[นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-  (อ่าน 32489 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เติบโตตามการเวลา การผ่านเรื่องราวต่างๆตามการใช้ชีวิต จะเป็นยังไงต่อไป เอาใจช่วยนะโชค ดีแล้วที่น้าแก้วสอนเรื่องเพศ :mew6: ขอบคุณที่มาต่อค่า รอตอนหน้าเลย  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 23



          ในคืนวันพุธที่โชคกลับมาถึงบ้านตอนสี่ทุ่มกว่า คนที่รอคอยอย่างเป็นกังวลจนที่เขี่ยบุหรี่อัดแน่นด้วยก้นกรองออกมายืนรอที่ประตูบ้านเมื่อได้ยินเสียงจากรั้ว มีเพียงข้อความเดียวที่ถูกส่งมาเมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้วว่ากำลังกลับหลังจากที่เขาโทรหาและส่งข้อความไปหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่หัวค่ำ แก้วตั้งใจว่าวันนี้เขาคงต้องดุเด็กหนุ่มสักหน่อยแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ทำ

 

          เมื่อคนที่เพิ่งกลับมานั้นเปียกโชกแม้ท้องฟ้าจะไรเมฆฝน แต่ในดวงตาคู่นั้นกำลังมีพายุซัดสาด สีหน้าเจ็บปวดและสับสนทั้งที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เข้าใจนัก แก้วรวบตัวเด็กชายที่กำลังหลงทางในความรู้สึกเข้ามากอดไว้ ปล่อยให้ไหล่ของเขาเปียกปอนพร้อมกับบางสิ่งที่พังทลายอยู่ข้างในใจของโชค

 

          “โดนใครทำอะไรมารึเปล่า” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ ซุกตัวเข้าหาไออุ่นให้แนบแน่นกว่าเดิม

 

          “น้าแก้ว...”

 

          “หืม”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อืม ฉันอยู่นี่”

 

          การเติบโตของวัยรุ่น และการประคับประคองให้วัยรุ่นให้เติบโตนั้น

 

          ...ช่างซับซ้อนและเปราะบางเหลือเกิน

 

 

 

          ยามเช้าหลังค่ำคืนที่ร้องไห้อย่างหนักมักทิ้งอาการปวดหัวเอาไว้ โชคลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนสาย โลกทั้งใบหมุนคว้างจนต้องยกมือขึ้นมานวดบริเวณดวงตา แล้วก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ราวกับจะปกปิดไม่ให้ใครได้เห็นความบวมช้ำ แม้จะอยู่เพียงลำพังก็ตามที

 

          เด็กหนุ่มนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ กว่าจะขยับควานหาโทรศัพท์มาเปิดดูนาฬิกา น่าแปลกที่ไม่มีข้อความหรือสายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิทที่น่าจะโวยวายเพราะวนรถมารอเขาเก้อ แต่โชคก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันนักในขณะที่หัวเขากำลังจะระเบิด และลำคอแห้งผากจนแสบไปหมดเช่นนี้

 

          “ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทักทายดังขึ้นทั้งที่บ้านหลังนี้ควรจะร้างไร้คนอื่นเมื่อเจ้าของบ้านหนุ่มออกไปทำงาน แต่ธีร์ก็อยู่ที่นั่น ส่งยิ้มให้เขาจากบนโซฟาที่มีแมวสาวนอนอยู่ใกล้ๆ “แก้วบอกมิกซ์ให้ลาโรงเรียนให้แล้วนะ”

 

          “..ครับ” โชคขยับปากตอบ แต่สิ่งที่ออกมีเพียงลมกับปลายเสียงไม่เป็นคำ ถึงอย่างนั้นธีร์ก็เข้าใจ แล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จนเขาเข้าครัวไปหาน้ำดื่มให้ชุ่มคอ จนเขากลับออกมาพร้อมกับนมกล่องในมือ จวบจนเขาเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ธีร์ก็ยังคงมีเพียงรอยยิ้มบาง ไม่เอ่ยถามอะไรเลย

 

          และด้วยความเงียบงันอันอ่อนโยนนั้น มันก็ทำให้เขายอมเปิดปากออกมาเอง

 

          “อาธีร์”

 

          “ครับ”

 

          “ผมเลิกกับพี่แพรแล้ว”

 

          “งั้นเหรอ” คำตอบรับเรียบง่ายไม่เค้นถามถึงเรื่องราว ในห้องนั่งเล่นยามสายของปลายฤดูหนาวจึงมีเพียงเสียงโทรทัศน์ขับกล่อม เคล้าไปกับเสียงสูดสมหายใจของคนที่ซุกหน้าลงกับแขน พยายามที่จะกลืนหยาดน้ำตากลับลงไป

 

          โชคไม่ได้เสียใจที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแพรจบลง สำหรับเขาแล้วแพรคือความสบายใจ ไม่ใช่ความรัก แต่ความขมขื่นที่อยู่ข้างในก็ไม่อาจหาสาเหตุได้เช่นกัน เขาเลยปล่อยมันทิ้งเอาไว้ ปล่อยให้มันเป็นรสชาติของความสัมพันธ์ที่พังทลายในช่วงวัยรุ่นอย่างที่คนรอบๆ ตัวเขาเข้าใจ เพราะมันง่ายดายกว่าการหาคำตอบในตอนนี้

 

          ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังฉายแสงผ่านไปโดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก จนกระทั่งแก้วกลับมา เด็กหนุ่มก็โดนดุว่าเรื่องที่กลับบ้านดึกโดยไม่บอกกล่าว กับที่ไม่รับสายและตอบข้อความเท่านั้น และแล้ววันอันแสนยาวนานกับอาการปวดหัวปวดตาก็จบลงพร้อมมื้อเย็นบนโต๊ะอาหารในห้องครัว

 

 

 

          วันศุกร์โชคไปโรงเรียนตามปกติ โดยมีเพื่อนสนิทขี่รถมารอรับที่หน้าบ้านอย่างเคย ระหว่างทางจนถึงหน้าประตูโรงเรียนมิกซ์ไม่ได้ถามถึงเหตุผลที่เมื่อวานเด็กหนุ่มขาดเรียนไป เช่นเดียวกับที่ไม่ถามว่าทำไมเด็กสาวที่เคยมายืนรอตรงนั้นถึงไม่มา เพราะเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะเดาไม่ออกว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่พูดออกมา เขาก็เลยไม่พูดเช่นกัน

 

          ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติเหมือนตอนก่อนที่เด็กสาวจะปรากฏตัว จนเข้าสู่เดือนมีนาคม ในวันที่อากาศร้อนกับแสงแดดส่องจ้าตลอดทั้งวัน พอถึงเวลากลับบ้านที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำย้อมทั้งเมืองให้เป็นสีของมัน บนรถจักรยานยนต์สองล้อที่วิ่งไปตามถนนให้ลมช่วยไล่ไอเหงื่อเปียกชื้นบนเสื้อนักเรียนจนมันแห้งสนิท

 

          “กูชอบผู้ชาย” โชคพูดขึ้นมาระหว่างทาง ด้วยเสียงราบเรียบปกติ ไม่ได้เปล่งให้ดังแข่งกับสายลมที่ตีพัด หรือเบาหวิวจนลอยหายไปในอากาศ แค่ประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ หนึ่งประโยค

 

          “อ่อ” และมิกซ์ก็ตอบรับเรียบง่าย ไม่ได้มีความตกใจหรืออาการใดแสดงออกมามากไปกว่าว่ารับรู้แล้ว

 

          ระหว่างทางกลับบ้านในต้นฤดูร้อนก่อนปิดเทอมใหญ่สุดท้ายในฐานะเด็กมัธยมต้น รถมอเตอร์ไซต์สีแดงแล่นไปด้วยความเร็วคงที่ ไม่ได้มีบทสนทนาเพิ่มเติม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

 




 

          วันศุกร์สุดท้ายก่อนอาทิตย์สอบ มิกซ์ถูกแม่ไล่ให้มานอนเป็นเพื่อนโชคที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะน้าแก้วต้องไปดูไซต์งานที่ชลบุรี โดยคราวนี้ธีร์ที่ปกติจะมาอยู่ดูเด็กหนุ่มแทนอาสาขับรถให้ เพราะดูแล้วว่านายสถาปนิกที่อดนอนมาหลายวันไม่อยู่ในสภาพที่ควรจะขับรถข้ามจังหวัดด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย

 

          บนชั้นสองของบ้านไม้สีขาวตอนสี่ทุ่มจึงมีเพียงเด็กหนุ่มสองคนกับแมวอีกหนึ่งตัว มิกซ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น โบกก้านของเล่นล่อให้มะลิตะปบ ส่วนโชคนอนตอบข้อความจากน้าแก้วที่ทักมาถามไถ่นั่นนี่ตามประสาผู้ใหญ่ที่ปล่อยให้เด็กเฝ้าบ้านลำพังอยู่บนเตียง

 

          บรรยากาศก่อนนอนปกติของทั้งสองที่เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนยังคงเป็นไปตามปกติ จนกระทั่งเด็กหนุ่มเจ้าของห้องวางโทรศัพท์ลงเป็นอันว่าจบบทสนทนากับคนในแชทแล้ว อีกคนในห้องจึงค่อยเอ่ยถามคำถามที่คาใจเขามาสักพักใหญ่ๆ ออกมา

 

          “มึงรู้ได้ไงวะว่ามึงชอบผู้ชาย”

 

          โชคชะงักงัน มือข้างที่ยังไม่ทันผละออกจากมือถือบนโต๊ะข้างหัวเตียงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น แต่เพียงเสี้ยววินาทีเด็กหนุ่มก็ดึงมือกลับ พลางหยัดตัวขึ้นนั่งชันเข่าพิงหัวเตียง ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำมองปลายเท้าที่ขยับยุกยิกราวกับกำลังหาคิดคำตอบ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังหวาดกลัวที่จะสบตาเพื่อนสนิท กลัวว่าในสายตาที่มองมานั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไป ถึงจะรู้ว่ามิกซ์ไม่ใช่คนแบบนั้นก็ตาม แต่หากหากมันมีวี่แววของความขยะแขยง หรืออาจะเป็นความเคลือบแคลงที่ปะปนมา แม้จะเพียงเล็กน้อยแค่ไหน หัวใจเขาก็คงเจ็บปวดอยู่ดี

 

          “ทำไมเพิ่งมาถามเอาตอนนี้ล่ะ” โชคถามกลับ เพราะจากวันที่เขาบอกออกไป มันก็ใช่เวลาเนิ่นนานถึงสามสัปดาห์กว่าที่เพื่อนจะเอ่ยถามถึงขึ้นมา และเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอๆ กับที่เขาใช้ในการตัดสินใจที่จะบอกอีกฝ่ายเลย เด็กหนุ่มถึงได้ยิ่งกลัว

 

          กลัวว่ามิกซ์จะใช้เวลาสามอาทิตย์นั้นคิดทบทวนแล้วบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับตนอีกต่อไป

 

          “กูก็แค่อยากรู้” เจ้าของคำถามแรกยังคงโบกไม้ของเล่นล่อมะลิต่อ ไม่มีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด “ที่มึงรู้ว่ามึงชอบผู้ชาย ก็แสดงว่าคนที่มึงชอบเป็นผู้ชายใช่ไหมล่ะ”

 

          “..ก็ใช่” เสียงตอบเบาหวิว แต่โชคก็มีความกล้ามากพอที่จะหันมาหาเพื่อนแล้ว มิกซ์เองก็หยุดเล่นกับแมว เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเด็กหนุ่มตรงๆ

 

          “แล้วพี่แพรล่ะ”

 

          “กูไม่ได้ชอบพี่เขาแบบนั้น”

 

          “แล้วมึงคบกับเขาทำไม” สิ้นคำถาม แววตาของเด็กหนุ่มก็วูบไหว โชคจมลงไปสู่ทะเลความรู้สึกที่ดูสงบนิ่ง แต่กลับเชี่ยวกรากอยู่ภายใน

 

          “กูคิดว่าถ้ากูคบกับพี่แพร กูจะเลิกชอบคนๆ นั้นได้...” หลังจากนั้นเขื่อนที่กักกั้นทุกสิ่งก็พังทลายลง เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนวาเลนไทน์ถูกบอกเล่าออกมาอย่างหมดเปลือก รวมถึงความรู้สึกของเขาตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่มีเด็กสาวข้างกาย จะมีก็เพียงแต่ผู้ชายปริศนาที่ครองหัวใจของเขาเท่านั้นที่โชคไม่ได้บอกออกไปว่าเป็นใคร

 

          “แล้วมึงก็เลิกชอบคนๆ นั้นไม่ได้อยู่ดี” เป็นการสรุปตอนจบที่กระชับและเข้าใจง่ายอย่างที่สุด มิกซ์เท้าคางมองเพื่อนด้วยความสงสัยในสิ่งที่ตัวเขาเพิ่งจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย

 

          “อืม กูเห็นแก่ตัวใช่ไหม” เด็กหนุ่มเจ้าของเรื่องราวนั่งก้มหน้าซุกหัวเข่า ความรู้สึกผิดเข้มข้นไม่เจือจางลงเลยแม้จะสารภาพบาปออกไปแล้ว

 

          “เออดิ” โชคพลิกหันหน้ามามองเพื่อนทั้งที่ยังทิ้งหัวซบกับแขนที่กอดเข่าไว้ ในดวงตากลมโตของมิกซ์ฉายชัดว่าคิดเช่นนั้นจริงๆ อย่างที่เจ้าตัวแสดงความรู้สึกออกมาอย่างซื่อตรงเสมอ “แต่พี่แพรเองก็เห็นแก่ตัวแหละ ที่บอกว่าไม่เป็นไรก็เพราะเห็นแก่ตัว อยากจะให้มึงอยู่กับเขา เพราะงั้นก็เจ๊ากันไป”

 

          โชคขยับตัวเพื่อให้บนเตียงมีพื้นที่พอให้อีกคนที่กำลังปีนขึ้นมา เด็กหนุ่มร่างผอมบางกว่าเขาแทรกกายเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน มิกซ์ขยับตัวนอนหามุมสบายแล้วหันมาสบตากับคนที่ยังจ้องเขาอยู่

 

          “อะไรวะ”

 

          “มึงลืมปิดไฟ”

 

          มิกซ์พรูลมหายใจพร้อมยู่หน้าอย่างอิดออด ก่อนจะลุกไปกดสวิตช์ไฟข้างประตูให้ทั้งห้องตกลงสู่ความมืดเจือเสียงหัวเราะขบขันของอีกคนในห้อง แล้วจึงค่อยย้อนกลับมาซุกตัวลงบนเตียงที่เดิม

 

          “มิกซ์” ในแสงสลัวรางจากไฟเครื่องปรับอากาศและดวงดาวเรืองแสงบนเพดาน บทสนทนาก่อนนิทราได้เริ่มขึ้น

 

          “ว่า”

 

          “มึงไม่คิดว่ากู...แปลก ใช่ไหม”

 

          “แปลกยังไง”

 

          “ก็...ที่กูชอบผู้ชาย”

 

          “ไม่”

 

          “ถึงกูจะไม่ได้ชอบผู้หญิงเลย”

 

          “ไม่”

 

          “...ขอบใจนะ”

 

          จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท คล้ายว่าถึงเวลาสิ้นสุดวันที่พวกเขาต้องพักผ่อนแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ปิดเปลือกตาลงสุด แสงสว่างวาบจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็พุ่งเข้าจู่โจมจนต้องหยีตา

 

          “กูสงสัย..” ผู้ร้ายที่เป็นคนเกิดปลดล็อกหน้าจอมือถือแล้วกดเข้าแอปพลิเคชั่นอินเทอร์เน็ตพูดขึ้นมา “มึงรู้ว่ามึงชอบผู้ชายก็เพราะว่าคนที่มึงชอบเป็นผู้ชาย แล้วก็รู้ว่าไม่ชอบผู้หญิงเพราะว่ามึงไม่ได้ชอบพี่แพร”

 

          “เอ่อ อืม ก็ใช่”

 

          “แล้วมึงมั่นใจได้ไงว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง มึงอาจจะแค่ไม่ชอบพี่แพรก็ได้”

 

          “เรื่องนั้น..” โชคเว้นช่วงไป ดึงรั้งชายผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงใต้ตาก่อนจะตอบ “กูไม่รู้สึกอะไรกับร่างกายผู้หญิงเลย”

 

          “แล้วกับผู้ชายล่ะ”

 

          “ถ้าคิดว่าเป็นคนนั้นก็..รู้สึกอยู่” ใบหน้าที่ถูกแสงไฟตกกระทบขึ้นสีเรื่อขึ้นมาหลังจากได้ฟังคำสารภาพตรงไฟตรงมา ทั้งที่มิกซ์ไม่ใช่พวกที่จะขัดเขินกับการพูดเรื่องอย่างว่าสักหน่อย แต่เพราะน้ำเสียงที่ดูเขินอายและเปี่ยมรักของเพื่อนสนิท เขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

          ราวกับเป็นสาวน้อยที่ได้ฟังเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ เป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น

 

          “งั้นมึงก็เป็นเกย์”

 

          “อืม ก็คงใช่”

 

          “ส่วนกูเป็นสเตรท” มิกซ์พึมพำออกมาหลังจากที่อ่านบทความออนไลน์ที่ว่าด้วยความหลากหลายทางเพศ ในขณะที่โชคโน้มตัวผ่านหัวเขายื่นมือไปกดเปิดโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงพึมพำตอบ “ก็มึงเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง”

 

          มิกซ์พยักหน้ารับ แต่ใบหน้าใต้แสงสีส้มนวลก็ยังคงขมวดคิ้วมุ่น เขามีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจแม้จะกดเข้าไปอ่านบล็อกอื่นๆ ด้วยแล้วก็ตาม

 

          “ที่กูเป็นสเตรทก็เพราะว่าตอนนี้กูยังชอบผู้หญิงอยู่” โทรศัพท์มือถือถูกวางคว่ำลงบนอก ในขณะที่ดวงตากลมโตฉายแววครุ่นคิดมองตรงขึ้นไปยังดวงดาวบนฝ้าเหนือหัว “แล้วถ้าวันนึงกูชอบผู้ชายขึ้นมากูก็จะกลายเป็นไบ แต่ถ้าถึงตอนนั้นกูชอบผู้ชายแบบที่เลิกชอบผู้หญิงแล้วก็จะเป็นเกย์...ใช่ไหม”

 

          “...” โชคไม่ได้ตอบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบ แต่ก็คิดตามเพื่อนไป โดยที่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกออกมาก่อนจะเก็บโทรศัพท์แล้วปิดไฟนอนอีกครั้ง

 

          “คนเรามันก็เปลี่ยนแปลงกันได้ตลอดนี่หว่า งั้นมันก็คงจะดีถ้าทุกคนเลิกสาระแนเรื่องคนอื่นแล้วปล่อยให้เจ้าตัวเขาเลือกเองว่าจะเป็นอะไร”

 

          “อา ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดี”

 

          “เพราะงั้นถึงมึงจะเป็นเกย์ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

 

          “อือ ขอบใจ”

 

          “ไม่เห็นจำเป็นเลย”

 

          “งั้นก็ราตรีสวัสดิ์”

 

          “เออ ฝันดีมึง”

 

          โชคในวัยย่างสิบเจ็ด คิดเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่าเขาช่างโชคดีที่มีอีกฝ่ายเป็นเพื่อน

 

          มิกซ์... เด็กชายตัวเล็กที่มีหัวใจยิ่งใหญ่กว่าใครๆ

 

 

 

TBC...

          การเป็นวัยรุ่นนี่ไม่ง่ายเลย เป็นช่วงระยะแห่งการเติบโตและค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง สับสนและอ่อนไหว แด่ทุกคนที่เคยผ่านพ้นช่วงวัยนั้นมาแล้ว พวกคุณเก่งมากเลยนะคะ ตอนนี้ก็ผลิบานอย่างงดงามแล้ว ส่วนคนที่กำลังอยู่ในใจกลางพายุ ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปนะคะ ไม่มีพายุใดปั่นป่วนไปตลอดกาล และสำหรับคนที่จะต้องเผชิญหน้ากับมันในสักวัน การเป็นวัยรุ่นอาจจะเจ็บปวด แต่ไม่ได้น่ากลัวและเลวร้าย จงก้าวเดินไปอย่างกล้าหาญด้วยหัวใจที่มีอิสระเต็มที่นะคะ

 

          มาถึงตอนนี้น้องโชคก็กำลังค่อยๆ โตอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็จะเป็นหนุ่มแล้ว รู้สึกแก่แล้วแก่อีกเลยล่ะค่ะ 555555 และจนกว่าเราจะแก่เป็นคุณยายที่มองลูกชายโตไปเป็นฝั่งเป็นฝา ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ อยู่ด้วยกันไปยาวๆ เลยน้า
 
          ปล.น้องมิกซ์ is best boy ever แง้
          ปล2.เวลาที่คุณบอกว่ารอตอนต่อไป รีนมีความสุขมากๆ เลย เพราะรีนเองก็รอคุณมาอ่านอยู่เสมอเลยเช่นกันค่ะ  :L2:


          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่าน

          ขอบคุณเสมอค่ะ

 

          เจอกันวันพฤหัสบดีหน้านะคะ See you..

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2020 21:15:59 โดย FebruarySea »

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เด็กมิกซ์เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ เพื่อนซี้คู่นี้น่ารักมากก คุยกันเปิดเผยและยอมรับซึ่งกันและกัน  o13 โตไปอีกวันแล้วกับโชค  :katai2-1: ขอบคุณนะคะที่มาอัพ รอตอนต่อไปเลย ใกล้จะเข้ามหาลัยแล้ว จะไปทางไหนยังไงกัน รอตามค่า

ออฟไลน์ narongyut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
 :กอด1: กอดโชคนะครับ เข้าใจเลยช่วงวัยรุ่นนี่ สุดๆเลยแบบนีเกว่าจะผ่านไปได้ ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอครับ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 24


          อีกไม่กี่วันก่อนจะหมดเดือนมีนาคม ภาคการศึกษาสุดท้ายของชั้นมัธยมต้นก็ได้จบลงไป และปิดเทอมใหญ่ฤดูร้อนของเด็กหนุ่มก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

          แต่ถึงจะบอกว่าปิดเทอม มันก็ดันเป็นช่วงรอยต่อก่อนขึ้นชั้นมัธยมปลายพอดี โชคเลยไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนปิดเทอมก่อนๆ เด็กหนุ่มต้องเทียวไปกลับที่เรียนพิเศษอยู่เนืองๆ เนื่องด้วยคำสั่งของป้าดาที่ไล่เขากับลูกชายตัวแสบของตนที่คะแนนสูสีผ่านเกณฑ์แบบคาบเส้นเสมอมา ให้ไปเรียนเสริมก่อนการสอบเข้าเรียนต่อม.สี่ของโรงเรียนชายล้วนที่เดิมที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้

 

          “กูก็บอกแม่แล้วนะว่ามีโควตาเด็กเก่าอยู่ ยังไงโรงเรียนก็แค่ให้สอบเลือกห้องพอเป็นพิธีเฉยๆ อยู่แล้ว แต่แม่ไม่ฟังกูเลย ฟังแต่ป้าข้างบ้านอยู่นั่นแหละ” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทางจนถึงหน้าบ้านไม้สีขาว โชคได้แต่ยิ้มแห้ง แม้จะคิดไม่ต่างกับเพื่อนสนิทนัก แต่ใครเล่าจะกล้าหือกับสาวใหญ่สุดแกร่งอย่างป้าดา

 

          “เอาน่ามึง ก็แค่ติวข้อสอบวิชาสามัญเฉยๆ สองอาทิตย์ก็จบแล้ว” โชคพูดเสียงอ่อน ขณะที่ลงจากรถไปเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน “ขี่รถดีๆ”

 

          “เออ เจอกันพรุ่งนี้” ว่าจบมิกซ์ก็บิดมอเตอร์ไซต์คันเก่งแล่นห่างไปจนลับตา

 

          เพราะเป็นช่วงบ่ายแก่วันอาทิตย์ เจ้าของบ้านจึงไม่ได้ออกไปทำงานเหมือนวันปกติ โชคเพิ่งก้าวขาขึ้นบันไดเฉลียงมาถึงขั้นบนสุด กลิ่นควันฝาดเฝื่อนจากในบ้านก็ลอยออกมาต้อนรับทันที บรรยากาศเดิมๆ ที่สัมผัสมาเนิ่นนานนับสิบปีชวนให้รู้สึกอบอุ่น แต่ก็เหงาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงคืนวันที่ไม่อาจย้อนคืนกลับมาเหล่านั้น

 

          “น้าแก้ว...” ปลายเสียงเอ่ยเรียกแผ่วลงเมื่อคนบนโซฟาร่วงหล่นสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ทั้งที่มวนบุหรี่ติดไฟแดงฉานยังคงวูบวาบอยู่ในที่เขี่ย วางค้างเติ่งอยู่บนขอบแก้วใส ค่อยๆ ถูกขี้เถ้าสีเทากลืนกิน

 

          โชควางกระเป๋าแอบไว้กับขาโต๊ะ ก่อนขยับตัวเข้าไปนั่งลงบนพื้นตรงหน้าชายหนุ่มที่กำลังหลับใหล สายตาไล่สำรวจเก็บบันทึกภาพนั้นไว้ในม้วนฟิล์มที่เรียกว่าความทรงจำ เนิ่นนานไม่มีเบื่อ ปล่อยให้ชั่วนิรันดร์อันเงียบงันเกิดขึ้นจริงในแสงสุดท้ายของวันที่คล้อยต่ำลงจรดจูบกับผืนดินตรงเส้นขอบฟ้า

 

          จวบจนกระทั่งดวงตาสีเข้มปรือเปิดขึ้นมา

 

          “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงแหบพร่าเจือความงัวเงียเอ่ยถาม

 

          “สักพักแล้วครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบ แต่ไม่ได้บอกว่าสักพักของเขานั้นนานแค่ไหน มีเพียงหัวที่เอนไปพิงเข้ากับขาของอีกฝ่าย รอคอยให้มือเรียวลูบไล้อย่างอ่อนโยนอย่างที่ทำประจำ

 

          “ไปญี่ปุ่นกันไหม” อยู่ๆ คนที่เพิ่งตื่นนอนไม่นานก็พูดออกมา เหมือนคำถามเรื่อยเปื่อยขณะที่ยังเมาขี้ตา แต่โชคกลับรู้สึกว่าคราวนี้คงได้ไปกันจริงๆ เสียที

 

          “ไปสิครับ”

 

          “ไปเมื่อไหร่ดี”

 

          “ผมมีเรียนถึงอาทิตย์หน้า แล้วก็สอบอีกทีปลายเดือนเลยครับ”

 

          “งั้นไปตอนอาทิตย์ก่อนเธอสอบแล้วกันเนอะ เดือนหน้าฉันมีงาน”

 

          “ครับ” โชคยิ้มรับ เงยหน้าขึ้นเกยคางบนตักแข็ง ช้อนสบดวงตาสีเข้มด้วยแววตาวิววับอย่างมีความสุข

 

          วันต่อมาแก้วก็เริ่มวางแผนการท่องเที่ยวและที่พัก ลองถามรุ่นน้องพนักงานในบริษัทผู้เป็นขาประจำนักช้อปที่ชอบไปหิ้วของกลับมาอยู่แทบทุกไตรมาสเกี่ยวกับสภาพอากาศ พอตกบ่ายก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินขาไปในช่วงปลายสัปดาห์ที่สาม แล้วกลับช่วงกลางสัปดาห์ที่สี่ของเดือนเมษายน

 

          ...ตั๋วเครื่องบินสามใบ

 

          สำหรับโชค แก้ว และใครอีกคน

 




 

          ยามเย็นวันแรกของเดือนเมษายน เจ้าของบ้านหนุ่มใช้เวลาอยู่ในสวนฝั่งต้นมะม่วง ในมือถือสายยางฉีดรดน้ำต้นไม้ พร้อมกับที่มืออีกข้างที่คีบบุหรี่สูบควันเข้าปอด ช่วงนี้งานที่บริษัทไม่ยุ่งมาก แก้วเลยได้กลับบ้านเร็วขึ้นจนพอมีเวลาได้ออกมารดน้ำต้นไม้ดอกไม้ใต้ท้องฟ้าที่ยังคงมีแสงแดดรำไร เหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเรียนอยู่อีกครั้ง

 

          นานแค่ไหนแล้วไม่รู้ที่ชายหนุ่มไม่ได้ทำหน้าที่นี้ อาจจะตั้งแต่ที่เจ้าหมาน้อยของเขารู้ความแล้วลุกมาทำแทนเขาที่เริ่มทำงานหนักจนกลับบ้านหลังฟ้ามืดนั่นกระมัง

 

          “น้าแก้ว เดี๋ยวผมรดให้ก็ได้” โชคที่เพิ่งกลับมาถึง ยังไม่ทันเปิดรั้วเข้าบ้านด้วยซ้ำ แต่กลับออกตัวอาสาจะทำแทน แก้วหันมามองเด็กหนุ่ม คลี่ยิ้มบางเบาแล้วส่ายหน้าคล้ายว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็หันกลับไปจมจ่อมอยู่กับสายน้ำที่พุ่งออกจากปลายสายยาง จมหายไปในม่านควันสีขาวหม่น...อย่างรอคอย

 

          ในตอนที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังแว่วมาจากข้างนอก เด็กหนุ่มกำลังทักทายแมวสาวที่จับจองพื้นที่บนกล่องลังรองเท้าที่วางซ้อนกันแอบไว้ข้างประตูด้านในบ้าน มันจึงไม่ยากเย็นอะไรนักที่จะมองผ่านบานหน้าต่างที่มีเพียงมุ้งลวดกั้นขวางออกไปเห็นสีหน้าและแววตาของผู้ที่ไม่จำเป็นต้องรอคอยอีกต่อไปแล้ว

 

          “..เหรอ ฝากบอกแม่มึงด้วยว่าไว้คราวหน้านะ ...อืม โชคเพิ่งกลับมาถึงเมื่อกี้...” แก้วพูดคุยกับปลายสายที่โชคเดาได้ว่าเป็นใครด้วยแววตาอ่อนโยน เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนหน้า แม้ว่าน้ำเสียงจะยังคงราบเรียบก็ตาม ก่อนจะปรับให้ดูสดใสขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อคู่สนทนาที่ปลายสายเปลี่ยนคน “ว่าไง สุขสันต์วันเกิดนะเมษา”

 

          1 เมษายน วันเกิดของเมษา

 

          โชคจำได้ดีว่าวันนี้เมื่อสี่ปีที่แล้วน้าแก้วของเขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าด้วยแววตาเช่นไร หลังจากรับรู้ว่าเด็กชายได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้แล้วผ่านเสียงบอกเล่าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจของอาธีร์

 

          มันทั้งยินดี แต่ก็แสนร้าวราน

 

          แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

 

          “โชค” แก้วดึงโทรศัพท์ออกห่างจากตัวเล็กน้อยขณะหันมาหาเด็กหนุ่ม ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเจือจางอยู่บนใบหน้านั้น “เมษาอยากคุยด้วย”

 

          “ครับ” โชคตอบรับ ก่อนจะเดินออกจากบ้านมารับช่วงต่อแทนเจ้าของโทรศัพท์ ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของปลายสายแล้วตอบกลับไปอย่างร่าเริง เขาชอบน้องเมษา เพราะเด็กชายตัวน้อยมักมองเขาด้วยแววตาใสซื่อและชื่นชอบอย่างไม่ปิดบัง และก็เพราะว่าเด็กชายคนนั้น...

 

          ช่างมีใบหน้าคล้ายคลึงกับน้าแก้วเหลือเกิน

 

          โชคส่งโทรศัพท์คืนให้แก้วเมื่อพูดคุยรวมถึงอวยพรเด็กชายที่เพิ่งครบห้าขวบปีเสร็จเรียบร้อย ได้ยินเสียงทุ้มที่แว่วออกมาบ่งบอกว่าปลายสายเปลี่ยนคนกลับแล้ว แต่ต่อให้เขาไม่ได้ยิน มันก็ชัดเจนว่าอีกฝั่งเป็นอาธีร์ เมื่อดูจากดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้าในตอนนี้ มันมีความสุขมหาศาลกำลังวิ่งวนอยู่ในนั้น

 




 

          โชคเรียนพิเศษเตรียมสอบเสร็จไปตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่สองของเดือน แก้วเองก็ลางานทั้งอาทิตย์เอาไว้สำหรับการไปเที่ยวเรียบร้อย ส่วนธีร์ก็จัดการธุระตระเตรียมทุกอย่างไว้แล้วเช่นกัน อีกแค่สองวันก็จะถึงกำหนดการบินที่จองเอาไว้

 

          “ลูกเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มไม่ได้ดังมากนัก แต่คนข้างตัวก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่ออยู่ๆ ความอบอุ่นที่โอบล้อมตนก็จางหายไป แก้วตื่นขึ้นมาเห็นธีร์นั่งหันหลังให้พร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่แนบอยู่ข้างหู ฟังจากน้ำเสียงแล้วอีกฝ่ายคงกำลังเครียดน่าดู เขาจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป ทำเพียงแค่ขยับเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังเปลือยเปล่าแผ่วเบา

 

          “โทษที เมษาไม่สบายน่ะ” ธีร์หันมาส่งยิ้มให้ทั้งที่คิ้วยังคงขมวดมุ่น มือถือที่ดึงโทรศัพท์ลงไปแนบกับอกเพื่อกันเสียงเข้ายกขึ้นชิดหูอีกครั้ง “ตัวร้อนมากไหม.. พาไปโรงพยาบาลเลยดีกว่า เดี๋ยวธีร์ไปรับ ....อืม เดี๋ยวออกไปเดี๋ยวนี้แหละ เนตรเตรียมตัวเลย”

 

          “ขับรถดีๆ” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่หลุดออกจากปาก แก้วหลับตารับริมฝีปากที่แนบจูบลงบนหน้าผากแล้วผละจากไป ธีร์เปิดตู้เสื้อผ้าคว้าเสื้อมาใส่ลวกๆ ก่อนหยิบของติดตัวสองสามอย่างออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อนในตอนกลางดึกของคืนที่ท้องฟ้ายามราตรีไร้เมฆบดบัง

 

          และในเช้าวันต่อมา ข้อความที่ถูกส่งมาจากธีร์ก็บอกให้แก้วรู้ว่าจะต้องมีตั๋วเครื่องบินหนึ่งใบที่เสียทิ้งไปเปล่าๆ

 

 

 

          ญี่ปุ่นกลางฤดูใบไม้ผลิตอนกลางวันนั้นอากาศเย็นสบายกำลังดี แต่ในช่วงเช้าและกลางคืนกลับหนาวเย็นลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นั่งเครื่องกันยาวนานเกือบหกชั่วโมงจากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินคันไซ โชคกับแก้วก็มาถึงที่หมายในช่วงบ่ายแก่ พวกเขาเดินทางออกจากสนามบินกลางน้ำด้วยขนส่งสาธารณะที่ดีติดอันดับโลกสู่ตัวเมืองโอซาก้า

 

          หลังจากที่เดินตามแผนที่ในโทรศัพท์มากว่าครึ่งชั่วโมง แก้วกับโชคก็เจอที่พักที่จองเอาไว้ เป็นเรียวกังไม้ดูเก่าแก่แผ่กลิ่นอายแบบดั้งเดิม พนักงานสาวในชุดกิโมโนออกมาต้อนรับก่อนจะพาไปยังห้องที่ถูกเตรียมไว้ให้ พร้อมกับแจ้งเกี่ยวกับเวลาเสิร์ฟอาหารและบริการต่างๆ ให้ทราบเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วจึงจากไปเพื่อให้แขกได้มีเวลาพักผ่อนส่วนตัว

 

          ในขณะที่โชครินน้ำชาร้อนๆ จากกาที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องหลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงใสแผ่วเบาจากการเปิดฝาไฟแช็กสีทองของน้าแก้ว เมื่อหันตามไปก็เห็นชายหนุ่มคาบมวนบุหรี่ปลายแดงฉานไว้ในปาก มือเรียวขยับเปิดบานหน้าต่างที่มองออกไปเห็นวิวแม่น้ำสีชมพูเพราะกลีบซากุระร่วงโรยปกคลุม ควันลอยเอื่อยออกไปยังท้องฟ้าสีม่วงอ่อนจางที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเข้ม

 

          แต่แม้ทิวทัศน์ด้านนอกจะงดงาม... น้าแก้วก็ยังดูเหงาอยู่ดี

 

          วันแรกของการท่องเที่ยวต่างแดน โชคหลับไปในตอนที่จ้องมองแผ่นหลังอ้างว้างของคนบนที่นอนอีกผืน

 

 

 

          วันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้าที่ทางโรงแรมจัดเตรียมมาให้ แก้วกับโชคก็ใช้เวลายามเช้าไปกับการทำอะไรเรื่อยเปื่อยในห้องพักอย่างไม่เร่งรีบ จนพอใกล้เที่ยงค่อยออกไปหาร้านอาหารในละแวกนั้นกินกันสบายๆ พอตกบ่ายถึงได้เดินทางไปยังปราสาทโอซาก้า สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อประจำท้องถิ่น

 

          ปราสาทเก่าแก่อายุร่วมสี่ร้อยปีตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีคูน้ำล้อมรอบสองด้าน โดยที่ก่อนจะเข้าไปถึงตัวปราสาทนั้นยังมีศูนย์การค้าที่ขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ตลอดจนของที่ระลึกต่างๆ อีกทั้งยังมีสถานที่น่าสนใจอย่างพิพิธภัณฑ์ภาพลวงตาที่จัดแสดงสิ่งของในประวัติศาสตร์วงการมายากลและภาพลวงตาจากทั่วโลก รวมถึงมีโชว์มายากลอยู่ในนั้นด้วย แต่เพราะทั้งสองคนมีใครสนใจอยากจะเข้า พวกเขาเลยผ่านเข้าไปยังพื้นที่ด้านในกันเลย

 

          ท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่านที่ต่างพากันหลั่งไหลมาชมความงามของเมืองเก่าใต้เงาของดอกซากุระบานสะพรั่ง ตรงทางเดินเลียบริมน้ำที่กลีบดอกสีหวานร่วงโปรยเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านมา โชคกระชับคอเสื้อคลุมตัวนอกเข้าหาตัวเล็กน้อย มองคนตรงหน้ายกกล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้งที่กดมาจากตู้ขายอัตโนมัติ เพราะไม่ได้เอากล้องตัวเก่าที่อายุการใช้งานเกือบสิบปีมาด้วยขึ้นจับภาพปราสาทโบราญที่ตั้งตระหง่านอยู่ใต้ท้องฟ้าสีสดใส น้าแก้วไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเป็นพิเศษ แต่เขากลับรู้สึกอยากเก็บภาพนั้นไว้เลยล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าแอปพลิเคชั่นถ่ายรูป

 

          วินาทีที่แก้วลดเครื่องบันทึกภาพลงจากใบหน้า แล้วใช้ดวงตาเก็บภาพแทนเลนส์กล้อง ในม่านกลีบซากุระโปรยปราย ใต้ท้องฟ้าที่กระจ่างใสเกินจริง และแสงอาทิตย์ที่สาดลงมาอย่างอบอุ่น

 

          โชคกดปุ่มบันทึกภาพ เก็บเอาน้าแก้วที่แสนเหน็บหนาวไว้ในอัลบั้มรูป

 

          “โชค?” แก้วหันมา ทันเห็นว่าอีกฝ่ายแอบถ่ายรูปตนอยู่ ชายหนุ่มเลยคลี่ยิ้มบาง และเหมือนรอยยิ้มจะส่งไปถึงดวงตาคู่นั้นบ้างแล้ว มือเรียวยกกล้องตัวเดิมขึ้นอีกครั้ง กดปุ่มลั่นชัตเตอร์ถ่ายเด็กหนุ่มคืนทันทีโดยไม่แม้แต่จะให้สัญญาณ โชครีบปรับสีหน้า แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทันการหรือเปล่าจนกว่าจะล้างฟิล์มออกมาในตอนที่กลับถึงไทย

 

          โชคไม่รู้ว่าในรูปนั้นเขาจะทำหน้าตลกๆ อยู่หรือไม่ แต่เขาก็พอใจที่ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอของน้าแก้ว

 

 

 

          แก้วกับโชคกลับมาถึงเรียวกังที่พักก่อนถึงเวลามื้อเย็นพอดี อาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมหน้าตาน่ากินถูกยกมาเสิร์ฟถึงห้องพัก ชายหนุ่มนั่งสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้ที่จัดไว้ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่เขาบอกให้เริ่มลงมือไปก่อนได้เลยคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย พลันรู้สึกว่าทริปห้าวันสี่คืนที่จ่ายเงินไปเฉียดแสนนี้คุ้มค่าแล้ว

 

          “อร่อยมากเลยน้าแก้ว มากินเร็ว” เมื่อถูกคนที่เคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยเอ่ยเร่ง แก้วก็ขยี้บุหรี่ที่เหลือเกือบครึ่งมวนลงบนที่เขี่ย ขยับย้ายตัวเองลงไปนั่งตรงกันข้าม จิบชาล้างรสขมปร่าในปาก ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาเข้าปาก ลิ้มรสชุ่มฉ่ำของความสดใหม่ กับการปรุงรสอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารประเทศนี้

 

          “อืม อร่อยจริงๆ นั่นแหละ”

 

          บรรยากาศระหว่างมื้ออาหารในต่างแดนไม่ได้แตกต่างไปจากในบ้านไม้สีขาวนัก มันยังคงสงบสุข และมีบทสนทนาเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ภายในห้องกว้างใหญ่ไม่เงียบเหงา

 

          หลังจากนอนกลิ้งไปมารอเวลาให้อาหารย่อยแล้วก็ถึงเวลาอาบน้ำ ซึ่งในที่พักแห่งนี้เองก็ทั้งมีห้องอาบน้ำภายในตัว รวมไปถึงห้องอาบน้ำรวมที่ชั้นหนึ่ง เด็กหนุ่มวัยอยากรู้อยากเห็นเลยลงไปส่องดู ที่โอซาก้านั้นไม่ใช่เมืองแห่งน้ำพุร้อน แต่ภายในเรียวกังก็ได้จัดให้มีบ่อออนเซ็นขนาดไม่ใหญ่นักสำหรับให้แขกที่มาพักได้ผ่อนคลายอยู่ด้วย โชคตื่นเต้นอยากลองแช่ดูสักครั้ง แต่เมื่อเห็นปริมาณคนที่เข้าใช้อยู่ก็รู้สึกขัดเขินที่จะแก้ผ้าเปลือยเปล่าเข้าไปอาบน้ำร่วมกับผู้อื่น สุดท้ายก็กลับขึ้นมาบนห้องพักของตัวเองเหมือนเดิม

 

          “ข้างล่างเป็นไงบ้าง” แก้วที่เดินเช็ดผมออกจากห้องอาบน้ำถามขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับขึ้นมาไวกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าแก้ผ้าอาบน้ำรวมแหงๆ

 

          “คนเยอะเลยน้าแก้ว ผมไม่กล้าเข้าไปแช่ด้วยหรอก” คำตอบเป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิด เรียกรอยยิ้มเอ็นดูขึ้นมาบนใบหน้าขึ้นสีเรื่อเพราะอาบน้ำร้อน

 

          โชคไม่กล้าจ้องอีกฝ่ายนานนัก เมื่อในตอนนี้น้าแก้วที่เพิ่งออกจากอ่างอาบน้ำยังคงแผ่อุณหภูมิร้อนผ่าวผ่านชุดยูกาตะที่สวมทับกางเกงชั้นในแค่ตัวเดียว ผ้าผูกเอวก็พันมัดไว้ลวกๆ จนสาบเสื้อแหวกออกกว้าง กับเรือนผมดำประบ่าที่เปียกชื้นตัดกับผิวที่เข้มขึ้นเพราะเพิ่งไปตากแดดมาครึ่งวัน

 

          “ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มเลยได้แต่หอบผ้าเช็ดตัวตรงเข้าห้องน้ำไป เพื่อหลีกหนีจากภาพที่ชวนให้หัวใจสั่นไหวไปสงบสติอารมณ์ในอ่างน้ำร้อนแทน

 

          โชคกลับออกมาเมื่อแช่น้ำนานมากพอที่ผิวหนังบริเวณปลายนิ้วจะเหี่ยวย่นจนเป็นร่องชัดเจน เขาสวมชุดยูกาตะของทางเรียวกังเช่นเดียวกับชายหนุ่ม แต่ผูกมัดผ้าคาดเอวไว้อย่างแน่นหนาและเรียบร้อยกว่าเป็นไหนๆ

 

          ภายในห้องที่เปิดไฟไว้เพียงตรงหน้าห้องน้ำนั้นมืดสลัว แต่ก็เพียงพอที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แก้วนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม สูบบุหรี่ข้างบานหน้าต่างที่ถูกแสงสะท้อนเหนือผิวน้ำในคลองย้อนขึ้นมากระทบเป็นริ้วระยิบระยับ เพียงแต่ครั้งนี้ในมือของเขาไม่ได้คีบแท่งบุหรี่ แต่ถูกแทนที่ด้วยโทรศัพท์มือถือที่ยกขึ้นแนบหู และแววตาที่จ้องมองผ่านม่านควันออกไปยังต้นซากุระในความมืดนั้นก็ไม่ได้ดูหงอยเหงาเท่ากับเมื่อวาน

 

 

 

          “หมอให้นอนอีกกี่วัน” แก้วถามคนปลายสาย

 

          “คืนเดียว พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ถ้าไม่มีอาการอะไรอีกก็ให้กลับบ้านได้แล้ว” ธีร์ตอบตามที่หมอบอกเขามา ก่อนที่ในน้ำเสียงทุ้มน่าฟังนั้นจะแฝงความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน “ขอโทษนะที่ไปด้วยไม่ได้”

 

          “ไม่เป็นไร ก็ลูกมึงป่วย” แก้วตอบกลับง่ายๆ ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงจะเสียดายที่มันเป็นอีกครั้งแล้วที่พวกเขาต้องยกเลิกทริปเที่ยวด้วยกันแบบนี้ก็ตามที

 

          “ไว้คราวหน้านะ” คำพูดที่คล้ายคำสัญญา กระซิบอย่างมั่นคงอยู่ข้างหูจนรู้สึกจั๊กจี้ แก้วพ่นควันขาว ปล่อยให้มันลอยอ้อยอิ่งเช่นเดียวกับบทสนทนาที่เขาปล่อยทิ้งไว้ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงของลมหายใจที่บ่งบอกว่าต่างคนต่างอยู่ตรงนั้น ที่ปลายสายอีกฝั่ง แม้จะห่างกันสี่พันสองร้อยสิบกิโลเมตรก็ตาม

 

          “อืม ไว้คราวหน้า” ชายหนุ่มเอ่ยตอบกลับไปในที่สุด พร้อมกับกลุ่มควันที่สลายไประหว่างการเดินทางสู่ท้องฟ้า ความเงียบที่ทำให้ได้ยินแต่เสียงหายใจเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ทั้งเขาทั้งธีร์ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดกับมัน จึงต่างฝ่ายต่างฟังกันอยู่อย่างนั้น จนมวนบุหรี่มอดไหม้สุดโคน แก้วถึงได้คิดขึ้นได้พอดีว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้พูด

 

          “ค่าที่พักที่มึงออกไปก่อน เดี๋ยวกูโอนคืนให้”

 

          “ไม่ต้องหรอก” เจ้าของค่าที่พักที่สำรองจ่ายมาก่อนนั้นปฏิเสธทันควัน “กูจ่ายให้เลย”

 

          “มึงไม่ได้มาด้วยจะจ่ายทำไม” มือเรียวยื่นไปทิ้งก้นกรองลงในที่เขี่ย ยกขาข้างหนึ่งขึ้นชันบนเก้าอี้เพื่อใช้เท้าแขน

 

          “มันก็...เหมือนคุณพ่อที่จ่ายเงินให้แฟนกับลูกไปเที่ยวกันไง เพราะงั้นไม่ต้องคืนหรอกนะ” ประโยคที่ตอบกลับมาอย่างชัดเจนในทุกถ้อยคำทำเอาคนฟังรู้สึกวูบไหว ราวกับกลีบดอกซากุระที่โดนสายลมพัดจนปลิดปลิว ราวกับดอกแก้วที่ร่วงโรยทิ้งดิ่งลงสู่ลานอิฐ ราวกับรสชาติของการตกหลุมรักในวัยเยาว์หวนย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง...ในตอนที่เขากำลังจะอายุสี่สิบปี

 

          “ธีร์” แก้วเอ่ยเรียก ทั้งที่หัวใจเต้นโครมครามแต่ก็ยังควบคุมเสียงให้นิ่งได้อย่างง่ายดาย มันคงเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของผู้ที่ก้าวผ่านช่วงชีวิตมาจนค่อนทางอย่างเขา “ขอบใจ”

 

          “อา แค่มึงมีความสุขก็พอแล้ว” ธีร์ตอบกลับ ด้วยเสียงแผ่วเบา ทว่าความอ่อนโยนที่เคลือบมานั้นชัดเจน

 

          เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่การพูดคุยผ่านสัญญาณคลื่นทางอากาศระหว่างพวกเขานั้นไร้เสียง แต่ความรู้สึกกลับสื่อสารถึงกันราวกับอีกฝ่ายนั่งอยู่ห่างเพียงปลายนิ้วสัมผัส อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันมาเกือบยี่สิบห้าปีได้ถักทอเส้นใยบางอย่างระหว่างหัวใจสองดวงเอาไว้ด้วยกัน

 

          “แล้วนี่มึงได้เอารถไปจอดไว้ที่สนามบินรึเปล่า” ธีร์ถามเมื่อที่ประเทศไทยบอกเวลาสองทุ่มกว่า และนั่นหมายความว่าที่ญี่ปุ่นเป็นเวลากว่าสี่ทุ่มแล้ว

 

          “ไม่ ตอนไปสนามบินกูโบกแท็กซี่เอา”

 

          “งั้นเดี๋ยววันกลับมากูไปรับนะ”

 

          “อืม”

 

          “เที่ยวให้สนุก”

 

          “อือ”

 

          “แก้ว...” เจ้าของชื่อเผลอกำโทรศัพท์เสียแน่น ในขณะที่ซุกหน้าลงไปบนแขนที่กอดเข่าข้างที่ยกชันขึ้นมา รอคอยให้ปลายสายพูดจนจบประโยค “ฝันดีนะ”

 

          “เหมือนกัน” คำตอบแปลกประหลาด แต่กลับเข้าใจความหมายได้ไม่ยากถึงสิ่งที่อยากจะสื่อ ถ้อยคำที่เขารอคอย และอีกฝ่ายก็คงรอคอยไม่ต่างกัน แต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีใครพูดมันออกมา จนกระทั่งเขากดวางสาย ...ก็ยังไม่มีใครพูดมันออกมา

 

          แก้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างที่เขี่ยที่ไม่เหลือไอควันแล้ว สองแขนโอบกอดท่อนขาข้างเดียวนั้นไว้ วางแก้มลงบนหัวเข่า จับจ้องมองดูผิวน้ำกระเพื่อมไหว ส่งให้แสงไฟถนนที่ตกกระทบเต้นรำทอดเงาสั่นระริกพาดทับมาบนบานหน้าต่าง แล้วส่องผ่านเข้ามาสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาเอง

 

          โชคไม่รู้ว่าชายหนุ่มพูดอะไรกับคนในสาย เขาออกมาทันแค่ตอนช่วงท้ายเท่านั้น ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับสั้นๆ ไม่กี่คำ แต่ก็รับรู้ได้ว่าคำสุดท้ายนั้นเจือไปด้วยความขมปร่าที่แสนหวาน

 

          เด็กหนุ่มขยับเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ตรงที่ๆ คนตรงหน้าเขาคงอยากให้เป็นใครอีกคนนั่งอยู่ แก้วหันกลับมา ดวงตาต้องแสงแวววาว ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม...ที่ราวกับจะเชิญชวนให้เข้าไปหลงทางอยู่กลางหมอกควันทั้งที่ไม่ได้จุดบุหรี่

 

          ใบหน้าใต้ริ้วแสงวูบไหวเช่นเดียวกับวันที่เขาตกหลุมรัก รอยยิ้มที่จุดขึ้นมาก็งดงามราวกับความฝัน

 

          น้าแก้วของเขากำลังมีความสุขและรวดร้าวในเวลาเดียวกัน

 

          ส่วนโชคนั้นรวดร้าวเพียงอย่างเดียว

 

 

 

          เช้าวันที่สามยังคงดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบตามนิสัยของคนวางแผนเที่ยวอย่างแก้ว สำหรับเขาการท่องเที่ยวคือการพักผ่อน ไม่จำเป็นจะต้องรีบไปเบียดเสียดกับผู้คนตามแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่ว่าถ้าไม่ได้ไปถือว่ามาไม่ถึงอะไรพวกนั้นให้ครบเสียหน่อย เพราะงั้นวันที่สามพวกเขาถึงได้ไม่มีกำหนดการไปไหนเป็นพิเศษ แค่วันว่างๆ วันหนึ่งก่อนจะถึงคิวเข้าสวนสนุกที่จองไว้ในวันพรุ่งนี้

 

          “วันนี้จะอยู่ที่ห้องเฉยๆ เหรอครับ” โชคถามขึ้นมาหลังจากที่พนักงานยกจานอาหารเช้าว่างเปล่ากลับออกไปแล้ว

 

          “แล้วเธออยากไปไหนรึเปล่าล่ะ” คนที่นั่งจิบกาแฟหลังมือเช้าอยู่ริมหน้าต่างมุมเดิมนั้นถามกลับ แสงในตอนกลางวันที่สาดส่องเข้ามาในห้องแตกต่างไปจากยามราตรีโดยสิ้นเชิง เพราะมันทั่งสว่างไสวและอ่อนโยน อาบไล้ให้นัยน์ตาของน้าแก้วสะท้อนเป็นสีน้ำตาลเข้มแท้จริงของมัน

 

          โชคเคยคิดว่าท้องฟ้าสีสดใสกระจ่างนั้นมีแต่ในอนิเมะที่เขาดูกับมิกซ์เท่านั้นแหละ แต่มันกลับมีอยู่จริงตรงหน้าเขาตอนนี้ จริงเสียจนเขานึกสงสัยว่าประเทศไทยกับญี่ปุ่นอยู่ใต้ท้องฟ้าผืนเดียวกันจริงๆ หรือเปล่า

 

          “ก็ไม่ได้อยากไปไหนหรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบตามที่คิด เขาไม่ได้อยากออกไปไหน การได้ใช้เวลากับน้าแก้วสองคนในห้องที่ลำแสงสีทองอาบไล้อย่างอบอุ่นเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วมันดีกว่าการที่จะได้ไปสวนสนุกชื่อดังในวันพรุ่งนี้เสียอีก เพียงแต่ใต้ท้องฟ้าที่สวยงามเช่นนี้... “แต่ถ้าได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกันก็คงดี”

 

 
.....

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
.....


          เพราะคำที่บอกว่าอยากออกไปเดินเล่น โชคเลยถูกพาขึ้นรถไฟมาถึงเมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าแก่ที่ยังคงกลิ่นอายวัฒนธรรมประจำชาติไว้เข้มข้น หลังจากที่เขาต่อรสบัสหน้าสถานีรถไฟเกียวโตมาลงแถววัดน้ำใส เข้าไปไหว้ขอพรตามตามความเชื่อท้องถิ่นที่ว่ากันว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ได้ออกไปให้บริสุทธิ์เหมือนกับชื่อวัด เสร็จแล้วก็ออกเดินไปตามถนนโบราณของย่านฮิกาชิยาม่า ซึมซับเอาบรรยากาศยุคเอโดะที่แฝงเร้นอยู่ในอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ระหว่างทางไปสู่ศาลเจ้ายาซากะที่ตั้งห่างออกไปไม่ไกลนัก

 

          “น้าแก้ว” เด็กหนุ่มเรียกคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ยกกล้องถ่ายรูปที่ตอนนี้เขาเป็นคนถือขึ้นรอบันทึกภาพ ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ กาลเวลาหยุดลงตรงนั้น เมื่อเจ้าของแผ่นหลังที่เขาตามเก็บเอาไว้ในม้วนฟิล์มหันกลับมา ส่งยิ้มให้เลนส์กล้องเพียงเบาบาง แต่กลับสดใสเหมือนกับท้องฟ้าในตอนนี้

 

          “Sorry!” ในตอนที่กดลั่นชัตเตอร์ ไหล่ของเด็กหนุ่มก็ถูกชาวต่างชาติที่เดินสวนมาเบียดชนเข้า ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็ทำให้มือสั่นจนไม่แน่ใจว่ารูปที่ถ่ายไปนั้นจะออกมาพร่าเบลอหรือเปล่า พอจะหันกลับไปถ่ายใหม่อีกครั้งเพื่อกันเสีย นายแบบของเขาก็ไม่ได้อยู่ในท่าเดิมแล้ว เช่นเดียวกับริ้วก้อนเมฆบางเบาบนฟ้าที่ถูกลมพัดพาเปลี่ยนทิศ เพราะเสี้ยววินาทีเดียวที่จะเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

 

          นั่นคงเป็นทั้งเสน่ห์ที่ชวนหลงใหล และความทุกข์ตรมของการพยายามคว้าจับความทรงจำ

 

          ในทะเลของความเสียดายที่โชคกำลังจมลงไปนั้นทำให้หัวใจรู้สึกเหน็บหนาว แต่ก็ไม่ได้คงอยู่นานนักเมื่อเขาถูกอุ้งมืออุ่นคว้ากลับขึ้นมา แก้วจับมือโชคเอาไว้ แล้วจูงเดินฝ่าฝูงชนที่เริ่มแน่นขนัดในเวลาใกล้เที่ยงบนถนนแคบๆ สายนี้

 

          “คนเยอะแล้ว เดี๋ยวจะหลง”

 

          “ครับ” โชครับคำ พลางกุมกระชับมือที่นำทางเขาไปให้แน่นขึ้นอีก

 

          ...เพื่อให้ความอบอุ่นจากตัวคนจริงๆ ฝังแน่นแทนแผ่นภาพทรงจำที่คว้าเก็บไว้ไม่ได้

 

 

 

          เกียวโตกับโอซาก้าห่างกันเพียงนั่งรถไฟครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แก้วกับโชคเลยกลับมาถึงละแวกที่พักกันในตอนบ่ายสาม แวะเดินตลาดขึ้นชื่อซื้อของกินเล่นกันไปพลางๆ ก่อนกลับไปเรียวกังที่พักในตอนก่อนฟ้ามืด

 

          คืนนั้นหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จก็มีฝนตกลงมาพอดี ไม่ได้โหมกระหน่ำหนักหน่วง แค่ร่วงโปรยแผ่วเบาไม่ขาดสาย แก้วลุกไปนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง เสียงใสจากไฟแช็กสีทองดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนกลิ่นของการเผาไหม้จะลอยอวล แต่เพราะห้องพักที่เขาเลือกนั้นเป็นห้องที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้อยู่แล้วจึงมีพัดลมระบายอากาศในตัว เพราะงั้นต่อให้ไม่ได้เปิดบานกระจกที่ถูกหยดน้ำใสเกาะพราวออก กลุ่มควันขาวที่ลอยเอื่อยก็ถูกดูดออกไปผ่านซี่ใบพัดที่สะบั้นให้มันแตกสลายหายไปในอากาศอยู่ดี

 

          เด็กหนุ่มผู้ไม่ได้ถูกรบกวนด้วยควันมือสอง และคุ้นเคยดีกับกลิ่นเหม็นไหม้ของใบยาสูบที่โชยมานอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนพื้น ตอบข้อความในแชทที่ถูกส่งมาโดยเพื่อนสนิท พุดคุยไร้สาระเรื่อยเปื่อยในช่วงเวลาที่รอให้อาหารย่อยก่อนจะไปอาบน้ำ จนกระทั่งได้ยินเสียงครืดคราดของโทรศัพท์มือถือสั่นอยู่บนโต๊ะไม้ข้างที่เขี่ยบุหรี่ แล้วมือเรียวก็คว้ามันขึ้นไปกดรับสายทันที

 

          “อืม ว่าไง” เสียงของแก้วในตอนที่รับโทรศัพท์ยังคงราบเรียบ แต่แววตากลับมีชีวิตชีวา “วันนี้ไปเกียวโตกันมา...”

 

          โชคขยับตัวลุกทั้งที่มื้อเย็นในท้องยังไม่ย่อยดี คว้าเอาชุดยูกาตะตัวใหม่ที่ทางโรงแรมเปลี่ยนมาให้กับผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป น้ำร้อนในอ่างยังไม่ทันเต็ม แต่เขาก็ยินดีจะนั่งรอมันตรงนี้มากกว่าอยู่ฟังบทสนทนาระหว่างคนสองคนข้างนอกนั่น

 

          จริงๆ มันไม่เรียกบทสนทนาด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงคำพูดของคนทางนี้ฝ่ายเดียว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เดาได้ว่าเสียงของอาธีร์ที่ตอบกลับมาคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นละมุนละไม ไม่ต่างจากในดวงตาของน้าแก้วนักหรอก

 

          เด็กหนุ่มจมตัวเองลงในน้ำร้อน ทิ้งหัวดิ่งลงสู่ก้นอ่าง พยายามจะลืมตาในน้ำอุณหภูมิสูง แต่มันก็แสบร้อนเกินไปจนเห็นเพียงแสงไฟบิดเบี้ยวสว่างจ้าเหนือผิวน้ำ สุดท้ายก็เด้งตัวกลับขึ้นมา นั่งกอดเข่าซุกหน้าลงบนแขน ต่อให้เขาพยายามจะซุกซ่อนความรู้สึกนี้ลงไปให้ลึกแค่ไหน สุดท้ายมันก็ตีย้อนกลับขึ้นมาแผดเผาหัวใจเขาอยู่ดี

 

          ...ความรู้สึกหึงหวงทั้งที่ไม่มีสิทธิ์

 

          ตอนที่โชคออกจากห้องอาบน้ำมาแก้วก็วางสายโทรศัพท์ไปนานแล้ว เขาไม่ได้มีเรื่องให้คุยกับธีร์มากเท่าไหร่ มีแค่เรื่องของเมษาที่เข้าโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้เพราะหวัดลงกระเพาะ และตอนนี้ก็หายดีกลับไปซนซ่าได้เหมือนเดิมแล้ว กับเรื่องที่เขาพาเด็กหนุ่มไปเที่ยวเมืองเกียวโต ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรให้เล่ามากมายนัก สุดท้ายการพูดคุยของพวกเขาก็จบลงที่เสียงลมหายใจ ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์เมื่อถึงเวลาอันสมควร แล้วเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องตัดสายเหมือนกับทุกที

 

          “ผมรองน้ำไว้ให้ใหม่แล้วนะครับ ใกล้เต็มแล้วน้าแก้วเข้าไปอาบเลยก็ได้” ผมสั้นเกรียนยังคงให้ความรู้สึกชุ่มชื้นเพราะอุณหภูมิตกค้างจากน้ำอุ่นร้อน แก้วพยักหน้า ลุกจากเก้าอี้เดินสวนเข้าห้องน้ำไปโดยที่ฝากความรู้สึกเย็นวูบของผิวที่อุณหภูมิต่ำกว่าจากปลายนิ้วไว้บนหน้าผาก ลากยาวไปถึงกลางกระหม่อมตามสัมผัสของมือที่ลูบผ่านตามความเคยชิน

 

          ห้องทั้งห้องเงียบงันเมื่อเหลือเขาเพียงคนเดียว โชคก้าวข้ามฟูกนอนที่พนักงานขึ้นมาปูเตรียมไว้ให้ที่กลางห้องไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะไม้เข้าชุดกับเก้าอี้ที่ข้างหน้าต่าง เศษขี้เถ้ากับก้นกรองที่เพิ่มขึ้นมาอีกอันทำให้เขารู้ว่าแก้วสูบไปสองมวนติด เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ที่ว่าน้าแก้วจะสูบบุหรี่ทุกครั้งที่ชายหนุ่มรู้สึกเหงา... ความเหงาของการคิดถึงใครสักคนอยู่

 

          ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกหนาวทั้งที่ในห้องเปิดฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่น บางทีคงเป็นเพราะเม็ดฝนบนกระจกใส กับแสงไฟนีออนข้างถนนที่ถูกบิดเบือนจนเมื่อมันส่องมาถึงข้างในนี้ มันก็กลายเป็นสีฟ้าที่ชวนให้รู้สึกอ้างว้างต่างจากสีจริง ยิ่งในห้องที่ปิดไฟจนเหลือเพียงแสงรำไรจากหน้าประตู ฟูกนอนสีขาวก็ยิ่งถูกย้อมด้วยสีของสายฝนกับเงาของหยดน้ำที่พาดทับลงมา

 

          โชคซุกตัวเข้าไปในที่นอนนุ่มหนา กอดผ้าห่มเอาไว้แน่นแล้วหลับตา พยายามที่จะหลับไปก่อนเจ้าของแผ่นหลังที่เขาเฝ้ามองมาตลอดสองคืนจะกลับมา เพื่อที่คืนนี้เขาจะได้หลับไปโดยไม่คิดอยากไขว่คว้าคนตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอด

 

          แต่ความพยายามก็ไม่เป็นผล เมื่อทันทีที่เด็กหนุ่มหลับตาลง เสียงจากประตูห้องน้ำก็บ่งบอกว่าชายคนนั้นออกมาแล้ว ในชุดยูกาตะที่สวมใส่ลวกๆ ไม่เรียบร้อย กับเรือนผมเปียกชุ่มแนบลู่ไปบนผิวกรุ่นไอน้ำ

 

          แก้วไม่ได้ใช้ไดร์เป่าผมเพราะคิดว่าคนบนที่นอนหลับไปแล้ว สองมือเรียวเลยได้แต่ขยี้ผ้าเช็ดผมจนมันแห้งหมาด ก่อนแทรกตัวลงบนฟูกนอนของตนที่ปูไว้ข้างกันกับเด็กหนุ่ม ขยับจัดท่าทางให้นอนสบายแล้วปิดเปลือกตาลงเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราที่มีเสียงฝนกล่อมนอน

 

          “น้าแก้ว” คนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว

 

          “หืม” แก้วครางตอบอย่างง่วงงุน

 

          “ผม...ขอไปนอนกับน้าแก้วได้ไหม” โชคไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ขอออกไปอย่างนั้น เขาไม่ใช่เด็กอายุสิบขวบปีที่หวาดกลัวฝันร้ายยามค่ำคืนอีกต่อไปแล้ว เขาอายุย่างสิบเจ็ด กำลังจะเป็นหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่กลับร้องขออะไรแบบนี้ออกมา ร้องขออะไรที่จะอาจจะทำให้น้าแก้วนึกสงสัย...ถึงความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน

 

          ความรู้สึกที่มากไปกว่าเด็กชายที่กลัวความมืด

 

          “ขอโทษครับ ผมแค่..” เมื่อรู้สึกตัวก็รีบละล่ำละลักจะหาข้อแก้ตัว แต่ยังไม่ทันหัวสมองเค้นอะไรออกมาได้เป็นชิ้นเป็นอัน แก้วก็พลิกตัวกลับมาหา ดวงตาสีเข้มปรือต่ำ แต่มุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับเมื่อก่อน ในคืนที่เขาสะดุ้งตื่นจากฝันแล้วไปเคาะประตูห้องนอนใหญ่กลางดึก

 

          “มาสิ”

 

          ตัวขยับไปก่อนที่จะได้ทันคิด โชคหอบหมอนข้ามผ่านระยะห่างเพียงฝ่ามือของสองฟูกนอน แทรกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่กักเก็บความร้อนจากร่างกายคนที่อยู่มาก่อนเอาไว้ให้ความรู้สึกอุ่นวูบไปถึงหัวใจ ซุกเข้าหากลิ่นอายที่คุ้นเคย กลิ่นของความสงบในคืนที่ฟ้าร้องคำราม กลิ่นของความปลอดภัยในคืนที่ห้วนนิทราไม่เป็นมิตร ...กลิ่นของน้าแก้ว

 

          “ฝันดี” เสียงพึมพำกับอุ้งมืออุ่นที่ลูบหัวกล่อมเด็กหนุ่มเหมือนในวันเก่าๆ ไม่มีผิด สำหรับแก้วแล้วโชคก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนเดิมที่ตนเคยส่งเข้านอน แต่สำหรับโชคแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่น้าแก้วคนนั้นที่เขาเฝ้ามองด้วยความรู้สึกรักใคร่แสนบริสุทธิ์เหมือนอย่างวันวาน

 

          หัวใจเต้นโครมครามขณะที่แก้วพลิกตัวตะแคงหันไปอีกฝั่งที่เขานอนถนัดกว่า แผ่นหลังตรงหน้าดูใกล้จนเด็กหนุ่มเผลอเอื้อมมือออกไปคว้า และเมื่อมันมันแตะถึง โชคก็เลยขยับตัวเข้าไปใกล้ โอบกอดร่างกายที่เล็กลงไปทุกทีในสายตาของคนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาไว้จนแนบชิด จนรู้สึกถึงความร้อนจากผิวหนังและความเย็นชื้นของเส้นผมที่ยังไม่ทันแห้งดี

 

          ในตอนนั้นโชคไม่ได้กลัวว่าแก้วจะรับรู้ถึงเสียงหัวใจที่สะเทือนอยู่ในอกเขาเลยสักนิด สิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มกลัวคือการที่น้าแก้วจะเข้าใจผิด

 

          ...ว่าอ้อมแขนและความอบอุ่นจากตัวเขามันเป็นของใครอีกคนที่ซ้อนทับขึ้นมา

 

          เพราะไม่มีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของ อย่างน้อยในค่ำคืนนี้เขาก็ขอครอบครองชายหนุ่มไว้ในอ้อมกอดโดยที่ไม่ถูกเงาของใครบดบัง แม้มันจะเป็นเพียงชั่วขณะเดียวนี้ก็ตาม

 

          และชั่วขณะเดียวนั้นก็ผ่านไปในชั่วพริบตา เหมือนกับดวงจันทร์ที่ลาลับฟ้าไปโดยที่ยังไม่มีใครได้ทันรู้สึกตัว เช้าวันใหม่เดินทางมาถึง พร้อมกับแสงที่ส่องเข้ามาปลุกคนในห้องให้ลืมตาตื่น โชคเป็นคนที่รู้สึกตัวก่อน สองแขนจึงขยับกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่น ยึดเอาไออุ่นจากตัวน้าแก้วไว้กับตัวเอง หวังให้เสี้ยวนาทีแสนสั้นนี้ยาวนาน ก่อนจะถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือจากไป

 

 

 

          วันที่สี่นั้นมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่สวนสนุกระดับโลกที่ตั้งอยู่ในโอซาก้า แต่ถึงจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มีจำนวนคนเข้ามหาศาลอยู่เสมอ แก้วกับโชคก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปให้ถึงอยู่ดี ยามเช้าแสนสงบ มื้ออาการที่กินอย่างสบายๆ พอสายหน่อยจึงค่อยออกเดินทาง ตอนที่ไปถึงจึงเป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว

 

          ท้องฟ้าสีใส แสงแดดอบอุ่นและอุณหภูมิกำลังดี เหลือแค่เพียงแอ่งน้ำเล็กๆ บนถนนที่บ่งบอกให้รู้ว่ามีฝนตกลงมาก่อนหน้านี้ โชคเดินเลี่ยงน้ำฝนที่ตกค้างบนผิวคอนกรีต มุ่งตรงเข้าสู่สถานที่ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อมอบความสุข ด้วยความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ที่บอกไม่ถูกว่ามันสดใสเหมือนท้องฟ้าตอนนี้ หรือยังคงติดอยู่ในสายฝนเมื่อคืน

 

          สวนสนุกขนาดใหญ่มีเครื่องเล่นมากมายจนไม่สามารถเล่นได้ครบทั้งหมดในวันเดียว บริเวณด้านในก็แบ่งออกเป็นหลายๆ โซนที่มีการตกแต่งให้บรรยากาศแตกต่างกันไป โชคกับแก้วดูข้อมูลเครื่องเล่นและพื้นที่โซนต่างๆ จากแผ่นพับที่ได้มาจากซุ้มตรงทางเข้า พอคำนวณเวลาที่ต้องรอคิวด้วยแล้วคงได้เล่นอยู่ไม่กี่อย่าง สุดท้ายก็เลยเลือกเอาที่ตัวเองสนใจกันแค่คนละสองอัน ระหว่างทางเดินไปเครื่องเล่นก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปบ้างจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีหม่นเข้ม

 

          ความทรงจำในสวนสนุกของพวกเขาจบลงด้วยขบวนพาเรด แสงสีเสียงสุดอลังการและนักแสดงสวมบทบาทเดินขบวนออกมามอบความบันเทิงให้แก่นักท่องเที่ยว ย้อมท้องฟ้ายามราตรีเหนือหัวให้สว่างไสวเมื่อมองขึ้นไปจากบนพื้นดิน

 

          ตอนที่กลับออกจากสวนสนุก เวลาอาหารเย็นของเรียวกังก็ล่วงเลยมานานโขแล้ว ซึ่งจริงๆ จะสั่งขึ้นมากินเป็นมื้อดึกก็ได้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แก้วเลยพาเด็กหนุ่มเปลี่ยนบรรยากาศเข้าร้านอาหารข้างทางระหว่างขากลับแทน กว่าจะถึงที่พักจริงๆ เลยกลายเป็นเกือบเที่ยงคืน และเพราะเป็นเวลานั้น ห้องอาบน้ำรวมชั้นหนึ่งจึงโล่งว่างไร้ผู้คน

 

          โชคแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถรองรับคนหกคนได้อย่างสบายๆ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็อาจจะแน่นขนัดเกินไปสักหน่อย แต่ทั้งที่อยู่คนเดียวเด็กหนุ่มกลับรู้สึกอึดอัดไปหมด และเขาก็รู้ว่าไม่ใช่เพราะไอน้ำหรือความร้อนจากบ่อออนเซ็นทั้งนั้น แต่เป็นเจ้าของเรือนร่างเปลือยเปล่าที่กำลังล้างตัวตามมารยาทก่อนลงแช่น้ำอยู่ตรงหน้าต่างหาก

 

          แก้วไม่เคยอาบน้ำกับโชค เขาเคยอาบน้ำให้โชคในตอนที่โชคยังเด็ก แต่ก็ไม่เคยร่วมอาบด้วยสักครั้ง และตั้งแต่ที่เด็กชายขึ้นชั้นประถมก็เริ่มจัดการตัวเองได้ จากนั้นก็เลยไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไรกับเรื่องนี้อีก เพราะอย่างนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้เห็นร่างกายใต้ร่มผ้าของน้าแก้ว

 

          ...มันไม่ได้แตกต่างไปจากที่เขาจินตนาการเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็แตกต่างกันลิบลับเลย

 

          แก้วก็เหมือนกับผู้ชายทั่วๆ ไปที่ไม่ได้มีส่วนเว้าโค้งยั่วยวนมากนัก เพียงแต่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของชายไทยนิดหน่อย ด้วยความสูงที่อีกไม่กี่มิลลิเมตรก็จะแตะร้อยแปดสิบ แขนขายาวสมส่วน เช่นเดียวกับรูปร่างที่ไม่ได้ผอมบางแต่ก็ไม่ได้เจ้าเนื้อ เป็นชายวัยใกล้เลขสี่ที่มัดกล้ามตามร่างกายยังคงแน่นกระชับดูเด็กกว่าอายุพอสมควร เมื่อรวมกับผิวพรรณที่ไม่ค่อยได้ออกแดดจนออกจะซีดอยู่บ้าง กับใบหน้าที่ริ้วรอยยังไม่ถามหา และเรือนผมสีเข้มยาวประบ่า น้าแก้วของเขาจึงดูไม่ได้แตกต่างไปจากวันแรกที่ได้เจอกันนัก ราวกับหยุดเวลาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว

 

          แต่สิ่งที่เขาไม่เคยได้รู้และไม่เคยคิดถึงคือรอยจุดสีคล้ำเล็กๆ ที่แต้มอยู่บนแผ่นหลังกว้าง แก้วมีขี้แมลงวันอยู่สามจุด ตรงสะบักขวา ข้างเอวซ้าย และปลายสันหลังตรงเนินสะโพก โชคไม่รู้ว่าชายหนุ่มยังมีจุดแต้มตรงไหนอีกหรือไม่จนกว่าอีกฝ่ายจะหันมา แต่เขารู้แน่ๆ ว่ามีคนหนึ่งที่รู้ถึงทั้งหมดนั่นอยู่ คนๆ เดียวที่มีสิทธิ์ปลดเปลื้องให้เรือนร่างนั้นเปลือยเปล่า มีสิทธิ์ลูบไล้และฝากร่อยรอยประทับเอาไว้บนผิวกายร้อนผ่าว มีสิทธิ์ที่จะแทรกกายเข้าไปเติมเต็มทุกช่องว่างภายในตัวของน้าแก้ว

 

          ...คนเดียวคนนั้น

 

          ความคิดฟุ้งซ่านแต่กลับแจ่มชัดทำเอาหัวใจปริแตก แต่ในขณะเดียวกันก็พาให้เลือดลมวิ่งพล่านไปตามเส้นเลือดที่ขยายตัวด้วยความร้อนของน้ำในบ่อ ไหลไปรวมกันทั้งบนหัวและกลางตัว

 

          เด็กหนุ่มวัยกำลังโตหุบขาเข้าหากัน กอดเข่าใต้น้ำอย่างทรมาน พยายามจะสงบใจและสงบอวัยวะอีกอย่างที่กำลังตื่นตัวลง โชคดีที่ไอสีขุ่นเหนือผิวน้ำหนาแน่นมากพอจะช่วยเขาซุกซ่อนมันเอาไว้ และยังช่วยกลบเกลื่อนให้สองแก้มที่ขึ้นสีชัดเจนดูเหมือนเป็นการตอบสนองปกติของร่างกายเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงอย่างนี้

 

          เมื่อล้างตัวเสร็จแก้วก็ก้าวลงมาแช่น้ำในบ่อเดียวกัน สีหน้าท่าทางดูพึงพอใจที่ได้ยืดเส้นยืดสายในน้ำแร่ธรรมชาติหลังจากการยืนรอคิวขึ้นเครื่องเล่นจนขาแข็งมาตลอดทั้งวัน แก้วหันมาหาเด็กหนุ่ม แต่ไม่ได้สบตาเพราะดวงตาคมสวยคู่นั้นกำลังหลุบลงต่ำ เช่นนั้นแล้วเขาจึงเบนสายตาหันไปมองโคมไฟหินที่ประดับข้างบ่อแทน ปล่อยให้ความเงียบงันทำหน้าที่ของมันขณะที่ร่างกายของเขากำลังผ่อนคลาย

 

          ...น้าแก้วมีขี้แมลงวันอีกสองจุด ตรงข้างสะดือและแผ่นอกขวา

 

          นั่นเป็นสิ่งที่โชคได้รู้เพิ่มขึ้นมา

 

 

 

          คืนสุดท้ายในต่างแดนโชคไม่ได้ขอไปนอนกับแก้วอีก ได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังที่ขยับตามจังหวะการหายใจในแสงสลัวรางอย่างรู้สึกผิดผสมกับเจ็บปวด และวันสุดท้ายก่อนถึงเวลาขึ้นเครื่องในตอนกลางดึก พวกเขาก็ไปฆ่าเวลาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำติดอ่าวโอซาก้า เดินดูปลาและสัตว์ทะเลหลากสายพันธุ์หลังบานกระจกหนา และออกมาดูท้องน้ำกว้างใหญ่ยามค่ำคืนจากบนชิงช้าสวรรค์ติดริมทะเล

 

          โชคมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ดวงตาสีเข้มสะท้อนแสงสีส้มอบอุ่นของไฟประดับ พลางคิดขึ้นมาได้ว่าในตอนที่เขาตกหลุมรัก มันก็เกิดขึ้นในอความเรียมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร และในหน้าร้อนต่อจากนั้น ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขากับน้าแก้วได้ไปทะเลด้วยกัน

 

          อาจจะเป็นเพียงความบังเอิญ แต่ห้าปีหลังจากวันนั้นมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

 

          การตกหลุมรักในอควาเรียม กับเสียงคลื่นทะเลที่ยังดังไม่เท่ากับเสียงหัวใจ

 

          ในวันนี้ ตอนนี้ กับคนๆ นี้ เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย

 

          โชคไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาในการมาเที่ยวแสนไกลครั้งนี้เป็นอย่างไร เพราะมันทั้งมีความสุขที่ได้ใช้เวลาไปกับน้าแก้ว ในบ้านเมืองที่สวยงามใต้ท้องฟ้าใสกระจ่างเหนือจริงของประเทศแห่งนี้ แต่มันก็เจ็บปวด เมื่อความสุขครึ่งหนึ่งของน้าแก้วถูกทิ้งเอาไว้ใต้ผืนฟ้าแจ้งและแสงแดดแผดเผาของประเทศไทยตั้งแต่ก่อนเดินทาง ในบางครั้งมันจึงมีความอ้างว้างในแววตาคู่นั้น และมันก็กัดกินมาถึงหัวใจของเด็กหนุ่มด้วย

 

          แต่ท่ามกลางความครึ่งๆ กลางๆ เหล่านั้น ก็ยังคงเหลือความรู้สึกหนึ่งที่มั่นคงและชัดเจน

 

          โชคตกหลุมรัก เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือมันยังคงเป็นชายคนเดิม

 

          น้าแก้วคือสิ่งเดียวที่อยู่ในสายตา

 




 

          ความสับสนยุ่งเหยิง ความเจ็บปวดร้าวราน และห้วงแห่งความรัก

 

          ทั้งหมดนั้นคือรสชาติของการเป็นวัยรุ่น

 

          ช่วงชีวิตสั้นๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะถึงวันที่ต้องเติบโต

 

 

 

TBC...

 

          ในที่สุดน้าแก้วกับโชคก็ไปญี่ปุ่นด้วยกันแล้วนะคะ สัญญาในเดือนกรกฎาคมถูกเติมเต็มแล้ว

          ตอนนี้ก็เป็นตอนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่หลักๆ ก็คงเป็นความเหงาสินะคะที่เด่นชัด และเพราะตอนที่ยาวมากกกกกกกกกกกก เป็นตอนที่ยาวมากๆๆๆ อยากบอกว่าเขียนยากมากๆ เลยด้วยล่ะค่ะ รีนจำได้ว่าใช้เวลาติดอยู่กับตอนเดียวนี้เกือบสองอาทิตย์ เป็นช่วงที่ตันแบบวิกฤติ ร้องไห้บอกกับเพื่อนสนิทที่คอยช่วยอ่านให้เสมอ กับน้องสาวที่คอยให้กำลังใจว่าไม่เอาแล้ว อยากยอมแพ้ แต่ก็นั่นแหละค่ะ ยอมแพ้ไม่จริง ทิ้งไม่ได้ สุดท้ายก็ยังคงลากตัวเองมาเขียนต่อ ละก็ชอบสิ่งที่เขียนออกมาได้มากๆ เลย เป็นหนึ่งในตอนที่ชอบที่สุด(ได้ข่าวว่าชอบทุกตอน อุฮิ) ก็หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนกันนะคะ

 

          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่านเสมอ

          ขอบคุณค่ะ

 

          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้า กับตอนที่ยาวไกลไม่แพ้กันอีกตอนนะคะ

          SEE YOU on Thursday


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ต่อด้วยกันยาวๆเลยกับทริปญี่ปุ่น เป็นการเที่ยวที่แอบดูขมุกขมัว มีไอหมอกจางๆลอยพาดผ่านตลอดเวลา 5555 แต่ก็ดี มีความสุขด้วยที่โชคได้ไปเที่ยวต่างประเทศแล้ว ไปเปิดหูเปิดตา น้าแก้วก็พยายามจะให้สิ่งดีที่สุดกับโชค ทำตามสัญญา อะไรให้ได้ก็ให้ แต่เรื่องของหัวใจนั้นก็แล้วแต่ละคนจะจัดการเองนะเออ ถ้าแก้วเลือกธีร์แล้วก็ไปให้มันสุด ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กน้อยอะไรอีกแล้ว ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นยังไง ยินยอม  :hao3: ส่วนโชคก็ค่อยๆทำใจแล้วกัน เอาใจช่วย ชอบภาษาการบรรยายมาก ขอบคุณที่มาต่อนะคะ เลื่อนการอัพบ้างก็ได้ถ้ามันตัน จะได้ไม่กดดันเกินไป อย่าเทพอค่ะ 5555 ค่อยๆแต่งไปนะคะ รออ่านอยู่เสมอ รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 25



          โชคขึ้นชั้นมัธยมปลายเมื่อเดือนพฤษภาคมเดินทางมาถึงอีกครั้ง เด็กหนุ่มที่สูงพรวดพราดขึ้นมาในช่วงปีก่อนเริ่มชะลอการเติบโตลง แต่ยังคงไม่หยุดสนิท นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้รับมาจากพ่อที่เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ เช่นเดียวกับที่ได้รับดวงตาซึ่งถอดเบ้ามาจากผู้เป็นแม่



          ร่างกายของขามกับนัยน์ตาของช้อย



          มรดกตกทอดเพียงสองสิ่งที่ยังหลงเหลือจากคนสองคนที่ทอดทิ้งเขาไป แต่แทนที่มันจะเป็นตัวแทนแห่งความทรงจำขมขื่น เหมือนกับเมื่อยามที่ขามมองเห็นช้อยในดวงตาของลูกชายแล้วเดือดดาลขึ้นมา เด็กหนุ่มกลับไม่นึกเกลียดชังสิ่งเหล่านั้นเลยสักนิด



          เพราะน้าแก้วบอกกับเขาว่าดีแล้วที่โตขึ้นมาขนาดนี้ กับชมว่าเขามีรูปตาที่สวยขนาดไหน



          คำพูดจาใจดีเพียงไม่กี่คำของชายหนุ่มที่พูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะเก็บเด็กชายขึ้นมาจากซากปรักหักพังของคำว่าครอบครัว... เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งรักในร่างกายที่ตนได้รับมา



          “ไปนะครับ” โชคสวมรองเท้าผ้าใบสีดำตามระเบียบเสร็จก็หันมาบอกลาคนที่ออกมารอส่งเขา ในทุกเช้าแรกของการเปิดการศึกษาที่กลายเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ของบ้านไปเสียแล้ว



          “ขี่รถกันดีๆ” แก้วว่า ขยับเข้ามาช่วยเด็กหนุ่มปรับสายรัดคางของหมวกกันน็อกให้พอดี หลังจากที่เจ้าตัวงมเองอยู่สักพักแต่ไม่สำเร็จ “โตขึ้นอีกแล้วสินะ”



          “ครับ” โชคตอบรับ ทั้งที่มันเป็นแค่การพึมพำกับตัวเองของอีกฝ่าย แต่เพราะเขาเห็นรอยยิ้มในดวงตาสีเข้มทั้งที่ริมฝีปากยังคงเรียบเฉย เขาเลยเผลอตอบออกมา “ผมโตแล้วนะครับ น้าแก้ว”



          แก้วไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ขยับมุมปากยกยิ้มบาง กับฝ่ามือที่ตบลงบนบ่ากว้างเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่เด็กนักเรียนต้องไปโรงเรียนแล้ว พอดีกับที่มีชายอีกคนโผล่หน้าออกมาจากประตู ส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมกับไอควันจากแก้วกาแฟ และแมวสาวที่อยู่ในอ้อมแขน



          ในตอนที่เขาก้าวขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายเพื่อนสนิท ทั้งที่พยายามจะไม่เหลือบไปมองแท้ๆ แต่สายตาเจ้ากรรมก็ยังเผลอมองกลับไปอยู่ดี



          กาแฟแก้วนั้นไม่ใช่ของคนตัวใหญ่ แต่ชงออกมาให้ใครอีกคนต่างหาก เจ้าของบ้านหนุ่มรับกาแฟมาจิบ พวกเขาพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค แต่ก็เรียกรอยยิ้มขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่ธีร์จะกดจูบลงบนหน้าผากของแก้ว แผ่วเบาและอ่อนโยน เช่นเดียวกับแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้าไปตกกระทบลงบนพื้น ย้อมเฉลียงไม้หน้าบ้านให้เป็นสีทองอย่างนุ่มนวล



          ตั้งแต่ที่กลับจากญี่ปุ่นมา ระหว่างน้าแก้วกับอาธีร์ก็ดูจะชัดเจนขึ้นมาก แม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ทั้งสองคนก็รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดจะไม่เข้าใจว่าระหว่างพวกเขามันมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิท และก็เพราะว่าโชครู้ เข้าใจดีเลยทีเดียว เขาจึงได้แต่ดึงสายตากลับมา ปล่อยให้ลมที่ตีพัดเข้าหน้าช่วยพัดพาเอาความรู้สึกหน่วงแน่นในหัวใจลอยหายไปด้วย







          หลังจากเปิดเทอมไปได้สองสัปดาห์ก็เข้าสู่เดือนใหม่ มิถุนายนที่มีฝนตกประปราย บางวันก็หนักจนฟ้าเที่ยงวันมืดครึ้ม บางวันก็ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์อยู่ใกล้พื้นดินกว่าปกติ วันนี้เป็นวันแบบหลัง ที่ทั้งร้อนอบอ้าวและไร้เค้าลางเมฆหม่น



          “กลับมาแล้วครับ” โชคเอ่ยบอกตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดประตูรั้วเข้าไป เพราะความสูงของรั้วไม้ที่สูงแค่ใต้อก ทำให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคนนั่งอยู่ที่ตั่งบนเฉลียงหน้าบ้าน



          “กลับเร็วนะวันนี้” ธีร์ยิ้มกว้างต้อนรับเด็กหนุ่มกลับบ้าน บนตักมีมะลิที่ซุกหัวคลอเคลียกับมือใหญ่ ส่วนในมืออีกข้างกำมือถือเอาไว้ เหมือนว่าเพิ่งวางสายโทรศัพท์ไปได้ไม่นาน



          “วันนี้ไม่มีเรียนพิเศษน่ะครับ” หนุ่มม.ปลายหมาดๆ ว่า เดินถือหมวกกันน็อกขึ้นมาเก็บในชั้นวางข้างตั่งไม้ “แล้วน้าแก้วกลับกี่โมงครับ”



          “คงสักหกโมงนู่นแหละ” คำตอบนั้นฟังดูไม่แน่ใจนัก แต่เวลาปกติที่แก้วกลับบ้านก็ราวๆ นั้นอยู่แล้ว



          โชคพยักหน้าหงึกหงัก ไม่มีอะไรให้พูดต่อเลยคิดจะเดินเข้าบ้านไปสักที ระยะหลังมานี้บทสนนาระหว่างเขากับอาธีร์ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ราวกับที่เคยพูดคุยกันเจื้อยแจ้วเมื่อก่อนไม่ใช่ความจริง แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของกาลเวลาและการเติบโต



          การพูดสิ่งที่คิดออกมากลายเป็นเรื่องยาก เมื่อต้องคิดถึงสิ่งที่ตามมาและความรับผิดชอบต่อคำพูดเหล่านั้น



          ช่องว่างเล็กๆ ที่ฉีกถ่างระยะห่างของความสัมพันธ์มันกว้างขึ้นทุกที เด็กหนุ่มรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดถึงเรื่องของเขาตอนเด็กกับคนตรงหน้า เสียงหัวเราะที่ไม่เคยจางหาย เช่นเดียวกับรอยยิ้มและเกมจ้องตา เขาเคยชอบดวงตาของธีร์ยามที่มันสะท้อนภาพเขา เพราะมันทำให้รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ พราวระยับราวกับอยู่ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า



          นัยน์ตาคู่สวยที่ได้รับมาจากมารดา จึงเผลอเหลือบไปสบเข้ากับดวงตาคมของคนในความคิด ดวงอาทิตย์ที่เขาเคยโปรดปรานยังคงสว่างไสว ...แต่มันกลับให้ความรู้สึกอ้างว้างเกินไป



          “อาธีร์ทะเลาะกับน้าแก้วเหรอครับ” ถามอกไปไวกว่าความคิด โชคไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงถามแบบนั้น แต่สิ่งเดียวที่เขาพอจะคิดออกว่าสามารถทำให้คนตรงหน้ากังวลใจได้ก็มีแต่เรื่องนี้ ธีร์เลิกคิ้วกับคำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็ตอบกลับมา



          “ไม่นี่ ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” เป็นเพราะแววตาของคนตอบไม่ได้โกหก โชคเลยได้แต่ปัดความคิดนั้นทิ้งไปในอากาศ



          “เปล่าครับ ผมก็แค่ถามไปงั้น”



          “อืม อากับแก้วไม่เคยทะเลาะกันหรอกนะ” รอยยิ้มและน้ำเสียงยามบอกเล่ายังคงนุ่มนวลอบอุ่น แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันช่างเหน็บหนาว เมื่อดวงตาคมเบนไปยังต้นแก้วกลางลานอิฐ เนิ่นนานก่อนจะหลับตาลง คล้ายว่าสิ่งที่ชายหนุ่มมองเห็นนั้นไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเกินจะไขว่คว้า เขาเลยต้องวาดรูปร่างมันขึ้นมาใหม่ในความมืดมิดหลังเปลือกตา







          ค่ำคืนหนึ่งของเดือนมิถุนามีฝนตกลงมาอย่างหนัก โชคเผลอหลับไปโดยที่ไม่ได้ปิดบานหน้าต่างตรงหน้าตู้เสื้อผ้า หยดน้ำเลยกระเซ็นลอดซี่กรงมุ้งลวดเข้ามาเจิ่งนองอยู่บนพื้นไม้ เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสิ่งที่เปียกปอนไม่ใช่โต๊ะหนังสือของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรรีบเช็ดพื้นให้แห้งอยู่ดี เขาเลยต้องลงไปเอาผ้าขนหนูเก่าที่ตอนนี้เอามาใช้ทำเป็นผ้าเช็ดพื้นซึ่งพับเก็บอยู่ในชั้นวางของข้างเครื่องซักผ้า



          เวลาสามทุ่มกว่าชั้นล่างของบ้านยังคงไม่เงียบเหงา เสียงของข่าวจากโทรทัศน์ผสมกับเสียงพูดคุยของคนในห้องนั่งเล่น เป็นเรื่องปกติที่โชคเห็นจนชินตา น้าแก้วกับอาธีร์ที่อยู่บนโซฟา นั่งดูรายการทีวีไปเรื่อยเปื่อย บางวันก็ฟังข่าว บางวันก็เปิดดูหนัง หรือบางวันก็แค่เปิดมันทิ้งไว้อย่างนั้น ในขณะที่พวกเขาเข้าไปอยู่ในโลกที่มีกันเพียงสองคน



          และวันนี้ก็เป็นอย่างหลัง



          ธีร์เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ ซ้อนแผ่นหลังแก้วที่พิงทับมาบนอกเขาอีกที โดยที่แขนข้างหนึ่งของคนตัวโตโอบรอบเอวคนในอ้อมกอดไว้หลวมๆ ส่วนอีกข้างกุมเอามือของอีกฝ่ายไว้ในอุ้งมือใหญ่ ขยับไล้แตะเล่นอย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะดึงมาประทับจูบแผ่วเบาอย่างหวงแหนซ้ำๆ จนเจ้าของมือข้างนั้นพลิกมือกลับมาสอดประสานเรียวนิ้วเกี่ยวเข้ากับนิ้วตน เสียงหัวเราะทุ้มต่ำอย่างชอบใจเช่นเดียวกับรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนริมฝีปากที่แนบชิดหลังมือจะเปลี่ยนมามอบจุมพิตลงบนข้างแก้มเจ้าของบ้านหนุ่มแทน



          “ธีร์”



          “หื้ม”



          “เป็นไร” แก้วที่ถูกริมฝีปากของอีกคนตามคลอเคลียไม่ห่างเอ่ยถามเมื่อถูกรบกวนหนัก แม้เขาจะไม่ได้นึกรำคาญสัมผัสวาบหวามเหล่านั้นก็ตาม



          “เปล่า แค่อยากจูบ” ธีร์ตอบกลับเสียงอ่อน ซุกหน้าลงไปฝังกับซอกคอกรุ่นกลิ่นสบู่ของอีกฝ่ายที่เพิ่งไปอาบน้ำมา ลากปลายจมูกพ่นลมหายใจร้อนผ่าวไปตามผิวอ่อนอย่างออดอ้อน “...ไม่ได้เหรอ”



          แก้วไม่ได้พูดอะไร เพียงหันหน้าไปกดจูบลงข้างขมับคนที่ฝังจมูกอยู่บนไหล่เขาแทนคำตอบ และเมื่อได้รับการเชื้อเชิญแสนหวาน ธีร์ก็เปลี่ยนจากผิวกายอุ่นมาบรรจงจูบลงกลีบปากฉ่ำชื้น ค่อยๆ รุกล้ำเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นร้อนที่ขยับรับอย่างช่ำชองและคุ้นเคย



          รสจูบ ความร้อน และเสียงของลมหายใจ แก้วพลิกตัวมาคร่อมทับบนตักกว้าง ธีร์เองจากที่กึ่งนั่งกึ่งนอนสบายๆ ก็หยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรง โอบกอดคนข้างบนเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างขยับร่างกายหาองศาที่จะได้บดเบียดแนบชิดกันให้มากขึ้นอีก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้มันเลยเถิดเกินไปมากกว่านั้น



          “แก้ว” ธีร์กระซิบเรียกชื่อคนตรงหน้าเมื่อถอนริมฝีปากออกจากกัน ดวงตาคมเงยขึ้นสบด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะกลับไปไล่ขบเม้มกลีบปากบนล่างของเจ้าของชื่ออย่างอ้อยอิ่งอีกครั้งแล้วค่อยซบหน้าผากลงบนแผงอกแบนราบ



          “อือ” แก้วครางรับที่ถูกเอ่ยเรียก พลางกระชับแขนโอบรั้งท้ายทอยอีกฝ่ายให้จมหายเข้าไปในอกตน ให้เสียงหัวใจที่ไม่ได้เต้นระรัวสั่นไหวเหมือนอย่างวัยรุ่นแรกรัก แต่ก็หนักหน่วงและชัดเจนมากพอช่วยยืนยันว่ามันยังคงมั่นคงในความรู้สึกที่ไม่เคยพูดออกไป



          “ทำต่อได้ไหม” คำถามสั้นๆ หลังจากเงียบงันมานานดูคลุมเครือ แต่คนฟังก็เข้าใจมันได้อย่างแจ่มแจ้ง



          “งั้นก็ขึ้นไปทำบนห้อง” แก้วขยับจะลุกไปปิดฟืนไฟเพื่อเตรียมขึ้นชั้นสอง แต่ธีร์กลับไม่ยอมปล่อยมือที่รั้งเอวเขาเอาไว้



          “ปวดหลังรึเปล่า” คนตัวใหญ่ถาม เลื่อนมือลงไปกดนวดเบาๆ ตรงกระดูกก้นกบไล่ขึ้นมาตามแนวสันหลังของคนที่ต้องรับภาระทุกครั้งที่ร่วมรักกัน อายุของพวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่น้อยๆ กันแล้ว แม้อยากทำอะไรหักโหมตามอารมณ์ชักนำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าร่างกายมันจะไหวตามได้เหมือนตอนยังหนุ่ม



          “ก็นิดหน่อย” แก้วตอบ พลางทิ้งน้ำหนักตัวกลับลงบนตักอีกฝ่าย ขยับหามุมสบายแล้วซุกกายเข้าไปอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดอุ่น



          “งั้นไม่ทำก็ได้”



          “ไม่ได้ปวดขนาดนั้น”



          “ไม่เป็นไร แค่อยากกอดเฉยๆ”



          “อืม กูเหมือนกัน”



          “เหมือนอะไร”



          “แค่อยากถูกกอดเฉยๆ”



          โชคนั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างเงียบงันหลังฉากไม้ที่บังสายตาจากคนในห้องนั่งเล่น ซ้อนทับกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคืนวันเกิดปีที่สิบห้าของเขา เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีแมวสาวมาช่วยปลอบใจ เด็กหนุ่มรอจนความร้อนแรงจางหาย เหลือเพียงชายวัยใกล้เลขสี่สองคนที่ซบกอดกันอยู่หน้าทีวีแล้วจึงค่อยลุกเดินไปหยิบผ้าเช็ดพื้นที่ตั้งใจลงมาเอา ทำเหมือนว่าเขาเพิ่งลงมาโดยที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรก่อนหน้านี้ทั้งนั้น







          พอเข้าช่วงหลังของเดือนมิถุนายน โชคก็อายุเต็มสิบเจ็ดปี ในวันเกิดของเขาครั้งนี้เองก็ยังคงมีตัวหลักสามคนร่วมฉลองให้



          น้าแก้ว อาธีร์ และมิกซ์เพื่อนรัก



          เริ่มจากตอนเช้าตรู่ที่เพื่อนสนิทขี่มอเตอร์ไซค์มารับ พร้อมกับหอบเอาของขวัญกล่องใหญ่ที่ข้างในเป็นหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาแบบยกเซ็ตถึงเล่มล่าสุดมาให้ถึงหน้าบ้าน ต่อมาในตอนพักเที่ยงที่โรงเรียน ก็ลากเอาเพื่อนทั้งกลุ่มมาประสานเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ตเดย์ดังโหวกเหวกให้อีกรอบ



          พอกลับถึงบ้านในตอนเย็นก็มีอาหารจากภัตตาคารจีนชื่อดังย่านเยาวราชที่ป้าธัญ พี่สาวของอาธีร์แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ถูกหิ้วมาโดยคนตัวใหญ่คนนั้นเอง ส่วนเค้กที่เป็นหัวใจหลักของงานวันเกิด แก้วก็ถือกลับมาจากร้านแถวที่ทำงานที่ไปสั่งทำเอาไว้ล่วงหน้า ในตอนที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิทมื้อเย็นในบ้านไม้สีขาวก็เริ่มขึ้น และจบลงพร้อมกับเปลวเทียนที่ถูกเป่าหลังเสียงร้องเพลงวันเกิดกับคำอวยพร



          “สุขสันต์วันเกิด”



          “แฮปปี้เบิร์ตเดย์ครับโชค”



          เป็นอีกหนึ่งวันเกิดธรรมดาๆ ที่ทำให้หัวใจอบอุ่น



          “น้าแก้ว” โชคออกมาจากห้องครัวหลังล้างจานเสร็จ เห็นในห้องนั่งเหลือแค่เพียงเจ้าของบ้านเลยเอ่ยถามถึงอีกคน “อาธีร์ล่ะครับ”



          “ออกไปคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน” แก้วตอบ พยักพเยิดไปทางประตูหน้า แต่ดวงตายังจับจ้องจอมือถืออ่านเมลล์เรื่องงานจากลูกน้องอยู่ พร้อมกับรู้สึกว่าอีกไม่นานคงถึงเวลาต้องตัดแว่นแล้ว



          “อ่อ ครับ” เมื่อได้คำตอบ เด็กหนุ่มเลยออกไปชะโงกหน้าผ่านบานประตูออกไปหาเจ้าของนาฬิกาที่ถอดลืมไว้ตอนเข้าไปช่วยเขาล้างจาน แต่ก็ต้องออกมาก่อนจะล้างเสร็จเพราะมีเสียงแจ้งเตือนสายเรียกเข้า



          “อืม ธีร์คิดอยู่” คำสุดท้ายก่อนจะมือใหญ่จะกดตัดสาย โชคไม่กล้าเอ่ยเรียกอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะอาธีร์ที่มักมีบรรยากาศสบายๆ กับรอยยิ้มเสมอคนนั้น กำลังยืนพิงเสาเฉลียงไม้ จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบสะท้อนแสงกระทบใบหน้าหล่อเหลาในความมืดที่แสงไฟจากถนนส่องมาไม่ถึง เด็กหนุ่มมองไม่เห็นว่าธีร์กำลังมองอะไร แต่ในแววตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความลังเลและแสนอ้างว้าง...



          คืนนั้นฝนตกลงมาตอนกลางดึกอย่างเงียบงัน แต่ก็หนักหน่วงไปจนถึงเช้า







          และฝนก็กระหน่ำลงมาพร้อมกับเสียงท้องฟ้าคำรามลั่น ในคืนวันเสาร์กลางเดือนกรกฎาคม



          เวลาสี่ทุ่มกว่า บนห้องนอนใหญ่ชั้นสองของบ้านไม้สีขาว เจ้าของบ้านและแขกประจำคนคุ้นเคยขึ้นห้องนอนกันตามเวลาปกติ เพื่อใช้ช่วงเวลาก่อนจะนอนหลับไปร่วมกันเหมือนกับค่ำคืนอื่นๆ ตลอดเกือบสองปีมานี้



          “ธีร์” แก้วเอ่ยเรียกเสียงเจือความสงสัย เมื่ออีกฝ่ายดึงตัวเขาเข้าไปกอดทันทีที่บานประตูปิดลง โอบรัดแน่นเสียจนเขาแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ทุกอย่างเงียบงันทั้งที่ไฟห้องสว่างจ้า หลงเหลือเพียงลมหายใจอุ่นรินรดผิวผ่านปลายจมูกที่ซุกอยู่หลังท้ายทอย



          ธีร์กอดแก้วเอาไว้ เนิ่นนานจนพอใจแล้วจึงค่อยปล่อยให้เป็นอิสระ ฝ่ายคนถูกกอดรัดไม่ได้ถามถึงเหตุผลของการกระทำนั้น เพราะช่วงหลังมานี้ธีร์ดูเหนื่อยล้า บางทีก็คงแค่อยากอ้อนตามประสา แก้วบีบกระชับท่อนแขนที่เกี่ยวเอวตนไว้หลวมๆ ทีหนึ่งก่อนผละจากอ้อมกอด เดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อค้นหาถุงเท้าออกมาเตรียมไว้ใส่ ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก มือและเท้าเขามันมักจะรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาตอนกลางดึก ต่างจากอีกคนที่ตัวอุ่นอยู่เสมอ



          และอีกคนที่ว่านั้นก็นั่งลงบนเตียง ดวงตาคมจับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่กำลังหยิบถุงเท้าสีครีมออกมาจากลิ้นชักตู้ มันเป็นคู่เดียวกับที่เขาสวมใส่ให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองเมื่อไม่กี่คืนก่อน ธีร์ชอบใส่ถุงเท้าให้แก้ว อาจฟังดูตลกนิดหน่อย และดูเหมือนเด็กน้อยเอามากๆ แต่เขาชอบเวลาที่ได้สัมผัสกับหลังเท้าเปลือยเปล่า ค่อยๆ ส่งผ่านไออุ่นจากอุ้งมือเขาสู่ปลายเท้าเย็นเฉียบ แล้วก็ได้สิทธิ์ในการกอบกุมปลายเท้าใต้ผืนผ้าฝ้ายเนื้อหนาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว...



          กิจกรรมเล็กน้อยในคืนฝนพรำที่มีเพียงเขาสองคนที่รู้



          ในคืนนี้เองก็เช่นกัน หลังจากที่แก้วกลับมาที่เตียง ธีร์ก็แย่งเอาก้อนม้วนผ้ากลมๆ ในมือของเขาไป ค่อยๆ คลี่มันกลับเป็นทรงเดิมขณะที่ย้ายตัวเองลงไปนั่งบนพื้น ก่อนจะประคองเท้าคนขี้หนาวขึ้นมาวางพาดบนตักกว้าง บรรจงสวมเครื่องกันหนาวชิ้นเล็กให้อย่างนุ่มนวลทีละข้าง เสร็จแล้วก็ยังคงวางมือทิ้งไว้อย่างนั้น ปล่อยให้ความร้อนค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาใต้เส้นใยถักทอ



          “แก้ว” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียก แต่ก็เว้นช่วงไปเนิ่นนานเมื่อริมฝีปากผู้พูดแนบลงบนข้อเท้าที่โผล่พ้นขอบยางยืดขึ้นมา และดูเหมือนว่าความร้อนจากรอยจูบ จะวิ่งพล่านไปทั่วกายได้ไวเสียยิ่งกว่าความร้อนจากถุงเท้าผ้าฝ้ายที่เขาสวมอยู่ แก้วแทรกเรียวนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมด้านบนที่ยาวพอจะตกลงปรกดวงตาคมของเจ้าตัว ลูบเสยมันขึ้นเพื่อที่จะได้สบตากันชัดๆ พลันความวูบโหวงพุ่งเข้าจู่โจมโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว



          “เนตรขอให้กูกลับไปอยู่ด้วย”



          ...แก้วได้เห็นความร้าวรานหลังนัยน์ตาคู่นั้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งที่สอง



          ความร้อนที่จุดขึ้นมาดับวูบลงจนเย็นเฉียบ หัวใจบีบตัวรัดแน่นจนหูอื้ออึงไปชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นภาพใบหน้าที่ช้อนมองขึ้นมาก็ยังคงชัดเจน เช่นเดียวกับภาพสะท้อนของตัวเขาเองที่อยู่ในดวงตาคมของคนตรงหน้า



          “แล้วมึงว่าไง” แก้วเอ่ยถาม ด้วยเสียงราบเรียบไม่ต่างจากยามพูดปกติ ทั้งที่ก้อนความรู้สึกล้นทะลักมาจุกอยู่ที่คอจนยากจะเอ่ยคำใดออกมา



          “กูไม่รู้” เป็นครั้งแรกที่ธีร์เป็นฝ่ายหลบเลี่ยงสายตาก่อน ชายหนุ่มซุกหน้าลงบนเข่าแข็ง “กูอยากอยู่กับลูก...”



          จากนั้นเรื่องราวก็ไหลออกมาจากปาก บอกเล่าเคล้าเสียงของลมฝนที่สาดซัดลงมา ในตอนที่แก้วไปญี่ปุ่น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ธีร์เฝ้าลูกชายอยู่โรงพยาบาล มันไม่ได้กินเวลาหลายวันนัก แต่ช่วงนั้นความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาตามกฎหมายที่แยกกันอยู่ก็กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง ไม่ได้ถึงกับผูกสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่เพราะเนตรเคยรัก...ยังคงรักธีร์มาตลอด แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายขอเลิกเองก็ตาม ด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง และความรู้สึกในหัวใจที่เธอระแคะระคายมาตลอดว่าอีกฝ่ายไม่ได้รักเธอมากอย่างที่เธอคิดว่าเขาจะรัก



          แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยกันในห้องพิเศษของโรงพยาบาลขนาดไม่กี่ตารางเมตร เห็นหน้า พูดคุย กังวลใจ และยิ้มหัวเราะไปด้วยกันต่อหน้าลูกชาย ความรู้สึกรักที่ยังหลงเหลือในใจของเธอก็หวนกลับมาท่วมท้นอีกครั้ง เหมือนกับสายลมที่พัดหอบเอาความทรงจำของหน้าหนาวกลับมาในทุกคืนสิ้นปี ตอกย้ำว่าความรักของหญิงสาวไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย นับตั้งแต่พฤศจิกายนปีนั้น ในวันแต่งงานที่เธอได้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดและมีความสุขที่สุดในโลก



          เมื่อหลอมรวมเข้ากับเด็กชายวัยห้าขวบปีที่เติบโตขึ้นทุกวันจนตอนนี้อยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งแล้ว และจะเติบโตต่อไปอีกในทุกๆ วันหลังจากนี้ ผู้เป็นแม่อย่างเนตรเลยอยากให้พ่อแม่ลูกได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง เพื่อที่ชิ้นส่วนครอบครัวของเธอที่ขาดหายไปจะได้ถูกเติมเต็มเสียที



          เนตรใช้เวลาเกือบเดือนเพื่อรวบรวมความรู้สึกเข้ากับเหตุผล ก่อนจะโทรหาสามี เอ่ยปากบอกความต้องการ และแม้จะไม่ได้บีบบังคับ แต่ในน้ำเสียงของผู้มีความคาดหวัง มันก็ยังเจือความเว้าวอนมาด้วยอยู่ดี เนตรรู้ว่าธีร์เองก็อยากอยู่กับเมษาเช่นกัน เขาอยากอยู่ตรงนั้น เฝ้ามองอยู่ข้างๆ จนเด็กชายของเขาเติบใหญ่ ได้ทำหน้าที่ของพ่อมากกว่าแค่การกลับไปเยี่ยมเยียนอาทิตย์ละสองสามวัน หรือได้นอนด้วยกันแค่ในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมธีร์ถึงใช้เวลาตัดสินใจนานนัก



          ธีร์รักการเป็นพ่อของเมษา



          ...มากเท่าๆ กับที่เขารักการได้อยู่เคียงข้างแก้ว



          เช่นนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจไม่ได้เสียที ในทุกครั้งที่เนตรโทรมา หวังว่าคำตอบของเขาจะเป็นการกลับไป สิ่งที่ธีร์บอกอีกฝ่ายจึงมีแค่เขากำลังคิดอยู่ กำลังตัดสินใจ และขอเวลาอีกสักหน่อย แต่คำว่าสักหน่อยของเขามันควรถึงเวลาจบลงได้แล้ว



          เขาเลยเสี่ยงดวงเป็นครั้งสุดท้าย เดิมพันด้วยหัวใจที่อาจพังทลายไม่ว่าเลือกทางไหน



          “กูอยากอยู่กับลูก แต่กูก็อยากอยู่กับมึง” ตาคมเงยขึ้นสบกับดวงตาสีเข้มที่สะท้อนความรู้สึกมากมายจนแทบมองไม่ออก แต่เขาก็รู้ว่าในนั้นมีความร้าวรานไม่ต่างจากตนนัก เพราะอย่างนั้นเขาเลยเอ่ยเรียก วิงวอนอย่างเงียบงันให้คนตรงหน้านั้นพูดมันออกมา “...แก้ว”



          มือเรียวขยับลงมาที่ข้างแก้ม ประคองใบหน้าหล่อเหลาที่ผ่านคืนวันจนเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่วันโรยรา แต่ในสายตาของเขาอีกฝ่ายกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ยังคงเป็นเด็กหนุ่มม.ปลายคนเดิมเหมือนกับที่เขาเคยตกหลุมรัก แก้วจูบธีร์ กดจูบแนบแน่นยาวนาน ไม่ใช่จูบร้อนแรงวาบหวาม แต่เป็นจูบที่แสนปวดร้าวและอาลัย



          “ลูกต้องการมึง ธีร์” คำตอบที่ได้รับนั้นแผ่วเบา แต่เมื่อมันถูกกระซิบบอกในระยะที่สายตาของพวกเขายังคงพร่ามัวจนมองเห็นกันไม่ชัด มันถึงได้ดังกึกก้องไปทั้งหัวใจที่กำลังทิ้งดิ่งสู่หุบเหวไร้ก้นบึ้ง



          “แก้ว” ธีร์เอ่ย ในตอนที่ใบหน้าของพวกเขาผละห่างจนมากพอจะสบตากันได้อย่างชัดเจน มองเห็นทุกสีหน้าและความร้าวรานที่ปรากฏออกมาอย่างสงบ เหมือนกับมวลน้ำมหาศาลเคลื่อนไหวใต้มหาสมุทรที่ไม่มีใครมองเห็น แต่รับรู้ได้เองว่ามันรุนแรงเพียงใด และราวกับภาพสะท้อน ในเมื่อตอนนี้หัวใจของพวกเขาแหลกและไม่ต่างกัน “กู...”



          ยังไม่ทันได้พูดสิ่งที่ต้องการออกไป ริมฝีปากคู่เดิมที่แนบชิดกันมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็แนบซ้ำลงมาอีก ขยับแทรกสอดปลายลิ้นเข้ามาเกี่ยวประสาน ปิดผนึกถ้อยคำที่จะเปลี่ยนทุกการตัดสินใจ บิดเบือนเหตุผลทั้งหมดที่มีให้สลายไปเหมือนไอควันบุหรี่ ต่างฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจว่ามันจะกักขังทั้งคนฟังและคนพูดเอาไว้ เช่นนั้นแล้วแก้วถึงได้ปฏิเสธที่จะรับฟัง และธีร์ก็เข้าใจได้ทันที



          ...คำเพียงคำเดียวนั้นจะพันธนาการพวกเขาไปตลอดชีวิต แม้จะรอคอยมาเนิ่นนาน แต่เขาก็ไม่อาจพูดมันออกไปได้อีกต่อไปแล้ว



          รสจูบขมปร่าทั้งที่ไม่มีกลิ่นของใบยาสูบ ขมจนเจ็บปวด แต่ก็ยังคงตักตวงกันไม่ขาด จูบซ้ำๆ เพื่อย้ำเตือนว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้าย จนกระทั่งมันคลุ้งกลิ่นคาวจากแผลที่ปริแตก จูบสุดท้ายแสนยาวนานจึงจบลง ง่ายๆ แค่เพียงริมฝีปากผละห่างจากกัน







          แก้วนอนไม่หลับ ไม่ต่างกับเจ้าของอ้อมแขนที่โอบกอดเขาจากด้านหลัง ไม่มีใครหลับลงทั้งนั้นในค่ำคืนนี้



          ความรู้สึกที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ ช่างเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในห้องเดียวกันนี้เมื่อหกปีก่อน เมื่อธีร์บอกกับแก้วว่าได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง และคิดว่าจะแต่งงานสร้างครอบครัวกับเธอคนนั้น ดวงตาคมที่จ้องสบมาฉายแววคาดหวังและอ้อนวอนให้ชายหนุ่มพูดบางสิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้พูด มีเพียงจูบรสฝาดเฝื่อนที่ตกค้างจากทั้งมวนบุหรี่มอดไหม้และหัวใจร้าวรานแทนคำลา จากนั้นพวกเขาในตอนที่ยังเด็กกว่านี้ เลยเอาแต่กอดกันอย่างลึกซึ้งหนักหน่วง เก็บเกี่ยวอุณหภูมิร่างกายที่พยายามจะเติมกันและกันแต่ก็ไม่เต็มจนถึงเช้า รวดร้าวกันทั้งร่างกายและหัวใจ



          แก้วเหม่อมองเพดาน ในแสงสว่างจากหลอดไฟที่เปิดจ้าจนเห็นคราบน้ำสีอ่อนจางบนแผ่นฝ้า มันเป็นทิวทัศน์เดียวกับที่เขามองข้ามไหล่คนที่ทาบกายเหนือตัวเขาในคืนนั้น ชายหนุ่มจำได้ว่ามันจุกเสียดไปหมด แม้ธีร์จะค่อยๆ แทรกกายเข้ามาอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอมเขาแค่ไหน มันก็ยังเจ็บปวดเกินไปอยู่ดี



          ดวงตาสีเข้มปรือปิดลง ทั้งที่ตอนนั้นก็คิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเหมือนกัน แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ



          แต่ไม่ว่าจะในคืนนั้นหรือคืนนี้ ก็ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดไหลออกมา



          ท้องฟ้ากรีดร้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่ำไห้เป็นสายฝนโหมกระหน่ำลงมา ย้อมค่ำคืนกลางเดือนกรกฎาให้เหน็บหนาว แก้วคิดถึงถุงเท้าสีครีมที่สวมใส่ บางทีเขาอาจไม่ต้องการมันด้วยซ้ำ ในเมื่อตอนนี้ร่างกายและหัวใจของเขามันชาหนึบจนไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่แม้แต่อุ่นไอจากร่างกายที่เคยช่วยคลายหนาวให้เขาอยู่เสมอ



          ...ในอ้อมกอดของธีร์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกนั้นแสนว่างเปล่า







TBC...

   ฝนตกลงมาอีกแล้วล่ะค่ะในตอนนี้ เป็นความรักรสขมที่ไม่มีหยดน้ำตา...

   เรื่องราวต่อจากนี้จะดำเนินไปในทิศทางไหน ก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

   ปล.รีนเขียนเรื่องนี้สต๊อกไว้จนใกล้จบเรื่องแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นมาอัพตรงวันแน่นอนไม่ต้องห่วงเลยค่ะ และไม่ได้เครียดหรือกดดันเท่าเมื่อก่อนแล้วด้วย ขอบคุณมากนะคะสำหรับกำลังใจที่สม่ำเสมอที่พารีนมาได้ไกลขนาดนี้  :mew1:

   ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่าน

   ขอบคุณมากค่ะ



   See you on Thursday นะคะ
 
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อะไร? นี่ทุกคนทั้งโชค แก้ว ธีร์ กำลังอยู่ในสถานะมูฟออนแบบวงกลมใช่ไหม รู้สึกวนลูปได้อีก 5555 ทำแบบนี้มันก็เหมือนเนตรเห็นธีร์เป็นของตาย จะเลิกก็เลิก จะกลับมาตอนไหนก็ขอคืนดี แล้วธีร์จะมาเห็นแก้วเป็นของตาย จะมาก็มา จะไปก็ไป มันใช่หรอ? อยากได้ยินอะไรจากปากเขา คำพูดรั้งกันไว้?? คนที่ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ใจดีเก็บเด็กมาเลี้ยงทั้งคนจะให้พูดรั้งให้อยู่ข้างกาย มันใช่?? จะให้แสดงความเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อคุณต้องการครอบครัว ไม่พูด ไม่ทะเลาะไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก!! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดันเป็นแก้วเองที่ยอมให้เขากลับมา รออยู่ตลอด เป็นยังงี้ก็คงต้องรู้สึกเจ็บเองแบบนี้ซ้ำๆวนไป โชคจะพูดอะไรได้ก็น้าแก้วยอมเขาเอง ก็ได้แต่นั่งเห็นใจนี้แหละน๊า โถถังกะละมังความรัก 555 โชคโตไปอีกปีแต่ก็ได้เรียนรู้รักลึกซึ้ง ว่ารักเองเจ็บเองมันเป็นยังไง โชคและน้าแก้วเข้าใจดีก็วันนี้ 5555 เอ๊ะ!หรือว่าบางทีเราจะเข้าใจเจตนารมณ์ของทุกคนผิด ตีความอารมณ์ตัวละครไม่แตก เพราะก็เริ่มงงๆกับสามคนแล้ว จะเอายังไงกันแน่ 5555 แต่ชอบภาษาการแต่งมาก มันหน่วงแบบมึนๆอึนๆดี 55 :katai2-1: ขอบคุณนะคะที่มาต่อ ครั้งนี้อยากจะให้ถึงพฤหัสเร็วๆ จัง เพราะอยากรู้ตอนต่อไปมาก ไม่มีตัวอย่างตอนต่อไปด้วย รออย่างเดียว 55555  :pig4: :pig4: :pig4:  :L1:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0


ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 26

 

       วันอาทิตย์ท้องฟ้าแจ่มใสจนเหมือนพายุที่โหมเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน หลงเหลือไว้แค่แอ่งน้ำและความชื้นเล็กน้อยบนพื้นผิวของสิ่งต่างๆ ที่บอกให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

       โชคตื่นขึ้นมาในตอนที่ฟ้าสว่างจ้าแล้ว เขาจึงไม่ทันเห็นตอนที่ชายหนุ่มจากไปในตอนรุ่งสาง ท่ามกลางแสงแรกสีทองที่แทรกตัวผ่านมวลเมฆหนาลงมา ส่องสะท้อนให้รอยยิ้มลาบนใบหน้าหล่อเหลาดูอบอุ่น ...แม้ว่านัยน์ตาคมจะร้าวรานก็ตามที

 

       แต่ถึงเด็กหนุ่มจะไม่ได้เห็นมันกับตา เขาก็รับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ฉายชัดออกมาจากน้าแก้ว

 

       ในช่วงสายที่เจ้าของบ้านจะเอาผ้าลงเครื่องซัก เสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงใส่นอนที่อยู่บนสุดของตะกร้าผ้า มือเรียวหยิบมันขึ้นมา มองค้างอยู่เนิ่นนานด้วยใบหน้าที่ราวกับกำลังร้องไห้ทั้งที่ไม่มีน้ำตา ก่อนจะทิ้งมันลงถังซักไปพร้อมกับเสื้อผ้าตัวอื่นๆ แล้วพอตกบ่ายหลังตากผ้าเสร็จ ควันบุหรี่ก็ลักพาตัวชายหนุ่มไปยังดินแดนว่างเปล่า แก้วนั่งเอียงลำตัวพิงพนักโซฟา ดวงตาสีเข้มจับจ้องมองผ่านมุ้งลวดหน้าต่าง มองออกไปไกลแสนไกลอย่างไร้จุดหมาย

 

       น้าแก้วของเขา กลับไปเปลี่ยวเหงาอีกแล้ว

 

       “น้าแก้ว” โชคเรียกเสียงเบา แต่ก็ดังพอจะช่วงชิงชายหนุ่มกลับมาจากม่านควันหม่นมัว

 

       “ว่าไง” เมื่อเจ้าของชื่อหันกลับมาสบตา เด็กหนุ่มกลับกลายเป็นฝ่ายพูดไม่ออก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างน้าแก้วกับอาธีร์ บางทีทั้งสองคนอาจจะทะเลาะกัน หรือบางทีอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาอยากจะถาม...

 

       “...เย็นนี้กินอะไรดีครับ” แต่กลับกลัวเหลือเกินว่ามันจะทำให้คนตรงหน้าบอบช้ำเสียยิ่งกว่าเก่า

 



 

       เข้าสู่เดือนสิงหาที่พัดพาเอาสายฝนมาตั้งแต่วันแรกของเดือน สามอาทิตย์แล้วตั้งแต่ที่ธีร์จากไปในวันนั้น เป็นช่วงเวลาที่เหมือนสั้น แต่ก็ยาวนาน ...นานเกินกว่าที่โชคคิดเอาไว้ นานเสียจนที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะหน้าโซฟาอัดแน่นไปด้วยขี้เถ้าและก้นกรองหลังการมอดไหม้ของใบยาสูบ

 

       ในอาทิตย์แรกที่ผ่านไปโดยไร้เงาแขกประจำ เด็กหนุ่มคิดว่าเจ้าตัวคงติดพันกับงานเหมือนที่เคยเกิดขึ้นสมัยเขายังเป็นเด็ก พออาทิตย์ต่อมาก็ยังคงเงียบเหงา เขาคิดว่ามันคงมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จริงๆ บางครั้งความรักก็ต้องการระยะห่าง แต่ผ่านไปจนสามสัปดาห์เต็มแล้วก็ยังคงไร้วี่แวว โชคเริ่มคิดว่ามันไม่ปกติ

 

       เพราะถ้าหากเป็นอาธีร์คนนั้น ที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา

 

       ...คงไม่ปล่อยให้น้าแก้วรอคอยเนิ่นนานขนาดนี้

 

       ดอกแก้วร่วงโปรยลงมา สวนทางกับกลุ่มควันเบาบางที่ลอยตัวขึ้นสูง เจ้าของบ้านหนุ่มบดขยี้แท่งนิโคตินหลังจากมันไหม้สุดโคน จากนั้นก็ทิ้งเวลาช่วงเช้าที่เหลือของวันหยุดสุดสัปดาห์เอาไว้ในลานอิฐ จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขยับขึ้นตรงหัว ส่องแสงร้อนแรงลงมากระทบผิว เขาถึงได้กลับเข้าไปในบ้าน กินมื้อเที่ยงฝีมือเชฟโชคเจ้าเก่า มื้ออาหารสงบเงียบของวันหยุดไม่แตกต่างจากที่เคยเท่าไหร่นักแม้จะขาดคนไป มันก็แค่ย้อนกลับไปเหมือนตอนก่อนที่ใครคนนั้นจะกลับมา

 

       “น้าแก้ว” โชคออกมาจากครัวหลังล้างจานเสร็จ หยุดยืนนิ่งมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นอยู่ข้างฉากไม้ น้าแก้วสูบบุหรี่อีกแล้ว บนโซฟามุมประจำเหมือนกับที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่กลิ่นอายความเหงาที่แผ่ออกมานั้นเข้มข้นเสียจนรู้สึกอ้างว้าง

 

       “หืม” เจ้าของชื่อครางตอบรับ พลางหันหน้ามาสบตา โชคลังเลเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยถามออกไปจนได้

 

       “อาธีร์ล่ะครับ” คำถามดูไม่เต็มประโยคที่ใช้ถามถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านมาตั้งแต่แรก แต่คนฟังก็เข้าใจสิ่งที่จะสื่อได้ชัดเจน ลมหายใจที่กำลังพ่นควันออกจากปากขาดห้วง แก้วไม่แปลกใจที่ถูกถาม แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าโชคจะถามเช่นกัน

 

       แก้วมองริ้วขมุกขมัวจางหายไปในอากาศจนหมดสิ้น แล้วจึงตอบกลับไป ด้วยคำตอบที่ไม่ชัดเจนนัก และดูเหมือนไม่ตรงกับคำถาม “กลับไปแล้วล่ะ”

 

       โชคขมวดคิ้ว เอ่ยถามต่ออย่างงุนงง “กลับไปไหนครับ”

 

       “กลับบ้าน” แก้วไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น ในตอนแรกโชคก็ยังคงไม่เข้าใจ แต่เมื่อจ้องมองเข้าไปในแววตาหลังม่านควันเบาบางที่ถูกพ่นออกมาอีกระลอก เขาก็ได้รู้ว่าจำนวนมวนบุหรี่ที่ชายหนุ่มสูบ ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนชั่วโมงที่รอคอย แต่เป็นความคิดถึงต่างหาก

 

       น้าแก้วไม่ได้รออาธีร์ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรอคนที่จะไม่กลับมาอีกแล้ว

 

       ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังประตูบานพับที่เปิดกว้าง คิดถึงคืนที่น้าแก้วพยักเพยิดหน้าไปทางนั้น และเมื่อเขาเดินตามไปก็เจอกับคนที่ตนถามหา เขาอยากได้คืนนั้นกลับมา เช่นเดียวกับที่เริ่มเข้าใจแล้วว่าปลายสายของอาธีร์ในตอนนั้นเป็นใคร

 

       “...อาธีร์กลับไปหาอาเนตรเหรอครับ” คลื่นความเดือดดาลบางอย่างกำลังก่อร่างขึ้นใต้ทะเลความรู้สึก โชคหวังว่าแก้วจะปฏิเสธ

 

       “...” แต่ความเงียบงันที่ได้กลับมาก็คือคำตอบรับโดยดุษณี

 

       “ทำไมล่ะครับ” โชครู้ดีว่าน้ำเสียงของตัวเองแข็งกระด้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แก้วเองก็ดูประหลาดใจกับท่าทีของเขา แม้จะไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดนัก แต่เด็กหนุ่มกำลังโกรธ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดอารมณ์ที่กำลังจะปะทุ พูดต่อด้วยเสียงสั่นเครือจากความคับแน่นในอกที่ตีตื้นขึ้นมารวมอยู่ที่กระบอกตา “ทั้งที่อาธีร์กับน้าแก้วน่ะ...รักกันไม่ใช่เหรอครับ”

 

       “...” เป็นอีกครั้งที่คำตอบคือความเงียบ แก้วเพียงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้มแสนแห้งแล้ง ชายหนุ่มขยี้บุหรี่ที่เหลือเกือบครึ่งมวนทิ้ง ก่อนจะลุกเดินเข้ามาใกล้ มืออุ่นที่คุ้นเคยวางลงบนศีรษะคนเด็กกว่า แต่ในวันนี้ความสูงเพิ่มขึ้นมาจนจะเท่าตนแล้วดึงโน้มให้มาซบบนบ่า ลูบผ่านท้ายทอยสากมือเพราะทรงผมสั้นเกรียนเพื่อปลอบปละโลมเด็กขี้แย

 

       “ทำไมล่ะครับ” โชคยังถามหาคำตอบด้วยความสั่นไหวในทุกถ้อยคำ

 

       “เพราะแค่นั้นมันไม่พอที่จะทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันน่ะสิ” ว่าจบไออุ่นจากอ้อมแขนที่โอบกอดเด็กหนุ่มไว้ก็จางหาย แก้วผละจากแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เขารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งที่ตอบคำถามไปเพียงไม่กี่ประโยค ตั้งใจจะไปนอนพักสักงีบเพื่อไล่ความหนังอึ้งในหัว แต่นั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง

 

       ...เขายังไม่พร้อมรับมือกับอารมณ์รุนแรงที่ฉายแววออกมาจากดวงตาคู่นั้นต่างหาก

 

       แก้วเคยรับมือกับโชคในวัยเด็กที่ไม่ยอมพูดจา ไม่แม้แต่จะร้องไห้ เคยดูแลเด็กน้อยที่ขวัญเสียเพราะฝันร้ายตอนกลางดึก เคยปลอบโยนไอ้หนูนักสู้ที่เข้าไปช่วยเพื่อนสนิทที่ไปตีกับอริข้างห้องตอนป.สี่ และสุดท้ายก็จบลงที่ฝ่ายนั้นมีคนหนึ่งถูกเตะจนเสียหลักล้มแขนกระแทกกับราวเหล็กของเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นจนกระดูกร้าว วันนั้นเด็กชายของเขาร้องไห้หนัก รู้สึกผิดและโทษตัวเองทั้งที่มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในการวิวาท ต่อมาพอโชคเติบโตเข้าสู่การเป็นวัยรุ่นช่วงต่อต้าน แก้วก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มที่เอาแต่หลบหน้าหลบตา ไปจนถึงคืนที่ร้องไห้กลับมาโดยไม่ยอมบอกอะไรกับเขาสักคำ

 

       ตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมาแก้วเคยเห็นโชคในหลายรูปแบบ หลากความรู้สึก และช่วยประคับประคองผ่านมาได้จนถึงวันนี้ ทว่าโชคที่กำลังโกรธเคืองอย่างชัดเจนคือสิ่งที่เขาไม่เคยเจอ และแก้วในตอนนี้ก็ไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคลื่นอารมณ์รุนแรงแบบนั้น เขาจึงเลือกที่จะหลบเลี่ยง

 

       แต่โชคไม่ได้ปล่อยให้แก้วหนีไปตั้งหลักอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจ เด็กหนุ่มเดินตามขึ้นไปติดๆ เขารู้ว่าตัวเองกำลังฉุนเฉียวและทำตัวไม่น่ารักเลยสักนิด แต่เพราะเขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยเขาจึงโมโห และความโมโหที่ยังคงไร้ที่มาที่ชัดเจนนั้นมันก็ทำให้เขาเจ็บปวด

 

       “แล้วมันต้องมีอะไรอีกล่ะครับ! ถ้าแค่เพราะรักกันมันไม่พอ แล้วมันต้องใช้อะไรอีก”

 

       “มันมีเหตุผลอีกมากนอกจากแค่คำว่ารักนะโชค ไว้เธอโตขึ้นเธอจะเข้าใจ”

 

       “น้าแก้วบอกผมตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ” คนที่ยังเป็นเด็กและไม่เข้าใจเหตุผลของพวกผู้ใหญ่ที่อีกฝ่ายบอก คว้าลูกบิดประตูยื้อไว้ไม่ให้เจ้าของห้องปิดมันแล้วหนีจากเขาไปสู่ความเงียบงันที่แสนโดดเดี่ยว “อีกกี่ปีผมถึงจะโตพอ! น้าแก้วบอกแต่ว่าผมยังเด็กๆ แล้วเมื่อไหร่ผมจะเข้าใจสักที”

 

       หยาดอารมณ์หยดที่หนึ่งล้นออกมา กลิ้งผ่านแก้มสู่ปลายคาง ก่อนจะทิ้งตัวร่วงลงพื้น แต่เด็กหนุ่มก็ฝืนกลืนหยดที่สองกลับลงคอไปได้ทัน เหลือเพียงดวงตาแดงก่ำที่มองตรงเข้าไปในดวงตาสีเข้มของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

 

       “ตอนนี้ผมโกรธอาธีร์มาก ก็เพราะผมไม่เข้าใจ” โชคผ่อนแรงที่ดันบานประตูเอาไว้ เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างอ้อนวอน “น้าแก้ว... ผมไม่อยากโกรธ ไม่อยากโกรธแค่เพราะผมไม่เข้าใจ”

 

       แก้วยกมือขึ้นลูบหน้า บานประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย เขาเลิกตั้งใจจะปิดประตูตั้งแต่ที่เห็นเด็กหนุ่มพยายามยื้อไว้แล้ว เพราะกลัวว่าถ้าฝืนดันกลับไปมันจะทำให้อีกคนเจ็บตัวเอา และยิ่งเมื่อเห็นน้ำตาอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็อดใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจจะปล่อยให้โชคได้ขยับเข้าไปในโลกของเขามากขึ้นอีกนิด

 

       ชายหนุ่มเดินนำไปยืนพิงตัวกับกรอบหน้าต่างไม้ที่เปิดกว้าง เหลือเพียงมุ้งลวดกันแมลงที่แบ่งเขตแดนระหว่างโลกทั้งใบ กับในห้องนอนที่บรรจุเรื่องราวมากมายของผู้ที่เคยผ่านเข้ามาฝากร่องรอยความทรงจำเอาไว้

 

 

 

       แก้วเริ่มเล่า... เรื่องของเขากับธีร์ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก แต่ก็ชี้ชัดว่ามันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงวัยที่ชายหนุ่มอายุพอๆ กันกับคนฟัง ในตอนแรกนั้นมันยังคงซุกซ่อนอยู่ใต้เงาของคำว่าเพื่อนสนิท ต่างคนต่างมีหญิงสาวที่คบหาและเลิกราไปมากมายระหว่างการเติบโต จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย แก้วก็มั่นใจว่าตนไม่สามารถรักผู้หญิงคนไหน หรือคนคนไหนได้อย่างที่เขารักธีร์ เขาเลยหยุดสร้างความสัมพันธ์ที่สักวันมันก็ต้องพังทลาย แล้วรอคอยให้อีกฝ่ายแวะเวียนกลับมาหาในช่วงที่ไม่ติดพันกับใครอื่น

 

       ต่างจากธีร์ที่ยังคงขยันสานสัมพันธ์กับผู้คนที่เข้าหา ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่มีหน้าตาหล่อเหลา ฐานะการเงินที่บ้านก็ดี การงานก็ไปได้สวย เหมือนกับผู้ชายในอุดมคติ ไม่แปลกเลยที่ผู้คนมากมายจะอยากข้องเกี่ยวกับเขา ทั้งที่ธีร์ไม่ใช่คนเจ้าชู้ เพียงแต่ชอบที่จะได้ดูแลคนอื่น เขาไม่เคยเป็นฝ่ายจีบก่อน และไม่เคยได้เป็นฝ่ายบอกเลิก แต่ถ้ามองจากสายตาของคนนอก เขาก็คงดูเหมือนเป็นผู้ชายมากรัก

 

       แต่ผู้ชายมากรักคนนั้นก็ไม่เคยคงความรักไปได้ตลอดรอดฝั่ง ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาต่างจากเขาไปด้วยคำขอโทษและบอกว่าพวกเธอรู้สึกเหมือนความรักที่ได้จากเขาไม่เหมือนกับที่เธอคาดหวังไว้ และธีร์ก็รู้ดีว่ามันหมายความว่ายังไง

 

       เขาจะให้ความรักที่พวกเธอต้องการได้อย่างไร ในเมื่อเขาให้มันทั้งหมดกับคนๆ หนึ่งไปแล้ว

 

       แม้จะไม่เคยพูดออกไป และไม่เคยแน่ใจ เพราะพวกเขาต่างหวาดกลัว ใจฝ่อเกินกว่าจะกล้าก้าวข้ามเส้นแบ่งมากมายทั้งจากตัวเองและคนรอบข้าง ธีร์มีความคาดหวังที่มองไม่เห็นของบุพการีวางบนบ่า แก้วไม่มี แต่สำหรับเขาพ่อแม่ของธีร์ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของตนที่ไม่อยากทำให้ผิดหวัง ไหนจะสายตาของสังคมที่กะเกณฑ์ความถูกต้องแสนบิดเบี้ยวที่มองเข้ามา พวกเขาไม่ใช่เด็กน้อยผู้มีอิสระ พวกเขาเติบโตและถูกหล่อหลอมมาในกรอบคับแคบที่ยากจะแหกออกไป

 

       ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มในวัยยี่สิบห้าปีก็ยังโหยหาบ้านให้กับหัวใจ ธีร์เลิกเปิดรับผู้คนเข้ามาในชีวิต ใช้ทั้งหมดที่มีในตอนนั้นไปกับแก้ว ไม่ได้เปิดเผย และไม่เคยตกลงกันเลยว่าที่เป็นอยู่มันคืออะไร แต่พวกเขาก็มีความสุข จนกระทั่งมีโชคเข้ามา รูปร่างครอบครัวที่ใฝ่ฝันก็ดูใกล้จะเป็นจริงเสียยิ่งกว่าเก่า ธีร์รักเด็กชาย มากมายเท่าที่เขามั่นใจว่าจะรักลูกของตัวเองได้เท่านั้น และเขาก็รักการได้อยู่กับแก้ว มากเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

 

       แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ความสุขคงอยู่เพียงชั่วคราว สั้นยาวก็ต้องจบลงอยู่ดี ในสักรูปแบบที่จะป่นหัวใจคนให้แหลกสลาย พ่อของธีร์เปรยขึ้นมาว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานในหน้าร้อนตอนที่เขาอายุสามสิบสอง และแม่ก็ยิ้มหวาน เอ่ยปากว่าอยากอุ้มลูกของลูกชายสักครั้งในชีวิต

 

       ชายหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่าต้องบอกลาครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นมาในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนั้นแล้ว ถ้าเขาไม่แต่งงานกับผู้หญิงสักคน พ่อแม่ก็คงหามาให้ในอีกไม่ช้า พอดีกับที่เนตรเข้ามา เรือนผมยาวประบ่า ดวงตาสีเข้ม ชวนให้นึกถึงใครบางคน เพียงแต่อ่อนหวานกว่า และเธอก็ระบายยิ้มกว้างให้เขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน

 

       ...ธีร์เลยคลี่ยิ้มตอบกลับไป

 

       หลังจากนั้นเจ็ดเดือน ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ธีร์ก็เอ่ยปากถามแก้วเป็นครั้งแรก ด้วยประโยคบอกเล่าที่แสนอ้อมค้อม และรอคอยให้เขาเป็นคนตัดสินใจ คนที่กุมชะตาหัวใจสองดวงไว้ในมือที่ไร้เรี่ยวแรงจะฉุดรั้งให้คำตอบเป็นหนึ่งจูบขมปร่า...แทนคำลาและคำขอโทษ

 

       เหมือนกับที่ธีร์ทำลายความหวังของพ่อแม่ไม่ได้

 

       แก้วก็ทำลายชีวิตและครอบครัวของธีร์ไม่ได้เช่นกัน

 

 

 

       ความเงียบงันปกคลุมทั้งห้องไว้หลังจากเรื่องราวใจสลายครั้งแรกของแก้วจบลง โชคยืนนิ่งอยู่ที่ปลายเตียง มือจับราวเหล็กสีดำ ไล้ไปตามเส้นโค้งที่ผ่านการดัดงอมาอย่างเลื่อนลอย เขาไม่กล้าหันไปสบตากับคนเล่าเรื่อง กลัวว่าถ้ามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วเห็นว่ามันแตกร้าว แต่ยังคงเปี่ยมรัก เขาจะจัดการกับความโกรธขึงในหัวใจยังไงดี

 

       “จะนั่งก็ได้นะ” ชายหนุ่มบอก เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนั้น

 

       “ไม่เป็นไรครับ” ตอบปฏิเสธเสียงแผ่วเบา รู้สึกว่าพลาดแล้วที่เบนสายตาหลบน้าแก้วมายังผ้าปูที่นอนลายดอกไม้สีขาวบนพื้นหลังสีน้ำเงินเข้ม แม้จะเห็นว่าเจ้าของห้องเพิ่งเปลี่ยนมันใหม่ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่เด็กหนุ่มก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี ว่าที่ตรงนั้น บนเตียงนอนขนาด 6.5 ฟุต กลิ่นของใครอีกคนที่เคยกกกอดคนตรงหน้าเขาไว้คงยังไม่จางหาย...

 

       แก้วมองเด็กหนุ่มที่ตวัดสายตาหนีจากทุกสิ่งลงไปมองปลายเท้าตัวเอง เขาไม่รู้ว่าโชคกำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังรู้สึกอย่างไร แต่เขาก็เล่าเรื่องมาได้เกินกว่าครึ่งแล้ว เพราะอย่างนั้นก็เล่าต่อไปให้มันจบเลยคงจะดีกว่าทิ้งเอาไว้ให้ค้างคาแค่ตรงนี้

 

       “พอธีร์มีลูก ฉันก็คิดว่ามันคงจบแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่...” แววตาขณะบอกเล่าฉายแววแตกต่างกันไปตามจังหวะของเรื่องราว บางครั้งก็สุกสกาวขึ้นอย่างมีสุข บางคราวก็อมทุกข์หม่นหมอง แต่ความรักที่ล้นอยู่ในนั้นก็ไม่เคยจาง เช่นเดียวกับที่ไร้แววของความโกรธเคือง

 

       เด็กหนุ่มรู้เรื่องราวต่อจากนั้นดี เพราะเขาที่เติบโตพอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของผู้คนแล้วได้อยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นแทบทั้งหมด ทั้งตอนที่ธีร์กลับมากลางฝนฤดูร้อน ทั้งตอนที่แก้วรอคอยแม้จะไม่คิดหวังตลอดเดือนที่เหลือ จนกระทั่งชายคนนั้นกลับมา ไม่ได้ไร้พันธะโดยสิ้นเชิงทางกฎหมาย แต่ก็แยกขาดจากเนตรในฐานะคู่ชีวิต กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่เคยทิ้งไป ในบ้านไม้หลังเก่าที่ยังคงทุกสิ่งไว้เหมือนเดิมเสมอแห่งนี้

 

       แต่สิ่งที่เขาเพิ่งรู้คือเรื่องของอาเนตร การไปเที่ยวญี่ปุ่นห้าวันสี่คืนเหมือนช่วงที่มรสุมเริ่มก่อตัว และเมื่อกลับมาถึงไทยก็กลายเป็นช่วงคลื่นลมสงบก่อนพายุโหม ระหว่างแก้วกับธีร์ดูผลิบานสดใสเสียยิ่งกว่าเก่าทั้งที่อายุล่วงเลยเข้าสู่วัยโรยรา อาจจะเพราะอะไรหลายๆ อย่างเริ่มชัดเจน เหมือนเงาสลัวรางหลังม่านหมอกที่ค่อยๆ เผยกายหลังถูกแสงตะวันสาดส่องให้ระเหยจางไป แต่ยังไม่ทันจางหายดี เมฆฝนที่ตั้งท่าอย่างเงียบงันก็เข้าปกคลุม เทกระหน่ำซัดสาดจนเปียกปอน

 

       ไม่มีใครทันตั้งตัวทั้งนั้น ไม่แม้แต่ธีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแก้ว

 

       “แล้วทำไมน้าแก้วถึงไม่บอกให้อาธีร์อยู่” เด็กหนุ่มเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาในใจ ทั้งที่เข้าใจเรื่องราว แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลอยู่ดี

 

       เขื่อนที่กักเก็บน้ำตาเอาไว้พังทลาย โชคเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม สบตาอย่างค้นหาคำตอบ เขาทั้งรวดร้าวที่เห็นน้าแก้วเจ็บปวด ขุ่นเคืองเมื่อสุดท้ายอาธีร์ก็จากไป ทั้งที่นัยน์ตาสีเข้มร่ำร้องตะโกนบอกความต้องการแท้จริงชัดเจนปานนั้น ถ้าหากเป็นเขา เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งให้น้าแก้วต้องอยู่ลำพัง ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม ...แต่ถ้าหากนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

 

       เด็กหนุ่มทำได้เพียงโมโหและฉีกทึ้งความรู้สึกมากมายในอกตัวเอง

 

       “เพราะเมษาต้องการพ่อ” หลังจากที่รอคอย คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้อะไรกระจ่างขึ้นเลยในความรู้สึก กลับยิ่งโหมให้โทสะลุกโชนกว่าเก่า

 

       ธีร์จะไปหาทุกคนที่ต้องการเขา เรียกร้องหาเขา มันแน่นอนอยู่แล้วเพราะธีร์เป็นคนแบบนั้นเอง แต่แล้วทำไมคนที่ต้องการชายหนุ่มมากที่สุดกลับเป็นคนที่ถูกทิ้งเอาไว้

 

       ...ทั้งที่คนที่ต้องการอาธีร์ที่สุดคือน้าแก้วแท้ๆ

 

       “น้าแก้วเองก็ต้องการอาธีร์เหมือนกัน..” เอื้อนเอ่อยออกไปด้วยเสียงเบาหวิว ก่อนที่ถ้อยคำอื่นจะทะลักทะลายออกมาพร้อมแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ “แล้วทำไมน้าแก้วถึงต้องเป็นคนที่เศร้า ทำไมน้าแก้วถึงต้องเป็นฝ่ายเสียสละ ทั้งที่น้าแก้วบอกผมเองไม่ใช่เหรอ คนเราจะเห็นแก่ตัวเพื่อความสุขของตัวเองบ้างก็ไม่เป็นไร น่ะ แล้วทำไม!? ทำไมถึงปล่อยมือง่ายๆ แบบนั้น ทำไมถึงยอมเป็นคนเจ็บปวดเพื่อให้คนอื่นมีความสุขง่ายๆ แบบนั้น!”

 

       “ทั้งที่เสียใจตั้งขนาดนี้! แต่ก็ยังไม่โกรธเลยเหรอ เพราะรักเหรอครับ แล้วทำไมถึงรักมากขนาดนั้นล่ะ อาธีร์ใจร้ายกับน้าแก้วตั้งเท่าไหร่ โยนการตัดสินใจมาให้ ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าน้าแก้วจะตอบว่าอะไร ถ้าอยากอยู่ด้วยแล้วทำไมไม่พูดเองละว่าอยากอยู่น่ะ! ทำไมต้องทำเหมือนตัวเองไม่มีทางเลือกด้วย! คนที่ถูกทิ้งน่ะมันน้าแก้วนะ..”

 

       ปลายเสียงตวาดลั่นแตกพร่าจนเพี้ยนหาย เด็กหนุ่มสะอื้นฮัก ราวกับความรู้สึกมากมายที่กดเอาไว้มาตลอดหลายปีระเบิดออกมา ผสมปนกันมั่วไปหมด ทั้งความรักที่ซ่อนเร้น ความเกลียดชังที่พยายามฝังกลบ ความหึงหวงที่ไม่อาจแสดง แม้แต่ความอิจฉาที่น่ารังเกียจ แต่เพราะเป็นตอนนี้ ในจังหวะที่พอจะปัดให้มันกลายเป็นความห่วงใยมากมายต่อชายที่ชุบเลี้ยง เลยดูเหมือนว่าเขาเพียงแค่โกรธแทนน้าแก้วเท่านั้น

 

       “ทำไมถึงรักอาธีร์ล่ะครับ..” คำถามสุดท้ายกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา เพลิงโทสะมอดดับลงเมื่อไม่เหลืออะไรให้แผดเผาอีกต่อไป โชคไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาอยากได้คำตอบหรือเปล่า และแก้วก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลย มีเพียงรอยยิ้มบางทั้งที่ดวงตาหม่นหมอง

 

       โชคมองแก้ว ไม่นานเกินเสี้ยวนาทีก็ตัดสินใจหันหลังเดินออกจากห้อง เพราะถ้าอยู่ต่อไปอีกแม้เพียงอึดใจ เขาคงอยากกระชากตัวชายผู้เหว้าแหว่งข้างบานหน้าต่างมากดลงบนเตียง โอบกอดให้แนบแน่นหวังให้ตัวเองเพียงพอจะแทนที่ว่างเปล่าของใครคนนั้น แต่ความรักมันไม่ได้ทำงานแบบนั้นอย่างที่แพรเคยว่า ทั้งยังซ้อนทับกับเงาของขามที่เคยกระทำกับมารดาต่อหน้าเขาที่ยังเป็นเด็ก และแก้วเองก็เคยสอนเอาไว้ ว่าการบังคับขืนใจถือเป็นอาชญากรรมเลวร้ายอย่างที่สุด

 

       แม้เขาจะไม่ได้คิดเลยเถิดไปไกลถึงขนาดนั้น แต่การบังคับใครด้วยกำลัง หรือด้วยอะไรก็ตาม มันก็คงเลวทรามไม่ต่างกันอยู่ดี

 

       เด็กหนุ่มกลับไปห้องของตัวเอง ปิดประตูตามหลังด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง ซุกหน้าเข้ากับหมอนใบที่กลิ่นอายเบาบางของน้าแก้วยังคงอยู่เสมอ แล้วก็ร้องไห้ หนักหน่วง สะอื้นจนตัวโยน เขาบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้เพราะอะไร

 

       สิ่งแรกที่โชคจดจำได้หลังจากที่รู้ว่าธีร์จะไม่กลับมาคือความโกรธ โกรธที่ธีร์พรากเอาดวงดาวหลังนัยน์ตาน้าแก้วไปอีกครั้ง โกรธที่ชายคนนั้นไม่รักษาหัวใจดวงที่ตนได้ครอบครอง ทั้งที่เขาอยากจะมีสิทธ์ดูแลมันมาตลอด ต่อมาความโกรธก็เบี่ยงเป้าหมายไปที่แก้ว โชคโกรธที่แก้วไม่โกรธ โกรธที่เจ้าตัวเอาแต่คลี่ยิ้มบางๆ ทั้งที่ความร้าวรานในดวงตามันปิดไม่มิด จากนั้นเขาก็โกรธตัวเอง ไม่มีเหตุผลในความโกรธนี้ หรืออาจจะมีมากมายยิบย่อยจนหาคำอธิบายไม่ได้ แต่มันก็ทำให้เขาเจ็บปวด เมื่อเจ็บปวดก็แหลกสลาย เขาขึ้นเสียงใส่น้าแก้ว ระบายอารมณ์ของตัวเองออกมาอย่างกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ พูดจากระทบกระเทียบอย่างใจร้าย ทั้งที่คนที่เสียใจที่สุดก็คือคนที่ยืนฟังอยู่ตรงนั้น และอีกคนที่ถูกพาดพิงถึงก็คงใจสลายไม่ต่างกัน

 

       คนเราจะได้คิดไตร่ตรองจริงจังก็หลังจากที่กระทำลงไปแล้ว โชครู้สึกผิด เพราะเมื่อพายุในหัวสงบลง ความเงียบงันก็พาเขาท่องไปในเรื่องราวที่ได้ฟังมาอีกครั้ง ในเรื่องเล่าสีซีดที่เรียบเรียงออกมาด้วยถ้อยคำง่ายๆ กับน้ำเสียงราบเรียบปกติของน้าแก้ว มันมีคำตอบในตัวของมันเองทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่เสียใจ และไม่มีใครเป็นคนผิด หรือถ้าผิด ก็ผิดกันทุกคน

 

       เมื่อร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด เสียงสะอื้นอื้ออึงหยุดไปนานแล้ว เหลือเพียงดวงตาแดงก่ำกับรอยน้ำชุ่มเป็นวงบนหมอน โชคตะแคงแก้มทับความเปียกชื้นนั้น สายตาเหลือบไปเห็นตุ๊กตาสัตว์ทะเลสามตัวที่ซุกซ้อนกันอยู่ตรงมุมระหว่างขอบหัวเตียงกับโต๊ะวางโคมไฟ

 

       ฉลามชื่อบลูได้มาจากแก้ว หลังจากที่เขาเริ่มหลงใหลในห้องทะเล น้าแก้วก็ให้เพื่อนรักจากใต้ทะเลลึกตัวนี้กับเขา จากนั้นไม่นานคุณอาคนโปรดในช่วงเวลานั้นที่ขึ้นมาส่งเขานอนก็เห็นว่าเจ้าฉลามช่างโดดเดี่ยว เลยไปหาเพื่อนร่วมทะเลแต่คนละสายพันธุ์มาให้ โลมาตัวที่สองได้ชื่อว่าทีล และวาฬตัวสุดท้ายที่ได้มาจากการไปเที่ยวทะเลครั้งแรก...เยล

 

       บูล ทีล แล้วก็เยล

 

       ความเชื่อมโยงบางอย่างที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเริ่มก่อตัวขึ้นมา วันนี้เขาพูดกับน้าแก้วถึงสิ่งที่ชายหนุ่มเคยบอกเขาบนระเบียงบ้านพักที่มองเห็นทะเลอ่าวไทยอยู่ไกลๆ มันเริ่มมาจากที่เขาทำบลูตกทะเล แล้วแก้วก็เดินลุยคลื่นไปเก็บคืนมาให้ ในตอนแรกเขาร้องไห้เพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะหายไปในเกลียวคลื่น แต่พอกลับมาถึงที่พัก เอาบลูไปวางตากแดด เขาก็เพิ่งคิดขึ้นมาว่าเพื่อนรักในวัยเยาว์จะอยากคืนสู่ท้องทะเลหรือเปล่า มันเป็นความคิดเด็กๆ ตุ๊กตายัดนุ่นไม่ใช่ของจากทะเล นั่นไม่ใช่ที่ของมัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาในวัยเจ็ดขวบกว่าก็ขบคิดอย่างจริงจัง จนกระทั่งน้าแก้วบอกว่าใต้น้ำมันหนาว ให้เขากอดเพื่อนๆ เอาไว้แหละดีแล้ว เด็กชายตัวน้อยเลยทำตามนั้น

 

       จนมาถึงตอนนี้ ที่โชคคิดว่าบางทีบลูอาจจะอยากกระโจนลงน้ำไปจริงๆ นั่นแหละ แหวกว่ายไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่ไม่มีใครมาตั้งกฎเกณฑ์ ผจญภัยท่ามกลางกระแสน้ำเย็นเฉียบ แต่คงไม่เหน็บหนาวนักหากมีทีลร่วมเดินทางไปด้วย สองเพื่อนซี้ในโลกสีน้ำเงินที่มีเพียงพวกเขา คงเป็นดั่งความฝันที่ทำให้ไม่อยากตื่นขึ้นมา ส่วนเยลที่มาทีหลัง ผูกพันไม่เท่าและเข้าไปแทรกไม่ได้ คงทำได้เพียงว่ายตามห่างๆ หรือไม่ก็รอคอยอยู่บนฝั่ง เฝ้าอธิษฐานให้ทั้งสองยังคงปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้ว่าจะไกลห่างจนไม่อาจได้พบเจอ

 

       น้าแก้ว อาธีร์ แล้วก็โชค

 

       ความคิดฟุ้งซ่านเหลวไหลต้องหยุดลงแค่นั้น เมื่อในความเป็นจริงแล้วสองเพื่อนรักไม่อาจหนีไปไหน และส่วนเกินที่เพิ่มมาทีหลังนั้นเองก็ไม่อาจเฝ้าภาวนาให้ทั้งคู่มีความสุขได้อย่างจริงใจอีกต่อไป

 

       โชคพลิกตัวนอนหงาย มองดาวบนฝ้าเพดาน เขาร้องไห้จนปวดตา แต่สมองกลับว่างเปล่า เหมือนทุกอย่างที่เคยอัดแน่นอยู่ในนั้นไหลออกไปพร้อมกับน้ำตาและเสียงตวาดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ก่อนหน้านี้ และเมื่อมันไม่เหลืออะไรให้คิดอีกต่อไป ความรู้สึกตั้งต้นเพียงหนึ่งเดียวของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ชัดเจนขึ้นมา

 

       วูบโหวง...

 

       คนที่สูญเสียไม่ได้มีเพียงแก้ว

 

       โชคเองก็เสียชายที่ใกล้เคียงกับคำว่าพ่อที่สุดไปด้วยเหมือนกัน

 



.....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2020 22:05:20 โดย FebruarySea »

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
.....

 



       หลังจากที่โชคเดินออกไป แก้วมองบานประตูที่ถูกปิดอย่างนุ่มนวล ไม่หลงเหลือร่องรอยของพายุที่โหมกระหน่ำเมื่อครู่ เขาไม่ได้รู้สึกตกอกตกใจกับความเกรี้ยวกราดของเด็กหนุ่ม แม้จะไม่คุ้นเคยกับดวงตาขึงขังและน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากนัก แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าโชคเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนทั่วๆ ไป มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีวันแบบนี้บ้าง

 

       ...ตัวเขาเองก็เช่นกัน

 

       เพราะเป็นแค่ชายหนุ่มอายุสามสิบเก้าแตะสี่สิบปีธรรมดาๆ คนหนึ่ง มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะมีวันแบบนี้บ้าง

 

       แก้วขยับหลังจากยืนนิ่งพิงกรอบหน้าต่างมานาน ค่อยๆ นั่งลงบนเตียงกว้าง ก่อนจะเอนตัวนอนขวางกลางเตียง ตะแคงมองลวดลายสีขาวลอยเด่นตัดกับสีน้ำเงินเข้ม ผ้าปูที่นอนที่เขาวนใช้มีไม่กี่ชุด เพราะงั้นมันจึงมีความทรงจำที่ได้ใช้ร่วมกับใครอีกคนอยู่ในทุกๆ ผืน

 

       เขาไม่ได้กลิ่นของธีร์ จมูกของเขาพังแล้วจากการสูบบุหรี่จัด มีเพียงกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มฉุนกึกที่ซื้อมาเพราะได้สิทธิ์แลกซื้อพอดี เขาไม่ได้ชอบกลิ่นน้ำหวานแหลมแบบนี้ แต่จะทิ้งก็เสียดายเลยใช้ๆ ไปให้มันหมด และดูเหมือนว่าความเสียดายจะทำร้ายประสาทรับกลิ่นที่ยังคงใช้งานได้น้อยนิดนั้นเข้าแล้ว

 

       กลิ่นหอมจัดตีขึ้นจากโพรงจมูกถึงกระบอกตา ความร้อนวิ่งขึ้นไปรวมตัวกันตรงนั้น ก่อนจะกลั่นตัวระบายความแสบฉุนออกมาในรูปแบบของหยดน้ำ

 

       แก้วร้องไห้ อย่างเงียบงันไร้เสียงสะอื้น

 

       ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดจากกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่ม แต่เป็นความทรงจำของอ้อมกอดที่เคยได้รับท่ามกลางกลิ่นอ่อนจางของไอแดดจากผืนผ้าต่างหาก

 

       เรื่องราวที่เล่าไปอย่างเรียบง่ายราวกับไม่ได้ผูกใจเจ็บ แต่แท้จริงแล้วกลับกรีดปากแผลในทุกๆ ถ้อยคำ เมื่อรวมเข้ากับคำถามของโชค มันก็ยิ่งขมจนอยากสำรอกออกมา

 

       ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับธีร์... แน่นแฟ้นแสนลึกซึ้ง ทว่าเปราะบางและช่างคลุมเครือ

 

       แก้วงอขาขดตัว ซ่อนใบหน้าไว้ในฝ่ามือ ค่ำคืนที่จากลาฝนตกลงมาห่าใหญ่ แต่ในห้องกลับเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ส่วนวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดส่องสว่างผ่านบานหน้าต่างและซี่มุ้งลวดเขามาทอดกายบนพื้น ย้อมแผ่นไม้บริเวณที่ตกกระทบให้เป็นสีทองอบอุ่น แต่ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนักบนเตียงกว้างที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

 

       ฝน...จากดวงตา

 

 

 

       เย็นวันนั้นโชคเป็นคนที่ลงมาก่อน หุงข้าวทำอาหารเสร็จสรรพก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว พอหัวค่ำเวลามื้อเย็นแก้วก็ตามลงมา พวกเขากินข้าวเย็นด้วยกันในความเงียบ ไม่ได้มีความอึดอัดอย่างที่เด็กหนุ่มกลัวในตอนแรก มีเพียงดวงตาสองคู่ที่แดงก่ำ กับรสเค็มปะแล่มของน้าตาที่ตกค้างในปากเล็กน้อย

 

        “ขอโทษนะครับ”

 

        “อืม ฉันเข้าใจ”

 

        “...ขอบคุณครับ”

 

        “ฉันก็เหมือนกัน”

 

       บทสนทนาไร้หัวเปลือยท้าย ใช้ความรู้สึกคาดเดาความหมายที่ไม่รู้ว่าจะตรงกับที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาต่างคนต่างก็คิดกันเอาเองว่าเข้าใจ

 

       โชคมองรอยยิ้มอ่อนล้า แต่ทว่าอบอุ่นแสนอ่อนโยนที่ระบายออกมาเพื่อเขา ความคิดฟุ้งซ่านที่กำลังร่วงหล่นลงไปในหลุมลึกพลันตกกระทบพื้นแล้วแตกกระจายออก ก่อนที่เขาจะใช้เวลาทั้งคืนเก็บซากมันมาประกอบร่างขึ้นใหม่

 

 

 

       วันถัดมาเป็นวันจันทร์ โชคต้องไปโรงเรียน ส่วนแก้วขอลางาน การร้องไห้อย่างหนักหน่วงในรอบหลายปีที่ไม่มีน้ำตาเลยนั้นทิ้งความปวดร้าวในหัวเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า

 

       ในตอนที่โชคลงมาชั้นล่าง น้าแก้วก็อยู่ที่นั่นแล้ว บนโซฟามุมประจำ กับควันบุหรี่สีเทาและความเหงาในแววตา มะลิหมอบอย่างเกียจคร้านอยู่ใต้อุ้งมือที่ลูบไล้อย่างอ่อนโยน เป็นภาพปกติที่คุ้นเคย แม้จะผิดแปลกไปจากกิจวัตรประจำของวันทำงาน

 

        “กาแฟไหมครับ” โชคถาม แก้วเบนสายตามาสบ คลี่ยิ้มบางที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยให้

 

        “อืม ขอบใจ”

 

        “ครับ”

 

       โชคหยิบขนมปังมากินรอเวลาน้ำเดือด คำสุดท้ายเข้าปากพอดีไฟก็ดีดบอกว่าน้ำร้อนพร้อมแล้ว เขาเลยกดน้ำใส่แก้วชงกาแฟ พร้อมกับโกโก้ของตัวเองด้วย จากนั้นก็คนอย่างพิถีพิถัน ยืนยันการตัดสินใจของตัวเองอีกครั้งในชั่วขณะที่เครื่องดื่มสีน้ำตาลหมุนวนส่งไอร้อนให้ลอยสูง และเมื่อมันหยุด เขาก็ยกออกไปให้คนที่รออยู่ในห้องนั่งเล่น

 

        “น้าแก้ว” โชคเรียก วางแก้วโกโก้ว่างเปล่าลงบนโต๊ะไม้ เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นเลยต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบตาเจ้าของชื่อ

 

        “ว่าไง”

 

        “ผมไม่อยากเรียกคุณว่าน้าแก้วอีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากให้คุณมองว่าผมเป็นแค่เด็กที่คุณเลี้ยงมา” เสียงพูดเนิบช้า ชัดเจน เช่นเดียวกับแววตา

 

       แก้วนิ่งเงียบ ในหัวที่ยังคงปวดตุบตีกันมั่วไปหมด สมองของเขาประมวลผลคำพูดของอีกฝ่ายไม่ทัน และยังไม่ทันได้เอ่ยถามให้กระจ่าง เสียงบีบแตรของรถจักรยานยนต์สีแดงก็ดังลั่น ตามด้วยเสียงร่าเริงของมิกซ์ที่ตะโกนเรียกเพื่อน โชคหยิบกระเป๋าลุกขึ้นยืน หันมาสบตาแก้วอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป

 

        “แก้ว...ผมโตพอจะกอดคุณได้แล้วนะ”

 

 

 

TBC...

       จบไปอีกตอนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกล้นทะลัก ตอนนี้เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงกลางเรื่องแล้วนะคะ ต่อจากนี้ไปครึ่งหลังเจ้าหมาของเราจะเป็นยังไงต่อไป ฝากเอาใจช่วยด้วยนะคะ

       ต่อจากนี้รีนมีเรื่องอยากทอล์กยาวมากๆ เลยค่ะ หากไม่อยากอ่านก็ข้ามตัวสีๆ ไปได้เลยนะคะ

       ในตอนนี้ต้นฉบับที่รีนเขียนอยู่เหลืออีกเพียง 3-4 ตอนก็จะปิดเรื่องได้แล้วค่ะ เป็นช่วงที่ท้าทายและสูบพลังมากๆ เลย โดยตอนทั้งหมดก็จะอยู่ที่ 50 ตอนนะคะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ถือว่าเป็นกลางเรื่องพอดี (ถ้าได้โอกาสตีพิมพ์เป็นเล่มก็คงจบเล่มแรกที่ตรงนี้แหละค่ะ 55555 ปล.เป็นถ้าที่อยากให้เกิดขึ้นจริงมากเลยค่ะ ความฝันสูงสุดของรีนคือการได้มีนิยายที่ได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแหละ)

       ส่วนเรื่องเล่าประจำตอนที่รีนชอบเอามาฝอยบ่อยๆ อย่างความรู้สึกตอนที่เขียนอะไรแบบนี้ สำหรับตอนนี้ก็คือเขียนยากมากค่ะ เป็นตอนที่ยากที่สุดเท่าที่เขียนมาจนถึงปัจจุบันที่กำลังจะปิดเรื่องเลยค่ะ อาจจะเพราะเป็นตอนที่มีซีนอารมณ์เต็มไปหมด ความรู้สึกของน้องโชคที่สะเปะสะปะ น้าแก้วที่เจ็บปวด และเป็นรอยต่อที่สำคัญมากๆ ที่กำลังจะนำไปสู่เรื่องราวต่อจากนี้ไป บวกกับช่วงนั้นอารมณ์และมรสุมชีวิตของรีนเองก็ค่อนข้างหนักเลย ทำให้รีนในตอนที่เขียนเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ รีนเขียนแล้วแก้ แล้วก็ปรับ แล้วก็แก้อยู่หลายรอบมากๆ ให้เพื่อนสนิทที่เป็นนักอ่านคนแรกเสมอของรีนคนนั้นช่วยอ่านอยู่หลายทีเหมือนกัน ทั้งที่สุดท้ายแล้วรอบแรกกับรอบหลังที่ส่งไปให้ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากหรอกค่ะ แค่ปรับคำเพิ่มนั่นลดนี่นิดหน่อย ฮา จนในที่สุดแล้วก็ได้ตอนนี้ออกมา มันดีแล้วหรือยังก็สามารถคอมเมนต์ได้เลยนะคะ รีนอยากได้ฟีดแบ็ก แน่นอนว่านักเขียนทุกคนอยากรู้ว่านักอ่านของเราคิดอย่างไรกับงานของเราทั้งนั้น ถ้ามีอะไรอยากบอกหรือแนะนำก็บอกมาเลยนะคะ รออ่านอยู่เสมอเลยล่ะค่ะ

       ไหนๆ คุณอ่านมาตรงนี้แล้ว รีนขอเล่าอีกหน่อยแล้วกันนะคะ 

 
       ในตอนแรกที่รีนวางเรื่องเอาไว้เลยค่ะ รีนกะว่าจะให้ตอนนี้เป็นจุดเปลี่ยน และน้องโชคในตอนนี้จะรุนแรงกว่านี้ (จริงๆ เคยคิดว่าน้องโชคตอนวัยรุ่นจะเกรี้ยวกราดกว่านี้มากๆ เลยค่ะ) แต่พอได้เขียนจริงๆ อยู่กับน้องมาจริงๆ จนถึงตอนนี้ ก็รู้สึกว่าไม่ได้เลย น้องไม่ใช่เด็กแบบนั้นเลยค่ะ เป็นเด็กดีมากๆ จนไม่สามารถยัดความเดือดดาลที่รุนแรงเข้าไปได้เลย ซีนในการทะเลาะกันที่เคยคิดว่าจะปะทุรุนแรงกว่านี้ก็สลายไปเหลือแต่ความเจ็บปวดเอาไว้ ซึ่งรีนคิดว่าจริงๆ การทะเลาะกันมันก็ไม่ได้หมายถึงแค่ว่าเราจะมาวิวาทฟาดอารมณ์ร้ายๆ ใส่กัน บางครั้งการทะเลาะก็อาจจะมีแค่ความเงียบงันด้วยซ้ำ ซึ่งในแต่ละบุคคลแต่ละคู่กรณีก็จะมีอะไรที่แตกต่างกันไป สำหรับบ้านนี้ก็คงเป็นแบบนี้แหละค่ะ ไม่ใช่พวกนิยมความรุนแรงกันเสียหน่อยนี่เน้อ

       แล้วตัวน้องโชคเองที่รีนเห็นในตอนนี้หลังจากที่เขียนจบไปแล้วมาอ่านทวนอีกรอบ รีนก็รู้สึกว่าเขาช่างเป็นเด็กที่มี EQ สูงมากๆ เลยค่ะ อาจจะได้มาจากน้าแก้วรึเปล่านะ แต่ทั้งสองคนเป็นพวกที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากๆ โดยที่รีนเองก็ไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะนำเสนอเขาแบบนี้เลย ก็คงอย่างที่มีคนว่าไว้นั่นแหละค่ะ ตัวละครเราสร้างเขาขึ้นมาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเขาจะมีชีวิตของเขาเอง... และรีนก็รู้สึกดีใจและภูมิใจมากๆ เลยค่ะที่ได้เป็นคนที่ได้ให้ชีวิตกับพวกเขาเหล่านี้

       และหากทำให้คุณชอบและผูกพันกับพวกเขาได้ รีนก็คงได้เป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่อยากจะเป็นแล้วล่ะค่ะ

       ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้นะคะ พูดมายาวมากเลย อาจจะดูน่ารำคาญ แต่ก็อยากจะพูดอยู่ดีแหละค่ะ 55555


 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอนะคะ

       ชอบคุณค่ะ (เป็นการพิมพ์ผิดที่ไม่อยากลบเลย เอาเป็นว่าขอบคุณนะคะ)  :o8:

 

       เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2020 19:24:38 โดย FebruarySea »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
หลังจากเลิกรากันไปของคนสำคัญมันย่อมอบอวนไปด้วยความเหงาและเสียใจ เข้าใจว่ามันต้องใช้เวลาในการมูฟออน จะกลับมา จะมองหน้ากันยังไงให้ติด แต่ก็นะ น้าแก้วเป็นคนง่ายๆอยู่แล้ว คงชิว บอกไม่เป็นไร ยังเหมือนเดิมตามสไตล์สินะ อุอิ 5555 //โชคจะเกรี้ยวกราด ดุดันในทีนี่มองว่าสมควรนะทั้งในบริบทโมโหเรื่องของน้าแก้ว และจากพันธุกรรมจากพ่อผู้ซึ่งชอบใช้ความรุนแรง โชคได้รับถ่ายทอดมาไม่มากก็น้อย แต่ด้วยการเลี้ยงดูจากน้าแก้ว จึงไม่ได้แสดงออกมา โตเป็นหนุ่มแล้วโชค พร้อมจะปกป้องน้าแก้วแล้วสินะ ถึงกับทำให้น้าแก้วเหวอแดก อึ้งกิ่มกี่ไปเลย 5555 //ตลอดมาธีร์ไม่ได้พยายามอะไรเพื่อแก้วเลย ที่มาหาแสดงว่ารัก ทำไปทั้งหมดเพียงเพราะเห็นว่าแก้วรักตัวเอง แต่จริงๆคือไม่มีอะไร ในเมื่อธีร์ใจร้ายมา เราก็จะใจร้ายกลับไป เหตุผลอะไรฟังไม่ขึ้นทั้งนั้นเพราะคุณไม่พยายามอะไรเลย อย่ามาให้เห็นหน้านะ  :z6: อินจัด 55555 //จะเป็นยังไงต่อไป เดาไม่ถูกเลย รอตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อและความพยายามในการแต่ง มันดีมากจริงๆ ภาษาสวย  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 27

 

          “แก้ว...ผมโตพอจะกอดคุณได้แล้วนะ”

 

          ระหว่างทางไปโรงเรียน มิกซ์ได้แต่คิดว่าเพื่อนของเขาทำตัวแปลกประหลาด โชคเอาแต่ซุกหน้าลงบนบ่าคนขับรถจนปีกหมวกกันน็อกแข็งกระแทกโดนข้างคอเด็กหนุ่มอีกคน แต่เพราะเจ้าตัวไม่ได้ว่าอะไรมากไปกว่าบ่นพึมพำว่าเขาทำตัวผิดปกติ เขาจึงยังคงซบอยู่อย่างนั้นไปตลอดทางด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีวนอยู่ในช่องท้อง

 

          ประหม่า กังวล และเด่นชัดที่สุด...หวาดกลัว

 

          สองความรู้สึกแรกคงเหมือนกับที่แพรรู้สึกตอนสารภาพรักกับเขา แต่อย่างหลังคงเป็นเหมือนที่ธีร์รู้สึกยามรอคอยคำตอบจากปากของแก้วในคืนสุดท้ายท่ามกลางพายุฝน โชคไม่รู้ว่าจากนี้ไปทุกอย่างจะออกมาเป็นเช่นไร แต่เขาตัดสินใจไปแล้ว ในระหว่างมื้อเย็นที่น้าแก้วแสนเปราะบาง ดวงตาแดงก่ำฉ่ำชื้น ตั้งแต่ที่รอยยิ้มเหนื่อยล้าระบายออกมาเพื่อปลอบโยนเขา เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะเป็นคนดูแลน้าแก้วต่อจากนี้ไปเอง และหลังจากที่ไตร่ตรองมาตลอดคืนโชคก็ตัดสินใจได้อีกอย่าง

 

          ...ว่าไม่ใช่ในฐานะเด็กในปกครอง หรือลูกตามกฎหมาย

 

          เขาจะดูแลแก้วในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ที่รักและต้องการได้รับความรักตอบ

 

 

 

          ในห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาว แก้วยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม บุหรี่มอดหมดมวนทั้งที่ไม่ได้ยกขึ้นสูบ ขี้เถ้าสีเทาหม่นร่วงลงแตกกระจายเป็นวงดอกไม้ไฟบนพื้นกระเบื้อง ถ้อยคำที่เด็กหนุ่มพูดยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เพียงไม่กี่ประโยคที่แสนคลุมเครือ แต่แก้วก็ผ่านโลกมามากเกินกว่าจะไม่เข้าใจแววที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้น

 

          ...ชัดเจนแม้อยากบิดเบือน

 

          “มะลิ”

 

          “...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากแมวสาวใหญ่ มะลิเพียงอ้าปากหาวแล้วใช้หัวถูไถกับฝ่ามือชายหนุ่มแทนคำตอบรับ แก้วทิ้งศีรษะลงบนพนักพิง เงยหน้ามองเพดาน ในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดไฟเพราะแสงยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาส่องให้ข้างในไม่มืดนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีบางสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ในเงาสลัวตรงจุดอับแสง

 

          ‘ต่อไปผมจะกอดน้าแก้วเอง’

 

          ‘ตัวแค่นี้จะกอดฉันไหวเหรอ’

 

          ‘เดี๋ยวผมก็โตแล้ว!’

 

          บทสนทนาในวันวานหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง แก้วจำไม่ได้แล้วว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รู้เพียงว่าเป็นยามเช้าหนาวเย็นหลังคืนฝนตก และมันยิ่งเหน็บหนาวกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อปราศจากอ้อมกอดอุ่นแสนคุ้นเคยที่เขาซุกอิงมาตลอดทั้งคืน ในตอนนั้นเด็กชายตัวเล็กโผเข้ามากอดเอวเขาแน่น ไออุ่นจากร่างกายเล็กจ้อยไม่อาจแทนที่คนตัวโตคนนั้นได้เลย แต่มันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจจริงและทำให้เขายิ้มออก

 

          “ตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่านะ” แก้วพึมพำ เอ่ยถามแมวสาวแม้รู้ว่าจะไม่ได้คำตอบ เขาขยับเอื้อมมือไปทิ้งก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย ก่อนกลับมาเอนหลังพิงพนักโซฟาอีกครั้ง จมตัวเองลงไปในเบาะหนังนุ่มที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ค้นหาสัญญาณเล็กๆ ของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าจะค้นไปลึกแค่ไหน เขาก็หาไม่เจอเลย อาจจะเป็นเพราะในสายตาเขา...

 

          โชคเป็นเพียงเด็กชายคนเดิมที่มีดวงตาซื่อตรงของเจ้าหมาน้อยอยู่เสมอ

 

          แก้วเหลือบสายตาไปมองรูปภาพเรียงรายบนชั้นโชว์ บางรูปก็ถูกแสงสะท้อนย้อมจนมองไม่เห็น บางรูปก็อยู่ในเงามืดสลัว แต่เขาก็จดจำได้ดีว่าแต่ละรูปนั้นเป็นอย่างไร จดจำได้แม้กระทั่งความรู้สึกยามลั่นชัตเตอร์เก็บมันเอาไว้

 

          ...การเติบโตของเด็กชายโชค

 

          ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลง ทวนซ้ำถึงคำพูดที่ได้รับมา เขายังไม่แน่ใจว่าตัวเองตีความได้ถูกหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางได้คำตอบที่แท้จริง จนกว่ายามเย็นจะมาถึง เมื่อเจ้าของถ้อยคำเหล่านั้นกลับมาตอบให้มันกระจ่าง เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ และหวังว่าช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้จะยาวนานมากพอให้เตรียมใจ

 

          ถ้าหากการตีความของเขามันถูกต้องแล้ว...

 

 

 

          เย็นวันนั้นโชคกลับบ้านช้ากว่าปกติ เด็กหนุ่มประวิงเวลาก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทั้งรอคอย แต่ก็ขลาดกลัวมาตลอดทั้งวัน มิกซ์รับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้นดีตั้งแต่ตอนที่บิดมอเตอร์ไซต์พ้นรั้วโรงเรียน ในตอนที่โชคพูดขึ้นมาว่าอยากไปขี่รถเล่นก่อนกลับ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาไปเที่ยวเล่นกันหลังเลิกเรียน แต่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนรักเป็นฝ่ายเอ่ยปาก พร้อมกับเสียงที่แว่วมาท่ามกลางลมที่ตีพัดเข้าหู

 

          “กูชอบแก้ว”

 

          “ห้ะ อะไรนะ” นักบิดหนุ่มน้อยเพิ่มระดับเสียงสู้กับเสียงลมถามย้ำเพราะได้ยินไม่ชัด

 

          “กูชอบแก้ว” คราวนี้ได้ยินชัด แต่กลับประมวลผลไม่ทัน มิกซ์หยุดรถเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงพอดี หันกลับไปสบตากับเพื่อนสนิทเพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม

 

          “แก้วไหน”

 

          “น้าแก้ว” ระยะเวลาไฟแดงเพียงหกสิบวินาที แต่กลับเนิ่นนานเมื่อพวกเขาต่างสบตากันอย่างเงียบงัน ใช้ครึ่งนาทีที่เหลือครุ่นคิดกับตัวเอง ในขณะที่มีฝ่ายหนึ่งคิดว่าไม่น่าพูดออกไปเลย ก็มีอีกฝ่ายที่คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง

 

          “น้าแก้ว..เหรอ” มิกซ์กระพริบตาปริบ เม้มปากแน่นก่อนหันกลับไปในตอนสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วบิดเร่งเครื่องเคลื่อนตัวออกไปตามท้องถนนโดยไร้ซึ่งจุดหมาย

 

          รถราที่แน่นขนัดในช่วงเวลาหลังเลิกงานเริ่มบางตาลงไปทุกทีเมื่อพวกเขาผลาญน้ำมันทิ้งไปกับการขี่รถไปเรื่อยๆ บนเส้นทางที่บ้างก็คุ้นเคย บ้างก็แปลกใหม่ แต่ก็ไม่ได้หลงทางไปไหน สุดท้ายก็กลับมาสู่ถนนเส้นหลักที่จะนำทางกลับบ้าน

 

          ...แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ตรงกลับบ้าน

 

          เด็กหนุ่มตัวเล็กเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางหน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่งที่พวกเขาผ่านไปมาในทุกๆ วัน แต่ไม่เคยได้แวะเลยสักครั้ง

 

          “มิกซ์” โชคเอ่ยเรียก แต่เจ้าของชื่อไม่ตอบรับ มิกซ์ลงจากรถเดินตรงเข้าไปหาลุงเจ้าของร้านที่นั่งเฝ้าโต๊ะเงินซึ่งรายล้อมด้วยขนมลูกอมสีสดใส ถามซื้อน้ำแดงจากตู้แช่ทรงโบราณที่ตั้งอยู่ติดกับประตูบานเลื่อนเหล็ก พอได้ของก็ควักเงินจ่าย ก่อนเดินหลบไปยืนหน้าอาคารถัดไปที่ปิดประตูสนิทคล้ายว่าไม่มีใครอยู่บ้าน

 

          โชคมองเพื่อน แต่แล้วก็เบนตาหลบไปมองดอกชวนชมปลายกลีบสีแดงสดในกระถางข้างๆ ความรู้สึกวูบโหวงในอกขยายตัวใหญ่ขึ้น เขาคงรวนจากความวิตกกังวลเรื่องน้าแก้วจนพลั้งปากพูดออกไป ทั้งที่ตั้งใจจะเก็บเอาไว้กับตัวเองไปตลอดชีวิต แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ความลับทำให้หัวใจกระวนกระวาย และการบอกมันกับใครสักคนมักจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่บางทีก็ลืมคิดไปว่าใครสักคนที่ได้ฟังนั้น อาจจะต้องแบกรับมันต่อจากตัวเอง

 

          มิกซ์ก็อาจจะเป็นใครคนนั้น... แต่ยังไม่ทันได้คิดมากไปกว่านั้น เด็กหนุ่มก็ถูกเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย แม้จะฟังดูจริงจังกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในความรู้สึก

 

          “โชค” มิกซ์กวักมือเป็นสัญญาณให้อีกคนย้ายตัวเองไปหา และโชคก็ทำตาม ก้าวขายาวๆ ไปยืนเคียงกันหน้าประตูเหล็กซี่ที่ปิดเอาไว้ คนตัวเล็กยกขวดน้ำแดงขึ้นกระดก ส่วนคนตัวโตยืนกอดกระเป๋าก้มมองพื้น ยาวนานในความรู้สึก แต่กลับชั่วครู่เดียวในความเป็นจริง “ที่มึงบอกว่าชอบน้าแก้วหมายถึงชอบแบบไหนวะ”

 

          “...น้าแก้วคือผู้ชายคนนั้นที่กูเล่าให้ฟัง” โชคใช้เวลาไม่นานในการพูดตอบออกไป “คนที่กูชอบมาตลอด”

 

          “อ่อ” มิกซ์พยักหน้า ยกขวดน้ำแดงขึ้นดื่มจนหมด ใช้เวลาสักพักในการครุ่นคิดบางสิ่งในหัว ก่อนจะพูดออกมา “งั้นมึงก็ชอบมานานแล้วดิ ตั้งแต่เด็กๆ เลยรึเปล่า”

 

          “ก็..น่าจะตั้งแต่ตอนป.สี่” โชคว่า เขารู้ได้ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น แม้จะใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะตระหนักถึงมันก็ตาม “แต่เพิ่งเข้าใจว่าชอบแบบนี้ แบบที่ไม่ใช่ครอบครัวตอนม.สอง”

 

          “แล้วน้าแก้วรู้ไหม”

 

          “เพิ่งรู้ กูบอกไปเมื่อเช้า”

 

          มิกซ์ไม่ได้ถามอะไรอีก ไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีเรื่องที่อยากถาม แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามไปทำไมต่างหาก ถ้าเขารู้แล้วเขาจะทำอะไรได้ ถ้าเขารู้แล้วจากนี้ไปเขาจะยังมองน้าแก้วด้วยความรู้สึกแบบเดิมได้หรือเปล่า แม้จะไม่ใช่ในทางที่ไม่ดี เพราะสำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ความรู้สึกเคารพหรือสนิทใจที่มีกับผู้ปกครองของเพื่อนจะไม่มีวันเปลี่ยนไป แต่ในเมื่อคนๆ นั้นเป็นชายหนุ่มที่เพื่อนของเขาชอบ แล้วเขาจะห้ามตัวเองไม่ให้คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกของโชคได้อย่างไร

 

          ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อน เขาก็ต้องอยากเห็นโชคสมหวังอยู่แล้ว

 

          “กลับกันเถอะ” หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว คนตัวเล็กกว่าก็วางมือลงบนบ่าของอีกคน แล้วเดินนำไปทิ้งขวดเปล่าลงถังขยะก่อนตรงไปขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซต์คันเก่ง รอจนโชคตามมาซ้อนท้ายค่อยสตาร์ทเครื่องออกตัวไปตามทางกลับบ้าน ในขณะที่สายลมตีปะทะเข้าหน้า มิกซ์ก็พูดออกมาอีกประโยค “มึงรู้ใช่ไหมว่าถึงความรู้สึกของมึงจะไม่ได้ผิด แต่มันก็เป็นไปได้ยาก”

 

          โชคไม่ได้ตอบกลับไป มีเพียงน้ำหนักที่ทิ้งลงซบบนบ่าที่ทำให้เจ้าของคำพูดนั้นรับรู้ว่าคนที่รู้ดีที่สุดถึงความเป็นไปได้ในทางที่เลือกไปนั้นมันสิ้นหวังแค่ไหน...ก็คือเจ้าตัวเอง

 

 

 

          ในที่สุดโชคก็มาถึงบ้าน เด็กหนุ่มบอกลาเพื่อนสนิทด้วยแววตาที่มองสบกันอย่างเงียบงัน มิกซ์ยกยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจากไป สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงเขาที่กำลังจะต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับความรู้สึกคั่งค้างที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นและทิ้งมันเอาไว้ในห้องนั่งเล่นเมื่อเช้าด้วยตัวเอง

 

          ในห้องนั่งเล่นเปิดไฟสว่างโร่ แก้วนั่งรอเขาอยู่แล้ว ตรงที่เดิมจนไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าได้ลุกออกไปไหนหรือเปล่าตั้งแต่ตอนนั้น

 

          “กลับมาแล้วครับ” โชครู้ว่าเขาหนีไม่ได้ และไม่ได้คิดจะหนีมาตั้งแต่ต้น เด็กหนุ่มจึงเดินไปวางกระเป๋าที่ข้างโต๊ะไม้ ยืนกุมมือหลุบตาต่ำอย่างรอคอยให้อีกฝ่ายเริ่มพูดออกมา

 

          “นั่งก็ได้นะ” แก้วว่า แต่โชคส่ายหน้าปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงตรงเข้าประเด็นในทันที “ที่เธอพูดเมื่อเช้า... มันหมายความว่ายังไง”

 

          ความเงียบงันกัดกินทั้งผู้ถูกถามและผู้ที่รอคอยคำตอบ โชคหลับตา ความรู้สึกมากมายกำลังตีกันอยู่ในหัวของเขา มีทั้งความรู้สึกที่นึกเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป หากเขาเก็บงันมันเอาไว้เพียงในใจต่อไป เขาก็จะได้เป็นเด็กชายคนเดิมคนนั้นของน้าแก้ว ได้เป็นลูกชายตามกฎหมาย ได้อยู่เคียงข้างและได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนกับที่ผ่านมา

 

          แต่อีกความรู้สึกที่รุนแรงกว่าก็ผลักดันให้เขากระโจนลงจากหน้าผา ความรู้สึกที่ว่าเสี่ยงดูสักครั้ง ความรักของเขามันมากมายเกินกว่าจะซุกซ่อนเอาไว้หลังนัยน์ตาซื่อตรงของเด็กชายโชค เขาไม่อยากเป็นเพียงแค่เด็กในสายตาของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว เขาอยากเป็นผู้ชายคนหนึ่งในสายตาของแก้ว อยากได้สิทธิ์ครอบครองริมฝีปากที่ระบายรอยยิ้มบางเบา อยากโอบกอดชายหนุ่มไว้ด้วยความรักล้นใจอย่างตรงไปตรงมา อยากสัมผัสส่วนที่ลึกเกินกว่าที่ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกจะให้เขาได้

 

          “ผมชอบแก้ว... ชอบในฐานะผู้ชายคนนึง” คำสารภาพเรียบง่ายและชัดเจนในความหมาย ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นสบกับนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว แก้วพยักหน้าอย่างรับรู้ ไม่มีคำพูดใด ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ เพียงแค่รับรู้แล้วเท่านั้น

 

          ดูเหมือนว่าช่วงเวลาทั้งวันที่ใช้รอคอยเด็กหนุ่มจะมากพอแล้วที่จะให้แก้วได้เตรียมใจ เขาครุ่นคิด ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะตัดสินใจ ไม่ว่าคำพูดของโชคจะมีความหมายแบบไหน ความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อเขาจะลึกซึ้งเกินเลย หรือทั้งหมดนั้นเขาเพียงแต่คิดมากไปเอง เขาก็จะ...

 

          ไม่ทำอะไรเลย

 

          เรียวนิ้วคีบส่งแท่งบุหรี่แนบชิดริมฝีปาก แก้วจุดไฟรนปลายมวนกระดาษ สูดเอาควันเหม็นไหม้และกลิ่นใบยาสูบขมปร่าเข้าไป ก่อนพ่นไอขมุกขมัวออกมาอย่างเชื่องช้า รอคอยให้ลมจากพัดลมตั้งพื้นปัดเป่ามันให้จางหายไปในอากาศ พร้อมกับเอาทุกอย่างในหัวของเขาที่อยู่มาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้จากไปด้วย

 

          “จะกินอะไรกันดีล่ะวันนี้”

 




 

          สิงหาคมกำลังจะจบลงไปโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แก้วยังคงทำตัวเหมือนปกติ กิจวัตรประจำวันวนซ้ำอย่างที่เคยเป็นมาตลอด โชคเองก็ถูกบรรยากาศเหล่านั้นดึงกลับไปจนเหมือนเรื่องที่เขาสารภาพความรู้สึกออกไปไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพียงแต่เขามั่นใจว่าได้พูดออกไปแล้วจริงๆ

 

          “แก้วครับ” มีเพียงสรรพนามเรียกขานที่แตกต่างไปจากเดิม แต่เจ้าของชื่อก็ไม่ติดใจอะไรที่จะตอบรับ

 

          “ว่าไง”

 

          “เอากาแฟไหมครับ”

 

          “ก็ดี ขอบใจ”

 

          โชคเดินเข้าครัวไปชงกาแฟให้ตามที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเอง แก้วมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ใช่ว่าเขาจะไม่มองไม่เห็นความลังเล สับสน และบางครั้งก็เจ็บปวดในดวงตาคู่นั้น เพียงแต่เขาตัดสินใจไปแล้วที่จะไม่ทำอะไรกับความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้

 

          เพราะชายหนุ่มคิดว่าการไม่ทำอะไรเลย คงดีกว่าตัดรอนไร้เยื่อใยจนอาจจะเข้าหน้ากันไม่ติด แก้วไม่คิดจะผลักไสเด็กหนุ่มไปไหน สำหรับเขาโชคยังคงเป็นเด็กในปกครองที่เขารักและห่วงใย อีกทั้งพวกเขายังคงต้องอยู่ร่วมบ้านกันไปอีก... อย่างน้อยก็สามปีกว่าโชคจะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เช่นนั้นแล้วการนิ่งเฉยและทำทุกอย่างให้เหมือนเคยคงเป็นการบอกปฏิเสธที่อ่อนโยนที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา

 

          แต่การไม่ทำอะไรเลยของแก้ว ก็ทำให้โชคปิดหูปิดตา แสร้งว่าไม่เข้าใจความนัยน์ที่แฝงมากับความปกติธรรมดาเหล่านั้น เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องตัดใจจากชายหนุ่ม เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองคงทำไม่ได้

 

          ...โชคไม่อาจตัดใจจากแก้ว แม้จะใช้เวลาชั่วชีวิตที่เหลือก็ตาม

 

          และถึงจะไม่รู้อนาคต เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกที่มีให้แก้วจะไม่มีวันจางหายไปจากหัวใจของเขา

 

          เพียงเท่านั้นก็เป็นเหตุผลที่มากเพียงพอให้โชคพยายามที่จะเป็นผู้ชายคนหนึ่งในสายตาของแก้วต่อไปแล้ว

 

          “แก้ว” หลังจากที่ยื่นแก้วกาแฟกรุ่นไอควันร้อนฉ่ามาให้ โชคก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน คล้ายรอให้เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นจากจอแล็ปท๊อปที่กำลังใช้ทำงาน ดวงตาสีเข้มเลยเหลือบขึ้นสบเข้ากับแววตาซื่อตรงที่จ้องมองมาอย่างอบอุ่นและจริงใจ ยังคงเหมือนในความทรงจำที่เคยได้เห็นมาตลอด แต่ก็แตกต่างเหลือเกินในคราวเดียวกัน “ผมชอบคุณนะครับ”

 

          “อืม” อาจจะเป็นเพราะเกิดสับสนขึ้นมาชั่วขณะ แก้วจึงเอ่ยตอบกลับไปเป็นครั้งแรก “ฉันรู้แล้ว”

 

          กว่าจะรู้ตัวอีกที แก้วก็ได้แต่คิดว่าเขาพลาดแล้วที่พูดออกไปอย่างนั้น เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างเจิดจ้าระบายอยู่เต็มใบหน้าของอีกฝ่าย ตั้งแต่ที่ได้รู้ความในใจของโชค ชายหนุ่มก็นิ่งเฉยกับมันมาตลอด เหมือนกับการที่เจ้านายกลับถึงบ้าน แล้วหมาที่เลี้ยงเอาไว้วิ่งไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น หากยืนหยุดนิ่งเสีย เจ้าหมาก็จะรับรู้ว่าเจ้านายไม่เล่นด้วยแล้วล่าถอยไปเองในที่สุด แก้วเองก็ทำอย่างนั้นกับโชค

 

          แต่ตอนนี้... เขาดันเผลอยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมาตัวนั้นเข้าเสียแล้ว

 

 

 

TBC...

          เฝื่อนฝาด... เป็นตอนที่ให้ความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ไม่ขมปร่าแต่ก็ไม่ได้สดใสนัก เส้นทางรักของเจ้าหมาโชคยังคงอีกยาวไกลเลยค่ะ ที่รีนเคยบอกว่าเป็น Slow burn รีนพูดจริงนะคะ เชื่องช้า เนิบนาบ แต่ก็ไม่คิดว่าน่าเบื่ออะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ


          จะบ่นในตัวสีอีกแล้วนะคะ 55555
          ที่บอกว่ากำลังเขียน 4 ตอนสุดท้ายอยู่ ตอนนี้ก็กระดึ๊บไปได้จนถึงตอนเกือบสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ แต่ก็ติดอยู่ตรงนั้นมาสักพักแล้วเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะยิ่งใกล้จบรีนก็ยิ่งกดดันตัวเองเพราะอยากให้ออกมาดีที่สุด ดีให้ได้เท่าที่เคยคิดเอาไว้ในหัว ยากมากๆ เลยนะคะกับการที่บอกว่าเขียนไปเถอะ ไม่ต้องคิดมากน่ะ แง้ ขอกำลังใจหน่อยค่ะ (จริงๆ แค่รับฟังก็ดีใจมากแล้ว5555) รีนอาจจะงอแงบ่อยในช่วงนี้นะคะ รำคาญได้แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนเลยนะคะ  :hao5:

          แล้วก็อีกเรื่องที่อยากจะพูด ไม่ได้ตัดพ้อน้อยใจอะไรนะคะ แค่ระบายความรู้สึกในใจ คือรีนรู้สึกขอบคุณพวกคุณที่อ่านงานของรีนมาตลอดมากๆ เลยค่ะ เป็นกำลังใจในยามท้อแท้เสมอเลย และไม่ว่าอย่างไรความรู้สึกนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่ในขณะเดียวกันรีนก็รู้สึกดาวน์อยู่บ้างที่ยอดอ่านจริงๆ ก็ยังน้อยอยู่เลยทั้งที่เดินทางมาครึ่งเรื่องแล้ว

          รีนอยากให้น้องโชคได้ตีพิมพ์ค่ะ ไม่ได้คิดหวังขนาดให้มีสนพ.มาติดต่อเอง คิดว่าปิดต้นฉบับก็จะส่งไปตามสนพ.เองด้วยซ้ำ แต่ยังไงวงการสิ่งพิมพ์ทุกวันนี้ที่ไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน นิยายที่จะได้ตีพิมพ์ก็จำเป็นต้องมีฐานคนอ่านหรือฐานตลาดที่จะซื้ออยู่ดี น่าเศร้าที่ตอนนี้นิยายเรื่องนี้ยังไม่เข้าเกณฑ์เหล่านั้นเลยล่ะค่ะ

          แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รีนจะเขียนนิยายเรื่องนี้จบจน รวมถึงตอนพิเศษที่คิดเอาไว้ออกมาให้ได้อ่านกันแน่นอน เพราะแม้สุดท้ายนิยายเรื่องนี้จะไม่ได้ตีพิมพ์ รีนก็จะแค่เสียดาย แต่จะไม่เสียใจที่ได้เขียนเด็ดขาดเลยล่ะค่ะ

          ขอบคุณนะคะที่รับฟังมาจนถึงบรรทัดนี้ และขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้  :L2:



          ปล.ถ้าสะดวกก็สามารถไปแสดงความคิดเห็น หรือช่วยกันขายน้องโชคกันได้ที่ #น้าแก้วของโชค ในทวิตเตอร์นะคะ

 

          ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอ

          ขอบคุณนะคะ

 

          SEE U on วันพฤหัสบดีค่า


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยยบรรยายความรู้สึกไม่ถูกหว่ะ มันยังไงวะ คันหัวใจยุบยิบมั้ง 55555 พอโชคเข้ามหาลัย ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว กลับมาบ้านทีน้าแก้วคงตะลึงในความหล่อเหลาสมชายของโชค 555 พอได้ระบายความในใจออกไปก็คงโล่งดีสินะ แต่ก็อย่างว่าแหละ รับรู้ ซึ่งก็ดีแล้ว แต่จะให้ตอบรับหรือปฎิเสธเลยมันก็ยากทั้งสอง เพราะงั้นก็อย่าคาดหวังเยอะ จะได้ไม่อึดอัดกันเกินไป รอเฝ้ามองเส้นทางความรักนี้จะเป็นยังไงต่อไป มันจะไปแบบไหน รู้แต่ว่าไม่ง่ายเลยกับน้าแก้วผู้ซึ่งเป็นพวกรักปักใจ ครั้งนี้แทบจะปิดใจรักไปเลย จะยังไงละเนี้ย  :hao3: ขอบคุณนะคะที่มาต่อตรงตามวันสม่ำเสมอ เป็นกำลังใจในการแต่งทุกๆตอนค่ะ ช่วงนี้พายุเข้า ไปไหนมาไหนอย่าลืมพกร่ม ดูแลตัวเองด้วยนะคะ จะได้ไม่ป่วย มีแรงปั่นนิยายต่อ รออ่านอยู่ 55 (:   :katai2-1: :katai2-1:   :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 28

 

          ฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องในเดือนกันยา โทรทัศน์ออกข่าวเรื่องน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ เหมือนกับทุกๆ ปี ชายหนุ่มจุดบุหรี่ขึ้นสูบ หูฟังเนื้อหาจากทีวี ส่วนดวงตาจับจ้องมองสายฝนที่ทิ้งตัวร่วงลงมาบดบังทิวทัศน์สวนข้างบ้านด้วยม่านน้ำจนพร่าเบลอ วันนี้เขาไม่ได้ปิดบานหน้าต่างแม้ฝนจะตกหนัก เพราะช่วงเดือนนี้ลมมรสุมจะพัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับหน้าต่างของห้องนั่งเล่นที่หันสู่ทิศตะวันออกทำให้ฝนไม่สาดย้อนเข้ามาถึงตัวบ้าน

 

          ทว่าละอองน้ำฉ่ำชื้นก็ยังคงลอยเข้ามากระทบผิวให้รู้สึกเหน็บหนาว

 

          แก้วสูดควันเข้าปอด ในอกอุ่นวาบเพียงชั่ววูบ ในขณะที่เรียวนิ้วกลับค่อยๆ เย็นลง เขาเป็นคนตัวอุ่นในเวลาปกติ แต่ร่างกายกลับไวต่ออุณหภูมิภายนอก หากยืนนิ่งตากลมหนาวนานๆ หรืออยู่ในห้องที่อากาศชื้นแล้วยังมีพัดลมเป่าใส่ตรงๆ เช่นตอนนี้ มือเท้าเขาจะเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

          และโชคก็รู้ดี แม้ในตอนยังเด็กเขาจะคิดเสมอว่ามือของแก้วนั้นช่างอบอุ่น เพราะทุกครั้งที่คว้าจับมันจะช่วยไล่ความหนาวเย็นไปจากเขา แต่นั่นก็เพียงเพราะเขาในตอนเด็กนั้นตัวเย็นกว่าแก้วเท่านั้นเอง กระทั่งหลังจากที่อยู่ด้วยกันมาแรมปี เด็กน้อยถึงได้สังเกตเห็นว่าบางครั้งร่างกายแก้วก็ช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน

 

          ผ้าห่มผืนบางที่ทำมาจากเส้นใยสังเคราะห์นุ่มนิ่มและให้ความอบอุ่นสูงคลุมทับลงมาบนร่างของชายหนุ่ม แก้วหันกลับมาสบตากับคนที่หอบผ้าห่มจากชั้นสองลงมาให้เขา ยังไม่ทันได้เอ่ยปากขอบใจ โชคก็นั่งลงบนพื้นหน้าโซฟา สองมืออุ่นร้อนทาบลงบนหลังเท้าเปลือยเปล่า หัวใจแก้วกระตุกเมื่อมันซ้อนทับกับเงาของใครอีกคน ยิ่งเมื่อดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมาสบตากับเขาฉายแววอบอุ่นและเปี่ยมรักเช่นนั้น

 

          “เอาถุงเท้าไหมครับ น้ะ..” คำหลังถูกเว้นเสียงไปกลางคันเมื่อเด็กหนุ่มกำลังจะหลุดสรรพนามแทนตัวอีกฝ่ายที่คุ้นเคย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มและเอ่ยชื่อเปล่าๆ ไร้คำนำหน้า “...แก้ว”

 

          “ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร” แก้วถดเท้าหนีจากอุ้งมืออุ่นขึ้นมาซุกไว้ใต้ผืนผ้าห่มอย่างเชื่องช้าและเป็นธรรมชาติ เอี้ยวตัวยื่นมือไปเคาะเศษขี้เถ้าปลายมวนบุหรี่ใส่ที่เขี่ยบนโต๊ะไม้ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “ขอบใจนะโชค”

 

          “ครับ” สัมผัสของผิวเย็นเฉียบที่กำลังค่อยๆ อุ่นขึ้นในมือเขาจากไปแล้ว แต่ความรู้สึกกลับไม่จางหายไปเลย ทั้งความยินดีที่ได้ดูแล และความเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธอีกครั้งแล้ว

 




 

          วันที่ 18 เดือนตุลาคม ท้องฟ้าครึ้มแต่ไม่มีฝน ลมหนาวเริ่มพัดมาสมทบกับความชื้นในอากาศ โชยผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ามาทิ้งความหนาวเย็นไว้ในห้องนั่งเล่น เป็นเพราะแก้วบอกว่าไม่จำเป็นต้องจัดงานอะไร มื้อเย็นของพวกเขาจึงเรียบง่ายด้วยอาหารฝีมือเด็กหนุ่ม แต่ถึงแก้วจะบอกว่าไม่จำเป็น โชคก็ยังคงแอบเตรียมเค้กช็อกโกแลตหวานน้อยก้อนเล็กเอาไว้ จุดไฟใส่แท่งเทียนสีฟ้าเพียงหนึ่งเดียวที่ปักลงตรงกลาง เขาไม่ได้ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ตเดย์ให้กับชายที่เหยียบย่างเข้าสู่วัยสี่สิบ มีเพียงรอยยิ้มและถ้อยคำเรียบง่าย

 

          “สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

 

          กับของขวัญในกล่องฝาปิดขนาดกลาง บรรจุผ้าพันคอไหมพรมนุ่มนิ่มสีเบจ ผ้าพันคอที่เด็กชายโชควัยสิบสองปีขอให้เด็กสาวร่วมห้องตอนชั้นประถมห้าช่วยสอนวิธีถัก และหลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกเป็นปีในการถักมันให้ยาวมากพอจะพันรอบคอกันความหนาว แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่หัดจับเข็มนิตติ้ง ลายในแต่ละแถวจึงออกมาดูบิดเบี้ยวไม่เท่ากัน เด็กชายในวันนั้นตัดสินใจรื้อออกมาเริ่มต้นถักใหม่อีกครั้ง แต่มันก็ใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะถักออกมาให้ลายในแต่ละแถวเรียงเส้นสวยงามจนสุดปลาย

 

          สองปีกว่าที่ใช้ถักผ้าพันคอผืนเดียวนั้น... เนิ่นนานมากพอที่จะให้ใครบางคนหวนกลับมาในหน้าร้อน

 

          และเพราะเด็กชายตั้งใจจะให้มันกับแก้วในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง เพื่อใช้แทนความอบอุ่นที่ขาดหายไปจากใครคนนั้น แต่อาธีร์ก็กลับมา ผ้าพันคอผืนนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เด็กหนุ่มในวัยย่างสิบห้าปีจึงซุกเก็บมันเอาไว้ที่มุมหนึ่งในตู้เสื้อผ้า ไม่เคยคิดหวังว่าจะได้มีโอกาสมอบให้อีก

 

          แต่แล้วก็มาถึงวันนี้... วันที่ข้างกายของแก้วว่างเปล่า และความเหน็บหนาวเริ่มกัดกินประกายในดวงตาสีเข้ม

 

          “ขอบใจนะ” แก้วรับผ้าพันคอทำมือไป หยิบขึ้นมาพาดรอบลำคอ รับรู้ถึงความนุ่มนิ่มของเส้นใย แต่ไม่รู้เลยว่ามันใช้เวลาและผ่านความรู้สึกแบบไหนมาบ้างในระหว่างการถักทอ

 

 

 

          หลังจากที่โชคเก็บถ้วยจานไปล้างในครัว เด็กหนุ่มกลับออกมาอีกครั้งในตอนที่เจ้าของวันเกิดยกโทรศัพท์มือถือไว้แนบหู นั่งชันเข่าพิงลำตัวเข้ากับพนักโซฟา เปลือกตาปิดสนิท มีเพียงเสียงของลมหายใจที่พ่นผ่านสัญญาณคลื่นทางอากาศ ไม่ต้องคาดเดาเลยสักนิด โชครู้ดีว่าปลายสายอีกฝั่งเป็นใคร

 

          “ธีร์” เนิ่นนานกว่าจะมีคำพูดหลุดออกมา ดวงตาสีเข้มเปิดขึ้นพร้อมกับแววของความรู้สึกลึกซึ้งแสนซับซ้อน ถึงจะไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด โชคก็รู้ว่ามันมีความคิดถึงปนอยู่เป็นส่วนใหญ่ “...กูจะวางแล้วนะ”

 

          เมื่อกดตัดสายไปเรียบร้อย เครื่องมือสื่อสารก็ถูกวางแทนที่ซองบุหรี่ที่ถูกหยิบขึ้นไปแทน แก้วจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็กสีทอง เสียงใสดังกังวาน ก่อนที่ปลายมวนกระดาษจะแดงวาบแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านสีเทาหม่น โชคมองดูควันขาวลอยขึ้นสูงแล้วสลายไปเมื่อลมพัดผ่าน

 

          และเมื่อเห็นแววตาของแก้วที่เปล่งประกาย เป็นครั้งแรกนับจากกลางเดือนกรกฎาที่ผ่านมา เด็กหนุ่มก็ได้แต่คิดว่าเขาต้องถักผ้าพันคออีกกี่ผืน ถึงจะทำให้หัวใจของแก้วอบอุ่นได้สักครึ่งหนึ่งของถ้อยคำอวยพรจากชายคนนั้น

 




 

 

          เข้าสู่พฤศจิกายนฝนก็จากไป ทั้งที่ควรจะเป็นหน้าหนาวแล้วแท้ๆ แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีวันที่อากาศร้อนอยู่ดี

 

          บ่ายวันเสาร์แรกของเดือนร้อนอบอ้าวทั้งที่ก้อนเมฆมวลหนาบดบังแสงอาทิตย์ และถึงอย่างนั้นเจ้าของบ้านก็ยังคงงีบหลับได้ลงอยู่บนโซฟา พัดลมตั้งพื้นถูกล็อกคอไว้ให้ลมพัดตรงไปสู่ทิศทางเดียว โชคที่ลงมาหาของกินเล่นระหว่างการทำรายงานเดี่ยวเรื่องภาวะโลกร้อนสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มหลับไปทั้งที่แว่นสายตายังคาอยู่บนใบหน้า เด็กหนุ่มจึงขยับเดินเข้าไปหา อย่างเงียบเชียบมากพอที่จะไม่ทำให้คนในห้วงนิทราตื่นขึ้นมา

 

          แก้วหลับตาพริ้มทิ้งหัวไว้บนพนักพิงด้านหลัง เรือนผมสีเข้มตัดกับเบาะหนังสีขาวครีมชัดเจน ผมที่เคยยาวระต้นคอถูกตัดสั้นจนเหลือเพียงปรกท้ายทอยไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นทรงผมประจำของแก้วก่อนจะปล่อยให้มันยาวไม่เป็นทรงแล้วค่อยวนกลับไปตัดใหม่อยู่เสมอ โชคระบายยิ้มบาง บันทึกภาพตรงหน้าไว้ด้วยเลนส์กระจกตาแล้วเก็บใส่ไว้ในม้วนฟิล์มที่เรียกว่าความทรงจำ

 

          สัมผัสแผ่วเบาปลุกให้ดวงตาสีเข้มเปิดปรือขึ้นมา ใช้เวลาไม่นานนักในการปรับโฟกัสให้ชัดเจน รอยยิ้มของโชคเป็นสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า แก้วชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็ระบายยิ้มอ่อนโยนให้

 

          “ขอบใจ”

 

          “ครับ” โชคยื่นแว่นกรอบทองทว่ารูปทรงทันสมัยที่เขาช่วยถอดให้คืนเจ้าของ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

 

          เด็กหนุ่มรับรู้ถึงจังหวะชะงักงันชั่วอึดใจของอีกฝ่าย และรู้ดีว่ามันเกิดจากอะไร แม้แก้วจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะร่างกายคนเรามักขยับไปตามจิตใต้สำนึกก่อนจะทันได้คิด การผละถอยไปเพียงเล็กน้อยนั้นจึงบ่งบอกชัดเจนแล้วว่าแก้วไม่สนิทใจที่อยู่ใกล้กันกับเขา เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ที่โชคพยายามจะเข้าใกล้แก้วขึ้นอีกนิด พยายามที่จะทำอย่างที่อาธีร์ทำ เช่นการตักอาหารที่เจ้าตัวชอบให้ หรือใส่ใจกับปริมาณน้ำที่ชายหนุ่มดื่มในแต่ละวัน แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ไม่เคยลดลงไปเลย

 

          โชคไม่ได้พยายามจะแทนที่ธีร์ ระยะเวลาห้าสิบเอ็ดวันระหว่างเขากับแพรสอนให้รู้ว่าไม่มีใครแทนที่ใครได้ เด็กหนุ่มเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพื่อที่จะได้เป็นผู้ชายคนนั้นของแก้ว นอกเสียจากพยายามเลียนแบบดวงอาทิตย์เจิดจ้าที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนอยู่เสมอดวงนั้น

 

          ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะไม่ช่วยอะไร ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนโชคก็ไม่ใช่ดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวที่แก้วโหยหาอยู่ดี

 




 

          โชคแขวนไฟประดับต้นคริสต์มาส ในขณะที่แก้วคุยโทรศัพท์อยู่บนเฉลียงหน้าบ้าน ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่นายสถาปนิกก็ชินแล้วกับการทำงานไม่ค่อยจะเป็นเวลาแบบนี้ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มที่เห็นอีกฝ่ายเช่นนี้มาตลอดสิบปี

 

          “บ่ายสามฉันจะไปออฟฟิศนะโชค” แก้วบอกเมื่อเดินกลับเข้ามาในบ้าน

 

          “ครับ” โชคพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามต่อ “แล้วแก้วจะกลับมากินข้าวที่บ้านกับผมไหม”

 

          “อืม แต่อาจจะค่ำๆ หน่อย”

 

          เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนกลับไปสนใจตกแต่งต้นสนตรงหน้าต่อ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปทำไม ความตื่นเต้นของเด็กชายในวันคริสต์มาสมันค่อยๆ จางลงไปทุกที โดยเฉพาะในปีนี้ที่โชคไม่ได้ตั้งตารอคอยเทศกาลส่งท้ายปีให้มาถึงอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงรื้อต้นสนปลอมกับบรรดาของประดับออกมาจากห้องเก็บของ เหมือนกับเป็นความเคยชินประจำปีที่ไม่ต้องมีเหตุผลในการกระทำ มีเพียงความทรงจำของค่ำคืนสุขสันต์ที่สั่งให้มือขยับแขวนลูกบอลสีทองบนกิ่งพลาสติกต่อไปเท่านั้น

 

 

 

          ลมหนาวปลายเดือนธันวาคมมักหอบเอาบรรยากาศเปลี่ยวเหงาที่แสนรื่นเริงมาด้วยเสมอ คริสต์มาสผ่านพ้นไปแล้ว โดยที่คืนคริสต์มาสอีฟสองคนในบ้านไม้สีขาวเพียงนั่งกินมื้อค่ำร่วมกันเคล้าเสียงหนังบนจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น ไม่มีของขวัญสำหรับเด็กน้อยเหมือนปีก่อนๆ ส่วนกล่องห่อกระดาษสีน้ำเงินเข้มที่ถูกส่งมาจากซานตาคลอสผู้ไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้วในบ้านหลังนี้ ก็ถูกโชคเก็บไว้ใต้โต๊ะหนังสือโดยที่ไม่แม้แต่จะเปิดออกดู

 

          โชคยังไม่ยอมคุยกับธีร์ ไม่ใช่เพราะยังโกรธหรือขุ่นเคือง เด็กหนุ่มเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกจะกลับไปอยู่กับครอบครัวแล้ว แต่เพราะทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา มันมีความสุขอยู่มากนักเขาจึงยังคงเจ็บปวด

 

          ...เจ็บปวดที่พวกเขาไม่อาจย้อนกลับไปเป็นอย่างในคืนวันเหล่าได้นั้นอีกแล้ว

 

          “มะลิ” โชคเรียกชื่อแมวสีขาวลายส้มอมน้ำตาลที่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังจากเขา แต่กลับเป็นเหมือนพี่สาว อาจจะเพราะการนับเทียบอายุของคนกับแมวที่ไม่เท่ากัน มะลิจึงแก่กว่าเขาอยู่เสมอ ในอัตราที่รวดเร็วจนเขาไม่มีวันไล่ทัน

 

          พี่สาวขนสวยเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงนอนบนบันไดขั้นสุดท้ายของเฉลียงไม้หน้าบ้านเคียงข้างเด็กชายของเธอ หางยาวสวยไร้รอยหักตวัดกวาดไปมาสองทีก่อนจะได้ที่แล้วดวงตาสีเหลืองอมเขียวก็ปรือต่ำ แต่ไม่หลับไปเสียทีเดียว คล้ายกำลังว่ารอคอยบางสิ่งอยู่ บางสิ่งที่เหมือนกับคนข้างๆ เธอกำลังรอ

 

          หลังเสียงเครื่องยนต์รถที่แล่นเข้ามาจอดบนบริเวณที่ว่างฝั่งตรงข้ามบ้าน กับเงาร่างของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตูรั้ว การรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อชายคนนั้นหันมามองพวกเขาพร้อมกับระบายยิ้มอ่อนโยน

 

          “กลับมาแล้ว”

 

 

 

          โชครับของในมือแก้วมาถือไว้เองทั้งหมด แก้วก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เพราะมือว่างแล้วจึงช้อนก้อนขนนุ่มอุ่นขึ้นมาอุ้มแทน เขาสบตากับมะลิ พูดจากันผ่านการขยับไหวของม่านตา พอเข้ามาในตัวบ้านแล้วจึงค่อยเอ่ยถามออกมา

 

          “ทำไมถึงไปนั่งกันอยู่หน้าบ้านล่ะ” คำถามไม่ได้มีไว้ให้แมวตอบ แต่เป็นคนที่เดินนำเข้าไปในครัวจนเห็นเพียงแผ่นหลังรำไร

 

          “ผมรอแก้ว” โชคตอบกลับทันทีโดยไม่จำเป็นต้องคิด สิ้นคำก็ได้ยินเสียงจานชามดังตามมา

 

          แก้วปล่อยมะลิลง บุหรี่ถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มจุดแท่งนิโคตินขึ้นสูบเอารสขมปร่าเข้าไปอย่างใช้ความคิด หลังๆ มานี้โชคถอยห่างจากเขาไปเล็กน้อย ไม่ได้เหินห่าง แต่กลับไปเป็นอย่างเดิมเหมือนตอนก่อนจะบอกความความในใจให้เขารู้ มีเพียงสรรพนามเรียกขานที่ยังคงเป็นชื่อตัวโดยไร้คำนำหน้าเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกแตกต่างไปจากในอดีต

 

          ถ้าหากว่าโชคตัดใจไปแล้วก็คงจะดี...

 

          แต่ถ้าหากไม่ใช่ การที่อีกฝ่ายยอมถอดใจก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนักสำหรับชายหนุ่ม ทว่าคงผ่านความเจ็บปวดและท้อแท้มาไม่น้อยเลยสำหรับเจ้าตัว

 

 

 

          คืนนั้นหลังมื้อค่ำทั้งสองคนก็นั่งเล่นต่ออยู่บนโซฟา แก้วดูทีวี ส่วนโชคเล่นโทรศัพท์ มะลิเดินทอดน่องเชื่องช้าไปนอนแหมะลงบนที่นอนใต้บันไดหลังกินอิ่ม

 

          เพราะเป็นคืนส่งท้ายปีละแวกบ้านจึงไม่เงียบเหงานัก หนำซ้ำยิ่งดึกดื่นก็จะยิ่งคึกครื้น เวลาเดินผ่านไปจนกระทั่งเข้าใกล้วันใหม่ แก้วลุกขึ้นยืนบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ ส่วนโชคเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวมาสองตัว ตัวหนึ่งให้ชายหนุ่ม อีกตัวสวมใส่เอง พวกเขาออกไปยืนหน้าบ้านด้วยกันโดยไร้บทสนทนา ฟังเสียงนับถอยหลังของข้างบ้านที่มักจะจัดงานสังสรรค์เช่นนี้ทุกปี สิ้นเสียงเฮลั่น พลุไฟก็พุ่งขึ้นฟ้า แตกกระจายก่อนได้ยินเสียงดังตามมา

 

          ดอกไม้ไฟสีสันสดใสเบ่งบานบนผืนฟ้าสีดำ แสงสว่างโชติช่วงวูบวาบชั่วอึดใจก็จางหายก่อนชุดใหม่จะกระจายตัวแต่งแต้มแทนที่ ช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีกลางสายลมหนาว หน้าบ้านไม้สีขาวเงียบสงัด โชคไม่ได้ยินแม้แต่เสียงดนตรีคาราโอเกะที่บ้านติดกันกำลังเปิดร้องรับปีใหม่ เมื่อสายตาและความสนใจทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่ที่คนข้างกาย

 

          แก้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อชมม่านราตรีกาลสว่างไสว ในดวงตาสีเข้มสะท้อนประกายวาววับหลากสีของริ้วแสง ใบหน้าขาวซีดเพราะอากาศหนาวเย็น เรือนผมที่เริ่มยาวพ้นท้ายทอยลงมาเล็กน้อยปลิวไหวเมื่อสายลมพัดผ่าน โชคยิ้มผ่านแววตา ก่อนจะหลุบตาลงมองมือเรียวที่ตอนนี้น่าจะเย็นเฉียบ แต่เขาก็ไม่กล้าเอื้อมไปคว้ามากอบกุมไว้ สุดท้ายก็ได้แต่เบนสายตากลับไปมองฟ้ากว้าง ดูแสงสว่างชุดสุดท้ายจางหายไปในค่ำคืนที่ผู้คนต่างพากันเฉลิมฉลอง

 

          “โชค” อยู่ๆ แก้วก็เรียกชื่อเขาขึ้นมา โชคหันไปหา ระยะห่างของพวกเขายังคงเท่าเดิม ในแววตาของแก้วที่มองมายังคงเป็นความเอ็นดูเด็กชายตัวน้อยอยู่ไม่เปลี่ยน “อากาศหนาวขึ้นอีกแล้ว เข้าบ้านกันเถอะ”

 

          “ครับ” โชครู้สึกว่าในตอนนี้ มือของเขาก็คงเย็นเฉียบไม่ต่างจากแก้วมากนัก

 




 

          เดือนแรกของปีดำเนินไปอย่างเชื่องช้า โชคได้ใบขับขี่รถจักรยายนต์มาแล้ว หลังจากที่มิกซ์ช่วยหัดให้เขาอยู่เป็นเดือน แก้วคิดว่าจะซื้อรถมอเตอร์ไซต์สักคันให้เอาไว้ใช้ แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียก่อน เพราะเขาไม่ได้จำเป็นต้องใช้ขี่ไปไหน จะขี่ไปโรงเรียนเองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าที่รับส่งกันมานานก็ทำท่าจะงอนใส่ บอกไม่อยากไปโรงเรียนเหงาๆ เพียงลำพัง และเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้รถเพื่อไปโรงเรียน เขาก็ไม่มีเหตุอื่นใดให้ต้องใช้อีกแล้ว

 

          “หัดขับรถยนต์ไว้ดีไหม อีกหน่อยเธอก็สิบแปดแล้ว ทำใบขับขี่รถยนต์ได้แล้ว” แก้วเปรยขึ้นในช่วงเช้าวันทำงาน โชคกำลังดูดนมกล่องขณะที่ยกกาแฟของคนที่ยืนโกนหนวดอยู่ตรงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำออกมาวางไว้ให้ที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น

 

          “ครับ หัดไว้ก็ได้ครับ” หลังจากที่กลืนนมหมดปาก โชคก็เอ่ยตอบ หยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพาย พอแก้วเดินออกมาพร้อมชุดทำงานและใบหน้าเกลี้ยงเกลา เด็กนักเรียนม.ปลายก็บอกลา เดินออกไปโดดขึ้นซ้อนท้ายเพื่อนที่มาถึงหน้าบ้านพอดี

 

          ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติเสียจนน่าประหลาด เหมือนช่วงสี่ห้าเดือนที่ผ่านมาที่บรรยากาศระหว่างพวกเขามีความมึนตึงบางอย่างอยู่นั้นสลายไปจากความทรงจำ แก้วจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเขาเคยรู้สึกอึดอัดใจกับโชคบางหรือเปล่า เพราะเขาไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน การกระทำหลายๆ อย่างในตอนนั้นก็เพียงแต่เป็นไปตามกลไกการป้องกันตัวของจิตใจ สร้างกำแพงขึ้นมาเมื่อรู้สึกถูกคุกคาม แต่ตอนนี้โชคก็เป็นแค่เด็กน้อยโชคคนเดิม เขาก็ไม่จำเป็นต้องล้อมรั้วกั้นขวางอีกต่อไป

 

          บ้านไม้สองชั้นสีขาวหลังเดิมกำลังค่อยๆ กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน

 

          ตอนที่มีชายหนุ่มคนหนึ่ง กับเด็กชายอีกหนึ่งคน

 

 

 

          มกราคมแสนยาวนานเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนผ่าน แก้วตัดสินใจที่จะสอนเด็กหนุ่มขับรถด้วยตัวเอง เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงพยายามเลิกงานให้เร็วขึ้นในทุกๆ วัน กลับให้ถึงบ้านก่อนฟ้ามืด แรกๆ ก็เลยเริ่มให้ลองบังคับพวงมาลัยวิ่งไปมาอยู่บนถนนหน้าบ้าน พอเริ่มคุ้นชินก็ขับไปตามทางแยกเล็กน้อยที่ทะลุถึงกันระหว่างซอยหมู่บ้าน

 

          วันนี้ก็เช่นกัน ห้าโมงเศษของยามเย็นที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเร็วตามช่วงฤดูกาล โชคบังคับพวงมาลัยแล่นตรงไปท้ายหมู่บ้าน เหยียบคันเร่งแผ่วเบาของรถเกียร์ออโต้ที่พุ่งไปข้างอยู่ตลอดเวลาให้ความเร็วขึ้นมาแตะสามสิบ ดูเชื่องช้าแต่กลับเร็วน่าดูเมื่ออยู่ในถนนที่ไร้รถรา มีเพียงมอเตอร์ไซต์ที่บิดแซงไป กับจักรยานของแก๊งเด็กที่ทะยานซิกแซ็กไปมาด้วยแรงขา

 

          จนกระทั่งมาถึงเชิงสะพานข้ามคลอง เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มต้องขับขึ้นเนิน แม้จะไม่ลาดชันมากนัก แต่การที่ต้องกะแรงเหยียบคันเร่งให้รถสู้กับแรงโน้มถ่วง แต่ก็ต้องไม่ให้แรงมากจนพุ่งไปชนชาวบ้าน สำหรับมือใหม่แล้วก็ถือว่าน่าตื่นเต้นอยู่เอาการ แก้วไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้โชคใช้สมาธิแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง ลองและเรียนรู้ด้วยตัวเอง

 

          “เก่งมาก” แก้วชมเมื่อการขับขึ้นสะพานเป็นไปได้ด้วยดี โชคยิ้มออกมา เผลอละสายตาจากถนนมามองหน้าคนข้างๆ แต่ทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้านข้างคนขับกลับเบนความสนใจของเขาไป เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจอย่างอื่นมากกว่าในเวลาที่แก้วอยู่ตรงหน้า

 

          “โชค” ครูสอนขับรถเฉพาะกิจกดเสียงเข้มเพื่อดุคนไม่มองทาง โชครีบหันกลับไปมองด้านหน้าแล้วตั้งใจขับรถต่อ

 

          พวกเขาลงจากสะพานแล้วไปถอยกลับรถตรงลานต้นมะขามแถวศาลเจ้าที่ของชุมชนริมคลอง เมื่อขึ้นสะพานอีกครั้ง คราวนี้เป็นแก้วที่มองผ่านกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับออกไป แม้จะผ่านมาสิบปีแล้ว แต่ครั้งหนึ่งโชคก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่ ชีวิตของเด็กชายเริ่มต้นที่ตรงนี้ ห้องโกโรโกโสคับแคบติดริมน้ำ กับเรื่องราวมากมายที่โหดร้ายเกินกว่าที่เด็กสักคนควรเผชิญ

 

          ดวงตาสีเข้มเบนกลับมาที่ใบหน้าของคนในความคิด โชคโตขึ้นมาก จากเด็กชายผอมแห้งที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างถังขยะสีเหลืองกลางสายฝน กลายเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่มีรอยยิ้มร่าเริงแจ่มใสกับนัยน์ตาคู่สวยเปล่งประกาย จากเด็กชายในสลัมที่ไม่รู้จักอะไรนอกจากความรุนแรง สู่การเป็นเด็กที่อ่อนโยน ใจดีและแสนสุภาพ

 

          ช่างเป็นเด็กโชคร้ายที่เติบโตผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้อย่างแข็งแกร่ง

 

          ช่างเป็นการเติบโตที่น่าภาคภูมิใจ

 

          ในตอนนั้นเองที่แก้วเริ่มตระหนัก ...ว่าเด็กชายของเขาได้โตเป็นหนุ่มแล้ว

 

 

 

TBC...

          ในที่สุดเจ้าหมาในสายตาน้าแก้วก็เริ่มโตขึ้นบ้างแล้ว เป็นความสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลา แต่ก็ไม่ได้อืดเอื่อยมากมายเสียขนาดนั้น หวังว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้จะชอบและยังคงชอบนิยายเรื่องนี้อยู่นะคะ 

          ส่วนตัวรีนตอนนี้พยายามปิดบทสุดท้ายอยู่ล่ะค่ะ ยากมากๆ เลย กลัวว่าจะเขียนออกมาได้ไม่ดีเท่าที่หวังไว้ แต่ก็ได้กำลังใจมาจากคุณแล้วนะคะ  :mew1:

 

          ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านอยู่เสมอ

          ขอบคุณจากใจค่ะ

 

          See You on พฤหัสบดีหน้านะคะทุกคน 

 



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ค่อยๆเป็นค่อยๆไป เป็นตัวของตัวเองละดีที่สุดโชค เมื่อมันคิดไปแล้วก็ทำให้อยู่ในรูปแบบที่ต่างคนต่างก็สบายใจ ไม่อึดอัดต่อกัน อยู่กันสองคนแบบนี้ตอนนี้ก็ดูผ่อนคลาย สบายใจดีนะ เว้นแต่ว่าถ้าโชคเข้ามหาลัย แก้วจะเหงาหรือเปล่า คึ ใกล้แล้ว พ้น 18ปีก็เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว จะไปทางไหนยังไง ก็ดีนะ ขับรถเป็นทั้งรถยนต์และมอไซค์จะได้ไปไหนสะดวก หลังจากนี้ก็คงแยกกันเดินทางหรือต่างมีธุระกันเยอะขึ้นเมื่อเข้ามหาลัย โชคจะไปทางไหนยังไง เป็นอะไรที่ต้องตามต่อจริงๆ 5555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อสม่ำเสมอ รอตอนหน้าเลยค่ะ ชอบบบบบบบ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เป็นเรื่องราวที่ดีมากๆเลยค่ะ อบอุ่นแต่ก็เศร้าใจ

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 29

 

        เย็นวันวาเลนไทน์โชคกลับมาถึงบ้านในตอนฟ้ามืด เห็นไฟห้องทำงานส่องสว่างตั้งแต่นอกรั้วบอกให้รู้ว่าแก้วอยู่ในห้องนั้น เด็กหนุ่มได้ของติดมือกลับมานิดหน่อย จากเด็กสาวต่างโรงเรียนที่อายุน้อยกว่า ทว่าก็รับรู้ได้ว่าความจริงจังนั้นแตกต่างจากคราวของแพรลิบลับ

 

        แต่ไม่ว่าจะได้ของจากใคร คนที่เขาอยากให้ของขวัญในวันนี้ก็มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

        “ว่าไง” สิ้นเสียงเคาะประตูคนในห้องก็ตอบกลับมา โชคเปิดประตูเข้าไปหา ระบายยิ้มกว้างให้แก้วที่กำลังถอดแว่นวางบนโต๊ะ

 

        “กลับมาแล้วครับ”

 

        “อืม กินข้าวเลยไหม” แก้วรับคำและถามกลับมา จัดการกับแผ่นกระดาษตรงหน้าที่มีรอยวงไว้หลายจุดให้เลื่อนไปตรงกลางโต๊ะทำงานแล้วหยิบที่ทับกระดาษคริสตัลใสมาวางทับไว้เพื่อกันไม่ให้ปลิวตก

 

        “กินเลยก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบ ก่อนจะว่าต่อ “แล้วก็นี่ครับ”

 

        “ให้ฉันเหรอ” แก้วมองดอกกุหลาบสีสดที่อีกคนเดินเข้ามาวางไว้ที่มุมโต๊ะ บนกองหนังสือที่วางซ้อนกันอย่างไม่ใส่ใจจะเก็บ

 

        “ครับ ของขวัญวันวาเลนไทน์” แก้วจำได้ทันทีว่ามันมาจากในสวนข้างบ้าน ต้นกุหลาบที่โชคเอามาปลูกด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อกลางปีก่อน เพียรรดน้ำเฝ้าดูแลอยู่นานกว่าจะออกดอกชุดแรก แต่ตอนนี้กลับเบ่งบานไม่ว่างเว้นจนเต็มต้น

 

        แก้วเคยคิดว่าพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ชีวิตประจำวันธรรมดาของผู้ปกครองและเด็กในปกครอง ดอกกุหลาบดอกเดียวจากโชคไม่ได้ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน เพราะโชคก็ให้ของขวัญวันวาเลนไทน์กับเขาเช่นนี้ทุกปีอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปนั้นอยู่ข้างในตัวเขาเอง

 

        ภาพของเด็กชายในวันวานถูกซ้อนทับด้วยเด็กหนุ่มตรงหน้า และความคิดในหัวยามรับของมาที่เคยว่างเปล่า มีเพียงความเอ็นดูก็ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยระคนไหวหวั่น

 

        ...วาเลนไทน์มากมายที่พ้นผ่าน โชคก็คิดกับเขาแบบนี้มาตลอดเลยหรือเปล่านะ

 



 

        แก้วทบทวนกับตัวเองจนหมดฤดูหนาว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่โชคมองเขาเป็นมากกว่าน้าแก้ว

 

        “แก้วครับ” เสียงของเด็กหนุ่มที่แง้มประตูห้องทำงานโผล่หน้าเข้ามา พร้อมกับมื้อเย็นที่เขาบอกว่าคงไม่มีเวลาออกไปร่วมโต๊ะด้วยในมือ

 

        โชคยิ้ม ขณะที่เอาถ้วยสุกี้เข้ามาวางไว้ข้างโคมไฟตั้งโต๊ะ ตรงที่ว่างๆ ที่ไม่มีเศษกระดาษกองระเกะระกะ ก่อนออกจากห้องไปก็กำชับให้เขากินตอนที่มันยังร้อนอยู่ แก้วบอกขอบใจ ในขณะที่ในหัวคิดย้อนกลับไปถึงแกงส้มกับไข่เจียวชะอม ความห่วงใยเล็กน้อยที่ได้รับมาตลอดหลายปี

 

        ...ตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่า ทว่าสำหรับเขาเวลานั้นโชคก็ยังเด็กเหลือเกิน

 

 

 

        “ผมไปก่อนนะครับ แก้ว” โชคโน้มตัวผ่านราวกั้นเฉลียงมาทอดเงาทับอยู่เหนือหัวคนสูบบุหรี่ บอกลาก่อนไปเรียนพิเศษประจำวันเสาร์ แก้วเงยหน้าขึ้นไปสบตา พยักหน้าแล้วพูดส่งด้วยถ้อยคำเดิมๆ

 

        “ขี่รถกันดีๆ ล่ะ”

 

        โชคยิ้มสดใสให้แทนคำตอบรับ จากนั้นก็เดินจากไปในขณะที่ลมอุ่นระลอกใหญ่พัดผ่านมา ดอกแก้วโปรยปรายจากต้นกลางลานอิฐที่อยู่คนละฝั่งกับทิศที่เด็กหนุ่มมุ่งไป ทว่าภาพจำกลับปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ในช่วงสายก่อนที่เด็กน้อยของเขาจะไปเดทเป็นครั้งแรก

 

        แววตาที่จับจ้องตรงมาในวันวาน หวานจับใจ แต่ก็ฝาดเฝื่อนเหลือเกิน

 

        ...หรือจะเป็นตอนนั้นกันแน่

 

        แต่หลังจากนั้นโชคก็คบเด็กสาวที่ชื่อแพรเป็นแฟน ถึงแม้มันจะกินเวลาเพียงแสนสั้นก็ตาม

 

 

 

        “...มะลิ?” น้ำเสียงง่วงงุนดังจากคนที่เพิ่งสะลึมสะลือตื่นเพราะโดนแมวสาวปัดหางผ่านจมูก แก้วนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งที่ประจำ ส่วนโชคนอนหนุนหัวกับหมอนอิงไม่ห่างจากตักเขาไปเท่าไหร่

 

        มือใหญ่ทว่าเรียวยาวตามประสาเด็กหนุ่มที่ยังเติบโตได้อีก ยกขึ้นลูบก้อนขนที่ม้วนตัวขดเป็นวงอยู่บนอกตัวเองแผ่วเบา เป็นทั้งคำทักทายและขับกล่อมอีกฝ่ายให้นอนหลับ ขณะเดียวกันดวงตาคู่สวยก็ปรือต่ำลงพร้อมหล่นสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

 

        แก้วมองดูหนึ่งคนหนึ่งแมวอย่างเงียบงัน พลางคิดถึงสัมผัสที่เคยไล้จับมือตนอยู่บ่อยๆ เวลาที่เด็กน้อยมานอนหนุนตัก โชคชอบมือเขา แก้วรู้ดี และเพราะเด็กชายไม่เคยเรียกร้องความรัก หรืออะไรจากเขามากไปกว่าการกระทำเล็กน้อยที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะให้ได้ จำนวนครั้งที่พวกเขาใกล้ชิดกันเช่นนั้นจึงมีนับไม่ถ้วน

 

        ...แล้วในจำนวนเหล่านั้นมันมีกี่ครั้งกันที่โชคไม่ได้จับมือเขาเพียงเพราะความเคยชินติดตัว

 

 

 

        ความสงสัยมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ในหัว ร่วมกับชั่วโมงนอนที่น้อยลงทุกวันทำให้แก้วจับไข้กลางเดือนเมษาที่ร้อนที่สุดของปี ร่างกายของชายวัยสี่สิบไม่เหมือนตอนยี่สิบสี่ การอดนอนและโหมงานหนักแสดงผลกระทบต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าหลังจากเป็นลมล้มพับเข้าโรงบาลไปเมื่อสองสามปีก่อน แก้วจะใส่ใจกับสุขภาพตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าที่ควร

 

        “หนาวไหมครับ” พยาบาลจำเป็นข้างเตียงเอ่ยถาม โชคเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเย็นบนหน้าผากให้คนป่วยอย่างเบามือ

 

        “...ไม่เท่าไหร่” แก้วตอบ เสียงแหบแห้งจนเด็กหนุ่มต้องหันไปเทน้ำใส่แก้วมาให้จิบ “ขอบใจ”

 

        “ครับ แก้วหิวไหม เดี๋ยวผมทำข้าวต้มมาให้” ปากเอ่ยถาม แต่ตัวกลับตั้งท่าจะลุกไปทำมาให้อยู่แล้ว แก้วส่ายหัวอย่างอ่อนแรง ขยับร่างกายหาองศานอนสบายแล้วปรือตาต่ำ

 

        “ไม่ต้องหรอก นอนอีกสักงีบก็หายแล้ว”

 

        “งั้นนอนพักเถอะครับ” เสียงพูดบอกแผ่วเบาลงทุกที แต่สัมผัสที่แตะลงบนแก้ม ไล้เกลี่ยเส้นผมให้พ้นกรอบหน้ากลับเด่นชัด “เดี๋ยวผมเฝ้าแก้วอยู่ตรงนี้เอง”

 

        ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนของพิษไข้หรือเปล่า ที่ทำให้สมองเขารื้อค้นหาสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการกระทำของโชคจากความทรงจำ เรื่องเล็กน้อยที่เคยมองข้ามทยอยกันปรากฏตัวออกมา

 

        เหตุผลที่โชคลังเลที่จะตอบตกลงเป็นลูกบุญธรรมของเขาในวันนั้น หากเพราะเด็กชายไม่อยากเป็นเพียงลูกชายของเขาแล้วล่ะ

 

        ในช่วงเวลาหนึ่งที่เด็กหนุ่มหลบหน้าหลบตา ที่เคยคิดว่าเกิดจากฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังพุ่งพล่าน ถ้าแท้จริงแล้วมันเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธีร์ที่แม้ไม่เคยได้บอกอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ได้คิดจะปิดบังนั้นล่ะ

 

        อีกทั้งคำถามที่กระซิบเพียงแผ่วเบา ด้วยความเจ็บปวดเจือสิ้นหวังเต็มเปี่ยมในดวงตา หลังจากที่พายุอารมณ์สลายตัว ในวันที่เขาบอกว่าธีร์กลับไปแล้ว

 

        ‘ทำไมถึงรักอาธีร์ล่ะครับ’ ...บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่คำถาม

 

        แก้วรู้สึกวุ่นวายสับสน เป็นความปั่นป่วนที่แปลกใหม่สำหรับชายวัยสี่สิบปี ยิ่งเมื่อคิดไปถึงค่ำคืนหนึ่งในต่างแดน ตอนที่ถูกโอบกอดเอาไว้แนบแน่น เขาก็เพิ่งจะมานึกออกว่าในตอนนั้นเขาหลับไปในอ้อมอกอุ่น พร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นเร่าจนสะเทือนแผ่นหลังของเขาอยู่นาน

 

        คำว่าชอบของโชค มันจริงจังและมากมายถึงเพียงนั้นเลยสินะ

 

 

 

        สามวันต่อมาไข้หวัดก็จากแก้วไป ทิ้งความร้อนไว้ในร่างกายกับความรู้สึกระคายไว้ในลำคอเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับต้องนอนซมบนเตียง แก้วย้ายตัวเองลงมานั่งเฝ้าจอโทรทัศน์ เปิดฟังข่าวยามบ่าย โชคเองก็ตามลงมาเฝ้า ปิดเทอมหน้าร้อนของเขาปีนี้ไม่มีคำสั่งให้ไปเรียนพิเศษจากป้าดา เพราะคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆ มา

 

        “โชค” แก้วเรียก เด็กหนุ่มจึงวางโทรศัพท์ลง แม้เกมออนไลน์จะหยุดกลางคันไม่ได้ แต่มันไม่ได้สำคัญเท่ากับคนตรงหน้าเลยสักนิด

 

        “ครับแก้ว” รอยยิ้มเป็นประกาย ดวงตาวาววับ เหมือนหมาตอนเจ้าของเรียกชื่อไม่มีผิด แก้วเลยได้แต่ยิ้ม ตบหน้าขาตัวเองสองสามทีเป็นสัญญาณ โชคชะงัก ไม่แน่ใจนักว่ากำลังได้รับอนุญาตให้วางหัวลงบนตักของชายหนุ่มจริงๆ หรือแค่คิดไปเอง แต่เมื่ออีกฝ่ายจ้องมองตรงมาอย่างรอคอย เขาก็ขยับเข้าไป สู่พื้นที่ปลอดภัยแสนอบอุ่นของเขา

 

        เจ้าของตักนึกเอ็นดูท่าทีของเด็กหนุ่ม ทั้งที่ดีใจจนออกนอกหน้า แต่ทว่าตัวกลับแข็งเกร็งไปหมด จนเขาต้องยื่นมือไปช่วยโน้มศีรษะเจ้าตัวลงมานอนในตำแหน่งคุ้นเคย ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากแล้วลูบผ่านไปกลางกระหม่อม ลูบซ้ำอีกครั้งและอีกครั้ง

 

        “แก้ว” คราวนี้เสียงของเด็กหนุ่มคล้ายอ้อนวอน “ผมขอจับมือคุณหน่อยได้ไหม”

 

        แก้วไม่ได้ตอบ เพียงส่งมืออีกข้างไปให้ตามคำขอ แล้วมันก็ถูกคว้าจับไว้อย่างนุ่มนวล ด้วยความทะนุถนอมที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

 

        โชคฉีกยิ้มกว้าง ในขณะที่แววตาฉายแววยินดีระคนโล่งใจ

 

        แค่เพียงการกระทำเล็กน้อยของแก้วก็ส่งผลต่อเด็กหนุ่ม บางครั้งโชคก็ตื่นเต้นดีใจแม้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และในหลายๆ ครั้งมันก็ทำให้เด็กหนุ่มแตกสลายได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน

 

        ...เขามีอิทธิพลกับโชคถึงขนาดนี้เชียว

 

        “โชค” แก้วไม่ได้ก้มลงมามองหน้าคู่สนทนา ดวงตาจับจ้องไปยังตู้โชว์ที่มีรูปภาพเรียงราย “เธอเริ่มชอบฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”

 



 

        เมื่อเข้าสู่พฤษภา หน้าร้อนก็อ่อนแรงลง แก้วออกมาสูบบุหรี่อยู่ในลานอิฐ ควันขาวลอยเคว้งเมื่อลมสงบนิ่ง ทว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากลับย้อมให้มันดูเบาบางจนเกือบจางหายไปจากการมองเห็น หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นเหม็นไหม้ของใบยาสูบที่ยังคงเข้มข้นชัดเจน

 

        ‘...ผมคิดว่าผมเริ่มชอบแก้วตั้งแต่ป.สี่’ คำตอบที่ดูคล้ายไม่แน่ใจนัก แต่ก็จริงจังและมั่นใจ ‘ในอุโมงค์อควาเรียมอยู่ๆ โลกทั้งใบของผมก็มีแต่คุณ ผมคิดว่าน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น’

 

        ‘คิดว่าเหรอ’

 

        ‘คิดว่านะครับ... ผมเพิ่งจะมารู้ตัวว่าคำว่าชอบของผมมันไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ ก็เมื่อตอนสิบห้านี่เอง’ โชคไม่ได้ลังเลที่จะตอบ มีเพียงรอยยิ้มขัดเขินและแววตาเป็นกังวลน้อยๆ ที่หลุบต่ำไม่ยอมสบตา แก้วเข้าใจว่าทำไม

 

        โชคยังคงเป็นเด็กน่ารัก แต่แก้วก็ไม่แน่นักใจว่าเขาจะมองอีกฝ่ายในฐานะผู้ชายคนหนึ่งได้หรือไม่ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในสายตาของเขาตอนนี้มองโชคเป็นอย่างไร ในเมื่อหัวใจของชายวัยสี่สิบไม่ได้เต้นรุนแรงเวลาหวั่นไหวเหมือนพวกหนุ่มสาว เขาเลยไม่รู้ว่าต้องมองหาสัญญาณแบบไหนที่จะบ่งบอกได้ว่าเขาชอบโชคเกินกว่าเด็กชายที่เลี้ยงมาแล้วหรือยัง

 

        เพราะที่แก้วคิดว่าโชคอาจจะถอดใจไปแล้วนั้นไม่เป็นความจริงเลย เด็กหนุ่มยังคงพยายาม เพียงแต่เลิกจะไล่ตามเงาของดวงอาทิตย์อย่างธีร์ แค่พยายามจะดูแลแก้วด้วยทุกอย่างที่ตนมีแทน และแม้โชคจะไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แก้วก็เริ่มสังเกตเห็นว่าทุกสิ่งที่เขาทำเป็นประจำมาตลอดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย มันเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด

 

        ...แก้วเพิ่งจะรู้สึกถึงมัน

 

        เขาเริ่มมองหาเหตุผลในการกระทำของเด็กหนุ่ม และคำตอบที่แสนชัดเจนนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกซาบซึ้งหรือวูบวาบชวนให้ประหม่า เป็นแค่ความสบายใจที่แสนเรียบง่ายและอบอุ่น

 

        แก้วลุกเดินไปหยิบเศษหญ้าแห้งที่คาอยู่บนกิ่งต้นมะลิในกระถางริมรั้วออก คงจะมีนกสักตัวทำหล่นไว้ขณะที่คาบเอาไปทำรัง วันแสนสงบยังคงไม่เปลี่ยนไปในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย...

 

        “แก้วครับ” โชคเดินอ้อมเฉลียงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ โผล่มายืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเพราะไอควันบุหรี่ยังกรุ่นรอบตัวชายหนุ่ม โชครู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้ในเวลาแบบนี้ เลยได้แต่ขยับไปนั่งลงบนม้าหินแทน

 

        “ว่าไง” แก้วว่า ยังคงคีบมวนบุหรี่จรดริมฝีปาก คายควันออกมาเมื่อไร้ลมพัดพาไปหาอีกคน โชคจ้องมองอย่างรอคอย แก้วจึงก้าวเดินเข้าไปหา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าในระยะที่หากเอื้อมมือมาก็คว้าถึงกันได้ง่ายดาย

 

        แสงแดดยามบ่ายส่องแทรกกิ่งใบลงมาอาบไล้ใบหน้าของผู้เฝ้ามอง มันไม่ได้แสบผิวมากนักเมื่อพายุฤดูร้อนเพิ่งพัดผ่านไป

 

        “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” โชคยิ้มบาง ขณะที่ยื่นมือไปคว้าเกี่ยวปลายนิ้วของชายหนุ่มมากุมไว้ ซบหน้าผากลงกับสันกระดูกแข็ง

 

        เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากพอที่แท่งกระดาษจะจะถูกไฟลามเลียจนกลายเป็นขี้เถ้า แต่ยังคงไม่มอดดับไป คนสองคนใต้ริ้วแสงประสานแววตา พลันทุกสิ่งดูเชื่องช้า ดอกไม้บอบบางโรยตัวลงมาแม้ไร้ลม สวนทางกับขบวนควันที่เดินทางมุ่งสู่ท้องฟ้า

 

        แก้วจูบก้นกรอง

 

        โชคจูบหลังมือแก้ว

 

        จากนั้นก็เงียบงัน แก้วสูบบุหรี่ต่อจนหมดมวน ในขณะที่โชคซุกซ่อนใบหน้าแดงก่ำไว้ในอุ้งมืออุ่นที่เขาไม่คิดจะปล่อย และเพราะเด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้า เขาเลยพลาดที่จะเห็นความวูบไหวในดวงตาสีเข้มคู่นั้น

 

        โดยที่รู้ตัวแจ่มแจ้ง การกระทำของโชคเองก็เริ่มมีอิทธิพลต่อแก้วบ้างแล้วเช่นกัน

 



 

        ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้น และโชคเลื่อนขึ้นชั้นมัธยมปีที่ห้า แก้วออกมารอส่งเด็กหนุ่มที่หน้าบ้านอย่างเคยทั้งชุดนอน เพราะวันนี้เขาไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานแต่เช้า

 

        “แก้วครับ” เด็กนักเรียนที่เพิ่งใส่ร้องเท้าผ้าใบสีดำเสร็จเงยหน้าขึ้นมา เพราะนั่งบนขั้นบันไดจึงทำให้ระดับสายตาต่ำกว่าคนที่ยืนจิบกาแฟพิงราวกั้นเฉลียงไม้อยู่มาก เหมือนระดับสายตาของเด็กชายโชคที่เคยช้อนมองน้าแก้วจากความสูงร้อยสิบกว่าเซนติเมตร แต่เพียงชั่วพริบตาที่เด็กหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง...

 

        “ว่าไง”

 

        “ผมโตขึ้นแล้วนะครับ” ...โชคก็เติบโตแล้ว

 

        “อืม” แก้วรับคำแผ่วเบาในลำคอ ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ “ฉันเห็นแล้ว”

 

        ในชั่วขณะที่แสงยามเช้ายังอุ่นพอดี แก้วเดินหายเข้าไปในบ้านสักพัก ก่อนกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล้องฟิล์มตัวเก่า โชคยังยืนอยู่ตรงนั้น บนบันไดขั้นที่สอง รอยยิ้มผลิบานเต็มหน้า ปล่อยให้ชายหนุ่มลั่นชัตเตอร์เก็บเขาใต้แสงสีทองเอาไว้อย่างเต็มใจ

 

        ก่อนจะเอ่ย “ให้ผมถ่ายรูปคุณไว้บ้างสิครับ”

 

        แต่ไม่ทันได้รับบทตากล้อง รถจักรยานยนต์สีแดงก็แล่นมาเทียบรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงทักทายเริงร่าของเพื่อนสนิท

 

        “หวัดดีครับน้าแก้ว!” มิกซ์เอ่ยทักผู้ใหญ่พร้อมยกมือไหว้ทั้งที่ยังนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์พลางยันขากับพื้นไว้ด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะยักคิ้วให้เพื่อนแทนคำพูด

 

        “ผมไปก่อนนะครับ” โชคบอกลา แก้วพยักหน้า ก่อนจะเบนสายตามองเลยไปหาเด็กหนุ่มอีกคนแล้วส่งยิ้มให้เป็นการตอบรับคำทักทายเมื่อครู่

 

        “ขี่รถกันดีๆ”

 



 

        ฝนแรกตกลงมาตอนปลายเดือนห้า ท้องฟ้าสีดำครึ้มเมฆและสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสายบ่งบอกว่าฤดูกาลวนกลับมาอีกครั้งแล้ว แก้วนั่งอยู่หน้าทีวี ก้นกรองบุหรี่ในที่เขี่ยยังคงอุ่นซ่านเพราะเพิ่งมอดดับไปไม่นาน มะลิเดินมาถูสีข้างเข้ากับขาโต๊ะไม้ ก่อนจะไล้ตัวผ่านขาของชายหนุ่มเพื่อเดินวนกลับออกไปยังที่นอนใต้บันได พอดีกับที่มีคนโผล่ลงมาจากชั้นบน

 

        “ยังไม่นอนเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว

 

        “อืม” คนนอนดึกครางตอบ อ้าปากหาวหวอดแต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นไปนอนบนห้องดีๆ โชคเห็น แต่ก็เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระที่ทำให้เขางัวเงียตื่นขึ้นมากลางดึกก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยเข้าไปหา

 

        “...” ไม่ได้มีคำพูดใด ไม่เอ่ยถามซักไซ้หรือไล่ให้ไปนอน เด็กหนุ่มเพียงแค่เบียดตัวลงลงไปนอนเกยตักเจ้าของบ้าน ความอบอุ่นแล่นพล่านในค่ำคืนที่ชื้นแฉะ

 

        “ราตรีสวัสดิ์ครับแก้ว”

 

        “ราตรีสวัสดิ์โชค”

 

        เอ่ยราตรีสวัสดิ์ต่อกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้นอนหลับไปจริงๆ หลังจากนั้นสักพัก เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นปิดฟืนไฟให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นบ้านไปแยกกันเข้าห้องนอนของตัวเอง

 

        ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้แปลกประหลาด ที่แน่ๆ คือไม่ใช่แค่ผู้ปกครองกับเด็กในปกครองอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขยับก้าวไกลไปกว่านั้น มันคงเป็นรูปแบบความสำพันธ์สากลของคนที่ชอบและคนที่ถูกชอบ

 

        คนชอบปารถนาที่จะไล่ตามไขว่คว้า

 

        ส่วนคนถูกชอบก็รับรู้แต่ไม่ตอบรับเสียที

 

        แก้วลังเล เพราะเขายังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่ตนมี

 



 

        มิถุนายนก่อนฝนทิ้งช่วง โชคเป็นหนุ่มครบสิบแปดปีเต็ม วันอาทิตย์ที่ฝนพรำยาวนานไร้แสงตะวันชวนให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาและห่อเหี่ยว แต่เจ้าของวันเกิดกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เมื่อวันทั้งวันของเขาได้ใช้ไปกับชายคนหนึ่ง

 

        “กาแฟไหมครับ” คำทักทายแรกเมื่อเห็นแก้วเดินลงบันไดมา กับคำตอบแผ่วเบาที่มาพร้อมแววตาอ่อนโยน “อืม ขอบใจ”

 

 

        “ดูหนังกันไหมครับ” ในช่วงสายหน่อยหลังข่าวเช้าจบลง โชคก็ชวนแก้วดูภาพยนตร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านสายอินเตอร์เน็ตที่ต่อตรงเข้ากับสมาร์ตทีวีเครื่องใหม่ของบ้านในห้องนั่งเล่น แก้วเอนหลังทิ้งหัวลงบนพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ “เอาสิ ดูเรื่องอะไรล่ะ”

 

 

        “กินข้าวกันครับ” เสร็จจากการทำมื้อเที่ยงตั้งโต๊ะเรียบร้อยก็โผล่หน้าออกไปนอกประตูไม้บานพับที่เปิดกว้าง เอ่ยเรียกเจ้าของรอยยิ้มกลิ่นควันบุหรี่ที่อยู่หลังม่านขมุกขมัวปนกับละอองน้ำในอากาศ “อ่า แป๊บนึงนะ”

 

 

        “แก้วครับ” ตกบ่ายที่แสนว่าง ในห้องนั่งเล่นมีเพียงเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอไว้แม้ไม่มีใครสนใจจะดู โชคนอนอยู่บนตักแก้ว ไล้สัมผัสไปตามเรียวนิ้วที่ตนยึดมาเกาะกุมไว้ แก้วไม่ได้ว่าอะไร ปรือตาที่กำลังจะปิดสนิทขึ้นเล็กน้อย “ว่าไง”

 

        “ผมชอบแก้วนะครับ”

 

        “อืม ฉันรู้แล้ว”

 

 

        “โชค” แก้วเรียกหาเด็กหนุ่มที่หายขึ้นบ้านบอกจะไปเอาสายชาร์จโทรศัพท์เมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว เจ้าของชื่อขานรับจากในห้อง ก่อนจะเดินเร็วๆ มาชะโงกหน้าจากบนบันได “ครับ?”

 

        “คุยโทรศัพท์อยู่เหรอ”

 

        “ครับ มิกซ์โทรมาแฮปปี้เบิร์ตเดย์น่ะครับ” โชคตอบ ทั้งที่มือถือยังคาอยู่ข้างหู

 

        “งั้นไปคุยให้เสร็จก่อนแล้วกัน” ว่าจบแก้วก็เดินกลับจากโถงหน้าบันได้มานั่งรออยู่บนโซฟา หยิบไม้ตกแมวทำมือมาแกว่งหยอกมะลิที่นอนพลิกไปมาพยายามจะตะปบจับ ไม่นานโชคก็วางสายแล้วตามมา

 

        “เสร็จแล้วครับ”

 

        แก้วพยักหน้า คว้ากุญแจรถที่เตรียมไว้แล้วลุกเดินนำออกไป “ฝนซาพอดี ออกไปเอาเค้กกัน”

 

 

 

        ค่ำคืนนั้นไฟในละแวกบ้านมืดดับลงพร้อมกับเสียงดังลั่นคล้ายมีอะไรระเบิด โชคสะดุ้งตกใจ ส่วนแก้วทำเพียงย่นคิ้วแล้วลุกไปหาไฟฉายจากตู้เก็บของเหนือเครื่องซักผ้า เดินออกไปหน้าบ้านเพื่อพูดคุยกับบ้านใกล้เรือนเคียงก็ได้ความว่าหม้อแปลงฟิวส์ขาด อีกสักพักการไฟฟ้าก็คงส่งคนมากซ่อม เมื่อไม่มีอะไรรุนแรงนักก็แยกย้ายกันกลับเข้าบ้าน

 

        ระหว่างรอแก้วกลับเข้ามา โชคก็หาเทียนมาจุดให้ความสว่างบนโต๊ะอาหาร มื้อค่ำของพวกเขาจึงดำเนินต่อไปใต้แสงของเปลวเทียน จวบจนกระทั่งเป่าเค้กเสร็จสิ้น แสงเทียนสีอุ่นในห้องครัวก็มอดดับลงเหนือแอ่งน้ำตาสีขาวเหนือก้นชามพอดี

 

        ในความมืดมิดที่มีโต๊ะกินข้าวกั้นขวาง พวกเขาสบตากัน ก่อนแก้วจะลุกเดินอ้อมไปหา วางมือลงรองคางเด็กหนุ่มให้แหงนเงยขึ้นมา โน้มตัวก้มลงไปมอบจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผาก เนิ่นนานเพียงชั่วลมหายใจก็ถอยห่าง

 

        “สุขสันต์วันเกิด โชค”

 

        แน่นอนว่าของขวัญวันเกิดไม่ใช่รอยจูบ แก้วหันหลังจะเดินกลับไปเอาของขวัญของจริงมาให้ แต่ไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็ถูกคว้าข้อมือรั้งเอาไว้ โชคมองตรงมาที่เขา และทั้งที่อยู่ในความมืดสลัวกลับรู้สึกได้ว่าใบหน้าเด็กหนุ่มนั้นแดงซ่าน

 

        “...แก้ว” เสียงสั่นเครือเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นระส่ำ โชคลุกมายืนซ้อนหลังแก้วไว้ และเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสที่โอบรอบเอวตนเขาไปกอดแน่น เด็กหนุ่มซุกหน้าลงบนไหล่กว้าง ความร้อนจากข้างแก้มแผ่ผ่านเนื้อผ้าสู่ผิวกาย

 

        “ว่าไง”

 

        “ผมขอจูบแก้วได้ไหม” คำขอกระซิบเบาหวิว ไม่มีความมั่นใจใดๆ ว่าจะได้รับอนุญาต แต่ก็ยังเอ่ยปากขอ “จูบ..แต่ไม่ใช่ที่หน้าผาก”

 

        “...อืม”

 

        เมื่อได้รับคำยินยอม โชคกลับยืนนิ่งหายใจระรัวอย่างทำตัวไม่ถูก สองมือเย็นเฉียบทั้งที่สองแก้มร้อนฉ่า แก้วจึงเป็นฝ่ายหันกลับมา ประคองใบหน้าเด็กหนุ่มให้ได้องศาก่อนจะแนบจูบลงบนริมฝีปากที่ยังคงสั่นไหวน้อยๆ แล้วผละออก ดวงตาสีเข้มมองอีกฝ่ายอ้าปากพะงาบๆ คล้ายจะขาดอากาศหายใจตายแล้วแนบสัมผัสลงไปอีกครั้ง

 

        รัญจวน ดูดดื่ม หวามไหว

 

        ทั้งที่ไม่ใช่จูบแรกแต่โชคก็ยังตื่นตระหนกอยู่ดี ในหัวว่างเปล่าประมวลผลไม่ทันสักอย่าง ทว่าร่างกายก็ยังตอบสนองไปตามสัญชาตญาณ ไล่ตามเรียวลิ้นที่แทรกเข้ามาไปอย่างไม่ลดละ แม้จะเงอะงะและไม่ประสาจนอีกฝ่ายนึกเอ็นดูในใจ

 

        แก้วเป็นฝ่ายถอนสัมผัสออกไป เมื่อรับรู้ได้ว่าเด็กน้อยตรงหน้ายังจัดการกับจังหวะหายใจไม่ได้ สุดท้ายก็เผลอกลั้นใจจนเขากลัวว่าจะขาดอากาศตายจริงๆ โชคหอบเอาลมเข้าปากเมื่อร่างกายประท้วงว่าขาดออกซิเจน หน้าแดงหูแดงไปหมด

 

        “...แก้ว..” เอ่ยเรียกแต่ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น โชคซุกหน้าลงบนบ่าแก้วอีกครั้ง แต่เพราะครั้งนี้พวกเขาหันหน้าเข้าหากัน แก้วจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบคอเด็กหนุ่ม พลางลูบหัวปลอบโยนอย่างใจเย็น

 

        “เรียกฉันเหมือนเดิมเถอะ”

 

        “...น้าแก้ว”

 

        “อืม”

 

        “น้าแก้ว”

 

        “อือ”

 

        “น้าแก้ว...”

 

 

 

        ไฟมาตอนสามทุ่มกว่า โชคเก็บโต๊ะล้างจานอยู่ในครัว ส่วนแก้วออกมายืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน เม็ดฝนยังปรอยลงมาอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มยืนให้ลมพัดละอองความชื้นเข้าปะทะ ปล่อยให้ความเย็นวูบหนึ่งนั้นช่วยให้หัวของเขาปลอดโปร่ง

 

        แก้วจูบโชค ไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายเอ่ยขอ แต่เพราะเขาตั้งใจจะจูบอยู่แล้ว

 

        ชายหนุ่มตั้งใจจะหาอะไรบางอย่างมาช่วยตอบคำถามในใจ แต่เมื่อลุกเดินไปยืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม มองเห็นดวงตาคู่สวยทอประกายระยับไม่ต่างจากเด็กในวันวาน เขาเลยลังเลแล้วใจจูบลงบนหน้าผากแทน

 

        “ฉันใจร้ายไปรึเปล่านะมะลิ” เขาถามแมวบนตั่ง ทั้งที่อากาศชื้นแฉะแต่มะลิก็เดินตามเขาออกมา กระโจนขึ้นไปนอนบนไม้เนื้อแข็ง แล้วช่วยอยู่รับฟังราวกับบาทหลวงของชาวคริสต์

 

        กรร...

 

        ดวงตาสีผสมมองมาพร้อมกับเสียงครางครืดคราดในคอของสัตว์ตระกูลแมว แก้วยกยิ้มเพียงริมฝีปาก

 

        “ใจร้ายมากเลยสินะ”

 

        แก้วใจร้าย เพราะเขาดันให้ความหวังกับเด็กหนุ่มทั้งที่ปลายทางยังคงเลือนรางและอาจจะไม่มีอยู่จริง

 

        รสจูบเคล้ากลิ่นขึ้นฉ่ายในเมนูผัดผงกะหรี่เมื่อครู่ทำให้รู้สึกดี

 

        แต่เป็นความรู้สึกดีที่มีมากมายพอๆ กับความรู้สึกผิด

 

 

 

TBC...

        เขาจูบกันแล้วค่ะทุกคน เป็นตอนที่เหมือนทุกอย่างไหลไปอย่างรวดเร็ว แต่รีนขอยืนยันว่าในนิยายเรื่องนี้ไม่มีอะไรเร็วไปอย่างแน่นอน มีเพียงแต่ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของทั้งคู่หลังจากนี้ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อจากนี้ไป ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

        ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารีนยุ่งมากๆ เลยค่ะ เลยยังปิดต้นฉบับน้องโชคตอนสุดท้ายที่ค้างคามาอย่างยาวนานไม่ลงสักที แง้ ท้อใจมาก แต่ก็กำลังพยายามอยู่นะคะ  :katai4:



        สุดท้ายนี้ก็ขอให้เดือนตุลาคมของคุณเป็นเดือนที่ดี มีรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา และไม่ปวดหลังปวดไหล่ส่งงานทันเดดไลน์กันทุกคนเลยนะคะ

 

        ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่าน

        ขอบคุณค่ะ

 

        เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าน้าาาา

 



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
หวานๆขมๆปนกันไป   :o8:  :mew1: :mew2: จะเป็นยังไงต่อละหนอ รักครั้งนี้ของคนสองคนจะไปทางเดียวกันได้ไหม ตามต่อจ้า รรรรรรรร ขอบคุณนะคะที่มาอัพต่อ รออยู่เสมอค่ะ  :กอด1: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 30

 

          ต้นกรกฎาฝนทิ้งช่วงยาวนานสองสัปดาห์ สภาพอากาศก่อนที่ฝนจะเทลงมาอีกครั้งจึงร้อนอบอ้าวจนน่าหงุดหงิด โชคเพิ่งอาบน้ำเสร็จแท้ๆ แต่กลับรู้เหนียวเหนอะไปทั่งตัว เป็นเช้าวันจันทร์ที่ชวนให้รู้สึกอ่อนล้ากว่าวันจันทร์ไหนๆ เว้นเพียงแต่ว่าน้าแก้วของเขาโผล่มาได้ทันเวลาพอดี

 

          “เช็ดหน้าให้แห้งสิ” แก้วว่าเมื่อเห็นหยดน้ำร่วงจากปลายคางเด็กหนุ่ม ยกหลังมือขึ้นลูบปาดออกให้ก่อนเข้าครัวไปชงกาแฟ

 

          โลกของโชคสดใสขึ้นทันตา

 

          ...แม้แต่วันที่ร้อนอบอ้าวก็ทำอะไรความคลั่งรักของเขาไม่ได้เลย

 

 

 

          แก้วยืนมองน้ำร้อนไหลออกจากกาไฟฟ้าด้วยแรงกดของมือตัวเอง ไอร้อนลอยขึ้นสูงและกลิ่นกาแฟก็ฟุ้งชัดติดจมูก เขารู้ว่าโชคกำลังคาดหวัง หลังจากที่จูบกันไปในคืนนั้นโชคก็ยิ่งไม่เผื่อใจ

 

          “น้าแก้ว” สรรพนามเรียกที่คุ้นเคยแต่กลับดูแปลกใหม่ในช่วงนี้เรียกให้เขาหันไปมอง โชคแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเหลือแค่ออกไปใส่รองเท้า เด็กหนุ่มยืนยิ้มแฉ่งอย่างรอคอย แก้วไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรออะไรจนกระทั่งเจ้าตัวเฉลย “วันนี้ผมสอบมิดเทอมอังกฤษ อวยพรผมหน่อยสิครับ”

 

          ได้ยินอย่างนั้นแก้วก็คลี่ยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่วิชาภาษาอังกฤษกลายเป็นวิชาโปรดของโชค ถึงแม้จะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ก็ตาม แต่เห็นว่าเทอมนี้ตั้งใจเรียนสุดๆ แล้วก็ดูจะทำได้น่าพอใจในห้องเรียนด้วย เด็กหนุ่มก็คงคาดหวังเอาไว้เยอะพอตัวสำหรับการสอบในวันนี้

 

          “เธอทำได้อยู่แล้วล่ะ” แก้วเดินเข้าไปหา ลูบหัวให้กำลังใจ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยังรอคอยอีกอย่างอยู่ เขาเลยได้แต่กลืนก้อนความรู้สึกที่กำลังดันขึ้นมาจุกอยู่ในคอกลับลงไป แล้วกดจูบบนหน้าผากของเจ้าเด็กที่ตอนนี้ตัวสูงเลยเขาไปนิดหน่อยแล้วทีหนึ่ง

 

          โชคยิ้มเขินอาย แต่ก็แสดงความพึงพอใจชัดเจนผ่านแววตา

 

          ...ไม่อยากให้โชคเจ็บปวด

 

          นั่นเป็นสิ่งที่แก้วคิด เขาจึงไม่อาจหลอกลวงด้วยความรู้สึกที่ไม่มีจริงแล้วตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ถอยห่างออกไปไหน ราวกับติดอยู่บนขอบของความสัมพันธ์ ที่แค่จะขยับนิดเดียวก็อาจจะร่วงลงไปกระแทกพื้นจนแตกกระจาย

 

          ความรู้สึกผิดเข้มข้นขึ้นอีกแล้ว

 




 

          วันเสาร์หนึ่งของเดือนสิงหา อากาศร้อนอบอ้าวตั้งแต่บ่ายทั้งที่ฝนเพิ่งตกไปตอนเช้า พอดึกมาอากาศถึงเย็นขึ้นหน่อย แต่ก็ยังชวนให้เหงื่อไหลโทรมอยู่ดี โดยเฉพาะในห้องนอนเล็กบนชั้นสอง เครื่องปรับอากาศในห้องของโชคทำงานผิดปกติ เป่าลมออกมาแต่ไร้ความเย็นฉ่ำ ลองปิดแล้วเปิดใหม่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องเดินออกไปเคาะประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม

 

          “แอร์ห้องผมไม่เย็นเลยน้าแก้ว”

 

          แก้วเพิ่งปิดไฟจะเข้านอนเลยยังคงมีสติแจ่มใส เขาพยักหน้ารับรู้ ตามเด็กหนุ่มไปลองเช็คเครื่องปรับอากาศให้ตามวิธีเบื้องต้นที่เรียนรู้มาจากช่วงเวลาสี่สิบปีของชีวิต ชายหนุ่มรุ่นใหญ่ลองปิดแล้วเปิดการทำงานใหม่อีกครั้ง รอสักพักก็ยังไม่เย็นเลยกดปุ่มปิดเครื่อง สับเบรกเกอร์ลง ถอดถ่านรีโมตแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ ยกเบรกเกอร์ขึ้นอีกครั้งแล้วลองเปิดแอร์อีกที แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สาเหตุน่าจะมาจากกลไกภายในที่สถาปนิกอย่างเขาซ่อมให้ไม่ได้

 

          “เดี๋ยวค่อยโทรให้ช่างมาดู” แก้วกดรีโมตหยุดการทำงานของเครื่องปรับอากาศอายุสิบกว่าปีที่ติดตั้งมาพร้อมๆ กับที่มีคนเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องนี้ โชคพยักหน้าหงึกหงัก ตาจะปิดเพราะความง่วง เตรียมพร้อมจะทนจมทะเลเหงื่อต่อไปถึงเช้า แต่ขอเพียงให้เขาได้นอนก็พอ ทว่าแก้วกลับพูดต่อ “คืนนี้ไปนอนห้องฉันก่อนแล้วกัน”

 

          โชคกระพริบตาปริบ คิดอะไรไม่ออกแต่ก็ตอบกลับไปอย่างง่ายดาย “ครับ”

 

 

 

          บนเตียงนอนขนาด 6.5 ฟุตไม่ได้ทำให้รู้สึกกว้างเท่าที่เคย เมื่อที่ว่างอีกฝั่งถูกจับจองด้วยร่างของเด็กหนุ่มอีกคน แก้วนอนตะแคงมองบานหน้าต่างที่ปิดสนิท แสงสีฟ้าจากเครื่องปรับอากาศในห้องเขาสว่างจ้าจนเห็นรอบตัวได้ชัดเจน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องนอนหันมาทางฝั่งที่ไม่ถนัดอย่างนี้

 

          เพราะว่ามันเห็นชัดเกินไป

 

          ...ใบหน้าของโชค

 

          แก้วไม่เคยมีปัญหาในหารนอนร่วมเตียงกับคนอื่น เขาไม่ใช่คนนอนดิ้นและหลับง่าย ครั้งแรกและสุดท้ายที่การนอนข้างใครสักคนทำให้เขากระสับกระส่ายจนยากจะข่มตาหลับก็เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนู้น ในตอนที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตกหลุมรักเพื่อนสนิทที่นอนซุกหลังคอเขาอยู่ในคืนนั้น แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนกับที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้

 

          หัวใจเขาไม่ได้เต้นระรัว เลือดไม่ได้สูบฉีดจนรู้สึกร้อนผ่าว ตรงกันข้าม หัวใจเขาเต้นเนิบนาบและร่างกายก็เย็นวาบราวกับเลือดไหลช้าจนพาความอบอุ่นไปไม่ถึงปลายนิ้วเสียที

 

          รู้อย่างนี้เขาน่าจะปล่อยให้โชคนอนบนผ้าที่เจ้าตัวหอบมาปูเตรียมนอนข้างเตียง แต่คิดดูอีกที เขาก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายนอนบนพื้นแข็งและเย็นเฉียบจนเสี่ยงจะเป็นไข้ได้อยู่ดี

 

          แก้วสับสน เหนื่อยล้ากับความขัดแย้งในใจตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็นอนไม่หลับจนถึงเช้า

 

          สิ่งแรกที่แก้วทำในวันต่อมาคือโทรตามช่างแอร์

 




 

          ฝนเทลงมาห่าใหญ่ ดอกแก้วร่วงกราวเต็มพื้น แต่ก็ยังคงผลิบานขาวเต็มต้นสมกับที่ออกดอกชุกในฤดูฝน เจ้าของบ้านออกมานั่งสูบบุหรี่บนม้าหิน หลังจากที่มวลเมฆครึ้มหลีกทางให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านลงมาถึงพื้นโลกแล้ว ความชื้นซึมผ่านเนื้อผ้าแม้เขาจะเช็ดคราบน้ำออกไปก่อนนั่งลง แต่แก้วก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก

 

          ควันบุหรี่เคลื่อนไหวเชื่องช้าในอากาศชื้นแฉะ แผ่ขยายเป็นม่านขมุกขมัวเนิ่นนานกว่าจะสลายหาย นานเพียงพอที่จะให้ความคิดของเขาดำดิ่งลงไป

 

          ‘น้าแก้ว’ โชคกอดเขาจากด้านหลัง ถูหน้าผากไปมาอยู่บนไหล่อย่างออดอ้อน

 

          ...แก้วยกมือขึ้นขยี้หัวสากเพราะทรงผมสั้นเกรียน

 

          ‘น้าแก้วครับ’ โชคขยับมานอนหนุนตักเขาบนโซฟา ยิ้มร่าเริงดึงมือเขาไปจูบแล้วพูดว่าชอบอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

 

          ...แก้วยิ้ม ไม่ได้ชักมือกลับ และครางรับแผ่วเบาในลำคอ

 

          ‘แก้วครับ’ โชคเรียก เขาไม่ได้ติดใจอะไรกับการที่นานๆ ทีเด็กหนุ่มจะเรียกชื่อเขาโดยไร้คำนำหน้า แต่แววตาที่จ้องสบ กับระยะห่างระหว่างกันที่น้อยลงไปทุกทีทำให้เขาปั่นป่วน ‘จูบได้ไหมครับ’

 

          ...แก้วหลับตาลง แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ

 

          แต่สัมผัสนุ่มนวลเพียงชั่วอึดใจนั้นกลับไม่ทำให้รู้สึกดีเลย เหมือนกับที่คำว่าชอบทำให้เขาหายใจไม่ออก เหมือนกับอ้อมกอดที่รัดแน่นจนหัวใจเขาบีบตัว

 

          ชายหนุ่มขยี้แท่งบุหรี่ที่เหลือเพียงน้อยนิดให้มอดดับ พยายามคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันผิดตรงไหนกัน ถ้าว่ากันตามกฎหมาย พ่อลูกไม่สามารถแต่งงานกันได้ แต่ในกรณีของพวกเขาที่เป็นพ่อลูกบุญธรรม กฎหมายยังมีช่องทางที่ทำให้สามารถยกเลิกการรับเป็นบุตรบุญธรรมก่อนมาจดทะเบียนสมรสกันได้ นั่นหมายความว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดเสียทีเดียว

 

          ถ้าจะพูดถึงเรื่องศีลธรรม เขากับโชคก็ไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ ไม่มีสายเลือดเกี่ยวโยงกันเลยด้วยซ้ำ เป็นคนอื่นของกันและกันโดยสิ้นเชิง จะเหลือก็แต่เรื่องของความรู้สึก ในเมื่อมันเป็นเขากับเด็กชายที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กนิดเดียว อุ้มแขนเดียวยังได้ กระทั่งเติบโตขึ้นมาจนโอบกอดเขาทั้งตัวไว้ได้ในตอนนี้ คงฟังดูตลกร้ายน่าดู...

 

          ในเมื่อมันก็แทบไม่ต่างอะไรกับการมีสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกในไส้เลย

 

          ความรู้สึกผิดทวีขึ้นอย่างท่วมท้นจนขึ้นขั้นเลวร้าย แก้วถอนหายใจยาว ซบหน้าลงกับฝ่ามือ สมองเต้นตุบจนปวดหัวจี๊ด เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี จะจัดการกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ประหลาดที่ดูผิดที่ผิดทางนี้อย่างไรดี แบบไหนโชคถึงจะไม่เจ็บปวด แบบไหนที่เด็กหนุ่มจึงจะไม่แตกสลาย แบบไหนที่จะยังคงรอยยิ้มกว้างสดใสบนใบหน้านั้นเอาไว้ได้ แบบไหนถึงจะดีที่สุด

 

          “น้าแก้ว” ความคิดที่กระจัดกระจายและหนักอึ้งถูกดึงกลับลงไปซุกซ่อนไว้หลังแววตาสงบนิ่งอีกครั้งเมื่อเด็กหนุ่มปรากฏตัว

 

          โชคเท้าแขนกับขอบเฉลียง โน้มตัวข้ามมาอยู่เหนือหัวชายหนุ่ม แก้วเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้ากลับหัวกลับหางและมองจากมุมเสยนั้นดูประหลาด แต่รอยยิ้มกลับยังคงสวยสดจนตาพร่าเหมือนเดิม

 

          “โชค” แก้วไม่เอ่ยถามถึงธุระของอีกฝ่าย แต่กลับเริ่มพูดถึงเรื่องที่กำลังคิดอยู่ “เธอเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีบ้างไหมที่มาชอบฉัน”

 

          โชคนิ่งงัน ไม่ได้ตอบทันทีคล้ายว่ากำลังคิดอยู่ แต่ก็เพียงไม่นาน “ไม่ครับ”

 

          “ไม่เลยเหรอ” แก้วถามย้ำ โชคจึงครุ่นคิดไปเนิ่นนาน ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาซื่อตรง

 

          “ผมเคยคิดว่าไม่ควร แต่ไม่ใช่ไม่ดี”

 

          “ทั้งที่ฉันเป็นผู้ชาย แก่กว่าเธอตั้งยี่สิบกว่าปี แล้วก็เป็นพ่อบุญธรรมของเธอน่ะเหรอ”

 

          “แล้วการชอบผู้ชายมันไม่ดีตรงไหนเหรอครับ”

 

          คำถามที่สวนกลับมาไม่ได้ทำให้แก้วแปลกใจนัก สำหรับเขาแล้วการที่เด็กคนนี้จะชอบผู้หญิง ผู้ชาย หรือคนเพศไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรละอาย

 

          ในรุ่นของเขาความรักของผู้คนถูกจำกัดอิสรภาพโดยกรอบของสังคม กรอบที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนสร้างขึ้นมา แต่กลับยิ่งใหญ่และดูเล่อค่าเสียเหลือเกิน และเพราะตัวแก้วเองก็ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง เขาจึงคิดเสมอว่าบรรทัดฐานความดีงามของสังคมนี้ช่างเป็นเรื่องเฮงซวยที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงเลี้ยงดูโชคมาโดยหวังแค่ว่าเด็กชายของเขาจะได้มีความรักดีๆ กับคนที่ดี ...แม้จะไม่เคยคิดว่าคนๆ นั้นจะเป็นเขาก็ตาม

 

          แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยกขึ้นมาถาม บางทีแก้วอาจจะแค่อยากหาเหตุผลที่ควรจะรู้สึกผิดให้กับตัวเองและเด็กหนุ่ม

 

          “นั่นสินะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” โชคเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของคู่สนทนา เขาไม่รู้สาเหตุของความหม่นหมองนั้น แต่คิดว่าหากตอบคำถามไปตามตรง มันอาจจะทำให้น้าแก้วรู้สึกดีขึ้น เขาเลยพูดต่อ

 

          “แล้วก็มิกซ์เคยบอกผมว่าคนเราก็รักคนที่ตัวเองรักกันทั้งนั้นแหละ แล้วผมก็คิดว่ามันก็จริง คนเราก็แค่รักคนที่ตัวเองรัก” โชคกำขอบราวกั้นเฉลียงแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่บอกความในใจอีกอย่างที่อาจจะทำให้คนที่เลี้ยงดูเขาเหมือนเป็นคนในครอบครัวต้องเสียใจ “อีกอย่างผมไม่เคยมองว่าน้าแก้วเป็นพ่อ น้าแก้วคือน้าแก้ว น้าแก้วเป็นคนใจดีที่เลี้ยงดูผม แต่ไม่เคยเป็นพ่อสำหรับผมเลยสักครั้ง คำว่าครอบครัวของผมคือน้าแก้วกับผม ไม่ใช่การที่จะต้องเป็นพ่อลูกกัน... ขอโทษนะครับ”

 

          แก้วนิ่งไปเมื่อได้ฟังความในใจอีกอย่างของเด็กหนุ่มที่หลบสายตาอย่างรู้สึกผิด แต่กลับไม่ได้รู้สึกวูบโหวงมากเท่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะเขาเองก็ไม่ได้มองว่าโชคเป็นลูกเหมือนกัน แก้วไม่เคยคิดจะมีลูกหรืออยากมีด้วยความต้องการของตัวเอง สำหรับเขาแล้วตลอดการเลี้ยงโชค เขาก็มองโชคเป็นเด็กคนหนึ่ง เป็นเด็กชายที่อาศัยอยู่ในบ้านของเขา เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา แต่ก็ไม่ใช่ลูกเหมือนกัน

 

          ความเงียบงันโรยตัวลงปกคลุม ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ ของหมาท้ายซอยที่ไล่เห่ารถมอเตอร์ไซต์ที่แล่นผ่าน โชคก้มมองมือตัวเอง มองรอยลอกของสีทาไม้แล้วเอ่ยถาม “...ที่ถามผมแบบนี้ น้าแก้วคิดว่าความรู้สึกของผมมันผิดเหรอครับ”

 

          “ไม่หรอก...ไม่ใช่เธอหรอกที่ผิด” แต่เป็นฉันเอง คำหลังเขาไม่ได้พูดออกไป เพราะยังไม่แน่ใจว่ามันผิดจริงๆ รึเปล่า ในเมื่อที่เขาคิดว่าระหว่างเขากับเด็กชายแทบไม่ต่างอะไรกับการมีสัมพันธ์กับคนในสายเลือดนั้นมันไม่ใช่

 

          ในคำว่าแทบไม่ต่าง มันมีความแตกต่างกันอยู่

 

          พวกเขาสองคนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แก้วเพียงแต่รับโชคมาเลี้ยงดูจนเติบโตผ่านวันเวลานับสิบปี เขารักและเอ็นดูเด็กชายโชคคนนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจ ส่วนความรู้สึกดีๆ รูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นมากับนายโชคในตอนนี้ก็เป็นเรื่องไม่คาดฝัน ทว่าไม่มีใครทำอะไรกับมันได้

 

          ชายหนุ่มไม่อาจตัดสินความถูกผิดของความรู้สึกที่กำลังก่อร้างสร้างตัวขึ้นมาอย่างสิ้นเชิงได้ในตอนนี้

 

          ...มันคงต้องใช้เวลาสักพักในการค้นหาคำตอบนั้น

 

          “น้าแก้ว” โชคเรียกเมื่อแก้วเงียบไปทั้งที่ดูเหมือนมีอะไรจะพูดอีก คนที่จมอยู่ในห้วงความคิดเงยหน้าขึ้นไปสบตา คราวนี้เขาจัดการกับสิ่งที่อยู่ในหัวของตัวเองได้บ้างแล้ว

 

          แก้วไม่ได้พูดต่อ เขาแค่ยิ้มให้โชค ยิ้มเพียงเบาบาง แต่ก็แสนอ่อนโยนส่งไปถึงดวงตา

 

          โชคไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นไรแล้ว

 

          น้าแก้วของเขาไม่เป็นอะไรแล้ว...

 

          และหน้าฝนก็หมดไปโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 




 

          เข้าสู่ฤดูหนาวตอนปลายตุลา เครื่องปรับอากาศในห้องนอนของโชคพังอีกแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเมื่ออากาศเย็นจนแค่เปิดหน้าต่างก็รู้สึกสะท้าน ปัญหาคือโชคอยากนอนกับน้าแก้วต่างหาก เด็กหนุ่มจึงลุกออกไปเคาะประตูห้องนอนใหญ่ และแก้วก็เปิดให้เขาเข้าไปโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่ามีเหตุผลอะไร

 

          “แก้ว...” หลังจากที่ปิดไฟขึ้นเตียงเตรียมจะนอน โชคก็กระซิบเรียก ด้วยสรรพนามที่แก้วรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะขอบางอย่างจากเขา เด็กหนุ่มขยับตัวไปซุกหน้าลงบนท้ายทอยกรุ่นกลิ่นแชมพู สอดแขนกอดเอวสอบไว้แน่น แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แก้วคิดว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้วเลยพลิกกลับไปดู

 

          แต่โชคยังไม่หลับ ดวงตาคู่สวยสะท้อนแสงสีฟ้าของเครื่องปรับอากาศ และเพราะเจ้าหมาตัวโตกำลังรอคอยอย่างสงบเสงี่ยม แก้วเลยยอมให้รางวัล

 

          พวกเขาจูบกัน ริมฝีปากแนบชิด เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัด ร่างกายบดเบียด เด็กหนุ่มพลิกตัวขึ้นคร่อมทับแก้วไว้เพื่อให้สัมผัสกันได้ถนัดขึ้นอีก โชคเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดที่กำลังเป็นวัยรุ่น อารมณ์ความต้องการพุ่งทะยาน ร่างกายตื่นตัว ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่มีวันโต แต่ถึงอย่างไรโชคก็ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลาย แก้วคำนึงถึงความเหมาะสมอยู่เสมอตั้งแต่ที่ยอมให้อีกฝ่ายสัมผัส ระดับของมันถูกขีดเส้นไว้อย่างชัดเจน เขาจึงหยุดทุกอย่างไว้ด้วยปลายนิ้วที่ยกขึ้นมากั้นขวาง ไม่ให้โชคล้วงล้ำเข้ามาช่วงชิงลมหายใจได้อีกต่อไป

 

          “พอแล้ว” แก้วว่า โชคเสียดายแต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย ขยับตัวกลับลงไปนอนในที่ของตัวเอง โดยเว้นระยะห่างจากแก้วไปเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายสงบลง ส่วนคนโตกว่าที่ไฟติดยากตามกาลเวลาที่ทำให้คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้แล้วก็พลิกหนีกลับไปนอนตะแคงหันหลังให้

 

          ใช้เวลาสักพักกว่าโชคจะขยับเข้าไปกอดแก้วอีกครั้ง แต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็หลับไป ไม่เหมือนคนในอ้อมแขนที่ยังคงวุ่นวายกับความรู้สึกที่ยังไม่ยอมหายไปเสียที

 

          แก้วรู้สึกผิดอีกแล้ว

 

          ดวงตาสีเข้มจ้องมองขอบหน้าต่างในแสงสลัวรางสีฟ้า ถามตัวเองว่าทำไมถึงยังรู้สึกเช่นนี้อยู่อีก ทั้งที่เขาคิดทบทวนไปมาอยู่หลายครั้งแล้วพบว่าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ความสัมพันธ์ของเขาและโชคทั้งในตอนนี้ หรือหากจะขยับเลื่อนไปอีกขึ้นก็ไม่ได้ผิดศีลธรรมหรือกฎหมายข้อไหน

 

          แล้วทำไมถึงยังรู้สึกอยู่...

 

          ในระหว่างที่ครุ่นคิด แขนที่โอบเอวชายหนุ่มไว้ก็ขยับกระชับกอด ลมหายใจรินรดลำคอจนรู้สึกจั๊กจี้ แก้วคิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา บนเตียงกว้างหลังนี้ เคยมีอีกอ้อมแขนที่ตระกองกอดเขาเอาไว้ ความร้อนของลมหายใจจากปลายจมูกที่ซุกแนบผิว กับความรู้สึกอุ่นใจและชวนให้หวามไหวอยู่เสมอ

 

          ธีร์... ชายที่ทิ้งเงาเอาไว้ในทุกที่ของความทรงจำ แม้จะไม่ได้คิดถึงอยู่ตลอด แต่ก็แฝงเร้นอยู่ในทุกๆ เรื่องราว

 

          หลังจากที่แก้วเริ่มสงสัยในความรู้สึกของโชค เขาหันมาทุ่มความสนใจให้กับมัน และเมื่อเริ่มเข้าใจถึงความจริงจัง เขาก็พยายามที่จะตอบรับไปโดยที่ไม่รู้ตัว แก้วอยากให้โชคมีความสุข เอาแต่คิดว่าเขาชอบโชคแล้วหรือยัง ชอบได้แบบที่โชคชอบเขาหรือเปล่า เมื่อไหร่เขาจะชอบโชคกัน แต่ไม่เคยถามเลยว่าจริงๆ แล้วตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

 

          ความรู้สึกของแก้ว...

 

          เพียงเสี้ยวนาทีก็ได้คำตอบ ในเมื่อมันชัดเจนเหลือเกิน ชัดเจนจนน่าประหลาดใจที่เขามองไม่เห็นมันก่อนหน้านี้

 

          ...แก้วยังคงรักธีร์อยู่ และไม่เคยคิดจะเลิกรัก

 

          ชายหนุ่มปล่อยความรู้สึกที่มีต่อเจ้าของรอยยิ้มเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์คนนั้นเอาไว้อย่างไม่คิดจะแตะต้อง เหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่ารักเพื่อนคนนี้เข้าให้เสียแล้ว เขาก็ไม่เคยคิดคาดหวัง แต่ก็ไม่คิดจะตัดใจเช่นกัน ปล่อยให้มันลอยฟุ้งอยู่อย่างนั้น และเพราะเป็นเช่นนั้น ความรักของเขาถึงได้ยืนยาวมากว่ายี่สิบปี

 

          ในอกวูบโหวงจนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เมื่อความรู้สึกที่มีต่อธีร์มันแจ่มชัดและฝักรากลึกถึงเพียงนั้น แก้วก็ตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่เขาพยายามจะตอบรับโชคกลับไปช่างผิวเผินเหลือเกิน

 

          ความรู้สึกผิดในใจของเขามีซึ่งที่มาแล้ว

 

          ปลายนิ้วเฉียบขยับมาแกะมือที่เกี่ยวเอวตนไว้ออก ขยับหนีจากอกอุ่นที่แนบแผ่นหลัง เว้นระยะห่างระหว่างกันด้วยหมอนข้างที่ยกมาวางกั้น แก้วดึงผ้าห่มขึ้นปิดอกให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงตะแคงฝั่งที่ไม่ถนัด จ้องมองบานหน้าต่างไม้ปิดสนิทอยู่อย่างนั้น

 

          อ้อมกอดของโชคมันอุ่นจนร้อนเกินไปสำหรับเขา

 

 

 

TBC...

          ดูเหมือนว่าความสุขที่ไปไม่สุดทางคือแก่นแท้ของนิยายเหงาๆ เรื่องนี้เลยล่ะค่ะ แม้น้าแก้วจะรู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรัก อาธีร์ยังคงยึดครองพื้นที่ในหัวใจของแก้วไว้อย่างมั่นคง แล้วน้องโชคหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป หัวใจจะพังทลายหรือจะมีปลายทางที่สดใสก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

          ปล.ในเรื่องของความสัมพันธ์ที่มีความก้ำกึ่งในเรื่องของ Power Dynamic และอาจจะคลุมเครือในเรื่องของการ Child Grooming รีนขอยืนยันนะคะว่ารีนตระหนักถึงเรื่องนี้เสมอ อย่างในหน้าแนะนำนิยายที่รีนเคยได้บอกไว้ว่านิยายเรื่องนี้ไม่เปโดและไม่กรูมมิ่งแน่นอน สำหรับคนที่รู้สึกว่ามัน disturb หรือทำให้ไม่สบายใจรีนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ และในตอนนี้อาจจะยังไม่ได้ดันประเด็นนี้ขึ้นมาอย่างชัดเจนนัก แต่รีนได้มีการกล่าวถึง(โดยที่ส่วนรีนคิดว่าค่อนข้างจะเคลียร์)ไว้ในตอนหลังๆ ซึ่งเป็นไปตามจังหวะของเนื้อเรื่องเพื่อให้ตัวนิยายมีความลื่นไหล ไว้ถ้าถึงตอนนั้นแล้วรีนก็จะมาทอล์กถึงประเด็นนี้อีกครั้งในท้ายตอนนั้นนะคะ

          ส่วนตอนนี้ก็มาเอาใจช่วยให้เจ้าหมาโชคของเราไม่เจ็บช้ำจนเกินไปกันเถอะค่ะ  :hao5:

 

          ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอเลย

          ขอบคุณค่ะ 

 

          See U on วันพฤหัสบดีหน้าค่า

 



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
หนัก หนักเกินไป สิ่งที่อยู่ในใจน้าแก้วมันหนักเกินไป จะวางมันลงได้อย่างไร ทั้งต่อธีร์และโชค ควันบุหรี่หนาทึบ หรือโชคควรจะหยุดดีกว่า ฝืนดันทุรังไปมันก็แน่นหนาอก เพิ่มความรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย มันกลายเป็นความอึดอัดแทน เง้อออออ เดาทางไม่ถูกเลยว่าจะมีวิถีทางของแต่ละคนยังไง   :hao4: รอตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ เป็นกำลังใจในการแต่งนะคะ อย่าคิดอะไรเยอะในการแต่งเลยค่ะ เพราะผู้อ่านแยกแยะได้ว่าเป็นนิยาย อยากให้แต่งด้วยความสบายใจอะคะ คือนี่ไม่ซีเรียสไง 55 เน้นผู้แต่งสบายใจพอ แต่งให้อ่านได้เป็นเรื่องๆก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงไหวแล้ว  :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด