--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28779 ครั้ง)

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยทำมาเป็นมีลับลมคมในอีก อ่อนโยนอย่างนี้ไม่ดีต่อใจพีทเลย แต่ดีต่อใจเรา 5555 อ่อนโยนให้มาก ปราบพยศให้หน่อย ค่อยๆตะลอมไป ได้ใจเขามาชัวร์ 555 //คุณเล็กเลือกใช้ครอบครัวเยียวยาใจ ดีแล้วละ หวังว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนะ อยากให้กลับมาเป็นครอบครัวสุขสันต์เหมือนเดิม //จะเป็นยังไงต่อไป น้องหนูกลับมาอยู่บ้านแล้ว พักผ่อนเยอะๆนะน้องหนู น่ารักน่าเอ็นดูมากๆอะ สนุกกก รอตอนหน้าเลยจ้า ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบสอง
ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป


          “เรื่องบางเรื่องจะมีความหมายก็ต่อเมื่อนายนึกออกเอง”

          หลังจากเอ่ยออกไปแบบนั้นแล้ว อริญชย์ก็ถอนวงแขนออกมา แล้วมองพิชญ์ที่มุ่นหัวคิ้วเข้ากันนิ่ง ๆ ดวงตาดำจัดแสดงความอ่อนโยนออกมามากกว่าทุกที เป็นความอ่อนโยนที่ทำเอาพิชญ์ถึงกับรู้สึกร้อนผ่าวยามถูกจับจ้อง แม้อริญชย์จะไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ดวงตาเขากลับเปิดเผยทุกความนัยจนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา

          พิชญ์กำลังกลัว กลัวความรู้สึกที่กำลังปะทุขึ้นมาจนแน่นหน้าอก ทั้งอึดอัด ทั้งอบอุ่น จนเขาแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

          พิชญ์พยายามดึงความคิดตัวเองให้กลับมาจดจ่อกับคำถามของอริญชย์ที่เขาเพิ่งตอบผิดไป ก่อนจะรู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ สมองและความทรงจำของพิชญ์จดจำเพียงว่าเขาเจอกับอริญชย์ครั้งแรกสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อตอนที่ทางคณะเชิญอริญชย์มาบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพิชญ์เองก็เป็นหนึ่งคนที่เข้าร่วมฟังบรรยายด้วย แต่ตอนนี้อริญชย์กลับบอกว่าเขาเข้าใจผิดมาตลอด นั่นหมายความว่าเขาเคยเจออริญชย์มาก่อนหน้านั้น

          น่าแปลกที่ตัวเขาเองกลับนึกไม่ออก และน่าโมโหกว่าเดิมตรงที่อริญชย์เองก็ไม่คิดจะไขข้อข้องใจให้เขา

          ...ถ้าไม่คิดจะบอกกัน แล้วจะมาจุดชนวนคำถามให้เขาอยากรู้ทำไม

           “อย่ามองหน้ากันเหมือนว่าฉันเป็นคนผิดหน่อยเลย”

          อริญชย์เอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นดวงตาวาววับของพิชญ์ ก่อนปลายนิ้วจะยื่นมาดีดหน้าผากพิชญ์เบา ๆ จนคนถูกกระทำร้องโอ๊ยแล้วผุดลุกขึ้นมานั่งตาเขียว

           “ดีดหน้าผากผมทำไม” พิชญ์ถามเสียงขุ่น ยกหลังมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ

          อริญชย์ไม่ตอบ เขาเพียงแค่ไหวไหล่น้อย ๆ ซึ่งพิชญ์ได้แต่มองด้วยความหมั่นไส้ ทั้งหมั่นไส้ในท่าทางที่ดูเย่อหยิ่งของอีกฝ่าย และหมั่นไส้ที่พอคนทำเป็นอริญชย์แล้ว มันช่างดูดีจนน่าอิจฉา แม้กระทั่งเขาเองที่เป็นผู้ชายยังนึกชื่นชมอริญชย์ จนต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะละสายตาจากผู้ชายคนนี้

          พออริญชย์เริ่มต้นพูดถึงเรื่องเก่า พิชญ์เลยพลอยนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนเขาเคยชื่นชมอริญชย์มากแค่ไหน ไม่มากไม่มายเท่าไหร่ แค่ในระดับที่นักศึกษาคนหนึ่งยึดเอานักธุรกิจหนุ่มเป็นไอดอลของตัวเอง แทนที่จะเป็นบรรดานักร้อง นักแสดง หรือนักกีฬา

          พิชญ์จำได้ดีว่าวันที่อริญชย์มาบรรยายที่คณะ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร เมื่อคิดว่าจะได้เห็นตัวจริงของคนที่เขาชื่นชม จากปกติที่ได้แต่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ พิชญ์แทบไม่เป็นอันเรียนคาบเช้า เฝ้ารอให้ถึงเวลาบรรยายช่วงบ่ายไว ๆ ก่อนความชื่นชมที่มีให้อริญชย์ในเวลานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความขื่นขมและชิงชังในเวลาต่อมา

          พิชญ์ยอมรับว่าอริญชย์ทำงานเก่ง แม้กระทั่งตัวเขาเองที่ฝ่าฟันจนก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะมีอริญชย์คอยเคี่ยวเข็ญ เขายังคงชื่นชมความสามารถของอริญชย์ไม่เคยเปลี่ยน แต่มันไม่ได้รวมถึงเรื่องส่วนตัวบ้า ๆ ที่อีกฝ่ายทำกับเขา

          พิชญ์พยายามปัดเรื่องที่ทำเอาความสัมพันธ์ฉันท์พี่ภรรยาน้องเขยต้องร้าวฉานทิ้ง เขายังไม่อยากทะเลาะกับอริญชย์ให้ตัวเองต้องหงุดหงิดขึ้นมาตอนนี้ คนที่เพิ่งตื่นกวาดสายตามองรอบ ๆ ตัวราวกับเพิ่งระลึกได้ว่าเขาพาน้องหนูเข้ามานอนด้วยกัน ก่อนจะเผลอหลับตามหลังน้องหนูไปไม่นาน พอมองหาแล้วไม่เห็นน้องหนูก็ขมวดคิ้วทันทีด้วยความสงสัย

          นี่เขามัวแต่เล่นเกมตอบคำถามกับอริญชย์ จนลืมกระทั่งสังเกตว่าลูกสาวตัวน้อยของเขาหายไปเชียวหรือ

          ดูเหมือนอริญชย์จะเดาคำถามที่ถูกส่งมาจากสายตาของพิชญ์ออก คนที่นั่งกอดอกท่าทางสบาย ๆ ถึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยตอบก่อนที่พิชญ์จะเอ่ยปากถามออกมา

           “น้องหนูนั่งกินของว่างอยู่กับนวลข้างล่าง”

          พิชญ์พ่นลมหายใจยาวอย่างโล่งอก เมื่ออยู่ในอาณาเขตรั้วรอบขอบชิดของเกียรติกาญจนา พิชญ์ไม่ได้นึกกลัวว่าน้องหนูจะมีอันตราย เขาแค่กลัวว่าเจ้าตัวน้อยของเขาจะไปเที่ยวเล่นซุกซนทั้งที่ยังไม่หายดี พอรู้ว่าอยู่กับนวล พิชญ์ถึงค่อยรู้สึกเบาใจขึ้น อย่างน้อย ๆ นวลก็รู้ดีว่าต้องดูแลน้องหนูยังไง

           “อย่าห่วงเลย ฉันไม่มีทางปล่อยน้องหนูไว้กับคนที่ฉันไม่ไว้ใจเด็ดขาด”

          ถ้อยคำของอริญชย์ฟังดูจริงจังจนพิชญ์ต้องเงยหน้ามอง สิ่งที่ได้ยินมันไม่ต่างอะไรจากคำมั่นสัญญาว่าจะดูแลลูกสาวตัวน้อยของเขาให้ดีที่สุด

           “ผมรู้...” คนพูดเว้นช่วงเล็กน้อย “...ว่าคุณก็รักน้องหนูไม่ต่างจากผม”

           “หลานฉันทั้งคน”

          คนปากหนักเอ่ยสั้น ๆ แต่ได้ใจความ จนทำเอาพิชญ์เผลอยิ้มออกมาก่อนจะเสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังอีกเรื่องที่เขานึกกังวลอยู่ในใจ และกำลังรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเล่าให้ฟัง

           “ประชุมวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

           “ฉันรอนายตื่นขึ้นมาคุยเรื่องนี้กันอยู่”

          พิชญ์สบตาอริญชย์นิ่ง แววตาของอริญชย์กำลังบอกเขาว่า เรื่องราวไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

           “ไม่เรียบร้อยใช่ไหมครับ”

          คำถามสั้น ๆ จากพิชญ์เรียกรอยยิ้มพึงพอใจให้จุดขึ้นที่มุมปากของอริญชย์ แม้ดวงหน้าเย็นชาจะมีความเคร่งเครียดปรากฏอยู่จาง ๆ

          พิชญ์ฉลาด! ฉลาดจนอริญชย์คิดว่าคงจะไม่มีใครที่เหมาะสมกับเขามากไปกว่าพิชญ์อีกแล้ว

          อริญชย์ผงกหัวแทนคำตอบ พอเขาขยับลุกขึ้นยืน พิชญ์ก็ลุกขึ้นตาม เป็นอันรู้กันว่าถึงเวลาคุยเรื่องงานแล้ว และสถานที่ ๆ เหมาะจะคุยเรื่องงานก็ไม่ใช่ห้องนอนของน้องหนู

          พอออกมาจากห้องน้องหนู ทั้งเจ้าของบ้านและคนอาศัยก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูดังขึ้นมาจากชั้นล่าง มีเสียงของนวลกับตุลย์ดังตามมาแว่ว ๆ ดูท่าว่าน้องหนูคงจะมีคนเล่นด้วยแล้วเป็นแน่ ผู้ใหญ่สองคนหันมามองสบตากันก่อนจะอดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้

          ...ความสดใสเพียงหนึ่งเดียวที่ทั้งพิชญ์และอริญชย์ต่างก็หวงแหน

          อริญชย์เดินนำพิชญ์เข้ามาที่ห้องทำงานของเขา เอกสารมากมายวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่มุมในสุด เจ้าของห้องเลือกที่จะดันบางส่วนเข้ามุมจนมีที่ว่างตรงกลางโต๊ะ ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารอันเขื่องขึ้นมาวาง

          พิชญ์ถือวิสาสะกวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องด้วยความคุ้นเคย อริญชย์มักเรียกเขาเข้ามาสอนงานและคุยงานที่ห้องนี้อยู่เสมอ เพราะเงียบสงบและปราศจากคนรบกวน พอเห็นอริญชย์กำลังง่วนอยู่กับการคุ้ยหาเอกสารสำคัญจากตู้เก็บเอกสาร พิชญ์เลยเชิญตัวเองลงนั่งตรงที่ประจำตรงข้ามกับอริญชย์

          พอได้สิ่งที่ต้องการแล้ว อริญชย์ก็เดินมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ดวงตาคมกริบที่จ้องเขม็งมาที่พิชญ์กำลังเตือนเขาให้รู้ว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าพิชญ์ตรงนี้ไม่ใช่อริญชย์ คนที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยเขา แต่เป็นอริญชย์ เกียรติกาญจนาที่มีตำแหน่งเป็นเจ้านายโดยตรงของพิชญ์

          พิชญ์เคยคิดว่าการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะถูกเรียกขานว่า ‘เสือร้าย’ มันคือการกล่าวเกินจริง ออกจะฟังดูตลกเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งเขาได้เข้ามาทำงานร่วมกับอริญชย์ พิชญ์ถึงยอมรับว่ามันคือคำเรียกขานที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

           “วันนี้ฉันเอาเรื่องงานประมูลโครงการของวิวัฒน์ดำรงเข้าที่ประชุม” อริญชย์เอ่ยออกมาเสียงเรื่อย ๆ เหมือนกำลังเล่านิทานให้พิชญ์ฟัง ก่อนจะตบท้ายด้วยคำถามตรงไปตรงมาอย่างที่เขาถนัด “นายคิดว่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่สำหรับโครงการนี้”

          กลุ่มวิวัฒน์ดำรงเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่มีสาขามากมาย โดยงานที่ทางเคเค คอนสตรัคชั่นกำลังจะยื่นซองประมูลก็คือโครงการศูนย์การค้าแบบครบวงจรที่มีชื่อว่า ‘บางกอก บูเลอวาร์ด’ ซึ่งเป็นโครงการเดียวกับที่ทางกมลวิลาศน์เองก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะชนะการประมูลให้ได้ไม่ต่างกัน ดังนั้นโครงการนี้จึงถูกจัดลำดับความสำคัญให้อยู่ในอันดับแรก ๆ เป็นทั้งเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ชื่อเสียง และศักดิ์ศรีที่อริญชย์จะไม่มีวันยอมเสียมันไปโดยเด็ดขาด จึงเรียกได้ว่าเป็นงานที่พิชญ์ต้องทำให้สำเร็จภายใต้แรงกดดันจากอริญชย์และบรรดาบอร์ดบริหารทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่

           “รู้ใช่ไหมว่างานนี้เราจะพลาดไม่ได้”

          พิชญ์เกือบจะหลุดถอนหายใจออกมาเมื่อประโยคกดดันดังตามมาติด ๆ สิ่งหนึ่งที่คนภายนอกอาจจะไม่รู้คือ กว่าที่นักศึกษาจบใหม่ ไร้ประสบการณ์อย่างพิชญ์จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารของเคเค คอนสตรัคชั่น เขาต้องถูกกดดันและเคี่ยวเข็ญมาอย่างหนักแค่ไหน โปรแกรมแมเนจเมนท์ เทรนนีของบริษัทชั้นนำไหนในตลาดก็คงเทียบกับสิ่งที่อริญชย์ถ่ายทอดให้เขาไม่ได้ มันทั้งล้ำค่าและสาหัสในเวลาเดียวกัน

          ถึงแม้ว่าอริญชย์อาจจะเล่นนอกกติกากับพิชญ์ไปบ้างสำหรับเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อริญชย์หยิบยื่นให้พิชญ์ มันคือวิธีการสอนและขัดเกลาในแบบของเขาเอง อย่างที่ไม่มีสอนในหลักสูตรไหน ๆ หรือคู่มือใด ๆ

           “ผมคำนวณและเสนองบที่เจ็ดร้อยล้านบวกลบ ตอนนี้เหลือแค่รออนุมัติจากคุณอยู่ รายละเอียดทั้งหมดก็ตามแผนงานที่ผมเสนอไป”

          ดูเหมือนว่าอริญชย์เองจะเตรียมแผนงานที่พิชญ์เอ่ยถึงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้ว ทันทีที่พิชญ์เอ่ย เขาถึงได้เปิดแฟ้มเล่มใหญ่ออก พิชญ์ทำแผนงานเสนอเขาอย่างเป็นระเบียบ มีรายละเอียดทุกอย่างชัดเจน แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการเซ็นต์อนุมัติโปรเจคท์มูลค่าเกือบพันล้านที่พ่วงด้วยศักดิ์ศรีของเขา

           “ฉันมีสองคำถาม...” ดวงตาคมกริบจ้องมองพิชญ์นิ่ง “ข้อที่หนึ่ง อะไรที่ทำให้นายคิดว่าจะชนะการประมูลด้วยงบประมาณขนาดนี้ ข้อที่สอง คิดหรือว่าฝ่ายงบประมาณและฉันจะยอมอนุมัติตัวเลขนี้ให้นาย ขอคำตอบและเหตุผลดี ๆ ให้ฉันหน่อย พิชญ์ ภัทรกุล”

          เมื่อไหร่ที่ถูกเรียกด้วยชื่อและนามสกุลเต็ม พิชญ์ก็แทบจะรู้ตัวโดยทันทีว่า เขากำลังเผชิญหน้ากับเสือร้ายที่จ้องจะตะปบเขาคากงเล็บ ถ้าเพียงแต่พิชญ์ไม่มีเหตุที่ดีพอมารองรับแผนการทำงานของตัวเอง แผนงานของเขาคงถูกโยนกลับมาโดยไม่เสียเวลาดูแน่ ๆ

          บางทีพิชญ์เองยังนึกสงสัยว่าอริญชย์เคยอ่อนข้อให้ใครในการทำงานบ้างไหม แม้แต่ตัวเขาเองก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ข้อยกเว้น

           “ผมคำนวณตัวเลขและประเมิณราคาออกมาแล้วตามตารางที่คุณกำลังดูอยู่ ด้วยอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ต่าง ๆ ในมือเรา ผมเชื่อว่าทางกมลวิลาศน์ไม่มีทางเสนอราคาได้ดีกว่าเราแน่ ๆ”

          คราวนี้มุมปากของอริญชย์ผุดรอยยิ้มเยาะ สายตาที่มองตรงมายังพิชญ์ มองราวกับพิชญ์เป็นเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสา

           “ฉันเคยสอนนายมากี่ครั้งแล้วพีท ว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียวมันใช้ไม่ได้สำหรับโลกธุรกิจ อย่าพูดว่านายเชื่อ ถ้านายยังไม่ได้พิสูจน์ให้ฉันเห็น แล้วที่สำคัญ อย่ามั่นใจในตัวเองเกินไปนัก ถ้านายยังไม่รู้จักหมอนั่นดีพอ”

          พิชญ์เกือบจะอ้าปากเถียงสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป ก่อนจะต้องหุบฉับและก้มหน้ายอมรับว่าสิ่งที่อริญชย์พูดมาคือความจริง ในการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา น้อยครั้งเหลือเกินที่พิชญ์จะสามารถหาข้อโต้แย้งมาหักล้างหรือเอาชนะเหตุผลของอริญชย์ได้ พิชญ์เคยนึกสงสัย ว่าทำไมอริญชย์ถึงก้าวขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างภาคภูมิ แต่ยิ่งทำงานร่วมกัน พิชญ์ก็ยิ่งหมดข้อกังขา

           ‘ความสามารถ’ และ ‘อำนาจ’ คือสองสิ่งที่ผลักดันอริญชย์จนก้าวขึ้นมาถึงจุด ๆ นี้

           “แผนงานที่ผมเสนอไปยังไม่ดีพอใช่ไหม”

          อริญชย์คลี่ยิ้มออกมาครั้งแรกในรอบสิบนาที ถือว่าพิชญ์ฉลาดพอที่จะเดาเรื่องราวต่าง ๆ ออกด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้เขาจับข้อมูลมาป้อนถึงปาก

           “บอร์ดบริหารตกลงที่งบประมาณเบ็ดเสร็จหกร้อยล้าน ถ้านายต้องการที่เจ็ดร้อยล้านจริง ๆ ก็หาเหตุผลดี ๆ มาซัพพอร์ตว่าทำไมฉันถึงควรเซ็นอนุมัติ”

          ความจริงแล้ว อริญชย์จะใช้อำนาจของตัวเองโน้มน้าวให้ที่ประชุมยอมเห็นด้วยและคล้อยตามแผนงานของพิชญ์ก็ย่อมทำได้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ เขาต้องการให้บรรดาบอร์ดบริหารและคนเก่าคนแก่ยอมรับพิชญ์จากความสามารถของพิชญ์เอง ไม่ใช่เพราะว่าพิชญ์เป็นคนของเขา

          เมื่อไตร่ตรองดูดี ๆ แล้ว พิชญ์ก็เห็นจริงตามที่อริญชย์เอ่ยมาทุกประการ เขาได้แต่พยักหน้ายอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งได้ ๆ

           “ผมขอเวลาแก้แผนงานเจ็ดวัน แล้วกลับมาคุยกับคุณอีกครั้ง”

           “ตามสบาย พร้อมเมื่อไหร่ก็มาบอกฉัน”

          พิชญ์ดึงแฟ้มเอกสารบนโต๊ะอริญชย์เข้าหาตัว เขากวาดสายตาไล่ไปตามข้อความบนแผนงานที่เขาเป็นคนทำเองกับมือ แผนงานที่เขาเห็นอริญชย์วางกองรวมกับเอกสารอย่างอื่นเหมือนไม่ใส่ใจ แท้จริงแล้วกลับถูกตรวจเรียบร้อย หลายหัวข้อมีกระดาษโพสท์อิทแปะอยู่พร้อมกับลายมือหวัด ๆ ที่เขียนโต้แย้งในสิ่งที่พิชญ์ลืมนึกหรืออาจจะมองข้ามไป ปากกาสีแดงวงจุดที่สำคัญเอาไว้ให้มองเห็นได้ง่าย ๆ

          อริญชย์ถือโอกาสที่พิชญ์กำลังนั่งอ่านทวนแผนงาน บิดตัวไปมาอย่างเมื่อยขบ ถอดหน้ากากเย็นชาของท่านประธานบริษัทออก พอเหลือบสายตามองนาฬิกาแขวนผนังแล้วก็ลุกจากเก้าอี้ทันที มือซ้ายรั้งแขนคนที่กำลังนั่งอ่านแผนงานให้ลุกตาม พิชญ์ขยับจะอ้าปากประท้วงที่ถูกขัดจังหวะ แต่ยังช้ากว่าอริญชย์

           “เดี๋ยวค่อยมาดูต่อ ป่านนี้น้องหนูรอกินข้าวเย็นจนหิวแย่แล้วมั้ง”

          พิชญ์เหลือบสายตามองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะเห็นด้วยกับอริญชย์ ตอนนี้เลยหกโมงเย็นมาห้านาทีแล้ว มิหนำซ้ำท้องเจ้ากรรมยังส่งเสียงร้องออกมาให้เขาของต้องขายหน้า พิชญ์ได้ยกมือขึ้นเกาหัวเก้อ ๆ ขณะที่อริญชย์หลุดยิ้มออกมาด้วยความขบขัน

           “หิวก็รีบไปกิน”

          เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ พิชญ์ได้แต่เดินตามหลังอริญชย์ออกมาจากห้องทำงาน และดูเหมือนพิชญ์จะหิวจนหน้ามืดตาลาย ถึงได้ปล่อยให้ฝ่ามือของตัวเองถูกใครบางคนเกาะกุมเอาไว้

          ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะรู้สึกเหมือนถูกพันธนาการ แต่ตอนนี้กลับอุ่นซ่านจนหัวใจเต้นแปลก ๆ



.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

          หลังจากเอาแผนงานจากอริญชย์กลับมาแก้ พิชญ์ก็ยุ่งอยู่กับการอ่านทบทวนและแก้ไขแผนงานเพื่อเสนอขออนุมัติงบประมูล ขณะที่อริญชย์เองก็ดูเหมือนจะเจอความยุ่งยากเข้าเหมือนกัน เพียงแต่เขาเลือกที่จะสะสางและจัดการกับปัญหาด้วยตัวเองเงียบ ๆ

          ช่วงวันสองวันนี้ อริญชย์มีเหตุให้ต้องเดินสายออกพบบรรดาลูกค้ารายใหญ่ด้วยตัวเอง ทว่าคนที่ยุ่งกับงานของตัวเองอย่างพิชญ์ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ พิชญ์เอาแต่มุ่งมั่นกับงานที่ตัวเองรับผิดชอบอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนจะรู้ตัวว่าเกือบพลาดสิ่งสำคัญก็ตอนที่เหลือบตาไปดูปฏิทิน

          อีกสองอาทิตย์จะถึงงานโรงเรียนของน้องหนู งานนี้เจ้าหญิงตัวน้อยของเขาถูกเลือกให้เล่นเป็นเจ้าหญิงในละครเวทีด้วย ถึงพิชญ์จะไม่เคยได้รับรางวัลคุณพ่อดีเด่น แต่พิชญ์จะพลาดงานนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

          คุณพ่อลูกหนึ่งถือโอกาสวางปากกาและพักสายตาจากงานที่กำลังทำอยู่ เขายกปลายนิ้วขึ้นนวดขมับตัวเอง ขณะครุ่นคิดถึงรางวัลที่เจ้าตัวเล็กของเขาควรได้รับหลังเสร็จสิ้นการแสดงละครเวที

          ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดูเข้าท่าไม่เลว

          ไหน ๆ เขาก็ตั้งใจทำงานอย่างหนักติดต่อกันมาสองวันแล้ว พิชญ์เลยถือโอกาสอนุญาตให้ตัวเองพักผ่อน แค่ไปเดินห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ ๆ คงไม่ทำให้เขาเสียเวลาทำงานเท่าไหร่ ถือว่าไปดูหนึ่งในธุรกิจของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงด้วยเลย พิชญ์บอกตัวเองทั้งที่รู้ว่าเหตุผลสุดท้ายมันก็เป็นแค่ข้ออ้างสำหรับการเกงานของเขา

          พิชญ์ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายตรงเข้าห้องอริญชย์ รอสายอยู่นานก็ไม่มีคนรับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอริญชย์ออกไปไซต์งานที่สระบุรีกับตุลย์ เขาเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ให้กับความขี้หลงขี้ลืมของตัวเอง ล้มเลิกความคิดที่จะโทรบอกอริญชย์ อย่างน้อยเขาคงไปไม่นานและกลับมาก่อนอริญชย์แน่ ๆ

          พิชญ์ปล่อยงานที่ยังทำไม่เสร็จไว้บนโต๊ะทำงานเหมือนเดิม เขาเดินออกจากห้องทำงานของตัวเองมากดลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน พอออกมาถึงข้างนอกออฟฟิศก็วานรปภ.ให้ช่วยเรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายปลายทางเป็นห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ ที่อยู่ถัดไปอีกสองแยกข้างหน้า หลังจากนั้นสิบนาที พิชญ์ก็พาตัวเองมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเรียบร้อย

          ขณะกำลังจะเดินผ่านร้านแบรนด์เนมชื่อดัง พิชญ์ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเห็นร่างคุ้นตากำลังยืนเลือกกระเป๋าถือราคาเหยียบแสนอยู่ เขาเขม้นมองก่อนจะร้องอ๋อในใจ ผู้หญิงที่กำลังยืนเลือกกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่คือรัญญาไม่ผิดแน่ พิชญ์กำลังชั่งใจว่าจะเดินผ่านเลยไปหรือจะแวะทักทายเธอดี แต่โอกาสก็ดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้พิชญ์ได้มีสิทธิ์เลือก

          รัญญาที่กำลังยืนเลือกกระเป๋าอยู่บังเอิญหันออกมามองนอกร้านและสบตาเข้ากับพิชญ์พอดี หญิงสาวรีบวางกระเป๋าลงแล้วเดินออกมาทักทายเขาด้วยความดีอกดีใจราวกับเจอเพื่อนเก่าแก่ ทั้งที่พิชญ์กับเธอก็เพิ่งมีโอกาสได้คุยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง

           “ตายจริง ลมอะไรหอบคุณพีทมาเดินห้างตอนบ่ายคะเนี่ย” ถ้อยคำถามฟังดูเป็นการสัพยอกมากกว่าจะต้องการคำตอบแบบจริงจัง

           “พอดีผมมาหาของขวัญให้ลูกสาวน่ะครับ”

           “จะถึงวันเกิดแกแล้วหรือคะ”

           “เปล่าหรอกครับ พอดีจะมีงานโรงเรียน แล้วลูกสาวผมขึ้นแสดงเป็นครั้งแรก ผมเลยอยากซื้อของขวัญซักชิ้นให้แกหน่อย”

           “แล้วคุณพีทไม่ชวนน้องเล็กมาช่วยเลือกด้วยกันเหรอคะ”

          คราวนี้เป็นทีของพิชญ์ที่ต้องทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างปิดไม่มิด แต่คู่สนทนาก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยังคงวาดรอยยิ้มละมุนละไมให้กับพิชญ์

           “คุณเล็กไปต่างประเทศน่ะครับ”

           “อ๋อ ไปทำงานใช่ไหมคะ มาค่ะ เดี๋ยวหลิวช่วยเลือกเอง”

          พิชญ์ยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน แต่ก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจของหญิงสาวให้ถูกต้อง ปล่อยให้คนนอกเข้าใจว่าไอลดาไปทำงานต่างประเทศคงดีแล้ว ความสัมพันธ์บางอย่างมันซับซ้อนและไม่ควรปล่อยให้คนนอกรู้

          รัญญาพาพิชญ์เดินไปยังแผนกเด็กของห้างสรรพสินค้าอย่างคล่องแคล่ว เธอชี้ชวนให้พิชญ์ดูบรรดาของเล่นของเด็กผู้หญิงและตุ๊กตาต่าง ๆ ก่อนคุณพ่อลูกหนึ่งจะตกลงปลงใจที่ตุ๊กตาหมีตัวโต ที่พอเห็นปุ๊บก็รู้ทันทีว่าลูกสาวตัวน้อยจะต้องชอบของขวัญชิ้นแน่ ๆ พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนยามคิดถึงน้องหนู แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีสวย

           “อันที่จริงมาเจอคุณพีทวันนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะ หลิวมีเรื่องที่กำลังกังวลอยู่พอดีเลย”

           “เรื่องอะไรครับ...”

           “ช่วงนี้ทางคุณพีทคงกำลังมีปัญหากันอยู่ใช่ไหมคะ หลิวเองก็ยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากทางหลิวจริง ๆ หลิวก็ต้องขอโทษแทนเฮียด้วยนะคะ”

          พิชญ์เบือนหน้ากลับมามองหญิงสาวอย่างงุนงง ราวกับอีกฝ่ายกำลังพูดในภาษาที่เขาไม่เข้าใจ

           “คุณหลิวหมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”

           “อ้าว คุณพีทไม่รู้เรื่องหรอกหรือคะ” คราวนี้เป็นรัญญาที่ทำหน้าแปลกใจ

           “เรื่องอะไรครับ”

           “เรื่องที่ลูกค้าบางรายเจอของตกสเปคจากทางเคเคเลยเรียกร้องค่าเสียหาย แถมซัพพลายเออร์บางเจ้าก็เริ่มจะขอถอนตัวไงคะ นี่พี่ใหญ่ไม่ได้บอกอะไรคุณพีทเลยเหรอคะ ตายจริง หลิวต้องขอโทษด้วยนะคะ นี่หลิวก็เล่า ๆ ตามที่ได้ยินได้ฟังมา”

          สีหน้างุนงงของพิชญ์พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หมายความว่าช่วงวันสองวันนี้ที่อริญชย์ดูท่าทางเครียด ๆ แถมยังอยู่ไม่ติดออฟฟิศคงหนีไม่พ้นเรื่องที่รัญญากำลังเอ่ยถึงอยู่เป็นแน่

           “หลิวเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ ที่เล่าให้คุณพีทฟังก็ได้ยินมาจากเฮียทั้งนั้น ยังไงคุณพีทลองถามพี่ใหญ่ดูนะคะ”

          ถึงแม้รัญญาจะไม่เอ่ยปากแนะนำ พิชญ์ก็หมายมาดอยู่ในใจว่าเขาจะต้องเอ่ยถามเรื่องนี้จากอริญชย์ อีกใจหนึ่งก็นึกสงสัยว่าทำไมอริญชย์ถึงไม่คิดจะเล่าให้เขาฟัง ทั้งที่เมื่อก่อนก็เล่าให้เขาฟังเกือบทุกเรื่อง หรือว่าจะไม่ไว้ใจกันขึ้นมาเสียแล้ว...

           “ครับ เดี๋ยวผมลองถามรายละเอียดเอาจากคุณใหญ่ดูอีกที ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณหลิวด้วย”

           “เรื่องอะไรคะ เรื่องที่หลิวช่วยเลือกของขวัญให้น้องหนู หรือเรื่องที่หลิวบอกเมื่อกี้คะ”

           “ทั้งสองเรื่องเลยครับ”

          มือขาวเอื้อมมาแตะข้อศอกของพิชญ์อย่างถือวิสาสะ ก่อนดวงตาเรียวจะช้อนขึ้นมองสบตาเขา ถ้าเป็นคนอื่นเจอผู้หญิงสวยขนาดนี้คงนึกหวั่นไหวไปแล้ว แต่พิชญ์กลับเพียงแค่เลิกคิ้วมองรัญญานิ่ง ๆ

          นอกจากไอลดา พิชญ์ก็ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจเพราะเขาอีกแล้ว

           “คุณพีทยังเก็บเบอร์หลิวไว้ใช่ไหมคะ ถ้าต้องการคำปรึกษาอะไรก็โทรหาหลิวได้เลยนะคะ รับรองว่าหลิวไม่เอาไปฟ้องเฮียเด็ดขาด เพราะหลิวเองก็อยากให้พี่ใหญ่กับเฮียกลับมาคืนดีกันเสียที”

           “ขอบคุณมากครับคุณหลิว ยังไงวันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ” พิชญ์คลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะปลดมือที่จับแขนเขาออกอย่างสุภาพ

          ทั้งที่ต้องการจะมาพักสมองจากเรื่องงาน แต่ดูเหมือนพิชญ์จะเจอเรื่องที่หนักกว่าเสียแล้ว ในสมองของพิชญ์ตอนนี้มีแต่คำถามว่า ‘ทำไม’ วนเวียนเต็มไปหมด

          ทำไมอริญชย์ถึงไม่คิดจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หรือว่าคนอย่างพิชญ์ ไม่มีสิทธิ์ได้รู้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ



.



          ตั้งแต่น้องหนูออกจากโรงพยาบาล หน้าที่รับส่งน้องหนูก็เป็นของกริชกับนวล คนหนึ่งขับรถ อีกคนคอยดูแลน้องหนูตามคำสั่งของอริญชย์ พิชญ์เลยทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมาคอยพะวักพะวงถึงน้องหนู เหมือนกับช่วงก่อนที่ไอลดาจะมารับน้องหนูไปอยู่ด้วย

          พอกลับมาถึงห้องทำงานของตัวเอง พิชญ์ก็เฝ้ารอการกลับมาของอริญชย์อย่างใจจดใจจ่อ จนแทบไม่เป็นอันทำงานที่ค้างอยู่ตรงหน้า ยังดีว่าแผนงานที่เขาเอากลับมาแก้นั้นคืบหน้าพอสมควรแล้ว พิชญ์เลยไม่ต้องห่วงว่าทำจะเสร็จไม่ทันเวลา หลังจากผุดลุกผุดนั่งรออริญชย์อยู่ค่อนวัน การรอคอยของพิชญ์ก็ไร้ความหมาย เมื่ออริญชย์โทรหาพิชญ์ตอนเกือบห้าโมงเย็น

           “ครับ”

           “ฉันเองนะ”

          พิชญ์นึกอยากเอ่ยถามสิ่งที่ตัวเขาอยากรู้ออกไป แต่ก็ต้องเก็บงำไว้ก่อน เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่สมควรที่จะคุยกันทางโทรศัพท์

           “อยู่ไหนแล้วครับ”

           “ฉันกับตุลย์เพิ่งออกมาจากไซต์ นายเอารถของบริษัทขับกลับบ้านไปก่อนเลย ไม่ต้องรอฉัน หรือถ้าไม่อยากขับเองก็โทรเรียกกริชออกมารับ เดี๋ยวฉันจะให้ตุลย์ตรงกลับบ้านไม่แวะบริษัทเหมือนกัน แล้วเราค่อยไปเจอกันที่บ้าน”

          พิชญ์ได้แต่เอ่ยปากรับคำก่อนที่อริญชย์จะเป็นฝ่ายกดวางสายไปเอง โดยที่เขายังไม่ได้เอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำเอาพิชญ์อดรู้สึกผิดสังเกตและพลอยทำให้ประหลาดใจไม่ได้คือ เมื่อก่อนอริญชย์มักจะเป็นคนกำหนดสิ่งที่เขาต้องทำและสั่งเขา เดี๋ยวนี้กลับผิดคาด อริญชย์ให้เขาเป็นฝ่ายเลือกว่าจะกลับเองหรือจะให้กริชมารับ ถือว่าอริญชย์เองก็ยอมถอยให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว

          สุดท้ายแล้วพิชญ์ก็เลือกที่จะขับรถของบริษัทกลับบ้าน แทนที่จะโทรเรียกกริชออกมารับเขา ถึงแม้จะแต่งงานกับไอลดาและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกียรติกาญจนาหลายปีแล้ว แต่พิชญ์ก็ยังคงเป็นพิชญ์ที่มักจะขี้เกรงใจและเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เสมอ พิชญ์ไม่ค่อยชอบเอ่ยปากใช้งานใครเท่าไหร่ เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่เจ้านายของตุลย์และกริช พอถึงเวลาทำงาน เขาเองก็เป็นลูกน้องของอริญชย์ไม่ต่างอะไรจากตุลย์และกริชเหมือนกัน

          พิชญ์กลับมาถึงบ้าน เพิ่งจะหย่อนตัวลงบนโซฟา ป้าน้อยก็รีบกระวีกระวาดเข้ามารายงานว่าน้องหนูกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว นวลกำลังจับอาบน้ำอยู่ พิชญ์ฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าน้องหนูเองก็ติดนวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าที่ติดไอลดาเสียด้วยซ้ำ

           “คุณพีทจะรับข้าวเย็นเลยไหมคะ ป้าจะได้เอาขึ้นโต๊ะให้”

           “ยังครับป้าน้อย เดี๋ยวรอกินพร้อมคุณใหญ่ดีกว่า ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ เหนียวตัวจะแย่แล้ว”

          พิชญ์เดินเลี่ยงขึ้นชั้นสอง ก่อนจะอดแวะเข้าไปดูน้องหนูไม่ได้ พอเห็นน้องหนูกำลังนั่งทำการบ้านอยู่กับนวลอย่างขะมักเขม้นเลยตั้งใจจะตรงเข้าไปฟัดอย่างมันเขี้ยว แต่เจ้าตัวเล็กกลับรีบยกมือห้ามเป็นพัลวันก่อนจะหัวเราะคิกคัก

           “ห้ามกอดค่ะพ่อพีท”

           “ทำไมคะ”

           “เพราะพ่อพีทยังไม่อาบน้ำ แต่น้องหนูอาบแล้ว คุณครูบอกว่าคนที่ไม่อาบน้ำคือคนสกปรก”

          พิชญ์ทั้งขำทั้งฉิว แต่พี่เลี้ยงอย่างนวลถึงกับหัวเราะคิกออกมาทันที เขามองเจ้าตัวเล็กอย่างคาดโทษ

           “ไม่กอดก็ได้เจ้าตัวแสบ รอก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อพีทไปอาบน้ำมาก่อนแล้วจะมาฟัดให้ตัวช้ำเลย”

          นอกจากเจ้าตัวน้อยของพิชญ์จะไม่สนใจแล้ว ยังโบกมือบ๊ายบายหยอย ๆ ให้พิชญ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเล่น ชายหนุ่มเลยต้องรีบตรงไปที่ห้องของตัวเองเพื่อจัดการอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย

          กว่าพิชญ์จะทำอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ทุ่มเศษ ๆ กระเพาะเจ้ากรรมเริ่มส่งเสียงประท้วง แต่กลับไร้วี่แววของคนที่พิชญ์รอกินข้าวเย็นด้วย จนเจ้าตัวชักจะกังวลหน่อย ๆ

           “สงสัยคุณใหญ่จะกลับดึก คุณพีทจะกินก่อนเลยไหมคะ”

          พิชญ์นิ่งไปด้วยความลังเล หิวก็หิว แต่ก็อยากรออริญชย์กลับมากินข้าวเย็นพร้อมกัน ระหว่างที่ยังลังเลอยู่นั้น ไฟหน้ารถของอริญชย์ก็สาดเข้ามาพอดี พิชญ์เลยไม่ต้องคิดนาน เขาหันไปบอกป้าน้อยที่ยิ้มอย่างรู้ทัน

           “คุณใหญ่กลับมาพอดี งั้นตั้งโต๊ะเลยครับป้าน้อย”

          คล้อยหลังป้าน้อยที่เดินหายเข้าครัวไปนิดเดียว ร่างสูงก็เดินตรงดิ่งเข้ามาทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางอิดโรย อริญชย์เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อน

           “ยังไม่กินข้าวอีกหรือไง กี่โมงกี่ยามแล้ว เดี๋ยวโรคกระเพาะก็ถามหาพอดีหรอก”

           “ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังรอป้าน้อยตั้งโต๊ะอยู่ครับ คุณใหญ่กินอะไรมาหรือยัง ถ้ายังก็จะได้กินพร้อมกันเลย”

          อริญชย์พยักหน้ารับก่อนจะร้องบอกป้าน้อยให้ตักข้าวเผื่อเขาด้วย คุณแม่บ้านแค่ยิ้มรับบาง ๆ ไม่ได้บอกว่ามีคนรอกินข้าวเย็นพร้อมอริญชย์ตั้งแต่กลับมาถึง พอกับข้าวถูกยกมาวางบนโต๊ะ อริญชย์ก็ลุกจากโซฟามานั่งตรงข้ามพิชญ์

          มีคำถามมากมายที่พิชญ์อยากเอ่ยถามอริญชย์ แต่พอเห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่ายแล้ว พิชญ์เลยเลือกที่จะก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบ ๆ จนกระทั่งอริญชย์รวบช้อนส้อมเข้าหากัน พิชญ์ถึงได้ถือโอกาสเอ่ยบอกอีกฝ่าย

           “คุณใหญ่...”

           “ว่าไง”

           “อาบน้ำเสร็จแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

          อริญชย์เลิกคิ้วน้อย ๆ ด้วยความกังขา ร้อยวันพันปี พิชญ์ไม่เคยเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่ามีเรื่องอยากคุยกับเขา สงสัยหิมะคงจะตกแน่ ๆ ชายหนุ่มหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ

           “ว่ามาเลยสิ”

           “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ คุณเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ”

           “ตามใจ งั้นอีกครึ่งชั่วโมงมาหาฉันที่ห้องแล้วกัน”

          พิชญ์กำลังเอ่ยปากถามว่าห้องไหน คนที่ก้าวยาว ๆ ไปจนถึงชานบันไดเหมือนจะเพิ่งนึกออกเช่นกัน อริญชย์กระตุกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หันกลับมามองพิชญ์

           “ห้องนอนฉันนะ...”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ห้องที่อริญชย์บอก มันใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับคุยเรื่องงานกันหรือไง

          เอาเถอะ ห้องนอนก็ห้องนอน



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า
คุณใหญ่คะ...ทำไมคุณใหญ่ชอบคุยงานในห้องนอนคะ >///<


ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ฉันระแวงเธอไปหมดแล้วยัยหลิว
หล่อนมีแผนการจะทำอะไรพีทเหรอฮ้าาาา!!!  :katai1:
มีเรื่องอะไรแบบนี้อยากให้พีทบอกคุณใหญ่ตรงๆ ชัดๆ จังเลย ไม่อยากให้คิดเองเออเองเหมือนเมื่อก่อน ห่วงๆ ห่วงพีท   :z3: :z3:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบสาม
ครอบครัวเดียวกัน




          หลังเสร็จจากมื้อเย็น พิชญ์ย้ายมานั่งดูโทรทัศน์ตรงห้องนั่งเล่น รายการโทรทัศน์กำลังเข้าสู่ช่วงของข่าวภาคค่ำ แต่ดูเหมือนเขาจะเพียงแค่เปิดโทรทัศน์เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งครบสามสิบนาทีพอดีหลังจากที่อริญชย์เดินขึ้นห้อง พิชญ์ถึงค่อยหยิบรีโมทมากดปิดโทรทัศน์แล้วลุกขึ้นยืน

          พอขึ้นมาชั้นสอง พิชญ์ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องนอนของน้องหนูก่อน เขาแง้มประตูออกเล็กน้อย ได้ยินเสียงนวลกำลังเล่านิทานสลับเสียงหัวเราะคิกคักของน้องหนูดังลอดออกมา พิชญ์ยิ้มออกมาก่อนจะงับประตูปิดลงตามเดิม

          ถัดจากห้องของน้องหนู พิชญ์ก็เดินเข้าห้องตัวเองเพื่อมาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางกองรวมกันอยู่ แล้วถึงเดินไปห้องนอนของอริญชย์ที่อยู่ด้านในสุด เขายืนอยู่หน้าประตูไม้บานสูง ขยับจะยกมือขึ้นเคาะประตูอยู่หลายรอบ แต่กลับลดมือลงกลางคันด้วยความรู้สึกแปลก ๆ

          ถ้าถามว่ากลัวหรือ พิชญ์คงตอบว่าใช่

          พิชญ์กำลังกลัว กลัวว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ต่อกำแพงความรู้สึกที่จวนเจียนจะพังทลายลงมา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นก้อนน้ำแข็งที่กำลังถูกหลอมละลายลงช้า ๆ

          พิชญ์ยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบา ๆ นึกสมเพชความขี้ขลาดของตัวเองขึ้นมาหน่อย ๆ เขากลายเป็นคนขี้กลัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งที่เรียกร้องให้อริญชย์ปฏิบัติต่อดี ๆ มาตลอด แต่พอทุกสิ่งทุกอย่างทำท่าจะดีขึ้นมาอย่างที่พิชญ์เคยร้องขอ เขากลับกลัวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

          กลัวว่าหากเขาเผลอถลำตัวเมื่อไหร่ เส้นศีลธรรมบาง ๆ ที่เขายึดเหนี่ยวมานานคงขาดสะบั้นลงด้วยน้ำมือของเขาเอง

          เขาเคยพยายามเรียกร้องให้อริญชย์เป็นพี่ภรรยาที่ดี แต่ดูเหมือนอริญชย์จะพยายามก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่เรียกว่า ‘พี่ภรรยา’ โดยมาตลอด

          ระหว่างที่กำลังยืนนิ่วหน้าอยู่หน้าประตูห้องนอนของอริญชย์ พิชญ์ก็เหมือนจะเห็นผู้ช่วยคนสำคัญเข้า ริมฝีปากเผลอคลี่ยิ้มออกมายามเห็นตุลย์เดินออกมาจากห้องหนังสือที่อยู่อีกฝั่งของตึก พอเห็นพิชญ์กวักมือเรียก ตุลย์ก็เดินตรงเข้ามาหา ทั้งที่กำลังจะเดินลงบันไดอยู่แล้ว

           “คุณพีทมาหาคุณใหญ่หรือครับ”

          ตุลย์ที่เดินมาถึง ทำทีเป็นเอ่ยถามพิชญ์ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ยืนอยู่หน้าห้องเจ้านายเขา ก็ต้องมาเจ้านายเขาสิ

          คนสนิทของอริญชย์มองประตูห้องนอนเจ้านายสลับกับพิชญ์ที่ยืนทำหน้าประหลาดแล้วก็ยิ้มขำ พอพิชญ์ผงกหัวรับว่ามาหาอริญชย์ ตุลย์ก็กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง แล้วก่อนที่พิชญ์จะมีโอกาสห้ามปรามหรือคัดค้าน ตุลย์ก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนอนของอริญชย์ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ก่อนถึงกับอ้าปากค้าง

           “คุณตุลย์!” พิชญ์เรียกชื่อลูกน้องคนสนิทของอริญชย์ออกมาด้วยความตกใจ

          เขาอุตส่าห์รวบรวมความกล้า ขจัดความกลัวอยู่นาน ตุลย์เดินมาไม่ถึงสองนาทีก็จับเขาโยนเข้าถ้ำเสือทันที

          ตุลย์มองท่าทางอิหลักอิเหลื่อของพิชญ์แล้วก็ยิ่งขำ เคยนึกสงสัยระคนแปลกใจว่าทำไมอริญชย์ถึงชอบพิชญ์มานาน มิหนำซ้ำยังชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ พอได้รู้จักและสัมผัสกับพิชญ์จริง ๆ ตุลย์ถึงได้รู้ พิชญ์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์และบางทีก็น่าแกล้งเอามาก ๆ อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น

          พิชญ์ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนใส่ประตูห้องนอนของอริญชย์ นึกเข่นเขี้ยวความหวังดีของตุลย์อยู่หน่อย ๆ แต่จะโทษตุลย์ก็ใช่ที่ เขาผิดเองที่เรียกให้ตุลย์เดินมาหา พิชญ์พยายามมองโลกในแง่ดีว่าตุลย์ไม่ได้จงใจทำให้เขาตกที่นั่งลำบากแม้แต่น้อย แล้วก่อนที่พิชญ์จะหาทางหนีทีไล่จากผลงานที่ตุลย์ก่อไว้ทัน เสียงเย็นชาของอริญชย์ก็ดังมาจากหลังบานประตูให้พิชญ์ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ จนแอบกร่นด่าตัวการหลังบานประตูที่ดันเลือกสถานที่คุยกันเป็นห้องนอน เล่นเอาเขาใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มคุย

           “ใครน่ะ”

           “ผมเอง...”

          ตอบเสร็จพิชญ์ก็ตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน อยากจะกร่นด่าความโง่ซ้ำซากของตัวเองอีกรอบ อริญชย์คงจะรู้หรอกว่าผมไหน ผมบนหัวเขาล่ะมั้ง แต่ดูเหมือนอริญชย์จะรู้จริง ๆ

           “เข้ามาสิ”

          พิชญ์มองบานประตูตรงหน้าสลับกับหันมามองหน้าตุลย์อีกรอบ ลูกน้องคนสนิทของอริญชย์ก็ช่างแสนดี อุตส่าห์เดินมาตบบ่าพิชญ์ปุ ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนี

           “เข้าไปเลยครับคุณพีท เดี๋ยวผมขอลงไปตรวจดูความเรียบร้อยข้างล่างก่อน โชคดีนะครับ”

          ตุลย์ไม่รอให้พิชญ์ได้มีโอกาสตอบรับหรือตอบปฏิเสธ คนสนิทของอริญชย์ยิ้มให้พิชญ์หนึ่งทีก่อนจะรีบเดินหนี ทิ้งให้พิชญ์ได้แต่ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ พร่ำบอกตัวเองว่าแค่เข้าไปคุยกัน ไม่ได้ไปรบ อย่าไปกลัว แล้วก็เอื้อมมือไปหมุนลูกบิด

          ภาพหลังบานประตูที่ปรากฏแก่สายตาเล่นเอาพิชญ์ถึงกับหายใจติดขัด นึกกร่นด่าเจ้าของห้องขึ้นมาอีกหนึ่งรอบกับสภาพล่อแหลมตรงหน้า

          อริญชย์เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาด ๆ เรือนร่างที่พิชญ์เคยเห็นแบบไม่เต็มใจมาหลายต่อหลายครั้งดูกำยำและมีมัดกล้ามแบบผู้ชายที่ดูแลตัวเองตลอด จนพิชญ์ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเรี่ยวแรงของพวกขี้เกียจออกกำลังกายอย่างเขาถึงสู้แรงช้างสารของอริญชย์ไม่ได้ เส้นผมสีดำสนิทเปียกน้ำจนลู่ลงมา ตอนพิชญ์เข้ามา อริญชย์กำลังยืนเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมตัวเองให้แห้ง ทุกอย่างที่เห็นเรียกว่าดูดีมากที่สุดเท่าที่ผู้ชายวัยสามสิบสามปีคนหนึ่งจะดูดีได้

          เจ้าของห้องสวมเพียงแค่กางเกงนอนผ้าฝ้ายขายาวสีเข้ม เปลือยแผงอกท่อนบน จนคนมองรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อ ๆ พิชญ์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทั้งอิจฉาทั้งรู้สึกแปลก ๆ อริญชย์ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา แล้วจะรู้สึกเก้อกระดากทำไม ตอนเข้าค่ายสมัยเรียนก็เคยอาบน้ำพร้อมกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เห็นผู้ชายแก้ผ้ามานักต่อนัก แต่สารภาพเลยว่า ไม่มีครั้งไหนที่พิชญ์จะรู้สึกลำบากใจเท่าครั้งนี้

           “เดี๋ยวผมค่อยแวะมาอีกทีตอนที่คุณใหญ่แต่งตัวเสร็จแล้วดีกว่า”

          ในที่สุดพิชญ์ก็ควานหาลิ้นของตัวเองเจอ แต่ดูเหมือนเจ้าของห้องจะไม่ได้นำพาต่อท่าทางกระอักกระอ่วนของเขาแม้แต่น้อย อริญชย์เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ๆ

           “ฉันแต่งตัวเสร็จแล้ว นายไปนั่งรอที่เก้าอี้เลย”

          พิชญ์ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ ลองอริญชย์ไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ยังไงเขาก็ไม่มีทางหนีไปได้ พิชญ์กระชับแฟ้มเอกสารที่ขนมาเข้ากับอกตัวเอง แทบจะเดินตัวเขเป็นปู ยามต้องเดินผ่านอริญชย์ที่ยืนขวางเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่กลางห้อง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของครีมอาบน้ำเจือจางอยู่ในอากาศบางเบา แต่นั่นยังไม่ร้ายกาจเท่ากับท่อนแขนเปลือยเปล่าที่เบี่ยงมาโดนตัวพิชญ์ราวกับจงใจ พอพิชญ์ตวัดตามอง เจ้าของแขนก็ตีหน้านิ่งจนเขาคร้านจะหาความด้วย

          ริอ่านเข้าถ้ำเสือ ไม่ถูกเสือเขมือบก็ให้มันรู้ไป

          พิชญ์วางแฟ้มเอกสารที่หอบมาลงบนโต๊ะรับแขกชุดเล็กตรงมุมห้อง พอนั่งลงแล้ว สายตาเจ้ากรรมก็กวาดมองไปรอบห้องอย่างท้อแท้

          ไม่กี่ก้าวก็เตียง ไม่กี่ก้าวก็โซฟา

          พิชญ์เกลียดบรรยากาศแบบนี้และสถานที่แบบนี้จริง ๆ และที่สำคัญ...

          ไม่ใช่ห้องนอนของอริญชย์หรือไง ที่มีแต่ภาพความทรงจำระหว่างเขากับเจ้าของห้องเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน

          พอจัดการกับตัวเองเรียบร้อย อริญชย์ก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามพิชญ์ มองคนที่ทำเป็นมองซ้ายทีขวาทีแล้วก็ต้องกระตุกยิ้ม ปล่อยให้พิชญ์ค่อย ๆ ดึงสติสตังกลับมา เห็นคนที่เอ่ยปากว่ามีเรื่องจะคุยกับเขายังไม่เริ่มต้นเสียทีราวกับลืมเอาปากมาด้วย อริญชย์เลยต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นเสียเอง

           “เห็นนายบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉัน”

          พิชญ์พยักหน้าหงึกหงัก ทำท่าเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที นึกทบทวนสาเหตุที่เขาเข้ามาหาอริญชย์ถึงถ้ำเสือ ก่อนบทสนทนาที่คุยกับรัญญาเมื่อช่วงบ่ายจะแวบเข้ามา

           “ช่วงนี้งานของคุณใหญ่เป็นยังไงบ้าง”

           “ปกตินายไม่ใช่คนอ้อมค้อม”

          พิชญ์เกือบจะแยกเขี้ยวให้คนที่รู้ทันเขาตลอด ดีว่าระงับตัวเองทัน

           “ผมได้ยินมาว่าตอนนี้เรากำลังมีปัญหากับทางลูกค้า”

           “ฮื่อ ว่าต่อสิ...”

           “งานที่เราเพิ่งส่งมอบให้ลูกค้าตกสเปค จริงหรือเปล่าครับ”

          อริญชย์ไหวไหล่ด้วยท่าทางสบาย ๆ อย่างที่มักทำเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย เผลอคิดเล่น ๆ ว่าถ้าได้บุหรี่สักมวนหรือไวน์ยี่ห้อโปรดซักแก้วคงดีไม่น้อย ตอนเห็นพิชญ์ทำหน้าตาเคร่งเครียดที่โต๊ะอาหาร บอกว่ามีเรื่องอยากถาม ก็พาลเอาเขาเครียดตาม นึกว่าเรื่องหนักหนาสาหัสคอขาดบาดตาย ที่แท้ก็แค่ปัญหาหยุมหยิมของบริษัทที่เขากำลังไล่เช็กบิลอยู่

          ความจริงอริญชย์ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหรือให้พิชญ์ต้องมารู้จากคนอื่น เพียงแต่เห็นว่าช่วงนี้อีกฝ่ายกำลังวุ่น ๆ กับงานประมูลที่ตัวเองต้องรับผิดชอบโดยตรง เขาเลยเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้ให้มันจบไปเงียบ ๆ เลยไม่ได้เอ่ยปากเล่าให้พิชญ์ฟัง

           “รู้มาจากใครล่ะ พวกพนักงานที่บริษัทหรือไง”

          เป็นคราวของพิชญ์ที่ต้องสะดุ้งกับคำถามย้อนกลับของอริญชย์ ตั้งสติได้ก็รีบพยักหน้ารับ ขืนหลุดปากบอกไปว่ารู้มาจากรัญญา รับรองว่าเรื่องนี้คงจบไม่สวยแน่ ๆ เขายังจำประโยคที่รัญญาเอ่ยกำชับกับเขาทุกครั้งที่เจอกันได้

           ‘คุณพีทอย่าบอกพี่ใหญ่นะคะว่าเจอกับหลิว เพราะพี่ใหญ่คงไม่ชอบใจแน่ ๆ’

          แววตาของรัญญายามเอ่ยถึงอริญชย์ดูเกรง ๆ อยู่ไม่น้อย จนพิชญ์อดคิดในใจไม่ได้ว่า ถึงจะบาดหมางกับราชันย์มากแค่ไหน แต่อริญชย์ก็ไม่ควรพาลไปถึงรัญญาเลย

           “เรื่องเป็นมายังไงหรือครับ”

           “ก็พวกแอบสอดไส้ธรรมดาน่ะ เสียหายไม่มากเท่าไหร่ แค่เสียเวลาเค้นหาตัวการ”

           “แล้วตอนนี้เรียบร้อยหรือยังครับ”

           “ตุลย์กำลังตามอยู่ ไม่เกินสองวันคงได้เรื่อง วันนี้ฉันลงไปคุยกับลูกค้าด้วยตัวเองแล้ว ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไร เพราะพวกชอบเล่นสกปรกมันมีเยอะ แต่เรื่องดูที่ที่ชุมพรอาจจะต้องเลื่อนออกไปก่อน ว่าแต่ส่วนของนายเถอะ ไปถึงไหนแล้ว”

           “มะรืนนี้ก็น่าจะเรียบร้อยครับ”

          ฟังคำตอบแล้วอริญชย์ก็ปรายตามองแฟ้มที่พิชญ์หอบเข้ามาด้วยราวกับจะถาม คนที่หอบเข้ามาได้แต่เกาหัวเก้อ ๆ เอาเข้าจริงแล้วเอกสารในแฟ้มที่เขาหอบเข้ามาก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร แต่จะให้พิชญ์ยอมรับหรือว่าเขาขนของพวกนี้เข้ามาเป็นไม้กันหมา ฝันไปเถอะ!

           “ผมหยิบติดมือมาด้วยเฉย ๆ”

          ถ้าไม่รู้ทันพิชญ์ ผู้ชายคนนั้นคงไม่ใช่อริญชย์ แต่น่าแปลกที่วันนี้อริญชย์กลับไม่นึกอยากไล่ต้อนพิชญ์ให้จนมุมเหมือนที่ผ่าน ๆ มา การได้นั่งดูท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูกของพิชญ์ มันทำให้อริญชย์อดยิ้มออกมาไม่ได้

          เมื่อก่อนเขาเป็นคนใจร้ายแค่ไหนกันนะ ถึงได้ทำลายความเป็นธรรมชาติของพิชญ์อย่างเลือดเย็น

          ไม่ใช่ดวงตาดื้อรันที่แฝงความสดใส ริมฝีปากช่างพูดที่ขยันต่อล้อต่อเถียง รอยยิ้มที่ราวกับจะทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวหรอกหรือ ที่ทำให้คนแข็งกระด้างอย่างเขาสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ จนรู้อีกทีก็ละสายตาและปล่อยให้ห่างตัวไม่ได้แล้ว

           “คิดออกหรือยังว่าเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่”

          จู่ ๆ อริญชย์ก็เปลี่ยนเรื่องไปถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้คำตอบขึ้นมาดื้อ ๆ เขาก็แค่ลองถามดู เผื่อพิชญ์จะนึกออก ทั้ง ๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าความน่าจะเป็นที่พิชญ์จะจดจำเรื่องราวครั้งนั้นได้แทบจะเป็นศูนย์ และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ไม่ต่างจากที่คาด พิชญ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ

           “ถ้าคุณไม่บอก ผมก็นึกไม่ออกหรอก”

           “ก็ค่อย ๆ นึกไป”

          คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอริญชย์ทำหน้าบึ้งออกมาแบบไม่ปิดบัง เล่นเอาคนมองเกือบจะหลุดหัวเราะอยู่แล้ว เคยนึกสงสัยเวลาเห็นหลานสาวตัวน้อยเชิดหน้า ทำปากยื่น ท่าทางแง่งอน ว่ามันดูคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน มามั่นใจเอาตอนนี้ว่าที่แท้น้องหนูก็ถอดสำเนาคนเป็นพ่อมาทุกกระเบียดนิ้ว

           “ทำหน้าบึ้งเป็นน้องหนูไปได้”

           “ผมไม่ใช่เด็กซะหน่อย”

           “นั่นสิ จวนจะยี่สิบแปดแล้วนี่ อีกไม่กี่ปีก็ขึ้นเลขสามแล้ว” อริญชย์ว่าหน้าตาเฉย

          พิชญ์ตาลุกวาวกับคำพูดของอริญชย์ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว...

           “ผมน่ะอีกไม่กี่ปีก็เลขสาม แต่คุณใหญ่เลยเลขสามไปหลายปีแล้วไม่ใช่หรือไง”

           “หลายปีที่ไหนกัน ฉันเพิ่งจะสามสิบสาม”

          พิชญ์หัวเราะขำออกมา เมื่ออีกคนไม่ยอมแก่ไม่ต่างจากเขา

           “ก็มากกว่าผมตั้งห้าปี” พิชญ์เอ่ยปนเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็นอริญชย์เป็นฝ่ายทำหน้าบึ้งบ้าง เขายิ่งขำมากกว่าเดิม

          นึก ๆ ดูแล้ว นานแค่ไหนกันนะที่เขาไม่ได้นั่งคุยกับอริญชย์อย่างสบายใจแบบนี้ ราวกับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นแค่เพียงฝันร้าย

          ท้ายที่สุดแล้วคนที่แสร้งทำหน้าบึ้งตึงก็ต้องยอมแพ้ เมื่อเห็นรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วใบหน้าพิชญ์ จนไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากของเขาค่อย ๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้มเช่นกัน ยิ้มให้กับความสดใสที่ปรากฏเบื้องหน้า




ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


           “พีท...”

           “ครับ...”

          พอถูกเรียก พิชญ์ถึงได้รู้สึกตัวว่าเพิ่งแสดงตัวตนออกไปให้อีกฝ่ายเห็นมากแค่ไหน รอยยิ้มค่อย ๆ จางจากใบหน้า ยามสบตาอริญชย์ที่มองตรงมายังเขานิ่ง ๆ กำลังคิดว่าควรจะเอ่ยขอตัวกลับห้องนอนเสียที คำถามที่เขาไม่เคยได้เตรียมหาคำตอบก็ดังออกมาจากปากอริญชย์ ตรึงเขาให้ต้องนั่งนิ่งอยู่กับที่

           “เคยคิดอยากจะหย่ากับยัยเล็กบ้างไหม”

          อริญชย์ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้ถามเขาออกมาแบบนี้ พิชญ์สั่นหน้าปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด

           “คุณใหญ่ก็รู้ว่าผมอยากให้น้องหนูมีครอบครัวที่สมบูรณ์”

           “ถึงแม้ว่านายจะไม่ได้รักยัยเล็กยังงั้นหรือ”

          ราวกับละอองความสุขที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วถูกพายุใหญ่พัดหายไปในทันใด บรรยากาศที่กำลังดีขึ้น ช่องว่างที่ดูเหมือนจะแคบลง ตอนนี้กลับเหมือนมีความอึดอัดจาง ๆ แผ่เข้ามาปกคลุมช้า ๆ ไม่ผิดที่อริญชย์จะเอ่ยถามพิชญ์ออกมาแบบนั้น แต่พิชญ์ก็ไม่อาจระงับความไม่พอใจที่แล่นขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้

           “น้องหนูจำเป็นต้องมีทั้งพ่อและแม่”

          พิชญ์รู้ว่าสิ่งที่เอ่ยไปมันคือความเห็นแก่ตัว และตัวเขาเองก็เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ถึงแม้ไอลดาจะเลือกปล่อยมือจากความรักของเธอกับเขา แต่พิชญ์กลับยังไม่ยอมทำลายโซ่ตรวนที่ผูกมัดเขากับไอลดาเอาไว้ แค่กระดาษแผ่นเดียวที่ทำให้ครอบครัวยังคงเป็นครอบครัวอยู่ แม้คำว่าครอบครัวที่พิชญ์หวงแหนนักหนามันจะเปราะบางจนพร้อมจะแตกร้าวได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าต้องให้น้องหนูเผชิญหน้ากับคำถามว่าเหตุใดพ่อกับแม่ถึงหย่ากัน พิชญ์ยอมรับว่าเขายังไม่พร้อมจริง ๆ

           “เหนี่ยวรั้งกันไว้ทั้งที่ไม่เหลือเยื่อใย มันไม่ใช่ทางออกที่ดีหรอกนะ”

           “มันก็เป็นวิธีของผม”

           “คิดว่าวิธีแก้ปัญหาแบบโง่ ๆ ของนายจะได้ผลเสมอไปหรือไง”

           “มันก็ไม่ต่างอะไรกับวิธีแสดงความรักแบบโง่ ๆ ของคุณใหญ่หรอก”

          อริญชย์ยกปลายนิ้วขึ้นถูจมูกไปมาด้วยอากัปกิริยาที่เผลอทำไปโดยไม่รู้ตัว ยามที่รู้สึกขัดใจกับอะไรบางอย่าง ทั้งที่เขากับพิชญ์กำลังคุยกันดี ๆ อยู่แล้วแท้ ๆ แต่ก็ดูเหมือนจะทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง และตอนนี้อริญชย์ก็ยอมรับเลยว่าเขากำลังหงุดหงิดพิชญ์หน่อย ๆ หงุดหงิดกับความดื้อแพ่งจนเกือบจะกลายเป็นดื้อด้านของพิชญ์ อริญชย์ไม่ได้อยากจะยั่วโมโหพิชญ์แม้แต่น้อย เขาแค่อยากให้พิชญ์คิดและยอมรับความจริงบ้าง

          ไม่มีใครเคยบอกพิชญ์หรือไง ว่าสามีภรรยาหย่าร้างกันก็กลายเป็นคนอื่น แต่ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกนั้นเป็นนิรันดร์ ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นอื่นได้

           “นายมันเห็นแก่ตัว”

          อารามหงุดหงิดทำให้อริญชย์หลุดปากต่อว่าพิชญ์ออกไปแบบนั้น และผลลัพธ์ที่คืนกลับมาก็คือดวงตาเรียวที่ตวัดมองเขา มันทั้งดื้อดึงและสั่นไหวไปในคราวเดียวกัน จนอริญชย์นึกอยากจะคว้าคนที่ทำท่าราวกับสัตว์บาดเจ็บเข้ามากอดให้จมหายลงไปในอก แต่ขืนทำอย่างนั้นจริง ๆ เขาคงถูกกงเล็บร้าย ๆ นั่นข่วนเข้าเสียก่อน

           “คุณก็ไม่ต่างกัน”

          ตอบโต้ออกไปแล้วก็ต้องเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นจนรู้สึกเจ็บ คล้ายกับจะได้รสเลือดหน่อย ๆ พิชญ์รวบแฟ้มเอกสารขึ้นมาถือไว้ อย่างน้อยการเลือกเดินหนีออกไปตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีกว่า ก่อนที่พายุอารมณ์ร้าย ๆ ของเขากับอริญชย์จะทำให้อะไร ๆ ที่กำลังจะดีขึ้นพังพินาศลงมาไม่เป็นท่า

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว”

          อริญชย์นั่งมองพิชญ์เก็บของเงียบ ๆ ไม่ต้องเอ่ยปากถาม เขาก็เดาการกระทำของพิชญ์ออก

          นอกจากพิชญ์จะมีวิธีแก้ปัญหาแบบโง่ ๆ แล้ว ยังชอบหนีปัญหาแบบเด็ก ๆ อีกด้วย

          เห็นเจ้าของห้องยังนั่งนิ่ง พิชญ์เลยถือโอกาสลุกขึ้นยืน ระยะห่างจากชุดรับแขกไปยังประตูไม่ได้ไกลในความเป็นจริง แต่ในความรู้สึกของพิชญ์กลับช่างดูห่างไกล แล้วสุดท้ายเขาก็ไปไม่ถึงบานประตู

           “คุณใหญ่!”

          พิชญ์หลุดเสียงอุทานออกมา เมื่อคนที่เมื่อกี้ยังนั่งนิ่งอยู่กลับลุกขึ้นมาแล้วรั้งเขาเข้าไปหา แฟ้มเอกสารที่หอบไว้อย่างหมิ่นเหม่ร่วงหล่นลงพื้น ตัวเขาถูกพลิกให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับอริญชย์ ก่อนแผ่นหลังจะถูกดันชิดกับผนังห้อง

           “โกรธหรือ”

           “เปล่า”

          ทั้ง ๆ ที่ปากบอกว่าเปล่า แต่พิชญ์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง อริญชย์เท้าแขนลงกับผนังราวกับจะขังพิชญ์เอาไว้ในวงแขนของเขากลาย ๆ เขาเอื้อมมือจับปลายคางพิชญ์ให้หันกลับมาสบตา แต่เด็กดื้อก็ยังคงเป็นเด็กดื้ออยู่วันยังค่ำ

           “คุณใหญ่ ผมจะกลับห้อง”

           “อย่าเพิ่งได้ไหม คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

           “ผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”

           “แต่ฉันมี”

          พิชญ์หรุบสายตาลงต่ำ หนีสายตาที่มองตรงมา รู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะพ่ายแพ้ ความอ่อนโยนที่ได้รับมันทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ วินาทีนี้ดูเหมือนว่ากำแพงใด ๆ ที่เคยมีก็พร้อมจะพังทลายลงมาด้วยคำพูดเพียงประโยคพูดเดียว...

           “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านายแบบนั้น”

          แค่ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยราวกับจะขอโทษ แม้คนพูดจะไม่ได้พูดมันออกมาตรง ๆ พิชญ์ก็พ่ายแพ้ให้กับอริญชย์เสียแล้ว

          ยามที่ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับลงมา พิชญ์ก็หลับตาลงช้า ๆ เขาไม่เคยนับว่าถูกอริญชย์บังคับขืนจูบมากี่ครั้งแล้ว แม้หลัง ๆ อาจจะเรียกว่าบังคับได้ไม่เต็มปาก แต่อย่างน้อยครั้งนี้คงเรียกว่าเต็มใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

          สัมผัสของอริญชย์ไม่ได้นุ่มนวลนัก แต่ทั้งเรียกร้องและตักตวงอย่างเอาแต่ใจ พิชญ์ครางออกมาเบา ๆ ยามเมื่อรู้สึกว่าถูกอริญชย์จูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจวนเจียนจะขาดอากาศหายใจ เขาทุบอกอริญชย์และยกฝ่ามือดันอีกฝ่ายออกไป ดวงตาที่ช้อนมองวาววับ ทว่าคนถูกมองกลับยิ้มรับราวถูกใจนักหนา

          อริญชย์ไล้ปลายนิ้วไปตามริมฝีปากที่บวมเจ่อของพิชญ์ ฝ่ามืออีกข้างโอบรั้งคนที่ตัวเล็กกว่าให้เข้ามาหาจนร่างกายแนบสนิทชิดกันทุกสัดส่วน ข้าวของที่หล่นเกลื่อนกลาดกลายเป็นเพียงสสารที่ไม่มีใครสนใจไยดี

           “คุณใหญ่...” พิชญ์ครางฮือ ยามถูกปรนเปรอด้วยรสจูบซ้ำ ๆ จนแทบขาดใจ

           “เด็กดี...”

          พิชญ์รู้สึกราวกับตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสาขึ้นมายามอริญชย์กระซิบชิดริมฝีปากเขา มือข้างหนึ่งยึดไหล่อริญชย์เอาไว้แน่น แข้งขาแทบจะหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่จูบกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้อริญชย์จูบเขาราวกับจะกลืนกินลงไปทั้งตัว ราวกับมีความนัยซุกซ่อนอยู่ในทุกสัมผัสที่แนบเคล้าลงมา

          ยามเมื่อถูกรุกไล่มากเข้า พิชญ์ก็เป็นฝ่ายดุนปลายลิ้นกลับไป เขาจูบได้และจูบเป็น แม้ว่าอาจจะไม่ได้เก่งกาจเท่าคนที่กำลังช่วงชิงลมหายใจของเขาอยู่ แต่อย่างน้อย เขาก็ทำให้อริญชย์เป็นฝ่ายครางออกมาได้เหมือนกัน

          พอถูกจูบ พิชญ์ก็แทบคิดอะไรไม่ออก ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่าเขาต้องผลักไสอริญชย์ ร่างกายกลับทำตรงกันข้าม เกาะเกี่ยวอีกฝ่ายไว้แน่น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามการชักจูงและนำพาของอริญชย์ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พิชญ์ก็ไม่อาจต้านทานได้เลย พิชญ์ถึงได้บอกว่าเขากลัว กลัวว่าตัวเองจะพ่ายแพ้หมดรูปอย่างที่กำลังเป็นอยู่

          สติดูเหมือนจะกลับคืนมาหาพิชญ์ตอนที่แผ่นหลังเขาแนบกับเตียง ฝ่ามือร้อนผ่าวสอดเข้ามาใต้เสื้อนอน ลูบไล้ผิวกายเปลือยเปล่าจนพิชญ์ขนลุกเกรียว ร่างกายพลันสั่นระริก

           “คุณใหญ่...”

          ราวกับเสียงเรียกหาของพิชญ์คือคำเรียกร้อง ยิ่งพิชญ์เอ่ยเรียกชื่ออริญชย์มากเท่าไหร่ อริญชย์ยิ่งรุกเร้ามากเท่านั้น ทั้งริมฝีปากทั้งมือทำงานสอดประสานกันอย่างพร้อมเพรียง กระดุมชุดนอนถูกปลดลงมาอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ยามที่ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดโดนตัว พิชญ์ถึงกับสั่นสะท้าน แต่ยังไม่เท่าตอนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวขบเม้มไปทั่วตัวเขาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

          พิชญ์ครางชื่ออริญชย์ออกมาซ้ำ ๆ หยัดตัวเข้าหาริมฝีปากของอริญชย์อย่างลืมอาย ฝ่ามือที่ควรผลักไสกลับดึงรั้งอีกฝ่ายเข้ามาหา บทรักที่กำลังโหมกระพือคงดำเนินต่อไปจนถึงปลายทาง ถ้าเพียงแต่ทั้งพิชญ์และอริญชย์จะไม่ได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้อง อริญชย์ทำท่าจะไม่สนใจเสียงที่ว่า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกฝ่ามือของพิชญ์ยันหน้าเขาเอาไว้ จนต้องขึงตามองคนที่อยู่ใต้ร่างดุ ๆ

           “ไม่ได้ยินเสียงหรือไง คุณใหญ่”

           “ได้ยินแล้วไง”

          พิชญ์ยกมือเสยผมลวก ๆ แม้แต่เด็กห้าขวบยังรู้ว่าตอนนี้อริญชย์กำลังหงุดหงิดเพราะอารมณ์ค้างแน่ ๆ เขาเองก็มีอารมณ์เหมือนกัน แต่จะให้มีเซ็กส์กันโดยที่มีเสียงร้องประหลาดประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะ มันก็ใช่เรื่อง

           “ผมออกไปดูหน่อยดีกว่า”

           “เดี๋ยวตุลย์ก็มาจัดการเองน่า”

           “แต่เสียงนี้คุ้น ๆ นะ”

          คราวนี้เสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนชัดเจน พิชญ์ผลักอริญชย์ให้พ้นทาง คว้าเสื้อนอนที่เพิ่งถูกถอดทิ้งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมาสวมเร็ว ๆ ไม่สนใจไยดีเจ้าของห้องที่กำลังของขึ้น ขาสองข้างก้าวไปกระชากประตูห้องเปิดออก พอเห็นที่มาของเสียงก็แทบหมดแรง

           “น้องหนู!”

          ลูกสาวตัวน้อยของพิชญ์ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงทางเดิน ใช้ฝ่ามือเล็ก ๆ ปาดน้ำตาป้อย ๆ ดูแล้วน่าสงสารเหลือเกินในสายตาของคนเป็นพ่อ ไม่ต้องพูดซ้ำให้มากความ พิชญ์ก็ถลาเข้าไปคว้าเอาน้องหนูมากอดแนบอก มือลูบหลังปลอบลูกสาวตัวน้อยไปมา นึกกร่นด่าตัวเองที่มัวแต่หลงระเริงจนเผลอละเลยน้องหนูไป แต่อย่างน้อยพิชญ์ก็ต้องขอบคุณน้องหนู ถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องหนูขึ้นมา พิชญ์คงเผลอไผลไปไกลจนไม่อาจถอยหลังกลับ

           “เป็นอะไรคะคนเก่ง บอกพ่อพีทหน่อยได้ไหมลูก”

          พอเห็นผู้เป็นพ่อปรากฏตัวตรงหน้า น้องหนูก็ดูเหมือนจะสงบลง เด็กหญิงค่อย ๆ คลายเสียงสะอื้นยามเอ่ยตอบผู้เป็นพ่อเสียงเครือ

           “พ่อพีทขา น้องหนูฝันร้าย”

          พิชญย่อตัวลงตรงหน้าน้องหนู ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาออกจากดวงหน้าเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน

           “ไม่เป็นไร พ่อพีทอยู่ตรงนี้แล้ว น้องหนูแค่ฝันไปเองลูก”

          อ้อมแขนของคนเป็นพ่อโอบรั้งลูกสาวเข้ามากอดแน่น กระซิบเอ่ยปลอบซ้ำไปมา ฝ่ามือลูบหลังเด็กหญิงเบา ๆ จนเห็นว่าน้องหนูสงบลงแล้ว พิชญ์ถึงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา น้องหนูเอามือสองข้างคล้องคอพิชญ์ไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย ซุกใบหน้าเล็ก ๆ ลงกับบ่าของพิชญ์จนคนเป็นพ่ออดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะชะงักเบา ๆ เมื่อรับรู้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลัง

           “น้องหนูเป็นอะไรไป”

           “แค่ฝันร้ายเฉย ๆ ผมขอตัวพาน้องหนูเข้านอนก่อนนะครับ”

           “น้องหนู...” อริญชย์เรียกหลานสาวตัวน้อยเสียงอ่อน จนคนเป็นพ่อยังอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงหูแว่ว

          พอได้ยินเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียก น้องหนูก็ยอมมุดหน้าออกมาจากบ่าของพิชญ์ ดวงตากลมโตที่ยังแดงระเรื่อช้อนมองผู้เป็นลุง แค่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับวงแขนที่กางออก เด็กหญิงก็โผจากอ้อมกอดของพิชญ์ไปหาอริญชย์อย่างง่ายดาย เล่นเอาพ่อบังเกิดเกล้าถึงกับมองตาปริบ ๆ

           “คุณใหญ่จะพาน้องหนูไปไหน” พิชญ์เอ่ยถามเสียงหลง เมื่อเห็นอีกคนทำท่าจะลักเอาตัวลูกสาวเขาไปดื้อ ๆ

           “พาน้องหนูเข้านอนน่ะสิ”

           “ส่งมานี่เถอะ เดี๋ยวผมพาลูกเข้านอนเอง”

          คำขอของพิชญ์ได้รับกลับมาเพียงแค่อาการหูทวนลมของอริญชย์ พอเห็นอริญชย์พาน้องหนูเดินลิ่วเข้าไปในห้องนอนของตัวเองที่พิชญ์เพิ่งเดินออกมา พิชญ์ก็ต้องรีบจ้ำเท้าตามทันที คนที่เดินเข้ามาก่อนวางหลานสาวตัวน้อยลงบนเตียงนอนหลังใหญ่ ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างน้องหนู ก่อนริมฝีปากอุ่นจะก้มลงแตะหน้าผากน้องหนูเบา ๆ

           “นอนนะคะคนเก่ง เดี๋ยวคืนนี้ลุงใหญ่กับพ่อพีทจะอยู่เป็นเพื่อนน้องหนูเอง”

           “ลุงใหญ่กับพ่อพีทนอนด้วยกันกับน้องหนูสิคะ”

          พอได้รับคำขอร้องอ้อน ๆ จากหลานสาว อริญชย์ก็รีบเอนตัวลงนอนข้างน้องหนู ก่อนจะขึงตามองพิชญ์ที่ยังยืนนิ่งให้ทำตาม คนไม่มีทางเลือกเลยต้องล้มตัวลงนอนอีกฝั่งอย่างช่วยไม่ได้ น้องหนูคว้าเอามือของพิชญ์กับอริญชย์มาจับไว้คนละข้าง

           “อย่าทิ้งน้องหนูไปไหนนะคะ”

          คำตอบรับคือฝ่ามือที่กุมกระชับแน่น แล้วเด็กหญิงก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน พิชญ์เกลี่ยปอยผมออกจากหน้าผากน้องหนูอย่างแผ่วเบา ยังอดพึมพำขึ้นมาด้วยความดื้อดึงไม่ได้

           “คุณใหญ่ไม่เห็นต้องลำบากพาน้องหนูเข้ามานอนที่นี่เลย ผมพาน้องหนูเข้านอนเองก็ได้”

          อริญชย์ชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปปิดไฟในห้อง ปรายตามองพิชญ์ที่กำลังนอนมองหน้าลูกแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ ๆ ออกมา

           “ลำบากตรงไหน เราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรือไง”

          ทั้งที่อริญชย์ก็เอ่ยด้วยเสียงดุ ๆ เหมือนทุกที แต่ทำไมคำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ที่ได้ฟัง มันถึงทำให้พิชญ์รู้สึกเต็มตื้นในอกแปลก ๆ เขาไม่ใช่แค่ของเล่นหรือที่ระบายความใคร่สำหรับอริญชย์ แต่เป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ใช่ไหม

          ครอบครัวเดียวกัน...ที่ไม่เฉพาะเจาะจงแค่พ่อ แม่ ลูก แต่ยังรวมถึงลุงของลูกด้วย




TO BE CONTINUE



หลังจากตอนนี้ จะมาอัพเดทตอนใหม่ทุกวันอาทิตย์นะคะ  :pig4:
ช่วงนี้บรรยากาศระหว่างพีทกับคุณใหญ่กำลังชื่นมื่นเลยค่ะ



ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ทำไมบรรยากาศมัน สีชมพู ๆ ยังไงไม่รู้นะ อิอิอิ
ตอนนี้ตุลย์แย่งซีนไปเต็มๆ ถึงมีบทน้อย แต่ก็ทำให้พีชญ์ยิ่งทำตัวไม่ถูก
 :m12: :m12:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เย้ !!! จะมาทุกวันอาทิตย์ใช่ไหมคะ :really2:

บรรยากาศกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแท้ๆ โดนน้องหนูผลักตกสวรรค์ซะงั้นนะคุณใหญ่ 55555

เห็นพีทปิดบังเรื่องยัยหลิวแล้วกลัวจริงๆ เลย ถ้าพลาดโดนยัยหลิวทำร้ายขึ้นมา คุณใหญ่จะไปช่วยทันไหมนะ  :katai1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยนี้แหละครอบครัวที่แท้จริงที่พีทต้องการ สมบูรณ์สุดๆภาพนี้ 5555 ว้อยยยอย่าว่าแต่คุณใหญ่กับพีทเลยที่ค้าง  :impress2: นี่ก็ค้าง ชิท! กำลังได้ที่เลย 555 อยากกะด่าคนที่มาขัดก็ด่าไม่ลง เอ้าๆรอดตัวไปนะพีท ตุลย์ก็ขัดจังหวะมาแล้ว น้องหนูก็เพิ่งขัดจังหวะอีก ต่อไปจะมีใครอีกไหม จะได้ไปขวาง คุณใหญ่จะไม่ทนใช่ไหม 555555 ก็แหมมโว้ยเขาแบบมีอารมณ์ร่วมมาก จูบตอบ ดึงรั้งแบบว่าพีทดูพร้อมดูยอมแล้วมัน  :o8: :-[ เขินมากอะ เวลาสองคนนี้จู้จี้กัน 555 เถียงกันงอนกันแล้วก็ง้อด้วยภาษากายบางทีก็เข้าใจกันดีกว่านะ  :กอด1: คุณใหญ่แลดูใจเย็นอ่อนโยนมากขึ้น พีทก็ยังคงเป็นพีท แล้วที่พีทบอกว่ายังไม่อยากหย่า เรามองว่าพีทเกรงใจคุณเล็กคือต้องให้คุณเล็กเป็นคนมาขอหย่าเมื่อนั้นพีทถึงจะยอมเซ็นต์ให้ แต่จะให้พีทไปขอหย่าคงไม่มีทางเพราะยังรู้สึกผิดอยู่ เลยเอาน้องหนูมาอ้างเพราะครอบครัวแม้หย่าก็ยังอยู่ด้วยกันได้อยู่ แค่ไปให้อีกคนมีอิสระมากขึ้นในเมื่อไม่ได้รักกัน สนุกกกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยค่ะ จะเป็นยังไงทั้งงานและความรัก เขินอะเขิน 555  :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบสี่
พลาด



          บรรยากาศยามเช้าบนโต๊ะอาหารตระกูลเกียรติกาญจนามีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็ก ๆ เมื่อเจ้าตัวน้อยของพิชญ์เอาแต่นั่งงอแงหน้าชามข้าวต้ม จนพิชญ์ต้องทั้งเร่งทั้งหลอกล่อน้องหนูเพราะกลัวจะสาย คนพ่อเข้างานสายยังพออภัยให้ได้ แต่คนลูกห้ามเข้าเรียนสายเด็ดขาด

           “พ่อพีท น้องหนูอิ่มแล้ว”

          ปากกระจับยื่นออกมาอย่างแสนงอน มือเล็กดันชามข้าวต้มออกห่างตัว เดือดร้อนพิชญ์ต้องรีบวางช้อนของตัวเองลง

           “อีกสามคำนะครับคนเก่ง อ้าม...ม”

           “สองนะคะ...”

           “สามครับคนเก่ง เด็กดีของพ่อพีท”

          พิชญ์พยายามหลอกล่อเต็มที่ นึกเล่น ๆ ว่าถ้าเป็นอริญชย์ อีกฝ่ายคงมีวิธีจัดการกับอาการงอแงของน้องหนูได้ดีกว่าเขาแน่ ๆ เสียแต่ว่าพิชญ์เพิ่งรู้จากป้าน้อยว่าอริญชย์ออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพราะมีนัดกับลูกค้าต่างจังหวัด ความจริงพิชญ์เองก็นึกเอะใจอยู่เหมือนกัน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเหลือแค่เขากับน้องหนูอยู่บนเตียงกว้าง ส่วนเจ้าของห้องกลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย

          หลังจากจัดการกับตัวเองและน้องหนูเสร็จแล้ว พิชญ์ก็กึ่งลากกึ่งจูงน้องหนูออกมาขึ้นรถ โชคดีว่ากริชรู้งานเลยรีบเตรียมรถมารอหน้าบ้านแต่เนิ่น ๆ ส่วนนวลก็ช่วยหิ้วกระเป๋าและข้าวของเดินตามมาติด ๆ

           “อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลาเข้าเรียน ซิ่งเลยนะกริช” พิชญ์เอ่ยกำชับกริชหน้าตาจริงจัง จนคนรับคำสั่งเกือบจะหลุดยิ้มขำออกมา

           “ผมบอกแล้วว่าผมไปส่งคุณหนูก่อนแล้วค่อยกลับมารับคุณพีท คุณพีทก็ไม่ยอม”

           “ถ้าน้องหนูสายก็เพราะพ่อพีทนั่นแหล่ะ”

           “ครับ ๆ โทษแต่พ่อนะเรา”

           “ก็พ่อพีทตื่นสายจริง ๆ นี่นา”

          พิชญ์เกาหัวแก้เก้อ ยิ่งเห็นกริชลอบมองมาก็ยิ่งทำหน้าปุเลี่ยน ยอมรับเลยว่าเขาตื่นสาย ต้องโทษเตียงนอนของอริญชย์นั่นแหล่ะที่ทำเขาหลับลึก หลับสนิท หลับสบายจนลืมตื่น แถมเจ้าของห้องก็ชิ่งหนีแต่เช้า ไม่ยอมเสียเวลาปลุกกันซักนิด เดือดร้อนน้องหนูที่ตื่นมานอนมองพิชญ์ตาแป๋วต้องเป็นฝ่ายเขย่าปลุก คนเป็นพ่อถึงงัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนจะตาสว่างทันทีที่เห็นนาฬิกา แล้วรีบตาลีตาเหลือกอุ้มน้องหนูมาส่งให้นวลจัดการอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะรีบจัดการกับตัวเองเป็นการด่วน

          กริชอมยิ้มขำเมื่อเห็นความชุลมุนเล็ก ๆ เกิดขึ้นยามเช้า แล้วคนขับรถมือฉมังของอริญชย์ก็ไม่ทำให้พิชญ์ผิดหวัง กริชพาพิชญ์และน้องหนูมาถึงหน้าประตูโรงเรียนแบบฉิวเฉียด ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด พิชญ์รีบกระเตงน้องหนูลงจากรถ ก้มลงหอมแก้มยุ้ยหนึ่งฟอดก่อนจะจูงน้องหนูไปส่งให้คุณครูที่ยืนรอรับอยู่หน้าประตู

           “แหม วันนี้คุณพ่อมาส่งเองเลยนะคะ”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้คุณครู ถ้าน้องหนูไม่งอแงแต่เช้า เขาก็คงปล่อยให้นวลมาส่งเหมือนทุกที

           “ตรงไปบริษัทเลยนะครับคุณพีท” กริชเอ่ยถามหลังจากผู้เป็นนายกลับขึ้นมาบนรถแล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเล็ก ๆ

          บรรยากาศที่บริษัทยามเช้าเงียบสงบเหมือนทุกวัน พิชญ์มาสายกว่าเวลาเข้างานปกติเล็กน้อย เขาแวะทักทายประชาสัมพันธ์ข้างล่าง ก่อนจะเดินตรงไปยังลิฟต์ผู้บริหาร ชั้นบนสุดของตึกเงียบกริบ นอกจากพิชญ์ที่เพิ่งมาถึงแล้วก็มีแค่แม่บ้านประจำชั้นคอยเดินดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ

          พิชญ์เดินเข้าห้องทำงานตัวเอง พอนั่งเรียบร้อยก็กดอินเตอร์คอมขอกาแฟร้อนจากแม่บ้านประจำชั้น มืออีกข้างคว้าเอาสมุดนัดหมายมาเปิดดู เผลอคิดเล่น ๆ ว่าถ้ามีเลขาหรือผู้ช่วยซักคนก็คงดี แต่คงตลกน่าดูถ้าเขาจะมีเลขา แม้กระทั่งอริญชย์ยังมีแค่ตุลย์คอยจัดการงานให้ทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ขืนเขาเอ่ยปากขอเลขา เผลอ ๆ อริญชย์คงส่งตุลย์มาให้เขาใช้บริการเสียด้วยซ้ำไป

          พิชญ์กวาดสายตาไล่ไปตามลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยของตัวเองบนสมุดอออร์แกไนเซอร์ แล้วก็ต้องยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังป๊าบเมื่อเห็นกำหนดนัดหมายวันนี้

           ...12.00 น. นัดทานข้าวกับเจ้าสัวสมศักดิ์ที่โรงแรมแชงกรี-ลา…

          เขาลืมนัดวันนี้เสียสนิท!

          พิชญ์เงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีเวลาอีกสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด เขาเบนสายตาไปยังเสาแขวนเสื้อสูทตรงมุมห้อง โชคดีที่มีสูทสำรองอยู่ที่บริษัทตัวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องไหว้วานให้กริชขับรถกลับไปเอามาให้แน่ ๆ ตอนตุลย์แนะนำให้พิชญ์ทิ้งสูทไว้ที่บริษัทเผื่อฉุกเฉิน พิชญ์ยังนึกค้านในใจว่าคงไม่จำเป็น มาตอนนี้เลยได้แต่นึกขอบคุณในความหวังดีและรอบคอบของตุลย์ขึ้นมา

          พอเห็นตารางนัดของตัวเองแล้ว พิชญ์ก็ไม่ลืมที่จะโทรศัพท์บอกกริชด้วยเช่นกัน

           “กริช วันนี้ผมมีนัดที่โรงแรมแชงกรี-ลาตอนเที่ยง...”

          แค่พิชญ์เริ่มเกริ่น กริชก็ตอบรับกลับมาด้วยความรวดเร็วสมกับเป็นลูกน้องอีกคนที่อริญชย์ไว้ใจ

           “พี่ตุลย์บอกผมไว้แล้วครับ เดี๋ยวผมสแตนด์บายรอคุณพีทตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง จากบริษัทไปแชงกรี-ลาน่าจะครึ่งชั่วโมงได้อยู่”

           “โอเค งั้นเอาตามนี้เลยนะ”

          แม้จะรู้สึกชื่นชมการเตรียมพร้อมของกริชอยู่หน่อย ๆ แต่พิชญ์ยังอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ ดูเหมือนทั้งอริญชย์และตุลย์ต่างก็รู้ตารางงานและตารางนัดหมายของเขาเป็นอย่างดี จนความรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองราวกับเป็นนักโทษแล่นขึ้นมาในความคิดของพิชญ์วูบหนึ่ง

          หลังวางสายจากกริชแล้ว พิชญ์ก็นั่งเคลียร์งานส่วนที่ยังคั่งค้างและรอการอนุมัติจากเขา ส่วนงานประมูลที่เตรียมยื่นซองก็เสร็จเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่ไล่ดูรายละเอียดบางจุดอีกเล็กน้อยก็พร้อมส่งให้อริญชย์เซ็นอนุมัติได้

          แวบหนึ่งที่นั่งทำงานอยู่เพลิน ๆ คำถามเมื่อคืนของอริญชย์ก็ลอยกลับเข้ามาในหัว

           ...เคยคิดจะหย่ากับไอลดาบ้างไหม...

          หย่างั้นหรือ พิชญ์แทบไม่เคยคิดถึงคำ ๆ นี้มาก่อนเลย เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งตัวเองจะหย่าขาดจากไอลดา

          การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับไอลดามาเกือบห้าปีตอกย้ำให้พิชญ์ยิ่งรู้และมั่นใจว่า คำกล่าวของผู้ใหญ่ที่บอกว่า ‘อยู่กันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็รักกันเอง’ มันไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยก็ในกรณีของเขา เขามีความปรารถนาดีมอบให้ไอลดามากขึ้นทุกวัน แต่มันก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้

          พิชญ์ไม่ได้ข่าวคราวของไอลดาเลยนับตั้งแต่วันที่เธอเลือกเดินจากไป เพียงแค่รู้จากอริญชย์ว่าไอลดาอยู่ต่างประเทศและสบายดี แต่สบายในความหมายของอริญชย์อาจจะหมายถึงสบายกาย แต่ใจของไอลดาเล่า พิชญ์ไม่รู้เลยว่าเธอรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างหรือยัง

          น่าแปลกที่ความขุ่นเคืองอริญชย์ในตอนนี้มันไม่ได้มากมายเท่ากับตอนเกิดเรื่องแรก ๆ แต่จะให้พูดว่าไม่โกรธไม่เคืองกันเลย พิชญ์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เขายังรู้สึกโกรธเคืองอยู่ แต่น่าตกใจเหลือเกินที่น้ำหนักของมันน้อยจนเหมือนเป็นแค่เพียงตะกอนก้นแก้วที่ยังไม่ได้จางหายไปไหน หากวันไหนมีใครมากวนน้ำให้ขุ่น ตะกอนความโกรธเคืองของพิชญ์ก็พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ตอนนี้ความโกรธเคืองมันเบาบางลงทุกวัน

          บางที คนเห็นแก่ตัวอย่างเขาอาจจะต้องลองคิดทบทวนเรื่องหย่ากับไอลดาอย่างจริงจังดูเสียที

          อย่างน้อยก็ให้น้องสาวที่เขารักได้มีความสุขจริง ๆ

          อริญชย์พูดถูก ใบหย่าอาจจะทำให้ความเป็นสามีภรรยาสิ้นสุดลง แต่ไม่อาจทำให้ความเป็นพ่อแม่ลูกสิ้นสุดไปได้ แล้วเขาจะหวงแหนความเป็นสามีภรรยาเอาไว้ทำไม ในเมื่อตลอดมาก็เป็นตัวเขาเองที่ไม่เคยต้องการมันเลย



.



          พิชญ์มาถึงโรงแรมแชงกรี-ลาก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย กริชบ่นงึมงำมาตลอดทางว่าวันนี้เมอร์เซเดส เบนซ์ประจำตำแหน่งของพิชญ์ดูเหมือนจะเกเรหน่อย ๆ ก่อนลงจากรถพิชญ์เลยสั่งให้กริชเอารถไปเช็กที่ศูนย์เพื่อความปลอดภัย เกิดขับ ๆ อยู่แล้วดับขึ้นมากลางทางจะยุ่งเสียเปล่า ๆ

           “ถ้าผมมาช้า คุณพีทก็รอหน่อยนะครับ”

           “เอาเถอะ ถ้าเช็กเครื่องนาน เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับออฟฟิศเอาก็ได้”

          พอเห็นกริชทำท่าจะเอ่ยค้าน พิชญ์ก็เปิดประตูลงจากรถทันที ได้ยินเสียงกริชบ่นกระปอดกระแปดตามหลังถึงความดื้อรั้นของเขา แต่พิชญ์ก็คร้านที่จะฟัง

          พิชญ์กระชับแนบเสื้อสูทสีดำเข้ากับตัว ดวงหน้าเรียบนิ่งยามก้าวไปตามทางเดินปูพรมทอดยาว มุ่งหน้าสู่ห้องอาหารจีนขึ้นชื่อของโรงแรม ซึ่งเจ้าสัวสมศักดิ์ ตัวตั้งตัวตีในการนัดหมายคราวนี้โปรดปรานนักหนา

          ถึงพิชญ์จะจดลงสมุดออร์แกไนเซอร์ว่านัดกินข้าวกับเจ้าสัวสมศักดิ์ แต่พิชญ์และอริญชย์ต่างก็รู้ดีว่าเป็นการนัดหมายพบปะกันนอกรอบของสี่ขุนพลวงการธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งความจริงแล้วควรจะเป็นห้าขุนพล เพียงแต่ทางกมลวิลาศน์เลือกที่จะปลีกตัวออกจากวงสังคมอยู่ช่วงหนึ่งจนเหลือแค่สี่ขุนพล

          ความที่จริงแล้วอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายมาร่วมงานนี้ด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนจดหมายเชิญจากเจ้าสัวสมศักดิ์ถูกส่งมาถึงมืออริญชย์ เจ้าตัวก็เพียงแค่ปรายตามองเหมือนมองเศษกระดาษก่อนจะผลักภาระมาที่พิชญ์หน้าตาเฉย พอพิชญ์ถามหาเหตุผล อริญชย์ก็ตอบสั้น ๆ ว่า

           ‘ไร้สาระ!’

          เป็นคำตอบที่สมกับเป็นอริญชย์ดี และพิชญ์ก็เลยต้องมาแทนอริญชย์อย่างที่เห็น

          ห้องอาหารแชง พาเลซตกแต่งเรียบหรูแบบจีน สมกับเป็นห้องอาหารจีนขึ้นชื่ออันดับต้น ๆ หลังจากพิชญ์แจ้งชื่อเจ้าภาพ บริกรก็เดินนำพิชญ์มายังโต๊ะกลมซึ่งถูกจัดเป็นสัดส่วนอยู่มุมหนึ่งของห้องอาหาร พิชญ์ค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัย เมื่อเห็นว่าแขกมากันครบเรียบร้อยแล้ว เจ้าสมศักดิ์เห็นท่าทีของพิชญ์ก็รีบโบกมือก่อนจะชี้มือไปยังเก้าอี้ว่างอีกสองตัวข้างพิชญ์

           “เธอไม่ได้มาถึงเป็นคนสุดท้ายหรอก ยังขาดอีกสองคน”

           “ผมนึกว่าเจ้าสัวเชิญมาแค่พวกเราเหมือนทุกทีเสียอีก” คุณธงชัยซึ่งนั่งอยู่ซ้ายมือของเจ้าสัวและอ่อนวัยกว่าเจ้าสัวเล็กน้อยเปรยขึ้นมาเบา ๆ

           “คราวนี้มีแขกพิเศษ”

          พิชญ์ขมวดคิ้วกับคำว่า ‘แขกพิเศษ’ ของเจ้าสัว สัญชาติญาณบางอย่างกำลังร้องเตือน แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง ถ้าเป็นทางนั้นจริง อริญชย์ก็น่าจะรู้หรือระแคะระคายบ้าง 

           “คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

          คำถามจากบริกรดึงพิชญ์ออกจากความคิด เขาเผลอหลุดยิ้มแปลก ๆ ออกมา โดนเรียกว่าคุณผู้ชายมากี่หนต่อกี่หน พิชญ์ก็ยังไม่ชินเสียที โชคดีที่ตุลย์กับกริชและลูกน้องคนอื่น ๆ ของอริญชย์เรียกเขาว่า ‘คุณพีท’ เฉย ๆ ขืนเรียกคุณผู้ชายแบบนี้ เขาคงรู้สึกจั๊กกะจี้หูทุกครั้งที่ถูกเรียกแน่ ๆ

           “ขอเป็นชาร้อนแล้วกัน”

          ชามะลิอย่างดีถูกรินจากกาลงบนถ้วยชาทางขวามือของพิชญ์ เขาเพิ่งจะจิบชาเพียงแค่อึกแรกก็ดูเหมือนแขกพิเศษของเจ้าสัวจะมาถึงแล้ว พิชญ์นึกอยากเห็นหน้าค่าตาแขกพิเศษของเจ้าสัวขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ติดตรงที่เขานั่งหันหลังให้กับทางเข้า ด้วยมารยาทจึงหันกลับไปมองไม่ได้ เสียงฝีเท้าทอดลงบนพรมจนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างหลังพิชญ์นั้นเงียบกริบ แล้วเจ้าสัวก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักแขกพิเศษขึ้นมาก่อน

           “นึกว่าจะปล่อยคนแก่รอเก้อเสียแล้ว”

          เสียงหัวเราะห้าวลึกจากเบื้องหลังบาดความรู้สึกของพิชญ์เขาอย่างจัง และถึงกับชะงักตัวแข็งทื่อเมื่อบริกรเลื่อนเก้าอี้ว่างสองตัวข้างเขาออก อย่างน้อยพระเจ้าก็ยังเข้าข้างพิชญ์อยู่ รัญญาเลือกนั่งติดกับพิชญ์ ถัดไปถึงเป็นราชันย์ ซึ่งเพียงแค่ปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก

           “สวัสดีค่ะคุณพีท เจอกันอีกแล้วนะคะ”

          ถ้อยคำทักทายดังมาจากริมฝีปากเคลือบสีแดงสด รัญญาคลี่ยิ้มบางยามเห็นคนคุ้นเคย ผิวขาวแบบลูกคนจีนของเธอถูกขับให้ยิ่งดูผุดผาดด้วยชุดเดรสสีแดงอมส้ม

           “สวัสดีครับคุณราชันย์ คุณรัญญา”

          พิชญ์เอ่ยทักทายแขกพิเศษที่เพิ่งมาถึงตามมารยาท เขาค้อมหัวลงเล็กน้อยเมื่อเห็นราชันย์มองมา อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับ เล่นเอาพิชญ์ถึงกับหน้าชา ยังดีที่รัญญายื่นหน้ามากระซิบข้างหูเขาปนเสียงหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี

           “อย่าถือสาเลยนะคะคุณพีท พอดีเช้านี้เฮียเขามีเรื่องหงุดหงิดนิดหน่อย”

          พิชญ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้กลาย ๆ พอแขกมากันครบ เจ้าสัวก็กวักมือเรียกบริกรให้เสิร์ฟอาหารซึ่งสั่งไว้ล่วงหน้าแล้ว หญิงสาวเพียงคนเดียวของโต๊ะนั่งอยู่ระหว่างพิชญ์กับราชันย์ ซึ่งฝ่ายหลังก็เอาแต่นั่งคุยกับเจ้าสัว จนพิชญ์ต้องคอยดูแลหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวตามมารยาท แม้รัญญาจะเอ่ยปากห้ามแล้วก็ตาม

           “คุณพีทตักของตัวเองเถอะ หลิวตักอาหารถึงค่ะ”

          พิชญ์เพียงแค่ยิ้มรับคำทักท้วงของเธอ อย่างน้อย ๆ การทำแบบนี้มันก็ช่วยเขาลดอาการประหม่ายามต้องนั่งร่วมโต๊ะกับราชันย์ลงได้นิดหน่อย ซีกหน้าด้านข้างของราชันย์ เพียงแค่มองผ่าน ๆ ก็ให้ความรู้สึกดุดัน ทำเอาพิชญ์รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อริญชย์คงคาดไม่ถึงว่าเจ้าสัวสมศักดิ์จะเตรียมเซอร์ไพรส์เอาไว้แบบนี้ เพราะถ้าหากอริญชย์รู้ พิชญ์คงไม่มีโอกาสได้มานั่งร่วมโต๊ะอย่างที่เป็นอยู่แน่ ๆ

          ตลอดมื้ออาหารล้วนแล้วแต่เป็นการสนทนาเรื่องธุรกิจ แลกเปลี่ยนข่าวสารของแต่ละคนสลับกับถกเถียงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น พิชญ์ลอบสังเกตเห็นว่าราชันย์มักจะนั่งฟังเฉย ๆ มากกว่า นาน ๆ ถึงจะออกความคิดเห็นท ส่วนรัญญาก็หันมาคุยกับเขาเป็นระยะ จนเจ้าสัวสมศักดิ์ถึงกับกระเซ้ายิ้ม ๆ

           “อาหลิว พิชญ์เขามีภรรยาแล้วนะ”

           “โธ่! ฉันรู้ค่ะแปะสมศักดิ์ แค่คุยกันตามประสาคนคุ้นเคยเฉย ๆ”

          หลังจบถ้อยคำกระเซ้าทีเล่นทีจริงของเจ้าสัวสมศักดิ์ ดูเหมือนสายตาเย็นชาของราชันย์จะพุ่งตรงมายังพิชญ์ ริมฝีปากหยักบิดออกเป็นรอยยิ้มที่พิชญ์นึกรังเกียจ ก่อนราชันย์จะกลับไปตีหน้านิ่งเหมือนเดิม

           “คุณพีท...”

          เสียงเรียกของรัญญาทำเอาพิชญ์ต้องหันกลับมามองเธอพร้อมกับยิ้มอ่อน ๆ

           “ครับ”

           “ตอนแรกหลิวคิดว่ามาแล้วจะเจอพี่ใหญ่เสียอีก ดีจังที่คุณพีทมาแทน”

          เห็นท่าทางเกรง ๆ ของรัญญายามเอ่ยถึงอริญชย์แล้วพิชญ์ก็เกือบจะหลุดขำ สำหรับคนภายนอกแล้ว  อริญชย์ดูน่าเกรงขามอยู่เสมอ ขนาดรัญญาที่ดูน่าจะคุ้นเคยกับอริญชย์มาตั้งแต่สมัยก่อนยังนึกเกรง สงสัยอริญชย์คงจะเคยสำแดงฤทธิ์เดชให้น้องสาวของอดีตเพื่อนรักเห็นเป็นแน่ แต่ถ้าได้มาเห็นตอนอริญชย์อยู่กับน้องหนู พิชญ์กล้าพนันเลยว่า ร้อยทั้งร้อยต้องอ้าปากตาค้าง ยามเห็นเสือร้ายกลายเป็นแค่คุณลุงใจดี

           “พอดีคุณใหญ่ติดธุระนิดหน่อย ผมเลยต้องมาแทน”

          บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเน้นการคุยกันแบบสบาย ๆ แม้ว่าจะมีแขกพิเศษมาเพิ่มถึงสองคน แต่บรรยากาศก็ยังดูเรียบง่ายเหมือนทุกที ก่อนจะมีคนริอ่านจุดชนวนระเบิดขึ้นมากลางโต๊ะ หลังจากบริกรเพิ่งวางของหวานตบท้ายลงบนโต๊ะได้เพียงแค่ครู่เดียว

           “เดี๋ยวจะถึงกำหนดยื่นซองประมูลโครงการของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงแล้ว กลุ่มพวกเรามีแค่ทางเกียรติกาญจนากับกมลวิลาศน์ที่ยื่นใช่ไหม”

          เป็นคำถามทั่ว ๆ ไป แต่ดูเหมือนคนที่ถูกกล่าวถึงจะชะงักเล็กน้อย ก่อนที่ราชันย์จะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูอารมณ์ดีจนผิดปกติวิสัย

           “ผมห่างหายจากวงการไปห้าปี กลับมาทั้งทีก็อยากจะมีผลงานบ้าง หวังว่าทางเกียรติกาญจนาคงไม่รังเกียจถ้าทางเราจะยื่นซองประมูลคราวนี้ด้วย”

           “ผมจะรังเกียจได้ยังไงครับ เราแฟร์ ๆ กันอยู่แล้ว”

          พิชญ์ไม่รู้ว่าถ้าอริญชย์มาอยู่ตรงนี้ อริญชย์จะตอบโต้ออกไปว่าอย่างไร แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นเขาที่นั่งอยู่ เขาก็ต้องเป็นคนกลั่นกรองคำตอบออกไปในแบบของตัวเอง

           “มองโลกในแง่ดีจังนะ”

           “ผมไม่ได้มองโลกในแง่ดีหรอกครับ ผมแค่มองในแบบที่มันเป็น”

           “อะไร ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายเห็นเสมอไปหรอก”

           “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ผมเชื่อสัญชาติญาณของตัวเองมากกว่า”

           “ทั้งที่มันอาจจะผิดน่ะหรือ”

          เจ้าสัวสมศักดิ์ยังคงไวต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก คนสูงวัยชิงหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะเอ่ยแทรกบทสนทนาของราชันย์กับพิชญ์ที่ทำท่าว่าจะเลยเถิดไปไกล

           “อย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลยอาเล้ง รีบกินของหวานกันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติกาญจนาหรือกมลวิลาศน์ที่ประมูลได้ ยังไงก็ต้องเลี้ยงฉลองอยู่ดี”

          พิชญ์เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้ม ถูกของเจ้าสัว...

          เกมนี้ไม่ว่าใครเป็นผู้ชนะก็ต้องมีการเลี้ยงฉลอง เพียงแต่คนชนะเท่านั้นที่จะมีโอกาสเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของตัวเอง



.

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


          หลังเสร็จมื้ออาหารกลางวัน แต่ละคนก็แยกย้ายกันกลับบริษัทของตัวเอง เจ้าสัวสมศักดิ์บ่นเสียดายอยู่หลายครั้งที่อริญชย์บังเอิญติดธุระวันนี้เลยพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่พิชญ์กลับคิดว่าดีแล้วที่เป็นเขามา ขืนอริญชย์มาด้วยตัวเอง น่ากลัวจะต้องมีการล้มโต๊ะเกิดขึ้นแน่ ๆ พิชญ์ย่นจมูกหน่อย ๆ เมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรหากริช

           “ครับ คุณพีท” ปลายสายยังคงรับสายรวดเร็วเหมือนเคย แต่เสียงอื้ออึงจากปลายสายก็ทำเอาพิชญ์ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

           “ผมเสร็จแล้วนะ”

           “ผมเอารถมาเช็กสภาพอยู่เลยครับคุณพีท เหมือนเครื่องยนต์มันจะรวนหน่อย ๆ แต่เดี๋ยวผมจะโทรเรียกให้ลุงสมเอารถอีกคันมาให้ ยังไงคุณพีทรออยู่ที่โรงแรมก่อนนะครับ”

           “ไม่ต้องลำบากหรอก ลุงสมแก่ปูนนี้แล้ว เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับเอง”

           “แต่ว่า...”

           “ไม่ต้องแต่ ไปจัดการให้เรียบร้อยเถอะ แค่นี้นะ” พิชญ์ตัดบทฉับแล้วก็รีบวางสายทันที

          โชคดีที่เป็นกริช เขายังพอออกคำสั่งได้บ้าง ขืนอีกฝ่ายเป็นตุลย์ ไม่แคล้วว่าพิชญ์คงต้องนั่งรออยู่ที่นี่แบบไม่มีข้อโต้แย้งแน่ ๆ

          พิชญ์เพิ่งจะยัดโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาจากด้านหลังให้ต้องชะงัก

           “คุณพีทคะ...”

          รัญญากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาพิชญ์ โชคดีที่อย่างน้อยรัญญายังมาคนเดียว ไม่ได้พ่วงเอาพี่ชายมาด้วย พิชญ์ยิ้มรับนิด ๆ ขณะยืนรอให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา

           “จะกลับแล้วเหรอคะ”

           “ครับ คุณหลิวมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”

          รัญญายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะทำสีหน้าลำบากใจ พิชญ์เห็นอาการของหญิงสาวก็นึกเดาออกลาง ๆ แต่ยังเลือกที่จะถามซ้ำ

           “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

           “คุณพีทรีบกลับออฟฟิศหรือเปล่าคะ หลิวอยากจะขอรบกวนเวลาซักหน่อย”

          พิชญ์ทำทีเป็นก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองบ้าง เขาตีสีหน้าเรียบเฉยปนครุ่นคิด ทั้งที่สัญชาติญาณภายในกำลังร้องเตือน

           “ผมไม่ต้องรีบกลับออฟฟิศหรอกครับ แต่ต้องไปรับลูกตอนบ่ายสามโมงครึ่ง”

          พอได้ยินคำตอบของพิชญ์ รัญญาก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดีราวกับรอคอยคำตอบนี้ของพิชญ์อยู่

           “หลิวเล่าให้เฮียฟังว่าคุณพีทก็รู้เรื่องพี่ใหญ่กับเฮียเหมือนกัน เฮียเลยอยากคุยกับคุณพีท แต่หลิวไม่แน่ใจว่าคุณพีทสะดวกใจจะคุยกับเฮียหรือเปล่า ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะคะ พอดีหลิวจำได้ว่าคุณพีทเองก็เคยเกริ่น ๆ กับหลิวว่าอยากคุยกับเฮียเหมือนกัน”

          สัญชาติญาณระวังภัยเกือบทำให้พิชญ์หลุดปากปฏิเสธไป แต่ประโยคหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวเสียก่อน

          ไม่เข้าถ้ำเสือ ไม่ได้ลูกเสือฉันใด ไม่เข้าถ้ำมังกร ก็คงไม่ได้มังกรฉันนั้น

           “ถ้าไม่นานมากก็คงพอได้ครับ”

           “ดีค่ะ งั้นไปรถหลิวเลยนะคะ” รัญญาเอ่ยพลางแตะแขนพิชญ์เพื่อให้เดินมากับเธอ แต่คราวนี้พิชญ์กลับชะงักเล็กน้อย

           “เสี่ยเล้งไม่ได้อยู่ที่นี่หรือครับ”

          อย่างน้อยการคุยในที่สาธารณะอย่างล็อบบีหรือห้องอาหารของโรงแรมก็คงดีกว่าการต้องไปบุกถ้ำมังกรของจริงเป็นไหน ๆ

           “เฮียกลับไปที่ออฟฟิศแล้วค่ะ ถ้าคุณพีทไม่สะดวกก็บอกหลิวได้นะคะ”

          รัญญายังคงฉลาดที่เป็นฝ่ายเปิดทางเลือกให้พิชญ์เสมอ แม้กระทั่งในตอนที่พิชญ์หลวมตัวก้าวไปหาเธอแล้วถึงครึ่งตัว

           “ไม่เป็นไรครับ คุณหลิวนำผมไปที่รถแล้วกัน”

          รัญญาพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำพิชญ์ออกมาด้านหน้าโรงแรม เมอร์เซเดส เบนซ์สีบรอนซ์ของหญิงสาวจอดรออยู่แล้ว พอเห็นรัญญาเดินออกมาพร้อมพิชญ์ คนสนิทของรัญญาก็วนรถมารับทันที

           “คุณพีทน่าจะพอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ นี่นที คนสนิทของหลิวเองค่ะ”

          คนถูกแนะนำแค่ปรายตามองพิชญ์ด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง ก่อนจะจดจ่อกับถนนข้างหน้า พิชญ์เห็นรัญญาทำหน้าเอือมกับความไร้มารยาทของคนสนิท เขาก็ยิ้มเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

           “เขาก็เป็นแบบนี้แหล่ะค่ะ” รัญญากระซิบกับพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะสั่งคนสนิทของตัวเอง “กลับออฟฟิศเลยนะนที”

          ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่กำลังขับรถอยู่ แต่รัญญาก็หมดความสนใจในตัวคนสนิทเพียงแค่นั้น หญิงสาวเลือกที่จะหันมาชวนคนข้างตัวคุยแทนเสียมากกว่า

           “ตกลงแล้วทางคุณพีทก็จะยื่นซองประมูลด้วยจริง ๆ เหรอคะ”

           “ครับ ก็อย่างที่ผมบอกเสี่ยเล้งตอนกินข้าวไปแล้ว คุณหลิวเองก็อยู่ด้วย”

           “หลิวได้ยินแล้วค่ะ เฮียหัวฟัดหัวเหวี่ยงใหญ่เลย ทางคุณพีทคงต้องลำบากแน่ ๆ”

           “แต่ผมคงไม่ถอยหรอกครับ นอกเสียจากว่ายื่นไปแล้วไม่ได้งาน อันนั้นก็ถือว่าเล่นกันแบบแฟร์ ๆ แล้ว”

          รัญญาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เธอทำทีเป็นเบือนหน้าออกนอกรถ เสียงที่เอ่ยออกมานั้นเบาจนแทบไม่ต่างกับเสียงกระซิบ

           “วงการนี้มันไม่มีคำว่าแฟร์เพลย์หรอกนะคะคุณพีท”

           “ผมรู้ แต่ผมก็ไม่ใช่พวกที่ชอบเล่นสกปรก...” ...โดยไม่จำเป็น พิชญ์ต่อท้ายประโยคของตัวเองในใจ

          รัญญาหันหน้ากลับมาหาพิชญ์ แตะฝ่ามือตัวเองลงกับฝ่ามือของพิชญ์เบา ๆ ราวกับจะให้กำลังใจ

           “หลิวดีใจนะคะที่คุณพีทคิดแบบนี้” หญิงสาวเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะสั่งคนสนิท “นที ช่วยเร่งแอร์ให้ที”

           “ครับ คุณหนู”

          แวบหนึ่ง พิชญ์รู้สึกเหมือนกับถูกคนสนิทของรัญญาจ้องมอง แต่พอเขาเงยหน้ามองก็เห็นอีกฝ่ายยังคงจดจ่อสายตาอยู่กับถนนข้างหน้า ขากลับรถค่อนข้างติด ผิดจากขามา รัญญาเลยถือโอกาสชวนพิชญ์คุยระหว่างที่รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้า

           “แล้วนี่น้องเล็กไปต่างประเทศยังไม่กลับมาอีกหรือคะ”

           “ยังเลยครับ น่าจะยุ่ง ๆ กับงานหรืออาจจะพักผ่อนอยู่ นาน ๆ ทีก็ต้องปล่อยคุณเล็กเขาบ้าง”

          โป้ปดออกไปคำโตแล้วพิชญ์ก็ต้องนึกละอายแก่ใจ เขาแทบไม่รู้เลยว่าตอนนี้ไอลดาอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ที่ตอบออกไปก็เป็นแค่คำตอบที่ทำให้ตัวเขาดูดีเท่านั้น

           “เห็นคู่คุณพีทกับน้องเล็กแล้วหลิวก็แอบอิจฉาเหมือนกันนะคะ”

           “แล้วคุณหลิวล่ะครับ ไม่คิดที่จะมีใครบ้างหรือ”

          พิชญ์ไม่เคยได้ยินข่าวว่ารัญญากำลังคบหากับใครที่ไหน แม้แต่ตามหน้าซุบซิบของข่าวสังคมก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น อายุอย่างรัญญาก็ยังไม่ถือว่ามากหากจะครองตัวเป็นโสด แต่พิชญ์เพียงแค่แปลกใจก็เท่านั้น

           “หลิวเป็นพวกอาภัพรักค่ะ อันลัคกี้ อิน เลิฟ”

           “ถ้ายังงั้นก็ต้องลัคกี้ อิน เกมน่ะสิครับ”

           “หลิวก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

          รอยยิ้มของรัญญาที่ส่งมาเริ่มดูพร่าเลือน ดูเหมือนความพยายามที่จะฝืนร่างกายของพิชญ์จะสูญเปล่า หนังตาหนักอึ้งจนเกือบจะปิดลงมา เขารู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตัวเองมาซักพักแล้ว แต่ก็ยังอดทนฝืนตัวเองนั่งคุยกับรัญญาอย่างปกติ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนฤทธิ์ของบางสิ่งบางอย่างจะมากเสียจนกดประสาทและหนังตาเขาช้า ๆ พิชญ์จิกปลายเล็บเข้ากับฝ่ามือของตัวเองหวังจะเรียกสติ แต่มือเขาก็เหมือนกับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อ ๆ

          สาบานเถอะ ว่าเขาระวังตัวอย่างเต็มที่แล้ว อย่างน้อยพิชญ์ก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรแปลกประหลาดหรือผิดสำแดงเข้าไป แต่อาการคลับคล้ายกับถูกวางยานี่มาจากไหนกัน

          ถ้าอริญชย์รู้เข้า คงด่าให้กับความโง่งมของเขาแน่ ๆ แล้วเขาก็คงจะถูกคุมความประพฤติเข้มงวดกว่าเดิม หรืออาจจะถูกกักบริเวณไปเลย

          พิชญ์ได้แต่คิดฟุ้งซ่านไปมาราวกับล่องลอยอยู่ในความฝัน ริมฝีปากที่อ่อนแรงพยายามเปล่งเสียงเรียกชื่อหญิงสาวที่อยู่ข้างตัว ราวกับจะบอกเธอว่าเขารู้

           “คุณ...หลิว...”

          ฝ่ามือบอบบางของรัญญายื่นมาลูบปลายแขนเขาเบา ๆ คล้ายกับจะปลอบประโลม ก่อนเสียงหวานจะเอ่ยเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนการนอนของเขา

           “ถ้าง่วงก็อย่าฝืนเลยค่ะคุณพีท เดี๋ยวถึงแล้วหลิวปลุกเอง...นะคะ”

          พิชญ์ไม่ได้ต้องการให้เธอมาปลุกเลยแม้แต่น้อย เขาแค่อยากรู้ว่าเธอทำอะไรกับร่างกายเขา ทั้งที่เขาก็ระวังแล้ว แต่ก็ยังพลาด ตกลงมาในหลุมพรางที่ผู้หญิงสวย ๆ อย่างเธอขุดดักเอาไว้เสียได้

          เขาน่าจะรู้ ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาวของราชันย์ ไม่ว่ายังไงก็ย่อมมีเขี้ยวเล็บไม่ต่างกัน แล้วเขาก็พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

          อนุสติสุดท้ายอันลางเลือนของพิชญ์อดนึกถึงใครบางคนขึ้นมาไม่ได้

          คุณใหญ่...จะโกรธกันไหมนะ



TO BE CONTINUE



พีท!!... ฝากเอาใจช่วยพีทด้วยนะคะ
สถานการณ์ล่อแหลมมาก ๆ พีทเอ๊ย
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากและทุกคนที่ติดตามมาก ๆ เลยค่ะ


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ไม่อยากจะซ้ำเติมว่าพีทโง่เลยอ่ะ แต่ก็โง่จริงๆ อะแหละ รู้ว่าพี่เขาไม่ดีแล้วยังไปยุ่งกับน้องเขาอีก เลยซวยแบบนี้ ต่อไปถ้ารอดมาได้ เธอต้องมองโลกในแง่ร้ายไว้บ้างนะพีท อย่ามองแต่คุณใหญ่เขาร้ายเลย  คนสวยๆ ก็ร้ายได้เหมือนกัน นี่ถ้าคุณใหญ่รู้เข้าตากริชคนขับรถตายแน่ๆ ที่ปล่อยพีทไว้คนเดียวแบบนี้   :katai1:

ยัยตะหลิวแกทำอะไรคุณพีทของฉันฮ้าาาาา!!!
อย่าบอกว่าแกจะทำเหมือนที่ทำกับคุณกลางนะ รับรองคุณใหญ่ได้ตามฆ่าทั้งโคตรแน่ๆ อย่าหวังว่าจะอยู่รอดปลอดภัยกัน!!!

วู้!! อ่านละโมโห โมโหพีทอ่ะ  :o12: แต่.. ขอให้ปลอดภัยนะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
แงงงง ทำไมทำกันอย่างนี้

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โกรธ โกรธมากเลยละพีท แต่ลงกับพีทไม่ได้เลยจะไปจัดการกับคนที่มันกล้ามาเล่นหมาลอบกัดแทน แต่ยังไงซะพีทก็ต้องโดนทำโทษ  :impress2: 5555 หน้าเนื้อใจเสือ จะทำไรอะคุณหลิว ถ้าจะเพื่อขู่ไม่ให้ประมูลงานละก็ ถือว่ากระจอกมากค่ะ อิอิ หลังจากนี้พีทควรเชื่อฟังคุณใหญ่เขาแล้วนะ คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลนี้ อย่าไว้ใจใครเลยสักคนเช่นเพื่อนดิน จะเป็นยังไงต่อละเนี้ยเดาไม่รู้เลย อยากอ่านต่อแล้ว ขอบคุณนะคะที่มาอัพ รอตอนหน้าจ้า  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบห้า
เบื้องหลัง



          ความรู้สึกแรกที่ร่างกายพิชญ์สัมผัสได้คือความสบายตัว ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอยมากระทบผิวเบา ๆ พิชญ์ขยับตัวช้า ๆ หลังจากรู้สึกตัวตื่น ร่างกายที่หนักอึ้งพลันรู้สึกผ่อนคลายและเบาสบายเหมือนเพิ่งผ่านการพักผ่อนมาอย่างเต็มอิ่ม ดวงตาเรียวกระพริบถี่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

          ภาพแรกที่แล่นเข้าสู่คลองจักษุคือเพดานห้องสีขาวสะอาดตา พิชญ์กวาดสายตาดูรอบ ๆ ตัวด้วยความระแวดระวัง ขณะค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นมานั่งบนโซฟา พยายามลำดับเหตุการณ์ล่าสุดเท่าที่เขาจะพอนึกออก

          ความทรงจำย้อนกลับมาเลา ๆ ว่า เขานั่งรถมากับรัญญาเพื่อจะมาพบราชันย์ที่บริษัท ระหว่างนั่งรถมาก็คุยกันมาตลอดทาง แต่ขณะที่คุยกันอยู่ดี ๆ นั้น จู่ ๆ พิชญ์ก็รู้สึกเหมือนกับถูกวางยานอนหลับ ร่างกายพลันหมดเรี่ยวแรง หนังตาหนักอึ้ง แล้วก็หลับเอาเสียดื้อ ๆ

          ความทรงจำของพิชญ์ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ ที่แน่ ๆ คือเขาหมดสติตอนอยู่บนรถของรัญญา แล้วคงจะมีคนแบกเขาลงมาจากรถ ห้องที่พิชญ์นั่งอยู่ตอนนี้ดูเผิน ๆ เหมือนห้องรับแขกกึ่ง ๆ ห้องรับรอง มีโซฟายาวตัวที่เขากำลังนั่งอยู่ โต๊ะประชุมขนาดกลาง ห้องน้ำ และแพนทรี่เล็ก ๆ ตรงมุมห้อง

          ตกลงแล้วรัญญาเป็นคนวางยาเขางั้นหรือ

          พอก้มลงมองตัวเอง พิชญ์ถึงเพิ่งเห็นว่าสูทตัวนอกของเขาถูกถอดออกแล้วแขวนอยู่บนราวแขวนสูทตรงมุมห้อง กระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนถูกปลดออกลวก ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับความผิดปกติที่เห็น เอื้อมมือล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยข้าวของส่วนตัวของเขาก็ยังอยู่ครบทั้งโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงิน

          พิชญ์หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูก็เห็นว่ามีเพียงแค่มิสคอลล์สายเดียวจากกริช ดูจากเวลาที่เขาขึ้นรถรัญญาจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งผ่านมาแค่ชั่วโมงกว่า แสดงว่าเขาคงรู้สึกตัวเร็วน่าดู ระหว่างที่พิชญ์กำลังสำรวจตรวจตราตัวเองและมองหาทางหนีทีไล่อยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยความระมัดระวังพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่พิชญ์กำลังนึกถึง รัญญาเยี่ยมหน้าเข้ามามองเงียบ ๆ ก่อนจะทำตาโตนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าพิชญ์ตื่นแล้วและกำลังมองตรงมาที่เธอ

           “คุณพีทรู้สึกตัวแล้วหรือคะ” รัญญาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ดวงตาเรียวฉายแววลุแก่โทษก่อนที่หญิงสาวจะปิดประตูลง แล้วรีบรุดเข้ามาดูอาการของพิชญ์

          พิชญ์ยังคงนั่งนิ่ง แม้กระทั่งตอนที่รัญญาเดินเข้ามาถึงตัวของเขาแล้ว เขาเลือกที่จะสงวนท่าทีและเป็นฝ่ายลอบสังเกตหญิงสาว รัญญายื่นมือมาแตะหน้าผากพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะถือวิสาสะจับชีพจรของพิชญ์ พอเห็นว่าปกติดีทุกอย่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เรียกความสงสัยให้ปรากฏในแววตาของพิชญ์

           “ดีจังที่อาการคุณพีทดีขึ้นแล้ว หลิวยังกลัวอยู่เลยว่าอาการจะแย่ลง นี่กำลังคิดว่าจะเรียกคุณหมอมาตรวจอยู่แล้วเชียว”

          พิชญ์ฟังถ้อยคำแสดงความห่วงใยจากรัญญาแล้วก็ต้องขมวดคิ้วฉับ ทั้ง ๆ ที่รัญญาวางยาเขา แต่ทำไม...

           “เดี๋ยวก่อนนะคุณหลิว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับ”

          รัญญาถึงกับคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำถามของพิชญ์ ถ้าหากไม่กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท เธอคงหัวเราะเบา ๆ แล้วด้วยซ้ำ

           “คุณพีทหมดสติตอนอยู่บนรถค่ะ หลิวเลยวานนทีแบกคุณพีทขึ้นมานอนพักที่ห้องรับรอง”

           “จู่ ๆ ผมก็หมดสติเลยหรือครับ” พิชญ์แสร้งทวนคำถามด้วยความงุนงง แม้จะรู้แจ้งถึงอาการประหลาดของตัวเองดีอยู่แล้ว

          นี่มันเรื่องตลกแท้ ๆ เขากำลังคุยกับรัญญาอยู่ดี ๆ จู่ ๆ สติสัมปชัญญะก็พลันขาดหาย มือไม้อ่อนแรง หนังตาหนักอึ้ง อาการแบบนี้มันเหมือนคนถูกวางยานอนหลับชัด ๆ

           “คุณพีทกำลังคิดว่าตัวเองโดนหลิววางยาเหรอคะ”

          คำย้อนถามตรง ๆ จากรัญญาเล่นเอาพิชญ์เกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น จะพยักหน้ารับก็ดูจะเสียฟอร์ม เขาเลยอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก

           “อาการมันคล้าย ๆ ว่าจะเป็นยังงั้นนี่ครับ”

          ฟังคำตอบกึ่งจะยอมรับกลาย ๆ ของพิชญ์แล้ว รัญญาก็ถึงกับหัวเราะออกมาเต็มเสียงจนน้ำตาเล็ด ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองป้อย ๆ ราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก เล่นเอาพิชญ์ถึงกับหน้าเหวอ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดสนิท

           “อย่าเพิ่งโกรธกันเลยนะคะคุณพีท หลิวกำลังจะอธิบายให้ฟังค่ะ”

           “มันน่าขำขนาดนั้นเลยหรือครับ”

           “ขอโทษนะคะ แต่ว่ามันขำจริง ๆ” รัญญาพยายามกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยอธิบาย “หลิวไม่ได้วางยาคุณพีทค่ะ แค่บังเอิญว่าบนรถของหลิวมีน้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณเป็นยานอนหลับอ่อน ๆ คุณพีทเลยหลับเอากลางคันเสียอย่างนั้น”

          พอรัญญาอธิบายมาถึงตรงนี้ พิชญ์ก็ค่อย ๆ ลำดับความก่อนจะเพิ่งนึกออกว่าตอนเขาขึ้นมาบนรถของรัญญาตอนแรก ยังรู้สึกว่ามีกลิ่นหอม ๆ หวาน ๆ ลอยมาแตะจมูก แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นน้ำหอมของรัญญา เพิ่งรู้ว่าที่จริงแล้วมันคือน้ำมันหอมระเหย แล้วสรรพคุณเป็นยานอนหลับอ่อน ๆ ที่ว่าคงออกฤทธิ์เอาตอนที่รัญญาสั่งนทีเร่งแอร์แน่ ๆ แต่ประเด็นที่พิชญ์ยังสงสัยคือ...

           “ในเมื่อคุณหลิวกับนทีก็ดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยเหมือนกัน แล้วทำไมถึงมีแค่ผมคนเดียวที่หลับล่ะ”

          ริมฝีปากแดงคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยอธิบายราวกับรู้อยู่แล้วว่าพิชญ์ต้องถาม

           “พอดีหลิวค่อนข้างมีภูมิต้านทานกลิ่นพวกนี้ค่ะ มีช่วงหนึ่งที่หลิวเครียดสะสมจนนอนไม่หลับก็พึ่งน้ำมันหอมระเหยพวกนี้แทนยานอนหลับ ก่อนนอนหลิวจะจุดเตาอโรมาทุกคืนจนจมูกชินเสียแล้ว ส่วนนทีเองก็อยู่กับหลิวมานานจนชินแล้วเหมือนกัน”

           “แต่เมื่อกี้ผมหลับง่ายมากเลยนะครับ แถมยังมีอาการเหมือนคนหมดแรงอีก”

           “หลิวคิดว่าน่าจะเป็นเพราะคุณพีทไวต่อส่วนผสมบางตัวด้วย เลยหลับง่ายกว่าคนอื่น”

           “ผมถามอีกหน่อยได้ไหม ทำไมคุณหลิวถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับอโรมาเยอะล่ะครับ”

          รัญญายิ้มบาง ๆ เธอค่อนข้างชอบพิชญ์พอสมควร ดังนั้นเธอจะยอมเล่าถึงความชอบส่วนตัวของเธอให้ฟังเสียหน่อยก็แล้วกัน

           “คุณพีทจะถามเยอะ ๆ ก็ได้นะคะ หลิวเป็นคนที่ชอบน้ำมันหอมระเหยเลยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาพอสมควร อย่างกลิ่นบนรถวันนี้ก็เป็นกลิ่นที่หลิวผสมขึ้นเอง หลิวเน้นเรื่องผ่อนคลาย ส่วนผสมก็จะเป็นพวกที่มีสรรพคุณระงับประสาท เลยออกฤทธิ์คล้ายกับยานอนหลับ กลิ่นวันนี้หลิวเน้นตัวแซนเดิล วู้ดกับแคลรี่ เซจน่ะค่ะ”

          พิชญ์ฟังที่รัญญาอธิบายแล้วก็นึกทึ่ง ที่ต่างประเทศมีบริษัทและนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยอย่างจริงจังเยอะพอสมควร แต่เขาเพิ่งรู้ว่ารัญญาเองก็มีความถนัดทางนี้ด้วยเช่นกัน ถึงขนาดว่าผสมขึ้นมาเอง ดูท่าทางว่ารัญญาคงไม่ได้ศึกษาเล่น ๆ อย่างที่ออกตัวแน่

           “มิน่าผมถึงรู้สึกเหมือนกับโดนวางยาเลย” พิชญ์บ่นอุบออกมา

          พอพิชญ์พูดเรื่องถูกวางยาขึ้นมาอีก รัญญาก็ขำคิกอีกรอบ จนพิชญ์ชักจะอายกับความเพ้อเจ้อและคิดมากของตัวเองอยู่หน่อย ๆ

          นี่เขาหลงคิดไปได้ยังไงว่ารัญญาจะน่ากลัวเหมือนราชันย์ พอนึกถึงราชันย์ขึ้นมา พิชญ์เลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่เขาตามรัญญามาถึงบริษัทก็เพื่อมาพบราชันย์ ดูเหมือนรัญญาจะพาเขาไขว้เขวเสียจนเกือบลืมจุดประสงค์ แทบจะผันตัวไปศึกษาเรื่องน้ำมันหอมระเหยแทนเสียแล้ว พิชญ์กระแอมขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะรีบวกเข้าประเด็น

           “ว่าแต่เสี่ยเล้งล่ะครับ เห็นคุณหลิวบอกว่าเสี่ยเล้งอยากจะคุยกับผม”

          พอพิชญ์เอ่ยถาม รัญญาเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ หญิงสาวยิ้มเจื่อนก่อนจะก้มหัวลงน้อย ๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพยพิชญ์

           “หลิวต้องขอโทษอีกรอบนะคะคุณพีท พอเฮียรู้เข้าว่าหลิวทำคุณพีทหลับปุ๋ยแบบนี้ เฮียเลยบอกให้คุยกันคราวหลังแทน”

           “ตอนนี้ผมตื่นแล้ว คุยกันเลยก็ได้นะครับ”

          รัญญาได้แต่ยิ้มแหย ๆ ก่อนจะเฉลยความจริงให้พิชญ์เข้าใจแจ่มแจ้ง

           “พอเห็นว่าคุณพีทหลับ เฮียก็เลยออกไปข้างนอกค่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวหลิวให้คนขับรถไปส่งคุณพีทแทนนะคะ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา”

           “ไม่เป็นไรครับ”

          พิชญ์ได้แต่รับคำแกน ๆ ไม่รู้จะโทษตัวเองหรือจะโทษรัญญาดี เขาอาจจะผิดที่ภูมิต้านทานน้ำมันหอมระเหยต่ำ แต่คนที่ชอบดมน้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณเหมือนยานอนหลับนี่ปกติหรือไง อย่างน้อยรัญญาก็น่าจะเตือนเขาก่อนว่ามีของพรรค์นี้อยู่บนรถ

           “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับเลยละกันนะครับ” พิชญ์เอ่ยพลางขยับลุกขึ้นเมื่อเห็นสมควรแก่เวลาแล้ว ไหน ๆ ราชันย์ก็ไม่อยู่ เขาก็ควรจะกลับเสียที

           “เดี๋ยวหลิวให้คนขับรถไปส่งให้ค่ะ ว่าแต่คุณพีทจะให้ไปส่งที่ไหนดีคะ หลิวจะได้บอกคนขับรถถูก”

           “ผมขอถามคนของผมดูก่อน คุณหลิวรอเดี๋ยวนะครับ”

          พิชญ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนของน้องหนู ที่สำคัญคือต้องดูว่ากริชจัดการกับรถเรียบร้อยแล้วหรือยัง ถ้ายังเขาจะได้ให้คนขับรถของรัญญาไปส่งที่โรงเรียนของน้องหนู เสร็จแล้วค่อยพากันนั่งแท็กซี่กลับ

          ดูเหมือนวันนี้จะมีแต่เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้น คิดแล้วก็น่าขายหน้าจนพิชญ์อดอายไม่ได้

          พิชญ์เอ๋ย ปกติแกเป็นคนขี้เซาและหลับง่ายก็จริง แต่มาเที่ยวหลับบนรถชาวบ้านก็ดูจะเกินไปหน่อยนะ

          ถ้าคุณใหญ่รู้เรื่องนี้เข้า คราวนี้คงได้ด่าให้กับความโง่งมของเขาจริง ๆ พิชญ์ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหากริช



.

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

          ห้องทำงานของผู้บริหารบริษัทก่อสร้างเครือกมลวิลาศน์เงียบกริบ มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาดังวินาทีต่อวินาที จนคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงชุดรับแขกมุมห้องต้องขยับตัวด้วยความอึดอัด เรียกสายตาคมปลาบจากเจ้าของห้องให้เงยขึ้นมามองเพียงแวบหนึ่ง ก่อนที่ราชันย์จะก้มลงเซ็นเอกสารต่อ

          ปฐพีขยับตัวอย่างเมื่อยขบหลังจากนั่งนิ่ง ๆ มาร่วมชั่วโมง มองหนังสือนิยายภาษาจีนที่วางอยู่ข้างตัวสองเล่มแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาอ่านนิยายที่หยิบติดมือมาจากคอนโดจนเบื่อแล้ว เจ้าของห้องก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ทำราวกับว่าเขาเป็นแค่เพียงอากาศธาตุ ทั้ง ๆ ที่ราชันย์เป็นฝ่ายสั่งให้ปกรณ์พาเขามาที่บริษัทเองแท้ ๆ พอเขามาถึงก็ไม่สนใจไยดีกันแม้แต่น้อย ดูเหมือนเสียงบ่นกระปอดกระแปดในใจของปฐพีจะดังเข้าหูราชันย์ คนถูกพาดพิงถึงในใจวางปากกาลงก่อนจะเอ่ยถามปฐพีขึ้นมา

           “อ่านหนังสือจบแล้วหรือไง”

          ดูท่าทางว่าราชันย์คงคิดว่าตัวเองพาปฐพีมาเปลี่ยนที่อ่านหนังสือจริง ๆ

           “ยังครับ แต่ไม่อยากอ่านแล้ว”

           “ไม่สนุกงั้นเหรอ”

           “เปล่าครับ”

           “ฉันงานเยอะ ไม่ว่างพาไปเที่ยวไหนหรอกนะ”

           “ผมรู้...”

          ตอบรับเสียงเบาแล้วปฐพีก็ทำทีเป็นหยิบหนังสือเล่มที่เพิ่งวางขึ้นมาเปิดผ่าน ๆ อีกรอบ ถ้าราชันย์จะเรียกเขามาหาเพื่อให้มานั่งอ่านหนังสือที่นี่ วันหลังปล่อยเขาอยู่ที่คอนโดคนเดียวก็ได้ เคยได้ยินคนอื่นเขาร่ำลือกันว่าสมัยก่อนราชันย์เจ้าชู้แถมยังชอบเที่ยวสำมะเลเทเมา ปฐพีล่ะขอเถียงขาดใจ ตั้งแต่รู้จักมาเขาก็เห็นราชันย์เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอนอยู่ฮ่องกงหรืออยู่ประเทศไทย หายใจเข้าก็งาน หายใจออกก็งาน ส่วนตัวเขาก็เป็นแค่ของเล่นคลายเครียดราคาแพง

          ปฐพีพยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง เขาควรจะรู้สถานะของตัวเองดี แต่ก็ยังชอบหวังลม ๆ แล้ง ๆ เกินตัวอยู่เรื่อย

          ขณะทำท่าเหมือนตัวเองกำลังอ่านหนังสืออยู่ ปฐพีก็เกือบจะทำหนังสือร่วงจากมือ เมื่อคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานเอ่ยออกมาเสียงเรียบอๆ ไม่ยินดียินร้ายใดอๆ แต่ความหมายในประโยคนั้นกลับทำเอาคนฟังเต็มตื้น

           “ถ้าเสร็จงานไม่ดึก เดี๋ยวจะพาไปหาน้ำ”

          สารภาพตามตรงเลยว่า ปฐพีซ่อนรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเอาไว้ไม่มิดจริง ๆ เขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่เก่งนัก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ปฐพีก็ไม่ใส่ใจ

          เวลามีความสุข เขาก็อยากจะยิ้ม เวลาเศร้า เขาก็อยากจะร้องไห้ เวลาของคนเรามันช่างแสนสั้น ปฐพีเลยไม่รู้ว่าจะมัวเก็บงำความรู้สึกไปทำไมกัน

          ทว่ากับคนบางคน ความรู้สึกของเขาดูเหมือนจะไม่เคยส่งไปถึงเลย เพราะไม่อยากรับรู้ หรือเพราะความรู้สึกของเขามันไม่มีค่ากันแน่

          แต่อย่างน้อย ในวันนี้ปฐพีก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ตัวเองยิ้มได้ เขาเคยบอกราชันย์เมื่อหลายวันก่อนว่าคิดถึงน้องชาย ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา ตอนนั้นราชันย์ตอบปัดว่าให้รอเสร็จเรื่องแล้วจะพาไปหา เขาอุตส่าห์ถอดใจและหมดหวังไปแล้ว จู่ ๆ วันนี้กลับเอ่ยปากออกมาว่าจะพาไป อย่างน้อยก็ยังใส่ใจความรู้สึกของเขาอยู่บ้างใช่ไหม

          ความดีใจที่จะได้เจอชลธี เทียบไม่ติดเลยกับความดีใจที่ได้รับรู้ว่าราชันย์เองก็ยังนึกถึงความรู้สึกของเขา แม้ความใจดีที่ให้มามันจะน้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้รับเลย

           “ขอบคุณนะเฮีย...”

          คำขอบคุณของปฐพียังคงไม่เข้าหูราชันย์ตามเคย นอกจากจะไม่ตอบรับแล้ว ราชันย์ยังไม่มีแม้ท่าทีจะรับรู้หรือได้ยินสิ่งที่ปฐพีพูด ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นแค่เพียงสายลมที่พัดผ่าน แต่ปฐพีก็ดูเหมือนจะชินเสียแล้ว เขาจะไม่ชินได้อย่างไร ในเมื่ออยู่กับราชันย์มาหลายปี เคยอยู่ด้วยแม้ในวันที่ราชันย์ย่ำแย่สุด ๆ หรือกระทั่งวันที่อีกฝ่ายร้ายกับเขาอย่างที่สุด

          ปฐพีเปิดหน้าหนังสือที่คั่นเอาไว้ แต่สายตากลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ตัวหนังสือตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เขานั่งมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเงียบ ๆ

          วันนี้เขายังมีที่ข้าง ๆ ราชันย์ให้อยู่ แต่ถ้าถึงวันที่ราชันย์ให้อิสรภาพกับเขาขึ้นมา คนอย่างเขายังมีที่ตรงไหนให้อยู่อีก

          ปฐพีถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทว่ากลับดังชัดในความรู้สึกของคนฟัง จนคนที่พยายามจะไม่สนใจต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

           “ถ้าเบื่อนักก็ลงไปเดินเล่นข้างล่างไป”

          คำอนุญาตคราวนี้ทำเอาปฐพีถึงกับพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเองก็ไม่อยากนั่งอุดอู้อยู่แต่ในห้องทำงานของราชันย์ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เอ่ยปากอนุญาตเสียที เขาก็ออกไปเพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ฮ่องกงและไม่ใช่ที่คอนโด ไม่ใช่ที่ ๆ เขาจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้ ดังนั้นพอได้ยินคำอนุญาตกลาย ๆ เขาเลยไม่คิดจะรอช้าให้ราชันย์เปลี่ยนใจขึ้นมา

           “งั้นเดี๋ยวผมลงไปเดินดูแถว ๆ นี้ ถ้าไม่มีอะไรจะรีบขึ้นมา”

          ปฐพีเก็บหนังสือที่เปิดค้างไว้ให้เข้าที่เข้าทางทันที คว้าเอากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มายัดเข้ากระเป๋ากางเกงลวก ๆ จนคนที่นั่งมองอยู่ต้องส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความระอา พอเห็นปฐพีกำลังจะก้าวออกจากห้องก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เสียงเรียบ ๆ ถึงได้เอ่ยกำชับตามไป

           “เดินเล่นข้างล่างก็แปลว่าข้างล่างนะ”

          ปฐพียิ้มแหยออกมาเหมือนเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้ เวลาเขาแอบไปหาพิชญ์ทีไรไม่แคล้วต้องถูกราชันย์รู้เข้าทุกครั้ง แต่วันนี้เขาไม่ได้คิดจะไปหาพิชญ์จริง ๆ ตั้งใจว่าจะเดินวนดูรอบ ๆ แถวนี้แล้วก็จะกลับขึ้นมา ถึงเขาอยู่ในห้องแล้วราชันย์จะนั่งทำงานโดยไม่สนใจเขา แต่ปฐพีกลับนึกเกรงใจเสียเอง จะขยับตัวทำอะไรแต่ละทีก็กลัวจะไปทำลายสมาธิของราชันย์ เลยต้องรีบหนีออกมาจากห้องทันทีที่มีโอกาส

          ถึงช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยไม่เป็นตัวถ่วงก็ยังดี

          ปฐพีกดลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง ตั้งใจว่าจะเดินเล่นอยู่รอบ ๆ ตึก ไม่ไปไหนไกล เห็นสายตาของพนักงานหลายคนมองมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พยายามทำหน้านิ่ง ๆ เขาไว้ ตอนปกรณ์พาเขามาก็มีแต่คนมอง แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามซักคน ถึงไม่เกรงสายตาดุ ๆ ของปกรณ์ แต่อย่างน้อยพนักงานพวกนี้ก็ต้องกลัวราชันย์อยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนของราชันย์ ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง

          ปฐพีกำลังจะเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกแล้วแอบเข้าหลังเสา แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ใช่ภาพที่น่ามองนัก เพราะดูเหมือนเขาจะเห็นอะไรบางอย่างมาอยู่ผิดที่ผิดทางเข้าให้แล้ว

          ภาพของพิชญ์ที่ยืนอยู่กับรัญญาทำเอาปฐพีตัวแข็งทื่อ นึกสงสัยไปร้อยแปดว่าเหตุใดพิชญ์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...อยู่กับรัญญา!

          บอกว่ามาเจรจาธุรกิจหรือคุยงานกัน ร้อยก็ไม่เชื่อ พันก็ไม่เชื่อ ถึงจะไม่ได้ฉลาดนัก แต่ปฐพีก็ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าบริษัทของพิชญ์กับราชันย์เป็นคู่แข่งกัน

          ปฐพีเกือบจะขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมแล้ว ยามเห็นพิชญ์คุยกับรัญญาแล้วยิ้มอยู่ตลอด ถ้าหากไม่มีฝ่ามือหนัก ๆ ยื่นมากดไหล่เขาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มสะดุ้งนิด ๆ แล้วค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใคร

           “พี่กรณ์ มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย”

          ปกรณ์ไม่ได้ใส่ใจคำต่อว่าต่อขานของปฐพี เขามองตามสายตาของปฐพีก็เห็นพิชญ์กับรัญญากำลังยืนคุยกันอยู่ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก เลยหันกลับมามองปฐพีที่ยืนอยู่ตรงหน้า

           “ทำอะไรอยู่น่ะ”

           “เฮียบอกให้ผมลงมาเดินเล่นข้างล่างได้”

           “รู้แล้ว แต่ที่พี่ถามคือดินกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”

           “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟังคำตอบปฏิเสธแล้วปกรณ์ก็จ้องปฐพีอย่างคาดคั้น จนคนถูกมองต้องหลบตา เอ่ยออกมาเสียงอ่อย ๆ “ผมแค่อยากรู้ว่าพีทมาที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถึงมาอยู่กับคุณหลิว เฮียรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

          ปกรณ์ฟังแล้วถึงกับต้องส่ายหน้าด้วยความระอา ความรักเพื่อนของปฐพีมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ดีตรงที่มันจะทำทุกอย่างที่ราชันย์วางแผนมาพังเอาง่าย ๆ แถมไม่ใช่แค่ราชันย์คนเดียวที่เดือดร้อน แม้แต่ตัวปฐพีเองก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน

           “ไม่ใช่เรื่องของดินเลย กลับขึ้นไปหาเฮียเถอะ”

           “พี่กรณ์รู้ใช่ไหมว่าคุณหลิวกำลังจะทำอะไร”

          นอกจากจะไม่ตอบคำถามของปฐพีแล้ว ปกรณ์ยังใช้แรงที่มากกว่าดึงปฐพีออกมาห่าง ๆ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่อยากให้รัญญาหรือพิชญ์หันกลับมาแล้วเห็นว่าปฐพีอยู่ที่นี่ด้วย

           “อย่าทำอะไรนอกเหนือจากที่เฮียสั่ง กลับขึ้นไปหาเฮียได้แล้ว”

           “แต่พี่กรณ์...”

           “ดินอยู่กับเฮียมานาน ดินน่าจะรู้นะว่าถ้าเฮียโกรธแล้วจะเป็นยังไง”

          ปฐพีหันหลังกลับไปมองพิชญ์กับรัญญา พอเห็นว่าพิชญ์ก้าวขึ้นรถไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะยอมแพ้

           “เอาล่ะ กลับขึ้นไปหาเฮียได้แล้วมั้ง อย่างน้อยก็ก่อนที่คุณหลิวจะเห็นนายเข้า”

           “ครับ ๆ”

          ปฐพีได้แต่รับคำอย่างจำใจ ในเมื่อพิชญ์ขึ้นรถไปแล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีก จะให้เดินเข้าไปถามรัญญา สงสัยคงต้องรอให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายเสียก่อน

          อันที่จริงแล้ว ปฐพีก็รู้สึกว่าเขากำลังวุ่นวายเกินกว่าเหตุ แต่เขาก็แค่เป็นห่วงพิชญ์ ลำพังตัวเขาเองก็ไม่ได้มีที่ ๆ รู้สึกว่าเป็นของตัวเองมากนัก แค่ราชันย์ยอมให้เขาเข้ามานั่งเล่นที่บริษัทก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะตั้งแต่กลับมา ที่นี่คงเป็นที่เดียวของอาณาจักรกมลวิลาศน์ที่ปฐพีได้มีโอกาสได้เข้ามาเหยียบ อย่าได้เอ่ยถึงบ้านใหญ่ของราชันย์เลย แม้แต่ประตูรั้วเขายังไม่เคยมีโอกาสเห็นด้วยซ้ำ ราวกับว่ามันเป็นที่หวงห้าม เป็นพื้นที่ส่วนตัว เป็นที่ ๆ เขาไม่มีสิทธิ์ คิดแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้แล้วหันหลังเดินกลับไปทิ่ลิฟต์

           “ผมไม่หนีไปเถลไถลที่ไหนหรอกพี่กรณ์ เดี๋ยวผมก็ขึ้นลิฟต์ไปแล้ว” ปฐพีอดท้วงไม่ได้ เมื่อเห็นปกรณ์เดินตามเขามาติด ๆ

           “ฉันไม่ได้ตามมาคุมความประพฤติของนายหรอกน่า แค่จะขึ้นไปหาเฮียเหมือนกัน”

           “ผมยังไม่ทันว่าอะไรเลย”

          ปกรณ์แค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะดันปฐพีให้เข้าไปในลิฟต์ คนที่เดินเข้ามาก่อนยืนพิงผนังลิฟต์ข้างหนึ่ง พอเห็นว่าในลิฟต์ไม่มีคนอื่น มีแค่เขากับปกรณ์ จึงอดเอ่ยถามขึ้นมาอีกไม่ได้

           “พี่กรณ์ ทำไมวันนี้เฮียถึงยอมให้ผมมาที่นี่ล่ะ”

           “กลัวนายจะคลาดสายตาล่ะมั้ง”

           “พี่ก็รู้ว่าผมอยู่ในสายตาเฮียตลอด”

          ปฐพียอมรับว่าครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยนึกอยากหนีจากราชันย์และลองทำขึ้นมาจริง ๆ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันกลับเลวร้ายกว่าที่เขาคิดนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาเลิกคิดหนี เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้ปฐพีหนีไปไหนไม่รอดมีอยู่แค่เพียงเหตุผลเดียว

          รัก...ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรรักและไม่มีสิทธิ์รัก

          แต่เพราะรักไปแล้วเลยเลือกที่จะอยู่เคียงข้าง จนกว่าจะถึงวันที่ราชันย์ไม่ต้องการเขา



.



          หลังจากพิชญ์โทรศัพท์หากริช แล้วปรากฏว่าอีกฝ่ายยังรอเช็กเครื่องรถอยู่ที่ศูนย์ รัญญาเลยเสนอด้วยความหวังดีว่าจะให้คนขับรถมาส่งพิชญ์ที่บริษัท แต่พอลองคำนวณเวลาเลิกเรียนของน้องหนูแล้ว พิชญ์เลยขอรับความปรารถนาดีของเธอ แต่เปลี่ยนจุดหมายจากที่บริษัทเป็นโรงเรียนของน้องหนูแทน ซึ่งเขามาถึงก่อนเวลาเลิกเรียนของน้อยหนูเล็กน้อย

           “วันนี้คุณพ่อมารับมาส่งด้วยตัวเองเลยนะคะ” คุณครูคนเดียวกับเมื่อตอนเช้าเอ่ยแซวยิ้ม ๆ ตอนที่เห็นพิชญ์มายืนรอรับน้องหนูทั้งชุดสูท

          คุณพ่อเอาแต่ยิ้มรับ ก่อนจะถอดสูทออกพาดลงกับแขนข้างหนึ่ง ยืนรอจนถึงเวลาเลิกเรียน คุณครูพี่เลี้ยงก็จูงน้องหนูมาส่ง พอน้องหนูเห็นว่าคนที่มารอรับเป็นคุณพ่อ ไม่ใช่พี่เลี้ยงอย่างทุกทีก็รีบวิ่งตื๋อเข้ามาหา

           “พ่อพีท...”

           “ไป กลับบ้านกันครับคนเก่ง”

          พิชญ์จับมือน้องหนูมาจูง ก่อนจะหันไปค้อมหัวเป็นเชิงลาคุณครูเวรกับคุณครูพี่เลี้ยง ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ตามมารยาท แต่ก็เล่นเอาคุณครูสาวถึงกับพากันก้มหน้าด้วยความเขินอาย ผิดกับนักเรียนตัวน้อยที่ชักจะหน้าบึ้งขึ้นมาตงิด ๆ เมื่อเห็นคุณครูมองคุณพ่อแล้วเอาแต่ยิ้ม มือเล็กกระตุกแขนพิชญ์แน่น ไม่ยอมก้าวขาออกเดิน ดูท่าว่าอาการงอแงจะมาอีกรอบแล้ว

           “เป็นอะไรครับน้องหนู”

           “น้องหนูอยากกินไอศกรีม” น้องหนูว่าพลางบุ้ยปากไปยังร้านไอศกรีมร้านโปรดข้างโรงเรียน

          พิชญ์มองหน้าน้องหนูสลับกับนาฬิกาข้อมือ เขายังมีงานที่บริษัทที่ต้องเคลียร์อีกเป็นกอง แต่พอเห็นดวงตาแป๋ว ๆ ของน้องหนูแล้วก็เกือบใจอ่อน มาละลายเป็นน้ำเอาตอนที่น้องหนูช้อนตามองพร้อมกับเอ่ยเสียงอ้อน ๆ

           “เวลาพี่นวลมารับ น้องหนูก็ไม่ได้กินไอศกรีมเลย วันนี้พ่อพีทอุตส่าห์มารับน้องหนู...”

           “ครับ ๆ แต่มีข้อแม้นะคะคนเก่ง...”

           “พ่อพีทของหนูน่ารักที่สุดในโลกเลย”

           “ฟังพ่อพีทให้จบก่อนสิ ให้แค่ลูกเดียวนะคะ แล้วก็ใส่โคนกลับบ้านนะ เพราะพ่อพีทต้องรีบกลับไปทำงานต่อ”

          น้องหนูยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารับ มือเล็กรีบกึ่งจูงกึ่งลากคนเป็นพ่อให้เดินตาม เสียงแจ๋ว ๆ ร้องสั่งไอศกรีมกับพี่สาวอย่างคุ้นเคย เพียงครู่เดียวก็ได้ไอศกรีมช็อคโกแลตใส่โคนมาอยู่ในกำมือ พอได้ของที่ตัวเองต้องการแล้ว น้องหนูก็ยอมเดินตามพิชญ์ต้อย ๆ ดูเหมือนไอศกรีมตรงหน้าจะน่าสนใจกว่าคนเป็นพ่ออย่างพิชญ์เสียอีก พิชญ์ได้แต่คลี่ยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่

           “อ้าว อากริชล่ะคะ”

          น้องหนูจำได้ว่าเมื่อเช้าอากริชมาส่งตัวเองกับพ่อพีท แต่ไหงตอนกลับถึงต้องนั่งแท็กซี่กลับแทน

           “อากริชเอารถไปซ่อมค่ะ”

          คราวนี้น้องหนูถึงกับตาโต

           “อากริชทำรถเสียเหรอคะ ลุงใหญ่ต้องตีอากริชแน่ ๆ”

           “ร้ายนักนะเรา ไม่ใช่ครับ รถมันถึงอายุของมันแล้วต่างหาก อย่าไปฟ้องลุงใหญ่ว่าอากริชทำพังล่ะ”

          น้องหนูหัวเราะคิกคักจนไอศกรีมช็อคโกแลตที่กินอยู่เลอะมุมปาก พิชญ์เลยต้องหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาเช็ดให้ ไม่วายเอ็ดเบา ๆ

           “แน่ะ เอาแต่เล่นจนเลอะเทอะหมด เดี๋ยวพอไปถึงบริษัทแล้วน้องหนูต้องเป็นเด็กดีนะคะ เพราะพ่อพีทต้องทำงาน รู้ใช่ไหมคนเก่ง”

           “รู้ค่ะ”

          พอถึงบริษัท พิชญ์ก็กระเตงน้องหนูลงมาจากรถแท็กซี่ก่อนจะจูงมือเข้าอาคาร โชคดีที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เลยมีสายตาแค่ไม่กี่คู่ที่มองมาอย่างสนอกสนใจ อย่างดีก็มีประชาสัมพันธ์ที่กล้าเอ่ยถามยิ้ม ๆ

           “อย่าบอกนะคะท่านรอง ว่าที่หายไปทั้งวันนี่คือแอบไปรับลูก”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มรับ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจไปแบบนั้นโดยไม่คิดที่จะเอ่ยแก้ไข ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ รีบเอ่ยถามเรื่องที่ห่วงมาตลอดทาง

           “คุณใหญ่กลับเข้ามาหรือยัง”

          เอ่ยถามออกไป ยังไม่ทันได้รับคำตอบกลับมา พิชญ์ก็ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาดัง พอหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ให้ประชาสัมพันธ์สาว เพิ่งถามถึงอริญชย์อยู่แหม็บ ๆ อีกฝ่ายก็โทรเข้ามาได้จังหวะพอดี

           “ครับ คุณใหญ่”

           “เห็นกริชบอกว่ารถเสีย เข้าศูนย์อยู่ แล้วใครไปรับน้องหนูล่ะ”

           “ผมไปรับมาแล้วครับ เพิ่งมาถึงที่บริษัทนี่เอง”

           “แล้วไปยังไง เอารถใครไป”

           “แท็กซี่ครับ”

          ตอบเสร็จแล้ว พิชญ์ก็ไม่คิดจะรอฟังถ้อยคำเทศนาของอริญชย์ ที่คงจะบ่นเรื่องที่เขาไม่ยอมให้กริชกลับไปเอารถคันอื่น พิชญ์เลยรีบยื่นโทรศัพท์ในมือไปแนบหูน้องหนูก่อนจะกระซิบที่หูอีกข้างเบา ๆ

           “คุยกับลุงใหญ่เร็วครับ ลุงใหญ่อยากรู้ว่าวันนี้คุณครูสอนอะไรน้องหนูบ้าง”

          เจ้าตัวน้อยของพิชญ์ได้ยินดังนั้นก็ตะปบมือหมับเข้าที่โทรศัพท์ แล้วเสียงแจ้ว ๆ ก็เริ่มร่ายยาวอย่างที่คนเป็นพ่อถึงกับยิ้มกริ่มด้วยความสมใจ

           “ลุงใหญ่ขา วันนี้คุณครูสอนน้องหนูปั้นดินน้ำมันด้วยค่ะ น้องหนูปั้นเป็นรูปคุณผีเสื้อกับคุณหนอน”

          พิชญ์จูงน้องหนูมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ของผู้บริหาร ยกกรรมสิทธิ์ในโทรศัพท์ของตัวเองให้ลูกสาวตัวน้อยไปด้วยความเต็มใจ ฟังน้องหนูเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คุณลุงฟังไม่หยุดปากแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง เจ้าตัวน้อยของพิชญ์เล่าให้คุณลุงฟังแม้กระทั่งว่ากลางวันกินอะไร นอนกลางวันข้างใคร คุณครูชมว่ายังไงบ้าง

          บอกเลยว่าพิชญ์ไม่ได้หาเรื่องเล่นแง่กับอริญชย์แม้แต่น้อย

          ก็แค่หวังดี ฟังเสียงดูเครียด ๆ เลยให้คุยกับน้องหนูเสียหน่อย เผื่อจะหายเครียด



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า ^^
อย่าเพิ่งโกรธพีทน้าาาา ให้คุณใหญ่โกรธได้คนเดียว
เดี๋ยวปมต่างๆ จะค่อยเฉลยออกมาทีละปมค่า

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ไม่อยากจะคิดเลยว่าที่พีทหลับไปนั้นโดนจับถ่ายรูปเพื่อแบล็กเมลไว้ /me ไอ้เราก็คิดไปเรื่อย  :katai1:

ยัยตะหลิวไม่น่าไว้วางใจจริงๆ นั่นแหละ นี่พีทก็เชื่อที่เขาพูดไปอีก เฮ้อ! หัดมองอะไรในแง่ร้ายบ้างเถอะ น้ำมันระเหยอะไรทำพีทนอนหลับเป็นตายแบบนั้นถ้าไม่ใช่โดนวางยา พอฟังเขาแก้ต่างก็ดันคิดว่าไม่ควรบอกคุณใหญ่อีก กลัวคุณใหญ่ด่าให้กับความโง่งมของตัวเองอีก นี่ถ้าเล่าให้ฟังนะ รับรองพีทจะโดนสั่งห้ามออกไปไหนคนเดียวอีกแน่ แถมโดนดุไปอีก...​แต่ถึงจะดุ ตัวพีทก็จะปลอดภัยนะ

ดินลงมาเห็นแบบนี้แล้ว จะคิดแผนช่วยเพื่อนบ้างหรือเปล่า ถึงจะรักเฮียเล้งขนาดไหน แต่เรื่องที่เพื่อนจะโดนทำร้าย อยากให้ดินคิดช่วยเพื่อนด้วยนะ นะดินนะ เราขอร้อง 5555


ขอให้คุณใหญ่รู้เรื่องโดยเร็วเถอะว่าพีทนะโดนคนบ้านนั้นหลอกจนตามเขาไม่ทันแล้ว คุณใหญ่อย่ามัวติดงานจนลืมให้คนตามดูแลพีทแบบนี้สิ ไม่สมกับเป็นคุณใหญ่เลย

ปล.ตามอ่านตลอดน้าาาา โกรธพีทต่อไปค่ะ จนกว่าพีทจะไม่โดนหลอก 555555 แต่...​ยังรักและลุ้นพีทไปตลอดนะคะ  o18

2 ตอนแล้วที่คุณใหญ่บทน้อย สงสัยค่าตัวแพง เราคิดถึงคุณใหญ่นะคะ 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ดูท่าเครียดๆแบบนี้ กลับมาต้องคลายความเครียดค่ะคุณใหญ่  :impress2: 5555 กับคุณรัญญาตอนนี้คิดดีไม่ได้เลย ไม่ไว้ใจบอกตรงๆ รอดูท่าทีไปก่อนจะยังไง ส่วนดินก็ถ้าเขาปล่อยอิสระจริง วันนั้นก็ให้ไปนะ จะได้รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเรา จะอดใจได้ไหมที่จะไม่ไปตาม พวกปากแข็งต้องใจแข็งไว้สู้ 555 น้องหนูก็ยังคงน่ารักน่าเอ็นดู ตัวเชื่อมสะพานรักพ่อและลุง บุ้ยๆ 55 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจ้า  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบหก
บทลงโทษ



          เสียงสนทนาระหว่างอริญชย์กับน้องหนูเงียบลงแล้ว บนรถเหลือเพียงความเงียบสงัด ตุลย์ลอบชำเลืองมองผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลัง ยามนี้ดวงหน้าเคร่งขรึมของอริญชย์ดูดุดันและเย็นชา จนคนสนิทอย่างเขาพลันรู้สึกราวกับเห็นพายุตั้งเค้ามาลาง ๆ

          ...อาจจะเป็นพายุฤดูร้อนที่พร้อมจะพัดทุกอย่างให้พังพินาศ

          อริญชย์ยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาคมปลาบจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเอง มืออีกข้างกำแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่าน ยิ่งจ้องมองรูปภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มากเท่าไหร่ ความอดทนของเขาก็ยิ่งลดต่ำลงมากเท่านั้น ทั้งที่ภาพเหล่านั้นก็ดูเหมือนภาพแอบถ่ายธรรมดา แค่ภาพชายหญิงสองคนยืนสนทนากัน เพียงแต่ว่าทั้งสองคนในรูปต่างก็เป็นคนที่อริญชย์รู้จักเป็นอย่างดี

          อริญชย์ค่อย ๆ ข่มอารมณ์ของตัวเองให้กลายเป็นปกติ หากคิดจะเจรจาปราศรัยหรือต่อกรกับราชันย์ เขาต้องเย็นลงมากกว่านี้ ถ้าเขาร้อนรนแม้เพียงนิดเดียว เกมก็จะพลิกกลับจนเขากลายเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง เป็นฝ่ายที่ถูกปั่นหัว

          สำหรับคนที่คบหากับราชันย์มามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตอย่างอริญชย์ เขากล้าพูดเลยว่าเขารู้จักราชันย์ดีกว่าใคร เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าน้องสาวของหมอนั่นเสียด้วยซ้ำ!

          พออารมณ์เริ่มเย็นลงแล้ว อริญชย์ก็กดเบอร์โทรศัพท์ที่เขาจำแม่นยิ่งกว่าเบอร์ไหน แม้ว่าครั้งสุดท้ายที่กดโทรออกจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม เสียงสัญญาณรอสายดังเพียงแค่ครั้งเดียว ปลายสายก็กดรับราวกับว่ากำลังรอเขาอยู่

           “ไอ้เล้ง!” อริญชย์คำรามออกมาเสียงลั่นจนแม้แต่ตุลย์ยังสะดุ้ง

          ถ้าหากว่าอริญชย์มีตาทิพย์ รับรองว่าเขาคงยิ่งเดือดดาลกว่าเดิมยามเห็นว่าคู่สนทนากำลังยืนสูบบุหรี่ด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนต่อความฉุนเฉียวของเขา มิหนำซ้ำรอยยิ้มยังถูกจุดขึ้นที่มุมปากบางเบาก่อนจะค่อย ๆ เลือนหาย

           “ยังนิสัยเสีย ชอบเอาคำว่า ‘ไอ้’ มาไว้หน้าชื่อกูเหมือนเดิมเลยนะ”

          คำยั่วแหย่จากราชันย์เล่นเอาขมับของอริญชย์เต้นตุบ ๆ ต้องพยายามเมินเฉย คิดเสียว่าเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา ประโยคที่เอ่ยต่อมายังคงแฝงความดุดัน

           “อย่าคิดที่จะยุ่งกับคนของกู”

          ราชันย์เกือบจะหัวเราะออกมาเต็มเสียงราวกับกำลังฟังเรื่องขบขัน แต่เพราะเห็นแก่หน้าของอริญชย์อยู่บ้าง เขาเลยแค่หัวเราะเบา ๆ

           “คนของมึง” ราชันย์แสร้งทวนคำพูดของอริญชย์เสียงสูง “นั่นน่ะน้องเขยมึงต่างหาก อย่าสับสนสิใหญ่”

           “อย่ากวนตีน มึงรู้ดีว่าพีทเป็นของกู”

          แม้จะรู้ตื้นลึกหนาบางแทบทุกอย่าง แต่พอฟังผู้เป็นนายป่าวประกาศออกมาโต้ง ๆ แบบนี้ ตุลย์ก็ยังอดทำหน้าตาประหลาดไม่ได้

          ลองอริญชย์ประทับตราแสดงความเป็นเจ้าของขนาดนี้ เห็นทีพิชญ์คงหมดทางหนีแล้วจริง ๆ ตุลย์เชื่อว่า ถ้าบังคับให้พิชญ์หย่ากับไอลดาได้ อริญชย์คงทำไปแล้วด้วยซ้ำ

           “กูก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่บังเอิญว่าคนของมึงดันเป็นเหยื่อชั้นดีสำหรับเกมนี้”

          อริญชย์พยายามนับหนึ่งถึงสิบด้วยความยากลำบาก เขาหวิดจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งอยู่หลายครั้ง แต่ก็พยายามข่มอารมณ์จนค่อย ๆ สงบลง

           “ถ้ามึงคิดว่ามีปัญญาเหยียบจมูกกูได้...ก็ลองดู”

           “ใหญ่...” เสียงที่เอ่ยเรียกชื่ออดีตเพื่อนรักของราชันย์เหมือนจะอ่อนลงนิดหน่อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง “มึงก็รู้ว่ากูรอวันนี้มานานแค่ไหน อย่าว่าแต่เหยียบจมูกมึงเลย ถ้ามันจำเป็นจริง ๆ ต่อให้ต้องเหยียบหัวมึง กูก็จะทำ”

           “ไอ้เล้ง!”

          อริญชย์มีโอกาสคำรามเรียกชื่อราชันย์อีกครั้งเดียว ก่อนสายสนทนาจะถูกตัดทิ้งจากอีกฝ่ายอย่างไม่ไยดี

          ดวงตาดำจัดก้มลงมองภาพที่ปรากฏอีกครั้ง คราวนี้ถึงกับจ้องราวกับจะให้ทะลุ ภาพพิชญ์ที่กำลังยืนยิ้มอยู่กับรัญญาทำเอาเส้นประสาทของอริญชย์เต้นตุบขึ้นมาอีกรอบ เดิมพันคราวนี้ต้องมีคนแพ้และคนชนะ

          ถ้าเขาชนะ...รับรองเลยว่ากมลวิลาศน์จะต้องแหลกเป็นจุณ จะหัวหงอกหรือหัวดำเขาก็จะเหยียบย่ำ

          แต่ถ้าเขาแพ้...คราวนี้เขาจะสูญเสียพิชญ์ เหมือนที่เคยเสียเพื่อนดี ๆ อย่างราชันย์อีกไหม

          อริญชย์ปิดเปลือกตาลงช้า ๆ เขารู้ดีว่าการที่ราชันย์กลับมาคราวนี้ก็เพื่อกลับมาจบปัญหาที่มันยังคาราคาซัง กลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรเป็นของมันคืน

          ถ้าจำเป็นจริง ๆ เขาอาจจะต้องเรียกอธิษฐ์กลับมา ถึงแม้ว่าการดึงน้องชายต่างแม่กลับมาเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมเดิม ๆ จะเป็นการทำร้ายอธิษฐ์ตรง ๆ ก็ตามที

          เกมสกปรกที่กำลังเล่นกันอยู่ ไม่เคยมีใครสนใจกติกา สนแค่ว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครจะอยู่ ใครจะไป



.



          อริญชย์กลับเข้ามาถึงบริษัทตอนหนึ่งทุ่มเศษ ที่บริษัทมีพนักงานหลงเหลืออยู่เพียงบางตา พนักงานรักษาความปลอดภัยกะดึกกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง พอเห็นเขาเข้ามาก็รีบรายงานว่าพิชญ์กับน้องหนูยังอยู่ที่บริษัท อริญชย์พยักหน้ารับก่อนจะเดินเลยมาขึ้นลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหาร

          บรรยากาศข้างบนดูเงียบผิดจากที่อริญชย์คาด ตอนแรกเขานึกเดาเล่น ๆ ว่าพอออกมาจากลิฟต์คงต้องมีเสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูดังลอดออกมาจากห้องทำงานของพิชญ์ แต่เอาเข้าจริงกลับเงียบสงัดราวกับปราศจากคน ถึงขนาดว่าถ้ามีเข็มตกซักเล่ม เขาก็คงได้ยินเสียง

          แม้จะรู้ดีว่าบริษัทของตัวเองมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม แต่อารามร้อนรนปนสังหรณ์ใจแปลก ๆ ทำให้อริญชย์รีบก้าวยาว ๆ มากระชากประตูห้องทำงานพิชญ์เปิด ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เกือบจะยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเอง แค่วันนี้เพียงวันเดียว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นหลายปี

          หลานสาวตัวน้อยของอริญชย์นอนหลับปุ๋ยอยู่ตรงโซฟารับแขก มีผ้าห่มผืนเล็กห่มอยู่อย่างหมิ่นเหม่ เดาว่าคงถูกเจ้าตัวถีบออกด้วยความรำคาญ อริญชย์ยิ้มขำก่อนจะจับผ้าห่มขึ้นมาคลุมน้องหนูดี ๆ ส่วนเจ้าของห้องที่อริญชย์คิดว่าน่าจะกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ ยามนี้กลับฟุบหลับอยู่ท่ามกลางกองเอกสารสูงท่วมหัว สภาพเดียวกันทั้งพ่อทั้งลูก

           “หึ! สมกับเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ” คนมีศักดิ์เป็นลุงเปรยเบา ๆ ทั้งขำทั้งฉิว

          หลังจากจัดการกับคนลูกเสร็จแล้ว อริญชย์ก็เดินอ้อมมาดูคนพ่อที่ฟุบอยู่กับโต๊ะทำงาน เขาคว้าเอาเสื้อสูทที่แขวนอยู่ตรงราวด้านข้างมาคลุมตัวพิชญ์แทนผ้าห่ม ก่อนจะถอยออกมายืนดูคนที่นอนหลับตาพริ้ม

          เวลานอนหลับแบบนี้ บ่าเล็ก ๆ ที่แบกรับเรื่องราวหลายอย่างก็ลู่ลงราวกับปล่อยวาง จนคนมองอดที่จะลูบผมพิชญ์ช้า ๆ ไม่ได้

          ถึงแม้พิชญ์จะอยู่กับเขามานาน นานพอ ๆ กับอายุของน้องหนู แต่สำหรับอริญชย์แล้ว พิชญ์ก็ยังบริสุทธิ์เกินกว่าจะถูกดึงเข้ามาข้องเกี่ยวกับโลกสีเทาของเขาและราชันย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเกมที่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน

           “...”

          เสียงครางงึมงำจากคนที่นอนหลับอยู่ทำเอาอริญชย์ชะงักมือ ค่อย ๆ โน้มตัวลงฟังด้วยความสงสัย

           “แม่...พักบ้างสิ...”

          ริมฝีปากหยักขยับเป็นรอยยิ้มละมุนยามฟังถ้อยคำละเมอจากคนขี้เซา ไม่ใช่ว่าตัวเขาเองไม่เคยคุยกับแม่พลอยเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขา แต่แม่พลอยก็ยืนกรานปฏิเสธเขาเหมือนที่ปฏิเสธลูกชายตัวเองเสมอมา อริญชย์เองเลยคร้านที่จะบังคับผู้อาวุโส แม้เขาจะนึกห่วงท่านอยู่ลึก ๆ ถึงอย่างไรแม่ของพิชญ์ก็เหมือนแม่ของเขาอีกคน น่าเสียดายที่พิชญ์ไม่มีโอกาสได้กราบไหว้พ่อแม่ของเขา ได้แต่กราบไหว้สุสานประจำตระกูลเขา แต่อริญชย์เชื่อว่าทั้งพ่อและแม่จะต้องชอบพิชญ์เหมือนที่เขาชอบ

          ท่าทางขยับตัวยุกยิกของคนตรงหน้าทำเอาอริญชย์ชะงักความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในหัว ดูเหมือนพิชญ์ของเขาจะตื่นแล้ว อริญชย์ผละถอยออกมานิดหนึ่ง กลัวว่าเดี๋ยวคนที่เพิ่งเข้าเฝ้าพระอินทร์เห็นหน้าเขาแล้วจะตกใจจนพาลตกเก้าอี้ แต่ทั้ง ๆ ที่ขยับออกมานิดหนึ่งแล้ว แต่อากัปกิริยาของพิชญ์ยามตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าเขาเป็นคนแรกก็ยังไม่ต่างอะไรจากเห็นผี

           “คุณใหญ่!”

           “เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวน้องหนูก็ตื่นพอดี”

          คนที่เพิ่งตื่นแทบจะอ้าปากค้าง ขยับจะโต้เถียงแต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหุบสนิท ทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของบนโต๊ะ ตาก็เหลือบมองนาฬิกาก่อนจะรู้สึกกระดากหน่อย ๆ เมื่อเห็นว่าเขาเผลอหลับไปเกือบชั่วโมง จำได้ว่าหลังจากเห็นน้องหนูหลับ พิชญ์ก็จัดการห่มผ้าให้ลูกสาวตัวน้อย เสร็จแล้วตัวเองก็กลับมานั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกน้ำมันหอมระเหย โชคดีว่าเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งกำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ พอเขาเอ่ยปากถาม ฝ่ายนั้นก็ส่งข้อมูลมาให้เป็นกระบุง เล่นเอาเขาอ่านจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ยังเปิดหน้าพวกนั้นคาอยู่

           “สนใจพวกน้ำมันหอมระเหยด้วยหรือไง” คนที่ถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของพิชญ์เอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

           “ก็เห็นว่าน่าสนใจดีน่ะครับ”

          อริญชย์พยักหน้า ไม่ได้สนใจอะไรอีก หันไปมองนาฬิกาเห็นว่าสมควรแก่เวลาเลยแล้วเอ่ยเรียกพิชญ์ให้เก็บของกลับบ้าน ส่วนตัวเขาตรงไปปลุกน้องหนู เด็กหญิงตื่นมาท่าทางงัวเงีย พอเห็นว่าเป็นลุงใหญ่ก็โผเข้ากอดแน่น อริญชย์เลยคว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นอุ้ม เจ้าตัวเลยถือโอกาสหลับซบกับไหล่ของอริญชย์ต่อ ไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่าย ๆ

           “โทรบอกตุลย์ให้เตรียมรถเลย จะได้รีบกลับบ้านกัน ป่านนี้ป้าน้อยรอจนงอนแล้วมั้ง”

          พิชญ์ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาตุลย์แทนอริญชย์ เพราะสองมือของอีกฝ่ายตอนนี้กำลังประคองน้องหนูที่เพิ่งหลับปุ๋ยไปอีกรอบ เขาคุยกับตุลย์อยู่สองสามประโยคก่อนจะวาง พอเดินออกมาหน้าตึก ตุลย์ก็ขับรถเข้ามาจอดเทียบทันที อริญชย์พยักหน้าให้พิชญ์เป็นฝ่ายเข้าไปก่อน แล้วเขาถึงส่งน้องหนูให้พิชญ์รับไปอุ้มก่อนจะตามเข้ามา

          ตลอดทางมีแต่ความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาราวกับกลัวว่าเสียงดังเพียงนิดเดียวจะปลุกน้องหนูให้ตื่นขึ้นมางอแง ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

          ขณะที่ความคิดของอริญชย์ยังคงวนเวียนอยู่กับภาพที่ราชันย์ส่งมาให้เขาเมื่อช่วงเย็น ความคิดของพิชญ์ก็วนเวียนอยู่กับรัญญาไม่ต่างกัน คำที่แม่พลอยเคยเอ่ยสอนดูเหมือนจะผุดขึ้นมาในหัวของพิชญ์

           ‘คนโง่มักจะอวดฉลาด แต่คนฉลาดมักจะแกล้งโง่ เพราะฉะนั้นบางครั้งเราก็ต้องแกล้งโง่ แสร้งว่าเราไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย แกล้งโง่เพื่อให้ได้รู้มากขึ้นไม่น่าอายเลยนะลูก’

          เพราะฉะนั้น...ถ้าเขาจะแกล้งโง่ซักหน่อยก็คงไม่เป็นไร



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          โต๊ะอาหารเย็นวันนี้ดูเหมือนจะเงียบกว่าทุกวัน แม้จะสังเกตเห็นความผิดปกติของอริญชย์ แต่พิชญ์ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม เขาคิดว่าอริญชย์อาจจะรั้งเขาไว้หลังมื้ออาหารเย็นเพื่อพูดคุยกัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่เขาคิด อริญชย์หยอกล้อกับน้องหนูที่ยังงัวเงียอยู่ซักพักก่อนจะขอตัวเข้าห้องทำงานพร้อมกับเรียกตุลย์ให้เดินตาม

          พิชญ์เรียกนวลมาพาน้องหนูอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย พอเสร็จเรียบร้อย เขาก็เตรียมจะพาน้องหนูเข้านอนด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนน้องหนูจะนอนตอนเย็นมาอย่างเต็มอิ่ม เจ้าตัวถึงได้นอนสบตากับพิชญ์ตาแป๋ว

           “ไม่ง่วงหรือครับ”

          คำตอบของน้องหนูคือการสั่นหน้าไปมา พิชญ์เลยได้แต่ยิ้มแห้ง เห็นทีค่ำคืนนี้ของเขากับน้องหนูคงอีกยาวไกล

           “งั้นทำอะไรกันดีลูก”

           “พ่อพีทขา น้องหนูอยากคุยกับแม่เล็ก น้องหนูคิดถึงแม่เล็ก”

          คำขอของน้องหนูทำเอาพิชญ์ถึงกับนิ่งไป เขาฝืนยิ้มปลอบน้องหนู นึกก่นด่าตัวเองที่ละเลยเรื่องราวของไอลดาอีกแล้ว แต่ถึงน้องหนูจะอยากคุยกับไอลดาขึ้นมาตอนนี้ พิชญ์ก็ไม่สามารถทำให้ได้จริง ๆ จะทำได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าไอลดาอยู่ที่ไหน ยังติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ หรือพูดให้ถูกคือ พิชญ์ไม่ได้พยายามที่จะติดต่อไอลดาแม้แต่น้อย

          พิชญ์ถอนหายใจยาว ได้แต่ลูบหัวน้องหนูไปมาเหมือนจะปลอบประโลมและขอโทษไปในคราวเดียวกัน

           “ตอนนี้แม่เล็กยุ่งอยู่ ถ้าแม่เล็กว่างเมื่อไหร่ พ่อพีทเชื่อว่าแม่เล็กต้องรีบโทรกลับมาหาน้องหนูแน่นอน” ตอบออกไปแล้วพิชญ์ก็ได้แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่องคุย “คืนนี้ฟังพ่อพีทเล่านิทานดีกว่าเนอะ”

           “น้องหนูอยากนอนด้วยกันสามคนอีกจัง...”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี แล้วเริ่มต้นเล่านิทานขับกล่อมลูกสาวตัวน้อย

           “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่ดินแดนตะวันออก มีเจ้าชายอยู่องค์หนึ่งทรงพระสิริโฉมมาก มีทั้งเจ้าหญิง นางฟ้า หรือแม้กระทั่งแม่มดมาชอบเจ้าชาย แต่เจ้าชายกลับปฏิเสธทุกคนอย่างไม่ไยดี...”

          ไม่รู้ว่านิทานก่อนนอนของพิชญ์สนุกมากหรือน่าเบื่อมากกันแน่ น้องหนูที่นอนตาแป๋วถึงได้ผล็อยหลับอย่างง่ายดาย พิชญ์ก้มลงแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากน้องหนูเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับห้องตัวเอง อันที่จริงคืนนี้เขาก็อยากจะนอนเป็นเพื่อนน้องหนูอยู่เหมือนกัน ติดว่ายังมีเอกสารที่อ่านค้างอยู่ พิชญ์เลยเลือกที่จะเดินกลับมานั่งอ่านที่ห้องของตัวเองแทน

          พิชญ์นั่งอ่านเอกสารเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีว่าสายตาชักจะล้าก็เกือบ ๆ เที่ยงคืน นอกจากสายตาจะล้าแล้ว ดูเหมือนว่าคอของเขาก็จะแห้งขึ้นมาด้วย พิชญ์เก็บข้าวของบนโต๊ะให้เรียบร้อย คิดว่าลงไปหาน้ำดื่มแก้กระหายเสียหน่อยก็คงดี เสร็จแล้วจะได้เข้านอนเลย

          ตอนนี้เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว คฤหาสน์หลังใหญ่เหลือเพียงความเงียบสงัดและมืดสนิท คนที่ยังตื่นอยู่เห็นจะมีเพียงแค่เขาคนเดียว พิชญ์ค่อย ๆ คลำทางเดินลงมาตามบันได คร้านจะเปิดไฟให้เสียเวลา พอลงมาแล้วก็เอื้อมมือเปิดไฟดวงเล็กให้พอส่องแสงรำไร ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าห้องครัว โดยไม่ทันสังเกตเห็นเงาร่างทะมึนที่นั่งอยู่ก่อน

          คนที่นั่งจิบบรั่นดีเงียบ ๆ อยู่ในความมืดมองเห็นตั้งแต่ตอนที่พิชญ์ค่อย ๆ ย่องลงมาจากชั้นบนแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะไม่สนใจ อย่างพิชญ์ก็คงแค่ลงมาหาอะไรกินตามเรื่องตามราว แต่สุดท้ายขาสองข้างกลับพาเจ้านายมันเข้ามาถึงในห้องครัว มายืนซ้อนหลังคนที่กำลังเปิดตู้เย็น หยิบเหยือกน้ำออกมารินดื่ม

          คนที่ดื่มน้ำเสร็จ หันหลังเตรียมจะกลับขึ้นห้องนอน แต่กลายเป็นว่าเขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับเงาตะคุ่ม จนเผลอขยับขาถอยหนีก้าวหนึ่งตามสัญชาติญาณ แล้วถึงรู้ว่าหลังตัวเองชนกับตู้เย็นแล้ว เรียกว่าไม่มีทางให้ถอยหลัง มีแต่ต้องให้อีกฝ่ายถอยไปอย่างเดียว

           “ลงมาทำอะไร” เสียงติดจะดุเอ่ยถามขึ้นเรียบ ๆ ในความมืด โดยที่พิชญ์เองก็มองไม่เห็นสีหน้าของคนถาม

          กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ที่โชยมาบ่งบอกว่าเมื่อกี้อีกฝ่ายคงนั่งดื่มอยู่ซักมุม พิชญ์เผลอย่นจมูกเล็กน้อย นอกจากจะไม่ตอบคำถามของอริญชย์แล้ว เขายังถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยซ้ำ

           “คุณเมาหรือเปล่าน่ะ”

          อริญชย์ยิ้มหยันกับคำถามของพิชญ์ ถ้าเขาเมาขึ้นมา พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว แต่ทั้งที่คิดแบบนั้น ริมฝีปากกลับเอ่ยตอบไปอีกอย่าง

           “คิดว่ายังไงล่ะ”

           “ถ้าเมาก็กลับไปนอนสิ ผมก็จะกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน”

          อริญชย์เบี่ยงตัวหลบให้พิชญ์เดินออกไป ทั้งที่คิดว่าจะปล่อยให้พิชญ์เดินจากไปเฉย ๆ แต่ความรู้สึกส่วนลึกกลับสั่งให้เอื้อมมือไปคว้าตัวอีกคนกลับมา พิชญ์เซตามแรงดึงกลับมาหาอริญชย์ คิ้วขมวดฉับด้วยความไม่พอใจปนสงสัย

           “คุณใหญ่ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”

           “วันนี้ไปไหนมาบ้าง” คำถามเรียบ ๆ ดังขึ้นมา ฝ่ามือแข็งแรงกำรอบข้อมือพิชญ์เอาไว้หลวม ๆ

          คนถูกถามชะงักเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอริญชย์ ดวงตาดำจัดที่พิชญ์คุ้นเคยมาตลอด ยามนี้กลับว่างเปล่าราวกับหลุมดำที่มีแต่ความมืดมิด พิชญ์ตั้งสติแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ ข่มความสั่นไหวที่อยู่ในอกอย่างมิดชิด

           “ก็ตามตาราง นัดกินข้าวกับเจ้าสัวสมศักดิ์ไงครับ”

          ถึงจะรู้ว่าพิชญ์กำลังโกหก แต่อริญชย์ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ ความคิดที่ว่าตัวเองถูกโกหกและถูกปิดบังกำลังกัดกร่อนความรู้สึกของเขาช้า ๆ

          ...ยาพิษที่รุนแรงที่สุดคือยาพิษที่ชื่อว่า... ‘ความไม่ไว้ใจ’

           “แค่นั้นเองเหรอ”

           “เสร็จแล้วก็ไปรับน้องหนู แล้วก็ตรงกลับออฟฟิศ”

          ก็ยังโกหกอยู่ดี...อริญชย์หลับตาลง ซุกซ่อนความรู้สึกปวดหน่วงอย่างมิดชิด

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อน”

           “อย่าเพิ่งสิ...”

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากถามว่าทำไม แต่ริมฝีปากร้อนผ่าวที่เจือจางด้วยรสบรั่นดีก็ทาบทับลงมาสะกัดกลั้นทุกคำพูดจนต้องกลืนกลับลงคอ ปลายลิ้นร้อนจัดกวาดต้อนทั่วโพรงปากของเขา จนพิชญ์รู้สึกราวกับตัวเองกำลังถูกมอมเมาด้วยจูบรสบรั่นดี

          กว่าจะรู้ตัว...ก็เคลิบเคลิ้มและเผลอไผล...

          พิชญ์เผลอแหงนเงยใบหน้า ปล่อยให้อริญชย์แนบจูบร้อนผ่าวลงมาตามลาดไหล่และซอกคออย่างไม่รู้ตัว สัมผัสที่ห่างเหินกันมานานเร่งเร้าให้พิชญ์เบียดตัวเข้าหาอริญชย์ เรียกร้องและต้องการ ทั้งที่ทุกทีเป็นต้องผลักไส ต้องเป็นเพราะบรั่นดีจากริมฝีปากอริญชย์แน่ ๆ ที่ทำให้พิชญ์ร้องหาสัมผัสอย่างน่าไม่อายแบบนี้

           “คุณใหญ่...” พิชญ์ครางเรียกชื่อ ยามถูกอีกฝ่ายช้อนตัวขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์

          กางเกงนอนถูกดึงร่นจนลงมากองอยู่ที่ข้อเท้า ผิวหนังพลันสัมผัสกับความเย็นของเคาน์เตอร์ เรียกสติอันเลือนรางที่หลงเหลืออยู่ให้คืนกลับมา

           “อย่า...”

          คำห้ามปรามของพิชญ์ได้รับการตอบสนองด้วยอาการหยุดชะงักของอริญชย์ แต่นั่นกลับทำเอาคนที่ร้องห้ามเป็นฝ่ายทุรนทุราย พิชญ์คงยังไม่รู้ตัว ว่านี่คือบทลงโทษของคนที่ริอ่านเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

           “ตามใจนาย” คนถูกห้ามปรามยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะผละออกจากตัวพิชญ์

          พิชญ์จ้องมองอริญชย์อย่างตกตะลึง ทุกทีถึงแม้ว่าเขาจะเอ่ยห้ามปรามแค่ไหน อริญชย์เป็นต้องดึงดันจนเขาคล้อยตามและสมยอม แต่วันนี้แค่เพียงเขาเอ่ยว่า ‘อย่า’ คำเดียว อีกฝ่ายกลับผละหนีง่าย ๆ พิชญ์แทบจะบิดตัวด้วยความทรมาน เมื่อความต้องการที่ถูกปลุกเร้าจวนเจียนจะทำให้เขาแทบคลั่ง

           “คุณใหญ่...”

           “ฉันไม่บังคับนายหรอกนะ ไม่ก็คือไม่”

          ความอัดอั้นจากกายส่วนล่างเร่งเร้าให้หยาดน้ำเอ่อคลอขึ้นมาบนดวงตา พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น หน้าแดงก่ำ เพิ่งรู้ว่าร่างกายของเขาโหยหาสัมผัสของอริญชย์มากแค่ไหนก็ตอนที่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนมองเฉย ๆ โดยไม่คิดที่จะยื่นมือมาช่วยเขาปลดปล่อย

           “เลือกเอาว่าจะขอร้องฉันหรือจะช่วยตัวเอง”

          คำพูดร้ายกาจที่ดังออกมายิ่งกว่าน้ำเย็น ๆ ที่สาดใส่หน้าพิชญ์ พิชญ์กัดฟันข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเอง เลื่อนมือลงไปประคองแกนกายที่กำลังสั่นระริกด้วยความอาย แต่ถ้าขืนไม่ทำ เขาก็ไม่มีทางหนีไปจากตรงนี้ได้

          เขาทั้งเกลียดทั้งต้องการอริญชย์ ผู้ชายใจร้ายที่ยืนดูเขาช่วยตัวเองโดยไม่คิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย

          พิชญ์ปิดเปลือกตาลง ไม่อยากจะเห็นสายตาของอริญชย์ที่มองตรงมาที่เขานิ่ง ๆ แต่ยิ่งหลับตา จินตนาการกลับยิ่งมีแต่หน้าของอีกฝ่าย พิชญ์เม้มริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงคราง ได้แต่ขยับมือเร่งเร้าความปรารถนาของตัวเอง ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาเพราะคิดว่าอริญชย์คงจากไปแล้ว เขาก็ยังเห็นสายตาคมกล้านั่นมองตรงมายังเขา มองราวกับจะกลืนกิน แต่ไม่คิดที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย

          ร้ายกาจ...ร้ายกาจที่สุด!

          เมื่อความปรารถนาเดินทางมาจวนเจียนจะถึงปลายทาง พิชญ์ก็ยิ่งเร่งขยับมือ แต่เหมือนคนที่ยืนมองอยู่นานเองก็รู้ ทั้งที่สวรรค์มารอรำไรอยู่ข้างหน้า อริญชย์กลับกระชากมือพิชญ์ออกแล้วบีบความต้องการของพิชญ์เอาไว้ ไม่ยอมให้ปลดปล่อยออกมา

           “คุณใหญ่...”

           “รู้ไหมว่าฉันไม่ชอบคนโกหก”

          ประโยคเดียว...คือคำตอบของทุกการกระทำอันเย็นชาที่มีต่อพิชญ์

          ทั้งที่ฝ่ามือข้างหนึ่งยังเกาะกุมความต้องการของพิชญ์ไว้ไม่ยอมให้ปลดปล่อย แต่มืออีกข้างกลับช้อนสะโพกของพิชญ์ขึ้น แล้วสอดนิ้วไปยังช่องทางข้างหลัง สอดลึกแล้วควานช้า ๆ เพื่อตระเตรียม พิชญ์กัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนสัมผัสได้ถึงรสคาวเลือดก่อนจะหลุดเสียงครางออกมา เมื่อปลายนิ้วที่ทำหน้าเบิกทางถูกกระชากออก แล้วสอดแทรกด้วยความร้อนผ่าวที่ใหญ่โตจนคับแน่น

          ฝ่ามือสองข้างยึดสะโพกพิชญ์ไว้ไม่ยอมให้ขยับหนี ขณะที่โหมแรงกระแทกใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า รู้ดีว่าครั้งนี้ตัวเองรุนแรงกว่าทุกครั้ง ทั้งความต้องการ ความปรารถนา และความหงุดหงิดมันผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก

          ร่างกายของพิชญ์ปลุกเร้าความต้องการของอริญชย์ได้อย่างง่ายดาย แค่ภาพพิชญ์ที่ช่วยตัวเองในความมืดเมื่อกี้ก็ทำให้อริญชย์คลั่งไม่ต่างกัน ความปรารถนาที่เก็บกักมานานเพราะไม่ได้ปลดปล่อยผสมกับความหงุดหงิดที่พิชญ์โกหกผลักดันให้เขากระทำรุนแรงกว่าที่เคย

          พิชญ์กอดรัดอริญชย์แน่น สัมผัสที่รุนแรงกว่าทุกครั้งทำเอาเขาทั้งกลัวทั้งรู้สึกดี ร่างกายบีบรัดทุกครั้งที่อริญชย์สอดใส่เข้ามา โหยหาทุกครั้งที่อีกฝ่ายถอดถอนออก เผลอตัวแยกขาออกกว้างให้อีกฝ่ายกระทำได้อย่างถนัดถนี่ ทั้งที่รู้ดีว่านี่คือบทลงโทษ

          บทลงโทษของคนโกหก...

          แต่น่าแปลกที่เขายินดีจะรับมันไว้ ซ้ำร่างกายยังเบียดเข้าหาเพื่อเรียกร้องมากยิ่งขึ้น จวบจนกระทั่งอริญชย์กระแทกเข้ามาครั้งสุดท้าย ปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนไว้ในตัวพิชญ์พร้อม ๆ กับที่พิชญ์เองก็ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมา เขาถึงได้ทิ้งตัวลงกับบ่าของอริญชย์อย่างหมดแรง กางเกงนอนที่กองอยู่ที่เท้าถูกดึงขึ้นมาสวมให้ลวก ๆ พิชญ์รับรู้ว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายอุ้มไว้หลวม ๆ ฝ่ามือที่ลูบลงมาที่เส้นผมของเขาเบา ๆ นั้นช่างอ่อนโยนขัดกับคำพูดดุดันที่กระซิบอยู่ข้างหู

           “รู้แล้วใช่ไหม...ว่าฉันไม่ชอบคนโกหก”

          ถ้ายังมีแรงหลงเหลืออยู่ พิชญ์ก็อยากจะตอบโต้กลับไปว่า...เขาไม่ได้โกหก แค่บอกไม่หมด..

          ราวกับเจ้าของอ้อมอกที่พิชญ์ซุกอยู่จะรู้ถึงความในใจของพิชญ์ เสียงดุดันถึงได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง

           “อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงให้มาก นั่นไม่ใช่หน้าที่ของนาย”

          คราวนี้พิชญ์เลยเลือกที่จะนอนนิ่ง ๆ ...

          อริญชย์ฉลาดเกินไป ฉลาดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เขาได้อวดฉลาดบ้างเลย



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า ^^
เหนือพีทยังมีคุณใหญ่ ทั้งฉลาด ทั้งน่าหมั่นไส้
 

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
โอ้ยยย ลุ้นมากจ้า ในแต่ละตอน ว่าตกลงรัญญาเป็นยัง แต่เดาว่าความแสบ น่าได้พี่ชายแน่
คุณใหญ่ ยังซึน แต่เท่ห์มาก

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
บทลงโทษของคุณใหญ่ดูเหมือนพีทจะชอบนะคะ.. ขี้คร้านจะร้องให้ลงโทษเพิ่มขึ้นอีก เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา จนสมอุราจนสาแก่ใจ 555555555

ปล.สงสารแม่บ้านนะคะ ถ้ารู้ว่ามุมหนึ่งในห้องครัวมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ 5555

คุณใหญ่จะเรียกคุณกลางให้มาจัดการอิตาเล้งหรือเปล่านะ รอลุ้นแต่ก็อดสงสารคุณกลางไม่ได้ว่าถ้ากลับมาแล้วตัวเองจะทำใจได้หรือเปล่าที่ต้องเจอกับสภาพสิ่งแวดล้อมเดิมๆ นี้ คุณใหญ่ไม่สงสารน้องเหรอ  :mew6: แต่พอมานึกถึงเกมส์สกปรกที่อิตาเล้งทำแล้วก็สมน้ำสมเนื้อกันดีนะ...

อ่านมาถึงคำสอนของแม่พลอยที่สอนพีท หรือจริงๆ แล้วที่พีททำเป็นว่าเชื่อยัยตะหลิวเรื่องน้ำหอมระเหยนั่นก็เพื่ออยากจะรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของยัยตะหลิวกันแน่นะ ทำเป็นเชื่อเพื่อให้ตายใจไว้ก่อน.. แต่มันก็เสี่ยงไปนะพีท ถอยออกมาเถอะ ให้คุณใหญ่เขาจัดการเองดีกว่า

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
บทลงโทษแบบนี้  :impress2: ไม่อ่อนโยนเลย ชอบบบบ ต่างคนต่างอัดอั้นไง  :oo1: 5555 เออก็ดีแล้วที่ลงโทษพีทจะได้สบายใจขึ้นว่าตัวเองผิดและได้รับโทษจากเขาแล้ว ก็ยังดีกว่าเขาไม่ทำอะไรเราเลย คราวนี้ก็นะ ฟังเขาบ้างนะพีท หมอลอบกัดก็คือหมาลอบกัด อันตราย ต้องระวัง เมื่อไหร่จะเคลียร์กันก็ไม่รู้ ขู่กันไปขู่กันมา ลุ้นจนเพลียละเนี้ย 555 สนุกก รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้อีกครั้ง รอค่าาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด