ASHTRAY
ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้
ตอนที่ 29
เย็นวันวาเลนไทน์โชคกลับมาถึงบ้านในตอนฟ้ามืด เห็นไฟห้องทำงานส่องสว่างตั้งแต่นอกรั้วบอกให้รู้ว่าแก้วอยู่ในห้องนั้น เด็กหนุ่มได้ของติดมือกลับมานิดหน่อย จากเด็กสาวต่างโรงเรียนที่อายุน้อยกว่า ทว่าก็รับรู้ได้ว่าความจริงจังนั้นแตกต่างจากคราวของแพรลิบลับ
แต่ไม่ว่าจะได้ของจากใคร คนที่เขาอยากให้ของขวัญในวันนี้ก็มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ว่าไง” สิ้นเสียงเคาะประตูคนในห้องก็ตอบกลับมา โชคเปิดประตูเข้าไปหา ระบายยิ้มกว้างให้แก้วที่กำลังถอดแว่นวางบนโต๊ะ
“กลับมาแล้วครับ”
“อืม กินข้าวเลยไหม” แก้วรับคำและถามกลับมา จัดการกับแผ่นกระดาษตรงหน้าที่มีรอยวงไว้หลายจุดให้เลื่อนไปตรงกลางโต๊ะทำงานแล้วหยิบที่ทับกระดาษคริสตัลใสมาวางทับไว้เพื่อกันไม่ให้ปลิวตก
“กินเลยก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบ ก่อนจะว่าต่อ “แล้วก็นี่ครับ”
“ให้ฉันเหรอ” แก้วมองดอกกุหลาบสีสดที่อีกคนเดินเข้ามาวางไว้ที่มุมโต๊ะ บนกองหนังสือที่วางซ้อนกันอย่างไม่ใส่ใจจะเก็บ
“ครับ ของขวัญวันวาเลนไทน์” แก้วจำได้ทันทีว่ามันมาจากในสวนข้างบ้าน ต้นกุหลาบที่โชคเอามาปลูกด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อกลางปีก่อน เพียรรดน้ำเฝ้าดูแลอยู่นานกว่าจะออกดอกชุดแรก แต่ตอนนี้กลับเบ่งบานไม่ว่างเว้นจนเต็มต้น
แก้วเคยคิดว่าพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ชีวิตประจำวันธรรมดาของผู้ปกครองและเด็กในปกครอง ดอกกุหลาบดอกเดียวจากโชคไม่ได้ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน เพราะโชคก็ให้ของขวัญวันวาเลนไทน์กับเขาเช่นนี้ทุกปีอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปนั้นอยู่ข้างในตัวเขาเอง
ภาพของเด็กชายในวันวานถูกซ้อนทับด้วยเด็กหนุ่มตรงหน้า และความคิดในหัวยามรับของมาที่เคยว่างเปล่า มีเพียงความเอ็นดูก็ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยระคนไหวหวั่น
...วาเลนไทน์มากมายที่พ้นผ่าน โชคก็คิดกับเขาแบบนี้มาตลอดเลยหรือเปล่านะ
แก้วทบทวนกับตัวเองจนหมดฤดูหนาว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่โชคมองเขาเป็นมากกว่า
น้าแก้ว “แก้วครับ” เสียงของเด็กหนุ่มที่แง้มประตูห้องทำงานโผล่หน้าเข้ามา พร้อมกับมื้อเย็นที่เขาบอกว่าคงไม่มีเวลาออกไปร่วมโต๊ะด้วยในมือ
โชคยิ้ม ขณะที่เอาถ้วยสุกี้เข้ามาวางไว้ข้างโคมไฟตั้งโต๊ะ ตรงที่ว่างๆ ที่ไม่มีเศษกระดาษกองระเกะระกะ ก่อนออกจากห้องไปก็กำชับให้เขากินตอนที่มันยังร้อนอยู่ แก้วบอกขอบใจ ในขณะที่ในหัวคิดย้อนกลับไปถึงแกงส้มกับไข่เจียวชะอม ความห่วงใยเล็กน้อยที่ได้รับมาตลอดหลายปี
...ตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่า ทว่าสำหรับเขาเวลานั้นโชคก็ยังเด็กเหลือเกิน
“ผมไปก่อนนะครับ แก้ว” โชคโน้มตัวผ่านราวกั้นเฉลียงมาทอดเงาทับอยู่เหนือหัวคนสูบบุหรี่ บอกลาก่อนไปเรียนพิเศษประจำวันเสาร์ แก้วเงยหน้าขึ้นไปสบตา พยักหน้าแล้วพูดส่งด้วยถ้อยคำเดิมๆ
“ขี่รถกันดีๆ ล่ะ”
โชคยิ้มสดใสให้แทนคำตอบรับ จากนั้นก็เดินจากไปในขณะที่ลมอุ่นระลอกใหญ่พัดผ่านมา ดอกแก้วโปรยปรายจากต้นกลางลานอิฐที่อยู่คนละฝั่งกับทิศที่เด็กหนุ่มมุ่งไป ทว่าภาพจำกลับปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ในช่วงสายก่อนที่เด็กน้อยของเขาจะไปเดทเป็นครั้งแรก
แววตาที่จับจ้องตรงมาในวันวาน หวานจับใจ แต่ก็ฝาดเฝื่อนเหลือเกิน
...หรือจะเป็นตอนนั้นกันแน่
แต่หลังจากนั้นโชคก็คบเด็กสาวที่ชื่อแพรเป็นแฟน ถึงแม้มันจะกินเวลาเพียงแสนสั้นก็ตาม
“...มะลิ?” น้ำเสียงง่วงงุนดังจากคนที่เพิ่งสะลึมสะลือตื่นเพราะโดนแมวสาวปัดหางผ่านจมูก แก้วนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งที่ประจำ ส่วนโชคนอนหนุนหัวกับหมอนอิงไม่ห่างจากตักเขาไปเท่าไหร่
มือใหญ่ทว่าเรียวยาวตามประสาเด็กหนุ่มที่ยังเติบโตได้อีก ยกขึ้นลูบก้อนขนที่ม้วนตัวขดเป็นวงอยู่บนอกตัวเองแผ่วเบา เป็นทั้งคำทักทายและขับกล่อมอีกฝ่ายให้นอนหลับ ขณะเดียวกันดวงตาคู่สวยก็ปรือต่ำลงพร้อมหล่นสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
แก้วมองดูหนึ่งคนหนึ่งแมวอย่างเงียบงัน พลางคิดถึงสัมผัสที่เคยไล้จับมือตนอยู่บ่อยๆ เวลาที่เด็กน้อยมานอนหนุนตัก โชคชอบมือเขา แก้วรู้ดี และเพราะเด็กชายไม่เคยเรียกร้องความรัก หรืออะไรจากเขามากไปกว่าการกระทำเล็กน้อยที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะให้ได้ จำนวนครั้งที่พวกเขาใกล้ชิดกันเช่นนั้นจึงมีนับไม่ถ้วน
...แล้วในจำนวนเหล่านั้นมันมีกี่ครั้งกันที่โชคไม่ได้จับมือเขาเพียงเพราะความเคยชินติดตัว
ความสงสัยมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ในหัว ร่วมกับชั่วโมงนอนที่น้อยลงทุกวันทำให้แก้วจับไข้กลางเดือนเมษาที่ร้อนที่สุดของปี ร่างกายของชายวัยสี่สิบไม่เหมือนตอนยี่สิบสี่ การอดนอนและโหมงานหนักแสดงผลกระทบต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าหลังจากเป็นลมล้มพับเข้าโรงบาลไปเมื่อสองสามปีก่อน แก้วจะใส่ใจกับสุขภาพตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าที่ควร
“หนาวไหมครับ” พยาบาลจำเป็นข้างเตียงเอ่ยถาม โชคเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเย็นบนหน้าผากให้คนป่วยอย่างเบามือ
“...ไม่เท่าไหร่” แก้วตอบ เสียงแหบแห้งจนเด็กหนุ่มต้องหันไปเทน้ำใส่แก้วมาให้จิบ “ขอบใจ”
“ครับ แก้วหิวไหม เดี๋ยวผมทำข้าวต้มมาให้” ปากเอ่ยถาม แต่ตัวกลับตั้งท่าจะลุกไปทำมาให้อยู่แล้ว แก้วส่ายหัวอย่างอ่อนแรง ขยับร่างกายหาองศานอนสบายแล้วปรือตาต่ำ
“ไม่ต้องหรอก นอนอีกสักงีบก็หายแล้ว”
“งั้นนอนพักเถอะครับ” เสียงพูดบอกแผ่วเบาลงทุกที แต่สัมผัสที่แตะลงบนแก้ม ไล้เกลี่ยเส้นผมให้พ้นกรอบหน้ากลับเด่นชัด “เดี๋ยวผมเฝ้าแก้วอยู่ตรงนี้เอง”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนของพิษไข้หรือเปล่า ที่ทำให้สมองเขารื้อค้นหาสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการกระทำของโชคจากความทรงจำ เรื่องเล็กน้อยที่เคยมองข้ามทยอยกันปรากฏตัวออกมา
เหตุผลที่โชคลังเลที่จะตอบตกลงเป็นลูกบุญธรรมของเขาในวันนั้น หากเพราะเด็กชายไม่อยากเป็นเพียงลูกชายของเขาแล้วล่ะ
ในช่วงเวลาหนึ่งที่เด็กหนุ่มหลบหน้าหลบตา ที่เคยคิดว่าเกิดจากฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังพุ่งพล่าน ถ้าแท้จริงแล้วมันเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธีร์ที่แม้ไม่เคยได้บอกอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ได้คิดจะปิดบังนั้นล่ะ
อีกทั้งคำถามที่กระซิบเพียงแผ่วเบา ด้วยความเจ็บปวดเจือสิ้นหวังเต็มเปี่ยมในดวงตา หลังจากที่พายุอารมณ์สลายตัว ในวันที่เขาบอกว่าธีร์กลับไปแล้ว
‘ทำไมถึงรักอาธีร์ล่ะครับ’ ...บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่คำถาม
แก้วรู้สึกวุ่นวายสับสน เป็นความปั่นป่วนที่แปลกใหม่สำหรับชายวัยสี่สิบปี ยิ่งเมื่อคิดไปถึงค่ำคืนหนึ่งในต่างแดน ตอนที่ถูกโอบกอดเอาไว้แนบแน่น เขาก็เพิ่งจะมานึกออกว่าในตอนนั้นเขาหลับไปในอ้อมอกอุ่น พร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นเร่าจนสะเทือนแผ่นหลังของเขาอยู่นาน
คำว่าชอบของโชค มันจริงจังและมากมายถึงเพียงนั้นเลยสินะ
สามวันต่อมาไข้หวัดก็จากแก้วไป ทิ้งความร้อนไว้ในร่างกายกับความรู้สึกระคายไว้ในลำคอเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับต้องนอนซมบนเตียง แก้วย้ายตัวเองลงมานั่งเฝ้าจอโทรทัศน์ เปิดฟังข่าวยามบ่าย โชคเองก็ตามลงมาเฝ้า ปิดเทอมหน้าร้อนของเขาปีนี้ไม่มีคำสั่งให้ไปเรียนพิเศษจากป้าดา เพราะคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆ มา
“โชค” แก้วเรียก เด็กหนุ่มจึงวางโทรศัพท์ลง แม้เกมออนไลน์จะหยุดกลางคันไม่ได้ แต่มันไม่ได้สำคัญเท่ากับคนตรงหน้าเลยสักนิด
“ครับแก้ว” รอยยิ้มเป็นประกาย ดวงตาวาววับ เหมือนหมาตอนเจ้าของเรียกชื่อไม่มีผิด แก้วเลยได้แต่ยิ้ม ตบหน้าขาตัวเองสองสามทีเป็นสัญญาณ โชคชะงัก ไม่แน่ใจนักว่ากำลังได้รับอนุญาตให้วางหัวลงบนตักของชายหนุ่มจริงๆ หรือแค่คิดไปเอง แต่เมื่ออีกฝ่ายจ้องมองตรงมาอย่างรอคอย เขาก็ขยับเข้าไป สู่พื้นที่ปลอดภัยแสนอบอุ่นของเขา
เจ้าของตักนึกเอ็นดูท่าทีของเด็กหนุ่ม ทั้งที่ดีใจจนออกนอกหน้า แต่ทว่าตัวกลับแข็งเกร็งไปหมด จนเขาต้องยื่นมือไปช่วยโน้มศีรษะเจ้าตัวลงมานอนในตำแหน่งคุ้นเคย ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากแล้วลูบผ่านไปกลางกระหม่อม ลูบซ้ำอีกครั้งและอีกครั้ง
“แก้ว” คราวนี้เสียงของเด็กหนุ่มคล้ายอ้อนวอน “ผมขอจับมือคุณหน่อยได้ไหม”
แก้วไม่ได้ตอบ เพียงส่งมืออีกข้างไปให้ตามคำขอ แล้วมันก็ถูกคว้าจับไว้อย่างนุ่มนวล ด้วยความทะนุถนอมที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
โชคฉีกยิ้มกว้าง ในขณะที่แววตาฉายแววยินดีระคนโล่งใจ
แค่เพียงการกระทำเล็กน้อยของแก้วก็ส่งผลต่อเด็กหนุ่ม บางครั้งโชคก็ตื่นเต้นดีใจแม้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และในหลายๆ ครั้งมันก็ทำให้เด็กหนุ่มแตกสลายได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน
...เขามีอิทธิพลกับโชคถึงขนาดนี้เชียว
“โชค” แก้วไม่ได้ก้มลงมามองหน้าคู่สนทนา ดวงตาจับจ้องไปยังตู้โชว์ที่มีรูปภาพเรียงราย “เธอเริ่มชอบฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
เมื่อเข้าสู่พฤษภา หน้าร้อนก็อ่อนแรงลง แก้วออกมาสูบบุหรี่อยู่ในลานอิฐ ควันขาวลอยเคว้งเมื่อลมสงบนิ่ง ทว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากลับย้อมให้มันดูเบาบางจนเกือบจางหายไปจากการมองเห็น หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นเหม็นไหม้ของใบยาสูบที่ยังคงเข้มข้นชัดเจน
‘...ผมคิดว่าผมเริ่มชอบแก้วตั้งแต่ป.สี่’ คำตอบที่ดูคล้ายไม่แน่ใจนัก แต่ก็จริงจังและมั่นใจ
‘ในอุโมงค์อควาเรียมอยู่ๆ โลกทั้งใบของผมก็มีแต่คุณ ผมคิดว่าน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น’ ‘คิดว่าเหรอ’ ‘คิดว่านะครับ... ผมเพิ่งจะมารู้ตัวว่าคำว่าชอบของผมมันไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ ก็เมื่อตอนสิบห้านี่เอง’ โชคไม่ได้ลังเลที่จะตอบ มีเพียงรอยยิ้มขัดเขินและแววตาเป็นกังวลน้อยๆ ที่หลุบต่ำไม่ยอมสบตา แก้วเข้าใจว่าทำไม
โชคยังคงเป็นเด็กน่ารัก แต่แก้วก็ไม่แน่นักใจว่าเขาจะมองอีกฝ่ายในฐานะผู้ชายคนหนึ่งได้หรือไม่ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในสายตาของเขาตอนนี้มองโชคเป็นอย่างไร ในเมื่อหัวใจของชายวัยสี่สิบไม่ได้เต้นรุนแรงเวลาหวั่นไหวเหมือนพวกหนุ่มสาว เขาเลยไม่รู้ว่าต้องมองหาสัญญาณแบบไหนที่จะบ่งบอกได้ว่าเขาชอบโชคเกินกว่าเด็กชายที่เลี้ยงมาแล้วหรือยัง
เพราะที่แก้วคิดว่าโชคอาจจะถอดใจไปแล้วนั้นไม่เป็นความจริงเลย เด็กหนุ่มยังคงพยายาม เพียงแต่เลิกจะไล่ตามเงาของดวงอาทิตย์อย่างธีร์ แค่พยายามจะดูแลแก้วด้วยทุกอย่างที่ตนมีแทน และแม้โชคจะไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แก้วก็เริ่มสังเกตเห็นว่าทุกสิ่งที่เขาทำเป็นประจำมาตลอดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย มันเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด
...แก้วเพิ่งจะรู้สึกถึงมัน
เขาเริ่มมองหาเหตุผลในการกระทำของเด็กหนุ่ม และคำตอบที่แสนชัดเจนนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกซาบซึ้งหรือวูบวาบชวนให้ประหม่า เป็นแค่ความสบายใจที่แสนเรียบง่ายและอบอุ่น
แก้วลุกเดินไปหยิบเศษหญ้าแห้งที่คาอยู่บนกิ่งต้นมะลิในกระถางริมรั้วออก คงจะมีนกสักตัวทำหล่นไว้ขณะที่คาบเอาไปทำรัง วันแสนสงบยังคงไม่เปลี่ยนไปในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย...
“แก้วครับ” โชคเดินอ้อมเฉลียงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ โผล่มายืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเพราะไอควันบุหรี่ยังกรุ่นรอบตัวชายหนุ่ม โชครู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้ในเวลาแบบนี้ เลยได้แต่ขยับไปนั่งลงบนม้าหินแทน
“ว่าไง” แก้วว่า ยังคงคีบมวนบุหรี่จรดริมฝีปาก คายควันออกมาเมื่อไร้ลมพัดพาไปหาอีกคน โชคจ้องมองอย่างรอคอย แก้วจึงก้าวเดินเข้าไปหา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าในระยะที่หากเอื้อมมือมาก็คว้าถึงกันได้ง่ายดาย
แสงแดดยามบ่ายส่องแทรกกิ่งใบลงมาอาบไล้ใบหน้าของผู้เฝ้ามอง มันไม่ได้แสบผิวมากนักเมื่อพายุฤดูร้อนเพิ่งพัดผ่านไป
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” โชคยิ้มบาง ขณะที่ยื่นมือไปคว้าเกี่ยวปลายนิ้วของชายหนุ่มมากุมไว้ ซบหน้าผากลงกับสันกระดูกแข็ง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากพอที่แท่งกระดาษจะจะถูกไฟลามเลียจนกลายเป็นขี้เถ้า แต่ยังคงไม่มอดดับไป คนสองคนใต้ริ้วแสงประสานแววตา พลันทุกสิ่งดูเชื่องช้า ดอกไม้บอบบางโรยตัวลงมาแม้ไร้ลม สวนทางกับขบวนควันที่เดินทางมุ่งสู่ท้องฟ้า
แก้วจูบก้นกรอง
โชคจูบหลังมือแก้ว
จากนั้นก็เงียบงัน แก้วสูบบุหรี่ต่อจนหมดมวน ในขณะที่โชคซุกซ่อนใบหน้าแดงก่ำไว้ในอุ้งมืออุ่นที่เขาไม่คิดจะปล่อย และเพราะเด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้า เขาเลยพลาดที่จะเห็นความวูบไหวในดวงตาสีเข้มคู่นั้น
โดยที่รู้ตัวแจ่มแจ้ง การกระทำของโชคเองก็เริ่มมีอิทธิพลต่อแก้วบ้างแล้วเช่นกัน
ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้น และโชคเลื่อนขึ้นชั้นมัธยมปีที่ห้า แก้วออกมารอส่งเด็กหนุ่มที่หน้าบ้านอย่างเคยทั้งชุดนอน เพราะวันนี้เขาไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานแต่เช้า
“แก้วครับ” เด็กนักเรียนที่เพิ่งใส่ร้องเท้าผ้าใบสีดำเสร็จเงยหน้าขึ้นมา เพราะนั่งบนขั้นบันไดจึงทำให้ระดับสายตาต่ำกว่าคนที่ยืนจิบกาแฟพิงราวกั้นเฉลียงไม้อยู่มาก เหมือนระดับสายตาของเด็กชายโชคที่เคยช้อนมองน้าแก้วจากความสูงร้อยสิบกว่าเซนติเมตร แต่เพียงชั่วพริบตาที่เด็กหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง...
“ว่าไง”
“ผมโตขึ้นแล้วนะครับ” ...โชคก็เติบโตแล้ว
“อืม” แก้วรับคำแผ่วเบาในลำคอ ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ “ฉันเห็นแล้ว”
ในชั่วขณะที่แสงยามเช้ายังอุ่นพอดี แก้วเดินหายเข้าไปในบ้านสักพัก ก่อนกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล้องฟิล์มตัวเก่า โชคยังยืนอยู่ตรงนั้น บนบันไดขั้นที่สอง รอยยิ้มผลิบานเต็มหน้า ปล่อยให้ชายหนุ่มลั่นชัตเตอร์เก็บเขาใต้แสงสีทองเอาไว้อย่างเต็มใจ
ก่อนจะเอ่ย “ให้ผมถ่ายรูปคุณไว้บ้างสิครับ”
แต่ไม่ทันได้รับบทตากล้อง รถจักรยานยนต์สีแดงก็แล่นมาเทียบรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงทักทายเริงร่าของเพื่อนสนิท
“หวัดดีครับน้าแก้ว!” มิกซ์เอ่ยทักผู้ใหญ่พร้อมยกมือไหว้ทั้งที่ยังนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์พลางยันขากับพื้นไว้ด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะยักคิ้วให้เพื่อนแทนคำพูด
“ผมไปก่อนนะครับ” โชคบอกลา แก้วพยักหน้า ก่อนจะเบนสายตามองเลยไปหาเด็กหนุ่มอีกคนแล้วส่งยิ้มให้เป็นการตอบรับคำทักทายเมื่อครู่
“ขี่รถกันดีๆ”
ฝนแรกตกลงมาตอนปลายเดือนห้า ท้องฟ้าสีดำครึ้มเมฆและสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสายบ่งบอกว่าฤดูกาลวนกลับมาอีกครั้งแล้ว แก้วนั่งอยู่หน้าทีวี ก้นกรองบุหรี่ในที่เขี่ยยังคงอุ่นซ่านเพราะเพิ่งมอดดับไปไม่นาน มะลิเดินมาถูสีข้างเข้ากับขาโต๊ะไม้ ก่อนจะไล้ตัวผ่านขาของชายหนุ่มเพื่อเดินวนกลับออกไปยังที่นอนใต้บันได พอดีกับที่มีคนโผล่ลงมาจากชั้นบน
“ยังไม่นอนเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว
“อืม” คนนอนดึกครางตอบ อ้าปากหาวหวอดแต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นไปนอนบนห้องดีๆ โชคเห็น แต่ก็เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระที่ทำให้เขางัวเงียตื่นขึ้นมากลางดึกก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยเข้าไปหา
“...” ไม่ได้มีคำพูดใด ไม่เอ่ยถามซักไซ้หรือไล่ให้ไปนอน เด็กหนุ่มเพียงแค่เบียดตัวลงลงไปนอนเกยตักเจ้าของบ้าน ความอบอุ่นแล่นพล่านในค่ำคืนที่ชื้นแฉะ
“ราตรีสวัสดิ์ครับแก้ว”
“ราตรีสวัสดิ์โชค”
เอ่ยราตรีสวัสดิ์ต่อกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้นอนหลับไปจริงๆ หลังจากนั้นสักพัก เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นปิดฟืนไฟให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นบ้านไปแยกกันเข้าห้องนอนของตัวเอง
ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้แปลกประหลาด ที่แน่ๆ คือไม่ใช่แค่ผู้ปกครองกับเด็กในปกครองอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขยับก้าวไกลไปกว่านั้น มันคงเป็นรูปแบบความสำพันธ์สากลของคนที่ชอบและคนที่ถูกชอบ
คนชอบปารถนาที่จะไล่ตามไขว่คว้า
ส่วนคนถูกชอบก็รับรู้แต่ไม่ตอบรับเสียที
แก้วลังเล เพราะเขายังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่ตนมี
มิถุนายนก่อนฝนทิ้งช่วง โชคเป็นหนุ่มครบสิบแปดปีเต็ม วันอาทิตย์ที่ฝนพรำยาวนานไร้แสงตะวันชวนให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาและห่อเหี่ยว แต่เจ้าของวันเกิดกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เมื่อวันทั้งวันของเขาได้ใช้ไปกับชายคนหนึ่ง
“กาแฟไหมครับ” คำทักทายแรกเมื่อเห็นแก้วเดินลงบันไดมา กับคำตอบแผ่วเบาที่มาพร้อมแววตาอ่อนโยน “อืม ขอบใจ”
“ดูหนังกันไหมครับ” ในช่วงสายหน่อยหลังข่าวเช้าจบลง โชคก็ชวนแก้วดูภาพยนตร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านสายอินเตอร์เน็ตที่ต่อตรงเข้ากับสมาร์ตทีวีเครื่องใหม่ของบ้านในห้องนั่งเล่น แก้วเอนหลังทิ้งหัวลงบนพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ “เอาสิ ดูเรื่องอะไรล่ะ”
“กินข้าวกันครับ” เสร็จจากการทำมื้อเที่ยงตั้งโต๊ะเรียบร้อยก็โผล่หน้าออกไปนอกประตูไม้บานพับที่เปิดกว้าง เอ่ยเรียกเจ้าของรอยยิ้มกลิ่นควันบุหรี่ที่อยู่หลังม่านขมุกขมัวปนกับละอองน้ำในอากาศ “อ่า แป๊บนึงนะ”
“แก้วครับ” ตกบ่ายที่แสนว่าง ในห้องนั่งเล่นมีเพียงเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอไว้แม้ไม่มีใครสนใจจะดู โชคนอนอยู่บนตักแก้ว ไล้สัมผัสไปตามเรียวนิ้วที่ตนยึดมาเกาะกุมไว้ แก้วไม่ได้ว่าอะไร ปรือตาที่กำลังจะปิดสนิทขึ้นเล็กน้อย “ว่าไง”
“ผมชอบแก้วนะครับ”
“อืม ฉันรู้แล้ว”
“โชค” แก้วเรียกหาเด็กหนุ่มที่หายขึ้นบ้านบอกจะไปเอาสายชาร์จโทรศัพท์เมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว เจ้าของชื่อขานรับจากในห้อง ก่อนจะเดินเร็วๆ มาชะโงกหน้าจากบนบันได “ครับ?”
“คุยโทรศัพท์อยู่เหรอ”
“ครับ มิกซ์โทรมาแฮปปี้เบิร์ตเดย์น่ะครับ” โชคตอบ ทั้งที่มือถือยังคาอยู่ข้างหู
“งั้นไปคุยให้เสร็จก่อนแล้วกัน” ว่าจบแก้วก็เดินกลับจากโถงหน้าบันได้มานั่งรออยู่บนโซฟา หยิบไม้ตกแมวทำมือมาแกว่งหยอกมะลิที่นอนพลิกไปมาพยายามจะตะปบจับ ไม่นานโชคก็วางสายแล้วตามมา
“เสร็จแล้วครับ”
แก้วพยักหน้า คว้ากุญแจรถที่เตรียมไว้แล้วลุกเดินนำออกไป “ฝนซาพอดี ออกไปเอาเค้กกัน”
ค่ำคืนนั้นไฟในละแวกบ้านมืดดับลงพร้อมกับเสียงดังลั่นคล้ายมีอะไรระเบิด โชคสะดุ้งตกใจ ส่วนแก้วทำเพียงย่นคิ้วแล้วลุกไปหาไฟฉายจากตู้เก็บของเหนือเครื่องซักผ้า เดินออกไปหน้าบ้านเพื่อพูดคุยกับบ้านใกล้เรือนเคียงก็ได้ความว่าหม้อแปลงฟิวส์ขาด อีกสักพักการไฟฟ้าก็คงส่งคนมากซ่อม เมื่อไม่มีอะไรรุนแรงนักก็แยกย้ายกันกลับเข้าบ้าน
ระหว่างรอแก้วกลับเข้ามา โชคก็หาเทียนมาจุดให้ความสว่างบนโต๊ะอาหาร มื้อค่ำของพวกเขาจึงดำเนินต่อไปใต้แสงของเปลวเทียน จวบจนกระทั่งเป่าเค้กเสร็จสิ้น แสงเทียนสีอุ่นในห้องครัวก็มอดดับลงเหนือแอ่งน้ำตาสีขาวเหนือก้นชามพอดี
ในความมืดมิดที่มีโต๊ะกินข้าวกั้นขวาง พวกเขาสบตากัน ก่อนแก้วจะลุกเดินอ้อมไปหา วางมือลงรองคางเด็กหนุ่มให้แหงนเงยขึ้นมา โน้มตัวก้มลงไปมอบจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผาก เนิ่นนานเพียงชั่วลมหายใจก็ถอยห่าง
“สุขสันต์วันเกิด โชค”
แน่นอนว่าของขวัญวันเกิดไม่ใช่รอยจูบ แก้วหันหลังจะเดินกลับไปเอาของขวัญของจริงมาให้ แต่ไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็ถูกคว้าข้อมือรั้งเอาไว้ โชคมองตรงมาที่เขา และทั้งที่อยู่ในความมืดสลัวกลับรู้สึกได้ว่าใบหน้าเด็กหนุ่มนั้นแดงซ่าน
“...แก้ว” เสียงสั่นเครือเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นระส่ำ โชคลุกมายืนซ้อนหลังแก้วไว้ และเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสที่โอบรอบเอวตนเขาไปกอดแน่น เด็กหนุ่มซุกหน้าลงบนไหล่กว้าง ความร้อนจากข้างแก้มแผ่ผ่านเนื้อผ้าสู่ผิวกาย
“ว่าไง”
“ผมขอจูบแก้วได้ไหม” คำขอกระซิบเบาหวิว ไม่มีความมั่นใจใดๆ ว่าจะได้รับอนุญาต แต่ก็ยังเอ่ยปากขอ “จูบ..แต่ไม่ใช่ที่หน้าผาก”
“...อืม”
เมื่อได้รับคำยินยอม โชคกลับยืนนิ่งหายใจระรัวอย่างทำตัวไม่ถูก สองมือเย็นเฉียบทั้งที่สองแก้มร้อนฉ่า แก้วจึงเป็นฝ่ายหันกลับมา ประคองใบหน้าเด็กหนุ่มให้ได้องศาก่อนจะแนบจูบลงบนริมฝีปากที่ยังคงสั่นไหวน้อยๆ แล้วผละออก ดวงตาสีเข้มมองอีกฝ่ายอ้าปากพะงาบๆ คล้ายจะขาดอากาศหายใจตายแล้วแนบสัมผัสลงไปอีกครั้ง
รัญจวน ดูดดื่ม หวามไหว
ทั้งที่ไม่ใช่จูบแรกแต่โชคก็ยังตื่นตระหนกอยู่ดี ในหัวว่างเปล่าประมวลผลไม่ทันสักอย่าง ทว่าร่างกายก็ยังตอบสนองไปตามสัญชาตญาณ ไล่ตามเรียวลิ้นที่แทรกเข้ามาไปอย่างไม่ลดละ แม้จะเงอะงะและไม่ประสาจนอีกฝ่ายนึกเอ็นดูในใจ
แก้วเป็นฝ่ายถอนสัมผัสออกไป เมื่อรับรู้ได้ว่าเด็กน้อยตรงหน้ายังจัดการกับจังหวะหายใจไม่ได้ สุดท้ายก็เผลอกลั้นใจจนเขากลัวว่าจะขาดอากาศตายจริงๆ โชคหอบเอาลมเข้าปากเมื่อร่างกายประท้วงว่าขาดออกซิเจน หน้าแดงหูแดงไปหมด
“...แก้ว..” เอ่ยเรียกแต่ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น โชคซุกหน้าลงบนบ่าแก้วอีกครั้ง แต่เพราะครั้งนี้พวกเขาหันหน้าเข้าหากัน แก้วจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบคอเด็กหนุ่ม พลางลูบหัวปลอบโยนอย่างใจเย็น
“เรียกฉันเหมือนเดิมเถอะ”
“...น้าแก้ว”
“อืม”
“น้าแก้ว”
“อือ”
“น้าแก้ว...”
ไฟมาตอนสามทุ่มกว่า โชคเก็บโต๊ะล้างจานอยู่ในครัว ส่วนแก้วออกมายืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน เม็ดฝนยังปรอยลงมาอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มยืนให้ลมพัดละอองความชื้นเข้าปะทะ ปล่อยให้ความเย็นวูบหนึ่งนั้นช่วยให้หัวของเขาปลอดโปร่ง
แก้วจูบโชค ไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายเอ่ยขอ แต่เพราะเขาตั้งใจจะจูบอยู่แล้ว
ชายหนุ่มตั้งใจจะหาอะไรบางอย่างมาช่วยตอบคำถามในใจ แต่เมื่อลุกเดินไปยืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม มองเห็นดวงตาคู่สวยทอประกายระยับไม่ต่างจากเด็กในวันวาน เขาเลยลังเลแล้วใจจูบลงบนหน้าผากแทน
“ฉันใจร้ายไปรึเปล่านะมะลิ” เขาถามแมวบนตั่ง ทั้งที่อากาศชื้นแฉะแต่มะลิก็เดินตามเขาออกมา กระโจนขึ้นไปนอนบนไม้เนื้อแข็ง แล้วช่วยอยู่รับฟังราวกับบาทหลวงของชาวคริสต์
กรร... ดวงตาสีผสมมองมาพร้อมกับเสียงครางครืดคราดในคอของสัตว์ตระกูลแมว แก้วยกยิ้มเพียงริมฝีปาก
“ใจร้ายมากเลยสินะ”
แก้วใจร้าย เพราะเขาดันให้ความหวังกับเด็กหนุ่มทั้งที่ปลายทางยังคงเลือนรางและอาจจะไม่มีอยู่จริง
รสจูบเคล้ากลิ่นขึ้นฉ่ายในเมนูผัดผงกะหรี่เมื่อครู่ทำให้รู้สึกดี
แต่เป็นความรู้สึกดีที่มีมากมายพอๆ กับความรู้สึกผิด
TBC...
เขาจูบกันแล้วค่ะทุกคน เป็นตอนที่เหมือนทุกอย่างไหลไปอย่างรวดเร็ว แต่รีนขอยืนยันว่าในนิยายเรื่องนี้ไม่มีอะไรเร็วไปอย่างแน่นอน มีเพียงแต่ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของทั้งคู่หลังจากนี้ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อจากนี้ไป ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารีนยุ่งมากๆ เลยค่ะ เลยยังปิดต้นฉบับน้องโชคตอนสุดท้ายที่ค้างคามาอย่างยาวนานไม่ลงสักที แง้ ท้อใจมาก แต่ก็กำลังพยายามอยู่นะคะ
สุดท้ายนี้ก็ขอให้เดือนตุลาคมของคุณเป็นเดือนที่ดี มีรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา และไม่ปวดหลังปวดไหล่ส่งงานทันเดดไลน์กันทุกคนเลยนะคะ
ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่าน
ขอบคุณค่ะ
เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าน้าาาา