พิมพ์หน้านี้ - --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Renze ที่ 14-04-2020 18:15:04

หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 14-04-2020 18:15:04
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 1 --- [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 14-04-2020 18:23:11
รักซ้อนซ่อนรัก

หนึ่ง
ศักดิ์ศรี



          ถ้าหากมีการจัดลำดับบริษัทก่อสร้างแถวหน้าของวงการธุรกิจ แน่นอนว่าชื่อของเคเค คอนสตรัคชั่นย่อมถูกเอ่ยถึงเป็นอันดับแรกๆ ด้วยผลงานการบริหารงานของ ‘อริญชย์ เกียรติกาญจนา’ ประธานบริษัทวัยสามสิบสามปี ร่วมกับ ‘พิชญ์ ภัทรกุล’ รองประธานบริษัทผู้มีศักดิ์เป็นน้องเขย หรือที่ทุกคนรู้กันดีว่าเปรียบเสมือนมือขวาของอริญชย์ เคเค คอนสตรัคชั่นจึงครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งติดต่อกันถึงสองปีซ้อน โค่นแชมป์เก่าอย่างอิสระ คอนสตรัคชั่นลงอย่างราบคาบ

          อาคารสำนักงานของเคเค คอนสตรัคชั่นตั้งอยู่บนย่านธุรกิจอย่างถนนสาทร ตรงข้ามกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่างอิสระ คอนสตรัคชั่นซึ่งเป็นของตระกูลอิสรพัฒน์ ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงานถูกแบ่งออกเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทและห้องทำงานของรองประธานบริษัท ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่จัดว่าเข้มงวด เพราะเสือร้ายของวงการธุรกิจอย่างอริญชย์เรียกว่ามีมิตรและศัตรูมากพอกัน

          พิชญ์ ภัทรกุล รองประธานบริษัทวัยยี่สิบเจ็ดปี กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและเซ็นอนุมัติก่อนนำเรื่องเสนอต่อท่านประธานบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย มือขาวขยับตวัดปากกาเซ็นลายเซ็นของตัวเองอย่างคล่องแคล่วและสวยงาม เอกสารทุกอย่างถูกจัดวางบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พิชญ์กำลังจะคว้าแฟ้มเอกสารมาเปิด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวสั่นครืดคราดรบกวนการทำงาน จนเขาต้องหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้า

          ...คุณเล็ก...

          พอเห็นว่าเป็นภรรยาของตัวเองที่กำลังถ่ายแบบติดพันอยู่ที่พัทยาเป็นคนโทรมา พิชญ์จึงรีบกดรับสายทันที

          “ครับ คุณเล็ก”

          พิชญ์กรอกเสียงทักปลายสายอย่างสุภาพเหมือนที่เคยปฏิบัติมาตลอด ก่อนจะต้องเบนโทรศัพท์ออกห่างจากหูเล็กน้อย เนื่องจากปลายสายกำลังเอะอะเสียงดังอยู่กับคนรอบข้าง เขาเลยเดาเอาเองว่าไอลดาคงกำลังสังสรรค์อยู่กับบรรดาก๊วนเพื่อนนางแบบของเธออยู่

          “คุณเล็กครับ...” พิชญ์เอ่ยเรียกผู้เป็นภรรยาอีกรอบ กำลังคิดว่าจะวางสาย เพราะอีกฝ่ายอาจจะเผลอกดโทรออกเข้า เสียงหวานก็ดังมาตามสายเสียก่อน

          “พี่พีท เล็กเองนะคะ พอดีเล็กจะโทรมาบอกพี่พีทว่าเล็กยังถ่ายแบบติดพันอยู่เลยค่ะ น่าจะเลิกดึกมาก คืนนี้เล็กเลยจะนอนค้างที่พัทยากับพวกพี่ทีมงาน รบกวนพี่พีทช่วยดูแลน้องหนูแทนเล็กทีนะคะ” นางแบบสาวและคุณแม่ยังสาวเอ่ยฝากฝังลูกสาวตัวน้อยกับผู้เป็นสามีเสียงหวาน

          “ผมว่าคุณเล็กกลับมานอนที่บ้านจะไม่สะดวกกว่าหรือครับ คุณเล็กเลิกงานกี่โมง เดี๋ยวผมไปรับคุณเล็กที่พัทยาเอง”

          “พี่พีทอย่าลำบากเลยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เล็กก็กลับแล้ว”

          “แต่ว่า...” พิชญ์ขยับปากจะเอ่ยค้าน แต่ยังช้ากว่าไอลดาที่ชิงตัดบทด้วยความรวดเร็ว

          “อุ๊ย! ทีมงานเรียกแล้วค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะพี่พีท เล็กฝากกล่อมน้องหนูเข้านอนด้วยนะคะ บายค่ะ...”

          พิชญ์ก้มลงมองหน้าจอที่ดับสนิท เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าปลายสายกดวางแล้วเรียบร้อย เขาค่อย ๆ วางโทรศัพท์ลงข้างตัวเหมือนเดิมก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ

          ‘ไอลดา เกียรติกาญจนา’ คือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาและแม่ของน้องหนู ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขากับเธอ ไอลดาเป็นรุ่นน้องที่คณะของพิชญ์ ครั้งแรกที่เจอเธอที่มหาวิทยาลัย ไอลดาเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายเขาก่อน พิชญ์เห็นว่าหญิงสาวเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่งเลยเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาว จนมีคนแซวว่าเขากับไอลดาแอบคบกัน แต่พิชญ์ก็ปฏิเสธทุกครั้ง จนกระทั่งเขามาพลาดทำเธอท้องตอนเรียนอยู่ปีสุดท้าย ขณะที่ไอลดาเรียนอยู่ปีสอง ชีวิตเขาก็พลิกผันจากหน้ามือกลายมาเป็นหลังมือ

          สำหรับพิชญ์แล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน พี่ชายและผู้ปกครองเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของไอลดาบุกมาหาเขาถึงหอพัก หาว่าเขาทำไอลดาท้อง แม้จะยังสับสนและมึนงง แต่พิชญ์เองก็รู้ดีว่าตระกูลเกียรติกาญจนา โดยเฉพาะอริญชย์ เกียรติกาญจนา มีอำนาจและบารมีมากเกินกว่าที่เขาจะคิดต่อกรด้วย และเขาเองก็เชื่อว่าอริญชย์พูดจริงทำจริง เพราะพิชญ์ ภัทรกุลเป็นแค่เด็กต่างจังหวัด ต่างจากไอลดาราวกับดอกฟ้าและหมาวัด ดอกฟ้าหรือจะกล้ามาปรักปรำเขา เขามันก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่มีแต่ตัวและแม่ที่ต้องเลี้ยงดูอีกหนึ่งคน พิชญ์เลยยืดอกยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำอย่างลูกผู้ชาย

          ทันทีที่พิชญ์ตกลงว่าจะรับผิดชอบไอลดา ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของคนรอบข้าง พิธีแต่งงานระหว่างผู้ชายธรรมดากับน้องสาวคนเดียวของอริญชย์ ที่วงการธุรกิจต่างขนานนามว่าเป็นเสือร้ายก็ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เชิญแขกเหรื่อเฉพาะคนกันเอง เนื่องจากเจ้าสาวท้องก่อนแต่งแถมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ผู้ใหญ่ของทางพิชญ์คือคุณพลอยผู้เป็นมารดา ส่วนผู้ใหญ่ของไอลดาคืออริญชย์ซึ่งเป็นพี่ชาย

          อริญชย์บังคับให้พิชญ์จดทะเบียนสมรสกับไอลดา ราวกับต้องการจะผูกมัดเขากับเกียรติกาญจนาจนยากที่จะดิ้นหลุด แต่พิชญ์ก็ยอมทำตามความต้องการของอริญชย์เพื่อตัดปัญหา เขาเองก็มีแต่ตัว กลัวแต่จะถูกคนอื่นครหาเอาว่า...

          พิชญ์ ภัทรกุลเกาะเมียกิน!

          หลังแต่งงานไม่นาน ไอลดาก็คลอดลูกสาวตัวน้อยน่ารักน่าชังออกมา พิชญ์ตกหลุมรักน้องหนูทันทีที่เห็นนางฟ้าตัวน้อย เขายอมรับเลยว่าน้องหนูมีเค้าหน้าเหมือนไอลดาผู้เป็นแม่ น้องหนูกลายเป็นขวัญใจของคุณพ่อคุณแม่วัยรุ่นอย่างพิชญ์และไอลดา ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายแข็งกระด้างอย่างอริญชย์ เสือร้ายของวงการธุรกิจที่ทุกคนหวั่นเกรงยังหลงรักหลานสาวตัวน้อยหัวปักหัวปำ สำหรับพิชญ์แล้ว เขายอมรับเลยว่าน้องหนูคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา

          พอน้องหนูหย่านมแม่เรียบร้อย ไอลดาก็กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยต่อจนจบ ทุกคนรับรู้ว่าหญิงสาวท้องก่อนแต่งและยังท้องขณะเรียนอยู่ แต่ด้วยอำนาจเงินและบารมีของอริญชย์ ทุกคำติฉินนินทาจึงหายเข้ากลีบเมฆราวกับเรื่องมหัศจรรย์ ทันทีที่เรียนจบปริญญาตรี ไอลดาก็ประกาศต่อหน้าสามีและผู้เป็นพี่ชาย ว่าเธอจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนางแบบ หน้าที่การเลี้ยงดูน้องหนูจึงตกเป็นของพิชญ์ โดยมีอริญชย์คอยช่วยเหลืออีกแรง

          ทุกสิ่งทุกอย่างดูสวยงามยิ่งกว่าหนทางที่ถูกปูด้วยพรมดอกกุหลาบ อริญชย์ดึงพิชญ์ที่เรียนจบบริหารธุรกิจ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เข้ามาทำงานที่เคเค คอนสตรัคชั่น ผลักดันจนพิชญ์ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทอย่างเต็มภาคภูมิ บุคคลภายนอกล้วนแต่เฝ้ามองความก้าวหน้าของพิชญ์ด้วยความอิจฉา จากเด็กต่างจังหวัดธรรมดากลับจับผลัดจับผลูจนกลายมาเป็นหนูตกถังข้าวสาร คงมีเพียงเจ้าตัวที่รู้ว่า สิ่งที่เขามีและสิ่งที่คนอื่นเห็น มันแลกมาด้วยสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของลูกผู้ชายคนหนึ่งเช่นกัน



.



          หลังวางสายจากไอลดา พิชญ์ก็นั่งทำงานเพลินจนลืมเวลา นับว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของเขาที่มักจะจดจ่อกับงานอย่างเต็มที่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนผนังแล้วเห็นเข็มนาฬิกากำลังบอกเวลาห้าโมงเย็น พิชญ์เลยรีบเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน พอหันมาเห็นภาพของน้องหนูบนโต๊ะทำงานที่กำลังยิ้มแฉ่ง คนเป็นพ่ออย่างพิชญ์ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

          พิชญ์กำลังจะเดินออกจากห้องทำงานหลังจากเก็บของจนเรียบร้อยแล้ว แต่กลับต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังแทรกความเงียบขึ้นมา พิชญ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเห็นว่าเป็นเวลาเลิกงานแล้ว ก่อนจะยอมหันหลังกลับมารับโทรศัพท์ เผื่อว่าบางทีปลายสายอาจจะมีเรื่องเร่งด่วน

          “พิชญ์ครับ...”

          “ฉันเอง”

          ทันทีที่เสียงของปลายสายแล่นเข้าหู พิชญ์ถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกแช่แข็ง เขารู้ดีว่า ‘ฉัน’ ที่กำลังคุยกับเขาอยู่คือใคร มีเพียงแค่คนเดียว แค่คนเดียวที่มีอำนาจเหนือเขาทุกอย่าง แค่คนเดียวที่ทำราวกับเขาเป็นลูกไก่ในกำมือ ที่อริญชย์ เกียรติกาญจนาคิดจะบีบ เขาก็ตาย หากเมตตาจะคลาย เขาก็รอด

          “ครับคุณใหญ่...”

          “ทำอะไรอยู่”

          “ผมกำลังจะกลับบ้าน ถ้าคุณใหญ่มีธุระกับผม...”

          “วันนี้ฉันกลับดึก มีนัดกินข้าวกับซัพพลายเออร์ชาวญี่ปุ่น นายกับน้องหนูกินข้าวกันเองเลย เสร็จแล้วก็รีบพาน้องหนูเข้านอนด้วย ส่วนนาย...” อริญชย์เว้นวรรคเล็กน้อย “รอจนกว่าฉันจะกลับ”

          สำหรับคนที่อยู่ร่วมชายคากับเสือร้ายมามากเท่ากับอายุของน้องหนู พิชญ์รู้ดีว่าสิ่งที่อริญชย์เอ่ยออกมาคือคำสั่งที่เขาต้องปฏิบัติตาม แม้อยากจะขัดขืนมากแค่ไหน แต่มันคงเป็นการกระทำที่โง่เขลา หากเขาคิดจะต่อกรกับอริญชย์ คนที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง คนที่เป็นประมุขของบ้าน และยังเป็นคนที่ทำราวกับเป็นเจ้าของชีวิตเขา

          “คุณใหญ่ ถ้าเกิดคุณเล็กรู้เข้า...”

          “ยัยเล็กอยู่ที่พัทยา จะกลับมาพรุ่งนี้ตอนเย็น คิดจะขัดคำสั่งฉันหรือพีท” ปลายสายเอ่ยเสียงหนักราวกับต้องการจะย้ำสถานะที่เป็นรองของพิชญ์ จนผู้บริหารหนุ่มต้องกัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ

          “เปล่าครับ ผมแค่...”

          “อย่าเถียง ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องดีแล้ว แค่นี้นะ”

          อีกฝ่ายวางสายเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่พิชญ์ที่ยังคงยืนกำหูโทรศัพท์แน่น เขาเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกหลากหลายของตัวเอง

          เขาโกรธ...โกรธอริญชย์ที่เอาแต่เฝ้าบังคับเขา

          แต่ที่สำคัญกว่า...เขาโกรธตัวเองที่ไม่สามารถขัดขืนอีกฝ่ายได้

          พิชญ์เดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเองก่อนจะกดลิฟต์ผู้บริหาร บนชั้นสูงสุดของสำนักงานเคเค คอนสตรัคชั่น มีแค่ห้องทำงานของเขากับอริญชย์ และมีเพียงแค่ลิฟต์ของผู้บริหารที่จอดชั้นบนสุดนี้ ระหว่างที่กำลังยืนรอลิฟต์อยู่ พิชญ์เห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องทำงานของอริญชย์ ซึ่งหมายความว่าเจ้าตัวยังคงนั่งทำงานอยู่ เขาได้แต่เบือนหน้าหนีจากประตูห้องทำงานของอีกฝ่าย แล้วเดินตรงเข้าลิฟต์ที่เปิดออกพอดี

          พอเดินออกจากลิฟต์ บรรดาพนักงานที่พบเห็นพิชญ์ต่างก็พากันเอ่ยทักและยกมือสวัสดีเขา ปีแรกที่พิชญ์เข้ามาทำงานที่นี่ ล้วนแล้วแต่มีเสียงนินทาดังเข้าหูเขาเป็นระยะ แต่พิชญ์ก็พยายามพิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ยอมรับ จากเสียงนินทาจึงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงชื่นชม และกลายเป็นผู้บริหารที่เหล่าพนักงานยอมรับในความสามารถมากที่สุดคนหนึ่ง

          “กลับแล้วหรือคะท่านรอง”

          “ครับ พอดีผมมีนัดกินข้าวเย็นกับน้องหนูน่ะครับ”

          “แหม แฟมิลี่แมนจังเลยนะคะ”

          พิชญ์ยิ้มรับคำกระเซ้าของพนักงานหญิงก่อนจะเดินออกจากตึก พอเห็นเขาเดินออกมา กริชก็ขับรถคันหรูเข้ามาจอดเทียบทันที รถยนต์และคนขับประจำตำแหน่งของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่พิชญ์มีล้วนแล้วแต่เป็นอภินันทนาการจากผู้ชายที่ชื่อว่า อริญชย์ เกียรติกาญจนาทั้งนั้น พิชญ์ยิ้มหยันกึ่งจะสมเพชตัวเองยามก้าวขึ้นรถ

          “งานหนักหรือครับคุณพีท” กริชเอ่ยถาม เมื่อมองผ่านกระจกมองหลังแล้วเห็นผู้เป็นเจ้านายมีท่าทีเหนื่อยอ่อน

          “นิดหน่อยน่ะ” พิชญ์เอ่ยตอบเสียงเรียบก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ เป็นอันยุติบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้

          ถึงกริชจะเป็นคนสนิทและเป็นคนขับรถของพิชญ์ แต่เขารู้ดีว่ากริชเองก็ยังฟังคำสั่งของอริญชย์มากกว่าเขา เช่นเดียวกับลูกน้องคนอื่น ๆ หลายครั้งที่พิชญ์รู้ดีว่าอริญชย์ส่งกริชมาเพื่อคอยจับตามองเขา จนบางทีเขาก็อยากตะโกนถามผู้มีศักดิ์เป็นพี่ภรรยาว่า...

          สำหรับอริญชย์แล้ว เขาเป็นน้องเขยหรือนักโทษกันแน่?...



.



          รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์เกียรติกาญจนา ก่อนที่กริชจะก้าวลงมาเปิดประตูหลัง พอเด็กหญิงที่กำลังนั่งเล่นอยู่ตรงสวนเห็นผู้เป็นพ่อกลับมาแล้ว ก็รีบสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของพี่เลี้ยง วิ่งตื๋อเข้ามาหาผู้เป็นพ่อทันที

          “พ่อพีทจ๋า...”

          ทันทีที่นางฟ้าตัวน้อยของพิชญ์วิ่งมาถึง ชายหนุ่มก็รีบย่อตัวลงอุ้มน้องหนูก่อนจะกดจูบลงที่ข้างแก้มซ้ายขวาของลูกสาวด้วยความรัก เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากริมฝีปากกระจับ จนพิชญ์ต้องกดจูบเข้าที่ริมฝีปากบางอีกทีด้วยความรัก

          “พอเจอพ่อพีท น้องหนูก็ทิ้งพี่นวลเลยนะลูก”

          “น้องหนูคิดถึงพ่อพีทนี่คะ”

          เด็กหญิงเอ่ยอย่างฉอเลาะก่อนจะซุกตัวเข้าหาผู้เป็นพ่อ แล้วเหมือนน้องหนูจะนึกอะไรออก ค่อย ๆ ดันตัวออกจากอ้อมกอดของพิชญ์ กวาดตามองรอบ ๆ พอเห็นว่าผู้เป็นพ่อกลับมาแค่คนเดียวก็รีบเอ่ยถามถึงใครอีกคนทันที

          “ลุงใหญ่ล่ะคะ...”

          พิชญ์ถึงกับชะงักเล็กน้อยเมื่อลูกสาวเอ่ยถามถึงผู้เป็นลุง เขาต้องยอมรับเลยว่า น้องหนูติดอริญชย์มากพอ ๆ กับที่ติดเขา ถ้าเห็นแค่เขา น้องหนูก็จะถามถึงผู้เป็นลุง และถ้าเห็นแค่ผู้เป็นลุง น้องหนูก็จะถามถึงเขา เป็นเรื่องที่บรรดาแม่บ้านและพี่เลี้ยงของน้องหนูต่างรู้กันดีว่า คุณหนูของบ้านติดคุณพ่อกับคุณลุงมากกว่าผู้เป็นแม่ ซึ่งมักจะติดงานถ่ายแบบอยู่บ่อย ๆ นาน ๆ ทีไอลดาถึงจะกลับมาหาน้องหนูที่บ้าน แต่ทุกครั้งที่กลับมา ไอลดาก็มักจะมีของเล่นกลับมาฝากลูกสาวตัวน้อยของเธออยู่เสมอ

          “ลุงใหญ่ติดงานครับ วันนี้น้องหนูกินข้าวกับพ่อพีทสองคนนะ” พอเห็นนางฟ้าตัวน้อยทำหน้าลังเล พิชญ์เลยรีบยื่นข้อเสนอที่น้องหนูต้องตาลุกวาว “ไอศกรีมช็อกโกแลตหนึ่งลูก...”

          “โอเคค่ะ น้องหนูกินข้าวกับพ่อพีทสองคนก็ได้ แต่พรุ่งนี้พ่อพีทต้องพาลุงใหญ่กลับมาด้วยนะคะ”

          พิชญ์ฟังคำของลูกสาวแล้วก็ถึงกับหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย ถึงจะรู้ว่าน้องหนูพูดตามประสาเด็ก แต่เขายอมรับเลยว่าเขาหวงน้องหนู แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นลุงของน้องหนูก็ตามที พิชญ์ชิงอุ้มน้องหนูเดินเข้าบ้านก่อนจะเสชวนคุยเรื่องอื่น

          “แล้ววันนี้น้องหนูเป็นเด็กดีหรือเปล่าครับ”

          “น้องหนูเป็นเด็กดีค่ะพ่อพีท น้องหนูดื่มนมหมดแก้วด้วย แล้วน้องหนูก็กินผักหนึ่งคำ” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนที่พบเห็น

          “จริงหรือครับ ไว้เดี๋ยวพ่อพีทจะแอบถามคุณครู”

          “จริงค่ะ คุณครูชมว่าน้องหนูน่ารักด้วย”

          “ครับ ลูกสาวพ่อพีทน่ารักที่สุดเลย นางฟ้าตัวน้อยของพ่อ”

          พอเดินเข้ามาถึงโซฟารับแขก พิชญ์ก็วางน้องหนูลงบนโซฟาก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ น้องหนูปีนไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ข้างหลังมาเปิดแล้วเล่าเสียงแจ๋ว ๆ

          “วันนี้น้องหนูวาดรูปด้วย มีพ่อพีท มีน้องหนู มีลุงใหญ่ มีแม่เล็ก” เด็กหญิงว่าพลางหยิบเอากระดาษวาดรูปออกมาจากกระเป๋านักเรียนสีแดง

          พิชญ์ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูก่อนจะรับเอากระดาษวาดรูปมาจากน้องหนู นิ้วเล็กชี้ที่รูปคนแต่ละคนพลางอธิบายจ้อย ๆ เห็นแล้วพิชญ์ก็อยากจะหัวเราะขำกับภาพวาดของน้องหนู แต่มันคงเป็นผลงานชิ้นเอกของจิตรกรวัยห้าขวบที่กำลังนั่งกอดอกภูมิใจอยู่ข้างตัวเขา

          “นี่พ่อพีทของน้องหนู พ่อพีทของน้องหนูน่ารักที่สุด”

          “พ่อพีทต้องหล่อสิครับน้องหนู” พิชญ์แกล้งเอ่ยแย้งลูกสาว สาวน้อยคนสวยเลยรีบอธิบายทันควัน

          “พ่อพีทหล่อไม่ได้หรอก เพราะลุงใหญ่หล่อกว่า”

          พิชญ์ทำหน้าแปลก ๆ แต่เห็นน้องหนูยังคงอวดรูปวาดของตัวเองอย่างเพลิดเพลิน เลยคิดว่าคงจะมีแต่เขาที่คิดมากไปเอง

          “แล้วแม่เล็กล่ะครับ”

          “แม่เล็กสวย แม่เล็กเลยมีคนถ่ายรูปแชะ ๆ น้องหนูอยากสวยเหมือนแม่เล็ก”

          “เดี๋ยวน้องหนูเป็นสาว น้องหนูก็สวยเหมือนแม่เล็กลูก”

          พิชญ์คว้าเอาร่างเล็กมานั่งบนตักก่อนจะกอดลูกสาวแน่น สำหรับคนที่มีแต่ตัวอย่างเขา น้องหนูคือสมบัติล้ำค่าเพียงอย่างเดียวที่เขาหวงแหน

          เขาสัญญา เขาจะปกป้องน้องหนู ปกป้องรอยยิ้มของน้องหนู และปกป้องความร่าเริงของน้องหนู

          “อาหารเย็นเสร็จแล้วนะคะคุณพีท” เสียงป้าน้อย แม่บ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลเกียรติกาญจนาดึงพิชญ์ออกจากภวังค์

          พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เขารู้ดีว่าป้าน้อยเองก็รักเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่ง เช่นเดียวกับคนอื่นที่เคารพรักเขา แต่มันคงน้อยกว่าความเคารพรักที่ทุกคนมีต่ออริญชย์...ผู้เป็นประมุขของบ้านอย่างแน่นอน

          “ครับ ป้าน้อย”



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 1 --- [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 14-04-2020 18:26:47

          หลังกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย น้องหนูก็รีบเอ่ยปากทวงไอศกรีมช็อกโกแลตที่ผู้เป็นพ่อสัญญาทันที พิชญ์พยักหน้ารับก่อนจะหยิบไอศกรีมช็อกโกแลตจากตู้เย็นมาส่งให้ แล้วนั่งมองนางฟ้าตัวน้อยของเขาตักเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน

          “พ่อพีทจ๋า น้องหนูอยากนอนฟังลุงใหญ่เล่านิทาน”

          ฟังที่ลูกสาวตัวน้อยเรียกร้อง พิชญ์ก็นึกอยากจะหัวเราะขำ เสือร้ายที่คนอื่นพากันเกรงกลัว พออยู่กับน้องหนูก็กลายเป็นแค่คุณลุงใจดีคนหนึ่ง

          “คืนนี้ลุงใหญ่ติดงาน ฟังพ่อพีทเล่าแทนนะคะ”

          พอฟังข้อเสนอของผู้เป็นพ่อ น้องหนูก็รีบส่ายหน้าดิกทันที

          “น้องหนูเบื่อเรื่องเจ้าชายกบเจ็ดตัวของพ่อพีทแล้ว น้องหนูอยากฟังเรื่องกระต่ายสามตัวของลุงใหญ่มากกว่า”

          “พ่อพีทงอนแล้วนะ”

          “โอ๋เอ๋ น้องหนูรักพ่อพีทนะ แต่นิทานลุงใหญ่สนุกกว่านี่นา”

          พิชญ์หัวเราะขำ ยื่นมือไปดึงถ้วยไอศกรีมที่หมดแล้วออกจากมือน้องหนู แล้วส่งนางฟ้าตัวน้อยให้กับนวลที่มายืนรออยู่ข้างหลัง

          “ไปอาบน้ำกับพี่นวลให้ตัวหอมก่อนนะคนเก่ง แล้วเดี๋ยวพ่อพีทจะพาน้องหนูเข้านอน”

          “เดี๋ยวน้องหนูแปรงฟันหอม ๆ แล้วพ่อพีทจุ๊บน้องหนูด้วยนะ”

          “ครับ คนสวย”

          พิชญ์ยืนดูจนเห็นนวลพาน้องหนูไปอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เขาถึงไปจัดการกับตัวเองบ้าง พิชญ์มีห้องส่วนตัวของตัวเองอยู่ที่คฤหาสน์เกียรติกาญจนา เขากับไอลดาแยกกันนอนมาระยะหนึ่งแล้ว สำหรับเขากับไอลดา มันเหมือนการแต่งงานกันทางนิตินัยมากกว่า แม้จะมีน้องหนูเป็นพยานรัก แต่สำหรับพิชญ์ ไอลดาก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขา เขากับเธอต่างเป็นสามีภรรยากันแค่ในนาม พิชญ์ได้แต่ยิ้มหยันให้กับโชคชะตาของตัวเอง

          พออาบน้ำและเปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อย พิชญ์ก็เดินออกจากห้องของตัวเอง จุดหมายคือห้องนอนของน้องหนู พิชญ์เปิดประตูห้องของน้องหนูออกเบา ๆ เผื่อว่านางฟ้าตัวน้อยของเขาจะหลับแล้ว พอเห็นว่านวลยังอยู่เล่นเป็นเพื่อนน้องหนู เขาเลยเอ่ยเสียงอ่อน

          “นวลไปทำอย่างอื่นเถอะ เดี๋ยวฉันพาน้องหนูเข้านอนเอง”

          “แต่ว่าคุณใหญ่...”

          “นวล”

          “ค่ะ คุณพีท”

          พอพี่เลี้ยงของน้องหนูยอมล่าถอยแล้ว พิชญ์เลยขึ้นไปนอนกอดน้องหนูอยู่บนเตียง เตียงนอนของน้องหนูกว้างพอสำหรับสามคน แต่นางฟ้าตัวน้อยของพิชญ์ก็พาเพื่อนมาอยู่ด้วยเสียเต็มเตียง คุณกระต่ายเอย คุณหมีเอย คุณแมวเอย เพื่อนทุกตัวของน้องหนูล้วนแต่เป็นของฝากจากผู้เป็นแม่ทั้งนั้น

          “นอนนะครับ น้องหนู” พิชญ์เอ่ยบอกลูกสาวเสียงอ่อน

          “พ่อพีท น้องหนูอยากรอลุงใหญ่มาจุ๊บหน้าผากน้องหนูก่อน”

          “ถึงน้องหนูนอนหลับ ลุงใหญ่ก็มาจุ๊บหน้าผากน้องหนูอยู่ดี เอ้า...พ่อพีทจุ๊บให้สองทีเลย” พิชญ์เอ่ยก่อนจะแตะริมฝีปากบนหน้าผากของน้องหนูสองทีอย่างอ่อนโยน

          “ลุงใหญ่จะกลับดึกมากเลยเหรอคะ”

          “รอน้องหนูนอนก่อนแน่ะ ลุงใหญ่ถึงจะกลับ นอนนะคะคนเก่ง นางฟ้าตัวน้อยของพ่อพีท...”

          “น้องหนูรักพ่อพีทนะคะ รักลุงใหญ่ด้วย”

          “พ่อพีทก็รักน้องหนูครับ...”

          พิชญ์กระชับอ้อมกอดน้องหนูเข้ากับตัว เอื้อมมือไปปิดไฟที่อยู่เหนือหัวก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างน้องหนู กระซิบบอกฝันดีแก่นางฟ้าตัวน้อย ลืมเลือนคำสั่งของคนบางคน ค่อย ๆ พาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราพร้อมกับน้องหนู



.



          ขณะกำลังสับสนกับความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น พิชญ์ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกรุกรานจากใครบางคน ริมฝีปากถูกบีบบังคับจนต้องเผยอออก ก่อนความอุ่นร้อนจะสอดแทรกเข้ามา เขาดิ้นขลุกขลักด้วยความอึดอัด รีบลืมตาโพลงด้วยความตกใจ ภาพของร่างสูงกำยำที่กำลังทาบทับอยู่บนตัวเขา โดยที่ข้าง ๆ คือน้องหนูที่กำลังนอนหลับปุ๋ย ทำเอาพิชญ์ตกใจแทบสิ้นสติ หลุดครางชื่ออีกฝ่ายออกมาเสียงสั่นพร่า

          “คุณใหญ่ ยะ...อย่า...” เขารีบยกมือดันหน้าอีกฝ่ายทันที เมื่ออริญชย์ทำท่าจะก้มหน้าลงมาช่วงชิงริมฝีปากของเขาอีกรอบ

          “ฉันบอกให้นายรอจนกว่าฉันจะกลับไม่ใช่หรือไง” อริญชย์เอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ดวงตาดำจัดกลับจ้องพิชญ์เขม็ง

          “ก็ผมคิดถึงน้องหนู อยากนอนกับน้องหนู”

          “แล้วนายก็อยากให้ฉันกอดนายต่อหน้าน้องหนูด้วยใช่ไหม” อริญชย์แกล้งเน้นคำว่า ‘กอด’ ที่แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงกอดอย่างเดียวกับที่พิชญ์กอดน้องหนูแน่ ๆ

          “อย่านะคุณใหญ่” พิชญ์รีบร้องห้ามเสียงหลง

          “งั้นก็มานอนกับฉัน”

          “ผมรู้แล้ว คุณใหญ่ก็ลุกสิ”

          “อย่าคิดตุกติกกับฉันนะพีท” อริญชย์ขู่เสียงดุก่อนจะขยับตัวลงจากเตียง เขาเดินอ้อมมากดจูบลงที่หน้าผากนวลของน้องหนูด้วยความเอ็นดู เสร็จแล้วก็ปรายตามองพ่อของน้องหนูแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินนำออกจากห้องนอนของน้องหนู เห็นพิชญ์เดินตามออกมาก็เหยียดยิ้มด้วยความพอใจ

          พิชญ์กำมือแน่น ขณะเดินตามอริญชย์ออกมาจากห้องนอนของน้องหนู แม้อยากจะขัดขืนมากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีว่ามันสูญเปล่า พอเดินตามเข้ามาถึงห้องนอนของอริญชย์ พิชญ์ก็เอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูราวกับหุ่นยนต์ จนเจ้าของห้องต้องหันมาสั่งด้วยความหงุดหงิด

          “พีท มานี่!”

          “คุณใหญ่ ผมขอเถอะ...”

          “อย่าทำเหมือนครั้งแรกของนายหน่อยเลย ถึงปากจะร้องห้าม แต่ร่างกายของนายก็ตอบสนองฉันอย่างดีทุกครั้งไม่ใช่หรือไง”

          พิชญ์หน้าชาด้วยความอับอาย ชุดนอนบนตัวถูกอริญชย์ปลดออกด้วยความรวดเร็ว ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่อริญชย์กระทำอยู่เป็นประจำ ก่อนริมฝีปากร้อนผ่าวจะพรมจูบตามลำตัวขาว ทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ พิชญ์พยายามสะกดกลั้นเสียงร้องของตัวเอง ขณะถูกผ่อนร่างลงบนเตียงนอน เขานอนนิ่ง ปล่อยให้อีกคนหาความสุขจากเรือนร่างของเขา แม้อีกคนจะมีความสุข แต่เขากลับมีแต่ความทุกข์

          ...เพียงแค่รู้จักกับผู้ชายที่ชื่ออริญชย์ เขาก็เหมือนถูกล่อลวงจนตกลงสู่หลุมดำ สูญเสียศักดิ์ศรีและตัวตนของตัวเอง...

          ...แม้คนอื่นจะอิจฉาริษยา คิดว่าเขาเป็นมือขวาของอริญชย์ แต่พอตกกลางคืน...เขากลับมีค่าเพียงแค่เป็นนายบำเรอของเสือร้ายอย่างอริญชย์...

          ...นี่หรือ...ชีวิตของพิชญ์ ภัทรกุลที่คนอื่นอิจฉา...



TO BE CONTINUE



เรื่องนี้เคยเอามาลงที่เล้านานแล้ว แล้วถูกลบเพราะหายตัวไปนานมาก
รอบนี้กลับมา ตั้งใจว่าจะเขียนให้จบ เลยรื้อขึ้นมาปัดฝุ่นขนานใหญ่

ยังไงฝากด้วยนะคะ :)


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 1 --- [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-04-2020 21:47:53
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 1 --- [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 15-04-2020 00:29:19
คิดถึงเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ นึกว่าจะไม่ได้อ่านอีกแล้ว คิดถึงคุณใหญ่กับพีท เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 1 --- [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 16-04-2020 10:37:39
สอง
ชดใช้



          พิชญ์นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ลำตัวขาวเปลือยถูกแต่งแต้มด้วยรอยจูบมากมาย แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างเปิดเผย ส่วนคนต้นเหตุที่ฝากรอยรักเต็มแผ่นหลังของเขานั้น ตอนนี้กำลังอาบน้ำอยู่ พิชญ์ผงกหัวมองบานประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เขาก้มลงเก็บชุดนอนของตัวเองที่ถูกอริญชย์ถอดเหวี่ยงกระจัดกระจาย กำลังจะหยิบชุดนอนขึ้นมาสวมก็ถูกกระชากออกจากฝ่ามือเสียก่อน พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น เงยหน้าขึ้นสบสายตาอริญชย์ตาวาว

           “ขอชุดนอนของผมคืนด้วย”

          เจ้าของห้องซึ่งนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเกาะช่วงล่างอย่างหมิ่นเหม่ ตามลำตัวมีหยดน้ำเกาะพราว ปรายตามองชุดนอนที่ตัวเองถืออยู่แล้วแสร้งเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พอพิชญ์พยักหน้ารับ อริญชย์ก็เหยียดยิ้มร้าย ก่อนชุดนอนเจ้ากรรมจะถูกเหวี่ยงไปกองอยู่หน้าประตูห้อง พิชญ์ได้แต่กำมือแน่น พยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง เอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเรียบ

           “คุณใหญ่...”

          คนถูกเรียกกวาดตามองทั่วลำตัวเปลือยเปล่าของพิชญ์ ก่อนจะผลักร่างขาวจัดล้มลงบนเตียง แล้วเท้าแขนคร่อมอีกฝ่ายเอาไว้ใต้ร่าง

           “คุณใหญ่ ผมจะกลับห้องครับ”

           “ใครอนุญาต”

           “ผมมีห้องนอนของตัวเอง ผมก็ต้องนอนที่ห้องของตัวเอง”

           “งั้นเดี๋ยวฉันจะสั่งทุบห้องนอนของนายทิ้ง”

           “ผมก็จะนอนกับน้องหนู”
          อริญชย์หรี่ตามองคนที่ขยับปากโต้ตอบเขาอย่างอวดดี ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำเป็นเชิงข่มขู่

           “ฉันเคยเตือนนายแล้วนะพีทว่าอย่าคิดที่จะยั่วโมโหฉัน ฉันมันเป็นพวกความอดทนต่ำเสียด้วย หรือนายอยากถูกจับแยกจากน้องหนู”

          พิชญ์เบิกตากว้าง เขายอมอริญชย์ทุกอย่าง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว แค่เรื่องของน้องหนู อริญชย์รู้ดีว่าจุดอ่อนของเขามีเพียงแค่น้องหนู และอีกฝ่ายก็เลือกที่โจมตีจุดอ่อนของเขาจนเขาต้องยอมเสียทุกครั้ง

           “อย่านะคุณใหญ่”

           “งั้นก็นอนกับฉันที่นี่ ที่ห้องนี้ บนเตียงนี้”

           “ผมทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ปล่อยผมกลับห้องเถอะ”

          มือแข็งราวคีมเหล็กบีบข้อมือของพิชญ์แน่น ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะบดเบียดลงมา เก็บกลืนทุกถ้อยคำของพิชญ์ลงคอ

           “เลิกทำเหมือนว่าตัวเองเป็นนายบำเรอ ที่พอปรนเปรอฉันเสร็จก็จะหันหลังหนีเสียที”

           “อ้อ ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีค่ามากกว่านายบำเรอ”

           “นายเป็นพ่อของน้องหนู เป็นพ่อของหลานฉัน”

           “คุณลืมหรือเปล่า ว่าผมเป็นสามีของคุณเล็กและเป็นน้องเขยของคุณด้วย”

           “นายเป็นของฉัน”

           “ถ้าคุณเล็กรู้เข้า...”

           “หยุดพูดแล้วก็นอนเสียที หรืออยากถูกฉันเอาอีกรอบ”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะขืนตัวเองออกจากการกักขังของอริญชย์ เขาพลิกตัวนอนหันหลัง หลับตาลงช้า ๆ ด้วยความปวดร้าว นึกเกลียดตัวเองที่อ่อนแออยู่เรื่อย กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องยอมตกเป็นที่ระบายความใคร่ของอริญชย์ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่ไอลดาไม่กลับมาที่บ้าน

          อริญชย์ยืนมองแผ่นหลังขาวจัดที่นอนหันหลังให้เขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนจะปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง เอื้อมมือปิดไฟที่อยู่เหนือหัวแล้วล้มตัวลงนอนข้างพิชญ์ ดึงอีกคนเข้ามาสู่อ้อมกอดแข็งแรงของเขา

          ...แม้อ้อมกอดของอริญชย์จะอบอุ่น แต่พิชญ์กลับรู้สึกร้อนจนอึดอัด อยากวิ่ง อยากดิ้นรน อยากหลบหนีออกจากอ้อมกอดของเสือร้าย...

          ความสัมพันธ์แบบนี้ของเขากับอริญชย์ดำเนินมานานหลายปี หลังจากไอลดาเริ่มต้นชีวิตการเป็นนางแบบเพียงหกเดือน ไอลดาก็มีคิวต้องเดินทางไปถ่ายแบบที่ประเทศฝรั่งเศสราวสามอาทิตย์ ทิ้งน้องหนูและพิชญ์อยู่กับอริญชย์ตามลำพัง ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นและเรียบง่ายอย่างที่เคยเป็นมา พิชญ์เองก็เคารพอริญชย์ราวกับเป็นพี่ชายของเขาเองจนกระทั่ง...

           “คุณใหญ่เชิญที่ห้องครับคุณพีท”

          ตุลย์ ซึ่งเป็นคนสนิทของอริญชย์เดินมาเคาะประตูเรียกเขากลางดึก หลังจากที่พิชญ์เพิ่งส่งน้องหนูเข้านอนหมาด ๆ พิชญ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมเดินตามตุลย์มาที่ห้องนอนของอริญชย์ พอมาถึงตุลย์ก็ปล่อยให้เขาเดินเข้ามาหาอริญชย์ตามลำพัง ก่อนจะปิดประตูตามหลัง

           “ตุลย์บอกว่าคุณใหญ่เรียกหาผม” พิชญ์เอ่ยถามคนที่กำลังง่วนอยู่กับแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงาน

          อริญชย์วางปากกาลง ก่อนจะหมุนเก้าอี้มาหาพิชญ์ เขามองผู้มีศักดิ์เป็นน้องเขยอย่างพิจารณา แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากกลับมีเพียงแค่...

           “นั่งลงก่อนสิ”

          พิชญ์เลือกนั่งลงตรงชุดโซฟารับแขกอย่างเก้กัง แม้จะอยู่ร่วมชายคาและทำงานกับอริญชย์มานาน แต่เขาก็ยังรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่เจอคนที่ถูกเรียกขานว่าเสือร้ายของวงการธุรกิจ เวลาปกติอริญชย์ก็ดูเหมือนผู้ชายธรรมดา แต่พอเวลาทำงานด้วยกัน พิชญ์ยอมรับเลยว่า เสือร้ายก็คือเสือร้ายที่พร้อมจะกางกงเล็บขย้ำศัตรูที่ริอ่านมาขวางทาง คนที่คิดจะเป็นศัตรูหรือต่อกรกับอริญชย์ คงมีแต่พวกที่คิดผิดแน่ ๆ

          อริญชย์ปรายตามองคนที่นั่งรอแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เขาเอาแต่นั่งทำงานอยู่นานจนคนที่นั่งรอแทบจะหลับคาโซฟา อริญชย์ถึงได้หอบแฟ้มเอกสารและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมาวางตรงโต๊ะรับแขก พิชญ์มองตามด้วยความสงสัย แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเขาแล้ว พิชญ์เลือกที่จะนั่งเงียบ ๆ รอให้อริญชย์เป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบายออกมาเอง

           “ฉันเพิ่งตรวจเอกสารของไตรมาสที่แล้วเสร็จ...” แค่อริญชย์เริ่มเกริ่น พิชญ์ก็นั่งตัวตรงรอฟังทันที “ดูเหมือนจะมีบางจุดที่ผิดพลาด”

          แฟ้มเอกสารถูกเลื่อนมาตรงหน้าพิชญ์ ตัวเลขยอดประมูลโครงการก่อสร้างถูกวงด้วยปากกาสีแดง ก่อนที่อริญชย์จะดันโน้ตบุ๊คมาด้านข้าง เพื่อชี้ให้เห็นตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ พิชญ์กวาดสายตาตามปลายนิ้วของอริญชย์แล้วก็ค่อย ๆ หน้าเผือดสีลง

           “คุณใหญ่หมายความว่า...”

           “ฉันเองก็ไม่อยากจะตำหนินายหรอกนะ คนเรามันย่อมมีพลาดกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเป็นพนักงานทั่วไปคงโดนไล่ออกไปแล้ว ตัวนายเองก็เป็นถึงระดับผู้บริหาร นายคิดว่าตัวเองควรจะแสดงความรับผิดชอบยังไงดีล่ะพีท ที่ทำบริษัทสูญกำไรเกือบยี่สิบล้าน”

          สายตาของอริญชย์ที่มองเขม็งมาทำเอาพิชญ์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกเป็นเหยื่อ และอีกฝ่ายก็คือนักล่า มันเป็นความผิดของเขา เขายอมรับผิด ถึงแม้เขาจะเป็นน้องเขยของอริญชย์ เป็นผู้บริหารคนหนึ่งของเคเค คอนสตรัคชั่น แต่เขาก็ไม่มีปัญญาหาเงินยี่สิบล้านมาคืนบริษัทได้แน่ ๆ

           “ผมยอมรับผิดแต่โดยดี คุณใหญ่หักออกจากเงินเดือนแต่ละเดือนของผมจนกว่าจะครบได้เลยครับ”

          อริญชย์หรี่ตามองพิชญ์อย่างประเมิน เงินยี่สิบล้าน มันอาจจะเป็นแค่ขี้เล็บของอริญชย์ เกียรติกาญจนา แต่สำหรับพิชญ์ ภัทรกุลแล้ว มันอาจจะเป็นทั้งชีวิตของเขาเลย สิ่งที่น่าสนใจกว่ามันอยู่ที่...

           “แล้วคิดว่าฉันต้องหักเงินเดือนนายกี่ปีกันล่ะ กว่ามันจะครบยี่สิบล้าน”

           “คุณใหญ่หมายความว่า...”

           “จ่ายด้วยร่างกายของนายสิ”

          พิชญ์เบิกตากว้าง เร็วกว่าความคิด เขากำมือแน่นเตรียมอัดกระแทกปากคนที่บังอาจมาดูถูกศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเขา ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นพี่ภรรยาก็ตามที แต่ดูเหมือนเขาจะพลาด แทนที่กำปั้นของเขาจะกระแทกเข้าหน้าของอริญชย์ กลับถูกอีกฝ่ายคว้าเอาไว้แล้วบีบแน่น

           “คิดจะลองดีกับฉันหรือพีท”

           “คุณใหญ่ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกผม” พิชญ์เอ่ยเสียงแข็ง ตวัดตามองอริญชย์ดวงตาแข็งกร้าว แม้ตัวเขาจะเล็กกว่า ชั้นเชิงเขาจะด้อยกว่า แต่เขาก็มีศักดิ์ศรี

           “ฉันไม่ได้ดูถูก ฉันแค่ยื่นข้อเสนอเฉย ๆ ยี่สิบล้านนี่มันก็เยอะเหมือนกันนะ หรือฉันจะต้องดำเนินคดีทางกฎหมายกับนายดี”

          พิชญ์ขบกรามแน่น อริญชย์วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาก็เป็นแค่หมากที่ถูกล่อลวงจนเดินมาติดกับดักของเสือร้าย แม้อยากจะขัดขืน อยากจะต่อสู้ แต่ก็ดูเหมือนทุกทางจะตีบตัน อริญชย์พอเห็นท่าทางของพิชญ์ก็รีบเอ่ยย้ำ

           “ลำพังแค่ตัวนายคนเดียว มันง่ายมากเลยนะที่จะถูกฟ้องล้มละลาย คิดถึงน้องหนูสิ น้องหนูจะต้องมีพ่อที่ถูกฟ้องล้มละลาย แล้วฉันอาจจะสั่งห้ามนายมาเจอกับน้องหนู หรือแม้กระทั่ง...”

          พิชญ์ทนฟังอริญชย์ข่มขู่เขาต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เมื่อเทียบประสบการณ์และเล่ห์เหลี่ยมระหว่างเขากับอริญชย์ เขาแทบไม่ต่างจากเด็กหัดเดินเลย ชายหนุ่มโพล่งถามออกมาอย่างเหลืออด

           “คุณต้องการอะไรกันแน่ คุณใหญ่”

           “ฉันบอกแล้ว...” อริญชย์เหยียดยิ้มร้ายกาจ “ตัวของนายไง ยอมเป็นของฉันสิ”

           “คุณมันบ้า คุณมันวิปริต!” พิชญ์ตะโกนด่าออกมาอย่างเหลืออด

           “ฉันไม่ได้บังคับนายเลยแม้แต่น้อย ทางเลือกเป็นของนายนะพีท ก็แค่ยอมเป็นของฉันหรือยอมถูกฟ้องล้มละลาย”

           “ผมเป็นน้องเขย เป็นสามีของน้องสาวคุณนะ”

           “ช่างหัวยัยเล็กปะไร อย่าคิดว่าฉันหูหนวกหรือตาบอดสิ ฉันรู้ว่านายกับยัยเล็กแยกห้องกันนอนมาหลายเดือนแล้ว ฉันสัญญาว่าทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเรา”

          แม้อริญชย์จะบอกว่าเขามีทางเลือก แต่สำหรับพิชญ์แล้ว ทุกทางเลือกคือการบังคับเขาแทบทั้งสิ้น เขากัดฟันกรอดอย่างข่มอารมณ์ก่อนจะยื่นข้อเสนอกลับไป

           “ผมจะต้องได้อยู่กับน้องหนูตลอดไป”

          ...ทุกอย่างก็เพื่อลูก เพื่อน้องหนู เพื่อนางฟ้าตัวน้อยของเขา...

           “ตราบเท่าที่นายยังคงเชื่อฟังคำสั่งของฉัน”

           “ผมตกลง”

          มันเป็นการตกลงที่พิชญ์รู้ตัวดีว่าเขาเสียเปรียบทุกประตู แต่เขาก็จำเป็นต้องตกลง การทำข้อตกลงกับอริญชย์ไม่ต่างอะไรจากการทำสัญญากับปีศาจร้าย

          อริญชย์เหยียดริมฝีปากออกด้วยความพึงพอใจ ค่อย ๆ ดันตัวลุกขึ้นจากโซฟารับแขก เดินอ้อมมายืนข้างหลังพิชญ์ โน้มตัวกระซิบข้างหูเสียงห้าวลึก ขณะเลื่อนฝ่ามือลงมาปลดกระดุมชุดนอนของพิชญ์ออกอย่างไม่รีบร้อน

           “จำไว้...ว่านายเป็นของฉัน”

           “นานแค่ไหน...”

          พิชญ์กลั้นใจเอ่ยถาม ค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ เมื่อฝ่ามือร้อนสัมผัสลูบไล้ตามเนื้อตัวของเขาอย่างจาบจ้วง สัมผัสจากผู้ชายด้วยกันทำเอาเขานึกขยะแขยง แต่ก็ต้องยอมทน เพราะเขาเป็นคนลั่นวาจาตอบตกลงด้วยตัวเอง อย่างน้อย...พิชญ์ ภัทรกุลก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะรักษาคำพูด

           “นาน...จนกว่าฉันจะเบื่อนาย”

          คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของอริญชย์คือโซ่ตรวนที่ผูกมัดพิชญ์อย่างแน่นหนา แม้เขาจะวิงวอนให้วันที่อริญชย์เบื่อเขามาถึงโดยเร็ว แต่มันก็คงเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เวลาผ่านมาจนน้องหนูอายุห้าขวบแล้ว เขาก็ยังคงถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญา...ที่นับวันยิ่งรัดแน่นจนยากจะดิ้นหลุด



.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 1 --- [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 16-04-2020 10:38:55


          พิชญ์ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของอริญชย์ตามลำพัง พอเห็นนาฬิกาบอกเวลาเกือบเจ็ดโมง เขาก็รีบผุดลุกจากเตียง คว้าชุดนอนที่วางกระจัดกระจายมาสวม แล้วค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องนอนของอริญชย์ นับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของพิชญ์ ที่อริญชย์มักจะสั่งห้ามคนอื่นมาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องนอนของเขายามเช้า พิชญ์เลยรอดจากสายตาและคำถามของคนอื่นมาได้ทุกครั้ง

          พิชญ์รีบเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง จัดการอาบน้ำขัดถูคราบไคลต่าง ๆ ส่วนร่องรอยรักที่ปรากฏอยู่ตามลำตัวของเขา แม้ว่าอีกไม่กี่วันมันจะจางหายไป แต่เดี๋ยวอริญชย์ก็หาโอกาสสร้างร่องรอยใหม่ได้อยู่ดี พิชญ์สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอน เขาได้ยินเสียงน้องหนูดังมาจากข้างล่าง เดาว่าคงกำลังนั่งเล่นอยู่กับใครซักคน

          อย่างน้อย...เขายังมีน้องหนูอยู่ด้วยกัน

           “พ่อพีทจ๋า...” ลูกสาวตัวน้อยร้องเรียกทันทีที่เห็นพิชญ์เดินลงบันไดมา

          นอกจากน้องหนูจะหันมามองเขาแล้ว เจ้าของตักที่น้องหนูกำลังนั่งอยู่ก็หันมามองเขาด้วยเช่นกัน พิชญ์พยายามฝืนทำตัวปกติยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น พอเห็นอริญชย์กระตุกยิ้มมุมปากน้อย ๆ เขาก็เสเบือนหน้าหลบ จับจ้องเพียงดวงหน้าน่ารักของน้องหนู

           “น้องหนู มาหาพ่อพีทมาลูก” พิชญ์นั่งลงตรงข้ามอริญชย์ก่อนจะตบตักตัวเองเรียกน้องหนู แต่ผู้เป็นลุงของน้องหนูกลับก้มลงกระซิบกระซาบข้างหูเด็กหญิง แล้วน้องหนูก็ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน

           “น้องหนูจะนั่งกับลุงใหญ่”

           “น้องหนู มาหาพ่อพีทเร็ว” พิชญ์เรียกลูกสาวตัวน้อยอีกรอบ ทำเมินสายตาแปลก ๆ ของอริญชย์ที่มองตรงมาที่เขา

          อริญชย์จ้องมองคนที่ตบตักเรียกลูกสาวตัวเองยิก ๆ ก่อนจะก้มลงกระซิบถ้อยคำบางอย่างที่หูหลานสาวคนสวยอีกรอบ

           “น้องหนูจะนั่งกับลุงใหญ่ น้องหนูกลัวพ่อพีทเจ็บ”

          คราวนี้เป็นทีของพิชญ์ที่ต้องทำหน้าเหวอ เมื่อลูกสาวตัวน้อยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่ากลัวเขาจะเจ็บ

           “เจ็บ? เจ็บอะไรลูก”

           “ลุงใหญ่บอกว่าพ่อพีทปวดเอว ห้ามนั่งตักพ่อพีท ถ้าอยากนั่งให้มานั่งตักลุงใหญ่แทน” น้องหนูอธิบายเสียงเจื้อยแจ้ว เรียกอาการอ้าปากค้างจากผู้เป็นพ่อชะงัดนัก

          พิชญ์ยอมรับว่าเขาปวดเอว แต่น้องหนูตัวเล็กนิดเดียว และที่สำคัญ สาเหตุการปวดเอวของเขาก็มาจากตัวต้นเหตุที่กำลังทำตัวเป็นเก้าอี้ส่วนตัวของน้องหนูอยู่ไม่ใช่หรือไง พิชญ์กำลังคิดว่าเขาจะอุ้มน้องหนูมาเลยหรือจะจัดการกับลุงของน้องหนูก่อนดี ก็ต้องล้มเลิกความคิดเสียก่อน เมื่อป้าน้อยเดินเข้ามาตามพวกเขาสามคน

           “อาหารเช้าเสร็จแล้วนะคะคุณใหญ่ คุณพีท คุณหนู มีของโปรดของคุณหนูด้วยนะคะ”

          พอได้ยินป้าน้อยบอกว่ามีของโปรด น้องหนูก็รีบปีนลงจากตักของผู้เป็นลุง วิ่งตึกตักไปหาป้าน้อยทันที พิชญ์กำลังจะเดินตามน้องหนูไป แต่กลับต้องชะงัก เมื่อถูกคนข้างหลังรั้งข้อมือเอาไว้ เขาหยุดยืนรอว่าอริญชย์เรียกเขาไว้ทำไม กว่าจะรู้ว่ามันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ก็ตอนที่อีกฝ่ายโน้มตัวมากระซิบข้างหูเขา

           “เมื่อคืนโดนไปตั้งหลายรอบ ยังมีแรงตื่นเช้าอีกหรือไง”

          พิชญ์มองตามหลังคนที่กระซิบข้างหูเขาเสร็จก็เดินตรงไปอุ้มน้องหนูวางลงนเก้าอี้ก่อนจะกัดฟันแน่น

          เขาเกลียด...เกลียดอริญชย์ เกียรติกาญจนา

          ถ้ามีทางออกแม้เพียงซักนิด เขาก็จะพยายามหาทางดิ้นรนออกจากกงเล็บของอริญชย์ให้จงได้

           “พ่อพีทจ๋า...มากินข้าวเร็ว ๆ ซิคะ”

           “ครับ น้องหนู”



.



          หลังเสร็จจากมื้อเช้า น้องหนูก็มานอนวาดรูปเล่นอยู่ตรงสนามหญ้า มีคุณลุงคอยช่วยดูและหัวเราะคิกคักพยักเพยิดกันอยู่สองคน ส่วนคุณพ่ออย่างพิชญ์ก็หลบออกมานั่งอ่านหนังสืออยู่ห่าง ๆ แต่คอยเหลือบตามองน้องหนูกับอริญชย์เป็นระยะ

          พิชญ์รู้ว่าอริญชย์เองก็รักน้องหนู เผลอ ๆ อาจจะเท่ากับความรักที่เขามีให้น้องหนูเสียด้วยซ้ำ เขาเลยไม่กลัวว่าอริญชย์จะทำร้ายน้องหนู แต่เขากลัว กลัวว่าอริญชย์จะพรากน้องหนูไปจากเขา

           “ลุงใหญ่ขา น้องหนูวาดรูปสวยไหมคะ” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยถามผู้เป็นลุงอย่างฉอเลาะ

           “สวยมาก ว่าแต่น้องหนูวาดอะไรเอ่ย”

          พิชญ์แทบจะหลุดหัวเราะขำออกมา แต่ยังพยายามรักษาท่าที คนชมเขาชมว่าน้องหนูวาดรูปสวย โดยที่ไม่รู้ว่าน้องหนูวาดรูปอะไร อัจฉริยะเหลือเกิน

           “ลุงใหญ่ทายสิคะ” ดูเหมือนน้องหนูจะสนุกกับการเล่นเกมทายปัญหา

           “หนอนหรือเปล่าคะ”

          น้องหนูทำปากบู้ก่อนจะส่ายหน้าไปมา

           “ผิดค่ะ น้องหนูให้ลุงใหญ่ทายอีกรอบ”

          อริญชย์แกล้งทำท่านึกอย่างขึงขัง ไม่เหลือมาดเสือร้ายที่คนอื่นเกรงกลัว ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงยอมแพ้ให้แก่หลานสาวตัวน้อย

           “ลุงใหญ่ยอมแล้ว น้องหนูเฉลยให้ลุงใหญ่ฟังทีสิลูก”

           “ฮื๊อ ลุงใหญ่ไม่เก่งเลย น้องหนูวาดรถไฟค่ะ”

          คำตอบจากลูกสาวเล่นเอาพิชญ์นึกอยากเห็นขึ้นมาทันควัน ว่าทำไมรถไฟของน้องหนูถึงได้ถูกอริญชย์มองเป็นหนอนไปได้ แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งอ่านหนังสือต่อเงียบ ๆ ปล่อยคุณลุงกับคุณหลานเขาเล่นกันสองคน

          พิชญ์นั่งอ่านหนังสือจนเห็นสมควรแก่เวลา เลยเตรียมจะลุกไปเรียกป้าน้อยให้ยกของว่างมาเสิร์ฟที่สนามหญ้า แต่เขาเพิ่งลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ รถสปอร์ตคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ ก่อนที่หญิงสาวเจ้าของรถจะก้าวลงมา มือเรียวยกขึ้นถอดแว่นกันแดดสีชาออก พร้อม ๆ กับที่เสียงของน้องหนูดังมาจากข้างหลังพิชญ์

           “แม่เล็ก!”

          น้องหนูวิ่งตื๋อเข้ามาหาผู้เป็นแม่ ทำท่าจะกระโดดกอดอีกฝ่ายแน่นด้วยความคิดถึง ดีว่าอริญชย์เดินตามมาทัน แล้วรีบคว้าน้องหนูขึ้นมาส่งให้ไอลดาแทน ก่อนที่จะพากันล้มทั้งคุณแม่และคุณลูก

           “คิดถึงแม่เล็กไหมคะ คนสวย” ไอลดาเอ่ยถามก่อนจะกดจูบลงข้างแก้มนวลดังฟอด

           “คิดถึงค่ะ แม่เล็กมีของเล่นมาฝากน้องหนูหรือเปล่าคะ”

           “พอแม่เล็กมาถึงก็ถามหาของเล่นเลยนะ” อริญชย์แกล้งเอ่ยพลางส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความเอ็นดู

           “ก็พ่อพีทไม่ยอมซื้อให้น้องหนูเลยนี่คะ”

           “พ่อพีทเห็นว่าน้องหนูมีพี่ ๆ อยู่เต็มเตียงแล้วนี่ครับ เดี๋ยวน้องหนูไม่มีที่นอนจะทำยังไง” พิชญ์ที่เพิ่งเดินตามมาถึงเอ่ยอธิบายยิ้ม ๆ

           ไอลดาหัวเราะคิกคักก่อนจะส่งน้องหนูคืนให้อริญชย์รับไปอุ้มไว้ ส่วนตัวเธอเดินอ้อมไปหยิบถุงกระดาษใบโตออกมาจากที่นั่งข้างคนขับ

            “เดี๋ยวนายสองคนช่วยยัยเล็กเอาของไปเก็บที” อริญชย์หันไปสั่งตุลย์กับกริชที่มายืนอยู่ข้างหลัง แต่ไอลดารีบโบกมือห้ามเป็นพัลวัน

            “ไม่ต้องค่ะพี่ใหญ่ เล็กกลับมาแค่แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวก็ไปแล้วค่ะ พอดีเล็กมีเรื่องจะมาคุยกับพี่พีทแล้วก็พี่ใหญ่นิดหน่อยเลยแวะเข้ามา”

           อริญชย์มองหน้าไอลดาก่อนจะสั่งให้ตุลย์ไปตามนวลมา พอนวลมาถึง เขาก็ส่งน้องหนูที่อยู่ในอ้อมแขนให้พร้อมกับของเล่น โดยไม่ลืมที่จะเอ่ยกำชับกับนวล

            “ฝากดูน้องหนูทีนะนวล เดี๋ยวฉันกับพีทจะคุยธุระกับยัยเล็กหน่อย แล้วบอกป้าน้อยให้เตรียมของว่างให้ยัยเล็กด้วย”

           หลังจากนวลพาน้องหนูเดินเข้าบ้านไปแล้ว อริญชย์ก็เดินนำน้องสาวและน้องเขยมาที่ชุดรับแขกตรงสวน ป้าน้อยยกของว่างกับเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ แวะทักทายไอลดาเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าครัว ปล่อยให้ผู้เป็นนายนั่งสนทนากันตามลำพัง

            “พี่พีทสบายดีหรือเปล่าคะ” ไอลดาเริ่มต้นด้วยการหันมาเอ่ยถามผู้เป็นสามีที่นั่งลงข้างเธอ พิชญ์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบรับ

            “สบายดีครับ คุณเล็กล่ะครับ...”

            “ทำงานเหนื่อย แต่ก็สนุกดีค่ะ น้องหนูอยู่กับพี่พีทมีดื้อบ้างไหมคะ”

            “ก็ตามประสาวัยกำลังซนน่ะครับ แต่ถ้าพูดดี ๆ น้องหนูก็ฟัง อาจจะต้องมีขนมมาล่อนิดหน่อย” พิชญ์พูดพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู

            “จริง ๆ แล้วเล็กเองก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะคะ ที่ปล่อยให้พี่พีทเลี้ยงลูกตามลำพัง เหมือนเล็กกำลังเอาเปรียบพี่พีทอยู่เลย”

            “ไม่เป็นไรครับ อย่าคิดมากเลย ผมไม่เหนื่อย เห็นคุณเล็กได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ผมก็ดีใจด้วย”

           เมื่อเห็นว่าไอลดาเอาแต่ผูกขาดกับสนทนากับสามีตัวเอง จนลืมเลือนพี่ชายอย่างเขาซึ่งนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่ด้วย อริญชย์เลยกระแอมออกมาเบา ๆ และมันก็ได้ผลทันที เมื่อสายตาสองคู่หันกลับมามองที่เขา

            “อะไรติดคอคะพี่ใหญ่...”

            “เปล่า แต่พี่ยังไม่เห็นเธอจะพูดธุระเสียที เอาแต่นั่งคุยกันอยู่สองคน”

           ไอลดาเลิกคิ้วมองพี่ชายที่นั่งทำหน้าเบื่ออย่างประหลาดใจ สงสัยอาจจะน้อยใจที่เธอสนใจสามีมากกว่าพี่ชายก็เป็นได้ คนแก่ก็มักจะขี้น้อยใจแบบนี้

            “อ้าว เป็นผัวเมียกันก็ต้องถามสารทุกข์สุขดิบกันสิคะพี่ใหญ่”

            “พูดจาให้มันดี ๆ หน่อยยัยเล็ก” อริญชย์เอ่ยเสียงดุทันที

            “เล็กพูดจาไม่ดีตรงไหนคะพี่ใหญ่ ในเมื่อเล็กกับพี่พีทเราเป็นผัวเมีย เอ๊ย สามีภรรยากัน” นางแบบคนสวยลอยหน้าลอยตาตอบผู้เป็นพี่ชาย โดยไม่สนใจสายตาปราม ๆ ของพิชญ์แม้แต่น้อย

           พิชญ์มองเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ พอเจอหน้ากันทีไร ไอลดาเป็นต้องปะทะคารมกับอริญชย์เสียแทบทุกครั้ง แม้ว่าจะเป็นพี่น้องที่รักกันมากก็เถอะ แล้วคนที่ต้องคอยเป็นกรรมการห้ามมวยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขานี่เอง

            “เห็นคุณเล็กบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผมและคุณใหญ่ไม่ใช่หรือครับ”

           เพียงแค่พิชญ์เอ่ยปาก ไอลดาก็ยอมเลิกราจากอริญชย์ หันมาสนใจผู้เป็นสามีแทน

            “ค่ะ จริง ๆ แล้วเล็กจะมาบอกพี่ใหญ่กับพี่พีทว่าช่วงหลัง ๆ งานเล็กจะเยอะขึ้น แล้วเล็กก็คงต้องเดินทางบ่อย ๆ”
            “มันก็เป็นเรื่องปกติของเธอไม่ใช่หรือไง”

            “คุณใหญ่ ฟังคุณเล็กพูดให้จบก่อนสิครับ”

           ไอลดารีบหันหน้ามาพยักเพยิดกับพิชญ์ ปล่อยให้อริญชย์ได้แต่นั่งกอดอกมองอย่างหมั่นไส้

            “เอ้า ว่ามาสิ”

            “เล็กเลยว่าจะย้ายออกไปอยู่คอนโด”

            “ก็ไปสิ” อริญชย์เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

           ไอลดาไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่เขาจะต้องมาคอยห่วงอีกต่อไป อย่างน้อยน้องสาวตัวดีของเขาก็โตจนเป็นแม่คนแล้ว

            “เล็กอยากให้พี่พีทกับน้องหนูไปอยู่กับเล็กด้วย”

            “ไม่ได้!” อริญชย์ตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที

           พิชญ์มองท่าทีที่อริญชย์แสดงออกมาอย่างตกใจ ขยับจะเอ่ยปากพูดบ้าง แต่ช้ากว่าไอลดาที่ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน

            “ทำไมถึงไม่ได้คะพี่ใหญ่”



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่า ^^ ดีใจที่ยังมีคนรออ่านอยู่
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 2 --- [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-04-2020 20:43:11
 :hao4:
เพิ่งเข้ามาอ่าน เราคิดว่าคุณใหญ่ต้องแอบชอบคุณพีทมาก่อนแน่ๆ เลย ถึงบังคับได้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 2 --- [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 17-04-2020 05:30:29
ถ้าพีทได้ออกไปอยู่ข้างนอก คุณใหญ่คงอกแตกตาย55

หรือจริงๆ แล้ว  น้องหนูไม่ใช่ลูกของพีท :katai1:

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 2 --- [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-04-2020 05:49:24
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 2 --- [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 19-04-2020 05:37:58
คุณใหญ่จะมาห้ามคนในครอบครัวเขาไม่ให้ไปอยู่ด้วยกันไม่ได้นะคะ  :ruready

ครอบครัวน้องสาวเขามีสมาชิก 3 คน พ่อแม่ลูกครบสมบูรณ์
ขาดเพียงแต่ความรักฉันสามีภรรยาเท่านั้นที่ไม่มีให้กัน ถ้าคุณใหญ่อยากได้น้องเขยมาเป็นของตัวเอง คุณใหญ่ควรแสดงความรักให้ถูกทางด้วยค่ะ ไม่ใช่บังคับขืนใจกันแบบนี้...​นี่เราเตือนคุณใหญ่ด้วยความหวังดีนะคะ ระวังน้องเขยทนไม่ไหวหนีหายไปละจะรู้สึก

ฮึ่ยยย!!! นี่เราอินเกินไปรึเปล่านะ  :o12:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 2 --- [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 19-04-2020 11:55:46
ตามต่อๆ ลุ้นดี ..
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 19-04-2020 20:39:12
สาม
หัวใจบังคับกันไม่ได้



          สองพี่น้องตระกูลเกียรติกาญจนายืนประจันหน้ากันอยู่ตรงสวนหย่อม มีพิชญ์ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ เขาแตะมือลงกับต้นแขนของไอลดาเป็นเชิงปราม ถึงอย่างไรอริญชย์ก็เป็นพี่ชายของไอลดา แถมยังเป็นพี่ชายที่อายุแก่กว่าเธอถึงแปดปี พิชญ์เลยไม่อยากให้ไอลดางัดข้อกับอริญชย์มากนัก แต่หญิงสาวกลับเมินเฉย จ้องหน้าผู้เป็นพี่ชายเขม็งก่อนจะเอ่ยถามซ้ำ

           “ทำไมพี่พีทกับน้องหนูถึงไปอยู่ที่คอนโดกับเล็กไม่ได้คะ พี่ใหญ่”

          พิชญ์เองก็นิ่งเงียบ รอฟังว่าอริญชย์จะตอบผู้เป็นน้องสาวกลับไปว่าอย่างไร แต่อีกใจเขาก็อดกลัวไม่ได้ หากอริญชย์โพล่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนขึ้นมา เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน และไม่ใช่หน้าของเขาคนเดียว แต่ยังรวมถึงหน้าตาของไอลดา ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นภรรยาตามกฎหมายของเขาอีกด้วย

           “แล้วมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องพาพีทกับน้องหนูไปอยู่ด้วย” นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว อริญชย์ยังเป็นฝ่ายถามไอลดากลับ

           “เล็กอยากอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก”

           “ทั้ง ๆ ที่เธอแทบจะไม่มีเวลาอยู่ติดบ้านหรือคอนโดเลยน่ะหรือ อย่าเห็นแก่ตัวหน่อยเลยยัยเล็ก เธอจะพาน้องหนูไปลำบากหรือไง อยู่ที่นี่น้องหนูมีป้าน้อยกับนวลคอยดูแล แต่เธอกลับจะให้น้องหนูกับพีทไปอยู่ที่คอนโดระหว่างที่เธอตะลอน ๆ ถ่ายแบบ”

           “เล็กคิดถึงลูก เล็กอยากเห็นหน้าน้องหนูบ่อย ๆ” ไอลดาพยายามเถียง แม้จะรู้ดีว่าหนทางในการเอาชนะอริญชย์มันช่างริบหรี่ ลองว่าอริญชย์ไม่เห็นด้วยแล้ว อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมง่าย ๆ ทำไมเธอจะไม่รู้จักนิสัยพี่ชายตัวเอง

           “ถ้าคิดถึงก็มาที่นี่ พี่บอกแล้วว่าอย่าเห็นแก่ความสบายของตัวเอง แล้วทำให้คนอื่นต้องลำบาก เวลาพี่พูดก็หัดฟังกันบ้าง”

           “พี่ใหญ่...” ไอลดาเรียกชื่อพี่ชายเสียงละห้อย พอเห็นว่าไม่ได้ผลแน่ ๆ เธอก็หันมาหาผู้ชายอีกคนที่มักจะตามใจเธออยู่เสมอ “พี่พีทคะ...”

           “อย่าแม้แต่จะคิดเลยยัยเล็ก ถ้าพี่ไม่อนุญาต เธอคิดว่าพีทจะช่วยอะไรเธอได้หรือไง”

          ไม่ต้องให้อริญชย์ตอกย้ำ พิชญ์เองก็รู้อยู่แก่ใจ อย่าว่าแต่จะช่วยไอลดาเลย แค่จะช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่ถูกอริญชย์พันธนาการเอาไว้ เขายังทำไม่ได้ พิชญ์ได้แต่จับแขนไอลดาไว้เป็นเชิงปลอบประโลม

           “ถ้าคุณเล็กอยากเจอน้องหนูก็มาที่นี่ หรือจะให้ผมพาไปหาก็ได้ ถึงยังไงที่นี่ก็มีคนคอยช่วยดูแลน้องหนูกันหลายคน คุณเล็กทำสิ่งที่ตัวเองรักให้เต็มที่เถอะครับ”

          ไอลดามองพิชญ์นิ่ง ๆ แม้เธอกับเขาจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาด้วยกันมากนัก แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไอลดาก็ยอมรับว่าพิชญ์เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง และยังเป็นพ่อที่ดีอีกด้วย สุหญิงสาวได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างยอมแพ้

           “อีกหน่อยเล็กคงงานยุ่งกว่าเดิม อาจจะไม่ค่อยได้กลับมาหาพี่พีทกับน้องหนูบ่อย ๆ เล็กฝากดูแลน้องหนูด้วยนะคะ”

          พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ค่อย ๆ รั้งร่างของผู้เป็นภรรยาเข้ามากอดไว้หลวม ๆ ทำเมินสายตาดุดันของพี่ภรรยาที่ยืนมองเขาตาเขม็ง

           “อย่าห่วงเลยครับคุณเล็ก ผมต้องดูแลลูกของเราสองคนให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”

           “ขอบคุณนะคะพี่พีท เล็กขอตัวไปหาน้องหนูก่อนดีกว่า คิดถึงลูกจะแย่ พี่พีทจะไปด้วยกันไหมคะ” ไอลดาเอ่ยถามก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพิชญ์

          พิชญ์กำลังจะอ้าปากตอบตกลงอยู่แล้วเชียว แต่ก็ช้ากว่าอีกคนที่เอ่ยเสียงนิ่ง ๆ

           “เธอไปก่อนเลย พี่จะคุยเรื่องงานกับพีทหน่อย”

           “คุยเรื่องงานกับพี่พีท นี่มันวันเสาร์นะคะ ใจคอพี่ใหญ่จะไม่ให้สามีเล็กพักผ่อนบ้างเลยหรือไงคะ” ไอลดาหันมาถามผู้เป็นพี่ชายอย่างเอาเรื่อง

           “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะยัยเล็ก พีทเขาพูดอะไรสักคำหรือยัง”

           “ก็เพราะพี่พีทไม่พูดไงคะ เล็กถึงต้องเป็นฝ่ายพูด ถ้าเล็กรู้ว่าพี่ใหญ่ใช้งานพี่พีทหนักนะ...”

           “เธอจะทำไม”

           “เล็กจะให้พี่พีทลาออกจากงาน”

           “อย่ามาไร้สาระหน่อยเลย จะไปหาน้องหนูก็รีบไป”

          ไอลดาทำหน้าเบ้ใส่พี่ชายก่อนจะตะโกนเสียงดังใส่หน้า

           “ก็เพราะว่าเผด็จการแล้วก็ปากร้ายแบบนี้ไง พี่ใหญ่ถึงหาแฟนไม่ได้เสียที”

          อริญชย์มองตามหลังน้องสาวคนสวยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะหันกลับมาหาอีกคนที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกรอบ อริญชย์เท้าแขนลงกับโต๊ะหิน ยื่นหน้าไปจนชิดกับพิชญ์ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทั้งกระด้างและห้วนจัด

           “เสียใจล่ะสิที่ไม่ได้ออกไปอยู่คอนโดกับยัยเล็ก”

          พิชญ์มองสบตาอริญชย์โดยไม่คิดที่จะหลบ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยย้อนถามกลับไป

           “ถ้าผมบอกว่าอยากไป คุณใหญ่จะให้ผมไปหรือไง”

           “ไม่มีวัน” เป็นคำตอบที่อริญชย์ตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด “ต่อให้นายอยากหนีไปจากฉันมากแค่ไหน นายก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น”

          พิชญ์เบือนหน้าหนีทันที จะตอกย้ำกันให้ได้อะไรขึ้นมา เขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางหนีอริญชย์ไปไหนได้ ที่ทำได้ก็เพียงแค่รอเวลา รอวันที่อีกฝ่ายนึกเบื่อเขาขึ้นมาเสียที มันอาจจะนาน แต่พิชญ์ก็เชื่อว่าต้องมีสักวันที่เขาจะได้เป็นอิสระจากอริญชย์


.



           “แม่เล็กขา เดี๋ยวนี้น้องหนูกินผักด้วยนะคะ” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร ก่อนที่สาวน้อยตัวเล็กจะตักผักใบเขียวส่งเข้าปากตัวเองให้ผู้เป็นแม่ดูเป็นขวัญตา

           “เก่งมากค่ะน้องหนู เดี๋ยวแม่เล็กให้รางวัล”

          คุณแม่กับคุณลูกต่างชวนกันสนุกสนานกับอาหารมื้อเย็น น้องหนูเกาะติดไอลดาแจ แทบไม่ยอมปล่อยให้ผู้เป็นแม่ห่างตัวไปไหน แม้กระทั่งตอนกินข้าวก็ยังเรียกร้องจะนั่งกับไอลดา ทั้งที่ปกติน้องหนูจะต้องนั่งกับพิชญ์ พิชญ์เลยต้องระเห็จตัวเองมานั่งอยู่ข้างอริญชย์ด้วยความจำใจ

          บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูชื่นมื่น ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แถมน้องหนูยังเจริญอาหารกว่าปกติ พิชญ์เองก็คิดว่าเขาควรจะมีความสุข ถ้าเพียงแต่จะไม่มีแขนของอริญชย์ที่ยื่นมาพาดเก้าอี้เขาเอาไว้อย่างถือวิสาสะ พิชญ์พยายามขยับตัวหนีอยู่หลายครั้ง แต่อริญชย์ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ มิหนำซ้ำยังวางแขนไว้บนพนักเก้าอี้ชิดกับบ่าของเขา จนพิชญ์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายนั่งโอบยังไงยังงั้น เหลือบตามองไอลดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ไม่เห็นหญิงสาวจะเอ่ยทักท้วงการกระทำของพี่ชาย สนใจแต่ลูกสาวตัวน้อย จนพิชญ์ได้แต่ถอนหายใจออกมา

           “คุณใหญ่ เอามือออกไปได้ไหม ผมอึดอัด” พิชญ์หันไปเอ่ยกับคนข้างตัวเบา ๆ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ...

           “ฉันเมื่อย”

          เมื่อเห็นว่าทั้งขยับตัวหนีก็แล้ว ทั้งเอ่ยปากบอกอีกฝ่ายก็แล้ว แต่อริญชย์ก็ยังไม่ยอมเอามือออก พิชญ์เลยได้แต่ยอมแพ้ ตักกับข้าวใส่จานแล้วส่งเข้าปากตัวเองเงียบ ๆ กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ พิชญ์ก็ต้องชะงัก เมื่อกับข้าวหลายอย่างถูกตักมาใส่จานเขาโดยที่ไม่ได้ร้องขอ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความงุนงงก่อนจะสบสายตาเข้ากับไอลดาที่ส่งยิ้มหวานให้

           “กินเยอะ ๆ ค่ะพี่พีท เล็กว่าพี่พีทผอมลงไปเยอะเลยนะคะ”

           “ขอบคุณครับ คุณเล็ก” พิชญ์ตอบรับเบา ๆ กำลังจะก้มหน้ากินข้าวต่อก็ต้องชะงักอีกรอบ คราวนี้เป็นทีของคนข้างตัวที่ตักกับข้าวมาโปะใส่จานเขาจนพูนก่อนจะเอ่ยบอกหน้าตาเฉย

           “เดี๋ยวยัยเล็กจะหาว่าฉันใช้งานนายหนัก กินเยอะ ๆ สิ”

           “ขอบคุณครับ” พิชญ์ได้แต่เค้นเสียงตอบลอดไรฟัน

          ความหวังดีจากคนน้อง เขายินดีรับเอาไว้ แต่ความหวังดีจากคนพี่ พิชญ์ขอกองเอาไว้ข้าง ๆ จานข้าวได้ไหม

           “กับข้าวเต็มจานพ่อพีทเลย น้องหนูตักให้บ้าง” น้องหนูตัวน้อยเห็นคนอื่นพากันรุมตักกับข้าวใส่จานของผู้เป็นพ่อก็นึกสนุก เอื้อมมือตักให้บ้างเป็นที่สนุกสนาน

          พอเสร็จมื้ออาหารเย็น คนที่ทำท่าว่าจะขนของไปไว้ที่คอนโดตั้งแต่บ่ายอย่างไอลดาก็ยังนั่งเล่นอยู่กับน้องหนู จนดูเหมือนว่าคนเป็นแม่จะเป็นฝ่ายติดลูกเสียมากกว่า สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าโดนน้องหนูอ้อนเข้าท่าไหน ไอลดาเลยหันมาบอกพี่ชายกับสามีตัวเองว่าจะค้างที่บ้านเสียอย่างนั้น

           “ดี นาน ๆ ทีกลับมาก็หัดอยู่กับลูกเสียบ้าง ไม่ใช่แค่เอาของเล่นมาให้แล้วก็ไป ระวังเถอะ อีกหน่อยน้องหนูจะคิดว่านวลเป็นแม่แทนเธอ” พอสบโอกาส อริญชย์ก็ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไป อดแขวะน้องสาวตัวเองไม่ได้ ก่อนจะคว้าเอาน้องหนูมานั่งบนตัก

           “พี่ใหญ่ก็ค่อนขอดเล็กจัง เล็กไม่ได้ทิ้งน้องหนูไปไหนเสียหน่อย แต่บางทีมันไม่ว่างจริง ๆ”

           “รู้ว่าไม่ว่าง แต่พอว่างก็กลับมาอยู่กับลูกบ้าง ใช่ไหมคะน้องหนู” ไม่พูดเปล่า อริญชย์ยังก้มลงพยักเพยิดกับเจ้าตัวเล็กที่นั่งลูบคางเขาเล่นอยู่อย่างเพลิดเพลิน

           “ขาลุงใหญ่...” น้องหนูที่ไม่ทันฟังผู้ใหญ่คุยกันเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างงง ๆ

           “ลุงใหญ่บอกว่า น้องหนูก็คิดถึงแม่เล็กเหมือนกันใช่ไหมคะ”

           “น้องหนูคิดถึงแม่เล็กมากเลยค่ะ คืนนี้แม่เล็กนอนกอดน้องหนูแน่น ๆ นะคะ”

          ไอลดายิ้มออกมาบาง ๆ มือลูบหัวน้องหนูเบา ๆ ด้วยความรัก ถึงเธออาจจะไม่ใช่แม่ที่ดีนัก แต่เธอก็รักน้องหนูมากเหลือเกิน แม้ว่าน้องหนูจะเกิดมาตอนที่เธอยังไม่พร้อมจะเป็นแม่คน เธอก็ยังเลือกที่จะเก็บน้องหนูเอาไว้

          น้องหนู...เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ

           “ได้สิคะ เดี๋ยวคืนนี้ทั้งแม่เล็กทั้งพ่อพีทจะกอดน้องหนูแน่น ๆ เลยลูก”


.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 19-04-2020 20:43:56

          ปกตินวลซึ่งเป็นพี่เลี้ยงจะเป็นคนดูแลน้องหนู แต่พอไอลดากลับมา หน้าที่ดูแลน้องหนูเลยตกเป็นของไอลดาไปโดยปริยาย หญิงสาวหอบกระเตงน้องหนูเข้าเอว ร้องฮัมเพลงกันสองคนอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินหายเข้าห้องนอนของน้องหนูไป

          พอเห็นว่าทั้งแม่ทั้งลูกพากันเดินเข้าห้องไปแล้ว พิชญ์เองก็เดินเลี่ยงไปจัดการกับตัวเองบ้าง ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออก เงาในกระจกสะท้อนให้เห็นร่องรอยที่มีอยู่ประปรายทั่วตัว พิชญ์ได้แต่เบือนหน้าหนีภาพที่เห็นตรงหน้า คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป เขาปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างตัวเองช้า ๆ ฟอกสบู่ไปตามร่างกายตัวเอง แต่ไม่ว่าจะลูบผ่านตรงไหน ร่างกายก็เอาแต่จดจำและนึกถึงคนที่ฝากร่องรอยเหล่านี้เอาไว้

          ...จะคิดอะไรมากมาย เขาก็เป็นแค่ที่ระบายความใคร่ของอริญชย์ก็เท่านั้น...

          พิชญ์เอื้อมมือไปปิดฝักบัว กำลังจะคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมานุ่ง แต่กลับเปลี่ยนใจ เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมแทน อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากเห็นร่องรอยอะไรบนร่างกายตัวเองมากนัก สวมเสื้อคลุมปิดไปซะ จะได้ไม่ต้องเห็นร่องรอยเหล่านั้นให้เจ็บใจตัวเอง

          พิชญ์เปิดประตูห้องน้ำออกมาพลางเอาผ้าขนหนูซับผมให้แห้งหมาด ๆ ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ที่ปลายเตียง

           “คุณใหญ่ เข้ามาทำไม”

           “ฉันจะไปไหนมาไหนในบ้านของตัวเอง จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือไง”

           “แต่นี่มันห้องนอนของผม อย่างน้อยคุณก็ควรจะเคารพสิทธิส่วนบุคคลกันบ้าง”

          อริญชย์เหยียดยิ้มออกช้า ๆ มองอีกฝ่ายเหมือนหมาป่าที่จ้องลูกแกะตัวน้อย ถึงแม้พิชญ์จะเป็นเหมือนลูกแกะในกงเล็บของเขา แต่ก็เป็นลูกแกะที่ช่างพยศเหลือเกิน ขนาดโดนเขาปราบพยศมาเป็นปีก็ยังไม่ยอมจำเสียทีว่าเป็นของเขา ต่อต้านทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ยอมปล่อย ดิ้นรนทั้งที่ไปไหนไม่รอด แต่ก็เพราะแบบนี้ไง เขาถึงไม่เคยเบื่อเสียที ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือนานแค่ไหนก็ไม่เคยเบื่อ

           “มานี่!”

          พิชญ์เบิกตากว้างกว่าเดิม ที่เขาพูดปาว ๆ ให้อีกฝ่ายเคารพสิทธิ์กันไปเมื่อกี้นี้ อริญชย์ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม หรือถ้าฟังก็คงเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวา ถึงได้มีหน้ามาสั่งให้เขาเดินเข้าไปหา

           “ไม่ครับ คุณใหญ่”

           “อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสองได้ไหม เดินมานี่”

          พิชญ์ส่ายหน้าดิกแถมยังขยับเท้าถอยหนี นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาตงิด ๆ ต้องเดินถอยหลังหนีอริญชย์เหมือนคนไม่มีทางสู้ ทั้ง ๆ ที่เป็นห้องของเขา และอีกฝ่ายเป็นผู้บุกรุกแท้ ๆ

           “คุณใหญ่ ไหนคุณเคยบอกว่าจะไม่ทำอะไรผมถ้าคุณเล็กอยู่ไง”

           “แล้วยัยเล็กอยู่ในห้องนี้หรือเปล่าล่ะ”

           “แต่คุณเล็กอยู่ในบ้าน...”

          ถ้อยคำประท้วงพลันถูกกลืนหาย เมื่ออริญชย์ก้าวพรวดเดียวเข้ามาประชิดตัว เท้าแขนคร่อมกับกำแพง กักขังพิชญ์เอาไว้ในวงแขนก่อนจะบดเบียดริมฝีปากลงมา พิชญ์ดิ้นขลุกขลัก พยายามผลักไสอีกฝ่ายออก ถึงเขาจะยอมทำตามข้อตกลงของอริญชย์ แต่มันไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมทุกเรื่อง

           “เปิดปากออก” อริญชย์กระซิบเสียงดุ เมื่อพิชญ์เอาแต่เม้มริมฝีปากแน่น

          แทนที่จะเชื่อฟังคำสั่ง พิชญ์กลับเม้มปากให้แน่นกว่าเดิม ราวกับจะไม่ยอมให้อากาศผ่านเข้าไป เขาจ้องอริญชย์ตาวาว เป็นตายร้ายดียังไงเขาก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด

           “นายบังคับฉันเองนะ”

          ก่อนที่พิชญ์จะทันรู้ตัว ฝ่ามือแข็งแรงปานคีมเหล็กก็บีบเข้าที่ปลายคางของเขา บังคับให้เขาเผยอปากออกอย่างไม่เต็มใจ แล้วอริญชย์ก็บดจูบลงมาอย่างดุดัน ไม่ปรานีปราศรัย ราวกับเป็นบทลงโทษที่พิชญ์คิดจะแข็งข้อ พิชญ์เจ็บจนน้ำตาซึมออกมา พยายามส่ายหน้าหนี แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายรุกไล่หนักเข้า เขาก็ต้องยอมจำนน ปล่อยให้อีกฝ่ายรุกรานเอาจนสาแก่ใจ

          สาบเสื้อคลุมถูกแหวกออก ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้ไปตามเนื้อตัวที่เย็นชืดของพิชญ์อย่างจาบจ้วง

          เขาเกลียด เกลียดตัวเองที่รู้สึกไปกับสัมผัสของอริญชย์ ร่างกายพลันตอบรับราวกับคุ้นเคยกันมานาน

           “แค่นี้ก็มีอารมณ์แล้ว ของมันเคย ๆ กันนี่นะ” อริญชย์เอ่ยเสียงเยาะก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วร่างขาว

          พิชญ์ได้แต่หน้าชากับคำดูถูกของอริญชย์ แต่จะให้ปฏิเสธก็ใช่ที่ ในเมื่อเขามีอารมณ์จริง ๆ เขาเป็นผู้ชายธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ถูกปลุกเร้าแบบนี้ก็ต้องมีอารมณ์อยู่แล้ว แล้วยิ่งเป็นอริญชย์ที่คุ้นเคยกับร่างกายของเขาดี รู้ว่าเขาชอบให้แตะต้องตรงไหน ตรงไหนที่ไวต่อสัมผัส พิชญ์ก็แทบจะแพ้ทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มต่อสู้

           “อยากให้ฉันหยุดหรือเปล่า”

          แม้จะต้องการมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องขอร้องให้อริญชย์ช่วยแล้ว พิชญ์ยอมขาดใจตายเสียยังดีกว่า เขาพยักหน้าช้า ๆ พยายามข่มกลั้นความทรมานของตัวเองเอาไว้ ให้อีกคนได้แต่มองด้วยความขัดใจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะให้ทั้งสองคนต้องชะงัก

          ก๊อก ๆ ๆ

           “พี่พีทอยู่ในห้องหรือเปล่าคะ เล็กขอยืมหนังสือนิทานให้น้องหนูหน่อยค่ะ”

          เสียงไอลดาที่ดังอยู่ข้างนอกทำเอาพิชญ์ถึงกับหน้าถอดสี ผิดกับอริญชย์ที่มีท่าทางเฉยชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

           “เดี๋ยวผมเอาไปให้ที่ห้องน้องหนูครับ อื๊อ...”

          พิชญ์สาบานเลยว่าสิ่งที่อริญชย์กำลังทำอยู่ มันคือการกลั่นแกล้งเขาชัด ๆ เขากัดริมฝีปาก สะกดกลั้นเสียงร้องของตัวเองเอาไว้ ขณะที่อีกคนขยับมืออยู่ที่ส่วนกลางลำตัวของเขา ทั้งยั่วเย้าและหยอกเอินราวกับจะแกล้งให้เขาต้องหลุดเสียงครางน่าอายออกมาให้ไอลดาได้ยิน

           “พี่พีทเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ไอลดาเอ่ยถามคนเป็นสามีด้วยความเป็นห่วง

           “ปะ...เปล่าครับ อ๊ะ...”

          นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ พิชญ์ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น เมื่ออริญชย์แทรกเข่าเข้ามากลางหว่างขาเขา ก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเบา ๆ

           “ถ้ายัยเล็กได้ยินเสียงของนายจะเป็นยังไงนะ”

           “ยะ...อย่านะคุณใหญ่”

           “จำเอาไว้ นายไม่มีสิทธิ์หนีฉันไปไหน ถึงจะเป็นยัยเล็กก็ไม่มีสิทธิ์พานายไปจากฉัน” อริญชย์กระซิบเสียงดุดัน ก่อนจะสอดแทรกร่างกายเข้ามาด้วยความรุนแรง โดยไม่มีการเบิกทางใด ๆ ทั้งสิ้น พิชญ์ได้แต่กัดฟันกลั้นเสียงร้องของตัวเองเอาไว้

          ...จะต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้อีกนานแค่ไหน หรือต้องให้ตายจากกัน อริญชย์ถึงจะยอมปล่อยเขาไป...


.


          ไอลดานั่งมองลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงด้วยแววตาเอ็นดู ก่อนจะชะงักนิด ๆ เมื่อประตูห้องนอนของน้องหนูถูกเปิดเข้ามา พอเห็นว่าคนที่เข้ามาคือพิชญ์ ไอลดาก็คลี่ยิ้มกว้าง

           “น้องหนูเพิ่งหลับไปเองค่ะ สงสัยทนรอพ่อพีทไม่ไหว”

          พิชญ์ฝืนยิ้มให้ไอลดา ก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงตรงอีกข้างของน้องหนู มองลูกสาวตัวน้อยยิ้ม ๆ ค่อย ๆโน้มหน้าลงกดจูบที่หน้าผากเบา ๆ

           “พ่อพีทรักน้องหนูนะคะ” พิชญ์กระซิบเบา ๆ ข้างหูนางฟ้าตัวน้อยของเขา

           “แล้วรักแม่ของน้องหนูบ้างหรือเปล่าคะ” ไอลดาเอ่ยถามโดยที่ยังไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของน้องหนู เป็นคำถามที่ทำเอาคนถูกถามชะงักไปนิด ๆ

          คำถามนี้ไอลดาเคยถามเขาแล้วเมื่อตอนแต่งงานกันใหม่ ๆ เป็นคำถามที่พิชญ์รู้คำตอบดีแก่ใจ และครั้งนี้กับครั้งนั้น คำตอบก็ยังคงเหมือนกัน

           “ผมขอโทษนะคุณเล็ก...”

           “ขอโทษเล็กทำไมคะพี่พีท การที่พี่พีทไม่รักเล็ก มันไม่ใช่ความผิดของพี่พีทเสียหน่อย เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว” ไอลดาเอ่ยก่อนจะเสเบือนสายตาไปทางอื่น ซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้อย่างมิดชิด

          เหตุใดเธอจะไม่รู้ว่าที่พิชญ์ยอมแต่งงานกับเธอก็เพราะคำว่า ‘ความรับผิดชอบ’ เพียงคำเดียว พิชญ์ไม่เคยรักเธอเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นเธอเป็นน้องสาวมาตลอด

           “ซักวันคุณเล็กอาจจะได้เจอคนที่ใช่”

           “พี่พีทเคยเสียใจไหมคะที่แต่งงานกับเล็ก”

          พิชญ์ไม่ได้ตอบคำถามในทันทีทันใด เขาเดินอ้อมไปนั่งข้าง ๆ ไอลดา กุมมือหญิงสาวเอาไว้ แม้จะไม่มีใจให้กับเธอ แต่เธอก็คือแม่ของลูกเขา นั่นคือสิ่งที่พิชญ์บอกตัวเองมาตลอด

           “ผมเคยบอกคุณเล็กแล้วว่าผมยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง”

           “พี่พีทคะ ความรักกับความรับผิดชอบมันคนละอย่างกันนะคะ และเล็กก็อยากได้ความรักมากกว่าความรับผิดชอบด้วย”

           “คุณเล็กเป็นผู้หญิงที่ดี ผม...”

           “ดีแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่คนที่พี่พีทรัก”

          ความเงียบค่อย ๆ โรยตัวเข้าปกคลุมอย่างน่าอึดอัด ไอลดาทำทีเป็นหันกลับไปดึงผ้าห่มคลุมตัวน้องหนูให้ดี ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่น ไม่ให้พิชญ์ต้องลำบากใจไปมากกว่านี้

           “อยู่ที่นี่สบายดีไหมคะพี่พีท พี่ใหญ่ไม่ได้ทำให้พี่พีทลำบากใจใช่ไหมคะ”

           “ไม่เลยครับ ผมสบายดี” ปกติพิชญ์ไม่ใช่คนชอบพูดปด มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาต้องโกหกออกไป

           “ได้ยินแบบนี้เล็กค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย คิดว่าพี่พีทอาจจะอึดอัดที่อยู่ที่นี่ แต่ถ้าสบายดีก็ดีแล้วค่ะ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของพี่พีทนะคะ”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไร เหตุผลเดียวที่เขาทนอยู่คือ...น้องหนู แค่น้องหนูเท่านั้น สัมผัสเย็นวาบแตะลงที่ฝ่ามือของพิชญ์ เขาก้มลงมองของในมือก่อนจะเงยหน้ามองไอลดาอย่างงุนงง

           “คีย์การ์ดคอนโดของเล็กค่ะ เผื่อพี่พีทกับน้องหนูอยากจะไปค้างที่คอนโดจะได้ไปได้เลย คีย์การ์ดมีแค่สองใบ เล็กกับพี่พีทถือกันคนละใบ และที่สำคัญ...เล็กไม่ได้บอกพี่ใหญ่”

           “ขอบคุณนะครับคุณเล็ก” พิชญ์หย่อนคีย์การ์ดใส่กระเป๋าเสื้อนอนตัวเอง ไม่รู้จะมีโอกาสได้ใช้มันหรือเปล่า แต่เก็บเอาไว้คงไม่เสียหายอะไร

           “นอนกันเถอะค่ะพี่พีท เล็กง่วงจะแย่แล้ว”

           “ฝันดีนะครับคุณเล็ก” พิชญ์เอ่ยก่อนลุกขึ้น กำลังจะเดินอ้อมกลับไปฝั่งเดิม ไอลดาก็รั้งข้อมือเขาเอาไว้เสียก่อน

           “จูบราตรีสวัสดิ์เล็กหน่อยได้ไหมคะ”

          พิชญ์ค่อย ๆ โน้มหน้าลงไปใกล้หญิงสาว แตะริมฝีปากเบา ๆ ลงบนหน้าผากของไอลดาแล้วผละออกมาช้า ๆ คนถูกจูบได้แต่ยู่หน้าอย่างขัดใจ

           “พี่พีทจูบเหมือนเล็กเป็นน้องหนูเลย”

           “ราตรีสวัสดิ์นะครับคุณเล็ก”

          พิชญ์เดินอ้อมกลับมาทิ้งตัวลงนอนอีกฝั่งของเตียง มีน้องหนูอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับไอลดา เขากอดน้องหนูเอาไว้อย่างหวงแหน ก่อนจะค่อย ๆ ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ผิดกับอีกคนที่ยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด


.


          “จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ครับคุณใหญ่”

          ตุลย์เอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้นมา ขณะยืนมองผู้เป็นนายที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง อริญชย์พ่นควันบางเบาลอยไปในอากาศก่อนตวัดสายตามองตุลย์

           “ยุ่งน่า! มันเรื่องของฉัน”

           “ผมรู้ครับว่ามันเป็นเรื่องของคุณใหญ่ ผมก็แค่เป็นห่วง”

           “เขานอนห้องไหน” อริญชย์ไพล่ถามไปอีกเรื่อง

           “นอนห้องคุณหนูครับ คุณเล็กก็นอนห้องเดียวกัน”

          มือที่วางอยู่ข้างลำตัวพลันเกร็งแน่น และมันก็ไม่ได้เล็ดลอดจากสายตาของตุลย์เลยแม้แต่น้อย เขาได้แต่ยืนดูอริญชย์อัดควันบุหรี่เข้าปอดมวนแล้วมวนเล่าอย่างเป็นห่วง

           “หมดมวนนี้แล้วพอนะครับคุณใหญ่”

           “ใครเป็นเจ้านายกันแน่”

           “ผมก็แค่เป็นห่วง อยากให้คุณใหญ่อยู่จนคุณหนูโตเป็นสาว”

          อริญชย์ตวัดสายตามองตุลย์อย่างไม่พอใจ เล่นพูดออกมาเหมือนกับจะแช่งเขายังไงยังงั้น สุดท้ายเขาก็ขยี้บุหรี่ในมือลงกับจานรอง ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าตึก

           “จะไปไหนครับคุณใหญ่”

           “ไปนอน มีปัญหาอะไรไหม”

          ตุลย์ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ยืนมองจนเจ้านายเดินกลับไปตามทางเดินแล้ว เขาถึงได้เดินแยกกลับไปยังห้องพักของตัวเอง ตุลย์ทำงานกับอริญชย์มานาน จนเขากล้าพูดเลยว่าเขารู้จักอริญชย์ดีกว่าใคร อริญชย์คิดอะไรอยู่ในใจทำไมเขาจะไม่รู้ แม้เรื่องบางเรื่องเขาจะไม่เห็นด้วย แต่พูดออกไปอีกฝ่ายก็ไม่ฟังอยู่ดี

          ...บางครั้ง เรื่องมันยากก็เพราะคนเรานี่แหล่ะที่ทำให้มันยาก...



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ
เรื่องนี้ต้องคอยเอาใจช่วยพ่อพีท ว่าจะหนีรอดจากคุณใหญ่ยังไง ^^

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 19-04-2020 21:10:15
Welcome back จ้า สนุกมากๆ ชอบพี่ใหญ่ คุณพีท รอตอนหน้าน้า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-04-2020 23:46:13
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 20-04-2020 09:24:32
เมื่อความรัก บังทุกสิ่งอย่าง
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 20-04-2020 12:57:17
ที่แท้พิชญ์ไม่ได้รักคุณเล็กเลยนี่นา คุณเล็กรักอยู่ฝ่ายเดียว
แล้วที่ท้องนี่ท้องกับพิชญ์จริงๆ เหรอ หรือกับคนอื่นแต่มาให้พิชญ์รับผิดชอบ โดยมีพี่ใหญ่มาบังคับอีกที แต่คุณเล็กก็ดีอย่างหนึ่งที่ว่าพอแต่งงานแล้วก็ไม่บังคับให้พิชญ์รักตัวเอง แค่ผูกมัดด้วยคำว่ารับผิดชอบ  แต่อีพี่ใหญ่นี่สิ บังคับใจพิชญ์จังเลย เมื่อไหร่จะคุยดีๆ กับน้องเขยบ้างละคุณพี่!!
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-04-2020 01:42:22
เวลคั่มแบคค่า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 3 --- [19/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 22-04-2020 02:34:01
รออ่านต่อค่า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 4 --- [22/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 22-04-2020 19:05:53
สี่
เพื่อนเก่า


          เจ้าของตำแหน่งรองประธานบริษัทเคเค คอนสตรัคชั่นค่อย ๆ ถอนสายตาออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ พิชญ์ปิดเปลือกตาลงเพื่อเป็นการพักสายตา ยกมือคลึงขมับของตัวเองหวังจะคลายความอ่อนล้า

          ไอลดาย้ายออกจากคฤหาสน์ของตระกูลเกียรติกาญจนาเมื่อวันอาทิตย์ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว วันที่ย้ายออก อริญชย์พาพิชญ์และน้องหนูไปคอนโดไอลดา เพื่อช่วยกันขนย้ายข้าวของ ตอนแรกที่น้องหนูรู้ว่าคุณแม่จะมาอยู่คอนโด เด็กหญิงก็งอแงจะลากไอลดากลับบ้านท่าเดียว เดือดร้อนอริญชย์กับพิชญ์ต้องช่วยกันปลอบอยู่นานกว่าน้องหนูจะยอมสงบลง หลังจากเข้าใจว่าถึงแม้ไอลดาจะย้ายออกมาอยู่ที่คอนโด แต่คุณแม่ก็ยังกลับไปหาน้องหนูที่บ้าน หรือน้องหนูเองก็สามารถมาหาคุณแม่ที่คอนโดได้เหมือนกัน

          คืนนั้น อริญชย์ปล่อยให้พิชญ์นอนกับน้องหนูสองคน หลังจากน้องหนูเอาแต่เกาะติดพิชญ์แจ พร่ำบอกผู้เป็นพ่อว่า...

           ‘พ่อพีทอย่าทิ้งน้องหนูนะคะ’

          พิชญ์สัญญากับตัวเอง ถึงแม้ตัวเขาจะต้องอึดอัดหรือเจ็บปวดกับสถานะความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ แต่เขาก็จะต้องอดทนเพื่อน้องหนู ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับตัวบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ หลังจากนั่งง่วนอยู่กับงานมาตั้งแต่เช้า

          ช่วงนี้เป็นช่วงที่วงการธุรกิจก่อสร้างกลับมาคึกคักอีกครั้ง แม้แต่ทางเคเค คอนสตรัคชั่นเองก็มีงานยุ่งตลอด จนอริญชย์ไม่ค่อยมีเวลามาวอแวกับพิชญ์มากนัก อย่างดีก็คุยกันเรื่องงาน ซึ่งสำหรับพิชญ์แล้ว ถ้าตัดเรื่องส่วนตัวออก เขายอมรับเลยว่าอริญชย์เป็นผู้บริหารที่เก่งและน่าเคารพนับถือคนหนึ่ง แต่ก็เฉพาะเรื่องการทำงานเท่านั้น

          เสียงท้องร้องดังแทรกความเงียบขึ้นมาเบา ๆ พิชญ์หัวเราะขำตัวเองนิด ๆ ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ พอเห็นว่าอีกยี่สิบนาทีจะเที่ยงตรงเลยถือโอกาสเกงาน ตัดสินใจเปิดประตูออกมาจากห้องทำงานของตัวเอง

          เมื่อเช้าเขาได้ยินอริญชย์คุยกับตุลย์ว่ามีนัดกับลูกค้าข้างนอกตอนสิบโมง จึงไม่แปลกที่โทรศัพท์ของเขาจะเงียบตลอดวัน และบรรยากาศของห้องทำงานอีกห้องบนชั้นบนสุดก็เงียบสนิทเช่นกัน

          พิชญ์ลงลิฟต์มาจนถึงชั้นล่างของบริษัท เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาพักกลางวัน ชั้นล่างจึงมีแค่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์กับยาม เขายิ้มให้ประชาสัมพันธ์สาวขณะเดินผ่านหน้าเธอ กำลังจะเดินออกจากบริษัทอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่มีคนมาดักหน้าเขาเอาไว้เสียก่อน

           “จะไปไหนครับคุณพีท”

          กริชโผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง ก้าวเข้ามาขวางหน้าพิชญ์เอาไว้ พิชญ์ทำหน้าเบื่อ ๆ รู้ดีว่าเป็นคำสั่งของอริญชย์อีกตามเคย บอกแล้วว่าอริญชย์มักจะปฏิบัติกับเขาราวกับนักโทษ คนอื่นอาจจะมองว่าเขาเปรียบเสมือนมือขวาของอริญชย์ แต่พิชญ์มองว่าตัวเองคือนักโทษดี ๆ นี่เอง

           “ไปกินข้าวกลางวัน” พิชญ์ตอบเสียงเรียบ ๆ ถึงจะรู้ว่ากริชทำไปตามหน้าที่ แต่บางทีก็อดโมโหหรือรำคาญไม่ได้

           “ให้ผมไปด้วย...”

          แค่กริชเริ่มต้นประโยค พิชญ์ก็เดาประโยคเต็ม ๆ ที่อีกฝ่ายตั้งใจจะเอ่ยได้ทันที เขารีบชิงโบกมือห้ามก่อนจะเอ่ยตัดบท

           “ไม่เป็นไร ผมไปแค่ใกล้ ๆ นี้ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” พอเห็นคนฟังยังทำท่าอึกอัก พิชญ์เลยต้องเอ่ยย้ำ “ถ้าคุณใหญ่ถามก็บอกว่าหาผมไม่เจอ หรือไม่ก็บอกว่าผมสั่งไม่ให้บอก แล้วให้เขามาเอาเรื่องกับผมเอง ตกลงนะ”

          พอเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของผู้เป็นนายที่มีอำนาจรองจากอริญชย์ กริชก็ต้องพยักหน้ารับด้วยความจำนน พิชญ์กระตุกยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง แล้วรีบเดินออกจากบริษัทก่อนที่กริชจะเปลี่ยนใจตามเขามา

          พิชญ์เดินออกมาจนถึงด้านหน้าตึก ยืนตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเลี้ยวไปทางซ้าย ปกติแล้วพนักงานมักจะกินข้าวกลางวันที่ศูนย์อาหารทางขวา แต่ทางซ้ายมีก็มีร้านอาหารเล็ก ๆ อยู่สองสามร้าน วันนี้พิชญ์ไม่ต้องรีบเข้างานเท่าไหร่ เขาเลยตัดสินใจเลือกฝากท้องที่ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ทางซ้ายแทน

          พิชญ์เดินมาเรื่อย ๆ อีกนิดเดียวก็จะถึงร้านอาหารที่หมายตาอยู่แล้ว แต่สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นกลุ่มผู้ชายสามคนยืนอยู่ข้างทาง และเขาคงจะเดินผ่านเลยไป ถ้าไม่ได้ยินอะไรที่สะดุดหูเข้าเสียก่อน

           “เฮ้ย! เอาไงวะ จะขอโทษดี ๆ หรือต้องให้ต่อยปากก่อน”

          โดยปกติแล้ว พิชญ์ไม่ใช่คนชอบมีเรื่อง เขายอมรับว่าเขาไม่ใช่คนรักสงบ แต่ทุกวันนี้ชีวิตเขาก็มีเรื่องวุ่นวายมากพออยู่แล้ว เลยไม่อยากหาเหาใส่หัวเพิ่มอีก แต่ประโยคทะแม่ง ๆ ที่ผ่านเข้าหูมาเมื่อกี้ บวกกับภาพผู้ชายตัวโตสองคนที่ยืนรุมผู้ชายอีกคนอยู่ แถมเรื่องยังเกิดห่างจากบริษัทเขาไม่ถึงห้าร้อยเมตร จะให้พิชญ์ปล่อยผ่านไปเลยก็ใช่ที่ ยิ่งเห็นจากหางตาว่าผู้ชายที่ถูกล้อมโดนตุ๊ยท้องจนลงไปนั่งจุกอยู่ที่พื้น โดยที่คนอื่นพากันเดินผ่านเลยไปอย่างไม่สนใจ เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง พิชญ์เลยอดไม่ได้ ต้องก้าวเข้าไปยืนขวางเอาไว้ อย่างน้อยถ้าเกิดเห็นท่าไม่ดี เขาจะได้ตะโกนเรียกยามหน้าบริษัทให้วิ่งมาจัดการ

           “จะทำอะไรน่ะ”

           “ไอ้หมอนี่มันเดินชนแล้วไม่ขอโทษน่ะสิ นี่แค่สั่งสอนนิด ๆ หน่อย ๆ”

           “ถึงกับต้องต่อยกันแบบนี้เลยเนี่ยนะ ไม่มากไปหน่อยเหรอ”

          คู่กรณีทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาพิชญ์ที่ยืนขวางทางอยู่อย่างเอาเรื่อง แต่คงเป็นโชคดีของพิชญ์ที่บังเอิญมีพนักงานที่บริษัทเดินผ่านมาทางเดียวกัน แล้วตะโกนทักขึ้นเสียก่อน

           “มีอะไรหรือเปล่าครับท่านรอง”

          คู่กรณีสองคนพอเห็นว่ามีคนมาเพิ่มก็หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่กว่าจะเอายังไง ก่อนที่หนึ่งในสองจะพยักหน้าให้เดินหนีไป พิชญ์เองก็คร้านจะเอาเรื่องให้ยืดยาว เลยได้แต่ปล่อยสองคนนั้นไป แล้วหันไปส่ายหน้าบอกพนักงานคนที่ถามเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ส่วนตัวเขาก้มลงถามคนที่นอนจุกอยู่ที่พื้นด้วยความเป็นห่วง

           “เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ต้องไปโรงพยาบาลไหม”

           “ไม่เป็นไรครับ แค่จุกนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย ขอบคุณมากนะครับ” คนถูกต่อยส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ขยับตัวจะลุกขึ้นยืน แต่ยังลำบากอยู่หน่อย ๆ พิชญ์เลยยื่นมือไปประคองอย่างหวังดี พอเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดถนัดตา เขากลับต้องเป็นฝ่ายอุทานออกมาเสียงดัง

           “เฮ้ย! ดิน ดินใช่ไหม”

          คนถูกพยุงหันขวับมามองคนเรียกก่อนจะอุทานออกมาเสียงดังไม่ต่างกัน

           “อะ...อ้าว พีทเองเหรอ”

          พิชญ์อดดีใจไม่ได้ เมื่อคนที่เขาช่วยเอาไว้อย่างไม่ตั้งใจคือเพื่อนสมัยมัธยม ที่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็แยกย้ายกันไปไม่ได้เจอกันอีกเลย

           “แล้วนี่ไปยังไงมายังไง ทำไมถึงมาอยู่แถวนี้ได้ ไม่เจอกันนานเลย”

           “พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ นายสบายดีหรือเปล่า”

           “แบบนี้ต้องคุยกันยาวแล้วมั้ง ไป ๆ ไปนั่งกินข้าวด้วยกันเลยดีกว่า เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง จะได้เล่าว่าช่วงที่แยกกันไปเป็นยังไงบ้าง”

          ปฐพีพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยก่อนจะเดินตามพิชญ์ไปยังร้านอาหารที่อีกฝ่ายบอก อย่างน้อยก็ถือว่ายังเป็นวันดี ๆ สำหรับเขาอยู่ล่ะนะ เกือบโดนกระทืบด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับได้มาเจอเพื่อนเก่าด้วยความบังเอิญ คงต้องบอกว่าในความโชคร้ายของเขายังมีความโชคดีอยู่

          พิชญ์เป็นฝ่ายผลักประตูร้านอาหารเล็ก ๆ เข้ามาก่อน เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านเพื่อหาที่นั่ง ราคาอาหารที่ร้านถือว่าสูงกว่าศูนย์อาหารเล็กน้อย พนักงานส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะฝากท้องที่ศูนย์อาหารมากกว่า แต่เวลาที่เขาต้องการความเป็นส่วนตัวหรืออยากจะนั่งนาน ๆ พิชญ์ก็มักจะมาที่นี่แทน

          พิชญ์เดินนำปฐพีเข้ามาที่โต๊ะมุมในสุด พอพนักงานเดินมาวางรายการอาหารพร้อมกับยืนรอรับออเดอร์ พิชญ์ก็เอ่ยแนะนำอาหารขึ้นชื่อให้กับเพื่อน ก่อนจะตกลงสั่งอาหารจานเดียวกันคนละจาน พร้อมกับของกินเล่นหนึ่งอย่าง

           “เป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันนานเลย” พิชญ์เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน เขาค่อย ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย

           “ก็เรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดา นายล่ะ ได้ข่าวว่าเป็นถึงผู้บริหารแล้วนี่ น่าอิจฉาหว่ะ” ปฐพีเอ่ยพลางมองเพื่อนรักยิ้ม ๆ

          พิชญ์ฝืนยิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่ว่าใครต่อใครที่รู้เรื่องเขาก็ล้วนแต่พากันประหลาดใจระคนอิจฉา อายุเพียงแค่นี้กลับได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ เพียงเพราะแต่งงานกับน้องสาวเจ้าของบริษัทและมีศักดิ์เป็นน้องเขย โชคดียิ่งกว่าหนูตกถังข้าวสารทองคำเสียอีก

           “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า”

           “ใครจะไปคิดว่าคนที่เก่งที่สุดของรุ่นเราจะแต่งงานมีลูกมีเมียเป็นคนแรก ไวไฟเหมือนกันนี่หว่า สมัยเรียนยังเงียบ ๆ ติ๋ม ๆ อยู่เลย”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มรับเฉย ๆ ครอบครัวเขาเหลือแค่เขากับแม่สองคน สมัยมัธยมชีวิตของพิชญ์จึงมีแต่การมุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ติด รีบเรียนให้จบจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ ถึงแม้ว่าตอนที่พ่อเสียชีวิตไปจะทิ้งทรัพย์สินให้พวกเขาคนสองแม่ลูกไว้บ้าง แต่มันก็แค่พอให้แม่ส่งพิชญ์เรียนจบได้โดยไม่ลำบากมากนัก ไม่ได้มากพอจะทำให้พิชญ์ได้มีโอกาสใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อแบบเพื่อนรุ่นเดียวกัน

          พอเข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ พิชญ์ก็ห่างเหินจากเพื่อนที่โรงเรียนไป เพราะสอบติดกันคนละมหาวิทยาลัย ยิ่งหลังเกิดเรื่องราวระหว่างเขากับไอลดา พิชญ์ยิ่งค่อย ๆ ปลีกตัวออกห่างจากเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัย จนในชีวิตของเขาตอนนี้ พิชญ์พูดได้เลยว่า เขามีแค่คนในครอบครัวเกียรติกาญจนา แม่ที่ต่างจังหวัด และน้องหนู ไม่ได้สังสรรค์อะไรกับใครมากมาย การได้มาเจอกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนในวันนี้จึงทำเอาพิชญ์ดีใจไม่น้อย

           “ถามแต่เรื่องฉัน เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังบ้างสิดิน”

           “เรื่องฉันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ก็เรียน ๆ เล่น ๆ ไปเรื่อย พอจบก็ออกมาทำงานบริษัท”

           “แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะ”

           “ทำพวกงานธุรการทั่วไป อยู่ที่...”

          ปฐพียังเอ่ยไม่ทันจบประโยคดี พิชญ์ก็รีบโบกมือห้ามเสียก่อน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดู เห็นชื่อคนที่โทรมาแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ ลังเลอยู่ไม่ถึงหนึ่งนาทีว่าจะรับดีหรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจกดรับ เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเขา

           “ครับ...”

           “อยู่ที่ไหน”

          ไม่มีคำทักทาย มีแต่คำถามที่ต้องการคำตอบราวกับเขาเป็นนักโทษ

           “ผมกินข้าวกลางวันอยู่ข้างบริษัท คุณใหญ่มีธุระอะไรหรือเปล่า”

           “ไม่มีอะไร ฉันแค่โทรมาเช็กดูเฉย ๆ กินเสร็จแล้วก็รีบกลับมา”

          พิชญ์มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ดับไปแล้ว ก่อนจะยัดกลับเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม เห็นปฐพีมองมาด้วยความสงสัยเลยตอบเสียงเรียบ ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           “ไม่มีอะไรหรอก เจ้านายฉันเอง”

           “คนที่เป็นพี่เมียนายน่ะเหรอ แล้วต้องรีบกลับหรือเปล่า เดี๋ยวรีบกินแล้วรีบกลับก็ได้”

           “ไม่เป็นไร บริษัทฉันอยู่ข้าง ๆ นี่เอง เดินแค่ห้านาทีก็ถึง นาน ๆ เจอกันที นั่งคุยกันก่อนสิ ฉันยังอยากกินอย่างอื่นต่อเลย” ไม่พูดเปล่า พิชญ์ยังกวักมือเรียกพนักงานมาจดรายการอาหารเพิ่ม ทั้งที่อาหารตรงหน้ายังไม่พร่องไปแม้แต่น้อย

          นาน ๆ ทีที่มีโอกาส พิชญ์ก็อยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ถึงมันจะเป็นการขัดใจคนบางคนก็ตามที



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 4 --- [22/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 22-04-2020 19:08:41
          อริญชย์ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มืดสนิทก่อนจะโยนทิ้งลงข้างตัว พอขยับตัวนั่งเอนหลังพิงเบาะดี ๆก็สบเข้ากับสายตาของตุลย์ที่กำลังมองมาที่เขาผ่านกระจกมองหลัง

           “มองอะไร มีหน้าที่ขับรถก็ขับไปสิ”

          ถ้ายอมแพ้ต่ออารมณ์ร้าย ๆ ของอริญชย์ง่าย ๆ ก็คงไม่ใช่ตุลย์ที่ทำงานด้วยกันมานานจนรู้ใจ คนสนิทของอริญชย์เบนสายตากลับมามองทาง แต่ปากก็ขยับเอ่ยถามผู้เป็นนาย

           “ทำไมไม่บอกคุณพีทไปล่ะครับ”

           “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

           “ที่ยุ่งก็เพราะอยากให้มันได้เรื่องครับ คุณใหญ่จะเล่นบทจำเลยรัก ผู้ชายหัวใจทมิฬ ซาตานจอมบงการไปอีกนานแค่ไหน”

           “ฉันจำได้ว่ายังไม่ได้ขอความคิดเห็นจากนายนะ”

          ตุลย์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา ตอนคุยงานกับลูกค้าเสร็จ ลูกค้าเอ่ยปากจะขอเลี้ยงข้าวกลางวัน อริญชย์ก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว อ้างว่ามีงานด่วนต้องรีบกลับมาเคลียร์ที่บริษัท ขับรถออกจากบริษัทของลูกค้าได้ไม่ทันไร ตุลย์ก็ต้องเบรกตัวโก่ง เมื่ออริญชย์สั่งให้เขาจอดรถก่อนจะสั่งเสียงเรียบ ๆ ว่า

           “แถวนี้มีร้านหมูสะเต๊ะที่พีทชอบกิน นายลงไปซื้อขึ้นมา แล้วก็ซื้อบะหมี่เกี๊ยวมาด้วย ส่วนขนมปังร้านข้าง ๆ น้องหนูชอบ ซื้อมาเยอะ ๆ เลย”

          ตุลย์ได้แต่จอดรถตรงริมถนน รับเงินจากอริญชย์มาก่อนจะปฏิบัติตามคำสั่ง ร้านหมูสะเต๊ะที่พิชญ์ชอบกินมีคิวรอพอสมควร ตุลย์เลยสั่งเอาไว้ก่อนจะเดินไปซื้ออย่างอื่น แวะซื้อบะหมี่เกี๊ยวเป็นมื้อกลางวันให้อริญชย์กับพิชญ์คนละห่อ เสร็จแล้วก็เดินเข้าร้านเบเกอรี่ที่มีลูกค้าแน่นร้าน ถึงอริญชย์จะบอกว่าน้องหนูชอบ แต่ตุลย์ก็เลือกซื้อเผื่อคนอื่นที่อริญชย์ไม่ได้กล่าวถึงด้วย บอกแล้วว่าเขารู้ใจเจ้านายดีที่สุด พอขึ้นรถมาตุลย์ก็เอ่ยเตือนผู้เป็นนายที่นั่งกอดอกอยู่หลังรถว่า

           “คุณใหญ่โทรบอกคุณพีทหน่อยไหมครับ เดี๋ยวคุณพีทไปกินข้าวกลางวันก่อน แล้วของพวกนี้จะเป็นหมันเอา”

          ถ้าคนอย่างอริญชย์ทำตามที่ตุลย์พูด คนนั้นก็คงไม่ใช่อริญชย์ตัวจริง นักธุรกิจหนุ่มเพียงแค่ปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาออกนอกรถ ตุลย์ย้ำอยู่อีกสองรอบ อริญชย์ก็ยังเพิกเฉย ไม่สนใจไยดีอะไร จนกระทั่งเที่ยงครึ่งแล้วพวกเขายังผจญกับรถติดอยู่บนท้องถนน กลับไปไม่ถึงบริษัทเสียที อริญชย์ถึงได้ยอมหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาพิชญ์ พอได้ยินบทสนทนาจากผู้เป็นนายก็เล่นเอาตุลย์แทบอยากจะเอาหัวโขกพวงมาลัยรถแรง ๆ

           “อยู่ที่ไหน...”

           ‘ไม่มีอะไร ฉันแค่โทรมาเช็กดูเฉย ๆ กินเสร็จแล้วก็รีบกลับมา”

          เห็นไหม มันผิดจากที่ตุลย์คิดเสียที่ไหน พิชญ์คงออกไปกินข้าวกลางวันแล้วแน่ ๆ เขาได้แต่ปรายตามองถุงกับข้าวตรงเบาะนั่งข้างตัวอย่างละเหี่ยใจ แล้วแทนที่อริญชย์จะบอกพิชญ์ไปว่าซื้อกับข้าวมาแล้วก็ไม่ยอมพูด ไม่รู้ว่าจะอมพะนำให้ได้อะไรขึ้นมา เรื่องดี ๆ ล่ะทำไม่เป็น ที่เรื่องแย่ ๆ ที่ทำให้พิชญ์เกลียดล่ะเก่งเป็นที่หนึ่ง ตุลย์ล่ะเชื่อเขาเลย

           “คุณใหญ่ ผมมีอะไรจะบอกครับ...”

           “ว่า...”

           “ผมลืมสั่งให้แม่ค้าแยกน้ำก๋วยเตี๋ยว”

           “งั้นนายก็เอาไปแบ่งกันกินกับกริช แล้วหยุดพูดเสียที”

          ตุลย์เหลือบตามองบะหมี่เกี๊ยวเจ้ากรรมแล้วก็ได้แต่ปลง อริญชย์คงลืมไปว่าเขาไม่ได้ชอบกินบะหมี่ คนที่ชอบกินบะหมี่น่ะพิชญ์ต่างหาก ตุลย์เกลียดบะหมี่จะตายไป

           “คุณใหญ่...”

           “ฉันสั่งให้นายหยุดพูดไม่ใช่หรือไง” อริญชย์เอ่ยเสียงห้วนจัด

           “..........”

           “เรียกชื่อฉันแล้วทำไมไม่พูด”

           “คุณใหญ่สั่งให้ผมหยุดพูด”

          ถ้าไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทที่ทำงานด้วยกันมานานจนรู้ใจ รวมไปถึงรู้ไส้รู้พุงเขาดี อริญชย์สาบานได้เลยว่าเขาคงไล่ตุลย์ออกไปหลายรอบแล้ว ตุลย์ไม่ใช่แค่ลูกน้องคนสนิท ยังเป็นเหมือนเพื่อนสนิทอีกคนของเขา หลายครั้งอริญชย์เลยต้องยอมทนกับความกวนประสาทของตุลย์ แต่ก็มีอีกหลายครั้งเช่นกันที่ตุลย์มักจะมีไอเดียและคำปรึกษาดี ๆ จนเขาต้องยอมฟังความเห็นตุลย์อยู่เสมอ

           “ตกลงจะไม่พูดใช่ไหม” อริญชย์เอ่ยถามเสียงนิ่ง เหมือนกับจะบอกให้รู้ว่า ถึงจะเป็นลูกน้องคนสนิท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กล้าจัดการกับตุลย์

           “เสี่ยเล้งกลับมาแล้วนะครับ”

          ทันทีที่ถ้อยคำของตุลย์แล่นเข้าหู ดวงตาดำจัดก็ลุกวาบขึ้นมาทันที แต่อริญชย์ยังคงรักษาท่าทีภายนอกเอาไว้ ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมา ทำไมเขาจะจำไม่ได้ ยิ่งกว่าจำฝั่งใจเลยล่ะ ชื่อของเพื่อนเก่าที่ขาดการติดต่อไปนาน ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นอดีตเพื่อนเก่าต่างหาก ริมฝีปากหยักเหยียดออกเป็นรอยยิ้มร้าย

           “ก็ให้มันกลับมา...”

           “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะครับ”

           “จัดคนคอยตามดูแลยัยเล็ก แต่ฉันว่ามันคงไม่ไปวุ่นวายกับยัยเล็กอยู่แล้ว แล้วก็เพิ่มคนคอยคุ้มกันน้องหนูที่โรงเรียนด้วย ต้องมีคนอยู่กับน้องหนูตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ห้ามให้หลานสาวฉันเป็นอะไรไปเด็ดขาด” อริญชย์สั่งการเสียงเฉียบ

           “แล้วคุณพีทล่ะครับ...”

           “เดี๋ยวฉันจัดการเอง"



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
เอาใจช่วยพ่อพีทไปด้วยกันนะคะ





หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 4 --- [22/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 22-04-2020 21:11:56
ให้คนอื่นดูแลยัยเล็ก ให้คนอื่นตามติดดูน้องหนู 24 ชม.
แต่กับพีท พี่ใหญ่จะดูแลเอง...​หืออออ ลำเอียงกับน้องกับหลานจังเลยคุณใหญ่

ว่าแต่อดีตเพื่อนของคุณใหญ่จะเคยพัวพันธ์กับคุณเล็กมั้ยนะ..
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 4 --- [22/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 23-04-2020 00:58:15
หรือพ่อจริงๆของน้องหนูคือ....... :a5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 5 --- [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 26-04-2020 21:02:58
ห้า
เปลี่ยนแปลง



          ทันทีที่ประตูห้องทำงานถูกเข้ามาโดยปราศจากเสียงเคาะ พิชญ์ก็เงยหน้าขึ้นมองผู้บุกรุกทันที แม้จะรู้ดีว่ามีอยู่แค่คนเดียวที่กล้ากระทำการอุกอาจแบบนี้ แต่เขาก็ยังอดตวัดตามองอริญชย์ไม่ได้

           “ยุ่งอยู่หรือเปล่า” เจ้าของบริษัทเอ่ยถามเจ้าของห้องอย่างมีมารยาท ก่อนจะอัญเชิญตัวเองมานั่งกอดอกอยู่ตรงหน้าพิชญ์

           “นิดหน่อยครับ แต่ถ้าคุณใหญ่มีธุระเรื่องงานกับผมก็พูดมาเถอะ”

          พิชญ์เน้นคำว่า ‘เรื่องงาน’ เสียงหนักราวกับจะบอกอีกฝ่ายเป็นนัยว่า เขาว่างสำหรับเรื่องงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

          อริญชย์กระตุกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ ขณะนั่งมองพิชญ์ก้มหน้าก้มตาทำงาน เขายอมรับเลยว่า ปกติเขาเป็นคนที่ทำงานเต็มที่ ทุ่มเททุกอย่างสุดความสามารถ แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่นั่นคืออดีตก่อนที่เขาจะมาเจอกับพิชญ์

          หลังจากเจอกับพิชญ์ อริญชย์ก็ฝ่าฝืนกฎของตัวเองทุกอย่าง เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน หยิบยกเอาความผิดพลาดจากการประมูลงานของพิชญ์มาต่อรอง เพียงเพื่อจะได้ครอบครองอีกฝ่าย เขารู้ว่าพิชญ์เป็นคนเก่งและมีความสามารถ เวลาทำงานอริญชย์ก็มองพิชญ์เป็นผู้บริหารที่มีความสามารถคนหนึ่งของบริษัท แต่พอหมดเวลางาน ท่าทางช่างพยศที่คอยแต่จะขัดขืนเขากลับยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากเอาชนะ จนพยายามเหนี่ยวรั้งและกักขังพิชญ์ด้วยทุกหนทางที่เขานึกออก แม้บางทีมันอาจจะดูเลวร้ายและเห็นแก่ตัว แต่อริญชย์ก็ยังเลือกที่จะทำ

          ...เพียงเพื่อให้ได้มาครอบครอง ถึงแม้ว่าจะถูกเกลียดก็ไม่เป็นไร...

           “คุณใหญ่ จะนั่งมองผมทำงานอีกนานไหม” พิชญ์เอ่ยถามคนที่ไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งกอดอกจ้องมองเขา รู้บ้างหรือเปล่าว่ากำลังทำให้เขาเสียสมาธิอยู่

           “มีกฎห้ามฉันมองคนของตัวเองทำงานด้วยหรือไง”

           “ไม่มี แต่คุณใหญ่กำลังทำผมเสียสมาธิ”

          อริญชย์พยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ ซึ่งพิชญ์ก็ไม่รู้ว่าอริญชย์รับรู้จริง ๆ หรือแค่พยักหน้ารับไปอย่างนั้น

           “เดือนหน้าจะมีงานประมูลโครงการก่อสร้าง...”

          พออริญชย์เริ่มเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องงาน พิชญ์ก็วางปากกาในมือลง เขาหยิบเอกสารที่อริญชย์นำติดตัวมาด้วยขึ้นมาพิจารณา กวาดสายตาอ่านรายละเอียดคร่าว ๆ ด้วยความรวดเร็ว โครงการที่อริญชย์เอ่ยถึงเป็นโครงการก่อสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มูลค่าการลงทุนเกือบพันล้านบาท แถมยังเป็นสัญญารับเหมาระยะยาว ถ้าหากเคเค คอนสตรัคชั่นชนะการประมูลโครงการนี้ พวกเขาคงกลายเป็นเสือนอนกินดี ๆ

           “ผมของบประมาณ สเปค วัสดุ และข้อกำหนดต่าง ๆ ที่ผมควรรู้”

          พิชญ์เป็นคนฉลาด นั่นคือข้อดีอีกอย่างของพิชญ์ที่อริญชย์นึกชอบ เวลาคุยงานกับพิชญ์ แค่เขาเกริ่นขึ้นมาเพียงนิดเดียว พิชญ์ก็สามารถจับประเด็นได้ทันที

           “ทุกอย่างแล้วแต่นาย ที่สำคัญ...” อริญชย์หรี่ตาลงน้อย ๆ ท่านั่งที่ดูสบาย ๆ เปลี่ยนเป็นเหยียดหลังตรง ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวมาเท้าแขนกับโต๊ะทำงานของพิชญ์ เอ่ยออกมาเสียงเรียบแต่หนักแน่น “งานนี้คืองานประมูลแรกในรอบห้าปีที่ทางกมลวิลาศน์จะเข้าร่วม”

           “กมลวิลาศน์...” พิชญ์ทวนคำอย่างงง ๆ

          อริญชย์ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาปล่อยให้พิชญ์ค่อย ๆ นึกให้ออกด้วยตัวเอง พิชญ์พึมพำชื่อที่อริญชย์เพิ่งเอ่ยออกมาเบา ๆ มันคุ้น คุ้นมากเหลือเกิน แล้วเขาก็ดีดนิ้วเปาะออกมาทันที

          ตระกูลกมลวิลาศน์เป็นตระกูลคนจีนที่ทำธุรกิจหลายอย่าง มีพี่น้องหลายคน เจ้าสัวลิขิตเป็นคนดูแลธุรกิจก่อสร้างของตระกูล แต่หลังจากเจ้าสัวลิขิตเสียชีวิต ชื่อเสียงทางด้านธุรกิจก่อสร้างของกมลวิลาศน์ก็ค่อย ๆ เงียบหาย กลายเป็นช่วงกอบโกยของบรรดาคู่แข่ง รวมถึงเคเค คอนสตรัคชั่นที่เคยเป็นพันธมิตรของกมลวิลาศน์ ก่อนจะกลายมาเป็นคู่แข่งอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

           “ตอนนี้คุณรัญญาเป็นคนบริหารงานอยู่ใช่ไหมครับ” พิชญ์เอ่ยถามอริญชย์อย่างไม่แน่ใจนัก

           “ใช่ ตอนนี้ยังเป็นรัญญา กมลวิลาศน์อยู่ แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่นานก็จะเปลี่ยนมือกลับมาเป็นของราชันย์ กมลวิลาศน์ พูดชื่อเต็มของมันแล้วนายอาจจะงง แต่ถ้าเอ่ยชื่อ ‘เสี่ยเล้ง’ ฉันว่านายคงต้องร้องอ๋อแน่ๆ”

          พิชญ์เกือบจะร้องอ๋อออกมาอย่างที่อริญชย์บอกจริง ๆ ถึงแม้ว่าชื่อ ‘เสี่ยเล้ง’ จะเงียบหายจากวงการธุรกิจไปเกือบห้าปี แต่ถ้าเอ่ยถึงชื่อของเขา ทุกคนย่อมรู้จักเป็นอย่างดี ราชันย์คือลูกชายคนโตของเจ้าสัวลิขิตที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้และนิสัยสำมะเลเทเมา แต่ถ้าพูดถึงความสามารถด้านการทำงาน ทุกคนต่างยอมรับว่าราชันย์เป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง

           “เหมือนผมจะเคยได้ยินมาว่าเสี่ยเล้งเป็นเพื่อนสนิทกับคุณ”

          อริญชย์เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน ดวงตาดำจัดปรากฏประกายบางอย่างที่พิชญ์สาบานได้ว่าไม่เคยเห็น จนอดตัวสั่นนิด ๆ ไม่ได้

           “อดีตเพื่อนสนิทต่างหาก”

          พิชญ์ไม่รู้ว่าระหว่างอริญชย์กับราชันย์มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต สมัยที่เขายังไม่รู้จักกับอริญชย์ แล้วยังเป็นตอนที่เขาไม่ได้สนใจวงการธุรกิจก่อสร้างมากนัก แม้จะนึกสงสัยกับท่าทีแปลก ๆ ของอริญชย์ แต่พิชญ์ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ ถ้าอริญชย์อยากเล่า เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเล่าออกมาเอง

          อริญชย์มองพิชญ์นิ่ง ๆ ก่อนจะปรายตามองเอกสารโครงการประมูลที่วางอยู่ตรงหน้า อันที่จริงแล้วเคเค คอนสตรัคชั่นไม่จำเป็นต้องกระโดดเข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้เลย แต่เพราะรู้มาว่าราชันย์ตั้งใจจะชนะงานประมูลคราวนี้ให้ได้ เขาถึงปล่อยให้งานนี้หลุดมือไปไม่ได้เช่นกัน

          คนอย่างอริญชย์ เกียรติกาญจนา ไม่เคยคิดจะปล่อยให้อดีตเพื่อสนิทได้ดิบได้ดีอยู่แล้ว มีแต่ต้องกระทืบซ้ำให้มันจมดิน

          ไหน ๆ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ก็อุตส่าห์กลับมาประเทศไทยทั้งที จะไม่ต้อนรับให้สมน้ำสมเนื้อก็คงจะไม่ใช่เขา รับรองว่าจะเอาให้กระอักจนพูดไม่เป็นภาษาเลยทีเดียว

           “นายค่อย ๆ ดูรายละเอียดไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน ถ้าสงสัยอะไรก็มาถามฉัน”

           “คุณอยากได้งานนี้มากแค่ไหน”

          พิชญ์มักจะถามอริญชย์ทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มวางแผนงาน ถ้าเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาก็จะทุ่มเต็มที่ แต่ถ้าต่ำกว่านั้นก็ต้องพิจารณาดูองค์ประกอบอื่น ๆ กันอีกทีหนึ่ง เพราะมันจะส่งผลเวลาทำรายงานขออนุมัติงบประมาณต่อที่ประชุม

           “เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ แต่...” อริญชย์เว้นวรรคนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อเสียงดุดัน “กมลวิลาศน์จะต้องไม่ได้งานนี้ไป”

          พิชญ์อดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้ เท่าที่ดูจากรายละเอียดของโครงการคร่าว ๆ แล้ว พิชญ์คิดว่าอริญชย์น่าจะอยากได้งานมากกว่านี้เสียอีก แต่ลองเอ่ยปากว่าอยากได้แค่เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ แล้วยังไม่อยากให้อดีตเพื่อนสนิทได้งานไป มันก็ชวนให้เขาสงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

           “มีอะไรที่ผมจำเป็นต้องรู้หรือเปล่า”

           “อยากรู้อะไรก็ถามมา ถ้าตอบได้ ฉันจะตอบ ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่ตอบ”

          พิชญ์ขยับปากจะเอ่ยถาม แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเอาดื้อ ๆ บางทีเขาก็อยากมีอะไรเอาไว้ต่อรองกับอริญชย์เหมือนกัน งานนี้อาจจะเป็นโอกาสอันดีของเขาก็เป็นได้ ขอแค่ได้รู้จุดอ่อนของอริญชย์...แค่นั้นก็พอ

          พิชญ์สาบานเลยว่า เขาไม่ได้อยากใจร้ายกับอริญชย์เลยแม้แต่น้อย ถ้าอริญชย์ไม่ได้เป็นฝ่ายใจร้ายกับเขาก่อน เขาก็แค่ไม่อยากถูกเอาเปรียบมากเกินไป อยากมีอะไรไว้เป็นเขี้ยวเล็บของตัวเองบ้าง อย่าให้เขาต้องรู้สึกเหมือนเป็นคนอ่อนแอที่ไม่มีทางสู้อริญชย์ได้เลย

           “ตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้าเกิดสงสัย เดี๋ยวผมจะถาม”

          ดวงตาสองคู่สบประสานกัน ก่อนที่อริญชย์จะยกยิ้มมุมปากอย่างรู้เท่าทัน

          พิชญ์จะรู้ไหม ว่าคิดจะต่อรองกับคนอย่างอริญชย์มันยังเร็วไปสิบปี แต่ถ้าอยากลองดูก็จะใจดีเปิดโอกาสให้ก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าจะต้องอยู่ในขอบเขตที่เขาพอใจเท่านั้น



.



          พอถึงเวลาเลิกงาน พิชญ์ก็ต้องนั่งรถกลับมาบ้านพร้อมอริญชย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่อริญชย์โทรศัพท์มาสั่งเขาสั้น ๆ ห้วน ๆ ว่า...

           “ต่อไปนี้ให้กลับกับฉันทุกวัน”

          พิชญ์ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ปกติกริชจะทำหน้าที่ขับรถให้เขา มีอยู่หลายครั้งที่พิชญ์มักจะขอให้กริชพาเขาออกนอกเส้นทาง เขาไม่เคยคิดเลยว่าความอยากเอาชนะของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายลำบาก หวังว่าอริญชย์คงจะไม่ได้...

           “คุณไล่กริชออกเหรอ”

          คนถูกถามเบือนหน้ากลับมามองพิชญ์ช้า ๆ คล้ายกับไม่เข้าใจ แต่นั่นคืออาการแสดงความเข้าใจของอริญชย์ ส่วนตุลย์ก็กลั้นยิ้มน้อย ๆ ราวกับล่วงรู้ถึงความคิดของพิชญ์

           “ฉันจะไล่กริชออกทำไม ในเมื่อมันไม่ได้ทำผิดอะไร”

           “แล้วทำไมคุณใหญ่ไม่ให้กริชมาขับรถให้ผมล่ะ”

           “กริชไปช่วยดูแลน้องหนู” อริญชย์ตอบสั้น ๆ ไม่ได้ขยายความอะไรมากไปกว่าเดิม

           “ดูแลน้องหนู ดูแลทำไม” แต่พิชญ์ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

           “ลุงสมที่คอยขับรถไปส่งน้องหนูที่โรงเรียนแก่แล้ว ฉันเลยให้กริชไปคอยช่วยดูแล”

          คราวนี้พิชญ์ถึงได้พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เอาเถอะ ถ้ากริชไปช่วยดูแลน้องหนูก็แล้วไป เขาจะยอมไม่มีปัญหาในการกลับบ้านกับอริญชย์ก็ได้ หรือเอาเข้าจริง ถึงอยากจะมีปัญหาแค่ไหน เขาก็คงทำไม่ได้อยู่ดี

           “อันที่จริงแล้ว ผมอยากไปรับไปส่งน้องหนูเองมากกว่า” พิชญ์พึมพำขึ้นมาเบา ๆ

          อริญชย์ปรายตามองพ่อของน้องหนูแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่ง ๆ

           “อยู่เฉย ๆ เถอะ”

          พิชญ์ฟังคำห้ามปรามของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด จู่ ๆ ก็นึกอยากเถียง อยากเอาชนะอริญชย์ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ไหน ๆ ตอนนี้ไอลดาก็ไม่อยู่แล้ว เขาก็ไม่ต้องเกรงใจภรรยาตัวเอง ว่าเธอจะลำบากใจที่เห็นเขาปะทะอารมณ์กับพี่ชายเธอ

           “น้องหนูเป็นลูกสาวของผม”

           “แล้วไง”

          หน้านิ่ง ๆ ที่มองมาเหมือนพิชญ์กำลังพูดพล่ามอะไรไร้สาระอยู่ มันทำเอาเขานึกอยากต่อยหน้าอริญชย์ขึ้นมาตงิด ๆ แต่ถ้าขืนเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ ตุลย์ที่รักเจ้านายยิ่งชีพคงไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่ ๆ เผลอ ๆ อาจจะไม่ต้องรอให้ถึงมือตุลย์ เขาก็คงถูกอริญชย์จัดการให้ได้อายเสียก่อน

           “ผมอยากดูแลน้องหนู ไปส่งน้องหนูเหมือนที่พ่อคนอื่นเขาทำกันบ้าง”

          อริญชย์ยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อความคิดดี ๆ บางอย่างแล่นเข้ามาในหัว เป็นความคิดที่ดีมาก ๆ สำหรับเขา แต่อาจจะไม่ดีสำหรับพิชญ์เท่าไหร่ เขาดึงข้อมืออีกฝ่ายให้เอนตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูพิชญ์เบา ๆ แม้ว่าจริง ๆ แล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องกระซิบก็ได้ เพราะถึงจะพูดเบาแค่ไหน แต่ในรถที่เงียบ ๆ แบบนี้มีหรือจะรอดพ้นหูของตุลย์ไปได้

           “คืนนี้ลองทำให้ฉันพอใจดูสิ พอนายขออะไร ไม่แน่...ฉันอาจจะหน้ามืดตามัวให้นายง่าย ๆ ก็ได้”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเลย จะดูถูกกันไปถึงไหน

           “ไหนคุณบอกว่าผมไม่ใช่นายบำเรอไง”

          อริญชย์ไล้ข้อนิ้วไปตามแก้มพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะสบกับดวงตาเรียวที่มองมาที่เขาอย่างดื้อดึง เมื่อไหร่จะว่าง่าย ๆ เหมือนเวลาทำงานบ้าง แต่ถ้าว่าง่าย...ก็คงไม่ใช่พิชญ์ของเขา

           “ก็ไม่ใช่นายบำเรอไง หัดเลียนแบบน้องหนูบ้างสิ ออดอ้อนฉันเข้าไว้ แล้วขออะไร ฉันก็จะให้...”

          พิชญ์ขยับปากจะเอ่ยถึงสิ่งที่เขาต้องการ แต่ดูเหมือนอริญชย์จะรู้ทัน

           “ยกเว้นอิสระ!”

          นั่นแหล่ะ...คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ถ้าอริญชย์ให้เขาไม่ได้ แล้วเขาจะทำตัวว่าง่ายไปเพื่ออะไรกัน



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 5 --- [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 26-04-2020 21:05:22

           “พ่อพีทจ๋า ลุงใหญ่จ๋า...”

          น้องหนูส่งเสียงดังนำมาก่อนตัวทันทีที่เห็นพิชญ์กับอริญชย์ก้าวลงจากรถ แล้วร่างเล็ก ๆ ก็วิ่งตื๋อเข้ามา พิชญ์เตรียมย่อตัวลงกอดน้องหนูไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะต้องอ้าปากค้าง เมื่อคนที่เดินตามหลังเขามาติด ๆ เป็นฝ่ายคว้าเอาน้องหนูไปอุ้มแทน แล้วปล่อยเขานั่งอ้าแขนเก้อ

          ยัง...ยังไม่พอ อริญชย์ยังฟัดแก้มน้องหนูซ้ายทีขวาทีอย่างมันเขี้ยว นั่นลูกสาวเขานะ!

           “เป็นไงคนเก่ง รอลุงใหญ่นานไหมคะ”

          น้องหนูสั่นหน้าจนผมกระจาย ที่มุมปากมีคราบช็อกโกแลตเปื้อนอยู่ อริญชย์ขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะปาดคราบช็อกโกแลตออกอย่างเบามือแล้วหัวเราะหึ ๆ

           “ทำไมถึงกินเลอะล่ะคนเก่ง”

           “กำลังกินไอศกรีมอยู่ค่ะ พอได้ยินเสียงรถคุณใหญ่ก็ทิ้งถ้วยไอศกรีมแล้ววิ่งตื๋อออกมาเลย” นวลที่เดินตามน้องหนูมาห่าง ๆ อธิบายยิ้ม ๆ

          อริญชย์อุ้มน้องหนูเข้ามาข้างในบ้าน แล้วก็ยึดน้องหนูเอาไว้กับตัวไม่ยอมปล่อย พิชญ์ได้แต่มองตามอย่างหงุดหงิดก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเรียกลูกสาวตัวน้อย

           “น้องหนูครับ...”

           “ขาพ่อพีท...”

          นางฟ้าตัวน้อยของพิชญ์ขานรับเสียงแจ๋ว แต่มือยังโอบรอบคออริญชย์ไม่ห่าง คุยกระหนุงกระหนิงกันอยู่สองคนจนพิชญ์ชักจะอิจฉาขึ้นมาตงิด ๆ สาบานได้เลยว่าเขาอิจฉาอริญชย์ ไม่ได้อิจฉาน้องหนู

           “มาให้พ่อพีทชื่นใจหน่อยครับ”

          พิชญ์ยิ้มออกมาทันทีที่อริญชย์ยอมปล่อยน้องหนูคลานดุ๊กดิ๊กมาหาเขาง่าย ๆ นึกว่าจะต้องเกิดมหกรรมแย่งน้องหนูขึ้นซะแล้ว น้องหนูปีนมานั่งตักพิชญ์ กดริมฝีปากเล็กลงที่แก้มสากเบา ๆ ซ้ายทีขวาทีจนพอใจ พิชญ์นั่งยิ้มปลื้ม อ้าแขนเตรียมจะกอดน้องหนูเอาไว้ แต่ยังช้ากว่าเจ้าตัวที่รีบคลานกลับไปหาอริญชย์ที่มองมาด้วยสายตาแวววาว น้องหนูยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ก่อนจะกดริมฝีปากลงที่แก้มของอริญชย์เหมือนที่ทำกับพิชญ์ไม่มีผิด

           “น้องหนูจุ๊บแก้มพ่อพีทแทนลุงใหญ่แล้วนะคะ อย่าลืมที่ตกลงกับน้องหนูนะ”

          อริญชย์ผงกหัวรับคำ ส่งเสียงหัวเราะกึก ๆ ในลำคอ มองดูพิชญ์ที่นั่งหน้าเหวอด้วยความขบขัน พอพ่อของน้องหนูรู้สึกตัวก็ครางออกมาทันที

           “น้องหนู...”

           “ขาพ่อพีท...”

           “เมื่อกี้ทำอะไรครับ”

           “ลุงใหญ่ฝากน้องหนูจุ๊บพ่อพีท”

          ลูกสาวตัวน้อยของพิชญ์ทำหน้าภาคภูมิใจราวกับปฏิบัติภารกิจระดับชาติสำเร็จ ส่วนผู้เป็นพ่อได้แต่นั่งนิ่ง ปล่อยให้ความร้อนค่อย ๆ แล่นพล่านทั่วใบหน้า

           “คุณใหญ่ อย่าสอนอะไรแปลก ๆ ให้น้องหนูได้ไหม” พิชญ์ที่เพิ่งตั้งสติได้ เอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาทันที

           “ถ้าอยากให้ฉันทำเอง ทำไมไม่บอก”

          ขอบคุณพระเจ้า ที่อริญชย์ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเขา ถ้าขืนอีกฝ่ายพูดออกมาตรง ๆ พิชญ์คงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าตัวเองไปไว้ที่ไหนแน่ ๆ พอเจอแบบนี้เขาก็รู้สึกไม่ชิน พิชญ์รีบกลบเกลื่อนอาการแปลก ๆ ของตัวเองด้วยการคว้าตัวน้องหนูมาอุ้มเอาไว้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินลิ่ว ๆ หนีไปจากสถานการณ์ตรงหน้า

           “ไปทำการบ้านได้แล้วครับน้องหนู”

           “พ่อพีท น้องหนูไม่มีการบ้าน”

          แว่วเสียงน้องหนูโวยวายให้ได้ยินตลอดทาง แต่คนเป็นพ่อก็ไม่สนใจ รีบกระเตงน้องหนูเดินเข้าห้องตัวเอง เขาคงต้องอบรมน้องหนูใหม่ว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคุณลุง

          พอสองพ่อลูกเดินหายลับเข้าห้องนอนไปแล้ว ตุลย์ก็เยี่ยมหน้าออกมายืนข้าง ๆ เจ้านายที่นั่งอยู่คนเดียวตรงโซฟา อริญชย์ปรายตามองตุลย์แวบหนึ่งก่อนจะสั่งเสียงเรียบ ๆ

           “ได้ยินที่ฉันบอกน้องหนูแล้วใช่ไหม ไปจัดการให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”

           “จะเอาใจน้องหนูหรือจะเอาใจพ่อน้องหนูกันแน่ครับ” ถ้าไม่ใช่ตุลย์ คงไม่มีใครกล้าถาม

           “จะเอาใจใครมันก็เรื่องของฉัน”

          ตุลย์คันปากยิบ ๆ นึกอยากเถียงออกไปอีกซักประโยคสองประโยค แต่พอเจอสายตาดุ ๆ ตวัดมองมาก็ต้องหุบปากให้สนิท แล้วรีบเดินไปจัดการเรื่องที่อริญชย์รับปากน้องหนูเอาไว้ ไม่วายพึมพำออกมาเบา ๆ...

           “ให้ตายเถอะ! ไม่รู้จะท่ามากไปถึงไหน”

           “นินทาอะไรฉัน”

           “เปล่าครับ”

          นอกจากจะท่ามากแล้ว ยังหูดีมากอีกต่างหาก



.



           “แล้วสุดท้าย...เจ้าชายก็ครองรักกับเจ้าหญิงอย่างมีความสุข” พิชญ์จบนิทานก่อนนอนลงพร้อมกับโน้มตัวจูบหน้าผากนางฟ้าตัวน้อยที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง

           “พ่อพีทขา น้องหนูอยากเจอเจ้าชาย”

           “พอน้องหนูโตเป็นผู้ใหญ่ น้องหนูก็จะได้เจอเจ้าชาย แต่คืนนี้น้องหนูต้องนอนก่อนนะครับ”

           “เจ้าชายของน้องหนูจะหน้าตาเป็นยังไงคะ”

           “เดี๋ยวถึงเวลาน้องหนูก็จะรู้เอง ฝันดีนะครับคนเก่ง”

           “ฝันดีค่ะพ่อพีท...”

          พิชญ์ลูบผมน้องหนูเบา ๆ นั่งรอจนน้องหนูหลับสนิท ถึงค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียง ก้มลงหอมแก้มน้องหนูอีกครั้งก่อนจะผละออกมา ถึงจะอยากนอนกอดน้องหนูมากแค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจคิด เพราะประโยคที่ใครบางคนเอ่ยบอกเขาเสียงเรียบ ๆ ตอนที่กินข้าวเย็นเสร็จ

           ‘กล่อมน้องหนูเสร็จแล้วอย่าเพิ่งนอน’

          ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย พิชญ์ก็พอจะรู้ว่าคนพูดต้องการอะไร เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา บอกตัวเองว่ามันเป็นหน้าที่ เขาก็แค่ทำไปตามหน้าที่ พิชญ์เอื้อมมือไปแตะลูกบิดประตู ยังไม่ทันได้หมุนลูกบิด ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาจากข้างนอกเสียก่อน พอเห็นคนที่ยืนอยู่หลังบานประตูเต็มตา พิชญ์ก็เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเบา ๆ

           “คุณใหญ่...”

          อริญชย์มองเลยข้ามสายตาพิชญ์ไป พอเห็นว่าน้องหนูหลับแล้วก็ดันพิชญ์ให้หันหลังเดินกลับเข้าไป แต่อีกคนก็เอาแต่ขืนตัวเอาไว้จนอริญชย์ต้องนิ่วหน้า ก่อนจะคว้าแขนพิชญ์แล้วลากมาที่เตียง

           “คุณจะทำอะไร” พิชญ์ถามเสียงตื่นอย่างตกใจ

           “คืนนี้ฉันจะนอนกับนายที่นี่”

          คำตอบของอริญชย์ นอกจากจะไม่ทำให้พิชญ์เบาใจแล้ว กลับทำให้เขายิ่งตกใจมากกว่าเดิม

           “คุณอย่าบ้านะ ถ้าไม่เห็นแก่ผมก็ช่วยเห็นแก่น้องหนูหน่อยได้ไหม” พิชญ์เอ่ยออกมาเสียงสั่น ความอ่อนแอแล่นพล่านอย่างห้ามไม่ได้

          ถึงเขาจะขัดขืนอริญชย์ไม่ได้ แต่ขออย่าให้น้องหนูต้องมารับรู้เรื่องเลวร้ายพรรค์นี้เลย ถ้าเป็นแบบนั้น เขารับมันไม่ไหวจริง ๆ

           “พูดเพ้อเจ้ออะไรของนาย”

          นอกจากจะไม่ฟังที่พิชญ์พูด อริญชย์ยังผลักให้พิชญ์ลงไปนอนข้างน้องหนู ก่อนจะล้มตัวตามลงไปนอนซ้อนหลังพิชญ์เอาไว้

           “คุณใหญ่...”

           “จะเรียกชื่อฉันอีกนานไหม ฉันไม่เลวขนาดทำอะไรนายต่อหน้าน้องหนูหรอก ก็แค่อยากนอนด้วยกันสามคนเฉย ๆ”

          แล้วคนที่บอกว่าจะนอนเฉย ๆ ก็ทำอย่างที่พูดจริง ๆ อริญชย์จับมือของพิชญ์ให้โอบน้องหนูเอาไว้ ส่วนเขากอดพิชญ์เอาไว้อีกทอดหนึ่ง อดก้มลงสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่จากคนที่อยู่ในอ้อมกอดไม่ได้ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ ในความมืดโดยที่อีกคนไม่มีทางได้เห็น

           “คุณใหญ่...”

           “ถ้าเรียกอีกที ฉันจะคิดเอาเองว่านายอยากครางชื่อฉัน”

          พิชญ์กัดฟันกรอด เพิ่งจะรู้สึกดีอยู่เมื่อไม่กี่นาทีแท้ ๆ คนอย่างอริญชย์นี่จะดีให้ตลอดรอดฝั่งไม่ได้เลยใช่ไหม แต่เอาเถอะ เห็นแก่เศษเสี้ยวความดีในวันนี้

           “ขอบคุณครับ...”

           “หึ! รีบ ๆ นอนไปเถอะ ทำตัวแบบนี้ ถ้าฉันมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วอย่าหาว่าไม่เตือนละกัน”

          เศษเสี้ยวความดีเมื่อกี้ พิชญ์ขอเปลี่ยนให้มันกลายเป็นติดลบแทนได้ไหม



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
คุณใหญ่เค้ารักจริง หวงจริงค่า
กลัวแต่พ่อพีทจะทนไม่ไหวเสียก่อน
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 5 --- [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 26-04-2020 22:43:02
ถ้าคุณใหญ่อ่อนโยน พูดจาดีๆ และใจดีกับพีทบ่อยๆ เราว่าพีทก็ต้องใจอ่อนหันมารักคุณใหญ่บ้างแล้วละ แต่นี่ดูคุณใหญ่มักจะชอบแกล้ง ชอบออกคำสั่งตลอดเลยทำให้พีทต้องพยศแบบนี้ไงละ แต่ดูเหมือนคุณใหญ่จะชอบใจทุกครั้งที่พีททำท่าพยศใส่ นะ o18

อยากรู้เรื่องอดีตเพื่อนสนิทที่เจ้าชู้ของคุณใหญ่เหมือนกันนะว่าทำอะไรกับเพื่อนไว้ถึงได้บาดหมางกัน แต่เราขอเดาว่าเรื่องคุณเล็กแน่ๆ เพราะความเจ้าชู้ของเพื่อนสนิทแหงๆ รอลุ้นต่อไป..
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 5 --- [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 26-04-2020 22:50:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 5 --- [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 27-04-2020 02:07:00
นายคุณใหญ่นี่นะ  :m16:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 5 --- [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 27-04-2020 11:30:45
หรือน้องหนูจะเป็นลูกของ....
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 5 --- [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 27-04-2020 11:50:59
หลับฝันดี ทั้ง 3 คน
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 6 --- หน้าที่ 2 [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 29-04-2020 13:36:23
หก
พักผ่อน



          พิชญ์ตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับความรู้สึกอึดอัด เขาลืมตาช้า ๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองมีสภาพละม้ายคล้ายไส้แซนด์วิช ถูกขนาบอยู่ตรงกลางระหว่างน้องหนูและอริญชย์ น้องหนูนอนหลับปุ๋ย เอาแขนมาก่ายกอดผู้เป็นพ่ออย่างสบายตัว ส่วนอริญชย์ก็วาดวงแขนโอบรัดพิชญ์แน่นจนแทบจะกลายเป็นคน ๆ เดียวกัน

          พิชญ์นิ่วหน้าออกมาเล็กน้อย ค่อย ๆ ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของอริญชย์อย่างระมัดระวัง แต่แค่ขยับเพียงนิดเดียว อีกฝ่ายก็รู้สึกตัวทันที อ้อมแขนแข็งแรงกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิม ก่อนที่อริญชย์จะยื่นหน้ามากระซิบถามชิดหูพิชญ์

           “ตื่นแล้วเหรอ...”

           “ปะ...ปล่อยผม คุณใหญ่”

          สิ้นเสียงพิชญ์ น้องหนูก็ขยับตัวน้อย ๆ เล่นเอาพิชญ์ถึงกับตัวแข็งทื่อ ก่อนจะชะงักค้างกว่าเดิม เพราะน้องหนูเล่นกลิ้งตัวออกห่าง ปล่อยให้คุณพ่อของตัวเองถูกคุณลุงเอารัดเอาเปรียบแต่เช้า

           “คุณใหญ่ ปล่อยผม เดี๋ยวน้องหนูตื่น” พิชญ์เอ่ยเสียงแข็ง พยายามดึงดันจะพาตัวเองออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ให้ได้

           “นายนั่นแหล่ะที่จะทำน้องหนูตื่น” อริญชย์เอ่ยพลางส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างระอาราวกับว่าพิชญ์เป็นคนผิด

           “คุณก็ปล่อยผมสิ”

           “ฉันว่านายรับผิดชอบการกระทำของตัวเองก่อนดีกว่า”

           “หา...”

          พิชญ์ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เขาตื่นมาก็ถูกอริญชย์ถือวิสาสะกอด แค่พยายามจะหนีออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ เขาถึงกับต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเชียวหรือ แต่ก่อนที่พิชญ์จะงงหนักไปกว่าเดิม ความสงสัยของเขาก็ค่อย ๆ คลี่คลาย เมื่อสัมผัสบางอย่างดุนดันอยู่เบื้องหลังจนพิชญ์ถึงกับหน้าแดงวาบ เขาไม่ใช่คนไม่รู้ประสีประสา จะได้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

           “คุณใหญ่”

          พิชญ์เรียกชื่อคนต้นเหตุเสียงแข็งทันที แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นอาการปกติยามเช้าของผู้ชายทุกคน แต่เจอกับตัวเองแบบนี้ก็น่าเกลียดชะมัด

           “หึ! ความผิดของนายเองนะที่ขยับจนเจ้าหนูของฉันตื่น”

          ถ้าพูดปากเปล่าก็คงจะไม่ใช่อริญชย์ เพราะอีกฝ่ายเล่นคว้ามือพิชญ์หมับก่อนจะเอามาแปะอยู่ที่ส่วนกลางลำตัวของเขา ราวกับจะยืนยันว่าเจ้าลูกชายคนดีของเขาตื่นแล้วจริง ๆ พิชญ์หน้าแดงหนักกว่าเดิม มันปะปนกันระหว่างความอายกับความโมโห แล้วก่อนที่อริญชย์จะทันคาดคิด พิชญ์ก็บีบหมับเข้าที่ลูกชายคนดีของอริญชย์ทันที จนเขาต้องร้องอุทานออกมาเสียงดัง

           “โอ๊ยยยยย...”

           “ลุงใหญ่จ๋า...”

           “คุณใหญ่ครับ...”

          ไม่ใช่เพียงแค่น้องหนูที่ลืมตาตื่นขึ้นมาดูคุณลุงกับคุณพ่อเล่นกัน แม้แต่ตุลย์ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาเพราะเสียงร้องของผู้เป็นนาย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเจ้านายนั่งหน้าเขียว ส่วนพิชญ์ก็เอาแต่ส่งยิ้มแหย ๆ ให้ตุลย์อย่างรู้สึกผิด

           “เกิดอะไรขึ้นครับคุณพีท” ตุลย์เลือกที่จะถามพิชญ์แทน เพราะดูท่าทางแล้ว อริญชย์คงพูดไม่ออกแน่ ๆ

          พิชญ์หัวเราะแห้ง ๆ มองหน้าอริญชย์ที่จ้องเขาตาดุสลับกับตุลย์ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงอ่อย

           “ไม่มีอะไรหรอกครับคุณตุลย์ พอดีว่า...”

          พิชญ์ยังไม่ทันได้เอ่ยให้จบประโยค อริญชย์ก็ยื่นมือมาปิดปากพิชญ์เอาไว้ก่อนที่พิชญ์จะทำให้เขาขายหน้าลูกน้องไปมากกว่านี้ พิชญ์พยายามขยับตัวหนี แต่อริญชย์ก็เอามืออีกข้างที่ว่างล็อกตัวพิชญ์ไว้แน่น แล้วเอ่ยสั่งตุลย์เสียงห้วนจัด

           “ตุลย์ ไปเรียกนวลมาพาน้องหนูไปอาบน้ำที”

          ตุลย์ยังทำท่าสงสัย อยากจะเอ่ยปากถามอริญชย์เต็มแก่ แต่ก็ต้องยอมล่าถอยเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ มองมา คนสนิทของอริญชย์รีบถอยออกมาจากห้อง ปล่อยให้คุณลุง คุณพ่อ และคุณลูกอยู่กันสามคน น้องหนูเอียงคอมองผู้เป็นพ่อกับผู้เป็นลุงอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามออกมาประสาซื่อ

           “พ่อพีทกับลุงใหญ่เล่นอะไรกันแต่เช้าคะ”

           “เล่นมวยปล้ำค่ะ” อริญชย์ตอบหน้าตาย ไม่สนใจอาการขัดขืนของพิชญ์

           “ฮื้อ เล่นกันเสียงดั๊งดัง น้องหนูตื่นเลย” น้องหนูเอ่ยต่อว่าอย่างกระเง้ากระงอด

           “พ่อพีทเขาขี้โกง เล่นนอกกติกา”

           “อ้าว ทำไมพ่อพีททำแบบนี้ล่ะคะ”

          คุณพ่อคนดีของน้องหนูขยับปากจะเอ่ยเถียง แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจคิด เพราะฝ่ามือใหญ่ปิดปากเขาเสียสนิท แถมยังเสียงดุ ๆ ที่กระซิบคาดโทษอยู่ข้างหูเขา

           “อยู่นิ่ง ๆ ก่อนที่ฉันจะจัดการนายตรงนี้”

          พิชญ์มองอริญชย์ตาขวาง จะอารมณ์เสียอะไรนักหนา เขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย แค่อารมณ์ชั่ววูบเฉย ๆ

          ช่วยไม่ได้ อยากเอามือเขาไปไว้ตรงนั้นก่อนทำไม ไม่ใช่ความผิดพิชญ์เลยจริง ๆ พิชญ์ยืนยันได้

          นวลที่ถูกตุลย์ตามตัวมา เดินเข้ามาเยี่ยมหน้า ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงกรอบประตู ไม่กล้าเข้ามาเสียที เพราะเห็นอริญชย์กับพิชญ์อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จนอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยเรียกเมื่อหันไปเห็นเข้า

           “เข้ามาสินวล จะมามัวยืนลับ ๆ ล่อ ๆ ทำไม”

           “คุณใหญ่เรียกหานวลหรือคะ”

           “จับน้องหนูอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้น้องหนูที ฉันจะพาน้องหนูไปต่างจังหวัด”

          นวลขมวดคิ้วอย่างงุนงง แต่ก็พยักหน้ารับคำสั่งโดยดี รีบตรงเข้ามาอุ้มน้องหนูลงจากเตียง ขณะที่พ่อของน้องหนูถึงกับเบิกตากว้าง

          ต่างจังหวัด?...สาบานได้เลยว่าพิชญ์เพิ่งรู้พร้อมนวลเมื่อกี้ ว่าอริญชย์จะพาน้องหนูไปต่างจังหวัด

           “ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” พิชญ์เอ่ยถามทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ

           “ฉันกำลังจะบอกนายอยู่นี่ไง ตามมา”

           ‘ตามมา’ ของอริญชย์คือคำสั่งและการบังคับชัด ๆ พอพูดจบอริญชย์ก็ดึงพิชญ์ให้ลุกจากเตียง ก่อนจะลากพิชญ์หัวซุกหัวซุนออกมาจากห้องนอนของน้องหนู

           “คุณใหญ่ เลยห้องผมแล้ว” พิชญ์รีบแย้งทันที เมื่ออริญชย์ลากเขาเดินเลยห้องนอนของตัวเอง

          คนถูกท้วงหันมามองหน้าพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะคลี่เป็นรอยยิ้มร้ายกาจออกมา

           “ไม่คิดจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองหน่อยหรือไง”

          ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย พิชญ์ก็เข้าใจความหมายที่อีกคนต้องการจะสื่อทันที เขาได้แต่ทำหน้ายุ่งยากใจ ถึงจะทำข้อตกลงกันไว้ แต่ถ้าเลี่ยงได้ พิชญ์ก็อยากจะเลี่ยง

           “คุณจะพาน้องหนูไปต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอ ไว้คราวหลังเถอะนะ...ได้ไหม”

           “คราวไหน คืนนี้ คืนพรุ่งนี้ หรือเมื่อไหร่ ระบุเวลาชัด ๆ มาด้วย”

          พิชญ์ยืนเม้มริมฝีปากแน่น เขาเกลียดเวลาที่ถูกอริญชย์ไล่ต้อนมากที่สุด มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ซึ่งจริง ๆ แล้วพิชญ์ไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แต่พิชญ์แค่สู้อริญชย์ไม่ได้ก็เท่านั้น

           “ตอนไหนก็ได้ที่น้องหนูไม่ได้อยู่ด้วย” พิชญ์หลับหูหลับตาเอ่ยออกไป หวังจะให้อริญชย์เลิกตอแยเขาเสียที

           “ได้ ถ้าคราวหน้านายเบี้ยวอีก ฉันทบต้นทบดอกหนักแน่ ๆ” อริญชย์เอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะลากพิชญ์ให้เดินตามเข้ามาในห้องของตัวเอง จนคนถูกลากต้องรีบถามเสียงตื่น

           “ไหนคุณบอกว่าคราวหน้าไง”

           “ใช่ คราวหน้า แต่ตอนนี้นายต้องอาบน้ำให้ฉัน”

          ถ้าคิดว่าคราวนี้อริญชย์จะยอมให้พิชญ์ปฏิเสธอีกคงต้องผิดหวัง อริญชย์ผลักพิชญ์เข้ามาในห้องน้ำ ก่อนจะปิดประตูดังปัง มองคนที่กระถดตัวชิดอ่างล้างหน้าเหมือนหมาป่ามองลูกแกะ

           “คุณใหญ่...”

           “ถ้านายไม่อาบให้ฉัน ฉันจะอาบให้นายเอง และมันคงไม่จบแค่การอาบน้ำแน่ ๆ เลือกเอานะพีท”

          ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พิชญ์สาบานเลยว่า เขาจะบีบลูกชายคนดีของอริญชย์ให้แรงกว่าเดิม เอาให้ไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาบังคับเขาได้อีก แต่เหมือนอีกคนจะรู้ทันเขา ถึงได้ชิงดักคอออกมาก่อน

           “แล้วถ้าคิดจะเล่นแบบเมื่อกี้นี้อีก ฉันจะเอาให้นายลุกไม่ขึ้นไปสามวันเลยคอยดู”


.


           “ไหนคุณใหญ่บอกว่าจะไม่ทำอะไรผมไง” พิชญ์เอ่ยถามคนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ยืนโกนหนวดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่เสียงขุ่น พอ ๆ กับใบหน้าที่บึ้งตึง

          อริญชย์ปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาสนใจใบหน้าตัวเองที่มีโฟมสีขาวฟอกอยู่ตรงคางกับเหนือริมฝีปาก เขาทาบมีดโกนลงกับใบหน้าของตัวเองแล้วลากช้า ๆ อย่างใจเย็น ผิดกับอารมณ์ของอีกคนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังมองมาที่เขาอย่างขุ่นเคือง

          ...เขาเคยบอกหรือยัง ว่าเขาชอบใบหน้าของพิชญ์ตอนโมโหมากแค่ไหน...

           “คุณใหญ่!”

           “แล้วฉันทำอะไรนายตอนไหน ฉันยังไม่ได้ใส่เข้าไปด้วยซ้ำ”

          พิชญ์หน้าแดงวาบด้วยความอายเมื่ออีกคนเล่นพูดออกมาหน้าด้าน ๆ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนกันกับอริญชย์ แต่เขาก็ไม่เคยเที่ยวพูดจาลามกแบบน่าไม่อายอย่างที่อีกคนกำลังทำอยู่แน่ ๆ

          คนที่โกนหนวดเสร็จเรียบร้อยแล้วหันกลับมาหาพิชญ์ ก่อนจะเท้าแขนคร่อมพิชญ์ติดกับผนังห้อง กลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่ผสมกับอาฟเตอร์เชฟกลิ่นมิ้นท์ลอยมาเข้าจมูกพิชญ์ จนคนที่กำลังจะถูกเอาเปรียบอดยอมรับไม่ได้ว่า อริญชย์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จริง ๆ แต่สิ่งที่อริญชย์ทำกับเขามันผิด มันผิดตั้งแต่อีกคนหยิบยกเอาเรื่องบ้า ๆ มาขู่ให้เขายอมมอบกายให้แล้ว แล้วยังความสัมพันธ์บ้า ๆ ของพวกเขาสองคนอีก

           “จะต้องให้ฉันสอนนายอีกกี่รอบ ว่าการใช้มือให้กันเขาไม่ได้เรียกว่ามีเซ็กส์”

           “ผมก็ไม่ชอบอยู่ดี”

          ดวงตาดำจัดสบกับดวงตาเรียวของพิชญ์นิ่ง ๆ ก่อนริมฝีปากหยักจะยกเป็นรอยยิ้มคล้ายจะเย้ยหยัน

           “ไม่ชอบมือฉัน แต่ชอบใช้มือตัวเองมากกว่าหรือไง”

           “ผมไม่ได้โรคจิตเหมือนคุณ”

          ฝ่ามือข้างขวาที่ทาบอยู่บนผนังเปลี่ยนมาโอบเอวพิชญ์เอาไว้หลวม ๆ ถึงแม้อริญชย์จะแค่โอบเขาเอาไว้หลวม ๆ แต่พิชญ์รู้ดี ถ้าหากอริญชย์ไม่ยอมปล่อย ต่อให้อ้อมกอดมันหลวมแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางหนีออกไปได้ ไม่มีทางเลย...

           “ฉันโรคจิตก็เพราะนาย ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ”

           “คุณมันบ้า ถ้าอยากมากขนาดนั้น ทำไมไม่หาผู้หญิงมาปรนเปรอตัวเองล่ะ”

           “ทำไมต้องหา ในเมื่อนายก็ทำหน้าที่นั้นดีอยู่แล้ว”

          เจ็บ! พิชญ์เจ็บกับคำดูถูกของอริญชย์ แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

           “ถ้าไม่รู้ก็รู้เอาไว้ซะ ไม่มีใครสนองฉันได้ถึงใจเหมือนนายซักคน”

          อริญชย์ปล่อยเขาเป็นอิสระแล้ว แต่พิชญ์แทบไม่มีแรงก้าวขา คำพูดร้าย ๆ ของอริญชย์ตรึงเขาเอาไว้ที่เดิม เป็นเขาเองที่ก้าวพลาด ก้าวลงมาในหลุมพรางของปีศาจร้าย ตอนนี้คิดอยากจะปีนขึ้นไปมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ถ้ามีใครซักคนโยนเชือกลงมาให้เขา

          ไม่แน่ พิชญ์อาจจะรีบคว้ามันไว้โดยไม่ลังเลก็เป็นได้ แต่ใครกันที่จะกล้าโยนเชือกลงมาช่วยเขา ในเมื่อมีปีศาจร้ายยืนเฝ้าอยู่ตรงปากหลุม


.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 6 --- หน้าที่ 2 [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 29-04-2020 13:41:44


          พิชญ์เพิ่งรู้ตอนกินข้าวเสร็จว่าอริญชย์สัญญากับน้องหนูว่าจะพาไปเที่ยวทะเล นวลจัดเสื้อผ้าของน้องหนูใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย ส่วนของเขาก็ไม่ต้องสงสัยเลย กระเป๋าเสื้อผ้าของเขากับอริญชย์วางอยู่ท้ายรถเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

           “ทำไมคุณไม่บอกผม” ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่คุยกับคนร้ายกาจ แต่พิชญ์ก็อดถามอริญชย์ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถไม่ได้

           “ฉันบอกนายไปเมื่อเช้าแล้วไง ว่าจะพาน้องหนูไปต่างจังหวัด” อริญชย์เอ่ยเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง พ่นควันบางเบาออกมาให้ลอยไปในอากาศช้า ๆ

           “แต่คุณใหญ่ก็น่าจะบอกผมก่อน”

           “บอกก่อนบอกหลังก็ไม่ต่างกันหรอก รีบ ๆ ขึ้นรถได้แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าน้องหนูอยากไปเที่ยวมากแค่ไหน ไม่อยากให้น้องหนูมีความสุขหรือไง”

          พิชญ์ขยับจะอ้าปากค้าน แต่พอเห็นใบหน้าน่ารักที่ยื่นออกมาตรงหน้าต่างรถ ก่อนนางฟ้าตัวน้อยจะยิ้มหวานแล้วร้องเรียกเขาจ้อย ๆ มันก็ทำเอาหัวใจของพิชญ์อ่อนยวบ

           “พ่อพีทขา ลุงใหญ่ขา ขึ้นรถเร็ว ๆ ค่ะ น้องหนูอยากไปแล้ว”

          อริญชย์หันมามองพิชญ์อย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะขยี้บุหรี่ในมือดับ ในเมื่อน้องหนูเป็นจุดอ่อนของพิชญ์ เขาก็จะทำให้น้องหนูกลายมาเป็นจุดแข็งของเขา แล้วทีนี้คนอย่างพิชญ์จะหนีไปไหนรอด

          อริญชย์ผลักพิชญ์ให้ก้าวขึ้นรถไปก่อน แล้วตัวเขาถึงตามเข้าไป น้องหนูนั่งเกาะหน้าต่างข้างในไม่ยอมขยับไปไหน เพราะลูกสาวคนสวยของพิชญ์บอกเสียงอ้อน ๆ ว่าจะดูวิว พิชญ์เลยจำใจต้องนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างอริญชย์กับน้องหนู กลายเป็นไส้แซนด์วิชเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด

           “อาตุลย์ ออกรถเลยค่ะ” คุณหนูตัวน้อยเอ่ยบอกตุลย์เสียงหวาน

          ตุลย์ลอบมองผ่านกระจกมองหลังก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ เจ้านายของเขาดูอารมณ์ดีผิดปกติ คงจะมีเรื่องดีแน่ ๆ คุณหนูตัวน้อยก็สดใสร่าเริงเป็นปกติ มีแต่พิชญ์ที่นั่งทำหน้าแปลก ๆ ยิ่งเห็นอริญชย์เนียนเอามือไปโอบไหล่พิชญ์ ตุลย์ก็ยิ่งนึกอยากแกล้งผู้เป็นนาย เลยกระแอมออกมาเบา ๆ

           “อะแฮ่ม...”

           “อะไรติดคอเหรอตุลย์ ให้ฉันช่วยเขี่ยออกให้ไหม”

           “ไม่เป็นไรครับคุณใหญ่ กลืนน้ำลายสองทีก็หายแล้ว”

          ตุลย์ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะหันมาสนใจถนนหนทางข้างหน้า อันที่จริงแล้วการเดินทางไปต่างจังหวัดครั้งนี้ อริญชย์ก็แค่เอาน้องหนูมาอ้างเท่านั้น สองวันก่อนเจ้านายของตุลย์ดันไปได้ยินพิชญ์คุยกับแม่พลอยที่อยู่ประจวบคีรีขันธ์ แว่ว ๆ ว่าลูกชายคนเดียวออดอ้อนผู้เป็นแม่ว่าคิดถึง เจ้านายเขาก็เกิดนึกครึ้มอะไรขึ้นมาไม่รู้ ถึงกับสั่งให้ตุลย์เคลียร์งานอะไรให้เรียบร้อย แล้วบอกว่าจะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดกันซะงั้น ส่วนจังหวัดไหนคงไม่ต้องเดา ถ้าไม่ใช่จังหวัดบ้านเกิดของแม่พลอย...แม่ยาย เอ๊ย แม่สามีของไอลดา

          พิชญ์นั่งขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้ว เขากับอริญชย์ก็ไม่ค่อยพูดคุยกันดี ๆ เท่าไหร่ มีอีกเรื่องที่พอจะคุยกันรู้เรื่องอยู่บ้างก็คงจะเป็นเรื่องของน้องหนู

           “คุณใหญ่ เรื่องงานประมูลก่อสร้าง...” แค่พิชญ์เริ่มเอ่ยปาก อริญชย์ก็สวนฉับทันที

           “ฉันจะไปพักผ่อน ขี้เกียจฟังเรื่องงาน”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น จะมีใครที่เอาใจยากอย่างอริญชย์อีกไหม ก็แค่อยากจะหาเรื่องชวนคุย กลัวว่านั่งรถไปนาน ๆ เดี๋ยวจะพาลอึดอัดกันเสียเปล่า ๆ

           “ลุงใหญ่จะพาน้องหนูไปไหนคะ” ดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยจะรู้หน้าที่ รีบหันหน้ามาคลี่คลายสถานการณ์ได้ทันเวลาพอดี

           “พาไปทะเลไงคะ”

           “เย้! น้องหนูจะไปหาคุณปู คุณปลา คุณกุ้ง”

          น้องหนูพูดอย่างเดียวก็กลัวคนฟังจะไม่เห็นภาพ เลยทำไม้ทำมือหมายจะให้ผู้ใหญ่สามคนที่รอฟังนึกภาพออก จนพิชญ์ต้องรวบตัวน้องหนูมาไว้บนตัก

           “น้องหนู นั่งดี ๆ ลูก”

           “ปล่อยน้องหนูเถอะ จะไปบังคับน้องหนูทำไม”

          ประโยคที่อริญชย์เอ่ยออกมา ไม่ต่างอะไรกับการจุดประกายให้พิชญ์ คุณพ่อของน้องหนูยอมปล่อยน้องหนูแต่โดยดี ก่อนจะหันมาหาคุณลุงอย่างหมายมาด

           “นั่นสิ คุณใหญ่ยังรู้เลยว่าไม่ควรบังคับน้องหนู แล้วทำไมคุณใหญ่ถึงได้เที่ยวบังคับคนอื่นล่ะครับ”

           “หมายถึงใครกันล่ะ” อริญชย์ถามหน้านิ่ง ๆ ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร

           “ผมว่าคุณใหญ่น่าจะรู้ดีว่าผมหมายถึงใคร”

          มือที่วางอยู่บนไหล่เลื่อนลงมาแตะอยู่ที่เอวพิชญ์ ก่อนคำตอบจะหลุดออกมาจากริมฝีปากหยัก

           “เพราะฉันรู้ว่าน้องหนูจะไม่หนีไปไหน ไม่เหมือนกับม้าพยศบางตัว ที่ต่อให้ฉันพยายามขังเอาไว้ในคอกยังไง มันก็ยังหาทางที่จะหนีออกไปอยู่วันยังค่ำ นายว่าจริงไหมพีท...”

           “เพราะว่าม้ามันไม่อยากถูกขังอยู่ในคอก มันถึงได้พยายามหาทางหนีออกไปยังไงล่ะครับ” พิชญ์ต่อปากต่อคำไม่ลดละ

           “แต่ม้าพยศตัวนั้นมันคงลืมไป ว่าตัวของมันเป็นสิทธิ์ของใคร”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น จนปัญญาจะหาถ้อยคำตอบโต้ออกไป

           “ที่ทะเลมีม้าด้วยเหรอคะลุงใหญ่”

           “มีสิ ม้าน้ำไงลูก” อริญชย์ตอบหลานสาวกลั้วหัวเราะเบา ๆ

           “น้องหนูอยากเห็น น้องหนูชอบม้า”

          ดูท่าหลานสาวคนสวยของอริญชย์จะเข้าใจความหมายของม้ากับม้าน้ำผิดไป แต่ผู้ใหญ่อย่างอริญชย์ก็เอาแต่หัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเอ่ยสำทับเสียงเรียบ ๆ

           “ลุงใหญ่ก็ชอบเหมือนกัน ลุงใหญ่ชอบ ‘ขี่’ ม้า โดยเฉพาะม้าพยศ”

          พิชญ์ถึงกับหน้าชาทันที คำว่า ‘ขี่’ ของอริญชย์มันกินความนัยไปถึงไหนต่อไหน เหตุใดเขาจะไม่รู้ ได้แต่พึมพำออกไปเบา ๆ

           “ซักวัน ม้ามันจะดีดให้ตกจากหลังไม่รู้ตัว”

          ถึงจะพูดออกไปเบาแค่ไหน พิชญ์คงลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ยังได้ยินอยู่ดี อีกคนถึงได้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงห้าวลึก

           “ไม่เป็นไร ฉันชอบปราบพยศม้า มันท้าทายดี นายว่าไหมพีท...”


.


          รถยนต์คันหรูแล่นผ่านตัวเมืองหัวหินมาไม่ไกล ตุลย์ก็ลอบมองผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่งก่อนจะอมยิ้มมุมปาก อริญชย์ที่ยังตื่นอยู่นั่งวางท่านิ่ง ๆ พิชญ์ที่นอนหลับเอนหัวมาพิงหัวไหล่เขาเอาไว้ ส่วนน้องหนูก็นอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมกอดของพิชญ์อีกที มือใหญ่ลูบหัวหลานสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนจะเลยมาลูบแขนพ่อของหลานเล่นด้วย

           “คุณใหญ่ชอบแกล้งคุณพีท” ตุลย์แกล้งว่าผู้เป็นนาย

          อริญชย์ไหวไหล่น้อย ๆ ทอดสายตามองสองพ่อลูกที่นอนกอดกันกลม ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ  รอยยิ้มที่พิชญ์คงไม่มีวันเห็น หรือเจ้าตัวอาจจะเคยเห็น แต่ก็ถูกความร้ายกาจของเขาบดบังให้ลืมเลือนมันไป

           “ช่วยไม่ได้ คุณพีทของนายน่าแกล้งเอง”

           “ชอบถูกคุณพีทเกลียดหรือไงครับ”

          อริญชย์ไม่ได้ตอบตุลย์ออกมาเป็นคำพูด เขาได้แต่เฝ้าตอบตัวเองในใจ ใครกันจะไปอยากถูกเกลียด แต่ถ้าถูกเกลียดแล้วได้ครอบครองเอาไว้ จะเกลียดกันให้ตาย เขาก็ยอม...

           “แล้วคุณใหญ่ไม่คิดจะบอกคุณเล็กหรือไงครับ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”

           “รอให้ถึงเวลาก่อน ถ้ายัยเล็กรู้เข้า คงเกลียดฉันอีกคนแน่ ๆ”

          ตุลย์มองคนที่ทำหน้าหนักใจแล้วก็ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี ทำตัวเองแท้ ๆ กลัวว่าสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เฝ้ารักษาเอาไว้ อริญชย์อาจจะต้องเสียมันไปทั้งหมด ทั้งพิชญ์ ทั้งไอลดา หรือแม้กระทั่งน้องหนู

           “ถึงแล้วครับ คุณใหญ่”

          ตุลย์เอ่ยบอกพร้อมกับค่อย ๆ ชะลอความเร็งของรถลง จนกระทั่งจอดหน้าบ้านชั้นเดียวที่อยู่ตรงตัวอำเภอปราณบุรี อริญชย์กวาดสายตามองรอบ ๆ ก่อนจะผุดรอยยิ้มออกมาบาง ๆ เขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะแขนพิชญ์ที่นอนหลับสบายอยู่ เขย่าตัวอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่น

           “พีท...ถึงแล้ว”

          ดูท่าว่าเมื่อเช้าเขาจะทำพิชญ์เหนื่อยเอาเรื่อง อีกฝ่ายถึงไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่าย ๆ กลายเป็นน้องหนูเสียอีกที่งัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนผู้เป็นพ่อ

           “น้องหนู ปลุกพ่อพีทเร็วลูก” อริญชย์เห็นหลานสาวตัวน้อยตื่นแล้ว เลยได้โอกาสใช้เจ้าตัวน้อยทันที

          น้องหนูยังงัวเงียอยู่ เพราะเพิ่งตื่น แต่พอหันมาเห็นพิชญ์นอนหลับอยู่ก็ยิ้มหวานออกมาอย่างน่ารัก ขยับตัว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พิชญ์ ก่อนจะกระซิบข้างหูเบา ๆ

           “พ่อพีทขา ตื่นเร็วค่ะ”

          คนถูกปลุกขยับตัวนิด ๆ ก่อนจะคว้าเอาน้องหนูเข้าไปกอดแนบอก ให้อริญชย์ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอามากกว่าเดิม

           “จะตื่นดี ๆ หรือจะให้ฉัน...”

          ไม่ต้องรอให้อริญชย์ขู่จบประโยค พิชญ์ก็ลืมตาโพลง ผุดลุกขึ้นนั่งทันที เขาตวัดตามองอริญชย์ตาขวาง ที่เขาอ่อนเพลียขนาดนี้เป็นเพราะใครกัน ชายหนุ่มยกน้องหนูลงจากตักเอาไปส่งให้อริญชย์ ก่อนจะยกมือสางผมตัวเองที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง

          อริญชย์กับน้องหนูลงจากรถไปก่อนแล้ว พอพิชญ์ทำอะไรเรียบร้อยแล้วถึงตามลงมา ก่อนจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าอริญชย์พาเขามาที่ไหน

           “คุณใหญ่ นี่มันบ้านผมนี่”

          ไม่ต้องรอให้อริญชย์เอ่ยตอบ คำตอบของพิชญ์ก็ปรากฏตัว ผู้หญิงวัยกลางคนที่พิชญ์คุ้นเคยมาตลอดชีวิตเดินออกมาเขม้นมองอยู่ตรงชานบ้าน ก่อนจะอุทานออกมาเสียงดังอย่างดีอกดีใจ

           “น้องหนู หลานย่า”

           “คุณย่าขา...”

          ลูกสาวตัวน้อยของพิชญ์วิ่งตื๋อเข้าไปหาผู้เป็นย่าแล้ว เหลือแต่พิชญ์ที่ยังยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไหนอริญชย์บอกว่าจะพาน้องหนูไปทะเล ส่วนตัวเองจะไปพักผ่อน แล้วทำไมถึงมาโผล่ที่บ้านของเขาได้ล่ะ

           “จะยืนอึ้งอีกนานไหม ถ้านาน ฉันจะได้เข้าบ้านไปก่อน”

          แล้วคนที่เป็นแขกก็หันมาเอ่ยกับพิชญ์เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน ก่อนจะเดินอาด ๆ นำหน้าไป ทิ้งให้ลูกชายเจ้าของบ้านอย่างเขาต้องวิ่งตาม ส่วนแม่พลอย แม่ของพิชญ์ก็ไม่ต้องถาม พอเจอหลานก็ลืมลูกทันที



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า ^^

จริงๆแล้วคุณใหญ่เขาก็มีมุมใจดีเหมือนกันนะคะ
แต่ชอบทำให้พีทเกลียดมากกว่า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 6 --- หน้าที่ 2 [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 29-04-2020 18:04:27
ปากกับใจของคุณใหญ่ละน่าาาาาาไม่เคยตรงกันซักที ทำให้พีทขุ่นเคืองได้ตลอด..
น้องหนูเลยกลายเป็นความสุขหนึ่งเดียวของพีทจริงๆ ละนาทีนี้
ถ้าคุณใหญ่แค่ใจดี(ต่อหน้า)กับพีทซักนิด เดาว่าพีทต้องมองคุณใหญ่ใหม่แน่ๆ

แต่เอาเถอะ เอาที่คุณใหญ่สบายใจละกันนะ 555555 :katai5:


รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 6 --- หน้าที่ 2 [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 30-04-2020 18:12:39
เฮ่อเหนื่อยใจกับคนปากแข็ง o18 ว่าแต่น้องหนูคงไม่ใช่ลูกเสี่ยเล้งนะ   :hao4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 6 --- หน้าที่ 2 [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 02-05-2020 00:01:31
เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านเมื่อหลายปีก่อน จนลืมไปละไม่รู้ว่าใช่ไหม แต่มันนานมากๆ หลายปีเลย 4-5ปีไหมไม่มั่นใจว่าจะใช่เรื่องนี้เปล่า แต่พล๊อตเรื่องนี้แบบนี้
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 6 --- หน้าที่ 2 [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 02-05-2020 21:24:02
คุณใหญ่เอาใจคุณเขาดีแบบนี้ เห็นทีเขาคงจะลดความเกลียดลงให้กะจึ่งนึง 55555 ว้อยยยยสนุกกกกมากกกกก เฮ้ยๆชอบอ่ะ คุณใหญ่ปากร้าย แต่ก็ปกป้องดูแลทุกคน แม้วันนึงพ่อพีทอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกับน้องหนู เพราะดูท่าเสี่ยเล้งแล้วทะแม่งๆ อะๆยังไง 55555 ความผูกพันธ์ัคงตัดไม่ขาดทั้งกับลูกและกับคุณลุง อีกนานกว่าคุณใหญ่จะปากตรงกับใจ พูดดีๆ ให้เราฟิน ปานนั้นพีทจะยังอยู่หรือป่าว ชอบความมั่นคงของคุณใหญ่ที่อยากจะได้แต่พีทเพียงคนเดียว เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าเขาก็แคร์ตัวเองอยู่มาก ซื้อของกินที่ชอบให้ พากลับบ้านแค่ได้ยินว่าคิดถึง ถึงจะชอบบังคับจนน่าหมั่นไส้ แต่เราก็ชอบอ่ะ 5555555 สนุกจริง อยากอ่านต่อแล้ววววววว ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพต่อ รอตอนต่อไปเลยค่ะ รรรรร  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 6 --- หน้าที่ 2 [26/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 03-05-2020 09:31:45
ไปทะเลกันดีกว่า ..
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 7 --- หน้าที่ 2 [03/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 03-05-2020 20:22:50
เจ็ด
แปลกไป



          บ้านของพิชญ์ตั้งอยู่ตัวอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดกะทัดรัดเนื่องจากอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก บริเวณนอกบ้านมีแปลงผักสวนครัวเล็ก ๆ ซึ่งแม่พลอยเป็นคนปลูกและดูแลเองกับมือจนออกดอกออกผลสวยงาม

          สมัยก่อนตอนอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก พิชญ์ก็คิดว่าบ้านของเขามีขนาดกำลังดี อย่างน้อยก็เหมาะกับครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีแค่เขากับแม่พลอย แต่พอมีผู้ชายตัวใหญ่ ๆ อีกสองคนมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางบ้าน พิชญ์ถึงเพิ่งรู้ว่าบ้านของเขามันคับแคบเกินไปสำหรับการรับแขก โชคดีที่บริเวณชานบ้านมีม้าหินสำหรับนั่งรับลมเย็น ๆ แม่พลอยเลยชวนแขกจากกรุงเทพฯมานั่งตรงชานบ้านแทน

           “แล้วนี่ไปยังไงมายังไง ถึงได้มาถึงนี่ล่ะพีท” แม่พลอยเอ่ยถามลูกชายคนเดียวอย่างเอ็นดู ข้าง ๆ มีหลานสาวตัวน้อยที่นั่งเล่นก้อนน้ำแข็งอยู่ เดี๋ยวจับใส่ปากบ้าง เดี๋ยวคายออกบ้าง แล้วก็หัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจอยู่คนเดียวตามประสาเด็ก

          พอถูกผู้เป็นแม่เอ่ยถาม คนที่ถูกพากลับบ้านแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยตวัดตามองอริญชย์ เป็นเชิงให้อริญชย์เป็นฝ่ายตอบแม่พลอยเอง คนถูกมองเองก็ดูจะเข้าใจความหมายจากสายตาของพิชญ์ เลยหันไปยิ้มอ่อน ๆ ให้กับแม่พลอยก่อนจะอธิบาย

           “พอดีน้องหนูบ่นว่าอยากมาเที่ยวทะเลน่ะครับ ไหน ๆ ผมกับพีทก็เคลียร์งานเสร็จแล้ว เลยคิดว่าแวะมาที่นี่ ถือโอกาสมาเยี่ยมแม่พลอย แล้วค่อยพาน้องหนูไปเล่นทะเลที่หาดหัวหินหรือไม่ก็หาดปราณบุรีน่าจะดี”

          แม่พลอยพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะกวาดสายตามองรอบ ๆ ตอนแรกที่ลูกกับหลานมาถึง เธอมัวแต่สนใจหลานสาวตัวน้อยที่วิ่งตื๋อเข้ามาหาเลยไม่ทันได้สังเกตอะไร พอมาดูดี ๆ ถึงเห็นว่าลูกสะใภ้ของเธอไม่ได้มาด้วย ด้วยความเป็นห่วงเลยอดถามออกไปไม่ได้

           “แล้วคุณเล็กไม่มาด้วยหรือพีท”

           “ยัยเล็กเขาติดงานถ่ายแบบครับ พวกผมเลยพาน้องหนูมาเที่ยวกันเอง”

          อริญชย์เป็นคนเอ่ยตอบแทนพิชญ์ ทำให้แม่พลอยคลายความสงสัยไปได้เยอะ เธอเองก็รู้ว่าไอลดาเป็นนางแบบจากการบอกเล่าของพิชญ์ เลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเหมือนคนอื่น ๆ มากนัก แต่ตามประสาแม่สามีก็อดถามถึงลูกสะใภ้ไม่ได้

           “พีทมากะทันหัน ไม่ได้มากวนแม่ใช่ไหม” พิชญ์เอ่ยกับผู้เป็นแม่เสียงอ่อน

          ถึงแม้ยามทำงานและยามอยู่กับคนอื่น พิชญ์จะวางมาดเป็นนักธุรกิจที่ดูโตเกินอายุ ด้วยความรับผิดชอบหลาย ๆ อย่างที่แบกรับมา แต่พออยู่กับผู้เป็นแม่ที่เลี้ยงกันมาแต่เล็กแต่น้อย พิชญ์ก็ถอดหัวโขนต่าง ๆ ออก กลายเป็นแค่ลูกชายคนหนึ่งของแม่ และสำหรับแม่พลอยเองแล้ว ต่อให้พิชญ์จะแต่งงาน มีลูกมีภรรยา มีหลานให้แม่อุ้ม แต่ในสายตาของคนเป็นแม่ พิชญ์ก็ยังคงเป็นลูกชายตัวน้อยของแม่พลอยอยู่วันยังค่ำ

           “กวนเกินอะไรกันพีท แม่อยู่คนเดียว มีลูก ๆ หลาน ๆ มาหาแม่ก็ดีใจ” แม่พลอยเอ่ยอย่างยินดี พร้อมทั้งเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้อริญชย์และตุลย์ด้วยเช่นกัน

           “แม่อยู่คนเดียวเหงาหรือเปล่า พีทชวนแม่ไปอยู่กรุงเทพฯด้วยกัน แม่ก็ไม่ยอมไป”

           “ไม่เอาหรอก แม่ไม่ชอบ อยู่ที่นี่ดีแล้ว พีทคิดถึงแม่ก็มาหาแม่ที่นี่ แล้วดูเราสิ โตจนมีลูกแล้ว ยังมาอ้อนแม่ต่อหน้าลูกอีก”

          พิชญ์คว้าเอาเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งตัก ก้มลงกดจมูกที่แก้มยุ้ยแรง ๆ ก่อนจะแย่งน้ำแข็งในมือน้องหนูมาโยนทิ้งลงพื้นพร้อมกับเอ็ดเบา ๆ

           “พอแล้วน้องหนู สกปรกหมดแล้ว”

           “ฮือ...พ่อพีท น้องหนูจะเล่นเย็น ๆ”

           “ถ้าดื้อ เดี๋ยวพ่อพีทไม่พาไปหาคุณปลานะ”

          พอโดนเอาเรื่องเที่ยวมาขู่ น้องหนูที่กำลังเบะปากก็หุบฉับทันทีก่อนจะซุกหน้าเข้ากับอกของพิชญ์ ให้คนอื่น ๆ ได้แต่มองด้วยความเอ็นดู

           “ตายจริง! แม่ลืมไป ไม่ได้บอกกันก่อนว่าจะมา แม่เลยไม่ได้เตรียมที่นอนห้องหับเอาไว้ให้”

           “ไม่เป็นไรครับ พวกผมอยู่กันง่ายอยู่แล้ว” ตุลย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอริญชย์เป็นคนเสนอหน้ามาตอบ ให้อริญชย์นึกหมั่นไส้จนต้องถามกลับหน้านิ่ง ๆ

           “ใครพวกเดียวกับนาย”

           “โธ่ คุณใหญ่ ผมก็แค่พูดรวมเฉย ๆ”

          แม่พลอยที่ปกติอยู่คนเดียว พอเห็นผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายมายืนเถียงกัน ก็มองอย่างขบขันก่อนจะยกมือปราม

           “ไม่ต้องเถียงกันคุณใหญ่ เอาอย่างนี้ แม่ว่าให้น้องหนูมานอนกับแม่ที่ห้อง แล้วคุณใหญ่กับตุลย์นอนห้องพีท ส่วนพีท...หนูไปเอาฟูกที่แม่พับเก็บอยู่มาปูนอนตรงห้องรับแขกละกัน เพราะถ้าปูนอนในห้องพีท แม่ว่าไม่มีที่เดินแน่ ๆ”

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากรับคำผู้เป็นแม่ แต่ยังช้ากว่าอีกคนที่รีบชิงขัดขึ้นเสียก่อน

           “ไม่ต้องลำบากพีทหรอกครับแม่ เดี๋ยวให้ตุลย์นอนห้องรับแขกแทน แล้วให้พีทมานอนในห้องกับผมดีกว่า” นอกจากจะเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มหูกับแม่พลอยแล้ว อริญชย์ยังหันไปขึงตาดุ ๆ ใส่ตุลย์เป็นเชิงให้หุบปากอีกด้วย

           “แต่คุณใหญ่กับตุลย์เป็นแขก เดี๋ยวจะลำบากกันเปล่า ๆ แม่ว่า...”

           “ไม่ลำบากหรอกครับแม่ ตุลย์มันชิน”

           “ถ้าคุณใหญ่ว่างั้น ก็เอาตามคุณใหญ่เลยละกัน”

          ตุลย์ได้แต่เกาหัวแกรก ๆ เมื่อถูกผู้เป็นนายยัดเยียดให้นอนพื้นหน้าตาเฉย เอาเถอะ...เป็นลูกน้องเขานี่หว่า เจ้านายสั่งอะไรก็ต้องทำตาม อย่าริอ่านไปขัดขวางความสุขเจ้านายให้มาก เดี๋ยวจะได้วอดวายไม่รู้ตัว

          พิชญ์ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ห้องนอนเขามีเตียงใหญ่อยู่แค่เตียงเดียว ยังไงก็นอนได้แค่สองคน แต่จะให้เขานอนกับอริญชย์ พิชญ์ก็ลำบากใจจริง ๆ

           “อันที่จริง พีทไปนอนในห้องแม่กับน้องหนูก็ได้นะ” พิชญ์หันไปเอ่ยกลับแม่พลอย ทำทีเป็นไม่สนใจสายตาดุ ๆ ของคนที่อยู่ข้าง ๆ

           “จะมานอนเบียดกันทำไม แม่กับน้องหนูจะนอนกันตามประสาสาว ๆ พีทก็นอนกับคุณใหญ่ไปสิลูก ผู้ชายก็อยู่ส่วนผู้ชาย จริงไหมน้องหนู”

          นอกจากผู้เป็นแม่จะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยแล้ว ลูกสาวคนสวยของพิชญ์ยังพยักหน้าหงึก ๆ อีก แถมคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะออกมาเบา ๆ มีแต่พิชญ์คนเดียวที่ทำหน้ายุ่งยากใจ

          ...แม้กระทั่งอยู่บ้านตัวเอง...พิชญ์ก็ยังไม่มีทางหนีอริญชย์พ้นเลยใช่ไหม...


.


          หลังจากขนข้าวของลงมาจากรถเรียบร้อย แม่พลอยที่มีลูกมีหลานมาเยี่ยมเต็มบ้านก็เกิดอารมณ์ดี อยากจะแสดงฝีมือทำอาหาร พิชญ์เลยเดินเข้าครัวมาช่วยแม่เปิดตู้เย็นดูของสด ปล่อยให้น้องหนูอยู่กับตุลย์และอริญชย์

           “แม่ พีทอยากกินกุ้งอบวุ้นเส้นฝีมือแม่จัง” ลูกชายตัวโตหันมาเอ่ยอ้อนแม่

           “โตจนมีลูกแล้วยังอ้อนแม่อีกนะเรา แล้วเป็นไงบ้างลูก อยู่กรุงเทพฯสบายดีไหม”

          พิชญ์ลากเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ มานั่งในครัว คอยดูแม่พลอยที่แม้อายุอานามจะมากแล้ว แต่ยังคล่องแคล่วอยู่เสมอ เขาเคยนึกอยากจะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ อาจจะหาบ้านหลังเล็ก ๆ แล้วอยู่ด้วยกันสองคน แต่พอชีวิตพลิกผัน ต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ อะไรหลายอย่างเลยไม่เป็นอย่างใจคิด

           “พีทสบายดี แต่อยากให้แม่ไปอยู่ด้วยจัง”

           “ไม่เอาหรอก บ้านคุณใหญ่เขาหลังใหญ่โต แม่ไม่ชิน แม่ชอบอยู่บ้านเล็ก ๆ”

           “แต่ปล่อยให้แม่อยู่คนเดียว พีทเป็นห่วงแม่นะ งั้นพีทซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ที่กรุงเทพฯให้แม่อยู่เอาไหม”

           “ไม่เอา ๆ ไม่ต้องเลยนะพีท แม่อยู่ที่นี่ดีแล้ว อยู่มาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่นหรอก” แม่พลอยรีบเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็งทันที

          สุดท้ายแล้ว พิชญ์ก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เหมือนที่ผ่าน ๆ มา เขารู้ว่าแม่ผูกพันกับบ้านหลังนี้ ผูกพันกับที่นี่ ที่ ๆ มีความทรงจำของแม่กับพ่ออยู่เต็มไปหมด แต่พิชญ์ก็เป็นห่วงแม่ ผู้หญิงตัวคนเดียวในบ้านหลังเล็ก ๆ ถึงจะมีเพื่อนบ้านคอยช่วยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้ พิชญ์ก็ยังอยากให้แม่ไปอยู่ใกล้ ๆ เขาอยู่ดี

           “กับคุณเล็กเข้ากันได้ดีใช่ไหมลูก” แม่พลอยเอ่ยถามเสียงเรื่อย ๆ ไม่ได้หันกลับมามองลูกชาย เลยไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าท่าทางของพิชญ์

           “ครับ คุณเล็กเธอเป็นคนดี”

          กับไอลดาแล้ว พิชญ์ไม่มีปัญหาอะไรในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเธอเลย ที่มีปัญหาจริง ๆ คือพี่ชายของไอลดาหรือพี่ภรรยาของเขาต่างหาก แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดออกไปให้ผู้เป็นแม่รู้สึกกังวล

           “ดีแล้ว พีทเองก็เป็นคนดี ใครอยู่ใกล้พีทก็ต้องชอบพีททุกคน เวลาเห็นลูกมีความสุข แม่เองก็พลอยดีใจไปด้วย อ้อ...แล้วส่งเงินมาให้แม่ตั้งมากมาย พีทพอใช้เหรอลูก เก็บออมไว้ให้น้องหนูบ้างนะ ยังไงก็อย่าไปรบกวนคุณเล็กกับคุณใหญ่เขามาก”

          แม่พลอยเองก็รู้ว่าทางไอลดามาจากครอบครัวมีฐานะ ความก้าวหน้าต่าง ๆ ของพิชญ์ก็ล้วนแต่มาจากการช่วยเหลือของอริญชย์ แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครมาครหาว่าลูกชายเกาะครอบครัวภรรยากิน ถ้าสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้ เธอก็อยากจะให้พิชญ์ทำอย่างนั้น

           “พีทก็ไม่อยากไปรบกวนเขาเท่าไหร่หรอกแม่”

          ...แต่บางทีอริญชย์ก็เป็นฝ่ายหยิบยื่นมาให้ โดยเรียกร้องเอาสิ่งแลกเปลี่ยนที่เขาไม่เต็มใจเลยกลับคืน...นั่นคือสิ่งที่พิชญ์ได้แต่คิด ไม่กล้าเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ออกไป

           “เงินที่พีทโอนมาให้แม่ แม่ก็ยังไม่ได้เอามาใช้ซักบาท ว่าจะเก็บให้น้องหนูอยู่เหมือนกัน”

           “แม่เก็บไว้ใช้เถอะ น้องหนูมีคนเอ็นดูเยอะแยะแล้ว”

           “อิจฉาน้องหนูล่ะสิ”

           “เปล่าซะหน่อย แม่ก็ใส่ความพีท พีทเป็นพ่อ เห็นคนมาเอ็นดู มารักลูกตัวเอง พีทก็ต้องดีใจอยู่แล้วสิ”

          พิชญ์ยอมรับนับถือน้ำใจของไอลดาอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะตั้งท้องน้องหนูตอนที่ยังไม่พร้อม แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บน้องหนูเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พิชญ์ก็ขอบคุณเธอเหลือเกินที่มอบของขวัญล้ำค่าที่สุดอย่างน้องหนูให้กับเขา
         
           “ตายจริง!”

          เสียงอุทานของผู้เป็นแม่ดึงความสนใจของพิชญ์ให้หันกลับไปมอง ก่อนจะลุกไปยืนข้างหลังแม่พลอย แล้วชะโงกหน้าไปดูอย่างเป็นห่วง

           “เป็นอะไรแม่ ร้องจนพีทตกใจหมด”

           “น้ำมันหมดพอดีเลย แม่ไม่ได้ซื้อเก็บไว้เสียด้วย”

           “เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวพีทขี่รถออกไปซื้อให้ เอาน้ำมันอย่างเดียวใช่ไหมแม่”

           “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พีทซื้อมะนาวกับวุ้นเส้นกลับมาด้วยเลยแล้วกัน กุญแจรถแขวนอยู่ที่เดิมนะ”

          พิชญ์หันมายักคิ้วให้ผู้เป็นแม่อย่างทะเล้น ก่อนจะเดินออกไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่แขวนอยู่ เห็นตุลย์กับอริญชย์กำลังชวนน้องหนูเดินดูปลาในบ่อ พิชญ์เลยเดินผ่านไปใส่รองเท้า แล้วก้าวขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบอยู่ข้างบ้าน เพิ่งจะเสียบกุญแจ ยังไม่ทันได้สตาร์ทเครื่อง เสียงดุ ๆ ก็ดังมาจากข้างหลัง

           “จะไปไหน”

           “ไปซื้อของให้แม่ครับ คุณใหญ่จะเอาอะไรหรือเปล่า”

          อริญชย์ไม่ได้ตอบคำถามของพิชญ์ แต่ก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หน้าตาเฉย เล่นเอาคนขับถึงกับเหวอไปนิด ๆ

           “คุณใหญ่...” พิชญ์ร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างไม่เข้าใจ

           “ออกรถสิ ฉันจะไปด้วย”

          รู้ดีว่าเถียงหรือคัดค้านไป ยังไงอีกคนก็ไม่ฟังอยู่ดี ลองว่าอริญชย์ต้องการอะไรแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะยอมเลิกราทั้งที่ยังไม่ได้ พิชญ์เลยได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วขี่รถออกจากบ้าน

          ปกติแล้ว จากบ้านพิชญ์ไปตลาดตรงสี่แยกมักจะใช้เวลาประมาณสิบถึงสิบห้านาที ซึ่งเป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลจากบ้านเท่าไหร่ แต่วันนี้ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่า เหมือนระยะทางมันจะไกลเกินไปในความรู้สึกของเขา โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ชายตัวโตซ้อนท้ายมาด้วย แถมยังเกาะเอวเขาเสียแน่น ทั้ง ๆ ที่พิชญ์ก็ขี่ด้วยความเร็วปกติ ไม่ได้ผาดโผนเลยแม้แต่น้อย

          คนขี่..นึกอยากให้ตลาดอยู่ใกล้บ้านกว่าเดิม แต่คนซ้อน...กลับนึกอยากให้ตลาดอยู่ไกลออกไป หรือถ้าเป็นไปได้...ขี่ไปถึงกรุงเทพฯเลยยิ่งดี

          พิชญ์จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมถนนเหมือนคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินนำไปที่ตลาด โดยลืมไปว่าอีกคนไม่ใช่คนท้องที่อย่างเขา กว่าจะรู้ว่าอริญชย์ไม่ได้เดินตามมาก็ตอนที่เดินมาถึงหน้าตลาด แล้วรู้สึกเหมือนทำอะไรหายไป เขามองย้อนกลับไป เลยเห็นอริญชย์ยังมัวแต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แถวรถมอเตอร์ไซค์ จนพิชญ์อดไม่ได้ ต้องตะโกนเรียกอีกฝ่าย

           “ยืนรออะไรครับ คุณใหญ่”

          อริญชย์นิ่วหน้าออกมานิด ๆ เมื่อเจ้าถิ่นเห็นเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับพื้นที่เลยได้ทีข่มเขาใหญ่ ทีใครทีมันแล้วกัน อย่าให้เป็นทีเขาบ้างเชียวล่ะ

          พิชญ์เดินนำอริญชย์เข้าไปในตลาดอย่างคุ้นเคย พยายามผ่อนฝีเท้าลงช้า ๆ คนที่เดินตามมาจะได้เดินทัน ตลาดเช้าวายไปหมดแล้ว ไม่มีของสดเหลือให้จับจ่าย ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ร้านขายของแห้งกับของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะหาซื้อได้

          นักธุรกิจใหญ่อย่างอริญชย์ไม่เคยมาเดินตลาดแบบนี้ เลยมีท่าทีประดักประเดิดแปลก ๆ ให้พิชญ์เกือบหลุดหัวเราะออกมาอยู่หลายรอบ นี่ถ้าเกิดพามาตอนเช้าที่มีของสดวางขาย มีพ่อค้าแม่ค้าเข็นรถเข็นกันอุตลุต สงสัยคงได้สนุกกว่านี้แน่

           “อย่ามัวยืนเกะกะครับคุณใหญ่ ตลาดสด ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า” พิชญ์แกล้งเอ่ยค่อนขอดอริญชย์ ให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น ๆ ก่อนจะเดินนำไปยังร้านขายของแห้ง

           “แสบนักนะ!” คนถูกกัดอ้อม ๆ ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ

          มาถึงร้านขายของแห้ง พิชญ์ก็เดินเข้าไปหยิบน้ำมันที่แม่สั่งก่อนเป็นอย่างแรก ก่อนจะฉวยเอาวุ้นเส้นยี่ห้อโปรดของตัวเองมาด้วย ไหน ๆ แม่ก็จะตามใจทำกุ้งอบวุ้นเส้นให้เขา พิชญ์ก็ขอเลือกวุ้นเส้นยี่ห้อโปรดไปด้วยเลยแล้วกัน เขาปล่อยให้อริญชย์ยืนรออยู่นอกร้าน ส่วนตัวเองเดินเข้าไปจ่ายเงินข้างใน

           “นี่พีท ลูกแม่พลอยที่ทำขนมมาส่งที่ร้านใช่ไหม กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

          หลายปีที่ไม่ได้กลับบ้าน ทำเอาพิชญ์ลืมเลือนผู้หลักผู้ใหญ่ที่คุ้นหน้าคุ้นตาไป แต่ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี ชายหนุ่มเลยส่งยิ้มนำออกไปก่อนจะเอ่ยตอบ

           “เพิ่งมาถึงเมื่อบ่ายนี้เองครับ”

           “จ้ะ ไม่เจอกันเสียนาน เจออีกทีกลายเป็นหนุ่มหล่อไปแล้ว แม่พลอยก็ชอบมาพูดให้ฟังอยู่เรื่อย ๆ”

           “ขอบคุณที่ชมครับ ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องไปซื้อของให้แม่ต่อ”

           “ไปดีมาดีเถอะพ่อคุณ ว่าแต่คนกรุงที่มาด้วยนั่นใครกันล่ะ” คุณป้าร้านขายของเอ่ยถามพลางส่งสายตาบุ้ยใบ้ไปยังอริญชย์ที่ยืนรออยู่นอกร้าน

           “พี่ภรรยาผมเองครับ”

           “ตายจริง แต่งงานแล้วเหรอ นึกว่าจะทาบทามให้ลูกสาวป้าซะหน่อย”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มรับแล้วเอ่ยขอตัว คนที่ยืนรออยู่นานสองนานถึงกับนิ่วหน้าทันที ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

           “คุยอะไรกันนานสองนาน เป็นญาติกันหรือไง”

           “ไม่ใช่ญาติครับ แต่คนต่างจังหวัดเขาเจอกันก็ทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่คนกรุงเทพฯนี่ครับ จะได้ตัวใครตัวมัน”

           “ยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำ ทำไมต้องบ่นยืดยาว”

          ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้ว่า แต่พิชญ์ก็รู้ว่าอริญชย์คงคิดไม่เหมือนเขา นักธุรกิจอย่างอริญชย์เลือกคบเฉพาะคนที่มีผลประโยชน์ให้กับตัวเองเท่านั้น ต่างจากพิชญ์ที่ยินดีเปิดรับทุกคนเข้ามาด้วยความเต็มใจ เพราะพิชญ์เชื่อว่าถ้าเขาดีกับใคร คนนั้นก็จะดีตอบกลับมา แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำให้ความเชื่อของพิชญ์สั่นคลอน...

          ...เขาไม่เคยร้ายใส่อริญชย์ แล้วทำไมอริญชย์ถึงมาทำร้ายเขา...

          ขากลับจากตลาด อริญชย์แย่งเอาของจากมือพิชญ์ไปถือไว้เอง เพราะเห็นพิชญ์ต้องเป็นคนขี่รถกลับ พิชญ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขารู้ดีว่าคนอย่างอริญชย์คงจะเคยนั่งแต่รถยนต์ ไม่เคยต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์แบบนี้ ถ้าเลือกได้ พิชญ์ก็อยากให้อริญชย์เป็นคนขี่มากกว่า มือปลาหมึกของอีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องมายุ่มย่ามแถวเอวเขาให้พิชญ์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลก ๆ

          พอขี่รถเข้ามาจอดหน้าบ้าน อริญชย์ก็กวักมือเรียกตุลย์ให้เข้ามาช่วยรับของไปจากเขา แถมยังสั่งคนสนิทให้เข้าไปช่วยแม่พลอยทำกับข้าวในครัวอีกต่างหาก

           “ทำงานบ้างตุลย์ ไม่เคยได้ยินสุภาษิตว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ทำตัวเหมือนวัวเหมือนควายให้ลูกท่านด่าเหรอ”

          ไม่ใช่แค่ตุลย์ที่ชะงักกับสุภาษิตของอริญชย์จนแทบหัวทิ่ม แม้แต่พิชญ์เองก็ยังหันมามองอริญชย์ที่ยืนหน้าตาย ไม่รู้ว่าคนพูดพูดเพราะความไม่รู้หรือจงใจพูดกระทบกระทั่งเขากันแน่

           “มั่วแล้วครับคุณใหญ่ เขามีแต่อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”

           “งั้นหรือ”

          อริญชย์เลิกคิ้วถามกลับได้น่าหมั่นไส้ที่สุดในสายตาของพิชญ์ เขาส่ายหน้าน้อย ๆ กำลังจะเดินไปหาน้องหนูอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดมาของตุลย์เข้าเสียก่อน

           “คุณใหญ่ตัวก็ใหญ่อย่างกับยักษ์ ทำไมถึงซ้อนคุณพีทมาล่ะครับ ทำไมคุณใหญ่ถึงไม่ขี่รถ แล้วให้คุณพีทซ้อนแทน”

          อริญชย์หันไปตวัดตามองตุลย์ดุ ๆ แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะพิชญ์เองก็หันมาถามอริญชย์เสียงเรียบ ๆ

           “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณใหญ่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเหมือนกัน”

           “ก็แค่พอได้นิด ๆ หน่อย ๆ”

           “แล้วคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์วิบากสมัยหนุ่ม ๆ นี่มันใครกันครับคุณใหญ่”

           “ฉันสั่งให้นายไปช่วยแม่พลอยทำกับข้าวไม่ใช่หรือไง”

          ตุลย์ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ทำไมเขาจะรู้ไม่ทันเจ้านายตัวเองล่ะ เนียนซ้อนท้ายเพราะอยากฉวยโอกาสกอดเอวเขาก็บอกไปเถอะ

          พิชญ์เห็นจำเลยเอาแต่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก็คร้านที่จะหาความกับผู้ชายตัวโต ๆ ไปเล่นกับน้องหนูให้สบายใจดีกว่า แต่ก้าวขาออกไปไม่ทันไร เสียงห้าวก็ลอยตามลมมา

           “ไม่ใช่ความผิดฉันนะ นายไม่ถามก่อนเอง”

          โอเค! พิชญ์ลืมไปว่าในพจนานุกรมของผู้ชายที่ชื่ออริญชย์ เกียรติกาญจนา ไม่เคยมีการบรรจุความผิดของตัวเองเอาไว้


.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 7 --- หน้าที่ 2 [03/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 03-05-2020 20:27:49
           “อาหารอร่อยทุกอย่างเลยครับแม่...”

           “คุณใหญ่ก็ชมแม่เกินไป แม่ก็ทำตามปกติของแม่นี่แหล่ะ ถ้าชอบก็กินเยอะ ๆ เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

           “แม่เรียกใหญ่เฉย ๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก คิดเสียว่าผมเป็นลูกเป็นหลานของแม่อีกคน”

           “ไม่เป็นไร แม่เรียกคุณใหญ่จนชินปากแล้ว”

          พิชญ์นั่งกินข้าวอย่างเซ็ง ๆ ฟังอริญชย์คุยกับแม่พลอยแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตกกระป๋องยังไงไม่รู้ เขาสาบานเลยว่า เพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าแม่เขามีลูกชายอีกคน นอกจากอริญชย์จะเรียกแม่เขาว่าแม่ทุกคำ แม่พลอยเองก็ไม่ต่างกัน นาน ๆ จะได้กลับมาบ้านที แต่พอกลับมาถึงแล้วแม่ได้ลูกชายคนใหม่ พิชญ์ก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่หรอกนะ

           “เดี๋ยวหนุ่ม ๆ จัดการที่เหลือกันตามสบายเลยนะ แม่ขอพาน้องหนูไปอาบน้ำแล้วเข้านอนก่อน พีทก็เก็บจานล้างให้เรียบร้อยด้วยนะลูก”

          พิชญ์พยักหน้ารับ นั่งดูแม่พลอยจูงน้องหนูเดินเข้าห้องนอนไปด้วยกันตามประสาผู้หญิง ก่อนจะเหลือแต่เขา อริญชย์ และตุลย์ที่ยังนั่งกันอยู่ตรงชานบ้าน พิชญ์มองจานชามที่วางระเกะระกะก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกคนที่นั่งข้าง ๆ คว้าข้อมือเอาไว้ก่อน

           “จะไปไหน”

           “ไปเก็บจานชามล้างครับ คุณใหญ่จะเอาอะไรหรือเปล่า” พิชญ์ถามไปตามมารยาทเฉย ๆ ต่อให้อริญชย์อยากได้อะไรขึ้นมาตอนนี้ เขาก็ขี้เกียจไปหามาให้อยู่ดี

           “ไม่ต้อง เดี๋ยวให้ตุลย์ไปล้าง”

          ตุลย์ที่นั่งอยู่เฉย ๆ ถึงกับเงยหน้าขวับ เมื่อจู่ ๆ ผู้เป็นนายก็โยนภาระมาให้อีกแล้ว พิชญ์เองก็ถึงกับเหลืออด คำก็ตุลย์ สองคำก็ตุลย์

           “คุณใหญ่ ให้ตุลย์เขาพักบ้างเถอะ คุณจะใช้อะไรเขานักหนา กับแค่เรื่องล้างจานแค่นี้ ผมทำเองก็ได้”

           “ตุลย์ยังไม่บ่นซักคำ”

           “เขาจะบ่นได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคุณเป็นเจ้านาย” พิชญ์เอ่ยเสียงห้วน ก่อนจะยกชามกองโตเดินเข้าไปในห้องครัว ทิ้งให้อริญชย์ได้แต่ตวัดสายตามองตุลย์ดุ ๆ

           “เพราะนายคนเดียวเลยนะตุลย์”

           “อย่าโทษผมสิครับคุณใหญ่ คุณใหญ่ชอบใช้งานผมบ่อย ๆ คุณพีทก็ต้องเห็นใจผมเป็นธรรมดา ระวังเถอะ...”

           “ระวังอะไร ตอบดี ๆ ไม่งั้นคืนนี้ได้นอนนอกบ้านแน่”

           “อย่านะครับคุณใหญ่ ที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์เกียรติกาญจนานะ”

          อริญชย์มองตุลย์อย่างรำคาญ พอมีคนยกหางเข้าหน่อยก็เอาใหญ่ สงสัยคงจะลืมไปว่าเจ้านายที่แท้จริงของตัวเองเป็นใคร

           “หยุดกวนตีนฉัน แล้วรีบ ๆ เข้าไปช่วยพีทล้างจาน”

           “แต่คุณพีทเขาจะล้างเองนี่ครับ”

           “ใครเป็นเจ้านายกันแน่ ฉันหรือพีท?”

          ตุลย์หัวเราะออกมาอย่างทะเล้น ก่อนจะยกจานชามที่เหลือเดินตามหลังพิชญ์ไป จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้คิดจะเกี่ยงงานอะไรหรอก แค่อยากกวนประสาทเจ้านายตัวเองเล่นเฉย ๆ ถ้าความสุขของอริญชย์คือการเห็นพิชญ์โมโห ความสุขของตุลย์ก็คงเป็นการเห็นอริญชย์โมโห แต่สาบานได้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับอริญชย์ มันเป็นแค่ความหมั่นไส้ในความท่ามากของคนเป็นนายเฉย ๆ


.


          พออริญชย์อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็ไล่ตุลย์ให้เข้าไปอาบน้ำต่อ ก่อนจะต้องยืนนิ่วหน้าเมื่อเห็นพิชญ์ที่อยู่ในชุดนอนลายทางกำลังหอบหมอนกับผ้าห่มจะเดินออกจากห้อง ไม่ต้องถาม อริญชย์ก็เดาการกระทำของอีกฝ่ายออกทันที เขาเดินไปขวางประตูเอาไว้ จนคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดิน ต้องเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับอริญชย์ พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

           “หลบหน่อยครับ คุณใหญ่”

           “ถ้านายทำสิ่งที่ฉันไม่ชอบก่อน ฉันก็จะทำสิ่งที่นายไม่ชอบเหมือนกัน”

          พิชญ์ยืนกอดหมอนกับผ้าห่ม เม้มริมฝีปากแน่นขณะไตร่ตรองหาทางหนีทีไล่ ตอนนี้มีแค่เขากับอริญชย์ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ แม่พลอยกับน้องหนูเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ส่วนตุลย์ก็เพิ่งเดินเข้าไปอาบน้ำ

           “คุณใหญ่ต้องการอะไรจากผม”

           “ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายถามนายนะพีท ว่านายต้องการอะไรกันแน่ถึงได้คอยแต่จะยั่วโมโหฉันแบบนี้”

           “ผมไม่ได้ทำ”

          ไม่รู้ว่าเป็นความโชคร้ายของพิชญ์ หรือความโชคดีของอริญชย์กันแน่ที่ตุลย์อาบน้ำเสร็จพอดี ตอนแรกพิชญ์ก็ดีใจว่าตุลย์คงมาช่วยเขา ก่อนจะรู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่ตุลย์แย่งเอาหมอนกับผ้าห่มไปจากมือเขาหน้าตาเฉย

           “นี่หมอนกับผ้าห่มของผมใช่ไหมครับ ขอบคุณนะครับคุณพีท เดี๋ยวผมจัดการปูที่นอนเอง คุณพีทกับคุณใหญ่นอนกันได้เลยนะครับ ผมไม่กวนแล้ว ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ”

          ตุลย์พูดจบ ก็หอบหมอนกับผ้าห่มเดินออกไปนอกห้อง ปิดประตูให้เสร็จสรรพ อริญชย์เองก็ไม่รอช้า หันไปกดล็อกทันที กันไม่ให้คนสนิทกลับเข้ามาอีกและกันไม่ให้ม้าพยศบางตัวหนีออกจากคอกด้วย ถึงแม้จะชอบกวนประสาทไปบ้าง แต่บางครั้งตุลย์ก็ทำดีจนน่าตบรางวัลให้อย่างงามเหมือนกัน

           “กลับไปที่เตียงได้แล้วมั้งพีท หรือต้องให้ฉันอุ้มไป”

          พิชญ์ได้แต่ก่นด่าทั้งเจ้านายและลูกน้องในใจก่อนจะหันหลังกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียง พอล้มตัวลงนอนแล้ว พิชญ์ก็นอนหันหลังให้กับอริญชย์ ไม่สนใจไยดีอีกคน อริญชย์ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ก่อนจะดึงพิชญ์เข้ามาหาตัวเอง

           “หันหน้ามานี่ นอนหันหลังให้กันอย่างกับคู่ผัวเมียที่ขาเตียงหักไปได้”

           “คุณใหญ่คงลืมไปว่าผมเป็นสามีคุณเล็ก ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ”

          อริญชย์กระชับอ้อมกอดแน่น ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหู ให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดต้องนอนตัวแข็งทื่อ

           “แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ต้องให้ฉันบอกไหมว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”

           “คุณใหญ่!”

           “นายจะเป็นผัวยัยเล็กก็เป็นไป แต่จำไว้ว่าเจ้าของนายก็คือฉัน”

           “อย่าดูถูกผม”

           “ฉันไม่ได้ดูถูกนาย ฉันแค่พูดความจริง ต่อให้นายไม่ยอมรับความจริง แต่ร่างกายของนายก็ซื่อสัตย์เสมอ สาบานสิ...ว่านายไม่ได้มีอารมณ์เพราะฉัน” ไม่ใช่แค่ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำหยาบคาย แต่มือของอริญชย์ยังหยอกเอินร่างกายของพิชญ์ราวกับคุ้นเคยกันมานาน

          เขารู้...ว่าตรงไหนจะทำให้พิชญ์รู้สึก ตรงไหนจะทำให้พิชญ์ทุรนทุราย ตรงไหนจะทำให้พิชญ์ต้องร้องเรียกชื่อเขาทั้งที่ไม่เต็มใจ

           “ผมก็มีอารมณ์กับทุกคนนั่นแหล่ะ”

          ความอวดดีทำให้พิชญ์โพล่งประโยคน่าอายออกไป ก่อนจะรู้เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ก็ตอนที่อริญชย์ชะงักมือ แล้วเปลี่ยนเป็นบีบแน่นเข้าที่ตัวเขา จนพิชญ์ต้องหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บ

           “คิดดีแล้วใช่ไหมถึงได้พูดออกมา จะต้องให้ฉันตอกย้ำอีกแค่ไหน นายถึงจะจำได้ว่าตัวเองเป็นของ ๆ ใคร”

           “อย่านะคุณใหญ่”

          อริญชย์ขบกรามแน่น พยายามข่มอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติอย่างยากลำบาก แค่ประโยคที่พิชญ์บอกว่ามีอารมณ์กับทุกคน มันก็ทำเอาเขาโมโหจนนึกอยากกระทำรุนแรงใส่คนพูด แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ เขาจะสามารถทำอะไรอย่างใจคิดได้ อย่างน้อยเขาก็ต้องเห็นแก่หน้าแม่พลอย

          สุดท้ายอริญชย์เลยเลือกที่จะผลักพิชญ์ออกไป ก่อนจะลุกขึ้นนั่งในความมืด เขานั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่นาน แต่มันยากที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อต้นเหตุยังนอนอยู่ข้างกายเขา อริญชย์ถอนหายใจออกมาแรง ๆ ยกมือขยี้หัวตัวเองไปมา ก่อนจะลุกออกจากห้องไป ทิ้งอีกคนเอาไว้ในความมืด

          พิชญ์มองตามบานประตูที่ปิดลง ค่อย ๆ ดึงกางเกงนอนตัวเองขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย ทั้ง ๆ ที่อริญชย์ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ แต่ทำไมพิชญ์ถึงไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ควรจะเป็น ทำไมกัน?

          นี่เป็นครั้งแรกที่อริญชย์เป็นฝ่ายหันหลังให้กับเขา หรือว่าข้อตกลงบ้า ๆ มันจะจบลงแล้ว

          เขาควรจะดีใจ แต่ทำไมหัวใจถึงได้ปวดหนึบแปลก ๆ



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆเลยค่ะ
ดีใจที่ยังมีคนจำเรื่องนี้ได้ ตอนนั้นที่ลงน่าจะ4ปีได้แล้ว
ตอนนั้นลงไม่จบ แต่รอบนี้สัญญาว่าจะลงจนจบแน่นอนค่ะ ^^

คุณใหญ่ก็ยังเป็นผู้ชายร้ายๆ รักเค้า แต่ก็ร้ายกับเค้า น่าหมั่นไส้มาก



หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 7 --- หน้าที่ 2 [03/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 03-05-2020 23:08:47
พีทใจร่มๆ นะลูก คุณใหญ่แค่โมโหเฉยๆ
ไอ้เรื่องที่จะเบื่อพีทนั้นคงไม่มีทางเลย :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 7 --- หน้าที่ 2 [03/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-05-2020 23:56:22
อาร๊ายย อ๊ายยหวั่นไหวกับคุณเขาแล้วหรอ คิคิ >.< -///- แค่เดินหันหลังให้เพราะโมโหยังหนึบๆหน่วงๆ อย่าว่าแต่คุณใหญ่ปากแข็งเลย พีทเองก็คงไม่ต่างกันละม้างคือไม่รู้ใจตัวเอง สับสนไรงี้ สามนาทีดีสี่นาทีทะเลาะ เหมาะกันจริงคู่นี้ ลูกคงดกถ้ามีได้ 555555 อยากจะตบรางวัลให้ตุลย์หลายๆรอบอ่ะ เออแกล้งเจ้านายให้โมโหบ่อยเถอะจะได้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นเวลาโดนแกล้งซักที แต่คิดว่าจะสำนึกไหม คือคงไม่ ด้านแล้ว (เม้นท์หลอกด่าคุณเขาเจ้านาย จุๆ) 55555 รู้จังหวะกวนจังหวะช่วย จะมีแฟนกับเขาเป็นบ้างป่าวเนี้ย หรือว่าจะแอบมีซัมทิงกับคนสนิทอีกคนอักษรย่อ  ก. หาเมียให้แกซะงั้น ชอบเฮียตุลย์ไง 5555555 โว้ยยยยิ่งอ่านยิ่งสนุก อ่านเพลินดีจริง ภาษาดีอ่านลื่นไหล คำผิดไม่ค่อยมี แทบไม่เห็น ค่ะ นะคะ ยังใช้ถูกทุกที่  o13 o13 รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้อ่าน รรรรรรรรรรร  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 7 --- หน้าที่ 2 [03/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-05-2020 02:17:12
ใจเย็นๆกันนะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 7 --- หน้าที่ 2 [03/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 04-05-2020 13:43:41
มองข้ามความถูกต้องมองข้ามคำว่าสามีน้องสาวไป แล้วมองคุณใหญ่ให้ดีอีกครั้งอาจจะเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้นนะพีท เฮ่อ :เฮ้อ: แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากล่ะนะ แต่คุณใหญ่ก็นะพูดให้ชัดเจนอีกสักหน่อยโลกคงจะแตกล่ะมั้ง  :m16:
ป.ล.เราก็คุ้น ๆ เหมือนกันว่าเคยอ่านแล้วหรือเปล่าแต่ก็จำไม่ค่อยได้ แต่ยังใงก็จะจะอ่านอีกนั่นแหละ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 05-05-2020 19:05:20
แปด
ลอบกัด



ห้องชุดราคาแพงระยับของคอนโดมิเนียมหรูย่านกลางเมือง มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟตรงหัวเตียงที่ส่องกระทบร่างสองร่างบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ รอยสักมังกรผงาดกลางแผ่นหลังกว้างปรากฏเป็นเงาลาง ๆ  สวยงามราวกับผลงานชิ้นเอกของศิลปินฝีมือเยี่ยม ยามเมื่อร่างสูงเจ้าของรอยสักขยับกายกระแทกกระทั้นแรง ๆ จนเกิดเสียงเนื้อกระทบกัน ก็ดูคล้ายกับมังกรผงาดกำลังเคลื่อนไหวอย่างสง่างามอยู่กลางแผ่นหลัง สมกับชื่อของเขา ชื่อที่แปลว่า... ‘มังกร’ ตามภาษาจีนแต้จิ๋ว

อุณหภูมิในห้องเย็นเฉียบด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่สองร่างบนเตียงกลับมีแต่หยาดเหงื่อเกาะพราวทั่วตัว หมอนและผ้าห่มถูกปัดจนหล่นลงมากองระเกะระกะเต็มพื้นพรม เสื้อผ้าวางกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง ราวกับถูกถอดออกด้วยความเร่งรีบแล้วโยนส่ง ๆ ไว้ข้างเตียง

เสียงครางผะแผ่วดังออกมาจากริมฝีปากบางสลับกับเสียงหอบระรัว แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามสะกดกลั้นเสียงครางของตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ไม่วายมีเสียงครางหลุดออกมาให้ได้ยินเป็นพัก ๆ ปลายทางของความหฤหรรษ์รอเขาอยู่รำไร ริมฝีปากบางเม้มแน่น ร่างกายกระตุกระรัว ก่อนจะเคว้างคว้างราวกับถูกกระชากลงจากที่สูงด้วยฝีมือของคนที่คุมเกมอยู่

ราชันย์ กมลวิลาศน์เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มร้ายกาจ ขณะค่อย ๆ ถอดถอนแกนกายออกมาจากร่างเล็ก ทั้ง ๆ ที่เห็นว่าอีกฝ่ายจวนเจียนจะถึงปลายทางอยู่แล้ว หยาดน้ำใสเอ่อคลอรอบดวงตากลมโต แต่เขาไม่สนใจ พลิกตัวลงนอนหงายบนเตียง ก่อนจะดึงเอาร่างเล็กกว่าขึ้นมานั่งทับอยู่บนตัว เรียกสีเลือดฝาดให้ปรากฏบนดวงหน้าขาว ปฐพีทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ครางเรียกอีกคนเสียงแผ่ว ๆ

“ฮะ...เฮีย...อึก...”

ราชันย์เพ่งสายตามองผ่านความมืดที่เขาคุ้นชินด้วยท่าทางสบาย ๆ เห็นร่างเล็กทำหน้าไม่ถูกก็ยกยิ้มมุมปาก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกคนกำลังทรมานด้วยความต้องการมากแค่ไหน ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามผิวกายเปลือยเปล่าที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยจูบราวกับจะยั่วเย้า ก่อนถ้อยคำร้ายกาจจะหลุดออกมาจากริมฝีปากหยัก

“ถ้าอยากได้ ก็ขยับเองสิดิน...”

ปฐพีแทบจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ จัง ๆ แม้จะไม่ใช่หนแรกที่ถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่เคยชินเสียที มันทรมาน ทรมานด้วยความปรารถนาที่ถูกปลุกเร้า แต่กลับถูกยื้อเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้เขาไปสุดทาง เขาเม้มริมฝีปากแน่น มองส่วนกลางลำตัวของตัวเองที่อัดอั้นจนจวนเจียนจะระเบิดออกมา ค่อย ๆ ยื่นมือไปหมายจะจับอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แต่อีกคนกลับรู้ทัน ชิงคว้ามือเขาเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ

“ฉันบอกให้ขยับเอง ไม่ได้บอกให้ใช้มือ”

ปฐพีรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ยอมทำ ราชันย์ก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ ๆ ชายหนุ่มข่มกลั้นความอับอายของตัวเองอย่างยากลำบาก ยกสะโพกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กดลงมา ใบหน้าแดงซ่าน เมื่อความแข็งแกร่งของอีกคนจดจ่ออยู่ที่ปากทาง แต่อีกฝ่ายกลับมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“อ๊ะ...อา...” ปฐพีหลุดเสียงครางออกมาเบา ๆ เมื่อกดตัวเองลงมาจนรับเอาความใหญ่โตของราชันย์เข้าไปได้จนหมด ความรู้สึกอึดอัดระคนคับแน่นตีตื้นอยู่ตรงช่องทางเบื้องล่าง

“ขยับสิ” คำสั่งเรียบ ๆ ดังตามมาอย่างไม่ยินดียินร้าย

ปฐพีมองสบตาราชันย์ ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ค่อย ๆ ขยับสะโพกตัวเอง อดยอมรับไม่ได้ว่า ในความอายมันแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกดี ความอบอุ่นที่ทั้งอึดอับและคับแน่นอยู่ในร่างกายเขา มันเติมเต็มความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง แม้จะถูกปฏิบัติไม่ต่างอะไรจากของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่เพราะเป็นราชันย์ คนที่เปรียบเสมือนเจ้าชีวิตของเขา ปฐพีจึงไม่มีสิทธิ์ขัดขืนใด ๆ หรือถ้าพูดให้ถูกคือ เขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะขัดขืนอย่างจริงจัง

ร่างเล็กขย่มสะโพกตัวเองลงมาช้า ๆ ใบหน้าแหงนเชิดไปด้านหลัง เขาหลับตาเพื่อข่มความอายของตัวเอง เลยไม่มีโอกาสได้เห็นว่าคนที่นอนนิ่ง ๆ มองมาที่เขาด้วยสายตาแบบไหน

ปฐพีขยับตัวช้า ๆ ปล่อยใจไปตามความปรารถนาที่ถูกปลุกเร้า ก่อนดวงตาที่พริ้มสนิทจะพลันเบิกกว้าง เมื่อหูได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอก ทุกอย่างพลันหยุดชะงักราวกับถูกถอดปลั๊ก เขาขยับจะลงจากตัวของราชันย์ แต่กลับถูกอีกฝ่ายยึดสะโพกมนไว้แน่น ดวงตาคมมองเลยผ่านลาดไหล่เขาไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

“เข้ามา”

ปฐพีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แม้จะรู้ดีว่าคนที่เคาะประตูคือใคร แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นเขาในสภาพน่าอายเช่นนี้ เขาพยายามขืนตัวออกจากการเกาะกุมของราชันย์ แต่ร่างสูงเพียงแค่ตวัดตามองเป็นเชิงปราม ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงห้วนจัด

“จะอยู่เฉย ๆ บนตัวฉัน หรือจะให้ฉันเอานายต่อหน้าปกรณ์”

คนที่ไม่มีทางเลือกอย่างปฐพีได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะยอมนั่งนิ่ง ๆ บนตัวราชันย์ โดยที่ร่างกายส่วนล่างยังคงเชื่อมกันอยู่ เสียงประตูห้องที่ถูกเปิดเข้ามา ทำเอาเขาสะดุ้งน้อย ๆ คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามากำลังจะเอื้อมมือเปิดไฟ แต่กลับต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังมาจากบนเตียง

“ไม่ต้องเปิดไฟ มีอะไรก็พูดมา”

ปกรณ์ชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปกดสวิตช์ไฟ เขาหันตามทางที่เสียงดังมา พอสายตาเริ่มชินกับความมืดในห้อง ถึงได้เห็นเงาลาง ๆ ของสองร่างบนเตียง แม้จะมีเพียงแค่แสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง เขาก็เดาออกทันทีว่าผู้เป็นนายกำลังทำอะไรอยู่ คนสนิทของราชันย์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะเอ่ยธุระออกมา

“ทางเกียรติกาญจนารู้แล้วนะครับ ว่าเราจะยื่นประมูลโครงการก่อสร้างเดือนหน้า”

“ก็ให้มันรู้ไป” ผู้เป็นนายเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ มือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างเปลือยเปล่าที่คร่อมอยู่บนตัวอย่างเพลินมือ จนปฐพีต้องกัดฟันกลั้นเสียงครางเอาไว้อย่างยากลำบาก

แม้จะรู้ว่าปกรณ์คงเห็นไม่ชัด แต่ถ้าปกรณ์ตาไม่บอด ก็ย่อมรู้ว่าเขากับราชันย์กำลังทำอะไรกันอยู่ เขาอาย แต่ก็ไม่อาจขัดขืนฝ่ามือแข็งแรงที่ยึดสะโพกเขาเอาไว้

“คนของเรารายงานมาว่า ตอนนี้อริญชย์กับพิชญ์อยู่ที่ปราณบุรี”

ราชันย์เลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะรู้สึกถึงอาการเกร็งตัวของปฐพี ยามที่ได้ยินชื่อของเพื่อนเก่า

“จับตาดูมันไปก่อน ถ้ามีอะไรฉันจะสั่งอีกที นายออกไปได้แล้ว ล็อกห้องให้เรียบร้อยด้วย”

ลับร่างของคนสนิทแล้ว ราชันย์ก็พลิกตัวให้ปฐพีกลับลงมาอยู่ใต้ร่างเขา ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่น ก่อนจะถูกมือใหญ่บีบปลายคางเอาไว้ จนต้องยอมหันมาสบตาด้วยความจำนน

“ได้ยินที่ปกรณ์บอกเมื่อกี้แล้วใช่ไหม คงรู้นะว่าตัวเองต้องทำอะไร”

“อย่าทำเพื่อนผมได้ไหม...”

ราชันย์เหยียดยิ้มร้ายกาจออกมา จะเพราะบังเอิญหรือจงใจก็ตามที แต่การที่มือขวาของอริญชย์เป็นเพื่อนกับปฐพี มันก็ทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างง่ายขึ้นสำหรับเขา

“คิดจะต่อรองกับฉันเหรอ”

“ผะ...ผมเปล่า...”

“ระหว่างเพื่อนกับน้องของตัวเอง...ห่วงใครมากกว่ากันล่ะ”

คำถามเรียบ ๆ ที่หลุดออกมาจากริมฝีปากราชันย์ ช่วยตอกย้ำให้ปฐพีตระหนักถึงความเป็นจริงมากกว่าเดิม เพื่อนสมัยมัธยมกับน้องชายแท้ ๆ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเลือกน้องชายของตัวเองอยู่แล้ว คงไม่มีใครบ้าพอที่จะเลือกเพื่อนที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นไปได้ ปฐพีไม่อยากให้ราชันย์ทำร้ายใครเลย ไม่ว่าจะเป็นน้องหรือจะเป็นเพื่อน แต่เขาเลือกไม่ได้ ทุกอย่างมันถึงได้เป็นแบบนี้

“เฮียจะให้ผมทำอะไร...”


.


พิชญ์รู้สึกตัวตื่นมาตอนเช้า แล้วก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นอริญชย์อยู่ในห้อง ที่นอนข้างตัวเขาเรียบสนิท ไม่มีรอยยับย่นแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนอริญชย์ได้กลับเข้ามานอนในห้องหรือเปล่า เพราะเผลอหลับไปก่อน แต่ถ้าอริญชย์ออกไปนอนข้างนอกกับตุลย์จริง ๆ พิชญ์ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ ที่ไม่ได้ดูแลอีกฝ่ายในฐานะแขกให้ดี ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความมึนงง ก่อนจะลุกไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย

พอเปิดประตูออกมาจากห้องนอน พิชญ์ก็ขมวดคิ้ว เมื่อบ้านของเขาดูเงียบกว่าที่คิด ดวงตาเรียวกวาดมองรอบ ๆ บ้าน ก่อนจะสะดุดเข้ากับตุลย์ที่นั่งอยู่ตรงชานบ้านตามลำพัง เขาเดินเข้าไปหาตุลย์ แล้วเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะคุณตุลย์”

ตุลย์หันมาตามเสียงเรียก ยิ้มให้พิชญ์เป็นเชิงทักทาย แล้วถึงได้เอ่ยตอบคำถามอีกฝ่าย

“คุณหนูยังไม่ตื่นเลยครับ ส่วนแม่คุณพีทไปตลาดแต่เช้าแล้ว”

พิชญ์เอี้ยวตัวไปมองข้างบ้าน เลยเพิ่งสังเกตเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ไม่ได้จอดอยู่ที่เดิม สงสัยแม่พลอยคงขี่รถไปตลาดแน่ๆ  พิชญ์นึกอยากจะถามตุลย์ว่าอริญชย์ไปไหน แต่ความปากหนักก็ทำให้ไม่ยอมเอ่ยปากถามออกไป ได้แต่เดินไปนั่งลงข้าง ๆ ตุลย์ ทำทีเป็นชวนคุยเรื่องอื่นเรื่อยเปื่อย

“เป็นยังไงบ้างครับ เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า”

“สบายมากครับคุณพีท ผมมันพวกกินง่าย อยู่ง่าย นอนง่ายอยู่แล้ว”

“แล้ว...”

ตุลย์รอฟังว่าพิชญ์จะเอ่ยอะไรออกมา แต่ไม่พยายามแสดงท่าทีอะไรให้มากเกินไป ถึงเขาจะชอบกวนประสาทอริญชย์บ่อย ๆ แต่เขาก็รู้ว่าเวลาไหนควรรุก เวลาไหนควรรับ และเวลาไหนควรรอ อย่างตอนนี้ที่เขากำลังรอให้พิชญ์เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง โดยไม่คิดจะเร่งรัดอะไร

“แล้วหิวข้าวหรือเปล่า...”

คนที่รอฟังเผื่อพิชญ์จะเอ่ยถามถึงผู้เป็นนาย แทบจะหน้าทิ่มตกจากชานบ้าน นอกจากจะจัดอันดับให้อริญชย์เป็นจอมท่ามากอันดับหนึ่งแล้ว สงสัยตุลย์จะต้องจองที่ว่างอันดับสองให้พิชญ์ด้วย เพราะดูท่าทางแล้วก็ไม่ได้ต่างกันเลย ตุลย์สงสัยเหลือเกิน แค่พูดออกมาอย่างที่ใจคิดนี่มันยากลำบากตรงไหน ก็เพราะว่าต่างคนต่างวางท่าแบบนี้ไง อะไร ๆ มันถึงได้เหมือนกับพายเรือวนอยู่ในอ่าง ไม่ไปไหนเสียที แล้วคนที่เหนื่อยจะเป็นใครกันล่ะ ถ้าไม่ใช่ตุลย์คนนี้

“ผมเฉย ๆ คุณพีทหิวแล้วเหรอครับ”

พิชญ์ขยับจะอ้าปากตอบ แต่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของแม่พลอยแล่นเข้ามาเสียก่อน นอกจากแม่พลอยจะไม่ใช่คนขี่เองแล้ว แม่พลอยยังเป็นคนซ้อนท้าย โดยที่อริญชย์เป็นคนขี่ พิชญ์เลยได้แต่ยืนมองอย่างงง ๆ ก่อนจะตรงเข้าไปช่วยผู้เป็นแม่ถือของทันทีที่รถจอดสนิท

“ตื่นแล้วเหรอพีท แม่ซื้อของโปรดของพีทมาเต็มเลย เดี๋ยวเอาไปแกะใส่จานนะ แม่จะเข้าไปดูน้องหนูหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปดูน้องหนูให้เอง แม่นั่งกินก่อนเถอะครับ” อริญชย์รั้งแขนแม่พลอยเอาไว้ ก่อนจะเดินผ่านหน้าพิชญ์ไป โดยไม่ได้ชายตามองลูกชายเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย

พิชญ์มองตามหลังอีกคนที่เดินหายเข้าไปในห้องแม่พลอย ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือว่าอริญชย์ทำตัวแปลกไป แต่เขาก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย มันเหมือนกับว่า...อริญชย์กำลังไม่พอใจเขา

“เหม่ออะไรพีท ไปเอาจานมาใส่สิลูก”

“ครับแม่”

พอพิชญ์เดินออกมาจากห้องครัวอีกที อริญชย์ก็อุ้มน้องหนูออกมาจากห้องนอนแม่พลอยแล้ว ลูกสาวตัวน้อยของพิชญ์ยังดูงัวเงีย ตื่นไม่เต็มตา ท่าทางคงถูกผู้เป็นลุงอุ้มขึ้นมาจากเตียงแน่ ๆ น้องหนูเอามือโอบรอบคออริญชย์เอาไว้ ก่อนจะซุกหน้าเข้ากับคอของอริญชย์ จนคนเป็นลุงถึงกับอดไม่ได้ ต้องคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ ด้วยความเอ็นดู

“ง่วงขนาดนี้ แล้วคนเก่งของลุงใหญ่จะไปเที่ยวทะเลไหวเหรอคะ”

“ไหวค่ะ”

พอเจอคำตอบของน้องหนูเข้าไป ผู้ใหญ่ที่เหลือก็หัวเราะกันใหญ่ ถึงจะง่วงนอนมากแค่ไหน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่ายังไงก็ห่วงเที่ยว

“ถ้าน้องหนูยอมกินผัก เดี๋ยวลุงใหญ่จะพาไปทะเล โอเคไหมคะ คนเก่ง”

“โอเคค่ะ”

“ตกลงคุณใหญ่จะไปทะเลที่ไหนคะ เดี๋ยวแม่เตรียมเสื่อกับขนมนมเนยให้”

“ที่หัวหินน่าจะคนเยอะ ผมเลยว่าจะไปเขากะโหลกแทนครับ”

“แม่ว่าไปที่เขากะโหลกก็ดี นอกจากคนจะน้อย แล้วหาดยังสวยกว่าด้วย เดี๋ยวแม่ไปเตรียมเสื่อกับของว่างให้นะ”

พอบอกว่าจะไปเตรียมขนมให้ แม่พลอยก็ลุกขึ้นเข้าครัวทันที ปล่อยสามหนุ่มกับหนึ่งสาวนั่งจัดการมื้อเช้ากันอยู่ตรงชานบ้าน พิชญ์ฉีกปาท่องโก๋ที่แม่พลอยซื้อมาใส่ชามโจ๊กของตัวเอง ส่วนตุลย์ล่วงหน้านำไปก่อนจนเหลือโจ๊กไม่ถึงครึ่งชาม เหลืออริญชย์ที่เอาแต่ตักโจ๊กป้อนเข้าปากน้องหนูช้า ๆ โดยไม่ลืมที่จะเป่าให้หายร้อนก่อนป้อน

“คุณใหญ่ ไม่หิวเหรอ ส่งน้องหนูมาให้ผมก็ได้” พิชญ์เอ่ยถามคนที่ไม่ยอมตักอะไรใส่ปากซักอย่าง เอาแต่สาละวนอยู่กับน้องหนู

“นายกินไปเถอะ ฉันกินเรียบร้อยมาจากที่ตลาดแล้ว” แม้ว่าจะพูดกับพิชญ์ แต่อริญชย์กลับมองแต่น้องหนู เขาไม่ได้ปรายตามองมาทางพิชญ์เลยแม้แต่น้อย

พิชญ์นั่งนิ่ง เขารู้ ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าอริญชย์กำลังไม่พอใจเขา แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อเขายังไม่รู้เลยว่าอริญชย์ไม่พอใจเขาเรื่องอะไร พิชญ์ได้แต่ถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะก้มลงจัดการกับโจ๊กของตัวเอง


.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 05-05-2020 19:07:07


หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย อริญชย์ก็อุ้มน้องหนูมายืนรอที่รถ ตุลย์ถือข้าวของเอามาใส่ท้ายรถ ส่วนพิชญ์ยืนคุยกับแม่พลอยอยู่อีกสองสามประโยคก่อนจะผละออกมา

“ผมชำนาญทางมากกว่า เดี๋ยวผมขับแทนให้แล้วกัน” พิชญ์ออกตัวขึ้นมา เมื่อเห็นตุลย์กำลังจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับ ตุลย์หันไปมองอริญชย์เป็นเชิงขอความเห็น

“ให้เขาขับไป” อริญชย์ตอบเสียงเรียบ ๆ แล้วพยักเพยิดเป็นเชิงให้ตุลย์ไปนั่งข้างคนขับคู่กับพิชญ์ ก่อนตัวเองจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งตอนหลังกับน้องหนูสองคน

พิชญ์ถอนหายใจช้า ๆ คว้ากุญแจรถจากมือตุลย์ ก่อนจะก้าวขึ้นไปประจำที่ คาดเข็มขัดอะไรให้เรียบร้อยแล้วก็เคลื่อนรถออกจากตัวบ้าน

บ้านของพิชญ์อยู่ตรงตัวอำเภอปราณบุรี ไม่ว่าจะไปหัวหินหรือเขากะโหลกก็ใช้เวลาพอ ๆ กัน ชายหนุ่มขับไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน มีเสียงน้องหนูดังเจื้อยแจ้วตลอดทาง ชี้ชวนถามนู่นถามนี่กับผู้เป็นลุงไม่หยุดปาก พิชญ์ยิ้มออกมานิด ๆ เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยดูมีความสุขกับบรรยากาศรอบข้าง แม้ว่าผู้เป็นลุงดูเหมือนจะมึนตึงใส่เขา

พอเข้ามาถึงถนนเลียบหาด ก็เห็นรีสอร์ทน้อยใหญ่เรียงรายสองข้างทาง บรรยากาศเงียบสงบที่พิชญ์เคยเห็นเมื่อยามเป็นเด็กวัยรุ่น ขี่รถมาเที่ยวเล่นแถวนี้กับเพื่อน ๆ ดูเหมือนจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป ปราณบุรีกลายเป็นจุดหมายปลายทางถัดไปของนักท่องเที่ยวต่อจากหัวหิน

“ทะเล...” น้องหนูร้องออกมาด้วยความดีใจ เมื่อมองผ่านกระจกรถแล้วเห็นทะเลอยู่ไม่ไกล

นางฟ้าตัวน้อยของพิชญ์พร้อมจะกระโจนลงทะเลทันทีที่รถจอด แม่พลอยจับน้องหนูใส่ชุดว่ายน้ำไว้ข้างในเรียบร้อย ก่อนจะทับด้วยเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น อริญชย์รีบคว้าร่างเล็กที่ถลาไปเกาะหน้าต่างเอาไว้แน่น

“ใจเย็นก่อนน้องหนู ยังไม่ถึงเลย”

“ที่นี่จะมีคุณปลาหรือเปล่าคะลุงใหญ่” น้องหนูถามพลางเอาหน้าแนบกระจกรถ

“ไม่มีครับ ถ้าอยากเจอคุณปลาต้องไปลึก ๆ แถวนี้คนเยอะ คุณปลาไม่อยู่หรอกลูก”

น้องหนูทำหน้าเศร้าด้วยความเสียดาย อุตส่าห์อยากมาดูคุณปลาว่ายน้ำแท้ ๆ แต่ดูท่าว่าจะไม่เจอ อริญชย์ได้แต่ลูบหัวหลานสาวเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู พร้อม ๆ กับที่พิชญ์ขับรถมาถึงวนอุทยานท้าวโกษาหรือที่มักเรียกกันติดปากว่าเขากะโหลก

บริเวณหน้าหาดเขากะโหลกมีรถราจอดอยู่พอสมควร พิชญ์เลือกที่จอดรถที่เดินไม่ไกลจากหาดนัก ก่อนถึงทางเข้าหาดมีห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งให้บริการทั้งห้องน้ำและห้องอาบน้ำ นอกจากนั้นก็มีพวกร้านรถเข็นขายของ ทั้งปลาหมึกย่าง ไก่ย่าง ถั่วต้ม เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนก็พอมีวางขายให้เห็นอยู่บ้าง อริญชย์กำลังจะคว้าน้องหนูขึ้นอุ้มอย่างที่ทำประจำ แต่เด็กหญิงส่ายหน้าไปมา บอกผู้เป็นลุงว่าจะขอเดินเอง พิชญ์เห็นตุลย์หอบข้าวของพะรุงพะรัง เลยเดินไปช่วยถือของ พอหันกลับมาก็เห็นอริญชย์พาน้องหนูเดินลิ่วไปที่หาดแล้ว

“วันนี้เจ้านายตุลย์ดูแปลก ๆ ไปนะ” พิชญ์เปรยเบา ๆ

“คุณพีทไม่รู้จริง ๆ หรือครับ ว่าคุณใหญ่เป็นอะไร”

“ผมจะรู้ได้ยังไง ไม่ใช่ตัวเขาซะหน่อย ไปเถอะ อย่ามัวแต่ยืนคุยกันอยู่เลย” พิชญ์ตัดบทก่อนจะเดินนำตุลย์ไปที่ชายหาด

ตุลย์ถือตะกร้าของกินกับกระติกน้ำเดินตามพิชญ์ไป เห็นแบบนี้จะไม่ช่วยก็คงไม่ได้ รู้สึกเขาจะทำเกินหน้าที่ไปเยอะเลย ก็ได้แต่หวังว่าผู้เป็นนายจะตอบแทนเขาอย่างสาสม สมกับที่ตุลย์อุตส่าห์ช่วยเป็นกามเทพให้อริญชย์มาหลายต่อหลายครั้ง

พิชญ์จัดแจงปูเสื่อตรงมุมหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้ตุลย์วางตะกร้าของกินกับกระติกน้ำลงบนเสื่อ อริญชย์กำลังสาละวนกับการเป่าลมใส่หวงยางเป็ดสีเหลืองให้น้องหนูที่ยืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ พอเห็นเจ้าเป็ดน้อยกลายเป็นรูปเป็นร่าง น้องหนูก็ตบมือแปะ ๆ ด้วยความยินดี กำลังจะยื่นมือไปคว้าห่วงยางเอาไว้ แต่คนเป็นลุงก็ดึงกลับไปเสียก่อน

“ทำยังไงก่อนคะ”

น้องหนูเดินมาหาผู้เป็นลุงอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะกดจมูกลงกับแก้มอริญชย์ดังฟอด แล้วตามด้วยเสียงหวานที่เอ่ยอย่างฉอเลาะ

“ขอบคุณค่ะลุงใหญ่”

อริญชย์ปรายตามองคนที่ก้มหน้าก้มตารื้อตะกร้าแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจูงมือน้องหนู

“ไปว่ายน้ำกันนะคะคนเก่ง”

“แล้วพ่อพีทกับอาตุลย์ล่ะคะ” น้องหนูอดเอี้ยวตัวมองสองคนข้างหลังไม่ได้

“เดี๋ยวก็ตามเรามา ลุงใหญ่พาน้องหนูไปก่อปราสาททรายก่อนไงคะ”

น้องหนูใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย สองลุงหลานพากันเดินไปตามหาดทรายเนียนละเอียด เห็นท้องทะเลสีฟ้าอยู่ตรงหน้าไม่ไกล น้องหนูดูตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว เด็กหญิงย่ำเท้าซ้ำ ๆ ไปบนผืนทรายเนียนละเอียด ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบอกชอบใจ พอเจอบรรดาเปลือกหอยก็เดินอย่างระมัดระวัง มือเล็กทำท่าจะคว้าเปลือกหอยสีสวยขึ้นมาดู แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงของผู้เป็นลุงเข้าเสียก่อน

“หยิบขึ้นมาดูได้ แต่ห้ามเอากลับไปด้วยนะคะ”

“ทำไมล่ะคะ”

“บ้านมันอยู่ที่นี่ ถ้าน้องหนูพามันไปอยู่ที่อื่น มันจะมีความสุขหรือคะ ยกตัวอย่างถ้าลุงใหญ่พาน้องหนูไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านเรา น้องหนูจะชอบหรือลูก”

น้องหนูส่ายหน้าจนเส้นผมกระจาย ค่อย ๆ ย่อตัวลงวางเปลือกหอยสีสวยคืนที่เดิม ก่อนจะต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นปูเสฉวนโผล่ออกมาจากเปลือกหอยช้า ๆ จนเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหว ต้องร้องออกมา

“ลุงใหญ่ขา ปูค่ะปู”

“เขาเรียกว่าปูเสฉวน มันไม่มีกระดอง เลยต้องใช้เปลือกหอยเป็นที่กำบังตัว เห็นไหมคะ” อริญชย์หยิบเปลือกหอยที่มีปูเสฉวนอยู่ข้างในขึ้นมาให้น้องหนูดูใกล้ ๆ

“แล้วถ้าเกิดคุณปูเขาตัวโตขึ้นล่ะคะ”

“คุณปูเขาก็ต้องไปหาเปลือกหอยที่ใหญ่กว่าเดิมไงคะ”

อริญชย์กำลังจะพาน้องหนูเดินต่อ แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อดังมาจากข้างหลัง พร้อมกับที่ตุลย์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา อริญชย์นิ่วหน้าออกมาน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยถามคนสนิทที่มาหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้า

“เป็นอะไร”

“คุณพีทเหยียบโดนเปลือกหอยครับ”

อริญชย์ขมวดคิ้วก่อนจะส่งน้องหนูให้ตุลย์ แล้วเอ่ยสั่งเสียงห้วน

“ดูน้องหนูที เดี๋ยวฉันจะไปดูพีทหน่อย”

ตุลย์ยืนมองเจ้านายที่เดินจ้ำไปหาพิชญ์ที่นั่งอยู่บนเสื่อ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา

“อาตุลย์ยิ้มอะไรคะ พ่อพีทจะเจ็บมากไหมคะ น้องหนูอยากไปดูพ่อพีทจัง”

“พ่อพีทของคุณหนูไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่เหยียบเปลือกหอยแตกเฉย ๆ มา...เราไปเล่นน้ำทะเลกันดีกว่า เดี๋ยวอาตุลย์พาลงน้ำดีไหมครับ”

“พ่อพีทไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะคะ”

“จริงสิครับ มีลุงใหญ่อยู่ทั้งคน”


.


อริญชย์ก้าวเท้ายาว ๆ มาหยุดอยู่ข้างเสื่อ เห็นคนควรจะเจ็บเท้ากำลังนั่งแกะถั่วต้มใส่ปากก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เขาก้มลงนั่งยอง ๆ ข้างเสื่อ คว้าข้อเท้าพิชญ์ขึ้นมาดูโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของอีกฝ่าย

“คุณใหญ่ ทำอะไรน่ะ”

อริญชย์กัดฟันกรอด เมื่อรู้ตัวว่าเสียรู้ให้กับลูกน้องจอมเจ้าเล่ห์อย่างตุลย์เข้าให้แล้ว เขาไม่เห็นว่าพิชญ์จะบาดเจ็บตรงไหน ชายหนุ่มวางเท้าพิชญ์กลับลงที่เดิม เตรียมจะหันหลังเดินดุ่ม ๆ กลับไปหาน้องหนู แต่คนที่นั่งกินถั่วต้มก็รีบคว้าชายเสื้อเขาเอาไว้ อริญชย์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันมามองพิชญ์ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“คุณใหญ่ คุณไม่พอใจอะไรผม”

“ฉันเปล่า”

ถึงพิชญ์จะไม่ได้ฉลาดเท่าอริญชย์ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจ้องตาอริญชย์เขม็ง หมายจะคาดคั้นให้รู้เรื่อง

“แล้วคุณเป็นอะไรตั้งแต่เช้า เมื่อคืนคุณไปนอนที่ไหน”

“นายสนใจฉันด้วยหรือไง”

“ทำไมผมถึงจะไม่สนใจ ในเมื่อคุณเป็นแขก มาค้างที่บ้านของผม”

อริญชย์เผลอยื่นมือไปบีบต้นแขนพิชญ์เอาไว้โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะพยายามระงับอารมณ์ตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบากแล้วก็ตามที อริญชย์มั่นใจว่าปกติเขาไม่ใช่คนที่ความอดทนต่ำขนาดนี้ มีอยู่คนเดียวที่ยั่วจุดเดือดเขาได้ดี จะใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ตรงหน้า

“อย่าทำให้ฉันต้องโมโหนะพีท”

ดูเหมือนคำเตือนของอริญชย์จะไม่มีผลแม้แต่น้อย เพราะพิชญ์เพียงแค่เลิกคิ้วน้อย ๆ ทั้งที่เจ็บต้นแขนที่ถูกบีบอยู่จนน้ำตาแทบเล็ด

“อีกเหตุผลที่ผมต้องสนใจคุณก็เพราะว่า คุณเป็นพี่ชายของภรรยาผมยังไงล่ะ”

อริญชย์คำรามเสียงต่ำในลำคอ ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่รอบ ๆ เขาคงจะลงโทษคนปากดีให้ไม่มีแรงพูดแน่ ๆ ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างดุเดือด สาบานได้ว่าผู้ชายอย่างอริญชย์ไม่ได้ไร้สาระพอที่จะมางอนงี่เง่าอะไร แต่เมื่อคืนที่หนีออกไปก็เพราะเกรงใจแม่พลอยล้วน ๆ ขืนเขายังอยู่ในห้องกับพิชญ์ต่อ สาบานได้ว่าเขาต้องเปลี่ยนคำพูดร้าย ๆ ของพิชญ์ให้กลายเป็นเสียงครางแน่ ๆ เหมือนอย่างตอนนี้ที่เขานึกเข่นเขี้ยวอีกฝ่าย จนอยากจะจัดการให้ได้อายกันไปข้าง ต้องขอบคุณพระเจ้า ที่โทรศัพท์มือถือของเขาดังขัดจังหวะขึ้นพอดี

อริญชย์คว้าโทรศัพท์มือถือมาดู พอเห็นว่าเป็นลูกน้องอีกคนก็กดรับสายโดยไม่ลังเล แต่อีกมือก็ยังรั้งพิชญ์ไว้ข้างตัว ไม่ยอมให้หนีไปไหน

“ว่าไง”

“คุณใหญ่ครับ โกดังหมายเลขสามโดนไฟไหม้ครับ”

แน่นอนว่าเสียงจากปลายสายไม่ได้ดังเข้าหูอริญชย์แค่เพียงคนเดียว แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงพิชญ์ จนคนตัวเล็กกว่าถึงกับตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน ก่อนที่อริญชย์จะคำรามออกมาเสียงกร้าว โดยไม่ต้องเสียเวลาสืบสาวราวเรื่องให้เสียเวลา

“ไอ้เล้ง!”



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
ตอนนี้ก็ต้องตบรางวัลให้ตุลย์อีกแล้ว ทำดีมาก ทั้งหลอกทั้งชง
ส่วนคุณใหญ่กับพีทก็ยังคงตีกันทุกตอน
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 05-05-2020 21:00:04
อ่างานเข้าแล้วคุณใหญ่คิดว่าคงเข้ามาหลายทางซะด้วยสิ o18
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-05-2020 02:33:53
ร้ายมาก  :m16:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-05-2020 16:10:21
เพราะเห็นว่าคุณใหญ่ว่างมาทะเลาะกับพีทป่ะ ถึงได้หางานให้ งานใหญ่เลย 5555555 จะยังไงละเนี้ย รีบไปเคลียร์ ว่าแต่อีกคู่ก็น่าสนใจดีเว้ย เล่นบทคนไร้หัวใจ ถ้าพอเขาหายไป จะเสียดายสำนึกขึ้นมา น่าสนๆ แล้วน้องเป็นอะไร ดินถึงได้ยอมตกเป็นทาสบำเรอราชันย์ อยากรู้ววววว 5555 สนุกกมากกค่า รอตอนต่อไปเลย
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 07-05-2020 01:38:24
ตุลย์ช่างเป็นลูกน้องที่กวนบาทาจริงๆ 555

ไอ่เล้งมันเอาดินไปเป็นนายบำเรอให้ตัวเองไม่พอจะให้ดินมาจัดการเอาความลับจากพีทด้วยแน่ๆ ส่วนพีทอยากหาทางหนีจากคุณใหญ่อยู่แล้ว อาจเป็นไปได้ว่าให้ดินช่วย (เดาล้วนๆ 55)...​ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นขนาดไหนนะ...  :ling2:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 07-05-2020 01:51:58
ตัวร้ายเริ่มออกโรงแล้ว สนุกละทีนี้ :katai4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 8 --- หน้าที่ 2 [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 08-05-2020 10:51:27
เริ่มมีเรื่องร้ายๆ แล้ว
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 9 --- หน้าที่ 2 [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 08-05-2020 18:10:51

เก้า
ความเสียหาย



พิชญ์ทำงานกับอริญชย์มาหลายปี บวกลบแล้วก็เกือบจะเท่ากับอายุของน้องหนู แค่ขาดมานิด ๆ หน่อย ๆ อริญชย์มักมีมุมมองด้านการทำงานและการรับมือกับปัญหาที่ทำให้พิชญ์ทึ่งอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เป็นอีกหนที่อริญชย์ทำเอาพิชญ์ต้องตกตะลึง

หลังจากกริชโทรศัพท์มาบอกว่าโกดังหมายเลขสามถูกไฟไหม้ อริญชย์ก็คำรามชื่อ ‘เสี่ยเล้ง’ ออกมาเสียงกร้าว ก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับความพลุ่งพล่านของอารมณ์ลงจนเหลือแค่ความนิ่งเฉย ราวกับน้ำทะเลที่เงียบสงบก่อนคลื่นลมพายุจะมา แต่ถึงอย่างนั้น พิชญ์ก็ยังสังเกตเห็นร่องรอยความเคร่งเครียดปรากฏอยู่บนใบหน้าของอริญชย์

พิชญ์ยืนนิ่ง ๆ ฟังอริญชย์สั่งการกับกริชทางโทรศัพท์ เสียงจากปลายสายฟังดูวุ่นวายจนพิชญ์ยังรู้สึกร้อนรนตามไปด้วย เขาเองก็เป็นผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัท ย่อมรู้สึกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ความกังวลของเขามันคงน้อยนิดนัก เมื่อเทียบกับความกังวลของอริญชย์ แม้จะได้ยินแว่ว ๆ จากกริชว่าสถานการณ์ไม่รุนแรงมากนัก แต่อย่างที่รู้กัน...

...สิบปากว่าหรือจะเท่าตาเห็น...

ถึงตอนนี้ พิชญ์เชื่อแล้วว่า อดีตเพื่อนเก่าของอริญชย์อย่างราชันย์คงเป็นแค่อดีตจริง ๆ

อริญชย์สั่งการทุกอย่างกับกริชด้วยความเด็ดขาดและรอบคอบ ตุลย์กับน้องหนูถูกตามตัวกลับมาตรงที่พวกเขายืนอยู่ แผนการท่องเที่ยวถูกล้มเลิกลงกลางคัน เมื่ออริญชย์หันมาบอกตุลย์ว่า

“เสี่ยเล้งมันเล่นเราแล้ว รีบไปเอารถมาเลย”

พิชญ์รับหน้าที่อุ้มน้องหนูไปล้างคราบทรายและคราบน้ำทะเลออกจากตัว น้องหนูเอาแต่งอแง ไม่ยอมกลับบ้านท่าเดียว เพราะเพิ่งลงเล่นน้ำทะเลไปได้ไม่ถึงห้านาที ตุลย์วิ่งมาอุ้มจนตัวลอยก่อนจะพากลับมาหาพ่อพีทกับลุงใหญ่ เดือดร้อนพิชญ์ต้องปลอบและขู่ลูกสาวคนสวยอยู่นาน กว่าน้องหนูจะยอมอาบน้ำ แต่ยังคงหลุดเสียงสะอื้นให้ได้ยินเป็นระยะ

ตลอดทางกลับบ้านมีแค่เพียงความเงียบ พอรถเคลื่อนตัวออกจากเขากะโหลก น้องหนูที่งอแงจนเพลียก็หลับคอพับคาอกพิชญ์ ปล่อยให้คนเป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยปนเอ็นดู

พอกลับมาถึงบ้าน พิชญ์ก็รีบอุ้มน้องหนูเดินตรงดิ่งเข้าห้องนอนของแม่พลอย จัดแจงวางลูกสาวตัวน้อยลงบนเตียงด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่นางฟ้าของพิชญ์จะตื่นขึ้นมาโยเย จากนั้นก็ปล่อยให้น้องหนูอยู่กับแม่พลอยตามลำพัง ส่วนตัวเองเดินออกมาสมทบกับตุลย์และอริญชย์ตรงชานบ้าน

“นายกับน้องหนูรออยู่ที่นี่ก่อน หลังจากเคลียร์ธุระเสร็จแล้วฉันจะมารับ” คำสั่งเรียบ ๆ หลุดออกมาจากปากอริญชย์ ที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงชานบ้าน

ตุลย์หันมามองเจ้านายแวบหนึ่ง ก่อนจะง่วนกับการเก็บของตรงท้ายรถต่อ ผิดกับพิชญ์ที่ชะงักกึกทันที เขาเงยหน้ามองอริญชย์ที่ยังคงมีท่าทีนิ่ง ๆ เต็มตา แล้วรีบสั่นหัวปฏิเสธ

“จะขัดคำสั่งฉัน”

“ผมเป็นผู้บริหารคนหนึ่งและยังเป็นมือขวาของคุณใหญ่ เรื่องนี้ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของผมเหมือนกัน จะให้ผมอยู่ที่นี่เฉย ๆ ขณะที่คนอื่นกำลังเดือดร้อน ผมทำไม่ได้เด็ดขาด ผมจะกลับกรุงเทพฯพร้อมกับคุณใหญ่ด้วย”

อริญชย์หรี่ตามองพิชญ์อย่างคาดคะเน เขาดึงบุหรี่ออกจากปากช้า ๆ ขณะมองสบตาพิชญ์อย่างครุ่นคิด นอกจากเรื่องงานประมูลโครงการก่อสร้างแล้ว อริญชย์ก็ไม่อยากให้พิชญ์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องบาดหมางของเขากับราชันย์เลย คนที่คบกันมันมานานอย่างเขารู้ดีว่า...

ราชันย์ กมลวิลาศน์เหลี่ยมจัดมากแค่ไหน

เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ คนอย่างราชันย์ กมลวิลาศน์ไม่เคยเลือกวิธี แม้ว่าจะเป็นวิธีที่สกปรกหรือเลวทราม มันก็ยังเลือกที่จะทำ

ถ้าเป็นไปได้ นอกจากเรื่องงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับทางกมลวิลาศน์แล้ว สำหรับเรื่องอื่น ๆ อริญชย์อยากจะดึงพิชญ์ออกมาห่างจากราชันย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ...

เสืออย่างเขา...เวลาที่มันร้าย มันก็พร้อมจะพังทลายทุกอย่างให้วอดวายเหมือนกัน

“คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่อคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง มองอีกคนอย่างรอคอยคำตอบ

อริญชย์จ้องหน้าพิชญ์นิ่ง เขารู้นิสัยพิชญ์ดี คนที่ห่วงงานและห่วงลูกน้องมากกว่าตัวเองอย่างพิชญ์มีหรือจะยอมรออยู่เฉย ๆ ท้ายที่สุดแล้วอริญชย์ก็ต้องเป็นฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ อย่างยอมแพ้

หลายคนมักจะคิดว่าเขาอยู่เหนือพิชญ์เสมอ มีแค่เขา...แค่เขาคนเดียวที่รู้จักตัวเองดี รู้ดีว่าตัวเองยอมคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากแค่ไหน

ยอม...เพราะอีกฝ่ายคือพิชญ์ ภัทรกุล ไม่ใช่พ่อของน้องหนู ไม่ใช่สามีของไอลดา และไม่ใช่น้องเขยของเขา เขายอม...เพราะตัวตนที่แท้จริงของพิชญ์

อริญชย์โยนก้นบุหรี่ที่เพิ่งดึงออกจากปากลงกับพื้น ก่อนจะเอาปลายเท้าขยี้จนมอดดับเหลือเพียงเถ้าถ่าน มือซ้ายยกขึ้นเสยผมเร็ว ๆ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ท่ามกลางความสงสัยของพิชญ์ที่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ

อริญชย์กดหมายเลขสิบหลักที่จำแม่นพอ ๆ กับเบอร์มือถือของตัวเอง ก่อนจะยกโทรศัพท์แนบหู รอสายดังอยู่แค่กริ๊งเดียว ปลายสายก็กดรับทันที จนคนโทรถึงกับเผลอยกยิ้มออกมาน้อย ๆ คิดเอาเองอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายคงกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่แน่ ๆ ถึงกดรับสายเขาได้รวดเร็วทันใจแบบนี้

“ว่าไงคะพี่ใหญ่ คิดถึงเล็กเหรอคะ หนีไปเที่ยวทะเลไม่มีชวนกันเลยนะ”

ปลายสายส่งเสียงกระเง้ากระงอดมาอย่างน่ารัก จนอริญชย์ต้องหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะรีบปั้นหน้านิ่ง แม้ว่าปลายสายจะไม่เห็น แล้วเอ่ยเป็นการเป็นงาน

“ยัยเล็ก ช่วงนี้เราว่างอยู่ใช่ไหม”

“โห พี่ใหญ่รู้ตารางงานเล็กอย่างกับเป็นผู้จัดการส่วนตัวแน่ะ”

“ไม่ต้องพูดมากเลยเรา ตกลงว่าว่างใช่ไหม”

“ก็ว่างนั่นแหล่ะ คิดถึงน้องหนูด้วย พี่ใหญ่จะให้เล็กทำอะไรหรือไง ถามแปลก ๆ นะ”

“ดีเลย พอดีช่วงนี้พี่กับพีทไม่ค่อยว่าง ยังไงมารับน้องหนูไปช่วยดูสักพักนะ”

“มันก็ได้อยู่หรอก แต่เวลาที่เล็กไม่อยู่คอนโดล่ะ”

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ส่งนวลไปอยู่ด้วย แค่นี้นะ” อริญชย์ตัดบทแล้วก็กดวางสายทันที ก่อนที่ไอลดาจะทันเอ่ยปากทักท้วงอะไร

พอเห็นผู้เป็นนายวางสายเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็ขยับไปเปิดประตูรถให้อย่างรู้หน้าที่ เตรียมตัวออกเดินทางกลับกรุงเทพฯกันทันที อริญชย์เดินไปขึ้นรถโดยไม่ลืมคว้าข้อมือพิชญ์มาด้วย เขาดันพิชญ์เข้าไปนั่งข้างใน ส่วนตัวเองนั่งอยู่ข้างนอก พอเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็ออกรถทันที

ขับรถออกมาจากบ้าน ยังไม่ทันพ้นสี่แยกไฟแดงดี พิชญ์ก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ร้องเรียกตุลย์เสียงดัง จนอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายหันมาเลิกคิ้วดุ ๆ เป็นเชิงถาม

“ผมยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าเราจะกลับกันก่อน แล้วน้องหนูอีก...”

อารามรีบร้อนทำเอาพิชญ์ลืมบอกแม่พลอยเหมือนกัน รีบก้าวขาตามอริญชย์มาท่าเดียวด้วยความเป็นห่วงคนงานกับโกดังที่ถูกไฟไหม้ล้วน ๆ

“โทรศัพท์มีไว้ทำไม โทรบอกเอาสิ”

พิชญ์พึมพำว่าขอโทษเบา ๆ แต่ก็อดตวัดตามองอริญชย์อย่างเคือง ๆ ไม่ได้ ถ้าพูดดี ๆ แบบคนอื่นเขาพูดกันมันจะเป็นอะไรขึ้นมาหรือไง

พิชญ์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาโทรบอกแม่พลอย คุยกับแม่พลอยได้สองสามประโยคว่าต้องรีบกลับก่อนเพราะมีงานด่วนเข้ามากะทันหัน อริญชย์ก็คว้าโทรศัพท์เขาไปคุยกับแม่พลอยแทนอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะจบประโยคสั้น ๆ ว่า

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ยัยเล็กจะมารับน้องหนูเอง แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”

อริญชย์กดวางสายแล้วก็ส่งโทรศัพท์คืนพิชญ์ ก่อนจะนั่งเอนหลังพิงเบาะนิ่ง ๆ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมทั่วรถ ตุลย์เองก็ขับรถไปเงียบ ๆ โดยไม่คิดที่จะรบกวนผู้เป็นนายเช่นกัน พิชญ์เลยได้แต่นั่งมองอะไรเรื่อยเปื่อย เขาลอบมองเข็มไมล์ที่ไต่ระดับอย่างช้า ๆ บนเกหน้าปัดแล้วก็เดาได้ทันทีว่า ด้วยความเร็วระดับนี้ ตุลย์คงพาเขากับอริญชย์ถึงกรุงเทพฯเร็วกว่าปกติแน่ ๆ

เอาตามตรง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนคิดกระตุกหนวดเสืออย่างอริญชย์ แต่เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายตรงข้ามเหิมเกริมถึงขนาดลอบวางเพลิงโกดังเก็บสินค้า ซึ่งเป็นแหล่งขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลของเคเค คอนสตรัคชั่น นับว่ายังโชคดีที่ฝ่ายนั้นเลือกวางเพลิงโกดังหมายเลขสาม ซึ่งส่วนมากล้วนแต่เป็นพวกอะไหล่ซ่อมบำรุง มูลค่าความเสียหายเลยไม่ได้มากมายอะไรนัก

ราวกับว่าคนบงการต้องการเพียงแค่จะข่มขู่อริญชย์เฉย ๆ หรือถ้ามองโลกในแง่ดีมาก ๆ การกระทำแบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากการทักทาย

ตลอดเวลาที่ทำงานกับอริญชย์มา พิชญ์เคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง แม้จะไม่รุนแรงถึงขนาดลอบวางเพลิงอย่างคราวนี้ แต่มันก็สอนให้เขารู้ว่า โลกธุรกิจไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน มีเพียงเรื่องเดียวที่พิชญ์ยังคงไม่เข้าใจ

...ทำไมอริญชย์ถึงปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของราชันย์

อะไรที่ทำให้คนอย่างอริญชย์มั่นใจขนาดนั้น ระหว่างอดีตเพื่อนเก่าสองคนที่กลายมาเป็นคู่อริกันในปัจจุบัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าเขาถามออกไป อริญชย์จะบอกเขาไหม

ไม่สิ! เขามีสิทธิ์ที่จะรับรู้หรือเปล่า

“คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกคนที่นั่งนิ่ง ๆ จนดูเหมือนหลับไปแล้ว คนถูกเรียกเพียงแค่ครางรับในลำคอเบา ๆ แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมามองพิชญ์ “ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเสี่ยเล้งล่ะ”

อริญชย์เหยียดริมฝีปากออกช้า ๆ ยังคงมองตรงไปข้างหน้า โดยไม่ได้หันกลับมามองพิชญ์แม้แต่น้อย

“เพราะฉันรู้จักมันดี” เป็นคำตอบสั้น ๆ ที่ไม่ได้ทำให้พิชญ์เข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิมเลย

“ผมไม่เข้าใจ”

“เหตุผลที่ฉันคิดว่ามันเป็นคนทำ ก็คือเหตุผลเดียวกับที่ฉันเลิกเป็นเพื่อนกับมัน”

“ผมก็ยังไม่เข้าใจที่คุณพูดอยู่ดี”

“ตอนนี้นายยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรหรอก แต่อีกไม่นานนายจะเข้าใจเอง”

อริญชย์ไม่คิดจะอธิบายให้พิชญ์ฟังมากไปกว่านี้ เขาหลับตาลงช้า ๆ เป็นการตัดบท ทั้งที่รู้ดีว่าพิชญ์กำลังมองมาที่เขาอย่างต้องการคำตอบและคำอธิบาย

ไม่ใช่ว่าเขาอยากปิดบังพิชญ์ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา อริญชย์ก็ไม่อยากให้พิชญ์ต้องมารับรู้และยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบ้า ๆ ระหว่างเขากับราชันย์เลยแม้แต่น้อย

ถ้าจะมีใครซักคนดึงพิชญ์ลงมาในกับดักบ้า ๆ นี่ ก็ขอให้เป็นเขา...แค่เขาคนเดียวเท่านั้น!

และถ้ามังกรตัวไหนมันคิดจะมายุ่งกับลูกแกะของเขา อริญชย์ก็จะสั่งสอนให้มันได้รู้ถึงความน่ากลัวของเสือร้าย ที่ไม่ใช่แค่สรรพนามที่เรียกกันโก้ ๆ เพื่ออวดศักดา แต่มันคือตัวตนของเขา

เสือร้าย...ที่ไม่สนใจว่าคู่ต่อสู้ของมันจะเป็นมังกรหรือตัวอะไร แต่ถ้าลองดีมายุ่งกัน เรื่องมันไม่จบง่าย ๆ แน่


.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 9 --- หน้าที่ 2 [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 08-05-2020 18:13:16


กว่าจะมาถึงกรุงเทพฯก็ค่อนข้างเย็นแล้ว รถราแน่นขนัดสมกับเป็นเมืองหลวงของประเทศ อริญชย์ลอบสังเกตคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นพิชญ์แอบยกมือปิดปากหาวหลายรอบ ทั้งที่เพิ่งหกโมงเย็น ก็อดถามออกไปไม่ได้

“จะให้แวะส่งนายที่บ้านก่อนไหม เดี๋ยวฉันกับตุลย์แวะไปดูที่โกดังกันเอง”

สาบานเลยว่าอริญชย์ไม่ได้มีเจตนาจะกวนประสาทพิชญ์แม้แต่น้อย ที่พูดไปก็เพราะความเป็นห่วงล้วน ๆ แต่ดูเหมือนอีกคนจะตีเจตนาของเขาผิดไปไกล พิชญ์ถึงได้เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตอบกลับมาเสียงแข็ง

“ผมไหว”

ถ้ามีใครซักคนกล้ามาบอกอริญชย์ว่าน้องหนูดื้อ รับรองว่าเขาจะค้านหัวชนฝาอย่างแน่นอน สำหรับอริญชย์แล้ว เขาว่า...พ่อของน้องหนูดื้อกว่าน้องหนูเยอะ

อริญชย์ไหวไหล่เบา ๆ ราวกับจะบอกว่า...ถ้างั้นก็ตามใจเถอะ

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่งตุลย์ขับรถเข้ามาจอดหน้าโกดัง บรรดาคนงานที่ยังยืนมุงดูความเสียหายอยู่หน้าโกดังค่อย ๆ ขยับแหวกออกเป็นทาง อริญชย์เป็นฝ่ายก้าวลงมาจากรถเป็นคนแรก ก่อนจะตามด้วยพิชญ์ที่ก้าวตามลงมาติด ๆ

ดวงตาคมปลาบมองสำรวจและประเมินความเสียหายคร่าว ๆ ด้วยสายตา สลับกับฟังรายงานจากกริชที่เดินเข้ามาหาทันทีที่อริญชย์มาถึง

ตัวโกดังและทรัพย์สินที่อยู่ข้างในโกดังเสียหายเพียงเล็กน้อย เนื่องจากทันทีที่สัญญาณเตือนไฟไหม้ส่งเสียงดัง บรรดาคนงานที่ถูกฝึกให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตรงเข้าควบคุมสถานการณ์ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ มีเพียงทรัพย์สินบางส่วนที่ถูกพระเพลิงเผาทำลายจนเสียหาย แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าที่คิด

พิชญ์ที่กังวลมาตลอดทาง พอมาเห็นกับตาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เขาต้องยอมรับว่าระบบบริหารจัดการคนที่อริญชย์วางเอาไว้มีประสิทธิภาพมาก จนเกิดความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถึงแม้มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเทียบได้แค่ขี้เล็บของเกียรติกาญจนา แต่สำหรับอริญชย์แล้ว มันไม่ต่างอะไรจากการถูกหยามศักดิ์ศรีดี ๆ เลย

“จับตัวคนทำได้หรือเปล่า” อริญชย์หันมาเอ่ยถามกริชเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

“จับไม่ได้ครับ มันไม่ได้ทิ้งรอยนิ้วมืออะไรไว้เลย เหลือแต่กล้องวงจรปิดที่ผมยังไม่ได้เช็ก รอคำสั่งของคุณใหญ่อยู่ครับ”

อริญชย์พยักหน้ารับ เขาเป็นคนสั่งให้ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้เพื่อป้องกันความปลอดภัยในหลาย ๆ ด้านเอง ไม่มีใครรู้ว่าภายในโกดังเก็บสินค้าที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ดี ๆ ของเกียรติกาญจนาจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เขาจึงจำเป็นต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน

ประสบการณ์มันสอนว่า...อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน

อริญชย์สั่งการให้คนงานจัดการเก็บกวาดซากความเสียหายต่าง ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังออฟฟิศ ซึ่งตุลย์ยืนรออยู่แล้ว โดยมีกริชและพิชญ์เดินตามมาติด ๆ

คนคุมกล้องวงจรปิดหันมาทำความเคารพทันทีที่นายใหญ่เปิดประตูเข้ามา อริญชย์พยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ตาจดจ้องที่มอนิเตอร์ก่อนจะเอ่ยสั่งการ

“กรอเทปดูเหตุการณ์ก่อนจะเกิดไฟไหม้”

ภาพการทำงานในโกดังถูกฉายออกมา ส่วนมากมีแต่เหตุการณ์ทั่ว ๆ ไปในโกดัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ชุลมุนช่วงไฟไหม้ ไม่มีอะไรที่ดูมีพิรุธหรือผิดสังเกตแม้แต่น้อย

“พอแล้ว ก๊อปปี้วิดีโอส่งมาให้ฉันหนึ่งชุด”

อริญชย์หันกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เห็นพิชญ์ยืนขมวดคิ้วอยู่ พิชญ์ไม่เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ยังไง ในเมื่อเขายังหาความผิดปกติจากกล้องวงจรปิดไม่เจอเลยแม้แต่น้อย

อริญชย์พอจะเดาความคิดของพิชญ์ออก เขาปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาหาตุลย์กับกริช ริมฝีปากหยักบิดออกเป็นรอยยิ้มเย็นชาอย่างที่คนคุ้นเคยเห็นแล้วต้องเสียวสันหลังวาบ

“กริช แกไปบอกพวกคนงานที่เฝ้าโกดังว่า ถ้าครั้งหน้าไฟไหม้อีกแล้วมันจับตัวคนทำได้ ให้มาเบิกเงินก้อนจากฉัน แต่ถ้าจับไม่ได้...โกดังไหนที่โดนไฟไหม้ คนเฝ้าก็เตรียมตัวเก็บของแล้วออกจากงานได้เลย ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งนั้น”

กริชพยักหน้ารับคำสั่งผู้เป็นนาย ก่อนจะแยกตัวไปจัดการตามที่ผู้เป็นนายสั่ง แม้แต่ตุลย์ก็มีท่าทีเฉย ๆ กับคำสั่งของผู้เป็นนาย มีเพียงแค่พิชญ์ที่เบิกตากว้าง เผลอยื่นมือไปกำแขนเสื้ออริญชย์เอาไว้โดยไม่รู้ตัว

“คุณใหญ่ ทำไมถึงสั่งกริชไปแบบนั้น”

“คนที่ไม่มีคุณสมบัติจะทำงาน ปล่อยให้โจรเข้ามาถึงในบ้านได้ ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างเอาไว้”

“แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยนะคุณใหญ่ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอก”

“มันไม่ใช่เหตุสุดวิสัยเลยพีท มันเป็นความประมาทเลินเล่อของคนงาน หรือแม้กระทั่งอาจจะมีเกลือเป็นหนอนด้วยซ้ำไป”

“แต่ไม่เห็นต้องถึงกับไล่ออกเลย พวกเขายังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านอีก”

“นั่นเป็นความรับผิดชอบของพวกคนงาน ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำสอง ก็จะไม่มีคนถูกไล่ออกจากงาน ชีวิตจริงมันเป็นแบบนี้แหล่ะพีท ไม่มีใครที่จะได้ในทุกสิ่งทุกต้องการหรอก ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับเอาไว้ นายเองก็เหมือนกัน...จริงไหม”

สายตาจริงจังที่จ้องมองมา ทำเอาพิชญ์ต้องเบือนหน้าหนี

ข้างนอกออฟฟิศ กริชกำลังยืนแจ้งข่าวกับหัวหน้าคนงานของแต่ละโกดังถึงคำสั่งของอริญชย์ โดยที่พิชญ์ทำได้เพียงแค่มองพวกเขาด้วยความเห็นใจ ในเมื่ออำนาจและการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดล้วนแล้วแต่เป็นของอริญชย์

เขารู้ว่าคนงานทุกคนต่างก็มีภาระที่ต้องดูแล บางคนมีลูกมีเมีย บางคนมีพ่อแม่แก่ ๆ ถ้าจะบอกว่าชีวิตของเขาลำบากแล้ว ชีวิตของคนงานพวกนี้ที่ต้องดิ้นรนเพื่อเลี้ยงปากท้องไปวัน ๆ ยังลำบากมากกว่าเขาอีก ถ้าเกิดต้องออกจากงานไปในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คนเหล่านั้นจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร คนที่เติบโตมาท่ามกลางกองเงินกองทอง โดยไม่เคยต้องลำบากดิ้นรนอย่างอริญชย์จะไปเข้าใจอะไร

“มันไม่ยุติธรรมเลยคุณใหญ่”

“บนโลกนี้มันไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมหรอกพีท คนแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ แล้วฉันก็ไม่ได้เปิดโรงทาน ฉันเปิดบริษัท อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท เราก็จำเป็นต้องกำจัดมันทิ้งไป ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกันมา นายยังไม่รู้อีกหรือว่าต้องทำตัวยังไงถึงจะอยู่รอดในวงการนี้ได้”

สิ่งที่อริญชย์พูดมาก็ถูก มันคือความจริงที่พิชญ์ต้องยอมรับ โลกธุรกิจจริง ๆ แล้วมีแต่การแข่งขันและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คนโง่มักจะตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด และปลาใหญ่ก็ย่อมกินปลาเล็ก มันไม่เคยมีที่ให้คนอ่อนแออยู่แล้ว

อริญชย์ปล่อยให้พิชญ์ค่อย ๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูด ส่วนตัวเขาหันกลับไปหาตุลย์ สั่งให้จัดเวรยามเฝ้าโกดังให้แน่นหนา ตรวจสอบคนเข้าออกอย่างเข้มงวด และที่สำคัญ...เขาคงต้องปรับเปลี่ยนหน้าที่การทำงานของแต่ละคนใหม่ เพื่อจะที่ได้มั่นใจว่าเขาจะไม่พลาดซ้ำสองอีก

คนอย่างอริญชย์ไม่ชอบถูกลูบคม แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอดีตเพื่อนเก่าก็ตามที

มิตรภาพที่ขาดสะบั้นลงไปแล้ว เขาไม่คิดจะให้มันกลับมาต่อติดได้ง่าย ๆ นักหรอก

กว่าจะเป็นเขาอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้...มันไม่ง่ายเลย

“กลับกันได้แล้วมั้งพีท นายเองจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย”

พิชญ์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามอริญชย์ไปที่รถ ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่อริญชย์ก็สอนอะไรเขาหลายอย่าง และทุกอย่างที่อริญชย์พูดและแสดงให้เห็นก็ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น

หลายครั้งที่พิชญ์เองยังนึกสงสัย แท้จริงแล้วตัวเขาเหมาะกับโลกธุรกิจนี้จริง ๆ หรือ ถ้าไม่ได้แต่งงานกับไอลดา ตอนนี้เขาอาจจะเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาซักแห่ง ทำงานกินเงินเดือน ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

...แล้วแบบไหนที่มันเหมาะกับตัวเขากันแน่?


.


กว่าจะกลับมาถึงคฤหาสน์เกียรติกาญจนาก็ดึกดื่น บรรดาแม่บ้านต่างก็เข้านอนกันหมดแล้ว เหลือแค่เวรยามยืนรักษาความปลอดภัย อริญชย์เห็นตุลย์ขับรถเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เลยสั่งให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งตุลย์ก็ไม่คิดจะปฏิเสธความหวังดีที่ผู้เป็นนายหยิบยื่นให้ รีบตอบรับทันที

“งั้นผมไปนอนแล้วนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณใหญ่ คุณพีท”

พิชญ์ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยราตรีสวัสดิ์ตอบกลับไป พอเห็นตุลย์เดินแยกไปแล้ว เขาก็เตรียมจะแยกไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนเหมือนกัน ติดตรงที่ว่าอริญชย์ดันคว้าข้อมือเขาเอาไว้ จนพิชญ์ต้องหันไปเลิกคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

“อะไรครับ คุณใหญ่”

“หิว”

สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ดูเหมือนพิชญ์จะจับใจความไม่ได้ คนพูดเลยต้องขยายความให้อีกนิดด้วยความหวังดี

“ฉันหิว หาอะไรให้กินหน่อย”

ถ้าเป็นเวลาปกติ พิชญ์คงจะไปเรียกป้าน้อยมาจัดการกับคุณชายของเธอ แต่ในเมื่อตอนนี้ป้าน้อยเข้านอนไปแล้ว เขาจะไปเรียกใครได้ นอกจากแก้ปัญหาด้วยตนเอง

“เดี๋ยวขอผมดูในครัวก่อนว่ามีอะไรพอจะทำกินได้บ้าง”

ห้าทุ่มกว่าแล้ว ถ้าเลือกได้ พิชญ์ก็อยากจะทำอะไรง่าย ๆ ให้คนที่หิวกลางดึกกิน แทนที่จะต้องไปเปิดเตาแก๊สทำกับข้าวอะไรให้วุ่นวาย แต่เขาก็แทบจะไม่เคยแตะครัวที่นี่เลย จนไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เพราะที่ผ่านมา เวลาเขาจะเข้าครัวก็มักจะโดนอริญชย์ห้าม หาว่าเขาไปแย่งงานป้าน้อยอยู่เรื่อย

พิชญ์เดินเข้าไปในห้องครัว ดินแดนมหัศจรรย์ของป้าน้อย โชคดีที่เขาเหลือบตาไปเห็นขนมปังแผ่นตัดขอบพอดี เลยไม่ต้องเสียเวลาเปิดตู้เย็นหาอย่างอื่นให้วุ่นวาย ให้อริญชย์กินขนมปังปิ้งไปก็แล้วกัน เอาง่าย ๆ แบบนี้แหล่ะ

พิชญ์กำลังจะชงกาแฟให้อริญชย์ แต่ก็ต้องชะงักมือเสียก่อน ถ้าเกิดเขาให้อริญชย์ดื่มกาแฟตอนนี้ สงสัยจะไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันทั้งคืน เปิดตู้เย็นหาอย่างอื่นที่พอจะทดแทนกันได้ สุดท้ายก็ได้นมสตรอเบอร์รี่มาหนึ่งกล่องใหญ่

พ่อพีทขอแบ่งนมสตรอเบอร์รี่ของน้องหนูให้ลุงใหญ่ น้องหนูคงไม่ว่ากันนะครับ

เอ่ยขออนุญาตลูกสาวตัวน้อยที่คงนอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของแม่พลอยในใจ แล้วพิชญ์ก็จัดการรินนมลงแก้ว ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไปหาคนที่นั่งรออยู่ตรงโซฟา

พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ คนที่กำลังเอาคอพาดกับพนักโซฟาอยู่ก็ผงกหัวขึ้นมามอง เอาเข้าจริง ๆ อริญชย์ก็ไม่ได้หิวอะไรมากมาย แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเอ่ยปากออกไปว่า ‘หิว’ อาจจะเป็นแค่ข้ออ้างง่าย ๆ ที่ยังไม่อยากให้อีกคนเดินหนีไปก็เป็นได้

“ขนมปังปิ้งกับ...” อริญชย์ชะโงกตัวไปดูของเหลวในแก้วก่อนจะพึมพำเบา ๆ หน้าตาปุเลี่ยนแปลก ๆ “นมสตรอเบอร์รี่”

“ครับ นมสตรอเบอร์รี่ คุณใหญ่มีปัญหาหรือเปล่า”

“เปล่า ฉันก็แค่กลัวโดนโกรธที่ไปแย่งนมสตรอเบอร์รี่ของโปรดน้องหนูมากิน”

“นี่ดึกมากแล้ว ดื่มนมน่ะดีแล้วครับ”

“เป็นห่วง?”

พิชญ์ชะงักน้อย ๆ แต่ก็ยอมรับออกมาตามตรงว่าเป็นห่วงอริญชย์ เพียงแต่ความหมายของคำว่าเป็นห่วงระหว่างเขากับอริญชย์อาจจะต่างกัน

“ครับ เป็นห่วง เดี๋ยวคุณเล็กจะคิดว่าผมดูแลพี่ชายเธอไม่ดี”

ริมฝีปากที่กำลังจะคลี่ยิ้มออกน้อย ๆ พลันเหยียดออกเป็นเส้นตรง ระหว่างเขากับพิชญ์แล้ว ใครกันแน่ที่ชอบหาเรื่องชวนทะเลาะ ถ้าถามอริญชย์ เขาคงจะตอบว่าพิชญ์เป็นคนเริ่มอย่างไม่ลังเล

...ทั้งที่เป็นเขาเองที่ยัดเยียดสถานะสามีของไอลดาให้พิชญ์

และก็เป็นเขาอีก...ที่เกลียดเวลาพิชญ์หยิบสถานะความเป็นสามีของไอลดาขึ้นมาเอ่ยอ้าง

อริญชย์หยิบขนมปังที่ทาเนยบาง ๆ แล้วโรยน้ำตาลนิด ๆ เข้าปาก ก่อนจะตามด้วยนมสตรอเบอร์รี่ รสชาติของทุกอย่างที่ผสมกันมันหวานละมุน ต่างจากความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ยังหวานอมขมกลืนเหมือนกาแฟดำใส่น้ำตาล

...บางคราวก็มีรสหวานพอให้วาบหวามใจ แต่พอเผลอเมื่อไหร่ รสขมก็แทรกเข้ามาให้รู้สึกปวดปร่าอยู่ในอก ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะโทษใครได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเขาเอง...

“ช่วงนี้คงจะมีเรื่องวุ่น ๆ พอสมควร ฉันจะให้น้องหนูไปอยู่กับยัยเล็กที่คอนโดก่อน”

“ผมได้ยินที่คุณคุยกับคุณเล็กแล้ว”

“งั้นก็ดี...”

“คุณใหญ่ ระหว่างคุณกับเสี่ยเล้ง เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ อย่าให้ผมต้องเป็นเหมือนกับคนที่หูหนวกตาบอด ไม่รับรู้เรื่องอะไรเลยได้ไหม”

อริญชย์ค่อย ๆ วางแก้วนมลงบนโต๊ะ เขาอยากจะพูด อยากจะเล่า อยากจะอธิบาย แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่า

“คนที่ทรยศต่อความไว้ใจของคนอื่นอย่างมัน ชาตินี้ฉันไม่มีวันให้อภัยแน่ ๆ”

ถึงแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อริญชย์พูด แต่ความเจ็บปวดที่ถ่ายทอดออกมาทางแววตา ก็ทำให้พิชญ์เผลอยื่นมือไปจับมืออริญชย์ไว้หลวม ๆ

“คุณใหญ่ยังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอยากเล่าเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมจะฟังคุณ...ในทุก ๆ เรื่อง”

ทุกเรื่องของพิชญ์...อาจจะหมายรวมถึงคำอธิบายดี ๆ ในเรื่องที่อริญชย์ทำกับเขาด้วย



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
ช่วงนี้ก็จะมาถี่ๆหน่อยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 9 --- หน้าที่ 2 [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 08-05-2020 20:36:35
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 9 --- หน้าที่ 2 [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 08-05-2020 21:10:55
เรื่องเยอะนะคุณใหญ่  o18  o18 o18
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 9 --- หน้าที่ 2 [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 08-05-2020 23:25:25
 :laugh: มีอะไรก็รีบเล่าสิคุณใหญ่ น้องเขยพร้อมจะฟังอยู่แล้ว
เปิดอกคุยกันไปเลยยยย รับรอง น้องเขยหนีแน่ๆ  o18
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 9 --- หน้าที่ 2 [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 09-05-2020 01:33:29
ไม่มีคำอธิบายดีๆที่คุณใหญ่ทำกับพีทหรอกนะนอกจากว่าเพราะฉันรักเธอ อยากได้มาอยู่ข้างกายไง อัยยะ~ >.,<  555 ไม่ได้มีแค่พีทคนเดียวที่อยากรู้ เราเองก็เช่นกัน นี่รอให้เขาเจอหน้ากันดูสิ จะโดดถีบหน้ากันเลยป่ะ  :z6: 555555 มังกรจะผงาดมาจากไหนก็โดนเสือขย้ำได้ โว้ๆ เรื่องอะไรถึงแตกหักกันได้ขนาดนั้น รอฟังเลย อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนอาจจะได้เตือนพีทอีกทีในสักวัน สนุกกกกกกกกกกกกก ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อ รรรรรอ่านตอนหน้าค่า  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 9 --- หน้าที่ 2 [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-05-2020 15:46:14
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 10-05-2020 20:24:49
สิบ
สามีภรรยา



บ่ายวันจันทร์ อริญชย์มีนัดหมายเข้าพบอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกะทันหัน พิชญ์ต้องอยู่รอพิจารณางบประมาณงานประมูล เขาเลยขอตัวอยู่เคลียร์งานที่บริษัท ซึ่งพิชญ์ก็นึกขอบคุณอริญชย์ที่ยอมปล่อยเขาสะสางงานอยู่ที่บริษัท ราวกับรู้ว่าพิชญ์เกลียดการเข้าพบบรรดาคนใหญ่คนโต รวมถึงบรรดาลูกท่านหลานเธอต่าง ๆ

ไม่ใช่ว่าคนเดินดินธรรมดาอย่างพิชญ์รังเกียจพวกคนใหญ่คนโต เพียงแต่พิชญ์ไม่อยากทนปั้นหน้า สวมหน้ากากฟังคนนั้นคนนี้ป้อยอกัน ถ้าเลี่ยงได้ก็ขอเลี่ยงเอาไว้ก่อนเป็นดี

พิชญ์นั่งทำงานไปเรื่อย ๆ เขาศึกษาข้อมูลของทางกมลวิลาศน์เท่าที่มีให้ศึกษา ธุรกิจส่วนรับเหมาก่อสร้างของทางกมลวิลาศน์เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของธุรกิจหลัก ที่สองพี่น้องอย่างราชันย์และรัญญารับสืบทอดมาจากผู้เป็นพ่อ แต่ยังมีแขนงอื่นอีกมากมาย ซึ่งอยู่ในความดูแลของบรรดาญาติคนอื่น ๆ แต่พิชญ์ก็ไม่คิดจะไปแตะต้องในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา

ถ้ามีโอกาสได้พบกับราชันย์ พิชญ์เองก็อยากจะถามถึงสาเหตุความบาดหมางระหว่างอีกฝ่ายกับอริญชย์ แต่ก็แค่บางทีเท่านั้น...

การหายออกไปจากวงสังคมนานกว่าห้าปี ทำให้กลายเป็นเรื่องยากที่จะสืบค้นข้อมูลหรือข่าวคราวของราชันย์ ข่าวส่วนมากที่พอจะค้นหาได้ก็ล้วนแต่เป็นข่าวของน้องสาวอย่างรัญญา ซึ่งเท่าที่พิชญ์ไล่สายตาดูคร่าว ๆ แล้ว เขาเองก็ยังหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับอริญชย์ไม่เจอเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาเรียวกวาดไล่ไปตามข้อความยาวเป็นพรืดบนหน้าจอมอนิเตอร์ ก่อนพิชญ์จะเอนหลังลงพิงพนักช้า ๆ กำลังจะหลับตาลง ก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นครืดคราด พิชญ์รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู เผื่อว่ามีเรื่องด่วน ปรากฏว่าคนที่โทรมาคือไอลดา เขากดรับสายด้วยความงุนงงเล็กน้อย

“พีทพูดครับ”

“เล็กเองนะคะ พี่พีท”

“ว่าไงครับ คุณเล็ก”

“เล็กโทรมากวนพี่พีทหรือเปล่าคะ พอดีเล็กเพิ่งไปรับน้องหนูมาอยู่ที่คอนโด เล็กเลยโทรมาบอกพี่พีทเอาไว้ พี่พีทจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

ดวงตาเรียวของพิชญ์เป็นประกายขึ้นมาทันที ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันพลันหายเป็นปลิดทิ้งราวกับมีเวทย์มนต์ เพียงแค่ได้ยินชื่อลูกสาวตัวน้อย

“น้องหนูงอแงไหมครับ” พิชญ์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“งอแงน่าดูเลยค่ะ นี่ยังไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่เช้าเลย ร้องหาพี่พีทอย่างเดียว ขนาดนวลยังเอาไม่อยู่”

พิชญ์ชั่งใจเล็กน้อย ความเป็นห่วงน้องหนูแล่นพล่าน ต้องยอมรับเลยว่าน้องหนูติดเขามากกว่าไอลดา ดวงหน้าขาวพลันเคร่งเครียดขึ้นมาด้วยความกังวล

“ขอผมคุยกับน้องหนูหน่อยได้มั้ยครับ คุณเล็ก”

“แป๊บนึงนะคะพี่พีท” ไอลดาเอ่ยบอก ก่อนพิชญ์จะได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากอีกฝั่ง “น้องหนู มาหาแม่เล็กเร็วลูก มาคุยกับพ่อพีทนะคะ”

พิชญ์ถือโทรศัพท์รออย่างใจเย็น ก่อนจะได้ยินเสียงวิ่งตึงตังพร้อมกับเสียงสะอื้นเบา ๆ ของน้องหนูแล่นมาตามสาย หัวใจของคนเป็นพ่อปวดหนึบ เมื่อรู้ว่าเผลอทำให้ดวงใจของตนเจ็บปวดมากแค่ไหน

“ฮึก...ฮึก...พ่อพีทจ๋า ทำไมพ่อพีททิ้งน้องหนูคะ”

“พ่อพีทไม่ได้ทิ้งน้องหนูลูก พ่อพีทมีงานต้องกลับมาทำ”

“แล้วพ่อพีทจะมาหาน้องหนูเมื่อไหร่คะ”

“น้องหนูอยู่กับแม่เล็กก่อนนะคะ เดี๋ยวพ่อพีทรีบไปหา”

“สัญญานะคะ...”

“สัญญาค่ะคนเก่ง”

พิชญ์คุยและปลอบน้องหนูอยู่อีกสองสามประโยค กว่านางฟ้าตัวน้อยของพิชญ์จะสงบลง ฟังจากสุ้มเสียงของไอลดา พิชญ์ก็พอเดาออกว่าหญิงสาวคงจะปลอบน้องหนูมาทั้งวัน เสียงยามเอ่ยกับเขาถึงได้ดูระโหย เพียงแต่ว่าตอนแรกพิชญ์ไม่ทันได้สังเกต

“ขอโทษด้วยนะคะ ลำบากพี่พีทเลย เล็กแค่จะโทรมาบอกให้หายห่วงเสียหน่อย กลายเป็นต้องห่วงมากกว่าเดิมอีก”

พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ แม้จะรู้ว่าปลายสายคงไม่เห็น ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยนปลอบคนที่เป็นแม่ของลูก

“ขอโทษทำไมครับคุณเล็ก ในเมื่อน้องหนูเป็นลูกของเรา”

“ค่ะ ลูกของเรา” ไอลดาพึมพำคล้ายละเมอ

“เดี๋ยวผมเคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบไปหานะครับ”

พิชญ์วางสายจากไอลดาแล้วก็รีบสะสางงานที่กองอยู่ตรงหน้าให้เสร็จเรียบร้อย เขาเงยหน้าดูนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสามโมงเศษ ๆ แต่ตัวเขาเองจัดการงานเสร็จหมดแล้ว เลยตั้งใจว่าจะตรงไปคอนโดไอลดาหาน้องหนู ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มาโทรบอกอริญชย์ อีกฝ่ายจะได้ไม่มาต่อว่าเขาภายหลัง แต่ไม่ว่าจะโทรยังไง ก็ติดต่อไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้พิชญ์แปลกใจนัก เวลาคุยธุระสำคัญ ๆ อริญชย์มักจะปิดเสียงโทรศัพท์อยู่แล้ว หรือบางทีก็ปิดเครื่องตัดรำคาญไปเลย

พิชญ์กดส่งข้อความหาอริญชย์ว่าเขาจะไปน้องหนู อีกฝ่ายจะรับรู้หรือไม่ก็อีกเรื่อง แต่เขาถือว่าเขาได้บอกไปแล้ว จากนั้นก็เก็บของแล้วเดินลงมาเรียกแท็กซี่ที่หน้าบริษัท จากออฟฟิศไปยังคอนโดของไอลดาไม่ไกลนัก พิชญ์แตะคีย์การ์ดในกระเป๋าที่ได้มาจากไอลดา ซึ่งเขาพกติดตัวอยู่ตลอด ก่อนจะใช้แตะผ่านเข้าคอนโด

พิชญ์นึกชมระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดที่ไอลดาอยู่ เท่าที่ดูด้วยตาเปล่า ที่นี่ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว แถมยังสะดวกสบาย ระหว่างรอให้อะไรหลาย ๆ อย่างระหว่างอริญชย์กับราชันย์จะคลี่คลาย พิชญ์ก็วางใจให้น้องหนูอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก ที่เหลือก็แค่หาวิธีพูดคุยกับน้องหนูให้รู้เรื่อง

พิชญ์เดินมาหยุดหน้าห้องที่ไอลดาซื้อไว้ เขากดออดแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง ให้ไอลดาเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เอง แทนที่จะแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง ไอลดาพอเห็นว่าคนที่มาคือพิชญ์ก็ทำหน้าดีใจ

“พี่พีท มาเร็วจังค่ะ”

พิชญ์เดินตามเจ้าของห้องเข้าไปในห้อง ไอลดาซื้อคอนโดแบบสองห้องนอนเอาไว้ เห็นแล้วเขาก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าไอลดาจะอยู่คนเดียว เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อแบบสองห้องนอนเลย พิชญ์ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามถึงน้องหนูแทน

“น้องหนูล่ะครับ”

“หลับไปแล้วค่ะ ส่วนนวลก็ลงไปซื้อของข้างล่าง”

ไอลดาเดินนำพิชญ์เข้าไปที่ห้องนอนใหญ่ทางขวามือ น้องหนูนอนกอดหมอนข้าง หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง พิชญ์เดินไปนั่งข้าง ๆ น้องหนู ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มยุ้ยเบา ๆ

“หลับไปนานหรือยังครับ” พิชญ์หันมาถามคนที่เดินตามมานั่งข้าง ๆ เขา

“ซักชั่วโมงได้ค่ะ แล้วพี่ใหญ่ไม่ได้มาด้วยกันหรือคะ”

“คุณใหญ่ติดประชุมน่ะครับ เดี๋ยวคงตามมา”

อริญชย์ไม่ได้บอกพิชญ์ว่าจะตามมา แต่พิชญ์ก็เดาได้เองโดยไม่ต้องถาม หลังจากเห็นข้อความที่เขาส่งไป อริญชย์ต้องตามเขามาที่นี่แน่ ๆ

“น้องหนูงอแงมากเลยหรือครับ”

“ตอนอยู่กับแม่พลอย แล้วก็ตอนเล็กไปรับมาก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แค่ดื้อนิดหน่อย แล้วก็ร้องจะหาพี่พีท มาปล่อยโฮก็ตอนคุยกับพี่พีทนั่นแหล่ะค่ะ”

“เหนื่อยไหมครับ คุณเล็ก” พิชญ์เอ่ยถามไอลดาเสียงอ่อน เลื่อนมือไปกุมมือเธอเอาไว้

ไอลดาเองยังอายุไม่มากนัก แค่เธอมีความรับผิดชอบยอมอุ้มท้องน้องหนูมาถึงเก้าเดือน โดยไม่คิดทำร้ายน้องหนู พิชญ์ก็นับถือน้ำใจเธอมากแล้ว

พิชญ์รู้ว่าไอลดาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นแม่ เขากับอริญชย์ถึงต้องช่วยกันประคับประคองเธอ และที่สำคัญ...เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

ถึงน้องหนูจะไม่ได้เกิดมาจากความรัก แต่น้องหนูก็สอนให้พิชญ์รู้จักความรัก วินาทีที่น้องหนูลืมตาดูโลก พิชญ์ก็สัญญากับตัวเองแล้วว่า เขาจะทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มีให้กับน้องหนู

“พี่พีทคะ...” ไอลดาเรียกชื่อผู้เป็นสามี ก่อนจะเงยหน้ามองเขาเต็มตา

“ครับ คุณเล็ก”

“เราเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ได้ไหมคะ”

บางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนออกมาจากแววตาของไอลดามันชัดเจน ชัดมากเสียจนพิชญ์กลัว แต่เขาก็เลือกที่จะสบตาเธอ ไม่หนีไปไหน

“เราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” พิชญ์เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน บีบกระชับมือไอลดาแน่น แต่พิชญ์จะรู้บ้างไหม...

บางครั้งความอ่อนโยนที่มอบให้โดยไม่คิดอะไร มันก็ทำร้ายคนรับให้ตายทั้งเป็น...

“เล็กไม่ได้หมายความแบบนั้น เล็กอยาก...” ไอลดาหลุบสายตาลงต่ำ เอาเข้าจริง ๆ เธอก็นึกกระดากอายไม่น้อยที่ต้องมาเอ่ยปากเรียกร้องอะไรแบบนี้ “เล็กอยากให้เราเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ”

พิชญ์ยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะดึงไอลดาเข้ามากอด อย่างน้อย...เขาจะได้ไม่ต้องสบตาของเธอ ดวงตาที่มีแต่ความคาดหวังระคนชอกช้ำ บางทีพิชญ์ยังนึกสงสัยว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ มันคือการเห็นแก่เธอหรือเห็นแก่ตัวเองกันแน่

พิชญ์ไม่อยากมีความสัมพันธ์ทางกายกับไอลดา โดยที่หัวใจเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ แบบนั้นมันโหดร้ายกับหญิงสาวเกินไป

“ไม่ว่าเมื่อไหร่เล็กก็ได้แต่ร่างกายของพี่พีทอยู่ดี” ไอลดาเอ่ยออกมาเสียงขื่น ๆ

“ผมขอโทษ...”

“เล็กเคยบอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องขอโทษเล็ก การที่พี่พีทไม่รักเล็ก มันไม่ใช่ความผิดของพี่พีทเลย แต่เล็กแค่อยากรู้ ว่าเล็กพอจะมีหวังบ้างไหม”

พิชญ์ถึงกับนิ่งไป ใครกันที่เคยบอกว่า อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง ทำไมชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าของอริญชย์ถึงได้ลอยขึ้นมา จนพิชญ์ต้องยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง

กอดน้องสาวอยู่แท้ ๆ แต่หัวใจกลับไปคิดถึงคนเป็นพี่ชาย...

จะมีใครที่เลวกว่าเขาอีกไหม

ไอลดาค่อย ๆ ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพิชญ์ เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา ๆ ภายในห้องที่เงียบสนิทนี้ ทุกถ้อยคำที่เธอพูดออกมา มันชัดเจนจนกระแทกใจคนฟังให้ปวดหนึบ

“ถ้าเล็กขอให้เราเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ พี่พีททำให้เล็กได้ไหมคะ”

อย่า...อย่าให้เขาต้องเป็นคนเลวไปมากกว่านี้เลย

“พ่อพีทจ๋า...”

จังหวะที่ไอลดากำลังรุกไล่พิชญ์ด้วยแววตาและคำพูด จนพิชญ์แทบจะหมดท่าจนมุม เสียงเรียกของน้องหนูก็เปรียบดังระฆังช่วยชีวิต จนคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องถอนสายตาออกจากกัน ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่กำลังงัวเงียอยู่

“พ่อพีทมาหาน้องหนูแล้วเหรอคะ”

“มาแล้วครับ แม่เล็กบอกว่าน้องหนูดื้อเหรอลูก”

พิชญ์อุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมานั่งบนตัก น้องหนูยกมือโอบรอบคอของพิชญ์ไว้แน่น ๆ ไม่ยอมปล่อย เพราะกลัวผู้เป็นพ่อจะหนีไปอีก

“พ่อพีททิ้งน้องหนู” ลูกสาวตัวน้อยตัดพ้อออกมาเบา ๆ

“ไม่ได้ทิ้งลูก พ่อพีทมีงานต้องทำไงคะ คนเก่ง”

“พ่อพีทจะทิ้งน้องหนูอีกไหมคะ”

“พ่อพีทไม่ทิ้งน้องหนูหรอกครับ แต่งานพ่อพีทเย๊อะเยอะ น้องหนูอยู่กับแม่เล็กก่อนนะ เป็นเด็กดี อย่างอแงนะครับ”

เด็กหญิงตัวน้อยเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะรักผู้เป็นแม่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาน้องหนูก็อยู่กับพิชญ์มากกว่าไอลดามาตลอด เด็กหญิงมองหน้าพ่อกับแม่สลับกัน ไม่ยอมเอ่ยปากรับคำเสียที จนไอลดาต้องช่วยอีกแรง

“ไหนบอกว่าคิดถึงแม่เล็กไงคะ คนเก่ง”

“แต่...”

“ถ้าน้องหนูคิดถึงพ่อพีทเมื่อไหร่ พ่อพีทจะรีบมาหา สัญญา...”

“พ่อพีทไม่อยู่ แล้วใครจะเล่านิทานให้น้องหนูฟังคะ”

“อ้าว พูดแบบนี้ แม่เล็กน้อยใจแล้วนะ”

“ขอโทษค่ะ แต่น้องหนูอยากอยู่กับพ่อพีทกับแม่เล็กนี่คะ ไม่เลือกไม่ได้เหรอคะ”

พิชญ์ทำหน้าลำบากใจ เอาเข้าจริงแล้ว เรื่องที่เอาน้องหนูมาฝากไว้กับไอลดาก็ไม่ใช่ความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมถึงเป็นเขาที่ต้องมารับหน้าเจรจากับน้องหนูกันล่ะ

“น้องหนูอยู่กับแม่เล็ก เป็นเด็กดี แล้วพ่อพีทจะรีบทำงาน ถ้างานเสร็จไว เราก็จะได้อยู่ด้วยกันไว ๆ ไงลูก โอเคไหมเอ่ย”

“ก็ได้ค่ะ”

“อยู่กับแม่เล็กอย่าดื้อนะคะ”

“น้องหนูไม่ดื้อ แต่เราจะได้อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกเร็ว ๆ ใช่ไหมคะ”

พิชญ์ไม่ได้ตอบ เขาโอบกอดน้องหนูและไอลดาไว้ในอ้อมแขน เขาเองก็อยากจะรักษาครอบครัวนี้เอาไว้ แต่พิชญ์รู้ดีว่าความเห็นแก่ตัวของเขาจะต้องทำลายมันเข้าในซักวัน ถึงเขาจะรักน้องหนูมากแค่ไหน แต่ความรักที่ไม่เคยมอบให้ไอลดา มันจะทำให้คำว่าครอบครัวอยู่รอดได้นานแค่ไหนกัน



.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 10-05-2020 20:28:49


ไหน ๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แถมยังมีนวลอยู่ด้วย พิชญ์เลยนึกครึ้มอยากทำอาหารขึ้นมา ซึ่งน้องหนูก็นั่งปรบมือแปะ ๆ เชียร์คุณพ่อตัวเองยกใหญ่ ตอนแรกไอลดาจะให้นวลไปซื้อของให้ แต่พิชญ์เห็นว่านวลเพิ่งกลับมาแหม็บ ๆ เลยอาสาว่าจะไปเอง จะได้ไม่ต้องลำบากนวล

“ให้เล็กไปด้วยไหมคะ พี่พีท” ไอลดาที่นั่งดูลูกสาววาดรูปอยู่เงยหน้าขึ้นมาถามพิชญ์

“ไม่เป็นไรครับ คุณเล็กอยู่กับลูกเถอะ”

พิชญ์จะรู้ไหม แค่ประโยค...คุณเล็กอยู่กับลูกเถอะ มันทำให้หัวใจคนฟังทั้งตื้นตันและเจ็บปวดไปในคราวเดียวกันมากแค่ไหน เขาพูดเหมือนกับว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เขาคนนั้นก็ไม่เคยนึกอยากทำหน้าที่สามีของเธอทั้งที่มีสิทธิ์

ทำไมไอลดาจะไม่รู้ พิชญ์อยากเป็นพ่อ แต่พิชญ์ไม่ได้อยากเป็นสามี

เพราะสิ่งที่ได้มา มันไม่ได้มาจากความเต็มใจของเขา เธอจึงไม่เคยได้หัวใจของเขามาครอบครอง อย่างน้อย...ก็หวังว่าโซ่ทองเส้นใหญ่จะคล้องเขาเอาไว้ให้อยู่กับเธอได้นาน ๆ

“แม่รักหนูนะคะ...”

พิชญ์มองภาพที่ไอลดาก้มลงจูบแก้มน้องหนูก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา จะดีแค่ไหนกัน ถ้าหัวใจเขาสามารถรักเธอได้จริง ๆ รักโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ

พิชญ์ถอนสายตาออกมาจากภาพตรงหน้า ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ไอลดาบอกเขาว่าใกล้ ๆ คอนโดมีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่นวลเพิ่งไปซื้อของใช้มาให้ไอลดา พิชญ์ลงลิฟต์แล้วออกจากคอนโดมาไม่ไกลก็เจอซูเปอร์มาร์เก็ตที่ว่า คนที่มาใช้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ ส่วนมากเป็นคนในคอนโดหรือละแวกใกล้เคียงแถวนี้

พอเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต พิชญ์ก็ตรงไปหยิบตะกร้า ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ลงมือทำอาหาร แล้วให้นวลคอยเป็นลูกมือ เรื่องที่จะให้ไอลดามาช่วยคงต้องปัดทิ้งไป พิชญ์เผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อจำได้ว่าตอนไปค่ายอาสา ไอลดาตอกไข่แตกไปหลายสิบใบ จนพวกรุ่นพี่ในค่ายพากันเรียกเธอว่า ‘คุณหนูไข่แตก’

ความทรงจำสมัยก่อนของพิชญ์มีค่าเสมอ เขาเองก็รักไอลดา แต่ไม่ใช่ในฐานะภรรยา เขารักและเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง น้องสาว...ที่เขาอยากมีมาตลอด

“โอ๊ย...”

เสียงอุทานดังมาจากคนข้างหน้าที่พิชญ์เผลอเดินชนเข้าให้ ชายหนุ่มรีบเอ่ยปากขอโทษทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด

“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทันระวังเอง เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรครับคุณ อ้าว พีทเองเหรอ”

พิชญ์ขยับรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าชนใครเข้า เขารู้อยู่แล้วว่าทฤษฎีโลกกลมมันเป็นความจริง แต่บางทีอาจต้องเพิ่มทฤษฎีโลกแคบเข้าไปด้วย

“เจอกันอีกแล้ว ไปยังไงมายังไงเนี่ย”

“ฉันพักอยู่หอพักตรงนู้นแน่ะ นายเถอะ มาทำอะไรแถวนี้” ปฐพีเอ่ยถามเพื่อนเก่า พลางชี้มือไปยังหอพักราคาถูกที่อยู่อีกฟากของถนน

“พอดีมาหาลูกน่ะ คอนโดคุณเล็กเขาอยู่ตรงนั้นไง ช่วงนี้ฉันเอาลูกมาไว้กับเขา”

ปฐพีมองตามที่พิชญ์ชี้ก่อนจะเบิกตากว้าง

“โห คอนโดนี้เหรอวะ ได้ข่าวว่าราคาเกือบสิบล้านเลยนี่หว่า”

“ของคุณเล็กเขาน่ะ”

“อ้าว ถ้าลูกกับเมียมาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหนล่ะ”

“อยู่ที่บ้านกับคุณใหญ่ พี่ชายคุณเล็กเขาน่ะ”

พิชญ์เดินเลือกซื้อของไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคุยกับปฐพีไปด้วย ถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน ส่วนมากเป็นปฐพีที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามพิชญ์มากกว่า ซึ่งพิชญ์ก็ตอบเท่าที่ตอบได้

“แล้วนี่พ่อนายเป็นยังไงบ้างล่ะดิน อาทิตย์ที่แล้วฉันกลับบ้านก็ลืมแวะไปหา”

ปฐพีชะงักไปเล็กน้อย เขาเสมองออกไปข้างนอก ราวกับไม่อยากจะตอบคำถาม ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ แต่ปิดบังความเศร้าสร้อยของตัวเองไว้ไม่มิด

“เสียไปแล้ว...”

“ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรหรอก พ่อฉันเสียไปนานแล้ว เกือบสี่ปีได้แล้วมั้ง”

พิชญ์ยื่นมือไปตบบ่าเพื่อนอย่างให้กำลังใจ สมัยเรียน เขาเองก็เคยแวะไปบ้านของปฐพีอยู่หลายครั้ง คุ้นหน้าค่าตาพ่อของปฐพีไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาหลายปีที่ไม่ได้ติดต่อกับบรรดาเพื่อน ๆ จะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากมาย

“งั้นตอนนี้นายก็อยู่กับน้องแค่สองคนน่ะสิ”

“อือ เหลือกันสองคนพี่น้อง ฉันก็ต้องคอยส่งเสียไอ้น้ำมันเรียน ดีที่มันเป็นเด็กดี ไม่เที่ยว ไม่เกเร” แววตาของปฐพีตอนที่พูดถึงน้องชายคนเดียวมีทั้งความภูมิใจและความสุขจนคนฟังยังสัมผัสได้ พิชญ์เลยเผลอยิ้มตามออกมา

“ดีแล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะดิน เอ้านี่...” พิชญ์ล้วงหยิบนามบัตรของตัวเองออกมา ก่อนจะยัดใส่มือปฐพีไว้

“เฮ้ย ๆ ไม่เอา ไม่อยากได้ชื่อว่าเกาะเพื่อนกิน”

“บ้าเหรอไง ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย ตอนนี้ฉันก็ไม่ค่อยได้ติดต่อใคร เพิ่งมาเจอนายนี่แหล่ะ อะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง”

“อืม เราเป็นเพื่อนกัน”

“งั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรมาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”

พิชญ์เอ่ยล่ำลาเพื่อนรักก่อนจะเดินจากมา ป่านนี้น้องหนูกับไอลดาคงหิวกันแย่แล้วพอดี เขาจ่ายเงินเสร็จก็รีบกลับคอนโด พอเดินออกมาจากลิฟต์ พิชญ์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ภาพของร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงกำแพง เนคไทถูกรูดลงอย่างหมิ่นเหม่ แขนเสื้อถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอก ไม่ได้ผิดไปจากที่พิชญ์คาดคิดเลยแม้แต่น้อย

“ไปไหนมา...”

“ไปซื้อของมาทำอาหารครับ”

ตอบอย่างเดียวก็กลัวคนถามจะไม่เชื่อ พิชญ์เลยชูถุงพลาสติกที่ถืออยู่เต็มสองแขนให้ดูด้วย อริญชย์คว้าหมับไปถือไว้เองทั้งสองถุง ก่อนจะบุ้ยปากไปยังประตูห้องแล้วสั่งเสียงเรียบ ๆ

“เปิดประตูสิ”

พิชญ์เปิดประตูตามคำสั่งแต่โดยดี แม้จะนึกสงสัยตงิด ๆ ว่า ถ้าเกิดอริญชย์เปิดประตูให้เขาตั้งแต่แรก มันจะง่ายกว่ากันไหม แต่เถียงกับอริญชย์ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะสำหรับทุก ๆ คำถาม อริญชย์คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเสมอ

พอเข้ามาในห้อง พิชญ์ก็ต้องผงะเล็กน้อย ห้องกว้างของไอลดาดูแคบขึ้นมาถนัดตา เมื่อประกอบด้วยผู้ชายตัวใหญ่ ๆ สามคนอย่างเขา อริญชย์ และตุลย์ แล้วยังมีเจ้าของห้อง น้องหนู และนวลอีก แต่ดูเหมือนว่าความคึกคักตรงหน้าจะทำเอาน้องหนูอารมณ์ดี หัวเราะออกมาไม่หยุด ไม่มีเค้างอแงให้เห็นแม้แต่น้อย

“ลุงใหญ่จ๋า น้องหนูวาดปลาฉลามด้วย”

น้องหนูถือกระดาษแผ่นโตวิ่งตึกตักมาอวดผู้เป็นลุง แต่นอกจากอริญชย์จะไม่สนใจกระดาษในมือน้องหนูแล้ว เขายังถือวิสาสะก้มลงหอมแก้มลูกสาวของพิชญ์ดังฟอดใหญ่อีกต่างหาก ฟัดแก้มหลานสาวซ้ายขวาจนพอใจแล้ว อริญชย์ถึงได้สนใจรูปวาดในกระดาษ

“แล้วนั่นอะไรคะ”

“คุณปูค่ะ”

“เก่งจัง เดี๋ยวนี้คุณครูสอนวาดปูด้วยเหรอคะ”

“เปล่าค่ะ อาตุลย์วาด”

พิชญ์คลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนหน้าแตกดังเพล้ง เขาหัวเราะเบา ๆ ผสมโรงกับไอลดาที่หัวเราะเยาะพี่ชายเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ

“โอ๊ย พี่ใหญ่เอาตาตุ่มดูหรือไง วาดสวยขนาดนี้ น้องหนูจะวาดเองได้ยังไง จะหลงหลานก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย”

“น้องหนูออกจะวาดรูปเก่ง” อริญชย์ไม่วายเถียง ไม่รู้ว่าเถียงแทนตัวเองหรือเถียงแทนน้องหนูกันแน่

“น้องหนูคะ หนูลองวาดคุณปูให้ลุงใหญ่ดูหน่อยสิ”

พิชญ์อาศัยจังหวะคนอื่นกำลังเถียงกันเรื่องวาดรูป คว้าของที่ซื้อมาเดินเข้าห้องครัว โดยไม่ลืมที่จะสะกิดนวลให้เดินตามมาด้วย

“คุณพีท จะให้นวลทำอะไรคะ”

“เดี๋ยวนวลช่วยเอาผักกับลูกชิ้นที่ผมซื้อมาล้างน้ำให้หน่อยนะ”

พิชญ์ซื้อของสดและผักมาสำหรับทำสุกี้ เขาเห็นแวบ ๆ ว่าไอลดามีหม้อสุกี้อยู่ในห้องตอนที่เพิ่งมาถึง เลยได้ไอเดียทำสุกี้ขึ้นมา ระหว่างรอให้นวลล้างผักกับลูกชิ้นให้สะอาด พิชญ์ก็จัดการหมักเนื้อหมูและเนื้อไก่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พอพิชญ์จัดการกับเนื้อหมูและเนื้อไก่เสร็จ เขาก็หยิบเขียงออกมา เตรียมจะซอยกะหล่ำปลีให้เป็นฝอย

“นวล ขอกะหล่ำปลีหน่อยสิ”

กะหล่ำปลีถูกยื่นมาข้าง ๆ พิชญ์เอื้อมมือมาคว้ากะหล่ำปลีไปซอย ก่อนจะต้องชะงักเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ

นวลคงไม่ได้มือใหญ่ขึ้นภายในหนึ่งวันแน่ ๆ...

“นวลล่ะ” พิชญ์เอ่ยถามโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร เพราะไม่รู้จะเจาะจงไปทำไม ในเมื่อมีกันอยู่แค่สองคนในห้องครัว

“ไล่ให้ออกไปดูน้องหนูแล้ว” คนที่มาแทนที่นวลตอบเสียงนิ่ง ๆ ไม่นำพากับอาการคิ้วขมวดของพิชญ์แม้แต่น้อย

พิชญ์ก้มหน้าก้มตาซอยกะหล่ำปลีในมือ ทำเป็นไม่สนใจคนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้าง ๆ ให้นวลมาช่วยเขาก็ดีอยู่แล้ว เขายังพอเรียกใช้นวลได้บ้าง แต่อริญชย์เล่นเอาตัวเองมาแทนนวล เขาจะไปกล้าใช้อริญชย์ที่ไหนกันล่ะ

“ไม่มีอะไรให้ฉันช่วยเลยหรือไง”

“คุณทำอะไรเป็นบ้างล่ะ”

“ฉันว่านายน่าจะรู้ดีกว่าคนอื่นนะ”

พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น สาบานเถอะว่าจะมาช่วยเขา จะมากวนประสาทกันก็บอกมาตรง ๆ ดีกว่า

“งั้นช่วยอยู่เฉย ๆ ละกันครับ”

ถ้าพิชญ์คิดว่าอริญชย์จะทำตามคำสั่งเขา พิชญ์คงต้องคิดผิดถนัด อริญชย์หยิบแครอทที่วางอยู่ข้างเขียงขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ก่อนจะชวนพ่อครัวคนเก่งคุย

“จะมาที่นี่ ทำไมถึงไม่รอฉันก่อน”

“ผมเป็นห่วงน้องหนู แล้วผมก็เคลียร์งานเสร็จแล้วด้วย”

“แล้วคิดว่าฉันไม่เป็นห่วงนายหรือไง”

“ห๊ะ...โอ๊ย...”

เสียงแรก พิชญ์อุทานออกมาเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด ส่วนเสียงร้องที่สองก็เพราะพิชญ์เผลอชะงักจนทำมีดบาดตัวเอง คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบปราดเข้ามาดึงมีดออกจากมือพิชญ์ แล้วยกมือขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาหาบาดแผล

“เจ็บมากไหม ทำไมไม่ระวังเลย” อริญชย์เอ่ยเสียงดุ แต่แปลก...ที่พิชญ์กลับรู้สึกว่ามันแฝงไว้ด้วยความเอื้ออาทรอยู่ในที

“แผลนิดเดียวเอง ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวก็หาย...”

พิชญ์ตั้งท่าจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยให้อริญชย์ปล่อยมือเขา แต่ยังช้ากว่าอริญชย์ที่ถือวิสาสะยกมือพิชญ์ขึ้นจรดริมฝีปาก

“เลือดออกด้วย...”

พิชญ์รู้ว่าเลือดออก แต่ที่เขาไม่รู้คือ...ทำไมอริญชย์ต้องตวัดปลายลิ้นเลียเลือดจากรอยบาดด้วย สัมผัสอุ่นวาบที่ประทับลงบนปลายนิ้วช้า ๆ อย่างนุ่มนวล ไม่ต่างอะไรจากกระแสไฟฟ้าที่แล่นพล่านจากปลายนิ้วเข้าสู่หัวใจ จนพิชญ์ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ดวงหน้าพลันร้อนวาบเมื่อสัมผัสถึงความอ่อนโยนที่ได้รับ

“คุณใหญ่...”

“หืมม์...”

ลมหายใจร้อน ๆ จากริมฝีปากของอริญชย์เป่ารดปลายนิ้วพิชญ์เบา ๆ นอกจากจะไม่สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแล้ว มันยังทำให้พิชญ์สะท้านเยือกไปทั้งตัว

“ปล่อยผมเถอะ...”

อริญชย์ช้อนตาขึ้นมองสบกับดวงตาเรียวของพิชญ์ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากปลายนิ้วอย่างอ้อยอิ่ง วินาทีที่เขาปล่อยมือพิชญ์ให้เป็นอิสระ ก็เป็นวินาทีเดียวกับที่เสียงของไอลดาดังขึ้นข้างหลังอริญชย์

“พี่พีทเป็นอะไรคะ” ไอลดาถามพิชญ์ แต่ดวงตากลับมองไปที่อริญชย์อย่างคาดคั้น

“มีดบาด” อริญชย์ตอบเสียงเรียบ ๆ ไม่คิดที่จะหลบตาน้องสาวตัวเองแต่อย่างใด “เธอมาก็ดีแล้ว ไปเรียกนวลมาเตรียมอาหารต่อที”

พิชญ์ขยับจะอ้าปากค้านว่าบาดแผลเล็ก ๆ แค่นี้ห่างไกลหัวใจเขาจะตาย แต่ทั้งพี่ทั้งน้องก็ไม่มีใครยอมฟังเขาซักคน ไอลดารับปากว่าจะไปเรียกนวลมาจัดการต่อ แต่ไม่วายจูงมือพิชญ์เดินออกมาด้วย และแน่นอนว่าอริญชย์ก็เดินตามออกมาเช่นกัน

“ยัยเล็ก จะพาพีทไปไหน” อริญชย์เอ่ยถามน้องสาวเสียงห้วน เมื่อเห็นว่าไอลดากำลังจูงพิชญ์เข้าห้องนอน

“เล็กก็จะพาพี่พีทไปทำแผลไงคะ” ไอลดาตอบก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพี่ชาย

อริญชย์ขยับจะเดินตาม แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อน้องหนูวิ่งตรงรี่เข้ามาเกาะขาเขาไว้ พร้อมกับได้ยินเสียงตุลย์เอ่ยตามหลังน้องหนูมาแว่ว ๆ

“คุณหนูลองให้คุณใหญ่ดูสิครับ ว่าปูคุณหนูหรือปูผมสวยกว่า”

อริญชย์หันไปแยกเขี้ยวใส่ตุลย์ทันควัน รู้ทันทีว่าเป็นความจงใจของคนสนิทที่ส่งน้องหนูมาขัดเขาไว้ อริญชย์อุ้มน้องหนูขึ้นมา ก่อนจะเดินไปกระแทกตัวลงนั่งข้าง ๆ ตุลย์ กระซิบเสียงต่ำลอดไรฟัน

“คิดจะทำอะไร”

ตุลย์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ เขาเป็นคนสนิทของคุณใหญ่ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้วย

“คุณใหญ่จะตามเข้าไปทำไมล่ะครับ คุณเล็กเธอเป็นภรรยา แล้วคุณใหญ่เป็นอะไร รักน่ะรักได้ ไม่ผิด แต่ต้องคิดที่จะทำอะไรให้มันชัดเจนด้วยนะครับ”



.



อาหารเย็นจบลงอย่างเรียบง่าย ทุกคนนั่งล้อมวงกันกินสุกี้ร้อน ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วนวลก็จัดการพาน้องหนูไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะเดินออกมาส่งอริญชย์กับพิชญ์ที่หน้าประตู

“บ๊ายบายค่ะพ่อพีท บ๊ายบายค่ะลุงใหญ่”

พอพูดคุยกันด้วยเหตุผลจริง ๆ น้องหนูก็เป็นเด็กว่าง่ายกว่าที่คิด เด็กหญิงยอมเข้าใจว่าพิชญ์งานยุ่ง ทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน

“เหมือนเวลาที่แม่เล็กงานยุ่ง แล้วน้องหนูต้องอยู่กับพ่อพีทไงคะ”

น้องหนูพยักหน้าหงึก ๆ เป็นเชิงเข้าใจก่อนจะหันมาอ้อนไอลดาให้อุ้ม

“แม่เล็กจ๋า อุ้มน้องหนูจุ๊บพ่อพีทหน่อย”

ไอลดาอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาตามคำขอ กระซิบอะไรกันสองคนแม่ลูกแล้วก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พิชญ์ น้องหนูยิ้มหวานอย่างน่ารัก ค่อย ๆ โน้มหน้าไปหอมแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ พอน้องหนูผละออกมา เด็กหญิงก็หันไปขยิบตาให้ผู้เป็นแม่ ไอลดายิ้ม...ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปกดจมูกลงที่แก้มพิชญ์เช่นกัน

“อุ๊ย แม่เล็กจุ๊บพ่อพีทด้วย”

พิชญ์ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะไม่คิดว่าไอลดาจะทำอะไรแบบนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องหนู เขาเลยต้องยิ้มออกมา ผิดกับอริญชย์ที่สีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมาทันที

ทั้งที่รู้ว่าไอลดามีสิทธิ์อย่างชอบธรรม เขาต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ แต่...

อริญชย์ไม่เคยนึกอยากให้ใครมาแตะต้องหรือยุ่งกับของ ๆ เขาเลย แม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นน้องสาวที่เขารักมากก็ตามที

สัมผัสอุ่น ๆ แตะลงที่แก้มสากของอริญชย์ ก่อนที่ไอลดาจะโน้มตัวขึ้นเอ่ยชิดหูพี่ชาย

“ฝันดีนะคะพี่ใหญ่ เล็กฝากพี่พีทด้วยนะคะ”

“ยังไงพี่ก็ต้องดูแลพีทให้ดีอยู่แล้ว เธอก็ดูแลน้องหนูดี ๆ ละกัน”

ปล่อยให้ล่ำลากันอีกซักพัก อริญชย์ก็รั้งพิชญ์ให้เดินออกมา ไอลดาจะได้พาน้องหนูเข้านอนเสียที ส่วนพวกเขาสามคนก็จะได้กลับถึงบ้านไม่ดึกเกินไป

ตลอดทางกลับบ้านมีแต่ความเงียบงันปกคลุมทั่วรถ ตุลย์ขับรถไปเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยกวนประสาทเจ้านายเหมือนทุกที พิชญ์มองออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะอริญชย์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน

“วันนี้คุยกับท่านจินดาเป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็ดี...”

ในเมื่ออริญชย์ดูเหมือนจะไม่อยากคุยเท่าไหร่ พิชญ์เลยขี้เกียจเซ้าซี้ พอกลับถึงบ้าน เขาก็แยกตัวเข้าห้องนอน จัดการอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอนให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เดินไปสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม พิชญ์ยกมือขึ้นปิดปากหาว ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟ

กำลังจะเคลิ้มหลับก็ต้องชะงักนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องนอนเข้ามา

น่าแปลก ที่พิชญ์จำเสียงฝีเท้าของผู้บุกรุกได้

และที่น่าแปลกกว่า คือการที่เขาเลือกที่จะนอนนิ่ง ๆ

พิชญ์ยังไม่ได้หลับ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องแกล้งทำเหมือนหลับ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้แกล้ง เขาเพียงแต่นอนนิ่ง ๆ คนที่ถือวิสาสะบุกรุกเข้ามาในห้องนอนของเขายามวิกาลสอดตัวลงนอนข้าง ๆ โอบรั้งร่างเขาเข้าไปในอ้อมแขน ก่อนริมฝีปากร้อนผ่าวจะกดจูบลงมาบนแก้ม ข้างเดียวกับที่ไอลดาจูบเมื่อตอนหัวค่ำ

ถ้าสัมผัสของไอลดาทำให้พิชญ์รู้สึกเย็นวาบ สัมผัสของอริญชย์ก็ทำให้พิชญ์รู้สึกร้อนรุ่ม

อริญชย์กดจูบหนัก ๆ ราวกับจะย้ำความเป็นเจ้าของ ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมากอดพิชญ์เอาไว้หลวม ๆ แล้วกระซิบชิดใบหูพิชญ์เบา ๆ อย่างคนขี้ขลาด

“รัก...”

คำว่า ‘รัก’ ที่หนักแน่นดังภูผา แต่ว่าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้พูดออกไปในยามที่คนฟังรู้สึกตัว



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ ^^

คุณใหญ่ขี้หวงและขี้อิจฉามาก
แต่คุณใหญ่ต้องเข้าใจเนอะ...ว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน
อนุญาตให้หมั่นไส้และสมน้ำหน้าคุณใหญ่ได้เลยค่ะ

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 10-05-2020 22:19:05
....​อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง
ใช่แล้วพีท อยู่ๆ กันไปก็จะรักกับคุณใหญ่ไปเอง  :m20:

คุณเล็กก็รุกหนักใช่เล่นนะ ดีที่น้องหนูตื่นมาขัดจังหวะไว้ทัน ไม่งั้นพีทจะเสียท่าให้ทั้งพี่และน้องแน่เลย... ฮือออ พีทผู้น่าสงสาร มีแต่คนรัก

.. เรารู้สึกห่วงพีทเกี่ยวกับเพื่อนที่ชื่อปฐพีจัง หวังว่าเพื่อนจะไม่คิดทำร้ายเพื่อนนะ  :mew2:

ปล.ฝากบอกคุณใหญ่นิดหนึ่งนะ ถ้าจะบอกรักพีทก็ให้บอกตอนเขาไม่หลับสิคะ บอกตอนหลับ ใครเขาจะรู้ความในใจเล่า!! โธ่!!
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 11-05-2020 00:07:45
ตกลงพีทหลับไปก่อนจะได้ยินคำบอกรักเหรอโห่คุณใหญ่ใจกล้าหน่อย :hao3:
หวังว่าดินคงไม่สร้างปัญหาให้พีทจนแก้ไขอะไรไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-05-2020 02:58:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-05-2020 14:18:56
อ้าวว!พีทหลับก่อนหรอ? แกล้งหลับแต่หลับจริงซะงั้น เฮ้ย!อย่าเพิ่งหลับ ฟังคำรักก่อน 5555555 คุณใหญ่นี่ทำให้เราทั้งหมั่นไส้และเห็นใจได้ได้เวลาเดียวกันจริง ชอบอ่ะเวลาที่พีทหวั่นไหวกับคุณใหญ่ แบบมีความคิดถึงหน้าไรงี้ รู้สึกวูบวาบดี 55555 เออจริง! อยู่ๆกันไปก็รักกัน ใช้ได้กับคู่นี้อยู่ รอวันที่ใจตรงกันแล้วกันคงฟินไม่น้อย อิอิ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นคุณใหญ่อาจกระอักเลือดก่อนถ้าคุณเล็กจับได้เมื่อไหร่อะนะ บ้านแตก หรือป่าว? 555 ความไว้ใจ ใจดี ใจอ่อนของพีทจะนำมาซึ่งปัญหาข้างหน้ารึป่าวนะ จะทรยศใครระหว่างเพื่อนและเจ้าชีวิต มาให้คุณใหญ่ช่วยมา จะได้หนีจากคนใจร้ายด้วยนะดิน 55555 สนุกกกกกกกกก รออ่านตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-05-2020 15:34:17
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 10 --- หน้าที่ 2 [10/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 12-05-2020 09:46:38
 :hao7:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 13-05-2020 19:52:26

สิบเอ็ด
คนแปลกหน้า



แสงแดดยามเช้าส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบร่างที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง แม้ว่าอีกสิบห้านาทีจะแปดโมงเช้าแล้วก็ตาม พิชญ์มุ่นหัวคิ้วน้อย ๆ เมื่อถูกแสงแดดอ่อน ๆ รบกวนการนอน เขายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างงัวเงีย ขยับพลิกตัวหนีมาอีกด้านของเตียง ปล่อยแสงแดดส่องกระทบแผ่นหลังของเขาแทน

มือเรียวควานหาหมอนข้างเพื่อคว้ามากอด ก่อนจะต้องชะงักน้อย ๆ เมื่อฝ่ามือสัมผัสเข้ากับความว่างเปล่าบนเตียง ทั้งที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อคืนมีคนบุกรุกเข้ามานอนกับเขา พิชญ์ลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน กวาดสายตาดูรอบด้าน แล้วก็พบว่ามีแค่เขาที่นอนอยู่บนเตียงตามลำพัง ปราศจากร่องรอยของ ‘ผู้บุกรุกยามวิกาล’ ที่คงจะชิ่งหนีก่อนที่เขาจะทันตื่นขึ้นมา

พิชญ์เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียง ผ้าห่มที่คลุมร่างกายอย่างหมิ่นเหม่ร่นลงมากองอยู่บนตัก แต่เขาก็เพียงแค่ปัดมันออกจากตัวลวก ๆ มือเรียวยกขึ้นเสยผมตัวเองช้า ๆ ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทีละนิด

เมื่อคืนอริญชย์เข้ามาที่ห้องของเขากลางดึก ตอนที่พิชญ์จวนเจียนจะหลับอยู่รอมร่อ อริญชย์ก็ถือวิสาสะเบียดตัวเองขึ้นมานอนบนเตียงเขา มิหนำซ้ำยังริอ่านมาหาเศษหาเลยเอากับแก้มเขาเสียอีก ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวดี แต่ตอนนั้นพิชญ์ก็ง่วงเกินกว่าจะขยับตัวหนีหรือผลักไสคนฉวยโอกาส เขาเลยแค่นอนนิ่ง ๆ ปล่อยตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความง่วงงุน

ขณะที่กำลังจะปล่อยตัวเองจมดิ่งลงสู่ภวังค์ พิชญ์เหมือนได้ยินเสียงอริญชย์กระซิบงึมงำบางอย่างข้างหู แต่เพราะความง่วงที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของเขา ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากอริญชย์เมื่อคืนเลยกลายเป็นแค่เพียงลมปากที่ลอยผ่านหู เหมือนสายลมบางเบากลางฤดูร้อนที่เพียงแค่พัดมาสะกิดผิวกาย ไม่ได้มอบความเย็นฉ่ำใด ๆ

พิชญ์สะบัดหัวสองสามที ปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง ก้าวลงมาจากเตียง มือเรียวขยับปลดกระดุมชุดนอนของตัวเองออกทีละเม็ด รู้สึกคิดถึงน้องหนูขึ้นมาตงิด ๆ ขนาดเพิ่งห่างกันแค่เพียงสองวัน พิชญ์ก็คิดถึงนางฟ้าตัวน้อยของเขาเข้าแล้ว เขามีเวลาคิดถึงน้องหนูเพียงแค่แวบเดียวก่อนจะต้องชะงักกึก ยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับรอยแดงบนเนินอกจนต้องหลุดเสียงคำราม ที่ฟังแล้วคล้ายกับเสียงแมวขู่มากกว่า

“คุณใหญ่!”

ต้นสายปลายเหตุคงกำลังแต่งตัวอยู่ที่ห้องของตัวเอง หรือบางทีอาจจะกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร พอพิชญ์เห็นผลงานของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องเม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์โมโห สาบานเลยว่าเมื่อคืนตอนเขาอาบน้ำ ถึงพิชญ์จะแค่ส่องกระจกผ่าน ๆ แต่เนื้อตัวเขาก็เกลี้ยงเกลาปราศจากรอยบ้า ๆ พวกนี้ แล้วดูเช้านี้สิ กลับมีรอยบ้า ๆ มาปรากฏอยู่ตรงเนินอกเด่นชัด สาเหตุมีอยู่เพียงอย่างเดียว ผู้ชายเพียงคนเดียวที่ชอบหาเศษหาเลยกับร่างกายเขา

พิชญ์กัดฟันด้วยความหงุดหงิด นึกสงสัยอยู่หลายต่อหลายครั้ง รูปร่างแบบผู้ชายด้วยกัน ติดจะมีมัดกล้ามนิด ๆ แถมหน้าอกยังแบนราบราวกับแผ่นกระดานติดลูกเกดอย่างเขา มันไปเร้าอารมณ์ทางเพศของอริญชย์ตรงไหนกัน

เขาหลุดเสียงสบถออกมาอีกสองสามคำ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเอง อารมณ์ดี ๆ เมื่อตอนเช้าแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด เมื่อเห็นร่องรอยบนร่างกายตัวเองชัดเต็มสองตา เป็นหลักฐานอย่างดีที่บ่งบอกว่าอริญชย์กล้าเอารัดเอาเปรียบเขาแม้ยามหลับ ถึงพิชญ์อยากจะเอาเรื่องอริญชย์มากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีว่า สุดท้ายมันก็จะเข้าอีหรอบเดิมที่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

จัดการกับตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็เดินลงมาข้างล่าง คฤหาสน์ที่กว้างขวางยิ่งเงียบเหงาลงกว่าเดิม เมื่อปราศจากเสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูที่มักเอ่ยออดอ้อนฉอเลาะผู้เป็นพ่อและลุงทุกเช้า โต๊ะอาหารที่เคยมีเสียงลุงหลานคุยกัน ยามนี้มีแค่อริญชย์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตามลำพัง ตรงหน้าคือถ้วยกาแฟดำที่พร่องลงกว่าครึ่ง บ่งบอกว่าอีกฝ่ายลงมานั่งอยู่ข้างล่างนานแล้ว

พิชญ์นั่งลงตรงที่ประจำของตัวเอง ตรงข้ามกับอริญชย์ กำลังจะเหลียวมองหาป้าน้อย คุณแม่บ้านคนเก่าแก่ก็กระวีกระวาดยกชามข้าวต้มร้อน ๆ มาวางตรงหน้าเขา

“ขอบคุณครับ ป้าน้อย”

“ป้าทำข้าวต้มกุ้งของโปรดของคุณพีท ทานเยอะ ๆ นะคะ”

พิชญ์ยิ้มกว้างรับคำป้าน้อย ก่อนจะเอื้อมมือหยิบขวดพริกไทยมาเหยาะลงชามข้าวตัวเอง เอาช้อนคนข้าวต้มที่ร้อนจนควันฉุยเบา ๆ แล้วตักขึ้นจ่อริมฝีปากเพื่อเป่า พอเห็นว่าข้าวต้มหายร้อนแล้วก็ส่งเข้าปากตัวเอง เคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย

...ป้าน้อยมักจะรู้ใจเขาเสมอ...

พิชญ์คิดพลางอมยิ้มน้อย ๆ จนแก้มตุ่ย ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายชะงัก เมื่อรู้สึกว่าอริญชย์มองตรงมาที่เขา ประมุขของคฤหาสน์กระตุกยิ้มมุมปาก ดูแล้วขัดหูขัดตาจนพิชญ์ต้องวางช้อนลง คว้าแก้วน้ำมาดื่มแก้เก้อ ขนาดเขาดื่มน้ำอย่างอ้อยอิ่งแล้ว พอดื่มเสร็จ อริญชย์ก็ยังคงนั่งเท้าคางมองเขาอยู่ พิชญ์เลยเลือกที่จะทำเมินเฉยเสีย แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวต้มตรงหน้า แม้จะนึกหงุดหงิดนิด ๆ จนข้าวต้มรสชาติดีพาลกร่อยลงถนัดตา

มองเขาอย่างกับกำลังนั่งดูสารคดีสัตว์โลกเลยนะ...

จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย อริญชย์ก็เดินนำพิชญ์มาขึ้นรถที่ตุลย์ขับมาจอดรออยู่แล้ว พอเหลือบตาเห็นสูทของตัวเองกับอริญชย์แขวนอยู่บนรถ พิชญ์ก็เลิกคิ้วนิด ๆ ด้วยความสงสัย ตุลย์ที่สังเกตเห็นเข้าเลยเอ่ยอธิบายออกมา

“ผมลืมเตือนคุณพีท วันนี้ตอนเย็นมีงานเลี้ยงสมาคมธุรกิจก่อสร้างที่โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ครับ”

“คราวหลังก็เขียนแปะที่หน้าเสียสิ”

พิชญ์ตวัดสายตามองคนพูดทันควัน อริญชย์ทำทีเป็นมองท้องฟ้า จนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายถอนสายตากลับมาแล้วก้าวขึ้นรถ

อันที่จริงแล้วพิชญ์ค่อนข้างเบื่องานสังสรรค์ที่ตุลย์พูดมา แต่ถ้าเป็นงานของสมาคมฯก็รู้กันเลยว่าห้ามเบี้ยว ห้ามชิ่ง ห้ามหนี ถึงแม้คนจัดงานจะอ้างว่าเป็นงานพบปะสังสรรค์ระหว่างกลุ่มนักธุรกิจ ความจริงแล้วก็คืองานอวดร่ำอวดรวยของพวกไฮโซอยู่ดี งานนี้ยังดีที่เป็นงานสังสรรค์ของวงการธุรกิจเดียวกัน ถ้าเป็นงานการกุศล พิชญ์คงต้องทนยืนปั้นหน้าดูคุณหญิงคุณนายอวดพิพิธภัณฑ์เครื่องเพชรกันจนตาแทบบอดแน่ ๆ

ช่วงแรกที่ถูกอริญชย์มัดมือชก ลากออกงานด้วยบ่อย ๆ พิชญ์ก็แทบจะบ้าตายเสียวันละหลายรอบ ตอนนั้นข่าวการแต่งงานระหว่างเขากับไอลดายังเป็นข่าวที่คนข้างนอกฮือฮาและจับตามอง เรื่องของไฮโซสาวกับผู้ชายเดินดินธรรมดา จนเขาถูกซุบซิบนินทาว่าบุญหล่นทับกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารทองฝังเพชร

ออกงานแต่ละที พิชญ์ต้องทนปั้นหน้ายิ้มแย้มรับถ้อยคำแสดงความยินดีจากคนนั้นคนนี้ บางคนก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเขาจริง ๆ แต่บางคนก็แค่แสดงความยินดีตามมารยาท พอลับหลังก็นินทาหาว่าเขาเกาะไอลดากิน พิชญ์หวิดจะวางมวยกับพวกปากดีอยู่หลายครั้ง ติดที่ว่าชื่อเสียงและความเป็นเกียรติกาญจนามันค้ำคอเขาอยู่ พิชญ์เลยต้องกล้ำกลืนฝืนทนจนผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา

พิชญ์เคยโอดครวญกับไอลดาว่าเขาเบื่อการต้องมานั่งปั้นหน้าออกงานกับอริญชย์เต็มทน แต่ภรรยาคนสวยของพิชญ์ก็เพียงแค่ขำคิกคักก่อนจะปลอบเขาว่า...

‘เอาเถอะค่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยพี่พีทก็ชินเอง’

พอถึงตอนนี้พิชญ์ก็อยากเถียงไอลดาขึ้นมาทันที ว่าขนาดผ่านมาหลายปีแล้วที่เขาต้องตามอริญชย์ออกงานต่าง ๆ พิชญ์ก็ยังเบื่องานที่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากันอยู่ดี นึกแล้วก็อยากจะเป็นแค่นายพิชญ์ ภัทรกุล ผู้ชายธรรมดาที่มีฐานะเป็นแค่ลูกแม่พลอยคนทำขนมเหลือเกิน

เวลาเห็นพวกคุณหญิงคุณนายพาเด็กตัวเล็ก ๆ มาออกงานแล้วพิชญ์ก็ต้องเบ้ปาก พวกแม่ ๆ เหล่านี้พาเด็กมาทรมานชัด ๆ บางคนอายุน้อยกว่าน้องหนูเสียด้วยซ้ำ มาถึงงานก็ถูกรุมล้อม ผลัดกันอุ้ม ผลัดกันชม เดี๋ยวก็โดนบิดแก้ม จนพิชญ์ถึงกับบอกตัวเองเลยว่า...

ลองคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติกัน กล้ามาบิดแก้มน้องหนูสิ รับรองเลยว่าเขาเอาเรื่องแน่ ๆ...

“ฉันว่างานนี้ไอ้เล้งน่าจะมาด้วย”

เสียงเปรยหนัก ๆ ของอริญชย์ดึงพิชญ์ออกจากภวังค์ ชายหนุ่มชะงักน้อย ๆ เมื่อชื่อคู่อริของอริญชย์ดังเข้าหู

เท่าที่พิชญ์รู้ เวลามีงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมฯ รัญญามักจะเป็นฝ่ายมาร่วมงานด้วยตัวเอง นาน ๆ ทีถึงจะเป็นคนสนิทของเธอ ผู้ชายเจ้าสำอาง ท่าทางร้าย ๆ ที่พิชญ์นึกเหม็นขี้หน้าปนหมั่นไส้ คลับคล้ายคลับคลาว่าหมอนั่นจะชื่อ ‘นที’

แต่ลองว่าราชันย์กลับมาประเทศไทยแล้ว งานนี้พี่ชายของรัญญาอาจจะมาร่วมงานด้วยตัวเองอย่างที่อริญชย์บอกก็เป็นได้ งานเลี้ยงของสมาคมฯ ถือเป็นงานสำคัญงานหนึ่งของวงการธุรกิจก่อสร้าง ที่มีแต่คนวงการเดียวกันมารวมตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พิชญ์เลยเชื่อว่าราชันย์ต้องมาแน่ ๆ

“ถ้าเสี่ยเล้งมา...” พิชญ์พึมพำ

“ก็ดีสิ ฉันกำลังคิดถึง อยากเจอมันอยู่พอดี” ประกายดุร้ายสว่างวาบที่ดวงตาของอริญชย์

พิชญ์เองก็อยากเจอ อยากรู้และอยากถามถึงสาเหตุความบาดหมางระหว่างอริญชย์กับราชันย์ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า...ราชันย์จะยอมบอกเขาหรือเปล่า

“อ้อ อีกสองอาทิตย์ เรามีนัดดูที่ดินตรงจังหวัดชุมพรกันด้วย อย่าลืมจดลงสมุดบันทึกของนายล่ะ”

“ตกลงเขายอมเจรจาแล้วเหรอครับ”

“อืม ผลงานของนายนั่นแหล่ะ”

พิชญ์ยิ้มออกมา อริญชย์กำลังวางแผนจะลงทุนโปรเจคท์สำคัญที่ชุมพร มูลค่าการลงทุนเกือบร้อยล้าน กว่าเจ้าของที่ดินจะยอมนัดเจรจา พิชญ์ก็อ้อนวอนจนน้ำลายแทบหมดปาก พออีกฝ่ายบอกว่าเป็นผลงานของเขา มันเลยเป็นเหมือนกับคำชมกลาย ๆ ที่ทำเอาพิชญ์ถึงกับหน้าบาน

พิชญ์ล้วงเอาสมุดจดเล่มเล็กของตัวเองมาเปิด คว้าปากกามาจดตารางนัดหมายยุกยิก พิชญ์จดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดว่าสำคัญลงสมุดเล่มนี้ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ที่สำคัญ เขาจดวันที่น้องหนูต้องแสดงงานโรงเรียนลงสมุดด้วย อริญชย์ที่ถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูสมุดของพิชญ์ขมวดคิ้วออกมา ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่เขากำลังสงสัย

“ช่องที่นายวาดรูปมงกุฎคืออะไรน่ะ”

“อ๋อ งานโรงเรียนของน้องหนูไงครับ ปีนี้น้องหนูถูกเลือกให้เล่นละครเวทีเป็นเจ้าหญิงด้วยนะ”

สีหน้าของพิชญ์ยามเอ่ยถึงน้องหนู มีแต่ความสุขประดับประดาอยู่ทั่วหน้า จนคนมองอย่างอริญชย์ยังอดยิ้มตามไม่ได้

“เดี๋ยวใกล้ ๆ แล้วเตือนฉันทีนะ”

“หึ! ไม่ต้องซื้อตุ๊กตาแล้วนะคุณใหญ่”

“ทำไมล่ะ ฉันเห็นว่าน้องหนูก็ชอบตุ๊กตาจะตายไป”

“ไม่เอาแล้วครับ ตุ๊กตาเต็มห้องน้องหนูแล้ว ถ้าคุณซื้อมาอีก ผมเล่นงานคุณแน่ ๆ”

อริญชย์อมยิ้มกับถ้อยคำของพิชญ์ อยากเห็นคนปากเก่งเล่นงานเขาอยู่เหมือนกัน กลัวว่าพ่อของน้องหนูจะเก่งแต่ปากน่ะสิ

“เอ้า ถ้าไม่ซื้อตุ๊กตา งั้นเสนอไอเดียมาสิว่าฉันควรซื้ออะไรดี”

พิชญ์ทำหน้าเบ้ให้กับตรรกะของคนรวยอย่างอริญชย์ เขาล้วงหยิบสมุดบัญชีเล่มเล็กของธนาคารแห่งหนึ่งขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้าอริญชย์เป็นเชิงอวด อีกฝ่ายหัวเราะหึก่อนจะแย่งสมุดบัญชีไปจากมือพิชญ์

“อย่าบอกนะว่าให้ฉันฝากเงินเข้าบัญชีน้องหนูแทน”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ผมว่าดีกว่าซื้อของเล่นให้อีก”

อริญชย์เปิดสมุดบัญชีเล่มเล็กดู ก่อนจะต้องขมวดคิ้วนิด ๆ คล้ายกับไม่ชอบใจในสิ่งที่เห็น

“บัญชีนายพิชญ์ ภัทรกุลเพื่อเด็กหญิงอรนิช เกียรติกาญจนา ฉันว่าฉันเปิดบัญชีใหม่ให้น้องหนูดีกว่า”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

พิชญ์ไม่ได้แกล้งเซ่อ แต่เขางงจริง ๆ จัง ๆ น้องหนูเพิ่งอยู่แค่อนุบาล อริญชย์จะเปิดหลาย ๆ บัญชีทำไมกัน

“ฉันอยากเปิดของฉันเองบ้าง เป็นบัญชีนายอริญชย์ เกียรติกาญจนาเพื่อเด็กหญิงอรนิช เกียรติกาญจนา”

พิชญ์ส่ายหน้าออกมาทันที พอเป็นเรื่องของน้องหนูทีไร เขากับอริญชย์เป็นต้องแข่งขันชิงดีชินเด่น แย่งกันเอาใจเจ้าตัวเล็กตลอด ถ้าเกิดไอลดารู้เข้าอีกคน คงได้เรียกร้องอยากจะเปิดอีกบัญชีเป็นชื่อเธอบ้างแน่ ๆ พออวดสมุดบัญชีเสร็จแล้ว พิชญ์ก็ดึงจากมืออริญชย์มาเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม

“แล้วแต่คุณใหญ่เถอะ ของผมน่ะฝากให้น้องหนูทุกเดือนเลยนะ”

“แล้วเงินนายพอใช้หรือไง”

“ทำไมจะไม่พอล่ะ วัน ๆ ผมแทบไม่ได้ใช้อะไรเลย โตขึ้นน้องหนูจะได้สบายด้วย”

“ยังไงฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องหนูลำบากอยู่แล้ว”

พิชญ์ยิ้มออกมาได้ไม่เต็มที่นัก มันเป็นรอยยิ้มที่เจือจางอยู่แค่บนริมฝีปาก แต่ไม่ได้ส่งผ่านไปถึงดวงตา

เขาไม่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ ถ้าในอนาคตเกิดมีเหตุการณ์ที่เขากับไอลดาต้องหย่าร้างกันขึ้นมา พิชญ์ก็ยังลังเลว่าเขาควรจะเป็นคนดูแลน้องหนูเอง หรือปล่อยน้องหนูให้อยู่ในความดูแลของไอลดากับอริญชย์ ถึงพิชญ์อยากจะพาน้องหนูไปอยู่กับเขามากแค่ไหน เขาก็เชื่อว่าพอถึงเวลานั้นขึ้นมาจริง ๆ อริญชย์คงไม่ยอมแน่ ๆ และที่สำคัญ ถ้าเทียบกันแล้ว อยู่กับอริญชย์ น้องหนูคงสบายมากกว่าอยู่กับเขา

“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยผมดูแลน้องหนูมาตลอด”

พิชญ์ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เรื่องที่อริญชย์ทำดีเขาก็ยอมรับ แต่เรื่องที่มันเลวร้าย เขาก็จำฝังใจ

“น้องหนูไม่ใช่หลานสาวของฉันหรือไง อย่ามาไร้สาระน่าพีท” อริญชย์เอ็ดคนที่เกิดจะเกรงใจเขาขึ้นมาเสียงดุ ๆ

พิชญ์ยิ้มออกมาขื่น ๆ ระหว่างเขากับอริญชย์ มันยังมีกำแพงบาง ๆ กั้นระหว่างกันอยู่ ถึงอริญชย์จะเห็นเขาเป็นแค่ของเล่นฆ่าเวลายามเหงา หรือแม้แต่เป็นที่ระบายความใคร่ยามต้องการก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่อริญชย์ยังรักและคอยดูแลน้องหนู พิชญ์ก็ทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปได้

พิชญ์รักน้องหนูมาก และเขาก็รู้ดีว่าอริญชย์เองก็รักน้องหนูมากเช่นกัน เขาถึงได้มั่นใจว่าอริญชย์จะไม่มีวันทำให้น้องหนูเสียใจอย่างแน่นอน แต่ถ้ามีวันนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ พิชญ์ก็จะไม่มีทางให้อภัยอริญชย์เด็ดขาด

...จะทำร้ายเขาให้เจ็บปวดเจียนตายก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่อริญชย์ไม่คิดร้ายกับน้องหนู...

“บางทีผมก็อยากให้น้องหนูมีน้องเหมือนกันนะ” พิชญ์เปรยขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้สังเกตสีหน้าคนฟังที่เปลี่ยนไปแทบจะทันทีที่เขาพูดจบประโยค

ตุลย์ที่กำลังขับรถให้เจ้านายอยู่ถึงกับชะงัก โชคดีว่าเขามีสติพอที่จะบังคับตัวเองไม่ให้เผลอเหยียบเบรกกะทันหันด้วยความตกใจ แต่อริญชย์นี่สิ ท่าทางอารมณ์ดีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นขบกรามแน่น รับรองเลยว่าถ้าไม่ได้อยู่บนรถที่มีตุลย์เป็นกว้างขวางคอชิ้นโตอยุ่ อริญชย์คงได้ลากพิชญ์เข้ามาลงโทษให้สาสมกับความปากดีของเจ้าตัวแล้วแน่ ๆ

...คนบ้าอะไร ช่างสรรหาเรื่องมายั่วอารมณ์โมโหเขาได้ตลอดเวลา...

...ยั่วโมโหกันซึ่ง ๆ หน้า โดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ว่าทำให้คนฟ้งรู้สึกยังไง..

“นายหมายความว่ายังไง”

“ผมแค่คิดเผื่อเอาไว้เฉย ๆ อีกหน่อยพอน้องหนูโตแล้วอาจจะเหงาก็ได้ ถ้ามีน้องจะได้มีเพื่อนเล่นไง”

“แล้วน้องหนูจะมีน้องได้ยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่านายจะให้ยัยเล็กท้อง ยัยเล็กคงยอมหรอก”

แม้ปากจะอ้างว่าไอลดาคงไม่ยอม แต่อริญชย์รู้ดีว่าเป็นตัวเขาเองที่คงไม่ยอมแน่ ๆ แค่คิดว่าพิชญ์จะมีความสัมพันธ์กับไอลดา เขาก็เผลอกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว

อริญชย์รู้ รู้ว่านอกจากครั้งแรกแล้ว พิชญ์ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับไอลดาอีกเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจตลอดมา

แต่เขาก็กลัว กลัวว่าซักวันพิชญ์อาจจะเผลอไผลหรือใจอ่อนให้กับน้องสาวของเขา ซึ่งอริญชย์คงยอมให้มันเกิดขึ้นไมได้

เขายอมรับว่าเขามันเห็นแก่ตัว แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คนเราต้องการ บางครั้งคนเราก็ไม่เลือกวิธีมากนัก ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่ฉลาด หรือบางครั้งอาจจะเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุด

“ผมลืมคิดถึงคุณเล็กไปเลย” พิชญ์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ

เขาไม่ได้ลืมว่าไอลดาไม่อยากมีลูก ไม่ได้ลืมว่าเธอไม่ชอบการตั้งครรภ์ แต่เขาลืมว่าตัวเองไม่อาจมีความสัมพันธ์กับไอลดาได้ ถึงแม้วิทยาการทางการแพทย์สมัยนี้จะก้าวหน้า จนเขาไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางกายกับไอลดาจริง ๆ แต่พิชญ์ก็ไม่ได้เลวขนาดจะเอาเปรียบไอลดา ทำร้ายความรู้สึกของเธอเพียงเพื่อให้ได้ลูกมา

เขาเลวพอแล้ว อย่าให้เขาต้องเลวกับไอลดาไปมากกว่านี้เลย

พิชญ์ปัดประเด็นเรื่องการมีน้องให้น้องหนูทิ้งไป บางทีเขาก็มัวแต่คิดถึงตัวเองกับน้องหนู จนลืมไปว่า ครอบครัวของเขาไม่ได้มีแค่เขากับน้องหนูสองคนพ่อลูก แต่ยังมีไอลดา ไอลดาที่มีสิทธิ์ในตัวน้องหนูมากเท่า ๆ กับเขา

พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พอดีกับที่ตุลย์จอดรถลงหน้าบริษัท เห็นท่าทางมึนตึงของอริญชย์แล้วพิชญ์ก็นึกรู้ทันที ว่าเขาคงทำอริญชย์หัวเสียไม่น้อย สังเกตจากการที่อีกฝ่ายเดินหน้าตึงลงจากรถ ก่อนจะก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าลิฟต์ผู้บริหาร ปล่อยให้พิชญ์เดินทักทายกับบรรดาพนักงานตามลำพัง ดูท่าทางแล้วอริญชย์น่าจะอารมณ์เสียมากแน่ ๆ พิชญ์ได้แต่ไหวไหล่น้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปขึ้นลิฟต์อีกตัวเพื่อตรงเข้าห้องทำงานของตัวเอง

สิ่งเดียวที่พิชญ์รู้คือ เขาไม่ผิด

ถึงเขาจะมีความสัมพันธ์ทางกายกับอริญชย์นับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังเป็นพ่อของน้องหนู และเป็นสามีของไอลดา นั่นคือความจริงที่อริญชย์ต้องยอมรับมัน ส่วนความสัมพันธ์หลบ ๆ ซ่อน ๆ ระหว่างพวกเขาสองคน มันคือสิ่งที่อริญชย์ยัดเยียดให้เขาโดยที่เขาไม่ได้เต็มใจเลยแม้แต่น้อย

ถ้าจะมีใครซักคนที่ผิด พิชญ์กล้าพูดเลยว่า...คนนั้นก็คืออริญชย์

เขาไม่ได้โยนความผิดให้อริญชย์ แต่ถ้าอริญชย์ไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นความยุ่งยากต่าง ๆ เรื่องราวทุกอย่างคงไม่มีทางดำเนินมาจนถึงจุดนี้ จุดที่พิชญ์ยังไม่รู้ว่าทางออกของมันจะเป็นอย่างไร


.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 13-05-2020 19:57:25



“แม่เล็กขา น้องหนูอยากกินไอศกรีมค่ะ”

ไอลดาเอียงคอมองลูกสาวตัวน้อยที่ยืนเกาะชายเสื้อเธออยู่ สลับกับร้านไอศกรีมด้านหลังที่ดูล่อตาล่อใจเจ้าตัวจ้อย กำลังนึกชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี แต่พอสบเข้ากับดวงตาปริบ ๆ ที่มองมาอย่างออดอ้อน คนเป็นแม่ก็ต้องใจอ่อน ยอมเปลี่ยนทิศทางจากการเดินกลับคอนโดเป็นพาน้องหนูแวะร้านไอศกรีมแทน

“เย้ น้องหนูรักแม่เล็กที่สุดเลย”

ไอลดาส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ก่อนจะจูงมือคนเป็นแม่เดินตรงดิ่งไปที่ร้านไอศกรีม พอเข้ามาในร้าน น้องหนูก็รีบเดินนำคุณแม่คนสวยมานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง มีพนักงานเดินตามมาติด ๆ

พอเมนูพร้อมกับอุปกรณ์วาดรูประบายสีสำหรับเด็กถูกวางลงตรงหน้า น้องหนูก็รีบคว้าเมนูมาเปิดหาไอศกรีมรสโปรดของตัวเอง ไอลดาชะโงกหน้ามาช่วยลูกสาวตัวน้อยดูเมนู ก่อนจะสั่งไอศกรีมเชอร์เบทมะนาวของตัวเองหนึ่งลูก น้องหนูนั่งจิ้มรายการอยู่นานก็ไม่ยอมเลือกซะที ผู้เป็นแม่เลยต้องกระตุ้นถาม

“เลือกได้หรือยังคะ คนเก่ง”

คำตอบของคำถาม คือการที่นิ้วป้อม ๆ สามนิ้วชูขึ้นมาตรงหน้า จนคนเป็นแม่เลิกคิ้วน้อย ๆ ด้วยความสงสัย เจ้าตัวจ้อยเลยยิ้มแป้นก่อนจะเฉลยเสียงใสแจ๋ว

“แม่เล็กจ๋า น้องหนูขอช็อกโกแลตสามลูกนะ”

“หา...” ไอลดาตกใจจริง ๆ จัง ๆ “ได้ยังไงคะน้องหนู ให้แม่เล็กโทรถามพ่อพีทก่อนนะ”

คราวนี้น้องหนูรีบสั่นหน้าปฏิเสธจนเส้นผมกระจาย โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ไม่ยอมให้ผู้เป็นแม่โทรหาพ่อ ก่อนจะยอมลดนิ้วลงหนึ่งนิ้ว

...น้องหนูยอมกินไอศกรีมแค่สองลูกก็ได้ ไม่เห็นต้องโทรหาพ่อพีทเลย...

ไอลดานิ่งคิดอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง นาน ๆ ทีคงไม่เป็นไรหรอก จริง ๆ เธอก็พอรู้อยู่แล้ว ว่า ถึงพิชญ์จะรักน้องหนูมาก แต่พิชญ์ก็ไม่ได้ตามใจน้องหนูไปทุกเรื่อง อย่างไอศกรีมก็ยอมให้กินแค่อาทิตย์ละลูก แถมต้องกินผักกับผลไม้ทุกวัน จนบางทีเจ้าตัวเล็กก็มาโอดโอยกับเธอบ่อย ๆ เธอก็ได้แต่ปลอบไปว่า

‘พ่อพีทเขาอยากให้น้องหนูแข็งแรง’

สั่งไอศกรีมไปแค่แป๊บเดียว พนักงานคนสวยก็ยกมาวางตามที่สั่ง เชอร์เบทมะนาวหนึ่งลูกของคุณแม่แยกมาต่างหาก ส่วนอีกถ้วยเป็นช็อกโกแลตสองลูกของคุณลูก นั่งกินไปได้ไม่เท่าไหร่ น้องหนูก็ชี้มือชี้ไม้ไปยังผู้ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้านไอศกรีม

“แม่เล็กคะ คุณอาคนนั้นเขามองมาทางเราสองคนใหญ่เลยค่ะ”

ไอลดามองตามนิ้วป้อม ก่อนจะเห็นจริงตามที่น้องหนูว่า เธอเขม้นมองอยู่หลายรอบก็มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักผู้ชายคนที่กำลังมองมาที่เธอและน้องหนูแน่ ๆ ถึงอีกฝ่ายจะมีท่าทางสุภาพ ดูไม่น่ามีพิษมีภัย แต่คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน ข่าวแก๊งลักเด็กก็มีให้ได้เห็น ให้ได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ อะไรที่ระวังได้ก็ต้องระวัง จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

ไอลดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมโทรหากริช เดาเอาเองว่าคนสนิทอีกคนของอริญชย์คงวงเวียนอยู่แถว คอนโดเธอตามคำสั่งของอริญชย์แน่ ๆ แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจคิด คนแปลกหน้าก็ลุกเดินมาหาเธอกับน้องหนูที่โต๊ะ

“คุณไอลดาหรือเปล่าครับ”

ไอลดานิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เลยเลือกนั่งเฉย ๆ แต่ไม่วายโอบน้องหนูเข้ามาใกล้ตัวด้วยความหวงแหน ถึงเธอจะไม่ได้ร้ายกาจเหมือนอริญชย์ แต่ลองมาทำอะไรลูกสาวตัวน้อยของเธอดูสิ ไอลดาจะทำให้รู้ว่า คนอย่างเธอก็สามารถแปลงร่างเป็นแม่เสือหวงลูกได้เหมือนกัน

“ผมเป็นเพื่อนสมัยเรียนของพีทน่ะครับ พอดีคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นหน้าคุณตามหนังสือพิมพ์เลยลองเข้ามาทักดู”

“เพื่อนพี่พีทเหรอคะ”

“ครับ นี่คงเป็นลูกสาวของคุณกับพีทใช่ไหมครับ ผมเคยได้ยินพีทพูดถึงอยู่เหมือนกัน”

พอได้ยินชื่อผู้เป็นสามีหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย ไอลดาก็เริ่มมีท่าทีลังเล แต่ยังไม่ไว้ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ น้องหนูมองคุณแม่ที คุณอาที แล้วก็ก้มลงจ้วงไอศกรีมช็อกโกแลตเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย คนแปลกหน้าของไอลดามองน้องหนูอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ล้วงเอานามบัตรของพิชญ์ออกมาวางให้ดูตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวเอง

“ผมชื่อปฐพี หรือจะเรียกดินว่าก็ได้ครับ พักอยู่แถวนี้เหมือนกัน ถ้าคุณไอลดาไม่มั่นใจว่าผมเป็นเพื่อนพีทจริง ๆ จะลองโทรเช็กกับพีทดูก็ได้”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยซ้ำ ไอลดาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพิชญ์ทันที แม้จะแปลกใจตัวเองนิด  ๆ ว่าทำไมเธอถึงต้องเชื่อผู้ชายตรงหน้าด้วย แต่หญิงสาวก็อยากได้ยินคำยืนยันจากพิชญ์เหมือนกัน

รอสายอยู่ไม่นาน ปลายสายก็กดรับ ตอนแรกพิชญ์ก็ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องหนู แต่พอไอลดาเอ่ยถามถึงปฐพี พิชญ์ก็หัวเราะกลับมา ก่อนจะยืนยันว่าปฐพีเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขาจริง ๆ แถมยังตบท้ายด้วยการบรรยายลักษณะท่าทางของอีกฝ่ายให้ไอลดาฟังอีก เธอจะได้มั่นใจว่าไม่ผิดคนแน่ ๆ

“ขอโทษทีนะคะ พอดีเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้า ฉันเลยต้องป้องกันไว้ก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ เป็นใครก็คงตกใจที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนเดินมาทัก”

“แล้วพี่ดินอยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอคะ”

“ครับ เมื่อวานผมเจอพีทที่ซูเปอร์มาร์เก็ตฝั่งตรงข้าม เขาบอกว่าภรรยากับลูกอยู่คอนโดแถวนี้ ผมเลยคิดว่าคงใช่คุณแน่ ๆ”

“เรียกเล็กเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ พี่ดิน”

หลังจากนั้นแป๊บเดียว ไอลดาก็นั่งคุยกับปฐพีอย่างสนุกสนาน นอกจากไอลดาจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมแล้ว ปฐพียังมีลักษณะบางอย่างที่ชวนให้เธอนึกถึงพิชญ์ขึ้นมา แต่ก็แค่บางอย่างเท่านั้น สำหรับไอลดาแล้ว ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ไม่มีใครแทนที่พิชญ์ได้

ตอนแรก หญิงสาวก็รู้สึกตงิดหน่อย ๆ ที่ปฐพีถามเรื่องเธอกับน้องหนูหลายเรื่อง แต่อีกฝ่ายก็อ้างว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ติดต่อกับพิชญ์นาน เลยอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปของเพื่อนรัก ไอลดาเลยยอมเล่าให้ฟังอย่างไม่เกี่ยงงอน ก่อนจะใช้โอกาสเดียวกันนี้ เอ่ยถามถึงเรื่องราวของพิชญ์สมัยก่อน ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยถามพิชญ์ แต่คนปากหนักอย่างพิชญ์ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ยอมเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังง่าย ๆ เธอถึงต้องมาถามเอากับเพื่อนของเขาอย่างที่กำลังทำอยู่

“พี่ดินเล่าเรื่องพี่พีทสมัยก่อนให้เล็กฟังหน่อยสิคะ ถามพี่พีททีไร ก็ไม่ค่อยยอมเล่าให้เล็กฟังเลย”

“พีทน่ะเหรอครับ สมัยเรียนเนื้อหอมสุด ๆ เลยล่ะ สาว ๆ ทั้งโรงเรียนติดมันตรึม ขนาดมันติ๋ม ๆ เงียบ ๆ เอาแต่เรียนอย่างเดียวนะ ถ้ามันเล่นกีฬาด้วย มีหวังแฟนคลับเยอะแน่ ๆ”

ไอลดาเบิกตาน้อย ๆ แม้จะพอรู้อยู่แล้วว่าพิชญ์เป็นคนมีเสน่ห์ สังเกตจากตอนเรียนมหาวิทยาลัยที่เธอกับเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียวกัน ไอลดาก็มักจะได้ยินใครหลายคนพูดถึงพิชญ์อยู่เสมอ นึกดีใจไม่น้อยที่ตอนรู้จักกัน เขายังไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตน และยิ่งดีใจมากกว่าเดิม เมื่อรู้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าของเขาคือเธอ เพียงแต่ว่า...

เธอได้เป็นเจ้าของเขาแค่เพียงร่างกาย แต่ไม่อาจได้หัวใจของเขามาครอบครอง

“พี่พีทเขาเจ้าชู้ไหมคะ”

ไอลดาถามทั้งที่เธอเองรู้คำตอบแก่ใจดี คนอย่างพิชญ์น่ะหรือจะเจ้าชู้ แค่จะแตะต้องเธอทั้งที่มีสิทธิ์ เขายังไม่ทำเลย ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจเธอหรือว่าอะไร แต่เธอรู้ เพราะเขาไม่อยากทำร้ายเธอ ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง พิชญ์จะระมัดระวังตัวเสมอ หารู้ไม่ว่ามันยิ่งทำให้เธอนึกชื่นชมเขามากกว่าเดิม

ถึงแม้ไม่ได้ครอบครองหัวใจ แค่อย่าจากเธอไปไหนก็พอ...

“อย่างพีทน่ะเหรอครับจะเจ้าชู้” ปฐพีว่าขำ ๆ ออกแนวติดตลกเสียด้วยซ้ำ “แค่จะคุยกับผู้หญิงซักคน มันยังไม่ค่อยอยากจะทำเลย”

ไอลดาฟังแล้วก็หัวเราะขำตาม จนน้องหนูถึงกับทนไม่ได้ ต้องยกมือกอดอก เอ่ยเสียงแจ้ว ๆ ขัดจังหวะผู้ใหญ่สองคน

“แน้ แม่เล็กกับอาดินนินทาพ่อพีทใหญ่เลย เดี๋ยวน้องหนูฟ้องพ่อพีทนะ”

“เชิญฟ้องเลยค่ะ คนสวย”

ไอลดาก้มลงฟัดแก้มน้องหนูอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าตัวจ้อยคืนกลับมา เธอนั่งคุยกับปฐพีอยู่อีกพักใหญ่ รอจนน้องหนูจัดการกับไอศกรีมจนราบคาบ ถึงได้เรียกพนักงานมาคิดเงิน แล้วเอ่ยขอตัวพาน้องหนูกลับคอนโด

ปฐพียิ้มออกมาบาง ๆ เอ่ยปากขออาสาเดินตามมาส่งสองแม่ลูกที่หน้าคอนโด ซึ่งไอลดาก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร พวกเขาแยกย้ายกันตรงหน้าคอนโด อดีตคนแปลกหน้ายืนโบกมือให้ไอลดากับน้องหนูที่เดินเข้าไปในคอนโด ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกมา

ปฐพีเดินพ้นคอนโดไอลดาออกมายืนหน้าถนนใหญ่ได้ไม่ทันไร รถยนต์เล็กซัสติดฟิล์มหนาทึบก็แล่นมาจอดเทียบทางเท้า แค่มองแวบเดียว ปฐพีก็จำรถได้ทันที เขาเดินไปเปิดประตูฝั่งคนนั่งก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

“เฮียให้มารับกลับคอนโด เดี๋ยวดึก ๆ เฮียจะมาหา” คนขับรถเอ่ยบอกเสียงเรียบ ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ปฐพีก็ชินกับนิสัยของอีกฝ่ายซะแล้ว

หลังจากกลับมาถึงประเทศไทย ราชันย์ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างคอนโดกับคฤหาสน์หรูย่านชานเมือง แต่ส่วนมากมักจะมาขลุกอยู่ที่คอนโดกับเขามากกว่า นาน ๆ ทีถึงจะยอมกลับไปค้างที่บ้านบ้าง ซึ่งปฐพีก็คงไม่สามารถไปถามหาเหตุผลจากกระทำของอีกฝ่าย ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์

ช่วงที่รถติดอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมชื่อดัง ปฐพีมองผ่านกระจกรถ เห็นนักเรียนชายกางเกงสีน้ำเงินเดินเกาะกลุ่มกันออกมาจากโรงเรียน พลอยทำให้อดนึกถึงน้องชายของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ จนต้องเอ่ยถามคนข้างตัวออกไป

“พี่กรณ์ น้องชายผมเป็นยังไงบ้าง”

“สบายดี ไม่ต้องห่วง”

พอได้ยินที่ปกรณ์เอ่ยออกมา ปฐพีก็คลี่ยิ้มออกมาทันที เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกับน้องชายตัวเองบ่อยนัก ราชันย์ส่งน้องชายเขาเข้าโรงเรียนประจำตอนมัธยมปลาย ปีนี้ก็คงจะอยู่มัธยมหก เตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

ผู้ชายที่คนอื่นมองว่าใจร้าย รับปากกับเขาเอาไว้ว่าจะส่งเสียน้องชายเขาจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ถึงคนอื่นจะมองราชันย์เป็นคนยังไง ปฐพีก็ไม่สนใจ

แค่เขา...แค่เขาที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงก็เพียงพอแล้ว

“ไว้จะพาไปเยี่ยมแล้วกัน” คนขับเอ่ยออกมา เพราะเห็นคนข้างตัวมองกลุ่มเด็กนักเรียนไม่วางตา

“ขอบคุณครับพี่กรณ์”

ปกรณ์ปรายตามองปฐพีแวบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

“คืนนี้เฮียคงกลับดึก เพราะมีงานเลี้ยงของสมาคมฯ ถ้าง่วงก็นอนก่อนเลยนะ”

ปฐพีพยักหน้ารับช้า ๆ จำได้เลา ๆ ว่าราชันย์เคยบอกเขาเมื่อสองวันก่อน

ปกรณ์ขับรถมาส่งปฐพีที่คอนโดของราชันย์ เขาจอดรถเรียบร้อยก็เดินตามขึ้นมาส่งถึงห้อง หน้าที่อย่างหนึ่งของเขาคือ ต้องดูแลให้มั่นใจว่า ‘คนของนาย’ ปลอดภัย

“ถ้าหิวก็หาอะไรในตู้เย็นกินเอาแล้วกัน” เขาเอ่ย หลังจากเปิดดูแล้วว่ามีของกินเรียงอยู่เต็มตู้เย็น

“เดี๋ยวผมคงต้มมาม่ากินง่าย ๆ”

“ถ้าไม่ใช่พี่กับเฮีย อย่าเปิดประตูให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ พี่กรณ์รีบไปหาเฮียเถอะ”

“อยู่ดี ๆ ล่ะ ถ้าเฮียโทรมาก็รับสายด้วยแล้วกัน เดี๋ยวจะพาลจนกลับมาอาละวาดเอากับนายเสียเปล่า ๆ”

ปฐพียิ้มบาง ๆ ออกมาแทนคำตอบ เขาเดินมาส่งปกรณ์ที่หน้าประตู ก่อนจะยกมือไหว้คนสนิทของราชันย์

ปกรณ์มักจะดูแลราวกับเขาเป็นน้องชาย แม้จะรู้ดีว่าเขามาอยู่กับราชันย์ในฐานะอะไร แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจออกมาให้เห็น มีบ้างบางทีที่อีกฝ่ายมักจะมองเขาด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนมันจะถูกกลบเกลื่อนให้หายไปทันทีที่เขารู้ตัว

พอปกรณ์เดินออกจากห้องไปแล้ว ปฐพีก็ล็อกห้องทันที เขากวาดสายตามองรอบ ๆ ห้อง เริ่มคุ้นเคยกับห้องชุดราคาแพงระยับแห่งนี้ หลังจากราชันย์พาเขากลับมาจากฮ่องกงด้วยกัน ที่นี่ก็แทบจะกลายเป็นบ้านอีกหลังของเขา

สำหรับปฐพีแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะไปไหนมาไหนตามใจตัวเอง แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ราชันย์เรียกหา เขาจะต้องมาทันที และปฐพีไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปค้างที่อื่นนอกจากคอนโดแห่งนี้

ชีวิตของเขา ดูแล้วอาจจะไม่ต่างอะไรจากพิชญ์

แต่ปฐพีรู้ มันต่าง...ต่างเหลือเกิน...

ไม่ใช่เพราะเขาลำบากมากกว่าพิชญ์ แต่เพราะอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น



TO BE CONTINUE


ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกคนที่กดเข้ามาอ่านค่า ^^

พีทกับดิน ผลัดกันดราม่ากันคนละตอนสองตอน
น่าพาไปอยู่ศาลาคนเศร้าทั้งคู่เลยค่ะ

 

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 13-05-2020 21:26:38
โอ้ยยยย ซับซ้อนซ่อนเงื่อนนนนนน ...  สงสัยอ่าาาาาาา    :ling1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-05-2020 21:44:28
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-05-2020 21:58:18
คุณเล็กท้องกับใครกันแน่ ทำไมเรามั่นใจว่าพีทไม่ใช่พ่อน้องหนูละ  :mew3:
ส่วนคุณใหญ่นี่รักหลงพีทเหลือเกิน ไปงานเลี้ยงถ้าเฮียเล้งเจอพีท จะอยากได้พีทมาครอบครองรึเปล่านะ น่าห่วงแฮะ  :เฮ้อ:
..​คุณเล็กน่าจะตัดใจได้แล้วนะ ได้เขามาแค่ตัว แต่ใจไม่ได้ ตัวเองเจ็บไม่พออีกหรือ.. ตัดใจมีคนใหม่ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-05-2020 13:25:04
มากกว่านั้น มันคืออะไรอะดิน แต่ดูท่าคงน่าจะเพราะตัวเอง ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนให้มากกว่านี้นะ ถึงจะไม่ได้ตกอยู่ในกรงทองแห่งนี้ หรือใจจริงก็อยาก ส่วนเหตุผลที่จำยอม แค่งงว่าทำไมไม่ทำงานส่งน้องเรียนเอง มันมีเหตุติดขัดอะไรมากป่ะ ต้องรอฟังว่าจะเข้าท่าม่ะ พอมันเป็นแบบนี้จะบอกให้แข็งข้อต่อเขาคือยากอ่ะ 555555 ก็นะ ต้องทำใจอยู่แบบนั้นต่อไปนะดินนะ กรงนี้สบาย หรูหราอู้ฟู่ เดี๋ยวก็ชิน ดูท่าจะเป็นคนโปรดมากซะด้วย อยากกอ่านคู่นี้อยู่นะ 55555  ส่วนคุณใหญ่ก็ถ้าไม่ได้ใจเขามาซักที ก็พอก่อนนะ ถอยก่อน อาจจะทำให้ได้ใจเขามามากกว่าอีก แต่คงอีกนานเพราะคุณใหญ่นั้นรั้นมาก อยากจะให้ความลับแตกไม่ไหวแล้วค่ะ 5555 ปมทะเลาะกันเพื่อนทรยศต้องตามต่อไป ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้มาก สนุกค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 14-05-2020 19:38:48
กว่าจะได้อะไรมา ต้องเสียอะไรไปบ้างนะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-05-2020 23:44:08
ลึกลับนะดิน
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 11 --- หน้าที่ 3 [13/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 14-05-2020 23:46:42
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก ซับซ่อนไปอีก555ชอบๆๆ


ถ้าหนูเล็กรู้ว่าพี่ชายตนเองรักพีทจะเป็นยังไงน้อ :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 15-05-2020 17:14:24
สิบสอง
ต้นสายปลายเหตุ



งานเลี้ยงของสมาคมธุรกิจก่อสร้างมีแขกเหรื่อมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาของวงการธุรกิจ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของงาน หัวข้อที่ถกเถียงกันนอกจากจะเป็นเรื่องประเด็นทางธุรกิจแล้ว ก็มักจะเป็นเรื่องของวงสังคมภายนอกที่กลายเป็นประเด็นเผ็ดร้อนของวงสนทนา

เจ้าภาพของงานเดินตรวจตราความเรียบร้อยและทักทายแขกเหรื่อเป็นระยะ จุดมุ่งหมายของการจัดงานคือการรวมกลุ่มสังสรรค์ของคนวงการเดียวกัน ขณะกำลังเอ่ยสนทนากับแขกเหรื่ออย่างออกรสชาติ เจ้าภาพก็ต้องชะงัก เมื่อลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามากระซิบบอกเขา

“ท่านครับ คุณอริญชย์มาถึงแล้วครับ”

ชายวัยกลางคน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฯและเป็นเจ้าภาพของงานพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันมาเอ่ยขอตัวกับคู่สนทนา แม้ท่านจะมีตำแหน่งเป็นถึงประธานสมาคมฯ แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา ผู้กุมอำนาจวงการธุรกิจที่แท้จริงล้วนแต่เป็นบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย

เพียงแค่เดินออกมาถึงด้านนอกของงาน เจ้าของตำแหน่งประธานสมาคมฯก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างสูงของบุคคลที่กำลังรอคอยอยู่ปรากฏกายขึ้นพร้อมคนสนิท เป็นที่รู้กันดีว่า นอกจากพิชญ์จะเป็นมือขวาของอริญชย์แล้ว เขายังพ่วงตำแหน่งน้องเขยด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่อริญชย์จะผลักดันผู้ชายธรรมดาอย่างพิชญ์ ภัทรกุลจนก้าวเข้ามายืนอยู่แถวหน้าของวงการธุรกิจ ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ

อริญชย์ปรากฏตัวในชุดสูทสากลสีดำสนิท รูปหน้าเย็นชาราวกับสลักเสลาจากประติมากรรมชั้นดีสะกดทุกสายตาเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด ริมฝีปากหยักเหยียดออกเป็นเส้นตรงก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อสบสายตาเข้ากับประธานสมาคมฯ

ท่านประธานกระแอมกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปทักทายอริญชย์ด้วยความนอบน้อม

“สวัสดีครับ คุณอริญชย์ คุณพิชญ์”

“สวัสดีครับท่าน”

พิชญ์ค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะเดินไปยื่นบัตรเชิญให้กับฝ่ายต้อนรับเพื่อลงทะเบียน หญิงสาวที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะลงทะเบียนรับบัตรเชิญจากพิชญ์ก่อนจะเอ่ยชวนคุย

“ไม่ค่อยเห็นคุณพิชญ์ออกงานกับคุณไอลดาเลยนะคะ”

“เธอไม่ค่อยว่างน่ะครับ” พิชญ์ตอบพร้อมกับยิ้มตามมารยาท

เขามักจะโดนทักแบบนี้อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่เขาเป็นสามีตามกฎหมายของไอลดา แต่กลับกลายเป็นว่าเขามีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจกับอริญชย์บ่อยกว่าไอลดาเสียอีก จนทุกคนชินกับภาพที่พิชญ์ออกงานกับอริญชย์ ถึงขนาดว่าภาพคู่ของพิชญ์กับไอลดากลายเป็นของหายากไปเลยทีเดียว

“บริษัท เคเค คอนสตรัคชั่น คุณอริญชย์และคุณพิชญ์นะคะ รบกวนเซ็นชื่อด้วยค่ะ”

“ครับ”

พิชญ์รับปากกามาก่อนจะจรดปากกาลงเซ็นชื่อ ชื่อนามสกุลและตำแหน่งของเขาปรากฏหรา

พิชญ์ ภัทรกุล...รองประธานบริษัท เคเค คอนสตรัคชั่น

จากผู้ชายเดินดินธรรมดาที่ก้าวมาถึงจุดนี้อย่างก้าวกระโดด มันสอนให้พิชญ์รู้ว่า...

โอกาสดี ๆ ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาฟรี ๆ

ก่อนจะผละออกมาจากโต๊ะลงทะเบียน พิชญ์แอบเหลือบตามองรายชื่อของทางกมลวิลาศน์อย่างแนบเนียน เห็นช่องลงทะเบียนยังว่างเปล่าอยู่ เขาเดาว่าอีกฝ่ายยังเดินทางมาไม่ถึงงาน พิชญ์ส่งยิ้มให้กับหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับอีกครั้งก่อนจะเดินจากมา เห็นอริญชย์ยังยืนสนทนาติดลมอยู่ เขาเลยเดินเข้าห้องจัดเลี้ยงไปก่อน

...ถึงเขาจะเป็นคนสนิทของอริญชย์ แต่ตัวเขากับอริญชย์ก็ไม่ได้ติดกันถึงขนาดที่ว่าห้ามเดินไปไหน

งานเลี้ยงถูกจัดแบบค็อกเทล ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมสำหรับหลาย ๆ งาน เนื่องจากแขกเหรื่อส่วนมากที่มาร่วมงานนิยมที่จะเดินพูดคุยกันมากกว่าที่จะมานั่งคุย การจัดงานแบบค็อกเทลจึงตอบโจทย์ได้ดีกว่าบุฟเฟ่ต์หรือโต๊ะจีนแบบที่ผ่าน ๆ มา

ซุ้มอาหารวางเรียงรายละลานตา อาหารถูกจัดวางอย่างสวยงามและจัดทำออกมาแบบพอดีคำเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แขกเหรื่อ พิชญ์เดินดูไลน์อาหารผ่าน ๆ ก่อนจะรับแก้วไวน์จากบริกรมาถือ แล้วยืนอยู่มุมหนึ่งของงาน หลายต่อหลายคนที่รู้จักกับพิชญ์ พอเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ตามลำพังก็อดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้ามาทักทาย

“มาคนเดียวเหรอครับคุณพิชญ์”

“คุณอริญชย์คุยอยู่กับท่านประธานน่ะครับ”

“ผมเพิ่งรู้ข่าวเรื่องโกดังถูกไฟไหม้ ยังไงก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”

พิชญ์เพียงแค่ยิ้มรับเฉย ๆ ถึงอีกฝ่ายจะเอ่ยปากแสดงความเสียใจ แต่ก็ไม่อาจซ่อนความยินดีในแววตาเอาไว้ได้ ทำไมเขาจะดูไม่ออก ข่าวโกดังของเคเค คอนสตรัคชั่นถูกลอบวางเพลิงทำให้บริษัทเล็ก ๆ พากันดีอกดีใจมากแค่ไหน เวลาที่พวกบริษัทใหญ่ ๆ ทะเลาะกันเอง ใครที่จะได้ประโยชน์ ถ้าไม่ใช่พวกบริษัทเล็ก ๆ ที่รอวันเงยหน้าอ้าปาก และผู้ชายตรงหน้าพิชญ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ทางคุณก็ต้องระวังเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวนี้วงการธุรกิจมันอันตราย พลั้งเผลอไปจะพลาดเอาง่าย ๆ”

อีกฝ่ายหน้าเจื่อนไปทันที ก่อนจะทำทีเป็นขอตัวไปทักทายคนอื่นบ้าง พิชญ์ไหวไหล่ออกมาน้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้ขู่ เขาแค่ ‘เตือน’ ด้วยความหวังดีเฉย ๆ

พิชญ์ยืนจิบไวน์อยู่อีกสองอึก พอเห็นบริกรเดินผ่านมาก็กวักมือเรียกก่อนจะวางแก้วไวน์ลงบนถาด แล้วถามหาทางไปห้องน้ำจากบริกร อันที่จริงพิชญ์ก็ไม่ได้นึกอยากเข้าห้องน้ำ แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่ายืนอุดอู้อยู่ในงาน

พิชญ์ยืนสบตากับผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเขาที่สุดในโลกผ่านกระจกเหนืออ่างล้างมือ แทบจะลืมเลือนภาพลักษณ์ในอดีตของตัวเองไปหมดแล้ว ภาพตัวเองที่สวมชุดสูทสากลสีดำดูภูมิฐานกว่าตัวตนที่เขาเป็นมาตลอด แต่พิชญ์รู้ดีว่าภาพที่เห็นก็เป็นแค่เปลือกนอกที่อริญชย์เอามาสวมให้เขา

บางทีอริญชย์ก็ทำให้พิชญ์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปูเสฉวน ที่ต้องหาเปลือกหอยที่เหมาะกับตัวเองมาคอยกำบัง แต่พิชญ์ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นเลย ถ้าวันใดเปลือกหอยมันไม่พอดีกับเขาขึ้นมา แล้วเขาไม่สามารถหาเปลือกใหม่ที่เหมาะกับตัวเขาได้ ปูเสฉวนอย่างเขาจะอยู่ได้อย่างไร

เพราะอย่างนี้ พิชญ์ถึงต้องพยายามอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่ามันจะลำบากมากแค่ไหนก็ตาม

พิชญ์ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองลวก ๆ ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจออกมาช้า ๆ เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียว ดูเหมือนงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล ชายหนุ่มกระชับสาบเสื้อสูทแนบเข้ากับลำตัวก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ

พิชญ์ชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าห้องจัดเลี้ยง เมื่อเห็นคนยืนสูบบุหรี่อย่างอ้อยอิ่งตรงระเบียง เขาเผลอหยุดมองอีกฝ่าย จนฝ่ายนั้นรู้สึกตัว ค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองเขา

แม้ว่าจะไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน แต่ใช่ว่าพิชญ์จะจดจำใบหน้าอีกฝ่ายจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์รวมถึงนิตยสารต่าง ๆ ไม่ได้

“คุณราชันย์...”

เจ้าของชื่อยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้ม แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มเสียทีเดียว ราชันย์ตัวจริงผิวขาวกว่าที่พิชญ์คิด คงเพราะอีกฝ่ายมีเชื้อสายจีนถึงได้ดูขาวกว่าคนไทยแท้ ๆ อย่างเขา คิ้วเข้มดกหนา สันจมูกโด่งคม ท่าทีที่ดูสบาย ๆ แต่กลับแฝงอันตรายเอาไว้เต็มเปี่ยม

ความรู้สึกแบบนี้ มันคงคล้ายกับครั้งแรกที่พิชญ์เจออริญชย์ล่ะมั้ง

“ไง คนสนิทของอริญชย์”

ถ้อยคำที่เรียกขานว่า ‘คนสนิทของอริญชย์’ ดูเหมือนจะไม่ได้แฝงแววชื่นชมเท่าไหร่ ถ้าถามพิชญ์ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับอริญชย์มากว่าห้าปีแล้ว พิชญ์กล้าพูดเลยว่า อริญชย์กับราชันย์ต่างก็ให้ความรู้สึกถึงความมีอำนาจไม่แพ้กัน เพียงแต่...

ถ้าคนหนึ่งเป็นก้อนน้ำแข็งที่เย็นชา อีกคนก็คงเป็นเปลวไฟร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาให้ไหม้เป็นจุล

ราชันย์จ้องมองพิชญ์อย่างเปิดเผย เขาค่อย ๆ ขยี้ก้นบุหรี่ในมือลงกับที่เขี่ยบุหรี่แล้วหันมามองพิชญ์เต็มตา ริมฝีปากเหยียดออกเป็นเส้นตรง

“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าคนที่ไอ้ใหญ่ไว้ใจจะดูธรรมดาขนาดนี้”

ต่อให้เป็นเด็กประถมอมมือก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่คำชมแน่ ๆ ทั้งน้ำเสียง ทั้งแววตา ไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่าราชันย์กำลังชื่นชมพิชญ์อยู่

“คนเราดูกันที่ภายนอกไม่ได้หรอกครับ”

ราชันย์เลิกคิ้วให้กับคำยอกย้อนอย่างเสแสร้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องขำขันอะไร

“นั่นสินะ นายมีดีอะไรล่ะ เพราะเป็นน้องเขย หรือเพราะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น”

พิชญ์เคยมั่นใจว่าไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์บ้า ๆ ระหว่างเขากับอริญชย์ หรือถ้าจะมีคนรู้ก็คงมีแค่เขา อริญชย์ หรือตุลย์ แต่ทำไมสายตาที่ราชันย์มองมาถึงได้ทำเอาเขาร้อน ๆ หนาว ๆ ราวกับรู้อะไรมากกว่านั้น

“คุณหมายความว่ายังไง”

“อย่าแกล้งโง่หน่อยเลย ฉันรู้ว่านายฉลาด”

“คุณประเมินผมสูงไปหรือเปล่า”

พิชญ์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุม แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไร นอกจากยืนอยู่เฉย ๆ ความคิดที่อยากจะถามเรื่องของอริญชย์กับราชันย์ถึงกับเป็นหมันไป เขาบ้าเอง ที่คิดว่าทุกอย่างจะง่ายอย่างใจคิด

“รู้หรือเปล่าว่าฉันรู้จักกับไอ้ใหญ่มากี่ปี” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแม้แต่น้อย เพราะเอ่ยจบ คนถามก็เป็นฝ่ายตอบออกมาเสียเอง “ถ้าจำไม่ผิดก็คงเกือบยี่สิบปีแล้วล่ะมั้ง”

ความเป็นเพื่อนที่ยาวนานขนาดนั้น อะไรกันที่ทำให้มิตรภาพขาดสะบั้นไป

“แต่ถึงฉันจะกลายเป็นแค่เพื่อนเก่า ฉันก็ยังมั่นใจว่าฉันรู้จักมันดีกว่าใคร”

“อย่าคิดเองเออเองหน่อยเลย” เสียงเยียบเย็นดังมาจากข้างหลัง ก่อนที่พิชญ์จะถูกดึงให้ออกห่างจากราชันย์ด้วยแรงที่เกือบจะเป็นการกระชาก

สายตาสองคู่สบประสานกัน อริญชย์มองอดีตเพื่อนรักอย่างเย็นชา ผิดกับอีกคนที่ยกริมฝีปากขึ้นน้อย ๆ คล้ายกับจะยั่วเย้า

“ไม่เจอกันนานเลยนะ...”

“มึงกลับมาทำไม”

“นั่นคือคำที่มึงใช้ทักทายเพื่อนเก่าเหรอวะ”

“กูกับมึงไม่ใช่เพื่อนกันตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

ราชันย์แสร้งถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เมื่ออริญชย์ทำท่าเหมือนจะพูดเรื่องเก่า ๆ เรื่องที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ถ้ามึงยังเอาแต่ยัดเยียดว่าเป็นความผิดของกู กูว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องหว่ะ”

“สุดท้าย มึงก็ไม่คิดจะรับผิดชอบเรื่องของน้องกู”

“น้อง...”

พิชญ์ทวนคำพูดของอริญชย์อย่างสับสน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเขา เท่าที่พิชญ์รู้ น้องของอริญชย์คือไอลดา แล้วสิ่งที่อริญชย์พูดมามันหมายความว่ายังไง ราชันย์ทำอะไรกับไอลดา

“ในเมื่อกูให้สิ่งที่มึงต้องการไม่ได้ แล้วมึงจะให้กูรับผิดชอบด้วยอะไร”

“ชีวิตของมึงยังไงล่ะ”   

“ขอโทษทีหว่ะใหญ่ กูไม่ได้โง่ขนาดจะเที่ยวยกชีวิตตัวเองให้คนอื่นง่าย ๆ แล้วที่สำคัญนะ...” ราชันย์เว้นวรรคก่อนจะจ้องหน้าอดีตเพื่อนรักดวงตากร้าว “กูว่าทุกอย่างมันจบตั้งแต่ตอนที่มึงเล่นงานบริษัทกูแทบพังแล้ว ต่อจากนี้ไปกูไม่อยู่เฉย ๆ เหมือนเมื่อก่อนแน่”

“ถ้ามึงคิดว่าจะผงาดขึ้นมาได้ก็ลองดู กูนี่แหล่ะที่จะเป็นคนเหยียบมึงให้จมดินลงไปเอง”

“อย่าลืมสิ ว่ากูรู้จักมึงดีแค่ไหน เอาเวลาไปเฝ้าของ ๆ มึงไม่ดีกว่าหรือไง” ไม่พูดเปล่า ราชันย์ยังปรายตามองมาทางพิชญ์ก่อนจะยิ้มมุมปาก

“อย่าคิดที่จะยุ่งกับของ ๆ กู ไม่งั้นกูไม่เอามึงไว้แน่ ๆ”

ราชันย์เหยียดยิ้มร้ายออกมา ก่อนริมฝีปากหยักจะขยับเอ่ยออกมาช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ

“มึงก็รู้ดีว่ามึงห้ามกูไม่ได้”

“ไอ้เล้ง!”

พิชญ์แทบจะผวาเข้าไปยึดแขนอริญชย์เอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะถึงแม้จะเดือดดาลมากแค่ไหน อริญชย์ก็ยังพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เข้าไปตั๊นหน้าอดีตเพื่อนรักได้

ราชันย์ยืนมองเพื่อนรักนิ่ง ๆ ในเมื่อมันไม่คิดว่าเขาเป็นเพื่อน เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่ามันเป็นเพื่อนอีกต่อไป เขาปล่อยให้อริญชย์กระทำอยู่ฝ่ายเดียวมานาน หลังจากนี้เขาคงไม่อยู่เฉย ๆ แน่

“เฮีย...”

ราชันย์หันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเห็นน้องสาวตัวเองที่อยู่ในชุดราตรีน้ำเงินเข้มกำลังเดินตรงมาหาเขา รัญญาเดินเข้ามาเกาะแขนพี่ชายตัวเองไว้ ก่อนจะหลุดเสียงอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย

“อุ๊ย พี่ใหญ่ก็อยู่ด้วยเหรอคะ”

อริญชย์ปรายตามองรัญญาแวบหนึ่ง แต่ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมา เขาฉวยแขนพิชญ์ที่ยืนนิ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งสองพี่น้องเอาไว้เบื้องหลัง

“พี่ใหญ่ยังไม่หายโกรธเรื่องนั้นอีกเหรอคะ”

“ถ้ามันหายโกรธแล้ว มันคงไม่เล่นงานเราตลอดห้าปีที่ผ่านมาหรอก”

“แต่มันไม่ใช่ความผิดของเฮียเลยนะ”

“ช่างมันเถอะ เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”

ตอนแรกราชันย์ก็คิดว่าเวลาเกือบห้าปีคงจะทำให้อริญชย์หันมายอมรับความจริงและอารมณ์เย็นลง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิดถนัด ตลอดห้าปีที่ผ่านมา อริญชย์ลอบเล่นงานเขาอยู่ตลอด แม้จะไม่เป็นข่าวใหญ่โตครึกโครม แต่ทางกมลวิลาศน์ก็รู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร จากที่ตั้งใจจะปล่อยให้เรื่องค่อย ๆ เงียบหายไปเอง สุดท้ายเขาถึงต้องกลับมาจัดการสะสางปัญหาด้วยตัวเอง

...และบางทีพิชญ์อาจจะเป็นตัวแปรที่ดีสำหรับเรื่องนี้


.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 15-05-2020 17:15:52

พิชญ์เดินตามอริญชย์ที่ก้าวเท้ายาว ๆ ลงมายังล็อบบีจนขาแทบขวิด ตุลย์กำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี พอเห็นสีหน้าของอริญชย์ก็เดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกทันที ระยะเวลาที่เขาอยู่กับอริญชย์นั้นนานพอจนทำให้ตุลย์รู้ว่ายังไม่ควรจะเอ่ยปากถามอะไรออกไป

“เดี๋ยวผมไปเตรียมรถมาครับ”

พิชญ์มองอริญชย์อย่างงุนงง ในหัวของเขามีแต่คำถามที่ต้องการคำอธิบายเต็มไปหมด บทสนทนาที่อริญชย์คุยกับราชันย์คืออะไร หมายความว่ายังไง

“คุณใหญ่...”

“อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น” อริญชย์เอ่ยออกมาเสียงห้วน จนพิชญ์ต้องยอมหุบปากให้สนิท

ปกติต่อให้โมโหมากแค่ไหน อริญชย์ก็จะควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอ พิชญ์เพิ่งเคยเห็นอริญชย์เป็นเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุอยู่ตลอดเวลาก็คราวนี้ อริญชย์ในตอนนี้ ดูทั้งแข็งกร้าวและเปราะบางไปพร้อมกัน ที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

“เมื่อกี้ ไอ้เล้งไม่ได้ทำอะไรนายใช่ไหม” พอได้สติแล้ว อริญชย์ก็หันมาถามพิชญ์ พร้อมกับจับพิชญ์พลิกไปพลิกมาเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

“เปล่าครับ แค่ยืนคุยกันเฉย ๆ”

“แล้วทำท่าไหนถึงไปเจอมันได้”

“ผมไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็บังเอิญเจอเขาเข้าพอดี”

อริญชย์ยิ้มเยาะออกมา แน่นอนว่าไม่ได้เยาะพิชญ์ แต่เป็นรอยยิ้มที่ส่งผ่านไปให้ใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้

“จำไว้นะพีท โลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญหรอก ทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความจงใจของคนเราทั้งนั้น”

“ผมไม่เข้าใจ”

“นายยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้ว่าอย่าเข้าใกล้ไอ้เล้งเด็ดขาด”

“คุณใหญ่ ถ้าขืนคุณยังไม่มีเหตุผลดี ๆ ที่ฟังขึ้น ผมก็ไม่มีทางรับปากว่าจะทำตามคำสั่งเด็ดขาด”

“พีท!”

อริญชย์เรียกชื่อพิชญ์เสียงหนัก ๆ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป ก็เปลี่ยนเป็นลากพิชญ์ให้เดินตาม เมื่อเห็นว่าตุลย์ขับรถมาจอดรออยู่ตรงหน้าทางเข้าล็อบบีแล้ว

พอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย อริญชย์ก็ถอดเสื้อสูทออกพาดกับเบาะนั่งข้างคนขับ ก่อนจะขยับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดแรกแล้วตามด้วยกระดุมแขนเสื้อ พิชญ์นั่งรออริญชย์จัดการกับตัวเองอย่างอดทน จนกระทั่งเห็นอริญชย์ทิ้งตัวลงพิงพนักเบาะ เขาถึงได้หันไปประจันหน้ากับอริญชย์

“คุณใหญ่...”

“หืมม์” อริญชย์แค่ครางรับเสียงหนัก ๆ

“เรื่องของคุณกับเสี่ยเล้ง”

“ฉันยังไม่อยากเล่า” อริญชย์ตัดบทง่าย ๆ จนพิชญ์ได้แต่เม้มริมฝีปากนิ่ง

พิชญ์เบือนหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง ข่มความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เขาเหมือนคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ถูกปิดหูปิดตา ได้แต่ทำตามคำสั่งของอริญชย์อย่างเดียว โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันดีหรือไม่ดี มันถูกหรือผิด อริญชย์เห็นเขาเป็นอะไรกัน เขาไม่ใช่หมากในเกมที่อริญชย์นึกอยากจะจับเดินซ้ายก็ได้ จับเดินขวาก็ได้ แล้วเที่ยวแนะนำกับคนอื่นว่าเขาเป็นคนสนิททำไม ทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเห็นเขาเป็นคนอื่นเลย

ฝ่ามือหนาเอื้อมมาแตะมือพิชญ์เบา ๆ ก่อนอริญชย์จะไล้ปลายนิ้วไปมา คนถูกสัมผัสได้แต่นั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

“อย่าเพิ่งโกรธ...”

“ผม...” พิชญ์กำลังจะอ้าปากเถียงว่าเขาไม่ได้โกรธ แต่อริญชย์ก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ฉันแค่หงุดหงิดมากไปหน่อย เดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง”

“ถ้าคุณลำบากใจก็ไม่ต้อง”

“เอาเถอะ จะช้าจะเร็ว นายก็ต้องรู้”

ตุลย์ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่อริญชย์เจอกับราชันย์ แต่ถ้าถามเขา เขาก็เห็นด้วยที่อริญชย์จะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พิชญ์ฟัง สำหรับตุลย์แล้ว ตอนนี้พิชญ์เองก็เป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่อริญชย์จะต้องปิดบังพิชญ์


.


พอกลับถึงบ้าน ตุลย์ก็แยกกลับห้องพักของตัวเอง เพราะรู้ว่าอริญชย์ต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อคุยกับพิชญ์ตามลำพัง

อริญชย์เดินนำพิชญ์ไปที่ห้องนอนของเขา เขาเปิดไฟจนห้องนอนสว่างโร่ ก่อนจะค้นอะไรกุกกักในตู้หนังสือ ปล่อยให้พิชญ์ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางห้อง

“นายไปนั่งรอที่โซฟาก่อน” อริญชย์หมายถึงโซฟารับแขกตรงมุมห้อง

พิชญ์เดินไปนั่งด้วยความรู้สึกแปลก ๆ แม้จะเคยเข้ามาในห้องนอนของอริญชย์หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่พิชญ์ก็ยังอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้

ไม่ใช่ที่นี่หรือที่อริญชย์เฝ้ารังแกเขา ไม่ว่าจะหันไปมองตรงไหนของห้อง ความทรงจำน่าอายก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ จนพิชญ์ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ พยายามเรียกสติตัวเองกลับมา ก่อนจะทำทีเป็นเอ่ยถามเจ้าของห้องที่ก้ม ๆ เงย ๆ หาของไม่เลิก

“คุณใหญ่หาอะไรอยู่ ให้ผมช่วยหาไหม”

“ไม่ต้อง ฉันหาเจอแล้ว”

อริญชย์เดินกลับมาพร้อมกับอัลบั้มรูปในมือ ดูเหมือนมันจะถูกเก็บอยู่ข้างในสุดของตู้หนังสือ เหมือนกับเรื่องราวบางเรื่องที่เขาเลือกจะเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ

“นายคงอยากรู้ใช่ไหม ว่าฉันกับไอ้เล้งตัดเพื่อนกันเพราะเรื่องอะไร”

พิชญ์พยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ยังคาอยู่ในใจ

“ผมได้ยินคุณพูดถึงน้อง คงจะไม่ใช่...”

อริญชย์ยิ้มหยันออกมา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนบาดแผลตกสะเก็ด วันนี้มันไม่เจ็บแล้ว แต่ก็ยังมีแผลเป็นให้เห็นอยู่ เขาพยายามเอาพลาสเตอร์ปิดเอาไว้ จะได้ไม่ต้องนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เขาลืม ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเห็นหน้าราชันย์ คนที่สร้างรอยแผลให้เขา เขาก็ต้องนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาอยู่ดี

“ไม่ใช่ยัยเล็กหรอก”

พิชญ์พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถึงอย่างไรเขาก็เอ็นดูไอลดาเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ถ้าต้องมารับรู้ว่าในอดีตเคยเกิดเรื่องราวร้ายแรงกับไอลดา เขาเองก็คงเจ็บปวดไม่ต่างจากอริญชย์ แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ไอลดา งั้นก็หมายความว่า...

อริญชย์ค่อย ๆ วางอัลบั้มรูปในมือลงตรงหน้าพิชญ์ เวลานี้พิชญ์มองไม่เห็นเสือร้ายที่ทุกคนหวั่นเกรง เขาเห็นแค่เพียงผู้ชายธรรมดาที่ดูอ่อนแอและเปราะบางไปพร้อม ๆ กัน อัลบั้มถูกพลิกผ่านทีละหน้า พร้อมกับเรื่องราวที่ค่อย ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากช้า ๆ

“เมื่อก่อน ฉันก็คิดว่าฉันกับยัยเล็ก เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง จนกระทั่ง...” อริญชย์หยุดเล่า พร้อมกับไล้ปลายนิ้วลงที่รูปถ่ายของเด็กชายสองคนและเด็กหญิงหนึ่งคน

พิชญ์ชะโงกหน้าไปมอง รูปถ่ายที่บ่งบอกระยะเวลาอันยาวนาน คือรูปของเด็กชายหญิงวัยไล่เลี่ยกันสามคน เด็กชายที่ตัวโตที่สุดซึ่งกำลังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กเอาไว้ คงหนีไม่พ้นผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ส่วนเด็กผู้ชายตัวเล็กอีกคน ไม่ว่าจะมองยังไงพิชญ์ก็ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย คงไม่ใช่กริชกับตุลย์แน่ ๆ

“วันที่พ่อพาเด็กผู้ชายอีกคนมาที่บ้าน ฉันถึงเพิ่งรู้ว่าเราไม่ได้มีแค่ใหญ่กับเล็ก แต่พ่อยังมีกลางแอบเอาไว้”

“เขาเป็นน้องชายแท้ ๆ ของคุณหรือครับ” พิชญ์ถามด้วยความสงสัย

ทุกคนในวงสังคมต่างรู้ว่าอริญชย์มีน้องสาวหนึ่งคนคือไอลดา แต่น่าแปลกที่ไม่ยักมีใครรู้ว่าเขายังมีน้องชายอีกคน

“น้องชายแท้ ๆ แต่คนละแม่น่ะ ไม่ค่อยมีใครรู้หรอก เพราะว่าเขาใช้นามสกุลแม่ แล้วกว่าจะมาอยู่กับพวกเราก็ตอนโตแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือครับ” พิชญ์ถามก่อนจะกลั้นใจฟังคำตอบ

อริญชย์ยิ้มขื่นออกมา คงเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชายคนรองล่ะมั้ง เขาถึงได้ตามใจไอลดาทุกอย่าง ไม่ว่าไอลดาจะท้องตอนเรียน อยากแต่งงานกับพิชญ์ หรือแม้กระทั่งเป็นนางแบบโดยที่เขาไม่เห็นด้วย แต่บางทีเขาก็ลืมไป...

ไอลดากับอธิษฐ์เป็นคนละคนกัน ถูกเลี้ยงมาต่างกัน โดยพื้นฐานแล้วอุปนิสัยจึงย่อมแตกต่างกัน

“กลางไม่ได้ติดฉันมากเท่าไหร่หรอก กลางติดไอ้เล้งมากกว่า”

พิชญ์ขมวดคิ้วน้อย ๆ ดูเหมือนเรื่องที่อริญชย์กำลังเล่าจะเกี่ยวข้องกับราชันย์เต็ม ๆ

“ไม่สิ กลางไม่ได้ติดไอ้เล้งหรอก อันที่จริงแล้ว กลางชอบไอ้เล้ง”

“แบบคนรักน่ะหรือครับ”

อริญชย์พยักหน้ารับช้า ๆ ตอนนั้นเขาเองก็นึกขำ เมื่อเฝ้าสังเกตจนมั่นใจว่าน้องชายต่างแม่ตัวเล็กของเขาแอบชอบเพื่อนสนิทของเขาเข้า คงเพราะราชันย์แวะเวียนมาที่บ้านบ่อย ๆ มาคอยหยอกเย้าเจ้าตัวเล็กอยู่เสมอ จนเด็กชายตัวเล็ก ๆ เผลอใจโดยไม่รู้ตัว

“ไอ้เล้งเองก็อาจจะรู้หรือไม่รู้ตัว ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ฉันก็จงใจปล่อยกลางไว้กับมันบ่อย ๆ”

ตอนนั้นอริญชย์ไว้ใจเพื่อนสนิทอย่างราชันย์ยิ่งกว่าใคร แม้ราชันย์จะชอบเที่ยวสำมะเลเทเมา มีความสัมพันธ์กับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่เขาที่คบกับมันมานานก็คิดว่ารู้จักมันดีพอ เลยกล้าไว้ใจให้มันคอยดูแลน้องชายของเขา ก่อนจะรู้ว่าคิดผิดก็ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น

“ช่วงนั้นฉันต้องไปต่างประเทศ กลางขอไปอยู่กับไอ้เล้ง ฉันก็อนุญาต แต่ใครจะไปรู้...”

ไหล่ที่เคยผึ่งผายค่อย ๆ ห่อลู่ลง ผู้ชายที่พิชญ์เคยตราหน้าว่าเย็นชาไร้หัวใจ ตอนนี้กลับดูอ่อนแอจนพิชญ์เผลอเลื่อนตัวเข้าไปโอบกอดอริญชย์เอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ตัวของอริญชย์สั่นสะท้าน น้ำเสียงที่เคยแข็งกระด้างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

เรื่องเดียว...ที่ตอกย้ำว่าเขาเป็นพี่ชายที่ไม่เอาไหน

และเป็นความผิดพลาดเรื่องสุดท้าย ที่เขาจะยอมให้เกิดขึ้นกับคนที่เขารัก

“คุณใหญ่ พอเถอะ ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวด ไม่ต้องเล่าแล้ว”

“กลาง...โดนทำร้าย!”

“ใคร...ใครเป็นคนทำเขา”

โดยที่ไม่รู้ตัว เสียงของพิชญ์เองก็สั่นพร่าไปด้วยความปวดใจ แล้วคนที่เป็นพี่ชายอย่างอริญชย์จะเจ็บปวดมากแค่ไหน เมื่อรู้ว่าน้องชายโดนทำร้าย

“คู่อริของไอ้เล้ง...”

“คุณเล็กรู้เรื่องหรือเปล่า”

“ไม่ ยัยเล็กไม่รู้เรื่องเลย ฉันไม่ได้บอก”

พิชญ์โอบอริญชย์แน่นกว่าเดิม เพราะไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ เรื่องราวที่เขาอยากรู้มานาน พอรู้เข้าจริง ๆ พิชญ์กลับนึกอยากให้อริญชย์เก็บมันไว้เป็นความลับตลอดไป

ถ้าไม่รู้ คงไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้

และถ้าเขาไม่อยากรู้ อริญชย์คงไม่ต้องเจ็บปวดอย่างที่เป็นอยู่

“ถึงไอ้เล้งจะจัดการคู่อริมันได้ แต่ทุกอย่างก็เหมือนกับฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนกลางอยู่ตลอด ฉันไม่มีทางให้อภัยมันเด็ดขาด ทั้งที่ฉันไว้ใจมัน แต่มัน...มันกลับทรยศต่อความไว้ใจของฉัน”

พิชญ์ก้มลงมองภาพถ่ายที่ยังเปิดอยู่ ป่านนี้...รอยยิ้มเหล่านั้นคงเลือนหายไปจากใบหน้าที่งดงามแล้ว เหลือเพียงบาดแผลและฝันร้ายที่ยังตามหลอกหลอน

เรื่องของคนที่รักที่สุด...ทำให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดกลายเป็นคนอ่อนแอที่สุด...

ความรัก...บันดาลทั้งความสุขและความทุกข์



TO BE CONTINUE



เริ่มเฉลยปมออกมาทีละนิดแล้วค่ะ
คุณใหญ่ก็มีความน่าสงสารเหมือนกัน ถึงจะน่าหยิกมากกว่า

ตอนหน้า เดี๋ยวมาแปะวันอาทิตย์ดึก ๆ ค่า
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มาก ๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-05-2020 20:48:31
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 15-05-2020 21:10:32
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-05-2020 22:10:10
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 15-05-2020 23:39:35
ถ้าเหตุร้ายที่เกิดจากคู่อริเฮียเล้ง
อย่างงี้จะโทษเฮียเล้งเลยซะทีเดียวก็ไม่ได้หรือเปล่านะ

... ห่วงพีทขึ้นมาเลยว่าเฮียเล้งจะทำร้ายพีทแบบไหนเพื่อให้คุณใหญ่เจ็บ

รอตอนต่อไปดีกว่า :ling3:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 16-05-2020 01:20:57
พีคในพีค หักมุมอีกแล้ววววววว :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: casson ที่ 16-05-2020 09:55:07
ราชันย์ไม่ได้มาเล่นๆใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-05-2020 16:00:55
อ๋อออ แบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดเสี่ยเล้งซะทีเดียวแต่ก็เกี่ยวข้องจนอดที่จะโทษให้ไม่ได้สินะ ความผิดคนละครึ่งทั้งสองคนละที่ไม่ดูแลให้อย่างเต็มที่ คุณใหญ่โทษเขา กลไลป้องกันความผิดตัวเองด้วยป่าว คือตัวเองก็ปล่อยน้องไง ความเสียใจลึกๆข้างในคงเป็นความเสียใจผิดต่อตัวเองที่ไม่ดูแลหรือห้ามปรามน้องให้มากกว่านี้ แต่ว่าก็ขอสักหน่อยเถอะว่ะ ทำธุรกิจเขาล่มไปแล้วรอบนึง แน่นอนจริง 55555 คราวนี้อะราชันย์จะมาสู้ประจันหน้าหรือจะหมาลอบกัด ตามต่อไป พีทคือจุดอ่อนของคุณใหญ่ที่แท้ทรู เขาดูออกอ่ะ 55555 จะเป็นยังไงต่อละเนี้ย รรรรตอนหน้าเลยค่า ขอบคุณนะคะที่แต่งสนุกๆให้อ่าน  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 12 --- หน้าที่ 3 [15/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 16-05-2020 17:00:50
แล้วจะมีโอกาสกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกได้ไหมนะ :hao4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 17-05-2020 18:47:43
สิบสาม
บาดแผลที่มองไม่เห็น



‘เฮีย...ช่วยด้วย ช่วยกลางด้วย...’

‘อย่า! อย่าทำผม! ผมกลัวแล้ว ปล่อยผมเถอะ...’

เจ้าของเสียงร้องพยายามดิ้นรน มือไขว่คว้าหาความช่วยเหลือจาก ‘เฮีย’ หยาดน้ำตาเอ่อคลอรอบดวงตา ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลงราวกับปิดสวิตช์




ร่างสูงสะดุ้งตื่นกลางดึกจากฝันร้าย หยาดเหงื่อผุดพราวทั่วดวงหน้าขาวจัดจนซึมเปียกตามแนวไรผม อุณหภูมิเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศแทบจะหมดความหมาย เมื่อมันไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเขาได้

ราชันย์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้า ๆ เขาค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจจนกลายเป็นปกติ ดวงตาดำจัดฉายแววเจ็บปวดออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป เหลือไว้แค่เพียงความสงบนิ่ง

ริมฝีปากหยักเหยียดออกราวกับจะเย้ยหยันตัวเองด้วยความสมเพช สมเพชที่เขายังคงฝันร้ายอยู่เสมอ ไม่ใช่มีแค่อริญชย์ที่รู้สึกเจ็บปวด แม้แต่เขาเองก็มีบาดแผลที่มองไม่เห็นเช่นกัน การกลับมาเผชิญหน้ากับอริญชย์อีกครั้ง มันไม่ต่างอะไรกับการเอาไม้มาเขี่ยปากแผลให้เปิดขึ้นอีกรอบ

บาดแผลที่ยังไม่ทันจะสมานตัวดี ดูเหมือนจะเริ่มปริแตกขึ้นมาอีกครั้ง...

ราชันย์สะบัดผ้าห่มออกจากตัว ก้าวขาลงจากเตียงด้วยความเงียบเชียบ เขาหยิบบุหรี่กับไฟแช็คที่วางอยู่ตรงหัวเตียงติดมือมาด้วย กำลังจะเดินผ่านเตียงก็เหลือบตามองคนร่วมเตียงที่ยังคงนอนหลับสนิทแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปตรงระเบียงห้อง

เปลวไฟสว่างวาบที่ปลายมวนบุหรี่ ราชันย์คีบบุหรี่อยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง เขาอัดควันเข้าปอดหนัก ๆ ก่อนจะพ่นควันบางเบาออกมาจนลอยอบอวลอยู่ตรงหน้า พอเครียดที เขาก็ต้องหันมาพึ่งพวกสารนิโคตินที แต่วันนี้กลับดูเหมือนว่า...

อุณหภูมิเย็นเฉียบหรือบุหรี่รสเมนทอลเย็นฉ่ำก็ยังดับความร้อนในใจเขาไม่ได้เลย...

ชายหนุ่มบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มขื่น ๆ สำหรับคนที่รักและเอ็นดูอธิษฐ์เหมือนน้องชายคนหนึ่งอย่างเขาแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างอะไรจากฝันร้ายที่ยังคอยตามหลอกหลอนเขา

ฝันร้าย...ที่กลายเป็นจริง

เสียงร่ำไห้ของอธิษฐ์ยังคงดังบาดหู เสียงพร่ำร้องเรียกหาแต่ชื่อเขา ฝ่ามือที่ปัดป้องดิ้นรนหลีกหนีจากพวกมัน ทุกเหตุการณ์ยังคงแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

‘เฮีย...’

ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ต่อให้เขาจะพยายามวิ่งหนีมากเท่าไหร่ ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้เลย

มิตรภาพระหว่างเขาและอริญชย์ที่ขาดสะบั้นลง ยังไม่อาจเทียบได้กับความไร้เดียงสาที่ถูกทำลาย เขาไม่ได้นึกเสียดายมิตรภาพอันยาวนานระหว่างเขากับอริญชย์มากเท่ากับที่เสียดายความอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาของอธิษฐ์ ฝันร้ายในวันนั้น เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปจนไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ดวงตาดำจัดเหม่อมองออกไปไกล ก้นบุหรี่ที่มอดไหม้ถูกขยี้กับที่เขี่ยบุหรี่อันเล็กจนดับ ราชันย์เผลอกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เขารู้ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีทางเดินของมัน เพียงแต่ต้องใช้เวลา แต่เขารอมามากเกินพอแล้ว รอจนเกือบจะแก้ไขอะไรไม่ได้

ชายหนุ่มเกือบจะอัดกำปั้นเข้ากับกำแพงปูนด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ช้ากว่าอีกคน...

“เฮียอย่า!”

ปฐพีที่เพิ่งเดินงัวเงียออกมาจากห้องรีบผวาเข้ากอดราชันย์จากข้างหลังแน่น คนตัวเล็กกว่าพยายามดึงคนตัวสูงออกห่างจากกำแพง คนถูกห้ามพยายามขืนตัวในทีแรก แต่สุดท้ายก็ยอมหยุด

จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อต่อให้เขาชกจนกำแพงร้าวก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้

“เฮีย อย่าทำร้ายตัวเองเลย” ปฐพีร้องห้ามเสียงสั่น “ถ้าอึดอัดนักก็มาลงที่ผม...มาลงที่ผมนี่”

ราชันย์ผ่อนลมหายใจลงช้า ๆ จนกลายเป็นปกติ ก่อนจะหันกลับมาหาปฐพี เขายืนมองคนตัวเล็กกว่านิ่ง ๆ ดวงตาดำจัดดูว่างเปล่าราวกับท้องทะเลลึกยามปราศจากคลื่นลม

ลึกลับ น่ากลัว และเหว่ว้า แต่สำหรับปฐพีแล้ว แค่นี้มันยังเล็กน้อยเหลือเกิน ต่อให้มากกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้

ขอแค่เป็นราชันย์ แค่ราชันย์เท่านั้น

ปฐพีกางแขนโอบกอดร่างสูงใหญ่แน่น หวังจะเป็นความเย็นฉ่ำที่คอยบรรเทาความรุ่มร้อนให้จางหายไป

เขากอด...ถ่ายทอดทุกความรู้สึกของตัวเองลงไป เมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าควบคุมอารมณ์ได้แล้วถึงผละออกมา ดวงตาเรียวช้อนขึ้นสบตากับราชันย์นิ่ง ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาเสียงเบา...แต่หนักแน่น

“เฮียยังมีผม ผมอยู่ตรงนี้ มองผมสิ...มองผม...”

ปฐพีเขย่งเท้าขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองลงกับริมฝีปากเย็นชืดของราชันย์ มือสองข้างเกาะยึดอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากราชันย์เบา ๆ อย่างเรียกร้องและเว้าวอน คนถูกกระทำยืนนิ่งอย่างข่มอารมณ์ รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ถ้าเขาเผลอไผลตามการล่อลวงของปฐพีเมื่อไหร่ สุดท้ายก็คงจบลงที่เตียง

ดูเหมือนปฐพีจะพยายามท้าทายขีดความอดทนของราชันย์ เมื่อเจ้าตัวพยายามสอดลิ้นเข้าไปอย่างเงอะงะ จนท้ายที่สุดแล้ว ราชันย์เองก็ไม่สามารถอดทนได้ตลอดรอดฝั่ง เขาตวัดร่างปฐพีเข้าหาตัว ก่อนจะเป็นฝ่ายบดเบียดริมฝีปากแนบลงไปด้วยความดุดันและเร่าร้อน กลืนกินลมหายใจอีกฝ่าย แล้วคืนลมหายใจของตัวเองกลับไปให้

สองร่างแนบชิดกันไปทุกสัดส่วน รับรู้ถึงความปรารถนาที่กำลังเต้นเร่า ปฐพียกมือขึ้นคล้องคอราชันย์เพื่อพยุงไม่ให้ตัวเองล้มลงไป ก่อนจะค่อย ๆ เบือนหน้าหนีออกมาเพื่อกอบโกยลมหายใจเข้าปอด

“ทำแบบนี้ รู้ใช่ไหมว่าจะเป็นยังไงต่อ”

ปฐพีขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มบาง ที่สำหรับคนมองแล้ว ดูยังไงก็เป็นรอยยิ้มยั่วเย้าเสียมากกว่า

“ผมรู้...” ปฐพีกระซิบชิดริมฝีปากคนถาม ฝ่ามือลูบไล้ไปตามมัดกล้ามเบา ๆ ทุกอย่างที่ทำลงไป ทำไมเขาจะไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามมา

จากเด็กผู้ชายไร้เดียงสาในวันวาน กาลเวลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงปฐพี แต่เป็นราชันย์...เป็นเขาเองที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงปฐพี เพราะเขา...ทั้งหลงใหลและรังเกียจในความไร้เดียงสาของปฐพี

ไม่ใช่ความไร้เดียงสานี้หรือ ที่ทำให้ราชันย์ตัดสินใจเดินเข้าไปหาปฐพีในวันนั้น

ยิ่งเห็นความไร้เดียงสาของอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขานึกถึง ‘อีกคน’ จนอยากจะทำลายความไร้เดียงสาเหล่านี้ให้ย่อยยับและสอนให้ปฐพีรู้ว่า...โลกไม่ได้สวยงามเสมอไป

ราชันย์รู้ รู้ว่าเหตุผลที่เขาเอาปฐพีมาอยู่ข้างตัวคือความเห็นแก่ตัวของเขาล้วน ๆ เพราะหัวใจที่รู้สึกผิด หัวใจที่ต้องการที่ยึดเหนี่ยว จนกระทั่งดึงคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างปฐพีเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องบ้า ๆ นี่ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่า...

หัวใจด้านชาดวงนี้คงไม่อาจรักใครได้อีก...

และใช่ว่าปฐพีจะไม่รู้ ปฐพีเองก็รู้ทุกอย่างดีแก่ใจ เขารู้ว่าทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่นี้ มันมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เพราะเป็นราชันย์ เขาถึงได้ยอม

ถึงจะต้องเจ็บ ถึงจะต้องปวด ถึงจะต้องเสียใจ แต่ก็ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรจริง ๆ

ถ้ากอดเขาเอาไว้ แล้วทำให้บรรเทาพิษบาดแผลที่มองไม่เห็นได้ จะกอดเขาด้วยความรุนแรงแค่ไหนก็ไม่เป็นไร

ปฐพีบดเบียดร่างกายตัวเองเข้าหาราชันย์ ทุกสัดส่วนแนบชิดสนิทจนแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน รับรู้ได้ถึงความปรารถนาที่ดุนดันผ่านกางเกงนอนเนื้อบาง ดวงหน้าพลันซับสีระเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะขลาดเขินกับการเสนอตัวของตัวเอง แต่เขาก็รู้แค่วิธีนี้ที่จะฉุดราชันย์ขึ้นมาจากฝันร้าย แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปจะต้องแลกด้วยร่างกาย โดยที่ไม่เคยได้หัวใจของราชันย์คืนกลับมาก็ตาม แต่...

ไม่เป็นไรจริง ๆ แค่มีที่ให้เขายืนข้าง ๆ ก็เพียงพอแล้ว

ไม่ต้องรัก ไม่ต้องทะนุถนอม แค่หันมามองกันบ้าง

ถึงเขาจะมีค่าแค่เพียงของเล่นแก้เหงา ให้ความสุขราชันย์ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่อย่างน้อย ถ้ามันทำให้ราชันย์มีความสุขได้ เขาก็ยอม ถึงแม้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บปวดเจียนตายก็ตาม

เมื่อเลือกแล้วว่าจะมาอยู่กับราชันย์ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการกระโจนเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน รู้ว่าร้อน รู้ว่าอาจจะเผาร่างกายเขาจนมอดไหม้ แต่ปฐพีก็ยังเต็มใจที่กระโจนลงไป



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 17-05-2020 18:51:51


พิชญ์นอนขยับตัวยุกยิกอยู่ท่ามกลางความมืด เขาพยายามพลิกตัวด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่คนข้างตัวซึ่งหลับสนิทก่อนหน้าเขาเป็นชั่วโมงจะตื่นขึ้นมาจัดการกับเขา พิชญ์พยายามข่มตาหลับเป็นรอบที่ร้อย นับแกะจนแทบจะหมดฟาร์ม แต่ทุกอย่างดูจะไร้ประโยชน์ไปเสียหมด

พิชญ์อดทนนอนนิ่ง ๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนรู้ว่าคงไม่อาจข่มตานอนหลับได้ง่าย ๆ ถึงได้ยอมแพ้แล้วลุกขึ้นนั่ง

ปกติเวลานอนด้วยกัน แค่พิชญ์ขยับตัวนิดเดียว อริญชย์ก็จะรู้สึกตัวตื่นทันที แต่ดูเหมือนวันนี้อริญชย์จะเครียดจนหลับลึก ขนาดว่าพิชญ์ลุกขึ้นมานั่งจด ๆ จ้อง ๆ อริญชย์อยู่พักใหญ่แล้ว อีกฝ่ายก็ยังหลับสนิท จนพิชญ์เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอนของอริญชย์

ตอนแรกพิชญ์ตั้งใจว่าจะกลับมานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ห้องตัวเอง แม้จะรู้ดีว่าพอตื่นเช้ามาอีกคนคงอาละวาดแน่ ๆ ถ้าไม่เห็นเขานอนอยู่ที่เดิม แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขานั่งยุกยิกอยู่ในห้องจนอริญชย์ตื่นขึ้นมากลางดึก คิดไปคิดมาจนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง สุดท้ายพิชญ์ก็เปลี่ยนใจ หันหลังกลับแล้วเดินลงมาข้างล่างแทน

แสงจากโคมไฟดวงเล็กส่องออกมาจากห้องรับแขกเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคงจะเป็นเสียงกุก ๆ กัก ๆ ที่ดังมาจากห้องครัวกลางดึก ทำเอาคนขวัญดีอย่างพิชญ์ถึงกับชะงักนิด ๆ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือ เดินดุ่มไปที่ห้องครัว ตั้งใจจะย่องไปแอบดูว่าใครกันที่บังอาจมาบุกรุกห้องครัวยามวิกาล แค่พิชญ์เดินไปหยุดอยู่หน้าห้องครัว ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ อีกฝ่ายก็ชิงเปิดไฟขึ้นมาก่อน

พอเห็นหน้าแขกที่มาเยือนห้องครัวยามวิกาลเต็มตา พิชญ์ก็ได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเก้อ ๆ

“อ้าว คุณตุลย์นี่เอง”

ตุลย์ที่กำลังสาละวนอยู่กับการวางแฮมลงบนขนมปังตัดขอบ เงยหน้ามองพิชญ์ก่อนจะเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ

“คุณพีทนึกว่าใครหรือครับ”

“ผมนึกว่าโจรหรือขโมยเสียอีก” พิชญ์แกล้งเอ่ยทีเล่นทีจริง

กับตุลย์แล้ว อีกฝ่ายมักจะหยอกเขากับอริญชย์อยู่บ่อย ๆ พอนานเข้า พิชญ์ก็เลยพลอยชอบแหย่หรือคุยเล่นกับตุลย์ตามไปด้วย

“คงมีแต่โจรชะตาขาดเท่านั้นแหล่ะครับ ที่คิดจะบุกเข้ามาที่นี่”

“ฮะ ๆ ผมเองก็ลืมไป”

“แล้วนี่คุณพีทลงมาหาของกินเหรอครับ ให้ผมทำแซนด์วิชเผื่อไหม”

ตุลย์ที่จัดการกับแซนด์วิชมื้อดึกของตัวเองเรียบร้อยแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยถามพิชญ์บ้าง คนถูกถามได้แต่ยิ้มเก้อ ๆ ก่อนเบี่ยงตัวหลบให้ตุลย์เดินออกมาจากห้องครัว

“ไม่เป็นไรครับ จัดการตามสบายเถอะ พอดีผมนอนไม่หลับเลยว่าจะลงมาเดินเล่น แล้วคุณตุลย์ล่ะ”

“ผมหิวขึ้นมากลางดึกน่ะครับ” ตุลย์ตอบกลั้วหัวเราะพลางส่งแซนด์วิชแฮมที่ทำแบบง่าย ๆ เข้าปากตัวเอง แล้วเคี้ยวกร้วม ๆ หน้าตาเฉย

จัดการจนแซนด์วิชในมือราบคาบแล้ว ตุลย์ก็อดถามถึงผู้เป็นนายขึ้นมาไม่ได้

“คุณใหญ่ไม่ได้ตามลงมาด้วยหรือครับ”

“หลับเป็นตายเลยครับ”

ตุลย์แทบจะหัวเราะออกมากับถ้อยคำที่พิชญ์เอ่ยถึงอริญชย์ เขาดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่รู้ว่าอริญชย์นอนหลับลึกผิดปกติวิสัย อย่างน้อยก็ยังดีที่นอนหลับ

ตุลย์รินน้ำดื่มลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม จัดการเก็บของต่าง ๆ จนเรียบร้อย หันมาอีกทีก็ยังเห็นพิชญ์นั่งอยู่ เลยเตรียมจะเอ่ยขอตัว เผื่อว่าอีกฝ่ายอยากจะอยู่ตามลำพัง แต่พิชญ์ที่นั่งครุ่นคิดอยู่นานก็ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“คุณตุลย์ครับ ขอเวลาหน่อยได้ไหม พอดีผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”

ตุลย์เลิกคิ้วน้อย ๆ พอจะเดาออกว่าพิชญ์ต้องการคุยกับเขาเรื่องอะไร เลยเดินนำอีกฝ่ายไปที่โซฟารับแขก ตุลย์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยว ส่วนพิชญ์นั่งลงตรงข้ามเขา

ตุลย์ลอบมอง ‘คนของนาย’ อย่างพินิจพิจารณา เท่าที่รู้จักกับพิชญ์มาเกือบจะเท่ากับอายุของน้องหนู ตุลย์ต้องยอมรับเลยว่า พิชญ์เองก็เป็นคนที่ ‘มีดี’ คนหนึ่ง

“คุณใหญ่เล่าให้คุณพีทฟังแล้วใช่ไหมครับ” ตุลย์ถามออกมาตรง ๆ ไม่คิดจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา ก่อนจะนิ่งรอดูท่าทีของพิชญ์

พิชญ์พยักหน้ารับ เขาพอจะรู้ว่าตุลย์เองก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ้างเหมือนกัน เขาขยับจะเอ่ยปากถามถึงเรื่องที่ติดใจสงสัย แต่แล้วกลับเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าสิ่งกำลังจะถามออกไปจะกลายเป็นการละลาบละล้วงหรือเปล่า ตุลย์ที่นั่งมองนิ่ง ๆ เหมือนจะรู้เท่าทันความคิดของพิชญ์ ถึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเสียเอง

“ถ้าคุณพีทอยากรู้อะไรก็ถามมาเถอะ ผมจะเล่าเท่าที่เล่าได้แล้วกัน”

พิชญ์กำมือที่วางอยู่บนตักตัวเองแน่น เขาเคยอยากรู้เรื่องราวทุกอย่างมาตลอด แต่พอถึงเวลาที่จะได้รู้ขึ้นมาจริง ๆ เขากลับลังเลขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหาอย่างครุ่นคิด คล้ายกับไม่แน่ใจว่าตัวเองควรเรียบเรียงคำพูดอย่างไร ก่อนจะเอ่ยออกไปช้า ๆ

“คุณกลาง...ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างครับ”

คำถามของพิชญ์ไม่ได้ผิดไปจากที่ตุลย์คาดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ถึงเรื่องราวต่าง ๆ จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่พอได้ยินชื่อของอธิษฐ์หลุดออกมาจากริมฝีปากของพิชญ์ แม้แต่ตุลย์เองก็ยังเผลอหลุดรอยยิ้มเศร้า ๆ ออกมา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาก็ทำได้แค่แกล้งลืมไปวัน ๆ ทำเสมือนว่าเรื่องราวร้าย ๆ เหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ยิ่งอยากลืมมากแค่ไหน หัวใจกลับยิ่งจดจำ

ยิ่งวิ่งหนีเท่าไหร่ ความทรงจำกลับวิ่งไล่ตามเรามาติด ๆ มากเท่านั้น

ตุลย์ผ่อนลมหายใจยาว ในเมื่อไม่อาจกลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านพ้นไปได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

“ตอนนี้คุณกลางอยู่กับคุณแม่ที่อเมริกาครับ”

พิชญ์ถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างโล่งอก แม้จะไม่เคยพบหน้าค่าตากับอธิษฐ์มาก่อน แต่เรื่องราวที่รับรู้มาก็ทำให้เขานึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่น้อย พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ดีก็เลยอดโล่งใจไม่ได้

“ตอนที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ สภาพของคุณกลางแย่มาก คุณหมอแนะนำว่าต้องพาออกไปจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เพื่อให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขิ้น คุณใหญ่เลยตัดสินใจส่งคุณกลางไปอยู่กับคุณแม่ที่อเมริกา”

แม้ตุลย์จะเอ่ยออกมาแค่คำว่า ‘แย่’ คำเดียว แต่จากสีหน้าและท่าทางของคนพูด พิชญ์ก็พอจะนึกออกเลา ๆ ว่าสภาพของอธิษฐ์คงย่ำแย่มากจริง ๆ

“คุณเล็กเองไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณกลาง คิดว่าคุณแม่คุณกลางมารับกลับไปอยู่ด้วยเฉย ๆ อาการล่าสุดตอนนี้ก็ดีขึ้นพอสมควรแล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจอีก ก็คงไม่เป็นไร” ตุลย์เอ่ยออกมาเสียงเรื่อย ๆ เหมือนกำลังเล่าเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่คนช่างสังเกตอย่างพิชญ์ก็ยังจับได้ถึงกระแสความเจ็บปวดที่แฝงมาในน้ำเสียงของตุลย์

พิชญ์ไม่อยากนึกเลยว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องและรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ต้องอยู่ด้วยความเจ็บปวดมานานแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ถูกทำร้ายอย่างอธิษฐ์เอง หัวใจดวงนั้นคงจะเปราะบางและเต็มไปด้วยบาดแผล

“ผมถามได้ไหม ว่าทำไมไม่มีใครเอ่ยถึงคุณกลางเลย จนผมหลงเข้าใจผิดคิดว่าคุณใหญ่มีน้องแค่คนเดียวคือคุณเล็ก”

“ไม่ใช่ไม่อยากพูดหรอกครับ แต่พอพูดถึงคุณกลางขึ้นมาทีไร คุณใหญ่ก็จะนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมา พวกผมเลยพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงคุณกลาง ถึงจะไม่ค่อยได้เอ่ยถึงคุณกลาง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะลืมอยู่ดี พวกเราก็ทำได้เพียงแค่...แกล้งลืม”

พิชญ์ถึงกับนิ่งงัน เขาพอเข้าใจถึงเหตุผลที่ตุลย์อธิบาย ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวร้าย ๆ ในอดีตขึ้นมา แต่มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีเลย และอีกเรื่องที่พิชญ์ยังคงติดใจสงสัยอยู่คือ...

“คุณบอกว่าคุณเล็กไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เธอก็น่าจะพูดถึงคุณกลางบ้าง แต่นี่กลับไม่มีเลย มันหมายความว่ายังไงครับ”

ตุลย์บิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแปลก ๆ เมื่อได้ยินคำถามของพิชญ์ คล้ายกับจะยิ้ม แต่ก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่นัก

“คุณเล็กไม่ค่อยชอบคุณกลางน่ะครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

พิชญ์สงสัยขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ในเมื่ออริญชย์เองก็ดูรักและห่วงอธิษฐ์มากขนาดนั้น แล้วมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ไอลดาไม่ชอบอธิษฐ์

“คุณพีทคงรู้ใช่ไหมครับ ว่าคุณกลางเป็นพี่น้องคนละแม่กับคุณใหญ่และคุณเล็ก” พอพิชญ์พยักหน้ารับ ตุลย์ก็เอ่ยต่อ “คุณเล็กเคยเป็นที่หนึ่งของคุณใหญ่และคุณท่านมาตลอด พอมีคุณกลางเข้ามา เลยรู้สึกเหมือนถูกแย่งความรักไป และที่สำคัญ...คุณเล็กฝังใจมาตลอดว่าคุณท่านนอกใจคุณผู้หญิง ทั้งที่มีคุณแม่คุณเล็กเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นจนมีคุณกลางขึ้นมาอีก คุณเล็กเลยไม่ค่อยถูกกับคุณกลางไงครับ”

“น่าสงสารคุณเล็กเหมือนกันนะครับ”

ไอลดาที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อและพี่ชาย เคยคิดว่าครอบครัวของตัวเองอบอุ่นและน่าอิจฉามาตลอด เมื่อได้รู้ความจริงจึงไม่แปลกที่จะตั้งแง่กับพี่ชายต่างแม่และมึนตึงใส่ผู้เป็นพ่อ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของอธิษฐ์เลย และขณะเดียวกันจะโทษไอลดาก็ไม่ได้

“จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่นั่นแหล่ะครับ ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้ามีโอกาสเจอกันอีกครั้ง คุณเล็กจะยอมเปิดใจให้คุณกลางเสียที เพราะคุณกลางเองก็ผ่านอะไรร้าย ๆ มาตั้งมากมายแล้ว”

พิชญ์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้า ๆ ขนาดไม่ใช่เรื่องของตัวเขาเองโดยตรง เขายังรู้สึกหนักอึ้งขนาดนี้ แล้วคนที่ต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้อย่างอริญชย์ล่ะ จะเจ็บปวดมากขนาดไหนกัน

“มีแต่เรื่องทั้งนั้นเลยนะครับ” พิชญ์พึมพำออกมาเสียงแหบพร่า ยอมรับเลยว่าเขาไม่ได้ใจแข็งขนาดจะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาได้

เรื่องราวเก่า ๆ ยังไม่ทันคลี่คลาย เรื่องใหม่ที่เพิ่งรับรู้มาก็ทำเอาพิชญ์ถึงกับคว้าง ไม่รู้จะก้าวเดินต่อไปทางไหนดี

ผู้ชายที่แสดงออกว่าตัวเองแข็งแกร่งอยู่ตลอดเวลา แท้จริงแล้วเก็บงำอะไรเอาไว้ในใจบ้าง

ตุลย์เห็นสีหน้าท่าทางของพิชญ์ก็อดคิดเข้าข้างผู้เป็นนายไม่ได้ ว่าพิชญ์คงนึกห่วงอริญชย์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ตอนนี้อาจจะยังไม่รักเจ้านายเขาก็ไม่เป็นไร แค่ไม่เกลียดกันก็พอ

“คุณใหญ่เล่าอะไรให้คุณพีทฟังบ้างครับ”

“เล่าแค่ว่าคุณกลางโดนทำร้ายน่ะครับ ผมเองก็ไม่อยากเซ้าซี้ถามคุณใหญ่ด้วย”

“ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเหมือนกัน เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าอยากรู้รายละเอียดจริง ๆ คงต้องไปถามเอากับเสี่ยเล้ง แต่รายนั้นก็ไม่ค่อยยอมเล่าอะไรออกมา ไม่รู้จะอมพะนำอะไรนักหนา” ท้ายประโยค น้ำเสียงตุลย์แลดูติดจะหน่าย ๆ บุคคลที่สามอยู่ไม่น้อย

พิชญ์ฟังที่ตุลย์พูดพลางคิดตาม เขาค่อย ๆ ประมวลเรื่องราวทั้งหมดที่รับรู้มาและสังเกตเห็นเอง แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงแล้วราชันย์ผิดจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ความเข้าใจผิดของอริญชย์ ถึงแม้ภายนอกอริญชย์จะดูเป็นคนมีเหตุมีผลอยู่บ้าง แต่พิชญ์ก็พอเดาได้เลยว่า ถ้าเป็นเรื่องของคนที่รักเมื่อไหร่ อริญชย์คงโยนสิ่งที่เรียกว่าเหตุและผลทิ้งไปอย่างไม่ลังเล

“เท่าที่ผมพอรู้มา รู้สึกเหมือนเสี่ยเล้งเขาจะฝากเพื่อนเขาดูแลคุณกลางอีกที แต่มันคงมีอะไรที่มากกว่านั้นแน่ ๆ ติดที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

พิชญ์เท้าคางอย่างครุ่นคิด เห็นความบาดหมางระหว่างอริญชย์กับราชันย์แล้ว คนนอกอย่างเขาก็อยากจะให้เคลียร์กันให้มันจบ ๆ ไปเสียที จะได้ไม่ต้องมาห้ำหั่นหรือลอบกัดกันอีก ถึงกลับมาเป็นมิตรต่อกันไม่ได้ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นศัตรูต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำจะกลายเป็นการหาเหาใส่หัวหรือเปล่า ในเมื่อเรื่องของเขากับอริญชย์เองก็ยังคาราคาซังจนแทบจะเอาตัวไม่รอด จะออกหัวหรือออกก้อยขึ้นมาวันไหนก็ยังไม่รู้

“คุณดูไม่ค่อยโมโหเสี่ยเล้งเรื่องคุณกลางเท่าไหร่เลยนะ”

ตุลย์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ยิ้มให้กับไหวพริบและความช่างสังเกตของพิชญ์

คนแบบนี้ เหมาะสมแล้วที่จะเป็นคู่คิดให้กับอริญชย์ ไม่โอนอ่อนจนดูเหยาะแหยะ แต่ก็ไม่แข็งกระด้างจนน่ารำคาญ ทุกอย่างที่เป็นพิชญ์มันเป็นความพอดีที่ลงตัว ติดอยู่แค่เพียงอย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้น

พิชญ์ไม่ใช่คนตัวเปล่า เขาเป็นผู้ชายที่มีลูกและภรรยาแล้ว แถมภรรยาของพิชญ์ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของอริญชย์เอง

“คุณตุลย์...” พิชญ์เรียกซ้ำ เมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไป

“โทษทีครับ เรื่องคุณกลาง ผมเองก็เคยโมโหไม่ต่างจากคุณใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก ที่ทำได้ก็เพียงแค่เยียวยาและคอยประคับประคองคุณกลางเท่านั้น แต่คุณใหญ่เขาไม่คิดเหมือนผม”

“แต่เท่าที่ผมสังเกต คุณเองก็ไม่ชอบเสี่ยเล้งอยู่ดี”

“มันยังมีเรื่องอื่นมากกว่านั้นครับ”

“เรื่องอะไรครับ”

ตุลย์นิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเล่าออกไปดีหรือไม่ ถึงแม้เขาจะยอมรับว่าพิชญ์เองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวและมีฐานะเป็นเจ้านายของเขา แต่สำหรับเรื่องสีเทา ๆ บางเรื่อง อริญชย์ก็ยังกันให้พิชญ์อยู่ข้างนอก รับรู้เรื่องราวต่างๆ เท่ากับไอลดา ไม่ได้ปล่อยให้รู้อะไรมากเกินไป ไม่ใช่เพราะอริญชย์ไม่ไว้ใจ แต่เพราะว่า...

โลกที่เราเห็นว่าสวยงาม บางทีมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป

“คุณตุลย์...”

ตุลย์ถอนหายใจออกมาช้า ๆ ก่อนจะตัดสินใจเล่าออกมา อย่างน้อย ๆ เขาก็รู้ดีว่าพิชญ์ไม่ใช่ภาระของอริญชย์ เผลอ ๆ อาจจะเป็นตัวช่วยที่ดีด้วยซ้ำไป

“นอกจากเรื่องคุณกลางแล้ว ทางฝั่งเสี่ยเล้งเองก็ลอบเล่นงานเราอยู่หลายหนเหมือนกัน อย่างคราวที่โกดังของเราถูกเผาไงครับ”

พิชญ์เบิกตากว้าง นอกจากเรื่องโกดังถูกเผาแล้ว ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่เขายังไม่รู้อีกมากแค่ไหนกัน คราวที่โกดังถูกเผาก็ถือเป็นความเสียหายที่ร้ายแรงของบริษัทมากแล้ว แปลว่ายังมีเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้อีก พิชญ์คิดไม่ถึงเลยว่า ภายใต้ใบหน้านิ่ง ๆ ราวกับไม่แยแสโลกแบบนั้น อริญชย์จะเก็บงำอะไรไว้มากมายถึงขนาดนี้

จู่ ๆ อารมณ์น้อยใจก็ผุดขึ้นมาเองแบบไม่มีสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ควร ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่เวลา แต่พิชญ์ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เขานึกน้อยใจอริญชย์ขึ้นมาจริง ๆ ทั้งที่เขาเองก็อยู่กับอริญชย์มานาน ฝ่ายนั้นก็บอกคนอื่นปาว ๆ ว่าเขาเป็นมือขวา เป็นคนสนิท แต่เอาเข้าจริงแล้ว กลับทำเหมือนเขาเป็นคนอื่นคนไกล ไม่ยอมให้เขารับรู้เรื่องราวอะไรแม้แต่น้อย

“มีเรื่องอะไรอีกบ้างครับที่ผมยังไม่รู้”

ตุลย์กำลังจะตอบคำถามของพิชญ์ แต่แล้วก็บิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแปลก ๆ ที่พิชญ์ไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ผมว่าคุณพีทลองถามกับคุณใหญ่เองดีกว่าครับ ยังไงผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”

พิชญ์ขยับจะลุกตามตุลย์ไป แต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่ายที่กดบ่าพิชญ์ให้นั่งลงเหมือนเดิม

“ผมบอกให้หน่อยก็ได้ คุณใหญ่เคยโดนตัดสายเบรกรถตอนไปประชุมกับลูกค้า โชคดีว่าไหวตัวทันเสียก่อน ที่เหลือก็ถามกับคุณใหญ่เองนะครับคุณพีท”

ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของพิชญ์ยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิม ความคิดที่จะเจรจาให้อริญชย์กับราชันย์หันหน้ามาคุยกันดี ๆ แทบจะปลิวหายไปกับสายลม ถ้าถึงขนาดจะเอากันให้ตายไปข้างก็คงไม่มีทางที่จะยอมคุยกันดี ๆ แน่ แต่พิชญ์คงไม่รู้ สิ่งหนึ่งที่ตุลย์ไม่ได้บอกพิชญ์ออกไปคือ...

ไม่ใช่แค่ราชันย์ที่ร้าย อริญชย์เองก็ร้ายกับทางนั้นไม่ต่างกัน เผลอ ๆ อาจจะร้ายกว่าเสียด้วยซ้ำไป

คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ตามลำพังมัวแต่ครุ่นคิด จนไม่ทันสังเกตว่า สาเหตุที่ตุลย์ชิ่งหนีกลับไปนอนไม่ใช่เพราะง่วงหรืออะไรเลย แต่เป็นร่างสูงที่เดินมาประชิดด้านหลังพิชญ์ก่อนถือวิสาสะวางมือลงบนไหล่

“อ้าว คุณตุลย์ ไหนบอกว่าจะไปนอนแล้วไงครับ” พิชญ์เอ่ยทักโดยไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เรียกอาการขมวดคิ้วฉับจากคนฟังได้ทันที

“ฉันไม่ใช่ตุลย์”

พิชญ์หันขวับกลับมามองเจ้าของเสียง ก่อนจะเห็นเจ้าของบ้านที่เขาเดาว่าเพิ่งลุกขึ้นมาจากเตียง มองมาที่เขาด้วยสายตาดุ ๆ

“คุณใหญ่...”

อริญชย์มองเลยพิชญ์ไปยังนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงนิ่ง ๆ

“ตีสอง นั่งคุยกันเป็นชั่วโมง นายเองก็กลับไปนอนได้แล้วมั้ง”

“ผมยังไม่ง่วง”

“พีท!”

พออริญชย์เริ่มต้นเรียกชื่อเขาด้วยเสียงหนัก ๆ พิชญ์ก็รีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ทันที

“โอเค นอนก็นอนครับ แต่...” พิชญ์เดินตามมาดึงชายเสื้อนอนของอริญชย์เอาไว้ จนเจ้าของต้องหันกลับมาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “พรุ่งนี้คุณได้เล่นเกมยี่สิบคำถามกับผมทั้งวันแน่ ๆ”

อริญชย์ยิ้มมุมปาก ก่อนจะหัวเราะหึ ๆ ออกมาโดยไม่พูดอะไร

เขาไม่ใช่ผู้ชายเข้มแข็งอะไร แค่ไม่อยากให้ใครมาคอยเป็นห่วง แต่ถ้าคนที่ห่วงเขาคือพิชญ์ มันจะดีแค่ไหนกัน



TO BE CONTINUE





ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า

เสี่ยเล้งกับดินก็เป็นความสัมพันธ์หม่น ๆ พอ ๆ กับคุณใหญ่กับพีทเลยค่ะ
ต่างกันแค่ดินเต็มใจ พีทไม่เต็มใจ
แต่ตอนนี้พีทก็เริ่มห่วงคุณใหญ่ขึ้นมาทีละนิด
ต้องเอาใจช่วยคุณใหญ่ต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 17-05-2020 19:00:30
 :serius2: 
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 17-05-2020 20:30:01
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-05-2020 21:38:15
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 17-05-2020 21:45:03
รอตอนต่อไปค่าาาา   :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 18-05-2020 00:21:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 18-05-2020 04:12:26
ถ้าพีทเป็นฝ่ายเป็นห่วงคุณใหญ่บ้างก็ดีเหมือนกัน
คุณใหญ่จะได้มีแรงสู้ต่อไป :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 18-05-2020 11:53:50
จะดีแค่ไหน แค่ไหนถึงจะดี กับความห่วงใยนี้ ก็ลองบอกเขาทุกเรื่องดูซิ 5555 พอกันละทั้งสองคน ห่ำหั่นกันไปมา ปมอดีตเยอะจริง อาจมีสักวันนึงที่กลางจะกลับมา ดราม่าดินไปอี๊ก ก็นะ 55555 รักของดินคือการให้ ตอบแทน เสียสละ และลุ่มหลงอย่างจริง หวังว่าซักวันนึงความรู้สึกเหล่านี้จะช่วยเยียวยาเขาได้อย่างที่หวังไม่มากก็น้อย ให้เขามองเห็นตัวตนดินได้ในสักวันนึง ถ้ายอมเองแบบนี้ จะบอกให้แข็งข้อต่อเขา ยืนหยัดคือเป็นไปไม่ได้แล้ว รอให้เขาเห็นใจอย่างเดียว อย่าร้ายนักนะราชันย์ 555555 อ่ะจะเป็นยังไงต่อ รอตอนหน้าเลย สนุกกมากว้อยยย อยากอ่านต่อรัวๆ 555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ เออ!คุณใหญ่เกลียดกันมากก็อย่าลืมมองศัตรูอื่นรอบตัวบ้างละ เผื่อเขาสร้างสถานการณ์ให้ผิดใจกัน คิดร้ายไปป่าวว่ะ 55555 ใจจริงน้อยๆก็แอบอยากให้เขากลับมาเป็นเพื่อนกันนะ แต่ดูท่าอาจจะกู่ไม่กลับ 55   :pig4:  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 13 --- หน้าที่ 3 [17/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 20-05-2020 02:33:28
บรรยากาศนี้มันอะไรกัน
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 20-05-2020 22:43:02

สิบสี่
แขกที่ไม่ได้รับเชิญ



ร่างสูงของเจ้าของห้องยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจก อริญชย์กวาดตาดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะผละออกมา ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงที่มีคนกำลังนอนหลับสนิทอยู่ ริมฝีปากหยักคลี่ออกมาเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ยามทอดสายตามองคนที่กำลังยึดครองเตียงเขาอยู่

ฝ่ามืออุ่นจัดแตะลงบนบ่าเล็กอย่างถือสิทธิ์ก่อนจะเขย่าเบา ๆ คนถูกปลุกก่อนเวลาขยับตัวหนีอย่างเกียจคร้าน แต่ฝ่ามืออุ่นก็ยังตามมารุกรานด้วยการแตะแผ่นหลังเขาซ้ำ ๆ จนคนขี้เซาต้องครางงึมงำออกมาด้วยความรำคาญ

“ผมจะนอน อย่ากวนน่า”

อริญชย์หัวเราะหึออกมาอย่างนึกขัน ยามถูกปลุกตอนเช้า พิชญ์มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ขี้เซาจนน่าเอ็นดูและน่าตีไปพร้อม ๆ กัน เกือบจะเหมือนกับอธิษฐ์ แต่มีเสน่ห์มากกว่า

ถ้าเทียบกันแล้ว อริญชย์ต้องยอมรับตามตรงเลยว่า น้องชายของเขาดูอ่อนแอและเปราะบางกว่าพิชญ์หลายเท่า อธิษฐ์มีแต่ความสดใสและไร้เดียงสา ส่วนพิชญ์ ถึงจะยอมลงให้เขาบ่อย ๆ แต่คนฉลาดอย่างอริญชย์ก็รู้ดีว่า ภายใต้ท่าทางที่ดูเหมือนยอมจำนนให้กับเขา แท้จริงแล้วกลับซ่อนอาการแข็งขืนเอาไว้อย่างเงียบ ๆ ราวกับม้าพยศที่พอเขาเผลอเมื่อไหร่ก็เป็นต้องหาจังหวะสะบัดเขาตกจากหลังม้า แต่ก็ดีแล้ว เพราะ...

ถ้าพิชญ์เชื่องเกินไป คงไม่ท้าทายจนเขานึกอยากครอบครอง

ถ้าจะพยศก็ขอให้พยศกับเขาแค่คนเดียว และเขา...ก็จะขอเป็นคนปราบพยศพิชญ์ด้วยตัวเอง

“พีท...”

คนถูกเรียกยังคงนอนนิ่ง เปลือกตาสองข้างปิดสนิทราวกับเจ้าชายนิทราที่ต้องมนตราของแม่มด จนอริญชย์ต้องคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

ดูเอาเถอะ ขนาดเขายืนจ้องมาเกือบสิบนาทีแล้วก็ยังนอนหลับหน้าตาเฉย ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็นอนหลับอยู่บนเตียงของเขา ในห้องของเขาแท้ ๆ

“พีท...” อริญชย์เรียกคนขี้เซาเสียงอ่อนก่อนจะเขย่าแขนพิชญ์เบา ๆ

ถ้าพิชญ์จะมีสติสตังเสียหน่อย เจ้าตัวคงรู้ว่าเสียงของอริญชย์ทอดกระแสอ่อนโยนกว่าทุกที หรือความจริงอาจจะอ่อนโยนมานานแล้ว เพียงแต่อคติบดบังจนพิชญ์มักจะทำเป็นมองข้ามเสมอ

อันที่จริงแล้ว อริญชย์ก็อยากจะปล่อยให้พิชญ์นอนต่ออยู่เหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเขามีธุระเร่งด่วนเข้ามากะทันหัน จนต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกจากบ้านก่อนเวลา ก่อนจะออกจากบ้านเลยคิดว่าควรจะบอกพิชญ์เสียหน่อย พอจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วเลยต้องมายืนปลุกคนขี้เซาอย่างที่เห็น

ยืนปลุกมาร่วมสิบห้านาที อีกฝ่ายก็ยังเอาแต่นอนนิ่ง ๆ จนอริญชย์ต้องโคลงหัวเบา ๆ อย่างระอา

มันน่าตีนักเชียว!

เมื่อคืนก็เอาแต่นั่งคุยกับตุลย์อยู่นานสองนาน ไม่ยอมหลับยอมนอน ต้องโทษตัวเขาเองด้วยที่หลับลึกจนไม่รู้สึกตัว ถ้าไม่ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก อริญชย์คงไม่รู้ว่ามีคนแอบย่องหนีลงไปนั่งคุยกับตุลย์อยู่ข้างล่าง แถมพอลากกลับมานอนยังทำโยเยอยากจะถามนั่นถามนี่เขา แล้วดูตอนนี้สิ ไม่ยอมตื่นท่าเดียว!

“พีท...”

เรียกชื่อกันเป็นรอบที่สามของเช้าวันนี้ ถ้าคนถูกเรียกไม่ใช่พิชญ์ ภัทรกุล อริญชย์ก็ไม่กล้ารับประกันเลยว่าเขาจะมีความอดทนมากขนาดนี้หรือเปล่า แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นพิชญ์ แค่พิชญ์เท่านั้น แค่พิชญ์คนเดียว

“ผมฟังอยู่ พูดมาสิ...”

คนตอบปรือตาขึ้นมามองแวบหนึ่งก่อนจะหลับตาลงเหมือนเดิม จนอริญชย์นึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกฝ่ายตงิด ๆ ไม่ใช่เพราะความขี้เซาขนาดนี้ของพิชญ์หรือ ‘เรื่องวันนั้น’ ถึงได้เกิดขึ้นง่าย ๆ

อริญชย์ถอนหายใจออกมาช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ๆ

“วันนี้ฉันไม่ได้เข้าบริษัทนะ”

ดูเหมือนประโยคนี้จะได้ผลชะงัดกว่าการปลุกใด ๆ ดวงตาเรียวลืมขึ้นสบตากับอริญชย์ทันควัน ก่อนที่พิชญ์จะค่อย ๆ ประมวลผลสิ่งที่เพิ่งรับรู้เข้าสู่การกลั่นกรองของสมองช้า ๆ

“อ้าว...” พอจับใจความได้ คนที่เพิ่งตื่นก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไร นอกจากหลุดเสียงอุทานออกมาเบา ๆ

“งานที่ชลบุรีมีปัญหานิดหน่อย เดี๋ยวฉันกับตุลย์จะแวะไปดูแล้วคงกลับมาถึงที่นี่เย็น ๆ”

พอได้ยินคำว่า ‘ปัญหา’ คนที่มีความรับผิดชอบสูงอย่างพิชญ์ก็ดูเหมือนจะตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที พิชญ์ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง สะบัดหัวเบา ๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนก่อนจะเอ่ยถามอริญชย์

“คุณจะไปกับคุณตุลย์แค่สองคนเหรอ” พอเห็นอริญชย์พยักหน้า พิชญ์ก็รีบถามต่อทันที “แล้วผมล่ะ...”

“นายน่ะอยู่ที่นี่ เดี๋ยวตอนเย็น ๆ ฉันก็กลับแล้ว”

พิชญ์ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด เขามองข้ามหัวไหล่ของอริญชย์เลยไปยังนาฬิกาแขวนผนัง เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง พิชญ์คำนวณทุกอย่างด้วยความรวดเร็วก่อนจะโพล่งถามออกไป

“ให้ผมไปด้วยไหม ผมอาบน้ำแป๊บเดียว”

อริญชย์ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะยื่นมือมากดบ่าพิชญ์ที่ทำท่าจะผุดลุกจากเตียงให้นั่งอยู่เฉย ๆ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุ ๆ คล้ายกับผู้ใหญ่กำลังมองเด็กน้อยคนหนึ่ง

“ไม่ต้องเลย เพราะเช้านี้นายต้องเข้าประชุมงบประมาณประจำเดือนแทนฉัน”

จากทีแรกที่ตั้งท่าจะอ้าปากเถียง พิชญ์ถึงกลับหุบปากฉับก่อนจะเบ้หน้าออกมา คนอย่างเขาถนัดแต่พวกงานด้านการตลาด พอได้ยินคำว่างบ ๆ เงิน ๆ หรืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นต้องอยากวิ่งหนีเสียทุกที แล้วดูเหมือนคนที่เฝ้าสังเกตพิชญ์อยู่ตลอดเวลาอย่างอริญชย์เองก็รู้ทัน ถึงได้หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ จนใบหน้ากระด้างพลันอ่อนโยนขึ้นมา

“รู้ว่าไม่ชอบ แต่ฝึกเอาไว้หน่อยก็ดี พอให้คุมเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จะได้คล่อง”

พิชญ์แทบจะตาเหลือกออกมาอย่างกับโดนบังคับกินยาขม ถึงเขาจะไม่ค่อยพิสมัยตำแหน่งรองประธานที่อริญชย์ยัดเยียดให้ แต่ถ้าถูกโยกย้ายให้ไปทำงานเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ มันก็ไม่ใช่สไตล์เขาอีกเหมือนกัน

“อย่าบอกนะว่าคุณจะย้ายผมไปนั่งคุมการเงินกับบัญชี ไม่เอาด้วยเด็ดขาดเลย”

อริญชย์มองพิชญ์ด้วยสายตาแปลก ๆ เมื่อได้ยินคำโวยวายหลุดออกมาจากเจ้าตัว แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายความเข้าใจของพิชญ์ให้กระจ่างขึ้นมา ริมฝีปากหยักคลี่ออกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แบบที่คนมองนึกสงสัยและไม่ยอมปล่อยให้ผ่านเลยไป

“ยิ้มอะไรของคุณ”

“ฉันยิ้มไม่ได้หรือไง”

“ได้ แต่ดูแปลก ๆ ไม่ค่อยน่าไว้ใจ”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ เท้าแขนข้างหนึ่งลงกับเตียง ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปไล้พวงแก้มพิชญ์เบา ๆ

คนถูกกระทำ...เผลอไผลไปกับสัมผัสที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้โดยไม่รู้ตัว

แต่คนกระทำ...ทำลงไปด้วยความตั้งใจ

“ไหน ๆ น้องหนูก็ไปอยู่กับยัยเล็กแล้ว นายก็ย้ายมานอนห้องเดียวกับฉันเสียสิ”

เพียงแค่ชื่อของน้องหนูกับไอลดาหลุดออกมาจากริมฝีปากอริญชย์ พิชญ์ก็เหมือนถูกฉุดรั้งให้หันกลับมามองความเป็นจริง ความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่คนตัวเปล่าเปลือย และอริญชย์ก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน แต่เป็น...

พี่ชายของภรรยาและลุงของลูกเขา

พิชญ์กระถดตัวหนีสัมผัสของอริญชย์ทันทีที่รู้สึกตัว วูบหนึ่ง ถ้าไม่ได้ตาฝาดไป เขาคล้ายกับจะเห็นรอยวูบไหวจากแววตาของอริญชย์ แต่พิชญ์ก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อมันเสีย เฝ้าบอกตัวเองว่าไม่ควรปล่อยตัวมากเกินไป และที่สำคัญ ไม่ควรเผลอไผลไปกับสัมผัสของอริญชย์

อย่า! อย่าปล่อยให้ความเคยชินมีอิทธิพลเหนือสถานะที่เป็นอยู่เลย

แค่นี้เรื่องบ้า ๆ มันยังวุ่นวายไม่พออีกหรือไง จะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับปมที่แก้ไม่ออกนี้เพื่ออะไร เพื่อให้ปมเหล่านี้มันหันมารัดคอตัวเองตายหรือไง พีทเอ๋ย

พิชญ์ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่า เขาก็แค่หวั่นไหวไปเพราะความสงสารและเห็นใจ

สงสารได้ เห็นใจก็ไม่ผิด แต่อย่าลืมว่าอีกฝ่ายเคยทำอะไรไว้ ศักดิ์ศรีที่สูญเสียไป ถึงจะเอากลับมาไม่ได้ แต่ก็อย่าเที่ยวหยิบยื่นไปให้เขาเหยียบย่ำเอาอีก

“คุณใหญ่ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย ผมก็จะกลับห้องตัวเองแล้วเหมือนกัน” พิชญ์เอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ พยายามปรับอารมณ์ที่ถูกปั่นแต่เช้าให้คงที่อย่างยากลำบาก

“นายจะอาบน้ำแต่งตัวที่นี่ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ชิน...”

ใช่ว่าอริญชย์เองจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกะทันหันของพิชญ์ เพียงแต่เขาไม่อยากเก็บเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใส่ใจ หรือบางที เขาอาจจะแค่แกล้งทำเป็นมองข้ามไป เพื่อไม่ให้หัวใจตัวเองต้องเจ็บปวดก็ได้

เขาเลือกและตัดสินใจแล้วว่าถ้าได้ตัวมา ซักวันหัวใจก็อาจจะตามมา แม้วันนี้ความเชื่อมั่นที่มีจะเริ่มสั่นคลอน แต่อริญชย์ก็ไม่คิดที่จะปล่อยมือจากพิชญ์ง่าย ๆ

พิชญ์อาจจะยังไม่รู้ แต่เขาก็พร้อมจะแสดงให้เห็น...

ความรักของเขาคือการครอบครองและเป็นเจ้าของ

“นี่ก็สายมากแล้ว ฉันไปก่อนนะ” หันหลังกลับไปไม่ทันไร อริญชย์ก็ต้องหันกลับมาใหม่ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “วันนี้นายขับรถไปทำงานเองได้เลยนะ หรืออยากให้กริชมาขับให้”

พออริญชย์เอ่ยชื่อคนสนิทอีกคนที่มักจะผลุบ ๆ โผล่ ๆ ราวกับมนุษย์ล่องหนขึ้นมา พิชญ์เลยรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน เขาไม่ใช่คนง่อยเปลี้ยเสียขาหรือทำอะไรไม่เป็น แล้วรถของอริญชย์เองก็มีตั้งหลายคัน ใบขับขี่เขาก็มีเสียด้วยซ้ำ อย่ารบกวนคนอื่นเลย

“ไม่เป็นไร ผมขับเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนกริช”

“รบกวนอะไรกัน เมื่อก่อนกริชก็เป็นคนขับรถให้นาย”

พิชญ์นึกอยากจะเถียงออกมาทันที ว่านั่นเป็นเพราะอริญชย์ยัดเยียดกริชให้มาคอยจับตาดูเขาไม่ใช่หรือไง แต่เขาก็คร้านจะทำให้เรื่องมันไปกันใหญ่ เลยเถียงข้าง ๆ คู ๆ ออกไปแทน

“ช่างมันเถอะ ผมอยากขับเองบ้าง ไม่ได้ขับนาน เดี๋ยวได้ลืมวิธีขับรถกันพอดี”

“ตามใจนายแล้วกัน ถ้าจะแวะไปหาน้องหนูก็อย่าลืมโทรมาบอกฉันก่อนล่ะ”

“รับทราบครับ คุณรีบไปเถอะ”

เจ้าของห้องพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปกำลังจะหมุนลูกบิดประตูห้องอยู่แล้ว แต่คนที่เพิ่งบอกให้เขาไปหยก ๆ ก็วิ่งมาคว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อน คุณใหญ่...”

“หืมม์ ว่าไง...”

บางทีถ้าได้ยินอะไรดี ๆ ก่อนไปก็คงไม่เลวนัก อาจจะเป็นประโยคง่าย ๆ อย่างเช่น... ‘เดินทางปลอดภัย’ หรือ ‘กลับมาไว ๆ นะ’ แต่ดูเหมือนว่าอริญชย์จะคาดหวังมากเกินไป มากเกินไปจริง ๆ

“คุณไม่ได้จงใจหาเรื่องออกไปตรวจหน้างานเพื่อเลี่ยงไม่ตอบคำถามผมใช่ไหม”

อริญชย์หันกลับมาหาพิชญ์เต็มตัว เห็นท่าทางคาดคั้นของคนที่ตัวเล็กกว่าแล้วก็เกือบจะหลุดหัวเราะขำออกมา

เขาชอบเวลาได้เห็นพิชญ์เผลอเป็นตัวของตัวเองยามอยู่กับเขา จนบางทีก็นึกอยากจะเกงานขึ้นมาตงิด ๆ

“นายคิดว่ายังไงล่ะ”

สิ่งที่หลุดออกมาจากปากอริญชย์เป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากพิชญ์ เพราะเมื่อพูดจบ คนพูดก็ขยับตัวออกจากการเกาะกุมของพิชญ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งพิชญ์ที่ยืนทวนคำตอบของอริญชย์ช้า ๆ อยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งอริญชย์ไปไกลแล้ว พิชญ์ถึงค่อยสำนึกได้ว่า...

ท่าทางเกมส์ยี่สิบคำถามของเขาคงกลายเป็นหมันเข้าแล้วแน่ ๆ ในเมื่อคนตอบเล่นชิ่งหนีกันไปแบบนี้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามทีเถอะ แล้วอย่างนี้เขาจะไปถามหาคำตอบได้จากใครกันล่ะ...



.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 20-05-2020 22:45:28


โรงรถของคฤหาสน์เกียรติกาญจนามีความใกล้เคียงกับโชว์รูมรถขนาดย่อม ๆ เหตุผลไม่ใช่อะไรเลย นอกเสียจากว่าท่านเจ้าของบ้านเขาพิสมัยในเครื่องยนต์สมรรถนะสูง ๆ พิชญ์เองก็ไม่ต่างกัน ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาเองก็หลงใหลในของนอกกายเหล่านี้ไม่ต่างจากอริญชย์ แต่ถ้าให้เลือกมาขับซักคันจริง ๆ พิชญ์คงต้องขอผ่าน

อย่างวันนี้ ถึงพิชญ์จะเอ่ยปากกับอริญชย์ว่าจะขับรถไปทำงานเอง แต่พาหนะของเขากลับเป็นรถญี่ปุ่นคันเล็กที่ไอลดาเคยใช้สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

พิชญ์ไม่ได้มักน้อยหรืออยากเจียมเนื้อเจียมตัวให้ใครหมั่นไส้เล่น เขาก็แค่ไม่อยากเสี่ยงเอารถยุโรปคันละหลายล้านออกไปโลดแล่นบนท้องถนน เกิดพลาดท่าไปเฉี่ยวชนใครหรือถูกใครเฉี่ยวชนเข้า ดีไม่ดี ท่านเจ้าของรถจะได้หาเรื่องมาให้เขาต้องชดใช้ความผิดกันไม่จบไม่สิ้นอีก เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการเซฟตัวเอง รถญี่ปุ่นคันเล็กเลยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพิชญ์ไปโดยปริยาย

พอมาถึงที่บริษัท พิชญ์ก็ตรงดิ่งเข้าห้องประชุมทันที เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเริ่มประชุมแล้ว

ห้องประชุมสภาโต๊ะกลมมีสมาชิกรออยู่พร้อมหน้าตา พิชญ์หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของอริญชย์ อดรู้สึกขัดเขินนิด ๆ ไม่ได้ เมื่อต้องมารับบทท่านประธานจำเป็น ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนยิ้มออกมาน้อย ๆ แต่ไม่มีใครคิดซักถามอะไรเขา

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้ แต่พิชญ์อาจจะไม่รู้คือ อริญชย์แทบจะวางหมากให้พิชญ์กลายเป็นตัวตายตัวแทนของเขาไปแล้วโดยที่พิชญ์ไม่รู้ตัว

“ถ้ามากันครบแล้ว เดี๋ยวเริ่มประชุมกันเลยนะครับ”

พออยู่นอกเวลางาน พิชญ์มักจะโยนหัวโขนของตัวเองทิ้ง กลับมาเป็นนายพิชญ์ ภัทรกุล ลูกแม่พลอยคนทำขนม แต่เมื่อถึงเวลางาน พิชญ์ก็สวมบทบาทที่ตัวเองได้รับมอบหมายมาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีตรงไหนที่ขาดตกบกพร่องให้ต้องถูกตำหนิ สมกับที่ผู้บริหารหลายคนต่างยอมรับในความสามารถของพิชญ์ จนปรบมือให้ด้วยความจริงใจโดยไม่ต้องรู้สึกลังเลแต่อย่างใด

จากผู้ชายธรรมดาที่อริญชย์เคยพามาแนะนำต่อที่ประชุมในอดีต...

‘พิชญ์ ภัทรกุล ต่อจากนี้ไปเขาจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยของผมเพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งรองประธานในอนาคต’

พิชญ์ในวันนี้ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้บริหารของเคเค คอนสตรัคชั่นอย่างเต็มภาคภูมิ สมกับที่อริญชย์เคยเอ่ยปากรับรองด้วยตัวเอง พิชญ์อาจจะไม่รู้ กว่าอริญชย์จะผลักดันพิชญ์ให้ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องฝ่าฟันกับบรรดาบอร์ดบริหารมามากเท่าไหร่

เพื่อที่จะดึงพิชญ์มาไว้ข้างกาย ผู้ชายอย่างอริญชย์ยอมทุ่มจนหมดหน้าตัก แม้กระทั่งให้อำนาจพิชญ์กึ่งหนึ่งเพื่อเข้ามาช่วยกันดูแลบริษัทของครอบครัวเขา

ตลอดเวลาที่ประชุม พิชญ์เป็นทั้งผู้ฟังและผู้พูดที่ดี เขาพูดเมื่อถึงเวลาที่ควรพูด และฟังเมื่อคนอื่นมีไอเดียที่ดีและเป็นประโยชน์

โดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว พิชญ์ซึมซับสิ่งต่าง ๆ ที่อริญชย์คอยสอนเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมมาตลอด ไม่ว่าจะทั้งเอ่ยปากสอนหรือกระทำให้เห็น พิชญ์ค่อย ๆ ซึมซับสิ่งเหล่านั้นมาจนผู้บริหารบางคนถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า

“บางทีเขาก็คล้ายกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว”

การประชุมดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่ติดขัด ก่อนจะเสร็จสิ้นลงตอนเวลาเที่ยงตรง พิชญ์ยืนส่งผู้บริหารคนอื่น ๆ จนกระทั่งเหลือแค่เขากับคุณธเนศที่เป็นผู้จัดการแผนกการเงินอยู่สองคน

“เรียบร้อยดีนะครับ คุณธเนศ”

“เรียบร้อยครับ สมแล้วที่เป็นคุณพิชญ์ คนที่ท่านประธานไว้ใจ”

พิชญ์ยิ้มออกมาอย่างเก้อกระดาก ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ชินเสียที

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับคุณธเนศ”

“ครับผม”

พิชญ์เดินออกมาถึงหน้าห้องประชุม ก็เห็นประชาสัมพันธ์สาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา ชายหนุ่มเลยหยุดยืนอยู่กับที่ จนกระทั่งนิดาเดินมาถึงตัว

“มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า คุณนิดา”

“มีแขกมาขอพบท่านรองค่ะ”

พิชญ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ถึงเขาจะเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก แต่พิชญ์ก็ไม่ได้นึกอยากรับแขกตอนเที่ยงโดยที่ท้องกำลังร้องแม้แต่น้อย

“เที่ยงแล้ว แถมไม่ได้นัดไว้เสียด้วย ผมขอปฏิเสธได้ไหม” พอเห็นประชาสัมพันธ์สาวทำหน้าลำบากใจ พิชญ์เลยอดถามไม่ได้ “แขกจากที่ไหนครับ”

“ท่านรองไปดูเองเถอะค่ะ แต่แขกสำคัญมากจริง ๆ ค่ะ”

ถ้าเป็นอริญชย์ คงไม่มีใครกล้าเล่นลิ้นด้วยแบบนี้ แต่เพราะรู้ว่าเป็นพิชญ์ ประชาสัมพันธ์สาวจึงเอ่ยออกมาอย่างนี้ นอกจากไม่ทำให้กระจ่างแล้ว ยังทำคนฟังสงสัยหนักกว่าเดิม พิชญ์ไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน ถึงได้เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการเดินไปที่โซฟารับแขก

แผ่นหลังบอบบางของแขกที่มาเยือนดูยังไงก็ไม่คุ้นตาพิชญ์ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายยกชาร้อนขึ้นจิบช้า ๆ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางพิชญ์ เล่นเอาเขาถึงกับชะงัก

แขกคนสำคัญจริง ๆ เสียด้วย

พิชญ์ก้าวเท้าเข้าไปหาเธอช้า ๆ พร้อม ๆ กับที่หญิงสาวค่อย ๆ วางถ้วยชาลงกับโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน

“สวัสดีครับ คุณรัญญา”

เท่าที่พิชญ์จำได้ ถึงแม้จะไม่ค่อยแม่นยำเท่าไหร่นัก เขาคลับคล้ายคลับคลาว่ารัญญาน่าจะอายุมากกว่าเขาซักปีถึงสองปี แต่เขาเองก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจประวัติส่วนตัวเธอเท่าไหร่นัก ดังนั้นพอเห็นเธอยกมือไหว้ พิชญ์เลยรู้สึกแปลก ๆ รีบยกมือขึ้นรับไหว้เธอแทบไม่ทัน

“ขอโทษที่มารบกวนเวลาทานข้าวกลางวันนะคะคุณพิชญ์ แถมยังไม่ได้นัดเข้ามาก่อนด้วย”

ต่อให้ลำบากใจมากแค่ไหน แต่ตามมารยาทแล้วก็คงต้องเอ่ยออกไปว่า...

“ไม่เป็นไรครับ แต่วันนี้คุณใหญ่ไม่ได้เข้ามาที่บริษัทนะครับ” พิชญ์รีบออกตัว เพราะเดาว่าคนที่เธอตั้งใจจะมาพบน่าจะเป็นอริญชย์มากกว่าเขา

รัญญาพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานออกมา ชนิดที่ทำเอาคนมองเกือบจะเผลอยิ้มตาม ถ้าไอลดาเป็นผู้หญิงที่ดูสวยเฉี่ยว รัญญาก็เป็นผู้หญิงที่ดูสวยหวาน แต่ทุกคนต่างรู้ ในความสวยหวานนั้นแฝงอำนาจไว้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจจากตัวเธอเอง หรืออำนาจจากองครักษ์ที่คอยพิทักษ์เธออยู่ มิฉะนั้น ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่นี้คงไม่สามารถขึ้นมากุมอำนาจทางธุรกิจแทนพี่ชายของตัวเองได้แน่ ๆ

ในวงการธุรกิจที่ทุกคนพร้อมจะเข้าห้ำหั่นกัน โดยไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร บางครั้งความอ่อนหวานที่เห็นก็เป็นเสมือนดาบสองคม

คมหนึ่ง...อาจกลายเป็นจุดอ่อนให้ศัตรูมุ่งโจมตี แต่อีกคมหนึ่ง...อาจจะเป็นภาพมายาที่คอยลวงหลอกให้ตายใจ สุดแท้แต่ว่าเจ้าของจะเลือกใช้คมไหน

“หลิวไม่ได้มาหาพี่ใหญ่หรอกค่ะ หลิวตั้งใจมาหาคุณพิชญ์ ถ้าไม่เป็นการรบกวน หลิวขออนุญาตเรียกว่าคุณพีทได้ไหมคะ”
ถึงแม้พิชญ์จะมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างชื่อจริงกับชื่อเล่นของเขา แต่พิชญ์ก็พยักหน้าอนุญาตไป กับแค่เรื่องเรียกชื่อ ไม่ได้มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะเรียกยังไงก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนตัวตนของเขา

“งั้นคุณพีทก็ต้องเรียกหลิวว่าหลิวเฉย ๆ เหมือนกันนะคะ ยังไงเราสองคนก็อยู่วงการเดียวกัน หลิวเองอยากทำความรู้จักกับคนเก่งอย่างคุณพีทมาตั้งนานแล้ว ติดว่าเกรงใจพี่ใหญ่”

พิชญ์ฟังคำของหญิงสาวแล้วก็เผลอยิ้มออกมา ถึงจะพบเจอกันตามงานบ่อย ๆ แต่เขากับรัญญาก็ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยอะไรกันมากนัก แค่รู้จักหน้าและชื่อเสียงเรียงนามเฉย ๆ มันคล้ายกับมีกำแพงบาง ๆ กั้นอยู่ เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่าเพราะอะไร จนคิดเอาเองว่าอาจจะเพราะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน ก่อนจะรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากเรื่องในอดีต

“ความจริงแล้วที่หลิวมารบกวนคุณพีทวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะปรึกษาค่ะ”

“ครับ”

“เรื่องของเฮียกับพี่ใหญ่ค่ะ”

พิชญ์เพียงแค่เลิกคิ้วน้อย ๆ แม้ในใจกำลังรู้สึกตื่นเต้นจนแทบบ้า แต่เขาก็พยายามรักษาสีหน้าและท่าทีของตัวเอง ไม่ให้แสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมามากเกินไป เขาไม่รู้ว่ารัญญาจะมาไม้ไหน เลยยังไม่ควรแบไพ่ที่มีอยู่ในมือออกไป

คนโง่มักอวดฉลาด ส่วนคนฉลาด...มักจะแกล้งโง่อย่างแนบเนียน

“เรื่องอะไรหรือครับ”

“คุณพีทไม่รู้จริง ๆ หรือคะ ถ้าแม้แต่คุณพีทยังไม่รู้ หลิวคงมาปรึกษาผิดคนแล้วแน่ ๆ”

พิชญ์ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ นางหงส์ของกมลวิลาศน์ เป็นคำเรียกขานที่ไม่ได้ฟังเกินจริงเลย ไม่ใช่แค่สวยเฉิดฉายไปวัน ๆ แต่ยังซ่อนไหวพริบอันเฉียบคมเอาไว้ด้วย

“สงสัยคงต้องคุยกันยาวน่าดูเลยนะครับ ตอนนี้ก็เที่ยงพอดี” พิชญ์ทำทีเป็นก้มลงดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยชวนอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีติดขัด “ให้เกียรติผมได้เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวกลางวันคุณหลิวนะครับ เราจะได้กินข้าวไปคุยไป”

“ด้วยความยินดีค่ะ แต่คงต้องขอให้คุณพีทเป็นคนแนะนำร้านนะคะ เพราะหลิวไม่สันทัดจริง ๆ”

“ผมมีร้านเงียบ ๆ บรรยากาศดีอยากแนะนำอยู่พอดีเลย เดี๋ยวผมขับนำไปก็แล้วกันครับ”

ถึงแม้วันนี้พิชญ์จะต้องพลาดโอกาสในการเล่นเกมยี่สิบคำถามกับอริญชย์ แต่คงไม่เลวนัก ถ้าเปลี่ยนเป็นการได้นั่งคุยกับรัญญา กมลวิลาศน์แทน



.



พิชญ์ขับรถนำทางรัญญามาจนถึงร้านอาหารบรรยากาศดีที่อยู่ห่างจากบริษัทของเขาราวสิบนาที ตอนแรกพิชญ์คิดว่ารัญญาขับรถมาหาเขาที่บริษัทเอง แต่เขาลืมไปว่า พ่อองครักษ์คนดีของรัญญาที่พิชญ์นึกเหม็นขี้หน้ามีหรือจะปล่อยให้เธอมาตามลำพัง

พิชญ์เลือกนั่งโต๊ะมุมในสุดของร้าน จัดการสั่งกับข้าวมาสามอย่างและข้าวเปล่าให้เขากับรัญญาคนละจาน บรรยากาศของร้านอาหารยามบ่ายค่อนข้างเงียบ นอกจากโต๊ะของพิชญ์แล้วก็มีลูกค้าอีกเพียงแค่สองโต๊ะ แถมยังนั่งห่างจากพิชญ์พอสมควร จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวเหมาะสำหรับนั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ

“ขอบคุณค่ะ” รัญญาเอ่ยขอบคุณ เมื่อพิชญ์ตักกับข้าวใส่จานเธอ ก่อนจะอดเอ่ยกระเซ้าไม่ได้ “คุณพีทช่างเอาอกเอาใจแบบนี้เอง มิน่า...น้องเล็กถึงรักคุณพีทน่าดู”

พิชญ์ชะงักมือที่กำลังตักแกงจืดเล็กน้อย ก่อนจะเสยิ้มออกมาบาง ๆ

ความรู้สึกระหว่างเขากับไอลดาเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่ไม่มีคนนอกรับรู้ ถึงแม้พิชญ์จะไม่ได้นึกรักไอลดาฉันท์ชู้สาว แต่พิชญ์ก็มักจะให้เกียรติเธอเสมอ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตามที

“เป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นสามีภรรยากันน่ะครับ คุณเล็กเธอก็น่ารักด้วย”

ถ้าคำว่าน่ารักตีความได้หลายความหมาย น่ารักของพิชญ์ในที่นี้อาจจะหมายถึง น่ารักในฐานะที่เธอเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขา แต่สำหรับคนนอกอย่างรัญญาแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคู่รักที่น่าอิจฉา

“น่าอิจฉาน้องเล็กจังเลยนะคะ มีคุณสามีที่น่ารักอย่างนี้ เมื่อก่อนหลิวก็เคยได้ยินเขาพูด ๆ เรื่องที่คุณพีทกับน้องเล็กไม่เหมาะกัน หลิวว่าไม่เห็นจะจริงเลย สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกแน่ะ”

พิชญ์ยิ้มบาง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นได้ยินคงตื้นตันไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับพิชญ์ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ไม่สำคัญ ถ้าเขาไม่ได้นึกรักไอลดา

บางครั้งความรักกับความเหมาะสมก็มักจะเดินสวนทางกัน เหมาะสมมากแค่ไหน แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้รักกัน การอยู่ด้วยกันเพราะคำว่าความเหมาะสม มันไม่สามารถประคับประคองให้ความรักไปถึงฝั่งได้เลย แต่...

ความรักที่ไม่มีความเหมาะสม ก็ไม่อาจจะสมหวังได้เช่นกัน หรือถ้าพอจะมีความหวัง มันก็คงริบหรี่เต็มทน

รัญญาดูจะมีความสุขกับการซักถามเรื่องต่าง ๆ ของไอลดาจากพิชญ์ ซึ่งพิชญ์เองก็ตอบได้เรื่อย ๆ อย่างไม่ขัดเขิน จนกระทั่งพนักงานเดินมาเก็บจานไป ก่อนจะยกกาแฟร้อนกับของหวานมาวาง แล้วเดินเลี่ยงไปยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ สีหน้าที่สดใสของรัญญาถึงค่อย ๆ เลือนหายไป

รัญญายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเบา ๆ ทำทีเป็นมองภาพประดับตามฝาผนังของร้าน แต่ถึงจะทำแบบนั้น ก็ยังไม่อาจบดบังความอึดอัดและลำบากใจที่ฉายออกมาทางแววตาได้

“คุณหลิวครับ...”

เจ้าของชื่อถอนหายใจออกมาช้า ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับมาหาพิชญ์

“คุณพีทคงจะสงสัยใช่ไหมคะ ว่าทำไมจู่ ๆ หลิวถึงมาหาคุณพีทที่บริษัท”

ถึงแม้เธอจะพูดถูก แต่พิชญ์ก็ไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เขาเพียงแต่ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ ขณะรอให้เธอเป็นฝ่ายเอ่ยต่อ

“คิดแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกันนะคะ หลิวคิดเรื่องเฮียกับพี่ใหญ่มาตลอด แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ เสียที จนกระทั่งเฮียกลับมา...” หญิงสาวหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาช้า ๆ “หลิวไม่อยากให้เฮียกับพี่ใหญ่ต้องบาดหมางกันอีก”

อย่างน้อยก็ยังมีคนที่คิดเหมือนเขา ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงคนเดียว พิชญ์นึกว่ามีแค่เขาคนเดียวเสียอีกที่อยากให้อริญชย์กับราชันย์เคลียร์เรื่องบ้า ๆ นี่ให้จบไปเสียที ในเมื่อทั้งเขาและรัญญาต่างคิดเหมือนกัน แล้วทำไมเราถึงไม่ลงมือทำเสียล่ะ

“คุณหลิวจะบอกผมว่า คุณมาขอให้ผมช่วยให้คุณใหญ่กับเสี่ยเล้งคืนดีกัน”

“ค่ะ คุณพีทเข้าใจถูกแล้ว ลำพังตัวหลิวคนเดียวคงทำไม่ได้แน่ ๆ”

“แล้วคุณมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะช่วยคุณได้”

“ข้อแรก เพราะคุณพีทเป็นคนที่ใกล้ชิดกับพี่ใหญ่ แต่ไม่ได้เข้าข้างพี่ใหญ่ ส่วนข้อต่อมา เพราะหลิวรู้ว่าคนเก่งอย่างคุณพีทต้องมีวิธีดี ๆ ที่หลิวนึกไม่ถึงแน่ ๆ”

“ผมยังมองไม่เห็นทางที่เขาสองคนจะกลับมาคุยกันดี ๆ ได้เลย”

รัญญาเม้มริมฝีปากช้า ๆ อย่างครุ่นคิด จนพิชญ์พอจะเดาออกว่า บางทีราชันย์เองก็อาจจะไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้รัญญาฟังมากนัก

“คุณพีทพอจะมีไอเดียอะไรดี ๆ ไหมคะ”

ไอเดียน่ะพิชญ์มีแน่ เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่ามันดีหรือไม่ หรือถ้ามันดี แล้วอริญชย์จะเห็นสมควรกับเขาด้วยหรือเปล่า สิ่งที่พิชญ์กำลังคิดจะทำ มันไม่ต่างอะไรจากการบุกรังพญามังกรเลย

“ผมยังไม่รู้เลย ว่าจริง ๆ แล้วเรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่”

“คุณพีทลองตะล่อมถามพี่ใหญ่ดูอีกรอบดีไหมคะ ทางหลิวเองก็จะพยายามถามเฮียดูด้วย แล้วเรามาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อดี”

พิชญ์เคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด การที่รัญญาอยากให้ราชันย์กับอริญชย์หันกลับมาเป็นเพื่อนกันมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่...

“ทำไมคุณหลิวถึงอยากให้คุณใหญ่กับเสี่ยเล้งกลับมาเป็นเพื่อนกันล่ะครับ”

“คงไม่น้องสาวคนไหนอยากให้พี่ชายของตัวเองทะเลาะกันหรอกค่ะ พี่ใหญ่ก็เหมือนพี่ชายอีกคนของหลิว เห็นทั้งสองคนกลายมาเป็นแบบนี้ หลิวเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน ถ้าได้คุยกันให้รู้เรื่องแบบจริง ๆ จัง ๆ บางทีอาจจะได้รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่”

พิชญ์เลื่อนตัวเข้ามาชิดกับขอบโต๊ะ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังคิดอยู่มันเป็นวิธีที่ฉลาดหรือเปล่า แต่บางทีมันก็ต้องลองเสี่ยง

...ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วไยจะได้ลูกเสือ...

“ผมอยากรู้ความจริงจากปากเสี่ยเล้ง คุณหลิวพอจะช่วยผมได้ไหม”

รัญญาทำหน้าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตอบตกลงออกมา

“ได้ค่ะ แต่หลิวเองก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องคุณพีทเหมือนกัน”

“ว่ามาสิครับ”

“จนกว่าจะได้รู้ความจริงจากปากเฮีย อย่าเพิ่งให้พี่ใหญ่รู้ได้ไหมคะว่าหลิวมาหาคุณพีท พี่ใหญ่คงไม่ชอบใจแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าหลิวมายุ่งวุ่นวายกับคุณพีท หลิวไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา”

คำขอของรัญญาไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพิชญ์ เขาเองก็เห็นดีเห็นงามกับเธอเสียด้วยซ้ำไป อริญชย์คงรีบห้ามเขาแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าพิชญ์คิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับราชันย์ เพราะฉะนั้น ขอให้เขาได้รู้ก่อนเถอะว่าความจริงมันเป็นยังไงมายังไง แล้วหลังจากนั้นถึงค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อ

“ได้ครับ แต่ช่วยเล่าทุกอย่างที่คุณหลิวรู้ให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”

“..........”



.



แสงอาทิตย์สีส้มจาง ๆ สาดกระทบร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกไซต์งาน อริญชย์ยืนมองดวงอาทิตย์ที่เตรียมจะลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกจนท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม พลางคิดถึงคนที่ตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ

พิชญ์อาจจะคิดว่าเขาหลบเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ในเมื่อเขาถูกตามตัวให้มาเคลียร์ปัญหาด่วน เรื่องที่มีการสอดไส้สินค้าจากซัพพลายเออร์

อริญชย์ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เขายังไม่อยากฟันธงว่าเรื่องสอดไส้ของคราวนี้เป็นฝีมือของราชันย์ แต่คนที่ชอบเล่นสกปรกแบบนี้ ตลอดชีวิตเขาก็รู้จักอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหนเลย นอกเสียจาก...ราชันย์ กมลวิลาศน์!

ก้นบุหรี่ในมือถูกทิ้งลงกับพื้น ก่อนที่คนสูบจะขยี้มันให้ดับด้วยปลายรองเท้าจนเหลือเพียงแค่เถ้าถ่าน

ถ้าเขาขยี้อดีตเพื่อนรักให้ดับง่าย ๆ เหมือนขยี้ก้นบุหรี่ เรื่องราวต่าง ๆ คงไม่บานปลายมาจนถึงป่านนี้

อริญชย์เตรียมจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในไซต์งาน ป่านนี้ตุลย์ที่นั่งตากแอร์เย็นฉ่ำอยู่ในออฟฟิศชั่วคราวคงกำลังนึกบ่นเขาอยู่แน่ ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไป ชายหนุ่มก็ยังไม่วายหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองออกมาดู

ยอมรับเลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว แค่รู้ว่าวันนี้พิชญ์ไม่ได้ไปหาไอลดากับน้องหนู เขาก็ดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้าทำได้ เขาก็อยากจะยึดพิชญ์ไว้กับตัวตลอดไป ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหน ไม่ว่าจะเป็นไอลดาหรือน้องหนู

ความรัก...ทำให้คนเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ

อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ แต่ไม่เคยลองถามเขาเลยว่าอยากได้รับความรักจากเราไหม

เพราะเขากลัว...กลัวความจริงที่จะหลุดออกมาจากปากพิชญ์ แต่ถึงพิชญ์ตอบว่าไม่ อริญชย์ก็รู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยพิชญ์ไป

อริญชย์ยิ้มขันให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง เขายัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงลวก ๆ กำลังจะเดินกลับเข้าไปในไซต์งาน แต่กลับต้องชะงักเสียก่อน เมื่อสัญชาติญาณของเขามันตื่นตัว บอกให้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ชายหนุ่มหันหลังขวับกลับไปหาสาเหตุ

ก็แค่มอเตอร์ไซค์ธรรมดา ๆ อาจจะเป็นของคนงานแถวนี้ก็ได้

ไม่สิ! ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ธรรมดาคงไม่เล็งปลายกระบอกปืนมาที่เขาแน่ ๆ

อริญชย์สบถออกมาอย่างหยาบคาย นึกด่าไปถึงโคตรเหง้าศักราชของคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์บ้า ๆ นี้ ก่อนจะกลิ้งตัวนอนราบไปกับพื้นเมื่อมัจจุราชสีดำพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย

!!!



TO BE CONTINUE


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
จบตอนนี้ต้องถือป้ายเชียร์คุณใหญ่ คุณใหญ่สู้ ๆ


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-05-2020 01:33:49
หลิวหวังว่าเธอคงไม่ได้เป็นนางนกต่อมาพาพีทไปให้เฮียเล้งทำร้ายหรอกใช่ไหม :a5:

แล้ว.. ใครจะฆ่าคุณใหญ่ละเนี่ยยยยยยย
ไปไหนๆ มีแต่คนจะทำร้ายแบบนี้
คุณใหญ่ควรมีบอดี้การ์ดซัก 10 คนนะ  :z6:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 21-05-2020 01:47:31
 :katai1:คุณใหญ่  ...... โอ้ยยยยระวังตีวเด้อ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 21-05-2020 02:14:32
หลิวเธอจะมาดีหรือมาร้ายน๊าาาา :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-05-2020 01:09:14
เอ๊ย!!ไอ้มือปืน เล็งดีๆนะมึง (ไม่ใช่เล็งเพื่อยิงนะ แต่เพื่อมองหากระสุนจะย้อนกลับเมื่อไหร่) 55555 กล้ามากๆ เอาถากๆพอให้คุณใหญ่ไปออเซาะพีท จะได้รู้ว่าเขาห่วงใยมากน้อยยังไงไง ยอมถูกยิงดีม่ะ 55555 ไม่หรอกๆเราก็ห่วงคุณใหญ่นะเออ งานเข้ารัวๆเลย คงรอดปลอดภัยกลับถึงบ้านดีครบ32นะ 5555 //เบื้องหลังคุณใหญ่ก็ทำเพื่อพีทเยอะมากเลยนะ ดูทุ่มเทจริง เพื่อให้เขาเก่งจนคนอื่นยอมรับ ไม่รู้เขาจะรับรู้และยอมรับเมื่อไหร่อะนะ //หลิวดูท่าแล้วคงมาดี ดูเหมือนอยากให้คืนดีอยากแก้ปัญหาสองคนนั้นให้จบลงจริงๆ แต่แค่คิดสิ่งที่พีทกับหลิวจะทำแล้ว ยิ่งปิดบัง สุดท้ายจะพังไหมไม่รู้ ความเชื่อใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ยังไงซะก็เอาใจช่วยละกันนะจ๊ะ 555  สนุกกกกกก ชอบบบ  ขอบคุณที่มาต่อค่า รออ่านตอนต่อไปเล้ย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-05-2020 15:25:28
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 14 --- หน้าที่ 4 [20/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 22-05-2020 17:59:50
 :a5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 15 --- หน้าที่ 4 [24/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 24-05-2020 15:11:50

สิบห้า
การกระทำหรือคำพูด



เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ซึมออกมาบริเวณแขนเสื้อด้านซ้าย คนเจ็บเพียงแค่ก้มลงมองบาดแผลของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาช้า ๆ แม้ตามลำตัวจะมีคราบฝุ่นและเศษทรายเกรอะกรังจนเสื้อผ้าราคาแพงที่สวมอยู่แทบจะหมดราคา แต่รัศมีความเหี้ยมเกรียมที่แผ่ออกมาจากร่างสูงก็ยังทำเอาคนมองนึกหวั่นเกรง

กลิ่นอับของโกดังเก็บของฉุนติดปลายจมูก ร่างกำยำของมือปืนรับจ้างที่ถูกส่งมาจัดการกับอริญชย์ถูกมัดแน่นอยู่กับพื้นอย่างคนหมดทางสู้ ดวงตาดำจัดของอริญชย์จ้องมองมันอย่างเย็นชาก่อนจะหันมาสั่งตุลย์เสียงเย็นเยียบ บ่งบอกระดับอารมณ์ของคนพูดได้เป็นอย่างดี

“ตุลย์”

“ครับ คุณใหญ่”

“โทรเช็กว่าพีทถึงบ้านเรียบร้อยหรือยัง แล้วปลอดภัยดีหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะโทรเช็กกับทางยัยเล็กเอง”

ตุลย์พยักหน้ารับคำสั่งผู้เป็นนาย สำหรับเขาและอริญชย์แล้ว สถานการณ์ถูกลอบทำร้ายที่กำลังเผชิญอยู่มันแทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่สิ่งที่อริญชย์ห่วงคือความปลอดภัยของพิชญ์ ไอลดา และน้องหนู

ทุกครั้งที่เกิดเรื่องลอบทำร้ายขึ้นมา อริญชย์มักจะห่วงความปลอดภัยของคนที่อยู่ข้างหลังก่อนเสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บ แต่คนสำคัญของเขาต้องปลอดภัย

ลำพังแค่ตัวอริญชย์เอง ถ้าพวกมันคิดจะทำร้ายเขา เขาก็พร้อมจะรับมือและตอบโต้กลับอย่างสาสม แต่ถ้าหากพวกมันคิดจะทำร้ายคนของเขาเมื่อไหร่ มันจะไม่มีแม้แต่ที่ให้ยืนหายใจบนโลกใบนี้แน่ ๆ

อริญชย์ล้วงโทรศัพท์มือถือที่มีรอยขูดขีดจากแรงกระแทกตอนที่เขาพลิกตัวหลบกระสุนออกมากดโทรหาไอลดา พอไอลดารับสาย เขาก็ซักถามอยู่หลายประโยค จนมั่นใจว่าไอลดากับน้องหนูอยู่ที่คอนโดและมีกริชคอยคุ้มกันอยู่ห่าง ๆ อริญชย์ถึงได้วางใจจนยอมวางสายจากน้องสาว พร้อมกับที่ตุลย์เองก็วางสายจากป้าน้อยเช่นกัน

“ป้าน้อยบอกว่าคุณพีทเพิ่งกลับมาถึงบ้าน กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ครับ”

คนเป็นนายพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ พอได้รับคำตอบที่ตัวเองพึงพอใจแล้ว ก็เบนเป้าหมายมาหาร่างที่กำลังหมอบคู้อยู่ที่พื้น เขาย่างสามขุมเข้าไปหามันอย่างใจเย็น เปลี่ยนท่าทีไปจากที่คุยกับไอลดาเมื่อซักครู่ราวกับเป็นคนละคน

“ใครส่งแกมา...”

คำถามเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ดังมาจากริมฝีปากหยัก ขัดกับบรรยากาศรอบตัวที่ดูกดดันจนพาลให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมา คนถามล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับกำลังชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ใครเลยจะรู้ดีเท่าตุลย์ ว่าอริญชย์คงไม่ปล่อยให้มันได้นอนอ้าปากพะงาบ ๆ อย่างสบายตัวแน่ ถ้าไม่ได้คำตอบที่เขาต้องการ

“กูไม่จำเป็นต้องตอบ”

มันตอบเสียงนิ่งอย่างอวดดี ซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้อย่างมิดชิด หรือแท้ที่จริงแล้ว มันอาจจะไม่ได้นึกหวาดกลัวเลยก็เป็นได้ แม้กระทั่งยามที่รองเท้าหนังสีดำมันปลาบค่อย ๆ กดลงบนฝ่ามือของมันอย่างเลือดเย็น บดขยี้จนถลอกปอกเปิก แต่มันก็ยังคงกลั้นเสียงร้องเอาไว้ มีแค่ริมฝีปากที่บิดน้อย ๆ พอให้เห็นถึงร่องรอยความเจ็บปวด

“ฉันจะถามอีกครั้ง ใครส่งแกมา”

“กูไม่ตอบ”

เหมือนขอบเขตความอดทนของอริญชย์จะถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ ด้วยท่าทียโสโอหังของมัน อันที่จริงแล้วอริญชย์ค่อนข้างใจเย็นกว่าที่คนอื่นคิด เพียงแต่เขาไม่คิดจะเสียเวลาเล่นไร้สาระกับมัน แค่แบมือออกไปข้าง ๆ มัจจุราชสีเงินก็ถูกวางลงบนฝ่ามืออย่างรู้หน้าที่ มันเบิกตาน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ สงบท่าทีลงจนเป็นปกติแล้วเอ่ยออกมาอย่างอวดดี

“มึงไม่ฆ่ากูหรอก”

อริญชย์แสยะยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่ามันเดาความคิดของเขาถูก เขาหมุน.38 ซูเปอร์ในมือไปมาก่อนจะเอ่ยออกมาช้า ๆ

“ฉันก็ไม่ได้คิดจะฆ่าแกอยู่แล้ว แค่สั่งสอนนิดหน่อย...”

พูดไม่ทันขาดคำดี มัจจุราชสีเงินในมือก็ถูกเหวี่ยงอัดกระแทกหน้ามันจนหันไปอีกด้าน ก่อนเลือดสีแดงฉานจะค่อย ๆ ซึมออกมาตามปากและจมูก

“ดูเหมือนฉันจะหนักมือไปหน่อย ว่าแต่ใครส่งแกมานะ”

มันหันหน้ากลับมาจ้องอย่างโกรธแค้น พยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ทั้งน้ำลายทั้งเลือดถูกถ่มลงกับพื้นใกล้ ๆ กับปลายเท้าของอริญชย์ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงก้อง

“กูไม่ตอบ!”

คำตอบของมันถูกตอบแทนด้วยแรงอัดถี่ ๆ สองครั้งติดของด้ามปืนที่ฟาดกระทบหน้ามันแรง ๆ ก่อนคนกระทำจะชะงักเล็กน้อย เมื่อตุลย์เดินเข้ามาประชิดด้านหลังแล้วกระซิบถ้อยคำบางอย่าง ริมฝีปากหยักเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมราวกับพญามัจจุราช

อริญชย์ใช้ปลายเท้าเขี่ยปลายคางของมันให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ดวงตาดำจัดวาววับเหมือนเสือร้ายยามออกล่าเหยื่อ ขณะค่อย ๆ โน้มตัวลงไปเอ่ยกับมันเสียงดุดัน

“ถ้าแกตอบไม่ได้ บางทีเมียที่กำลังท้องอ่อน ๆ ของแกอาจจะมีคำตอบให้ฉันก็ได้นะ”

คราวนี้ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้นเมื่อถูกจับจุดอ่อนได้ อริญชย์ได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความสมเพช พวกมือปืนที่มีจุดอ่อนก็มักจะต้องมีจุดจบแบบนี้กันทุกคน แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าจุดอ่อนคือหนทางที่นำไปสู่จุดจบ แต่เขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

“เสี่ยเล้ง! เสี่ยเล้งจ้างกูมาจัดการกับมึง” มันเอ่ยออกมาด้วยความรวดเร็ว พร้อม ๆ กับที่อริญชย์หันไปสบตากับตุลย์ ดวงตาดำจัดลุกโชนด้วยความโกรธแค้นก่อนจะคำรามออกมาเสียงกร้าว

“ไอ้เล้ง! มึงจะเอายังไงกับกูกันแน่”



.



เพล้ง !!

เสียงเศษแก้วที่ตกแตกกระจายทำเอาคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ถึงกับสะดุ้ง พิชญ์ส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความซุ่มซ่ามของตัวเองที่เผอเรอจนปัดแก้วน้ำตกแตก กำลังจะก้มลงเก็บเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วพื้น พิชญ์ก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ เมื่อได้ยินเสียงป้าน้อยดังนำมาก่อนตัว

“ตายแล้ว! หลบออกมาก่อนค่ะคุณพีท ระวังเศษแก้วบาดนะคะ เดี๋ยวป้าจัดการเองค่ะ”

พอเห็นป้าน้อยเดินเข้ามาพร้อมเด็กอีกคน พิชญ์เลยเบี่ยงตัวหลบให้ป้าน้อยเข้ามาจัดการกับเศษแก้ว เขาเดินออกมายืนดูอยู่ห่าง ๆ แล้วก็ต้องเผลอนิ่วหน้าออกมาน้อย ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนข้างซ้ายของตัวเอง กำลังจะพลิกแขนขึ้นมาดูหาสาเหตุ แต่ก็ช้ากว่าป้าน้อยที่หันมาเห็นแล้วอุทานเสียงหลงออกมาอีกรอบ

“ตายจริง! โดนเศษแก้วทิ่มแขนได้ยังไงคะคุณพีท”

“ยังไม่ตายครับป้าน้อย แค่เจ็บแขนเฉย ๆ” พิชญ์เอ่ยแก้ตัวยิ้ม ๆ พลางดึงเศษแก้วที่ฝังอยู่ตรงแขนซ้ายออกมา พอเศษแก้วหลุดออก เลือดก็ไหลซึมออกมาจนเขาเผลอสูดปากเบา ๆ

“ยังจะล้อเล่นอีกนะคะคุณพีท ไปนั่งรอที่โซฟาเลยค่ะ เดี๋ยวป้าไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้”

“ไม่ต้องหรอกครับป้าน้อย แผลเท่าแมวข่วน เดี๋ยวผมล้างน้ำเปล่าก็หายแล้ว”

“ไม่ต้องดื้อเลยค่ะ ถ้าไม่ทำความสะอาดแผลให้เรียบร้อย เกิดเป็นบาดทะยักขึ้นมาจะทำยังไงคะ”

พอเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของป้าน้อย พิชญ์เลยต้องยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนจะถอยทัพกลับไปนั่งรอที่โซฟา อดหัวเราะขำคุณแม่บ้านออกมาไม่ได้ นี่ป้าน้อยกำลังคิดว่าเขาอายุเท่าน้องหนูหรือเปล่า ถึงได้ดุเหมือนเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ไปได้

ป้าน้อยเดินไปกำชับให้เด็กจัดการเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับมาหาพิชญ์พร้อมกล่องปฐมพยาบาลชุดใหญ่ อุปกรณ์การทำแผลต่าง ๆ ถูกหยิบออกมาวางเสร็จสรรพ จนพิชญ์อดเอ่ยแซวป้าน้อยไม่ได้

“ป้าน้อยเป็นพยาบาลเก่าหรือเปล่าครับ ผมแค่ถูกเศษแก้วบาดเองนะ ไม่ได้ถูกยิง”

“ถึงยังไงก็ต้องทำความสะอาดแผลค่ะ จะได้ไม่ติดเชื้อ ป้องกันเชื้อโรคด้วยค่ะ”

พิชญ์คลี่ยิ้มบาง เขายอมนั่งนิ่ง ๆ อย่างว่าง่ายให้ป้าน้อยจัดการกับแผลเท่าแมวข่วนจนเสร็จ ตบท้ายด้วยการปิดพลาสเตอร์อย่างสวยงาม เรียบร้อยแล้วก็เอ่ยขอบคุณป้าน้อยก่อนจะมองเลยไปยังนาฬิกาบนผนัง เผลอนิ่วหน้าออกมานิด ๆ เมื่อเห็นว่าหกโมงเศษแล้ว ดูเหมือนป้าน้อยจะสังเกตเห็นท่าทางของเขาเข้าเลยหันมาเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า

“เมื่อซักครู่ตุลย์เพิ่งโทรมาบอกว่าจะกลับช้าหน่อย สงสัยรถจะติดนะคะ”

พิชญ์รับฟังเงียบ ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาให้ป้าน้อยคิดว่าเขาอยากรู้ ทำทีเป็นพลิกดูแผลตรงแขนซ้ายของตัวเองก่อนจะเสถามไปอีกเรื่อง

“เดี๋ยวป้าน้อยจะตั้งโต๊ะเลยหรือเปล่าครับ”

“ถ้าคุณพีทหิวแล้ว เดี๋ยวป้าตั้งโตะให้เลยก็ได้ค่ะ นึกว่าจะรอกินพร้อมคุณใหญ่เสียอีก”

“จะกลับมากี่โมงยังไม่รู้เลยครับ ผมกินก่อนดีกว่า”

“งั้นรอป้าแป๊บเดียวค่ะ”

พิชญ์ผงกหัวรับก่อนจะหยิบหนังสือมาอ่านระหว่างรอป้าน้อยเตรียมมื้อเย็น อันที่จริงแล้ว ถึงเขาจะทำท่าเหมือนว่ากำลังอ่านหนังสือ แต่คงมีเพียงเขาที่รู้ว่าตัวเองแค่เปิดหน้าหนังสือทิ้งเอาไว้ ทำเหมือนว่ากำลังอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น ทั้งที่สติของเขามันจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้มาจากรัญญา


‘...เฮียเองก็เอ็นดูกลางมากเหมือนกัน ถ้าเหตุการณ์วันนั้นไม่เกิดขึ้น เฮียกับพี่ใหญ่ก็คงจะเป็นเพื่อนกันจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมันเป็นความผิดของหลิวเองด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะหลิว...’ คนพูดก้มหน้าลงต่ำ แสดงความลำบากใจออกมาอย่างปิดไม่มิด จนพิชญ์ต้องค่อย ๆ ตะล่อมถามอย่างใจเย็น ไม่ผลีผลามรุกคืบจนอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด

‘เป็นความผิดของคุณหลิวยังไงหรือครับ...’

‘ถ้าวันนั้นหลิวยอมไปเป็นเพื่อนกลาง ไม่ปล่อยให้กลางไปคนเดียว เหตุการณ์นั้นก็คงไม่เกิดขึ้น’

‘คุณกลางเขาจะไปไหนหรือครับ’

‘กลางเขาจะไปหาเฮียค่ะ แต่ดันไปเจอเข้ากับคู่อริของเฮียซะก่อน ไม่น่าเลย ถ้าหลิวไปเป็นเพื่อนกลาง บางทีหลิวอาจจะช่วยกลางได้บ้าง มันเป็นความผิดของหลิว ความผิดของหลิวแท้ ๆ เลย ถ้าพี่ใหญ่รู้เข้า พี่ใหญ่จะต้องโกรธและเกลียดหลิวอีกคนแน่ ๆ หลิวอยากไถ่โทษค่ะคุณพีท...’



พิชญ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะผ่อนออกมาช้า ๆ รัญญาที่เขาพบเมื่อกลางวันดูเหมือนเป็นคนละคนกับที่เขาเคยพบตามงานสังคมต่าง ๆ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่บีบคั้นเข้ามาทำให้พิชญ์เรียนรู้ว่า...

...จะเป็นเสือ เป็นมังกร หรือเป็นหงส์ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันที่กลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน

“คุณพีท ข้าวเย็นเสร็จแล้วนะคะ”

พอได้ยินเสียงป้าน้อยเรียก พิชญ์ก็เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่งรอยยิ้มกลับไปให้ เขาปิดหนังสือแล้ววางลงบนโต๊ะตัวเล็ก ซุกซ่อนความอ่อนล้าเอาไว้มิดชิด ลุกขึ้นเดินมาหาป้าน้อยที่ยืนรออยู่ตรงโต๊ะกินข้าว

“โอ้โห ข้าวคลุกกะปิเหรอครับ ของโปรดของผมเลย”

“ถ้าของโปรดก็ต้องทานสองจานนะคะ คนแก่จะได้ชื่นใจ”

“อีกจานขอติดไว้พรุ่งนี้ได้ไหมครับ ถ้าซัดเข้าไปสองจานจริง ๆ มีหวังคืนนี้ผมคงต้องลงมาวิ่งออกกำลังแน่ ๆ”

“แหม ป้าล้อเล่นค่ะ”

พิชญ์หัวเราะออกมาก่อนจะก้มลงจัดการกับข้าวคลุกกะปิร้อน ๆ ที่วางอยู่ตรงหน้า ข้าวสวยร้อน ๆ ผัดกับกะปิหอม ๆ คลุกเคล้าด้วยเครื่องเคียงต่าง ๆ ที่วางมาอย่างเป็นระเบียบ แค่คำแรกที่ตักเข้าปากก็พาลให้คิดถึงฝีมือแม่พลอยขึ้นมาทันที

หลายครั้งหลายหนที่พิชญ์นึกอยากพาตัวเองกลับไปอยู่กับแม่พลอย หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองหลวง กลับไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของผู้เป็นแม่ แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงความคิด ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าจะกลับไปทำอะไรที่บ้านเกิด และที่สำคัญ...เขายังมีห่วงหลาย ๆ อย่างอยู่ทางนี้

ภาพของน้องหนูผุดขึ้นมาแวบแรกในความคิด ก่อนจะตามมาด้วยภาพใบหน้าของอริญชย์ จนพิชญ์เกือบจะแค่นหัวเราะออกมาด้วยความสมเพชตัวเองหน่อย ๆ เมื่อสำเหนียกว่าเขารวมอริญชย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตด้วย แต่พิชญ์ก็กล้ายอมรับกับตัวเองตามตรงว่า ตั้งแต่ที่ได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ จากอริญชย์แล้ว เขาเองก็รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่น้อย

...แต่ก็แค่เห็นใจ ไม่ได้หวั่นไหวจนยอมมองข้ามความผิดต่าง ๆ ของอริญชย์

พิชญ์จัดการกับข้าวคลุกกะปิจนหมดก็เอ่ยขอตัวขึ้นห้องนอนก่อน ป้าน้อยที่กำลังจะเก็บจานไปล้าง เอ่ยถามตามหลังเขามา

“คุณพีท ไม่อยู่รอคุณใหญ่ก่อนเหรอคะ”

“ผมเหนียวตัวจะแย่ ขออาบน้ำก่อนละกันครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วผมลงมาอยู่เป็นเพื่อนป้าน้อย”

พิชญ์กลับเข้าห้องมาจัดการอาบน้ำอาบท่าจนเสร็จเรียบร้อย แต่ก็ยังโอ้เอ้ ไม่ยอมลงไปข้างล่าง ชายหนุ่มเช็ดผมตัวเองไปพลางก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมากดเบอร์ไอลดาที่จำขึ้นใจ

...ปลายทางที่เขาต้องการคุยด้วยไม่ใช่คนรับสาย แต่เป็นน้องหนูที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจของเขา

“ว่าไงคะ พี่พีท”

โทรศํพท์ดังแค่เพียงทีเดียว ไอลดาก็กดรับทันที เสียงของเธอมีร่องรอยความดีใจแฝงเอาไว้อย่างปิดไม่มิด จนคนอย่างพิชญ์ถึงกับรู้สึกผิด แต่ก็เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น เมื่อความอยากคุยกับน้องหนูของเขามีมากกว่า

พิชญ์อยู่กับไอลดาเพียงเพราะคำว่าหน้าที่ จึงไม่แปลกที่เขาจะละเลยความรู้สึกของเธอไปทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวอยู่หลายครั้ง

“น้องหนูหลับหรือยังครับคุณเล็ก”

ถ้าไม่ได้หูแว่วไปเอง พิชญ์กล้ายืนยันเลยว่าเหมือนเขาจะได้ยินเสียงไอลดาถอนหายใจออกมาหนัก ๆ  ก่อนที่โทรศัพท์ในมือของไอลดาจะถูกส่งต่อไปให้ปลายทางที่แท้จริงของพิชญ์

“พ่อพีทขา...”

เจ้าตัวน้อยส่งเสียงออดอ้อนมาตามสาย น่ารักน่าเอ็นดูจนพิชญ์ยอมเห็นแก่ตัวทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไอลดาต้องเจ็บปวดไม่น้อย แต่พิชญ์ยอมรับ เขาไม่ใช่คนดีเด่อะไร เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง

“คิดถึงพ่อพีทไหมคะคนเก่ง”

“คิดถึงที่สุดเลยค่ะ วันนี้คุณครูสอนน้องหนูปั้นดินน้ำมันด้วย”

“ปั้นอะไรบ้างเอ่ย”

“เยอะแยะเลยค่ะ น้องหนูเอากลับมาให้พ่อพีทดูด้วย”

พิชญ์คุยกับน้องหนูอย่างเพลิดเพลิน ฟังนางฟ้าตัวน้อยเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ถ้าน้องหนูมาอยู่ใกล้ ๆ พิชญ์คงได้จับเจ้าตัวเข้ามาฟัดแก้มแรง ๆ เป็นแน่แท้

ความสุขของคนเป็นพ่อแม่ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ‘ลูก’ เลย

“เมื่อไหร่น้องหนูจะได้เจอพ่อพีทคะ”

“ไว้พ่อพีทจะแวะไปหานะ อยู่กับแม่เล็กก็อย่าดื้อรู้ไหมลูก”

นางฟ้าตัวน้อยรับคำเสียงใส ก่อนจะได้ยินเสียงไอลดาเรียกน้องหนูไปดื่มนมดังเข้ามาในสาย แล้วโทรศัพท์ก็ถูกเปลี่ยนมือกลับไปหาไอลดาอีกครั้ง

“พี่พีทจะคุยกับน้องหนูต่อหรือเปล่าคะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณเล็กพาน้องหนูเข้านอนเถอะ ฝันดีทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ พี่พีทเองก็ฝันดีเหมือนกันนะคะ ดูแลตัวเองบ้าง อย่าเอาแต่หักโหมทำงาน เล็ก...รักพี่พีทนะคะ”

พิชญ์ยิ้มขื่น ๆ ออกมาก่อนจะกดวางสายช้า ๆ โดยไม่ได้ตอบรับอะไร คำว่ารักจากไอลดายังคงดังซ้ำไปซ้ำมาจนเขารู้สึกปวดหนึบไปทั้งใจ

...คำว่ารักที่ไม่เคยต้องการ ยิ่งได้รับมากเท่าไหร่ ก็มีแต่ยิ่งทำให้ลำบากใจมากเท่านั้น


.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 15 --- หน้าที่ 4 [24/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 24-05-2020 15:13:03

กว่าพิชญ์จะลงมาข้างล่างอีกที ป้าน้อยก็แทบจะสัปหงกคาเก้าอี้ ขนาดว่าเปิดละครหลังข่าวให้อยู่เป็นเพื่อนแล้วแท้ ๆ แต่เธอก็ยังง่วงเกินกว่าจะมานั่งถ่างตารอเจ้านาย มาสะดุ้งตื่นตอนที่พิชญ์แตะมือลงบนบ่าเบา ๆ

“อุ๊ย อกอีแป้นจะแตก”

พิชญ์หัวเราะเบา ๆ ให้กับคำอุทานของป้าน้อยก่อนจะกระเซ้าอย่างไม่จริงจังนัก

“สมัยนี้ยังมีคนอุทานแบบนี้อยู่อีกเหรอครับ”

“อาบน้ำนานจังนะคะคุณพีท นึกว่าจะปล่อยป้ารอจนหลับแล้วเสียอีก”

“ขอโทษทีครับ พอดีผมโทรคุยกับน้องหนูเพลินไปหน่อย”

“คุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ ดื้อกับคุณเล็กหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิครับ แต่คุณเล็กไม่เห็นบ่นอะไรนะครับ” พิชญ์เอ่ยพลางเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา

เขาเห็นป้าน้อยไม่ได้ดูละครที่กำลังเปิดอยู่ เลยถือวิสาสะหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่อง หันมาอีกทีก็เห็นป้าน้อยกำลังยกมือปิดปากหาว พิชญ์เลยเอ่ยออกมาเสียงกลั้วหัวเราะ

“ป้าน้อยไปนอนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมรอคุณใหญ่เอง”

“จะดีหรือคะ”

“ดีสิครับ ไปนอนพักผ่อนเถอะครับ ถ้าคุณใหญ่จะเอาอะไร เดี๋ยวผมจัดการเอง รับรองว่าไม่ปล่อยให้ไปปลุกป้าน้อยขึ้นมาแน่ ๆ”

“ค่ะ งั้นป้าขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”

พอเห็นป้าน้อยเดินกลับไปนอนแล้ว พิชญ์เลยคว้าหนังสือเล่มที่อ่านค้างอยู่เมื่อตอนเย็นขึ้นมาเปิดอ่านฆ่าเวลาต่อ ความจริงก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพิชญ์ที่จะต้องมานั่งรออริญชย์ เขาแค่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายกลับมาดึกแล้วเกิดหิวขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็ยังพอทำอะไรง่าย ๆ ให้กินได้ หรือไม่ก็เอาข้าวคลุกกะปิที่ป้าน้อยทำไว้มาอุ่นให้กิน โดยไม่ต้องให้อริญชย์ไปปลุกป้าน้อยขึ้นมาให้ลำบาก

พิชญ์อ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ ก็อดยกมือปิดปากหาวเป็นระยะไม่ได้ เขาเองก็รู้สึกง่วงไม่น้อย หนังสือนิยายแนวสืบสวนที่ถืออยู่ในมือกลายเป็นยานอนหลับอย่างดี ก่อนที่พิชญ์จะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงสนทนาดังอยู่ใกล้ ๆ ตัว

“เดี๋ยวผมปลุกคุณพีทให้ละกันครับ จะได้ขึ้นไปนอนข้างบน”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไปพักผ่อนเถอะ”

ก่อนที่เจ้านายกับลูกน้องจะทันได้ตกลงกันให้เรียบร้อย พิชญ์ก็เป็นฝ่ายลืมตาขึ้นมาเสียก่อน ภาพแรกที่เขาเห็นคืออริญชย์กับตุลย์ แต่ดูเหมือนสายตาของพิชญ์จะเอาแต่จับจ้องอยู่ที่อริญชย์ พิชญ์เขม้นมองช้า ๆ แล้วก็หลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อเห็นสภาพอีกฝ่ายชัดถนัดตา

“คุณใหญ่!”

ตุลย์มองพิชญ์สลับกับอริญชย์ ทำท่าจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับต้องชะงัก เมื่ออริญชย์หันมาตวัดตามองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่ ตุลย์เลยได้แต่ไหวไหล่แรง ๆ แล้วเดินจากไป

เรื่องของเจ้านาย บางทีก็ต้องปล่อยให้เจ้านายเป็นฝ่ายจัดการกันเองบ้าง ถ้าเข้าไปยุ่งมาก ๆ มันคงไม่ดี เขาเองก็ทั้งเหนื่อยทั้งเหนียวตัวเต็มทีแล้วเหมือนกัน ถ้าได้อาบน้ำเย็น ๆ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ก็คงจะดีไม่น้อย ตุลย์คิดพลางผิวปากหวือออกมา ทิ้งอริญชย์กับพิชญ์เอาไว้เบื้องหลัง

พิชญ์สังเกตเห็นตุลย์เดินออกไปจากหางตา แต่เขาก็ไม่ได้นึกสนใจตุลย์เท่าสภาพมอมแมมของอริญชย์ สำหรับคนที่เคยชินกับมาดเนี้ยบ ๆ แฝงไว้ด้วยความหยิ่งยโสของอริญชย์มาตลอดเวลาที่รู้จักกันอย่างเขา เสื้อผ้าที่มีรอยกระดำกระด่างจากดินทรายไม่ใช่เรื่องปกติที่พิชญ์จะมองข้ามไปแน่ ๆ

“เกิดอะไรขึ้น” พิชญ์หลุดคำถามออกไปห้วน ๆ ตรง ๆ โดยไม่คิดที่จะมานั่งเสียเวลาประดิดประดอยคำพูดให้ดูสวยหรู

“ขอน้ำเย็นซักแก้วก่อนได้ไหม”

พิชญ์ทำท่าจะเอ่ยปากค้าน แต่พอเห็นท่าทางอิดโรยของอีกคน เขาเลยลุกไปรินน้ำใส่แก้วให้โดยไม่อิดออด กลับมาอีกทีก็เห็นอริญชย์นั่งนิ่ง ๆ อยู่บนโซฟา เอาหัวพาดกับพนักพิงเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่

“น้ำมาแล้วครับ”

คนที่เอ่ยปากขอน้ำผงกหัวขึ้นมามองก่อนจะดึงแก้วน้ำจากมือพิชญ์ไปดื่มจนหมดแก้ว อริญชย์ยกมือปาดคราบน้ำที่เลอะอยู่มุมปากออกลวก ๆ ร่างสูงกำยำลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเกือบจะเดินผ่านหน้าพิชญ์ไปอยู่แล้ว ถ้าไม่มีมือมารั้งแขนเขาเอาไว้เสียก่อน

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ”

คนถูกถามปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่ง เขาบิดแขนออกจากการเกาะกุมของพิชญ์ แล้วเปลี่ยนเป็นคว้าข้อมือของพิชญ์เอาไว้แทน คนที่เพิ่งตั้งคำถามกับประมุขของบ้านไปเมื่อครู่ ถูกลากให้เดินตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังเงียบ ๆ มันก็ไม่ใช่วิสัยของพิชญ์เหมือนกัน

“คุณใหญ่...”

“ไปคุยกันบนห้อง”

พิชญ์พรูลมหายใจออกมา ก่อนจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่ออริญชย์พาเขาเข้ามาถึงในห้องแล้ว

“ล็อกประตูห้องด้วย” เจ้าของห้องสั่งเสียงเรียบ ขณะง่วนอยู่กับการปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด

พิชญ์ทำตาม แม้จะนึกสงสัย พอหันหลังกลับมาอีกที เขาก็เห็นอริญชย์อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน พิชญ์ชะงักไปนิดหนึ่ง เขาไม่ได้ตกตะลึงไปกับมัดกล้ามของอริญชย์ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของพิชญ์กลับเป็นผ้าพันแผลสีขาวบริเวณต้นแขนซ้าย

อริญชย์นั่งลงที่ปลายเตียง ค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกอย่างชำนาญ ทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่ได้น่าตื่นตกใจแต่อย่างใด พิชญ์ถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยพยายามควบคุมโทนเสียงให้ราบเรียบ แม้ในหัวจะมีคำถามมากมายเต็มไปหมด

“เดี๋ยวผมลงไปเอากล่องปฐมพยาบาลให้”

“ไม่ต้อง ข้างบนมี เดินไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำให้ที”

พิชญ์ต้องยอมเก็บคำถามและความสงสัยเอาไว้ ในเมื่อตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าดูเหมือนจะเป็นการปล่อยให้อริญชย์จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อน พิชญ์เดินเข้าไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ในห้องน้ำของอริญชย์ ทั้ง ๆ ที่ยังนึกสงสัยว่ามันใช่หน้าที่เขาแน่หรือ อาการง่วง ๆ เบลอ ๆ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง

รอจนเห็นว่าน้ำอุ่นได้ที่ พิชญ์ก็หันหลังจะเดินออกไปตามอริญชย์ แต่ความตั้งใจของเขาก็ต้องถูกโยนทิ้ง เมื่อเจ้าของห้องเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในห้องน้ำเสียก่อน และไม่ได้เดินเข้ามาแบบธรรมดา แต่เล่นมาแบบไม่มีผ้าผ่อนติดตัวซักชิ้น

พิชญ์ยอมรับเลยว่าอริญชย์รูปร่างดีจนน่าอิจฉา แต่ช่วยถามเขาหน่อยเถอะว่าอยากดูไหม

กริ๊ก !!

เสียงล็อกกลอนประตูห้องน้ำที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบทำเอาพิชญ์สะดุ้งนิด ๆ พอเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าชักจะไม่สู้ดี เขาก็รีบมองหาทางหนีทีไล่ พยายามเบี่ยงตัวไปอีกทางเมื่อเห็นว่าอริญชย์กำลังเดินตรงมาทางเขา

“คุณจะล็อกประตูห้องน้ำทำไม เดี๋ยวผมจะออกไปแล้ว”

“นายตาบอดหรือแกล้งมองไม่เห็นว่าแขนฉันเจ็บอยู่”

“แล้วยังไง...”

พิชญ์ไม่ใช่คนโง่ แต่บางครั้งเขาก็ต้องยอมแกล้งโง่เพื่อให้ตัวเองรอดออกไปจากถ้ำเสือ และเช่นเดียวกัน อริญชย์เองก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เขายอมอ่อนให้คนบางคนเท่านั้น

“จะใจดำขนาดไม่ยอมช่วยฉันเลยหรือไง”

“จะให้ผมช่วยอะไร คุณก็พูดมาสิ”

ช่วยออกไปไกล ๆ ช่วยเรียกตุลย์ ช่วยทำแผล ช่วยอะไรก็ได้ พิชญ์ขอแค่เรื่องเดียว...

“ช่วยฉันอาบน้ำหน่อย”

คำตอบของอริญชย์ไม่ได้ห่างไกลจากสิ่งที่พิชญ์คิดเอาไว้เลย แต่มันคือคำตอบสุดท้ายที่เขาต้องการจะได้ยิน พิชญ์ทำหน้าหน่าย ๆ ออกมาอย่างไม่ปิดบังขณะเอ่ยปฏิเสธไปตรง ๆ

“ผมอาบน้ำแล้ว ไม่อยากเปียกอีก”

“นั่นมันเป็นปัญหาของนาย ไม่ใช่ของฉัน ว่าจะทำยังไงไม่ให้ตัวเองเปียก”

พิชญ์กัดฟันกรอด เมื่อรู้ว่าทางเลือกของตัวเองถูกบีบให้น้อยลงหรือพูดง่าย ๆ คือ อริญชย์ไม่เคยมีทางเลือกให้เขาเลย ยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามออกไปอย่างที่ใจคิด อริญชย์ก็เอ่ยเสียงหนัก ๆ สำทับตามมาอีก

“ฉันอยากสระผมด้วย คันหัวยังไงไม่รู้”

พิชญ์พยายามข่มอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะผายมือไปยังอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่เป็นเชิงให้อริญชย์ลงไปรอในอ่าง เจ้าของห้องทำตามอย่างว่าง่ายไม่มีอิดออด มุมปากหยักผุดรอยยิ้มขึ้นมานิด ๆ ใครจะรู้ดีเท่าตัวเขาเองว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

อริญชย์ก้าวขาลงไปในอ่างอาบน้ำ น้ำอุ่น ๆ ที่พิชญ์เปิดทิ้งไว้ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย ความเหนื่อยล้าที่เจอมาตลอดทั้งวันดูจะหายเป็นปลิดทิ้ง ชายหนุ่มหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะวางศีรษะลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ละทิ้งปัญหาต่าง ๆ เอาไว้ข้างนอก มีแค่เวลานี้ที่เขาได้เป็นตัวของตัวเองยามอยู่กับพิชญ์

พิชญ์ยืนมองอริญชย์ที่แช่น้ำอยู่อย่างชั่งใจก่อนจะพับแขนเสื้อนอนตัวเองช้า ๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเดินไปนั่งตรงขอบอ่าง พยายามมองเมินทัศนียภาพที่ล่อแหลมต่าง ๆ พร่ำบอกตัวเองว่าให้รีบทำให้มันเสร็จ ๆ ไปเสียที

พิชญ์หยิบฝักบัวมาเปิดน้ำอุ่นรดลงบนหัวของอริญชย์ ก่อนจะบีบแชมพูใส่มือแล้วเริ่มต้นสระผม ดูเหมือนคนที่นอนหลับตาอยู่นิ่ง ๆ จะรับรู้ถึงอาการเกร็งของพิชญ์ อริญชย์ถึงได้เอ่ยออกมาเสียงเรื่อย ๆ

“วันนี้ฉันไปตรวจไซต์งาน...”

“ครับ” คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ช่างสระผมจำเป็นทวนคำอย่างงง ๆ

“สงสัยไม่ใช่หรือไง ว่าแผลตรงต้นแขนมาจากไหน”

“ไปโดนอะไรมาล่ะครับ”

“ก็แค่ถูกลอบยิง...”

คนเล่าเล่าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ผิดกับคนฟังที่ถึงกับชะงักมือที่กำลังสระผมให้อยู่ พิชญ์ชะโงกหน้าลงไปดูแผลอริญชย์ใกล้ ๆ ตอนที่อริญชย์แกะผ้าพันแผลออก เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจมอง พอก้มลงดูชัด ๆ ถึงได้เห็นว่ามันเป็นรอยกระสุนถาก

“แล้วจับตัวคนทำได้หรือเปล่า” พิชญ์ถาม ทั้งที่รู้ดีว่าอย่างคนอริญชย์คงไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไปได้แน่

“จับได้ ฉันจัดการมันไปแล้ว”

“แล้วคนบงการล่ะ”

พอได้ยินคำถามของพิชญ์ ดวงหน้าคมก็พลันกระด้างขึ้นมา ร่างสูงเกร็งตัวแน่นด้วยความโกรธจนพิชญ์เองยังรู้สึกได้ เขาใช้ปลายนิ้วนวดไปตามหนังหัวอริญชย์ช้า ๆ หวังจะช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

“จะมีใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่ไอ้เล้ง”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือเสี่ยเล้ง”

“หึ! มือปืนที่มันจ้างมาสารภาพกับฉันเองน่ะสิ”

พิชญ์ถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัด เมื่อสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่มันชักจะเลยเถิด เขาค่อย ๆ ทบทวนบทสนทนาที่คุยกับรัญญาเมื่อกลางวัน

‘...ถ้าคุณพีทอยากให้หลิวช่วยอะไรก็บอกมาเลยนะคะ หรืออยากให้หลิวนัดเฮียให้ หลิวก็ยินดี หลิวไม่อยากเห็นเฮียกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันอีกแล้ว...’

บางทีเขาอาจจะต้องลงมือทำอะไรเอง และรัญญาก็ดูเหมือนจะเป็นตัวช่วยชั้นดีที่เสนอตัวเข้ามาได้ถูกที่และถูกเวลา

“คุณปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว”

อริญชย์เหยียดยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะเล่าให้พิชญ์ฟังแม้แต่น้อยว่าจัดการสำเร็จโทษมือปืนยังไง เรื่องบางเรื่องมันก็โหดร้ายเกินกว่าจะให้พิชญ์มารับรู้ แค่โลกของพิชญ์เป็นสีเทา ๆ ก็พอแล้ว อย่าให้ต้องดำมืดเหมือนโลกของเขาเลย

พิชญ์หยิบฝักบัวมาล้างคราบแชมพูออกจากหัวของอริญชย์ พอล้างจนหมดแล้ว ก็เผลอยื่นมือไปลูบไล้บาดแผลอย่างเผลอไผล เสียงที่เอ่ยถามออกไปทอดอ่อนไม่รู้ตัว

“เจ็บไหม...”

“แค่ถาก ๆ เอง เป็นห่วงฉันหรือไง”

ดวงตาดำจัดหันมาสบเข้ากับดวงตาเรียวของพิชญ์ จ้องตากันนิ่ง ก่อนพิชญ์จะเสก้มลงดูบาดแผลที่ต้นแขนของอริญชย์อย่างสนอกสนใจ แล้วก็ต้องหลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อถูกกระชากให้ลงไปเบียดอยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกัน

“เฮ้ย”

น้ำในอ่างกระเซ็นสาดใส่จนเปียกชุดนอนของพิชญ์ไปทั้งชุด อารมณ์เป็นห่วงหายวับไปทันทีก่อนจะถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

“ผมไม่เล่นด้วยนะคุณใหญ่” พิชญ์เอ่ยออกมาเสียงแข็ง เมื่อรู้ตัวว่าเผลอไผลจนพลาดท่าเสียทีอริญชย์เข้าให้แล้ว

อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ของอริญชย์ราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับคนสองคน แต่ต่อให้มันใหญ่พอที่จะลงมาแช่ด้วยกันสองคน มันก็ไม่มีที่มากพอให้พิชญ์หลบหนีไปไหน โดยเฉพาะในยามที่เขาถูกตรึงเอาไว้ด้วยวงแขนแข็งแรง จนแผ่นหลังแนบชิดติดกับขอบอ่าง

“กับนายน่ะฉันไม่เคยเล่น ฉันเอาจริงทุกครั้ง”

ฝ่ามือหนาเอื้อมมาปลดกระดุมชุดนอนผ่าหน้าของพิชญ์อย่างถือวิสาสะ แม้จะพยายามปัดป้องมากแค่ไหน แต่พิชญ์ก็ต้องยอมรับว่าสรีระและพละกำลังของเขากับอริญชย์แตกต่างกัน ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่อริญชย์แข็งแรงกว่าเขามากนัก ถ้าเขาสามารถต่อกรอริญชย์ได้แม้เพียงซักนิดหนึ่ง เขาคงไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างอย่างที่ผ่าน ๆ มา

“คุณใหญ่ อย่า!”

อริญชย์โน้มหน้ามาจนชิดกับใบหน้าพิชญ์ เจ็บปวดจากแผลกระสุนถากยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้ครอบครองพิชญ์วันนี้ ที่นี่ เขาคงต้องคลั่งตายแน่ ๆ

“ว่าง่าย ๆ หน่อยพีท อย่าให้ฉันต้องหยิบเรื่องเดิม ๆ มาขู่ทุกครั้งที่จะกอดนายได้ไหม”

พิชญ์ถึงกับนิ่ง เรื่องเดิม ๆ ที่อริญชย์หยิบยกมาขู่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความผิดของเขา ความผิดที่พิชญ์ชักจะไม่แน่ใจว่า ตกลงแล้วเขาผิดจริง ๆ หรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ข้ออ้างของอริญชย์ที่จะเอารัดเอาเปรียบเขา

ในอ่างอาบน้ำที่กว้างพอสำหรับคนสองคน ร่างกายของอริญชย์กับพิชญ์แนบสนิทกันทุกสัดส่วน ฝ่ามือใหญ่ยื่นมาลูบไล้ส่วนกลางลำตัวของพิชญ์อย่างน่าไม่อาย คนถูกกระทำได้แต่เบือนหน้าหนี ซุกซ่อนความเจ็บช้ำในใจไว้อย่างมิดชิด หลังจากที่เสียศักดิ์ศรีให้กับอริญชย์ไป พิชญ์ก็ไม่เคยคิดจะปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายของเขาไหลออกมาแม้แต่ครั้งเดียว

หยดน้ำตาของเขามีค่ามากเกินกว่าต้องมาเสียให้กับอริญชย์

“ไม่ทันไรก็มีอารมณ์แล้ว นายเองก็อยากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ...” อริญชย์ยื่นหน้ามากระซิบคำพูดน่าอายข้างหูพิชญ์ ก่อนกางเกงนอนที่เปียกน้ำจะถูกกระชากแล้วโยนออกไปนอกอ่าง เปิดเผยความเป็นชายที่กำลังแข็งขืนโดยไม่ไว้หน้าผู้เป็นเจ้าของแม้แต่น้อย

ผิวกายละเอียดของพิชญ์ถูกอริญชย์เชยชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนกระทำค่อย ๆ แตะต้องอย่างอ่อนโยน สำหรับคนที่ปากแข็งอย่างอริญชย์แล้ว เขารู้เพียงแค่ว่า...การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด

ถึงจะไม่เคยพร่ำพูดคำว่ารักออกไปให้อีกคนได้ยิน แต่เขาก็ตีตราและแสดงความรักลงทุกตารางนิ้วบนร่างกายพิชญ์อย่างอ่อนโยน หารู้ไม่ว่าความอ่อนโยนที่มอบให้ไปในทุก ๆ การกระทำ มันไม่เคยเดินทางไปถึงหัวใจคนรับเลยซักครั้ง

...ถ้าคนหนึ่งไม่คิดที่จะเปิดปาก อีกคนก็คงไม่คิดที่จะเปิดใจ...

ริมฝีปากร้อนจัดจูบซับไปทั่วผิวกายขาว ฝากฝังรอยรักเอาไว้ทุกบริเวณที่แตะต้อง พิชญ์หลับตา ไม่อยากรับรู้ทุกการกระทำ ไม่อยากรับรู้ทุกสัมผัส และที่สำคัญ...เขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังรู้สึกดีมากแค่ไหน

พิชญ์แค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยมีอารมณ์ทางเพศหรือแม้กระทั่งนึกอยากจะกอดไอลดา แม้ว่าอีกฝ่ายจะแตะเนื้อต้องตัวเขาอยู่บ่อย ๆ แต่พอเป็นอริญชย์ เพียงแค่สัมผัสกันอย่างผิวเผิน กลับปลุกเร้าความต้องการในตัวเขาให้ลุกโชน จนเผลอแอ่นกายตอบรับสัมผัสจากอริญชย์อย่างน่ารังเกียจ

อริญชย์ขยับมานั่งพิงขอบอ่างด้านหนึ่ง แล้วยกตัวพิชญ์ขึ้นมาคร่อมทับอยู่บนตัวเขา พิชญ์เบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในท่าทางอันล่อแหลม ปลายนิ้วใหญ่ลูบไล้จนไปถึงช่องทางด้านหลัง ถูไถไปตามรอยแยกช้า ๆ แค่อริญชย์ฝืนดึงดันเข้าไปเพียงนิดเดียว คนที่อยู่ข้างบนก็เกร็งตัวขึ้นมาทันที ฝ่ามือหนาดึงพิชญ์เข้ามารับจูบซ้ำ ๆ ก่อนจะจับอีกฝ่ายให้หันหน้าไปมองกระจกเงาบานใหญ่

“ดูสิ...ว่านายต้องการฉันมากแค่ไหน”

ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากรับรู้ แต่พิชญ์ก็อดหันไปมองไม่ได้ ผู้ชายสองคนกำลังร่วมรักกันอย่างน่าไม่อาย หนึ่งในนั้นคือเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาแสดงความต้องการออกมาอย่างปิดไม่มิด

“อา...” พิชญ์หลุดเสียงครางออกมาดังลั่น เมื่ออริญชย์เสือกกายเข้ามาพรวดเดียว มันทั้งจุกและทั้งเจ็บไปในคราวเดียวกันจนเขาถึงกับต้องทำหน้าเหยเก

อริญชย์ค่อย ๆ กดตัวตนส่วนที่เหลือเข้าไปจนสุดทาง พิชญ์ขยับตัวจะถดหนี แต่ฝ่ามือหนากลับยึดสะโพกเขาไว้แน่น ขยับเข้าออกช้า ๆ จนความเจ็บปวดค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความสุขสม บทเพลงรักที่ร่วมด้วยช่วยกันบรรเลงดังทั่วห้องน้ำ แม้ในใจจะบอกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้อง แต่พิชญ์ก็ไม่อาจขัดขืนความต้องการของร่างกาย ได้แต่ขยับโยกอยู่บนตัวอริญชย์ตามที่ร่างกายปรารถนา

สัมผัสจากฝ่ามือร้อนผ่าวปลุกเร้าพิชญ์อย่างรู้ใจ รู้ว่าตรงไหนที่จะยิ่งทำให้พิชญ์เตลิดไปไกล แค่เพียงแตะต้อง หยอกล้อ พิชญ์ก็แทบสูญสิ้นความเป็นตัวของตัวเอง ราวกับร่างกายของเขามันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ปล่อยให้อริญชย์ควบคุมทั้งเกมรักและร่างกายของเขา

ที่สุดของปลายทาง เสียงครางดังจนแยกไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นเสียงใคร สายธารอุ่นร้อนถูกฉีดพร่างพรมเข้าไปในร่างกายของพิชญ์ ก่อนที่เจ้าของร่างจะทิ้งตัวลงซบหน้ากับบ่าของอริญชย์อย่างอ่อนล้า

เกลียด! พิชญ์เกลียดร่างกายไม่รักดีของตัวเอง

รู้ว่าขัดขืนไม่ได้ แต่ทำไมต้องเต้นตามไปกับสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้

อริญชย์จับพิชญ์ให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบเขา พิชญ์จ้องมองอริญชย์นิ่ง พยายามส่งผ่านความเกลียดออกไปทางแววตา แต่สิ่งที่สื่อออกมากลับมีแค่ความเจ็บใจ

“อย่ามองเหมือนว่าฉันข่มขืนนายได้ไหม”

“คนที่บังคับคนไม่เต็มใจ ถ้าไม่เรียกว่าข่มขืน จะให้เรียกว่าอะไร”

“ถ้าไม่เต็มใจ แล้วเมื่อกี้ใครที่ขยับอยู่บนตัวฉันอย่างน่าไม่อาย”

พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น หมดคำพูดจะมาต่อล้อต่อเถียงกับอริญชย์ จะเถียงให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ในเมื่อการกระทำทุกอย่างอย่าว่าแต่อริญชย์ที่เห็นเลย ตัวเขาเองก็รู้แก่ใจเป็นอย่างดีว่าร่างกายมันเรียกร้องและต้องการอริญชย์มากแค่ไหน

พิชญ์ฝืนลุกขึ้นจากอ่างน้ำโดยที่อริญชย์ไม่คิดจะห้ามปรามแม้แต่น้อย เขาพยายามแข็งใจก้าวขาออกมา ทั้งที่ขาสั่นจนแทบจะก้าวไม่ออก เดินข้ามชุดนอนของตัวเองที่ถูกถอดทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่ที่พื้น คว้าผ้าขนหนูมาพันรอบตัวแล้วเดินออกมาทิ้งร่างลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า

นับวัน...ความเกลียดที่มีให้อริญชย์มันยิ่งน้อยลงทุกที

แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้น...คือความเกลียดตัวเอง

ถึงเขาจะไม่ได้รักไอลดา แต่การทำแบบนี้...มันก็ไม่ต่างอะไรกับการหักหลังไอลดาเลย



TO BE CONTINUE/b]


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
อย่างคุณใหญ่...ไม่น่าจะถูกใครทำอะไรง่ายๆ
มีแต่จะไปทำชาวบ้านมากกว่า เจ็บตัวทีกำไรที น่าหมั่นไส้มากค่ะ

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 15 --- หน้าที่ 4 [24/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 24-05-2020 20:18:12
ไอลดาก็ดันทุรังเกินไปเหมือนกับพี่ชายของเขานั่นแหละพีท เพียงแต่คุณใหญ่ใช้วิธีการมาข่มขู่เอาตัวเธอมากอดมากกได้ยังไงละ ถ้าพีทยอมทิ้งน้องหนูลงได้ ชีวิตพีทก็จะเป็นอิสระ...​แต่เป็นอิสระแค่แป๊บเดียวนะแหละ เพราะยังไงคุณใหญ่ก็จะตามล่าให้พีทกลับมาอยู่ดี.. ยกเว้นเสียแต่ว่าจะหาคนใหญ่คนมีอำนาจกว่าคุณใหญ่มาช่วยเหลือ....

อีคุณใหญ่ก็นะ จะพูดกับพีทดีๆ บ้างไม่ได้เลยรึ สิ่งที่ทำยังไงเขาก็เรียกว่าข่มขืนนะคุณใหญ่ หัดพูดจาดีๆ บ้าง รับรองพีทมอบทั้งตัวและหัวใจด้วยความเต็มใจแน่ๆ  :katai5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 15 --- หน้าที่ 4 [24/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-05-2020 20:34:59
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 15 --- หน้าที่ 4 [24/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-05-2020 00:22:35
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 15 --- หน้าที่ 4 [24/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-05-2020 21:34:33
 :oo1: แบบนี้ในอ่างก็เสียวฟินจิกหมอนดี
 ถึงจะหมั่นไส้คุณใหญ่แต่ก็ชอบว่ะ 555555 ชอบความรู้สึกพีทที่รู้สึกดีกับคุณใหญ่ระหว่างที่ทำเรื่องแบบนั้น แม้หลังจากนั้นพีทจะโกรธเขาก็เถอะ ชอบที่ต่างคนต่างยกให้กันและกันเป็นคนพิเศษในแง่ที่ว่าจะไม่ทำอย่างนี้แบบนี้หรือรู้สึกกับใครมันเกิดเฉพาะคนๆนี้ไรงี้ มันดีอ่ะ 555555 ถึงแม้ตอนนี้ต่างคนจะไม่ยอมรับใจกันและกันก็ตาม จะรอดูวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ก่อนอื่นขอไปจัดการเสี่ยเล้งก่อนนะ ค่อยมาว่ากันนะพีท คุณใหญ่บอก 555555 บทเพื่อน2คนนี้จะลงยังไง *เห้อออ ถอนหายใจ* ตอนที่หลิวบอกว่าเสียใจที่ไม่ได้ไปกับกลาง มุมมองหลิวก็คงแบบนั้น แต่มุมคนอื่นคือถ้าไปความสูญเสียจากหนึ่งอาจกลายเป็นสองก็ได้ ใครจะรู้ นั่นคู่อรินะ อย่าโทษตัวเองไปเลยนะหลิว พีทอ่ะจะทำอะไรกับหลิว คิดดีๆนะ ไม่งั้นมันจะย้อนกลับมาหาตัว 5555 ก็แอบเห็นใจไอลดาอยู่หรอกนะ แต่ก็หวังว่าวันที่รู้ความจริงพีทกับพี่ชาย จะทำใจยอมรับมันได้ ว่าความรักมันเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้จริงๆ อิอิ
อ๊อยยยยยยยสนุกกกมากค่า ชอบๆ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 15 --- หน้าที่ 4 [24/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Moonoii ที่ 26-05-2020 11:25:05
พึ่งจะได้อ่านncเต็มของคู่นี้
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 16 --- หน้าที่ 4 [28/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 28-05-2020 20:15:28

สิบหก
ความจริงในใจ



ละอองเย็นจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบร่างเปลือยเปล่าที่นอนขดอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ เจ้าของร่างขยับตัวซุกผ้าห่มผืนหนาเพื่อหาไออุ่น ข้างกายของพิชญ์ว่างเปล่า ปราศจากเงาเจ้าของห้อง มีเพียงแค่เขาที่นอนอยู่ตามลำพังบนเตียงกว้าง

สายฝนข้างนอกยังคงตกโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายเหมือนที่เป็นมาตลอดทั้งคืน พระอาทิตย์ดวงโตยังคงเล่นซ่อนแอบอยู่หลังก้อนเมฆ แม้ว่าจะเป็นเวลาสายมากแล้ว มีแต่ความอึมครึมจากก้อนเมฆและสายฝนที่ปกคลุมอยู่ทั่วท้องฟ้า มันช่างดูขมุกขมัว เหมือนกับความรู้สึกของพิชญ์ในตอนนี้

ดวงตาเรียวจับจ้องอยู่ที่หน้าต่างบานสูง มองหยาดน้ำฝนค่อย ๆ ไหลลงมาตามกระจกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย นึกอยากกระโจนออกไปเล่นน้ำฝนเหมือนที่เคยทำสมัยที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ จนโดนแม่พลอยเอ็ดเอาอยู่บ่อย ๆ แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงความคิดลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น

เวลาเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเปลี่ยนผัน แม้แต่ตัวเขาเองก็เช่นกัน...

พิชญ์ยังคงนอนนิ่ง แม้จะรู้ดีว่าสายมากแล้ว แต่ฝนตกหนักขนาดนี้ ต่อให้รีบเร่งออกไปทำงานมากแค่ไหน เขาก็ต้องพาตัวเองออกไปผจญกับรถติดในใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครอยู่ดี และที่สำคัญ...บทรักที่อริญชย์เรียกร้องเอาจากเขาตลอดทั้งคืน มันก็ทำเอาพิชญ์อ่อนล้าจนไม่คิดอยากจะลุกไปไหน

ถึงแม้พิชญ์จะยังอยากนอนต่ออยู่บนเตียงนิ่ง ๆ ความรู้สึกที่บอกว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา แต่เป็นห้องนอนของอริญชย์ ก็ทำให้พิชญ์ต้องยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียงช้า ๆ

ผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือยเปล่าของเขาอยู่หลุดร่นลงมากองอยู่บนหน้าตัก ร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของปรากฏเด่นชัดทั่วร่างกายพิชญ์ จนเจ้าของร่างทำได้เพียงหลุดยิ้มขื่น ๆ ออกมา

เขาในตอนนี้...ทั้งสมเพชและรังเกียจตัวเองยิ่งกว่าอะไรดี

แค่เพียงหลับตา ภาพความทรงจำที่เขาตอบรับทุกสัมผัสของอริญชย์อย่างเร่าร้อน หยัดร่างเข้าหาอย่างน่าไม่อาย ส่งเสียงครางอย่างไร้ศักดิ์ศรี สิ่งเหล่านั้นมันผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ราวกับกรอเทปซ้ำไปซ้ำมา จนพิชญ์ได้แต่ซบหน้าตัวเองลงกับหัวเข่า

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำมันผิด แต่พิชญ์ก็ไม่อาจหักห้ามร่างกายตัวเองได้เลย ร่างกายของเขาเหมือนไม่ใช่ร่างกายของเขาอีกต่อไป มันเอาแต่คอยเรียกร้องและโหยหาสัมผัสจากอริญชย์ เพียงแค่อีกฝ่ายสัมผัสแผ่วเบา ร่างกายของเขาก็พลันลุกฮือด้วยความต้องการที่ถูกกระตุ้น เหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่เรียกร้องหากันและกันอย่างไม่รู้จักอิ่มเอม

“ต้องทำยังไง...”

เป็นคำถามที่พิชญ์ได้แต่เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ต้องทำยังไงถึงจะหลุดจากความอึดอัดที่หอมหวานนี้ เขาพร่ำตอกย้ำสถานะของตัวเองและอริญชย์อยู่ทุกวัน ตอกมันให้ลึกลงไปถึงข้างในก้นบึ้งหัวใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ นอกจากร่างกายจะไม่เชื่อฟังแล้ว หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของตัวเองเข้าไปทุกที

อริญชย์อาจจะเห็นเขาเป็นแค่ของเล่น เป็นแค่นายบำเรอ หรือแม้แต่ที่ระบายความใคร่

ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พิชญ์ก็ต้องหักใจมองอริญชย์ให้เป็นได้แค่เพียงพี่ภรรยาเท่านั้น

แค่เลยเถิดทางกายก็ไร้ศักดิ์ศรีมากพอแล้ว ยังจะหยิบยื่นหัวใจไปให้เขาเหยียบย่ำอีกหรือพิชญ์ ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาแบบผิดที่ผิดทาง และที่สำคัญ...มันผิดศีลธรรม อย่าให้ความปรารถนามันครอบงำจนลืมความจริงที่เป็นอยู่เลย

พิชญ์ก้าวขาลงจากเตียงช้า ๆ ของเหลวบางอย่างค่อย ๆ ไหลรินลงมาตามง่ามขา เขาได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น เก็บกลืนฝืนทนทุกความรู้สึกที่แสนน่าละอายเอาไว้ ก้มเก็บชุดนอนที่กระจัดกระจายเข้ามาสวมลวก ๆ กางเกงถูกถอดโยนไปทาง เสื้อถูกถอดโยนไปอีกทาง บ่งบอกความเร่งรีบของคนถอดได้เป็นอย่างดี พิชญ์สวมกางเกงเสร็จก็เดินมาหยิบเสื้อที่พาดอย่างหมิ่นเหม่อยู่ใกล้ ๆ โต๊ะทำงานของอริญชย์มาสวมใส่

ปกติแล้วพิชญ์ไม่เคยสนหรือใส่ใจอะไรกับข้าวของในห้องนอนของอริญชย์มากนัก เข้ามาแล้วก็มีแต่อยากจะรีบออกไปเสียให้ไว แต่วันนี้อะไรบางอย่างดลใจ จะเรียกว่าเป็นโชคชะตาหรือความบังเอิญก็ว่าได้ แต่มันก็ทำให้พิชญ์เงยหน้าขึ้นมาเห็นของบางอย่างก่อนจะต้องชะงักงัน

เขาไม่รู้ว่าอริญชย์จะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เขาสงสัยว่าของสิ่งนั้นมาอยู่ที่ห้องอริญชย์ได้ยังไง มิหนำซ้ำยังแทรกตัวอยู่บนชั้นหนังสืออย่างไม่เข้าพวก

หนังสือรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยวางแทรกอยู่ท่ามกลางหนังสือวิชาการ แล้วที่สำคัญยังเป็นหนังสือรุ่นของเขา!

พิชญ์ค่อย ๆ ดึงหนังสือรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยออกมาจากชั้นหนังสือ ความที่ไม่ทันระวังทำให้หนังสือเล่มข้าง ๆ หล่นลงมาด้วย เขาเกือบจะเก็บหนังสือเล่มข้าง ๆ ที่หล่นลงมาพร้อมกันคืนใส่ชั้นหนังสือแล้ว ถ้าเพียงแต่มันจะไม่ใช่...

อัลบั้มที่มีแต่รูปของเขา!

พิชญ์ถูกสั่งสอนมาให้มีมารยาท อย่าหยิบจับสิ่งของของคนอื่น แต่กรณีนี้คงต้องยกเว้นเมื่อเป็นเรื่องของตัวเขาเอง หนังสือรุ่นสมัยมหาวิทยาลัย ซึ่งพิชญ์เคยสงสัยว่าหายสาบสูญไปไหนแทบจะไร้ค่า เมื่อสิ่งที่น่าสนใจกว่าคืออัลบั้มภาพของตัวเขาเอง

ยิ่งเปิดไปเรื่อย ๆ ภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็ดูเหมือนจะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านรูปภาพแต่ละใบ

งานกีฬาสีที่โรงเรียนที่พิชญ์เป็นคนถือธงประจำสี รอยยิ้มกระจ่างปรากฏอยู่บนใบหน้าเด็กชายหัวเกรียน งานจบการศึกษาตอนมัธยมหกที่พิชญ์กอดคอถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมรุ่น ไม่เว้นแม้กระทั่งงานรับน้องที่มหาวิทยาลัย ใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยมัธยม มีแต่เส้นผมที่ยาวขึ้น ดวงหน้าขาว ๆ ถูกปะแป้งจนมองเห็นแค่ดวงตากับริมฝีปากสีระเรื่อ แต่อาจบดบังความสดใสในดวงตาเรียวได้

รูปภาพ...แม้ไม่ได้มีมากมาย แต่กลับเก็บเรื่องราวหลาย ๆ อย่างในชีวิตของพิชญ์ไว้เกือบครบถ้วน

พิชญ์ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เกือบจะหลุดยิ้มออกมาให้กับภาพเก่า ๆ ของตัวเอง ถ้าเพียงแต่ว่าภาพเหล่านี้จะไม่มาอยู่อย่างผิดที่ผิดทาง ความสงสัยประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย อัลบั้มรูปภาพของเขามาอยู่ในห้องนอนของอริญชย์ได้อย่างไร จะบอกว่าเป็นของไอลดาก็คงไม่ใช่ เพราะพิชญ์ไม่เคยให้ภาพถ่ายเหล่านี้กับไอลดาเลย

อริญชย์...เก็บมันเอาไว้เพื่ออะไร?

ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของพิชญ์ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตู คนที่เข้ามาคืออริญชย์ที่เห็นว่าสายมากแล้ว ถึงได้เดินขึ้นมา ตั้งใจจะมาปลุกคนที่เขารู้ดีว่านอนขี้เซามากแค่ไหน อริญชย์เลิกคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าพิชญ์ตื่นแล้วและกำลังยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชะงักกึก เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือพิชญ์ชัดถนัดตา

ดวงตาสองคู่สบประสานกัน คนหนึ่งยืนนิ่งอยู่กับที่ อีกคนค่อย ๆ เดินเข้ามาหา คำถามแหบพร่าดังมาจากริมฝีปากหยัก

“เห็นแล้วใช่ไหม...”

พิชญ์ถอนสายตาจากใบหน้าของอริญชย์แล้วก้มลงมองอัลบั้มรูปในมือ เขาจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเหมือนที่ผ่าน ๆ มาแน่ อย่างน้อย ให้เขาได้ทำอะไรเพื่อให้ความอึมครึมข้างในใจบรรเทาได้ซักนิดก็ยังดี

“ผมเห็นแล้ว...”

อริญชย์ยื่นมือมาหมายจะดึงอัลบั้มรูปในมือพิชญ์คืน ก่อนจะต้องผิดหวังเมื่อพิชญ์ยื้ออัลบั้มรูปในมือไว้แน่นปานจงอางหวงไข่

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน...”

พิชญ์รู้ นาทีนี้เขาเป็นต่อ แม้จะไม่รู้ว่าทำไมอริญชย์ถึงมีท่าทีอ่อนลงแบบนั้น แต่เมื่อมีโอกาสมากองอยู่ตรงหน้า เขาก็จะคว้ามันเอาไว้อย่างไม่ลังเล

“ขออัลบั้มคืนก่อนได้ไหม”

พิชญ์เลิกคิ้วก่อนจะปรายตามองอัลบั้มรูปในมือ เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ซุกซ่อนท่าทีอ่อนล้าของตัวเองเอาไว้ข้างในให้มิดชิด

“ผมควรจะเป็นคนพูดประโยคนั้นมากกว่านะครับ ในนี้มีแต่รูปผม มันก็ควรจะเป็นกรรมสิทธิ์ของผมไม่ใช่หรือ”

อริญชย์มองอัลบั้มรูปในมือพิชญ์ สำหรับพิชญ์แล้ว มันอาจจะเป็นแค่รูปถ่ายที่แทนความทรงจำต่าง ๆ ที่เคยผ่านมา แต่สำหรับเขามันมีค่ามากกว่านั้น กว่าอริญชย์จะรวบรวมมาได้ มันไม่ง่ายเลย

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”

“ฉันทำอะไร”

“คุณคอยตามติดชีวิตผมมานานแค่ไหนแล้ว เห็นผมเป็นของเล่นของคุณหรือไง ต้องทำร้ายผมอีกแค่ไหน คุณถึงจะพอใจ ผมก็เป็นคนมีหัวใจเหมือนกันนะคุณใหญ่ ไม่ใช่ตุ๊กตายางให้คุณแก้เหงาไปวัน ๆ”

อริญชย์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้า ๆ อยากจะกระชากตัวพิชญ์เข้ามากอดแน่น ๆ ให้จมลงไปในอกของเขา แล้วบอกว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นยังไงมายังไง แต่เพียงแค่เขายื่นมือออกไป ปฏิกิริยาที่ได้คืนมากลับรุนแรงกว่าที่เขาคิดนัก นอกจากจะปัดมือเขาทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้ว พิชญ์ยังกระถดตัวหนีราวกับรังเกียจกันอีก

“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด...”

“แล้วมันเป็นยังไงคุณก็พูดมาสิ คุณรู้จักผมมานานแค่ไหน คุณวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้วใช่ไหม ผมเป็นอะไร เป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมของคุณใช่หรือเปล่า”

“ไม่...ไม่ใช่...”

ความอึดอัดที่สะสมมานานของพิชญ์ค่อย ๆ ปะทุขึ้นมา เมื่ออริญชย์ยังทำท่าเหมือนไม่อยากอธิบายอะไรออกมาให้ชัดเจน

อริญชย์จะรู้ไหม ว่าเขาต้องจมอยู่กับความรู้สึกอึดอัดและรังเกียจตัวเองมากแค่ไหน ถ้าอริญชย์ต้องการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขา พิชญ์บอกเลยว่าอริญชย์ทำมันสำเร็จแล้ว นอกจากจะไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีแล้ว พิชญ์ยังเกลียดตัวเองแทบบ้า

พิชญ์กอดกระชับอัลบั้มในมือแน่น เขาขยับตัวจะเดินหนี แต่แค่ก้าวขาออกไปนิดเดียวก็ถูกดึงกลับมาจนแผ่นหลังปะทะกับแผงอกกว้างที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของอริญชย์

หัวใจอีกดวงเต้นแรงจนพิชญ์รู้สึกได้ หรืออันที่จริง มันอาจจะเต้นเพื่อเขามานานแล้ว แต่พิชญ์แกล้งทำเป็นไม่รับรู้มัน

อริญชย์ขบกรามแน่น เขาเดินอยู่บนทางเลือกที่ต้องเลือกว่าจะพูดความจริงแล้วเสียพิชญ์ไป หรือเหนี่ยวรั้งพิชญ์เอาไว้ด้วยเล่ห์กลต่าง ๆ แต่ไม่มีทางที่จะได้หัวใจพิชญ์มา

ผู้ชายอย่างอริญชย์ เกียรติกาญจนา เก่งกล้าสามารถทุกอย่าง ลูกน้องทุกคนต่างยำเกรง เป็นเสือร้ายที่ใคร ๆ พากันกล่าวถึง แต่กับคำง่าย ๆ ที่มันอัดแน่นอยู่ในใจมาหลายปี คนที่เก่งเรื่องงาน แต่ไม่ประสีประสาเรื่องรักอย่างเขากลับต้องมาตกม้าตายเอาง่าย ๆ

อริญชย์ยอมรับ ว่าเขาไม่เคยรักและรู้สึกกับใครอย่างที่มีให้กับพิชญ์มาก่อน และเพราะไม่เคยรักใคร หัวใจจึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องการแค่เพียงครอบครองและเป็นเจ้าของ หลงเฝ้าคิดว่าถ้ากักขังร่างกายเอาไว้ พิชญ์ก็ไม่มีทางที่จะหนีเขาไปไหนได้ กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสายเกินไป ว่าแท้จริงแล้ว...

ไม่ใช่แค่ร่างกายของพิชญ์ที่เขาต้องการ แม้แต่หัวใจดวงนั้น อริญชย์ก็อยากให้มันเต้นเพราะเขา เพื่อเขา ...แค่เขาคนเดียวเท่านั้น

“คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่อเจ้าของวงแขนที่กักขังเขาไว้เสียงขื่น ๆ “วันนี้คุณอาจจะกักขังผมไว้ได้ แต่มันก็ไม่ตลอดไปหรอกนะ...”

อ้อมแขนที่รัดพิชญ์ไว้หลวม ๆ พลันรัดแน่นขึ้น ตราบเท่าที่ลมหายใจเขายังมี เขาจะไม่มีทางปล่อยพิชญ์ไปไหน

ประสบการณ์ชีวิตและฝีมือการทำงานของอริญชย์อาจจะเก่งกล้าจนหาตัวจับยาก แต่กับเรื่องความรัก...ต้องนับว่าเขายังอ่อนด้อยประสบการณ์นัก

เพราะไม่เคยรัก เมื่อได้รักจึงอยากครอบครอง เพราะคิดว่าการกระทำมันชัดเจนกว่าคำพูด เขาจึงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไปอย่างไม่น่าให้อภัย การกระทำชัดเจนมากแค่ไหนก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเขาไม่คิดจะพูดความรู้สึกในใจออกไปให้พิชญ์ได้รู้

“ฉันไม่ยอมให้นายหนีไปไหน...”

“คุณก็ขังได้แค่ร่างกายผมเท่านั้น”

“แล้วต้องทำยังไง...ต้องทำยังไงถึงจะได้หัวใจนายมา...”

คำถามดังอยู่ข้างหู แค่เพียงพิชญ์เปิดใจสักนิด พิชญ์คงรู้ว่าน้ำเสียงของคนถามมันอ่อนระโหยและเว้าวอนมากแค่ไหน

“ผมไม่เข้าใจ”

พิชญ์ไม่เข้าใจความหมายจริง ๆ คราวนี้เขาไม่ได้แกล้งโง่ คนที่คอยแต่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีเขาจนไม่เหลือชิ้นดี ยังจะอยากได้หัวใจเขาไปอีกทำไม อยากจะบีบก้อนเนื้อเล็ก ๆ ของเขาให้มันแหลกเหลวคามือเลยใช่ไหม

“ต้องทำยังไงถึงจะได้หัวใจของนาย...”

“ทำไม? คุณจะเอาไปเหยียบย่ำอีกหรือไง ร่างกายของผม คุณก็ได้ไปแล้ว เหลือหัวใจตัวเองให้ผมไม่ได้เลยหรือไง”

อริญชย์ซบหน้าลงกับบ่าพิชญ์ เขาเพิ่งรู้ว่าการกระทำที่ผ่านมามันไม่เคยเข้าไปถึงข้างในใจของพิชญ์เลย

“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด”

“แล้วมันคืออะไร อย่าบอกนะว่าคุณรักผม”

อริญชย์นิ่ง เขากำลังตัดสินใจระหว่างเก็บทุกอย่างเอาไว้อย่างคนขี้ขลาดแล้วพลาดอย่างที่ผ่าน ๆ มา หรือเลือกที่จะบอกออกไป

“แล้วถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ”

พิชญ์ถึงกับนิ่งงันราวต้องคำสาป เขาเคยคิดถึงสาเหตุที่อริญชย์ทำร้ายกับเขาไปสารพัด คิดแม้กระทั่งว่าอริญชย์รังเกียจที่เขาแต่งงานกับไอลดา หรือกระทั่งว่าจงเกลียดจงชังเขา แต่คำว่า ‘รัก’ ที่อริญชย์เพิ่งพูดออกมา มันไม่เคยอยู่ในสารบบความนึกคิดของพิชญ์เลยแม้แต่น้อย

“อย่าบ้าน่าคุณใหญ่”

อริญชย์แค่นยิ้มออกมาก่อนจะหมุนตัวพิชญ์ให้หันกลับมาเผชิญหน้าเขา

ถูกของพิชญ์ เขามันบ้า บ้าที่ไปหลงรักพิชญ์ ผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็ทำเอาคนที่เก่งทุกเรื่องอย่างเขาถึงกับไปไม่เป็น ต้องหาวิธีเพื่อให้ได้มา ต้องพยายามไขว่คว้ามาครอง ต้องเหนี่ยวรั้งพิชญ์ไว้อย่างโง่ ๆ ยอมถูกเกลียดจนตาย ดีกว่าปล่อยให้พิชญ์จากเขาไปไหน

“ฉันมันบ้า แต่ที่พูดออกมาก็คือเรื่องจริง”

สำหรับคนอื่น คำว่ารักอาจเป็นคำง่าย ๆ ที่พูดออกไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่สำหรับคนที่ยึดถือว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด คนที่ปากหนักอย่างอริญชย์ ถ้าคำว่ารักมันง่ายอย่างที่ใจคิด เขาคงไม่รีรอจนกระทั่งพิชญ์เกลียดเขา

“อย่ามาล้อเล่นน่า ผมเป็นสามีคุณเล็ก เป็นน้องเขยคุณนะ”

ความผิดพลาดที่สุดของอริญชย์คือการยอมให้ไอลดาแต่งงานกับพิชญ์ ทุกอย่างมันถึงได้ขมวดเกลียวเป็นปม กลายเป็นความสัมพันธ์ซับซ้อนที่มองไม่เห็นทางออก แต่ในอุโมงค์ที่มืดมิดนี้ สิ่งที่ทำให้เขายังยิ้มออกคงมีเพียงความจริงที่ว่า...

“นายไม่ได้รักยัยเล็ก”

พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น มันคือเรื่องจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่ได้รักไอลดา และก็คงไม่มีวันรักเธอได้ แต่อริญชย์คงลืมความจริงอีกข้อไป...

“แต่ผมก็ไม่ได้รักคุณเหมือนกัน”

จะแข็งแกร่งดังภูผามากแค่ไหน ถึงยังไงก็ต้องมีจุดอ่อน อริญชย์ฝืนยิ้มออกมา ทั้งที่ความเจ็บปวดฉายชัดในแววตา

อย่าย้ำในเรื่องที่เขารู้อยู่แล้ว ทั้งที่รู้ดีแก่ใจ แต่พอได้ยินกับหู เขาก็เกือบจะหมดแรงเอาดื้อ ๆ เสียแต่ว่าคนอย่างอริญชย์...ต่อให้ไม่รักกัน เขาก็ไม่มีวันปล่อยให้พิชญ์ไปไหน

“ฉัน...”

ถ้อยคำที่เตรียมจะเอื้อนเอ่ยออกไป ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของพิชญ์ พิชญ์สบตาอริญชย์ชั่วครู่ แม้จะนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่เขาก็บิดตัวออกจากการเกาะกุมก่อนจะกดรับสาย

“พิชญ์พูดครับ...”

“พี่พีท เล็กเองนะคะ”

เสียงร้อนรนของไอลดาดังมาตามสาย บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติ พิชญ์ขมวดคิ้วฉับด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะรีบถามออกไปตามสัญชาติญาณ

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณเล็ก”

อริญชย์ชะงัก เมื่อได้ยินพิชญ์เอ่ยชื่อไอลดาออกมา ยอมรับเลยว่าเขาไม่พอใจ แม้ไอลดาจะมีฐานะเป็นภรรยาของพิชญ์ก็ตามที

“น้องหนู...น้องหนูค่ะ...”

เหมือนไอลดาจะเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก แต่แค่เพียงชื่อของน้องหนูหลุดออกมาจากริมฝีปากของไอลดา หัวใจของพิชญ์ก็พลันชาวาบ

“เกิดอะไรขึ้นกับน้องหนูครับ”

“น้องหนูตัวร้อนจี๋เลยค่ะ ตื่นขึ้นมาก็เพ้อหาพี่พีทไม่หยุด เล็กกำลังจะพาน้องหนูไปโรงพยาบาล พี่พีทช่วยตามไปเจอที่โรงพยาบาลทีนะคะ”

“ครับ ๆ เดี๋ยวผมจะรีบออกไปเดี่ยวนี้ คุณเล็กรีบพาน้องหนูล่วงหน้าไปก่อนเลยนะครับ”

พิชญ์วางสายจากไอลดาด้วยความร้อนรนไม่ต่างกัน ความเป็นห่วงลูกสาวตัวน้อยแล่นวาบเข้าเกาะกุมหัวใจ เขาผลุนผลันจะออกจากห้อง ก่อนจะต้องชะงักเมื่อถูกอริญชย์คว้าแขนเอาไว้

“จะไปไหน”

“คุณใหญ่ นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ คุณไม่ได้ยินหรือไงว่าน้องหนูไม่สบาย ผมจะไปหาลูกที่โรงพยาบาล”

อริญชย์ถอนหายใจหนัก ๆ เรื่องของน้องหนูทำเอาคนใจเย็นอย่างพิชญ์สติแตกได้แทบทุกครั้ง เขายื่นมือไปตบแก้มพิชญ์เบา ๆ หวังจะเรียกสติของพิชญ์ให้กลับคืนมา

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าจะไป ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนดีไหม แล้วเดี๋ยวไปพร้อมกันกับฉัน”

พิชญ์ก้มลงมองสภาพตัวเองที่ไม่ต่างอะไรจากเพิ่งไปออกศึกสมรภูมิมา ก่อนจะเห็นพ้องตรงตามที่อริญชย์พูด เขาเลยได้แต่พึมพำขอบคุณออกมาเบา ๆ

“ขอบคุณที่เตือนครับ”


.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 16 --- หน้าที่ 4 [28/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 28-05-2020 20:16:40

อริญชย์เป็นคนขับรถพาพิชญ์มาโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เขารู้ดีว่าเจ้าตัวคงไม่อยู่ในสภาพที่จะขับรถมาได้เองแน่ ๆ แวบหนึ่งที่อริญชย์อดคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมาไม่ได้

เขาอิจฉาน้องหนูเหลือเกิน เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่พิชญ์จะเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องของเขาอย่างนี้บ้าง

พอมาถึงโรงพยาบาล พิชญ์ก็รีบผลุนผลันลงจากรถ เขาเป็นห่วงน้องหนูจนไม่คิดจะหยุดรออริญชย์ที่เดินตามมาห่าง ๆ พิชญ์เดินมาเกาะโต๊ะประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถาม ก่อนจะได้ความว่าน้องหนูถูกย้ายไปที่ห้องคนไข้แล้ว พอได้เลขห้องมาแล้ว พิชญ์ก็เดินดุ่มไปกดลิฟต์ทันที อริญชย์ที่เดินตามมาทันรีบคว้าข้อมือพิชญ์มาบีบเอาไว้

“ใจเย็น ๆ น้องหนูถึงมือหมอแล้ว”

พิชญ์ไม่ได้ตอบอะไรอริญชย์ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะดึงมือออกจากการเกาะกุมของอริญชย์ด้วยซ้ำ ดวงตาเรียวจับจ้องเลขชั้นที่ขยับขึ้นลงบนแผงหน้าปัดของลิฟต์ ทุกสิ่งทุกอย่างดูช้าในความรู้สึกของเขา

แค่รู้ว่าน้องหนูไม่สบาย พิชญ์ยังแทบจะคลั่งตาย ถ้าเป็นอะไรมากกว่านี้ เขาไม่อยากจะคิดเลย

ทันทีประตูลิฟต์เปิดออก พิชญ์ก็สะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของอริญชย์แล้วตรงดิ่งออกจากลิฟต์ทันที อริญชย์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะรีบเดินตามพิชญ์ไป ในเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอาการของน้องหนูอีกแล้ว

พิชญ์เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย ดูชื่อที่ติดอยู่หน้าห้องจนแน่ใจแล้วถึงค่อยเปิดประตูเข้าไป ไอลดาที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟารีบผวาเข้ามากอดพิชญ์ไว้ทันที พิชญ์รับหญิงสาวเข้าสู่อ้อมแขน ลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมเธอ

ยามนี้เขาเป็นพ่อ เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว สติคือสิ่งที่ต้องมาก่อน อารมณ์ค่อยให้ตามมาทีหลัง

“น้องหนูเป็นยังไงบ้างครับคุณเล็ก”

“คุณหมอบอกว่าน้องหนูเป็นไข้หวัดใหญ่ค่ะ น่าจะติดมาจากเพื่อนที่โรงเรียน ฉีดยาลดไข้ให้แล้ว แต่คุณหมอยังอยากให้พักผ่อนดูอาการอีกซักวันสองวัน” ไอลดาเก็บข้อความที่คุณหมอเจ้าของไข้แจ้งแก่เธอมาบอกพิชญ์ได้ครบถ้วน สัญชาติญาณความแม่แล่นพล่านโดยไม่ต้องชี้นำ

พิชญ์พรูลมหายใจออกมาแรง ๆ อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง และโชคดีเหลือเกินที่ไอลดามีสติพอที่จะรีบพาน้องหนูมาโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการ พิชญ์ค่อย ๆ ประคองไอลดาให้นั่งลงที่โซฟา ส่วนเขาเดินไปชะโงกหน้าดูนางฟ้าตัวน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

พิชญ์ไล้มือไปตามพวงแก้มใสด้วยความรัก ตัวน้องหนูยังอุ่น ๆ อยู่ แต่ไม่ร้อนมากเท่าไหร่แล้ว พิชญ์ยืนดูน้องหนูอยู่อีกสักพัก เขาไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของเด็กหญิง จึงถอยกลับมานั่งกับไอลดาที่โซฟา

“เล็กขอโทษ เป็นความผิดของเล็กเอง เล็กไม่ดูแลลูกให้ดี”

พิชญ์ดึงหญิงสาวเข้ามาปลอบประโลม ไอลดาอาจจะมีฐานะเป็นแม่ของน้องหนู แต่ความรู้สึกข้างในใจของพิชญ์ เธอคือน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของเขา เพียงแต่ว่าอีกคนที่มองอยู่ห่าง ๆ กลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้น ภาพที่อริญชย์เห็นคือภาพครอบครัวที่อบอุ่น จนเขาต้องกลายเป็นส่วนเกินโดยที่ไม่ต้องการ

อริญชย์เบือนหน้าหนีภาพที่พิชญ์กำลังปลอบประโลมไอลดา เสเดินไปดูอาการของหลานสาวตัวน้อย ถึงเขาจะเป็นคนเลือดเย็น แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายตัวเองโดยการทนดูพิชญ์กอดไอลดาไว้ในวงแขน เสียงของพิชญ์ที่ปลอบประโลมไอลดายังคงดังเข้าหูมาให้ได้ยิน เมื่อเลือกแล้วที่จะให้ความสัมพันธ์มันเป็นแบบนี้ เขาก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเล็ก”

“พี่พีทอย่าโกรธเล็กนะคะ เล็กไม่ได้ตั้งใจ”

“ผมไม่ได้โกรธคุณเล็กเลย ร้องไห้เดี๋ยวไม่สวยนะครับ ยิ้มหน่อยเร็ว”

ไอลดาค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา ผู้ชายคนนี้จะทำให้เธอรักไปถึงไหนกัน

“ขอบคุณนะคะ...”

พิชญ์ส่ายหน้าช้า ๆ เป็นเชิงว่าไม่ต้องขอบคุณเขา อันที่จริงแล้วพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณไอลดามากกว่า ดูจากสภาพเธอเขาก็เดาออกทันที พอรู้ว่าน้องหนูไม่สบาย ไอลดาก็คงรีบร้อนพาน้องหนูมาส่งโรงพยาบาลจนไม่ทันได้จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย หญิงสาวยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงนอนขายาว ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องประทินโฉมใด ๆ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มติดจะยุ่งเหยิงนิด ๆ แต่พิชญ์มองแล้วกลับเห็นว่าเธอสวยกว่าทุกวัน

ความเป็นแม่...ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งดูสวยแม้ปราศจากเครื่องสำอางใด ๆ

“เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าน้องหนูให้เอง คุณเล็กกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดให้สดชื่น แล้วค่อยแวะมาอีกทีดีไหมครับ”

ไอลดาเกือบจะตกปากรับคำพิชญ์แล้ว แต่อะไรบางอย่างก็ดลใจให้เธอส่ายหน้าปฏิเสธอย่างดื้อดึง

“ไม่เอาดีกว่าค่ะ เล็กอยากอยู่เฝ้าลูกด้วย พอน้องหนูตื่นมาจะได้เจอเล็กกับพี่พีทอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ดีไหมคะ”

“แล้วคุณเล็กไม่อยากอาบน้ำอาบท่าหน่อยหรือครับ”

ไอลดาทำหน้าครุ่นคิด เธอเป็นผู้หญิงย่อมรักสวยรักงามเป็นธรรมดา แต่หญิงสาวก็ยังไม่อยากกลับคอนโดไปตอนนี้ ดวงตากลมโตมองเลยไปยังผู้เป็นพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงน้องหนู เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อพี่ชายอย่างออดอ้อน

“พี่ใหญ่...” เจ้าของชื่อหันมาเลิกคิ้วใส่ไอลดานิด ๆ ไม่แสดงท่าทียินดียินร้ายอะไร ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหวาน ๆ ก่อนจะเอ่ยไหว้วาน “ช่วยกลับไปเอาเสื้อผ้ากับของใช้ของเล็กที่คอนโดให้หน่อยได้ไหมคะ”

“ทำไมไม่กลับไปเอาเองล่ะ”

“เล็กอยากอยู่เฝ้าลูกนี่คะ พี่ใหญ่กลับไปเอาเล็กไม่ได้เหรอ”

“แล้วพี่จะรู้ไหมว่าเธอจะเอาอะไรบ้าง”

ไอลดาขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มกว้าง ราวกับเดาออกว่าอริญชย์ต้องเอ่ยออกมาแบบนี้

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวเล็กโทรบอกนวลให้จัดของให้ พี่ใหญ่แค่กลับไปเอาให้เล็กก็พอ...นะคะ เล็กยังไม่อยากไปไหน น้องหนูตื่นมาจะได้เห็นทั้งพ่อทั้งแม่”

อริญชย์ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะทำสีหน้าให้เป็นปกติ เขามองเลยไปที่พิชญ์ อีกคนก็เอาแต่มองเลยไปที่น้องหนู ไม่ยอมสบตากับเขา จนอริญชย์นึกสงสัย คำว่ารักที่เขาตัดสินใจพูดออกไป มันดังไปถึงข้างในใจของพิชญ์บ้างไหม สุดท้ายแล้ว คนนอกที่กลายเป็นส่วนเกินอย่างเขาก็ได้แต่พยักหน้ารับช้า ๆ ไม่วายเอ่ยถามอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไอลดา

“แล้วนายจะเอาอะไรด้วยหรือเปล่า”

“ขอเสื้อผ้าให้ผมซักสองสามชุดแล้วกันครับ คืนนี้ผมจะนอนเฝ้าน้องหนูที่นี่”

อริญชย์พยักหน้ารับ เอ่ยกำชับพิชญ์กับไอลดาว่าถ้ามีอะไรให้รีบโทรหาเขาทันที ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งคู่สามีภรรยาไว้ตามลำพัง ทั้งที่ไม่ต้องการจะทำอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ไอลดาเป็นแม่ พิชญ์เป็นพ่อ แล้วเขาล่ะเป็นอะไร เขามันก็แค่ลุง ถึงจะผูกพันทางสายเลือด แต่ก็ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดน้องหนู ลำดับความสำคัญก็ต้องอยู่ถัดจากคนเป็นพ่อแม่อยู่แล้ว

พอเห็นอริญชย์เดินออกไปจากห้องพักคนป่วยแล้ว พิชญ์ก็ขยับจะลุกขึ้นไปดูน้องหนูอีกรอบ แต่กลับต้องชะงัก เมื่อไอลดาคว้าข้อมือเขาเอาไว้

“ครับ คุณเล็ก...”

ไอลดาไม่ได้เอ่ยอะไร แต่โผเข้ากอดพิชญ์แน่น หญิงสาวซบหน้าลงกับบ่าของผู้เป็นสามี แววตาของเธอมีแต่ความสะเทือนใจฉายออกมา ทั้ง ๆ ที่เธอรักเขามากถึงขนาดนี้ แต่ทำไม...

“เรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่ใช่ไหมคะ”

แม้จะงุนงงกับคำถามของไอลดา รวมถึงไม่เข้าใจท่าทีของเธอเท่าไหร่นัก แต่พิชญ์ก็พยักหน้ารับ โดยฐานะทางสังคมและโดยนิตินัย เขากับไอลดาย่อมเป็นสามีภรรยากันโดยไม่มีทางเป็นอื่นไปได้

“ครับ เรายังเป็นสามีภรรยากัน”

ไอลดาดันตัวออกมา หยาดน้ำใสเอ่อคลอในดวงตาคู่สวยจนพิชญ์นึกสงสาร แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปลอบประโลมเธอออกไปอย่างใจคิด ไอลดาก็เป็นฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาหาก่อนจะแนบกลีบปากบางลงกับริมฝีปากของเขา พิชญ์ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้เธอรุกเร้าโดยไม่คิดที่จะโต้ตอบ และถ้าผลักไส เขาคงเป็นยิ่งกว่าคนใจร้ายในสายตาเธอ

ความจริงที่พิชญ์รู้ดีแก่ใจ แต่ไอลดาไม่ได้รับรู้เลยแม้เพียงน้อยนิด จะเรือนร่างหอมหวานที่เบียดแนบชิดอยู่กับร่างกายเขา ฝ่ามือที่ลูบไล้ไปมาตามร่างกาย หรือแม้กระทั่งริมฝีปากที่ทาบทับลงมาอย่างมีจริต ไม่ว่าสิ่งไหนก็ไม่อาจปลุกเร้าอารมณ์หรือสัญชาติญาณดิบเถื่อนของพิชญ์ให้ตื่นขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าพิชญ์ไม่มีความรู้สึก แต่ร่างกายของเขา มันรู้สึกและตอบสนองกับอริญชย์เพียงคนเดียวเท่านั้น

พิชญ์ค่อย ๆ ดันไอลดาออก เมื่อเห็นว่าขืนปล่อยให้เธอทำแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถึงคนอื่นจะรู้ว่าเขากับเธอเป็นสามีภรรยากัน แต่มาทำประเจิดประเจ้อที่โรงพยาบาลแบบนี้คงไม่ดีนัก

“พอเถอะครับ คุณเล็ก มันไม่ดี”

“มันไม่ดียังไงคะพี่พีท เล็กเป็นภรรยา เป็นเมียพี่พีท หรือพี่พีทมีใครคนอื่นนอกจากเล็ก”

พิชญ์ดึงไอลดาเข้ามาซบกับอกเขาอย่างปลอบประโลม ลูบหัวเธอเบา ๆ ไอลดาก็แค่น้องสาวคนเล็กที่ถูกตามใจ เธออาจจะเคยได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่สำหรับหัวใจของเขา ไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่ของเธอ

“อย่าทำแบบนี้เลย คุณเล็กมีค่ามากกว่านี้”

ไอลดายิ้มหยันออกมา เธอยอมทำตัวไร้ค่าและไร้ราคาเพื่อให้เขาสนใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามหรือดึงดันมากแค่ไหน พิชญ์ก็ไม่เคยสนใจเธอเลย

ถ้าความดีเอาชนะใจเขาไม่ได้ แล้วต้องทำยังไง...ต้องทำยังไงกัน...

ปลายนิ้วเรียวลากไล้ไปตามแผงอกของพิชญ์ แม้จะเคยนึกมั่นใจในสายตาของตัวเอง แต่วันนี้ไอลดากลับนึกอยากให้ดวงตาของเธอมืดบอดขึ้นมา จะได้ไม่ต้องเห็นร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของบนตัวพิชญ์

ดวงตากลมโตฉายแววเจ็บปวดออกมา...

ใครกันที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนตัวของพิชญ์

ใครที่ปลุกเร้าเขาให้มีอารมณ์ ใครที่ทำให้เขาสุขสม ใครที่ได้เป็นเจ้าของร่างกายเขา


.


“คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ คุณใหญ่”

ตุลย์รีบเดินเข้ามาถาม ทันทีที่เห็นอริญชย์กลับมาถึงบ้าน พอรู้ว่าน้องหนูไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล เขาเองก็เป็นห่วงไม่น้อย และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ป้าน้อยกับคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน

“หมอบอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ต้องอยู่ดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนก็กลับบ้านได้” อริญชย์เอ่ยตอบเสียงเรียบ ๆ กำลังจะก้าวขาขึ้นบันได แต่กลับหยุดชะงักปลายเท้าเอาไว้

“ตุลย์...” เขาเรียกคนสนิทเสียงหนัก ๆ

“ครับ คุณใหญ่”

อริญชย์หันหน้ากลับมาหาตุลย์ ดวงตาดำจัดฉายแววอ่อนล้ากว่าทุกที

“ฉันบอกไปแล้วนะ”

“ครับ”

“ฉันบอกพีทไปแล้ว แต่ไม่เห็นจะต่างกันเลย จะบอกหรือไม่บอกก็ไม่ได้รับความรักกลับมาอยู่ดี”

ตุลย์ถอนหายใจออกมาช้า ๆ อริญชย์ที่เคยได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ในกำมืออย่างง่ายดาย ควรจะเรียนรู้ว่าการจะได้หัวใจใครอีกคนมา มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออริญชย์เลือกเดินทางผิดมาตั้งแต่แรก

“ความรักมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะครับคุณใหญ่ มันไม่ใช่นิยาย ที่พอพระเอกนายเอกบอกรักกัน แล้วเรื่องก็จะอวสานและจบบริบูรณ์”

“ฉันรู้น่า”

อริญชย์ตอบแล้วก็เตรียมจะเดินขึ้นห้อง แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบ เพราะคำพูดที่ดังไล่หลังมาของคนสนิท ที่นับวันยิ่งจะทำเกินหน้าที่เข้าไปทุกที

“เพราะตอนเริ่มเรื่อง คุณใหญ่ไม่ยอมคิดว่าจะให้มันจบยังไง ทุกอย่างมันถึงได้เป็นอย่างนี้ไงครับ ปมไหนที่ตัวเองเป็นคนผูกเอาไว้ก็ต้องเป็นคนแก้ด้วยตัวเอง”

“ปากดีอย่างนี้ อย่าให้ถึงทีนายบ้างแล้วกัน”

ตุลย์กระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาเห็นเรื่องของเจ้านายตัวเองเป็นบทเรียนอย่างดีแล้ว เรื่องของตัวเองคงไม่กล้าผลีผลามทำอะไรวู่วามแน่ ๆ การที่อริญชย์เอ่ยปากบอกรักพิชญ์ออกไปแล้ว สำหรับคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ข้าง ๆ อริญชย์มาตลอดอย่างตุลย์ก็อดคิดไม่ได้ว่า...มันอาจจะเป็นนิมิตหมายอันดี...หรือเปล่า?

นอกจากจะหวังให้พิชญ์เปิดใจให้เจ้านายปากแข็งของเขาไว ๆ แล้ว อีกเรื่องที่ลืมไม่ได้คือ...

อริญชย์คิดไว้หรือเปล่า ว่าถ้าได้ใจของพิชญ์มา แล้วไอลดากับน้องหนูล่ะ...จะเป็นอย่างไร



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
ตอนนี้ต้องกอดปลอบคุณใหญ่
ฮือออ...คุณใหญ่เค้าบอกว่ารักแล้ว แต่คุณใหญ่คะ พีทยังมีภรรยาอยู่นะคะ



หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 16 --- หน้าที่ 4 [28/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-05-2020 20:50:28
 :hao5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 16 --- หน้าที่ 4 [28/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 28-05-2020 22:16:13
ซับซ้อนมากเลยคุณใหญ่ขาาาาา
กอดๆๆๆ ปลอบคุณใหญ่หน่อย :กอด1: :กอด1:
บอกรักเขาไปแล้ว ต่อไปก็เดินหน้าทำดีกับเขานะคุณใหญ่ แต่.. คนดื้อที่ไม่ยอมรับว่าใจตัวเองก็มอบให้คุณใหญ่ไปแล้วเหมือนกันนั้นก็คงจะดื้อต่อไปนั่นแหละ ด้วยเพราะสถานะที่เป็นสามีของน้องสาวของสามีอีกที เอ้ยยย!!! ทำไมมันซับซ้อนงี้อ่ะ :katai1: เพราะความซับซ้อนอย่างงี้นี่ไง พีทก็คงไม่ยอมรับใจตัวเองว่ารักคุณใหญ่หรอก และดูแล้วคุณเล็กน่าจะพยายามใช้วิชามารยาหญิงเพื่อจะเอาตัวพีทและใจพีทให้ได้แล้วละมั้ง ยกเอาสถานะสามีภรรยามาใช้แล้วพยายามปลุกเร้่าพีท เฮ้อ!! แต่พีทไม่ตื่นอะคุณเล็ก เลิกพยายามดีกว่านะ สงสารพีท :ling1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 16 --- หน้าที่ 4 [28/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 29-05-2020 02:21:43
พี่น้องอย่าตีกันเองนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 16 --- หน้าที่ 4 [28/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 31-05-2020 01:23:56
บ่วงที่แท้จริงของพีทคือไอลดาความเป็นภรรยา ความอึดอัดพะวงในเรื่องนี้ส่งผลต่ออัตราการยอมรับใจของตัวพีทเองไปมากทีเดียว หวังว่าวันนึงจะสิ้นสุดบ่วงนี้ซึ่งอาจไม่นานเพราะเขาเห็นร่องรอยตีตราเป็นเจ้าของแล้ว โห๊ะๆ เอาแล้วๆ งานนี้ต้องสืบจับตาสิคุณเล็ก ความใคร่รู้โหมกระพือ 55555 //ดีแล้วคุณใหญ่ที่ยอมรับว่ารักออกไป อย่างน้อยก็โล่งใจ ให้มันรู้กันไปเลย มันไม่ได้สูญเปล่าหายไปกับสายลมอย่างที่คิด เพียงแต่มันมีเรื่องด่วนเข้ามาแทรกเฉยๆ ไม่งั้นพีทก็เก็บมาคิดเหมือนกัน แล้วอีกอย่างเขาเพิ่งรู้ความจริงในความรู้สึกที่คุณมีต่อเขา ซึ่งมันสวนทางกับที่เขาคิดเลย เพราะงั้นแน่นอนย่อมต้องสับสน อย่าเพิ่งรุกหนักมาก ไม่งั้นมันจะอึดอัดพาลไม่อยากจะคิดเรื่องของคุณใหญ่ไป ตัวคุณเองก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ร่างกายเขายอมรับแต่คุณคนเดียว ใจอาจยังได้มาน้อยแต่ไม่นานก็ได้มา ถ้าแสดงออกบ่อยๆไม่ฝืนใจ เดี๋ยวเขาก็หวั่นไหวเองละน๊า 555555 //คุณเขาก็รักของเขามาตั้งนานเลย เก็บรูปภาพทุกช่วงของชีวิตเขาไว้ ไม่รู้ไปเจอกันตอนไหนนะ แล้วมาลงเอยในสถานะนี้ได้ยังไง แล้วก็นะถ้าพีทได้ลองทบทวนดูลึกๆอาจจะได้เห็นได้รู้ว่าจริงๆผู้ชายคนนี้ก็แอบทำเพื่อตัวเองเยอะเหมือนกัน ถ้าไม่เปิดใจก็มองไม่เห็นอ่ะ ทีนี้แหละจะได้เห็นเพราะรู้แล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับตัวเอง คึคึ //สนุกกกกมากกก ชอบค่อชอบ ร้อนซ้อน=คุณใหญ่ ซ่อนรัก=พีท อิอิ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออ่านตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 17 --- หน้าที่ 4 [31/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 31-05-2020 19:33:47
สิบเจ็ด
ความลับไม่มีในโลก



กระดุมสองเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตสีครีมถูกปลดออกลวก ๆ สาบเสื้อสองข้างถูกแบะออกจากกันครึ่ง ๆกลาง ๆ อย่างหมิ่นเหม่ แต่ก็กว้างมากพอที่ไอลดาจะมองเห็นรอยแดงหลายรอยบนแผงอกขาวของผู้เป็นสามี ดวงตาสองคู่ของคนเป็นสามีภรรยามองสบกันนิ่ง ก่อนพิชญ์จะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีด้วยความละอายใจ

ให้ไอลดาด่าเขา โกรธเขา เกลียดเขา ยังดีกว่ามองกันด้วยสายตาตัดพ้อแบบนี้

ปลายนิ้วเรียวที่เกาะเกี่ยวอยู่บนแขนพิชญ์เผลอขยุ้มแขนเสื้อของชายหนุ่มด้วยแรงอารมณ์ ไอลดาพยายามกลืนก้อนสะอื้นให้กลับลงคอไปอย่างยากลำบาก ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ แค่ร่องรอยมากมายบนตัวพิชญ์ก็แทนทุกคำบอกเล่าได้เป็นอย่างดี หญิงสาวพยายามพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้มพับต่อหน้าเขา แม้ขาสองข้างจะรู้สึกอ่อนเปลี้ยจนแทบไร้เรี่ยวแรง

...แค่รู้ว่าไม่รักกัน มันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว

ยังต้องมารับรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่น...คนอื่นที่ไม่ใช่เธอ!

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แม้จะเป็นน้องสาวคนเล็กและลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน แต่ไอลดาก็ถูกเลี้ยงดูมาให้มีสติอยู่เสมอ ทว่าเวลานี้ คำว่าสติมันช่างดูห่างไกลจนเธอไม่อาจจับต้องได้เลย

ตอนเขาบอกว่าไม่รักกัน มันก็เจ็บเหมือนถูกบีบหัวใจ

พอรู้ว่าเขามีอะไรกับคนอื่น มันยิ่งเหมือนถูกเฉือนเอาหัวใจออกไปเหยียบย่ำ

หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่ง ปล่อยให้หยาดน้ำตาเอ่อคลอดวงตาคู่สวย แม้จะพยายามทำเป็นเข้มแข็งกับคำว่า ‘ไม่รักกัน’ ของพิชญ์มาตลอด แต่ไอลดาก็ไม่ได้เข้มแข็งมากพอจะฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มยามรู้ว่าพิชญ์มีคนอื่น

เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง...ที่เจ็บได้และร้องไห้เป็น

“ทำไมคะ...” เสียงสั่นเครือดังลอดออกมาจากริมฝีปากบาง ดวงตาแดงช้ำที่มองมายังพิชญ์ทั้งตัดพ้อและต่อว่าไปในคราวเดียวกัน

คนถูกถามได้แต่ยืนนิ่งงัน เขารู้ว่าความลับไม่มีในโลก แต่พิชญ์ก็ไม่คิดว่าวันที่ความลับถูกเปิดเผยจะเดินทางมาหาเขาเร็วถึงเพียงนี้ ความรู้สึกผิดและความละอายใจมันผสมปนเปกันจนชายหนุ่มไม่กล้าสู้หน้าไอลดา ทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แม้นึกอยากดึงไอลดาเข้ามาปลอบมากแค่ไหน แต่พิชญ์ก็รู้ดี ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์และเขาไม่ควรทำ

ความหวังดีที่ผิดที่ผิดทาง นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังมีแต่จะยิ่งทำให้เจ็บปวดกันมากขึ้น

“ทำไมคะ ทำไมถึงไม่เป็นเล็ก” ไอลดาเค้นเสียงสั่นพร่าออกมา ฝ่ามือขยุ้มแขนเสื้อของพิชญ์แน่นก่อนจะซบหน้าลงกับบ่าของเขา ปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหลลงมาไม่ขาดสาย

ผู้หญิงทุกคนมีความฝัน เธอเองก็เช่นกัน ไอลดาเคยวาดฝันเมื่อตอนแต่งงานใหม่ ๆ ว่าเธอคงเป็นผู้หญิงที่มีความสุขยิ่งกว่าใคร ได้ใช้ชีวิตคู่กับคนที่เธอแอบรัก หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าอยู่กันไปนาน ๆ พิชญ์คงรักเธอเข้าสักวัน แต่วันนี้นอกจากทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่เธอฝันแล้ว มันยังพังทลายลงมาเสียจนไม่มีชิ้นดี

...เคยคิดว่าแม้ไม่ได้หัวใจ อย่างน้อยก็ยังได้ครอบครองร่างกายของเขา

แต่แท้ที่จริงแล้วเธอกลับไม่เคยได้อะไร ได้แต่กอดทะเบียนสมรสที่ไร้ค่าไร้ราคา แล้วจมอยู่กับกองน้ำตา

“ผมขอโทษ”

เวลานี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่พิชญ์จะทำได้ คือการพร่ำขอโทษให้กับความผิดที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ แต่ต้องรับผลของมันเอาไว้ไม่ต่างกัน

ความผิดแรก...คือผิดที่เขามีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตัวเอง

ความผิดต่อมา...คนอื่นที่ว่า คือคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของภรรยาตัวเอง

แม้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะไม่ได้เริ่มต้นมาจากตัวเขา แต่พิชญ์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันถลำลึก ถ้าเพียงแต่เขาจะขัดขืนหรือต่อต้านอริญชย์ได้มากกว่านี้ เรื่องราวทุกอย่างมันคงไม่บานปลาย แต่สิ่งหนึ่งที่พิชญ์ต้องยอมรับออกมาอย่างน่าไม่อายเลย คือความจริงที่ว่า...ร่างกายของเขามันไม่เคยขัดขืนอริญชย์อย่างจริงจังเลยซักครั้ง

“ผมขอโทษ...”

ไอลดานึกอยากให้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นแค่เพียงฝันไป ถ้าเพียงแต่พิชญ์จะบอกว่าเธอเข้าใจผิดไปเอง เธอก็จะยอมปิดหูปิดตาเพื่อให้ได้อยู่ข้าง ๆ เขาต่อไป แต่คำขอโทษซ้ำ ๆ ที่ดังออกมาจากปากของพิชญ์ มันก็แทนทุกคำอธิบายได้เป็นอย่างดี

...จะขอโทษทำไมถ้าไม่ได้ทำผิด

คำขอโทษของพิชญ์ จึงไม่ต่างอะไรกับการรับสารภาพเลย

“ใจร้าย...” ถ้อยคำต่อว่าหลุดออกมา ก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตา “พี่พีทใจร้ายที่สุด ทำแบบนี้กับเล็กได้ยังไง ไม่รักกันก็ไม่เป็นไร แต่ทำไม...ทำไมต้องหักหลังเล็กด้วย”

แม้จะรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาควรหยิบยื่นความอ่อนโยนให้ไอลดา แต่พิชญ์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากดึงร่างที่กำลังสั่นเทาเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ปลอบประโลมไอลดาประหนึ่งพี่ชายปลอบน้องสาวตัวน้อย หารู้ไม่ว่ามันกลับยิ่งทำให้ไอลดาร้องไห้หนักกว่าเดิม

“อย่าร้อง...” ปลายนิ้วแข็งแรงเกลี่ยเอาคราบน้ำตาออกจากดวงหน้าหวานราวกับอีกฝ่ายเป็นน้องน้อยของเขา

ความใจดีของพิชญ์เคยทำให้ไอลดาหลงใหลได้ปลื้มว่าเธอพิเศษกว่าใคร กว่าจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นได้แค่แม่ของลูก แต่ไม่ใช่เมียของเขา

ไอลดาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ก่อนที่เสียงของเธอจะปลุกน้องหนูให้ตื่นขึ้นมา มือเรียวเค้นเป็นกำปั้นก่อนจะทุบรัว ๆ ไปที่อกของพิชญ์ด้วยความอัดอั้นตันใจ ยิ่งเห็นเขาไม่ตอบโต้ ปล่อยให้เธอทำร้ายจนพอใจ เธอก็ยิ่งฟูมฟายหนัก

“พี่พีทไม่สงสารเล็กเลยหรือไง ทำไมถึงทำกับเล็กแบบนี้...”

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พิชญ์คงพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ทุกอย่างลงเอยแบบนี้ อริญชย์จะรู้ไหม ว่าความเอาแต่ใจของเขาทำให้ใครต้องเจ็บปวดบ้าง

...ทำร้ายเขายังไม่เท่าไหร่ แต่อริญชย์ทำร้ายน้องสาวตัวเองได้ยังไง อริญชย์ทำได้ยังไงกัน

“อย่าร้องคุณเล็ก ได้โปรด ผมขอโทษ...”

น้ำตาลูกผู้ชายพาลจะไหลออกมาอย่างไม่อาย ทั้งอึดอัด ทั้งรู้สึกผิด ทั้งสงสารไอลดา ทุกความรู้สึกมันผสมปนเปกันไปหมด

“เล็กไม่ดียังไง เล็กผิดตรงไหน บอกเล็ก บอกเล็กมาสิคะพี่พีท เล็กจะปรับ เล็กจะแก้ทุกอย่าง แค่พี่พีทบอกเล็ก”

พิชญ์ได้แต่ส่ายหน้าไปมา

“ไม่ครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเล็กเลย”

ไอลดายกมือขึ้นปาดน้ำตาช้า ๆ ก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพิชญ์ เธอมีแค่สองทางเลือก ระหว่างปล่อยให้พิชญ์ไปมีความสุขหรือยอมเป็นคนโง่แล้วรั้งเขาเอาไว้

ไอลดารู้ เพียงแค่เธอเอ่ยปาก พิชญ์จะไม่ยอมจากเธอไปไหน ภาระหน้าที่ความเป็นพ่อบังคับให้เขาจำเป็นต้องอยู่กับเธอ โชคดีเหลือเกินที่เธอยังมีน้องหนู ใครจะว่าเธอใช้ลูกเป็นเครื่องมือ ไอลดาก็ไม่สนใจ

...ครั้งหนึ่ง ลูกเคยทำให้ไอลดาได้พิชญ์มา

ครั้งนี้...ไอลดาก็จะใช้ลูกมาเหนี่ยวรั้งพิชญ์เอาไว้อีกครั้ง

“เล็กจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เล็กรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายทั่วไป เล็ก...เล็กจะพยายามเข้าใจ”

พิชญ์ฝืนยิ้มออกมาได้ไม่เต็มปากนัก การมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นพี่ภรรยา มันไม่ใช่เรื่องปกติของผู้ชายทั่วไปเลยสักนิด

แม้สาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดจะมาจากอริญชย์ พิชญ์ก็ไม่คิดปริปากออกไป เขาไม่ได้ต้องการปกป้องอริญชย์ให้ลอยตัวจากความผิดนี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้ความจริงมาทำร้ายไอลดามากไปกว่านิ้อีกแล้ว

ไอลดาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพิชญ์ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แววตาของเขาเปลี่ยนไป ถึงเธอจะไม่เคยได้อยู่ในแววตาของเขา แต่ตอนนี้มันเหมือนมีเงาลาง ๆ ของใครบางคนอยู่ในนั้น

ใครกันที่มาอยู่ในที่ ๆ ควรเป็นของเธอ จะสายไปไหม ถ้าเธอคิดจะทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาเขาเอาไว้

“พี่พีทย้ายมาอยู่กับเล็กที่คอนโดได้ไหมคะ” คำถามของไอลดาถูกโพล่งขึ้นมาพร้อมกับแววตาที่มองมาอย่างคาดหวัง

ใช่ว่าพิชญ์ไม่อยากทำตามที่ไอลดาขอ เพียงแต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ประมุขของบ้านอย่างอริญชย์ต่างหาก

“ผม...”

ไอลดาไม่เคยคิดอยากบังคับหรือฝืนใจพิชญ์ แต่ถ้ามันจำเป็นจริง ๆ คนอย่างเธอก็ทำได้ดีไม่แพ้ผู้เป็นพี่ชาย

“พี่พีทนอกใจเล็ก ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงฟ้องหย่ากันไปแล้ว ศาลจะต้องตัดสินให้สิทธิ์เลี้ยงดูลูกเป็นของเล็ก แล้วเล็กก็อาจจะเสียใจจนไม่อยากอยู่ที่นี่ พาน้องหนูไปอยู่ด้วยกันที่เมืองนอก...” แม้จะเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา แต่แววตาของไอลดาก็บอกพิชญ์ว่าเธอเอาจริง

สิ่งสุดท้ายที่พิชญ์จะยอมให้เกิดขึ้นคือการถูกพรากจากน้องหนู เขารู้ว่าไอลดาไม่ได้ขู่ แต่เธอกล้าทำจริง ๆ พี่น้องสองคนนี้คล้ายกันขนาดไหน ทำไมคนอย่างพิชญ์จะไม่รู้

“อย่านะครับ”

“มาอยู่กับเล็กนะคะ เล็กจะคุยกับพี่ใหญ่เอง”

คนอย่างพิชญ์เคยมีทางเลือกด้วยหรือ เขาได้แต่ยืนนิ่งแทนการตอบรับ เอาเข้าจริงแล้ว พิชญ์ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมที่สองพี่น้องกำลังเล่น เดี๋ยวคนหนึ่งจับเขาเดินไปทางซ้าย อีกคนจับเขาเดินไปทางขวา ชายหนุ่มเผลอแค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งนิด ๆ เมื่อฝ่ามือเรียวเอื้อมมาประคองใบหน้าเขาเอาไว้

“คุณเล็ก...” พิชญ์ครางชื่อหญิงสาวออกมาเบา ๆ

“จูบเล็กได้ไหม ช่วยทำให้เล็กตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที...”

พิชญ์ขยับจะเอ่ยปากปฏิเสธเหมือนที่แล้ว ๆ มา แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าโดยไม่ตั้งใจ เขาจึงเปลี่ยนเป็นผงกหัวช้า ๆ แม้จะรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน

บางทีหมากตัวนี้ก็เบื่อที่ถูกจับโยกไปโยกมา อยากลองมีชีวิตเป็นของตัวเองดูสักครั้ง

พิชญ์ยื่นมือไปเชยคางไอลดา เขาสบตากับไอลดานิ่งก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง แนบริมฝีปากลงบนกลีบปากบางช้า ๆ อย่างทะนุถนอมและอ่อนโยน

พระเจ้าเท่านั้นที่รู้...พิชญ์ไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังจูบกับไอลดาเลย

แต่เป็นใครอีกคน...คนที่กำลังยืนดูพวกเขาอยู่นอกห้อง ผ่านกรอบหน้าต่างบานเล็ก!


.


อริญชย์เดินนำตุลย์มาถึงหน้าห้องคนป่วยก่อนจะชะงัก ฝ่ามือที่ยื่นออกไปวางคาอยู่บนลูกบิดประตูนิ่ง เขาสบสายตากับพิชญ์ที่มองออกมาจากข้างในห้องก่อนที่อีกฝ่ายจะหลับตาลงช้า ๆ แล้วภาพทุกอย่างตรงหน้าก็ค่อย ๆ เข้าสู่การรับรู้ของเขา เหมือนคมมีดที่ค่อย ๆ กรีดลงไปบนหัวใจ อริญชย์กำมือแน่นเพื่อระงับความพลุ่งพล่านที่แล่นขึ้นมา เตือนตัวเองไม่ให้พังประตูเข้าไปแล้วกระชากพิชญ์ออกมาจากไอลดา

พิชญ์เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องคือความจงใจ

นี่หรือคือสิ่งที่พิชญ์ตอบแทนให้กับคำว่า ‘รัก’ ของเขา

ตุลย์ที่เดินถือของตามหลังอริญชย์มาชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่ยอมเปิดประตูเข้าไปในห้องเสียที เอาแต่ยืนรี ๆ รอ ๆ อยู่หน้าห้อง เขาเลยถือวิสาสะเดินมาชะโงกดูตรงหน้าบานเล็กว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะต้องยืนตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน

ตุลย์เป็นฝ่ายที่ได้สติก่อน เขารีบรั้งแขนอริญชย์ให้เดินออกมาจากหน้าห้อง ก่อนที่อารมณ์ร้อน ๆ ของอริญชย์จะทำให้ทุกอย่างพังพินาศ เขาพาผู้เป็นนายเดินมาจนถึงระเบียงที่ปลอดคน รับรู้ถึงความเกรี้ยวกราดที่กำลังก่อหวอดอยู่ภายในใจ แต่อริญชย์ก็พยายามฝืนเก็บมันเอาไว้ มีแค่เสียงครางเหมือนสัตว์บาดเจ็บที่ดังลอดริมฝีปากหยักออกมา

ถึงจะสงสารอริญชย์มากแค่ไหน แต่ตุลย์ก็ปฏิเสธความจริงที่พิชญ์กับไอลดาเป็นสามีภรรยากันไม่ได้

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพิชญ์กับไอลดาเป็นสามีภรรยากัน แต่อริญชย์ก็แทบคลั่งเมื่อเห็นว่าพิชญ์กำลังจูบกับไอลดา เขาไม่ใช่พี่ชายจอมงี่เง่าที่หวงน้องสาว เขาก็แค่...หวงของ ๆ เขา

ทุกสิ่งทุกอย่างบนร่างกายพิชญ์ ทุกตารางนิ้วบนร่างกายนั้นเป็นของเขา เขาเคยคลั่งแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่รู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับไอลดา ตอนนี้ความรู้สึกแบบคราวนั้นกำลังจะหวนกลับมาอีก ความรู้สึกหวงแหนและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจนทำให้เขาแทบจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง

แม้ว่ายิ่งปล่อยให้พิชญ์มีอิทธิพลกับเขามากเท่าไหร่ มันจะยิ่งแย่ต่อตัวเขามากเท่านั้น แต่อริญชย์ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย

พิชญ์...มีอิทธิพลกับเขามากเกินไปจริง ๆ...

ตุลย์เพียงแค่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ มองผู้เป็นนายยืนกำราวระเบียงแน่นราวกับจะบีบราวเหล็กให้แหลกคามือ อริญชย์ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์จนเป็นปกติ ผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ เขาหันมามองตุลย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะพึมพำออกมาเบา ๆ

“ขอบใจ...”

ตุลย์ขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ เลือกยืนนิ่ง ๆ มองดูอริญชย์ล้วงบุหรี่กับไฟแช็คออกมาจุดสูบ ก่อนจะอัดควันเข้าปอดหนัก ๆ ควันสีเทาลอยอวลอยู่ในอากาศ ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกหม่น ๆ ของอริญชย์ในตอนนี้

ถ้าถามว่าจุดอ่อนของอริญชย์คืออะไร ตุลย์เองก็คงตอบว่าพิชญ์อย่างไม่ลังเล

คนสนิทอย่างตุลย์ก็เคยรู้สึกไม่ชอบพิชญ์มาก่อน เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เขาไม่อยากให้เจ้านายที่เขารักและเคารพมีจุดอ่อน ก่อนจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว พิชญ์ไม่ได้เป็นแค่เพียงจุดอ่อนของอริญชย์ แต่ยังเป็นจุดหมายที่อริญชย์ต้องการไขว่คว้ามาไว้ข้างกายให้ได้

ตุลย์ปล่อยให้ผู้เป็นนายยืนสูบบุหรี่เงียบ ๆ โดยไม่คิดที่จะรบกวน เขารู้ว่าเวลาไหนควรพูดและเวลาไหนควรเงียบ

หลังจากอัดควันเข้าปอดหนัก ๆ จนสาแก่ใจ อริญชย์ก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงต่ำ

“ไปเถอะ...”

“คุณใหญ่...”

“ฉันรู้ตุลย์ ฉันรู้...”

ทำไมอริญชย์จะไม่รู้ว่าตุลย์ต้องการจะพูดอะไรกับเขา เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่อยากรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำหรือคำสั่งสอนใด ๆ เขาก็ยังไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น

ในบรรดาพี่น้องที่เกิดจากผู้เป็นพ่อคนเดียวกันสามคน คนที่ไม่เหมือนใครเลยก็คืออธิษฐ์ที่เป็นน้องชายต่างแม่ของอริญชย์ อธิษฐ์ค่อนข้างอ่อนแอและไม่เด็ดขาดเหมือนผู้เป็นแม่ ผิดกับอริญชย์และไอลดาที่รับเอานิสัยของผู้เป็นพ่อมาเต็ม ๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่อริญชย์รู้เป็นอย่างดี และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ...

นอกจากจะเป็นพี่น้องที่นิสัยเหมือนกันแล้ว เขากับไอลดายังรักผู้ชายคนเดียวกันอีก!

จะเรียกว่าเป็นความบังเอิญหรือสวรรค์เบื้องบนจงใจดีล่ะ บนโลกนี้มีคนเป็นพันล้านคน แต่ทำไมถึงต้องเป็นคนนี้ แค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น คำตอบของคำถามคงมีแค่เขาคนเดียวที่รู้ ว่าทำไมถึงต้องเป็นพิชญ์ และทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยมือจากพิชญ์เสียที

อริญชย์เดินหน้านิ่งกลับมาห้องพักผู้ป่วย มีตุลย์เดินตามมาห่าง ๆ คงมีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะลูกบิดประตู ก่อนที่ครั้งนี้เขาจะเปิดออกโดยไม่ลังเล ดวงตาดำจัดดูเย็นชากว่าทุกทียามมองเลยไปยังพิชญ์ที่หันหน้ามาสบตากับเขาเข้าพอดี

“ทำไมพี่ใหญ่มาช้าจังเลย” เสียงหวานของคนที่ยืนอยู่ข้างพิชญ์เอ่ยขึ้นมาอย่างกระเง้ากระงอด

“พี่แวะซื้อของกินมาให้ จะให้มาถึงเร็วได้ยังไง หรือว่าเธอจะไม่กิน” คนถูกต่อว่าเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะพยักเพยิดไปทางตุลย์ที่ถือข้าวของเข้ามาเต็มสองมือ

“ทำไมถึงจะไม่กินล่ะ อายุเยอะแล้วก็อย่ามาทำเป็นใจน้อยน่าพี่ใหญ่”

“พี่จะรู้หรือไง นึกว่าเธอกินอย่างอื่นจนอิ่มแล้ว”

“มีอะไรให้กินเสียที่ไหนล่ะ” ไอลดาบ่นกระปอดกระแปด เลิกสนใจพี่ชายแล้วหันไปสนใจข้าวของที่ตุลย์ถือเข้ามาแทน “ไหนดูสิว่าซื้ออะไรมาบ้าง”

ระหว่างที่ไอลดากับตุลย์กำลังช่วยกันรื้อของกินออกมาจากถุง พิชญ์เลยถือโอกาสเดินไปดูน้องหนูที่ยังนอนหลับอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินตามมาหยุดอยู่ด้านหลัง พิชญ์เลยแสร้งถอนหายใจออกมาช้า ๆ เขาขยับจะเบี่ยงตัวหนี แต่ก็ช้ากว่าอริญชย์ที่วางมือลงบนบ่าเขาก่อนจะบีบแน่น

ถ้ามีคนถามว่าคลื่นใต้น้ำเป็นยังไง พิชญ์คงตอบว่าเหมือนอริญชย์ตอนนี้ ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งที่เห็น เขารู้ดีว่ามันซ่อนความคุกรุ่นไว้มากแค่ไหน แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาเลือกที่จะเล่นเกมนี้เอง

ตอนตัดสินใจกระโดดลงไปในคลื่นใต้น้ำที่กำลังหมุนวน พิชญ์คิดเพียงแค่ว่า ถ้าคลื่นไม่ซัดเขากลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย คลื่นก็คงซัดเขาจมหายลงไปในทะเลลึกเลย

“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” คำกระซิบดุดันดังชิดใบหูพร้อมกับฝ่ามือที่บีบไหล่พิชญ์แน่นราวคีมเหล็ก

“คุณใหญ่คิดว่าสามีภรรยาเขาควรทำอะไรกันล่ะ”

ปกติพิชญ์เองก็ใช่ว่าจะยอมอริญชย์ ยิ่งเพิ่งผ่านสถานการณ์น่าอึดอัดและลำบากใจมาหมาด ๆ ความหงุดหงิดทั้งหมดที่มีจึงถูกส่งไปที่อริญชย์ รวมถึงความจงใจของเขาที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นภาพเมื่อกี้เข้า

“พีท อย่าคิดที่จะยั่วโมโหฉัน” อริญชย์เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงหนัก ๆ

พิชญ์ยิ้มหยัน สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอริญชย์ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟัน

“คำว่ารักที่ไม่ถูกต้องของคุณ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอกคุณใหญ่ เพราะมันผิด มันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว พูดออกมาตอนนี้ มันก็เป็นได้แค่คำพูดพล่อย ๆ เท่านั้นแหล่ะ”

อริญชย์มองตามแผ่นหลังพิชญ์ที่เดินไปสมทบกับไอลดาและตุลย์ก่อนจะขบกรามแน่น

ในเมื่อพิชญ์บอกว่าความรักของเขามันผิดมาตั้งแต่ต้น ถ้าจะทำให้มันผิดมากกว่านี้...ก็คงจะไม่เป็นไรสินะ


.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 17 --- หน้าที่ 4 [31/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 31-05-2020 19:34:51


หลังทุกคนจัดการกับอาหารเช้าที่อริญชย์สั่งให้ตุลย์แวะซื้อก่อนมาโรงพยาบาลกันเรียบร้อยแล้ว หน้าที่เก็บกวาดก็ตกเป็นของตุลย์อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าตัวแสร้งบ่นกระปอดกระแปดออกมาหวังจะคลี่คลายบรรยากาศมาคุตรงหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก เมื่อไอลดาเล่นเปิดประเด็นที่ทำเอาอริญชย์คิ้วกระตุกขึ้นมาแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน

“พอน้องหนูออกจากโรงพยาบาล เล็กจะให้พี่พีทย้ายมาอยู่ด้วยกันกับเล็กที่คอนโดนะคะ”

“หมายความว่ายังไง” คำถามของอริญชย์เหมือนเจาะจงถามคนที่ยืนอยู่ข้างไอลดามากกว่า

ถ้าไม่เป็นพิชญ์คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ เขาเกือบจะหลุดยิ้มหยันออกมาเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกดดันจากสองพี่น้อง ราวกับกำลังเล่นชักกะเย่อโดยมีเขาเป็นเชือกที่แต่ละคนพากันดึงไปคนละข้าง คนหนึ่งลากไป อีกคนลากมา เห็นเขาเป็นตัวอะไรกัน

“เล็กลองคิดดูดี ๆ แล้ว ให้พี่พีทมาอยู่กับเล็กน่าจะดีกว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้ขึ้น อย่างน้อยเล็กก็ยังมีพี่พีทอยู่ใกล้ ๆ ให้อุ่นใจ”

“นายอยากจะย้ายไปอยู่กับยัยเล็กงั้นหรือ”

พิชญ์สบตากับอริญชย์ ดวงตาดำจัดแฝงไว้ด้วยความกราดเกรี้ยวที่ถูกเก็บกดเอาไว้ข้างใน ถ้าต้องเลือกจริง ๆ พิชญ์ก็คงต้องเลือกสิ่งที่มันถูกต้องมากกว่าถูกใจใครบางคน ดังนั้นคำตอบของเขาจึงมีเพียงอย่างเดียว...

“แค่ก ๆ...”

เสียงไอเบา ๆ ดังขัดจังหวะผู้ใหญ่สามคน ตุลย์ที่ได้สติเป็นคนแรกรีบตะโกนขึ้นมา

“คุณหนูตื่นแล้วครับ”

คนเป็นพ่อหมดความสนใจในเรื่องที่กำลังคุยค้างกันอยู่ทันที พิชญ์ก้าวพรวดเดียวก็ไปยืนข้างเตียงน้องหนู เขาค่อย ๆ ประคองน้องหนูให้ลุกขึ้นนั่ง

“เป็นยังไงบ้างคะคนเก่ง” พิชญ์แทบจะอุ้มน้องหนูขึ้นมากอดแนบอก น้องหนูตัวน้อยยังมีท่าทางอ่อนเพลีย แต่ก็รีบซุกตัวเข้าหาพิชญ์ด้วยความคิดถึง

“พ่อพีทจ๋า น้องหนูหิวน้ำจัง”

ไอลดารีบส่งแก้วน้ำให้พิชญ์ ก่อนที่เขาจะรับมาจ่อปากน้องหนู กำชับให้ลูกสาวตัวน้อยค่อย ๆ ดื่ม จะได้ไม่สำลัก เสร็จแล้วก็ดึงกระดาษทิชชู่ตรงโต๊ะหัวเตียงมาซับน้ำตรงมุมปากออกให้อย่างอ่อนโยน

“คุณเล็กช่วยแจ้งพยาบาลทีนะครับ ว่าน้องหนูตื่นแล้ว” พิชญ์เอ่ยบอกผู้เป็นภรรยา ก่อนจะหันมาถามน้องหนูที่นอนมองเขาตาแป๋วอยู่ “ปวดหัว ตัวร้อน มึนหัวบ้างไหมลูก”

น้องหนูส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อเห็นชัดเจนว่า นอกจากผู้เป็นพ่อกับแม่แล้ว ในห้องพักคนป่วยยังมีอริญชย์กับตุลย์อยู่ด้วย

“น้องหนูอยากป่วยบ่อย ๆ จังเลยค่ะ”

“ไม่เอาสิ ทำไมพูดยังงั้นล่ะ”

“ถ้าน้องหนูสบายดี แล้วพ่อพีทจะมาหาน้องหนูเหรอคะ”

คำถามง่าย ๆ ที่ไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาผู้ใหญ่ทุกคนในห้องถึงกับนิ่งอึ้ง คนที่ได้สติก่อนอย่างพิชญ์รีบดึงน้องหนูมากอดแนบอก

“มาสิ แค่น้องหนูอยากเจอ พ่อพีทจะรีบมาหาน้องหนูทันที”

“แล้วถ้าน้องหนูอยากเจอพ่อพีททุกวันล่ะคะ พ่อพีทจะมาอยู่กับน้องหนูทุกวันได้ไหมคะ”

“ได้สิ พ่อพีทจะอยู่กับน้องหนูทุกวัน” พิชญ์เอ่ยตอบก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าอริญชย์มายืนประชิดอยู่ข้างหลัง แต่เขาก็ยังคงทำหน้านิ่ง สนใจเฉพาะน้องหนู

“ดีจังเลย น้องหนูรักพ่อพีทที่สุดในโลกเลย”

“แล้วไม่รักแม่เล็กหรือไงคะ”

เสียงหวานใสของไอลดาดังแทรกมาจากเบื้องหลัง น้องหนูยิ้มกว้าง ขยับจะเอ่ยปากตอบผู้เป็นแม่ แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเบ้หน้าเมื่อเห็นพี่พยาบาลเดินตามหลังมา แถมไม่เดินมาตัวเปล่า ยังถือยาน้ำหลายขวดที่น้องหนูไม่ชอบเข้ามาด้วย เจ้าตัวน้อยรีบช้อนตามองพิชญ์อ้อน ๆ ก่อนจะเรียกพ่อเสียงอ่อย

“พ่อพีทจ๋า...”

พิชญ์มองตามสายตาของน้องหนูก็นึกรู้ทันที เด็กเล็ก ๆ กับยาไม่ถูกกันมากแค่ไหน น้องหนูก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน

“ถ้าน้องหนูยอมกินยาดี ๆ...” ข้อเสนอถูกหยิบยื่นออกไป คนฟังค่อย ๆ เอียงคอฟังใจจดใจจ่อ “คืนนี้พ่อพีทจะนอนอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนน้องหนู...ดีไหมคะ?”

แม้จะนึกเกลียดรสหวานปนขมของยาน้ำหลากสี แต่ความรักที่มีต่อพ่อพีทของน้องหนูก็เอาชนะความเกลียดที่มีต่อยา ด้วยเหตุนี้ พิชญ์เลยไม่ต้องเสียเวลาหว่านล้อมเจ้าตัวจ้อยนานนัก เขาหันไปพยักหน้าให้คุณพยาบาลเอายามาให้น้องหนู ก่อนจะได้รับคำแซวเบา ๆ

“ท่าทางน้องจะติดคุณพ่อน่าดูเลยนะคะ”

พิชญ์ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ มองดูเจ้าตัวเล็กทำหน้าเบ้เหมือนถูกบังคับให้กลืนยา อันที่จริงก็กึ่ง ๆ บังคับนั่นแหล่ะ เขาแค่ยื่นข้อต่อรองนิดหน่อย พอกระดกยาเข้าปากเสร็จ น้องหนูก็ทำหน้าแหยทันที ดีว่าพิชญ์รีบยื่นแก้วน้ำส่งให้ เจ้าตัวเล็กรับไปดื่มอั่ก ๆ จนหมดแก้วก่อนจะได้รับคำชมจากคุณพยาบาล

“เก่งมากเลยค่ะ เดี๋ยวตอนเย็น พี่มาอีกรอบนะคะ” ประโยคแรกคุณพยาบาลชมน้องหนูเต็ม ๆ ก่อนจะหันมาถ่ายทอดประโยคหลังให้ผู้ใหญ่ที่ยืนอออยู่ฟัง “ทานยาแล้วน้องจะมีอาการง่วงนิดหน่อยนะคะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงน่าจะหลับ ถ้ามีอะไรก็กดเรียกได้ตลอดนะคะ”

พอคุณพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว ไอลดาเลยถือโอกาสอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นเสียที อริญชย์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบ ๆ อยู่ตรงโซฟาโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา ส่วนพิชญ์ลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าน้องหนูอยู่ข้างเตียง ไม่ยอมไปไหน

นิ้วเล็กเกาะเกี่ยวฝ่ามือแข็งแรงของพิชญ์เอาไว้ ดูเหมือนยาจะออกฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด เพราะน้องหนูเริ่มอ้าปากหาวหวิด ๆ แต่ยังไม่วายเอ่ยอ้อนผู้เป็นพ่อ

“พ่อพีทจ๋า เล่านิทานให้น้องหนูฟังหน่อย”

“เอาเรื่องอะไรดีคะ...”

“เจ้าหญิงนิทราได้ไหมคะ คราวก่อนพ่อพีทยังเล่าไม่จบเลย”

พิชญ์คลี่ยิ้มรับบาง ๆ เขาวางฝ่ามืออีกข้างลงบนหัวน้องหนูก่อนจะลูบเบา ๆ ด้วยความรัก ริมฝีปากขยับเล่านิทานก่อนนอนด้วยเสียงทุ้มต่ำน่าฟัง

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรแห่งหนึ่ง มีเจ้าหญิงถือกำเนิดขึ้น...”

เรื่องราวของเจ้าหญิงนิทราในนิทานถูกเล่าออกมาได้ไม่กี่ประโยค เจ้าหญิงตัวน้อยในชีวิตจริงก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียก่อน พิชญ์ส่ายหัวเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะขยับผ้าห่มคลุมร่างน้องหนูดี ๆ เขาค่อย ๆ ดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของน้องหนู โน้มตัวลงแตะริมฝีปากบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา

“หลับฝันดีนะ เจ้าหญิงนิทราของพ่อ...”

พิชญ์ผละออกมาจากเตียง เพราะไม่อยากรบกวนการนอนหลับของลูกสาวตัวน้อย พอหันกลับมาก็สบเข้ากับสายตาของอริญชย์ที่นั่งมองอยู่นานแล้ว ดวงตาดำจัดมองมาที่เขาอย่างคาดเดาไม่ออก ก่อนริมฝีปากหยักจะกระตุกยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ชนิดที่ทำเอาพิชญ์ถึงกับหน้าชา

เขาเกลียดสายตาแบบนี้ของอริญชย์ เกลียดสายตาที่มองเขาอย่างเอ็นดู เหมือนเขาเป็นเด็กตัวน้อย ๆ แต่ก่อนที่พิชญ์จะทันได้พูดอะไร เขาก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของไอลดาดังลอดออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูออกมาพร้อมกับแนบโทรศัพท์มือถือไว้ที่หู

“โอเค ๆ เดี๋ยวอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงเล็กไปถึง ถ้าเขารอกันไม่ได้ก็ให้เริ่มงานกันไปก่อนเลย แค่นี้นะ”

ไอลดากดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะโยนลงกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเอง อริญชย์ที่นั่งมองอยู่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย เอ่ยปากถามออกไปอย่างใจคิด

“จะไปไหนหรือไง”

“โดนเรียกตัวฉุกเฉินน่ะสิคะ พอดีงานเขาขาดคน เล็กเลยต้องไปช่วย”

“แล้วลูกล่ะ...” คำถามเอ่ยถามคนเป็นแม่ แต่ดูเหมือนสายตาของอริญชย์จะจับอยู่ที่พ่อของลูกมากกว่า

“ฝากพี่ใหญ่กับพี่พีทช่วยดูน้องหนูที พอดีผู้ใหญ่ที่จัดงานนี้เขาเคยช่วยเล็กมาหลายรอบแล้ว เล็กเลยปฏิเสธไม่ได้”

“จะไปก็ไปเถอะ เดี๋ยวให้ตุลย์เดินลงไปส่งที่รถแล้วกัน”

“เล็กโตแล้วนะพี่ใหญ่ ทำอย่างกับเล็กเป็นเด็กไปได้ จะห่วงกันไปถึงไหน”

“พูดตอนไหนว่าห่วงเธอ ฉันจะให้ตุลย์ไปหยิบสมุดบัญชีที่รถมาให้ด้วย”

ไอลดาถึงกับหน้าเหวอเมื่อได้ยินเหตุผลของอริญชย์ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชาย แถมยังเป็นพี่ชายคนโต เธอคงอาละวาดใส่เขาไปแล้ว ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่ยืนฮึดฮัด ก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีแทน

“เล็กไปก่อนนะคะพี่พีท” พิชญ์ยิ้มรับ ผิดกับอีกคนที่อดไม่ได้

“จะไปก็รีบไปเถอะ ลีลาเหลือเกินนะยัยเล็ก”

หญิงสาวค้อนพี่ชายประหลับประเหลือกก่อนจะคว้ากระเป๋าถือเตรียมตัวออกจากห้อง ดวงตาคู่โตยามที่มองมาที่พิชญ์ฉายแววแปลก ๆ จนคนถูกมองต้องหลบตาวูบ ไอลดาคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนจะเดินนำตุลย์ออกไป ตุลย์เหลือบมองผู้เป็นนายแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

พอไอลดากับตุลย์ออกไปแล้ว ในห้องจึงเหลือแค่อริญชย์ พิชญ์ และน้องหนูที่นอนหลับสนิท พิชญ์ขยับตัวอย่างอึดอัด ทำท่าเหมือนจะเดินไปดูน้องหนู ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าน้องหนูคงไม่ตื่นขึ้นมาง่าย ๆ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากจะถ่วงเวลาเอาไว้ก่อนที่ตุลย์จะกลับมา เพียงแต่ว่าการกระทำของเขาดันช้ากว่าใครอีกคน

“เรามาคุยกันหน่อยดีไหม พีท...”



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มาก ๆ เลยค่ะ
ตอนนี้ต้องกอดปลอบพีท คุณใหญ่ใจเย็น ๆ ค่ะ ค่อยพูดค่อยจากัน


 
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 17 --- หน้าที่ 4 [31/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 31-05-2020 19:36:07
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 17 --- หน้าที่ 4 [31/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 31-05-2020 21:54:55
ฮืออออออ ตัดจบได้เจ็บหัวใจมักๆ  :ling3:

พีทหนอพีท อ่านตอนนี้จบรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่ยุ่งเหยิงก็เพราะตัวพีทเป็นเหตุด้วยละ หนึ่งคือเป็นคนที่ไม่เด็ดขาดเลยโอนอ่อนผ่อนตามคุณเล็กตลอดเพราะเรื่องลูก อยากรู้เหมือนกันว่าไปพลาดท่าเสียทีแบบไหนกันถึงทำให้มีอะไรกับคุณเล็กได้ เป็นการวางแผนจากคุณเล็กเหรอ หรืออะไร พอแต่งงานแล้วคำว่าครอบครัวมันก็เริ่มต้นแล้วทิ้งขว้างไม่ดูแลกันแบบสามีภรรยาจริงๆ แบบนี้ก็แปลกเหมือนกัน พอมามีสัมพันธ์กับคุณใหญ่เพราะโดนบังคับ อันนี้อีกละที่พีทก็ยอมเพราะอยากอยู่ใกล้ลูก โอ้ยยยย ! ยุ่งเหยิงไปหมดจริงๆ เลยพีท แล้วนี่จะยอมตามใจคุณเล็กอีก จะไปอยู่กับเขา จูบคุณเล็กประชดคุณใหญ่งี้อีก ไม่สงสารคุณเล็กเลยเหรอที่ทำแบบนี้ ไปให้ความหวังคุณเล็กทำไม !! อะไรของเธออะพีท ฉันเหนื่อย 55555555

รอติดตามนะคะ นี่รอจริงๆ นะ ทำงานยังคิดถึงแต่เรื่องนี้ 55555 สนุกมากเลยค่ะ   o18
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 17 --- หน้าที่ 4 [31/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-05-2020 22:14:08
 :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 17 --- หน้าที่ 4 [31/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: casson ที่ 01-06-2020 12:24:41
เครียดแทนทุกตัวละครในเรื่องเลย

ขอบคุณนักเขียนค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 17 --- หน้าที่ 4 [31/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-06-2020 14:23:43
จะคุยกันจะไปทางไหนกันดีหน้อ เลือกไม่ถูกเลย 5555 เห็นใจเข้าใจทุกคนเท่ากันอะตอนนี้ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของไอลดานะ ไม่ว่าอะไรเธอเลย พีทเองก็เห็นใจ แต่ก็ต้องเข้าใจใหม่ว่าทั้งพี่ทั้งน้องที่แย่งกันนี่เพราะตัวเองเป็นคนสำคัญต่อพวกเขา เพียงแต่ไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง เห็นใจตรงนี้แหละ 5555 คุณใหญ่เองก็เช่นกันบางทีก็ควรไปวัดนะ ทำใจร่มๆหน่อย ความอดทนเรามีขีดจำกัด พีทเขาทนไม่ได้จะไปกันใหญ่เลยทีนี้ ถ้าเอาแต่ขู่อยู่เรื่อย 555555 คุณเล็กมันยังมีความจริงอีกส่วนรอคุณอยู่อีกข้างหน้า เตรียมใจเถอะ ขอบอก รอยนั่นใครทำ คราวนี้แหละ บันเทิง 555555 อะๆจะไปทางไหนยังไงต่อไป รอตอนหน้าเลยค่า สนุกๆชอบๆ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 03-06-2020 19:26:54
สิบแปด
คนถูกหักหลัง



“เรามาคุยกันหน่อยดีไหม พีท...”

เจ้าของเรือนร่างสูงกำยำเอ่ยออกมาเสียงห้าวลึก ดวงตาดำจัดแฝงแววดุดันจนดูคุกคาม ฝ่ามือหนาวางบนบ่าของพิชญ์ก่อนจะบีบแน่นเป็นเชิงบังคับ จนคนถูกกระทำต้องนิ่วหน้าออกมาด้วยความเจ็บ แต่ถึงแม้จะเจ็บ พิชญ์ก็ยังอวดดีพอที่จะปัดมือของอริญชย์ที่วางอยู่บนบ่าออก แล้วหันกลับมาเผชิญหน้าอริญชย์ที่กำลังจ้องเขาเขม็งราวกับเสือร้ายที่เตรียมจะขย้ำลูกแกะอวดดีให้แหลกคากงเล็บ

ถ้าเป็นยามปกติ อริญชย์คงจะนึกชื่นชมท่าทียโสโอหังของพิชญ์ที่ดึงดูดสายตาเขาแทบทุกครั้ง แต่ยามนี้ ท่าทางอวดเก่งของพิชญ์รังแต่จะทำให้ขีดความอดทนของอริญชย์ลดต่ำลงเรื่อย ๆ

“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...”

พิชญ์เป็นคนฉลาดและเขาก็ไม่ใช่พวกที่จะมาแสร้งปั้นหน้าทำไขสือ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าสิ่งที่อริญชย์กำลังพูดถึงอยู่คืออะไร ชายหนุ่มจ้องหน้าอริญชย์กลับ บิดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเยาะที่คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าเขากำลังเย้ยหยันตัวเองหรือเย้ยหยันอริญชย์อยู่กันแน่

“คุณใหญ่คิดว่ายังไงล่ะ”

ความอึดอัดและความรู้สึกผิดที่มีต่อไอลดายังคุกรุ่นอยู่เต็มหัวใจ และผลักดันให้พิชญ์นึกอยากจบเรื่องราวบ้าบอเหล่านี้เสียที ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากอริญชย์ แต่พิชญ์ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองก็มีส่วนผิดที่โอนอ่อนผ่อนตามอริญชย์

ตอนแรก เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ แต่ตอนหลัง คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธ

ทุกครั้งที่ถูกอีกฝ่ายครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของ แม้ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่วถ้อยคำผลักไส แต่พระเจ้าก็รู้ว่าพิชญ์ตอบรับอริญชย์อย่างเต็มใจเสมอ

นอกจากร่างกายจะทรยศเหมือนไม่ใช่ของเขาแล้ว อริญชย์ยังคิดจะสั่นคลอนหัวใจเขาด้วยคำพูดพล่อย ๆ อีก อย่างน้อยสิ่งเดียวที่พิชญ์พอทำได้เพื่อไม่ให้ความรู้สึกผิดบาปที่มีต่อไอลดามันมากไปกว่านี้ คือเขาต้องหยุด หยุดความคิดและความรู้สึกเหล่านี้ก่อนที่ตัวเองจะตกอยู่ในวังวนของอริญชย์จนถอนตัวไม่ขึ้น

“อยากจะไปอยู่กับยัยเล็กมากสินะ”

พิชญ์หลุดยิ้มขื่นออกมา อริญชย์พูดราวกับตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขา ส่วนไอลดาเป็นคนนอก ทั้งที่ความจริงมันกลับกัน เขากับไอลดาต่างหากที่เป็นสามีภรรยา และคนนอกก็คืออริญชย์

ในเมื่อไอลดาก็เข้าใจว่าเขานอกใจเธอไปแล้ว แล้วคนอย่างพิชญ์ ภัทรกุลยังมีอะไรให้ต้องเสียอีกหรือ  ถ้อยคำที่พิชญ์เอ่ยออกไปจึงไม่ต่างอะไรกับน้ำมันที่ราดลงบนเปลวไฟ โหมเพลิงโทสะของอริญชย์ให้ลุกเป็นไฟ

“ใช่ ผมอยากจะไปอยู่กับคุณเล็ก อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก ไม่ต้องมีคุณมาคอยวุ่นวาย มาคอยเกี่ยวข้องกันอีก”

อริญชย์ขบกรามแน่นด้วยความโกรธที่แล่นริ้วขึ้นมาเป็นลำดับ เอื้อมมือหมายจะกระชากพิชญ์เข้ามาหาตัว แต่ดูเหมือนพิชญ์จะรู้เท่าทันความคิดเขา คนตัวเล็กกว่าถึงได้วิ่งไปเกาะขอบเตียงคนไข้ที่มีลูกสาวตัวน้อยนอนหลับอยู่ราวกับจะอาศัยเป็นเกราะกำบัง เรียกความฉุนเฉียวจากอริญชย์ให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

อริญชย์รักพิชญ์ รักมากจนติดจะหลงในบางทีเสียด้วยซ้ำ แต่ประสบการณ์ทุกอย่างที่หล่อหลอมให้เขาเป็นตัวเขาอย่างทุกวันนี้มันสอนเขาว่า แค่คำว่ารักมันยังไม่เพียงพอ มันต้องอาศัยความเด็ดขาดมาปราบพยศลูกแกะที่ริอ่านเอาหนังแมวป่ามาห่มแล้วยืนขู่เขาฟ่อ ๆ อยู่ตรงหน้าด้วย

“คิดว่าการไปยืนแอบข้างเตียงน้องหนูมันจะช่วยให้นายรอดงั้นเหรอ”

“ถ้าคุณทำอะไรผม ผมจะกดกริ่งเรียกนางพยาบาลให้เข้ามา”

อริญชย์เหยียดยิ้มร้ายก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำในลำคออย่างลำพองใจ ไม่ต้องรอให้พิชญ์มีโอกาสลงมือทำอย่างที่ปากพูด เขาก็ก้าวพรวดเดียวเข้าประชิดตัว แล้วอาศัยแรงที่มากกว่ากระชากพิชญ์ออกมาจากข้างเตียงน้องหนู โดยไม่ลืมที่จะกระชากผ้าม่านกั้นเตียงมาปิดเพื่อเป็นหลักประกันว่าพิชญ์จะไม่เข้าไปรบกวนการนอนหลับของน้องหนูอีก

ฝ่ามือหนากำรอบข้อมือเล็กจนมิด ลากอีกคนถูลู่ถูกังมาตามทางโดยไม่สนใจอาการขืนตัวของคนถูกลากแม้แต่น้อย ก่อนจะเหวี่ยงร่างเล็กกว่าลงบนโซฟาไม่แรงนัก

ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับพนักพิงโซฟา พิชญ์ก็ตั้งท่าจะผุดลุกขึ้นมาทันที ดวงตาเรียววาววับด้วยแรงโทสะไม่ต่างกัน แต่เขายังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด พิชญ์ก็ถูกผลักให้ล้มกลับลงไปก่อนจะถูกกักเอาไว้ใต้วงแขนแข็งแรง

“คุณใหญ่ ปล่อยผม”

เจ้าของชื่อทำหูทวนลมราวกับเสียงของพิชญ์เป็นแค่เสียงนกเสียงกา อริญชย์ไล่สายตาไปตามโครงหน้าของพิชญ์ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากบาง

เขาไม่รู้ว่าพิชญ์คุยอะไรกับไอลดาก่อนที่เขาจะมา แต่ท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ และที่สำคัญ...

กล้าดียังไงถึงเอาริมฝีปากที่เป็นสิทธิ์ของเขาไปจูบไอลดา!

“เอาสิ กดกริ่งเรียกพยาบาลเลยสิ”

แม้ถ้อยคำของอริญชย์จะฟังดูยั่วเย้า แต่คนฟังก็รู้ดีว่าคนพูดไม่ได้มีอารมณ์ขันแม้แต่น้อย พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น เมื่อสำนึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ แต่ยังไม่วายเชิดหน้าด้วยความอวดดี

“ถ้าสิ่งที่คุณทำกับผมอยู่มันเรียกว่าความรัก งั้นก็ช่วยเอาความรักงี่เง่าของคุณกลับคืนไปเถอะ”

“แล้วต้องทำแบบไหน ทำเหมือนที่นายทำกับยัยเล็กใช่ไหม”

อริญชย์บีบปลายคางพิชญ์แน่น ปลายนิ้วไล้ไปตามริมฝีปากแดงระเรื่อ ภาพที่พิชญ์จูบกับไอลดายังติดตาและคอยแต่จะโหมกระพือความโกรธของเขาให้เพิ่มมากขึ้น

“ใช่ คุณเล็กเท่านั้นที่ผมจะแสดงความรักด้วย อย่าลืมสิคุณใหญ่ ว่าผมกับคุณเล็กเป็นสามีภรรยากัน ส่วนคุณน่ะ...มันเป็นแค่คนนอก!”

ความพยายามที่จะยั่วโมโหอริญชย์ของพิชญ์ดูเหมือนจะได้ผลเป็นอย่างดี ไม่ว่าเจ้าตัวจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อริญชย์บีบปลายคางพิชญ์เอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปอย่างรุนแรง คนถูกกระทำได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมให้อริญชย์ได้รุกรานเข้ามาอย่างที่ต้องการ อริญชย์บีบปลายคางพิชญ์ให้เปิดริมฝีปาก แต่พิชญ์ก็เอาแต่ส่ายหน้าหนี จนชายหนุ่มต้องถอนริมฝีปากออกมา สบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นอาการดื้อแพ่งของพิชญ์

ในเมื่อบีบบังคับให้เขาต้องใช้ไม้แข็ง เขาก็จะสนองให้

ในเมื่อคิดว่าเขาเป็นคนเลว เขาก็จะเลวให้มากกว่าที่เป็นอยู่

คนอย่างพิชญ์ไม่มีอะไรจะเสีย ส่วนคนอย่างอริญชย์ก็จะไม่ยอมเสียพิชญ์ไป

อริญชย์กระตุกยิ้มร้ายก่อนปลายนิ้วแข็งแรงจะเอื้อมไปบีบจมูกพิชญ์เอาไว้ คนตัวเล็กกว่าถึงกับหน้าแดงก่ำ รีบเผยอริมฝีปากออกมากอบโกยอากาศเข้าเต็มปอด แม้จะรู้ว่าเป็นเล่ห์กลของอริญชย์ แต่คนอย่างพิชญ์ก็ไม่มีทางเลือก และมันก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้อริญชย์สอดลิ้นเข้าไปควานหาความหอมหวานจากโพรงปากของพิชญ์

สัมผัสหยาบกระด้างและจาบจ้วงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ทันทีปลายลิ้นอ่อนนุ่มสัมผัสซึ่งกันและกัน ไม่ต่างอะไรจากแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดเข้าหากัน อริญชย์เพียรดูดซับความหอมหวานจากริมฝีปากของพิชญ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้ริมฝีปากของเขาสะกดกลั้นถ้อยคำผรุสวาทและลบล้างสัมผัสของไอลดาออกไป

ของ ๆ เขา...ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นของเขาอยู่วันยังค่ำ!

สำนึกอันเลือนลางของพิชญ์ตอกย้ำให้รู้ว่าเขากำลังอยู่ที่โรงพยาบาล แต่อากัปกิริยาแหงนหน้ารับจูบของอริญชย์กลับเป็นไปโดยธรรมชาติ อริญชย์ขบเม้มริมฝีปากพิชญ์ก่อนจะกัดแรง ๆ จนเลือดไหลซึมออกมา เสียงห้าวกระซิบดุดันชิดริมฝีปากแดงก่ำ ราวกับเป็นคำสั่งที่คนฟังต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“อย่าเอาริมฝีปากนี้ไปจูบใครอีก...เข้าใจไหม”

ปลายลิ้นอุ่นร้อนค่อย ๆ ไล้เลียเลือดที่ซึมออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับสัมผัสของปีกผีเสื้อที่ปัดป่ายอยู่บนริมฝีปากจนพิชญ์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ทั้งที่อยากจะหยุด อยากจะผลักไส แต่อารมณ์ของเขากลับเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ

ทั้งที่รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล หมอกับพยาบาลจะโผล่เข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วยังตุลย์ที่เดินไปส่งไอลดาอีกละ...

ชื่อของไอลดาที่ผุดขึ้นมาค่อย ๆ ฉุดรั้งสติของพิชญ์ให้หันมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวพรมจูบไล่เรื่อยลงมาตามลำคอของเขา พิชญ์ก็แทบลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จดจ่ออยู่แค่เพียงสัมผัสจากอริญชย์ สัมผัสที่ทำให้เขาร้อนรุ่มและหวามไหว จนได้แต่แหงนเงยให้อีกฝ่ายทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตามต้องการ

อริญชย์ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ฝ่ามือลูบไล้ไปตามร่างกายที่สั่นระริกของพิชญ์ ก่อนจะเอนตัวลงบนโซฟาแล้วพลิกเอาร่างเล็กกว่าขึ้นมาทาบทับอยู่บนตัว พิชญ์รีบคว้าแขนเสื้อของอริญชย์ไว้แน่น ยึดเหนี่ยวเอาไว้ไม่ให้ตัวเองร่วงหล่นลงไปบนพื้น

“ยัยเล็กทำให้นายอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟอย่างนี้หรือเปล่า...”

ถ้อยคำถามอาจฟังดูเหมือนกระเซ้าเย้าแหย่ แต่พิชญ์รู้ว่าอริญชย์ไม่ได้รู้สึกรื่นรมย์อย่างที่พูดเลย อีกฝ่ายต้องการทรมานเขา ให้เขาต้องเป็นฝ่ายวอนขอและบิดเร่า ๆ อยู่ใต้ร่างอริญชย์

ฝ่ามือร้อนผ่าวสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของพิชญ์ ปลายนิ้วบดคลึงยอดอกเบา ๆ จนพิชญ์เผลอหลุดเสียงครางออกมาก่อนจะรีบสะกดกลั้นเอาไว้ เมื่อสำนึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่กับอริญชย์ตามลำพัง แต่ยังมีน้องหนูที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ในห้องด้วย และที่สำคัญ...

นี่ไม่ใช่เตียงนอนหนานุ่มในห้องนอนของอริญชย์ แต่เป็นโซฟาเล็ก ๆ ในห้องพักคนป่วยของโรงพยาบาล

รอยแดงระเรื่อปรากฏอยู่ทั่วแก้มขาว เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวน่าอายมากแค่ไหน พิชญ์ขยับจะพาตัวเองลงจากตัวอริญชย์ ก่อนจะต้องตัวสั่นระริก เมื่อปลายนิ้วที่หยอกเย้าอยู่กับยอดอกของเขาลดต่ำลงจนสอดมือเข้าไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวข้างในกางเกง พิชญ์กัดริมฝีปากแน่น พยายามสะกดเสียงร้องครางของตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบาก อริญชย์ละมือข้างที่โอบประคองเอวพิชญ์มาบังคับให้อีกฝ่ายแหงนหน้ารับจูบของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปลายลิ้นร้อนผ่าวเกี่ยวกระหวัดรัดกัน ดูดซับความหอมหวานอย่างไม่รู้จักอิ่มเอม ฝ่ามือร้อนหยอกเย้า กอบกุม รูดรั้งความแข็งขืนจนพิชญ์แทบจะดิ้นพล่าน

ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาล ลืมว่าน้องหนูนอนอยู่ด้วย ลืมว่าประตูห้องไม่ได้ล็อก

สิ่งเดียวที่ชัดเจนคงมีแค่รสสัมผัสจากอริญชย์ที่กำลังปรนเปรอจนเขาสูญสิ้นความเป็นตัวของตัวเอง จวบจนกระทั่ง...

“พี่พีทคะ...” เสียงเรียกของไอลดาดังแทรกโสตประสาทของพิชญ์เข้ามา ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องที่ไม่เบานัก “นี่มันอะไรกัน...”

ไอลดายืนนิ่งงันอยู่ตรงกรอบประตู ข้าวของที่ถือมาร่วงกระจัดกระจาย แต่ก็ไม่อาจดึงความสนใจของเธอได้เท่ากับภาพที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้ อริญชย์ที่ได้สติก่อนเป็นฝ่ายพลิกกายทาบทับบดบังพิชญ์เอาไว้จากสายตาของน้องสาว

“ทำไม...”

คำถามของไอลดาเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแม้แต่น้อย เธอไม่ได้ตาบอดและโง่พอจะดูความสัมพันธ์ของพี่ชายกับสามีตัวเองไม่ออก โลกเหมือนถล่มทลายลงมาตรงหน้า แค่จะทรงตัวยืนให้อยู่ยังยากลำบาก จะให้เธอทนดูคนสองคนที่เธอรักหักหลังเธอได้อย่างไร

ไอลดาหมุนตัวกลับ ผลักตุลย์ที่ยืนขวางประตูให้หลบพ้นไป ก่อนจะผลุนผลันออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แค่เพียงเสียงแผ่วระโหยของพิชญ์ที่ดังไล่หลังตามมา

“คุณเล็ก...”

พิชญ์รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดผลักอริญชย์ออกไปให้พ้นจากตัว เขาลุกขึ้นจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยดวงตาเจ็บช้ำ

“คุณมันเลว เลวที่สุด!”

แม้จะนึกอยากสรรหาถ้อยคำมาประณามการกระทำอันร้ายกาจของอริญชย์ แต่สิ่งสำคัญสำหรับพิชญ์ตอนนี้มีแค่ความรู้สึกของไอลดา พิชญ์ผลุนผลันออกจากห้องไปตามหาไอลดา ทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอไปไหน

เขาไม่ได้ต้องการตามไอลดาไปเพื่อแก้ตัว แต่เขา...แค่อยากจะยอมรับในความผิดทั้งหมด

ประตูห้องคนป่วยถูกปิดตามหลังพิชญ์เบา ๆ ตุลย์รู้ดีว่าผู้เป็นนายคงไม่คิดจะตามไอลดากับพิชญ์ไปอีกคน เขาลอบมองอริญชย์ด้วยสายตาตำหนิ จนคนเป็นนายต้องปรายตามองแวบหนึ่ง

“ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนี้ ฉันไม่ได้เลี้ยงยัยเล็กมาให้อ่อนแอขนาดนั้น”

“คุณใหญ่ ไม่มีใครที่เข้มแข็งได้ตลอดเวลาหรอกนะครับ”

แม้จะเป็นคนสนิท แต่บางครั้งตุลย์ก็ไม่เข้าใจความคิดของอริญชย์เท่าไหร่นัก มันอาจจะมีไม่กี่วิธีที่จะสามารถจัดการเรื่องบ้า ๆ นี่ได้ แต่การปล่อยให้ไอลดามาเห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง บางทีตุลย์ก็ยังนึกสงสัย ว่าคนเข้มแข็งอย่างไอลดาจะทนได้แค่ไหนกัน

เธออาจจะทนอยู่กับคนที่ไม่รักกันอย่างพิชญ์ได้ แต่เธอจะทนได้หรือถ้ารู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับพี่ชายตัวเอง

“ยัยเล็กไม่ใช่กลาง ไม่ได้อ่อนแออย่างที่นายคิด”

“แล้วคุณใหญ่ไม่ห่วงความรู้สึกของคุณพีทเลยหรือครับ”

อริญชย์ตวัดตามองตุลย์แวบหนึ่ง เขาเองก็ห่วงทั้งความรู้สึกของพิชญ์และไอลดาไม่น้อยไปกว่าตุลย์ และเขาเองก็คิดไม่ต่างกันว่าเรื่องบ้า ๆ นี้มันควรจะถึงเวลาสะสางได้เสียที เพียงแต่วิธีที่เขาใช้มันอาจจะดูหักดิบเกินไปในความคิดของตุลย์

“ฉันเองก็ถูกมองเป็นคนเลวอยู่แล้ว ถ้าจะเลวขึ้นอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป”

และเขาต้องก็ชดใช้ให้กับความเสียใจของไอลดา ด้วยการอยู่กับความเกลียดชังของพิชญ์ที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า



.
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 03-06-2020 19:28:45


พิชญ์วิ่งตามมาจนเจอไอลดายืนเกาะราวระเบียงอยู่ เขายืนหอบด้วยความเหนื่อยก่อนจะก้าวเข้าไปหาเธอ ทอดสายตามองแผ่นหลังของไอลดาที่ดูบอบบางเหมือนทุกวัน แต่วันนี้พิชญ์กลับรู้สึกว่ามันยิ่งเปราะบางเหมือนแก้วร้าวที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ ทั้งหมดนี้จะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเขา

ไอลดายังคงยืนนิ่ง ๆ ราวกับไม่รับรู้การมาถึงของพิชญ์ แม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บ แต่ความเจ็บทางร่างกายยังไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บในใจที่เธอกำลังรู้สึกอยู่

ต่อให้คนทั้งโลกเป็นศัตรูกับเธอ ไอลดาก็มั่นใจมาตลอดว่าอริญชย์จะเป็นคนสุดท้ายที่จะหักหลังเธอ

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับสั่นคลอนความเชื่อมั่นของเธอที่มีต่อพี่ชายจนไม่มีชิ้นดี

แค่ต้องมารับรู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับคนอื่น มันก็หนักหนาสาหัสสำหรับเธอแล้ว ความรักที่เคยวาดฝันเอาไว้ไม่ได้จบลงเหมือนในเทพนิยายที่เธอชอบดูตอนเด็ก ๆ สุดท้ายเจ้าหญิงแสนสวยก็ไม่มีใคร ไม่มีแม่เลี้ยงใจร้าย มีแต่เจ้าชายที่ไร้หัวใจ

ไอลดายิ้มออกมาด้วยความขมขื่น พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้รินไหล แม้อยากจะตีโพยตีพายมากแค่ไหน แต่เธอไม่ได้ถูกสอนมาให้เป็นแบบนั้น เธอเป็นลูกพ่อเท่า ๆ กับอริญชย์ พ่อที่เคยบอกเธอว่า...

‘ถ้าคิดว่ายังทนไหว ก็อย่าปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา’

เจ็บแค่นี้เธอยังทนไหว ยังหายใจและใช้ชีวิตต่อไปได้อยู่ แล้วทำไมเธอถึงจะต้องปล่อยให้น้ำตาของตัวเองรินไหลออกมา

ไอลดาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เธอไม่ได้นึกอยากมองท้องฟ้าแต่อย่างใด แค่อยากให้น้ำตามันไหลย้อนกลับเข้าไป ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เธอรัก หญิงสาวมองสบตากับพิชญ์ด้วยดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากบิดออกเป็นรอยยิ้มแห่งความขมขื่น

“คุณเล็ก...” พิชญ์หลุดเสียงครางออกมา

ความรวดร้าวในแววตาของไอลดาเมื่อเช้ายังไม่อาจเทียบเท่าตอนนี้ ไอลดาเจ็บช้ำน้ำใจมากแค่ไหน ทำไมพิชญ์จะไม่รู้

“ทำไม...ทำไมถึงทำกับเล็กแบบนี้...”

พิชญ์ขยับจะเดินเข้าไปหาหญิงสาว แต่ไอลดากลับถอยห่างคล้ายจะรังเกียจจนพิชญ์ชะงัก

ความผิดของเขาคงมากมายเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย ผิดที่หักหลัง ผิดที่ทรยศต่อความไว้ใจ

“พี่ใหญ่กับพี่พีทหักหลังเล็กทำไม...”

“ผมขอโทษ..”

ไอลดาเหยียดยิ้มออกมาด้วยความสมเพช ขอโทษ...ขอโทษทั้งที่ทำผิดอยู่ตลอด แล้วคำขอโทษของพิชญ์จะมีความหมายอะไร ให้พิชญ์มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น เธอยังเจ็บน้อยกว่าที่ต้องรู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับอริญชย์

ตอนเขาบอกว่าไม่รักกัน ผลักไสกัน เธอก็เจ็บ เฝ้าคิดว่าเขาไม่มีหัวใจ

แต่กับพี่ชายของเธอ ทำไม...

ไอลดาไม่ได้ตาบอดจนมองไม่เห็น แม้จะเพียงชั่วแวบเดียวก่อนที่ทุกอย่างจะถูกอริญชย์บดบัง แต่เธอก็เห็นชัดว่าผู้ชายตรงหน้าที่เอาแต่ผลักไสเธอ กลับไม่ผลักไสหรือขัดขืนอริญชย์แม้แต่น้อย ทุกการกระทำมันเป็นไปโดยธรรมชาติ จนกลายเป็นเธอเองที่ถูกผลักออกมาเป็นส่วนเกินอยู่ข้างนอก ทั้ง ๆ ที่เธอมีสิทธิ์ในตัวเขาทุกประการ สิทธิ์ของความเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วทะเบียนสมรสของเธอจะมีประโยชน์อะไร

เพียะ!!

พิชญ์สะบัดหน้าไปตามแรงตบ เขาไม่คิดจะร้องขอความเห็นใจจากไอลดา ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าความผิดของเขาไม่ควรได้รับการให้อภัยแม้แต่น้อย เขาเจ็บตัวยังไม่อาจเทียบกับไอลดาที่เจ็บใจ

“หักหลังเล็กกันมานานแค่ไหนแล้ว...”

แม้น้ำตาของไอลดาจะไม่ได้ไหลออกมาอีก แต่พิชญ์คงไม่รู้ว่าหยาดหยดแห่งความเสียใจมันกลั่นตัวทับถมอยู่ในอกของไอลดามากเท่าไหร่

ไอลดาไม่ได้รังเกียจความรักของเพศเดียวกัน เธอเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่พอ และที่สำคัญ อะไรที่เป็นความสุขของพี่ชาย เธอย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยเสมอ แต่ทำไมความสุขของอริญชย์คือการพรากเอาความสุขของเธอไป

“พี่พีทรู้ไหมว่าเล็กเจ็บ เจ็บจนแทบจะขาดใจ”

พิชญ์ได้แต่ยืนนิ่ง จนด้วยคำพูด จะเอ่ยถ้อยคำใดออกไปก็คงไม่ต่างอะไรกับการแก้ตัว จะพร่ำขอโทษซ้ำ ๆ มันก็คงไม่มีความหมายอะไร

“คุณเล็ก...”

“เล็กโกรธ เล็กเสียใจ เล็กเจ็บ จนอยากจะให้พี่พีทเจ็บเหมือนกัน อยากจะฆ่าพี่พีทให้ตายคามือเล็ก แต่เล็กก็ทำไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหมคะ...” เธอยิ้มขื่นเมื่อเห็นพิชญ์ส่ายหน้า “เพราะเล็กรักพี่พีทมากเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ ที่ผ่านมาเล็กถึงได้ยอมเจ็บมาตลอด แค่ขอให้มีพี่พีทอยู่ข้าง ๆ”

พิชญ์อยากเอื้อมมือไปปลอบไอลดาเหมือนที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ ฝ่ามือและอ้อมกอดของเขาคงไม่อาจให้ความอบอุ่นกับไอลดาได้อีกแต่ไป รังแต่จะทำร้ายเธอให้เจ็บช้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วจึงทำได้เพียงทิ้งแขนสองข้างลงแนบลำตัว

ไอลดาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เธอนึกอยากให้พิชญ์มีความสัมพันธ์กับคนอื่น ใครก็ได้ที่ไม่ใช่อริญชย์ อย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกเหมือนกำลังถูกหักหลังอยู่แบบนี้ และที่สำคัญ ถ้าเป็นคนอื่นเธอคงไม่ต้องมีความเกรงใจใด ๆ ให้ แต่เพราะอีกฝ่ายคืออริญชย์ พี่ชายที่เป็นเหมือนพ่อ เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ สิ่งเดียวที่ไอลดาจะทำได้ ก็คือการใช้ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดแล้วเลือกที่จะเป็นฝ่ายเดินจากไป แค่ต้องทนเห็นหน้าอริญชย์กับพิชญ์ ต้องคิดถึงสิ่งที่พวกเขาทำกับเธอ เธอก็เจ็บจนแทบทนไม่ได้

ไอลดาเคยจินตนาการถึงคนที่จะมาเป็นพี่สะใภ้ไว้หลากหลายแบบ แต่ให้ตาย ยังไงก็ไม่ใช่พิชญ์ ไม่ใช่ผู้ชายของเธอ

เขาว่ากันว่าพี่น้องมักจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกัน แต่ทำไม...ทำไมเธอกับพี่ชายถึงต้องรักผู้ชายคนเดียวกัน

“อย่าหวังให้เล็กให้อภัยง่าย ๆ เลย เล็กทำไม่ได้จริง ๆ และเล็กก็คงทนอยู่กับอะไรเดิม ๆ ไม่ได้”

“แล้วคุณเล็กจะไปอยู่ที่ไหน”

“เล็กยังไม่รู้ แต่คงเป็นที่ ๆ ที่ไม่มีพี่ใหญ่ ไม่มีพี่พีท ไม่มีคนสองคนที่หักหลังเล็กมาตลอด”

ทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง แทนคำยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าไอลดาคงไม่คิดที่จะให้อภัยพิชญ์ง่าย ๆ กับอริญชย์ เธออาจจะตัดพี่ชายอย่างเขาไม่ขาด แต่สำหรับพิชญ์ เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าและอยู่ใกล้ ๆ เขาในตอนนี้

ไม่ใช่แค่พิชญ์คนเดียวที่ไม่รักเธอ วันนี้ไอลดารู้แล้ว ว่าแม้แต่เธอก็ไม่เคยรักตัวเอง

เธอถึงได้ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเจ็บปวด อยู่กับคนที่ไม่รักกันอย่างพิชญ์มานานขนาดนี้

“เล็กไม่ได้รังเกียจความรักเพศเดียวกัน แต่ทำไม...ทำไมต้องเป็นพี่พีทกับพี่ใหญ่...”

“ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย”

“ถ้าอีกคนไม่ใช่พี่ใหญ่ เล็กอาจจะทำอะไรร้าย ๆ จนพี่พีทคาดไม่ถึงก็ได้ แต่เล็กก็ไม่กล้ารับประกันเหมือนกัน เพราะงั้นให้เล็กไปเถอะ”

“แล้วผมจะติดต่อคุณเล็กได้ยังไง”

“ไม่ต้องติดต่อเล็กหรอกค่ะ เล็กไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะลืมอะไรร้าย ๆ และทำใจยอมให้อภัยพี่พีทกับพี่ใหญ่ได้ ยังไงก็ฝากดูแลน้องหนูด้วย ถึงพี่พีทจะเป็นสามีที่เลว แต่เล็กรู้ว่าพี่พีทเป็นพ่อที่ดีมาตลอด ช่วยเป็นพ่อที่ดีต่อไปด้วยนะคะ เล็กอาจจะเห็นแก่ตัวที่ทิ้งน้องหนูไป แต่พี่พีทก็เห็นแก่ตัวกับเล็กไม่ต่างกันหรอก...จริงไหมคะ”

“แล้วคุณใหญ่กับคนอื่น ๆ ล่ะครับ”

“พี่ใหญ่เขารู้ดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องห่วงเล็ก”

ที่ผ่านมาไอลดาอาจจะตัดสินใจผิดพลาดมาตลอด แต่อย่างน้อยการตัดสินใจพาตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดต่าง ๆ ในครั้งนี้ อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตเธอ คงจะไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีก แม้อยากจะกอดพิชญ์มากแค่ไหน เธอก็ได้แต่ห้ามใจไว้แล้วเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

“ฝากดูแลน้องหนูด้วยนะคะ เล็กคงไม่อวยพรให้พี่ใหญ่กับพี่พีทโชคดี เพราะเล็กไม่เคยอยากให้สามีกับพี่ชายตัวเองรักกัน...ไม่เคยเลยซักครั้ง”

พิชญ์ได้แต่ยืนนิ่ง จิกเล็บเข้ากับฝ่ามือตัวเองจนเจ็บ เขาในวันนี้ไม่มีเรี่ยวแรงจะทัดทานไอลดา ทำได้เพียงปล่อยให้ไอลดาเดินจากไป

ไอลดาฉลาด ที่เลือกจะกดพิชญ์ให้จมอยู่กับความรู้สึกผิดช้า ๆ และความรู้สึกผิดบาปในใจของพิชญ์คงไม่มีวันเลือนหายไปจนกว่าไอลดาจะกลับมา

ไอลดาปล่อยให้พิชญ์ยืนจมอยู่กับความคิดของตัวเองตามลำพังก่อนจะเดินจากมา ทุกย่างก้าวของหญิงสาวมั่นคง บ่งบอกว่าเจ้าตัวตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะเดินจากไป แม้ข้างในใจจะเจ็บปวดจนแทบจะล้มทั้งยืน หญิงสาวพาตัวเองเดินมาตามทางช้า ๆ ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกำแพงสูงใหญ่ขวางเอาไว้

ดวงตาสองคู่มองสบกัน คนเป็นน้องสาวมองพี่ชายอย่างตัดพ้อก่อนจะเบือนหน้าหนี เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ความเข้มแข็งต่าง ๆ ก็เหมือนถูกพังทลาย ไอลดาโผเข้ากอดพี่ชายตัวเองแน่น กำปั้นเล็ก ๆ ระรัวทุบอกพี่ชายตัวเองไปมาโดยที่อริญชย์เองก็ไม่ได้ขัดขืน

“ถ้าทำร้ายพี่แล้วเธอสบายใจขึ้นก็ทำไปเถอะ...”

“เล็กเกลียดพี่ใหญ่ เกลียดที่สุด!” หญิงสาวกระซิบเสียงอู้อี้อยู่กับอกของผู้เป็นพี่ชาย น้ำตาที่แห้งเหือดไป รินไหลลงมาอีกครั้ง

“เกลียดให้ตาย พี่ก็เป็นพี่เธอ”

ผู้ชายคนที่แย่งเอาคนรักเธอไป สุดท้ายก็คือผู้ชายคนเดียวที่เธอรักและรักเธอที่สุด

“จะทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเธอไปทำไม”

“พี่ใหญ่ใจร้าย แย่งของ ๆ เล็ก”

“ของที่ไม่คู่ควรกับเธอ เธอจะเก็บเอาไว้ทำไม แล้วที่สำคัญ ถึงพ่อจะเคยสอนว่าเป็นพี่ต้องรักน้อง แต่พ่อไม่เคยสอนให้พี่เสียสละให้น้อง เราต่างมีของที่ควรจะเป็นของเรา เพียงแต่เธอยังหาของ ๆ เธอไม่เจอ”

“เล็กเกลียด เกลียดพี่ใหญ่ที่สุด!” ไอลดาแผดเสียงออกมาเหมือนยามเป็นน้องน้อยตัวเล็ก ๆ ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็จะกระทืบเท้าเร่า ๆ

ถ้าผู้ชายที่กำลังกดเธอให้จมลึกลงไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นไม่ใช่พี่ชายของเธอ รับรองเลยว่าไอลดาจะไม่มีทางยอมให้เขามาทำกับเธอแบบนี้แน่ ๆ แต่เพราะเป็นอริญชย์ สุดท้ายคนที่ต้องเป็นฝ่ายเดินจากไปจึงเป็นเธอ

เธอไม่ได้ยอมแพ้ แต่เธอสู้ไม่ได้และเธอก็ไม่คิดที่จะสู้ แค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้นที่ไอลดาไม่คิดอยากจะสู้ด้วย

ไอลดาดันตัวเองออกจากอ้อมกอดแข็งแรง ยกมือปาดน้ำตาช้า ๆ มองสบตาพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อริญชย์ก็รับรู้ถึงความตั้งใจของน้องสาวได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เธอเดินจากไปเงียบ ๆ

“ถ้าสบายใจเมื่อไหร่ก็กลับมา...”

ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วง แต่อริญชย์รู้ดีว่าต่อให้ไอลดาจะหนีไปไกลแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะหาเธอเจอ

ในเวลานี้ สิ่งที่ไอลดาต้องการมีแค่เพียงการพักผ่อนและทบทวนความคิดของตัวเองเงียบ ๆ แล้วเธอจะได้รู้ว่าเจ็บปวดที่สุดครั้งเดียวในวันนี้ดีกว่าต้องทนเจ็บตลอดไป ในเมื่ออะไร ๆ ก็ไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขได้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามเรียนรู้และอยู่กับมัน ในเมื่อเขาไม่มีวันปล่อยพิชญ์ไป ไอลดาก็ต้องยอมรับความสัมพันธ์ของเขากับพิชญ์ให้ได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม

อริญชย์รักน้องสาวมาก แต่ขณะเดียวกัน...เขาก็รักพิชญ์มากเช่นกัน

เขาเป็นพี่ชายที่ดีพอที่จะเปิดโอกาสให้น้องสาวก่อน ในเมื่อไอลดาไม่สามารถทำให้พิชญ์รักได้ โอกาสจึงถูกส่งต่อมาที่เขา แม้คำว่ารักจะไม่เคยหลุดออกมาจากริมฝีปากพิชญ์ แต่อาการโอนอ่อนและตอบสนองพิชญ์ก็ทำให้อริญชย์มั่นใจว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่า

หลังจากนี้...เขาเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องของเขากับพิชญ์แค่สองคน



.



ฝ่ามือหนาแตะลงบนบ่าของพิชญ์เบา ๆ เจ้าของบ่าสะดุ้งสุดตัว พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นอริญชย์ก็ถอยหลังหนีทันที ก่อนจะรู้ตัวว่าหมดทางหนีก็ตอนที่หลังของเขาสัมผัสกับราวระเบียง

“จะเอาอะไรกับผมอีก ยังไม่สาแก่ใจคุณหรือไง ทุกอย่างมันพังทลายลงไปหมดแล้ว”

ฝ่ามือแข็งแรงเอื้อมากระชากทีเดียว พิชญ์ก็ปลิวเข้ามาในอ้อมกอดของอริญชย์ พิชญ์เป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงตามมาตรฐานชายไทยทั่วไป แต่พอมาเทียบกับคนที่รูปร่างสูงใหญ่อย่างอริญชย์แล้ว เขาจึงดูตัวเล็กไปถนัดตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ถูกอีกฝ่ายกอดจนจมไปกับอกอย่างตอนนี้

“หยุดมองฉันในแง่ร้ายซักครั้งได้ไหม”

“คุณทำร้ายผมยังไม่พอ คุณทำร้ายคุณเล็กทำไม”

อริญชย์เหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่กรีดลงกลางใจพิชญ์

“ใครกันแน่ที่ทำร้ายยัยเล็ก นายต่างหากที่ไม่ได้รักยัยเล็ก แต่ไม่เคยคิดที่จะปล่อยยัยเล็กไป เพราะห่วงแต่ความรู้สึกของน้องหนู แล้วตอนนี้นายจะมาเสียใจทำไม ในเมื่อที่ผ่านมานายก็ไม่เคยรักยัยเล็กเลย เราแต่ละคนก็เห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งหมดนั่นแหล่ะ”

ทุกสิ่งที่อริญชย์พูดมาถูกต้องทุกอย่าง ถึงแม้พิชญ์จะไม่เคยรักไอลดา แต่พิชญ์ก็ไม่คิดอยากหย่าขาดจากเธอ ไม่อยากสูญเสียเธอไป เพราะน้องหนู พิชญ์รักน้องหนูมากเกินกว่าจะยอมเห็นลูกสาวตัวน้อยเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นการทำร้ายไอลดา แต่เขาก็ยังทำ

ท้ายที่สุดแล้ว พิชญ์เองก็ผิดไม่ต่างจากอริญชย์ ถ้าเขาเลือกที่จะปฏิเสธอริญชย์ในวันนั้น วันที่อีกฝ่ายหยิบยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้เขาแต่งงานกับไอลดา ทุกอย่างคงไม่เป็นอย่างวันนี้ เขาเองก็มีส่วนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างต้องดำเนินมาถึงจุดที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น พิชญ์ก็ยังเลือกที่จะโทษว่าความผิดส่วนใหญ่มันเป็นของอริญชย์

“ผมเกลียดคุณ!”

“เกลียดแค่ไหน ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยมือจากนายเด็ดขาด” เขาหมายความตามที่ตัวเองพูดทุกอย่าง

พิชญ์ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องราวระหว่างเขาและอริญชย์จะเป็นอย่างไรต่อไป พิชญ์รู้แค่เพียงอย่างเดียวว่า...เขาจะรักอริญชย์ได้อย่างไร ถ้าไอลดายังไม่ให้อภัยเขาสองคน




TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
คุณใหญ่แกล้งน้อง คุณใหญ่ไม่อ่อนโยนเลย
ตอนนี้ต้องกอดปลอบคุณเล็ก ปมจะเริ่มเฉลยทีละนิดแล้วค่า

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 03-06-2020 20:59:17
บอบช้ำทั้งกายและใจ    แต่อย่างน้อยทุกอย่างก็ชัดเจน
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-06-2020 21:49:13
 :hao5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-06-2020 00:10:59
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 04-06-2020 00:52:13
..​ถึงพ่อจะเคยสอนว่าเป็นพี่ต้องรักน้อง แต่พ่อไม่เคยสอนให้พี่เสียสละให้น้อง..!!

พี่ใหญ่อย่างโหดเลย ทำกับน้องเล็กได้แสบมาก
แต่ก็เป็นการดีแล้วที่จะไม่คาราคาซังเป็นรักสามเศร้าอยู่แบบนี้ ขอให้คุณเล็กโชคดีเจอคนรักจริงนะ ส่วนพีทดูแล้วคงยังดื้อกับคุณใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ แน่ เหนื่อยหน่อยนะคุณใหญ่จอมเจ้าเล่ห์ :z1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: casson ที่ 04-06-2020 12:37:19
คุณใหญ่โหดจริง

แล้วพีทจะทำยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 18 คนถูกหักหลัง --- หน้าที่ 5 [03/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 04-06-2020 13:57:43
เห้ออ *ถอนหายใจ* แต่ดีแล้ววันนี้มาถึงสักที ให้รู้จบๆกันไปเลย เห็นใจทุกคนอะนะ ยังไงก็ขอให้ไอลดาทำใจและยอมรับมันในเร็ววันละกัน มันไม่ใช่ก็คือมันไม่ใช่ หลังจากนี้มันก็เป็นแต่เรื่องของเรา ของคุณใหญ่คนเดียวซะมากกว่านะ 555555 จะยังไงต่อไปละเนี้ย เส้นทางความรักนี้อีกยาวไกล นี่ดีนะ ช่วงนี้งานไม่เข้าจากศัตรู ถ้าเข้าพร้อมกัน ปัญหาภายนอกภายใน คุณใหญ่กุมขมับ 5555555 ขอบคุณนะคะที่แต่งมาาต่อ สนุกมาก ชอบ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 19 คนข้างหลัง --- หน้าที่ 5 [07/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 07-06-2020 21:19:52
สิบเก้า
คนข้างหลัง


ตุลย์เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์จากกริชได้ห้านาที ตอนเห็นไอลดาเดินเร็ว ๆ ผ่านหน้าเขาพร้อมคราบน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวย คนสนิทของอริญชย์เผลอหลุดสบถออกมาเบา ๆ ในลำคอ ขยับขาเตรียมจะก้าวตามหลังคนที่เขารักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวด้วยความเป็นห่วง แต่คำสั่งดุดันจากอริญชย์ยังดังก้องอยู่ในหู บังคับให้ตุลย์ต้องฝืนตรึงตัวเองอยู่กับที่

‘ถ้าไม่ยอมเจ็บปวดวันนี้ แล้วเมื่อไหร่จะแยกความฝันออกจากความจริงได้’

สิ่งที่อริญชย์พูดมาล้วนแล้วแต่ถูกต้องจนตุลย์ไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ไขว่คว้าอยู่มันเป็นแค่เพียงความฝัน ไอลดาก็ยังยึดติดอยู่กับมันจนไม่ยอมหันกลับมามองความเป็นจริง แต่อย่างน้อยอริญชย์ก็ควรจะรู้ว่าไอลดาเป็นผู้หญิง ถึงจะถูกเลี้ยงดูมาให้เข้มแข้งมากแค่ไหน เนื้อแท้แล้วเธอก็เป็นแค่เพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่เหล็กไหลที่ไม่รู้จักเจ็บไม่รู้จักปวด ในเมื่อไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายได้อย่างที่ใจคิด ตุลย์จึงทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์เดิมซ้ำ หวังจะให้อีกคนทำหน้าที่แทนเขา

“คุณเล็กออกไปแล้ว ตามไปห่าง ๆ แล้วคอยส่งข่าวมาบอกฉันเป็นระยะ”

ตุลย์ไม่ได้ทำเกินหน้าที่เลยแม้แต่น้อย เพราะอริญชย์เป็นคนมอบหมายให้กริชคอยดูแลไอลดาให้ดี ในฐานะพี่ชายอีกคนที่รักและเป็นห่วงไอลดา ตุลย์ก็แค่โทรไปกำชับกริชอีกครั้ง เขาคุยกับกริชอยู่อีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเจอไอลดาแล้ว

ตุลย์ยัดโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋ากางเกงลวก ๆ เตรียมจะหันหลังกลับเข้าห้องไปเฝ้าน้องหนูต่อ แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูกลับเข้าไปในห้องพักคนป่วยอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เขาก็เกือบจะหลุดเสียงสบถออกมาอีกรอบ เมื่อคราวนี้เป็นพิชญ์ที่ก้าวเร็ว ๆ มาเปิดประตูห้องตัดหน้าเขา ก่อนจะปิดประตูกระแทกใส่หน้าตุลย์

ไม่มีเวลาให้งง ไม่มีเวลาให้สงสัย ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นนายก็เดินตามหลังพิชญ์มาติด ๆ ประตูห้องพักคนป่วยถูกกระชากให้เปิดออกอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้อริญชย์ไม่ได้ปิดมันใส่หน้าเขา ตุลย์เลยรีบก้าวเท้าตามเข้าไปก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาแรง ๆ เมื่อเจอบรรยากาศอึมครึมภายในห้อง

พิชญ์ที่เดินเข้าห้องมาเป็นคนแรก พุ่งตัวไปยึดที่ว่างข้างเตียงคนป่วย ลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ แล้วกุมมือน้องหนูขึ้นมาแนบแก้มโดยไม่สนใจไยดีอะไรอีก ราวกับในห้องนี้มีเพียงแค่เขากับน้องหนู ส่วนเจ้านายคนดีของตุลย์ก็ทำทีเป็นทิ้งตัวลงบนโซฟาแรง ๆ จนเกิดเสียงดัง แต่ก็ยังไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากพิชญ์ให้หันมามองได้

ตุลย์ถอนหายใจยาว นึกอยากจะกลั้นใจตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เผื่อฟื้นขึ้นมาอีกที อะไร ๆ อาจจะดีขึ้น เขาได้แต่ยืนสังเกตสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ถึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เขาก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้

บทละครเรื่องนี้ของอริญชย์มันไม่มีทางออกอย่างอื่น นอกเสียจากมีใครคนหนึ่งต้องจากไป ไอลดาไม่ได้ถูกวางตัวมาให้รับบทนางเอกผู้เสียสละตั้งแต่แรก แค่คนที่รู้จักนิสัยใจคอของน้องสาวตัวเองดีอย่างอริญชย์ เป็นฝ่ายใช้ศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้มาบีบบังคับให้เธอต้องจากไปทางอ้อม ส่วนเรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับใจของพิชญ์และอริญชย์เท่านั้น

และถึงแม้ไอลดาจะเป็นฝ่ายเลือกเดินจากไป แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะทิ้งก้อนเนื้อแห่งความรู้สึกผิดเอาไว้ในใจของพิชญ์

อาจจะต้องใช้เวลา อาจจะต้องใช้ความพยายาม หรือแม้กระทั่งเล่ห์กลต่าง ๆ แต่ตุลย์รู้ดีกว่าใครว่า ถ้าคนอย่างอริญชย์เทลงไปหมดหน้าตักแล้ว เขาจะไม่ยอมสูญเสียอะไรไปอีก

อริญชย์คว้ารีโมทมากดเปิดโทรทัศน์โดยไม่ลืมที่จะหรี่เสียงให้เบาลง อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าหลานสาวตัวน้อยกำลังนอนหลับอยู่ อริญชย์กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีเป้าหมาย ก่อนจะกดหยุดที่ช่องข่าว แต่สาบานเถอะ ความสนใจของอริญชย์ไม่ได้อยู่ที่ข่าวในโทรทัศน์เลยแม้แต่น้อย มันเทไปอยู่ที่พ่อของหลานสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งหันหลังให้เขาราวกับไม่อยากจะเห็นหน้ากัน

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครคิดจะพูดอะไร มีเพียงความอึดอัดของตุลย์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องขยับตัวไปมา ให้อริญชย์กับพิชญ์ลุกขึ้นมายืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ตุลย์ยังรู้สึกดีกว่าการที่ต่างฝ่ายต่างเงียบจนมีแค่เพียงเสียงของความอึดอัดที่ดังก้องกังวาน แม้อยากจะพาตัวเองออกไปจากบรรยากาศอึมครึมตรงหน้ามากแค่ไหน แต่ตุลย์ก็จำเป็นต้องอยู่ เขาไม่รู้ว่าอริญชย์จะบ้าดีเดือดขึ้นมาอีกเมื่อไหร่

...อริญชย์ไม่ใช่คนบ้า ยกเว้นแค่เรื่องของพิชญ์

พอเป็นเรื่องของพิชญ์ขึ้นมาทีไร เจ้านายคนเก่งของตุลย์ก็มักจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองได้ง่าย ๆ

หลังจากทนนั่งอยู่ด้วยความอึดอัดมาเกือบค่อนวัน โดยไม่มีใครคิดจะเอ่ยอะไรออกมา ราวกับสงครามจิตวิทยาที่กำลังหาว่าใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเป็นคนแรก ในที่สุดพระเจ้าก็เห็นใจตุลย์ที่รับใช้เจ้านายด้วยความซื่อสัตย์และภักดีมาตลอด เสียงเคาะประตูห้องถึงได้ดังขึ้นตอนบ่ายแก่ ๆ ก่อนที่คุณหมอเจ้าของไข้และคุณพยาบาลจะเยี่ยมหน้าเข้ามาเพื่อดูอาการคนไข้ตัวน้อยที่ยังคงนอนหลับสนิท

รีโมทในมือถูกอริญชย์ใช้กดปิดโทรทัศน์ทันทีทันใดราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ ส่วนพิชญ์ก็ค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างจากเตียง เปิดทางให้คุณหมอได้เข้าไปดูอาการของน้องหนูได้อย่างถนัด

“หลับตั้งแต่ทานยาเลยใช่ไหมครับ”

“ครับ”

คนตอบไม่ใช่พ่อของน้องหนู แต่เป็นคุณลุงที่ปราดมายืนข้างคุณหมอด้วยความรวดเร็ว น้องหนูขยับตัวน้อย ๆ เมื่อถูกคุณหมอตรวจร่างกาย ดวงตากลมโตปรือขึ้นมามองเพียงชั่วครู่ก่อนจะผล็อยหลับต่อด้วยความอ่อนเพลียจากฤทธิ์ยา

“อาการดีขึ้นกว่าเมื่อเช้าแล้ว  แต่หมอคงต้องขอให้อยู่ดูอาการอีกซักหน่อย เผื่อมีอาการแทรกซ้อนจะได้รีบรักษาได้ทันท่วงที”

“แล้วจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ครับ”

“ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนให้น่าเป็นห่วง มะรืนนี้ก็กลับได้แล้วครับ เดี๋ยวตอนเย็นพยาบาลจะแวะเอายาหลังอาหารเข้ามาให้อีกที ค่อยปลุกแกขึ้นมาทานยาตอนนั้นก็ได้ครับ ตอนนี้คงต้องให้นอนพักผ่อนเยอะ ๆ”

“ครับ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”

คล้อยหลังคุณหมอกับพยาบาลไม่ทันไร ห้องทั้งห้องก็กลับมาอยู่ภายใต้บรรยากาศอึมครึมอีกครั้ง ตุลย์ที่ยืนอยู่มุมห้องได้แต่นึกอิจฉาน้องหนูที่นอนหลับไม่รู้เรื่องขึ้นมาตงิด ๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดอารมณ์ขึ้นมาตอนไหน

พิชญ์เองก็ขยับตัวไปมาด้วยความอึดอัดไม่ต่างจากตุลย์ เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับอริญชย์ ไม่พร้อมจะสนทนากัน ไม่พร้อมจะอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม คนที่หักหลังและทรยศไอลดาอย่างเขา ไม่มีหน้ามายืนอยู่ตรงนี้เลยจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำให้พิชญ์ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปแม้จะนึกละอายแก่ใจตัวเองก็คงเป็นเพราะน้องหนู

สุดท้ายพิชญ์ก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่ความอึดอัดในใจ ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง กำลังจะเดินผ่านหน้าอริญชย์ที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ถูกอีกฝ่ายรั้งข้อมือเอาไว้ ดวงตาดำจัดจ้องมองพิชญ์เขม็งพร้อม ๆ กับเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือ น้ำเสียงที่เอ่ยถามดุดันพอ ๆ กับสายตาที่มองมา

“จะไปไหน”

“ผมจะลงไปดูของกินข้างล่าง” พิชญ์เอ่ยตอบเสียงเรียบ ๆ โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าอริญชย์

“อยู่ที่นี่ จะเอาอะไรเดี๋ยวให้ตุลย์ไปซื้อให้”

พอได้ยินคำสั่งเชิงบังคับของอริญชย์ พิชญ์ก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายทันที เขาหันมาจ้องตาอริญชย์ด้วยความโมโห แต่ทำได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี พยายามสะกดกลั้นโทสะที่แล่นริ้วขึ้นมาให้มอดดับลงไปเพราะนึกเกรงใจตุลย์ที่อยู่ในห้องด้วย

“หยุดทำเหมือนผมเป็นนักโทษเสียทีเถอะคุณใหญ่” พิชญ์เอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้เสียงห้วนก่อนจะเดินออกจากห้อง ปล่อยน้องหนูเอาไว้กับอริญชย์และตุลย์

อริญชย์ที่ตั้งสติได้ขยับจะก้าวขาตามพิชญ์ไปติด ๆ อย่างที่ใจคิด ก่อนจะต้องตวัดตามองตุลย์ที่เอาตัวเข้ามาขวางทางเขาอย่างโกรธ ๆ

“หลบไป!”

ตุลย์ได้แต่ถอนหายใจออกมา มันผิดจากที่เขาปรามาสไว้เสียที่ไหนล่ะ พอเป็นเรื่องของพิชญ์ขึ้นมา อริญชย์ก็บ้าดีเดือดได้โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน

“คุณใหญ่จะตามคุณพีทไปทำไม คุณพีทไม่ใช่นักโทษนะครับ”

“ฉันก็ไม่ได้คิดว่าพีทเป็นนักโทษ ฉันแค่เป็นห่วง เห็นท่าทางเหนื่อย ๆ หน้าซีด ๆ แบบนั้น เกิดไปล้มคว่ำอยู่ข้างล่างขึ้นมาจะทำยังไง”

ตุลย์เกือบจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ดีว่ายั้งตัวเองไว้ทัน ทีแบบนี้ทำมาเป็นห่วงร่างกายของพิชญ์ ทีเวลาทำร้ายจิตใจพิชญ์ ทำไมอริญชย์ถึงไม่เคยนึกห่วงความรู้สึกอีกฝ่ายบ้าง

“คุณพีทเขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกครับ แล้วที่สำคัญ...” ตุลย์เว้นช่วงคำพูดไว้เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยให้ผู้เป็นนายได้ฉุกใจคิด “...ตอนนี้เขาคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”

อริญชย์ขยับจะเถียง แต่เถียงไปก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะดูแล้วตุลย์คงไม่ยอมให้เขาตามพิชญ์ไปง่าย ๆ อยากรู้จริง ๆ ว่าตกลงแล้วใครเป็นเจ้านายใครเป็นลูกน้องกันแน่

“นายนี่รู้ใจพีทดีจนฉันชักเริ่มจะระแวงแล้วนะ”

ตุลย์ยิ้มเรื่อย ๆ เข้าใจอารมณ์พาลพาโลของเจ้านายเป็นอย่างดี เลยไม่คิดถือสาหาความคำพูดของอริญชย์

“ผมก็แค่พูดในสิ่งที่คุณใหญ่มองข้ามไปหรืออาจจะไม่ได้ทันฉุกใจคิด”

อริญชย์เหยียดยิ้มออกมา เขารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตุลย์เองก็เป็นห่วงเขา ไม่อยากให้เขาทำทุกอย่างพังเพราะอารมณ์ร้อน ๆ ของตัวเอง อริญชย์ยอมรับตามตรงเลยว่า พอเป็นเรื่องของพิชญ์ทีไร เขาก็มักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ กลัวไปหมดทุกอย่างกับความรักครั้งนี้ที่ทุ่มเทลงไป กลัวแม้กระทั่งยอมทำอะไรร้าย ๆ หวังเพียงให้ได้อยู่ใกล้พิชญ์

อริญชย์ยอมทิ้งตัวลงบนโซฟาเหมือนเดิม เขาไม่ได้คิดว่าพิชญ์เป็นนักโทษแม้แต่น้อย ก็แค่ห่วง ห่วงมากจนไม่อยากให้คลาดสายตาไปไหน ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านราวกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นริรักของตัวเอง มือหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แค่ทำท่าจะกดหมายเลขโทรออก ตุลย์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างรู้ใจ

“ผมโทรไปกำชับกับกริชแล้วว่าให้คอยตามดูคุณเล็ก กริชเพิ่งส่งข้อความมาบอกผมว่าคุณเล็กจองตั๋วเครื่องบินไปฝรั่งเศสเมื่อชั่วโมงที่แล้ว”

“ก็ดี ปล่อยให้ไปพักผ่อนเสียบ้าง เผื่อกลับมาแล้วจะดีขึ้น”

อริญชย์รู้ดีว่าเขาเป็นพี่ชายใจร้าย ผลักไสให้ไอลดาออกไปยืนหยัดตามลำพัง แต่ไอลดาอยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ มานานมากพอแล้ว ความฝันมันมักจะดูสวยงามจนทำให้คนเรามองข้ามความจริงที่อยู่ตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่รู้ ทั้ง ๆ ที่สอนไอลดาไปอย่างนั้น แต่อริญชย์ก็ต้องแค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง

เพราะไม่ใช่แค่ไอลดาคนเดียวที่ยึดติดอยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เขาเองก็ไม่ต่างกัน เฝ้าฝันว่าซักวันพิชญ์จะหันมารักกันบ้าง

อริญชย์รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนโลภมาก เขาไม่ได้ต้องการแค่ขอบใจ ไม่ใช่แค่อยากอยู่ในสายตา แต่เขาต้องการทั้งหมดของพิชญ์...ทั้งตัวและหัวใจ!



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 19 คนข้างหลัง --- หน้าที่ 5 [07/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 07-06-2020 21:23:23

พิชญ์กดลิฟต์ลงมาชั้นล่างของโรงพยาบาล เห็นเงาตัวเองสะท้อนออกมาจากกระจกในลิฟต์แล้วก็ต้องยิ้มขื่น ๆ อย่างนึกสมเพช หน้าตาเขาตอนนี้ทั้งซีดเซียวและอิดโรยยิ่งกว่าคนป่วยเสียอีก

พอประตูลิฟต์เปิดออก พิชญ์ก็เดินเรื่อย ๆ มาตามทาง ที่บอกกับอริญชย์ว่าจะลงมาดูของกินมันก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เขาแค่อยากหลบหน้าอริญชย์ออกมา พิชญ์ถอนหายใจช้า ๆ ในเมื่อไม่คิดจะไปเดินดูของกินข้างนอกโรงพยาบาล เขาเลยเลือกที่จะเดินเลี้ยวเข้าร้านคอฟฟี่ช็อปเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล หยุดยืนไล่สายตาไปตามรายการเครื่องดื่มที่ติดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ก่อนจะตัดสินใจสั่งกาแฟแก้วโปรดของตัวเอง

“ขอคอร์ตาโดที่นึงครับ”

พิชญ์ประคองแก้วกาแฟร้อนไว้ในอุ้งมือก่อนจะเดินมานั่งตรงมุมในสุดของร้าน อย่างน้อยถ้าเกิดอริญชย์ตามเขาลงมาจะได้มีเวลาให้เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจบ้าง พิชญ์ไม่ได้นึกกลัวอริญชย์แม้แต่น้อย คนอย่างเขายังมีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีก เขาแค่อยากอยู่ตามลำพัง ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอริญชย์หรือแม้กระทั่งตุลย์ในตอนนี้

ความรู้สึกผิดบาปยังเกาะกินอยู่เต็มหัวใจ แม้อยากจะเอื้อมมือไขว่คว้าไอลดากลับมาแค่ไหน แต่พิชญ์ก็รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด เขาจะกล้าดึงเธอกลับมาได้อย่างไร ในเมื่ออ้อมกอดของเขาไม่เคยให้ความอบอุ่นเธอได้เลย รังแต่จะทำให้เธอต้องทนเหน็บหนาวไม่รู้จบ

กลิ่นหอม ๆ ของกาแฟที่ลอยขึ้นมาแตะจมูกไม่สามารถทำให้พิชญ์รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างที่ควรจะเป็น เขาเอาช้อนพลาสติกคันเล็กคนกาแฟในแก้วไปมาอย่างเหม่อลอย สัมผัสของเอสเปรซโซผสมนมอุ่น ๆ จนออกมาเป็นคอร์ตาโดแก้วโปรดคงเหมือนกับสิ่งที่อริญชย์กำลังกระทำอยู่

นมอุ่น ๆ ที่ถูกใส่ลงไปทีหลัง ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจกลบความเป็นเอสเปรซโซได้ เช่นเดียวกับคำว่ารักที่เพิ่งเอื้อนเอ่ยออกมา ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจลบเลือนความร้ายกาจที่อริญชย์เคยทำเอาไว้ได้

แม้พิชญ์จะพยายามก่อกำแพงขึ้นมาเพื่อขวางกั้นความรู้สึกของอริญชย์เอาไว้ แต่มันช่างดูยากเย็นเหลือเกิน เมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับเขาไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคอยแต่จะเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิด ทั้ง ๆ ที่พิชญ์ยังไม่พร้อมที่จะรับรู้ความรู้สึกใด ๆ ของอริญชย์ จะหาว่าเขาใจร้ายก็ได้ แต่มันก็สาสมกันกับสิ่งที่อริญชย์ได้ทำเอาไว้ไม่ใช่หรือ

...ต่อให้คำว่ารักมันดังกังวานจนคนทั้งโลกรับรู้ แต่มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เป็นอยู่ไม่ได้

พิชญ์ถอนหายใจยาว เขาตั้งใจจะนั่งอยู่ข้างล่างตามลำพังจนกว่ากาแฟจะหมดแก้ว ถ้ากาแฟแก้วนี้หมดเมื่อไหร่ เขาก็คงต้องกลับขึ้นไปเผชิญหน้ากับอริญชย์อีกครั้ง แต่ดูเหมือนความคิดที่จะอยู่ตามลำพังของพิชญ์จะไม่เป็นผล พระเจ้าคงไม่ได้ยินคำขอของเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงได้ส่งใครบางคนให้มาปรากฏตัวต่อหน้าพิชญ์

“พีท...”

คนที่กำลังละเลียดกาแฟร้อนชะงัก ก่อนอาการตัวแข็งทื่อจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลงตามลำดับเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อริญชย์หรือตุลย์ แต่กระนั้นความประหลาดใจก็ยังฉายอยู่ในแววตาของพิชญ์ ยามเอ่ยทักแขกไม่ได้รับเชิญที่ถือชานมเย็นอยู่ในมือ

“อ้าว ดิน ไปยังไงมายังไงล่ะ”

ปฐพีไม่ได้เอ่ยตอบในทันที แต่กลับถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ตรงข้ามพิชญ์ก่อนจะนั่งลงโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเชิญ พิชญ์ดูเหมือนจะไม่ได้ติดใจอะไร แม้กระทั่งตอนที่ปฐพีเป็นฝ่ายถามเขาแทนที่จะตอบคำถามที่เขาได้ถามไปก่อนหน้า

“แล้วพีทมาทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะ”

“ลูกป่วยน่ะ”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า หายดีหรือยัง”

ท่าทางปฐพีดูตกใจจนพิชญ์เกือบจะหลุดหัวเราะขำออกมา ลืมความอึดอัดในใจไปได้ชั่วคราวยามได้เจอกับเพื่อนเก่า

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ไข้หวัดเฉย ๆ แต่พอดีหมอให้อยู่ดูอาการน่ะ แล้วนายล่ะ...”

“ฉันแวะมาตรวจร่างกายประจำปีน่ะ”

พิชญ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายโบกซองสีขาวที่มีชื่อโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าน่าจะบรรจุใบรับรองแพทย์เอาไว้ให้ดู เขาก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรอีก

“เรียบร้อยดีใช่ไหม”

“ก็ดี ฉันแค่ตรวจเป็นพิธีตามกฎบริษัทเฉย ๆ แล้วนี่ทิ้งลูกอยู่คนเดียวเหรอ”

“เปล่าหรอก พอดีลุงเขาเฝ้าอยู่ แต่อีกเดี๋ยวฉันก็จะขึ้นไปแล้ว ว่าง ๆ ก็แวะมากินข้าวด้วยกันสิ เบอร์โทรฉัน นายก็มีแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“ช่วงนี้ฉันยังไม่ค่อยว่างเลย”

“งานยุ่งมากเลยหรือ”

“ก็พอตัว ฉันได้ข่าวว่าโกดังของบริษัทนายเพิ่งโดนไฟไหม้ไป ไม่ได้เสียหายอะไรมากใช่ไหม”

พิชญ์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อปฐพีเอ่ยถึงปัญหาที่ยังไม่ได้สะสางให้เรียบร้อยดี เรื่องไฟไหม้โกดังคราวก่อน จนถึงบัดนี้ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ถึงอริญชย์จะปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของราชันย์ แต่สำหรับพิชญ์แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการกล่าวหาอีกฝ่ายลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานอะไร

“ก็เสียหายไปเยอะพอสมควรเหมือนกัน แต่ทางบริษัทกำลังเช็กกับทางประกันอยู่ว่ากรมธรรม์ที่ทำเอาไว้ครอบคลุมหรือเปล่า” ทั้ง ๆ ที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่พิชญ์กลับเลือกที่จะตอบปฐพีออกไปอีกอย่าง

“งั้นเหรอ แย่จังเลยนะ”

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าเกิดจากอะไร”

“ก็คงอุบัติเหตุทั่วไปในโรงงาน คนงานอาจจะสะเพร่ามากไปหน่อยหรือนายคิดว่ายังไงล่ะ...” พิชญ์เอ่ยถามปฐพีเสียงเรื่อย ๆ เหมือนชวนคุยทั่ว ๆ ไป

“ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอก”

“ถ้าไม่ใช่อุบัติเหตุ...” พิชญ์เว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน “...ก็คงจะมีคนจงใจล่ะมั้ง”

“ขนาดนั้นเชียว ยังไงนายระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะพีท ตอนได้ยินข่าวฉันเองก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่” ปฐพีเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนก่อนจะทำทีเป็นก้มลงดูนาฬิกา “ขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวฉันต้องกลับเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศต่อ ไว้ว่าง ๆ จะแวะมาเยี่ยมลูกนายอีกทีละกัน”

“ไม่ต้องลำบากนายหรอกดิน อีกวันสองวัน น้องหนูก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“งั้นฉันไปก่อนนะ”

พอพิชญ์พยักหน้าให้ ปฐพีก็หันหลังเดินออกมา โดยไม่ลืมที่จะคว้าแก้วชานมติดมือมาด้วย โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาสั่นครืดคราดจนน่ารำคาญ แต่เจ้าของเครื่องก็ไม่ได้คิดจะหยิบมันขึ้นมารับราวกับรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา เขารีบเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังลานจอดรถที่บอกแท็กซี่ให้จอดรอเขาทำธุระ แทนที่จะได้เจอแท็กซี่คันที่เรียกมาจากคอนโด กลับกลายเป็นรถเบนซ์สีดำติดฟิล์มหนาทึบ ทะเบียนตอง ซึ่งนั่นยังไม่น่าตกใจเท่าคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถ

“เฮีย...”

ปฐพีเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ออกมาด้วยความตกใจ เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา

คนถูกเรียกเพียงแค่มองด้วยหางตาก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงกับถังขยะที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ มืออีกข้างที่สอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงล้วงหยิบกุญแจอัตโนมัติออกมาปลดล็อคประตูรถ เพียงเท่านี้ปฐพีก็รู้ว่าแล้วตัวเองต้องทำอะไรต่อ เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับอย่างรู้หน้าที่ ก่อนประตูฝั่งคนขับจะถูกเปิดออกพร้อมกับที่เจ้าของรถก้าวขึ้นมา

ราชันย์ปรายตามองปฐพีแวบหนึ่งโดยไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเพียงแค่สตาร์ทรถแล้วขับออกจากโรงพยาบาลช้า ๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ท้องถนน ไม่คิดที่จะหันมามองคนข้างกายแม้แต่น้อย ปฐพีได้แต่ลอบมองใบหน้ากระด้างติดจะเย็นชา เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมา เขาก็ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอง

“เฮีย...”

“.....”

“เฮีย...”

“เรียกแล้วก็พูด”

ปฐพีเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เขาอยู่กับราชันย์มานานจนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอยู่ เขาไม่ได้อยากจะฝ่าฝืนคำสั่งของราชันย์แม้แต่น้อย แต่เขาเป็นห่วงพิชญ์ ห่วงคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับใครเขาอย่างพิชญ์ ราชันย์ไม่ควรดึงพิชญ์ลงมาในหมากเกมนี้เลย

“ผมขอโทษ...”

“อย่าแม้แต่คิดที่จะทำให้ทุกอย่างพัง นายควรจะรู้ว่าฉันรอเวลานี้มานานแค่ไหน”

“แต่พีท...”

“ถ้ามีเวลามากพอที่จะไปห่วงคนอื่น ก็เก็บมาห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

คนถูกต่อว่ากลาย ๆ ได้แต่นั่งนิ่งอย่างยอมจำนน ที่ราชันย์พูดมาก็ถูกหมดทุกอย่าง ลำพังแค่ตัวเขาเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่กลับเที่ยวไปห่วงคนนั้นคนนี้ อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังมีอริญชย์ อีกฝ่ายคงไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้พิชญ์เป็นอะไรไปง่าย ๆ แน่ แต่ตัวเขาเองนี่สิ ปฐพีอยากรู้เหลือเกิน...

...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ราชันย์จะยื่นมือเข้ามาช่วยหรือว่าจะดีใจที่ได้สลัดเขาไปให้พ้นเสียที

มันเป็นคำถามที่ปฐพีนึกสงสัย แต่ก็กลัวเกินกว่าจะหาคำตอบ



.



พิชญ์กลับขึ้นมาบนห้องคนไข้อีกทีด้วยสีหน้าที่ดีกว่าเดิมเล็กน้อย อย่างน้อยการนั่งคุยกับปฐพีก็พอจะทำให้เขาหยุดคิดเรื่องอริญชย์กับไอลดาไปได้ชั่วครู่ เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังลอดออกมาจากห้องพักคนไข้จนเขาอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้ พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นน้องหนูตื่นแล้วและกำลังนั่งอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงตุลย์ทำอะไรกุกกักดังมาจากในห้องน้ำ ส่วนอริญชย์ก็ยึดครองเก้าอี้ข้างเตียงที่เคยเป็นของเขาไปเป็นของตัวเอง ทั้งยังชวนหลานสาวตัวน้อยดูทีวีแล้วหัวเราะกันอย่างออกรส พอน้องหนูเห็นพิชญ์เดินเข้ามาก็ยิ้มกว้างก่อนจะกวักมือเรียกผู้เป็นพ่อหยอย ๆ

“ตื่นนานแล้วเหรอครับ คนเก่ง” พิชญ์เอ่ยถามน้องหนูก่อนจะเลือกยืนอีกฝั่งของเตียง ที่ไม่ใช่ฝั่งเดียวกันกับอริญชย์

“เพิ่งตื่นเมื่อกี้เองค่ะ พ่อพีทไปไหนมาคะ”

“พ่อพีทลงไปดูขนมข้างล่างมาครับ”

เหมือนจะรู้สึกถึงสายตาคมกริบที่มองมายังเขาเป็นเชิงถาม ว่าทำไมถึงไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย คนที่เพิ่งกลับมาเลยลูบหัวน้องหนูช้า ๆ พลางเอ่ยต่อ แต่เนื้อความตั้งใจให้สื่อไปถึงคนที่นั่งอยู่อีกฟากของเตียง

“แต่ไม่มีอะไรที่อยากกิน พ่อพีทเลยไม่ได้ซื้ออะไรกลับมา”

ไม่ใช่แค่น้องหนูที่ร้องอ๋อออกมาเสียงยาว แม้แต่ลุงของน้องหนูก็ผงกหัวน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้ มือเล็ก ๆ ยื่นมาจับแขนพิชญ์เอาไว้ก่อนจะถามคำถามที่พิชญ์ไม่อยากตอบ

“พ่อพีทจ๋า ลุงใหญ่บอกว่าแม่เล็กไปทำงานต่างประเทศอีกแล้ว จริงเหรอคะ”

คำถามนี้ของน้องหนูทำเอาพิชญ์ต้องหันขวับไปสบตากับอริญชย์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง อริญชย์มองสบตากับพิชญ์ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงอ่อน ๆ

“แม่เล็กเขามีงานด่วนพอดี คราวนี้คงจะหลายวันหน่อย ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยเมื่อไหร่ก็กลับมา”

“จริงเหรอคะพ่อพีท”

“ก็ตามที่ลุงใหญ่พูด...” พิชญ์ได้แต่อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง

เขาไม่รู้ว่าไอลดาเดินทางไปต่างประเทศจริงหรือว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างที่อริญชย์บอกน้องหนู แต่ก็อดหวังไม่ได้ว่า ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยเมื่อไหร่ ก็ขอให้ไอลดารีบกลับมาอย่างที่อริญชย์พูดเถอะ จะให้อภัยเขาหรือไม่ให้อภัยก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้เธอกลับมา

พอน้องหนูได้ยินที่พิชญ์พูดก็ถึงกับหน้าเศร้าลงทันที จนพิชญ์ต้องเอ่ยถามลูกสาวตัวน้อยเสียงอ่อนด้วยความเป็นห่วงจับใจ

“คิดถึงแม่เล็กเหรอครับ...”

คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นพ่อสลับกับผู้เป็นลุง แล้วเอ่ยประโยคที่ทำเอาทั้งพิชญ์และอริญชย์ถึงกับนิ่งงัน ไม่เว้นแม้กระทั่งตุลย์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ

“น้องหนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะมีพ่อพีท ลุงใหญ่ อาตุลย์คอยอยู่กับน้องหนู แต่แม่เล็กอยู่คนเดียวต้องเหงาแน่ ๆ เลยค่ะ”

พิชญ์ได้แต่คว้าลูกสาวตัวน้อยที่เปรียบเสมือนตัวแทนของไอลดาเข้ามากอดแนบอก หวังให้ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเขาที่มีให้กับน้องหนูเดินทางไปถึงใครอีกคนที่เพิ่งจากไป ไม่ว่าตอนนี้ไอลดาจะอยู่ที่ไหน อย่างน้อยก็ขอให้เธอรู้ไว้ว่า...

...พี่ชายคนนี้เป็นห่วงเธอเหลือเกิน

อริญชย์ที่นั่งอยู่อีกฝั่งเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของพิชญ์ เขาถึงได้ลุกขึ้นเดินอ้อมมายืนซ้อนอยู่ข้างหลังพิชญ์ ฝ่ามือใหญ่แตะลงบนไหล่ของพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคสั้น ๆ หวังจะบรรเทาความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในใจของพิชญ์

“ยัยเล็กปลอดภัยดี”

น้องหนูได้แต่มองพ่อพีทกับลุงใหญ่ไปมาก่อนจะเอ่ยถามตามประสาเด็ก

“พ่อพีทกับลุงใหญ่ก็คิดถึงแม่เล็กเหมือนกันใช่ไหมคะ”

พิชญ์ยิ้มให้กับคำถามของลูกสาวตัวน้อย แม้มันจะดูฝืดเฝื่อนเต็มทน เขาไม่ได้เอ่ยตอบคำถามของน้องหนู ได้แต่ปล่อยให้คำตอบมันดังก้องอยู่ในใจ

...ถึงแม้จะไม่ได้รักกันฉันท์ชู้สาว แต่พี่ชายคนนี้ก็คิดถึงและเป็นห่วงเธอเหลือเกิน...ไอลดา



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกคนที่ติดตามค่า ^^
บางตอนอาจจะเอื่อย ๆ ไปนิด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
เอาใจช่วยให้คุณใหญ่หาทางออกให้ได้ และให้พีทใจอ่อนไว ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 19 คนข้างหลัง --- หน้าที่ 5 [07/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 07-06-2020 22:04:31
รอติดตามตอนต่อไปคร่าาา
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 19 คนข้างหลัง --- หน้าที่ 5 [07/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-06-2020 22:43:11
 :hao5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 19 คนข้างหลัง --- หน้าที่ 5 [07/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 08-06-2020 00:18:58
อ่านตอนนี้ละสงสารตุลย์จังเลย หันไปทางไหนก็มีแต่ความอึมครึมเต็มไปหมด ทั้งอึดอัดแต่หนีออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ ทนๆ เอาหน่อยละกัน :katai1:

...​จากที่พีทเจอดินวันนี้ เป็นเจตนาของดินใช่มั้ยที่มาพบพีทโดยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อยากให้ดินอย่าหักหลังพีทเลยนะ มีอะไรก็ช่วยเพื่อนเถอะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 19 คนข้างหลัง --- หน้าที่ 5 [07/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-06-2020 01:37:09
ต้องอยู่กับความอึมครึมนี้ไปอีกนานเท่าไหร่~~555 หายไวๆนะน้องหนูจะได้กลับไปอยู่บ้านกับลุงใหญ่พ่อพีทช่วยเป็นสะพานเชื่อมสองคนนี้ให้ดีขึ้นหน่อยด้วยนะ มันเหี่ยวแห้งหัวใจฉันละเกิน อึดอัดไปกับตุลย์ 55555 เว้นช่องว่างหน่อยเถอะคุณใหญ่ขา คึคึ เออ!!มันเป็นความจงใจของดิน โอเคก็ยังดีที่นึกห่วงเพื่อน แต่แล้วยังไงสุดท้ายก็.......... หึ เราก็อยากจะรู้เหมือนกันถ้าดินเป็นไรไป เฮียของนายจะเป็นยังไง หึหึ!! รออ่านคู่นี้นะ(ถ้ามี) 5555 จะเป็นยังไงต่อละเนี้ย ไอลดาก็หนีไปทำใจแล้ว อย่างน้อยก็หายห่วงกังวลไปอีกคนถ้าศัตรูจ้องเล่นงานตอนนี้ ก็มีแต่พีทกับน้องหนูที่ต้องคอยคุ้มกัน สนุกกกกก ชอบบบบบ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รรรรรตอนหน้าเลยค่า อยากอ่านๆ 55 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 20 อิสรภาพ --- หน้าที่ 5 [10/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 10-06-2020 19:12:01
ยี่สิบ
อิสรภาพ



คีย์การ์ดห้องชุดราคาแพงถูกแตะลงบนแผงเหนือลูกบิด ก่อนที่เจ้าของห้องจะกดรหัสรักษาความปลอดภัยตาม พอเสียงสัญญาณปลดล็อคดัง ราชันย์ก็เปิดประตูแล้วเดินตรงดิ่งเข้าห้อง ทิ้งปฐพียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้องก่อนจะรีบก้าวเท้าตามเข้ามาติด ๆ และเพียงแค่เขาหันหลังให้ราชันย์เพื่อจัดการล็อคประตูห้อง พอหันกลับมาอีกทีก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า...

สิ่งที่ราชันย์พูดมามันก็ถูก...ก่อนที่จะห่วงพิชญ์ อย่างน้อยเขาควรจะห่วงตัวเองเสียก่อน

พิชญ์ยังมีอริญชย์ ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ภรรยากับน้องเขยคู่นั้นจะดูพิลึกพิลั่นจนเลยขอบเขตศีลธรรมอันดีงามของสังคม แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าสถานะของเล่นฆ่าเวลาอย่างเขาเป็นไหน ๆ

ปฐพีเดินเข้าห้องครัว แล้วหยิบเหยือกน้ำเก๊กฮวยเย็นจัดที่เขาเป็นคนต้มเองออกมาจากตู้เย็นขนาดสี่ประตู จัดแจงรินลงแก้วก่อนจะหยิบน้ำแข็งใส่ตามอีกสองก้อน จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานที่ปิดสนิท

ปฐพียืนเม้มริมฝีปากแน่นอย่างชั่งใจอยู่หน้าห้อง ก่อนจะยื่นมือไปเคาะประตูห้องเป็นจังหวะสามที สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ แต่เขาก็ชินเสียแล้ว เลยหมุนลูกบิดที่ไม่ได้ล็อคออก เสียงห้วนจัดของราชันย์ที่กำลังเอ่ยสังงานดังออกมาจนเขาถึงกับสะดุ้ง แค่ฟังอยู่ตรงนี้ ปฐพีก็พอรู้ว่าราชันย์กำลังคุยอยู่กับใคร คงหนีไม่พ้นคนสนิทอย่างปกรณ์ตามเคย

“ส่งคนคอยตามไว้เหมือนเดิม ถ้ามีอะไรผิดสังเกตให้รีบรายงานฉันทันที”

ปฐพียืนรอจนราชันย์คุยโทรศัพท์และวางสายเรียบร้อยแล้ว เขาถึงทำใจดีสู้เสือ ยกแก้วน้ำเก๊กฮวยไปวางบนโต๊ะทำงานที่มีเอกสารวางกระจัดกระจาย ถ้าหากมีคนบอกว่าวันนี้เป็นวันซวยของปฐพี เขาก็คงเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

หลังจากจานรองแก้วสัมผัสกับโต๊ะทำงานไม่ถึงหนึ่งนาที มือเจ้ากรรมก็เผลอปัดแก้วทิ้งเสียอย่างนั้น ถึงจะรีบคว้าเอาไว้ มันก็ยังไม่ทันการณ์ น้ำเก๊กฮวยค่อย ๆ ไหลซึมเปื้อนเอกสารหลายใบ ก่อนที่ราชันย์จะตรงเข้ามาคว้าเอกสารไปถือไว้ทั้งปึกพร้อมกับมองปฐพีด้วยสายตาเย็นชา

“ออกไป!”

“เฮีย ผมขอโทษ เดี๋ยวผมรีบเก็บให้นะ”

ปฐพีละล้าละลังคว้ากระดาษทิชชู่มาซับคราบน้ำบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะต้องหน้าชากว่าเดิมเมื่อราชันย์เอ่ยสำทับคำเดิมซ้ำ

“ออกไป!”

“เฮีย...” ปฐพีครางออกมาเสียงแผ่ว

“จะเรียกซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำไม ออกไป แล้วไม่ต้องเข้ามาอีกจนกว่าฉันจะเรียก”

แม้อยากจะดึงดันอยู่ต่อ แต่สายตาเย็นชาที่มองมาที่เขาก็บ่งบอกว่าราชันย์เอาจริง ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว เขาก็ควรจะรีบออกไปจากห้องนี้ ปฐพีคว้าทั้งแก้วทั้งจานรองขึ้นมาถือไว้ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากห้อง

เขารู้ว่าเขาผิด แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ...

ถึงแม้สายตาจะเหลือบแลไปเห็นหัวเอกสารที่เลอะเทอะแค่เพียงผ่าน ๆ แต่ปฐพีก็รู้ดีว่ามันสำคัญกับราชันย์มากแค่ไหน

คนอย่างเขาเคยมีประโยชน์อะไรบ้าง ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยงข้างทางที่ถูกเก็บมาฟูมฟัก ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้ราชันย์แม้แต่น้อย มีแต่คอยตักตวงผลประโยชน์จากราชันย์ ประโยชน์อย่างหนึ่งที่เขาพอจะมีอยู่บ้าง ก็คงจะเป็นเครื่องระบายความใคร่ราคาแพง ที่นอกจากจะไม่ทำกำไรแล้วยังทำให้ราชันย์ขาดทุนติดลบจนผิดวิสัยนักธุรกิจหน้าเลือด

เม็ดเงินที่ราชันย์เอามาลงทุนในตัวเขา มันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

คิดแล้วปฐพีก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟา ปล่อยความคิดล่องลอยไปไกล

ความทรงจำวันแรกที่พบกันระหว่างเขากับราชันย์ยังคงแจ่มชัด เหมือนทุกอย่างมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


...

สำหรับปฐพีแล้ว เขาเคยคิดว่าวันนั้นเป็นวันที่เขาเลวร้ายที่สุดในชีวิตเขา จนกระทั่งผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเขา ในตอนที่เขาเกือบจะถอดใจยอมแพ้แล้ววิ่งกลับบ้าน ริมฝีปากหยักของคนอายุมากกว่าบิดเป็นรอยยิ้มเย็นชา คล้ายจะเยาะหยันยามที่เอ่ยถามเขาว่า...

‘มานั่งอยู่ตรงนี้ ขายหรือไง...’

ปฐพีเกือบจะส่ายหน้าปฏิเสธไป แต่เมื่อถูกความเป็นจริงกระแทกเข้ากลางหน้าผากจังใหญ่ เขาก็ต้องหรุบสายตาลงต่ำ พยักหน้ารับช้า ๆ แม้จะอับอายกับสายตาเหยียดหยามที่อีกฝ่ายมองมามากแค่ไหน

‘หึ!’

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแค่นเสียงในลำคอคล้ายจะสมเพช จนปฐพีรู้สึกว่าตัวที่เล็กของเขา มันยิ่งเล็กลงไปกว่าเดิมอีก ถ้าเลือกได้ เขาก็ไม่อยากจะทำแบบนี้เลย แต่เพราะเขาไม่มีทางเลือก

ใบหน้าซีดเซียวของพ่อที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลบีบบังคับให้เขาต้องทำแบบนี้ ปฐพีปัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทิ้งไปจากหัว ฝืนเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาคม แม้จะหวาดหวั่นจนร่างกายสั่นระริก

เขาไม่รู้เลยว่า ร่างกายที่กำลังสั่นเทาอยู่นี้ มันเพราะความกลัวในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน หรือเพราะสายตาเย็นชาที่กำลังมองมาที่เขากันแน่

‘ขายเท่าไหร่ล่ะ...’

นิ้วมือหยาบกร้านทั้งห้านิ้วถูกชูขึ้นมา เรียกอาการเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจจากร่างสูงได้ทันควัน

‘ห้าพันงั้นหรือ กล้าดีนี่’

‘ไม่ใช่ห้าพัน ห้าหมื่น’

เสียงสั่นพร่าดังออกมาแทบไม่พ้นลำคอคนพูด แต่ราชันย์ก็ได้ยินมันชัดเจน ถ้าเป็นเวลาที่เขาอยู่ในอารมณ์ปกติ ราชันย์อาจจะหัวเราะขำกับมุกตลกร้ายของเด็กผู้ชายท่าทางปอน ๆ ตรงหน้า

เด็กผู้ชาย เพศเดียวกับเขา ที่อยู่ในชุดเสื้อนักศึกษาเก่า ๆ กับกางเกงสแล็คหลวมโคร่ง ไม่มีสิ่งไหนที่ดึงดูดหรือกระตุ้นให้เขาเกิดอารมณ์ทางเพศแม้แต่น้อย รังแต่จะทำให้เขาหมดอารมณ์เสียด้วยซ้ำ ดูท่าทางตื่นกลัวราวกับจะถูกหลอกไปข่มขืนนั่นสิ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกว่าขายเองแท้ ๆ

แต่ให้ตายเถอะ คงมีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ ว่าทำไมตัวเองถึงหยิบยื่นข้อเสนอที่เด็กหนุ่มตรงหน้าถึงกับต้องเบิกตากว้างออกมา

‘ฉันจะให้เท่าที่นายต้องการ ห้าหมื่น ห้าแสน ห้าล้าน แต่มีข้อแม้...’

อาจจะเป็นท่าทางไร้เดียงสา ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามทำให้ตัวเองดูกร้านโลกมากแค่ไหนก็ไม่อาจหลอกสายตาของราชันย์

หรืออาจจะเป็นแววตาสั่นระริกที่แฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่น ยามจ้องมาที่เขาอย่างกริ่งเกรง

ทุกอย่างมันเหมือนกับ ‘ใครคนนั้น’ จนเขายอมจ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อความไร้เดียงสานี้เอาไว้

ไม่ใช่เพื่อรักษา แต่เพื่อทำลายให้ย่อยยับลงไปด้วยน้ำมือของเขาเอง

เขาเกลียด...เกลียดความไร้เดียงสา!!

...



ปฐพีสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเย็นหลังจากเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เห็นท้องฟ้าที่มืดสนิทจากหน้าต่างห้องก็ตกใจจนรีบลุกพรวดขึ้นมา ก่อนจะต้องชะงักเมื่อสัมผัสถึงผ้าห่มสีเข้มที่คลุมอยู่บนตัวเขา จะเป็นฝีมือใครไปได้ ถ้าไม่ใช่คนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง

ริมฝีปากสีสดกดลึกเป็นรอยยิ้ม ความอ่อนโยนเล็ก ๆ เหล่านี้ที่อีกฝ่ายมีให้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มันเป็นยิ่งกว่าพันธนาการชั้นดีที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ให้ไปไหนไม่รอด

ปฐพีก้มลงเก็บหมอนกับผ้าห่มที่กองอยู่บนโซฟาให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวเล็ก ๆ เพื่อจัดการทำอาหารเย็นง่าย ๆ อย่างรู้หน้าที่ โดยไม่คิดจะรบกวนคนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก

แค่ความอบอุ่นเพียงน้อยนิด ก็ทำให้เขาลืมความเย็นชาที่ได้รับ จนบางครั้งถึงกับหลงละเมอเพ้อพกไป ว่าจะละลายก้อนน้ำแข็งได้ด้วยไฟอุ่น ๆ แต่ปฐพีคงมองข้ามความจริงบางข้อไปว่า...

หัวใจของราชันย์ไม่ได้เย็นชา แต่มันตายด้านไปนานแล้ว

ปฐพีใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการเตรียมอาหารเย็นง่าย ๆ เพื่อไม่ให้ราชันย์ต้องรอนาน ตอนที่เขาทยอยยกอาหารทั้งหมดออกมาวางบนโต๊ะ ราชันย์ก็เดินกลับเข้ามาในห้องพอดี กลิ่นนิโคตินจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเหงื่อเรียกรอยระเรื่อให้แต่งแต้มบนใบหน้าเขาอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนที่ต่างคนต่างนั่งลงตรงที่ของตัวเอง

ราชันย์ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตลอดมื้ออาหาร เขาเพียงแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบ ๆ ปฐพีเลยไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเช่นกัน

หลังจากเก็บของทุกอย่างจนเรียบร้อย ปฐพีก็เตรียมตัวจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเองเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะต้องชะงัก เมื่อได้ยินคำสั่งเรียบ ๆ ดังมาจากคนที่นั่งทำงานอยู่ตรงโซฟารับแขก

“มานั่งนี่”

ดูเหมือนราชันย์จะอารมณ์ดีกว่าเมื่อตอนเย็นแล้ว ปฐพีเลยเดินไปนั่งลงข้าง ๆ เขาอย่างไม่อิดออด ทีแรกปฐพีตั้งใจจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเปิดดูข่าวรอบดึก แต่พอนึกได้ว่าราชันย์กำลังนั่งทำงานอยู่ อาจจะต้องใช้สมาธิ มือที่เอื้อมออกไปเพื่อหยิบรีโมทเลยเปลี่ยนป็นคว้าหนังสือเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะมาอ่านแทน มันเป็นหนังสือที่ปฐพีเพิ่งซื้อมาไม่นาน

...ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ...

ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือเงียบ ๆ ระหว่างที่ราชันย์นั่งทำงาน แต่ปฐพีก็อดคิดไปถึงเรื่องอื่นที่รบกวนเขาอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ เขาขยับจะเอ่ยปาก แต่ก็ไม่กล้าจนต้องเม้มริมฝีปากแน่น เป็นอย่างนี้อยู่สองสามรอบจนราชันย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็น เลยละสายตาขึ้นมาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

“เป็นอะไร”

“เปล่าเฮีย”

“อย่าโกหกฉัน”

เสียงที่เอ่ยมายังคงเรียบสนิทเหมือนท้องทะเลยามปราศจากคลื่นลม แต่ปฐพีรู้ดี ในยามที่คลื่นลมสงบอย่างนี้ เขาไม่ควรอวดดีไปท้าทายจนอีกฝ่ายกลายเป็นทะเลคลั่ง เพราะการปิดบังความจริงจากราชันย์ นอกจากจะไม่ส่งผลดีแล้ว ยังส่งผลร้ายต่อตัวเขาเสียด้วยซ้ำ

เขาอยู่กับราชันย์มานานจนรู้ว่า การจะโกหกคนอย่างราชันย์ มันยากพอ ๆ กับการทำให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนที่ริอ่านโกหกคือเขา เพราะถ้าจะเปรียบตัวเขาเองเป็นหนังสือ ปฐพีก็คงเป็นหนังสือที่อ่านง่ายและถูกราชันย์อ่านทะลุปรุโปร่งจนเดาตอนจบออกแทบทั้งหมดนานแล้ว แต่ทั้ง ๆ ที่รู้อย่างนั้น เขาก็ยังยอมและเต็มใจให้มันเป็นแบบนี้

คนอย่างปฐพีมันไม่มีอะไรดี ถ้าจะมี...ก็คงมีแค่ความรักและภักดีที่ราชันย์แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หรือบางทีอาจจะเห็น แต่มันไม่มีค่ามากพอให้ต้องใส่ใจ

“ผม...คิดถึงน้อง”

“พูดอะไรงึมงำอยู่ในลำคอ ดัง ๆ หน่อยได้ไหม”

“ผมคิดถึงน้องครับ”

“เมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็เพิ่งเจอกันไม่ใช่หรือไง”

ปฐพีเกือบจะพ่นลมหายใจออกทางปากเบา ๆ เมื่อคาดเดาคำตอบของราชันย์ได้ไม่ผิดเพี้ยน ดีว่าเขายั้งตัวเองไว้ได้ทัน ถึงจะบอกว่าไม่กี่เดือนก่อน แต่ไม่กี่เดือนก่อนของราชันย์ก็กินเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว มันเป็นเวลานานมากพอที่ปฐพีจะคิดถึงน้องชายคนเดียวของเขา แม้จะรับรู้ข่าวคราวต่าง ๆ ของชลธีจากปกรณ์อยู่เสมอ แต่ในฐานะคนเป็นพี่ ปฐพีก็ยังอดห่วงน้องไม่ได้

น้องชายที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา ถึงปกรณ์จะคอยยืนยันให้เขาสบายใจว่าชลธีสบายดีอยู่เสมอ แต่ปฐพีก็ยังอยากพบ อยากเจอ อยากเห็บกับตาตัวเองว่าชลธีสบายดีจริง ๆ

ราชันย์เห็นปฐพีนิ่งไปก็แทบจะเดาความคิดของปฐพีออกหมด เขาไม่ได้รู้ใจปฐพี แต่ปฐพีน่ะ...ดูออกง่ายเกินไปต่างหาก

“รอให้จบเรื่องวุ่น ๆ นี่ก่อน แล้วจะพาไปหา”

“นานไหมเฮีย”

“อะไร”

“อีกนานไหม กว่าที่เรื่องวุ่น ๆ ของเฮียจะจบ”

ราชันย์บิดริมฝีปากน้อย ๆ ก่อนจะเหยียดมันออกอย่างเย็นชา ความเย็นชาที่ปฐพีเห็นมานานหลายปีจนเคยชิน หลายครั้งยังอดถามตัวเองไม่ได้ว่า หากวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ความเย็นชาเหล่านี้หายไป ตัวเขาจะร้อนรุ่มทุรนทุรายแค่ไหนกัน

“อีกไม่นานหรอก”

ปฐพีเกือบจะยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบว่าเรื่องบ้า ๆ ที่คาราคาซังมานานหลายปีกำลังจะจบลงเสียที แต่ยังไม่ทันได้ยิ้มให้เต็มปาก เขาก็ต้องตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“นายเองก็จะได้ไปมีชีวิตของตัวเองเสียที”

“เฮีย...”

ปฐพีครางออกมาเสียงแหบระโหย แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงเอาเสียเดี๋ยวนั้น เขาเข้าใจความหมายของประโยคที่ราชันย์เพิ่งเอ่ยออกมาเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องตีความซ้ำ

ชีวิตของตัวเองที่ราชันย์หมายถึงก็คือชีวิตที่ไม่มีราชันย์

บทสนทนาในวันนั้น วันที่เขาเลือกจะวางอนาคตตัวเองลงในกำมือผู้ชายแปลกหน้า วนเวียนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้งราวกับกรอเทป

‘ผมต้องอยู่กับคุณนานแค่ไหน...’

‘จนกว่าฉันจะไม่ต้องการ’


ทั้งที่เคยบอกเขาไว้แบบนั้น แต่การเอ่ยปากบอกว่าจะให้อิสระกันในวันนี้ ก็เพราะว่าไม่ต้องการเขาแล้วใช่ไหม

ราชันย์เองจะรู้บ้างไหม ว่าอิสระที่คิดจะหยิบยื่นให้ปฐพีนั้น วันนี้เจ้าตัวกลับไม่ต้องการมันเลยแม้แต่น้อย ต่างจากใครอีกคนที่โหยหาอิสระสุดหัวใจ

พระเจ้าเบื้องบนไม่เคยเป็นใจ...

หยิบยื่นอิสระที่ปฐพีไม่ต้องการมาให้ แต่กลับกักขังพิชญ์เอาไว้ภายใต้กงเล็บของเสือร้าย

เหตุใดจึงไม่ให้สิ่งที่ต่างคนต่างต้องการ



.
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 20 อิสรภาพ --- หน้าที่ 5 [10/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 10-06-2020 19:12:44


ผ้าห่มผืนหนาของโรงพยาบาลถูกคลุมลงบนตัวคนที่นอนหลับคอพับคออ่อนด้วยความอ่อนเพลีย อริญชย์จับหัวพิชญ์ให้เอนมาพิงไหล่เขาดี ๆ คนที่เผลอหลับเพียงแค่ครางฮือในลำคอเบา ๆ แต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้จุดขึ้นที่มุมปากของหมอนกิตติมศักดิ์

แค่อริญชย์เอียงหน้าเพียงนิดเดียว ริมฝีปากอุ่นจัดก็แตะลงบนหน้าผากพิชญ์แผ่ว ๆ แววตาที่ทอดมองคนข้างตัวทั้งอ่อนหวานและลึกซึ้ง

การมีพิชญ์อยู่ในอ้อมกอดอย่างที่เป็นอยู่นี้ มันไม่ใช่สิ่งที่อริญชย์ฝัน เขายอมรับเลยว่าเขาฝันไกลมากกว่านี้ เขาไม่ได้อยากมีพิชญ์อยู่ในอ้อมกอดแค่เพียงวันนี้เท่านั้น แต่เขาอยากมีพิชญ์อยู่ข้างกายตลอดไป

ที่ผ่านมาอริญชย์รู้ดีว่าเขาทำไม่ถูก ตอนนี้เขาอยากจะเริ่มต้นใหม่ ทุ่มทั้งตัวและหัวใจลงไปให้สมกับที่ไอลดายอมหลีกทางให้ แม้การได้ตัวและหัวใจของพิชญ์มาจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดเสียใจของไอลดา แต่ถ้าย้อนเวลากลับไป อริญชย์ก็ยังยืนยันที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้พิชญ์เป็นของเขา

ริมฝีปากหยักเผลอคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองจะทำต่อไปหลังจากนี้ เขาจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพิชญ์ แต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอริญชย์ก็ยังคงเป็นอริญชย์อยู่วันยังค่ำ เพียงแค่พิชญ์หลุดเสียงละเมอออกมาแผ่ว ๆ รอยยิ้มก็พลันเลือนหายไปจากใบหน้า อริญชย์ถึงกับตัวชาเมื่อได้ยินเสียงละเมอของพิชญ์ชัดเจน

“คุณ...เล็ก...”

ทำไมชื่อที่พิชญ์ร้องเรียกทั้งยามหลับและยามตื่นถึงเป็นไอลดา

เมื่อไหร่ถึงจะเป็นเขาที่พิชญ์ร้องเรียกหา เมื่อไหร่แววตาของพิชญ์ถึงจะสะท้อนแต่ภาพเขา

อริญชย์พยายามข่มกลั้นอารมณ์ร้อน ๆ ของตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบาก เขาเอื้อมปลายนิ้วไปไล้น้ำตาออกจากหางตาของพิชญ์ แต่สัมผัสของเขามันคงไม่นุ่มนวลนักจนคนที่หลับอยู่ถึงกับตื่นขึ้นมา

พิชญ์กระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาตื่นจากฝันร้าย ชายหนุ่มกวาดสายตาไปมา ลำดับความคิดช้า ๆ เมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องพักคนไข้ของลูกสาวตัวน้อยก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่พอเลื่อนสายตาลงมาแล้วเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของอริญชย์ พิชญ์ก็รีบกระถดตัวหนีทันที

“รังเกียจกันมากหรือไง”

คนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาถึงกับทำหน้าหน่าย ๆ เมื่อลืมตาตื่นไม่ทันไรก็ต้องมาเจออารมณ์พาลพาโลของอริญชย์ พิชญ์เสเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พอสายตาปะทะเข้ากับนาฬิกาแขวนผนัง เขาก็หันกลับมาหาคนที่ยังนั่งเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้างตัว

“คุณใหญ่...”

“ทำไม...”

“พรุ่งนี้คุณมีประชุมตอนเช้า”

“ฉันจำได้”

“ตอนนี้จวนจะสามทุ่มแล้ว”

“ฉันใส่นาฬิกาอยู่”

พิชญ์พยายามข่มอารมณ์โมโหที่เริ่มจะแล่นขึ้นมาตงิด ๆ เขาเกือบจะหลุดเสียงสบถด้วยความหงุดหงิดออกมาแล้ว ดีว่ายั้งตัวเองไว้ได้ทัน ถ้าถามว่าหงุดหงิดใคร พิชญ์ตอบได้เลยว่า เขาหงุดหงิดตัวเองและหงุดหงิดอริญชย์ เขาอาจจะผิดที่พูดจาอ้อมค้อม แต่ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอริญชย์มันชวนโมโหน้อยเสียเมื่อไหร่กัน

พิชญ์ยกมือขึ้นมาคลึงขมับตัวเองเบา ๆ เริ่มจะปวดหัวตุบ ๆ ทั้งที่เพิ่งลืมตาตื่นได้ไม่นาน ผลงานโบว์แดงชิ้นนี้จะเป็นความดีความชอบของใครไปไม่ได้เลยนอกเสียจากอริญชย์

“เมื่อไหร่คุณจะกลับบ้านเสียที”

มันไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคคำสั่งกราย ๆ ที่ตัวคนพูดเองคงไม่ทันได้สังเกต

“ฉันบอกตอนไหนว่าจะกลับ”

“คุณใหญ่!”

“อย่าเสียงดังสิ ไม่เห็นหรือไงว่าน้องหนูหลับอยู่”

อริญชย์ที่เริ่มจะอารมณ์ดีขึ้นมา หลังจากเห็นท่าทางฮึดฮัดของพิชญ์ ทำทีเป็นบุ้ยปากไปยังร่างเล็กที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

สาบานได้เลยว่าถ้าตุลย์อยู่ด้วย เขาคงต้องค่อนขอดเจ้านายตัวเองว่าเป็นพวกอารมณ์แปรปรวนแน่ ๆ เมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่แล้วยังน้อยอกน้อยใจที่พิชญ์ร้องละเมอหาไอลดา มาตอนนี้กลับอารมณ์ดีพียงเพราะได้ต่อปากต่อคำกับพิชญ์ แต่ดูเหมือนคนที่อารมณ์ดีจะมีแค่อริญชย์คนเดียว ผิดกลับพิชญ์ที่พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังไม่อยากฟาดปากกับอริญชย์ที่นี่ตอนนี้ พิชญ์กัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อข่มอารมณ์โมโห แต่การกระทำแบบนี้กลับให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

“เอะอะก็กัด ไม่สงสารปากตัวเองบ้างหรือไง”

ใครใช้ให้อริญชย์เอานิ้วมาไล้ริมฝีปากเขาเบา ๆ แบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่าแทบจะทำให้สติของพิชญ์กระเจิดกระเจิง แค่สัมผัสเพียงผิวเผิน มันก็ร้อนรุ่มไปถึงหัวใจ ราวกับสิ่งที่กำลังสัมผัสริมฝีปากของเขาอยู่ไม่ใช่ปลายนิ้วของอริญชย์ แต่เป็นริมฝีปากของอริญชย์เองที่มักจะพรากลมหายใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ก๊อก ๆ ๆ

เสียงเคาะประตูดังเป็นมารยาทก่อนตุลย์จะโผล่หน้าเข้ามา บังคับพิชญ์ให้ผลักอริญชย์ออกไปให้พ้นตัว

“อะแฮ่ม จะกลับกันหรือยังครับ คุณใหญ่”

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่ส่งตุลย์เข้ามาขัดจังหวะได้ทันเวลา ก่อนที่พิชญ์จะเผลอตัวและเผลอใจให้กับสัมผัสที่คุ้นเคยของอริญชย์อย่างน่าไม่อาย

ตุลย์ขยับยิ้มเผล่ออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ เมื่อสบตากับผู้เป็นนายที่มองมาดุ ๆ เขาแสร้งผงกหัวน้อย ๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพยอย่างที่อริญชย์รู้ดีว่าลูกน้องคนสนิทแกล้งทำ

พิชญ์เบือนหน้าหนีสายตาคมปลาบของอริญชย์และดวงตาพราวระยับของตุลย์ด้วยความเก้อกระดาก ทำทีเป็นก้มลงลูบหัวลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่เบา ๆ แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยปากสนทนากับตุลย์โดยพาดพิงไปถึงผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างตัว

“คุณตุลย์มาก็ดีเลย ผมเห็นคุณใหญ่เพิ่งบ่นแหม็บ ๆ ว่าง่วง ท่าทางคงอยากกลับบ้านนอนแล้วมั้ง”

ลูกชายของแม่พลอยแกล้งลืมคำสอนของผู้เป็นแม่ชั่วคราว เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันแล้วโป้ปดมดเท็จออกไปคำโต ตุลย์ก็ช่างเป็นลูกน้องแสนดี รับลูกที่ส่งมาจากพิชญ์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ผมกำลังคิดเหมือนคุณพีทเลย เห็นท่าทางคุณใหญ่ดูเพลีย ๆ สงสัยจะง่วงมากจริง ๆ”

“งั้นรีบพาคุณใหญ่กลับบ้านเถอะครับ คุณเองจะได้กลับไปพักผ่อนด้วยเหมือนกัน”

ถึงคราวที่อริญชย์ต้องยืนกัดฟันกรอด เลือกไม่ได้ว่าจะจัดการกับลูกน้องคนสนิทอย่างตุลย์หรือจะจัดการกับพิชญ์ก่อนดี แต่ที่แน่ ๆ เล่นแท็คทีมกันมาแบบนี้ มันแทบจะไม่มีช่องว่างให้เขาโต้กลับเลย

“กลับกันเถอะครับคุณใหญ่ ผมเองก็ชักจะง่วงเหมือนกัน ขืนช้ากว่านี้ผมคงขับรถกลับไม่ไหวแน่ ๆ”

พูดปากเปล่าก็กลัวจะไม่สมจริง ตุลย์เลยยกมือขึ้นปิดปากหาว แบบที่ดูแล้วนอกจากจะไม่น่าเห็นใจ มันยังน่าหมั่นไส้เหลือเกินในสายตาของอริญชย์

ไม่ใช่ตุลย์หรอกหรือที่รู้เห็นเป็นใจ หรืออีกนัยหนึ่งคือขัดเขาไม่ได้ ปล่อยให้เขาอยู่ในห้องกับพิชญ์ตามลำพังตั้งแต่พิชญ์หลับจนกระทั่งพิชญ์ตื่น มาตอนนี้ดันกลับลำ หันไปยกหางพิชญ์เสียอย่างนั้น คนเป็นนายได้แต่นึกพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“กลับก็กลับ นายเองจะได้นอนพักผ่อนต่อด้วย” ประโยคแรกอริญชย์พูดกับตุลย์ แต่ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับพิชญ์

ตุลย์ค้อมหัวให้พิชญ์น้อย ๆ เป็นเชิงบอกลา ก่อนจะชิงเดินหนีออกจากห้องไปก่อน โดยไม่คิดจะรอผู้เป็นนายที่ยังทำทีเป็นยืนอ้อยอิ่งอยู่ข้างเตียง อริญชย์ก้มลงลูบหัวหลานสาวที่ยังคงหลับสนิทเบา ๆ แล้วถึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาพ่อของหลานที่เดินมายืนอยู่อีกฟากของเตียง

“พรุ่งนี้ประชุมเสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันจะรีบมารับ รออยู่ที่นี่ล่ะ ถ้ามีอะไร...” อริญชย์เว้นช่วงไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “...ให้รีบโทรหาฉันทันที”

พิชญ์พยักหน้ารับช้า ๆ คร้านจะเอ่ยปฏิเสธให้เสียเวลา ตัวเองก็ไม่วายเอ่ยกำชับอีกฝ่าย

“คุณเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ดึกป่านนี้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีประชุมแต่เช้าอีก”

อริญชย์กระตุกยิ้มเบา ๆ ที่มุมปาก เขาดึงพิชญ์เข้ามากอดไว้หลวม ๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้มีโอกาสขัดขืน พอคนถูกกอดได้สติก็ยกมือเตรียมจะผลักอริญชย์ออก แต่ยังช้ากว่าอริญชย์ที่เป็นฝ่ายคลายวงแขนออกเอง เขาไม่ได้เอ่ยล่ำลาพิชญ์ เพียงแค่หันหลังแล้วเดินออกมาเฉย ๆ แต่ถ้าอริญชย์หันมามองซักนิด เขาก็คงได้เห็นดวงตาเรียวที่มองตามแผ่นหลังเขาก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยบานประตู

พระเจ้า พิชญ์เป็นคนเลวใช่ไหม

ทั้งที่ไอลดาต้องแบกความเจ็บช้ำน้ำใจหนีหน้าเขาไปไกลแสนไกล แต่พิชญ์กลับหวั่นไหวให้กับความอ่อนโยนของอริญชย์

ได้โปรด อย่าอ่อนโยนไปมากกว่านี้เลย เขายังไม่อยากให้ความอ่อนโยนของอริญชย์เข้ามาแทนที่ความรู้สึกผิดที่มีต่อไอลดา ขอให้พิชญ์ได้ใช้เวลาจมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองหน่อยเถอะ



.



ทันทีที่รถยนต์สีดำติดฟิล์มหนาทึบรอบคันเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล ท่าทางขี้เล่นของตุลย์ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด คนสนิทของอริญชย์ลอบมองสบตาผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ ๆ

“ผมเจอคุณรัญญาที่โรงพยาบาลเมื่อช่วงเย็น”

“รัญญางั้นหรือ” อริญชย์ทวนชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากตุลย์อย่างงุนงง ก่อนจะนึกออก “หลิว น้องของไอ้เล้งน่ะหรือ”

“ครับ”

พอคนสนิทเอ่ยยืนยัน อริญชย์ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย แม้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของอริญชย์กับราชันย์จะบาดหมางมานานหลายปี แต่ก็ไม่ได้ทำให้อริญชย์ลืมเรื่องราวต่าง ๆ ของราชันย์รวมถึงคนรอบข้างราชันย์แม้แต่น้อย

เรื่องที่ตุลย์เอ่ยมา ฟังเผิน ๆ แล้วดูเหมือนเรื่องบังเอิญทั่วไป ถ้าเจอคนอื่นที่โรงพยาบาล อริญชย์ก็คิดว่าไม่แปลก แต่ต้องไม่ใช่สมาชิกในตระกูลกมลวิลาศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ผู้หญิงที่ชื่อรัญญา กมลวิลาศน์

โรงพยาบาลที่น้องหนูนอนพักฟื้นอยู่ นอกจากจะอยู่ห่างจากบ้านใหญ่ของตระกูลกมลวิลาศน์คนละมุมเมืองแล้ว ที่นี่ยังไม่ใช่โรงพยาบาลประจำของรัญญาที่ราชันย์เคยเปรยให้อริญชย์ฟังถึงความเรื่องมากของน้องสาว สมัยที่ยังสนิทสนมกันอยู่อีกด้วย

“แล้วมีอะไรผิดสังเกตบ้างไหม” อริญชย์เอ่ยถามด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่ได้เคร่งเครียดเท่าตุลย์

“คุณรัญญาเป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักผมก่อน อันนี้ผิดสังเกตไหมครับ”

อริญชย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย จะบอกว่ารัญญาอัธยาศัยดีก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะลักษณะนิสัยของรัญญาเท่าที่เคยได้ยินมาจากราชันย์ประกอบกับที่เขาเคยพบเจอด้วยตัวเอง ต้องบอกเลยว่าน้องสาวของอดีตเพื่อนรักที่ปัจจุบันกลายมาเป็นคู่อริน่ะ... ‘ถือตัว’ เอาเรื่องเลยทีเดียว

“ทักว่า”

“ก็ทั่วไปครับ ถามว่าผมมาทำอะไรที่โรงพยาบาล”

“แล้วนายตอบไปว่ายังไง”

“ยังไม่ทันได้ตอบหรอกครับ คุณรัญญาเธอมีสายเรียกเข้าเสียก่อน พอวางสายเสร็จก็ขอตัวทันที ผมเองยังไม่ทันได้ถามอะไรเหมือนกัน”

อริญชย์ผงกหัวรับ ก่อนจะปัดเรื่องของรัญญาทิ้งไป ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญพอให้เขาเก็บเอามาเป็นประเด็นตอนนี้ อริญชย์ค่อย ๆ เอนหลังลงพิงพนักเบาะ แล้วหลับตาลงช้า ๆ เลยไม่ทันได้เห็นแววตาที่แฝงความกังวลของตุลย์

...กับคนที่ภักดีอย่างที่สุด บางครั้งก็ยังมีเรื่องที่ต้องปิดบังกันบ้าง...

ตุลย์เกือบจะถอนหายใจออกมาแล้ว ดีแต่ว่าเขายังกลั้นเอาไว้ได้ทัน เขาจะไม่หนักใจเลยแม้แต่น้อย ถ้ารัญญาไม่ได้ทิ้งท้ายประโยคเอาไว้ให้เขาต้องเก็บเอามาเป็นกังวลแบบนี้

‘ฝากความคิดถึงถึงคุณพีทด้วยนะคะ...’

ทำไมตุลย์จะไม่รู้ว่าพิชญ์ไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกับรัญญาเลย แต่เขาไม่เข้าใจว่าที่รัญญาเอ่ยฝากถึงพิชญ์แบบนี้ เธอมีจุดประสงค์อะไร อย่างน้อย เขาก็อยากจะรอให้ตัวเองแน่ใจเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไรแล้วถึงค่อยบอกอริญชย์ เพราะถ้าเป็นเรื่องของพิชญ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ คำว่าเหตุผลก็ไม่เคยมีความหมายสำหรับอริญชย์เลยซักครั้ง

ทั้งที่บอกตัวเองแบบนั้น แต่ตุลย์กลับสังหรณ์ใจแปลก ๆ ความรู้สึกมันคล้ายกับว่าท้องฟ้าที่ยังไม่ทันจะสว่างสดใสดีนัก ตอนนี้กลับเริ่มมีเมฆดำทะมึนก่อตัว เป็นสัญญาณว่าพายุฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว...



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
เฉลยแล้วเนอะว่าเฮียกับดินมาเจอกันยังไง
ชีวิตดินนี่ดราม่าพอ ๆ กับพีทเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 20 อิสรภาพ --- หน้าที่ 5 [10/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 10-06-2020 20:26:50
 :hao7:  รอต่อไปคร่าาาาา
เมื่อไหร่สงครามระหว่างเฮียกะอริญจน์ จะจบน้อออออ
เป็นห่วง คนรอบตัวทุกคนเลยย
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 20 อิสรภาพ --- หน้าที่ 5 [10/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 10-06-2020 21:24:39
ราชันย์ไม่รักดินซักนิดเลยเหรอ....​
อ่านถึงตรงนี้ก็สงสารดินเหมือนกันนะ
รักเขาเข้าอย่างจังขนาดนี้ ถ้าเขาปล่อยให้เป็นอิสระแล้วดินจะอยู่ยังไงต่อได้ละทีนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องปัจจัยเท่านั้น... มันคือเรื่องหัวใจล้วนๆ  :m15:

เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องที่คุณกลางโดนทำร้ายนั้นเกิดจากความตั้งใจของรัญญา?? เราเริ่มระแวงยัยรัญญาเข้าแล้วนะ ตุลย์ก็น่าจะบอกความจริงกับคุณใหญ่ซะ แบบนี้แล้วคุณใหญ่ก็ไม่ระวังหลังให้พีทอะดิ และก็พีทอีกคนไปพบกับรัญญาโดยไม่บอกใครอีก กลัวจะโดนแบบคุณกลางจริงๆ   :ling1:

ทำไมเธอ 2 คนต้องมีความลับกับคุณใหญ่ด้วย  :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 20 อิสรภาพ --- หน้าที่ 5 [10/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-06-2020 22:19:11
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 20 อิสรภาพ --- หน้าที่ 5 [10/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-06-2020 23:04:39
เออตุลย์ใกล้ละ พายุกำลังจะมา ทอร์นาโดเลยละ 55 โห้ยยยถ้าคุณใหญ่จับจุดพีทได้คือมีชัยไปเลย พีทแพ้ความอ่อนโยนของเขาดีๆนี่เอง อะคริๆ 55 ตอนตุลย์มาเปิดประตูชวนไปนอนนี่บับขัดจังหวะจริง อยากโบกสักป๊าบ นึกว่าจะได้เห็นคนจูบกัน ดีใจหมด เก้อเลย ไม่เป็นไรวันหน้ายังมี 55555 //อยากให้ตัวมีราคาเป็นประโยชน์ก็วิ่งรับลูกกระสุนแทนเขาซะนะ จ่ายด้วยชีวิตไปเลย ตายหายศพไม่เจอ ผ่านไป5ปีมาเจอกันอีกทีคราวนี้ละรักแท้ รักจริงรักกันไหม ได้คำตอบแน่ 5555 หรือไม่ก็พอรับกระสุนแทนเขาแล้ว ก็ทวงสัญญาที่เขาให้ไว้ว่าจะปล่อยกันไป แล้วจากไปมีชีวิตเป็นของตัวเองเพราะต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อน้อง แต่สุดท้ายอยากให้สองคนนี้มีโอกาสเป็นคู่รักกันนะ แต่จะมาวิธีไหนยังไงคือไม่รู้แล้วแต่ผู้แต่ง 55555555 แต่แบบอยากให้ห่างกันไปสักพักเพื่อที่จะได้รู้ใจตัวเองแต่ละคน สนุกมากๆรออ่านตอนหน้าเลย น้องหนูจะหายยัง อีกไม่นานๆอีกเท่าไหร่ รีบๆมาเคลียร์กันเถอะ แต่อีกนานกว่าพายุจะสงบอะนะ 5555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ อ่านเพลินเลย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 21 ความทรงจำสีจาง --- หน้าที่ 5 [14/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 14-06-2020 20:19:47
ยี่สิบเอ็ด
ความทรงจำสีจาง



          ...ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย...

          อพาร์ทเมนต์ขนาดสองห้องนอนบนถนนโอแฟร์เรลมีแขกจากต่างแดนเดินทางมาเยือนอย่างกะทันหัน สุภาพสตรีวัยห้าสิบเศษที่ยังคงดูสาวและสวยเหมือนอายุเพียงต้นสี่สิบรีบกระวีกระวาดลงมาจากอพาร์ทเมนต์ หลังได้ยินเสียงอินเตอร์คอมจากคนดูแลอพาร์ทเมนต์แจ้งว่ามีคนเอเชียมารอพบอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ คุณอำพรเผลอคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อคาดเดาเอาเองว่าคนเอเชียที่มาขอพบคงจะเป็นคนเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา

          ...ลูกชายคนโตของ ‘เขา’...

          แม้จะนึกแปลกใจกับการมาเยือนอย่างกะทันหัน ชนิดที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า เพราะทุกครั้งที่อริญชย์มาซานฟรานซิสโกเพื่อเยี่ยมอธิษฐ์ อีกฝ่ายมักจะโทรศัพท์มาบอกเธอล่วงหน้าก่อนเสมอ แต่คุณอำพรก็แก้ตัวให้ว่าอริญชย์อาจจะแวะมาธุระแถวนี้แล้วเลยมาเยี่ยมเธอกับอธิษฐ์ก็เป็นได้ ทว่าการคาดเดาคราวนี้ของเธอกลับผิดความจริงไปไกลโข เมื่อคนที่ยืนกอดอกตัวสั่นน้อย ๆ อยู่นอกอพาร์ทเมนต์ไม่ใช่คนที่เธอคิด แต่กลับเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบางที่ยืนอยู่กับกระเป๋าเดินทางใบย่อม

          ไม่ใช่อริญชย์ที่มักจะมาเยี่ยมอธิษฐ์อยู่เสมอ แต่กลับเป็นไอลดาที่เบือนหน้ามาหาเธอด้วยท่าทางอิดโรย

           “คุณเล็ก...” คุณอำพรครางชื่อลูกสาวคนเล็กของผู้ชายที่เธอเคยมีความสัมพันธ์ด้วยออกมาเบา ๆ

          ไอลดาเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะนิ่งเงียบ ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเข้าหากันอย่างไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำใดออกมา รู้ดีว่าตัวเองบ้ามากแค่ไหนที่บินลัดฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้าผู้หญิงที่เธอนึกชิงชังนักหนา

           “ไปยังไงมายังไงคะ” คุณอำพรเอ่ยถามอย่างแปลกใจระคนตกใจ

          คุณอำพรเองก็รู้ว่าไอลดาไม่ใช่อริญชย์ที่ยอมรับเธอและอธิษฐ์เป็นสมาชิกในครอบครัว นอกจากจะไม่ยอมรับแล้วยังนึกชิงชังเธอกับลูกชายเสียด้วยซ้ำ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำเอาเธอถึงกับแปลกใจและคาดไม่ถึงเมื่อเห็นอีกฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้า อย่าว่ากระนั้นเลย แม้เธอเองจะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดโดยสายเลือด แต่สัญชาติญาณความเป็นแม่ที่มีอยู่ก็บอกให้เธอรับรู้ว่า...

          ไอลดาที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากนกปีกหักที่กำลังมองหาที่พึ่งพิง

          คุณอำพรเอื้อมมือออกไปหมายจะแตะหัวไหล่ที่กำลังสั่นน้อย ๆ ของไอลดาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายชะงักด้วยความเก้อเสียเอง เมื่อหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวลูกเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของเธอแล้วเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

           “ฉันมากะทันหันไปหน่อย แต่ขอค้างซักคืนได้ไหม แล้วพรุ่งนี้จะออกไปหาโรงแรมอยู่เอง”

          คำขอของไอลดาทำเอาคุณอำพรต้องแปลกใจเป็นคำรบสอง แต่ก็คร้านจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองไทย นับตั้งแต่เธอพาอธิษฐ์หนีมาจากความทรงจำอันโหดร้ายและสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เหล่านั้น เธอกับลูกก็ปิดหูปิดตา ไม่รับรู้ข่าวสารใด ๆ จากทางเมืองไทยอีก และที่สำคัญ ต้นสายปลายเหตุที่ไอลดามาหาเธอถึงที่นี่คงไม่สำคัญเท่ากับการเยียวยาแม่นกน้อยปีกหักตรงหน้าเธอเสียก่อน แม้จะนึกตงิดอยู่ในใจว่าเรื่องร้ายแรงอะไรกันที่ทำให้ไอลดาเลือกบ่ายหน้ามาหาเธอแทนที่จะเป็นอริญชย์ แต่คุณอำพรก็ไม่คิดที่จะเอ่ยถามออกไป

           “ถ้างั้นก็เข้าไปนั่งข้างในก่อนเถอะ อากาศข้างนอกเย็น ๆ เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเสียก่อน”

          ไอลดาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เธอไม่ได้คาดคิดว่าลมที่ซานฟรานฯ จะแรงสมกับที่เป็นเมืองติดทะเล เลยเตรียมมาแค่คาร์ดิแกนตัวบาง ๆ จนต้องมายืนหนาวสั่นอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ให้อีกฝ่ายต้องนึกสมเพช ยังไม่ทันได้ก้าวขาขยับตัวไปตามคำชวน ริมฝีปากบางก็ขยับเอ่ยถามเบา ๆ คล้ายกับไม่แน่ใจ

           “เขาอยู่ไหม”

           “ไปทำงานที่ร้านอาหารไทย ดึก ๆ ถึงจะกลับมาน่ะ”

          ถ้าหูไม่ได้แว่วไปเอง คุณอำพรยอมรับเลยว่าเธอได้ยินเสียงถอนหายใจคล้ายกับโล่งอกดังมาจากคนที่เดินตามหลัง จนอดคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ความที่เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน เหตุใดจะไม่เข้าใจอะไรทะลุปรุโปร่ง

          เด็กหนอเด็ก นี่คงกลัวว่าจะเข้าหน้ากับเจ้าลูกชายของเธอไม่ติดล่ะสิ

          ถ้าไม่ติดว่าไอลดาไม่ชอบเธอ คุณอำพรเองก็นึกอยากจะบอกอีกฝ่ายให้คิดว่าเธอเป็นแม่อีกคน แต่เธอรู้ว่าไอลดาคงไม่มีวันยอมแน่ ๆ เธอก็แค่อยากชดเชยให้ อย่างน้อยก็ในฐานะที่ไอลดาเป็นน้องสาวของอธิษฐ์

          อพาร์ทเมนต์ที่คุณอำพรกับอธิษฐ์อาศัยอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูกเป็นอาคารสี่ชั้น ดังนั้นตัวอาคารจึงไม่มีลิฟต์ ลำบากไอลดาให้ต้องแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล โชคดีที่กระเป๋าเดินทางของเธอใบไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ถือว่าเหนื่อยเอาเรื่องสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มักจะมีคนอื่นคอยทำให้อยู่ไม่น้อย

          ถึงแม้อพาร์ทเมนต์ของคุณอำพรจะเป็นอพาร์ทเมนต์ธรรมดาที่ไม่ได้หรูหรามากมายในสายตาของไอลดา แต่เมื่อลองเปรียบเทียบกับทำเลและความสะดวกสบายต่าง ๆ แล้ว หญิงสาวก็นึกรู้ว่าราคาค่างวดของมันคงจะไม่น้อยแน่ ๆ ถ้าเป็นยามปกติ ไอลดาคงอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดว่าเงินค่าเช่าอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่มาจากทรัพย์สินของพ่อเธอทั้งนั้น แต่ยามนี้เธอทั้งเหนื่อยทั้งล้า เลยเลือกทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเงียบ ๆ ไม่อยากจะถือสาหาความอีกฝ่ายอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

          คุณอำพรปล่อยให้ไอลดานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกตามลำพัง ส่วนตัวเธอเองเดินหายเข้าไปในห้องครัวเล็ก ๆ ซึ่งแยกออกมาเป็นสัดส่วน แขกที่มาเยือนอย่างกะทันหันเลยถือโอกาสกวาดสายตาสำรวจไปรอบ ๆ อพาร์ทเมนต์ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาอย่างฝืดฝืน มันไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความปรีดา แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่คล้ายจะสมเพชตัวเอง

          ทั้ง ๆ ที่หัวใจก็รู้ดีว่าเขาไม่เคยมีที่สำหรับเธอ แต่เธอก็ยังฝันลม ๆ แล้ง ๆ สุดท้ายพอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากฝันกลางวัน ถึงได้รู้ว่ามันเจ็บเจียนตายขนาดนี้

          เธอทั้งบ้า ทั้งโง่ ที่เฝ้ายึดติดกับความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง

          ไอลดาเกือบจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา แต่ในเมื่อบอกตัวเองว่าจะไม่ร้องแล้ว จึงได้แต่ฝืนกลั้นเอาไว้

           ...ผู้ชายคนแรกที่เธอนึกรักอย่างจริงใจ และการอกหักครั้งแรกอย่างหมดรูป...

          อีกนานเท่าไหร่กว่าหัวใจจะชินชาจนบากหน้ากลับไปพบพี่ชายและพิชญ์ได้...

          ตอนที่เลือกเป็นฝ่ายจากมา เหตุใดน้องสาวอย่างเธอจะไม่รู้ว่าพี่ชายอย่างอริญชย์ต้องคอยเช็กความเคลื่อนไหวของเธออยู่แล้ว หญิงสาวเลือกจองตั๋วไปฝรั่งเศสในครั้งแรก ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตั๋วใบเดิม แล้วซื้อตั๋วใบใหม่เพื่อบินมาที่ซานฟรานฯ แทน พี่ชายคงคาดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าเธอจะมาปรากฏตัวที่นี่ สถานที่สุดท้ายบนโลกนี้ที่อริญชย์คิดว่าไอลดาจะมา แต่เธอก็มาแล้ว หอบเอาหัวใจที่แหลกสลายข้ามฟ้ามาไกลถึงซานฟรานฯ

          กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของโกโก้ร้อนที่เพิ่งชงจนควันฉุยลอยมาแตะจมูก ก่อนถ้วยโกโก้จะถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล เรียกไอลดาให้เงยหน้ามองเจ้าของความหวังดี หญิงสาวเอื้อมมือไปรับโกโก้ร้อนมาจากคุณอำพร ริมฝีปากบางพึมพำขอบคุณเบา ๆ เรียกให้รอยยิ้มฉาบอยู่บนริมฝีปากคนสูงวัยกว่า ที่อย่างน้อยไอลดาก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีของเธอ

           “คุณเล็กจะมาอยู่กี่วันล่ะ ไม่ต้องไปนอนโรงแรมให้ลำบากหรอก มาพักกับน้าที่นี่สิ”

          ไอลดาชะงักมือที่กำลังยกโกโก้ร้อนขึ้นจิบ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคุณพรเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

           “ฉันไม่อยากรบกวน...”

           “รบกวนอะไรกัน ถึงน้าจะไม่ได้เป็นอะไรกับคุณเล็ก แต่คุณเล็กก็เป็นน้องของกลาง น้ารู้ว่าเวลานี้คุณเล็กไม่อยากอยู่คนเดียวหรอก มาอยู่ด้วยกันเถอะ...”

          คุณอำพรพูดออกมาเหมือนเข้าไปนั่งอยู่กลางใจไอลดา เธอไม่ได้อยากอยู่คนเดียวเลยจริง ๆ ยิ่งอยู่คนเดียวมากเท่าไหร่ ไอลดาก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ปล่อยตัวเองให้จมปลักอยู่กับความทรงจำแสนหวาน ยึดติดกับมัน จนสุดท้ายก็ไม่อาจตัดใจได้

           “แต่ที่นี่มีแค่สองห้องนอน”

          คุณอำพรคลี่ยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแม่ แม่ที่ในความทรงจำช่างลางเลือนเหลือเกินสำหรับไอลดา ถ้าแม่อยู่ด้วยกันกับเธอตอนนี้ จะดีแค่ไหนกันนะ

           “ถ้าคุณไม่อยากนอนกับน้า เดี๋ยวน้าไปนอนกับเจ้ากลาง แล้วคุณนอนห้องน้าก็ได้”

          ทั้งที่ความตั้งใจเดิมคือการมาขอค้างด้วยแค่คืนเดียว ก่อนที่เธอจะออกไปหาโรงแรมอยู่เองพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้ไอลดากลับพยักหน้ารับช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีทางเลือก แต่เธอแค่อยากลองเลือกเชื่อในสิ่งที่พ่อและพี่ชายเชื่อมาตลอด

           “ถ้ากลางกลับมาแล้วเจอคุณ เขาต้องดีใจมากแน่ ๆ”

          ไอลดาฟังเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยตอบรับอะไรอีก เพียงแค่ผงกหัวน้อย ๆ

          หลังจากที่เดินออกมาจากปัญหาตามลำพัง อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว





          .





          ทางด้านกรุงเทพมหานคร หลังจากคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาตรวจอาการน้องหนูและสั่งยาให้น้องหนูเอากลับไปกินที่บ้าน ก็ถึงเวลาที่น้องหนูจะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที พิชญ์หยิบกระเป๋าใบเล็กมาเก็บข้าวของจุกจิกต่าง ๆ ขณะที่คนเพิ่งหายป่วยนั่งดูการ์ตูนตาแป๋วอยู่บนเตียง ในมือถือขวดนมรสหวาน ไม่ยอมดื่ม แต่ก็ไม่ยอมปล่อย พอเก็บของและตรวจเช็กความเรียบร้อยต่าง ๆ เสร็จแล้ว พิชญ์ก็เอี้ยวตัวไปปิดโทรทัศน์ เล่นเอาน้องหนูส่งค้อนขวับ ๆ ให้กับคุณพ่อทันที

           “จะกลับบ้านหรือจะดูการ์ตูนอยู่ที่นี่คะ”

          เท่านั้นแหล่ะ เจ้าตัวเล็กของพิชญ์ก็รีบยิ้มประจบประแจงก่อนจะส่ายหน้าหวือ เป็นอันรู้กันว่ากลับไปดูที่บ้านก็ได้ พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะอุ้มน้องหนูลงมาจากเตียง แวบหนึ่งที่อดไม่ได้จนต้องเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา พอเห็นเข็มสั้นจวนจะเดินไปถึงเลขหนึ่ง พิชญ์ก็เม้มริมฝีปากแน่น แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาให้ลูกสาวตัวน้อยนึกสงสัย

          ฝ่ามืออบอุ่นของผู้เป็นพ่อกอบกุมมือเล็กหลวม ๆ จับจูงเจ้าตัวจ้อยของเขาเดินมาตามทาง คนที่เพิ่งหายป่วยดูร่าเริง ผิดกับผู้เป็นพ่อที่เริ่มจะหงุดหงิดนิด ๆ ตามเข็มนาฬิกาที่เดินไปข้างหน้า ถึงแม้พิชญ์จะรู้อยู่แก่ใจว่าอริญชย์มีประชุมตอนเช้าและอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะลากยาวมาจนถึงเที่ยง แต่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะบ่ายสองแล้ว ทว่ายังคงไร้วี่แววของคนที่กำชับเขานักหนาว่าให้รออยู่ที่โรงพยาบาล

          พิชญ์จูงน้องหนูเข้ามานั่งรอที่ร้านขนมเล็ก ๆ บริเวณล็อบบีชั้นล่างของโรงพยาบาล ตั้งใจว่าถ้าบ่ายสองแล้วอริญชย์ยังไม่โผล่หัวมา พิชญ์ก็จะกระเตงน้องหนูขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกงี่เง่าที่รอนิดรอหน่อยไม่ได้ แต่สุขภาพและความสะดวกสบายของน้องหนูย่อมมาเป็นอันดับแรก พิชญ์ไม่ยอมให้ลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งหายป่วยหมาด ๆ มานั่งรออริญชย์นานเกินควรเด็ดขาด คุณพ่อลูกหนึ่งนึกหมายมาดอยู่ในใจ

          นมสดอุ่น ๆ ถูกยกมาวางตรงหน้าน้องหนูพร้อมด้วยขนมบิสกิตรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษชิ้นเล็ก ๆ ขณะที่ของพิชญ์เป็นกาแฟร้อน น้องหนูก้มลงมองนมสดของตัวเองที่พ่อพีทเป็นคนสั่งให้ ก่อนจะหันไปมองตู้ไอศกรีมตาละห้อย แล้วก็ต้องหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม เมื่อพ่อพีทคนดีของน้องหนูมองตามสายตาแล้วก็เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน

           “เพิ่งหายป่วย ห้ามกินไอศกรีมเด็ดขาด”

           “น้องหนูแค่มองเฉย ๆ”

          เจ้าตัวเล็กแก้ตัวเสียงอ่อย ปากรูปกระจับยื่นน้อย ๆ อย่างน่ารักน่าชัง จนคนเป็นพ่อนึกอยากคว้าเข้ามาฟัดแรง ๆ ด้วยความมันเขี้ยว

           “ถ้าไม่อยากโดนคุณพยาบาลเอาเข็มจิ้มอีก น้องหนูต้องเชื่อฟังคุณหมอเข้าใจไหมลูก”

          น้องหนูพยักหน้าหงึกหงัก ยอมไม่ทานไอศกรีมก็ได้ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว น้องหนูก็ไม่ชอบโรงพยาบาลเท่าไหร่ แถมไม่อยากโดนคุณพยาบาลเอาเข็มจิ้มเหมือนวันก่อนด้วย เมื่อเช้าตอนที่คุณอาหมอบอกให้น้องหนูกลับบ้านได้ น้องหนูดีใจจนแทบจะกระโดดกอดพ่อพีทเลยทีเดียว

           “พ่อพีทจ๋า ทำไมลุงใหญ่มาช้าจังคะ”

           “ลุงใหญ่ติดประชุมอยู่ครับ ถ้าบ่ายสองแล้วลุงใหญ่ยังไม่มารับ เรานั่งแท็กซี่กลับบ้านกันเนอะ”

           “ยังงี้ลุงใหญ่มาถึงก็ไม่เจอน้องหนูกับพ่อพีทสิคะ” เจ้าตัวเล็กยังมีแก่ใจห่วงลุงใหญ่

           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อพีทให้น้องหนูโทรบอกลุงใหญ่ว่าเราจะกลับกันก่อน”

          พอฟังที่ผู้เป็นพ่อบอก น้องหนูที่ไม่ค่อยได้ยึดติดกับอะไรมากนักตามประสาเด็กเล็กก็เลิกถาม เด็กหญิงค่อย ๆ ก้มหน้าลงละเลียดนมสดอุ่น ๆ ตรงหน้าตัวเอง เหมือนลูกแมวน้อยที่ค่อย ๆ เล็มนมสด เสร็จแล้วก็คว้าบิสกิตใส่ปาก กำลังจะส่งนิ้วมือเลอะ ๆ เข้าปากตามหลังบิสกิตก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นพ่อพีทจ้องเขม็ง เจ้าตัวเลยยิ้มแหยก่อนจะเช็ดนิ้วกับกระดาษทิชชู่ที่พิชญ์ดึงส่งให้ คนเป็นพ่อคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ เขาไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนัก แค่ไม่อยากให้น้องหนูทำบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย

           “ถ้าน้องหนูเป็นเด็กดี พอหายดีแล้ว พ่อพีทจะพาไปเที่ยวนะคะ”

           “หนูเป็นเด็กดี พ่อพีทพาหนูไปเที่ยวนะ”

          พิชญ์ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับลูกสาวตัวน้อย นึกอยากคว้าเจ้าตัวเล็กของเขาเข้ามากอดให้จมลงไปกับอก แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิด มิหนำซ้ำยังเผลอนิ่วหน้าออกมาเมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นครืดคราด ทั้งพ่อทั้งลูกชะโงกหน้ามองชื่อคนโทรเข้าพร้อมกัน น้องหนูยิ้มแป้นเมื่อเห็นหน้าคนคุ้นเคยโชว์หรา ขณะที่คนเป็นพ่อปั้นหน้านิ่งก่อนจะกดรับสาย ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าปลายสายคงไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้

           “ครับ...”

           “ยังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ใช่ไหม”

           “ก็คุณสั่งให้ผมรอ...”

          พิชญ์เลือกที่จะตอบไปแค่นั้น ไม่ได้บอกว่าเขากับน้องหนูกำลังวางแผนที่จะโบกแท็กซี่กลับบ้าน ปลายสายเงียบไปอึดใจ ได้ยินเสียงทุ่มเถียงดังแว่วมาจากอีกฝั่ง คงไม่พ้นว่าการประชุมยังไม่เสร็จสิ้นลงแน่ ๆ

           “อีกสิบนาที ตุลย์น่าจะไปถึง รอหน่อยแล้วกัน” อริญชย์เอ่ยออกมาในที่สุด “แค่นี้นะ...”

           “เดี๋ยวคุณใหญ่...”

           “ทำไม”

           “ยังประชุมไม่เสร็จอีกหรือครับ”

           “ไว้ถึงบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง แค่นี้ก่อนนะ”

          พิชญ์มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วอย่างอดเป็นกังวลไม่ได้ ไมได้ห่วงอริญชย์เลย เขาแค่ห่วงงาน ห่วงการประชุมที่กำลังดำเนินอยู่ เพราะอันที่จริงแล้ว ตัวเขาก็เป็นหนึ่งคนที่ต้องเข้าร่วมประชุมวันนี้ด้วยเหมือนกัน แต่เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยถามตอนที่อีกฝ่ายกลับมาถึงบ้านแล้วก็ได้

          หลังวางสายจากอริญชย์สิบนาทีไม่ขาดไม่เกิน โทรศัพท์มือถือของพิชญ์ก็สั่นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายเรียกเข้าจากตุลย์ที่พิชญ์นึกชื่นชมความตรงต่อเวลาของอีกฝ่าย สมแล้วที่เป็นคนสนิทของอริญชย์ หลังจากนัดแนะกับตุลย์ว่าจะเจอกันตรงประตูทางเข้า พิชญ์ก็จัดการเคลียร์บิลค่าขนมและเครื่องดื่มแล้วจูงน้องหนูออกมาจากร้าน

          ตอนที่พิชญ์จูงน้องหนูเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล รถเบนซ์ เอสคลาสสีดำก็จอดรออยู่แล้ว คุณบุรุษพยาบาลรีบเดินมาเปิดประตูให้เลยได้รับคำขอบคุณจากคนไข้ตัวน้อยจนต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู พอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย ตุลย์ก็กระชากรถออกทันที เขามองพิชญ์กับน้องหนูผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเอ่ยทักยิ้ม ๆ ทั้งที่ดวงตามีร่องรอยของความเคร่งเครียดแฝงอยู่จาง ๆ

           “คุณหนูหายดีแล้วหรือครับ”

           “หายดีแล้วค่ะอาตุลย์ พ่อพีทบอกว่าจะพาน้องหนูไปเที่ยวด้วย”

          ตุลย์เบนสายตาไปมองพิชญ์อย่างแปลกใจ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เลือกที่จะเงียบเสีย

          ถ้าไม่ติดว่ามีน้องหนูอยู่ด้วย พิชญ์ก็คงจะเอ่ยปากถามเรื่องงานจากตุลย์แล้วเหมือนกัน แต่เพราะว่ามีน้องหนูอยู่ พิชญ์ถึงเลือกที่จะนั่งคุยกับลูกสาวตัวน้อยมากกว่า น้องหนูนั่งเกาะหน้าต่าง เอ่ยถามถึงสิ่งที่ผ่านตาไม่ขาดปาก ซึ่งคนเป็นพ่อก็ตอบให้ทุกครั้งด้วยความเต็มใจ จนตุลย์ยังอดชื่นชมในความใจเย็นของพิชญ์ไม่ได้

          ถึงจะไม่ใช่สามีที่ดี แต่ตุลย์รู้ว่าพิชญ์เป็นพ่อที่ดีมาก

          ตลอดทางจากโรงพยาบาลถึงบ้าน มีแต่เสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูดังสลับกับเสียงตอบคำถามของพิชญ์ เล่นเอาคนขับรถอย่างตุลย์ถึงกับยิ้มไปตลอดทาง

          ถ้าอริญชย์เดินหมากในเกมนี้ดี ๆ ตุลย์มั่นใจยิ่งกว่าใคร ว่าถึงแม้จะต้องเดิมพันหมดหน้าตัก แต่อริญชย์จะไม่มีวันเสียอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นไอลดา น้องหนู หรือแม้กระทั่งตัวพิชญ์เอง

          ขอแค่ใช้ใจ ใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์มาแก้ปัญหา





          .
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 21 ความทรงจำสีจาง --- หน้าที่ 5 [14/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 14-06-2020 20:20:48
          หลังจากส่งพิชญ์และน้องหนูถึงบ้านแล้ว ตุลย์ก็วนรถกลับไปรับอริญชย์ที่บริษัท พอกลับไปถึงก็เห็นอริญชย์ออกมายืนคอยเขาอยู่แล้ว คนเป็นนายกำลังยืนสูบบุหรี่รอเขาอยู่ แขนเสื้อสองข้างถูกถลกขึ้นมากองอยู่ที่ข้อศอก เนคไทด์ถูกคลายออกหลวม ๆ

          พอเห็นจากหางตาว่าตุลย์มาถึงแล้ว บุหรี่ในมือก็ถูกขยี้ดับทันที ประตูด้านหลังถูกกระชากเปิดออกก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของคนเป็นนายจะก้าวขึ้นมา ไม่ต้องเอ่ยปากถาม ตุลย์ก็รู้จุดหมายของอริญชย์

           ‘บ้าน’...ที่มีพิชญ์และน้องหนูอยู่

           “พีทกับน้องหนูล่ะ”

           “ตอนผมออกมารับคุณใหญ่ คุณพีทกำลังเอาคุณหนูเข้านอนอยู่ครับ”

          อริญชย์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ราวกับพอจะคาดเดาคำตอบจากตุลย์ได้อยู่แล้ว น้องหนูเพิ่งจะหายป่วยและออกจากโรงพยาบาลหมาด ๆ ถ้าเขาเป็นพิชญ์ก็คงจะเอาเจ้าตัวเล็กเข้านอนเหมือนกัน

          พอกลับมาถึงคฤหาสน์แล้วพบแต่เพียงความเงียบ อริญชย์เลยไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่ ป้าน้อยที่ยกน้ำมาเสิร์ฟก็รีบรายงานผู้เป็นนายอย่างรู้ใจว่าพิชญ์พาคุณหนูเข้านอนห้องเล็ก เจ้าของบ้านได้ยินดังนั้นก็ตรงไปยังห้องเล็กทันที โดยไม่คิดที่จะนั่งพักเหนื่อยให้เสียเวลา

          ประตูห้องนอนของน้องหนูถูกเจ้าของบ้านเปิดออกอย่างเงียบกริบ เพราะเกรงว่าอาจจะปลุกหลานสาวตัวน้อยตื่น ภาพหลังบานประตูที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาอริญชย์เกือบหลุดเสียงหัวเราะออกมา ดีว่าเขากลั้นเอาไว้ทันเสียก่อน คนที่ควรจะนอนหลับอย่างหลานสาวตัวน้อยของเขา ตอนนี้กลับนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ยกมือขยี้ตาอย่างงัวเงีย เดาว่าคงเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่เกินสิบนาที ส่วนคนเป็นพ่ออย่างพิชญ์กลับยึดเตียงน้องหนูนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว ดูท่าแล้วคงจะหลับไล่หลังน้องหนูไม่นาน

          ริมฝีปากหยักขยับเป็นรอยยิ้มน้อย ไม่แปลกที่พิชญ์จะนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ตอนนอนเฝ้าน้องหนูที่โรงพยาบาล พนันได้เลยว่าพิชญ์คงไม่ได้นอนเต็มอิ่มเท่าไหร่ เห็นอย่างนี้แล้วอริญชย์เลยไม่คิดที่จะปลุกพิชญ์ให้ตื่นขึ้นมา แต่เลือกเดินอ้อมไปอีกด้านของเตียงแล้วอุ้มน้องหนูขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เจ้าตัวเล็กยิ้มหวานก่อนจะวาดมือโอบรอบคอเขา

           “ไปข้างล่างกัน ปล่อยพ่อพีทเขานอนไปก่อน”

          น้องหนูพยักหน้ารับ ไม่มีอิดออด พอลงมาข้างล่าง อริญชย์ก็วานป้าน้อยให้หาของว่างมาให้น้องหนูรองท้อง ก่อนจะเรียกนวลมาช่วยดูแลน้องหนูอีกแรง พอเห็นน้องหนูนั่งเล่นเพลิน ๆ กับนวล อริญชย์เลยถือโอกาสกลับขึ้นไปบนห้องน้องหนูอีกครั้ง คราวนี้เขาก็ยังคงเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกับครั้งแรก เพราะไม่อยากปลุกคนที่กำลังนอนหลับด้วยความอ่อนเพลียให้ตื่น

          อริญชย์เดินเข้าไปนั่งบนเตียงอีกฝั่งที่ยังว่าง ทอดสายตามองคนที่นอนหลับสนิท หายใจสม่ำเสมอ ท่าทางจะเพลียมากจริง ๆ ถึงไม่รู้สึกตัวทั้งที่เขาอยู่ใกล้ขนาดนี้ ฝ่ามือหนาเอื้อมไปเกลี่ยไล้ปอยผมที่เลื่อนลงมาปรกหน้าพิชญ์ออกอย่างเบามือ ดวงตาที่มองทุกคนบนโลกอย่างเย็นชา ยามนี้กลับทอดสายตามองพิชญ์ด้วยความอ่อนโยน เปิดเผยทุกความรู้สึกที่เขากักเก็บอยู่ข้างใน

           ...ถ้าการรักพิชญ์มันผิดมหันต์ เขาก็จะยอมเป็นคนผิด
 
          แต่สองมือนี้จะไม่มีวันปล่อยพิชญ์ไป...ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนก็ตาม


          ความทรงจำวันแรกที่พบกันยังคงชัดเจนอยู่เสมอ เพราะการตกหลุมรักใครซักคนมันช่างง่ายดาย ตัวเขาเองถึงได้ปล่อยใจเผลอไผลไปกับดวงตาดื้อรั้นที่มักมองเขาอย่างอวดดี ทั้งที่เขาเคยเลือกที่จะเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในซอกลึกสุดของความทรงจำ แต่เหตุผลทั้งมวลก็ถูกทำลายลงเมื่อหวนกลับมาพบกันในครั้งที่สอง

           ครั้งแรก อริญชย์ยังไม่คิดที่จะไขว่คว้า ถึงได้ยอมปล่อยพิชญ์ไป

          แต่เมื่อโชคชะตาพาพิชญ์เข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง อริญชย์ก็สาบานว่าจะไม่มีทางปล่อยให้พิชญ์เดินหนีไปอีกแล้ว


          ความรักไม่มีเหตุผลฉันใด ตัวเขาก็ไม่มีเหตุผลฉันนั้น หรืออาจจะเคยมีก่อนที่จะถูกเขาโยนทิ้งไป

          ถ้าการเลิกรักมันง่ายเหมือนตอนเริ่มรัก อริญชย์คงไม่ปล่อยให้ทุกอย่างถลำลึกจนทำร้ายใครต่อใครมากขนาดนี้ แต่เพราะมันไม่ง่ายอย่างใจคิด เขาจึงต้องยื้อความรักครั้งนี้ไว้ไม่ให้หลุดมือไป

          ริมฝีปากร้อนรุ่ม ทว่าอบอุ่นแตะแผ่วเบาลงบนหน้าผากเกลี้ยง สัมผัสอ่อนโยนคราวนี้ทำเอาคนที่เผลอหลับกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองสบตากับอริญชย์ พิชญ์เบิกตากว้างขยับจะเบี่ยงตัวหนี แต่อะไรบางอย่างในแววตาของอริญชย์กลับตรึงเขาให้อยู่กับที่

           “คุณใหญ่...”

          สายตาอ่อนโยนของอริญชย์ที่ก้มลงมองพิชญ์แทนถ้อยคำมากมายที่เจ้าตัวไม่เคยพูด แต่กลับมีอิทธิพลต่อหัวใจของคนที่ถูกมองจนไม่อาจขยับเขยื้อน ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาอันทรงพลังคู่นั้น แล้วคำถามที่พิชญ์ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินก็ดังออกมาจากริมฝีปากหยัก จนคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาชักไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ แท้จริงแล้วมันคือความจริงหรือเป็นเพียงฝันกลางวันของเขา

           “จำได้ไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่...” คำถามของอริญชย์นุ่มนวลอย่างที่พิชญ์ไม่ได้ยินบ่อยนัก

          คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงช้อนตามองอย่างสงสัย คล้ายกับไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่สุดท้ายก็เอ่ยย้อนถามกลับไป

           “ตอบแล้วผมจะได้อะไร”

          ริมฝีปากหยักยิ้มพรายอย่างอารมณ์ดี เป็นภาพที่พิชญ์ไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก ความมั่นใจของอริญชย์ก้ำกึ่งอยู่ตรงกลาง ส่วนหนึ่งมั่นใจว่าพิชญ์คงตอบไม่ถูกแน่ ๆ แต่อีกส่วนหนึ่งลึก ๆ ข้างในกลับนึกลังเล แต่สุดท้ายส่วนแรกก็มีอำนาจเหนือกว่า มันคือการเดิมพันเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขากับเรื่องราวระหว่างเขากับพิชญ์

          อริญชย์แค่อยากรู้ สำหรับพิชญ์แล้ว บันทึกความทรงจำของพิชญ์เริ่มขึ้นพร้อมกันกับเขาหรือไม่

           “พรหนึ่งประการดีไหม”

          คำถามคล้ายยั่วเย้า แต่พิชญ์รู้ คนอย่างอริญชย์พูดจริงทำจริง จนบางครั้งเขาเองยังนึกกลัว เขาแค่นยิ้มออกมาให้กับข้อเสนอของคนที่ริอ่านทำตัวเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษ หยิบยื่นพรหนึ่งประการให้เขา แต่ถ้าอยากให้สมจริงคงต้องเป็นพรสามประการ แต่เอาเถอะ แค่พรข้อเดียวจากอริญชย์มันก็มากเกินพอแล้ว

          วูบหนึ่ง เขานึกสงสัย หากขออะไรก็ได้ดังใจปรารถนาจริง ถ้าเขาร้องขออิสระ อริญชย์จะกล้าหยิบยื่นมันให้เขาไหม และที่สำคัญ ตัวเขาเองจะกล้าเดินออกไปจากกรงทองนี้หรือไม่

          แม้แรกเริ่มกรงทองของอริญชย์จะร้อยรัดพันเกี่ยวด้วยลวดหนาม กีดขวางไม่ให้เขาหาทางทะยานออกไป แต่พอนานวันเข้า ลวดหนามเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้ส่งกลิ่นหอมยั่วเย้าคล้าย มอมเมาเขาให้หลงไหลอยู่ในกรงทองจนแทบลืมว่าเคยอยากหนีออกไป

          พิชญ์มองสบตาอริญชย์อย่างค้นหา ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามออกไป

          ทั้งตื่นเต้น ทั้งรอคอย ทั้งหวาดหวั่น

           “เราเจอกันครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย”

          เพียงแค่เห็นริมฝีปากหยักขยับยิ้มกว้างขวาง หัวใจที่กำลังบีบรัดก็คล้ายจะโล่งอก

          พิชญ์คนโง่เอ๋ย เหตุใดถึงดีใจที่ไม่ได้รับพรวิเศษจากอริญชย์ ทั้งที่เคยเฝ้าร้องขอและไขว่คว้ามาตลอด

           “ผิด”

           “ทำไม...” พิชญ์เอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อฝ่ามืออบอุ่นเอื้อมมาไล้แก้มเขาเบา ๆ ราวกับจะหยอกเอิน

          ดูเหมือนเจ้าของคำถามจะพอใจที่เขาตอบผิดไม่น้อย ส่วนตัวเขาเอง...ทั้งโล่งใจ ทั้งสงสัย

           “ผมเจอกับคุณที่มหาวิทยาลัย ตอนที่ทางคณะเชิญคุณมาบรรยายพิเศษไม่ใช่เหรอ”

          อริญชย์ส่ายหน้าน้อย ๆ เขาโน้มตัวลงมากักอีกคนไว้ด้วยวงแขนสองข้าง

           “ตอนนั้นเราเจอกันก็จริง แต่ไม่ใช่ครั้งแรก”

           “แล้วครั้งแรกคือตอนไหน”

          ริมฝีปากสีแดงใกล้เข้ามาจนพิชญ์เผลอหลับตา ก่อนมันจะโฉบผ่านแก้มเขาไปกระซิบอยู่ข้างหู

           “เรื่องบางเรื่อง ถ้าไม่นึกให้ออกด้วยตัวเอง มันก็ไม่มีความหมายหรอกพีท”



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
พอคุณเล็กไม่อยู่แล้ว คุณใหญ่รุกคืบใหญ่เลยค่า
โหมดละมุน ๆ คุณใหญ่เขาก็มีนะเออ


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 21 ความทรงจำสีจาง --- หน้าที่ 5 [14/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 14-06-2020 22:04:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 21 ความทรงจำสีจาง --- หน้าที่ 5 [14/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-06-2020 23:23:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 21 ความทรงจำสีจาง --- หน้าที่ 5 [14/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 14-06-2020 23:57:30
คุณเล็กไปอยู่กับคุณกลางและคุณอำพรก็ดีแล้ว ถ้าคุณใหญ่รู้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง.. แต่คุณเล็กไม่บอกให้รู้นี่สิ ใจแข็งทั้งพี่ทั้งน้องเลย อยากรู้จังตอนคุณกลางกลับบ้านมาเจอคุณเล็กจะเป็นยังไงบ้างนะ  :mew2:

...​เห็นความอ่อนโยนที่คุณใหญ่เริ่มแสดงออกต่อพีทบ้างแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่อยากรู้จังว่าทั้งสองคนเจอกันครั้งแรกที่ไหนนะ เฉลยหน่อยสิคุณใหญ่ คนอ่านก็อยากรู้เหมือนกันนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 21 ความทรงจำสีจาง --- หน้าที่ 5 [14/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 15-06-2020 01:39:44
 o18  คุณใหญ่ ทำไมน่ารักอย่างนี้
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 21 ความทรงจำสีจาง --- หน้าที่ 5 [14/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-06-2020 10:12:29
โอ๊ยยทำมาเป็นมีลับลมคมในอีก อ่อนโยนอย่างนี้ไม่ดีต่อใจพีทเลย แต่ดีต่อใจเรา 5555 อ่อนโยนให้มาก ปราบพยศให้หน่อย ค่อยๆตะลอมไป ได้ใจเขามาชัวร์ 555 //คุณเล็กเลือกใช้ครอบครัวเยียวยาใจ ดีแล้วละ หวังว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนะ อยากให้กลับมาเป็นครอบครัวสุขสันต์เหมือนเดิม //จะเป็นยังไงต่อไป น้องหนูกลับมาอยู่บ้านแล้ว พักผ่อนเยอะๆนะน้องหนู น่ารักน่าเอ็นดูมากๆอะ สนุกกก รอตอนหน้าเลยจ้า ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 22 ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป --- หน้าที่ 6 [18/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 18-06-2020 21:35:02
ยี่สิบสอง
ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป


          “เรื่องบางเรื่องจะมีความหมายก็ต่อเมื่อนายนึกออกเอง”

          หลังจากเอ่ยออกไปแบบนั้นแล้ว อริญชย์ก็ถอนวงแขนออกมา แล้วมองพิชญ์ที่มุ่นหัวคิ้วเข้ากันนิ่ง ๆ ดวงตาดำจัดแสดงความอ่อนโยนออกมามากกว่าทุกที เป็นความอ่อนโยนที่ทำเอาพิชญ์ถึงกับรู้สึกร้อนผ่าวยามถูกจับจ้อง แม้อริญชย์จะไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ดวงตาเขากลับเปิดเผยทุกความนัยจนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา

          พิชญ์กำลังกลัว กลัวความรู้สึกที่กำลังปะทุขึ้นมาจนแน่นหน้าอก ทั้งอึดอัด ทั้งอบอุ่น จนเขาแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

          พิชญ์พยายามดึงความคิดตัวเองให้กลับมาจดจ่อกับคำถามของอริญชย์ที่เขาเพิ่งตอบผิดไป ก่อนจะรู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ สมองและความทรงจำของพิชญ์จดจำเพียงว่าเขาเจอกับอริญชย์ครั้งแรกสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อตอนที่ทางคณะเชิญอริญชย์มาบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพิชญ์เองก็เป็นหนึ่งคนที่เข้าร่วมฟังบรรยายด้วย แต่ตอนนี้อริญชย์กลับบอกว่าเขาเข้าใจผิดมาตลอด นั่นหมายความว่าเขาเคยเจออริญชย์มาก่อนหน้านั้น

          น่าแปลกที่ตัวเขาเองกลับนึกไม่ออก และน่าโมโหกว่าเดิมตรงที่อริญชย์เองก็ไม่คิดจะไขข้อข้องใจให้เขา

          ...ถ้าไม่คิดจะบอกกัน แล้วจะมาจุดชนวนคำถามให้เขาอยากรู้ทำไม

           “อย่ามองหน้ากันเหมือนว่าฉันเป็นคนผิดหน่อยเลย”

          อริญชย์เอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นดวงตาวาววับของพิชญ์ ก่อนปลายนิ้วจะยื่นมาดีดหน้าผากพิชญ์เบา ๆ จนคนถูกกระทำร้องโอ๊ยแล้วผุดลุกขึ้นมานั่งตาเขียว

           “ดีดหน้าผากผมทำไม” พิชญ์ถามเสียงขุ่น ยกหลังมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ

          อริญชย์ไม่ตอบ เขาเพียงแค่ไหวไหล่น้อย ๆ ซึ่งพิชญ์ได้แต่มองด้วยความหมั่นไส้ ทั้งหมั่นไส้ในท่าทางที่ดูเย่อหยิ่งของอีกฝ่าย และหมั่นไส้ที่พอคนทำเป็นอริญชย์แล้ว มันช่างดูดีจนน่าอิจฉา แม้กระทั่งเขาเองที่เป็นผู้ชายยังนึกชื่นชมอริญชย์ จนต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะละสายตาจากผู้ชายคนนี้

          พออริญชย์เริ่มต้นพูดถึงเรื่องเก่า พิชญ์เลยพลอยนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนเขาเคยชื่นชมอริญชย์มากแค่ไหน ไม่มากไม่มายเท่าไหร่ แค่ในระดับที่นักศึกษาคนหนึ่งยึดเอานักธุรกิจหนุ่มเป็นไอดอลของตัวเอง แทนที่จะเป็นบรรดานักร้อง นักแสดง หรือนักกีฬา

          พิชญ์จำได้ดีว่าวันที่อริญชย์มาบรรยายที่คณะ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร เมื่อคิดว่าจะได้เห็นตัวจริงของคนที่เขาชื่นชม จากปกติที่ได้แต่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ พิชญ์แทบไม่เป็นอันเรียนคาบเช้า เฝ้ารอให้ถึงเวลาบรรยายช่วงบ่ายไว ๆ ก่อนความชื่นชมที่มีให้อริญชย์ในเวลานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความขื่นขมและชิงชังในเวลาต่อมา

          พิชญ์ยอมรับว่าอริญชย์ทำงานเก่ง แม้กระทั่งตัวเขาเองที่ฝ่าฟันจนก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะมีอริญชย์คอยเคี่ยวเข็ญ เขายังคงชื่นชมความสามารถของอริญชย์ไม่เคยเปลี่ยน แต่มันไม่ได้รวมถึงเรื่องส่วนตัวบ้า ๆ ที่อีกฝ่ายทำกับเขา

          พิชญ์พยายามปัดเรื่องที่ทำเอาความสัมพันธ์ฉันท์พี่ภรรยาน้องเขยต้องร้าวฉานทิ้ง เขายังไม่อยากทะเลาะกับอริญชย์ให้ตัวเองต้องหงุดหงิดขึ้นมาตอนนี้ คนที่เพิ่งตื่นกวาดสายตามองรอบ ๆ ตัวราวกับเพิ่งระลึกได้ว่าเขาพาน้องหนูเข้ามานอนด้วยกัน ก่อนจะเผลอหลับตามหลังน้องหนูไปไม่นาน พอมองหาแล้วไม่เห็นน้องหนูก็ขมวดคิ้วทันทีด้วยความสงสัย

          นี่เขามัวแต่เล่นเกมตอบคำถามกับอริญชย์ จนลืมกระทั่งสังเกตว่าลูกสาวตัวน้อยของเขาหายไปเชียวหรือ

          ดูเหมือนอริญชย์จะเดาคำถามที่ถูกส่งมาจากสายตาของพิชญ์ออก คนที่นั่งกอดอกท่าทางสบาย ๆ ถึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยตอบก่อนที่พิชญ์จะเอ่ยปากถามออกมา

           “น้องหนูนั่งกินของว่างอยู่กับนวลข้างล่าง”

          พิชญ์พ่นลมหายใจยาวอย่างโล่งอก เมื่ออยู่ในอาณาเขตรั้วรอบขอบชิดของเกียรติกาญจนา พิชญ์ไม่ได้นึกกลัวว่าน้องหนูจะมีอันตราย เขาแค่กลัวว่าเจ้าตัวน้อยของเขาจะไปเที่ยวเล่นซุกซนทั้งที่ยังไม่หายดี พอรู้ว่าอยู่กับนวล พิชญ์ถึงค่อยรู้สึกเบาใจขึ้น อย่างน้อย ๆ นวลก็รู้ดีว่าต้องดูแลน้องหนูยังไง

           “อย่าห่วงเลย ฉันไม่มีทางปล่อยน้องหนูไว้กับคนที่ฉันไม่ไว้ใจเด็ดขาด”

          ถ้อยคำของอริญชย์ฟังดูจริงจังจนพิชญ์ต้องเงยหน้ามอง สิ่งที่ได้ยินมันไม่ต่างอะไรจากคำมั่นสัญญาว่าจะดูแลลูกสาวตัวน้อยของเขาให้ดีที่สุด

           “ผมรู้...” คนพูดเว้นช่วงเล็กน้อย “...ว่าคุณก็รักน้องหนูไม่ต่างจากผม”

           “หลานฉันทั้งคน”

          คนปากหนักเอ่ยสั้น ๆ แต่ได้ใจความ จนทำเอาพิชญ์เผลอยิ้มออกมาก่อนจะเสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังอีกเรื่องที่เขานึกกังวลอยู่ในใจ และกำลังรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเล่าให้ฟัง

           “ประชุมวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

           “ฉันรอนายตื่นขึ้นมาคุยเรื่องนี้กันอยู่”

          พิชญ์สบตาอริญชย์นิ่ง แววตาของอริญชย์กำลังบอกเขาว่า เรื่องราวไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

           “ไม่เรียบร้อยใช่ไหมครับ”

          คำถามสั้น ๆ จากพิชญ์เรียกรอยยิ้มพึงพอใจให้จุดขึ้นที่มุมปากของอริญชย์ แม้ดวงหน้าเย็นชาจะมีความเคร่งเครียดปรากฏอยู่จาง ๆ

          พิชญ์ฉลาด! ฉลาดจนอริญชย์คิดว่าคงจะไม่มีใครที่เหมาะสมกับเขามากไปกว่าพิชญ์อีกแล้ว

          อริญชย์ผงกหัวแทนคำตอบ พอเขาขยับลุกขึ้นยืน พิชญ์ก็ลุกขึ้นตาม เป็นอันรู้กันว่าถึงเวลาคุยเรื่องงานแล้ว และสถานที่ ๆ เหมาะจะคุยเรื่องงานก็ไม่ใช่ห้องนอนของน้องหนู

          พอออกมาจากห้องน้องหนู ทั้งเจ้าของบ้านและคนอาศัยก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูดังขึ้นมาจากชั้นล่าง มีเสียงของนวลกับตุลย์ดังตามมาแว่ว ๆ ดูท่าว่าน้องหนูคงจะมีคนเล่นด้วยแล้วเป็นแน่ ผู้ใหญ่สองคนหันมามองสบตากันก่อนจะอดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้

          ...ความสดใสเพียงหนึ่งเดียวที่ทั้งพิชญ์และอริญชย์ต่างก็หวงแหน

          อริญชย์เดินนำพิชญ์เข้ามาที่ห้องทำงานของเขา เอกสารมากมายวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่มุมในสุด เจ้าของห้องเลือกที่จะดันบางส่วนเข้ามุมจนมีที่ว่างตรงกลางโต๊ะ ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารอันเขื่องขึ้นมาวาง

          พิชญ์ถือวิสาสะกวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องด้วยความคุ้นเคย อริญชย์มักเรียกเขาเข้ามาสอนงานและคุยงานที่ห้องนี้อยู่เสมอ เพราะเงียบสงบและปราศจากคนรบกวน พอเห็นอริญชย์กำลังง่วนอยู่กับการคุ้ยหาเอกสารสำคัญจากตู้เก็บเอกสาร พิชญ์เลยเชิญตัวเองลงนั่งตรงที่ประจำตรงข้ามกับอริญชย์

          พอได้สิ่งที่ต้องการแล้ว อริญชย์ก็เดินมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ดวงตาคมกริบที่จ้องเขม็งมาที่พิชญ์กำลังเตือนเขาให้รู้ว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าพิชญ์ตรงนี้ไม่ใช่อริญชย์ คนที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยเขา แต่เป็นอริญชย์ เกียรติกาญจนาที่มีตำแหน่งเป็นเจ้านายโดยตรงของพิชญ์

          พิชญ์เคยคิดว่าการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะถูกเรียกขานว่า ‘เสือร้าย’ มันคือการกล่าวเกินจริง ออกจะฟังดูตลกเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งเขาได้เข้ามาทำงานร่วมกับอริญชย์ พิชญ์ถึงยอมรับว่ามันคือคำเรียกขานที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

           “วันนี้ฉันเอาเรื่องงานประมูลโครงการของวิวัฒน์ดำรงเข้าที่ประชุม” อริญชย์เอ่ยออกมาเสียงเรื่อย ๆ เหมือนกำลังเล่านิทานให้พิชญ์ฟัง ก่อนจะตบท้ายด้วยคำถามตรงไปตรงมาอย่างที่เขาถนัด “นายคิดว่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่สำหรับโครงการนี้”

          กลุ่มวิวัฒน์ดำรงเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่มีสาขามากมาย โดยงานที่ทางเคเค คอนสตรัคชั่นกำลังจะยื่นซองประมูลก็คือโครงการศูนย์การค้าแบบครบวงจรที่มีชื่อว่า ‘บางกอก บูเลอวาร์ด’ ซึ่งเป็นโครงการเดียวกับที่ทางกมลวิลาศน์เองก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะชนะการประมูลให้ได้ไม่ต่างกัน ดังนั้นโครงการนี้จึงถูกจัดลำดับความสำคัญให้อยู่ในอันดับแรก ๆ เป็นทั้งเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ชื่อเสียง และศักดิ์ศรีที่อริญชย์จะไม่มีวันยอมเสียมันไปโดยเด็ดขาด จึงเรียกได้ว่าเป็นงานที่พิชญ์ต้องทำให้สำเร็จภายใต้แรงกดดันจากอริญชย์และบรรดาบอร์ดบริหารทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่

           “รู้ใช่ไหมว่างานนี้เราจะพลาดไม่ได้”

          พิชญ์เกือบจะหลุดถอนหายใจออกมาเมื่อประโยคกดดันดังตามมาติด ๆ สิ่งหนึ่งที่คนภายนอกอาจจะไม่รู้คือ กว่าที่นักศึกษาจบใหม่ ไร้ประสบการณ์อย่างพิชญ์จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารของเคเค คอนสตรัคชั่น เขาต้องถูกกดดันและเคี่ยวเข็ญมาอย่างหนักแค่ไหน โปรแกรมแมเนจเมนท์ เทรนนีของบริษัทชั้นนำไหนในตลาดก็คงเทียบกับสิ่งที่อริญชย์ถ่ายทอดให้เขาไม่ได้ มันทั้งล้ำค่าและสาหัสในเวลาเดียวกัน

          ถึงแม้ว่าอริญชย์อาจจะเล่นนอกกติกากับพิชญ์ไปบ้างสำหรับเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อริญชย์หยิบยื่นให้พิชญ์ มันคือวิธีการสอนและขัดเกลาในแบบของเขาเอง อย่างที่ไม่มีสอนในหลักสูตรไหน ๆ หรือคู่มือใด ๆ

           “ผมคำนวณและเสนองบที่เจ็ดร้อยล้านบวกลบ ตอนนี้เหลือแค่รออนุมัติจากคุณอยู่ รายละเอียดทั้งหมดก็ตามแผนงานที่ผมเสนอไป”

          ดูเหมือนว่าอริญชย์เองจะเตรียมแผนงานที่พิชญ์เอ่ยถึงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้ว ทันทีที่พิชญ์เอ่ย เขาถึงได้เปิดแฟ้มเล่มใหญ่ออก พิชญ์ทำแผนงานเสนอเขาอย่างเป็นระเบียบ มีรายละเอียดทุกอย่างชัดเจน แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการเซ็นต์อนุมัติโปรเจคท์มูลค่าเกือบพันล้านที่พ่วงด้วยศักดิ์ศรีของเขา

           “ฉันมีสองคำถาม...” ดวงตาคมกริบจ้องมองพิชญ์นิ่ง “ข้อที่หนึ่ง อะไรที่ทำให้นายคิดว่าจะชนะการประมูลด้วยงบประมาณขนาดนี้ ข้อที่สอง คิดหรือว่าฝ่ายงบประมาณและฉันจะยอมอนุมัติตัวเลขนี้ให้นาย ขอคำตอบและเหตุผลดี ๆ ให้ฉันหน่อย พิชญ์ ภัทรกุล”

          เมื่อไหร่ที่ถูกเรียกด้วยชื่อและนามสกุลเต็ม พิชญ์ก็แทบจะรู้ตัวโดยทันทีว่า เขากำลังเผชิญหน้ากับเสือร้ายที่จ้องจะตะปบเขาคากงเล็บ ถ้าเพียงแต่พิชญ์ไม่มีเหตุที่ดีพอมารองรับแผนการทำงานของตัวเอง แผนงานของเขาคงถูกโยนกลับมาโดยไม่เสียเวลาดูแน่ ๆ

          บางทีพิชญ์เองยังนึกสงสัยว่าอริญชย์เคยอ่อนข้อให้ใครในการทำงานบ้างไหม แม้แต่ตัวเขาเองก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ข้อยกเว้น

           “ผมคำนวณตัวเลขและประเมิณราคาออกมาแล้วตามตารางที่คุณกำลังดูอยู่ ด้วยอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ต่าง ๆ ในมือเรา ผมเชื่อว่าทางกมลวิลาศน์ไม่มีทางเสนอราคาได้ดีกว่าเราแน่ ๆ”

          คราวนี้มุมปากของอริญชย์ผุดรอยยิ้มเยาะ สายตาที่มองตรงมายังพิชญ์ มองราวกับพิชญ์เป็นเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสา

           “ฉันเคยสอนนายมากี่ครั้งแล้วพีท ว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียวมันใช้ไม่ได้สำหรับโลกธุรกิจ อย่าพูดว่านายเชื่อ ถ้านายยังไม่ได้พิสูจน์ให้ฉันเห็น แล้วที่สำคัญ อย่ามั่นใจในตัวเองเกินไปนัก ถ้านายยังไม่รู้จักหมอนั่นดีพอ”

          พิชญ์เกือบจะอ้าปากเถียงสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป ก่อนจะต้องหุบฉับและก้มหน้ายอมรับว่าสิ่งที่อริญชย์พูดมาคือความจริง ในการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา น้อยครั้งเหลือเกินที่พิชญ์จะสามารถหาข้อโต้แย้งมาหักล้างหรือเอาชนะเหตุผลของอริญชย์ได้ พิชญ์เคยนึกสงสัย ว่าทำไมอริญชย์ถึงก้าวขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างภาคภูมิ แต่ยิ่งทำงานร่วมกัน พิชญ์ก็ยิ่งหมดข้อกังขา

           ‘ความสามารถ’ และ ‘อำนาจ’ คือสองสิ่งที่ผลักดันอริญชย์จนก้าวขึ้นมาถึงจุด ๆ นี้

           “แผนงานที่ผมเสนอไปยังไม่ดีพอใช่ไหม”

          อริญชย์คลี่ยิ้มออกมาครั้งแรกในรอบสิบนาที ถือว่าพิชญ์ฉลาดพอที่จะเดาเรื่องราวต่าง ๆ ออกด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้เขาจับข้อมูลมาป้อนถึงปาก

           “บอร์ดบริหารตกลงที่งบประมาณเบ็ดเสร็จหกร้อยล้าน ถ้านายต้องการที่เจ็ดร้อยล้านจริง ๆ ก็หาเหตุผลดี ๆ มาซัพพอร์ตว่าทำไมฉันถึงควรเซ็นอนุมัติ”

          ความจริงแล้ว อริญชย์จะใช้อำนาจของตัวเองโน้มน้าวให้ที่ประชุมยอมเห็นด้วยและคล้อยตามแผนงานของพิชญ์ก็ย่อมทำได้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ เขาต้องการให้บรรดาบอร์ดบริหารและคนเก่าคนแก่ยอมรับพิชญ์จากความสามารถของพิชญ์เอง ไม่ใช่เพราะว่าพิชญ์เป็นคนของเขา

          เมื่อไตร่ตรองดูดี ๆ แล้ว พิชญ์ก็เห็นจริงตามที่อริญชย์เอ่ยมาทุกประการ เขาได้แต่พยักหน้ายอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งได้ ๆ

           “ผมขอเวลาแก้แผนงานเจ็ดวัน แล้วกลับมาคุยกับคุณอีกครั้ง”

           “ตามสบาย พร้อมเมื่อไหร่ก็มาบอกฉัน”

          พิชญ์ดึงแฟ้มเอกสารบนโต๊ะอริญชย์เข้าหาตัว เขากวาดสายตาไล่ไปตามข้อความบนแผนงานที่เขาเป็นคนทำเองกับมือ แผนงานที่เขาเห็นอริญชย์วางกองรวมกับเอกสารอย่างอื่นเหมือนไม่ใส่ใจ แท้จริงแล้วกลับถูกตรวจเรียบร้อย หลายหัวข้อมีกระดาษโพสท์อิทแปะอยู่พร้อมกับลายมือหวัด ๆ ที่เขียนโต้แย้งในสิ่งที่พิชญ์ลืมนึกหรืออาจจะมองข้ามไป ปากกาสีแดงวงจุดที่สำคัญเอาไว้ให้มองเห็นได้ง่าย ๆ

          อริญชย์ถือโอกาสที่พิชญ์กำลังนั่งอ่านทวนแผนงาน บิดตัวไปมาอย่างเมื่อยขบ ถอดหน้ากากเย็นชาของท่านประธานบริษัทออก พอเหลือบสายตามองนาฬิกาแขวนผนังแล้วก็ลุกจากเก้าอี้ทันที มือซ้ายรั้งแขนคนที่กำลังนั่งอ่านแผนงานให้ลุกตาม พิชญ์ขยับจะอ้าปากประท้วงที่ถูกขัดจังหวะ แต่ยังช้ากว่าอริญชย์

           “เดี๋ยวค่อยมาดูต่อ ป่านนี้น้องหนูรอกินข้าวเย็นจนหิวแย่แล้วมั้ง”

          พิชญ์เหลือบสายตามองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะเห็นด้วยกับอริญชย์ ตอนนี้เลยหกโมงเย็นมาห้านาทีแล้ว มิหนำซ้ำท้องเจ้ากรรมยังส่งเสียงร้องออกมาให้เขาของต้องขายหน้า พิชญ์ได้ยกมือขึ้นเกาหัวเก้อ ๆ ขณะที่อริญชย์หลุดยิ้มออกมาด้วยความขบขัน

           “หิวก็รีบไปกิน”

          เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ พิชญ์ได้แต่เดินตามหลังอริญชย์ออกมาจากห้องทำงาน และดูเหมือนพิชญ์จะหิวจนหน้ามืดตาลาย ถึงได้ปล่อยให้ฝ่ามือของตัวเองถูกใครบางคนเกาะกุมเอาไว้

          ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะรู้สึกเหมือนถูกพันธนาการ แต่ตอนนี้กลับอุ่นซ่านจนหัวใจเต้นแปลก ๆ



.

หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 22 ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป --- หน้าที่ 6 [18/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 18-06-2020 21:36:19

          หลังจากเอาแผนงานจากอริญชย์กลับมาแก้ พิชญ์ก็ยุ่งอยู่กับการอ่านทบทวนและแก้ไขแผนงานเพื่อเสนอขออนุมัติงบประมูล ขณะที่อริญชย์เองก็ดูเหมือนจะเจอความยุ่งยากเข้าเหมือนกัน เพียงแต่เขาเลือกที่จะสะสางและจัดการกับปัญหาด้วยตัวเองเงียบ ๆ

          ช่วงวันสองวันนี้ อริญชย์มีเหตุให้ต้องเดินสายออกพบบรรดาลูกค้ารายใหญ่ด้วยตัวเอง ทว่าคนที่ยุ่งกับงานของตัวเองอย่างพิชญ์ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ พิชญ์เอาแต่มุ่งมั่นกับงานที่ตัวเองรับผิดชอบอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนจะรู้ตัวว่าเกือบพลาดสิ่งสำคัญก็ตอนที่เหลือบตาไปดูปฏิทิน

          อีกสองอาทิตย์จะถึงงานโรงเรียนของน้องหนู งานนี้เจ้าหญิงตัวน้อยของเขาถูกเลือกให้เล่นเป็นเจ้าหญิงในละครเวทีด้วย ถึงพิชญ์จะไม่เคยได้รับรางวัลคุณพ่อดีเด่น แต่พิชญ์จะพลาดงานนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

          คุณพ่อลูกหนึ่งถือโอกาสวางปากกาและพักสายตาจากงานที่กำลังทำอยู่ เขายกปลายนิ้วขึ้นนวดขมับตัวเอง ขณะครุ่นคิดถึงรางวัลที่เจ้าตัวเล็กของเขาควรได้รับหลังเสร็จสิ้นการแสดงละครเวที

          ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดูเข้าท่าไม่เลว

          ไหน ๆ เขาก็ตั้งใจทำงานอย่างหนักติดต่อกันมาสองวันแล้ว พิชญ์เลยถือโอกาสอนุญาตให้ตัวเองพักผ่อน แค่ไปเดินห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ ๆ คงไม่ทำให้เขาเสียเวลาทำงานเท่าไหร่ ถือว่าไปดูหนึ่งในธุรกิจของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงด้วยเลย พิชญ์บอกตัวเองทั้งที่รู้ว่าเหตุผลสุดท้ายมันก็เป็นแค่ข้ออ้างสำหรับการเกงานของเขา

          พิชญ์ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายตรงเข้าห้องอริญชย์ รอสายอยู่นานก็ไม่มีคนรับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอริญชย์ออกไปไซต์งานที่สระบุรีกับตุลย์ เขาเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ให้กับความขี้หลงขี้ลืมของตัวเอง ล้มเลิกความคิดที่จะโทรบอกอริญชย์ อย่างน้อยเขาคงไปไม่นานและกลับมาก่อนอริญชย์แน่ ๆ

          พิชญ์ปล่อยงานที่ยังทำไม่เสร็จไว้บนโต๊ะทำงานเหมือนเดิม เขาเดินออกจากห้องทำงานของตัวเองมากดลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน พอออกมาถึงข้างนอกออฟฟิศก็วานรปภ.ให้ช่วยเรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายปลายทางเป็นห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ ที่อยู่ถัดไปอีกสองแยกข้างหน้า หลังจากนั้นสิบนาที พิชญ์ก็พาตัวเองมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเรียบร้อย

          ขณะกำลังจะเดินผ่านร้านแบรนด์เนมชื่อดัง พิชญ์ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเห็นร่างคุ้นตากำลังยืนเลือกกระเป๋าถือราคาเหยียบแสนอยู่ เขาเขม้นมองก่อนจะร้องอ๋อในใจ ผู้หญิงที่กำลังยืนเลือกกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่คือรัญญาไม่ผิดแน่ พิชญ์กำลังชั่งใจว่าจะเดินผ่านเลยไปหรือจะแวะทักทายเธอดี แต่โอกาสก็ดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้พิชญ์ได้มีสิทธิ์เลือก

          รัญญาที่กำลังยืนเลือกกระเป๋าอยู่บังเอิญหันออกมามองนอกร้านและสบตาเข้ากับพิชญ์พอดี หญิงสาวรีบวางกระเป๋าลงแล้วเดินออกมาทักทายเขาด้วยความดีอกดีใจราวกับเจอเพื่อนเก่าแก่ ทั้งที่พิชญ์กับเธอก็เพิ่งมีโอกาสได้คุยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง

           “ตายจริง ลมอะไรหอบคุณพีทมาเดินห้างตอนบ่ายคะเนี่ย” ถ้อยคำถามฟังดูเป็นการสัพยอกมากกว่าจะต้องการคำตอบแบบจริงจัง

           “พอดีผมมาหาของขวัญให้ลูกสาวน่ะครับ”

           “จะถึงวันเกิดแกแล้วหรือคะ”

           “เปล่าหรอกครับ พอดีจะมีงานโรงเรียน แล้วลูกสาวผมขึ้นแสดงเป็นครั้งแรก ผมเลยอยากซื้อของขวัญซักชิ้นให้แกหน่อย”

           “แล้วคุณพีทไม่ชวนน้องเล็กมาช่วยเลือกด้วยกันเหรอคะ”

          คราวนี้เป็นทีของพิชญ์ที่ต้องทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างปิดไม่มิด แต่คู่สนทนาก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยังคงวาดรอยยิ้มละมุนละไมให้กับพิชญ์

           “คุณเล็กไปต่างประเทศน่ะครับ”

           “อ๋อ ไปทำงานใช่ไหมคะ มาค่ะ เดี๋ยวหลิวช่วยเลือกเอง”

          พิชญ์ยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน แต่ก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจของหญิงสาวให้ถูกต้อง ปล่อยให้คนนอกเข้าใจว่าไอลดาไปทำงานต่างประเทศคงดีแล้ว ความสัมพันธ์บางอย่างมันซับซ้อนและไม่ควรปล่อยให้คนนอกรู้

          รัญญาพาพิชญ์เดินไปยังแผนกเด็กของห้างสรรพสินค้าอย่างคล่องแคล่ว เธอชี้ชวนให้พิชญ์ดูบรรดาของเล่นของเด็กผู้หญิงและตุ๊กตาต่าง ๆ ก่อนคุณพ่อลูกหนึ่งจะตกลงปลงใจที่ตุ๊กตาหมีตัวโต ที่พอเห็นปุ๊บก็รู้ทันทีว่าลูกสาวตัวน้อยจะต้องชอบของขวัญชิ้นแน่ ๆ พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนยามคิดถึงน้องหนู แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีสวย

           “อันที่จริงมาเจอคุณพีทวันนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะ หลิวมีเรื่องที่กำลังกังวลอยู่พอดีเลย”

           “เรื่องอะไรครับ...”

           “ช่วงนี้ทางคุณพีทคงกำลังมีปัญหากันอยู่ใช่ไหมคะ หลิวเองก็ยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากทางหลิวจริง ๆ หลิวก็ต้องขอโทษแทนเฮียด้วยนะคะ”

          พิชญ์เบือนหน้ากลับมามองหญิงสาวอย่างงุนงง ราวกับอีกฝ่ายกำลังพูดในภาษาที่เขาไม่เข้าใจ

           “คุณหลิวหมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”

           “อ้าว คุณพีทไม่รู้เรื่องหรอกหรือคะ” คราวนี้เป็นรัญญาที่ทำหน้าแปลกใจ

           “เรื่องอะไรครับ”

           “เรื่องที่ลูกค้าบางรายเจอของตกสเปคจากทางเคเคเลยเรียกร้องค่าเสียหาย แถมซัพพลายเออร์บางเจ้าก็เริ่มจะขอถอนตัวไงคะ นี่พี่ใหญ่ไม่ได้บอกอะไรคุณพีทเลยเหรอคะ ตายจริง หลิวต้องขอโทษด้วยนะคะ นี่หลิวก็เล่า ๆ ตามที่ได้ยินได้ฟังมา”

          สีหน้างุนงงของพิชญ์พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หมายความว่าช่วงวันสองวันนี้ที่อริญชย์ดูท่าทางเครียด ๆ แถมยังอยู่ไม่ติดออฟฟิศคงหนีไม่พ้นเรื่องที่รัญญากำลังเอ่ยถึงอยู่เป็นแน่

           “หลิวเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ ที่เล่าให้คุณพีทฟังก็ได้ยินมาจากเฮียทั้งนั้น ยังไงคุณพีทลองถามพี่ใหญ่ดูนะคะ”

          ถึงแม้รัญญาจะไม่เอ่ยปากแนะนำ พิชญ์ก็หมายมาดอยู่ในใจว่าเขาจะต้องเอ่ยถามเรื่องนี้จากอริญชย์ อีกใจหนึ่งก็นึกสงสัยว่าทำไมอริญชย์ถึงไม่คิดจะเล่าให้เขาฟัง ทั้งที่เมื่อก่อนก็เล่าให้เขาฟังเกือบทุกเรื่อง หรือว่าจะไม่ไว้ใจกันขึ้นมาเสียแล้ว...

           “ครับ เดี๋ยวผมลองถามรายละเอียดเอาจากคุณใหญ่ดูอีกที ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณหลิวด้วย”

           “เรื่องอะไรคะ เรื่องที่หลิวช่วยเลือกของขวัญให้น้องหนู หรือเรื่องที่หลิวบอกเมื่อกี้คะ”

           “ทั้งสองเรื่องเลยครับ”

          มือขาวเอื้อมมาแตะข้อศอกของพิชญ์อย่างถือวิสาสะ ก่อนดวงตาเรียวจะช้อนขึ้นมองสบตาเขา ถ้าเป็นคนอื่นเจอผู้หญิงสวยขนาดนี้คงนึกหวั่นไหวไปแล้ว แต่พิชญ์กลับเพียงแค่เลิกคิ้วมองรัญญานิ่ง ๆ

          นอกจากไอลดา พิชญ์ก็ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจเพราะเขาอีกแล้ว

           “คุณพีทยังเก็บเบอร์หลิวไว้ใช่ไหมคะ ถ้าต้องการคำปรึกษาอะไรก็โทรหาหลิวได้เลยนะคะ รับรองว่าหลิวไม่เอาไปฟ้องเฮียเด็ดขาด เพราะหลิวเองก็อยากให้พี่ใหญ่กับเฮียกลับมาคืนดีกันเสียที”

           “ขอบคุณมากครับคุณหลิว ยังไงวันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ” พิชญ์คลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะปลดมือที่จับแขนเขาออกอย่างสุภาพ

          ทั้งที่ต้องการจะมาพักสมองจากเรื่องงาน แต่ดูเหมือนพิชญ์จะเจอเรื่องที่หนักกว่าเสียแล้ว ในสมองของพิชญ์ตอนนี้มีแต่คำถามว่า ‘ทำไม’ วนเวียนเต็มไปหมด

          ทำไมอริญชย์ถึงไม่คิดจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หรือว่าคนอย่างพิชญ์ ไม่มีสิทธิ์ได้รู้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ



.



          ตั้งแต่น้องหนูออกจากโรงพยาบาล หน้าที่รับส่งน้องหนูก็เป็นของกริชกับนวล คนหนึ่งขับรถ อีกคนคอยดูแลน้องหนูตามคำสั่งของอริญชย์ พิชญ์เลยทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมาคอยพะวักพะวงถึงน้องหนู เหมือนกับช่วงก่อนที่ไอลดาจะมารับน้องหนูไปอยู่ด้วย

          พอกลับมาถึงห้องทำงานของตัวเอง พิชญ์ก็เฝ้ารอการกลับมาของอริญชย์อย่างใจจดใจจ่อ จนแทบไม่เป็นอันทำงานที่ค้างอยู่ตรงหน้า ยังดีว่าแผนงานที่เขาเอากลับมาแก้นั้นคืบหน้าพอสมควรแล้ว พิชญ์เลยไม่ต้องห่วงว่าทำจะเสร็จไม่ทันเวลา หลังจากผุดลุกผุดนั่งรออริญชย์อยู่ค่อนวัน การรอคอยของพิชญ์ก็ไร้ความหมาย เมื่ออริญชย์โทรหาพิชญ์ตอนเกือบห้าโมงเย็น

           “ครับ”

           “ฉันเองนะ”

          พิชญ์นึกอยากเอ่ยถามสิ่งที่ตัวเขาอยากรู้ออกไป แต่ก็ต้องเก็บงำไว้ก่อน เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่สมควรที่จะคุยกันทางโทรศัพท์

           “อยู่ไหนแล้วครับ”

           “ฉันกับตุลย์เพิ่งออกมาจากไซต์ นายเอารถของบริษัทขับกลับบ้านไปก่อนเลย ไม่ต้องรอฉัน หรือถ้าไม่อยากขับเองก็โทรเรียกกริชออกมารับ เดี๋ยวฉันจะให้ตุลย์ตรงกลับบ้านไม่แวะบริษัทเหมือนกัน แล้วเราค่อยไปเจอกันที่บ้าน”

          พิชญ์ได้แต่เอ่ยปากรับคำก่อนที่อริญชย์จะเป็นฝ่ายกดวางสายไปเอง โดยที่เขายังไม่ได้เอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำเอาพิชญ์อดรู้สึกผิดสังเกตและพลอยทำให้ประหลาดใจไม่ได้คือ เมื่อก่อนอริญชย์มักจะเป็นคนกำหนดสิ่งที่เขาต้องทำและสั่งเขา เดี๋ยวนี้กลับผิดคาด อริญชย์ให้เขาเป็นฝ่ายเลือกว่าจะกลับเองหรือจะให้กริชมารับ ถือว่าอริญชย์เองก็ยอมถอยให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว

          สุดท้ายแล้วพิชญ์ก็เลือกที่จะขับรถของบริษัทกลับบ้าน แทนที่จะโทรเรียกกริชออกมารับเขา ถึงแม้จะแต่งงานกับไอลดาและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกียรติกาญจนาหลายปีแล้ว แต่พิชญ์ก็ยังคงเป็นพิชญ์ที่มักจะขี้เกรงใจและเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เสมอ พิชญ์ไม่ค่อยชอบเอ่ยปากใช้งานใครเท่าไหร่ เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่เจ้านายของตุลย์และกริช พอถึงเวลาทำงาน เขาเองก็เป็นลูกน้องของอริญชย์ไม่ต่างอะไรจากตุลย์และกริชเหมือนกัน

          พิชญ์กลับมาถึงบ้าน เพิ่งจะหย่อนตัวลงบนโซฟา ป้าน้อยก็รีบกระวีกระวาดเข้ามารายงานว่าน้องหนูกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว นวลกำลังจับอาบน้ำอยู่ พิชญ์ฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าน้องหนูเองก็ติดนวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าที่ติดไอลดาเสียด้วยซ้ำ

           “คุณพีทจะรับข้าวเย็นเลยไหมคะ ป้าจะได้เอาขึ้นโต๊ะให้”

           “ยังครับป้าน้อย เดี๋ยวรอกินพร้อมคุณใหญ่ดีกว่า ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ เหนียวตัวจะแย่แล้ว”

          พิชญ์เดินเลี่ยงขึ้นชั้นสอง ก่อนจะอดแวะเข้าไปดูน้องหนูไม่ได้ พอเห็นน้องหนูกำลังนั่งทำการบ้านอยู่กับนวลอย่างขะมักเขม้นเลยตั้งใจจะตรงเข้าไปฟัดอย่างมันเขี้ยว แต่เจ้าตัวเล็กกลับรีบยกมือห้ามเป็นพัลวันก่อนจะหัวเราะคิกคัก

           “ห้ามกอดค่ะพ่อพีท”

           “ทำไมคะ”

           “เพราะพ่อพีทยังไม่อาบน้ำ แต่น้องหนูอาบแล้ว คุณครูบอกว่าคนที่ไม่อาบน้ำคือคนสกปรก”

          พิชญ์ทั้งขำทั้งฉิว แต่พี่เลี้ยงอย่างนวลถึงกับหัวเราะคิกออกมาทันที เขามองเจ้าตัวเล็กอย่างคาดโทษ

           “ไม่กอดก็ได้เจ้าตัวแสบ รอก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อพีทไปอาบน้ำมาก่อนแล้วจะมาฟัดให้ตัวช้ำเลย”

          นอกจากเจ้าตัวน้อยของพิชญ์จะไม่สนใจแล้ว ยังโบกมือบ๊ายบายหยอย ๆ ให้พิชญ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเล่น ชายหนุ่มเลยต้องรีบตรงไปที่ห้องของตัวเองเพื่อจัดการอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย

          กว่าพิชญ์จะทำอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ทุ่มเศษ ๆ กระเพาะเจ้ากรรมเริ่มส่งเสียงประท้วง แต่กลับไร้วี่แววของคนที่พิชญ์รอกินข้าวเย็นด้วย จนเจ้าตัวชักจะกังวลหน่อย ๆ

           “สงสัยคุณใหญ่จะกลับดึก คุณพีทจะกินก่อนเลยไหมคะ”

          พิชญ์นิ่งไปด้วยความลังเล หิวก็หิว แต่ก็อยากรออริญชย์กลับมากินข้าวเย็นพร้อมกัน ระหว่างที่ยังลังเลอยู่นั้น ไฟหน้ารถของอริญชย์ก็สาดเข้ามาพอดี พิชญ์เลยไม่ต้องคิดนาน เขาหันไปบอกป้าน้อยที่ยิ้มอย่างรู้ทัน

           “คุณใหญ่กลับมาพอดี งั้นตั้งโต๊ะเลยครับป้าน้อย”

          คล้อยหลังป้าน้อยที่เดินหายเข้าครัวไปนิดเดียว ร่างสูงก็เดินตรงดิ่งเข้ามาทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางอิดโรย อริญชย์เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อน

           “ยังไม่กินข้าวอีกหรือไง กี่โมงกี่ยามแล้ว เดี๋ยวโรคกระเพาะก็ถามหาพอดีหรอก”

           “ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังรอป้าน้อยตั้งโต๊ะอยู่ครับ คุณใหญ่กินอะไรมาหรือยัง ถ้ายังก็จะได้กินพร้อมกันเลย”

          อริญชย์พยักหน้ารับก่อนจะร้องบอกป้าน้อยให้ตักข้าวเผื่อเขาด้วย คุณแม่บ้านแค่ยิ้มรับบาง ๆ ไม่ได้บอกว่ามีคนรอกินข้าวเย็นพร้อมอริญชย์ตั้งแต่กลับมาถึง พอกับข้าวถูกยกมาวางบนโต๊ะ อริญชย์ก็ลุกจากโซฟามานั่งตรงข้ามพิชญ์

          มีคำถามมากมายที่พิชญ์อยากเอ่ยถามอริญชย์ แต่พอเห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่ายแล้ว พิชญ์เลยเลือกที่จะก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบ ๆ จนกระทั่งอริญชย์รวบช้อนส้อมเข้าหากัน พิชญ์ถึงได้ถือโอกาสเอ่ยบอกอีกฝ่าย

           “คุณใหญ่...”

           “ว่าไง”

           “อาบน้ำเสร็จแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

          อริญชย์เลิกคิ้วน้อย ๆ ด้วยความกังขา ร้อยวันพันปี พิชญ์ไม่เคยเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่ามีเรื่องอยากคุยกับเขา สงสัยหิมะคงจะตกแน่ ๆ ชายหนุ่มหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ

           “ว่ามาเลยสิ”

           “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ คุณเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ”

           “ตามใจ งั้นอีกครึ่งชั่วโมงมาหาฉันที่ห้องแล้วกัน”

          พิชญ์กำลังเอ่ยปากถามว่าห้องไหน คนที่ก้าวยาว ๆ ไปจนถึงชานบันไดเหมือนจะเพิ่งนึกออกเช่นกัน อริญชย์กระตุกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หันกลับมามองพิชญ์

           “ห้องนอนฉันนะ...”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ห้องที่อริญชย์บอก มันใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับคุยเรื่องงานกันหรือไง

          เอาเถอะ ห้องนอนก็ห้องนอน



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า
คุณใหญ่คะ...ทำไมคุณใหญ่ชอบคุยงานในห้องนอนคะ >///<

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 22 ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป --- หน้าที่ 6 [18/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 19-06-2020 22:10:14
ฉันระแวงเธอไปหมดแล้วยัยหลิว
หล่อนมีแผนการจะทำอะไรพีทเหรอฮ้าาาา!!!  :katai1:
มีเรื่องอะไรแบบนี้อยากให้พีทบอกคุณใหญ่ตรงๆ ชัดๆ จังเลย ไม่อยากให้คิดเองเออเองเหมือนเมื่อก่อน ห่วงๆ ห่วงพีท   :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 23 ครอบครัวเดียวกัน --- หน้าที่ 6 [21/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 21-06-2020 19:20:37
ยี่สิบสาม
ครอบครัวเดียวกัน




          หลังเสร็จจากมื้อเย็น พิชญ์ย้ายมานั่งดูโทรทัศน์ตรงห้องนั่งเล่น รายการโทรทัศน์กำลังเข้าสู่ช่วงของข่าวภาคค่ำ แต่ดูเหมือนเขาจะเพียงแค่เปิดโทรทัศน์เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งครบสามสิบนาทีพอดีหลังจากที่อริญชย์เดินขึ้นห้อง พิชญ์ถึงค่อยหยิบรีโมทมากดปิดโทรทัศน์แล้วลุกขึ้นยืน

          พอขึ้นมาชั้นสอง พิชญ์ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องนอนของน้องหนูก่อน เขาแง้มประตูออกเล็กน้อย ได้ยินเสียงนวลกำลังเล่านิทานสลับเสียงหัวเราะคิกคักของน้องหนูดังลอดออกมา พิชญ์ยิ้มออกมาก่อนจะงับประตูปิดลงตามเดิม

          ถัดจากห้องของน้องหนู พิชญ์ก็เดินเข้าห้องตัวเองเพื่อมาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางกองรวมกันอยู่ แล้วถึงเดินไปห้องนอนของอริญชย์ที่อยู่ด้านในสุด เขายืนอยู่หน้าประตูไม้บานสูง ขยับจะยกมือขึ้นเคาะประตูอยู่หลายรอบ แต่กลับลดมือลงกลางคันด้วยความรู้สึกแปลก ๆ

          ถ้าถามว่ากลัวหรือ พิชญ์คงตอบว่าใช่

          พิชญ์กำลังกลัว กลัวว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ต่อกำแพงความรู้สึกที่จวนเจียนจะพังทลายลงมา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นก้อนน้ำแข็งที่กำลังถูกหลอมละลายลงช้า ๆ

          พิชญ์ยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบา ๆ นึกสมเพชความขี้ขลาดของตัวเองขึ้นมาหน่อย ๆ เขากลายเป็นคนขี้กลัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งที่เรียกร้องให้อริญชย์ปฏิบัติต่อดี ๆ มาตลอด แต่พอทุกสิ่งทุกอย่างทำท่าจะดีขึ้นมาอย่างที่พิชญ์เคยร้องขอ เขากลับกลัวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

          กลัวว่าหากเขาเผลอถลำตัวเมื่อไหร่ เส้นศีลธรรมบาง ๆ ที่เขายึดเหนี่ยวมานานคงขาดสะบั้นลงด้วยน้ำมือของเขาเอง

          เขาเคยพยายามเรียกร้องให้อริญชย์เป็นพี่ภรรยาที่ดี แต่ดูเหมือนอริญชย์จะพยายามก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่เรียกว่า ‘พี่ภรรยา’ โดยมาตลอด

          ระหว่างที่กำลังยืนนิ่วหน้าอยู่หน้าประตูห้องนอนของอริญชย์ พิชญ์ก็เหมือนจะเห็นผู้ช่วยคนสำคัญเข้า ริมฝีปากเผลอคลี่ยิ้มออกมายามเห็นตุลย์เดินออกมาจากห้องหนังสือที่อยู่อีกฝั่งของตึก พอเห็นพิชญ์กวักมือเรียก ตุลย์ก็เดินตรงเข้ามาหา ทั้งที่กำลังจะเดินลงบันไดอยู่แล้ว

           “คุณพีทมาหาคุณใหญ่หรือครับ”

          ตุลย์ที่เดินมาถึง ทำทีเป็นเอ่ยถามพิชญ์ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ยืนอยู่หน้าห้องเจ้านายเขา ก็ต้องมาเจ้านายเขาสิ

          คนสนิทของอริญชย์มองประตูห้องนอนเจ้านายสลับกับพิชญ์ที่ยืนทำหน้าประหลาดแล้วก็ยิ้มขำ พอพิชญ์ผงกหัวรับว่ามาหาอริญชย์ ตุลย์ก็กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง แล้วก่อนที่พิชญ์จะมีโอกาสห้ามปรามหรือคัดค้าน ตุลย์ก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนอนของอริญชย์ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ก่อนถึงกับอ้าปากค้าง

           “คุณตุลย์!” พิชญ์เรียกชื่อลูกน้องคนสนิทของอริญชย์ออกมาด้วยความตกใจ

          เขาอุตส่าห์รวบรวมความกล้า ขจัดความกลัวอยู่นาน ตุลย์เดินมาไม่ถึงสองนาทีก็จับเขาโยนเข้าถ้ำเสือทันที

          ตุลย์มองท่าทางอิหลักอิเหลื่อของพิชญ์แล้วก็ยิ่งขำ เคยนึกสงสัยระคนแปลกใจว่าทำไมอริญชย์ถึงชอบพิชญ์มานาน มิหนำซ้ำยังชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ พอได้รู้จักและสัมผัสกับพิชญ์จริง ๆ ตุลย์ถึงได้รู้ พิชญ์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์และบางทีก็น่าแกล้งเอามาก ๆ อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น

          พิชญ์ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนใส่ประตูห้องนอนของอริญชย์ นึกเข่นเขี้ยวความหวังดีของตุลย์อยู่หน่อย ๆ แต่จะโทษตุลย์ก็ใช่ที่ เขาผิดเองที่เรียกให้ตุลย์เดินมาหา พิชญ์พยายามมองโลกในแง่ดีว่าตุลย์ไม่ได้จงใจทำให้เขาตกที่นั่งลำบากแม้แต่น้อย แล้วก่อนที่พิชญ์จะหาทางหนีทีไล่จากผลงานที่ตุลย์ก่อไว้ทัน เสียงเย็นชาของอริญชย์ก็ดังมาจากหลังบานประตูให้พิชญ์ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ จนแอบกร่นด่าตัวการหลังบานประตูที่ดันเลือกสถานที่คุยกันเป็นห้องนอน เล่นเอาเขาใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มคุย

           “ใครน่ะ”

           “ผมเอง...”

          ตอบเสร็จพิชญ์ก็ตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน อยากจะกร่นด่าความโง่ซ้ำซากของตัวเองอีกรอบ อริญชย์คงจะรู้หรอกว่าผมไหน ผมบนหัวเขาล่ะมั้ง แต่ดูเหมือนอริญชย์จะรู้จริง ๆ

           “เข้ามาสิ”

          พิชญ์มองบานประตูตรงหน้าสลับกับหันมามองหน้าตุลย์อีกรอบ ลูกน้องคนสนิทของอริญชย์ก็ช่างแสนดี อุตส่าห์เดินมาตบบ่าพิชญ์ปุ ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนี

           “เข้าไปเลยครับคุณพีท เดี๋ยวผมขอลงไปตรวจดูความเรียบร้อยข้างล่างก่อน โชคดีนะครับ”

          ตุลย์ไม่รอให้พิชญ์ได้มีโอกาสตอบรับหรือตอบปฏิเสธ คนสนิทของอริญชย์ยิ้มให้พิชญ์หนึ่งทีก่อนจะรีบเดินหนี ทิ้งให้พิชญ์ได้แต่ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ พร่ำบอกตัวเองว่าแค่เข้าไปคุยกัน ไม่ได้ไปรบ อย่าไปกลัว แล้วก็เอื้อมมือไปหมุนลูกบิด

          ภาพหลังบานประตูที่ปรากฏแก่สายตาเล่นเอาพิชญ์ถึงกับหายใจติดขัด นึกกร่นด่าเจ้าของห้องขึ้นมาอีกหนึ่งรอบกับสภาพล่อแหลมตรงหน้า

          อริญชย์เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาด ๆ เรือนร่างที่พิชญ์เคยเห็นแบบไม่เต็มใจมาหลายต่อหลายครั้งดูกำยำและมีมัดกล้ามแบบผู้ชายที่ดูแลตัวเองตลอด จนพิชญ์ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเรี่ยวแรงของพวกขี้เกียจออกกำลังกายอย่างเขาถึงสู้แรงช้างสารของอริญชย์ไม่ได้ เส้นผมสีดำสนิทเปียกน้ำจนลู่ลงมา ตอนพิชญ์เข้ามา อริญชย์กำลังยืนเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมตัวเองให้แห้ง ทุกอย่างที่เห็นเรียกว่าดูดีมากที่สุดเท่าที่ผู้ชายวัยสามสิบสามปีคนหนึ่งจะดูดีได้

          เจ้าของห้องสวมเพียงแค่กางเกงนอนผ้าฝ้ายขายาวสีเข้ม เปลือยแผงอกท่อนบน จนคนมองรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อ ๆ พิชญ์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทั้งอิจฉาทั้งรู้สึกแปลก ๆ อริญชย์ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา แล้วจะรู้สึกเก้อกระดากทำไม ตอนเข้าค่ายสมัยเรียนก็เคยอาบน้ำพร้อมกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เห็นผู้ชายแก้ผ้ามานักต่อนัก แต่สารภาพเลยว่า ไม่มีครั้งไหนที่พิชญ์จะรู้สึกลำบากใจเท่าครั้งนี้

           “เดี๋ยวผมค่อยแวะมาอีกทีตอนที่คุณใหญ่แต่งตัวเสร็จแล้วดีกว่า”

          ในที่สุดพิชญ์ก็ควานหาลิ้นของตัวเองเจอ แต่ดูเหมือนเจ้าของห้องจะไม่ได้นำพาต่อท่าทางกระอักกระอ่วนของเขาแม้แต่น้อย อริญชย์เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ๆ

           “ฉันแต่งตัวเสร็จแล้ว นายไปนั่งรอที่เก้าอี้เลย”

          พิชญ์ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ ลองอริญชย์ไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ยังไงเขาก็ไม่มีทางหนีไปได้ พิชญ์กระชับแฟ้มเอกสารที่ขนมาเข้ากับอกตัวเอง แทบจะเดินตัวเขเป็นปู ยามต้องเดินผ่านอริญชย์ที่ยืนขวางเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่กลางห้อง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของครีมอาบน้ำเจือจางอยู่ในอากาศบางเบา แต่นั่นยังไม่ร้ายกาจเท่ากับท่อนแขนเปลือยเปล่าที่เบี่ยงมาโดนตัวพิชญ์ราวกับจงใจ พอพิชญ์ตวัดตามอง เจ้าของแขนก็ตีหน้านิ่งจนเขาคร้านจะหาความด้วย

          ริอ่านเข้าถ้ำเสือ ไม่ถูกเสือเขมือบก็ให้มันรู้ไป

          พิชญ์วางแฟ้มเอกสารที่หอบมาลงบนโต๊ะรับแขกชุดเล็กตรงมุมห้อง พอนั่งลงแล้ว สายตาเจ้ากรรมก็กวาดมองไปรอบห้องอย่างท้อแท้

          ไม่กี่ก้าวก็เตียง ไม่กี่ก้าวก็โซฟา

          พิชญ์เกลียดบรรยากาศแบบนี้และสถานที่แบบนี้จริง ๆ และที่สำคัญ...

          ไม่ใช่ห้องนอนของอริญชย์หรือไง ที่มีแต่ภาพความทรงจำระหว่างเขากับเจ้าของห้องเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน

          พอจัดการกับตัวเองเรียบร้อย อริญชย์ก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามพิชญ์ มองคนที่ทำเป็นมองซ้ายทีขวาทีแล้วก็ต้องกระตุกยิ้ม ปล่อยให้พิชญ์ค่อย ๆ ดึงสติสตังกลับมา เห็นคนที่เอ่ยปากว่ามีเรื่องจะคุยกับเขายังไม่เริ่มต้นเสียทีราวกับลืมเอาปากมาด้วย อริญชย์เลยต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นเสียเอง

           “เห็นนายบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉัน”

          พิชญ์พยักหน้าหงึกหงัก ทำท่าเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที นึกทบทวนสาเหตุที่เขาเข้ามาหาอริญชย์ถึงถ้ำเสือ ก่อนบทสนทนาที่คุยกับรัญญาเมื่อช่วงบ่ายจะแวบเข้ามา

           “ช่วงนี้งานของคุณใหญ่เป็นยังไงบ้าง”

           “ปกตินายไม่ใช่คนอ้อมค้อม”

          พิชญ์เกือบจะแยกเขี้ยวให้คนที่รู้ทันเขาตลอด ดีว่าระงับตัวเองทัน

           “ผมได้ยินมาว่าตอนนี้เรากำลังมีปัญหากับทางลูกค้า”

           “ฮื่อ ว่าต่อสิ...”

           “งานที่เราเพิ่งส่งมอบให้ลูกค้าตกสเปค จริงหรือเปล่าครับ”

          อริญชย์ไหวไหล่ด้วยท่าทางสบาย ๆ อย่างที่มักทำเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย เผลอคิดเล่น ๆ ว่าถ้าได้บุหรี่สักมวนหรือไวน์ยี่ห้อโปรดซักแก้วคงดีไม่น้อย ตอนเห็นพิชญ์ทำหน้าตาเคร่งเครียดที่โต๊ะอาหาร บอกว่ามีเรื่องอยากถาม ก็พาลเอาเขาเครียดตาม นึกว่าเรื่องหนักหนาสาหัสคอขาดบาดตาย ที่แท้ก็แค่ปัญหาหยุมหยิมของบริษัทที่เขากำลังไล่เช็กบิลอยู่

          ความจริงอริญชย์ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหรือให้พิชญ์ต้องมารู้จากคนอื่น เพียงแต่เห็นว่าช่วงนี้อีกฝ่ายกำลังวุ่น ๆ กับงานประมูลที่ตัวเองต้องรับผิดชอบโดยตรง เขาเลยเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้ให้มันจบไปเงียบ ๆ เลยไม่ได้เอ่ยปากเล่าให้พิชญ์ฟัง

           “รู้มาจากใครล่ะ พวกพนักงานที่บริษัทหรือไง”

          เป็นคราวของพิชญ์ที่ต้องสะดุ้งกับคำถามย้อนกลับของอริญชย์ ตั้งสติได้ก็รีบพยักหน้ารับ ขืนหลุดปากบอกไปว่ารู้มาจากรัญญา รับรองว่าเรื่องนี้คงจบไม่สวยแน่ ๆ เขายังจำประโยคที่รัญญาเอ่ยกำชับกับเขาทุกครั้งที่เจอกันได้

           ‘คุณพีทอย่าบอกพี่ใหญ่นะคะว่าเจอกับหลิว เพราะพี่ใหญ่คงไม่ชอบใจแน่ ๆ’

          แววตาของรัญญายามเอ่ยถึงอริญชย์ดูเกรง ๆ อยู่ไม่น้อย จนพิชญ์อดคิดในใจไม่ได้ว่า ถึงจะบาดหมางกับราชันย์มากแค่ไหน แต่อริญชย์ก็ไม่ควรพาลไปถึงรัญญาเลย

           “เรื่องเป็นมายังไงหรือครับ”

           “ก็พวกแอบสอดไส้ธรรมดาน่ะ เสียหายไม่มากเท่าไหร่ แค่เสียเวลาเค้นหาตัวการ”

           “แล้วตอนนี้เรียบร้อยหรือยังครับ”

           “ตุลย์กำลังตามอยู่ ไม่เกินสองวันคงได้เรื่อง วันนี้ฉันลงไปคุยกับลูกค้าด้วยตัวเองแล้ว ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไร เพราะพวกชอบเล่นสกปรกมันมีเยอะ แต่เรื่องดูที่ที่ชุมพรอาจจะต้องเลื่อนออกไปก่อน ว่าแต่ส่วนของนายเถอะ ไปถึงไหนแล้ว”

           “มะรืนนี้ก็น่าจะเรียบร้อยครับ”

          ฟังคำตอบแล้วอริญชย์ก็ปรายตามองแฟ้มที่พิชญ์หอบเข้ามาด้วยราวกับจะถาม คนที่หอบเข้ามาได้แต่เกาหัวเก้อ ๆ เอาเข้าจริงแล้วเอกสารในแฟ้มที่เขาหอบเข้ามาก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร แต่จะให้พิชญ์ยอมรับหรือว่าเขาขนของพวกนี้เข้ามาเป็นไม้กันหมา ฝันไปเถอะ!

           “ผมหยิบติดมือมาด้วยเฉย ๆ”

          ถ้าไม่รู้ทันพิชญ์ ผู้ชายคนนั้นคงไม่ใช่อริญชย์ แต่น่าแปลกที่วันนี้อริญชย์กลับไม่นึกอยากไล่ต้อนพิชญ์ให้จนมุมเหมือนที่ผ่าน ๆ มา การได้นั่งดูท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูกของพิชญ์ มันทำให้อริญชย์อดยิ้มออกมาไม่ได้

          เมื่อก่อนเขาเป็นคนใจร้ายแค่ไหนกันนะ ถึงได้ทำลายความเป็นธรรมชาติของพิชญ์อย่างเลือดเย็น

          ไม่ใช่ดวงตาดื้อรันที่แฝงความสดใส ริมฝีปากช่างพูดที่ขยันต่อล้อต่อเถียง รอยยิ้มที่ราวกับจะทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวหรอกหรือ ที่ทำให้คนแข็งกระด้างอย่างเขาสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ จนรู้อีกทีก็ละสายตาและปล่อยให้ห่างตัวไม่ได้แล้ว

           “คิดออกหรือยังว่าเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่”

          จู่ ๆ อริญชย์ก็เปลี่ยนเรื่องไปถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้คำตอบขึ้นมาดื้อ ๆ เขาก็แค่ลองถามดู เผื่อพิชญ์จะนึกออก ทั้ง ๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าความน่าจะเป็นที่พิชญ์จะจดจำเรื่องราวครั้งนั้นได้แทบจะเป็นศูนย์ และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ไม่ต่างจากที่คาด พิชญ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ

           “ถ้าคุณไม่บอก ผมก็นึกไม่ออกหรอก”

           “ก็ค่อย ๆ นึกไป”

          คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอริญชย์ทำหน้าบึ้งออกมาแบบไม่ปิดบัง เล่นเอาคนมองเกือบจะหลุดหัวเราะอยู่แล้ว เคยนึกสงสัยเวลาเห็นหลานสาวตัวน้อยเชิดหน้า ทำปากยื่น ท่าทางแง่งอน ว่ามันดูคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน มามั่นใจเอาตอนนี้ว่าที่แท้น้องหนูก็ถอดสำเนาคนเป็นพ่อมาทุกกระเบียดนิ้ว

           “ทำหน้าบึ้งเป็นน้องหนูไปได้”

           “ผมไม่ใช่เด็กซะหน่อย”

           “นั่นสิ จวนจะยี่สิบแปดแล้วนี่ อีกไม่กี่ปีก็ขึ้นเลขสามแล้ว” อริญชย์ว่าหน้าตาเฉย

          พิชญ์ตาลุกวาวกับคำพูดของอริญชย์ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว...

           “ผมน่ะอีกไม่กี่ปีก็เลขสาม แต่คุณใหญ่เลยเลขสามไปหลายปีแล้วไม่ใช่หรือไง”

           “หลายปีที่ไหนกัน ฉันเพิ่งจะสามสิบสาม”

          พิชญ์หัวเราะขำออกมา เมื่ออีกคนไม่ยอมแก่ไม่ต่างจากเขา

           “ก็มากกว่าผมตั้งห้าปี” พิชญ์เอ่ยปนเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็นอริญชย์เป็นฝ่ายทำหน้าบึ้งบ้าง เขายิ่งขำมากกว่าเดิม

          นึก ๆ ดูแล้ว นานแค่ไหนกันนะที่เขาไม่ได้นั่งคุยกับอริญชย์อย่างสบายใจแบบนี้ ราวกับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นแค่เพียงฝันร้าย

          ท้ายที่สุดแล้วคนที่แสร้งทำหน้าบึ้งตึงก็ต้องยอมแพ้ เมื่อเห็นรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วใบหน้าพิชญ์ จนไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากของเขาค่อย ๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้มเช่นกัน ยิ้มให้กับความสดใสที่ปรากฏเบื้องหน้า



หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 23 ครอบครัวเดียวกัน --- หน้าที่ 6 [21/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 21-06-2020 19:21:50


           “พีท...”

           “ครับ...”

          พอถูกเรียก พิชญ์ถึงได้รู้สึกตัวว่าเพิ่งแสดงตัวตนออกไปให้อีกฝ่ายเห็นมากแค่ไหน รอยยิ้มค่อย ๆ จางจากใบหน้า ยามสบตาอริญชย์ที่มองตรงมายังเขานิ่ง ๆ กำลังคิดว่าควรจะเอ่ยขอตัวกลับห้องนอนเสียที คำถามที่เขาไม่เคยได้เตรียมหาคำตอบก็ดังออกมาจากปากอริญชย์ ตรึงเขาให้ต้องนั่งนิ่งอยู่กับที่

           “เคยคิดอยากจะหย่ากับยัยเล็กบ้างไหม”

          อริญชย์ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้ถามเขาออกมาแบบนี้ พิชญ์สั่นหน้าปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด

           “คุณใหญ่ก็รู้ว่าผมอยากให้น้องหนูมีครอบครัวที่สมบูรณ์”

           “ถึงแม้ว่านายจะไม่ได้รักยัยเล็กยังงั้นหรือ”

          ราวกับละอองความสุขที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วถูกพายุใหญ่พัดหายไปในทันใด บรรยากาศที่กำลังดีขึ้น ช่องว่างที่ดูเหมือนจะแคบลง ตอนนี้กลับเหมือนมีความอึดอัดจาง ๆ แผ่เข้ามาปกคลุมช้า ๆ ไม่ผิดที่อริญชย์จะเอ่ยถามพิชญ์ออกมาแบบนั้น แต่พิชญ์ก็ไม่อาจระงับความไม่พอใจที่แล่นขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้

           “น้องหนูจำเป็นต้องมีทั้งพ่อและแม่”

          พิชญ์รู้ว่าสิ่งที่เอ่ยไปมันคือความเห็นแก่ตัว และตัวเขาเองก็เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ถึงแม้ไอลดาจะเลือกปล่อยมือจากความรักของเธอกับเขา แต่พิชญ์กลับยังไม่ยอมทำลายโซ่ตรวนที่ผูกมัดเขากับไอลดาเอาไว้ แค่กระดาษแผ่นเดียวที่ทำให้ครอบครัวยังคงเป็นครอบครัวอยู่ แม้คำว่าครอบครัวที่พิชญ์หวงแหนนักหนามันจะเปราะบางจนพร้อมจะแตกร้าวได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าต้องให้น้องหนูเผชิญหน้ากับคำถามว่าเหตุใดพ่อกับแม่ถึงหย่ากัน พิชญ์ยอมรับว่าเขายังไม่พร้อมจริง ๆ

           “เหนี่ยวรั้งกันไว้ทั้งที่ไม่เหลือเยื่อใย มันไม่ใช่ทางออกที่ดีหรอกนะ”

           “มันก็เป็นวิธีของผม”

           “คิดว่าวิธีแก้ปัญหาแบบโง่ ๆ ของนายจะได้ผลเสมอไปหรือไง”

           “มันก็ไม่ต่างอะไรกับวิธีแสดงความรักแบบโง่ ๆ ของคุณใหญ่หรอก”

          อริญชย์ยกปลายนิ้วขึ้นถูจมูกไปมาด้วยอากัปกิริยาที่เผลอทำไปโดยไม่รู้ตัว ยามที่รู้สึกขัดใจกับอะไรบางอย่าง ทั้งที่เขากับพิชญ์กำลังคุยกันดี ๆ อยู่แล้วแท้ ๆ แต่ก็ดูเหมือนจะทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง และตอนนี้อริญชย์ก็ยอมรับเลยว่าเขากำลังหงุดหงิดพิชญ์หน่อย ๆ หงุดหงิดกับความดื้อแพ่งจนเกือบจะกลายเป็นดื้อด้านของพิชญ์ อริญชย์ไม่ได้อยากจะยั่วโมโหพิชญ์แม้แต่น้อย เขาแค่อยากให้พิชญ์คิดและยอมรับความจริงบ้าง

          ไม่มีใครเคยบอกพิชญ์หรือไง ว่าสามีภรรยาหย่าร้างกันก็กลายเป็นคนอื่น แต่ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกนั้นเป็นนิรันดร์ ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นอื่นได้

           “นายมันเห็นแก่ตัว”

          อารามหงุดหงิดทำให้อริญชย์หลุดปากต่อว่าพิชญ์ออกไปแบบนั้น และผลลัพธ์ที่คืนกลับมาก็คือดวงตาเรียวที่ตวัดมองเขา มันทั้งดื้อดึงและสั่นไหวไปในคราวเดียวกัน จนอริญชย์นึกอยากจะคว้าคนที่ทำท่าราวกับสัตว์บาดเจ็บเข้ามากอดให้จมหายลงไปในอก แต่ขืนทำอย่างนั้นจริง ๆ เขาคงถูกกงเล็บร้าย ๆ นั่นข่วนเข้าเสียก่อน

           “คุณก็ไม่ต่างกัน”

          ตอบโต้ออกไปแล้วก็ต้องเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นจนรู้สึกเจ็บ คล้ายกับจะได้รสเลือดหน่อย ๆ พิชญ์รวบแฟ้มเอกสารขึ้นมาถือไว้ อย่างน้อยการเลือกเดินหนีออกไปตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีกว่า ก่อนที่พายุอารมณ์ร้าย ๆ ของเขากับอริญชย์จะทำให้อะไร ๆ ที่กำลังจะดีขึ้นพังพินาศลงมาไม่เป็นท่า

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว”

          อริญชย์นั่งมองพิชญ์เก็บของเงียบ ๆ ไม่ต้องเอ่ยปากถาม เขาก็เดาการกระทำของพิชญ์ออก

          นอกจากพิชญ์จะมีวิธีแก้ปัญหาแบบโง่ ๆ แล้ว ยังชอบหนีปัญหาแบบเด็ก ๆ อีกด้วย

          เห็นเจ้าของห้องยังนั่งนิ่ง พิชญ์เลยถือโอกาสลุกขึ้นยืน ระยะห่างจากชุดรับแขกไปยังประตูไม่ได้ไกลในความเป็นจริง แต่ในความรู้สึกของพิชญ์กลับช่างดูห่างไกล แล้วสุดท้ายเขาก็ไปไม่ถึงบานประตู

           “คุณใหญ่!”

          พิชญ์หลุดเสียงอุทานออกมา เมื่อคนที่เมื่อกี้ยังนั่งนิ่งอยู่กลับลุกขึ้นมาแล้วรั้งเขาเข้าไปหา แฟ้มเอกสารที่หอบไว้อย่างหมิ่นเหม่ร่วงหล่นลงพื้น ตัวเขาถูกพลิกให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับอริญชย์ ก่อนแผ่นหลังจะถูกดันชิดกับผนังห้อง

           “โกรธหรือ”

           “เปล่า”

          ทั้ง ๆ ที่ปากบอกว่าเปล่า แต่พิชญ์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง อริญชย์เท้าแขนลงกับผนังราวกับจะขังพิชญ์เอาไว้ในวงแขนของเขากลาย ๆ เขาเอื้อมมือจับปลายคางพิชญ์ให้หันกลับมาสบตา แต่เด็กดื้อก็ยังคงเป็นเด็กดื้ออยู่วันยังค่ำ

           “คุณใหญ่ ผมจะกลับห้อง”

           “อย่าเพิ่งได้ไหม คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

           “ผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”

           “แต่ฉันมี”

          พิชญ์หรุบสายตาลงต่ำ หนีสายตาที่มองตรงมา รู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะพ่ายแพ้ ความอ่อนโยนที่ได้รับมันทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ วินาทีนี้ดูเหมือนว่ากำแพงใด ๆ ที่เคยมีก็พร้อมจะพังทลายลงมาด้วยคำพูดเพียงประโยคพูดเดียว...

           “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านายแบบนั้น”

          แค่ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยราวกับจะขอโทษ แม้คนพูดจะไม่ได้พูดมันออกมาตรง ๆ พิชญ์ก็พ่ายแพ้ให้กับอริญชย์เสียแล้ว

          ยามที่ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับลงมา พิชญ์ก็หลับตาลงช้า ๆ เขาไม่เคยนับว่าถูกอริญชย์บังคับขืนจูบมากี่ครั้งแล้ว แม้หลัง ๆ อาจจะเรียกว่าบังคับได้ไม่เต็มปาก แต่อย่างน้อยครั้งนี้คงเรียกว่าเต็มใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

          สัมผัสของอริญชย์ไม่ได้นุ่มนวลนัก แต่ทั้งเรียกร้องและตักตวงอย่างเอาแต่ใจ พิชญ์ครางออกมาเบา ๆ ยามเมื่อรู้สึกว่าถูกอริญชย์จูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจวนเจียนจะขาดอากาศหายใจ เขาทุบอกอริญชย์และยกฝ่ามือดันอีกฝ่ายออกไป ดวงตาที่ช้อนมองวาววับ ทว่าคนถูกมองกลับยิ้มรับราวถูกใจนักหนา

          อริญชย์ไล้ปลายนิ้วไปตามริมฝีปากที่บวมเจ่อของพิชญ์ ฝ่ามืออีกข้างโอบรั้งคนที่ตัวเล็กกว่าให้เข้ามาหาจนร่างกายแนบสนิทชิดกันทุกสัดส่วน ข้าวของที่หล่นเกลื่อนกลาดกลายเป็นเพียงสสารที่ไม่มีใครสนใจไยดี

           “คุณใหญ่...” พิชญ์ครางฮือ ยามถูกปรนเปรอด้วยรสจูบซ้ำ ๆ จนแทบขาดใจ

           “เด็กดี...”

          พิชญ์รู้สึกราวกับตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสาขึ้นมายามอริญชย์กระซิบชิดริมฝีปากเขา มือข้างหนึ่งยึดไหล่อริญชย์เอาไว้แน่น แข้งขาแทบจะหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่จูบกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้อริญชย์จูบเขาราวกับจะกลืนกินลงไปทั้งตัว ราวกับมีความนัยซุกซ่อนอยู่ในทุกสัมผัสที่แนบเคล้าลงมา

          ยามเมื่อถูกรุกไล่มากเข้า พิชญ์ก็เป็นฝ่ายดุนปลายลิ้นกลับไป เขาจูบได้และจูบเป็น แม้ว่าอาจจะไม่ได้เก่งกาจเท่าคนที่กำลังช่วงชิงลมหายใจของเขาอยู่ แต่อย่างน้อย เขาก็ทำให้อริญชย์เป็นฝ่ายครางออกมาได้เหมือนกัน

          พอถูกจูบ พิชญ์ก็แทบคิดอะไรไม่ออก ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่าเขาต้องผลักไสอริญชย์ ร่างกายกลับทำตรงกันข้าม เกาะเกี่ยวอีกฝ่ายไว้แน่น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามการชักจูงและนำพาของอริญชย์ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พิชญ์ก็ไม่อาจต้านทานได้เลย พิชญ์ถึงได้บอกว่าเขากลัว กลัวว่าตัวเองจะพ่ายแพ้หมดรูปอย่างที่กำลังเป็นอยู่

          สติดูเหมือนจะกลับคืนมาหาพิชญ์ตอนที่แผ่นหลังเขาแนบกับเตียง ฝ่ามือร้อนผ่าวสอดเข้ามาใต้เสื้อนอน ลูบไล้ผิวกายเปลือยเปล่าจนพิชญ์ขนลุกเกรียว ร่างกายพลันสั่นระริก

           “คุณใหญ่...”

          ราวกับเสียงเรียกหาของพิชญ์คือคำเรียกร้อง ยิ่งพิชญ์เอ่ยเรียกชื่ออริญชย์มากเท่าไหร่ อริญชย์ยิ่งรุกเร้ามากเท่านั้น ทั้งริมฝีปากทั้งมือทำงานสอดประสานกันอย่างพร้อมเพรียง กระดุมชุดนอนถูกปลดลงมาอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ยามที่ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดโดนตัว พิชญ์ถึงกับสั่นสะท้าน แต่ยังไม่เท่าตอนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวขบเม้มไปทั่วตัวเขาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

          พิชญ์ครางชื่ออริญชย์ออกมาซ้ำ ๆ หยัดตัวเข้าหาริมฝีปากของอริญชย์อย่างลืมอาย ฝ่ามือที่ควรผลักไสกลับดึงรั้งอีกฝ่ายเข้ามาหา บทรักที่กำลังโหมกระพือคงดำเนินต่อไปจนถึงปลายทาง ถ้าเพียงแต่ทั้งพิชญ์และอริญชย์จะไม่ได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้อง อริญชย์ทำท่าจะไม่สนใจเสียงที่ว่า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกฝ่ามือของพิชญ์ยันหน้าเขาเอาไว้ จนต้องขึงตามองคนที่อยู่ใต้ร่างดุ ๆ

           “ไม่ได้ยินเสียงหรือไง คุณใหญ่”

           “ได้ยินแล้วไง”

          พิชญ์ยกมือเสยผมลวก ๆ แม้แต่เด็กห้าขวบยังรู้ว่าตอนนี้อริญชย์กำลังหงุดหงิดเพราะอารมณ์ค้างแน่ ๆ เขาเองก็มีอารมณ์เหมือนกัน แต่จะให้มีเซ็กส์กันโดยที่มีเสียงร้องประหลาดประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะ มันก็ใช่เรื่อง

           “ผมออกไปดูหน่อยดีกว่า”

           “เดี๋ยวตุลย์ก็มาจัดการเองน่า”

           “แต่เสียงนี้คุ้น ๆ นะ”

          คราวนี้เสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนชัดเจน พิชญ์ผลักอริญชย์ให้พ้นทาง คว้าเสื้อนอนที่เพิ่งถูกถอดทิ้งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมาสวมเร็ว ๆ ไม่สนใจไยดีเจ้าของห้องที่กำลังของขึ้น ขาสองข้างก้าวไปกระชากประตูห้องเปิดออก พอเห็นที่มาของเสียงก็แทบหมดแรง

           “น้องหนู!”

          ลูกสาวตัวน้อยของพิชญ์ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงทางเดิน ใช้ฝ่ามือเล็ก ๆ ปาดน้ำตาป้อย ๆ ดูแล้วน่าสงสารเหลือเกินในสายตาของคนเป็นพ่อ ไม่ต้องพูดซ้ำให้มากความ พิชญ์ก็ถลาเข้าไปคว้าเอาน้องหนูมากอดแนบอก มือลูบหลังปลอบลูกสาวตัวน้อยไปมา นึกกร่นด่าตัวเองที่มัวแต่หลงระเริงจนเผลอละเลยน้องหนูไป แต่อย่างน้อยพิชญ์ก็ต้องขอบคุณน้องหนู ถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องหนูขึ้นมา พิชญ์คงเผลอไผลไปไกลจนไม่อาจถอยหลังกลับ

           “เป็นอะไรคะคนเก่ง บอกพ่อพีทหน่อยได้ไหมลูก”

          พอเห็นผู้เป็นพ่อปรากฏตัวตรงหน้า น้องหนูก็ดูเหมือนจะสงบลง เด็กหญิงค่อย ๆ คลายเสียงสะอื้นยามเอ่ยตอบผู้เป็นพ่อเสียงเครือ

           “พ่อพีทขา น้องหนูฝันร้าย”

          พิชญย่อตัวลงตรงหน้าน้องหนู ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาออกจากดวงหน้าเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน

           “ไม่เป็นไร พ่อพีทอยู่ตรงนี้แล้ว น้องหนูแค่ฝันไปเองลูก”

          อ้อมแขนของคนเป็นพ่อโอบรั้งลูกสาวเข้ามากอดแน่น กระซิบเอ่ยปลอบซ้ำไปมา ฝ่ามือลูบหลังเด็กหญิงเบา ๆ จนเห็นว่าน้องหนูสงบลงแล้ว พิชญ์ถึงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา น้องหนูเอามือสองข้างคล้องคอพิชญ์ไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย ซุกใบหน้าเล็ก ๆ ลงกับบ่าของพิชญ์จนคนเป็นพ่ออดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะชะงักเบา ๆ เมื่อรับรู้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลัง

           “น้องหนูเป็นอะไรไป”

           “แค่ฝันร้ายเฉย ๆ ผมขอตัวพาน้องหนูเข้านอนก่อนนะครับ”

           “น้องหนู...” อริญชย์เรียกหลานสาวตัวน้อยเสียงอ่อน จนคนเป็นพ่อยังอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงหูแว่ว

          พอได้ยินเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียก น้องหนูก็ยอมมุดหน้าออกมาจากบ่าของพิชญ์ ดวงตากลมโตที่ยังแดงระเรื่อช้อนมองผู้เป็นลุง แค่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับวงแขนที่กางออก เด็กหญิงก็โผจากอ้อมกอดของพิชญ์ไปหาอริญชย์อย่างง่ายดาย เล่นเอาพ่อบังเกิดเกล้าถึงกับมองตาปริบ ๆ

           “คุณใหญ่จะพาน้องหนูไปไหน” พิชญ์เอ่ยถามเสียงหลง เมื่อเห็นอีกคนทำท่าจะลักเอาตัวลูกสาวเขาไปดื้อ ๆ

           “พาน้องหนูเข้านอนน่ะสิ”

           “ส่งมานี่เถอะ เดี๋ยวผมพาลูกเข้านอนเอง”

          คำขอของพิชญ์ได้รับกลับมาเพียงแค่อาการหูทวนลมของอริญชย์ พอเห็นอริญชย์พาน้องหนูเดินลิ่วเข้าไปในห้องนอนของตัวเองที่พิชญ์เพิ่งเดินออกมา พิชญ์ก็ต้องรีบจ้ำเท้าตามทันที คนที่เดินเข้ามาก่อนวางหลานสาวตัวน้อยลงบนเตียงนอนหลังใหญ่ ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างน้องหนู ก่อนริมฝีปากอุ่นจะก้มลงแตะหน้าผากน้องหนูเบา ๆ

           “นอนนะคะคนเก่ง เดี๋ยวคืนนี้ลุงใหญ่กับพ่อพีทจะอยู่เป็นเพื่อนน้องหนูเอง”

           “ลุงใหญ่กับพ่อพีทนอนด้วยกันกับน้องหนูสิคะ”

          พอได้รับคำขอร้องอ้อน ๆ จากหลานสาว อริญชย์ก็รีบเอนตัวลงนอนข้างน้องหนู ก่อนจะขึงตามองพิชญ์ที่ยังยืนนิ่งให้ทำตาม คนไม่มีทางเลือกเลยต้องล้มตัวลงนอนอีกฝั่งอย่างช่วยไม่ได้ น้องหนูคว้าเอามือของพิชญ์กับอริญชย์มาจับไว้คนละข้าง

           “อย่าทิ้งน้องหนูไปไหนนะคะ”

          คำตอบรับคือฝ่ามือที่กุมกระชับแน่น แล้วเด็กหญิงก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน พิชญ์เกลี่ยปอยผมออกจากหน้าผากน้องหนูอย่างแผ่วเบา ยังอดพึมพำขึ้นมาด้วยความดื้อดึงไม่ได้

           “คุณใหญ่ไม่เห็นต้องลำบากพาน้องหนูเข้ามานอนที่นี่เลย ผมพาน้องหนูเข้านอนเองก็ได้”

          อริญชย์ชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปปิดไฟในห้อง ปรายตามองพิชญ์ที่กำลังนอนมองหน้าลูกแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ ๆ ออกมา

           “ลำบากตรงไหน เราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรือไง”

          ทั้งที่อริญชย์ก็เอ่ยด้วยเสียงดุ ๆ เหมือนทุกที แต่ทำไมคำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ที่ได้ฟัง มันถึงทำให้พิชญ์รู้สึกเต็มตื้นในอกแปลก ๆ เขาไม่ใช่แค่ของเล่นหรือที่ระบายความใคร่สำหรับอริญชย์ แต่เป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ใช่ไหม

          ครอบครัวเดียวกัน...ที่ไม่เฉพาะเจาะจงแค่พ่อ แม่ ลูก แต่ยังรวมถึงลุงของลูกด้วย




TO BE CONTINUE



หลังจากตอนนี้ จะมาอัพเดทตอนใหม่ทุกวันอาทิตย์นะคะ  :pig4:
ช่วงนี้บรรยากาศระหว่างพีทกับคุณใหญ่กำลังชื่นมื่นเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 23 ครอบครัวเดียวกัน --- หน้าที่ 6 [21/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-06-2020 20:47:59
ทำไมบรรยากาศมัน สีชมพู ๆ ยังไงไม่รู้นะ อิอิอิ
ตอนนี้ตุลย์แย่งซีนไปเต็มๆ ถึงมีบทน้อย แต่ก็ทำให้พีชญ์ยิ่งทำตัวไม่ถูก
 :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 23 ครอบครัวเดียวกัน --- หน้าที่ 6 [21/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-06-2020 21:42:33
เย้ !!! จะมาทุกวันอาทิตย์ใช่ไหมคะ :really2:

บรรยากาศกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแท้ๆ โดนน้องหนูผลักตกสวรรค์ซะงั้นนะคุณใหญ่ 55555

เห็นพีทปิดบังเรื่องยัยหลิวแล้วกลัวจริงๆ เลย ถ้าพลาดโดนยัยหลิวทำร้ายขึ้นมา คุณใหญ่จะไปช่วยทันไหมนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 23 ครอบครัวเดียวกัน --- หน้าที่ 6 [21/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-06-2020 23:03:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 23 ครอบครัวเดียวกัน --- หน้าที่ 6 [21/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-06-2020 01:50:18
โอ๊ยยนี้แหละครอบครัวที่แท้จริงที่พีทต้องการ สมบูรณ์สุดๆภาพนี้ 5555 ว้อยยยอย่าว่าแต่คุณใหญ่กับพีทเลยที่ค้าง  :impress2: นี่ก็ค้าง ชิท! กำลังได้ที่เลย 555 อยากกะด่าคนที่มาขัดก็ด่าไม่ลง เอ้าๆรอดตัวไปนะพีท ตุลย์ก็ขัดจังหวะมาแล้ว น้องหนูก็เพิ่งขัดจังหวะอีก ต่อไปจะมีใครอีกไหม จะได้ไปขวาง คุณใหญ่จะไม่ทนใช่ไหม 555555 ก็แหมมโว้ยเขาแบบมีอารมณ์ร่วมมาก จูบตอบ ดึงรั้งแบบว่าพีทดูพร้อมดูยอมแล้วมัน  :o8: :-[ เขินมากอะ เวลาสองคนนี้จู้จี้กัน 555 เถียงกันงอนกันแล้วก็ง้อด้วยภาษากายบางทีก็เข้าใจกันดีกว่านะ  :กอด1: คุณใหญ่แลดูใจเย็นอ่อนโยนมากขึ้น พีทก็ยังคงเป็นพีท แล้วที่พีทบอกว่ายังไม่อยากหย่า เรามองว่าพีทเกรงใจคุณเล็กคือต้องให้คุณเล็กเป็นคนมาขอหย่าเมื่อนั้นพีทถึงจะยอมเซ็นต์ให้ แต่จะให้พีทไปขอหย่าคงไม่มีทางเพราะยังรู้สึกผิดอยู่ เลยเอาน้องหนูมาอ้างเพราะครอบครัวแม้หย่าก็ยังอยู่ด้วยกันได้อยู่ แค่ไปให้อีกคนมีอิสระมากขึ้นในเมื่อไม่ได้รักกัน สนุกกกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยค่ะ จะเป็นยังไงทั้งงานและความรัก เขินอะเขิน 555  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 23 ครอบครัวเดียวกัน --- หน้าที่ 6 [21/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 23-06-2020 02:17:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 24 พลาด --- หน้าที่ 6 [28/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 28-06-2020 19:24:52
ยี่สิบสี่
พลาด



          บรรยากาศยามเช้าบนโต๊ะอาหารตระกูลเกียรติกาญจนามีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็ก ๆ เมื่อเจ้าตัวน้อยของพิชญ์เอาแต่นั่งงอแงหน้าชามข้าวต้ม จนพิชญ์ต้องทั้งเร่งทั้งหลอกล่อน้องหนูเพราะกลัวจะสาย คนพ่อเข้างานสายยังพออภัยให้ได้ แต่คนลูกห้ามเข้าเรียนสายเด็ดขาด

           “พ่อพีท น้องหนูอิ่มแล้ว”

          ปากกระจับยื่นออกมาอย่างแสนงอน มือเล็กดันชามข้าวต้มออกห่างตัว เดือดร้อนพิชญ์ต้องรีบวางช้อนของตัวเองลง

           “อีกสามคำนะครับคนเก่ง อ้าม...ม”

           “สองนะคะ...”

           “สามครับคนเก่ง เด็กดีของพ่อพีท”

          พิชญ์พยายามหลอกล่อเต็มที่ นึกเล่น ๆ ว่าถ้าเป็นอริญชย์ อีกฝ่ายคงมีวิธีจัดการกับอาการงอแงของน้องหนูได้ดีกว่าเขาแน่ ๆ เสียแต่ว่าพิชญ์เพิ่งรู้จากป้าน้อยว่าอริญชย์ออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพราะมีนัดกับลูกค้าต่างจังหวัด ความจริงพิชญ์เองก็นึกเอะใจอยู่เหมือนกัน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเหลือแค่เขากับน้องหนูอยู่บนเตียงกว้าง ส่วนเจ้าของห้องกลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย

          หลังจากจัดการกับตัวเองและน้องหนูเสร็จแล้ว พิชญ์ก็กึ่งลากกึ่งจูงน้องหนูออกมาขึ้นรถ โชคดีว่ากริชรู้งานเลยรีบเตรียมรถมารอหน้าบ้านแต่เนิ่น ๆ ส่วนนวลก็ช่วยหิ้วกระเป๋าและข้าวของเดินตามมาติด ๆ

           “อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลาเข้าเรียน ซิ่งเลยนะกริช” พิชญ์เอ่ยกำชับกริชหน้าตาจริงจัง จนคนรับคำสั่งเกือบจะหลุดยิ้มขำออกมา

           “ผมบอกแล้วว่าผมไปส่งคุณหนูก่อนแล้วค่อยกลับมารับคุณพีท คุณพีทก็ไม่ยอม”

           “ถ้าน้องหนูสายก็เพราะพ่อพีทนั่นแหล่ะ”

           “ครับ ๆ โทษแต่พ่อนะเรา”

           “ก็พ่อพีทตื่นสายจริง ๆ นี่นา”

          พิชญ์เกาหัวแก้เก้อ ยิ่งเห็นกริชลอบมองมาก็ยิ่งทำหน้าปุเลี่ยน ยอมรับเลยว่าเขาตื่นสาย ต้องโทษเตียงนอนของอริญชย์นั่นแหล่ะที่ทำเขาหลับลึก หลับสนิท หลับสบายจนลืมตื่น แถมเจ้าของห้องก็ชิ่งหนีแต่เช้า ไม่ยอมเสียเวลาปลุกกันซักนิด เดือดร้อนน้องหนูที่ตื่นมานอนมองพิชญ์ตาแป๋วต้องเป็นฝ่ายเขย่าปลุก คนเป็นพ่อถึงงัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนจะตาสว่างทันทีที่เห็นนาฬิกา แล้วรีบตาลีตาเหลือกอุ้มน้องหนูมาส่งให้นวลจัดการอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะรีบจัดการกับตัวเองเป็นการด่วน

          กริชอมยิ้มขำเมื่อเห็นความชุลมุนเล็ก ๆ เกิดขึ้นยามเช้า แล้วคนขับรถมือฉมังของอริญชย์ก็ไม่ทำให้พิชญ์ผิดหวัง กริชพาพิชญ์และน้องหนูมาถึงหน้าประตูโรงเรียนแบบฉิวเฉียด ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด พิชญ์รีบกระเตงน้องหนูลงจากรถ ก้มลงหอมแก้มยุ้ยหนึ่งฟอดก่อนจะจูงน้องหนูไปส่งให้คุณครูที่ยืนรอรับอยู่หน้าประตู

           “แหม วันนี้คุณพ่อมาส่งเองเลยนะคะ”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้คุณครู ถ้าน้องหนูไม่งอแงแต่เช้า เขาก็คงปล่อยให้นวลมาส่งเหมือนทุกที

           “ตรงไปบริษัทเลยนะครับคุณพีท” กริชเอ่ยถามหลังจากผู้เป็นนายกลับขึ้นมาบนรถแล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเล็ก ๆ

          บรรยากาศที่บริษัทยามเช้าเงียบสงบเหมือนทุกวัน พิชญ์มาสายกว่าเวลาเข้างานปกติเล็กน้อย เขาแวะทักทายประชาสัมพันธ์ข้างล่าง ก่อนจะเดินตรงไปยังลิฟต์ผู้บริหาร ชั้นบนสุดของตึกเงียบกริบ นอกจากพิชญ์ที่เพิ่งมาถึงแล้วก็มีแค่แม่บ้านประจำชั้นคอยเดินดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ

          พิชญ์เดินเข้าห้องทำงานตัวเอง พอนั่งเรียบร้อยก็กดอินเตอร์คอมขอกาแฟร้อนจากแม่บ้านประจำชั้น มืออีกข้างคว้าเอาสมุดนัดหมายมาเปิดดู เผลอคิดเล่น ๆ ว่าถ้ามีเลขาหรือผู้ช่วยซักคนก็คงดี แต่คงตลกน่าดูถ้าเขาจะมีเลขา แม้กระทั่งอริญชย์ยังมีแค่ตุลย์คอยจัดการงานให้ทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ขืนเขาเอ่ยปากขอเลขา เผลอ ๆ อริญชย์คงส่งตุลย์มาให้เขาใช้บริการเสียด้วยซ้ำไป

          พิชญ์กวาดสายตาไล่ไปตามลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยของตัวเองบนสมุดอออร์แกไนเซอร์ แล้วก็ต้องยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังป๊าบเมื่อเห็นกำหนดนัดหมายวันนี้

           ...12.00 น. นัดทานข้าวกับเจ้าสัวสมศักดิ์ที่โรงแรมแชงกรี-ลา…

          เขาลืมนัดวันนี้เสียสนิท!

          พิชญ์เงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีเวลาอีกสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด เขาเบนสายตาไปยังเสาแขวนเสื้อสูทตรงมุมห้อง โชคดีที่มีสูทสำรองอยู่ที่บริษัทตัวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องไหว้วานให้กริชขับรถกลับไปเอามาให้แน่ ๆ ตอนตุลย์แนะนำให้พิชญ์ทิ้งสูทไว้ที่บริษัทเผื่อฉุกเฉิน พิชญ์ยังนึกค้านในใจว่าคงไม่จำเป็น มาตอนนี้เลยได้แต่นึกขอบคุณในความหวังดีและรอบคอบของตุลย์ขึ้นมา

          พอเห็นตารางนัดของตัวเองแล้ว พิชญ์ก็ไม่ลืมที่จะโทรศัพท์บอกกริชด้วยเช่นกัน

           “กริช วันนี้ผมมีนัดที่โรงแรมแชงกรี-ลาตอนเที่ยง...”

          แค่พิชญ์เริ่มเกริ่น กริชก็ตอบรับกลับมาด้วยความรวดเร็วสมกับเป็นลูกน้องอีกคนที่อริญชย์ไว้ใจ

           “พี่ตุลย์บอกผมไว้แล้วครับ เดี๋ยวผมสแตนด์บายรอคุณพีทตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง จากบริษัทไปแชงกรี-ลาน่าจะครึ่งชั่วโมงได้อยู่”

           “โอเค งั้นเอาตามนี้เลยนะ”

          แม้จะรู้สึกชื่นชมการเตรียมพร้อมของกริชอยู่หน่อย ๆ แต่พิชญ์ยังอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ ดูเหมือนทั้งอริญชย์และตุลย์ต่างก็รู้ตารางงานและตารางนัดหมายของเขาเป็นอย่างดี จนความรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองราวกับเป็นนักโทษแล่นขึ้นมาในความคิดของพิชญ์วูบหนึ่ง

          หลังวางสายจากกริชแล้ว พิชญ์ก็นั่งเคลียร์งานส่วนที่ยังคั่งค้างและรอการอนุมัติจากเขา ส่วนงานประมูลที่เตรียมยื่นซองก็เสร็จเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่ไล่ดูรายละเอียดบางจุดอีกเล็กน้อยก็พร้อมส่งให้อริญชย์เซ็นอนุมัติได้

          แวบหนึ่งที่นั่งทำงานอยู่เพลิน ๆ คำถามเมื่อคืนของอริญชย์ก็ลอยกลับเข้ามาในหัว

           ...เคยคิดจะหย่ากับไอลดาบ้างไหม...

          หย่างั้นหรือ พิชญ์แทบไม่เคยคิดถึงคำ ๆ นี้มาก่อนเลย เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งตัวเองจะหย่าขาดจากไอลดา

          การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับไอลดามาเกือบห้าปีตอกย้ำให้พิชญ์ยิ่งรู้และมั่นใจว่า คำกล่าวของผู้ใหญ่ที่บอกว่า ‘อยู่กันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็รักกันเอง’ มันไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยก็ในกรณีของเขา เขามีความปรารถนาดีมอบให้ไอลดามากขึ้นทุกวัน แต่มันก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้

          พิชญ์ไม่ได้ข่าวคราวของไอลดาเลยนับตั้งแต่วันที่เธอเลือกเดินจากไป เพียงแค่รู้จากอริญชย์ว่าไอลดาอยู่ต่างประเทศและสบายดี แต่สบายในความหมายของอริญชย์อาจจะหมายถึงสบายกาย แต่ใจของไอลดาเล่า พิชญ์ไม่รู้เลยว่าเธอรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างหรือยัง

          น่าแปลกที่ความขุ่นเคืองอริญชย์ในตอนนี้มันไม่ได้มากมายเท่ากับตอนเกิดเรื่องแรก ๆ แต่จะให้พูดว่าไม่โกรธไม่เคืองกันเลย พิชญ์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เขายังรู้สึกโกรธเคืองอยู่ แต่น่าตกใจเหลือเกินที่น้ำหนักของมันน้อยจนเหมือนเป็นแค่เพียงตะกอนก้นแก้วที่ยังไม่ได้จางหายไปไหน หากวันไหนมีใครมากวนน้ำให้ขุ่น ตะกอนความโกรธเคืองของพิชญ์ก็พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ตอนนี้ความโกรธเคืองมันเบาบางลงทุกวัน

          บางที คนเห็นแก่ตัวอย่างเขาอาจจะต้องลองคิดทบทวนเรื่องหย่ากับไอลดาอย่างจริงจังดูเสียที

          อย่างน้อยก็ให้น้องสาวที่เขารักได้มีความสุขจริง ๆ

          อริญชย์พูดถูก ใบหย่าอาจจะทำให้ความเป็นสามีภรรยาสิ้นสุดลง แต่ไม่อาจทำให้ความเป็นพ่อแม่ลูกสิ้นสุดไปได้ แล้วเขาจะหวงแหนความเป็นสามีภรรยาเอาไว้ทำไม ในเมื่อตลอดมาก็เป็นตัวเขาเองที่ไม่เคยต้องการมันเลย



.



          พิชญ์มาถึงโรงแรมแชงกรี-ลาก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย กริชบ่นงึมงำมาตลอดทางว่าวันนี้เมอร์เซเดส เบนซ์ประจำตำแหน่งของพิชญ์ดูเหมือนจะเกเรหน่อย ๆ ก่อนลงจากรถพิชญ์เลยสั่งให้กริชเอารถไปเช็กที่ศูนย์เพื่อความปลอดภัย เกิดขับ ๆ อยู่แล้วดับขึ้นมากลางทางจะยุ่งเสียเปล่า ๆ

           “ถ้าผมมาช้า คุณพีทก็รอหน่อยนะครับ”

           “เอาเถอะ ถ้าเช็กเครื่องนาน เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับออฟฟิศเอาก็ได้”

          พอเห็นกริชทำท่าจะเอ่ยค้าน พิชญ์ก็เปิดประตูลงจากรถทันที ได้ยินเสียงกริชบ่นกระปอดกระแปดตามหลังถึงความดื้อรั้นของเขา แต่พิชญ์ก็คร้านที่จะฟัง

          พิชญ์กระชับแนบเสื้อสูทสีดำเข้ากับตัว ดวงหน้าเรียบนิ่งยามก้าวไปตามทางเดินปูพรมทอดยาว มุ่งหน้าสู่ห้องอาหารจีนขึ้นชื่อของโรงแรม ซึ่งเจ้าสัวสมศักดิ์ ตัวตั้งตัวตีในการนัดหมายคราวนี้โปรดปรานนักหนา

          ถึงพิชญ์จะจดลงสมุดออร์แกไนเซอร์ว่านัดกินข้าวกับเจ้าสัวสมศักดิ์ แต่พิชญ์และอริญชย์ต่างก็รู้ดีว่าเป็นการนัดหมายพบปะกันนอกรอบของสี่ขุนพลวงการธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งความจริงแล้วควรจะเป็นห้าขุนพล เพียงแต่ทางกมลวิลาศน์เลือกที่จะปลีกตัวออกจากวงสังคมอยู่ช่วงหนึ่งจนเหลือแค่สี่ขุนพล

          ความที่จริงแล้วอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายมาร่วมงานนี้ด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนจดหมายเชิญจากเจ้าสัวสมศักดิ์ถูกส่งมาถึงมืออริญชย์ เจ้าตัวก็เพียงแค่ปรายตามองเหมือนมองเศษกระดาษก่อนจะผลักภาระมาที่พิชญ์หน้าตาเฉย พอพิชญ์ถามหาเหตุผล อริญชย์ก็ตอบสั้น ๆ ว่า

           ‘ไร้สาระ!’

          เป็นคำตอบที่สมกับเป็นอริญชย์ดี และพิชญ์ก็เลยต้องมาแทนอริญชย์อย่างที่เห็น

          ห้องอาหารแชง พาเลซตกแต่งเรียบหรูแบบจีน สมกับเป็นห้องอาหารจีนขึ้นชื่ออันดับต้น ๆ หลังจากพิชญ์แจ้งชื่อเจ้าภาพ บริกรก็เดินนำพิชญ์มายังโต๊ะกลมซึ่งถูกจัดเป็นสัดส่วนอยู่มุมหนึ่งของห้องอาหาร พิชญ์ค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัย เมื่อเห็นว่าแขกมากันครบเรียบร้อยแล้ว เจ้าสมศักดิ์เห็นท่าทีของพิชญ์ก็รีบโบกมือก่อนจะชี้มือไปยังเก้าอี้ว่างอีกสองตัวข้างพิชญ์

           “เธอไม่ได้มาถึงเป็นคนสุดท้ายหรอก ยังขาดอีกสองคน”

           “ผมนึกว่าเจ้าสัวเชิญมาแค่พวกเราเหมือนทุกทีเสียอีก” คุณธงชัยซึ่งนั่งอยู่ซ้ายมือของเจ้าสัวและอ่อนวัยกว่าเจ้าสัวเล็กน้อยเปรยขึ้นมาเบา ๆ

           “คราวนี้มีแขกพิเศษ”

          พิชญ์ขมวดคิ้วกับคำว่า ‘แขกพิเศษ’ ของเจ้าสัว สัญชาติญาณบางอย่างกำลังร้องเตือน แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง ถ้าเป็นทางนั้นจริง อริญชย์ก็น่าจะรู้หรือระแคะระคายบ้าง 

           “คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

          คำถามจากบริกรดึงพิชญ์ออกจากความคิด เขาเผลอหลุดยิ้มแปลก ๆ ออกมา โดนเรียกว่าคุณผู้ชายมากี่หนต่อกี่หน พิชญ์ก็ยังไม่ชินเสียที โชคดีที่ตุลย์กับกริชและลูกน้องคนอื่น ๆ ของอริญชย์เรียกเขาว่า ‘คุณพีท’ เฉย ๆ ขืนเรียกคุณผู้ชายแบบนี้ เขาคงรู้สึกจั๊กกะจี้หูทุกครั้งที่ถูกเรียกแน่ ๆ

           “ขอเป็นชาร้อนแล้วกัน”

          ชามะลิอย่างดีถูกรินจากกาลงบนถ้วยชาทางขวามือของพิชญ์ เขาเพิ่งจะจิบชาเพียงแค่อึกแรกก็ดูเหมือนแขกพิเศษของเจ้าสัวจะมาถึงแล้ว พิชญ์นึกอยากเห็นหน้าค่าตาแขกพิเศษของเจ้าสัวขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ติดตรงที่เขานั่งหันหลังให้กับทางเข้า ด้วยมารยาทจึงหันกลับไปมองไม่ได้ เสียงฝีเท้าทอดลงบนพรมจนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างหลังพิชญ์นั้นเงียบกริบ แล้วเจ้าสัวก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักแขกพิเศษขึ้นมาก่อน

           “นึกว่าจะปล่อยคนแก่รอเก้อเสียแล้ว”

          เสียงหัวเราะห้าวลึกจากเบื้องหลังบาดความรู้สึกของพิชญ์เขาอย่างจัง และถึงกับชะงักตัวแข็งทื่อเมื่อบริกรเลื่อนเก้าอี้ว่างสองตัวข้างเขาออก อย่างน้อยพระเจ้าก็ยังเข้าข้างพิชญ์อยู่ รัญญาเลือกนั่งติดกับพิชญ์ ถัดไปถึงเป็นราชันย์ ซึ่งเพียงแค่ปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก

           “สวัสดีค่ะคุณพีท เจอกันอีกแล้วนะคะ”

          ถ้อยคำทักทายดังมาจากริมฝีปากเคลือบสีแดงสด รัญญาคลี่ยิ้มบางยามเห็นคนคุ้นเคย ผิวขาวแบบลูกคนจีนของเธอถูกขับให้ยิ่งดูผุดผาดด้วยชุดเดรสสีแดงอมส้ม

           “สวัสดีครับคุณราชันย์ คุณรัญญา”

          พิชญ์เอ่ยทักทายแขกพิเศษที่เพิ่งมาถึงตามมารยาท เขาค้อมหัวลงเล็กน้อยเมื่อเห็นราชันย์มองมา อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับ เล่นเอาพิชญ์ถึงกับหน้าชา ยังดีที่รัญญายื่นหน้ามากระซิบข้างหูเขาปนเสียงหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี

           “อย่าถือสาเลยนะคะคุณพีท พอดีเช้านี้เฮียเขามีเรื่องหงุดหงิดนิดหน่อย”

          พิชญ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้กลาย ๆ พอแขกมากันครบ เจ้าสัวก็กวักมือเรียกบริกรให้เสิร์ฟอาหารซึ่งสั่งไว้ล่วงหน้าแล้ว หญิงสาวเพียงคนเดียวของโต๊ะนั่งอยู่ระหว่างพิชญ์กับราชันย์ ซึ่งฝ่ายหลังก็เอาแต่นั่งคุยกับเจ้าสัว จนพิชญ์ต้องคอยดูแลหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวตามมารยาท แม้รัญญาจะเอ่ยปากห้ามแล้วก็ตาม

           “คุณพีทตักของตัวเองเถอะ หลิวตักอาหารถึงค่ะ”

          พิชญ์เพียงแค่ยิ้มรับคำทักท้วงของเธอ อย่างน้อย ๆ การทำแบบนี้มันก็ช่วยเขาลดอาการประหม่ายามต้องนั่งร่วมโต๊ะกับราชันย์ลงได้นิดหน่อย ซีกหน้าด้านข้างของราชันย์ เพียงแค่มองผ่าน ๆ ก็ให้ความรู้สึกดุดัน ทำเอาพิชญ์รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อริญชย์คงคาดไม่ถึงว่าเจ้าสัวสมศักดิ์จะเตรียมเซอร์ไพรส์เอาไว้แบบนี้ เพราะถ้าหากอริญชย์รู้ พิชญ์คงไม่มีโอกาสได้มานั่งร่วมโต๊ะอย่างที่เป็นอยู่แน่ ๆ

          ตลอดมื้ออาหารล้วนแล้วแต่เป็นการสนทนาเรื่องธุรกิจ แลกเปลี่ยนข่าวสารของแต่ละคนสลับกับถกเถียงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น พิชญ์ลอบสังเกตเห็นว่าราชันย์มักจะนั่งฟังเฉย ๆ มากกว่า นาน ๆ ถึงจะออกความคิดเห็นท ส่วนรัญญาก็หันมาคุยกับเขาเป็นระยะ จนเจ้าสัวสมศักดิ์ถึงกับกระเซ้ายิ้ม ๆ

           “อาหลิว พิชญ์เขามีภรรยาแล้วนะ”

           “โธ่! ฉันรู้ค่ะแปะสมศักดิ์ แค่คุยกันตามประสาคนคุ้นเคยเฉย ๆ”

          หลังจบถ้อยคำกระเซ้าทีเล่นทีจริงของเจ้าสัวสมศักดิ์ ดูเหมือนสายตาเย็นชาของราชันย์จะพุ่งตรงมายังพิชญ์ ริมฝีปากหยักบิดออกเป็นรอยยิ้มที่พิชญ์นึกรังเกียจ ก่อนราชันย์จะกลับไปตีหน้านิ่งเหมือนเดิม

           “คุณพีท...”

          เสียงเรียกของรัญญาทำเอาพิชญ์ต้องหันกลับมามองเธอพร้อมกับยิ้มอ่อน ๆ

           “ครับ”

           “ตอนแรกหลิวคิดว่ามาแล้วจะเจอพี่ใหญ่เสียอีก ดีจังที่คุณพีทมาแทน”

          เห็นท่าทางเกรง ๆ ของรัญญายามเอ่ยถึงอริญชย์แล้วพิชญ์ก็เกือบจะหลุดขำ สำหรับคนภายนอกแล้ว  อริญชย์ดูน่าเกรงขามอยู่เสมอ ขนาดรัญญาที่ดูน่าจะคุ้นเคยกับอริญชย์มาตั้งแต่สมัยก่อนยังนึกเกรง สงสัยอริญชย์คงจะเคยสำแดงฤทธิ์เดชให้น้องสาวของอดีตเพื่อนรักเห็นเป็นแน่ แต่ถ้าได้มาเห็นตอนอริญชย์อยู่กับน้องหนู พิชญ์กล้าพนันเลยว่า ร้อยทั้งร้อยต้องอ้าปากตาค้าง ยามเห็นเสือร้ายกลายเป็นแค่คุณลุงใจดี

           “พอดีคุณใหญ่ติดธุระนิดหน่อย ผมเลยต้องมาแทน”

          บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเน้นการคุยกันแบบสบาย ๆ แม้ว่าจะมีแขกพิเศษมาเพิ่มถึงสองคน แต่บรรยากาศก็ยังดูเรียบง่ายเหมือนทุกที ก่อนจะมีคนริอ่านจุดชนวนระเบิดขึ้นมากลางโต๊ะ หลังจากบริกรเพิ่งวางของหวานตบท้ายลงบนโต๊ะได้เพียงแค่ครู่เดียว

           “เดี๋ยวจะถึงกำหนดยื่นซองประมูลโครงการของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงแล้ว กลุ่มพวกเรามีแค่ทางเกียรติกาญจนากับกมลวิลาศน์ที่ยื่นใช่ไหม”

          เป็นคำถามทั่ว ๆ ไป แต่ดูเหมือนคนที่ถูกกล่าวถึงจะชะงักเล็กน้อย ก่อนที่ราชันย์จะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูอารมณ์ดีจนผิดปกติวิสัย

           “ผมห่างหายจากวงการไปห้าปี กลับมาทั้งทีก็อยากจะมีผลงานบ้าง หวังว่าทางเกียรติกาญจนาคงไม่รังเกียจถ้าทางเราจะยื่นซองประมูลคราวนี้ด้วย”

           “ผมจะรังเกียจได้ยังไงครับ เราแฟร์ ๆ กันอยู่แล้ว”

          พิชญ์ไม่รู้ว่าถ้าอริญชย์มาอยู่ตรงนี้ อริญชย์จะตอบโต้ออกไปว่าอย่างไร แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นเขาที่นั่งอยู่ เขาก็ต้องเป็นคนกลั่นกรองคำตอบออกไปในแบบของตัวเอง

           “มองโลกในแง่ดีจังนะ”

           “ผมไม่ได้มองโลกในแง่ดีหรอกครับ ผมแค่มองในแบบที่มันเป็น”

           “อะไร ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายเห็นเสมอไปหรอก”

           “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ผมเชื่อสัญชาติญาณของตัวเองมากกว่า”

           “ทั้งที่มันอาจจะผิดน่ะหรือ”

          เจ้าสัวสมศักดิ์ยังคงไวต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก คนสูงวัยชิงหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะเอ่ยแทรกบทสนทนาของราชันย์กับพิชญ์ที่ทำท่าว่าจะเลยเถิดไปไกล

           “อย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลยอาเล้ง รีบกินของหวานกันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติกาญจนาหรือกมลวิลาศน์ที่ประมูลได้ ยังไงก็ต้องเลี้ยงฉลองอยู่ดี”

          พิชญ์เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้ม ถูกของเจ้าสัว...

          เกมนี้ไม่ว่าใครเป็นผู้ชนะก็ต้องมีการเลี้ยงฉลอง เพียงแต่คนชนะเท่านั้นที่จะมีโอกาสเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของตัวเอง



.
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 24 พลาด --- หน้าที่ 6 [28/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 28-06-2020 19:25:55


          หลังเสร็จมื้ออาหารกลางวัน แต่ละคนก็แยกย้ายกันกลับบริษัทของตัวเอง เจ้าสัวสมศักดิ์บ่นเสียดายอยู่หลายครั้งที่อริญชย์บังเอิญติดธุระวันนี้เลยพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่พิชญ์กลับคิดว่าดีแล้วที่เป็นเขามา ขืนอริญชย์มาด้วยตัวเอง น่ากลัวจะต้องมีการล้มโต๊ะเกิดขึ้นแน่ ๆ พิชญ์ย่นจมูกหน่อย ๆ เมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรหากริช

           “ครับ คุณพีท” ปลายสายยังคงรับสายรวดเร็วเหมือนเคย แต่เสียงอื้ออึงจากปลายสายก็ทำเอาพิชญ์ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

           “ผมเสร็จแล้วนะ”

           “ผมเอารถมาเช็กสภาพอยู่เลยครับคุณพีท เหมือนเครื่องยนต์มันจะรวนหน่อย ๆ แต่เดี๋ยวผมจะโทรเรียกให้ลุงสมเอารถอีกคันมาให้ ยังไงคุณพีทรออยู่ที่โรงแรมก่อนนะครับ”

           “ไม่ต้องลำบากหรอก ลุงสมแก่ปูนนี้แล้ว เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับเอง”

           “แต่ว่า...”

           “ไม่ต้องแต่ ไปจัดการให้เรียบร้อยเถอะ แค่นี้นะ” พิชญ์ตัดบทฉับแล้วก็รีบวางสายทันที

          โชคดีที่เป็นกริช เขายังพอออกคำสั่งได้บ้าง ขืนอีกฝ่ายเป็นตุลย์ ไม่แคล้วว่าพิชญ์คงต้องนั่งรออยู่ที่นี่แบบไม่มีข้อโต้แย้งแน่ ๆ

          พิชญ์เพิ่งจะยัดโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาจากด้านหลังให้ต้องชะงัก

           “คุณพีทคะ...”

          รัญญากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาพิชญ์ โชคดีที่อย่างน้อยรัญญายังมาคนเดียว ไม่ได้พ่วงเอาพี่ชายมาด้วย พิชญ์ยิ้มรับนิด ๆ ขณะยืนรอให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา

           “จะกลับแล้วเหรอคะ”

           “ครับ คุณหลิวมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”

          รัญญายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะทำสีหน้าลำบากใจ พิชญ์เห็นอาการของหญิงสาวก็นึกเดาออกลาง ๆ แต่ยังเลือกที่จะถามซ้ำ

           “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

           “คุณพีทรีบกลับออฟฟิศหรือเปล่าคะ หลิวอยากจะขอรบกวนเวลาซักหน่อย”

          พิชญ์ทำทีเป็นก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองบ้าง เขาตีสีหน้าเรียบเฉยปนครุ่นคิด ทั้งที่สัญชาติญาณภายในกำลังร้องเตือน

           “ผมไม่ต้องรีบกลับออฟฟิศหรอกครับ แต่ต้องไปรับลูกตอนบ่ายสามโมงครึ่ง”

          พอได้ยินคำตอบของพิชญ์ รัญญาก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดีราวกับรอคอยคำตอบนี้ของพิชญ์อยู่

           “หลิวเล่าให้เฮียฟังว่าคุณพีทก็รู้เรื่องพี่ใหญ่กับเฮียเหมือนกัน เฮียเลยอยากคุยกับคุณพีท แต่หลิวไม่แน่ใจว่าคุณพีทสะดวกใจจะคุยกับเฮียหรือเปล่า ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะคะ พอดีหลิวจำได้ว่าคุณพีทเองก็เคยเกริ่น ๆ กับหลิวว่าอยากคุยกับเฮียเหมือนกัน”

          สัญชาติญาณระวังภัยเกือบทำให้พิชญ์หลุดปากปฏิเสธไป แต่ประโยคหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวเสียก่อน

          ไม่เข้าถ้ำเสือ ไม่ได้ลูกเสือฉันใด ไม่เข้าถ้ำมังกร ก็คงไม่ได้มังกรฉันนั้น

           “ถ้าไม่นานมากก็คงพอได้ครับ”

           “ดีค่ะ งั้นไปรถหลิวเลยนะคะ” รัญญาเอ่ยพลางแตะแขนพิชญ์เพื่อให้เดินมากับเธอ แต่คราวนี้พิชญ์กลับชะงักเล็กน้อย

           “เสี่ยเล้งไม่ได้อยู่ที่นี่หรือครับ”

          อย่างน้อยการคุยในที่สาธารณะอย่างล็อบบีหรือห้องอาหารของโรงแรมก็คงดีกว่าการต้องไปบุกถ้ำมังกรของจริงเป็นไหน ๆ

           “เฮียกลับไปที่ออฟฟิศแล้วค่ะ ถ้าคุณพีทไม่สะดวกก็บอกหลิวได้นะคะ”

          รัญญายังคงฉลาดที่เป็นฝ่ายเปิดทางเลือกให้พิชญ์เสมอ แม้กระทั่งในตอนที่พิชญ์หลวมตัวก้าวไปหาเธอแล้วถึงครึ่งตัว

           “ไม่เป็นไรครับ คุณหลิวนำผมไปที่รถแล้วกัน”

          รัญญาพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำพิชญ์ออกมาด้านหน้าโรงแรม เมอร์เซเดส เบนซ์สีบรอนซ์ของหญิงสาวจอดรออยู่แล้ว พอเห็นรัญญาเดินออกมาพร้อมพิชญ์ คนสนิทของรัญญาก็วนรถมารับทันที

           “คุณพีทน่าจะพอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ นี่นที คนสนิทของหลิวเองค่ะ”

          คนถูกแนะนำแค่ปรายตามองพิชญ์ด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง ก่อนจะจดจ่อกับถนนข้างหน้า พิชญ์เห็นรัญญาทำหน้าเอือมกับความไร้มารยาทของคนสนิท เขาก็ยิ้มเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

           “เขาก็เป็นแบบนี้แหล่ะค่ะ” รัญญากระซิบกับพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะสั่งคนสนิทของตัวเอง “กลับออฟฟิศเลยนะนที”

          ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่กำลังขับรถอยู่ แต่รัญญาก็หมดความสนใจในตัวคนสนิทเพียงแค่นั้น หญิงสาวเลือกที่จะหันมาชวนคนข้างตัวคุยแทนเสียมากกว่า

           “ตกลงแล้วทางคุณพีทก็จะยื่นซองประมูลด้วยจริง ๆ เหรอคะ”

           “ครับ ก็อย่างที่ผมบอกเสี่ยเล้งตอนกินข้าวไปแล้ว คุณหลิวเองก็อยู่ด้วย”

           “หลิวได้ยินแล้วค่ะ เฮียหัวฟัดหัวเหวี่ยงใหญ่เลย ทางคุณพีทคงต้องลำบากแน่ ๆ”

           “แต่ผมคงไม่ถอยหรอกครับ นอกเสียจากว่ายื่นไปแล้วไม่ได้งาน อันนั้นก็ถือว่าเล่นกันแบบแฟร์ ๆ แล้ว”

          รัญญาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เธอทำทีเป็นเบือนหน้าออกนอกรถ เสียงที่เอ่ยออกมานั้นเบาจนแทบไม่ต่างกับเสียงกระซิบ

           “วงการนี้มันไม่มีคำว่าแฟร์เพลย์หรอกนะคะคุณพีท”

           “ผมรู้ แต่ผมก็ไม่ใช่พวกที่ชอบเล่นสกปรก...” ...โดยไม่จำเป็น พิชญ์ต่อท้ายประโยคของตัวเองในใจ

          รัญญาหันหน้ากลับมาหาพิชญ์ แตะฝ่ามือตัวเองลงกับฝ่ามือของพิชญ์เบา ๆ ราวกับจะให้กำลังใจ

           “หลิวดีใจนะคะที่คุณพีทคิดแบบนี้” หญิงสาวเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะสั่งคนสนิท “นที ช่วยเร่งแอร์ให้ที”

           “ครับ คุณหนู”

          แวบหนึ่ง พิชญ์รู้สึกเหมือนกับถูกคนสนิทของรัญญาจ้องมอง แต่พอเขาเงยหน้ามองก็เห็นอีกฝ่ายยังคงจดจ่อสายตาอยู่กับถนนข้างหน้า ขากลับรถค่อนข้างติด ผิดจากขามา รัญญาเลยถือโอกาสชวนพิชญ์คุยระหว่างที่รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้า

           “แล้วนี่น้องเล็กไปต่างประเทศยังไม่กลับมาอีกหรือคะ”

           “ยังเลยครับ น่าจะยุ่ง ๆ กับงานหรืออาจจะพักผ่อนอยู่ นาน ๆ ทีก็ต้องปล่อยคุณเล็กเขาบ้าง”

          โป้ปดออกไปคำโตแล้วพิชญ์ก็ต้องนึกละอายแก่ใจ เขาแทบไม่รู้เลยว่าตอนนี้ไอลดาอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ที่ตอบออกไปก็เป็นแค่คำตอบที่ทำให้ตัวเขาดูดีเท่านั้น

           “เห็นคู่คุณพีทกับน้องเล็กแล้วหลิวก็แอบอิจฉาเหมือนกันนะคะ”

           “แล้วคุณหลิวล่ะครับ ไม่คิดที่จะมีใครบ้างหรือ”

          พิชญ์ไม่เคยได้ยินข่าวว่ารัญญากำลังคบหากับใครที่ไหน แม้แต่ตามหน้าซุบซิบของข่าวสังคมก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น อายุอย่างรัญญาก็ยังไม่ถือว่ามากหากจะครองตัวเป็นโสด แต่พิชญ์เพียงแค่แปลกใจก็เท่านั้น

           “หลิวเป็นพวกอาภัพรักค่ะ อันลัคกี้ อิน เลิฟ”

           “ถ้ายังงั้นก็ต้องลัคกี้ อิน เกมน่ะสิครับ”

           “หลิวก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

          รอยยิ้มของรัญญาที่ส่งมาเริ่มดูพร่าเลือน ดูเหมือนความพยายามที่จะฝืนร่างกายของพิชญ์จะสูญเปล่า หนังตาหนักอึ้งจนเกือบจะปิดลงมา เขารู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตัวเองมาซักพักแล้ว แต่ก็ยังอดทนฝืนตัวเองนั่งคุยกับรัญญาอย่างปกติ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนฤทธิ์ของบางสิ่งบางอย่างจะมากเสียจนกดประสาทและหนังตาเขาช้า ๆ พิชญ์จิกปลายเล็บเข้ากับฝ่ามือของตัวเองหวังจะเรียกสติ แต่มือเขาก็เหมือนกับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อ ๆ

          สาบานเถอะ ว่าเขาระวังตัวอย่างเต็มที่แล้ว อย่างน้อยพิชญ์ก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรแปลกประหลาดหรือผิดสำแดงเข้าไป แต่อาการคลับคล้ายกับถูกวางยานี่มาจากไหนกัน

          ถ้าอริญชย์รู้เข้า คงด่าให้กับความโง่งมของเขาแน่ ๆ แล้วเขาก็คงจะถูกคุมความประพฤติเข้มงวดกว่าเดิม หรืออาจจะถูกกักบริเวณไปเลย

          พิชญ์ได้แต่คิดฟุ้งซ่านไปมาราวกับล่องลอยอยู่ในความฝัน ริมฝีปากที่อ่อนแรงพยายามเปล่งเสียงเรียกชื่อหญิงสาวที่อยู่ข้างตัว ราวกับจะบอกเธอว่าเขารู้

           “คุณ...หลิว...”

          ฝ่ามือบอบบางของรัญญายื่นมาลูบปลายแขนเขาเบา ๆ คล้ายกับจะปลอบประโลม ก่อนเสียงหวานจะเอ่ยเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนการนอนของเขา

           “ถ้าง่วงก็อย่าฝืนเลยค่ะคุณพีท เดี๋ยวถึงแล้วหลิวปลุกเอง...นะคะ”

          พิชญ์ไม่ได้ต้องการให้เธอมาปลุกเลยแม้แต่น้อย เขาแค่อยากรู้ว่าเธอทำอะไรกับร่างกายเขา ทั้งที่เขาก็ระวังแล้ว แต่ก็ยังพลาด ตกลงมาในหลุมพรางที่ผู้หญิงสวย ๆ อย่างเธอขุดดักเอาไว้เสียได้

          เขาน่าจะรู้ ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาวของราชันย์ ไม่ว่ายังไงก็ย่อมมีเขี้ยวเล็บไม่ต่างกัน แล้วเขาก็พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

          อนุสติสุดท้ายอันลางเลือนของพิชญ์อดนึกถึงใครบางคนขึ้นมาไม่ได้

          คุณใหญ่...จะโกรธกันไหมนะ



TO BE CONTINUE



พีท!!... ฝากเอาใจช่วยพีทด้วยนะคะ
สถานการณ์ล่อแหลมมาก ๆ พีทเอ๊ย
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากและทุกคนที่ติดตามมาก ๆ เลยค่ะ

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 24 พลาด --- หน้าที่ 6 [28/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-06-2020 21:37:19
 :serius2:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 24 พลาด --- หน้าที่ 6 [28/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 28-06-2020 21:51:08
ไม่อยากจะซ้ำเติมว่าพีทโง่เลยอ่ะ แต่ก็โง่จริงๆ อะแหละ รู้ว่าพี่เขาไม่ดีแล้วยังไปยุ่งกับน้องเขาอีก เลยซวยแบบนี้ ต่อไปถ้ารอดมาได้ เธอต้องมองโลกในแง่ร้ายไว้บ้างนะพีท อย่ามองแต่คุณใหญ่เขาร้ายเลย  คนสวยๆ ก็ร้ายได้เหมือนกัน นี่ถ้าคุณใหญ่รู้เข้าตากริชคนขับรถตายแน่ๆ ที่ปล่อยพีทไว้คนเดียวแบบนี้   :katai1:

ยัยตะหลิวแกทำอะไรคุณพีทของฉันฮ้าาาาา!!!
อย่าบอกว่าแกจะทำเหมือนที่ทำกับคุณกลางนะ รับรองคุณใหญ่ได้ตามฆ่าทั้งโคตรแน่ๆ อย่าหวังว่าจะอยู่รอดปลอดภัยกัน!!!

วู้!! อ่านละโมโห โมโหพีทอ่ะ  :o12: แต่.. ขอให้ปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 24 พลาด --- หน้าที่ 6 [28/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-06-2020 23:56:52
แงงงง ทำไมทำกันอย่างนี้
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 24 พลาด --- หน้าที่ 6 [28/06/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-06-2020 01:01:11
โกรธ โกรธมากเลยละพีท แต่ลงกับพีทไม่ได้เลยจะไปจัดการกับคนที่มันกล้ามาเล่นหมาลอบกัดแทน แต่ยังไงซะพีทก็ต้องโดนทำโทษ  :impress2: 5555 หน้าเนื้อใจเสือ จะทำไรอะคุณหลิว ถ้าจะเพื่อขู่ไม่ให้ประมูลงานละก็ ถือว่ากระจอกมากค่ะ อิอิ หลังจากนี้พีทควรเชื่อฟังคุณใหญ่เขาแล้วนะ คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลนี้ อย่าไว้ใจใครเลยสักคนเช่นเพื่อนดิน จะเป็นยังไงต่อละเนี้ยเดาไม่รู้เลย อยากอ่านต่อแล้ว ขอบคุณนะคะที่มาอัพ รอตอนหน้าจ้า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 25 เบื้องหลัง --- หน้าที่ 6 [05/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 05-07-2020 20:22:14
ยี่สิบห้า
เบื้องหลัง



          ความรู้สึกแรกที่ร่างกายพิชญ์สัมผัสได้คือความสบายตัว ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอยมากระทบผิวเบา ๆ พิชญ์ขยับตัวช้า ๆ หลังจากรู้สึกตัวตื่น ร่างกายที่หนักอึ้งพลันรู้สึกผ่อนคลายและเบาสบายเหมือนเพิ่งผ่านการพักผ่อนมาอย่างเต็มอิ่ม ดวงตาเรียวกระพริบถี่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

          ภาพแรกที่แล่นเข้าสู่คลองจักษุคือเพดานห้องสีขาวสะอาดตา พิชญ์กวาดสายตาดูรอบ ๆ ตัวด้วยความระแวดระวัง ขณะค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นมานั่งบนโซฟา พยายามลำดับเหตุการณ์ล่าสุดเท่าที่เขาจะพอนึกออก

          ความทรงจำย้อนกลับมาเลา ๆ ว่า เขานั่งรถมากับรัญญาเพื่อจะมาพบราชันย์ที่บริษัท ระหว่างนั่งรถมาก็คุยกันมาตลอดทาง แต่ขณะที่คุยกันอยู่ดี ๆ นั้น จู่ ๆ พิชญ์ก็รู้สึกเหมือนกับถูกวางยานอนหลับ ร่างกายพลันหมดเรี่ยวแรง หนังตาหนักอึ้ง แล้วก็หลับเอาเสียดื้อ ๆ

          ความทรงจำของพิชญ์ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ ที่แน่ ๆ คือเขาหมดสติตอนอยู่บนรถของรัญญา แล้วคงจะมีคนแบกเขาลงมาจากรถ ห้องที่พิชญ์นั่งอยู่ตอนนี้ดูเผิน ๆ เหมือนห้องรับแขกกึ่ง ๆ ห้องรับรอง มีโซฟายาวตัวที่เขากำลังนั่งอยู่ โต๊ะประชุมขนาดกลาง ห้องน้ำ และแพนทรี่เล็ก ๆ ตรงมุมห้อง

          ตกลงแล้วรัญญาเป็นคนวางยาเขางั้นหรือ

          พอก้มลงมองตัวเอง พิชญ์ถึงเพิ่งเห็นว่าสูทตัวนอกของเขาถูกถอดออกแล้วแขวนอยู่บนราวแขวนสูทตรงมุมห้อง กระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนถูกปลดออกลวก ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับความผิดปกติที่เห็น เอื้อมมือล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยข้าวของส่วนตัวของเขาก็ยังอยู่ครบทั้งโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงิน

          พิชญ์หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูก็เห็นว่ามีเพียงแค่มิสคอลล์สายเดียวจากกริช ดูจากเวลาที่เขาขึ้นรถรัญญาจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งผ่านมาแค่ชั่วโมงกว่า แสดงว่าเขาคงรู้สึกตัวเร็วน่าดู ระหว่างที่พิชญ์กำลังสำรวจตรวจตราตัวเองและมองหาทางหนีทีไล่อยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยความระมัดระวังพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่พิชญ์กำลังนึกถึง รัญญาเยี่ยมหน้าเข้ามามองเงียบ ๆ ก่อนจะทำตาโตนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าพิชญ์ตื่นแล้วและกำลังมองตรงมาที่เธอ

           “คุณพีทรู้สึกตัวแล้วหรือคะ” รัญญาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ดวงตาเรียวฉายแววลุแก่โทษก่อนที่หญิงสาวจะปิดประตูลง แล้วรีบรุดเข้ามาดูอาการของพิชญ์

          พิชญ์ยังคงนั่งนิ่ง แม้กระทั่งตอนที่รัญญาเดินเข้ามาถึงตัวของเขาแล้ว เขาเลือกที่จะสงวนท่าทีและเป็นฝ่ายลอบสังเกตหญิงสาว รัญญายื่นมือมาแตะหน้าผากพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะถือวิสาสะจับชีพจรของพิชญ์ พอเห็นว่าปกติดีทุกอย่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เรียกความสงสัยให้ปรากฏในแววตาของพิชญ์

           “ดีจังที่อาการคุณพีทดีขึ้นแล้ว หลิวยังกลัวอยู่เลยว่าอาการจะแย่ลง นี่กำลังคิดว่าจะเรียกคุณหมอมาตรวจอยู่แล้วเชียว”

          พิชญ์ฟังถ้อยคำแสดงความห่วงใยจากรัญญาแล้วก็ต้องขมวดคิ้วฉับ ทั้ง ๆ ที่รัญญาวางยาเขา แต่ทำไม...

           “เดี๋ยวก่อนนะคุณหลิว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับ”

          รัญญาถึงกับคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำถามของพิชญ์ ถ้าหากไม่กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท เธอคงหัวเราะเบา ๆ แล้วด้วยซ้ำ

           “คุณพีทหมดสติตอนอยู่บนรถค่ะ หลิวเลยวานนทีแบกคุณพีทขึ้นมานอนพักที่ห้องรับรอง”

           “จู่ ๆ ผมก็หมดสติเลยหรือครับ” พิชญ์แสร้งทวนคำถามด้วยความงุนงง แม้จะรู้แจ้งถึงอาการประหลาดของตัวเองดีอยู่แล้ว

          นี่มันเรื่องตลกแท้ ๆ เขากำลังคุยกับรัญญาอยู่ดี ๆ จู่ ๆ สติสัมปชัญญะก็พลันขาดหาย มือไม้อ่อนแรง หนังตาหนักอึ้ง อาการแบบนี้มันเหมือนคนถูกวางยานอนหลับชัด ๆ

           “คุณพีทกำลังคิดว่าตัวเองโดนหลิววางยาเหรอคะ”

          คำย้อนถามตรง ๆ จากรัญญาเล่นเอาพิชญ์เกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น จะพยักหน้ารับก็ดูจะเสียฟอร์ม เขาเลยอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก

           “อาการมันคล้าย ๆ ว่าจะเป็นยังงั้นนี่ครับ”

          ฟังคำตอบกึ่งจะยอมรับกลาย ๆ ของพิชญ์แล้ว รัญญาก็ถึงกับหัวเราะออกมาเต็มเสียงจนน้ำตาเล็ด ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองป้อย ๆ ราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก เล่นเอาพิชญ์ถึงกับหน้าเหวอ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดสนิท

           “อย่าเพิ่งโกรธกันเลยนะคะคุณพีท หลิวกำลังจะอธิบายให้ฟังค่ะ”

           “มันน่าขำขนาดนั้นเลยหรือครับ”

           “ขอโทษนะคะ แต่ว่ามันขำจริง ๆ” รัญญาพยายามกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยอธิบาย “หลิวไม่ได้วางยาคุณพีทค่ะ แค่บังเอิญว่าบนรถของหลิวมีน้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณเป็นยานอนหลับอ่อน ๆ คุณพีทเลยหลับเอากลางคันเสียอย่างนั้น”

          พอรัญญาอธิบายมาถึงตรงนี้ พิชญ์ก็ค่อย ๆ ลำดับความก่อนจะเพิ่งนึกออกว่าตอนเขาขึ้นมาบนรถของรัญญาตอนแรก ยังรู้สึกว่ามีกลิ่นหอม ๆ หวาน ๆ ลอยมาแตะจมูก แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นน้ำหอมของรัญญา เพิ่งรู้ว่าที่จริงแล้วมันคือน้ำมันหอมระเหย แล้วสรรพคุณเป็นยานอนหลับอ่อน ๆ ที่ว่าคงออกฤทธิ์เอาตอนที่รัญญาสั่งนทีเร่งแอร์แน่ ๆ แต่ประเด็นที่พิชญ์ยังสงสัยคือ...

           “ในเมื่อคุณหลิวกับนทีก็ดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยเหมือนกัน แล้วทำไมถึงมีแค่ผมคนเดียวที่หลับล่ะ”

          ริมฝีปากแดงคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยอธิบายราวกับรู้อยู่แล้วว่าพิชญ์ต้องถาม

           “พอดีหลิวค่อนข้างมีภูมิต้านทานกลิ่นพวกนี้ค่ะ มีช่วงหนึ่งที่หลิวเครียดสะสมจนนอนไม่หลับก็พึ่งน้ำมันหอมระเหยพวกนี้แทนยานอนหลับ ก่อนนอนหลิวจะจุดเตาอโรมาทุกคืนจนจมูกชินเสียแล้ว ส่วนนทีเองก็อยู่กับหลิวมานานจนชินแล้วเหมือนกัน”

           “แต่เมื่อกี้ผมหลับง่ายมากเลยนะครับ แถมยังมีอาการเหมือนคนหมดแรงอีก”

           “หลิวคิดว่าน่าจะเป็นเพราะคุณพีทไวต่อส่วนผสมบางตัวด้วย เลยหลับง่ายกว่าคนอื่น”

           “ผมถามอีกหน่อยได้ไหม ทำไมคุณหลิวถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับอโรมาเยอะล่ะครับ”

          รัญญายิ้มบาง ๆ เธอค่อนข้างชอบพิชญ์พอสมควร ดังนั้นเธอจะยอมเล่าถึงความชอบส่วนตัวของเธอให้ฟังเสียหน่อยก็แล้วกัน

           “คุณพีทจะถามเยอะ ๆ ก็ได้นะคะ หลิวเป็นคนที่ชอบน้ำมันหอมระเหยเลยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาพอสมควร อย่างกลิ่นบนรถวันนี้ก็เป็นกลิ่นที่หลิวผสมขึ้นเอง หลิวเน้นเรื่องผ่อนคลาย ส่วนผสมก็จะเป็นพวกที่มีสรรพคุณระงับประสาท เลยออกฤทธิ์คล้ายกับยานอนหลับ กลิ่นวันนี้หลิวเน้นตัวแซนเดิล วู้ดกับแคลรี่ เซจน่ะค่ะ”

          พิชญ์ฟังที่รัญญาอธิบายแล้วก็นึกทึ่ง ที่ต่างประเทศมีบริษัทและนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยอย่างจริงจังเยอะพอสมควร แต่เขาเพิ่งรู้ว่ารัญญาเองก็มีความถนัดทางนี้ด้วยเช่นกัน ถึงขนาดว่าผสมขึ้นมาเอง ดูท่าทางว่ารัญญาคงไม่ได้ศึกษาเล่น ๆ อย่างที่ออกตัวแน่

           “มิน่าผมถึงรู้สึกเหมือนกับโดนวางยาเลย” พิชญ์บ่นอุบออกมา

          พอพิชญ์พูดเรื่องถูกวางยาขึ้นมาอีก รัญญาก็ขำคิกอีกรอบ จนพิชญ์ชักจะอายกับความเพ้อเจ้อและคิดมากของตัวเองอยู่หน่อย ๆ

          นี่เขาหลงคิดไปได้ยังไงว่ารัญญาจะน่ากลัวเหมือนราชันย์ พอนึกถึงราชันย์ขึ้นมา พิชญ์เลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่เขาตามรัญญามาถึงบริษัทก็เพื่อมาพบราชันย์ ดูเหมือนรัญญาจะพาเขาไขว้เขวเสียจนเกือบลืมจุดประสงค์ แทบจะผันตัวไปศึกษาเรื่องน้ำมันหอมระเหยแทนเสียแล้ว พิชญ์กระแอมขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะรีบวกเข้าประเด็น

           “ว่าแต่เสี่ยเล้งล่ะครับ เห็นคุณหลิวบอกว่าเสี่ยเล้งอยากจะคุยกับผม”

          พอพิชญ์เอ่ยถาม รัญญาเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ หญิงสาวยิ้มเจื่อนก่อนจะก้มหัวลงน้อย ๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพยพิชญ์

           “หลิวต้องขอโทษอีกรอบนะคะคุณพีท พอเฮียรู้เข้าว่าหลิวทำคุณพีทหลับปุ๋ยแบบนี้ เฮียเลยบอกให้คุยกันคราวหลังแทน”

           “ตอนนี้ผมตื่นแล้ว คุยกันเลยก็ได้นะครับ”

          รัญญาได้แต่ยิ้มแหย ๆ ก่อนจะเฉลยความจริงให้พิชญ์เข้าใจแจ่มแจ้ง

           “พอเห็นว่าคุณพีทหลับ เฮียก็เลยออกไปข้างนอกค่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวหลิวให้คนขับรถไปส่งคุณพีทแทนนะคะ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา”

           “ไม่เป็นไรครับ”

          พิชญ์ได้แต่รับคำแกน ๆ ไม่รู้จะโทษตัวเองหรือจะโทษรัญญาดี เขาอาจจะผิดที่ภูมิต้านทานน้ำมันหอมระเหยต่ำ แต่คนที่ชอบดมน้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณเหมือนยานอนหลับนี่ปกติหรือไง อย่างน้อยรัญญาก็น่าจะเตือนเขาก่อนว่ามีของพรรค์นี้อยู่บนรถ

           “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับเลยละกันนะครับ” พิชญ์เอ่ยพลางขยับลุกขึ้นเมื่อเห็นสมควรแก่เวลาแล้ว ไหน ๆ ราชันย์ก็ไม่อยู่ เขาก็ควรจะกลับเสียที

           “เดี๋ยวหลิวให้คนขับรถไปส่งให้ค่ะ ว่าแต่คุณพีทจะให้ไปส่งที่ไหนดีคะ หลิวจะได้บอกคนขับรถถูก”

           “ผมขอถามคนของผมดูก่อน คุณหลิวรอเดี๋ยวนะครับ”

          พิชญ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนของน้องหนู ที่สำคัญคือต้องดูว่ากริชจัดการกับรถเรียบร้อยแล้วหรือยัง ถ้ายังเขาจะได้ให้คนขับรถของรัญญาไปส่งที่โรงเรียนของน้องหนู เสร็จแล้วค่อยพากันนั่งแท็กซี่กลับ

          ดูเหมือนวันนี้จะมีแต่เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้น คิดแล้วก็น่าขายหน้าจนพิชญ์อดอายไม่ได้

          พิชญ์เอ๋ย ปกติแกเป็นคนขี้เซาและหลับง่ายก็จริง แต่มาเที่ยวหลับบนรถชาวบ้านก็ดูจะเกินไปหน่อยนะ

          ถ้าคุณใหญ่รู้เรื่องนี้เข้า คราวนี้คงได้ด่าให้กับความโง่งมของเขาจริง ๆ พิชญ์ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหากริช



.
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 25 เบื้องหลัง --- หน้าที่ 6 [05/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 05-07-2020 20:23:54

          ห้องทำงานของผู้บริหารบริษัทก่อสร้างเครือกมลวิลาศน์เงียบกริบ มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาดังวินาทีต่อวินาที จนคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงชุดรับแขกมุมห้องต้องขยับตัวด้วยความอึดอัด เรียกสายตาคมปลาบจากเจ้าของห้องให้เงยขึ้นมามองเพียงแวบหนึ่ง ก่อนที่ราชันย์จะก้มลงเซ็นเอกสารต่อ

          ปฐพีขยับตัวอย่างเมื่อยขบหลังจากนั่งนิ่ง ๆ มาร่วมชั่วโมง มองหนังสือนิยายภาษาจีนที่วางอยู่ข้างตัวสองเล่มแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาอ่านนิยายที่หยิบติดมือมาจากคอนโดจนเบื่อแล้ว เจ้าของห้องก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ทำราวกับว่าเขาเป็นแค่เพียงอากาศธาตุ ทั้ง ๆ ที่ราชันย์เป็นฝ่ายสั่งให้ปกรณ์พาเขามาที่บริษัทเองแท้ ๆ พอเขามาถึงก็ไม่สนใจไยดีกันแม้แต่น้อย ดูเหมือนเสียงบ่นกระปอดกระแปดในใจของปฐพีจะดังเข้าหูราชันย์ คนถูกพาดพิงถึงในใจวางปากกาลงก่อนจะเอ่ยถามปฐพีขึ้นมา

           “อ่านหนังสือจบแล้วหรือไง”

          ดูท่าทางว่าราชันย์คงคิดว่าตัวเองพาปฐพีมาเปลี่ยนที่อ่านหนังสือจริง ๆ

           “ยังครับ แต่ไม่อยากอ่านแล้ว”

           “ไม่สนุกงั้นเหรอ”

           “เปล่าครับ”

           “ฉันงานเยอะ ไม่ว่างพาไปเที่ยวไหนหรอกนะ”

           “ผมรู้...”

          ตอบรับเสียงเบาแล้วปฐพีก็ทำทีเป็นหยิบหนังสือเล่มที่เพิ่งวางขึ้นมาเปิดผ่าน ๆ อีกรอบ ถ้าราชันย์จะเรียกเขามาหาเพื่อให้มานั่งอ่านหนังสือที่นี่ วันหลังปล่อยเขาอยู่ที่คอนโดคนเดียวก็ได้ เคยได้ยินคนอื่นเขาร่ำลือกันว่าสมัยก่อนราชันย์เจ้าชู้แถมยังชอบเที่ยวสำมะเลเทเมา ปฐพีล่ะขอเถียงขาดใจ ตั้งแต่รู้จักมาเขาก็เห็นราชันย์เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอนอยู่ฮ่องกงหรืออยู่ประเทศไทย หายใจเข้าก็งาน หายใจออกก็งาน ส่วนตัวเขาก็เป็นแค่ของเล่นคลายเครียดราคาแพง

          ปฐพีพยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง เขาควรจะรู้สถานะของตัวเองดี แต่ก็ยังชอบหวังลม ๆ แล้ง ๆ เกินตัวอยู่เรื่อย

          ขณะทำท่าเหมือนตัวเองกำลังอ่านหนังสืออยู่ ปฐพีก็เกือบจะทำหนังสือร่วงจากมือ เมื่อคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานเอ่ยออกมาเสียงเรียบอๆ ไม่ยินดียินร้ายใดอๆ แต่ความหมายในประโยคนั้นกลับทำเอาคนฟังเต็มตื้น

           “ถ้าเสร็จงานไม่ดึก เดี๋ยวจะพาไปหาน้ำ”

          สารภาพตามตรงเลยว่า ปฐพีซ่อนรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเอาไว้ไม่มิดจริง ๆ เขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่เก่งนัก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ปฐพีก็ไม่ใส่ใจ

          เวลามีความสุข เขาก็อยากจะยิ้ม เวลาเศร้า เขาก็อยากจะร้องไห้ เวลาของคนเรามันช่างแสนสั้น ปฐพีเลยไม่รู้ว่าจะมัวเก็บงำความรู้สึกไปทำไมกัน

          ทว่ากับคนบางคน ความรู้สึกของเขาดูเหมือนจะไม่เคยส่งไปถึงเลย เพราะไม่อยากรับรู้ หรือเพราะความรู้สึกของเขามันไม่มีค่ากันแน่

          แต่อย่างน้อย ในวันนี้ปฐพีก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ตัวเองยิ้มได้ เขาเคยบอกราชันย์เมื่อหลายวันก่อนว่าคิดถึงน้องชาย ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา ตอนนั้นราชันย์ตอบปัดว่าให้รอเสร็จเรื่องแล้วจะพาไปหา เขาอุตส่าห์ถอดใจและหมดหวังไปแล้ว จู่ ๆ วันนี้กลับเอ่ยปากออกมาว่าจะพาไป อย่างน้อยก็ยังใส่ใจความรู้สึกของเขาอยู่บ้างใช่ไหม

          ความดีใจที่จะได้เจอชลธี เทียบไม่ติดเลยกับความดีใจที่ได้รับรู้ว่าราชันย์เองก็ยังนึกถึงความรู้สึกของเขา แม้ความใจดีที่ให้มามันจะน้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้รับเลย

           “ขอบคุณนะเฮีย...”

          คำขอบคุณของปฐพียังคงไม่เข้าหูราชันย์ตามเคย นอกจากจะไม่ตอบรับแล้ว ราชันย์ยังไม่มีแม้ท่าทีจะรับรู้หรือได้ยินสิ่งที่ปฐพีพูด ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นแค่เพียงสายลมที่พัดผ่าน แต่ปฐพีก็ดูเหมือนจะชินเสียแล้ว เขาจะไม่ชินได้อย่างไร ในเมื่ออยู่กับราชันย์มาหลายปี เคยอยู่ด้วยแม้ในวันที่ราชันย์ย่ำแย่สุด ๆ หรือกระทั่งวันที่อีกฝ่ายร้ายกับเขาอย่างที่สุด

          ปฐพีเปิดหน้าหนังสือที่คั่นเอาไว้ แต่สายตากลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ตัวหนังสือตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เขานั่งมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเงียบ ๆ

          วันนี้เขายังมีที่ข้าง ๆ ราชันย์ให้อยู่ แต่ถ้าถึงวันที่ราชันย์ให้อิสรภาพกับเขาขึ้นมา คนอย่างเขายังมีที่ตรงไหนให้อยู่อีก

          ปฐพีถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทว่ากลับดังชัดในความรู้สึกของคนฟัง จนคนที่พยายามจะไม่สนใจต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

           “ถ้าเบื่อนักก็ลงไปเดินเล่นข้างล่างไป”

          คำอนุญาตคราวนี้ทำเอาปฐพีถึงกับพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเองก็ไม่อยากนั่งอุดอู้อยู่แต่ในห้องทำงานของราชันย์ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เอ่ยปากอนุญาตเสียที เขาก็ออกไปเพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ฮ่องกงและไม่ใช่ที่คอนโด ไม่ใช่ที่ ๆ เขาจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้ ดังนั้นพอได้ยินคำอนุญาตกลาย ๆ เขาเลยไม่คิดจะรอช้าให้ราชันย์เปลี่ยนใจขึ้นมา

           “งั้นเดี๋ยวผมลงไปเดินดูแถว ๆ นี้ ถ้าไม่มีอะไรจะรีบขึ้นมา”

          ปฐพีเก็บหนังสือที่เปิดค้างไว้ให้เข้าที่เข้าทางทันที คว้าเอากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มายัดเข้ากระเป๋ากางเกงลวก ๆ จนคนที่นั่งมองอยู่ต้องส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความระอา พอเห็นปฐพีกำลังจะก้าวออกจากห้องก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เสียงเรียบ ๆ ถึงได้เอ่ยกำชับตามไป

           “เดินเล่นข้างล่างก็แปลว่าข้างล่างนะ”

          ปฐพียิ้มแหยออกมาเหมือนเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้ เวลาเขาแอบไปหาพิชญ์ทีไรไม่แคล้วต้องถูกราชันย์รู้เข้าทุกครั้ง แต่วันนี้เขาไม่ได้คิดจะไปหาพิชญ์จริง ๆ ตั้งใจว่าจะเดินวนดูรอบ ๆ แถวนี้แล้วก็จะกลับขึ้นมา ถึงเขาอยู่ในห้องแล้วราชันย์จะนั่งทำงานโดยไม่สนใจเขา แต่ปฐพีกลับนึกเกรงใจเสียเอง จะขยับตัวทำอะไรแต่ละทีก็กลัวจะไปทำลายสมาธิของราชันย์ เลยต้องรีบหนีออกมาจากห้องทันทีที่มีโอกาส

          ถึงช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยไม่เป็นตัวถ่วงก็ยังดี

          ปฐพีกดลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง ตั้งใจว่าจะเดินเล่นอยู่รอบ ๆ ตึก ไม่ไปไหนไกล เห็นสายตาของพนักงานหลายคนมองมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พยายามทำหน้านิ่ง ๆ เขาไว้ ตอนปกรณ์พาเขามาก็มีแต่คนมอง แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามซักคน ถึงไม่เกรงสายตาดุ ๆ ของปกรณ์ แต่อย่างน้อยพนักงานพวกนี้ก็ต้องกลัวราชันย์อยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนของราชันย์ ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง

          ปฐพีกำลังจะเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกแล้วแอบเข้าหลังเสา แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ใช่ภาพที่น่ามองนัก เพราะดูเหมือนเขาจะเห็นอะไรบางอย่างมาอยู่ผิดที่ผิดทางเข้าให้แล้ว

          ภาพของพิชญ์ที่ยืนอยู่กับรัญญาทำเอาปฐพีตัวแข็งทื่อ นึกสงสัยไปร้อยแปดว่าเหตุใดพิชญ์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...อยู่กับรัญญา!

          บอกว่ามาเจรจาธุรกิจหรือคุยงานกัน ร้อยก็ไม่เชื่อ พันก็ไม่เชื่อ ถึงจะไม่ได้ฉลาดนัก แต่ปฐพีก็ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าบริษัทของพิชญ์กับราชันย์เป็นคู่แข่งกัน

          ปฐพีเกือบจะขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมแล้ว ยามเห็นพิชญ์คุยกับรัญญาแล้วยิ้มอยู่ตลอด ถ้าหากไม่มีฝ่ามือหนัก ๆ ยื่นมากดไหล่เขาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มสะดุ้งนิด ๆ แล้วค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใคร

           “พี่กรณ์ มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย”

          ปกรณ์ไม่ได้ใส่ใจคำต่อว่าต่อขานของปฐพี เขามองตามสายตาของปฐพีก็เห็นพิชญ์กับรัญญากำลังยืนคุยกันอยู่ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก เลยหันกลับมามองปฐพีที่ยืนอยู่ตรงหน้า

           “ทำอะไรอยู่น่ะ”

           “เฮียบอกให้ผมลงมาเดินเล่นข้างล่างได้”

           “รู้แล้ว แต่ที่พี่ถามคือดินกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”

           “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟังคำตอบปฏิเสธแล้วปกรณ์ก็จ้องปฐพีอย่างคาดคั้น จนคนถูกมองต้องหลบตา เอ่ยออกมาเสียงอ่อย ๆ “ผมแค่อยากรู้ว่าพีทมาที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถึงมาอยู่กับคุณหลิว เฮียรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

          ปกรณ์ฟังแล้วถึงกับต้องส่ายหน้าด้วยความระอา ความรักเพื่อนของปฐพีมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ดีตรงที่มันจะทำทุกอย่างที่ราชันย์วางแผนมาพังเอาง่าย ๆ แถมไม่ใช่แค่ราชันย์คนเดียวที่เดือดร้อน แม้แต่ตัวปฐพีเองก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน

           “ไม่ใช่เรื่องของดินเลย กลับขึ้นไปหาเฮียเถอะ”

           “พี่กรณ์รู้ใช่ไหมว่าคุณหลิวกำลังจะทำอะไร”

          นอกจากจะไม่ตอบคำถามของปฐพีแล้ว ปกรณ์ยังใช้แรงที่มากกว่าดึงปฐพีออกมาห่าง ๆ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่อยากให้รัญญาหรือพิชญ์หันกลับมาแล้วเห็นว่าปฐพีอยู่ที่นี่ด้วย

           “อย่าทำอะไรนอกเหนือจากที่เฮียสั่ง กลับขึ้นไปหาเฮียได้แล้ว”

           “แต่พี่กรณ์...”

           “ดินอยู่กับเฮียมานาน ดินน่าจะรู้นะว่าถ้าเฮียโกรธแล้วจะเป็นยังไง”

          ปฐพีหันหลังกลับไปมองพิชญ์กับรัญญา พอเห็นว่าพิชญ์ก้าวขึ้นรถไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะยอมแพ้

           “เอาล่ะ กลับขึ้นไปหาเฮียได้แล้วมั้ง อย่างน้อยก็ก่อนที่คุณหลิวจะเห็นนายเข้า”

           “ครับ ๆ”

          ปฐพีได้แต่รับคำอย่างจำใจ ในเมื่อพิชญ์ขึ้นรถไปแล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีก จะให้เดินเข้าไปถามรัญญา สงสัยคงต้องรอให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายเสียก่อน

          อันที่จริงแล้ว ปฐพีก็รู้สึกว่าเขากำลังวุ่นวายเกินกว่าเหตุ แต่เขาก็แค่เป็นห่วงพิชญ์ ลำพังตัวเขาเองก็ไม่ได้มีที่ ๆ รู้สึกว่าเป็นของตัวเองมากนัก แค่ราชันย์ยอมให้เขาเข้ามานั่งเล่นที่บริษัทก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะตั้งแต่กลับมา ที่นี่คงเป็นที่เดียวของอาณาจักรกมลวิลาศน์ที่ปฐพีได้มีโอกาสได้เข้ามาเหยียบ อย่าได้เอ่ยถึงบ้านใหญ่ของราชันย์เลย แม้แต่ประตูรั้วเขายังไม่เคยมีโอกาสเห็นด้วยซ้ำ ราวกับว่ามันเป็นที่หวงห้าม เป็นพื้นที่ส่วนตัว เป็นที่ ๆ เขาไม่มีสิทธิ์ คิดแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้แล้วหันหลังเดินกลับไปทิ่ลิฟต์

           “ผมไม่หนีไปเถลไถลที่ไหนหรอกพี่กรณ์ เดี๋ยวผมก็ขึ้นลิฟต์ไปแล้ว” ปฐพีอดท้วงไม่ได้ เมื่อเห็นปกรณ์เดินตามเขามาติด ๆ

           “ฉันไม่ได้ตามมาคุมความประพฤติของนายหรอกน่า แค่จะขึ้นไปหาเฮียเหมือนกัน”

           “ผมยังไม่ทันว่าอะไรเลย”

          ปกรณ์แค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะดันปฐพีให้เข้าไปในลิฟต์ คนที่เดินเข้ามาก่อนยืนพิงผนังลิฟต์ข้างหนึ่ง พอเห็นว่าในลิฟต์ไม่มีคนอื่น มีแค่เขากับปกรณ์ จึงอดเอ่ยถามขึ้นมาอีกไม่ได้

           “พี่กรณ์ ทำไมวันนี้เฮียถึงยอมให้ผมมาที่นี่ล่ะ”

           “กลัวนายจะคลาดสายตาล่ะมั้ง”

           “พี่ก็รู้ว่าผมอยู่ในสายตาเฮียตลอด”

          ปฐพียอมรับว่าครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยนึกอยากหนีจากราชันย์และลองทำขึ้นมาจริง ๆ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันกลับเลวร้ายกว่าที่เขาคิดนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาเลิกคิดหนี เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้ปฐพีหนีไปไหนไม่รอดมีอยู่แค่เพียงเหตุผลเดียว

          รัก...ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรรักและไม่มีสิทธิ์รัก

          แต่เพราะรักไปแล้วเลยเลือกที่จะอยู่เคียงข้าง จนกว่าจะถึงวันที่ราชันย์ไม่ต้องการเขา



.



          หลังจากพิชญ์โทรศัพท์หากริช แล้วปรากฏว่าอีกฝ่ายยังรอเช็กเครื่องรถอยู่ที่ศูนย์ รัญญาเลยเสนอด้วยความหวังดีว่าจะให้คนขับรถมาส่งพิชญ์ที่บริษัท แต่พอลองคำนวณเวลาเลิกเรียนของน้องหนูแล้ว พิชญ์เลยขอรับความปรารถนาดีของเธอ แต่เปลี่ยนจุดหมายจากที่บริษัทเป็นโรงเรียนของน้องหนูแทน ซึ่งเขามาถึงก่อนเวลาเลิกเรียนของน้อยหนูเล็กน้อย

           “วันนี้คุณพ่อมารับมาส่งด้วยตัวเองเลยนะคะ” คุณครูคนเดียวกับเมื่อตอนเช้าเอ่ยแซวยิ้ม ๆ ตอนที่เห็นพิชญ์มายืนรอรับน้องหนูทั้งชุดสูท

          คุณพ่อเอาแต่ยิ้มรับ ก่อนจะถอดสูทออกพาดลงกับแขนข้างหนึ่ง ยืนรอจนถึงเวลาเลิกเรียน คุณครูพี่เลี้ยงก็จูงน้องหนูมาส่ง พอน้องหนูเห็นว่าคนที่มารอรับเป็นคุณพ่อ ไม่ใช่พี่เลี้ยงอย่างทุกทีก็รีบวิ่งตื๋อเข้ามาหา

           “พ่อพีท...”

           “ไป กลับบ้านกันครับคนเก่ง”

          พิชญ์จับมือน้องหนูมาจูง ก่อนจะหันไปค้อมหัวเป็นเชิงลาคุณครูเวรกับคุณครูพี่เลี้ยง ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ตามมารยาท แต่ก็เล่นเอาคุณครูสาวถึงกับพากันก้มหน้าด้วยความเขินอาย ผิดกับนักเรียนตัวน้อยที่ชักจะหน้าบึ้งขึ้นมาตงิด ๆ เมื่อเห็นคุณครูมองคุณพ่อแล้วเอาแต่ยิ้ม มือเล็กกระตุกแขนพิชญ์แน่น ไม่ยอมก้าวขาออกเดิน ดูท่าว่าอาการงอแงจะมาอีกรอบแล้ว

           “เป็นอะไรครับน้องหนู”

           “น้องหนูอยากกินไอศกรีม” น้องหนูว่าพลางบุ้ยปากไปยังร้านไอศกรีมร้านโปรดข้างโรงเรียน

          พิชญ์มองหน้าน้องหนูสลับกับนาฬิกาข้อมือ เขายังมีงานที่บริษัทที่ต้องเคลียร์อีกเป็นกอง แต่พอเห็นดวงตาแป๋ว ๆ ของน้องหนูแล้วก็เกือบใจอ่อน มาละลายเป็นน้ำเอาตอนที่น้องหนูช้อนตามองพร้อมกับเอ่ยเสียงอ้อน ๆ

           “เวลาพี่นวลมารับ น้องหนูก็ไม่ได้กินไอศกรีมเลย วันนี้พ่อพีทอุตส่าห์มารับน้องหนู...”

           “ครับ ๆ แต่มีข้อแม้นะคะคนเก่ง...”

           “พ่อพีทของหนูน่ารักที่สุดในโลกเลย”

           “ฟังพ่อพีทให้จบก่อนสิ ให้แค่ลูกเดียวนะคะ แล้วก็ใส่โคนกลับบ้านนะ เพราะพ่อพีทต้องรีบกลับไปทำงานต่อ”

          น้องหนูยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารับ มือเล็กรีบกึ่งจูงกึ่งลากคนเป็นพ่อให้เดินตาม เสียงแจ๋ว ๆ ร้องสั่งไอศกรีมกับพี่สาวอย่างคุ้นเคย เพียงครู่เดียวก็ได้ไอศกรีมช็อคโกแลตใส่โคนมาอยู่ในกำมือ พอได้ของที่ตัวเองต้องการแล้ว น้องหนูก็ยอมเดินตามพิชญ์ต้อย ๆ ดูเหมือนไอศกรีมตรงหน้าจะน่าสนใจกว่าคนเป็นพ่ออย่างพิชญ์เสียอีก พิชญ์ได้แต่คลี่ยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่

           “อ้าว อากริชล่ะคะ”

          น้องหนูจำได้ว่าเมื่อเช้าอากริชมาส่งตัวเองกับพ่อพีท แต่ไหงตอนกลับถึงต้องนั่งแท็กซี่กลับแทน

           “อากริชเอารถไปซ่อมค่ะ”

          คราวนี้น้องหนูถึงกับตาโต

           “อากริชทำรถเสียเหรอคะ ลุงใหญ่ต้องตีอากริชแน่ ๆ”

           “ร้ายนักนะเรา ไม่ใช่ครับ รถมันถึงอายุของมันแล้วต่างหาก อย่าไปฟ้องลุงใหญ่ว่าอากริชทำพังล่ะ”

          น้องหนูหัวเราะคิกคักจนไอศกรีมช็อคโกแลตที่กินอยู่เลอะมุมปาก พิชญ์เลยต้องหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาเช็ดให้ ไม่วายเอ็ดเบา ๆ

           “แน่ะ เอาแต่เล่นจนเลอะเทอะหมด เดี๋ยวพอไปถึงบริษัทแล้วน้องหนูต้องเป็นเด็กดีนะคะ เพราะพ่อพีทต้องทำงาน รู้ใช่ไหมคนเก่ง”

           “รู้ค่ะ”

          พอถึงบริษัท พิชญ์ก็กระเตงน้องหนูลงมาจากรถแท็กซี่ก่อนจะจูงมือเข้าอาคาร โชคดีที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เลยมีสายตาแค่ไม่กี่คู่ที่มองมาอย่างสนอกสนใจ อย่างดีก็มีประชาสัมพันธ์ที่กล้าเอ่ยถามยิ้ม ๆ

           “อย่าบอกนะคะท่านรอง ว่าที่หายไปทั้งวันนี่คือแอบไปรับลูก”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มรับ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจไปแบบนั้นโดยไม่คิดที่จะเอ่ยแก้ไข ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ รีบเอ่ยถามเรื่องที่ห่วงมาตลอดทาง

           “คุณใหญ่กลับเข้ามาหรือยัง”

          เอ่ยถามออกไป ยังไม่ทันได้รับคำตอบกลับมา พิชญ์ก็ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาดัง พอหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ให้ประชาสัมพันธ์สาว เพิ่งถามถึงอริญชย์อยู่แหม็บ ๆ อีกฝ่ายก็โทรเข้ามาได้จังหวะพอดี

           “ครับ คุณใหญ่”

           “เห็นกริชบอกว่ารถเสีย เข้าศูนย์อยู่ แล้วใครไปรับน้องหนูล่ะ”

           “ผมไปรับมาแล้วครับ เพิ่งมาถึงที่บริษัทนี่เอง”

           “แล้วไปยังไง เอารถใครไป”

           “แท็กซี่ครับ”

          ตอบเสร็จแล้ว พิชญ์ก็ไม่คิดจะรอฟังถ้อยคำเทศนาของอริญชย์ ที่คงจะบ่นเรื่องที่เขาไม่ยอมให้กริชกลับไปเอารถคันอื่น พิชญ์เลยรีบยื่นโทรศัพท์ในมือไปแนบหูน้องหนูก่อนจะกระซิบที่หูอีกข้างเบา ๆ

           “คุยกับลุงใหญ่เร็วครับ ลุงใหญ่อยากรู้ว่าวันนี้คุณครูสอนอะไรน้องหนูบ้าง”

          เจ้าตัวน้อยของพิชญ์ได้ยินดังนั้นก็ตะปบมือหมับเข้าที่โทรศัพท์ แล้วเสียงแจ้ว ๆ ก็เริ่มร่ายยาวอย่างที่คนเป็นพ่อถึงกับยิ้มกริ่มด้วยความสมใจ

           “ลุงใหญ่ขา วันนี้คุณครูสอนน้องหนูปั้นดินน้ำมันด้วยค่ะ น้องหนูปั้นเป็นรูปคุณผีเสื้อกับคุณหนอน”

          พิชญ์จูงน้องหนูมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ของผู้บริหาร ยกกรรมสิทธิ์ในโทรศัพท์ของตัวเองให้ลูกสาวตัวน้อยไปด้วยความเต็มใจ ฟังน้องหนูเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คุณลุงฟังไม่หยุดปากแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง เจ้าตัวน้อยของพิชญ์เล่าให้คุณลุงฟังแม้กระทั่งว่ากลางวันกินอะไร นอนกลางวันข้างใคร คุณครูชมว่ายังไงบ้าง

          บอกเลยว่าพิชญ์ไม่ได้หาเรื่องเล่นแง่กับอริญชย์แม้แต่น้อย

          ก็แค่หวังดี ฟังเสียงดูเครียด ๆ เลยให้คุยกับน้องหนูเสียหน่อย เผื่อจะหายเครียด



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า ^^
อย่าเพิ่งโกรธพีทน้าาาา ให้คุณใหญ่โกรธได้คนเดียว
เดี๋ยวปมต่างๆ จะค่อยเฉลยออกมาทีละปมค่า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 25 เบื้องหลัง --- หน้าที่ 6 [05/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 05-07-2020 22:53:29
ไม่อยากจะคิดเลยว่าที่พีทหลับไปนั้นโดนจับถ่ายรูปเพื่อแบล็กเมลไว้ /me ไอ้เราก็คิดไปเรื่อย  :katai1:

ยัยตะหลิวไม่น่าไว้วางใจจริงๆ นั่นแหละ นี่พีทก็เชื่อที่เขาพูดไปอีก เฮ้อ! หัดมองอะไรในแง่ร้ายบ้างเถอะ น้ำมันระเหยอะไรทำพีทนอนหลับเป็นตายแบบนั้นถ้าไม่ใช่โดนวางยา พอฟังเขาแก้ต่างก็ดันคิดว่าไม่ควรบอกคุณใหญ่อีก กลัวคุณใหญ่ด่าให้กับความโง่งมของตัวเองอีก นี่ถ้าเล่าให้ฟังนะ รับรองพีทจะโดนสั่งห้ามออกไปไหนคนเดียวอีกแน่ แถมโดนดุไปอีก...​แต่ถึงจะดุ ตัวพีทก็จะปลอดภัยนะ

ดินลงมาเห็นแบบนี้แล้ว จะคิดแผนช่วยเพื่อนบ้างหรือเปล่า ถึงจะรักเฮียเล้งขนาดไหน แต่เรื่องที่เพื่อนจะโดนทำร้าย อยากให้ดินคิดช่วยเพื่อนด้วยนะ นะดินนะ เราขอร้อง 5555


ขอให้คุณใหญ่รู้เรื่องโดยเร็วเถอะว่าพีทนะโดนคนบ้านนั้นหลอกจนตามเขาไม่ทันแล้ว คุณใหญ่อย่ามัวติดงานจนลืมให้คนตามดูแลพีทแบบนี้สิ ไม่สมกับเป็นคุณใหญ่เลย

ปล.ตามอ่านตลอดน้าาาา โกรธพีทต่อไปค่ะ จนกว่าพีทจะไม่โดนหลอก 555555 แต่...​ยังรักและลุ้นพีทไปตลอดนะคะ  o18

2 ตอนแล้วที่คุณใหญ่บทน้อย สงสัยค่าตัวแพง เราคิดถึงคุณใหญ่นะคะ 5555
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 25 เบื้องหลัง --- หน้าที่ 6 [05/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-07-2020 23:10:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 25 เบื้องหลัง --- หน้าที่ 6 [05/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 06-07-2020 09:34:41
 :mew1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 25 เบื้องหลัง --- หน้าที่ 6 [05/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-07-2020 22:17:06
ดูท่าเครียดๆแบบนี้ กลับมาต้องคลายความเครียดค่ะคุณใหญ่  :impress2: 5555 กับคุณรัญญาตอนนี้คิดดีไม่ได้เลย ไม่ไว้ใจบอกตรงๆ รอดูท่าทีไปก่อนจะยังไง ส่วนดินก็ถ้าเขาปล่อยอิสระจริง วันนั้นก็ให้ไปนะ จะได้รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเรา จะอดใจได้ไหมที่จะไม่ไปตาม พวกปากแข็งต้องใจแข็งไว้สู้ 555 น้องหนูก็ยังคงน่ารักน่าเอ็นดู ตัวเชื่อมสะพานรักพ่อและลุง บุ้ยๆ 55 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจ้า  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 12-07-2020 20:50:04
ยี่สิบหก
บทลงโทษ



          เสียงสนทนาระหว่างอริญชย์กับน้องหนูเงียบลงแล้ว บนรถเหลือเพียงความเงียบสงัด ตุลย์ลอบชำเลืองมองผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลัง ยามนี้ดวงหน้าเคร่งขรึมของอริญชย์ดูดุดันและเย็นชา จนคนสนิทอย่างเขาพลันรู้สึกราวกับเห็นพายุตั้งเค้ามาลาง ๆ

          ...อาจจะเป็นพายุฤดูร้อนที่พร้อมจะพัดทุกอย่างให้พังพินาศ

          อริญชย์ยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาคมปลาบจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเอง มืออีกข้างกำแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่าน ยิ่งจ้องมองรูปภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มากเท่าไหร่ ความอดทนของเขาก็ยิ่งลดต่ำลงมากเท่านั้น ทั้งที่ภาพเหล่านั้นก็ดูเหมือนภาพแอบถ่ายธรรมดา แค่ภาพชายหญิงสองคนยืนสนทนากัน เพียงแต่ว่าทั้งสองคนในรูปต่างก็เป็นคนที่อริญชย์รู้จักเป็นอย่างดี

          อริญชย์ค่อย ๆ ข่มอารมณ์ของตัวเองให้กลายเป็นปกติ หากคิดจะเจรจาปราศรัยหรือต่อกรกับราชันย์ เขาต้องเย็นลงมากกว่านี้ ถ้าเขาร้อนรนแม้เพียงนิดเดียว เกมก็จะพลิกกลับจนเขากลายเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง เป็นฝ่ายที่ถูกปั่นหัว

          สำหรับคนที่คบหากับราชันย์มามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตอย่างอริญชย์ เขากล้าพูดเลยว่าเขารู้จักราชันย์ดีกว่าใคร เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าน้องสาวของหมอนั่นเสียด้วยซ้ำ!

          พออารมณ์เริ่มเย็นลงแล้ว อริญชย์ก็กดเบอร์โทรศัพท์ที่เขาจำแม่นยิ่งกว่าเบอร์ไหน แม้ว่าครั้งสุดท้ายที่กดโทรออกจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม เสียงสัญญาณรอสายดังเพียงแค่ครั้งเดียว ปลายสายก็กดรับราวกับว่ากำลังรอเขาอยู่

           “ไอ้เล้ง!” อริญชย์คำรามออกมาเสียงลั่นจนแม้แต่ตุลย์ยังสะดุ้ง

          ถ้าหากว่าอริญชย์มีตาทิพย์ รับรองว่าเขาคงยิ่งเดือดดาลกว่าเดิมยามเห็นว่าคู่สนทนากำลังยืนสูบบุหรี่ด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนต่อความฉุนเฉียวของเขา มิหนำซ้ำรอยยิ้มยังถูกจุดขึ้นที่มุมปากบางเบาก่อนจะค่อย ๆ เลือนหาย

           “ยังนิสัยเสีย ชอบเอาคำว่า ‘ไอ้’ มาไว้หน้าชื่อกูเหมือนเดิมเลยนะ”

          คำยั่วแหย่จากราชันย์เล่นเอาขมับของอริญชย์เต้นตุบ ๆ ต้องพยายามเมินเฉย คิดเสียว่าเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา ประโยคที่เอ่ยต่อมายังคงแฝงความดุดัน

           “อย่าคิดที่จะยุ่งกับคนของกู”

          ราชันย์เกือบจะหัวเราะออกมาเต็มเสียงราวกับกำลังฟังเรื่องขบขัน แต่เพราะเห็นแก่หน้าของอริญชย์อยู่บ้าง เขาเลยแค่หัวเราะเบา ๆ

           “คนของมึง” ราชันย์แสร้งทวนคำพูดของอริญชย์เสียงสูง “นั่นน่ะน้องเขยมึงต่างหาก อย่าสับสนสิใหญ่”

           “อย่ากวนตีน มึงรู้ดีว่าพีทเป็นของกู”

          แม้จะรู้ตื้นลึกหนาบางแทบทุกอย่าง แต่พอฟังผู้เป็นนายป่าวประกาศออกมาโต้ง ๆ แบบนี้ ตุลย์ก็ยังอดทำหน้าตาประหลาดไม่ได้

          ลองอริญชย์ประทับตราแสดงความเป็นเจ้าของขนาดนี้ เห็นทีพิชญ์คงหมดทางหนีแล้วจริง ๆ ตุลย์เชื่อว่า ถ้าบังคับให้พิชญ์หย่ากับไอลดาได้ อริญชย์คงทำไปแล้วด้วยซ้ำ

           “กูก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่บังเอิญว่าคนของมึงดันเป็นเหยื่อชั้นดีสำหรับเกมนี้”

          อริญชย์พยายามนับหนึ่งถึงสิบด้วยความยากลำบาก เขาหวิดจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งอยู่หลายครั้ง แต่ก็พยายามข่มอารมณ์จนค่อย ๆ สงบลง

           “ถ้ามึงคิดว่ามีปัญญาเหยียบจมูกกูได้...ก็ลองดู”

           “ใหญ่...” เสียงที่เอ่ยเรียกชื่ออดีตเพื่อนรักของราชันย์เหมือนจะอ่อนลงนิดหน่อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง “มึงก็รู้ว่ากูรอวันนี้มานานแค่ไหน อย่าว่าแต่เหยียบจมูกมึงเลย ถ้ามันจำเป็นจริง ๆ ต่อให้ต้องเหยียบหัวมึง กูก็จะทำ”

           “ไอ้เล้ง!”

          อริญชย์มีโอกาสคำรามเรียกชื่อราชันย์อีกครั้งเดียว ก่อนสายสนทนาจะถูกตัดทิ้งจากอีกฝ่ายอย่างไม่ไยดี

          ดวงตาดำจัดก้มลงมองภาพที่ปรากฏอีกครั้ง คราวนี้ถึงกับจ้องราวกับจะให้ทะลุ ภาพพิชญ์ที่กำลังยืนยิ้มอยู่กับรัญญาทำเอาเส้นประสาทของอริญชย์เต้นตุบขึ้นมาอีกรอบ เดิมพันคราวนี้ต้องมีคนแพ้และคนชนะ

          ถ้าเขาชนะ...รับรองเลยว่ากมลวิลาศน์จะต้องแหลกเป็นจุณ จะหัวหงอกหรือหัวดำเขาก็จะเหยียบย่ำ

          แต่ถ้าเขาแพ้...คราวนี้เขาจะสูญเสียพิชญ์ เหมือนที่เคยเสียเพื่อนดี ๆ อย่างราชันย์อีกไหม

          อริญชย์ปิดเปลือกตาลงช้า ๆ เขารู้ดีว่าการที่ราชันย์กลับมาคราวนี้ก็เพื่อกลับมาจบปัญหาที่มันยังคาราคาซัง กลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรเป็นของมันคืน

          ถ้าจำเป็นจริง ๆ เขาอาจจะต้องเรียกอธิษฐ์กลับมา ถึงแม้ว่าการดึงน้องชายต่างแม่กลับมาเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมเดิม ๆ จะเป็นการทำร้ายอธิษฐ์ตรง ๆ ก็ตามที

          เกมสกปรกที่กำลังเล่นกันอยู่ ไม่เคยมีใครสนใจกติกา สนแค่ว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครจะอยู่ ใครจะไป



.



          อริญชย์กลับเข้ามาถึงบริษัทตอนหนึ่งทุ่มเศษ ที่บริษัทมีพนักงานหลงเหลืออยู่เพียงบางตา พนักงานรักษาความปลอดภัยกะดึกกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง พอเห็นเขาเข้ามาก็รีบรายงานว่าพิชญ์กับน้องหนูยังอยู่ที่บริษัท อริญชย์พยักหน้ารับก่อนจะเดินเลยมาขึ้นลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหาร

          บรรยากาศข้างบนดูเงียบผิดจากที่อริญชย์คาด ตอนแรกเขานึกเดาเล่น ๆ ว่าพอออกมาจากลิฟต์คงต้องมีเสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูดังลอดออกมาจากห้องทำงานของพิชญ์ แต่เอาเข้าจริงกลับเงียบสงัดราวกับปราศจากคน ถึงขนาดว่าถ้ามีเข็มตกซักเล่ม เขาก็คงได้ยินเสียง

          แม้จะรู้ดีว่าบริษัทของตัวเองมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม แต่อารามร้อนรนปนสังหรณ์ใจแปลก ๆ ทำให้อริญชย์รีบก้าวยาว ๆ มากระชากประตูห้องทำงานพิชญ์เปิด ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เกือบจะยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเอง แค่วันนี้เพียงวันเดียว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นหลายปี

          หลานสาวตัวน้อยของอริญชย์นอนหลับปุ๋ยอยู่ตรงโซฟารับแขก มีผ้าห่มผืนเล็กห่มอยู่อย่างหมิ่นเหม่ เดาว่าคงถูกเจ้าตัวถีบออกด้วยความรำคาญ อริญชย์ยิ้มขำก่อนจะจับผ้าห่มขึ้นมาคลุมน้องหนูดี ๆ ส่วนเจ้าของห้องที่อริญชย์คิดว่าน่าจะกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ ยามนี้กลับฟุบหลับอยู่ท่ามกลางกองเอกสารสูงท่วมหัว สภาพเดียวกันทั้งพ่อทั้งลูก

           “หึ! สมกับเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ” คนมีศักดิ์เป็นลุงเปรยเบา ๆ ทั้งขำทั้งฉิว

          หลังจากจัดการกับคนลูกเสร็จแล้ว อริญชย์ก็เดินอ้อมมาดูคนพ่อที่ฟุบอยู่กับโต๊ะทำงาน เขาคว้าเอาเสื้อสูทที่แขวนอยู่ตรงราวด้านข้างมาคลุมตัวพิชญ์แทนผ้าห่ม ก่อนจะถอยออกมายืนดูคนที่นอนหลับตาพริ้ม

          เวลานอนหลับแบบนี้ บ่าเล็ก ๆ ที่แบกรับเรื่องราวหลายอย่างก็ลู่ลงราวกับปล่อยวาง จนคนมองอดที่จะลูบผมพิชญ์ช้า ๆ ไม่ได้

          ถึงแม้พิชญ์จะอยู่กับเขามานาน นานพอ ๆ กับอายุของน้องหนู แต่สำหรับอริญชย์แล้ว พิชญ์ก็ยังบริสุทธิ์เกินกว่าจะถูกดึงเข้ามาข้องเกี่ยวกับโลกสีเทาของเขาและราชันย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเกมที่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน

           “...”

          เสียงครางงึมงำจากคนที่นอนหลับอยู่ทำเอาอริญชย์ชะงักมือ ค่อย ๆ โน้มตัวลงฟังด้วยความสงสัย

           “แม่...พักบ้างสิ...”

          ริมฝีปากหยักขยับเป็นรอยยิ้มละมุนยามฟังถ้อยคำละเมอจากคนขี้เซา ไม่ใช่ว่าตัวเขาเองไม่เคยคุยกับแม่พลอยเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขา แต่แม่พลอยก็ยืนกรานปฏิเสธเขาเหมือนที่ปฏิเสธลูกชายตัวเองเสมอมา อริญชย์เองเลยคร้านที่จะบังคับผู้อาวุโส แม้เขาจะนึกห่วงท่านอยู่ลึก ๆ ถึงอย่างไรแม่ของพิชญ์ก็เหมือนแม่ของเขาอีกคน น่าเสียดายที่พิชญ์ไม่มีโอกาสได้กราบไหว้พ่อแม่ของเขา ได้แต่กราบไหว้สุสานประจำตระกูลเขา แต่อริญชย์เชื่อว่าทั้งพ่อและแม่จะต้องชอบพิชญ์เหมือนที่เขาชอบ

          ท่าทางขยับตัวยุกยิกของคนตรงหน้าทำเอาอริญชย์ชะงักความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในหัว ดูเหมือนพิชญ์ของเขาจะตื่นแล้ว อริญชย์ผละถอยออกมานิดหนึ่ง กลัวว่าเดี๋ยวคนที่เพิ่งเข้าเฝ้าพระอินทร์เห็นหน้าเขาแล้วจะตกใจจนพาลตกเก้าอี้ แต่ทั้ง ๆ ที่ขยับออกมานิดหนึ่งแล้ว แต่อากัปกิริยาของพิชญ์ยามตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าเขาเป็นคนแรกก็ยังไม่ต่างอะไรจากเห็นผี

           “คุณใหญ่!”

           “เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวน้องหนูก็ตื่นพอดี”

          คนที่เพิ่งตื่นแทบจะอ้าปากค้าง ขยับจะโต้เถียงแต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหุบสนิท ทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของบนโต๊ะ ตาก็เหลือบมองนาฬิกาก่อนจะรู้สึกกระดากหน่อย ๆ เมื่อเห็นว่าเขาเผลอหลับไปเกือบชั่วโมง จำได้ว่าหลังจากเห็นน้องหนูหลับ พิชญ์ก็จัดการห่มผ้าให้ลูกสาวตัวน้อย เสร็จแล้วตัวเองก็กลับมานั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกน้ำมันหอมระเหย โชคดีว่าเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งกำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ พอเขาเอ่ยปากถาม ฝ่ายนั้นก็ส่งข้อมูลมาให้เป็นกระบุง เล่นเอาเขาอ่านจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ยังเปิดหน้าพวกนั้นคาอยู่

           “สนใจพวกน้ำมันหอมระเหยด้วยหรือไง” คนที่ถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของพิชญ์เอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

           “ก็เห็นว่าน่าสนใจดีน่ะครับ”

          อริญชย์พยักหน้า ไม่ได้สนใจอะไรอีก หันไปมองนาฬิกาเห็นว่าสมควรแก่เวลาเลยแล้วเอ่ยเรียกพิชญ์ให้เก็บของกลับบ้าน ส่วนตัวเขาตรงไปปลุกน้องหนู เด็กหญิงตื่นมาท่าทางงัวเงีย พอเห็นว่าเป็นลุงใหญ่ก็โผเข้ากอดแน่น อริญชย์เลยคว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นอุ้ม เจ้าตัวเลยถือโอกาสหลับซบกับไหล่ของอริญชย์ต่อ ไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่าย ๆ

           “โทรบอกตุลย์ให้เตรียมรถเลย จะได้รีบกลับบ้านกัน ป่านนี้ป้าน้อยรอจนงอนแล้วมั้ง”

          พิชญ์ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาตุลย์แทนอริญชย์ เพราะสองมือของอีกฝ่ายตอนนี้กำลังประคองน้องหนูที่เพิ่งหลับปุ๋ยไปอีกรอบ เขาคุยกับตุลย์อยู่สองสามประโยคก่อนจะวาง พอเดินออกมาหน้าตึก ตุลย์ก็ขับรถเข้ามาจอดเทียบทันที อริญชย์พยักหน้าให้พิชญ์เป็นฝ่ายเข้าไปก่อน แล้วเขาถึงส่งน้องหนูให้พิชญ์รับไปอุ้มก่อนจะตามเข้ามา

          ตลอดทางมีแต่ความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาราวกับกลัวว่าเสียงดังเพียงนิดเดียวจะปลุกน้องหนูให้ตื่นขึ้นมางอแง ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

          ขณะที่ความคิดของอริญชย์ยังคงวนเวียนอยู่กับภาพที่ราชันย์ส่งมาให้เขาเมื่อช่วงเย็น ความคิดของพิชญ์ก็วนเวียนอยู่กับรัญญาไม่ต่างกัน คำที่แม่พลอยเคยเอ่ยสอนดูเหมือนจะผุดขึ้นมาในหัวของพิชญ์

           ‘คนโง่มักจะอวดฉลาด แต่คนฉลาดมักจะแกล้งโง่ เพราะฉะนั้นบางครั้งเราก็ต้องแกล้งโง่ แสร้งว่าเราไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย แกล้งโง่เพื่อให้ได้รู้มากขึ้นไม่น่าอายเลยนะลูก’

          เพราะฉะนั้น...ถ้าเขาจะแกล้งโง่ซักหน่อยก็คงไม่เป็นไร



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 12-07-2020 20:52:04
          โต๊ะอาหารเย็นวันนี้ดูเหมือนจะเงียบกว่าทุกวัน แม้จะสังเกตเห็นความผิดปกติของอริญชย์ แต่พิชญ์ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม เขาคิดว่าอริญชย์อาจจะรั้งเขาไว้หลังมื้ออาหารเย็นเพื่อพูดคุยกัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่เขาคิด อริญชย์หยอกล้อกับน้องหนูที่ยังงัวเงียอยู่ซักพักก่อนจะขอตัวเข้าห้องทำงานพร้อมกับเรียกตุลย์ให้เดินตาม

          พิชญ์เรียกนวลมาพาน้องหนูอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย พอเสร็จเรียบร้อย เขาก็เตรียมจะพาน้องหนูเข้านอนด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนน้องหนูจะนอนตอนเย็นมาอย่างเต็มอิ่ม เจ้าตัวถึงได้นอนสบตากับพิชญ์ตาแป๋ว

           “ไม่ง่วงหรือครับ”

          คำตอบของน้องหนูคือการสั่นหน้าไปมา พิชญ์เลยได้แต่ยิ้มแห้ง เห็นทีค่ำคืนนี้ของเขากับน้องหนูคงอีกยาวไกล

           “งั้นทำอะไรกันดีลูก”

           “พ่อพีทขา น้องหนูอยากคุยกับแม่เล็ก น้องหนูคิดถึงแม่เล็ก”

          คำขอของน้องหนูทำเอาพิชญ์ถึงกับนิ่งไป เขาฝืนยิ้มปลอบน้องหนู นึกก่นด่าตัวเองที่ละเลยเรื่องราวของไอลดาอีกแล้ว แต่ถึงน้องหนูจะอยากคุยกับไอลดาขึ้นมาตอนนี้ พิชญ์ก็ไม่สามารถทำให้ได้จริง ๆ จะทำได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าไอลดาอยู่ที่ไหน ยังติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ หรือพูดให้ถูกคือ พิชญ์ไม่ได้พยายามที่จะติดต่อไอลดาแม้แต่น้อย

          พิชญ์ถอนหายใจยาว ได้แต่ลูบหัวน้องหนูไปมาเหมือนจะปลอบประโลมและขอโทษไปในคราวเดียวกัน

           “ตอนนี้แม่เล็กยุ่งอยู่ ถ้าแม่เล็กว่างเมื่อไหร่ พ่อพีทเชื่อว่าแม่เล็กต้องรีบโทรกลับมาหาน้องหนูแน่นอน” ตอบออกไปแล้วพิชญ์ก็ได้แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่องคุย “คืนนี้ฟังพ่อพีทเล่านิทานดีกว่าเนอะ”

           “น้องหนูอยากนอนด้วยกันสามคนอีกจัง...”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี แล้วเริ่มต้นเล่านิทานขับกล่อมลูกสาวตัวน้อย

           “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่ดินแดนตะวันออก มีเจ้าชายอยู่องค์หนึ่งทรงพระสิริโฉมมาก มีทั้งเจ้าหญิง นางฟ้า หรือแม้กระทั่งแม่มดมาชอบเจ้าชาย แต่เจ้าชายกลับปฏิเสธทุกคนอย่างไม่ไยดี...”

          ไม่รู้ว่านิทานก่อนนอนของพิชญ์สนุกมากหรือน่าเบื่อมากกันแน่ น้องหนูที่นอนตาแป๋วถึงได้ผล็อยหลับอย่างง่ายดาย พิชญ์ก้มลงแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากน้องหนูเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับห้องตัวเอง อันที่จริงคืนนี้เขาก็อยากจะนอนเป็นเพื่อนน้องหนูอยู่เหมือนกัน ติดว่ายังมีเอกสารที่อ่านค้างอยู่ พิชญ์เลยเลือกที่จะเดินกลับมานั่งอ่านที่ห้องของตัวเองแทน

          พิชญ์นั่งอ่านเอกสารเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีว่าสายตาชักจะล้าก็เกือบ ๆ เที่ยงคืน นอกจากสายตาจะล้าแล้ว ดูเหมือนว่าคอของเขาก็จะแห้งขึ้นมาด้วย พิชญ์เก็บข้าวของบนโต๊ะให้เรียบร้อย คิดว่าลงไปหาน้ำดื่มแก้กระหายเสียหน่อยก็คงดี เสร็จแล้วจะได้เข้านอนเลย

          ตอนนี้เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว คฤหาสน์หลังใหญ่เหลือเพียงความเงียบสงัดและมืดสนิท คนที่ยังตื่นอยู่เห็นจะมีเพียงแค่เขาคนเดียว พิชญ์ค่อย ๆ คลำทางเดินลงมาตามบันได คร้านจะเปิดไฟให้เสียเวลา พอลงมาแล้วก็เอื้อมมือเปิดไฟดวงเล็กให้พอส่องแสงรำไร ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าห้องครัว โดยไม่ทันสังเกตเห็นเงาร่างทะมึนที่นั่งอยู่ก่อน

          คนที่นั่งจิบบรั่นดีเงียบ ๆ อยู่ในความมืดมองเห็นตั้งแต่ตอนที่พิชญ์ค่อย ๆ ย่องลงมาจากชั้นบนแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะไม่สนใจ อย่างพิชญ์ก็คงแค่ลงมาหาอะไรกินตามเรื่องตามราว แต่สุดท้ายขาสองข้างกลับพาเจ้านายมันเข้ามาถึงในห้องครัว มายืนซ้อนหลังคนที่กำลังเปิดตู้เย็น หยิบเหยือกน้ำออกมารินดื่ม

          คนที่ดื่มน้ำเสร็จ หันหลังเตรียมจะกลับขึ้นห้องนอน แต่กลายเป็นว่าเขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับเงาตะคุ่ม จนเผลอขยับขาถอยหนีก้าวหนึ่งตามสัญชาติญาณ แล้วถึงรู้ว่าหลังตัวเองชนกับตู้เย็นแล้ว เรียกว่าไม่มีทางให้ถอยหลัง มีแต่ต้องให้อีกฝ่ายถอยไปอย่างเดียว

           “ลงมาทำอะไร” เสียงติดจะดุเอ่ยถามขึ้นเรียบ ๆ ในความมืด โดยที่พิชญ์เองก็มองไม่เห็นสีหน้าของคนถาม

          กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ที่โชยมาบ่งบอกว่าเมื่อกี้อีกฝ่ายคงนั่งดื่มอยู่ซักมุม พิชญ์เผลอย่นจมูกเล็กน้อย นอกจากจะไม่ตอบคำถามของอริญชย์แล้ว เขายังถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยซ้ำ

           “คุณเมาหรือเปล่าน่ะ”

          อริญชย์ยิ้มหยันกับคำถามของพิชญ์ ถ้าเขาเมาขึ้นมา พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว แต่ทั้งที่คิดแบบนั้น ริมฝีปากกลับเอ่ยตอบไปอีกอย่าง

           “คิดว่ายังไงล่ะ”

           “ถ้าเมาก็กลับไปนอนสิ ผมก็จะกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน”

          อริญชย์เบี่ยงตัวหลบให้พิชญ์เดินออกไป ทั้งที่คิดว่าจะปล่อยให้พิชญ์เดินจากไปเฉย ๆ แต่ความรู้สึกส่วนลึกกลับสั่งให้เอื้อมมือไปคว้าตัวอีกคนกลับมา พิชญ์เซตามแรงดึงกลับมาหาอริญชย์ คิ้วขมวดฉับด้วยความไม่พอใจปนสงสัย

           “คุณใหญ่ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”

           “วันนี้ไปไหนมาบ้าง” คำถามเรียบ ๆ ดังขึ้นมา ฝ่ามือแข็งแรงกำรอบข้อมือพิชญ์เอาไว้หลวม ๆ

          คนถูกถามชะงักเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอริญชย์ ดวงตาดำจัดที่พิชญ์คุ้นเคยมาตลอด ยามนี้กลับว่างเปล่าราวกับหลุมดำที่มีแต่ความมืดมิด พิชญ์ตั้งสติแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ ข่มความสั่นไหวที่อยู่ในอกอย่างมิดชิด

           “ก็ตามตาราง นัดกินข้าวกับเจ้าสัวสมศักดิ์ไงครับ”

          ถึงจะรู้ว่าพิชญ์กำลังโกหก แต่อริญชย์ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ ความคิดที่ว่าตัวเองถูกโกหกและถูกปิดบังกำลังกัดกร่อนความรู้สึกของเขาช้า ๆ

          ...ยาพิษที่รุนแรงที่สุดคือยาพิษที่ชื่อว่า... ‘ความไม่ไว้ใจ’

           “แค่นั้นเองเหรอ”

           “เสร็จแล้วก็ไปรับน้องหนู แล้วก็ตรงกลับออฟฟิศ”

          ก็ยังโกหกอยู่ดี...อริญชย์หลับตาลง ซุกซ่อนความรู้สึกปวดหน่วงอย่างมิดชิด

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อน”

           “อย่าเพิ่งสิ...”

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากถามว่าทำไม แต่ริมฝีปากร้อนผ่าวที่เจือจางด้วยรสบรั่นดีก็ทาบทับลงมาสะกัดกลั้นทุกคำพูดจนต้องกลืนกลับลงคอ ปลายลิ้นร้อนจัดกวาดต้อนทั่วโพรงปากของเขา จนพิชญ์รู้สึกราวกับตัวเองกำลังถูกมอมเมาด้วยจูบรสบรั่นดี

          กว่าจะรู้ตัว...ก็เคลิบเคลิ้มและเผลอไผล...

          พิชญ์เผลอแหงนเงยใบหน้า ปล่อยให้อริญชย์แนบจูบร้อนผ่าวลงมาตามลาดไหล่และซอกคออย่างไม่รู้ตัว สัมผัสที่ห่างเหินกันมานานเร่งเร้าให้พิชญ์เบียดตัวเข้าหาอริญชย์ เรียกร้องและต้องการ ทั้งที่ทุกทีเป็นต้องผลักไส ต้องเป็นเพราะบรั่นดีจากริมฝีปากอริญชย์แน่ ๆ ที่ทำให้พิชญ์ร้องหาสัมผัสอย่างน่าไม่อายแบบนี้

           “คุณใหญ่...” พิชญ์ครางเรียกชื่อ ยามถูกอีกฝ่ายช้อนตัวขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์

          กางเกงนอนถูกดึงร่นจนลงมากองอยู่ที่ข้อเท้า ผิวหนังพลันสัมผัสกับความเย็นของเคาน์เตอร์ เรียกสติอันเลือนรางที่หลงเหลืออยู่ให้คืนกลับมา

           “อย่า...”

          คำห้ามปรามของพิชญ์ได้รับการตอบสนองด้วยอาการหยุดชะงักของอริญชย์ แต่นั่นกลับทำเอาคนที่ร้องห้ามเป็นฝ่ายทุรนทุราย พิชญ์คงยังไม่รู้ตัว ว่านี่คือบทลงโทษของคนที่ริอ่านเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

           “ตามใจนาย” คนถูกห้ามปรามยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะผละออกจากตัวพิชญ์

          พิชญ์จ้องมองอริญชย์อย่างตกตะลึง ทุกทีถึงแม้ว่าเขาจะเอ่ยห้ามปรามแค่ไหน อริญชย์เป็นต้องดึงดันจนเขาคล้อยตามและสมยอม แต่วันนี้แค่เพียงเขาเอ่ยว่า ‘อย่า’ คำเดียว อีกฝ่ายกลับผละหนีง่าย ๆ พิชญ์แทบจะบิดตัวด้วยความทรมาน เมื่อความต้องการที่ถูกปลุกเร้าจวนเจียนจะทำให้เขาแทบคลั่ง

           “คุณใหญ่...”

           “ฉันไม่บังคับนายหรอกนะ ไม่ก็คือไม่”

          ความอัดอั้นจากกายส่วนล่างเร่งเร้าให้หยาดน้ำเอ่อคลอขึ้นมาบนดวงตา พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น หน้าแดงก่ำ เพิ่งรู้ว่าร่างกายของเขาโหยหาสัมผัสของอริญชย์มากแค่ไหนก็ตอนที่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนมองเฉย ๆ โดยไม่คิดที่จะยื่นมือมาช่วยเขาปลดปล่อย

           “เลือกเอาว่าจะขอร้องฉันหรือจะช่วยตัวเอง”

          คำพูดร้ายกาจที่ดังออกมายิ่งกว่าน้ำเย็น ๆ ที่สาดใส่หน้าพิชญ์ พิชญ์กัดฟันข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเอง เลื่อนมือลงไปประคองแกนกายที่กำลังสั่นระริกด้วยความอาย แต่ถ้าขืนไม่ทำ เขาก็ไม่มีทางหนีไปจากตรงนี้ได้

          เขาทั้งเกลียดทั้งต้องการอริญชย์ ผู้ชายใจร้ายที่ยืนดูเขาช่วยตัวเองโดยไม่คิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย

          พิชญ์ปิดเปลือกตาลง ไม่อยากจะเห็นสายตาของอริญชย์ที่มองตรงมาที่เขานิ่ง ๆ แต่ยิ่งหลับตา จินตนาการกลับยิ่งมีแต่หน้าของอีกฝ่าย พิชญ์เม้มริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงคราง ได้แต่ขยับมือเร่งเร้าความปรารถนาของตัวเอง ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาเพราะคิดว่าอริญชย์คงจากไปแล้ว เขาก็ยังเห็นสายตาคมกล้านั่นมองตรงมายังเขา มองราวกับจะกลืนกิน แต่ไม่คิดที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย

          ร้ายกาจ...ร้ายกาจที่สุด!

          เมื่อความปรารถนาเดินทางมาจวนเจียนจะถึงปลายทาง พิชญ์ก็ยิ่งเร่งขยับมือ แต่เหมือนคนที่ยืนมองอยู่นานเองก็รู้ ทั้งที่สวรรค์มารอรำไรอยู่ข้างหน้า อริญชย์กลับกระชากมือพิชญ์ออกแล้วบีบความต้องการของพิชญ์เอาไว้ ไม่ยอมให้ปลดปล่อยออกมา

           “คุณใหญ่...”

           “รู้ไหมว่าฉันไม่ชอบคนโกหก”

          ประโยคเดียว...คือคำตอบของทุกการกระทำอันเย็นชาที่มีต่อพิชญ์

          ทั้งที่ฝ่ามือข้างหนึ่งยังเกาะกุมความต้องการของพิชญ์ไว้ไม่ยอมให้ปลดปล่อย แต่มืออีกข้างกลับช้อนสะโพกของพิชญ์ขึ้น แล้วสอดนิ้วไปยังช่องทางข้างหลัง สอดลึกแล้วควานช้า ๆ เพื่อตระเตรียม พิชญ์กัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนสัมผัสได้ถึงรสคาวเลือดก่อนจะหลุดเสียงครางออกมา เมื่อปลายนิ้วที่ทำหน้าเบิกทางถูกกระชากออก แล้วสอดแทรกด้วยความร้อนผ่าวที่ใหญ่โตจนคับแน่น

          ฝ่ามือสองข้างยึดสะโพกพิชญ์ไว้ไม่ยอมให้ขยับหนี ขณะที่โหมแรงกระแทกใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า รู้ดีว่าครั้งนี้ตัวเองรุนแรงกว่าทุกครั้ง ทั้งความต้องการ ความปรารถนา และความหงุดหงิดมันผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก

          ร่างกายของพิชญ์ปลุกเร้าความต้องการของอริญชย์ได้อย่างง่ายดาย แค่ภาพพิชญ์ที่ช่วยตัวเองในความมืดเมื่อกี้ก็ทำให้อริญชย์คลั่งไม่ต่างกัน ความปรารถนาที่เก็บกักมานานเพราะไม่ได้ปลดปล่อยผสมกับความหงุดหงิดที่พิชญ์โกหกผลักดันให้เขากระทำรุนแรงกว่าที่เคย

          พิชญ์กอดรัดอริญชย์แน่น สัมผัสที่รุนแรงกว่าทุกครั้งทำเอาเขาทั้งกลัวทั้งรู้สึกดี ร่างกายบีบรัดทุกครั้งที่อริญชย์สอดใส่เข้ามา โหยหาทุกครั้งที่อีกฝ่ายถอดถอนออก เผลอตัวแยกขาออกกว้างให้อีกฝ่ายกระทำได้อย่างถนัดถนี่ ทั้งที่รู้ดีว่านี่คือบทลงโทษ

          บทลงโทษของคนโกหก...

          แต่น่าแปลกที่เขายินดีจะรับมันไว้ ซ้ำร่างกายยังเบียดเข้าหาเพื่อเรียกร้องมากยิ่งขึ้น จวบจนกระทั่งอริญชย์กระแทกเข้ามาครั้งสุดท้าย ปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนไว้ในตัวพิชญ์พร้อม ๆ กับที่พิชญ์เองก็ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมา เขาถึงได้ทิ้งตัวลงกับบ่าของอริญชย์อย่างหมดแรง กางเกงนอนที่กองอยู่ที่เท้าถูกดึงขึ้นมาสวมให้ลวก ๆ พิชญ์รับรู้ว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายอุ้มไว้หลวม ๆ ฝ่ามือที่ลูบลงมาที่เส้นผมของเขาเบา ๆ นั้นช่างอ่อนโยนขัดกับคำพูดดุดันที่กระซิบอยู่ข้างหู

           “รู้แล้วใช่ไหม...ว่าฉันไม่ชอบคนโกหก”

          ถ้ายังมีแรงหลงเหลืออยู่ พิชญ์ก็อยากจะตอบโต้กลับไปว่า...เขาไม่ได้โกหก แค่บอกไม่หมด..

          ราวกับเจ้าของอ้อมอกที่พิชญ์ซุกอยู่จะรู้ถึงความในใจของพิชญ์ เสียงดุดันถึงได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง

           “อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงให้มาก นั่นไม่ใช่หน้าที่ของนาย”

          คราวนี้พิชญ์เลยเลือกที่จะนอนนิ่ง ๆ ...

          อริญชย์ฉลาดเกินไป ฉลาดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เขาได้อวดฉลาดบ้างเลย



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า ^^
เหนือพีทยังมีคุณใหญ่ ทั้งฉลาด ทั้งน่าหมั่นไส้
 
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 12-07-2020 21:50:08
โอ้ยยย ลุ้นมากจ้า ในแต่ละตอน ว่าตกลงรัญญาเป็นยัง แต่เดาว่าความแสบ น่าได้พี่ชายแน่
คุณใหญ่ ยังซึน แต่เท่ห์มาก
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-07-2020 23:44:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-07-2020 00:30:26
บทลงโทษของคุณใหญ่ดูเหมือนพีทจะชอบนะคะ.. ขี้คร้านจะร้องให้ลงโทษเพิ่มขึ้นอีก เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา จนสมอุราจนสาแก่ใจ 555555555

ปล.สงสารแม่บ้านนะคะ ถ้ารู้ว่ามุมหนึ่งในห้องครัวมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ 5555

คุณใหญ่จะเรียกคุณกลางให้มาจัดการอิตาเล้งหรือเปล่านะ รอลุ้นแต่ก็อดสงสารคุณกลางไม่ได้ว่าถ้ากลับมาแล้วตัวเองจะทำใจได้หรือเปล่าที่ต้องเจอกับสภาพสิ่งแวดล้อมเดิมๆ นี้ คุณใหญ่ไม่สงสารน้องเหรอ  :mew6: แต่พอมานึกถึงเกมส์สกปรกที่อิตาเล้งทำแล้วก็สมน้ำสมเนื้อกันดีนะ...

อ่านมาถึงคำสอนของแม่พลอยที่สอนพีท หรือจริงๆ แล้วที่พีททำเป็นว่าเชื่อยัยตะหลิวเรื่องน้ำหอมระเหยนั่นก็เพื่ออยากจะรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของยัยตะหลิวกันแน่นะ ทำเป็นเชื่อเพื่อให้ตายใจไว้ก่อน.. แต่มันก็เสี่ยงไปนะพีท ถอยออกมาเถอะ ให้คุณใหญ่เขาจัดการเองดีกว่า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 13-07-2020 21:47:47
บทลงโทษแบบนี้  :impress2: ไม่อ่อนโยนเลย ชอบบบบ ต่างคนต่างอัดอั้นไง  :oo1: 5555 เออก็ดีแล้วที่ลงโทษพีทจะได้สบายใจขึ้นว่าตัวเองผิดและได้รับโทษจากเขาแล้ว ก็ยังดีกว่าเขาไม่ทำอะไรเราเลย คราวนี้ก็นะ ฟังเขาบ้างนะพีท หมอลอบกัดก็คือหมาลอบกัด อันตราย ต้องระวัง เมื่อไหร่จะเคลียร์กันก็ไม่รู้ ขู่กันไปขู่กันมา ลุ้นจนเพลียละเนี้ย 555 สนุกก รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-07-2020 00:43:55
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้อีกครั้ง รอค่าาา
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 26 บทลงโทษ --- หน้าที่ 6 [12/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-07-2020 21:29:40
คือไม่มีอะไรจริงๆ หรือแค่หลอกให้ตายใจกันคะ รัญญา
พิชญ์คือเชื่อคนง่ายมาก ทั้งที่รู้ว่าควรระวังให้มากกว่านี้

สงสารดินมากเลยค่ะ รักคนที่รักไม่ได้
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 27 ลวง --- หน้าที่ 7 [19/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 19-07-2020 21:48:26
ยี่สิบเจ็ด
ลวง



          แดดยามเช้าส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบร่างที่ยังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย แม้แต่เจ้าของห้องเองก็เพิ่งตื่นนอนเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว อริญชย์ขยับตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง ยามทอดมองร่างที่นอนซบหน้ากับหมอน ดวงตาพลันทอประกายอ่อนหวาน อย่างที่น้อยครั้งถึงจะปรากฏให้เห็น

          ความสุขของอริญชย์ คือการได้ตื่นมาเห็นพิชญ์นอนอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ตอนเช้า

          อริญชย์เดินเข้าห้องน้ำจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินพันผ้าขนหนูออกมา ทันเห็นคนที่เพิ่งตื่นกำลังนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เห็นแล้วริมฝีปากหยักกลับยิ่งขยับรอยยิ้มกว้างขวางออกมา ยังดีว่าถ้อยคำที่เอ่ยถามคนที่เพิ่งตื่นนั้นอ่อนโยนจนผิดวิสัย

           “เจ็บมากไหม”

          พิชญ์หันขวับมายังต้นเสียง ดวงตาเรียววาววับขึ้นมาทันที ตัวต้นเหตุอาการปวดร้าวช่วงล่างของเขายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า สาบานเลยว่าเมื่อคืนตอนที่ถูกกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็สุขสมดีหรอก แต่หลังเสร็จกิจกามนี่สิ ช่วงล่างของเขาแทบจะพังพินาศ เรียกว่าถ้าเป็นรถก็คงต้องส่งเข้าศูนย์เพื่อยกเครื่องกันใหม่ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าสะโพกของพิชญ์จะมีอาการช้ำหน่อย ๆ อีกด้วย

          ให้ตายเถอะ! ทั้งเขาและอริญชย์ควรจะจำให้ขึ้นใจว่าห้องครัวไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับการประกอบกิจกามเลยแม้แต่น้อย

          ตอนสะโพกตัวเองถูกกระแทกเมื่อคืน พิชญ์ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ถูกความรู้สึกอย่างอื่นบดบัง แต่ตอนนี้ต้องบอกว่าทั้งเจ็บทั้งปวดกันเลยทีเดียว

           “อย่ามาหัวเราะขำนะ” พิชญ์แทบจะขู่ฟ่อคนที่ยืนมองเขานิ่ง ๆ แต่ดวงตาพราวระยับ

          อีกเรื่องที่น่าโมโหคือ หลังจากเสร็จกิจกามที่ห้องครัวแล้ว อริญชย์ก็อุ้มเขามาปล่อยแหมะลงบนเตียงนอนของตัวเอง ซึ่งพิชญ์คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับกิจกามยามค่ำคืน แต่ใครเลยจะคิดว่าจะมียกสองต่อบนเตียงและตามด้วยยกสามที่ห้องน้ำจนพิชญ์แทบจะสลบคาอกอริญชย์ เล่นเอาคนกระทำต้องช้อนร่างปวกเปียกของพิชญ์ออกมาจากห้องน้ำ จัดการแต่งตัวแล้วนอนกอดรัดเขาแน่นราวกับเป็นหมอนข้างส่วนตัว ส่วนพิชญ์ก็แทบจะหลับทันทีที่หัวถึงหมอน ไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะผลักไสอีกคนให้พ้นตัว

          ถ้ามีคนบอกพิชญ์ว่าช่วงนี้เป็นฤดูผสมพันธุ์ของอริญชย์ พิชญ์ก็คงเชื่ออย่างไม่สงสัย ในเมื่อหลักฐานมันปรากฏทนโท่อยู่บนตัวเขาเต็มไปหมด

          เจ้าของห้องปล่อยให้พิชญ์นอนอยู่บนเตียง ขณะเขาจัดการกับตัวเอง เพราะรู้ดีว่าสภาพแบบนี้ พิชญ์คงไม่มีปัญญาลุกหนีไปไหนแน่ ๆ

          พิชญ์มองคนที่ยืนกลัดกระดุมอยู่หน้ากระจกบานสูง อริญชย์ทำราวกับเป็นเรื่องปกติที่มีเขานอนอยู่บนเตียง โดยที่อีกฝ่ายยังคงทำกิจวัตรประจำวันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจพิชญ์ที่นอนกรอกตาไปมา จนคนที่ลำบากใจกลายเป็นพิชญ์เสียเอง ความคิดที่จะกลับห้องของตัวเองแล่นวาบเข้ามา

          ไวเท่าความคิด พิชญ์หย่อนปลายเท้าข้างหนึ่งเตรียมลงจากเตียง แต่ทันทีที่เท้าแตะพื้นพรม แข้งขาก็อ่อนเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาสียดื้อ ๆ หน้าเกือบคะมำคว่ำลงมาจากเตียงทั้งตัว โชคดีที่อริญชย์ถลาเข้ามาหิ้วปีกเขาไว้ทัน พิชญ์คิดว่าตัวเองต้องโดนอีกฝ่ายดุแน่ ๆ ที่ริอ่านอวดเก่ง น่าแปลกที่อริญชย์เพียงแค่หัวเราะหึในลำคอเบา ๆ จนเขาต้องเป็นฝ่ายตวัดตามองแล้วกล่าวโทษแก้เก้อเสียเอง

           “เพราะคุณใหญ่นั่นแหล่ะ”

           “อื้อ เพราะฉันจริง ๆ นั่นแหล่ะ”

          นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้ว อริญชย์ยังตอบรับหน้าตาเฉย จนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายอายเสียเอง แก้มขาว ๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนจะเป็นไข้ ถ้ามุดเข้าผ้าห่มแล้วคลุมโปงได้ พิชญ์คงทำไปแล้ว

          เรื่องน่าอายเมื่อคืนผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ จนผิวหน้าของคนเพิ่งตื่นแดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก สุดท้ายพอทนไม่ไหวเอง พิชญ์เลยล้มตัวลงนอนแล้วหันหลังหนีเสียอย่างนั้น

          ในเมื่อลุกหนีไปไม่ได้ อย่างน้อยได้หันหลังหนีก็ยังดีกว่าเผชิญหน้ากันซึ่ง ๆ หน้า

          ทั้ง ๆ ที่นอนหันหลังให้แล้ว แต่เสียงหัวเราะหึ ๆ ก็ยังดังอยู่ข้างหลังจนคนฟังนึกหงุดหงิดหัวใจ อยากจะหยิบหมอนมาขว้างใส่เจ้าของห้องเสียหลายครั้ง จนกระทั่งคนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินอ้อมมาหาพิชญ์ ฝ่ามือแข็งแรงยื่นมาลูบหัวพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะก้มลงแตะจูบที่หน้าผากราวกับพิชญ์เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนถูกกระทำถึงกับตวัดตามอง พึมพำออกมาเสียงเบา

           “ผมไม่ใช่น้องหนูนะ”

           “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าใช่เสียหน่อย”

          พอเอ่ยถึงลูกสาวตัวน้อย พิชญ์เลยนึกขึ้นได้ว่าวันนี้น้องหนูต้องไปโรงเรียน สายป่านนี้เขายังมัวแต่นอนอยู่ แล้วน้องหนูล่ะ คิดพลางริมฝีปากก็ขยับเอ่ยถามอริญชย์ด้วยความกังวล

           “น้องหนูล่ะครับ”

           “ฉันให้ตุลย์ขับรถพาไปส่งกับนวลแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก นายน่ะนอนพักไปเถอะ”

          พิชญ์ค่อยยิ้มออก มีอริญชย์อยู่ด้วยก็สบายไปเสียแปดอย่างสิบอย่าง

           “แต่วันนี้มีงาน...”

           “ถ้าคิดว่าไปทำงานไหวก็เอาสิ”

          อริญชย์ยืนกอดอกมองคนหัวรั้นนิ่ง ๆ รู้ว่าแค่พิชญ์จะลุกออกจากเตียงยังลำบาก เขาเลยไม่ห้าม เมื่อกี้ก็เกือบจะล้มคว่ำแล้วยังจะทำอวดเก่งอีก

          เห็นท่าทางอีกฝ่ายแล้ว พิชญ์เลยได้แต่ฮึดฮัดขัดใจอยู่คนเดียว ที่อริญชย์พูดมามันก็ถูก แต่งานที่ค้างอยู่น่ะสิ..

           “แล้วงานที่ค้างอยู่ล่ะครับ”

           “แค่นายหยุดงานวันเดียว ไม่ทำให้บริษัทฉันเจ๊งหรอก”

           “แต่...”

           “เป็นคนป่วยก็หัดจะนอนอยู่เฉย ๆ เถอะน่า เดี๋ยววันนี้ฉันจะรีบกลับ ไม่ปล่อยให้นายนอนเหงาอยู่คนเดียวหรอก”

           “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย ให้ผมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองได้ไหม”

          อริญชย์กดยิ้มมุมปาก เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของพิชญ์ก็นึกรู้ อีกฝ่ายคงกลัวสายตาแปลก ๆ ถ้าหากคนอื่นรู้ว่ามานอนค้างอยู่ที่ห้องเขา แต่ถามเขาสิว่าเขาสนหรือเปล่า อริญชย์ตอบเลยว่าไม่

           “ห้องฉันกับห้องนายต่างกันตรงไหน มันก็มีเตียงนอนเหมือนกัน”

          พิชญ์ชักจะหงุดหงิดอริญชย์ขึ้นมาดื้อ ๆ แค่พาเขากลับห้องมันจะยากเย็นอะไรนักหนา แต่ยามนี้ที่เขาไปเองไม่ได้ก็มีแต่ต้องพูดจากับอีกฝ่ายดี ๆ เท่านั้น

           “คุณใหญ่ ช่วยพาผมกลับห้องหน่อยไม่ได้เหรอ”

          ใครสั่งใครสอนให้ใช้สายตาแบบนั้นมองเขากัน อริญชย์สบถในลำคออยู่สองสามคำก่อนจะก้มลงช้อนตัวพิชญ์ขึ้นมา ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าสูทเนี้ยบกริบราคาแพงระยับของตัวเองจะยับหรือไม่

          ส่งพิชญ์ถึงเตียงนอนของเจ้าตัวแล้ว คนป่วยก็ยังยึดชายเสื้อเขาไว้ พออริญชย์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แก้มขาว ๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นมาอีกรอบ ก่อนที่พิชญ์จะชี้นิ้วส่ง ๆ ไปที่ตู้เก็บของเล็ก ๆ ตรงมุมห้อง

           “หยิบกระปุกสีครีมกับยาแก้อักเสบในตู้ให้ผมหน่อย”

          อริญชย์ทำหน้าไม่เข้าใจในทีแรก แต่ก็เดินไปหยิบของที่พิชญ์ต้องการให้แต่โดยดี พอเห็นยาที่อีกฝ่ายจะเอาชัดถนัดตาก็ถึงบางอ้อทันที เขาหยิบเอายาที่พิชญ์ต้องการก่อนจะเดินกลับมาหาคนที่นอนอยู่บนเตียง พิชญ์แบมือรอรับยาที่คิดว่าอริญชย์จะส่งให้ แต่นอกจากจะไม่ส่งยาให้แล้ว อริญชย์ยังจับเขาพลิกตัวนอนคว่ำ มิหนำซ้ำยังดึงกางเกงนอนตัวหลวมของพิชญ์ลงเสียอีก

           “คุณใหญ่!”

          พิชญ์ถึงกับร้องลั่น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไร มือสองข้างยื่นออกไปหมายจะผลักไส แต่กลับถูกอีกคนดุแถมยึดเอาไว้เสียอย่างนั้น

           “หยุดร้องโวยวายแล้วก็อยู่เฉย ๆ เถอะน่า”

           “เอายามา เดี๋ยวผมทาเอง”

           “ได้ยังไง ฉันเป็นคนทำ ฉันก็ต้องรับผิดชอบสิ”

          พิชญ์ขยับปากจะเอ่ยประท้วงว่าไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเขา แต่สัมผัสของฝ่ามืออุ่นที่แตะต้องลงบนผิวกายก็ทำเอาเขาถึงกับชะงัก เก็บกลืนเสียงห้ามปรามลงคออย่างยากลำบาก

          อริญชย์มองรอยแดงและรอยช้ำมากมายที่เกิดจากน้ำมือของตัวเอง ทั้งที่ควรจะรู้สึกผิด แต่ริมฝีปากกลับขยับเป็นรอยยิ้ม

          เขาชอบ...ชอบความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของของพิชญ์

          ชอบยามที่เห็นร่างกายของพิชญ์เต็มไปด้วยร่องรอยที่เขาเป็นคนตีตราเอาไว้ ด้วยริมฝีปาก ด้วยฝ่ามือ ด้วยตัวตนของเขา

          ปลายนิ้วร้อนผ่าวไล้ไปตามรอยช้ำเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ แต้มยาอย่างเบามือ คนที่นอนคว่ำหน้าอยู่เผลอกลั้นหายใจจนตัวเกร็ง ยิ่งตอนที่ปลายนิ้วซึ่งเคลือบด้วยยาเย็น ๆ แหวกรอยแยกตรงบั้นท้ายของเขาออก พิชญ์ถึงกับหลุดเสียงครางออกมาเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่

          ไม่ใช่แค่พิชญ์คนเดียวที่รู้สึก แม้แต่อริญชย์เองก็ยังต้องขบกรามแน่น รอยช้ำสีก่ำตรงร่องหลืบของพิชญ์เป็นหลักฐานความเอาแต่ใจของเขาเป็นอย่างดี อริญชย์พยายามจดจ่ออยู่กับแผลตรงหน้า ค่อย ๆ แต้มเนื้อยาเย็น ๆ อย่างเบามือที่สุด

           “อ๊ะ...” พิชญ์พยายามกลั้นเสียงคราง ทั้งความเจ็บปวดและความรู้สึกบางอย่างแล่นริ้วขึ้นมาพร้อมกัน

           “ชู่ว ทนหน่อยนะ อีกเดี๋ยวเดียว...” เสียงทุ้มพึมพำปลอบเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าปลอบพิชญ์หรือปลอบตัวเองกันแน่

          พิชญ์ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน กว่าอริญชย์จะทายาให้เขาเสร็จแล้วดึงกางเกงนอนขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย  ยาแก้อักเสบถูกส่งให้เป็นลำดับต่อมา ก่อนที่อริญชย์จะบ่นเบา ๆ เมื่อมองไม่เห็นขวดน้ำในห้องนอนของพิชญ์ เขาเดินหายออกจากห้องไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำที่ถูกส่งต่อให้พิชญ์รับไปดื่ม

           “กินยาแล้วก็นอนพักผ่อนซะ เดี๋ยวสาย ๆ จะให้เด็กยกข้าวขึ้นมาให้”

          คนป่วยแทบจะสิ้นฤทธิ์ หมดเรี่ยวแรงต่อต้าน ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก กินยาเสร็จก็ล้มตัวลงนอนแล้วตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมจนเหลือแต่ตากับจมูก

          อริญชย์คลี่ยิ้มบางยามเห็นอีกคนว่าง่าย ก่อนออกจากห้องไม่ลืมกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนที่นอนอยู่หนัก ๆ อีกหนึ่งที วันนี้เขามีเรื่องต้องจัดการหลายเรื่อง แต่อย่างที่บอกกับพิชญ์ไว้ ยังไงตอนเที่ยงเขาก็จะแวะกลับเข้ามาดูพิชญ์อีกที เจ้าของบ้านไม่วายกำชับป้าน้อยก่อนออกจากบ้านว่าให้เอาข้าวขึ้นไปให้พิชญ์ที่ห้องและห้ามใครรบกวน

          ถึงปัญหาต่าง ๆ จะยังไม่คลี่คลายอย่างที่ใจคิด แต่อริญชย์กลับรู้สึกว่า วันนี้อากาศดี และตัวเขาเองก็อารมณ์ดีกว่าทุกวัน



.
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 27 ลวง --- หน้าที่ 7 [19/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 19-07-2020 21:50:38
          พิชญ์ตื่นมาตอนเข็มนาฬิกาเลยเที่ยงนิดหน่อย เห็นถาดอาหารวางอยู่บนโต๊ะข้างตัวก็นึกรู้ทันทีว่าคงมีคนยกขึ้นมาตามคำสั่งของอริญชย์ ชายหนุ่มลุกจากเตียงมาแง้มฝาครอบดู ดูเหมือนว่าอาหารเช้าของเขาจะเย็นชืดหมดแล้ว พิชญ์ส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะปิดฝาลงตามเดิม ไม่คิดที่จะแตะต้องมันอีก

          พอเอี้ยวตัวมาเห็นยาทาและยากินตรงหัวเตียง มุมปากพลันกดลึกเป็นรอยยิ้ม อย่างน้อยยาที่วางอยู่ก็ทำให้อาการเขาดีขึ้นกว่าเมื่อเช้าเยอะ อันที่จริงอาการของพิชญ์ก็ไม่ได้แย่อย่างที่เขาอยากให้อริญชย์เข้าใจ ช่วงล่างเขาระบมก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขนาดยับตัวไปไหนไม่ได้

          บางทีอริญชย์ควรจะรู้...ว่าเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด

          พิชญ์จัดการอาบน้ำอาบท่าจนรู้สึกสดชื่น ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงบันไดมาข้างล่าง บ้านหลังใหญ่เงียบกริบ สงสัยคนที่บอกว่าจะกลับมากินข้าวกลางวันด้วยจะไม่ได้กลับมาอย่างที่รับปาก พิชญ์เผลอเม้มริมฝีปากแน่น นึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาหน่อย ๆ

          ...ก็แค่คนไม่รักษาคำพูด ทำไมเขาต้องสนใจ

          อีกขั้นเดียว พิชญ์ก็จะถึงขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงป้าน้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวร้องเอ็ดเอา

           “ตายแล้วคุณพีท เดินระวังค่ะ เดี๋ยวป้าช่วยประคอง”

           “ไม่เป็นไรครับป้า ผมไหวอยู่”

          ดูเหมือนป้าน้อยจะไม่ได้นำพาต่อคำปฏิเสธของพิชญ์ รีบทิ้งงานในมือ แล้วกุลีกุจอเข้ามาประคองพิชญ์ไปนั่งโซฟา ปากก็เอ่ยถามไถ่ถึงอาการของคนป่วยจำเป็นด้วยความเป็นห่วง

           “ดีขึ้นหรือยังคะ เมื่อเช้าตอนคุณใหญ่บอกป้าว่าเมื่อคืนคุณพีทตกบันได ก้นกระแทก ป้าล่ะตกใจแทบแย่”

           “กินยากับทายาเข้าไปก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ”

          พิชญ์ยิ้มตอบแกน ๆ กลายเป็นว่าเขาตกบันไปเสียได้ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าให้รู้สาเหตุจริง ๆ

           “แล้วได้ทานข้าวเช้าที่ป้ายกขึ้นไปให้หรือเปล่าคะ” พอเห็นพิชญ์ส่ายหน้า ป้าน้อยก็เอ็ดเอาทันที “น่าตีจริงเชียวคุณพีท นั่งรออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวป้ารีบไปยกข้าวกลางวันออกมาให้”

           “แล้วคุณใหญ่ล่ะครับ” พิชญ์อดถามถึงคนที่นัดกันไว้ไม่ได้

          ป้าน้อยที่กำลังจะเดินเข้าห้องครัวชะงัก หันมายิ้มให้แล้วเอ่ยอธิบายจนพิชญ์แทบจะหมดข้อกังขา

           “คุณใหญ่โทรมาสองรอบแล้วค่ะ พอป้าบอกว่าคุณพีทยังหลับอยู่ก็สั่งไว้ว่าห้ามปลุกเด็ดขาด แล้วก็ฝากให้ป้าบอกคุณพีทว่ากลับมาไม่ได้แล้ว เพราะมีประชุม แต่ถ้าคุณพีทมีเรื่องด่วนก็ให้โทรหาได้เลยนะคะ”

          พิชญ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ พอคล้อยหลังป้าน้อยแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

          ประชุมอะไรกัน ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่อง

          พิชญ์มีเวลาจมอยู่กับความสงสัยไม่นานนัก พอเห็นป้าน้อยเดินกลับมาพร้อมถาดอาหาร เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง แล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้า อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังไม่อยากถูกป้าน้อยที่ยืนกำกับให้เขากินข้าวเอ็ดเอา

          หลังจากพิชญ์จัดการกับมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ป้าน้อยก็เดินหายลับเข้าครัว ปล่อยพิชญ์นั่งเอกเขนกอยู่ตรงโซฟารับแขก คนถูกทิ้งอยู่ตามลำพังนั่งจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง

          จากคำพูดของอริญชย์เมื่อคืน เห็นชัดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขาพบกับรัญญา เพียงแต่ว่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางแค่ไหน

          พิชญ์เคาะปลายนิ้วลงกับที่วางแขนเป็นจังหวะ อย่างที่มักติดเป็นนิสัยเวลาใช้ความคิด เขารู้ดีว่าจุดประสงค์ที่รัญญาเข้ามาหาเขามันมากกว่าการอยากเห็นอริญชย์กับราชันย์กลับมาเป็นเหมือนเดิม หลังจากลองทบทวนความคิดของตัวเองดูดี ๆ แล้ว ตอนแรกพิชญ์ก็แค่อยากรู้ต้นสายปลายเหตุที่อริญชย์กับราชันย์บาดหมางกัน แต่ยิ่งถลำลึกลงมา เขาก็พบว่าเรื่องมันแปลก แปลกจนน่าสงสัย

          ถ้าถามตัวเองว่าคิดจะถอนตัวออกจากบ่วงที่กำลังรัดคอเขาหรือไม่ พิชญ์คงตอบเลยว่าทำไม่ได้ เพราะดูเหมือนเขาจะกลายเป็นหมากในเกมนี้ไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

          พิชญ์คว้ารีโมทโทรทัศน์ข้างตัวมา ตั้งใจจะเปิดเพื่อไม่ให้รู้สึกเงียบเกินไปนัก ระหว่างที่กำลังกดเลื่อนช่องไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น เสียงผู้ประกาศข่าวที่กำลังรายงานข่าวต้นชั่วโมงก็ทำเอาเขาถึงกับชะงัก

           “เมื่อช่วงสายวันนี้ มีรายงานอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ทราบชื่อภายหลังว่าคือนายนที เลิศวิจิตร ลูกน้องคนสนิทของคุณรัญญา กมลวิลาศน์ ไฮโซสาวคนดัง ซึ่งขณะนี้นำส่งโรงพยาบาลใกล้สถานที่เกิดเหตุและพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยทางตำรวจกำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมอย่างไร ทางทีมข่าวจะรายงานให้ทราบในลำดับต่อไป”

          พอได้ยินข่าวแบบนี้ขึ้นมา พิชญ์ก็รู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผากทันที เขาหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาจิบ พิชญ์ทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟา ยกมือขึ้นคลึงขมับที่เต้นตุบ ๆ ถึงผู้ประกาศข่าวจะไม่ขยายความว่าคนเจ็บเป็นคนสนิทของรัญญา พิชญ์ก็จำได้ ในเมื่อเพิ่งจะเจอกันเมื่อวาน เพราะอีกฝ่ายเป็นคนขับรถมารับรัญญาและมาส่งเขาที่โรงเรียนของน้องหนู คนที่มักจะจ้องเขาด้วยดวงตาขวาง ๆ ราวกับเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน จนบางครั้งเขาก็นึกรำคาญนิด ๆ แต่ไม่คิดจะหยิบเอามาใส่ใจ

          พิชญ์ปล่อยให้ความเย็นของสายน้ำไหลผ่านลำคอเพื่อให้ความชุ่มชื้น แต่ดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอ พิชญ์นึกอยากบุหรี่ขึ้นมาตงิด ๆ เหมือนจะจำได้ว่าอริญชย์มักจะมีสำรองเก็บเอาไว้แถวตู้ข้างโทรทัศน์ เขาถือวิสาสะเดินมาเปิดตู้ข้างโทรทัศน์ ล้วงหยิบเอาซองบุหรี่กับไฟแช็คแล้วเดินออกไปนอกระเบียง

          ปกติพิชญ์ไม่ใช่คนติดบุหรี่ นานทีปีหนเขาถึงจะสูบ ส่วนมากมักจะเป็นเวลาที่รู้สึกเครียดจนทนไม่ไหว ผิดกับอริญชย์ ถ้าพิชญ์จำไม่ผิด รายนั้นต้องมีอย่างต่ำ ๆ วันละมวน จนพิชญ์เคยนึกแช่งให้อีกฝ่ายเป็นมะเร็งปอดให้รู้แล้วรอดไป แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่เคยได้ยินความในใจของเขา

          พิชญ์ยืนอัดนิโคตินเข้าปอดหนัก ๆ เห็นจากหางตาว่าเด็กรับใช้เดินมาเก็บถาดอาหารที่เขากินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองเริ่มสงบลง โทรศัพท์มือถือที่สอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดคราด

          ...เบอร์ที่โทรเข้ามาคือเบอร์ที่พิชญ์ไม่ได้บันทึกเอาไว้

          ระหว่างที่มัวแต่ชั่งใจว่าจะกดรับดีไหม สายก็ตัดไปเสียก่อน พิชญ์ถอนหายใจเบา ๆ บางทีปลายสายอาจจะแค่โทรผิด แต่อีกไม่ถึงสองนาที หมายเลขเดิมก็โทรเข้ามาอีก คราวนี้เขาเริ่มขมวดคิ้ว เป็นไปได้ว่าอาจจะมีเรื่องด่วน ถึงได้พยายามโทรติดต่อเขา พิชญ์ตัดสินใจกดรับสายในที่สุด

           “สวัสดีครับ...”

          ปลายสายเหมือนจะเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามกลับมาคล้ายลังเล

           “นั่นคุณพิชญ์หรือเปล่าครับ”

           “ครับ ผมพูดสายอยู่ครับ”

          พิชญ์นึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ แต่เขาก็ยังใจเย็นพอที่จะยืนฟังคนที่เป็นฝ่ายโทรมานิ่ง ๆ มือขวากดบุหรี่ลงกับที่เขี่ยข้างตัว ก่อนจะขยี้ช้า ๆ จนมันดับ

           “ขอโทษที่ถือวิสาสะโทรหานะครับ พอดีผมค้นเจอนามบัตรคุณจากตัวคุณปฐพี”

          ถึงช่วงหลังจะห่างหายจากการติดต่อกันไปนานเสียหน่อย แต่แน่นอนว่าพิชญ์ไม่ได้ลืมเพื่อนสมัยเรียนอย่างปฐพีแน่ ๆ หัวคิ้วเขาย่นเข้าหากัน ก่อนคนฟังจะพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติยามเอ่ยถาม

           “เขาเป็นเพื่อนผม มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

           “พอดีผมเจอเขาหมดสติอยู่ข้างทางเลยพามาส่งโรงพยาบาลใกล้ ๆ ยังไงถ้าคุณว่างก็ช่วยแวะมาดูหน่อยแล้วกัน เพราะผมติดต่อคนอื่นที่รู้จักเขานอกจากคุณไม่ได้เลย ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล........”

          พิชญ์จำชื่อโรงพยาบาลไว้ในหัว เอ่ยปากขอบคุณพลเมืองดีและบอกให้อีกฝ่ายฝากของ ๆ ปฐพีไว้กับนางพยาบาล พอวางสายเสร็จ เขาก็ถือโทรศัพท์คาไว้ พยายามนึกชื่อคนที่เขาพอจะโทรแจ้งเรื่องปฐพีได้ ก่อนจะพบว่าเป็นศูนย์

          เขาลืมว่าตอนนี้ปฐพีก็เหมือนตัวคนเดียว มีน้องชายอยู่คนหนึ่งก็อยู่โรงเรียนประจำ เพื่อนสมัยเรียนของปฐพีก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเลย หรือพูดให้ถูกคือพิชญ์รู้จักแค่พ่อกับน้องของปฐพี ซึ่งฝ่ายแรกก็เสียไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องแวะไปดูปฐพีด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็เพื่อนกัน ที่สำคัญวันนี้เขาก็ว่าง ติดอยู่เรื่องเดียวก็คืออริญชย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน

          ตอนแรกพิชญ์ตั้งใจจะขับรถไปเอง แต่พอคิดดูให้ถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนแท็กซี่จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า พอเสร็จจากโรงพยาบาลเขาจะได้นั่งแท็กซี่เลยไปรับน้องหนูที่โรงเรียน หรือไม่ก็ไปหาอริญชย์ที่บริษัทได้เลย

          ก่อนจะออกจากรั้วคฤหาสน์หลังใหญ่ พิชญ์ไม่วายถูกบอดี้การ์ดบริเวณป้อมยามตรงเข้ามาขวาง หลังจากถามไถ่ว่าเขาจะไปไหนจนได้คำตอบที่พอใจแล้ว อีกฝ่ายก็ก้มหัวเป็นเชิงขออภัยก่อนจะเดินไปเรียกรถแท็กซี่ให้ คนถูกซักราวกับเป็นนักโทษอย่างพิชญ์ได้แต่นึกเข่นเขี้ยวคนออกคำสั่งบ้า ๆ อย่างอริญชย์ขึ้นมาติดหมัด

          ลองปล่อยให้เขาหลุดออกจากกรงบ้า ๆ นี่ได้เมื่อไหร่ อย่าหวังเลยว่าจะจับเขาไว้ได้อีก



.



           “อะไรนะ”

          คนที่ยืนเกาะเคาน์เตอร์แผนกเวชระเบียนของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง เจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์ทำหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบซ้ำเป็นรอบที่สอง

           “ดิฉันแจ้งว่าไม่มีผู้ป่วยชื่อนายปฐพี อรรถวิทย์เข้ารักษาตัวอยู่ที่นี่ค่ะ”

           “คุณเช็กดีแล้วใช่ไหม”

           “ดิฉันเช็กสองรอบแล้วค่ะ ไม่เจอผู้ป่วยตามชื่อที่คุณแจ้งเลย”

           “ครับ ๆ ขอบคุณครับ”

          พิชญ์เดินถอยกลับมาตั้งหลักด้านนอกโรงพยาบาล เลิกล้มความคิดที่จะต่อปากต่อคำกับนางพยาบาล ล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพลเมืองดี ก่อนจะต้องหลุดเสียงสบถออกมาเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณตอบรับจากปลายสาย

           “เลขหมายที่ท่านเรียกยังไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง”

          ผิดจากที่พิชญ์เดาเสียที่ไหนล่ะ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด ดูท่าว่างานนี้คงมีคนตั้งใจจะปั่นหัวหรือไม่ก็เล่นตลกกับเขา พิชญ์นึกก่นด่าตัวเองที่คราวแรกไม่ยอมบันทึกเบอร์ติดต่อของปฐพีไว้ในเครื่อง เลยไม่รู้จะเช็กจากอะไร ตอนนี้เลยได้แต่ยืนลำดับความคิดว่าจะทำยังไงต่อ อย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอริญชย์ เพราะเขาส่งข้อความไปบอกตอนที่ออกมาแล้วว่า...

          ...ไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล...

          อริญชย์ไม่เห็นจะโทรกลับมาซักไซ้ไล่เลียงอะไรกับเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรล่ะมั้ง ความคิดสุดท้ายถูกปัดทิ้งในทันใด เมื่อพิชญ์สบสายตาเข้ากับดวงตาคู่คุ้นเคย ที่วันนี้ดูจะแดงก่ำผิดปกติราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ

           “คุณหลิว...”

          รัญญาฝืนยิ้มให้พิชญ์ ขณะยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาลวก ๆ เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหนแม้ว่าจะเห็นพิชญ์แล้ว จนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายปั้นหน้านิ่งแล้วเดินมาหาเธอเสียเอง

           “เจอกันอีกแล้วนะคะ หลิวกำลังนึกอยากคุยกับคุณพีทอยู่พอดีเลย”

           “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ”

          รัญญากัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ เธอกรอกสายตามองซ้ายทีขวาทีอย่างระมัดระวังราวกับกลัวใครจะมาพบเข้า ก่อนจะเอ่ยกับพิชญ์เสียงเบา

           “คุยกันตรงนี้คงไม่เหมาะมั้งคะ”

          พิชญ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เขาไม่ได้เผื่อใจว่าจะออกมาเจอกับรัญญาโดยบังเอิญในวันนี้ และที่สำคัญ...เขาไม่ได้เผื่อเวลาสำหรับหัวข้อสนทนาที่ดูท่าจะไม่จบลงง่าย ๆ ด้วย เห็นทีวันนี้พิชญ์คงต้องเสียมารยาทเอ่ยปากปฏิเสธ

          นอกจากนี้อาการปวดแปลบของร่างกายที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คอยย้ำเตือนให้พิชญ์ระลึกถึงบทลงโทษเมื่อคืนของอริญชย์ อย่างน้อยการเอาตัวเองไปเสี่ยงกับอารมณ์โกรธของอริญชย์ก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่

           “วันนี้ผมคงไม่สะดวก...”

           “แล้วถ้าหลิวบอกว่า...” รัญญาเริ่มต้นประโยคให้พิชญ์หยุดชะงักเพื่อรอฟัง ก่อนจะตรึงพิชญ์ให้ขยับไปไหนไม่ได้ด้วยประโยคต่อมา “พี่ใหญ่ส่งคนมาทำร้ายคนของหลิว คุณพีทคิดว่ายังไงคะ พอจะมีเวลาคุยกับหลิวได้หรือยัง”

          ดูเหมือนพิชญ์จะต้องเปลี่ยนความคิดตัวเองเสียใหม่

          เรื่องบางเรื่อง...ก็มีค่าพอให้เขาเอาตัวเองไปแลกกับความโกรธเกรี้ยวของอริญชย์

          หรือพูดให้ถูกคือ...พิชญ์ยังไม่เคยเห็นเวลาที่อริญชย์โกรธขึ้นมาจริง ๆ นั่นเอง



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
พีท! พีทยังไม่เข็ดใช่ไหม หาเรื่องอีกแล้ว
คุณใหญ่อ่อนโยนแล้วนะคะเนี่ย มีทายูกทายาให้ด้วย
ตอนนี้ประมาณครึ่งเรื่องแล้วค่า ฝากเอาใจช่วยพีทด้วยค่ะ

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 27 ลวง --- หน้าที่ 7 [19/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-07-2020 22:56:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 27 ลวง --- หน้าที่ 7 [19/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-07-2020 00:58:54
ความรู้สึกของพีทนับวันจะไหลไปทางคุณใหญ่เรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว อย่างวันนี้ก็อยากกินข้าวเที่ยงกับเขาด้วยเห็นว่าจะมากินด้วย ถึงกับหอบสังขารลงมาทีเดียว 555 วุ้ยยย!! น่ารักอะพีท คุณใหญ่ก็อ่อนโยนละเกิน ไม่ดีต่อใจพีทเลย ไม่ไหวๆหวั่นไหวๆ 555 :-[ แต่พอฉากสุดท้ายนี่บับกรอกตา อีกละพีท เป็นลูกไก่วิ่งวนบนฝ่ามือของพวกเขาอยู่เรื่อย เพราะงี้สินะ คนสำคัญถึงใช้ต่อรองได้เสมอ คิดสิพีท คุณใหญ่สั่งแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา สั่งจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เห้อออ! นี่คุณใหญ่อ่อนลงให้มากแล้วนะ จะเป็นยังไงต่อละเนี้ย วุ่นวายไม่จบไม่สิ้นสักทีเว้ย สองพี่น้องนี้ 555  สนุกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 27 ลวง --- หน้าที่ 7 [19/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 20-07-2020 16:29:55
ตามมาอ่าน ย้อนหลัง ตอนที่ 18
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 27 ลวง --- หน้าที่ 7 [19/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-07-2020 20:02:48
มันทะแม่งๆ ตั้งแต่คนที่โทรหาพีทด้วยบอกว่าได้นามบัตรจากตัวดินแล้วละ ปกติแล้วควรจะบอกได้มาจากโทรศัพท์ดินที่เมมเบอร์ไว้มากกว่า แต่ก็นะ ถ้าได้เปิดจากเครื่องดินก็ต้องโทรออกด้วยเครื่องดินทันทีได้เลยสิ คนโทรหาพีทนี่มันฉลาดจริง อ้างเรื่องนามบัตรให้พีทเชื่อได้เฉยเลย... พอหลุดมาเจอยัยตะหลิวแล้วจะโดนอะไรต่ออีกละเนี่ยพีท ยิ่งยัยตะหลิวร้องไห้ด้วยแบบนี้ คนของยัยตะหลิวคงเจ็บสาหัสแหละ.. พีทจะโดนคุณใหญ่โกรธจริงจังก็ครั้งนี้หรือเปล่า หรืออยากให้คุณใหญ่เขาลงโทษอีกละ.. ชอบเหรอ ที่ถูกคุณใหญ่ลงโทษอ่ะ

ปล. เดี๋ยวโทรแจ้งแม่บ้านขัดครัวรอเลย 5555
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 ละครฉากแรก --- หน้าที่ 7 [26/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 26-07-2020 22:11:33
ยี่สิบแปด
ละครฉากแรก



          หลังจากพิชญ์ตกปากรับคำกับรัญญาแล้ว อีกฝ่ายก็เอ่ยถามถึงคนขับรถของพิชญ์ ซึ่งเจ้าตัวเลือกตอบเพียงว่าเขามาแท็กซี่ เรียกรอยประหลาดใจจากดวงตาคู่สวยของรัญญาแวบหนึ่งก่อนที่จะถูกเกลื่อนออกทันควัน พอเห็นว่าพิชญ์มาแท็กซี่ รัญญาเลยเอ่ยชักชวนพิชญ์มากับเธอพร้อมกับก้าวเดินนำมายังรถที่จอดรออยู่บริเวณลานจอดรถของโรงพยาบาล

          คนขับรถของรัญญาคราวนี้เป็นอีกคนแทนที่จะเป็นนทีอย่างทุกที ซึ่งพิชญ์เพียงแค่มองนิ่ง ๆ โดยไม่คิดที่จะเอ่ยปากถามออกมา แต่กลายเป็นว่ารัญญากลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเสียเอง

           “ปกติแล้วนทีจะเป็นคนขับรถให้หลิวตลอด จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น...” รัญญาเอ่ยราวกับกำลังเล่าเรื่องธรรมดาสามัญ จนพิชญ์ต้องหันมามองเธอ

          พิชญ์ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของรัญญา แม้จะเพียงชั่วครู่ แต่เขาก็พยายามเก็บรายละเอียดที่ดูแปลกหูแปลกตากว่าทุกวัน ริมฝีปากบางที่มักถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงเป็นเอกลักษณ์ วันนี้กลับดูซีดเซียวพอ ๆ กับสีหน้าของเธอ แม้รัญญาจะแต่งหน้าเพื่อกลบร่องรอยต่าง ๆ แต่พิชญ์ก็ยังมองเห็นความอิดโรยจากเธอได้ชัดเจน...ราวกับหงส์ที่ถูกเด็ดปีก

           “เดี๋ยวจอดตรงร้านกาแฟข้างหน้านะ”

          เสียงเอ่ยสั่งคนขับรถของรัญญา ดึงพิชญ์ให้เงยหน้าขึ้นมามองร้านกาแฟที่เธอเอ่ยถึง ดูเหมือนร้านจะอยู่ห่างจากโรงพยาบาลมาแค่สองแยก ร้านกาแฟเล็ก ๆ ซุกซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความจอแจของชุมชนเมือง ซึ่งถ้าไม่สังเกตหรือคุ้นเคยอยู่ก่อนก็อาจจะมองข้ามไปได้ง่าย ๆ

           “แถวนี้น่าจะโอเคนะคะ ถ้าขืนไปไกลมากกว่านี้ หลิวเกรงว่าจะเสียเวลาคุณพีทเสียเปล่า ๆ” เธอเอ่ยออกตัวกลาย ๆ ก่อนจะก้าวลงจากรถ บังคับให้พิชญ์ต้องก้าวตามเธอลงมา

          ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่รัญญาเลือกแบบสุ่ม ๆ มีมุมโซฟาเงียบ ๆ และค่อนข้างปลอดคน มีลูกค้าใช้บริการอยู่เพียงแค่สองโต๊ะ ซึ่งถือว่าค่อนข้างบางตา รัญญาเลือกนั่งโซฟามุมในสุดของร้านก่อนเอ่ยปากสั่งชาคาโมมายล์กับพนักงานที่ยืนรับรายการ พิชญ์กวาดสายตาดูคร่าว ๆ แล้วจึงสั่งลาเต้ร้อนมาแก้วหนึ่ง

          ถ้าบอกว่าอริญชย์ติดบุหรี่ พิชญ์เองก็ติดกาแฟไม่ต่างกัน แต่อย่างน้อยเขาก็คงไม่ตายเพราะมะเร็งปอด

          นั่งรออยู่ครู่หนึ่ง ชาร้อนของรัญญาและกาแฟร้อนของพิชญ์ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ รัญญาวางนิตยสารที่หยิบมาพลิกดูเล่น ๆ ลง แล้วเปลี่ยนเป็นรินชาลงถ้วยช้า ๆ พิชญ์นั่งรออย่างใจเย็น คิดว่าอีกเดี๋ยวรัญญาคงลากเข้าประเด็นที่ต้องการจะคุยกับเขาเสียที ก่อนจะพบว่าเขาคิดผิดถนัด รัญญากลับเริ่มต้นบทสนทนาด้วยอีกเรื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พิชญ์ยอมตกปากรับคำมานั่งคุยกับเธอที่นี่

           “มะรืนก็ถึงกำหนดยื่นซองประมูลแล้ว ทางเกียรติกาญจนายังยื่นซองเหมือนเดิมใช่ไหมคะ”

           “แล้วทำไมถึงคิดว่าทางเราจะถอนตัวล่ะครับ” พิชญ์เอ่ยถามกลับอย่างใจเย็น

          กว่าหลายปีที่ถูกอริญชย์เคี่ยวเข็ญมาอย่างหนัก แม้จะยังทิ้งห่างจากอริญชย์อยู่หลายช่วงตัว แต่พิชญ์ยอมรับเลยว่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาสอนให้เขารู้จักใช้สติและสมองมากกว่าเดิม อย่างน้อย ๆ เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาก็ควบคุมตัวเองได้ดี เว้นก็แต่ยามอยู่ต่อหน้าอริญชย์ที่เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

          รัญญาชะงักมือที่กำลังถือถ้วยชาเล็กน้อย ดวงตาเรียวมองสบตาพิชญ์ ซุกซ่อนความหมายมากมายที่ไม่อาจตีความออกมาได้

           “คุณพีทไม่คิดว่าเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่หรือคะ ถ้าเราทั้งสองฝ่ายยังแก่งแย่งชิงดีกันอยู่อย่างนี้”

           “แล้วคุณหลิวคิดว่าต้องทำยังไงล่ะครับ” พิชญ์เอ่ยถามกลับเสียงเรียบ ๆ เปิดช่องว่างให้เธอได้หยิบยื่นข้อเสนอที่ตั้งธงเอาไว้ในใจออกมา

           “ถ้าหลิวจะขอร้องให้คุณพีทถอนตัวออกจากการประมูลครั้งนี้ล่ะคะ”

          คนที่กำลังจิบกาแฟเกือบจะสำลักออกมากับคำขอของหญิงสาว ยังดีที่พิชญ์คุมสติทัน ข้อเรียกร้องของเธอช่างยิ่งใหญ่เกินตัวเขาเหลือเกิน พิชญ์ตีสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ยถามเธอกลับอย่างระมัดระวัง

           “มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะครับ”

           “หลิวขอร้องในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง หลิวไม่อยากให้คุณพีทลำบาก”

          รัญญายอมรับว่าเธอชอบอุปนิสัยใจคอของพิชญ์ระดับหนึ่ง ซึ่งมากพอที่เธอจะชี้โพรงและผลักไสให้พิชญ์เดินออกไปจากเกมนี้ แต่น่าเสียดายที่ตัวพิชญ์เองกลับไม่เคยคิดที่จะถอนตัวออกไป

           “คุณหลิวกำลังทำให้ผมลำบากใจ ถ้าผมถอนตัวตอนนี้ ผมอาจจะลำบากกว่าที่คุณหลิวคิด”

           “หลิวรู้ว่าคุณพีทรับผิดชอบโปรเจคท์นี้ คุณพีทมีอำนาจตัดสินใจ และที่สำคัญ...” เธอเว้นช่วงนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่ออย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง “ถ้าคุณพีทพูด พี่ใหญ่จะฟัง”

          พิชญ์เกือบจะหัวเราะขันกับท่าทางเชื่อมั่นของเธอ ในสายตาของคนอื่น พิชญ์ ภัทรกุลคนนี้ช่างมีความสำคัญกับอริญชย์เสียเหลือเกิน น่าแปลกที่ตัวเขาเองแทบจะไม่รู้สึกถึงความสำคัญที่ว่า

           “ทำไมจู่ ๆ ถึงมาพูดเรื่องนี้กับผมล่ะ ตอนแรกเราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันไม่ใช่หรือครับ” พิชญ์เอ่ยท้วงเธอกลาย ๆ ไม่ให้เธอลืมจุดประสงค์หลักที่เขาตกปากรับคำตามมาด้วย

          พิชญ์ฉลาดพอที่จะรู้ว่าคงมีสาเหตุบางอย่างเป็นตัวแปรให้รัญญาเลือกที่จะมาเจรจาเรื่องนี้กับเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอแทบไม่เคยเอ่ยปากถึงเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะข่าวของนทีเมื่อตอนบ่าย หรืออาจจะเพราะกำหนดการยื่นซองมันกระชั้นชิดเข้ามา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม รัญญากำลังทำให้เขาได้รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเธอ

           “เรื่องนี้ก็เกี่ยวด้วยเหมือนกันค่ะ พี่ใหญ่อาจจะไม่ได้เล่าให้คุณพีทฟังว่าช่วงนี้เขากับเฮียเริ่มจะหนักข้อกันขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าคราวนี้เฮียเสียงานให้กับทางเกียรติกาญจนาอีก หลิวคิดว่าเฮียคงไม่ยอมแน่ ๆ”

          พิชญ์อยากจะแสร้งทำทีเป็นตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รับฟังจากปากรัญญา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ถนัดเสแสร้งแบบนั้น เลยทำได้เพียงแค่ตอบรับเสียงเรียบ ๆ ติดจะเนิบนาบเสียด้วยซ้ำไป

           “นั่นก็เป็นปัญหาของคุณใหญ่ที่จะรับมือครับ หน้าที่ของผมมีแค่การรับผิดชอบงานตัวเองให้สำเร็จ คุณใหญ่กับเสี่ยเล้งจะมีปัญหาอะไรกันก็เป็นปัญหาของเขาสองคน”

           “แปลว่าคุณพีทไม่สนใจสิ่งที่หลิวพูด”

          พิชญ์เกือบจะแค่นยิ้มเย็นชาออกมา ดีว่าเขาชะงักตัวเองทันท่วงที

           “ผมสนใจแค่สิ่งที่คุณพูดกับผมที่โรงพยาบาลครับ ประโยคนั้นของคุณหมายความว่ายังไงกันแน่”

          รัญญาประสานสายตากับพิชญ์ เขาคิดว่าความอดทนของเธอที่มีให้เขาคงจวนเจียนจะหมดลงเต็มที แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด รัญญามีความอดทนและควบคุมอารมณ์เก่งกว่าที่เขาคิด อย่างน้อย ๆ เธอก็ทำให้เขารู้สึกเป็นรองได้หน่อย ๆ ดูเหมือนพิชญ์คงจะต้องฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม

           “ก็อย่างที่หลิวบอกคุณพีท พี่ใหญ่ส่งคนมาทำร้ายคนของหลิว”

           “หลักฐานล่ะครับ” คราวนี้เสียงของพิชญ์เย็นชาขึ้นมาจริง ๆ

           “นทีเห็นหน้าคนร้ายและเขาจำได้”

          พิชญ์ส่ายหน้าช้า ๆ “หลักฐานแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะเอาผิดหรอกครับ”

          เขาไม่ได้ต้องการจะดูถูกหรือดูแคลนเธอ พิชญ์แค่เตือนให้เธอตระหนักถึงความจริง ต่อให้รัญญาและคนของเธอจะปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของอริญชย์ แต่เปอร์เซ็นต์ที่อีกฝ่ายจะเอาผิดอริญชย์ได้ก็แทบเป็นศูนย์

          พิชญ์เชื่อในความสามารถและเล่ห์เหลี่ยมของอริญชย์ พอ ๆ กับที่เชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

           “หลิวไม่ได้ต้องการที่จะเอาผิดพี่ใหญ่ เพราะหลิวรู้ว่ายังไงหลิวก็ทำไม่ได้ หลิวแค่อยากให้คุณพีทรู้ว่าพี่ใหญ่เขาร้ายกาจแค่ไหน คุณพีทไม่ควรปล่อยให้ทุกอย่างไปไกลกว่านี้ ถ้าเฮียลงมือด้วยอีกคน หลิวก็คงห้ามไม่ไหว”

           “ผมรู้ว่าคุณใหญ่เป็นคนยังไง คุณหลิวควรจะพูดประโยคนี้กับพี่ชายคุณด้วยเหมือนกัน มาบอกกับผมก็ไม่ต่างอะไรจากการตบมือข้างเดียว”

           “หลิวคิดว่าหลิวจะพึ่งพาคุณได้มากกว่านี้เสียอีก”

          พิชญ์เดาะลิ้นเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกบางอย่าง พยายามไม่ใส่ใจดวงตาแดงเรื่อของเธอ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพิชญ์แพ้น้ำตาผู้หญิง อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำเหมือนอริญชย์ แต่ก็ไม่ได้ใจดีเป็นพ่อพระ

          อย่างน้อยพิชญ์ก็อยากจะเก็บความใจดีให้กับผู้หญิงสามคนบนโลกเท่านั้น

          แม่ของเขา แม่ของลูกเขา และลูกของเขา...

           “ผมคงพึ่งพาได้ไม่เท่าตำรวจกับพี่ชายของคุณหลิวหรอกครับ”

           “หลิวกำลังทำให้คุณพีทลำบากใจใช่ไหมคะ”

          พิชญ์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแค่ขยับตัวน้อย ๆ ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือให้เธอรู้ว่าหมดเวลาแล้ว ก่อนจะเอ่ยตัดบทขึ้นมาดื้อ ๆ

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวเลยแล้วกัน”

          รัญญาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เธอเพียงแต่นั่งนิ่ง ๆ ทำราวกับว่าถ้วยชาในมือมันน่าสนใจกว่าพิชญ์นักหนา พิชญ์เลยเหมาเอาเองว่าเธอคงหมดเรื่องคุยกับเขาแล้วเช่นกัน แต่จังหวะที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้และหันหลังให้ คำถามกลับดังมาจากทางเบื้องหลัง

           “ไม่ว่ายังไงคุณพีทก็ไม่คิดจะถอนตัวจากงานประมูลใช่ไหมคะ”

           “คำขอของคุณหลิวยากเกินไปสำหรับผม” พิชญ์เอ่ยตอบโดยไม่ได้หันหลังกลับไป ก่อนจะทิ้งเธอไว้เบื้องหลัง

          แค่เพียงก้าวแรกที่พิชญ์เดินออกจากร้าน คนขับรถของรัญญาที่ยืนสังเกตการณ์อยู่มุมหนึ่งก็ปราดเข้ามาหาผู้เป็นนายทันที ดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องแผ่นหลังของพิชญ์ไม่วางตา

           “จะให้ตามหรือเปล่าครับ คุณหนู”

           “ไม่ต้อง ปล่อยไปก่อน รอดูอีกซักพัก”

          รัญญาจับจ้องพิชญ์ที่กำลังยืนเรียกแท็กซี่อยู่หน้าร้าน พิชญ์ทำให้เธอภูมิใจและผิดหวังไปพร้อม ๆ กัน ผู้ชายคนนี้มักจะทำให้เธอแปลกใจ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเปลือกนอกที่เห็นนั้นซุกซ่อนอะไรไว้ข้างใน เธอดูจนกระทั่งเห็นพิชญ์ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ละสายตาแล้วหันกลับมาหาคนของตัวเอง

           “ช่วงนี้เฮียเป็นยังไงบ้าง”

           “เหมือนเดิมครับ ยังนิ่ง ๆ เอาแต่ขลุกอยู่ที่คอนโดกับหมอนั่น”

          ริมฝีปากบางวาดออกเป็นรอยยิ้มเย็นชา กลบท่าทีเศร้าสร้อยไปจนหมดสิ้น

           “ดี!”

           “เมื่อซักครู่นทีโทรมานะครับ”

          คราวนี้ดวงตาดำขลับปรากฏรอยไหววูบเล็กน้อย รัญญาเพียงแค่พยักหน้ารับโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก มือเรียวล้วงหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือ กดหมายเลขที่ถูกบันทึกเป็นเบอร์โทรด่วน รอจนปลายสายรับแล้วจึงกรอกเสียงเรียบ ๆ ลงไป

           “ว่ายังไงนที”



.
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 ละครฉากแรก --- หน้าที่ 7 [26/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 26-07-2020 22:13:52
          จู่ ๆ คนที่ควรจะเข้าบริษัท นัดประชุมและทานข้าวกับผู้บริหารระดับสูงเหมือนทุกวันกลับเอ่ยปากบอกปฐพีเสียงเรียบ ๆ ว่าวันนี้เขาจะนั่งทำงานอยู่ที่ห้อง ให้เตรียมอาหารกลางวันเผื่อเขาด้วย คนอาศัยอย่างปฐพีขมวดคิ้วน้อย ๆ ด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเหตุผลออกไป

          ตอนแรกปฐพีคิดว่าราชันย์คงจะขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานเหมือนทุกที แต่ก็เปล่า วันนี้อาจจะมีฝนหลงฤดูตกลงมา เมื่อท่านเจ้าของห้องเล่นขนแฟ้มเอกสารและคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กมานั่งทำงานตรงโซฟา ท่าทางดูอารมณ์ดีผิดปกติ มิหนำซ้ำยังเอื้อมมือมาหยิบรีโมทแล้วกดเปิดโทรทัศน์เสียอีก

          กลายเป็นว่าคนที่นึกรำคาญเสียงโทรทัศน์กลับเป็นปฐพีเสียเอง เขานั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ บนโซฟาตัวเดียวกับราชันย์ แต่ก็ถูกเสียงโทรทัศน์รบกวนจนนึกอยากจะหยิบรีโมทมากดปิดอยู่หลายครั้ง ติดตรงที่ว่าแค่เขาเอื้อมมือจะแตะรีโมททีไร ดวงตาคมปลาบของคนที่ทำทีเป็นจดจ่ออยู่กับงานเป็นต้องตวัดมองเขา ก่อนที่ปฐพีจะต้องหดมือกลับมาด้วยความรู้สึกฉุนหน่อย ๆ

           แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายคือราชันย์...ราชันย์ กมลวิลาศน์

          เขาคิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำจากโต๊ะเล็กข้าง ๆ เพื่อจะดื่ม พร้อม ๆ กับที่รายการโทรทัศน์ถูกตัดเข้าข่าวด่วนต้นชั่วโมง เสียงผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจถูกแทนที่ด้วยเสียงประกาศข่าว

           “เมื่อช่วงสายวันนี้ มีรายงานอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ทราบชื่อภายหลังว่าคือนายนที เลิศวิจิตร ลูกน้องคนสนิทของคุณรัญญา กมลวิลาศน์ ไฮโซสาวคนดัง ซึ่งขณะนี้นำส่งโรงพยาบาลใกล้สถานที่เกิดเหตุและพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยทางตำรวจกำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมอย่างไร ทางทีมข่าวจะรายงานให้ทราบในลำดับต่อไป”

          สิ้นเสียงผู้ประกาศข่าว ปฐพีที่กำลังจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก็แทบจะทำแก้วร่วงลงพื้น เขาอ้าปากค้างตั้งแต่ได้ยินชื่อของนที มาสติหลุดก็ตอนที่มีชื่อของรัญญาพ่วงอยู่ด้วย ราชันย์ยื่นมือมาคว้าแก้วที่ปฐพีทำหลุดมือไว้ได้ทันท่วงที นอกจากจะไม่สนใจข่าวที่เพิ่งได้ยินแล้ว ราชันย์ยังตำหนิปฐพีเสียงดุอีก

           “ระวังหน่อยสิ!”

           “เฮีย ข่าวเมื่อกี้...”

           “ข่าวเมื่อกี้ทำไม”

          ท่าทางของราชันย์ดูเฉยสนิท จนปฐพีเกือบจะคิดว่าตัวเองหูฝาด ฟังชื่อคนเจ็บผิดอยู่แล้ว แต่สาบานเถอะ หูเขายังดีอยู่ ถึงแม้สติเขาจะหลุดนิดหน่อย ชื่อคนเจ็บน่ะคือนที คนสนิทของรัญญาชัด ๆ

           “เฮียไม่ได้ยินเหรอ ข่าวเขาบอกว่าคุณนทีรถคว่ำ”

           “แล้วยังไง”

           “โธ่เฮีย ตกใจหน่อยสิ”

           “ตกใจทำไม หมอนั่นไม่ใช่คนของฉัน คนของยัยหลิว เดี๋ยวยัยหลิวก็จัดการเอง นายไม่ต้องสนใจให้มันมากนักหรอก” ราชันย์เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ มิหนำซ้ำยังปรามคนข้าง ๆ

           “เฮียคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุอย่างที่ออกข่าวจริง ๆ เหรอ แต่ผมว่าฝีมือระดับคุณนทีไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุง่าย ๆ เลยนะ หรือว่าความจริงแล้ว...” ปฐพีทำท่าจะสวมบทนักสืบจำเป็นวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งราชันย์เอ่ยขึ้นมาดื้อ ๆ ห้วน ๆ เล่นเอาคนที่กำลังเท้าคางใช้ความคิดถึงกับตั้งรับแทบไม่ทัน

           “หิวแล้ว...”

           “อะไรครับ” ปฐพีถามกลับงง ๆ

           “ฉันบอกว่าหิวแล้ว หยุดฟุ้งซ่านแล้วก็ไปทำข้าวกลางวันเสียที”

          ปฐพีเกือบจะเถียงว่าเขาไม่ได้ฟุ้งซ่านเสียหน่อย เขาก็แค่เป็นห่วง ห่วงว่าเรื่องบ้า ๆ พวกนี้จะกระทบมาถึงราชันย์ด้วย แต่ฝ่ามือใหญ่ที่วางแปะลงบนหัวแล้วลูบช้า ๆ ก็ทำให้ปฐพีเก็บกลืนถ้อยคำที่เตรียมจะโต้แย้งลงคอ พยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องครัวแต่โดยดี

          คล้อยหลังปฐพีแล้ว ราชันย์ก็เหยียดหลังขึ้นตรง ยกท่อนแขนพาดกับพนักโซฟา ดวงตาจ้องมองหน้าจอโทรทัศน์ที่เปลี่ยนกลับมาเป็นรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจแล้วแค่นยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างสมเพช

           “สุดท้ายก็กลับมาใช้วิธีสกปรกอย่างที่ถนัดจนได้”



.



          เมอร์เซเดส เบนซ์สีดำแล่นเข้ามาจอดเทียบรั้วของโรงเรียนอนุบาล ร่างสูงถอดแว่นกันแดดสีเข้มออก ยามก้าวลงจากตอนหลังของรถแล้วเดินมาหาสองพ่อลูกที่ยืนหลบแดดอยู่มุมหนึ่ง น้องหนูสะพายกระเป๋านักเรียนหัวเราะคิกคัก ชี้ชวนให้ผู้เป็นพ่อดูลุงใหญ่ พิชญ์หยีตามองแล้วก็ทำหน้าตาแปลก ๆ ออกมา

          อริญชย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เข้ากับโรงเรียนอนุบาลเลยแม้แต่น้อย เดินมาอย่างกับจะมาเทคโอเวอร์กิจการโรงเรียนอนุบาล ป่านนี้คุณครูในโรงเรียนคงหวาดผวากันแย่

          คนที่เพิ่งมาถึงโรงเรียนกวาดตามองหลานสาวตัวน้อย พอเจอก็ยิ้มให้เจ้าตัวเล็กนิดหนึ่ง ก่อนจะมองเลยไปยังคนพ่อที่เมื่อเช้ายังนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง พอพ้นหูพ้นตาเขาไม่ทันไรก็หนีออกมาอีกแล้ว

           “รอนานไหมลูก” อริญชย์ถามหลานสาวตัวน้อยที่ยืนแก้มแดงอยู่ตรงหน้า

          น้องหนูส่ายหน้าไปมา มือป้อมยกขึ้นปาดเหงื่อออกก่อนจะรายงานสถานการณ์ประจำวันเสียงเจื้อยแจ้ว

           “ลุงใหญ่ขา วันนี้เพื่อน ๆ ที่ห้องกับคุณครูบอกว่าพ่อพีทหล่อกันใหญ่เลยค่ะ”

          ที่แท้แล้วสาเหตุที่น้องหนูอารมณ์ดีกว่าทุกวันก็เป็นเพราะเพื่อน ๆ และคุณครูชมว่าคุณพ่อหล่อนี่เอง คุณลุงตวัดสายตามองคนหล่อทันควัน เล่นเอาคนถูกชมว่าหล่อถึงกับร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมา ก่อนจะหายใจคล่องคอเมื่ออริญชย์เพียงแค่ยิ้มมุมปากนิด ๆ มิหนำซ้ำยังตบท้ายให้หัวใจเขาเต้นเป็นจังหวะแปลก ๆ อีก

           “ครับ วันนี้พ่อพีทของน้องหนูหล่อจริง ๆ”

          ถูกเด็กผู้หญิงและคุณครูสาวสวยชมยังไม่ทำให้พิชญ์หน้าร้อนวูบเท่าถูกอริญชย์ชม อริญชย์มองคนที่วันนี้สวมเสื้อโปโลสีสดกับกางเกงยีนส์ขายาวพอดีตัว ภาพที่เห็นวันนี้แทบจะเรียกภาพเด็กหนุ่มหัวรั้นในความทรงจำให้คืนกลับมา

          ...ไม่เปลี่ยน แทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยซักนิด

          น้องหนูเดินมายืนอยู่ตรงกลาง ยื่นมือซ้ายให้คุณลุงจับ ยื่นมือขวาให้คุณพ่อจูง ก่อให้เกิดเป็นภาพครอบครัวที่น่ารักน่าอิจฉาในสายตาของใครหลายคนที่เฝ้ามอง

           “ลุงใหญ่ ขอน้องหนูเล่นชิงช้าก่อนได้ไหมคะ”

          หลานสาวตัวน้อยหันมาทำเสียงออดอ้อนใส่กันไม่แพ้คนพ่อแบบนี้ ใครปฏิเสธลงก็ใจร้ายเต็มที พอเห็นผู้เป็นลุงพยักหน้าอนุญาต น้องหนูก็แทบจะวิ่งปร๋อไปทันที คนพ่อขยับจะเดินตามไปดู แต่อริญชย์ก็รั้งข้อมือเอาไว้ พยักเพยิดให้เห็นว่าตุลย์กำลังเดินตามไปห่าง ๆ

           “หายเจ็บแล้วหรือไง” อริญชย์ถามหน้านิ่ง ๆ พอเห็นพิชญ์ทำหน้างงใส่ เขาเลยกระแอมในลำคอเบา ๆ ก่อนจะขยายความมากขึ้น “หมายถึงก้นน่ะ หายเจ็บแล้วหรือ”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น ตาวาว ตวัดสายตามองคนถามอย่างเคือง ๆ ก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ อีกคนเห็นอาการแล้วก็ยิ่งนึกอยากแกล้ง

           “หายแล้วก็ดี คืนนี้จะได้ต่ออีกซักสามสี่ยก”

          คราวนี้คนฟังแทบตาถลนจากเบ้า กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกให้ใจหายใจคว่ำก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากอริญชย์ ก่อนคนแกล้งจะตบท้ายด้วยประโยคที่ทำให้กล้ามเนื้อตรงอกซ้ายเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง

           “คิดว่าฉันจะใจร้ายกับนายลงคอเชียวหรือ...”

          คนถูกถามกลบเกลื่อนอาการแปลก ๆ ของตัวเองด้วยการพยักหน้าส่ง ๆ หารู้ไม่ว่ามันกลับให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม

           “ที่ผ่านมาฉันใจร้ายกับนายมากนักหรือไง”

          เสียงแหบห้าวที่เอ่ยถาม ยังไม่ทำให้พิชญ์ตะขิดตะขวงใจได้เท่าสายตาที่มองมา

           “คุณชอบบังคับ ชอบขู่ ชอบรังแก ผมไม่ชอบ”

           “แปลว่าถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น นายก็จะชอบใช่ไหม”

           “ผมไม่รู้”

           “แล้วต้องทำตัวแบบไหน ถึงจะถูกใจนาย”

          พิชญ์ที่เก่งกล้าสามารถยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าอริญชย์ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยอมมือ เขานึกขอบคุณที่ทั้งตัวเขาและอริญชย์ยังอยู่ที่โรงเรียนของน้องหนู อริญชย์ถึงได้ไม่กล้าคุกคามเขามากนัก เพราะแค่ประโยคไล่ต้อนที่อีกฝ่ายโยนใส่กันมาติด ๆ ก็แทบจะทำให้พิชญ์จนมุมง่าย ๆ อยู่แล้ว

          น้องหนูก็ดูเหมือนจะมัวแต่เล่นสนุกอยู่กับตุลย์หรือถูกตุลย์หลอกล่ออยู่ ทั้งคู่ถึงได้ไม่สนใจมองมาทางเขาและอริญชย์เลยแม้แต่น้อย พิชญ์ได้แต่เสมองต้นไม้ใบหญ้าไปตามเรื่องตามราว ราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาสถานการณ์น่าอึดอัดใจนี้ลงได้

           “ถูกใจหรือไม่ถูกใจผม มันไม่สำคัญเสียหน่อย”

          พิชญ์ล้วงมือเข้ากับกระเป๋ากางเกง สัมผัสเย็นวาบที่รัดแน่นอยู่ที่ข้อนิ้วทั้งรัดรึงและย้ำเตือนให้พิชญ์ตระหนักถึงความจริง ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ความจริงที่ไม่อาจหลีกหนี ความจริงที่ทั้งเขาและอริญชย์ต้องยอมรับมัน

          พิชญ์หลับตาลงช้า ๆ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยื่นมือข้างซ้ายมาตรงหน้าอริญชย์ เสียงที่เอ่ยถามออกมานั้นช่างแหบพร่าไม่สมกับเป็นพิชญ์เลยแม้แต่น้อย

           “คุณใหญ่เห็นอะไรนี่ไหม ผมไม่ใช่ผู้ชายตัวเปล่าเปลือย ผมเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้วนะ”

          อริญชย์ไม่ได้สนใจแหวนแต่งงานที่กำลังอวดประกายของเพชรเม็ดเล็กบนนิ้วนางข้างซ้ายของพิชญ์แม้แต่น้อย เครื่องประดับชิ้นเดียวบนร่างกายของพิชญ์ที่อริญชย์นึกชิงชังนักหนา บางทีอาจจะถึงเวลาที่ต้องปลดพันธะนี้ออกไปเสียที

           “แค่ฉันถอดมันออกมาจากนิ้วนาย แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม”

          มีหรือที่พิชญ์จะไม่เข้าใจความหมายในประโยคของอริญชย์ เขาครางชื่ออีกฝ่ายออกมา

           “คุณใหญ่...”

          อริญชย์รู้ดีว่าเขามีเงินมากพอที่จะสรรหาแหวนเพชรล้ำค่ามากมายมากำนัลพิชญ์ แต่สำหรับเขาแล้ว วงที่คู่ควรกับพิชญ์มีแค่เพียงวงเดียวเท่านั้น

           “ไว้ฉันจะถอดออก แล้วเอาวงที่ควรเป็นของนายจริง ๆ มาให้”

          แหวนที่แม่ได้จากคนที่แม่รักมาก...ก็ควรจะเป็นของคนที่เขารักมากเช่นกัน



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่า :)
หลัง ๆ มานี้ คุณใหญ่อ่อนโยนพร่ำเพรื่อมาก
พีทจะใจแข็งไหวมั้ยเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 ละครฉากแรก --- หน้าที่ 7 [26/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 27-07-2020 13:26:52
พีทจะเป็นอะไรมั้ยเมื่อไหร่คุณใหญ่จะเฉลยว่ารักน้องมานานแล้ว
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 ละครฉากแรก --- หน้าที่ 7 [26/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-07-2020 14:43:32
วุ้ยยยยยยคุณใหญ่หยอดจีบพีทเนียนๆใหญ่เลย หวานและอ่อนโยนขึ้นมาก :-[ เวลาพีทเขินคุณใหญ่นี่มันน่าแกล้งดีจริงนะ ถึงว่าละ เราเองก็เขินตาม (>//<) 5555 เรื่องประมูลมันอยู่ที่ความสามารถของแต่ละบจ.นะ มันไม่น่าจะให้ยอมกันง่ายแบบนี้สิคุณรัญญาขา ต้องอย่างนี้สิพีทฉลาดเอาตัวรอดมาก หวังว่าจะไม่หลงกลง่ายๆอีกนะ ดินถ้าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องก็หนีไปนั่งมุมอื่นเถอะ 555 สนุกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปจะแก้ปัญหากันยังไงทั้งสองฝ่าย เดาไม่ถูกเลย นทีกับคุณรัญญามีซัมธิงกันหรือป่าว 555
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 ละครฉากแรก --- หน้าที่ 7 [26/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-07-2020 23:16:53
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 ละครฉากแรก --- หน้าที่ 7 [26/07/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 02-08-2020 12:23:11
ข่าวออกมาว่านทีประสบอุบัติเหตุสาหัส แต่ตอนที่ยัยตะหลิวคุยกับพีทขอร้องให้พีทยกเลิกการเข้าประมูลแต่พีทปฏิเสธ และขอตัวกลับ พอคล้อยหลังพีทยัยตะหลิวก็โทรกลับไปคุยกับนทีได้.. สรุปนทีสาหัสจริงหรือเปล่านะ..  และที่ราชันย์คุยกับดินเรื่องข่าวนทีรถคว่ำ บอกว่าเป็นคนของยัยหลิวให้ยัยหลิวจัดการเองและดูจะชิลๆ ไม่สนใจด้วย... มีบ่นตอนท้ายก็กลับมาใช้วิธีสกปรกอย่างที่ถนัดจนได้.. ใครใช้วิธีสกปรกเหรอราชันย์ ใช่ยัยหลิวรึเปล่าที่ใช้วิธีสกปรก  :katai1:

ตอนท้ายที่คุณใหญ่คิดว่าจะถอดแหวนแต่งงานพีทออก แล้วสวมแหวนของแม่ให้พีทนั้น.. อยากให้ถึงไวๆ จังเลย อยากให้คุณใหญ่มีความสุขเสียที ดูแล้วพีทจะหลงรักคุณใหญ่เข้าแล้วละ แต่ปากแข็งอยู่!!
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 งานประมูล --- หน้าที่ 7 [02/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 02-08-2020 20:51:18
ยี่สิบเก้า
งานประมูล



          นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ แต่พิชญ์ยังคงนั่งคิ้วขมวดอยู่กับกองเอกสาร เอกสารหลายแผ่นวางกระจัดกระจายจนเต็มโต๊ะทำงานของพิชญ์ เจ้าตัวเพียงกวาดสายตามองผ่าน ๆ ก่อนจะเลือกวางถ้วยกาแฟตรงมุมว่าง ๆ มุมหนึ่ง ห่างจากกองเอกสารสำคัญเสียหน่อย พิชญ์เอาข้อนิ้วคลึงขมับตัวเองเบา ๆ อาการปวดหัวตุบ ๆ ดูเหมือนจะเริ่มแสดงอาการ หลังจากเขานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านรายงานจากแผนกต่าง ๆ มาร่วมสองชั่วโมงเต็มจนร่างกายเริ่มเกิดอาการล้าเต็มทน

          แม้กระทั่งกาแฟหอมกรุ่นที่ชงดื่มเอาเมื่อสองชั่วโมงก่อน บัดนี้กลับเย็นชืดและไร้รสชาติสิ้นดี!

          พิชญ์ถือโอกาสขยับตัวลุกจากเก้าอี้ ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย หลังจากบิดตัวอยู่ราวห้านาทีจนความเมื่อยขบถูกบรรเทาลง พิชญ์ก็เดินมาทิ้งตัวแหมะลงบนเตียงนอน เวลานี้คาเฟอินที่โดนเขาอัดเข้าร่างกายอยู่ตลอดเวลากำลังต่อสู้กับความง่วงของเขาอย่างสุดความสามารถ พิชญ์ยกมือขึ้นวางแปะบนหน้าผากของตัวเอง กึ่ง ๆ จะก่ายหน้าผาก สายตาพลันปะทะเข้ากับแหวนแต่งงานทองคำขาว ซึ่งเขาสวมติดนิ้วนางข้างซ้ายอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่แต่งงานมา ยามนี้พอมองเห็นกลับทำเอาเขาเผลอเม้มริมฝีปากแน่น

          ของบางอย่าง...ไม่เสียดตาเท่ากับเสียดหัวใจ

          พิชญ์แค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ทั้งที่ตอนตกปากรับคำกับอริญชย์ว่าจะรับผิดชอบและแต่งงานกับไอลดา ตัวเขาเองก็คิดตรึกตรองมาอย่างดีที่สุดแล้ว มาตอนนี้กลับนึกอยากย้อนเวลาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่ความคิดของเขาก็เป็นได้แค่ความคิดเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ

          ...เพราะเข็มนาฬิกาไม่เคยเดินถอยหลัง มีแต่หัวใจของคนอย่างเขาที่มันโลเลไปมา

          พิชญ์นอนหลับตานิ่ง คำพูดของอริญชย์เมื่อตอนเย็นวนเวียนกลับมารบกวนความคิดของเขาอีกครั้ง...

           ‘ไว้ฉันจะถอดออก แล้วเอาวงที่ควรเป็นของนายจริง ๆ มาให้’

          คำพูดของอริญชย์ หากเขาเป็นหญิงสาวและปราศจากพันธะ ความหมายมันคงชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะตีตราจองหรือผูกมัดเขาอยู่ข้างกาย อริญชย์ช่างเลือดเย็นเหลือเกิน นอกจากจะพันธนาการเขาด้วยเล่ห์กลแล้ว ตอนนี้ยังริอ่านมาพันธนาการเขาด้วยความรู้สึกหวามไหวบ้า ๆ นี่อีก เขาเองก็ช่างน่าไม่อาย ลิงโลดตื่นเต้นกับคำพูดของอริญชย์ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด

          พิชญ์เอ๋ย...แกมันบ้าไปแล้ว

          จำใส่สมองหน่อยสิว่าคนที่กำลังสั่นคลอนหัวใจอยู่มีศักดิ์เป็นพี่ภรรยา

          ความรู้สึกอึดอัดแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจของพิชญ์ บีบรัดจนเจ็บปวดกับปัญหามากมายที่ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นแต่ทางตัน เขามันเลวสิ้นดี ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความเกลียดชังที่มีให้อริญชย์แปรเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกดี ๆ ถึงเพียงนี้ พิชญ์ได้แต่ปล่อยให้คำถามที่ไร้คำตอบของเขาลอยไปมาอยู่ในอากาศ

          เขาไม่ใช่คนตัวเปล่าเปลือย นอกจากจะมีภรรยาแล้ว ยังมีลูกสาวที่น่ารักอีกหนึ่งคน ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา ถ้าเพียงแต่เขาเลือกทำตามใจตัวเอง ไม่เพียงแต่จะทำร้ายไอลดาเท่านั้น แต่ความเห็นแก่ตัวของเขายังทำร้ายผู้หญิงที่เขารักอีกถึงสองคน...น้องหนูและแม่พลอย

          พิชญ์พลิกตัวลงคว่ำหน้ากับหมอน ซุกซ่อนความอึดอัดที่เอ่อล้นออกมา กับปัญหาการงานสารพัดที่รุมเร้าเข้ามาเขายังสามารถหาวิธีรับมือและก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่กับเรื่องหัวใจ ทำไมยิ่งเดินเท่าไหร่ถึงยิ่งเจอแต่ทางตัน

          ถ้าเพียงแต่พิชญ์จะมีตาทิพย์หรือบังเอิญเปิดประตูห้องออกมา เจ้าของห้องคงเห็นร่างสูงของอริญชย์กำลังเดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้องพิชญ์ทั้งที่ล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว อริญชย์ยืนนิ่งหน้าประตู นึกก่นด่าความบ้าของตัวเอง

          จู่ ๆ ก็นอนไม่หลับ แล้วขาสองข้างก็ช่างไม่รักดี พาเขาเดินมาถึงหน้าห้องนอนของพิชญ์เพียงเพื่อจะมายืนมองบานประตู วันนี้เขาเห็นความรู้สึกบางอย่างแวบขึ้นมาในแววตาของพิชญ์หลังจากเขาเอ่ยประโยคนั้นออกไป แม้จะเพียงแวบเดียวที่เห็นก่อนจะถูกพิชญ์กลบเกลื่อน แต่มันก็ทำให้หัวใจเขาลิงโลดขึ้นมา

           ...ความหวัง แม้จะน้อยนิด แต่ก็ยังเป็นความหวัง...

          อริญชย์ยืนมองบานประตูนิ่ง ๆ คิดเอาเองว่าเจ้าของห้องคงจะนอนหลับฝันดีแล้ว ริมฝีปากหยักขยับออกเป็นรอยยิ้ม แค่เพียงบานประตูที่ขวางกั้น คนหนึ่งรื่นรมย์ยินดี อีกคนกลับอึดอัดแทบบ้า



.



          เมอร์เซเดส เบนซ์สีดำติดฟิล์มหนาทึบเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบหน้าอาคารสำนักงานของกลุ่มบริษัทวิวัฒน์ดำรง พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าอาคารรีบรุดเข้ามาเปิดประตูรถตอนหลังก่อนจะค้อมศีรษะลงทำความเคารพ

          อริญชย์ลงมาจากรถเป็นคนแรก ดวงหน้ากระด้างมีแต่ความเย็นชาปรากฏ เขากวาดสายตามองรอบ ๆ ราวกับจะประเมินสถานการณ์ สร้างความรู้สึกกดดันให้กับคนมอง ก่อนจะขยับเบี่ยงตัวหลบ เปิดทางให้พิชญ์ก้าวตามลงมา จากนั้นจึงพากันเดินเข้าตัวอาคารอย่างไม่รีบร้อนนัก

          บรรยากาศที่อาคารสำนักงานของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงวันนี้ดูคึกคักเหมือนวันที่มีประชุมผู้ถือหุ้น เพียงแต่ผู้มาเยือนวันนี้คือบรรดาบริษัทคู่ค้าและผู้สังเกตการณ์ซึ่งเตรียมเข้าร่วมการประกวดราคายื่นซองประมูลโครงการศูนย์การค้าครบวงจร ‘บางกอก บูเลอวาร์ด’ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

           “พร้อมหรือยัง”

          พิชญ์พยักหน้าแทนคำตอบให้กับคำถามของอริญชย์ ฝ่ายต้อนรับของบริษัทวิวัฒน์ดำรงรอต้อนรับพวกเขาอยู่บริเวณล็อบบีแล้ว พิชญ์และอริญชย์ถูกพาขึ้นลิฟต์มาเพื่อมานั่งรอยังห้องรับรองแขกด้านบน บรรยากาศจอแจถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบ แม่บ้านยกกาแฟร้อนและของว่างเข้ามาเสิร์ฟก่อนจะล่าถอยออกไป ปล่อยให้พิชญ์กับอริญชย์นั่งพักผ่อนอยู่ในห้องตามลำพัง

           “ตุลย์กำลังจะตามขึ้นมา เดี๋ยววันนี้เขาจะเป็นผู้ช่วยของนาย”

          ประโยคเรียบ ๆ ของอริญชย์ที่เพิ่งเอ่ยออกมาทำเอาพิชญ์หวิดจะสำลักกาแฟร้อนที่กำลังจิบอยู่ คำพูดของอริญชย์มันฟังดูทะแม่ง ๆ จนเขานึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ

           “คุณใหญ่หมายความว่า...”

          รอยยิ้มแรกของวันถูกจุดขึ้นที่มุมปากของอริญชย์ แต่กลับไม่ได้ทำให้พิชญ์รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะทำให้เขารู้สึกเสียวหลังมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

           “วันนี้ฉันมาเป็นผู้สังเกตการณ์เฉย ๆ นายเป็นตัวแทนของบริษัท และตุลย์จะเป็นผู้ช่วยของนาย หน้าที่นำเสนองานเป็นของนาย ตุลย์จะช่วยจดรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ที่นายจำเป็นต้องใช้หลังจากพรีเซ้นท์เสร็จ ส่วนฉัน...” รอยยิ้มของอริญชย์กดลึก แลดูร้ายกาจกว่าเดิม “จะนั่งดูผลงานของนายเฉย ๆ โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายแม้แต่น้อย”

          พิชญ์แทบจะหมดแรงเอาขึ้นมาดื้อ ๆ ตัวเขาเองใช่ว่าจะไม่เคยเข้าร่วมงานประมูลมาก่อน แต่ที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นการมาในฐานะผู้ช่วยของอริญชย์ ครั้งนี้เขาก็ยังมั่นใจว่าตัวเองมาในฐานะผู้ช่วยอริญชย์เหมือนที่แล้ว ๆ มา เพิ่งจะรู้ตอนที่อริญชย์เอ่ยปากออกมาเมื่อกี้ว่าหน้าที่รับผิดชอบตกเป็นของเขา ช่างเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ไม่น่าดีใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากพิชญ์จะรู้สึกเฉลียวใจซักนิด เขาคงเอะใจว่าทำไมอริญชย์ถึงปล่อยให้เขาจัดการทุกอย่างเองตั้งแต่แรกโดยไม่คิดที่จะยื่นมือเข้ามายุ่ง มีบ้างที่อริญชย์อาจจะให้คำแนะนำกับเขา แต่หลัก ๆ แล้วพิชญ์ก็ต้องยอมรับเลยว่า เขาแทบจะปลุกปั้นงานชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองเลยทีเดียว

           “นี่เป็นความตั้งใจของคุณใหญ่ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”

           “ก็อย่างที่นายคิด ฉันไม่ได้อยากให้นายมาคอยเดินอยู่ข้างหลังตลอดไปหรอกนะ ขี้เกียจมาคอยพะวักพะวงว่านายจะหกล้มหัวทิ่มไปตอนไหน”

          อริญชย์ก็ยังคงเป็นอริญชย์ที่ปากคอเราะร้ายกับพิชญ์และพยายามเคี่ยวเข็ญเขาในเรื่องงาน พิชญ์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่เขามาถึงจุด ๆ นี้ภายในระยะเวลาอันแสนสั้นเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน ทั้งหมดก็เป็นผลงานของอริญชย์แทบทั้งนั้น อริญชย์ที่ผลักให้เขาเดิน กดดันให้เขาทำ โดยไม่มีแม้แต่พื้นที่จะให้เขาวิ่งหนีหรือเดินถอยหลังกลับ

           “โบราณบอกไว้ว่า เดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” พิชญ์อดเถียงข้าง ๆ คู ๆ ไม่ได้

          ยังไงตอนนี้เขาก็ไม่มีทางให้เดินถอยหลังแล้ว ในเมื่ออริญชย์เอ่ยปากว่าจะไม่ยุ่ง ให้ตายอีกฝ่ายก็ไม่มีทางยื่นมือเข้ามายุ่งเด็ดขาด ในทางกลับกัน ถ้าเรื่องไหนอริญชย์เอ่ยปากว่าจะยุ่ง เจ้าตัวก็จะไม่มีวันปล่อยมืออย่างเด็ดขาดเช่นกัน

           “เดินตามหลังผู้ใหญ่แล้วหมาไม่กัดก็จริง แต่ถ้านายเป็นผู้ใหญ่ นายจะรู้วิธีจัดการกับหมา ซึ่งนั่นไม่ดีกว่าหรือไง”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาอย่างจงใจให้อริญชย์ได้ยิน กับเรื่องงานยังไงเขาก็เอาชนะคนที่ชั่วโมงบินสูงอย่างอริญชย์ไม่ได้เลย ไล่ตามยังไงก็ไม่เคยทัน ของอย่างนี้คงมีแต่ประสบการณ์ที่จะสอนเขาได้

           “ครับ ยังไงผมก็เถียงไม่ชนะหรอก ในเมื่อคุณใหญ่ตั้งใจเอาไว้แล้ว”

           “ถ้ารู้อย่างนั้นก็ดี งานนี้ไม่มีใครช่วยนายได้นอกจากตัวนายเอง ข้อมูลทุกอย่างนายก็จัดเตรียมเองทั้งหมด ถ้านายไม่ยอมขึ้นไปพรีเซ้นท์จริง ๆ เราก็คงต้องกลับกันตั้งแต่ตอนนี้”

           “ผมยังไม่ได้บอกว่าจะไม่ขึ้นเลยนี่ครับ ว่าแต่อะไรทำให้คุณใหญ่มั่นใจในตัวผมขนาดนี้”

           “เพราะฉันรู้ว่านายจะทำได้ อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ งานนี้ฉันวางโครงการพันล้านกับชื่อเสียงของบริษัทไว้ในมือของนายแล้ว”

          มิน่าวันนี้เขาถึงรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวผิดปกติ ที่แท้ก็เป็นเพราะภาระอันหนักอึ้งที่อริญชย์เอามาวางใส่บ่าเขาโดยไม่คิดถามความสมัครใจกันนี่เอง

           “ถ้าผมชวดงานนี้ สงสัยคงต้องอยู่ชดใช้ค่าเสียหายให้คุณทั้งชีวิตแน่ ๆ”

           “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี”

          พิชญ์ขยับจะเอ่ยปากตอบโต้ออกไป แต่พอเห็นพนักงานต้อนรับเดินนำตุลย์เข้ามา เขาเลยเลือกที่จะกลืนคำพูดลงคอ อริญชย์ถือโอกาสนี้ออกปากให้เขาไปจัดการเตรียมตัวและเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย พิชญ์เลยยกกาแฟขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาจากห้องรับรองเพื่อเข้าห้องน้ำ

          หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย พิชญ์ก็เดินออกมาเจออริญชย์และตุลย์ที่ยืนรออยู่เพื่อจะเดินเข้าห้องประชุมพร้อมกันกับเขา ตุลย์ยังคงมีท่าทีสบาย ๆ จนน่าอิจฉาทั้งที่วันนี้ก็มีหน้าที่สำคัญไม่ต่างกันกับเขา ผิดกับพิชญ์ที่เริ่มจะสั่นขึ้นมานิด ๆ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังซ้ำเติมเขาด้วยการยื่นหน้ามากระซิบบอกว่า...

           “เสี่ยเล้งกับคุณหลิวมาถึงแล้วนะครับ เพิ่งเดินเข้าห้องประชุมเมื่อซักครู่นี่เอง”

          เป็นถ้อยคำที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจดีชะมัด พิชญ์คิดก่อนจะพยักหน้ารับ

          อริญชย์เดินมาแตะข้อศอกพิชญ์เบา ๆ เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าถึงเวลาเข้าห้องประชุมแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับอริญชย์ บนใบหน้าเฉยชานั้น ดวงตากลับแฝงความเชื่อมั่นในตัวพิชญ์ไว้เต็มเปี่ยม พิชญ์กระชับเสื้อสูทแนบกับลำตัว สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะผายมือเป็นเชิงให้อริญชย์เดินนำไปก่อน แล้วถึงตามด้วยเขาและตุลย์ตามลำดับ



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 งานประมูล --- หน้าที่ 7 [02/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 02-08-2020 20:54:45
          หลังจากทางคณะผู้บริหารของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงเอ่ยต้อนรับแขก เลขาก็ทำหน้าที่จับฉลากก่อนจะประกาศลำดับการนำเสนอผลงาน ซึ่งทางเคเค คอนสตรัคชั่นอยู่เป็นอันดับสอง ส่วนกมลวิลาศน์อยู่เป็นอันดับสาม มีบริษัทต่างชาติอีกหนึ่งบริษัทพรีเซ้นท์เป็นลำดับแรก และปิดท้ายด้วยบริษัทเอกชนอีกแห่งที่กำลังมาแรง เท่ากับมีทั้งหมดสี่บริษัท

          พิชญ์นั่งฟังและเก็บข้อมูลต่าง ๆ เลือกดึงเอาข้อดีของคนอื่นมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง ส่วนข้อผิดพลาดตรงไหนที่เขามองออกก็จดจำไว้จะได้ไม่พลาดเช่นกัน แต่ละบริษัทมีเวลานำเสนอผลงานของตัวเองบริษัทละสิบห้านาที และตบท้ายด้วยการถามคำถามจากทางผู้บริหารและแขกที่มาฟังอีกสิบนาที

          บริษัทแรกนำเสนอได้ค่อนข้างดี แต่เนื่องจากเป็นการบริหารงานของต่างชาติ อริญชย์เลยพอเดาได้ว่าทางผู้บริหารรุ่นเก่า ๆ ของวิวัฒน์ดำรงย่อมรู้สึกตะขวิดตะขวงใจ อีกทั้งผลงานที่อีกฝ่ายเสนอมานั้น แค่มองปราดเดียวอริญชย์ก็สรุปได้เลยว่า...

          ...ของถูกและดีไม่มีอยู่จริง มีแต่คุณภาพคับแก้ว ราคาล้นฟ้า

          พอถึงคิวของพิชญ์ที่เดินขึ้นเวทีไปพร้อมกับตุลย์ อริญชย์ก็ขยับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องที่พิชญ์อย่างเปิดเผย นอกจากลักษณะนิสัยต่าง ๆ แล้ว รูปแบบการทำงานของเขาและพิชญ์ก็ถือว่าเติมเต็มกันและกันได้อย่างพอดี ในขณะที่เขาเด็ดขาดและดุดัน พิชญ์กลับยืดหยุ่น แต่ไม่เหยาะแหยะ ซึ่งเอื้อประโยชน์ในการทำงานร่วมกันไม่น้อย

          ภาพพิชญ์ที่เห็นยามนี้ ทำเอาอริญชย์คลี่ยิ้มออกบาง ๆ ในฐานะคนทำงาน ในฐานะผู้บริหาร ในฐานะเจ้านาย เขายอมรับเลยว่าภูมิใจไม่น้อยกับการปลุกปั้นเด็กจบใหม่คนหนึ่งให้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของเขา พิชญ์นำเสนอผลงานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด ตอนตอบคำถามอาจมีบ้างที่ต้องหยุดคิดใคร่ครวญ แต่โดยรวมแล้ว อริญชย์ก็ให้คะแนนพิชญ์ในใจไปเกือบเต็ม

           “ทำได้ดีมาก” เขาเอ่ยชม เมื่อพิชญ์เดินกลับมานั่งข้าง ๆ เขา

           “ตอนพรีเซ้นท์ผมตื่นเต้นจริง ๆ นะ” พิชญ์พึมพำพลางถูมือไปมา

           “แต่นายก็ผ่านมันมาได้แล้วไม่ใช่หรือไง”

           “ขอบคุณนะครับ...”

          คนฟังแสร้งเลิกคิ้วน้อย ๆ ราวกับไม่เข้าใจ แต่พิชญ์ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ เขาเชื่อว่าอริญชย์รู้ว่าเขาเอ่ยขอบคุณออกไปด้วยเรื่องอะไร แต่ถ้าไม่รู้จริง ๆ ก็ช่างมันแล้วกัน

          ลำดับต่อไปเป็นคิวของทางกมลวิลาศน์ ราชันย์เป็นฝ่ายนำเสนอผลงานด้วยตัวเอง น่าแปลกที่รัญญาซึ่งตามติดมาด้วยกันกลับไม่ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยอย่างที่พิชญ์คาดคิด แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นออกอย่างรวดเร็ว จดจ่อกับการฟังการพรีเซ้นท์ของราชันย์

          ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม พิชญ์ฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าราชันย์เป็นคนที่เก่งและน่ากลัวมากคนหนึ่ง แทบไม่ต่างอะไรจากอริญชย์ จะมีนักธุรกิจซักกี่คนกันที่ทำให้คนรู้สึกกลัวเพราะความเก่งของเขา ซึ่งทั้งอริญชย์และราชันย์ต่างก็เป็นหนึ่งในนั้น

           “ทำได้ไม่เลว” อริญชย์เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ ๆ เมื่อเสร็จสิ้นการพรีเซ้นท์ของราชันย์แล้ว

          พิชญ์พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย เมื่อเทียบกับอริญชย์และราชันย์แล้ว เขานับว่าตัวเองยังห่างชั้นอยู่อีกไกล

          บริษัทสุดท้ายที่เข้าร่วมประกวดราคาเป็นบริษัทหน้าใหม่ที่กำลังมาแรง หลังจากฟังพรีเซ้นท์จนจบแล้ว อริญชย์ก็หันมาเอ่ยกับพิชญ์เบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน

           “สอบตก!”

           “ทำไมล่ะครับ”

           “เป็นการบ้านที่นายต้องไปหาคำตอบมา”

          พิชญ์เผลอย่นจมูกด้วยความขัดใจ จะช่วยสอนให้เขาฉลาดขึ้นหน่อยก็ไม่ได้ ต้องให้เขาไปขวนขวายหาคำตอบเองอีก

          ซองสำหรับใส่ราคาประมูลถูกนำมาแจกจ่ายให้กับแต่ละบริษัท จากนั้นจึงเป็นการพักเบรกหนึ่งชั่วโมง อริญชย์มีสายเข้าพอดีเลยเดินเลี่ยงออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอก พิชญ์ถือโอกาสนี้เดินออกมาจากห้องประชุมเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เห็นรัญญากำลังคุยกับตัวแทนบริษัทต่างชาติอยู่เลยไม่ได้เอ่ยทักทาย ส่วนราชันย์ เขาก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายหายไปไหน

          หลังเข้าห้องน้ำเสร็จ พิชญ์ก็เดินออกมาเจอรัญญาที่ยืนเตร่อยู่แถวนั้น เขายกยิ้มมุมปากนิด ๆ ยามที่เธอเอี้ยวตัวมาหาแล้วทำราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ

           “สุดท้ายคุณพีทก็ไม่ยอมวางมือจากโครงการนี้จริง ๆ สินะคะ”


           “อะไรที่ทำให้คุณหลิวเข้าใจผิดแบบนั้นหรือครับ”

          ดวงหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเหมือนจะเรียบตึงขึ้นมาทันที ยามได้ยินถ้อยคำตอบกลับของพิชญ์ แต่รัญญาคงถูกสั่งสอนมาให้รู้จักควบคุมตัวเองเกินกว่าจะยอมเสียมารยาทให้กับคำพูดไม่กี่ประโยคของพิชญ์

           “คุณพีททำให้หลิวแปลกใจได้ตลอดเลยนะคะ ไม่คิดว่าจะเป็นคนพรีเซ้นท์งานเองด้วย”

           “ครับ คุณหลิวอาจจะแปลกใจมากกว่าเดิมอีก ตอนที่รู้ผลว่าใครเป็นคนได้งานไป”

           “อย่ามั่นใจนักเลยค่ะ”

          พิชญ์ยิ้มเรื่อย ๆ ความจริงเขาก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าทางเคเค คอนสตรัคชั่นจะเป็นฝ่ายได้งานหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าถ้าเกิดเขาชวดงานนี้ อริญชย์ต้องเล่นงานเขาแน่ ๆ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ได้พูดข่มเสียหน่อยก็แล้วกัน

           “คิดไม่ถึงเหมือนกันนะคะ ว่าพี่ใหญ่จะยอมปล่อยโครงการพันล้านให้คุณพีทดูแลเอง”

           “อันนั้นก็เป็นดุลยพินิจของคุณใหญ่ครับ ผมเป็นแค่คนรับคำสั่ง”

          หลังจากคุยกันไม่ลงรอยเมื่อหลายวันก่อน พิชญ์ก็คิดว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่กำลังคิดหาประโยชน์จากการเข้าหารัญญา อีกฝ่ายก็กำลังปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างกัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการอยู่ห่างเธอไว้น่าจะเป็นเรื่องปลอดภัยมากกว่า

          ...ในความร้ายกาจของอริญชย์ที่มีต่อเขา ยังมีความดีปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง

          แต่กับสองพี่น้องอย่างราชันย์และรัญญา ภาพลักษณ์ของทั้งคู่ในสายตาพิชญ์ช่างขมุกขมัวเหมือนท้องฟ้าสีเทา ๆ ที่มีหมอกควันปกคลุมอยู่

          แวบหนึ่งที่พิชญ์รู้สึกแปลก ๆ กับท่าทีของรัญญาที่ดูแข็งกร้าวผิดกับทุกครั้งที่เจอ แม้สัญชาติญาณลึก ๆ จะบอกว่ามันดูแปลก แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป คิดว่าคงเป็นเพราะวันนี้เขาและรัญญาต่างเผชิญหน้ากันในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างเป็นคู่แข่งของกันละกัน

           “คุณพีทครับ ท่านประธานเรียก”

          พิชญ์และรัญญาหันไปตามเสียงเรียกของตุลย์ ตุลย์เพียงแค่ผงกศีรษะให้รัญญานิดหน่อยเป็นเชิงทักทาย แล้วก็ไม่ได้สนใจเธออีก พิชญ์เลยถือโอกาสนี้เอ่ยขอตัวจากรัญญาแล้วเดินไปหาตุลย์

           “คุณใหญ่ล่ะ”

           “อยู่ในห้องรับรองครับ”

          พิชญ์พยักหน้ารับ กำลังจะเดินไปหาอริญชย์ที่ห้องรับรองกลับถูกแม่บ้านที่ยกถาดกาแฟมาชนเข้า ตุลย์ขยับจะคว้าพิชญ์ไว้ก็ยังคว้าไม่ทัน กาแฟหกเปรอะเปื้อนเสื้อสูทราคาแพงของพิชญ์ไปทั้งชุด โชคดีที่เป็นกาแฟเย็นชืดที่เพิ่งเก็บออกมาจากห้องประชุม ไม่ใช่กาแฟที่เพิ่งชง พิชญ์เกือบจะหลุดเสียงสบถออกมา ดีว่ายั้งตัวเองไว้ทัน แม่บ้านหน้าซีดเผือด รีบละล่ำละลักขอโทษ

           “ขอโทษทีนะคะ หนูไม่ทันระวัง เดี๋ยวหนูไปเอาผ้ามาเช็ดให้นะคะ”

           “ดูเหมือนจะงานเข้าแล้วนะครับ” ตุลย์เองก็ยิ้มไม่ออก

           “คุณเข้าไปบอกคุณใหญ่ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมขอจัดการกับตัวเองก่อน”

          พิชญ์ต้องเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องน้ำเป็นรอบที่สามของวัน ถึงแม่บ้านจะบอกว่าจะเอาผ้ามาเช็ดให้เขา แต่พิชญ์ก็ไม่คิดว่าการยืนรออยู่บริเวณโถงด้านนอกจะเป็นความคิดที่ดีนัก แล้วดูเหมือนวันนี้เขาจะค่อนข้างดวงสมพงศ์กับสองพี่น้องกมลวิลาศน์เหลือเกิน พิชญ์เพิ่งจะจัดการถอดสูทออกแช่ ราชันย์ก็เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำห้องหนึ่ง

           “สวัสดีครับ คุณพิชญ์”

          พออีกฝ่ายเอ่ยปากทักเขา พิชญ์เลยต้องเอ่ยปากทักกลับไปตามมารยาท

           “สวัสดีครับ”

           “ไม่ยักรู้นะครับว่าจะชอบดื่มกาแฟถึงขนาดนี้”

          พิชญ์หน้าชาเบา ๆ เมื่อเจอคำกระเซ้าของราชันย์ หมอนี่เอาความคิดมาจากไหนว่าเขาชอบดื่มกาแฟถึงขนาดจะอาบตัวเองด้วยกาแฟขนาดนี้

           “อุบัติเหตุครับ”

           “ผมก็ล้อเล่นน่ะครับ ยังไงก็ซักให้สะอาดหน่อยนะครับ เดี๋ยวกลิ่นติดขึ้นมาแล้วจะต้องทิ้งสูทไปเสียเปล่า ๆ”

           “ขอบคุณในความหวังดีครับ”

           “ไม่เป็นไรครับ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ออกมาฟังผลประมูลงานด้วยกันนะครับ”

          ราชันย์เดินออกจากห้องน้ำไปแล้ว แต่พิชญ์ยังคงง่วนอยู่กับการซักสูท รอยยิ้มเมื่อครู่ของราชันย์ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปทำให้พิชญ์ได้ข้อสรุปเพิ่มอย่างหนึ่ง

          ...เขาเกลียดรอยยิ้มของราชันย์ชะมัด...



TO BE CONTINUE




ขอบคุณทุกคนที่รอติดตามเรื่องนี้อยู่ค่า ^^
รอวันสองคนนี้ใจตรงกัน เรื่องนี้น่าจะจบที่ห้าสิบตอนได้
ใกล้แล้วค่า ฮึบๆ ฝากเอาใจช่วยคนปากหนักอย่างคุณใหญ่ด้วยค่า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 งานประมูล --- หน้าที่ 7 [02/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-08-2020 23:04:46
 :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 28 งานประมูล --- หน้าที่ 7 [02/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-08-2020 00:42:36
อะไร อะไร มีแผนลอบกัดอะไรอีกไหม 2พี่น้องนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ  o18 งานประมูลใครจะได้ไป จะบาดหมางกันไปกว่านี้หรือเปล่า คุณใหญ่ให้พิชญ์ได้ทุกสิ่งจริง ทุ่มเทคอยหนุน เพื่อให้เคียงข้าง ไม่ใช่ตามหลัง  :katai2-1: :katai2-1: พิชญ์หวั่นไหวใหญ่แล้วว 555 :-[ รรรรตอนหน้าเลย จะไปยังไงบ้างเนี้ย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 29 งานประมูล --- หน้าที่ 7 [02/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 09-08-2020 17:20:43
เราชอบวิธีที่คุณใหญ่สอนพีทเรื่องงาน ให้พีททำการบ้านและเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน  :katai2-1:

วันนี้คุณใหญ่ก็ให้พีทขึ้น Present งานเองด้วย มิน่าตอนกลางคืนถึงมายืนมองแค่ประตูห้อง ไม่เข้าไปรบกวน..หวังว่างานประมูลครั้งนี้พีทจะได้งานนะ ถ้าพลาด ต้องอยู่ใช้หนี้คุณใหญ่ไปตลอดชีวิตแน่ๆ...​หรือว่าจะจงใจทำให้ชวดงานไปเลยดีละ จะได้อยู่กับคุณใหญ่ไปตลอดโดยอ้างว่าอยู่เพราะชดใช้ที่ทำให้ชวดงานครั้งนี้ดีละพีท....​ :hao6:

...​ติดตามตอนต่อไปน้าาาา ลุ้นพีทททท
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 29 งานประมูล --- หน้าที่ 7 [02/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 14-08-2020 15:38:37
ตามทันแล้ว ..
กำลังใจให้ทั้งพิชญ์ และ ผู้แต่ง
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 30 พื้นที่สีขาว --- หน้าที่ 7 [16/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 16-08-2020 17:11:50
สามสิบ
พื้นที่สีขาว



          มีคำกล่าวว่า ข่าวดีและข่าวร้ายมักจะมาพร้อมกัน ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนพิชญ์เช่นนั้นเสมอ

          หลังจากจัดการกับเสื้อสูทของตัวเองจนเรียบร้อย พอพิชญ์เดินออกมาจากห้องน้ำก็เจอแม่บ้านคนที่เดินชนเขากำลังยืนหน้าเศร้าอยู่ เห็นแล้วก็พลอยสงสาร เขาเลยโบกมือเป็นเชิงว่าช่างมันเถอะแล้วเอ่ยตัดบทคำขอโทษยืดยาวของเธอ พิชญ์พาดสูทลงกับแขนแทนการสวมก่อนจะเดินตรงเข้าห้องประชุม ซึ่งอริญชย์และตุลย์เข้าไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

          อริญชย์ส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นสภาพของพิชญ์ ส่วนตุลย์ขมวดคิ้วเล็กน้อยยามเห็นเสื้อสูทของเขา พิชญ์นั่งลงข้างอริญชย์ พอเอ่ยกระซิบถามถึงซองประมูล อริญชย์ก็ตอบกลับมาว่า

           “ฉันยื่นแล้ว”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมา สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่เวทีด้านหน้า บริษัทผู้เข้าร่วมประกวดราคาโครงการศูนย์การค้าบางกอก บูเลอวาร์ดพากันยื่นซองประมูลกันครบหมดแล้ว ระหว่างรอทางเจ้าภาพหารือเพื่อหาข้อสรุปก่อนแถลงผล บรรดาคู่ค้าที่มาร่วมงานประมูลเลยนั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปพลาง ๆ

          พิชญ์เลือกนั่งเงียบ ๆ ขณะที่คนอื่นนั่งสนทนากันเบา ๆ กลิ่นกาแฟที่ยังอบอวลอยู่รอบตัวจากเสื้อสูทที่พาดอยู่บนเก้าอี้ทำเอาเขารู้สึกเอียนนิด ๆ ระหว่างที่นั่งอยู่ พิชญ์ก็ลอบสังเกตแขกที่มาเข้าร่วมงานประมูล ได้ยินอริญชย์เอ่ยขอเปลี่ยนจากกาแฟร้อนมาเป็นชาร้อนกับแม่บ้านหลังจากพิชญ์เข้ามานั่งด้วย พิชญ์เลยนึกเอาเองว่าอริญชย์คงเอียนกลิ่นกาแฟจากตัวเขาแล้ว

          ระหว่างนั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ มีหลายหนที่พิชญ์สังเกตเห็นว่าสายตาของอริญชย์กับราชันย์มักจะหันมาสบกัน แล้วก็เป็นราชันย์ที่เป็นฝ่ายเลิกคิ้ว ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะยิ้ม แต่ก็ไม่เชิงยิ้ม ขณะที่อริญชย์ยังคงตีหน้าเย็นชา เห็นท่าทางแบบนี้แล้วพิชญ์เลยเผลอยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองเบา ๆ

           “หนาวหรือครับ” ตุลย์สังเกตเห็นอาการของพิชญ์เข้าก็เอ่ยถามด้วยความหวังดี

           “เจ้านายคุณทำตัวอย่างกับก้อนน้ำแข็งแน่ะ เห็นแล้วหนาวชะมัด”

           “เจ้านายผมกับเจ้านายคุณพีทก็คนเดียวกันนี่ครับ”

          คุยกับตุลย์บางทีพิชญ์ก็แอบเหนื่อยเพราะความช่างยอกช่างย้อนของเจ้าตัว พิชญ์คิดพลางเสเบือนหน้ามองทางอื่น ปล่อยอริญชย์นั่งประสานสายตากับราชันย์ไป เท่าที่พิชญ์สังเกตเห็น ดูเหมือนสองบริษัทที่มีลุ้นคว้าโครงการนี้ไปนอนกอดจะมีแค่เพียงเพียงเคเค คอนสตรัคชั่นและกมลวิลาศน์ เขายกมือลูบริมฝีปากตัวเองช้า ๆ ขณะครุ่นคิด

          จากข้อมูลที่พิชญ์เก็บเล็กผสมน้อยมา กมลวิลาศน์ถือว่าห่างหายจากงานด้านก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์นานพอ ๆ กับระยะเวลาที่ราชันย์เดินทางออกจากประเทศไทยไป ซึ่งการกลับมาคว้างานโครงการพันล้านเป็นงานแรกก็นับว่าเป็นงานที่หินเอาการสำหรับทางกมลวิลาศน์ แม้ว่าช่วงระหว่างนี้รัญญาจะก้าวเข้ามากุมบังเหียนแทนพี่ชาย แต่ด้วยลักษณะธุรกิจแบบครอบครัวคนจีนของทางกมลวิลาศน์แล้ว ต้องยอมรับว่าคนเก่าคนแก่ของตระกูลและบรรดาคู่ค้าต่าง ๆ ยังคงให้ความสำคัญกับราชันย์มากกว่า น่าเสียดายที่รัญญาเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่งั้นเธออาจจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้

           “ออกมากันแล้วครับ”

          เพราะอริญชย์เอาแต่นั่งเงียบ ตุลย์เลยเป็นฝ่ายชะโงกหน้ามาบอกพิชญ์ พิชญ์พยักหน้ารับ ยามเห็นคณะผู้บริหารของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงเดินออกมา สีหน้าบางคนมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ ขณะที่บางคนกลับดูเฉยเมย

           “ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีความตั้งใจจะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับทางเรา หลังจากทางเราพิจารณาข้อมูลของแต่ละบริษัทแล้ว ทางผู้บริหารก็ขอสรุปผลออกมาดังนี้...”

          พิชญ์กลั้นหายใจทันที เขาเผลอยื่นมือไปยึดชายเสื้ออริญชย์เอาไว้แน่น โชคดีที่อีกฝ่ายไม่สะบัดออก สารภาพเลยว่าตอนนี้เขาลุ้นยิ่งกว่าตอนลุ้นผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก งานชิ้นสำคัญของเขาจะรุ่งหรือจะร่วงก็คงรู้กันตอนนี้

           “สำหรับโครงการใหญ่ของเราโครงการนี้ ทางเราก็หวังว่าเคเค คอนสตรัคชั่นคงจะไม่ทำให้เราผิดหวังนะครับ”

          ริมฝีปากของพิชญ์แย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้างขวางราวกับเพิ่งเอื้อมคว้าเอาโลกทั้งใบมาไว้ในกำมือ ชื่อของเคเค คอนสตรัคชั่นดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว จนเจ้าตัวต้องหยิกขาตัวเองเบา ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าฟังไม่ผิด ก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อมีเสียงแทรกขึ้นมาจากทางฝั่งที่ราชันย์และรัญญานั่งอยู่ด้วยกัน

           “ไม่จริง!”

          รัญญาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ผลการประมูลถูกประกาศออกมา หญิงสาวมองทางทีมผู้บริหารสลับกับหันมามองพิชญ์ จนราชันย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ต้องดึงเธอกลับมานั่งเหมือนเดิมพร้อมกับเอ็ดเบา ๆ

           “หลิว มีมารยาทหน่อย”

          ฝ่ามือแข็งแรงของพี่ชายบีบข้อมือเธอแน่นจนรัญญารู้สึกเจ็บ แต่หญิงสาวกำลังตกตะลึงกับผลประมูลเกินกว่าจะดึงมือออก ทางด้านทีมผู้บริหารเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็ถือโอกาสนี้เอ่ยขอบคุณและกล่าวปิดงานทันที บริษัทอื่นพากันเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับอริญชย์และพิชญ์ แม้กระทั่งราชันย์เอง

           “ยินดีด้วย”

           “ขอบใจ...”

          ทั้งที่มันเป็นแค่คำพูดธรรมดา แต่พิชญ์กลับรู้สึกว่ามันแฝงนัยแปลก ๆ อยู่ในบทสนทนาของอริญชย์และราชันย์ ส่วนรัญญายืนอยู่กับปกรณ์ด้านนอก ท่าทางหญิงสาวยังดูช็อกไม่น้อยที่ชวดงานนี้ไป

           “เรียบร้อยแล้วเราก็กลับกันเถอะ” อริญชย์หันมาเอ่ยกับพิชญ์และตุลย์ก่อนจะเดินนำออกจากห้องประชุม

          พอขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ที่ย้ายจากรถอีกคันมานั่งคู่คนขับตอนหน้าก็หันมามองสูทของพิชญ์ ที่เจ้าตัวไม่ลืมหยิบกลับมาด้วย เขาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากขอสูทจากพิชญ์

           “คุณพีท ขอผมดูสูทหน่อย”

           “หืมม์ มันยังไม่สะอาดเหรอ ผมว่าผมซักคราบกาแฟดีแล้วนะ เดี๋ยวกลับบ้านค่อยให้เด็กจัดการอีกรอบละกัน” พิชญ์พึมพำแต่ก็ยอมส่งเสื้อสูทให้ตุลย์แต่โดยดี

          อริญชย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จับตามองเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไร พอรับเสื้อสูทจากพิชญ์ไป ตุลย์ก็ยกขึ้นมาดมกลิ่นก่อนจะเบ้หน้า เขาพลิกเสื้อสูทไปมาอยู่หลายรอบจนเกือบจะถอดใจส่งคืนพิชญ์อยู่แล้ว อริญชย์ก็เอ่ยถามขึ้นมาเบา ๆ

           “เจอไหม”

           “หาอยู่ครับ คุณใหญ่”

          ปลายนิ้วแข็งแรงไล้ไปตามเนื้อผ้าของเสื้อสูทด้วยความคล่องแคล่วอยู่นาน ก่อนตุลย์จะร้องอุทานออกมาในที่สุด แล้วคีบวัตถุสีดำสนิทที่กลืนไปกับเสื้อสูทออกมา

           “เจอเครื่องดักฟังแล้วครับ”

          คราวนี้พิชญ์ถึงกับเป็นฝ่ายเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง อริญชย์รับเจ้าเครื่องดักฟังที่ว่ามาจากตุลย์ พลิกไปมาอยู่ในมือ โดยที่พิชญ์เองก็ชะโงกหน้ามาดูด้วยเช่นกัน ริมฝีปากหยักบิดออกเป็นรอยยิ้มเยาะก่อนจะพึมพำเบา ๆ

           “ลูกไม้เด็กอนุบาลชัด ๆ”

          ปลายนิ้วแข็งแรงกดเลื่อนกระจกข้างลง ก่อนเจ้าเครื่องดักฟังขนาดจิ๋วจะถูกดีดออกนอกรถราวกับเป็นแค่เศษซากแมลง แล้วอริญชย์ก็หมดความสนใจอีก ผิดกับพิชญ์ที่นั่งไม่ติดขึ้นมาทันที

           “คุณใหญ่ นี่มันหมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ”

          นอกจากอริญชย์จะไม่ตอบแล้วยังหลับตาลงราวกับต้องการจะพักผ่อน เดือดร้อนพิชญ์ต้องหันไปหาตุลย์ที่นั่งอยู่ข้างหน้า

           “คุณตุลย์...”

          ตุลย์ชำเลืองมองผู้เป็นนายแวบหนึ่ง เขาเข้าใจว่าอริญชย์เองคงไม่อยากให้มีสีดำมาแต่งแต้มในโลกของพิชญ์ แต่บางครั้งเจ้านายของเขาก็ต้องยอมรับความจริงว่า เมื่อเลือกที่จะดึงพิชญ์เข้ามาในโลกของตัวเองแล้ว ยังไงโลกของพิชญ์ก็ไม่มีทางเป็นสีขาวไปได้อีก

          โลกสีขาว...มันก็เป็นแค่สังคมในอุดมคติที่ไม่เคยมีอยู่จริง

           “มีคนติดเครื่องดักฟังที่เสื้อสูทคุณพีทน่ะครับ อาจจะเป็นแม่บ้านคนนั้นหรืออาจจะเป็นใครซักคนที่คุณพีทเจอระหว่างทางหลังจากกาแฟหกใส่”

          พิชญ์พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ หลังจากที่กาแฟหกใส่เขา แม่บ้านคนนั้นก็กุลีกุจอเข้ามาเช็ดเสื้อสูทให้เขาพลางละล่ำละลักเอ่ยปากขอโทษ หลังจากนั้นเขาก็ตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เจอแค่ราชันย์ ซึ่งเท่าที่เขาพอจะจำได้ ราชันย์เองก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับเสื้อสูทของเขาเลย งั้นก็หมายความว่า...

           “แต่แม่บ้านคนนั้นเป็นคนของทางกลุ่มวิวัฒน์ดำรง แล้วเธอจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

          อริญชย์ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ หันมามองหน้าพิชญ์ สายตาไม่ได้ปรากฏความล้อเล่นให้เห็นแม้แต่น้อย

           “นายไม่มีทางรู้เลยว่าแม่บ้านคนนั้นเป็นคนของที่นี่จริงหรือเปล่า”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมา เขาคงทั้งซื่อบื้อทั้งโง่ในสายตาของอริญชย์กับตุลย์แน่ ๆ แต่ให้ตายเถอะ เขาไม่รู้เลย ไม่ว่ายังไงก็ไม่รู้ และเขามั่นใจว่าคนปกติก็คงไม่รู้เหมือนกัน

           “แล้วคุณตุลย์รู้ได้ไง”

          ตุลย์ยิ้มเผล่ให้พิชญ์ แต่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร หมดหน้าที่ของเขาแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอริญชย์ในการไขข้อข้องใจให้กับพิชญ์เองแล้วกัน

           “นายคงไม่เชื่อ ถ้าฉันบอกว่าตุลย์ก็เป็นมือวางในการติดเครื่องดักฟังเหมือนกัน”

          พิชญ์ยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา บางทีเขาก็เหมือนไม่รู้จักผู้ชายสองคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

           “ผมนี่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ ไม่รู้จักระวังตัวเลย”

           “มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก นายไม่ได้เติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ และนายไม่ได้ถูกฝึกมา...” อริญชย์นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ที่นายเป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ฉันชอบ...”

          ความตั้งใจของอริญชย์มีแค่อยากให้พิชญ์เก่งกาจในเรื่องธุรกิจ เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้กับเขา ส่วนเรื่องเล่ห์กลต่าง ๆ พวกนี้ เขากลับมองว่ามันไม่จำเป็นสำหรับพิชญ์เลย

          ...ไม่ว่ายังไง เขาก็ยังอยากมีพื้นที่สีขาวอยู่ข้างกาย



.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 30 พื้นที่สีขาว --- หน้าที่ 7 [16/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 16-08-2020 17:14:59
          ข่าวการประมูลโครงการบางกอก บูเลอวาร์ดสำเร็จของเคเค คอนสตรัคชั่นนำความยินดีมายังพนักงานทุกคน สำหรับพนักงานระดับล่างจนถึงกลาง ความสำเร็จของบริษัทย่อมเป็นสิ่งยืนยันถึงความมั่นคงในหน้าที่การงานของพวกเขา สำหรับพนักงานระดับสูง นี่เป็นโอกาสอันดีที่เคเค คอนสตรัคชั่นจะได้แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด คว้าเค้กชิ้นโตนี้ไปกิน และมีภาษีเหนือบรรดาคู่แข่งในวงการเดียวกัน

          กลุ่มทีมงานที่ริเริ่มทำโครงการนี้ร่วมกันมากับพิชญ์เองก็พลอยยินดีเมื่อทราบข่าวความสำเร็จนี้ หลายคนทำหน้าที่ช่วยพิชญ์ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ประเด็นสำคัญต่าง ๆ ตลอดจนจัดเตรียมแผนงานบางส่วน ยามที่งานสำเร็จลุล่วงแล้ว พิชญ์เองก็อดคิดถึงบรรดาลูกน้องขึ้นมาไม่ได้

           “กำลังคิดอะไรอยู่”

          อริญชย์ที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่เอ่ยถามพิชญ์โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง หลังจากแอบเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวนานแล้ว

           “คิดเรื่องงานประมูลน่ะครับ”

           “งานประมูลก็เสร็จไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

           “ก็ใช่ครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าคนอื่น ๆ ที่คอยช่วยผมก็มีส่วนให้งานนี้สำเร็จเหมือนกัน เลยคิดว่าอยากจะเลี้ยงตอบแทนพวกเขาเสียหน่อย”

          อริญชย์คลี่ยิ้มออกมา ต้องยอมรับว่าการเป็นผู้บริหาร บางครั้งจะยึดถือแต่อำนาจเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ น้ำใจก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเหมือนกัน

           “เป็นความคิดที่ดี แล้วนายมีแผนยังไงล่ะ”

          พิชญ์นิ่งเงียบไป เพราะว่าเขายังคิดไม่ตกอยู่นี่ไง ถึงได้มัวแต่นั่งคิดจนไม่เป็นอันทำงานทำการ

           “ยังคิดไม่ออกเลยครับ แต่ไม่อยากให้ทางการมาก ผมอยากให้เป็นกันเองมากกว่า ถ้าทางการมาก กลัวว่าพนักงานจะหมดสนุกกันเปล่า ๆ”

           “ก็ดี แล้วคิดว่าจะเลี้ยงวันไหนล่ะ”

          พอได้ยินคำถามของอริญชย์ พิชญ์ก็คว้าปฏิทินมาพลิกดู วันนี้เพิ่งจะวันจันทร์ วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะมีงานโรงเรียนของน้องหนู ถ้าเป็นวันศุกร์...

           “วันศุกร์นี้แล้วกันครับ เผื่อเลิกดึกจะได้ไม่ต้องห่วงว่าวันรุ่งขึ้นต้องมาทำงาน”

           “ที่พูดนี่กำลังหมายถึงตัวเองหรือลูกน้องกันแน่”

          พิชญ์หัวเราะออกมาทันที ตัวเขาเองก็ห่างหายจากงานสังสรรค์ประเภทนี้นับตั้งแต่เรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ส่วนมากก็มักจะเป็นงานเลี้ยงกับบรรดาผู้บริหาร ซึ่งพิชญ์สารภาพเลยว่า เขานั่งตัวเกร็งแทบทุกครั้งที่ไปร่วมงาน ถึงฉากหน้าพิชญ์จะดูเป็นนักธุรกิจที่ภูมิฐาน คู่ควรกับตำแหน่งรองประธาน แต่คงมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังโหยหาชีวิตวัยรุ่นที่ขาดหายไปมากแค่ไหน

           “ทั้งคู่เลยครับ”

           “วันศุกร์ก็ดี นายเลือกร้านเอาตามที่เห็นสมควรเลยแล้วกัน ฉันอนุมัติหมด”

           “ใจป้ำจังนะครับ”

          อริญชย์หัวเราะให้กับคำกระเซ้าของพิชญ์ การได้นั่งคุยอย่างเป็นธรรมชาติกับพิชญ์แบบนี้ทำเอาเขาอารมณ์ดีและรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย เขาหยิบปฏิทินของตัวเองมาดูบ้างก่อนจะต้องขมวดคิ้ว

           “สงสัยฉันจะชวดงานเลี้ยงซะแล้ว”

           “ทำไมล่ะครับ”

           “ฉันมีบินไปประชุมที่ฮ่องกงวันพฤหัส กว่าจะกลับก็วันอาทิตย์เลย”

           “ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

          ถึงจะไม่ได้รู้ตารางงานของอริญชย์ทั้งหมด แต่พิชญ์ก็พอรู้ตารางหลัก ๆ ทว่างานที่อริญชย์เอ่ยถึง เขากลับไม่คุ้นแม้แต่น้อย

           “งานนี้มันฉุกละหุกนิดหน่อย ฉันกำลังจะให้ตุลย์บุ๊คตั๋ววันนี้พอดี”

           “แล้วอย่างนี้คุณใหญ่จะกลับมาทันงานโรงเรียนน้องหนูหรือเปล่าครับ”

          อริญชย์ลืมไปสนิทว่าเขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่าง นั่นคืองานโรงเรียนของน้องหนู ที่ปีนี้หลานสาวตัวน้อยของเขาได้ร่วมแสดงด้วย ความจริงแล้วเขาอยากจะลากไอลดากลับมาดูลูกสาวตัวเองขึ้นแสดงเสียด้วยซ้ำ แต่การที่ไอลดาเตลิดหนีไป ความผิดหลายส่วนก็มาจากเขา ในเมื่อน้องสาวของเขายังไม่พร้อมที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง อริญชย์ก็ไม่คิดที่จะบีบคั้นอีกฝ่าย

           “งานโรงเรียนน้องหนูวันไหน กี่โมงนะ”

          ฟังคำถามของคนเป็นลุงแล้วพิชญ์ก็อดเคืองแทนลูกสาวตัวเองไม่ได้

           “ผมนึกว่าคุณใหญ่จดใส่ตารางของตัวเองไว้แล้วเสียอีก”

           “ฉันว่าจะจดอยู่ แต่มันยุ่ง ๆ เลยลืม ตกลงวันไหนนะ”

           “วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ครับ ตอนหกโมงเย็น”

           “ฉันน่าจะกลับมาทัน เดี๋ยวให้ตุลย์จองตั๋วกลับไฟล์ทเช้า วันอาทิตย์”

           “ถ้างานคุณไม่เสร็จ ไม่ต้องรีบก็ได้นะครับ”

          เห็นท่าทางเกรงอกเกรงใจของพิชญ์แล้วอริญชย์ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ พิชญ์คิดว่าเขาเป็นใครกัน คุณลุงข้างบ้านหรือไง ทำไมเขาถึงจะไม่อยากดูหลานสาวตัวเองขึ้นแสดงกันล่ะ

           “ฉันไม่ปล่อยให้นายไปนั่งให้กำลังใจน้องหนูคนเดียวหรอก”

           “ใครบอกว่าผมจะไปคนเดียว ผมจะขนไปให้หมดบ้านเลย”

           “ก็เอาสิ ป้าน้อยกับนวลก็คงดีใจ”

          ก่อนที่พิชญ์จะมัวแต่ชวนคุยเรื่องงานโรงเรียนน้องหนูจนเพลิน เขาก็นึกได้ว่าเรื่องที่คุยกันค้างอยู่คือเรื่องเลี้ยงพนักงานต่างหาก ดูเหมือนพอคุยเรื่องน้องหนู ทั้งเขาและอริญชย์ต่างก็คุยกันอย่างลื่นไหล

           “ถ้าวันศุกร์นี้คุณใหญ่ไม่อยู่ ผมว่าเราเลื่อนที่จะเลี้ยงพนักงานออกไปก่อนดีกว่า”

           “ไม่ต้องหรอก เอาตามเดิมนั่นแหล่ะ นายจัดการได้เต็มที่เลย”

          เห็นอริญชย์ออกปากมาแบบนี้แล้ว แต่พิชญ์ก็ยังอดลังเลไม่ได้

           “คุณใหญ่ไม่อยู่ร่วมงานแบบนี้จะดีหรือครับ”

          อริญชย์ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา พยายามหักห้ามใจไม่ให้ดึงพิชญ์เข้ามากอดรัดเอาไว้ในวงแขน น่าแปลก...ที่เขาไม่นึกเบื่อในความช่างคิดเล็กคิดน้อยของพิชญ์ ขอเพียงให้พิชญ์คิดเรื่องของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอริญชย์ก็ชอบใจทั้งนั้น

           “แค่นายก็พอแล้ว คราวนี้เป็นผลงานของนายด้วย แต่ถ้าอยากให้ฉันเลี้ยง...” ดวงตาที่มักปรากฏแววเย็นชาอยู่เสมอพลันเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ กว่าพิชญ์จะรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนที่อริญชย์เอ่ยประโยคถัดมา “...ไว้ฉันจะพาไปเลี้ยงกันสองคน”

           “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย” ตอบอุบอิบออกไปแล้วพิชญ์ก็ได้แต่เสก้มหน้าก้มตาทำงาน

          นับวันความรู้สึกดี ๆ ระหว่างเขากับอริญชย์ดูเหมือนจะค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นช้า ๆ จนพิชญ์กลัวเหลือเกินว่า สุดท้ายอาจจะเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายยอมถูกพันธนาการเอาไว้

          อิสรภาพที่เคยเรียกร้องอยากได้นักหนา ยามนี้กลับดูเหมือนจะไม่จำเป็นเสียแล้ว



.



          ข่าวเรื่องที่ทางเคเค คอนสตรัคชั่นเป็นฝ่ายประมูลงานชนะก็รู้มาถึงหูของปฐพีเช่นกัน เขาดูแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นว่าราชันย์ไม่ได้หงุดหงิดมากอย่างที่คาดว่าจะเห็น อีกฝ่ายยังคงมีท่าทีปกติเหมือนทุกวัน จนบางทีปฐพีก็นึกสงสัยว่า...

          ราชันย์อยากได้งานที่ว่าจริงหรือเปล่า หรือแค่ต้องการขัดแข้งขัดขาอริญชย์ไปอย่างนั้น

          แต่ถ้าเอ่ยถามถึงรัญญา เท่าที่เขาบังเอิญได้ยินที่ราชันย์คุยกับปกรณ์หลังเสร็จงานประมูล ดูเหมือนรัญญาจะค่อนข้างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ซึ่งปฐพีก็ไม่ค่อยแปลกใจนัก งานนี้รัญญาลงทุนลงแรงไปเยอะเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากบรรดาคนเก่าคนแก่ในตระกูลว่าผู้หญิงอย่างเธอก็มีความสามารถ ดังนั้นการที่ทางกมลวิลาศน์ชวดงานคราวนี้ นอกจากจะทำให้รัญญาเสียหน้าแล้ว ความน่าเชื่อถือของเธอในสายตาของบรรดาคนเก่าแก่ตระกูลกมลวิลาศน์ก็ลดลงด้วยเช่นกัน

          ปฐพีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่งได้ยินเสียงแกรกกรากก็ชะโงกหน้ามอง เห็นราชันย์ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องนอน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยปากถามออกไปดีหรือไม่ ราชันย์ก็เป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาก่อน

           “จะไปด้วยกันไหม”

          เป็นประโยคคำถามที่คุณครูภาษาไทยไม่ควรปล่อยผ่านเลยจริง ๆ อยู่ดี ๆ ก็ถามขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่มีการเกริ่นที่มาที่ไปให้รู้กันบ้าง คนฉลาดน้อยอย่างเขาจะรู้ไหมว่ากำลังถูกชวนไปไหน

           “ไปไหนครับ”

           “ฮ่องกง” คำตอบของราชันย์ยังคงสั้นและสงวนถ้อยคำอย่างน่าหงุดหงิด

           “เฮียจะไปฮ่องกงเหรอ”
         
           “อืม จะไปจัดการธุระนิดหน่อย จะไปด้วยกันหรือเปล่า ฉันไม่ได้บังคับนาย แค่ลองถามดู เผื่อนายคิดถึงที่นั่น” ยังดีที่คราวนี้ประโยคยาวขึ้นมาอีกหน่อย

          ปฐพีวางหนังสือนิยายภาษาจีนลงข้างตัว ก่อนจะลุกขึ้นมาจากโซฟา ภาพราชันย์ที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดของอาจจะดูแปลกตาสำหรับคนอื่นที่เคยชินกับภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่ผู้กุมบังเหียนบริษัทเครือกมลวิลาศน์ แต่สำหรับปฐพีที่เรียกได้ว่าเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ภาพนี้กลับชวนให้เขาคิดถึงวันเก่า ๆ สมัยที่ยังอยู่ที่ฮ่องกงกับราชันย์

           “ถ้าผมไปด้วยจะไม่เกะกะเฮียใช่ไหม”

           “ถ้าคิดว่านายเป็นตัวเกะกะ ฉันก็คงไม่ชวนไปด้วย”

          ปฐพีอดแสดงความดีใจออกมาไม่ได้ ราชันย์คงไม่รู้ว่าแค่ประโยคธรรมดาที่เพิ่งเอ่ยออกมากลับทำให้เขายินดีที่ได้รู้ว่าราชันย์ยังคิดถึงเขาบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ได้เห็นเขามีหน้าที่เพียงแค่บำบัดความใคร่ให้ ยังเห็นว่าเขาก็มีหัวใจและความรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม

           “งั้นผมขอไปด้วยนะ ผมอยากแวะไปเยี่ยมน้าเหมยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นยังไงมั่ง”

           “เอาสิ ซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากด้วยล่ะ แกจะได้ดีใจ”

           “ว่าแต่เฮียจะไปวันไหนถึงวันไหนบ้างนะ ผมจะได้จัดกระเป๋าถูก”

           “ไปวันพฤหัส กลับวันอาทิตย์”

           “งั้นเดี๋ยวผมจัดกระเป๋าให้เอง เฮียไปทำอย่างอื่นเถอะ”

          ได้ยินปฐพีเอ่ยออกมาอย่างนั้นแล้ว ราชันย์เลยปล่อยกระเป๋าเดินทางของตัวเองให้อีกฝ่ายเอาไปจัดการแทน เขาเดินไปห้องครัวเพื่อชงกาแฟ แวบหนึ่งที่มุมปากกดลึกเป็นรอยยิ้มโดยที่ปฐพีไม่เห็น เขาก็แค่สงสัย...

          ถ้าหากปฐพีรู้ว่าการที่เขาพาเจ้าตัวไปด้วยคราวนี้เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง อีกฝ่ายยังกระตือรือร้นที่จะไปกับเขาอีกไหม เขารู้ว่าปฐพีไม่ใช่คนโง่อย่างที่เจ้าตัวคิดว่าตัวเองเป็น เพราะฉะนั้นอะไรที่ป้องกันได้ก็ควรป้องกันไว้ก่อน

          ราชันย์เพิ่งจะหยิบเมล็ดกาแฟลงมาจากตู้ เตรียมจะชงกาแฟให้ตัวเอง ปฐพีก็ยื่นหน้าเข้ามา แต่ไม่ยอมพูดอะไร จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง

           “มีอะไร”

           “เฮียจะไปฮ่องกง แล้วเรื่องทางนี้...”

          อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ปฐพีไม่ได้โง่อย่างที่เขาคิด เพียงแต่ราชันย์คงไม่รู้ว่าในความฉลาดและรอบคอบของปฐพีนั้น เจ้าตัวก็พยายามเพียงเพื่อจะได้มีส่วนช่วยเขา

           “ช่วงนี้ทางนั้นคงไม่กล้าลงมืออะไรมาก ยังมีชนักปักหลังอยู่นี่นะ” ราชันย์ตอบพลางชงกาแฟไปด้วย ท่าทางเป็นธรรมชาติเสียจนคนมองไม่รู้สึกว่าเขากำลังพูดปดคำโต

           “งั้นก็ดีแล้ว เฮียจะได้ไม่ต้องคอยห่วงทางนี้”

          ปฐพีเดินออกจากห้องครัวไปแล้ว พอดีกับที่ราชันย์ชงกาแฟเสร็จ ความจริงแล้ววันนี้เขาควรจะเปิดเบียร์กระป๋องมาดื่มให้กับความสำเร็จอีกขั้นของตัวเอง แต่กาแฟร้อน ๆ ก็ไม่เลวนัก เดินออกมาจากห้องครัวก็เห็นปฐพีกำลังง่วนอยู่กับกระเป๋าเดินทาง คำถามดังมาจากคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงโซฟาไม่ขาดสาย

           “เฮียว่าผมซื้ออะไรไปฝากน้าเหมยดี”

           “พวกของกินแปลก ๆ กับผ้าไหมก็ได้มั้ง น้าเหมยน่าจะชอบ”

           “ช่วงนี้อากาศที่ฮ่องกงน่าจะแปรปรวน เฮียจะให้ผมเอาเสื้อกันหนาวไปเผื่อให้ไหม”

           “ไม่ต้อง เอาแต่สูทไปก็พอ”

          คำถามยังดังมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย และราชันย์เองก็เอ่ยตอบเรื่อย ๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่าวันนี้เขากำลังอารมณ์ดีจนไม่นึกรำคาญคำถามของปฐพีก็เป็นได้

           “เฮีย นี่เราจะไปนอนบ้านหรือนอนโรงแรมกันเหรอ”

          คำถามนี้ทำเอาราชันย์สะอึกนิดหน่อย เขาแปลกใจที่ปฐพีเองก็เห็นที่นั่นเป็นบ้านไม่ต่างกันกับเขา แต่น่าเสียดายที่คราวนี้เขาคงต้องทำลายความหวังของปฐพี

           “นอนโรงแรม”

          เขาเห็นแววผิดหวังทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่งในดวงตาของปฐพี แต่ก็ทำเป็นไม่เห็นมันซะ ได้แต่เอ่ยกำชับอีกฝ่ายให้จัดการกับกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อย ส่วนเขาก็เดินเข้าห้องมาสะสางงาน หยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ รอให้ปลายสายรับถึงได้เอ่ยย้ำคำเสียงหนัก ๆ ผิดวิสัย

           “กูเอง อย่าลืมนัดของเราล่ะ”

          เรื่องบางเรื่อง เขาปล่อยให้มันคาราคาซังมานานมากเกินไป ตอนนี้ถึงเวลาที่ควรจะสะสางให้มันจบ ๆ ไปเสียทีแล้ว

          บางทีต้นสายปลายเหตุของเรื่องบ้า ๆ มันอาจจะมาจากเขาเองก็เป็นได้

          เขาที่ใจอ่อนมากเกินไป น่าดีใจที่ในตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความใจอ่อนอีกต่อไปแล้ว



TO BE CONTINUE


พาคุณใหญ่กับพีทกลับมาแล้วค่า อาทิตย์ที่แล้วป่วย เลยไม่ได้มาลง
ขอบคณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ ^^
พีทเก่งมาก ๆ ยังงี้คุณใหญ่ต้องให้รางวัลแล้วเนอะ
ตอนหน้าเราจะเกาะกระเป๋าคุณใหญ่ไปฮ่องกงกันค่า
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 30 พื้นที่สีขาว --- หน้าที่ 7 [16/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-08-2020 23:39:05
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 30 พื้นที่สีขาว --- หน้าที่ 7 [16/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-08-2020 01:11:28
ชวนติดตามมากคับ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 30 พื้นที่สีขาว --- หน้าที่ 7 [16/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-08-2020 16:12:11
รอนะคะ 
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 30 พื้นที่สีขาว --- หน้าที่ 7 [16/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-08-2020 18:32:40
โว้ยยยยยยยยยยยยยอะไรอีกละเนี้ย อ่านไปอ่านมา ไม่เก็ทสักอย่าง มีลับลมคมในเยอะจริงเว้ย2คนนี้  o18 ช่วยเคลียร์ๆให้เข้าใจสักเรื่องหน่อยดิราชันย์ ลีลาอยู่นั่น อยากรู้ว่าจะแก้ยังไงกัน ลุ้นจนเซ็งละนี่ 555 จะไปปะทะไรกันที่ฮ่องกง งานนี้มีเลือดสาดไหม กลัวใจ คุณใหญ่กับพิชญ์ระหว่างสองคนผ่อนคลายขึ้นมากเลย ก็หวังว่าจะดีไปเรื่อยๆแบบนี้นะ และดีใจด้วยที่ได้งานประมูลมา ก็ทางนั้นเล่นตุกติกเกิ๊น สนุกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออ่านอยู่เสมอค่า ก็ว่าอยู่เห็นเงียบๆ อ๋อ ป่วย ดูแลตัวเองด้วยนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: 
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 30 พื้นที่สีขาว --- หน้าที่ 7 [16/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-08-2020 16:51:40
คุณใหญ่ต้องสอนให้พีทมีเขี้ยวเล็บบ้างน้าาาาา
เวลาคุณใหญ่ไม่อยู่ด้วยเรานี่หวาดระแวงตลอดเลย
ว่ายัยตะหลิวจะใช้มารยาอะไรมาหลอกพีทอีก
นี่เห็นว่าคุณใหญ่จะไปต่างประเทศ เรายิ่งห่วงพีทเลย
ฝากคุณใหญ่พิจารณาทวบทวนพื้นที่สีขาวของพีทด้วยค่าาา  o18

ปล.เราก็เพิ่งฟื้นไข้เหมือนนักเขียนเลย อากาศเปลี่ยนบ่อยดูแลสุขภาพด้วยน้าาาาเป็นกำลังใจให้ค่ะ
...​รอตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 31 พี่น้อง --- หน้าที่ 7 [23/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 23-08-2020 21:30:56
สามสิบเอ็ด
พี่น้อง





          เช้านี้พิชญ์ตื่นแต่เช้าตรู่ผิดจากทุกวัน เมื่อคืนหลังจากส่งน้องหนูเข้านอนแล้ว พอกลับถึงห้องของตัวเองพิชญ์ก็หลับทันที วันนี้เขาเลยค่อนข้างรู้สึกสดชื่น เพราะได้นอนหลับเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน

          หลังสะสางงานประมูลเสร็จเรียบร้อย เหลือแค่ส่งมอบงานให้แผนกต่าง ๆ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบแยกตามสายงาน คุณพ่อลูกหนึ่งอย่างพิชญ์ก็มีเวลากลับมาดูแลน้องหนูอย่างเคย แต่ดูเหมือนช่วงนี้เวลาของทั้งคุณพ่อและคุณลูกจะสวนทางกัน พอพิชญ์เคลียร์ตัวเองจนว่าง ช่วงนี้น้องหนูก็มีซ้อมการแสดงหลังเลิกเรียนจนต้องกลับบ้านช้ากว่าปกติ ซึ่งการกลับบ้านช้าของน้องหนูยังพอทำเนา แต่ปัญหาคือ พอเจ้าตัวเล็กของพิชญ์กลับถึงบ้านก็พาลเหนื่อย บางวันก็โยเย บางวันก็ว่าง่าย ยังโชคดีที่น้องหนูยอมเข้านอนแต่หัวค่ำทุกวัน พอคิดถึงตรงนี้ ริมฝีปากของคนเป็นพ่อก็พลันคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

          จะดื้อก็ลูกเขา จะเกเรก็ลูกเขา ถึงอย่างไรพิชญ์ก็รักของพิชญ์...

          เมื่อคืนพิชญ์เพิ่งอ่านนิทานให้น้องหนูฟังได้แค่สองหน้า น้องหนูก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเป็นต้องเรียกร้องให้อ่านเรื่องที่สองต่อ แสดงว่าช่วงนี้น้องหนูเหนื่อยจากการซ้อมที่โรงเรียนจริง ๆ

          เวลาเพียงแค่แป๊บเดียว น้องหนูกลับโตขึ้นมาก นับจากวันแรกที่พิชญ์มีโอกาสอุ้มเจ้าตัวเล็ก ยามนั้นลูกสาวตัวน้อยของเขาดูน่าเกลียดน่าชัง ตัวแดง ๆ เล็ก ๆ ดูแล้วเปราะบางจนพิชญ์แทบไม่กล้าแตะต้อง พิชญ์ยังคงจำสัมผัสแรกที่รับน้องหนูจากพยาบาลมาอุ้มแนบอกได้ไม่ลืม ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นอย่างไร พิชญ์เต็มตื้นเอาก็วันนั้น ความรู้สึกหวงแหน อยากปกป้องและทะนุถนอมราวกับของล้ำค่าเอ่อล้นขึ้นมา เขาขอบคุณไอลดาซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เธอหยิบยื่นโอกาสให้เขาได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการเป็นพ่อคน

          พอคิดถึงน้องหนู อารมณ์ที่ดีอยู่แล้วของพิชญ์ก็เหมือนจะดียิ่งขึ้นไปอีก แม้กระทั่งตุลย์ที่กำลังยกกระเป๋าเดินทางของอริญชย์ลงบันไดไปไว้ข้างล่างหันมาเห็นเข้า ยังอดเอ่ยปากทักไม่ได้

           “เช้านี้มีเรื่องอะไรดี ๆ เหรอครับคุณพีท”

           “สงสัยจะดีใจที่ประมูลงานได้ล่ะมั้งครับ” พิชญ์เสตอบไปอีกเรื่อง พอเห็นกระเป๋าเดินทางที่ตุลย์กำลังยกอยู่ เขาเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอริญชย์จะบินไปฮ่องกงวันนี้ “วันนี้คุณใหญ่บินไฟลท์ไหนนะครับ”

           “ไฟลท์บ่ายครับ มีประชุมวันศุกร์ กินเลี้ยงวันเสาร์ แล้วกลับไฟลท์เช้าวันอาทิตย์ครับ”

          พิชญ์มั่นใจว่าตัวเองเอ่ยถามแค่ไฟลท์ขาไป แต่ตุลย์ก็ช่างรอบคอบสมกับเป็นคนสนิทที่อริญชย์ไว้วางใจ จัดการชี้แจงตารางงานของเจ้านายให้เขาฟังเสียครบถ้วน

          พอยกกระเป๋าเดินทางของอริญชย์ลงมาข้างล่างเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็เตรียมจะยกไปใส่ท้ายรถ แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเลยหันมาถามพิชญ์ที่เพิ่งนั่งเก้าอี้ได้หมาด ๆ

           “วันนี้คุณพีทจะไปส่งคุณหนูเองหรือเปล่าครับ”

          ปกติแล้วถ้าวันไหนพิชญ์ไปส่งน้องหนูเอง นวลก็จะอยู่ที่บ้าน ถ้าพิชญ์เกิดติดงานหรือติดประชุมขึ้นมา นวลถึงจะรับหน้าที่เป็นคนไปส่งน้องหนูพร้อมกับคนขับรถ ช่วงหลายวันมานี้พิชญ์มัวแต่หัวหมุนอยู่กับงานประมูล จึงต้องมอบหน้าที่ให้นวลเป็นคนไปรับและไปส่งลูกสาวตัวน้อยแทนเขา วันนี้พอมีเวลาพิชญ์เลยตั้งใจตั้งแต่ตอนตื่นว่าจะเป็นคนไปส่งน้องหนูเอง และถือโอกาสนี้ให้นวลอยู่ช่วยป้าน้อยที่บ้านไปด้วย

           “เดี๋ยวผมไปส่งน้องหนูเองครับ”

           “ครับ ผมจะได้บอกกริชให้แวะส่งคุณหนูที่โรงเรียนก่อน แล้วค่อยเลยไปส่งคุณพีทที่บริษัท”

          พิชญ์เหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนัง เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควร แถมยังไม่มีใครลงมาข้างล่างนอกจากเขา เลยหยิบหนังสือพิมพ์วันนี้ขึ้นมาอ่านข่าว นี่ก็เป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่พิชญ์ถูกอริญชย์บังคับให้ทำจนกลายเป็นความเคยชินไปโดยไม่รู้ตัว

          ช่วงเริ่มทำงานแรก ๆ พิชญ์ถูกอริญชย์สั่งแกมบังคับว่าต้องอ่านหนังสือพิมพ์หัวธุรกิจทุกเช้าเพื่อติดตามข่าวสารต่าง ๆ และที่สำคัญคือแต่ละอาทิตย์จะต้องมีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรวมอยู่ด้วยอย่างน้อยหนึ่งฉบับ พิชญ์จำได้แม่นว่าตอนนั้นตัวเขายังนึกค่อนขอดอริญชย์อยู่ในใจแทบทุกเช้า คนอะไรช่างโหดร้ายเสียยิ่งกว่าอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเขาอีก แต่พอถึงตอนนี้จริง ๆ พิชญ์ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่อริญชย์ทั้งสั่งทั้งบังคับให้เขาทำมันมีประโยชน์ไม่น้อย ขนาดที่ว่าทักษะภาษาอังกฤษที่อยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางอ่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมของพิชญ์ มาตอนนี้กลับดีขึ้นมากจากการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่อริญชย์เคี่ยวเข็ญให้เขาอ่านทุกอาทิตย์

          เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เรียกให้พิชญ์ละสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์ที่เปิดกางอยู่ขึ้นมามอง เห็นอริญชย์ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเขา ก่อนจะยื่นมือมาหยิบหนังสือพิมพ์ไปถือไว้ฉบับหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมเปิดอ่าน กลับเอ่ยถามเอาจากพิชญ์แทน

           “วันนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้าง” คำถามเรียบเรื่อยที่ดังมา ให้ความรู้สึกเหมือนคุณครูกำลังซักถามการบ้านจากนักเรียนไม่มีผิด

           “เหมือนเดิมครับ ยังเล่นข่าวรถไฟความเร็วสูงกันอยู่เลย มีอีกข่าวที่น่าจับตาก็คงเป็นเรื่องตลาดหุ้นจีนที่ตอนนี้ยังเป็นประเด็นอ่อนไหวว่าจะลุกลามไปเป็นสงครามค่าเงินหรือเปล่า”

           “ดี!”

          พิชญ์ขมวดคิ้ว เพราะไม่มั่นใจว่าดีของอริญชย์หมายถึงอะไร กำลังจะเอ่ยปากถามก็ได้ยินเสียงร่าเริงของน้องหนูดังนำลงมาก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งตุ้บตั้บตามลงมา จนคนเป็นพ่อต้องหันไปเอ็ดเอาด้วยความเป็นห่วง

           “น้องหนู อย่าวิ่งลงบันไดสิครับ ถ้าเกิดตกลงมาจะว่ายังไง”

          เจ้าตัวเล็กยิ้มจ๋อย ๆ เมื่อโดนเอ็ดเอาแต่เช้า เท้าเล็ก ๆ รีบเปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่จะเดินเข้ามานั่งข้างพิชญ์ไปนั่งข้างอริญชย์แทนเสียอย่างนั้น เล่นเอาคนเป็นพ่อถึงกับปวดหัวตุบขึ้นมา ผิดกับคุณลุงที่นั่งหัวเราะกึก ๆ อย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เมื่อกี้ยังทำหน้าเฉยชาอยู่แท้ ๆ

           “ลุงใหญ่จะไปเที่ยวไหนคะ”

          พอได้ยินน้องหนูเอ่ยทักขึ้นมาด้วยความสงสัย พิชญ์ถึงเพิ่งสังเกตว่าวันนี้อริญชย์แต่งตัวสบาย ๆ ดูลำลองกว่าทุกวัน ไม่ได้เป็นทางการมากนัก คงเป็นเพราะตามกำหนดการแล้วอริญชย์จะเข้าที่พักทันทีที่ถึงฮ่องกง ไม่มีนัดหมายกับใครในวันนี้ อีกฝ่ายถึงได้เน้นความสบายเอาไว้ก่อน พอเห็นแบบนี้แล้วก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ และพลอยทำให้เจ้าตัวเล็กรู้ว่าลุงใหญ่กำลังจะหนีเที่ยวด้วย

           “ไปฮ่องกงครับ ไปกับลุงใหญ่ไหมลูก”

          ถ้าคิดว่าจะได้เห็นเด็กดีอย่างน้องหนูตอบปฏิเสธก็ต้องคิดผิดถนัด เจ้าตัวเล็กตาวาวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินผู้เป็นลุงเอ่ยชวน ปกติลุงใหญ่มักจะไปเที่ยวต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ เพิ่งจะมีหนนี้ที่เอ่ยชวนน้องหนู มีหรือที่เจ้าตัวเล็กจะไม่ดีใจ

           “ไปค่ะ” เจ้าตัวเล็กตอบแบบไม่ต้องคิดทันที

           “แล้วไม่ต้องไปโรงเรียนหรือครับ”

          ความฝันเล็ก ๆ ของน้องหนูถูกพ่อพีทเบรกเอี๊ยดเสียจนหัวคะมำ รีบหันหน้ามาทำปากยื่นใส่คนเป็นพ่อแทบไม่ทัน

           “พ่อพีทขา...”

          อริญชย์ทั้งขำทั้งสงสารยามเห็นเจ้าตัวเล็กทำตาปริบ ๆ ออดอ้อน จนต้องลูบศีรษะน้องหนูด้วยความเอ็นดู ยิ่งหันไปเห็นมาดคุณพ่อจอมเข้มของพิชญ์เข้าก็ยิ่งขำ

           “รอน้องหนูปิดเทอมก่อนนะลูก แล้วลุงใหญ่จะพาไป ที่ฮ่องกงมีดิสนีย์แลนด์ที่มีทั้งคุณมิกกี้และคุณมินนี่ด้วย น้องหนูอยากเจอไหมคะ”

          พิชญ์อยากจะบ้าตาย ถ้าไม่ติดว่าอริญชย์เป็นผู้ใหญ่กว่าเขา รับรองได้เลยว่าพิชญ์จะต้องจัดการกับอริญชย์คนแรกแน่ ๆ มีอย่างที่ไหนกัน บอกน้องหนูว่าจะพาไปฮ่องกงตอนปิดเทอม แต่กลับเอาดิสนีย์แลนด์มาล่อให้น้องหนูงอแงจนอยากจะไปขึ้นมาตอนนี้ซะงั้น

          ให้ตายเถอะ! เมื่อไหร่อริญชย์จะเลิกสปอยล์ลูกสาวเขาเสียที

           “ถ้าน้องหนูเป็นเด็กดี เดี๋ยวปิดเทอมพ่อพีทจะพาไป” ...โดยไม่ต้องง้อลุงใหญ่

          พิชญ์ได้แต่เสริมประโยคข้างหลังในใจ เพราะขืนพูดออกไปให้เจ้าตัวได้ยิน มีหวังเรื่องยาวแน่ ๆ

           “น้องหนูจะเป็นเด็กดีค่ะ”

          ได้ยินแบบนี้ พิชญ์ก็ยิ้มให้น้องหนู แต่ไม่วายถลึงตาใส่อริญชย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าโมโหที่สุด

          ระหว่างที่พิชญ์กำลังหว่านล้อมน้องหนู โดยที่มีอริญชย์นั่งดูเฉย ๆ อย่างไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ป้าน้อยก็เดินนำเด็ก ๆ ยกอาหารเช้าเข้ามาวางบนโต๊ะ พอเห็นภาพครอบครัวสุขสันต์แล้วก็อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้

          น่าเสียดาย ถ้าคุณเล็กของเธออยู่ด้วยก็คงดี

          พิชญ์เลื่อนจานข้าวไปให้น้องหนูที่นั่งอยู่ข้างอริญชย์ ยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยเหมือนคุณพ่อใจดี

           “ถ้าอยากให้พ่อพีทพาไปเที่ยว น้องหนูต้องทานผักด้วยนะคะ”

          ได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยถึงศัตรูตัวฉกาจขึ้นมา น้องหนูเลยรีบหันไปมองลุงใหญ่อย่างขอความช่วยเหลือทันที สายตาที่ส่งให้ทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน น่าเสียดายที่คราวนี้ลุงใหญ่กลับแบมือสองข้าง ทำท่าทางว่าช่วยไม่ได้ซะงั้น เล่นเอาเจ้าตัวเล็กหน้ามุ่ย ต้องก้มลงจัดการกับผักชิ้นเล็ก ๆ ในจานด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคุณมิกกี้กับคุณมินนี่ล้วน ๆ เลยนะ

          "วันนี้ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านกันเร็วหน่อยนะ ทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

          คำเปรยของอริญชย์เรียกความสงสัยจากพิชญ์จนต้องเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาสบตากับอริญชย์

           “จะมีแขกมาหรือครับ”

           “ฉันให้คนขับรถไปรับแม่พลอยมากรุงเทพฯวันนี้ วันอาทิตย์จะได้ไปดูน้องหนูแสดงละครเวทีด้วยกันไง แม่พลอยเองก็อยากดู ตอนฉันโทรศัพท์ไปบอก ท่านยังตื่นเต้นยกใหญ่เลย”

          คำอธิบายจากอริญชย์จุดรอยยิ้มบนริมฝีปากพิชญ์ให้ขยับกว้าง เขาคิดไม่ถึงว่าอริญชย์จะใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ขนาดเขาที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ยังเผลอลืมจนน่าตำหนิแรง ๆ แต่อริญชย์กลับคิดได้ว่าควรพาแม่พลอยไปด้วย

           “ขอบคุณนะครับ”

          คำขอบคุณที่พิชญ์เอ่ยออกมาจากใจ เรียกรอยยิ้มอบอุ่นจากอริญชย์ให้ปรากฏอยู่บนริมฝีปากเช่นกัน



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 31 พี่น้อง --- หน้าที่ 7 [23/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 23-08-2020 21:36:25
          หลังจากพิชญ์กับน้องหนูออกจากบ้านไปแล้ว อริญชย์ก็ยังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่เดิม โต๊ะอาหารถูกเก็บจนสะอาดเรียบร้อย หนังสือพิมพ์ตรงหน้าถูกกางเอาไว้เฉย ๆ โดยที่อริญชย์ไม่ได้ใส่ใจนัก เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ปลายนิ้วเคาะกับโต๊ะช้า ๆ อย่างคนใช้ความคิด

          ดูเหมือนเกมที่เขาค่อย ๆ กดดันและรุกไล่ราชันย์มาเรื่อย ๆ กำลังจะเห็นผลเสียที

          อย่างน้อยเขาก็ต้องการเห็นคนที่รังแกอธิษฐ์ถูกจัดการ โทษฐานที่มันบังอาจรังแกน้องชายและลอบกัดคนอย่างเขาควรจะร้ายแรงกว่านี้นัก ถ้าเพียงแต่คู่กรณีจะไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างที่เป็นอยู่

          ในความเดียดฉันท์ มันยังมีสายสัมพันธ์บาง ๆ เชื่อมเอาไว้

          ในอนาคตหลังจากเขาสะสางปัญหาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว อริญชย์ยอมรับว่าเขาคิดจะพาอธิษฐ์กลับมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน เพื่อชดเชยเวลาต่าง ๆ ที่สูญเสียไป เพื่อให้อธิษฐ์ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็น น้องชายของเขาไม่สามารถวิ่งหนีฝันร้ายไปได้ตลอด ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับฝันร้าย โดยที่ไม่ให้มันมาทำร้ายตัวเอง นอกเหนือจากปัญหาของอธิษฐ์แล้ว เรื่องของไอลดาก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อริญชย์ไม่คิดจะปล่อยปละละเลย คำฝากฝังของผู้เป็นแม่ผุดวาบขึ้นมาในหัวราวกับจะย้ำเตือนเขา

           ‘ดูแลน้อง ดูแลยัยเล็กด้วยนะใหญ่...’

          ปมที่เขาเป็นคนผูกขึ้นมา เขาก็ควรจะแก้มันด้วยตัวเอง ถ้าขืนยังดันทุรังยื้อเวลากันต่อไป สุดท้ายมันก็ไม่ส่งผลดีกับใครทั้งนั้น

           “ตุลย์...” อริญชย์เอ่ยเรียกลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างหลัง

           “ครับ”

           “ยัยเล็กยังอยู่กับคุณอำพรที่ซานฟรานฯใช่ไหม”

           “ครับ เห็นว่าตอนนี้กำลังดูคอร์สที่โรงเรียนสอนทำขนมอยู่”

          คอร์สเรียนทำขนมงั้นหรือ อริญชย์คลี่ยิ้มมุมปากออกมานิดหนึ่ง ถึงจะเป็นพี่ชายคนโตที่อายุค่อนข้างห่างจากไอลดาอยู่มากหน่อย ทั้งยังดูเหมือนเข้มงวดและโหดร้ายกับเธอ แต่เขาก็รักน้องสาวตัวน้อยของเขามากเกินกว่าที่ใครหลายคนจะคาดถึง น้องสาวที่ขยันสร้างแต่เรื่องปวดหัวให้เขาไม่หวาดไม่หวั่นนับตั้งแต่เล็กจนโต

          หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ไอลดาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่ นอกเสียจากงานถ่ายแบบที่อริญชย์คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายแค่ทำแก้เบื่อ ดังนั้นถ้าไอลดาเกิดอยากจะเอาดีทางด้านการทำขนมนมเนยขึ้นมา แล้วทำไมพี่ชายอย่างเขาถึงจะไม่สนับสนุนเธอล่ะ เผลอ ๆ เขาจะออกทุนเปิดร้านให้เสียด้วยซ้ำ ขอเพียงไอลดานึกอยากเอาดีทางด้านนี้ขึ้นมาจริง ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนที่ผ่านมา

           “ฟังดูไม่เลว คอยดูยัยเล็กเป็นระยะ แล้วรายงานฉันก็แล้วกัน”

           “ครับ คุณใหญ่”

           “แล้วกลางล่ะ”

          ในความเป็นพี่ชายของอริญชย์ เขายอมรับว่าตัวเองมีความลำเอียงอยู่เล็ก ๆ ถึงเขาจะมีน้องสองคนและรักทั้งไอลดาและอธิษฐ์ด้วยกันทั้งคู่ แต่ลึกลงไปก็ต้องยอมรับว่าเขารักไอลดาที่เกิดจากมารดาคนเดียวกันมากกว่าอธิษฐ์อยู่หน่อย อาจจะเพราะความผูกพันหรืออาจจะเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่แน่นหนากว่า เขาเห็นไอลดามาแต่อ้อนแต่ออก เฝ้ามองน้องสาวตัวยุ่งเติบใหญ่ ในความห่างเหินของช่วงอายุที่ห่างกันก็ยังมีความรักและความเอ็นดูให้เต็มเปี่ยม ผิดกับอธิษฐ์ที่มาพบกันตอนโตได้ระดับหนึ่งแล้ว จึงมีความห่างเหินและกำแพงกั้นอยู่บาง ๆ แต่ด้วยสำนึกที่บอกว่าอีกฝ่ายมีสายเลือดเดียวกับเขาอยู่กึ่งหนึ่ง เขาจึงรักและพยายามดูแลน้องชายคนนี้ไม่ต่างจากไอลดา

          เมื่อแรกที่พบกัน อริญชย์เองก็ไม่ได้สนใจอธิษฐ์มากนัก นอกจากเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นลูกชายอีกคนของบิดา ความสนิทสนมและความผูกพันไม่ได้สร้างได้ในหนึ่งวัน ถึงตัวเขาเองจะไม่ตีโพยตีพายกับการที่บิดามีภรรยาน้อยมากเท่าไอลดา ก็ใช่ว่าตัวเขาจะพอใจนัก เพียงแต่มันไม่ใช่ความผิดของอธิษฐ์ และอริญชย์เองก็โตพอจะแยกแยะออก เขาจึงปัดอคติเหล่านั้นทิ้งและพยายามเอ็นดูอีกฝ่ายให้มาก

          มารู้ว่าถึงอย่างไรสายใยของพี่น้องก็ตัดไม่ขาดเอาคราวที่อธิษฐ์เกิดเรื่อง คราวนั้นอริญชย์หัวฟัดหัวเหวี่ยงมากแค่ไหน คนใกล้ชิดต่างพากันรู้ดี ภาพของน้องชายที่ร่ำร้องขอความช่วยเหลือราวกับถูกกักขังอยู่ในฝันร้ายแทบทำให้เขาไม่เป็นผู้เป็นคน กี่หยดน้ำตาที่รินไหลโดยที่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้ มันทำให้เขาเจ็บปวดทุรนทุรายไม่ต่างกัน เขาซัดราชันย์หลายต่อหลายหมัดจนอีกฝ่ายลงกองไปกับพื้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดปัดป้องหรือหลบหลีก จนตุลย์เสียเองที่ต้องเป็นคนเข้ามาแยกเขากับราชันย์ออกจากกัน ราชันย์ยอมให้เขาอัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สาสมกับความโกรธของเขา เว้นเสียก็แต่เรื่องเดียวที่หมอนั่นไม่ยอม...

           “คุณกลางยังเหมือนเดิมครับ...”

          เหมือนเดิมของตุลย์เป็นยังไง ทำไมอริญชย์จะไม่รู้

           “เหลือเรียนอีกแค่ปีเดียวก็น่าจะจบแล้วมั้ง”

           “ครับ ถึงผลการเรียนของคุณกลางจะไม่ได้ดีมาก แต่ก็น่าจะหางานที่นั่นทำได้ไม่ยาก”

          อริญชย์หยุดเคาะนิ้วกับโต๊ะก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ แต่แสดงเจตนารมณ์ของตัวเองชัดเจน

           “เรียนจบเมื่อไหร่ ฉันจะเอากลางกลับมาอยู่ที่นี่”

          คราวนี้เป็นตุลย์ที่ขยับตัวอย่างอึดอัด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังคิดอะไรอยู่

           “ผมคิดว่าคุณอำพรคงไม่ยอม และที่สำคัญคุณกลางเองคงไม่อยากกลับมาที่นี่”

           “ไม่อยากกลับก็ต้องกลับ”

          คำสั่งของอริญชย์เป็นยิ่งกว่าประกาศิตให้ตุลย์ได้แต่มองอย่างไม่เห็นด้วย เขาไม่เห็นข้อดีของการที่อริญชย์จะบังคับให้อธิษฐ์กลับมาที่นี่เลยแม้แต่น้อย จะเอากลับมายัดเยียดให้ราชันย์ ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่ต้องการงั้นหรือ

           “คุณใหญ่...”

           “ไม่ต้องพูดอะไรอีก ไปเตรียมรถได้แล้ว ฉันมีที่ ๆ จะแวะก่อนไปสนามบิน”

          ตุลย์พยักหน้ารับอย่างยอมจำนนก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปเตรียมรถตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ทิ้งอริญชย์ให้นั่งอยู่ตามลำพัง



.



          หลังจากพาผู้เป็นนายไปทำธุระตามที่ได้รับคำสั่งเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็สั่งลูกน้องให้ตรงมาสนามบินสุวรรณภูมิเลย ดวงหน้าของคนสนิทอย่างตุลย์ฉาบไปด้วยความกังวลใจยามที่ผู้เป็นนายยืนยันว่าจะเอาแค่บอดี้การ์ดไปด้วยสองคน แล้วทิ้งให้ตุลย์อยู่ดูแลทางนี้

           “คุณใหญ่ไม่ให้ผมไปด้วยจริงหรือครับ”

           “ฉันว่าฉันสั่งนายชัดเจนแล้วนะตุลย์ นายอยู่ที่นี่คอยดูแลพีทกับน้องหนู ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากนาย”

          ประโยคสุดท้ายของอริญชย์เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ตุลย์ยอมจำนน แล้วปล่อยให้ผู้เป็นนายไปลำพัง หน้าที่ของเขาคือดูแลคนสำคัญของนายให้สมกับที่นายไว้ใจ

           “งั้นเอาคนไปเพิ่มอีกดีไหมครับ”

           “ไม่ต้อง แค่สองคนก็พอแล้ว ฉันไม่อยากให้มันเอิกเกริกนัก ฉันไปเจรจา ไม่ได้ไปรบ”

          ตุลย์ถอนหายใจออกมาอย่างจงใจให้อริญชย์ได้ยิน คนที่กำลังจะไปเจรจาด้วยไม่ใช่คนที่ร่ำ ๆ จะรบกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรือไง พอทำอะไรคนเป็นนายไม่ได้ ตุลย์เลยได้แต่หันไปกำชับลูกน้องสองคนของเขาที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างหลังอริญชย์ให้ดูแลเจ้านายให้ดีแทน

          หลังจากเช็กอินกับทางสายการบินเสร็จแล้ว อริญชย์ก็หันกลับมาสั่งงานตุลย์อีกสองสามอย่าง ไม่วายย้ำหนัก ๆ ในเรื่องที่เขาห่วงนักห่วงหนา

           “ดูแลพีทให้ดี ๆ”

           “ครับ คุณใหญ่”

          ได้ยินตุลย์รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว อริญชย์ก็วางใจ แต่ไหนแต่ไรมา ตุลย์ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง เขาออกปากให้อีกฝ่ายกลับไปได้เลยก่อนจะพยักหน้าให้ลูกน้องสองคนเดินตามเข้าไปข้างใน

          ลับหลังผู้เป็นนายแล้ว ตุลย์ก็โทรเช็กลูกน้องที่ส่งไปรับแม่พลอยที่ประจวบคีรีขันธ์ ได้ยินปลายสายรายงานว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็เบาใจ เตรียมกลับไปเจอพิชญ์ที่คฤหาสน์ ที่เหลือก็ได้แต่หวังให้ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะทั้งที่เมืองไทยหรือที่ฮ่องกงก็ตาม

          พอตุลย์ออกจากสนามบินไปได้ไม่ถึงสิบนาที รถตู้สีขาวติดฟิล์มก็แล่นมาจอดบริเวณจุดรับ-ส่งผู้โดยสาร คนที่นั่งข้างคนขับก้าวลงมาเปิดประตูรถตอนหลัง แล้วร่างสูงผึ่งผายของราชันย์ในชุดลำลองสบาย ๆ ก็ก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะตามด้วยปฐพี ปกรณ์และลูกน้องอีกสองคน กระเป๋าเดินทางขนาดกลางสองใบถูกส่งให้ลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ

           “ไม่ลืมอะไรนะ”

          ราชันย์หันมาเอ่ยถามคนข้างตัวที่ดูจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาสนามบิน พลอยทำให้เขาเผลอยิ้มออกมานิด ๆ ไม่ได้

           “ไม่ลืมครับ เฮียให้พี่กรณ์กลับเลยก็ได้”

          ได้ยินปฐพีว่าอย่างนั้น ราชันย์เลยพยักหน้าให้ปกรณ์กลับได้ คนรับคำสั่งค้อมศีรษะนิด ๆ ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ ราชันย์หันไปมองแวบหนึ่งก่อนจะเดินนำปฐพีตรงไปที่เคาน์เตอร์เช็กอิน ระหว่างทางก็เอ่ยชวนอีกคนคุยไปด้วย

           “ตกลงว่าซื้ออะไรไปฝากน้าเหมยนะ”

          ถึงแม้ปากจะขยับเอ่ยถามปฐพี แต่สายตาเขากลับกวาดมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังมองหาใครบางคนอยู่ เมื่อไม่เจอก็เพียงแค่เบือนหน้ากลับมาหาปฐพีที่กำลังทำหน้าตาประหลาด

           “ถ้าผมบอกแล้วเฮียอย่าขำนะ”

           “ของที่นายซื้อไปฝากน้าเหมยมันน่าขำมากเลยหรือ”

          ปฐพีนิ่งไปอึดใจก่อนจะตอบเสียงเบาราวกับกลัวคนอื่นจะได้ยิน

           “ผมให้ร้านขนมไทยเจ้าที่ผมชอบกินแพ็คข้าวเหนียวทุเรียนใส่กล่องให้ครับ นี่ยังกลัวว่าถ้าเจ้าหน้าที่เขาตรวจเจอ แล้วจะว่าเอาอยู่เลย”

          คราวนี้กลายเป็นคนฟังอย่างราชันย์ที่ต้องทำหน้าประหลาดแทน

           “พิเรนทร์นักนะ ถ้ากลิ่นออกมามีหวังได้เป็นลมตายกันทั้งลำพอดี”

           “ไม่น่าจะออกนะเฮีย ผมให้เขาซ้อนถุงหลายชั้นเลย เห็นคราวก่อนน้าเหมยแกบ่นอยากกิน ผมเลยตั้งใจซื้อไปฝาก”

           “วันหลังหาซื้อแบบฟรีซให้แกแทนก็ได้มั้ง”

           “ผมก็แค่อยากให้น้าเหมยกินแบบอร่อย ๆ เอง” ปฐพีเอ่ยแก้ตัวเสียงอ่อย

          ราชันย์หันมามองคนที่ทำหน้าเหมือนกับเด็กโดนดุแล้วก็ต้องส่ายหัวช้าๆ กำลังจะเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่าย แต่สำนึกบางอย่างที่แล่นขึ้นมาก็ทำให้เขาชะงัก บังคับตัวเองให้หดมือกลับมาไว้ข้างตัวเหมือนเดิม

          ยิ่งเผลอไผลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถลำลึกมากเท่านั้น

          อีกไม่นาน...คงถึงเวลายกเลิกเงื่อนไขบ้า ๆ ที่พันธนาการกันเอาไว้เสียที

          อะไร ๆ ที่ไม่ควรเริ่มมาตั้งแต่แรกก็ควรจะหยุดลงเสียตั้งแต่ตอนนี้...ก่อนที่อะไร ๆ มันจะสายเกินไป



TO BE CONTINUE




ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ^^
คุณใหญ่เขาอ่อนโยนแล้ว เสี่ยเล้งต้องอ่อนโยนบ้างนะคะ
ถึงคุณใหญ่จะไม่อยู่ แต่คุณใหญ่ยังอุตส่าห์ทิ้งมือขวาอย่าตุลย์ไว้คอยดูแลพีท



หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 31 พี่น้อง --- หน้าที่ 7 [23/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-08-2020 21:53:00
 :z3: :z2: :z10: :z13:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 31 พี่น้อง --- หน้าที่ 7 [23/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-08-2020 22:16:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 31 พี่น้อง --- หน้าที่ 7 [23/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 24-08-2020 00:44:53
อยากให้ถึงวันที่คุณกลางกลับมาไทยไวๆ จังเลย
อยากเห็นหน้าว่าเฮียเล้งจะทำยังไง
จะทิ้งดินไปขอคืนดีกับคุณกลางมั้ย
หรือจะยังคงอยู่กับดินเหมือนเดิม
แล้วให้คุณกลางเป็นอดีตไปเลย  :m15:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 31 พี่น้อง --- หน้าที่ 7 [23/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 24-08-2020 01:22:06
จ้า โอ๊ยยยกเลิกพันธะสัญญากันไปเลย ดินถ้าเขาปล่อยไปก็อย่าใจอ่อน อ้อนวอนอยู่ต่อนะ จากไปเลย ให้รู้กันไปว่าถ้าไปตามแสดงว่ารัก ไม่ตามก็คือไม่รัก จบไปเลย หึหึ! โอ้วเอากลางกลับมาก็ดีนะ ตุลจะเป็นผู้ดูแลรักษาใจให้เอง 555 รู้สึกว่า ตุลกลาง อะเธอ ตุลดูแคร์ความรู้สึกกลางมาก แล้วอีกอย่างตุลตามดูกลางคอยรายงานคุณใหญ่มาตลอด ย่อมต้องรู้ความเป็นไป รู้ความคิดของกลางได้ละเอียดอ่อน น่าจะเข้าใจกลางได้กว่าใครเลยนะ ส่วนคุณใหญ่ แหมเอาใจพีทใหญ่เลย รับแม่มาดูน้องหนู งานราชงานหลวงงานส่วนตัว คุณใหญ่ไหวค่ะ 555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย จะเป็นยังไงกันบ้าง  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 31 พี่น้อง --- หน้าที่ 7 [23/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 30-08-2020 14:27:48
จะได้เจอกันแล้ว ..
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 32 When in Hong Kong --- หน้าที่ 8 [30/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 30-08-2020 15:49:16
สามสิบสอง
When in Hong Kong



               สนามบินนานาชาติเช็กแล็บก็อกคลาคล่ำด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งคนที่มีฮ่องกงเป็นจุดหมายปลายทางและเดินทางมาเพื่อรอต่อเครื่อง หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว อริญชย์ก็เดินปะปนออกมากับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ขนาบข้างด้วยบอดี้การ์ดร่างใหญ่สองคนทั้งซ้ายและขวา วันนี้เขาแต่งกายด้วยชุดลำลอง แม้จะดูแล้วแปลกตากว่าทุกวัน แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมา

               ดวงหน้าเฉยชาของอริญชย์เรียบสนิทราวกับถูกรีดจนตึงด้วยเตารีด ยิ่งมีบอดี้การ์ดสองคนยืนประกบอยู่ด้านข้าง ก็ยิ่งทำเอาคนที่พบเห็นลอบมองอย่างเกรง ๆ หลังจากเดินออกมาถึงบริเวณด้านนอกแล้ว อริญชย์ก็ยืนรอบอดี้การ์ดไปจัดการเรื่องรถให้ พอรถคันที่นัดไว้มาถึงจุดนัดพบ บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็เดินมาเชิญผู้เป็นนายขึ้นรถ

               โตโยต้า อัลพาร์ดสีดำ ติดฟิล์มหนาทึบจอดรออยู่บริเวณจุดนัดพบ อริญชย์ก้าวขึ้นนั่งที่นั่งแถวสาม ส่วนบอดี้การ์ดคนหนึ่งนั่งตอนสอง อีกคนนั่งตอนหน้าคู่กับคนขับชาวฮ่องกง หลังจากเรียบร้อยแล้ว รถก็เคลื่อนตัวออกจากสนามบินเช็กแล็บก็อก

               อริญชย์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเปิดเครื่อง หลังจากรอเครือข่ายค้นหาสัญญาณอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น เขาก้มลงอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มช้า ๆ พร้อมกับความอ่อนโยนที่พาดผ่านในดวงตา


               ...เดินทางปลอดภัยนะครับ...


               แค่ประโยคธรรมดาเพียงประโยคเดียว อริญชย์ก็นึกอยากจะกดโทรศัพท์โทรหาเจ้าของข้อความทันที แต่ก็หยุดปลายนิ้วไว้ได้ทัน ตอนที่บอดี้การ์ดเอี้ยวตัวกลับมาถามเขา

                “คุณใหญ่จะตรงเข้าโรงแรมเลยหรือเปล่าครับ”

                “ตรงเข้าโรงแรมเลย”

               อริญชย์เก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม ตั้งใจว่าเดี๋ยวค่อยโทรศัพท์หาพิชญ์ตอนดึก ๆ แทน เขาเอนหลังพิงกับพนักเบาะอย่างผ่อนคลาย ขณะทอดสายตามองทิวทัศน์ข้างนอก

               ถึงแม้ฮ่องกงจะเป็นเมืองที่ระบบขนส่งมวลชนดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ยามเย็นของที่นี่ก็ยังคงมีรถราขวักไขว่ ยิ่งพอข้ามเข้าฝั่งเกาลูนแล้ว การจราจรก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น ตึกรามบ้านช่องมากมายขึ้นเรียงกันแออัดยัดเยียด สองข้างทางเต็มไปด้วยป้ายโฆษณาและป้ายร้านค้า นักท่องเที่ยวเดินกันอยู่ริมถนนหนาตา จะว่าเป็นเสน่ห์ของฮ่องกงก็คงใช่ แต่ดูเหมือนอริญชย์จะไม่ได้นึกนิยมชมชอบทัศนียภาพแบบนี้ สุดท้ายเขาเลยเลือกที่จะหันหน้ากลับเข้ามาในรถแทน

               โรงแรมที่ตุลย์เป็นคนจัดการจองให้เขาอยู่ย่านจิมซาจุ่ย หลังจากฝ่าการจราจรอันคับคั่งเข้ามาถึงย่านใจกลางเมืองแล้ว รถแวนสีดำก็เลี้ยวเข้าโรงแรมอินเตอร์คอนฯ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมอ่าววิคตอเรีย จากจุดนี้ เพียงทอดสายตามองไปยังฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นเกาะฮ่องกง หนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจอันดับต้น ๆ ของโลก

                “วันนี้ฉันไม่ใช้รถแล้ว เดี๋ยวนายบอกให้คนขับไปพักผ่อนได้เลย” อริญชย์สั่งการบอดี้การ์ดที่นั่งอยู่ข้างคนขับก่อนจะก้าวลงจากรถ

               หลังจากเช็กอินเสร็จเรียบร้อย อริญชย์ก็ตรงขึ้นห้องพักที่ตุลย์เป็นคนจัดการจองให้เขา ห้องพักของเขาหันหน้าหาอ่าววิคตอเรีย ยามที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็ทันเห็นทัศนียภาพยามเย็นที่แสงสีส้มอมทองกำลังแต่งแต้มผืนน้ำพอดี ดูท่าทางแล้วคนสนิทของเขาคงอยากให้เขามาพักผ่อนมากกว่าทำงานแน่ ๆ อริญชย์ส่ายหัว อย่างนึกขบขัน

               
                ...ถ้าได้พาพิชญ์มาด้วยคงดีไม่น้อย


               นักธุรกิจหนุ่มคิดพลางทิ้งตัวลงบนเตียง ขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเอง เบลล์บอยยกกระเป๋าเข้ามาวางไว้ตรงไหน เขาก็ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นต่อไป

               นับตั้งแต่พิชญ์วุ่นอยู่กับงานประมูลโครงการบางกอก บูเลอวาร์ด ถึงแม้จะทำให้ความสัมพันธ์ทางใจใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ความสัมพันธ์ทางกายกลับห่างเหิน ถึงที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางกายที่เกิดขึ้นจะเป็นเขาบังคับเอาจากพิชญ์โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย แต่อริญชย์เองก็เฝ้ารอ รอวันที่พิชญ์เต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา เขาก็ไม่รู้ว่าเขาหวังมากไปไหม

               ยามคิดถึงคนที่อยู่ประเทศไทย ดวงตามีความอ่อนโยนปรากฏอยู่ลาง ๆ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ผล็อยหลับลง



.



               ขณะเดียวกัน รถยนต์ซีดานสัญชาติยุโรปเพิ่งแล่นออกจากสนามบินเช็กแล็บก็อก มุ่งหน้าสู่ย่านที่พักอาศัยบนเกาะฮ่องกง พอเห็นคนข้างกายนั่งสงบเสงี่ยม ราชันย์ก็อดนึกถึงครั้งแรกที่เขาพาปฐพีมาที่นี่ด้วยกันไม่ได้ ยามนั้นปฐพียังเป็นเพียงนักศึกษาที่ไม่ประสีประสา นอกจากจะไม่เคยไปไหนไกล แล้วยังไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน เขาให้ปฐพีออกจากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ แล้วย้ายมาเรียนต่อที่นี่เพื่ออยู่ด้วยกันกับเขา

               ครั้งนั้นที่มาด้วยกัน ปฐพีตื่นเต้นตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่องบิน ทุกอย่างดูแปลกตาไปเสียหมด จนเขาออกจะนึกรำคาญกับความเซ่อซ่าของเจ้าตัวไม่น้อย แม้กระทั่งยามเข้าเมือง พอเห็นป้ายภาษาจีนที่ไม่คุ้นตา ดวงตาเรียวก็ยิ่งวาววับด้วยความตื่นเต้น แล้วยิ่งท่าทางที่อยากเอ่ยปากถามนั่นถามนี่เขา แต่ก็เกรงใจจนต้องนั่งเงียบ ๆ ได้แต่เบิกตาโตไปตลอดทาง

               ทั้งที่ตอนนั้นเขานึกรำคาญความไม่ประสีประสาของปฐพีไม่น้อย จนไม่มั่นใจว่าตัวเองคิดถูกหรือเปล่าที่พาปฐพีมาด้วย แต่ตอนนี้พอย้อนคิดกลับไป เขากลับคิดว่าท่าทางเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ของปฐพีดันน่ารักเสียได้

                “เราไม่เข้าโรงแรมกันก่อนเหรอเฮีย” ปฐพีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ารถกำลังแล่นไปตามทางที่คุ้นเคย

                “ฉันกลัวว่าถ้าไม่เอาข้าวเหนียวทุเรียนไปให้น้าเหมยวันนี้ คืนนี้คงได้นอนดมกลิ่นทุเรียนทั้งคืนแน่ ๆ”

               พอได้ยินราชันย์ว่าอย่างนั้น ปฐพีก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

                “คราวหลังผมจะระวังให้มากกว่านี้”

                “ล้อเล่นน่า ฉันก็แค่คิดถึงกับข้าวฝีมือน้าเหมยขึ้นมา”

               รถที่ราชันย์และปฐพีนั่งอยู่เริ่มแล่นลงทางใต้ของเกาะฮ่องกง มุ่งหน้าอ่าวรีพัลส์ เบย์ พอเห็นทะเลอยู่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปฐพีเลยเลิกสนใจราชันย์แล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ ช่วงแรกที่เขามาถึงฮ่องกง เขามักจะชอบนั่งมองทะเลจากหน้าต่างห้องทุกวัน เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนตอนยังอยู่บ้านที่ประจวบคีรีขันธ์ ช่วยบรรเทาอาการคิดถึงบ้านให้เขาได้ไม่น้อย

               รถเริ่มชะลอความเร็วเรื่อย ๆ อาคารสูงเบื้องหน้าคือห้องชุดที่ราชันย์กับปฐพีใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเกือบห้าปี คนขับรถจอดส่งเขากับราชันย์ตรงทางเข้าตึก ก่อนจะช่วยขนของลงมาจากท้ายรถ ราชันย์ล้วงหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินนำเข้าตัวอาคาร ห้องชุดของเขาอยู่บนชั้นสามสิบสามของอาคารแห่งนี้ กินพื้นที่กว้างขวาง มีทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม สมกับราคาแพงหูฉี่เขาต้องจ่าย

               พอลิฟต์จอดที่ชั้นสามสิบสาม ราชันย์ก็เดินลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากลิฟต์ก่อนจะตามด้วยปฐพี เขากดรหัสผ่านเข้าห้องบริเวณแผงควบคุมแล้วเปิดประตูเข้าห้อง ปฐพีลากกระเป๋าเดินทางตามเข้ามาติด ๆ เพียงแค่ย่างเท้าเข้าห้องมา กลิ่นอาหารหอม ๆ ก็โชยออกมาให้น้ำลายสอ พร้อมกับที่หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องครัวแล้วเอ่ยทักทายคนที่เพิ่งมาถึง

                “อ้าว มาถึงกันแล้วเหรอคะ”

               น้าเหมยเป็นหญิงวัยกลางคน มีเชื้อสายฮ่องกงและเป็นคนสนิทมารดาของราชันย์มาก่อน ตอนที่ราชันย์กับปฐพีอยู่ที่นี่ น้าเหมยก็เป็นแม่บ้านคอยดูห้องหับ ความสะอาดต่าง ๆ และทำอาหารให้ผู้ชายสองคน

               พอราชันย์พาปฐพีย้ายกลับไปอยู่ที่ประเทศไทย เขาเคยถามน้าเหมยว่าจะย้ายกลับไปด้วยกันไหม แต่น้าเหมยปฏิเสธ เนื่องจากค่อนข้างคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่ฮ่องกงมากกว่า เขาเลยให้น้าเหมยช่วยดูแลห้องชุดที่นี่ให้

               เห็นราชันย์และปฐพีเพิ่งเดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ น้าเหมยก็กระวีกระวาดยกชามะลิเย็น ๆ มาเสิร์ฟ ราชันย์ยกน้ำชาเย็น ๆ ขึ้นดื่มดับกระหาย ขณะที่ปฐพียังคงสาละวนกับการรื้อกระเป๋าเพื่อหาของฝากตั้งแต่มาถึง

                “แล้วมาคราวนี้จะอยู่กันกี่วันคะ คุณเล้ง” น้าเหมยเอ่ยถามนายน้อยของเธอ

                “เดี๋ยววันอาทิตย์ก็กลับแล้ว แต่มาคราวนี้ผมกับดินไม่ได้นอนบ้านนะน้าเหมย รอบนี้จะไปนอนโรงแรม”

                “น้ากำลังกังวลอยู่เลย ว่าคุณเล้งเพิ่งโทรศัพท์มาบอกเมื่อเช้า น้าเลยทำความสะอาดห้องให้ไม่ทัน แต่มื้อเย็นวันนี้น้าเตรียมไว้ให้แล้วนะ”

                “ขอบคุณครับ”

               พอราชันย์คุยกับน้าเหมยเสร็จ ปฐพีก็รื้อหาของฝากเจอพอดี เขาหยิบเอาผ้าพันคอสีชมพูตุ่น ๆ ออกมาส่งให้น้าเหมยก่อน

                “ให้น้าเหรอคะคุณดิน สวยจังเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”

                “มีอีกอย่างด้วยนะครับ อันนี้น้าเหมยต้องชอบแน่ ๆ”

               ราชันย์ส่ายหน้าเบา ๆ ตอนที่เห็นปฐพีหยิบแพ็คข้าวเหนียวทุเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะอาหาร น้าเหมยรีบเดินมาดูด้วยความสนใจ ปฐพีแกะแพ็คออกช้า ๆ ยิ่งใกล้ถึงชั้นสุดท้าย กลิ่นทุเรียนก็ยิ่งลอยออกมา ราชันย์ถึงกับทำหน้าเบ้ ผิดกับน้าเหมยที่ตื่นตาตื่นใจกับของฝากชิ้นนี้

                “ตายจริง! หิ้วข้าวเหนียวทุเรียนมาฝากน้าด้วย น่ารักที่สุดเลยคุณดิน”

                “ผมสั่งมาจากร้านอร่อยเลยนะครับ เห็นน้าเหมยบ่นอยากกินมาหลายทีแล้ว”

                “ขอบคุณมากนะคะ ของโปรดน้าเลย เดี๋ยวน้ารีบเอาไปเก็บเข้าตู้เย็นก่อนดีกว่า  คุณเล้งกับคุณดินพักผ่อนกันตามสบายเลยนะคะ อีกเดี๋ยวน้าเตรียมมื้อเย็นขึ้นโต๊ะให้”

               พอน้าเหมยเดินเข้าห้องครัวแล้ว ราชันย์ก็หยิบรีโมทมากดเปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เห็นปฐพียืนหันรีหันขวางอยู่ เขาก็ตบที่นั่งข้าง ๆ เรียกให้ปฐพีเดินมานั่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็เดินมาแต่โดยดี

                “ห้องนี้ยังเหมือนเดิมเลยนะครับเฮีย” ปฐพีเอ่ยพลางกวาดสายตาดูรอบห้อง

               บรรยากาศยังเหมือนวันเก่า ๆ วันที่เขานั่งทำการบ้านอยู่ตรงโต๊ะหนังสือ ส่วนราชันย์นั่งดูโทรทัศน์เงียบ ๆ ตรงโซฟา ก่อนบรรยากาศดี ๆ จะถูกราชันย์ตัดบทด้วยคำพูดเรียบ ๆ

                “ห้องเดิมก็ต้องเหมือนเดิมสิ” เห็นปฐพีทำหน้ามุ่ย ราชันย์ก็ยังคงเมินเฉย “ถ้ามีอะไรที่จะเอากลับด้วย วันนี้ก็เอากลับเลยนะ

                “ครับเฮีย”

                “แล้วถ้าอยากจะซื้อของอะไรกลับประเทศไทย พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ก็ไปเดินดูเอา ฉันมีเวลาให้เที่ยวเล่นสองวัน อยากได้อะไรก็เอาบัตรเครดิตฉันรูดไป แล้วก็นี่...” ราชันย์หยิบเอาซองธนบัตรจากกระเป๋ามายื่นให้ปฐพี “ฉันแลกเงินสดมาเผื่อนาย พกติดตัวเอาไว้ด้วย”

                “ขอบคุณครับ เฮีย”

                “อยากได้อะไรก็ซื้อไปเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกทีเมื่อไหร่ ไม่ต้องช่วยฉันประหยัดมาก เงินฉันมีเหลือเกินเหลือใช้”

               ถ้าเป็นคนอื่นมาได้ยินประโยคข้างต้นของราชันย์ คงคิดว่าเจ้าตัวกำลังอวดร่ำอวยรวย แต่ปฐพีชินเสียแล้ว เพราะราชันย์ก็แค่พูดความจริง ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ราชันย์ไม่เคยตระหนี่เรื่องเงินกับเขาแม้แต่น้อย มีเพียงอย่างเดียวที่ราชันย์ให้เขาไม่ได้ สิ่งนั้นก็คือหัวใจของราชันย์ที่เขาไม่มีวันได้ครอบครอง

               ปฐพีนั่งมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของราชันย์นิ่ง ๆ อยากนั่งมองอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เพราไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสได้อยู่ข้างราชันย์อย่างนี้อีกนานไหม

               น้าเหมยที่ตระเตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทยอยยกอาหารมาวางบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะเอ่ยปากเรียกนายน้อยของเธอและปฐพี

                “คุณเล้ง คุณดิน อาหารเย็นพร้อมแล้วนะคะ น้าสั่งเป็ดย่างกับหมูแดงอบน้ำผึ้งร้านโปรดของคุณเล้งมาด้วย แล้วก็มีผัดถั่วแขกหมูสับกับปลานึ่งซีอิ๊ว”

                “ขอบคุณครับ”

               ปฐพีลุกขึ้นเดินเข้าครัวไปตักข้าวให้ตัวเองกับราชันย์ ราชันย์กินข้าวไม่เยอะ ชอบนั่งกินกับข้าวไปเรื่อย ๆ มากกว่า ส่วนของตัวเองเขาตักข้าวสวยมาเสียพูนจาน เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่องบินมาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แถมเขายังกินอาหารบนเครื่องได้ไม่ค่อยเยอะด้วย

               ปฐพีถือจานข้าวเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นก็ไม่เห็นราชันย์นั่งอยู่แล้ว น้าเหมยเห็นท่าทีหันซ้ายหันขวาของเขาก็อมยิ้ม ก่อนจะบุ้ยปากไปทางระเบียงห้อง

                “คุณเล้งเธอออกไปคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียงค่ะ บอกให้คุณดินกินข้าวก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ”

                “ไม่น่าจะนานมั้งครับน้าเหมย ผมรอกินพร้อมเฮียดีกว่า”

               เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวพร้อมราชันย์มาหลายมื้อแล้ว วันนี้อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกัน รอกินข้าวพร้อมกันดีกว่า



.

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 32 When in Hong Kong --- หน้าที่ 8 [30/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 30-08-2020 15:50:02

               หลังจากนอนหลับเอาแรงจนเต็มอิ่ม กว่าอริญชย์จะตื่นมาอีกทีก็ตอนฟ้ามืดพอดี เขายกหูโทรศัพท์ตรงหัวเตียงขึ้นมาก่อนจะโทรศัพท์สั่งอาหารจากห้องอาหารของโรงแรมให้ขึ้นมาส่งบนห้อง เลือกอาหารจานเดียวง่าย ๆ มาหนึ่งอย่างกับของกินเล่นหนึ่งอย่าง เสร็จแล้วก็เข้าไปอาบน้ำอาบท่า จะได้ตื่นเต็มตาเสียที

               พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ อาหารที่เขาสั่งไว้ก็มาส่งพอดี ชายหนุ่มเดินออกไปเปิดประตูให้พนักงานยกอาหารเข้ามาวางตรงโต๊ะเล็ก ก่อนจะยื่นทิปให้ไป

               กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เหลือบดูนาฬิกาที่วางอยู่ตรงหัวเตียง คิดคำนวณเวลาอยู่ในใจ ตอนนี้น่าจะสองทุ่มเศษ ๆ พ่อลูกสองคนที่เมืองไทยน่าจะกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหมายเลขแรกที่บันทึกเอาไว้ เสียงรอสายดังแค่สองที ปลายสายก็รับสายเขาพร้อมกับความวุ่นวายเล็ก ๆ ที่อีกฝั่ง

                “ครับ คุณใหญ่” รับสายเขาเสร็จ ก็ตามมาด้วยเสียงบ่นอุบ “แป๊บนึงลูก ให้พ่อพีทคุยกับลุงใหญ่ก่อน”

               อริญชย์ถึงกับหัวเราะออกมา เมื่อพอจะเดาสาเหตุชุลมุนที่ปลายสายได้

                “น้องหนูอยากคุยกับลุงใหญ่บ้างนี่คะ พ่อพีท”

               ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวป่วนแล้ว อริญชย์ก็ต้องกลั้นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยบอกปลายสายเสียงกลั้วหัวเราะ

                “มา ให้ฉันคุยกับน้องหนูแป๊บหนึ่งก่อน แล้วค่อยคุยกับนาย อย่าเพิ่งน้อยใจล่ะ”

               ถ้าอริญชย์มองทะลุผ่านไปถึงปลายสายได้ เขาคงเห็นพิชญ์หน้าร้อนวาบ โทรศัพท์ในมือร้อนผ่าวราวกับจะลวกมือเขา จนต้องรีบส่งให้น้องหนูรับไปคุยกับลุงใหญ่

                “สวัสดีค่า ลุงใหญ่”

                “ว่าไงคะ คนเก่ง แกล้งอะไรพ่อพีทหรือเปล่าลูก”

               พอได้คุยกับลุงใหญ่สมใจ น้องหนูก็หัวเราะคิกคักมาตามสาย

                “โธ่ น้องหนูไม่ได้แกล้งพ่อพีทซักหน่อย น้องหนูแค่อยากรู้ว่า ลุงใหญ่จะกลับมาทันดูน้องหนูเป็นเจ้าหญิงไหม”

                “ทันสิคะคนเก่ง แต่งตัวสวย ๆ รอเลย เดี๋ยวลุงใหญ่จะซื้อของเล่นไปฝากด้วย”

                “ว้าว จริงหรอคะ น้องหนูรักลุงใหญ่ที่สุดเลย”

               อริชญย์คุยกับน้องหนูอยู่นาน ถามเจ้าตัวน้อยของเขาว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง เจ้าตัวก็เล่าให้ฟังเสียงเจื้อยแจ้ว ตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนจนกลับมาถึงบ้าน จนกระทั่งนวลมาเรียกน้องหนูไปดื่มนมอุ่น โทรศัพท์ถึงได้ถูกส่งกลับไปอยู่ในมือพิชญ์อีกครั้ง

                “ว่าไงครับ คุณใหญ่”

               พิชญ์เอ่ยถามคนที่โทรข้ามประเทศมาหาเขา พอคำนวณค่าโทรศัพท์ที่อริญชย์ต้องเสียแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ว่าสงสัยจะต้องจ่ายเป็นหลักพันบาท

                “กินข้าวหรือยัง”

               เอ่ยถามออกไปแล้ว อริญชย์ก็เกือบจะหัวเราะตัวเอง เขาโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศไปเพราะอยากได้ยินเสียงพิชญ์ แต่พอได้คุยกันเข้าจริง ๆ ก็ดันถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป

                “กินแล้วครับ คุณใหญ่ล่ะครับ”

                “ฉันก็กินแล้วเหมือนกัน...” ความรู้สึกเหมือนกำลังจีบกันใหม่ ๆ เอาแต่ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบนี่มันคืออะไร “แล้ววันนี้นายทำอะไรบ้าง”

                “ตอนเช้าก็นั่งเคลียร์งานที่บริษัท เสร็จแล้วก็ออกไปรับน้องหนูพร้อมคุณตุลย์ พอกลับมาถึงบ้านก็นั่งกินข้าวกับแม่พลอย จับน้องหนูทำการบ้าน เล่นกับน้องหนู แล้วคุณใหญ่ก็โทรศัพท์มาพอดี”

               อริญชย์ยิ้มมุมปาก ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ขณะฟังพิชญ์พูดไปเรื่อย ๆ

                “ฉันก็กินข้าวแล้วเหมือนกัน พรุ่งนี้ฉันมีคุยงานทั้งวัน ยังไม่รู้เลยว่าจะว่างโทรศัพท์หานายกี่โมง แต่ถ้านายมีอะไรด่วนก็โทรมาหาฉันหรือฝากข้อความทิ้งไว้ได้เลยนะ”

                “ผมไม่น่ามีอะไรด่วนหรอกครับ”

                “วันเสาร์ฉันมีงานเลี้ยงตอนเย็น แต่ช่วงกลางวันว่าจะไปเดินดูของขวัญให้น้องหนู นายมีอะไรที่อยากได้ด้วยหรือเปล่า ฉันจะได้ซื้อกลับไปให้ทีเดียวเลย”

               พิชญ์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาอย่างเกรงใจ

                “ของผมไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษครับ ส่วนของน้องหนู คุณใหญ่ไม่ต้องซื้ออะไรกลับมาเยอะแยะนะครับ แค่นี้ของเล่นก็เยอะจนเล่นไม่ทันแล้วครับ อ้อ...ฝากซื้อขนมกลับมาฝากคนอื่น ๆ ในบ้านหน่อยครับ เดี๋ยวผมเอาเงินให้”

                “เดี๋ยวฉันซื้อกลับไปให้ ใช้เงินฉันนี่แหล่ะ เก็บเงินนายไว้เถอะ”

                “ครับ ๆ แล้วแต่คุณใหญ่เลยครับ”

               อริญชย์ยิ้มบาง ๆ เมื่อฟังน้ำเสียงของพิชญ์ ที่เจ้าตัวทำเสียงเหมือนคร้านที่จะเถียงกับเขา เขาชอบฟังเวลาพิชญ์พูด ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เขาฟัง บ่นเขา ตัดพ้อเขา ทุกอย่างที่เป็นพิชญ์ ทุกสิ่งที่พิชญ์ทำ เขาล้วนแต่ชอบทั้งนั้น

                “แม่พลอยเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”

                “สบายดีครับ ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ในห้องรับแขกข้างล่าง โดนน้องหนูชวนเล่นด้วยจนหมดแรง” พิชญ์เล่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเว้นวรรคนิดหนึ่ง “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่ไปรับแม่พลอยมา”

                “เล็กน้อยน่า แม่พลอยก็เหมือนแม่ของฉันอีกคน”

               ฟังถ้อยคำของอริญชย์แล้วพิชญ์ก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ไม่ค่อยชินกับคำพูดคำจาแบบนี้ของอริญชย์เท่าไหร่นัก เลยเสเปลี่ยนเรื่องถามอริญชย์

                “แล้วนี่คุณใหญ่โทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “ทำไม นายมีอะไรจะไปทำหรือไง”

               พิชญ์ส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของอริญชย์เหมือนจะมีความน้อยอกน้อยใจแฝงอยู่

                “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่จะไปอาบน้ำ เล่นกับน้องหนูจนเหนียวตัวแล้วยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

                “ก็ไปอาบสิ ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย”

               คนที่อยู่ฮ่องกงคงไม่รู้ เหตุผลที่วันนี้พิชญ์อาบน้ำดึกกว่าทุกวัน เพราะเขากลัวว่าโทรศัพท์จะดังตอนที่เขาอาบน้ำ เขาถึงได้ถือโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดตั้งแต่เช้า เผื่อว่ามีสายจากต่างประเทศเข้ามา เขาจะได้รับสายได้ทัน

                “งั้นผมวางแล้วนะ...”

                “วางสิ...”

               สายถูกปลายทางตัดไปแล้ว แต่อริญชย์ยังคงก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบ สุดท้ายแล้วคำที่อยากพูดออกไปก็ยังไม่ได้พูด

                “คิดถึงนายนะ พีท...”

               ได้แต่พูดกับตัวเอง กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้วที่เขาไม่มีความกล้า เขาหัวเราะเยาะให้กับความขี้ขลาดของตัวเอง

               เขาคิดถึงพิชญ์...คิดถึงมาก... แค่ห่างกันหนึ่งวันก็รู้สึกไม่ชินเสียแล้ว

               อริญชย์หลับตาลงช้า ๆ จินตนาการถึงภาพพิชญ์ในหลากหลายอิริยาบถ ทั้งตอนดีใจ ตอนเสียใจ ตอนโมโห ตอนโกรธ ตอนมีความสุข ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึง

               สามวันหลังจากนี้ในฮ่องกงสำหรับเขา...ช่างดูยาวนานเสียเหลือเกิน


 
TO BE CONTINUE




ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามคุณใหญ่กับพีทด้วยค่า ^^
ตอนนี้เขียนค้างไว้ตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว นานมาก...กว่าคุณใหญ่จะถึงฮ่องกง
คุณใหญ่อ่อนโยนขึ้นทุกวันเลยนะคะ >///<

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 32 When in Hong Kong --- หน้าที่ 8 [30/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 30-08-2020 23:11:44
คุณใหญ่ แค่คำว่าคิดถึงมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยที่จะพูดไปน้าาาาาา
พรุ่งนี้โทรใหม่แล้วพูดให้มันดังๆ ชัดๆ ไปเลย!!
เอาใจช่วยทางนี้นะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 32 When in Hong Kong --- หน้าที่ 8 [30/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-08-2020 02:47:37
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 32 When in Hong Kong --- หน้าที่ 8 [30/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 31-08-2020 13:40:08
ลมสงบ ย่อมมาพร้อมกับ พายุใหญ่
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 32 When in Hong Kong --- หน้าที่ 8 [30/08/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 31-08-2020 21:52:34
ไม่บอกตอนนี้ ก็กลับไปบอกตอนถึงดีกว่าเนาะ ได้ยินจากปากตรงหน้าพีทคงได้เขินตาย  :-[ คราวนี้ละคุณใหญ่จะเล่นท่าไหนได้หมด พีทยอมแล้ว  :impress2: 555 ราชันย์ก็อ่อนลงให้ดินมากเลยนะ ประนีประนอมขึ้น วุ้ยยย  :o8: รอตอนต่อไปเลยยย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 33 เผชิญหน้า --- หน้าที่ 8 [06/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 06-09-2020 21:06:09

สามสิบสาม
เผชิญหน้า





               เช้าวันศุกร์ อริญชย์มีนัดสำคัญวันนี้ เขาเลยตื่นตั้งแต่เช้า หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลงมารับประทานอาหารที่ห้องอาหารเช้าของโรงแรม เลือกรองท้องด้วยขนมปังสองสามชิ้นกับกาแฟดำแก้วหนึ่ง พอถึงเวลานัดหมายกับคนขับรถก็เดินออกมาเจอบอดี้การ์ดสองคนตรงล็อบบี ก่อนจะขึ้นรถคันเดียวกับเมื่อวานเพื่อออกเดินทาง

               ช่วงเช้านี้เขามีนัดเจรจาธุรกิจกับซัพพลายเออร์ชาวฮ่องกง บริษัทของคู่ค้าตั้งอยู่ย่านธุรกิจบนเกาะฮ่องกง พอเห็นอริญชย์มาถึงบริษัท เจ้าของบริษัทก็ลงมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี ครึ่งวันเช้าจบลงด้วยการเซ็นสัญญาและคุยกันถึงแผนงานหลังจากนี้ ก่อนที่เจ้าของบริษัทเอ่ยปากขอเลี้ยงมื้อกลางวันอริญชย์ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง

               มื้อกลางวันวันนี้ของอริญชย์จึงจบลงที่ภัตตาคารอาหารจีนชื่อดัง เจ้ามือสั่งอาหารทะเลมาเลี้ยงเขาหลายอย่าง หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็แยกย้ายกัน อริญชย์เดินกลับขึ้นมานั่งบนรถโตโยต้า อัลพาร์ดคันเดิม คนขับกำลังรอฟังจุดหมายต่อไปจากเขา อริญชย์หยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขแล้วรอสาย พอปลายสายรับ เขาก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

                “ฉันคุยธุระเสร็จแล้ว”

               ปลายสายตอบกลับมาเพียงแค่ว่า...

                “เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ไปให้”

               หลังจากกดวางสายไม่ถึงห้านาที โทรศัพท์มือถือของเขาก็ร้องเตือนว่ามีข้อความเข้า อีกฝ่ายพิมพ์ที่อยู่ส่งมาทางข้อความ อริญชย์หยิบโทรศัพท์มือถือเขาให้บอดี้การ์ดส่งให้กับคนขับรถเพื่อดูที่อยู่ คนขับรถเพ่งมองที่อยู่บนหน้าจอ ขมวดคิ้วนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้ารับ พอเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ทาง อริญชย์ก็รับโทรศัพท์กลับคืนมา

               คนขับรถค่อย ๆ พาโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำลัดเลาะมาสู่ย่านเดอะ พีค บริเวณที่มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดบนเกาะฮ่องกง หลังจากคดเคี้ยวอยู่บนถนนราวสิบนาที คนขับรถก็พาอริญชย์มาถึงหน้าแมนชั่นโอ่อ่าสไตล์อังกฤษ ขนาดสี่ชั้น อริญชย์หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาหมายเลขเดิมซ้ำ

                “ฉันมาถึงแล้ว”

               เอ่ยจบแล้วก็วางสาย หลังจากนั้นเพียงแค่ห้านาที รถซีดานก็แล่นมาจากด้านหลังเขา ก่อนจะแซงขึ้นไปจอดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าแมนชั่น พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบเดินออกมาทันที หลังจากสนทนากับรถซีดานคันข้างหน้าอยู่สองนาที ประตูทางเข้าแมนชั่นก็เปิดออกด้วยกลไกอัตโนมัติ คนขับรถของอริญชย์ค่อย ๆ ขับตามหลังอีกฝ่ายเข้าไป

               เนื่องจากตัวแมนชั่นตั้งอยู่บนเขา อากาศข้างบนจึงค่อนข้างดี บริเวณสวนด้านนอกของแมนชั่นมีไม้ดอกนานาพันธุ์คอยแต่งแต้มสร้างสีสัน รถซีดานคันข้างหน้าจอดตรงหน้าแมนชั่น ก่อนราชันย์จะก้าวลงมาจากที่นั่งตอนหลัง พอเห็นอีกฝ่ายลงจากรถแล้ว อริญชย์เองก็ก้าวลงจากรถตาม

               สายตาสองคู่มองสบประสานกัน ก่อนราชันย์จะเป็นฝ่ายก้าวมาหาอริญชย์แล้วยกกำปั้นต่อยหัวไหล่เขาเบา ๆ

                “มาจบเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นกันเสียทีเถอะ”

                “หึ!” อริญชย์แค่นเสียง “เพิ่งจะคิดได้หรือไง”

               ราชันย์มองอดีตเพื่อนรักนิ่ง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินนำเข้าตัวแมนชั่น แค่เห็นราชันย์ปรากฏตัว พ่อบ้านประจำตระกูลก็รีบค้อมหัวลงทำความเคารพก่อนเอ่ยทักทาย

                “เชิญครับนายน้อย เชิญครับคุณใหญ่”

               ตอนราชันย์หนีจากประเทศไทยมาอยู่ฮ่องกง คนอื่นต่างพากันร่ำลือว่าเขาทิ้งมรดกนับพันล้านและทรัพย์สินมากมายมาลำบากลำบนอยู่เกาะฮ่องกง ยามข่าวลือพรรค์นั้นลอยมาเข้าหูอริญชย์ เขาก็เพียงแค่นยิ้มอย่างเหยาะหยัน คนอย่างราชันย์น่ะหรือจะมาลำบากอยู่ฮ่องกง การย้ายมาอยู่ที่นี่ของหมอนั่นคือการติดปีกเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

               พ่อบ้านเฉินเดินนำราชันย์และอริญชย์มายังห้องหนังสือบริเวณชั้นหนึ่ง หลังจากเชื้อเชิญทั้งสองฝ่ายลงนั่งแล้ว เขาก็เอ่ยสอบถามว่าแต่ละคนต้องการชาหรือกาแฟไหม ก่อนจะออกไปตระเตรียมให้ อริญชย์กับราชันย์ยังคงนั่งมองหน้ากันนิ่ง ๆ จนกระทั่งพ่อบ้านเฉินเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมเด็กรับใช้ หลังจากวางเครื่องดื่มและของว่างลงบนโต๊ะให้แล้ว พ่อบ้านเฉินก็ล่าถอยออกจากห้องหนังสือ เหลืออริญชย์กับราชันย์นั่งเผชิญหน้ากันอยู่สองคน

                “มึง...” อริญชย์เอ่ยเรียกสรรพนามของอดีตเพื่อนรัก “ตัดสินใจแล้วใช่ไหม...”

               ราชันย์พยักหน้ารับแทนคำตอบ เขาตบมือเข้ากับกระเป๋าเสื้อเพื่อหาซองบุหรี่ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกออกว่าเมื่อเช้าก่อนออกจากโรงแรม เขาหยิบมาใส่กระเป๋า แล้วปฐพีเป็นคนหยิบออก

                “หลังจากนี้อีกสักสองสามวันน่าจะลงมือ ถ้ายังก็อาจจะต้องพึ่งแผนสอง แต่ต้องรอแม่คุยกับอารองอาสี่ก่อน”

               ราชันย์หมายถึงคุณนายหลิน มารดาบังเกิดเกล้าของเขา ซึ่งหลังจากหย่าขาดจากเจ้าสัวลิขิต บิดาของราชันย์ตอนราชันย์ยังเด็ก เธอก็ย้ายกลับมาอยู่ฮ่องกงเป็นการถาวร ราชันย์เห็นความรักจอมปลอมมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ เขาเลยทำตัวสำมะเลเทเมาตั้งแต่วัยรุ่น ไม่คิดขวนขวายหาความรักให้ปวดหัว

               คุณนายหลินคือทายาทตระกูลหลิน ตระกูลเก่าแก่อันดับต้น ๆ ของเกาะฮ่องกง หลังจากแต่งงานกับเจ้าสัวลิขิตจนคลอดราชันย์ออกมา เธอก็ยังเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างกรุงเทพฯกับฮ่องกง เพราะการเดินทางไป ๆ มา ๆ ของเธอนี่เอง เจ้าสัวลิขิตเลยมีความสัมพันธ์กับคนสนิทของเธอ...รตี ซึ่งต่อมาก็คลอดรัญญาออกมา คนข้างนอกร่ำลือกันว่ารตีถูกคุณนายหลินวางยาจนเสียชีวิต แต่ความจริงนั้นมีเพียงคนสามคนที่รู้...เจ้าสัวลิขิต คุณนายหลิน และราชันย์

                “ตีกันจนบริษัทแทบพังมาเกือบห้าปี พอมานั่งคุยกันแบบนี้ก็แปลก ๆ เหมือนกันนะ”

               ราชันย์เปรยพลางแค่นหัวเราะออกมา ขณะมองหน้าอดีตเพื่อนรัก ซึ่งเอาเข้าจริง ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเพื่อนรักของเขาอยู่ มิตรภาพเกือบยี่สิบปี ถ้าจะให้มันสะบั้นลงภายในหนึ่งวันคงไม่ง่ายขนาดนั้น อย่างน้อยถ้าผลประโยชน์ลงตัว โลกนี้ก็ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร

                “ก็จริง ขนาดก่อนมาตุลย์ยังห่วงเลยว่ากูกับมึงจะคุยดี ๆ กันได้จริงหรือ”

                “มึงก็รู้ดีนี่ใหญ่...ว่ามึงไม่ได้โกรธกูมากเท่าเมื่อห้าปีที่แล้ว” ราชันย์เอ่ยพลางยิ้มร้าย ๆ นึกอยากเปลี่ยนชาร้อนที่กำลังยกขึ้นจิบเป็นว้อดก้าแรง ๆ ซักแก้ว

                “อย่าลืม ว่าเรายังเหลือสัญญาอีกสองข้อตามที่ตกลงกัน”

                “กูรู้น่า...” ราชันย์พึมพำพลางเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ทอดสายออกไปไกล

               สัญญาสามข้อที่เคยตกลงกันหลังเกิดเรื่องอธิษฐ์ ตอนนี้ราชันย์ทำสำเร็จแล้วหนึ่งข้อ เหลืออีกสองข้อเท่านั้น เพื่อจะได้จบเรื่องที่เขาทะเลาะบาดหมางกันยาวนานถึงห้าปีลงเสียที

               อริญชย์เอนหลังพิงพนัก ยกถ้วยชาร้อนตรงหน้าขึ้นมาจิบ เขาสองคนสร้างเรื่องทะเลาะกันมาหลายปี แต่ก็โจมตีอีกฝ่ายและตอบโต้กันแบบจริง ๆ จัง ๆ แต่เขาสองคนต่างรู้ ว่าการวิวาทกันที่ผ่านมานั้น มีมือที่สามคอยอาศัยจังหวะผสมโรงอยู่หลายหน เขาก็แค่รอเวลาที่จะลากคอมือที่สามออกมา อริญชย์คิดคำนวณอยู่ในใจก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่เขาสงสัย

                “ทำไมคราวนี้คุณนายหลินถึงยอมช่วยคุยกับทางนั้น”

                “ก็แค่ผลประโยชน์ลงตัว...”

               ราชันย์ตอบพลางยิ้มหยันด้วยความสมเพชตัวเอง บางทีก็นึกอิจฉาอริญชย์ที่มีชีวิตอิสระเสรี ต่างจากเขาที่ดูเหมือนมี แต่ก็เหมือนไม่มี

                “อย่าบอกนะว่ามึงตกลงแล้ว”

               ราชันย์ผงกหัวรับแทนคำตอบ ก็แค่เขาตกลงเรื่องผลประโยชน์กับมารดาบังเกิดเกล้าลงตัว แม่เขาถึงยอมสอดมือเขามายุ่งเรื่องตัดแขนตัดขาคนคนฝั่งกมลวิลาศน์ ครอบครัวกงสีที่ความสัมพันธ์ฉากหน้าดูสวยหรู แท้จริงกลับเป็นถ้ำเสือที่จ้องจะห้ำหั่นกันเอง

               หลังจากเจ้าสัวลิขิตเสียชีวิต ทรัพย์สมบัติก็ถูกบรรดาญาติพี่น้องหมายตา เจ้าสัวลิขิตเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชายอีกสามคน คนรองวางตัวเป็นกลาง มักจะดูเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ห่างๆ ขณะที่คนที่สามสนับสนุนรัญญาอย่างชัดเจน ราวกับต้องการจะงัดข้อกับคนอื่นๆ ส่วนคนที่สี่ก็เลือกที่จะสนับสนุนราชันย์

                “ใช่ กูตกลงแล้ว”

                “แล้วเด็กคนนั้น...” อริญชย์หมายถึงปฐพีที่เขาเคยเห็นอยู่ครั้งสองครั้ง

                “หมดประโยชน์แล้วก็ต้องปล่อยไป” ราชันย์เอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย น้ำเสียงติดจะเฉยเมยเสียด้วยซ้ำ

                “อย่าทำอะไรที่ตัวเองจะต้องเสียใจทีหลัง”

                “มึงกำลังแนะนำจากประสบการณ์ตรงใช่ไหม” ราชันย์ถามกลั้วเสียงหัวเราะ แต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตา

               บางทีเขาก็นึกอิจฉาอริญชย์ อริญชย์คนที่สามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ตัวเองปรารถนา ส่วนเขาเองกลับต้องเดินหมากทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ ขุดรากถอนโคนเนื้อร้ายทีละนิด เวลากว่าห้าปีที่เขาค่อย ๆ วางกับดักล่อจับแมลง บัดนี้สมควรแก่เวลาที่จะขุดรากถอนโคนแล้ว เพียงแต่ค่าใช้จ่ายที่เขาต้องจ่ายมันช่างสาหัสสากรรจ์เหลือเกิน

                “มันอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้”

                “มึงก็รู้ว่ากมลวิลาศน์ต้องมีคนสืบทอด”

               อริญชย์ฟังเหตุผลของราชันย์แล้วก็นิ่ง เรื่องสืบทอดทายาทเป็นเรื่องสำคัญของตระกูลใหญ่ เขายังโชคดีที่มีน้องหนูมารอรับมรดกของเขาแล้ว มิหนำซ้ำ ทั้งพ่อและแม่ของเขาก็เสียชีวิตกันหมด เลยไม่มีใครมาก้าวก่ายกับชีวิตคู่ของเขาอีก ถ้าจะต้องห่วงก็คงมีแค่แม่พลอย ที่เขาอาจจะต้องหาวิธีเจรจาประนีประนอมกันอีกที ให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

               อริญชย์นั่งคลึงถ้วยชาในมือไปมา ขณะครุ่นคิดเรื่องของเขากับพิชญ์ เมื่อวานตอนออกจากบ้าน เขาสั่งให้ตุลย์แวะไปหาช่างทำอัญมณีประจำตระกูลก่อนตรงมาสนามบิน มารดาของเขามีเครื่องประดับหลายชุด แต่ชิ้นที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่นก็มีเพียงแหวนประจำตระกูล เขาบอกขนาดนิ้วของพิชญ์กับช่างไป ก่อนจะให้ช่างขึ้นตัวเรือนใหม่ให้พอดีกับขนาดนิ้วของพิชญ์

               แหวนวงนี้...คือแหวนวงที่เขาจะให้พิชญ์สวมแทนแหวนแต่งงานวงเดิม

               อริญชย์คิดพลางเผยรอยยิ้มออกมา ทำเอาราชันย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับต้องขยี้ตา นึกว่าตัวเองตาฝาด นานทีปีหนเขาจะเห็นรอยยิ้มปรากฏบนหน้าของอริญชย์ พอเห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกขนลุกหน่อย ๆ จนต้องเอ่ยปากออกไป

                “อย่าทำหน้าตาอย่างนั้นได้ไหม เห็นแล้วขนลุก”

               ก๊อก ๆ ๆ

               เสียงเคาะประตูเรียกชายหนุ่มสองคนให้หันกลับไปมอง พ่อบ้านเฉินเปิดประตูเข้ามา ค้อมหัวลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเชิญ

                “คุณนายหลินเชิญพบครับ นายน้อย คุณใหญ่”

               สองหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย หันมองสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกัน แล้วเดินออกจากห้องภายใต้การนำทางของพ่อบ้านเฉิน มุ่งหน้าสู่ชั้นบนสุดของแมนชั่น

               แมนชั่นขนาดสี่ชั้นของตระกูลหลินมีลิฟต์อยู่มุมด้านใน แต่พ่อบ้านประจำตระกูลกลับเลือกพานายน้อยและแขกเดินขึ้นบันไดวนที่ทอดยาวจากชั้นหนึ่งสู่ชั้นสี่ พ่อบ้านเฉินดูเหมือนจะเคยชินกับการเดินขึ้นบันไดวน เลยไม่มีอาการหอบให้เห็นแม้แต่น้อย พอชำเลืองมองคนที่เดินตามหลังมา เห็นทั้งอริญชย์และราชันย์เดินตามมาด้วยท่าทางสบาย ๆ ก็ลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ

               พอขึ้นมาถึงชั้นสี่ ประตูไม้บานใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา พ่อบ้านเฉินสั่นกระดิ่งหน้าประตูเบา ๆ หลังจากนั้นจึงเปิดประตูออกแล้วผายมือเชิญอริญชย์และราชันย์ข้างในห้อง ส่วนตัวเขายืนรออยู่ข้างนอกเพื่อปิดประตูตามหลังให้

               เพียงแค่ก้าวแรกที่ย่างเท้าเข้ามาในห้อง อริญชย์ก็มองเห็นเงาร่างระหงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังยืนหันหลังให้พวกเขา แดดจัดยามบ่ายส่องเข้ามาผ่านกระจกบานใหญ่ จนเห็นเป็นเงาลาง ๆ ราชันย์มองนิ่ง ๆ ก่อนจะเรียกขานอีกฝ่ายออกมาคำหนึ่ง

                “แม่...”

               ขณะที่อริญชย์เอ่ยทักทายเจ้าของบ้านตามมารยาท

                “สวัสดีครับ คุณน้า...”

               เจ้าของบ้านค่อย ๆ ผละจากหน้าต่างและหันกลับมาหาอริญชย์และราชันย์ แม้จะอายุเกือบหกสิบปีแล้ว แต่คุณนายหลินยังดูแลตัวเองดีอยู่เสมอ ดวงหน้าสวยสดงดงามมีริ้วรอยเพียงจาง ๆ ดูห่างจากอายุจริงเกินสิบปี ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดออกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับแขกผู้มาเยือน

                “นั่งลงสิ...”



.



หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 33 เผชิญหน้า --- หน้าที่ 8 [06/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 06-09-2020 21:07:18



               พิชญ์ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เวลาห้าโมงกว่าแล้ว วันนี้ทั้งวันโทรศัพท์เขาดังอยู่สองสามครั้ง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องงานแทบทั้งสิ้น อริญชย์ไม่ได้โทรศัพท์มาหาเขาตั้งแต่เช้า อย่างที่เจ้าตัวออกตัวไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งที่รู้แบบนี้ แต่พิชญ์ก็ยังอดเหลียวมองโทรศัพท์บ่อย ๆ ไม่ได้ ลงท้ายก็เลือกเป็นฝ่ายส่งข้อความไปบอกเอง ตัดทิฐิออกเสียบ้าง ชีวิตจะได้มีความสุข

               พิชญ์พิมพ์ ๆ ลบ ๆ อยู่สองสามรอบ สุดท้ายก็ส่งออกไปง่าย ๆ แค่บอกกล่าวให้อีกฝ่ายรับทราบ


                ...ผมกำลังจะพาพนักงานไปกินเลี้ยงกันนะครับ....


               พอส่งข้อความหาอริญชย์แล้ว เขาก็กดโทรศัพท์หาแม่พลอย ซึ่งตอนนี้มาพักอยู่ที่คฤหาสน์เกียรติกาญจนา รอจบงานโรงเรียนของน้องหนูวันอาทิตย์ แล้วแม่พลอยค่อยเดินทางกลับต่างจังหวัดวันจันทร์

                “ว่าไงลูก...” พอรับสายปุ๊บ แม่พลอยก็รีบถามไถ่ลูกชายคนเดียวทันที

                “แม่ วันนี้พีทกลับดึกหน่อยนะ พอดีมีกินเลี้ยงกับทีม”

                “ได้สิ เดี๋ยวแม่ดูน้องหนูให้เอง ไม่ต้องห่วงนะ”

                “ครับผม แม่จะเอาอะไรก็บอกป้าน้อยเลยนะ”

               พิชญ์เอ่ยอีกสองสามประโยคก่อนจะกดวางสายไป พอวางสายจากแม่พลอยแล้วเขาก็เก็บของบนโต๊ะให้เรียบร้อย เตรียมตัวออกจากบริษัท ตั้งแต่ตุลย์ถูกอริญชย์ทิ้งให้อยู่ที่นี่ ฝ่ายนั้นก็เกาะติดเขาแจ วันนี้พิชญ์เลยไม่แปลกใจนักที่เดินออกมาจากห้องทำงานแล้วจะเห็นตุลย์ยืนรออยู่

                “ไปกันเลยไหมครับ คุณพีท” ตุลย์เอ่ยถามพิชญ์ ก่อนจะเดินเข้ามาช่วยถือกระเป๋าเอกสาร

                “ไปเลยครับ คุณตุลย์รู้จักร้านใช่ไหมครับ ร้านที่เราชอบเลี้ยงพนักงานกันบ่อย ๆ ตรงถนนพระรามสี่น่ะครับ” พิชญ์เอ่ยถามก่อนจะบอกชื่อร้านออกไป

                “รู้จักสิครับ ผมบอกคนขับรถให้แล้ว”

               พอลงจากลิฟต์มา พิชญ์ก็เดินตามตุลย์ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ตรงลานจอดหน้าตึก พิชญ์ก้มลงมองโทรศัพท์มือถือตัวเองแวบหนึ่ง เห็นหน้าจอยังคงว่างเปล่าก็เผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะยัดลงกระเป๋ากางเกง

               การจราจรตอนเย็นค่อนข้างติดขัด ขนาดเลือกร้านอาหารใกล้กับบริษัทแล้ว กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงร้านได้ก็ยังใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง โชคดีที่พิชญ์เป็นเจ้าภาพมื้อนี้ เขาเลยไม่ต้องกลัวว่าใครจะค่อนขอดเรื่องเขามาสาย

               ตอนจองโต๊ะ พิชญ์ให้คนที่โทรศัพท์มาจองโต๊ะกับทางร้านเลือกปิดโหนึ่งซน จะได้ไม่รบกวนแขกคนอื่น พอเห็นกลุ่มก๊วนพนักงานกำลังยืนล้อมวงกันร้องเพลงสนุกสนาน ตุลย์ก็หันมาหาพิชญ์ ทำท่าจะเอ่ยขอตัวเพื่อไปนั่งรออีกมุมหนึ่ง พิชญ์กลับคว้าแขนตุลย์แน่น เอ่ยเสียงแข็ง อย่างไม่ยอมให้ตุลย์ได้มีโอกาสปฏิเสธ

                “จะไปไหนคุณตุลย์ มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ ไม่กลัวผมคลาดสายตาเหรอ”

               ตุลย์ส่ายหัวด้วยความระอา เขาปลดแขนพิชญ์ที่ยึดแขนตัวเองออก ก่อนจะแตะบ่าพิชญ์เบา ๆ ด้วยความสุภาพ เป็นเชิงให้พิชญ์เดินนำเข้าไป พิชญ์เห็นตุลย์ตามเขามาก็ยิ้มออกมา

               ยิ่งเดินเข้าใกล้โต๊ะ เสียงสนทนาสลับกับเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังอึกทึกครึกโครม ก่อนจะค่อย ๆ เบาเสียงลงเมื่อทั้งกลุ่มหันมาเห็นพิชญ์และตุลย์ พนักงานคนหนึ่งลุกขึ้นยืนปรบมือต้อนรับพิชญ์ คนอื่นที่เหลือเลยทยอยลุกขึ้นยืนปรบมือตาม

                “มาแล้ว เจ้ามือของพวกเรา เฮ้ย! หลบให้ท่านรองนั่งหน่อยสิ”

               พิชญ์มองความชุลมุนตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงดังให้เข้ากับบรรยากาศ

                “อยากกินอะไรสั่งกันเต็มที่เลยนะทุกคน มื้อนี้ท่านประธานเป็นคนเลี้ยง เราก็ต้องถล่มให้กระเป๋าฉีกไปเลย”

               คนในโต๊ะพากันหัวเราะให้กับคำกล่าวพาดพิงอริญชย์ของพิชญ์ ตุลย์นั่งลงขวามือของพิชญ์ อาหารถูกเวียนส่งมาเรื่อย ๆ พิชญ์เลือกตักอาหารที่ตัวเองชอบใส่จานของตัวเอง ก่อนเบียร์จะถูกส่งมาตรงหน้า ตุลย์เลิกคิ้วมองพิชญ์เป็นเชิงถามว่าจะดื่มไหม เจ้าตัวตบบ่าตุลย์ปุ ๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

                “ดื่มฉลองด้วยกัน นาน ๆ ที”

               ตุลย์กลอกตาสองทีก่อนจะส่งแก้วเบียร์ในมือให้พิชญ์ แล้วรับอีกแก้วมาให้ตัวเอง โชคดีว่าเขาเอาคนขับรถมาด้วย ถ้าขืนเขาเป็นคนขับรถเสียเอง วันนี้มีหวังทั้งเขาและพิชญ์คงได้นอนอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ต้องนั่งแท็กซี่กลับ เดือดร้อนให้อริญชย์โทรศัพท์ข้ามประเทศมาด่าอีก ตุลย์คิดขำ ๆ ขณะยกเบียร์ขึ้นจิบช้า ๆ

               พอแอลกอฮอล์เข้าปาก ทั้งกลุ่มก็ยิ่งครื้นเครง มีคนลุกออกไปร้องเพลงและมีคนลุกออกไปเต้น พิชญ์ถูกคะยั้นคะยอให้ลุกออกไปร้องเพลงอยู่หลายรอบ ตอนแรกเจ้าตัวก็ปฏิเสธท่าเดียว แต่พอแอลกอฮอล์เข้าปากเป็นแก้วที่สาม พิชญ์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไมค์เอง เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาพนักงาน ตุลย์ยิ้มมุมปากขณะล้วงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วกดถ่ายคลิปวิดีโอตอนพิชญ์ร้องเพลง

               สงสัยปีนี้...อริญชย์ต้องตบโบนัสให้เขามากหน่อยเสียล่ะมั้ง จะมีใครเหมาะสมกับตำแหน่งลูกน้องดีเด่นยิ่งไปกว่าเขาอีก ตุลย์คิดพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ



.



               เมื่อเช้า ตอนราชันย์ออกจากโรงแรม ปฐพียังนั่งละเลียดอาหารเช้าอยู่บริเวณห้องอาหารชั้นหนึ่ง กว่าเขาจะออกจากโรงแรมก็ตอนสาย เขานั่งรถเมล์มาเดินเล่นย่านเซ็นทรัล เลือกหาของฝากสำหรับน้องชายคนเดียว คราวก่อนเขาซื้อพวกขนมกลับไปให้ชลธี ดูเหมือนเจ้าน้องชายตัวแสบของเขาจะชอบไม่น้อย มาคราวนี้ปฐพีเลยเลือกซื้อขนมกลับไปให้อีก แถมยังหยิบมาเผื่อปกรณ์ด้วย

               แวบหนึ่ง ปฐพีแอบคิดถึงพิชญ์ขึ้นมา แล้วก็เลยหยิบขนมมาเผื่อพิชญ์ด้วย ส่วนจะให้ตอนไหน เดี๋ยวเขาค่อยหาโอกาสอีกทีแล้วกัน อย่างน้อยขนมพวกนี้ก็เก็บได้นาน

               ปฐพีเดินเล่นสลับกับแวะร้านอาหารและร้านขนมอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วถึงค่อยกลับโรงแรม เพราะเดินมาทั้งวันจนเหนื่อย พอกลับมาถึงโรงแรมเขาเลยรีบอาบน้ำให้สดชื่นก่อนจะปีนขึ้นเตียงมานอนดูโทรทัศน์ วันนี้ปฐพีแวะกินขนมข้างนอกมาหลายร้าน ตอนนี้เขาเลยไม่นึกอยากอาหาร แม้ว่าจะยังไม่ได้กินมื้อเย็น

               ปฐพีนอนดูโทรทัศน์เพลิน ๆ อยู่บนเตียง มีลมเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศเป่าใส่ตัว พอรวมเข้ากับความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเล่นตลอดทั้งวัน เขาเลยผล็อยหลับอย่างง่ายดาย

               เขาหลับไปนาน ฝันถึงเรื่องสมัยก่อน ฝันถึงเรื่องของราชันย์ ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่กำลังลากไล้ไปตามต้นขาเปลือยเปล่าของเขา

               ปฐพีอ้าปากเตรียมจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เสียงร้องกลับถูกกลืนหายเมื่อริมฝีปากร้อนจัดทาบทับลงมา รสแอลกอฮอล์ขมปร่าถูกส่งผ่านจากริมฝีปากของคนที่กำลังรุกรานมายังเขา ปฐพีเพ่งมองเจ้าของริมฝีปากผ่านความมืด เสี้ยวหน้าที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ลาง ๆ หัวใจที่เต้นกระหน่ำของเขาค่อย ๆ สงบลง

               เป็นราชันย์... แต่ที่น่าแปลกคือราชันย์กำลังจูบเขา เขาอยู่กับราชันย์มาราวห้าปี อีกฝ่ายจูบเขาแทบนับครั้งได้ แต่ยามนี้ริมฝีปากร้อนผ่าวที่เขาเฝ้าโหยหากำลังบดคลึงอยู่บนริมฝีปากเขา ทั้งคลึงเคล้าพะเน้าพะนอ จนปฐพีถึงกับเคลิบเคลิ้ม เผลอไผล เอื้อมมือออกไปเกาะเกี่ยวอีกฝ่าย รั้งให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

               กางเกงนอนของเขาดูเหมือนจะถูกถอดออกไปตั้งแต่ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขานอนหน้าแดงซ่านอยู่ในความมืด ยามที่ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้ไปตามร่างกายเขา ปฐพีแหงนเงยหน้าตัวเองเพื่อให้ราชันย์จูบเขาได้ถนัดมากยิ่งขึ้น

                “เฮีย...” เขาครางชื่อราชันย์ออกมา ยามที่ฝ่ายนั้นถอนริมฝีปากออกไป

               ดวงตาสองคู่สบประสานกันอยู่ในความมืด อะไรบางอย่างบอกเขาว่าวันนี้ราชันย์ไม่เหมือนทุกที แต่ขณะที่เขายังคิดไม่ออกว่าไม่เหมือนยังไง เสื้อนอน ซึ่งเป็นสิ่งบดบังร่างกายชิ้นสุดท้ายบนร่างเขาก็ถูกราชันย์ถอดออก ก่อนจะโยนไปไว้ข้างเตียง

               พอต้องเปลือยเปล่าต่อหน้าราชันย์ เขาก็รู้สึกเหมือนจะหนาวขึ้นมาดื้อ ๆ จนเผลอยกแขนขึ้นโอบกอดตัวเองเอาไว้ แต่อีกฝ่ายกลับดึงมือเขาออก ราวกับต้องการจะดูให้เต็มตา คราวนี้ริมฝีปากร้อนจัดแนบลงมาตามลำตัวเขา ดูดเม้มร่างกาย สร้างร่องรอยเอาไว้มากมาย

               ปฐพีเหมือนจะนึกออกแล้วว่าวันนี้ราชันย์ต่างจากทุกวันยังไง นอกจากครั้งแรกที่มีอะไรกัน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ราชันย์ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน ค่อย ๆ เล้าโลมจนเขาเกิดอารมณ์ ริมฝีปากที่กำลังขบเม้มและดูดดึงยอดอกเขา ทำเอาเขาเสียวซ่านมากเสียจนคิดอะไรไม่ออก หัวสมองพลันขาวโพลน ความคิดจดจ่ออยู่แต่การกระทำของราชันย์

               ลิ้นร้อนผ่าวลากไล้ลงมาตามลำตัวเขา ขบเม้มสร้างร่องรอยมากมาย จนเขาแทบบิดเร่าด้วยความต้องการ ร่างกายท่อนล่างของเขาตอนนี้ทั้งอึดอัดและต้องการ อยากได้รับการเติมเต็ม จนเขาเผลอเบียดตัวเองเข้าหาราชันย์อย่างน่าไม่อาย ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบประโลมเขา

                “ใจเย็น ๆ อย่ารีบร้อน”

               แม้กระทั่งยามที่ราชันย์ผละออกไปเผื่อถอดเสื้อผ้าตัวเองออก ปฐพีก็ยังเผลอยื่นมือไขว่คว้า ราวกับกลัวว่าจะถูกแกล้งเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา ราชันย์ชอบให้เขาอ้อนวอน แสดงความต้องการออกมา แล้วถึงค่อยเติมเต็มความปรารถนาให้เขา

                “เฮีย...” เขาเรียกชื่อราชันย์ออกมาอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว

               ราชันย์โน้มตัวลงมาคร่อมตัวเขาเอาไว้ ก่อนจะจับเขาพลิกหน้านอนคว่ำลงกับเตียง ริมฝีปากร้อนผ่าวไล่จูบไปตามแผ่นหลังของเขา หนักบ้างเบาบ้าง เขาเอื้อมหยิบเจลหล่อลื่นตรงหัวเตียงมาบีบใส่มือ ก่อนจะค่อย ๆ กดปลายนิ้วลงกับช่องทางด้านหลังของปฐพี คนถูกกระทำเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตอนนี้ปฐพีกำลังนอนคว่ำอยู่ เขาเลยไม่เห็นแววตาของราชันย์ที่ทอดมองเขา แววตาที่แสดงความรู้สึกมากมายออกมา

               ราชันย์สอดนิ้วเข้าไปทีละนิ้ว จากหนึ่งกลายเป็นสอง ให้ปฐพีค่อย ๆ ปรับตัวกับความคับแน่น เขามีเวลาทั้งคืนที่จะค่อย ๆ ปรนเปรอปฐพีให้มีความสุข ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่น ความรู้สึกอึดอัดในใจทำให้ราชันย์ถอนนิ้วออกมา ก่อนจะค่อย ๆ แทนที่ด้วยความใหญ่โตของเขา เขาสอดใส่เขาไปทีเดียวจนสุดทาง แล้วปล่อยให้ปฐพีค่อย ๆ คุ้นเคยกับมัน

               ร่างกายเขากับปฐพีคุ้นเคยกันดีราวกับเป็นเจ้าของกันและกัน แค่เพียงเขาอยู่นิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายค่อย ๆ ปรับตัวให้คุ้นเคยกับความคับแน่น ช่องทางของปฐพีก็บีบรัดเขาช้า ๆ จนเขาเกือบจะเป็นฝ่ายทนไม่ได้ขึ้นมาเสียเอง

                “เฮีย ขยับเถอะ ได้โปรด...”

               เสียงกึ่งอ้อนกึ่งวอนขอเร่งเร้าให้ราชันย์ค่อย ๆ ขยับร่างกายเข้าออก กระแทกใส่คนที่อยู่ใต้ร่าง เขายึดสะโพกปฐพีไว้ ขณะขยับเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้างช้าบ้าง เสียงเนื้อกระทบกันดังท่ามกลางความเงียบ ปฐพีกำผ้าห่มแน่น ขณะหลุดเสียงครางออกมาเป็นระยะทุกครั้งที่ราชันย์กระแทกเข้ามา เตียงนอนขยับโยกไหวไปตามแรงกระแทกกระทั้น บ้างเบา บ้างหนัก

               ปฐพีเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว ทุกครั้งที่ราชันย์ดันตัวเองเข้ามา เขาก็เสียวซ่านจนขาสองข้างสั่นระริก ไม่รู้ว่าตัวเองจะฝืนได้อีกนานแค่ไหน แล้วก่อนที่เขาจะทันคิดหาคำตอบได้ทัน เขาก็ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมาจนหมด ทั้งที่ราชันย์ยังไม่ได้แตะต้องแกนกายของเขาแม้แต่น้อย ตอนถึงฝั่งฝัน เขาร้องเรียกชื่อราชันย์ออกมาพร้อมกับเอ่ยบอกความรู้สึกลึก ๆ ในใจ

                “เฮีย ผมรักเฮีย...

               ถ้อยคำของปฐพีทำเอาเขาเกร็งไปทั้งตัวก่อนจะปลดปล่อยออกมาติด ๆ กัน ความอุ่นร้อนเติมเต็มจนเอ่อล้นอยู่ในร่างกายของปฐพี ขณะเขาค่อย ๆ ดึงปฐพีเข้ามาหาตัว ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ

               ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ เขาจะยังได้กอดเด็กที่เขาบังเอิญเก็บมาได้คนนี้อีกไหม

               ถึงเวลา...ปล่อยให้ปฐพีไปมีชีวิตของตัวเองเสียที




TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกคนที่คอยติดตามนะคะ
ปมเริ่มเฉลยออกมาทีละนิดแล้วค่ะ
ตอนนี้โดนเฮียเล้งกับดินขโมยซีนเต็ม ๆ เลย สองคนนี้กลิ่นมาม่าแรงมาก

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 33 เผชิญหน้า --- หน้าที่ 8 [06/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 06-09-2020 22:25:02
 สงสารดินมากๆ เลย รักเฮียเล้งมาก แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะครองรักกัน เหตุผลของเฮียเล้งก็เป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่อยู่นะ คนโตของวงศ์ตระกูลจำเป็นต้องแต่งงานมีทายาทสืบต่อกันไป เฮ้อ!! สงสารดิน สงสารจริงๆ นะ หวังว่าทั้งสองคนจะเจอทางออกที่ดีกว่านี้  :ling3:

ตอนนี้คุณใหญ่กับเฮียเล้งได้เผยให้เรารู้แล้วว่าปัญหาใหญ่เป้งจริงๆ คือ คนในตระกูลกมลวิลาศน์ โดยเฉพาะยัยตะหลิว(รึเปล่า)​ พอมาเห็นว่าอดีตเพื่อนรักคุยกันได้แบบนี้แล้วค่อยรู้สึกหายอึดอัดหน่อย  :mew3:

ปล.อย่าลืมโทรหาพีทนะคุณใหญ่ เพราะพีทจ้องดูแต่โทรศัพท์จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว และอย่าลืมรางวัลให้ตุลย์ด้วยละที่ถ่ายคลิปตอนพีทร้องเพลงไว้ให้ดูด้วย ของหายาก 55555
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 33 เผชิญหน้า --- หน้าที่ 8 [06/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-09-2020 22:27:47
 :hao5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 33 เผชิญหน้า --- หน้าที่ 8 [06/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-09-2020 23:38:54
ก่อนไป ก็ดียังได้เอ่ยบอกว่า รัก ถ้าเขาปล่อยไปแล้วจะได้ไม่รู้สึกค้างคา ทำดีที่สุดแล้ว และถ้ารักกันจริงวันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องตามหา คนที่ปล่อยคือคนที่ร้อนรนกว่าคนไป เพราะคนไปทำใจมาตลอด รู้อยู่ว่าวันนี้ต้องมาถึง ถึงใจหายแต่ก็ไม่เสียใจนะดินนะ //รีบๆเคลียร์งานเลยคุณใหญ่ มีคนคิดถึงมาก1อัตรา เหล่ตามองโทรศัพท์ทั้งวัน 55555 ถ้าคุณใหญ่ได้เห็นคนยิ้มหน้าบานปานจานดาวเทียมอ่ะ 555 แต่ก็คงได้เห็นคนร้องเพลงแล้วสินะ ตุลย์ก็ปั่นดีจริง ควรได้โบนัสใหญ่นะเออ 555 //อ่อออ แผนซ้อนแผน???  กับดักขุดรากถอนโคนคนในตระกูลที่คิดทรยศ? สัญญาอะไรกันไว้อีก2 ต้องตามต่อไป ขอบคุณค่ะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 33 เผชิญหน้า --- หน้าที่ 8 [06/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 07-09-2020 13:34:08
ความรัก ทำได้ทุกสิ่ง
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 34 ลักพาตัว --- หน้าที่ 8 [13/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 13-09-2020 16:06:33
สามสิบสี่
ลักพาตัว





               อริญชย์กลับมาถึงโรงแรมเกือบห้าทุ่ม หลังจากแยกกับราชันย์ที่บาร์ตอนสี่ทุ่มกว่า เขากับราชันย์นั่งดื่มและพูดคุยกันมาตั้งแต่หัวค่ำ ตอนนี้เลยรู้สึกกรึ่ม ๆ นิดหน่อย พอกลับมาถึงห้องพัก เขาเลยรีบอาบน้ำเพื่อให้ตัวเองสร่างเมา พอนึกถึงบทสทนาที่นั่งคุยกับราชันย์ที่บาร์แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ

               พวกเขาคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายปีนี้ เรื่องของเขา เรื่องของราชันย์ เรื่องของไอลดา หรือแม้กระทั่งเรื่องของอธิษฐ์ ตอนนั่งคุยกัน มีช่วงหนึ่งที่ราชันย์ถามเขาออกมาตรง ๆ ว่า

                ‘ตอนเกิดเรื่องขึ้นกับกลาง มึงคงเกลียดกูมาก...ใช่ไหมใหญ่’

               เขาสาดเหล้าลงคอ ขณะจ้องหน้าราชันย์แล้วเอ่ยตอบด้วยความสัตย์จริง

‘เกลียดจนอยากจะฆ่ามึง อยากจะฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องเลยล่ะ’

               มึงก็เกือบจะฆ่ากูอยู่หลายทีแล้วไม่ใช่หรือไง’

               แม้จะถูกกล่าวหาซึ่ง ๆ หน้า แต่อริญชย์ก็ยังยืดอกรับ ตอนเกิดเรื่องกับอธิษฐ์ เขาโมโหจนแทบจะพังทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของกมลวิลาศน์ ธุรกิจบางส่วนถูกเขาใช้อำนาจแทรกแซงจนเกือบจะล้มทั้งยืน ทั้งตัวราชันย์เองก็ถูกเขาจัดการจนสะบักสะบอม ถึงขนาดว่าอารองของราชันย์ต้องมาพบเขาด้วยตัวเองเป็นการส่วนตัว สิ่งที่อริญชย์บอกกับอารองของราชันย์มีเพียงแค่

                ‘ถ้าอารองไม่ยอมให้ผมเอาตัวคนผิดมาลงโทษ อย่างน้อยก็ต้องให้คนผิดมาขอโทษผมกับกลาง’

               ผลพลอยได้จากการคุยกันวันนั้นคือการวางแผนลากเอาหนอนบ่อนไส้จากฝั่งเขาและตัวต้นเหตุจากทางฝั่งกมลวิลาศน์ออกมา โดยต้องการขุดรากถอนโคนทั้งหมด ภายใต้สัญญาสามข้อที่เขากับราชันย์ตกลงกันโดยเอามิตรภาพอันยาวนานเป็นเดิมพัน

               อริญชย์ปัดเรื่องระหว่างเขากับราชันย์ออกจากหัว หันกลับมาครุ่นคิดถึงพิชญ์ ตอนนี้พิชญ์น่าจะกำลังเลี้ยงฉลองกับบรรดาพนักงานอยู่ เขาเห็นข้อความที่พิชญ์ส่งมาบอกเขาแล้ว แม้จะเป็นข้อความธรรมดา อริญชย์ก็ยังดีใจ อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังนึกถึงเขา ตอนแรกอริญชย์จะหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาพิชญ์อยู่แล้ว แต่พอคิดว่าเจ้าตัวน่าจะกำลังสนุกอยู่ เขาเลยวางโทรศัพท์ลงตามเดิม ซักพักเสียงข้อความเข้าก็ดัง เขาหยิบขึ้นมาดูว่าใช่พิชญ์หรือเปล่า ปรากฏว่าเป็นตุลย์ที่ส่งคลิปวิดีโอมา

               อริญชย์ขมวดคิ้ว เมื่อคิดว่าตอนนี้ตุลย์น่าจะอยู่กับพิชญ์ ระหว่างที่กำลังสงสัยเขาก็หยิบโทรศัพท์มากดดูว่าตุลย์ส่งคลิปวิดีโออะไรมา พอกดเล่นคลิป เสียงร้องเพลงที่น่าจะเรียกว่าเสียงแหกปากมากกว่าก็ดังลั่นออกมาจากในคลิป อริญชย์หรี่เสียงโทรศัพท์ลง ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชัดว่าเป็นพิชญ์ที่กำลังยืนถือไมค์ร้องเพลงอยู่ที่ร้านอาหาร ท่ามกลางเสียเชียร์จากพนักงานรอบข้าง

               อริญชย์ไม่รู้ว่าปกติพิชญ์เป็นคนร้องเพลงเพราะหรือเปล่า แต่ดูจากคลิปที่ตุลย์ส่งมาให้ สิ่งที่พิชญ์กำลังทำอยู่น่าจะเรียกตะเบ็งเสียงร้องมากกว่า เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกดเซฟคลิปวิดีโอลงโทรศัพท์ของตัวเองแล้ววางตรงโต๊ะหัวเตียง เตรียมตัวจะนอน แต่เพิ่งจะสอดตัวลงผ้าห่มแล้วเอื้อมมือปิดไฟ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ส่งเสียงดังแทรกความเงียบขึ้นมา อริญชย์มุ่นหัวคิ้วหน่อย ๆ ใครกันที่โทรหาเขายามดึก ๆ ดื่น ๆ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนได้โดนดีแน่

               พอเห็นชื่อคนโทรเข้าบนหน้าจอโทรศัพท์ อริญชย์ก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ไม่บ่อยนักที่พิชญ์จะเป็นฝ่ายโทรหาเขา แล้วยิ่งเป็นเวลาดึก ๆ ดื่น ๆ อย่างนี้อีก หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพิชญ์ อารามร้อนใจ เขาเลยรีบกดรับสาย

                “ฮัลโหล...”

               พอรับสายแล้ว อริญชย์ก็ต้องนิ่งขึงเมื่อเสียงปลายสายดังมาขาด ๆ หาย ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าของโทรศัพท์จะไม่ได้พูดกับเขา นอกจากเสียงพิชญ์ที่ดังอู้ ๆ อี้ ๆ แล้ว ยังมีเสียงตุลย์ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์

                “ยืนดี ๆ ครับ คุณพีท”

               ฟังคำของตุลย์แล้วอริญชย์ก็ขมวดคิ้วฉับ พอจะเดาเหตุการณ์ปลายสายออกลาง ๆ เขาเรียกชื่อคนสนิทที่น่าจะอยู่ข้างตัวพิชญ์

                “ตุลย์...ตุลย์...”

               ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายทาง มีเพียงเสียงลากเท้ากับพื้น เสียงเปิดประตู อริญชย์จินตนาการภาพตามว่าตอนนี้พิชญ์น่าจะอยู่ไหน ก็พอจะเดาออกว่าน่าจะเป็นที่บ้าน แล้วตอนนี้พิชญ์ก็น่าจะอยู่หน้าห้องของตัวเอง พอดีกับที่เขาได้ยินเสียงตุลย์คุยกับพิชญ์

                “ผมไปก่อนนะครับ คุณพีท ถ้าคออ่อน วันหลังก็อย่าดื่มเยอะอย่างนี้สิ”

               อริญชย์เข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันที เสียงเปิดปิดประตูห้องดังก้องมาจากปลายสาย เขาคิดว่าที่พิชญ์โทรศัพท์มาหาเขา น่าจะเผลอกดโดนมากกว่าตั้งใจ เขากำลังลังเลว่าจะวางสายดีหรือจะยังถือสายฟังว่าพิชญ์ทำอะไรต่อดี เสียงอ้อแอ้จากปลายสายก็ดังเข้ามาในหูโทรศัพท์

                “อื้อ...วันนี้คุณใหญ่...ไม่เห็นโทรมาเลย รอทั้งวัน...”

               คำบ่นจากปลายสายทำเอาอริญชย์ถึงกับหลุดยิ้มออกมา หัวใจมีแต่ความอิ่มเอม ทั้งที่รู้ว่าพิชญ์พูดกับตัวเองและกล้าพูดออกมาเพราะไม่ได้อยู่หน้าต่อเขา แต่อริญชย์ก็อดดีใจไม่ได้ ดีใจที่ได้รู้ว่าพิชญ์เองก็คิดถึงเขาไม่ต่างกัน

               อริญชย์อดทนนั่งรอฟังเงียบ ๆ รอว่าพิชญ์จะพูดอะไรต่อ แต่ปลายสายก็เงียบไปนานจนเขาเกือบจะถอดใจ ก่อนที่เสียงพิชญ์จะกลับมาดังอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเดิม

                “เอ๊ะ โทรหาคุณใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่...”

               เสียงอ้อแอ้ของพิชญ์บ่นอยู่เบา ๆ ดูท่าเจ้าตัวจะเมาไม่น้อย จนอริญชย์นึกคาดโทษอยู่ในใจ เขาลองเรียกชื่อเจ้าตัวเสียงเบา

                “พีท...”

                “อื้อ นี่พีทเอง”

               คำตอบรับของพิชญ์ทำเอาอริญชย์ตื่นเต้น รู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นแรง เขาไม่เคยมีโอกาสได้ยินพิชญ์แทนตัวเองแบบนี้ ด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้กึ่งจะออดอ้อนแบบนี้เลย

                “รู้ไหมว่าคุยกับใครอยู่”

                “คุณหญ่าย...” เจ้าตัวเรียกชื่อเขาเสียงยานคาง จนอริญชย์นึกขันก่อนจะทำทีเป็นดุคนเมา

                “ทำไมถึงดื่มจนเมาขนาดนี้ หืมม์”

               ปลายสายฟังคำดุของเขาแล้วแทนที่จะนึกกลัวอย่างทุกที กลับส่งเสียงหัวเราะมาตามสาย ให้คนฟังรู้สึกคันหัวใจยิก ๆ ถ้าอยู่ใกล้ ๆ คงได้จับเข้ามาจูบให้หายใจไม่ทันไปแล้ว

                “ว่ายังไง ทำไมถึงดื่มจนเมา”

                “คราย...ครายมาว พีทม่ายมาว...”

               อริญชย์ส่ายหัวอย่างระอา นึกอยากจะฟาดเจ้าของเสียงอ้อแอ้ซักทีสองทีให้หายเมา แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปกลับนุ่มนวลจนตัวเขาเองยังนึกแปลกใจ

                “หึ! แล้วคนไม่เมาอาบน้ำหรือยัง”

                “ม่าย ม่ายอาบ รอคุยกับ...คุณหญ่าย”

                “แล้วทำไมต้องรอคุยกับคุณใหญ่ด้วยล่ะ”

               อริญชย์ปะเลาะถามราวกับพิชญ์เป็นเด็กน้อย ขณะที่ปลายนิ้วก็กดบันทึกเสียงสายสนทนาด้วยความว่องไว เผื่อคนเมาจะเผลอหลุดอะไรออกมาให้เขาได้ชื่นใจ ให้สาสมกับที่ต้องห่างกันหลายวัน แต่คราวนี้พิชญ์เงียบอยู่นาน จนเขาต้องกระซิบเรียกเสียงต่ำ

                “พีท...พีท...”

                “อื้อ...พีทง่วง...”

                “แล้วไม่คุยกับคุณใหญ่แล้วหรือ”

                “ม่าย...จะนอน...”

               แล้วสายก็ถูกตัดทิ้งไป ทิ้งให้อริญชย์ได้แต่ถือโทรศัพท์ค้าง ทั้งฉิวทั้งขัน แต่ก็ทำอะไรกับเจ้าตัวแสบของเขาไม่ได้ ได้แต่ฝากคำพูดให้ลอยกลับไปหาอีกคน ที่ป่านนี้คงจะนอนหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว

                “หลับฝันดีนะ พีท...”



.



               อริญชย์มาถึงฮ่องกงวันที่สามแล้ว วันนี้เขามีงานเลี้ยงตอนเย็นที่โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน ตอนเช้าหลังจากตื่นนอนและจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับขึ้นห้องมาจัดการเช็กอีเมลและเคลียร์งานบางส่วนที่รอเขาอนุมัติทางอีเมล จนกระทั่งสาย ๆ อริญชย์ถึงหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาพิชญ์ ประเทศไทยน่าจะประมาณเก้าโมงกว่า ซึ่งเขาคิดว่าพิชญ์น่าจะตื่นแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินพิชญ์สูงไป

               อริญชย์รอสายอยู่นานกว่าจะมีคนรับ แถมพอรับสายแล้วยังกรอกเสียงงัวเงียปนหงุดหงิดกลับมา

                “ครับ...”

                “ยังไม่ตื่นอีกหรือไง”

               เหมือนอริญชย์จะได้ยินเสียงขยับตัวมาจากทางปลายสาย ซักพักก็มีเสียงเสียดสีกันของผ้าห่ม

                “โทรมาแต่เช้าเชียว คุณใหญ่” พิชญ์บ่นอุบมาตามสายเมื่อถูกโทรปลุก

                “ฉันยังไม่ได้คาดโทษนายเลยนะ ที่เมื่อคืนเมาแอ๋กลับมา”

                “รู้ได้ยังไง” แล้วปลายสายก็จิ้มดูโทรศัพท์ตัวเอง ก่อนจะโวยวายออกมาอีกรอบ “นี่ผมโทรหาคุณดึก ๆ ดื่น ๆ เลยหรอ สงสัยจะเมามากจริง ๆ”

                “ใช่ แล้วยังพูดมากอีกด้วย”

                “หมายความว่ายังไง”

               อริญชย์ยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะนั่งจ้องเงาตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงา

                “ฉันก็ตกใจที่นายโทรมา แล้วก็บอกว่าคิดถึงคุณใหญ่ เมื่อไหร่จะกลับ พีทรัก...”
               ตู๊ด ๆ ๆ ปลายสายกดตัดสายเขาทิ้งไปแล้วอย่างไม่ไยดี แต่อริญชย์ไม่ยักโกรธ เขาเพียงแค่หัวเราะหึ ๆ ก่อนจะกดส่งข้อความไปหาพิชญ์ ที่ป่านนี้คงนอนเอาหน้ามุดผ้าห่มไปแล้ว

                ...จะไปไหนอย่าลืมเอาตุลย์หรือกริชไปด้วย ดูแลตัวเองดี ๆ...

               หลังจากส่งข้อความไปไม่นาน พิชญ์ก็ตอบกลับมาด้วยความรวดเร็ว

                ...ครับ...

               อริญชย์ส่ายหัวให้กับข้อความสั้น ๆ ของพิชญ์ เขาเคลียร์งานจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกจากโรงแรม บอดี้การ์ดสองคนรีบมาเดินประกบ อริญชย์ให้คนขับรถขับไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งของฮ่องกง ตั้งใจจะซื้อของเล่นกลับไปฝากน้องหนู

               หลังจากเลือกดูแผนกเสื้อผ้ากับแผนกของเล่นเด็กอยู่เกือบสองชั่วโมงเต็ม อริญชย์ก็เดินออกมาพร้อมถุงกระดาษเต็มสองมือ หลังจากนั้นก็เดินเข้าแผนกสตรีต่อ อริญชย์เลือกซื้อผ้าพันคอแคชเมียร์อย่างดีผืนหนึ่งฝากแม่พลอย พอจ่ายเงินเสร็จแล้วก็เดินเข้าร้านแบรนด์เครื่องหนังจากอิตาลียี่ห้อหนึ่ง เขากวาดสายตาดูอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลือกกระเป๋าเงินกับเข็มขัดไปให้พิชญ์ ซึ่งเดี๋ยวพอเจ้าตัวรู้ราคาเข้า มีหวังต้องบ่นเขาหูชาแน่ ๆ

               พอซื้อของฝากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อริญชย์ก็ให้ทางห้างสรรพสินค้าเป็นธุระจัดส่งข้าวของทั้งหมดไปที่โรงแรมให้เขา ส่วนตัวเขาเองเลือกนั่งพักที่ร้านกาแฟบริเวณชั้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ที่หันหน้าออกถนนสายหลัก

               อริญชย์เพิ่งจะจิบกาแฟแค่สองอึก เขาก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยเดินอยู่ด้านนอก เป็นราชันย์กับปฐพี เขานั่งมองดูทั้งคู่นิ่ง ๆ ผ่านกระจกใสของร้าน อริญชย์มองเลยผ่านปฐพีไป ลอบจับสังเกตอารมณ์บนใบหน้าของราชันย์ยามอยู่กับปฐพี แม้จะยังเป็นราชันย์คนเดิมที่เขารู้จัก แต่อากัปกิริยาที่เอียงคอลงเพื่อฟังคนข้าง ๆ พูด รวมถึงท่าทางนิ่ง ๆ เหล่านั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าราชันย์เองก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับปฐพีอยู่ไม่มากก็น้อย

               แม้อริญชย์จะเคยเห็นท่าทางเหล่านี้ของราชันย์ยามอยู่กับอธิษฐ์ แต่มันกลับให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน อย่างน้อยสายตาของราชันย์ยามมองปฐพีก็ต่างจากอธิษฐ์ เขาพลันรู้สึกว่าราชันย์อาจจะต้องพบเจอกับเรื่องยุ่งยาก ถ้าหากเจ้าตัวตัดสินใจที่จะปล่อยปฐพีไปจริง ๆ

               อริญชย์มองจนราชันย์กับปฐพีเดินหายเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งแล้วถึงถอนสายตากลับมา ตัวเขาเองก็ต้องเตรียมตัวเดินไปซื้อขนมที่พิชญ์ฝากให้ซื้อกลับไปให้คนอื่น ๆ เสร็จแล้วจะได้กลับโรงแรมเพื่ออาบน้ำแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงเย็นนี้

               เรื่องของเขาเอง...เขายังแก้ไม่ได้เลย

               เรื่องของราชันย์...ฝ่ายนั้นก็คงต้องหาทางแก้เอง



.


หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 34 ลักพาตัว --- หน้าที่ 8 [13/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 13-09-2020 16:07:36


               เนื่องจากเมื่อวานที่เลี้ยงฉลองกับพนักงาน พิชญ์ดื่มหนักมากจนเขาเองยังงงว่ากลับมาถึงห้องได้ยังไง วันนี้หลังจากอริญชย์โทรมาปลุกตอนเช้าแล้ว พิชญ์ก็หลับต่อ ตื่นมาอีกทีก็เกือบเที่ยงพร้อมอาการปวดหัวตุบ ๆ เขานอนแผ่นิ่ง ๆ อยู่บนเตียง อาการเมาค้างเล่นงานเขาเสียหมดสภาพ

               เมื่อเช้าคุ้น ๆ ว่าเหมือนอริญชย์จะโทรมาหาเขารอบหนึ่ง แต่พิชญ์กำลังง่วง ๆ งง ๆ เขาเลยไม่มั่นใจว่าอริญชย์โทรมาหาเขาจริง ๆ หรือเขาเมามากจนเก็บไปฝัน พิชญ์ควานหาโทรศัพท์มือถือตัวเองมากดดูก่อนจะพบว่าอริญชย์โทรมาหาเขาจริง ๆ ขณะกำลังจับต้นชนปลายอยู่ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นเบา ๆ แม่พลอยเปิดประตูห้องนอนพิชญ์เข้ามาพร้อมถาดข้าวต้มในมือ

               พอเห็นว่าเป็นแม่พลอย พิชญ์ก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะต้องร้องอูยเมื่ออาการปวดหัวแล่นวาบจนเกือบหน้ามืด

                “ใจเย็น ๆ พีท” แม่พลอยเอ็ดลูกชายคนเดียวก่อนจะวางถาดข้าวต้มลงบนโต๊ะตัวเล็ก แล้วเดินมาหาลูกชายพลางบ่น “เมาเสียจนหมดสภาพเลยนะเรา น่าเกลียดจริง”

                “นาน ๆ ทีเองแม่ เห็นเขาสนุกกันก็เลยดื่มเพลินไปหน่อย”

                “ดูสิ แล้วก็ตื่นเอาเกือบเที่ยง แถมยังปวดหัวอีก” ถึงจะเอ็ดเสียงดุ แต่แม่พลอยก็ยกมือขึ้นอังหน้าผากลูกชายดู พอเห็นว่าไม่มีไข้ มีแค่อาการมึนหัวก็ค่อยเบาใจหน่อย

                “น่า อย่าบ่นเลยแม่ แล้วทำไมแม่ถึงยกขึ้นมาเองล่ะ ให้เด็กยกขึ้นมาให้ก็ได้นี่”

                “แค่ยกข้าวขึ้นมาให้ลูกตัวเอง ทำไมแม่ต้องใช้คนอื่นด้วยฮึ เดี๋ยวนี้เป็นคนใหญ่คนโต แล้วขี้เกียจเหรอเราน่ะ” แม่พลอยว่าพลางตีมือลูกชายเบา ๆ ไม่แรงนัก

                “โธ่ เปล่าเสียหน่อย พีทก็ยังเป็นลูกแม่คนเดิมนะ” พิชญ์แกล้งร้องโอดโอยไม่จริงจังนัก

                “ดูท่าทาง วันนี้ลูกแม่คงได้นอนทั้งวันแน่ ๆ เดี๋ยวแม่จะออกไปข้างนอกไปซื้อของมาทำขนมให้น้องหนู พีทอยากกินอะไรไหม แม่จะได้ซื้อของมาทำให้พีทด้วยเลย”

                “อยากกินบัวลอยไข่หวาน แม่ทำให้พีทกินหน่อย”

                “ดีเลย เดี๋ยวแม่จะได้ให้น้องหนูมาช่วยกันนั่งปั้นบัวลอย”

                “สนุกน้องหนูเขาล่ะ แล้วนี่แม่จะไปเลยเหรอ”

                “ใช่สิ แม่ว่าจะรีบไปรีบกลับ แม่พาน้องหนูไปกับแม่ด้วยนะ”

                “ตามสบายเลยครับ เอานวลไปด้วยนะแม่ แล้วให้กริชขับรถไปให้” พิชญ์จำข้อความที่อริญชย์กำชับไว้ได้ เลยไม่วายกำชับผู้เป็นแม่อีกทอดหนึ่ง

                “เราก็นอนพักเยอะ ๆ ล่ะ เดี๋ยวตอนเย็นแม่หมดแรง พีทจะได้มาเล่นกับลูกต่อ แม่ไปละ”

               พิชญ์หัวเราะขำคำพูดของแม่พลอย พอแม่พลอยเดินออกจากห้องไปแล้ว เขาก็ยกชามข้าวต้มขึ้นมากิน แค่ตักเข้าปากคำแรกก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือแม่พลอย ไม่ใช่ฝีมือป้าน้อย สงสัยแม่เขาจะแย่งงานป้าน้อยทำแน่ ๆ พิชญ์คิดพลางตักเข้าปากอีกคำ รสมือแม่ ถึงไม่ได้กินนานก็ยังจำได้ และคิดถึงอยู่เสมอ

               พิชญ์ตักข้าวต้มเข้าปากคำแล้วคำเล่าจนหมด แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองให้สดชื่น ใช้เวลาไม่นาน พิชญ์ก็จัดการกับตัวเองเรียบร้อย เขาคิดว่าวันนี้ตัวเองคงไม่ได้ออกไปไหน เลยเลือกชุดลำลองง่าย ๆ

               ตอนเดินลงมาข้างล่าง บ้านดูเงียบเชียบ ป้าน้อยกำลังสาละวนเตรียมของว่างอยู่ในครัว ส่วนเด็กรับใช้คนอื่น ๆ ต่างคนต่างทำงานของตัวเองไป พิชญ์มองหาแล้วไม่เจอตุลย์ แต่เห็นว่าเป็นวันหยุด เขาเลยคร้านที่จะถามหาอีกฝ่าย อีกอย่างเมื่อคืนตุลย์ก็กลับมาพร้อมกับเขา วันนี้อาจจะตื่นสายเหมือนกันก็ได้ คิดได้แบบนั้นพิชญ์เลยนั่งแล้วหยิบหนังสือพิมพ์ของวันนี้มาอ่านตามความเคยชิน

               พิชญ์นั่งอ่านคอลัมน์วิเคราะห์เศรษฐกิจไปได้ครึ่งทาง เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็ดังแทรกความเงียบเข้ามา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อชำเลืองตามองแล้วเห็นว่ากริชเป็นคนโทรเข้ามา คงจะถามว่าเขาอยากได้อะไรจากข้างนอกหรือเปล่าล่ะมั้ง พิชญ์คิดก่อนจะรับสาย

                “ว่าไงกริช”

                “คุณพีท คุณแม่คุณพีทกับคุณหนูหายไปครับ”

               พอกริชพูดจบ พิชญ์ก็เกือบทำโทรศัพท์ในมือร่วง เขาทำอะไรไม่ถูกจนเผลอกำโทรศัพท์แน่น ขณะเอ่ยถามกริชกลับไปด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นเสียงตะคอก

                “หายไปได้ยังไง”

                “คุณท่านพาคุณหนูไปเข้าห้องน้ำครับ ผมกับนวลเห็นว่านานแล้วยังไม่ออกมาเสียที นวลเลยเข้าไปตามในห้องน้ำ แต่ก็ไม่เจอใครแล้ว ผมกับนวลลองหากันรอบ ๆ แถวนี้แล้วก็หาไม่เจอครับ”

               พิชญ์พยายามควบคุมอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอาไว้ เวลานี้เขาต้องมีสติ แต่มันช่างดูยากลำบากเหลือเกิน เมื่อได้รู้ว่าแม่แท้ ๆ และลูกสาวคนเดียวหายตัวไป

                “ให้รปภ.ของทางห้างช่วยหา แล้วก็ให้ประชาสัมพันธ์ประกาศหาอีกทางด้วย เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์หาแม่พลอยดู” เอ่ยสั่งการเสร็จพิชญ์ก็ตัดสายทันที ไม่รอช้าแม้เพียงวินาทีเดียว

               พิชญ์กดหมายเลขแม่พลอยที่เขาจำได้ขึ้นใจก่อนจะโทรออก เสียงรอสายดังอยู่นานก็ไม่มีใครรับ พิชญ์เพียรพยายามโทรอีกครั้ง คราวนี้ปลายสายตัดสายทิ้ง แต่เขายังไม่หมดความพยายาม เขาโทรไปอีกรอบ แล้วคราวนี้พิชญ์ก็เกือบจะเป็นฝ่ายเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือทิ้งเสียเอง ปลายสายปิดเครื่องหนีไปแล้ว ดวงตาของพิชญ์ลุกโชนด้วยความโกรธ เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้จินตนาการถึงเรื่องร้าย ๆ เวลานี้เขาต้องมีสติ

               พิชญ์ลองโทรเข้าเบอร์แม่พลอยอีกรอบ อย่างที่คิดเอาไว้ โทรศัพท์ถูกปิดเครื่องไปแล้ว พิชญ์ยืนหน้าตาน่ากลัวอยู่กลางห้องรับแขก สมองประมวลผลด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโทรหาตุลย์แทน พออีกฝ่ายรับสาย เขาก็เอ่ยสั้น ๆ แต่บังคับอยู่ในที โดยไม่ยอมให้อีกฝ่ายเอ่ยปากปฏิเสธ

                “คุณตุลย์ ผมมีเรื่องด่วนให้ช่วย มาหาผมที่ห้องรับแขกที”

               ไม่ถึงห้านาที ตุลย์ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าพิชญ์ ตอนที่ตุลย์เดินเข้ามา เขาเห็นพิชญ์กำลังเดินงุ่นง่านไปมาไม่หยุด ท่าทางพิชญ์ดูกระสับกระส่ายจนไม่สมกับเป็นพิชญ์ ทำเอาเขาอดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น

                “คุณพีท...”

               พอได้ยินเสียงเรียกของตุลย์ พิชญ์ก็สะดุ้ง ก่อนเขาจะก้าวพรวดเข้ามาหาตุลย์ พิชญ์จับแขนตุลย์ไว้แน่นเหมือนเป็นหลักยึด ขณะพยายามเรียบเรียงถ้อยคำแล้วเอ่ยออกมา

                “คุณตุลย์ ช่วยผมหน่อย แม่...” พิชญ์เอ่ยถึงแม่ออกมาแล้วก็รู้สึกจุกในอก เขากลั้นก้อนสะอื้นลงไปก่อนจะเอ่ยต่อให้จบ “แม่กับน้องหนูหายไป ช่วยตามหาให้ที”

               ตุลย์ขมวดคิ้วฉับ ลางสังหรณ์ร้าย ๆ ของเขากำลังทำงาน บ่งบอกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แต่เขาก็ยังเอ่ยถามพิชญ์ออกไป

                “คุณพีทเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังหน่อย ผมจะได้รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน”

               พิชญ์เล่าว่าแม่พลอยพาน้องหนูออกไปซื้อของมาทำขนมด้วยกัน เขากำชับแล้วให้พากริชกับนวลไปด้วย กริชจะได้คอยขับรถให้ ส่วนนวลจะได้ช่วยดูแลน้องหนู แต่เมื่อซักครู่กริชโทรมาหาเขาว่าทั้งแม่พลอยและน้องหนูหายไปทั้งคู่ พอวางสายจากกริช เขาก็ลองโทรหาแม่พลอย ก่อนจะพบว่าปลายสายปิดเครื่องหนีไปแล้ว

               ฟังที่พิชญ์เล่าจนจบ หน้าตุลย์ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะอาศัยจังหวะที่อริญชย์ไม่อยู่ลงมือ และที่สำคัญ...เลือกลงมือกับเด็กและคนแก่แบบไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ

                “ผมเอาคนออกไปช่วยตามหาแม่พลอยกับคุณหนูได้ แต่คุณพีทต้องโทรบอกคุณใหญ่ก่อน”

               พิชญ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ตอนนี้เขาทั้งอยากโทรหาอริญชย์และไม่อยากโทรหาในเวลาเดียวกัน เขาอยากเอาปัญหาที่เจอไปให้อริญชย์ช่วยแก้ เพราะอริญชย์มักจะมีทางออกและวิธีที่ดีให้กับเขาเสมอ แต่ขณะเดียวกันพิชญ์ก็รู้สึกว่าเขาควรจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง ตอนนี้อริญชย์อยู่ที่ฮ่องกง อย่างน้อยเขาควรให้อริญชย์เจรจาธุรกิจให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วถึงค่อยเอาปัญหาไปให้

                “ผมต้องโทรหาคุณใหญ่ด้วยเหรอ รอคุณใหญ่กลับมาแล้วผมค่อยบอกคุณใหญ่ได้ไหม”

               ตุลย์ส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อเห็นอาการดื้อดึงของพิชญ์ ก่อนที่เขาจะเอ่ยอธิบายออกมา

                “คุณใหญ่ฝังเครื่องติดตามตัวคุณหนูไว้ที่จี้ที่คุณหนูใส่ มีแค่คุณใหญ่คนเดียวที่รู้ว่าตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน คุณพีทต้องให้คุณใหญ่เช็กจากโทรศัพท์มือถือครับ แล้วผมจะได้พาคนออกไปตามหา”

               เป็นอีกครั้งที่พิชญ์ต้องยอมรับในความรอบคอบของอริญชย์ ถ้าหากว่าเป็นเขา เขาคงคิดไม่ถึงแน่ ๆ เร็วกว่าที่ใจคิด มือเขาก็กดโทรออกหาอริญชย์ทันที



.



               งานเลี้ยงที่อริญชย์มาร่วมงานด้วยตอนกลางคืน จัดขึ้นที่ห้องบอลรูม โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน เขามาถึงก่อนราชันย์เล็กน้อย ฝ่ายหลังมาพร้อมกับคุณนายหลิน ทันทีที่คุณนายหลินเยื้องย่างเข้างานมาพร้อมลูกชายคนเดียว ทุกสายตาในงานก็พร้อมใจกันหันมาจับจ้อง

               ยามเดินผ่านอริญชย์ที่ยืนอยู่ด้านขวามือ คุณนายหลินก็คลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ พลอยทำให้อริญชย์นึกถึงบทสนทนาที่แมนชั่นเมื่อวาน เพราะคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง คุณนายหลินถึงได้เอ่ยออกมากับเขาตรง ๆ ต่อหน้าราชันย์ที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องส่วนตัวของคุณนายหลิน

                ‘ถ้าไม่ติดว่าน้องสาวเธอแต่งงานแล้ว ฉันก็อยากจะสู่ขอมาให้ลูกชายฉัน น่าเสียดาย...’

               แม้อริญชย์เองจะเคยคิดอยากให้ราชันย์เอ็นดูอธิษฐ์ แต่ถ้าหากเป็นไอลดา เขานึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าชีวิตคู่ของไอลดากับราชันย์จะเป็นยังไง แน่นอนว่าแม้แต่ตัวราชันย์เอง ตอนได้ยินคุณนายหลินเอ่ยออกมาแบบนั้นยังอดทำหน้าประหลาดไม่ได้

               อริญชย์หันมาจดจ่อกับงานตรงหน้า รัศมีและบารมีของคุณนายหลินที่อยู่เบื้องหน้า ทำเอาเขาคิดว่าโชคดีแล้วที่ไอลดาเลือกแต่งงานกับคนธรรมดาอย่างพิชญ์ คนที่เลือกแต่งงานกับราชันย์แล้วเข้ามาเป็นสะใภ้คุณนายหลินก็คือเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจคุณนายหลินดี ๆ นี่เอง ซึ่งไอลดาคงไม่เหมาะนัก ไอลดาถูกเขาเลี้ยงมาอย่างอิสระ ปล่อยให้ทำอะไรตามใจตัวเองมาตลอด เธอไม่เหมาะกับครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย

               หลังจากพาผู้เป็นแม่เดินไปส่งตรงที่นั่งวีไอพีแล้ว ราชันย์ก็เดินกลับมาหาอริญชย์ ในมือต่างคนต่างถือแก้วไวน์เอาไว้ แล้วจิบทีละนิด อริญชย์เห็นบรรยากาศตรงหน้าก็อดเอ่ยถามราชันย์ไม่ได้

                “มึงไม่คิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นการถาวรหรือไง”

                “ไม่ล่ะ ขี้เกียจพูดภาษาจีน”

               ฟังเหตุผลของเพื่อนแล้วอริญชย์ก็ถึงกับส่ายหัวออกมา เขายืนสังเกตบรรยากาศรอบงานอยู่กับราชันย์ พอเห็นว่าตอนนี้บรรดาแขกคนสำคัญยังมาไม่ถึงกัน เลยถือโอกาสเดินออกไปเข้าห้องน้ำ

               ตอนอยู่ในงาน อริญชย์รู้สึกเหมือนโทรศัพท์เขาน่าจะสั่น แต่เนื่องจากไม่มีจังหวะ เขาเลยยังไม่ได้รับสาย รอจนกระทั่งเข้าห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว อริญชย์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นว่าเป็นพิชญ์โทรมาถึงห้าครั้ง เขาก็อดสงสัยปนสังหรณ์ใจไม่ดีไม่ได้ อริญชย์รีบโทรกลับหาพิชญ์ เสียงรอสายดังเพียงครั้งเดียว พิชญ์ก็กดรับสายทันที ราวกับว่ากำลังรอให้เขาโทรกลับมาอยู่ตลอด

                “คุณใหญ่...” เสียงของพิชญ์สั่นเครือจนคนฟังอย่างเขาถึงกับตกใจไปด้วย รีบร้อนถามออกไปด้วยความเป็นห่วง

                “เป็นอะไรพีท เกิดอะไรขึ้น”

                 “แม่กับน้องหนูหายไป ผมโทรหาแล้ว โทรศัพท์ถูกปิดเครื่อง คุณใหญ่ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่าตอนนี้แม่กับน้องหนูอยู่ที่ไหน”

                อริญชย์นิ่งไปตั้งแต่ประโยคแรก แต่ประสบการณ์สอนให้เขาเป็นคนมีสติ เขากดเปิดแอปพลิเคชั่นจากโทรศัพท์มือถือ รอสัญญาณอยู่ซักครู่ก็เห็นตำแหน่งที่ตั้งของน้องหนู อริญชย์ไม่รอช้า เขารีบกดส่งข้อมูลจากแอปพลิเคชั่นให้ตุลย์ทันที

                 “ใจเย็น ๆ นะพีท ฉันส่งให้ตุลย์แล้ว ตุลย์รู้ว่าจะต้องจัดการยังไงต่อ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับไป”

                ดูเหมือนพิชญ์จะไม่มีอารมณ์มาฟังเขาแล้ว เจ้าตัวกดตัดสายไปทันที คาดว่าคงจะไปไล่เอากับตุลย์ต่อ พอวางสายจากพิชญ์แล้วอริญชย์ก็เพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเอง จากพิกัดที่โชว์ในแอปพลิเคชั่น ตอนนี้น้องหนูไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯแล้ว สายตาของอริญชย์เปลี่ยนเป็นดุดันทันที เขากดดูไฟล์ทบินกลับกรุงเทพฯ คืนนี้ ตอนนี้ยังเหลือไฟล์ทอยู่ เพียงแต่เขาต้องรีบออกจากงาน อริญชย์สอดโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง ขณะสาวเท้าเร็ว ๆ กลับเข้าไปในงาน ตรงไปหาราชันย์ที่ยืนอยู่

                 “เล้ง เดี๋ยวกูจะกลับแล้วนะ”

                 “มึงจะรีบไปไหน เดี๋ยวแม่กำลังจะแนะนำให้มึงรู้จักกับตระกูลถัง โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ นะ”

                 “น้องหนูถูกลักพาตัวไป กูจะบินกลับไทยคืนนี้”

                คราวนี้ราชันย์ถึงกับเป็นฝ่ายชะงักไป ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเสียงเคร่งเครียดไม่แพ้กัน

                 “อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของ...”

                 “กูไม่รู้ แต่ที่รู้คือกูต้องกลับไปจัดการปัญหาทั้งหมด ที่เหลือฝากมึงด้วยนะ กูจะรีบไปสนามบินแล้ว”

                 “ได้ ๆ ถ้าอยากให้ช่วยอะไร มึงบอกกูนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้กูรีบตามกลับไป”

                อริญชย์พยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากงาน ระหว่างทางก็กดโทรศัพท์หาบอดี้การ์ดให้เรียกคนขับรถมา เขาต้องรีบกลับไปโรงแรมเพื่อเก็บของ หลังจากนั้นก็ตรงไปสนามบินเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วเดินทางกลับคืนนี้

                เขายังไม่อยากตัดสินว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวน้องหนูครั้งนี้จะเป็นรัญญา ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้จะมีมากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ หากคราวนี้รัญญาเป็นคนก่อเรื่องอีก เขาคงปล่อยเธอไว้ไม่ได้จริง ๆ คราวที่เกิดเรื่องกับอธิษฐ์ เป็นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นน้องสาวคนเดียวของราชันย์ เขาถึงได้ต้องการแค่คำขอโทษกับลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากคราวนี้น้องหนูเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้ต้องล้มหมากทุกกระดานที่วางแผนกับราชันย์มา เขาก็จะไม่มีทางยอมปล่อยรัญญาไปแน่ ๆ

                คล้อยหลังจากที่อริญชย์เดินออกจากงานไป ราชันย์ที่ยืนนิ่งมองตามหลังเพื่อนค่อย ๆ ถอนสายตากลับมา เขาล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขของคนสนิทที่ถูกบันทึกอยู่อันดับต้น ๆ รอจนกระทั่งฝ่ายนั้นเอ่ยรับสาย เขาก็กรอกเสียงลงไป

                 “ฉันเองนะ ปกรณ์...”

                 “ครับเฮีย ผมจัดการทุกอย่างตามที่คุยกันเรียบร้อยแล้วนะครับ”

                 “ดี! ปล่อยข่าวตามที่ฉันสั่งแล้วใช่ไหม...” เขาเว้นช่วงอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “จับตาดูทางนั้นดี ๆ ไอ้ใหญ่กำลังจะกลับไป”





TO BE CONTINUE



พอคุณใหญ่ไม่อยู่ปุ๊บ เกิดเรื่องปั๊บเลย
เรื่องนี้มีเขียนเก็บสต็อกไว้บางส่วน แต่ไม่เยอะมาก
พอเริ่มถึงตอนที่ขึ้นเลข 4 ก็แอบปริ่มนิด ๆ
ไม่คิดว่าจะกลับมาเขียนจนจบ หลังจากหยุดเขียนไปเกือบ 4 ปี
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ และทุกคนที่คอยติดตามมาก ๆ เลยค่ะ

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 34 ลักพาตัว --- หน้าที่ 8 [13/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-09-2020 22:34:24
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 34 ลักพาตัว --- หน้าที่ 8 [13/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 15-09-2020 16:53:24
เรื่องเริ่มจะวุ่นวายแล้ว
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 34 ลักพาตัว --- หน้าที่ 8 [13/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-09-2020 02:05:25
โอ๊ยยยยยยยยอะไร๊ไม่เคลียร์ จับตาดูทางไหนกันแน่ ฝั่งนั้นหรือฝั่งตัวเอง แต่ไม่ว่าจะฝั่งไหนมาเล่นกับน้องหนูและแม่พลอยแบบนี้ คงคิดมาดีแล้วสินะว่าจะเจอจุดจบแบบไหน หึหึ! *แสยะยิ้ม*  o18 //คนนอกน่ะมองออกว่าสายตาที่ราชันย์มองกลางกับดินมันต่างกัน แต่ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ไหมนั่นนะสิ  :mew2: // :-[ เขินมากอ่ะ ฉากพีทเมาแล้วรั่วคุยโทรศัพท์กับคุณใหญ่ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะบางคน  :o8: 5555 //จะเป็นยังไงต่อไป ลุ้นๆจะช่วยยังไง ใครมันจับตัวไป ขอบคุณนะคะที่มาต่อ สนุกมากกกก ชอบ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 34 ลักพาตัว --- หน้าที่ 8 [13/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 20-09-2020 21:42:39
ขอให้น้องหนูและคุณย่าปลอดภัยนะคะ  :katai1:
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 35 ทะเลาะ --- หน้าที่ 8 [27/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 27-09-2020 12:57:20
สามสิบห้า
ทะเลาะ





               หลังจากอริญชย์ส่งพิกัดของน้องหนูเข้าโทรศัพท์มือถือของตุลย์ ตุลย์ก็สั่งลูกน้องให้เตรียมตัวออกเดินทางตามพิกัดที่อริญชย์ส่งมาทันที ขณะที่ตัวเขาเองเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นและประสานงานกับทีมต่าง ๆ หลังจากจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็หันมามองพิชญ์ที่เดินตามติดเขาตลอดเวลาเหมือนเงาตามตัว ตั้งแต่วางสายจากอริญชย์จนกระทั่งตอนนี้

                “ผมเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะออกเดินทางเลย คุณพีทรออยู่ที่นี่นะ ผมจะคอยส่งข่าวมาเป็นระยะ”

                “ไม่ครับ ผมจะไปด้วย” พิชญ์ปฏิเสธเสียงแข็งทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

                “คุณพีท...” ตุลย์เรียกชื่อพิชญ์เสียงนิ่ง ๆ เป็นเชิงปราม

               แม้จะรู้ว่าพิชญ์เป็นห่วงแม่พลอยและน้องหนู ตุลย์ก็ไม่อยากพาพิชญ์ไปเสี่ยงกับเขา แต่ดูเหมือนพิชญ์จะไม่ยอมรับความหวังดีของตุลย์แม้แต่น้อย

                “ให้ผมไปด้วยเถอะคุณตุลย์ ผมอยากเห็นกับตาตัวเองว่าแม่กับน้องหนูปลอดภัย”

                “แต่ว่า...”

                “ถ้ากลัวว่าจะมีปัญหากับคุณใหญ่ เดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง”

               สุดท้ายแล้วตุลย์ก็ต้องพยักหน้ารับด้วยความจำใจ เขาเดาว่าหลังจากอริญชย์รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้แล้ว เจ้านายเขาน่าจะจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบเดินทางกลับมาเลย ตุลย์ส่งข้อความหาอริญชย์ว่าพิชญ์อยู่กับเขา เอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากเอาพิชญ์ไปด้วยเลย แค่ปล่อยแม่พลอยกับน้องหนูโดนลักพาตัว เขาก็มีความผิดติดตัวแล้ว เกิดพิชญ์เป็นอะไรขึ้นมาอีกคน อย่าว่าแต่ตำแหน่งลูกน้องดีเด่นเลย มีหวังทั้งเงินเดือนทั้งโบนัสปีนี้เขาคงไม่เหลือ เผลอ ๆ จะถูกอริญชย์เล่นงานเสียอีก

               หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็ออกเดินทางพร้อมพิชญ์ ตุลย์ขับรถด้วยตัวเอง มีพิชญ์นั่งอยู่ข้าง ๆ ข้างหลังมีรถขับตามมาอีกสามคัน แต่ละคันคือลูกน้องที่ตุลย์พามาด้วย รวมกันแล้วก็มีคนตามมาอีกราวสิบคน

               ระหว่างขับรถ ตุลย์ก็ลอบมองพิชญ์ที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาเป็นระยะ แม้พิชญ์จะแสร้งทำท่าทางเข้มแข็ง แต่เขาก็สังเกตเห็นความกังวลของพิชญ์ยามเจ้าตัวนั่งกำมือสองข้างแน่น ตุลย์ขับตามจีพีเอสบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติ พิชญ์หันหน้ามองสองข้างทางแล้วก็นึกกังวล ตอนนี้เขากับตุลย์กำลังจะออกนอกตัวกรุงเทพฯแล้ว จุดที่แม่พลอยและน้องหนูถูกจับตัวเอาไว้ดูไกลกว่าที่เขาคิด

                “คุณตุลย์ แม่พลอยกับน้องหนูจะยังปลอดภัยดีอยู่ใช่ไหม” พิชญ์ถามคำถามที่เขากลัวที่สุดออกไป

                “ถ้าถามผม ผมเชื่อว่าคุณท่านกับคุณหนูยังปลอดภัยดีอยู่ครับ คนที่ลักพาตัวคุณท่านกับคุณหนูน่าจะมีจุดประสงค์อย่างอื่นมากกว่า”

               ตอนแรก พิชญ์ก็คิดว่าการจับตัวแม่พลอยกับน้องหนูไปคงเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ แต่ถ้าอยากจะเรียกค่าไถ่จริง ๆ ฝ่ายนั้นน่าจะรีบติดต่อเขามาแล้วยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับตัวประกัน แต่สิ่งที่พวกนั้นทำคือการเงียบ มิหนำซ้ำยังตัดการติดต่อ ยิ่งพลอยทำให้พิชญ์กระวนกระวายมากกว่าเดิม

                “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่คุณตุลย์บอก”

               พิชญ์นั่งนิ่ง จมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง แต่ละนาทีที่ผ่านไปช่างเนิ่นนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ พิชญ์จิกเล็บลงกลางฝ่ามือของตัวเอง เขาพยายามคิดหาต้นสายปลายเหตุของการลักพาตัวครั้งนี้ แต่พิชญ์ก็นึกหาเหตุผลที่คนร้ายพุ่งเป้ามายังเด็กและคนแก่ไม่ออก เว้นเสียแต่ว่า...

               แม่พลอยกับน้องหนูเป็นแค่เหยื่อล่อ

               พิชญ์ถึงกับตัวชาวาบกับความคิดที่เพิ่งแล่นเข้ามาในหัว ตอนนี้เขาได้แต่ภาวนาให้คนร้ายที่จับตัวแม่พลอยกับน้องหนูไปเป็นแค่โจรเรียกค่าไถ่กระจอก ๆ เพราะหากเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังจริง เขาก็เริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไหม พอหันไปเห็นตุลย์ที่อยู่ข้าง ๆ พิชญ์ก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ อย่างน้อยไม่มีอริญชย์ แต่มีตุลย์ก็ยังดี เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เขาคิดถึงอริญชย์ขึ้นมาจริง ๆ

               ถ้าเป็นอริญชย์ อริญชย์คงมีวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีกว่าเขา

                “ใกล้ถึงแล้วครับ”

               เสียงตุลย์ดึงพิชญ์ให้ออกจากภวังค์ความคิด เขากวาดสายตามองรอบ ๆ แล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสูงเตี้ยสลับกัน ดูแล้วห่างออกจากตัวชุมชนมาพอสมควร ยิ่งเย็นย่ำ สองข้างทางก็ยิ่งดูเปลี่ยว พิชญ์เผลอกำมือแน่นกว่าเดิมด้วยความกังวล จนกระทั่งรู้สึกเจ็บถึงได้คลายมือออก

               ตุลย์กดโทรศัพท์โทรออกจากบลูทูธบนรถยนต์ เขาสั่งการลูกน้องที่ตามมาให้ทิ้งช่วงห่างจากเขาเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต มีแค่คันแรกที่ขับตามมาอยู่ห่าง ๆ ส่วนอีกสองคันจอดซุ่มอยู่ห่างออกไปเกือบสิบกิโลเมตร

               หลังจากขับรถต่อมาอีกเกือบห้านาที พิชญ์ก็เพิ่งเห็นบ้านคน มีบ้านหลังหนึ่งสร้างอยู่ติดถนน อีกสองหลังสร้างอยู่กลางทุ่งมีถนนเส้นเล็ก ๆ สำหรับมอเตอร์ไซค์ตัดเข้าไป ตุลย์เปิดไฟฉุกเฉินก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วรถ เขาเอ่ยถามพิชญ์โดยไม่ได้หันกลับมามอง

                “คุณพีท ยิงปืนเป็นใช่ไหม”

               ฟังคำถามของตุลย์แล้วพิชญ์ก็ไม่ได้แปลกใจนัก เขาเอ่ยตอบออกไปตามความจริง

                “พอได้ครับ คุณใหญ่เคยสอน แต่ไม่ค่อยคล่อง”

               ตุลย์จอดรถลงหน้าบ้านหลังที่จีพีเอสนำทางเขามา ก่อนจะเพ่งมองผ่านความมืด มีบ้านอยู่ทั้งหมดสามหลัง เขาไม่มั่นใจว่าแม่พลอยกับน้องหนูอยู่หลังไหน หรือเลวร้ายที่สุดคืออาจจะถูกจับแยกกัน ตุลย์ดับเครื่องยนต์รถแล้วดึงกุญแจส่งให้พิชญ์ เขายัดปืนพกกระบอกเล็กลงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับอุปกรณ์อย่างอื่นอีกสองสามอย่าง

                “เดี๋ยวผมจะเข้าไปก่อน คุณพีทรออยู่บนรถนะครับ ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้กดปุ่มสีแดงนี้แล้วขับรถหนีไปก่อนเลย” ตุลย์ยัดเครื่องมืออันเล็ก ๆ ที่มีปุ่มสองปุ่มใส่มือพิชญ์ก่อนจะเอ่ยออกมาหน้าตาจริงจัง

                “แล้วคุณตุลย์จะเข้าไปคนเดียวเหรอครับ”

                “ไม่ต้องห่วงครับ พอผมเข้าไปได้แล้ว ลูกน้องผมอีกสามคนจะตามเข้าไปทันที”

               ตุลย์พยักเพยิดไปยังรถอีกคันที่จอดอยู่ห่างออกไปแบบไม่ให้ผิดสังเกต ก่อนจะเอี้ยวตัวหยิบปืนพกกระบอกเล็กจากลิ้นชักหน้ารถมายัดใส่มือพิชญ์ แล้วกำชับเสียงจริงจัง

                “เอาไว้ป้องกันตัว เผื่อฉุกเฉินนะคุณพีท”

               น้ำหนักของปืนกระบอกเล็กกดทับลงบนมือพิชญ์ แต่เขาไม่สนใจ ยื่นมือไปยึดแขนเสื้อตุลย์เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยเสียงจริงจังไม่ต่างกัน

                “ผมฝากด้วยนะคุณตุลย์ ถือว่าผมขอร้องก็ได้ ช่วยแม่กับน้องหนูให้ได้นะ”

                “ถึงคุณพีทไม่ขอร้อง ผมก็ต้องช่วยคุณท่านกับน้องหนูออกมาให้ได้อยู่แล้วครับ เชื่อใจผมนะ...”

               พิชญ์พยักหน้ารับ อย่างน้อยตอนนี้พิชญ์ก็เชื่อใจตุลย์มากกว่าตัวเขาเอง พิชญ์มองตุลย์เปิดประตูลงจากรถไป ก่อนอีกฝ่ายจะเดินดุ่มตรงไปเคาะประตูบ้านหลังแรก หลังจากเคาะอยู่นานก็มีคนเปิดประตู คนที่เปิดประตูออกมาคือชายฉกรรจ์หน้าตาดุดัน อีกฝ่ายกวาดสายตามองตุลย์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะทำท่าทางปฏิเสธ ไม่ยอมให้เข้าไปข้างใน พิชญ์ถึงกับใจหายวาบ เขาเผลอกระชับด้ามปืนในมือแน่น ขณะจดจ้องเหตุการณ์ตรงหน้า

               ตุลย์ทำท่าเหมือนจะยอมแพ้แล้วเดินล่าถอยออกมา แต่จังหวะที่ฝ่ายนั้นเตรียมปิดประตูใส่หน้า ตุลย์กลับเอื้อมมือไปจับคอเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้ กระชากเข้ามาหาตัวเขาก่อนจับทุ่มลงกับพื้น พอตุลย์จัดการกับผู้ชายตรงหน้าจนลงไปกองอยู่ที่พื้น ลูกน้องสามคนก็โผล่มายืนข้างหลังเขาราวกับหายตัวได้ พิชญ์ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะนั่งมองตุลย์พร้อมลูกน้องอีกสามคนเดินเข้าไปในบ้าน

               พิชญ์ยังคงนั่งนิ่ง มือกระชับปืนกระบอกเล็กในมือแน่น รอคอยสัญญาณจากตุลย์ เวลาแต่ละนาทีผ่านไปนานเหลือเกินในความรู้สึกของเขา เขาอยากจะเอาแต่ใจตัวเอง วิ่งลงไปดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขาต้องอดทน เพื่อความปลอดภัยของแม่พลอยและน้องหนู ระหว่างที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อนั้น พิชญ์ก็สังเกตเห็นว่ารถอีกคันที่ตุลย์พามาด้วยขับเข้ามาจอดใกล้ ๆ เขาหันไปมองด้วยความสงสัย แม้จะพอเดาออกว่าคงเป็นตุลย์ที่เรียกมา

               ลูกน้องร่างสูงใหญ่สามคนที่เพิ่งมาถึงก้าวลงจากรถ หันมาค้อมหัวให้พิชญ์เล็กน้อยก่อนจะเดินดุ่มเข้าไปในบ้านหลังที่ตุลย์หายเข้าไปก่อนหน้านี้ พิชญ์ยังคงจดจ้องสถานการณ์ตรงหน้านิ่ง กลัวจะพลาดแม้เพียงความเคลื่อนไหวเดียว

               หลังจากผ่านไปอึดใจใหญ่ ๆ ตุลย์ก็เดินออกมาพร้อมลูกน้องสามคนที่เข้าไปพร้อมกันทีแรก พิชญ์จ้องมองตุลย์นิ่ง ตาไม่กระพริบ เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าพิชญ์กำลังมองอยู่ ตุลย์ยกมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะขยับปากเป็นถ้อยคำที่พิชญ์อ่านออกมาได้ว่า

                “ลงมาได้เลยครับ ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”

               พิชญ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ผลุนผลันเปิดประตูลงจากรถ โดยไม่ลืมคว้าปืนพกกระบอกเล็กที่ตุลย์ยัดใส่มือเขาไว้ติดมาด้วย เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปหาตุลย์ แล้วรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

                “แม่พลอยกับน้องหนูล่ะครับ”

                “ไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนั้นครับ พวกมันบอกว่าอยู่บ้านหลังข้างในสุด”

                “แล้วบ้านหลังที่คุณตุลย์เข้าไปเมื่อกี้...”

                 “ผมจัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก เรารีบไปหาคุณท่านกับคุณหนูกันดีกว่าครับ”

                มีถนนเส้นเล็ก ๆ ตัดเข้าไปยังตัวบ้านสองหลังข้างใน พิชญ์กะจากสายตาก็คิดว่าน่าจะประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยเมตรได้ พอเห็นตุลย์เริ่มออกเดิน เขาก็รีบก้าวเท้าตามตุลย์ไปไม่รอช้า พิชญ์ก้าวเท้ายาว ๆ จนเกือบจะกลายเป็นวิ่งแล้วแซงตุลย์ไปข้างหน้าด้วยความร้อนใจ คนสนิทของอริญชย์เห็นดังนั้นเลยต้องรีบเอ่ยปรามพิชญ์

                 “คุณพีท อย่าเพิ่งเข้าไป ให้พวกผมเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยข้างในก่อน”

                ตุลย์คว้าแขนพิชญ์ที่แทบจะพุ่งเข้าไปในตัวบ้านเอาไว้ แล้วหันไปพยักเพยิดให้ลูกน้องที่ตามหลังมาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปข้างในก่อน ลูกน้องสามคนหายไปไม่นานก็ส่งเสียงออกมาบอกว่าข้างในเรียบร้อยแล้ว ตุลย์หันมาพยักหน้าให้พิชญ์ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกัน

                พอเข้ามา พิชญ์ก็เห็นผู้ชายสองคนนอนหมดสติอยู่บนพื้น เขามองผ่านเลยไป ก่อนจะเดินข้ามร่างของอีกฝ่าย แล้วก็เห็นแม่พลอยกับน้องหนูนั่งหมดสติอยู่ที่มุมห้อง สองมือถูกเชือกมัดเอาไว้ ตุลย์ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักกับภาพที่เห็น ก่อนจะเดินนำหน้าพิชญ์เข้าไป เขาหยิบเอามีดเล่มเล็กที่พกมาด้วยขึ้นมาตัดเชือกที่มัดแม่พลอยกับน้องหนูเอาไว้ พิชญ์โผเข้าไปประคองน้องหนูแนบอก

                 “น้องหนู...น้องหนูครับ...” พิชญ์เรียกลูกสาวตัวน้อยเสียงเบา

                 “น่าจะโดนรมยาสลบครับ คงไม่รู้สึกตัวง่าย ๆ” ตุลย์เอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด

                พิชญ์ยอมแพ้แล้วประคองน้องหนูส่งให้ตุลย์ ก่อนจะหันไปดูแม่พลอยที่นั่งหมดสติอยู่ข้าง ๆ แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวราง แต่พิชญ์ก็ยังมองเห็นว่าใบหน้าของแม่พลอยมีรอยฟกช้ำอยู่สามสี่จุด แล้วยังมีรอยฝ่ามือแดงเป็นปื้นบนใบหน้า พิชญ์เห็นแล้วก็ต้องขบกรามแน่นด้วยความโกรธ ขณะเขย่าตัวเรียกแม่พลอย

                 “แม่...แม่...”

                พิชญ์เขย่าอยู่สามสี่ที แม่พลอยถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้สึกตัวขึ้นมา อาการเจ็บปวดจากรอยฟกช้ำก็แล่นวาบจนเผลอร้องออกมา

                 “โอ๊ย...”

                ได้ยินเสียงแม่พลอยร้อง พิชญ์ก็รีบร้อนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หัวใจเจ็บราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบจนเจ็บแปลบ

                 “แม่ เจ็บตรงไหนแม่”

                พอลืมตามาแล้วเห็นเต็มตาว่าเป็นลูกชาย แม่พลอยก็น้ำตารื้นขึ้นมาก่อนจะดึงลูกชายเข้ามากอดแน่น

                 “พีท พีทมาแล้วหรือลูก”

                 “พีทอยู่นี่แล้วแม่ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวเรากลับบ้านกันนะแม่”

                 “แล้วน้องหนูล่ะ น้องหนูปลอดภัยดีไหม” พอรู้สึกตัวขึ้นมา แม่พลอยก็รีบถามถึงหลานสาวตัวน้อยด้วยร้อนใจ

                 “น้องหนูปลอดภัยดีครับ” ตุลย์ที่อุ้มน้องหนูเอาไว้เป็นคนเอ่ยตอบ

                พอแม่พลอยเงยหน้าขึ้นมาเห็นน้องหนูที่อยู่ในอ้อมแขนตุลย์ก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พิชญ์ค่อย ๆ ขยับเข้าประคองแม่พลอยให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล

                 “เดินไหวไหมแม่”

                แม่พลอยพยักหน้าแทนคำตอบ แต่พอขยับเท้าจะก้าวเดิน แข้งขาพลันอ่อนจนเกือบจะล้มพับลงไป โชคดีว่าพิชญ์คว้าเอาไว้ได้ทัน ตุลย์เห็นแล้วเลยหันไปเรียกลูกน้องคนที่ตัวสูงใหญ่ให้เข้ามาช่วยอุ้มแม่พลอย ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยกับพิชญ์

                 “เดี๋ยวเราไปที่รถกันเลยดีกว่าครับ จะได้รีบพาแม่พลอยกับคุณหนูไปเช็กร่างกายที่โรงพยาบาลด้วย”

                พิชญ์ได้ยินแล้วก็ไม่รอช้า รีบเดินตามตุลย์ไปที่รถ พิชญ์เปิดประตูด้านหลังให้ตุลย์อุ้มน้องหนูวางลงบนเบาะ ส่วนลูกน้องคนที่อุ้มแม่พลอยมาก็ค่อย ๆ ประคองแม่พลอยขึ้นรถ ก่อนจะแยกย้ายกันไปที่รถของตัวเอง

                หลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว แม่พลอยก็ดึงน้องหนูเข้ามาโอบไว้ใกล้ตัว ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ความเครียดและเหนื่อยล้าสะสมตลอดทั้งวัน ทำให้ผล็อยหลับไปในที่สุด พิชญ์ที่ตั้งใจจะเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นจากแม่พลอยเลยต้องเก็บกลืนคำถามทั้งหมดลงคอไป

                ขากลับกรุงเทพฯ ตุลย์ยังคงขับรถด้วยความเร็วพอ ๆ กับขามา เขาตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก

                พอถึงโรงพยาบาล แม่พลอยและน้องหนูก็ถูกส่งไปเช็กอาการเบื้องต้น หลังจากตุลย์เดินมาเป็นเพื่อนพิชญ์ จนแม่พลอยกับน้องหนูถูกแยกเข้าห้องตรวจไปแล้ว พิชญ์ก็เห็นตุลย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหน้าตาเคร่งเครียดแล้วเดินเลี่ยงไปทางหนึ่ง เหลือแค่เขานั่งรออยู่หน้าห้องตรวจตามลำพัง

                พิชญ์นั่งรออยู่พักใหญ่ พยาบาลก็เดินออกมาเรียกพิชญ์ให้เข้าไปในห้องตรวจ พิชญ์ยกมือไหว้คุณหมอทีหนึ่งก่อนจะนั่งลงตรงข้าม เอ่ยถามทันทีด้วยความร้อนใจ

                 “อาการของคุณแม่กับลูกสาวผมเป็นยังไงบ้างครับ คุณหมอ”

                 “คุณแม่มีบาดแผลภายนอกและอ่อนเพลียจากการอดอาหาร ยังไงเดี๋ยวคืนนี้ผมให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลแล้วพรุ่งนี้เอ็กซเรย์ดูว่ามีอาการช้ำในหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านได้ครับ”

                 “ครับ เอาตามที่คุณหมอเห็นสมควรเลยครับ”

                 “ส่วนเด็ก เบื้องต้นแกหมดสติเพราะเห็นว่าถูกยาสลบมา ยังไงผมอยากให้นอนโรงพยาบาลให้หมอเด็กเข้ามาดูอาการพรุ่งนี้อีกที กลัวว่ายาที่ได้รับจะมีผลข้างเคียงกับร่างกายของเด็กน่ะครับ ลองตรวจดูอาการหน่อยดีกว่า ทางคุณพ่อไม่ติดอะไรใช่ไหมครับ”

                 “ไม่ติดครับ”

                 “ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตามพยาบาลไปจัดการเรื่องห้องพักได้เลยครับ”

                 “ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ”

                พิชญ์ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะเดินตามพยาบาลออกไปเพื่อจัดการเรื่องห้องพักของแม่พลอยและน้องหนู ตอนเขาเดินออกมาจากห้องตรวจ ตุลย์ก็ยังไม่กลับมา แต่พิชญ์ก็คร้านที่จะสนใจ เวลานี้เขาจดจ่ออยู่แค่เรื่องของแม่พลอยกับน้องหนูเท่านั้น





.


หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 35 ทะเลาะ --- หน้าที่ 8 [27/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 27-09-2020 12:58:05




                หลังจากจัดการเรื่องห้องพักต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็ตรงมาเฝ้าแม่พลอยก่อน เพราะคุณหมอเจ้าของไข้บอกว่ากว่าน้องหนูจะรู้สึกตัวอีกทีคงเป็นพรุ่งนี้เช้าเลย ส่วนแม่พลอย ทางพยาบาลจัดเตรียมอาหารและยาเอาไว้ให้ปล่อยแม่พลอยให้อยู่กับพิชญ์ตามลำพัง พิชญ์ยืนเกาะอยู่ข้างเตียงดูแม่พลอยจัดการกับข้าวต้ม พลางเอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

                 “เป็นยังไงมั่งแม่ รู้สึกดีขึ้นไหม”

                แม่พลอยละสายตาจากข้าวต้มขึ้นมามองหน้าลูกชายคนเดียว ยอมรับว่าทีแรกที่ถูกจับตัวไปเธอก็มีความกลัวและความตกใจ เธออายุปูนนี้เพิ่งจะเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ทั้งคิดจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ทั้งภาวนาให้สามีที่เสียชีวิตไปแล้วช่วยคุ้มครองเธอกับหลานสาว ยามนี้พอเห็นหน้าลูกชายแล้วก็เหมือนความกังวลเหล่านั้นจะหมดไป จิตใจที่เครียดเกร็งมาตลอดทั้งวันก็ผ่อนคลายมากขึ้น

                 “ดีขึ้นแล้ว แม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้กลับไปนอนที่บ้านยังได้เลย”

                 “อยู่ดูอาการที่นี่เถอะแม่ อย่าดื้อเลย พีทมีแม่คนเดียวนะ ถ้าแม่เป็นอะไรขึ้นมา พีทจะทำยังไง”

                ฟังคำเอ็ดปนตัดพ้อของลูกชายแล้วแม่พลอยก็ต้องยอมแพ้ เธอเองก็ยังอยากอยู่กับพิชญ์และน้องหนูไปนาน ๆ

                พอแม่พลอยกินข้าวต้มตรงหน้าจนหมด ยาที่พยาบาลจัดเอาไว้ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าทันทีพร้อมกับน้ำดื่ม แม่พลอยรับมาส่งเข้าปากอย่างว่าง่าย พอเรียบร้อยแล้วพิชญ์ก็ยกทุกอย่างไปเก็บให้เรียบร้อย ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างแม่พลอย

                 “หมอบอกว่ากินยาแล้วจะง่วงนอน ถ้าแม่ง่วงแล้วอย่าฝืนนะ แม่ต้องนอนพักผ่อนเยอะ ๆ”

                 “ไม่ฝืนหรอก แม่เหนื่อยขนาดนี้จะฝืนยังไงไหว”

                 “อย่าเพิ่งนอนตอนนี้นะแม่ รอให้ข้าวต้มย่อยก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวอาหารไม่ย่อยพอดี”

                แม่พลอยเอียงหน้ามองพิชญ์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เดี๋ยวบอกให้เธอนอน เดี๋ยวบอกอย่าเพิ่งนอน เอายังไงกัน เจ้าลูกชายคนนี้ ริมฝีปากพลันคลี่ยิ้มออกมายามทอดสายตามองลูกชายคนเดียว ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

                พิชญ์จับมือแม่พลอยเขย่าไปมาเบา ๆ บอกให้แม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้าง ๆ แม่ไม่ไปไหน พิชญ์ยกมือขึ้นไล้เบา ๆ ไปตามรอยฟกช้ำบนใบหน้าแม่พลอย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว ปิดบังความเจ็บปวดของเขา

                 “เจ็บมากไหมแม่”

                 “ไม่มากเท่าไหร่ เดี๋ยวก็หายแล้ว”

                 “ถ้าเจ็บไม่มากแล้ว งั้นเล่าให้พีทฟังหน่อยสิ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่”

                แม่พลอยค่อย ๆ นึกย้อนถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนกลางวันที่เธอพาน้องหนูออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน ก่อนจะเล่าให้พิชญ์ฟัง

                 “หลังจากซื้อของกันเสร็จแล้ว น้องหนูเกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา แม่เลยให้นวลกับกริชเขาช่วยกันเอาของไปเก็บที่รถ ส่วนแม่พาน้องหนูมาเข้าห้องน้ำ พอน้องหนูเข้าห้องน้ำเสร็จ กำลังล้างมือและเช็ดมืออยู่ จู่ ๆ ก็มีคนเอาผ้าโปะยาสลบน้องหนู แม่เข้าไปขวางเลยถูกทำร้ายเข้า แล้วหลังจากนั้นก็ถูกพาขึ้นรถมาพร้อมกับน้องหนู จนถูกจับมาอยู่ที่บ้านหลังที่พีทมาเจอ”

                แม่พลอยพยายามเล่าให้กระชับและสั้นที่สุด ราวกับไม่อยากจะนึกถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้พิชญ์กำมือแน่น แม้ว่าเรื่องคราวนี้จะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด แต่เขาก็โกรธตัวเอง โกรธที่ไม่ได้ดูแลทั้งแม่พลอยและน้องหนูให้ดีจนต้องมาเจอกับเรื่องร้าย ๆ แบบนี้

                ถึงแม่พลอยจะเล่าออกมาแค่ว่าถูกทำร้าย แต่จากรอยฟกช้ำบนใบหน้า พิชญ์ก็พอจินตนาการได้ว่าคงไม่ได้ถูกทำร้ายแค่ทีเดียว เขานึกโกรธที่พวกนั้นกล้าลงมือกับคนแก่อย่างแม่พลอย

                 “ไม่เป็นไรนะแม่ พวกที่จับแม่ไป คุณตุลย์เขาจัดการเรียกตำรวจหมดแล้ว คืนนี้แม่พักผ่อนให้สบายใจนะ อย่าไปคิดถึงมันอีก”

                 “ว่าแต่ทำไมเราถึงหาแม่กับน้องหนูเจอไวนักล่ะ”

                 “ความดีความชอบคุณใหญ่ล่ะ เขาติดเครื่องติดตามตัวไว้ที่น้องหนู เลยรู้ว่าน้องหนูอยู่ไหน”

                แม่พลอยเอ่ยชมเชยให้กับความรอบคอบของคุณใหญ่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ แม่พลอยมองพิชญ์ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่าง เธอกำลังลังเลว่าควรจะเอ่ยถามลูกชายออกไปดีหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาระหว่างเธอกับพิชญ์ก็ไม่เคยมีความลับต่อกัน ดังนั้นเธอเลยเลือกที่จะถามพิชญ์ออกไปตามตรง

                 “พีท ตอบแม่มาตามตรงนะ เสี่ยเล้งคือใคร...”

                พิชญ์ที่กำลังจะห่มผ้าห่มให้แม่พลอยถึงกับชะงัก เมื่อได้ยินชื่อของราชันย์หลุดออกมาจากริมฝีปากของผู้เป็นแม่ แม่พลอยไม่มีทางที่จะรู้จักคนอย่างราชันย์ ถ้าอย่างนั้น สาเหตุที่แม่พลอยเอ่ยถามถึงราชันย์ก็คงมีแค่สาเหตุเดียว...

                 “แม่ไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน”

                 “คนที่จับตัวแม่ไป เขาคุยกันว่าน้องหนูเป็นลูกของเสี่ยเล้ง ไม่จริงใช่ไหมพีท บอกแม่มาสิ...”

                พิชญ์กำขอบเตียงแน่น เมื่อเขาพอจะเดาต้นสายปลายเหตุที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวแม่พลอยกับน้องหนูออกแล้ว เขาจ้องสบตาแม่พลอยนิ่งก่อนจะเอ่ยออกไปชัดถ้อยชัดคำ

                 “เชื่อพีทนะแม่ แม่ก็รู้ว่าพีทไม่เคยโกหกแม่ น้องหนูเป็นลูกของพีทกับคุณเล็ก”

                 “จ้ะ แม่เชื่อ”

                แค่คำสั้น ๆ คำเดียวของผู้เป็นแม่ก็ทำเอาก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจนจุก พิชญ์รู้ว่าแม่พลอยเป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อเขาโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ พอมองเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าผู้เป็นแม่ พิชญ์ก็ยิ่งโกรธที่แม่ต้องมาเจ็บตัวอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพราะคนบางคน เขาบอกลาแม่พลอยก่อนจะเดินไปยังห้องพักของน้องหนู ซึ่งอยู่คนละชั้นกัน เนื่องจากทางโรงพยาบาลแยกแผนกเด็กและผู้ป่วยทั่วไปไว้คนละชั้น

                พอพิชญ์เปิดประตูห้องพักของน้องหนูเข้าไป เขาก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ในความมืด อริญชย์หันมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตู พอเห็นว่าเป็นพิชญ์ เขาก็เรียกชื่อเจ้าตัวออกมา

                 “พีท...”

                อริญชย์เพิ่งเดินทางกลับมาจากฮ่องกงและตรงจากสนามบินมาโรงพยาบาลทันที เลยมีท่าทางอิดโรยเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยกยิ้มมุมปากให้พิชญ์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเมินเฉย พิชญ์เดินอ้อมไปดูลูกสาวตัวน้อย เห็นน้องหนูนอนหลับสนิทก็ค่อยโล่งอก เขาแตะแก้มน้องหนูแผ่ว ๆ ระมัดระวังไม่ให้เจ้าตัวเล็กของเขาตื่น หลังจากยืนดูน้องหนูอยู่พักใหญ่ พิชญ์ก็หันกลับมาหาคุณใหญ่ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา แต่เด็ดขาดอยู่ในที

                 “คุณใหญ่ ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

                 “ได้สิ แล้วแม่พลอยอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ”

                อริญชย์นึกเป็นห่วงแม่พลอยไม่น้อยไปกว่าพิชญ์ เท่าที่เขาฟังตุลย์เล่าทางโทรศัพท์คร่าว ๆ ดูเหมือนน้องหนูจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่แม่พลอยมีบาดแผลฟกช้ำพอสมควร ซึ่งอริญชย์ก็สั่งการไปแล้วว่าให้จัดการพวกที่จับได้ให้หนักก่อนส่งถึงมือตำรวจ

                 “ตอนนี้มีแต่แผลฟกช้ำภายนอก ต้องรอเอกซเรย์พรุ่งนี้ดูอีกทีครับ”

                 “นี่แม่พลอยหลับไปแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันค่อยแวะไปเยี่ยมแล้วกัน”

                อริญชย์ดึงพิชญ์ให้ลงมานั่งข้างเขา แต่พิชญ์ขืนตัวเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่ง ๆ ย้ำประโยคเดิมก่อนหน้านี้ของตัวเอง

                 “ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

                 “นั่งลงคุยกันดี ๆ สิ”

                พิชญ์ตั้งใจจะเอ่ยปากบอกให้ไปคุยข้างนอก แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ เรื่องบางเรื่องก็เหมาะจะคุยในห้องหับมิดชิดมากกว่า พิชญ์สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเอ่ยเข้าเรื่อง

                 “วันนี้ตอนที่ผมรู้ว่าแม่พลอยกับน้องหนูถูกจับตัวไป คุณใหญ่รู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไง” พิชญ์เอ่ยถามอริญชย์ แต่เหมือนเขาเองจะไม่ได้ต้องการคำตอบมากนัก “ผมรู้สึกกดดัน รู้สึกกลัว รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าไปให้ได้”

                อริญชย์อยากจะดึงพิชญ์เข้ามากอด แต่เขารู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ยอม เขาเลยทำแค่เพียงจับมือพิชญ์ไว้แน่น ๆ ขณะนั่งฟังพิชญ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

                 “มันผ่านไปแล้วพิชญ์ แม่พลอยกับน้องหนูปลอดภัยแล้ว”

                 “ใช่คุณใหญ่ มันผ่านไปแล้ว แต่คุณใหญ่รู้ไหม ว่าการลักพาตัวแม่กับน้องหนูที่ผมคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ จริง ๆ แล้วมันเป็นความจงใจของใครบางคน” พิชญ์เอ่ยเสียงเย็นชา จ้องตาอริญชย์เขม็ง

                 “หมายความว่ายังไง”

                เพียงแค่คิดถึงบาดแผลและรอยฟกช้ำตามใบหน้าของแม่พลอย ความโกรธของพิชญ์ก็แล่นขึ้นมาจนเกือบควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ เสียงที่เอ่ยออกมาเลยแทบจะเป็นการกระชากเสียง

                 “เมื่อกี้ตอนผมคุยกับแม่ แม่บอกว่าคนที่จับแม่กับน้องหนูไป บอกว่าน้องหนูเป็นลูกเสี่ยเล้ง เรื่องนี้มันหมายความว่ายังไงกันคุณใหญ่”

                ฟังถ้อยคำของพิชญ์แล้วอริญชย์ก็ต้องขมวดคิ้วฉับ ตัวเขาเองก็เคยคลางแคลงเรื่องความสัมพันธ์ของพิชญ์กับไอลดา ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่ครั้งเดียวไม่น่าถึงกลับทำให้ไอลดาตั้งครรภ์ได้ เขาเคยแม้กระทั่งให้พิชญ์ตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ ซึ่งพิชญ์ก็ยอมด้วยความเต็มใจ แต่ผลดีเอ็นเอก็ออกมาว่าพิชญ์และน้องหนูมีสายเลือดเดียวกันจริง ๆ

                ถ้าหากน้องหนูไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับพิชญ์ อริญชย์คงไม่ยอมให้มีงานแต่งงานระหว่างพิชญ์กับไอลดาเกิดขึ้นตั้งแต่แรก

                 “นายก็รู้ว่าน้องหนูเป็นลูกนาย”

                 “คุณใหญ่ก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่ผมกำลังจะถามว่า คนที่จับตัวแม่กับน้องหนูไปคือเสี่ยเล้งใช่ไหม เรื่องนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ผมเข้าใจ ทำไมถึงต้องเอาเรื่องบาดหมางของคุณสองคนมาเดือดร้อนแม่กับลูกผมด้วย ถ้าแม่กับน้องหนูเป็นอะไรไป ผมจะไม่ให้อภัยคุณตลอดชีวิตเลย”

                พิชญ์เกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความโกรธ ดีว่าเขานึกได้ว่าน้องหนูกำลังนอนหลับอยู่ เขาเลยพยายามกดเสียงให้ต่ำลง

                อริญชย์ทำท่าเหมือนอยากจะเอ่ยอธิบาย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ เขารู้ดีว่าราชันย์ไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวแม่พลอยกับน้องหนู แต่ตอนนี้เขากับราชันย์มีข้อตกลงร่วมกันที่ทำให้เขาไม่สามารถเอ่ยอธิบายความจริงออกไปได้

                 “พีท...”

                อริญชย์เอ่ยเรียกชื่อคนข้างตัว พลางยื่นมือออกไปหมายจะดึงพิชญ์เข้ามาใกล้ แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบเขา

                 “ผมมีแม่และลูกสาวแค่อย่างละคนนะคุณใหญ่ ถ้ามีใครเป็นอะไรขึ้นมา คุณมีปัญญาชดใช้ให้ผมเหรอ”

                 “พีท...”

                 “วันนี้คุณกลับไปก่อนได้ไหม ผมอยากอยู่คนเดียว”

                 “ฟังฉันก่อนได้ไหม...”

                 “ผมขอร้องนะคุณใหญ่ วันนี้ผมอยากอยู่คนเดียวจริง ๆ ผมยังไม่อยากเห็นหน้าคุณ”

                อริญชย์ดึงมือตัวเองกลับมาอย่างถอดใจ เขาเดินมาดูน้องหนูอีกรอบ พอเห็นน้องหนูยังหลับอยู่ก็วางใจ หันไปหาพ่อน้องหนู พิชญ์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม อริญชย์เดินมาแตะบ่าพิชญ์เบา ๆ

                 “ฉันเองก็เป็นห่วงแม่พลอยและน้องหนูไม่ต่างจากนายหรอกนะพีท ตอนนี้นายอยากอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากให้ฉันอยู่ด้วยเมื่อไหร่ก็บอกมา...” เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง “นายก็รู้...ว่าฉันรอนายได้เสมอ”

                พิชญ์ปล่อยให้คำพูดของอริญชย์ผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขาไม่สนใจไยดีแม้กระทั่งตอนที่อริญชย์เปิดประตูเดินออกไป จนกระทั่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจริง ๆ พิชญ์ถึงได้ซบหน้าลงกับฝ่ามือ

                เขาอยากโกรธ อยากเกลียดอริญชย์ให้มากกว่านี้ แต่หัวใจกลับไม่ยอมเชื่อฟัง

                ทั้งที่เขาควรจะเกรี้ยวกราดใส่อริญชย์ให้มากกว่านี้ แต่เขาก็ทำได้ดีที่สุดแค่นี้ ได้แค่ไล่อีกฝ่ายไปให้พ้นหน้า แล้วปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความกดดันอันล้นปรี่





TO BE CONTINUE



ช่วงนี้งานยุ่งมากๆ เลยค่ะ เลยอาจจะมาๆ หายๆ บ้าง
อาทิตย์ที่แล้วเลยไม่ได้มาลงด้วย ยังไงจะพยายามหาเวลามาลงนะคะ ^^

น้องหนูกับแม่พลอยปลอดภัยแล้ว
แต่คุณใหญ่กับพีททะเลาะกันซะงั้น


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 35 ทะเลาะ --- หน้าที่ 8 [27/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 27-09-2020 16:23:50
คุณใหญ่เป็นพระเอกที่ตอนนี้นาสงสารสุดดดด ไม่เคย happy จริงจังเลย เข้าใจพีชได้ ก็คนในครอบครัวอ่ะเนอะ
รอได้จ้า คนเขียนมีเวลาแล้วว่ากันเนอะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 35 ทะเลาะ --- หน้าที่ 8 [27/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 27-09-2020 21:02:54
ทำไมต้องมาลงที่คุณใหญ่ด้วยคุณใหญ่อุตส่าห์บินกลับมาอย่างไว ความรักความห่วงที่คุณใหญ่มีให้น้องหนูก็ไม่น้อยกว่าพีทหรอกนะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 35 ทะเลาะ --- หน้าที่ 8 [27/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-09-2020 01:06:21
ก็เข้าใจพีทนะ แม่และลูกเจออันตราย ความกลัวกังวลมันมีมาก อยากจะมีใครสักคนที่รู้สึกว่าปลอดภัยอยู่ข้างกาย แต่ ณ ตอนนั้นมันไม่มีใครเลย อารมณ์เลยออกจะเคว้ง ลงกับใครไม่ได้ พาลพาลคุณใหญ่ก็ซวยไปไง แต่...... อย่างที่ผ่านมา พีทนี่บ่อยครั้งละนะ ไม่เคยคิดถึงใจคุณใหญ่เลย ไม่แคร์ ไม่ระวังคำพูดว่าจะทำร้ายใจกันมากยังไง เป็นท้อแทน ทั้งๆที่มันควรจะนึกถึงใจกันได้แล้ว ในความสัมพันธ์กับแบบนี้ มันค่อนข้างจะชัดแต่แค่ไม่อยากยอมรับมันเท่านั้นซึ่งก็มีเพียงพีทฝ่ายเดียวที่รั้น อีกคนก็ยอมรับใจแล้ว อยากให้คุณใหญ่เว้นวรรคเพื่อพักก่อนก็ดีนะ นิ่งๆเมินๆ ไม่วอแวเหมือนเดิม งอนนานๆ เมื่อนั้นเขาจะรู้เองละว่าทำอะไรลงไป ถ้าง้อหายเร็ว มันก็คงจะเป็นแบบนี้อีก ไม่ระวังเท่าที่ควร แต่ถ้างอนนาน เขาก็จะระวังมากขึ้นในคำพูด แคร์กันกว่านี้ อันนี้แบบคุณใหญ่ตามตลอดไง ก็เลยนะ เจ็บซ้ำๆวนไป //ดีแล้วที่ปลอดภัยกันทุกคน ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอเสมอ งานเยอะก็ดูแลตัวเองด้วยนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 35 ทะเลาะ --- หน้าที่ 8 [27/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-09-2020 00:49:46
 :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 35 ทะเลาะ --- หน้าที่ 8 [27/09/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 01-10-2020 13:00:57
น่าจะฟังคำอธิบายกันหน่อย
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 36 งานโรงเรียน --- หน้าที่ 8 [04/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 04-10-2020 21:03:54
สามสิบหก
งานโรงเรียน





          ถึงแม้เมื่อวานจะถูกพิชญ์ผลักไสไล่ส่ง วันนี้อริญชย์ก็ยังคงมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าตรู่ พอมาถึงโรงพยาบาล อริญชย์ก็แวะดูอาการแม่พลอยก่อน ตอนเขาเปิดประตูห้องพักแม่พลอยเข้ามา ทันเห็นพยาบาลกำลังจะพาแม่พลอยไปเอกซเรย์ร่างกายพอดี อริญชย์เลยถือวิสาสะขอตามไปด้วย

           “มาแต่เช้าเชียว คุณใหญ่” แม่พลอยเอ่ยทักอริญชย์ท่าทางแจ่มใส

          หลังจากเมื่อคืนได้นอนหลับเต็มอิ่มด้วยฤทธิ์ยาของคุณหมอ เช้าวันนี้แม่พลอยก็ดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อวาน ร่องรอยฟกช้ำยังปรากฏให้เห็นอยู่ลาง ๆ บนใบหน้า แต่ถือว่าดูดีขึ้นมากแล้ว พอเห็นบาดแผลของแม่พลอยชัดเจน อริญชย์เลยไม่แปลกใจที่พิชญ์จะโกรธเขาขนาดนั้น ถ้าหากเป็นเขา เขาก็คงโกรธเหมือนกัน เขาส่งยิ้มกลับไปให้แม่พลอยก่อนจะเอ่ยตอบ

           “ว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนพีทน่ะครับ เห็นอยู่เฝ้าน้องหนูอยู่คนเดียว แล้วเมื่อวานผมก็มาเสียดึก เลยไม่ได้แวะมาเยี่ยมแม่ วันนี้เลยรีบแวะมาเยี่ยมแม่ก่อนด้วย”

          แม้จะมีอำนาจอยู่เหนือคนนับร้อยนับพัน แต่ใช่ว่าอริญชย์จะเอาอกเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เป็น เพียงแต่เขาเลือกเท่านั้นว่าควรปฏิบัติต่อใครอย่างไร เมื่ออีกฝ่ายคือแม่พลอย สิ่งที่เขาทำคือปฏิบัติเสมือนว่าแม่พลอยเป็นแม่ของเขาอีกคน

           “เห็นวันก่อน พิชญ์บอกแม่ว่าคุณใหญ่จะกลับจากฮ่องกงวันนี้ แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วหรือ” ถึงอายุอานามจะเกือบหกสิบแล้ว แต่แม่พลอยก็ยังความจำดีเป็นเลิศ ลูกชายเธอเล่าอะไรให้ฟังบ้าง เธอจดจำได้ดีไม่มีตกหล่น

           “เมื่อวานพอพีทโทรบอกผมว่าเกิดเรื่อง ผมก็ห่วงทางนี้ เลยรีบจองตั๋วเครื่องบินกลับมาน่ะครับ”

           “ตายจริง เดือดร้อนคุณใหญ่จนเสียงานเสียการไหมเนี่ย”

           “ไม่หรอกครับ ยังไงทางนี้ก็สำคัญกว่างานอยู่แล้ว”

          แม่พลอยฟังอริญชย์แล้วก็อดยิ้มออกมาอย่างวางใจไม่ได้ เธอเองก็พอรู้และสังเกตเห็น ว่าอริญชย์ให้ความสำคัญกับพิชญ์ไม่น้อย อีกทั้งยังเผื่อแพ่มาถึงผู้เป็นแม่อย่างเธอด้วย

          ทั้งคู่สนทนากันจนกระทั่งพยาบาลเข็นแม่พลอยมาถึงหน้าห้องเอกซเรย์ บทสนทนาถึงได้หยุดลง อริญชย์นั่งรอแม่พลอยอยู่หน้าห้องเอกซเรย์ ไม่ได้รีบไปดูน้องหนูอย่างที่แม่พลอยเข้าใจ หลังจากแม่พลอยเอกซเรย์ร่างกายเสร็จแล้วถูกเข็นออกมาก็เจออริญชย์นั่งรออยู่ คราวนี้เขาเป็นฝ่ายอาสาพาแม่พลอยกลับห้องพักด้วยตัวเอง พลอยทำให้แม่พลอยนึกชมชอบพี่ชายของไอลดามากขึ้นอีก

          อริญชย์เข็นแม่พลอยกลับมาห้องพักด้วยตัวเองโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย ระหว่างทางยังชวนแม่พลอยคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของพิชญ์ที่เขาพยายามตะล่อมถาม ซึ่งแม่พลอยก็เล่าให้ฟังโดยไม่เอะใจ

          พอมาถึงห้องพักแล้วเปิดประตูห้องเข้าไป ทั้งอริญชย์และแม่พลอยก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นพิชญ์พาน้องหนูมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พิชญ์กำลังกระวนกระวาย หลังจากเข้ามาแล้วเห็นเพียงห้องว่าง ๆ แม้จะสอบถามพยาบาลจนได้ความว่าแม่พลอยไปเอกซเรย์ แต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้ พอเห็นอริญชย์พาแม่พลอยกลับมาด้วยตัวเอง เขาถึงค่อยคลายคิ้วที่ขมวดเอาไว้เป็นปม

          อริญชย์ประคองแม่พลอยลงจากรถเข็นด้วยท่าทางชำนิชำนาญ ก่อนจะพาแม่พลอยมานั่งบนเตียงที่ปรับไว้ให้ได้ระดับแล้ว แล้วก็หันมาย่อตัวลงอุ้มน้องหนูที่โผเข้ามาหาเขา เขามองสำรวจน้องหนูด้วยสายตา พอเห็นว่าน้องหนูดูปกติดี ถึงได้วางใจแล้ววางเจ้าตัวเล็กลงนั่งบนเตียง ข้าง ๆ แม่พลอย

           “คุณย่าขา...” เจ้าตัวเล็กร้องเรียกแม่พลอยก่อนจะมุดเข้าซุกคุณย่า มือเล็กไล้ไปมาตามรอยฟกช้ำบนใบหน้าแม่พลอยก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “พ่อพีทบอกคุณย่าหกล้ม เจ็บมากไหมคะ”

           “นิดหน่อยลูก”

          อริญชย์เห็นท่าทางน้องหนูดูร่าเริงเป็นปกติ ไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่กังวล แต่เขาก็ยังไม่วางใจ อดไม่ได้ ต้องยื่นหน้าไปกระซิบถามพิชญ์เสียงเบา

           “น้องหนูเป็นยังไงบ้าง มีอะไรน่าเป็นห่วงไหม”

          พิชญ์หันมามองอริญชย์ที่ถือวิสาสะนั่งลงข้าง ๆ เขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ

           “เมื่อเช้าหมอเด็กมาดูอาการแล้วบอกว่าปกติดี มีแค่ได้รับยาสลบเกินขนาด ร่างกายของเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานเลยทำให้หลับยาว แต่ก็เป็นโชคดีของน้องหนู แกเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ยังงั้นคงต้องพาไปพบจิตแพทย์เด็กกันอีก”

          อริญชย์ฟังแล้วก็พยักหน้ารับ สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือการที่เหตุการณ์เมื่อวานอาจจะกลายเป็นปมหรือบาดแผลในใจน้องหนู พอได้รู้ว่าน้องหนูไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาก็วางใจ เห็นพิชญ์ดูนิ่ง ๆ เฉย ๆ เขาเลยพยายามชวนคุย ไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด

           “แล้ววันนี้ยังให้น้องหนูไปแสดงงานโรงเรียนอยู่ไหม”

           “ก็คงต้องให้ไปล่ะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวต้องมาคอยตอบคำถามน้องหนูแน่ ๆ ว่าทำไมถึงไม่ได้ไปงานโรงเรียน”

           “ถ้าผลเอกซเรย์ของแม่พลอยออกแล้วไม่มีอะไร เดี๋ยวเราก็กลับบ้านกันเลยแล้วกัน”

          พิชญ์หันหน้ามามองอริญชย์ พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่ทอดมองมาที่เขา คำพูดร้าย ๆ ที่เตรียมจะเอื้อนเอ่ยออกมาเลยถูกเก็บกลืนลงคอไป เปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับแทน

           “แล้วเรื่องงานของคุณใหญ่ที่ฮ่องกงเรียบร้อยดีไหม”

           “เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา...” อริญชย์เว้นช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “อดทนหน่อยนะ ปัญหาใกล้จะจบแล้ว”

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากถามถึงปัญหาที่อริญชย์พูดถึง แต่น้องหนูร้องเรียกหาลุงใหญ่เสียก่อน เขาเลยต้องเก็บคำถามทั้งหมดลงคอ พิชญ์มองอริญชย์อุ้มน้องหนูขึ้นมาจากเตียง คุยกระหนุงกระหนิงกันประสาลุงหลาน เจ้าตัวเล็กของเขาถามถึงของฝากเจื้อยแจ้ว พลอยทำให้คนมองได้แต่อมยิ้มด้วยความเอ็นดู อริญชย์หยอกเย้ากับน้องหนู พลางหันไปคุยกับแม่พลอยอย่างเป็นธรรมชาติ

          บางที...การเดินไปบนเส้นทางเดียวกันกับอริญชย์อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พิชญ์คิด

          เพียงแต่ตัวเขาเองอาจจะต้องคิดหาวิธีจัดการกับความสัมพันธ์เราสามคน ระหว่างเขา อริญชย์ และไอลดา ไม่ให้ทำร้ายใครคนใดคนหนึ่ง...แม้กระทั่งตัวเขาเอง

          สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเลือกเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ดีกว่าที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้ต่อไป



.



          หลังจากรอผลเอกซเรย์ออกและพบคุณหมอเจ้าของไข้อีกรอบหนึ่งเพื่อเช็กอาการของแม่พลอย พอตกบ่ายอริญชย์ก็พาพิชญ์ แม่พลอย และน้องหนูกลับบ้าน พิชญ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอริญชย์เป็นคนขับรถมาด้วยตัวเอง แต่เห็นแม่พลอยอยู่ด้วย เขาเลยคร้านจะเอ่ยปากถาม เหมือนอริญชย์เองจะเดาจากสายตาของพิชญ์ออก เขาเลยเป็นฝ่ายเอ่ยอธิบายออกมาเอง

           “ฉันออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เลยขี้เกียจปลุกคนอื่นมาขับรถให้”

           “คุณนอนไม่หลับหรือไง ไปแค่ฮ่องกง ไม่น่าเจ็ทแลคนะ” เพราะอารมณ์กรุ่น ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน เลยพลอยทำให้พิชญ์กล้าต่อปากต่อคำกับอริญชย์

           “ห่วงคนที่โรงพยาบาล เลยต้องรีบมาแต่เช้า”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น เลิกต่อความยาวสาวความยืดกับอริญชย์ คิดเองเออเองว่าอริญชย์คงหมายถึงน้องหนู

          พอกลับถึงบ้าน ป้าน้อยก็เตรียมอาหารกลางวันชุดใหญ่ไว้รอทุกคนแล้ว หลังจากจัดการกับมื้อกลางวันกันเรียบร้อย แม่พลอยก็ขอตัวไปนอนพักผ่อนเอาแรง พิชญ์ได้ยินอริญชย์โทรเรียกตุลย์กับกริชมาเจอที่ห้องหนังสือ ก่อนเขาจะพาน้องหนูออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอก

           “เบา ๆ ลูก อย่าวิ่ง” พิชญ์เอ็ดเจ้าตัวเล็กที่วิ่งปร๋ออยู่ข้างหน้า

           “น้องหนูไม่หกล้มหรอก พ่อพีท” เจ้าตัวเล็กโตแล้ว เริ่มหัดเถียงคนเป็นพ่อ

           “พ่อพีทไม่ได้กลัวหนูหกล้ม พ่อพีทกลัวหนูอ้วกต่างหาก เพิ่งกินข้าวมาอิ่ม ๆ”

          น้องหนูหันมายิ้มกว้างให้พิชญ์ก่อนจะยอมผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของผู้เป็นพ่อ แต่พอเห็นผีเสื้อเกาะอยู่บนกอดอกไม้ เจ้าตัวก็รีบวิ่งถลาเข้าไป เล่นเอาพิชญ์ถึงกับกุมขมับ ได้แต่ยืนดูเจ้าตัวแสบวิ่งไล่ผีเสื้อไปมา หลังจากวิ่งวนอยู่สี่ห้ารอบ น้องหนูก็เดินหน้าแดงกลับมาหาพิชญ์ที่ยืนรออย่างใจเย็น คนเป็นพ่อย่อตัวลง ก่อนจะล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าเล็ก

          ถึงจะห้าขวบแล้ว แต่ใบหน้าของน้องหนูก็ยังเล็กแค่ฝ่ามือเขา พิชญ์ซับเหงื่อเบา ๆ ด้วยความรักก่อนจะถามเจ้าตัวที่ยืนยิ้มแป้น

           “เหนื่อยไหม เข้าบ้านกันไหมลูก”

           “น้องหนูหิวน้ำ” เจ้าตัวเล็กเริ่มโยเย

           “งั้นเราเข้าบ้านไปให้พี่นวลเอาน้ำให้ดื่ม แล้วเดี๋ยวน้องหนูไปอาบน้ำแต่งตัวให้หายร้อนดีไหมลูก”

          คนที่วิ่งเล่นจนเหนื่อยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ปล่อยให้พิชญ์จูงมือเข้าบ้านไม่มีอิดออด พอเข้าบ้านมา นวลก็เตรียมน้ำเย็นรอไว้แล้วอย่างรู้ใจ รอให้น้องหนูนั่งพักจนหายเหนื่อย พิชญ์ก็ให้นวลพาน้องหนูไปอาบน้ำแต่งตัว

           “ไปอาบน้ำกับพี่นวลนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาเจอกัน”

          แยกจากน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็เดินขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อคืนเขาได้นอนไม่กี่ชั่วโมง เพราะมีเรื่องให้คิดจนนอนไม่หลับ เวลานี้เลยตั้งใจว่าจะขึ้นไปนอนพักเอาแรงเสียหน่อย ไม่งั้นมีหวังตอนเย็นเขาต้องนั่งสัปหงกที่โรงเรียนน้องหนูแน่ ๆ

          พอขึ้นมาถึงข้างบน พิชญ์ก็ได้ยินเสียงอริญชย์ดังลั่นออกมาจากห้องหนังสือ เขาชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าห้องตัวเอง นึกรู้ทันทีว่าอริญชย์กำลังเล่นงานกริชกับตุลย์ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับแม่พลอยและน้องหนู พิชญ์ยืนชั่งใจว่าจะทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินกลับเข้าห้องตัวเองดีไหม แต่ตุลย์กับกริชก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ อย่างน้อยแม่พลอยกับน้องหนูก็ปลอดภัยกลับมา เขาถอนหายใจให้กับความใจอ่อนของตัวเอง แล้วเดินไปหยุดหน้าห้องหนังสือ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ

           “ใคร...” เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของอริญชย์ตวาดดังมาจากข้างใน

          ถ้าเป็นเมื่อก่อนพิชญ์คงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่ตอนนี้เขากลับใจกล้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าอริญชย์ไม่ได้มองเขาเป็นแค่ของเล่น พิชญ์เลยรู้สึกเหมือนคนที่ถือไพ่อยู่ในกำมือ

           “ผมเอง”

           “มีอะไร...”

          พิชญ์ส่ายหน้าเมื่อได้ยินเสียงอริญชย์ตะโกนถามอีกครั้ง ดูท่าว่าจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปจริง ๆ พิชญ์เองก็ไม่ได้อยากเสียมารยาทเท่าไหร่นัก เขาเลยเอ่ยบอกเจ้าของห้องเสียหน่อย ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป

           “ขอผมเข้าไปข้างในหน่อยครับ”

          พอเปิดประตูเข้าไป พิชญ์ก็ต้องขมวดคิ้วกับภาพที่เห็น อริญชย์ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน ส่วนตุลย์กับกริชยืนอยู่มุมหนึ่ง ห่างออกมาประมาณหนึ่งช่วงแขน บนพื้นมีที่ทับกระดาษแตกกระจายอยู่ พิชญ์กวาดสายตามองรอบห้องอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

           “เกิดอะไรขึ้นครับ”

           “ไม่มีอะไร” คนถูกถามเอ่ยปฏิเสธทันควัน

           “คุณใหญ่...”

          ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พิชญ์กล้าทำเสียงแข็งใส่อริญชย์แบบนี้ แต่หน้าแปลกที่อริญชย์เองกลับไม่ยักโกรธ มิหนำซ้ำยังพอใจมากเสียด้วย แต่พอเหลือบไปเห็นลูกน้องสองคนยืนอยู่ ความพอใจก็ลดฮวบลง รีบถลึงตาดุ ๆ ใส่ก่อนจะโบกไม้โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ไปให้พ้นหูพ้นตา

           “พวกนายสองคน จะไปไหนก็ไป ออกไปได้แล้ว”

          ทั้งตุลย์และกริชก็รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รีบต่างคนต่างสะกิดกัน แล้วเดินออกจากห้องทันที ตุลย์เกือบจะหวังดีล็อคประตูห้องให้อริญชย์แล้ว แต่กลัวถูกด่าเลยยั้งมือไว้ก่อน เขาลืมไปว่าห้องหนังสือของอริญชย์ ถ้าเจ้าตัวไม่เอ่ยปากอนุญาต ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้า เพิ่งจะมีพิชญ์เป็นคนแรก ที่ไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาตก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปเลย

          คล้อยหลังตุลย์กับกริชแล้ว ในห้องก็เหลือแค่อริญชย์กับพิชญ์ อริญชย์เดินอ้อมโต๊ะมาหาพิชญ์ที่ยืนอยู่กลางห้อง เขาเอาปลายเท้าเขี่ยเศษที่ทับกระดาษไปทางหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถามถึงหลานสาวที่เมื่อกี้ยังเห็นวิ่งเล่นอยู่ด้วยกันที่สวน

           “น้องหนูล่ะ”

           “ให้นวลจับอาบน้ำแต่งตัวแล้วครับ” ตอบแล้วก็นึกได้ว่าเจ้าตัวกำลังเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง พิชญ์เลยรีบดึงกลับมาเรื่องเดิมที่คุยค้างไว้ “เมื่อกี้ก่อนผมเข้ามา เกิดอะไรขึ้น”

           “ไม่มีอะไร คุยงานกันเฉย ๆ”

           “คุยกันจนถึงกับเขวี้ยงที่ทับกระดาษเลยหรือครับ”

          ถูกพิชญ์ยอกย้อนกลับมาแล้วอริญชย์ก็ถึงกับนิ่งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างยอมแพ้

           “เดี๋ยวนี้พีทของฉันฉลาดขึ้นทุกวัน”

          สรรพนามที่อริญชย์เรียกเขาก็ชวนจั๊กจี้ขึ้นทุกวัน...พิชญ์ได้แต่คิดในใจ

           “คุณใหญ่ว่าตุลย์กับกริชเรื่องเมื่อวานนี้ใช่ไหม เรื่องนี้คุณใหญ่เองก็มีส่วนผิดนะ ผมยังไม่หายโกรธคุณใหญ่เลย ถ้าแม่พลอยหรือน้องหนูเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ผมจะไม่ให้อภัยคุณไปตลอดชีวิตแน่”

          ถึงแม้ก่อนหน้านี้เวลาอริญชย์จะชอบพูดจาร้าย ๆ กับเขา พิชญ์ก็ยังอดทนเพราะเป็นตัวเขา แต่หากคนที่เดือดร้อนคือแม่พลอยและน้องหนูเมื่อไหร่ พิชญ์ก็พร้อมเอาเรื่องกับอริญชย์เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้นสายปลายเหตุของความเดือดร้อนนั้นเกิดจากปัญหาบ้า ๆ ระหว่างอริญชย์กับราชันย์

           “ต้องทำยังไง...พีทถึงจะหายโกรธฉัน”

          คนถูกเอ่ยถามกลับมาตรง ๆ หน้าร้อนวูบ แต่รีบคุมสติตัวเองแล้วเอ่ยตอบกลับไป

           “อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อวานขึ้นอีกได้ไหมครับ ผมขอร้อง...”

           “ฉันสัญญา...จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนาย น้องหนู แล้วก็แม่พลอยเด็ดขาด”

          ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยสัญญานั้นจริงจังจนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายเฉไฉหลบตาหนี เขากลัว...กลัวความชัดเจนจากแววตาของอริญชย์ ตอนนี้เขายังเป็นคนมีพันธะอยู่ แม้จะยอมรับว่ารู้สึกดีกับอริญชย์ขึ้นมาไม่น้อย แต่เขาก็ยังไม่ควรปล่อยใจให้ถลำลึกลงไป ตราบใดที่เขายังสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่

          อริญชย์เห็นพิชญ์เสหลบตาจากเขาก็อยากจะถอนหายใจออกมา ระหว่างเขากับพิชญ์ตอนนี้ ยังเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นอยู่ ทั้งที่เขายอมเดินหน้ามาไกลขนาดนี้แล้ว แต่พิชญ์เองกลับไม่กล้าที่จะเดินมาหาเขาเสียที

          ถ้าถามว่าท้อไหม อริญชย์ตอบเลยว่ามีบ้าง แต่ถ้าถามว่าจะถอยไหม เขาก็ตอบได้เลยเหมือนกันว่าไม่

          ถ้าเขาคิดจะถอย เขาคงไม่เลือกเดินบนทางนี้ตั้งแต่แรก เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าชีวิตเขาหลังจากนี้จะต้องมีพิชญ์อยู่ด้วยกัน ในเมื่อพิชญ์ไม่ยอมเดินมาหาเขาด้วยตัวเองเสียที ก็อย่าหาว่าเขาใจร้ายแล้วกัน ถ้าเขาจะเป็นฝ่ายเดินไปลากพิชญ์ให้เดินไปด้วยกัน

           “ที่เมื่อเช้าคุณใหญ่บอกผมว่าปัญหาใกล้จะจบแล้ว หมายความว่ายังไงหรือครับ”

           “เดี๋ยวรอให้เรื่องทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อนนะ แล้วฉันจะเล่าให้นายฟังทั้งหมด”

          เห็นอีกคนยังไม่พร้อมที่จะอธิบาย พิชญ์ก็ไม่อยากซักไซร้ พอเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่กลับถูกอีกคนรั้งข้อมือเอาไว้ พอเขาหันกลับมามอง เจ้าตัวก็เอ่ยว่า

           “อย่าเพิ่งไป ฉันซื้อของมาฝากนายด้วย เดี๋ยวหยิบให้”

          พอเอ่ยถึงของฝาก พิชญ์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่ามุมห้องมีถุงกระดาษวางกองอยู่เกือบสิบใบ เจ้าของห้องเดินไปค้นของในกองถุงกระดาษ ก่อนจะเอ่ยพึมพำ แต่จงใจให้คนฟังได้ยิน

           “ฉันซื้อของมาฝากแม่พลอยด้วยนะ ฝากนายเอาไปให้ที”

           “คุณใหญ่เป็นคนซื้อมาก็เอาไปให้เองสิ”

           “งั้นก็ได้... นี่ไง เจอของนายแล้ว”

          อริญชย์เดินกลับมาหาพิชญ์พร้อมกล่องกระดาษสองกล่อง พอเห็นยี่ห้อแบรนด์เครื่องหนังอิตาลีที่ปรากฏอยู่บนกล่อง พิชญ์ก็ขมวดคิ้วทันที แม้เขาเองจะไม่ใช่คนที่ชื่นชอบแบรนด์เนมเท่าไหร่นัก เพราะเห็นว่าราคาค่อนข้างสูงเกินฐานะเขา แต่การใช้ชีวิตอยู่กับอริญชย์และไอลดาก็พลอยทำให้เขารู้จักของแบรนด์เนมพวกนี้ รวมทั้งมูลค่าของมัน

           “รับไปสิ” อริญชย์เร่ง เมื่อเห็นว่าพิชญ์ยังยืนนิ่ง

           “ผมบอกให้ซื้อแค่ขนมกลับมาไง ซื้อของฟุ่มเฟือยกลับมาอีกแล้ว”

           “ฉันไม่ได้ซื้ออะไรให้นายบ่อย ๆ เสียหน่อย รับไปเถอะ”

          พิชญ์รับมาก่อนจะเปิดออกดู กล่องเล็กเป็นกระเป๋าเงิน แบบที่เขาเห็นแวบแรกก็นึกชอบสีและดีไซน์แล้ว ต้องชมว่าอริญชย์รสนิยมดีจริง ๆ ส่วนอีกกล่องเป็นเข็มขัดยี่ห้อเดียวกันที่พิชญ์น่าจะได้ใช้บ่อย ๆ เวลาทำงาน ถ้าถามว่าชอบของฝากที่อริญชย์ซื้อกลับมาให้ไหม ตอบโดยสัตย์จริง พิชญ์ก็ตอบเลยว่าเขาชอบ

           “ขอบคุณนะครับ...”

          เวลาใครทำดีกับพิชญ์ พิชญ์ก็ทำดีตอบด้วย แม้แต่อริญชย์ ถ้าหากทำดีกับเขา เขาก็จะทำดีคืนกลับไปเหมือนกัน แต่ดูเหมือนคนได้รับคำขอบคุณจะไม่พอใจแค่นั้น อริญชย์ยื่นหน้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

           “ช่วงที่ฉันไม่อยู่สามวัน...” เขาเว้นช่วงนิดหนึ่งให้พิชญ์รอคอย “...คิดถึงฉันบ้างไหม”
         
          คำถามโต้ง ๆ ของอริญชย์เล่นเอาคนถูกถามหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกระลอก เขากระดากเกินกว่าจะหาคำตอบให้ตัวเองและคนถาม พิชญ์ก้าวเท้าถอยหลังช้า ๆ เผลอแป๊บเดียวก็เผ่นหนีไปถึงประตูห้อง ก่อนจะไปยังอุตส่าห์หันมาบอกอริญชย์

           “ผมไปดูน้องหนูหน่อยดีกว่าว่าเป็นยังไงมั่ง เดี๋ยวเจอกันข้างล่างเลยนะครับ คุณใหญ่”

          อริญชย์มองตามแผ่นหลังคนที่หนีหายไปแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ดูท่าทางแล้วเขาคงไม่ได้คำตอบที่ตัวเองพอใจง่าย ๆ แน่ แต่เอาเถอะ เขายังมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะเฝ้าถามและรอคำตอบของพิชญ์ หวังว่าคงมีซักวันที่เขาจะได้ยินคำตอบที่เขาวาดหวังจากปากของพิชญ์



.


หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 36 งานโรงเรียน --- หน้าที่ 8 [04/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 04-10-2020 21:04:42


          พอเริ่มตกเย็น หลังจากทุกคนจัดการกับตัวเองกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมารออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบริเวณห้องรับแขก ตุลย์กับกริชรออยู่เป็นคนแรก ๆ กริชเตรียมรถตู้คันใหญ่สำหรับทั้งครอบครัวมาจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว

          พิชญ์จูงน้องหนูเดินลงบันไดมา ลงมาถึงก็เห็นอริญชย์กำลังนั่งคุยกับแม่พลอยอยู่ บนคอของแม่พลอยมีผ้าพันคอแคชเมียร์พันอยู่หลวม ๆ แค่มองผ่าน ๆ พิชญ์ก็เดาออกทันทีว่าผ้าพันคอราคาแพงผืนนั้นคงเป็นของฝากจากอริญชย์

          พอทุกคนพร้อมแล้วก็ออกเดินจากบ้านทันที เจ้าหญิงแสนสวยดูตื่นเต้นกว่าทุกวัน นั่งหันซ้ายหันขวาอยู่บริเวณที่นั่งแถวสอง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตลอดทาง พลอยทำให้คนอื่นบนรถยิ้มขำแล้วก็อารมณ์ดีตามไปด้วย

           “เอาชุดกับอุปกรณ์ของน้องหนูมาครบใช่ไหมนวล” พิชญ์หันไปเอ่ยถามนวลที่นั่งอยู่แถวหลังสุด

           “เรียบร้อยค่ะ คุณพีท”

           “พี่นวลไม่ลืมมงกุฎน้องหนูใช่ไหม” เจ้าตัวเล็กเอี้ยวตัวกลับไปถามบ้าง

           “ไม่ลืมค่ะ คนสวยของพี่นวล”

          น้องหนูยิ้มรับคำชมก่อนจะหันกลับมานั่งข้างพิชญ์ดี ๆ พอพิชญ์ลูบหัวน้องหนูเบา ๆ เจ้าตัวเล็กก็หันมามุดหน้าซุกกับอกพิชญ์ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงอู้อี้

           “พ่อพีทขา น้องหนูอยากให้แม่เล็กมาดูน้องหนูด้วยจังเลยค่ะ”

          พิชญ์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนอริญชย์จะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบน้องหนูเสียอ่อนโยน

           “ไม่ต้องห่วงลูก เดี๋ยวลุงใหญ่ให้อากริชถ่ายรูปแล้วส่งไปให้แม่เล็กดู”

           “เย้ ขอบคุณค่ะ ลุงใหญ่”

          จากบ้านมาถึงโรงเรียนของน้องหนู ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาทีเพราะวันอาทิตย์รถราค่อนข้างโล่ง กริชจอดส่งทุกคนลงหน้าโรงเรียน ส่วนตัวเขาขับรถไปจอดบริเวณลานจอดรถ พิชญ์เห็นว่าได้เวลาพาน้องหนูไปส่งให้คุณครูแล้ว เลยหันไปบอกอริญชย์

           “เดี๋ยวผมกับนวลพาน้องหนูไปหาคุณครู คุณใหญ่พาแม่ไปหาที่นั่งทีนะครับ ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวผมโทรหา”

          อริญชย์พยักหน้ารับก่อนจะพาแม่พลอยเดินไปหอประชุม พิชญ์จูงมือน้องหนูเดินไปห้องเรียน มีนวลเดินตามหลังมา คุณครูกำลังยืนรอรับเด็ก ๆ อยู่แล้ว พอเห็นน้องหนูเดินมาก็ยิ้มรับ พิชญ์รับกระเป๋าเสื้อผ้าและอุปกรณ์ของน้องหนูจากนวลมาส่งให้คุณครู

           “ฝากด้วยนะครับคุณครู วันนี้มาดูลูกสาวกันทั้งบ้านเลย”

           “คุณพ่อไม่ต้องห่วงทางนี้นะคะ ไปรอที่หอประชุมได้เลยค่ะ เดี๋ยวแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้วก็เตรียมขึ้นเวทีแล้วค่ะ”

          พิชญ์ยิ้มรับก่อนจะย่อตัวลงหอมแก้มลูกสาวตัวน้อย

           “เดี๋ยวพ่อพีทให้พี่นวลอยู่เป็นเพื่อนน้องหนูนะ สู้ ๆ นะครับคนเก่ง พ่อพีทเชียร์อยู่”

          หลังจากส่งน้องหนูให้คุณครูแล้ว พิชญ์ก็ยืนดูจนเห็นน้องหนูเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ เขาหันมากำชับนวลให้คอยดูแลน้องหนูให้ดี ถ้ามีอะไรให้รีบโทรหาเขา ก่อนจะเดินไปที่หอประชุม

          เดินมาถึงทางเข้าหอประชุม พิชญ์เห็นอริญชย์ยืนอยู่ตามลำพังก็เดินเข้าไปหา พอเห็นพิชญ์มาแล้ว อริญชย์ก็ส่งกาแฟที่ถืออยู่ในมือให้พิชญ์แก้วหนึ่ง พิชญ์รับไปก่อนจะถามถึงคนอื่น

           “คนอื่นล่ะครับ”

           “ฉันเดินไปซื้อกาแฟมาเมื่อกี้ เลยให้ตุลย์กับกริชพาแม่เข้าไปก่อน” อริญชย์เอ่ยพลางแตะศอกพิชญ์เบา ๆ ให้เดินเข้าไปในหอประชุม

          เดินเข้ามาในหอประชุม พิชญ์ก็เห็นแม่พลอยนั่งอยู่แถวเกือบหน้าสุด มีตุลย์กับกริชนั่งอยู่ทางขวามือ เว้นที่นั่งสองที่ไว้ทางซ้าย พิชญ์นั่งลงข้างแม่พลอย อริญชย์ที่เดินหลังมาเลยนั่งข้างพิชญ์ ติดกับทางเดิน

           “แถวนี้มีร้านขายกาแฟด้วยหรือพีท เมื่อกี้แม่ไม่ยักเห็น” แม่พลอยหันมาเอ่ยถามลูกชาย เมื่อเห็นแก้วกาแฟในมือพิชญ์

           “เอาไหมแม่ พีทยังไม่ได้กินเลย”

           “ไม่เอาหรอก ขืนกินตอนนี้ มีหวังคืนนี้แม่ตาค้างพอดี”

          พิชญ์ยกกาแฟดื่ม นึกสงสัยอยู่หน่อย ๆ ที่อริญชย์เลือกกาแฟมาตรงกับความชอบของเขาพอดี เขาหยิบสูจิบัตรงานโรงเรียนที่ทำแจกขึ้นมาดู แผ่นพับเล็ก ๆ มีรายละเอียดบอกเกี่ยวกับที่มาที่ไปของงานโรงเรียน และรายการการแสดงของแต่ละชั้นเรียน

          อริญชย์ถือวิสาสะยื่นแขนข้างหนึ่งมาพาดพนักพิงของพิชญ์ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ก่อนจะโน้มตัวมาดูสูจิบัตรในมือพิชญ์ คนถูกเบียดชิดถึงกับนั่งนิ่ง ก่อนจะเรียกชื่ออริญชย์เสียงดุ

           “คุณใหญ่”

          เจ้าของชื่อไม่นำพาต่อเสียงเรียก กวาดสายตาดูสูจิบัตรก่อนจะเอ่ยถาม

           “การแสดงของน้องหนูคืออันที่สามใช่ไหม”

          ลมหายใจร้อนผ่าวของอริญชย์เป่ารดอยู่ข้างแก้มพิชญ์ จนเขาเผลอเกร็งตัวขึ้นมา จะขยับหนีก็กลัวแม่พลอยจะสงสัย เขาเลยได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ ไป ก่อนจะกระซิบเสียงลอดไรฟัน

           “คุณใหญ่ เขยิบออกไปห่าง ๆ หน่อยได้ไหม ผมอึดอัด”

          อริญชย์ยังนึกอยากแกล้งพิชญ์ต่ออีกหน่อย แต่พอเห็นใบหูของเจ้าตัวขึ้นสีก่ำ เขาเลยตัดใจผละออกมา พิชญ์ตวัดตามองอย่างนึกหมั่นไส้ก่อนจะยื่นมือไปหนีบเนื้อที่เอวจนคนถูกหยิกร้องโอ๊ยเสียงดัง เดือดร้อนให้แม่พลอยต้องหันมาดู

           “เป็นอะไรไป คุณใหญ่”

           “สงสัยจะถูกมดกัดเข้าน่ะครับ”

           “เอายาหม่องไหม แม่มี” แม่พลอยถามแล้วก็ไม่รอให้เจ้าตัวปฏิเสธ รีบก้มหาของในกระเป๋า ก่อนจะหยิบยาหม่องมายัดใส่มือพิชญ์ “ทายาให้พี่เขาหน่อยสิพีท”

          โยนหินทับเท้าตัวเองเป็นยังไง พิชญ์ก็เพิ่งเข้าใจวันนี้ หยิกอริญชย์เอง แล้วยังต้องมาทายาให้อริญชย์เองอีก คนถูกกระทำก็ช่างว่าง่าย ทำทีเป็นเลิกชายเสื้อตัวเองขึ้น พลางเอานิ้วชี้จุดให้เสร็จสรรพ พิชญ์เห็นแล้วก็อยากจะหยิกอีกเสียทีสองที เขาเอายาหม่องแม่พลอยป้ายไปตรงรอยหยิกสองทีก่อนจะดึงเสื้อปิด แล้วก็คร้านจะสนใจอริญชย์อีก

          หลังจากผู้อำนวยการโรงเรียนขึ้นมาก้าวต้อนรับผู้ปกครองและเอ่ยเปิดงาน การแสดงชุดแรกก็เริ่มต้นขึ้น เด็ก ๆ แต่งตัวด้วยชุดแฟนซีออกมาเต้นประกอบเพลง ผู้ปกครองนั่งดูพลางปรบมือเป็นระยะเมื่อจบการแสดง

          พอถึงการแสดงของชั้นเรียนน้องหนู แสงไฟค่อย ๆ หรี่ลงจนสลัว เจ้าหญิงตัวน้อยเดินออกมาจากหลังม่านช้า ๆ พิชญ์รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปน้องหนูเอาไว้ ก่อนจะหันไปกำชับกริชให้ถ่ายวิดีโอ การแสดงดำเนินไปเรื่อย ๆ จนเจ้าหญิงเจอกับเจ้าชาย ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา ดูแล้วคนเป็นลุงก็สงสัยจนอดถามไม่ได้

           “ทำไมน้องหนูถึงไม่มีบทพูดเลยล่ะ”

           “มีตอนท้าย ๆ ครับ น้องหนูเล่นเป็นเจ้าหญิงขี้อาย”

           “ใครเป็นคนเลือกให้เจ้าตัวแสบเล่นบทนี้เนี่ย เวลาอยู่บ้านเห็นพูดทั้งวันไม่รู้จักเหนื่อย”

          ฟังแล้วพิชญ์ก็หัวเราะขำ จริงอย่างที่อริญชย์ว่า ตอนน้องหนูเล่าว่าเจ้าตัวรับบทเป็นเจ้าหญิงขี้อาย เขาถึงกับต้องถามน้องหนูซ้ำอยู่สองรอบ เจ้าตัวเล็กของเขาเกาแก้มเขิน ๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบว่า

           ‘น้องหนูมีบทพูดสามประโยค’

          เห็นน้องหนูขยับซ้ายขยับขวา พลางส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บนเวที หัวอกคนเป็นพ่ออย่างพิชญ์ก็อดคิดไม่ได้ว่า...น้องหนูเริ่มโตแล้วจริง ๆ ทั้งแก้มยุ้ย ๆ แล้วยังตัวป้อม ๆ นั่นอีก สงสัยปิดเทอมหนนี้ เขาจะต้องสั่งลดขนมหวานลงเสียหน่อยแล้ว

          พอการแสดงละครเวทีปิดม่านลง เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่ม ล้วนแล้วแต่มาจากบริเวณรอบ ๆ ตัวพิชญ์ทั้งนั้น พิชญ์เอียงตัวไปหาแม่พลอยก่อนจะกระซิบบอก

           “แม่ เดี๋ยวพีทไปดูลูกก่อนะ”

          แม่พลอยพยักหน้ารับ ยังคงจดจ่อกับการแสดงของเด็ก ๆ บนเวทีที่มีอย่างต่อเนื่อง พิชญ์ขยับตัวลุกจากเก้าอี้เงียบ ๆ ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้บังผู้ปกครองแถวหลัง อริญชย์เองก็ลุกแล้วเดินตามหลังพิชญ์มาติด ๆ

           “พาน้องหนูมาแล้วจะกลับเลยไหม” อริญชย์เอ่ยถามหลังเดินออกมาจากหอประชุม

           “เดี๋ยวถามน้องหนูดีกว่าครับ ว่าจะอยู่ดูการแสดงต่อไหม”

          ลมตอนเย็นพัดมาเอื่อย ๆ โรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ ของน้องหนูมีสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ พอมาเดินอยู่ด้วยกันกับพิชญ์แบบนี้ ก็พลอยทำให้รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเดียวกันมากกว่าเดิม อริญชย์มองมือพิชญ์ที่อยู่ข้าง ๆ นึกอยากคว้ามาจับจูงไว้แล้วเดินไปด้วยกัน แต่กาลเทศะก็บอกเขาว่าไม่ควรทำ ได้แต่ต่างคนต่างเดิน

          พิชญ์พาอริญชย์เดินมาจนถึงห้องเรียนของน้องหนู เด็ก ๆ กำลังวุ่นวายอยู่กับการเปลี่ยนชุดการแสดงออก พอน้องหนูเห็นคุณพ่อกับคุณลุงก็รีบวิ่งตื๋อมาหา ทิ้งคุณครูและเพื่อน ๆ ไว้ข้างหลัง

           “พ่อพีทรู้ไหม เมื่อกี้น้องหนูตื่นเต้นมากเลยค่ะ”

           “แล้วตอนนี้หายตื่นเต้นยังคะ น้องหนูเก่งมากลูก”

          เจ้าตัวเล็กของบ้านยังอยู่ในชุดเจ้าหญิงสีชมพูอ่อน มงกุฎอันเล็กบนหัวเอียงกะเทเร่ตอนที่เจ้าตัววิ่งมา พิชญ์ช่วยจับให้ดี ๆ ก่อนจะหอมแก้มน้องหนูฟอดใหญ่

           “กลับบ้านกันเลยไหมคะ หรือจะอยู่ดูเพื่อน ๆ ก่อน”

          น้องหนูเอียงคอทำท่าคิดหนัก ระหว่างนั้นก็อ้าปากหาวหวอด เจ้าตัวเงยหน้ามายิ้มเขิน ๆ ให้พิชญ์ก่อนจะตอบเสียงเบา

           “กลับเลยก็ได้ค่ะ หนูง่วงแล้ว”

           “งั้นกลับชุดนี้เลยเนอะ เดี๋ยวเราค่อยไปเปลี่ยนชุดที่บ้านกัน พ่อพีทจะได้ถ่ายรูปกับเจ้าหญิงเก็บเอาไว้ด้วย”

           “ถ่ายกับลุงใหญ่ คุณย่า อาตุลย์ อากริช พี่นวลด้วยนะคะ”

           “ได้เลยครับ”

          พอเห็นสองพ่อลูกตกลงกันได้แล้ว อริญชย์เลยบอกให้พิชญ์พาน้องหนูไปลาคุณครู ส่วนเขาจะโทรหากริชให้เตรียมรถมารอ

          พิชญ์พยักหน้ารับก่อนจะอ้าปากหาวออกมาอีกคน ตอนกลางวันเขาตั้งใจจะงีบเอาแรง แต่หลังออกมาจากห้องหนังสือของอริญชย์ก็ไม่ได้งีบ ตอนนี้เลยเริ่มจะง่วงขึ้นมาอีกคนแล้วเหมือนกัน เขามองอริญชย์ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ ออกมา แทนคำพูด ฝ่ามือใหญ่ยื่นมาลูบหัวพิชญ์เบา ๆ

           “ลุงใหญ่ลูบหัวพ่อพีทเหมือนเวลาพ่อพีทลูบหัวน้องหนูเลย” เจ้าตัวเล็กเอ่ยพลางยิ้มตาหยี มองหน้าผู้เป็นลุงที ผู้เป็นพ่อที คนเป็นลุงส่งรอยยิ้มอบอุ่นกลับมาให้ ขณะที่คนพ่อได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วน

           “เดี๋ยวพอกลับถึงบ้าน ก็อาบน้ำแล้วรีบเข้านอนทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะ ตาปรือจนจะปิดกันอยู่แล้ว”

          ฟังคำของอริญชย์แล้ว สองพ่อลูกก็หันมาสบตากัน ก่อนจะผงกออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน เล่นเอาคนที่อายุมากสุดถึงกับต้องส่ายหน้าน้อย ๆ



TO BE CONTINUE





รีบมาลงตอนต่อให้ อาทิตย์หน้าอาจจะไม่ได้มาลงนะคะ
ขอหนีไปชาร์จแบตหน่อค่า ^^
แล้วจะรีบพาคุณใหญ่กับพีทกลับมานะคะ

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 36 งานโรงเรียน --- หน้าที่ 8 [04/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-10-2020 01:18:25
มีความเป็นFamilyมากกกกกจ้า  :-[ บทเจ้าหญิงขี้อายของน้องหนูช่างขัดกับตัวจริงจริง พูด3ประโยค น่าร๊ากก 55555 //อะไรใดทั้งหมดที่ซื้อก็ล้วนแต่เป็นของที่พีทชอบทั้งนั้น วุ้ยยยย  :o8: อีกไม่นานหรอกคุณใหญ่จะได้ยินคำที่รอ ดีไม่ดีเขาอาจจะเป็นคนพูดออกมาเองโดยไม่ต้องถาม  :-[ แม่พลอยดูท่าคงเป็นสไตล์ถ้าลูกรักใครแม่ก็ว่าตาม เพียงลูกมีความสุข ไม่น่าจะเยอะนะ เพราะงั้นรีบๆชัดเจนกันสักทีเถ๊อออออ จะได้สวีท อุอิ   :กอด1: สนุกก ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รออ่านทุกวัน รอตอนต่อไปเลย ไฟท์ติ้งงค่า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 36 งานโรงเรียน --- หน้าที่ 8 [04/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-10-2020 02:19:56
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 36 งานโรงเรียน --- หน้าที่ 8 [04/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 05-10-2020 12:44:11
Family Trip
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 37 ความจริงเปิดเผย --- หน้าที่ 9 [18/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 18-10-2020 21:16:09
สามสิบเจ็ด
ความจริงเปิดเผย





               เมื่อคืน พอเสร็จจากงานโรงเรียนก็ตรงกลับบ้านทันที ถึงบ้านพิชญ์ก็จับน้องหนูอาบน้ำก่อนจะพาลูกสาวตัวน้อยเข้านอน พอหัวถึงหมอน น้องหนูก็หลับทันทีด้วยความอ่อนเพลีย หลังจากรอจนน้องหนูนอนหลับสนิทดีแล้ว พิชญ์ก็กลับห้องมาจัดกากรับตัวเอง เสร็จแล้วก็รีบปีนขึ้นเตียงก่อนจะผล็อยหลับด้วยความรวดเร็วพอๆ กับน้องหนู

               พิชญ์หลับสนิทตลอดทั้งคืน เช้านี้เขาเลยตื่นมาด้วยความสดชื่น ผิดกับวันสองวันก่อนหน้านี้ คนเพิ่งตื่นขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อสัมผัสถึงความอึดอัดที่รัดแน่นรอบตัวเขา พิชญ์นิ่วหน้า ขณะพยายามแกะมืออริญชย์ที่รัดรอบเอวเขาออก ทั้งที่ห้องนอนของเขาก็เล็กกว่าห้องนอนของอริญชย์เกือบครึ่ง แต่ท่านเจ้าของบ้านก็ชอบพาตัวเองมานอนเบียดกับเขาอยู่เรื่อย

               พิชญ์ขยับตัวจะหนีออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ แต่พอเขาขยับ อริญชย์ก็ขยับตาม ก่อนฝ่ายหลังจะลืมตามองเขานิ่งๆ ดวงตาคมปลาบมองตรงมายังพิชญ์ แฝงความนุ่มนวลจนคนถูกมองต้องเสหลบตาด้วยความเก้อกระดาก ยกมือดันหน้าอกอริญชย์ให้ขยับออกห่างจากตัว

                “ตื่นแล้วก็ปล่อยผมสิ คุณใหญ่” พิชญ์เอ่ยพลางขยับตัวอย่างอึดอัด

นอกจากจะไม่ปล่อยพิชญ์ออกจากอ้อมแขนแล้ว อริญชย์ยังกระชับแน่นเข้า พลางโน้มหน้ามาจนปลายจมูกชนกัน เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกระซิบถามข้างหู

                “เมื่อไหร่จะย้ายมานอนห้องเดียวกับฉันเสียที...”

                “พูดบ้าๆ อีกแล้วนะ”

               ปลายนิ้วแข็งแรงยกขึ้นลูบริมฝีปากพิชญ์เบาๆ จนคนถูกกระทำต้องเบือนหน้าหนี หักห้ามใจตัวเองไม่ให้อ้าปากงับนิ้วอริญชย์แล้วกัดแรงๆ

                “ปากนี่นะ หัดจะพูดดีๆ กับฉันเสียบ้าง ปากคอเราะร้ายเหลือเกิน”

               พอถูกเอ็ดเข้า พิชญ์ก็หุบปากฉับ ลืมสนิทว่าเขาต้องพาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของอริญชย์ กลับนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดจนกระทั่งริมฝีปากอุ่นจัดทาบทับลงมา ขบเม้มริมฝีปากเขาเบาๆ จนพิชญ์ต้องเผยอปากออกด้วยความจำนน ลึกๆ แล้ว พิชญ์รู้ดีว่าเขาเต็มใจรับสัมผัสที่อริญชย์มอบให้มากแค่ไหน

               อริญชย์ดูดกลืนริมฝีปากพิชญ์ ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดร้อยรัดกัน บดเบียดจนริมฝีปากพิชญ์แดงก่ำ พออริญชย์ถอนริมฝีปากออก พิชญ์ก็รีบกอบโกยอากาศเข้าปอด ก่อนจะตวัดตามองคนที่บังคับขืนจูบเขาแต่เช้าตาดุๆ คนถูกมองค้อนยิ้มตาพราวระยับ ยื่นมือมาลูบริมฝีปากบวมเจ่อเบาๆ เสียงทุ้มเอ่ยถามข้างใบหูก่อนจะขบใบหูพิชญ์เบาๆ คล้ายหยอกเอิน

                “ตกลงว่าคิดถึงฉันบ้างไหม...”

               เขาทวงถามคำถามที่เมื่อวานเอ่ยถาม แล้วพิชญ์ก็หลบลี้หนีหน้า ไม่ยอมตอบเขา มาวันนี้อริญชย์กักพิชญ์ไว้ในอ้อมกอด ไม่ยอมปล่อย เฝ้ารอคำตอบจนกว่าพิชญ์จะเอ่ยถ้อยคำที่เขาพึงพอใจ แต่ม้าพยศก็ยังคงเป็นม้าพยศอยู่วันยังค่ำ พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น บอกเจตนารมณ์แน่วแน่ว่าจะไม่ตอบคำถามเขา จนคนรอฟังชักท้อ

               พอเริ่มท้อกับการรอคอย ฝ่ามือร้อนผ่าวก็พลันลากเรื่อยลงมาตามลำคอ ริมฝีปากพรมจูบไล่ตามลงมาติดๆ ทั้งลำคอ ไหปลาร้า เนินอก อริญชย์สอดมือเข้าใต้เสื้อนอนของพิชญ์ ลูบไล้เบาๆ บริเวณจุดที่ไวสัมผัส คนถูกกระทำเผลอหลุดเสียงครางออกมาก่อนจะบิดตัวหนี กลับกลายเป็นว่าถูกอริญชย์พลิกตัวคร่อมทับ

               พิชญ์เบิกตากว้าง มองคนที่ทับอยู่เหนือร่างเขา มิหนำซ้ำข้อมือสองข้างของเขายังถูกยึดอยู่เหนือหัว เขาช้อนตามองโกรธๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่ออริญชย์เสียงดุ

                “คุณใหญ่...”

                “ตอบคำถามฉันก่อนสิ”

               พิชญ์กำลังไตร่ตรองว่าเขาควรตอบอย่างไร ควรตอบคำถามที่อริญชย์พอใจหรือควรตอบคำถามที่เขาพอใจ ก่อนความคิดของเขาจะสะดุด เมื่อกระดุมเสื้อนอนถูกปลดจนหมด ริมฝีปากร้อนผ่าวก้มลงครอบครองยอดอกเขา ดูดดึงจนเขาเสียวซ่าน หัวสมองพลันขาวโพลน คิดอะไรไม่ออก ได้แต่เอ่ยร้องเรียกชื่ออริญชย์ออกมาอีกหน

                “คุณใหญ่...”

               อริญชย์ขบเม้มยอดอกพิชญ์ เขาเหลือบตามองปฏิกิริยาของคนที่บิดเร่าอยู่ใต้ร่างเขา แต่ริมฝีปากยังเม้มแน่นไม่ยอมเอ่ยถ้อยคำที่เขาอยากฟังอย่างนึกขัดใจ มือข้างหนึ่งที่ว่างค่อยๆ เลื่อนลงสอดเข้ากางเกงนอนขายาวของพิชญ์ กอบกุมแกนกายของพิชญ์ไว้ คนที่ถูกกดอยู่ข้างล่างเบิกตากว้าง นึกอยากต่อต้าน แต่ร่างกายไม่รักดีกลับทรยศเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

               ร่างกายของพิชญ์กำลังฟ้องว่าเขากำลังโหยหาอริญชย์มากแค่ไหน เพียงแค่อริญชย์แตะนิดแตะหน่อย ก็รีบร้อนแสดงความต้องการออกมา

               พิชญ์หน้าแดงก่ำ บอกตัวเองว่าเป็นเพราะเขาร้างลากับเรื่องแบบนี้มาพักใหญ่ มิหนำซ้ำตอนนี้ยังเป็นตอนเช้า ร่างกายจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ก็คงไม่แปลกนัก แต่ราวกับอีกคนจะรู้ทัน เสียงแหบพร่ากระซิบหยอกเย้าข้างหูเขา

                “เป็นเสียแบบนี้ แล้วยังปากแข็งไม่ยอมรับว่าคิดถึงฉันอีกหรือ”

                “ผมเปล่า...”

               พิชญ์พยายามเถียงเสียงแข็ง แต่เสียงที่ดังกลับฟังดูเชิญชวน เขาพยายามหนีบขาเข้าหากัน แต่อริญชย์กลับกดหัวเข่าลงมา แยกขาสองข้างของเขาออกจากกัน

               ฝ่ามือใหญ่กอบกุมแกนกายของพิชญ์เอาไว้ ขยับรูดรั้งจนพิชญ์ต้องบิดตัวไปมา ความต้องการพุ่งขึ้นสูง พอจวนเจียนจะถึงปลายทาง อริญชย์กับหยุดมือเอาไว้ ดวงตาร้ายๆ ก้มลงมองพิชญ์ที่นอนหน้าแดงก่ำ เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง

                “คิดถึงฉันหรือเปล่า...”

               พิชญ์หลับตาลงช้าๆ เพราะไม่อยากมองสีหน้าของอริญชย์ ก่อนจะพึมพำเอ่ยตอบออกไปเสียงเบาอย่างไม่ยินยอมนัก

                “คิดถึง...”

               สาบานเลยว่า...เขาก็แค่ให้คำตอบที่อริญชย์พอใจ เขาก็แค่พูดสิ่งที่อริญชย์อยากฟัง

               เขาไม่ได้คิดถึงอริญชย์จริงๆ หรอก...ใช่ไหม

               พอได้ยินคำตอบที่เขาเฝ้ารอคอย อริญชย์ก็ขยับมือพาพิชญ์ไปถึงฝั่งฝัน เพราะพิชญ์หลับตา พิชญ์เลยไม่เห็นว่าสายตาที่ทอดมองมานั้นอบอุ่นแค่ไหน ราวกับจะโอบกอดเขาเอาไว้ด้วยความรักทั้งหมดที่อริญชย์มี ไขว่คว้าทุกสิ่งที่พิชญ์ต้องการมาให้ เพียงแค่พิชญ์เอ่ยปากเท่านั้น

               พอพาพิชญ์เดินทางถึงฝั่งฝันแล้ว อริญชย์ก็ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย เขาป้ายคราบคาวของพิชญ์ที่เปรอะเปื้อนเต็มมือเขาลงที่ช่องทางด้านหลังของเจ้าตัว ช่องทางของพิชญ์ถึงกับหดเกร็งทันทีที่ถูกเขาสัมผัส อริญชย์กดนิ้วเข้าไปเบาๆ เพื่อให้พิชญ์ค่อยๆ ผ่อนคลาย

               ยามเห็นพิชญ์บิดตัวไปมาพร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆ เส้นความอดทนของอริญชย์ราวกับขาดผึง คร้านที่จะยืดเวลาเล้าโลมคนใต้ร่าง แม้ว่ายังอยากจะปรนเปรอพิชญ์ต่ออีกหน่อย แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมเชื่อฟัง อริญชย์ถอนนิ้วออกมา ก่อนจะแทนที่ด้วยตัวตนอันแข็งแกร่งของเขา

               ราวกับเป็นร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกัน ร่างกายของพิชญ์ตอบรับและตอดรัดเขาเสียจนอริญชย์แทบคลั่ง เขาฝังตัวอยู่ในตัวพิชญ์นิ่ง ยังไม่ยอมขยับ จนคนใต้ร่างต้องลืมตามอง ดวงตาที่มองสบมาของพิชญ์ฉ่ำเยิ้ม ขณะเรียกชื่อเขาเสียงเครือ

                “คุณใหญ่...”

               แม้อยากจะฟังพิชญ์อ้อนวอนเขาเสียหน่อย แต่อริญชย์ก็ไม่อยากเสียเวลาอีกแม้แต่นาทีเดียว เขาขยับตัวเข้าออกช้าๆ เป็นจังหวะ ฝากฝังตัวตนลงไปอย่างลึกซึ้ง ทั้งครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของ ปล่อยให้ร่างกายโยกคลอนไปตามจังหวะ

               ร่างกายนี้เป็นของเขา ทุกอณูบนตัวพิชญ์ของเขา เหลือแค่เพียงสิ่งเดียวที่เขาพยายามไขว่คว้า...

               ...หัวใจของพิชญ์

               พอข้อมือถูกปล่อยเป็นอิสระ พิชญ์ก็เกาะเกี่ยวยึดบ่าของอริญชย์เอาไว้ เขาถูกกระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัวคลอน แต่ร่างกายกลับยังรู้สึกเหมือนไม่เพียงพอ ต้องการมากขึ้น อยากให้อริญชย์รุนแรงกับเขามากกว่านี้ เข้ามาข้างในตัวเขาให้ลึกขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นก็อยู่แค่ในความคิดของพิชญ์ เขาไม่มีทางพูดเรื่องน่าอายเหล่านั้นออกไป

               พิชญ์ยื่นมือออกไปไขว่คว้าอริญชย์ แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยออกเป็นคำพูด แต่อาการโอบรั้งอริญชย์ให้แนบชิด ให้อีกฝ่ายฝากฝังตัวตนลงมาอย่างลึกซึ้งก็แทนคำพูดมากมายในใจได้เป็นอย่างดี จนเหมือนกับว่า แท้จริงแล้วเป็นพิชญ์ที่พยายามกลืนกินตัวตนของอริญชย์

               แวบหนึ่งที่พิชญ์เผลอคิดว่า...ชีวิตนี้เขาคงหนีอริญชย์ไปไหนไม่พ้นแล้ว



.



หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 37 ความจริงเปิดเผย --- หน้าที่ 9 [18/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 18-10-2020 21:18:36


               พิชญ์ลงมากินข้าวอีกทีตอนเกือบสิบเอ็ดโมง ส่วนอริญชย์ลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตอนพิชญ์เดินลงมาถึงข้างล่าง แม่พลอยกับน้องหนูจัดการกับมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้ยอแล้ว แม่พลอยกำลังรอเจอลูกชายคนเดียวเพื่อร่ำลาก่อนจะเดินทางกลับประจวบคีรีขันธ์ พิชญ์เดินมากอดเอวแม่พลอยขณะเอ่ยร่ำลา

                “เดินทางปลอยภัยนะแม่”

                “จ้ะ เราก็ดูแลตัวเองด้วยนะพีท”

               หลังจากเอ่ยร่ำลากันแล้ว แม่พลอยก็อุ้มน้องหนูขึ้นมาหอมแก้มซ้ายขวา ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถที่กริชนำมารอไว้ น้องหนูวิ่งตามออกไปโบกมือบ๊ายบายคุณย่าหน้าบ้าน มีนวลคอยตามดูแลอยู่ห่างๆ

               พิชญ์ยืนดูจนกระทั่งรถแล่นออกจากรั้วบ้านแล้ว เขาถึงเดินกลับมาจากจัดการกับมื้อเช้า ส่วนน้องหนูวิ่งเล่นอยู่ข้างนอกกับนวล อริญชย์จัดการมื้อเช้าเสร็จแล้ว กำลังนั่งจิบกาแฟพลางอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ พิชญ์นั่งลงตรงข้ามอริญชย์ พอเห็นหน้าอริญชย์ก็พาลทำตัวไม่ถูก ร่างกายพลันร้อนผ่าว ภาพที่อริญชย์แตะต้องเขาวนเวียนอยู่ในหัวจนพิชญ์นึกละอาย

                “คุณพีทคะ...คุณพีท...”

               ป้าน้อยเอ่ยเรียกพิชญ์สองสามที เมื่อเห็นว่ายกอาหารมาวางแล้วพิชญ์ยังนั่งเหม่ออยู่ พิชญ์สะดุ้งก่อนจะเลื่อนจานข้าวมาตรงหน้า แล้วรีบก้มหน้าก้มตาจัดการกับมื้อเช้า วันนี้วันจันทร์ เดี๋ยวเขายังต้องเข้าบริษัทพร้อมอริญชย์อีก

               พอพิชญ์กินข้าวเสร็จ อริญชย์ก็ขยับตัวลุกทันที พิชญ์รีบคว้าน้ำมาดื่มแล้วเดินตามหลังอริญชย์ เกือบจะสวนกับน้องหนูที่วิ่งตื๋อเข้ามา

                “พ่อพีทกับลุงใหญ่จะไปไหนคะ”

                “ไปทำงานลูก” พิชญ์ตอบพลางย่อตัวลงหอมแก้มน้องหนู เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอมองก่อนจะเอ่ยถาม

                “พาน้องหนูไปด้วยได้ไหมคะ”

               พิชญ์กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขากลับหันมาย่อตัวลงอุ้มน้องหนู พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน

                “ได้สิคะ คนเก่ง”

               พออริญชย์อนุญาต พิชญ์เลยไม่ได้เอ่ยห้ามปรามอะไร เขาเดินตามหลังคุณลุงที่อุ้มคุณหลานเดินไปที่รถ น้องหนูกวักมือเรียกพิชญ์ให้รีบเดินตามมา พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง

                “พ่อพีท เร็วๆ”

               พิชญ์ส่งยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าไปจนตามทัน อริญชย์เบี่ยงตัวหลบให้พิชญ์ก้าวขึ้นรถก่อน แล้วถึงอุ้มน้องหนูขึ้นรถ ส่วนตัวเขาเองขึ้นเป็นคนสุดท้าย

               น้องหนูนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างอริญชย์และพิชญ์ เด็กหญิงลูบกระโปรงของตัวเองที่พองๆ ให่แนบเข้ากับลำตัว พอเห็นพิชญ์มองด้วยความฉงน เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มแฉ่งพลางเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว

                “เป็นเจ้าหญิงต้องเรียบร้อยค่ะ”

               พิชญ์กับอริญชย์หลุดยิ้มออกมาพร้อมกันให้กับความแก่แดดแก่ลมของน้องหนู ขณะที่คนขับรถอย่างตุลย์ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่เกรงใจ เล่นเอาเจ้าตัวน้อยเอ่ยถามทันควัน

                “อาตุลย์หัวเราะอะไรคะ”

                “หัวเราะที่คุณหนูน่ารักครับ”

               ฟังคำตอบของคนสนิทแล้วอริญชย์ก็ถึงกับต้องกระแอมเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ รอยยิ้มผุดบนริมฝีปากของอริญชย์จางๆ เขาเหลือบมองพิชญ์กับน้องหนูที่นั่งคุยกันเบาๆ อยู่ด้านข้าง ยอมรับด้วยความสัตย์จริงเลยว่า อริญชย์ชอบบรรยากาศแบบนี้ มันเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพิชญ์กำลังดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

               หลังจากฝ่าการจราจรอันคับคั่งบนท้องถนนมาร่วมชั่วโมง ตุลย์ก็พาทุกคนมาถึงบริษัท พนักงานรักษาความปลอดภัยพอเห็นอริญชย์กับพิชญ์มาถึงก็ยกมือทำความเคารพ อริญชย์พยายามผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงกว่าปกติ เพื่อให้พิชญ์ที่เดินจูงน้อยหนูอยู่ข้างหลังเดินตามมาทัน เขาชำเลืองมองพิชญ์กับน้องหนูเป็นระยะ หลานสาวตัวน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วคุยกับเป็นผู้เป็นพ่อตลอดทาง

               จนกระทั่งเกือบจะถึงลิฟต์ พนักงานต้อนรับก็รีบร้อนเดินออกมาทำความเคารพอริญชย์กับพิชญ์ ก่อนจะเลี่ยงมาหาตุลย์ เอ่ยกระซิบกระซาบกับคนสนิทของอริญชย์หน้าตาเคร่งเครียด ตุลย์รับฟังพลางพยักหน้ารับช้าๆ ขณะเหลือบสายตามามองอริญชย์กับพิชญ์ที่กำลังยืนรอลิฟต์ หลังจากตัดสินใจอยู่เสี้ยววินาที ตุลย์ก็ตัดสินใจเดินตรงไปหาอริญชย์

                “คุณใหญ่ครับ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย” ตุลย์เอ่ยพลางมองอริญชย์ ก่อนจะชำเลืองมองพิชญ์

               อริญชย์เองพอจะเดาความหมายจากสายตาของตุลย์ออก แต่เขาก็เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

                “ว่ามา...”

                “เสี่ยเล้งมาหา รออยู่ห้องรับแขกส่วนตัวด้านบนครับ” ตุลย์หมายถึงห้องรับแขกส่วนตัวของอริญชย์ ซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานของเจ้าตัว

               พิชญ์ซึ่งกำลังคุยอยู่กับน้องหนูถึงกับชะงักกึก เมื่อชื่อของ ‘เสี่ยเล้ง’ ดังเข้าโสตประสาท เขาหันขวับมากำลังจะเอ่ยปากถามอริญชย์ แต่อริญชย์ก็ชิงตัดบทด้วยการเอ่ยสั้นๆ ว่า

                “ลิฟต์มาแล้ว”

               พิชญ์จูงน้องหนูเดินตามอริญชย์เข้าลิฟต์ คิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน เขากำลังพยายามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าถึงสาเหตุที่ราชันย์มาเยือนถึงที่นี่ ดูเหมือนตอนที่ตุลย์เดินมาบอก อริญชย์เองจะไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับคาดเดาได้อยู่แล้วว่าราชันย์จะมา

               พอประตูลิฟต์เปิดออก ปกติแล้วพิชญ์กับอริญชย์จะต้องเดินแยกไปห้องทำงานของตัวเองกันคนละทาง เนื่องจากห้องทำงานของพิชญ์กับอริญชย์อยู่กันคนละฝั่ง แต่วันนี้พอเดินออกมาจากลิฟต์แล้ว พิชญ์กลับจับแขนเสื้ออริญชย์เอาไว้ คนถูกจับหันมาเลิกคิ้วมองนิดๆ

                “ผมขอไปเจอเสี่ยเล้งด้วยได้ไหม”

               อริญชย์มองหน้าพิชญ์ พอเห็นสายตาที่มองสบมาที่เขาแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ พยักหน้าแทนคำตอบ ขณะกำลังจะเอ่ยถามว่าแล้วน้องหนูล่ะ เจ้าตัวเล็กก็จับข้อมือพิชญ์แกว่งไปมาก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

                “พ่อพีท น้องหนูปวดฉี่”

                “แป๊บนะลูก” เอ่ยบอกน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็หันกลับมาหาอริญชย์ “เดี๋ยวผมพาน้องหนูไปเข้าห้องน้ำแล้วรีบตามเข้าไป”

               พิชญ์จับจูงมือน้องหนูเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเขา ห้องทำงานของพิชญ์มีห้องน้ำอยู่ข้างใน หลังจากรอให้น้องหนูเข้าห้องน้ำจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็เตรียมสมุดระบายสีกับดินสอสีให้เจ้าตัวเล็ก

                “น้องหนูนั่งระบายสีอยู่ในห้องนะคะ พ่อพีทไปทำงานแป๊บเดียว เดี๋ยวมา”

                “นานไหมคะ”

                “ไม่นานครับ”

               เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย หยิบสมุดระบายสีกับดินสอสีมาจากพิชญ์แล้วปีนขึ้นไปบนโซฟา พิชญ์ยืนดูน้องหนูอยู่ครู่หนึ่งจนวางใจก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ก่อนพิชญ์จะออกมา น้องหนูยังโบกมือให้พิชญ์หยอยๆ

               พอเดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเองแล้ว พิชญ์ก็เปลี่ยนจากใบหน้าอ่อนโยนยามอยู่กับน้องหนูมาเป็นสีหน้านิ่งเฉย เหตุผลที่วันนี้เขาอยากเจอราชันย์ เพราะเขามีคำถามที่อยากจะถามอีกฝ่าย เขาอยากรู้ว่า...

               คนที่ลักพาตัวแม่พลอยและน้องหนูไป...ใช่ราชันย์หรือไม่

               พิชญ์เดินมาถึงห้องรับแขกส่วนตัวของอริญชย์ เขาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นตุลย์เพิ่งเดินออกมาจากห้อง

                “คุณใหญ่อยู่ข้างในใช่ไหมครับ” พิชญ์เอ่ยถามคนสนิทของอริญชย์

                “ครับ อยู่ข้างในกับเสี่ยเล้ง”

               พิชญ์พยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ ตามมารยาท แล้วถึงเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขก อริญชย์กับราชันย์กำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ แต่บรรยากาศกลับดูสบายๆ จนพิชญ์นึกแปลกใจ แขกที่มาเยือนกำลังยกน้ำชาขึ้นจิบ พอได้ยินเสียงพิชญ์ก็เงยหน้ามอง ยิ้มมุมปากเล็กน้อย โดยไม่เอ่ยอะไร พิชญ์เสียอีกที่เป็นฝ่ายค้อมหัวลงเป็นเชิงทักทาย อย่างน้อยด้วยวัยวุฒิและประสบการณ์ เขาก็ยังจำเป็นต้องให้เกียรติราชันย์

               พิชญ์เลื่อนเก้าอี้ข้างๆ อริญชย์ออกก่อนจะนั่งลง ทั้งอริญชย์และราชันย์ต่างสาละวนกับน้ำชาตรงหน้า ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา จนพิชญ์เกือบจะเป็นเริ่มต้นบทสนทนาเองแล้ว แต่ด้วยมารยาท เขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบๆ

               พิชญ์ทบทวนถ้อยคำที่เขาตั้งใจจะเอ่ยราชันย์อยู่ในหัว ก่อนจะสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ อริญชย์ก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

                “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

               คนถูกถามมีท่าทีสบายๆ ค่อยๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะกลางก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรื่อยๆ แฝงความเกียจคร้านไว้นิดๆ

                “กลับมาถึงเมื่อคืน” ราชันย์มองพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่อริญชย์เหมือนเดิม ขณะเอ่ยถามประโยคถัดไป “น้องหนูเป็นยังไงมั่ง”

                “ปลอดภัยดีแล้ว”

               พอได้ยินชื่อลูกสาวตัวเอง พิชญ์ก็ถึงกับนั่งไม่ติด เขารอจนกระทั่งอริญชย์ตอบราชันย์แล้ว ถึงได้เอ่ยถามคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดหลายวัน

                “เสี่ยเล้ง...”

                “พอได้ยินนายเรียกแบบนี้ แล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองดูเป็นพวกตาแก่หัวล้านยังไงก็ไม่รู้”

               พิชญ์ไม่สนใจถ้อยคำหยอกล้อของอีกฝ่าย เขายังคงเอ่ยถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้ออกไป

                “คุณมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่แม่และลูกของผมถูกลักพาตัวไปเมื่อวันก่อนหรือเปล่า”

               ราชันย์ปรายตามองอริญชย์แวบหนึ่ง เห็นเพื่อนรักยังคงนั่งนิ่ง เขาเลยเอ่ยออกมาตรงๆ แบบไม่ปิดบัง

                “ฉันไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรอกนะ แต่ถ้าถามว่ามีส่วนไหม...ก็อาจจะมีนิดหน่อยล่ะมั้ง”

                “หมายความว่ายังไง” คราวนี้อริญชย์เป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียงเยียบเย็น พลางตวัดตามองราชันย์

               ราชันย์ไม่สนใจเพื่อนรัก เขารู้ว่าความจริงแล้วเขาก็ทำไม่ถูกนักที่เลือกใช้เล่ห์กลแบบนี้ แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีทางให้เลือกเดินมาก มีใครบ้างที่อยากเดินอ้อม ถ้าเกิดเจอทางลัด เขามองสบตากับพิชญ์ ก่อนจะเลือกเล่าเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเขาเท่านั้น

                “หลิวเป็นคนสั่งลักพาตัวแม่และลูกของนาย ไม่ใช่ฉัน”

               แม้คำตอบจะไม่ผิดจากที่อริญชย์คาดเดานัก แต่พอได้ยินราชันย์เอ่ยออกมาเอง ย่อมแปลว่าเจ้าตัวมีหลักฐานแน่ชัดแล้ว อริญชย์อดเดือดดาลขึ้นมาอีกรอบไม่ได้

               ถึงแม้รัญญาจะเป็นน้องสาวของราชันย์ แต่ลองว่าราชันย์เอ่ยยืนยันออกมาด้วยตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นคนอยู่เบื้องหลังแล้ว ย่อมหมายความว่าครั้งนี้ราชันย์จะจัดการรัญญาให้ถึงที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าอริญชย์เองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเพิกเฉยและปล่อยรัญญาไป ในเมื่อกล้ากระตุกหนวดเสือ ก็ต้องกล้ายอมรับผลที่จะตามมาด้วยเช่นกัน

               แค่คราวที่เกิดเรื่องขึ้นกับอธิษฐ์ เขาก็ใจดีกับรัญญามามากพอแล้ว

                “หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ” ฟังถ้อยคำของราชันย์แล้ว พิชญ์ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ หรือเขาพลาดตรงไหนไป

               พิชญ์รู้ว่ารัญญาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่เขาแปลกใจตรงที่คนเป็นพี่ชายอย่างราชันย์เอ่ยออกมาง่ายๆ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของรัญญา ราวกับไม่แยแสน้องสาวตัวเองเลยแม้แต่น้อย

                “หลิวคิดว่าน้องหนูเป็นลูกของฉัน ก็เลยตั้งใจจะลักพาตัวน้องหนู แต่บังเอิญว่าวันนั้นแม่ของพีทอยู่ด้วยก็เลยถูกลักพาตัวไปพร้อมกัน”

               อริญชย์จับใจความแค่ประโยคแรกที่ราชันย์เอ่ยออกมา โดยไม่สนใจข้อความหลังจากนั้น เขาจ้องหน้าเพื่อนรักสายตาดุดันขณะเค้นเสียงถามออกมา

                “อย่าบอกนะว่ามึงเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องน้องหนูเป็นลูกมึง”

               พอราชันย์พยักหน้ารับแทนคำตอบ พิชญ์ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากที่นั่ง มารยาทและกาลเทศะถูกเขาโยนทิ้งไปอย่างไม่สนใจไยดี พิชญ์ตั้งใจจะต่อยหน้าราชันย์แรงๆ เสียที ให้สมกับความโมโหที่อีกฝ่ายมีส่วนทำให้แม่พลอยกับน้องหนูถูกลักพาตัวไป แต่แค่เขาจะถลาเข้าไปหาราชันย์ เสียงร้องเรียกชื่อก็ดังมาจากข้างหลังทำเอาเขาถึงกับชะงักกึก

                “อย่านะพีท!”

               ไม่ใช่อริญชย์ที่เอ่ยห้ามปรามพิชญ์ แต่เป็นปฐพีที่รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้อง ข้างหลังมีน้องหนูเดินตามมาต้อยๆ ก่อนจะปฐพีจะวิ่งไปแทรกระหว่างพิชญ์กับราชันย์ ขณะที่น้องหนูเอียงคอมองพิชญ์น้อยๆ แล้วเอ่ยถามผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนอยู่ในท่าทางแปลกๆ

                “พ่อพีททำอะไรอยู่คะ”

               คำถามของน้องหนูทำเอาพิชญ์ต้องลดมือลงด้วยความไม่เต็มใจนัก อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงต่อหน้าน้องหนู

                “น้องหนูทำไมไม่รอพ่อพีทอยู่ในห้องล่ะลูก”

                “น้องหนูหิวน้ำ พอเดินออกมาก็เจอคุณอาคนนี้” เจ้าตัวเล็กว่าพลางชี้มือไปยังปฐพีที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่

               จิ๊กซอว์บางอย่างเหมือนต่อกันอย่างลงตัว แต่พิชญ์รู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เขาจ้องมองเพื่อนที่ยืนนิ่งด้วยความผิดหวังก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็นชา ทั้งที่พอเดาที่มาที่ไปได้อยู่แล้ว

                “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

                “ฉันพามาเอง” ราชันย์เป็นคนตอบก่อนจะดึงปฐพีให้เดินมาอยู่ข้างเขา

               พิชญ์มองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะเริ่มพอเดาอะไรได้ลางๆ แต่เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือความจริง วินาทีนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ ที่ถูกปิดหูปิดตา ไม่เคยรับรู้เรื่องราวอะไรเลย แม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างปฐพีกับราชันย์

                “หมายความว่ายังไง ดิน”

                “ฉันอยู่กับเฮียมาหลายปีแล้ว”

               พิชญ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สัมผัสของน้องหนูที่แตะข้อมือเขาเบาๆ เรียกสติพิชญ์ให้คืนกลับมา อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่สามารถโมโหหรือโวยวายต่อหน้าน้องหนูได้ พิชญ์นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนจะหันมาปั้นหน้ายิ้มใส่น้องหนู

               กลับไปนั่งเล่นที่ห้องพ่อพีทกันค่ะ คนเก่ง”

               พิชญ์ก้มลงย่อตัวอุ้มน้องหนูขึ้นมาแนบอก เขาเดินผ่านทุกคนตรงไปยังประตูโดยไม่เอ่ยอะไร ไม่สนใจกระทั่งปฐพีที่พยายามเรียกชื่อเขา พิชญ์พาน้องหนูกลับมาที่ห้องทำงาน หลังจากหาน้ำให้น้องหนูแล้ว ตุลย์ก็เคาะประตูห้องก่อนจะเดินเข้ามา

                “คุณพีท มีคนมารออยู่ข้างนอกครับ”

               พิชญ์มองน้องหนูที่นั่งเล่นอยู่ตรงโซฟาก่อนจะชั่งใจ ยอมรับเลยว่าตอนนี้อารมณ์เขาไม่มั่นคงนัก กระทั่งจะอยู่กับน้องหนูตามลำพัง พิชญ์ยังไม่ไว้ใจตัวเอง อย่างน้อยเขาก็อยากรู้ความจริงทั้งหมด เขาไม่อยากถูกปิดหูปิดตาเหมือนคนโง่ พิชญ์ตัดสินใจฝากน้องหนูไว้กับตุลย์ในที่สุด

                “งั้นฝากคุณตุลย์ช่วยดูน้องหนูทีนะครับ”

               พอเดินออกมาจากห้องแล้วเห็นปฐพียืนรออยู่ พิชญ์ก็ไม่ได้นึกแปลกใจนัก เขาเดินนำปฐพีไปยังห้องรับแขกของเขาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยปากเชื้อเชิญอีกฝ่าย ปฐพีนั่งลงตรงข้ามพิชญ์ เขาลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของพิชญ์ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน

                “นาย...โกรธฉันใช่ไหม”

               พิชญ์จ้องหน้าปฐพีนิ่งๆ ก่อนจะยอมเปิดปากในที่สุด

                “นายปิดบังฉันไว้เยอะเลยนี่ ทั้งเรื่องงานที่นายทำ เรื่องหอพักที่นายอยู่ สรุปว่าทุกครั้งที่เราเจอกันมันคือเรื่องโกหกทั้งหมดเลยใช่ไหมดิน”

               พอพิชญ์เอ่ยออกมาแบบนั้น ปฐพีก็หลบตาวูบหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก

                “ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้ ฉันอธิบายได้นะพีท ฟังฉันก่อน”

               พิชญ์มองเพื่อนเก่านิ่ง ยอมรับว่าเขาเคยคิดจะชวนปฐพีมาทำงานด้วยกัน เคยอยากจะหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆ ให้ปฐพี เพราะเห็นใจและเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนของราชันย์ คงไม่ต้องการอะไรจากเขาแล้วมั้ง

                “นายเป็นอะไรกับเสี่ยเล้ง”

               พอคำถามถูกโยนออกมา ปฐพีก็ถึงกับนิ่ง เขาจะเอ่ยออกไปได้อย่างไรว่าเขาเป็นแค่นายบำเรอ เป็นแค่ของเล่นคลายเหงา คนถูกถามหรุบตาลงต่ำด้วยความละอาย แต่กลับทำให้คนมองเข้าใจผิดจนต้องเอ่ยเสียงเยาะหยัน

                “ทำไมตอบไม่ได้ คำตอบมันยากมากนักหรือ”

                “ฉัน...มีความสัมพันธ์กับเขา” คำตอบของปฐพีเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

               ฟังคำตอบของปฐพีแล้ว พิชญ์ก็ถึงกับสะอึก คำตอบของอีกฝ่ายอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปไกล ให้ปฐพีบอกว่าเป็นผู้ช่วย เป็นเลขา เขายังยินดีจะเชื่อเสียมากกว่า แต่พิชญ์รู้ดีว่าปฐพีคงไม่มีทางเอาสถานะและศักดิ์ศรีของตัวเองมาล้อเล่น ถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกไปเลยไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่

                “ตั้งแต่เมื่อไหร่...”

               ปฐพีค่อยย้อนความไปถึงเหตุการณ์วันที่เขาเจอกับราชันย์ เคยคิดว่าคงจะอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร หากมีคนอื่นรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับราชันย์เข้า แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเล่าออกมาจริงๆ เขาก็พบว่ามันไม่ได้ยากเกินไปนัก

                “ตอนฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พ่อป่วยหนักมาก ฉันไม่มีเงินรักษา มันต้องใช้เงินจำนวนเยอะ ฉันคิดไม่ออกว่าจะหาเงินยังไงให้ได้เร็วๆ คิดได้แต่วิธีโง่ๆ เท่าที่สมองของฉันจะคิดออกในตอนนั้น แล้วฉันก็เจอเขา...”

                “อย่าบอกนะว่าเขาให้เงินนาย”

                “ใช่ เฮียให้เงินฉัน รักษาพ่อจนถึงที่สุด เฮียสัญญาว่าจะส่งน้ำเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย แล้วก็พาฉันไปอยู่ฮ่องกงด้วยกัน ส่งเสียให้ฉันเรียนหนังสือจนจบ”

                “ทั้งหมดที่นายได้มาต้องแลกกับอะไรบ้าง”

                “แค่อย่างเดียวเองพีท...อิสรภาพของฉัน”

               ทั้งที่เอ่ยตอบเพื่อนไปแบบนั้น แต่ปฐพีรู้ดีว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่กับราชันย์นั้น สิ่งที่ราชันย์เอาไปจากเขาไม่ได้มีแค่อิสรภาพ แต่ยังรวมถึงหัวใจและความจงรักภักดีของเขาด้วย หัวใจที่เขาใส่พานวางไว้ในกำมือของราชันย์โดยไม่คิดจะเอากลับคืน

                “แล้วเขาก็สั่งให้นายเข้ามาหาฉันใช่ไหม”

                “ไม่ใช่พีท ฉันเป็นคนที่อยากเจอนายเอง เฮียแค่สั่งไม่ให้ฉันพูดอะไรกับนายมาก เฮียเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นายคิดนะพีท”

               ฟังคำของปฐพีแล้วพิชญ์ก็ถึงกับต้องกลอกตา อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกรธปฐพีมากเท่าเมื่อกี้แล้ว พอได้รับรู้ความจำเป็นของปฐพี เขาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางเลือก ปฐพีเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเขามากนัก บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเจอทางตันเขาตอนไหน

                “นายอยากเป็นอิสระไหมดิน ฉันอาจจะช่วยนายได้...”

               พิชญ์รู้ว่ามันไม่ง่ายนัก หากเขาคิดจะต่อรองกับราชันย์เพื่อคืนอิสระให้ปฐพี แต่เขาก็ยังอยากลองหยั่งเชิงถามปฐพีเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาทำเอาพิชญ์ถึงกับขมวดคิ้ว ปฐพีดูเหมือนไม่ได้ต้องการอิสระแม้แต่น้อย ดูลำบากใจกับคำถามที่เขาเพิ่งเอ่ยถามเสียด้วยซ้ำ ท่าทางหลุกหลิกแบบนั้นทำเอาพิชญ์พอจะเดาอะไรออกลางๆ

                “ฉันไม่คิดว่าตัวเองอยากได้อิสระ”

                “ทำไม...”

               พิชญ์ถามทั้งที่รู้คำตอบดีแก่ใจ แววตาของปฐพีเปิดเผยทุกอย่างออกมาจนหมด จนเขาอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า คนอย่างราชันย์มีอะไรดีถึงขนาดที่ปฐพีต้องยอมเอาตัวไปผูกติดด้วย แต่เพราะพิชญ์ไม่ใช่ปฐพี เขาเลยไม่เข้าใจ และคงไม่มีวันเข้าใจ

                “นายชอบเขาเข้าแล้วใช่ไหม”

               พอปฐพีพยักหน้ารับเบาๆ พิชญ์ก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนี้ เขากับปฐพีเหมือนคนโง่สองคน ติดอยู่ในวังวนความสัมพันธ์บ้าๆ บอๆ เหล่านี้ ไม่รู้ว่าจะสลัดหรือหนีพ้นยังไง ไม่ว่ามองดูความสัมพันธ์ระหว่างปฐพีกับราชันย์ยังไง พิชญ์ก็รู้สึกว่าปฐพีไม่ได้รับความเป็นธรรมแม้แต่น้อย

               ตัวพิชญ์เอง ยังน่าอิจฉากว่าที่อริญชย์ผลักเขาออกมาอยู่หน้าแสงไฟ ให้เขาได้ส่องประกาย ขณะที่ปฐพีนั้นกลับถูกราชันย์ซุกซ่อนเอาไว้ในความมืด ไม่มีใครรับรู้การมีตัวตนของปฐพีเลยแม้แต่น้อย

               พอปฐพีเห็นพิชญ์เริ่มอารมณ์เย็นขึ้นมาแล้ว ก็รวบรวมความกล้าแตะประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดสำหรับพิชญ์

                “น้องหนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

               พิชญ์ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบๆ

                “ไม่เป็นไร ฉันพาคนไปช่วยไว้ได้ทันพอดี มีแค่แม่พลอยที่บาดเจ็บนิดหน่อย”

                “แล้วแม่พลอยเป็นอะไรมากไหม”

                “มีแค่รอยฟกช้ำภายนอก”

                เห็นท่าทีของพิชญ์แล้ว ปฐพีก็นึกโกรธราชันย์หน่อยๆ ครั้งนี้ราชันย์ทำเกินไปจริงๆ ที่จงใจปล่อยข่าวว่าน้องหนูเป็นลูกตัวเองเพื่อให้รัญญาเข้าใจผิด ใช้น้องหนูเป็นเหยื่อล่อในแผนการบ้าๆ นี้ พิชญ์จะโมโหจนเกือบต่อยหน้าราชันย์ก็คงไม่แปลก แต่คนที่น่าโมโหยิ่งกว่าใครก็คือรัญญาที่กล้าลงมือแม้กระทั่งกับเด็กและคนแก่

หลังจากนี้ รัญญาคงต้องลงมือมากกว่านี้ จะผิดไหม ถ้าเขาจะแย้มพรายเรื่องบางเรื่องให้พิชญ์ได้รับรู้ อย่างน้อยก็ถือว่าชดเชยที่เขาปิดบังพิชญ์เรื่องที่เขาอยู่กับราชันย์ก่อนหน้านี้ ปฐพีถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพิชญ์นิ่ง

                “ฉันมีอะไรอยากบอก ไม่รู้ว่านายอยากฟังไหม”

                “ว่ามาสิ” พิชญ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

                ปฐพีปิดบังเขามาจนกระทั่งวันนี้ที่ความจริงเปิดเผย ยังมีเรื่องราวอะไรที่เขายังไม่รู้อีกหรือไง

                “ความจริงแล้ว...” ปฐพีเว้นจังหวะอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปในที่สุด “...เฮียกับคุณใหญ่เขาไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ”



TO BE CONTINUE



มาลงตอนใหม่แล้วค่ะ
อาจจะไม่ได้มาบ่อยๆ แต่จะพยายามมาเรื่อยๆ นะคะ
ปมเริ่มทยอยคลี่คลายแล้ว รอคุณใหญ่ค่อยๆ เคลียร์ทีละเปาะ
พีทก็เริ่มใจอ่อนทีละนิดแล้ว >///<  ฮึบๆ

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 37 ความจริงเปิดเผย --- หน้าที่ 9 [18/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-10-2020 23:57:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 37 ความจริงเปิดเผย --- หน้าที่ 9 [18/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 19-10-2020 14:00:19
เริ่มเคลียร์แล้ว ..
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 37 ความจริงเปิดเผย --- หน้าที่ 9 [18/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-10-2020 21:01:05
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ต่อจากนี้ก็ขอให้เป็นไปในทางที่ดีนะ       
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 37 ความจริงเปิดเผย --- หน้าที่ 9 [18/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-10-2020 00:40:49
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 37 ความจริงเปิดเผย --- หน้าที่ 9 [18/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-10-2020 01:38:27
เอ้อออเอาให้มันรู้เรื่องกันไปสักทีเถอะ จะได้เคลียร์ให้จบเร็วๆ  o13 อาร๊ายยยยยยอุกรี๊ด เขินมากกกก   :oo1: :jul1: :impress2: :-[ :o8: :กอด1: คิดถึงกันมากสินะ แอบดูแล้วแบบว่าเขินสุดๆ 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะยังไง ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รรรรร  :pig4: :pig2:
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 38 เปิดอกคุย --- หน้าที่ 9 [25/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 25-10-2020 15:18:43
สามสิบแปด
เปิดอกคุย





          หลังจากปฐพีเดินออกมาจากห้องรับแขกของพิชญ์ ราชันย์ซึ่งนั่งเล่นรออยู่ด้านนอกก็พาเขากลับทันที สาเหตุที่วันนี้ราชันย์ถ่อมาหาอริญชย์ถึงบริษัทด้วยตัวเองนั้น แท้จริงแล้วเขาเพียงแค่อยากมาเห็นกับตาว่าน้องหนูปลอดภัยดี หลังจากเมื่อเช้าเขาสั่งปกรณ์โทรศัพท์เช็ก จนรู้ว่าอริญชย์กับพิชญ์พาน้องหนูมาที่บริษัทด้วย เขาก็พาปฐพีมานั่งรอตั้งแต่เจ้าของบริษัทยังเดินทางมาไม่ถึง

          ราชันย์ยอมรับว่าเขาเองก็ขี้โกงที่เอาน้องหนูมาเป็นเหยื่อล่อรัญญา เป็นเขาเสียเองที่ประเมินรัญญาสูงไป ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือกับเด็กและคนแก่ ยังดีที่เขามั่นใจว่าตัวเองและอริญชย์สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เขาถึงได้เลือกวิธีนี้เพื่อให้รัญญายอมโผล่หางของตัวเองออกมา สิ่งเดียวที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา คงมีแค่แผลเลือดซึมตรงมุมปาก ทึ่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ

          ปฐพีเองก็สังเกตเห็นแผลที่มุมปากของราชันย์ตั้งแต่เดินออกมาจากห้องรับแขกของพิชญ์แล้ว เพียงแต่เขาไม่กล้าเอ่ยถามออกไปต่อหน้าพิชญ์ เพราะกลัวจะทำให้ราชันย์ขายหน้า รอจนกระทั่งขึ้นรถมาแล้วถึงได้เอ่ยถามออกไป ปิดบังความห่วงใยในน้ำเสียงไม่มิด

           “เฮีย เมื่อกี้พีทต่อยโดนเฮียด้วยเหรอ”

          ราชันย์ยกมือขึ้นลูบมุมปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ

           “เปล่า ไม่ใช่พีท ไอ้ใหญ่ต่างหาก”

          พอราชันย์เอ่ยจบ ปฐพีก็ทำหน้าสงสัย แต่เขาก็คร้านจะอธิบายว่า หลังจากปฐพีเดินตามพิชญ์ออกจากห้องไป อริญชย์ก็หันมาซัดเขาแบบไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม

           ‘โทษฐานที่มึงเอาหลานกูไปเป็นเหยื่อล่อ’

          ดีว่าอริญชย์ยังยั้งมืออยู่บ้าง ไม่ซัดเขาลงไปกองกับพื้น ขนาดไม่ได้ต่อยตีกันแบบจริงๆ จังๆ มานาน อริญชย์ก็ยังคงหมัดหนักไม่เปลี่ยน ราชันย์เหยียดยิ้มออกมา ก่อนจะขยับมือแตะมุมปากตัวเองเบาๆ

          ปฐพีมองแผลที่มุมปากของราชันย์ นึกอยากเอื้อมมือไปแตะแล้วเอ่ยถามเจ้าตัวว่าเจ็บไหม แต่เขารู้ว่าราชันย์ไม่ชอบให้เขาแสดงความห่วงใยแบบนั้น เขาเลยได้แต่เอ่ยถามถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปเห็นแทน

           “เฮียไม่โกรธใช่ไหมที่พีทจะต่อยเฮีย”

           “คิดว่าอย่างหมอนั่นจะต่อยฉันได้ง่ายๆ หรือไง”

          ฟังคำตอบของราชันย์แล้ว ปฐพีก็คิดว่าเขาคงเป็นห่วงราชันย์มากเกินไป ถ้อยคำของราชันย์ไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย คนอย่างราชันย์มีหรือจะยอมโดนพิชญ์ต่อยเอาง่ายๆ ถ้าเป็นอริญชย์ก็ว่าไปอย่าง ทั้งฝีมือและทักษะการต่อสู้ของราชันย์กับอริญชย์เรียกว่าดีจนเห็นปฐพีกับพิชญ์เป็นแค่เด็กน้อยในสายตา

          เห็นราชันย์ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ปฐพีเลยไม่ได้เอ่ยถามถึงแผลตรงมุมปากอีก เขานั่งคิดทบทวนถึงถ้อยคำที่เขาเอ่ยบอกกับพิชญ์ไป กำลังสองจิตสองใจว่าจะสารภาพออกไปดีไหม ราชันย์จะหาว่าเขาจุ้นจ้านและยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกหรือเปล่า เขามองหน้าราชันย์อย่างคิดไม่ตก ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เม้มริมฝีปากแน่น เก็บกลืนถ้อยคำของตัวเองแล้วหันหน้ากลับมา เป็นราชันย์เสียเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามปฐพี

           “มีอะไรหรือเปล่า ทำท่าเหมือนจะพูดแล้วก็ไม่พูด อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่น”

          ปฐพีเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความชั่งใจ ถึงยังไง จะช้าจะเร็วราชันย์ก็ต้องรู้ความจริงเข้าอยู่ดี ไม่สู้สารภาพความจริงออกไปตอนนี้เลยดีกว่า อย่างน้อยถ้าราชันย์โกรธขึ้นมา ก็ถือว่าเขารีบรับสารภาพแล้ว โทษหนักอาจจะกลายเป็นเบา

           “เฮีย เมื่อกี้ผมบอกพีทไปว่า ความจริงแล้วเฮียกับคุณใหญ่ไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ”

           “อ้อ...” ราชันย์ตอบรับแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ท่าทางไม่ได้ใส่ใจมากนัก จนปฐพีเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามต่อเอง

           “เฮียไม่โกรธเหรอที่ผมพูดไปแบบนั้น”

           “พูดไปแล้วจะให้ย้อนเวลากลับไปหรือไง บอกไปก็ดีเหมือนกัน จะได้เอาคืนที่ไอ้ใหญ่ต่อยหน้าฉัน ให้มันเจอปัญหาเสียบ้าง เห็นหน้ามันแล้วขวางหูขวางตาชะมัด”

          ทั้งที่ถ้อยคำยามเอ่ยถึง ฟังแล้วเหมือนเกลียดขี้หน้ากันมานมนาน แต่ถึงกระทั่งยอมให้ตัวเองโดนต่อยได้ง่ายๆ บางทีปฐพีก็ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของอริญชย์กับราชันย์นัก หรือความสัมพันธ์แบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติของเพื่อนรักที่คบหากันมาหลายปี

           “เฮียโมโหที่คุณใหญ่เขาต่อยหน้าเฮียเหรอ”

           “เปล่า แค่เกลียดที่เห็นมันมีความสุข”

          เห็นราชันย์เอ่ยคำว่าเกลียดออกมาได้ง่ายๆ ปฐพีก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่าราชันย์ไม่ได้เกลียดอริญชย์จริงอย่างที่ปากพูด อาจจะแค่หมั่นไส้มากกว่า แววตาของเจ้าตัวบอกเขาอย่างนั้น ช่างเถอะ ยิ่งคิดมากไปเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่สู้สนใจเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเองดีกว่า

          อย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็ไม่มีอะไรปิดบังพิชญ์แล้ว แต่เป็นเรื่องที่อริญชย์จะต้องอธิบายกับพิชญ์เอง



.



          ลิฟต์ส่วนตัวของห้องชุดราคาหลายสิบล้านย่านกลางเมืองวิ่งตรงดิ่งขึ้นสู่เพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุด พอประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง เรืองร่างระหงในชุดจั๊มสูทสีกรมก็ก้าวออกมาจากลิฟต์เป็นคนแรก ตามติดด้วยผู้ชายอีกสองคน เสียงส้นรองเท้าเคาะกับพื้นหินแกรนิตดังเป็นจังหวะ จนกระทั่งเจ้าตัวหยุดอยู่หน้าห้องชุด หนึ่งในสองห้องบนชั้นสูงสุดแห่งนี้

          มือเรียวล้วงหยิบคีย์การ์ดมาแตะเปิดประตูห้องชุด ก่อนจะเอื้อมมือกดเปิดสวิตช์ไฟตรงห้องรับแขก รัญญาถอดรองเท้าส้นสูงออก ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยไปไว้มุมห้องแบบลวกๆ แล้วก้าวฉับๆ มาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกกลางห้อง

          ชายวัยกลางคนที่เดินตามหลังเข้ามานั่งลงตรงข้ามรัญญา มีคนสนิทของรัญญายืนคุมเชิงอยู่มุมหนึ่ง พอเห็นท่าทางของเธอแล้วเขาก็เปรยถามเสียงเรื่อยๆ

           “ถึงกับหมดแรงจนพูดไม่ออกเลยหรือไง”

          รัญญาขยับตัวขึ้นมานั่งประจันหน้ากับอีกฝ่ายดีๆ เธอสบตากับผู้มีศักดิ์เป็นอาลำดับที่สอง แต่เธอกับราชันย์มักจะเรียกเขาว่าอาสาม ตามลำดับการเกิดของตระกูลมากกว่าจะไล่ลำดับอย่างตระกูลอื่นๆ อีกฝ่ายพอเห็นเธอลุกขึ้นมานั่งดีๆ แล้วก็อดเอ่ยปรามาสตามวิสัยไม่ได้

           “เธอโดนไอ้เล้งหลอกมากี่ครั้งแล้วนะ”

          ฟังคำปรามาสของอีกฝ่ายแล้วรัญญาก็ถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เธอหลงคิดว่าการเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ฮ่องกงห้าปีจะทำให้ราชันย์หมดพิษสง แต่ดูเหมือนเธอจะคิดผิดมาตลอด พี่ชายคนดีเพียงแค่หลอกให้เธอตายใจเท่านั้น แม้กระทั่งเรื่องของน้องหนู เธอก็โดนราชันย์ปั่นหัวจนพังไม่เป็นท่า กลายเป็นว่าหมากที่เดินผิดคราวนี้ได้ลากเอาอริญชย์เข้ามาร่วมผสมโรงในเกมนี้ด้วย แต่จะให้เธอถอยหลังกลับตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว มีแต่ต้องเดินต่อไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

           “ฉันว่าเธอยอมแพ้ดีกว่าไหมยัยหลิว กลับไปขอขมาไอ้เล้งดีๆ เผื่อมันจะยอมยกโทษแล้วแบ่งอะไรให้เธอบ้าง”

          รัญญาแค่นเสียงหัวเราะเย็นๆ ออกมา ขณะจ้องมองผู้เป็นอาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

           “ทำไมหนูต้องยอมแพ้ หนูก็เป็นลูกป๊า มีสิทธิ์ในสมบัติทุกอย่างของกมลวิลาศน์เหมือนกัน”

           “แต่เธอเป็นลูกสาว เธอไม่ใช่ลูกชาย แล้วยังไม่ใช่ลูกเมียหลวงอีกด้วย”

           “ลูกสาวแล้วยังไง ลูกเมียน้อยแล้วยังไง ลูกป๊าก็คือลูกป๊า อาสามเถอะ ระวังจะถูกเฮียจับได้ว่ายักยอกเงินกองกลางเข้าซักวัน”

           “พูดจาให้มันดีๆ หน่อย ฉันช่วยเธอมาตั้งกี่ครั้งแล้ว”

          รัญญาจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ไม่รู้ว่าเธอคิดผิดหรือคิดถูกที่ร่วมมือกับอาสาม แต่ก็มีแค่อาสามคนเดียวที่ยอมลงเรือลำนี้กับเธอ อารองนั้นพออายุเยอะก็หันหน้าเข้าวัดทำบุญทำทาน แทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของกมลวิลาศน์แม้แต่น้อย ส่วนอาสี่ ฝ่ายนั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารักราชันย์มากกว่าเธอ ถ้าต้องเลือกช่วยใครคนใดคนหนึ่ง แน่นอนว่าอาสี่คงช่วยราชันย์ ไม่ใช่เธอ เหลือก็แต่อาสามที่อยากจะร่วมแบ่งปันสมบัติของตระกูลกับเธอ

           “ครั้งนี้เราจะพลาดไม่ได้แล้วนะอาสาม มาถึงขนาดนี้แล้ว”

           “นั่นมันขึ้นอยู่กับเธอต่างหาก”

          สำหรับตระกูลใหญ่ๆ หลายตระกูล สายเลือดก็เป็นแค่คำบอกความสัมพันธ์ ผลประโยชน์ต่างหากที่ใช้เจรจาต่อรองกัน รัญญาเองก็เข้าใจข้อนี้ดี การจะอยู่รอดในตระกูลกมลวิลาศน์ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคืออำนาจ

           “ฉันมีวิธีที่จะเล่นงานทางเกียรติกาญจนาอยู่ ไหนๆ เราก็ต้องลากทางนั้นเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว ก็เอาให้พังกันไปข้างเลย” รัญญาเอ่ยถ้อยคำร้ายกาจออกมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ซึ่งคนฟังเองก็ไม่ได้แปลกใจนัก ราวกับคุ้นเคยด้านนี้ของเธอเป็นอย่างดี

           “ตอนนี้เธอเหลือไพ่อะไรในมือบ้าง”

          รัญญาเหยียดริมฝีปากออกช้าๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เธอกดเลื่อนหน้าจออยู่สองสามที ก่อนจะหันให้อีกฝ่ายดู พอเห็นสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ อีกฝ่ายก็หัวเราะด้วยความพอใจ

           “ดี! นับว่าเธอยังมีความฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง รีบๆ ลงมือแล้วกัน”

           “อาสามก็เหมือนกัน ระวังอย่าให้อาสี่เข้ามาขัดขวางได้ล่ะ”

           “ฉันจะคอยจัดการทางเจ้าสี่ให้ ไม่ต้องห่วง”

          รัญญาเม้มริมฝีปากก่อนจะผงกหัว ความจริงเธอก็อยากจะอยู่ในตระกูลกมลวิลาศน์ด้วยความสงบสุข ถ้าเพียงแต่จะไม่มีใครกระทำกับเธอก่อน ในเมื่อความผิดทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นจากคุณนายหลิน ผู้เป็นแม่ของราชันย์ อย่างนั้นคงไม่ผิดอะไรถ้าเธอจะให้ราชันย์เป็นฝ่ายชดใช้

          ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจอมปลอมนี้จะนับเป็นอะไรได้ เมื่อเทียบกับความคับแค้นใจที่เธอได้รับ

          สายเลือดเดียวกัน มันสำคัญกว่าผลประโยชน์ด้วยหรือ?



.


หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 38 เปิดอกคุย --- หน้าที่ 9 [25/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 25-10-2020 15:23:06



          หลังจากราชันย์กับปฐพีกลับไปแล้ว ทีแรกพิชญ์ก็ตั้งใจว่าจะคุยกับอริญชย์ แต่อริญชย์ก็มีประชุมด่วน เขาเลยไม่มีโอกาสได้คุย พิชญ์ได้แต่นั่งทำงานอยู่ในห้องกับน้องหนูสองคน เจ้าตัวเล็กนั่งเล่นอยู่บนโซฟา พาให้คนเป็นพ่อเห็นแล้วก็อดยิ้มอยู่บ่อยครั้งไม่ได้

          จนกระทั่งล่วงเลยมาถึงเวลาเลิกงานแล้ว พิชญ์ก็ยังไม่เห็นอริญชย์ เจ้าตัวเล็กก็เริ่มโยเยร้องจะกลับบ้าน ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะโทรศัพท์หาอริญชย์อยู่นั้น ตุลย์ก็เป็นฝ่ายมาเคาะประตูห้องเขาเสียก่อน

           “จะกลับบ้านแล้วใช่ไหม คุณตุลย์” พิชญ์เอ่ยถามพลางเก็บของ

           “ครับ คุณใหญ่ติดประชุมยาว เลยให้ผมส่งคุณพีทกับคุณหนูกลับบ้านก่อน”

           “นานเลยเหรอครับ”

           “น่าจะอีกพักใหญ่เลยครับ คุณพีทพาคุณหนูกลับบ้านก่อนดีกว่า”

          ถ้าพิชญ์อยู่คนเดียว เขาคงเลือกที่จะนั่งทำงานต่อที่บริษัทพลางนั่งรออริญชย์ แต่วันนี้มีน้องหนูมาด้วย พอเห็นลูกสาวตัวน้อยเริ่มหน้ามุ่ย พิชญ์เลยได้แต่พยักหน้ารับคำแล้วพาน้องหนูกลับบ้านพร้อมตุลย์ เรื่องที่ตั้งใจจะคุยกับอริญชย์ตั้งแต่บ่ายเลยยังไม่มีโอกาสได้คุยเสียที

          กระทั่งกลับถึงบ้าน หลังจากพิชญ์กับน้องหนูจัดการกับมื้อเย็นกันเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ที่ออกไปรับอริญชย์ที่บริษัทก็ยังไม่กลับมา พิชญ์หยิบโทรศัพท์แล้ววางอยู่สองสามรอบ นึกอยากจะโทรหาอริญชย์ แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงอยู่ในห้องประชุม ต่อให้เขาโทรศัพท์ไป บางทีอริญชย์อาจจะไม่รับสายก็ได้

          น้องหนูเองก็ชะเง้อคอมองหาลุงใหญ่จนถอดใจ หันมาเขย่ามือพิชญ์ให้พาขึ้นห้อง พิชญ์จูงมือเจ้าตัวเล็กเดินขึ้นชั้นสอง ส่งน้องหนูให้นวลพาไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ก่อนที่ตัวเขาจะเดินตรงเข้าห้องเพื่อจัดการกับตัวเอง

          หลังจากอาบน้ำเสร็จ พิชญ์ก็เดินไปหาน้องหนูที่ห้อง น้องหนูที่วิ่งเล่นทั้งวันอ่อนเพลียจนจวนเจียนจะหลับอยู่รอมร่อ พอนวลเห็นพิชญ์เดินเข้ามาก็ขอตัวเลี่ยงออกไป ให้สองพ่อลูกได้ใช้เวลากันตามลำพัง พิชญ์นั่งลงข้างเตียง ลูบหัวน้องหนูที่กำลังตาปรือเบาๆ ก่อนจะก้มลงหอมแก้มลูกสาวตัวน้อย

           “ฝันดีนะคะ คนเก่งของพ่อพีท”

          น้องหนูพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ผล็อยหลับด้วยความง่วงงุน พิชญ์รอจนน้องหนูหลับสนิทก็เอื้อมมือปิดไฟที่หัวเตียง เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากน้องหนูออกด้วยความอ่อนโยน เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องนอนของน้องหนูด้วยความเงียบ ระวังไม่ให้ตัวเองเผลอทำเสียงดัง

          พิชญ์เพิ่งจะเปิดประตูออกมาจากห้องน้องหนู ก็เห็นอริญชย์กำลังเดินขึ้นบันได พอเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาพิชญ์ที่ยืนมองอยู่ก็เลิกคิ้วน้อยๆ

           “รอฉันกลับมานอนด้วยหรือไง”

          พิชญ์ขี้เกียจจะเถียงกับอริญชย์จนเสียเวลาคุยเรื่องสำคัญ เขาเลยทำหูทวนลมใส่ถ้อยคำยียวนนั้นเสีย

           “ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

           “ต้องคุยวันนี้เลยใช่ไหม”

          ถ้อยคำปฏิเสธแล่นขึ้นมาถึงริมฝีปากพิชญ์ก่อนที่เจ้าตัวจะเก็บกลืนมันลงไป หากเชาไม่ได้คุยกับอริญชย์ให้รู้เรื่องวันนี้ คืนนี้เขาคงนอนไม่หลับแน่ๆ

           “ไม่ได้หรือครับ...”

          อริญชย์มองสบสายตาพิชญ์ อดคิดไม่ได้ว่าความเหนื่อยล้าสะสมจากการประชุมยาวนานตลอดทั้งวัน แทบจะหายเป็นปลิดทิ้งทันทีที่เห็นหน้าพิชญ์

           “รอฉันอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

           “เดี๋ยวผมไปนั่งรอในห้องทำงาน”

          เอ่ยแล้วพิชญ์ก็ไม่รอให้อริญชย์ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เขาเดินตรงไปยังห้องทำงานของอริญชย์ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเป็นห้องนอนให้เขาลำบากใจ คนที่ยืนอยู่ข้างหลังได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง



.



          ระหว่างรออริญชย์อาบน้ำ พิชญ์ก็หยิบหนังสืออ่านเล่นมานั่งอ่านฆ่าเวลารอ อริญชย์ใช้เวลาจัดการกับตัวเองไม่นานก็ตามเข้ามาที่ห้องทำงาน ตอนที่เขาเดินเข้ามา พิชญ์กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือจนไม่รู้สึกตัว กระทั่งตอนที่อริญชย์ยืนมาซ้อนอยู่ด้านหลังพิชญ์ แล้วชะโงกหน้าดูว่าพิชญ์อ่านหนังสืออะไรอยู่ เจ้าตัวถึงได้สะดุ้งน้อยๆ จนเกือบทำหนังสือหล่น

           “คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่ออริญชย์ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้าน

          ทั้งพิชญ์และอริญชย์ต่างคนต่างสวมชุดนอน ยืนประจันหน้ากันอยู่กลางห้อง กลิ่นหอมเย็นๆ ของสบู่จากตัวอริญชย์ลอยเข้าจมูกพิชญ์ เขาเผลอเกร็งตัวก่อนจะเขยิบเท้าถอยหลังมาก้าวหนึ่ง แต่กลับถูกอริญชย์คว้าจับข้อมือเอาไว้ หนังสือที่พิชญ์ถือไว้ถูกอริญชย์หยิบออกจากมือก่อนจะวางไว้บนโต๊ะข้างตัว ขณะที่เจ้าตัวโน้มตัวลงเอ่ยถามเสียงทุ้ม

           “ว่าไง มีอะไรจะคุยกับฉัน”

          พิชญ์มองสบตาอริญชย์พลางไตร่ตรองถึงถ้อยคำที่ปฐพีเอ่ยกับเขาเมื่อตอนบ่าย เขาเผลอขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ อย่างที่มักเผลอไผลยามใช้ความคิด แค่ประโยคเดียวที่ปฐพีเอ่ยกับเขา พิชญ์กลับรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้จักอริญชย์อย่างแท้จริง

           “สัญญาได้ไหม...ว่าคุณจะพูดความจริงกับผม”

          อริญชย์หรี่ตาลงน้อยๆ ยามมองสบตากับพิชญ์ พอจะเดาออกลางๆ ว่าวันนี้ปฐพีคงเอ่ยอะไรกับพิชญ์ตอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถอธิบายทุกอย่างได้ อริญชย์พยักหน้ารับแทนคำตอบ ก่อนจะเห็นพิชญ์ทำสีหน้าคล้ายโล่งอก

          เห็นอริญชย์ยอมตอบรับคำขอของเขาแล้ว พิชญ์ก็ใจชื้น ว่าหากเขาเอ่ยถามอะไรออกไป อย่างน้อยอริญชย์คงไม่โกหกเขา เพียงแต่จะพูดออกมาหมดหรือไม่ก็อีกเรื่อง พิชญ์เรียบเรียงถ้อยคำอยู่ในหัว คิดอยู่นานว่าจะเอ่ยถามอริญชย์อย่างไร แต่สุดท้ายก็เลือกเอ่ยถามออกไปตรงๆ

           “คุณไม่ได้ทะเลาะกับเสี่ยเล้งจริงๆ ใช่ไหม”

          ถามไปแล้ว พิชญ์ก็แทบจะกลั้นใจรอฟังคำตอบของอริญชย์ ใจหนึ่งพิชญ์ก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริง ถ้าหากอริญชย์กับราชันย์ไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ มันก็คงดีไม่น้อย แต่อีกใจหนึ่ง พิชญ์ก็อยากให้มันเป็นเรื่องโกหก เขาไม่อยากเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกปิดหูปิดตาจนไม่รับรู้อะไร

          คำถามของพิชญ์ไม่ได้เหนือความคาดหมายของอริญชย์มากนัก อย่างน้อยนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่เขาตั้งใจจะเล่าให้พิชญ์ฟังหลังจากทุกอย่างคลี่คลาย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบออกมาได้ง่ายๆ โดยไม่ลังเล

           “ใช่ ฉันไม่ได้ทะเลาะกับมันจริงๆ”

          พิชญ์บอกไม่ถูกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร แต่เขาก็ยังพึมพำถามออกไป

           “ทำไม...”

          อริญชย์ดึงพิชญ์ให้หันหลังมาพิงอกเขาก่อนจะกอดพิชญ์ไว้หลวมๆ พิชญ์ทำท่าเหมือนจะขัดขืนในทีแรก ก่อนจะยอมยืนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดของอริญชย์ ลมหายใจอุ่นร้อนของอริญชย์เป่ารดอยู่ข้างหูเขา ขณะค่อยๆ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้พิชญ์ฟัง ทีละเล็กทีละน้อย

           “ฉันกับไอ้เล้งรู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว กับความสัมพันธ์ที่ยาวนานขนาดนี้ นายคิดว่าฉันกับมันจะเกลียดกันแทบเป็นแทบตายได้ง่ายๆ ไหมล่ะ”

          พิชญ์ส่ายหน้าช้าๆ เมื่อคิดตามที่อริญชย์บอกก็ต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่อริญชย์พูด ความสัมพันธ์ยี่สิบปียาวนานเกินกว่าครึ่งชีวิตของราชันย์และอริญชย์เสียอีก แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ...

           “ถ้างั้นทำไมคุณต้องหลอกผม หลอกทุกคน ว่าคุณกับเสี่ยเล้งทะเลาะกัน” พิชญ์ถามเสียงแข็งก่อนจะขืนตัวเองออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ หันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคือง

           “เพราะต้องการทำให้คนบางคนเข้าใจแบบนั้นยังไงล่ะ ถ้าแม้แต่คนใกล้ชิดยังไม่เชื่อ จะทำให้คนอื่นเชื่อได้ยังไง”

           “คุณหมายถึงใคร”

           “นายลองเดาดูสิ...” อริญชย์เอ่ยพลางจับมือพิชญ์ขึ้นมาลูบไปมา

          พิชญ์พยายามคิดทบทวนไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าเป้าหมายที่อริญชย์กับราชันย์เล็งไว้คือใคร

           “ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน”

           “คิดดูให้ดีๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้น ในเมื่อนายเองก็รู้จักดีอยู่แล้ว”

           “คุณหมายถึง...” ใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความคิดของพิชญ์ ก่อนเขาจะเอ่ยถามอริญชย์ออกไป “คุณหลิวน่ะเหรอ” 

          อริญชย์ลูบแก้มพิชญ์เบาๆ แทนคำตอบ พีทของเขาฉลาดเสมอ

           “ผมไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย คุณหลิวเป็นน้องสาวเสี่ยเล้งไม่ใช่หรือไง”

          อริญชย์ยังคงไล้ปลายนิ้วกับแก้มของพิชญ์ สัมผัสอุ่นวาบทำเอาพิชญ์ถึงกับต้องหลุบสายตาลงมองพื้น คนตัวสูงกว่าถอดถอนหายใจออกมาเบาๆ บนโลกใบนี้ยังมีด้านสีเทาๆ อีกมากที่พิชญ์ยังไม่รู้ โลกไม่ได้เป็นสีขาวเสมอไป โลกมีทั้งสีดำ สีขาว และอาจผสมปนเปกันจนเป็นสีเทา ทุกคนต่างหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองและเที่ยวตัดสินการกระทำของคนอื่นว่าถูกหรือผิด แม้แต่กรณีของราชันย์กับรัญญาก็ไม่เว้น

           “ไอ้เล้งกับหลิวเป็นพี่น้องคนละแม่กัน เท่าที่ฉันรู้หลิวน่าจะเกลียดไอ้เล้งมาตลอด”

           “ทำไมล่ะ ยังไงก็เป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือครับ”

           “ไม่ใช่พี่น้องทุกครอบครัวที่จะรักกันนะพีท หลิวคิดว่าแม่ของไอ้เล้งเป็นคนสั่งฆ่าแม่ตัวเอง เลยทั้งเกลียด ทั้งแค้น อยากจะแย่งเอาทุกอย่างของไอ้เล้งมาเป็นของตัวเอง หารู้ไม่ว่าตัวเองแทบไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด”

          พิชญ์เบิกตากว้างกับความจริงที่อริญชย์เล่าให้เขาฟัง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าแท้จริงแล้วต้นสายปลายเหตุจะมาจากสองพี่น้องอย่างราชันย์กับรัญญา

           “แล้วเรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าครับ”

           “เปล่า คนที่สั่งให้จัดการกับแม่ของหลิวก็คือเจ้าสัวลิขิต พ่อแท้ๆ ของไอ้เล้งกับหลิว”

           “ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ”

           “ภรรยาน้อยที่จะเป็นเสี้ยนหนามตำใจภรรยาหลวงและสั่นคลอนอำนาจของตัวเอง คนอย่างเจ้าสัวลิขิตไม่มีทางเก็บเอาไว้อยู่แล้ว แต่สุดท้ายเจ้าสัวลิขิตก็รักษาแม่ไอ้เล้งเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี ความเชื่อใจเมื่อมันถูกทำลายลงไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยากที่จะได้รับมันอีกครั้ง”

          พิชญ์ถึงกับนิ่งงันไป เรื่องราวเหล่านั้นที่อริญชย์เอ่ยเล่าออกมา ช่างดูห่างไกลจากวิถีชีวิตและสังคมที่เขาคุ้นเคยเหลือเกิน เขาไม่เคยรู้เลยว่าฉากหน้าของครอบครัวที่ร่ำรวยล้นฟ้า พี่น้องที่ดูรักกันนักหนา แท้จริงแล้วจะซุกซ่อนปัญหาระหว่างสายเลือดเอาไว้

           “โหดร้ายจังเลยนะครับ...” พิชญ์พึมพำออกมาเบาๆ

          ถ้าหากเจ้าสัวลิขิตรู้ว่าการมีภรรยาน้อยจะนำปัญหามากมายมาสู่ภรรยาหลวงและตระกูล เขาก็ไม่ควรเลือกเดินทางนั้นตั้งแต่แรก อย่างน้อยในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันแบบนี้ คุณพ่อของอริญชย์กับไอลดาก็ถือว่าจัดการปัญหาได้ดีกว่าเจ้าสัวลิขิตมากนัก แต่พิชญ์ไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมสำหรับคนบางคน การใช้ชีวิตคู่โดยไม่นอกกายหรือนอกใจกันถึงได้เป็นไปได้ยาก คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

           “คิดอะไรอยู่...” อริญชย์เอ่ยถาม พลางไล้ปลายนิ้วกับหัวคิ้วของพิชญ์ที่ขมวดเป็นปม

          พิชญ์ช้อนตามองอริญชย์ เขาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อยู่ในหัวก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ

           “การทะเลาะกันที่ผ่านมาระหว่างคุณกับเสี่ยเล้งคือการแสดงทั้งหมดเลยหรือครับ”

           “แค่บางส่วน บางครั้งฉันกับมันก็เล่นงานกันจริงๆ บางทีก็เป็นฝีมือของหลิว”

           “แล้วเรื่องที่น้องหนูถูกลักพาตัวไปล่ะครับ”

           “เป็นฝีมือของหลิว แต่จะบอกว่าไอ้เล้งเป็นตัวการก็ได้ มันปล่อยข่าวว่าจริงๆ แล้วน้องหนูเป็นลูกของมัน หลิวก็เลยคิดที่จะลักพาตัวน้องหนูไปต่อรองกับไอ้เล้ง”

          พออริญชย์เล่าความจริงให้ฟัง พิชญ์ก็โมโหขึ้นมาอีกรอบ ราชันย์จะจัดการปัญหาในครอบครัวตัวเองยังไงก็ได้ แต่ก็ไม่ควรลากลูกสาวกับแม่ของเขาเข้าไปเกี่ยวด้วย เห็นพิชญ์ฟังแล้วทำหน้าบึ้ง อริญชย์ก็ลูบแก้มเจ้าตัวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบ

           “อย่าหงุดหงิดไปเลย วันนี้ฉันจัดการสั่งสอนมันแทนนายแล้ว”

          ได้ยินดังนั้น พิชญ์ก็เลยนึกได้ว่าตอนเดินออกมาจากห้อง เขาเห็นมุมปากราชันย์มีรอยช้ำอยู่ ยังคิดว่าไปโดนอะไรมาระหว่างที่เขานั่งคุยกับปฐพี ที่แท้ก็เป็นฝีมือของอริญชย์นี่เอง ถึงจะยังโมโหราชันย์อยู่ แต่พอรู้ว่าอริญชย์ช่วยจัดการให้แล้ว ความหงุดหงิดของพิชญ์ก็ลดลงไปกว่าครึ่ง

           “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ ในเมื่อเขาโกรธ เขาเกลียดเสี่ยเล้ง แล้วทำไมถึงต้องลากคุณใหญ่เข้าไปเกี่ยวด้วย”

           “เพราะฉันกับไอ้เล้งแทบจะตายแทนกันได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ด้วยกัน อำนาจของไอ้เล้งในตระกูลก็ยิ่งมั่นคง เพราะมีฉันหนุนหลังอยู่ หลิวเลยเลือกวิธีที่โหดร้ายที่สุดที่จะทำให้เราสองคนแตกหักกัน”

           “อย่าบอกนะครับว่า จริงๆ แล้วเรื่องของคุณกลางก็เป็นฝีมือของคุณหลิวด้วย” พออริญชย์พยักหน้ารับ พิชญ์ก็ถึงกับหลุดเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าภายใต้รอยยิ้มอ่อนหวานของรัญญา แท้จริงแล้วกลับเป็นคมมีดที่พร้อมจะทิ่มแทงทุกคนที่ขวางทางเธอ

           “ถึงตัวการจะเป็นหลิว แต่ครั้งนั้นฉันก็ทั้งโกรธทั้งเกลียดไอ้เล้งจนแทบจะฆ่ามันให้ตายคามือ โกรธจนอยากจะพังทุกอย่างของมัน โกรธที่มันไม่มีปัญญาจัดการน้องสาวตัวเอง”

          พิชญ์ยื่นมือไปบีบมืออริญชย์ไว้โดยไม่รู้ตัว บีบกระชับมืออีกฝ่ายราวกับจะบอกว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ เขารู้ว่าทุกครั้งที่อริญชย์คิดถึงเรื่องอธิษฐ์ ความโกรธที่คละเคล้าไปด้วยความเจ็บปวดก็จะปะทุขึ้นมาทุกครั้ง ใช่ว่าอริญชย์จะไม่รู้ตัว เขารู้ตัวอยู่ตลอด มิหนำซ้ำยังถือวิสาสะดึงพิชญ์เข้ามาในอ้อมกอด

           “คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่อคนที่จู่ๆ ก็ดึงเขาเข้าไปกอดเบาๆ

           “เชื่อฉัน ฉันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องกับแม่พลอยและน้องหนู รวมถึงนายอีกเด็ดขาด”

           “หมายความว่าคุณกับเสี่ยเล้งมีวิธีจัดการกับปัญหาพวกนี้แล้วหรือครับ”

           “คนผิดจะต้องได้รับบทเรียนและถูกลงโทษ” แววตาและน้ำเสียงของอริญชย์ยามเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั้งดุดันและเหี้ยมเกรียม ถึงอีกฝ่ายจะเป็นรัญญา แต่คราวนี้ทั้งเขาและราชันย์ไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแน่ๆ “เด็กดี เชื่อฉัน ถ้ามีฉันอยู่จะไม่มีใครทำอะไรนายได้”

           “ผมเชื่อคุณใหญ่” ถ้อยคำที่แสดงถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวเขา ทำเอาอริญชย์ถึงกับเต็มตื้นอยู่ในอกจนเผลอกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า

          อริญชย์เคยคิดว่า...ต่อให้พิชญ์จะเกลียดเขาแทบตายก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาได้ตัวพิชญ์มาอยู่ข้างกาย

          แต่เวลานี้เขากลับคิดว่า...ต่อให้คนทั้งโลกจะเกลียดเขาแทบตายก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่พิชญ์เชื่อใจเขา

           “หลังจากนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของฉันกับไอ้เล้งก็พอ  นายแค่ตั้งใจทำงาน ใช้ชีวิตกับน้องหนูให้มีความสุข แล้วก็เป็นห่วงฉันมากๆ ก็พอแล้ว”

          พิชญ์เกือบจะพยักหน้าหงึกหงักรับคำอยู่แล้ว แต่พอได้ยินถ้อยคำสุดท้ายก็ชะงักไปนิดหนึ่ง จนอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามซ้ำ

           “ได้ไหม...”

           “ครับ”

          อริญชย์ลูบหลังพิชญ์ที่ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขาเบาๆ ดวงตายามทอดมองพิชญ์อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ หลังจากสะสางเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขา ราชันย์และรัญญาแล้ว เขาตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องระหว่างเขากับพิชญ์ให้เรียบร้อยเสียที เขาปล่อยให้ตัวเองรอคอยมานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาคืนอิสระให้กับไอลดา แล้วเปลี่ยนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของพิชญ์เป็นวงที่คู่ควรเสียที

          เดิมพันครั้งนี้...เขาเดิมพันด้วยหัวใจ พร้อมที่จะวางไว้ในมือพิชญ์ หวังเพียงแค่เจ้าตัวจะไม่วิ่งหนีหรือโยนทิ้งไป





TO BE CONTINUE





เริ่มคลี่คลายปมเรื่อยๆ แล้วค่า หลังจากคุณใหญ่เหนื่อยมาหลายตอน
ได้เปิดอกคุยกับพีทเสียที
รอคุณใหญ่หาจังหวะเคลียร์เรื่องตัวเองกับพีทอีกนิด
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ :)
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 38 เปิดอกคุย --- หน้าที่ 9 [25/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-10-2020 22:08:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 38 เปิดอกคุย --- หน้าที่ 9 [25/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-10-2020 01:37:15
แมนๆคุยกัน เคลียร์ทุกประเด็นสงสัย  o13 o13 ต่อไปก็จัดการคนก่อเรื่อง แรงทั้งสองฝั่ง ตายกันไปข้าง   :beat: พีทเชื่อใจคุณใหญ่ขนาดนี้แล้ว คุณใหญ่เตรียมแหวนที่คู่ควรรอไว้เลยค่ะ  :-[ 55555 ฟ้าหลังฝนมาเคลียร์หัวใจกันทั้งสองคู่เลย ดินและเสี่ยเล้งด้วยจะเป็นยังไงนะคู่นี้ เดาไม่ออกเลย 555 ขอบคุ๊ณณณณนะคะที่มาต่อ รออ่านเสมอ อยากอ่านต่อตอนต่อไปเลย สนุกอ่ะ อิอิ รรรรรนะคะ เป็นกำลังใจให้  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 38 เปิดอกคุย --- หน้าที่ 9 [25/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-10-2020 23:13:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 38 เปิดอกคุย --- หน้าที่ 9 [25/10/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 29-10-2020 19:28:54
ก็ขอให้สำเร็จ ..
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 39 ข่าวฉาว --- หน้าที่ 10 [07/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 07-11-2020 22:14:57



สามสิบเก้า
ข่าวฉาว





          หลังจากค่ำคืนอันเงียบสงบ ความโกลาหลก็มาเยือนเคเค คอนสตรัคชั่นก่อนจะลามมายังคฤหาสน์เกียรติกาญจนาแต่เช้าตรู่ อริญชย์เพิ่งจะย่างเท้าลงบันไดมาถึงห้องอาหาร ก็เห็นตุลย์กำลังยืนหน้าตาเคร่งเครียดรอเขาอยู่ พิชญ์ที่เดินตามหลังอริญชย์ลงมาติดๆ พอเห็นสีหน้าของตุลย์ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี การที่ตุลย์มายืนรอแต่เช้าพร้อมสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้ บอกได้เพียงอย่างเดียวว่าไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ๆ เพียงแต่พิชญ์ไม่รู้ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน

          พิชญ์เผลอยื่นมือไปดึงแขนเสื้ออริญชย์ไว้เบาๆ โดยไม่รู้ตัว เจ้าของแขนเสื้อเลื่อนมือลงมากอบกุมมือพิชญ์พร้อมกับกระชับไว้ในฝ่ามือใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามตุลย์เสียงเรียบๆ

           “มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไง ถึงได้มารอฉันแต่เช้าแบบนี้”

          ตุลย์ไม่ได้เอ่ยตอบทันทีที่อริญชย์เอ่ยถาม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ถือไว้ในมืออยู่แล้วส่งให้อริญชย์ดูแทนคำตอบ บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือปรากฏภาพข่าวบนสังคมออนไลน์ ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงของเช้าวันนี้ ไม่ใช่ข่าวเศรษฐกิจหรือข่าวการเมือง แต่เป็นข่าวซุบซิบของแวดวงไฮโซที่ยังพ่วงไปถึงวงการบันเทิง

          พอเห็นรูปที่ปรากฏบนหน้าจอ อริญชย์ก็เหยียดริมฝีปากออกเป็นเส้นตรง ดวงตาดำจัดคุกรุ่นด้วยอารมณ์เดือดดาล ใบหน้าสบายๆ เมื่อตอนเดินลงบันไดมาพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน พอพิชญ์เห็นท่าทางแปลกๆ ของอริญชย์ก็ก้าวมายืนข้างๆ ชะโงกมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือของอริญชย์ ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายหน้าเผือดสีเสียเอง

          ภาพล่อแหลมของพิชญ์กับรัญญาปรากฏบนหน้าข่าว มุมเล็กๆ ด้านข้างกันเป็นรูปของไอลดา ซึ่งกลายเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่รู้ตัว หัวข้อข่าวจงใจสื่อถึงเรื่องอื้อฉาวระหว่างพิชญ์กับรัญญา ทั้งที่เจ้าตัวเป็นสามีของไอลดา โจมตีพิชญ์เข้าเต็มๆ มิหนำซ้ำยังพ่วงมาถึงตำแหน่งผู้บริหารของพิชญ์

           “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคุณใหญ่...” พิชญ์มองเสี้ยวหน้าดุดันของอริญชย์ก่อนจะอธิบาย “วันนั้นผมขึ้นรถคุณหลิวแล้วหมดสติ คุณหลิวบอกว่าผมแพ้น้ำมันหอมระเหยบนรถเขา พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็อยู่ที่ออฟฟิศของคุณหลิว”

          เหตุการณ์วันนั้นแทบจะย้อนกลับมาในความคิดของพิชญ์ แค่เห็นสภาพตัวเองในรูปพิชญ์ก็นึกย้อนกลับไปได้ทันที วันนั้นที่เขาขึ้นรถของรัญญาแล้วหมดสติไป เจ้าตัวอ้างว่าเขาน่าจะมีภูมิต้านทานน้ำมันหอมระเหยต่ำ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวก็ถูกเปิดโปงออกมาในวันนี้ ว่ารัญญาจงใจวางเล่ห์กลกับเขาตั้งแต่วันนั้น และเก็บเขาไว้เป็นหมากเพื่อทำร้ายอริญชย์กับไอลดา

          พิชญ์นึกเจ็บใจตัวเองที่พลาดท่าเอาง่ายๆ จนอีกฝ่ายหยิบเอามาเล่นงานอริญชย์ และที่สำคัญ...ไอลดาที่อยู่ไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่งก็ยังถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วย

          อริญชย์ปรายตามองพิชญ์ที่ยืนหน้าเสียอยู่ข้างๆ พอเห็นท่าทางรู้สึกผิดของพิชญ์ จากที่อยากโกรธก็พลอยโกรธไม่ลง แต่ก็อดไม่ได้ ต้องเอ็ดให้เจ้าตัวรู้จักหลาบจำเสียบ้าง

           “ถ้านายเล่าให้ฉันฟังตั้งแต่วันนั้น เรื่องก็คงไม่กลายมาเป็นแบบนี้”

          ทั้งที่อริญชย์ไม่ได้ต่อว่าเขาด้วยถ้อยคำแรงๆ เพียงแค่ประโยคง่ายๆ แต่กลับทำเอาพิชญ์รู้สึกผิดมากมาย หนนี้ ความดื้อรั้น อวดดี อวดเก่งของเขา นำความเดือดร้อนมาสู่อริญชย์เข้าให้จริงๆ พิชญ์เงยหน้ามองอริญชย์ด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมา

           “ขอโทษครับ คุณใหญ่”

          เห็นท่าทางหงอยๆ ของพิชญ์ อริญชย์ก็ต้องพยายามหักห้ามใจไม่ให้ดึงเจ้าตัวเข้ามากอด อย่างน้อยเหตุการณ์คราวนี้ก็จะเป็นบทเรียนสำคัญให้กับพิชญ์ หลังจากนี้เจ้าตัวจะได้ไม่กล้าปิดบังอะไรเขาอีก อริญชย์ครุ่นคิดพลางเบือนหน้าจากพิชญ์ไปยังตุลย์ เอ่ยถามคนสนิทเสียงเย็นชา

           “เรื่องนี้เป็นฝีมือใคร”

           “ตรวจสอบแล้วเป็นฝีมือคุณหลิวครับ” ตุลย์เอ่ยคำตอบที่อริญชย์รู้ดีอยู่แล้ว คนฟังนิ่วหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเฉียบขาด

           “ติดต่อพวกเว็บไซต์ให้เอาข่าวนี้ลงให้หมด ใช้เงินเท่าไหร่ไม่เกี่ยง แต่อย่าให้มีข่าวนี้ปรากฏให้ฉันเห็นอีก”

           “ครับ คุณใหญ่”

          หลังจากรับคำสั่งจากอริญชย์แล้ว ตุลย์ก็หายไปจัดการเรื่องข่าวบนโลกออนไลน์ที่กำลังเป็นประเด็นราวกับไฟลามทุ่ง พิชญ์นั่งลงตรงโต๊ะอาหารตรงข้ามอริญชย์ มื้อเช้าที่ป้าน้อยยกมาเสิร์ฟเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ทั้งที่ฝีมือของป้าน้อยยังดีเหมือนเดิม แต่พิชญ์กลับรู้สึกฝืดคอจนแทบกินอะไรไม่ลง ผิดกับอริญชย์ที่ตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่า โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

          หลังจากข้าวต้มในชามอริญชย์พร่องไปกว่าครึ่ง ตุลย์ก็เดินกลับมา ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขณะเอ่ยรายงานผู้เป็นนาย

           “ผมจัดการให้พวกเว็บไซต์เอาข่าวลงแล้วครับ แต่ตอนนี้เรื่องมันค่อนข้างลุกลาม มีคนพูดถึงบนโลกออนไลน์ไม่น้อย ทั้งถ้อยคำก็ค่อนข้างหยาบคาย ซึ่งเราไม่สามารถไปห้ามกลุ่มคนพวกนั้นได้ เพราะพวกนั้นเป็นบรรดาแฟนคลับที่โพสต์อยู่ตามกระทู้ต่างๆ”

          ฟังถ้อยคำของตุลย์แล้ว อริญชย์ก็ถึงกับสบถออกมาด้วยความเดือดดาล

           “บัดซบ!”

          หลังจากได้ฟังที่ตุลย์รายงานแล้ว พิชญ์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาเสิร์ชหาว่าคนอื่นพูดถึงข่าวนี้ว่าอย่างไร ก่อนจะต้องหน้าม้านด้วยความอาย ถ้อยคำต่างๆ ที่ถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์ล้วนเป็นการแสดงความสงสารไอลดา นอกจากนั้นยังก่นด่ารัญญากับเขา หลักๆ เป็นเขาเสียมากกว่าที่ถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายจนไม่มีชิ้นดี

          พิชญ์ถึงกับลูบหน้าตัวเองเบาๆ แค่มีข่าวฉาวเกี่ยวกับใครซักคนหลุดออกไปบนโลกออนไลน์ คนเราก็พร้อมจะเชื่อและรุมประนามหยามเหยียดโดยไม่คิดจะสืบหาความจริงแม้แต่น้อย สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฏ คนที่เคยต่อว่าต่อขานก็เพียงแค่เงียบๆ ไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีกระทั่งคำขอโทษ ไม่มีกระทั่งความรู้สึกผิด เขาถอนหายใจช้าๆ ให้กับความรู้สึกหน่วงๆ ในอก รัญญาเดินหมากเกมนี้โดยเอาชื่อเสียงของตัวเองเป็นเดิมพันโดยหวังจะฉุดรั้งเขาให้ดิ่งลงไปพร้อม

          คนอย่างรัญญา กมลวิลาศน์...ไม่เพียงแต่โหดร้ายกับคนอื่น แต่ยังโหดเหี้ยมกับตัวเองด้วยเช่นกัน

          พิชญ์ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะทำอย่างไร ถ้าเทียบความสามารถในการจัดการแก้ไขปัญหาแล้ว นับว่าเขายังห่างจากอริญชย์อีกไกล ระหว่างที่เขากำลังนั่งฟังอริญชย์กับตุลย์คุยกันด้วยท่าทางเคร่งเครียด โทรศัพท์ของตุลย์ก็แผดเสียงดังขัดจังหวะ ตุลย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลขก่อนจะกดรับสายอย่างไม่เต็มใจนัก ดูท่าทางว่าคงเป็นสายสำคัญ ตุลย์ถึงได้เลือกรับสายต่อหน้าอริญชย์

          ตุลย์พูดตอบรับอยู่สามสี่ประโยค ทำนองว่าเดี๋ยวจะแจ้งคุณใหญ่ให้ ก่อนจะวางสายไปแล้วสบตากับผู้เป็นนาย เห็นสีหน้าของตุลย์ อริญชย์ก็เดาออกทันที

           “พวกฝ่ายบริหารล่ะสิ...”

           “ครับ ทางฝ่ายบริหารกดดันให้เปิดประชุมหาแนวทางแก้ไขเรื่องคุณพีท ไม่อย่างนั้นข่าวเชิงลบแบบนี้จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบริษัท”

           “ห่วงผลประโยชน์จริงๆ เวลาเรื่องดีๆ ไม่เคยเสนอหน้า เวลาเรื่องแบบนี้ล่ะถนัดนัก” อริญชย์ก่นด่าก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วสั่งกำชับตุลย์อีกสองสามประโยค “ไปเตรียมรถแล้วเรียกพวกที่อยากประชุมเข้ามาประชุมให้หมด ขาดหายไปแม้แต่คนเดียวก็ไม่ได้”

          พอตุลย์เดินออกไปเตรียมรถตามที่อริญชย์สั่ง พิชญ์ก็รีบผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยถามคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า

           “คุณใหญ่ ให้ผมเข้าประชุมด้วยไหม”

           “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันรีบไปกับตุลย์ จะได้ไม่เสียเวลา นายจัดการอะไรเสร็จค่อยตามไปที่บริษัทแล้วกัน”

          เหตุผลที่อริญชย์ไม่ให้พิชญ์เข้าประชุมด้วย ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากกันพิชญ์อยู่วงนอกของปัญหา แต่เขารู้ดีว่าถ้าหากพิชญ์ไปปรากฏตัวในที่ประชุมฝ่ายบริหารเมื่อไหร่ คนพวกนั้นก็จะหันมากดดันพิชญ์แทนเขา อย่างน้อย คนที่มีสิทธิ์จะลงโทษพิชญ์ก็มีแค่เขาคนเดียว คนอื่นหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น

          พิชญ์มองสบตาอริญชย์ ทำท่าเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไร ครั้งนี้เขาทำผิดจริงๆ อริญชย์นึกอยากดึงพิชญ์เข้ามากอด แต่ทั้งเขาและพิชญ์ต่างยืนกันอยู่กลางบ้าน คงไม่เหมาะสมนักหากเขาจะทำอะไรประเจิดประเจ้อ อย่างน้อยเขาก็ควรให้เกียรติพิชญ์ ในฐานะพ่อของน้องหนู และในฐานะสามีของไอลดาที่ยังมีพันธะต่อกัน อริญชย์บีบบ่าคนตัวเล็กกว่าเบาๆ ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะปัดเป่าความกังวลของพิชญ์ให้หายไปมากกว่าครึ่ง

           “จำที่ฉันบอกเมื่อคืนไม่ได้หรือไง เชื่อฉัน ถ้ามีฉันอยู่ จะไม่มีใครทำอะไรนายได้”

          ถ้อยคำธรรมดาของอริญชย์ ไม่ว่าจะเมื่อคืนหรือตอนนี้ พิชญ์ก็เชื่อหมดใจ พิชญ์เชื่อว่าเมื่อมีอริญชย์อยู่ เขาจะก้าวผ่านทุกอย่างไปได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ พิชญ์ก็ไม่อาจรู้ได้ ที่เขาวางทั้งหัวใจและความเชื่อใจลงในมือของอริญชย์

          สุดท้ายแล้ว...ตัวพิชญ์เองคือคนที่เต็มใจอยู่ในความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ พิชญ์มีคำตอบให้ตัวเองในที่สุด หัวใจที่เขาไม่เคยหยิบยื่นให้ไอลดา แท้ที่จริงกลับมอบให้อริญชย์ไปนานแล้ว

          เขาแค่หวังว่า ความเชื่อและความไว้ใจทั้งหมดที่เขามอบให้อริญชย์ไป...จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง



.



          บรรยากาศในห้องประชุมฝ่ายบริหารค่อนข้างเคร่งเครียด เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังเบาๆ ส่วนมากล้วนแล้วแต่เอ่ยถึงหัวข้อข่าวที่ปรากฏบนโลกออนไลน์ ร้อยวันพันปี เคเค คอนสตรัคชั่นไม่เคยจะมีเรื่องอื้อฉาวเสียหาย คราวนี้นอกจากจะมีเรื่องอื้อฉาวแล้ว คนที่ถูกพาดพิงยังเป็นถึงน้องสาวท่านประธานและรองประธาน มิหนำซ้ำคู่กรณีอีกฝ่ายยังเป็นบริษัทคู่แข่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาวิธีลดแรงเสียดทานลงให้ได้มากที่สุด

          แต่ละคนต่างพากันเลื่อนดูข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง พลางเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ บางคนถึงกับหยิบยกเอาเรื่องที่พิชญ์ได้ตำแหน่งรองประธานบริษัทมาด้วยความรวดเร็วมาเป็นหัวข้อสนทนา แม้จะมีคนชื่นชมความสามารถพิชญ์ไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะพอใจในตัวพิชญ์ เมื่อมีคนชื่นชมก็ย่อมมีคนชิงชังด้วยเช่นกัน

          สิ่งเดียวที่ฝ่ายบริหารสนใจคือผลประกอบการและหน้าตาของบริษัท แม้พิชญ์จะคว้างานประมูลชิ้นใหญ่ของปีให้กับเคเค คอนสตรัคชั่นได้สำเร็จ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าข่าวฉาว ซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงอยู่นี้ ได้ลดทอนมูลค่าและภาพลักษณ์ของบริษัทลง

          ขณะที่แต่ละคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงข่าวที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ประตูห้องประชุมก็เปิดออก แม้จะเป็นการประชุมเร่งด่วนที่มีขึ้นกระทันหัน แต่อริญชย์ก็คงเดินเข้ามาด้วยท่าทางทรงอำนาจเหมือนทุกครั้ง เขากวาดตามองรอบๆ ห้องราวกับต้องการจะเช็กรายชื่อคนที่มาเข้าร่วมประชุมก่อนจะนั่งลงประจำตำแหน่ง

           “ผมได้ยินว่าทุกท่านต้องการให้เปิดประชุมเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อพิจารณาหาแนวทางรับมือกับข่าวของพิชญ์ ภัทรกุล” อริญชย์โยนหินถามทางออกไปด้วยท่าทางเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยความกดดัน

          คนแรกที่กล้ายกมือและเอ่ยปากท้าทายอำนาจของอริญชย์ นั่งอยู่ทางขวามือของเขา เอ่ยถามด้วยถ้อยคำเยาะหยัน

           “แล้วเจ้าตัวเขาไม่คิดจะบากหน้ามาเข้าประชุมและแสดงความรับผิดชอบหน่อยหรือไง”

          สายตาคมกริบของอริญชย์กวาดไปยังคนพูด เขาเลิกคิ้วน้อยๆ ขณะนึกหมายหัวอีกฝ่ายไว้ในใจ ในเมื่ออำนาจอยู่ในมือเขา เขาก็ย่อมใช้อำนาจที่ตัวเองมีให้เกิดประโยชน์ ถ้าแค่นี้เขายังปกป้องพิชญ์จากคำครหาไม่ได้ เขาก็คงไม่ใช่อริญชย์ เกียรติกาญจนา

           “มีเหตุผลอะไรที่พีทต้องทำอย่างที่คุณบอกด้วย ไหนลองอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิ คุณสมภพ”

          เจ้าของชื่อลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอริญชย์ทันที สายตาประสานสายตา ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายแสยะยิ้ม

           “อย่าบอกว่าคุณใหญ่ไม่เห็นข่าวที่กำลังอื้อฉาวไปทั่วโลกออนไลน์ตอนนี้”

           “ทำไมผมถึงจะไม่เห็น”

           “ถ้าอย่างนั้นคุณใหญ่ก็ต้องเห็นว่าข่าวนี้มันสร้างผลกระทบกับบริษัทมากแค่ไหน ในฐานะตัวแทนของฝ่ายบริหารคนอื่นๆ ผมเองก็คาดหวังว่าจะได้เห็นวิธีรับมือและจัดการกับปัญหาอย่างมืออาชีพ” ถ้อยคำของเขามีทั้งความท้าทายและกดดันอยู่ในที แต่อริญชย์กลับแค่รับฟังนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยย้อนถามกลับไป

           “ผมเข้าใจว่าคุณสมภพคงจะมีวิธีดีๆ อยู่ในใจแล้ว ไม่สู้ลองพูดออกมาให้ผมพิจารณาดูหน่อยล่ะ”

           “คุณใหญ่อยากฟังจริงๆ หรือครับ”

          หากคิดว่าคนอย่างอริญชย์จะกริ่งเกรงกลับถ้อยคำกึ่งยั่วยุกึ่งข่มขู่นั้น คนพูดก็คงจะประเมินอริญชย์ต่ำไปหน่อย การก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดนี้ของอริญชย์ สิ่งที่ต้องมีนอกเหนือจากความสามารถก็คืออำนาจบารมี เขาทอดสายตามองคนพูดนิ่งๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กอมมือที่ริอ่านจะต่อกรกับเขา

           “ว่ามาสิ ผมรอฟังอยู่”

           “ผมและฝ่ายบริหารบางส่วนเห็นตรงกันว่า เพื่อรักษาชื่อเสียงของเคเค คอนสตรัคชั่น ควรที่จะปลดคุณพีทออกจากตำแหน่งรองประธานบริษัท”

          เสียงสนับสนุนดังขึ้นรอบด้านราวกับจะยืนยันว่าเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องนี้ อริญชย์หรี่ตาลงอย่างดุร้าย หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จ เขาเองก็ควรจะต้องเก็บกวาดบ้านของตัวเองให้เรียบร้อยเหมือนกัน

           “ในเมื่อเสนอให้ผมปลดพีทออกจากตำแหน่ง แปลว่าแต่ละคนคงมีคนที่จะดันขึ้นมาอยู่ในใจแล้วใช่ไหม ใครกันล่ะ หรือว่าจะเป็นคุณสมภพเอง” อริญชย์เอ่ยถามออกไปตรงๆ โดยไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จนคนถูกเอ่ยชื่อถึงเป็นฝ่ายหน้าม้านเสียเอง

          ภายใต้ความเด็ดขาดและเยือกเย็นของอริญชย์ เสียงอื้ออึงรอบข้างพลันเงียบสงบลง กระทั่งว่าหากมีเข็มหล่นซักเล่มก็คงได้ยินเสียง จนกระทั่งมีคนเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมา

           “ผมกลับมองต่างกัน ผมมองว่าคุณพีทเป็นคนมีความสามารถ การที่จะปลดคุณพีทออกจากตำแหน่งเลย ผมคิดว่าเป็นการด่วนตัดสินเกินไป  ทำไมเราไม่ให้คุณพีทยุติบทบาทเป็นการชั่วคราวแทนล่ะครับ รอให้เรื่องต่างๆ เงียบลงก่อน ถึงยังไงคนไทยเราก็ลืมง่ายอยู่แล้ว หรือท่านอื่นๆ คิดว่าไงครับ”

          อริญชย์ไม่ได้เอ่ยสนับสนุนหรือโต้แย้งออกมาในทันที เขาเพียงแค่กวาดสายตามองขณะสังเกตท่าทีของคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นของบรรดาฝ่ายบริหารเริ่มแตกออกเป็นสองฝั่ง มีทั้งที่อยากให้ปลดพิชญ์ ซึ่งส่วนมากก็เป็นคนที่คัดค้านตั้งแต่ตอนที่อริญชย์ผลักดันให้พิชญ์ขึ้นรับตำแหน่งเมื่อตอนแรกๆ และอาศัยโอกาสนี้ในการเรียกร้อง ขณะที่อีกฝั่งกลับมองว่าการรักษาคนที่มีความสามารถเอาไว้สำคัญกว่าการรักษาชื่อเสียง

          ชื่อเสียงกอบกู้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่หากบริษัทสูญเสียคนมีความสามารถที่อุตส่าห์ปลุกปั้นไป ทุกสิ่งที่ผ่านมาก็เสียเปล่า ยิ่งคนที่ว่าคือพิชญ์ ภัทรกุล แน่นอนว่าอริญชย์ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนมาสั่นคลอนตำแหน่งของพิชญ์ง่ายๆ แน่ กับแค่ข่าวฉาวรายวันเหมือนหมาหยอกไก่แบบนี้ หากคิดว่าคนอย่างเขาไม่มีปัญญาจัดการก็คงจะดูถูกคนอย่างอริญชย์ เกียรติกาญจนาไปหน่อย เหตุผลที่เขายอมเรียกประชุมตามที่บรรดาฝ่ายบริหารเรียกร้อง ก็แค่อยากจะดูว่ามีกี่คนกันบ้างที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อคนของเขา

          ฝ่ายบริหารทำทีเป็นปรึกษาหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหากันใหญ่ ทุกคนคงลืมไปว่า ภายใต้บริษัทเคเค คอนสตรัคชั่นแห่งนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดคือใคร พอเจ้าตัวตบโต๊ะทีหนึ่ง ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มเยียบเย็นปรากฏบนใบหน้าของอริญชย์ ก่อนที่เขาจะเอ่ยตัดสินใจออกมาโดยไม่ต้องขอความเห็นใคร

           “ไม่จำเป็นต้องเถียงกันให้เสียเวลา สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ ผมจะให้ทีมสื่อสารภาพลักษณ์ของบริษัททำเรื่องชี้แจ้งกับสื่อภายในวันนี้ ส่วนเรื่องตำแหน่งของพีท...” อริญชย์เว้นวรรคพลางกวาดสายตามองรอบห้อง ดวงตาดำจัดคมกริบ “ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะปลดหรือยุติบทบาทของรองประธาน ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว อำนาจตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ผม ถ้าใครมีปัญหาอะไรก็มาพบผมที่ห้อง”

          บางคนทำท่าจะเอ่ยคัดค้าน แต่พอเห็นแววตาเย็นชาของอริญชย์ก็รู้สึกว่าการพยายามรักษาเก้าอี้ของตัวเองในตอนนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า พอเห็นว่าไม่มีเสียงคัดค้านใดๆ อีก อริญชย์ก็ยิ้มเยาะ คนพวกนี้ประเมินความสำคัญของพิชญ์ในใจเขาต่ำเกินไปหน่อย คิดหรือว่าเขาจะให้ความสำคัญกับพิชญ์น้อยกว่าชื่อเสียงบริษัท

           “ถ้าไม่มีใครมีปัญหาอะไร งั้นประชุมวันนี้ก็ให้จบลงแค่นี้ คนอื่นแยกย้ายไปได้ แต่รบกวนคุณสมภพอยู่คุยกับผมก่อน”

          คนอื่นๆ พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะรีบเดินออกจากห้องประชุม ถึงจะมีตำแหน่งอยู่ในฝ่ายบริหาร แต่อำนาจของแต่ละคนก็ยังเป็นรองประธานบริษัทอย่างอริญชย์ คนที่เมื่อกี้ร่วมผสมโรงเรียกร้องให้ปลดพิชญ์ออกจากตำแหน่งถึงกับร้อนๆ หนาวๆ ทั้งไม่รู้และไม่อยากรู้ว่าอริญชย์จะจัดการกับพวกเขายังไง คนที่ฉลาดหน่อยก็พอคิดได้จากท่าทีของอริญชย์วันนี้ ว่าไม่ควรจะมีข้อสงสัยหรือข้อซักถามใดๆ กับเรื่องของพิชญ์ ภัทรกุล แม้จะมีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวมากมายว่าทำไม ทำไม และทำไม

          ...แค่เพราะพิชญ์ ภัทรกุลเป็นน้องเขย อริญชย์ถึงต้องปกป้อง แค่นั้นจริงหรือ?...



.


หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 39 ข่าวฉาว --- หน้าที่ 10 [07/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 07-11-2020 22:15:41



          พิชญ์มาถึงบริษัทตอนสายๆ เขาคิดมาตลอดทางว่าคงจะมีสายตาแปลกๆ จากบรรดาพนักงานมองมายังเขา แต่โชคดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น ทุกคนยังคงให้ความเคารพนบนอบเขาเหมือนเดิม พอพิชญ์ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นของเขา ก็เห็นหัวหน้าทีมสื่อสารภาพลักษณ์เพิ่งเดินออกมาจากห้องของอริญชย์ อีกฝ่ายพอเห็นพิชญ์ก็รีบค้อมหัวเป็นเชิงทักทาย พิชญ์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องของอริญชย์ โดยไม่ลืมที่จะเคาะประตูห้องก่อน

          ตุลย์เป็นฝ่ายเดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าคนเคาะคือพิชญ์ เขาก็รีบเบี่ยงตัวหลบให้พิชญ์เดินเข้าห้อง ก่อนที่เขาจะถือโอกาสออกจากห้อง ทิ้งพิชญ์อยู่ในห้องกับอริญชย์ตามลำพัง เจ้าของห้องกำลังง่วนอยู่กับเอกสารตรงหน้า คิดว่าคนที่ยังอยู่ในห้องคือตุลย์ก็เอ่ยถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง

           “ใครเคาะประตูน่ะ ตุลย์”

           “ผมเอง”

          พอได้ยินว่าเป็นเสียงใคร อริญชย์ก็วางปากกาในมือลง ก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู

           “มานี่สิ”

          ถ้าเป็นเวลาอื่นพิชญ์คงอิดออด แต่เวลานี้พิชญ์กำลังรู้สึกผิดกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่ว่าอริญชย์จะบอกให้เขาทำอะไร เขาก็ทำตามโดยไม่มีเกี่ยงงอน

          พอพิชญ์เดินเข้ามาจนอยู่ในระยะมือคว้า อริญชย์ก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา จนพิชญ์ล้มลงมานั่งทับอยู่บนตักของอริญชย์ พิชญ์พยายามขืนตัวจะลุกขึ้นยืน แต่คนที่ทำตัวเป็นเก้าอี้จำเป็นกลับไม่ยอม นอกจากสองแขนจะรัดรอบเอวเขาแล้ว ยังกดปลายคางลงมา บังคับไม่ให้พิชญ์ลุกหนีไปไหน

           “นั่งดีๆ นายยังมีความผิดอยู่นะ ลืมแล้วหรือไง”

          คนถูกต่อว่ากรายๆ ยอมนั่งนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของอริญชย์อย่างไม่เต็มใจนัก

           “เมื่อกี้ผมเห็นหัวหน้าทีมสื่อสารองค์กรเพิ่งเดินออกไป คุณใหญ่เรียกเขามาหรือ”

           “ใช่สิ นายคิดว่าฉันจะปล่อยให้ชื่อของนายติดอันดับคำค้นหาบนโลกออนไลน์ต่อไปเรื่อยๆ หรือไง เดี๋ยววันนี้ทางทีมสื่อสารองค์กรจะชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วฉันก็สั่งให้ไอ้เล้งจัดการปัญหาทางฝั่งมันให้เรียบร้อยด้วย”

           “มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือครับ” พิชญ์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก

           “ไม่เชื่อมั่นในฝีมือทีมสื่อสารองค์กรของเราหรือไง ถ้างานง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ ฉันจะสั่งย้ายไปทำอย่างอื่นให้หมด”

          เห็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในบริษัทเอ่ยปากจะสั่งย้ายคนอื่นง่ายๆ พิชญ์ก็รีบเอ่ยห้ามทันควัน ก่อนที่คนอารมณ์ไม่ดีจะวู่วามสั่งการลงไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

           “อย่าเพิ่งใจร้อนได้ไหม คุณใหญ่”

           “ถ้าเป็นเรื่องนาย ฉันใจร้อนทั้งนั้น”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ให้กับความหุนหันพลันแล่นของอริญชย์ แต่แวบหนึ่งก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาตื้นตันอยู่ในอกลึกๆ ยามที่รู้ว่ามีปัญหาแล้วยังมีอริญชย์ยืนอยู่ข้างหลัง พร้อมที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ให้เขา แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่เขาก่อขึ้นก็ตาม ในเมื่ออริญชย์เลือกที่จะวางหัวใจไว้ในมือของเขา คงไม่แปลกอะไร ถ้าหากพิชญ์จะวางหัวใจคืนกลับไปให้เช่นกัน

          พิชญ์รู้ว่ามันไม่ถูกต้องนักกับความสัมพันธ์ที่ยังคลุมเครือกันอยู่แบบนี้ ความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายเป็นพี่ภรรยา ส่วนเขาเป็นน้องเขย แต่พิชญ์ก็อยากจะขอเห็นแก่ตัว เก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ และความห่วงใยที่อริญชย์มีให้เขา อย่างน้อยก็แค่ตอนนี้ ตอนที่เขาไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่มีต่อไอลดา

           “ทำไมคุณหลิวถึงต้องพุ่งเป้ามาที่ผมด้วย ในเมื่อคนที่ขัดแย้งกับคุณหลิวคือเสี่ยเล้ง ไม่ใช่ผม” พิชญ์เอ่ยถามคำถามที่ติดอยู่ในหัวของเขามานับตั้งแต่เกิดเรื่อง

           “เพื่อให้มั่นใจ ว่าทางเราจะโมโหและจะไม่ยื่นมือไปยุ่งกับเรื่องภายในของกมลวิลาศน์ยังไงล่ะ”

          ถ้อยคำของอธิบายไขข้อข้องใจของพิชญ์ได้เป็นอย่างดี รัญญาคงคิดว่าถ้าเธอทำแบบนี้แล้ว ทางอริญชย์และพิชญ์ก็จะยิ่งอยู่นิ่งและออกห่างจากราชันย์ เพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามไปกันใหญ่ แต่รัญญาคงต้องคิดผิด เพราะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิชญ์แล้ว อริญชย์ไม่เคยคิดจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ

           “ขอบคุณนะครับ...”

          ขอบคุณที่อริญชย์ไม่โกรธเขา ขอบคุณที่อริญชย์คอยอยู่เคียงข้างเขา เผชิญหน้าปัญหาต่างๆ ร่วมกันกับเขา...

          อะไรบางอย่างดลใจให้พิชญ์หันไปเผชิญหน้ากับอริญชย์ เขาสบตากับเข้ากับดวงตาดุดันที่เจือความอ่อนโยนจางๆ ทุกครั้งที่ทอดมองเขา พิชญ์เลื่อนหน้าเข้าไปไกล จนเห็นเงาตัวเองสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของอริญชย์ แตะริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากอริญชย์เบาๆ อย่างเขินอาย อย่างขลาดเขลา

          คนถูกกระทำเป็นฝ่ายเบิกตากว้าง ประกายแสงแห่งความยินดีลุกโชนในดวงตา ไม่มีครั้งไหนที่อริญชย์จะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้หัวใจของพิชญ์ได้เท่าครั้งนี้ ที่พิชญ์เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แม้จะเป็นเพียงแค่สัมผัสแผ่วๆ แต่มันก็ชัดเจนและจริง จนอริญชย์เกือบจะคิดว่าเขากำลังฝันไป

          ฝันที่เคยฝัน ความรักที่คาดหวังมาตลอด ตอนนี้ดูราวกับแค่เอื้อมมือออกไปก็จะไขว่คว้ามาครองได้

          แทนความยินดีที่เขามี อริญชย์กดริมฝีปากตัวเองให้แนบสนิทกับริมฝีปากพิชญ์มากยิ่งขึ้น ขบเม้มริมฝีปากพิชญ์เบาๆ ใช้ปลายลิ้นหลอกล่อให้พิชญ์ค่อยๆ เผยอริมฝีปากออกด้วยความยินยอม ลิ้มรสความสุขที่อัดแน่นอยู่ในริมฝีปากร้อนผ่าวที่แนบเคล้าคลอเคลียอยู่กับริมฝีปากเขา

          จูบครั้งนี้ดูหอมหวานกว่าครั้งไหนๆ อริญชย์แทบอยากจะกลืนกินพิชญ์ลงไปทั้งตัว ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วร่างพิชญ์ ติดแค่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในออฟฟิศ ในช่วงเวลาที่มีความสุ่มเสี่ยง อะไรๆ ที่อยากทำตามใจเลยต้องหักห้ามเอาไว้ไม่ให้เลยเถิด ได้แต่ดูดกลืนริมฝีปากและเสียงครางของพิชญ์ซ้ำๆ

          ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นเร็วและแรง บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของเจ้าของมัน กระทั่งตอนที่ผละริมฝีปากออกมา และโอบกอดพิชญ์ที่นั่งอยู่บนตักไว้หลวมๆ อริญชย์ก็ยังกระซิบข้างหูพิชญ์เบาๆ ด้วยความอิ่มเอม

           “ฉันรักนาย รักจนแทบทนไม่ไหว รู้บ้างไหม...”

          คนถูกบอกรักไม่ตอบรับ แต่กลับซุกหน้าเข้ากับอกของอริญชย์ พยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ ดวงหน้าที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้แดงก่ำจนลามไปถึงใบหู ทำเอาคนมองถึงกับเอ็นดู ก้มลงงับใบหูเจ้าตัวเบาๆ ก่อนจะกระซิบถ้อยคำรักออกมาด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น

           “คุณใหญ่รักพีท...”

          ถ้อยคำนี้ทำเอาพิชญ์ถึงกับกระดากยิ่งกว่าเดิม เขาก้มหน้างุด แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังอยู่เหนือหัว แทบจะมุดหน้าลงไปในอกของอริญชย์ คำรักของอริญชย์ที่เอ่ยออกมาแทบจะตอกย้ำตีตราลงบนหัวใจของพิชญ์ หัวใจดวงเล็กเต้นเร่าอย่างไม่ตัวของตัวเอง จนพิชญ์อดสงสัยไม่ได้ว่า...

          หัวใจดวงนี้...อาจจะตกเป็นของอริญชย์ไปนานแล้ว



.



          ข้าวของที่อยู่ใกล้ไม้ใกล้มือถูกรัญญาคว้าจับแล้วเขวี้ยงลงพื้นกระจัดกระจายด้วยความโมโห หญิงสาวหน้าแดงก่ำด้วยแรงโทสะที่มี เมื่อวานเธอยังคุยกับอาสามถึงแผนการต่างๆ ที่วางไว้ร่วมกัน วาดฝันถึงวันที่จะกระชากราชันย์ลงจากบัลลังก์มังกร แต่วันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร อำนาจที่เธอพยายามไขว่คว้า ทุกสิ่งที่เธอเพียรพยายามทำมา กลับถูกยึดคืนง่ายๆ แค่เพียงเพราะผู้เป็นแม่ของเธอไม่ใช่คุณนายหลิน

          เช้าวันนี้ อารองเรียกหารือกันเป็นการภายในโดยกันเธออยู่วงนอก พอรู้ตัวอีกที รัญญาก็แทบกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวกราด คุณนายหลิวอาศัยอำนาจอะไรมาบีบบังคับให้อารองกับอาสี่ปลดเธอออกจากตำแหน่งบริหารของกมลวิลาศน์ หักแขนหักขา ถอดเขี้ยวเล็บเธอจนไม่เหลือชิ้นดี แม้กระทั่งอาสามก็ยังช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้

          เมื่อเทียบกันแล้ว เธอกับอาสามรวมกันสองคน ยังไม่อาจสู้ราชันย์ อารอง และอาสี่ อำนาจที่เธอเคยหลงคิดว่ามี แท้จริงแล้วกลับไม่มีจริง ความสามารถที่เธอคิดว่าทำให้คนเก่าคนแก่ยอมรับได้นั้น แท้จริงคนเหล่านั้นก็ยังยึดติดอยู่กับการให้ราชันย์เป็นคนสืบทอดสกุล

          เพราะเธอเป็นผู้หญิง...

          เพราะเธอไม่ใช่ลูกที่เกิดจากภรรยาหลวง...

          หรือเพราะเธอไม่มีความสามารถเท่าราชันย์กันแน่

          รัญญาซบหน้าลงกับฝ่ามือ ตอนนี้หนทางเดียวที่เธอพอจะนึกออกคงมีแต่การถอยออกมาตั้งหลักก่อน หญิงสาวยืดหลังตรง ในเมื่อเธอก็มีสายเลือดกมลวิลาศน์ไม่ต่างกัน แล้วทำไมเธอต้องมามัวทำตัวขี้ขลาดอยู่อย่างนี้

           “นที...” เพียงแค่รัญญาเอ่ยเรียก คนสนิทก็มาปรากฏตัวข้างกายเธอทันที “เช็กดูว่าตอนนี้ฉันมีเงินสดอยู่ในบัญชีแต่ละบัญชีเท่าไหร่” อย่างน้อยตอนนี้ การมีเงินสดก็ดูจะปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ

           “ครับ คุณหลิว”

          รัญญานั่งนิ่งอยู่บนโซฟา เวลานี้สิ่งสำคัญคือเธอต้องมีทั้งสติและสมอง นอกจากอำนาจที่สูญเสียไปแล้ว สิ่งต่างๆ ที่เป็นของเธอก็ยังคงเป็นของเธออยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีทางออก หญิงสาวปลอบตัวเองให้ใจเย็นๆ ก่อนจะรู้ว่าเธอมองโลกในแง่ดีเกินไป เมื่อนทีเดินหน้าตาเคร่งเครียดกลับมา

           “เกิดอะไรขึ้น นที” รัญญาถาม แม้จะพอเดาคำตอบจากท่าทีของอีกฝ่ายได้ลางๆ

           “คุณลือชาสั่งอายัดบัญชีคุณหลิวทั้งหมดเลยครับ”

          พอได้ยินคำตอบของราชันย์ รัญญาก็ถึงกับมือสั่นระริกด้วยความโกรธ เธอไม่เคยคิดเลยว่าอารองจะกล้าทำกับเธอถึงขนาดนี้ หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ตั้งใจจะกดโทรออกหาอารอง แต่แล้วเธอกลับเปลี่ยนใจ กดโทรออกหาอีกคนแทน

           “อาสาม ฉันเอง...”

          แม้จะรู้ดีว่าการขอความช่วยเหลือจากอาสามจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน แต่นี่ก็เป็นหนทางเดียวที่รัญญานึกออกในตอนนี้ สำหรับตระกูลใหญ่อย่างกมลวิลาศน์แล้ว สายสัมพันธ์นั้นช่างเปราะบาง มีเพียงอำนาจและเงินตราที่จีรัง แต่ในยามนี้ ยามที่เธอไม่มีทั้งอำนาจและเงินตรา รัญญาก็ยังคิดไม่ออกว่าเธอจะเอาอะไรไปต่อรองกับอาสาม อาสามที่เห็นแก่ตัวและรักตัวกลัวตายยิ่งกว่าสิ่งไหน





TO BE CONTINUE



เหลือสต็อกตอนสุดท้ายแล้ว เลยมาๆ หายๆ

ถ้ามีช่วงที่หายไปนานๆ ก็ขออภัยด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่รอติดตามนะคะ ^^

ถึงสถานการณ์รอบข้างจะยังไม่ดี แต่คุณใหญ่กับพีทก็ชื่นมื่นมาก

หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 39 ข่าวฉาว --- หน้าที่ 9 [07/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 10-11-2020 00:25:40
รัญญาเธอโง่มาก พยามทำเหมือนว่าให้ฉลาด แต่จริงๆโง่ก็คือโง่ และไม่รู้จะดันทุรังเป็นหมาจนตรอกรึป่าวนะ ถึงตอนนั้นใครคงช่วยอะไรไม่ได้ ทำตัวเองทั้งนั้น อยากได้อำนาจมากเกินไปจนบางทีก็ลืมว่าเขาก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับตัวเธอเลย อยากจะสนับสนุนด้วยซ้ำถ้าเธอไม่โลภมาก หึ! จะข่าวไรมาก็บ่ยั่นค่าา คุณใหญ่เอาอยู่ค่ะ เล่นกับใครไม่เล่น หึ //โอ๊ยยยยเห้เอ้ยเขินนไม่ไหวแล้ว  :กอด1: :-[ :o8: มารไม่มี รักนี้คงไม่เกิด 5555 พีทยอมรับใจแล้วเว้ย บราโว่~~ทั้งยังแสดงออกก่อนอีก อุ๊กรี๊ดด ปริ่มเลยคุณใหญ่ บอกรัก ปาหัวใจรัวๆ หวานมาก ให้ตายเถอะ >/////< เขินนไปด้วย 555 เป็นตอนที่ดีต่อใจจริง คึคึ รอๆตอนต่อไปเลยค่ะ ชอบมาก ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้อ่าน  :L1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 39 ข่าวฉาว --- หน้าที่ 9 [07/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-11-2020 23:07:11
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 39 ข่าวฉาว --- หน้าที่ 9 [07/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 12-11-2020 10:15:55
ยังไม่ยอมจบเรื่องราวอีก รัญญา
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 40 แบล็คเมล์ --- หน้าที่ 9 [22/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 22-11-2020 20:06:19
สี่สิบ
แบล็คเมล์





          ล่วงเข้าวันที่สองหลังจากที่มีข่าวฉาวระหว่างพิชญ์ ภัทรกุลกับรัญญา กมลวิลาศน์ปรากฏบนสังคมออนไลน์ อริญชย์ยังคงมีตารางงานประชุมรัดตัวแน่น แม้ฝ่ายสื่อสารองค์กรของเคเค คอนสตรัคชั่นจะออกมาชี้แจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องต้นแล้ว แต่ก็ยังคงมีเสียงด่าทอพิชญ์อย่างหนาหูบนโลกออนไลน์

          พิชญ์อ่านถ้อยคำต่างๆ ที่ด่าทอเขาแล้วก็ถึงกับสะอึกอึ้งอยู่หลายรอบ เขาลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ รู้สึกเหนื่อยเสียจนอยากหลบลี้หนีหน้าทุกคน การลงมือของรัญญาคราวนี้นับว่าส่งผลกระทบต่อเขาอย่างรุนแรงจริงๆ

          พิชญ์เองก็คาดไม่ถึง ว่าหลังจากลงมือลักพาตัวแม่พลอยกับน้องหนูแล้ว รัญญาจะถึงกับเล่นสกปรกขนาดเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเดิมพัน จนตอนนี้เขาเหมือนกับเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว พิชญ์นั่งจ้องโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้านิ่ง ยุคสมัยนี้ ข่าวต่างๆ บนสังคมอนไลน์แพร่ไปไวกว่าความตระหนักรู้ของคน ไม่แน่ว่าไอลดาที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งก็อาจจะทราบข่าวนี้แล้วเหมือนกัน พิชญ์นึกอยากโทรศัพท์หาไอลดา เพื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับเธอฟัง แต่พิชญ์ก็ไม่รู้ว่าไอลดาพร้อมที่จะรับฟังเขาหรือยัง

          พิชญ์วางนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์นิ่งๆ ขณะที่ยังคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้าก็สั่นครืดคราด ส่งสัญญาณว่ามีสายเรียกเข้า

          พิชญ์มองหมายเลขโทรศัพท์ที่แสดงบนหน้าจอ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเครื่องของเขา ขณะกำลังชั่งใจว่าจะกดรับสายดีไหม สายก็ตัดไปเสียก่อน พิชญ์เลยถือโอกาสละสายตาจากโทรศัพท์มือถือตรงหน้า คิดเอาเองว่าปลายสายอาจจะโทรผิด และตั้งใจว่าจะเริ่มต้นเคลียร์เอกสารที่คั่งค้างอยู่เสียที แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด โทรศัพท์มือถือก็สั่นครืดคราดอีกครั้ง ยังคงเป็นหมายเลขเดียวกับเมื่อครู่ที่โทรเข้ามา พิชญ์ตัดสินใจกดรับสายในที่สุด

          “สวัสดีครับ”

          “คุณพีท หลิวเองนะคะ”

          พิชญ์ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อรู้ว่าคนโทรมาคือรัญญา นึกแปลกใจที่เธอยังกล้าโทรหาเขาทั้งที่ก่อเรื่องไว้มากมายขนาดนั้น เขาปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติขณะเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบๆ

          “ครับ คุณหลิว”

          ปลายสายดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย ที่ไม่เห็นพิชญ์แสดงอาการเกรี้ยวกราดอย่างที่เธอคาดหวังว่าจะได้เห็น บางทีเธอคงคาดหวังมากเกินไป รัญญาได้แต่หวังว่าเรื่องที่เธอโทรมาคราวนี้จะพอทำให้พิชญ์เกรี้ยวกราดขึ้นมาได้บ้าง

          “คุณพีท เห็นข่าวของหลิวกับคุณพีทแล้วใช่ไหมคะ”

          “ทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของคุณหลิวสินะ คุณหลิวทำไปทำไมกัน” พิชญ์แสร้งถาม ทั้งที่ตัวเขารู้คำตอบดีแก่ใจ

          “หลิวก็อยากจะเล่นเกมตอบคำถามกับคุณพีทอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่หลิวไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น เรื่องบางเรื่องคุณพีทเองก็น่าจะพอเดาออกอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้หลิวเสียเวลาอธิบาย ที่หลิวโทรมาหาคุณพีทคราวนี้ก็เพราะมีเรื่องจะรบกวน”

          พิชญ์แค่นยิ้มเย็นออกมา รัญญายังกล้าพูดว่ามีเรื่องจะรบกวนเขา สิ่งที่เธอทำลงไปมันยิ่งกว่าการรบกวนเขาเสียอีก การอยู่เฉยๆ แล้วถูกคนไม่รู้จักรุมด่าทอเป็นยังไง พิชญ์เพิ่งรู้ซึ้งก็คราวนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธ แต่เขาโกรธมากเสียจนกลายเป็นความเฉยชาไปเสียแล้ว

          “ผมว่าคุณหลิวคงโทรหาผิดคนแล้วล่ะครับ คนอย่างผมไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรให้คุณหลิวต้องโทรหา” พิชญ์เอ่ยตัดบทอย่างไร้เยื่อใย ไม่คิดจะเสียเวลาสนทนากับเธอให้เสียอารมณ์แม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนพิชญ์จะประเมินรัญญาต่ำไป

          “คุณพีทก็รู้ว่าที่หลิวยังมีรูปคุณพีทอยู่อีก”

          พิชญ์ขบกรามแน่น เมื่อพอจะเดาจุดประสงค์ที่รัญญาโทรมาออก เธอต้องการต่อรองกับเขา ด้วยไพ่ที่เหลืออยู่ในมือเธอ เขาพยายามควบคุมอารมณ์ขณะเอ่ยถามกลับไปเสียงนิ่งๆ

          “แล้วคุณหลิวต้องการอะไร”

          “เงินสดยี่สิบล้าน แลกกับรูปทั้งหมด”

          พอฟังข้อเสนอของรัญญาแล้ว พิชญ์ก็เกือบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งด้วยความฉุนเฉียว นี่มันปล้นกันชัดๆ คนที่ตกเป็นผู้เสียหายทั้งขึ้นทั้งล่องก็คือเขา คนโดนถ่ายรูปแบล็กเมล์ก็คือเขา คนโดนเรียกร้องเงินก็คือเขา ไม่คิดว่ารัญญา กมลวิลาศน์จะมีวิธีรีดเลือดกับปูที่น่ารังเกียจแบบนี้ พิชญ์คิดด้วยความโมโหก่อนจะย้อนถามเสียงแข็ง

          “ไม่คิดว่ามากไปหน่อยหรือครับ คุณหลิว”

          “ยี่สิบล้านสำหรับรูปทั้งหมดนี้ หลิวไม่คิดว่ามันมากเกินไปค่ะ นอกเสียจากว่า...” รัญญาเว้นวรรคนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณพีทอยากให้รูปเหล่านี้ส่งไปถึงคุณแม่ของคุณพีทที่อยู่ปราณบุรี”

          พิชญ์เกือบจะสบถออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดเมื่อฟังคำขู่ของรัญญา ดีว่าเขายังควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ได้ ถึงได้เอ่ยถามกลับไปน้ำเสียงเยาะหยัน

          “แล้วผมจะเชื่อคุณหลิวได้ยังไง”

          “รูปทั้งหมดอยู่ในโทรศัพท์มือถือหลิว ถ้าคุณพีทตกลง หลิวก็จะยกโทรศัพท์ให้คุณพีทเป็นการแลกเปลี่ยน”

          ขณะที่พิชญ์กำลังคิดว่าควรโต้ตอบรัญญาที่อยู่ปลายสายอย่างไร เงาร่างของอริญชย์ก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขา พิชญ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอริญชย์ พอสบตากับอริญชย์เข้า อีกฝ่ายก็ขยับริมฝีปากโดยไร้สุ้มเสียง

          “ตอบตกลงไป”

          แม้พิชญ์จะนึกสงสัยว่าอริญชย์มีแผนการอะไรอยู่ ถึงให้เขาตอบตกลงไปเจอกับรัญญา แต่เวลานี้พิชญ์ย่อมเชื่ออริญชย์โดยไม่มีข้อกังขา

          “ตกลง แล้วผมต้องไปเจอคุณหลิวที่ไหน”

          “เดี๋ยวหลิวส่งสถานที่ไปให้อีกที แต่ว่า...” รัญญาเว้นวรรคไปอึดใจหนึ่ง “คุณพีทต้องมาคนเดียวนะคะ ไม่งั้นหลิวคงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เผลอส่งรูปให้ใครอีก”

          “ได้ครับ ส่งสถานที่มาให้ผมอีกทีแล้วกัน แค่นี้นะครับ” เอ่ยจบ พิชญ์ก็รีบกดตัดสายก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้

          อริญชย์เดินเข้ามายืนอยู่ข้างตัวพิชญ์ พอเห็นแววตาเหนื่อยล้าของพิชญ์แล้วก็นึกปวดใจ เขาวางมือลงบนบ่าของพิชญ์ก่อนจะบีบเบาๆ พิชญ์ช้อนตามองอริญชย์ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเนือยๆ

          “คุณใหญ่รู้ด้วยเหรอว่าคุณหลิวจะติดต่อมาหาผม”

          อริญชย์ไม่ได้ตอบคำถามพิชญ์ในทันที เขาโน้มตัวลงมาแตะริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากพิชญ์เบาๆ ก่อนจะดึงพิชญ์เข้าหาตัวแล้วเอ่ยกำชับ

          “นายแค่ไปหาหลิวก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน”

          “แล้วเงินยี่สิบล้านล่ะครับ”

          “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ตัวเองซึมซับสัมผัสจากฝ่ามือของอริญชย์ที่ลูบหัวเขาเบาๆ พิชญ์ไม่รู้ว่าอริญชย์มีแผนการอะไร แต่ตอนนี้เขาก็ยินดีจะทำตามที่อริญชย์บอก ขอแค่ให้เรื่องวุ่นวายต่างๆ จบลงโดยเร็วที่สุด



.



          คฤหาสน์ตระกูลกมลวิลาศน์ตั้งตระหง่านอยู่บนที่ดินขนาดสี่ไร่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น อายุอานามของคฤหาสน์หลังนี้เกือบจะเท่ากับจำนวนปีที่ตระกูลกมลวิลาศน์ลงหลักปักฐานในประเทศไทย

          เรือนร่างระหงของสุภาพสตรีวัยย่างหกสิบก้าวลงมาจากรถยนต์ซีดานสัญชาติยุโรป ตามติดมาด้วยลูกชายเพียงคนเดียว ครั้งนี้นับเป็นการกลับมาเหยียบคฤหาสน์ตระกูลกมลวิลาศน์เป็นครั้งแรก หลังจากที่คุณนายหลินก้าวเท้าออกจากที่นี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เธอเคยคิดว่าตัวเองคงไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว แต่ต้นสายปลายเหตุที่พาเธอกลับมายืนอยู่ที่นี่ คือลูกชายคนเดียวที่กำลังเดินเคียงข้างเธอ ราชันย์ กมลวิลาศน์

          ทุกย่างก้าวที่คุณนายหลินและราชันย์เดินผ่าน บรรดาคนรับใช้ต่างพากันทำความเคารพด้วยความพร้อมเพรียง ทั้งคู่เดินตรงไปยังห้องหนังสือบริเวณปีกตะวันออก ซึ่งน้องชายคนรองและคนที่สี่ของเจ้าสัวลิขิตนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

          พอเห็นคุณนายหลินเดินเข้ามาพร้อมราชันย์ อารองและอาสี่ซึ่งกำลังนั่งสนทนากันอยู่ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพตามลำดับความอาวุโสก่อนจะเอ่ยเรียกตามธรรมเนียม พลางเชื้อเชิญ

          “เชิญนั่งครับ พี่สะใภ้”

          อารองลุกขึ้นชงชาเถี่ยกวนอินด้วยตัวเอง ก่อนจะรินลงถ้วยกระเบื้องเคลือบแล้วนำมาวางตรงหน้าคุณนายหลิน ราชันย์ น้องชายตัวเอง และตัวเขาเอง จากนั้นจึงค่อยนั่งลงละเลียดชาราคาแพงตรงหน้าช้าๆ แล้วถึงเงยหน้าสบตาคุณนายหลินก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม

          “เวลาผมดื่มชาเถี่ยกวนอินทีไร เป็นต้องคิดถึงพี่สะใภ้ทุกทีเลย”

          “ความหมายดีหรือไม่ดีกันล่ะ” คุณนายหลินย้อนถามพลางคลี่ยิ้มบางเบา

          เห็นรอยยิ้มบางเบาของคุณนายหลินแล้วอารองก็ถึงกับชะงัก กาลเวลาไม่อาจทำร้ายสุภาพสตรีซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าได้แม้แต่น้อย เธอในวัยสามสิบสวยสะพรั่งมากแค่ไหน เธอในวันนี้ก็ยังคงสวยสะพรั่งเหมือนเดิม แต่มีความสง่างามและกลิ่นอายของความมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น จนเขาได้แต่นึกเสียดายแทนพี่ชายผู้ล่วงลับ ที่อารมณ์ชั่ววูบทำให้เลือกคว้าเอาก้อนกรวดมาชื่นชม จนต้องสูญเสียเพชรน้ำงามไปตลอดกาล

          “ต้องดีสิครับ พี่สะใภ้เป็นคนแนะนำชาเถี่ยกวนอินให้ผมดื่มนี่นา เสียแต่ว่าราคาแพงเสียจนผมหน้ามืดทุกครั้ง”

          คุณนายหลินหัวเราะออกมาเบาๆ ยามได้ยินถ้อยคำซึ่งกล่าวเกินจริงของน้องชายคนรองของอดีตสามี ด้วยฐานะอย่างลือชา กมลวิลาศน์แล้ว การดื่มชากิโลกรัมละหลายหมื่นไม่ได้ทำให้เจ้าตัวเดือดร้อนแม้แต่น้อย ประโยคที่เพิ่งเอ่ยออกมาเมื่อซักครู่ก็เป็นแค่ถ้อยคำทีเล่นทีจริงของเจ้าตัวเท่านั้น

          “เสียดายที่คราวนี้ฉันมากระทันหันไปหน่อย เลยไม่ได้เอาชาติดไม้ติดมือมาฝากน้องรอง”

          “แค่พี่สะใภ้ยอมมาพบพวกเราสองคนที่นี่ก็ดีมากแล้วครับ”

          เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ยามรู้เรื่องราวระหว่างเจ้าสัวลิขิตกับรตี ด้วยความหยิ่งทระนงทำให้คุณนายหลินแทบจะตัดสัมพันธ์ทุกอย่างกับทางตระกูลกมลวิลาศน์ เจ้าสัวลิขิตเพียรพยายามเดินทางไปฮ่องกงหลายต่อหลายครั้งเพื่อขอคืนดี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่ความเย็นชาและห่างเหิน

          “ฉันเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ความปรารถนาในชีวิตก็เหลืออยู่แค่เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น”

          ฟังถ้อยคำแฝงความนัยของคุณนายหลินแล้ว อารองกับอาสี่ก็หันมองหน้ากัน ก่อนอาสี่จะเอ่ยถามไถ่

          “แล้วมาคราวนี้พี่สะใภ้จะมาอยู่กี่วันครับ”   

          ด้วยสถานะของคุณนายหลิน ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงอดีตสะใภ้ของตระกูลกมลวิลาศน์ คุณลือชากับคุณปราโมทย์สมควรจะเรียกขานเธอว่าคุณนายหลิน ไม่ใช่พี่สะใภ้อย่างที่เรียกขานอยู่ แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างเธอกับพี่น้องสองคนนี้ รวมถึงการที่ทั้งคู่ดูแลราชันย์เป็นอย่างดี คุณนายหลินเลยไม่อยากหักหน้าอีกฝ่าย เพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ ยามรับฟัง

          ตลอดเวลาที่ผ่านมาสามสิบกว่าปี ทั้งคุณลือชาและคุณปราโมทย์ล้วนแต่เคารพนับถือเธอเป็นอย่างดี แม้กระทั่งวันที่เดินก้าวออกมาจากตระกูลกมลวิลาศน์ จนบางทีเธอเองก็นึกสงสัยอยู่ครามครัน ว่าน้องชายสามีเคารพเธอเพราะตำแหน่งพี่สะใภ้ หรือเพราะตระกูลหลินที่อยู่เบื้องหลังเธอ

          “มะรืนนี้ฉันก็จะกลับฮ่องกงแล้ว คราวนี้เจ้าเล้งช่วยดูแลจัดการเรื่องที่พักให้ ไม่ต้องลำบากเธอสองคนหรอก”

          “งั้นพรุ่งนี้เย็น เรากินข้าวด้วยกันซักมื้อดีไหมครับ

          คุณนายหลินไม่ได้เอ่ยตอบถ้อยคำเชื้อเชิญในทันที กลับปรายตามองลูกชายซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ราชันย์นั่งคลึงถ้วยชาเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยร่วมวงสนทนาตั้งแต่เดินเข้ามา เห็นอาการของลูกชายแบบนี้ เธอก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันมาสบตาน้องชายคนที่สี่ของอดีตสามี แล้วเอ่ยปฏิเสธออกมาตรงๆ

          “พรุ่งนี้ตอนเย็นฉันมีนัดแล้ว พอดีทางตระกูลหวังเดินทางมาพักผ่อนกันที่นี่ ฉันเลยนัดหารือเรื่องสำคัญกับเขา”

          ความจริงแล้ว คุณนายหลินต้องการจะนัดพบกับตระกูลหวังตั้งแต่ที่ฮ่องกง บังเอิญว่าราชันย์กลับมาประเทศไทยเสียก่อน เลยต้องเปลี่ยนแผนมาพบปะกันที่นี่แทน

          ตระกูลหวังเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของฮ่องกงเคียงคู่กับตระกูลหลินมาหลายยุคหลายสมัย เสียแต่ว่าพอมาถึงยุคนี้ ตระกูลหวังกลับมีทายาทผู้หญิงเพียงสองคน ไร้ซึ่งลูกชายอย่างที่ผู้ใหญ่ในตระกูลคาดหวัง เมื่อคุณนายหลินเอ่ยปากออกมาแบบนี้แล้ว อารองและอาสี่ก็พอจะเดาเรื่องราวต่างๆ ออก สองพี่น้องมีความสนิทสนมคุ้นคยกับคุณนายหลินมากกว่าคนอื่นๆ ย่อมรู้ดีว่าภายใต้ริมฝีปากที่ฉาบรอยยิ้มบางเบาอยู่บ่อยครั้ง แท้จริงแล้วกลับวางแผนลึกล้ำมากมาย

          ตอนนี้บรรดาญาติพี่น้องที่เป็นปฏิปักษ์กับราชันย์ต่างถูกจัดการเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่อาสามและรัญญา หนทางการขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลกมลวิลาศน์ของราชันย์อยู่เพียงแค่มือเอื้อม เห็นทีความปรารถนาของคุณนายหลินที่เอ่ยออกมาเมื่อซักครู่ นอกเหนือจากการเห็นลูกชายคนเดียวรับสืบทอดมรดกด้วยความชอบธรรมแล้ว ก็คงเป็นการที่เห็นราชันย์เป็นฝั่งเป็นฝา ทั้งที่พอจะเดาเรื่องราวต่างๆ ออก อาสี่ก็ยังคงเอ่ยถามคุณนายหลินใบหน้ายิ้มแย้ม คล้ายว่ากำลังชวนคุย

          “เท่าที่ผมเห็นตามข่าวต่างๆ เหมือนตระกูลหวังจะมีลูกสาวอยู่สองคนใช่ไหมครับพี่สะใภ้”

          “ใช่ ฉันเคยเจอแล้วทั้งสองคน คนพี่ดูเรียบร้อย ท่าทางเอาการเอางาน ส่วนคนน้อง ตอนนั้นที่ฉันเจอยังดูเด็กๆ อยู่เลย ป่านนี้คงโตเป็นสาวสวยแล้วมั้ง”

          ราชันย์ยังคงนั่งนิ่งเงียบ ยามฟังอาสองคนของเขาสนทนากับแม่ จนกระทั่งคำถามของอาสี่วกกลับมาหาตัวเขาจังๆ เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมดวงตาเย็นชา

          “แล้วพี่สะใภ้เล็งคนไหนไว้ให้เจ้าเล้งหรือครับ”

          “อาสี่...” ราชันย์เรียกอีกฝ่ายเสียงเรียบๆ คล้ายจะปรามว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้

          อาสี่ทำเมินเฉยต่อเสียงเรียกของหลานชายคนโปรด เขาเองก็ยังนึกสงสัย ว่าทำไมพี่สะใภ้ที่เมินเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลกมลวิลาศน์ถึงยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องครั้งนี้ ดูเหมือนราชันย์จะทำข้อตกลงบางอย่างกับคุณนายหลิน ข้อตกลงที่ทำให้หลานชายของเขาดูแปลกไป ถึงแม้เขาจะมีศักดิ์เป็นอาของราชันย์ แต่ก็ไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้า เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่อาจก้าวก่ายได้

          คุณนายหลินฟังถ้อยคำถามของน้องชายอดีตสามีแล้วก็แย้มยิ้ม ปรายตามองลูกชายคนเดียวแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบคำถามเมื่อครู่

          “ก็ต้องเป็นเอมิลี่ หวัง ลูกสาวคนโตสิ ทั้งเรียบร้อยและอ่อนหวาน ดูดีมีชาติตระกูลแบบคุณหนูตระกูลใหญ่”

          เรื่องที่ราชันย์กินอยู่กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาหลายปี แน่นอนว่าไม่ใช่มีแค่คุณนายหลินที่รู้ แม้กระทั่งอารองและอาสี่ก็รู้ แต่ทุกคนต่างก็คิดตรงกันว่าราชันย์แค่เลี้ยงดูเหมือนของเล่นแก้เหงา ตราบใดที่ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย แต่เมื่อเห็นท่าทางเฉยชาของราชันย์วันนี้ ทุกคนก็เหมือนจะเดาออกว่าราชันย์คงไม่ได้เห็นดีเห็นงามหรือเต็มใจที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลหวังอย่างที่คุณนายหลินคาดหวังไว้

          แม้จะนึกเห็นอกเห็นใจหลานชายอยู่ไม่น้อย แต่ความจริงที่ว่าราชันย์เป็นลูกชายคนเดียวของกมลวิลาศน์ ก็ทำให้อาสี่ถึงกับนิ่งเฉยเสีย ต่อให้จะมีความรักหรือไม่มี ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการมีทายาทสำหรับตระกูลใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ทายาทชาย ซึ่งจะมาสืบทอดตระกูลต่อไปในภายภาคหน้า

          อารองทำท่าเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของราชันย์ก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เขาหยิบขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้ พอเห็นว่าเป็นใครโทรมา เขาเลยเอ่ยปากบอกคนอื่นๆ ก่อนจะกดรับสาย

          “ไอ้ใหญ่โทรมา น่าจะมีเรื่อง ขอผมรับสายสักครู่” เอ่ยจบราชันย์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินถอยออกมายังมุมห้องก่อนจะกดรับสายของอริญชย์ “ว่าไง...”

          “หลิวโทรศัพท์หาพีทเมื่อกี้นี้ เรียกเงินยี่สิบล้านแลกกับรูปที่เหลือ” อริญชย์ที่อยู่ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่ชอบให้ใครมาลูบคมแบบนี้ “มึงจะจัดการเองหรือจะให้กูจัดการ”

          ฟังถ้อยคำของอริญชย์แล้วราชันย์ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน ความหมายในคำถามของอริญชย์ย่อมไม่ใช่เรื่องจัดการรูปถ่าย แต่หมายถึงการจัดการรัญญาที่กล้ามากระตุกหนวดเสือ ยังดีที่อริญชย์ยังมีคุณธรรมมากพอที่จะโทรศัพท์มาถามเขาก่อน อย่างน้อยราชันย์ก็ไม่อยากให้เรื่องราวลุกลามไปข้างนอกโดยไม่จำเป็น เขาอยากเอาตัวรัญญากลับมาจัดการเป็นการภายในมากกว่า รวมถึงคนปลิ้นปล้อนอย่างอาสามของเขาด้วย

          “มึงส่งสถานที่ที่หลิวนัดกับพีทมาให้กู เดี๋ยวกูจัดการหลิวเอง”

          “ได้ เดี๋ยวกูส่งให้ แค่นี้นะ”

          ราชันย์ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร อริญชย์ก็วางสายไปแล้วราวกับรีบร้อน พอเขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นทั้งคุณนายหลิน อารอง และอาสี่กำลังมองมาที่เขา เขาเลยอธิบายสั้นๆ

          “หลิวโทรหาคนของไอ้ใหญ่ เรียกเงินยี่สิบล้านแลกกับรูปถ่ายที่เหลือ เดี๋ยวผมจะออกไปจัดการปัญหานี้ให้มันเสร็จๆ ไป ฝากอารองกับอาสี่ช่วยจัดการอาสามให้เรียบร้อยทีนะครับ” เอ่ยจบ ราชันย์ก็เตรียมตัวเดินออกจากห้อง ก่อนจะหันมามองคุณนายหลินที่ยังนั่งอยู่ “เรื่องนัดกับทางตระกูลหวัง ฝากแม่เตือนผมอีกทีแล้วกัน เผื่อผมยุ่งๆ แล้วเดี๋ยวจะลืมเอา”

          พอเอ่ยจบคราวนี้ ราชันย์ก็เดินออกจากห้องรับแขก ทิ้งผู้เป็นแม่และญาติผู้ใหญ่อีกสองคนไว้เบื้องหลัง คุณนายหลินมองตามหลังของลูกชายโดยไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบางเบา

          ...อย่างน้อยลูกชายของเธอก็ควรรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ การพบปะกับตระกูลหวังในวันรุ่งขึ้น เธอควรจัดการทุกอย่างให้จบทีเดียว จะได้ไม่ต้องมาคอยพะวักพะวงอีก งานนี้เธอลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ได้แต่หวังว่าราชันย์จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง



.


หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 40 แบล็คเมล์ --- หน้าที่ 9 [22/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 22-11-2020 20:13:54



          อีกซีกโลกหนึ่ง ไอลดากำลังนั่งอ่านข่าวคราวต่างๆ ที่ปรากฏบนสังคมออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ประเด็นหลักๆ ช่วงนี้คือข่าวของสามีเธอกับรัญญา ริมฝีปากบางเม้มแน่นยามอ่านเนื้อความต่างๆ รวมถึงถ้อยคำแสดงความเห็นอกเห็นใจเธอ แต่กลับก่นด่าสามีเธอเสียเละเทะ

          ไอลดาถอนหายใจออกมาช้าๆ สภาพจิตใจเธอตอนนี้นับว่าดีขึ้นจากตอนแรกๆ ไม่น้อย หลังเธอลงเรียนหลักสูตรสอนทำอาหาร เธอก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับการเรียน เพิ่งมีโอกาสติดตามข่าวสารต่างๆ เมื่อไม่กี่วันนี้ ก่อนจะกลายเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเอี่ยวกับข่าวฉาวนี้ด้วย

          หลังจากนั่งไล่อ่านข่าวของพิชญ์และความคิดเห็นต่างๆ บนสื่อออนไลน์มาร่วมชั่วโมง ไอลดาก็วางโทรศัพท์มือถือลง เธอย่อมรู้ดีแก่ใจว่าพิชญ์ไม่มีทางยุ่งเกี่ยวหรือมีสัมพันธ์เกินเลยกับรัญญา รวมถึงผู้หญิงคนอื่นๆ ในเมื่อกับเธอ ซึ่งเป็นภรรยาตามกฎหมาย เขายังไม่ยอมมีความสัมพันธ์ด้วยเลยซักครั้งนับตั้งแต่แต่งงานมา พอคิดถึงภาพของพี่ชายกับสามีตัวเอง ไอลดาก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะปัดความไม่พอใจเหล่านั้นออกจากความคิด

          ความที่เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของอริญชย์ ไอลดาย่อมรู้จักคิดวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ไม่ต่างจากผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเธอก็พอมองออกว่าเรื่องนี้ดูแปลกๆ และหญิงสาวก็พุ่งเป้าไปที่รัญญา เธอเองพอรู้จักอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกัน แต่สัญชาติญาณลึกๆ มักจะบอกเธออยู่เสมอว่ารัญญาดูไม่น่าไว้วางใจ และการจะไขข้อข้องใจของตัวเองได้ ก็คงมีเพียงการกลับไป แต่...

          เธอพร้อมแล้วจริงๆ หรือที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับอริยชย์และพิชญ์

          ไอลดารู้ว่าข่าวบ้าๆ นี่ของพิชญ์จะเงียบสงบลงเพียงแค่เธอปรากฏตัวเคียงข้างพิชญ์ แต่ปัญหาคือเธอพร้อมแล้วหรือยัง พร้อมที่จะกลับไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่พี่ชายของเธอก่อขึ้น และทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจจนต้องหนีมาไกลถึงสหรัฐอเมริกา หญิงสาวตรึกตรองก่อนจะลุกไปหยิบโน้ตบุ๊กของอธิษฐ์ที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ตอนมาถึงใหม่ๆ ไอลดามีเหตุให้ต้องใช้โน้ตบุ๊กเพื่อเตรียมเอกสารสมัครเรียน คุณอำพรเลยนำโน้ตบุ๊กของอธิษฐ์มาให้เธอใช้

          ไอลดาใส่รหัสผ่านที่คุณอำพรเคยบอกกับเธอ หลังจากนั้นก็ต่ออินเทอร์เน็ต เข้าเว็บของสายการบินเพื่อค้นหาตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ก่อนจะต้องชะงักน้อยๆ เมื่อเสียงแหบๆ เอ่ยถามมาจากด้านหลัง

          “จะไปไหนน่ะ”

          ไม่ต้องหันไปมอง ไอลดาก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคืออธิษฐ์ พี่ชายต่างมารดาของเธอ ถึงแม้การอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาร่วมเดือนจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอธิษฐ์ไม่ย่ำแย่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก

          “อย่ายุ่งน่า”

          ไอลดาคิดเอาเองว่าหลังจากเธอเอ่ยปากออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายคงเลิกสนใจเหมือนที่แล้วๆ มา แต่น่าแปลก คราวนี้อธิษฐ์กลับเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังเธอ เขาเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เหมือนตัดสินใจแล้ว

          “จองตั๋วเผื่อฉันด้วย”

          คนสองคนที่ต่างมีบาดแผลในใจ แม้จะต่างที่มา ต่างเหตุผล แต่ตอนนี้ได้ตัดสินใจที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับต้นตอของบาดแผลด้วยกัน

          ไอลดาละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊กหันมาหาพี่ชายคนรอง หรี่ตาลงนิดๆ เหมือนไม่แน่ใจ หลายปีแล้วที่อธิษฐ์ย้ายมาอยู่ที่นี่ จนเธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลับไปเหยียบประเทศไทย แต่ทำไมวันนี้ถึง...

          “จะไปทำไม ว่างหรือไง” กับพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้ ไอลดายังทำใจให้พูดดีๆ ด้วยไม่ได้เสียที แต่นี่ก็ถือว่าเธอยอมอ่อนให้มากแล้วเหมือนกัน

          “ไปเป็นเพื่อนเธอ จองตั๋วให้ฉันด้วย”

          “เอ๊ะ...”

          ไอลดาเพิ่งจะขึ้นเสียง คุณอำพรก็รีบเดินเข้ามาดูเพราะกลัวว่าไอลดากับอธิษฐ์จะทะเลาะกัน พอเห็นสีหน้าเฉยชาของลูกชาย คุณอำพรก็หันไปหาไอลดาที่นั่งหน้าบึ้ง

          “เป็นอะไรคะ คุณเล็ก โมโหอะไรเจ้ากลางคะ”

          ไอลดาหันมาสบตากับคุณอำพร อดรู้สึกดีกับอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่เธอมาขออาศัยอยู่ที่นี่ คุณอำพรก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นลูกอีกคน ทั้งดูแลและคอยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเธอเป็นอย่างดี จนไอลดาถึงกับรู้สึกผิดหน่อยๆ ที่เคยอคติและตั้งแง่กับอีกฝ่าย แต่จะให้ยอมรับเรื่องที่พ่อของเธอนอกใจแม่ มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น

          “ฉันกำลังจะจองตั๋วกลับกรุงเทพฯ”

          “อ้าว แล้วคอร์สเรียนทำอาหารที่คุณเล็กลงเรียนไว้ล่ะคะ”

          “ดรอปไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาเรียนต่อ”

          คุณอำพรฟังแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ไอลดามาอยู่กับเธอก็เป็นเดือนแล้ว คงคิดถึงบ้านและลูกสาวไม่น้อย คิดได้ดังนั้นก็อดถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

          “แล้วจะกลับวันไหน ยังไงกันคะ คุณเล็กแจ้งคุณใหญ่หรือยัง”

          “กำลังจะจองตั๋วกลับ แต่เขาบอกว่าจะกลับไปด้วย” เอ่ยพลาง ไอลดาก็บุ้ยปากไปยังอธิษฐ์ที่ยืนนิ่งอยู่

          คุณอำพรหันไปมองอธิษฐ์ก่อนจะหน้าเผือดสี แล้วหันกลับมาเอ่ยกับไอลดาเสียงแปลกแปร่ง

          “คุณเล็กน่าจะฟังผิด กลางไม่กลับไปหรอกค่ะ” สิ้นคำของคุณอำพร คนที่ถูกเอ่ยถึงก็เอ่ยเสียงดังฟังชัด แม้เสียงจะติดแหบอยู่หน่อยๆ เพราะอาการแพ้อากาศของเจ้าตัว

          “ผมจะไปกรุงเทพฯด้วย”

          “แต่กลาง...”

          คุณอำพรกลั้นคำพูดที่อยากจะเอ่ยออกมาลงคอไป ถึงแม้จิตแพทย์หลายต่อหลายคนจะเห็นตรงกันว่าจิตใจของอธิษฐ์กลับมาเข้มแข็งแล้ว ด้วยการดูแลเยียวยารวมถึงความรักและเอาใจใส่จากคุณอำพร แต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อและไม่ไว้ใจ อย่างน้อยกันไว้ก็ดีกว่าแก้ เธอไม่อยากต้องมาเสียใจภายหลังอีกแล้ว

          “ผมโอเค ให้ผมไปเถอะ” อธิษฐ์สบตากับผู้เป็นแม่แน่วแน่ บอกชัดถึงเจตนารมณ์ของตัวเอง “พี่ใหญ่ไม่มีทางปล่อยให้ผมเป็นอะไรไปเด็ดขาด”

          เห็นความตั้งใจของลูกชายแล้ว คุณอำพรก็ได้แต่ยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง

          “อยากให้แม่ไปด้วยไหมกลาง”

          คำตอบของอธิษฐ์คือการส่ายหน้า เขาแค่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับราชันย์ กลับไปปรับความเข้าใจ และบอกราชันย์ว่าเขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ราชันย์ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดเพราะเขาอีกต่อไป เขาเองก็ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตต่อไปให้ดีเหมือนกัน

          ไอลดามองสลับไปมาระหว่างคุณอำพรกับอธิษฐ์ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาตรงๆ

          “สรุปคือนายจะไปกับฉันด้วยจริงๆ ใช่ไหม”

          “ใช่สิ ฉันเป็นพี่ชายเธอนี่ เมื่อไหร่จะยอมเรียกฉันว่าพี่เสียที”

          ไอลดาเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบคำ ก่อนจะหันหลังกลับไปจองตั๋วเครื่องบิน อธิษฐ์หันไปบีบมือคุณอำพรที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจแม่และให้กำลังใจตัวเอง

          “มีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนะกลาง กลางยังมีแม่อยู่รู้ไหม”

          “ครับแม่”

          เขาในตอนนี้ อยู่ในวัยยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ไม่มีความยั้งคิด ขาดความระมัดระวังคนนั้นอีกต่อไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ในอดีตได้สร้างรอยแผลไว้ในใจของเขา แต่ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ มีความรักเต็มเปี่ยมจากแม่ที่มอบให้ เขายังคงต้องเดินต่อไปข้างหน้า

          ในชีวิตหนึ่งที่เกิดมา...คนเราจะวิ่งหนีปัญหากันได้ซักกี่ครั้งกัน

          ที่ผ่านมา เขาเพียงแค่หลบมาฟื้นฟูหัวใจตัวเอง รอคอยวันที่มันจะกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม และในวันนี้...เขาคิดว่าหัวใจของเขากลับมาเข้มแข็งแล้ว แม้ว่าอาจจะยังไม่เหมือนเดิมก็ตามที

          และที่สำคัญ...เขาเองก็อยากเห็นหลานสาวตัวน้อยที่เคยได้ยินอริญชย์พูดถึงด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะดื้อและหัวแข็งเหมือนแม่หรือเปล่า อธิษฐ์คิดพลางปรายตามองน้องสาวที่กำลังนั่งจองตั๋วเครื่องบินอยู่ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ จนแทบมองไม่เห็น

          ทำไมเขาจะไม่รู้...ว่าไอลดาในวันนี้ไม่ได้ต่อต้านเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพียงแต่จะให้ยอมรับได้คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ เขาเองก็อยากจะใช้ชีวิตที่มีทั้งพี่ชายและน้องสาวมานานแล้ว



TO BE CONTINUE





มาต่อแล้วค่ะ หายไปนานเลย ^^
กว่าคุณกลางจะมีบท เกือบจะท้ายๆ เรื่องเลย
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 40 แบล็คเมล์ --- หน้าที่ 9 [22/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 22-11-2020 21:36:17
โอย ลุ้น รอตอนหน้าอย่างจดจ่อ สงสารคุณใหญ่หวานได้หน่อยนึง ต้องลุยอีกแล้วววว ชอบเรื่องนี้มากจ้า รอติดตามนะ :)
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 40 แบล็คเมล์ --- หน้าที่ 9 [22/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 23-11-2020 18:39:08
เรื่องราว เริ่มพัวพันอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 40 แบล็คเมล์ --- หน้าที่ 9 [22/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 24-11-2020 01:03:14
เออเฮ้ย! กลาง คิดดีอ่ะ กลับไปเผชิญปัญหาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ไปจบความรู้สึกต่อกันเหลือเพียงความสัมพันธ์คนรู้จักหรือเพื่อนของพี่ชายเท่านั้น แล้วใช้ชีวิตต่อไป ดูโตเป็นผู้ใหญ่ดี นิ่ง สุขุมขึ้น ก็นะ 27แล้ว 555 ถึงไทยเมื่อไหร่มันคือวันรวมตัวรวมเรื่องทุกปัญหาออกหน้ามาเคลียร์กันสินะ 55555 แล้วคนอย่างอริญช์เนี้ยนะจะยอมเสีย20ล้าน ให้รูปหลุดออกมาแล้วเอาเงินปิดปากสื่อยังเหลือเงินอีกตั้งเยอะ แถมยังแม่พีทจะเชื่อเรื่องโง่ๆพรรค์นี้หรอ ถถถถถ รัญญาเธอจะได้แบงค์กาโม่สอดไส้ไปสิไม่ว่า 55555  //เอาแล้ววววววราชันย์ต้องไปแต่งงานกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ดินหนีไปจากไปไม่ต้องมาให้เฮียเห็นหน้าเลยนะ ชอกช้ำใจเปล่าๆ หึหึ จะเป็นยังไงละเนี้ย เดาไม่ถูกเลยคู่นี้ แต่ชอบ 55555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ สนุกกกกกกกก รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 40 แบล็คเมล์ --- หน้าที่ 9 [22/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-11-2020 02:01:25
 :katai1:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 40 แบล็คเมล์ --- หน้าที่ 9 [22/11/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-12-2020 22:38:03
คิดถึงเฮียใหญ่ กลับมาอ่านอีกรอบ รออยู่นะคะ  :call: :call: 5555
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 28-12-2020 19:44:03



สี่สิบเอ็ด
บาดเจ็บ





          พิชญ์นั่งเบียดกับอริญชย์อยู่บนโซฟาตัวยาว เขาก้มลงมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นพักๆ เพราะกลัวจะพลาดการติดต่อจากรัญญา อริญชย์เห็นท่าทางกระวนกระวายของพิชญ์ก็โอบกระชับบ่าอีกฝ่ายเข้ามาพิงกับตัว ขณะที่เขานั่งดูโทรทัศน์ท่าทางสบายๆ เป็นพิชญ์เสียเองที่เอาแต่กังวล จนอริญชย์ต้องเอ่ยปลอบคนข้างกาย

           “อย่ากังวลเลยน่า...”

           “ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีใช่ไหม คุณใหญ่”

           “เชื่อฉัน” นอกจากคำยืนยันจากปากแล้ว อริญชย์ยังบีบกระชับบ่าพิชญ์เบาๆ

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ บีบมือสองข้างเข้าหากันก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ พิชญ์เอี้ยวตัวมองตามเสียง แล้วก็เห็นอริญชย์ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะกดรับสาย

           “ว่าไง”

           “กูจัดการกับอาสามเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังถูกคุมตัวอยู่ที่ตระกูล หลิวติดต่อมาหรือยัง นี่เพิ่งเค้นคออาสามจนรู้ว่ายัยนั่นวางแผนให้อาสามช่วยพาหนีออกนอกประเทศชั่วคราว”

          พอได้ยินว่าเป็นราชันย์ที่โทรศัพท์มา พิชญ์ก็เบียดตัวเข้าหาอริญชย์เพื่อฟังด้วย อริญชย์ยิ้มด้วยความอ่อนใจก่อนจะกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้พิชญ์ฟังไปพร้อมๆ กัน

           “ยังเลย กูกำลังนั่งรอกับพีทอยู่”

           “ได้ ถ้าติดต่อมาแล้วรีบโทรศัพท์หากู ทางกูสแตนด์บายรออยู่แล้ว”

           “โอเค ถ้ามีความคืบหน้าเดี๋ยวกูรีบโทรหา”

          พออริญชย์วางสายจากราชันย์แล้ว เขาก็หันกลับมาหาพิชญ์ที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ

           “ที่เสี่ยเล้งพูดมาเมื่อกี้ แปลว่าคุณหลิวตั้งใจจะหนีออกนอกประเทศหรือครับ”

           “คงใช่ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมหลิวถึงเรียกเงินยี่สิบล้านจากพีทของฉัน เพื่อจะได้เตรียมตัวหนีออกนอกประเทศยังไงล่ะ”

           “แล้วเสี่ยเล้งตั้งใจจะทำยังไงต่อครับ”

           “ตามกฎของตระกูลหมอนั่นก็คือต้องจับตัวกลับไปตัดสินโทษกันอีกที ไม่ต้องกังวลหรอก แค่รอหลิวโทรศัพท์มาก็พอ”

          ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อริญชย์ก็ตั้งใจจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยภายในวันนี้ เขากับราชันย์ตกลงกันดิบดีแล้ว เขาจะยอมถอยออกมา ไม่ก้าวก่าย ให้ราชันย์เป็นคนจัดการรัญญาเอง ความรับผิดชอบของเขามีแค่การดูแลพิชญ์ให้ปลอดภัย

          หลังจากนั่งเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง โทรศัพท์ของอริญชย์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ของพิชญ์ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว คราวนี้ไม่ใช่ราชันย์ แต่เป็นตุลย์ที่โทรศัพท์มารายงานเรื่องของไอลดากับอธิษฐ์สั้นๆ

           “คุณเล็กกับคุณกลางจองตั๋วเครื่องบินกลับมาไทยแล้วนะครับ คิดว่าน่าจะเพราะข่าวคุณพีท”

          หลังวางสายจากตุลย์แล้ว อริญชย์ก็หันกลับมาหาพิชญ์ ท่าทางของพิชญ์ปกปิดความไม่สบายใจเอาไว้แทบไม่มิด พิชญ์ช้อนตามองอริญชย์ก่อนจะเรียกชื่อ

           “คุณใหญ่...”

           “ฉันอยู่ตรงนี้”

          เรียกชื่ออริญชย์แล้วพิชญ์ก็เงียบไป เขาไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน พอยอมรับความรู้สึกของตัวเองว่าเขาเองก็รู้สึกกับอริญชย์ไม่ต่างกัน พิชญ์ก็แสร้งลืมว่าตัวเองเป็นคนที่มีพันธะ และตอนนี้ความจริงก็กำลังตีเข้ากลางแสกหน้าพิชญ์ เมื่อรู้ว่าไอลดากำลังจะกลับมา

           “ผมควรทำยังไงดี”

           “เชื่อใจฉันไหม”

          พิชญ์ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่พยักหน้าให้อริญชย์แทนคำตอบ อริญชย์ดึงพิชญ์เข้ามาในอ้อมกอด เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะคุยกับไอลดาเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที ตอนแรกก็คิดว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย เขาจะพาไอลดากลับมาบ้านด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อน้องสาวตัวดีกลับมาเองแบบนี้ เรื่องทุกอย่างก็คงง่ายขึ้น

           “ไม่ต้องห่วง ฉันจะคุยกับยัยเล็กเรื่องของเราเอง”

          ปัญหาที่เขาเป็นคนก่อขึ้น เขาต้องเป็นคนแก้ไขด้วยตัวเอง อริญชย์เข้าใจความจริงข้อนี้ดี

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยตอบอริญชย์ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้เป็นโทรศัพท์ของพิชญ์เองที่ดัง พิชญ์รีบดันตัวออกจากอ้อมกอดของอริญชย์แล้วก้มดูโทรศัพท์มือถือของตัวเอง มีข้อความส่งเข้ามาจากหมายเลขแปลกๆ แต่พิชญ์มั่นใจว่าเป็นข้อความจากรัญญาไม่ผิดแน่ ข้อความที่ส่งมามีแค่เวลาและที่อยู่ ไม่มีข้อความอื่นๆ อีก พิชญ์ส่งโทรศัพท์ในมือให้อริญชย์ดู

           “เดี๋ยวฉันออกไปหาไอ้เล้งก่อน พอใกล้ถึงเวลานัด นายก็ออกจากบ้านไปเจอหลิวได้เลย ส่วนเงินยี่สิบล้าน ฉันจะให้ตุลย์ช่วยเตรียมเอาไว้ให้”

          พิชญ์มองอริญชย์ที่ยังคงมีท่าทางเหมือนปกติ ก่อนจะจับแขนเสื้ออริญชย์เอาไว้แล้วเอ่ยถามเสียงเบา

           “คุณใหญ่จะปกป้องผมใช่ไหม”

           “ฉันเคยไม่ทำอย่างนั้นด้วยหรือไง”

          สัมผัสอุ่นวาบแตะลงบนหน้าผากพิชญ์เบาๆ ก่อนจะผละออก อย่างน้อยก็ช่วยปัดเป่าความกังวลของพิชญ์ได้ เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนละครแบบนี้ แต่เมื่อเลือกวางหัวใจไว้ในมือของอริญชย์แล้ว เขาก็ต้องเชื่อมั่นในตัวอริญชย์และตัวเขาเอง พิชญ์ส่งยิ้มให้อริญชย์ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัว



.



          พิชญ์พยายามทำตัวให้เหมือนปกติ แม้เขาจะรู้สึกเกร็งอยู่หน่อยๆ หลังจากฝากนวลให้ช่วยดูแลน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว เขาเลือกเสื้อผ้าที่สีไม่สะดุดตามากนัก ตามที่อริญชย์กำชับว่าให้ทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ อย่าให้รัญญารู้สึกผิดสังเกต แต่การบอกให้เขาทำตัวให้เป็นปกติ ทั้งที่สถานการณ์มันไม่ปกติ มันก็ช่างยากเหลือเกิน

          พอเดินลงมาถึงข้างล่าง พิชญ์ก็เห็นตุลย์ยืนรออยู่พร้อมกับกระเป๋าหนังแบบที่พิชญ์มักจะเห็นในละครอยู่บ่อยๆ ใครจะไปรู้กันว่าวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้ถือ พิชญ์นึกสงสัยว่าทำไมรัญญาถึงต้องอยากได้เป็นเงินสดด้วย ในเมื่อสมัยนี้ คนเราสามารถโอนเงินหากันง่ายยิ่งกว่ากระพริบตา อริญชย์เลยช่วยไขข้อข้องใจให้เขาว่า

           ‘เพราะหลิวโดนอายัดบัญชีหมดแล้วไง อย่างน้อยเงินสดนี่ก็ใช้ได้ทันท่วงที เผลอๆ อาจจะหนีออกนอกประเทศตั้งแต่คืนนี้เลยก็เป็นได้’

          พิชญ์เลยเข้าใจ และเพราะเหตุนี้เอง เขาเลยต้องถือกระเป๋าหนังไปเจอรัญญาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากรับกระเป๋ามาจากตุลย์แล้ว พิชญ์ก็ไม่ได้ตรวจเช็ก เขาเชื่อใจอริญชย์มากพอที่จะไม่สงสัยอะไรใดๆ คิดเสียว่าเขามีหน้าที่เป็นแค่คนส่งของเท่านั้น

          หลังจากตระเตรียมทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็ออกจากบ้าน เขาเลือกรถคันที่ตัวเองขับเป็นประจำ แล้วขับไปยังสถานที่ที่รัญญาส่งข้อความมาหาเขา ประสาทของพิชญ์ขมวดเกร็งตลอดทาง จนได้แต่หวังว่า หลังจากนี้เขาคงไม่ต้องมาร่วมแสดงในบทบาทอย่างนี้อีกแล้ว

          พอถึงที่หมาย พิชญ์ก็จอดรถแอบอยู่ด้านหนึ่ง ถนนเล็กๆ ในซอยที่พิชญ์ขับเข้ามาเงียบสงัด แทบไม่มีชุมชนหรือบ้านคนให้เห็น แม้จะนึกเกร็งๆ อยู่บ้าง แต่พิชญ์ก็เผลอชมความรอบคอบของรัญญาในใจ หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้วพิชญ์ก็ยังไม่ลงมาจากรถ เขามองออกไปนอกรถ แต่กลับไม่เจอใครทั้งนั้น ทั้งที่ล่วงเลยเวลานัดมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ขณะที่พิชญ์เกือบจะถอดใจว่าตัวเองคงโดนรัญญาต้มเข้าให้ ก็มีเงาตะคุ่มๆ มาเคาะหน้าต่างรถเขา

          พิชญ์เกือบจะอุทานออกมาด้วยความตกใจยามเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ พอมองดีๆ แล้วถึงค่อยเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนเลย นอกเสียจากนที คนสนิทของรัญญา พิชญ์ลดหน้าต่างลงเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

           “ไม่คิดจะลงจากรถหรือไง” อีกฝ่ายถามเสียงห้วน ไม่ได้คิดจะพูดจาสนทนากันดีๆ เท่าไหร่นัก

           “คุณหลิวอยู่ไหน”

           “ลงมาจากรถสิ จะได้พาไปหา เอาเงินมาด้วยใช่ไหม”

           “เอามาด้วย แต่ผมจะไว้ใจคุณได้ยังไง”

           “ถ้าไม่ลงมาก็กลับไปซะ”

          ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้ทางเลือกหรืออำนาจในการต่อรองแก่พิชญ์เลยแม้แต่น้อย พิชญ์ครุ่นคิดพลางดับเครื่องยนต์รถก่อนจะถือกระเป๋าหนังลงมา นทีเดินนำพิชญ์ไปยังรถที่จอดแอบอยู่มุมหนึ่ง ซึ่งสาบานเลยว่าตอนเข้ามา เขาไม่ทันได้สังเกตเห็น อีกฝ่ายพยักเพยิดเป็นเชิงให้พิชญ์ขึ้นรถไป เขาเลยรีบประท้วง

           “ผมนัดกับคุณหลิวที่นี่นะ”

           “คุณหลิวไม่ได้อยู่ที่นี่ จะตามมาหรือไม่ตามมาก็แล้วแต่”

          พิชญ์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เขาเลยต้องยอมขึ้นรถไปกับนที ระหว่างทางก็อดกังวลไม่ได้ว่าอริญชย์กับราชันย์จะหาเขาเจอไหม ในเมื่อสถานที่ที่บอกอริญชย์ตอนแรกกับที่ที่ทีกำลังจะพาเขาไปมันคนละที่กัน รัญญารอบคอบไม่น้อยเลย ระหว่างที่กำลังกังวลอยู่นั้น พิชญ์ก็พลันนึกถึงตอนที่น้องหนูถูกลักพาตัวได้ เขาแอบหวังได้ไหม ว่าอริญชย์เองก็น่าจะติดเครื่องติดตามตัวไว้ที่ตัวเขาเหมือนกัน

          นทีไม่ได้ขับรถออกมาจากซอยที่ตอนแรกพิชญ์ขับเข้ามา แต่ขับลึกเข้าไปข้างในอีกราวๆ สี่ถึงห้ากิโลเมตร ยิ่งเข้ามาลึก ถนนก็ยิ่งไม่ค่อยดี ทำให้ทำความเร็วได้ไม่มากนัก ในที่สุดนทีก็จอดรถลงหน้าโกดังที่อยู่สุดซอย อีกฝ่ายบุ้ยปากเข้าไปในโกดังก่อนจะไล่พิชญ์ลงจากรถ

           “คุณหลิวอยู่ข้างใน ลงไปสิ”

          ตอนนี้พิชญ์อยู่ลำพัง เขาคงไม่สามารถอิดออดหรือต่อรองอะไรได้ พิชญ์เดินลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าหนัง บรรยากาศข้างนอกทั้งมืดและเงียบ มีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟดวงเล็กที่ลอดออกมาจากโกดัง พิชญ์เดินตรงเข้าไปข้างใน ทุกย่างก้าวของเขาดูหนักอึ้ง เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างในโกดัง แต่จะให้หันหลังกลับตอนนี้ก็คงไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้มีแค่ตัวเขาและกระเป๋าหนังหนึ่งใบ

          พิชญ์บอกตัวเองให้เชื่อใจอริญชย์ อริญชย์ให้สัญญากับเขาแล้ว อริญชย์ไม่มีทางปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด พิชญ์ย้ำตัวเองทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไป

          อย่างน้อยเมื่อเดินเข้ามาถึงข้างในโกดัง สถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พิชญ์นึกกลัว สิ่งที่รอเขาอยู่ข้างในมีเพียงรัญญาที่นั่งอยู่และข้างหลังเธอคือคนติดตามอีกสองคน แสงจากหลอดไฟที่สะท้อนเข้าตาทำให้พิชญ์มองสีหน้าของรัญญาได้ไม่ชัดนัก พิชญ์เลือกที่จะหยุดฝีเท้าและรักษาระยะห่างจากรัญญา ขณะที่ยืนนิ่งๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไร รอให้อีกฝ่ายเริ่มต้นเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

           “นึกว่าคุณพีทจะปล่อยให้หลิวรอเก้อเสียแล้ว” แม้ถ้อยคำของรัญญาจะดูกึ่งเย้า แต่ท่าทางของหญิงสาวกลับดูเครียดเกร็ง

          รัญญานึกกังวลไปต่างๆ นานาว่าพิชญ์จะไม่ตกลงรับข้อเสนอเธอ หรืออีกฝ่ายอาจจะพาใครมาด้วย วินาทีที่เห็นพิชญ์เดินเข้ามาเพียงลำพัง เธอก็แทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สายตาเธอจับจ้องที่กระเป๋าหนังในมือพิชญ์ คิดไม่ถึงว่าจากชีวิตที่น่าอิจฉาของเธอจะต้องมาตกอับถึงเพียงนี้ เธอเองก็ไม่ได้อยากจะใช้ลูกไม้งี่เง่าแบบนี้ให้เสียศักดิ์ศรี แต่เธอไม่มีทางเลือก และนทีก็เป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้นมา

          ก่อนหน้านี้หากรัญญาอยากได้อะไร น้อยครั้งนักที่เธอจะไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะต้องรีดไถพิชญ์เพื่อเอาเงินอย่างน่าสมเพชขนาดนี้ แต่อย่างน้อย เงินยี่สิบล้านจากพิชญ์ก็เพียงพอให้เธอหลบหนีไปตั้งหลักที่ต่างประเทศได้พักใหญ่ๆ แล้วค่อยคิดหาหนทางว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อ

           “ไหนมือถือล่ะครับ คุณหลิว”

           “ยื่นหมูยื่นแมวกันก่อนสิคะ คุณพีท ถ้าเงินยังไม่มา ของจะไปได้ยังไง”

          บรรยากาศภายในโกดังเต็มไปด้วยความกดดัน พิชญ์มองรัญญาและคนติตตามสองคนที่อยู่ข้างหลังเธอ หลังแยกจากนทีตอนลงจากรถ เขายังไม่เห็นอีกฝ่ายตั้งแต่เข้ามา พิชญ์อาจจะประมาทรัญญาได้ แต่เขาไม่ควรประมาทนที

           “จะไม่ยุดิธรรมไปหน่อยหรือเปล่าครับ ผมตัวคนเดียว แต่คุณหลิวมีคนติดตามอีกสองคน คงไม่ต้องให้บอกนะครับ ว่าผมไม่ไว้ใจคุณหลิวอีกแล้ว”

           “แล้วคุณพีทจะเอายังไง”

           “ส่งโทรศัพท์มาให้ผมตรวจเช็กก่อน แล้วผมถึงส่งกระเป๋าให้”

          รัญญาขมวดคิ้วอย่างไม่ยินยอมนัก แต่เมื่อคิดถึงความจริงว่าพิชญ์มาหาเธอเพียงลำพัง อีกฝ่ายคงไม่ตุกติกอะไร เธอก็หยิบโทรศัพท์ยื่นให้คนข้างตัวนำไปส่งให้พิชญ์

          พอได้รับโทรศัพท์จากมือคนสนิทของรัญญาแล้ว พิชญ์ก็เปิดเช็กข้อมูลข้างใน พอเห็นภาพที่อีกฝ่ายถ่ายเก็บไว้ ความโกรธก็เกือบจะปะทุขึ้นมาอีกรอบ พิชญ์พยายามควบคุมอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตารัญญา

           “ถ้าดูจนพอใจแล้วก็ส่งกระเป๋ามาด้วยค่ะ”

          พิชญ์ยื่นกระเป๋าให้คนของรัญญาอย่างไม่เต็มใจนัก แค่คิดว่าต้องมาเสียเงินยี่สิบล้านเพื่อแลกกับรูปไร้สาระพวกนี้ของรัญญา พิชญ์ก็รู้สึกไม่ยินยอม แต่เขาไม่มีทางเลือก

          รัญญายื่นมือไปรับกระเป๋าหนังจากคนติดตามที่เดินถือกลับมาให้ หญิงสาวเปิดกระเป๋าขึ้นมาเช็กด้วยความรอบคอบ เมื่อเห็นมัดธนบัตรสีเทาวางเรียงรายเต็มกระเป๋าก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเลือกหยิบมัดหนึ่งขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันจางหาย รัญญาดึงธนบัตรสีเทาที่อยู่บนๆ ออกมา ก่อนจะเขวี้ยงที่เหลือทั้งปึกไปทางที่พิชญ์ยืนอยู่

           “นี่มันหมายความว่ายังไงกัน คุณพีท คิดจะเล่นตุกติกกันหรือไง”

          พิชญ์มองกระดาษสีขาวที่มีขนาดเท่าธนบัตรมูลค่าหนึ่งพันบาท ซึ่งตอนนี้กำลังกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น หลังจากใช้เวลาคิดไม่ถึงนาที พิชญ์ก็เดาออกทันทีว่านี่คือเล่ห์กลของอริญชย์

          ขณะที่พิชญ์กำลังคิดว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้านี้อย่างไร ประตูโกดังข้างหลังรัญญาที่เดิมที่ถูกลงกลอนล็อกเอาไว้ก็ถูกสะเดาะออกอย่างง่ายดาย ก่อนจะถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงเยียบเย็นของราชันย์ที่ดังมาก่อนตัว

           “ตระกูลเราสิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดที่เธอต้องมารีดไถเงินคนอื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันฮึ”

          รัญญาถึงกับชะงักก่อนจะหันขวับไปทางต้นเสียง ใบหน้าของหญิงสาวเผือดสีก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด

           “นี่วางแผนกันเอาไว้ทั้งหมดแล้วใช่ไหม”

          ราชันย์เดินเข้ามาพร้อมกับคนติดตามหกคน ใบหน้าเย็นชาดูดุดันกว่าทุกครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ รัศมีความมีอำนาจของราชันย์แผ่ออกมากดดันจนรัญญาอดนึกเกรงไม่ได้ แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ยินยอม คนของรัญญาสองคนรีบรุดมาขวางหน้าผู้เป็นนายเอาไว้

           “ตลบหลังกันแบบนี้ คิดว่าฉันจะยอมเฮียง่ายๆ หรือไง” รัญญาเอ่ยเสียงแข็ง พลางล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก

          ราชันย์มองการกระทำของน้องสาวต่างมารดาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยดับความหวังของเธอ

           “คิดจะโทรหาอาสามหรือไง เปล่าประโยชน์น่า ไม่สู้ตามฉันกลับไปเจออาสามที่บ้านดีกว่า”

           “เฮียหมายความว่าไง”

           “หมายความว่าอาสามไม่ได้อยู่คอยช่วยเธอแล้วไง” เอ่ยจบ ราชันย์ก็ออกคำสั่งกับลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกายเสียงเหี้ยมเกรียม “พาตัวยัยหลิวกลับบ้าน แล้วก็จัดการให้บทเรียนกับพวกที่เลี้ยงไม่เชื่องซะ”

          พิชญ์มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาจากเบื้องหลังราชันย์ พอเห็นอริญชย์ยืนอยู่ข้างหลังราชันย์ พิชญ์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความหนักอึ้งที่กดทับอยู่ในใจดูเหมือนจะเบาบางลงอย่างไม่น่าเชื่อ พิชญ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาอริญชย์ ก่อนจะรู้สึกเย็นวาบที่ข้างหลัง

          พอมาถึงแล้วเห็นว่าพิชญ์ยังปลอดภัยดี ไม่ได้บุบสลายอย่างที่นึกกลัว อริญชย์เองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาปล่อยให้ปัญหาภายในตระกูลกมลวิลาศน์เป็นหน้าที่ของราชันย์ ที่เขาต้องการมีแค่พาพิชญ์กลับบ้านอย่างปลอดภัย

          พอเห็นพิชญ์กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเขา อริญชย์ก็สาวเท้าเดินไปหาเจ้าตัว แม้จะรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าเหมือนเขากับราชันย์น่าจะลืมอะไรบางอย่างไป

          อารามที่เห็นว่าพิชญ์ปลอดภัยดี รวมทั้งเห็นว่ามีคนของราชันย์อยู่รอบๆ ด้วย ทำให้อริญชย์เองลืมระวังตัว ก่อนเขาจะฉุกคิดขึ้นได้ว่าเขายังไม่เห็นนทีเลย แล้วคำตอบก็ปรากฏแก่สายตา เมื่ออริญชย์เห็นเงาตะคุ่มของนทีปรากฏตัวขึ้นข้างหลังพิชญ์ พร้อมกับประกายไฟสว่างวาบที่ปลายกระบอกมัจจุราชสีดำ

           “พีท!” อริญชย์ตะโกนเสียงดังพร้อมกับพุ่งตัวออกไป จังหวะเดียวกับที่เสียงเหนี่ยวไกดังขึ้น

          พิชญ์ที่ยังยืนงงอยู่ถูกอริญชย์พุ่งเข้ามารวบตัวไว้จนล้มกลิ้งไปด้วยกัน เสียงปืนดังขึ้นซ้ำอีกสองครั้งติดๆ กันจากนทีที่กำลังบ้าคลั่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงคำรามของราชันย์ที่ตะโกนสั่งการลูกน้องตัวเองเสียงดังลั่น

           “ยังไมรีบเข้าไปจัดการนทีอีก”

          ลูกน้องของราชันย์รีบแบ่งคนที่กำลังควบคุมตัวรัญญาอยู่เข้ามาจัดการนที พิชญ์ที่เพิ่งได้สตินอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของอริญชย์ ก่อนที่เสียงแหบพร่าของอริญชย์จะเอ่ยถามพิชญ์

           “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม พีท”

          พิชญ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาเห็นรอยยิ้มปรากฏบางๆ ที่มุมปากอริญชย์ก่อนที่เจ้าตัวจะพึมพำเสียงเบา แล้วหลับตาลงช้าๆ

           “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...”

          พิชญ์รู้สึกตงิดๆ เขายกมือข้างขวาที่กอดอริญชย์ไว้ขึ้นมาดู พอเห็นเลือดแดงฉานเต็มฝ่ามือตัวเอง พิชญ์ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก มือไม้พลันสั่นระริก เพิ่งจะได้สติว่าเมื่อสักครู่ที่อริญชย์พุ่งเข้ามารวบตัวเขาไว้ก่อนจะล้มกลิ้งไปด้วยกันนั้น เพราะอีกฝ่ายต้องการปกป้องเขาจากลูกกระสุนของนที

          เลือดสดๆ ที่ปรากฏเต็มฝ่ามือทำเอาหัวสมองพิชญ์ถึงกับขาวโพลน ความคิดที่ว่าอาจจะเสียอริญชย์ไป ทำให้พิชญ์ตะโกนเรียกราชันย์ออกมาสุดเสียง

           “เสี่ยเล้ง! ช่วยด้วย คุณใหญ่ถูกยิง”

          ราชันย์ที่กำลังคุมลูกน้องให้จัดการกับนทีอยู่ถึงกับชะงักไป รีบทิ้งทางนั้นแล้วก้าวยาวๆ มาถึงตัวพิชญ์กับอริญชย์ เขาคุกเข่าลงดูอาการเพื่อนรักที่อยู่ในอ้อมกอดพิชญ์ ก่อนจะส่ายหน้าด้วยความสมเพช

           “โง่จริงๆ ปกป้องคนอื่นจนตัวเองถูกยิง”

          นาทีนี้พิชญ์ไม่มีเวลามาสนใจคำกระแหนะกระแหนของราชันย์ เขาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้พลางเขย่าเหมือนเด็กๆ

           “เสี่ยเล้ง ช่วยคุณใหญ่ด้วยนะ ผมขอร้องล่ะ”

           “รู้แล้วๆ เดี๋ยวฉันให้คนส่งมันไปโรงพยาบาล หมอนี่ไม่ตายง่ายๆ หรอก น่าซาบซึ้งใจแทนมันชะมัด” เอ่ยจบ ราชันย์ก็ตะโกนเรียกลูกน้องตัวเองให้เข้ามาแบกอริญชย์

          พิชญ์รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามออกไป ทั้งๆ ที่ฝีเท้าของเขาหนักอึ้ง แต่จิตใจของพิชญ์กับร้อนรน ที่อริญชย์บอกให้เขาเชื่อใจอีกฝ่าย แท้จริงแล้วมันหมายความอย่างนี้หรือเปล่า พิชญ์เชื่อว่าอริญชย์จะปกป้องเขาได้ แต่เขาไม่เคยอยากให้อริญชย์ปกป้องเขาด้วยชีวิต จนต้องกลายเป็นแบบนี้

          หนี้ชีวิตนี้...เขาชดใช้เท่าไหร่ก็คงไม่พอ

          ทั้งที่ราชันย์บอกว่าอริญชย์ไม่ตายง่ายๆ แต่พิชญ์ก็ยังไม่เชื่อ จนกว่าจะเห็นอริญชย์ลืมตาขึ้นมามองเขาอีกครั้ง จะดุ จะด่า จะต่อว่าต่อขานเขายังไงก็ได้

          ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยโกรธ เกลียดอริญชย์ด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ตอนนี้พิชญ์สาบานเลยว่า เขาให้อภัยอริญชย์ทุกอย่าง ขอเพียงอริญชย์ปลอดภัย พิชญ์ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้เลย ความรู้สึกที่เพิ่งยอมรับกับตัวเอง นาทีนี้มันชัดเจนเสียจนพิชญ์ไม่อาจปฏิเสธได้

          เขารักอริญชย์...รักมากเหลือเกิน รักจนไม่ยินยอมที่จะสูญเสียอริญชย์ไป



.
หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Renze ที่ 28-12-2020 19:46:07

          หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างที่โกดังจนเรียบร้อยแล้ว ราชันย์ก็สั่งให้คนคุมตัวรัญญากับนทีกลับบ้าน ส่วนเขาตรงมาโรงพยาบาลพร้อมอริญชย์กับพิชญ์ เห็นท่าทางของพิชญ์ที่นั่งกุมมืออริญชย์มาตลอดทางแล้ว ราชันย์ก็นึกอยากถ่ายรูปให้เพื่อนตัวเองดูตอนฟื้นขึ้นมา แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลา

          พอมาถึงโรงพยาบาล อริญชย์ก็ถูกส่งตัวให้อยู่ในความดูแลของหมอ พิชญ์นั่งนิ่งไม่ไหวติง เห็นแล้วราชันย์ก็ทนไม่ได้ คิดว่าถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป กว่าอริญชย์จะฟื้นขึ้นมา พิชญ์คงได้ล้มพับไปก่อน เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมากดโทรหาตุลย์ เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ก่อนจะกำชับให้ฝ่ายนั้นรีบมาโรงพยาบาล

          หลังวางสายไม่ถึงสิบห้านาที ตุลย์ก็มาถึงโรงพยาบาล ราชันย์เองก็อยากจะอยู่ดูอาการอริญชย์อีกหน่อย แต่เขายังต้องกลับไปสะสางเรื่องของรัญญา เลยฝากฝังทั้งอริญชย์และพิชญ์ไว้กับตุลย์ ก่อนจะกลับยังกำชับตุลย์อีกสองรอบเพื่อความมั่นใจ

           “ถ้าไอ้ใหญ่ฟื้นขึ้นมาแล้ว โทรบอกฉันที”

          พอราชันย์กลับไปแล้ว ตุลย์ก็เดินไปนั่งข้างพิชญ์ พิชญ์ยังคงนั่งนิ่ง จนตุลย์ต้องเรียกชื่อเจ้าตัวเบาๆ

           “คุณพีท...”

          ตุลย์เรียกอยู่สองสามครั้งกว่าพิชญ์จะยอมหันกลับมาหาเขา พอเห็นหน้าตุลย์ พิชญ์ก็เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด

           “คุณใหญ่บาดเจ็บเพราะปกป้องผม”

           “คุณใหญ่คงยอมให้ตัวเองเจ็บดีกว่าให้คุณพีทเจ็บ คุณพีทไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”

          พิชญ์ก็อยากจะทำอย่างที่ตุลย์พูด แต่เขาก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี พิชญ์นั่งนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตุลย์ เขาคิดว่าอริญชย์ไม่น่าจะออกจากห้องผ่าตัดง่ายๆ แล้วถ้าอริญชย์ออกมาแล้วพิชญ์ล้มพับไปอีกคน มีหวังอริญชย์ได้เล่นงานเขาแน่ๆ คิดได้อย่างนี้ ตุลย์เลยหันมาตะล่อมคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

           “กว่าคุณใหญ่จะออกมาคงอีกนาน คุณพีทกลับไปรอที่บ้านดีไหม ถ้าคุณใหญ่ออกมาแล้วเดี๋ยวผมโทรบอก” ตุลย์พยายามหว่านล้อมคนที่นั่งนิ่ง

           “ไม่ครับ ผมจะรออยู่ที่นี่” พิชญ์ยืนกรานเสียงแข็ง

          หลังจากกล่อมพิชญ์อยู่สามสี่รอบแล้วไม่สำเร็จ สุดท้ายตุลย์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เขาเดินไปกดน้ำกระป๋องมาให้พิชญ์กับตัวเองคนละกระป๋อง ก่อนจะกลับมานั่งเป็นเพื่อนพิชญ์

          แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อริญชย์ถูกยิง อีกทั้งพิชญ์เองก็เห็นอริญชย์ถูกยิงมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ความรู้สึกวันนั้นกับวันนี้มันต่างกัน เพราะครั้งนี้อริญชย์ถูกยิงเพราะช่วยเขาเอาไว้ และที่สำคัญ เพิ่งมีครั้งนี้ที่อริญชย์เสียเลือดจนหมดสติ กว่าจะออกจากโกดังมาถึงโรงพยาบาลได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ไม่รู้กระทบกระเทือนบาดแผลของอริญชย์ไปมากเท่าไหร่

          ทั้งที่บอกตัวเองว่าอริญชย์ถึงมือหมอแล้ว แต่พิชญ์ก็ยังกลัว ตราบใดที่การผ่าตัดยังไม่สำเร็จเขาก็ยังกลัว ทุกการผ่าตัดมีความเสี่ยงเสมอ ไม่มีใครรับประกันอะไรให้เขาได้ พิชญ์ได้แต่คิดฟุ้งซ่านไปมาด้วยความกังวล ตอนนี้ขอเพียงให้อริญชย์ปลอดภัย จะให้พิชญ์ทำยังไงก็ยอมทั้งนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรับฟังคำขอของเขาไหม

          พิชญ์นั่งรอด้วยความอดทนติดกันหลายชั่วโมง โดยไม่ยอมไปไหน มีแค่ลุกไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น หลังจากรออยู่ค่อนคืน ในที่สุดนายแพทย์เจ้าของไข้ก็ออกมาแจ้งว่าการผ่าตัดสำเร็จด้วยดี และเตรียมจะย้ายอริญชย์ไปพักฟื้นที่ห้องธรรมดา พิชญ์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รู้สึกถึงน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตาตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดจากความง่วงหรือความดีใจกันแน่

           “ยังไงคุณใหญ่ก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาง่ายๆ คุณพีทกลับไปอาบน้ำอาบท่า พักผ่อน แล้วค่อยมาใหม่ดีไหมครับ”

           “แต่ว่า...”

           “จะได้เตรียมเสื้อผ้าและของใช้สำหรับมาเฝ้าไข้คุณใหญ่วันอื่นด้วยไงครับ”

          พอตุลย์ให้เหตุผลแบบนี้ พิขญ์เลยยอมแพ้ในที่สุด ตุลย์โทรศัพท์เรียกคนมารับพิชญ์กลับบ้าน เพราะไม่ไว้ใจให้เจ้าตัวนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง

          ก่อนจะกลับบ้าน พิชญ์ยังแวบมาชะโงกดูอริญชย์ผ่านหน้าต่างห้องก่อนจะสะท้อนใจลึกๆ เวลาแบบนี้อริญชย์ก็ดูไร้พิษสงดีอยู่หรอก แต่เขากลับชอบเวลาที่อริญชย์ทำตัวร้ายกาจมากกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องมาเห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บแบบนี้ เห็นใบหน้าไร้สีเลือดของอริญชย์แล้วก็ทำเอาพิชญ์เจ็บปวดใจไม่น้อย อริญชย์ต้องมาบาดเจ็บแบบนี้ เพราะช่วยเขาเอาไว้แท้ๆ

          พอคนที่ตุลย์เรียกให้มารับพิชญ์กลับบ้านมาถึง พิชญ์ก็ยอมกลับบ้านแต่โดยดี หลังจากขึ้นรถได้ไม่นาน พิชญ์ก็ผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะตื่นเอาตอนใกล้ถึงบ้าน

          พอถึงบ้าน พิชญ์ก็รีบอาบน้ำอาบท่าด้วยความรวดเร็ว เขาตั้งใจจะงีบแป๊บหนึ่ง ก่อนจะออกไปเฝ้าอริญชย์ที่โรงพยาบาล แต่พอล้มตัวลงนอน พิชญ์ก็หลับยาวจนตื่นมาอีกทีตอนใกล้เที่ยง พอสะดุ้งตื่นขึ้นมา พิชญ์ก็รีบโทรศัพท์หาตุลย์ ถามไถ่อาการของอริญชย์

           “คุณใหญ่ยังไม่รู้สึกตัวครับ น่าจะอีกพักใหญ่ๆ เลย ยาที่หมอให้ผสมกับน้ำเกลือมีฤทธิ์ทำให้ง่วง คุณใหญ่จะได้พักผ่อนยาวๆ คุณพีทพักผ่อนก่อนแล้วค่อยมาโรงพยาบาลตอนเย็นๆ ก็ได้ครับ”

           “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการอะไรเรียบร้อย แล้วจะตรงไปโรงพยาบาลเลย ฝากคุณใหญ่ทีนะครับ”

          พิชญ์จัดการอาบน้ำอีกรอบก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ยังไม่ทันลงบันไดก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างล่าง เหมือนวันนี้จะมีความคึกคักแปลกๆ พิชญ์ขมวดคิ้วนิดๆ ขณะเดินลงบันไดมา ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายชะงัก

          นอกจากน้องหนูที่อยู่กับนวลแล้ว ยังมีภรรยาตามกฎหมายที่พิชญ์ไม่ได้เจอมาร่วมเดือน รวมถึงผู้ชายอีกคน ที่เขาคาดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอธิษฐ์ เกียรติกาญจนา

          ไอลดาที่กำลังเล่นกับน้องหนูอยู่หันมามองพิชญ์เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวมองสามีตัวเองด้วยดวงตาเฉยเมย ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา เป็นพิชญ์เสียเองที่เรียกชื่อไอลดาเสียงเบา

           “คุณเล็ก...”

           “อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่พีท...”

          พิชญ์เพิ่งนึกออกว่าไอลดาจะกลับมา เขามัวแต่ตกใจเรื่องอริญชย์จนลืมเสียสนิท แต่เขาเองก็ยังไม่ได้เตรียมใจมาเผชิญหน้ากับไอลดาตอนนี้ บรรยากาศเลยมีแต่ความกระอักกระอ่วนแปลกๆ จนกระทั่งไอลดาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

           “ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิคะ พี่พีท”
 




TO BE CONTINUE



หายไปนานมากๆ เลย ต้องขอโทษด้วยนะคะ
กลับมาลงต่อแล้วค่ะ จริงๆ เขียนตอนนี้ไว้ซักพักแล้ว
แต่หน้าที่การงานยุ่งมาก T__T เลยถือโอกาสช่วงใกล้ปีใหม่มาลง
เมอร์รี คริสต์มาสย้อนหลังและสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 28-12-2020 22:39:20
ใจหายยย เห็นหายไปนาน รออยู่ตลอดเลยนะคะ

Happy New Year ล่วงหน้าค่าา
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-12-2020 22:43:47
 :hao5:
หัวข้อ: Re: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-01-2021 12:33:05
พร้อมหน้าพร้อมตาเลย ปัญหาภายนอกก็เพิ่งเคลียร์เสร็จ ทีนี้ก็ปัญหาภายในครอบครัวและหัวใจ คึคึ คุณใหญ่รีบฟื้นขึ้นมา ทุกคนรออยู่ มาวันนี้พีทยอมรับทั้งตัวและหัวใจว่ารักมากมาย  :-[ :o8: ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออยู่เสมอ รอตอนต่อไปจะเป็นยังไงกันบ้าง และขอสวัสดีปีใหม่ 2564 สุขภาพแข็งแรง เฮงๆและแต่งนิยายสนุกๆแบบนี้นะคะ   :L2: :3123: :L1: :pig4: :pig4: