บทที่ 5 ความจริงที่ไม่อยากรู้ 100%
*คำเตือน มีฉากไม่เหมาะสมนะคะ การกระทำของตัวละครไม่เหมาะสมนะคะ ไม่ควรทำตาม*
วันนี้ที่โรงเรียนไม่ได้น่าสนใจอีกต่อไป ภีมพล อรรถจิรานันท์ นั่งเหม่อมองเมฆสีขาวที่ลอยเกลื่อนอยู่บนท้องฟ้าผ่านหน้าตาของห้องเรียน ที่มีอาจารย์กำลังบรรยายเนื้อหาอยู่ที่หน้าชั้นแต่เขากับไม่ได้ให้ความสนใจกับเนื้อหาตรงหน้ามากเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่กำลังวิ่งไปมาในหัวของเขาตอนนี้มันกวนใจเขาจนเขาไม่มีสมาธิ มันทำให้เขาเครียดตั้งแต่คืนนั้น
คืนที่พ่อกลับมาจากถ่ายงานที่ต่างจังหวัด
ถ้าเขาไม่บังเอิญไปได้ยิน...อะไรๆคงจะดีกว่านี้
"พี่ถึงบ้านแล้ว"
"..."
"เขมอย่าอ้อนพี่ เราเพิ่งแยกกันเองนะ"
"..."
"อีกไม่กี่วันก็เจอกันที่กองถ่ายแล้ว"
"..."
"คิดถึงครับ พี่รักเขมนะ"
"..."
"เซ็กส์โฟนเหรอ...ได้สิ"
วันนั้นเขายังไม่ได้นอนเพราะกำลังเล่นเกมกับเพื่อนอยู่ ระหว่างนั้นเขาเกิดหิวขึ้นมาเลยกะว่าจะลงมาหาอะไรทานที่ห้องครัว แล้วเขาก็เจอเข้ากับพ่อที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ เขาได้ยินทุกอย่างทุกคำของพ่อกับคนปลายสาย เขาจำได้ทุกจังหวะการหายใจและเสียงร้องของพ่อ มันน่ารังเกียจและสะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก เขาเดินหนีกลับเข้ามาในห้องปิดประตูและปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ
เขารู้ว่าพ่อนอกใจแม่
การกระทำแบบนี้ของพ่อทำให้เขาหมดความศรัทธาในตัวของผู้ชายที่ชื่อว่า เรวัต รุ่งเช้ามาเขาแทบไม่อยากที่จะพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ ตลอดระยะเวลารับประทานอาหารเช้าจึงมีแต่เสียงน้องชายของเขาเจื้อยแจ้วกับผู้ชายคนนั้น สายตาของเขาไม่มองไปที่ผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าพ่ออีกเลย
แต่เขามองไปยังที่แม่ของเขาต่างหาก
ในเช้าวันนั้นแม่ก็มีสายตาเศร้าหมอง ดูวิตกกังวลและเครียดกับบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
เขาคิดว่าแม่อาจจะรู้...หรือระแคะระคายเรื่องของพ่อขึ้นมาบ้าง
แล้วทำไมแม่ไม่บอกพวกเรา...แม่ตั้งใจปิดบังพวกเราอย่างนั้นเหรอ
เขารับรู้ได้ถึงความอึดอัดบนโต๊ะอาหารนี้ เขาสงสัยว่าทำไมพ่อถึงทำอย่างนั้น ทำไมเลือกที่จะทำร้ายกันหรือเพราะพ่อไม่รักไม่แคร์กันแล้ว แล้วทำไมแม่ถึงไม่บอกพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้...เขามั่นใจว่าแม่รู้ จากสายตาที่แม่มองพ่อ มันมีทั้งความผิดหวังและคำถามเหมือนกับเขาในตอนนี้ เขาอยากแน่ใจมากยิ่งขึ้นว่าแม่เองก็รู้เรื่องนี้บวกกับถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาคิดครอบครัวของเราคงไปต่อไม่ได้ เขาอยากใช้ช่วงเวลานั้นอีกสักครั้งไม่ใช่เพื่อเขาแต่เพื่อน้องชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก เขาจึงเอ่ยมันออกไป
"วันนี้แม่ไม่ไปส่งด้วยเหรอครับ"
"อะ...อืม วันนี้ให้คุณพ่อไปส่งนะลูก"
"แต่ผมอยากให้แม่ไปด้วย"
แววตาของแม่ชะงักไปก่อนที่จะเอ่ยบ่ายเบี่ยงออกไปแต่สุดท้ายก็ต้องไปด้วยกันอยู่ดี แววตาที่ชะงักไปของแม่แสดงออกชัดเจนว่า ไม่อยากไป มันทำให้เขารู้ทันทีว่าแม่คงรู้ในเรื่องเดียวกันกับเขาในตอนนี้
เขาสงสารแม่ และพร้อมจะอยู่ข้างแม่เสมอ
แต่ความคิดเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อผู้ชายคนนั้นเข้ามา
แม่บอกว่าเป็นคนรู้จักแต่กลับชวนมาทานข้าวในตอนที่พ่อยังไม่กลับบ้าน คุณนักเขียนคนข้างบ้าน เขามองสายตาของอีกฝ่ายออกว่าคิดอย่างไรกับแม่ของเขาแม้มันจะมีความสงสารเจืออยู่แต่มันก็กลบแววตาอีกแบบหนึ่งไม่ได้ ทันทีที่แม่ออกไปส่งผู้ชายคนนั้นพ่อก็กลับมา เขาเห็นว่าทั้งคู่ทะเลาะกันผ่านหน้าต่างห้องของเขา เขากลัว...กลัวว่าภาณินจะได้ยิน ภายังไม่พร้อมที่จะรับมือกับความแตกหักของครอบครัวนี้ เขาจึงเดินไปที่ห้องของน้อง ก็เห็นว่าอีกคนนอนหลับโดยใส่หูฟังอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เขาจึงวางใจ ในตอนที่กำลังจะกลับห้องเสียงของพ่อกับแม่ก็ดังขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน
"แล้วพามันมากินข้าวในบ้านทำไม!"
"พัดเหงาไง! ผัวไม่กลับบ้าน"
ขาของเขาชะงักอยู่ที่หน้าประตูห้อง เขาไม่มีแรงที่จะเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตูหน้าห้องด้วยซ้ำ เขายืนนิ่งๆปล่อยน้ำตาให้ไหลเงียบๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงแม่เดินขึ้นบันไดมา เขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่เหลือเปิดประตูก่อนจะปิดและนั่งลงพิงประตูอยู่อย่างนั้น เขานั่งกอดเข่าร้องไห้ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้แม่หรือใครได้ยิน
ทำไมเขาทั้งสองคนถึงทำแบบนี้
พวกเขาประชดกันไปมาแต่ไม่แคร์ความรู้สึกของเขากับภาณินเลย
เขารู้ว่าพ่อผิดที่นอกใจแต่ทำไมแม่ถึงไม่บอกพวกเราและก็ถอยออกมา ทำไมถึงเลือกที่จะประชดพ่อด้วยการพาผู้ชายอีกคนหนึ่งเข้ามา แม่แค่อยากประชดพ่อจนไม่สนใจความรู้สึกของพวกเราเลยเหรอ ถ้ารู้ความจริงแล้วต้องเจ็บปวดอย่างนี้
เขาขอเลือกไม่รับรู้เลยจะดีกว่า
ในเช้าวันต่อมาพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ไม่ได้อยู่รอกินข้าวเช้าด้วยกันจึงเหลือเพียงแค่แม่ เขา และภาณินเท่านั้นบนโต๊ะอาหาร
"ทำไมวันนี้พี่ภีมดูแปลกๆ ไม่สบายเหรอ"
"นั้นสิ ภีมหน้าซีดมากเลยนะ"
"ผมโอเคครับ" เขาเลือกที่จะบอกปัดออกไปและพยายามสังเกตแม่อยู่ตลอดเวลา เขาถึงเห็นว่าดวงตาของแม่ก็ยังร่องรอยความเสียใจอยู่ไม่ต่างกันกับเขามากนัก แล้วทำไมยังทน ทำไมยังไม่พูดความจริงกับเขาและภา
"พรุ่งนี้วันเกิดใครครับ"
"ภาเอง เย่ๆๆๆ" เขาหันไปมองรอยยิ้มและสีหน้าดีใจของน้องชายแล้วก็เกิดความรู้สึกเศร้ากัดกินในหัวใจ ถ้าวันหนึ่งมันหายไป เขาคงเสียดายมาก
"อยากจัดงานชวนเพื่อนมาไหม"
"ไม่ครับ แค่กินข้าวที่บ้านก็พอภาอยากกินข้าวกับแม่ กับพี่ภีมแล้วก็กับพ่อ" แม้จะเป็นแค่คำขอแสนเรียบง่ายแต่เขารู้ว่ามันคงเป็นไปได้ยาก เขาหันไปสังเกตผู้เป็นมารดาแม้จะแววตาความเสียใจแสดงออกมาแต่แค่เพียงแวบเดียว
มันก็หายไป
"โอเคครับ แต่พ่อเขางานหนักแม่ไม่แน่ใจว่าจะมาได้ไหม" เขารู้...รู้ว่านั้นมันคือข้ออ้าง จากเหตุการณ์เมื่อคืนเขาก็พอที่จะเดาออกว่าพ่อไปไหนมา ถึงได้กลับบ้านช้ากว่าปกติ
"แต่พ่อสัญญากับภาแล้ว พ่อไม่เคยผิดสัญญา" ความหวังเขาเห็นสิ่งนั้นอยู่ในแววตาของภาณินเต็มเปี่ยม เพราะว่าครอบครั้งของเขาแทบไม่ค่อยอยู่ด้วยกันครบเท่าไหร่ ด้วยงานของพ่อทำให้ต้องกลับบ้านดึกหรือไปต่างจังหวัดอยู่ตลอดเวลา แล้วยิ่งในตอนที่สถานะทางครอบครัวของเราตอนนี้ไม่ปกติ เขากลัว
กลัวว่าแววตาของน้องชายเขามันจะไม่เหมือนเดิมตลอดไป
"ภีม...มึงเห็นข่าวยัง" ในตอนบ่ายของวันนั้นขณะที่พวกเขากำลังรออาจารย์เข้ามาสอน ชมพู่ เพื่อนในกลุ่มของเขาที่คอยเป็นนกพิราบกระจายข่าว ก็หันมายื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้เขา
'หวานมากน้ำตาลไม่ต้อง อดีตนักแสดงหนุ่มชื่อดังโผล่เซอร์ไพรส์สามีถึงกองถ่าย'
เมื่อเขาอ่านเนื้อหาข่าวจบ ก็พอจะรู้ว่าในข่าวหมายถึงแม่ของเขาที่วันนี้ไปกองถ่ายเพื่อนำอาหารกลางวันไปให้พ่อ
"แม่กับพ่อมึงโคตรหวานอะ แต่งกันมาหลายปีแล้วยังสวีทอยู่เลย"
"ใช่ๆ กูอยากมีแบบนี้บ้าง"
ถึงแม้จะมีคนอิจฉาเขาที่พ่อกับแม่ของเขายังสวีทกันตลอดแม้จะแต่งงานกันมาแล้วหลายปี แต่เขากลับไม่ได้ดีใจเลยสักนิด เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้ มันก็แค่ฉากหน้าสวยหรูที่ข้างในมันเละจนน่าขยะแขยงขนาดไหน เขาคิดว่าเขารู้เหตุผลของการโผล่ไปกองถ่ายของแม่ในครั้งนี้
เขม หรือ เขมินทร์ อินทร์วรัฐ เป็นหนึ่งในนักแสดงในละครเรื่องนี้และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ครอบครัวของเขาเป็นแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรต้องการเงินหรือต้องการพ่อ และเขาเองก็ไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรถึงได้ทำแบบนี้
เขาไม่ชอบเลยกับการที่แม่ต้องไปฟาดฟันกับใครเพื่อยื้อพ่อไว้
ในเมื่อพ่อไม่ได้รักไม่แคร์เราแล้ว แม่จะไปสนใจทำไมกัน
"กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" เขาขอแยกตัวออกมาจากห้องเรียนก่อนที่อาจารย์คาบต่อไปจะเข้าสอนเพื่อไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องน้ำข้างตึกเรียน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีจะเข้าเรียนภายในห้องน้ำจึงเงียบสนิท
ไม่มีใคร...ไม่มีเลย
เขานั่งลงบนชักโครกในห้องน้ำห้องสุดท้าย เริ่มที่จะปล่อยให้น้ำตาไหลและใช้มือปิดปากตัวเองไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไป เขาอึดอัดกับสถานะครอบครัวในตอนนี้ เขาไม่อยากแม้แต่จะกลับบ้านด้วยซ้ำ มันไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน ทุกอย่างที่แสดงออกมาในตอนนี้มันล้วนเป็นแค่ภาพมายา พ่อไม่ได้ต้องการเราแล้ว มันกำลังจะพัง กำลังจะแตกและหักกระจายในไม่ช้า เขาเองถึงแม้ไม่อยากให้พ่อกับแม่หย่ากัน แต่เขาก็ทนรู้สึกอึดอัดแบบนี้ต่อไปไม่ไหว
เขากำลังสับสน สับสนเกินไป
เขาเกลียด...เกลียดพ่อ เกลียดผู้ชายคนนั้น เกลียดในสิ่งที่พ่อทำ
พ่อทำร้ายทุกคน ทำร้ายแม่ ทำร้ายเขา ทำร้ายภาณิน แต่ในใจของเขาลึกๆ กลับไม่ได้ต้องการให้มันจบลงที่การหย่า เขาไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กบ้านแตก ขาดความรัก ขาดความอบอุ่นเพราะครอบครัวแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่ในสิ่งที่แม่กำลังทำเหมือนแม่กำลังยื้อผู้ชายคนนั้นเอาไว้ ให้เขาทำร้ายเราต่อไปเรื่อยๆ สิ่งนี้มันกำลังทำให้เขาไม่พอใจ เขาไม่ได้อยากถูกทำร้ายซ้ำๆ แบบนี้
เขาเครียด...เครียดเกินไป เขาเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง อยากใช้ชีวิตแบบเด็กคนหนึ่งแบบเด็กปกติเหมือนคนอื่นไม่ได้เลยเหรอ
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังอยู่ตรงหน้าเขา มีคนยังอยู่ในห้องน้ำอย่างนั้นเหรอ
ก๊อกๆๆ
"มีคนเข้าห้องน้ำอยู่" เขาส่งเสียงตอบออกไป
"ร้องไห้?" เสียงทุ้มหน้าประตูห้องน้ำตอบกลับมาด้วยคำถาม ผู้ชายคนนี้รู้ว่าเขากำลังเสียใจ
"..."
"ออกมานี่" เขาเลือกที่จะตอบอีกฝ่ายด้วยความเงียบ แต่อีกคนกลับเรียกให้เขาออกไปหา ภีมพลเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มออกแล้ว เปิดประตูเดินออกมาที่หน้าห้องน้ำ เขาเจอเข้ากับร่างสูงใหญ่ในชุดนักเรียนกางเกงสีดำ ดวงตาตี่เล็กแต่ก็น่ามอง เมื่อรวมเข้ากับปากกระจับของอีกคนบวกกับจมูกโด่งนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหล่อ เหลือบมองบนปกเสื้อก็เจอเข้ากับจุดสามจุดเช่นเดียวกันกับเขา ผู้ชายตัวสูงหน้าขาวตี๋คนนี้อยู่ชั้นเดียวกันกับเขาไม่ผิดแน่ แต่เขามั่นใจว่าไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน
"..."
"..." เราเลือกที่จะพูดคุยกันด้วยความเงียบ ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาและเขาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเช่นเดียวกัน
"จวิ้น"
"หื้ม?" ผู้ชายตัวสูงพูดผ่ากลางความเงียบออกมาแต่เขาฟังไม่ทัน จึงทำหน้าสงสัยออกไป คนตรงหน้าคงจะเข้าใจจึงพูดอีกครั้งพร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เขา
"จวิ้น"
"จวิ้น...คืออะไร"
"ชื่อกู...จวิ้น"
"อ่า...ชื่อแปลกว่ะ"
"ภาษาจีน" ไม่น่าจะเดายากว่าชื่อของคนตรงหน้าต้องเป็นภาษาจีน ก็หน้าตี๋ซะขนาดนี้
"ภีม ชื่อกู" แนะนำตัวเสร็จสรรพ ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่
"กูเพิ่งย้ายมา"
"ถึงว่าไม่คุ้นหน้า" อีกฝ่ายเริ่มที่จะเล่าเรื่องของตัวเองออกมาบ้าง
"อืม ยินดีที่ได้รู้จัก" คนตรงหน้าเขาเป็นคนนิ่งๆ หน้าตามันยังนิ่งจนเขากลัวแต่ก็ดีเหมือนกันผูกมิตรกันไว้ดีกว่าเป็นศัตรู มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแบบงงๆ
"กูได้ยินมึงร้องไห้"
"..."
"ขอโทษ" อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ว่าเอ่ยบางอย่างที่มันกระทบจิตใจเขาออกมาถึงได้ขอโทษ ดูเป็นคนใส่ใจคนอื่นผิดกับหน้าตานิ่งๆ ไม่เป็นของเข้าตัว
"ไม่เป็นไร...กูร้องไห้จริง"
"ลองไหม...มันช่วยคลายเครียด" มือขาวของอีกคนยื่นซองสีเงินมาให้เขาข้างในมีม้วนกระดาษหลายม้วนอัดกันอยู่
บุหรี่...นั้นคือสิ่งที่อีกคนหยิบยื่นไมตรีมาให้
"กูไม่เคยสูบ"
"อืม" มือขาวกำลังจะเก็บมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงแต่เขามือไวกว่า ถึงคว้ามันได้ก่อน
"หื้ม?"
"อยากลอง" เขากำลังเครียด และต้องการผ่อนคลาย เขาเคยเห็นผ่านตามาบ้างว่าบุหรี่มันจะช่วยบรรเทาความเครียดได้บ้าง เขาเคยเห็นพ่อสูบตอนที่กำลังเครียดกับงาน
มันน่าจะช่วยเขาได้...ในตอนนี้
"อืม" จวิ้นหยิบม้วนกระดาษสีขาวขึ้นมาก่อนที่จะจุดมันด้วยไฟแช็กและส่งมันมาให้กับเขา แต่เขากลับนิ่งและมองมันอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่ากลัว เพียงแต่
"ทำยังไง"
"เอาใส่ปาก...แล้วดูดลมเอาควันเข้า" อีกฝ่ายทำให้เขาดูก่อนแล้วส่งมันให้เขา เขายื่นมือไปรับมาก่อนที่จะใช้มือสั่นๆ ของตัวเองบังคับเอามาชิดปากของตัวเองและคาบมันไว้ ก่อนที่จะดูดลมตามที่อีกฝ่ายบอก
"แค่กๆๆ" แต่เขาก็สำลักควันของมัน รสชาติของมันขมปร่า เขารีบยื่นมันคืนอีกฝ่ายทันที
"หึๆ" เขาได้ยินเสียงหัวเราะมาจากร่างสูงจึงตวัดสายตาค้อนมอง แต่อีกคนก็ยังไม่หยุดหัวเราะ
"ไม่ต้องมาขำ ไม่เอาแล้ว ขมสัส" เขาว่าก่อนจะเดินจากมา ต้องรีบไปเข้าห้องเรียนเพราะเขาออกมาเข้าห้องน้ำนานเกินไปแล้ว แต่ขาที่กำลังจะเดินขึ้นอาคารเรียนก็ต้องชะงักอีกครั้งเพราะเสียงทุ้มต่ำเรียกเอาไว้
"เดี๋ยว!" เขาหันไปตามเสียงก็เจอเข้ากับร่างสูงใหญ่ของอีกคนที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกัน
"มึงอยู่ห้องไหน" เสียงทุ้มเอ่ยถาม
"3/1" แล้วเขาก็ตอบมันกลับไป อีกฝ่ายจ้องตาเขาก็จะส่งเสียงหัวเราะเบาๆออกมาแล้วก็บอกแค่ว่า เจอกัน ก่อนจะเดินแยกจากไปอีกทาง
เขากลับมาถึงบ้านพร้อมกับภาณินในตอนเย็นแต่กลับไม่พบใครเลย เขาคิดว่าแม่คงยังไม่ได้กลับมาจากกองถ่ายของพ่อจึงบอกให้ภาขึ้นไปทำการบ้านบนห้องก่อนแล้วเขาจะไปเรียก
Rrrrrrrrrrr
ในขณะที่เขากำลังนั่งรอแม่กลับมาอยู่นั้นโทรศัพท์ของเขามันก็ขึ้นแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กว่ามีคนส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนมาให้ และพอเขากดเข้าไปดูก็พบว่าเจ้าของเฟซคนนั้นคือ
'๋jwin jaron' รูปโปรไฟล์เป็นของผู้ชายตัวสูงที่เขาเพิ่งจะรู้จักวันนี้กำลังพ่นควันบุหรี่อยู่ จวิ้น จารณน์ งั้นเหรอ
นิ้วเรียวกดลงไปยังปุ่มตอบรับคำขอเป็นเพื่อนแล้วก็วางโทรศัพท์ลงเมื่อเขาได้ยินเสียงรถดังมาจากหน้าบ้าน เขาเห็นแม่กำลังบอกลาน้านิ่มก่อนที่จะเดินเข้าบ้านมา แต่ก็ถูกคุณนักเขียนข้างบ้านเรียกเอาไว้ก่อน เขาพูดคุยกันสักพักก่อนที่คุณลุงคนนั้นจะวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วกับออกมาพร้อมถุงบางอย่าง เขายื่นมันให้กับแม่ของเขา แววตายิ้มไปด้วย และเขาก็สังเกตว่าแม่ของเขาเองก็มีแววตาแบบนั้นเช่นเดียวกัน
แม่ยิ้มให้กับผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน
คิดมาถึงตรงนี้ใจเขาก็ปวดหนึบขึ้นมา แม่ก็จะทำเหมือนที่พ่อทำร้ายพวกเรางั้นเหรอ ใจร้ายกันไปหน่อยไหม เขากับน้องยังสำคัญสำหรับทั้งสองคนอยู่หรือเปล่า เขาพยายามไม่คิดให้ร้ายแม่แบบนั้นแต่ทุกอย่างก็จะวนกลับมาที่เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แม่บอกว่าเพิ่งรู้จักผู้ชายตรงหน้า แม่พาเขาเข้ามาทานข้าวเย็นด้วยกัน แม่บอกว่าที่ทำแบบนั้นเพราะประชดพ่อ แล้วมาวันนี้แม่ยืนยิ้มให้เขาอยู่หน้าบ้าน นี่เหรอคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน
แม่กำลังเดินเข้ามาในบ้าน เขาจึงเดินไปยืนรอแม่ที่หน้าประตู ทันทีที่แม่เปิดประตูเข้ามา แม่ก็ชะงักไปก่อนที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อแม่ต้องการแบบนี้ เขาก็จะทำเหมือนไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน เขาเดินกลับมาบนห้องของตัวเองทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเงียบๆ คิดทบทวนว่าตัวเขากับน้องยังสำคัญกับแม่อยู่หรือเปล่า เขาเกลียด เกลียดความคิด เกลียดความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ มันอึดอัดจนหายใจไม่ออก เขาอยากระบาย อยากพูด อยากร้องไห้แค่กับไม่มีใครสนใจ เขาพยายามแล้วพยายามทำให้แม่รู้ว่าเขารู้เรื่องห่าเหวทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นแล้ว โดยการไม่พูดและเงียบเอาไว้ทำเป็นนิ่งกว่าปกติไม่ได้สดใสเหมือนเดิม แต่เหมือนแม่ก็ยังไม่เคยสนใจเขาอยู่ดี
แม่สนใจแค่น้องมาแต่ไหนแต่ไร
แม่ให้ความสำคัญกับน้องมาตั้งนานแล้ว บอกมาเพราะน้องต้องการคนดูแลปกป้อง วันเกิดน้องแม่จำได้ วันเกิดเขาล่ะแม่ไม่เคยพูดถึง ตอนเขาเข้าม.1 ใหม่ๆ แม่ให้เขากลับบ้านเองไม่เคยไปรับแต่มาตอนนี้แม่ให้เขาดูแลน้องพาน้องกลับบ้านด้วยกัน ช่วงเวลาที่เขาควรจะได้ไปผ่อนคลายกับเพื่อนหลังเลิกเรียนหายไป เกรดเทอมที่แล้วมันตกลงมาเพราะเขาไม่ถนัดวิชาคณิตศาสตร์ มันยากเกินไปสำหรับเขาแม่ดุ แม่ว่าเขาแต่กับน้องแม่บอกไม่เป็นไร บอกให้น้องตั้งใจมากกว่านี้ การกระทำมันต่างกัน มาถึงตอนนี้เขาก็พอจะรู้ว่าถ้าต้องหย่ากันคนที่แม่อยากได้ไปดูแลอาจจะมีแค่น้องก็ได้ ที่แม่ต้องการ
Rrrrrrrrrrrrrrrrr
โทรศัพท์ของเขาสั่นจากแจ้งเตือนข้อความของใครบางคนที่ส่งเข้ามา เขาเช็ดน้ำตาบนแก้มก่อนที่จะหยิบเอามันมาเปิดดู
Jwin : ทักครับ
ทักครับ เนี่ยนะตลกไปหรือเปล่า
Peam : มีอะไร
Jwin : ไม่มี
Jwin : แค่อยากทัก
หลังจากข้อความนั้นเราก็คุยกันทั้งคืน คุยกันเรื่องไร้สาระไปเรื่อยเปื่อยและทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น แปลกไหมถ้าจะบอกว่า เขาสบายใจเวลาได้คุยกับใครคนนี้ เราผลัดกันเล่าเรื่องต่างๆและเขาก็เล่าเรื่องปัญหาครอบครัวให้อีกคนฟัง แต่เขาไม่ได้เล่าทั้งหมดแค่บอกว่าตอนนี้เขามีปัญหากับครอบครัวแค่นั้น อีกคนก็ให้กำลังใจเขากลับมาแต่ก็เป็นในแบบของอีกคนนั้นแหละ
Jwin : เครียดก็อย่าเก็บไว้คนเดียว ระบายกับกูได้
Jwin : แค่รับฟังนะ แนะนำใครไม่เป็น
ตลกดีเหมือนกัน บางทีเขาก็อาจจะแค่ต้องการคนรับฟังบางแค่นั้นเอง
"อย่าลืมทำการบ้านมาส่งพรุ่งนี้ด้วยนะคะ เวรทำความสะอาดด้วยนะ" เสียงของคุณครูบอกเวลาเลิกเรียนแล้ว เขาที่กำลังคิดย้อนถึงเรื่องที่ผ่านมาก็ก้มลงมองนาฬิกาของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลา 15.10 น. เขาเก็บของเข้ากระเป๋าบอกลาเพื่อนและเดินออกมาจากห้องเรียน มุ่งหน้าไปยังหน้าโรงเรียนเพื่อรอภาณินและกลับบ้านพร้อมกัน เขายืนรอน้องชายอยู่หน้าโรงเรียนมาได้ 10 นาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของอีกคน ในขณะที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหา ก็มีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งมาจอดด้านหน้า คนขับใส่หมวกกันน็อกปิดหน้าปิดตาจนมองไม่ออกว่าใคร
"กลับยังไง" มือขาวเอื้อมไปดึงกระจกของหมวกกันน็อกขึ้นเผยให้เห็นตาตี่ๆ เรียวๆ ของเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ตรงหน้า
"กลับรถไฟฟ้า" เขาเอ่ยตอบจวิ้นไปก่อนจะกดโทรหาน้องชายของตัวเอง
"ไปส่งไหม" เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง เขาหันไปสบตากับดวงตาเรียวรีของอีกฝ่ายก่อนที่จะเอ่ยปฏิเสธออกไป
"ไม่ต้องอะ มีน้องกลับด้วย"
"อืม"
"รีบกลับสิ เดี๋ยวรถติดนะ" เขาหันไปเร่งอีกคนให้รีบกลับบ้าน การจราจรตอนเย็นมันติดขัดน่าดูกลัวว่าอีกฝ่ายจะถึงบ้านดึกดื่นเพราะจากที่คุยกันบ้านของอีกคนก็ไกลจากโรงเรียนอยู่
"รู้แล้ว"
"รู้แล้วกะ..."
"พี่ภีม!" เสียงเล็กตะโกนมาจากด้านหลัง ทำไมเขาหันไปมองก็เจอของกับร่างเล็กของน้องชายที่กำลังวิ่งมาทางนี้พอดี
"ทำไมช้าว่ะเตี้ย"
"ทำเวรไง...แล้วเมื่อกี้คุยกับใคร" เขาหันไปมองตามสายตาของร่างเล็กก็เห็นอีกคนที่เพิ่งจะคุยกันเมื่อกี้ขับมอเตอร์ไซด์ออกไปไกลแล้ว
"เพื่อน"
"ใช่เปล่า" ภาณินทำเสียงล้อเลียนพี่ชายของตัวเองก็ถูกเคาะหัวไปหนึ่งทีก่อนจะบอกให้รีบกลับบ้านไปรอทานข้าวเนื่องในโอกาสวันเกิดของเจ้าตัวเล็ก
"รีบกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวคนเยอะ ต้องไปช่วยแม่เตรียมอาหารด้วย"
"ครับผม" สองร่างจึงเริ่มออกเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน
สองพี่น้องเดินทางมาถึงบ้านแล้วเรียบร้อย ภีมพลเดินเข้ามาในบ้านพร้อมเปิดประตูให้น้องชายแต่ในบ้านกลับเงียบสนิท เขาคิดว่าแม่อาจจะออกไปซื้อของมาเตรียมวันเกิดให้กับภาณินจึงบอกให้น้องขึ้นไปบนบ้านไปทำการบ้านถ้าแม่มาแล้วเขาจะไปเรียกเอง เมื่อภาณินเดินขึ้นไปด้านบนเรียบร้อยเขาเองก็กำลังจะเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บ แต่เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากสวนหลังบ้าน เสียงสะอื้นเบาๆ ลอยมาตามลม ขาเรียวก้าวไปยังประตูหลังบ้านช้าๆ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดมันออก แล้วเขาก็เจอเข้ากับภาพที่เขาไม่อยากเจอ
ภาพของแม่ที่กำลังร้องไห้และอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อ
...
* 俊 จวิ้น แปลว่า หล่อ นะคะ *
- TBC -
น้องภีมลูกกกกกกกกกกก
ตอนนี้เป็นตอนที่เขียนยากมากๆเลยค่ะ ติชมให้หน่อยนะคะ
มีใครงงไทม์ไลน์มั้ยคะ คือเรื่องในตอนจะเล่าย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่เรนกลับมา
แล้วเหตุการณ์ล่าสุดก็คือวันที่เขมมาคุยกับพัดที่บ้านค่ะ
อยากอ่านเมนท์ทุกคนเลย พูดคุยใน #เกมนอกใจ ในทวิตได้นะคะ ฝากแชร์เรื่องนี้ด้วยน้าา