำทัพเป็นยังไงบ้าง แล้วพี่ก็เห็นโซล จากวันนั้นมาพี่ก็ชอบโซลมาตลอด”

“ แล้วยิ่งผมเป็นคนของนำทัพ พี่ก็ยิ่งอยากได้ใช่ไหมครับ ”

“  ใช่ครับ ”

พี่ภูตอบกลับมา อย่างไม่หยุดคิดเลย นั่นคงเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคนตรงหน้ามาโดยตลอด  ทุกอย่างที่เป็นของนำทัพ พี่ภูต้องการแย่งไปให้หมด เขาไม่ได้ชอบผมจริงอย่างที่พูด .. แค่ต้องการเอาชนะเท่านั้น

“ อันที่จริง พี่ให้คนจัดการนานแล้ว แต่มันดันทำเรื่องพังเอง พี่ถึงต้องลงมาจัดการเองแบบนั้น แต่ก็ดีทุกอย่างมันจะได้เป็นไปในแบบที่พี่ต้องการ ”

พี่ภูขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยังกระจก ลอบมองวิวที่อยู่ภายนอก ทิ้งให้ผมนั่งสงสัยกับคำพูดเหล่านั้น อย่างหาคำตอบไม่ได้ นอกจากคนที่เอ่ยขึ้น จะเป็นคนเฉลย

“ ไอ้เก่งไง ..คนที่พี่ให้ไปจัดการเรื่องของเรา ”

ตาผมเบิกกว้างเมื่อได้ยินชื่อนั้น รุ่นพี่ที่เคยบอกชอบผม คนที่มีปัญหากับนำทัพบ่อยๆ และเป็นคนเดียวกันกับที่เคยตามแอบถ่ายผม ... เป็นคนของพี่ภูอย่างนั้นหรอ

“ พี่เก่ง มาเกี่ยวอะไรด้วยครับ ”

“ ก็พี่ให้มันไปตามจีบเรา .. ตามถ่ายภาพเรา  คอยรายงานความคืบหน้าให้พี่  แล้วก็ตามไปทำร้ายไอ้ทัพด้วยไง มันติดหนี้พนันบ่อนของเพื่อนพี่ เลยต้องทำงานใช้หนี้แทน แต่เสือกโง่ไปหน่อย โดนไอ้ทัพจับได้ แผนที่วางเอาไว้ เลยพังไม่เป็นท่า ”

ความจริงเป็นแบบนี้ พี่เก่งไม่ได้เป็นคนทำเอง แต่มีพี่ภูเป็นคนคอยบงการทั้งหมด  ดวงตาพี่ภูฉายแววสะใจมาก เมื่อได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คนคนนี้น่ากลัวกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก

“ แล้วนำทัพไปทำอะไรพี่ภูนักหนาหรอครับ ถึงได้ทำกันขนาดนี้ ”

พยายามสะกดกลั้นความโกรธที่มีให้เบาบางมากที่สุด  แม้ในใจจะแทบระเบิดออกมา แต่ต้องฝืนยิ้มออกไปราวกับผมปกติดีทุกอย่าง

“ ดื่มให้หมดแก้วสิครับ แล้วพี่จะบอกให้ ”

ยกแก้วในมือขึ้นดื่ม ตามสายตาของพี่ภู หากมันจะทำให้ผมรู้ความจริงทั้งหมด จะอีกกี่แก้วผมก็ยังไหว

“ เก่งมากครับ ”

พี่ภูเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะดินเนอร์ ทว่าไม่ได้นั่งตรงเก้าอี้ตัวเดิม เขาเดินอ้อมมายังด้านหลังเก้าอี้ของผม แล้วโน้มตัวลงต่ำ จนจมูกชนกับไหล่ของผม ผมนั่งนิ่งให้พี่ภูฉวยโอกาสได้ตามสบาย แม้ภายใจอยากจะลุกขึ้นต่อยให้ล้มขนาดไหนก็ตาม

“ ตั้งแต่เด็ก พี่กับแม่ พยายามทำดีกับไอ้ทัพมาโดยตลอด พวกเราสองคนอยู่กันแบบเจียมตัว ไม่เคยคิดจะทำร้ายหรือ ต้องการสมบัติใดๆ เลย ขอแค่ได้พึ่งบารมีคุณท่านให้พวกเรามีที่อยู่ก็เท่านั้น ”

พี่ภูถอยห่างจากตัวผม แล้วก้าวเดินไปรอบโต๊ะ พร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องในวัยเด็กให้ผมฟัง เหมือนพี่ภูเองก็มีปมบางอย่างที่ปิดบังอยู่ในใจ  เคยฟังเรื่องของเขาจากปากนำทัพมาบ้างแล้ว คราวนี้ลองฟังจากปากพี่ภู เผื่อว่าผมจะเจอความจริงที่ซ่อนอยู่



ทว่าทำไม .. ผมเริ่มรู้สึกมึนๆ แปลกๆ



“ แต่มันกลับไม่มองว่าพวกพี่เป็นคนเลย ทั้งด่าทั้งว่าพวกพี่สารพัด ทำกับพี่ได้ไม่โกรธ แต่มันดูถูกแม่พี่สารพัด ทั้งๆที่แม่พี่ ยอมมันทุกอย่าง  ”



แก้แค้นอย่างนั้นหรอ !!



“  ในเมื่ออยู่ร่วมกันแบบมิตรไม่ได้ พี่ก็ต้องอยู่กับมันแบบศัตรู จึงเริ่มต้นทำทุกอย่างแย่งของของมันมาเป็นของพี่ให้หมด เพื่อให้นำทัพรู้ว่า มันไม่ใช่เจ้าของทุกอย่างในโลกใบนี้ และ ไม่มีสิทธิที่จะมาดูถูกใคร โดยเฉพาะคนที่ยอมมันมาโดยตลอด แบบพี่กับแม่ ”



เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรายอมแล้ว แต่ยังไม่สามารถเอาชนะใจใครได้ ซ้ำยังถูกรังแกอยู่แบบนั้น ความอดทนของมนุษย์มักมีขีดจำกัดที่ตั้งไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นการกระทำที่ต้องปกป้องตัวเอง ตามสัญชาติญาณในแบบที่ธรรมชาติกำหนดให้เป็น



พี่ภูเองก็เช่นกัน .. เขาไม่ใช่คนที่เลวแต่ต้น ด้วยมีเหตุทำให้เขาต้องเปลี่ยนไป

คนดีจากเนื้อในแบบเขา จึงต้องปกป้องตัวเองด้วยการกระทำที่ตรงข้าม



การปกป้องตัวเองไม่ใช่สิ่งผิด

แต่การกระทำจนคนอื่นได้รับความเดือดร้อน นั่นคือเรื่องที่ผิด .. อย่างไม่น่าให้อภัย



“ หยุดเถอะครับพี่ภู ทำแบบนี้ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย  หันหน้ามาคุยกันดีกว่า ผมจะช่วยให้นำทัพเข้าใจพี่นะครับ ตอนนั้นอาจจะยังเด็กทั้งคู่ แต่ตอนนี้นำทัพมีเหตุผลมากขึ้นแล้วนะครับ ”

ส่ายหัวเพื่อไล่ความมึนที่เกิดขึ้น  ปกติผมกินเหล้าเก่งมาก แค่ไวน์แก้วเดียวไม่สามารถทำให้ผมเมาได้มากแบบนี้

“  พี่มาไกลเกินไปแล้วโซล พี่กลับไปไม่ได้แล้ว  ”

“ เรากลับไปแก้ไขได้พี่ .. ”

แค่รู้ว่าเดินมาทางไหนแล้วมันผิด เราก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นนั้น แล้วออกเดินใหม่ ยังเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ปลายทางไม่ลงเอยเหมือนเดิม  เราเลือกได้ทั้งนั้น



ความรู้สึกร้อนวูบวาบ วิ่งวนทั่วตัวผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แม้เพียงเล็กน้อยในขณะนี้ก็ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุข ความมึนเมาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เพิ่มมากขึ้นจนรู้สึก เบลอไปหมด



จนถึงตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว ว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากไวน์เพียงอย่างเดียว !!!



“ พี่ภูเอาอะไรให้ผมกิน ”

ฝืนพูดออกไป แม้ริมฝีปากจะสั่นเทาจนยากจะควบคุม ฝืนบังคับตัวเองให้ลุกขึ้น ออกจากโต๊ะ ทว่าความมึนที่มีกลับทำให้ผมพยุงตัวแทบไม่อยู่

“ พี่ก็แค่อยากให้เรา มีอารมณ์ร่วมกับพี่ให้มากขึ้นเท่านั้น กลัวว่าเราจะต้องฝืนใจ  แล้วจะไม่สนุก ”

พี่ภูประคองร่างผมเอาไว้พลางกระซิบเข้ามาใกล้หู จนผมเสียวซ่านอยากรับสัมผัสนั้นในทันที ลมหายใจเข้าออกเร็วขึ้น ตามจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่ขึ้นจนยากจะต้าน



ความรู้สึกอยากตามสัญญาณชาติมันพลุ่งพล่านไปทั่วตัวผม .. ด้วยฤทธิ์ยาที่พี่ภูผสมในแก้วไวน์ให้ผมดื่ม สัมผัสของพี่ภูลุกล้ำเข้ามาที่บริเวณชายเสื้อของผม ก่อนจะล้วงลึกเข้าไปแบบนั้น



ฝืนตัวเองให้ต่อต้านความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ค่อยๆ พาตัวเองเดินออกมา โดยมีพี่ภูหัวเราะชอบใจอยู่ด้านหลัง

“ เก่งจังนะครับน้องโซล แต่พี่จะคอยดูว่าเราจะฝืนไปได้อีกนานแค่ไหน ”

ต้องพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้แน่  หากฤทธิ์ยาทำงานเต็มที่  ร่างกายต้องไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามที่พี่ภูต้องการทั้งหมด



สิ่งที่ผมวางแผนไว้จะต้องไม่เสียเปล่า ... ผมคิดผิดเองที่ประเมินพี่ภูต่ำไป



ตะกายตัวเอง จนมาถึงประตูห้อง เตรียมจะคว้าลูกบิดแล้วเปิด ออกไปเรียกขอให้คนช่วย แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อพี่ภูคว้าผมไว้จากด้านหลัง แล้วกระชากอย่างเต็มแรงจนร่างผมปลิวลงไปนอนหงายกับพื้น ก่อนพี่ภูจะขึ้นคร่อมผม ไล้นิ้วมือแกร่งไปทั่วบริเวณใบหน้า ถึงลำคอ ปลุกความอยากที่มีให้พุ่งพล่านขึ้นอย่างเต็มที่



ผมไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป



“ ปล่อยผม ..”

“ ไอ้ทัพมันจะต้องอกแตกตาย ถ้ามันเห็นคลิปที่พี่กับเรามีอะไรกัน .. แค่คิดก็สนุกมากแล้วน้องโซล”

“ มึงมันเหี้ย มึงไม่ใช่คน ”

“ ด่าเยอะๆ พี่ชอบ .. มามะ เรามา ถ่ายคลิปให้ไอ้ทัพดูดีกว่า ”



พี่ภูเปิดกล้องโทรศัพท์มือถือ กดเข้าไปยังกล้องวิดีโอ แล้วเริ่มบันทึกภาพ



“ สวัสดีไอ้ทัพ  ตั้งใจดูคลิปนี้ให้จบ .. แฟนมึงกำลังจะเป็นของกู ”

พี่ภูเคลื่อนกล้องมาที่ใบหน้าของผม ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด จนเผยให้เห็นอกกว้างของผม เรี่ยวแรงที่มีหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ผมไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย นึกแล้วก็โมโหตัวเอง



พี่ภูโน้มตัวลงมาใกล้  ตั้งท่าจะจูบผม .....



โครม !!!!!



เสียงดังมาจากประตูห้อง เผยให้เห็นผู้มาเยือนหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมเบลอจนแทบจะจำใครไม่ได้ นอกจากนำทัพของผมแค่คนเดียว



“ ไอ้ทัพ คุณท่าน คุณแม่ ”

เสียงเรียกชื่อด้วยความตกใจของพี่ภูดังลั่นห้อง  พร้อมกับคนตัวสูงที่ผมคุ้นเคยมานาน เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้  แล้วกระชากคอเสื้อของพี่ภู ลากให้ห่างออกจากตัวผม





“ มึงไม่มีสิทธิมาแตะต้องโซล .. โซลเป็นของกู ..”



“ กูเคยเตือนมึงแล้ว ....ไอ้เหี้ยภู “



--------------

Talk :: เอาแล้ว … พ่อมาแล้ว !! ใครทำน้องโซลพ่อไม่เอาไว้แน่นอน

:: เขียนไปก็หงุดหงิดพี่ภูไป คนอะไรจะร้ายได้ขนาดนี้ สงสารน้องโซล


 :hao3: :hao4: :serius2: :angry2: :fire:

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ให้เคลียนะ

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
39

ห้ามแตะต้องโซล


ตอนนี้ร่างกายผมไม่สามารถตอบสนองอะไรได้เลย นอกจากความรู้สึกอย่างที่พลุ่งพล่านอยู่ทั่วตัว มองเห็นนำทัพที่ยืนจับคอเสื้อของพี่ภูเอาไว้ เงื้อมือจะชก ทว่าถูกคุณท่านเข้ามาห้ามเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงต้องมีคนใดคนหนึ่งเจ็บหนักเป็นแน่



เพราะตอนนี้สีหน้าของนำทัพโกรธจนถึงที่สุดแล้ว ...



พี่ภูมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้มาเยือน ทั้งคุณท่าน คุณพิมพ์ นำทัพ และเพื่อนของผม เขาหันมามองผมด้วยความสงสัย พลางทำท่าคิดแล้วเหมือนจะเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้น



“ ฝีมือน้องโซลใช่ไหมครับ ”

“  ใช่ครับ ฝีมือผมเอง ”



ฝีมือที่พี่ภูพูดถึงก็คือ ....

ผมแอบอัดเสียงตอนคุยกับพี่ภูเอาไว้ตอนคุยกันที่บ้านของคุณท่าน





แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ มากไปกว่าการที่นำทัพมาที่นี่ได้ยังไงกัน ในเมื่อตามแผนที่ตกลงกันไว้ ไม่ได้เป็นแบบนี้ ผมให้พวกห่ามไปจัดการนำทัพ กันเขาไม่ให้รู้เรื่องนี้ โดยแกล้งพาไปซื้อของขวัญให้ผม กลัวว่าหากนำทัพรู้แผนทั้งหมดแล้วจะทำเสียเรื่อง



สุดท้าย .. คนที่ผมไม่อยากให้รู้ กลับยืนอยู่ตรงนั้น



ทีมกับน้ำหวานประคองผมให้ลุกขึ้น  มองหน้าเพื่อนด้วยอาการเบลออย่างถึงที่สุด  ส่วนไอ้แม็กซ์ไปยืนข้างนำทัพ คอยประกบเอาไว้ มองจากรูปการแล้ว ไอ้นั้นไม่ได้ไปห้าม แต่จะไปต่อยพี่ภูมากกว่า ยืนกำหมัดแน่นแบบนั้น



“ ไอ้โซล มึงไหวปะเนี่ย ”

ทีมตบที่แขนผมเบาๆ หวังปลุกให้ผมตื่นจากอาการที่เป็นอยู่ แต่กลับช่วยไม่ได้เลย  ฤทธิ์ยาออกตัวเพิ่มมากขึ้น จนร่างของผมร้อนราวกับไฟ  ใจสั่นไปหมด

“ พวกมึงพาทัพมาที่นี่ได้ยังไง ”

“ ไอ้ทัพมันรู้เรื่องตั้งนานแล้ว จากคุณท่าน ”

“อะไรนะ ..”





เมื่อหลายวันก่อน ที่ผมจะมาหาพี่ภู





วันที่คุณท่านมาเจรจากับผมที่ห้อง ผมยื่นโทรศัพท์ให้คุณท่านดู ในนั้นเป็นคลิปเสียงที่ผมคุยกับพี่ภู ซึ่งคุณท่านโกรธมาก และหลังจากวันนั้นผมก็เล่าแผนการทั้งหมดให้คุณท่านฟัง หวังจะให้คุณท่านมาเห็นว่าพี่ภูกำลังจะทำอะไร และ คนที่คุณท่านไว้ใจ ได้ลงมือทำร้ายลูกชายของคุณท่านไปมากแค่ไหน



หลังจากวันนั้นคุณท่านก็นัดผมไปหาที่ร้านกาแฟอีกครั้ง เพื่อถามว่าผมจะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้ และ หากผมยังไม่กล้าที่จะลงมือ คุณท่านจะขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง



แต่เปล่าเลยผมยังยืนยันคำเดิม ว่าผมจะจัดการเอง



“ แน่ใจนะว่าแผนที่เธอคิดไว้มันจะสำเร็จ ”

“ ผมมั่นใจครับ ท่านไม่ต้องห่วง ”

คุณท่านถามผมอีกครั้ง เพื่อย้ำให้แน่ใจ หลังฟังแผนการที่ผมเล่าให้ฟังอย่างละเอียด

“ อย่างนั้นฉันจะให้คนของฉัน ไปเฝ้าอยู่แถวคอนโดของภูษิต ถ้ามีอะไรผิดปกติ เขาจะช่วยเธอได้ทัน”

“ ขอบคุณท่านมากครับ ”



แผนการทั้งหมดคือ ผมจะให้เพื่อนช่วย ทำที่ว่าพานำทัพไปเลือกซื้อของขวัญมาเซอร์ไพรส์ผม ในวันที่ผมนัดกับพี่ภู  ไม่ให้นำทัพต้องมารับรู้อะไร จนกว่าจะจัดการเรื่องเรียบร้อย ค่อยเล่าทีเดียว และ เมื่อผมมาหาพี่ภู ผมจะกดโทรศัพท์ไปหาคุณท่าน ให้คุณท่านได้ฟังทุกบทสนทนาที่เกิดขึ้นทั้งหมด



ว่าพี่ภูทำอะไรไว้บ้าง .. และ กำลังจะทำอะไรต่อจากนี้

คุณท่านจะได้ตาสว่างเสียที



แต่ไม่คิดว่าจะผิดแผนไปหมดแบบนี้



ซึ่งผมกับคุณท่านตกลงกันไว้แล้ว ว่าจะไม่ให้นำทัพรู้เรื่องนี้ .. แต่แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้



“ กูบอกให้พานำทัพไปซื้อของไง ”

พวกมันก็เหมือนกัน  ทำไมถึงไม่ทำตามแผนของผม ปล่อยให้นำทัพมายืนหน้าโหดอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ถึงจะบอกว่านำทัพรู้เรื่องนานแล้วก็ตาม แต่ช่วยกันไว้ก่อนไม่ได้หรือยังไง

“ กูพาไปแล้ว .. แต่พอคุณท่านโทรมาบอกว่ามึงอยู่ที่นี่ มันก็ตรงมาเลย ไม่พูดอะไรสักคำ ใครจะกล้าห้าม มึงช่วยดูหน้าแฟนมึงด้วย โคตรดุ  ”

ก็จริงอย่างที่ไอ้ทีมบอก นำทัพเวลาโกรธมา ไม่มีใครที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเลย สายตา ท่าทาง ชวนให้เสียวสันหลังไปหมด ด้วยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่

“  คุณท่านโทรบอกทัพอย่างนั้นหรอ ”

“ ก็เออนะสิ คุณท่านคงเห็นว่า ท่าจะไม่ดีแล้ว เลยบอกนำทัพให้รู้ จะได้มาช่วยกันทัน ”

เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง  คุณท่านเป็นห่วงผมสินะ ถึงได้ทำผิดแผนไปเสียหมดแบบนี้ ส่ายหัวขับไล่ความมึนอีกครั้ง ให้สติกลับมา เมื่อเข้าใจในทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว



พยายามจ้องมองไปยังนำทัพอีกครั้ง



“ มึงทำแบบนี้ไปทำไม”

เสียงของนำทัพ กระชากผมให้ออกจากความคิดเมื่อหลายวันก่อน ฝืนตัวเองให้จ้องมองไปยังภาพที่อยู่ตรงหน้า  นำทัพกำหมัดแน่นตัวสั่นเทา หน้าแดงด้วยความโกรธ ส่วนพี่ภูไม่ได้มีท่าทางรู้สึกผิดหรือตื่นกลัวแต่อย่างใด

โดยมีคุณท่านที่ยืนแทรกตรงกลาง มองหน้าพี่ภูด้วยความผิดหวัง

“ /// ”

“ กูถามว่ามึงทำเหี้ยแบบนี้ทำไม ไอ้ภู ”

เมื่อพี่ภูไม่ตอบ นำทัพที่หัวร้อนอยู่แล้ว จึงทวีความโกรธมากยิ่งขึ้น ตะโกนความด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

“ พ่อไม่คิดเลย ว่าภูจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้ ทำไมถึงทำกันขนาดนี้  นำทัพเป็นน้องภูนะลูก ”

คุณท่านที่นิ่งอยู่นาน  คงเห็นว่าหากปล่อยให้ลูกชายจัดการ เรื่องคงแย่กว่าที่เป็นอยู่ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความผิดหวังกับคนที่มองว่าดีมาโดยตลอด

คุณท่านเล่าให้ผมฟังว่า พี่ภูเป็นเด็กที่ขยัน แบ่งเบาภาระท่านได้มาก และ ท่านไม่เคยมองว่าพี่ภูเป็นคนอื่นเลย นอกจากคนในครอบครัว  แม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ ก็ตาม



คนเราเมื่อคาดหวังสิ่งใดเอาไว้มาก ยามผิดหวังยิ่งเสียใจมากเป็นเรื่องธรรมดา



“ คุณท่านก็ลองถามลูกชายดูสิครับ ว่ามันเคยมองผมเป็นพี่หรือเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเอาแต่รังเกียจผมกับแม่สารพัด แล้วผมจะยังต้องทำดีกับมันอยู่หรอครับ ”

ความจริงจากปากพี่ภูถึงปมฝังใจในอดีตยังเป็นคงเป็นสาเหตุหลัก สร้างชนวน ชวนให้พี่ภูเดินหลงทางผิดมาได้จนถึงตอนนี้

“ ใช่ กูรังเกียจมึงกับแม่ เพราะว่าพวกมึง มาแย่งความรักของพ่อไปจากกู .. แต่กูไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร  ”

“ เออ มึงไม่เคยท้ายใคร แต่คำพูดกับการกระทำของมึง มันก็ทำร้ายจิตใจของคนอื่นไง ”

“ มึงเหี้ยเอง อย่าโทษคนอื่นไอ้ภู ”

แม้นำทัพจะแสดงท่าทีไม่ชอบพี่ภูกับแม่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายสองคนนั้น เมื่อเห็นว่าคุณท่านคงไม่เปลี่ยนใจ จะกลับไปคืนดีกับคุณแม่ของเขาตามเดิม นำทัพจึงเลือกเดินออกมา โดยไม่สร้างปัญหาใดๆ เพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย

“ คนอย่างมึง ต้องได้รับบทเรียน ในเมื่อกูทำดีกับมึง แล้วไม่ชอบ กูก็จะทำให้มึงเจ็บ นี่ไงกูกำลังจะทำสำเร็จ ”

พี่ภูหัวเราะออกมาอย่างผู้ชนะ แต่เปล่าเลยเขากำลังแพ้ แพ้ให้กับความคิดในทางผิดที่ตัดสินใจทำลงไป

“ ไอ้สัสเอ๊ย มึงเกลียดกูก็มาลงกับกู มายุ่งกับแฟนกูทำไม ”

นำทัพเตรียมจะเข้าไปหาพี่ภู ทว่าถูกคุณพิมพ์ ภรรยาของคุณท่าน เข้ามาแทรกเพื่อห้ามไว้ นำทัพมองหน้าคุณพิมพ์แล้วหยุดกึก ด้วยฝ่ายนั้นแสดงท่าที  สีหน้าเชิงขอร้อง  แล้วก้าวเข้ามายืนต่อหน้าลูกชาย จับกุมมือเอาไว้



พี่ภูมองผู้เป็นแม่ด้วยท่าทีที่อ่อนลงนิดหน่อย สายตาที่แข็งกร้าวด้วยความแค้นในอดีตโอนอ่อนชั่วครู่ก่อนจะกลับมาแข็งกร้าวตามเดิม



“ พอเถอะนะภู หยุดได้แล้วลูก  ภูกำลังทำผิดอย่างร้ายแรงนะ ”

“ ภูทำเพื่อแม่นะครับ ภูปกป้องศักดิ์ศรีของแม่ ไม่ให้คนอื่นมาดูถูก ”

“ สิ่งที่แม่ต้องการมากที่สุดคือ การเห็นลูกแม่เป็นคนดี  ถ้าแม่มีลูกที่คิดดีทำดี ศักดิ์ศรีของแม่ก็ไม่ได้หายไปไหน เมื่อก่อน เราไม่มีอะไร ยังอยู่กันได้เลยลูก แล้วภูทำไมถึงต้องทำอะไรแบบนี้ ”

“ ภูส่งคนไปทำร้ายคุณนำทัพ  แฟนของคุณนำทัพ  แล้วไหนจะโกงเงินบริษัทของคุณท่านอื่น  ”

ทุกคนในห้องนิ่งเงียบกับสิ่งที่คุณพิมพ์พูดขึ้น โดยเฉพาะพี่ภูที่ชะงักค้างกับสิ่งที่มารดาเอ่ยออกมา อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ แม่รู้ ”

“ แม่รู้ทุกเรื่อง แค่แม่ไม่พูด อยากให้ภู สำนึกด้วยตัวเอง ว่าสิ่งที่ทำมันผิด แล้วสักวันจะหยุดมันเอง แต่ก็เปล่าเลย”

ภรรยาใหม่คุณท่านไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่ผมคาดการณ์เอาไว้จริงๆ แถมยังฉลาดและรู้ทันลูกชายเป็นที่สุด แม้จะมีโอกาสได้คุยกันแค่ครั้งเดียว แต่ก็เดาได้ทันทีว่าคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้ เข้มแข็งมากแค่ไหน

“ ลืมคำสอนของแม่หมดแล้วหรอภู ว่าให้เป็นคนดี กตัญญูกับคุณท่าน และ คุณทัพให้มาก ทั้งสองคนมีบุญคุณกับเรามากนะลูก ภูหยุดเถอะนะ ถือว่าแม่ขอร้อง ”

คุณพิมพ์ ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอัดคงฝังใจมากจนไม่สามารถเก็บกลั้นได้อีกต่อไป พี่ภูมีสีหน้าที่สลดลงเล็ดน้อย เมื่อได้รู้ว่าผู้เป็นแม่รู้ทุกการกระทำของตนเอง และ เสียใจมากแค่ไหน



ลึกๆ แล้วพี่ภูคงไม่ได้เป็นคนร้ายกาจแบบที่แสดงออกมา



“ภูขอโทษครับแม่ ภูไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ภูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แม่เสียใจนะครับแม่อย่าร้องไห้ ”

พี่ภูจับมือของคุณพิมพ์เอาไว้ แล้วลูบอยู่แบบนั้น เหมือนกำลังรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไป

“ พ่อกับแม่รู้ว่าโดยตลอดว่าภูไม่พอใจนำทัพมากแค่ไหน และ ทำอะไรลงไปบ้าง แต่เราก็ยังหวังจะให้ภูกลับตัว และ เชื่อว่าสักวัน ภูจะรักน้องบ้าง”

คุณท่านบอกว่า ที่จะให้นำทัพไปอยู่เมืองนอกกับคุณแม่ ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่กลัวว่าสักวันพี่ภูจะทำอะไรรุนแรงกับเขา แล้วคุณท่านจะปกป้องนำทัพไม่ทัน



แต่แล้วสิ่งที่คุณท่านกลัวก็ได้เกิดขึ้นแล้ว



“ ถ้าภูสัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนดี พ่อ แม่  จะให้อภัย แล้วคิดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เราจะเริ่มต้นกันใหม่ ”

“ แต่ผม ... ”

พี่ภูมองหน้าคุณท่าน  คุณพิมพ์ แล้วหยุดที่นำทัพ  สายตานั้นจ้องมอง คนเป็นน้องอยู่นาน ก่อนจะเบือนหลบไปอย่างไม่กล้าสู้หน้า คนถูกจ้องเบาลงมากจากเมื่อครู่  ผมพยายามฝืนตัวเองให้เดินเข้าไปหานำทัพ โดยมีทีมกับน้ำหวาน คอยพยุงเอาไว้ เขาหันมาหาผมอย่างขอคำตอบ ว่าควรทำอย่างไรดี

“ ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ จากกำแพงที่ก่อเอาไว้ในความรู้สึกเถอะ มึงจะได้มีความสุขสักที ”

“ ครับ ”

นำทัพมองหน้าผมอย่างเข้าใจในสิ่งที่สื่อสาร เขาเองก็คงไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ ยังมีเรื่องวุ่นวายมากมายเกี่ยวกับครอบครัวฝังใจ ซ้ำตอนนี้ยังได้รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ภูต้องเป็นแบบนี้



แม้จะไม่ใช่ความผิดเขาทั้งหมด .. แต่เขาก็มีส่วน

การทำลายความรู้สึกแย่ในใจออกไป ..

การให้อภัย จะทำให้เรามีความสุข



“ ในเมื่อกูเป็นต้นเหตุที่ทำให้มึง ต้องเป็นแบบนี้ กูก็จะรับผิดชอบร่วมกับมึง ถ้ามึงรับปากว่าจะกลับตัว เราจะเริ่มต้นกันใหม่ กูจะลืมว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง ”

“ ไอ้ทัพ ”

“ ขอแค่อย่างเดียว .. มึงต้องดูแลตัวเอง แม่มึง แล้วก็คุณท่านให้ดี ให้สมกับที่ทุกคนรักมึง ”

คุณท่านกับคุณพิมพ์ต่างปล่อยลูกชายของตัวเองให้เป็นอิสระ ทั้งคู่ก้าวเดินมาข้างหน้ามาหากัน นำทัพเอื้อมมือไปแตะไหล่ของคนอายุเยอะกว่า

“ กูขอโทษนะทัพ ขอโทษจริงๆ ”

“ ไม่เป็นไร ความผิดพลาดที่ผ่านมา จะเป็นบทเรียนให้เราโตขึ้น ”

“ มึงไม่ต้องยกโทษให้กูก็ได้ แค่อย่าเกลียดแม่กูก็พอ ”

“ กูอาจจะเคยไม่ชอบมึงกับแม่ แต่ไม่ได้เกลียด  มึงเข้าใจใหม่ด้วยไอ้ภู ”

“ ขอบใจมึงมาก ”

“ ส่วนเรื่องที่มึงมายุ่งกับแฟนกู เอาไว้ค่อยเคลียร์ อันนี้กูยอมไม่ได้ ”

นำทัพยังไงก็คือนำทัพ ทุกเรื่องสำหรับเขาคงยอมได้หมด ยกเว้นเรื่องผมเรื่องเดียวที่เขาคงไม่ยอม คนพูดทีเล่นทีจริง ทำเอาบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด หายใจไม่ออกเมื่อครู่ ผ่อนคลายลงได้มาก

“ แต่ว่าตอนนี้มึงต้องพาโซลออกไปจากที่นี่ก่อน ”

นำทัพหันขวับกลับมาที่ผม ในทันทีที่พี่ภูพูดเสร็จ ตรงเข้ามาอย่างไม่รอช้า รวบตัวผมเข้าไปหาสายตาสำรวจรอบตัวจนสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ผิดปกติของผม

“ ไอ้ภู โซลเป็นอะไร ”

“ น้องโดนยาปลุกเซ็กส์ ”

“ ไอ้เหี้ย แล้วทำไมมึงเพิ่งบอก แฟนกูจะไหวมั้ยเนี่ย ”



มองใบหน้าของนำทัพที่วันนี้ทำไมเขาถึงหล่อมากกว่าปกติ  ผมโอบกอดนำทัพด้วยความรู้สึกต้องการมาก ถึงมากที่สุด ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เหมือนคนตัวสูงจะเข้าใจว่าถ้าช้าอีกหน่อย ผมคงไม่ไหวแล้ว นำทัพจึงช้อนตัวผม เข้าไปไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะลุกเดินไปยังประตูด้วยความเร่งรีบ



ไม่รู้ว่าตอนนี้ในห้องที่นำทัพพาผมเดินออกมาจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นบ้าง วินาทีนี้สมองของผมแทบไม่เหลือ สิ่งใดเลย นอกจากความขาวโพลน  ความเบลอ



และความต้องการจากคนที่อุ้มผมอยู่ในตอนนี้



“ ทัพกูร้อน มึงถอดเสื้อผ้าให้กูหน่อยสิ ”

“ โซลอย่าเพิ่ง ”



ผมพยายามกอดรัดเจ้าของร่างสูงเอาไว้ แนบชิดใบหน้าไปที่แผงอกกว้าง สูดดมกลิ่นหอมที่ช่างเย้ายวนมากกว่าคราวไหน  กลิ่นแห่งความเป็นชายแม้มีเสื้อผ้ากลั้น แต่ทว่าใจของผมเตลิดไปไกลมากกว่านั้น



พรมจูบแผงอกกว้าง อยู่แบบนั้น อย่างอดไม่ได้



“ โซลอย่า ”

“  มึง กูจะไม่ไหวแล้ว เหมือนกูกำลังโดนไฟไหม้เลย มันร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว ”



เคลื่อนหน้าไปจับแก้มของนำทัพ แล้วหอม จูบ อยู่หลายครั้ง คนตัวสูง เบือนหน้าหนีสัมผัสของผม  พร้อมก้าวเท้ายาวด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น ก่อนจะเข้าสู่ลิฟท์แล้วลงไปยังชั้นล่าง



ยิ่งผ่านไปแต่ละชั้น

ผมก็ยิ่งอยาก



“  ทัพครับ จูบกูหน่อยสิ  นะ ขอร้อง ”

“ ไม่ .. มึงมีสติหน่อยสิ อย่าเป็นแบบนี้”

“ จูบโซลหน่อย ”

“ โซลมึงอดทนไว้ กูจะพามึงกลับบ้าน “



นำทัพพาผมมาหยุดอยู่ตรงรถยนต์คันหรู ก่อนจะวางผมลงที่เบาะประจำ ตั้งท่าจะเดินออกไป แต่ผมเร็วกว่า คล้าหมับที่คอเข้าให้ โน้มคนตัวสูงขึ้นมาจูบ ไม่ได้อยากได้ความนุ่มนวลหรือละมุนอะไรในตอนนี้



แค่อยากให้เขาตอบสนองผมก็พอ ...



นำทัพจูบตอบผมเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป จับแขนของผมไขว้หลัง แล้วมัดด้วยเสื้อยืดที่อยู่ใกล้ๆ  จากนั้นจึงใช้เข็มขัดนิรภัยล็อกตัวผมเอาไว้ 



ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการนี้ .. พร้อมกับความร้อนที่มี ทำให้ผมแทบคลั่งจนอยู่นิ่งไม่ได้



“ ปล่อยนะ มึงมัดกูไว้ทำไม ”

“ ไม่มัดมึงก็ไม่หยุดสิวะ ”

“ ปล่อยกู กูจะไม่ไหวอยู่แล้ว ”



แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ตอบรับในสิ่งที่ผมร้องขอ นำทัพรีบไปประจำที่ฝั่งคนขับ แล้วขับรถออกไปด้วยความเร็ว   สายตานิ่งมองไปข้างหน้าอย่างจดจ่อ  โดยไม่หันมามองผม



แสงไฟบนท้องถนน กับความว่างเปล่าในยามราตรี ไม่ได้ช่วงให้จิตใจของผมสงบขึ้นได้บ้างแม้แต่น้อย



ถึงตอนนี้ร่างกายของผมไม่อาจจะรับรู้กับเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวได้เลย

นอกจากหัวใจที่มันสั่นขึ้น

ตัวที่รุ่มร้อนดั่งไฟสุมให้ลุกโชน




และความกำหนัดในตัวที่พลุ่งพล่าน





จนผมไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้  ... อีกต่อไป !!!



-----------------
Talk :: หายใจหายคอกันแทบไม่ทัน …มาม่าจบแล้วนะครับ สุดท้ายครอบครัวก็ปรับความเข้าใจกันได้  …. แต่ตอนหน้า !!! ใบให้แค่ว่า “ ร้อนแรง ” จนต้องหาน้ำมาดับ !! อร๊ากกก อะหรือ อะหรืออออ ว่า…. จะมาแล้วววววว ฉากนั้น 
 :ling1: :katai4: :hao6: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai3:

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จร้ารา บุกเองเลยลูก

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
40

กันและกัน


ความร้อนในตัวเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่มีมีสิ่งใดที่จะฉุดรั้งเอาไว้ได้ เมื่อความอยากในกายด้วยฤทธิ์ยาวิ่งแล่นครอบงำทั่วทุกขณะจิต หัวของผมรู้สึกขาวโพลนไปหมด ปราศจากสิ่งใดนอกจาก



ความปรารถนาในเรือนกายของคนที่อยู่ตรงหน้า



ระหว่างทางขณะกลับห้อง ผมเหมือนคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คอยแต่ยั่วยวนนำทัพสารพัด แม้แขนจะถูกมัดไม่ให้หลุด แต่ปากก็คอยแต่เรียกชื่อเขา ส่งเสียงครางในลำคอ ไปตามแรงอารมณ์ในจิตใจ



มันเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมความรู้สึกตามสัญชาตญาณไม่ให้เกิดขึ้น

โดยเฉพาะกับคน .. ที่เราต้องการมาแสนนาน





ทันทีที่ถึงห้องนำทัพ รีบพาผมเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวหวังให้น้ำเย็นชำระล้างความร้อนแรงที่มีในกายของผมออกไปได้หมด ทว่าเปล่าเลย ยิ่งพยายามกลับยิ่งทำให้มันบานปลาย



จนไม่อาจฝืนได้ ... นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น

ไม่ว่าจะเก่งสักแค่ไหน มนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะชนะ



ความอยากของตัวเองไปได้หรอก  ... 



“ ทัพครับ ช่วยโซลด้วยโซลไม่ไหวแล้ว ร้อน ร้อนจนอยากจะคลั่งอยู่แล้ว ”

ความร้อนเริ่มทวีมากยิ่งขึ้น เมื่อคนตรงหน้าสัมผัสกายผม ใบหน้าของนำทัพตอนนี้มันยั่วยวนสายตาของผมหนักขึ้นกว่าเดิม  กล้ามเนื้อแขน ขา แผงอก ทุกส่วนในร่างกายเขา ผมอยากครอบครอง หรือหากทำได้ผมอยากกลืนกินเขาให้หมด ไม่แบ่งใคร

“มันจะดีหรอ .. กูไม่อยากทำมึงตอนนี้เลย”

นำทัพนิ่งอยู่นานเหมือนกำลังลังเลว่าจะตัดสินใจทำยังไงกับผมดี เหมือนเขาเองก็พยายาม สะกดกลั้นอารมณ์นั้นไว้ แต่บางท่าทีก็ดูราวกับอยากจะพุ่งเข้าหาผมแทบจะในทันที



อย่าปล่อยให้ผมรอนานไปกว่านี้เลย

จะไม่ไหวอยู่แล้ว



“ ทัพ .. ทำเถอะครับ ”

“ /// ”

“ โซลอยากเป็นของทัพนะครับ ... ทัพไม่อยากเป็นเจ้าของโซลหรอ ”

ส่งสายตาเว้าวอนอย่างถึงที่สุดไปให้ นำทัพจ้องมองผมพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นเรื่อแดงเต็มไปทั่ว ไล่ตั้งแต่ใบหูจนถึงลำคอ   เคลื่อนมือไปสัมผัสใบหน้าของคนรัก ไล้นิ้วเรียวสวยของตัวเองไปทั่วกรอบหน้า กับสายตาที่สื่อว่าผมแทบทนไม่ไหวแล้วไปให้เขา



ความอุ่นร้อนในกายของเขา แผ่ซ่านมาที่ฝ่ามือของผมจนรู้สึกได้ ยั่วยวนเขามากถึงเพียงนี้ ความรู้สึกของเขาก็คงไม่ต่างจากผม  และเหมือนจะจริงตามคิด เมื่อคนตรงหน้าจูบหลังมือผมเบาๆ ก่อนจะกระชากเอวผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่น  โน้มใบหน้าลงมาและไม่ให้ริมฝีปากของผมเป็นอิสระอยู่หลายนาที



เนิ่นนาน .. ตามความปรารถนา

หลับตาพริ้ม .. กับภาพที่เหมือนความฝันจนไม่อยากตื่น

ช่างเร่าร้อน รุนแรง  กับการบดขยี้



ไม่เหมือนกับการจูบคราวไหน



ทว่า ....



ผมไม่ได้ต้องการเพียงเท่านี้

ไม่ได้อยากได้แค่จูบ



แต่อยากได้มากกว่านั้น



ผมอยากเป็นของนำทัพเหลือเกิน !!!



ผมตอบรับสนองความต้องการของตัวเองอย่างไม่คิดจะหยุด ทำทุกอย่างที่อารมณ์บงกรให้เป็นไป โดยไม่ปิดกลั้น จนเมื่อปากเริ่มเจ่อบวมขึ้นเล็กน้อยคนกระทำถึงได้ยอมคลายมันออกไป

สายตาที่ไม่คุ้นชินของคนตรงหน้า สื่อให้รู้ว่าภายในใจของเขาเองก็ปลดปล่อยมันให้เป็นอิสระแล้วเช่นกัน  มองแล้วร้อนสลับหนาวจ้องไปทั่วร่างกายผม ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมาที่ใบหน้า สัมผัสไล้ลูบไปทั่วลำคอผม หยุดอยู่ตรงเสื้อเชิ๊ดดำที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำ

“ ถอดให้โซลหน่อยสิครับ ”

“ว่าอะไรนะ...”เสียงพร่าขัดขึ้นเหมือนไม่เชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ผมบอกให้เขาทำ

“ถอดเสื้อให้หน่อยสิครับ ” ตอนนี้ดวงตาที่ดูเหมือนตกใจในครั้งแรก ปรากฏความต้องการชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ตาผมจะพร่าเบลอแต่สมองก็ยังเข้าใจได้ดี

“จากนี้แม้โซลจะขอร้องให้ทัพหยุด ทัพก็จะไม่หยุดแล้วนะ แน่ใจแล้วใช่ไหม”

คำถามย้ำความมั่นใจเกิดขึ้นอีกครั้ง ทว่าอย่างไรคำตอบก็ยังคงเดิม แม้จะถามอีกสักกี่รอบ



ผมอยากให้นำทัพทำ ...



“ ก็ไม่ได้บอกให้หยุดนะ ”



ทันทีที่มั่นใจในคำตอบของผม มือนั่นก็เริ่มสัมผัสกระดุมเสื้อผมอย่างเบามือ ปลดจากบนลงไปด้านล่างทีละเม็ดช้าๆ

พร้อมกับผิวขาวนวลของผม ที่เผยทีละน้อย

จากลมหายใจที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆยามเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก เจ้าของมือหนาคล้ายไม่อยากรอให้เสียเวลาอีกจึงกระชากมันให้พ้นไปจากตัวผม

ใบหน้าร้อนผ่าว อย่างหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ว่ามาจากความอยากในกายหรือความอายจากสายตาที่จดจ้องอยู่บนยอดอกชูชัน แค่ถูกมองผมก็แข็งไปทั้งตัวแล้ว



นำทัพประคองเอวผมยกตัวให้สูงขึ้นสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกับริมฝีปากที่ครอบลงมาบนตุ่มไตข้างหนึ่ง

“อืมมม ดีจัง ” หลุดเสียงน่าอายออกมา แต่นั่นกลับทำให้ฝ่ายรุกพอใจมากยิ่งขึ้น เขาดูดดันอยู่อย่างนั้นเริ่มจากแผ่วเบาจนกลายเป็นหนักหน่วง สองขาที่ยืนเริ่มไร้เรี่ยวแรงจะประคองร่าง โชคดีที่แขนของนำทัพแข็งแรงพอให้ผมเกาะเอาไว้ได้มั่น ถึงได้ไม่ร่วงลงพื้น

“ แรงอีกครับ ... ตรงนั้นแหละ ดีมากเลยทัพ”

ร่างกายค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแรงกัดตรงส่วนปลายยอดอกที่ทำเอาผมร้องครางออกมา เผลอจิกแขนของนำทัพจนสุดแรง

“ไปต่อที่เตียงนะครับ ....  ”

ตัวลอยหวือขึ้นกลางอากาศ เกี่ยวกอดรอบคอและเอวสอบจนแน่น สองมือของนำทัพรองอยู่ใต้ก้นพาผมเดินเข้าไปในห้องนอนทั้งที่ตัวยังเปียกชุ่มอยู่แบบนั้น



แต่ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ....





ผมถูกวางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา พร้อมกับร่างคนอุ้มที่โถมตามลงมา ครั้งนี้นำทัพจอมหื่นพุ่งเป้าไปยังยอดอกข้างใหม่ ส่วนอีกฝั่งส่งปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งบดขยี้ลงไปแทน

ผมส่งเสียงร้องด้วยความเสียวกระสัน เมื่อถูกริมฝีปากอุ่นชื้นครอบลงมาบนเม็ดแข็งกลางอก ดูดสลับกับกัด ทำเอาผมสะดุ้งเป็นครั้งครา ฝ่ามือข้างหนึ่งสอดเข้าใต้แผ่นหลังรั้งแผ่นอกให้ลอยเข้าหาทั้งลิ้นทั้งปากเขาได้ถนัดยิ่งขึ้น

“ อ่า .. ซี๊ดดด ”  จิกหลังแกร่งนั้นด้วย ตรงเล็บเต็มแรง  บิดร่างกายพล่านไปมา สลับกับร้องครางในลำคอ

นำทัพย้ายจากยอดอกเมื่อมันบวมแดงขึ้นทั้งคู่ ไต่ริมฝีปากต่ำลงไปเรื่อยๆ ทุกจุดที่ลากผ่านทิ้งความร้อนผ่าวเอาไว้บนผิว พร้อมกับ หยุดดูด ฝากรอยช้ำเอาไว้เป็นระยะ ผมมองทุกการกระทำด้วยความพอใจ นำทัพดูหลงไหลกับร่างกายของผมมาก



ความอยากที่มีมันแทบจะลักออกมา

และเหมือนเขาจะคาดเดาความรู้สึกผมได้ จึงหยุดนิ่งเอาไว้ แกล้งผมให้ร้องหา



“ ที่รักครับ .... อย่าหยุดสิครับ ทำต่อนะครับ ”

“ รักทัพมั้ยครับ”

“ รักครับ ”

“ อยากเป็นเมียทัพมั้ยครับคนเก่ง”

“ อยากครับ .. อยากมากเลยครับ ทำโซลต่อนะครับ ”



ไม่ว่าตอนนี้ เขาจะให้ผมทำอะไร หรือ พูดอะไร ก็ยินดีทำตามทุกอย่าง



นำทัพเริ่มสัมผัสอีกครั้ง จากจูบวนอยู่ตรงหน้าท้องก็ไล่ริมฝีปากไปที่สะโพก เม้มปากแน่นจนเจ็บจี้ดที่ผิวบางเป็นบางจุด เขายังวนเวียนจูบหนักสลับเบา  ปลดกระดุม รูดซิบลง ดึงทึ้งกางเกงผมออกจากตัวโยนทิ้งไป

“ อ่า” คราวนี้นำทัพกัดลงมาที่ข้างสะโพกตัวผมลอยขึ้น แผ่นหลังไม่ติดพื้นเตียงเป็นระยะตามแรงกัดนั้น

ก่อนที่ทุกอย่างจะพร่าเบลอไปมากกว่านี้ จึงส่งมือไปที่ เสื้อเชิ๊ดของเขา  รีบปลดกระดุมออกด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะเคลื่อนลงมาที่ กางเกงยีนส์สีเข้มของคนด้านบน ปลดและรูดซิปลงจนเกิดเสียง

“ ขอกูสัมผัสกับของมึงนะ ”

“ได้สิครับ ร่างกายนี้เป็นของโซล ” ผมเคลื่อนใบหน้ากลับขึ้นไปเสมอกับเขาอีกครั้ง ป้อนจูบที่รุนแรงกว่าครั้งไหน

ริมฝีปากบดเบียดกันจนแสบแต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

 “ ให้กูทำให้มึงบ้างนะ ”

ผมจ้องตากลับตอบเสียงแผ่วแต่มั่นคงขณะดันขอบกางเกงในสีขาวของนำทัพหลุดลงไปพ้นสะโพกแน่น

“เอาเลยโซล .. นำทัพน้อยมันรอมึงจัดการแล้ว ”

นำทัพจับส่วนแข็งกลางลำตัวขึ้นไว้ จ่อมาที่ปากบางของผม อ้ารับสิ่งที่ปรารถนานั้นไว้ด้วยความเต็มใจ รสมันหอมหวาน แถมยังร้อนจนทำเอาปากของผมอุ่นตามแรงขยับเข้าออกของตัวเอง  เมื่อชิมรสชาติจนอิ่มหนำแล้ว ผมจึงคลายมันออก แล้วขยับตัวให้นอนแผ่หงายอยู่บนเตียง  โชว์ผิวขาวยั่วยวนเชื้อเชิญฝ่ายรุกให้ก้าวเดินเข้ามา



นำทัพค่อยๆ คลานขึ้นเตียง มาอย่างช้าๆ หยุดคร่อมอยู่ตรงหน้าผม  เผยอปากให้เขารู้ว่าผมอยากมากแค่ไหน พร้อมยกมือขึ้นคล้องรอบลำคอหนา ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างมีความหมาย ก่อนจะแยกปลายเท้าทั้งสองข้างออกจากกัน  ไร้ซึ่งความอายใดๆ  นอกจากแรงอารมณ์ที่มีอยู่ในกายอย่างล้นเปี่ยม  ทั้งห้องมีเพียงเสียงลมหายใจถอบถี่สลับกับเสียงครางในลำคอของผมออกมาเบาๆ

 “ สอดใส่มันเข้ามาเลยครับ อยากมาเหลือเกิน ” เสียงแตกพร่าคำรามราวกับสัตว์ร้ายอยู่ในลำคอ สายตาดุดัน

ของผม หลุดคำหยาบออกมาอีกหลายคำ

การกระทำฝ่ามือร้อนก็ตะปบลงมาที่แก้มก้นบีบเค้นคลึงรุนแรงจนผมสะดุ้งเฮือก นำทัพแนบร่างตัวเองทาบทับลงมา คลอเคลียริมฝีปากและตัดติ่งหูผมเบาๆ เพิ่มความเสียวซ่านให้เป็นเท่าตัว

“ ทัพขอสามรอบนะครับ คนเก่ง โซลยั่วมากจริงๆ ”

“ได้สิครับ สำหรับทัพ จะเอาให้โซลตายอยู่ตรงเตียงนี้เลยก็ได้ ยอมแล้วทูนหัว ”

“ทัพจะฟัดให้แหลกคามือเลย  เป็นเมียทัพนะครับ ”

ผมสติผมเริ่มพร่าเบลอ สมองฟุ้งๆเหมือนอยู่ในความฝันตลอดเวลา  มันเป็นฝันดีที่มีความสุขมากที่สุด เท่าที่เคยฝัน

ก่อนจะรับรู้ว่าบางอย่างถูกกดเข้ามาในร่างกาย  ผมสะดุ้งเฮือกกับสิ่งแปลกปลอมแรก ที่ฝ่าด่านเข้ามา มันเป็นครั้งแรก และ สิ่งแรกที่ผมเคยสัมผัส



“ ฮึก ... เจ็บ...เสียว”

ความรู้สึกทั้งเจ็บ ทั้งเสียวปะปนกันอยู่แบบนั้น นำทัพเสียบคาแท่งร้อนไว้ ยังไม่ขยับตัวเพื่อให้ความเจ็บผมบรรเทาลงก่อน ประกอบกับให้ส่วนหลังของผมคุ้นชินกับแท่งแข็งนั้น ริมฝีปากของผมเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายของนำทัพที่พรมจูบ กระตุ้นอารมณ์ให้ผมลืมความเจ็บในตรงนั้น



ซึ่งมันได้ผล ในที่สุดเขาก็เริ่มขยับตัว ตามมาด้วยความเสียวที่ผมไม่เคยได้สัมผัสที่ไหน



 “ แน่นมากเลยครับเมีย มันรัดแน่นจนขยับไม่ได้เลยครับ ”

“ กระแทกแรงๆ สิครับ อย่าช้าสิ ”

นำทัพสอดมือเข้ามาที่ข้อพับใต้เข่า จับขาผมขึ้นพาดกับบ่าของเขาให้อยู่ในท่าที่ถนัด กับการเคลื่อนไหว แล้วเริ่มขยับเชื่องช้าแต่หนักหน่วง กระแทกเข้ามาจนผมร้องเสียงหลง

ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน...

ทั้งทรมาน

ทั้งสุขสม

“ ทัพรักโซลนะครับ ”

“ เสียว .. ซี๊ด ”

“ รักทัพไหมครับ ”

 “ ทัพ...อ๊ะ...อ่า .... รักทัพครับ ” ผมบอกเสียงสั่นตามร่างกายที่ถูกกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงกระซิบหวานหูตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

“ รักมากนะครับ เด็กดื้อของทัพ ”

แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็ไม่มีเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงบอกรักของนำทัพ สลับกับเสียงร้องครางของผม

ตลอดทั้งคืน





-----------------


สิ่งแรกที่ผมรับรู้ได้ในตอนนี้ เมื่อสติทุกอย่างกลับมาเป็นปกติคือ



เจ็บชิบหาย !!!



นี่ผมไปโดนรถชนมาหรือยังไงกัน ทำไมมันถึงได้ปวดร้าวระบมทั้งช่วงล่างตั้งแต่ส่วนนั้นไปจนถึงปลายเท้า แสนจะเมื่อยล้าเต็มที จนแทบจะไม่มีแรงเคลื่อนไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย ขยับเพียงนิด ความเจ็บก็วิ่งแล่นไปทั่วจนผมต้องร้องออกมาเสียงดัง



“ โอ๊ยยย ”



ต้องหยุดทุกการเคลื่อนไหวไว้ เพื่อให้ความเจ็บมันทุเลาลง ได้แต่นอนหงายมองเพดานที่คุ้นตา กับภาพความทรงจำสุดท้ายเท่าที่สมองจะบันทึกเอาไว้ได้



เร่าร้อน ...

ต้องการ



และรุนแรงเหลือเกิน !!!





นำทัพไม่อ่อนโยนกับผมเลยแม้แต่น้อย



“ ตื่นแล้วหรอ มึงเป็น ......”

ผมหันไปตามเสียงทุ้มของคนที่นอนอยู่ข้างกาย พบว่าใบหน้าคมนั้นอยู่ห่างจากหัวของผมเพียงไม่กี่นิ้ว ทำเอาใจผมเต้นตึกตักด้วยความเขินอายกับสิ่งที่กระทำลงไป

“… ยังไงบ้าง ”

รีบดึงผ้าห่มที่คลุมส่วนอก ขึ้นมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ ยังไม่พร้อมจะเห็นหน้าของคนที่เอาแต่ยิ้มยั่วผมอยู่แบบนั้น ถึงจะรู้ตัว ว่าเป็นคนเริ่ม แต่ผมก็ไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้นสักหน่อย



ใครจะคิดว่าฤทธิ์ยาจะทำให้ผมกล้าได้มากแบบนั้น

ผิดกับตอนนี้ที่โคตรจะหน้าบางเลย



อยากหายไปจากตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย  !!!



“  เอาผ้าห่มปิดหน้าแบบนั้นทำไม เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก  ”

อย่าย้ำได้ไหมขอร้องหละ แค่นี้ก็ร้อนหน้าไปหมดแล้ว ไม่เพียงแค่นั้นคนข้างๆยังใช้มือดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าผมไว้ พยายามรั้งมันให้ลง ต่อสู้กับแรงยื้อของผมที่ไม่ยอมเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างงัดแรงเท่าที่มีออกมา

“ ถ้าไม่หยุดจะทำอีกนะ ”



กึก !!!



แรงที่มีถดถอยเหลือเพียงความนิ่งงัน ด้วยรู้ดีว่าคนข้างๆ ทำจริงตามพูดแน่นอน ไม่ช้าผ้าห่มที่คลุมหน้าผมไว้ ก็เคลื่อนลงตามแรงดึงของคนตัวโตกว่า  เผยให้เห็นดวงตาสวยคู่เดิมที่ชอบจ้องมองผม บัดนี้เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจอย่างถึงที่สุด กับแววตาที่แฝงไปด้วยความรัก ตามแบบฉบับของคนที่



ตกเป็นของกันและกันแล้วเมื่อคืน !!!



“ อย่าจ้องแบบนั้นสิ ..กูทำตัวไม่ถูกเลย”

เมื่อไม่มีผ้าห่มให้ผมได้ใช้แอบซ่อนใบหน้าแล้ว จึงเลือกแผงอกกว่างที่อยู่ใกล้แทน ทว่าทำไมหัวใจผมเต้นตุบๆ แรงหนักขึ้นกว่าเดิมแบบนี้นะ

“ เจ็บมากไหมครับ ไหนบอกทัพก่อน ”

คางผมถูกเชยขึ้นด้วยมือของนำทัพ ใบหน้าที่พยายามหลบซ่อน เงยขึ้นตามแรงจนหยุดอยู่ใกล้เขาเพียงคืบ ก่อนนำทัพจะเคลื่อนจมูกเข้ามาจูบให้สัมผัสเบาตรงบริเวณหน้าผากอย่างอ่อนโยน



ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ขึ้นเยอะเลย ... สัมผัสอุ่นของเขา



“ เจ็บ ”

ตอบได้แค่นั้น แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนลงมือเมื่อคืน ยิ้มกว้างขึ้นมาได้บ้าง ภาพของคนที่หื่นกระหายมันย้อนกลับมาในความทรงจำของผมแทบจะทันที พร้อมเสียงบอกรักแทบนับไม่ถ้วนที่ก้องอยู่ในโสตประสาทของผม



สีหน้าของนำทัพเมื่อคืนคือแบบ .... โคตรเซ็กซี่เลย



“ ขอโทษนะ ที่ทำให้เจ็บตัว ”

“ ไม่เป็นไร ”

จะบอกว่าเพราะผมเองก็กระดากปาก แม้ความจริงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ... แกล้งทำเป็นลืมไปคงดีกว่า



แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว



“ แต่เมื่อคืนโซล น่ารักมากเลยนะ รู้ตัวไหม”

“ หยุดพูดเรื่องนี้ได้ไหม กูอาย ”

“ ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย.. เพราะตอนนี้เราสองคน....”

อะไร ... ทำไมมองหน้าแบบนั้น

“ เป็นของกันและกันแล้วนะ ”

ร่างของผมถูกนำทัพรวบเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแบบไม่ได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น

“ ทัพรักโซลนะครับ ”

“ โซล .. ก็รักทัพเหมือนกัน ”



หลับตาลงอีกครั้ง เพื่อรับสัมผัสอุ่นที่ริมฝีปาก คราวนี้มันอ่อนโยน นุ่มนวล มือแกร่งที่แผ่นหลังขยับเล็กน้อยลูบวนอยู่แบบนั้น ชวนให้ใจผมคิดดีไม่ได้



เมื่อคืนมันอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้เราล่วงล้ำไปอย่างนั้น



ทว่า ณ ตอนนี้ ....



สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มาจากความรู้สึกแท้จริงของเราทั้งคู่ ที่ปรารถนาซึ่งกันและกัน  โดยมีเหตุมาจาก



ความรัก !!!



เมื่อใจสองดวง กับ ร่างเปลือยเปล่าที่เรียกร้องให้ต่างฝ่ายต่างกอดรัดไว้แน่น

ประกอบความรู้สึกที่มี อย่างล้นเอ่อ ....



เราสองจึงได้เริ่มต้น มอบความสุข

หล่อรวมร่างเป็นหนึ่งเดียว

อีกครั้ง !!!




-------------

Talk :: ครั้งเดียวไม่เคยพออะเนาะ … จากนำทัพคนละมุนเป็นคนหื่นแห่งปีขึ้นมาทันที  !! คลั่งรักแหละดูออก


 :katai1: :katai2-1: :mew1: :hao7: :hao6: :katai1: :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2020 15:38:48 โดย Blueribbon »

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด