--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28838 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
คือไม่มีอะไรจริงๆ หรือแค่หลอกให้ตายใจกันคะ รัญญา
พิชญ์คือเชื่อคนง่ายมาก ทั้งที่รู้ว่าควรระวังให้มากกว่านี้

สงสารดินมากเลยค่ะ รักคนที่รักไม่ได้

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบเจ็ด
ลวง



          แดดยามเช้าส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบร่างที่ยังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย แม้แต่เจ้าของห้องเองก็เพิ่งตื่นนอนเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว อริญชย์ขยับตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง ยามทอดมองร่างที่นอนซบหน้ากับหมอน ดวงตาพลันทอประกายอ่อนหวาน อย่างที่น้อยครั้งถึงจะปรากฏให้เห็น

          ความสุขของอริญชย์ คือการได้ตื่นมาเห็นพิชญ์นอนอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ตอนเช้า

          อริญชย์เดินเข้าห้องน้ำจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินพันผ้าขนหนูออกมา ทันเห็นคนที่เพิ่งตื่นกำลังนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เห็นแล้วริมฝีปากหยักกลับยิ่งขยับรอยยิ้มกว้างขวางออกมา ยังดีว่าถ้อยคำที่เอ่ยถามคนที่เพิ่งตื่นนั้นอ่อนโยนจนผิดวิสัย

           “เจ็บมากไหม”

          พิชญ์หันขวับมายังต้นเสียง ดวงตาเรียววาววับขึ้นมาทันที ตัวต้นเหตุอาการปวดร้าวช่วงล่างของเขายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า สาบานเลยว่าเมื่อคืนตอนที่ถูกกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็สุขสมดีหรอก แต่หลังเสร็จกิจกามนี่สิ ช่วงล่างของเขาแทบจะพังพินาศ เรียกว่าถ้าเป็นรถก็คงต้องส่งเข้าศูนย์เพื่อยกเครื่องกันใหม่ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าสะโพกของพิชญ์จะมีอาการช้ำหน่อย ๆ อีกด้วย

          ให้ตายเถอะ! ทั้งเขาและอริญชย์ควรจะจำให้ขึ้นใจว่าห้องครัวไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับการประกอบกิจกามเลยแม้แต่น้อย

          ตอนสะโพกตัวเองถูกกระแทกเมื่อคืน พิชญ์ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ถูกความรู้สึกอย่างอื่นบดบัง แต่ตอนนี้ต้องบอกว่าทั้งเจ็บทั้งปวดกันเลยทีเดียว

           “อย่ามาหัวเราะขำนะ” พิชญ์แทบจะขู่ฟ่อคนที่ยืนมองเขานิ่ง ๆ แต่ดวงตาพราวระยับ

          อีกเรื่องที่น่าโมโหคือ หลังจากเสร็จกิจกามที่ห้องครัวแล้ว อริญชย์ก็อุ้มเขามาปล่อยแหมะลงบนเตียงนอนของตัวเอง ซึ่งพิชญ์คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับกิจกามยามค่ำคืน แต่ใครเลยจะคิดว่าจะมียกสองต่อบนเตียงและตามด้วยยกสามที่ห้องน้ำจนพิชญ์แทบจะสลบคาอกอริญชย์ เล่นเอาคนกระทำต้องช้อนร่างปวกเปียกของพิชญ์ออกมาจากห้องน้ำ จัดการแต่งตัวแล้วนอนกอดรัดเขาแน่นราวกับเป็นหมอนข้างส่วนตัว ส่วนพิชญ์ก็แทบจะหลับทันทีที่หัวถึงหมอน ไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะผลักไสอีกคนให้พ้นตัว

          ถ้ามีคนบอกพิชญ์ว่าช่วงนี้เป็นฤดูผสมพันธุ์ของอริญชย์ พิชญ์ก็คงเชื่ออย่างไม่สงสัย ในเมื่อหลักฐานมันปรากฏทนโท่อยู่บนตัวเขาเต็มไปหมด

          เจ้าของห้องปล่อยให้พิชญ์นอนอยู่บนเตียง ขณะเขาจัดการกับตัวเอง เพราะรู้ดีว่าสภาพแบบนี้ พิชญ์คงไม่มีปัญญาลุกหนีไปไหนแน่ ๆ

          พิชญ์มองคนที่ยืนกลัดกระดุมอยู่หน้ากระจกบานสูง อริญชย์ทำราวกับเป็นเรื่องปกติที่มีเขานอนอยู่บนเตียง โดยที่อีกฝ่ายยังคงทำกิจวัตรประจำวันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจพิชญ์ที่นอนกรอกตาไปมา จนคนที่ลำบากใจกลายเป็นพิชญ์เสียเอง ความคิดที่จะกลับห้องของตัวเองแล่นวาบเข้ามา

          ไวเท่าความคิด พิชญ์หย่อนปลายเท้าข้างหนึ่งเตรียมลงจากเตียง แต่ทันทีที่เท้าแตะพื้นพรม แข้งขาก็อ่อนเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาสียดื้อ ๆ หน้าเกือบคะมำคว่ำลงมาจากเตียงทั้งตัว โชคดีที่อริญชย์ถลาเข้ามาหิ้วปีกเขาไว้ทัน พิชญ์คิดว่าตัวเองต้องโดนอีกฝ่ายดุแน่ ๆ ที่ริอ่านอวดเก่ง น่าแปลกที่อริญชย์เพียงแค่หัวเราะหึในลำคอเบา ๆ จนเขาต้องเป็นฝ่ายตวัดตามองแล้วกล่าวโทษแก้เก้อเสียเอง

           “เพราะคุณใหญ่นั่นแหล่ะ”

           “อื้อ เพราะฉันจริง ๆ นั่นแหล่ะ”

          นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้ว อริญชย์ยังตอบรับหน้าตาเฉย จนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายอายเสียเอง แก้มขาว ๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนจะเป็นไข้ ถ้ามุดเข้าผ้าห่มแล้วคลุมโปงได้ พิชญ์คงทำไปแล้ว

          เรื่องน่าอายเมื่อคืนผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ จนผิวหน้าของคนเพิ่งตื่นแดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก สุดท้ายพอทนไม่ไหวเอง พิชญ์เลยล้มตัวลงนอนแล้วหันหลังหนีเสียอย่างนั้น

          ในเมื่อลุกหนีไปไม่ได้ อย่างน้อยได้หันหลังหนีก็ยังดีกว่าเผชิญหน้ากันซึ่ง ๆ หน้า

          ทั้ง ๆ ที่นอนหันหลังให้แล้ว แต่เสียงหัวเราะหึ ๆ ก็ยังดังอยู่ข้างหลังจนคนฟังนึกหงุดหงิดหัวใจ อยากจะหยิบหมอนมาขว้างใส่เจ้าของห้องเสียหลายครั้ง จนกระทั่งคนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินอ้อมมาหาพิชญ์ ฝ่ามือแข็งแรงยื่นมาลูบหัวพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะก้มลงแตะจูบที่หน้าผากราวกับพิชญ์เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนถูกกระทำถึงกับตวัดตามอง พึมพำออกมาเสียงเบา

           “ผมไม่ใช่น้องหนูนะ”

           “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าใช่เสียหน่อย”

          พอเอ่ยถึงลูกสาวตัวน้อย พิชญ์เลยนึกขึ้นได้ว่าวันนี้น้องหนูต้องไปโรงเรียน สายป่านนี้เขายังมัวแต่นอนอยู่ แล้วน้องหนูล่ะ คิดพลางริมฝีปากก็ขยับเอ่ยถามอริญชย์ด้วยความกังวล

           “น้องหนูล่ะครับ”

           “ฉันให้ตุลย์ขับรถพาไปส่งกับนวลแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก นายน่ะนอนพักไปเถอะ”

          พิชญ์ค่อยยิ้มออก มีอริญชย์อยู่ด้วยก็สบายไปเสียแปดอย่างสิบอย่าง

           “แต่วันนี้มีงาน...”

           “ถ้าคิดว่าไปทำงานไหวก็เอาสิ”

          อริญชย์ยืนกอดอกมองคนหัวรั้นนิ่ง ๆ รู้ว่าแค่พิชญ์จะลุกออกจากเตียงยังลำบาก เขาเลยไม่ห้าม เมื่อกี้ก็เกือบจะล้มคว่ำแล้วยังจะทำอวดเก่งอีก

          เห็นท่าทางอีกฝ่ายแล้ว พิชญ์เลยได้แต่ฮึดฮัดขัดใจอยู่คนเดียว ที่อริญชย์พูดมามันก็ถูก แต่งานที่ค้างอยู่น่ะสิ..

           “แล้วงานที่ค้างอยู่ล่ะครับ”

           “แค่นายหยุดงานวันเดียว ไม่ทำให้บริษัทฉันเจ๊งหรอก”

           “แต่...”

           “เป็นคนป่วยก็หัดจะนอนอยู่เฉย ๆ เถอะน่า เดี๋ยววันนี้ฉันจะรีบกลับ ไม่ปล่อยให้นายนอนเหงาอยู่คนเดียวหรอก”

           “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย ให้ผมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองได้ไหม”

          อริญชย์กดยิ้มมุมปาก เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของพิชญ์ก็นึกรู้ อีกฝ่ายคงกลัวสายตาแปลก ๆ ถ้าหากคนอื่นรู้ว่ามานอนค้างอยู่ที่ห้องเขา แต่ถามเขาสิว่าเขาสนหรือเปล่า อริญชย์ตอบเลยว่าไม่

           “ห้องฉันกับห้องนายต่างกันตรงไหน มันก็มีเตียงนอนเหมือนกัน”

          พิชญ์ชักจะหงุดหงิดอริญชย์ขึ้นมาดื้อ ๆ แค่พาเขากลับห้องมันจะยากเย็นอะไรนักหนา แต่ยามนี้ที่เขาไปเองไม่ได้ก็มีแต่ต้องพูดจากับอีกฝ่ายดี ๆ เท่านั้น

           “คุณใหญ่ ช่วยพาผมกลับห้องหน่อยไม่ได้เหรอ”

          ใครสั่งใครสอนให้ใช้สายตาแบบนั้นมองเขากัน อริญชย์สบถในลำคออยู่สองสามคำก่อนจะก้มลงช้อนตัวพิชญ์ขึ้นมา ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าสูทเนี้ยบกริบราคาแพงระยับของตัวเองจะยับหรือไม่

          ส่งพิชญ์ถึงเตียงนอนของเจ้าตัวแล้ว คนป่วยก็ยังยึดชายเสื้อเขาไว้ พออริญชย์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แก้มขาว ๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นมาอีกรอบ ก่อนที่พิชญ์จะชี้นิ้วส่ง ๆ ไปที่ตู้เก็บของเล็ก ๆ ตรงมุมห้อง

           “หยิบกระปุกสีครีมกับยาแก้อักเสบในตู้ให้ผมหน่อย”

          อริญชย์ทำหน้าไม่เข้าใจในทีแรก แต่ก็เดินไปหยิบของที่พิชญ์ต้องการให้แต่โดยดี พอเห็นยาที่อีกฝ่ายจะเอาชัดถนัดตาก็ถึงบางอ้อทันที เขาหยิบเอายาที่พิชญ์ต้องการก่อนจะเดินกลับมาหาคนที่นอนอยู่บนเตียง พิชญ์แบมือรอรับยาที่คิดว่าอริญชย์จะส่งให้ แต่นอกจากจะไม่ส่งยาให้แล้ว อริญชย์ยังจับเขาพลิกตัวนอนคว่ำ มิหนำซ้ำยังดึงกางเกงนอนตัวหลวมของพิชญ์ลงเสียอีก

           “คุณใหญ่!”

          พิชญ์ถึงกับร้องลั่น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไร มือสองข้างยื่นออกไปหมายจะผลักไส แต่กลับถูกอีกคนดุแถมยึดเอาไว้เสียอย่างนั้น

           “หยุดร้องโวยวายแล้วก็อยู่เฉย ๆ เถอะน่า”

           “เอายามา เดี๋ยวผมทาเอง”

           “ได้ยังไง ฉันเป็นคนทำ ฉันก็ต้องรับผิดชอบสิ”

          พิชญ์ขยับปากจะเอ่ยประท้วงว่าไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเขา แต่สัมผัสของฝ่ามืออุ่นที่แตะต้องลงบนผิวกายก็ทำเอาเขาถึงกับชะงัก เก็บกลืนเสียงห้ามปรามลงคออย่างยากลำบาก

          อริญชย์มองรอยแดงและรอยช้ำมากมายที่เกิดจากน้ำมือของตัวเอง ทั้งที่ควรจะรู้สึกผิด แต่ริมฝีปากกลับขยับเป็นรอยยิ้ม

          เขาชอบ...ชอบความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของของพิชญ์

          ชอบยามที่เห็นร่างกายของพิชญ์เต็มไปด้วยร่องรอยที่เขาเป็นคนตีตราเอาไว้ ด้วยริมฝีปาก ด้วยฝ่ามือ ด้วยตัวตนของเขา

          ปลายนิ้วร้อนผ่าวไล้ไปตามรอยช้ำเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ แต้มยาอย่างเบามือ คนที่นอนคว่ำหน้าอยู่เผลอกลั้นหายใจจนตัวเกร็ง ยิ่งตอนที่ปลายนิ้วซึ่งเคลือบด้วยยาเย็น ๆ แหวกรอยแยกตรงบั้นท้ายของเขาออก พิชญ์ถึงกับหลุดเสียงครางออกมาเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่

          ไม่ใช่แค่พิชญ์คนเดียวที่รู้สึก แม้แต่อริญชย์เองก็ยังต้องขบกรามแน่น รอยช้ำสีก่ำตรงร่องหลืบของพิชญ์เป็นหลักฐานความเอาแต่ใจของเขาเป็นอย่างดี อริญชย์พยายามจดจ่ออยู่กับแผลตรงหน้า ค่อย ๆ แต้มเนื้อยาเย็น ๆ อย่างเบามือที่สุด

           “อ๊ะ...” พิชญ์พยายามกลั้นเสียงคราง ทั้งความเจ็บปวดและความรู้สึกบางอย่างแล่นริ้วขึ้นมาพร้อมกัน

           “ชู่ว ทนหน่อยนะ อีกเดี๋ยวเดียว...” เสียงทุ้มพึมพำปลอบเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าปลอบพิชญ์หรือปลอบตัวเองกันแน่

          พิชญ์ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน กว่าอริญชย์จะทายาให้เขาเสร็จแล้วดึงกางเกงนอนขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย  ยาแก้อักเสบถูกส่งให้เป็นลำดับต่อมา ก่อนที่อริญชย์จะบ่นเบา ๆ เมื่อมองไม่เห็นขวดน้ำในห้องนอนของพิชญ์ เขาเดินหายออกจากห้องไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำที่ถูกส่งต่อให้พิชญ์รับไปดื่ม

           “กินยาแล้วก็นอนพักผ่อนซะ เดี๋ยวสาย ๆ จะให้เด็กยกข้าวขึ้นมาให้”

          คนป่วยแทบจะสิ้นฤทธิ์ หมดเรี่ยวแรงต่อต้าน ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก กินยาเสร็จก็ล้มตัวลงนอนแล้วตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมจนเหลือแต่ตากับจมูก

          อริญชย์คลี่ยิ้มบางยามเห็นอีกคนว่าง่าย ก่อนออกจากห้องไม่ลืมกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนที่นอนอยู่หนัก ๆ อีกหนึ่งที วันนี้เขามีเรื่องต้องจัดการหลายเรื่อง แต่อย่างที่บอกกับพิชญ์ไว้ ยังไงตอนเที่ยงเขาก็จะแวะกลับเข้ามาดูพิชญ์อีกที เจ้าของบ้านไม่วายกำชับป้าน้อยก่อนออกจากบ้านว่าให้เอาข้าวขึ้นไปให้พิชญ์ที่ห้องและห้ามใครรบกวน

          ถึงปัญหาต่าง ๆ จะยังไม่คลี่คลายอย่างที่ใจคิด แต่อริญชย์กลับรู้สึกว่า วันนี้อากาศดี และตัวเขาเองก็อารมณ์ดีกว่าทุกวัน



.

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          พิชญ์ตื่นมาตอนเข็มนาฬิกาเลยเที่ยงนิดหน่อย เห็นถาดอาหารวางอยู่บนโต๊ะข้างตัวก็นึกรู้ทันทีว่าคงมีคนยกขึ้นมาตามคำสั่งของอริญชย์ ชายหนุ่มลุกจากเตียงมาแง้มฝาครอบดู ดูเหมือนว่าอาหารเช้าของเขาจะเย็นชืดหมดแล้ว พิชญ์ส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะปิดฝาลงตามเดิม ไม่คิดที่จะแตะต้องมันอีก

          พอเอี้ยวตัวมาเห็นยาทาและยากินตรงหัวเตียง มุมปากพลันกดลึกเป็นรอยยิ้ม อย่างน้อยยาที่วางอยู่ก็ทำให้อาการเขาดีขึ้นกว่าเมื่อเช้าเยอะ อันที่จริงอาการของพิชญ์ก็ไม่ได้แย่อย่างที่เขาอยากให้อริญชย์เข้าใจ ช่วงล่างเขาระบมก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขนาดยับตัวไปไหนไม่ได้

          บางทีอริญชย์ควรจะรู้...ว่าเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด

          พิชญ์จัดการอาบน้ำอาบท่าจนรู้สึกสดชื่น ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงบันไดมาข้างล่าง บ้านหลังใหญ่เงียบกริบ สงสัยคนที่บอกว่าจะกลับมากินข้าวกลางวันด้วยจะไม่ได้กลับมาอย่างที่รับปาก พิชญ์เผลอเม้มริมฝีปากแน่น นึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาหน่อย ๆ

          ...ก็แค่คนไม่รักษาคำพูด ทำไมเขาต้องสนใจ

          อีกขั้นเดียว พิชญ์ก็จะถึงขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงป้าน้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวร้องเอ็ดเอา

           “ตายแล้วคุณพีท เดินระวังค่ะ เดี๋ยวป้าช่วยประคอง”

           “ไม่เป็นไรครับป้า ผมไหวอยู่”

          ดูเหมือนป้าน้อยจะไม่ได้นำพาต่อคำปฏิเสธของพิชญ์ รีบทิ้งงานในมือ แล้วกุลีกุจอเข้ามาประคองพิชญ์ไปนั่งโซฟา ปากก็เอ่ยถามไถ่ถึงอาการของคนป่วยจำเป็นด้วยความเป็นห่วง

           “ดีขึ้นหรือยังคะ เมื่อเช้าตอนคุณใหญ่บอกป้าว่าเมื่อคืนคุณพีทตกบันได ก้นกระแทก ป้าล่ะตกใจแทบแย่”

           “กินยากับทายาเข้าไปก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ”

          พิชญ์ยิ้มตอบแกน ๆ กลายเป็นว่าเขาตกบันไปเสียได้ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าให้รู้สาเหตุจริง ๆ

           “แล้วได้ทานข้าวเช้าที่ป้ายกขึ้นไปให้หรือเปล่าคะ” พอเห็นพิชญ์ส่ายหน้า ป้าน้อยก็เอ็ดเอาทันที “น่าตีจริงเชียวคุณพีท นั่งรออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวป้ารีบไปยกข้าวกลางวันออกมาให้”

           “แล้วคุณใหญ่ล่ะครับ” พิชญ์อดถามถึงคนที่นัดกันไว้ไม่ได้

          ป้าน้อยที่กำลังจะเดินเข้าห้องครัวชะงัก หันมายิ้มให้แล้วเอ่ยอธิบายจนพิชญ์แทบจะหมดข้อกังขา

           “คุณใหญ่โทรมาสองรอบแล้วค่ะ พอป้าบอกว่าคุณพีทยังหลับอยู่ก็สั่งไว้ว่าห้ามปลุกเด็ดขาด แล้วก็ฝากให้ป้าบอกคุณพีทว่ากลับมาไม่ได้แล้ว เพราะมีประชุม แต่ถ้าคุณพีทมีเรื่องด่วนก็ให้โทรหาได้เลยนะคะ”

          พิชญ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ พอคล้อยหลังป้าน้อยแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

          ประชุมอะไรกัน ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่อง

          พิชญ์มีเวลาจมอยู่กับความสงสัยไม่นานนัก พอเห็นป้าน้อยเดินกลับมาพร้อมถาดอาหาร เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง แล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้า อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังไม่อยากถูกป้าน้อยที่ยืนกำกับให้เขากินข้าวเอ็ดเอา

          หลังจากพิชญ์จัดการกับมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ป้าน้อยก็เดินหายลับเข้าครัว ปล่อยพิชญ์นั่งเอกเขนกอยู่ตรงโซฟารับแขก คนถูกทิ้งอยู่ตามลำพังนั่งจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง

          จากคำพูดของอริญชย์เมื่อคืน เห็นชัดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขาพบกับรัญญา เพียงแต่ว่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางแค่ไหน

          พิชญ์เคาะปลายนิ้วลงกับที่วางแขนเป็นจังหวะ อย่างที่มักติดเป็นนิสัยเวลาใช้ความคิด เขารู้ดีว่าจุดประสงค์ที่รัญญาเข้ามาหาเขามันมากกว่าการอยากเห็นอริญชย์กับราชันย์กลับมาเป็นเหมือนเดิม หลังจากลองทบทวนความคิดของตัวเองดูดี ๆ แล้ว ตอนแรกพิชญ์ก็แค่อยากรู้ต้นสายปลายเหตุที่อริญชย์กับราชันย์บาดหมางกัน แต่ยิ่งถลำลึกลงมา เขาก็พบว่าเรื่องมันแปลก แปลกจนน่าสงสัย

          ถ้าถามตัวเองว่าคิดจะถอนตัวออกจากบ่วงที่กำลังรัดคอเขาหรือไม่ พิชญ์คงตอบเลยว่าทำไม่ได้ เพราะดูเหมือนเขาจะกลายเป็นหมากในเกมนี้ไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

          พิชญ์คว้ารีโมทโทรทัศน์ข้างตัวมา ตั้งใจจะเปิดเพื่อไม่ให้รู้สึกเงียบเกินไปนัก ระหว่างที่กำลังกดเลื่อนช่องไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น เสียงผู้ประกาศข่าวที่กำลังรายงานข่าวต้นชั่วโมงก็ทำเอาเขาถึงกับชะงัก

           “เมื่อช่วงสายวันนี้ มีรายงานอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ทราบชื่อภายหลังว่าคือนายนที เลิศวิจิตร ลูกน้องคนสนิทของคุณรัญญา กมลวิลาศน์ ไฮโซสาวคนดัง ซึ่งขณะนี้นำส่งโรงพยาบาลใกล้สถานที่เกิดเหตุและพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยทางตำรวจกำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมอย่างไร ทางทีมข่าวจะรายงานให้ทราบในลำดับต่อไป”

          พอได้ยินข่าวแบบนี้ขึ้นมา พิชญ์ก็รู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผากทันที เขาหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาจิบ พิชญ์ทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟา ยกมือขึ้นคลึงขมับที่เต้นตุบ ๆ ถึงผู้ประกาศข่าวจะไม่ขยายความว่าคนเจ็บเป็นคนสนิทของรัญญา พิชญ์ก็จำได้ ในเมื่อเพิ่งจะเจอกันเมื่อวาน เพราะอีกฝ่ายเป็นคนขับรถมารับรัญญาและมาส่งเขาที่โรงเรียนของน้องหนู คนที่มักจะจ้องเขาด้วยดวงตาขวาง ๆ ราวกับเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน จนบางครั้งเขาก็นึกรำคาญนิด ๆ แต่ไม่คิดจะหยิบเอามาใส่ใจ

          พิชญ์ปล่อยให้ความเย็นของสายน้ำไหลผ่านลำคอเพื่อให้ความชุ่มชื้น แต่ดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอ พิชญ์นึกอยากบุหรี่ขึ้นมาตงิด ๆ เหมือนจะจำได้ว่าอริญชย์มักจะมีสำรองเก็บเอาไว้แถวตู้ข้างโทรทัศน์ เขาถือวิสาสะเดินมาเปิดตู้ข้างโทรทัศน์ ล้วงหยิบเอาซองบุหรี่กับไฟแช็คแล้วเดินออกไปนอกระเบียง

          ปกติพิชญ์ไม่ใช่คนติดบุหรี่ นานทีปีหนเขาถึงจะสูบ ส่วนมากมักจะเป็นเวลาที่รู้สึกเครียดจนทนไม่ไหว ผิดกับอริญชย์ ถ้าพิชญ์จำไม่ผิด รายนั้นต้องมีอย่างต่ำ ๆ วันละมวน จนพิชญ์เคยนึกแช่งให้อีกฝ่ายเป็นมะเร็งปอดให้รู้แล้วรอดไป แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่เคยได้ยินความในใจของเขา

          พิชญ์ยืนอัดนิโคตินเข้าปอดหนัก ๆ เห็นจากหางตาว่าเด็กรับใช้เดินมาเก็บถาดอาหารที่เขากินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองเริ่มสงบลง โทรศัพท์มือถือที่สอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดคราด

          ...เบอร์ที่โทรเข้ามาคือเบอร์ที่พิชญ์ไม่ได้บันทึกเอาไว้

          ระหว่างที่มัวแต่ชั่งใจว่าจะกดรับดีไหม สายก็ตัดไปเสียก่อน พิชญ์ถอนหายใจเบา ๆ บางทีปลายสายอาจจะแค่โทรผิด แต่อีกไม่ถึงสองนาที หมายเลขเดิมก็โทรเข้ามาอีก คราวนี้เขาเริ่มขมวดคิ้ว เป็นไปได้ว่าอาจจะมีเรื่องด่วน ถึงได้พยายามโทรติดต่อเขา พิชญ์ตัดสินใจกดรับสายในที่สุด

           “สวัสดีครับ...”

          ปลายสายเหมือนจะเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามกลับมาคล้ายลังเล

           “นั่นคุณพิชญ์หรือเปล่าครับ”

           “ครับ ผมพูดสายอยู่ครับ”

          พิชญ์นึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ แต่เขาก็ยังใจเย็นพอที่จะยืนฟังคนที่เป็นฝ่ายโทรมานิ่ง ๆ มือขวากดบุหรี่ลงกับที่เขี่ยข้างตัว ก่อนจะขยี้ช้า ๆ จนมันดับ

           “ขอโทษที่ถือวิสาสะโทรหานะครับ พอดีผมค้นเจอนามบัตรคุณจากตัวคุณปฐพี”

          ถึงช่วงหลังจะห่างหายจากการติดต่อกันไปนานเสียหน่อย แต่แน่นอนว่าพิชญ์ไม่ได้ลืมเพื่อนสมัยเรียนอย่างปฐพีแน่ ๆ หัวคิ้วเขาย่นเข้าหากัน ก่อนคนฟังจะพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติยามเอ่ยถาม

           “เขาเป็นเพื่อนผม มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

           “พอดีผมเจอเขาหมดสติอยู่ข้างทางเลยพามาส่งโรงพยาบาลใกล้ ๆ ยังไงถ้าคุณว่างก็ช่วยแวะมาดูหน่อยแล้วกัน เพราะผมติดต่อคนอื่นที่รู้จักเขานอกจากคุณไม่ได้เลย ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล........”

          พิชญ์จำชื่อโรงพยาบาลไว้ในหัว เอ่ยปากขอบคุณพลเมืองดีและบอกให้อีกฝ่ายฝากของ ๆ ปฐพีไว้กับนางพยาบาล พอวางสายเสร็จ เขาก็ถือโทรศัพท์คาไว้ พยายามนึกชื่อคนที่เขาพอจะโทรแจ้งเรื่องปฐพีได้ ก่อนจะพบว่าเป็นศูนย์

          เขาลืมว่าตอนนี้ปฐพีก็เหมือนตัวคนเดียว มีน้องชายอยู่คนหนึ่งก็อยู่โรงเรียนประจำ เพื่อนสมัยเรียนของปฐพีก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเลย หรือพูดให้ถูกคือพิชญ์รู้จักแค่พ่อกับน้องของปฐพี ซึ่งฝ่ายแรกก็เสียไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องแวะไปดูปฐพีด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็เพื่อนกัน ที่สำคัญวันนี้เขาก็ว่าง ติดอยู่เรื่องเดียวก็คืออริญชย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน

          ตอนแรกพิชญ์ตั้งใจจะขับรถไปเอง แต่พอคิดดูให้ถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนแท็กซี่จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า พอเสร็จจากโรงพยาบาลเขาจะได้นั่งแท็กซี่เลยไปรับน้องหนูที่โรงเรียน หรือไม่ก็ไปหาอริญชย์ที่บริษัทได้เลย

          ก่อนจะออกจากรั้วคฤหาสน์หลังใหญ่ พิชญ์ไม่วายถูกบอดี้การ์ดบริเวณป้อมยามตรงเข้ามาขวาง หลังจากถามไถ่ว่าเขาจะไปไหนจนได้คำตอบที่พอใจแล้ว อีกฝ่ายก็ก้มหัวเป็นเชิงขออภัยก่อนจะเดินไปเรียกรถแท็กซี่ให้ คนถูกซักราวกับเป็นนักโทษอย่างพิชญ์ได้แต่นึกเข่นเขี้ยวคนออกคำสั่งบ้า ๆ อย่างอริญชย์ขึ้นมาติดหมัด

          ลองปล่อยให้เขาหลุดออกจากกรงบ้า ๆ นี่ได้เมื่อไหร่ อย่าหวังเลยว่าจะจับเขาไว้ได้อีก



.



           “อะไรนะ”

          คนที่ยืนเกาะเคาน์เตอร์แผนกเวชระเบียนของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง เจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์ทำหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบซ้ำเป็นรอบที่สอง

           “ดิฉันแจ้งว่าไม่มีผู้ป่วยชื่อนายปฐพี อรรถวิทย์เข้ารักษาตัวอยู่ที่นี่ค่ะ”

           “คุณเช็กดีแล้วใช่ไหม”

           “ดิฉันเช็กสองรอบแล้วค่ะ ไม่เจอผู้ป่วยตามชื่อที่คุณแจ้งเลย”

           “ครับ ๆ ขอบคุณครับ”

          พิชญ์เดินถอยกลับมาตั้งหลักด้านนอกโรงพยาบาล เลิกล้มความคิดที่จะต่อปากต่อคำกับนางพยาบาล ล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพลเมืองดี ก่อนจะต้องหลุดเสียงสบถออกมาเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณตอบรับจากปลายสาย

           “เลขหมายที่ท่านเรียกยังไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง”

          ผิดจากที่พิชญ์เดาเสียที่ไหนล่ะ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด ดูท่าว่างานนี้คงมีคนตั้งใจจะปั่นหัวหรือไม่ก็เล่นตลกกับเขา พิชญ์นึกก่นด่าตัวเองที่คราวแรกไม่ยอมบันทึกเบอร์ติดต่อของปฐพีไว้ในเครื่อง เลยไม่รู้จะเช็กจากอะไร ตอนนี้เลยได้แต่ยืนลำดับความคิดว่าจะทำยังไงต่อ อย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอริญชย์ เพราะเขาส่งข้อความไปบอกตอนที่ออกมาแล้วว่า...

          ...ไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล...

          อริญชย์ไม่เห็นจะโทรกลับมาซักไซ้ไล่เลียงอะไรกับเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรล่ะมั้ง ความคิดสุดท้ายถูกปัดทิ้งในทันใด เมื่อพิชญ์สบสายตาเข้ากับดวงตาคู่คุ้นเคย ที่วันนี้ดูจะแดงก่ำผิดปกติราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ

           “คุณหลิว...”

          รัญญาฝืนยิ้มให้พิชญ์ ขณะยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาลวก ๆ เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหนแม้ว่าจะเห็นพิชญ์แล้ว จนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายปั้นหน้านิ่งแล้วเดินมาหาเธอเสียเอง

           “เจอกันอีกแล้วนะคะ หลิวกำลังนึกอยากคุยกับคุณพีทอยู่พอดีเลย”

           “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ”

          รัญญากัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ เธอกรอกสายตามองซ้ายทีขวาทีอย่างระมัดระวังราวกับกลัวใครจะมาพบเข้า ก่อนจะเอ่ยกับพิชญ์เสียงเบา

           “คุยกันตรงนี้คงไม่เหมาะมั้งคะ”

          พิชญ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เขาไม่ได้เผื่อใจว่าจะออกมาเจอกับรัญญาโดยบังเอิญในวันนี้ และที่สำคัญ...เขาไม่ได้เผื่อเวลาสำหรับหัวข้อสนทนาที่ดูท่าจะไม่จบลงง่าย ๆ ด้วย เห็นทีวันนี้พิชญ์คงต้องเสียมารยาทเอ่ยปากปฏิเสธ

          นอกจากนี้อาการปวดแปลบของร่างกายที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คอยย้ำเตือนให้พิชญ์ระลึกถึงบทลงโทษเมื่อคืนของอริญชย์ อย่างน้อยการเอาตัวเองไปเสี่ยงกับอารมณ์โกรธของอริญชย์ก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่

           “วันนี้ผมคงไม่สะดวก...”

           “แล้วถ้าหลิวบอกว่า...” รัญญาเริ่มต้นประโยคให้พิชญ์หยุดชะงักเพื่อรอฟัง ก่อนจะตรึงพิชญ์ให้ขยับไปไหนไม่ได้ด้วยประโยคต่อมา “พี่ใหญ่ส่งคนมาทำร้ายคนของหลิว คุณพีทคิดว่ายังไงคะ พอจะมีเวลาคุยกับหลิวได้หรือยัง”

          ดูเหมือนพิชญ์จะต้องเปลี่ยนความคิดตัวเองเสียใหม่

          เรื่องบางเรื่อง...ก็มีค่าพอให้เขาเอาตัวเองไปแลกกับความโกรธเกรี้ยวของอริญชย์

          หรือพูดให้ถูกคือ...พิชญ์ยังไม่เคยเห็นเวลาที่อริญชย์โกรธขึ้นมาจริง ๆ นั่นเอง



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
พีท! พีทยังไม่เข็ดใช่ไหม หาเรื่องอีกแล้ว
คุณใหญ่อ่อนโยนแล้วนะคะเนี่ย มีทายูกทายาให้ด้วย
ตอนนี้ประมาณครึ่งเรื่องแล้วค่า ฝากเอาใจช่วยพีทด้วยค่ะ


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ความรู้สึกของพีทนับวันจะไหลไปทางคุณใหญ่เรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว อย่างวันนี้ก็อยากกินข้าวเที่ยงกับเขาด้วยเห็นว่าจะมากินด้วย ถึงกับหอบสังขารลงมาทีเดียว 555 วุ้ยยย!! น่ารักอะพีท คุณใหญ่ก็อ่อนโยนละเกิน ไม่ดีต่อใจพีทเลย ไม่ไหวๆหวั่นไหวๆ 555 :-[ แต่พอฉากสุดท้ายนี่บับกรอกตา อีกละพีท เป็นลูกไก่วิ่งวนบนฝ่ามือของพวกเขาอยู่เรื่อย เพราะงี้สินะ คนสำคัญถึงใช้ต่อรองได้เสมอ คิดสิพีท คุณใหญ่สั่งแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา สั่งจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เห้อออ! นี่คุณใหญ่อ่อนลงให้มากแล้วนะ จะเป็นยังไงต่อละเนี้ย วุ่นวายไม่จบไม่สิ้นสักทีเว้ย สองพี่น้องนี้ 555  สนุกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยค่ะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ตามมาอ่าน ย้อนหลัง ตอนที่ 18

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
มันทะแม่งๆ ตั้งแต่คนที่โทรหาพีทด้วยบอกว่าได้นามบัตรจากตัวดินแล้วละ ปกติแล้วควรจะบอกได้มาจากโทรศัพท์ดินที่เมมเบอร์ไว้มากกว่า แต่ก็นะ ถ้าได้เปิดจากเครื่องดินก็ต้องโทรออกด้วยเครื่องดินทันทีได้เลยสิ คนโทรหาพีทนี่มันฉลาดจริง อ้างเรื่องนามบัตรให้พีทเชื่อได้เฉยเลย... พอหลุดมาเจอยัยตะหลิวแล้วจะโดนอะไรต่ออีกละเนี่ยพีท ยิ่งยัยตะหลิวร้องไห้ด้วยแบบนี้ คนของยัยตะหลิวคงเจ็บสาหัสแหละ.. พีทจะโดนคุณใหญ่โกรธจริงจังก็ครั้งนี้หรือเปล่า หรืออยากให้คุณใหญ่เขาลงโทษอีกละ.. ชอบเหรอ ที่ถูกคุณใหญ่ลงโทษอ่ะ

ปล. เดี๋ยวโทรแจ้งแม่บ้านขัดครัวรอเลย 5555

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบแปด
ละครฉากแรก



          หลังจากพิชญ์ตกปากรับคำกับรัญญาแล้ว อีกฝ่ายก็เอ่ยถามถึงคนขับรถของพิชญ์ ซึ่งเจ้าตัวเลือกตอบเพียงว่าเขามาแท็กซี่ เรียกรอยประหลาดใจจากดวงตาคู่สวยของรัญญาแวบหนึ่งก่อนที่จะถูกเกลื่อนออกทันควัน พอเห็นว่าพิชญ์มาแท็กซี่ รัญญาเลยเอ่ยชักชวนพิชญ์มากับเธอพร้อมกับก้าวเดินนำมายังรถที่จอดรออยู่บริเวณลานจอดรถของโรงพยาบาล

          คนขับรถของรัญญาคราวนี้เป็นอีกคนแทนที่จะเป็นนทีอย่างทุกที ซึ่งพิชญ์เพียงแค่มองนิ่ง ๆ โดยไม่คิดที่จะเอ่ยปากถามออกมา แต่กลายเป็นว่ารัญญากลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเสียเอง

           “ปกติแล้วนทีจะเป็นคนขับรถให้หลิวตลอด จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น...” รัญญาเอ่ยราวกับกำลังเล่าเรื่องธรรมดาสามัญ จนพิชญ์ต้องหันมามองเธอ

          พิชญ์ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของรัญญา แม้จะเพียงชั่วครู่ แต่เขาก็พยายามเก็บรายละเอียดที่ดูแปลกหูแปลกตากว่าทุกวัน ริมฝีปากบางที่มักถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงเป็นเอกลักษณ์ วันนี้กลับดูซีดเซียวพอ ๆ กับสีหน้าของเธอ แม้รัญญาจะแต่งหน้าเพื่อกลบร่องรอยต่าง ๆ แต่พิชญ์ก็ยังมองเห็นความอิดโรยจากเธอได้ชัดเจน...ราวกับหงส์ที่ถูกเด็ดปีก

           “เดี๋ยวจอดตรงร้านกาแฟข้างหน้านะ”

          เสียงเอ่ยสั่งคนขับรถของรัญญา ดึงพิชญ์ให้เงยหน้าขึ้นมามองร้านกาแฟที่เธอเอ่ยถึง ดูเหมือนร้านจะอยู่ห่างจากโรงพยาบาลมาแค่สองแยก ร้านกาแฟเล็ก ๆ ซุกซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความจอแจของชุมชนเมือง ซึ่งถ้าไม่สังเกตหรือคุ้นเคยอยู่ก่อนก็อาจจะมองข้ามไปได้ง่าย ๆ

           “แถวนี้น่าจะโอเคนะคะ ถ้าขืนไปไกลมากกว่านี้ หลิวเกรงว่าจะเสียเวลาคุณพีทเสียเปล่า ๆ” เธอเอ่ยออกตัวกลาย ๆ ก่อนจะก้าวลงจากรถ บังคับให้พิชญ์ต้องก้าวตามเธอลงมา

          ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่รัญญาเลือกแบบสุ่ม ๆ มีมุมโซฟาเงียบ ๆ และค่อนข้างปลอดคน มีลูกค้าใช้บริการอยู่เพียงแค่สองโต๊ะ ซึ่งถือว่าค่อนข้างบางตา รัญญาเลือกนั่งโซฟามุมในสุดของร้านก่อนเอ่ยปากสั่งชาคาโมมายล์กับพนักงานที่ยืนรับรายการ พิชญ์กวาดสายตาดูคร่าว ๆ แล้วจึงสั่งลาเต้ร้อนมาแก้วหนึ่ง

          ถ้าบอกว่าอริญชย์ติดบุหรี่ พิชญ์เองก็ติดกาแฟไม่ต่างกัน แต่อย่างน้อยเขาก็คงไม่ตายเพราะมะเร็งปอด

          นั่งรออยู่ครู่หนึ่ง ชาร้อนของรัญญาและกาแฟร้อนของพิชญ์ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ รัญญาวางนิตยสารที่หยิบมาพลิกดูเล่น ๆ ลง แล้วเปลี่ยนเป็นรินชาลงถ้วยช้า ๆ พิชญ์นั่งรออย่างใจเย็น คิดว่าอีกเดี๋ยวรัญญาคงลากเข้าประเด็นที่ต้องการจะคุยกับเขาเสียที ก่อนจะพบว่าเขาคิดผิดถนัด รัญญากลับเริ่มต้นบทสนทนาด้วยอีกเรื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พิชญ์ยอมตกปากรับคำมานั่งคุยกับเธอที่นี่

           “มะรืนก็ถึงกำหนดยื่นซองประมูลแล้ว ทางเกียรติกาญจนายังยื่นซองเหมือนเดิมใช่ไหมคะ”

           “แล้วทำไมถึงคิดว่าทางเราจะถอนตัวล่ะครับ” พิชญ์เอ่ยถามกลับอย่างใจเย็น

          กว่าหลายปีที่ถูกอริญชย์เคี่ยวเข็ญมาอย่างหนัก แม้จะยังทิ้งห่างจากอริญชย์อยู่หลายช่วงตัว แต่พิชญ์ยอมรับเลยว่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาสอนให้เขารู้จักใช้สติและสมองมากกว่าเดิม อย่างน้อย ๆ เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาก็ควบคุมตัวเองได้ดี เว้นก็แต่ยามอยู่ต่อหน้าอริญชย์ที่เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

          รัญญาชะงักมือที่กำลังถือถ้วยชาเล็กน้อย ดวงตาเรียวมองสบตาพิชญ์ ซุกซ่อนความหมายมากมายที่ไม่อาจตีความออกมาได้

           “คุณพีทไม่คิดว่าเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่หรือคะ ถ้าเราทั้งสองฝ่ายยังแก่งแย่งชิงดีกันอยู่อย่างนี้”

           “แล้วคุณหลิวคิดว่าต้องทำยังไงล่ะครับ” พิชญ์เอ่ยถามกลับเสียงเรียบ ๆ เปิดช่องว่างให้เธอได้หยิบยื่นข้อเสนอที่ตั้งธงเอาไว้ในใจออกมา

           “ถ้าหลิวจะขอร้องให้คุณพีทถอนตัวออกจากการประมูลครั้งนี้ล่ะคะ”

          คนที่กำลังจิบกาแฟเกือบจะสำลักออกมากับคำขอของหญิงสาว ยังดีที่พิชญ์คุมสติทัน ข้อเรียกร้องของเธอช่างยิ่งใหญ่เกินตัวเขาเหลือเกิน พิชญ์ตีสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ยถามเธอกลับอย่างระมัดระวัง

           “มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะครับ”

           “หลิวขอร้องในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง หลิวไม่อยากให้คุณพีทลำบาก”

          รัญญายอมรับว่าเธอชอบอุปนิสัยใจคอของพิชญ์ระดับหนึ่ง ซึ่งมากพอที่เธอจะชี้โพรงและผลักไสให้พิชญ์เดินออกไปจากเกมนี้ แต่น่าเสียดายที่ตัวพิชญ์เองกลับไม่เคยคิดที่จะถอนตัวออกไป

           “คุณหลิวกำลังทำให้ผมลำบากใจ ถ้าผมถอนตัวตอนนี้ ผมอาจจะลำบากกว่าที่คุณหลิวคิด”

           “หลิวรู้ว่าคุณพีทรับผิดชอบโปรเจคท์นี้ คุณพีทมีอำนาจตัดสินใจ และที่สำคัญ...” เธอเว้นช่วงนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่ออย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง “ถ้าคุณพีทพูด พี่ใหญ่จะฟัง”

          พิชญ์เกือบจะหัวเราะขันกับท่าทางเชื่อมั่นของเธอ ในสายตาของคนอื่น พิชญ์ ภัทรกุลคนนี้ช่างมีความสำคัญกับอริญชย์เสียเหลือเกิน น่าแปลกที่ตัวเขาเองแทบจะไม่รู้สึกถึงความสำคัญที่ว่า

           “ทำไมจู่ ๆ ถึงมาพูดเรื่องนี้กับผมล่ะ ตอนแรกเราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันไม่ใช่หรือครับ” พิชญ์เอ่ยท้วงเธอกลาย ๆ ไม่ให้เธอลืมจุดประสงค์หลักที่เขาตกปากรับคำตามมาด้วย

          พิชญ์ฉลาดพอที่จะรู้ว่าคงมีสาเหตุบางอย่างเป็นตัวแปรให้รัญญาเลือกที่จะมาเจรจาเรื่องนี้กับเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอแทบไม่เคยเอ่ยปากถึงเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะข่าวของนทีเมื่อตอนบ่าย หรืออาจจะเพราะกำหนดการยื่นซองมันกระชั้นชิดเข้ามา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม รัญญากำลังทำให้เขาได้รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเธอ

           “เรื่องนี้ก็เกี่ยวด้วยเหมือนกันค่ะ พี่ใหญ่อาจจะไม่ได้เล่าให้คุณพีทฟังว่าช่วงนี้เขากับเฮียเริ่มจะหนักข้อกันขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าคราวนี้เฮียเสียงานให้กับทางเกียรติกาญจนาอีก หลิวคิดว่าเฮียคงไม่ยอมแน่ ๆ”

          พิชญ์อยากจะแสร้งทำทีเป็นตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รับฟังจากปากรัญญา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ถนัดเสแสร้งแบบนั้น เลยทำได้เพียงแค่ตอบรับเสียงเรียบ ๆ ติดจะเนิบนาบเสียด้วยซ้ำไป

           “นั่นก็เป็นปัญหาของคุณใหญ่ที่จะรับมือครับ หน้าที่ของผมมีแค่การรับผิดชอบงานตัวเองให้สำเร็จ คุณใหญ่กับเสี่ยเล้งจะมีปัญหาอะไรกันก็เป็นปัญหาของเขาสองคน”

           “แปลว่าคุณพีทไม่สนใจสิ่งที่หลิวพูด”

          พิชญ์เกือบจะแค่นยิ้มเย็นชาออกมา ดีว่าเขาชะงักตัวเองทันท่วงที

           “ผมสนใจแค่สิ่งที่คุณพูดกับผมที่โรงพยาบาลครับ ประโยคนั้นของคุณหมายความว่ายังไงกันแน่”

          รัญญาประสานสายตากับพิชญ์ เขาคิดว่าความอดทนของเธอที่มีให้เขาคงจวนเจียนจะหมดลงเต็มที แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด รัญญามีความอดทนและควบคุมอารมณ์เก่งกว่าที่เขาคิด อย่างน้อย ๆ เธอก็ทำให้เขารู้สึกเป็นรองได้หน่อย ๆ ดูเหมือนพิชญ์คงจะต้องฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม

           “ก็อย่างที่หลิวบอกคุณพีท พี่ใหญ่ส่งคนมาทำร้ายคนของหลิว”

           “หลักฐานล่ะครับ” คราวนี้เสียงของพิชญ์เย็นชาขึ้นมาจริง ๆ

           “นทีเห็นหน้าคนร้ายและเขาจำได้”

          พิชญ์ส่ายหน้าช้า ๆ “หลักฐานแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะเอาผิดหรอกครับ”

          เขาไม่ได้ต้องการจะดูถูกหรือดูแคลนเธอ พิชญ์แค่เตือนให้เธอตระหนักถึงความจริง ต่อให้รัญญาและคนของเธอจะปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของอริญชย์ แต่เปอร์เซ็นต์ที่อีกฝ่ายจะเอาผิดอริญชย์ได้ก็แทบเป็นศูนย์

          พิชญ์เชื่อในความสามารถและเล่ห์เหลี่ยมของอริญชย์ พอ ๆ กับที่เชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

           “หลิวไม่ได้ต้องการที่จะเอาผิดพี่ใหญ่ เพราะหลิวรู้ว่ายังไงหลิวก็ทำไม่ได้ หลิวแค่อยากให้คุณพีทรู้ว่าพี่ใหญ่เขาร้ายกาจแค่ไหน คุณพีทไม่ควรปล่อยให้ทุกอย่างไปไกลกว่านี้ ถ้าเฮียลงมือด้วยอีกคน หลิวก็คงห้ามไม่ไหว”

           “ผมรู้ว่าคุณใหญ่เป็นคนยังไง คุณหลิวควรจะพูดประโยคนี้กับพี่ชายคุณด้วยเหมือนกัน มาบอกกับผมก็ไม่ต่างอะไรจากการตบมือข้างเดียว”

           “หลิวคิดว่าหลิวจะพึ่งพาคุณได้มากกว่านี้เสียอีก”

          พิชญ์เดาะลิ้นเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกบางอย่าง พยายามไม่ใส่ใจดวงตาแดงเรื่อของเธอ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพิชญ์แพ้น้ำตาผู้หญิง อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำเหมือนอริญชย์ แต่ก็ไม่ได้ใจดีเป็นพ่อพระ

          อย่างน้อยพิชญ์ก็อยากจะเก็บความใจดีให้กับผู้หญิงสามคนบนโลกเท่านั้น

          แม่ของเขา แม่ของลูกเขา และลูกของเขา...

           “ผมคงพึ่งพาได้ไม่เท่าตำรวจกับพี่ชายของคุณหลิวหรอกครับ”

           “หลิวกำลังทำให้คุณพีทลำบากใจใช่ไหมคะ”

          พิชญ์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแค่ขยับตัวน้อย ๆ ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือให้เธอรู้ว่าหมดเวลาแล้ว ก่อนจะเอ่ยตัดบทขึ้นมาดื้อ ๆ

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวเลยแล้วกัน”

          รัญญาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เธอเพียงแต่นั่งนิ่ง ๆ ทำราวกับว่าถ้วยชาในมือมันน่าสนใจกว่าพิชญ์นักหนา พิชญ์เลยเหมาเอาเองว่าเธอคงหมดเรื่องคุยกับเขาแล้วเช่นกัน แต่จังหวะที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้และหันหลังให้ คำถามกลับดังมาจากทางเบื้องหลัง

           “ไม่ว่ายังไงคุณพีทก็ไม่คิดจะถอนตัวจากงานประมูลใช่ไหมคะ”

           “คำขอของคุณหลิวยากเกินไปสำหรับผม” พิชญ์เอ่ยตอบโดยไม่ได้หันหลังกลับไป ก่อนจะทิ้งเธอไว้เบื้องหลัง

          แค่เพียงก้าวแรกที่พิชญ์เดินออกจากร้าน คนขับรถของรัญญาที่ยืนสังเกตการณ์อยู่มุมหนึ่งก็ปราดเข้ามาหาผู้เป็นนายทันที ดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องแผ่นหลังของพิชญ์ไม่วางตา

           “จะให้ตามหรือเปล่าครับ คุณหนู”

           “ไม่ต้อง ปล่อยไปก่อน รอดูอีกซักพัก”

          รัญญาจับจ้องพิชญ์ที่กำลังยืนเรียกแท็กซี่อยู่หน้าร้าน พิชญ์ทำให้เธอภูมิใจและผิดหวังไปพร้อม ๆ กัน ผู้ชายคนนี้มักจะทำให้เธอแปลกใจ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเปลือกนอกที่เห็นนั้นซุกซ่อนอะไรไว้ข้างใน เธอดูจนกระทั่งเห็นพิชญ์ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ละสายตาแล้วหันกลับมาหาคนของตัวเอง

           “ช่วงนี้เฮียเป็นยังไงบ้าง”

           “เหมือนเดิมครับ ยังนิ่ง ๆ เอาแต่ขลุกอยู่ที่คอนโดกับหมอนั่น”

          ริมฝีปากบางวาดออกเป็นรอยยิ้มเย็นชา กลบท่าทีเศร้าสร้อยไปจนหมดสิ้น

           “ดี!”

           “เมื่อซักครู่นทีโทรมานะครับ”

          คราวนี้ดวงตาดำขลับปรากฏรอยไหววูบเล็กน้อย รัญญาเพียงแค่พยักหน้ารับโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก มือเรียวล้วงหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือ กดหมายเลขที่ถูกบันทึกเป็นเบอร์โทรด่วน รอจนปลายสายรับแล้วจึงกรอกเสียงเรียบ ๆ ลงไป

           “ว่ายังไงนที”



.

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          จู่ ๆ คนที่ควรจะเข้าบริษัท นัดประชุมและทานข้าวกับผู้บริหารระดับสูงเหมือนทุกวันกลับเอ่ยปากบอกปฐพีเสียงเรียบ ๆ ว่าวันนี้เขาจะนั่งทำงานอยู่ที่ห้อง ให้เตรียมอาหารกลางวันเผื่อเขาด้วย คนอาศัยอย่างปฐพีขมวดคิ้วน้อย ๆ ด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเหตุผลออกไป

          ตอนแรกปฐพีคิดว่าราชันย์คงจะขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานเหมือนทุกที แต่ก็เปล่า วันนี้อาจจะมีฝนหลงฤดูตกลงมา เมื่อท่านเจ้าของห้องเล่นขนแฟ้มเอกสารและคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กมานั่งทำงานตรงโซฟา ท่าทางดูอารมณ์ดีผิดปกติ มิหนำซ้ำยังเอื้อมมือมาหยิบรีโมทแล้วกดเปิดโทรทัศน์เสียอีก

          กลายเป็นว่าคนที่นึกรำคาญเสียงโทรทัศน์กลับเป็นปฐพีเสียเอง เขานั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ บนโซฟาตัวเดียวกับราชันย์ แต่ก็ถูกเสียงโทรทัศน์รบกวนจนนึกอยากจะหยิบรีโมทมากดปิดอยู่หลายครั้ง ติดตรงที่ว่าแค่เขาเอื้อมมือจะแตะรีโมททีไร ดวงตาคมปลาบของคนที่ทำทีเป็นจดจ่ออยู่กับงานเป็นต้องตวัดมองเขา ก่อนที่ปฐพีจะต้องหดมือกลับมาด้วยความรู้สึกฉุนหน่อย ๆ

           แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายคือราชันย์...ราชันย์ กมลวิลาศน์

          เขาคิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำจากโต๊ะเล็กข้าง ๆ เพื่อจะดื่ม พร้อม ๆ กับที่รายการโทรทัศน์ถูกตัดเข้าข่าวด่วนต้นชั่วโมง เสียงผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจถูกแทนที่ด้วยเสียงประกาศข่าว

           “เมื่อช่วงสายวันนี้ มีรายงานอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ทราบชื่อภายหลังว่าคือนายนที เลิศวิจิตร ลูกน้องคนสนิทของคุณรัญญา กมลวิลาศน์ ไฮโซสาวคนดัง ซึ่งขณะนี้นำส่งโรงพยาบาลใกล้สถานที่เกิดเหตุและพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยทางตำรวจกำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมอย่างไร ทางทีมข่าวจะรายงานให้ทราบในลำดับต่อไป”

          สิ้นเสียงผู้ประกาศข่าว ปฐพีที่กำลังจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก็แทบจะทำแก้วร่วงลงพื้น เขาอ้าปากค้างตั้งแต่ได้ยินชื่อของนที มาสติหลุดก็ตอนที่มีชื่อของรัญญาพ่วงอยู่ด้วย ราชันย์ยื่นมือมาคว้าแก้วที่ปฐพีทำหลุดมือไว้ได้ทันท่วงที นอกจากจะไม่สนใจข่าวที่เพิ่งได้ยินแล้ว ราชันย์ยังตำหนิปฐพีเสียงดุอีก

           “ระวังหน่อยสิ!”

           “เฮีย ข่าวเมื่อกี้...”

           “ข่าวเมื่อกี้ทำไม”

          ท่าทางของราชันย์ดูเฉยสนิท จนปฐพีเกือบจะคิดว่าตัวเองหูฝาด ฟังชื่อคนเจ็บผิดอยู่แล้ว แต่สาบานเถอะ หูเขายังดีอยู่ ถึงแม้สติเขาจะหลุดนิดหน่อย ชื่อคนเจ็บน่ะคือนที คนสนิทของรัญญาชัด ๆ

           “เฮียไม่ได้ยินเหรอ ข่าวเขาบอกว่าคุณนทีรถคว่ำ”

           “แล้วยังไง”

           “โธ่เฮีย ตกใจหน่อยสิ”

           “ตกใจทำไม หมอนั่นไม่ใช่คนของฉัน คนของยัยหลิว เดี๋ยวยัยหลิวก็จัดการเอง นายไม่ต้องสนใจให้มันมากนักหรอก” ราชันย์เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ มิหนำซ้ำยังปรามคนข้าง ๆ

           “เฮียคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุอย่างที่ออกข่าวจริง ๆ เหรอ แต่ผมว่าฝีมือระดับคุณนทีไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุง่าย ๆ เลยนะ หรือว่าความจริงแล้ว...” ปฐพีทำท่าจะสวมบทนักสืบจำเป็นวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งราชันย์เอ่ยขึ้นมาดื้อ ๆ ห้วน ๆ เล่นเอาคนที่กำลังเท้าคางใช้ความคิดถึงกับตั้งรับแทบไม่ทัน

           “หิวแล้ว...”

           “อะไรครับ” ปฐพีถามกลับงง ๆ

           “ฉันบอกว่าหิวแล้ว หยุดฟุ้งซ่านแล้วก็ไปทำข้าวกลางวันเสียที”

          ปฐพีเกือบจะเถียงว่าเขาไม่ได้ฟุ้งซ่านเสียหน่อย เขาก็แค่เป็นห่วง ห่วงว่าเรื่องบ้า ๆ พวกนี้จะกระทบมาถึงราชันย์ด้วย แต่ฝ่ามือใหญ่ที่วางแปะลงบนหัวแล้วลูบช้า ๆ ก็ทำให้ปฐพีเก็บกลืนถ้อยคำที่เตรียมจะโต้แย้งลงคอ พยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องครัวแต่โดยดี

          คล้อยหลังปฐพีแล้ว ราชันย์ก็เหยียดหลังขึ้นตรง ยกท่อนแขนพาดกับพนักโซฟา ดวงตาจ้องมองหน้าจอโทรทัศน์ที่เปลี่ยนกลับมาเป็นรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจแล้วแค่นยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างสมเพช

           “สุดท้ายก็กลับมาใช้วิธีสกปรกอย่างที่ถนัดจนได้”



.



          เมอร์เซเดส เบนซ์สีดำแล่นเข้ามาจอดเทียบรั้วของโรงเรียนอนุบาล ร่างสูงถอดแว่นกันแดดสีเข้มออก ยามก้าวลงจากตอนหลังของรถแล้วเดินมาหาสองพ่อลูกที่ยืนหลบแดดอยู่มุมหนึ่ง น้องหนูสะพายกระเป๋านักเรียนหัวเราะคิกคัก ชี้ชวนให้ผู้เป็นพ่อดูลุงใหญ่ พิชญ์หยีตามองแล้วก็ทำหน้าตาแปลก ๆ ออกมา

          อริญชย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เข้ากับโรงเรียนอนุบาลเลยแม้แต่น้อย เดินมาอย่างกับจะมาเทคโอเวอร์กิจการโรงเรียนอนุบาล ป่านนี้คุณครูในโรงเรียนคงหวาดผวากันแย่

          คนที่เพิ่งมาถึงโรงเรียนกวาดตามองหลานสาวตัวน้อย พอเจอก็ยิ้มให้เจ้าตัวเล็กนิดหนึ่ง ก่อนจะมองเลยไปยังคนพ่อที่เมื่อเช้ายังนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง พอพ้นหูพ้นตาเขาไม่ทันไรก็หนีออกมาอีกแล้ว

           “รอนานไหมลูก” อริญชย์ถามหลานสาวตัวน้อยที่ยืนแก้มแดงอยู่ตรงหน้า

          น้องหนูส่ายหน้าไปมา มือป้อมยกขึ้นปาดเหงื่อออกก่อนจะรายงานสถานการณ์ประจำวันเสียงเจื้อยแจ้ว

           “ลุงใหญ่ขา วันนี้เพื่อน ๆ ที่ห้องกับคุณครูบอกว่าพ่อพีทหล่อกันใหญ่เลยค่ะ”

          ที่แท้แล้วสาเหตุที่น้องหนูอารมณ์ดีกว่าทุกวันก็เป็นเพราะเพื่อน ๆ และคุณครูชมว่าคุณพ่อหล่อนี่เอง คุณลุงตวัดสายตามองคนหล่อทันควัน เล่นเอาคนถูกชมว่าหล่อถึงกับร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมา ก่อนจะหายใจคล่องคอเมื่ออริญชย์เพียงแค่ยิ้มมุมปากนิด ๆ มิหนำซ้ำยังตบท้ายให้หัวใจเขาเต้นเป็นจังหวะแปลก ๆ อีก

           “ครับ วันนี้พ่อพีทของน้องหนูหล่อจริง ๆ”

          ถูกเด็กผู้หญิงและคุณครูสาวสวยชมยังไม่ทำให้พิชญ์หน้าร้อนวูบเท่าถูกอริญชย์ชม อริญชย์มองคนที่วันนี้สวมเสื้อโปโลสีสดกับกางเกงยีนส์ขายาวพอดีตัว ภาพที่เห็นวันนี้แทบจะเรียกภาพเด็กหนุ่มหัวรั้นในความทรงจำให้คืนกลับมา

          ...ไม่เปลี่ยน แทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยซักนิด

          น้องหนูเดินมายืนอยู่ตรงกลาง ยื่นมือซ้ายให้คุณลุงจับ ยื่นมือขวาให้คุณพ่อจูง ก่อให้เกิดเป็นภาพครอบครัวที่น่ารักน่าอิจฉาในสายตาของใครหลายคนที่เฝ้ามอง

           “ลุงใหญ่ ขอน้องหนูเล่นชิงช้าก่อนได้ไหมคะ”

          หลานสาวตัวน้อยหันมาทำเสียงออดอ้อนใส่กันไม่แพ้คนพ่อแบบนี้ ใครปฏิเสธลงก็ใจร้ายเต็มที พอเห็นผู้เป็นลุงพยักหน้าอนุญาต น้องหนูก็แทบจะวิ่งปร๋อไปทันที คนพ่อขยับจะเดินตามไปดู แต่อริญชย์ก็รั้งข้อมือเอาไว้ พยักเพยิดให้เห็นว่าตุลย์กำลังเดินตามไปห่าง ๆ

           “หายเจ็บแล้วหรือไง” อริญชย์ถามหน้านิ่ง ๆ พอเห็นพิชญ์ทำหน้างงใส่ เขาเลยกระแอมในลำคอเบา ๆ ก่อนจะขยายความมากขึ้น “หมายถึงก้นน่ะ หายเจ็บแล้วหรือ”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น ตาวาว ตวัดสายตามองคนถามอย่างเคือง ๆ ก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ อีกคนเห็นอาการแล้วก็ยิ่งนึกอยากแกล้ง

           “หายแล้วก็ดี คืนนี้จะได้ต่ออีกซักสามสี่ยก”

          คราวนี้คนฟังแทบตาถลนจากเบ้า กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกให้ใจหายใจคว่ำก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากอริญชย์ ก่อนคนแกล้งจะตบท้ายด้วยประโยคที่ทำให้กล้ามเนื้อตรงอกซ้ายเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง

           “คิดว่าฉันจะใจร้ายกับนายลงคอเชียวหรือ...”

          คนถูกถามกลบเกลื่อนอาการแปลก ๆ ของตัวเองด้วยการพยักหน้าส่ง ๆ หารู้ไม่ว่ามันกลับให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม

           “ที่ผ่านมาฉันใจร้ายกับนายมากนักหรือไง”

          เสียงแหบห้าวที่เอ่ยถาม ยังไม่ทำให้พิชญ์ตะขิดตะขวงใจได้เท่าสายตาที่มองมา

           “คุณชอบบังคับ ชอบขู่ ชอบรังแก ผมไม่ชอบ”

           “แปลว่าถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น นายก็จะชอบใช่ไหม”

           “ผมไม่รู้”

           “แล้วต้องทำตัวแบบไหน ถึงจะถูกใจนาย”

          พิชญ์ที่เก่งกล้าสามารถยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าอริญชย์ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยอมมือ เขานึกขอบคุณที่ทั้งตัวเขาและอริญชย์ยังอยู่ที่โรงเรียนของน้องหนู อริญชย์ถึงได้ไม่กล้าคุกคามเขามากนัก เพราะแค่ประโยคไล่ต้อนที่อีกฝ่ายโยนใส่กันมาติด ๆ ก็แทบจะทำให้พิชญ์จนมุมง่าย ๆ อยู่แล้ว

          น้องหนูก็ดูเหมือนจะมัวแต่เล่นสนุกอยู่กับตุลย์หรือถูกตุลย์หลอกล่ออยู่ ทั้งคู่ถึงได้ไม่สนใจมองมาทางเขาและอริญชย์เลยแม้แต่น้อย พิชญ์ได้แต่เสมองต้นไม้ใบหญ้าไปตามเรื่องตามราว ราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาสถานการณ์น่าอึดอัดใจนี้ลงได้

           “ถูกใจหรือไม่ถูกใจผม มันไม่สำคัญเสียหน่อย”

          พิชญ์ล้วงมือเข้ากับกระเป๋ากางเกง สัมผัสเย็นวาบที่รัดแน่นอยู่ที่ข้อนิ้วทั้งรัดรึงและย้ำเตือนให้พิชญ์ตระหนักถึงความจริง ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ความจริงที่ไม่อาจหลีกหนี ความจริงที่ทั้งเขาและอริญชย์ต้องยอมรับมัน

          พิชญ์หลับตาลงช้า ๆ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยื่นมือข้างซ้ายมาตรงหน้าอริญชย์ เสียงที่เอ่ยถามออกมานั้นช่างแหบพร่าไม่สมกับเป็นพิชญ์เลยแม้แต่น้อย

           “คุณใหญ่เห็นอะไรนี่ไหม ผมไม่ใช่ผู้ชายตัวเปล่าเปลือย ผมเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้วนะ”

          อริญชย์ไม่ได้สนใจแหวนแต่งงานที่กำลังอวดประกายของเพชรเม็ดเล็กบนนิ้วนางข้างซ้ายของพิชญ์แม้แต่น้อย เครื่องประดับชิ้นเดียวบนร่างกายของพิชญ์ที่อริญชย์นึกชิงชังนักหนา บางทีอาจจะถึงเวลาที่ต้องปลดพันธะนี้ออกไปเสียที

           “แค่ฉันถอดมันออกมาจากนิ้วนาย แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม”

          มีหรือที่พิชญ์จะไม่เข้าใจความหมายในประโยคของอริญชย์ เขาครางชื่ออีกฝ่ายออกมา

           “คุณใหญ่...”

          อริญชย์รู้ดีว่าเขามีเงินมากพอที่จะสรรหาแหวนเพชรล้ำค่ามากมายมากำนัลพิชญ์ แต่สำหรับเขาแล้ว วงที่คู่ควรกับพิชญ์มีแค่เพียงวงเดียวเท่านั้น

           “ไว้ฉันจะถอดออก แล้วเอาวงที่ควรเป็นของนายจริง ๆ มาให้”

          แหวนที่แม่ได้จากคนที่แม่รักมาก...ก็ควรจะเป็นของคนที่เขารักมากเช่นกัน



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่า :)
หลัง ๆ มานี้ คุณใหญ่อ่อนโยนพร่ำเพรื่อมาก
พีทจะใจแข็งไหวมั้ยเนี่ยยย

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
พีทจะเป็นอะไรมั้ยเมื่อไหร่คุณใหญ่จะเฉลยว่ารักน้องมานานแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
วุ้ยยยยยยคุณใหญ่หยอดจีบพีทเนียนๆใหญ่เลย หวานและอ่อนโยนขึ้นมาก :-[ เวลาพีทเขินคุณใหญ่นี่มันน่าแกล้งดีจริงนะ ถึงว่าละ เราเองก็เขินตาม (>//<) 5555 เรื่องประมูลมันอยู่ที่ความสามารถของแต่ละบจ.นะ มันไม่น่าจะให้ยอมกันง่ายแบบนี้สิคุณรัญญาขา ต้องอย่างนี้สิพีทฉลาดเอาตัวรอดมาก หวังว่าจะไม่หลงกลง่ายๆอีกนะ ดินถ้าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องก็หนีไปนั่งมุมอื่นเถอะ 555 สนุกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปจะแก้ปัญหากันยังไงทั้งสองฝ่าย เดาไม่ถูกเลย นทีกับคุณรัญญามีซัมธิงกันหรือป่าว 555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ข่าวออกมาว่านทีประสบอุบัติเหตุสาหัส แต่ตอนที่ยัยตะหลิวคุยกับพีทขอร้องให้พีทยกเลิกการเข้าประมูลแต่พีทปฏิเสธ และขอตัวกลับ พอคล้อยหลังพีทยัยตะหลิวก็โทรกลับไปคุยกับนทีได้.. สรุปนทีสาหัสจริงหรือเปล่านะ..  และที่ราชันย์คุยกับดินเรื่องข่าวนทีรถคว่ำ บอกว่าเป็นคนของยัยหลิวให้ยัยหลิวจัดการเองและดูจะชิลๆ ไม่สนใจด้วย... มีบ่นตอนท้ายก็กลับมาใช้วิธีสกปรกอย่างที่ถนัดจนได้.. ใครใช้วิธีสกปรกเหรอราชันย์ ใช่ยัยหลิวรึเปล่าที่ใช้วิธีสกปรก  :katai1:

ตอนท้ายที่คุณใหญ่คิดว่าจะถอดแหวนแต่งงานพีทออก แล้วสวมแหวนของแม่ให้พีทนั้น.. อยากให้ถึงไวๆ จังเลย อยากให้คุณใหญ่มีความสุขเสียที ดูแล้วพีทจะหลงรักคุณใหญ่เข้าแล้วละ แต่ปากแข็งอยู่!!

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบเก้า
งานประมูล



          นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ แต่พิชญ์ยังคงนั่งคิ้วขมวดอยู่กับกองเอกสาร เอกสารหลายแผ่นวางกระจัดกระจายจนเต็มโต๊ะทำงานของพิชญ์ เจ้าตัวเพียงกวาดสายตามองผ่าน ๆ ก่อนจะเลือกวางถ้วยกาแฟตรงมุมว่าง ๆ มุมหนึ่ง ห่างจากกองเอกสารสำคัญเสียหน่อย พิชญ์เอาข้อนิ้วคลึงขมับตัวเองเบา ๆ อาการปวดหัวตุบ ๆ ดูเหมือนจะเริ่มแสดงอาการ หลังจากเขานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านรายงานจากแผนกต่าง ๆ มาร่วมสองชั่วโมงเต็มจนร่างกายเริ่มเกิดอาการล้าเต็มทน

          แม้กระทั่งกาแฟหอมกรุ่นที่ชงดื่มเอาเมื่อสองชั่วโมงก่อน บัดนี้กลับเย็นชืดและไร้รสชาติสิ้นดี!

          พิชญ์ถือโอกาสขยับตัวลุกจากเก้าอี้ ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย หลังจากบิดตัวอยู่ราวห้านาทีจนความเมื่อยขบถูกบรรเทาลง พิชญ์ก็เดินมาทิ้งตัวแหมะลงบนเตียงนอน เวลานี้คาเฟอินที่โดนเขาอัดเข้าร่างกายอยู่ตลอดเวลากำลังต่อสู้กับความง่วงของเขาอย่างสุดความสามารถ พิชญ์ยกมือขึ้นวางแปะบนหน้าผากของตัวเอง กึ่ง ๆ จะก่ายหน้าผาก สายตาพลันปะทะเข้ากับแหวนแต่งงานทองคำขาว ซึ่งเขาสวมติดนิ้วนางข้างซ้ายอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่แต่งงานมา ยามนี้พอมองเห็นกลับทำเอาเขาเผลอเม้มริมฝีปากแน่น

          ของบางอย่าง...ไม่เสียดตาเท่ากับเสียดหัวใจ

          พิชญ์แค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ทั้งที่ตอนตกปากรับคำกับอริญชย์ว่าจะรับผิดชอบและแต่งงานกับไอลดา ตัวเขาเองก็คิดตรึกตรองมาอย่างดีที่สุดแล้ว มาตอนนี้กลับนึกอยากย้อนเวลาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่ความคิดของเขาก็เป็นได้แค่ความคิดเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ

          ...เพราะเข็มนาฬิกาไม่เคยเดินถอยหลัง มีแต่หัวใจของคนอย่างเขาที่มันโลเลไปมา

          พิชญ์นอนหลับตานิ่ง คำพูดของอริญชย์เมื่อตอนเย็นวนเวียนกลับมารบกวนความคิดของเขาอีกครั้ง...

           ‘ไว้ฉันจะถอดออก แล้วเอาวงที่ควรเป็นของนายจริง ๆ มาให้’

          คำพูดของอริญชย์ หากเขาเป็นหญิงสาวและปราศจากพันธะ ความหมายมันคงชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะตีตราจองหรือผูกมัดเขาอยู่ข้างกาย อริญชย์ช่างเลือดเย็นเหลือเกิน นอกจากจะพันธนาการเขาด้วยเล่ห์กลแล้ว ตอนนี้ยังริอ่านมาพันธนาการเขาด้วยความรู้สึกหวามไหวบ้า ๆ นี่อีก เขาเองก็ช่างน่าไม่อาย ลิงโลดตื่นเต้นกับคำพูดของอริญชย์ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด

          พิชญ์เอ๋ย...แกมันบ้าไปแล้ว

          จำใส่สมองหน่อยสิว่าคนที่กำลังสั่นคลอนหัวใจอยู่มีศักดิ์เป็นพี่ภรรยา

          ความรู้สึกอึดอัดแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจของพิชญ์ บีบรัดจนเจ็บปวดกับปัญหามากมายที่ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นแต่ทางตัน เขามันเลวสิ้นดี ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความเกลียดชังที่มีให้อริญชย์แปรเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกดี ๆ ถึงเพียงนี้ พิชญ์ได้แต่ปล่อยให้คำถามที่ไร้คำตอบของเขาลอยไปมาอยู่ในอากาศ

          เขาไม่ใช่คนตัวเปล่าเปลือย นอกจากจะมีภรรยาแล้ว ยังมีลูกสาวที่น่ารักอีกหนึ่งคน ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา ถ้าเพียงแต่เขาเลือกทำตามใจตัวเอง ไม่เพียงแต่จะทำร้ายไอลดาเท่านั้น แต่ความเห็นแก่ตัวของเขายังทำร้ายผู้หญิงที่เขารักอีกถึงสองคน...น้องหนูและแม่พลอย

          พิชญ์พลิกตัวลงคว่ำหน้ากับหมอน ซุกซ่อนความอึดอัดที่เอ่อล้นออกมา กับปัญหาการงานสารพัดที่รุมเร้าเข้ามาเขายังสามารถหาวิธีรับมือและก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่กับเรื่องหัวใจ ทำไมยิ่งเดินเท่าไหร่ถึงยิ่งเจอแต่ทางตัน

          ถ้าเพียงแต่พิชญ์จะมีตาทิพย์หรือบังเอิญเปิดประตูห้องออกมา เจ้าของห้องคงเห็นร่างสูงของอริญชย์กำลังเดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้องพิชญ์ทั้งที่ล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว อริญชย์ยืนนิ่งหน้าประตู นึกก่นด่าความบ้าของตัวเอง

          จู่ ๆ ก็นอนไม่หลับ แล้วขาสองข้างก็ช่างไม่รักดี พาเขาเดินมาถึงหน้าห้องนอนของพิชญ์เพียงเพื่อจะมายืนมองบานประตู วันนี้เขาเห็นความรู้สึกบางอย่างแวบขึ้นมาในแววตาของพิชญ์หลังจากเขาเอ่ยประโยคนั้นออกไป แม้จะเพียงแวบเดียวที่เห็นก่อนจะถูกพิชญ์กลบเกลื่อน แต่มันก็ทำให้หัวใจเขาลิงโลดขึ้นมา

           ...ความหวัง แม้จะน้อยนิด แต่ก็ยังเป็นความหวัง...

          อริญชย์ยืนมองบานประตูนิ่ง ๆ คิดเอาเองว่าเจ้าของห้องคงจะนอนหลับฝันดีแล้ว ริมฝีปากหยักขยับออกเป็นรอยยิ้ม แค่เพียงบานประตูที่ขวางกั้น คนหนึ่งรื่นรมย์ยินดี อีกคนกลับอึดอัดแทบบ้า



.



          เมอร์เซเดส เบนซ์สีดำติดฟิล์มหนาทึบเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบหน้าอาคารสำนักงานของกลุ่มบริษัทวิวัฒน์ดำรง พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าอาคารรีบรุดเข้ามาเปิดประตูรถตอนหลังก่อนจะค้อมศีรษะลงทำความเคารพ

          อริญชย์ลงมาจากรถเป็นคนแรก ดวงหน้ากระด้างมีแต่ความเย็นชาปรากฏ เขากวาดสายตามองรอบ ๆ ราวกับจะประเมินสถานการณ์ สร้างความรู้สึกกดดันให้กับคนมอง ก่อนจะขยับเบี่ยงตัวหลบ เปิดทางให้พิชญ์ก้าวตามลงมา จากนั้นจึงพากันเดินเข้าตัวอาคารอย่างไม่รีบร้อนนัก

          บรรยากาศที่อาคารสำนักงานของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงวันนี้ดูคึกคักเหมือนวันที่มีประชุมผู้ถือหุ้น เพียงแต่ผู้มาเยือนวันนี้คือบรรดาบริษัทคู่ค้าและผู้สังเกตการณ์ซึ่งเตรียมเข้าร่วมการประกวดราคายื่นซองประมูลโครงการศูนย์การค้าครบวงจร ‘บางกอก บูเลอวาร์ด’ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

           “พร้อมหรือยัง”

          พิชญ์พยักหน้าแทนคำตอบให้กับคำถามของอริญชย์ ฝ่ายต้อนรับของบริษัทวิวัฒน์ดำรงรอต้อนรับพวกเขาอยู่บริเวณล็อบบีแล้ว พิชญ์และอริญชย์ถูกพาขึ้นลิฟต์มาเพื่อมานั่งรอยังห้องรับรองแขกด้านบน บรรยากาศจอแจถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบ แม่บ้านยกกาแฟร้อนและของว่างเข้ามาเสิร์ฟก่อนจะล่าถอยออกไป ปล่อยให้พิชญ์กับอริญชย์นั่งพักผ่อนอยู่ในห้องตามลำพัง

           “ตุลย์กำลังจะตามขึ้นมา เดี๋ยววันนี้เขาจะเป็นผู้ช่วยของนาย”

          ประโยคเรียบ ๆ ของอริญชย์ที่เพิ่งเอ่ยออกมาทำเอาพิชญ์หวิดจะสำลักกาแฟร้อนที่กำลังจิบอยู่ คำพูดของอริญชย์มันฟังดูทะแม่ง ๆ จนเขานึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ

           “คุณใหญ่หมายความว่า...”

          รอยยิ้มแรกของวันถูกจุดขึ้นที่มุมปากของอริญชย์ แต่กลับไม่ได้ทำให้พิชญ์รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะทำให้เขารู้สึกเสียวหลังมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

           “วันนี้ฉันมาเป็นผู้สังเกตการณ์เฉย ๆ นายเป็นตัวแทนของบริษัท และตุลย์จะเป็นผู้ช่วยของนาย หน้าที่นำเสนองานเป็นของนาย ตุลย์จะช่วยจดรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ที่นายจำเป็นต้องใช้หลังจากพรีเซ้นท์เสร็จ ส่วนฉัน...” รอยยิ้มของอริญชย์กดลึก แลดูร้ายกาจกว่าเดิม “จะนั่งดูผลงานของนายเฉย ๆ โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายแม้แต่น้อย”

          พิชญ์แทบจะหมดแรงเอาขึ้นมาดื้อ ๆ ตัวเขาเองใช่ว่าจะไม่เคยเข้าร่วมงานประมูลมาก่อน แต่ที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นการมาในฐานะผู้ช่วยของอริญชย์ ครั้งนี้เขาก็ยังมั่นใจว่าตัวเองมาในฐานะผู้ช่วยอริญชย์เหมือนที่แล้ว ๆ มา เพิ่งจะรู้ตอนที่อริญชย์เอ่ยปากออกมาเมื่อกี้ว่าหน้าที่รับผิดชอบตกเป็นของเขา ช่างเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ไม่น่าดีใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากพิชญ์จะรู้สึกเฉลียวใจซักนิด เขาคงเอะใจว่าทำไมอริญชย์ถึงปล่อยให้เขาจัดการทุกอย่างเองตั้งแต่แรกโดยไม่คิดที่จะยื่นมือเข้ามายุ่ง มีบ้างที่อริญชย์อาจจะให้คำแนะนำกับเขา แต่หลัก ๆ แล้วพิชญ์ก็ต้องยอมรับเลยว่า เขาแทบจะปลุกปั้นงานชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองเลยทีเดียว

           “นี่เป็นความตั้งใจของคุณใหญ่ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”

           “ก็อย่างที่นายคิด ฉันไม่ได้อยากให้นายมาคอยเดินอยู่ข้างหลังตลอดไปหรอกนะ ขี้เกียจมาคอยพะวักพะวงว่านายจะหกล้มหัวทิ่มไปตอนไหน”

          อริญชย์ก็ยังคงเป็นอริญชย์ที่ปากคอเราะร้ายกับพิชญ์และพยายามเคี่ยวเข็ญเขาในเรื่องงาน พิชญ์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่เขามาถึงจุด ๆ นี้ภายในระยะเวลาอันแสนสั้นเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน ทั้งหมดก็เป็นผลงานของอริญชย์แทบทั้งนั้น อริญชย์ที่ผลักให้เขาเดิน กดดันให้เขาทำ โดยไม่มีแม้แต่พื้นที่จะให้เขาวิ่งหนีหรือเดินถอยหลังกลับ

           “โบราณบอกไว้ว่า เดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” พิชญ์อดเถียงข้าง ๆ คู ๆ ไม่ได้

          ยังไงตอนนี้เขาก็ไม่มีทางให้เดินถอยหลังแล้ว ในเมื่ออริญชย์เอ่ยปากว่าจะไม่ยุ่ง ให้ตายอีกฝ่ายก็ไม่มีทางยื่นมือเข้ามายุ่งเด็ดขาด ในทางกลับกัน ถ้าเรื่องไหนอริญชย์เอ่ยปากว่าจะยุ่ง เจ้าตัวก็จะไม่มีวันปล่อยมืออย่างเด็ดขาดเช่นกัน

           “เดินตามหลังผู้ใหญ่แล้วหมาไม่กัดก็จริง แต่ถ้านายเป็นผู้ใหญ่ นายจะรู้วิธีจัดการกับหมา ซึ่งนั่นไม่ดีกว่าหรือไง”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาอย่างจงใจให้อริญชย์ได้ยิน กับเรื่องงานยังไงเขาก็เอาชนะคนที่ชั่วโมงบินสูงอย่างอริญชย์ไม่ได้เลย ไล่ตามยังไงก็ไม่เคยทัน ของอย่างนี้คงมีแต่ประสบการณ์ที่จะสอนเขาได้

           “ครับ ยังไงผมก็เถียงไม่ชนะหรอก ในเมื่อคุณใหญ่ตั้งใจเอาไว้แล้ว”

           “ถ้ารู้อย่างนั้นก็ดี งานนี้ไม่มีใครช่วยนายได้นอกจากตัวนายเอง ข้อมูลทุกอย่างนายก็จัดเตรียมเองทั้งหมด ถ้านายไม่ยอมขึ้นไปพรีเซ้นท์จริง ๆ เราก็คงต้องกลับกันตั้งแต่ตอนนี้”

           “ผมยังไม่ได้บอกว่าจะไม่ขึ้นเลยนี่ครับ ว่าแต่อะไรทำให้คุณใหญ่มั่นใจในตัวผมขนาดนี้”

           “เพราะฉันรู้ว่านายจะทำได้ อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ งานนี้ฉันวางโครงการพันล้านกับชื่อเสียงของบริษัทไว้ในมือของนายแล้ว”

          มิน่าวันนี้เขาถึงรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวผิดปกติ ที่แท้ก็เป็นเพราะภาระอันหนักอึ้งที่อริญชย์เอามาวางใส่บ่าเขาโดยไม่คิดถามความสมัครใจกันนี่เอง

           “ถ้าผมชวดงานนี้ สงสัยคงต้องอยู่ชดใช้ค่าเสียหายให้คุณทั้งชีวิตแน่ ๆ”

           “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี”

          พิชญ์ขยับจะเอ่ยปากตอบโต้ออกไป แต่พอเห็นพนักงานต้อนรับเดินนำตุลย์เข้ามา เขาเลยเลือกที่จะกลืนคำพูดลงคอ อริญชย์ถือโอกาสนี้ออกปากให้เขาไปจัดการเตรียมตัวและเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย พิชญ์เลยยกกาแฟขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาจากห้องรับรองเพื่อเข้าห้องน้ำ

          หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย พิชญ์ก็เดินออกมาเจออริญชย์และตุลย์ที่ยืนรออยู่เพื่อจะเดินเข้าห้องประชุมพร้อมกันกับเขา ตุลย์ยังคงมีท่าทีสบาย ๆ จนน่าอิจฉาทั้งที่วันนี้ก็มีหน้าที่สำคัญไม่ต่างกันกับเขา ผิดกับพิชญ์ที่เริ่มจะสั่นขึ้นมานิด ๆ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังซ้ำเติมเขาด้วยการยื่นหน้ามากระซิบบอกว่า...

           “เสี่ยเล้งกับคุณหลิวมาถึงแล้วนะครับ เพิ่งเดินเข้าห้องประชุมเมื่อซักครู่นี่เอง”

          เป็นถ้อยคำที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจดีชะมัด พิชญ์คิดก่อนจะพยักหน้ารับ

          อริญชย์เดินมาแตะข้อศอกพิชญ์เบา ๆ เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าถึงเวลาเข้าห้องประชุมแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับอริญชย์ บนใบหน้าเฉยชานั้น ดวงตากลับแฝงความเชื่อมั่นในตัวพิชญ์ไว้เต็มเปี่ยม พิชญ์กระชับเสื้อสูทแนบกับลำตัว สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะผายมือเป็นเชิงให้อริญชย์เดินนำไปก่อน แล้วถึงตามด้วยเขาและตุลย์ตามลำดับ



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          หลังจากทางคณะผู้บริหารของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงเอ่ยต้อนรับแขก เลขาก็ทำหน้าที่จับฉลากก่อนจะประกาศลำดับการนำเสนอผลงาน ซึ่งทางเคเค คอนสตรัคชั่นอยู่เป็นอันดับสอง ส่วนกมลวิลาศน์อยู่เป็นอันดับสาม มีบริษัทต่างชาติอีกหนึ่งบริษัทพรีเซ้นท์เป็นลำดับแรก และปิดท้ายด้วยบริษัทเอกชนอีกแห่งที่กำลังมาแรง เท่ากับมีทั้งหมดสี่บริษัท

          พิชญ์นั่งฟังและเก็บข้อมูลต่าง ๆ เลือกดึงเอาข้อดีของคนอื่นมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง ส่วนข้อผิดพลาดตรงไหนที่เขามองออกก็จดจำไว้จะได้ไม่พลาดเช่นกัน แต่ละบริษัทมีเวลานำเสนอผลงานของตัวเองบริษัทละสิบห้านาที และตบท้ายด้วยการถามคำถามจากทางผู้บริหารและแขกที่มาฟังอีกสิบนาที

          บริษัทแรกนำเสนอได้ค่อนข้างดี แต่เนื่องจากเป็นการบริหารงานของต่างชาติ อริญชย์เลยพอเดาได้ว่าทางผู้บริหารรุ่นเก่า ๆ ของวิวัฒน์ดำรงย่อมรู้สึกตะขวิดตะขวงใจ อีกทั้งผลงานที่อีกฝ่ายเสนอมานั้น แค่มองปราดเดียวอริญชย์ก็สรุปได้เลยว่า...

          ...ของถูกและดีไม่มีอยู่จริง มีแต่คุณภาพคับแก้ว ราคาล้นฟ้า

          พอถึงคิวของพิชญ์ที่เดินขึ้นเวทีไปพร้อมกับตุลย์ อริญชย์ก็ขยับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องที่พิชญ์อย่างเปิดเผย นอกจากลักษณะนิสัยต่าง ๆ แล้ว รูปแบบการทำงานของเขาและพิชญ์ก็ถือว่าเติมเต็มกันและกันได้อย่างพอดี ในขณะที่เขาเด็ดขาดและดุดัน พิชญ์กลับยืดหยุ่น แต่ไม่เหยาะแหยะ ซึ่งเอื้อประโยชน์ในการทำงานร่วมกันไม่น้อย

          ภาพพิชญ์ที่เห็นยามนี้ ทำเอาอริญชย์คลี่ยิ้มออกบาง ๆ ในฐานะคนทำงาน ในฐานะผู้บริหาร ในฐานะเจ้านาย เขายอมรับเลยว่าภูมิใจไม่น้อยกับการปลุกปั้นเด็กจบใหม่คนหนึ่งให้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของเขา พิชญ์นำเสนอผลงานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด ตอนตอบคำถามอาจมีบ้างที่ต้องหยุดคิดใคร่ครวญ แต่โดยรวมแล้ว อริญชย์ก็ให้คะแนนพิชญ์ในใจไปเกือบเต็ม

           “ทำได้ดีมาก” เขาเอ่ยชม เมื่อพิชญ์เดินกลับมานั่งข้าง ๆ เขา

           “ตอนพรีเซ้นท์ผมตื่นเต้นจริง ๆ นะ” พิชญ์พึมพำพลางถูมือไปมา

           “แต่นายก็ผ่านมันมาได้แล้วไม่ใช่หรือไง”

           “ขอบคุณนะครับ...”

          คนฟังแสร้งเลิกคิ้วน้อย ๆ ราวกับไม่เข้าใจ แต่พิชญ์ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ เขาเชื่อว่าอริญชย์รู้ว่าเขาเอ่ยขอบคุณออกไปด้วยเรื่องอะไร แต่ถ้าไม่รู้จริง ๆ ก็ช่างมันแล้วกัน

          ลำดับต่อไปเป็นคิวของทางกมลวิลาศน์ ราชันย์เป็นฝ่ายนำเสนอผลงานด้วยตัวเอง น่าแปลกที่รัญญาซึ่งตามติดมาด้วยกันกลับไม่ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยอย่างที่พิชญ์คาดคิด แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นออกอย่างรวดเร็ว จดจ่อกับการฟังการพรีเซ้นท์ของราชันย์

          ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม พิชญ์ฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าราชันย์เป็นคนที่เก่งและน่ากลัวมากคนหนึ่ง แทบไม่ต่างอะไรจากอริญชย์ จะมีนักธุรกิจซักกี่คนกันที่ทำให้คนรู้สึกกลัวเพราะความเก่งของเขา ซึ่งทั้งอริญชย์และราชันย์ต่างก็เป็นหนึ่งในนั้น

           “ทำได้ไม่เลว” อริญชย์เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ ๆ เมื่อเสร็จสิ้นการพรีเซ้นท์ของราชันย์แล้ว

          พิชญ์พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย เมื่อเทียบกับอริญชย์และราชันย์แล้ว เขานับว่าตัวเองยังห่างชั้นอยู่อีกไกล

          บริษัทสุดท้ายที่เข้าร่วมประกวดราคาเป็นบริษัทหน้าใหม่ที่กำลังมาแรง หลังจากฟังพรีเซ้นท์จนจบแล้ว อริญชย์ก็หันมาเอ่ยกับพิชญ์เบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน

           “สอบตก!”

           “ทำไมล่ะครับ”

           “เป็นการบ้านที่นายต้องไปหาคำตอบมา”

          พิชญ์เผลอย่นจมูกด้วยความขัดใจ จะช่วยสอนให้เขาฉลาดขึ้นหน่อยก็ไม่ได้ ต้องให้เขาไปขวนขวายหาคำตอบเองอีก

          ซองสำหรับใส่ราคาประมูลถูกนำมาแจกจ่ายให้กับแต่ละบริษัท จากนั้นจึงเป็นการพักเบรกหนึ่งชั่วโมง อริญชย์มีสายเข้าพอดีเลยเดินเลี่ยงออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอก พิชญ์ถือโอกาสนี้เดินออกมาจากห้องประชุมเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เห็นรัญญากำลังคุยกับตัวแทนบริษัทต่างชาติอยู่เลยไม่ได้เอ่ยทักทาย ส่วนราชันย์ เขาก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายหายไปไหน

          หลังเข้าห้องน้ำเสร็จ พิชญ์ก็เดินออกมาเจอรัญญาที่ยืนเตร่อยู่แถวนั้น เขายกยิ้มมุมปากนิด ๆ ยามที่เธอเอี้ยวตัวมาหาแล้วทำราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ

           “สุดท้ายคุณพีทก็ไม่ยอมวางมือจากโครงการนี้จริง ๆ สินะคะ”


           “อะไรที่ทำให้คุณหลิวเข้าใจผิดแบบนั้นหรือครับ”

          ดวงหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเหมือนจะเรียบตึงขึ้นมาทันที ยามได้ยินถ้อยคำตอบกลับของพิชญ์ แต่รัญญาคงถูกสั่งสอนมาให้รู้จักควบคุมตัวเองเกินกว่าจะยอมเสียมารยาทให้กับคำพูดไม่กี่ประโยคของพิชญ์

           “คุณพีททำให้หลิวแปลกใจได้ตลอดเลยนะคะ ไม่คิดว่าจะเป็นคนพรีเซ้นท์งานเองด้วย”

           “ครับ คุณหลิวอาจจะแปลกใจมากกว่าเดิมอีก ตอนที่รู้ผลว่าใครเป็นคนได้งานไป”

           “อย่ามั่นใจนักเลยค่ะ”

          พิชญ์ยิ้มเรื่อย ๆ ความจริงเขาก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าทางเคเค คอนสตรัคชั่นจะเป็นฝ่ายได้งานหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าถ้าเกิดเขาชวดงานนี้ อริญชย์ต้องเล่นงานเขาแน่ ๆ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ได้พูดข่มเสียหน่อยก็แล้วกัน

           “คิดไม่ถึงเหมือนกันนะคะ ว่าพี่ใหญ่จะยอมปล่อยโครงการพันล้านให้คุณพีทดูแลเอง”

           “อันนั้นก็เป็นดุลยพินิจของคุณใหญ่ครับ ผมเป็นแค่คนรับคำสั่ง”

          หลังจากคุยกันไม่ลงรอยเมื่อหลายวันก่อน พิชญ์ก็คิดว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่กำลังคิดหาประโยชน์จากการเข้าหารัญญา อีกฝ่ายก็กำลังปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างกัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการอยู่ห่างเธอไว้น่าจะเป็นเรื่องปลอดภัยมากกว่า

          ...ในความร้ายกาจของอริญชย์ที่มีต่อเขา ยังมีความดีปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง

          แต่กับสองพี่น้องอย่างราชันย์และรัญญา ภาพลักษณ์ของทั้งคู่ในสายตาพิชญ์ช่างขมุกขมัวเหมือนท้องฟ้าสีเทา ๆ ที่มีหมอกควันปกคลุมอยู่

          แวบหนึ่งที่พิชญ์รู้สึกแปลก ๆ กับท่าทีของรัญญาที่ดูแข็งกร้าวผิดกับทุกครั้งที่เจอ แม้สัญชาติญาณลึก ๆ จะบอกว่ามันดูแปลก แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป คิดว่าคงเป็นเพราะวันนี้เขาและรัญญาต่างเผชิญหน้ากันในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างเป็นคู่แข่งของกันละกัน

           “คุณพีทครับ ท่านประธานเรียก”

          พิชญ์และรัญญาหันไปตามเสียงเรียกของตุลย์ ตุลย์เพียงแค่ผงกศีรษะให้รัญญานิดหน่อยเป็นเชิงทักทาย แล้วก็ไม่ได้สนใจเธออีก พิชญ์เลยถือโอกาสนี้เอ่ยขอตัวจากรัญญาแล้วเดินไปหาตุลย์

           “คุณใหญ่ล่ะ”

           “อยู่ในห้องรับรองครับ”

          พิชญ์พยักหน้ารับ กำลังจะเดินไปหาอริญชย์ที่ห้องรับรองกลับถูกแม่บ้านที่ยกถาดกาแฟมาชนเข้า ตุลย์ขยับจะคว้าพิชญ์ไว้ก็ยังคว้าไม่ทัน กาแฟหกเปรอะเปื้อนเสื้อสูทราคาแพงของพิชญ์ไปทั้งชุด โชคดีที่เป็นกาแฟเย็นชืดที่เพิ่งเก็บออกมาจากห้องประชุม ไม่ใช่กาแฟที่เพิ่งชง พิชญ์เกือบจะหลุดเสียงสบถออกมา ดีว่ายั้งตัวเองไว้ทัน แม่บ้านหน้าซีดเผือด รีบละล่ำละลักขอโทษ

           “ขอโทษทีนะคะ หนูไม่ทันระวัง เดี๋ยวหนูไปเอาผ้ามาเช็ดให้นะคะ”

           “ดูเหมือนจะงานเข้าแล้วนะครับ” ตุลย์เองก็ยิ้มไม่ออก

           “คุณเข้าไปบอกคุณใหญ่ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมขอจัดการกับตัวเองก่อน”

          พิชญ์ต้องเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องน้ำเป็นรอบที่สามของวัน ถึงแม่บ้านจะบอกว่าจะเอาผ้ามาเช็ดให้เขา แต่พิชญ์ก็ไม่คิดว่าการยืนรออยู่บริเวณโถงด้านนอกจะเป็นความคิดที่ดีนัก แล้วดูเหมือนวันนี้เขาจะค่อนข้างดวงสมพงศ์กับสองพี่น้องกมลวิลาศน์เหลือเกิน พิชญ์เพิ่งจะจัดการถอดสูทออกแช่ ราชันย์ก็เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำห้องหนึ่ง

           “สวัสดีครับ คุณพิชญ์”

          พออีกฝ่ายเอ่ยปากทักเขา พิชญ์เลยต้องเอ่ยปากทักกลับไปตามมารยาท

           “สวัสดีครับ”

           “ไม่ยักรู้นะครับว่าจะชอบดื่มกาแฟถึงขนาดนี้”

          พิชญ์หน้าชาเบา ๆ เมื่อเจอคำกระเซ้าของราชันย์ หมอนี่เอาความคิดมาจากไหนว่าเขาชอบดื่มกาแฟถึงขนาดจะอาบตัวเองด้วยกาแฟขนาดนี้

           “อุบัติเหตุครับ”

           “ผมก็ล้อเล่นน่ะครับ ยังไงก็ซักให้สะอาดหน่อยนะครับ เดี๋ยวกลิ่นติดขึ้นมาแล้วจะต้องทิ้งสูทไปเสียเปล่า ๆ”

           “ขอบคุณในความหวังดีครับ”

           “ไม่เป็นไรครับ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ออกมาฟังผลประมูลงานด้วยกันนะครับ”

          ราชันย์เดินออกจากห้องน้ำไปแล้ว แต่พิชญ์ยังคงง่วนอยู่กับการซักสูท รอยยิ้มเมื่อครู่ของราชันย์ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปทำให้พิชญ์ได้ข้อสรุปเพิ่มอย่างหนึ่ง

          ...เขาเกลียดรอยยิ้มของราชันย์ชะมัด...



TO BE CONTINUE




ขอบคุณทุกคนที่รอติดตามเรื่องนี้อยู่ค่า ^^
รอวันสองคนนี้ใจตรงกัน เรื่องนี้น่าจะจบที่ห้าสิบตอนได้
ใกล้แล้วค่า ฮึบๆ ฝากเอาใจช่วยคนปากหนักอย่างคุณใหญ่ด้วยค่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อะไร อะไร มีแผนลอบกัดอะไรอีกไหม 2พี่น้องนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ  o18 งานประมูลใครจะได้ไป จะบาดหมางกันไปกว่านี้หรือเปล่า คุณใหญ่ให้พิชญ์ได้ทุกสิ่งจริง ทุ่มเทคอยหนุน เพื่อให้เคียงข้าง ไม่ใช่ตามหลัง  :katai2-1: :katai2-1: พิชญ์หวั่นไหวใหญ่แล้วว 555 :-[ รรรรตอนหน้าเลย จะไปยังไงบ้างเนี้ย  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เราชอบวิธีที่คุณใหญ่สอนพีทเรื่องงาน ให้พีททำการบ้านและเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน  :katai2-1:

วันนี้คุณใหญ่ก็ให้พีทขึ้น Present งานเองด้วย มิน่าตอนกลางคืนถึงมายืนมองแค่ประตูห้อง ไม่เข้าไปรบกวน..หวังว่างานประมูลครั้งนี้พีทจะได้งานนะ ถ้าพลาด ต้องอยู่ใช้หนี้คุณใหญ่ไปตลอดชีวิตแน่ๆ...​หรือว่าจะจงใจทำให้ชวดงานไปเลยดีละ จะได้อยู่กับคุณใหญ่ไปตลอดโดยอ้างว่าอยู่เพราะชดใช้ที่ทำให้ชวดงานครั้งนี้ดีละพีท....​ :hao6:

...​ติดตามตอนต่อไปน้าาาา ลุ้นพีทททท

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ตามทันแล้ว ..
กำลังใจให้ทั้งพิชญ์ และ ผู้แต่ง

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบ
พื้นที่สีขาว



          มีคำกล่าวว่า ข่าวดีและข่าวร้ายมักจะมาพร้อมกัน ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนพิชญ์เช่นนั้นเสมอ

          หลังจากจัดการกับเสื้อสูทของตัวเองจนเรียบร้อย พอพิชญ์เดินออกมาจากห้องน้ำก็เจอแม่บ้านคนที่เดินชนเขากำลังยืนหน้าเศร้าอยู่ เห็นแล้วก็พลอยสงสาร เขาเลยโบกมือเป็นเชิงว่าช่างมันเถอะแล้วเอ่ยตัดบทคำขอโทษยืดยาวของเธอ พิชญ์พาดสูทลงกับแขนแทนการสวมก่อนจะเดินตรงเข้าห้องประชุม ซึ่งอริญชย์และตุลย์เข้าไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

          อริญชย์ส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นสภาพของพิชญ์ ส่วนตุลย์ขมวดคิ้วเล็กน้อยยามเห็นเสื้อสูทของเขา พิชญ์นั่งลงข้างอริญชย์ พอเอ่ยกระซิบถามถึงซองประมูล อริญชย์ก็ตอบกลับมาว่า

           “ฉันยื่นแล้ว”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมา สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่เวทีด้านหน้า บริษัทผู้เข้าร่วมประกวดราคาโครงการศูนย์การค้าบางกอก บูเลอวาร์ดพากันยื่นซองประมูลกันครบหมดแล้ว ระหว่างรอทางเจ้าภาพหารือเพื่อหาข้อสรุปก่อนแถลงผล บรรดาคู่ค้าที่มาร่วมงานประมูลเลยนั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปพลาง ๆ

          พิชญ์เลือกนั่งเงียบ ๆ ขณะที่คนอื่นนั่งสนทนากันเบา ๆ กลิ่นกาแฟที่ยังอบอวลอยู่รอบตัวจากเสื้อสูทที่พาดอยู่บนเก้าอี้ทำเอาเขารู้สึกเอียนนิด ๆ ระหว่างที่นั่งอยู่ พิชญ์ก็ลอบสังเกตแขกที่มาเข้าร่วมงานประมูล ได้ยินอริญชย์เอ่ยขอเปลี่ยนจากกาแฟร้อนมาเป็นชาร้อนกับแม่บ้านหลังจากพิชญ์เข้ามานั่งด้วย พิชญ์เลยนึกเอาเองว่าอริญชย์คงเอียนกลิ่นกาแฟจากตัวเขาแล้ว

          ระหว่างนั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ มีหลายหนที่พิชญ์สังเกตเห็นว่าสายตาของอริญชย์กับราชันย์มักจะหันมาสบกัน แล้วก็เป็นราชันย์ที่เป็นฝ่ายเลิกคิ้ว ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะยิ้ม แต่ก็ไม่เชิงยิ้ม ขณะที่อริญชย์ยังคงตีหน้าเย็นชา เห็นท่าทางแบบนี้แล้วพิชญ์เลยเผลอยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองเบา ๆ

           “หนาวหรือครับ” ตุลย์สังเกตเห็นอาการของพิชญ์เข้าก็เอ่ยถามด้วยความหวังดี

           “เจ้านายคุณทำตัวอย่างกับก้อนน้ำแข็งแน่ะ เห็นแล้วหนาวชะมัด”

           “เจ้านายผมกับเจ้านายคุณพีทก็คนเดียวกันนี่ครับ”

          คุยกับตุลย์บางทีพิชญ์ก็แอบเหนื่อยเพราะความช่างยอกช่างย้อนของเจ้าตัว พิชญ์คิดพลางเสเบือนหน้ามองทางอื่น ปล่อยอริญชย์นั่งประสานสายตากับราชันย์ไป เท่าที่พิชญ์สังเกตเห็น ดูเหมือนสองบริษัทที่มีลุ้นคว้าโครงการนี้ไปนอนกอดจะมีแค่เพียงเพียงเคเค คอนสตรัคชั่นและกมลวิลาศน์ เขายกมือลูบริมฝีปากตัวเองช้า ๆ ขณะครุ่นคิด

          จากข้อมูลที่พิชญ์เก็บเล็กผสมน้อยมา กมลวิลาศน์ถือว่าห่างหายจากงานด้านก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์นานพอ ๆ กับระยะเวลาที่ราชันย์เดินทางออกจากประเทศไทยไป ซึ่งการกลับมาคว้างานโครงการพันล้านเป็นงานแรกก็นับว่าเป็นงานที่หินเอาการสำหรับทางกมลวิลาศน์ แม้ว่าช่วงระหว่างนี้รัญญาจะก้าวเข้ามากุมบังเหียนแทนพี่ชาย แต่ด้วยลักษณะธุรกิจแบบครอบครัวคนจีนของทางกมลวิลาศน์แล้ว ต้องยอมรับว่าคนเก่าคนแก่ของตระกูลและบรรดาคู่ค้าต่าง ๆ ยังคงให้ความสำคัญกับราชันย์มากกว่า น่าเสียดายที่รัญญาเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่งั้นเธออาจจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้

           “ออกมากันแล้วครับ”

          เพราะอริญชย์เอาแต่นั่งเงียบ ตุลย์เลยเป็นฝ่ายชะโงกหน้ามาบอกพิชญ์ พิชญ์พยักหน้ารับ ยามเห็นคณะผู้บริหารของกลุ่มวิวัฒน์ดำรงเดินออกมา สีหน้าบางคนมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ ขณะที่บางคนกลับดูเฉยเมย

           “ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีความตั้งใจจะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับทางเรา หลังจากทางเราพิจารณาข้อมูลของแต่ละบริษัทแล้ว ทางผู้บริหารก็ขอสรุปผลออกมาดังนี้...”

          พิชญ์กลั้นหายใจทันที เขาเผลอยื่นมือไปยึดชายเสื้ออริญชย์เอาไว้แน่น โชคดีที่อีกฝ่ายไม่สะบัดออก สารภาพเลยว่าตอนนี้เขาลุ้นยิ่งกว่าตอนลุ้นผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก งานชิ้นสำคัญของเขาจะรุ่งหรือจะร่วงก็คงรู้กันตอนนี้

           “สำหรับโครงการใหญ่ของเราโครงการนี้ ทางเราก็หวังว่าเคเค คอนสตรัคชั่นคงจะไม่ทำให้เราผิดหวังนะครับ”

          ริมฝีปากของพิชญ์แย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้างขวางราวกับเพิ่งเอื้อมคว้าเอาโลกทั้งใบมาไว้ในกำมือ ชื่อของเคเค คอนสตรัคชั่นดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว จนเจ้าตัวต้องหยิกขาตัวเองเบา ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าฟังไม่ผิด ก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อมีเสียงแทรกขึ้นมาจากทางฝั่งที่ราชันย์และรัญญานั่งอยู่ด้วยกัน

           “ไม่จริง!”

          รัญญาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ผลการประมูลถูกประกาศออกมา หญิงสาวมองทางทีมผู้บริหารสลับกับหันมามองพิชญ์ จนราชันย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ต้องดึงเธอกลับมานั่งเหมือนเดิมพร้อมกับเอ็ดเบา ๆ

           “หลิว มีมารยาทหน่อย”

          ฝ่ามือแข็งแรงของพี่ชายบีบข้อมือเธอแน่นจนรัญญารู้สึกเจ็บ แต่หญิงสาวกำลังตกตะลึงกับผลประมูลเกินกว่าจะดึงมือออก ทางด้านทีมผู้บริหารเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็ถือโอกาสนี้เอ่ยขอบคุณและกล่าวปิดงานทันที บริษัทอื่นพากันเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับอริญชย์และพิชญ์ แม้กระทั่งราชันย์เอง

           “ยินดีด้วย”

           “ขอบใจ...”

          ทั้งที่มันเป็นแค่คำพูดธรรมดา แต่พิชญ์กลับรู้สึกว่ามันแฝงนัยแปลก ๆ อยู่ในบทสนทนาของอริญชย์และราชันย์ ส่วนรัญญายืนอยู่กับปกรณ์ด้านนอก ท่าทางหญิงสาวยังดูช็อกไม่น้อยที่ชวดงานนี้ไป

           “เรียบร้อยแล้วเราก็กลับกันเถอะ” อริญชย์หันมาเอ่ยกับพิชญ์และตุลย์ก่อนจะเดินนำออกจากห้องประชุม

          พอขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ที่ย้ายจากรถอีกคันมานั่งคู่คนขับตอนหน้าก็หันมามองสูทของพิชญ์ ที่เจ้าตัวไม่ลืมหยิบกลับมาด้วย เขาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากขอสูทจากพิชญ์

           “คุณพีท ขอผมดูสูทหน่อย”

           “หืมม์ มันยังไม่สะอาดเหรอ ผมว่าผมซักคราบกาแฟดีแล้วนะ เดี๋ยวกลับบ้านค่อยให้เด็กจัดการอีกรอบละกัน” พิชญ์พึมพำแต่ก็ยอมส่งเสื้อสูทให้ตุลย์แต่โดยดี

          อริญชย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จับตามองเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไร พอรับเสื้อสูทจากพิชญ์ไป ตุลย์ก็ยกขึ้นมาดมกลิ่นก่อนจะเบ้หน้า เขาพลิกเสื้อสูทไปมาอยู่หลายรอบจนเกือบจะถอดใจส่งคืนพิชญ์อยู่แล้ว อริญชย์ก็เอ่ยถามขึ้นมาเบา ๆ

           “เจอไหม”

           “หาอยู่ครับ คุณใหญ่”

          ปลายนิ้วแข็งแรงไล้ไปตามเนื้อผ้าของเสื้อสูทด้วยความคล่องแคล่วอยู่นาน ก่อนตุลย์จะร้องอุทานออกมาในที่สุด แล้วคีบวัตถุสีดำสนิทที่กลืนไปกับเสื้อสูทออกมา

           “เจอเครื่องดักฟังแล้วครับ”

          คราวนี้พิชญ์ถึงกับเป็นฝ่ายเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง อริญชย์รับเจ้าเครื่องดักฟังที่ว่ามาจากตุลย์ พลิกไปมาอยู่ในมือ โดยที่พิชญ์เองก็ชะโงกหน้ามาดูด้วยเช่นกัน ริมฝีปากหยักบิดออกเป็นรอยยิ้มเยาะก่อนจะพึมพำเบา ๆ

           “ลูกไม้เด็กอนุบาลชัด ๆ”

          ปลายนิ้วแข็งแรงกดเลื่อนกระจกข้างลง ก่อนเจ้าเครื่องดักฟังขนาดจิ๋วจะถูกดีดออกนอกรถราวกับเป็นแค่เศษซากแมลง แล้วอริญชย์ก็หมดความสนใจอีก ผิดกับพิชญ์ที่นั่งไม่ติดขึ้นมาทันที

           “คุณใหญ่ นี่มันหมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ”

          นอกจากอริญชย์จะไม่ตอบแล้วยังหลับตาลงราวกับต้องการจะพักผ่อน เดือดร้อนพิชญ์ต้องหันไปหาตุลย์ที่นั่งอยู่ข้างหน้า

           “คุณตุลย์...”

          ตุลย์ชำเลืองมองผู้เป็นนายแวบหนึ่ง เขาเข้าใจว่าอริญชย์เองคงไม่อยากให้มีสีดำมาแต่งแต้มในโลกของพิชญ์ แต่บางครั้งเจ้านายของเขาก็ต้องยอมรับความจริงว่า เมื่อเลือกที่จะดึงพิชญ์เข้ามาในโลกของตัวเองแล้ว ยังไงโลกของพิชญ์ก็ไม่มีทางเป็นสีขาวไปได้อีก

          โลกสีขาว...มันก็เป็นแค่สังคมในอุดมคติที่ไม่เคยมีอยู่จริง

           “มีคนติดเครื่องดักฟังที่เสื้อสูทคุณพีทน่ะครับ อาจจะเป็นแม่บ้านคนนั้นหรืออาจจะเป็นใครซักคนที่คุณพีทเจอระหว่างทางหลังจากกาแฟหกใส่”

          พิชญ์พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ หลังจากที่กาแฟหกใส่เขา แม่บ้านคนนั้นก็กุลีกุจอเข้ามาเช็ดเสื้อสูทให้เขาพลางละล่ำละลักเอ่ยปากขอโทษ หลังจากนั้นเขาก็ตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เจอแค่ราชันย์ ซึ่งเท่าที่เขาพอจะจำได้ ราชันย์เองก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับเสื้อสูทของเขาเลย งั้นก็หมายความว่า...

           “แต่แม่บ้านคนนั้นเป็นคนของทางกลุ่มวิวัฒน์ดำรง แล้วเธอจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

          อริญชย์ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ หันมามองหน้าพิชญ์ สายตาไม่ได้ปรากฏความล้อเล่นให้เห็นแม้แต่น้อย

           “นายไม่มีทางรู้เลยว่าแม่บ้านคนนั้นเป็นคนของที่นี่จริงหรือเปล่า”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมา เขาคงทั้งซื่อบื้อทั้งโง่ในสายตาของอริญชย์กับตุลย์แน่ ๆ แต่ให้ตายเถอะ เขาไม่รู้เลย ไม่ว่ายังไงก็ไม่รู้ และเขามั่นใจว่าคนปกติก็คงไม่รู้เหมือนกัน

           “แล้วคุณตุลย์รู้ได้ไง”

          ตุลย์ยิ้มเผล่ให้พิชญ์ แต่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร หมดหน้าที่ของเขาแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอริญชย์ในการไขข้อข้องใจให้กับพิชญ์เองแล้วกัน

           “นายคงไม่เชื่อ ถ้าฉันบอกว่าตุลย์ก็เป็นมือวางในการติดเครื่องดักฟังเหมือนกัน”

          พิชญ์ยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา บางทีเขาก็เหมือนไม่รู้จักผู้ชายสองคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

           “ผมนี่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ ไม่รู้จักระวังตัวเลย”

           “มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก นายไม่ได้เติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ และนายไม่ได้ถูกฝึกมา...” อริญชย์นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ที่นายเป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ฉันชอบ...”

          ความตั้งใจของอริญชย์มีแค่อยากให้พิชญ์เก่งกาจในเรื่องธุรกิจ เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้กับเขา ส่วนเรื่องเล่ห์กลต่าง ๆ พวกนี้ เขากลับมองว่ามันไม่จำเป็นสำหรับพิชญ์เลย

          ...ไม่ว่ายังไง เขาก็ยังอยากมีพื้นที่สีขาวอยู่ข้างกาย



.


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          ข่าวการประมูลโครงการบางกอก บูเลอวาร์ดสำเร็จของเคเค คอนสตรัคชั่นนำความยินดีมายังพนักงานทุกคน สำหรับพนักงานระดับล่างจนถึงกลาง ความสำเร็จของบริษัทย่อมเป็นสิ่งยืนยันถึงความมั่นคงในหน้าที่การงานของพวกเขา สำหรับพนักงานระดับสูง นี่เป็นโอกาสอันดีที่เคเค คอนสตรัคชั่นจะได้แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด คว้าเค้กชิ้นโตนี้ไปกิน และมีภาษีเหนือบรรดาคู่แข่งในวงการเดียวกัน

          กลุ่มทีมงานที่ริเริ่มทำโครงการนี้ร่วมกันมากับพิชญ์เองก็พลอยยินดีเมื่อทราบข่าวความสำเร็จนี้ หลายคนทำหน้าที่ช่วยพิชญ์ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ประเด็นสำคัญต่าง ๆ ตลอดจนจัดเตรียมแผนงานบางส่วน ยามที่งานสำเร็จลุล่วงแล้ว พิชญ์เองก็อดคิดถึงบรรดาลูกน้องขึ้นมาไม่ได้

           “กำลังคิดอะไรอยู่”

          อริญชย์ที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่เอ่ยถามพิชญ์โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง หลังจากแอบเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวนานแล้ว

           “คิดเรื่องงานประมูลน่ะครับ”

           “งานประมูลก็เสร็จไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

           “ก็ใช่ครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าคนอื่น ๆ ที่คอยช่วยผมก็มีส่วนให้งานนี้สำเร็จเหมือนกัน เลยคิดว่าอยากจะเลี้ยงตอบแทนพวกเขาเสียหน่อย”

          อริญชย์คลี่ยิ้มออกมา ต้องยอมรับว่าการเป็นผู้บริหาร บางครั้งจะยึดถือแต่อำนาจเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ น้ำใจก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเหมือนกัน

           “เป็นความคิดที่ดี แล้วนายมีแผนยังไงล่ะ”

          พิชญ์นิ่งเงียบไป เพราะว่าเขายังคิดไม่ตกอยู่นี่ไง ถึงได้มัวแต่นั่งคิดจนไม่เป็นอันทำงานทำการ

           “ยังคิดไม่ออกเลยครับ แต่ไม่อยากให้ทางการมาก ผมอยากให้เป็นกันเองมากกว่า ถ้าทางการมาก กลัวว่าพนักงานจะหมดสนุกกันเปล่า ๆ”

           “ก็ดี แล้วคิดว่าจะเลี้ยงวันไหนล่ะ”

          พอได้ยินคำถามของอริญชย์ พิชญ์ก็คว้าปฏิทินมาพลิกดู วันนี้เพิ่งจะวันจันทร์ วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะมีงานโรงเรียนของน้องหนู ถ้าเป็นวันศุกร์...

           “วันศุกร์นี้แล้วกันครับ เผื่อเลิกดึกจะได้ไม่ต้องห่วงว่าวันรุ่งขึ้นต้องมาทำงาน”

           “ที่พูดนี่กำลังหมายถึงตัวเองหรือลูกน้องกันแน่”

          พิชญ์หัวเราะออกมาทันที ตัวเขาเองก็ห่างหายจากงานสังสรรค์ประเภทนี้นับตั้งแต่เรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ส่วนมากก็มักจะเป็นงานเลี้ยงกับบรรดาผู้บริหาร ซึ่งพิชญ์สารภาพเลยว่า เขานั่งตัวเกร็งแทบทุกครั้งที่ไปร่วมงาน ถึงฉากหน้าพิชญ์จะดูเป็นนักธุรกิจที่ภูมิฐาน คู่ควรกับตำแหน่งรองประธาน แต่คงมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังโหยหาชีวิตวัยรุ่นที่ขาดหายไปมากแค่ไหน

           “ทั้งคู่เลยครับ”

           “วันศุกร์ก็ดี นายเลือกร้านเอาตามที่เห็นสมควรเลยแล้วกัน ฉันอนุมัติหมด”

           “ใจป้ำจังนะครับ”

          อริญชย์หัวเราะให้กับคำกระเซ้าของพิชญ์ การได้นั่งคุยอย่างเป็นธรรมชาติกับพิชญ์แบบนี้ทำเอาเขาอารมณ์ดีและรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย เขาหยิบปฏิทินของตัวเองมาดูบ้างก่อนจะต้องขมวดคิ้ว

           “สงสัยฉันจะชวดงานเลี้ยงซะแล้ว”

           “ทำไมล่ะครับ”

           “ฉันมีบินไปประชุมที่ฮ่องกงวันพฤหัส กว่าจะกลับก็วันอาทิตย์เลย”

           “ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

          ถึงจะไม่ได้รู้ตารางงานของอริญชย์ทั้งหมด แต่พิชญ์ก็พอรู้ตารางหลัก ๆ ทว่างานที่อริญชย์เอ่ยถึง เขากลับไม่คุ้นแม้แต่น้อย

           “งานนี้มันฉุกละหุกนิดหน่อย ฉันกำลังจะให้ตุลย์บุ๊คตั๋ววันนี้พอดี”

           “แล้วอย่างนี้คุณใหญ่จะกลับมาทันงานโรงเรียนน้องหนูหรือเปล่าครับ”

          อริญชย์ลืมไปสนิทว่าเขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่าง นั่นคืองานโรงเรียนของน้องหนู ที่ปีนี้หลานสาวตัวน้อยของเขาได้ร่วมแสดงด้วย ความจริงแล้วเขาอยากจะลากไอลดากลับมาดูลูกสาวตัวเองขึ้นแสดงเสียด้วยซ้ำ แต่การที่ไอลดาเตลิดหนีไป ความผิดหลายส่วนก็มาจากเขา ในเมื่อน้องสาวของเขายังไม่พร้อมที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง อริญชย์ก็ไม่คิดที่จะบีบคั้นอีกฝ่าย

           “งานโรงเรียนน้องหนูวันไหน กี่โมงนะ”

          ฟังคำถามของคนเป็นลุงแล้วพิชญ์ก็อดเคืองแทนลูกสาวตัวเองไม่ได้

           “ผมนึกว่าคุณใหญ่จดใส่ตารางของตัวเองไว้แล้วเสียอีก”

           “ฉันว่าจะจดอยู่ แต่มันยุ่ง ๆ เลยลืม ตกลงวันไหนนะ”

           “วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ครับ ตอนหกโมงเย็น”

           “ฉันน่าจะกลับมาทัน เดี๋ยวให้ตุลย์จองตั๋วกลับไฟล์ทเช้า วันอาทิตย์”

           “ถ้างานคุณไม่เสร็จ ไม่ต้องรีบก็ได้นะครับ”

          เห็นท่าทางเกรงอกเกรงใจของพิชญ์แล้วอริญชย์ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ พิชญ์คิดว่าเขาเป็นใครกัน คุณลุงข้างบ้านหรือไง ทำไมเขาถึงจะไม่อยากดูหลานสาวตัวเองขึ้นแสดงกันล่ะ

           “ฉันไม่ปล่อยให้นายไปนั่งให้กำลังใจน้องหนูคนเดียวหรอก”

           “ใครบอกว่าผมจะไปคนเดียว ผมจะขนไปให้หมดบ้านเลย”

           “ก็เอาสิ ป้าน้อยกับนวลก็คงดีใจ”

          ก่อนที่พิชญ์จะมัวแต่ชวนคุยเรื่องงานโรงเรียนน้องหนูจนเพลิน เขาก็นึกได้ว่าเรื่องที่คุยกันค้างอยู่คือเรื่องเลี้ยงพนักงานต่างหาก ดูเหมือนพอคุยเรื่องน้องหนู ทั้งเขาและอริญชย์ต่างก็คุยกันอย่างลื่นไหล

           “ถ้าวันศุกร์นี้คุณใหญ่ไม่อยู่ ผมว่าเราเลื่อนที่จะเลี้ยงพนักงานออกไปก่อนดีกว่า”

           “ไม่ต้องหรอก เอาตามเดิมนั่นแหล่ะ นายจัดการได้เต็มที่เลย”

          เห็นอริญชย์ออกปากมาแบบนี้แล้ว แต่พิชญ์ก็ยังอดลังเลไม่ได้

           “คุณใหญ่ไม่อยู่ร่วมงานแบบนี้จะดีหรือครับ”

          อริญชย์ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา พยายามหักห้ามใจไม่ให้ดึงพิชญ์เข้ามากอดรัดเอาไว้ในวงแขน น่าแปลก...ที่เขาไม่นึกเบื่อในความช่างคิดเล็กคิดน้อยของพิชญ์ ขอเพียงให้พิชญ์คิดเรื่องของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอริญชย์ก็ชอบใจทั้งนั้น

           “แค่นายก็พอแล้ว คราวนี้เป็นผลงานของนายด้วย แต่ถ้าอยากให้ฉันเลี้ยง...” ดวงตาที่มักปรากฏแววเย็นชาอยู่เสมอพลันเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ กว่าพิชญ์จะรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนที่อริญชย์เอ่ยประโยคถัดมา “...ไว้ฉันจะพาไปเลี้ยงกันสองคน”

           “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย” ตอบอุบอิบออกไปแล้วพิชญ์ก็ได้แต่เสก้มหน้าก้มตาทำงาน

          นับวันความรู้สึกดี ๆ ระหว่างเขากับอริญชย์ดูเหมือนจะค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นช้า ๆ จนพิชญ์กลัวเหลือเกินว่า สุดท้ายอาจจะเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายยอมถูกพันธนาการเอาไว้

          อิสรภาพที่เคยเรียกร้องอยากได้นักหนา ยามนี้กลับดูเหมือนจะไม่จำเป็นเสียแล้ว



.



          ข่าวเรื่องที่ทางเคเค คอนสตรัคชั่นเป็นฝ่ายประมูลงานชนะก็รู้มาถึงหูของปฐพีเช่นกัน เขาดูแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นว่าราชันย์ไม่ได้หงุดหงิดมากอย่างที่คาดว่าจะเห็น อีกฝ่ายยังคงมีท่าทีปกติเหมือนทุกวัน จนบางทีปฐพีก็นึกสงสัยว่า...

          ราชันย์อยากได้งานที่ว่าจริงหรือเปล่า หรือแค่ต้องการขัดแข้งขัดขาอริญชย์ไปอย่างนั้น

          แต่ถ้าเอ่ยถามถึงรัญญา เท่าที่เขาบังเอิญได้ยินที่ราชันย์คุยกับปกรณ์หลังเสร็จงานประมูล ดูเหมือนรัญญาจะค่อนข้างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ซึ่งปฐพีก็ไม่ค่อยแปลกใจนัก งานนี้รัญญาลงทุนลงแรงไปเยอะเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากบรรดาคนเก่าคนแก่ในตระกูลว่าผู้หญิงอย่างเธอก็มีความสามารถ ดังนั้นการที่ทางกมลวิลาศน์ชวดงานคราวนี้ นอกจากจะทำให้รัญญาเสียหน้าแล้ว ความน่าเชื่อถือของเธอในสายตาของบรรดาคนเก่าแก่ตระกูลกมลวิลาศน์ก็ลดลงด้วยเช่นกัน

          ปฐพีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่งได้ยินเสียงแกรกกรากก็ชะโงกหน้ามอง เห็นราชันย์ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องนอน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยปากถามออกไปดีหรือไม่ ราชันย์ก็เป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาก่อน

           “จะไปด้วยกันไหม”

          เป็นประโยคคำถามที่คุณครูภาษาไทยไม่ควรปล่อยผ่านเลยจริง ๆ อยู่ดี ๆ ก็ถามขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่มีการเกริ่นที่มาที่ไปให้รู้กันบ้าง คนฉลาดน้อยอย่างเขาจะรู้ไหมว่ากำลังถูกชวนไปไหน

           “ไปไหนครับ”

           “ฮ่องกง” คำตอบของราชันย์ยังคงสั้นและสงวนถ้อยคำอย่างน่าหงุดหงิด

           “เฮียจะไปฮ่องกงเหรอ”
         
           “อืม จะไปจัดการธุระนิดหน่อย จะไปด้วยกันหรือเปล่า ฉันไม่ได้บังคับนาย แค่ลองถามดู เผื่อนายคิดถึงที่นั่น” ยังดีที่คราวนี้ประโยคยาวขึ้นมาอีกหน่อย

          ปฐพีวางหนังสือนิยายภาษาจีนลงข้างตัว ก่อนจะลุกขึ้นมาจากโซฟา ภาพราชันย์ที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดของอาจจะดูแปลกตาสำหรับคนอื่นที่เคยชินกับภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่ผู้กุมบังเหียนบริษัทเครือกมลวิลาศน์ แต่สำหรับปฐพีที่เรียกได้ว่าเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ภาพนี้กลับชวนให้เขาคิดถึงวันเก่า ๆ สมัยที่ยังอยู่ที่ฮ่องกงกับราชันย์

           “ถ้าผมไปด้วยจะไม่เกะกะเฮียใช่ไหม”

           “ถ้าคิดว่านายเป็นตัวเกะกะ ฉันก็คงไม่ชวนไปด้วย”

          ปฐพีอดแสดงความดีใจออกมาไม่ได้ ราชันย์คงไม่รู้ว่าแค่ประโยคธรรมดาที่เพิ่งเอ่ยออกมากลับทำให้เขายินดีที่ได้รู้ว่าราชันย์ยังคิดถึงเขาบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ได้เห็นเขามีหน้าที่เพียงแค่บำบัดความใคร่ให้ ยังเห็นว่าเขาก็มีหัวใจและความรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม

           “งั้นผมขอไปด้วยนะ ผมอยากแวะไปเยี่ยมน้าเหมยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นยังไงมั่ง”

           “เอาสิ ซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากด้วยล่ะ แกจะได้ดีใจ”

           “ว่าแต่เฮียจะไปวันไหนถึงวันไหนบ้างนะ ผมจะได้จัดกระเป๋าถูก”

           “ไปวันพฤหัส กลับวันอาทิตย์”

           “งั้นเดี๋ยวผมจัดกระเป๋าให้เอง เฮียไปทำอย่างอื่นเถอะ”

          ได้ยินปฐพีเอ่ยออกมาอย่างนั้นแล้ว ราชันย์เลยปล่อยกระเป๋าเดินทางของตัวเองให้อีกฝ่ายเอาไปจัดการแทน เขาเดินไปห้องครัวเพื่อชงกาแฟ แวบหนึ่งที่มุมปากกดลึกเป็นรอยยิ้มโดยที่ปฐพีไม่เห็น เขาก็แค่สงสัย...

          ถ้าหากปฐพีรู้ว่าการที่เขาพาเจ้าตัวไปด้วยคราวนี้เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง อีกฝ่ายยังกระตือรือร้นที่จะไปกับเขาอีกไหม เขารู้ว่าปฐพีไม่ใช่คนโง่อย่างที่เจ้าตัวคิดว่าตัวเองเป็น เพราะฉะนั้นอะไรที่ป้องกันได้ก็ควรป้องกันไว้ก่อน

          ราชันย์เพิ่งจะหยิบเมล็ดกาแฟลงมาจากตู้ เตรียมจะชงกาแฟให้ตัวเอง ปฐพีก็ยื่นหน้าเข้ามา แต่ไม่ยอมพูดอะไร จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง

           “มีอะไร”

           “เฮียจะไปฮ่องกง แล้วเรื่องทางนี้...”

          อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ปฐพีไม่ได้โง่อย่างที่เขาคิด เพียงแต่ราชันย์คงไม่รู้ว่าในความฉลาดและรอบคอบของปฐพีนั้น เจ้าตัวก็พยายามเพียงเพื่อจะได้มีส่วนช่วยเขา

           “ช่วงนี้ทางนั้นคงไม่กล้าลงมืออะไรมาก ยังมีชนักปักหลังอยู่นี่นะ” ราชันย์ตอบพลางชงกาแฟไปด้วย ท่าทางเป็นธรรมชาติเสียจนคนมองไม่รู้สึกว่าเขากำลังพูดปดคำโต

           “งั้นก็ดีแล้ว เฮียจะได้ไม่ต้องคอยห่วงทางนี้”

          ปฐพีเดินออกจากห้องครัวไปแล้ว พอดีกับที่ราชันย์ชงกาแฟเสร็จ ความจริงแล้ววันนี้เขาควรจะเปิดเบียร์กระป๋องมาดื่มให้กับความสำเร็จอีกขั้นของตัวเอง แต่กาแฟร้อน ๆ ก็ไม่เลวนัก เดินออกมาจากห้องครัวก็เห็นปฐพีกำลังง่วนอยู่กับกระเป๋าเดินทาง คำถามดังมาจากคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงโซฟาไม่ขาดสาย

           “เฮียว่าผมซื้ออะไรไปฝากน้าเหมยดี”

           “พวกของกินแปลก ๆ กับผ้าไหมก็ได้มั้ง น้าเหมยน่าจะชอบ”

           “ช่วงนี้อากาศที่ฮ่องกงน่าจะแปรปรวน เฮียจะให้ผมเอาเสื้อกันหนาวไปเผื่อให้ไหม”

           “ไม่ต้อง เอาแต่สูทไปก็พอ”

          คำถามยังดังมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย และราชันย์เองก็เอ่ยตอบเรื่อย ๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่าวันนี้เขากำลังอารมณ์ดีจนไม่นึกรำคาญคำถามของปฐพีก็เป็นได้

           “เฮีย นี่เราจะไปนอนบ้านหรือนอนโรงแรมกันเหรอ”

          คำถามนี้ทำเอาราชันย์สะอึกนิดหน่อย เขาแปลกใจที่ปฐพีเองก็เห็นที่นั่นเป็นบ้านไม่ต่างกันกับเขา แต่น่าเสียดายที่คราวนี้เขาคงต้องทำลายความหวังของปฐพี

           “นอนโรงแรม”

          เขาเห็นแววผิดหวังทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่งในดวงตาของปฐพี แต่ก็ทำเป็นไม่เห็นมันซะ ได้แต่เอ่ยกำชับอีกฝ่ายให้จัดการกับกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อย ส่วนเขาก็เดินเข้าห้องมาสะสางงาน หยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ รอให้ปลายสายรับถึงได้เอ่ยย้ำคำเสียงหนัก ๆ ผิดวิสัย

           “กูเอง อย่าลืมนัดของเราล่ะ”

          เรื่องบางเรื่อง เขาปล่อยให้มันคาราคาซังมานานมากเกินไป ตอนนี้ถึงเวลาที่ควรจะสะสางให้มันจบ ๆ ไปเสียทีแล้ว

          บางทีต้นสายปลายเหตุของเรื่องบ้า ๆ มันอาจจะมาจากเขาเองก็เป็นได้

          เขาที่ใจอ่อนมากเกินไป น่าดีใจที่ในตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความใจอ่อนอีกต่อไปแล้ว



TO BE CONTINUE


พาคุณใหญ่กับพีทกลับมาแล้วค่า อาทิตย์ที่แล้วป่วย เลยไม่ได้มาลง
ขอบคณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ ^^
พีทเก่งมาก ๆ ยังงี้คุณใหญ่ต้องให้รางวัลแล้วเนอะ
ตอนหน้าเราจะเกาะกระเป๋าคุณใหญ่ไปฮ่องกงกันค่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ชวนติดตามมากคับ

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โว้ยยยยยยยยยยยยยอะไรอีกละเนี้ย อ่านไปอ่านมา ไม่เก็ทสักอย่าง มีลับลมคมในเยอะจริงเว้ย2คนนี้  o18 ช่วยเคลียร์ๆให้เข้าใจสักเรื่องหน่อยดิราชันย์ ลีลาอยู่นั่น อยากรู้ว่าจะแก้ยังไงกัน ลุ้นจนเซ็งละนี่ 555 จะไปปะทะไรกันที่ฮ่องกง งานนี้มีเลือดสาดไหม กลัวใจ คุณใหญ่กับพิชญ์ระหว่างสองคนผ่อนคลายขึ้นมากเลย ก็หวังว่าจะดีไปเรื่อยๆแบบนี้นะ และดีใจด้วยที่ได้งานประมูลมา ก็ทางนั้นเล่นตุกติกเกิ๊น สนุกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออ่านอยู่เสมอค่า ก็ว่าอยู่เห็นเงียบๆ อ๋อ ป่วย ดูแลตัวเองด้วยนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: 

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
คุณใหญ่ต้องสอนให้พีทมีเขี้ยวเล็บบ้างน้าาาาา
เวลาคุณใหญ่ไม่อยู่ด้วยเรานี่หวาดระแวงตลอดเลย
ว่ายัยตะหลิวจะใช้มารยาอะไรมาหลอกพีทอีก
นี่เห็นว่าคุณใหญ่จะไปต่างประเทศ เรายิ่งห่วงพีทเลย
ฝากคุณใหญ่พิจารณาทวบทวนพื้นที่สีขาวของพีทด้วยค่าาา  o18

ปล.เราก็เพิ่งฟื้นไข้เหมือนนักเขียนเลย อากาศเปลี่ยนบ่อยดูแลสุขภาพด้วยน้าาาาเป็นกำลังใจให้ค่ะ
...​รอตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบเอ็ด
พี่น้อง





          เช้านี้พิชญ์ตื่นแต่เช้าตรู่ผิดจากทุกวัน เมื่อคืนหลังจากส่งน้องหนูเข้านอนแล้ว พอกลับถึงห้องของตัวเองพิชญ์ก็หลับทันที วันนี้เขาเลยค่อนข้างรู้สึกสดชื่น เพราะได้นอนหลับเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน

          หลังสะสางงานประมูลเสร็จเรียบร้อย เหลือแค่ส่งมอบงานให้แผนกต่าง ๆ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบแยกตามสายงาน คุณพ่อลูกหนึ่งอย่างพิชญ์ก็มีเวลากลับมาดูแลน้องหนูอย่างเคย แต่ดูเหมือนช่วงนี้เวลาของทั้งคุณพ่อและคุณลูกจะสวนทางกัน พอพิชญ์เคลียร์ตัวเองจนว่าง ช่วงนี้น้องหนูก็มีซ้อมการแสดงหลังเลิกเรียนจนต้องกลับบ้านช้ากว่าปกติ ซึ่งการกลับบ้านช้าของน้องหนูยังพอทำเนา แต่ปัญหาคือ พอเจ้าตัวเล็กของพิชญ์กลับถึงบ้านก็พาลเหนื่อย บางวันก็โยเย บางวันก็ว่าง่าย ยังโชคดีที่น้องหนูยอมเข้านอนแต่หัวค่ำทุกวัน พอคิดถึงตรงนี้ ริมฝีปากของคนเป็นพ่อก็พลันคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

          จะดื้อก็ลูกเขา จะเกเรก็ลูกเขา ถึงอย่างไรพิชญ์ก็รักของพิชญ์...

          เมื่อคืนพิชญ์เพิ่งอ่านนิทานให้น้องหนูฟังได้แค่สองหน้า น้องหนูก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเป็นต้องเรียกร้องให้อ่านเรื่องที่สองต่อ แสดงว่าช่วงนี้น้องหนูเหนื่อยจากการซ้อมที่โรงเรียนจริง ๆ

          เวลาเพียงแค่แป๊บเดียว น้องหนูกลับโตขึ้นมาก นับจากวันแรกที่พิชญ์มีโอกาสอุ้มเจ้าตัวเล็ก ยามนั้นลูกสาวตัวน้อยของเขาดูน่าเกลียดน่าชัง ตัวแดง ๆ เล็ก ๆ ดูแล้วเปราะบางจนพิชญ์แทบไม่กล้าแตะต้อง พิชญ์ยังคงจำสัมผัสแรกที่รับน้องหนูจากพยาบาลมาอุ้มแนบอกได้ไม่ลืม ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นอย่างไร พิชญ์เต็มตื้นเอาก็วันนั้น ความรู้สึกหวงแหน อยากปกป้องและทะนุถนอมราวกับของล้ำค่าเอ่อล้นขึ้นมา เขาขอบคุณไอลดาซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เธอหยิบยื่นโอกาสให้เขาได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการเป็นพ่อคน

          พอคิดถึงน้องหนู อารมณ์ที่ดีอยู่แล้วของพิชญ์ก็เหมือนจะดียิ่งขึ้นไปอีก แม้กระทั่งตุลย์ที่กำลังยกกระเป๋าเดินทางของอริญชย์ลงบันไดไปไว้ข้างล่างหันมาเห็นเข้า ยังอดเอ่ยปากทักไม่ได้

           “เช้านี้มีเรื่องอะไรดี ๆ เหรอครับคุณพีท”

           “สงสัยจะดีใจที่ประมูลงานได้ล่ะมั้งครับ” พิชญ์เสตอบไปอีกเรื่อง พอเห็นกระเป๋าเดินทางที่ตุลย์กำลังยกอยู่ เขาเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอริญชย์จะบินไปฮ่องกงวันนี้ “วันนี้คุณใหญ่บินไฟลท์ไหนนะครับ”

           “ไฟลท์บ่ายครับ มีประชุมวันศุกร์ กินเลี้ยงวันเสาร์ แล้วกลับไฟลท์เช้าวันอาทิตย์ครับ”

          พิชญ์มั่นใจว่าตัวเองเอ่ยถามแค่ไฟลท์ขาไป แต่ตุลย์ก็ช่างรอบคอบสมกับเป็นคนสนิทที่อริญชย์ไว้วางใจ จัดการชี้แจงตารางงานของเจ้านายให้เขาฟังเสียครบถ้วน

          พอยกกระเป๋าเดินทางของอริญชย์ลงมาข้างล่างเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็เตรียมจะยกไปใส่ท้ายรถ แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเลยหันมาถามพิชญ์ที่เพิ่งนั่งเก้าอี้ได้หมาด ๆ

           “วันนี้คุณพีทจะไปส่งคุณหนูเองหรือเปล่าครับ”

          ปกติแล้วถ้าวันไหนพิชญ์ไปส่งน้องหนูเอง นวลก็จะอยู่ที่บ้าน ถ้าพิชญ์เกิดติดงานหรือติดประชุมขึ้นมา นวลถึงจะรับหน้าที่เป็นคนไปส่งน้องหนูพร้อมกับคนขับรถ ช่วงหลายวันมานี้พิชญ์มัวแต่หัวหมุนอยู่กับงานประมูล จึงต้องมอบหน้าที่ให้นวลเป็นคนไปรับและไปส่งลูกสาวตัวน้อยแทนเขา วันนี้พอมีเวลาพิชญ์เลยตั้งใจตั้งแต่ตอนตื่นว่าจะเป็นคนไปส่งน้องหนูเอง และถือโอกาสนี้ให้นวลอยู่ช่วยป้าน้อยที่บ้านไปด้วย

           “เดี๋ยวผมไปส่งน้องหนูเองครับ”

           “ครับ ผมจะได้บอกกริชให้แวะส่งคุณหนูที่โรงเรียนก่อน แล้วค่อยเลยไปส่งคุณพีทที่บริษัท”

          พิชญ์เหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนัง เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควร แถมยังไม่มีใครลงมาข้างล่างนอกจากเขา เลยหยิบหนังสือพิมพ์วันนี้ขึ้นมาอ่านข่าว นี่ก็เป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่พิชญ์ถูกอริญชย์บังคับให้ทำจนกลายเป็นความเคยชินไปโดยไม่รู้ตัว

          ช่วงเริ่มทำงานแรก ๆ พิชญ์ถูกอริญชย์สั่งแกมบังคับว่าต้องอ่านหนังสือพิมพ์หัวธุรกิจทุกเช้าเพื่อติดตามข่าวสารต่าง ๆ และที่สำคัญคือแต่ละอาทิตย์จะต้องมีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรวมอยู่ด้วยอย่างน้อยหนึ่งฉบับ พิชญ์จำได้แม่นว่าตอนนั้นตัวเขายังนึกค่อนขอดอริญชย์อยู่ในใจแทบทุกเช้า คนอะไรช่างโหดร้ายเสียยิ่งกว่าอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเขาอีก แต่พอถึงตอนนี้จริง ๆ พิชญ์ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่อริญชย์ทั้งสั่งทั้งบังคับให้เขาทำมันมีประโยชน์ไม่น้อย ขนาดที่ว่าทักษะภาษาอังกฤษที่อยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางอ่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมของพิชญ์ มาตอนนี้กลับดีขึ้นมากจากการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่อริญชย์เคี่ยวเข็ญให้เขาอ่านทุกอาทิตย์

          เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เรียกให้พิชญ์ละสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์ที่เปิดกางอยู่ขึ้นมามอง เห็นอริญชย์ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเขา ก่อนจะยื่นมือมาหยิบหนังสือพิมพ์ไปถือไว้ฉบับหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมเปิดอ่าน กลับเอ่ยถามเอาจากพิชญ์แทน

           “วันนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้าง” คำถามเรียบเรื่อยที่ดังมา ให้ความรู้สึกเหมือนคุณครูกำลังซักถามการบ้านจากนักเรียนไม่มีผิด

           “เหมือนเดิมครับ ยังเล่นข่าวรถไฟความเร็วสูงกันอยู่เลย มีอีกข่าวที่น่าจับตาก็คงเป็นเรื่องตลาดหุ้นจีนที่ตอนนี้ยังเป็นประเด็นอ่อนไหวว่าจะลุกลามไปเป็นสงครามค่าเงินหรือเปล่า”

           “ดี!”

          พิชญ์ขมวดคิ้ว เพราะไม่มั่นใจว่าดีของอริญชย์หมายถึงอะไร กำลังจะเอ่ยปากถามก็ได้ยินเสียงร่าเริงของน้องหนูดังนำลงมาก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งตุ้บตั้บตามลงมา จนคนเป็นพ่อต้องหันไปเอ็ดเอาด้วยความเป็นห่วง

           “น้องหนู อย่าวิ่งลงบันไดสิครับ ถ้าเกิดตกลงมาจะว่ายังไง”

          เจ้าตัวเล็กยิ้มจ๋อย ๆ เมื่อโดนเอ็ดเอาแต่เช้า เท้าเล็ก ๆ รีบเปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่จะเดินเข้ามานั่งข้างพิชญ์ไปนั่งข้างอริญชย์แทนเสียอย่างนั้น เล่นเอาคนเป็นพ่อถึงกับปวดหัวตุบขึ้นมา ผิดกับคุณลุงที่นั่งหัวเราะกึก ๆ อย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เมื่อกี้ยังทำหน้าเฉยชาอยู่แท้ ๆ

           “ลุงใหญ่จะไปเที่ยวไหนคะ”

          พอได้ยินน้องหนูเอ่ยทักขึ้นมาด้วยความสงสัย พิชญ์ถึงเพิ่งสังเกตว่าวันนี้อริญชย์แต่งตัวสบาย ๆ ดูลำลองกว่าทุกวัน ไม่ได้เป็นทางการมากนัก คงเป็นเพราะตามกำหนดการแล้วอริญชย์จะเข้าที่พักทันทีที่ถึงฮ่องกง ไม่มีนัดหมายกับใครในวันนี้ อีกฝ่ายถึงได้เน้นความสบายเอาไว้ก่อน พอเห็นแบบนี้แล้วก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ และพลอยทำให้เจ้าตัวเล็กรู้ว่าลุงใหญ่กำลังจะหนีเที่ยวด้วย

           “ไปฮ่องกงครับ ไปกับลุงใหญ่ไหมลูก”

          ถ้าคิดว่าจะได้เห็นเด็กดีอย่างน้องหนูตอบปฏิเสธก็ต้องคิดผิดถนัด เจ้าตัวเล็กตาวาวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินผู้เป็นลุงเอ่ยชวน ปกติลุงใหญ่มักจะไปเที่ยวต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ เพิ่งจะมีหนนี้ที่เอ่ยชวนน้องหนู มีหรือที่เจ้าตัวเล็กจะไม่ดีใจ

           “ไปค่ะ” เจ้าตัวเล็กตอบแบบไม่ต้องคิดทันที

           “แล้วไม่ต้องไปโรงเรียนหรือครับ”

          ความฝันเล็ก ๆ ของน้องหนูถูกพ่อพีทเบรกเอี๊ยดเสียจนหัวคะมำ รีบหันหน้ามาทำปากยื่นใส่คนเป็นพ่อแทบไม่ทัน

           “พ่อพีทขา...”

          อริญชย์ทั้งขำทั้งสงสารยามเห็นเจ้าตัวเล็กทำตาปริบ ๆ ออดอ้อน จนต้องลูบศีรษะน้องหนูด้วยความเอ็นดู ยิ่งหันไปเห็นมาดคุณพ่อจอมเข้มของพิชญ์เข้าก็ยิ่งขำ

           “รอน้องหนูปิดเทอมก่อนนะลูก แล้วลุงใหญ่จะพาไป ที่ฮ่องกงมีดิสนีย์แลนด์ที่มีทั้งคุณมิกกี้และคุณมินนี่ด้วย น้องหนูอยากเจอไหมคะ”

          พิชญ์อยากจะบ้าตาย ถ้าไม่ติดว่าอริญชย์เป็นผู้ใหญ่กว่าเขา รับรองได้เลยว่าพิชญ์จะต้องจัดการกับอริญชย์คนแรกแน่ ๆ มีอย่างที่ไหนกัน บอกน้องหนูว่าจะพาไปฮ่องกงตอนปิดเทอม แต่กลับเอาดิสนีย์แลนด์มาล่อให้น้องหนูงอแงจนอยากจะไปขึ้นมาตอนนี้ซะงั้น

          ให้ตายเถอะ! เมื่อไหร่อริญชย์จะเลิกสปอยล์ลูกสาวเขาเสียที

           “ถ้าน้องหนูเป็นเด็กดี เดี๋ยวปิดเทอมพ่อพีทจะพาไป” ...โดยไม่ต้องง้อลุงใหญ่

          พิชญ์ได้แต่เสริมประโยคข้างหลังในใจ เพราะขืนพูดออกไปให้เจ้าตัวได้ยิน มีหวังเรื่องยาวแน่ ๆ

           “น้องหนูจะเป็นเด็กดีค่ะ”

          ได้ยินแบบนี้ พิชญ์ก็ยิ้มให้น้องหนู แต่ไม่วายถลึงตาใส่อริญชย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าโมโหที่สุด

          ระหว่างที่พิชญ์กำลังหว่านล้อมน้องหนู โดยที่มีอริญชย์นั่งดูเฉย ๆ อย่างไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ป้าน้อยก็เดินนำเด็ก ๆ ยกอาหารเช้าเข้ามาวางบนโต๊ะ พอเห็นภาพครอบครัวสุขสันต์แล้วก็อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้

          น่าเสียดาย ถ้าคุณเล็กของเธออยู่ด้วยก็คงดี

          พิชญ์เลื่อนจานข้าวไปให้น้องหนูที่นั่งอยู่ข้างอริญชย์ ยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยเหมือนคุณพ่อใจดี

           “ถ้าอยากให้พ่อพีทพาไปเที่ยว น้องหนูต้องทานผักด้วยนะคะ”

          ได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยถึงศัตรูตัวฉกาจขึ้นมา น้องหนูเลยรีบหันไปมองลุงใหญ่อย่างขอความช่วยเหลือทันที สายตาที่ส่งให้ทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน น่าเสียดายที่คราวนี้ลุงใหญ่กลับแบมือสองข้าง ทำท่าทางว่าช่วยไม่ได้ซะงั้น เล่นเอาเจ้าตัวเล็กหน้ามุ่ย ต้องก้มลงจัดการกับผักชิ้นเล็ก ๆ ในจานด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคุณมิกกี้กับคุณมินนี่ล้วน ๆ เลยนะ

          "วันนี้ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านกันเร็วหน่อยนะ ทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

          คำเปรยของอริญชย์เรียกความสงสัยจากพิชญ์จนต้องเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาสบตากับอริญชย์

           “จะมีแขกมาหรือครับ”

           “ฉันให้คนขับรถไปรับแม่พลอยมากรุงเทพฯวันนี้ วันอาทิตย์จะได้ไปดูน้องหนูแสดงละครเวทีด้วยกันไง แม่พลอยเองก็อยากดู ตอนฉันโทรศัพท์ไปบอก ท่านยังตื่นเต้นยกใหญ่เลย”

          คำอธิบายจากอริญชย์จุดรอยยิ้มบนริมฝีปากพิชญ์ให้ขยับกว้าง เขาคิดไม่ถึงว่าอริญชย์จะใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ขนาดเขาที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ยังเผลอลืมจนน่าตำหนิแรง ๆ แต่อริญชย์กลับคิดได้ว่าควรพาแม่พลอยไปด้วย

           “ขอบคุณนะครับ”

          คำขอบคุณที่พิชญ์เอ่ยออกมาจากใจ เรียกรอยยิ้มอบอุ่นจากอริญชย์ให้ปรากฏอยู่บนริมฝีปากเช่นกัน



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          หลังจากพิชญ์กับน้องหนูออกจากบ้านไปแล้ว อริญชย์ก็ยังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่เดิม โต๊ะอาหารถูกเก็บจนสะอาดเรียบร้อย หนังสือพิมพ์ตรงหน้าถูกกางเอาไว้เฉย ๆ โดยที่อริญชย์ไม่ได้ใส่ใจนัก เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ปลายนิ้วเคาะกับโต๊ะช้า ๆ อย่างคนใช้ความคิด

          ดูเหมือนเกมที่เขาค่อย ๆ กดดันและรุกไล่ราชันย์มาเรื่อย ๆ กำลังจะเห็นผลเสียที

          อย่างน้อยเขาก็ต้องการเห็นคนที่รังแกอธิษฐ์ถูกจัดการ โทษฐานที่มันบังอาจรังแกน้องชายและลอบกัดคนอย่างเขาควรจะร้ายแรงกว่านี้นัก ถ้าเพียงแต่คู่กรณีจะไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างที่เป็นอยู่

          ในความเดียดฉันท์ มันยังมีสายสัมพันธ์บาง ๆ เชื่อมเอาไว้

          ในอนาคตหลังจากเขาสะสางปัญหาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว อริญชย์ยอมรับว่าเขาคิดจะพาอธิษฐ์กลับมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน เพื่อชดเชยเวลาต่าง ๆ ที่สูญเสียไป เพื่อให้อธิษฐ์ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็น น้องชายของเขาไม่สามารถวิ่งหนีฝันร้ายไปได้ตลอด ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับฝันร้าย โดยที่ไม่ให้มันมาทำร้ายตัวเอง นอกเหนือจากปัญหาของอธิษฐ์แล้ว เรื่องของไอลดาก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อริญชย์ไม่คิดจะปล่อยปละละเลย คำฝากฝังของผู้เป็นแม่ผุดวาบขึ้นมาในหัวราวกับจะย้ำเตือนเขา

           ‘ดูแลน้อง ดูแลยัยเล็กด้วยนะใหญ่...’

          ปมที่เขาเป็นคนผูกขึ้นมา เขาก็ควรจะแก้มันด้วยตัวเอง ถ้าขืนยังดันทุรังยื้อเวลากันต่อไป สุดท้ายมันก็ไม่ส่งผลดีกับใครทั้งนั้น

           “ตุลย์...” อริญชย์เอ่ยเรียกลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างหลัง

           “ครับ”

           “ยัยเล็กยังอยู่กับคุณอำพรที่ซานฟรานฯใช่ไหม”

           “ครับ เห็นว่าตอนนี้กำลังดูคอร์สที่โรงเรียนสอนทำขนมอยู่”

          คอร์สเรียนทำขนมงั้นหรือ อริญชย์คลี่ยิ้มมุมปากออกมานิดหนึ่ง ถึงจะเป็นพี่ชายคนโตที่อายุค่อนข้างห่างจากไอลดาอยู่มากหน่อย ทั้งยังดูเหมือนเข้มงวดและโหดร้ายกับเธอ แต่เขาก็รักน้องสาวตัวน้อยของเขามากเกินกว่าที่ใครหลายคนจะคาดถึง น้องสาวที่ขยันสร้างแต่เรื่องปวดหัวให้เขาไม่หวาดไม่หวั่นนับตั้งแต่เล็กจนโต

          หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ไอลดาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่ นอกเสียจากงานถ่ายแบบที่อริญชย์คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายแค่ทำแก้เบื่อ ดังนั้นถ้าไอลดาเกิดอยากจะเอาดีทางด้านการทำขนมนมเนยขึ้นมา แล้วทำไมพี่ชายอย่างเขาถึงจะไม่สนับสนุนเธอล่ะ เผลอ ๆ เขาจะออกทุนเปิดร้านให้เสียด้วยซ้ำ ขอเพียงไอลดานึกอยากเอาดีทางด้านนี้ขึ้นมาจริง ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนที่ผ่านมา

           “ฟังดูไม่เลว คอยดูยัยเล็กเป็นระยะ แล้วรายงานฉันก็แล้วกัน”

           “ครับ คุณใหญ่”

           “แล้วกลางล่ะ”

          ในความเป็นพี่ชายของอริญชย์ เขายอมรับว่าตัวเองมีความลำเอียงอยู่เล็ก ๆ ถึงเขาจะมีน้องสองคนและรักทั้งไอลดาและอธิษฐ์ด้วยกันทั้งคู่ แต่ลึกลงไปก็ต้องยอมรับว่าเขารักไอลดาที่เกิดจากมารดาคนเดียวกันมากกว่าอธิษฐ์อยู่หน่อย อาจจะเพราะความผูกพันหรืออาจจะเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่แน่นหนากว่า เขาเห็นไอลดามาแต่อ้อนแต่ออก เฝ้ามองน้องสาวตัวยุ่งเติบใหญ่ ในความห่างเหินของช่วงอายุที่ห่างกันก็ยังมีความรักและความเอ็นดูให้เต็มเปี่ยม ผิดกับอธิษฐ์ที่มาพบกันตอนโตได้ระดับหนึ่งแล้ว จึงมีความห่างเหินและกำแพงกั้นอยู่บาง ๆ แต่ด้วยสำนึกที่บอกว่าอีกฝ่ายมีสายเลือดเดียวกับเขาอยู่กึ่งหนึ่ง เขาจึงรักและพยายามดูแลน้องชายคนนี้ไม่ต่างจากไอลดา

          เมื่อแรกที่พบกัน อริญชย์เองก็ไม่ได้สนใจอธิษฐ์มากนัก นอกจากเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นลูกชายอีกคนของบิดา ความสนิทสนมและความผูกพันไม่ได้สร้างได้ในหนึ่งวัน ถึงตัวเขาเองจะไม่ตีโพยตีพายกับการที่บิดามีภรรยาน้อยมากเท่าไอลดา ก็ใช่ว่าตัวเขาจะพอใจนัก เพียงแต่มันไม่ใช่ความผิดของอธิษฐ์ และอริญชย์เองก็โตพอจะแยกแยะออก เขาจึงปัดอคติเหล่านั้นทิ้งและพยายามเอ็นดูอีกฝ่ายให้มาก

          มารู้ว่าถึงอย่างไรสายใยของพี่น้องก็ตัดไม่ขาดเอาคราวที่อธิษฐ์เกิดเรื่อง คราวนั้นอริญชย์หัวฟัดหัวเหวี่ยงมากแค่ไหน คนใกล้ชิดต่างพากันรู้ดี ภาพของน้องชายที่ร่ำร้องขอความช่วยเหลือราวกับถูกกักขังอยู่ในฝันร้ายแทบทำให้เขาไม่เป็นผู้เป็นคน กี่หยดน้ำตาที่รินไหลโดยที่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้ มันทำให้เขาเจ็บปวดทุรนทุรายไม่ต่างกัน เขาซัดราชันย์หลายต่อหลายหมัดจนอีกฝ่ายลงกองไปกับพื้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดปัดป้องหรือหลบหลีก จนตุลย์เสียเองที่ต้องเป็นคนเข้ามาแยกเขากับราชันย์ออกจากกัน ราชันย์ยอมให้เขาอัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สาสมกับความโกรธของเขา เว้นเสียก็แต่เรื่องเดียวที่หมอนั่นไม่ยอม...

           “คุณกลางยังเหมือนเดิมครับ...”

          เหมือนเดิมของตุลย์เป็นยังไง ทำไมอริญชย์จะไม่รู้

           “เหลือเรียนอีกแค่ปีเดียวก็น่าจะจบแล้วมั้ง”

           “ครับ ถึงผลการเรียนของคุณกลางจะไม่ได้ดีมาก แต่ก็น่าจะหางานที่นั่นทำได้ไม่ยาก”

          อริญชย์หยุดเคาะนิ้วกับโต๊ะก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ แต่แสดงเจตนารมณ์ของตัวเองชัดเจน

           “เรียนจบเมื่อไหร่ ฉันจะเอากลางกลับมาอยู่ที่นี่”

          คราวนี้เป็นตุลย์ที่ขยับตัวอย่างอึดอัด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังคิดอะไรอยู่

           “ผมคิดว่าคุณอำพรคงไม่ยอม และที่สำคัญคุณกลางเองคงไม่อยากกลับมาที่นี่”

           “ไม่อยากกลับก็ต้องกลับ”

          คำสั่งของอริญชย์เป็นยิ่งกว่าประกาศิตให้ตุลย์ได้แต่มองอย่างไม่เห็นด้วย เขาไม่เห็นข้อดีของการที่อริญชย์จะบังคับให้อธิษฐ์กลับมาที่นี่เลยแม้แต่น้อย จะเอากลับมายัดเยียดให้ราชันย์ ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่ต้องการงั้นหรือ

           “คุณใหญ่...”

           “ไม่ต้องพูดอะไรอีก ไปเตรียมรถได้แล้ว ฉันมีที่ ๆ จะแวะก่อนไปสนามบิน”

          ตุลย์พยักหน้ารับอย่างยอมจำนนก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปเตรียมรถตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ทิ้งอริญชย์ให้นั่งอยู่ตามลำพัง



.



          หลังจากพาผู้เป็นนายไปทำธุระตามที่ได้รับคำสั่งเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็สั่งลูกน้องให้ตรงมาสนามบินสุวรรณภูมิเลย ดวงหน้าของคนสนิทอย่างตุลย์ฉาบไปด้วยความกังวลใจยามที่ผู้เป็นนายยืนยันว่าจะเอาแค่บอดี้การ์ดไปด้วยสองคน แล้วทิ้งให้ตุลย์อยู่ดูแลทางนี้

           “คุณใหญ่ไม่ให้ผมไปด้วยจริงหรือครับ”

           “ฉันว่าฉันสั่งนายชัดเจนแล้วนะตุลย์ นายอยู่ที่นี่คอยดูแลพีทกับน้องหนู ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากนาย”

          ประโยคสุดท้ายของอริญชย์เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ตุลย์ยอมจำนน แล้วปล่อยให้ผู้เป็นนายไปลำพัง หน้าที่ของเขาคือดูแลคนสำคัญของนายให้สมกับที่นายไว้ใจ

           “งั้นเอาคนไปเพิ่มอีกดีไหมครับ”

           “ไม่ต้อง แค่สองคนก็พอแล้ว ฉันไม่อยากให้มันเอิกเกริกนัก ฉันไปเจรจา ไม่ได้ไปรบ”

          ตุลย์ถอนหายใจออกมาอย่างจงใจให้อริญชย์ได้ยิน คนที่กำลังจะไปเจรจาด้วยไม่ใช่คนที่ร่ำ ๆ จะรบกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรือไง พอทำอะไรคนเป็นนายไม่ได้ ตุลย์เลยได้แต่หันไปกำชับลูกน้องสองคนของเขาที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างหลังอริญชย์ให้ดูแลเจ้านายให้ดีแทน

          หลังจากเช็กอินกับทางสายการบินเสร็จแล้ว อริญชย์ก็หันกลับมาสั่งงานตุลย์อีกสองสามอย่าง ไม่วายย้ำหนัก ๆ ในเรื่องที่เขาห่วงนักห่วงหนา

           “ดูแลพีทให้ดี ๆ”

           “ครับ คุณใหญ่”

          ได้ยินตุลย์รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว อริญชย์ก็วางใจ แต่ไหนแต่ไรมา ตุลย์ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง เขาออกปากให้อีกฝ่ายกลับไปได้เลยก่อนจะพยักหน้าให้ลูกน้องสองคนเดินตามเข้าไปข้างใน

          ลับหลังผู้เป็นนายแล้ว ตุลย์ก็โทรเช็กลูกน้องที่ส่งไปรับแม่พลอยที่ประจวบคีรีขันธ์ ได้ยินปลายสายรายงานว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็เบาใจ เตรียมกลับไปเจอพิชญ์ที่คฤหาสน์ ที่เหลือก็ได้แต่หวังให้ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะทั้งที่เมืองไทยหรือที่ฮ่องกงก็ตาม

          พอตุลย์ออกจากสนามบินไปได้ไม่ถึงสิบนาที รถตู้สีขาวติดฟิล์มก็แล่นมาจอดบริเวณจุดรับ-ส่งผู้โดยสาร คนที่นั่งข้างคนขับก้าวลงมาเปิดประตูรถตอนหลัง แล้วร่างสูงผึ่งผายของราชันย์ในชุดลำลองสบาย ๆ ก็ก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะตามด้วยปฐพี ปกรณ์และลูกน้องอีกสองคน กระเป๋าเดินทางขนาดกลางสองใบถูกส่งให้ลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ

           “ไม่ลืมอะไรนะ”

          ราชันย์หันมาเอ่ยถามคนข้างตัวที่ดูจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาสนามบิน พลอยทำให้เขาเผลอยิ้มออกมานิด ๆ ไม่ได้

           “ไม่ลืมครับ เฮียให้พี่กรณ์กลับเลยก็ได้”

          ได้ยินปฐพีว่าอย่างนั้น ราชันย์เลยพยักหน้าให้ปกรณ์กลับได้ คนรับคำสั่งค้อมศีรษะนิด ๆ ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ ราชันย์หันไปมองแวบหนึ่งก่อนจะเดินนำปฐพีตรงไปที่เคาน์เตอร์เช็กอิน ระหว่างทางก็เอ่ยชวนอีกคนคุยไปด้วย

           “ตกลงว่าซื้ออะไรไปฝากน้าเหมยนะ”

          ถึงแม้ปากจะขยับเอ่ยถามปฐพี แต่สายตาเขากลับกวาดมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังมองหาใครบางคนอยู่ เมื่อไม่เจอก็เพียงแค่เบือนหน้ากลับมาหาปฐพีที่กำลังทำหน้าตาประหลาด

           “ถ้าผมบอกแล้วเฮียอย่าขำนะ”

           “ของที่นายซื้อไปฝากน้าเหมยมันน่าขำมากเลยหรือ”

          ปฐพีนิ่งไปอึดใจก่อนจะตอบเสียงเบาราวกับกลัวคนอื่นจะได้ยิน

           “ผมให้ร้านขนมไทยเจ้าที่ผมชอบกินแพ็คข้าวเหนียวทุเรียนใส่กล่องให้ครับ นี่ยังกลัวว่าถ้าเจ้าหน้าที่เขาตรวจเจอ แล้วจะว่าเอาอยู่เลย”

          คราวนี้กลายเป็นคนฟังอย่างราชันย์ที่ต้องทำหน้าประหลาดแทน

           “พิเรนทร์นักนะ ถ้ากลิ่นออกมามีหวังได้เป็นลมตายกันทั้งลำพอดี”

           “ไม่น่าจะออกนะเฮีย ผมให้เขาซ้อนถุงหลายชั้นเลย เห็นคราวก่อนน้าเหมยแกบ่นอยากกิน ผมเลยตั้งใจซื้อไปฝาก”

           “วันหลังหาซื้อแบบฟรีซให้แกแทนก็ได้มั้ง”

           “ผมก็แค่อยากให้น้าเหมยกินแบบอร่อย ๆ เอง” ปฐพีเอ่ยแก้ตัวเสียงอ่อย

          ราชันย์หันมามองคนที่ทำหน้าเหมือนกับเด็กโดนดุแล้วก็ต้องส่ายหัวช้าๆ กำลังจะเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่าย แต่สำนึกบางอย่างที่แล่นขึ้นมาก็ทำให้เขาชะงัก บังคับตัวเองให้หดมือกลับมาไว้ข้างตัวเหมือนเดิม

          ยิ่งเผลอไผลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถลำลึกมากเท่านั้น

          อีกไม่นาน...คงถึงเวลายกเลิกเงื่อนไขบ้า ๆ ที่พันธนาการกันเอาไว้เสียที

          อะไร ๆ ที่ไม่ควรเริ่มมาตั้งแต่แรกก็ควรจะหยุดลงเสียตั้งแต่ตอนนี้...ก่อนที่อะไร ๆ มันจะสายเกินไป



TO BE CONTINUE




ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ^^
คุณใหญ่เขาอ่อนโยนแล้ว เสี่ยเล้งต้องอ่อนโยนบ้างนะคะ
ถึงคุณใหญ่จะไม่อยู่ แต่คุณใหญ่ยังอุตส่าห์ทิ้งมือขวาอย่าตุลย์ไว้คอยดูแลพีท




ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด