ห้องทำงานของผู้บริหารบริษัทก่อสร้างเครือกมลวิลาศน์เงียบกริบ มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาดังวินาทีต่อวินาที จนคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงชุดรับแขกมุมห้องต้องขยับตัวด้วยความอึดอัด เรียกสายตาคมปลาบจากเจ้าของห้องให้เงยขึ้นมามองเพียงแวบหนึ่ง ก่อนที่ราชันย์จะก้มลงเซ็นเอกสารต่อ
ปฐพีขยับตัวอย่างเมื่อยขบหลังจากนั่งนิ่ง ๆ มาร่วมชั่วโมง มองหนังสือนิยายภาษาจีนที่วางอยู่ข้างตัวสองเล่มแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาอ่านนิยายที่หยิบติดมือมาจากคอนโดจนเบื่อแล้ว เจ้าของห้องก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ทำราวกับว่าเขาเป็นแค่เพียงอากาศธาตุ ทั้ง ๆ ที่ราชันย์เป็นฝ่ายสั่งให้ปกรณ์พาเขามาที่บริษัทเองแท้ ๆ พอเขามาถึงก็ไม่สนใจไยดีกันแม้แต่น้อย ดูเหมือนเสียงบ่นกระปอดกระแปดในใจของปฐพีจะดังเข้าหูราชันย์ คนถูกพาดพิงถึงในใจวางปากกาลงก่อนจะเอ่ยถามปฐพีขึ้นมา
“อ่านหนังสือจบแล้วหรือไง”
ดูท่าทางว่าราชันย์คงคิดว่าตัวเองพาปฐพีมาเปลี่ยนที่อ่านหนังสือจริง ๆ
“ยังครับ แต่ไม่อยากอ่านแล้ว”
“ไม่สนุกงั้นเหรอ”
“เปล่าครับ”
“ฉันงานเยอะ ไม่ว่างพาไปเที่ยวไหนหรอกนะ”
“ผมรู้...”
ตอบรับเสียงเบาแล้วปฐพีก็ทำทีเป็นหยิบหนังสือเล่มที่เพิ่งวางขึ้นมาเปิดผ่าน ๆ อีกรอบ ถ้าราชันย์จะเรียกเขามาหาเพื่อให้มานั่งอ่านหนังสือที่นี่ วันหลังปล่อยเขาอยู่ที่คอนโดคนเดียวก็ได้ เคยได้ยินคนอื่นเขาร่ำลือกันว่าสมัยก่อนราชันย์เจ้าชู้แถมยังชอบเที่ยวสำมะเลเทเมา ปฐพีล่ะขอเถียงขาดใจ ตั้งแต่รู้จักมาเขาก็เห็นราชันย์เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอนอยู่ฮ่องกงหรืออยู่ประเทศไทย หายใจเข้าก็งาน หายใจออกก็งาน ส่วนตัวเขาก็เป็นแค่ของเล่นคลายเครียดราคาแพง
ปฐพีพยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง เขาควรจะรู้สถานะของตัวเองดี แต่ก็ยังชอบหวังลม ๆ แล้ง ๆ เกินตัวอยู่เรื่อย
ขณะทำท่าเหมือนตัวเองกำลังอ่านหนังสืออยู่ ปฐพีก็เกือบจะทำหนังสือร่วงจากมือ เมื่อคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานเอ่ยออกมาเสียงเรียบอๆ ไม่ยินดียินร้ายใดอๆ แต่ความหมายในประโยคนั้นกลับทำเอาคนฟังเต็มตื้น
“ถ้าเสร็จงานไม่ดึก เดี๋ยวจะพาไปหาน้ำ”
สารภาพตามตรงเลยว่า ปฐพีซ่อนรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเอาไว้ไม่มิดจริง ๆ เขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่เก่งนัก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ปฐพีก็ไม่ใส่ใจ
เวลามีความสุข เขาก็อยากจะยิ้ม เวลาเศร้า เขาก็อยากจะร้องไห้ เวลาของคนเรามันช่างแสนสั้น ปฐพีเลยไม่รู้ว่าจะมัวเก็บงำความรู้สึกไปทำไมกัน
ทว่ากับคนบางคน ความรู้สึกของเขาดูเหมือนจะไม่เคยส่งไปถึงเลย เพราะไม่อยากรับรู้ หรือเพราะความรู้สึกของเขามันไม่มีค่ากันแน่
แต่อย่างน้อย ในวันนี้ปฐพีก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ตัวเองยิ้มได้ เขาเคยบอกราชันย์เมื่อหลายวันก่อนว่าคิดถึงน้องชาย ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา ตอนนั้นราชันย์ตอบปัดว่าให้รอเสร็จเรื่องแล้วจะพาไปหา เขาอุตส่าห์ถอดใจและหมดหวังไปแล้ว จู่ ๆ วันนี้กลับเอ่ยปากออกมาว่าจะพาไป อย่างน้อยก็ยังใส่ใจความรู้สึกของเขาอยู่บ้างใช่ไหม
ความดีใจที่จะได้เจอชลธี เทียบไม่ติดเลยกับความดีใจที่ได้รับรู้ว่าราชันย์เองก็ยังนึกถึงความรู้สึกของเขา แม้ความใจดีที่ให้มามันจะน้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้รับเลย
“ขอบคุณนะเฮีย...”
คำขอบคุณของปฐพียังคงไม่เข้าหูราชันย์ตามเคย นอกจากจะไม่ตอบรับแล้ว ราชันย์ยังไม่มีแม้ท่าทีจะรับรู้หรือได้ยินสิ่งที่ปฐพีพูด ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นแค่เพียงสายลมที่พัดผ่าน แต่ปฐพีก็ดูเหมือนจะชินเสียแล้ว เขาจะไม่ชินได้อย่างไร ในเมื่ออยู่กับราชันย์มาหลายปี เคยอยู่ด้วยแม้ในวันที่ราชันย์ย่ำแย่สุด ๆ หรือกระทั่งวันที่อีกฝ่ายร้ายกับเขาอย่างที่สุด
ปฐพีเปิดหน้าหนังสือที่คั่นเอาไว้ แต่สายตากลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ตัวหนังสือตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เขานั่งมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเงียบ ๆ
วันนี้เขายังมีที่ข้าง ๆ ราชันย์ให้อยู่ แต่ถ้าถึงวันที่ราชันย์ให้อิสรภาพกับเขาขึ้นมา คนอย่างเขายังมีที่ตรงไหนให้อยู่อีก
ปฐพีถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทว่ากลับดังชัดในความรู้สึกของคนฟัง จนคนที่พยายามจะไม่สนใจต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“ถ้าเบื่อนักก็ลงไปเดินเล่นข้างล่างไป”
คำอนุญาตคราวนี้ทำเอาปฐพีถึงกับพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเองก็ไม่อยากนั่งอุดอู้อยู่แต่ในห้องทำงานของราชันย์ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เอ่ยปากอนุญาตเสียที เขาก็ออกไปเพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ฮ่องกงและไม่ใช่ที่คอนโด ไม่ใช่ที่ ๆ เขาจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้ ดังนั้นพอได้ยินคำอนุญาตกลาย ๆ เขาเลยไม่คิดจะรอช้าให้ราชันย์เปลี่ยนใจขึ้นมา
“งั้นเดี๋ยวผมลงไปเดินดูแถว ๆ นี้ ถ้าไม่มีอะไรจะรีบขึ้นมา”
ปฐพีเก็บหนังสือที่เปิดค้างไว้ให้เข้าที่เข้าทางทันที คว้าเอากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มายัดเข้ากระเป๋ากางเกงลวก ๆ จนคนที่นั่งมองอยู่ต้องส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความระอา พอเห็นปฐพีกำลังจะก้าวออกจากห้องก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เสียงเรียบ ๆ ถึงได้เอ่ยกำชับตามไป
“เดินเล่นข้างล่างก็แปลว่าข้างล่างนะ”
ปฐพียิ้มแหยออกมาเหมือนเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้ เวลาเขาแอบไปหาพิชญ์ทีไรไม่แคล้วต้องถูกราชันย์รู้เข้าทุกครั้ง แต่วันนี้เขาไม่ได้คิดจะไปหาพิชญ์จริง ๆ ตั้งใจว่าจะเดินวนดูรอบ ๆ แถวนี้แล้วก็จะกลับขึ้นมา ถึงเขาอยู่ในห้องแล้วราชันย์จะนั่งทำงานโดยไม่สนใจเขา แต่ปฐพีกลับนึกเกรงใจเสียเอง จะขยับตัวทำอะไรแต่ละทีก็กลัวจะไปทำลายสมาธิของราชันย์ เลยต้องรีบหนีออกมาจากห้องทันทีที่มีโอกาส
ถึงช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยไม่เป็นตัวถ่วงก็ยังดี
ปฐพีกดลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง ตั้งใจว่าจะเดินเล่นอยู่รอบ ๆ ตึก ไม่ไปไหนไกล เห็นสายตาของพนักงานหลายคนมองมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พยายามทำหน้านิ่ง ๆ เขาไว้ ตอนปกรณ์พาเขามาก็มีแต่คนมอง แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามซักคน ถึงไม่เกรงสายตาดุ ๆ ของปกรณ์ แต่อย่างน้อยพนักงานพวกนี้ก็ต้องกลัวราชันย์อยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนของราชันย์ ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง
ปฐพีกำลังจะเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกแล้วแอบเข้าหลังเสา แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ใช่ภาพที่น่ามองนัก เพราะดูเหมือนเขาจะเห็นอะไรบางอย่างมาอยู่ผิดที่ผิดทางเข้าให้แล้ว
ภาพของพิชญ์ที่ยืนอยู่กับรัญญาทำเอาปฐพีตัวแข็งทื่อ นึกสงสัยไปร้อยแปดว่าเหตุใดพิชญ์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...อยู่กับรัญญา!
บอกว่ามาเจรจาธุรกิจหรือคุยงานกัน ร้อยก็ไม่เชื่อ พันก็ไม่เชื่อ ถึงจะไม่ได้ฉลาดนัก แต่ปฐพีก็ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าบริษัทของพิชญ์กับราชันย์เป็นคู่แข่งกัน
ปฐพีเกือบจะขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมแล้ว ยามเห็นพิชญ์คุยกับรัญญาแล้วยิ้มอยู่ตลอด ถ้าหากไม่มีฝ่ามือหนัก ๆ ยื่นมากดไหล่เขาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มสะดุ้งนิด ๆ แล้วค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใคร
“พี่กรณ์ มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย”
ปกรณ์ไม่ได้ใส่ใจคำต่อว่าต่อขานของปฐพี เขามองตามสายตาของปฐพีก็เห็นพิชญ์กับรัญญากำลังยืนคุยกันอยู่ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก เลยหันกลับมามองปฐพีที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“เฮียบอกให้ผมลงมาเดินเล่นข้างล่างได้”
“รู้แล้ว แต่ที่พี่ถามคือดินกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟังคำตอบปฏิเสธแล้วปกรณ์ก็จ้องปฐพีอย่างคาดคั้น จนคนถูกมองต้องหลบตา เอ่ยออกมาเสียงอ่อย ๆ “ผมแค่อยากรู้ว่าพีทมาที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถึงมาอยู่กับคุณหลิว เฮียรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
ปกรณ์ฟังแล้วถึงกับต้องส่ายหน้าด้วยความระอา ความรักเพื่อนของปฐพีมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ดีตรงที่มันจะทำทุกอย่างที่ราชันย์วางแผนมาพังเอาง่าย ๆ แถมไม่ใช่แค่ราชันย์คนเดียวที่เดือดร้อน แม้แต่ตัวปฐพีเองก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน
“ไม่ใช่เรื่องของดินเลย กลับขึ้นไปหาเฮียเถอะ”
“พี่กรณ์รู้ใช่ไหมว่าคุณหลิวกำลังจะทำอะไร”
นอกจากจะไม่ตอบคำถามของปฐพีแล้ว ปกรณ์ยังใช้แรงที่มากกว่าดึงปฐพีออกมาห่าง ๆ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่อยากให้รัญญาหรือพิชญ์หันกลับมาแล้วเห็นว่าปฐพีอยู่ที่นี่ด้วย
“อย่าทำอะไรนอกเหนือจากที่เฮียสั่ง กลับขึ้นไปหาเฮียได้แล้ว”
“แต่พี่กรณ์...”
“ดินอยู่กับเฮียมานาน ดินน่าจะรู้นะว่าถ้าเฮียโกรธแล้วจะเป็นยังไง”
ปฐพีหันหลังกลับไปมองพิชญ์กับรัญญา พอเห็นว่าพิชญ์ก้าวขึ้นรถไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะยอมแพ้
“เอาล่ะ กลับขึ้นไปหาเฮียได้แล้วมั้ง อย่างน้อยก็ก่อนที่คุณหลิวจะเห็นนายเข้า”
“ครับ ๆ”
ปฐพีได้แต่รับคำอย่างจำใจ ในเมื่อพิชญ์ขึ้นรถไปแล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีก จะให้เดินเข้าไปถามรัญญา สงสัยคงต้องรอให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายเสียก่อน
อันที่จริงแล้ว ปฐพีก็รู้สึกว่าเขากำลังวุ่นวายเกินกว่าเหตุ แต่เขาก็แค่เป็นห่วงพิชญ์ ลำพังตัวเขาเองก็ไม่ได้มีที่ ๆ รู้สึกว่าเป็นของตัวเองมากนัก แค่ราชันย์ยอมให้เขาเข้ามานั่งเล่นที่บริษัทก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะตั้งแต่กลับมา ที่นี่คงเป็นที่เดียวของอาณาจักรกมลวิลาศน์ที่ปฐพีได้มีโอกาสได้เข้ามาเหยียบ อย่าได้เอ่ยถึงบ้านใหญ่ของราชันย์เลย แม้แต่ประตูรั้วเขายังไม่เคยมีโอกาสเห็นด้วยซ้ำ ราวกับว่ามันเป็นที่หวงห้าม เป็นพื้นที่ส่วนตัว เป็นที่ ๆ เขาไม่มีสิทธิ์ คิดแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้แล้วหันหลังเดินกลับไปทิ่ลิฟต์
“ผมไม่หนีไปเถลไถลที่ไหนหรอกพี่กรณ์ เดี๋ยวผมก็ขึ้นลิฟต์ไปแล้ว” ปฐพีอดท้วงไม่ได้ เมื่อเห็นปกรณ์เดินตามเขามาติด ๆ
“ฉันไม่ได้ตามมาคุมความประพฤติของนายหรอกน่า แค่จะขึ้นไปหาเฮียเหมือนกัน”
“ผมยังไม่ทันว่าอะไรเลย”
ปกรณ์แค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะดันปฐพีให้เข้าไปในลิฟต์ คนที่เดินเข้ามาก่อนยืนพิงผนังลิฟต์ข้างหนึ่ง พอเห็นว่าในลิฟต์ไม่มีคนอื่น มีแค่เขากับปกรณ์ จึงอดเอ่ยถามขึ้นมาอีกไม่ได้
“พี่กรณ์ ทำไมวันนี้เฮียถึงยอมให้ผมมาที่นี่ล่ะ”
“กลัวนายจะคลาดสายตาล่ะมั้ง”
“พี่ก็รู้ว่าผมอยู่ในสายตาเฮียตลอด”
ปฐพียอมรับว่าครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยนึกอยากหนีจากราชันย์และลองทำขึ้นมาจริง ๆ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันกลับเลวร้ายกว่าที่เขาคิดนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาเลิกคิดหนี เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้ปฐพีหนีไปไหนไม่รอดมีอยู่แค่เพียงเหตุผลเดียว
รัก...ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรรักและไม่มีสิทธิ์รัก
แต่เพราะรักไปแล้วเลยเลือกที่จะอยู่เคียงข้าง จนกว่าจะถึงวันที่ราชันย์ไม่ต้องการเขา
.
หลังจากพิชญ์โทรศัพท์หากริช แล้วปรากฏว่าอีกฝ่ายยังรอเช็กเครื่องรถอยู่ที่ศูนย์ รัญญาเลยเสนอด้วยความหวังดีว่าจะให้คนขับรถมาส่งพิชญ์ที่บริษัท แต่พอลองคำนวณเวลาเลิกเรียนของน้องหนูแล้ว พิชญ์เลยขอรับความปรารถนาดีของเธอ แต่เปลี่ยนจุดหมายจากที่บริษัทเป็นโรงเรียนของน้องหนูแทน ซึ่งเขามาถึงก่อนเวลาเลิกเรียนของน้อยหนูเล็กน้อย
“วันนี้คุณพ่อมารับมาส่งด้วยตัวเองเลยนะคะ” คุณครูคนเดียวกับเมื่อตอนเช้าเอ่ยแซวยิ้ม ๆ ตอนที่เห็นพิชญ์มายืนรอรับน้องหนูทั้งชุดสูท
คุณพ่อเอาแต่ยิ้มรับ ก่อนจะถอดสูทออกพาดลงกับแขนข้างหนึ่ง ยืนรอจนถึงเวลาเลิกเรียน คุณครูพี่เลี้ยงก็จูงน้องหนูมาส่ง พอน้องหนูเห็นว่าคนที่มารอรับเป็นคุณพ่อ ไม่ใช่พี่เลี้ยงอย่างทุกทีก็รีบวิ่งตื๋อเข้ามาหา
“พ่อพีท...”
“ไป กลับบ้านกันครับคนเก่ง”
พิชญ์จับมือน้องหนูมาจูง ก่อนจะหันไปค้อมหัวเป็นเชิงลาคุณครูเวรกับคุณครูพี่เลี้ยง ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ตามมารยาท แต่ก็เล่นเอาคุณครูสาวถึงกับพากันก้มหน้าด้วยความเขินอาย ผิดกับนักเรียนตัวน้อยที่ชักจะหน้าบึ้งขึ้นมาตงิด ๆ เมื่อเห็นคุณครูมองคุณพ่อแล้วเอาแต่ยิ้ม มือเล็กกระตุกแขนพิชญ์แน่น ไม่ยอมก้าวขาออกเดิน ดูท่าว่าอาการงอแงจะมาอีกรอบแล้ว
“เป็นอะไรครับน้องหนู”
“น้องหนูอยากกินไอศกรีม” น้องหนูว่าพลางบุ้ยปากไปยังร้านไอศกรีมร้านโปรดข้างโรงเรียน
พิชญ์มองหน้าน้องหนูสลับกับนาฬิกาข้อมือ เขายังมีงานที่บริษัทที่ต้องเคลียร์อีกเป็นกอง แต่พอเห็นดวงตาแป๋ว ๆ ของน้องหนูแล้วก็เกือบใจอ่อน มาละลายเป็นน้ำเอาตอนที่น้องหนูช้อนตามองพร้อมกับเอ่ยเสียงอ้อน ๆ
“เวลาพี่นวลมารับ น้องหนูก็ไม่ได้กินไอศกรีมเลย วันนี้พ่อพีทอุตส่าห์มารับน้องหนู...”
“ครับ ๆ แต่มีข้อแม้นะคะคนเก่ง...”
“พ่อพีทของหนูน่ารักที่สุดในโลกเลย”
“ฟังพ่อพีทให้จบก่อนสิ ให้แค่ลูกเดียวนะคะ แล้วก็ใส่โคนกลับบ้านนะ เพราะพ่อพีทต้องรีบกลับไปทำงานต่อ”
น้องหนูยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารับ มือเล็กรีบกึ่งจูงกึ่งลากคนเป็นพ่อให้เดินตาม เสียงแจ๋ว ๆ ร้องสั่งไอศกรีมกับพี่สาวอย่างคุ้นเคย เพียงครู่เดียวก็ได้ไอศกรีมช็อคโกแลตใส่โคนมาอยู่ในกำมือ พอได้ของที่ตัวเองต้องการแล้ว น้องหนูก็ยอมเดินตามพิชญ์ต้อย ๆ ดูเหมือนไอศกรีมตรงหน้าจะน่าสนใจกว่าคนเป็นพ่ออย่างพิชญ์เสียอีก พิชญ์ได้แต่คลี่ยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่
“อ้าว อากริชล่ะคะ”
น้องหนูจำได้ว่าเมื่อเช้าอากริชมาส่งตัวเองกับพ่อพีท แต่ไหงตอนกลับถึงต้องนั่งแท็กซี่กลับแทน
“อากริชเอารถไปซ่อมค่ะ”
คราวนี้น้องหนูถึงกับตาโต
“อากริชทำรถเสียเหรอคะ ลุงใหญ่ต้องตีอากริชแน่ ๆ”
“ร้ายนักนะเรา ไม่ใช่ครับ รถมันถึงอายุของมันแล้วต่างหาก อย่าไปฟ้องลุงใหญ่ว่าอากริชทำพังล่ะ”
น้องหนูหัวเราะคิกคักจนไอศกรีมช็อคโกแลตที่กินอยู่เลอะมุมปาก พิชญ์เลยต้องหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาเช็ดให้ ไม่วายเอ็ดเบา ๆ
“แน่ะ เอาแต่เล่นจนเลอะเทอะหมด เดี๋ยวพอไปถึงบริษัทแล้วน้องหนูต้องเป็นเด็กดีนะคะ เพราะพ่อพีทต้องทำงาน รู้ใช่ไหมคนเก่ง”
“รู้ค่ะ”
พอถึงบริษัท พิชญ์ก็กระเตงน้องหนูลงมาจากรถแท็กซี่ก่อนจะจูงมือเข้าอาคาร โชคดีที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เลยมีสายตาแค่ไม่กี่คู่ที่มองมาอย่างสนอกสนใจ อย่างดีก็มีประชาสัมพันธ์ที่กล้าเอ่ยถามยิ้ม ๆ
“อย่าบอกนะคะท่านรอง ว่าที่หายไปทั้งวันนี่คือแอบไปรับลูก”
พิชญ์ได้แต่ยิ้มรับ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจไปแบบนั้นโดยไม่คิดที่จะเอ่ยแก้ไข ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ รีบเอ่ยถามเรื่องที่ห่วงมาตลอดทาง
“คุณใหญ่กลับเข้ามาหรือยัง”
เอ่ยถามออกไป ยังไม่ทันได้รับคำตอบกลับมา พิชญ์ก็ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาดัง พอหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ให้ประชาสัมพันธ์สาว เพิ่งถามถึงอริญชย์อยู่แหม็บ ๆ อีกฝ่ายก็โทรเข้ามาได้จังหวะพอดี
“ครับ คุณใหญ่”
“เห็นกริชบอกว่ารถเสีย เข้าศูนย์อยู่ แล้วใครไปรับน้องหนูล่ะ”
“ผมไปรับมาแล้วครับ เพิ่งมาถึงที่บริษัทนี่เอง”
“แล้วไปยังไง เอารถใครไป”
“แท็กซี่ครับ”
ตอบเสร็จแล้ว พิชญ์ก็ไม่คิดจะรอฟังถ้อยคำเทศนาของอริญชย์ ที่คงจะบ่นเรื่องที่เขาไม่ยอมให้กริชกลับไปเอารถคันอื่น พิชญ์เลยรีบยื่นโทรศัพท์ในมือไปแนบหูน้องหนูก่อนจะกระซิบที่หูอีกข้างเบา ๆ
“คุยกับลุงใหญ่เร็วครับ ลุงใหญ่อยากรู้ว่าวันนี้คุณครูสอนอะไรน้องหนูบ้าง”
เจ้าตัวน้อยของพิชญ์ได้ยินดังนั้นก็ตะปบมือหมับเข้าที่โทรศัพท์ แล้วเสียงแจ้ว ๆ ก็เริ่มร่ายยาวอย่างที่คนเป็นพ่อถึงกับยิ้มกริ่มด้วยความสมใจ
“ลุงใหญ่ขา วันนี้คุณครูสอนน้องหนูปั้นดินน้ำมันด้วยค่ะ น้องหนูปั้นเป็นรูปคุณผีเสื้อกับคุณหนอน”
พิชญ์จูงน้องหนูมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ของผู้บริหาร ยกกรรมสิทธิ์ในโทรศัพท์ของตัวเองให้ลูกสาวตัวน้อยไปด้วยความเต็มใจ ฟังน้องหนูเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คุณลุงฟังไม่หยุดปากแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง เจ้าตัวน้อยของพิชญ์เล่าให้คุณลุงฟังแม้กระทั่งว่ากลางวันกินอะไร นอนกลางวันข้างใคร คุณครูชมว่ายังไงบ้าง
บอกเลยว่าพิชญ์ไม่ได้หาเรื่องเล่นแง่กับอริญชย์แม้แต่น้อย
ก็แค่หวังดี ฟังเสียงดูเครียด ๆ เลยให้คุยกับน้องหนูเสียหน่อย เผื่อจะหายเครียด
TO BE CONTINUE
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า ^^
อย่าเพิ่งโกรธพีทน้าาาา ให้คุณใหญ่โกรธได้คนเดียว
เดี๋ยวปมต่างๆ จะค่อยเฉลยออกมาทีละปมค่า