พิมพ์หน้านี้ - [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: FebruarySea ที่ 12-03-2020 00:31:46

หัวข้อ: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 12-03-2020 00:31:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

____________________________________________________________________________




ASHTRAY
ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้
_____________________________



"ผมไม่อยากเรียกคุณว่าน้าแก้วอีกแล้ว ผมไม่อยากให้คุณมองผมเป็นแค่เด็กที่คุณเลี้ยงมา"
"แก้ว.. ผมโตพอจะกอดคุณได้แล้วนะ"







Warning !!

Eternity doesn't last FOREVER


ความสัมพันธ์ของตัวละครหลักในนิยายเรื่องนี้อาจมีความสุ่มเสี่ยงและก้ำกึ่งทางด้านศีลธรรม

อีกทั้งมีการกล่าวถึงการใช้สารเสพติดอย่างการสูบบุหรี่อย่างโจ่งแจ้ง

ขอให้นักอ่านทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



เรื่องนี้เป็นนิยาย Slow burn อบอุ่นหัวใจ ซึ่งตัวละครหลักมีช่องว่างระหว่างวัยสูงมาก

[แต่ย้ำว่าไม่ใช่เปโดและไม่กรูมมิ่ง]

บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนวันสุดท้ายที่ต้องจากลา

เป็นดราม่าที่อบอุ่น เป็นความเศร้าที่ไม่ได้ขมแต่ก็เรียกน้ำตา

แผดเผาความรักให้ซึมลึกเข้าไป จนแม้สุดท้ายจะมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่าน

ความรักนั้นก็จะยังลุกโชนตลอดไปในความทรงจำ



สามารถพูดคุยกันได้ที่ #น้าแก้วของโชค




บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4028327#msg4028327)
ตอนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4029054#msg4029054)
ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4030002#msg4030002)
ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4030845#msg4030845)
ตอนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4031760#msg4031760)
ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4033243#msg4033243)
ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4034518#msg4034518)
ตอนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4035498#msg4035498)
ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4036744#msg4036744)
ตอนที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4037824#msg4037824)
ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4039012#msg4039012)
ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4039995#msg4039995)
ตอนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4040877#msg4040877)
ตอนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4041649#msg4041649)
ตอนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4042453#msg4042453)
ตอนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4043344#msg4043344)
ตอนที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4044026#msg4044026)
ตอนที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4044587#msg4044587)
ตอนที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4045071#msg4045071)
ตอนที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4045541#msg4045541)
ตอนที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4046011#msg4046011)
ตอนที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4046426#msg4046426)
ตอนที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4046891#msg4046891)
ตอนที่ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4047334#msg4047334)
ตอนที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4047744#msg4047744)
ตอนที่ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4048104#msg4048104)
ตอนที่ 26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4048456#msg4048456)
ตอนที่ 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4048802#msg4048802)
ตอนที่ 28 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4049072#msg4049072)
ตอนที่ 29 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4049406#msg4049406)
ตอนที่ 30 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4049704#msg4049704)
ตอนที่ 31 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4049974#msg4049974)
ตอนที่ 32 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4050135#msg4050135)
ตอนที่ 33 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4050250#msg4050250)
ตอนที่ 34 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4050471#msg4050471)
ตอนที่ 35 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4050647#msg4050647)
ตอนที่ 36 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4050817#msg4050817)
ตอนที่ 37 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4050966#msg4050966)
ตอนที่ 38 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4051247#msg4051247)
ตอนที่ 39 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4051379#msg4051379)
ตอนที่ 40 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4051509#msg4051509)
ตอนที่ 41 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4051680#msg4051680)
ตอนที่ 42 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4051857#msg4051857)
ตอนที่ 43 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052034#msg4052034)
ตอนที่ 44 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052255#msg4052255)
ตอนที่ 45 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052355#msg4052355)
ตอนที่ 46 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052494#msg4052494)
ตอนที่ 47 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052589#msg4052589)
ตอนที่ 48 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052704#msg4052704)
ตอนที่ 49 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052812#msg4052812)
ตอนที่ 50 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4052958#msg4052958)
ตอนที่ 51 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71663.msg4053060#msg4053060)

______________
หัวข้อ: Re: Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : บทนำ [12.03.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 12-03-2020 00:36:39

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

บทนำ

               Warning: Domestic Violence มีฉากความรุนแรงในครอบครัว


 

               “ไอ้เด็กเวร มึงไม่น่าเกิดมาเลย” ถ้อยคำด่าทอพ่นผ่านปากของบิดา เด็กชายได้แต่หมอบต่ำยกแขนขึ้นกันหัวเมื่อพ่อผู้บังเกิดเกล้าลงมือทุบตี ทั้งที่หายหน้าหายตาไปตั้งนาน พอกลับมาทีก็เมาหัวราน้ำ เห็นหน้าใครก็ด่ากราด โชคร้ายสุดก็คือผู้เป็นลูก ที่ต้องมาเป็นที่รองมือรองเท้าให้อีกฝ่ายระบายความเกรี้ยวกราดใส่ทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

 

 

               "ไหน แม่มึงไปไหนแล้ว อีกะหรี่ดีแต่ร่านไปวันๆ มันไปอยู่ไหน" เมื่อเห็นว่าเด็กมันไร้หนทางสู้ คนที่เป็นผู้ใหญ่แต่ตัวก็ยิ่งได้ใจ สาดถ้อยคำร้ายกาจกรีดแทงหัวใจดวงน้อย “มันไม่ได้รักมึงเลยไอ้โชค มันรักแต่ไอ้ชิดลูกกับชู้มันนู่น แหกตาดูซะบ้าง หอบข้าวหอบของหนีไปแต่ทิ้งมึงเอาไว้ให้เป็นภาระกู อย่างมึงน่ะกูเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่คลอดซะก็ดี"

 

 

               เด็กน้อยคู้กายปกป้องตัวเองด้วยแผ่นหลังสั่นเทา แต่กลับไม่มีเสียงร้องสักแอะ เพราะถ้าร้องก็จะยิ่งโดนตี ไม่มีน้ำตา เพราะถ้ามันไหลออกมาก็จะยิ่งโดนทุบ ไม่มีคำอ้อนวอนขอให้หยุด เพราะถ้าเปิดปากไปสักครึ่งคำก็จะโดนฟาด ที่ทำได้มีเพียงแค่อดทนแล้วกอดตัวเองไว้ให้แน่น หากอีกฝ่ายเห็นเขาแน่นิ่งไม่โต้แย้งเดี๋ยวก็เบื่อแล้วจากไปเอง

 

 

               “หึ นิ่งเหรอมึง กูพูดกับมึงอยู่น่ะไอ้เด็กเปรต!” ในที่สุดการทารุณก็เดินทางมาถึงจุดจบ แต่ก่อนที่พ่อขี้เมาไร้หัวใจจะจากไป ยังไม่วายหันมาเตะร่างน้อยๆ จนปลิวไปชนเก้าอี้พลาสติกล้มตึง

 

 

               “เหี้ยเอ๊ย เหล้าหมดแล้ว” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะถีบประตูไม้ผุพังจนมันแทบหักกลางแล้วหายตัวไปอีกครั้ง

 

 

               ไอ้โชค เด็กเหลือขอที่เกิดจากนังช้อย กะหรี่ท้ายซอยกับไอ้ขามคนขับรถรับจ้าง เด็กน้อยเกิดมาจากกลิ่นคาวราคี ไม่มีความรักความเอ็นดู แค่ผลผลิตที่ผิดพลาด เติบโตขึ้นมากับความรุนแรง พ่อก็ทุบตีด่าทอ แม่ก็ปล่อยปละไม่เหลียวแล พอเด็กมันอายุได้สี่ปี คนแม่ก็หนีไปมีชู้กับลูกคนใหม่ ทิ้งลูกคนนี้ให้อยู่กับพ่อใจทรามที่เอาแต่กินเหล้าเมายา

 

 

               “โชคเอ๊ย เจ็บมากไหม” อย่างน้อยโชคก็ยังพอมีโชคอย่างชื่ออยู่บ้าง ที่มียายหอม หญิงชราข้างบ้านที่สมเพชชะตาชีวิตของเด็กน้อยช่วยให้ข้าวให้น้ำ แต่เพราะแก่มากแล้ว เรี่ยวแรงก็ไม่มี ลูกหลานก็หนีไปหมด ยายแก่ตัวคนเดียวจึงไม่สามารถช่วยเด็กน้อยจากการทารุณของพ่อมันได้ อย่างดีก็ได้แค่ช่วยทำแผลให้เด็กมันไปตามมีตามเกิด

 

 

               โชคนั่งอยู่ในบ้านของยายหอม ที่แขนเล็กผอมบางนั้นมีแผลถูกพลาสติกบาดเป็นทางยาวจนเลือดซิบ แต่ดีที่แผลไม่ลึก ยายหอมใส่ยาให้แล้วก็เอาข้าวเย็นที่แกทำไว้ออกมากินกับเด็กชายเงียบๆ ในยามที่ท้องฟ้าข้างนอกเปลี่ยนเป็นสีม่วงพอดี

 

 

               “ทำไมแม่ไม่เอาโชคไปด้วยล่ะยาย” เด็กน้อยถามขึ้นขณะที่หญิงแก่เก็บถ้วยจานไปล้างที่ริมคลองหลังบ้าน เขาออกมานั่งที่ธรณีประตู เหม่อมองผิวน้ำสีดำสนิทสะท้อนแสงไฟสว่างจากถนนฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะจำหน้าแม่ได้เลือนราง แต่ความรู้สึกที่เคยมีแม่ก็ยังฝังอยู่ในจิตใจ

 

 
               
               คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร เพราะตัวแกเองก็ไม่รู้เหมือนกัน จำได้แค่ว่าวันนั้นพายุเข้า ฝนตกหนักจนหลังคาสังกะสีลั่นเสียงเอี๊ยดอ๊าดราวกับจะปลิดปลิวไปตามลม พอเช้ามาลมฝนสงบรับดวงตะวันสดใส เด็กชายก็ถูกทิ้งเอาไว้ในห้องโกโรโกโสเพียงลำพัง

 

 

               ยายหอมล้างแล้วคว่ำจานไว้ในกะละมังสีดำใบใหญ่ มือเหี่ยวย่นยื่นไปลูบหัวทุยที่ผมเริ่มยาวชี้กระเซิงไม่เป็นทรงเพราะคนตัดไร้ฝีมือ ที่ยายแก่ทำได้ก็เพียงใช้กรรไกรเล็มส่วนที่ยาวออกเท่านั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เคยสนใจ หรืออาจจะไม่รู้ว่าต้องสนใจอะไร เพราะไม่เคยมีใครสอนเด็กชายว่าควรทำอะไร ควรใช้ชีวิตแบบไหน ที่เด็กน้อยรู้ก็มีแค่เมื่อหิวก็ต้องหาของกิน เมื่อโดยตีก็ต้องขดตัวเอาหลังรับแทนหน้า และเมื่อง่วงก็ต้องนอน

 

               ตัวยายหอมเองเพราะเป็นเพียงหญิงชราที่ถูกทิ้งไว้ลำพังกับโรคที่มาพร้อมอายุ ตอนเป็นเด็กก็ถูกเลี้ยงมาในต่างจังหวัด แต่สภาพแวดล้อมเองก็ไม่ต่างกับที่นี่นัก พอเป็นสาวก็ได้ผู้ชายไม่ได้ความพามาอยู่กรุงเทพ มีลูกสาวสองคน คนแรกพอเริ่มแตกเนื้อสาวก็เกเรมัวเมาไปกับผู้ชายและยาเสพติด รู้ข่าวอีกทีก็ตายแล้ว ลูกอีกคนที่ได้ยายเอาไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัดตั้งแต่ยังเล็กก็ไม่คิดจะมาดูดำดูดีอะไร ส่วนสามีก็ไม่ต้องพูดถึง หายหน้าไปตั้งแต่ลูกคนเล็กยังไม่ทันคลอด

 

 

               ยายหอมจึงไม่รู้ว่าเธอจะสั่งสอนอะไรให้เด็กชายที่น่าเวทนาคนนี้เมื่อชีวิตของเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ สิ่งที่พอจะพูดออกมาได้ก็มีเพียงแค่ “อดทนไว้นะโชค อดทนไว้แล้วมันจะผ่านไปเอง”

 

 

               เด็กชายหกขวบปีได้แต่พยักหน้า ทั้งที่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไร เขาก็เพียงแค่ต้องทำอย่างที่เคยทำมาตลอด ไม่ร้องไห้ ไม่เปิดปากพูดอะไร แค่กอดตัวเองอยู่ในมุมห้องก็พอ

 

 

               ตกดึกคืนนั้นอยู่ๆ ฝนก็เทลงมาโดยไม่มีเค้าล่วงหน้า น้ำหยดลงมาทางรอยรั่วของหลังคาที่ไม่ได้แข็งแรงอะไร โชคลุกขึ้นมาหากระป๋องหาถังมารองน้ำไม่ให้เจิ่งนองพื้น แล้วในขณะที่กำลังจะกลับไปซุกตัวนอนบนผ้าที่ปูกับพื้นติดผนังด้านใน ประตูที่ปิดลงกลอนไว้ก็ถูกทุบอย่างแรง

 

 

               “เปิด! ไอ้ห่าโชค มึงจะล็อกทำKไร!” แม้เสียงตะคอกจะถูกกลบด้วยเสียงฝน แต่ความเกรี้ยวกราดที่สาดมาด้วยกันกลับชัดเจน ขามผู้เป็นพ่อเวียนกลับมาอย่างไม่คาดคิด ทั้งที่ปกติจะหายหน้าไปอีกหลายวันแท้ๆ โชคกำผ้าห่มผืนบางแน่น แต่ก็รู้ว่าถ้าหากไม่ยอมไปเปิดประตู พ่อก็คงพังเข้ามาแล้วเขาก็จะโดนหนักกว่าเดิมอยู่ดี

 

 

               “ไอ้เวรนี่!” ทันทีที่ผลักประตูเปิดออกได้ เท้าก็ยกขึ้นถีบลูกชายที่ไม่เห็นเป็นลูกด้วยซ้ำ เด็กน้อยเซถอยไปหลายก้าวก่อนล้มลงกุมท้องตรงที่โดนถีบ จุกจนแทบลุกไม่ไหว แต่ก็ยังกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

 

 

               “มึงคิดจะล็อกกูไว้ข้างนอกใช่ไหม ไอ้เด็กเวร!” ว่าจบก็ทำท่าจะฟาดขวดเหล้าที่เหลือน้เมาก้นขวดในมือใส่ โชคหลับตาปี๋ยกมือขึ้นกัน ตรงที่ถูกขวดกระแทกจึงเป็นนิ้วมือน้อยๆ ความปวดร้าววิ่งพล่านขึ้นมาถึงสมองพร้อมกับสัญญาณอันตรายจากท่าทีคุกคามของอีกฝ่าย ร่างสูงใหญ่ยืนขึ้นเต็มความสูงแต่ก็ซวนเซเพราะฤทธิ์เหล้า ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาอย่างมุ่งร้าย ปากขยับพ่นคำด่าทอแข่งเสียงฟ้าคำราม และมือที่คว้าเอาราวผ้าเหล็กขึ้นสนิมจนหักกลางมาถือไว้มั่น

 

 

               โชคขดตัวเพื่อปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณทันที ท่อนเหล็กเบาถูกฟาดลงมาไม่ยั้ง เสียงเนื้อหนังถูกทุบดังตุบตับ ถึงแม้ว่าเด็กชายจะโตมากับมือเท้าของบิดา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายลงมือทารุณเขาด้วยสิ่งของ ท่อนอะลูมิเนียมไม่ได้มาตรฐานตีโปร่งข้างในกลวงจนเบาหวิว แต่ยามมันฟาดลงบนเนื้อ รอยแดงช้ำยังคงปรากฏชัดเจน แม้สำหรับโชคแล้วความเจ็บปวดที่ได้รับจะไม่ต่างจากที่แล้วมานัก แต่ความเย็นเยียบของผิวโลหะทำให้ทุกร่องรอยปวดหนึบต่างจากรอยมือที่ทิ้งสีเรื่อแต่ยังคงเหลืออุณหภูมิจากร่างกายมนุษย์นัก

 

 

               “นับวันมึงก็ยิ่งหน้าเหมือนอีนั่น เห็นแล้วขวางหูขวางตีน!” ศีรษะเล็กถูกกระชากจนลอยหวือ ดวงตาเมามายแดงก่ำจ้องมองมาอย่าอาฆาต ก่อนจะถูกเหวี่ยงไปด้านข้างจนตัวปลิว ผู้กระทำไม่แม้แต่จะปรายตามอง ราวกับสิ่งนั้นเป็นของแสลง ยิ่งเมื่อยกเหล้าที่เหลือน้อยนิดขึ้นดื่มทีเดียวหมดก็ยิ่งแสดงอารมณ์ร้ายกาจออกมาทางสีหน้า คำรามในคออย่างเดือดดาล ก่อนจะฟาดขวดแก้วใส่พื้นข้างเด็กชายจนมันแตกกระจาย โชคสะดุ้งเฮือก และยิ่งสั่นกลัวเพราะดวงตาดุร้ายหันมาจ้องเขม็ง ร่างเล็กรีบขดตัวรอรับแรงกระแทกอีกครั้ง แต่เนิ่นนานก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

               ทั้งที่ร่างกายไม่ถูกทำร้าย แต่หัวใจกลับหวาดกลัวยิ่งกว่า ความเงียบงันในคืนมืดมิดเช่นนี้ราวกับเคยเกิดขึ้นมาแล้วในความทรงจำ...เมื่อครั้งที่แม่ของเขายังอยู่ พ่อมักจะตบตีแม่ และแม่มันจะเกรี้ยวกราดตวาดกลับไป การทะเลาะเบาะแว้งจะลุกลามใหญ่โต แต่เมื่อใดก็ตามที่พ่อไม่ลงมือ ไม่ขึ้นเสียง ทำเพียงนิ่งเงียบและจ้องมองด้วยแววตาของสัตว์ เมื่อนั้นแม่ของเขาจะถูกกดร่างลงกับพื้น จากนั้นก็จะกรีดร้อง ร่ำไห้ อ้อนวอนขอให้หยุด จวบจนพ่อจากไปแล้ว แม่ก็จะยังคงกัดริมฝีปากจนห้อเลือดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ตาบวมแดง เหม่อมองออกไปยังที่แสนไกลจนไม่อาจตามไปได้

 

 

               “มึงเหมือนแม่มึงมากจริงๆ” เสียงพึมพำเบาราวกับเสียงกระซิบ ผู้เป็นพ่อย่างสามขุมเขาหาพร้อมกับถอดเสื้อออก ภาพความทรงจำไม่ปะติดปะต่อเด่นชัดขึ้น ชายตรงหน้าทำอย่างเดียวกันนี้กับแม่ ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในหัวใจส่งให้ร่างกายสั่นเทิ้ม แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออะไร แต่สองเท้าน้อยๆ ก็ออกวิ่ง ไม่สนเสียงตะโกนขู่ด่าทอ ไม่เกรงกลัวต้อฟ้าฝนที่โหมกระหน่ำ ไม่หยุดแม้เท้าเปลือยเปล่าจะเจ็บแปลบและชุ่มโชก

 

 

               เขาเพียงต้องวิ่ง ต้องหนีไปให้ไกลจากที่นี่...

 



 

 

               ฝนยังกระหน่ำทิ้งตัวลงมาไม่ขาดสาย ลมแรงพัดโหยหวนมาเป็นระยะ และฟ้าสีดำยังคงร้องคำรามลั่นหลังแสงสว่างวาบเหนือชั้นเมฆ เด็กชายตัวจ้อยนั่งกอดเข่าอยู่ใต้เสาไฟนีออน ข้างถังขยะสีเหลือง เปียกปอนไปทั้งตัวแต่กลับไร้หยดน้ำตา เขาสิ้นไร้หนทางไปต่อ เด็กน้อยที่ไม่เคยมีคนสอนให้เรียนรู้ชีวิต เขาไม่เคยไกลเกินกว่าหัวมุมสะพานอีกฝั่งที่เป็นคุ้มชุมชนแออัดไม่ต่างกับที่ตนอาศัยอยู่ ครั้งนี้เขาจึงเคว้งคว้าง อยู่ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงไฟถนนกับเสียงฝนซัดสาดเป็นเพื่อน

 

 

               กาลเวลาที่คล้ายชั่วนิรันดร์ในสายฝนพลันหยุดลงเมื่อมีเงาร่างหนึ่งหยุดยืนอยู่ไม่ไกลนัก

 

 

               “มานั่งทำอะไรตรงนี้” ชายร่างสูงโปร่งถือร่มสีดำสนิท ในมืออีกข้างคีบบุหรี่ไว้ เขาดูไม่น่าเข้าหาเท่าไหร่เพราะคิ้วที่ขมวดมุ่นกับดวงตาที่เรียบเฉยคล้ายไม่ไยดีต่อสิ่งใด เด็กชายเงยหน้าขึ้น ไม่ได้ตอบคำถาม รู้เพียงว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือนเพราะน้ำฝนที่ตกใส่ดวงตา

 

 

               “เข้าไปข้างในก่อนเถอะ อยู่อย่างนี้เดี๋ยวจะป่วยเอา” ความอบอุ่นจากมือที่ยื่นมาตรงหน้า แผ่ซ่านไปทั่วทั้งที่ยังไม่ทันได้สัมผัส แล้วภาพตรงหน้าก็ยิ่งพร่าเลือนยิ่งกว่าเก่าเพราะคราวนี้มีน้ำฝนที่ไหลออกจากตาผสมมาด้วย เด็กชายกลั้นเสียงสะอื้น หวังว่าสายฝนจะช่วยกลบรอยน้ำตาให้คนตรงหน้าจะไม่รู้ว่าเขาร้องไห้แล้วทุบตีอย่างที่เคยโดนมา และดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาหวัง

 

 

               ส่วนคนแปลกหน้าที่ผ่านมาในละอองฝน แม้รับรู้ว่าร่างเล็กในอ้อมแขนที่เขาโอบอุ้มไว้จนตัวเองต้องเปียกปอนสั่นไหวด้วยแรงสะอื้นที่ไร้เสียง เขาก็ไม่พูดอะไรออกมา

 

 


 

...TBC.

 


หัวข้อ: Re: Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 1 [19.03.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 19-03-2020 19:02:47

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 1


 

               แก้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบแปดปีเต็ม เป็นเจ้าของบ้านเดี่ยวสองชั้นที่ตั้งอยู่ในเขตรั้วถัดจากเสาไฟที่ทั้งคู่พบกัน เขาพาเด็กน้อยที่บังเอิญเจอขณะเดินกลับบ้านหลังจากที่ไปดื่มกับเพื่อนที่ทำงานมาตรงไปยังห้องน้ำ จัดแจงปรับอุณหภูมิน้ำให้อุ่นขึ้นแล้วเปิดใส่ถังใส่น้ำใบใหญ่พอที่จะให้เด็กหกขวบที่ผอมกว่าเกณฑ์ลงไปแช่ได้ทั้งตัว ขณะรอน้ำก็ถอดเสื้อผ้าเปียกชื้นของเจ้าหมาจรที่เก็บมาตัวนี้ออกจนหมด ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นรอยช้ำตามตัว รวมถึงรอยแผลที่แขนบอบบางข้างนั้นด้วย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พอน้ำได้ระดับก็ยกเด็กลงไปแช่ในถังอย่างระมัดระวัง

 

 

               “อยู่ในนั้นไปก่อนนะ” ชายหนุ่มหันมาบอกเจ้าหมาน้อยที่มองตามเขาด้วยดวงตาแดงก่ำแต่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ก่อนจะหายขึ้นไปบนบ้านชั้นสองแล้วกลับลงมาพร้อมผ้าเช็ดตัวสองผืน ผืนหนึ่งพาดบนบ่าของตัวเอง อีกผืนพาดไว้บนราว ก่อนจะนั่งยองลงมาเปิดน้ำจากฝักบัวใส่หัวที่เริ่มเย็นชื้นให้อุ่นขึ้น เทแชมพูใส่แล้วช่วยสระผมไม่ได้ทรงนั้นอย่างเก้ๆ กังๆ เขาไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ทั้งยังไม่ใช่คนพูดเก่งหรือใจดี แต่ก็ไม่ได้ใจดำถึงขนาดจะปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ นั่งตากฝนอยู่ข้างถังขยะจนถึงเช้า

 

 

               ไม่มีบทสนทนา เด็กชายนั่งสูดขี้มูกอยู่บนโซฟาหน้าทีวีในห้องนั่งเล่น พร้อมกับการ์ตูนที่ถูกเปิดทิ้งไว้ให้ดูในขณะที่เจ้าของบ้านเข้าไปอาบน้ำ ไม่นานแก้วก็เดินกลับออกมาในชุดที่แห้งสนิท มีเพียงเส้นผมที่ยังเปียกชื้น

 

 

               “ยื่นแขนมาสิ” เจ้าของบ้านสั่ง เด็กน้อยก็ทำตามอย่างว่าง่าย แผลที่ถูกพลาสติกบาดเมื่อเย็นนั้นโดนน้ำจนหนังรอบๆ ดูบางใสจนเกือบเปื่อยยุ่ย ทั้งยังแผลใต้ฝ่าเท้าน้อยที่ถูกเศษแก้วบาดอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าแผลที่แขนเสียอีก ถ้าปล่อยไว้อีกไม่นานคงเป็นหนองเพราะติดเชื้อ ถึงแผลจะไม่ใหญ่และไม่ลึก แต่ก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นอยู่ดี ชายหนุ่มเทน้ำเกลือใส่สำลีแท่งเพื่อจะล้างแผลให้ แตะเบาๆ ลงไปที่ปากแผลแล้วลงมือทำความสะอาดอย่างเบามือทั้งสองจุด พอทำแผลเสร็จขณะที่มองดูเผื่อว่ามีแผลตรงไหนอีกจะได้ทำแผลให้ทีเดียว ตาก็เหลือบไปเห็นข้อนิ้วที่เริ่มขึ้นสีม่วงช้ำ

 

 

               มือใหญ่เลื่อนไปจับมือเล็กเพื่อตรวจดูอาการ แต่เด็กชายกลับสะดุ้งเกร็งตัวแข็งทื่อ ดวงตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปที่มือที่ถูกจับ แต่ปากกลับเม้มแน่น เขาเคยเห็นเด็กแบบนี้แถวๆ คุ้มชุมชนริมคลองมาบ้าง เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความหวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวจะโดนตี แต่เด็กคนนี้แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา แค่จะร้องเพราะเจ็บยังไม่กล้าเลย

 

 

               “เจ็บเหรอ” คนโตกว่าเอ่ยเสียงเบา เช่นเดียวมืออุ่นที่กอบกุมมือเล็กเอาไว้หลวมๆ “ถ้ามันเจ็บจะร้องไห้ก็ได้นะ”

 

 

               เด็กชายเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ ตลอดทั้งชีวิตหกปี คำที่เขารู้จักก็มีแต่คำว่าอดทนไว้นะ ไม่เคยมีใครบอกเขาว่าจะร้องไห้ก็ได้เลยสักคน แต่ผู้ชายคนนี้กลับพูดออกมาอย่างง่ายดายราวกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เมื่อกี้ตอนที่เขาร้องไห้ในห้องน้ำก็ไม่ตีเขา ไม่ด่าทอเขา มีเพียงฝ่ามืออุ่นที่สระผมให้เขาเงียบๆ

 

 

               หยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาก่อนที่จะได้ยินเสียงสะอื้นไห้ เด็กชายหน้าบิดเบี้ยวปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาราวกับจะแข่งขันกับท้องฟ้าทมิฬด้านนอก ว่าค่ำคืนใครจะร่ำไห้จนเปียกปอนได้มากกว่ากัน เขากำมือเรียวข้างนั้นเอาไว้แน่น แม้นิ้วจะเจ็บแต่หัวใจกลับอบอุ่น และเพราะเป็นความอบอุ่นที่ไม่เคยได้สัมผัส เด็กชายถึงคว้ากำไว้แนบอก หวงแหนหวาดกลัวว่าหากปล่อยมันไปแล้วเขาจะไม่มีวันรับรู้ถึงมันได้อีก

 

 

               หลังจากที่แม่จากไป เด็กชายไม่ได้ร้องไห้บ่อยนัก หรือจะเรียกว่าหลังจากช่วงนั้นที่เขาร้องไห้แล้วถูกพ่อปลอบประโลมด้วยการทุบตี เขาก็ไม่เคยได้ร้องไห้ออกมาอีกเลย และเพราะอย่างนั้นการร้องไห้ครั้งนี้จึงทำให้เด็กชายเหนื่อยล้า เปลือกตาหนักอึ้งแม้จะยังคงมีหยาดน้ำรินไหล ฝ่ายที่ถูกมือเล็กเกาะไว้สังเกตเห็นเลยใช้มืออีกข้างเอื้อมไปโน้มหัวทุยให้ซบลงมาบนตัก ลูบผมที่อ่อนนุ่มสะอาดสะอ้านขับกล่อมให้เข้าสู่ห้วงนิทรา

 

 

               โชคไม่เข้าใจเลย ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่โมโหแม้น้ำมูกน้ำตาเขาจะเปรอะเปื้อนกางเกงขายาวที่อีกฝ่ายสวมใส่ ไม่รำคาญแม้ว่าเขาจะยึดกอดมือไว้แน่น ไม่บอกให้เขาหยุดร้องหรือขอให้เข้มแข็ง และทั้งที่เขาไม่ได้เรียกร้อง มือข้างนั้นก็ยังยื่นมาให้คว้าจับ เด็กชายอายุหกขวบไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่เขาก็ยินดีที่ค่ำคืนนี้มีความอบอุ่นโอบกอดเขายามหลับใหล

 

 

               แก้วลูบสางผมชี้ชี้โด่เด่ไร้ทรงเล่นจนเจ้าของศีรษะเล็กนั้นผล็อยหลับไป ลมหายใจสม่ำเสมอ ดวงตาชุ่มชื้นปิดไม่สนิทนัก และอุณหภูมิบนหน้าผากก็สูงกว่าที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มไม่มีความรู้เรื่องการดูแลคนป่วยสักนิด โดยเฉพาะกับเด็กเล็กอย่างนี้ ตัวเขาหากป่วยก็แค่กินยา ดื่มน้ำอุ่น แล้วก็นอนพักสักงีบ เพราะงั้นเขาเลยไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าอุ้มเด็กชายขึ้นซบบ่า จัดแจงปิดโทรทัศน์และไฟชั้นล่างจนหมด แล้วพาย้ายขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นบน

 

 

               ชั้นสองของบ้านหลังนี้มีห้องอยู่สามห้อง เป็นห้องนอนใหญ่หนึ่ง ห้องนอนเล็กหนึ่ง และห้องเก็บของ แต่เพราะห้องนอนเล็กไม่ได้ถูกใช้มานานจึงกลายเป็นที่รวมฝุ่นจนไม่สามารถยัดเหยียดให้คนป่วยเข้าไปนอนได้ แก้วพาเด็กชายแปลกหน้าเข้าไปในห้องนอนตน จัดแจงที่นอนฝั่งหนึ่งให้ร่างเล็ก ห่มผ้าผืนหนาให้แล้วตัวเองไปรื้อเอาผ้าห่มจากตู้มาปีนขึ้นเตียงนอนฝั่งที่เหลือ
 

 


               รุ่งสางแก้วตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน หันมองเห็นร่างไม่คุ้นเคยที่ซุกตัวเข้ามาเบียดแขนตนราวกับหาไออุ่น เขาวางมือลงบนหน้าผากเล็ก วัดดูอุณหภูมิแล้วพบว่ามันลดลงจากเดิมเล็กน้อย ช่างประหลาดที่เด็กคนนี้ตัวเล็กบอบบางแต่กลับแข็งแรงกว่าที่คิด เขาพลิกตัวตะแคงมองผู้อาศัยไร้ชื่อโดยที่สมองว่างเปล่า เด็กน้อยไม่ได้มีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด ทั้งยังมีเครื่องหน้าค่อนข้างชัด หากโตไปก็คงพอดูได้ แต่แก้วไม่ได้คิดจะเลี้ยงเด็กคนนี้หรือคนไหน เขาไม่ได้สนใจว่าเด็กคนนี้จะเติบโตไปอย่างไร หรือร่องรอยบนตัวนั่นได้มาจากไหน เขาเพียงแค่ปล่อยเด็กคนหนึ่งเอาไว้ข้างถนนในคืนพายุเข้าไม่ได้ก็เท่านั้น ความรู้สึกก็คงคล้ายกับหมาจรที่พอเห็นก็อยากแบ่งลูกชิ้นในมือให้

 

 

               แก้วรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสาย เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยง เด็กชายที่นอนหลับเพราะพิษไข้ยังคงหลับใหลในความฝัน เสียงท้องครางประท้วงให้รับรู้ว่าน้ำย่อยต้องการทำหน้าที่ของมัน ชายหนุ่มลุกขึ้นบิดตัว เดินเอื่อยลงไปชั้นล่าง จัดการล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เข้าครัวไปทำอาหารง่ายๆ โดยที่เลือกเอาเมนูรสอ่อนเพื่อให้คนป่วยกินด้วยได้

 

 

               ข้าวต้มปลาหอมฉุยแม้หน้าตาจะดูแปลกไปจากที่คนทำคาดไว้ แต่รสชาติก็จัดว่าพอกินได้อยู่ เขายกถ้วยทั้งสองใบขึ้นไปบนห้องนอน เขย่าปลุกเด็กน้อยให้ตื่นขึ้นมากินข้าวกินปลา เด็กชายตื่นขึ้นมาอย่างสับสน เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนหรือคนตรงหน้าเป็นใคร แต่เพราะตรงหน้ามีอาหาร เด็กชายก็ไม่ลังเลที่จะอ้าปากกินมันเข้าไป พอกินเสร็จดวงตาบวมเป่งเพราะร้องไห้อย่างหนักนั้นก็ปรือลงอีกครั้ง อุณหภูมิลดลงจากเมื่อคืนแต่ใบหน้ากลับแดงขึ้นกว่าเก่า แก้วเลยปล่อยให้อีกฝ่ายนอนพักต่อ พร้อมกับผ้าชุบน้ำที่วางโปะบนหน้าผากตามที่เขาจำได้เลาๆ ว่าแม่เคยทำให้ตอนเด็ก

 

 

               ตกบ่ายแก่ เด็กชายลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในห้องว่างเปล่า ผ้าชุบน้ำบนหน้าผากถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นเจลลดไข้สีฟ้า อากาศภายนอกยังคงชื้นแฉะจากฝนที่ตกหนักมาตลอดคืน รวมถึงที่โปรยลงมาอีกทีตอนช่วงบ่าย โชคกำผ้าห่มในมือแน่นคล้ายไม่แน่ใจว่าความอบอุ่นเมื่อคืนเป็นความจริงหรือแค่ความฝัน

 

 

               “ตื่นแล้วเหรอ” ประตูห้องเปิดออก ชายผู้ปรากฏตัวกลางพายุฝนก้าวเข้ามาพร้อมกับกระติกน้ำเก็บความร้อน แก้วเทน้ำอุ่นส่งให้เด็กชายจิบ เด็กชายรับมาด้วยสองมือ ยกดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วส่งคืน สีหน้าแววตาที่มองมาเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึกจนแยกไม่ออกว่าไปในด้านที่ดีหรือด้านลบมากกว่ากัน

 

 

               “แล้วนี่ชื่ออะไรล่ะ” แก้วไม่ติดใจกับสีหน้าที่แสดงออกมา เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ถึงกับเรียกได้ว่าอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างซะทีเดียว ภายในห้องนอนเงียบสนิทอยู่นานกว่าเด็กชายจะยอมปริปาก

 

 

               “ชื่อโชค...คับ” คำลงท้ายดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ เด็กน้อยไม่มีโอกาสพูดกับคนอื่นมากนัก ส่วนมากก็แค่พูดคุยยายแก่ข้างบ้าน และก็เป็นคนเดียวกับที่สอนให้เด็กชายพูดจาลงหางเสียงกับผู้ใหญ่ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยได้ใช้เลยก็ตาม

 

 

               “ฉันชื่อแก้ว” แก้วเว้นจังหวะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “เรียกน้าแก้วก็ได้”

 

 

               “...น้าแก้ว” เด็กชายเอ่ยทวนด้วยเสียงเบาหวิว และไม่คุ้นเคย

 


 

 



               ตลอดวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่บ้านของแก้วมีแขกตัวน้อยอาศัยอยู่ด้วย ชายหนุ่มทาบอุ้งมือบนหน้าผากเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิของเด็กชาย มันลดลงมากจนเกือบปกติแล้ว ถึงจะยังมีน้ำมูกอยู่บ้างก็ตาม ส่วนแผลที่แขนและเท้าที่กลัวว่าจะติดเชื้อจนอักเสบกลับไม่เป็นอย่างที่กลัว หลังจากดูแลใส่ยามาสองวันปากแผลก็เริ่มสมานกัน โดยทิ้งสะเก็ดแผลเอาไว้บนผิวเนื้อให้เห็นชัดเจน

 

 

               “นอนอีกหน่อยก็ได้” แก้วผละมือออกจากเด็กชาย เท่าที่ดูอาการ หากให้นอนอีกสักงีบก็คงหายแล้ว โชคพยักหน้ารับแล้วทิ้งตัวกลับลงไปนอนบนเตียงที่เขาจับจองครึ่งหนึ่งมาถึงสองคืน เด็กชายง่วงงุนเพราะยังไม่หายดี แต่ก็รู้สึกดีขึ้นกว่าคืนแรกมากโข

 

 

               แก้วลงมาชั้นล่าง หน้าต่างไม้บานพับทรงเก่าของห้องนั่งเล่นเปิดกว้างเช่นเดียวกับบานประตู ม่านผ้าลายดอกไม้เล็กๆ ที่ติดตั้งมาตั้งแต่รุ่นแม่หรือนานกว่านั้นถูกรวบมัดหลีกทางให้ลมและแสงสาดเข้าบ้านได้สะดวก เขานั่งลงบนโซฟาที่ตั้งชิดขอบหน้าต่าง บนโต๊ะไม้ตรงหน้ามีที่เขี่ยบุหรี่ทรงกลมสีใสวางอยู่ ภายในนั้นอัดแน่นด้วยก้นกรองและเศษขี้เถ้าจากการเผาไหม้

 

 

               แก้วเป็นนักสูบตัวยง จุดเริ่มต้นการสูบของเขาคือตอนม.ปลาย ตอนแรกก็แค่ลองตามเพื่อน พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังคงสูบเรื่อยๆ ทั้งช่วยแก้เบื่อหรือเวลาที่คิดงานไม่ออก จนพอมาทำงาน อาชีพสถาปนิกของบริษัทรับออกแบบบ้านขนาดกลางแห่งหนึ่งที่มีพนักงานไม่มากนักเมื่อเทียบกับปริมาณงาน ทำให้เขาต้องทำงานอย่างหนักตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นชีวิตวัยทำงาน ในระยะเวลาสามปีที่ทำงานที่นั่น แก้วสูบจัดขึ้นถึงกว่าสองซองต่อวัน แต่หลังจากที่มีรุ่นพี่ชวนออกมาร่วมหุ้นเปิดบริษัทของตัวเองและเขาตอบตกลง สองปีหลังมานี้งานจึงลดลงจนมีเวลาว่างบ้าง รวมถึงปริมาณการสูบของเขาก็ลดลง จากวันละสองเหลือวันละซอง หรือน้อยกว่านั้น แต่ยังไงแก้วก็ยังจัดว่าเป็นสิงห์อมควันอยู่ดี

 

 

               ควันขาวถูกพ่นออกมาตามลมหายใจ ก่อนล่องลายหายออกไปทางบานหน้าต่าง แก้วนั่งเอนตัวด้านข้างพิงพนักโซฟา ทอดสายตามองออกไปยังสวนข้างบ้าน ต้นมะม่วงใหญ่ในสวนมีชิงช้าทำมือถูกผูกยึดเอาไว้กับกิ่งแข็งแรง เชือกสีขาวเปื่อยตามกาลเวลาเช่นเดียวกับไม้กระดานที่ใช้ทำที่นั่งผุพังจนใช้การไม่ได้ แต่บริเวณสวนโดยรอบยังคงเขียวขจี ดอกไม้ต้นไม้ที่อายุยืนพอๆ กับเจ้าของคนปัจจุบันยังคงผลิดอกออกใบสวยเพราะชายหนุ่มชอบใช้เวลาว่างรดน้ำให้มันอยู่เสมอ

 

 

               บรรยากาศร่มรื่นน่านอนส่งให้เปลือกตาหย่อนลง แก้วคาบบุหรี่ไว้ในปากจนไฟแดงฉานลามเข้ามาใกล้โคน เศษขี้บุหรี่ตรงปลายเกาะยึดกันไว้หลวมๆ ปริ่มจะร่วงหล่นใส่เฟอร์นิเจอร์ ชายหนุ่มรู้สึกตัวก่อนที่มันจะตกลงเปรอะเปื้อน ส่งแท่งนิโคตินใกล้มอดไปขยี้ในที่เขี่ยแล้วทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กยืนอยู่หลังฉากไม้โปร่งที่ใช้กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นกับบันไดบ้านและส่วนครัวด้านหลังออกจากกันให้เป็นสัดส่วน

 

 

               “ตื่นแล้วเหรอ” เด็กชายพยักหน้าแต่ไม่ตอบ แก้วเป็นคนพูดน้อย แต่พออยู่กับเด็กคนนี้เขากลับรู้สึกว่าตัวเองพูดมาก หรือจะเรียกว่าพูดคนเดียวเลยมากกว่า เมื่ออีกฝ่ายแทบไม่โต้ตอบอะไรกลับมาเลย จนอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเด็กนี่อาจจะพูดไม่เป็น แบบที่พัฒนาการช้าอะไรแบบนั้น แต่จากที่ดูมาเขาก็ปัดความคิดนั้นตกไป เด็กน้อยที่อายุไม่มากคนนี้มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยไปมากแล้ว ดวงตา สีหน้า ท่าทาง ทุกอย่างดูราวกับไม่ใช่เด็ก อาจจะเพราะในระหว่างการเติบโต เด็กน้อยต้องเผชิญกับโลกใบนี้มากกว่าที่เด็กวัยเดียวกันควรได้เจอ

 

 

               “มานั่งสิ” เจ้าของบ้านตบที่ว่างข้างตัว เด็กชายทำตาม

 

 

               ความเงียบงันก่อตัวอีกครั้ง แก้วไม่ได้รังเกียจความสงบยามบ่ายแบบนี้ เขาเอนตัวพิงเบาะนุ่ม ยกเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะไม้ หลับตาลงพักผ่อนยามบ่าย ในขณะที่เด็กชายที่นอนมาเต็มที่ตลอดสองวันกลับไม่ง่วงสักนิด โชคไม่เข้าไปรบกวนชายหนุ่ม แม้เขาจะรับรู้ได้ว่าต่อให้เขาก่อกวน น้าแก้วคนนี้ก็จะไม่ลงไม้ลงมือกับเขาอย่างแน่นอน แต่โชคก็ยังคงนั่งนิ่ง กอดเข่าใต้เสื้อนอนตัวเขื่องที่ไม่ใช่ของตนเอาไว้ รอจนคิดว่าเจ้าของบ้านหนุ่มหลับสนิทดีแล้ว มือน้อยค่อยเอื้อมไปแตะหลังมือที่ประสานกันไว้บนท้องน้อย ค่อยๆ สัมผัสความอบอุ่นที่สับสนอยู่ในใจว่าเป็นจริงหรือความฝัน

 

 

               ฝ่ายคนถูกแอบจับมือยังไม่หลับเสียทีเดียว ดวงตาสีเข้มปรือขึ้นมองดูอากัปเก้กังของเด็กชาย แต่ไม่ได้ท้วงติงอะไร ปล่อยให้มือเล็กสำรวจมือเขาได้ตามใจชอบ ผ่านไปสักพักก็รู้สึกหนักที่หน้าตัก หัวทุยทิ้งลงมาซุกอยู่บนหน้าขา มือน้อยกอบกุมมือใหญ่ไว้ด้วยสองมือ ราวกับจะส่งคืนความอบอุ่นที่ได้รับให้เจ้าของ แก้ววางมืออีกข้างที่ยังเป็นอิสระลงบนหน้าผากเล็ก เช็คดูความร้อนที่กลับสู่ปกติแล้วทิ้งมือไว้อย่างนั้น

 

 

               สองคนในบ้านเงียบงัน ไม่รู้สึกหนาวแม้ด้านนอกจะมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา เพราะความร้อนที่ส่งผ่านมือทั้งสองคู่ที่สัมผัสกันและกัน ก็มากมายเพียงพอแล้วที่จะช่วยไล่ไอเย็นชื้นให้จางหายไป

 

 



 

...TBC.

ฝากคอมเม้นให้กำลังใจกันด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 1 [19.03.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-03-2020 20:18:56
สงสารน้อง~ :hao5:
หัวข้อ: Re: Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 2 [27.03.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 27-03-2020 15:08:56
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้


ตอนที่ 2


 

               เช้าวันจันทร์มาถึง แก้วออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อไปทำงาน บอกกับเด็กชายที่ยังคงนอนอุตุอยู่บนเตียงของเขาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าตัวเองจะไม่อยู่ แต่ก็ทำอาหารง่ายๆ ทิ้งไว้ในตู้กับข้าว แต่ก็ไม่ได้บอกว่าให้รอตัวเองกลับมาหรือให้รีบออกจากบ้านไปเช่นกัน

 

               เมื่อถึงตอนเย็นแก้วกลับมาถึงบ้านตอนช่วงก่อนมืด แต่ในบ้านกลับมืดสนิทและประตูไม้ยังเปิดอ้าทิ้งไว้ มีเพียงประตูมุ้งลวดชั้นในที่ถูกปิดกั้นไม่ให้ยุงเข้าบ้าน เขาเข้าไปในบ้าน เดินขึ้นชั้นสองเพื่อตามหาเด็กชายแต่ก็ไร้เงาแขกตัวน้อย พอลงมาที่ครัว เปิดตู้กับข้าวดูก็เห็นไข่เจียวที่ถูกกินไปเกินครึ่งเก็บอยู่ที่เดิม ในอ่างล้างจานมีจานข้าวที่ยังไม่ได้ล้างทิ้งไว้ นอกจากร่องรอยในครัวและเตียงนอนที่ยังไม่ได้เก็บบนชั้นสอง ก็ไร้วี่แววว่าเคยมีคนอื่นอยู่ในบ้านหลังนี้นอกจากตัวเขา

 

               แก้วไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าคนเคยให้อาหารหมาจรครั้งหนึ่ง แล้ววันต่อมาเจ้าหมาตัวนั้นก็หายไปจากที่เดิม เขาเก็บล้างจานหลังจากที่กินข้าวกับปลาทูและไข่เจียวที่เหลือในตู้เป็นมื้อเย็น จากนั้นก็ไปสูบบุหรี่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับเปิดกระเป๋าเอาเอกสารเกี่ยวกับงานที่บริษัทเล็กๆ ซึ่งเขาร่วมหุ้นเป็นเจ้าของด้วยออกมาดู จากนั้นก็อาบน้ำแล้วกลับมาสูบบุหรี่พลางดูหนังจนดึก แล้วจึงกลับขึ้นไปบนห้องนอน จัดแจงที่นอนให้กลับเป็นเหมือนเก่าแล้วนอนกลางเตียงแบบที่เขาทำประจำเวลาอยู่คนเดียว เข็นนาฬิกาแปะผนังยังไม่บอกเวลาเข้าวันใหม่ ชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไปแล้ว

 



 

               โชคกลับมาที่บ้านในชุมชนแออัดข้างคลองหลังจากหายหน้าหายตาไปสองวันสามคืน เขาออกจากบ้านไม้หลังเก่าสีขาวที่ยังมั่นคงแข็งแรงตอนเย็น เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเพื่อประวิงเวลากลับสู่ห้องเงียบเหงาที่หนาวเหน็บแม้ในวันอากาศร้อนออกไป จนพลบค่ำแล้วจึงค่อยลัดเลาะกลับสู่ที่ของตน เด็กน้อยหวั่นใจว่าพ่อของเขาจะยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่ขามกลับมาก็อยู่เพียงครึ่งวันไม่ก็คืนเดียวเท่านั้นแล้วจากไปอีก แต่เขาก็ยังกลัวอยู่ดี กลัวว่าถ้ากลับไปเจอพ่อที่โมโหเพราะเขาวิ่งหนีออกมาในคืนนั้นแล้วจะถูกทารุณ หากโดนทุบตีเหมือนเก่าก็คงไม่เป็นไร เด็กชายคิดอย่างนั้น แต่หากพ่อทำเหมือนกับที่ทำกับแม่ของเขา เหมือนกับที่จะทำกับเขาเมื่อคืนนั้น เขาคงได้วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปอีกแน่

 

               แต่คราวนี้อาจจะไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตัวเองควรหลบไปอยู่ที่ไหน

 

               “ไอ้โชค หายหน้าไปไหนมาล่ะเอ็ง” เสียงร้องทักลุงเก๋า ชายสูงวัยที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้นำชุมชนแห่งนี้ร้องทัก เขารับรู้เรื่องราวของเด็กชายอับโชคคนนี้ดีพอๆ กับทุกคนในชุมชน แต่เพราะขามเป็นนักเลงหัวไม้ที่เคยพลั้งมือฆ่าคนตายสมัยยังหนุ่ม เลยไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเด็กชายเวลาที่ถูกทารุณ อย่างมากก็ช่วยยายหอมหาข้าวหาน้ำให้เด็กมันบ้างบางเวลา อาจจะดูใจดำแต่ในสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนในย่านนี้ ไม่มีใครอยากเพิ่มภาระและหาปัญหาใส่ตัวเพิ่มหรอก ซึ่งเด็กชายไม่ได้เข้าใจถึงเหตุผลลึกซึ้ง แต่ก็รับรู้ได้ถึงปลายทางของมัน

 

               “เอ็งกลับบ้านไปเถอะ ไอ้ขามคงหายไปสักพักนั่นแหละ เห็นบอกว่าจะไปทำงานที่ชลบุรี” ลุงเก๋าเดาความกังวลได้จากแววตาขมขื่นของเด็กชาย วางมือลงบนหัวทุยเล็กแล้วขยี้เบาๆ ก่อนเดินจากไป

 

               โชคกลับมาที่ห้องโกโรโกโส ประตูไม้ผุบานนั้นยังคงใช้งานได้อยู่ เขาผลักให้แง้มเปิดเข้าไปเบาๆ มองไปทั่วบริเวณคับแคบด้วยความระแวง และเมื่อไร้เงาของผู้เป็นพ่ออย่างที่หัวหน้าชุมชนว่าไว้จริงๆ จึงค่อยเดินเข้าไป

 

               “โชคเอ๊ย หายไปไหนมาล่ะ” เสียงแหบของหญิงชราดังผ่านความมืดมาก่อนที่ไฟดวงน้อยเหนือประตูหลังที่เชื่อมสู่ที่ซักล้างหลังบ้านข้างๆ จะติดขึ้น ยายหอมโผล่ออกมาอย่างแช่มช้าตามสังขารที่ร่วงโรย รอยยิ้มอ่อนโยนเหนื่อยล้าผุดขึ้นมาบนใบหน้าเหี่ยวย่น โชคนั่งยองมองผืนน้ำอยู่บนท่าหลังบ้านตนขยับตัวหันไปหายายแก่ผู้มีคุณ

 

               “บ้านน้าแก้ว..” เสียงพูดไม่ดังนักแต่ก็ฟังได้ยินเพราะระยะห่างที่ไม่มากนักระหว่างทั้งสอง

 

               “ใครล่ะนั่น”

 

               “น้าแก้ว.. พาไปที่บ้าน ให้นอนเตียง ให้กินข้าว อาบน้ำ..” คำบอกเล่าของเด็กหกขวบค่อยๆ เป็นเรื่องเป็นราวเมื่อใจเย็นพอที่จะรอฟัง โชคเล่าเรื่องของชายแปลกหน้าให้ยายแก่ฟังด้วยถ้อยคำสั้นๆ ที่ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ปากเล็กก็ขยับไม่หยุด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเห็นเด็กชายตั้งใจพูดมากขนาดนี้

 

               “แล้วได้บอกขอบคุณเขารึยังล่ะ หืม”

 

               “...” เด็กชายนิ่งไป ไม่เข้าใจความหมายที่ยายแก่พูด

 

               “โชคเอ๊ย ถ้ามีใครให้อะไรมา หรือทำอะไรดีๆ กับเรา เอ็งก็ต้องขอบคุณเขานะรู้ไหม” ยายแก่ระบายยิ้มจางขณะเอ่ยสอน เธอลืมไปว่าเด็กน้อยตรงหน้านี้เป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไม่มีใครสอนสั่งอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่คลอดมาแม่เด็กให้นมอยู่แค่ครึ่งปีด้วยความเป็นแม่ แต่หลังจากนั้นก็ทิ้งขว้างไม่ได้ใยดีสัดเท่าไหร่ พอเด็กไปปีกว่ายังไม่พูดสักคำ ยายแก่ข้างบ้านเลยสงสารยืนมือไปโออบอุ้มคุยเล่นหยอกเล่นจนเด็กเริ่มอ้อแอ้ หลังจากนั้นเด็กชายที่อาศัยนอนกับพ่อแม่ในตอนกลางคืน ตอนกลางวันก็จะมาอยู่ในอ้อมแขนของยายแก่ แต่ยายหอมที่เคยเลี้ยงเด็กเล็กเมื่อนานมาแล้วก็หลงลืมความรูสึกตอนนั้นไปบ้างก็ทำได้แค่เลี้ยงไปตามมีตามเกิด แค่พอให้อยู่ได้ในโลกใบเล็กของที่แห่งนี้ เพราะงั้นเรื่องมารยาทหรือการเข้าสังคมของเด็กชายจึงแทบเป็นศูนย์ แต่ก็หวังว่าจะไม่สายเกินไปที่จะสอนเอาตอนนี้

 

               “ขอบคุน..” เด็กชายลองพูด

 

               “ขอบคุณครับ” ยายแก่ช่วยเติม

 

               “ขอบคุณครับ” คำพูดชัดถ้อยชัดคำตามที่ถูกสอน ดวงตาคู่น้อยมองตรงหมาที่หญิงชรายามที่เอ่ยปาก ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ แต่หัวใจเหี่ยวเฉาของผู้ฟังกลับรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างประหลาด ถ้อยคำเพียงคำเดียวก็ทำให้หญิงแก่น้ำตาคลอ แม้เด็กชายอาจจะไม่เข้าใจความหมายและไม่ได้สื่อถึงตน แต่หยดน้ำตาก็ยังหลั่งรินออกมาอยู่ดี

 

               “ยาย?” โชคตกใจที่เห็นยายข้างบ้านร้องไห้ เขากระวนกกระวายไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ยายร้องไห้เพราะอะไร แล้วยายจะโดนตีหรือเปล่า สายตาหวาดระแวงมองไปรอบตัว หากเขาถูกตีก็ไม่เป็นไรเพราะชาชินไปแล้ว แต่กับหญิงแก่ตรงหน้า เขาไม่อยากให้โดนตี ไม่ใช่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอหลังผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้คนสำคัญตรงหน้าต้องเจ็บอย่างที่เขาเคยเผชิญ

 

               หญิงชราส่งยิ้มหลังเช็ดน้ำตา ปลอบประโลมเด็กชายที่กระโดดข่ามาที่ท่าน้ำหลังบ้านตนอย่างรีบร้อนด้วยอุ้มมือหนาวางลงบนศีรษะเล็ก ลูบไล้มันอย่างอ่อนโยน

 

               “ยายเจ็บตรงไหน”

 

               “ยายไม่ได้เจ็บตรงไหนหรอก”

 

               “แต่ยายร้องไห้”

 

               “ยายร้องไห้เพราะยายดีใจ” หญิงชรายิ้ม รู้ว่าเด็กชายไม่เข้าใจสิ่งที่เธอบอก แต่ก็ไม่คิดว่าคำอธิบายจะช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจได้มากขึ้นเลยไม่พูดออกไป สองมือดึกเด็กน้อยมาโอบกอด หัวเล็กซบลงกับพุงโย้หนาเพราะชั้นไขมัน โชคไม่ยืนนิ่งให้ยายหอมกอด โดยที่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนดีใจถึงต้องร้องไห้

 

 

 

               สองสามวันต่อมาในช่วงบ่าย โชคยืนชะเง้อคอมองข้ามรั้วเตี้ยที่สูงท้วมหัวเขาไปนิดหน่อยเพื่อมองดูบ้านไม้สีขาวด้านใน ประตูบานพับที่เคยเปิดกลับปิดสนิทล็อกกุญแจจากด้านนอก แต่หน้าต่างทั่วบ้านถูกเปิดทิ้งไว้เหมือนยามมีคนอยู่ เด็กชายไม่มีที่ไปอื่นจึงป้วนเปี้ยนอยู่หน้าประตู รอจนฟ้าเริ่มมืดยุงเริ่มตอม ในที่สุดคนที่เขาตั้งใจมาหาก็กลับมาบ้านเสียที

 

               ไม่มีคำทักทาย แก้วแค่เดินไปไขกุญแจรั้วแล้วเดินนำเข้าไปเปิดบ้านโดยมีเจ้าหมาจรตัวเดิมเดินตามต้อยๆ พอเปิดบ้านเปิดไฟเรียบร้อย เจ้าบ้านก็เอาถุงกับข้าวเข้าไปเทจัดจานในครัว ขณะที่แขกตัวน้อยยืนอยู่ตรงซุ้มกรอบไม้ขนาดเท่าประตูห้องทั่วไปที่เป็นทางเชื่อระหว่างบ้านกับครัว โชคไม่รู้ว่าเขาควรทำอะไร ที่มาวันนี้ก็แค่เพราะยายแก่ข้างบ้านบอกว่าเขาควรจะพูดบางสิ่งกับเจ้าของบ้านเท่านั้น

 

               “มากินข้าวสิ” ชายหนุ่มในครัวหันมาเรียกเมื่อเตรียมสำรับพร้อมแล้ว โชคเดินเข้าไปปีนเก้าอี้โต๊ะกินข้าวกลางครัวแล้วเริ่มตักอาหารเข้าปากโดยไม่รอเจ้าบ้าน การกระทำของเด็กชายไร้มารยาทแต่แก้วไม่ติดใจอะไร เขาไม่ใช่คนจุกจิก หลังเทน้ำใส่แก้ววางไว้ให้เด็กชายกับตัวเองแล้วก็นั่งลงกินอาหารตรงหน้า เขาซื้อต้มจืดกับผัดเผ็ดมาเพราะไม่รู้ว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวที่หน้าบ้าน แต่ก็ยังดีที่ไข่ที่ต้มไว้ตอนเช้ายังเหลือในหม้อ เด็กชายถึงมีกับข้าวหลากหลายขึ้นมาหน่อย

 

               หลังกินข้าวเสร็จ กับข้าวที่เหลือน้อยนิดไม่จำเป็นต้องเก็บเข้าตู้ เขาเอาจานชามไปเทเศษแล้วใส่ไว้ในซิงค์ล้างจาน พร้อมกับลากเก้าอี้เตี้ยๆ ตัวหนึ่งมาตั้งที่ตำแหน่งหน้าอ่าง ถึงแก้วจะไม่ติดใจกับการให้ข้าวเจ้าหมดจรตัวนี้ แต่เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอาอกเอาใจเช่นกัน

 

               “ไปล้างจาน”

 

               โชคปีนเก้าอี้เตี้ยที่ช่วยเพิ่มความสูงเขาให้เอื้อมล้างจานได้พอดี เปิดน้ำ เทน้ำยาใส่ฟองน้ำแล้วเริ่มล้างจานอย่างคล่องแคล่ว เด็กชายอายุยังน้อยแต่เพราะต้องดูแลตัวเองแต่เล็กจึงต้องทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง ถึงแม้จะมีหญิงชราข้างบ้านคอยช่วยเหลือ แต่ในหลายๆ ครั้งเขาก็รับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครบอกว่าตัวเองควรช่วยแบ่งเบาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเก็บกวาดหลังมื้ออาหาร

 

               แก้วจุดบุหรี่สูบอยู่ไม่ห่างจากเด็กชายนัก แต่ก็เลือกทิศทางตรงข้ามกับพัดลมเพื่อให้พัดเอาควันออกไปห่างจากเด็กชาย เขาอยู่ดูจนแน่ใจแล้วว่าเด็กน้อยล้างจานเองได้โดยไม่มีปัญหาอะไรแล้วจึงออกจากครัวไป เรื่องแผลที่แขนก็แห้งแล้ว ทั้งยังอยู่ในจุดที่ไม่ได้โดนน้ำโดยตรงเลยไม่น่าห่วง แก้วกดเปิดสวิตช์ไฟเหนือหน้าต่างนอกบ้านฝั่งสวน เดินออกไปพิงประตูพ่นควันข้าวผ่านมุ่งลวดกันแมลง เหม่อมองท้องฟ้าสีเข้มที่ทอดตัวอยู่สูงขึ้นไปเหนือแสงไฟจากเมืองกรุง

 

               “น้าแก้ว” แก้วหันมาหาเด็กชายที่ตัวเปียกเพราะเจ้าตัวเช็ดน้ำจากมือกับเสื้อตัวเอง เขาไม่รู้หรอกว่าถ้อยคำที่เอ่ยชื่อของเขานั้นใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเด็กชายจะเปล่งมันออกมาได้

 

               “ว่าไง”

 

               “ขอบ.. ขอบคุณ..ครับ” เสียงเบาลงในช่วงท้าย แต่ก็ยังเป็นคำชัดเจน เด็กชายไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดคำพูดหนึ่งคำนี้ถึงได้กล่าวออกไปยากเย็นนัก

 

               “หือ” ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน แต่ชายหนุ่มประหลาดใจที่ได้ยินต่างหาก แต่เด็กชายคิดว่าอีกฝ่ายไม่ฟังไม่ชัดจึงได้พูดซ้ำออกไปอีกครั้ง

 

               “ขอบคุณครับ” คำพูดที่พูดยากในตอนแรกพอได้พูดออกไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อมากลับพูดออกไปได้อย่างง่ายดาย เด็กชายรู้สึกดีอย่างประหลาดที่ได้พูดคำนั้น มุมปากเล็กยกขึ้นน้อยๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นรอยยิ้ม เช่นเดียวกับมุมปากของคนที่พ่นลมหายใจเจือกลิ่นไหม้ที่ยกขึ้นเพียงเล็กน้อย

 

               “อืม”

 

 

TBC.

 

สวัสดีค่ะ มาช้าไปหน่อย จริงๆเรื่องนี้จะอัพทุกวันพฤหัสนะคะ แต่พอดีติดธุระจนลืมไปเลย

ยังไงช่วงนี้ก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาร่วมอ่านงานของรีนค่ะ

คอมเม้นให้กำลังใจกันด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 2 [27.03.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-03-2020 18:10:55
หวังว่าน้าแก้วจะช่วยอบรมสั่งสอน นะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 2 [27.03.20]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 28-03-2020 15:45:48
สงสารน้องโชค หวังว่าน้องจะได้มีชีวิตดีๆ :sad2:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 3 [2.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 02-04-2020 19:38:44

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 3



              Warning: Domestic Violence มีฉากความรุนแรงในครอบครัว



               หลังจากวันที่เด็กน้อยโผล่ไปกล่าวคำพูดที่เจ้าบ้านไม่คิดว่าจะได้ยินคืนนั้น แก้วก็มันจะเห็นเด็กชายแวะเวียนมาที่บ้านเขาทุกสองสามวัน บางครั้งก็มากินข้าวเย็นด้วย แล้วถ้าตรงกับวันหยุดที่เขาอยู่บ้านทั้งวันก็จะเข้ามานอนเล่นนั่งเล่นอยู่บนโซฟา หรือไม่ก็เดินดูต้นไม้ใบหน้าในสวนรอบบ้าน



               แก้วเทน้ำหวานยกออกมาให้เด็กชายที่กำลังยืนแหงนมองต้นไม้ใหญ่ในสวน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ในตู้เย็นของเขามีน้ำหวานที่ปกติเขาไม่ดื่มติดตู้อยู่เสมอ รวมถึงขนมขบเคี้ยวที่เขาไม่ชอบวางอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว เช่นเดียวกับที่เขาไม่ทันรู้ตัว เด็กชายผู้เงียบงันคนนั้นก็เริ่มพูดคุยกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ



               “น้าแก้ว มีรังนกด้วย” เด็กชายชี้ขึ้นไปยังรังหญ้าแห้งเหนือกิ่งก้านของต้นมะม่วง



               “นกกระจิบล่ะมั้ง” แก้วไม่ได้สนใจหรือมีความรู้ในสายพันธุ์สัตว์ปีก แต่ก็ตอบกลับไปเพื่อไม่ให้กลายเป็นบทสนทนาข้างเดียว



               “น้าแก้ว นี่ดอกอะไร”



               “ดอกบานชื่น”



               “แล้วนี่ล่ะ”



               “เฟื่องฟ้า”



               “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อมองหาต้นเสียง ใบหน้าเล็กๆ ที่เคยแปลกหน้าแต่ตอนนี้กลับคุ้นชินกำลังยกมุมปากขึ้นสูง เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน เช่นเดียวกับเจ้าของรอยยิ้มร่าเริงสมวัย เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักการยิ้ม



               “หืม” ชายหนุ่มครางรับในลำคอ บนใบหน้าเฉื่อยชาผุดรอยยิ้มบางเบา



               “น้าแก้ว...” การพูดคุยไร้สาระสำคัญถามคำตอบคำสั้นๆ ระหว่างทั้งสองดำเนินต่อไปอย่างนั้นตลอดทั้งบ่ายที่ท้องฟ้าแจ้ง และแดดส่องถึงพื้น แต่เด็กชายก็ไม่หวั่นต่อแสงจ้า วนเวียนไปทั่วทั้งสวนเล็กเพื่อสำรวจสิ่งต่างๆ ที่เขาไม่เคยรู้จัก โดยมีคนช่วยตอบคำถามที่นั่งสูบบุหรี่พิงเสาหลบร่มอยู่บนเฉลียงไม้หน้าบ้านที่ยกสูงไปสามขั้น







               กลางดึกคืนที่อากาศร้อน โชคใส่เสื้อกล้ามตัวย้วยกับกางเกงขาสั้นนอนบนผืนผ้าบางปูบนพื้นแข็ง พลิกตัวไปมาหามุมสบายเพื่อที่จะได้หลับเสียที แต่เสียงฝีเท้าตึงตังที่ใกล้เข้ามาปลุกให้ต้องเด้งตัวลุกขึ้น เสียงที่คุ้นเคยนั้นหยุดลงหน้าบานประตู ไม่ต้องรอให้ฝ่ามือหยาบยกขึ้นทุบเรียก โชคก็รีบพุ่งไปเปิดออกให้ผู้เป็นพ่ออย่างรวดเร็ว



               “มองอะไร!” เสียงตะคอกหงุดหงิดทันทีที่เห็นใบหน้าของลูกชาย ขามชิงชังใบหน้าที่ย้ำเตือนให้นึกถึงหญิงสาวที่เขาเคยรักหมดใจอย่างช้อย ช้อยเป็นคนสวย เครื่องหน้าคมชัดโดยเฉพาะดวงตา ส่วนโชคนั้นไม่ได้ถอดแบบแม่มาทั้งหมด เด็กชายไม่ได้หน้าตาสละสลวยเหมือนมารดา แต่เพราะดวงตาที่ถอดเบ้ามาคู่นั้นทำให้ขามเห็นกี่ทีก็เดือดดาล



               “กูบอกให้เลิกมองไง!” เสียงตวาดดังขึ้นอีกครั้งทั้งที่เด็กชายหลบสายตาไปแล้ว แต่เพราะความเมาที่ทำให้ขามเห็นภาพซ้อนทับของหญิงสาวที่หนีจากเขาไปนานแล้วจ้องมองมาอยู่ คำด่าท่อหยาบคายพ่นผ่านคออกมาอีกมากมาย พร้อมกับเสียงทุบตีที่ดังก้องไปทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ



               โชคคู้กายลงในท่าประจำ สองมือเล็กป้องหัวขณะที่ขดข้าเข้ามาไว้ใต้ตัว แรงจากฝ่ามือฟาดกระทบแผ่นหลังกระจายไปทั่ว เด็กชายกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้ ดวงตาเห่อร้อนแต่ไม่อาจปล่อยให้น้ำตารินไหล สัมผัสของมืออุ่นคู่นั้นเด่นชัดขึ้นมาในมโนภาพ เมื่อก่อนการกลั้นน้ำตาดูจะเป็นเรื่องง่ายดายกว่านี้







               “เข้ามาสิ” ในน้ำเสียงของผู้เชื้อเชิญยังคงมีความง่วงงุนเจืออยู่ แก้วเปิดบ้านรับเด็กชายเข้าไป เขาทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่นจนเผลอหลับ พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็ว่าจะลุกไปปิดบ้านช่องให้เรียบร้อย แต่พอเปิดบานมุ้งลวดออกเพื่อปิดประตูบานพับ นอกรั้วไม้ที่คล้องโซ่ล็อกกุญแจแน่นหนา ร่างเล็กจ้อยยืนห่อไหล่ตาบวมแดง ริมฝีปากเล็กๆ แตกจนเลือกซิบ ตามเนื้อตัวที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามตัวย้วยปรากฏร่องรอยบอบช้ำเต็มไปหมด



               นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหลังจากวันที่พบกันที่โชคมาหาเขากลางดึกในสภาพแบบนี้ แก้วพาเด็กชายขึ้นไปบนบ้านหลังปิดล็อกประตูเรียบร้อย ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบตามรอยช้ำให้เงียบๆ ไม่เอ่ยถาม และเด็กชายไม่พูดถึง



               ห้องนอนเล็กที่ร้างมานานถูกทำความสะอาดครั้งใหญ่มาได้สักพักแล้ว มันถูกเตรียมไว้ให้เจ้าหมาจรตัวน้อยไว้พักพิงในคืนที่ถูกไล่ตะเพิดออกจากที่ซุกหัวนอน



               “น้าแก้ว” เจ้าหมาครางหงิง เรียกร้องให้เจ้าของบ้านที่กำลังจะจากไปนั่งลงตรงขอบเตียง



               “ว่าไง”



               “...เจ็บ”



               “เจ็บมากไหม”



               เจ้าตัวเล็กไม่ตอบ แต่ดวงตาที่ถูกบิดาเกลียดชังคู่นั้นรื้นหยาดน้ำ ก่อนจะพรั่งพรูออกมามืออุ่นแนบสัมผัสลงบนหน้าผาก ลูบไล้เส้นผมที่เริ่มยาวระกรอบหน้าให้พ้นใบหน้าดวงน้อย หากย้อนกลับไปเมื่อหกเดือนก่อน ในตอนที่เขาพบกับเด็กชายคนนี้เป็นครั้งแรก แก้วที่ไม่ใช่คนใจดีและห่างไกลกับคำว่ารักเด็กคงคิดภาพตัวเองตอนนี้ไม่ออก เวลาครึ่งปีเปลี่ยนแปลงผู้คนไปได้มากเกินกว่าที่จะทันรู้ตัว



               “เจ็บก็ร้องไห้ออกมา”







               เช้าวันต่อมาแก้วออกไปทำงานแต่เช้าเหมือนเคย เด็กชายตื่นขึ้นมาในตอนสายก็ไม่เจอเจ้าของบ้านอยู่แล้ว เท้าน้อยเดินออกจากห้องนอนเล็ก สายลมอุ่นของหน้าร้อนพัดเข้ามาทางหน้าต่างสุดทางเดินซึ่งอยู่ใกล้กับประตูห้องนอนเล็ก หอบเอาดอกแก้วจากต้นที่สูงบังทิวทัศน์ด้านนอกไปเสียครึ่งบานเข้ามากองไว้บนพื้นไม้ กลิ่นหอมอวลในอากาศ เด็กชายไม่รู้ว่าดอกไม้นั้นมีชื่อเดียวกับเจ้าของบ้าน



               แต่เขาก็รู้สึกว่าต้นไม้ต้นนั้นช่างให้ความรู้สึกคล้ายกันกับน้าแก้วเหลือเกิน



               โชคเอาผัดผักในตู้กับข้าวออกมายัดใส่ไมโครเวฟ หมุนเวลาไปตามที่ชายหนุ่มเคยสอนเขา รอจนมีเสียงเตือนแล้วจึงค่อยเอาออกมา พอกินเสร็จก็เก็บจานข้าวไปล้าง ผัดผักที่เหลือก็เอาเข้าตู้กับข้าว เด็กชายออกไปนั่งเล่นที่เฉลียงยกสูงหน้าบ้าน ตรงนั้นมีตั่งไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่ เขาเคยนอนกลางวันบนนั้นในวันที่อากาศแจ่มใส จากตรงนั้นจะมองเห็นต้นแก้วที่ปลูกเอาไว้ในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างรั้วกับหน้าต่างห้องทำงานชั้นล่างที่ถูกตกแต่งด้วยไม้ดอกในกระถาง



               เขาเดินกลับเข้าไปเอาหมอนจากโซฟาออกมานอนหนุน เฝ้ามองกิ่งก้านเรียวเล็กโยกไหวไปตามลม ก่อนดอกบอบบางสีขาวบริสุทธิ์จะร่วงโรยลงมาทอดกายอยู่บนพื้นร่มรื่นส่งกลิ่นหอมจางลอยล่อง







               ปลายเดือนกันยายน ลมหนาวเริ่มพัดมา และสายฝนยังคงโปรยปรายลงจากฟากฟ้าสีหม่น เด็กชายยืนเปียกปอนอยู่ตรงหัวสะพานปากทางเข้าชุมชนที่ตนอาศัย เฝ้ามองรถพยาบาลและกลุ่มคนในเครื่องแบบพาร่างอ้วนท้วนของหญิงชราแล่นจากเขาไป



               หญิงแก่ผู้ถูกทอดทิ้งมีโรครุมเร้ามานานหลายปี พอเจอกับอากาศหนาวที่มาพร้อมความชื้น ร่างกายอ่อนแอเลยทรุดหนัก ท้ายที่สุดก็จากไปขณะที่กำลังเก็บผ้าที่ตากไว้หลังบ้าน เท้าอวบเพิ่งพ้นธรณีประตูก็ล้มตึงลงไปต่อหน้าต่อตาเด็กชายที่มาช่วยพับเก็บ โชคเขย่าเรียกเท่าไหร่ก็แน่นิ่งไม่มีการตอบสนอง เด็กน้อยวิ่งหน้าตั้งออกไปตามลุงเก๋าที่ท้ายซอย หัวหน้าชุมชนโทรติดต่อโรงพยาบาลใกล้เคียงให้มารับ แต่รถพยาบาลก็มาถึงไม่ทันการณ์ หญิงชราหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน



               ยายหอมสิ้นใจแล้ว



               เม็ดฝนยังคนหยดลงมาตามร่องหลังคาที่รั่วซึม เด็กชายนำกระป๋องมารองน้ำเช่นเดียวกับที่เคยทำ เฝ้ามองน้ำหยดลงในนั้นจนมันปริ่มขอบ ท้องฟ้าหม่นมัวยามบ่ายแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าหมองหม่นสีดำ เช่นเดียวกับหัวใจดวงน้อยในอกที่บีบรัดแน่นจนดันเอาหยดน้ำไหลย้อนออกมาทางดวงตา



               เด็กชายอายุเจ็ดปียังไม่รู้จักความตายนัก แต่จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่นั้นบอกกับเขาว่ายายหอมจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว จากไปไม่มีวันหวนกลับมา ลาลับไปพร้อมกับสายฝน ทิ้งเขาไว้เช่นเดียวกับแม่ที่จากไปกลางพายุในคืนนั้น



               โชคกอดผ้าห่มผืนบางแน่น ท่ามกลางราตรีกาลเดียวดายและโศกเศร้า เป็นครั้งแรกที่เขาคิดถึงบิดา แม้จะถูกทุบตีด่าทอ เขาก็อยากให้ชายคนนั้นอยู่กลับมา อย่างน้อยก็เพื่อให้รับรู้ว่า เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่เพราะ ‘ไอ้ขามมันติดคุกอยู่สมุทรปราการ’ นั่นเป็นข่าวสุดท้ายที่ได้รู้เกี่ยวกับพ่อ ขามถูกส่งเข้าเรือนจำด้วยคดียาเสพติดและทำร้ายร่างกาย รายละเอียดนอกจากนั้นไม่มีใครบอกให้เด็กชายทราบ เขาจึงรับรู้เพียงว่า พ่อเองก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว



               แม่ทิ้งเขาไปกว่าสามปีแล้ว ส่วนพ่อที่หายหน้าไปหลายเดือน พวกผู้ใหญ่ก็บอกว่าจะไม่ได้กลับมา ยายข้างบ้านที่เลี้ยงดูก็จากไปเมื่อวาน สองเท้าเล็กๆ ก้าวเดินไปตามทางที่คุ้นเคย มุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวที่เขาเหลืออยู่ อย่างน้อยก็ยังมีน้าแก้วที่จะให้ข้าวเขากิน



               “โชค ใช่ไหม” เสียงที่เอ่ยชื่อเขาแล้วถามต่ออย่าไม่แน่ใจนั้นไม่ใช่ของเจ้าของบ้านหนุ่ม แต่เป็นชายวัยเดียวกับเขา รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาแต่งตัวสะอาดสะอ้าน “เข้ามาสิ”



               โชคเปิดรั้วเดินเข้าไปตามคำเชิญที่ราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเองของผู้มาใหม่ เขาไม่เปิดปากพูดกับชายแปลกหน้า เอาแต่ชะเง้อหาคนที่เขาคุ้นเคย แก้วกำลังใส่เสื้อเบลเซอร์คุมทับเสื้อยืดสีขาวเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มหันมาเห็นเด็กชายก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ประหลาดใจกับการจู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้ของเจ้าหมาน้อย แต่กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี ตัวเขามีธุระต้องออกไปงานเลี้ยงสละโสดเพื่อนในกลุ่มสมัยเรียนมัธยมปลาย ส่วนเด็กชายคนนี้ก็คงปล่อยไว้ทั้งที่ท้องน้อยร้องโครกครากไม่ได้



               “มึงไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูค่อยตามไป” เจ้าของบ้านหันไปบอกชายร่างใหญ่ ธีร์ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นที่ยังคงติดต่อกันอยู่เสมอตั้งแต่นั้นจนอายุใกล้จะก้าวเข้าสู่เลขสามกันแล้ว



               “ไปพร้อมกันนี่แหละ ไปหาอะไรมาให้โชคกินก่อนดิ” ธีร์ตอบกลับอย่างไม่ต้องคิด พร้อมเน้นประโยคหลัง แววตาอ่อนโยนทอดมองเด็กชาย เขาเป็นคนรักเด็ก มีหลานลูกพี่สาวอยู่คนหนึ่ง อายุน่าจะไล่เลี่ยกับเด็กชายตรงหน้า พอได้เจอตัวเด็กน้อยที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่าชอบมีแผลเต็มตัวอยู่บ่อยๆ เลยยิ่งรู้สึกสงสารอยากจะช่วยปลอบโยน



               “อิ่มยัง เอาข้าวเพิ่มอีกหน่อยสิ” โชคนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว มีไข่เจียวหมูสับหอมฉุยเป็นกับง่ายๆ แต่บรรยากาศบนโต๊ะที่เคยเงียบสงบกว่านี้กลายเป็นถูกชายแปลกหน้าตัวใหญ่ชวนพูดคุยไม่หยุด ทั้งยังคะยั้นคะยอให้เขากินข้าวเยอะๆ



               “เดี๋ยวจะออกไปข้างนอกนะ น่าจะกลับดึกๆ ง่วงก็ขึ้นไปนอนเลย” แก้วบอกกับเด็กชายขณะที่มีสายเรียกเข้าครั้งที่สอง “ฮัลโหล เดี๋ยวพวกกูออกแล้ว.. ไอ้ปลื้มโทรตามแล้ว”



               ธีร์ ที่บอกให้เด็กชายเรียกตนว่าอาธีร์ทำท่าลังเลที่จะปล่อยเด็กชายทิ้งไว้เพียงลำพัง แต่ก็ยอมลุกไปแต่โดยดีเมื่อแก้วบอกว่าโชคดูแลตัวเองได้ ก่อนไปไม่วายหันมาขยี้หัวทุยเล็กที่ผมถูกตัดเล็มไม่เป็นทรงโดยฝีมือยายหอมเช่นเคย



               “เดี๋ยวจะรีบพาน้าแก้วกลับมาส่งนะครับ”



               “จะล็อกข้างนอกนะ เดี๋ยวกลับมา” โชคพยักหน้ารับคำของทั้งสอง ขณะที่กินข้าวไข่เจียวไปด้วย ความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจที่รู้สึกก่อนหน้านี้สงบลงด้วยคำพูดเพียงคำเดียวที่บอกว่าจะกลับมาของชายคนนั้น







               กว่าแก้วจะไขกุญแจเปิดบ้านเข้ามาเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้ว ภายในบ้านเงียบฉี่ แต่ยังมีเสียงพัดลมพัดอยู่ แก้วเปิดไฟหน้าบันได แสงส่องจากกลางบ้านเข้ามากระทบร่างน้อยที่นอนหลับอยู่บนโซฟาโดยปราศจากผ้าห่ม แก้วเดินเข้าไปจับแขนเล็กที่โผล่พ้นเสื้อแขนสั้นออกมาก็รู้สึกได้ว่ามันเย็นเพราะตากลม



               โชคสะลืมสะลือขึ้นมาในอ้อมแขนที่กำลังอุ้มเขาขึ้นบันได หน้าเล็กถูไปมาบนบ่าที่ซบอยู่คล้ายจะบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าเขาตื่นแล้ว



               “หลับต่อไปเลยก็ได้” แก้วลูบหลังกล่อมเด็กชาย



               “น้าแก้ว” เสียงแหบแปร่งกระซิบเรียก



               “หือ”



               “น้าแก้ว”



               “ว่าไง”



               “น้าแก้ว” พอได้ยินชื่อตัวเองซ้ำเป็นครั้งที่สาม ชายหนุ่มก็รู้ว่าเด็กชายไม่ได้ต้องการพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราว แค่เพียงเรียกหาเขาเพื่อให้มั่นใจว่าเขาอยู่ตรงนี้เท่านั้น



               “อืม”



               “น้าแก้ว”



               “อือ”



               “น้าแก้ว”



               “ฉันอยู่นี่”



               “น้าแก้ว..” คืนนั้นแก้วไม่ได้ไปส่งเจ้าตัวเล็กที่ห้องนอนเล็ก แต่พาเข้าไปนอนที่เตียงนอนของเขาในห้องนอนใหญ่แทน ห่มผ้าให้ก่อนจะนอนตะแคง มองริมฝีปากเล็กๆ ขยับเรียกชื่อเขาซ้ำๆ อย่างจนใจ แต่ก็ครางรับในคำกลับไปทุกครั้ง จนกระทั่งเผลอหลับกันไปทั้งคู่







               ยามเช้ามาเยือนเร็วกว่าดวงจันทร์ปรากฏตัวเสมอ โชคตื่นขึ้นมาก่อนเจ้าของบ้าน ซึ่งต่างจากปกติที่เมื่อเขาตื่น แก้วก็จะออกจากบ้านไปทำงานแล้ว หรือแม้แต่ในวันหยุดที่โชคมานอนค้าง แก้วก็มักจะตื่นแต่เช้าขึ้นมานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น



               เด็กชายขยับกายเข้าหาแผ่นหลังของคนข้างๆ รู้สึกอุ่นในอกทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับชายคนนี้ แก้วรู้สึกตัวเลยปรือตาตื่นขึ้น เหลือบไปเห็นเจ้าหมาตัวจ้อยที่ซุกอิงแอบตัวเองอยู่เลยพลิกหันกลับไป โอบหัวทุยเข้ามาแนบอก แล้วปล่อยให้มือน้อยคว้ามือตัวเองไปกำไว้



               กว่าหนึ่งปีมาแล้วนับจากคืนที่เขาเก็บหมาจรตัวเปียกปอนกลับมาบ้าน จากเด็กน้อยที่ตัวสั่นยามกลั้นเสียงสะอื้นและไม่ยอมพูดจา กลายเป็นเด็กชายที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าและชอบเอ่ยเรียกชื่อเขาแม้ไม่มีบทสนทนา ตัวเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากที่เคยมองเด็กตรงหน้าเป็นแค่หมาจรจัดบาดเจ็บที่ควรช่วยรักษา ก็กลายเป็นว่าเขามีความรู้สึกห่วงใยและเอ็นดูให้เสียแล้ว







               “น้าแก้ว” คนถูกเรียกครางรับในคอ พ่นควันออกมาลอยวนเวียนตรงหน้าเป็นม่านสีขาวเพียงชั่วคราวก็สลายไป



               “ว่าไง” เพราะรออยู่นานเด็กชายก็ไม่พูดต่อเสียที เขาเลยต้องเอ่ยถาม



               “ทำไมคนเราต้องตายด้วย”



               “นั่นสิ ทำไมนะ” โชคเดินมานั่งยองลงที่พื้นหน้าขั้นบันไดที่ถูกจับจอง เด็กชายไม่ได้คำตอบที่อยากรู้ เอากิ่งไม้แห้งเขี่ยหินบนพื้นไปมาอย่างไร้จุดหมาย แก้วยื่นมือมาวางบนหัวเล็ก โยกคลอนมันไปมาช้าๆ เขาไม่มีคำตอบของคำถามนั้น เพราะว่าไม่มีคำตอบไหนที่เด็กวัยนี้จะทำความเข้าใจได้ หรือบางทีคำถามนี้อาจจะไม่มีคำตอบที่แท้จริงอยู่เลยก็ได้



               “ลุงเก๋าบอกว่าตายก็คือจะไม่กลับมาอีก”



               “งั้นเหรอ”



               “ยายหอมก็เลยไม่กลับมาที่บ้านอีกแล้ว”



               “อืม” แก้วรู้สึกได้ว่าศีรษะน้อยๆ กำลังสั่น ดวงตาคู่สวยฉ่ำชื้น หยดน้ำตาร่วงเผลาะลงจนร่องบนดินที่เด็กชายใช้ไม้ขีดเขียนเปียกเป็นดวง ชายหนุ่มขยับกายลงมาคุกเข่ากับพื้นดิน สองแขนโอบเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้เข้ามากอดไว้แน่น เป็นครั้งแรกที่เขากอดปลอบโชคแบบนี้



               เพราะครั้งนี้น้ำตาที่ไหลไม่ใช่เพราะร่างกายบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะหัวใจดวงน้อยกำลังเจ็บปวด



               “โชค.. มาอยู่กับฉันไหม”







...TBC.


               ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 2 [27.03.20]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 02-04-2020 19:53:59
น้าแก้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าจริงๆแล้วตัวเองเป็นคนใจดีมากๆๆๆ
หลังจากนี้น้องโชคจะได้รับสิ่งดีๆได้เจอคนดีๆอีกเยอะเลยใช่ไหม :impress:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 4 [9.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 09-04-2020 20:51:13


ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 4





               ‘โชค... มาอยู่กับฉันไหม’



               แก้วหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่หลุดปากออกมาด้วยความเวทนา แม้โชคจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็พยักหน้ารับ ถ้าได้อยู่กับน้าแก้วแล้ว เขาก็ยินดีทั้งนั้น วันต่อมาแก้วจึงพาเด็กชายเด็กชายเดินทอดน่องไปยังชุมชนแออัดริมคลอดที่ติดกับท้ายหมู่บ้านของเขา ติดต่อพูดคุยกับหัวหน้าชุมชนเรื่องที่จะรับเด็กชายไปอาศัยอยู่ด้วย รวมถึงสอบถามเรื่องของการย้ายทะเบียนบ้านเพราะเขาตั้งใจจะส่งเสียเด็กคนนี้ให้ได้เรียนหนังสือ และด้วยความบังเอิญที่ดีเมื่อเด็กชายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของลุงเก๋า เช่นเดียวกับเด็กในคุ้มนี้ที่พ่อแม่ไม่มีเล่มทะเบียนบ้านเป็นของตัวเอง การดำเนินการจึงง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปควานหาตัวบุพการีที่หนึ่งหนีหายอีกหนึ่งถูกจำคุก



               การดำเนินการเรื่องเอกสารของเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองเซ็นรับรองใช้เวลาและขั้นตอนเกือบสองสัปดาห์ แต่ก็สามารถจัดการได้เรียบร้อยดีโดยไม่มีปัญหาอะไรเมื่อเด็กชายเป็นเด็กจากย่านสลัมที่ไม่มีใครจะมาเรียกร้องสิทธิ์เลี้ยงดู กอปรกับผู้ใหญ่บ้านแถวนั้นที่ช่วยเซ็นรับรองให้โดยง่าย ท้ายที่สุดแล้วในเล่มทะเบียนบ้านของแก้วก็มีรายชื่อผู้อยู่อาศัยเพิ่มมาอีกหนึ่งหน้า



               “มีอะไรที่อยากเอาไปด้วยอีกไหม” แก้วถามเด็กชายที่เดินหอบผ้าผืนบางลายผีเสื้อที่ดูเก่าแต่ยังได้รับการดูแลอย่างดีออกมาจากห้องแคบที่เด็กน้อยเคยอาศัยอยู่ โชคส่ายหน้า ชายหนุ่มหรี่ตาลงมองร่างเล็กที่กอดผ้าคลุมไหล่ผืนนั้นไว้อย่างหวงแหน เขาพอจะเดาได้ว่าใครเป็นเจ้าของมันมาก่อน



               ผ้าคลุมลายผีเสื้อสีเข้ม สัมผัสของชีฟองนุ่มฟูแต่ไม่เรียบลื่น โชคจำได้ว่านานๆ ทียายหอมจะหยิบมันออกมาพาดคลุมไหล่ ขณะนั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีแดงแล้วมองออกไปยังท้องฟ้ากระจ่างผ่านบานประตูที่เปิดกว้าง ร่องรอยของความสุขจะฉายชัดขึ้นหลังนัยน์ตาฝ้าฟาง ...ของขวัญเพียงชิ้นเดียวจากลูกสาวที่อยู่ต่างเมือง มันถูกส่งมาทางไปรษณีย์พร้อมจดหมายที่เขียนด้วยลายมือเพียงประโยคเดียวสั้นๆ ว่า ‘สุขสันต์วันเกิดค่ะ แม่’ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีการติดต่อจากบ้านเกิดอีกเลย



               เพราะเป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่ยายหอมได้รับ และเป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่เธอได้มอบให้คนอื่น สองวันก่อนที่เธอจากไปตลอดกาล ไม่รู้ว่าเป็นลางสังหรณ์หรือเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ขณะที่ยายแก่รื้อหาเสื้อผ้าในตู้เก็บของเพื่อเอามาตัดเย็บเป็นเสื้อตัวใหม่ให้เด็กชายตัวน้อยที่สวมใส่เสื้อแขนกุดยืดย้วยและเริ่มขาดตรงชาย เธอก็หยิบเอาสมบัติแสนล้ำค่านี้ออกมาแล้วกางคลุมทับลงบนร่างเล็ก พร้อมกับคลี่ยิ้มอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไร



               แก้วชำเลืองมองเด็กชายที่เดินตามหลังไม่ห่าง ชายผ้าผืนยาวมุมหนึ่งร่วงหลุดทิ้งตัวลงไประกับพื้น เขาเลยยื่นมือไปตวัดทบมันกลับขึ้นมาไว้บนสองแขนเล็ก ชะลอฝีเท้าเคียงข้างเจ้าหมาจรที่กลายมาเป็นหมาบ้านของเขา คอยช่วยดึงรั้งชายผ้ากลับขึ้นไปทุกครั้งที่มันร่วงหล่น... ไปตลอดทางกลับบ้าน





               พฤศจิกายนมาถึงไวกว่าที่คิด ร่วมเดือนแล้วที่เด็กชายย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านของแก้วอย่างเป็นทางการ ชีวิตประจำวันของทั้งสองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นเพราะโชคมักจะแวะเวียนมาค้างอยู่เป็นประจำ ทุกวันจึงดำเนินไปอย่างที่เคยเป็นมา จะมีก็แค่อาหารที่แก้วต้องเตรียมหาเพิ่มขึ้นสำหรับอีกหนึ่งปากท้อง และความรู้สึกกังวลใจเล็กๆ เวลาที่เขาเลิกงานช้าในขณะที่ปล่อยให้เด็กชายอยู่เพียงลำพัง



               “กลับมาแล้ว” คำที่ปกติไม่เคยได้พูดก็เพิ่มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในขณะความมืดมิดเงียบเหงาที่เคยรอคอยเขากลับมาก็หายไปแล้วเช่นกัน



               “น้าแก้ว” เด็กชายโผล่หน้าออกมาจากห้องครัว ในมือถือกล่อมนมออกมาด้วย



               “ไง โชค อาซื้อขนมมาฝากด้วยนะ” เสียงทักที่สองไม่ได้มาจากเจ้าของบ้าน แต่เป็นอาธีร์ที่นานๆ ครั้งจะโผล่มากินข้าวเย็นด้วย โชคเดินเข้าไปรับถุงขนมมาเปิดดู ขณะที่หัวเล็กถูกมือใหญ่ขยี้อย่างหมั่นเขี้ยว แล้วหันไปพูดกับเพื่อนสนิทที่เดินถือถุงกับข้าวเข้าไปในครัว “พาไปตัดผมมาแล้วเหรอ”



               “อืม”



               “จะให้เข้าเรียนที่ไหนล่ะ”



               “ยังไม่ได้คิด” เสียงตอบราบเรียบ ธีร์ถอนหายใจอย่างปลงตกแล้วอุ้มเด็กชายขึ้นนั่งตักบนโซฟา แกะห่อขนมให้แล้วช่วยเช็ดเวลาที่เศษขนมเลอะตามขอบปากเล็ก พอได้ยินเสียงเจ้าบ้านเรียกให้ไปกินข้าว ก็อุ้มเจ้าตัวเล็กเข้าไปล้างมือในห้องน้ำก่อนจะพาไปส่งถึงเก้าอี้



               คืนนั้นหลังจากที่เด็กชายอาบน้ำแล้วก็ไปนอนดูโทรทัศน์กับผู้ใหญ่สองคนในห้องนั่งเล่น เขาเผลอหลับไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งเรื่อง อาธีร์ที่สุดแสนจะเห่อหลานชายคนใหม่ก็อุ้มพาขึ้นไปส่งที่ห้องนอนเล็กที่มีการตกแต่งเพิ่มเติมสำหรับการอยู่ถาวร จัดแจงห่มผ้าพร้อมจูบราตรีสวัสดิ์บนหน้าผากเล็กอย่างเอ็นดู โชครับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แตกต่างไปจากสัมผัสของน้าแก้ว ถึงในตอนแรกเขาจะรู้สึกไม่คุ้นเคยและหวาดกลัวชายที่ตัวสูงใหญ่คล้ายกับพ่อ แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกชื่นชอบอาธีร์ขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว



               “สูบอีกแล้วนะ” ธีร์ลงมาชั้นล่าง เห็นเพื่อนสนิทกำลังสูดควันเข้าปอดก่อนจะพ่นมันออกมาแล้วปลิวหายไปเพราะแรงพัดลม เขาไม่ได้รังเกียจกลิ่นไหม้ของใบยาสูบ หรือควันขมุกขมัวชวนให้สำลักไอ ตัวเขาเองก็เคยสูบ สมัยเรียนม.ปลาย แล้วก็เลิกไปช่วงที่เรียนมหาลัยปีสุดท้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงชอบบ่นให้อีกฝ่ายหงุดหงิดเล่น “เหม็น”



               “เหม็นก็ไปนั่งไกลๆ”



               “ไม่”



               “งั้นอย่าบ่น” พูดจบก็พ่นควันใส่หน้าอีกฝ่าย ธีร์หัวเราะคิกคักไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของเพื่อนชวนให้หงุดหงิดสักนิด



               “แก้ว”



               “อะไร”



               “คืนนี้ค้างนะ”



               “อืม”







               เช้าวันจันทร์แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย เมื่อคนที่จะออกไปทำงานแต่เช้ายังคงเดินวนเวียนอยู่ในบ้าน รื้อค้นหาเอกสารในซองตามชั้นต่างๆ ขณะเดียวกันก็หนีบเครื่องมือสื่อสารแบบฝาพับพุดคุยกับปลายสายไปด้วย



               “ไม่พี่ วันนี้ไม่เข้า บอกเด็กที่ออฟฟิศไว้แล้วไง... อือ เดี๋ยวจะไปติดต่อโรงเรียน...”



               แก้วหันมาพยักหน้าให้เด็กชายที่แง้มประตูห้องตัวเองออกมาแอบมองเขา ชี้มือไปทางบันไดเพื่อจะบอกให้เด็กชายลงไปอาบน้ำสักที โชคเข้าใจคำสั่งนั้น วิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยในเวลาแค่ไม่ถึงยี่สิบนาที



               “น้าแก้ว จะพาไปข้างนอกเหรอ”



               “อืม ไปดูโรงเรียน”



               เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก แก้วเดินเก็บจานชามไปล้างด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากให้พนักงานประจำตำแหน่งนี้ต้องตัวเปียกเปลี่ยนเสื้ออีกรอบก่อนออกไปทำธุระนอกบ้าน มันไม่ใช่การออกไปนอกบ้านครั้งแรกของโชค แต่เด็กน้อยก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี



               โชคค้นพบว่าสิ่งที่เขาชอบรองลงมาจากการเดินเล่นอยู่ในสวนยามบ่ายที่มีน้าแก้วนั่งสูบบุหรี่อยู่บนขั้นบันไดหน้าบ้าน นั่นก็คือการที่ชายหนุ่มเดินจูงมือเขาเดินไปตามถนนสองเลนของซอยหมู่บ้านไปจนถึงถนนใหญ่ ระยะทางแสนใกล้กับช่วงเวลาแสนสั้น แต่ก็พอให้เด็กน้อยรู้สึกอบอุ่นจนยิ้มกว้างไปตลอดทาง



               สถานที่แรกที่แท็กซี่สีเขียวเหลืองพาพวกเขามาส่งคือหน้าโรงเรียนประถมของรัฐบาลแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านถ้าเดินทางโดยรถยนต์ แต่ไกลโขถ้าเดินด้วยสองเท้า แก้วไม่ได้เลือกโรงเรียนที่เด็กชายคงไม่สามารถมาเองได้เป็นตัวเลือกแรกเพราะที่ตั้ง แต่เพราะชื่อเสียงที่ค่อนข้างดี ทั้งวิชาการ อาหารกลางวัน และความเอาใจใส่ของครูบาอาจารย์ อีกทั้งเป็นโรงเรียนที่แก้วเคยเรียนสมัยเป็นเด็กน้อยอายุไล่เลี่ยกับเด็กชาย เขาเดินตรงเข้าไปยังห้องวิชาการ พูดคุยสอบถามเรื่องต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ แต่อาจจะเพราะวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร บรรดาครูรุ่นเก่าก็ต่างพากันเกษียณออกไป บรรยากาศที่ชายหนุ่มจดจำได้ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย



               โรงเรียนเก่าของน้าแก้ว... ตัดออกไป



               เช่นเดียวกับจุดหมายที่สอง โรงเรียนเก่าของเพื่อนสนิทที่ถูกแนะนำมาโดยเพื่อนสนิท เป็นโรงเรียนเอกชนที่มุ่งการเรียนรู้แบบเน้นการพัฒนาเด็กผ่านกิจกรรมมากกว่าการวัดผลทางวิชาการ ซึ่งแลกมาด้วยค่าเทอมที่แพงลิบลิ่ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับสถาปนิกหนุ่มผู้ถือหุ้นบริษัทรับออกแบบบ้านที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัญหาเดียวของที่นี่สำหรับเขาก็คือตั้งอยู่ไกลจากบ้านมากเกินไป ถึงแม้จะเดินทางโดยรถยนต์ก็ยังต้องใช้เวลากว่าชั่วโมงครึ่งสำหรับวันที่การจราจรไม่ติดขัด เขาไม่ต้องการให้เด็กชายวัยกำลังกินกำลังนอนต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้านก่อนหกโมง กว่าจะกลับอีกทีก็มืดค่ำ



               โรงเรียนเก่าของอาธีร์... ก็ตัดออกไป



               เด็กชายกับผู้ปกครองมือใหม่ของเขาตระเวนไปตามโรงเรียนต่างๆ อีกสองสามแห่ง ทุกที่ล้วนมีข้อดีให้พิจารณา แต่พอชั่งน้ำหนักกับข้อเสียแล้วแก้วก็ตัดตัวเลือกออกไปจนหมด เขาเพิ่งรู้ว่าการที่พ่อแม่จะตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้กับลูกสักแห่ง มันไม่ง่ายเลย



               “โชค” เด็กน้อยละสายตาจากเมืองใหญ่นอกหน้าต่าง หันมาหาคนเรียก บนใบหน้ายังคงมีแววกระตือรือร้นสนอกสนใจสิ่งใหม่ๆ ที่ได้เจอ แต่ในดวงตาคู่นั้นก็ยังฉายชัดว่ากำลังจะหมดแรงเพราะความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถไปมาหลายที่



               แก้วคว้าศีรษะเล็กให้เอนลงมานอนหนุนตักตน ลูบหัวเด็กชายไปพลางคิดถึงตัวเลือกในหัว



               “ที่ไปมาวันนี้ ชอบที่ไหนบ้าง”



               “ทุกที่เลย”



               “แล้วที่ไหนมากสุด”



               “...น้าแก้วชอบที่ไหน” แก้วหัวเราะน้อยๆ เมื่อถูกถามกลับ



               “ถามฉันทำไม คนที่จะไปเรียนน่ะเธอนะ”



               “ถ้าน้าแก้วไปด้วยก็ชอบทุกที่เลย” ดวงตาซื่อแหงนขึ้นมามองสบ แก้วได้แต่ยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย



               “น้าแก้ว เราจะไปไหนกัน” รถโดยสารยังคงแล่นไปบนท้องถนนคลาคล่ำไปด้วยยานพาหนะรูปทรงต่างๆ และทิวทัศน์สองข้างทางก็แตกต่างจากทางกลับบ้านที่เด็กชายพอจะจำได้



               “ไปที่ทำงานฉัน” แก้วล้วงเอาโทรศัพท์ฝาพักในกระเป๋ากางเกงออกมากดหารายชื่อติดต่อออฟฟิศ เพื่อโทรบอกล่วงหน้าว่าเขาเปลี่ยนใจจะแวะเข้าไปเอาแบบแปลนที่วาดค้างไว้กลับไปทำต่อที่บ้าน หลังจากที่บอกว่าจะขอลาหยุดทั้งวัน



               โชคตาปรือใกล้หลับเต็มทีเมื่อโดนแอร์เย็นฉ่ำเป่ารดมาทั้งทาง แก้วปล่อยให้เด็กชายยืมตักเขาต่างหมอน ขณะที่ตัวเองทอดสายตามองออกไปนอกกระจก ที่ทำงานของเขาตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่มีห้างร้านครบครันและการคมนาคมเข้าถึงสะดวก แต่ก็ไม่ใช่จุดใจกลางเมืองจึงไม่ดูแออัดจนเกินไปนัก และในขณะที่มองทิวทัศน์ข้างทางเพลินๆ ป้ายโรงเรียนรัฐขนาดกลางก็ผ่านเข้ามาในสายตา



               “พี่ครับ จอดแถวนี้เลยครับ”







               โชคนั่งดูดน้ำหวานในแก้วพลาสติกที่เตรียมไว้รับแขกของสำนักงานบริษัทรับออกแบบบ้านที่แก้วทำงานอยู่ เด็กชายไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศการถูกเอาอกเอาใจแบบนี้สัดเท่าไหร่ บรรดาพี่สาวพี่ชายต่างเอาขนมเอาน้ำมาให้ พร้อมทั้งลูบหัวเอ็นดู บางคนก็เข้ามากอดแน่นจนเด็กชายทำตัวไม่ถูก



               แก้วเก็บของจากโต๊ะทำงาน รอยยิ้มจางผุดขึ้นขณะที่มองเจ้าตัวเล็กปั้นหน้าไม่ถูกอยู่กลางวงเด็กฝึกงานสาวที่กำลังเห่อของเล่นใหม่ เขาอารมณ์ดีเพราะหลังจากที่บอกให้แท็กซี่จอดข้างทาง แล้วพาเด็กชายที่กำลังสะลึมสะลือเข้าไปติดต่อโรงเรียนรัฐขนาดกลางที่บังเอิญเห็น เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าเด็กชายจะเข้าเรียนที่นั่น



               “ลูกพี่แก้วเหรอคะ”



               “หลานป่าว พี่แก้วยังไม่มีแฟนนี่”



               “รู้ได้ไงว่าไม่มี” รุ่นน้องชายที่เป็นพนักงานประจำแทรกขึ้นมาขัดจนสาวๆ หันไปมองค้อนควับ



               “ยังไม่มีหรอก” แก้วตอบยิ้มๆ ขณะที่เดินหนีบกล่องแปลนออกมา เขาบอกให้โชคบอกลาทุกคนพอเป็นมารยาทแล้วโบกแท็กซี่หน้าที่ทำงานพาเด็กชายกลับบ้านทันที ระหว่างทางหลังจากขึ้นรถมาได้ไม่ถึงห้านาที เจ้าตัวเล็กก็แบตหมด เอนหลังพิงเบาะหลับสนิท แก้ววางมือบนหน้าผากเล็กเพื่อวัดอุณหภูมิ กลัวว่าการเดินทางไปนู่นนี่ทั้งวันจะทำให้เด็กป่วยอย่างที่ได้ยินคนเขาพูดมา โชคดีที่วันนี้เด็กชายแค่หมดแรงหลับไปเท่านั้น



               แก้วอ่านเอกสารที่ได้มาล่าสุด จากโรงเรียนที่บังเอิญผ่าน แต่กลับกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งเดียวสำหรับเขาในตอนนี้ เขาไม่ได้มองหาโรงเรียนที่สามารถปั้นเด็กให้เก่งวิชาการ หรือโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนพิเศษแตกต่างจากที่อื่น เขาเพียงต้องการโรงเรียนที่สอนตามหลักสูตร มีกิจกรรมให้ทำสมวัย มีอาหารกลางวันที่ดี กับครูที่พูดคุยด้วยง่าย ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ตอบโจทย์พื้นฐานของเขาได้ครบหมด รวมไปถึงยังอยู่ใกล้กับที่ทำงานเขาอีกด้วย



               ชายหนุ่มวัยย่างสามสิบที่เพิ่งเคยได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นผู้ปกครองเด็กเจ็ดขวบเป็นครั้งแรก วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยล้าสำหรับเขา และคงหนักหนายิ่งกว่าสำหรับเด็กชาย



               แก้วมองถนนที่ไฟสองข้างทางเริ่มส่องสว่าง บางทีอาจถึงเวลาที่เขาต้องซื้อของเข้าบ้านเพิ่มอีกอย่างแล้ว







               สองสามวันมานี้แก้วเอาแต่ดูโบชัวร์รถยี่ห้อต่างๆ ค้นหาข้อมูลรวมถึงปรึกษาเพื่อนอย่างธีร์อย่างจริงจัง วันหยุดหลังจากนั้นก็ไปที่โชว์รูมรถ และอาทิตย์ต่อมารถเก๋งสี่ประตูขนาดกลางสีดำก็มาจอดอยู่หน้าบ้าน



               แก้วขับรถเป็น และเคยมีคิดจะซื้อรถตั้งแต่ช่วงที่ทำงานแรกๆ แต่เพราะเขาอยู่คนเดียว ที่จอดรถในบ้านก็ไม่มี และหากต้องการไปไหนไกลก็มีสารถีที่เรียกใช้ได้อย่างธีร์อยู่แล้ว เขาที่ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อจึงผลัดความคิดนั้นมาเรื่อยๆ แต่เพราะการที่เห็นเด็กน้อยหมดแรงบนแท็กซี่วันนั้น แก้วก็รู้สึกว่าเขาควรมีรถส่วนตัวไว้ใช้บ้างแล้ว



               บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่คุณพ่อทุกคนเคยรู้สึกเวลาที่ครอบครัวใหญ่ขึ้น...รึเปล่านะ







TBC...



               ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ช่วงนี้ก็รักษาสุขภาพกันด้วย เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 4 [9.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-04-2020 21:51:43
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 5 [16.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 16-04-2020 21:34:50
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 5

 

               “อะ สอนโชคให้ด้วย” แก้วยื่นถุงทรงสี่เหลี่ยมให้เพื่อนสนิทที่โผล่มาที่บ้างเขาในช่วงสายของวันหยุด ธีร์รับถุงมาเปิดดู สมุดภาพหลายเล่มที่ฝ่ายเจ้าของบ้านไปเลือกซื้อมาจากร้านหนังสือนอนนิ่งอยู่ในนั้น ทั้งสมุดฝึกเขียน ก.-ฮ. A-Z และเลข 1-100 นอกจากนี้ยังมีพวกสมุดระบายสีรูปร่างเราขาคณิต รวมภาพสัตว์โลก และอีกมากมายหลากหลายให้เลือกสรรได้ตอบใจผู้สอน

 

               “อะไรเนี่ย”

 

               “ก่อนเข้าเรียนต้องมีพื้นพวกนี้ก่อน โชคไม่ได้เรียนอนุบาลเลยต้องมาฝึกเอง” แก้วอธิบาย ตอนแรกเขากะจะสอนเอง แต่เพราะมีงานค้างอยู่ และประจวบเหมาะพอดีกับที่เพื่อนผู้แสนรักเด็กของเขาโผล่มา เลยมอบหน้าที่ที่เจ้าตัวน่าจะชื่นชอบนี้ให้

 

               ใบหน้าหล่อเหลายับย่นน้อยๆ เขามาเพื่อมาเล่นกับเด็กชายและเจ้าของบ้าน แต่กลับถูกใช้งานเสียอย่างนั้น ธีร์ถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปเรียกเด็กชายให้มานั่งกับพื้นข้างโต๊ะหน้าโซฟาด้วยกัน แล้วเริ่มหยิบเอาคู่มือการเรียนรู้ออกมาให้เด็กชายเลือกว่าอยากทำเล่มไหนเป็นอันดับแรก

 

               แก้วพ่นลมหายใจเจือไอขมุกขมัวออกมาก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานชั้นล่างไป รู้สึกว่าเพื่อนสนิทของเขาดูจะเหมาะกับการเลี้ยงเด็กมากเลยทีเดียว และเช่นเดียวคนที่หน้ายู่เมื่อกี้ พอเห็นแววตาเปล่งประกายสนอกสนใจของเด็กชายแล้วก็เริ่มรู้สึกว่า บางทีการใช้เวลาวันหยุดไปกับการสอนหนังสือให้เด็กชายก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

 

 

 

               “หลับแล้วเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ได้หมายถึงเจ้าตัว เมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่พาเด็กชายขึ้นไปส่งนอนทั้งที่ไม่จำเป็นเดินลงบันไดมา

 

               “หลับแล้ว” ร่างสูงก้าวยาวๆ เข้ามาทิ้งตัวลงที่ว่างข้างเจ้าของบ้าน เอนหัวซบพนักโซฟาหันหน้าไปมองดุแบบไม่จริงจังนักใส่คนที่สูบบุหรี่อีกแล้ว ก่อนจะเริ่มเล่ากิจกรรมล่าสุดที่ได้ทำกับเด็กชายให้เขาฟัง “วันนี้กูอ่านนิทานที่แถมมากับสมุดไดโนเสาร์ให้ฟังด้วย ชอบใหญ่เลย”

 

               “ก็ดีแล้ว”

 

               “มึงน่าจะทำบ้างนะ”

 

               “กูเล่านิทานไม่เป็น”

 

               “อ่านเอาก็ได้”

 

               ดวงตาสีเข้มหรี่ลงคล้ายพิจารณาแต่ไม่รับปาก ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นแทน

 

               “จะค้างไหม”

 

               “อืม แต่กูไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วยนะ”

 

               “ไปหาเอาในตู้ น่าจะมีของมึงอยู่”

 

               “ครับผม” ธีร์ยิ้มรับคำ แต่ก็อ้อยอิ่งอยู่เนิ่นนานจนอีกคนขยี้บุหรี่ลงบนที่เขี่ยแก้วบนโต๊ะ แล้วจึงค่อยลุกเดินกลับขึ้นชั้นสองของบ้านไปด้วยกัน

 

 

 

               ฟ้ายังไม่ทันสว่างแก้วก็ถูกปลุกด้วยการขยับตัวลุกของคนข้างๆ ธีร์บอกให้เขานอกต่ออีกหน่อย แต่เจ้าบ้านปฏิเสธ เขาลงมาส่งเพื่อนสนิทถึงประตูรั้วเพื่อที่จะได้คล้องโซ่ปิดหลังอีกคนออกไป รอจนรถเก๋งสีขาวคันใหญ่แล่นพ้นจากสายตาแล้วจึงค่อยเดินกลับเข้าไปในบ้าน มวนบุหรี่ถูกจุดขึ้นอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้บนโซฟาตัวเดิม มุมเดิมๆ แก้วนั่งชันเข่าพิงตัวด้านข้างกับพนักพิง มองผ่านมุ้งลวดกันยุงออกไปทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้เสมอยกเว้นเวลาที่ฝนตก

 

               สวนขนาดไม่ใหญ่แต่ก็มีพื้นที่พอให้ใช้สอยได้ยังคงร่มรื่นเขียวขจี ทิวทัศน์สีเขียวเริ่มเด่นชัดเมื่อแสงแรกของวันเริ่มรำไรอยู่ที่เส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ใช้เวลาไม่นานนักก็กลืนกินทั้งท้องฟ้า ส่องสว่างไล่น้ำค้างให้ค่อยๆ จางหายไป แต่ก็เนิ่นนานพอที่บุหรี่ในมือของชายหนุ่มจะมอดจนถึงโคน

 

               แก้วไม่ได้จุดบุหรี่มวนใหม่หลังจากที่ทิ้งก้นกรองลงในที่เขี่ย เขาเพียงแค่หลับตาลง ปล่อยให้ลำแสงอบอุ่นอาบไล้ใบหน้าซีกหนึ่งอย่างอ่อนโยน

 

               “น้าแก้วทำอะไร” เด็กชายที่ตื่นแล้วลงมาชั้นล่างในตอนสายๆ ได้ยินเสียงกุกกักจากในสวน พอเดินออกมาชะโงกหน้าดูตรงประตูก็เห็นชายหนุ่มเจ้าของบ้านกำลังปีนบันไดขึ้นไปแกะปมเชือกสีขาวที่เปรอะจนสีเปลี่ยนให้หลุดจากกิ่งต้นมะม่วง

 

               “มันพังแล้ว เลยเอาออก” แก้วว่าขณะก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้ายมาเหยียบพื้นอย่างปลอดภัย แล้วขยับบันไดไปอีกนิดเพื่อปีนขึ้นไปแก้ปมอีกฝั่งที่เหลือ โชคใส่รองเท้าแตะเดินลงมาเก็บเชือกเก่าเปื่อยยุ่ยที่กองอยู่ขึ้นมาเล่น แต่ด้วยปลายเชือกถูกยึดติดกับแผ่นไม้กระดานและยังคงเชื่อมอยู่กับเชือกอีกเส้นที่ยังไม่ถูกปลดลงมา เขาเลยยังไม่สามารถลากมันเดินไปรอบๆ สวนได้อย่างที่ใจนึก เล่นต้องนั่งยองลงคลี่ปลายรุ่นแล้วดึงเล่นอยู่ตรงนั้นแทน

 

               ปลายเชือกอีกฝั่งที่ยึดโยงกับกิ่งไม้ใหญ่ถูกปลดลงมาได้สำเร็จ ซากชิงช้าเก่ากองอยู่บนพื้น แก้วปล่อยให้เด็กชายได้สำรวจมันเต็มที่ เด็กชายหยิบแผ่นไม้กระดานขึ้น ถอยหลังออกไปไกลจนเชือกที่ขดอยู่เหยียดออกจนสุดดูคล้ายหาง แล้วออกวิ่งวนไปในสวนขณะที่มองมายังหางสองเส้นที่ไล่ตาม เขาพึงพอใจกับของเล่นชิ้นใหม่ แต่เมื่อมองไปยังใต้ต้นมะม่วงที่ว่างเปล่า หัวใจดวงน้อยก็วูบไหวด้วยความรู้สึกที่ยังไม่รู้จักชื่อเรียก

 

               “เพราะมันพังเลยต้องทิ้งเหรอ” เด็กชายถาม

 

               “อืม ถ้าปล่อยไว้สักวันก็ขาดตกลงมาเองอยู่ดี” ชายหนุ่มตอบ เขาเห็นแววตาเศร้าสร้อยมองขึ้นไปยังร่องรอยบนกิ่งไม้ที่เกิดจากการถูกเชือกเส้นหนาผูกรัดมันมานานหลายปี มืออบอุ่นที่เด็กชายชื่นชอบจึงวางลงบนศีรษะเล็ก “แล้วฉันก็ว่าจะทำอันใหม่ไว้ให้เธอเล่นน่ะ”

 

               บ่ายวันนั้นหลังจากที่ทั้งสองขับรถออกไปซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นกลับมาแล้ว ในสวนเล็กๆ ที่เคยเงียบสงบก็มีเสียงเครื่องมือและเสียงพุดคุยดังระงมให้ไม่เงียบเหงาจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ก็มีชิงช้าทำจากแผ่นไม้กระดานและเชือกเส้นใหญ่สีขาวอันใหม่ห้อยอยู่ตรงที่เดิม

 

 

 

               อากาศยังคงหนาวเย็นในช่วงเวลาส่งท้ายปี เสื้อแขนยาวตัวหนาถูกสวมทับชุดนอนของเด็กชายอีกชั้น เช่นเดียวกับคนที่ใส่ให้เขา ซึ่งวันนี้ก็เพิ่มเสื้อคลุมตัวยาวทับเสื้อยืดกับกางเกงที่ใส่นอนเป็นประจำขึ้นมาอีกตัว

 

               “อาธีร์จะมาไหม” โชคถามอย่างตื่นเต้น

 

               “มาสิ เดี๋ยวก็มา” แก้วอุ่นนมมาให้เด็กชายดื่มคลายหนาว ขณะที่กำลังรอตัวต้นคิดที่บอกว่าอยากให้เด็กชายได้รู้จักวันคริสต์มาส ทั่วทั้งบ้านจึงเต็มไปด้วยของตกแต่งสีเขียวแดงและขาวให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาล อีกทั้งยังมีต้นสนปลอมขนาดสูงท่วมหัวเด็กชายซึ่งถูกประดับประดาด้วยไฟและของแวววาวตั้งอยู่ที่มุมข้างชั้นวางทีวี

 

               “อาธีร์บอกว่าจะมีลุงใส่ชุดแดงเอาของขวัญมาให้” เด็กชายยังคงพูดด้วยประกายวิววับในดวงตา เขาไม่เคยได้จัดงานอะไรแบบนี้มาก่อน สำหรับเขาแล้วมีเพียงวันปีใหม่ที่ยายหอมจะทำอาหารมากกว่าสองอย่างให้กินเท่านั้นที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นการฉลองวันสำคัญ

 

               “ตื่นเต้นเหรอ”

 

               “อื้ม” เด็กน้อยพยักหน้าแรง แก้วกำลังจะพูดต่อ แต่ร่างสูงในชุดแดงกับถุงย่ามสีเดียวกับชุดใบใหญ่ก็โผล่ขึ้นที่หน้าประตูเสียก่อน

 

               ธีร์มาในชุดซานต้าคลอส แต่กลับเป็นลุงซานต้าที่หุ่นดีและไร้หนวดเคราสีขาวอย่างที่ตำนานเล่ากันมา เขาไม่ได้พยายามจะปิดบังตัวเองเพื่อที่จะปลอมตัวเป็นนักส่งของขวัญจากขั้วโลกเหนือต่อหน้าเด็กชายเลยสักนิด แต่เด็กชายก็ยังคงตาโตด้วยความประหลาดใจและวิ่งเข้าหาอย่างกระตือรือร้น

 

               “ซานต้าทำไมไม่มีหนวด” แก้วแซะเมื่อเพื่อนเขาโผล่มาด้วยใบหน้าเกลี้ยงเกลาจนเหมือนจะไปให้ของขวัญสาวๆ มากกว่ามาไล่แจกของขวัญให้เด็ก

 

               “ที่นี่ไม่มีคริสต์เตียน ซานต้าไม่มาหรอก” ธีร์ยักไหล่ ก่อนจนหันไปขยี้หัวเล็กของเด็กชายที่แววตาเริ่มสั่นคลอนเมื่อเขาบอกว่าซานต้าจะไม่มาผิดจากที่เคยเล่าให้ฟังครั้งก่อน “แล้วที่นี่ก็ไม่ต้องการซานต้าด้วย เพราะว่ามีอาธีร์อยู่นี่แล้วไง”

 

               แก้วถอนหายใจกับท่าทางที่อ้าแขนออกกว้างราวกับจะประกาศการมาถึงของตัวเองของเพื่อนสนิท แต่กลับมีแฟนคลับที่ด้วยตาเป็นประกายจ้องมองอย่างชื่นชมอยู่คนหนึ่ง

 

               “น้องโชคเป็นเด็กดีรึเปล่าครับ” ซานต้าหนุ่มหล่อถามด้วยรอยยิ้มกว้างไม่แพ้เจ้าตัวเล็กพระเอกของงาน คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงัก แล้วหันไปคล้ายจะขอคำยืนยันจากคนข้างหลัง แก้วพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาน้อยๆ ขณะที่มองดูหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กที่กำลังคุ้ยเอากล่องของขวัญใบน้อยใหญ่ออกมาจากถุงย่ามยักษ์

 

               อากาศหนาวเย็น แต่ในห้องนั่งเล่นบ้านเขากลับอบอุ่น

 

 

 

               ภายในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงเจ้าบ้านสองคน เพราะแขกกิตติมศักดิ์กำลังใช้ห้องอาบน้ำอยู่ โชคยังคงถือหุ่นยนต์ของเล่น หนึ่งในของขวัญที่เขาชอบที่สุดที่ได้รับจากอาธีร์ไว้ ดวงตาเปล่งประกายดูมีความสุขจนคนที่นั่งมองอดรู้สึกยินดีตามไปด้วยไม่ได้

 

               “ชอบเหรอ”

 

               “ชอบครับ”

 

               “แล้วจิ๊กซอว์ที่ฉันให้ล่ะ”

 

               “...ก็ชอบอยู่” เสียงเล็กตอบอู้อี้ ไม่กล้าสบตาคนถาม เขาชอบของขวัญที่ได้จากน้าแก้ว แต่เด็กอายุเจ็ดปีก็คงไม่สามารถชอบจิ๊กซอว์สามร้อยชิ้นได้มากกว่าหุ่นยนต์ของเล่นอยู่แล้ว

 

               แก้วหัวเราะกับท่าทางร้อนรนของเด็กชาย ยื่นมือออกไปวางบนหัวเล็กแล้วพูดประโยคที่คิดจะพูดออกไปก่อนหน้านี้ แต่โดนขัดด้วยการปรากฏตัวของซานต้าครอสเสียก่อน

 

               “ชอบคริสต์มาสรึเปล่า”

 

               “ชอบครับ” คราวนี้เด็กน้อยตอบเสียงดังฟังชัด หันมายิ้มแฉ่งให้น้าแก้วคนโปรด

 

               “งั้นปีหน้าจัดกันอีกนะ”

 

               “อื้ม” โชคพยักหน้าแรงจนน่ากลัวว่าคอจะหลุด เพื่อยืนยันคำตอบ เขาชอบคริสต์มาสมากจริงๆ

 

 

 

               ค่ำคืนวันส่งท้ายปีเก่าของโชคไม่ครึกครื้นเท่าคืนคริสต์มาส เพราะขาดตัวสร้างสีสันอย่างธีร์ที่ติดเลี้ยงฉลองกับครอบครัวไป แต่เด็กชายก็ยังมีความสุขกับมื้ออาหารเงียบๆ ในห้องครัวที่มีเพียงเขากับน้าแก้วสองคน

 

               “น้าแก้วจะไปไหน” เด็กชายถามคนที่ลุกออกจากห้องนั่งเล่นตรงไปที่ประตูบ้าน

 

               “สูบบุหรี่” แก้วชูซองบุหรี่กับไฟแช็กอันใหม่ในมือให้เด็กชายดู โชคพยักหน้าแล้วกลับไปสนใจสมุดระบายสีของตัวเองต่อ

 

               คนออกมาหน้าบ้านกระชับเสื้อคลุมตัวนอกเมื่อปะทะกับสายลมหนาว คาบมวนบุหรี่ไว้ในปาก เสียงใสยามเปิดฝาไฟแช็กราคาแพงดังกังวาน เขารนไฟที่ปลายแท่งยาสูบ สูดเอาควันอุ่นเขาไปร่างกาย ขณะที่มองออกไปยังท้องฟ้ามืดสนิทของค่ำคืนสุดท้ายแห่งปีด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

 

               โชคแอบมองชายหนุ่มจากในบ้าน เขาไม่รู้ราคาของวัตถุโลหะสีทองอันนั้น แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้าแก้วมีความสุขทุกครั้งที่ใช้มันจุดไฟ

 

               เมื่อเข็มนาฬิกาติดผนังบอกเวลาใกล้วันใหม่ เจ้าของบ้านหนุ่มจับเด็กชายใส่เสื่อกันหนาวตัวใหญ่ก่อนจะพาออกไปยืนหน้าบันไดขึ้นบ้าน รอจนได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของบ้านข้างๆ ที่จัดงานเลี้ยงฉลองกันเฮลั่น พลุไฟลูกแรกก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า แตกกระจายออกเป็นดอกไม้ไฟสดสวยย้อมราตรีกาลให้มีสีสัน ก่อนที่จะตามมาอีกเป็นชุด เบ่งบานสว่างไสวเพียงชั่วครู่แล้วดับสูญกลางเวิ้งนภากว้างใหญ่

 

               ดวงตาคู่สวยที่ถอดแบบจากมารดาแวววาวสะท้อนแสงไฟหลากสี แก้วยืนกอดอกมองเด็กชายที่แหงนคอจนสุดอย่างเอ็นดู ก่อนร่างเล็กจะถูกยกลอยขึ้นสูง แก้วออกแรงแขนมากกว่าปกติเพื่อยกเด็กชายขึ้นให้พ้นหัว โชคตกใจคว้าเอาเส้นผมสีดำสนิทที่ไว้ยาวระต้นคอเอาไว้พร้อมกับหลับตาปี๋

 

               “โชค” น้ำเสียงอ่อนโยน มืออุ่นข้างหนึ่งจับขาเด็กชายไว้ อีกมือเอื้อมไปกุมมือเล็กเพื่อปลอบให้ผ่อนคลายลง เด็กชายซุกหน้าลงมากลางศีรษะคนที่ให้เขาขี่คอ ยังไม่ยอมลืมตาสักทีจนแก้วหัวเราะออกมา “ถ้าไม่รีบลืมตาพลุจะหมดก่อนนะ”

 

               เด็กชายเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาเล็กเปิดปรืออย่างไม่แน่ใจนัก แล้วสิ่งที่รออยู่ก็เบื้องหน้าก็คือทะเลดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าเปิดโล่งที่เห็นได้ชัดเจนกว่ามุมมองจากความสูงร้อยสิบสี่เซนติเมตรของตัวเอง โชคมองแสงวูบวาบจนมันสลายไปด้วยความตื่นเต้น

 

               “สวยไหม”

 

               “สวยมากๆ เลย” แก้วยิ้มตามรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กชาย ถึงดอกไม้ไฟจะร่วงโรยไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงปล่อยให้โชคยืมคอเขาเป็นฐาน เพื่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำที่ยังคงเหลือเงาความทรงจำสุกสกาวในแววตาคู่นั้นต่ออีกสักพัก

 




 

               สามอาทิตย์แรกของปีใหม่ผ่านไปอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิม วันทำงานแก้วจะออกจากบ้านแต่เช้า แล้วกลับมาในตอนเย็น ส่วนเด็กชายก็จะตื่นขึ้นมาในช่วงสายหน่อย ลงมากินข้าวที่ชายหนุ่มเตรียมไว้ให้แล้วหาอะไรเล่นแก้เบื่อ โดยที่ตกลงกันไว้ว่าเขาจะต้องคัดตัวอักษรในสมุดฝึกคัดให้ได้อย่างน้อยสามตัว ส่วนในวันหยุดแก้วจะตื่นสายกว่าปกติ แล้วลงมากินข้าวเช้าพร้อมกับเด็กชาย ก่อนจะหายเข้าไปทำงานในห้องทำงาน หรือบางทีก็นั่งเคลียร์เอกสารอยู่ที่ห้องนั่งเล่น โดยมีเด็กชายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่เคยส่งเสียงดังรบกวน

 

               บ้านไม้สีขาวสองชั้นจังมักจะเงียบสงบอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่วันนี้

 

               “ไม่!!!! หนูจะไปกับแม่!” เสียงกรี๊ดร้องแหลมสูงของเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีฟ้าทำเอาโชคตกใจหลบไปอยู่ข้างหลังน้าแก้วที่ยืนข่มไมเกรนอยู่หน้าประตูบ้าน

 

               “ไหนเราคุยกันแล้วไงคะ ว่าวันนี้น้องปรางจะเป็นเด็กดีน่ะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นที่คุ้นเคยของเจ้าบ้านทั้งสองดี ธีร์กำลังพยายามปลอบสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่ร้องไห้จนตาแดงให้สงบลง แก้วมองความชุลมุนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เขาไม่ถูกโรคกับเสียงกรีดร้องงอแงสักเท่าไหร่ โชคดีที่เด็กชายของเขาไม่ใช่เด็กที่เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้โยเยแบบนั้น

 

               “น้าแก้ว เขาร้องไห้ทำไม” เด็กชายกำชายเสื้อเขาไว้แน่น “เขาเจ็บเหรอ”

 

               “ไม่หรอก น่าจะเพราะถูกขัดใจมากกว่า” แก้วตอบโดยเดาจากที่หลานสาวสุดที่รักของเพื่อนสนิทที่ปกติติดน้าชายของตัวเองอย่างกับอะไรดีกำลังกรีดร้องอยู่แบบนี้

 

               “อาธีร์จะไม่ตีเขาใช้ไหม” คำถามใสซื่อที่บ่งบอกถึงอดีตเลวร้ายทำให้แก้วต้องก้มลงไปมอง เด็กชายเกาะเขาไว้แน่น แต่ในแววตาสั่นไหวคู่นั้นฉายแววเป็นห่วงเป็นใยแต่ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนนี้แล้ว

 

               “ไม่ตีหรอก” มืออุ่นจับมือเล็กให้เดินตามออกไปหาอีกสองคนที่ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น อันที่จริงเป็นหลานสาวคนเดียวต่างหากที่โวยวายใส่น้าชาย ส่วนธีร์นั้นได้แต่ยิ้มแหยพลางยกเรื่องสัญญาว่าจะพาไปกินไอศกรีมของโปรดเพื่อดับความเกรี้ยวกราดของสาวน้อยลง

 

               “อ๊ะ นี่ไงหลานน้าแก้ว น้องเขาเด็กกว่าปรางปีนึง” ธีร์รีบเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กหญิงไปสู่สิ่งใหม่ แต่เด็กชายไม่คุ้นเคยกับคนอื่นมาใหม่ จึงเอาแต่หลบอยู่หลังเจ้าของบ้าน

 

               “สวัสดีค่ะน้าแก้ว” เด็กสาวสูดขี้มูกพรืดใหญ่พลางเช็ดน้ำตาก่อนจะเดินไปตรงหน้าชายหนุ่ม ยกมือไหว้พร้อมกล่าวทักทายอย่างสวยงามตามที่ถูกสั่งสอนมา

 

               “สวัสดีครับน้องปราง” แก้วยิ้มให้เด็กสาว ก่อนจะมองเลยไปยังผู้ใหญ่ด้านหลังอย่างหาคำอธิบาย

 

               “เจ๊ธัญฝากดูน่ะ เจ๊แกต้องพาแม่ย่าไปโรงพยาบาล” ธีร์ยิ้มกว้างขณะพูด เพราะว่าพี่สาวเพียงคนเดียวของเขาต้องพาแม่สามีไปตรวจสุขภาพประจำปี เขาจึงเต็มใจรับฝากลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่ถูกเลี้ยงมาราวกับเจ้าหญิงคนนี้ไว้ และเหตุผลที่เขาพาหลานสาวมาที่นี่แทนที่จะไปเที่ยวเล่นในห้างอย่างที่เด็กสาวต้องการ ก็เพราะเขาอยากให้เด็กทั้งสองคนได้เจอกัน

 

               สำหรับปรางที่เข้าโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลนั้น เธอมีเพื่อนเยอะแยะและเป็นเด็กร่างเริง ต่างกับโชคที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมไม่สู้ดีนัก ทั้งชีวิตนอกจากพ่อแม่ที่ทิ้งขว้าง เขาก็มีแค่ยายข้างบ้านที่เสียไปแล้ว กับแก้วและธีร์เพียงสองคนเท่านั้น เด็กชายไม่เคยมีเพื่อนวัยเดียวกันเลยสักคน เพราะอย่างนั้นธีร์ถึงอยากพาหลานสาวของตัวเองมาเจอกับโชค เพื่อให้เด็กชายได้มีเพื่อนคนแรก

 

               “พี่ชื่อปรางนะ น้องชื่ออะไรคะ” เด็กสาวฉีกยิ้มทักทายเสียงใสราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ร้องไห้จนตาเปียก

 

               “บอกพี่เขาไปสิ” แก้วดันหลังน้อยๆ ให้ออกจากที่ซ่อน แต่ยังคงแตะแผ่นหลังเด็กชายไว้เพื่อให้เด็กชายไม่รู้สึกว่าถูกผลักไส เด็กชายประหม่าด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ก็ยอมตอบออกไปแม้จะไม่เต็มเสียงนัก

 

               “ชื่อโชค..ครับ”

 

               “น้องโชค” มือนุ่มนิ่มคว้าเอามือเล็กไปจับไว้หลวมๆ รอยยิ้มกว้างจริงใจช่วยทำให้บรรยากาศอึดอัดระหว่างคนแปลกหน้าละลายสิ้นไป “เรียกพี่ว่าพี่ปรางนะคะ”

 

               “พี่ปราง”

 

 

 

               หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เด็กทั้งสองก็เข้ากันได้ดีราวกับรู้จักกันมานาน นั่นอาจจะเป็นข้อดีของวัยเด็ก พวกเขาสามารถผูกมิตรได้อย่างรวดเร็ว ไว้วางใจกันโดยปราศจากเงื่อนไข

 

               แก้วหนีบแก้วพลาสติกสองใบด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือกล่องน้ำผลไม้รสหวานที่ซื้อมาไว้ให้เด็กชายกินออกมาหน้าบ้าน ธีร์ช่วยรับแก้วสองใบนั้นไปถือไว้รองให้อีกคนรินน้ำใส่ ทั้งที่ดวงตายังจับจ้องไปยังสองร่างเล่นๆ ที่เดินวิ่งเล่นไปทั่วสวนท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นยามบ่ายของฤดูหนาว

 

               “เด็กๆ สนิทกันเร็วดีเนอะ”

 

               “อืม สนิทกันได้ก็ดีแล้ว”

 

               “กูเพิ่งเคยเห็นโชคคุยกับเด็กด้วยกันครั้งแรกเลยนะเนี่ย” ธีร์พูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มประจำตัว ก่อนจะตะโกนเรียกเด็กๆ ให้มาดื่มน้ำเติมพลังแล้วกลับไปเล่นกันต่อ เด็กหญิงยอมให้เด็กชายนั่งชิงช้าก่อนแล้วช่วยแกว่งให้ด้วยเพราะถือว่าเป็นพี่ แก้วมองรอยยิ้มสดใสนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน

 

               “ธีร์” เขารอจนเจ้าของชื่อหันมาสบตา แล้วจึงค่อยพูดต่อ “ขอบใจ”

 

               “เรื่องอะไร”

 

               “ที่พาเพื่อนมาให้โชค”

 

               “อือ ปรางเองก็จะได้มีน้องชายเหมือนกัน”

 

               สองผู้ปกครองนั่งมองเด็กๆ อยู่บนบันไดขึ้นบ้าน ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก แต่ก็เสียงหัวเราะคิดคักสดใสที่ช่วยให้ไม่เงียบเหงา ธีร์บ่นอุบเช่นเคยเมื่อเพื่อนสนิทพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก แต่ก็ไม่ยอมลุกหนีไปไหน และไม่ได้ไล่ให้อีกคนไปสูบไกลๆ ด้วย

 

               เจ้าของบ้านหนุ่มรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของร่างที่เอนมาพิงซบตัวเอง เขาปรายตามองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ใช้เขาเป็นที่ค้ำหลับตาพริ้ม ก่อนจะเบนกลับออกไปมองท้องฟ้าสีสดใส รู้สึกว่าบ้านของเขามันชักจะอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ

 

 

 

TBC...


               ตอนที่ 5 แล้ว แต่เรื่องยังเดินเอื่อยๆ อยู่เลย ขอโทษด้วยนะคะถ้ามันน่าเบื่อ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกของรีน ปกติแล้วจะถนัดเขียนเรื่องสั้นมากกว่าน่ะค่ะ ถ้ามันไม่สนุกก็ขอโทษด้วยนะคะ
               ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณค่ะ
               ฝากคอมเม้นติชมกันด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 5 [16.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 17-04-2020 00:25:38
เรื่องนี้เป็นนิยายที่อ่านได้เรื่อยๆไม่น่าเบื่อเลยค่ะ สำหรับเราจะรู้สึกเรื่อยๆแบบระแวงหน่อยๆกลัวจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น
รู้สึกว่าพี่ปรางค์น่ารักจัง ต้องเป็นพี่สาวที่โอ๋น้องชายแน่ๆเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 6 [23.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 23-04-2020 20:09:42
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 6

 

          เสียงรถยนต์สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เจ้าของบ้านเดินออกไปรับแขกที่โทรมาบอกตั้งแต่เช้าตรู่แล้วว่าจะแวะเข้ามาหา แต่กลับไม่ได้บอกว่าจะมีแขกเพิ่มมาด้วยถึงสองคน คนแรกคือสาวน้อยที่มักจะแวะเวียนมาเล่นอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่วันที่เธอสถาปนาตัวเองเป็นพี่สาวน้องโชค แก้วจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ แต่อีกคนที่มาด้วยต่างหากที่ทำให้เขาเลิกคิ้วประหลาดใจ

 

          “สวัสดีครับพี่ธัญ”

 

          “สวัสดีค่ะน้องแก้ว” สาวใหญ่วัยสามสิบแปดฉีกยิ้มกว้างจนตาเป็นขีด ธัญ พี่สาวเพียงคนเดียวของธีร์ และคุณแม่ของน้องปราง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กหญิงจะมีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเมื่อแม่ของเธอเป็นคนสวยเสียขนาดนี้ ดีเอ็นเอความหน้าตาดีฝังอยู่ในเบ้าของคนทั้งบ้านจริงๆ

 

          “น้องโชคอยู่ไหมคะน้าแก้ว” เสียงใสเอ่ยถามแต่ไม่รอคำตอบ ร่างเล็กในชุดสีหวานวิ่งพรวดเข้าไปในบ้านเพื่อตามหาเด็กชายของเธอทันที

 

          “น้องปรางสวัสดีน้าแก้วก่อนสิคะ” คุณแม่เตือนเสียงดุ แต่ก็มีเพียงเสียงหวานตะโกนสวัสดีค่ะกลับมาแล้วเจ้าตัวก็หายขึ้นชั้นสองของบ้านไป “โทษทีนะแก้ว มารบกวนบ่อยเลยสิ”

 

          “หมายถึงคนน้าหรือคนหลานล่ะครับ” แก้วตอบเย้า เขาค่อนข้างสนิทกับสาวเจ้าตรงหน้าทีเดียว สมัยเรียนก็ไปค้างที่บ้านเพื่อสนิทบ่อยๆ จนกลายเป็นเหมือนคนในครอบครัวอีกคน แต่พักหลังๆ มานี้ลูกชายบ้านนั้นเป็นฝ่ายมาบ้านเขาแทน แก้วเลยไม่ค่อยได้ไปเจอกับครอบครัวนั้นอีกสักเท่าไหร่

 

          “ทั้งคู่นั่นแหละ”

 

          ทั้งสองคนหัวเราะก่อนจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน ส่วนคนโดนพาดพิงเมื่อกี้ได้แต่ทำหน้ามุ่ย เดินไปขนของฝากมากมายที่ทางบ้านฝากให้เอามาให้เพื่อนสนิทจากท้ายรถคนเดียว

 

          “พวกหนูไปเล่นชิงช้านะคะ” แก้วเพิ่งรินน้ำเสิร์ฟแขก เจ้าตัวป่วนทั้งสองก็วิ่งตึงตังลงจากชั้นสองมาแล้วพุ่งออกไปนอกบ้านทันที ได้ยินเสียงแว่วๆ มาว่ากำลังก่อกวนคนที่ขนของอยู่ข้างนอกนั่นจนถูกวิ่งไล่ไปทั่วสวน

 

          ธีร์มันชอบเด็กมากจริงๆ เลยเนอะ” ฝ่ายคนแก่กว่าเป็นคนพูดขึ้น ขณะทอดสายตาผ่านหน้าต่างออกไปมองผู้ชายตัวใหญ่ๆ ที่กับลังหยอกล้อกับเด็กสองคนอย่างสนุกสนาน “แต่บางทีมันก็ทำตัวเหมือนเด็กซะเอง”

 

          “ครับ” แก้วยิ้มให้สาวใหญ่ที่หันมาสบตา เขาสนิทกับพี่สาวคนนี้ แต่ก็รู้ว่าการที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็มาเยี่ยมเขาถึงบ้านทั้งที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานคงไม่ใช่แค่เพราะลูกสาวกับน้องชายมาเที่ยวเล่นบ่อยๆ แน่ แก้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และอีกคนก็ดูออก

 

          “แก้ว รู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่ได้แค่มาเล่นด้วยเฉยๆ น่ะ” เจ้าของบ้านพยักหน้า นั่งลงบนเก้าอีกไม้เข้าชุดกับโต๊ะหน้าทีวี โดยปล่อยให้อีกฝ่ายจับจองโซฟาตัวยาวได้เต็มที่ “ตอนที่ธีร์มันบอกพี่ว่าเราเอาเด็กมาเลี้ยง พี่แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยนะ”

 

          เมื่อแก้วทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีไม่พูดอะไรขัด ธัญก็ถอนหายใจยาวแล้วพูดต่อ

 

          “พี่ก็ไม่ได้จะว่าอะไรเราหรอกนะ แต่เราเลี้ยงเด็กเป็นใช่ไหม ลูกคนไม่เหมือนลูกหมานะ แค่ให้ข้าวให้น้ำมันไม่พอหรอก” หญิงสาวยกน้ำเย็นขึ้นมาจิบ แววตาอ่อนโยนลงขณะพูดถึงการเป็นพ่อแม่ “ถ้าคิดจะเลี้ยงแล้วก็ต้องเลี้ยงให้ดี ถ้าตัดสินใจรับเขามาแล้วก็ต้องทุ่มเทให้เต็มที่ ต้องให้ทุกอย่างเท่าที่พ่อแม่คนนึงจะให้ลูกได้ ถึงจะไม่ใช่ลูกในไส้ แต่ก็ต้องรักเขาให้เหมือนลูกจริงๆ นะแก้ว”

 

          “ผมไม่รู้หรอกพี่ธัญ ว่าจะรักเหมือนลูกจริงๆ ได้รึเปล่า” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงไม่ดังนักหลังจากใคร่ควรครู่หนึ่ง แต่ก็หนักแน่นในความหมาย “ผมไม่เคยมีลูกเลยไม่รู้ แต่ผมก็คิดว่าจะเลี้ยงโชคให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้”

 

          “อืม ก็ดีแล้ว” มือนุ่มที่มีกลิ่นหอมจางยื่นมาลูบไหล่กว้าง “งั้นก็พาพี่ไปดูห้องนอนน้องโชคหน่อย”

 

          แก้วมึนงงกับการเปลี่ยนหัวข้อของคุณแม่มือโปร แต่ก็ยอมพาเดินขึ้นไปดูน้องนอนเล็กบนชั้นสอง ห้องของโชคอยู่ติดกับห้องเก็บของและอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องของเขา โดยประตูทางเข้าห้องของเด็กชายอยู่ติดกับฝั่งที่มีบานหน้าต่างที่เปิดไว้ให้กลิ่นดอกแก้วโชยเข้ามาอยู่เสมอตรงสุดทางเดิน

 

          พอเปิดประตูเข้าไปก็จะมีโต๊ะเขียนหนังสือไม้เข้าชุดตัวไม่ใหญ่มากวางอยู่ติดหน้าต่างที่ติดตั้งมุ้งลวดกันยุงในห้อง ลึกเข้าไปก็จะมีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ กับเตียงนอนขนาด 5.5 ฟุตปูด้วยผ้าปูที่นอนลายการ์ตูนตั้งอยู่อีกฝั่ง การตกแต่งห้องนั้นเรียบง่ายแต่ก็สะอาดสะอ้านอยู่เสมอ

 

          “ห้องโล่งจังนะ”

 

          “ผมกะว่าไว้พอโชคโตแล้วจะให้แต่งห้องเอง เลยไม่อยากใส่อะไรเข้าไปเยอะ”

 

          ธัญเดินเข้าไปในห้อง ลูบไล้สัมผัสผิวเรียบแข็งของโต๊ะหนังสือที่มีสมุดคัดอักษรสองเล่มวางทิ้งอยู่บนนั้น “แต่นี่มันเหมือนเป็นห้องนอนแขกมากกว่าห้องที่มีคนอยู่นะ อย่างน้อยก็น่าจะมีรูปสักรูปสิ เมื่อกี้ในห้องรับแขกก็ไม่เห็นมีรูปน้องโชคเลยนี่”

 

          แก้วไม่ค่อยเข้าใจคนตรงหน้านัก แต่ก็รับฟังความเห็นด้วยความเคารพ สำหรับเขา พี่ธัญเป็นผู้หญิงเก่ง ตอนเรียนก็เก่ง ตอนทำงานก็ไต่เต้าได้เป็นถึงรองผู้จัดการสาขาทั้งที่อายุยังน้อย หลังจากที่ลาออกมาแต่งงานกับลูกชายเจ้าของภัตตาคารย่านเยาวราชที่มีสาขาทั่วกรุงเทพก็ช่วยเรื่องการบริหารจัดการงานต่างๆ ได้เรียบร้อยเหมาะสมจนเป็นที่รักของพ่อปู่แม่ย่า พอได้เป็นแม่คน ธัญก็ยังคงเป็นแม่ที่เพียบพร้อม ดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างดี จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด เรียกได้ว่าเธอเป็นคนที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่แก้วรู้จัก

 

          “ผมไม่ค่อยชอบถ่ายรูป” คำอธิบายเรียบง่ายชัดเจน แต่กลับทำให้คนฟังย่นคิ้ว ตาคู่สวยตวัดมองดุ

 

          “มันไม่ใช่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบแล้วนะแก้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะ ไม่ได้ทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบหรอกนะ บางครั้งเราก็ต้องฝืนตัวเองเพื่อเจ้าตัวเล็กของเรา ตอนที่พี่มีปรางแรกๆ พี่ต้องฝืนหลายอย่างเหมือนกัน พี่ไม่ชอบการนอนดึกเลยนะ แต่ก็ต้องตื่นตอนตีหนึ่งทุกวันเพื่อมาให้นมลูก พี่ชอบทำงานไม่ชอบอยู่เฉยๆ แต่เพราะต้องดูปรางพี่ก็เลยต้องเลิกทำงานที่ร้านทุกอย่าง พี่ชอบไปเที่ยวชอบเดินทาง แต่เพราะปรางยังเด็กพี่ก็เลยอยู่แต่บ้าน มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับคนที่ต้องแลกอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเด็กคนเดียว ในตอนนั้นมันก็ท้อนะ” หญิงสาวพูดขณะที่เหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าไกลราวกับย้อนกลับไปในวันเก่าๆ ก่อนจะหันมาโปรยยิ้มสดใสและภาคภูมิใจ “แต่สุดท้ายมันก็คุ้มค่าที่จะแลก”

 

          แก้วไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้พี่สาวทำหน้าที่สั่งสอนในฐานะคนอาบน้ำร้อนมาก่อน

 

          “อีกอย่างเรื่องรูปถ่ายน่ะ แก้วอาจจะไม่รู้สึกอะไรเพราะพ่อแม่เราเก็บรูปเราไว้เป็นอัลบั้มอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แต่กับน้องโชค น้องเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ถึงจะกลมกลืนเข้ากับสถานที่ได้ดียังไง เขาก็ยังเป็นคนอื่นอยู่ดี พี่ว่าถ้าเรามีรูปของเขาวางไว้ในบ้านบ้างก็คงจะดี มันน่าจะช่วยให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวขึ้นมาอีกขั้น มีหลักฐานบอกว่าที่นี่เป็นที่ของเขาจริงๆ บอกว่าเขาเป็นที่ต้องการสำหรับบ้านหลังนี้”

 

          แก้วรับฟังและครุ่นคิด ขณะเดินตามหญิงสาวไปยังส่วนต่างๆ ของบ้าน โดยมีพี่ธัญ คุณแม่มือหนึ่งผู้มีความห่วงใยเหลือล้นเผื่อแผ่ไปยังเด็กชายในฐานะแม่ของเพื่อนอย่างน้องปราง และพี่สาวของชายหนุ่มผู้ปกครองมือใหม่ คอยแนะนำไม่หยุดปากเขาว่าควรต้องทำอะไรอีกบ้าง เพื่อให้เด็กชายได้เติบโตขึ้นมาอย่างดีที่สุดในบ้างหลังนี้




 
          แก้วกลับมาถึงบ้านตอนหกโมงเย็นนิดๆ สองมือถือของเต็มไปหมด ข้างหนึ่งเป็นงานอย่างเคย แต่อีกข้างที่ควรเป็นกับข้าวสำเร็จกลับกลายเป็นของสด ทั้งเนื้อสัตว์และผักหลากสี

 

          หลังจากที่ฟังคุณแม่น้องปรางเลกเชอร์ยาวเหยียดเรื่องสารอาหารที่เหมาะกับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต อีกทั้งยังใจดีเขียนสูตรทำอาหารง่ายๆ ให้ตั้งหลายอย่าง แก้วจึงรู้สึกว่าคงเสียมารยาทแย่ถ้ายังไม่ยอมเข้าครัวสักครั้ง ถึงแม้จะไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เพราะอยู่คนเดียวมานาน พวกอาหารง่ายๆ อย่างผัดผักหรือต้มจืดเขาก็พอทำได้อยู่บ้าง และอย่างน้อยถ้าทำพลาดคืนนี้พวกเขาก็ยังมีไข่เหลือให้ทอดกินประทังชีวิตกันอยู่ตั้งครึ่งแผง

 

          “น้าแก้วจะทำกับข้าวเหรอ” เด็กชายเดินตามเข้ามาในห้องครัว เห็นชายหนุ่มกำลังเลือกวัตถุดิบให้ตรงกับที่เขียนไว้ในกระดาษ

 

          “อืม จะทำแกงจืดมะระ ผัดฟักทอง แล้วก็ทอดมันปลากราย แต่ไม่รู้ว่าจะกินได้กี่อันนะ” แก้วขมวดคิ้วอ่านสูตร แกงจืดกับผัดฟักทองไม่ใช่ปัญหา ทอดมันปลาเองถ้าส่วนผสมครบถ้วนก็น่าจะทำไม่ยากแล้ว แต่กว่าจะทำเสร็จหมดก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กิน

 

          ขณะที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าลดจำนวนเมนูอาหารลงดูดีไหม เด็กชายก็ลากเก้าอี้ตัวเตี้ยที่เขาไว้ใช้ปีนล้างจานไปประจำที่เรียบร้อยแล้ว

 

          “จะทำอะไรน่ะ”

 

          “ช่วยล้างผัก” เด็กชายหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ เขาเคยช่วยยายหอมล้างผักอยู่บ่อยๆ

 

          แก้วเห็นท่าทีกระตือรือร้นของเด็กชายแล้วก็เลิกคิดมาก เอาผักที่จะใช้ไปให้เด็กชายล้างก่อน แล้วค่อยล้างที่เหลือเพื่อเก็บเข้าตู้เย็นทีหลัง ส่วนตัวเขาเองก็เริ่มเตรียมเนื้อและเครื่องปรุง ก่อนตั้งเตาต้มน้ำเตรียมทำแกงจืด โชคจัดการล้างผักได้อย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่เจ้าของบ้านหนุ่มตะกุกตะกักไปบ้างในการทำอาหารจริงจังครั้งแรก แต่ในที่สุดตอนเกือบสองทุ่ม อาหารเย็นของพวกเขาก็พร้อมรับประทานอยู่บนโต๊ะกินข้าว

 

          “เป็นไง” สิ่งแรกที่เด็กชายเลือกตักคือทอดมันปลา แก้วรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกว่าปกติจังหวะหนึ่ง

 

          “เค็ม”

 

          “คงใส่น้ำปลาเยอะไป” แก้วตักทอดมันไปชิมบ้าง แล้วก็เค็มอย่างที่เด็กชายว่า ไม่ได้ถึงกับเค็มปวดไต แต่ก็ยังเค็มเกินไปอยู่ดี

 

          “อันนี้ขม” โชคตักน้ำแกงไปซด แล้วทำหน้ายู่เพราะรสชาติขมปร่าของมะระ

 

          “มะระก็ต้องขมอยู่แล้วสิ” แก้วตักน้ำแกงมาซดดูบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขมเหมือนเด็กชายว่า บางทีคงเป็นเพราะธรรมชาติของเด็กที่ทำให้เจ้าตัวไม่ชอบของที่มีรสขม แก้วไม่ได้คะยั้นคะยอให้เด็กชายฝืนกินของที่ไม่อยากกิน เขาตักเอามะระมาใส่จานตัวเอง หั่นเอาเนื้อหมูสับวุ้นเส้นที่ยักไส้ด้านในออกมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วชิมดู เห็นว่ารสขมของมะระไม่ได้ซึมเข้าไปในเนื้อหมูมากเท่าในน้าซุปแล้วจึงตักไปวางใส่จานให้เด็กชาย

 

         ส่วนกับข้าวอย่างสุดท้ายบนโต๊ะอาหารคือผัดฟังทองใส่ไข่ แก้วไม่ได้คาดหวังกับอาหารมื้อแรกฝีมือตัวเองอีกแล้ว เขาหวังแค่ขอให้มันพอกันได้ก็พอ แต่เด็กชายที่ตักไปชิมก่อนกลับยิ้มแป้น แล้วตักไปอีกช้อนใหญ่

 

          “อันนี้อร่อย น้าแก้วกินดู” เด็กชายไม่พูดเปล่า ตักฟักทองชิ้นใหญ่กับข้าวในจานตัวเองยื่นไปป้อนคนตรงหน้า ดวงตาใสแป๋วจ้องมองอย่างคาดหวัง แก้วอ้าปากรับอาหารที่ตัวเองทำเข้าปาก รสหวานของฟักทองเด่นชัด เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันอร่อยตรงไหน ก็แค่ฟักทองผัดใส่ไข่ทั่วไป แต่ก็เข้าใจว่าเพราะเด็กชอบของหวาน เมนูนี้ถึงได้เป็นที่โปรดปรานของเจ้าตัวเล็กนัก

 

          ตลอดทั้งมื้ออาหาร แก้วจัดการกับแกงจืดมะระรสขม และทอดมันปลาที่ลดจำนวนลงไปเพียงสองจากสิบชิ้น โดยปล่อยให้ผัดฟักทองเป็นของเด็กชายแต่เพียงผู้เดียว

 

          ทั้งที่เมื่อก่อนชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจการทำอาหารเลยแท้ๆ สำหรับเขาขอเพียงแค่กินได้ก็พอ แต่ครั้งหน้าแก้วคิดว่าเขาอยากจะทำอาหารออกมาได้ดีกว่านี้เพื่อที่จะได้เห็นเด็กชายกินอย่างเอร็ดอร่อย นี่ก็คงเป็นอีกหนึ่งความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่สินะ


.....
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 6 [23.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 23-04-2020 20:10:11

 
          บ่ายแก่วันศุกร์ที่แก้วขอเลิกงานก่อนเวลา เขาแวะร้านขายกล้องถ่ายรูปเล็กๆ ที่รับถ่ายรูปติดบัตรด้วยแถวที่ทำงาน ด้านหลังกระจกสีชาคือเจ้าของร้านวัยกลางคน หนวดเคราครึ้มนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่หลังเคาน์เตอร์ไม้

 

          “มาถ่ายรูปเหรอ” เจ้าของร้านขยี้บุหรี่ลงในที่เขี่ย เตรียมต้อนรับลูกค้าด้วยท่าทีสบายๆ

 

          “เปล่าครับ มาซื้อกล้อง” แก้วตอบ ไล่สายตาดูกล้องหลากรุ่นหลายยี่ห้อที่โชว์อยู่ ทั้งบนชั้นโชว์ด้านหลังและในตู้กระจกใต้เคาน์เตอร์ไม้

 

         “ดูไม่เหมือนคนเล่นกล้องเลยนะ”

 

         “ครับ”

 

          “แล้วดูๆ รุ่นไหนไว้บ้างรึยังล่ะ” เจ้าของร้านซักถามความต้องการของลูกค้าต่อทันที นานแล้วที่ไม่เจอลูกค้าแบบนี้ เพราะปกติร้านของเขาค่อนข้างจะเงียบ ที่อยู่ได้ก็เพราะมีเด็กนักเรียนแวะเวียนมาถ่ายรูปติดบัตรเสมอๆ ส่วนลูกค้าที่มาซื้อกล้องนั้น ส่วนมากที่มีแต่พวกนักสะสมตัวยงที่รู้จักกันเท่านั้น

 

          “ยังครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องกล้องสักเท่าไหร่”

 

          “อยากได้แบบไหน”

 

          “ครับ?” แก้วมองเจ้าของร้านด้วยสีหน้าแสดงเครื่องหมายคำถามชัดเจน

 

          “อยากได้กล้องฟิล์มหรือว่ากล้องดิจิตอลล่ะ” เจ้าของร้านอธิบาย แก้วครุ่นคิดถึงความแตกต่างของกล้องสองแบบที่เจ้าของร้านบอกมา เขารู้เพียงแค่ว่ากล้องฟิล์มเป็นกล้องที่ต้องใส่ม้วนฟิล์มเข้าไปเพื่อบันทึกภาพ และถ้าถ่ายไปแล้วก็จะกดลบไม่ได้ ส่วนกล้องดิจิตอลที่กำลังเป็นที่นิยมนั้นสามารถเก็บรูปไว้ในการ์ดข้อมูลได้ ถ้าให้เทียบกันแล้วกล้องดิจิตอลก็คงสะกวดกว่า แต่ที่ผ่านมาเวลาที่ต้องใช้กล้องเพื่อทำงาน เขาก็เคยจับแต่กล้องฟิล์มเสียด้วย

 

          “เอางี้นะคุณ” เจ้าของร้านพอจะรับรู้ได้ถึงความลังเลในใจของลูกค้าหนุ่ม เลยตัดสินใจจะช่วยเลือกกล้องสักตัวที่เหมาะกับการใช้งานให้อีกฝ่าย “จะเอาไปถ่ายอะไร”

 

          “ถ่ายรูป.. เด็ก”

 

          “ลูกเหรอ”

 

          “ไม่.. ใช่ครับ” เจ้าของร้านงงกับคำตอบที่เหมือนไม่แน่ใจของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องไปหาคำตอบ เขาพียงแค่ต้องแนะนำต่อเท่านั้น

 

          “ถ้าคุณถามผม กล้องดิจิตอลจะสะดวกกว่า ถ้าถ่ายออกมาแล้วไม่ชอบใจก็กดลบทิ้งไปได้เลย” แก้วพยักหน้า ถ้าคนขายบอกแบบนั้นก็คงตามนั้น แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากว่าจะเอา เจ้าของร้านก็พูดต่อ “แต่ถ้าจะเอาไปถ่ายคนน่ะ ผมว่ากล้องฟิล์มมันมีเสน่ห์กว่านะ พอคุณจะกดชัตเตอร์ ภาพแค่ครั้งเดียวนั้นก็จะถูกเก็บเอาไว้ แล้วก็ต้องรอลุ้นว่าภาพที่ถ่ายจะออกมาเป็นยังไงตอนเอามาล้าง มันก็เหมือนเลี้ยงเด็กนั่นแหละ คุณไม่รู้หรอกว่าเขาจะโตขึ้นไปเป็นยังไงจนกว่าจะถึงตอนนั้น”

 

          แก้วขับรถกลับบ้านโดยที่เบาะข้างคนขับมีกล้องตัวหนึ่งกับม้วนฟิล์มสองตลับนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น เพราะคำบอกเล่าของเจ้าของร้าน เขาชักอยากจะลองถ่ายภาพใบนั้นที่เก็บเอาเสี้ยววินาทีที่มีครั้งเดียวในโลกของเด็กชายตัวน้อยเอาไว้บ้างแล้ว แต่ถ้าหากรูปออกมาไม่ดีเขาคงต้องย้อนกลับไปซื้อกล้องดิจิตอลมาอีกตัวแน่ๆ

 

 

 
          “หนึ่ง สอง..” เสียงลั่นชัตเตอร์ฟังดูติดขัดนิดหน่อย แต่ภาพของเด็กชายที่ยืนยิ้มอยู่หน้าชั้นวางทีวีก็ถูกเก็บบันทึกลงบนแผ่นฟิล์มเรียบร้อยแล้ว ถึงจะไม่อาจรู้ได้ว่าภาพใบนั้นออกมาเป็นอย่างไรจนกว่าจะนำฟิล์มไปล้าง แต่แก้วก็ยิ้มอย่างพึงพอใจที่ได้เก็บหลักฐานชิ้นแรกของการเป็นส่วนหนึ่งของบ้านของเด็กชายเอาไว้

 

          “น้าแก้ว ดูหน่อย” โชคโถมตัวเข้าใส่น้าแก้วที่นั่งขัดสมาธิถือกล้องอยู่ในมืออย่างสนอกสนใจ

 

          “ยังดูไม่ได้หรอก ต้องรอเอาฟิล์มไปล้างก่อน” เด็กชายกระพริบตาปริบ ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ถ้าชายหนุ่มบอกเขาว่ายังไม่ได้ก็คือยังไม่ได้

 

          “แล้วน้าแก้วล่ะ” เด็กชายถามเมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านเก็บกล้องใส่กระเป๋าคล้ายว่าพอใจกับรูปสองสามรูปนั้นแล้ว

 

          “หืม”

 

          “ไม่เห็นถ่ายน้าแก้วบ้างเลย” แก้วยิ้ม มืออุ่นลูบศีรษะเล็กที่โน้มเข้ามาใกล้ ดวงตาใสซื่อจ้องมองเขาอย่างจริงจัง

 

          “รูปฉันมีเยอะแล้ว”

 

          “รูปน้าแก้วอยู่ไหนล่ะ” โชคยังคงยิงคำถามใส่ชายหนุ่ม น้าแก้วบอกว่ามีรูปเยอะแล้วก็จริง แต่เขาไม่เคยเห็นมันเลย ในบ้านหลังนี้ไม่มีรูปน้าแก้วอยู่เลย จริงๆ แล้วไม่มีรูปของใครอยู่เลยต่างหาก ภาพที่ถูกแขวนตกแต่งทั้งหมดเป็นภาพทิวทัศน์ ไม่มีภาพของคนอยู่เลย

 

          “อยากดูเหรอ”

 

          “อยากดู”

 

          ชายหนุ่มยิ้มบาง ก่อนขยับตัวไปที่ตู้โชว์ข้างทีวี ชั้นล่างที่เป็นตู้ไม้บานทึบถูกเปิดออก อัลบั้มภาพมากมายทั้งเล็กใหญ่ รวมถึงกรอบรูปมากมายถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบอยู่ในนั้น แก้วหยิบเอาอัลบั้มที่อยู่บนสุดออกมาเปิดดูผ่านๆ พอเห็นว่าเป็นรูปตัวเองสมัยประถม น่าจะไม่ห่างกับเด็กชายในปัจจุบันนักก็เอาออกมาให้ดู

 

          “นี่ใครเหรอ” โชคถาม เมื่อในรูปถ่ายสีซีดมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยยืนอยู่ข้างแก้วในวัยเด็ก เธอมีรอยยิ้มสดใสกับแววตาอ่อนโยน แตกต่างกับเด็กชายที่กำลังทำหน้าบูดลิบลับ

 

          “แม่ฉันเอง” แก้วเหลือบตามามองเล็กน้อยก่อนจะตอบ ในขณะที่มือยังคงง่วนหารูปตัวเองในอัลบั้มอื่นเพื่อเอามาให้เด็กชายได้ดูเพิ่มอยู่

 

          “สวยจัง”

 

          “เหรอ”

 

          “อื้ม”

 

          “ตอนนั้นแม่น่าจะเพิ่งสามสิบกว่าๆ” ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้เด็กชายเพื่อดูรูปในมือเล็กด้วย มองภาพของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีครีมลายดอกกุหลาบเล็กๆ เขาจำวันนั้นได้ดี พ่อกับแม่พาเขาไปบ้านยายที่ต่างจังหวัด แดดร้อนของเดือนเมษายน แม่สวมหมวกปีกกว้างให้เขา ขณะที่พ่อเรียกให้มองกล้อง เขาไม่พอใจหมวกสีขาวที่เหมือนของเด็กผู้หญิงเลยทำหน้ายู่ใส่ แม่ของเขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนมือขาวบางจะจับไหล่เขาไว้ขณะยิ้มกว้างให้กล้อง ...นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้ถ่ายกับแม่

 

          สองวันหลังจากนั้น ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับกรุงเทพ แม่ก็จากเขาไปตลอดกาล

 

          “แม่น้าแก้วไม่อยู่แล้วเหรอ”

 

          “อืม ไม่อยู่นานแล้ว”

 

          “เหมือนกันเลย” เด็กชายพูดเสียงใสจนน่าปวดใจ รอยยิ้มและแววตาที่มองมานั้นคล้ายกำลังพยายามปลอบใจคนโตกว่าอยู่ แก้วคว้าเอาตัวเล็กขึ้นมานั่งตักแล้วกอดเอาไว้หลวมๆ ขณะที่พลิกเปลี่ยนหน้าอัลบั้มภาพไปด้วย

 

          “อันนี้ตอนฉันอายุสิบสอง ถ่ายตอนวันปีใหม่กับพ่อ” เด็กชายมองตามที่แก้วชี้ เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อโปโลมีตราหน่วงงานราชการ เขาดูคล้ายแก้วมาก แต่ดูเนี๊ยบกว่าในหลายๆ ความหมาย ผมตัดสั้นดูสบายตา หลังเหยียดตรงทั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สาน ทั้งยังสวมแว่นตากรอบทองดูจริงจังกว่าน้าแก้วที่ชอบใส่เสื้อผ้าสบายๆ ผมก็ไว้ยาวระต้นคอ แถมชอบรวบเก็บลวกๆ เหมือนเพิ่งออกจากห้องน้ำตลอดเวลา

 

          “น้าแก้วตอนแก่” เด็กชายหัวเราะคิกคัก

 

          “ฉันดูเหมือนพ่อมากเลยเหรอ”

 

         “เหมือน แต่น้าแก้วหล่อกว่า”

 

         คราวนี้เป็นแก้วที่หัวเราะ ขยี้หัวเด็กชายแรงๆ ก่อนจะปล่อยลงจากตัก ให้เจ้าเด็กปากหวานนอนพลิกดูรูปถ่ายของเขาในอัลบั้มที่เหลือต่อตามสบาย ในขณะที่ตัวเขาหันไปรื้อกองภาพในกรอบรูปที่ถูกเก็บเข้าไปไว้ในตู้อับทึบออกมาไล่ดูทีละภาพ ส่วนใหญ่แล้วเป็นภาพครอบครัว มีเขา พ่อ และแม่ บางรูปก็มียายที่อยู่ต่างจังหวัดของเขาด้วย แต่คนในภาพทั้งหมดนั้น ปัจจุบันไม่มีใครเหลืออยู่แล้วนอกจากเขา

 

          แก้วจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ภาพเหล่านั้นได้วางโชว์อยู่ตามมุมต่างๆ ของบ้านคือหลังงานศพคืนสุดท้ายของแม่ วันแรกหลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง ความวุ่นวายทั้งหมดที่เคยเบี่ยงเบนความโศกเศร้าก็หมดไป แล้วความเหงาที่เกิดจากช่องว่างของคนหนึ่งคนก็แทรกตัวแผ่ขยายปกคลุมบ้านทั้งหลังเอาไว้ พ่อของเขาร้องไห้เงียบๆ อยู่บนโซฟา ในมือถือกรอบรูปที่มีหญิงสาวในวันที่เธอสวยที่สุดยืนยิ้มอยู่ข้างเขาที่สวมชุดสูทสีขาว แล้วหลังจากนั้นรูปภาพทั้งหมดที่ทำให้คิดถึงเธอคนนั้นก็ถูกเก็บไว้อย่างดีหลังบานประตู้ไม้สีทึมทึบ เช่นเดียวกับน้ำตาของชายที่หัวใจแหลกสลาย แก้วไม่เคยเห็นพ่อของเขาร้องไห้อีกเลย

 

         “น้าแก้ว มีอีกไหม” แก้วหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง หันไปมองเด็กชายนอนอยู่ท่ามกลางอัลบั้มภาพที่กระจายอยู่เต็มพื้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาในความทรงจำเก่าๆ ไปนานแค่ไหน แต่มันก็คงมากพอที่จะให้โชคได้พลิกดูภาพถ่ายของเขาทั้งหมดที่มีได้จนครบ

 

          “มีแค่นั้นแหละ”

 

          “ทำไมไม่มีน้าแก้วตอนโตเลยล่ะ” แก้วหยิบอัลบั้มที่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาเปิดดู อัลบั้มนั้นเป็นรูปของเขาตอนห้าขวบ พอหยิบอีกอันก็เป็นรูปของเขาตอนแรกช่วงเกิด เป็นอย่างที่เด็กชายว่า ภาพของเขามีแต่ภาพตอนยังเด็กเท่านั้น คงเป็นเพราะหลังจากที่แม่เขาเสียไป พ่อก็เริ่มถ่ายรูปน้อยลง นอกจากวันพิเศษหรือโอกาสสำคัญๆ แล้วก็แทบไม่เห็นพ่อเอากล้องตัวโปรดนั้นออกมาอีกเลย

 

          บางทีพ่อเขาอาจจะเกลียดการถ่ายรูปไปแล้วก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เก็บไว้ได้เพียงแค่ความทรงจำ ในขณะที่คนในภาพอาจจากไปไกลแสนไกลแล้ว

 

          “แล้วอันนั้นอะไรเหรอน้าแก้ว” ถุงพลาสติกสีขาวทึบที่ถูกยัดไว้ในตะกร้าใส่กระบอกฟิล์ม แก้วคิดว่าในนั้นก็คงใส่ฟิล์มที่เอาไปอัดกับร้านมาแล้วเช่นกัน แต่ความอยากรูอยากเห็นของเด็กชายทำให้เขาต้องล้วงมันออกมา

 

         ในถุงสีขาวใบนั้นไม่ใช่ตลับทรงกระบอกอย่างที่เขาคิด แต่เป็นกระดาษโฟโต้ปึกใหญ่ ถุงพลาสติกที่ถูกเก็บมานานหลายปีจนเริ่มกรอบ บวกกับน้ำหนักของสิ่งของข้างใน พอชายหนุ่มหิ้วหูมันมาได้ไม่ถึงครึ่งทาง ก้นถุงก็ทะลุ ภาพถ่ายจำนวนมากกระจายออกมาเต็มพื้น โชครีบหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ ในขณะที่แก้วจ้องมองมันเงียบๆ

 

          พ่อเขาไม่ได้เกลียดการถ่ายรูป ไม่เลยสักนิด

 

          “นี่ไงน้าแก้วตอนโต” เด็กชายโชว์ภาพถ่ายที่ร่วงจากถุงให้เจ้าตัวดู แก้วรับรูปของเด็กชายหัวเรียนสวมชุดนักเรียนม.ปลายกำลังสะพายกระเป๋าเดินออกจากบ้านมา เด็กหนุ่มคนนั้นคือเขาเอง เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขายังชอบการถ่ายรูปอยู่ไหม มันอาจจะลดลงหลังแม่ตาย แต่พ่อก็ไม่เคยพลาดที่จะเก็บรูปของเขาในทุกช่วงการเติบโตเอาไว้เลย

 

          แก้วกับเด็กชายช่วยกันเก็บภาพเหล่านั้นแล้วพยายามเรียงลำดับโดยดูจากวันที่ตรงมุมล่าง รูปถ่ายมากมายที่มีเขาเป็นนายแบบ มีหลายรูปที่เขาหันมามองกล้อง บางทีเขาอาจจะสับสนกับภาพในอดีต เลยเหมาเอาความทรงจำที่เห็นพ่ออยู่หลังเลนส์นั้นคือช่วงเวลาก่อนที่แม่จะจากไปเสียทั้งหมด

 

          “นี่อาธีร์เหรอ” เมื่อเรียงภาพจนใกล้ครบหมดแล้ว โชคก็สังเกตเห็นหน้าตาของคนที่ดูคุ้นเคยอย่างคุณอาเพื่อนสนิทของน้าแก้ว ในภาพนั้นมีเด็กหนุ่มสองคน ตัวสูงไล่ๆ กัน คนหนึ่งใส่ชุดลำลองกำลังปลดโซ่ที่คล้องประตู้รั้วออก ในขณะที่อีกคนใส่ชุดนักเรียนยืนยิ้มอยู่ด้านนอก แล้วรูปถัดจากนั้นเด็กชายผู้มีรอยยิ้มเหลือเฟือก็ดูจะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกเก็บภาพ เลยหันมาส่งยิ้มกว้างประจำตัวให้คนถ่าย พร้อมกับดึงให้ลูกชายเจ้าของบ้านในเวลานั้นหันมามองกล้องด้วยกัน

 

          แก้วจำไมได้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น อาจจะเป็นเพราะมันเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้งของเขา เช่นเดียวกับภาพถ่ายที่หมดลงหลังจากนั้นไม่กี่ใบ พ่อจากเขาไปด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงในเวลาเพียงไม่นาน แก้วในวัยสิบเจ็ดกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นหลังเลิกเรียน เห็นพ่อของเขากำลังชักอยู่ที่พื้น เขาโทรเรียกรถพยาบาลทันที เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เวลาของเขาเหมือนหยุดลงตรงหน้าห้องฉุกเฉิน หลังจากนั้นการรับรู้ของเขาก็พร่ามัวไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนดึกคืนเดียวกันนั้น เขายืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว คืนนั้นธีร์เป็นคนพาเขากลับบ้าน กอดเขาที่น้ำตาไหลไม่หยุดเอาไว้จนถึงเช้า และเรื่องการจัดงานหลังจากนั้นบ้านของเพื่อนสนิทก็เข้ามาช่วยดูแลจัดการให้ทั้งหมด

 

          “อืม อาธีร์ตอนวัยรุ่นน่ะ”

 

 

 
          หลังจากที่ส่งเด็กชายเช้านอนพร้อมกับอ่านนิทานให้ฟังอย่างที่เพื่อนสนิทชอบย้ำซ้ำๆ เรียบร้อยแล้ว แก้วก็ลงมาเก็บอัลบั้มรูปกลับเข้าที่เดิม ส่วนรูปถ่ายฝีมือพ่อที่เขาเพิ่งจะค้นพบก็ถูกสอดเก็บใส่อัลบั้มเปล่าที่เหลืออยู่ในตู้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเก็บใส่ถุงพลาสติก รออัลบั้มอันใหม่ที่เขาจะไปซื้อ ในสักวันที่เขาจะเอารูปถ่ายของเด็กชายไปล้าง

 

          แก้วมองกรอบรูปมากมายที่วางแน่นิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนยี่สิบปีที่ผ่านมา แต่ก่อนที่เขาจะปิดตู้เก็บความทรงจำใบนั้น เขาก็เลือกที่จะเอามันออกมา วางตั้งไว้ตามชั้นต่างๆ ไม่ได้เอาออกมาครบทุกอัน แต่ก็มากเพียงพอที่จะบอกได้ว่าคนในภาพนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

 

          ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว พ่อของเขาเลือกที่จะเก็บเอาความทรงจำมากมายเอาไว้ในตู้เก็บของเพราะทุกครั้งที่เห็นมัน เขาจะเจ็บปวดและเปลี่ยวเหงา และแก้วเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันถึงได้ปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้นมาตั้งเนิ่นนาน แต่ตอนนี้เขาไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว

 

          ถึงคนในภาพเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่กับเขา แก้วก็ไม่เหงาแล้ว

 

 

 

TBC...


อาทิตย์นี้ก็มีเรื่องราวของน้าแก้วโผล่ออกมาบ้างแล้ว ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้รีนตั้งใจเขียนมาก ถ้าคุณชอบก็ช่วยคอมเม้นเป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับรีนด้วยนะคะ
แล้วก็ขอขอบคุณคอมเม้นที่ให้กำลังใจ มีค่ามากๆ เลยค่ะ ขอบคุณจริงๆ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ รักษาสุขภาพกันด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 6 [23.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 24-04-2020 00:22:13
เพราะมีเด็กน้อยโชคมาอยู่ด้วย จากนี้ก็ไม่มีเวลามาเหงาแล้วนะน้าแก้ว กว่าจะโต 555 สนุกกกมากเลยค่ะ แต่งเก่งนะ บรรยายและภาษาดีอ่านลื่นไหล อ่านแล้วอิน ชีวิตโชคอับโชคจริง ดีใจที่มาเจอน้าแก้ว ความผูกพันธ์ก่อเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้วันข้างหน้าไม่รู้จะเจอกับอะไรบ้าง แต่เราจะคอยติดตามนะโชค สนุกกกกกกก ชอบค่ะชอบ มาๆมาต่ออีก รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 6 [23.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-04-2020 10:57:01
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 6 [23.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-04-2020 01:36:31
บ้านเริ่มเป็นบ้านขึ้นมาแล้ว :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 7 [30.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 30-04-2020 21:28:44
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 7



          เหลืออีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงเวลาเปิดภาคการศึกษา แก้วพาเด็กชายไปซื้ออุปกรณ์การเรียนรวมถึงเสื้อผ้าตามระเบียบมาเตรียมเอาไว้อย่างครบถ้วน การประชุมผู้ปกครองก็ไม่เคยขาด ความรู้พื้นฐานที่ทางโรงเรียนกำหนดมาก็สอนให้หมดทุกหัวข้อแล้ว อีกทั้งงานของบริษัทช่วงนี้เองก็แบ่งให้พนักงานใหม่เอาไปทำจนปริมาณงานของเขาลดลงอย่างมาก พอมาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ทั้งเด็กชายทั้งผู้ปกครองจึงต่างคนต่างว่าง



          แก้วเลยถือโอกาสนี้พาเด็กชายออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านตามคำแนะนำอีกอย่างจากพี่ธัญ ที่บอกว่าเขาควรพาเด็กชายไปเที่ยวข้างนอกบ้าง อย่างพวกสวนสาธารณะหรือแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ความรู้แก่เยาวชนต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมของกรุงเทพ



          ท้องฟ้าจำลอง คือสถานที่ที่ชายหนุ่มเลือกมาจากหนึ่งในความทรงจำสมัยเด็กของเขา คลับคล้ายคลับคลาว่าได้มาทัศนศึกษาที่นี่เมื่อตอนป.ห้า หลายอย่างดูเปลี่ยนแปลงไป แต่กลิ่นอายประหลาดที่เขาอธิบายไม่ได้นั้นยังเหมือนเดิม มันทั้งน่าตื่นเต้น แต่ก็น่าเบื่อในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กชาย โชคดูสนอกสนใจไปเสียทุกอย่าง อาจเพราะเขาไม่เคยได้มายังสถานที่แบบนี้มาก่อน ทุกอย่างรอบตัวถึงได้ดูเป็นเรื่องใหม่ที่รอให้เขาไปสำรวจ



          “เข้าชมท้องฟ้าจำลองรอบบ่ายโมงนะคะ” พนักงานขายตั๋วบอก แก้วข้อมือมาดูนาฬิกา ตอนนี้เพิ่งสิบเอ็ดโมง เหลือเวลาสองชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาเข้าชม เขาจูงมือเด็กชายฝ่าฝูงชนที่เต็มไปด้วยผู้ปกครองที่พาลูกหลานมาเที่ยวในวันหยุด ไม่เคยคิดเลยว่าคนจะเยอะขนาดนี้



          “เข้าไปเดินเล่นข้างในก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มดันหลังเล็กในเข้าไปในอาคารที่เดียวกับจุดขายตั๋วตั้งอยู่ ภายในเต็มไปด้วยของจัดแสดงที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ โดยที่มีห้องแยกย่อยตามหัวข้อเฉพาะอื่นๆ อีกหลากหลายให้เลือกชม เขาปล่อยให้เด็กชายเป็นคนนำ คอยเดินตามพลางตอบคำถามที่มีมาไม่หยุดให้เจ้าตัวเล็กหายสงสัย ส่วนอันไหนที่เขาตอบไม่ได้ ก็จะหันไปหาความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำอยู่ตามจุดให้ช่วยอธิบาย



          พวกเขาใช้เวลาในอาคารนั้นกันเกือบชั่วโมง เดินวนเวียนจนครบแล้วค่อยออกมาหาของกินที่ร้านค้าด้านหน้าเพราะถึงเวลาเที่ยงพอดี แก้วนั่งฟังเด็กชายเจื้อยแจ้วถึงความสุดยอดของสิ่งที่ได้เรียนรู้มาสดๆ ร้อนๆ ขณะที่ดูให้เจ้าตัวเคี้ยวและกลืนอาหารให้เรียบร้อยทุกครั้งก่อนจะพูด เพียงแปบเดียวเวลาสองชั่วโมงก็หมดลง หลังจากทิ้งขยะลงถังแล้วเขาก็พาเด็กชายไปต่อแถวเข้าชมท้องฟ้าจำลองในโดมยักษ์



          แอร์เย็นฉ่ำกับบรรยากาศมืดสลัวชวนให้หาวหวอด แก้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ จัดท่าทางหามุมสบายแล้วเตรียมจะงีบสักพัก กะว่าพอจบรอบการจัดแสดงนี้แล้วค่อยตื่นมาพาเด็กชายไปเดินดูนิทรรศการกับอควาเรียมที่เหลือ แต่ยังไม่ทันได้หลับตาก็ถูกคนข้างๆ สะกิดยิก



          “ว่าไง”



          “น้าแก้ว”



          “หืม”



          “หนาว” โชคลูบผิวเนื้อที่โผล่พ้นเสื้อแขนสั้นออกมา ปากเล็กสั่นน้อยๆ เพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำกว่าด้านนอกอย่างชัดเจน



          แก้วไม่ได้ใส่เสื้อคลุมตัวนอกมา เช่นเดียวกับที่ไม่ได้เตรียมมาให้เด็กชาย เขาเลยได้แต่ขยับตัวนั่งดีๆ แล้วตบตักตัวเองพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น “มานี่สิ”



          เด็กชายเปลี่ยนที่นั่งอย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยวนาทีก็ปีนขึ้นไปประจำที่บนตักน้าแก้วพร้อมกับเอนหลังพิงอกอุ่น แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าปลอมที่ยังคงมืดมิด รอคอยจนกระทั่งเสียงบรรยายชวนหลับเริ่มพูด แสงสว่างก็ถูกฉายขึ้นไปสะท้อนอยู่บนเพดานโค้ง ปรากฏภาพของดวงดาวนับหมื่นกระจายตัวอยู่เหนือหัว



          เรื่องราวมากมายถูกเล่าผ่านน้ำเสียงราบเรียบ หลากหลายหมู่ดาวที่ถูกโยงเส้นเข้าหากัน บ้างก็กลายเป็นรูปของสัตว์ประจำราศี บ้างก็กลายเป็นร่างของเทพเจ้าตามตำนานกรีก โชคมองท้องฟ้าจำลองประดับดาวแสนสวยพวกนั้นอย่างตั้งใจ ในขณะที่สองมือเล็กก็กอดรัดแขนอบอุ่นของเบาะรองนั่งเอาไว้แน่น



          ช่วงครึ่งหลังของการโชว์ท้องฟ้าจำลองเป็นการฉายการ์ตูนที่เกี่ยวกับการปกป้องอวกาศ แก้วไม่ได้สนใจนักจึงผล็อยหลับไป ผิดกับคนบนตักที่ยังคงจับจ้องไปยังเพดานที่ถูกใช้แทนจอฉายหนังไม่วางตา อย่างที่ว่าเด็กกับการ์ตูนหรรษาเป็นของคู่กัน



          “น้าแก้ว เมื่อกี้นี้กัปตันสเปซเท่มากเลยเนอะ” เด็กชายพูดถึงการ์ตูนฮีโร่อวกาศไม่หยุดตั้งแต่ออกจากอาคารท้องฟ้าจำลอง ในขณะที่คนข้างๆ ได้แต่เออออตามทั้งที่ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด



          แก้วพาเด็กชายที่ไปยังอาคารหลังเล็กที่แยกออกมาอยู่ติดริมรั้ว อควาเรียมเรียมเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากมายนัก แต่โชคก็ยังเกาะขอบตู้กระจกเฝ้ามองปลาการ์ตูนสีส้มสดใสว่ายไปมาอย่างสนุกสนาน แก้วย่อตัวลงไปให้หน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กชาย ค้นหาว่าดวงตาคู่นั้นมองเห็นอะไร ทำไมถึงได้เปล่งประกายได้สว่างไสวเต็มไปด้วยความสุขขนาดนั้น



          “โชค ชอบปลาเหรอ”



          “ชอบมากเลย ในทีวีตอนเย็นนะ มีที่เขาไปใต้น้ำกันด้วย มีปลาเต็มไปหมดเลย มีฉลามด้วย แต่ฉลามไม่กินคนนะ” เด็กชายรีบเล่าถึงสารคดีหลังข่าวที่ได้ดูบ่อยๆ ให้ชายหนุ่มฟัง เขาชอบตอนท้องทะเลมหัศจรรย์มากที่สุดเลย



          “งั้นวันหลังฉันพาไปอความเรียมที่มันใหญ่กว่านี้ดีไหม” แก้วขยี้ผมสีดำสนิทนั้นอย่างเอ็นดู “ที่นั่นมีปลายเยอะกว่านี้ มีอุโมงค์ที่พอมองขึ้นไป ก็จะเห็นปลายว่ายอยู่บนหัวเราด้วย”



          “ไป อยากไป น้าแก้วพาไปหน่อย” แก้วมองดวงตาใสซื่อที่ฉายแววความกระตือรือร้นอย่างตรงไปตรงมาคู่นั้นอย่างขบขัน โชคไม่เคยปกปิดความต้องการของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ซื่อสัตย์กับความรู้สึกอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นคนเสนอให้เลยสักครั้ง



          ชายหนุ่มก็ได้แต่หวังว่าในสักวันหนึ่ง เด็กชายจะกล้าเรียกร้องบางอย่างจากเขาด้วยตัวเอง มันอาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่วันที่โชคทำตัวเหมือนเป็นคนในครอบครัวเขาจริงๆ จะต้องมาถึงแน่



          “ไว้คราวหน้านะ”



          “อื้ม”



          “ครับ”



          “ครับ”







          แก้วกับเด็กชายกลับมาถึงบ้านตอนทุ่มกว่าๆ หลังจากที่พวกแวะกินข้าวมาจากข้างนอกแล้ว ทันทีไฟในบ้านบ้านสว่างขึ้น แก้วก็รู้ตัวว่าสิ่งที่เขาลืมก่อนออกจากบ้านในตอนเช้าคืออะไร



          กล้องถ่ายรูปที่เขาเตรียมไว้เพื่อไปเก็บรูปของโชคในวันนี้นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะไม้ข้างที่เขี่ยบุหรี่



          ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างขบขัน เขาคงเริ่มแก่แล้วถึงได้ขี้ลืมแบบนี้ เขาคิดขณะเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ใช้ให้เด็กชายกดเปิดพัดลมหลังจากที่จุดบุหรี่ขึ้นสูบ



          “ไปอาบน้ำไป” แก้วไล่ให้เด็กชายไปอาบน้ำ แต่โชคไม่ขยับ กลับเอื้อมมือมาหยิบเอาเจ้าเครื่องมือบันทึกภาพเจ้าปัญหาไปถือไว้ ล้วงออกจากกระเป๋าของมันอย่างตะกุกตะกักเพราะขนาดไม่พอดีมือ



          “น้าแก้ว ทำยังไง”



          “ทำอะไร”



          “ถ่ายรูป” แก้วหรี่ตาลงมองเด็กชายที่ดื้อไม่ฟังคำสั่งเขาเป็นครั้งแรก แต่ก็เข้าใจได้ถึงความอยากรู้อยากเห็นตามวัย และเพราะตอนนี้เพิ่งจะหัวค่ำ แก้วเลยปล่อยให้เด็กชายสำรวจอุปกรณ์ในมือเล่น โชคทำตามที่เคยเห็นเขาทำ ยกกล้องขึ้นมาใกล้หน้า ปิดตาข้างหนึ่ง แต่เหมือนเด็กน้อยจะไม่รู้ว่าควรมองตรงไหน เลยก้มๆ เงยๆ อยู่หลังเครื่องบันทึกภาพนั้นงงๆ



          “มองผ่านตรงช่องเล็กๆ ตรงนั้น แล้วก็กดปุ่มข้างบน” แก้วใช้มือข้างที่คีบบุหรี่ชี้บอกตำแหน่งที่ถูกต้องอยู่ไกลๆ เพราะกลัวว่าควันจะโดนเด็กชายถ้าเขาขยับเข้าไปใกล้ “จะถ่ายฉันเหรอ”



          โชคพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะทำตามคำแนะนำ เขายกกล้องขึ้นมาอีกครั้งโดยที่มีคนตรงหน้าเป็นแบบ ดวงตามองส่องผ่านช่องมองภาพเล็กๆ แล้วลั่นชัตเตอร์เก็บเอาภาพของน้าแก้วที่กำลังนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ พร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก โชคไม่รู้ว่าภาพของเขาจะออกมาเป็นยังไง แต่เขาก็มีความสุขกับการที่ได้ถ่ายรูปน้าแก้วของเขาแล้วเลยฉีกยิ้มกว้างออกมา



          “จะได้มีรูปน้าแก้วตอนโต”



          แก้วยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร เขาขยี้บุหรี่ที่เหลือทิ้งลงในที่เขี่ย มองเด็กชายที่เก็บกล้องใส่กระเป๋าตามเดิมด้วยสีหน้าภูมิใจ เสร็จแล้วก็เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำตามที่เขาสั่งไปตอนแรก ก่อนจะเบนสายตาไปยังภาพถ่ายในกรอบที่เขาเพิ่งเอาออกมาวางโชว์หลังจากเก็บไว้ในตู้มาหลายปี



          นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ถูกใครสักคนจ้องมองผ่านเลนส์





TBC...


          ตอนนี้สั้นไปหน่อย เป็นวันเดย์ทริปของน้าแก้วกับโชค วันสบายๆ น่ารักๆ ของพวกเขาล่ะค่ะ
          แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นนะคะ น่ารักมากเลย กำลังใจเต็มเปี่ยม ใจฟูมากๆ สำหรับคนเขียนแล้ว แค่มีคนคอมเม้นมาคุยด้วยก็มีความสุขมากๆ แล้วค่ะ ช่วยคุยกับรีนต่อไปอย่างนี้นานๆ เลยนะคะ  :mew1:

          เจอกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 7 [30.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 01-05-2020 02:02:34
ตอนแรกๆ เศร้ามาก อ่านไม่ไหว หัวใจ อ่อนแอ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 7 [30.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-05-2020 21:08:46
อื้ออโชคมาทำให้น้าแก้วเปิดตัวเปิดใจอีกครั้ง น่ารักมากตอนนี้มีพาไปเที่ยวท้องฟ้าจำลองได้เที่ยวได้ความรู้ ดีใจกับโชคเหมือนเราก็ได้ตามไปด้วยเลย 5555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ สนุก รอตอนต่อไปเลยค่ะ เด็กน้อยโชคกับน้าแก้วผู้เปล่าเปลี่ยวจะเป็นยังไงต่อไป ตามๆ 555  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 7 [30.04.20]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 01-05-2020 21:29:10
ตอนช่วงแรกๆที่โชคยังไม่มาอยู่บ้านแก้วแบบถาวร อึดอัดมากเลย แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้ว อบอุ่นมาก โชคมาทำให้ชีวิตแก้วสดใสขึ้นมา ส่วนแก้วก็โอบอุ้มโชคให้เติบโตได้ สนุกมากเลยค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 8 [7.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 07-05-2020 21:11:54
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 8



          เช้าของการเปิดเรียนวันแรก โชคถูกปลุกก่อนเวลาปกตินิดหน่อยโดยแขกที่มาค้างคืนด้วยอย่างอาธีร์ เขาถูกอุ้มลงมาส่งถึงหน้าห้องน้ำ นั่นเป็นอย่างหนึ่งที่เขาชอบเมื่อแขกขาประจำคนนี้มานอนที่บ้าน



          “ชุดแขวนอยู่ตรงเก้าอี้ข้างพัดลมนะ” เสียงตะโกนบอกออกมาจากครัว เจ้าของบ้านหนุ่มกำลังยุ่งกับการเตรียมมื้อเช้าให้กับคนสามคน แต่พอมีพ่อครัวใหญ่อีกคนเข้ามาสมทบ แก้วก็ผละจากครัวมาหาเด็กชายตัวเปียกชื้นใต้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ เขาปล่อยให้เด็กชายเช็ดตัวเอง เสร็จแล้วเขาก็ส่งเสื้อผ้าให้เด็กชายทีละชิ้น ช่วยดูว่าติดกระดุมเข้ารังไม่ผิดอัน จากนั้นก็ช่วยสอดเสื้อขาวเข้าไปในกางเกง ก่อนจะสอนวิธีใส่เข็มขัดให้



          “กระเป๋าอยู่ไหนครับ” ธีร์ถามขึ้นเมื่อจัดการกับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ทั้งเขาและแก้วต้องออกจากบ้านแล้วถ้าจะไปให้ทันเข้างาน เช่นเดียวกับเด็กชายที่ถ้าไม่อยากไปสายตั้งแต่วันแรก เขาก็ต้องรีบไปขึ้นรถแล้ว



          “อยู่บนบ้าน วางอยู่ข้างโต๊ะในห้องโชค” แก้วแต่งตัวด้วยความเร็วแสงอยู่ในห้องน้ำ ผมยาวประบ่าเพราะไม่ได้ตัดมานานถูกรวบมัดลวกๆ พอเขาพูดจบอาธีร์ของน้องโชคก็พุ่งขึ้นไปชั้นสองเพื่อเอากระเป๋าสะพายสีดำที่ใส่อุปกรณ์การเรียนของเด็กชายเอาไว้ตั้งแต่คืนก่อนลงมาให้ทันที แก้วออกจากห้องน้ำมาก็เดินวนกลับเข้าไปในครัว หยิบนมกล่องออกมายัดใส่กระเป๋าที่ใบโตเมื่อเทียบกับตัวของผู้ใช้งาน



          “ของครบแล้วใช่ไหม”



          “อืม ข้าวเที่ยงที่โรงเรียนมีให้ ส่วนค่าขนมใส่ไว้ในกระเป๋าเป็ดในช่องเล็กนะ” คำแรกตอบคำถามเพื่อน ส่วนประโยคหลังหันมาบอกกับเด็กชาย โชคพยักหนารับรู้ ขณะที่สอดแขนเข้าไปยังสายสะพานที่ถูกยื่นมาให้ถึงที่โดยมือใหญ่ของอาธีร์



          ยามเช้าที่ดูวุ่นวาย แต่ก็เงียบสงบในบ้านไม้สีขาวสองชั้นจบลงเมื่อบานประตูหน้าบ้านถูกปิดล็อก แต่ก่อนที่เด็กชายจะวิ่งไปขึ้นรถ เจ้าของบ้านหนุ่มก็เรียกรั้งไว้ก่อน กล้องถ่ายรูปที่เขาเพิ่งซื้อมาได้สักพัก และม้วนฟิล์มในนั้นยังใช้ไปได้ไม่ถึงครึ่งถูกล้วงออกมา



          “จะถ่ายรูปเหรอ” คนที่ถามคือคนที่เดินนำไปถึงรถแล้วแต่ยังไม่เห็นใครตามมาเลยย้อนกลับมาดู



          “อืม ไปโรงเรียนวันแรกก็เลยอยากถ่ายเก็บไว้” แก้วตอบ ยกกล้องขึ้นมาพลางบอกให้เด็กชายขยับไปในทิศที่ต้องการ “หนึ่ง สอง..”



          “เอากล้องมานี่มา” ธีร์แย่งกล้องไปจากมือเจ้าของหลังจากที่แก้วลั่นชัตเตอร์เก็บรูปเด็กชายไปสองรูปแล้ว



          “จะทำอะไร”



          “ไปยืนกับโชคไป”



          “ไม่เอาหรอก” แก้วส่ายหัวพรืด รู้สึกเขินยังไงอย่างบอกไม่ถูกที่จะเข้าไปยืนกับเด็กชายแล้วปล่อยให้เพื่อนสนิทเป็นคนถ่ายรูปให้ มันรู้สึกเหมือนครอบครัวพ่อแม่ลูกมากเกินไป



          “ไปเถอะน่า”



          “น้าแก้ว” ยังไม่ทันได้ปฏิเสธซ้ำ เสียงใสก็ร้องเรียกชื่อเขา แก้วเลยได้แต่เดินเข้าไปหาเด็กชายที่จ้องมองเขาอย่างรอคอย มือเล็กยืนมากุมมือเขาไว้ก่อนจะหันกลับไปยิ้มร่า ชายหนุ่มรู้สึกเกร็งเล็กน้อย แต่ก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางขณะหันไปทางตากล้อง



          “เหมือนครอบครัวเลยเนอะ” ธีร์พูดกลั้วหัวเราะขณะที่กดปุ่มบันทึกภาพ



          “อืม เหมือนครอบครัวเลย” แก้วกระชับมือเล็กให้แน่นขึ้นเล็กน้อย ก้มลงมองสบดวงตาใสซื่อเหมือนลูกหมาที่แหงนขึ้นมามองเขา เด็กชายยิ้มในขณะที่รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วทั้งอก



          “เหมือนครอบครัวเลย” โชคพึมพำซ้ำ เขาชอบคำนี้เหลือเกิน





          ชีวิตในรั้วโรงเรียนวันแรกของโชคเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กวัยเดียวกัน โรงอาหารที่มีโต๊ะตัวยาวให้ทุกคนได้ร่วมกินข้าวเที่ยง เสียงพูดคุยจอแจ และเพื่อนใหม่ที่เข้ามาทักทายทำความรู้จักเขาตลอดทั้งวัน



          ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องใหม่สำหรับโชค เขาไม่เคยมีเพื่อนคนอื่นนอกจากปรางที่เพิ่งรู้จักกันก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาไม่เคยกินข้าวร่วมกับคนมากมายขนาดนี้ และรอบตัวเขาเมื่อก่อนก็ล้วนแต่อยู่ในความเงียบ ความเงียบงันของห้องแคบๆ ที่มีเขาเพียงลำพัง ความเงียบงันยามที่เขาไร้บทสนทนากับยายหอม และความเงียบสงบในบ้านไม้สีขาวสองชั้น ซึ่งโชคก็ไม่ได้เกลียดมัน แต่หากเลือกได้ เขาก็ชอบความคึกคักที่ช่วยคลายความเหงาแบบนี้มากกว่า



          “นี่ ชื่อไรอะ” ไหล่เล็กถูกสะกิด โชคหันไปมองคนถาม เป็นเด็กชายตัวพอๆ กับเขา หน้าตาน่ารัก แต่ก็ฉายแววดื้อรั้นผ่านดวงตา และรอยแผลเป็นบนหน้าผาก



          “โชค” เด็กชายตอบ



          “มิกซ์” เด็กชายอีกคนบอก





          แก้วมารับเด็กชายหลังเวลาเลิกเรียนไม่นานนัก ยังคงมีเด็กที่รอผู้ปกครองมารับคนอื่นๆ อยู่กว่าครึ่งห้อง โชครีบคว้ากระเป๋า บอกลาเพื่อนใหม่ที่กำลังนั่งเกาะกลุ่มกันเล่นตบไม้ไอติมอยู่หลังห้องเรียนทันที สองขาเล็กก้าวยาวๆ ไปหาชายหนุ่มที่หน้าประตู บอกลาครูประจำชั้นแล้วจับมืออุ่นไว้แน่นขณะเดินไปที่รถ



          “วันแรกเป็นไงบ้าง” แก้วถามขณะที่กำลังถอยรถออกจากซอง



          “ได้กินข้าวโต๊ะเดียวกันตั้งสิบคน”



          “เหรอ แล้วมีเพื่อนบ้างรึยัง”



          เด็กชายยิ้มกว้างพยักหน้าแรง ก่อนจะอวดเพื่อนหมาดๆ ให้ผู้ปกครองฟัง แก้วรับฟังเรื่องราวของเด็กชายที่เขายังไม่เคยเห็นหน้า หรืออาจจะเห็นแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไหนผ่านคำบอกเล่าของเด็กชายวัยเจ็ดปี เท่าที่ฟังมามิกซ์ดูเป็นเด็กแก่นๆ ซุกซนตามวัย แต่ก็จริงใจเปิดเผย และร่าเริงมากพอที่จะเป็นฝ่ายชวนโชคคุยหรือเล่นอะไรก่อนอยู่เสมอ คงเป็นพวกหัวโจกตัวจี๊ดอะไรทำนองนั้น



          ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ การได้เพื่อนในวันเปิดเทอมวันแรกถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กอย่างโชคที่ไม่เคยมีเพื่อน ไม่รู้จักวิธีเข้าหาคนอื่นก่อน การที่มีคนแบบมิกซ์อาสาเข้ามาเป็นเพื่อนเองแบบนี้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจแล้ว ว่าอย่างน้อยเด็กชายก็ไม่ต้องมีชีวิตที่โดดเดี่ยวในโรงเรียนแห่งนี้





          หลังจากเปิดเทอมช่วงกลางเดือนพฤษภาคมได้ประมาณเดือนหนึ่ง ก็จะถึงวันเกิดของโชคที่แก้วเพิ่งได้รู้เมื่อเห็นในเอกสารตอนย้ายทะเบียนบ้าน



          “โทษที มาช้าไปหน่อย” ธีร์ที่เพิ่งมาถึงส่งยิ้มให้เด็กชาย ก้าวยาวๆ เข้ามาวางถุงของกินที่ซื้อมากเต็มสองมือลงบนโต๊ะรับแขกหน้าทีวี แต่แอบฉวยเอาถุงที่ใส่กล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เข้าไปเก็บในครัวโดยที่ไม่ทำให้เด็กชายสงสัยได้อย่างแนบเนียน



          “เทซอสใส่ถ้วยเลย” แก้วพูดกับเด็กชาย ขณะที่เขาแกะห่อของกินที่มีไก่ทอดยี่ห้อดังเป็นเมนูหลักใส่ภาชนะต่างๆ ที่เตรียมรอไว้ก่อนแล้ว อาหารเย็นมื้อนี้เต็มไปด้วยของฟาสต์ฟู๊ดที่ปกติเด็กชายจะไม่ค่อยได้กินเพราะให้สารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อการเติบโตที่ดีของเด็ก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอร่อยกว่าอาหารสุขภาพฝีมือแก้วมากนัก



          “ล้างมือรึยัง” เพื่อนสนิทหนุ่มที่พักหลังๆ มานี้แวะเวียนมาค้างด้วยบ่อยจนแทบจะกลายเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านไปแล้วถามขึ้น เมื่อเห็นเด็กชายใช้มือเปล่าหยิบของกินใส่ปาก



          “อ้างแอ้วอั๊บ” เด็กชายตอบทั้งที่ปากยังคาน่องไก่ชินโต



          “กินก่อนค่อยพูด” แก้วเอ็ดไม่จริงจังนัก เด็กชายจึงรีบเคี้ยวรีบกลืนก่อนจะตอบชัดถ้อยชัดคำ



          “ล้างแล้วครับ”



          “เก่งมากครับ” ธีร์แทรกตัวเข้ามานั่งร่วมวงด้วย แขนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนถูกพับขึ้นจนถึงศอก แต่แทนที่จะรีบกินอาหาร เขากลับนั่งเท้าคางมองเด็กชายสลับกับเพื่อนสนิทที่กำลังเคี้ยวแก้มตุ่ยยิ้มๆ



          “ไม่กินเหรอ”



          “อิ่ม เพิ่งกินกับลูกค้าไปตอนห้าโมง” แต่ถึงปากจะบอกว่าอิ่ม มือใหญ่ก็คว้านักเก็ตเข้าปากเพื่อกินเล่นไปพลางอยู่ดี



          “ถ้ามึงยุ่ง มึงไม่ต้องมาก็ได้”



          “ไม่ได้หรอก” แก้วดูดน้ำอัดลมในแก้วขณะที่จ้องมองแววตาอบอุ่นที่อีกคนใช้ทอดมองเด็กชาย มันทั้งเอ็นดูและรักใคร่ สมกับที่เจ้าตัวเคยบอกอยู่เสมอว่าชอบเด็ก



          พอกินของคาวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่สองคนก็มองหน้ากันเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ไปเอาเค้กออกมาให้เด็กชายเป่าเทียนได้แล้ว แต่กลับไม่มีใครลุกสักทีจนธีร์พยักพเยิดหน้าไปทางครัวเพื่อบอกว่าให้แก้วเป็นคนไป ฝ่ายคนถูกใช้ก็ส่ายหัว คนต้นคิดที่อยากทำเซอร์ไพรส์ไม่ใช่เขาสักหน่อย อีกอย่างถ้าเป็นอาธีร์ที่มีหลานวัยไล่เลี่ยกับเจ้าของวันเกิด แถมยังเอาใจเด็กเก่งอย่างกับอะไรดีคนนั้น คงทำให้โชครู้สึกสนุกสนานได้มากกว่าเขาที่ทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้เพื่อนครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่ตอนมหา’ลัยปีหนึ่งนู่น



          “แก้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเป็นเชิงให้ตามไปด้วยกัน โชคมองผู้ใหญ่สองคนงงๆ แต่ก็ไม่ได้สนมากไปกว่าสารคดีภาคค่ำที่กำลังฉายเรื่องขั้วโลกเหนือที่มีหมีขาว แต่ไม่มีเพนกวินอยู่บนทีวี



          “มึงถือไป” ธีร์วางกล่องเค้กใส่มือเพื่อน ขณะที่ปักเทียนลงไปเกินจำนวนอายุเด็กชายอยู่หนึ่งแท่ง



          “มึงถือสิ” แก้วใช้มือข้างที่ว่างล้วงเอาไฟแช็กสีทองออกมาจุดเทียนทั้งเก้าเล่ม เสร็จแล้วก็ยื่นไปตรงหน้าอีกคน



          “มึงนั่นแหละ”



          “มึงเป็นคนซื้อเค้กมา”



          “แต่ถ้ามึงเป็นคนถือ โชคจะดีใจกว่า”



          “ใครถือก็เหมือนกันแหละ”



          “ไม่เหมือนหรอก สำหรับโชค มึงสำคัญมากนะ” ดวงตาคู่สวยจ้องลึกเข้าไปยืนยันคำพูดของตนกับอีกฝ่าย ในที่สุดกล่องเค้กที่ถูกยื้อยัดใส่กันไปมาในที่สุดก็อยู่ในมือของเจ้าของบ้าน ธีร์ยิ้มจนตาปิดให้เพื่อน เดินนำออกไปก่อนเพื่อไปกดสวิตช์ปิดไฟ



          เด็กชายสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ทั้งไฟในบ้านก็ดับลง เหลือไว้เพียงแสงจากจอโทรทัศน์ที่สว่างวูบไหวเปลี่ยนไปมา กับแสงสีส้มอุ่นจากเปลวเทียนบนเค้กที่น้าแก้วของเขาค่อยๆ ถือเข้ามาใกล้ เสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ตเดย์ที่เด็กชายไม่คุ้นเคยแต่ก็พอรู้จักอยู่บ้างดังขึ้นด้วยสองเสียงประสานกัน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะดังมาจากอาธีร์ที่ขยับตัวแทรกเข้ามานั่งข้างเขาแล้วปรบมือตามจังหวะไปด้วยก็ตาม ส่วนคนถือเค้กเพียงขยับปากร้องเพลงคลอเบาๆ แต่ถ้อยคำที่ถ่ายทอดมาทางสายตาที่จ้องสบกับเด็กชายกลับชัดเจน



          “แฮป...ปี้..เบิร์ตเดย์...ทู้..ยู...”



          สุขสันต์วันเกิดนะโชค



          วันที่ 22 มิถุนายน ในฤดูฝนเมื่อแปดปีที่แล้ว เด็กชายได้เกิดมาบนโลกใบนี้





          หลังจากที่รู้ชื่อกันในวันนั้น ที่นั่งกินข้าวประจำข้างโชคก็เป็นของมิกซ์ เช่นเดียวกับที่มิกซ์ไปไหน โชคก็จะไปด้วยเสมอ เด็กสองคนตัวติดกัน เล่นด้วยกันเรียนด้วยกัน มิกซ์ยังคงเป็นเด็กแสบซ่าช่างเจรจา ในขณะที่โชคก็เริ่มซึมซับนิสัยเหล่านั้นทีละน้อย จากที่ไม่ค่อยชวนคุยก่อน เดี๋ยวนี้ก็สรรหาเรื่องต่างๆ มาพูดคุยกับอีกฝ่ายบ้างแล้ว แก้วพึงพอใจกับการเติบโตทีละนิดละหน่อยนั้นของเด็กชาย จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งที่เขาไม่ได้ไปรับเด็กชายด้วยตัวเองเพราะติดงาน เลยฝากให้รุ่นน้องช่วยรับไปส่งบ้านให้แทน



          “กลับมาแล้ว ขอบใจมากปุณที่ไปรับโชคให้พี่ กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนค่อยกลับนะ” แก้วก้าวเข้ามาในบ้าน เห็นรุ่นน้องที่ช่วยเป็นธุระให้ยังอยู่เป็นเพื่อนโชคเลยเอ่ยปากชวนให้อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันเป็นการขอบคุณ แต่กลับได้ความเงียบเป็นคำตอบ เงียบจากทั้งลูกน้องและเด็กชาย



          “มีอะไรรึเปล่า” เจ้าของบ้านหนุ่มมองหน้าตาอึดอัดใจของรุ่นน้อง แล้วเบนสายตาไปหาเจ้าตัวเล็กด้านหลังที่นั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าของเด็กชายมีรอยช้ำ มุมปากแตก แขนขาก็ขึ้นรอยเขียว



          “โชค” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมา ไม่ยิ้มแต่ก็ไม่มีน้ำตา ถึงแม้ว่าสีหน้าจวนจะร้องไห้เต็มที แก้วเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชาย สำรวจดูร่องรอยบนตัวอย่างใจเย็น แม้ว่าในใจเขาจะร้อนรนมากแค่ไหนก็ข่มอารมณ์เอาไว้ “เกิดอะไรขึ้น”



          “ตอนผมไปรับครูน้องไม่อยู่ห้อง ถามน้องน้องไม่ยอมบอก พอผมจะโทรหาพี่ก็ไม่ยอมอีก ผมก็ไม่รู้จะทำไงเลยรอพี่กลับมาอยู่นี่แหละ” สายตาของปุณแสดงความห่วงใยชัดเจน เขาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีน้องไม่มีหลานเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี จะโทรหาผู้ปกครองเด็กชาย น้องโชคก็คว้าชายเสื้อไว้ส่ายหน้าดิกด้วยสีหน้าแบบที่ถ้าเขากดโทรออกไป เขาคงจะกลายเป็นคนเลว สุดท้ายก็เลยทำได้แค่อยู่รอให้แก้วกลับบ้านเป็นเพื่อนเด็กชายเท่านั้น



          “อืม ขอบใจมาก วันนี้กลับไปก่อนแล้วกัน วันหลังเดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว” แก้วเห็นไหล่เล็กสั่นไหวแต่ไม่ยอมให้น้ำตาไหล เลยตัดสินใจให้รุ่นน้องกลับบ้านไปก่อน เพราะตอนนี้เด็กชายคงอยากจะอยู่กับเขาเพียงลำพัง เพื่อที่จะได้ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะต่อว่าหรือทุบตีตัวเองอีก



          ปุณไม่อยากกลับไปก่อน แต่พอเห็นแววตาที่ปกติจะเฉื่อยชาจ้องมาเชิงออกคำสั่งก็ยอมกลับแต่โดยดี พอคนนอกไปแล้ว มือเล็กก็คว้าเอามืออุ่นที่ยึดเหนี่ยวเดียวของเขาไปกุมไว้แน่น น้ำตาไหลทะลักทลายออกมาหลังจากที่กลั้นเอาไว้มานาน เสียงสะอื้นดังระงม แก้วค่อยๆ ตะล่อมถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ความว่าถูกเด็กห้องข้างๆ รุมตีเพราะแย่งที่ในสนามเด็กเล่นกัน เด็กห้องโชคนั้นไปถึงก่อน ส่วนพวกมาใหม่ก็เข้ามาแย่ง มิกซ์ที่เป็นหัวโจกห้อง 1 ไม่ยอมเลยผลักหัวโจกห้อง 2 หลังจากนั้นการทะเลาะวิวาทของเด็กประถมก็ขยายวงกว้างจนมั่วไปหมด เพื่อนร่วมห้องของเด็กชายต่างวิ่งหนีเพราะเด็กอีกห้องตัวใหญ่กว่า แต่ด้วยนิสัยของน้องมิกซ์ที่ไม่ยอมใครเลยไม่ยอมถอย โชคที่เห็นเพื่อนโดนรังก็เลยเข้าไปขวาง สุดท้ายก็ได้แต่คู้กายรับมือรับเท้าแทนมิกซ์ที่อยู่ด้านล่าง



          แก้วรู้สึกโกรธ โกรธจนแน่นหน้าอกไปหมด เขาไม่ได้โกรธเด็กคนอื่น เขาไม่ได้โทษคุณครูที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ เขารู้ว่าการทะเลาะกันของเด็กๆ นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเด็กชายในสภาพยับเยินแบบนี้ แต่มันเป็นครั้งแรกที่เด็กชายตกอยู่ในสภาพนี้นับตั้งแต่มาอยู่กับเขา แก้วกดฟันจนกรามนูนชัด เขากำลังโมโหที่เด็กชายของเขานั้นเอาตัวเข้าปกป้องเพื่อนเพราะรู้ดีว่าการโดนตีนั้นมันเจ็บ ยอมใช้ตัวเองเป็นโล่ให้คนอื่นทำร้ายได้โดยไม่โต้ตอบ แล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้มาตลอดเพราะกลัวว่าจะโดนตีซ้ำถ้าตัวเองร้องไห้



          แก้วโมโหตัวเองที่วันนี้เขากลับมาช้าเหลือเกิน เขาโมโหที่ปล่อยให้เด็กชายต้องกลั้นน้ำตารอเขาเนิ่นนานเสียขนาดนี้ และโมโห.. ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ได้ช่วยดึงเด็กชายออกมาจากความมืดมิดนั้นเลยสักนิด



          “โชค” เสียงเขาสั่นเพราะความโมโหมันกลั่นตัวขึ้นมาคลออยู่ที่เบ้าตาร้อนฉ่า “การทำร้ายคนอื่นน่ะมันไม่ดีหรอก แต่ว่า.. แต่ถ้าเราโดนคนอื่นทำร้ายมา เราก็ต้องสู้กลับไปสิ ฉันไม่ได้บอกให้เธอไปหาเรื่องชกต่อยกับคนอื่นนะ แต่ถ้าเธอถูกเขาตีมา ก็ปกป้องตัวเองหน่อยเถอะ... อย่าปล่อยให้ตัวเองโดนทำร้ายง่ายๆ แบบนี้สิ”



          แก้วรู้สึกได้ว่าความคับแค้นใจของเขาไหลออกมาจากตา เขากำลังร้องไห้ ครั้งแรกในรอบหลายปี หรืออาจจะในรอบสิบปี หยดแล้วหยดเล่า เขาเพิ่งจำได้ว่าการร้องไห้มันเหนื่อยล้าถึงขนาดนี้ แล้วกับคนที่กลั้นน้ำตาไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา จะเหนื่อยล้ากว่าเขาขนาดไหน มืออุ่นประคองแก้มนุ่มเพื่อให้เด็กชายมองหน้าเขา



          “แล้วถ้าเธออยากร้องไห้ ก็ร้องออกมาเถอะ คนเราก็ร้องไห้กันทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องฝืนอีกต่อไปแล้วนะ ไม่มีใครจะตีเธอถ้าเธอร้องไห้อีกแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเธออีก ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”





          หลังจากที่เด็กชายร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด ส่วนแก้วนั้นน้ำตาหยุดไหลนานแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ขอบตาแดงเรื่อ พวกเขาก็เข้าไปนั่งกินข้าวเย็นกันเงียบๆ ในครัว เสร็จแล้วก็อาบน้ำทำแผลขึ้นห้องนอน ระหว่างนั้นครูประจำชั้นที่โทรมาหาแก้วรอบหนึ่งแล้วแต่แก้วคุยงานอยู่เลยไม่ได้รับสายก็โทรเข้ามาเล่าอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังอีกครั้ง รวมถึงขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นแบบนี้ขึ้นอีก



          “น้าแก้ว” เด็กชายขยับนอนตะแคงหันมาหาคนที่นั่งพิงหัวเตียงด้านหนึ่ง ซึ่งกำลังเลือกเอาหนังสือภาพสัตว์ทะเลออกมาเพื่ออ่านให้เขาฟัง



          “ว่าไง”



          “ไม่มีอะไร เรียกเฉยๆ” เด็กชายยิ้มซุกซน ดึกผ้าห่มขึ้นมาปิดครึ่งหน้าหัวเราะคิกคัก แก้วดึงผ้าไปกองไว้ใต้คางเล็ก พร้อมขยับขึ้นไปกึ่งนั่งกึ่งนอนข้างเจ้าของเตียงแล้วอ่านเรื่องราวของปลาวาฬสีน้ำเงิน สัตว์ที่มีขนานใหญ่ที่สุดในโลกให้ฟัง พออ่านจบโชคก็หาวหวอดพอดี



          “ทำไมถึงเอาตัวเองไปกันให้มิกซ์ล่ะ” แก้วเก็บหนังสือเข้าที่ ขยับลงมานอนหนุนหมอนใบเดียวกับเด็กชาย ตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะหลับ



          “มิกซ์ตัวนิดเดียว พวกนั้นตัวใหญ่”



          “ตัวเองก็ตัวแค่นี้ เอาอะไรไปสู้เขา”



          “เดี๋ยวมิกซ์เจ็บ”



          “แล้วเธอไม่เจ็บรึไง”



          “ไม่เป็นไร ผมไม่อยากให้มิกซ์เจ็บ เพราะมิกซ์เป็นเพื่อนของผม” รอยยิ้มใสซื่อฉีกกว้าง แม้ในความมืดมันก็ยังคงสว่างไสวชัดเจน



          “ใจดีจังเลยนะ” แก้วพึมพำ มืออุ่นลูบผมตัดสั้นทรงนักเรียนเพื่อกล่อมให้อีกคนนอน จนสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปทั้งคู่



          เย็นวันต่อมาแก้วไปรับโชคที่โรงเรียน แต่รถยนต์สี่ประตูสีดำไม่ได้พาแล่นตรงกลับบ้านอย่างทุกที แก้วพาเด็กชายมาที่ทำงานของเขา แต่ไม่ได้เดินเข้าตึก กลับพาข้ามถนนไปอาคารพาณิชย์สามชั้นสองคูหาที่เปิดเป็นโรงเรียนสอนเทควันโด้ฝั่งตรงข้ามแทน 



          “ทีหลังจะได้ไม่โดนเขาตีอยู่ฝ่ายเดียวอีก”




TBC...


          สวัสดีค่า ก็มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นในตอนนี้เลยนะคะ ทั้งโรงเรียนใหม่ ทั้งเพื่อนใหม่ น้องโชคของเราเริ่มโตขึ้นทีละนิดแล้วนะคะ ช่วยติดตามเด็กชายโชคกันไปจนกว่าน้องเขาจะโตไปด้วยกันนะคะ
          ปล.ขอหวีดอาธีร์หน่อยนะคะ ธีร์เป็นตัวละครที่รีนเคยวางไว้ให้เป็นแค่ส่วนเล็กๆ แต่พอเขียนจริงกลับกลายเป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่มากๆ เลยค่ะ หลงเสน่ห์ตัวละครตัวนี้มากๆ เลย เป็นผู้ชายในแบบที่ถ้าอยู่ในชีวิตจริงรีนก็คงจะตกหลุมรักขึ้นไม่ไหวแน่ๆ แง้
          เรื่องราวอบอุ่นหัวใจที่คลุ้งไปด้วยควันบุหรี่นี้จะเดินไปในทิศทางไหน ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

          ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเลยค่ะ รักษาสุขภาพกันด้วย
          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 8 [07.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-05-2020 02:49:04
เทควันโดสายดำเลยโชค อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 8 [07.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 09-05-2020 16:08:50
น้าแก้วคนจริงเว้ยเฮ้ย!!5555 จัดไปถึงสายดำเลยนะโชค จะได้ปกป้องตัวเองและเพื่อนรัก ความภูมิใจเล็กๆของเด็กที่ได้ปกป้องเพื่อน ชอบที่น้าแก้วไม่ดุด่าว่า เพียงแต่บอกให้รู้จักป้องกันตัวเอง มันก็จริงนะโชค เจ็บตัวบ่อยๆน้าแก้วเสียใจนะ โทษตัวเองเลย น้าแก้วอาธีร์ทำซึ้งอ่ะ จัดงานวันเกิดให้  :mew4: น่ารัก อบอุ่นใจ ถ้าไม่ปากแตกลับมาจากโรงเรียนอะนะ 555555 เดี๋ยวๆรอเรียนเทควันโดก่อนเถอะมึง ตัวใหญ่แค่ไหนก็ล้มได้ เนาะโชค 555 สนุกมากกกกกกกก ชอบๆ จะเกิดไรขึ้นบ้าง รออ่านตอนหน้าเลย ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ รออ่านเสมอค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 9 [14.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 14-05-2020 18:50:54
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 9





          “เก็บของเสร็จยัง” ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องนอนเล็กของบ้าน มองดูเด็กชายที่กำลังละล้าละลังกับกองสัมภาระข้างกระเป๋าเดินทางแบบมีล้อใบเล็ก



          ปิดเทอมใหญ่ก่อนเลื่อนชั้นนั้นตรงกับฤดูร้อน แก้วเลยใช้โควต้าลางานเพราะตั้งใจจะพาเด็กชายขับรถไปทะเลสักที่ ให้โชคได้เห็นผืนน้ำสีครามกว้างใหญ่ที่เจ้าตัวหลงใหลและเฝ้ามองผ่านจอโทรทัศน์กับตาตัวเองเสียที



          “มันใส่ไม่หมดน้าแก้ว” ดวงตาใสเหมือนลูกหมาเงยขึ้นมาจากพื้น แก้วเป็นคนเตรียมของทั้งหมดให้ แต่เรื่องจัดเก็บใส่กระเป๋าเขาให้เด็กชายทำเอง เพราะฉะนั้นเขาค่อนข้างมั่นใจว่าจัดเอาไว้ให้ใส่ได้พอดีกับกระเป๋าแล้ว พอเดินเข้าไปนั่งลงข้างเพื่อช่วยเก็บ เขาก็พบคำตอบว่าทำไมพื้นที่ในกระเป๋าถึงไม่พอสำหรับใส่เสื้อผ้าแค่ไม่กี่ตัวนั้น



          “เอาตุ๊กตาออกมาก่อนสิ”



          “ไม่เอา” เจ้าตัวเล็กส่ายหัวปฏิเสธเสียงแข็ง ยื้อตุ๊กตาฉลามกับโลมาที่ถูกมือขาวหยิบออกจากประเป๋าเดินทางไว้แน่น แก้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถามระคนแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่โชคจะขัดคำเขาแบบนี้



          “อยากพาบลูกับทีลกลับไปบ้านที่ทะเลด้วย” ถ้อยคำใสซื่อพูดงึมงำ ดวงตาหลุบต่ำคล้ายรู้สึกผิดเพราะกำลังดื้อกับน้าแก้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ผ่อนแรงที่รั้งตุ๊กตาเพื่อนรักจากใต้มหาสมุทรทั้งสองตัวลง เพราะเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะพาเพื่อนกลับบ้านให้ได้



          แก้วยิ้มอย่างอดเอ็นดูไม่ได้ เขายอมปล่อยมือจากฉลามที่ชื่อบลู และโลมาที่ชื่อทีล ชื่อทั้งสองที่มาจากเฉดของสีฟ้า ซึ่งเขาเป็นคนช่วยเด็กชายตั้ง



          “เอาไปด้วยก็ได้ แต่เอาไปใส่กระเป๋าใบอื่นนะ” แก้วลูบหัวเด็กชายที่ยอมเอาตุ๊กตาออกจากกระเป๋าแล้วเริ่มเก็บข้าวของที่จำเป็นจริงๆ ใส่เข้าไปแทน เมื่อไม่มีของที่เกินมา ไม่นานโชคก็เก็บกระเป๋าเรียบร้อยพร้อมเดินทาง แต่เพราะกำหนดการเดินทางคือรุ่งสางของวันถัดไป เจ้าหมาน้อยเลยได้แต่นอนลืมตาโพลงมองเพดาน ในขณะที่ในอ้อมแขนมีบลูกับทีลอยู่ข้างละตัว เฝ้าคิดถึงพื้นที่สีฟ้าและกลิ่นอายที่ไม่เคยได้รู้จักอย่างตื่นเต้นจนหลับไป







          เช้าวันต่อมาทั้งเด็กชายและเจ้าของบ้านต่างตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แก้วลงไปอาบน้ำก่อน เสร็จแล้วก็เข้าครัวไปทำอาหารเช้าง่ายๆ รอเด็กชาย พอโชคออกจากห้องน้ำมาด้วยชุดใหม่รวมกึงใบหน้าที่สดชื่นหลังล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้วก็กินข้าวกัน หลังจากนั้นก็เก็บเอาของไปขึ้นรถ เช็คฟืนไฟให้เรียบร้อยก่อนปิดล็อกบ้านอย่างแน่นหนา แล้วกระโดดขึ้นรถเก๋งสี่ประตูขนาดกลาง มุ่งหน้าลงใต้พอดีกับที่แสงจางสีทองผุดขึ้นตรงขอบฟ้า



          แก้วชอบทะเลใต้มากกว่าทะเลแถบกรุงเทพ ทั้งที่เป็นอ่าวไทยเหมือนกันแต่เขาก็เลือกที่จะขับรถเลยลงไปถึงหัวหิน เมืองเล็กๆ ที่อยู่ตรงรอยต่อของสองจังหวัด แต่ถูกนับรวมเขากับประจวบคีรีขันธ์ที่อยู่ใต้จังหวัดเพชรบุรีอีกที ชายหนุ่มแวะจอดรถริมถนน ขณะที่ปล่อยเครื่องยนต์ที่วิ่งทางไกลได้พักก่อนดับเครื่อง ก็เอี้ยวตัวไปควานหาของจากเบาะหลังมาวางลงบนหัวเด็กชาย



          หมวกปีกสีฟ้าขนาดพอดีศีรษะเล็ก โชคเงยหน้าช้อนดวงตาขึ้นมองคนใส่ให้ “ถึงแล้วเหรอน้าแก้ว”



          “ถึงแล้ว”



          คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าเล็กดูผิดหวังนิดหน่อย เมื่อวิวรอบตัวยังคงเป็นตึกรามบ้านช่อง ไม่เห็นมีสีฟ้าของทะเลที่เขาใฝ่ฝันเลยสักนิด แก้วรู้ทันอีกฝ่ายยกยิ้มน้อยๆ พอดีกับระยะเวลาพักเครื่องที่พอสมควรแล้ว เขาก็ดับเครื่องแล้วลงรถอ้อมไปรอโชคที่เปิดประตูอย่างทุลักทุเลเพราะมัวแต่หนีบตุ๊กตาสัตว์น้ำเพื่อนรักเอาไว้เต็มสองแขน



          ทันทีที่บานประตูเปิดกว้างด้วยความช่วยเหลือของมือขาว เมื่อเท้าเล็กทั้งสองข้างแตะลงบนบาทวิถี กลิ่นอายเค็มปร่าที่พัดพามาพร้อมกับสายลมอุ่นก็พุ่งเข้าปะทะจมูก แก้ววางมือเหนือหมวกปีกที่เขาใส่ให้เด็กชายเพื่อกันแดด โยกโคลงไปมาเบาๆ “ได้กลิ่นไหม”



          โชคแหงนคอขึ้นเพื่อมองสบตาผู้พูด แต่เพราะแสงแดดจ้าทั้งที่ยังเป็นตอนเช้าส่องลงมาแยงตาทำให้ดวงตาคู่น้อยต้องหรี่ลง ภาพใบหน้าขาวสะอาดของคนที่เขาจดจำได้ดีถูกซ่อนไว้ในเงา แต่ถึงอย่างนั้นโชคก็รู้ว่าน้าแก้วกำลังมองเขาด้วยแววตาเช่นไร



          “กลิ่นของทะเล”



          ...อ่อนโยน เฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียงทุ้มต่ำที่กำลังบอกกับเขา







          หาดทรายสีสว่างตัดกับท้องน้ำสีเดียวกับเวิ้งนภา ทะเลวันนี้เป็นสีฟ้าใสเหมือนท้องฟ้าวันแดดจัด เกลียวคลื่นตีฟองขาวให้ลอยล่องดั่งก้อนเมฆ เด็กชายยืนมองภาพสะท้อนของท้องฟ้าที่ตีซัดเข้าฝั่งอย่างตื่นตาตื่นใจ รอยยิ้มเล็กๆ เหยียดออกกว้าง สดใสเหมือนดั่งแสงตะวันที่ส่องลงมา



          โชคหันมาหาผู้ปกครองที่ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีขาวกับกางเกงขาสั้น คีบรองเท้าแตะยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านหลังตรงหัวมุมซอยแคบที่พวกเขาใช้ลัดเลาะผ่านมาเป็นเชิงขอคำอนุญาตให้ลงเล่นน้ำได้ แก้วพยักหน้าพร้อมกับปล่อยควันสีหม่นให้ลอยล่อง เฝ้ามองเด็กชายวิ่งดุกดิกตรงไปยังที่ซึ่งฟองคลื่นจูบกับหาดทราย แต่ไม่ทันน้ำจะโดดเท้า ก็กระโดดหยองแหยงหนี ใบหน้าเปื้อนยิ้มเต็มหน้าจนตาแทบปิด ในขณะที่อ้อมแขนกอดตุ๊กตาไว้



          “น้าแก้ว” คนที่กำลังตื่นเต้นกับท้องน้ำสุดลูกหูลูกตาหันมาร้องเรียก เจ้าของชื่อสูบบุหรี่เสร็จแล้วเลยเดินอาดๆ ลงไปหาเด็กชายที่ยังไม่กล้าให้น้ำทะเลสัมผัสตัวสักที



          “ถอดรองเท้าสิ” ชายหนุ่มพูดพลางถอดรองเท้าแตะของตัวเองออกไว้กลางเนินทรายขาว เด็กชายทำตาม สี่เท้าเปลือยเปล่าบนผืนทราย สัมผัสหยาบแต่ไม่ถึงกับทำให้เจ็บชวนให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก โชคขยับเท้ายุกยิกราวกับกำลังสำรวจสิ่งใหม่ ทั้งที่เขาเคยเล่นทรายในสนามเด็กเล่นของโรงเรียนแล้วแท้ๆ แต่มันกลับให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากทรายบนหาดที่เขากับลังเหยียบอยู่



          มืออุ่นยื่นมาตรงหน้า และเด็กชายก็คว้าจับไว้ทันที ตุ๊กตาสองตัวถูกถ่ายไปไว้ในอ้อมแขนเล็กข้างเดียวจนจะหล่นไมหล่นแหล่ แต่โชคก็กำมือแก้วไว้แน่น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนโตกว่ามีจุดประสงค์อะไรถึงขอมือเขา แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม หากมือคู่นั้นส่งมาตรงหน้า เด็กชายก็จะคว้าจับไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย



          “ไม่ต้องกลัว ฉันจับเธอไว้อยู่” สองขาสั้นก้าวตามคนขายาวที่จงใจเดินช้าลงเพื่อรออีกฝ่ายตรงไปยังทะเลสีฟ้า หยุดยืนอยู่บนทรายชื้นแฉะ รอจนคลื่นตีเข้าหาฝั่งอีกครั้ง น้ำทะเลเย็นเฉียบสัมผัสผิว แต่ในความเย็นเยียบนั้นกลับอบอุ่น อาจจะเป็นเพราะอยู่ในหน้าร้อน หรือไม่ก็เพราะมือที่กุมกันอยู่



          โชคสะดุ้งอีกครั้งเมื่อคลื่นโถมมาลูกใหญ่กว่าเดิม ซัดสาดจนขางกางเกงที่ยาวคลุมเข่าเขาเปียกปอน บลู ฉลามตัวน้อยร่วงลงบนผิวน้ำ ก่อนจะถูกท้องทะเลกลืนกลับไป เด็กชายยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร เจ้าของมืออุ่นก็ผละออก เดินลุยน้ำเกลือเค็มปร่าจนเปียกขึ้นมาถึงสะโพกไปคว้ากลับคืนมาให้



          “ร้องไห้ทำไม บลูอยู่นี่แล้วไง” แก้วงงกับน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาจากเบ้าของเด็กชาย คิดว่าคงตกใจที่เกือบเสียเพื่อนรักไป แต่พอยื่นบลูกลับไปให้ตรงหน้า เจ้าของกลับไม่ได้รับไป โถมตัวเข้ามากอดเอวเขาไว้แน่นแทน แก้วรับรู้ได้ถึงความอุ่นชื้นท่ามกลางความเย็นฉ่ำเมื่อลมทะเลพัดมา



          “น้าแก้ว.. ฮึก น้าแก้ว ไม่ไป..”



          “ไม่เป็นไรนะ โชค ฉันอยู่นี่” สองมือที่เปียกชุ่มยกขึ้นโอบศีรษะเล็กเอาไว้ เขาเข้าใจแล้วว่าเมื่อกี้ที่เด็กชายตกใจไม่ใช่ว่าจะเสียเพื่อนรัก แต่หวาดกลัวว่าจะสูญเสียเขาให้กับท้องทะเลต่างหาก กลัวว่าเขาจะถูกพัดพาออกไปไกลจนไม่มีวันกลับมา กลัวว่าสัตว์น่ากลัวที่แหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำจะกลืนกินเขาเหมือนที่กินแมวน้ำอย่างที่ได้ดูในสารคดี







          ยามเที่ยงวันแดดทวีความร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม แก้วพาเด็กชายมาหลับร้อนในร้านอาหารข้างทางที่มองเห็นวิวทะเลอยู่ลิบๆ โชคเลิกร้องไห้แล้ว กลับไปสดใสร่าเริงตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งรอบตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มมองคนตรงข้ามที่ยกตุ๊กตาฉลามที่ยังคงชื้นอยู่ขึ้นมาดม กลิ่นเกลือทะเลแปร่งๆ ทำให้เจ้าตัวเล็กยู่จมูก แต่ก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ โชคดีเหลือเกินที่เด็กชายไม่ได้เกลียดทะเล เขาคิด



          หลังจากมื้อเที่ยง รถญี่ปุ่นสีดำก็แล่นออกไปตามถนน มุ่งตรงสู่ที่พักที่โทรมาจองเอาไว้ เป็นรีสอร์ทที่ปลูกบ้านหลายๆ หลังบนที่สูงพอจะมองออกไปเห็นทะเล แต่ไม่ใกล้พอที่จะลงไปเล่น กลิ่นอายเฉพาะพื้นที่ชวนให้ผ่อนคลาย แก้วไขกุญแจบ้านพักหลังเล็กที่อยู่ตรงมุมสุด เป็นส่วนตัวแต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจนโดดเดี่ยว



          “น้าแก้ว” เด็กชายพูดขึ้นหลังจากเก็บข้าวของเสร็จแล้ว โผล่หน้าน้อยๆ ออกไปที่ระเบียงหน้าบ้านซึ่งถูกอีกคนจับจองไว้ก่อน ควันขาวลอยเคว้ง ก่อนถูกลมพัดให้กระเจิงหายไป แก้วอยู่ทางใต้ลมอยู่แล้ว โชคเลยขยับปีนขึ้นไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ถูกกั้นกลางด้วยโต๊ะกระจกใส “บลูอาจจะอยากกลับทะเลรึเปล่า”



          คำถามนั้นกล่าวถึงตุ๊กตาฉลามที่เอาไปผึ่งแดดไว้ตรงราวระเบียงอีกฟาก เด็กน้อยก้มหน้าลงมองลายวงกลมเบียดเสียดของผิวโต๊ะ บางทีที่บลูร่วงลงไปบนผืนน้ำ บลูอาจจะอยากให้คลื่นซัดพาลอยออกไป และบางที เจ้าโลมาทีลเองก็อาจจะอยากแหวกว่ายไปด้วยกัน กลับสู่บ้านที่กว้างใหญ่สีครามนั้น



          “แล้วถ้าบลูลอยหายไป เธอจะเสียใจไหม”



          “ไม่เสียใจหรอก” เด็กชายส่ายหน้าแทบไม่ต้องคิด “ถ้าบลูอยากกลับบ้าน ผมก็อยากให้บลูได้กลับบ้าน”



          “จะไม่เหงาเหรอ ไม่มีเพื่อนให้นอนกอดแล้วน่ะ”



          เด็กชายเงียบไปอึดใจ ก่อนจะตอบเสียงอ่อย “ก็คงเหงา”



          “ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยมือหรอก” แก้วขยี้บุหรี่ที่เหลือเพียงน้อยนิดลงบนที่เขี่ย เศษขี้เถ้าสีหม่นกระจายตัวเช่นเดียวกับไอขมุกขมัวที่ลอยขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาสีเข้มทอดต่ำลงมองก้นกรองที่ปลายนิ้วตน “คนเราจะเห็นแก่ตัวเพื่อความสุขของตัวเองบ้างก็ไม่เป็นไร”



          โชคมองอย่างไม่เข้าใจ เขายังเด็กและไม่ประสา แต่ก็รู้สึกได้ว่าถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดนั้นมีความหมายอยู่แน่นอน แก้วช้อนสายตากลับขึ้นไปสบตาเด็กชาย ส่งยิ้มบางๆ ให้ “แล้วฉันก็คิดว่าบลูกับทีลคงอยากอยู่กับเธอมากกว่า ในทะเลมันหนาวแล้วก็มืดมากเลยนะ”



          มืออุ่นวางลงบนศีรษะเล็กที่ไร้หมวกปีกกั้นขวาง ลูบไล้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถ้าอยู่กับเธอพวกนั้นก็จะได้รับกอดอุ่นๆ ทุกวัน ไม่ต้องเหงาอยู่ในทะเลคนเดียว”



          “แต่ถ้าบลูกับทีลอยู่ด้วยกันก็ไม่เหงาแล้วนี่”



          “แต่ถ้าอยู่กับเธอด้วยก็จะไม่มีใครต้องเหงา”



          แก้วกดยิ้มมุมปากเป็นภาพที่น่ามองจนเด็กชายเผลอมองค้าง เขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนั้นมาก่อน แต่ตอนนั้นมันไม่ได้ส่งมาให้เขา มันเป็นรอยยิ้มที่จะถูกจุดขึ้นเมื่ออาธีร์พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้น้าแก้วขมวดคิ้ว แล้วหลังจากนั้นน้าแก้วก็จะตอบกลับไป สุดท้ายก็กลายเป็นรอยยิ้มบนหน้าของทั้งสองคน



          “มีชิงช้าด้วย ไปเล่นไหม” แก้วถาม เมื่อต้นมะพร้าวต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากตัวบ้านพักนักถูกโยงเชือกทำชิงช้าตัวใหญ่ทิ้งไว้ เด็กชายพยักหน้า กระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งตามขายาวที่เดินนำไปก่อน



          ใต้ต้นมะพร้าวไม่ได้มีร่มเงานัก แต่ก็บังแดดจ้าที่จะส่องลงมาเลียผิวเอาไว้ได้ อากาศร้อน ลมทะเลเค็มปร่า ผิวเหนอะหนะเพราะความชื้น แต่โชคก็ยังคงนั่งพิงหัวกับไหล่กว้าง โดยที่เจ้าของบ่านั้นไม่ได้ว่าอะไร พวกเขาปล่อยให้ชิงช้าโยกไหวไปตามแรงของคนโตกว่า ปล่อยเวลาทิ้งเอาไว้ในยามบ่ายของหน้าร้อน ที่มีท้องทะเลสีเดียวกับเวิ้งฟ้าและเสียงคลื่นซัดสาดอยู่เบื้องหน้าไกลห่างออกไป



          ...ราวกับชั่วนิรันดร์มาถึงแล้ว







          สามวันสองคืนที่ใช้ที่ริมทะเล แก้วพาโชคเที่ยวไปทั่วเมืองหัวหิน กินอาหารทะเลสดใหม่ และลงเล่นน้ำในเวลาที่แดดไม่แสบร้อนผิวนัก ตกเย็นก็พาไปเดินตลาดกลางคืนขึ้นชื่อ กล้องถ่ายภาพถูกยกขึ้นมาเก็บเสี้ยววินาทีของเด็กชายเอาไว้มากมาย เช่นเดียวกับที่นานๆ ครั้งมันก็ถูกมือเล็กรับไป ลั่นชัตเตอร์เก็บเอาน้าแก้วขังไว้ในม้วนฟิล์ม น้าแก้วคนที่เขาเห็นผ่านดวงตาคู่นั้น



          รถญี่ปุ่นมุ่งหน้าออกจากหัวหินตอนบ่ายแก่ และถึงที่หมายตอนหัวค่ำ หน้ารั้วไม้สีซีดมีรถยนต์สีขาวจอดรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นว่าเจ้าของบ้านมาถึง คนบนรถก็ลงมายืนพิงประตูรอพร้อมรอยยิ้มกว้าง



          “อาธีร์” ร่างเล็กกระโจนลงจากรถ วิ่งไปโถมตัวใส่อ้อมแขนที่อ้ารออยู่แล้ว ธีร์อุ้มเด็กชายขึ้น รอเจ้าของบ้านตัวจริงหอบหิ้วของลงจากรถมาไขกุญแจรั้วเข้าไป



          “ทำไมไม่เข้าไปรอในบ้าน กุญแจก็มี” แก้วถามเพื่อนสนิทที่เขาฝากกุญแจบ้านอีกชุดไว้เผื่อฉุกเฉิน ขณะที่รวบของไปไว้มือเดียว แล้วใช้มืออีกข้างพยายามสอดลูกกุญแจให้เข้ารู



          “ลืมหยิบมาด้วย” คนตัวใหญ่ตอบด้วยท่าทีสบายๆ เอื้อมมือมาช่วยแบ่งถุงสัมภาระในมืออีกฝ่ายไปถือไว้ทั้งที่ตัวเองก็กำลังอุ้มเด็กชายอยู่



          หลังจากเปิดประตูไม้บานพับเข้าไปในบ้าน แก้ววางของไว้ที่หน้าทีวี เปิดไฟทั้งในห้องนั่งเล่นและรอบบ้านด้านนอกให้สว่างจ้า ธีร์ปล่อยเด็กชายลงเพื่อให้เอาถุงเสื้อผ้าใช้แล้วไปใส่ตะกร้าผ้ารอซักตามที่เจ้าของบ้านหนุ่มสั่ง ส่วนตัวเองก็ก้าวขายาวๆ ตามเพื่อนไปที่รถ ช่วยขนของที่เหลือเข้าบ้าน



          คืนนั้นธีร์เป็นคนส่งเด็กชายเข้านอน พร้อมกับบลู ทีล และเยล ตุ๊กตาวาฬสำน้ำเงินตัวใหม่ที่ตั้งชื่อตามเฉดของสีฟ้าเช่นเดียวกับเพื่อนของมัน คนตัวใหญ่พลิกตัวนอนตะแคงเท้าแขนกับศอก ผมสั้นที่ยังคงเปียกชื้นของเขาปรกลงบนหน้าผาก ทั้งที่สอนเด็กชายว่าให้เช็ดผมให้แห้งทุกครั้งแท้ๆ มือใหญ่วางลงบนหน้าผากเล็ก กล่าวราตรีสวัสดิ์ด้วยเสียงกระซิบ



          “อาธีร์” คนที่คิดว่าหลับไปแล้วพึมพำขึ้นมา



          “หืม”



          “อาธีร์นอนเป็นเพื่อน้าแก้วแบบนี้ด้วยรึเปล่า” คำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานดวงตาคมก็หรี่ลงมองเด็กชายอย่างอ่อนโยนเช่นปกติ ใช้เวลาเสี้ยวนาทีที่แสนเนิ่นนานก่อนจะตอบ



          “อืม บางครั้งน่ะ”



          “เหรอ” ไม่ใช่ประโยคคำถาม เด็กชายดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงใต้ตา ขยับยุกยิกหามุมก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงอู้อี้ใต้ผืนผ้านวม “ผมเองก็อยากนอนเป็นเพื่อน้าแก้วแบบนั้นบ้างจัง”



          “ไม่ได้หรอก” ธีร์พูดเจือหัวเราะในคอ เด็กชายพลิกตัวหันขวับมามองเขาด้วยแววตาผิดหวัง แสงจากโคมไฟสีอุ่นส่องสว่างอยู่เบื้องหลังเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา โชคเลยไม่แน่ใจว่าอาธีร์กำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา



          “ทำไมล่ะ”



          “เพราะว่าถ้าโชคแย่งงานอาธีร์ไปแล้ว..” ยังไม่ทันพูดต่อให้จบประโยค ประตูห้องก็ถูกแง้มเปิด คนที่เป็นหัวข้อสนทนาเยี่ยมหน้าเข้ามามอง



          “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ”



          “กำลังจะนอนแล้ว” แขกประจำเป็นคนตอบแทน ใช้นิ้วชี้กดลงตรงหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นของเด็กชายให้คลายออก ก่อนจะส่งยิ้มทะเล้นแบบที่ชอบทำให้ “รีบนอนได้แล้ว อาจะได้ไปกล่อมน้าแก้วต่อ”



          “ไม่เอา ผมก็จะนอนกับน้าแก้วด้วย”



          “พอเลย เลิกกวนโชคได้แล้ว แบบนี้เมื่อไหร่จะได้นอน” คนยืนฟังประโยคปั่นประสาทนั้นอยู่ทำหน้ามุ่ยแต่หูกลับขึ้นสีเรื่อ เดินไปดึงคนตัวใหญ่ลงจากเตียงแล้วขึ้นไปนอนแทนที่ วางมือลงบนแก้มอุ่นของเด็กชายแล้วลูบเบาๆ “เดี๋ยวฉันนอนเป็นเพื่อนเอง”



          ธีร์ที่ถูกลากลงจากเตียงหัวเราะร่วน ก่อนปีนขึ้นมาเบียดด้วยอีกคน “อาธีร์ก็จะนอนด้วย”



          “เตียงมันแคบ มึงลงไปเลยนะ”



          “ชู่วววว” ธีร์ใช้นิ้วชี้แตะปาก ตาคมมองดุ แต่แววตากลับยิ้มยวน “อยู่ต่อหน้าโชคพูดให้มันดีๆ หน่อย”



          “ลงไป มันอึดอัด”



          “แบบนี้ก็ไม่อึดอัดแล้ว” พูดจบคนตัวใหญ่ก็แนบตัวซ้อนหลังเพื่อนสนิท สอดมือกอดเอวเจ้าของบ้านไว้แน่น ซุกปลายจมูกลงบนท้ายทอยกรุ่นกลิ่นแชมพู



          “ธีร์”



          “นอนได้แล้ว เนอะโชค” มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมเลยร่างในอ้อมแขนไปยีหัวเด็กชาย ขยับยกศีรษะตัวเองขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ โชคพยักหน้าตอบคำเสียงใส เพราะเขาชอบอุ้งมือใหญ่ที่แสนอ่อนโยนของอาธีร์ และความอบอุ่นจากแผ่นอกของน้าแก้วที่ถูกเบียดเข้ามาจนชิดก็ช่วยให้เขารู้สึกสงบ แม้หัวใจจะกำลังเต้นโครมครามก็ตาม



          ค่ำคืนนั้นเด็กชายหลับสนิท แขกประจำที่มักมาค้างคืนเองก็ด้วย มีเพียงเจ้าของบ้านที่ถูกเบียดไว้ตรงกลางเท่านั้นที่ขยับตัวเพราะความร้อนจากอ้อมแขนทั้งสองที่กอดรัดเขาไว้ เตียงนอนขนาด 5.5 ฟุตเล็กเกินไปสำหรับผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคน และเด็กชายที่กำลังโตอีกหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นคืนที่ดีที่สุดคืนหนึ่งของโชค






TBC...



          แสงแดดจ้ากับกลิ่นอายของทะเล คงเป็นความทรงจำหน้าร้อนในวัยเด็กของหลายๆ คนเลยสินะคะ ตอนนี้รีนเขียนด้วยความรู้สึกที่อยากให้น้องโชคได้เป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ คนนึงเหมือนกับคนอื่นๆ ตอนนี้จึงเป็นหนึ่งในตอนที่รีนชอบมากที่สุดเลยค่ะ และแน่นอนว่าชอบช่วงท้ายเรื่องที่สุด  :katai2-1:

          จริงๆ เรื่องนี้รีนเขียนมาตั้งแต่ต้นมีนา และตอนนี้ก็เขียนไปได้ถึงครึ่งหลังของเรื่องแล้วค่ะ ส่วนตอนที่เอาตอนแรกลงตอนนั้นรีนเขียนถึงตอนนี้พอดีเลย รู้สึกเหมือนเดินทางไกลอยู่เลยล่ะค่ะ ทุกวันตั้งแต่ลงนิยายมา รีนก็เข้ามาเช็คทุกวันเลยว่ามีคนอ่านรึเปล่านะ มีคนคอมเม้นรึยัง ทุกคนจะชอบนิยายของรีนรึเปล่า กังวลสุดๆ เลยค่ะ ซึ่งในตอนนี้เองก็มีความกังวลอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ความกังวลแบบตอนแรกที่กลัวไม่มีคนอ่านแล้วนะคะ (ต้องขอขอบคุณคอมเม้นที่คอยให้กำลังใจและยอดอ่านที่เพิ่มขึ้นจริงๆ) ตอนนี้มันกลายเป็นความกังวลจากความรู้สึกรับผิดชอบต่อนักอ่านแทนค่ะ รีนกลัวมากๆ เลยค่ะว่าถ้าทุกคนอ่านไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่ามันไม่สนุกขึ้นมาจะทำยังไงดี ที่กำลังเขียนอยู่ทุกวันนี้ดีพอรึยังนะ เป็นความรู้สึกที่ไม่ชอบตัวเองที่คิดมากแบบนี้เลยค่ะ แต่ไม่ว่ายังไงก็อยากจะเขียนเรื่องนี้ให้จบจริงๆ จะพยายามเขียนให้จบค่ะ
          ถ้าวันนึงที่คุณอ่านนิยายเรื่องนี้แล้วรู้สึกไม่สนุกขึ้นมา ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ และถ้านิยายเรื่องนี้สามารถทำให้คุณยิ้มได้ถึงแม้จะแค่ในตอนนี้ก็ตาม นั่นถือเป็นความสำเร็จของรีนแล้ว

          ขอบคุณที่รับฟังความในใจของรีนค่ะ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลยสักนิด แต่บ่นซะยาวเหมือนนักเขียนขี้งอแงเลย555555 ขอโทษนะคะ

          สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 9 [14.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-05-2020 00:43:30
อบอุ่นมาก อบอุ่นจนร้อนเลยเนอะน้าแก้ว 5555 ดีใจที่น้าแก้วพาโชคไปเที่ยวทะเลแล้ว สนุกเล่นน้ำ ชอบใจใหญ่เลย ต่างคนก็ต่างห่วงกัน คนนึงก็ไม่อยากให้บลูหายเพราะกลัวเขาจะเหงา อีกคนก็ห่วงว่าน้ำทะเลจะพัดพาไป น้าแก้วก็เข้าใจความหมายของน้ำตานั่นได้ดี ฉากนี้ทำซึ้งเลย  :mew4: //แต่ตอนนี้กำลังสับสนในตัวเองว่าอยากจะให้น้าแก้วเกิดความรักกับใคร รักแบบผู้ชายคนนึง ถ้ากับโชคก็เด็กไป(อยากจะให้โตเร็วๆ จะได้เชียร์555) ดูเหมือนว่าโชคจะมีความรู้สึกต่อก่อน แต่ยังเด็กคงไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร กับเพื่อนสนิ๊ทสนิทแนบเนื้อคุณอาธีร์ก็โอ เพราะเขาก็นิสัยดี รักโชค อยู่ข้างแก้วมาตลอด ตัวน้าแก้วเองคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิทป่าวนะ เราพลาดตรงไหนไหม ก็แอบเขินอยู่นะกับบางโมเม้นท์ 55555 จะยังไงกับใจตัวเราดี เชียร์ทางไหนไม่รู้ รอดูน้ำหนักว่าจะเทไปข้างใครในตอนหน้าๆต่อๆไป 555 สนุกกมากกเลยค่า น้าแก้วกับโชค ดีต่อกันจริงๆอบอุ่น อมยิ้มไปด้วยเลย (: บรรยายเห็นภาพดี เก็บรายละเอียดใช้ได้เลยนะในแต่ละฉาก ภาษาดี อ่านลื่นไหล แต่งมาดีแล้วค่ะ แต่งต่อไปนะคะ อย่ากังวลอย่าเกร็ง จะแต่งออกมาแบบไหนก็ตามอ่านค่า ไม่ทิ้งไปไหน ขอผู้แต่งไม่เทพอ 555555 หรือถ้าคิดไม่ออกบอกไม่ถูกก็พักจนมีฟิลค่อยมาต่อก็ได้ นักอ่านใน thaiboys ชอบเป็นนักอ่านเงาค่ะ คืออ่านแต่อาจจะไม่ค่อยเม้นท์เพราะงั้นไม่ต้องซีเรียสนะคะ ชาวthaiboys น่าเอ็นดูค่ะ 5555 สู้ๆค่ะ ในตอนต่อไป ไฟว้ติ้งงงงงง  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 9 [14.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 15-05-2020 12:55:05
อ่านลื่นอบอุ่นเป้นครอบครัวน่ารัก
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 10 [21.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 21-05-2020 18:29:45
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 10





          หลังจากที่ขึ้นชั้นป.สองได้ไม่นาน มิกซ์ เพื่อนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ก็ถูกส่งไปเรียนเทควันโด้ที่เดียวกับเด็กชาย ชั่วโมงเรียนนั้นมีสองวันต่อสัปดาห์ วันอังคารกับวันพุธจึงเป็นหน้าที่แก้วที่จะขับรถมารับเด็กทั้งสองไปส่งที่ตึกแถวสองคูหา แล้วตัวเองก็วนกลับขึ้นไปทำงานในออฟฟิศที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนวันที่เหลือบ้านของเพื่อนสนิทจะพาเด็กชายมาส่งที่บ้านให้ ถ้าวันไหนสถาปนิกหนุ่มจำเป็นต้องกลับบ้านดึกก็จะช่วยพาไปกินข้าวเย็นด้วยก่อนจะวนมาส่งในตอนที่เขากลับมาแล้ว แต่โดยปกติโชคก็จะได้รออยู่ที่บ้านคนเดียวเป็นส่วนใหญ่



          วันนี้ก็เช่นกัน



          รถมอเตอร์ไซต์สีแดงแล่นจากไปโดยที่เพื่อนของเขายังหันมาโบกมือลาไหวๆ โชคโบกมือตอบ ก่อนจะเข้าไปในบ้าน รื้อเอาการบ้านออกมานอนทำอยู่บนพื้นหน้าชั้นวางของ ซึ่งตอนนี้มีภาพถ่ายของเขาวางประดับ รูปของโชคมีอยู่หลายรูป ทั้งรูปแรกที่แก้วหัดถ่ายหน้าทีวี รูปเด็กชายใต้หมวกปีกสีฟ้ายิ้มร่าสดใสแข่งกับแสงแดดจัดริมทะเล แต่รูปที่โชคชอบที่สุดก็คือรูปที่ถ่ายคู่กับน้าแก้วที่หน้าบ้าน ในเช้าของวันแรกที่เขาได้ไปโรงเรียน และมันถูกถ่ายโดยอาธีร์คนโปรดของเขา



          เพล้ง!



          เสียงของแตกดังอยู่นอกบ้าน เด็กชายสะดุ้งตกใจ ก่อนจะลุกออกไปส่องดูที่มาของเสียง ท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว ไฟถนนรวมถึงไฟนอกบ้านส่องสว่างทำให้เกิดเงามืดตามซอกหลืบ โชคก้าวเดินไปตามทางที่คิดว่าเป็นต้นเสียง สวนเล็กหน้าบ้านฝั่งที่มีต้นแก้วกับไม้ดอกในกระถางนานาพันธุ์



          ดวงตาเล็กหรี่ลงจับสังเกต ในเงามืดข้างกระถางดินเผามีแสงวาววับส่องประกายคู่หนึ่งจ้องตรงมา ไม่ทันได้รู้ว่าเป็นอะไร เพียงแค่เขาขยับขาเข้าใกล้อีกนิด เงาสีดำก็พุ่งทะยานออกมา แล้วดีดตัวผ่านลานเล็กนั้นหายไปในเงาข้างบ้าน โชคตกใจร้องเสียงหลง พอดีกับที่เจ้าของบ้านกลับมาถึง แก้วพุ่งเข้ามายืนเคียงข้างเด็กชายทันที



          “เป็นอะไรโชค!”



          “มีตัวอะไรไม่รู้ดำๆ วิ่งผ่านไป” แก้วถอนหายใจเมื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไขปริศนาของเด็กชายให้กระจ่างโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก



          “แมวล่ะมั้ง”



          “แมวเหรอ”



          “อืม เมื่อก่อนมีอยู่สองสามตัว แม่ฉันให้ข้าวเลยแวะมาน่ะ แต่หลังๆ ไม่มีคนให้อาหารแล้วก็หายไป” มืออุ่นโคลงศีรษะเล็ก ก่อนจะผละไปเก็บถุงของที่เขาทิ้งกองไว้เมื่อครู่ขึ้นมากลับเข้าบ้าน “มากินข้าวได้แล้ว”



          “ครับ” เด็กชายร้องตอบ มองทิศทางที่เงาดำหายไปอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปตามคำเรียกของอีกคน







          ช่วงเย็นวันต่อมาโชคนอนทำการบ้านอยู่ที่เดิม และในเวลาที่แสงของดวงอาทิตย์ลาขอบฟ้าเช่นเดียวกับเมื่อวาน ก็เกิดเสียงขึ้นนอกบ้านอีกแล้ว เด็กชายลุกเดินออกไปชะโงกหน้าดูจากบนเฉลียง



          กรร...แง๊ว!



          แม๊ว!!!



          สิ้นเสียงขู่ฟ่อ สองร่างที่พองขนก็พุ่งเข้าใส่กัน อุ้งเท้านุ่มกางกรงเล็บตะปบข่วน แยกเขี้ยวแหลมไล่งับกันอย่างไม่ยอมแพ้ แมวสองตัวกับกำลังกัดกันอยู่ในสวน ตัวหนึ่งสีเทา ส่วนอีกตัวเป็นสีขาวแซมน้ำตาลส้มอ่อนๆ พอเงาร่างที่ทอดยาวออกไปเพราะแสงจากหลอดไฟหน้าบ้านคลุมทับสัตว์สี่เท้าทั้งสองตัวก็ดีดตัวออกไปคนละฟาก ตัวสีเทาวิ่งหลบหนีไปทางหลังบ้าน ส่วนสีขาวแซมส้มหลบไปอยู่ข้างกระถางต้นไม้ ตรงที่เมื่อเช้าแก้วมาเก็บเศษกระถางเซรามิกใบเล็กที่หล่นแตกเมื่อเย็นวานไปทิ้ง



          “เมี๊ยวๆๆ” เด็กชายเลียนเสียงเพื่อเรียกแมว แต่เพราะแมวเป็นสัตว์สูงส่งที่ชอบเมินมนุษย์เป็นทุนเดิม บวกกับเสียงเลียนแบบที่ไม่เหมือนสักนิดนั้นอีก ดวงตาวาวสะท้อนแสงสีเหลืองอมเขียวจ้องมองอย่างหวาดระแวง และเมื่อได้ยินเสียงรั้วเปิดออก ก็พุ่งตัวหนีไปทางเดียวกับคู่อริสีเทา



          วันต่อมาเป็นวันเสาร์ เจ้าของบ้านอยู่บ้านกันทั้งวัน แก้วหายเข้าไปทำงานในห้องทำงานชั้นล่าง โดยที่เด็กชายออกมานอนเล่นบนตั่งตรงเฉลียงหน้าบ้าน วันนี้ไม่ต้องรอจนถึงเย็น ประมาณบ่ายสองก็เห็นแมวสีขาวแซมน้ำตาลส้มออกมาวนเวียนแถวกระถางดอกมะลิที่เดิม



          “เมี๊ยวๆๆๆๆ” เด็กชายส่งเสียงเรียกอีกครั้ง คราวนี้ผู้บุกรุกสี่ขาไม่ได้เตลิดหนี แต่ชะงักงันค้าง จ้องมองเขาไม่วางตา



          “แมวเหรอ โชค” แก้วโผล่หน้ามาตรงหน้าต่างห้องทำงานที่หันเข้าใส่ต้นแก้ว จากตรงนั้นจะมองเห็นเฉลียงบ้านได้ส่วนหนึ่ง ชายหนุ่มเบนสายตาลงบนพื้นอิฐสีส้มอมแดง เห็นสัตว์หน้าขนสีขาวแซมสีอ่อนหมอบตัวอยู่ในท่าดูลาดเลาท่ามกลางมวลดอกไม้สีขาวที่โรยตัวลงมาประดับพื้น



          “น้าแก้ว” เพราะเด็กชายโผล่พรวดมาที่ราวไม้ ชะโงกมาส่งยิ้มให้คนในห้องกะทันหัน สี่เท้าเล็กเลยจ้ำอ้าว กระโจนหนีหายไปทางหลังบ้านอีกครั้ง แก้วพ่นควันบุหรี่ให้ลอยผ่านมุ้งลวดออกไปข้างนอก พลางครุ่นคิดถึงความทรงจำในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว







          วันอาทิตย์บ้านน้องมิกซ์ขับรถกระบะสี่ประตูมารับเด็กชายออกไปว่ายน้ำตอนสายๆ แก้วเปิดกระเป๋าย่ามเช็คดูว่าไม่ลืมเอาผ้าเช็ดตัวไปด้วยอีกครั้งก่อนจะปล่อยให้เจ้าตัวเล็กวิ่งไปหาเพื่อน เขายกมือไหว้ผู้ปกครองของอีกฝ่ายที่อายุมากกว่า แม่ของมิกซ์เป็นสาวแกร่ง ทำร้านขายของอยู่หน้าตลาด รวมถึงมีตึกปล่อยเช่าอยู่สองสามที่ แต่ด้วยพื้นฐานมาจากบ้านที่ไม่ได้มีฐานะนัก เลยค่อนข้างจะติดดินและเรียบง่าย



          “ไปนะน้าแก้ว” โชคโบกมือลา แก้วโบกตอบยิ้มๆ พอเด็กชายไปแล้วก็หมุนตัวจะกลับเข้าไปทำงานต่อ ช่วงนี้งานที่บริษัทยุ่งๆ เพราะรับงานโครงการบ้านจัดสรรมา สถาปนิกมือหนึ่งอย่างเขาเลยต้องลงมารับผิดชอบ



          เมี๊ยว..



          ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหน เสียงร้องของเจ้าแมวตัวเดิมก็ดังขึ้น แก้วเดินไปเท้าแขนกับราวเฉลียงไม้สีสว่าง เจ้าของดวงตาสีเหลืองอมเขียวหันมามองเขาค้าง นัยน์ตาแคบลงเป็นขีด ชะงักขาขวาที่กำลังเยื้องย่างไว้บนอากาศอย่างดูเชิง ในขณะที่ชายหนุ่มร่วงหล่นลงไปยังความทรงจำในอดีต



          แม่ของเขามักจะเอาเศษอาหารมาวางไว้ใกล้กับกระถางมะลิที่เรียงกันอยู่ริมรั้ว พอถึงเวลาก็จะมีแมวจรสองสามตัวมาเล็มกิน หญิงสาวจะนั่งมองมันจากเก้าอี้หวายบนเฉลียงที่ปัจจุบันผุพังจนเอาออกไปแล้ว และในยามบ่ายของวันหยุดที่เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด นานๆ ทีก็จะมีแมวสีขาวแต้มสีส้มเข้มที่หูซ้ายกินวงกว้างไปรอบดวงตา กับหางและกลางลำตัวกระโดดขึ้นมานอนบนตัก อุ้งเท้านุ่มนิ่มขยุมนวดอย่างออดอ้อนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอยู่บนนั้นอย่างถือวิสาสะ



          ดวงตาสองคู่ตาจ้องสบกันสักพักจนชายหนุ่มขยับตัว เพียงแค่การเคลื่อนไหวเดียวแมวจรตัวนั้นก็ปรี่หายไปอีกครั้ง แก้วไม่ได้มองตาม เพียงแค่ทอดสายตามองที่ว่างหน้าเสาค้ำตรงมุมเฉลียงไม้ ที่ซึ่งเคยมีเก้าอี้หวายและสาวสวยนั่งอยู่ในภาพจำของเขาเงียบๆ







          ตกเย็นที่พระอาทิตย์ยังคงให้แสงสว่าง รถกระบะสีเขียวเข้มแล่นมาจอดที่หน้าบ้านไม้สีขาวสองชั้น ส่งเด็กชายเข้าเขตรั้วได้ก็ขับออกไป โชคที่ผิวคล้ำขึ้นเล็กน้อยเพราะว่ายน้ำกลางแจ้งเดินขึ้นบันไดจะเข้าบ้าน แต่เพราะกลิ่นเผาไหม้ที่คุ้นเคยทำให้เขาขยับไปส่องลงดูสวนเล็กจากบนพื้นที่ยกสูงขึ้นมา



          ดอกไม้สีขาวดอกเล็กบอบบางโรยตัวลงมาเงียบงัน เช่นเดียวกับอีกสองชีวิต แก้วนั่งยองคีบบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้ว ปล่อยให้ควันลอยเคว้งอ่อยอิ่งผสมกับมวลหมอกก้อนใหญ่ที่พ่นผ่านปาก ตรงหน้ามีแมวขาวแซมสีน้ำตาลส้มอ่อนจางที่แต้มลายคล้ายลายของแมวพันธุ์วิเชียรมาศ ผิดก็แค่ตรงที่ใส่ถุงเท้าแค่สามข้างเท่านั้น กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานเล็ก



          “น้าแก้ว” เสียงเอ่ยเรียกเบาหวิวราวกับไม่อยากรบกวนความสงบเงียบนั้น



          “หือ กลับมาแล้วเหรอ” แก้วเอ่ยถามเสียงเรียบ บี้บุหรี่กับพื้นอิฐเพราะลมพัดเอาควันตีกลับไปทางที่เด็กชายยืนอยู่ ส่วนเจ้าสี่เท้าหน้าขนที่กำลังกิน แม้จะเห็นผู้มาใหม่แต่ก็ยังคงกินอาหารอย่างสงบนิ่ง ไร้วี่แววจะเผ่นหนีอย่างเคย



          หลังจากนั้นทุกวันตอนเย็น เด็กชายก็จะเอาอาหารแมวที่เจ้าของบ้านซื้อมาติดตู้ไว้ออกมาเทใส่ถาดอาหารใบเล็ก รอคอยให้เจ้าตัวขาวออกมากินแลกกับการได้ลูบหัวเกาคางนิ่มเป็นค่าตอบแทน แล้วผลจากการที่ตามจีบด้วยอาหารอยู่เป็นเดือน ในที่สุดสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว







          “มะลิ” หลังจากกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่เด็กชายทำคือการเข้าไปน้วยแมว เจ้าแมวขนสวยรูปร่างดีนอนแผ่อยู่บนพื้นกระเบื้องเย็น หลังจากที่ตัดสินใจจะเลี้ยงเป็นจริงเป็นจัง เจ้าของบ้านทั้งสองก็เอามันไปฉีดวัคซีนจนครบ แต่ยังไม่ทำหมั้นเพราะกะจะให้แมวสาวได้มีลูกสักครอกสองครอกก่อน ส่วนชื่อก็มาจากต้นไม้ในกระถางที่เจ้าตัวชอบไปแอบสมัยโผล่มาแรกๆ นั่นเอง



          “ไปล้างมือก่อนสิครับโชค” เสียงดุไม่จริงจังดังมาจากคนตัวใหญ่ที่เดินตามเข้าบ้านมา วันนี้อาธีร์เป็นคนไปรับเด็กชายเพราะว่าง กอปรกับช่วงนี้ก็มาค้างที่บ้านนี้บ่อยจนแทบจะย้ายมาอยู่ด้วยแล้ว



          แมวสาวปรายตามองคนคุ้นเคยที่เดินผ่านเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาจับจองพื้นที่บนโซฟาหน้าทีวีด้วยกัน พอชายหนุ่มที่อายุล่วงเข้าเลขสามแล้วคนนั้นหยิบเอาก้านพลาสติกที่ตรงปลายทำเป็นพู่ห้อยมาเหวี่ยงล่อ มะลิก็ค่อยขยับตัวเข้าไปหา ตะปบของเล่นทำมือนั้นสักพักก่อนจะถูกอุ้มขึ้นไปวางบนตักกว้าง



          “มะลิ เป็นชื่อที่เข้ากับแก้วยังไงไม่รู้เนอะ” มือใหญ่ลูบไปตามแนวขน ขณะที่มือเล็กของคนข้างๆ เอื้อมเข้ามาเกาคางให้แมว



          “ทำไมเหรอครับอาธีร์”



          “ดอกแก้วกับดอกมะลิไง สีขาวเหมือนกันด้วย” ทั้งแววตาทั้งน้ำเสียงอ่อนโยน สำหรับธีร์แล้ว เขาชอบหมามากกว่า ซึ่งทุกคนก็ลงความเห็นว่าชายหนุ่มช่างเหมาะกับหมาตัวใหญ่ ตอนแรกเขาก็กะจะเอาหมามาเลี้ยงที่นี่ให้เด็กชายได้มีเพื่อนเล่น แต่พอมีเจ้าแมวตัวนี้เข้ามาก็พับโครงการเก็บไป เขาชอบหมา แต่ก็ไม่ได้เกลียดแมว ยิ่งแมวสาวสวยที่ไม่ได้ขี้อ้อน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเมินเจ้าของแบบนี้ยิ่งชอบ



          หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งแมวนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา โทรทัศน์ฉายรายการตามเวลาไปเรื่อยจนฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีดำ คนที่ทุกคนรออยู่ถึงเพิ่งกลับมา สีหน้าดูอิดโรยนิดหน่อยเพราะช่วงหลังมานี้ทำงานหนัก แต่ก็ยังส่งยิ้มให้เมื่อเห็นแววตาดีใจทั้งสามคู่ที่จ้องมองมา



          “กลับมาแล้ว”

 




TBC...

          สวัสดีค่า วันนี้รีนกลับมาพร้อมพลังเต็มเปี่ยมมากๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ที่แบ่งออกมาแล้วจะสั้นไปสักหน่อยก็ตามทีค่ะ 55555
          ขอบคุณสำหรับคอมเม้นให้กำลังใจนะคะ รีนอ่านตลอด อ่านเสมอ เวลาท้อก็เข้ามาอ่านคอมเม้นของคุณ ของพวกคุณ ขอบคุณค่ะ
          ส่วนในตอนนี้ก็เป็นตอนน่ารักๆ อีกตอนนึงที่ได้เปิดตัวมะลิ แมวสาวแสนสวยที่เป็นสมาชิกอีกคนของบ้านแล้ว ตอนเขียนสนุกมากๆ เลยค่ะ เป็นตอนเดียวเลยที่เขียนยาวๆ รวดเดียวแล้วไม่ต้องมาทวนแก้ซ้ำเลย (อาจจะเป็นเพราะจิตวิญญาณแห่งทาสแมวก็ได้)
         
          ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้า(ที่จะเป็นตอนที่ยาวนานทั้งตัวอักษรและความรู้สึกเลย)ค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 10 [21.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-05-2020 09:14:34
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 10 [21.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-05-2020 13:59:50
โอ๊ยยยยยยอบอุ่นขึ้นมามากๆเลย มีแมวมาเลี้ยง โชคจะได้มีเพื่อนตอนรอน้าแก้วเลิกงาน เป็นอะไรที่น่าเอ็นดูจริง 2คน1แมวนอนบนโซฟาอย่างสบายใจรออีกคนกลับบ้าน น้าแก้วเห็นแบบนี้ หายเหนื่อยทันทีเนอะ 555 สนุกกกกกกก ชอบจริง  o13 ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพต่อให้ได้อ่านกัน รอตอนต่อไปเลยค่ะ ep.หน้าเจอกันจะเกิดไรขึ้นบ้าง อยากอ่านๆๆ (ฮา)  :pig4: :pig4: :pig4:   
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 10 [21.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: t152_rakjai ที่ 26-05-2020 08:22:56
 :pig4: :pig4: อบอุ่น
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 11 [28.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 28-05-2020 18:58:29

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 11

 

 

          ตั้งแต่ที่โชคขึ้นชั้นประถมสาม อาธีร์ของเขาก็ดูเหมือนไม่ค่อยว่างแวะเวียนมาเล่นด้วยสักเท่าไหร่ นานๆ ทีจะถึงแวะมาค้างด้วย แต่ยังดีที่เด็กชายมีมะลิ แม่แมวสาวที่เพิ่งคลอดลูกครอกที่สองออกมาสี่ตัวถึงได้ไม่เหงานัก ส่วนน้าแก้วก็ยังคงยุ่งเหมือนเคย เพราะลูกค้าบ้านจัดสรรรายเดิมนั้นถูกใจเลยให้ดูแลโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดจองเร็วๆ นี้ด้วย

 

          “น้าแก้ว” เด็กชายเกาะขอบประตูห้องทำงานเรียกคนที่กำลังทำงานเสียงใส แก้วครางรับในคอแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษเอสามที่วางอยู่ตรงหน้า “ไปกินข้าวกัน”

 

          “เสร็จแล้วเหรอ” ในที่สุดก็ยอมเงยหน้าขึ้น เหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องบอกว่าเลยเวลากินข้าวปกติมานานโขแล้ว ชายหนุ่มก้มลงไปขีดเขียนต่อคล้ายว่าจะทำส่วนนั้นให้เสร็จก่อน “เธอกินไปก่อนเลย”

 

          “ผมรอน้าแก้ว” โชคยังคงยืนยันจะรอ แก้วเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากวางดินสอในมือแล้วลุกขึ้นปิดขี้เกียจ ยอมออกไปกินข้าวแต่โดยดี

 

          พักหลังมานี้เด็กชายจะเป็นคนเตรียมอาหารเย็นแทนชายหนุ่มที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก เมนูอาหารเลยมักจะเป็นอะไรง่ายๆ หรือไม่บางวันก็เป็นของซื้อสำเร็จมาจากข้างนอกแล้วให้เด็กชายจัดเตรียมใส่จาน แก้ววางมือบนศีรษะเล็กที่ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนพอสมควร ลูบผมสั้นเกรียนเพลินมือระหว่างที่เดินไปห้องครัวด้วยกัน รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องให้เด็กตัวเท่านี้มาช่วยรับผิดชอบเรื่องอาหารการกิน แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วที่ให้เด็กชายได้มีหน้าที่รับผิดชอบในบ้าน โตไปจะได้ดูแลตัวเองได้ไม่น่าเป็นห่วง แล้วโชคก็ดันทำทุกอย่างออกมาได้ดีเสียด้วย

 

          “น้าแก้ว” บทสนทนาบนโต๊ะอาหารไม่ใช่ข้อห้ามสำหรับบ้านนี้

 

          “หืม”

 

          “อาธีร์บอกว่าปิดเทอมแล้วจะพาพี่ปรางมาเล่นด้วย”

 

          “อืม ก็ดีแล้ว”

 

          “อยากปิดเทอมเร็วๆ จัง” แก้วระบายยิ้ม ถึงแม้ว่าเด็กชายจะเติบโตขึ้น แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี

 

 

 

          คนที่บอกจะมามาตามที่พูดไว้จริงๆ หลังจากเด็กประถมปิดเทอมไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ น้าหลานจากตระกูลหน้าตาดีก็มาโผล่ที่นอกรั้วด้วยรถยนต์สีขาวคันเดิม ธีร์ยิ้มให้เพื่อนสนิทที่เป็นคนออกมาไขกุญแจรั้วให้ ส่วนน้องปรางหลังจากไหว้ย่อสวัสดีน้าแก้วอย่างสวยงามแล้วก็พุ่งเข้าไปในบ้านทันที เพื่อไปหาน้องชายสุดที่รักกับบรรดาลูกแมวที่ยังอยู่ในช่วงกินนมแม่อยู่

 

          “งานยุ่งไหมช่วงนี้” คนตัวใหญ่กว่าเป็นคนถาม

 

          “ไม่ค่อยแล้ว เคลียร์เสร็จเมื่อวันก่อน” เจ้าของบ้านตอบ ขณะรนไฟที่ปลายมวนกระดาษ เดินอ้อมเฉลียงหน้าบ้านไปที่ลานอิฐ เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งเอาเก้าอี้ม้าหินอ่อนมาลงไว้ตัวหนึ่งกับโต๊ะกระจกตัวเล็ก เอาไว้เป็นที่สูบบุหรี่นอกบ้าน

 

          “สูบอีกละ” ธีร์เดินตามเจ้าของบ้านมานั่งลงบนม้าหินข้างกัน แก้วพ่นควันอย่างเหม่อลอย มองเลยกิ่งก้านต้นแก้วขึ้นไปบนท้องฟ้าสีใสในขณะที่อากาศกำลังเย็นลงเพราะเข้าสู่ฤดูหนาว

 

          “เหงาไหม”

 

          “อะไร”

 

          “กูไม่ค่อยได้มาหา เหงาไหม” แก้วหัวเราะในคอ หันมาสบตาคนถาม “ไม่ค่อย แต่โชคเหงา”

 

          ธีร์ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่แย่งบุหรี่ที่เผาไหม้ไปครึ่งมวนในมือเพื่อนไป ริมฝีปากได้รูปจรดลงตรงก้นกรอง สูบควันหม่นมัวเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนปล่อยออกมาให้ลอยเคว้งอยู่ตรงช่องว่างระหว่างกัน

 

          “นึกว่ามึงเลิกสูบไปตั้งนานแล้ว”

 

          “เลิกแล้ว” แก้วไม่ได้ถามว่าแล้วทำไม แต่ธีร์ก็บอกออกมาเอง “แค่นานๆ ทีมันก็คิดถึง”

 

          บุหรี่ถูกส่งคืนเจ้าของ และพื้นที่ก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง แก้วไม่ได้ถามถึงความหมายของสิ่งที่เพื่อนบอกว่าคิดถึง แต่ก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่อิงซบลงมาบนบ่า ควันลอยอ้อยอิ่ง ต่างจากดอกไม้สีขาวที่ร่วงโรยลงพื้นอย่างรวดเร็ว

 

 

 

          สองน้าหลานกลับไปในตอนโพล้เพล้ ไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เด็กชายก็รู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้เล่นกับพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้วโชคก็รีบขึ้นไปชั้นสอง หมกตัวอยู่บนนั้นจนดึกดื่น แก้วไม่ได้ตามขึ้นไปส่งนอนเหมือนแต่ก่อนเพราะถึงเวลาแล้วที่เด็กชายอายุสิบขวบต้องนอนคนเดียวให้ได้

 

          เกือบเที่ยงคืนแล้วในตอนที่โชคค่อยๆ แอบย่องลงมา เสียงฝนโปรยกระทบหลังคาไม่ดังนัก แก้วยังคงดูหนังดังรอบดึกที่ฉายในโทรทัศน์อยู่บนโซฟา กลิ่นของนิโคตินและการเผาไหม้ยังคงเหลืออยู่ในอากาศ บ่งบอกว่าเจ้าตัวเพิ่งขยี้บุหรี่ให้มอดดับไปได้ไม่นาน โชคชินกับกลิ่นบุหรี่ของชายหนุ่มแล้ว และรู้ว่าน้าแก้วไม่ชอบใจนักถ้าเขาเข้าใกล้ในเวลาที่กำลังสูบ

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง” แก้วขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งจากนอนเหยียดเต็มโซฟาเป็นนั่งเอนหลังพิงพนักเพื่อให้มีที่ว่างให้อีกคน ก่อนจะบอกเสียงเนือยๆ “เปิดพัดลมด้วย”

 

          เด็กชายทำตาม กดปุ่มเปิดพัดลมตรงข้างเก้าอี้ไม้แม้ว่าอากาศจะเย็นชื้นก็ตาม ปล่อยให้มันพัดพาเอากลิ่นไอขมุกขมัวให้จางลงก่อนจะขยับเข้าไปนั่งตรงที่ที่ถูกเว้นไว้ให้ตัวเอง แม่แมวสาวที่พาลูกน้อยนอนในกล่องตรงข้างประตูครัวเยื้องย่างออกมาดูเจ้านาย ก่อนจะเดินอาดๆ มากระโดดขึ้นแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสอง

 

          “ไง มะลิ ลูกนอนแล้วเหรอ” ชายหนุ่มเป็นคนถาม เกาคางนุ่มนั้นจนแม่แมวแหงนคอขึ้นหาวหวอด ส่งเสียงร้องตอบราวกับคุยกันรู้เรื่อง ในขณะที่โชคขยับตัวยุกยิก ซ่อนมือเอาไว้ด้านหลัง แก้วสังเกตเห็นเลยเลิกคิ้วถาม “โชค เป็นอะไร”

 

          เด็กชายก้มหน้าหงุด นั่งคุกเข่าอยู่บนโซฟาหันหน้ามาทางเขา ปากเล็กอ้าออก แล้วก็หุบ แล้วก็อ้าใหม่ แต่กลับไม่พูดสักที แก้วอดทนรอจนเด็กชายหาเสียงตัวเองเจอแล้วโพล่งออกมาเสียงดัง “น้าแก้ว!”

 

          “ว่าไง”

 

          “นี่” กลิ่นหอมจางลอยฟุ้งเมื่อเด็กชายยื่นมือมาตรงหน้า ดอกไม้สีขาวบอบบางขนาดเล็กถูกถักร้อยต่อกันเป็นวงไม่ค่อยสมบูรณ์นัก รูปร่างบิดเบี้ยวชอบกลแต่ก็ยังมองออกได้ชัดเจนว่าคนทำนั้นตั้งใจแค่ไหน ก้านดอกแก้วสั้นนิดเดียว การที่จะเอามาร้อยทำเป็นมงกุฎนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามต่อมันตามที่พี่ปรางสอนมาเมื่อกลางวันให้มันเป็นวงกว้างพอที่จะวางบนหัวผู้ใหญ่ได้พอดี โชคยิ้มด้วยท่าทีขัดเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ผมทำให้น้าแก้ว”

 

          “เหรอ ทำให้ฉันเหรอ” เสียงตอบรับเบาบางแต่อ่อนโยน ไม่ต่างจากแววตาที่ทอดมองมา แก้วค้อมหัวไปรับมงกุฎดอกแก้วจากมือเล็ก โชคยิ้มร่าอย่างภาคภูมิใจกับผลงาน บรรจงวางเครื่องหัวหอมฟุ้งลงบนกลุ่มผมนุ่มสีดำขลับอย่างเบามือ คนที่ได้รับของขวัญสุดพิเศษนั้นเงยหน้าขึ้นมา โน้มใบหน้าเข้าประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากเล็ก “ขอบใจนะ”

 

          โชคแก้มแดงปลั่งเมื่อได้รับจุมพิตตอบแทน ยิ้มอย่างขัดเขินแต่ก็ชอบใจเหลือเกิน ร่างเล็กขยับเข้าไปใกล้ ซุกอิงแอบเอาไออุ่นจากร่างกายของชายหนุ่มแย่งกันกับแม่แมวสาวที่จับจ้องพื้นที่บนตักไว้ก่อนแล้วนั้น เสียงฝนพรำดังกลบเสียงพัดลม หน้าจอโทรทัศน์ยังคงฉายภาพเคลื่อนไหวไปมาสว่างจ้าในความมืด แก้วกอดเด็กชายและแมวเอาไว้ คิดย้อนกลับไปถึงคำถามของเพื่อนเมื่อกลางวัน

 

          เขาไม่คิดว่าเขาเหงา.. ห่างไกลกับคำว่าเหงาไปเยอะเลย

 




 

          ตุลาคมเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว และในปีนี้สายฝนก็จากไปช้าเช่นเดียวกับทุกปี ท้องฟ้าขมุกขมัว อากาศชื้นแฉะ ผนวกเข้ากับสายลมหนาวที่พัดมาทำเอาหนาวไปถึงกระดูก ถึงกระนั้นในห้องนั่งเล่นที่เปิดหน้าต่างไว้ครบทุกบานที่ควรจะหนาวเย็น กลับอบอุ่นด้วยเปลวไฟจากเทียนวันเกิด

 

          “แฮปปี้เบิร์ตเดย์น้าแก้ว!”

 

          “แฮปปี้เบิร์ตเดย์นะแก้ว”

 

          สองเสียงนั้นดังขึ้นคนละช่วงจังหวะ เพื่อให้เจ้าตัวได้มีโอกาสยื่นกล่องของขวัญที่ต่างคนต่างเตรียมมาให้เจ้าของวันเกิด แก้วรับมา แต่เลือกแกะห่อสีฟ้าลายการ์ตูนของเด็กชายก่อน ซึ่งเรียกให้เจ้าตัวยิ้มหน้าบานหันไปเยาะเย้ยคุณอาคนโปรดทันที ธีร์หัวเราะ ขยี้หัวเล็กอย่างมันเขี้ยว

 

          ของขวัญจากเด็กชายเป็นของทำมือ กรอบรูปทำจากไม้อัด ดูแล้วคงได้คนแถวนี้ช่วยด้วย แต่การตกแต่งนั้นทำเองคนเดียว เปลือกหอยที่เก็บสะสมจากชายทะเลที่ได้ไปในวันหยุดฤดูร้อนทั้งสองครั้งก่อนถูกเอามาใช้ประดับ แก้วอมยิ้มเมื่อเห็นรอยแหว่งหลายจุดบนช่องว่างที่คนทำคงตั้งใจให้มันเปลือกหอยมันชิดสนิทกันแต่ก็ทำไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็ออกมาสวยงามน่าพึงพอใจ โดยเฉพาะรูปที่ถูกใส่มาแล้วราวกับบังคับว่าต้องใช้รูปนี้เท่านั้น

 

          รูปของแก้ว โชค และธีร์ในชุดสีแดง ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่เด็กชายอยู่บนตักซานต้าคลอสหน้าหล่อ และเจ้าของบ้านหนุ่มอยู่ในวงแขนใหญ่ที่โอบรอบคอ ซึ่งถูกถ่ายไว้เมื่อวันคริสมาสต์ปีที่แล้ว พวกเขายิ้ม มันไม่ใช่ยิ้มที่สวยงามเพอร์เฟ็ก แต่เป็นรอยยิ้มตลกๆ เพราะกะจังหวะการลั่นชัตเตอร์ของกล้องที่ตั้งเวลาไว้ไม่ได้ต่างหาก ถึงอย่างนั้นแก้วก็ชอบ เช่นเดียวกับทุกคนในห้องนั้น ที่จดจำได้ว่าความสุขในค่ำคืนนั้นเป็นอย่างไร

 

          “ขอบใจนะ” คล้ายว่าเคยพูดแบบนี้ไปเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ แต่ท่าทีตอบรับของคนฟังก็เป็นเช่นครั้งก่อนแม้ไม่มีรอบจูบอุ่นบนหน้าผาก โชคขวยเขินและภาคภูมิไปพร้อมกัน

 

          “เปิดของผมบ้างสิครับคุณแก้ว” ผู้ใหญ่ขี้อิจฉากระเง้ากระงอดด้วยถ้อยคำสุภาพเพราะไม่อยากใช้คำสรรพนามติดปากที่ค่อนข้างหยาบต่อหน้าเด็กชาย ในขณะดวงตาที่จ้องมองมายิ้มเช่นเดียวกับริมฝีปาก

 

          “อะไรอีกคราวนี้ เล่นของแพงอีกล่ะสิมึงน่ะ” ธีร์จิ๊ปากใส่คนที่หลุดคำหยาบไม่จริงจังนัก แก้วหัวเราะร่วนพลางเอื้อมไปหยิบกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีน้ำหนัก

 

          กล่องของธีร์ไม่ได้ห่อกระดาษ เพียงแค่ผูกริบบิ้นสีเงินตัดกับตัวกล่องสีดำสนิท แก้วเปิดมันอย่างไม่คาดหวังนัก เพราะทุกปีก็ได้ของขวัญจากเพื่อนคนนี้จนไม่รู้ว่าจะมีอะไรแปลกใหม่ให้ต้องตื่นเต้นอีกแล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ของขวัญไม่ได้น่าตื่นเต้นหรืออลังกาลใดๆ ในนั้นมีที่ทับกระดาษคริสตัล แต่แม้จะดูธรรมดา แก้วก็รู้ว่ามันคงราคาไม่น้อยเลยเมื่อมาจากมือคนอย่างธีร์ และจริงดังนั้น พอเขาหยิบก้อนคริสตัลออกมาก็รู้ได้ว่าไม่ใช่ของดาษๆ แบบของชำร่วยขายยกโหล มันถูกสั่งทำพิเศษเพื่อเขาโดยเฉพาะ ดอกแก้วเบ่งบานลอยอยู่ใจกลางก้อนคริสตัลใส ด้านในมันถูกแกะสลักเป็นลายดอกไม้ที่มาของชื่อเขา

 

          “เว่อร์ตลอด” คนได้ของขวัญว่า แต่ตายิ้ม มันอาจจะดูเป็นของขวัญที่ไร้ประโยชน์ แต่ชายหนุ่มได้ใช้จริง

 

          “ก็เห็นบอกอันเก่าตกแตกไปแล้ว”

 

          “อืม” แก้วรับคำในคอ ยังคงจ้องมองลวดลายด้านในนั้นด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แต่ก็เดาได้ว่ากำลังมีความสุขอยู่ มันอาจจะเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าเพื่อนที่ช่วงนี้ยุ่งจนไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันคนนั้นจะจำสิ่งที่เขาบ่นไปเพียงครั้งเดียวได้ แต่ธีร์ก็จำได้ “ขอบใจ”

 

 

 

          คืนนั้นแขกประจำที่ห่างหายไปนอนค้างด้วย งานเลี้ยงวันเกิดจบลงไปตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า โชคอาบน้ำและขึ้นนอนตามเวลาปกติที่เด็กควรนอน โดยมีอาธีร์ของเขาขึ้นไปส่ง นอนอ่านหนังสือให้ฟังราวกับย้อนกลับไปตอนที่เขาเด็กกว่านี้ ธีร์ยังคงชอบกิจกรรมก่อนนอนนั้นอยู่ ถึงแม้ว่าแก้วจะบอกให้เลิกเพื่อที่เด็กชายจะได้ไม่ติดนิสัย แต่นานๆ ทีเขาก็จะแวะไปอยู่ดี

 

          เกือบห้าทุ่มแล้วตอนที่ธีร์ลงมา แก้วไม่ได้เปิดทีวีดูหนังรอบดึกอย่างเคย เพียงเอนตัวนอนราบไปบนโซฟา พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงแหวน

 

          “ทำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”

 

          “นานแล้ว”

 

          “ไม่เห็นเคยทำ”

 

          “กูทำตอนเบื่อๆ”

 

          ธีร์ยิ้ม เดินไปยกขาที่พาดยาวเต็มพื้นที่ขึ้นพาดตักตัวเองเมื่อแทรกตัวนั่งลงได้สำเร็จ กาลเวลาเหมือนผ่านไปเนิ่นนาน แต่เข็มนาฬิกากลับขยับช้าเสียจนไม่แน่ใจว่ามันตายแล้วหรือเปล่า

 

          “แก้ว”

 

          “หืม”

 

          ร่างสูงใหญ่ขยับขึ้นทอดเงาทาบทับคู่สนทนา บุหรี่ถูกริบไปขยี้ทิ้งในที่เขี่ยบนโต๊ะแล้ว แต่ความอบอุ่นในปากยังคงอยู่ แผ่ซ่านกระจายไปทั่วอย่างอ้อยอิ่ง

 

          “ขึ้นไปบนห้องกัน”

 

 

 

          เช้าวันต่อมาโชคตื่นขึ้นมาในบ้านที่เงียบสงัด สองคนในห้องนอนใหญ่ยังไม่มีใครออกมา เด็กชายไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการหาอาหารเช้ากินจึงไม่ได้ขึ้นไปปลุก รอจนสายก็เห็นแขกกิตติมศักดิ์ลงมา ทักทายเขาด้วยเสียงอ่อนล้าแต่ยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม ก่อนเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแล้วกลับขึ้นไปอีกครั้ง รออีกสักพักชายคนเดิมก็กลับลงมาในชุดใหม่

 

          ธีร์เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเด็กชายบนโซฟาที่ประจำ วางมือลงบนผมสั้นที่เริ่มยาวเพราะไม่ได้ตัดตั้งแต่ปิดเทอม ขยับลูบอย่างอ่อนโยน เหมือนกับแววตา เหมือนกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนหน้า ทุกการกระทำล้วนเหมือนปกติทุกอย่าง แต่โชคกลับรู้สึกเหมือนมันแปลกประหลาด แต่ผิดแปลกไปตรงไหนเขาก็ไม่รู้

 

          “อาธีร์” เด็กชายเรียก อยากจะถามแต่ไม่รู้คำถามเลยเงียบไป

 

          “ว่าไงครับ โชค” โชคช้อนตาขึ้นสบดวงตาคม มองอย่างไม่เข้าใจ เขาชอบเวลาที่ถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนของคนตรงหน้า แต่วันนี้มันกลับรู้สึกหนักๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับแววตาที่มองมา มันยังคงเต็มไปด้วยความรักใครเอ็นดู แต่ก็ดูอ้างว้างจนเกินไป

 

          “ทะเลาะกับน้าแก้วเหรอ”

 

          ถูกถามหัวเราะในคอ แต่ดวงตาไม่ได้หัวเราะไปด้วย “เปล่าหรอก ถ้าทะเลาะกันอาจจะดีกว่านี้”
         
 

          “ทะเลาะกันมันไม่ดีไม่ใช่เหรอ”

 

          “ก็ส่วนใหญ่ล่ะนะ” เด็กชายถูกดึงเข้าไปกอดแน่น แต่ไม่ถึงกับอึดอัด “แต่บางครั้งที่คนเราทะเลาะกัน ก็เพราะเราสนิทกันมาพอให้ทะเลาะ”

 

          สำคัญมากพอให้ทะเลาะ ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกไป

 

 

 

          ธีร์ออกจากบ้านไปแล้วตอนที่แก้วลงมา เจ้าของบ้านหนุ่มไม่ได้พูดอะไรสักคำ ชุดนอนที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อคืน แก้วทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟามุมประจำ เอนลำตัวข้างหนึ่งพิงพนัก ดวงตาจับจ้องมองไปในสวน มองต้นมะม่วงใหญ่ มองชิงช้าอันใหม่ที่เชือกเริ่มด่างเป็นสีเหลือง แท่งบุหรี่ยังคงคั่นระหว่างริมฝีปากแต่ไม่ได้จุดสูบเมื่อมีเด็กชายอยู่ใกล้ๆ กลิ่นอายบางอย่างแผ่ออกมาจากแผ่นหลังนั้น และเหมือนว่าทุกคนจะสัมผัสมันได้ ไม่เว้นแม้แต่แม่แมวสาว

 

          โชคขยับเข้าไปนั่งชิด ให้อุณหภูมิของร่างกายส่งผ่านไปหาอีกคน ส่วนมะลิกระโจนขึ้นไปแทรกตัวอยู่ในช่องว่างเล็กๆ ตรงหน้าท้องแน่น โดยที่ไม่รู้ว่าลำพังไออุ่นจากร่างกายเล็กๆ จะสามารถทดแทนความอบอุ่นจากร่างของคนตัวใหญ่คนนั้นได้เปล่า แต่มันก็คงดีกว่าปล่อยให้คนสำคัญของพวกเขาถูกความหนาวเหน็บกัดกินเพียงลำพัง

 

 

 

          ต้นเดือนพฤศจิกายน โรงเรียนของประถมเปิดภาคการศึกษาใหม่แล้ว แต่เด็กชายกลับได้หยุดในวันพฤหัสบดี เขาถูกจับสวมชุดไทยหล่อเหลาคู่กับพี่ปรางคนสนิท ยืนอยู่ในงานพิธีที่ไม่คุ้นเคยในบ้านหลังใหญ่ พอตกบ่ายก็เปลี่ยนเป็นชุดสูทคู่กับเจ้าหญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่อง เดินถือตะกร้ากลีบดอกไม้ให้อีกฝ่ายโปรยตามทางเดิน

 

          อาธีร์อยู่ที่นั่น กับผู้หญิงที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ก็ละม้ายคล้ายใครบางคนที่เขารู้จัก ตรงสุดทางเดินฝั่งตรงข้ามกับที่น้าแก้วยืนอยู่ เขารู้จากชายหนุ่มว่าคุณอาคนโปรดของเขากำลังจะไปสร้างครอบครัวของตัวเอง โชคไม่เข้าใจคำบอกเล่านั้นอย่างลึกซึ้ง แต่ก็รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังจะไปมีชีวิตแบบที่เคยใช้กับเขาและน้าแก้วในบ้านไม้สองชั้น แต่เป็นกับคนอื่น และในบ้านหลังอื่น

 

          เด็กชายวิ่งกลับไปหาแก้วหลังจากที่งานที่ถูกมอบหมายมาเสร็จสิ้นลง มือเล็กกำมือใหญ่ที่เย็นเฉียบเพราะยืนตากลมหนาวเอาไว้แน่น เขารู้ว่าชายหนุ่มไม่ถูกกับอากาศหนาวเย็นแบบนี้ เช่นเดียวกับที่เจ้าของงานรู้ ธีร์เดินเข้ามาหาเมื่อว่างจากแขกเรื่อที่มาแสดงความยินดี ริมฝีปากยกยิ้มแต่ดวงตาไม่ มือใหญ่เอื้อมมาแตะมือเย็นอีกข้าง

 

          “มือเย็นแล้วนะ”

 

          “อืม” เจ้าของมือตอบรับเพียงเท่านั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายยกขึ้นไปอังลมหายใจอุ่นร้อน ปล่อยให้ความอบอุ่นที่คุ้นเคยแล่นจากปลายนิ้วเข้าสู่กลางอก โชคมีคำถาม แต่ก็รู้ได้ว่าไม่ควรถามออกไป เขาเลยได้แต่ขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงในชุดสีขาวอีกนิด ยกมืออีกข้างคว้าจับมืออุ่นที่ยังว่าง มือใหญ่บีบตอบ ก่อนที่ธีร์จะก้มลงมาส่งยิ้มให้เขา เป็นยิ้มจริงใจทว่าปวดร้าว โชคชอบรอยยิ้มของคนตรงหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ชอบมันเอาเสียเลย

 

          “ธีร์” เสียงเอ่ยเรียกชื่อนั้นเบาหวิว แต่ไม่ได้สั่นไหว

 

          “แก้ว” เสียงตอบรับก็เช่นกัน

 

          “ยินดีด้วยนะ”

 

          “ขอบใจ”

 




 

          ฤดูหนาวส่งท้ายปีมาพร้อมกับงานรื่นเริง ในบ้านไม้สีขาวสองชั้นยังคงมีต้นสนพลาสติกที่ถูกรื้อออกมาจากห้องเก็บของตั้งอยู่ตรงมุมประจำของมัน ของตกแต่งและไฟประดับถูกแขวนเกี่ยวด้วยมือเล็ก ในขณะที่คนโตกว่าปีนขึ้นติดพู่ตามผนัง บ้านทั้งหลังถูกแต่งเสร็จตั้งแต่วันที่ยี่สิบสาม

 

          และในคืนวันที่ยี่สิบสี่อาหารมากมายก็ถูกวางลงบนโต๊ะหน้าทีวี โชคแกะห่อของขวัญที่ได้รับจากชายหนุ่ม ปีนี้เขาได้โมเดลไดโนเสาร์ตัวใหญ่ที่กำลังสนใจเพราะติดสารคดีย้อนยุคดึกดำบรรพ์อยู่พอดี โชคยิ้มร่าให้คนให้ แก้วยิ้มอย่างพอใจที่เจ้าตัวเล็กชอบ แต่ยังมีของขวัญอีกห่อที่ถูกส่งมาเมื่อเช้า โดยรถยนต์สีบรอนซ์เงินคันใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คนส่งของกลับเป็นคนคุ้นเคย เป็นคนเดียวกับที่เคยใส่ชุดซานต้าสีแดงเข้ามาส่งของขวัญในห้องนี้ เวลานี้ ของปีก่อนและก่อนๆ

 

          ของขวัญจากอาธีร์ยังคงเป็นของน่าสนใจและโปรดปรานโดยเด็กชายเช่นเคย เพียงแต่ความรู้สึกตอนแกะกระดาษห่อสีเขียวประกายวิววับนั้นแตกต่างจากทุกปีที่จะมีสายตาลุ้นระทึกกับรอยยิ้มคาดหวังถูกส่งมาให้ งานคริสต์มาสที่มีคนสามคนนั้นดูครึกครื้นกว่านี้ ทั้งที่จำนวนคนลดไปเพียงคนเดียว แต่ที่ว่างกลับดูกว้างใหญ่เหลือเกิน

 

          คริสต์มาสที่สี่ของบ้านหลังนี้...ไม่มีซานตาคลอสอีกต่อไป

 

 

 

          แก้วส่งเด็กชายเข้านอนทั้งที่เลิกทำมานานแล้ว เพราะในใจลึกๆ รู้ว่าค่ำคืนนี้มันเหงาเกินกว่าจะปล่อยให้เด็กชายข่มตาหลับเพียงลำพัง หนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์ถูกเลือกขึ้นมา แต่เด็กชายกลับส่ายหน้า แล้วเลือกเอาเรื่องของวาฬสีน้ำเงินที่ได้ฟังมานับสิบครั้งแล้วแทน แก้วยอมตามใจ ขยับตัวขึ้นไปนอนข้างเด็กชายวันสิบขวบ อ่านตามตัวอักษรเดิมๆ ที่บางช่วงก็จำได้ขึ้นใจไปแล้ว

 

          “คืนนี้น้าแก้วนอนกับผมไหม” หลังจากเรื่องราวของวาฬเจ้าสมุทรจบลง ดวงตาใสแจ๋วจับจ้องมาเป็นคำอ้อนวอน

 

          “อยากให้ฉันนอนด้วยเหรอ”

 

          “ครับ”

 

          “ทำไมล่ะ” ปากถาม แต่มือกลับเลิกผ้าห่มขึ้นคลุมตัว ขยับหาองศาที่นอนสบายบนหมอนคนละใบกับเจ้าของห้อง

 

          “นอนด้วยกันมันอุ่นกว่า” คำว่านอนด้วยกันดึงเอาภาพจำบางอย่างขึ้นมาบนเตียงขนาด 5.5 ฟุต ต่างกันก็เพียงแต่คืนนั้นอยู่ในหน้าร้อน แต่ถึงจะร้อนก็ยังคงนอนเบียดกันจนถึงเช้า

 

          “ราตรีสวัสดิ์ โชค”

 

          “ราตรีสวัสดิ์ครับ น้าแก้ว”

 

          ราตรีสวัสดิ์อีกคนในความทรงจำ

 

          แก้วขยับตัวเข้าไปเบียดเด็กชายทั้งที่พื้นที่เตียงเหลืออีกตั้งมาก โอบกอดก้อนอบอุ่นเอาไว้ราวกับจะให้มันเติมเต็มช่องว่างภายในที่มันยับเยินไปในวันนั้น

 

          ...คืน 18 ตุลาคมหัวใจเขาฟูฟ่อง และเมื่อเข้าสู่วันที่ 19 มันก็แตกละเอียด

 

 

TBC...


          เอาล่ะค่ะ เนื้อเรื่องเดินมาถึงจุดเปลี่ยนแรกแล้ว แง้ เป็นตอนที่เขียนไปปวดใจไป แต่จะเป็นอย่างไรต่อก็ต้องติดตามกันต่อไปยาวๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้องโชค หรือความสัมพันธ์ระหว่างน้าแก้วกับอาธีร์ เป็นนิยายที่รีนวางไว้ยาวมากจริงๆ ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ มาค่อยๆ เผาไหม้ไปด้วยกันบนมวนบุหรี่ที่แสนยาวไกลนี้กันเถอะค่ะ
         
          ถ้าว่างๆ ก็ไปพูดคุยกันได้ในทวิตเตอร์ #น้าแก้วของโชค นะคะ

          ขอบคุณทุกคอมเม้นและทุกการอ่านเลยค่ะ

           See you on Thursday เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าค่า
 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 11 [28.05.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 31-05-2020 23:09:17
ทำไมใจร้ายยยยยยย โฮรร TT ตอนแรกคิดว่าธีร์เป็นฝ่ายใจร้ายนะ แต่ลองคิดดูอีกที หรือน้าแก้วเองที่เป็นฝ่ายใจร้ายกับธีร์ 555 แต่ที่รู้คือทั้งสองเจ็บไม่ต่างกัน น้าแก้วจะทำอะไรได้ถ้าครอบครัวเขาต้องการให้แต่งงาน ก็เลยไม่คิดรั้ง ไม่ทะเลาะ ยินยอมปล่อย  อีกคนก็คงอยากให้รั้งเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ แต่ว่านะบางทีไม่แสดงออกก็ใช่ว่าไม่รักไม่เจ็บ เลี้ยวโค้งหักศอกเลย ตั้งตัวไ่ม่ทัน หัวโขกเลย 5555 แผลใจน้าแก้วนี้โชคจะเยียวยาให้เองเนอะ เอ็นดูโชคตอนให้ของขวัญวันเกิดน้าแก้ว ให้กรอบรูปเขานะแต่ก็ใส่รูปมาด้วย 55555 เวลามันผ่านไปเร็วจริงแปปๆป.3 แปปๆสิ้นปี อยากเห็นโชคตอนโต เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อจากนี้นะ อยากรู้มากๆอยากอ่านต่ออีกแล้ว 5555 สนุกมากกกกก ชอบจริง ภาษาดีอ่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเยจะเกิดไรขึ้นบ้าง  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 12 [4.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 04-06-2020 19:05:34

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 12

 

 

       โชคขึ้นป.สี่แล้ว สูงขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังตัวเล็กอยู่ดี ส่วนแก้วยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ทำงานหนักขึ้น และสูบบุหรี่จัดกว่าเก่า ไม่ถึงกับย้อนไปในช่วงวันทำงานแรกๆ ที่แทบจะอมควันทั้งวัน แต่ก็บ่อยกว่าที่เด็กชายเคยจดจำได้ มะลิเพิ่งคลอดลูกครอกล่าสุดไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้ลูกๆ ถูกคนอื่นรับไปเลี้ยงหมดแล้ว ทั้งที่เจ้าของบ้านกะจะให้แม่แมวสาวมีลูกเพียงสักสองครอก แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เจ้าเหมียวได้เป็นแม่มากกว่านั้นอยู่ดี

 

       เหมี๊ยว...

 

       เสียงครางเครือ มะลิบิดขี้เกียจจนก้นโด่ง ก่อนจะเดินนวยนาดเข้าไปคลอเคลียขาของชายหนุ่มที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงม้าหิน แก้วขยับขาหยอกล้อเล่นด้วย ไม่นานก็ฉวยอุ้มขึ้นไปวางบนตัก ลูบไล้ไปตามแนวขนนุ่ม ปล่อยเวลาให้จมอยู่ในลานอิฐ ที่ซึ่งมีบางสิ่งลอยฟุ้งมากกว่าแค่ม่านหมอกสีหม่นมัว

 

       โชคไม่รู้ว่าในเวลาแบบนี้เขาจะเข้าหาน้าแก้วอย่างไรดี ในช่วงเวลาที่ราวกับอีกคนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ เขาไม่รู้ว่าจำต้องทำอย่างไรจึงจะไล่ตามไปถึง เด็กชายจึงได้แต่นั่งอยู่บนตั่งไม้หน้าบ้าน แกว่งขาไปมาตีอากาศ ร่วมแบ่งปันความเงียบงันอยู่อย่างนั้น




 

       “โชค” เจ้าของชื่อกำลังจะขึ้นบันไดไปทำการบ้านในห้องของตัวเอง แต่ถูกเรียกรั้งไว้โดยคนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่หน้าทีวีที่ประจำ “เสาร์นี้อยากไปไหนรึเปล่า”

 

       “เสาร์นี้เหรอ”

 

       “ของขวัญวันเกิดเธอล่วงหน้า” แก้วยิ้ม พูดถึงวันเกิดครอบรอบสิบเอ็ดปีของเด็กชายที่จะมาถึงในวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป โชคยิ้มกว้าง และตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล

 

       “อควาเรียม”

 

       “อคาเรียมเหรอ”

 

       “ที่น้าแก้วเคยบอกว่าจะพาไปไง” ชายหนุ่มนิ่งงันไปเล็กน้อยราวกับกำลังคิดย้อนกลับไปในความทรงจำ แต่เพียงไม่นานก็ยิ้มพลางพยักหน้ารับปาก เด็กชายยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะกระโดดขึ้นบันไดทีละสองขั้นขึ้นชั้นบนไปอย่างมีความสุข

 

 

 

       ช่วงสายวันเสาร์ที่รถราไม่ถึงกับแน่นขนัด แต่ก็ไม่ได้โล่งสะดวกนัก แก้วกับโชคมายืนอยู่หน้าทางเข้าอควาเรียมใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ในห้างกลางเมือง มีผู้คนเข้าชมค่อนข้างหนาตาแต่ไม่ถึงกับพลุกพล่านนัก เพราะเป็นวันเสาร์ที่ไม่ใช่วันพิเศษอะไร

 

       “ตื่นเต้นเหรอ” ชายหนุ่มถามคนตัวเล็กกว่าที่เอามองซ้ายขวาไม่หยุด โชคไม่ได้ตอบ แค่อมยิ้มสบตาแวบเดียวแล้วหันหนีไปมองอย่างอื่นต่อ แก้วหัวเราะน้อยๆ ก่อนพาเด็กชายเดินเข้าไปด้านใน สถานที่ซึ่งเขาเคยสัญญาเอาไว้ แต่กลับใช้เวลาหลายปีกว่าจะเดินทางมาถึง ทั้งที่ก็ไม่ได้อยู่ไกลอะไรเลยแท้ๆ

 

       ภายในนั้นถูกตบแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินเพื่อให้บรรยากาศของท้องทะเลลึก ลึกลับชวนค้นหา งดงามทว่าอันตราย แต่ในพื้นที่จำลองแห่งนี้ไม่ได้ทำให้เด็กชายรู้สึกกลัวความมืดทึมทึบนั้นเลย โชคตื่นตาตื่นใจไปกับทุกสิ่งอย่าง สองเท้าสาวเร็วถี่เพื่อพุ่งไปดูตู้โชว์ฝังผนังใบใหญ่ ปลาตัวน้อยสีส้มลายขาวที่เขาเคยเห็นจากที่อื่นว่ายวนไปมาแถวปะการัง

 

       “น้าแก้ว” เด็กชายกวักมือเรียก แก้วเดินไปยืนอยู่ข้างๆ มองปลาตัวจิ๋วที่เคยเป็นดาราหนังการ์ตูนโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีก่อน “เหมือนที่นั่นเลยเนอะ”

 

       “อืม” แก้วขยี้หัวเล็ก ตอบรับทั้งที่ความจริงแล้วตู้โชว์และฝูงปลาของที่นี่ล้วนอลังการยิ่งกว่าที่ที่พวกเขาเคยไป

 

       แก้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เหลือเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าโชว์พิเศษประจำวันจะเริ่มขึ้น เลยปล่อยให้เด็กชายเดินสำรวจตู้โน้นทีตู้นี้ที เดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ หยุดยืนอ่านป้ายให้ความรู้ไปพร้อมกับฟังเสียงเจื้อยแจ้วอ่านออกเสียงอย่างชัดเจน

 

       “ปลาไหลมอเรย์เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน..”

 

       ดวงตาเป็นประกายวาววับขณะจับจ้องเจ้าปลาไหลตัวยาว หน้าตาน่ากลัวและอันตราย ถึงแม้จะไม่ได้มีนิสัยดุร้ายก็ตาม โชคหันมายิ้มเมื่ออ่านสาระน่ารู้หน้าตู้กระจกจบ หางตาเหลือบไปเห็นแท็งก์ทรงกระบอกที่ตั้งโดดเด่นกลางห้องโถงในโซนถัดไป มือเล็กคว้าให้คนโตกว่าก้าวตามไปทันที

 

       สิ่งมีชีวิตที่กระจ่างใสและดูนุ่มนิ่มเด้งดึ๋งลอยไปมาอย่างอิสระในแท็งก์น้ำสีม่วงคราม ริ้วรยางค์ยาวออกมาจากส่วนบนที่โค้งมนคล้ายร่ม พลิ้วไหวสะท้อนแสงไฟหลากสีที่ส่องลงมาดูเหมือนชายผ้าแพรเบาบางของนักแสดงที่กำลังร่ายรำในสายน้ำเยียบเย็น

 

       “สวยจังเลยเนอะน้าแก้ว” พูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากแมงกะพรุนในตู้โชว์ เด็กชายจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวในนั้นอย่างตั้งใจ ภาพจริงที่เห็นด้วยตาตรงหน้างดงามกว่าที่เฝ้ามองผ่านจอโทรทัศน์อย่างเทียบไม่ติดเลยสักนิด

 

       แก้วบีบมือที่เย็นเฉียบเพราะความตื่นเต้นเบาๆ ขณะที่จับจ้องไปยังทัศนียภาพเดียวกันนั้น ส่งผ่านอุณหภูมิจากตัวเองผ่านปลายนิ้วไปสู่อีกคน โชคชอบทะเล ชอบท้องทะเลมากจริงๆ

 

       “อืม สวยมากเลย”

 

 

 

       บ่ายสองหลังจากโชว์ให้อาหารสัตว์น้ำจบลง เด็กชายและผู้ปกครองของเขาเดินวนเวียนดูปลาในตู้กระจกที่ถูกจัดแสดงไว้เต็มพื้นที่ที่ยังไม่ได้เดินสำรวจต่อ แก้วปล่อยให้โชคเดินเล่นตามสะดวก โดยเดินทอดน่องตามอย่างช้าๆ ในขณะที่ตัวเองไม่ได้สนใจสัตว์น้ำเหล่านั้นเลยสักนิด จนกระทั่งมาถึงอุโมงค์ใต้น้ำยาวเหยียด ขาทั้งสองข้างก็หยุดลง ปล่อยให้เด็กชายวิ่งนำออกไปยังปลายทางอีกฝั่งเพียงลำพัง

 

       ‘รู้ไหมว่าม้าน้ำจับคู่แค่ครั้งเดียวจนตาย’

 

       โชคย้อนกลับมาหลังจากหายไปสำรวจพื้นที่อีกฝั่งสักพัก เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่มาด้วยกันไม่ได้ตามเขามา น้าแก้วของเขาหาเจอได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มยืนอยู่ในอุโมงค์สีทึม ริ้วแสงที่ลอดลงมาจากผิวน้ำด้านบนพลิ้วไหวตามแรงกระเพื่อมจากเครื่องทำออกซิเจนในแท็งก์เหนือหัวส่องกระทบใบหน้าเรียบเฉย

 

       มวลน้ำมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวในความสงบนิ่งที่ผู้คนมองเห็น ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปยังสีฟ้าที่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือเพราะการตกแต่งถึงทำให้สีมันชัดเจนถึงขนาดนั้น หากดูเผินๆ คงคิดว่าเขากำลังดูฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ภายในกระแสน้ำเย็นเฉียบ แต่แท้จริงแล้วนัยน์ตาคู่นั้นกลับไม่ได้โฟกัสสิ่งใดอยู่เลย

 

       โชคไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังจ้องมองอะไร แววตาคู่นั้นถึงได้สะท้อนความรู้สึกออกมามากมายขนาดนั้น มากมายจนไม่อาจนิยามได้หมด มันทั้งอ้างว้าง หม่นมัว โดดเดี่ยว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความคิดถึง และเหนือสิ่งอื่นใด ...เปี่ยมรัก ราวกับกำลังจ้องมองไปในอากาศ ข้ามผ่านวันเวลา ย้อนกลับไปในความทรงจำสีจางที่แสนห่างไกล เด็กชายไม่อาจรู้ได้เลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ เขารู้ว่าตัวเองกำลังจ้องมองอะไรอยู่ ในสายตาของเขามันจับจ้องไปยังที่เดียว

 

       มันมีเพียงน้าแก้วที่อยู่ในนั้น

 

       เงาของฉลามขาวที่ว่ายผ่านเหนือหัวบดบังแสงที่ส่องลงมาตกกระทบชายหนุ่ม แต่เพียงชั่วขณะเดียวก็ผ่านพ้นไป ใบหน้าที่ไม่ถึงกับหล่อเหลา แต่ก็ชวนมองนั้นเด่นชัดขึ้นอีกครั้งเมื่อต้องแสงสว่าง มือเรียวยกขึ้นสัมผัสปลายเส้นผมที่ไว้ยาวระกรอบหน้าของตน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยในองศาที่คล้ายกับเป็นรอยยิ้ม ดวงตาสีเข้มทอประกายวาบหวามแบบที่โชคไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งลงตรงนั้น

 

       ความรู้สึกอบอุ่นไหลวูบจากอกไปถึงปลายนิ้ว เรียบง่ายและชัดเจน แม้จะไร้เดียงสาเกินจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการคำอธิบาย

 

       โชคเดินเข้าไปยืนเคียงข้างชายหนุ่ม มองเงาสะท้อนของตัวเองที่สูงยังไม่ถึงอกของเขาคนนั้น รอยยิ้มแปลกประหลาดผุดขึ้นมาบนใบหน้ายามเอื้อมมือไปคว้าจับมืออุ่น สอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน ใบหน้าแดงซ่านจนต้องก้มคางชิดอกมองปลายเท้า

 

       “โชค” คนเหม่อลอยคล้ายได้สติกลับมาแล้ว แก้วหันมามองเด็กชายที่จับมือเขาแน่นแต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าคนตัวเล็กต้องการอะไรกันแน่ แต่ก็บีบกระชับมือที่ถูกฉวยไปกุมไว้ให้แนบแน่นกว่าเดิม เพียงแค่นั้นโชคก็เหมือนลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไป พองโตฟู่ฟ่องจนเหมือนจะล่องลอยขึ้นไปบนชั้นฟ้า

 

       ...การตกหลุมรักของเด็กชาย มันเกิดขึ้นง่ายดายเช่นนั้นเอง

 

 

 

       แก้วกับโชคกลับมาถึงบ้านในตอนหัวค่ำ เพราะหลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้วพวกเขาก็ไปกินข้าวและซื้อของในห้างกันต่อ เมื่อเจ้าของบ้านกลับมา มะลิที่ถูกทิ้งไว้ตัวเดียวทั้งวันก็เดินมาล้มตัวนอนแผ่หงายท้องลงแทบเท้า แก้วก้มลงไปลูบท้องนุ่มฟูเพื่อทักทายเพียงเล็กน้อยแล้วผ่านไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กชายที่จะเข้ามาหยอกล้อกับสัตว์เลี้ยงแทน

 

       คืนนั้นโชคเอามะลิขึ้นไปนอนด้วยกันในห้อง กอดก้อนขนนุ่มอุ่นเอาไว้แนบอก เหม่อมองเพดานในความมืดที่มีแสงสลัวจากไฟถนนลอดขอบบานหน้าต่างไม้เข้ามาเพียงน้อยนิด

 

       “มะลิ”

 

       เหมี๊ยว..

 

       “มะลิ”

 

       กรร...

 

       “มะลิ” เสียงครางเครือในลำคอขานรับอีกครั้ง เด็กชายเงียบงันไปเนิ่นนานพอที่ดวงตาคมของนักล่าจะปิดลงคล้ายหลับไปแล้ว ก่อนที่เสียงพึมพำแผ่วเบาจะกระซิบบอกความลับบางอย่างให้แมวสาวฟังในห้วงฝันที่ไม่ปะติดปะต่อ “...น้าแก้ว”

 




 

       วันอังคารมาถึง เด็กชายอายุครบสิบเอ็ดปีในวันนี้ ตอนเช้าพอไปถึงโรงเรียน เพื่อนสนิทก็เอาพวกกุญแจปลาดาวมาห้อยกระเป๋านักเรียนให้เป็นของขวัญวันเกิด ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ตเดย์เพี้ยนๆ ให้ฟังตั้งแต่ยังไม่เคารพธงชาติ ตอนพักกลางวันก็แบ่งไข่ผะโล้ในถาดอาหารมาให้เขาอีกครึ่งหนึ่ง พร้อมรอยยิ้มจริงใจและสดใสเสมอ โชครู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่มีเพื่อนอย่างมิกซ์

 

       ตกเย็นแก้วขับรถมารับเด็กชายกับเพื่อนไปส่งที่โรงเรียนสอนเทควันโด้ วันนั้นแก้วไม่มีงานอะไรให้ต้องสะสางที่ออฟฟิศแล้วจึงมานั่งรอเด็กๆ ที่เก้าอี้ม้าหินริมรั้วสังกะสีที่กั้นเขตก่อสร้างตรงตึกเลยสถาบันมานิดหน่อย บุหรี่ถูกจุดขึ้นสูบเพื่อฆ่าเวลา แต่เหมือนว่าม่านควันที่บดบังทัศนวิสัยเบื้องหน้านั้นจะลักพาตัวชายหนุ่มไปในสถานที่อันห่างไกลอีกแล้ว แต่แก้วก็ไม่ได้เดินทางในหมอกจางนั้นนานนักเมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ในกางเกงดังขึ้น

 

       ...เบอร์เดิมที่คุ้นเคย และชื่อที่บันทึกไว้ไม่เคยเปลี่ยน

 

       “ฮัลโหล”

 

       “ฮัลโหล แก้ว” เสียงปลายสายยังคงสดใสเช่นเคย เหมือนทุกครั้งที่โทรมาหา “โชคล่ะ”

 

       “เรียนเทควันโด้อยู่”

 

       “อ่อ วันนี้วังอังคารสินะ” ปลายสายเงียบไป แก้วขยี้บุหรี่ใกล้มอดลงกับพื้นฟุตบาท ดีดก้นกรองลงถังขยะข้างทางขณะที่รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ “งั้นไว้เดี๋ยวเลิกแล้วกูโทรหาใหม่”

 

       “อืม”

 

       “โอเค”

 

       “...” บทสนทนาจบลงแล้ว แต่สัญญาณกลับยังไม่ถูกตัดไปคล้ายรอให้ชายหนุ่มเป็นคนกดตัดสาย ธีร์ทำอย่างนี้เสมอ แต่เขาก็ยังไม่กด ยืนแนบหูฟังเสียงลมหายใจที่ผ่านมาโดยคลื่นวิทยุทางอากาศ ซึ่งบ่งบอกว่าปลายทางอีกฝั่งเองก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่

 

       “น้าแก้ว! เลิกแล้วครับ” เสียงใสกับเด็กชายสองคนที่เดินตรงมา คนที่เรียกคือมิกซ์ที่ยิ้มร่าหิ้วถุงชุดพาดบ่าอย่างอารมณ์ดี

 

       “จะคุยกับโชคเลยไหม เลิกพอดี” ชายหนุ่มพูดกับคนในสาย ยิ้มให้กับเพื่อนของเด็กในปกครองเขาบางๆ คล้ายรับคำที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่

 

       “ได้ๆ ..” โชครับโทศัพท์ที่ส่งมาให้ มองสบตาน้าแก้วอย่างงุนงง แต่ก็พอจะเดาได้เพราะคนที่โทรมาคุยกับเขาผ่านมือถือเจ้าตัวบ่อยๆ ก็มีแค่คนเดียว

 

       “อาธีร์เหรอครับ”

 

       “ใช่แล้วครับ” เสียงปลายสายเว้นช่วงไป ก่อนจะกล่าวอวยพรด้วยเสียงนุ่มนวลอบอุ่นเช่นเดียวกับวันนี้ในปีที่แล้ว “สุขสันต์วันเกิดนะโชค”

 

       แก้วรับโทรศัพท์มาหลังจากที่เด็กชายยื่นคืนเป็นเชิงว่าธุระจบลงแล้ว เขาพอจะเดาได้ว่าธีร์คงโทรมาอวยพรวันเกิดให้โชค เขากดตัดสายในที่สุด เก็บมันเข้าไปไว้ในกางเกงอย่างเดิม กุมมือเด็กทั้งสองคนละข้างพาข้ามถนน ขับรถไปส่งมิกซ์ที่บ้านเจ้าตัวแล้วจึงค่อยมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเอง กล่องเค้กช็อกโกแลตวางอยู่เบาะหลัง เค้กหนึ่งปอนด์ที่มากเกินไปสำหรับคนสองคน

 

       รถยนต์สีดำแล่นเข้ามาจอดตรงลานว่างเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามกับบ้าน ไฟถนนตรงบริเวณนั้นเสียจึงทำให้มองรอบข้างได้ไม่ถนัดนัก แต่ทันทีที่แสงไฟในรถติดขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก เงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนส่งยิ้มกว้างมาให้จากข้างรถคันแปลกตาแต่กลับดูคุ้นเคยราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนั้นก็ชัดเจน

 

       “ทำไมมาอยู่นี่”

 

       “คิดถึง..”

 

       “อาธีร์!” โชคกระโดดเข้าหาอ้อมแขนใหญ่คุ้นเคยนั้นทันที ธีร์ยกเด็กชายที่ตัวหนักขึ้นทุกวันขึ้นอุ้มได้โดยง่ายราวกับว่าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย “ผมนึกว่าอาจะไม่มา”

 

       “ไม่มาได้ไง วันเกิดเราทั้งที” เด็กชายยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับคนพูด แก้วเก็บของลงจากรถเงียบๆ แล้วเดินนำไปไขกุญแจรั้ว สีหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับวูบไหว

 

       งานฉลองวันเกิดครบสิบเอ็ดปีของเด็กชายถูกจัดขึ้นง่ายๆ ในห้องนั่งเล่น มื้ออาหารที่แวะซื้อจากร้านข้างทาง น้ำผลไม้ที่แช่ทิ้งไว้ในตู้ เค้กช็อกโกแลตที่เจ้าของบ้านหนุ่มซื้อมาวางคู่กับเค้กครีมที่แขกอีกคนถือมาด้วย โชคเป่าเทียนที่แบ่งปักก้อนละหกเล่มอย่างมีความสุข

 

       เค้กหนึ่งปอนด์มันมากเกินไปสำหรับคนสองคน แต่เค้กสองปอนด์กลับพอดีกับจำนวนคนสามคนอย่างน่าประหลาด

 

 

 

       “เอามะลิไปนอนด้วยได้ไหม น้าแก้ว” โชคถามชายหนุ่มที่กำลังล้างจานอยู่ในครัว เด็กชายสวมชุดนอนเรียบร้อย ในอ้อมแขนมีแมวสาวถูกหิ้วหนีบเอาไว้ ดวงตาจ้องรอคำอนุญาตอย่างออดอ้อน

 

       “ได้ แต่อย่าเล่นจนดึกนะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” เด็กชายพยักหน้ารับ หันไปยิ้มให้ร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงราวบันไดรอขึ้นไปส่งเขาเข้านอน นานแล้วนับจากครั้งสุดท้ายที่น้าแก้วยอมนอนเป็นเพื่อนเขา โชคนอนคนเดียวได้ แต่ถ้าเลือกได้ เขาก็ชอบให้มีคนนอนข้างๆ จนกว่าจะหลับมากกว่าอยู่ดี

 

       “อาธีร์” ในความมืดสลัวเหลือเพียงไฟหัวเตียงที่เปิดเอาไว้ โชคเอ่ยเรียกคนข้างตัวเบาๆ

 

       “ว่าไงครับ”

 

       “อารู้ไหมว่าม้าน้ำตัวผู้จะอุ้มท้องแทนตัวเมียแหละ” เด็กชายเล่าถึงเกร็ดความรู้ที่ได้มาจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้ไปมาก่อนหน้านี้ไม่นาน “แล้วมันก็จะมีคู่แค่ตัวเดียวตลอดชีวิตเลยด้วย”

 

       “โรแมนติกจังเลยเนอะ” ธีร์กระซิบเสียงเบาจนเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าตอบอีกฝ่าย มือใหญ่ลูบขนนุ่มของแมวสาวที่นอนตรงกลางระหว่างเขากับเด็กชาย เป็นเพราะแสงที่ส่องมาทางด้านหลังของเขาอีกแล้วที่ทำให้โชคไม่รู้ว่าดวงตาคมที่หลุบต่ำลงนั้นกำลังฉายแววความรู้สึกแบบไหนออกมา

 

       “ใช่ไหมล่ะ” เด็กชายเข้าใจคำว่าโรแมนติก แม้จะเพียงแค่ผิวเผินก็ตาม “ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบม้าน้ำบ้างนะ”

 

       “ที่ให้ผู้ชายท้องแทนน่ะเหรอ” ธีร์เย้ากลั้วหัวเราะเบาๆ แต่คำตอบที่สวนกลับมาทันทีกลับทำให้เสียงนั้นจางหายไปในลำคอ

 

       “ที่มีคู่เดียวตลอดชีวิตต่างหาก”

 

       “นั่นสินะ”

 

       ความเงียบงันเกิดขึ้นภายในห้องหลังจากเสียงแผ่วเบานั้นจางหายไปในอากาศ เนิ่นนานจนคล้ายว่าคนบนเตียงต่างหลับไปแล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงสวบสาบจากการพลิกตัวของร่างเล็ก

 

       “อาธีร์”

 

       “ว่ายังไงครับ”

 

       “คืนนี้อาธีร์จะไปนอนเป็นเพื่อนน้าแก้วด้วยรึเปล่า”

 

       “...”

 

       “เหมือนเมื่อก่อน”

 

 

 

       ธีร์กลับลงมาชั้นล่างหลังจากที่โชคหลับไปแล้ว เจ้าของบ้านยังคงอยู่ตรงนั้น บนโซฟานุ่มตัวยาว กับควันขาวจากการเผาไหม้ที่ปลายบุหรี่ ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลงเมื่อร่างสูงใหญ่เดินไปนั่งลงข้างๆ แต่ความเงียบงันกลับทำให้มันเหมือนไกลห่างจนไม่อาจเอื้อมถึงกันได้เลย

 

       “เนตรเป็นไงบ้าง” ในที่สุดก็มีคนทำลายความเงียบ แก้วขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยพลางเอ่ยถามถึงภรรยาของอีกฝ่าย

 

       “ก็เหมือนเดิมแหละ ขี้บ่น”

 

       “เหรอ คิดว่าเป็นคนเงียบๆ ซะอีก”

 

       “อืม เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่พอแต่งงานแล้วไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนไป”

 

       “ปกติของมนุษย์เมียล่ะมั้ง” รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้า ในขณะที่อีกคนหลุดหัวเราะเบาๆ บรรยากาศห่างเหินที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ค่อยๆ ละลายหายไป

 

       หลังจากที่พูดคุยกันอยู่นานจนเข็มนาฬิกาชี้เลยเลขสิบเอ็ด และก้นกรองในที่เขี่ยบุหรี่เพิ่มขึ้นอีกอัน แก้วขยับตัวซบหัวกับพนักพิงโซฟา ดวงตาสีเข้มมองสบกับตาคม เอ่ยถามคำถามที่ไม่ค่อยได้เป็นฝ่ายเสนอก่อนออกมา

 

       “คืนนี้ค้างไหม”

 

       “ไม่รู้สิ” คำตอบกลับมาเบาหวิว เช่นเดียวกับดวงตาคมที่ฉายแวววูบไหว “ค้างได้รึเปล่าล่ะ”

 

       สายฝนโปรยลงกระทบหลังคาแผ่วเบาแทนคำตอบ ก่อนจะโหมกระหน่ำซัดลงมาจนดังกึกก้องห้องนั่งเล่นที่มีเพียงเสียงลมหายใจจากคนสองคน

 

 

 

       เช้าวันพุธโชคตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพราะเจ้าเหมียวที่เอาไปนอนด้วยตะกรุยประตูแทนคำสั่งให้ปล่อยตัวเองออกไป เด็กชายจึงเดินลงบันไดมาพร้อมกับมะลิ ทั้งบ้านยังคงมืดสนิท แต่ในความมืดที่สายตาของเขาคุ้นชินแล้วนั้นปรากฏภาพเงาอย่างชัดเจน

 

       บนโซฟาตัวยาว แก้วตื่นนอนแล้วหรืออาจจะตื่นมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมลุกจากอ้อมแขนที่โอบรอบเอวตัวเองเอาไว้ ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่าย ไล่สายตาไปตามโครงสร้างงดงามของคนตรงหน้าราวกับกำลังเก็บรายละเอียด คิ้ว ดวงตา สันจมูก ริมฝีปาก มือเรียวทาบลงบนแก้มอุ่น ก่อนจะซุกตัวเข้าไปซบฝังจมูกลงบนอกแกร่ง เบียดตัวเข้าหาความอบอุ่นที่ห่างหายไปแสนนานนั้นให้มากที่สุด

 

       โชคไม่รู้ว่าน้าแก้วกำลังทำอะไรอยู่ เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่ซุกตัวเข้าหาร่างใหญ่โตของอาธีร์ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าไม่ควรเข้าไปแทรก เลยได้แต่ฉวยแมวสาวขึ้นมาอุ้มแล้วพาย่องกลับขึ้นห้องไปด้วยกันอย่างเงียบเชียบ นานแล้วที่ธีร์ไม่ได้มาค้างที่บ้านหลังนี้ ตั้งแต่วันเกิดเจ้าของบ้านหนุ่มปีที่แล้ว เด็กชายจึงปล่อยให้ค่ำคืนของสองคนบนโซฟายาวนานขึ้นอีกหน่อย ปล่อยให้น้าแก้วของเขาได้มีความสุขนานขึ้นอีกนิด

 

       เด็กชายลงมาชั้นล่างอีกทีตอนฟ้าสางตามเวลาปกติของวันไปโรงเรียน ธีร์กลับไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นจากควันบุหรี่บางเบาที่พ่นออกจากปากของคนที่ยังอยู่ ดวงตาสีเข้มยังคงมองออกไปตามทางที่ใครอีกคนจากไป

 

       ฟ้ายามเช้าหม่นหมองหลังคืนฝนตก มันช่างดูปวดร้าวและเดียวดาย ...ทั้งท้องฟ้าทั้งชายหนุ่ม

 

       โชคชอบอาธีร์ ชอบมากมาตลอด แต่ตอนนี้กลับนึกเกลียดผู้ชายคนนั้นขึ้นมาหน่อยแล้ว เพราะเมื่อธีร์จากไป เขาก็จะพรากประกายในดวงตาคู่นั้นของแก้วไปด้วย

 

       “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันกลับมา รอยยิ้มจางเพียงริมฝีปากถูกส่งมาให้ พลันในอกของเด็กชายก็บีบรัดแน่นจนได้ยินเสียงปริแตกของบางสิ่งภายในนั้น

 

       โชคเดินเข้าไปหาคนที่ยังคงสูบบุหรี่อยู่กับความอ้างว้าง ถึงจะรู้ว่าคงโดนดุแน่ เพราะอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้ในตอนที่ยังกรุ่นควันพิษ แต่เขาก็ยอม เด็กชายคุกเข่าลงกับพื้นหน้าโซฟา ซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องอุ่น สองแขนโอบรัดรอบเอวแก้วไว้แน่น หวังให้กอดของตัวเองเพียงพอที่จะแทนที่เงาของคนๆ นั้น

 

       “เป็นอะไรไป หืม” บุหรี่ถูกดับแล้ว และแก้วไม่ได้ดุเด็กชายอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาไว้ มีเพียงสัมผัสอ่อนโยนที่ลูบไล้ผ่านเส้นผมสั้นทรงนักเรียนของเขาเท่านั้น

 

       “ต่อไปผมจะกอดน้าแก้วเอง” เสียงอู้อี้ตอบกลับมา เรียกรอยยิ้มอ่อนจางจากคนฟัง แก้วโน้มตัวลงไปซบหน้าบนแผ่นหลังเล็ก สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายและเสียงของหัวใจที่เต้นระรัว แก้วไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กชายคิด แต่ก็ยินดีรับความอบอุ่นที่อีกคนหยิบยื่นมาให้

 

       “ตัวแค่นี้จะกอดฉันไหวเหรอ”

 

       “เดี๋ยวผมก็โตแล้ว!” โชคตอบกลับเสียงดังชัดเจน ก่อนจะกลับไปงึมงำอีกครั้งเมื่อแก้วหัวเราะขบขัน “เดี๋ยวผมก็โต เดี๋ยวผมก็ตัวใหญ่ขึ้น แล้วตอนนั้นผมก็จะกอดน้าแก้วเอาไว้เอง น้าแก้วจะได้ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป”

 

       “ฉันดูเหงาเหรอ” ดวงตาสีเข้มหรี่ลงขณะเอ่ยถาม

 

       “อื้อ”

 

       “ขอโทษนะ” เด็กชายผละจากตักอุ่น หลุดออกจากอ้อมกอดกันและกัน ดวงตาใสซื่อจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

 

       “น้าแก้วขอโทษทำไม”

 

       “ขอโทษที่ทำตัวเป็นคนเหงาไง”

 

       “ทำไมต้องขอโทษล่ะ” คิ้วเล็กขมวดมุ่นหนักเข้าไปใหญ่ แก้วหัวเราะในลำคอน้อยๆ นิ้วเรียวจิ้มเข้าที่หน้าผาก ตรงหว่างคิ้วที่ยับย่น ไล้วนให้มันคลายออกจากกัน

 

       “เพราะว่าฉันไม่ควรเหงาน่ะสิ” ชายหนุ่มยิ้มออกมา จากทั้งริมฝีปากและดวงตา “ฉันมีเธออยู่ทั้งคน”

 

       คำตอบนั้นไม่ได้ไขข้อข้องใจของเด็กชาย แต่เขากลับดีใจทั้งที่ไม่รู้ความหมาย

 

 

 

TBC...

       มาถึงตอนที่ 12 กันแล้วนะคะ น้องโชคเองก็ป.4 แล้ว ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ เลย ความรู้สึกในหัวใจก็เริ่มเติบโตไปเป็นอย่างอื่นแล้วววว ส่วนน้าแก้วกับอาธีร์ก็ยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่เหมือนหมอกควัน รู้สึกลึกซึ้งแต่ก็แสนอ้างว้าง เป็นตอนที่รีนชอบมากๆ อีกตอนหนึ่งเลยค่ะ
       และถ้าหากใครที่รอโมเม้นโรแมนติกระหว่างตัวเอกอยู่ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะยังอีกยาวไกลเลยค่า!!!  :katai1:
       ก่อนอื่นเลยก็คือต้องรอให้น้องโตก่อน และเพราะเรื่องนี้เป็น slow burn ที่เทคไทม์ยาวนานถึง 20 ปี ตอนนี้ก็เลยได้แต่ติดตามการเติบโตของเด็กชายกันไปก่อนนะคะ
​       
       ขอบคุณทุกการอ่านและคอมเม้นเลยค่ะ

       ปล.โดยเฉพาะคุณ blove ขอบคุณที่คอมเม้นมาตลอดนะคะ น่ารักมากๆ ใส่ใจรายละเอียดในทุกๆ ตอนเลย รีนชอบอ่านมากๆ เลยค่ะ อ่านซ้ำตั้งหลายรอบ ขอบคุณนะคะ  :mew1:


       เจอกันอีกครั้งวันพฤหัสบดีหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 12 [4.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-06-2020 22:09:24
เนอะน้าแก้ว มีโชคอยู่ทั้งคนไม่ควรเหงาสิ ค่อยๆปล่อยใจเขาไป แม้เจ็บก็ต้องทำ เพราะเขามีเมียแล้ว ไม่สะดวกใจเชียร์(ยกเว้นหย่า) 55555 กายอยู่กับคนนั้น แต่ใจอยู่กับคนนี้ อาธีร์โชคว่ามันไม่ใช่แล้วละ 55555 ถ้าตัดสินใจไปแบบนั้นแล้วก็ต้องตัดความสัมพันธ์ที่มันคลุมเครือเหลือไว้เพียงแค่เพื่อนไปมาถามไถ่ทุกข์สุขดิบพอ รอให้โชคโตเร็วๆอย่างที่ว่านะจะได้มากอดน้าแก้วเอง ทีมโชคละนี่ 5555 น่าเอ็นดูจริงๆเวลาพาไปดูอะไรที่ชอบจะตื่นเต้นประกายตาวาวเชียว มองดูแล้วก็ยิ้มๆตามนะ มีความสุขไปด้วย 5555 รู้สึกว่าโชคเป็นคนที่อบอุ่นมากเลยนะ ชอบความที่โชคจับความรู้สึกของน้าแก้วอ่ะมองจากตาเห็นด้วยใจแล้วบรรยายบรรยากาศรอบตัวออกมาได้ลึกซึ้งดี และรู้จังหวะการเข้าหาน้าแก้ว เวลาเขาเหม่อก็ช่วยดึงสติกลับมาด้วยวิธีน่ารักๆอย่างจับมือประสานนิ้ว คอยสะกิดตลอดก็เพราะด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกเขานั่นเอง อบอุ่นที่สุดเลย โชคอย่าปล่อยให้น้าแก้วเหงานะ อีกปีสองปีจะก็จะจบประถมแล้ว ขึ้นมัธยมเจอโลกกว้างกว่านี้ ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปทางไหน แล้วจะรอไม่ไหวแล้วค่ะ ติดงอมแงมเลย 55555 สนุกจริง แต่งดี ชอบภาษาบรรยายมาก รรรรรรตอนหน้าเลยจ้า จะเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งมาต่อให้ได้อ่าน ไม่ลืมไม่เทกันนะ 5555  :pig4: :pig4: :pig4: กลัวอย่างเดียวคือกว่าโชคจะโต น้าแก้วจะไม่เป็นมะเร็งปอดนะ บุหรี่เพลาๆบ้างก็ดีน้าแก้ว อยากให้อยู่กับโชคไปนานๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 13 [11.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 11-06-2020 19:10:08
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 13



          หลังจากวันนั้นไม่นานก็มีข่าวดี แม้ตอนที่ชายหนุ่มได้รู้ผ่านสายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิทจะมีเพียงเสียงของฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา หนักหนาเสียจนสัญญาณโทรศัพท์ติดขัด คำยินดีจึงถูกส่งผ่านไปอย่างสั่นเครือ และในเดือนเมษายนปีถัดมาก็มีเด็กชายอีกคนลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้



          น้องเมษา.. ลูกชายของอาธีร์



          แก้วพาโชคออกจากบ้านในตอนบ่าย แวะซื้อของในห้างระหว่างทาง เด็กชายเข็นรถเข็นตามคนโตกว่าไปถึงแผนกของใช้เด็กอ่อน เพื่อหาของขวัญรับขวัญหลานคนใหม่



          “น้าแก้วจะซื้ออะไรอะ”



          “ไม่รู้สิ เด็กแรกเกิดนี่ต้องใช้อะไรบ้าง” หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืนอยู่หน้าชั้นวางสินค้าที่เรียงรายไปด้วยผ้าอ้อม ชุดขวดนม ชุดเครื่องนอนและเสื้อผ้าของเด็กแรกเกิด แต่ไม่มีใครในนี้เลยที่จะรู้ว่าพวกเขาควรหยิบอะไรไปจ่ายตัง



          “อันนี้ไหม” เด็กชายคว้าเอาแปรงล้างขวดนมขึ้นมาเสนอ ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า มันดูค่อนข้างจะเป็นของที่คิดข้ามขั้นเกินไปหน่อย



          “อันนี้อะไร” เด็กชายยังคงขยันหยิบ แก้วรับเอาของรูปร่างแปลกตาในมือเล็กมาพลิกอ่านฉลากด้านหลัง



          “ที่ดูดน้ำมูก”



          “ไว้ใช้ทำอะไร”



          “ดูดน้ำมูกไง”



          “เอาอันนี้ไหม” แก้วส่ายหัวแบบไม่ต้องคิด ถึงมันจะเป็นของที่ใช้ได้จริง แต่คงไม่เหมาะจะให้เป็นของขวัญสักเท่าไหร่



          พวกเขาเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกเกือบชั่วโมง หยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้มาแล้ววางกลับไป เสื้อผ้าก็คงมีแล้ว ผ้าอ้อมก็คงซื้อแล้ว ชุดเครื่องนอนทางบ้านนั้นก็คงหาไว้แล้ว แก้วคิดไม่ออกเลยว่ามีอะไรที่คนอย่างธีร์จะยังไม่ได้เตรียมไว้รับลูกของตัวเอง ในเมื่อผู้ชายคนนั้นน่ะเฝ้ารอมาตลอด...



          ‘แก้ว มึงชอบเด็กรึเปล่า’



          ‘เฉยๆ ไม่ได้เกลียด แค่ไม่ชอบตอนเด็กร้อง’ รอยยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของเขายังเปล่งประกายในความทรงจำ



          ‘แต่กูชอบมากเลยนะ’



          ‘เด็กตอนร้องไห้น่ะเหรอ’ ธีร์ในชุดนักเรียนม.ปลายหัวเราะเบาๆ ยื่นมือมาวางบนหัวเขา โยกคลอนไปมาเหมือนหยอกเด็ก



          ‘ไม่ใช่สิ แต่ก็ไม่ได้เกลียดหรอก ถ้าเห็นเด็กร้องกูก็อยากปลอบ’ มือที่วางบนหัวเลื่อนลงมาแนบที่ข้างแก้ม รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า แววตาที่จ้องมองมาจริงจัง แต่ยังคงหวานหยดย้อยชวนให้ฝันไปกับคำที่ราวกับเป็นสัญญาบางอย่างระหว่างกัน ‘กูชอบเด็ก แล้วถ้ามึงก็โอเค...’



          ‘กูอยากมีลูก’



          ...ธีร์อยากมีลูก







          สุดท้ายแก้วก็เลือกเอาโมบายแขวนเตียงที่มีสัตว์นาๆ ชนิดห้อยต่องแต่งเป็นสวนสัตว์ใส่รถเข็นไปจ่ายเงิน ด้วยเหตุผลที่ง่ายที่สุดว่ามันน่ารักดี และอีกอย่างคือเขาคิดว่าคนอย่างธีร์คงเลือกซื้อโมบายดวงดาวก้อนเมฆที่ดูเรียบหรูมากกว่าลายสัตว์สีสันฉูดฉาดแน่ๆ จะได้เอาไว้เผื่อวันไหนน้องเมษาเบื่อดาวสีจืดของปะป๊าแล้วจะได้มีเปลี่ยน



          และแก้วก็คิดถูก เมื่อเขามาถึงบ้านของพ่อแม่เพื่อนสนิทที่แสนคุ้นเคย ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวแยกบ้านไปแล้ว แต่กลับมาอยู่เพื่อให้คุณย่าช่วยดูหลานในช่วงแรกๆ ที่พ่อแม่มือใหม่ยังไม่ชิน แก้วมองสำรวจไปรอบๆ ถึงจะไม่ได้มาเหยียบหลายปีแล้วก็ตาม แต่เขายังคงจำได้หมดว่าอะไรอยู่ตรงไหน และมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มแล้วสวมกอดแน่น แม่ของธีร์เอาแต่ถามไถ่ชายหนุ่มไม่หยุดปาก ส่วนพ่อก็ยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นหน้าลูกชายอีกคนที่ไม่เจอกันนาน โชคเองก็มีพี่ปรางเข้ามาพูดคุยเล่นด้วย บรรยากาศอบอุ่นเป็นมิตร ทุกคนเข้าไปรวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่นใหญ่โต ที่กลางห้องมีเปลเด็กเล็กอันใหม่ตั้งอยู่ โดยที่เหนือเปลนั้นมีโมบายก้อนเมฆสีขาวกับดวงดาวสีทองค่อยๆ หมุนตามกลไกภายใน



          “ออกมาสามพันแปด ตอนแรกก็กลัวกันว่าจะไม่แข็งแรงเพราะแม่เริ่มอายุมากแล้ว แต่กลับออกมาตัวใหญ่ขนาดนี้” คำบอกกล่าวออกมาจากปากคนเป็นย่า แก้วยิ้มขณะที่มองทารกน้อยในเปลอยู่ห่างๆ เด็กชายผู้เกิดในหน้าร้อน มีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักถอดแบบผู้เป็นแม่มา คงมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ถอดทรงมาจากพ่อ



          โชคยืนเกาะขอบเปล จ้องมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาไม่กี่วันก่อน ร่างกายเล็กจิ๋วขยับยุกยิกเล็กน้อยใต้ผ้าห่อตัว เด็กชายตาลุกวาว หันมาสบตากับแก้วอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าตัวน้อยต่อ ธีร์นั่งอยู่บนโซฟาใกล้กับเด็กชาย มือใหญ่วางลงบนศีรษะที่ขนาดใกล้พอดีกับมือเขาแล้วขยี้เบาๆ



          “น้องมองเห็นผมไหม” โชคหันมาถาม



          “เห็นสิ แต่ต้องเข้าไปใกล้หน่อย” ธีร์ตอบ



          “ลองอุ้มดูไหมจ๊ะ” คราวนี้เป็นคนแม่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างเปลถามยิ้มๆ เด็กชายส่ายหน้าหวือ เขาไม่กล้าแตะของที่ดูบอบบางพังง่ายแบบนั้นหรอก เนตรเลยหันมาถามอีกคนต่อ “แก้วลองดูไหม”



          “ไม่ดีกว่า ไว้ให้โตกว่านี้ก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มเองก็ปฏิเสธ แต่ก็ขยับเข้าไปมองเด็กเล็กในเปลใกล้ขึ้น นิ้วเรียวเขี่ยอุ้มมือเล็กใต้ถุงมือผ้าเบาๆ เจ้าตัวเล็กตอบสนองด้วยการกำปลายนิ้วเขาเอาไว้ แก้วระบายยิ้มอ่อนโยน ขณะที่หันมาพูดคุยกับเด็กชายข้างๆ ที่ตื่นเต้นสนใจไปหมดทุกอย่าง มือเล็กยื่นไปให้มือที่เล็กกว่าจับบ้าง พอสมใจแล้วก็ชอบใจใหญ่ ระบายยิ้มแฉ่งสดใสออกมาเต็มหน้า



          ธีร์ยิ้มบางให้กับภาพตรงหน้า ก่อนจะเบนสายตาไปสบกับภรรยาแล้วระบายยิ้มให้กว้างขึ้น



          “น้องหน้าเหมือนน้าแก้วเลยเนอะ” อยู่ๆ เสียงใสก็เรียกความสนใจจากทั้งห้อง ปรางโตขึ้นมากแล้ว เป็นสาวน้อยอายุย่างสิบสาม แต่ยังคงมีแววตาซุกซนของเด็กอยู่ เธอยืนเท้าแขนกับขอบเปลอีกฝั่งพลางก้มเงยมองใบหน้าของเด็กเล็กกับชายหนุ่มสลับกัน



          “ก็คล้ายๆ อยู่นะ” คราวนี้เป็นเสียงสนับสนุนจากคุณย่า และคุณปู่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดเสริมอีกอย่าง



          “พ่อว่าหนูเนตรเองก็หน้าคล้ายแก้วอยู่เหมือนกัน”



          “อืม จะว่าไปรูปตานี่ทรงเดียวกันเลยนะ ปากก็คล้ายๆ ถ้าแก้วเป็นผู้หญิงก็คงเหมือนเนตรนี่แหละ” แก้วยิ้มแห้งรับสิ่งที่แม่เพื่อนสนิทพูดถึงตน เหลือบไปสบตากับคนที่ถูกพาดพิงอีกคนแล้วก็ได้แต่หัวเราะให้กันเบาๆ จนกระทั่งประโยคสุดท้ายที่ทำให้รอยยิ้มแห้งของเขาฝืดฝืนยิ่งกว่าเดิม



          “ถ้าแก้วเป็นผู้หญิงก็คงได้แต่งกับธีร์มันไปตั้งนานแล้วล่ะเนอะ”



          อยู่ๆ ทั้งห้องก็เงียบลง แววตาหลายคู่ฉายแววแตกต่างกันออกไป แก้วหันไปสบตาคมโดยที่ไม่รู้ตัว แววตาที่มองกลับมานั้นอ่านไม่ออก เช่นเดียวกับของเขาเอง แต่เขาก็รู้ว่าในดวงตาของตน มันคงมีความขมขื่นและร้าวรานผสมอยู่ด้วย



          อุแว้!!!



          แก้วไม่เคยชอบเสียงร้องไห้โยเยของเด็ก แต่กลับรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่น่ารำคาญอย่างที่คิด คุณแม่มือใหม่รีบเข้าไปดูลูกน้อยในเปลพร้อมกับผู้เป็นพ่อ



          “คงหิวแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวเนตรขอให้นมลูกแปบนึงนะคะ” หญิงสาวหันมาบอก และไม่ต้องให้อธิบายเพิ่มแก้วก็สะกิดให้โชคเดินออกไปจากบริเวณนั้นด้วยกัน ว่าจะพาเด็กชายไปเดินเล่นรอบๆ บ้าน แต่กลับถูกแย่งตัวไปโดยเด็กสาวที่เกาะไหล่เล็กแล้วดันให้เดินไปด้วยกันแทน



          “เดี๋ยวหนูพาน้องไปเล่นข้างหลังนะคะ” แก้วได้แต่พยักหน้ารับเมื่อเจอกับดวงตาวาววับออดอ้อน คิดว่าดีแล้วเหมือนกันที่ให้ทั้งสองคนได้มีเวลาเล่นด้วยกันบ้าง ให้เหมือนกับเมื่อก่อน เพราะเผลออีกแค่แปบเดียว เด็กทั้งคู่ต่างก็จะเติบโตเกินไปจนห่างเหินกันในที่สุด







          โชคเดินตามพี่สาวที่ยังคงสูงกว่าเขาไปที่สวนหลังบ้าน บ้านอาธีร์หลังใหญ่มาก มากกว่าบ้านน้าแก้วตั้งสามเท่าหรือมากกว่านั้น ที่ด้านหลังจึงมีบ่อน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ซึ่งในนั้นมีปลาคาร์ฟหลากสีว่ายวนอยู่ ในขณะที่เขาฟังเรื่องเล่ามากมายของเด็กสาวที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมในโรงเรียนแห่งใหม่ กลิ่นควันฝาดเฝื่อนเบาบางก็ลอยมาตามลม



          แก้วนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ระแนงอีกฝั่ง แสงแดงวูบวาบที่ปลายมวนวิ่งเข้าหาโคนเมื่อสูดลมเข้าปอด ลมหายใจสีขาวพ่นผ่านออกมาทางจมูก แดดส่องผ่านซี่ไม้ลงมาบนใบหน้าที่แหงนขึ้นมองฟ้า แต่เพราะแสงจ้าเกินไปดวงตาสีเข้มจึงต้องหรี่ลงจนในที่สุดเปลือกตาก็ปิดสนิท ไฟยังคงลามเลียกระดาษ ขี้เถ้าจากการเผาไหม้หล่นลงบนพื้นปูน แตกกระจายเป็นวงคล้ายดอกไม้ไฟสีเทา



          โชคยังคงได้ยินเสียงของปราง แต่สมองกลับไม่รับรู้เรื่องราวเลยสักนิด เอาแต่จดจ่ออยู่กับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในฉากตรงหน้า มือใหญ่ฉวยเอาบุหรี่ออกไปขยี้ลงบนทรายในถาดดินเผาแถวๆ นั้นได้ทันก่อนที่ความร้อนจะลามถึงเรียวนิ้วของเจ้าของ แก้วลืมตา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง



          เด็กชายไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันถึงได้หลุดขำออกมา ธีร์ทิ้งตัวนั่งข้างเพื่อนสนิท เงยขึ้นมองลอดซี่กรงของไม้ระแนงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าจ้าและแดดจัดจนตาหยีเหมือนกับที่คนข้างๆ ทำก่อนหน้านี้ สองไหล่เอนพิงกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ดวงตาสองคู่ปิดลงอย่างสงบ ราวกับกำลังหลบหนีไปอยู่ในที่แสนไกลกันเพียงลำพัง



          โชคชอบช่วงเวลานี้ เขาชอบเวลาที่ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน เพราะมันทำให้น้าแก้วของเขามีความสุข แม้มันจะคงอยู่เพียงชั่วคราวก็ตาม



          แม่ของธีร์เดินออกมาตามลูกชายให้เข้าไปช่วยลูกสะใภ้ดูแลลูก แก้วไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะตัวเขาติดกลิ่นบุหรี่ ไม่เหมาะจะเข้าใกล้เด็กเล็ก เลยได้แต่นั่งรับลมอยู่ตรงนั้น โชคเพิ่งรู้ว่าตัวเองจ้องชายหนุ่มนานเกินไปแล้วเมื่อพี่สาวข้างๆ นั่งยองลงมาให้ระดับสายตาตรงกับเขา ก่อนชะโงกหน้ามาบดบังจุดหมายของสายตาให้เห็นเพียงดวงหน้าน่ารักที่กำลังยับยู่อย่างไม่พอใจ



          “น้องโชคได้ฟังพี่ปรางพูดรึเปล่าคะ” เด็กชายสะดุ้งน้อยๆ หลบตาพี่สาวอย่างคนทำผิดที่โดนจับได้



          “ขอโทษครับ” เสียงพูดอุบอิบกับสีหน้าน่าสงสาร ปรางจงใจถอนหายใจหนักเพื่อให้คนที่ไม่สนใจเธอได้ยิน แม้ในดวงตาสีน้ำตาลใสกระจ่างจะไร้แววหม่นมัวเพราะไม่ได้รู้สึกไม่พอใจจริงจังอะไรอยู่แล้ว เธอก็แค่ชอบแกล้งน้องโชคเท่านั้นเอง



          ปรางดึงตัวกลับไปนั่งยองกอดเข่ามองภาพเดียวกับที่เด็กชายจับจ้องมาตลอด ก่อนที่ใบหน้าสวยหวานจะทิ้งแก้มแนบลงบนแขนขณะที่รอให้เด็กชายหันกลับมาสบตา และเมื่อโชคหันมา เด็กสาวถามก็เอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบ



          “ชอบมากเลยเหรอ”



          “ชอบอะไรเหรอ” โชคกระพริบตาปริบ ไม่ค่อยเข้าใจคำถามไม่มีที่มาที่ไปนั้นสักเท่าไหร่



          “น้าแก้ว โชคชอบน้าแก้วมากเลยเหรอ”



          “อื้ม ชอบมากเลย” เสียงที่ตอบกลับนั้นไม่ดังนักแต่ก็ได้ยินชัดเจนเพราะระยะห่างของทั้งสอง ปรางกับโชคหันกลับไปมองชายหนุ่มที่หลับตาพริ้มอยู่ใต้ร่มระแนงไม้ผู้เป็นหัวข้อสนทนาของพวกเขา



          “ทำไมล่ะ”



          “น้าแก้วใจดี”



          “แค่นั้นเหรอ”



          “ใจดีที่สุดเลย”



          “น้าธีร์ก็ใจดีนะ”



          “อื้อ แต่อาธีร์ชอบหายไป”



          “หายไปเหรอ”



          “ชอบหายไป แล้วก็ทำให้น้าแก้วเหงา”



          “เหรอ” เด็กสาวรับคำ แม้เธอจะไม่เข้าใจที่น้องชายต่างสายเลือดคนนี้พูด แต่ก็พอรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ในสายตาคนนั้นดูอ้างว้างจริงๆ เมื่อไร้เงาน้าชายของเธอ “นั่นสินะ นิสัยไม่ดีเลยเนอะ”



          สิ้นเสียงหวานก็กลายเป็นเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กทั้งสอง เด็กสาวเอนตัวทิ้งน้ำหนักลงพิงร่างเล็กข้างๆ และเด็กชายเองก็เอนหัวมาซบไหล่บางของเธอคืน พลางพูดคุยไร้สาระกันไปเรื่อยใต้ท้องฟ้าใสกระจ่าง โชคกับปราง น้องชายกับพี่สาว ได้ย้อนเวลายามบ่ายกลับไปเป็นเด็กตัวน้อยด้วยกันอีกครั้ง







          พอเข้าช่วงเย็นทุกคนก็กลับเข้าไปในบ้าน แขกผู้มาเยือนจะอยู่กินมื้อค่ำด้วยเพราะเจ้าของบ้านสูงวัยทั้งสองเอ่ยปากชวนแกมบังคับ ปรางกับโชคเปิดซีดีการ์ตูนค่ายดังเกี่ยวกับครอบครัวฮีโร่ดูบนจอโทรทัศน์ยักษ์ในห้องนั่งเล่น แก้วเองก็นั่งอยู่มุมหนึ่งของโซฟาหนังสีขาวสะอาด ดวงตาจ้องภาพเคลื่อนไหวในทีวีแต่ไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก เช่นเดียวกับเพื่อนสนิทของเขาที่นั่งอยู่อีกฟาก จนกระทั่งคุณแม่ป้ายแดงลงบันไดมาพร้อมลูกน้อยในอ้อมแขน



          “อ๊ะ คุณแม่ เดี๋ยวหนูช่วยทำกับข้าวนะคะ” เนตรรีบเอ่ยปากอาสาช่วยทันทีที่เห็นแม่ย่าเดินออกมาจากครัวทั้งผ้ากันเปื้อน “ธีร์ มาเอาลูกเรอหน่อย ให้นมไปสักพักแล้วแหละ”



          คนถูกเรียกใช้เอี้ยวตัวข้ามพนักพิงโซฟาไปรับลูกมาอุ้มไว้ ท่อนแขนแข็งแรงที่ใช้ประคองเด็กทารกไว้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะอุ้มขึ้นซบบ่ากว้างที่พาดผ้าอ้อมเนื้อนิ่มรองไว้ก่อนแล้ว มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆ อย่างรักใคร่ ธีร์โยกตัวเล็กน้อยเป็นจังหวะ ไม่นานน้องเมษาก็เรอออกมาเสียงดัง



          “เก่งมาเลยครับคนดีของป๊า” คำชมที่มาพร้อมกับแววตาเอ็นดู เด็กสองคนที่นั่งอยู่ด้วยหันไปสนใจการกระทำนั้น



          “ทำไมต้องทำให้น้องเรอด้วยล่ะคะ น้าธีร์” ปรางเป็นคนถาม



          “ก็เพราะเวลาน้องกินนมจะมีลมเข้าไปในท้องด้วยน่ะสิคะ ถ้าไม่จับเรอน้องจะปวดท้องเอา” ธีร์ยิ้มพลางอธิบาย ใบหน้าเล็กของเด็กหญิงเด็กชายพยักหงึกหงักเป็นเชิงว่ารับรู้แล้วหันกลับไปสนใจการ์ตูนในจอต่อ



          มีเพียงแก้วที่ยังคงจ้องมองไปยังสองพ่อลูก ธีร์อุ้มเด็กน้อยขึ้นตรงหน้าพลางรองคอเล็กที่ยังไม่แข็งแรงนักเอาไว้อย่างทะนุถนอม เอนซบหน้าผากตัวเองกับหนังนิ่มบนหน้าผากของอีกฝ่าย หยอกล้อลูกชายด้วยรอยยิ้ม สีหน้า แววตาและน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุข



          ...อบอุ่น มากเสียจนแผดเผาอยู่หลังแววตาผู้เฝ้ามองให้ร้อนฉ่าไปทั้งกระบอกตา



          “แก้ว” ไม่รู้ว่าชายหนุ่มติดอยู่กับภาพนั้นนานแค่ไหน จนไม่รู้ตัวว่าคนในภาพนั้นขยับลุกเดินมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว



          “ว่าไง” แก้วเงยหน้าขึ้นสบกับตาคมที่หลุบมองลงมา ประกายความอ่อนโยนและเปี่ยมรักในนัยน์ตายังคงส่องประกาย



          “อุ้มไหม”



          “ไม่ดีกว่า กูเหม็นบุหรี่”



          “เหรอ” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความขี้เล่น คนตัวโตโน้มลงมาใกล้ ขยับจมูกสูดกลิ่นฟุดฟิดคล้ายกับจะพิสูจน์คำพูดนั้น “ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”



          “จมูกมึงพังแล้วไง” คนถูกดมขยับตัวเบี่ยงหนีพร้อมกับดันใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยห่าง



          “เพราะอยู่กับมึงไง” ธีร์ตอบกลัวกลั้วหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยอมถอยออกไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันโดยเว้นระยะห่างออกไปพอที่ทารกน้อยจะไม่ถูกรบกวนด้วยกลิ่นของนิโคตินบนตัวของเพื่อน “แต่กูชอบนะ”



          “กลิ่นบุหรี่น่ะเหรอ”



          “อืม กลิ่นบุหรี่บนตัวมึง”



          “...” ทั้งสองเงียบงัน ธีร์ลูบหัวเล็กของเด็กแรกเกิดในอ้อมกอดแผ่วเบา โดยที่อยู่ในสายตาของอีกคนตลอดเวลา



          “แก้ว”



          “หืม”



          “ไว้คราวหน้ามึงมาอุ้มเมษาก่อนค่อยสูบนะ” ธีร์หันมาสบตา เอ่ยขออย่างจริงจังกว่าครั้งไหนๆ



          “ทำไมถึงอยากให้กูอุ้มขนาดนั้น” แก้วถามพลางยื่นมือไปเขี่ยเท้าน้อยใต้ถุงเท้าทรงกลมคู่เล็ก



          “กูแค่อยากเห็นมึงอุ้มเด็ก.. อยากเห็นมึงอุ้มลูกกู”



          “อืม ไว้คราวหน้านะ”



          “กูจะรอ”



          “อืม”







          แก้วกับโชคกลับออกจากบ้านธีร์ตอนหัวค่ำหลังจากอาหารเย็นมื้อใหญ่ ขณะที่กำลังจะขึ้นรถ ตรงบานกระจกใสของห้องนั่งเล่นก็มีเงาของคุณพ่อที่อุ้มลูกน้อยมาโบกมือให้แทนคำกล่าวลา เปลนอนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นมีโมบายแขวนอยู่สองอัน อันหนึ่งเป็นดวงดาวสีทองและก้อนเมฆขาว ส่วนอีกอันสีสดใสเต็มไปด้วยตุ๊กตาสัตว์ เด็กชายโบกมือตอบก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่ข้างคนขับ แต่ที่หลังพวกมาลัยข้างเขากลับยังคงว่างเปล่า



          “น้าแก้ว..” ส่งเสียงเรียกออกไปได้เพียงแผ่วเบาเมื่อเห็นแววตาของคนที่เปิดประตูรถค้างไว้แต่ยังไม่เข้ามาเสียที มันทอดมองสองพ่อลูกอย่างอ่อนโยนแต่ก็แฝงความรู้สึกบางอยู่ด้วย เป็นความรู้สึกซับซ้อนที่เด็กชายไม่เข้าใจ แต่ก็สัมผัสได้ว่าไม่ใช่ความเปลี่ยวเหงาหรือปวดร้าวเหมือนเวลาที่ธีร์จากไปในตอนเช้าตรู่ จนกระทั่งมีผู้หญิงอีกคนเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงนั้น ข้างสามีและลูกชายของเธอ ดวงตาสีเข้มจึงค่อยหลุบต่ำลงแล้วหันกลับมา



          ระยะทางกลับบ้านวันนี้ดูยาวไกลและเนิ่นนานกว่าทุกที เมื่อเด็กชายเอาแต่จ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสารถี เสียงเพลงสากลจากวิทยุดังคลอไปกับไฟถนนที่สาดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาย้อมผิวขาวนวลด้วยสีส้มให้ดูมีชีวิตชีวาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน และนัยน์ตาที่สะท้อนแสงวาววับคู่นั้นไม่ได้ฉายแววเจ็บปวดแล้ว แต่โชคกลับรู้สึกว่ามันเย็นเฉียบ ไฟข้างทางสีอุ่นไม่ได้ช่วยละลายน้ำแข็งในหัวใจของชายหนุ่ม น้าแก้วยังคงถูกทิ้งไว้เดียวดายในความเหน็บหนาวเมื่อปราศจากไออุ่นของอาธีร์



          ทำไมคนๆ หนึ่งถึงทำให้ใครอีกคนมีความสุข แต่ก็เจ็บปวดไปพร้อมกันได้มากมายขนาดนี้กันนะ



          โชคไม่เข้าใจเลย





TBC...


          ตอนที่ 13 ก็ยังคงเป็นเรื่องราวของแก้วกับธีร์ไปซะเยอะเลยนะคะ ความรู้สึกขมปนเหงาของน้าแก้วเป็นอะไรที่ทำให้ใจเจ็บมากเลย
          จริงๆ เรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องของน้องโชคกับแก้วก็คงไม่ถูกนัก เหมือนเป็นเรื่องของน้าแก้วกับธีร์ที่มีโชคเข้ามาต่างหาก 5555555 เป็นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของคนสามคนและอาจจะมากกว่านั้น ซึ่งตอนนี้รีนก็ยังสรุปนิยามของเรื่องนี้ไม่ได้เลยค่ะ ทั้งที่เห็นภาพยาวไปถึงตอนจบชัดเจนมากๆ แล้วก็ตาม แหะๆ
          ก็คงต้องฝากให้นักอ่านทุกคนติดตามอ่านไปจนจบแล้วให้ความหมายกับนิยายเรื่องนี้เองแล้วล่ะค่ะ  :L2:
         
          [จากนี้จะเป็นการบ่นงอแงนะของรีนนะคะ]
          เมื่อวานนี้ในตอนที่เขียนน้องโชควัยสิบเจ็ดอยู่ รีนก็รู้สึกท้อขึ้นมา รู้สึกว่าเขียนไม่สนุกเลย แล้วก็นอยด์กับตัวเองเลยกลับมาย้อนอ่านคอมเม้นตั้งแต่เม้นแรกจนถึงเม้นสุดท้ายในทุกๆ แพตฟอร์มที่รีนลงเลยค่ะ แล้วก็ได้พลังกลับมา รีนเลยอยากบอกอีกครั้งค่ะ ว่าขอบคุณมากๆ จริงๆ ในทุกๆ คอมเม้นเลย แม้จะเป็นคอมเม้นสั้นๆ ก็มีความหมายมากๆ นะคะ
          ส่วนอีกเรื่องคือรีนคงโกหกถ้าบอกว่าไม่ได้คาดหวังการตอบกลับเลย แต่การที่คุณเข้ามาอ่านงานของรีน เห็นยอดวิวที่เพิ่มขึ้นแม้จะทีละหลักหน่วยก็ตาม มันทำให้รีนมีกำลังใจในการเขียนต่อค่ะ

          เช่นนั้นแล้วก็ขอขอบคุณในทุกๆ การอ่าน และคอมเม้นจากใจจริงอีกครั้ง
          ขอบคุณค่ะ  :pig4:

          See You on Thursday เจอกันวันพฤหัสหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 13 [11.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-06-2020 21:58:57
ก็เพราะโชคยังเด็ก ประสบการณ์ชีวิตและความนึกคิดยังไม่เยอะ รอโตโชคจะเข้าใจมันทุกอย่างเพียงแค่มองตาเท่านั้น โว้ยยยยแม่เอ๊ยยยมันหน่วง มันอึมครึมคล้ายสีควันบุหรี่จริง แววตาของแก้วที่ไม่สะท้อนความเจ็บปวดออกมาเมื่อเห็นแล้วว่ามีพ่อแม่ลูกอยู่ตรงนั้น มันสะท้อนอะไรบางอย่าง ทำให้เริ่มจะคิดได้ว่าควรจะตัดใจจริงๆหลังจากนี้ไหม มาบ้านธีร์ครั้งนี้ในใจเหมือนมาตัดขาดความสัมพันธ์ที่มันชอบทำให้ตัวเองเจ็บปวดออกเลย เพราะสายตาก่อนไปคือเย็นชาว่างเปล่า มันคืออะไร๊? อย่าว่าแต่โชคที่ไม่เข้าใจ พี่เองก็เหมือนกันนะโชค มะเข้าใจเลอ 5555 มันคือการปล่อยอย่างแท้จริง??? อยากให้ปล่อยนะ เห็นน้าแก้วเศร้าเจ็บปวดแบบนี้ โชคจะนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วง 555 ยินดีกับธีร์ที่ได้ลูกชายสมดังใจที่อยากมีลูก หน้าตาเหมือนแก้วนี่ทำให้คิดนะ คิดลึก คิดไม่ไกลเลยละ ละยังคะคั้นคะยอให้อุ้มอีกนี่บับ เฮ้ยๆพอๆ คิดไปได้มันคงไม่.. 55555555 ชอบนะความอึมครึมของสองคนนี้แต่อยากให้แก้วเย็นชาต่อธีร์อีกระดับเบาๆ 5555 หรือว่านี่มันคือการเอาคืนในรูปแบบของธีร์วะ สรุปทั้งสองใจร้ายต่อกันพอกันเลย 5555 สนุกกมากว้อยยยย ชอบอะชอบ เห็นอัพนะแต่ไม่ยอมอ่านเลย กลัวจบเร็วแล้วมันค้างรอนาน ขนาดนั้นเลย 555555 เนื้อเรื่องยังไม่ถึงไหนนี่ว่าจะกลับไปอ่านซ้ำอีกแล้ว คือชอบไง ถ้าชอบก็จะอ่านวนอยู่นั่นแหละ 55555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจ้าจะเกิดไรขึ้นบ้าง เป็นกำลังใจและรออ่านเสมอค่า  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 14 [18.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 18-06-2020 21:32:18

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 14


 

       สุดท้ายเวลาก็ผ่านไปอีกปี เด็กทารกเติบโตขึ้นจนเริ่มเดินได้แล้ว แต่แก้วก็ยังไม่เคยได้อุ้มหลานชายคนนั้นเลย เหตุผลก็เพราะหลังจากที่ไปเยี่ยมเยียนในวันนั้น งานที่บริษัทเขาก็ยุ่งขึ้นมาก เพราะบ้านจัดสรรโครงการใหม่ของลูกค้าประจำเจ้าเก่ามีเข้ามาอีกแล้ว แถมรอบนี้มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มครอบครัวคนมีฐานะเสียด้วย สเกลงานใหญ่ขึ้น อลังการขึ้น ชายหนุ่มจึงต้องเข้าออฟฟิศแต่เช้า แล้วหอบงานกลับมาทำที่บ้านจนดึกดื่นอยู่เสมอ ส่วนทางด้านพ่อเด็กอย่างธีร์เองพอภรรยาหมดช่วงลาคลอด เขาก็ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกแบบฟูลไทม์ตามประสาเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่มีเวลาอยู่บ้าน แต่ถึงจะดูเหมือนว่าง แต่เจ้าตัวก็ยุ่งกับการตรวจบัญชีของร้านอาหารของตัวเองจนหัวหมุนอยู่เหมือนกัน เพื่อนสนิทที่เคยไปมาหาสู่จึงทำได้เพียงยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหากันไม่ให้ขาดการติดต่อบ้างนานๆ ครั้งเท่านั้น

 

       “เมษาเดินเองได้แล้วนะ”

 

       “เหรอ อีกหน่อยมึงก็ไล่จับไม่ทันแล้วสิ”

 

       “กูยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”

 

       “สามสิบสี่กันแล้วนะ แก่แล้วเถอะ”

 

       “แต่ยังวิ่งไหวอยู่ เตะปี๊บดังด้วย” แก้วหัวเราะให้กับปลายสายเบาๆ เขาพ่นควันสีหม่นให้ลอยออกไปนอกหน้าต่าง มองทิวทัศน์ดอกแก้วร่วงโรยกลางลานอิฐด้านนอกห้องทำงาน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อคนเราโตเป็นผู้ใหญ่ ภาพที่เคยเกิดขึ้นบนม้าหินตัวนั้นชัดเจนเหมือนกับเมื่อวาน แต่ก็ไกลห่างจนซีดจางไปหมดแล้ว

 

       “กูทำงานต่อแล้ว แค่นี้นะ”

 

       “อืม อย่าโหมโต้รุ่งอีกล่ะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”

 

       “เมื่อกี้ใครมันบอกว่ายังไม่แก่” มีเพียงเสียงหัวเราะตอบกลับมา และสัญญาณโทรศัพท์ที่รอคอยให้เขาเป็นคนกดตัดเช่นเคย แก้วพับฝามือถือเป็นการจบบทสนทนา แต่กลับไม่ได้รีบกลับไปทำงานอย่างที่บอกอีกฝ่ายไป ร่างสูงสูบควันเข้าอีกรอบ ปล่อยมันลอยคว้างกลางอากาศเป็นม่านบาง ยืนพิงตัวเข้ากับมุ้งลวดหน้าต่าง ปล่อยให้แสงจันทร์ที่สาดลงมาผสมกับไฟนีออนข้างทางไล้ผ่านใบหน้าจนเกิดเป็นเงาตกกระทบสีดำสนิท

 

       โชคยืนอยู่ตรงนั้น หน้าบานประตูที่กั้นกลางแต่ไม่ได้ปิดสนิท รับฟังบทสนทนาและเฝ้ามองเจ้าของบ้านหนุ่มในความเงียบอยู่มุมนั้น ปล่อยให้น้าแก้วตกตะกอนความคิดเรียบร้อยจนขยับตัวกลับมานั่งบนเก้าอี้เตรียมทำงานต่อค่อยเคาะประตู แล้วเข้าไปด้านในพร้อมอาหารเย็นของอีกฝ่าย

 

       “วันนี้มีแกงส้มกับไข่เจียวชะอมนะครับ” แก้วมองของกินในถาด ซึ่งมีข้าวหนึ่งจาน แกงส้มในถ้วย กับไข่เจียวอีกจาน แกงส้มเป็นของที่เขาซื้อติดมือกลับมา ส่วนไข่เจียวชะอมหน้าตาน่ากินเป็นฝีมือของเด็กชาย

 

       “ขอบใจนะ แล้วเธอทำการบ้านเสร็จรึยัง”

 

       “เสร็จแล้วครับ” โชคตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง และก่อนจะออกจากห้องไปก็หันมาขออนุญาตชายหนุ่มอีกอย่าง “ผมอยู่ดูหนังก่อนได้ไหม”

 

       “หนังเรื่องไรล่ะ” แก้วถามขณะที่ตักข้าวเข้าปากไปด้วย

 

       “เรียกเขาว่าอีกา”

 

       “มีแผ่นเหรอ” เด็กชายส่ายหน้าก่อนจะตอบ

 

       “โปรแกรมหนังรอบดึกเอามาฉายในทีวี ที่น้าแก้วชอบดูเมื่อก่อนอะ”

 

       “อ่อ” แก้วตักข้าวแก้งส้มขึ้นซด เหลือบตามองนาฬิกาบนชั้นเก็บเอกสารติดผนังห้อง แล้วพยักหน้าเบาๆ “เอาสิ พรุ่งนี้วันหยุดอยู่แล้วด้วย เธอไม่ต้องออกไปไหนใช่ไหม”

 

       “ตอนบ่ายมิกซ์ชวนไปว่ายน้ำครับ แต่ไม่รู้ว่าแม่มิกซ์จะพาไปบ้านป้ารึเปล่า”

 

       “ถ้าตอนบ่ายก็ไม่เป็นไรหรอก เปิดไฟตอนดูทีวีด้วยล่ะ”

 

       “ครับน้าแก้ว”

 

       โชคออกไปแล้ว ไม่นานก็มีเสียงจากโทรทัศน์ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ แก้วเลื่อนถาดใส่กับข้าวที่กินเสร็จออกไปไว้มุมโต๊ะด้านหนึ่งเพื่อให้มีพื้นที่ทำงานต่อ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อในห้องมืดๆ ที่มีเพียงแสงสว่างจ้าจากโคมไฟส่องแผ่นกระดาษเอสามตรงหน้าเท่านั้น กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาอีกที เข็มนาฬิกาก็บอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าขยับบิดตัวคลายกล้ามเนื้อจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกรอบ เขาคงจะเริ่มแก่แล้วจริงๆ

 

       แก้ววางดินสอพร้อมปิดโคมไฟเป็นอันว่างานวันนี้พอแค่นี้ก่อน มือเรียวคว้าเอาถาดใส่มื้อเย็นของเขาเตรียมเอาไปเก็บในครัว พลันหางตาเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่ล้มคว่ำอยู่ในกองเอกสารใกล้ๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าที่เปิดไม่ติดแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาขนออกไปทิ้งเสียที

 

       กรอบรูปไม้อัดตกแต่งด้วยเปลือกหอยล้อมรอบรูปถ่ายในคืนคริสต์มาสของคนสามคน แก้วหยิบมันตั้งขึ้นในมุมเดิมของมัน มุมที่เขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเสมอจากเก้าอี้ทำงาน

 

 

 

       “หนังยังไม่จบเหรอ” แก้วถามเด็กชายที่นอนเหยียดเต็มพื้นที่โซฟาโดยมีมะลิ แมวเพศเมียโตเต็มวัยนอนให้ลูบเล่นอยู่บนหน้าท้อง แต่เข้ากลับไม่ได้รอฟัง เดินเอาถาดมื้อค่ำไปเก็บในครัวก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาเอาคำตอบทีหลัง

 

       “ใกล้แล้วน้าแก้ว หลังโฆษณารอบนี้ก็ตอนสุดท้ายแล้ว” โชคขยับตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับคนที่เดินเข้ามาหา แก้วทิ้งตัวลงข้างเด็กชาย ยื่นมือไปเกาคางแมวสาวจนมันแหงนคอสูงคล้ายชอบใจ

 

       สองคนในห้องนั่งเล่นจับจ้องไปที่จอโทรทัศน์เมื่อหนังกลับมาฉายหลังจากพักโฆษณา ฉากการโรมรันต่อสู้ท่ามกลางสายฝนของเหล่าเด็กหนุ่มนั้นตรึงสายตาพวกเขาไว้ ถึงทั้งคู่จะไม่ใช่พวกนิยมความรุนแรง แต่ฉากการวิวาทของลูกผู้ชายแห่งโรงเรียนอีกานั้นก็ยังคงทำให้รู้สึกได้ถึงความสุดยอดบางอย่างในการเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนที่พร้อมเข้าปะทะทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

 

       เมื่อหนังจบแล้วก็ถึงเวลาขึ้นนอน แต่กลับไม่มีใครขยับไปจากตรงนั้น รายการทีวีตัดเข้าสู่ข่าวสั้นรอบดึก มีเพียงแมวสาวที่กระโจนหนีจากตักเด็กชายแล้วเดินนวยนาดไปยังเบาะนอนของตัวเองที่ใต้บันได

 

       “โชค”

 

       “ครับ” ดวงตาคู่สวยเหมือนมารดาที่คมขึ้นตามกาลเวลาหันมาสบ มืออุ่นวางลงบนหัวเกรียนทรงนักเรียนเบาๆ

 

       “ขอโทษนะที่ตอนปิดเทอมไม่ได้พาไปทะเล” เด็กชายยิ้มออกมาแทบจะทันที ขยับตัวเข้าไปทิ้งหัวลงบนตักคนพูดแล้วส่ายหัวคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร

 

       โชคชอบทะเล ทุกหน้าร้อนตลอดห้าปีมานี้แก้วจะพาเขาไปเที่ยวตามจังหวัดแนวชายฝั่งเสมอ แต่เพราะเมื่อปิดเทอมครั้งล่าสุดนั้นแก้วงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาหยุด ทั้งหน้าร้อนปีที่สิบสองของเด็กชายจึงถูกใช้ไปกับสระว่ายน้ำและบ้านไม้สองชั้นหลังนี้เพียงสองที่ แต่โชคก็ไม่เสียใจเลย สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะไปที่ไหน ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ น้าแก้วเขาก็มีความสุข ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการทำอาหารง่ายๆ ให้ชายหนุ่มก็กลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมา

 

       ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เด็กชายเริ่มมีความคิดแบบนี้ ความคิดที่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระที่ตัวเองพอทำได้จากอีกฝ่าย อยากทำอะไรหลายๆ อย่างให้เพื่อไม่ให้อีกคนต้องเหนื่อยเกินไป อาจจะเพราะช่วงหลังมานี้สถาปนิกหนุ่มงานยุ่งมากแทบจะตลอดเวลา เขาก็เลยรู้สึกอยากดูแลขึ้นมา

 

       อยากดูแลน้าแก้วบ้าง เหมือนกับที่น้าแก้วช่วยดูแลเขามาตลอด

 

       “ไว้ปิดเทอมหน้าไปเที่ยวไกลๆ กันไหม” เป็นคำถามที่คล้ายกับเป็นการบอกเล่าเสียมากกว่า เจ้าของประโยคนั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว

 

       “ไปไหนเหรอ”

 

       “ญี่ปุ่นไหม”

 

       “ญี่ปุ่นเหรอ” ดวงตาใสวาววับเมื่อคิดถึงฉากในหนังที่เพิ่งดูจบไป “ผมอยากไปนะ”

 

       “อืม ไว้ไปกัน”

 

       “ครับ”

 

       เวลายังคงไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงจากทีวียังคงขับกล่อมให้บ้านไม่เงียบเหงา แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะฟังเนื้อหาของมัน โชคนอนหนุนตักแก้ว ยึดเอามือเรียวอบอุ่นข้างหนึ่งไว้ในมือตัวเอง ลูบไล้สำรวจมันอย่างที่เจ้าตัวชอบทำมาตั้งแต่เด็ก โดยที่เจ้าของมือนั้นก็ไม่ได้ทักท้องอะไร เพียงทอดสายตามองมือที่เล็กกว่าขยับไปตามเรียวนิ้วตนทีละข้อ กระทั่งมีเสียงหยดน้ำโปรยลงมาจากฟ้า กระทบหลังคาดังระงมก็ยังไม่ผละจากกันไปไหน ปล่อยให้ความอบอุ่นลอยอวลไล่ความเย็นชื้นเหมือนย้อนกลับไปยังบ่ายวันหนึ่งในความทรงจำเก่าเก็บ

 

       สัญญาในเดือนกรกฎา ฝนตกลงมาอีกแล้ว




 

       ต้นเทอมสองของปีการศึกษาระดับประถมปีสุดท้ายของเด็กชาย แดดยังคงร้อนแรงแม้จะเข้าหน้าหนาวแล้วก็ตาม

 

       “บาย” โชคโบกมือให้มิกซ์หลังจากยกมือไหว้ป้าดา แม่ของเพื่อนสนิทที่ขับรถเอสยูวีคันใหม่มาส่งที่หน้าบ้าน พอหันกลับมาเปิดรั้วก็เจอน้าแก้วยืนพิงกรอบประตูไม้บานพับบนเฉลียงทางเข้าบ้านรออยู่แล้ว “น้าแก้วกลับเร็วจังวันนี้”

 

       “ปิดโปรเจ็คแล้วน่ะ เลยลาพักยาวถึงอาทิตย์หน้าเลย” แก้วอธิบาย ดวงตาสีเข้มระบายยิ้มออกมาแม้ริมฝีปากจะเรียบเฉย “วันเสาร์นี้ไปเที่ยวกันไหม”

 

       “ไปครับ!” น้าเสียงร่าเริงตอบกลับไปทันที แต่ไม่นานก็สลดลงเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “วันเสาร์สัญญากับมิกซ์ไว้ว่าจะไปเล่นเกมที่บ้านมิกซ์”

 

       “งั้นก็ชวนมิกซ์ไปเที่ยวด้วยกันสิ”

 

       “ได้เหรอครับ”

 

       “ได้สิ” ดวงตาเป็นประกายสดใสอีกครั้งเมื่อได้ยินดังนั้น โชคยิ้มกว้างก่อนจะเดินฮัมเพลงเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี

 

 

 

       วันเสาร์ทั้งสามคนจึงมานั่งอยู่บนรถเก๋งสีดำที่อายุการใช้งานใกล้ครบกำหนดที่จะต้องเปลี่ยน แต่ยังคงสภาพดีอยู่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่เพิ่งตัดสินใจกันได้เมื่อครู่ที่หน้าบ้านของมิกซ์ ซึ่งป้าดาเป็นคนช่วยออกความคิดให้

 

       “ที่นั่นมีนั่งรถดูสิงโตด้วย เห็นโคตรใกล้เลย” เด็กชายผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้มแต่นิสัยเอาเรื่องเริ่มเล่าถึงสถานที่ที่กำลังไปกันจากความทรงจำของตัวเอง

 

       “แล้วมันไม่กัดเหรอ” เด็กชายอีกคนถาม

 

       “เราอยู่ในกรง มันเข้ามาไม่ได้”

 

       “เราอยู่ในกรงเหรอ”

 

       “อื้อ”

 

       “เหมือนสลับกันเลยเนอะ” มุมปากของสารถียกขึ้นน้อยๆ ขณะเหลือบมองเด็กสองคนบนเบาะหลัง โชคพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนมิกซ์ขมวดคิ้งงุนงงยังไม่เข้าใจความหมาย

 

       “ยังไงอะ”

 

       “ก็เหมือนเราถูกจับใส่กรงให้พวกสัตว์ดูเราแทนไง” คิ้วเรียวเล็กยังคงขมวดเป็นปมในตอนแรก แต่ไม่นานก็คลายออก มิกซ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนหัวข้อสนทนาจะถูกเปลี่ยนไปตามแต่คนช่างพูดจะสรรหา บางครั้งโชคก็เป็นฝ่ายหยิบยกประเด็กขึ้นมา ซึ่งแก้วรู้สึกได้เลยว่าเด็กชายของเขาช่างพูดขึ้นมากจริงๆ

 

 

 

       สวนสัตว์เปิดขนาดใหญ่เปิดให้ผู้เข้าชมได้ใกล้ชิดกับสัตว์สมชื่อ เด็กชายทั้งสองพากันเดินวุ่นวายไปหมด แวะชมทุกจุด ให้อาหารสัตว์ทุกชนิดที่ให้ได้ เผลอแปบเดียวก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว แต่ดูเหมือนเด็กๆ จะยังมีแรงเหลือจากข้าวเช้าที่กินเมื่อตอนสายๆ อยู่ ผิดกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ แก้วทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งระหว่างทาง ยกขวดน้ำเปล่าขึ้นกระดกทีเดียวครึ่งขวด ทั้งที่เข้าหน้าหนาวแล้วแท้ๆ แต่อากาศตอนกลางวันยังคงร้อนแผดเผาดึงเอาความชื้นในร่างกายให้ระเหยออกมาเป็นหยาดเหงื่อ

 

       “น้าแก้ว” สรรพนามเรียกเขานั้นคุ้นหู แต่มาจากเสียงที่แตกต่างจากที่คุ้นเคย

 

       “ว่าไง มิกซ์” เด็กชายที่ย้อนกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา โน้มตัวฟุบลงไปกับตัก แต่ดวงตากลมยังคงจ้องมองเขา คล้ายกำลังพยายามมองชายหนุ่มจากหลายๆ มุม แก้วเริ่มรู้สึกอึดอัด เขาไม่ใช่คนที่เข้ากับเด็กได้ดี ถึงแม้จะเลี้ยงเด็กชายคนหนึ่งมาเกือบเจ็ดปี แต่นอกจากกับโชคแล้ว เขาก็ยังคงเป็นแก้วคนเดิมคนนั้นอยู่

 

       “โชคไปไหนแล้วล่ะ” ชายหนุ่มถามเพื่อคลายบรรยากาศแปลกๆ นี้ลง ซึ่งได้ผล เด็กชายที่เขาคุ้นหน้า แต่ไม่ถึงกับคุ้นเคยเด้งตัวกลับขึ้นไปนั่งเอนหลังทิ้งน้ำหนักลงบนท่อนแขนเรียวเล็กที่ค้ำไปด้านหลัง สองขาแกว่งเล่นไปมาขณะเอ่ยตอบอย่างเป็นกันเอง

 

       “ไปเข้าห้องน้ำครับ เดี๋ยวก็มา”

 

       “อืม” ชายหนุ่มตอบไปเพียงเท่านั้น ประโยคสนทนาระหว่างพวกเขาจึงจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นเมื่อเด็กช่างพูดเอ่ยเรียกชื่อเขาอีกครั้ง

 

       “น้าแก้ว”

 

       “หืม”

 

       “น้าแก้วไม่ใช่น้าจริงๆ ของโชคใช่ไหม” แก้วหันมาสบกับดวงตากลมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ มิกซ์ไม่ได้คำตอบเลยเป็นฝ่ายพูดต่อเอง “ก็น้าแก้วไม่เห็นหน้าเหมือนโชคเลยนี่”

 

       “อืม ไม่ใช่หรอก” แก้วระบายยิ้มบางขณะกล่าว

 

       “แล้วทำไมโชคถึงมาอยู่กับน้าแก้วล่ะ”

 

       “เพราะฉันอยากดูแลเขาก็เลยชวนมาอยู่ด้วยกันน่ะสิ”

 

       “แล้วพ่อแม่โชคล่ะ” คำถามยิงมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยขณะคิดถึงคำตอบที่เขาจะบอกกับเด็กชายข้างๆ เขารู้ว่าแม่ของโชคทิ้งไปตอนเด็กชายอายุได้สี่ขวบ ส่วนพ่อก็ติดคุกหลังจากที่พวกเขารู้จักกันได้สักพัก แล้วล่าสุดที่ได้ยินมาก็เสียไปแล้วเพราะใช้ยาเกินขนาดขณะที่ไปรับจ้างทำงานแถวชายแดน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรบอกเพื่อนของเด็กชายในตอนนี้

 

       “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาไม่อยากให้แววตากลมโตสดใสและแสนร่าเริงที่มองเด็กชายของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่อยากให้โชคถูกมองด้วยสายตาเวทนาและสงสาร โดยเฉพาะจากเพื่อนที่แสนสำคัญของเจ้าตัวคนนี้

 

       “น้าแก้วก็ไม่รู้เหรอ” มิกซ์พยักหน้ารับอย่างง่ายดาย แต่ยังคงพูดต่อ “คนอื่นชอบพูดกันว่าคนไม่มีพ่อกับแม่น่าสงสาร”

 

       “น่าสงสารเหรอ” เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แก้วมองผู้คนเดินผ่านหน้าไปมาแต่ไม่ได้โฟกัสกับสิ่งใด

 

       “อื้อ” เด็กชายพยักหน้าแรง คิ้วเรียวขมวดมุ่นดูคล้ายไม่ชอบใจคำพูดพวกนั้น

 

       “แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ”

 

       “ผมว่าถึงไม่มีพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” ใบหน้าน่ารักที่มีรอยแผลเป็นตรงคิ้วข้างซ้ายเงยขึ้นมาหาชายหนุ่ม พร้อมยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆ ด้วย “ผมก็มีแค่แม่ แต่ผมก็มีความสุขดี โชคเองก็มีน้าแก้วเหมือนกัน เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก คนอื่นจะพูดยังไงก็ช่างหัวมันสิ”

 

       “ไม่เป็นไรหรอก..เหรอ” แก้วยิ้มนิดๆ รู้สึกขอบคุณเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เด็กคนนี้เป็นเพื่อนกับเด็กชายของเขา ถึงจะหยาบคายไปบ้าง แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยอย่างที่เด็กชายบอก ต่อให้ถ้าวันหนึ่งโชคกลายเป็นเด็กหยาบคายที่มีความสุข มันก็ไม่เป็นไรหรอก

 

       “อื้อ เพราะว่าถ้าได้อยู่กับคนที่เราชอบ เราก็จะมีความสุขใช่ไหมล่ะ” เด็กชายตอบรับและถามคำถามในทีเดียว

 

       “อืม คงงั้นมั้ง”

 

       “งั้นโชคก็มีความสุข เพราะโชคชอบน้าแก้วมาก”

 

       “ชอบฉันมากเลยเหรอ” แก้วยิ้มออกมาด้วยแววตาอบอุ่นที่ทอดมองไปยังร่างเล็กคุ้นตาที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเขา รอยยิ้มจากริมฝีปากและดวงตาที่เด็กข้างๆ ไม่เคยเห็น และในตอนนั้นเองมิกซ์ก็เริ่มเข้าใจนิดหน่อยแล้วว่าทำไมเพื่อนเขาถึงชอบชายคนนี้นัก




 

       ปิดเทอมหน้าร้อนสุดท้ายของระดับประถมศึกษาของโชคหมดไปกับการเตรียมตัวเข้าโรงเรียนมัธยมแห่งใหม่ โรงเรียนชายล้วนกางเกงดำที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดชื่อเดียวกัน โดยที่เหตุผลในการเลือกนั่นก็เพราะมิกซ์ถูกป้าดาส่งไปเข้าเรียนที่นั่น โดยฟังมาจากคนรอบข้างอีกทีว่าโรงเรียนนี้ดี ดัดนิสัยเด็กดื้อได้อยู่หมัด

 

       “หนังสือเอาลงมาหมดแล้วใช่ไหม” แก้วถามเด็กชายที่หอบหิ้วถุงใส่หนังสือเข้ามาในบ้าน หลังจากที่เขาถือถุงชุดเครื่องแบบเข้ามาก่อน

 

       “เอามาหมดแล้วครับ” แก้วพยักหน้ารับรู้ ขณะที่กดรีโมตสั่งล็อกรถจากระยะไกล รถเก๋งสี่ประตูสีดำเหมือนเดิมแต่เป็นรุ่นใหม่มีแสงไฟกระพริบวาวจากลานว่างเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามบ้าน

 

       “เสื้อจะเอาไปปักพร้อมกับมิกซ์ใช่ไหม”

 

       “อื้อ พรุ่งนี้จะไปว่ายน้ำกัน แม่มิกซ์บอกว่าให้ถือไปด้วย เดี๋ยวแม่เอาไปส่งร้านให้”

 

       “โอเค งั้นตอนได้คืนมาค่อยเอาลงซักแล้วกันนะ” เด็กชายรับคำ ก่อนจะขนของขึ้นไปเก็บบนห้องตัวเอง ในขณะที่เจ้าของบ้านเดินมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟา เสียงใสกิ๊งจากการเปิดฝาไฟแช็กสีทองดังขึ้นในความเงียบสงบยามบ่าย ไอแดดอุ่นถูกลมพัดพาเข้ามาวูบหนึ่งแล้วจากไปพร้อมกับควันบุหรี่สีเทา

 

       เด็กชายอายุสิบสาม ในขณะที่เขาย่างสามสิบหก เวลาไหลผ่านไปไวเกินกว่าที่จะทันได้รู้สึกตัว แก้วทิ้งหัวลงพิงพนักโซฟา มองภาพบนชั้นโชว์ที่มีมากขึ้นทุกปี เผลอแปบเดียวก็เจ็ดปีแล้ว

 

       ในหน้าร้อนปีที่สิบสามของโชค เขายังไม่ได้ไปญี่ปุ่นอย่างที่สัญญาเอาไว้

 


​TBC...

       น้องโชคก็โตขึ้นอีกปี กำลังจะเข้าชั้นมัธยมแล้วล่ะค่ะ โตขึ้นทีละนิดละหน่อย แล้วนี่ก็ใกล้วันเกิดน้องโชคแล้วด้วย น่าเสียดายที่วันที่ 22 ไม่ตรงกับวันพฤหัสบดีนะคะ แต่ไม่เป็นไร ของขวัญที่รีนจะให้น้องได้ก็คงเป็นการเขียนเรื่องนี้จนจบ แม้จะยากเย็นเหลือเกินในช่วงตอนท้ายเรื่อง  :z3:
       
       ขอบคุณที่ยังคงติดตามอ่านงานของรีนและให้กำลังใจตลอดเลยนะคะ ขอบคุณเสมอ อ่านคอมเม้นเป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ
       และขอบคุณทุกการอ่าน

       เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 14 [18.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 19-06-2020 01:16:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 14 [18.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-06-2020 23:10:30
เอาไว้ว่างติดต่อกันหลายวันรอบใหม่อีกทีละกันนะค่อยไปเที่ยวญี่ปุ่น โชคห่างจากน้าแก้วยี่สิบสามปี ถ้าโชคยี่สิบกว่าน้าแก้วก็สี่สิบปลาย ว๊าวมันกร๊าวใจดีแท้ มันใช่ 55555 //โชคจะเข้าช่วงอีกวัยแล้วเป็นเด็กม.ต้นก็คงเจออะไรหลายอย่าง สังคมที่เปลี่ยน ความคิดก็เริ่มโตแล้ว อยากจะแบ่งเบาภาระดูแลน้าแก้ว โชคทำได้ดีนะ น้าแก้วก็ยังคงเป็นน้าแก้วที่ไม่สันทัดกับเด็ก ขำตอนมิกซ์มาชวนน้าแก้วคุย 5555 เด็กมิกซ์น่ารักมาก เป็นเด็กคิดบวกจริง เนาะ ถ้าได้อยู่กับคนที่เรารักก็เพียงพอแล้วที่จะมีความสุข จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็หลายปีแล้วสินะ น้าแก้วคนจริงเลี้ยงเด็กมาจนโตทั้งคน รู้สึกขอบคุณน้าแก้วที่เอาโชคมาเลี้ยงดูอย่างดี ตอนไปจะเป็นยังไงกันบ้างนะ งื้ออชอบมากเลย ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออ่านอยู่เสมอไม่ทิ้งไม่เทกันนะคะ 555 เป็นกำลังใจให้ในการแต่งทุกๆตอน ฮึบๆ :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:

ทักท้อง=ทักท้วง
ประเด็ก=ประเด็น  o13
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 15 [25.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 25-06-2020 20:12:08
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 15



          ชีวิตมัธยมในรั้วโรงเรียนชายล้วนไม่ได้แตกต่างจากตอนประถมนัก เพียงแค่เพื่อนร่วมชั้นเป็นเด็กผู้ชายกันหมด โชคและมิกซ์ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้เป็นอย่างดี หลังเปิดเทอมไปสองอาทิตย์พวกเขาก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มเจ็ดคน เมื่อคนเยอะความวุ่นวายก็ตามมา เวลาพักเที่ยงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ร่มต้นสาละข้างสนามไม่เคยเงียบเหงา ติดจะโหวกเหวกโวยวายจนน่าปวดหัว แต่มันก็เจือด้วยเสียงหัวเราะอยู่ไม่ขาดเช่นกัน



          “ทำไรวะมึง” ต้น หนึ่งในกลุ่มเพื่อนชะโงกหน้าเข้าไปดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ของนัท เพื่อนอีกคนอย่างละลาบละล้วง แต่คนถูกแอบดูไม่ได้ติดใจเอาความ ทำเพียงรัวนิ้วพิมพ์ข้อความใส่ช่องแชทพร้อมกับตอบเสียงเรียบ



          “คุยกับแฟน” เสียงโห่แซวตามมาเซ็งแซ่จากรอบตัว โชคไม่ได้ร่วมไปด้วยแต่ก็ระบายยิ้มออกมาตาม



          “ใครวะ” หนึ่งในคนข้างๆ รีบเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ นัทผู้เป็นเป้าสายตากดล็อกหน้าจอเครื่องมือสื่อสารแล้ววางลงบนโต๊ะพลางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากเหยียดเป็นรอยยิ้มยียวน



          “เสือก”



          “โหย ขี้งกว่ะ” หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะร่วนจากทุกคนร่วมกัน จนกระทั่งได้ยินเสียงออดบอกหมดเวลาพักค่อยย้ายร่างพากันกลับขึ้นอาคารเรียน



          โชคเดินตามอยู่หลังสุด สะกิดไหล่ของเพื่อนสนิทข้างหน้าให้หันมาสนใจระหว่างที่กำลังขึ้นบันได



          “ว่าไง” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกเล็กน้อยตอนหันมาสบตาเป็นคำถาม



          “เป็นแฟนกันหมายความว่าไง” สิ้นคำถามเหลือเพียงดวงตาสองคู่ที่จ้องมองกันอยู่กะพริบปริบๆ มิกซ์ชะงักค้างไปนิดหน่อยคล้ายคิดคำตอบ แต่สุดท้ายจนถึงหน้าห้องเรียนแล้วก็ยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น โชคเลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวเองก่อน แต่จนกระทั่งถึงเวลากลับบ้าน ระหว่างทางบนรถยนต์เอสยูวีของป้าดา มิกซ์ก็ยังไม่ได้บอกคำตอบกับเขาเลย







          “กลับมาแล้ว” เสียงเหนื่อยอ่อนของคนที่เพิ่งเลิกงานกลับมาตอนหัวค่ำดังมาจากห้องนั่งเล่น ไม่นานก็เดินไปโผล่หน้าเข้าไปในครัวที่เด็กชายกำลังตั้งเตาต้มแกงจืดสำหรับมื้อเย็นอยู่ “โชค”



          “ครับ” โชคสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งได้สติจากการเหม่อลอยชั่วขณะ



          “วันนี้ทำไรกิน”



          “แกงจืดฟักกับหมูผัดพริกครับ”



          “อืม” แก้วพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้เดินออกไปจากบริเวณนั้น เขากอดอกพิงไหล่เข้ากับกรอบประตูไม้สีเข้มที่ไม่มีบานประตูของห้องครัว มองเด็กชายจุดเตาแก๊สอีกฝั่งเพื่อทำหมูผัดพริกแกงจากด้านหลัง สองปีมานี้โชครับผิดชอบทำข้าวเย็นบ่อยครั้งจนคุ้นเคยกับการทำอาหารมากเสียยิ่งกว่าคนที่เคยรับผิดชอบหน้าที่นี้มาเกินครึ่งทศวรรษอย่างเขา แต่วันนี้กลับดูเหมือนว่าเด็กชายจิตใจจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่



          “โชค” เจ้าของชื่อหันมาอีกครั้งโดยที่ครั้งนี้ไม่ได้สะดุ้งจนตัวโยนอย่างครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้ดูปกติดีสักเท่าไหร่



          “ครับ”



          “วันนี้ที่โรงเรียนเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”



          “ครับ?”



          “วันนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่า” คนถูกถามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ ดวงตาคมใสกระจ่างจ้องมองคนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่



          เมื่อเด็กชายปฏิเสธ แก้วก็ได้แค่พยักหน้ารับก่อนจะปลีกตัวออกไปเก็บของในห้องทำงานเพื่อรอเวลาอาหารจัดขึ้นโต๊ะ



          มื้อเย็นของบ้านหลังนี้ยังคงสงบเป็นส่วนใหญ่ การพูดคุยของพวกเขามักเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างวันนี้เป็นไงบ้าง ที่โรงเรียนสนุกไหม เพื่อนเป็นยังไง จากนั้นก็กินข้าวกันอย่างเงียบๆ เมื่อหมดเรื่องให้เล่า แต่วันนี้มันกลับเงียบกว่าปกติจนแก้วรู้สึกได้ทั้งที่เขาเป็นพวกเฉื่อยชาที่โปรดปรานความเงียบแท้ๆ



          ดวงตาสีเข้มมองเด็กชายตรงหน้าที่กำลังเขี่ยข้าวในจานใส่ช้อนอย่างอ้อยอิ่งผิดวิสัย



          “โชค”



          “ครับน้าแก้ว”



          “คิดอะไรอยู่” คำถามธรรมดาแต่คนถูกถามกลับหน้าแดดแปร๊ดขึ้นมาทันที ชายหนุ่มผู้เป็นคนเอ่ยถามนิ่งงันกับภาพตรงหน้า ส่วนเด็กชายที่หน้าขึ้นสีเรื่อก้มหน้าลงซ่อนแก้มแดงๆ ของตัวเอง แต่เพราะความร้อนมันแล่นไปทั่ว ใบหูจึงขึ้นสีชัดเจนจนปิดไม่มิดอยู่ดี



          “โชค”



          “ผม..” เสียงอึกอักดูเหมือนลำบากใจที่จะตอบ แก้วเลยได้แต่ถอยหายใจแล้วก้มลงกินข้าวในจานตัวเองต่อ



          “ช่างมันเถอะ”







          ตกดึกใกล้ถึงเวลาผลัดเปลี่ยนวัน แก้วยังคงนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ สูบบุหรี่ไปพร้อมกับลูบขนนุ่มของมะลิไปด้วย รายการทีวีเคเบิ้ลที่เพิ่งติดตั้งเมื่อไม่นานมานี้พร้อมกับอินเทอร์เน็ตบ้านมีหนังให้ดูตลอดเวลา เขาไม่ได้มีเรื่องไหนที่อยู่ในใจเป็นพิเศษ เลยกดสุ่มๆ ขึ้นมาสักช่องหนึ่ง



          “น้าแก้ว” เสียงเรียกแผ่วเบาของเด็กชายที่ควรเข้านอนไปแล้วแต่กลับมาปรากฏตัวที่หน้าบันได แก้วขยับโน้มตัวไปขยี้บุหรี่ใส่ที่เขี่ยบนโต๊ะก่อนจะพิงหลังกลับที่เดิม



          “มานั่งนี่สิ”



          เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวลงนั่งห่างจากอีกคนไม่มากนัก แมวสาวกระโจนไปคลอเคลียกับมือคนมาใหม่อย่างออดอ้อน แต่ก็คล้ายกำลังช่วยปลอบโยนอยู่ในที หนังบนจอที่เกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ราชวงศ์ทางยุโรปยังคงดำเนินเรื่องต่อไป



          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของคนข้างๆ แต่เขาไม่ได้รีบร้อนจะเค้นเอาความอะไร ชายหนุ่มทิ้งหัวลงบนพนักพิง เรือนผมสีดำแผ่สยายบนหนังสีอ่อน ดวงตาจับจ้องไปยังภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า



          “ว่าไง”



          “ผม..” คำพูดขาดช่วงไป แต่ไม่นานก็มาต่อหลังจากที่เด็กชายหาคำพูดที่จะพูดเจอแล้ว “เป็นแฟนกันหมายถึงอะไรเหรอครับ”



          “หืม แฟนเหรอ”



          “อื้อ มิกซ์บอกว่าคนเป็นแฟนกันคือคนที่..มีอะไรกันแบบผูกขาดโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน” โชคเลือกใช้คำที่เบากว่าที่ได้ยินมากับหู เพราะรู้สึกกระดากเกินกว่าจะพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำอย่างเพื่อนสนิทที่แอบมากระซิบข้างหูเขาตอนกำลังลงจากรถเมื่อตอนเย็น



          “งั้นเหรอ หึ” เสียงหัวเราะในลำคอหลุดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากนั้นมันก็หลุดออกมาตามๆ กัน แก้วหัวเราะเพียงแผ่วเบาแต่ก็หยุดไม่ได้ไปพักหนึ่ง



          คนถูกหัวเราะใส่ทำตัวไม่ถูก หน้าร้อนวูบวาบ ความกล้าที่รวบรวมมาเอ่ยถามถดถอยจนแทบหมดสิ้น แต่แก้วไม่ได้ทิ้งให้เขารู้สึกอย่างนั้นนานนัก มือเรียวอบอุ่นวางลงบนหัวเด็กชาย ทิ้งไว้อย่างนั้นคล้ายเรียกร้องให้หันไปมองเจ้าตัว แต่ก็ใช้เวลาเนิ่นนานพอดูกว่าโชคจะกล้าเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีเข้มคู่นั้น



          แววความขัดเขินและกระดากอายยังคงฉายชัดอยู่บนพวกแก้มสีเรื่อ คิ้วขมวดมุ่นไม่ค่อยพอใจนัก แต่ในดวงตาใสก็ไม่ได้มีแววขุ่นมัวขัดเคืองใจอะไร ข้อดีของเด็กชายคือเขาเป็นคนใจเย็นและโกรธยาก



          “ขอโทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเธอหรอก แค่มัน.. ผูกขาด มิกซ์นี่เข้าใจคิดคำดีนะ” แก้วยกยิ้มบางให้คนตรงหน้า โชคดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มออกแรงมือเพียงเล็กน้อยก็ดึงเอาศีรษะของอีกฝ่ายให้เอนลงมาหนุนอยู่บนตักตัวเองได้ง่ายๆ ก่อนจะทวนคำถามของเด็กชายอีกครั้ง “แฟนหมายความว่าไงงั้นเหรอ”



          แก้วคิดหาคำตอบที่จะบอกกับเด็กชาย เขาคิดว่าเด็กของเขาเติบโตแล้ว แต่จริงๆ ก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ส่วนคำว่า ‘แฟน’ ที่เอ่ยถามมานั้นก็คงไม่ใช่ว่าอ่อนต่อโลกมากจนไม่รู้จัก โชคได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง เพียงแต่สภาพแวดล้อมของเขาไม่มีกรณีที่จะทำให้คุ้นเคยกับคำนั้นได้บ้างเลย ในเมื่อคนรอบตัวนั้นไม่มีใครอยู่ในสถานะแบบนั้นสักคน



          แก้วโสดมาตลอดช่วงเวลาที่โชคมาอยู่กับเขา



          อาธีร์ที่แต่งงานกับอาเนตรไปก็เป็นสามีภรรยา



          ป้าดาแม่ของเพื่อนสนิทก็เป็นแม่หม้าย



          ส่วนพ่อแม่ของโชค... เรียกว่าคบหากันยังไม่ได้เลย



          การที่เด็กชายจะไม่เห็นภาพความสัมพันธ์ฉันท์แฟนนั้นจึงสามารถเข้าใจได้ ดังนั้นหน้าที่ของเขาคือการอธิบายกับอีกฝ่ายในฐานะผู้ปกครองและผู้ใหญ่คนหนึ่ง



          “แฟนก็คือคนรักกันสองคนตกลงจะอยู่ในสถานะที่เปิดเผยต่อคนรอบข้างโดยที่ยังไม่ได้ผูกมัดกันตามกฎหมายน่ะ” คำอธิบายของแก้วซับซ้อนไปหน่อย ซึ่งเจ้าตัวก็รู้สึกได้จึงพูดต่อไปอีก “จริงๆ ก็คือคนรักนั่นแหละ คบหาดูใจกัน ศึกษากัน ลองใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่ได้มีแต่เรื่องบนเตียงหรอกนะ”



          เด็กชายหน้าร้อนวูบอีกแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันฟังดูน่าอายเหมือนอย่างตอนที่เพื่อนของเขาพูดออกมา อาจจะเพราะการเลือกใช้คำ หรือน้ำเสียง หรือบาทีอาจจะเป็นเพราะสีหน้าแววตาที่พูดมันออกมาอย่างสบายๆ คล้ายเป็นเรื่องธรรมดาของน้าแก้วเอง



          “แล้วคนเป็นแฟนกันเขาต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ”



          “ทำอะไรบ้าง.. ไม่รู้สิ แต่ละคู่ก็มีเรื่องราวของตัวเองแตกต่างกันไปล่ะนะ” คำตอบของชายหนุ่มนั้นเป็นการตอบแบบกว้างๆ เพราะเอาเข้าจริงแล้วคำตอบของคำถามนี้ก็ไม่มีอยู่จริงๆ นั่นแหละ มันปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และตัวบุคคลเสมอ แต่ก็อาจจะมีจุดร่วมบางประการอยู่บ้าง “ส่วนใหญ่ก็ดูแลกัน เป็นห่วงกัน อยู่ข้างๆ อยากให้อีกคนมีความสุข.. ละมั้งนะ”



          โชคพยักหน้าหงึกหงัก แก้วมองออกว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละ แต่ก็ไม่เห็นต้องไปเร่งให้รับรู้ทุกอย่างตอนนี้เลยนี่ เด็กชายของเขายังมีเวลาให้ได้เรียนรู้อีกมาก เมื่อเติบโตคนเราก็จะซึมซับสิ่งต่างๆ เข้ามาเองในเวลาที่เหมาะสมกับตัวเองนั่นแหละ



          ซีรีส์ฝรั่งบนจอกำลังฉายฉากเลิฟซีนอยู่พอดี เจ้าของบ้านหนุ่มดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่คนเด็กกว่าหน้าร้อนฉ่าเล็กน้อย พวกเขาดูฉากร่วมรักนั้นเงียบๆ ไม่มีการกดเปลี่ยนหรือพยายามเบี่ยงประเด็นอะไรทั้งนั้น แก้วรู้ว่าเจ้าหมาน้อยของเขาเติบโตถึงวัยนั้นแล้ว วัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็นเรื่องแบบนี้ เขาจึงไม่ได้คิดจะห้ามหรือปัดมันทิ้งทั้งนั้น



          เซ็กส์..เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ หน้าที่เขาไม่ใช่การกันเด็กชายให้ออกห่างจากเรื่องสามัญเช่นนั้น แต่เป็นการสั่งสอนชี้แนะให้มันเป็นไปในทางที่ถูกที่ควรต่างหาก



          ฉากร้อนแรงวาบหวิวจบไปแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นก็จบตอนของวันนี้ แก้วลูบหัวที่นอนหนุนตักเขาเล่น สัมผัสของผมสั้นเกรียนสากมือแต่ให้ความรู้สึกดีแปลกๆ ในขณะที่เจ้าของหัวนั้นลูบไล้กลุ่มขนนุ่มฟูสีขาวแต้มน้ำตาลส้มอ่อนจางของแมวเหมียวบนหน้าท้องตน



          แก้วไม่รู้ว่าโชคกำลังคิดอะไรอยู่ พวกแก้มถึงได้ขึ้นสีเรื่อขณะที่ริมฝีปากอมยิ้มบาง ดวงตาสุกใสแวววาวมองสบกับมะลิอย่างเนียมอาย ...อาจจะกำลังคิดถึงเรื่องอย่างว่าอยู่ล่ะมั้ง ชายหนุ่มคิดพลางเหลือบตาไปมองรูปถ่ายในกรอบบนชั้นวางของ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ด้วยสินะ



          ส่วนคนที่โดนกล่าวหาในใจนั้นกลับลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้ว ฉากรักร้อนจางหายไปแทบจะทันทีที่มันจบลง ในหัวเขากำลังคิดวนถึงเรื่องแฟนที่อีกฝ่ายบอกต่างหาก



          ...ดูแลกัน เป็นห่วงกัน อยู่ข้างๆ อยากให้อีกคนมีความสุข



          ถ้าอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นแฟนของน้าแก้วรึยังนะ?









          เมื่อเดือนกุมภาพันธ์มาถึง ชีวิตของเด็กมัธยมปีที่หนึ่งก็เข้าสู่ช่วงท้ายของเทอมสอง



          “น้าแก้ว”



          “หื้ม”



          “ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ” เด็กชายร้องตะโกนบอกคนที่ยังอยู่ในห้องน้ำเมื่อที่หน้าบ้านมีรถของบ้านเพื่อนสนิทจอดรออยู่ วันนี้มีกิจกรรมตอนเช้าทำให้ต้องไปก่อนเวลาปกติ ป้าดาเลยอาสามาแวะรับเด็กชายให้ติดรถไปด้วยเพราะเธอต้องไปเปิดร้านแต่เช้าอยู่แล้ว แก้วเองก็จะได้ไม่ต้องเร่งตัวเองนัก



          “เอ้านี่ อันนี้ของโชค” หญิงสาววัยสี่สิบกว่าหันมายื่นห่อขนมหวานสีน้ำเงินเข้มให้เขาขณะที่รถติดไฟแดง



          “ขอบคุณครับ” เด็กชายรับของมางงๆ เพื่อนสนิทหันมายิ้มแป้นให้ก่อนจะช่วยอธิบาย



          “วันนี้วันวาเลนไทน์ แม่เลยซื้อช็อกโกแลตให้” จากคำบอกกล่าวของเพื่อน โชคก็คิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้คือวันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์ และกิจกรรมยอดฮิตประจำเดือนนี้ก็หนีไม่พ้นวันวาเลนไทน์



          เด็กชายก้มมองห่อขนมผิวเรียบลื่นอีกครั้ง วาเลนไทน์ที่ผ่านมาของเขาคือการแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจให้กันโดยมักเริ่มมาจากพวกเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้หญิง เคยมีได้ขนมมาบ้างแต่ก็เป็นเพียงลูกอมรสหวานที่ซื้อมาแจกคนทั้งห้อง แต่เท่าที่เขารู้มาคือจริงๆ แล้วมันควรจะพิเศษกว่านั้น มันควรเป็นการให้ของขวัญแทนใจแก่คนที่ชอบ



          ...คนที่ชอบ







          พักเที่ยงวันวาเลนไทน์ในรั้วโรงเรียนชายล้วนเองก็ดูคึกคักอยู่ไม่น้อย ไม่ได้ดูหวานแหว๋วทุกคนแปะสติ๊กเกอร์หัวใจสีแดงหรือแจกลูกอมให้กันอย่างที่อยู่ในความทรงจำของเด็กชาย มันเป็นความคึกคักในเชิงการแข่งขันมากกว่า อย่างเช่นว่าใครได้ของมามากกว่ากัน แต่ส่วนใหญ่แล้วนั่นก็เป็นเรื่องของพวกรุ่นพี่ม.ปลายที่โด่งดังในหมู่เด็กสาวโรงเรียนใกล้เคียง ไม่ใช่เด็กม.หนึ่งอย่างพวกเขา



          “กูได้มาสองอันเมื่อเช้า” บิ๊ก เพื่อนตัวโตสมชื่อเดินเข้ามารวมกลุ่มที่โต๊ะประจำพร้อมกับโยนห่อขนมช็อกโกแลตเข้าไปกลางวง



          “โห ได้จากใครวะเนี่ย” ภูมิที่นั่งอยู่ใกล้จุดตกกระทบของห่อขนมรีบคว้าหมับไปแกะห่อยัดเข้าปากทันที



          “น้องสาวกู”



          “โบว์กับบิวอะนะ” คราวนี้เป็นแสนที่นั่งฝั่งตรงข้าม หยิบห่อช็อกโกแลตทำมือขึ้นพลิกดู



          “เออ เมื่อคืนก็บังคับกูกินจนจะอ้วกแล้ว พวกมึงช่วยกินหน่อย” เจ้าของขนมหวานนั้นบอกเซ็งๆ



          โชคอ้าปากรับช็อกโกแลตที่ถูกส่งมาป้อนถึงปากด้วยมือของมิกซ์ เคี้ยวแล้วก็กลืน รสชาติมันหวานจนแสบคอไปหมด แต่เมื่อเห็นกระดาษห่อที่ถูกพับมาอย่างสวยงามและประณีตก็รับรู้ได้ว่าคนทำตั้งใจมากแค่ไหน เด็กชายเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนที่ชื่อบิ๊กเล็กน้อย ในสีหน้าเซ็งๆ นั้นยังคงมีแววของความรู้สึกดีๆ ฉาบอยู่ขณะที่โยนช็อกโกแลตหวานเจี๊ยบชิ้นสุดท้ายเข้าปากตัวเองไป



          การได้รับของขวัญจากใครสักคนก็ต้องทำให้รู้สึกดีอยู่แล้ว



          วันนั้นระหว่างทางกลับบ้านที่ป้าดาพาแวะซื้อของในร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมง โชคเลยตั้งใจหยิบห่อสีน้ำตาลเข้มของช็อกโกแลตเข้มข้นที่เจือความหวานเพียงเล็กน้อยไปจ่ายเงิน เขาตั้งใจจะให้มันกับน้าแก้วที่ไม่ชอบกินของหวานของเขา พลางจินตนาการถึงตอนที่อีกฝ่ายได้รับไป ชายหนุ่มคงจะเผยรอยยิ้มเพียงบางเบาแล้วกล่าวขอบคุณเขาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่วางลงบนศีรษะ และแค่เพียงเท่านั้นก็สามารถทำให้หัวใจของเด็กชายพองโตได้แล้ว



          แต่ช็อกโกแลตห่อนั้นมันก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที เพราะจนกระทั่งเข็มนาฬิกาบอกเวลาเลยเลขสิบและอาหารเย็นที่เตรียมไว้ก็เย็นชืด ก็ยังไม่มีโทรศัพท์กลับมาที่บ้านสักสายเดียว



          เช่นเดียวกับคนที่เขาเฝ้ารอ...







TBC...


          เจ้าหมาน้อยขึ้นม.1 แล้วนะคะ อีกประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นหนุ่มแล้วโตเร็วจนรีนรู้สึกแก่เลยล่ะค่ะ  :hao5:

          เนื้อเรื่องก็ยังคงเดินแบบเอื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนเดิม กลัวทุกคนเบื่อจังค่ะ แต่จริงๆ แล้วมันก็คงเป็นเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้กระมังคะ 555555

          ตอนนี้รีนเขียนไปถึงโค้งสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ เขียนถึงประโยคโปรยของเรื่องนี้แล้ว เย้!! ลากเลือดมากๆ เลย แต่ก็สนุกมากเช่นกันค่ะ

          ปล1.หากเจอคำผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ บางตอนก็ลงแบบรีบมากจนไม่ได้เช็คเลย แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเขียนเนื้อเรื่องหลักจบแล้วจะทยอยตรวจทานอีกทีค่ะ ถ้าเจอจุดผิดก็สามารถคอมเม้นบอกไว้ได้เลยนะคะ

          ปล2.รีนทอล์กท้ายตอนเยอะไปรึเปล่าคะ รีนรู้สึกอยากเล่าอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่านักอ่านจะรำคาญรึเปล่าที่นักเขียนขี้ฝอย 555555 คิดเห็นยังไงก็คอมเม้นบอกไว้ได้เลยเช่นกันนะคะ


          ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจและการอ่านเลยค่ะ

          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้าค่า





หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 15 [25.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-06-2020 00:14:25
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 15 [25.06.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-06-2020 22:40:25
อื้ออออน้าแก้วไปไหน ทำไมกลับช้า โชครอให้ของขวัญวันวาเลนไทน์อยู่ จะรอเก้อไหมเนี้ย  :mew2: ขำคำผูกขาดของนิยามแฟน คิดได้นะมิกซ์ 5555 แฟนคือต้องตกลงกันสองคน มันจะมีความรักอีกแบบหนึ่งที่จะเป็นแฟนกัน และถ้ารักแบบแฟนเพียงฝ่ายเดียวเขาเรียกว่าแอบรัก รออีกหน่อยโชคจะเข้าใจมัน โตเป็นหนุ่มแล้วโชค อีกหน่อยก็คงมีคนมาจีบ คราวนี้ละจะได้รู้ว่าแฟนคืออะไร 555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้อ่าน รอตอนหน้าเลยจะเป็นยังไงต่อไป จะขึ้นม.2แล้ว เร็วแปปๆ  :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:

พวกแก้ม=พวงแก้ม
หรือบาทีอาจจะเป็นเพราะสีหน้าแววตา=หรือบางที

ชอบอีกอย่างคือเจอคำผิดน้อยมาก   o13 ถ้าเจอเลยจะแก้ให้ไปด้วย (:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 16 [02.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 02-07-2020 18:46:32

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 16



          น้าแก้วเข้าโรงพยาบาล โชคได้รู้เรื่องนั้นตอนเกือบห้าทุ่มเมื่อพี่ปุณ รุ่นน้องและลูกน้องที่ทำงานของแก้วปรากฏตัวที่หน้าบ้าน พร้อมกับบอกให้เขาไปเก็บเสื้อผ้าแล้วพาขึ้นรถ ก่อนจะมาโผล่ที่หน้าห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนไม่ไกลจากที่ทำงานของสถาปนิกหนุ่มนัก

 

          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อขยับตัวขึ้นนั่งพิงหมอนแล้วหันมาส่งยิ้มที่ดูเหนื่อยล้าให้เด็กชาย โชคตรงเข้าไปเกาะขอบเตียงเย็นเฉียบเพราะแอร์ที่เปิดเอาไว้พลางชะโงกหน้าสำรวจร่างกายของอีกฝ่าย

 

          “ฉันไม่เป็นไร แค่ช่วงนี้นอนน้อยไปหน่อยเลยเป็นลมน่ะ” มือข้างที่ถูกเจาะสายน้ำเกลือเข้าไปในเส้นเลือดถูกประคองไว้แผ่วเบาในขณะที่ขอบตาคนฟังเริ่มแดงเรื่อ แก้ววางมืออีกข้างลงบนหัวเด็กชาย ดึงเข้ามาซบลงบนบ่าตัวเอง ลูบท้ายทอยสากมือเพื่อปลอบขวัญ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว”

 

          “พี่แก้ว” อีกคนในห้องเอ่ยเรียก ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม”

 

          “อืม หมอบอกว่าช่วงนี้คงเครียดกับงานมากไป บวกกับนอนน้อยด้วยเลยเป็นลมน่ะ”

 

          “เฮ้อ งั้นก็ดีแล้ว ตอนกลับเข้าออฟฟิศไปเห็นพี่ฟุบอยู่กับพื้น ผมนี่ใจหายหมด” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ปุณเป็นคนที่ย้อนกลับเข้าไปเอาของในออฟฟิศตอนสามทุ่มกว่าแล้วพบว่ารุ่นพี่ของเขาสลบเหมือดอยู่กับพื้น ลองเขย่าปลุกดูแก้วก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา แต่เพราะใบหน้าซีดเผือดอ่อนแรงนั้นเขาเลยไม่วางใจรีบพามาโรงพยาบาล แล้วในตอนที่หมอตรวจอาการก็ถูกไหว้วานให้ไปรับเด็กชายเลยไม่รู้ว่าสรุปแล้วรุ่นพี่ของเขาอาการดีแย่แค่ไหน

 

          “ขอบใจมากนะ” คนบนเตียงเอ่ย ใบหน้ายังคงซีดเซียวแต่ดูดีขึ้นมากกว่าเดิมเยอะแล้ว

 

          “ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้เอง” ปุณบอก พลางยกข้อมือดูนาฬิกาเห็นว่าเลยเวลาเยี่ยมมาสักพักแล้ว “งั้นผมกลับก่อนนะครับ ถ้ายังไงพรุ่งนี้พี่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศหรอก เดี๋ยวผมบอกพี่เก่งให้เอง”

 

          “อื้ม ขอบใจ” หนุ่มรุ่นน้องโบกมือปัดคล้ายบอกว่าเรื่องเล็กน้อย ก่อนจะหายออกจากบานประตูสีขาวไป เหลือทิ้งไว้แค่แก้วกับโชคในห้องพิเศษของโรงพยาบาลที่ยังคงมีกลิ่นยาฆ่าเชื้อลอยเจือจางในอากาศ

 

          “กินข้าวรึยัง” แก้วถามหลังจากที่ผละจากเด็กชายแล้ว โชคอ้าปากจะตอบ แต่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ

 

          “กินแล้วครับ”

 

          “เหรอ”

 

          “ครับ”

 

          “โชค” น้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อนั้นเข้มขึ้นเล็กน้อย เด็กชายก้มมองปลายนิ้วตัวเองที่เกี่ยวกันอยู่บนตักขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย โชคโกหก เขายังไม่ได้กินข้าว เพราะเขารอที่จะกินมันพร้อมกับคนที่ไม่ได้กลับบ้านคนนี้อยู่ แต่เพราะเขาไม่อยากให้น้าแก้วเป็นห่วงเลยคิดว่าโกหกไปน่าจะดีกว่า แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะแก้วจับได้ จับได้เสมอเวลาที่เขาปิดบัง “เธอโกหกไม่เก่งเลยนะ”

 

          “ผมยังไม่ได้กินข้าวครับ” ดวงตาหลุบต่ำอย่างคนทำผิดยังคงไม่เงยขึ้นมา แก้วถอนหายใจยาว แต่ไม่ได้ดุด่าอะไรเพิ่มเติม

 

          “หิวไหม” มือเรียวยกขึ้นชี้ไปยังตู้เย็นตรงใต้ชั้นข้างทีวีแบบบิ้วอิน เด็กชายเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อไม่ถูกต่อว่า “ในนั้นมีขนมอยู่ ไปเอามากินสิ”

 

          โชคทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย เอาขนมปังในตู้เย็นกับน้ำผลไม้ออกมานั่งกินพลางดูทีวีที่เปิดช่องสารคดีไปด้วย กินเสร็จก็นั่งสักพักก่อนเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด กว่าจะเสร็จทุกอย่างเวลาก็ล่วงเลยไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว

 

          “นอนได้แล้ว” คนป่วยบนเตียงบอก ก่อนจะกดรีโมตปิดทีวีแล้วทิ้งตัวลงนอนห่มผ้า

 

          “ครับ” เด็กชายรับคำ เดินไปกดปิดสวิตช์ไฟห้องให้ดับลง แล้วคลำทางกลับไปที่โซฟาที่ถูกจัดเตรียมเป็นที่นอนไว้แล้วแทรกตัวเข้าไปในกองผ้าห่ม

 

          ห้องทั้งห้องมืดสนิทเพราะหน้าต่างถูกม่านทึบรูดปิดเอาไว้ มีเพียงแสงไฟจากทางเดินที่ส่องผ่านกระจกตรงประตูเข้ามา แต่ก็ไม่ได้สว่างมากพอจะทำให้มองเห็นอะไรได้

 

          “น้าแก้ว” เด็กชายเรียก

 

          “หืม” เจ้าของชื่อครางตอบ

 

          “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

 

          “อืม ราตรีสวัสดิ์”








          หน้าร้อนมาเยือนอีกครั้ง แก้วถูกรุ่นพี่ที่ถือหุ้นร่วมกันอย่างพี่เก่งสั่งให้พักผ่อนหลังจากที่ปิดโปรเจ็กใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว เดือนเมษายนสั้นๆ แสนยาวนานของสองคนในบ้านจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อผลการเรียนของโชคออกมาว่าวิชาภาษาอังกฤษทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เด็กชายจึงถูกส่งไปเรียนพิเศษพร้อมกับคู่หูที่คะแนนตีคู่กันมา แก้วไม่ได้เป็นคนบังคับให้ไปหรอก แต่เป็นป้าดาต่างหากที่ประกาศประกาศิตส่งทั้งสองคนไปเรียนโดยห้ามโต้แย้งใดๆ เป็นอันขาด

 

          “น้าแก้วมีเพลงฝรั่งที่ชอบไหม” อยู่ๆ เด็กชายก็ถามขึ้นในตอนบ่ายของวันศุกร์ที่ไม่มีเรียน

 

          คนถูกถามหยุดคิดคิดสักพักก่อนตอบพร้อมถามกลับ “ไม่..น่ามีนะ ถามทำไม”

 

          โชคทิ้งตัวลงไปนอนคว่ำซุกหน้าเข้ากับท้องแมวสาวบนพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง แขนขาแผ่เป็นปลาดาวเพื่อให้กระเบื้องเย็นๆ ช่วยคลายความร้อน อู้อี้ตอบกลับมา

 

          “ครูที่เรียนพิเศษบอกให้ไปหาเนื้อเพลงอังกฤษมาแปลด้วยกันในห้อง แต่ผมไม่รู้จักสักเพลงเลย”

 

          “ลองหาในเน็ตดูสิ” แก้วช่วยเสนอความคิดเห็น เมื่อเห็นว่าเจ้าหมาน้อยที่ชักจะตัวโตขึ้นทุกวันของเขากำลังทำหางลู่หูตกอยู่

 

          “ผมไม่รู้จะหาว่าอะไร” ดวงตาใสที่คมขึ้นจนเกือบเหมือนแม่ผู้ให้กำเนิดแล้วคู่นั้นช้อนขึ้นมองคนบนโซฟาอย่างออดอ้อนปนสิ้นหวัง คนโดนอ้อนมองยิ้มๆ ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ

 

          “ไปเปิดคอมหากัน” คำพูดเรียบง่ายกับน้ำเสียงอ่อนโยนเรียกรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเด็กชาย โชครีบลุกตามเจ้าของบ้านหนุ่มเข้าห้องทำงานไปทันที

 

          บ่ายวันศุกร์หนึ่งของเดือนเมษายน พวกเขารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้น่าเบื่อนักเมื่อได้ใช้เวลาทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกัน

 

 

 

          กลางเดือนเมษาหลังหมดเทศกาลปีใหม่ไทยไปได้ไม่กี่วัน ฝนก็โหมกระหน่ำลงมาในช่วงสายที่ร้อนอบอ้าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เช่นเดียวกับร่างสูงใหญ่ของคนคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูรั้วสีขาว เรือนผมเปียกลู่แนบลงมาปิดซ่อนดวงตาคมไว้ในเงา แต่รอยยิ้มจากริมฝีปากคู่สวยนั้นยังคงแย้มออกในองศาที่น่ามองไม่เปลี่ยนจากเดิมสักนิด

 

          แก้วไม่ได้พูดอะไรสักคำกับภาพที่เห็นตรงหน้า บุหรี่ที่เตรียมจุดสูบถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง เขาย้อนกลับเข้าไปในบ้าน คว้าเอาร่มสีดำออกมากาง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปยื่นมันกันหยดน้ำที่ยังคงร่วงกราวไม่ให้โดนตัวแขกที่โผล่มาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าของเขาอีกต่อไป มือใหญ่ซีดเซียวและเย็นเฉียบเพราะตากฝนเลื่อนมาสัมผัสมือเรียวข้างที่เพิ่งไขกุญแจรั้วเสร็จ

 

          “อุ่นจัง” ธีร์พูดยิ้มๆ เสียงเบาหวิวจนแทบจางหายไปในสายฝน แต่แก้วก็ได้ยินชัดเจน และแม้จะมองไม่เห็นแววตาหลังเส้นผมที่บดบังอยู่ เขาก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังเปราะบาง

 

          เงาของร่มที่คลุมตัวทั้งสองคนหายไปกองอยู่บนพื้นเพราะแก้วไม่อยากปล่อยมืออีกฝ่ายเลยต้องทิ้งร่มแล้วใช้มือข้างนั้นเปิดประตูออกแทน ความอบอุ่นโอบรอบตัวธีร์เมื่อสองแขนเอื้อมไปคว้าเขาเข้ากอด น้ำฝนจากทั้งบนฟ้าและร่างกายเปียกปอนของอีกคนซึมผ่านเสื้อผ้าเข้าไปถึงผิวเนื้อเจ้าของอ้อมแขนจนรู้สึกเย็นเฉียบ แก้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น ซุกใบหน้าเข้ากับลำคอชื้นแฉะ ในขณะที่อีกคนก้มลงมาฝังจมูกลงบนกลุ่มผมที่เริ่มเปียกจนได้กลิ่นแชมพูชัดเจน

 

          “ก็เพราะมึงตัวเย็น”

 

 

 

          บรรยากาศในห้องนั่งเล่นหม่นมัวทั้งที่สายฝนด้านนอกจากไปแล้ว

 

          ธีร์นั่งบนเก้าอี้ไม้ หยดน้ำจากตัวเขาหยดลงบนพื้นกระเบื้องจนเจิ่งนองเป็นวง โชคอยู่ที่นั่นด้วย เด็กชายเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นหน้ารั้วไม้ผ่านบานหน้าต่าง จนกระทั่งถึงตอนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนกลับเข้ามาในบ้าน เขามีคำถามมากมาย แต่ก็รู้ว่าเขาไม่ควรอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปเมื่อแก้วเดินลงมาในชุดใหม่ พร้อมกับเสื้อผ้าแห้งและผ้าขนหนูในมือสำหรับอีกคน

 

          “ไปเปลี่ยนชุดก่อน” แก้วพาดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ลงบนศีรษะเพื่อนสนิท พร้อมกับยื่นชุดในมือให้ เป็นจังหวะเดียวกับที่โชคเดินสวนเขาไปเพื่อขึ้นชั้นสอง ดวงตาสีเข้มเหลือบไปสบตากับเด็กชาย โชคผงกหัวให้เป็นเชิงบอกว่าจะขึ้นไปอยู่บนห้องตัวเองอย่างรู้งาน แก้วพยักหน้าตอบ ส่งยิ้มบางคล้ายว่าไม่มีอะไรต้องกังวล

 

          หลังจากที่โชคไปแล้ว ในห้องเหลือแค่สองเพื่อนสนิท มือใหญ่ยื่นออกมา แต่ไม่ได้รับเสื้อผ้าไปเปลี่ยนตามที่อีกคนบอก ธีร์คว้ามือเรียวแล้วดึงให้แก้วขยับเข้าไปใกล้ แนบหน้าผากลงมันหลังมือแข็ง สัมผัสหยาบกร้านของฝ่ามือที่ไม่ได้กอบกุมมานานทำให้เขารู้สึกสงบลง

 

          “ธีร์” แก้วเอ่ยเรียกเสียงอ่อนเมื่อคนตัวเปียกยังไม่ยอมลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หนำซ้ำยังโอบรอบเอวเขาแล้วซบหน้าเข้ากับท้องเขาจนเสื้อตัวใหม่ที่เพิ่งไปเปลี่ยนมาเริ่มชื้น

 

          “ขออยู่แบบนี้อีกสักพักได้ไหม” คำขอร้องนั้นราวกับกำลังอ้อนวอนเมื่อเสียงที่เปล่งออกมามันสั่นเครือ

 

          “..อืม” แก้วครางรับแผ่วเบา สองมือที่เป็นอิสระเมื่อมือใหญ่ทั้งสองข้างกำผละไปโอบแผ่นหลังเขาไว้อยู่ เจ้าของบ้านหนุ่มค่อยๆ ขยี้ผ้าขนหนูผืนใหญ่เช็ดผมที่เปียกชุ่มให้อย่างเงียบงัน

 

          ธีร์กับเนตรมีปัญหาเรื่องความเข้ากันของนิสัยกันมาสักพักแล้ว แต่ไม่เคยมีใครรู้เลยตามนิสัยของคนตัวใหญ่ที่ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ซ่อนเร้นมันไว้เบื้องหลังรอยยิ้มเจิดจ้า จนกระทั่งมันค่อยๆ ปริแตกจนกลายเป็นรอยร้าวใหญ่โตถึงขนาดที่ฝ่ายหญิงขอเลิกและจะเอาสิทธิการเลี้ยงดูบุตรไปด้วย

 

          “ถ้าฟ้องร้องกันจริงๆ กูก็อาจจะมิสิทธิ์ชนะเพราะหลังจากเนตรกลับไปทำงาน กูก็ได้อยู่กับลูกมากกว่า” ธีร์ว่า หลังจากที่เขาลุกไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำเสร็จแล้วก็กลับมานอนหนุนตักคนสูบบุหรี่บนโซฟา ปล่อยให้เรียวนิ้วนั้นไล้สางผมเขาไปเรื่อย

 

          “แล้วมึงจะเอาไงต่อ”

 

          “ไม่รู้ว่ะ กูไม่อยากฟ้อง” ดวงตาคมมองควันลอยอ้อยอิ่งจากปลายแท่งนิโคตินที่อีกฝ่ายคาบไว้ในปาก มันฟุ้งไร้ทิศทางเหมือนกับความคิดของเขาในตอนนี้ “ถ้าพ่อแม่ฟ้องแย่งลูกกัน มึงคิดว่าเด็กจะรู้สึกยังไงวะ กูไม่อยากให้เมษาโตขึ้นมากับเรื่องแบบนั้น”

 

          “...”

 

          “กูไม่อยากให้เขาจดจำภาพครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เลือนรางว่ะ”

 

 

 

          ค่ำคืนนั้นธีร์ไม่ได้กลับบ้านตัวเอง มื้อเย็นในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้จึงย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง ในตอนที่มันมักจะมีคนสามคนอยู่เสมอ

 

          “สูงขึ้นอีกแล้วนะเรา” ธีร์ยังคงใส่ใจตักกับข้าวไปวางใส่จานให้เด็กชายเช่นเคย เขาไม่ได้เจอโชคมานานแล้ว แต่เพราะทุกวันนี้มีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายขึ้น เขาเลยได้ติดตามการเติบโตของเด็กชายผ่านรูปภาพที่บังคับให้เพื่อนสนิทถ่ายส่งไปให้ดูอยู่เสมอ

 

          “ก็ผมจะสิบห้าแล้วนี่” โชคทำแก้มพอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มตอบกลับไป “อาเถอะ ปีนี้สามจะสิบเจ็ดแล้ว ยังเหมือนเดิมอยู่เลย”

 

          “เหมือนตรงไหน อาว่าอาอ้วนขึ้นตั้งเยอะ”

 

          “ไม่เห็นอ้วนเลย พุงก็ไม่เห็นมี”

 

          “จริงเหรอ แสดงว่าอายังหล่ออยู่สินะ” พอถึงตรงนี้เด็กชายไม่ตอบ เม้มปากหรี่ตาทำหน้ากวนเพื่อหยอกอีกฝ่าย ธีร์หัวเราะร่วน แก้วเองก็ยิ้มตาม โชคโตขึ้นมาก นิสัยบางอย่างก็เปลี่ยนไปเช่นกัน อาจจะเพราะสังคมมัธยมที่มีคนหลากหลาย แถมกลุ่มเพื่อนเขาก็เป็นพวกตัวแสบ เด็กชายเลยซึมซับเอานิสันทะเล้นแบบนั้นมาด้วย

 

          โชคไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมทั้งๆ ที่เขากำลังมีความสุขกับมื้ออาหารที่ได้ทานพร้อมหน้าสามกันคนหลังจากที่ห่างหายไปนานเช่นนี้ แต่ข้าวในปากกลับกลืนลำบากกว่าที่เคย

 

          หน้าร้อนปีที่สิบสี่ โชคใช้มันไปกับการเฝ้ามองน้าแก้วที่เอาแต่รอคอยให้ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู

 

 

 

TBC...

 

          อาธีร์กลับมาอีกแล้วค่าาาาาาา ค่าตัวถูกก็เลยโผล่มาบ่อยเหลือเกิน เพิ่งหายไปแปบๆ เอง 555555 แต่การกลับมาครั้งนี้จะเป็นยังไง เรื่องราว ความสัมพันธ์ของทั้งสามคนจะเป็นไปในทิศทางไหน ก็ฝากติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะ

          ยังไงก็แวะไปคุยกันในทวิตเตอร์ #น้าแก้วของโชค กันได้นะคะ เงียบเหงามากเลย พอๆ กับยอดอ่านที่น้อยลงเรื่อยๆ  :hao5:

          แต่ถึงอย่างไรรีนก็จะพยายามฮึบแล้วเขียนจนจบให้ได้ค่ะ  o13


          ขอบคุณทุกคอมเม้นและการอ่านเสมอค่ะ

          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดี

 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 16 [02.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-07-2020 15:44:56
งื้อออโชคคคค ได้แต่เฝ้ามองเขาคอยอีกคน  :mew2: ยังไงค่ะธีร์ ยึกๆยักๆ แก้วเลยต้องเป็นงึกๆงักๆไปด้วย มันเป็นบ่ซื่นบ่ซ่วง (ยังอึนๆ) 555555 แม้ฝนหยุดตก ท้องฟ้าก็ยังอึมครึมไม่สร่าง ไม่รู้ว่าวันแดดจ้า สดใสจะมาเมื่อไหร่ กับใจทั้งสามคน เราก็ได้แต่ตามต่อรอคอยเช่นกัน พักผ่อนเยอะๆนะน้าแก้ว โชคเป็นห่วงมากกว่าใดๆ จะเอายังไงไปทางไหนดี รอตอนหน้าพรุ่งนี้เลยจ้า มาต่อๆ ขำตอนที่บอก คู่หูที่คะแนนตีคู่กันมา 55555 อิ้งร่อแร่แบบนี้เลยได้เรียนพิเศษซะ 555  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 17 [09.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 09-07-2020 19:38:32

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 17

 

        เดือนกว่าแล้วนับจากวันที่ธีร์กลับมาพร้อมกับพายุฤดูร้อน หลังจากวันนั้นเจ้าตัวก็หายไปสักพักเพื่อจัดการเรื่องที่ค้างคา จนได้ข้อสรุปว่าชายหนุ่มกับภรรยาจะแยกกันอยู่โดยที่ยังไม่จดทะเบียนหย่า ธีร์สามารถไปหาลูกได้เสมอที่บ้านซึ่งตอนนี้เขายกให้เนตรกับเมษา โดยที่ตัวเขาย้ายกลับไปบ้านพ่อแม่ตัวเองแทน พอเคลียร์เรื่องทุกอย่างลงตัว แขกประจำก็แวะเวียนมาหายังบ้านไม้สองชั้นหลังนี้บ่อยครั้งจนเหมือนย้อนกลับไปวันเก่าๆ มันจึงเป็นภาพปกติที่เมื่อโชคกลับมาถึงบ้าน เขาจะเห็นอาธีร์นั่งเล่นกับมะลิอยู่ที่ตั่งไม้บนเฉลียง

 

        “วันนี้เป็นไงบ้างครับโชค” ธีร์เอ่ยทักถามถึงวันแรกของการเปิดเรียนชั้นมัธยมปีที่สองของเด็กชาย

 

        “ก็ดีครับ วันแรกยังไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่” เด็กชายวางกระเป๋าพิงขาตั่งแล้วนั่งลงกับพื้นเพื่อเล่นกับแมวสาวบ้าง

 

        “ครั้งก่อนที่อาเห็นเราใส่ชุดนักเรียนยังเป็นชุดเด็กประถมอยู่เลยแท้ๆ แปบเดียวโตเป็นหนุ่มแล้วนะ” ฝ่ามือใหญ่เลื่อนวางลงบนศีรษะที่เคยเล็กกว่ามือเขา แต่ตอนนี้กลับใหญ่พอดีแล้ว

 

        “ผมเพิ่งม.สองเอง น้าแก้วบอกยังเด็กอยู่เลย” ประโยคหลังโชคลดระดับเสียงลงราวกับพึมพำกับตัวเอง ธีร์หัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของอีกฝ่าย ขยี้หัวเด็กชายด้วยความมันเขี้ยว

 

        “เป็นเด็กอีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็โตทันอาแล้ว”

 

        “ถึงตอนนั้นอาก็แก่แล้วสิ”

 

        เสียงหัวเราะร่าเริงดังมาจากเฉลียง ปกคลุมบ้านทั้งหลังให้หวนกลับไปสู่วันเก่าๆ ในความทรงจำ เด็กชายเติบโตขึ้นมาก แต่โชคก็ยังเป็นเด็กน้อยคนเดิมที่ชื่นชอบและนับถือคุณอาคนโปรด ส่วนธีร์เองก็ยังคงเป็นชายคนนั้นที่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มและแววตาแสนอบอุ่น...


        อบอุ่นเสียจนโชครู้สึกร้อนในท้องอย่างบอกไม่ถูก

 

        “โชค” เจ้าของชื่อหลุดออกจากห้วงความคิดที่ฟุ้งกระจายสะเปะสะปะกลับมาหาต้นเสียงที่ยังคงรอยยิ้มเจิดจ้า

 

        “ครับ”

 

        “เหม่อๆ นะเรา คิดอะไรอยู่”

 

        “..ผมกำลังคิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรกินดี” โชคตอบออกไปเสียงใส ทิ้งหัวลงไปพิงกับเข่าแข็งของคู่สนทนาขณะที่ยื่นมือไปเกาคอมะลิเล่นไปด้วย



 



        เมื่อเข้าสู่อาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน เด็กชายก็อายุครบสิบห้าปี งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นที่หน้าทีวีเช่นเคย พิซซ่าถาดใหญ่กับไก่ทอด และสปาเก็ตตี้บนโต๊ะถูกจัดการเรียบในเวลาเพียงไม่นานนัก หลังจากนั้นเค้กครีมก้อนใหญ่กว่าของปีก่อนเล็กน้อยปักเทียนตัวเลขสิบหกที่มากกว่าอายุจริงไปหนึ่งปีก็ถูกนำออกมา เสียงร้องเพลงวันเกิดจากผู้ใหญ่ทั้งสองคนซ้อนทับกับคืนวันที่เด็กชายอายุแปดขวบ ในงานวันเกิดครั้งแรกของเขาที่มีอาธีร์เป็นนักร้องนำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง และน้าแก้วที่ร้องคลอตามเพียงแผ่วเบาด้วยแววตาอ่อนโยน

 

        “แฮปปี้เบิร์ตเดย์นะครับโชค” ของขวัญชิ้นแรกถูกส่งมาให้โดยคนตัวใหญ่ ถุงกระดาษสีเข้มถูกแกะออกดูของข้างในทันที

 

        “ขอบคุณครับอาธีร์” เด็กชายตาลุกวาวเมื่อเห็นของข้างใน ของขวัญจากอาธีร์ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังจริงๆ กล่องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่กำลังฮิตกันในหมู่วัยรุ่น ซึ่งราคาไม่ได้เหมาะกับวัยรุ่นด้วยเลยสักนิดนอนนิ่งอยู่ก้นถุง โชครีบล้วงออกมาแกะดูข้างในอย่างตื่นเต้น

 

        “อาเลือกสีดำมาให้ ชอบรึเปล่า” เจ้าของของขวัญเท้าคางมองเด็กชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง เอ่ยถามทั้งที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องชอบมันแน่ๆ อยู่แล้ว

 

        “อื้ม ชอบครับ ขอบคุณนะครับอาธีร์” เด็กชายที่กลายเป็นเด็กหนุ่มแล้วยิ้มร่าตอบ จะสีอะไรเขาก็ชอบหมดนั่นแหละ ในเมื่อมันเป็นของที่เขาอยากได้ แต่ไม่เคยกล้าเอ่ยปากขอมาตลอดนี่

 

        โชคกำลังรื้อตัวเครื่องออกมาสำรวจดู แต่ไม่นานก็เก็บลงไปเช่นเดิมเมื่อคิดขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่รอให้ของขวัญเขาอยู่ แก้วยิ้มบางเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาตน ดวงตาคมคู่สวยทอประกายวิบวับด้วยคาดหวังเต็มเปี่ยม

 

        “ของฉันไม่ได้เว่อร์เท่าของธีร์หรอกนะ แต่คิดว่าเธอน่าจะได้ใช้” แก้วบอกขณะที่ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่ข้ามโต๊ะไปให้เด็กหนุ่ม เขารู้ว่าสำหรับโชคแล้ว ไม่ว่าของที่ได้จะราคาถูกหรือแพงแค่ไหน โชคก็จะรักษาของทุกชิ้นที่ได้รับมาเป็นอย่างดีเท่ากันหมด และนั่นเป็นหนึ่งในข้อดีมากมายของเด็กชายที่เขาเลี้ยงมา “สุขสันต์วันเกิด”

 

        “ขอบคุณครับน้าแก้ว” คนที่ได้รับของขวัญไปกอดถุงใบใหญ่นั้นไว้แนบอก กล่าวขอบคุณด้วยเสียงสดใสเช่นเดียวกับสีหน้าตื่นเต้นดีใจเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด โดยเฉพาะในดวงตาคู่นั้นที่ฉายแววออกมาอย่างซื่อตรง

 

        “เปิดดูก่อนสิ” แก้วเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ เช่นเดียวกับธีร์ที่ขยับมานั่งข้างเพื่อนสนิทในท่าเดียวกัน

 

        “น้าแก้วให้อะไรมาผมก็ชอบหมดนั่นแหละ” โชคพึมพำขณะที่เปิดดูของข้างใน

 

        ของขวัญจากแก้วเป็นรองเท้ากีฬาแบรนด์ดัง แต่เป็นดีไซน์ที่เอาไว้ใส่แฟชั่นมากกว่าเล่นกีฬาจริงๆ สีที่ชายหนุ่มเลือกมานั้นก็เป็นสีพื้นที่ใส่ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เป็นของที่ใช้งานได้จริงที่ผ่านการคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว โชคไม่ได้สนใจเรื่องแบรนด์รองเท้ามากนัก แต่เขาก็ชอบรองเท้าคู่นี้ เพราะมันสมกับเป็นของขวัญจากน้าแก้วดี

 

        “ชอบไหม”

 

        “ชอบครับ ชอบมากเลย”

 

        “ชอบก็ดีแล้วล่ะ”

 

        ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาวสองชั้นยังคงมีเสียงพูดคุยและเสียงโทรทัศน์ดังออกมาให้ได้ยินจนดึกดื่น หลังจากที่เด็กชายลองรองเท้าที่ได้จากน้าแก้วแล้ว ธีร์ก็ช่วยเอาโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเด็กชายไปเสียบชาร์จแบตไว้ และเริ่มสอนวิธีใช้คร่าวๆ ให้จากเครื่องของตัวเองที่เป็นรุ่นเก่ากว่าเล็กน้อย แต่ฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ยังคงเหมือนกัน

 

        เจ้าของบ้านหนุ่มยืนกอดอกพิงบานประตูหน้าบ้านอยู่ด้านนอก ปล่อยควันสีหม่นไหลผ่านริมฝีปากให้ลอยล่องไปในสายลมชื้นจากละอองฝนที่ตกเมื่อตอนเย็น ดวงตาสีเข้มจับจ้องภาพของชายสองคนในบ้านของเขาที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังคงรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก

 

        จะเป็นเพราะช่องว่างเกือบห้าปีนั้น ที่ทำให้เขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่ความจริง และหวาดกลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันของเขาเอง

 

        ความรู้สึกสีควันบุหรี่อยู่กับแก้วไม่นานนักเมื่อมีสัมผัสอุ่นนุ่มคลอเคลียอยู่ที่เท้า

 

        “ว่าไงมะลิ” แก้วย่อตัวลงนั่งยองเพื่อลูบขนสวยของแมวสาวใหญ่ ดวงตาสีเขียวเหลืองจ้องสบกับเขาราวกับล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้านาย “มาปลอบใจฉันเหรอ”

 

        เหมี๊ยว..

 

        แก้วคีบบุหรี่ไว้ในมือข้างที่รองคางตัวเอง ส่วนมืออีกข้างไล้ขนฟูจากลำคอขึ้นไปเกาคางให้แมวสาว ก่อนจะกระซิบออกมาแผ่วเบา “ขอบใจนะ”

 

 

 

        ห้าทุ่มกว่าแล้วในตอนที่พวกเขาเริ่มเก็บกวาด และเพราะวันถัดไปเป็นวันหยุด เด็กนักเรียนจึงไม่ได้ถูกไล่ให้รีบขึ้นไปนอนเหมือนวันปกติ เจ้าของบ้านรับหน้าที่เป็นคนรอล้างจานอยู่ในครัว โดยมีเพื่อนสนิทและเด็กหนุ่มเก็บรวบรวมถ้วยจานไปให้ จากนั้นทั้งสองคนก็กลับไปเก็บขยะเช็ดโต๊ะช่วยกันจนสะอาดหมดจรดพอดีกับที่แก้วล้างจานเสร็จ

 

        “โชค” เจ้าของชื่อชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันได หันกลับมาสบตากับต้นเสียง

 

        “ครับน้าแก้ว”

 

        แก้วไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปทันที แต่กลับยืนมือไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มที่สูงเกือบถึงปลายคางเขาแล้ว “โตขึ้นมากเลยนะ”

 

        “..ครับ” เสียงตอบรับนั้นเจือด้วยความงุนงงอยู่บ้าง แต่โชคก็ยังคงยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม เฝ้าจดจ้องเงาสะท้อนของตนบนนัยน์ตาสีเข้มที่ทอดมองมาอย่างเงียบงันจนเสี้ยวนาทีนั้นดูยาวนานกว่าความเป็นจริง

 

        “โชค” แก้วเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนทอประกายเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางและน้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างหนักแน่นชัดเจน “เธออยากเป็นลูกฉันไหม”

 

        “...ครับ?” ครั้งนี้เสียงของโชคสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามมากกว่าตอบรับ เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะเพราะตามสิ่งที่คนตรงหน้าพูดไม่ทัน

 

        “อยากมาเป็นลูกฉันไหม” แก้วเอ่ยย้ำคำเดิมอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายต่อเมื่อเด็กหนุ่มยังคงนิ่งงันคล้ายว่ายังไม่เข้าใจความหมายที่เขาถาม “ลูกบุญธรรมตามกฎหมายน่ะ เธอจะได้มีสิทธิ์ทุกอย่างเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ของฉัน”

 

        ดวงตาใสซื่อของเจ้าหมากระพริบปริบๆ คล้ายกำลังประมวนผล แก้วไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบทันที เช่นเดียวกับคนในห้องน้ำที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแต่ยังคงไม่ออกมาขัดจังหวะของเจ้าบ้านทั้งสอง มันเป็นเรื่องของแก้วและโชคที่ธีร์ไม่เกี่ยว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเพราะเพื่อนสนิทไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเลยก็ตาม

 

        “เป็นลูกน้าแก้วเหรอครับ” โชคพึมพำกับคนตรงหน้า แต่ก็เหมือนพูดกับตัวเองลำพัง ในหัวของเด็กหนุ่มกับลังวิ่งวุ่น และเมื่อจับใจความได้แล้วใบหน้าครุ่นคิดเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง ริมฝีปากเผยออ้าออกเตรียมตอบกลับไปอย่างมั่นใจ

 

        “...” แต่สุดท้ายกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากลำคอเด็กหนุ่มเลย ใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างหม่นลงเมื่อหัวใจเขาตีความรู้สึกสวนทางกับสมอง

 

        “โชค?”

 

        “ทำไม...” โชคเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ปกครองที่กำลังขออนุญาตเป็นพ่อเขาด้วยแววตาสับสน มีแต่คำถามว่าทำไมเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่คำถามที่เขาอยากถามน้าแก้ว เขาอยากถามตัวเองมากกว่าว่าทำไม...

 

        ทำไมเขาถึงได้ลังเลที่จะตอบตกลง ทั้งที่หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจไปสามวันที่จะได้เป็นครอบครัวเดียวกับน้าแก้วจริงๆ เสียที

 

        ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ มันอึดอัดจนหายใจไม่ออก และความปวดร้าวก็แล่นริ้วไปทั่วทั้งอกจนรู้สึกแสบตาไปหมด

 

        และทำไม..เขาถึงรู้สึกถึงคำตอบของคำถามทั้งหมดนั้นได้ชัดเจนขนาดนี้

 

        เขาไม่ได้อยากให้น้าแก้วเป็นพ่อของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาก็ไม่ได้อยากเป็นแค่ลูกของน้าแก้วเหมือนกัน
 


        “ทำไมอะไรเหรอ” แก้วถามถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาก่อนหน้านี้ มืออุ่นเลื่อนลงมาสัมผัสข้างลำคอคู่สนทนา เรียวนิ้วแตะผิวแก้มนุ่มที่มีรอยนูนจากสิวตามวัยอยู่ประปรายอย่างแผ่วเบา รอคอยให้ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยตอบกลับมา

 

        โชคหลุบตาลงเมื่อความคิดในหัวชัดเจนแล้ว เขาไม่กล้าสู้หน้าชายหนุ่มเพราะรู้สึกหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังแววตาของเขาซุกซ่อนความรู้สึกแบบไหนเอาไว้อยู่ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ถามคำถามที่โผล่เข้ามาในจังหวะนั้นออกไปแทน

 

        “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามล่ะครับ”

 

        “อืม ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็ถามหรอก ฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนเข้าโรงพยาบาลแล้ว” ชายหนุ่มผละมือจากตัวเด็กหนุ่มแล้วเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นเป็นเชิงว่าเรื่องที่เขาจะพูดคงไม่เหมาะให้ยืนคุยกันที่หน้าบันไดสักเท่าไหร่ ระหว่างทางตอนผ่านหน้าห้องน้ำก็บังเอิญสบตากับคนข้างในที่เปิดประตูไว้อยู่แล้วเข้า ในแววตาของธีร์มันดูตัดพ้อและเต็มไปด้วยคำถาม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้เดินตามเข้าไปในห้องนั่งเล่นด้วย ชายร่างสูงทำเพียงแค่เดินสวนพวกเขาขึ้นไปชั้นสองของบ้าน โดยที่ยังไม่วายส่งฝ่ามือใหญ่มาขยี้หัวเด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกปลอดภัยมาให้ด้วย

 

        ในห้องนั่งเล่นเงียบงันเมื่อเหลือเพียงเจ้าบ้านสองคน แก้วนั่งลงที่โซฟามุมประจำ ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังลังเลว่าควรนั่งตรงไหนดี

 

        “นั่งสิ” คนโตกว่าเป็นฝ่ายเอ่ยปาก ตบที่ว่างข้างตัวเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

 

        โชคนั่งลงที่สุดขอบโซฟาคนละฝั่งกับแก้ว ซุกมือลงตรงหว่างขา ไล้นิ้วสัมผัสกับวัสดุหุ้มหนังสีอ่อนอย่างทำตัวไม่ถูกนัก เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกแบบนี้ และเด็กหนุ่มก็ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ที่ว่าเลยสักนิด

 

        “ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล..” แก้วเริ่มพูดขึ้น เขาอยากสบตากับคู่สนทนา แต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการแบบเดียวกันในตอนนี้ "ตอนนั้นฉันเกิดกลัวขึ้นมาน่ะ ถ้าฉันไม่โชคดีแค่พักผ่อนน้อยจนเป็นลมไป แต่เป็นโรคร้ายแรง หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุแล้วฉันตายไปขึ้นมา ถึงตอนนั้นเธอจะอยู่ยังไง”

 

        “...เพราะเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันตามกฎหมายเลย” ฝ่ามืออุ่นที่คุ้นเคยวางลงในตำแหน่งเดิมเป็นครั้งที่นับพันนับหมื่น ลูบเรือนผมสั้นเกรียนอย่างอ่อนโยน “โชค ถ้าฉันตายไปตอนนี้ บ้านหลังนี้ เงินทั้งหมดที่ฉันมี ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้เธอเลย ฉันไม่อยากทิ้งเธอเอาไว้แบบนั้น อย่างน้อยฉันก็อยากเหลือสิ่งที่ฉันสร้างมาทั้งหมดนี้ไว้ให้กับเธอ”

 

        “..ทำไมน้าแก้วพูดเหมือนตัวเองกำลังจะตายแบบนี้ล่ะ” คนฟังที่เอาแต่เงียบพึมพำออกมาแผ่วเบา แต่ความขุ่นเคืองและสั่นเครือในน้ำเสียงกลับชัดเจน

 

        “ฉันแค่พูดเผื่อไว้ก่อน ความตายมันไม่ได้บอกเราล่วงหน้าหรอกนะโชค ถ้าวันนั้นมาถึงฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้บอกลาเธอด้วยซ้ำ”

 

        “ผมไม่อยากให้น้าแก้วตาย”

 

        “ฉันก็ไม่อยากตายเหมือนกัน”

 

        “ผมไม่ชอบที่น้าแก้วพูดว่าตัวเองจะตายด้วย”

 

        “แต่สักวันคนเราต้องตาย เธอเองก็ด้วย”

 

        “ทำไมล่ะ” เด็กหนุ่มเสียงสั่น รอบดวงตาคู่สวยแดงเรื่อ ก่อนที่หยดน้ำจะรินไหลออกมา หยดแล้วหยดเล่า แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ภาพของเด็กหนุ่มในวันนี้ซ้อนทับกับเด็กชายตัวเล็กที่กลั้นเสียงสะอื้นไห้เมื่อเก้าปีก่อนอย่างไม่ผิดเพี้ยน

 

        “นั่นสินะ” แก้วขยับเข้าไปโอบเด็กน้อยของเขาเข้ามาแนบอก ลูบแผ่นหลังสั่นเทาเพื่อปลอบโยน พอดีกับที่สายฝนทิ้งตัวลงมาจากหมู่เมฆสีดำ คำถามและคำตอบที่เหมือนจะเคยออกจากปากพวกเขามาแล้ว แต่ก็เนิ่นนานจนเลือนรางไปแล้วเช่นกัน

 

 

 

        โชคนอนมองเพดานห้องในความมืด มีเพียงแสงสลัวจากเครื่องปรับอากาศ และดวงดาวสีเขียวส่องแสงจางๆ ที่เขาและน้าแก้วเอามาแปะไว้เมื่อตอนที่เขาอายุได้สิบเอ็ดปี

 

        ‘เธอคงสับสนที่อยู่ๆ ฉันก็พูดเรื่องนี้ ขอโทษนะ แต่ที่ฉันมาถามเธอวันนี้ก็เพราะฉันอยากให้เธอตัดสินใจด้วยตัวเอง ไว้เอาไปคิดดูก่อนแล้วค่อยตอบก็ได้’

 

        น้าแก้วบอกกับเขาแบบนั้น เกือบสี่เดือนแล้วหลังจากที่ชายหนุ่มเข้าโรงพยาบาล ความคิดที่จะรับเด็กชายเป็นบุตรบุธรรมตามกฎหมายเขาก็ได้ตัดสินใจไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่เหตุผลที่เขารอจนถึงวันนี้ก็เพื่อให้เด็กหนุ่มมีสิทธิ์ตัดสินใจเอง เพื่อให้โชคได้มีสิทธิ์เซ็นเอกสารยินยอมด้วยตัวเองเมื่ออายุครบสิบห้าปี

 

        โชคพลิกตัวตะแคงมองชั้นหนังสือเตี้ยๆ ข้างเตียงนอน คว้าเอาสมุดภาพเล่มเก่าเก็บแต่ยังสภาพดีอยู่ออกมาเปิดดูซ้ำ เรื่องของวาฬสีน้ำเงินที่เขาชอบมากที่สุด และสิ่งที่เขาชอบมากกว่าเรื่องราวในนั้น ก็คงเป็นเสียงของน้าแก้วเวลาที่อ่านให้เขาฟัง ดวงตาสีเข้มจับจ้องตัวอักษรบนแผ่นกระดาษในช่วงแรกๆ แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มละสายตาจากในนั้นหันมาสบตากับเขาเป็นระยะจนจบเรื่อง

 

        จากวันนั้นมันใช้เวลากี่ปีกันนะกว่าชายหนุ่มจะจำเรื่องราวของวาฬเจ้าสมุทรได้ขึ้นใจ แล้วมันกี่ปีแล้วกันนะที่เขาได้เฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของชายคนนั้น

 

        จากเด็กชายจนกลายเป็นเด็กหนุ่ม โชคคิดว่ามันก็เป็นระยะเวลาที่นานพอดูเลยทีเดียว

 

        แต่ตอนไหนในระหว่างการเติบโตกัน ที่เขาไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นผู้ปกครองที่แสนดีอีกต่อไป เมื่อไหร่กันที่น้าแก้วไม่ได้เป็นแค่น้าคนโปรด แต่กลายมาเป็นคนโปรดของเขา

 

        และเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าที่ถูกริ้วแสงตกกระทบใต้อุโมงค์อควาเรียมยักษ์ก็เด่นชัดขึ้นมาทันที ในตอนนั้นโชครู้สึกตัวชัดเจนว่าเขาตกหลุมรักเข้าแล้ว แต่เพิ่งจะมาตระหนักถึงความหมายของคำว่ารักที่แตกต่างไปจากเดิมได้เอาตอนนี้เอง

 

        ใบหน้าเด็กหนุ่มเห่อร้อนขึ้นมาทันที ความรู้สึกประหลาดวิ่งเต้นไปทั่วทุกส่วนราวกับไหลเวียนผ่านไปกับเส้นเลือด รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดพร้อมกับหัวใจ

 

        เขินอาย ประหม่า และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน

 

        เขาไม่ควรมีรู้สึกในเชิงนั้นให้กับน้าแก้ว ไม่ควรเลยจริงๆ

 

        โชคยกหมอนขึ้นปิดหน้า บดบังภาพเบื้องหน้าให้มืดสนิท เช่นเดียวกับที่ปิดซ่อนใบหน้าเขาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น ความรู้สึกของเขาจะไม่ทำร้ายใครหากมันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในที่ของมัน จนกว่าวันที่ความรู้สึกผิดที่ผิดทางนี้จะจางลงไปตามกาลเวลา จนกว่าวันที่เขาจะสามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจอีกต่อไปจะมาถึง

 

        จนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาก็จะซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด

 

 

 

        “คุยกันเสร็จแล้วเหรอ” ร่างสูงใหญ่ของแขกประจำก้าวเข้ามาในเขตห้องนั่งเล่น แต่ไม่ได้ตรงไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเพื่อนสนิทที่กำลังสูบบุหรี่อยู่อย่างที่เคย ธีร์ยืนพิงฉากไม้โปร่งที่ช่วยบังสายตาของคนในห้องนั่งเล่นกับบันไดออกจากกันด้วยท่าทางสบายๆ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่สบายตามเลยสักนิด

 

        “อืม แต่โชคยังไม่ตอบหรอก” แก้วตอบพร้อมไอควันที่พรูออกมาพร้อมคำพูด

 

        “เริ่มเข้าวัยนั้นแล้วก็คงต้องใช้เวลาหน่อย” ธีร์บอกยิ้มๆ แต่แก้วกลับไม่รู้สึกชอบรอยยิ้มแบบนั้นของอีกฝ่ายเลย

 

        “ธีร์”

 

        “หืม”

 

        “เป็นอะไร”

 

        “ไม่รู้สิ” คำตอบไม่ช่วยให้คิ้วที่ขมวดมุ่นของเจ้าของคำถามคลายลงแม้แต่น้อย ธีร์เม้มปากครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อาจจะน้อยใจ แล้วก็หงุดหงิดนิดหน่อย”

 

        “ที่กูไม่ปรึกษามึงเรื่องนี้น่ะเหรอ”

 

        “เปล่า ไม่เกี่ยวกันเลย” เพราะเสียงของแก้วเริ่มจะแข็งกร้าวขึ้นอย่างหาได้ยาก ธีร์เลยยอมข่มอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองแล้วตอบเสียงอ่อนลง ขยับกายเข้าไปนั่งลงข้างๆ คว้าเอามือข้างที่ว่างของอีกคนมากุมไว้หลวมๆ “เรื่องของมึงกับโชคเป็นเรื่องของมึงกับโชค กูเข้าใจว่าทำไมมึงถึงตัดสินใจไปแบบนั้น แล้วต่อให้กูไม่เข้าใจ กูก็รู้ว่ามึงคิดมาดีแล้ว”

 

        แก้วไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก เมื่อไหล่ถูกคนตัวใหญ่โถมน้ำหนักทิ้งหัวลงมาซบอิงเอาไว้ มือเรียวยื่นบุหรี่ไปขยี้ลงบนที่เขี่ย ก่อนจะย้อนกลับมาโอบกอดแผ่นหลังของคนตรงหน้า เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าธีร์หมายถึงเรื่องไหน และใจเย็นมากพอที่จะรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง

 

        “มึงเข้าโรงพยาบาลตอนไหน”

 

        “กุมภา”

 

        “ทำไมกูไม่รู้เรื่องเลย”

 

        “กูไม่ได้บอกมึง”

 

        “แล้วทำไมถึงไม่บอก”

 

        “กูไม่ได้เป็นไรมาก แค่เป็นลมเพราะช่วงนั้นอดนอนติดกันเฉยๆ”

 

        “แก้ว” ไอร้อนของลมหายใจที่ทอดถอนออกมาจากปลายจมูกลามเลียผิวอ่อนตรงลำคอเจ้าของชื่อ ธีร์ผละถอยไปให้ไกลพอที่จะสบตากันได้ชัดเจน “โทรหากู”

 

        “...”

 

        “ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน โทรหากูนะ”

 

        “กูไม่ได้เป็น...”

 

        “ขอร้อง” เพราะเสียงของธีร์ชัดเจนหนักแน่น แต่ก็สั่นเครือด้วยอารมณ์มากมายในนั้น แก้วเลยได้แต่ทิ้งหัวลงไปแนบหน้าผากกับแผ่นอกอุ่น ปล่อยตัวเองไว้ในอ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่าที่ใดบนโลกใบนี้

 

        และเพราะเป็นผู้ชายคนนี้ แก้วถึงปฏิเสธไม่ได้เลย

 

        “อืม ไว้จะโทร”

 

 

 

        โชคนั่งอยู่บนขั้นบันได เอนหัวพิงราวไม้อย่างเลื่อนลอย เขาตั้งใจจะลงไปหาอะไรดื่มเพื่อให้ลำคอที่แห้งผากชื้นขึ้นสักหน่อย แต่บังเอิญได้ยินบทสนทนาของผู้ใหญ่สองคนที่ไม่น่าเข้าไปรบกวนพอดีเลยได้แต่นั่งรออยู่อย่างนั้น และเพราะฉากไม้โปร่งที่กั้นบังสายตาของคนในห้องนั่งเล่นไม่ได้บังสายตาของคนอีกฝั่ง เขาจึงมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

 

        น้าแก้วที่อยู่ในอ้อมกอดของอาธีร์ ดูผ่อนคลายกว่าเวลาที่อยู่ในอ้อมแขนเล็กๆ ของเด็กชายและแมวตัวจ้อยในวันหลังคืนพายุโหมนัก เช่นเดียวกับที่ในดวงตาสีเข้มยามสะท้อนภาพชายคนนั้น ที่มันช่างหวามไหวและเปี่ยมรัก

 

        รัก...ในแบบที่แตกต่างจากความรักที่เขามีให้เด็กหนุ่มอย่างสิ้นเชิง

 

        และโชคก็รู้ดี ว่าที่ตรงนั้นจะไม่มีวันเป็นของเขา ในหัวใจของแก้วจะเป็นที่ของธีร์ตลอดไป

 

        โชคหลับตาลง เมื่อก่อนเขาชอบเวลาที่ได้เห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน เพราะมันจะมีความสุขลอยฟุ้งอยู่ในอากาศอย่างบอกไม่ถูก น้าแก้วของเขาจะดูมีความสุขเสมอเมื่อมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไปไม่ชอบมันเลย ไม่อยากเห็นเลย ไม่อยากรับรู้เลย เพราะมันทำให้หัวใจของเขา...เจ็บ

 

        ในขณะที่ความคิดในหัวกำลังก่อร่างขึ้นมาอย่างบิดเบี้ยว ก้อนขนอุ่นนุ่มก็แทรกตัวขึ้นมาบนตัก มะลิซุกตัวเข้าหาเด็กชายของเธอ ถูไถใบหน้าเรียวเล็กเข้ากับท่อนแขนมนุษย์อย่างออดอ้อน

 

        โชคก้มลงมองแมวสาวตัวโตที่อ้าปากหาววอด ลูบสัมผัสกับขนอ่อนนุ่มและอุ่นร้อนจากอุณหภูมิของสัตว์เลือดอุ่น

 

        “มะลิ” เด็กหนุ่มซุกหน้าเข้ากับแมวเหมียวในอ้อมกอด พึมพำกระซิบอู้อี้แผ่วเบาถึงสิ่งที่อยู่ในหัวให้อีกฝ่ายช่วยรับฟัง “ฉันชอบน้าแก้ว ชอบมากจริงๆ นะ”

 

        และก็เพราะว่าชอบมากเหลือเกิน เขาจึงจะยอมเป็นในสิ่งที่เขาได้รับอนุญาตให้เป็น เพื่อที่อย่างน้อยมันจะยังคงมีบางสิ่งผูกโยงเขากับน้าแก้วไว้ด้วยกันอยู่บ้าง...

 

 

 

        “ผมอยากเป็นครอบครัวเดียวกับน้าแก้วนะ” นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกไปในลานอิฐที่มีดอกแก้วสีขาวโปรยลงสู่พื้นที่ยังคงเหลือร่องรอยความชุ่มฉ่ำของหยาดฝน แสงแรกของวันส่องลงมาไล่ไอหมอกแต่ยังไม่ทำให้รู้สึกร้อนสักเท่าไหร่

 

        “งั้นเหรอ” รอยยิ้มที่ฉาบด้วยแววของความดีใจส่องผ่านดวงตา สว่างจ้าและอบอุ่นกว่าแสงอาทิตย์ในความรู้สึกของคนที่มองอยู่ “ฉันดีใจนะ”

 

        “อื้ม ผมก็ดีใจ” ที่จะได้อยู่เคียงข้างน้าแก้ว ...ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม

 

        วันนั้นเป็นวันหนึ่งกลางฤดูฝนที่ท้องฟ้าแจ่มใส และไม่มีฝนตกลงมาเลย

 

 

 

 

TBC...

        อาธีร์กลับมาแบบเต็มตัวแล้ววว น้องโชคก็กลายเป็นลูกชายโซนของน้าแก้วเต็มตัวแล้วเหมือนกัน หนทางยังอีกยาวไกลเลยล่ะค่ะ  :z3: แต่อย่าเพิ่งเบื่อกันเลยนะคะ อยู่ด้วยกันไปนานๆ น้า  :mew1:


        ปล.อย่าลืมช่วยกันติดตาม ผลักดัน และสนับสนุน #สมรสเท่าเทียม ให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยด้วยนะคะ เพราะนี่เป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรจะได้รับอยู่แล้ว และมันส่งผลต่อชาว LGBTQ+ โดยตรงจริงๆ เพราะเหมือนกับที่น้าแก้วบอกกับโชค ว่าเพราะไม่มีความเกี่ยวพันธ์กันทางกฎหมาย ทรัพสินย์ทั้งหมด หรืออำนาจการตัดสินใจทางการแพทย์และเรื่องอื่นๆ ทางกฎหมายอีกมากมายก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจร่วมกันหรือตัดสินใจแทนกันได้ ทั้งที่ใช้ชีวิตร่วมกันแท้ๆ เช่นนั้นแล้วก็อย่าลืมช่วยกันเป็นเสียงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยนะคะ

        รีนเองก็ตั้งใจจะกล่าวถึงประเด็นนี้ในนิยายเรื่องนี้ โดยหวังว่าจะช่วยให้กลุ่มคนที่ได้อ่านตระหนักถึงประเด็นนี้ขึ้นมาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว และในตอนนี้ก็พอดีกับที่มีโซเชี่ยลมูฟเม้นในเรื่องนี้พอดีเลย อย่างไรก็ขอฝากไว้ด้วยนะคะ มาช่วยกันทำให้โลกใบนี้สวยงามมากขึ้นสำหรับทุกคนกันเถอะค่ะ  o13
 

        ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ และการอ่านเสมอค่ะ

 

        See you on Thursday เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าค่า!!

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 17 [09.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-07-2020 00:55:32
โฮรรรอกหักแทนโชค  :hao5: โชคเข้าใจความรู้สึกตัวเองชัดเจนแล้ว และที่กำลังทำอยู่นี้สื่อถึงรักบริสุทธิ์ รักที่เสียสละไม่ใช่การอยากครอบครอง มีแต่ความหวังดี เมื่อเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะได้รับรักแบบเดียวกันตอบกลับมา ก็ให้น้าแก้วมีความสุขกับน้าธีร์ไป จะไม่ทำให้อึดอัด จะเก็บห้วงรักนี้ไว้ในซอกหลึบของหัวใจเพียงคนเดียว  :mew4: เข้าใจความรู้สึกของโชคเลย และก็เข้าใจน้าแก้วด้วย มันก็จริงหากน้าแก้วเป็นไรไป มันก็จะยากหากโชคไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางกฎหมาย ก็เลยต้องออกมาในรูปแบบนี้ ก็ถือว่าโอเค เข้าใจโชคเข้าใจน้าแก้วแต่ไม่เข้าใจอาธีร์เลย ต้องการอะไรคะ ถึงมาตัดพ้อน้อยใจเขา 555 สรุปแล้วคือ แก้วธีร์ สินะ  :กอด1: 5555 ขอบคุณนะคะที่มาอัพต่อตามนัด รอตอนหน้าเลยค่ะ เป็นกำลังใจในการแต่งทุกๆตอน รอลุ้น จะเป็นยังไงต่อไปกับเส้นทางรักของแต่ละคน อย่าหักโหมในการแต่งนิยายมากนะคะ พักผ่อนเยอะๆ  :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:

กับลังวิ่งวุ่น=กำลังวิ่งวุ่น
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 18 [16.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 16-07-2020 19:16:13

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 18

 

       ปลายเดือนกันยายน ในคืนที่ฝนตกลงมาตอนหัวค่ำหลังจากกลางวันที่ร้อนอบอ้าว โชคตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงกวักประตูของแมวสาวที่กำลังหาที่กำบังจากเสียงฟ้าร้องดังลั่น เขาเปิดให้มะลิเข้ามาในห้อง บานหน้าต่างสุดทางเดินนั้นถูกปิดสนิท โถงที่ทอดยาวไปถึงบันไดจึงเห็นเพียงเลือนรางในความมืด แต่เด็กหนุ่มก็รับรู้ถึงตำแหน่งของประตูห้องนอนอีกห้องได้อย่างชัดเจน

 

       และค่ำคืนนี้ข้างในห้องนั้นไม่ได้มีน้าแก้วเพียงลำพัง

 

       เสียงอื้ออึงของสายฝนดังระงมกลบเสียงที่มักจะเล็ดลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่ในคืนที่มีแขก เสียงพูดคุยที่เจือด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบา เสียงกระซิบกระซาบฟังไม่ได้ศัพท์แต่ก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนหวานจับใจ และบางครั้งก็เป็นเสียงครางเครือแหบแห้ง

 

       เด็กหนุ่มละสายตาจากบานประตูในความมืดมิด กลับเข้ามาทิ้งตัวลงบนเตียงในห้องของตัวเอง หมอนใบที่เขามักใช้หนุนนอนทางฝั่งที่ติดกำแพงถูกยึดไปโดยแมวสาวตัวใหญ่ โชคเลยต้องซุกหัวลงบนหมอนอีกใบที่มีกลิ่นของใครอีกคนติดอยู่จางๆ

 

       เนิ่นนานแค่ไหนแล้วไม่รู้ที่ไม่มีคนมาส่งเขาเข้านอน ปลอกหมอนก็ถูกซักเปลี่ยนใหม่แทบทุกเดือน แต่กลิ่นอายเลือนรางของน้าแก้วยังคงอยู่ ติดอยู่ที่ปลายจมูกและในห้วงความทรงจำอย่างชัดเจน

 

       เด็กหนุ่มหลับตาลง พยายามบังคับตัวเองให้จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องคิดถึงอะไรอีก

 

       เพราะโชคเติบโตมากพอที่จะรู้แล้วว่าหลังบานประตูที่ปิดสนิทนั้นมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง

 




 

       “กลับยังโชค” เด็กชายหน้าตาน่ารักรูปร่างผอมบางเดินเข้ามาหาเพื่อนสนิทที่ข้างสนามหลังจากที่เตะบอลจนเหงื่อชุ่มเสื้อนักเรียนไปหมด มิกซ์ยังคงตัวเล็กเหมือนเดิม แต่ใจก็ยังใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยถามเด็กหนุ่มที่อายุนำหน้าเขาไปเกือบรอบปีแต่เรียนชั้นเดียวกันมาตั้งแต่ประถม

 

       “อือ ไปดิ” โชคคว้ากระเป๋าสองใบบนโต๊ะม้าหินอ่อนติดมือมาด้วยระหว่างที่ออกเดินไปพร้อมกับเพื่อนรักที่ตัวเล็กกว่าเขาอยู่พอสมควร พอมิกซ์เช็ดเหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าและลำคอออกเรียบร้อยแล้วค่อยยื่นกระเป๋าเป้คืนให้เจ้าของ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความสูงของเขาเพิ่มขึ้นจนทิ้งห่างกันมากมายขนาดนี้

 

       “เป็นไรอะ”

 

       “อะไรเหรอ” โชคหันไปสบตากับเพื่อนตัวเล็กที่อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขณะที่เดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก

 

       “มึงดู.. ไม่ค่อยมีความสุข” มิกซ์เอียงคอมองช้อนขึ้นมาจากองศาที่ต่ำกว่าเมื่อทั้งคู่หยุดรอสัญญาณไฟข้ามถนน ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องสบค้นหาความขุ่นมัวที่ซ่อนอยู่หลังแววตาของเด็กหนุ่ม เขาเป็นเพื่อนกับโชคมานานมากพอที่จะสามารถพูดได้เต็มปากว่าหากเพื่อนของเขาแปลกไป แม้จะเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็รู้สึกได้

 

       “ไม่นี่ ไม่ได้เป็นไร”

 

       “เหรอ”

 

       “อือ”

 

       “เหรอ”

 

       “อืม”

 

       “เหรอ”

 

       “เราดูไม่มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ” หลังจากถูกย้ำด้วยน้ำเสียงกดดันซ้ำๆ โชคก็เอ่ยถามออกมาอย่างยอมจำนนต่อคำกล่าวหาของเพื่อน

 

       “ไม่หรอก ไม่ขนาดนั้น” มิกซ์เว้นช่วงไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงบอกให้รถหยุด ก้าวนำอีกคนข้ามทางม้าลายไปจนถึงอีกฝั่งถนนแล้วจึงค่อยพูดต่อ “มึงดูไม่มีความสุขแค่นิดหน่อย แต่กูแค่รู้ว่ามึงไม่ปกติมากๆ”

 

       “ยังไง” โชคถามอย่างงุนงงกับคำตอบที่ได้รับ

 

       “ทะเลาะกับน้าแก้วมาเหรอ” คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ตอบแต่ย้อนถามกลับมา ในขณะที่พวกเขาก้าวขาเหยียบขั้นบันไดที่เลื่อนลงไปสู่ชั้นใต้ดินที่แอร์เย็นเฉียบจนโชครู้สึกสะท้านวูบในอก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำฉับพลัน หรือเป็นเพราะคำถามของมิกซ์กันแน่

 

       “เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ”

 

       “หรือทะเลาะกับอาธีร์?”

 

       “ไม่ ไม่ใช่” โชคพึมพำแผ่วเบาเมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวลงมาจนสุดทางเลื่อนหลุบตามองต่ำ รู้สึกเหมือนกำลังโกหกทั้งที่ก็พูดความจริงแท้ๆ

 

       “เหรอ” คราวนี้น้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้คาดคั้นเหมือนอย่างครั้งก่อน มิกซ์พยักหน้าเหมือนรับรู้แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก แล้วบทสนทนาหลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น การ์ตูน เกม ดินฟ้าอากาศ จนกระทั่งพวกเขามาถึงสถานีจุดหมาย ต่อรถเมล์ประจำทางที่จะผ่านซอยบ้านของมิกซ์ก่อนจะถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้านของโชค ซึ่งตั้งแต่ที่เด็กๆ เข้าสู่เทอมสองของชั้นมัธยมปีแรก ผู้ปกครองสองบ้านก็เลิกไปรับไปส่งทำให้พวกเขาก็ต้องเดินทางกันเองอย่างนี้เป็นจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว

 

       “บาย” โชคบอกลาเพื่อนสนิทพลางขยับขาเพื่อให้คนที่นั่งติดหน้าต่างออกได้สะดวก แต่มิกซ์กลับไม่ยอมเดินออกไปสักทีทั้งที่ใกล้จะถึงจุดลงแล้ว “มิกซ์?”

 

       “ปะ ลงเล่นบ้านกูก่อน” โชคเงยหน้าขึ้นสบกับแววตาที่จ้องมองมา มันใสกระจ่างและเต็มไปด้วยความเข้าใจในตัวเขาอย่างลึกซึ้ง “ยังไม่อยากกลับบ้านไม่ใช่รึไง”

 

       “เดี๋ยว..” ยังไม่ทันได้ตอบตกลง โชคก็ถูกอีกคนลากจูงลงรถไปด้วยแล้ว

 

       ที่ป้ายรถเมล์เก่าสภาพตามอายุการใช้งาน เด็กชั้นม.ต้นสองคนยืนมองรถโดยสารประจำทางสีแดงแล่นห่างออกไปด้วยความเร็วที่ไม่ได้เหมาะกับสภาพจราจรของเมืองหลวงแห่งนี้นัก

 

       “แล้วเราจะกลับยังไง” เด็กตัวสูงถาม

 

       “เดี๋ยวให้แม่ไปส่ง” และเด็กตัวเล็กกว่าก็ตอบอย่างสบายๆ พร้อมรอยยิ้มกว้าง โชคเลยได้แต่กดพิมพ์ข้อความส่งไปบอกน้าแก้วว่าตัวเองจะกลับช้าพร้อมกับคิดเมนูอาหารเย็นไปด้วย

 

       เด็กสองคนที่เติบโตผ่านวัยเด็กมาด้วยกันเดินเคียงไหล่ไปตามทางที่คุ้นเคย พูดคุยเรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อยในแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ย้อมให้ทุกสิ่งเป็นสีของมัน

 

       นั่นเป็นครั้งแรกที่โชคกลับบ้านช้าโดยที่ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรทั้งนั้น

 



 

       กลางเดือนตุลาคมที่ละอองฝนหลอมรวมกับไอหนาว แก้วก็อายุสามสิบแปดปีเต็ม งานวันเกิดเล็กๆ จัดขึ้นตรงที่ประจำในห้องนั่งเล่น เค้กช็อกโกแลตสั่งทำพิเศษให้หวานน้อยกว่าปกติถูกตัดแบ่งหลังเจ้าของวันเกิดเป่าเทียนแล้ว เสียงพูดคุยเคล้าเสียงโทรทัศน์ ของขวัญจากเพื่อนสนิทและเด็กหนุ่มถูกยื่นส่งให้พร้อมกับคำอวยพร

 

       “แฮปปี้เบิร์ตเดย์นะ”

 

       “สุขสันต์วันเกิดครับ”

 

       “ขอบใจ” เจ้าของวันเกิดระบายยิ้มบางพร้อมกับดวงตาสีเข้มที่ทอประกายอ่อนโยน แล้วโชคก็จมลงไปในภาพตรงหน้านั้น เนิ่นนานจนคนถูกมองหันมาสบตาเข้าถึงค่อยรู้สึกตัวแล้วฉีกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนความวูบโหวงในหัวใจ

 

       น้าแก้วของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดในสายตาของเจ้าตัว

 

       เช่นเดียวกับแววตาที่ทอดมองไปยังชายอีกคน...ที่มันไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย

 

       แม้ว่ารุ่งสางของค่ำคืนนี้เมื่อห้าปีก่อน หัวใจของชายหนุ่มนั้นจะพังยับเยินมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

 

       เด็กหนุ่มเบนสายตาหนีเมื่อธีร์วาดแขนขึ้นพาดโซฟาด้านหลังของแก้วจนดูคล้ายว่าเจ้าตัวกำลังโอบกอดชายหนุ่มอยู่ โชครู้ว่ามันดูไร้สาระที่เขาเพิ่งจะมารู้สึกไม่ชอบใจกับความสนิทสนมที่ดูคุ้นเคยกันดีของสองคนนี้ เพราะทุกการวางสัมผัสลงบนร่างกายของกันและกันของคนทั้งสองที่ดูนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติราวกับเคยเกิดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วแบบนั้น ทั้งที่มันก็ไม่ได้ดูประเจิดประเจ้ออะไรเลยแท้ๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

       โชคเลยได้แต่มองออกไปยังไฟนีออนบนเสาหน้าบ้านผ่านมุ้งลวดหน้าต่าง ก้อนแสงสีขาวสว่างฟุ้งเป็นดวงในม่านฝนจนรู้สึกตาพร่าเมื่อจ้องมองนานๆ ที่ตรงนั้น ใต้เสาไฟข้างถังขยะสีเหลืองในคืนฝนตก...

 

       ถ้าเขาได้เจอกับน้าแก้วเร็วกว่านี้สักสิบยี่สิบปี เขาจะสามารถแทนที่อาธีร์ได้รึเปล่านะ

 

       แต่ก็เพราะมันเป็นความคิดเรื่อยเปื่อยที่ไม่อาจเป็นจริง เด็กหนุ่มเลยปัดมันทิ้งไป แล้วเบนสายตากลับมานั่งเท้าคางมองใบหน้าเปี่ยมสุขของผู้ใหญ่สองคนตรงหน้า ส่งยิ้มฝาดเฝื่อนให้เวลาที่ใครสักคนหันมาสบตา

 

       เขายังคงชอบน้าแก้วกับอาธีร์เหมือนเดิม แต่ไม่ชอบเลยจริงๆ เวลาที่สองคนนี้อยู่ด้วยกัน

 



 

       ปลายเดือนธันวาเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของปี และคริสต์มาสก็เวียนมาถึงอีกครั้ง

 

       ในห้องนั่งเล่นที่ถูกตกแต่งด้วยสายรุ้งวิววับและต้นคริสต์มาสประดับประดาด้วยไฟหลากสี บรรยากาศเดิมๆ เหมือนกับปีก่อน เพียงแต่ค่ำคืนนี้ซานตาคลอสหนุ่มของพวกเขากลับมาแล้ว แม้จะไม่ได้ใส่ชุดสีแดงและแบกถุงของขวัญเหมือนอย่างเคย แต่ธีร์ก็ยังคงพกพาความสุขติดตัวมาสู่บ้านหลังนี้ด้วยเสมอ

 

       และความสุขนั้นก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของเจ้าของบ้าน

 

       “วันนี้กินข้าวน้อยจังเลยนะ” ธีร์ถามขึ้นขณะที่เขากับเด็กหนุ่มกำลังต่อเครื่องเล่นวิดีโอเกมเข้ากับจอทีวีสี่สิบนิ้วที่เพิ่งซื้อมาเปลี่ยนแทนที่เครื่องเก่าที่สายช็อตดับไปไม่กี่สัปดาห์ก่อน เมื่อในระหว่างมื้อค่ำเขาเห็นโชคเอาแต่เขี่ยอาหารในจานไปมาทั้งที่เพิ่งกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง

 

       คนถูกทักประหลาดใจนิดหน่อยที่ธีร์สังเกตเห็นเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในเมื่ออาธีร์ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว ทั้งสว่างไสวและเอาใจใส่ผู้คนรอบตัวอยู่เสมอ เหมือนกับดวงอาทิตย์สีทองที่กลางฟ้า ส่องประกายเจิดจ้าเสียจน...น่าอิจฉา

 

       “ก็เมื่อตอนเลิกเรียนผมกับเพื่อนไปกินก๋วยเตี๋ยวกันมาแล้วรอบนึง เลยไม่ค่อยหิวอะครับ” โชคเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มพลางระบายยิ้มกลบเกลื่อนความผิดปกติของตัวเอง

 

       “งั้นเหรอ งั้นถ้ากินไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนหรอก แต่วัยกำลังโตอย่างเราต้องกินให้อิ่มนะรู้ไหม” คุณอาวัยใกล้เลขสี่ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่ออีก เพียงแค่ส่งยิ้มอบอุ่นและแววตาห่วงใยเช่นเดียวกับวันแรกที่ได้เจอกันมาให้เขาอย่างอ่อนโยน

 

       “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำด้วยรอยยิ้ม ทว่ามันไม่ได้เป็นรอยยิ้มซื่อตรงอย่างที่เด็กชายตัวน้อยเคยมีให้กับชายหนุ่มในวันวาน แต่เป็นรอยยิ้มที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สับสนซ้อนทับกันอยู่ มันมีทั้งความใสซื่อและจริงใจ แต่ก็ฝืดฝืนและขุ่นเคืองในเวลาเดียวกัน

 

       ระยะห่างและรอยร้าวค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนความสัมพันธ์อย่างเงียบงัน ในค่ำคืนหนึ่งกลางฤดูหนาวแสนสงบ ท่ามกลางแสงไฟหลากสีที่กระพริบเป็นจังหวะในห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาว ซึ่งอบอวลไปด้วยไออุ่นอันเหน็บหนาว

 



 

       แก้วเกิดในช่วงต้นของหน้าหนาว ในขณะที่ธีร์เกิดในตอนปลายของฤดูกาล...เดือนกุมภาพันธ์ วันที่สิบ

 

       แก้วกับโชคไม่เคยได้จัดงานวันเกิดให้กับธีร์เพราะเจ้าตัวมักจะกลับไปใช้เวลากับพ่อแม่เสมอ ทุกปีจึงมีเพียงโทรศัพท์หนึ่งสายจากคนสองคนต่อตรงไปอวยพรกับของขวัญที่ให้ย้อนหลังเท่านั้น แต่ไม่ใช่ปีนี้ ในวันเกิดอายุครบสามสิบแปดปี หลังจากช่วงเช้าที่ใช้ไปกับบุพารีที่บ้านแล้ว ตอนบ่ายนิดๆ ร่างสูงใหญ่ก็กลับมาโผล่ที่หน้ารั้วไม้สีขาวพร้อมกับเด็กชายตัวเล็กในอ้อมแขน

 

       “สวัสดีครับรึยังครับคนเก่ง” ธีร์ในร่างคุณพ่อบอกลูกชายตัวเองให้ทักทายเจ้าของบ้านหนุ่มขณะปล่อยให้ลงเดินเองเมื่อมาถึงเฉลียง

 

       “สะหวัดดีคับ” เด็กน้อยยกมือไหว้พร้อมกับพูดเสียงดังชัดเจนและแจกรอยยิ้มสดใสไปด้วย เมษาเป็นเด็กร่าเริง ไม่กลัวคนแปลกหน้าและกล้าแสดงออก ทำให้รู้ได้เลยว่าถูกเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักและความเอาใจใส่ ถึงแม้ว่าธีร์กับเนตรจะแยกทางกันโดยพฤตินัยไปแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังคงทำหน้าที่ของพ่อและแม่ได้เป็นอย่างดี

 

       “สวัสดีครับเมษา” แก้วยิ้มตอบ จ้องสบกับดวงตากลมโตใสแป๋วของลูกชายเพื่อนอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมาถามคนพ่อ “อายุเท่าไหร่แล้วนะ สาม? หรือสี่?”

 

       “เมษาอายุสามขวบแล้วคับ” เจ้าตัวเล็กเจื้อยแจ้วตอบแทนพ่อพร้อมกับชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วประกอบคำตอบ

 

       “เมษานี้ก็สี่ปีเต็มแล้ว” ธีร์ช่วยขยายเพิ่มพลางใช้มือประคองแผ่นหลังเล็กให้ก้าวเดินตามเพื่อนสนิทตนเข้าไปในบ้าน

 

       “แล้ววันนี้ไม่กินข้าวกับแม่เหรอ” แก้วถามขึ้นเมื่อแขกของบ้านต่างจับจองพื้นที่ในห้องนั่งเล่นตามสะดวกกันแล้ว โดยที่มีเขานั่งบนโซฟาที่ประจำ ส่วนคุณพ่อตัวโตนั่งลงบนพื้นกระเบื้องเย็นฉ่ำเพื่อคอยดูลูกน้อยที่กำลังเดินสำรวจไปทั่ว

 

       “แม่บอกเบื่อหน้าแล้ว เจอกันทุกวัน” ธีร์ตอบตามความจริงที่มารดาสุดที่รักของเขาบอกทุกประการเรียกให้มุมปากคู่สนทนายกขึ้นน้อยๆ อย่างขบขัน ดวงตาสีเข้มที่มักจะเฉื่อยชาฉายแววซุกซนน้อยๆ ออกมา ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับพูดเย้า

 

       “กูก็เบื่อแล้วเหมือนกันนะ”

 

       “อย่าพูดคำหยาบต่อหน้าเด็กสิ” ปะป๊าน้องเมษายกมือขึ้นปิดหูลูกชายพลางดุผู้ใหญ่ไม่รู้ความตรงหน้า แต่ทว่าน้ำเสียงกลับยียวนไร้ความจริงจัง ก่อนจะช้อนตาคมวาววับขึ้นมาสบกับคนที่นั่งสูงกว่าในองศาที่ดูออดอ้อนจนน่าหมั่นไส้ “แล้วแก้วเบื่อผมแล้วจริงๆ เหรอครับ”

 

       แก้วยังไม่ได้ตอบคำถามที่คำตอบมันแน่ชัดอยู่แล้ว เด็กชายตัวน้อยก็โผเข้าไปเกาะขาชายหนุ่มแปลกหน้าที่ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกคนนั้นเอาไว้แน่น ดวงตาใสซื่อจ้องมองเพื่อนสนิทของคุณพ่อไม่วางตาขณะเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

 

       “ไม่ชอบปะป๊าธีร์เหรอคับ”

 

       “หืม” แก้วมองใบหน้าเล็กสลับกับผู้เป็นพ่อที่ยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำถามของลูกชาย เมษาหน้าเหมือนเนตรที่เป็นแม่ แต่ดวงตากลับเหมือนของธีร์ไม่มีผิด ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าชายหนุ่มถูกดวงตาคมสวยสองคู่จับจ้อง หนึ่งแพรวพราววาววับแสนเจ้าเล่ห์ กับอีกหนึ่งที่รอคอยและคาดหวังอย่างซื่อตรง

 

       “ไม่ชอบปะป๊าของเมษาเหรอ” เจ้าตัวเล็กย้ำถามอย่างร้อนรน เด็กชายไม่อยากให้ใครเกลียดพ่อของเขา โดยเฉพาะคนตรงหน้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าใจอะไรนักตามประสาเด็กหัดเดิน แต่เด็กน้อยก็รู้ว่าคนๆ นี้สำคัญกับปะป๊าของเขา เพราะว่าปะป๊าธีร์ยิ้ม

 

       ...ยิ้มที่ทั้งอบอุ่นแล้วก็ทำให้รู้สึกดีกว่ารอยยิ้มไหนๆ ยิ้มในแบบที่เมษาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

 

       “เปล่า ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ” แก้วลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดู ระบายยิ้มอ่อนโยนให้ก่อนจะโน้มตัวมากระซิบบอกบางอย่างเพียงแผ่วเบาที่ข้างหูเล็กให้รู้กันแค่สองคนเท่านั้น

 

       แต่ถึงจะไม่ได้ยินสิ่งที่แก้วบอกกับลูกชาย ธีร์ก็ยังคงระบายยิ้มขณะเฝ้ารอให้ดวงตาสีเข้มเหลือบมาสบกับตน และเมื่อแก้วเผลอสบเข้ากับแววตาวาบหวามลึกซึ้งที่รอคอยเขาอยู่ ความรู้สึกร้อนวูบก็แล่นไปทั่วอกจรดปลายนิ้วจนต้องเบนหน้าหลบเพื่อซ่อนสองแก้มที่กำลังแผดเผาตัวเองให้พ้นจากสายตาตัวต้นเหตุ

 

       เจ้าของแววตาหวานหยดหัวเราะในลำคอเมื่อโดนเจ้าของบ้านเมินหนี ธีร์รู้ว่าแก้วบอกอะไรกับเมษา ถึงจะไม่เคยได้ยินจากปากของเจ้าตัว เขาก็รู้ ...เพราะมันชัดเจนมาตั้งนานแล้ว และไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยตลอดยี่สิบปี

 

 

 

       บ่ายสามโมงโชคกลับมาจากเรียนพิเศษคณิตศาสตร์ที่ต้องไปประจำทุกวันเสาร์ เด็กหนุ่มแปลกใจที่แขกของบ้านวันนี้เป็นเด็กชายตัวน้อยที่กำลังนอนกอดมะลิแน่น ขณะที่ดูการ์ตูนในโทรทัศน์ด้วยตาปรือต่ำจนแทบจะปิดอยู่ข้างๆ เจ้าของบ้านหนุ่ม แทนที่จะเป็นแขกประจำตัวโตอย่างธีร์ที่ตอนนี้หายออกไปซื้อของข้างนอกอยู่ แต่ถึงจะไม่คุ้นนักเขาก็ยังพอจำเด็กชายที่มีใบหน้าถอดแบบผู้เป็นแม่มา ซึ่งคล้ายคลึงกับใบหน้าของคนที่เขาคุ้นเคยที่สุดในโลกได้ แม้จะเลือนรางเต็มที เพราะครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาได้เจอกับลูกชายของอาธีร์ น้องเมษายังเป็นเพียงทารกน้อยในเปลอยู่เลย

 

       “น้องโตขึ้นเยอะเลยนะครับ” หลังจากที่เอากระเป๋าไปเก็บบนห้องแล้วกลับลงมา โชคก็มานั่งแหมะลงตรงหน้าโซฟา เอนหัวซบกับขาของน้าแก้ว ตาก็จ้องมองเด็กชายที่หลับไปแล้ว

 

       “ก็นะ ตอนนั้นเพิ่งคลอดได้ไม่กี่วันเองนี่” แก้วลูบหัวเจ้าหมาน้อยตัวโข่งของเขา โชคในวัยสิบห้าปีเศษเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่เดือนก็สูงพรวดพราดขึ้นมาจนเกือบจะเท่าเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของเขาอยู่ดี “ตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรก ตัวเธอก็ไม่ได้ใหญ่กว่านี้มากหรอกนะ”

 

       “ก็ตอนนั้นผมยังเด็ก” โชคบอกพร้อมขยับหัวถูไถไปมาในอุ้งมืออบอุ่น เขาชอบมือของน้าแก้ว มันใหญ่พอที่เมื่อเขากอบกุมแล้วจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และก็อบอุ่นเหมือนกับวันแรกที่มือข้างนั้นถูกยื่นมาตรงหน้าเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย

 

       พวกเขาพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยโดยมีเสียงของการ์ตูนในทีวีที่ไม่มีใครสนใจจะดูดังเป็นฉากหลัง โชคคิดถึงบ่ายวันหยุดธรรมดาๆ ที่ได้ใช้ไปด้วยกันอย่างสงบแบบนี้เหลือเกิน คิดถึงช่วงเวลาที่มีแค่เขากับน้าแก้วเพียงสองคน

 

       แต่ช่วงเวลาแสนสุขนั้นก็สั้นนิดเดียวเมื่อเด็กน้อยลืมตาตื่นขึ้นมา เมษาช่างพูดและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานเหลือล้น พอตื่นขึ้นมาก็รีบทำความรู้จักพี่ชายหน้าใหม่ จากนั้นก็เรียกร้องให้พาตนออกไปเล่นในสวน โชคมองมือแก้วอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาอยากจับมันไว้ให้เนิ่นนาน ตลอดกาลเลยยิ่งดี แต่สุดท้ายต้องก็ยอมแพ้ให้กับดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อย กับรอยยิ้มเอ็นดูที่ระบายอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่ม

 

       “พาน้องออกไปเล่นหน่อยสิ”

 

       “ครับ”

 

       สวนข้างบ้านในพื้นที่จำกัดไม่ได้มีอะไรให้น่าสนใจนักสำหรับเด็กหนุ่ม แต่กับเด็กชายวัยสามขวบเศษกลับเห็นเป็นโลกใบใหม่ที่น่าค้นหาไปเสียทุกส่วน โชคเลยปล่อยให้เมษาวิ่งสำรวจไปรอบๆ โดยที่ตัวเองนั่งแกว่งชิงช้าเอื่อยๆ คอยดูไม่ให้อีกฝ่ายเข้าไปยุ่งกับอะไรจะเป็นอันตราย

 

       “ยิ้มหน่อยสิ” เสียงของน้าแก้วดังขึ้นหลังจากเสียงแผ่วเบาของการลั่นชัตเตอร์ครั้งแรก โชคหันไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเฉลียงกับกล้องตัวเก่าอายุกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเขาในมือ แก้วยกกล้องขึ้นมาอีกครั้ง ระบายยิ้มผ่านริมฝีปากที่คาบบุหรี่ปลายแดงฉานเอาไว้บางๆ แล้วกดปุ่มบันทึกภาพเสี้ยววินาทีเดียวที่จะเคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เอาไว้

 

       โชคสบตากับเลนส์กล้อง จ้องมองผ่านไปถึงดวงตาคนด้างหลัง จ้องมองค้างอยู่อย่างนั้นแม้ตากล้องจะละสายตาจากเขาไปแล้ว

 

       น้าแก้วหลังม่านควันเบาบางสีขาว กับรอยยิ้มอ่อนโยนในแสงอาทิตย์สีทองยามบ่ายแก่ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียยิ่งกว่าทิวทัศน์ของท้องทะเลกว้างใหญ่ที่เขาเคยเห็นเสียอีก

 

       ...งดงามอย่างที่ไม่มีอะไรเทียบเคียงได้เลย

 

       “พี่โชค” เจ้าของชื่อหันกลับมาสนใจเด็กชายตัวเล็กที่เรียกหาเขา พอเห็นรอยยิ้มสดใสและแววตาใคร่รู้ที่ดูสนุกสนานก็รู้สึกเหมือนมีภาพซ้อนทับขึ้นมา

 

       ภาพของเด็กชายวัยหกขวบกว่าที่เดินเล่นไปทั่วทั้งสวน เอ่ยถามคำถามมากมายที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสักนิด แต่ชายหนุ่มที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนบันไดทางขึ้นบ้านก็ยอมตอบมันไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายไม่รู้จบ

 

       “ว่าไงครับ”

 

       “นี่ดอกอะไรคับ”

 

       “นั่นชื่อว่าดอกเฟื้องฟ้าครับ” โชคลุกจากชิงช้าทำมือที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อเขา ขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็กแล้วนั่งยองลงเคียงข้าง พร้อมกับแนะนำดอกไม้นาๆ สายพันธุ์ที่ผลิบานอยู่ในสวนแห่งนี้ให้เด็กชายได้รู้จักด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ตนเคยได้รับมา

 

       บ่ายวันนั้นท้องฟ้าใสกระจ่างไม่ต่างจากวันนี้เลย

 

 

 

       ตกค่ำหลังมื้อเย็นและการเป่าเค้กที่เจ้าของวันเกิดถูกแย่งหน้าที่ไปโดยเจ้าตัวเล็ก ทุกคนก็มานั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ได้มีกิจกรรมพิเศษหรืออะไรที่แตกต่างไปจากปกติ เพียงแค่ดูหนังไปด้วยกันโดยมีเสียงพูดคุยขึ้นมาบ้างเป็นระยะเท่านั้น งานวันเกิดครั้งแรกของธีร์ที่จัดขึ้นในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายสามัญ

 

       “เดี๋ยวจะกลับแล้วนะ” ธีร์หันมาบอกเจ้าของบ้านหลังจากเหลือมองนาฬิกาบนผนัง เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วในตอนนั้น

 

       “อืม จะปลุกไหม” แก้วพยักหน้ารับ ก่อนถามถึงลูกชายเจ้าตัวที่ยืมตักเขาต่างหมอนอยู่

 

       “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวอุ้มไปขึ้นรถเลย” คุณพ่อยื่นมือไปจะอุ้มลูก แต่ก็เปลี่ยนใจเสียก่อน “อุ้มไปส่งหน้าบ้านหน่อยสิ เดี๋ยวจะไปเลื่อนรถมารับ”

 

       “อือ ไปดิ” แก้วช้อนตัวเมษาขึ้นอุ้มแนบอกเดินตามเพื่อนออกไป

 

       ทั้งที่ระยะทางจากประตูบ้านถึงรั้วไม้ไม่ได้มากมายอะไรเลย และน้ำหนักของคนในอ้อมแขนก็ไม่ได้เยอะสักหน่อย แต่แก้วกับคนข้างๆ กลับใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะก้าวขาเดินไปถึงที่หมาย

 

       “เกือบสี่ปี” ธีร์พูดเมื่อพวกเขามาถึงประตูรั้ว

 

       “อะไร” แก้วหันไปสบกับตาคมที่จ้องมองมาก่อนแล้วอย่างงุนงง

 

       “ที่กูรอให้มึงมาอุ้มเมษา” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอก ธีร์มองหน้าแก้ว ก่อนจะหลุบต่ำลงไปมองดวงหน้าเล็กที่ซุกอยู่ในอกของคนตรงหน้า “นานเหมือนกันนะ”

 

       “อืม ตอนนี้ก็อุ้มแล้วไง” แก้วหรี่ตาลงมองตามคนตัวใหญ่ เด็กชายที่หน้าเหมือนภรรยาของธีร์ทุกกระเบียดนิ้วยามที่ดวงตาคู่สวยปิดสนิทอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทั้งที่เมษาตัวไม่หนักเลยแท้ๆ แต่หัวใจเขากลับรู้สึกหนักอึ้ง

 

       “อืม เห็นแล้ว” ธีร์คลี่ยิ้มขณะที่ยื่นมือมาเกลี่ยแก้มนุ่มนิ่มเบาๆ

 

       “ธีร์”

 

       “หืม”

 

       “ทำไมถึงอยากให้กูอุ้มลูกมึงล่ะ” คำถามถูกถามออกไปโดยที่เจ้าของคำถามไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา มีเพียงเจ้าของคำตอบเท่านั้นที่กำลังเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่

 

       “นั่นสิ” ธีร์ตอบเสียงแผ่ว มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน “บางทีอาจจะเป็นเพราะกูอยากให้เป็นมึงมาตลอด”

 

       คำตอบที่ดูคล้ายว่าไม่ตรงกับคำถามนั้นไม่ได้ถูกขยายต่อว่าหมายความว่าอย่างไร และแก้วไม่ได้ซักไซ้ต่อไปอีก จนหลงเหลือเอาไว้เพียงเสียงของลมหายใจที่ได้ยินชัดเจนขึ้นทุกขณะ

 

       “ขออีกอย่างสิ” ธีร์คลี่ยิ้มผ่านดวงตาในระยะที่ใกล้จนแก้วมองเห็นไม่ชัดนัก

 

       “อะไร”

 

       “จูบได้ไหม”

 

       “อืม”

 

       แสงไฟขาวจากหลอดนีออนส่องลงมาเหนือสองร่างที่แนบชิดกันเพียงริมฝีปาก นุ่มนวลแผ่วเบา แต่ก็แนบแน่นอ้อยอิ่งพอจะทิ้งร่องรอยความร้อนเอาไว้แม้ผละจากกันไปแล้ว

 

       “ขอบใจสำหรับของขวัญวันเกิด” ธีร์ยิ้มร่าพร้อมกระซิบบอก

 

       “สุขสันต์วันเกิด” และแก้วก็กระซิบตอบด้วยรอยยิ้มบาง

 

 

 

TBC...

       อาธีร์กับน้าแก้วเป็นคู่ที่เขียนสนุกแล้วก็ทำให้รีนเขินมากๆ เลยล่ะค่ะ  :o8: ทีมน้องโชครอก่อนนะคะ รอให้เด็กมันโตก่อน!!!! 555555

       ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ไม่ได้เล่าเรื่องต่อเนื่องอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ เป็นเรื่องราวในแต่ละวันแต่ละช่วงของปีที่บอกเล่าอะไรหลายๆ อย่างในตัวของมันเองทีละเล็กละน้อย หวังว่าจะไม่เบื่อกันนะคะ มาค่อยๆ เดินไปพร้อมกับตัวละครและรีนกันเถอะค่ะ ตอนนี้รีนก็ยังคงติดอยู่กับน้องโชควัย 17 ที่ค้างคามาเนิ่นนาน อยากเขียนให้จบไวๆ จังเลยค่ะ จะได้เอามาอัพสัปดาห์ละสองตอนสักที จะพยายามกระดึ๊บไปเรื่อยๆ นะคะ เพื่อที่สักวันจะได้ทอล์กท้ายตอนว่าเขียนจบแล้วบ้าง แง้  :z3:

       ปล.รีนไม่ได้หักโหมนะคะ อย่างช่วงนี้ก็พักแบบพักยาวเลยจริงๆ 55555 ขอบคุณจริงๆ นะคะที่เป็นกำลังใจดีๆ เสมอเลย  :mew1:

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเม้น และการอ่านเสมอเลยค่ะ

 

       เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้านะคะ

 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 18 [16.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-07-2020 21:35:35
อุต๊ะ!  :o8: ชัดเจนกันแล้วดิ รึไง  :hao4: วันเวลาก็เปลี่ยนไปตามกาล ต่างคนก็ต่างโตขึ้น หวังว่าโชคจะเปลี่ยนความรู้สึกกับน้าแก้วได้ในเร็ววัน เอาใจช่วยนะจะได้มีความสุขยิ้มได้ปลอดโปร่งสักที  :katai2-1: จะเป็นยังไงต่อแต่ละคน ขอบคุณนะคะที่มาต่อตามวันสม่ำเสมอ รอตอนหน้าเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ด้วยความที่นิยายเรื่องนี้มันไม่ใช่วายจ๋า มันเหมือนเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่กับเด็กคนนึงซึ่งก็คือน้าแก้วกับโชค มันก็เลยอาจจะไม่ค่อยตรงกับเป้าหมายที่คนต้องการอ่านวาย ซึ่งชอบอ่านวายจ๋าไปเลย ชี้ชัดพระนายชัดเจน แม้ในเรื่องกว่าพระเอกจะโผล่มาหรือกว่าจะระบุได้ว่าใครรุกรับแต่ก็ยังรู้พระนายคือใคร ถ้าเรื่องนี้เป็นของน้าแก้วกับธีร์ไปเลย อาจจะเวิร์คกว่า เพราะว่าวายกับคู่น้าแก้วธีร์มันมีน้อย แต่ความดราม่าของคู่นี้คือให้เลย ผ่าน ไม่มีอะไรต้องปรับปรุงเพราะแต่งดีแล้ว ชอบภาษาสำนวนการแต่งและความดราม่าอึมครึมนี้มาก คำผิดก็น้อย  o13 o13 o13 ถ้าหากจบเรื่องนี้ อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ อยู่เขียนผลงานต่อไปแต่เอาแบบวายๆเลย วายจ๋า ยังคงความดราม่า โรแมนติก อยากจะอ่านสักเรื่องหรือหลายเรื่อง มันดีมากๆแน่ เพราะชอบสไตล์การแต่งจริงๆ :katai2-1: :katai2-1: พักผ่อนเยอะๆนะคะ เป็นกำลังใจแต่งทุกๆตอน  (:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 19 [23.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 23-07-2020 20:10:30

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 19

 

          เช้าวันอาทิตย์ที่ท้องฟ้าแจ่มใสตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง โชคตื่นขึ้นมาทันเห็นตั้งแต่มันยังไม่สว่าง เด็กหนุ่มนั่งอยู่หน้าบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเหนือโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ที่ถูกวางแทนที่โต๊ะเล็กตัวเก่า ภาพที่เห็นจากหน้าต่างบานนั้นคือต้นแก้วในลานอิฐเช่นเดียวกับบานที่อยู่สุดทางเดินใกล้กับประตูห้อง แต่เพราะมันมีมุ้งลวดกั้นเอาไว้ ดอกไม้สีขาวนั้นเลยไม่เคยปลิวเข้ามาในห้องเขาเลย

 

          โชคพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดราวกับจะให้มันช่วยคลายมวลความอึดอัดในอกลงบ้างสักนิด ซบหน้าลงกับผิวโต๊ะปล่อยให้แดดอุ่นอาบไล้จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นไอร้อนจึงค่อยลุกหนี

 

          กว่าเด็กหนุ่มจะลงมาชั้นล่างยามเช้าของวันก็ล่วงเลยไปกว่าครึ่งแล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะเห็นน้าแก้วนั่งอยู่ที่โซฟามุมประจำ พร้อมกับแก้วกาแฟที่วางอยู่ข้างที่เขี่ยบุหรี่ ดวงตาสีเข้มเหลือบขึ้นมามองเขาก่อนเจ้าตัวจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนแทนคำทักทาย

 

          โชคพยายามจะยิ้มตอบ แต่มุมปากกลับฝืดฝืนเสียจนยกไม่ขึ้น สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยถามออกไปผ่านลำคอแห้งผาก “...ตื่นนานแล้วเหรอครับ”

 

          “อืม สักพักแล้ว” แก้วสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มแปลกไปจากปกติ แต่เขาก็เบนสายตาลงมองหนังสือพิมพ์ในมือทำเป็นไม่รู้อะไร เพราะมันชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้

 

          “ครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยรับคำเพียงแผ่วเบาแล้วหายเข้าไปในห้องครัวทันที

 

          โชครู้ว่าเขากำลังทำตัวประหลาด แต่เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงให้เป็นปกติ เหมือนว่าอยู่ๆ ก็ลืมไปแล้วว่าที่ผ่านมาเขามองตาน้าแก้วยังไง ทำสีหน้าแบบไหน ยิ้มออกมาได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ในหัวเขามันไม่อาจลบภาพที่เห็นออกไปได้เลย และความรู้สึกที่พยายามวิ่งหนีมาตลอดมันก็ยิ่งชัดเจน...

 

          ภาพของอาธีร์กับน้าแก้วในแสงสลัวยังคงแผดเผาอยู่หลังนัยน์ตา และความหึงหวงที่สุดท้ายก็ท่วมท้นจนแทบสำรอกออกมา

 

          เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะเงียบลง เด็กหนุ่มดับเตาแก๊สแล้วตักข้าวผัดใส่จาน เก็บเข้าไปไว้ในตู้กับข้าวเพื่อเอาไว้เป็นมื้อเที่ยงของชายหนุ่ม จากนั้นก็กลับขึ้นไปอยู่บนห้องของตัวเองตลอดทั้งวันที่เหลือ รวมถึงปฏิเสธมื้อเย็นที่ถูกเรียกให้ลงไปกินโดยชายอีกคนที่ร่วมเป็นต้นเหตุของม่านหมอกในหัวใจของเขาด้วย

 

          โชคพยายามที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองแล้ว แต่ว่ามันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริงๆ




 

          “กลับมาแล้วเหรอ” แก้วเดินออกจากห้องทำงานมาเจอเข้ากับเด็กหนุ่มที่เพิ่งกลับถึงบ้านพอดี ช่วงนี้โชคกลับบ้านค่ำบ่อยขึ้นกว่าปกติ แต่แก้วก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร ขอเพียงแค่ส่งข้อความหรือโทรมาบอกเขาไว้ก่อนก็พอ

 

          “ครับ” โชคตอบรับ กำลังจะเดินขึ้นบันไดเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บ แต่เหลือบเห็นแก้วกาแฟว่างเปล่าในมืออีกฝ่ายก่อนเลยยื่นมือไปคว้ามาไว้เอง “เดี๋ยวผมไปชงมาให้นะครับ”

 

          แก้วไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เด็กหนุ่มหายไปในครัว ส่วนตัวเขาเดินออกจากบ้านไปสูบบุหรี่เพื่อคลายบรรยากาศอุดอู้หลังจากหมกตัวทำงานอยู่ในห้องมาหลายชั่วโมง ชายหนุ่มกลับเข้าบ้านหลังขยี้ก้นกรองทิ้ง เวลาที่มวนบุหรี่เผาไหม้จนถึงโคนนั้นไม่นานนัก แต่ในตอนที่เขากลับเข้ามามันก็เหลือเพียงแก้วกาแฟกรุ่นไอร้อนที่ถูกวางไว้ข้างที่เขี่ยบุหรี่แล้ว

 

 

 

          โชคกลับขึ้นมาบนห้องทันทีที่เขาเอาแก้วกาแฟไปวางไว้ให้น้าแก้ว โยนกระเป๋าทิ้งไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียน ซึ่งมันผิดไปจากตัวเขาตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่มีแรงกระตุ้นอะไรที่ทำให้อยากลุกไปเก็บกระเป๋าเข้าที่หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยสักนิด ได้แต่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนรู้สึกเบื่อก็เลยล้วงเอาโทรศัพท์เครื่องสีดำออกมากะจะเล่นเกมฆ่าเวลาสักหน่อย แต่เพราะใบหน้าคนให้ลอยขึ้นมาเลยได้แต่ซุกมันเข้าไปไว้ใต้หมอนแทน

 

          โชคไม่ชอบชอบความรู้สึกแบบนี้เลย

 

          ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลย




 

          ปลายเดือนมีนาก็เข้าสู่ปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นชั้นมัธยมปีที่สาม ตั้งแต่วันหยุดวันแรกโชคก็ออกไปเล่นที่บ้านมิกซ์ตั้งแต่เช้าจนค่ำทุกวัน ป้าดาแม่เพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของบ้านนั้นยินดีต้อนรับเด็กหนุ่มอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นเด็กที่เคยติดบ้านและแทบไม่ห่างจากแก้ว เอาแต่แวะเวียนมาจนผิดสังเกตก็อดเป็นห่วงไม่ได้

 

          “ทะเลาะกับน้าแก้วเหรอ” คำถามนั้นมาจากปากเพื่อนสนิทที่ถูกแม่ฝากฝังกำชับให้มาถามอีกที

 

          “ไม่นะ ไม่ได้ทะเลาะ” โชคตอบขณะที่มองไปยังคนที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงอย่างประหลาดใจที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้นมา

 

          “แล้วเป็นไรไม่อยากอยู่บ้าน” มิกซ์กลิ้งตัวมานอนคว่ำให้ใบหน้าอยู่ใกล้กับคนที่นั่งบนพื้นเพื่อสนทนาอย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากหนังสือในมือ

 

          “ก็ไม่ได้เป็นไร” เด็กหนุ่มว่า ก่อนวางการ์ตูนเรื่องเดียวกับเด็กหนุ่มอีกคน แต่เป็นเล่มก่อนหน้าลงเมื่อเขาอ่านจบพอดี “แค่อยู่บ้านมันไม่มีอะไรให้ทำเฉยๆ”

 

          “เหรอ”

 

          “อืม” โชคเอนหลังพิงขอบเตียง เหม่อมองเพดานขณะรอเล่มต่อในมือเพื่อน คิดถึงคำถามเดียวกันนี้ที่มิกซ์เคยถามเขาเมื่อนานมาแล้ว และในตอนนั้นคำตอบของเขาก็ไม่ได้ต่างกับตอนนี้เลย เขาไม่ได้ทะเลาะกับน้าแก้ว ไม่เคยทะเลาะเลยด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกห่างไกลจนกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

 

          ‘ถ้าทะเลาะกันอาจจะดีกว่านี้’ อยู่ๆ โชคก็คิดถึงคำพูดของธีร์ ก่อนที่เจ้าตัวจะจากไปในตอนเช้าที่อากาศหม่นมัว และเขาในวัยเด็กที่ยังไม่เข้าใจอะไรนักจึงเอ่ยถาม ‘ทะเลาะกันมันไม่ดีไม่ใช่เหรอ’

 

          โชคในวันนี้เองก็ไม่ได้เติบโตจนเข้าใจอะไรไปมากกว่าในวันนั้นนัก แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาเริ่มเข้าใจและเห็นด้วยกับคำพูดของอาธีร์ขึ้นมา

 

          ถ้าทะเลาะกันมันอาจจะดีกว่านี้ เพราะถ้าทะเลาะกันก็ยังหาทางคืนดีกันได้

 

          แต่เพราะเขาไม่ได้ทะเลาะกับน้าแก้ว...

 

          “อะ จบแล้ว” เสียงของมิกซ์และน้ำหนักของหนังสือการ์ตูนที่ถูกวางแหมะลงบนหัว ทำให้โชคหยุดความคิดที่กำลังลอยฟุ้งเอาไว้เท่านั้น

 

          ตลอดทั้งบ่ายที่เหลือ เด็กหนุ่มทั้งสองต่างจดจ่อกับเนื้อเรื่องในแผ่นกระดาษตรงหน้าตัวเอง หลุดเข้าไปในโลกของการ์ตูนที่พวกเขาออกเงินหารกันยืมมาจากร้านหน้าโรงเรียน ที่มีโปรยืดระยะยืมได้ยาวเป็นหนึ่งสัปดาห์ในช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ด้วยกัน ...ในห้องที่ไม่มีเงาของคนที่ทำให้หัวใจของโชคต้องหนักอึ้ง

 

          ในห้องที่ไม่มีกลิ่นอายของน้าแก้วกับอาธีร์




 

          กลางฤดูร้อนก่อนถึงสงกรานต์ไม่กี่วัน ป้าดาก็พามิกซ์กลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดและจะอยู่ที่นั่นยาวไปจนหมดเทศกาล เด็กหนุ่มเลยหมดข้ออ้างที่จะออกจากบ้าน แต่เพราะแก้วไปทำงานตั้งแต่เช้าทุกวันอยู่แล้ว พวกเขาเลยไม่ได้เจอกันบ่อยนัก และนั่นก็เป็นสิ่งที่โชคต้องการ

 

          เด็กหนุ่มออกจากครัวมาหลังกินมื้อเที่ยงที่ช้ากว่าเวลาไปมากโขเสร็จ สองขากำลังก้าวตรงจะขึ้นบันไดกลับไปอยู่บนห้องนอนอย่างที่เขาทำตลอดช่วงหลังมานี้ แต่เพราะอะไรบางอย่างดึงสายตาให้เขาหันกลับไปมองในห้องนั่งเล่นที่เงียบงัน พลันภาพของใครบางคนก็ซ้อนทับขึ้นมา

 

          ที่ตรงนั้น บนโซฟามุมประจำ กับร่างสูงของชายหนุ่มที่นั่งสูบบุหรี่ และดวงตาสีเข้มที่มักมองออกไปนอกหน้าต่าง

 

          ไม่ทันรู้ตัวเด็กหนุ่มก็เดินมาหยุดหน้าโซฟาตัวนั้นเสียแล้ว ทิ้งตัวนั่งลงแทนที่ของคนในความคิด ลองทอดสายตาออกไปตามทิศที่ชายคนนั้นเฝ้ามองอยู่เสมอในความทรงจำ แต่โชคก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจากตรงนี้ น้าแก้วของเขามองเห็นอะไร เพราะในแววตาของชายหนุ่ม มันจับจ้องออกไปไกลแสนไกล ไกลเกินกว่าจะเห็นแค่ต้นมะม่วงและชิงช้าสีซีดที่ห้อยอยู่ในสวนเท่านั้น

 

          ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ปล่อยให้ม่านราตรีเข้าปกคลุม โชคเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เจ้าของบ้านหนุ่มและแขกขาประจำคนเดิมกลับมาถึง

 

          “เผลอหลับไปเหรอ ถึงว่าทำไมอยู่มืดๆ” สัมผัสอบอุ่นแนบลงบนหน้าผาก โชคเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของคุณอาเป็นอย่างแรก เด็กหนุ่มผงะถอยพร้อมปัดมือที่สัมผัสตนออกอย่างแรง จนแมวสาวรุ่นใหญ่ที่แอบปีนขึ้นมาซุกบนตักตอนเขาหลับตกใจกระโจนหนี

 

          เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะที่หลอดไฟเหนือหน้าต่างนอกบ้านกระพริบก่อนติดสว่างจ้า โชคนิ่งงันอย่างทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกับเจ้าของมือใหญ่ที่ค้างเติ่งอยู่บนอากาศ มีเพียงแก้วที่ไปกดสวิตช์ไฟตรงแผงติดผนังแล้วตรงเข้าครัวไปทันทีที่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นในห้องนั่งเล่น

 

          “โทษทีที่ทำให้ตกใจ” เป็นธีร์ที่ระบายยิ้มออกมาก่อน “แต่ถ้าจะนอนก็เปิดพัดลมดีๆ สิ เหงื่อออกจนเปียกไปหมดแล้วนะ”

 

          “เอ่อ.. ครับ ผมเพิ่งตื่นเลยมึนๆ อยู่ ขอโทษครับ” โชคยกมือขึ้นลูบหน้า พยายามหลบเลี่ยงที่จะสบตากับอีกฝ่าย ธีร์หัวเราะแผ่วเบาในคอแทนคำตอบรับ วางมือลงขยี้หัวเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินจากไปช่วยคนในครัวเทกับข้าวที่ซื้อมาใส่จานสำหรับมื้อเย็นด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ติดใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

          ห้องนั่งเล่นกลับมาอยู่ในความเงียบอีกครั้งหลังธีร์จากไป แต่ยังคงมีเสียงพูดคุยดังแว่วออกมาจากห้องครัวให้ไม่เงียบเหงาเกินไปนัก โชคนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาคมจ้องมองมือตัวเอง สัมผัสยามปัดมือใหญ่ข้างนั้นให้พ้นตัวยังชัดเจนในความรู้สึก

 

          แสบ...หลังมือมันแสบชาไปหมด ไม่ต่างจากในอกเขาเลย

 

          “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนสิ” แก้วบอกเด็กหนุ่มเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเจ้าตัวยืนอยู่ตรงกรอบประตู ก่อนจะสังเกตเห็นใบหน้าที่ดูซีดกว่าปกติกับแววตาลังเลสับสนอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจได้จนน่าเป็นห่วง “โชค เป็นอะ..”

 

          “ผมไม่ค่อยหิว” แก้วยังพูดไม่ทันจบประโยค โชคก็โพล่งขึ้นมารัวเร็ว แล้วเดินหนีขึ้นบันไดไปโดยทิ้งไว้แค่เสียงตามหลัง “ผมขอขึ้นไปนอนเลยนะครับ”

 

          ผู้ใหญ่สองคนที่เหลือได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างงุนงง พวกเขาทั้งคู่ต่างรับรู้ได้ว่าโชคเปลี่ยนไปในระยะหลังมานี้ ทั้งหลบหน้าทั้งตีตัวออกห่าง แต่เพราะเด็กหนุ่มเองก็ถึงวัยที่คงอยากมีเวลาส่วนตัวขึ้นมาแล้วเลยไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

          “วัยต่อต้านสินะ” ธีร์พูดขณะเทข้าวในจานที่ไม่ต้องใช้แล้วกลับลงหม้อ

 

          “เด็กๆ นี่โตเร็วจังนะ” แก้วพึมพำ ทั้งที่ยังคงมองตามทิศที่เด็กหนุ่มเดินหนีไป

 

 

 

          กลางดึกคืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าว และบนชั้นสองของบ้านไม้สีขาวก็เปิดไฟสว่างจ้า ธีร์กับแก้วเดินเข้าออกห้องนอนเล็กกันไม่หยุด

 

          “อะ ที่วัดไข้” คนตัวใหญ่วางกะละมังน้ำลงข้างเตียง ก่อนจะยื่นปรอทวัดไข้ที่ลงไปเอามาจากตู้ยาชั้นล่างให้กับพยาบาลจำเป็นมือหนึ่ง

 

          โชคไม่สบาย คงเป็นเพราะอุณหภูมิกลางหน้าร้อนปีนี้พุ่งสูงขึ้นกว่าทุกปี แถมเจ้าตัวยังเผลอไปนอนหลับในห้องนั่งเล่นโดยไม่เปิดพัดลมให้อากาศได้ถ่ายเทอีก ความร้อนเลยสะสมอยู่ในร่างกายจนเป็นหวัดแดดขึ้นมา โชคดีที่ธีร์บังเอิญสังเกตเห็นว่าหน้าผากเด็กหนุ่มร้อนผะผ่าวกว่าปกติตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงบ้าน พอกินข้าวเสร็จเลยตามขึ้นไปเช็คดูอีกที หลังจากที่เคาะประตูเรียกอยู่นานแต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับ เขาเลยให้แก้วใช้กุญแจไขเปิดเข้าไป ก็เลยได้เห็นคนป่วยนอนซมเหงื่อหายใจแรงอยู่บนเตียง

 

          “เป็นไงบ้าง” ธีร์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวไม่สู้ดีของเด็กหนุ่ม ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเห็นโชคป่วยแบบนี้เลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่ตัวรุมๆ ดูเซื่องซึมไปนิดหน่อย และหลังจากนอนพักสักคืนก็จะหายดีเป็นปลิดทิ้ง

 

          “สามสิบแปดองศา” แก้วอ่านค่าจากปรอทวัดไข้ ถือว่าเป็นอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงกับเลวร้าย

 

          “พาไปโรงพยาบาลเลยไหม” คนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ปลายเตียงเสนอ พอดีกับที่โชคขยับตัวสะบัดผ้าห่มออกเพราะรู้สึกร้อน แต่ไม่นานก็ปัดป่ายคลำหาผืนผ้านวมอีกครั้งเมื่อทั่วร่างกลับหนาวสะท้านขึ้นมา

 

          “วันนี้เช็ดตัวกับเฝ้าไข้ไปก่อน ถ้าตอนเช้าไม่ดีขึ้นค่อยพาไป” แก้วดูนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ เวลาตอนนี้สามทุ่มเศษแล้ว และเด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้ดูอาการร้ายแรงอะไรมาก ถ้าพาไปโรงพยาบาลก็อาจจะได้แค่นอนหยอดน้ำเกลือเฉยๆ อยู่ดี สู้ดูอาการคืนนี้เองก่อน หากเช้าแล้วยังอาการไม่ดีขึ้นค่อยพาไปจะดีกว่า

 

          ธีร์พยักหน้ารับ พร้อมขยับเข้าไปพยุงจับเด็กหนุ่มขึ้นถอดเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อออก เพื่อให้อีกคนช่วยเช็ดตัวได้สะดวก โชคโตขึ้นมาก แขนขายาวขึ้น น้ำหนักก็เพิ่ม ไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยที่ธีร์อุ้มได้ด้วยแขนข้างเดียวอีกต่อไปแล้ว ในตอนแรกมันจึงติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง แต่ไม่นานพยาบาลจำเป็นทั้งสองก็เริ่มคุ้นชิน สุดท้ายก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนป่วยได้สำเร็จ

 

          “เดี๋ยวลงไปเปลี่ยนน้ำมาให้” เป็นอีกครั้งที่แขกประจำเอ่ยปากอาสา ก้มเก็บเสื้อผ้าเปียกชื้นขึ้นพาดแขนก่อนจะยกเอากะละมังน้ำลงไปเปลี่ยนกลับขึ้นมาให้ใหม่ ส่วนแก้วที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงก็มีหน้าที่คอยปั้นผ้าไล่เช็ดระบายความร้อนให้เด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งน้ำเย็นในกะละมังเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิห้อง ธีร์ก็จะเป็นคนเอาลงไปเทเปลี่ยนมาให้ใหม่วนไปทั้งคืน

 

 

 

          แสงแรกของวันเพิ่งจับเส้นขอบฟ้า โชคปรือเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับโฟกัสให้ชัดเจน สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเรือนผมสีดำแผ่อยู่บนผ้าปูที่นอนสีอ่อน น้าแก้วฟุบหน้าหลับอยู่บนฟูกเตียง มือข้างหนึ่งวางอยู่ใกล้กับปรอทวัดไข้ ส่วนอีกข้างวางทิ้งไว้ไม่ไกลจากเด็กหนุ่มนัก

 

          เย็น... มือของแก้วเย็นเฉียบเพราะสัมผัสกับน้ำอยู่ทั้งคืน แต่พอเขากุมมือข้างนั้นไว้ไม่นานมันก็เริ่มอุ่นขึ้นมา โชคเลยขยับตัวเข้าใกล้ขึ้นอีกนิด แนบหน้าผากตัวเองเข้ากับความเย็นที่กำลังพอดีจากฝ่ามือข้างนั้น หลับตาแล้วภาวนาให้ช่วงเวลานี้ยาวนานขึ้นอีกสักหน่อย เพราะอีกไม่นานมือที่เขากอบกุมเอาไว้ก็คงจะกลับไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว

 

          และคนอื่นที่ว่านั้นก็กำลังฟุบหลับอยู่ที่ปลายเตียงของเขา ด้วยใบหน้าอ่อนล้าทั้งที่คิ้วยังขมวดด้วยความกังวล ไม่ห่างจากกองเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนรอบสองตอนตีสี่ และกะละมังน้ำที่ใช้เช็ดตัวให้เขาจนถึงเช้า ความร้อนวิ่งวูบขึ้นมาคลอที่ดวงตา ก่อนจะกลั่นตัวไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ

 

          โชคไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ หลังจากคืนที่สะลึมสะลือเพราะพิษไข้ กับโลกในห้วงฝันแสนยาวนาน และยามเช้าที่ตื่นมาเจอกับคนทั้งสองที่เฝ้าไข้เขาไม่ห่าง

 

          ในความฝันแสนเลือนรางสีซีดจาง แต่ก็สว่างไสว เด็กหนุ่มเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านไม่สีขาวสองชั้น จากนั้นก็เดินทางอยู่ในความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ภาพจำมากมายที่เคยลืมเลือนไปแล้วโผล่มาทักทาย เช่นเดียวกับความรู้สึกที่จางหายไปตามกาลเวลาก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง อย่างในวันนั้น ยามบ่ายแก่ที่แดดร่มลมตก บนถนนในซอยที่ทอดยาว บนจักรยานสองล้อที่เขาปั่น โดยมีจุดหมายคือชายผู้ยืนกอดอกสูบบุหรี่รออยู่ที่ประตูรั้วไม้ และชายอีกคนที่คอยก้าวตามอยู่ด้านหลังเพื่อกันไม่ให้เขาล้มคะมำหน้าคว่ำเวลาที่ตัวสั่นจนเสียหลัก

 

          ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะบิดเบี้ยวไปตามระยะทางการเติบโตของความรู้สึกในใจเด็กหนุ่มแล้ว แต่ความสุขแสนอบอุ่น ความอ่อนโยนที่ได้รับ และความรักที่เคยเกิดขึ้นครั้งนั้นมันก็เป็นของจริงอยู่ดี ช่างน่าสับสน ในเมื่อความรู้สึกรักที่เขามีให้กับคนทั้งสอง มันมากมายพอๆ ความความเกลียดชัง ถึงจะอุ่นซ่านแต่ก็แผดเผาหัวใจให้กลายเป็นจุณ เป็นความรู้สึกน่ารังเกียจที่ชวนให้สำลัก แต่ก็อยากจะไขว่ค้าเอาไว้ไม่ให้หลุดมือ

 

          โชครักแก้ว ด้วยทุกอย่างที่เขามี แต่ก็เกลียดชัง เมื่อความรักที่ได้รับกลับนั้นไม่ใช่รักในแบบที่เขาต้องการ

 

          โชครักธีร์ อย่างที่ลูกชายคนหนึ่งจะรักพ่อ แต่ก็เกลียดชัง อย่างชายคนหนึ่งที่เป็นผู้พ่ายแพ้ในความรัก

 

          และทั้งที่เป็นอย่างนั้น น้าแก้วกับอาธีร์ก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ ในเวลาที่ต้องการ...แม้ไม่ได้เรียกหา



 

          หลังเทศกาลปีใหม่ไทยจบลง หวัดฤดูร้อนของโชคก็หายดี และแก้วก็กลับไปทำงานตามปกติหลังวันหยุดยาว ส่วนมิกซ์ เพื่อนสนิทที่ไปต่างจังหวัดก็ยังไม่กลับมากรุงเทพฯ เด็กหนุ่มจึงควรจะได้ใช้เวลาช่วงปิดเทอมใหญ่ในบ้านที่มีเพียงเขาและแมว แต่มันกลับไปเป็นอย่างนั้น

 

          เด็กหนุ่มตื่นตั้งแต่เช้า แต่กว่าจะลงมาก็สายแล้ว ที่ชั้นล่างของบ้านว่างเปล่าไร้เงาสิ่งมีชีวิตอื่น โชคลองเดินไปส่องดูในครัวก็ยังไม่เห็นใคร ประตูห้องน้ำที่แง้มไว้ก็ไม่มีคนใช้อยู่ ในห้องทำงานของแก้วก็เงียบสงัด แต่เขาก็รู้ดีว่าอาธีร์คงอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้านหลังนี้

 

          โชคเดินออกมาอยู่บนเฉลียงหน้าบ้าน ยังไม่ทันมองหาเงาร่างสูงใหญ่ กลิ่นนิโคตินมอดไหม้ก็ลอยมาจากฝั่งลานอิฐ ควันขาวลอยเอื่อยขึ้นสูงเป็นสายจากตรงที่สูบบุหรี่ประจำของเจ้าของบ้าน โชคเห็นภาพของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมยาวระต้นคอนั่งลูบขนแมวสาวบนตัก พลางพ่นลมหายใจเจือกลิ่นขมปร่า กับดวงตาสีเข้มจับจ้องมองฟ้าผ่านม่านฝนดอกแก้วที่ร่วงโรยสู่พื้น แต่ตอนนี้น้าแก้วไม่อยู่ ตรงหน้าเขามีเพียงอาธีร์

 

          ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นในองศาที่แสงแดดส่องผ่านแมกไม้ลงมาตกกระทบพอดี ดวงตาคมหลับพริ้มในขณะที่ปล่อยให้ไอขมุกขมัวลอยเคว้ง เป็นครั้งแรกที่โชคเห็นธีร์สูบบุหรี่

 

          “อาสูบด้วยเหรอครับ” เด็กหนุ่มเท้าแขนกับขอบเฉลียงไม้ เบนสายตาจากคนเบื้องล่างที่ยังคงไม่ลืมตาขึ้นไปมองฟ้า ทิวทัศน์เดียวกับที่ทั้งสองคนนั้นมอง แต่สิ่งที่เห็นก็คงแตกต่างกันออกไปอยู่ดี

 

          “เดี๋ยวควันเข้าตาเอานะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตาที่ลืมขึ้นมอง ธีร์ขยี้ดับบุหรี่ทันทีที่รู้ว่าเด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ใกล้ก่อนค่อยตอบคำถาม “เมื่อก่อนสูบ แต่ก็เลิกไปนานแล้วล่ะ”

 

          “แล้วทำไมวันนี้ถึงสูบล่ะครับ” โชคยังคงถามต่อ ก้มสงมาสบตา ไม่คิดหนีอย่างเคยแล้ว

 

          “นานๆ ทีมันก็คิดถึงขึ้นมา...ล่ะมั้ง” คำตอบไม่จริงจังกับเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ โชคเคยชอบเสียงแบบนั้นของอาธีร์ ก่อนที่ก็เกลียดมัน แล้วตอนนี้ก็เริ่มจะกลับมาชอบนิดหน่อยแล้ว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจ ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มีให้คนตรงหน้าเป็นแบบไหน แต่ถึงจะยังไม่รู้เขาก็มีสิ่งที่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายอยู่

 

          “อาธีร์”

 

          “หืม”

 

          “ขอบคุณครับ” คนได้รับคำขอบคุณนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มจะผลิบานสดใสบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง

 

          “ครับ”

 

          ฤดูร้อนปีที่สิบห้า เด็กหนุ่มใช้มันไปกับการหาคำตอบให้หัวใจยุ่งเหยิงของตนเอง

 

 

 

TBC...

          น้องโชคเติบโตขึ้นอีกนิดแล้วค่ะทุกคน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ ตามจังหวะของชีวิต หัวอกทีมคุณแม่นั้นแสนจะภูมิใจ  :hao5:

          น้าแก้วก็ยังคงเป็นน้าแก้ว และธีร์ก็ยังคงเป็นผู้ชายแสนดีคนเดิมเลย ตอนต่อไปจะมีสาวสวยโผล่มาด้วยล่ะค่ะ ฝากติดตามกันด้วยน้าาาาา

          ปล.เรื่องราวของน้องโชคยังอีกยาวไกลเลยนะคะ รีนเคยคิดว่าคงจบที่ 30 ตอนกว่าๆ แต่เขียนไปเขียนมาน่าจะทะลุไปเกือบ 40 ตอนเลยล่ะค่ะ กลัวจะเบื่อจังเลยค่ะ แต่อย่าเพิ่งทิ้งรีนไปไหนเลยนะคะ อยู่ด้วยกันก่อน  :mew2:

 

          ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ และทุกๆ การอ่าน

          ขอบคุณค่ะ

 

          See you on Thursday เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าค่า

 

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 19 [23.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-07-2020 00:54:45
โถถถถโชค จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงดีละเนี้ย ไหวไหม เป็นไข้เลย ไข้ใจสินะ เราจะผ่านไปด้วยกันโชค *ตบบ่าปุปุ* 555 อาธีร์ก็ขยันมาจังเลยน๊า อิอิ จะเป็นยังไงต่อจบม.3แล้ว เป็นหนุ่มมากนะเนี้ยเรา รอตอนเลยต่อไปเลยค่ะ จะแต่งกี่ตอนก็ไม่ว่าเลยค่ะ เอาให้เคลียร์ไม่ต้องรีบตัดจบก็ได้ ตามอ่านเสมอค่ะ ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1:  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 20 [30.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 30-07-2020 19:46:54

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 20

 

          เมื่อเปิดเทอมชั้นมัธยมปีที่สาม สิ่งที่แตกต่างไปจากปกติอย่างแรกสำหรับโชค คือการไปโรงเรียนที่ไม่ต้องเดินหรือติดรถแก้วไปรอขึ้นรถประจำทางหน้าปากซอยแล้ว

 

          “ใส่หมวกกันน็อกด้วย” แก้วออกมาส่งเด็กหนุ่มที่หน้าบ้าน รู้สึกกังวลนิดหน่อยเมื่อเห็นนักบิดมือใหม่ป้ายแดงนั่งคร่อมมอเตอร์ไซต์รออยู่นอกรั้ว

 

          “สวัสดีครับน้าแก้ว!” มิกซ์ยิ้มกว้างโชว์ฟันเขี้ยวให้กับผู้ปกครองของเพื่อนราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขาฝึกขี่รถสองล้อนี่ตลอดปิดเทอมมาจนชำนาญแล้ว แถมยังได้ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราวมาแล้วด้วย

 

          “ไปก่อนนะครับน้าแก้ว” โชคบอกลาชายหนุ่มหลังจากคว้าหมวกกันน็อกขึ้นสวมหัว แล้วจึงค่อยจับล็อกสายคาดคางระหว่างที่เดินตรงไปยังหน้าประตูรั้วที่เพื่อนนักบิดของเขารออยู่ “ปลอดภัยแน่นะ”

 

          “โหย ระดับกู สอบรอบเดียวผ่านนะครับผม” มิกซ์หัวเราะร่ากับสายตาไม่ค่อยจะวางใจเท่าไหร่ของเพื่อน พลางสตาร์ทเครื่องรถไปด้วย

 

          โชคหันไปมองแก้วที่ยังไม่กลับเข้าบ้าน ส่งยิ้มแบบเดียวกับที่เคยส่งให้ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนตั้งแต่เด็กไปให้ ก่อนจะก้าวขาขึ้นนั่งซ้อนท้ายวินมอ’ ไซต์ส่วนตัว ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงแรงบิดของเครื่องยนต์ในจังหวะก่อนที่จะพุ่งทะยานไปข้างหน้า พร้อมกันกับได้ยินเสียงคุ้นเคยดังไล่หลังมาว่า “ขี่รถกันดีๆ”




 

          ปลายเดือนพฤษภาคมลมฝนเริ่มตั้งเค้า พร้อมกับที่เด็กสาวคนหนึ่งโผล่หน้ามาทักทายในวันหยุดสุดสัปดาห์ ปรางในวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดก้าวเข้ามาในบ้านพร้อมกับน้าชายของเธอ เสียงหวานเอ่ยทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่ม ใบหน้าสะสวยกับผมสีอ่อนแปลกตา แต่โชคก็ยังจำรอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดนั้นได้ดี

 

          “ไง ไม่เจอกันนานมากเลยเนอะ” ปรางขยับเข้าไปหาเด็กหนุ่ม ยกมือขึ้นวัดความสูงเทียบกับน้องชายที่เคยตัวเล็กกว่า ตอนนี้เธอสูงแค่หูอีกฝ่ายเสียแล้ว “สูงขึ้นเยอะเลย มีสาวมาจีบบ้างเปล่าเนี่ย”

 

          “ไม่มีหรอก” โชคหัวเราะบอกปฏิเสธอย่างขัดเขิน เด็กหนุ่มไม่ค่อยมีเพื่อนสาวนักเพราะเขาเรียกโรงเรียนชายล้วน เพื่อนจากสมัยประถมก็แค่เป็นเพื่อนกันในโซเชี่ยลมีเดีย ไม่ได้พูดคุยอะไร กับสาวสวยตรงหน้าที่ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เขาใกล้ชิดที่สุดก็ห่างกันไปนานแล้ว ครั้งล่าสุดที่ติดต่อกันเมื่อปีที่แล้วก็มีแค่บอกข่าวว่าเจ้าตัวไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ “แล้วพี่ปรางล่ะ อยู่นู่นเป็นไงบ้างครับ”

 

          “ก็มีแหละ แต่ก็คบๆ ไปงั้น กลับไทยก็เลิก” พี่สาวตอบสบายๆ คล้ายไม่ได้สนใจความสัพพันธ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นจริงๆ แต่โชคก็ยังมองเห็นความวูบไหวในแววตาคู่นั้นอยู่แวบหนึ่ง

 

          “งั้นปรางอยู่เป็นเพื่อนน้องแล้วกันนะคะ น้าไปก่อน ใกล้ถึงเวลางานแล้ว” น้าชายหันมาบอกหลานสาว ขณะที่ยกข้อมือดูนาฬิกา พอดีกับแก้วที่ขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนบ้านกลับลงมาพอดี พวกเขาต้องไปร่วงงานเผาศพแม่ของเพื่อนในกลุ่มสมัยมัธยม เด็กสองคนเลยถูกทิ้งให้รออยู่บ้านเพียงลำพัง

 

          “ถ้าหิวก็กินข้าวกันก่อนเลยนะ” แก้วบอกกับคนของตนบ้าง พลางยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนเดินตามร่างสูงใหญ่ออกไป

 

          เด็กสองคนไม่ได้เดินตามออกไปส่ง มีเพียงสายตาของโชคที่มองตามแผ่นหลังของน้าแก้วไป จนมันหายขึ้นรถยุโรปสี่ประตูสีขาวคันใหญ่ของอาธีร์ แล้วแล่นหายไปจากคลองจักษุจึงค่อยหันกลับมา โดยมีใบหน้าสวยหวานยื่นเข้ามารอเสียใกล้อยู่ก่อนแล้ว

 

          “อะ..อะไร พี่ปรางทำไร” โชคสะดุ้งถอยหลังไปหลายก้าวจนหลังชนตู้วางทีวี ส่วนตัวต้นเหตุกลับเหยียดยิ้มมุมปาก พร้อมหรี่ตาลงอย่างคนขี้แกล้งไม่ต่างจากในวัยเด็กเลยสักนิด

 

          “ไปเล่นข้างบ้านกัน” ปรางเอ่ยชวนพร้อมกับก้าวเดินนำออกไป โดยไม่ให้เวลาเด็กชายได้อ้าปากแย้ง

 

          ข้างบ้านที่ปรางพูดถึงผิดจากที่โชคคิดเอาไว้ ปกติพี่สาวคนละสายเลือดของเขามักจะชอบไปนั่งเล่นอยู่ที่ชิงช้าใต้ต้นมะม่วงอยู่ตลอด แต่วันนี้กลับมาโผล่อยู่ใต้ต้นแก้วในลานอิฐแทน เด็กสาวนั่งยองลง ก้มเก็บเอาดอกไม้บอบบางสีขาวขึ้นมาทีละดอกอย่างเบามือ

 

          “จำได้ไหม ที่พี่เคยสอนเราทำมงกุฎดอกไม้” เสียงหวานเอ่ยถาม ฟังดูนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความคิดถึง

 

          “อื้อ ตอนนั้นผมป.สาม” โชคนั่งยองลงข้างๆ เริ่มเก็บดอกไม้เล็กๆ เหล่านั้นตามอีกคนโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาต่างคิดถึงความทรงจำที่แสนห่างไกล ...ครั้งสุดท้ายที่ปรางได้มาเล่นที่บ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้

 

          “อันที่โชคบอกว่าจะทำให้น้าแก้วได้ทำต่อไหม” ปรางถาม เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าวันนั้นเธอกลับไปก่อนที่มงกุฎดอกไม้ของน้องชายตัวเล็กจะเสร็จเต็มวง

 

          “อ่อ เสร็จอยู่ แต่ไม่ค่อยสวยหรอก” โชคหัวเราะแผ่วเบาเมื่อนึกถึงรูปร่างบิดเบี้ยวแปลกประหลาดที่วางลงบนกลุ่มผมนุ่มสีดำสนิทในคืนนั้น ก่อนที่แก้มจะร้อนฉ่าเมื่อคิดไปถึงสิ่งตอบแทนที่ได้รับมา

 

          “แล้วได้ให้ไปรึยัง”

 

          “ให้ไปแล้วครับ”

 

          “น้าแก้วชอบรึเปล่า”

 

          “ก็ชอบอยู่..มั้งครับ”

 

          “เหรอ” หลังจากที่เก็บดอกแก้วได้เต็มอุ้งมือ เด็กสาวกับเด็กหนุ่มก็ขยับขึ้นมานั่งบนม้าหิน ปลายนิ้วขยับจับก้านดอกบิดคล้องกันไปมาโดยระวังน้ำหนักมือไม่ให้แรงมากจนทำตัวดอกหลุดออกจากขั้ว “แล้วโชคล่ะ”

 

          “ผมทำไมเหรอ” ดวงตาคมละสายตาจากพวงดอกไม้ในมือ หันมองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจคำถาม

 

          “ชอบรึเปล่า” ปรางยังคงไม่หยุดมือ ถักร้อยดอกไม้กลิ่นหอมจางต่ออย่างชำนิชำนาญขึ้นกว่าในวัยเยาว์นัก เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ยังขยับพูดต่อไป “น้าแก้วน่ะ”

 

          โชคชะงัก หัวใจเต้นระรัว สองแก้มร้อนฉ่าจนเหมือนจะมอดไหม้ ส่วนในลำคอก็แห้งผากจนไม่มีเสียงจะเอ่ยตอบ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาพูดตอบออกไปอย่างซื่อตรงกับความรู้สึกที่มีจริงๆ ข้างในไม่ได้ต่างหาก

 

          ปรางเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเด็กหนุ่มเงียบไปนาน แต่เมื่อเห็นแววตาสั่นไหวและริมฝีปากที่เม้มเน้นอย่างครุ่นคิดแล้วเธอก็เข้าใจได้ทันที เป็นอย่างที่คิดไว้เลย น้องชายของเธอน่ะ...

 

          “หมายถึงยังชอบน้าแก้วที่สุดเหมือนเดิมรึเปล่า ที่เราเคยคุยกันตอนเด็กๆ ไง” ปรางช่วยขยายความ ดึงย้อนเอาบทสนทนาในสวนหลังบ้านอาธีร์ขึ้นมาให้เด็กหนุ่มตอบง่ายขึ้นอีกสักหน่อย

 

          “เอ่อ ก็..ครับ” โชคพึมพำตอบเสียงเบาหวิว หลุบตาต่ำคล้ายกำลังหลบหนี แต่ถึงอย่างไรคำตอบของเขาก็เป็นความจริง

 

          “นั่นสิเนอะ” ปรางตอบรับ ดวงตาโตใสกระจ่างเบนจากเด็กหนุ่มไปมองต้นไม้ที่กำลังทิ้งดอกโรยลงสู่พื้นแทน รอยยิ้มสดใสเปล่งประกายพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา “ก็น้าแก้วของโชคใจดีที่สุดเลยนี่”




 

          เดือนมิถุนายน ในวันเกิดของโชค เด็กหนุ่มไม่ได้ฉลองครบรอบสิบหกปีที่ห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาว แต่กลับมายืนอยู่ในสนามบินพร้อมกับน้าแก้วและคณะครอบครัวอาธีร์ เพื่อรอส่งพี่สาวที่เพิ่งกลับจากแลกเปลี่ยนมาได้ไม่นาน แต่ตัดสินใจว่าอยากเรียนไฮท์สคูลต่อที่อเมริกามากกว่ากลับมาเรียนที่ไทย พอคุยกับที่บ้านได้ก็รีบติดต่อญาติฝั่งพ่อที่มีบ้านอยู่ที่นั่นทันที เรื่องเอกสารที่จัดทำอย่างเร่งรีบมีปัญหาหลายอย่าง เพราะรัฐที่ปรางเคยไปแลกเปลี่ยนกับที่กำลังจะไปอยู่เป็นคนละรัฐ เวลาเปิดปิดเทอมจึงไม่ตรงกัน แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีแบบฉิวเฉียด

 

          “ไปนะ” ปรางหันมาบอกน้องชายที่ตอนเด็กเธอไม่เคยคิดว่าจะได้มี ยื่นมือไปแตะกับปลายนิ้วที่ใหญ่กว่าเธอเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เกี่ยวขึ้นมาทาบทับเทียบขนาดกันตรงหน้า เกือบสิบปีที่เธอรู้จักเด็กคนนี้มา และเกือบครึ่งหนึ่งของเวลานั้นที่ไม่ได้พบเจอกันเลย พวกเขาต่างเติบโตขึ้นมาก แต่น้องชายก็ยังคงเป็นน้องชายของพี่สาวอยู่ดี “Happy birthday”

 

          “ขอบคุณครับ” โชคยิ้ม ขยับมือสอดประสานกับมือบางเอาไว้แล้วบีบเบาๆ “โชคดีนะพี่ปราง”

 

          “อื้อ” เสียงหวานใสดังขึ้นข้างหูเมื่อเด็กสาวโถมตัวเข้ากอดเขาแน่น เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาแนบชิดกันขนาดนี้ แต่โชคก็ไม่ได้ขัดเขินหรือลังเลที่จะยกแขนขึ้นโอบตอบ ในหัวใจรู้สึกวูบโหวงขึ้นมานิดหน่อยเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะบินห่างไปแสนไกล แต่มันก็ยังคงพองฟูเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังดีและความห่วงใยที่มีให้กัน “ไว้เจอกันนะ”

 

          “ไว้เจอกันครับ”

 

 

 

          คืนนั้นหลังออกจากสนามบินตอนหัวค่ำ ธีร์กับแก้วแวะซื้อเค้กปอนด์กลับมาปักเทียนฉลองวันเกิดให้เด็กหนุ่ม เพียงแต่ไม่มีมื้ออาหารเช่นเคยเพราะไปกินกันมาตอนเลี้ยงส่งปรางแล้ว และเมื่อกินเค้กกันเสร็จตอนใกล้จะสามทุ่ม ธีร์ก็กลับบ้านตัวเองเพราะวันถัดไปมีงานที่ต้องเข้าไปร้านแต่เช้า ทั้งบ้านตอนนี้จึงเหลือเพียงเจ้าของบ้าน เด็กหนุ่ม แล้วก็แมว

 

          “เหงารึเปล่า” แก้วถามขึ้นมาขณะที่ทอดสายตามองคนข้างๆ ที่ดูห่อเหี่ยวนิดหน่อย เพราะช่วงสามสัปดาห์มานี้จะมีพี่สาวแวะเวียนมาเล่นด้วยอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากนี้คงไม่ได้เจอกันอีกนาน

 

          “ก็ไม่ได้เหงาหรอกครับ” โชคเงยหน้าขึ้นมาตอบ คลี่ยิ้มนิดๆ ที่ดูแล้วไม่เห็นเป็นอย่างปากว่า “ผมแค่คิดว่าพอคนเราโตก็ต้องห่างกันไปสินะครับ ทั้งที่เคยสนิทกันมาก แต่สุดท้ายก็ต้องแยกกันไปมีชีวิตของตัวเองอยู่ดี”

 

          “อืม ก็ปกติล่ะนะ” คนที่โตจนเป็นผู้ใหญ่แล้วเอ่ยตอบ ยื่นมือไปคว้าศีรษะเด็กหนุ่มที่ยังคงอยู่ในช่วงเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในสักวันให้ลงมานอนหนุนตัก มันเป็นการแสดงออกถึงความใกล้ชิดเล็กๆ น้อยๆ ที่โชคชื่นชอบตอนยังเด็ก และในตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีเสียงของหัวใจเต้นโครมครามและความรู้สึกวูบวาบที่แล่นไปตามกระดูกสันหลังกับช่องท้องเพิ่มขึ้นมาก็ตามที

 

          “แล้วผมกับน้าแก้วล่ะ” โชคเอ่ยด้วยเสียงสั่นน้อยๆ ทั้งด้วยหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอก และความรู้สึกวูบโหวงที่ซึมเข้ามาพร้อมกับคำตอบรับของชายหนุ่ม เรียวคิ้วเหนือดวงตาสีเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างครุ่นคิด แก้วใช้เวลาสักพักก่อนจะให้คำตอบ

 

          “นั่นสินะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ความเงียบงันกัดกินเสี้ยวนาทีให้ยาวนานในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม ก่อนที่แก้วจะวางมือทิ้งไว้บนหน้าผากที่เคยเล็กนิดเดียว แต่ตอนนี้กลับเต็มมือเขาแล้วด้วยความเอ็นดู “วันนึงที่เธอโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็อาจจะออกไปสร้างบ้าน มีครอบครัวของเธอเอง แล้วก็คงห่างจากฉันไป.. แต่ว่านะ โชค ถึงตอนนั้นฉันก็ยังจะอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่ก็จะยังเป็นบ้านของเธออยู่ไม่ว่าเธอจะจากมันไปไกลแค่ไหน เธอกลับมาหาฉันได้ตลอดนั่นแหละนะ”

 

          แก้วระบายยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้โชคจมลงไปในความอบอุ่นที่สว่างไสว แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มเจิดจ้าแบบที่อาธีร์ครอบครอง แต่รอยยิ้มของน้าแก้วก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตาพร่า

 

          “เพราะงั้นมันไม่เป็นไรหรอก ต่อให้สักวันเราต้องห่างกันไป ฉันกับเธอก็ไม่ได้ห่างไกลกันจริงๆ”

 

          “ตลอดไปเลยรึเปล่าครับ” โชคพึมพำ ฟังดูคล้ายคำอ้อนวอนมากกว่าเอ่ยถาม

 

          “ตลอดไปไม่ได้หรอก แต่ฉันก็อยากให้มันนานที่สุดเท่าที่ทำได้” แต่แก้วก็ตอบอยู่ดี



 

          การสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่งอยู่ในช่วงต้นเดือนตุลาคม โชคกับมิกซ์จึงถูกป้าดาส่งไปติวพิเศษเสริมหลังเลิกเรียนตั้งแต่เดือนกันยา กว่าเด็กหนุ่มจะกลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดเหลือเพียงแสงจากหลอดไฟให้ความสว่างแล้ว ที่หน้าบ้านกับห้องนั่งเล่นเปิดไฟไว้รอเขา แต่ข้างในกลับเงียบเหงาไม่มีคนอยู่เลย

 

          โชคพอจะเดาได้ว่าน้าแก้วคงอยู่ในห้องทำงานตามปกติ แม้มองจากข้างนอกจะไม่เห็นไฟเปิดก็ตาม ส่วนอาธีร์ถ้าวันไหนอยู่ที่บ้านก็จะเห็นอยู่ในห้องนั่งเล่น ดูทีวีหยอกมะลิไปตามเรื่องเพื่อรอเขากลับถึงบ้านแล้วค่อยกินข้าวเย็นพร้อมกัน แต่ถ้าไม่เห็นอยู่แถวนี้ก็คงไม่ได้มา

 

          เพราะคิดอย่างนั้นโชคเลยตรงไปที่หน้าประตูห้องทำงานเพื่อที่จะบอกเจ้าของบ้านหนุ่มว่าเขากลับมาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ยกมือเคาะตามมารยาท เสียงที่ดังลอดออกมาก็ทำให้เขาต้องลดมือลง แม้บทสนทนาจะงึมงำแผ่วเบาจนเขาฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงถอนสัมผัสฉ่ำชื้นนั้นกลับชัดเจน

 

          เด็กหนุ่มรีบหนีขึ้นไปอยู่บนห้อง ปิดขังตัวเองไว้ให้ความขุ่นเคืองบรรเทาลง น้าแก้วกับอาธีร์ไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกตนออกมา แต่ก็ไม่เคยปิดบังเลยเช่นกัน สำหรับโชคแล้วมันจึงเป็นความคลุมเครือที่แสนชัดเจน

 

          และเพราะความคลุมเครือ เขาจึงทำเป็นมองข้ามเพื่อให้หัวใจของตัวเองไม่เจ็บปวดนัก

 

          และก็เพราะความชัดเจน เขาถึงได้ทำใจให้ยอมรับเพื่อให้คนสำคัญของเขามีความสุข

 

          มันไม่ใช่ความผิดของแก้วกับธีร์ที่เขาต้องเจ็บปวด เช่นนั้นแล้วมันถึงเป็นโชคเองที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้




 

          หลังสอบปลายภาคก็เข้าสู่การปิดเทอมเล็ก โชคแวะไปบ้านมิกซ์บ้างเป็นครั้งคราวยามที่ว่างจนไม่มีอะไรทำ แต่วันนี้กลับกันตรงที่หน้าบ้านเขามีมอเตอร์ไซต์คันคุ้นตา กับเพื่อนสนิทที่ยืนยิ้มร่าอยู่นอกรั้วพร้อมกับเป้ใบใหญ่ที่สะพายติดหลังมาด้วย

 

          “คืนนี้ขอนอนด้วยดิ”

 

          ตอนที่มิกซ์มาถึงเป็นช่วงสิบเอ็ดโมงเช้า โชคเลยทำอาหารเที่ยงง่ายๆ กินกันสองคน พอตกบ่ายก็เอาเครื่องเกมที่ธีร์ซื้อมาติดบ้านไว้ให้เขาออกมาต่อกับจอทีวีเล่นกัน สลับกับอ่านหนังสือการ์ตูนที่เด็กหนุ่มอีกคนเอาติดตัวมาด้วยจนมืดค่ำ

 

          “เมี๊ยวๆๆๆๆ” มิกซ์ที่เบื่อกับการเล่นเกมและกองหนังสือแล้วเลื้อยตัวลงไปนอนบนพื้นกระเบื้อง หยิบของเล่นแมวทำมือขึ้นมาโบกล่อให้มะลิมาเล่นด้วยแทน

 

          “อย่างจับแรงนะ มะลิท้องอยู่” โชคหันมาเตือนเพื่อนเมื่อแมวสาวเดินเข้ามาทิ้งตัวลงคลอเคลียกับแขกที่นานๆ ครั้งจะโผล่มา แต่ก็แวะเวียนมาเรื่อยจนคุ้นหน้าคุ้นกลิ่นตลอดหลายปีที่เธออยู่ในบ้านหลังนี้

 

          “แม่มะลิคนสวย ไปท้องกับใครมาอีกแล้วเนี่ย” เด็กหนุ่มร่างเล็กก้มลงไปใช้จมูกดุนเนินท้องนูนใต้กลุ่มขนนุ่ม พูดถามแม่แมวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ก่อนจะโดนอุ้งเท้านิ่มแปะลงบนหน้าคล้ายโดนดุเบาๆ ว่าเสียมารยาท ทำเอาเจ้าตัวหัวเราะคิกคักก่อนจะแกล้งเป่าลมใส่คืน เป็นจังหวะเดียวกับที่ทุกคนได้ยินเสียงประตูรั้วด้านนอกเปิดออก

 

          “กลับมาแล้ว” แก้วถือถุงกับข้าวเข้ามาเอ่ยบอก ก่อนจะชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นแขกที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอในเวลานี้ของวัน “มิกซ์ก็อยู่ด้วยเหรอ”

 

          “สวัสดีครับน้าแก้ว” เจ้าของชื่อทกทายเสียงใส ขณะที่โชคเดินไปรับถุงอาหารเย็นจากคนที่เพิ่งกลับมา

 

          “ผมส่งข้อความไปบอกน้าแก้วแล้วนะว่าคืนนี้มิกซ์มานอนด้วย”

 

          “อ่อ โทษที ฉันไม่ได้เปิดดูน่ะ” แก้วพยักหน้ารับ วันนี้เขาค่อนข้างจะยุ่ง แถมนิสัยส่วนตัวก็ไม่ค่อยติดโทรศัพท์เสียด้วย โชคผงกหัวหงึกหงักเดินเข้าครัวไปเตรียมจัดสำรับมื้อเย็น ได้ยินเพียงเสียงสดใสร่าเริงของมิกซ์ที่ทักทายคนตัวใหญ่ที่เดินหอบกระบอกแปลนกับกระเป๋าเอกสารของเจ้าของบ้านตามเข้ามาทีหลัง ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตักข้าวไว้กี่จาน

 

 

 

          โชคที่ลงไปอาบน้ำต่อจากมิกซ์กลับขึ้นมาบนห้องในตอนที่เพื่อนสนิทเพิ่งวางสายโทรศัพท์จากแม่พอดี เพราะป้าดาต้องไปทำธุระทำให้ที่บ้านเหลือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว เลยต้องฝากฝังให้มานอนค้างที่นี่เพื่อความสบายใจตามประสาคนเป็นแม่

 

          “ป้าดาเหรอ” โชคถามทั้งที่เดาได้อยู่แล้วเมื่อเพื่อนหันมาสบตาพอดี

 

          “อื้อ โทรมาสั่งว่าให้ทำตัวดีๆ นี่แม่เห็นกูเป็นคนยังไงวะ” คำพูดของลูกชายตัวแสบทำให้โชคยิ้มขบขันน้อยๆ

 

          “คนดื้อ”

 

          “โห มึงพูดซะน่ารักเลย” มิกซ์หัวเราะกับคำของเพื่อน เขาเป็นคนโผงผางเหมือนแม่ แถมยังหัวดื้อกว่าใคร คำพูดคำจาจึงค่อนข้างจะรุนแรงตามประสาเด็กหนุ่มกำลังโต ผิดกับโชคที่จนถึงตอนนี้ คำหยาบคายที่สุดที่หลุดจากปากก็มีแค่สรรพนามแทนตัวอย่างกูกับมึงเท่านั้น

 

          “ก็น้าแก้วกับอาธีร์ไม่ชอบให้พูดคำหยาบ” โชครู้ว่าในตอนที่เขายังเด็ก ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่อยากให้เขาเติบโตมาเป็นคนหยาบคายเลยพยายามสอนให้เขาพูดจาดีๆ มาตลอด จนพอเริ่มโตสองคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้อีก ปล่อยให้เขาเรียนรู้และคิดเองว่าอะไรควรไม่ควรไปตามวัย ซึ่งต่อให้ตอนนี้เขาจะพูดคำหยาบบ้างกับเพื่อนฝูงก็คงไม่โดนดุอะไร แต่ยังไงเขาก็ไม่อยากให้ใครมาบอกว่าที่บ้านไม่สั่งสอนอยู่ดี “แล้วกูก็ไม่อยากพูดด้วย”

 

          “อืออออ เด็กดี” มิกซ์ครางรับยาวๆ ในคออย่างยอมแพ้ให้กับนิสัยติดตัวที่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบใจอะไรของเพื่อนคนนี้ และโดยที่ไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มเองก็ได้รับอิทธิพลจากความสุภาพของอีกฝ่ายมาไม่น้อย อย่างในเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาก็แทบจะไม่มีคำหยาบหลุดออกมาจากปากเลยเหมือนกัน “เออ มึง”

 

          “หื้อ” โชคขานรับ เมื่อดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทจะคิดขึ้นได้ว่ามีอะไรที่อยากพูดอยู่อีก

 

          “น้าแก้วกับอาธีร์คบกันเหรอ”

 

          คำถามนั้นทำเอาคนถูกถามหายใจสะดุด ท่ามกลางความเงียบที่โรยตัวลงมาอย่างน่าอึดอัด โชคได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศปนกับเสียงลมหายใจของตัวเอง ผิดกับมิกซ์ที่ยังคงนั่งตาใสรอคำตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก

 

          “ทำไม...” โชคถามกลับ แต่เป็นคำถามที่ไม่จบประโยค เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่

 

          “ห้ะ ก็ไม่ทำไม กูแค่คิดว่าน้าแก้วกับอาธีร์ทำตัวเหมือนแฟนกันเฉยๆ” แม้คำถามจะคลุมเครือ มิกซ์ก็ยังตอบกลับมาแบบสบายๆ ตามที่ตัวเองเข้าใจ และด้วยท่าทีของเจ้าตัวนั่นเองที่ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันผ่อนคลายลงจนเขาเริ่มหายใจได้คล่องขึ้นนิดหน่อย

 

          “ก็ไม่รู้สิ สองคนนั้นไม่เคยพูดอะไรเรื่องนี้เลย” โชคเบนสายตาหลบขณะที่พูดออกไป รู้สึกเหมือนโกหกทั้งที่พูดความจริง อาจเพราะมันเป็นความจริงที่ทั้งสองคนนั้นไม่เคยพูด แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ

 

          มิกซ์พยักหน้ารับ แล้วหันกลับไปสนใจอย่างอื่นต่อราวกับเรื่องที่พูดคุยกันไปไม่ได้สำคัญอะไรมาก แต่สำหรับโชคแล้วมันไม่ใช่ สำหรับเขามันสำคัญ และเขายังมีคำถามที่ไม่เคยเอ่ยถามใครได้เลยอยู่

 

          “มิกซ์”

 

          “ห้ะ”

 

          “แล้วถ้าน้าแก้วกับอาธีร์คบกันจริงๆ ..” โชคเว้นช่วงไปอย่างลังเลว่าควรถามออกไปรึเปล่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะพูด เมื่อสายตาของมิกซ์มันบอกว่าไม่ว่าเขาจะถามอะไร เจ้าตัวก็จะตอบมันกลับมาอย่างซื่อตรง “มันไม่แปลกเหรอวะ”

 

          “ก็คงแปลกแหละ” คำตอบทันทีทันใดทำเอาหัวใจเด็กหนุ่มหล่นวูบ แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป “แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยเปล่าวะ มันก็อาจจะแปลกๆ สำหรับคนอื่น แต่ถ้าสองคนนั้นมีความสุขแล้วมันจะทำไม คนเราก็รักคนที่ตัวเองรักกันทั้งนั้นแหละ”

 

          “อืม นั่นสินะ” โชคพึมพำ กับขอบตาที่ร้อนผะผ่าว เขายังมีสิ่งที่อยากจะบอกคนตรงหน้าอีก และรู้ว่าต่อให้บอกไปเพื่อนสนิทของเขาก็คงจะยอมรับมันได้อย่างง่ายดาย

 

          ...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

 

 

 

TBC...

          และสาวสวยที่กลับมาเยี่ยมเยียนก็คือพี่ปรางนั่นเองค่า :katai2-1: หายไปนานเลยสำหรับเด็กสาวแสนสวยคนนี้ พี่ปรางมีส่วนในการเติบโตของเด็กชายโชคมากจริงๆ นะคะในตอนยังเด็ก เพื่อนคนแรกอะเน้ออ ส่วนน้องมิกซ์เองก็เป็นอีกคนที่ทำให้รีนรู้สึกภูมิใจเหลือเกินที่สร้างเขาขึ้นมา ทั้งนิสัย ความคิด และจิตใจ ช่างเป็นเด็กที่ดีจริงๆ เลยค่ะ ฮรืออออ

          ในตอนนี้น้องโชคก็ยังคงอยู่ในช่วงการจัดการความรู้สึกนะคะ น้องพยายามทำใจ แต่ก็ยังคงเจ็บปวด เป็นความปกติธรรมดาของคนที่ยังรักอยู่ เอาใจช่วยน้องกันด้วยนะคะ :mew1:

 

          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่าน

          ขอบคุณค่ะ

 

          See you on วันพฤหัสบดีน้าาาา
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 20 [30.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: narongyut ที่ 31-07-2020 22:29:17
 :hao4: โชคเติบโตขึ้นแล้ว คงเข้าใจทุกอย่างมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 20 [30.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: manarina ที่ 01-08-2020 21:12:55
อ่านแล้วอินค่ะ แง  :o12:
เหมือนกะลังสิงน้องโชคอยู่ เลยอดอินกะความหวานชื่นเลยอะ แต่ก็ยังอยากให้ทั้งสองคนมีความรักที่ราบรื่นนะคะ อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคุณน้าคุณอา
เอาเป็นว่าสู้ๆ นะคะน้องโชค กอดๆ นะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 21 [30.07.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 06-08-2020 19:54:51

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 21
 



          ปิดเทอมเล็กสามสัปดาห์แสนสั้น พอเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน เด็กนักเรียนก็ต้องกลับไปเรียนเทอมที่สองกันแล้ว

 

          วันแรกของการเปิดเทอมของโชคยังคงเหมือนกับทุกที แก้วจะออกมาส่งเด็กหนุ่มที่หน้าประตู จนคล้ายเป็นธรรมเนียมประจำบ้านไปเสียแล้ว

 

          “ค่าขนมพอไหม” ชายหนุ่มถามเด็กในปกครองของเขา ตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมมาเขายังไม่เคยปรับขึ้นค่าขนมให้อีกฝ่ายเลยสักครั้ง

 

          “พออยู่ครับ ไม่ต้องจ่ายค่ารถแล้วเลยเหลือตั้งเยอะ” โชคตอบพลางสวมรองเท้าไปด้วย พอเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ “ผมไปนะครับ”

 

          “อื้ม” แก้วมองตามร่างสูงของเด็กหนุ่มที่วิ่งเยาะๆ ออกไปกระโดดขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์เพื่อนสนิท แล้วก็ได้แต่คิดว่าเด็กๆ นั้นเติบโตกันเร็วมากจริงๆ “ขี่รถกันดีๆ ล่ะ”

 

          “ครับ”

 

          “คร้าบ”

 

 

 

          ก่อนจะเข้าโรงเรียน มิกซ์แวะซื้อหมูปิ้งข้างทางเจ้าประจำที่มาตั้งแผงอยู่แถวหน้าประตูอย่างทุกทีเป็นการต้อนรับเทอมใหม่ ส่วนโชคที่กินข้าวเช้ามาจากบ้านก็จะนั่งกอดกระเป๋ารออยู่ที่รถจนเป็นกิจวัตร คอยผงกหัวเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมห้องร่วมชั้นหรือรุ่นพี่รุ่นน้องคนรู้จักที่เดินผ่านบ้างตามเรื่องตามราว

 

          เพียงแต่วันนี้คนที่เข้ามาทักทายเขาไม่ได้มีแค่เด็กจากโรงเรียนชายล้วนด้วยกัน

 

          “น้องโชคคะ” เด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายของโรงเรียนสหศึกษาห่างไปไม่ไกลเอ่ยทัก เสียงใสสั่นเล็กน้อย แต่ก็ดังชัดเจน กับผิวแก้มขึ้นสีเรื่อจางอย่างขัดเขิน

 

          “อะ ครับ” โชคประหลาดใจนิดหน่อยที่โดยทักโดยคนแปลกหน้า แต่ก็ขานรับพร้อมรอยยิ้มไป

 

          “เอ่อ.. คือ..” เด็กสาวยิ้มแหยอย่างทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนมือไม้เกะกะไปหมด ทั้งลำคอก็แหบแห้งเสียจนเสียงหาย แต่เธอก็ตัดสินใจมาแล้วว่าจะบอกออกไป แม้หัวใจจะเต้นโครมครามแค่ไหน ก็พยายามบังคับเสียงที่พูดออกไปให้สงบนิ่งที่สุด “พี่ชอบโชคนะคะ ชอบมานานแล้ว”

 

          คราวนี้คนที่ทำตัวไม่ถูกกลายเป็นเด็กหนุ่มเอง โชครู้สึกว่าแก้มร้อนวูบและท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา แต่ไม่เหมือนกับที่เขาประหม่าตอนอยู่กับน้าแก้ว มันเป็นความขัดเขินอีกแบบหนึ่งที่ยังไม่เคยได้รู้จัก และเพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยสักคำเดียว

 

          “อ๊ะ พี่ชื่อแพรนะ มันคงแปลกๆ แหละเนอะที่อยู่ๆ ก็มาพูดแบบนี้” เด็กสาวที่เพิ่งแนะนำตัวเสร็จพูดรัวเร็วอย่างเขินอาย กอปรกับที่เวลาก่อนเข้าเรียนเหลือไม่มากแล้ว เธอเลยยิ่งดูร้อนรนนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าและความหวังในนัยน์ตาก็ยังไม่คลายลง “ไว้พรุ่งนี้เช้าพี่ขอมาหาอีกนะคะ”

 

          โชคได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางโรงเรียนของเจ้าตัวอย่างงงๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้มันรวดเร็วมากจนเขาตามไม่ทัน ผิดกับเพื่อนรักที่ซื้อหมูปิ้งเสร็จแล้วกลับมาทันฉากสำคัญพอดี แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าที่ได้ยินมานั้นถูกต้องหรือเปล่า

 

          “เมื่อกี้ใครวะ”

 

          “พี่เขาบอกว่าชื่อแพร”

 

          “อาฮะ”

 

          “แล้วก็บอกว่าชอบกู”

 

          “แล้วมึงว่าไง”

 

          “ไม่ว่าไง”

 

          “ห้ะ”

 

          “ไม่ว่าไง ก็กูไม่ได้ชอบเขา” หลังจากโชคตอบแบบนั้นออกไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง มิกซ์ก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้

 

          และในเช้าวันต่อมา เด็กสาวก็มารอเจอโชคที่เดิมอย่างที่บอกเอาไว้

 




 

          ต้นเดือนธันวาอากาศยังไม่หนาวมาก แต่ในตอนเช้าก็ยังพอมีลมเย็นๆ พัดผ่านมาพอให้ได้รู้สึกถึงฤดูกาลอยู่ หน้าโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยเหล่าเด็กนักเรียนที่สวมเสื้อกันหนาวหลากสีเดินกันเพ่นพ่าน และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีเด็กสาวรุ่นพี่มายืนรอโชคอยู่ข้างร้านหมูปิ้งเจ้าประจำของเพื่อนสนิท

 

          “หวัดดีครับพี่แพร” เสียงแรกที่ทักทายไม่ใช่ของโชค แต่เป็นมิกซ์ที่โบกมือพร้อมยิ้มร่าก่อนเดินเลยสาวเจ้าไปซื้อหมูปิ้ง ทิ้งให้เพื่อนอยู่กับสาวเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา

 

          “สวัสดีครับพี่แพร” โชคลงจากรถ ไปยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลคนที่มารอตน แพรอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว เทอมนี้จึงเป็นเทอมสุดท้ายของชีวิตมัธยม และเป็นเหตุผลเดียวกับที่เธอตัดสินใจมาสารภาพความรู้สึก

 

          “อื้ม ขี่มอ’ ไซต์มากันไม่หนาวเหรอ” ไม่พูดเปล่า มือเรียวบางเอื้อมมาแตะผิวแก้มเย็นเฉียบให้ร้อนวูบจากอุณหภูมิที่ต่างกันชัดเจน “แก้มเย็นมากเลยนะ”

 

          “ก็..ครับ” โชคไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสเบาบางนั้นตรงๆ เพียงแค่ยกคอเสื้อกันหนาวขึ้นมาปิดถึงจมูก ให้ความร้อนจากลมหายใจแล่นวนอยู่ใต้เนื้อผ้าหนาช่วยคลายความเย็นบนใบหน้าหลังจากที่ตากลมมา

 

          “วันเสาร์นี้น้องโชคว่างรึเปล่าคะ” แพรยังคงถามต่อด้วยรอยยิ้ม ถดมือกลับอย่างเข้าใจการปฏิเสธแบบอ้อมๆ นั้น

 

          “วันเสาร์ผมมีเรียนพิเศษตอนบ่าย แต่วันอาทิตย์ว่างทั้งวันครับ” โชคตอบตามจริง และมันก็ช่วยให้รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กสาวมีชีวิตชีวาขึ้นไปอีก

 

          “งั้นวันอาทิตย์ไปเที่ยวกันไหม”

 

          “...ครับ ได้ครับ” โชคตอบรับคำชวน สำหรับเขาแล้วการอยู่ใกล้ๆ กับผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แพรเป็นคนร่าเริง แถมยังคุยสนุก และถึงการแสดงออกของอีกฝ่ายจะชัดเจนแค่ไหน แพรก็ไม่ได้ยัดเหยียดอะไรให้เขาต้องลำบากใจเลยสักครั้ง

 

 

 

          เช้าวันอาทิตย์ที่นัดไว้มาถึง โชคตื่นเช้ากว่าปกติที่เคยตื่นในวันหยุดนิดหน่อย ชั้นล่างของบ้านยังคงเงียบสนิทเมื่อเจ้าของบ้านอีกคนยังหลับอยู่ จนกระทั่งเด็กหนุ่มอาบน้ำสระผมแล้วกลับขึ้นไปแต่งตัวในชุดที่ดูดีกว่าชุดอยู่บ้านเสร็จแล้ว แก้วถึงค่อยออกจากห้องลงมา

 

          “แต่งตัวหล่อเชียวนะ” แก้วเอ่ยแซวยิ้มๆ เมื่อรู้จากเด็กหนุ่มแล้วว่าวันนี้เจ้าตัวจะไปเที่ยวกับสาวรุ่นพี่ต่างโรงเรียน

 

          “ก็ปกตินี่ครับ” โชคหันมาตอบสบายๆ เมื่อการไปเที่ยวกับแพรสำหรับเขาแล้วก็เหมือนไปเที่ยวกับเพื่อน ก่อนจะกลับไปสนใจข้าวต้มในหม้อต่อ “น้าแก้วเอากาแฟไหม เดี๋ยวผมชงให้”

 

          “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันชงเอง” ชายหนุ่มปฏิเสธคนที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่หน้าเตา เดินไปกดน้ำร้อนใส่กาแฟสำเร็จรูปจากกระติกไฟฟ้าที่อีกคนเสียบปลั๊กไว้รอให้ก่อนแล้ว “จะไปเที่ยวไหนกันบ้างล่ะ”

 

          “ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่แพรบอกแค่ว่าจะไปดูหนัง แล้วก็ไปกินเค้กที่ไหนสักที่แถวๆ นั้นแหละ” โชคว่าตามที่ฝ่ายสาวเจ้าบอกมาในแชทที่คุยกันเมื่อคืน ก่อนจะปิดเตาแก๊สแล้วตัดข้าวต้มแบ่งใส่สองถ้วยให้แก้วด้วย

 

          มื้อเช้าในวันหยุดของพวกเขาดำเนินไปอย่างสงบสุขเหมือนทุกเช้าวันหยุดที่ผ่านมาตลอดหลายปี แก้วยังคงเป็นคนพูดน้อยเหมือนเคย เพียงแต่โชคที่เติบโตขึ้นแล้วชวนคุยเก่งขึ้นกว่าเก่า ระหว่างมื้ออาหารจึงมีเสียงพูดคุยเรื่อยเปื่อยเพิ่มเติมเข้ามาให้บ้านทั้งหลังดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

 

          “ผมไปก่อนนะครับ” โชคโผล่หน้าข้ามระเบียงเฉลียงไม้มาบอกคนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ในลานอิฐข้างบ้านเมื่อใกล้ถึงเวลาต้องออกเดินทาง แก้วที่นั่งอยู่บนม้าหินเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหนุ่มจากองศาที่ต่ำกว่า โชคหัวใจกระตุก รู้สึกร้อนวูบและหนึบชาในเวลาเดียวกัน แต่ตัวต้นเหตุกลับไม่รู้เลย และเพราะไม่รู้แก้วถึงได้ระบายยิ้มซุกซนอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

 

          ริมฝีปากที่คาบมวนบุหรี่ไว้หมิ่นเหม่แย้มยิ้ม ดวงตาสีเข้มที่ช้อนขึ้นสบทอประกายแวววาวเมื่อริ้วแสงส่องลงมาทอดกายเหนือใบหน้าชวนมองพอดี ทุกอย่างในวินาทีนั้นล้วนสมบูรณ์แบบสำหรับโชค ทั้งลมหนาวที่พัดผ่านมาอ้อยอิ่ง ทั้งกิ่งต้นไม้กลางลานที่โยกไหวบิดเบือนแสงแดดให้เต้นระบำ ทั้งดอกไม้สีขาวที่โปรยปรายลงเป็นฉากหลัง และผู้ชายที่อยู่ในม่านควันเบาบาง

 

          ทั้งหมดนั้นช่างสมบูรณ์แบบ...

 

          ภาพของน้าแก้วยังเป็นภาพที่งดงามที่สุดในสายตาเขาเสมอ

 

          “โชค” เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์สีทองของแสงตะวันในห้วงของการตกหลุมรักซ้ำๆ กลับมาสู่ความเป็นจริงที่แก้วลุกยืนเต็มความสูงจนใบหน้าเลยขอบเฉลียงขึ้นมาอยู่ในระยะที่แขนของเด็กหนุ่มเอื้อมถึง แต่โชคก็รู้ว่าเขาคว้าไม่ถึงอยู่ดี

 

          “ครับน้าแก้ว” โชคกลืนความรู้สึกที่ล้นอยู่ในอกกลับลงไป เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติที่เขาใช้เวลาเกือบปีกว่าจะทำให้มันเป็นธรรมชาติในเวลาแบบนี้ได้ขนาดนี้

 

          “อะ เอาไป” แก้ววางเงินแบงก์สีเทาลงในมือเด็กหนุ่ม เห็นโชคจะอ้าปากปฏิเสธก็ชิงพูดดักก่อน “เผื่อไว้ถ้ามันจำเป็นจะได้มีใช้ ถ้าเหลือยังไงก็ค่อยเอามาคืน โอเคไหม”

 

          “...โอเคครับ” และโชคก็ทำได้แค่งึมงำตอบ ก่อนจะออกจากบ้านมาโดยมีเจ้าของรอยยิ้มกลิ่นควันบุหรี่มองส่งจนลับตา

 

 

 

          โชคนั่งรถโดยสารประจำทางไปลงสถานีรถไฟฟ้า แล้วต่อตรงไปลงใกล้ห้างดังย่านกลางเมือง ใช้เวลาไม่นานเลยที่จะตามหาคนที่นัดเขาไว้ให้เจอเมื่ออีกฝ่ายมายืนรอตรงจุดนัดพบอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังแต่งหน้าแต่งตัวมาอย่างที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้มากไปจนเกินพอดี

 

          “น้องโชค” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มแพรก็ยิ้มสดใส รีบเดินเข้ามาหาทันที “กินข้าวมารึยังคะ ใกล้เที่ยงแล้ว หิวรึเปล่า”

 

          “ผมกินข้าวเช้ามาแล้วครับ แต่ถ้าพี่แพรหิวแล้วเราไปกินข้าวเที่ยงเลยก็ได้” โชคตอบ ก้าวเท้าเดินเคียงข้างร่างกายที่เล็กกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดไปตามที่อีกฝ่ายนำ

 

          แพรเป็นคนตัวค่อนข้างเล็ก ใบหน้าเรียวรูปไข่กับเครื่องหน้าอย่างละนิดละหน่อยทำให้ดูน่ารักมากกว่าสวย ในเรื่องของหน้าตาสำหรับโชคแล้วแพรสวยไม่สู้ปรางที่เขาโตมาด้วยตั้งแต่เด็ก รายนั้นจัดว่าเป็นพวกหน้าตาดีมาตั้งแต่ดีเอ็นเอ ตอนเด็กก็เป็นสาวน้อยน่ารัก โตมาเป็นสาวสวยพราวเสน่ห์ แต่ก็เพราะแตกต่างโชคถึงได้รู้สึกว่าคนข้างๆ มีอะไรให้สังเกตมากกว่าความสวยทุกมุมมองอย่างที่เขาเคยเห็นมา

 

          “กินร้านนี้ดีไหมคะ หรือน้องโชคอยากกินอย่างอื่น” แพรหันมาถามเมื่อถึงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นจานข้าวที่ราคาไม่ถึงกับฉีกกระเป๋าเด็กมัธยมอย่างพวกเขา

 

          “เอาร้านนี้ก็ได้ครับ” โชคพยักหน้า กดปุ่มเปิดประตูกระจกบานเลื่อนให้เด็กสาวเข้าไปก่อน แล้วตัวเองค่อยตามเข้าไป

 

          นอกจากโชคที่สังเกตอีกฝ่ายในมุมต่างๆ แพรเองก็สังเกตเห็นความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กหนุ่มแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

 

          หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว โชคกับแพรก็ไปดูหนังด้วยกัน มันเป็นหนังญี่ปุ่นที่เน้นเรื่องราวของครอบครัวและมิตรภาพ บรรยากาศหลังออกจากโรงจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ และแพรก็ได้เห็นโชคยิ้ม ยิ้มแบบที่ไม่ใช่ยิ้มที่มอบให้เธอหรือใครอื่นที่เธอเคยเห็น มันเป็นรอยยิ้มที่ทั้งรักใคร่และมั่นคงจนแก้มเธอร้อนผ่าว แม้มันจะไม่ได้ส่งมาให้เธอก็ตาม

 

          “น้องโชคชอบหนังครอบครัวเหรอคะ” แพรถามหลังจากที่แยกกันไปเข้าห้องน้ำมาแล้ว แต่อารมณ์ที่ยังคงตกค้างอยู่ในดวงตาคมคู่สวยก็ยังฉายชัด

 

          โชคนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ ด้วยแววตาที่ลึกซึ้งเกินกว่าแพรจะเข้าใจได้ “ครับ มันทำให้รู้สึกอบอุ่นดี”

 

          “นั่นสิเนอะ เหมือนแดดตอนบ่ายที่ส่องเข้ามาในห้องนั่งเล่นเลย” โชคยิ้มกับคำพูดของเด็กสาว เพียงแต่ภาพของเขามันไม่ใช่แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาอาบไล้ห้องนั่งเล่น แต่เป็นกลางดึกที่พายุฝนโหมกระหน่ำ กับมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาตรงหน้า

 

 

 

          เดตของหนุ่มสาวจบลงหลังการไปกินขนมหวานและเดินเที่ยวตามร้านขายของต่างๆ ห้าโมงเย็นของหน้าหนาวมืดเร็วกว่าเวลา แพรเลยได้ใช้ช่วงเวลาไม่กี่นาทีสุดท้ายกับเด็กหนุ่มใต้ท้องฟ้าสีม่วงเทา บนบาทวิถีขณะรอรถประจำทางสายที่ผ่านบ้านเธอแล่นเข้าเทียบป้าย

 

          “น้องโชค”

 

          “ครับ”

 

          “พี่ชอบโชคนะ” แพรบอกความรู้สึกของเธอออกไปอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้จังหวะลมหายใจไม่สะดุด และเสียงไม่สั่นเหมือนกับครั้งแรกแล้ว ทั้งที่ความตื่นเต้นยังเด้งโครมครามอยู่ในอก แต่ในใจกลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด “ชอบมากเลยจริงๆ”

 

          “ครับ” คำตอบรับสั้นๆ ที่ไม่มีการตอบกลับ แพรเคยได้ยินมาว่ารับรู้แต่ไม่ได้รักนั้นเจ็บปวด แต่สำหรับเธอแล้วมันไม่เห็นจะร้าวรานอย่างนั้นเลย

 

          “น้องโชค” ความตั้งใจสุดท้ายที่เตรียมมาในวันนี้ทำให้ใบหน้าน่ารักหันมองขึ้นไปยังดวงดาวคู่หนึ่งซึ่งตรึงหัวใจของเธอเอาไว้ จ้องสบกับนัยน์ตาพราวระยับของชายที่เธอตกหลุมรัก เอ่ยถามด้วยความหวังทั้งหมดที่ตนมี “คบกับพี่ได้ไหมคะ”

 

          โชคไม่ได้ให้คำตอบทันที เขาหยุดมองดวงตาที่สะท้อนภาพตนในนั้น เห็นว่ามันวูบไหวแม้จะมุ่งมั่งเพียงใด เห็นพวงแก้มที่ขึ้นสีเรื่อจางใต้บลัชออนสีอ่อน เห็นกลีบปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีหวานสั่นไหวน้อยๆ แพรเป็นคนกล้าหาญในสายตาของเขา เอ่ยบอกความรู้สึกอย่างซื่อตรง เอ่ยขอซึ่งสิ่งที่ตนต้องการอย่างซื่อสัตย์ แต่ก็ยังคงเผื่อใจที่จะยอมรับความผิดหวัง

 

          “พี่แพร” โชคเอ่ยชื่อเด็กสาวเสียงอ่อน เข้าใจเหลือเกินว่าอีกฝ่ายรู้สึกแบบไหน เข้าใจว่าการชอบใครสักคนมากๆ มันเป็นยังไง และเพราะอย่างนั้นเขาถึงต้องตอบไปตามตรง “ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

 

          “แล้วเขาว่ายังไงคะ” คำที่ถามกลับมาชวนให้หัวใจจุกเสียด แพรไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายโชค คำถามนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เธออยากรู้จริงๆ

 

          “เขา..เขาไม่รู้” และถึงรู้ เขาก็คงไม่ตอบรับ ประโยคหลังโชคทิ้งมันเอาไว้เพียงในใจ พยายามยกยิ้มให้อีกฝ่าย แต่มันกลับอ่อนล้าและอ้างว้างจนคนมองปวดร้าวตาม

 

          “งั้นเหรอ” เด็กสาวยิ้มเศร้า แต่ก็ยังคงซุกซ่อนมันเอาไว้ได้ดีกว่าเด็กหนุ่ม “แล้วน้องโชคคิดจะบอกเขาไหมคะ”

 

          “ไม่ครับ ผมบอกไม่ได้” โชคตอบคำถาม ทั้งที่จะเงียบไปเสียเลยก็ได้ แต่เมื่อเป็นกับผู้หญิงตรงหน้าแล้วเขารู้สึกว่าเขาอยากจะบอก อยากจะพูดออกไป อาจจะเป็นเพราะเขากำลังทำให้อีกฝ่ายเสียใจเลยอยากชดใช้ให้คืน

 

          “ถ้าอย่างนั้นสำหรับพี่แล้วมันก็ไม่เป็นไรหรอกนะคะ” แพรคว้ามือโชคขึ้นมากุมไว้หลวมๆ อุณหภูมิเย็นเฉียบทำให้โชครู้ว่าอีกฝ่ายใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการเอ่ยพูดแต่ละคำ “ถึงโชคจะยังไม่ชอบพี่ ถึงโชคจะยังชอบคนๆ นั้นอยู่ก็ไม่เป็นไร พี่ขอแค่ให้พี่มีโอกาสที่สักวันเราอาจจะหันมาชอบพี่บ้างก็พอแล้วค่ะ”

 

          รถประจำทางสายที่รอคอยแล่นมาจอดเทียบพอดี แพรผละจากเด็กหนุ่มไปขึ้นรถที่รีบร้อนออกตัวจนไม่มีเวลาให้ผู้โดยสารก้าวขึ้นลงมากนักทันที เพราะกลัวจะพลาดรถเที่ยวนี้แล้วต้องรออีกคันที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ เด็กสาวส่งยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นโบกลาเบาๆ ให้โชคในจังหวะที่หันมาสบตาพอดีขณะที่รถเมล์สีแดงเคลื่อนตัวผ่านไป โชคทำได้แค่ยกยิ้มตอบ ก่อนจะเดินไปขึ้นบีทีเอสเพื่อกลับบ้านตัวเองบ้าง

 

          ตลอดทางบนขนส่งสาธารณะวันนั้น โชคได้แต่คิดถึงคำสารภาพรักของแพรที่วนเวียนอยู่ในหัว รวมถึงประโยคสุดท้ายที่ทิ้งไว้ก่อนที่เธอจะไป

 

          ‘ไม่ต้องฝืนตอบรับความรู้สึกของพี่หรอกค่ะ แต่ยังไงพรุ่งนี้เช้าช่วยยิ้มให้พี่เหมือนเดิมทีนะคะ’

 

          โชคลุกให้กับเด็กวัยประถมต้นที่เดินเข้ามาพร้อมกับผู้ปกครองแล้วย้ายตัวเองไปพิงกระจกใสกั้นตรงสุดที่นั่งแทน เหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่ทอดตัวอยู่เบื้องหลังรูช่องว่างของสติ๊กเกอร์โฆษณาที่ห่อหุ้มรถไฟฟ้าขบวนนี้อยู่เงียบๆ

 

          โชคเข้าใจคำพูดของแพรแทบทุกอย่าง เป็นเพราะชอบมากถึงได้คาดหวัง และแม้จะผิดหวังก็ยังคงอยากยืนอยู่ตรงนั้น อยู่ในที่ๆ ได้รับรอยยิ้มจากคนที่ทำให้หัวใจเรายิ้มตามได้เสมอ

 

          ...แม้จะไม่มีวันได้ครอบครองก็ตาม

 




 

          คริสต์มาสปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ที่บ้านไม้สีขาวซึ่งไม่มีคริสเตียนอยู่เลยสักคนกลับวุ่นวายตั้งแต่เช้าวันเสาร์ เพราะแขกประจำกับลูกชายวัยสี่ขวบกว่าของเขาโผล่มาที่หน้าประตูตั้งแต่แปดโมง แก้วหาววอดเพราะเขาเพิ่งนอนไปตอนตีสี่ ขณะนั่งมองเด็กชายตัวน้อยหยิบของประดับต่างๆ ไปส่งให้เด็กหนุ่มที่นั่งประจำที่คอยจับแขวนของตกแต่งเข้ากับต้นสนปลอม ส่วนตัวคนที่ไปยกของลงมาก็มานั่งเอนหลังพิงพนักโซฟาอยู่ไม่ห่าง

 

          “ง่วงเหรอ” ผู้บุกรุกตัวโตถาม แต่แก้วไม่ตอบเป็นคำพูด ม้วนตัวลงซุกหัวกับไหล่กว้าง ผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น ธีร์หัวเราะน้อยๆ ยกมือขึ้นลูบปลายผมที่ยาวระต้นคอเจ้าตัวก่อนจะกระซิบบอกฝันดีแผ่วเบา

 

          ทุกอย่างเกิดขึ้นเงียบงันอยู่ด้านหลัง แต่โชคก็ยังเห็นมันผ่านเงาสะท้อนบนลูกบอลประดับเคลือบเงาสีทองอยู่ดี และสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็มีเพียงเบนสายตาหนีไปจดจ่ออยู่กับการแขวนกล่องของขวัญสีแดงใบเล็กลงบนกิ่งก้านของต้นคริสต์มาสต่อเท่านั้น

 

          “ปะป๊า!” เสียงใสของเมษาเอ่ยเรียกคุณพ่อ แต่เพราะเสียงดังไปเลยโดนธีร์ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากปรามเบาๆ ไม่ให้รบกวนคนหลับ พอเด็กชายเห็นว่าเจ้าของบ้านหนุ่มหลับอยู่บนไหล่กว้างของพ่อ ก็ทิ้งริบบิ้นยาวที่ถือแล้วปีนขึ้นไปครองพื้นที่บนตักอุ่นเพื่อส่องดูแก้วใกล้ๆ ทันที “ปะป๊าแก้วหลับแล้วเหรอ”

 

          “ครับ เมื่อคืนปะป๊าแก้วไม่ได้นอนเลยง่วงมาก”

 

          “หรอ” เมษายื่นมือไปจับปอยผมที่ปรกข้างแก้มคนหลับออกให้อย่างตั้งอกตั้งใจจนมือสั่นน้อยๆ พอส่งเส้นผมพ้นกรอบหน้าชายหนุ่มแล้วจึงหันมายิ้มร่าให้พ่อ พร้อมกับเอ่ยถาม “แล้วทำไมปะป๊าไม่อุ้มปะป๊าแก้วไปนอนในห้องนอนล่ะครับ”

 

          ดวงตากลมโตใสซื่อจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบ คิดว่าถ้าหากมีใครหลับปะป๊าของเขาก็จะอุ้มไปส่งถึงเตียงนอนอย่างที่ทำกับตน ธีร์ได้แต่ยิ้มขบขัน ลูบหัวเจ้าตัวเล็กแล้วค่อยตอบ “เพราะว่าปะป๊าแก้วจะได้อยู่กับเมษาแล้วก็พี่โชคด้วยไงครับ ไม่ต้องขึ้นไปนอนเหงาอยู่คนเดียวข้างบน”

 

          “งั้นเมษาก็จะนอนเป็นเพื่อนปะป๊าแก้วด้วย” ว่าจบก็ซบหัวลงกับอกคุณพ่อตัวใหญ่ จับจองพื้นที่ของตนโดยเหลือไหล่กว้างอีกข้างไว้ให้พี่ชายคนโปรด “พี่โชคมานอนด้วยกันเร็ว”

 

          โชคมองภาพตรงหน้าด้วยหลากความรู้สึก สรรพนามที่เด็กชายใช้เรียกเพื่อนของพ่อนั้นไม่ได้แปลกอะไร แต่มันฟังดูจั๊กจี้ในหัวใจเขายังไงไม่รู้ เพราะมันช่างดูอบอุ่นและชวนให้ยิ้มเหมือนหนังครอบครัวแสนสุขที่เขาไปดูมา แต่ก็ช่างห่างไกลเหมือนเขาเป็นได้แค่คนดูที่มีสิทธิ์เพียงเฝ้ามองอยู่หน้าจอกว้าง

 

          “พี่มีเรียนพิเศษตอนบ่ายครับ เดี๋ยวต้องไปอาบน้ำเก็บของเตรียมออกไปแล้ว”

 

          น้าแก้วมีอาธีร์ที่เป็นความสุขของน้าแก้วอยู่แล้ว ตัวเขาเองก็ควรจะก้าวต่อไปเหมือนกัน

 

 

 

          วันจันทร์สุดท้ายของปีอากาศหนาวเหน็บ หน้าโรงเรียนยามเช้ายังคงมีเด็กสาวยืนคอยอยู่ที่เดิม โชคเดินเข้าไปยืนข้างเธอขณะรอเพื่อนที่เดินเลยไปซื้อหมูปิ้งเหมือนกับทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาเป็นคนยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย

 

          “มายืนรอผมแต่เช้าเลย หนาวไหมครับ” มืออุ่นแนบลงข้างใบหูเปลือยเปล่าเพราะผมยาวถูกรวบไปด้านหลังตามระเบียบโรงเรียน มันเย็นเฉียบ แต่ไม่นานก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนสองแก้มอย่างขวยเขิน

 

          “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง” แพรยิ้มกว้าง เอียงคอแนบอุ้งมืออุ่นซ่านที่พาให้หัวใจเต้นแรง สัมผัสเพียงแผ่วเบาแสนอ่อนโยนของเด็กหนุ่มทำให้เธอตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว เหมือนกับในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเลย...

 

          แพรเจอกับโชคครั้งแรกตอนเปิดเทอมสองของชั้นมัธยมปีที่ห้า ที่ทางม้าลายข้ามแยกไฟแดง ในระหว่างที่รอให้สัญญาณทางเท้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว ท่ามกลางผู้คนมากมายโดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่กำลังเร่งรีบ มันเป็นแค่เสี้ยวนาทีที่ไม่สลักสำคัญอะไร จนกระทั่งสายตาของเธอเหลือบไปเห็นตอนที่เด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งก้มตัวลงจับลูกแมวที่กำลังจะพุ่งลงถนนไว้ได้ทัน จากนั้นไฟจราจรก็เปลี่ยนเป็นสีให้คนเดินข้ามได้ แต่เธอก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูเด็กหนุ่มอุ้มแมวน้อยอย่างทะนุถนอมไปส่งคืนให้เจ้าของที่เปิดร้ายขายยาอยู่ไม่ไกล

 

          ทั้งหมดนั้นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในยามเช้าของวันปกติ แต่มันก็เป็นเหตุผลที่เธอตกหลุมรักเช่นกัน

 

          “พี่แพร” เด็กหนุ่มคนเดียวกับในเช้าวันนั้นของเธอเอ่ยเรียก แพรเบนสายตาขึ้นสบเป็นแทนคำตอบรับ แล้วโชคก็พูดต่อ “ที่พี่เคยถามว่าคบกันไหม”

 

          “อื้ม” ดวงตาของเด็กสาวเปล่งประกายขึ้นมาอย่างมีความหวัง รอคอยให้อีกฝ่ายพูดต่อด้วยหัวใจฟูฟ่อง

 

          “พี่บอกว่าถึงผมจะชอบคนอื่นอยู่ก็ไม่เป็นไร..”

 

          “ไม่เป็นไร” แพรพูดซ้ำราวกับจะย้ำให้รู้ว่าเธอหมายความตามนั้นจริงๆ

 

          “งั้นถ้าพี่โอเคผมก็..” โชคเว้นช่วงไปคล้ายกำลังหาคำพูดเหมาะๆ ทิ้งให้หัวใจคนรอสั่นไหวจนมวนท้องไปหมด ก่อนจะระเบิดตู้มเมื่อเขาพูดประโยคถัดมา “ผมก็โอเค”

 

          ฤดูหนาวปีที่สิบหก โชคมีแฟนคนแรก

 

 

 

TBC...

          น้องโชคมีแฟนแล้วค่าาาาา ทุกคน เจ้าเด็กของเราเติบโตแล้วนะคะ  :กอด1:

          ตัวละครใหม่อย่างพี่แพรได้เปิดตัวเสียที เป็นเด็กผู้หญิงที่มุ่งมั่นมากๆ เลยล่ะค่ะ เปิดฉากรุกโต้งๆ สมเป็นสาวสมัยใหม่ 

          ฝากติดตามเอาใจช่วยให้หัวใจทุกดวงไม่ต้องเจ็บช้ำกันด้วยนะคะ

 

          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่านเสมอ

          ขอบคุณค่ะ
 


          SEE YOU on วันพฤหัสบดีนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 21 [06.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-08-2020 21:15:42
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 21 [06.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-08-2020 22:07:43
ต่อ2ตอนยาวๆ อุบ๊ะ!!เป็นเด็กแว้นซ์กันแล้ว 5555 อาร๊ายยยยโชคมีแฟนแล้ว >//< พี่แพรน่ารักนะ ขอเพียงได้รัก แม้จะไม่ได้รับรักตอบ ก็ยินดีที่จะยิ้มให้ ไม่หวังครอบครอง จนกว่าจะได้มาเอง ความรักของพี่แพรที่ให้โชคกับความรักของโชคมีให้น้าแก้ว มันคล้ายๆกันนะพอดูแล้ว ลองคบดูจะเป็นยังไงต่อไป เส้นทางอีกยาวไกล รอตามตลอดค่า ขอบคุณนะคะที่มาต่อตามกำหนดสม่ำเสมอ น่ารักมาก  :katai2-1:  :pig4: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 22 [13.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 13-08-2020 21:34:08


ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 22

 

          หลังจากหยุดช่วงปีใหม่ไป ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม แพรยังคงมารอโชคที่หน้าโรงเรียนในตอนเช้า และพูดคุยกันผ่านข้อความในแอปพลิเคชั่นสีเขียวทุกคืน การคบหากันดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปมากนักสำหรับเด็กหนุ่ม

 

          “คุยกับแฟนอยู่เหรอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ธีร์เอ่ยทักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนั่งจิ้มโทรศัพท์ไปยิ้มไป โชคเงยหน้าขึ้นมาสบตาคุณอาแวบหนึ่งแล้วก้มลงไปอมยิ้มกับจอมือถือต่อ

 

          “ครับ”

 

          “คบกันแล้วเหรอ” คราวนี้เป็นน้าแก้วที่นั่งข้างคนตัวใหญ่เอ่ยถาม แก้วหันมาสนใจเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งรู้ว่ามีแฟนแล้ว “กับคนที่ไปเที่ยวด้วยกันใช่ไหม”

 

          “ใช่ครับ คนนั้นแหละ” โชคตอบรับอย่างขัดเขินนิดหน่อย รู้สึกว่าพอพูดออกมาแบบนี้แล้วมันประหม่ายังไงไม่รู้ ทั้งที่คิดว่าไม่ได้ชอบ แต่แพรก็เป็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกดีด้วยจริงๆ

 

          “อืม แล้วชื่อไรนะ แพร?”

 

          “ครับ ชื่อแพร”

 

          หลังจากที่แก้วครางตอบเป็นอันว่ารับรู้แล้ว ทุกคนก็กลับไปสนใจสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ต่อ โชคกลับไปคุยกับแพร แก้วหันกลับไปดูทีวีเช่นเดียวกับธีร์ เพียงแค่คนตัวโตกำลังบีบนวนท่อนขาของเจ้าของบ้านที่พาดทับตัวเองอยู่ไปด้วยเท่านั้น

 

          เย็นวันนั้นทุกอย่างในบ้านไม้สีขาวเป็นไปอย่างปกติธรรมดาเหมือนครอบครัวหนึ่งที่มีลูกชายวัยว้าวุ่น

 




 

          สุดสัปดาห์กลางเดือนมกราคม แก้วตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ลงมานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โซฟาพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนเด็กหนุ่มลงมาในช่วงสายถึงได้รู้สึกตัว

 

          “น้าแก้วตื่นนานยัง” โชคทักทายเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ขยับเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วจึงสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะหน้าโซฟานั้นมันมีอะไรหายไป “เอากาแฟไหมครับ”

 

          “อืม ขอบใจ” แก้วพูดตอบ พลางทิ้งก้นบุหรี่ลงไปบนกองขี้เถ้าในที่เขี่ย เขามีเรื่องที่จะต้องพูดกับโชค แต่เขายังไม่รู้จะเริ่มยังไงดี

 

          “น้าแก้วอยากกินไรตอนเที่ยง” โชคกลับมาพร้อมแก้วกาแฟกับขนมปังปิ้งทั้งในส่วนของแก้วและตัวเอง เอ่ยถามถึงมื้อเที่ยงที่อีกไม่นานก็จะถึงเวลา

 

          “ฉู่ฉี่ปลา ในตู้มีของรึเปล่า” แก้วริบกาแฟไปจิบ บอกเมนูที่คิดว่าอยากจะกินออกไป ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ว่าโชคจะทำอะไรมาเขาก็กินได้หมดทั้งนั้น เพียงแต่เพราะแก้วเป็นคนแบบที่ถ้าอีกฝ่ายถามมา เขาก็ควรจะตอบ

 

          “มีปลาอยู่ครับ พริกแกงกับกะทิก็น่าจะเหลืออยู่” โชคว่า จากนั้นก็ล้วงเอาโทรศัพท์ที่สั่นเป็นสัญญาณเตือนข้อความเข้าจากคนๆ เดิมออกมากดอ่าน แก้วลอบมองเด็กหนุ่มเงียบๆ เห็นหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ก่อนจะคลายออกพร้อมมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย

 

          “โชค”

 

          “ครับน้าแก้ว” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนเรียก แก้วมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยนกับรอยยิ้มบาง แต่โชคกลับรู้สึกว่ามันดูเหงาจนหัวใจเขาหล่นวูบ

 

          “เธอชอบแพรมากเลยสินะ”

 

          “ไม่ ผม.. เอ่อ ก็ชอบ แต่ไม่..ขนาดนั้น” โชคโพล่งตอบปฏิเสธออกมา ก่อนจะตะกุกตะกักอธิบายเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ จนท้ายประโยคแทบไม่ได้ยิน

 

          “ฉันไม่ได้จะว่าอะไร ไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้” มืออุ่นยื่นไปวางลงบนหัวเด็กหนุ่มแล้วลูบปลอบอย่างเอ็นดู เสียงหัวเราะขบขันในลำคอลอดออกมาให้ได้ยินเพียงแผ่วเบา กับรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ช่วยคลายความร้อนรนของโชคลง แต่ในขณะเดียวกันก็ทิ้งความหนึบชาเอาไว้ในหัวใจของเขา

 

 

 

          คืนวันนั้นในตอนที่ยังไม่ดึกมาก แก้วมาเคาะประตูห้องของเด็กหนุ่ม พอเขาเปิดรับก็เข้าไปนั่งประจำบนเตียง โดยที่เจ้าของห้องย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือแทน โชคงุนงงและอึดอัดกับบรรยากาศที่กลืนกินทุกอย่างให้อยู่ในความเงียบ น้าแก้วดูจริงจังกว่าปกติ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอยู่เหนือดวงตาเข้มที่หรี่ลงอย่างครุ่นคิด

 

          “โชค” โชคยืดหลังตรงขึ้นเองโดยอัตโนมัติเมื่อถูกเรียก สายตาของแก้วที่มองมาดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะตัดสินใจได้แล้ว “มานั่งนี่สิ”

 

          เด็กหนุ่มขยับตามอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงตรงข้ามกับชายหนุ่ม “ครับน้าแก้ว”

 

          “เรื่องที่ฉันจะคุยด้วยมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่พวกเด็กๆ อยากได้ยินจากผู้ปกครองของตัวเองกันเท่าไหร่หรอกนะ เธออาจจะรู้สึกอึดอัดบ้าง แต่ว่ามันสำคัญ..” พูดจบก็วางซองสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ สองสามอันกับขวดพลาสติกขุ่นขนาดพอดีมือที่ตั้งใจถือติดมาด้วยลงตรงหน้า “ก่อนอื่นก็วิธีวัดไซส์ถุงยาง”

 

          “...” โชคเงียบงัน ไม่ได้ตอบรับอะไร รู้สึกแปลกประหลาดที่อยู่ๆ ก็ต้องมาคุยเรื่องแบบนี้กับชายหนุ่มตรงหน้า เป็นความประหม่าที่น่ากระอักกระอ่วนใจแบบที่บอกไม่ถูกเลยทีเดียว และแก้วก็รู้ว่าเด็กหนุ่มรู้สึกอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะต้องพูด มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะสอนวิธีการมีเซ็กส์แบบปลอดภัยให้กับอีกฝ่ายในฐานะผู้ปกครอง และเพราะเขาครุ่นคิดถึงวิธีที่จะสอนมากมายดูแล้ว แต่ด้วยนิสัยหลายๆ อย่างของตัวเขาเอง ทั้งที่เป็นคนพูดน้อยแล้วยังพูดอ้อมค้อมไม่เก่ง ตรงไปตรงมาไม่ชอบทำอะไรวกวนเสียเวลา สุดท้ายก็เลยมีแค่วิธีนี้ที่เขาทำได้

 

          “ปัญหาท้องไม่พร้อมส่วนหนึ่งมาจากการที่เด็กเลือกไซส์ถุงยางไม่เป็น เพราะงั้นเธอต้องต้องลองวัดของตัวเองดูแล้วก็ซื้อให้ตรง” แก้วพูดต่อไปรัวๆ จากข้อมูลที่ศึกษามาผสมกับประสบการณ์ของตัวเอง โดยมีเด็กหนุ่มนั่งคุกเข่ารับฟังเงียบๆ “วิธีการวัดก็ต้องวัดตอนที่มันตื่นตัวเต็มที่ ใช้สายวัดตัวที่อยู่ในกล่องเย็บผ้าก็ได้ เอามาพันวัดความยาวรอบ..ตรงนั้น แล้วก็หารสองแล้วจะได้ขนาดของถุงยางที่พอดีกับของเธอ”

 

          “เรื่องต่อมาก็เรื่องวิธีใส่ถุงยาง เวลาฉีกซองออกมาให้ระวังมันขาดด้วยล่ะ บางทีเล็บไปเกี่ยวโดนนิดเดียวถุงก็ขาดแล้ว” ไม่พูดเปล่า ผู้ปกครองดีเด่นแกะซองถุงยางออกมาประกอบการสอนด้วย “อันนี้ 54 ส่วนอีกอัน 56 มันใหญ่กว่ามาตรฐานทั่วไปของคนไทยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเธอจะใช้ได้ไหม แต่ตอนนี้ที่บ้านก็มีแค่นี้ ถ้าไม่พอดีก็ไปซื้อใหม่ ไม่ต้องเขินเพราะมันเป็นเรื่องปกติ”

 

          “แล้วก็วิธีใส่ ตรงปลายมันจะมีติ่งเล็กๆ แบบนี้ ต้องบีบไล่ลมก่อนจะสวมเข้าไปนะ ไม่งั้นมันจะมีลมข้างใน แล้วตัวถุงจะไม่แนบกับของเราทำให้มันหลุดง่าย หรือไม่ถุงก็อาจจะแตกตอนกำลังสอดใส่อยู่” เรียวนิ้วขยับจับท่าจับทางบีบส่วนกระเปราะปลายถุงยางสาธิต โชครู้สึกร้อนวูบไปทั่วร่างจนต้องเบนสายตาหลบอย่างกระดากอาย “เสร็จแล้วก็เอามาใส่ตรงปลายแล้วรูดลง ถ้ารูดไม่ลงแสดงว่าใส่ผิดด้าน เพราะงั้นก็ดูดีๆ ด้วยล่ะ”

 

          “ส่วนอันนี้ปกติผู้หญิงเขาจะมีสารคัดหลั่งตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพอที่จะใช้หล่อลื่นได้ไปจนจบ บางคนที่มีน้อยมากๆ เวลาที่ผู้ชายฝืนใส่เข้าไปมันจะเจ็บ แล้วก็อาจจะทำให้เป็นแผลฉีกจนเลือดออกได้ ต้องระวังให้ดี” ของชิ้นต่อมาที่แก้วหยิบขึ้นมาเป็นขวดเจลหล่อลื่น คำอธิบายที่เลือกคำให้เข้าใจง่ายเต็มไปด้วยความใส่ใจ “แต่จริงๆ เจลหล่อลื่นนี่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้แค่กับคนที่สารคัดหลั่งน้อยหรอกนะ ในซองถุงยางเองก็มีน้ำใสๆ ลื่นๆ มาด้วยใช่ไหมล่ะ มันจะช่วยให้สอดใส่ได้ง่ายขึ้น เพราะงั้นก็ใช้อันนี้ด้วยแต่แรกไปเลยก็ดี ผู้หญิงเขาจะได้ไม่เจ็บแล้วมีอารมณ์ร่วมไปด้วย”

 

          “การมีเซ็กส์น่ะไม่ใช่แค่ว่าเรารู้สึกดีอยู่ฝ่ายเดียวแล้วพอ แบบนั้นคือคนเห็นแก่ตัว เซ็กส์ที่ดีเธอต้องใส่ใจคู่นอนด้วย ต้องดูว่าเขาโอเครึเปล่า ชอบหรือไม่ชอบอะไร ถ้าไม่รู้ก็ต้องถามออกไป ผู้หญิงจะเสร็จยากกว่าผู้ชายมาก แล้วก็ดูออกยากด้วย เพราะงั้นถ้าไม่มั่นใจอะไรก็พูดไปเลย ไม่ต้องกลัวเสียหน้าหรอก ครั้งแรกของทุกคนมันก็ดูตลกเหมือนกันหมดนั่นแหละ" แก้วเว้นช่วงไปเล็กน้อยเพื่อคิดว่ามีอะไรที่เขาอยากพูดอีกบ้าง “แล้วก็สิ่งสำคัญที่สุดคือความสมัครใจ ถ้าเขาบอกว่าไม่หรือให้หยุดก็ต้องหยุด การที่ฝืนดันทุรังทำต่อโดยที่คิดว่าเดี๋ยวเขาก็รู้สึกดีน่ะมันเรียกว่าข่มขืน มันเป็นอาญากรรม และเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง จำเรื่องนี้ไว้ให้ดี”

 

          ทั้งห้องกลับมาเงียบสนิทอีกครั้งหลังแก้วพูดจนเสียงแหบแห้ง โชครับฟังทุกคำพูดของน้าแก้วเป็นอย่างดี แต่เขามีคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “ทำไมอยู่ๆ ก็มาพูดเรื่องนี้กับผมล่ะครับ”

 

          “เพราะเธออายุสิบหกแล้ว แล้วก็มีแฟนแล้วด้วย ฉันห้ามไม่ให้เด็กๆ ทำอะไรแบบนี้ลับหลังไม่ได้ ที่ฉันทำได้คือสอนให้เธอทำมันให้ถูกต้อง” คนเป็นผู้ปกครองตอบ กระแอมเล็กน้อยเมื่อเสียงเริ่มหาย นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่เขาพูดเสียยาวเหยียดขนาดนี้

 

          “ผมไม่ได้จะ...” คำพูดเด็กชายหล่นหายไปกลางทาง แต่แก้วก็ยังรอคอยอย่างใจเย็น “ไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนั้น”

 

          “ฉันรู้ แต่ต่อให้เธอยังไม่คิดตอนนี้ ฉันก็ต้องสอนไว้อยู่ดี” คำพูดของชายหนุ่มสะท้อนบางสิ่งผ่านแววตา มีคำพูดหนึ่งที่เขาเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วกับพี่สาวของเพื่อนสนิท “มันเป็นหน้าที่ของฉัน... ที่พยายามจะเลี้ยงดูเธอให้เติบโตไปให้ได้ดีที่สุดเท่าที่ฉันทำได้”

 

          แก้วยังคงพยายามที่จะเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุดให้กับโชคมาตลอด เกือบสิบปีแล้วที่เขาดูแลเด็กชายมา เป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนาน แต่ก็เหมือนเพียงชั่วพริบตาเดียว เด็กชายตัวน้อยของเขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม และอีกไม่นานก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ พอถึงตอนนั้นเจ้าหมาน้อยของเขาก็จะเดินจากไป คิดมาถึงตรงนี้มันก็แอบรู้สึกเหงาขึ้นมาจนได้

 

          แก้วในวัยสามสิบเก้าได้สัมผัสอีกความรู้สึกหนึ่งของคนเป็นพ่อเป็นแม่

 

          ลูกๆ นั้นโตขึ้นอย่างรวดเร็ว...เร็วจนเกินไปเสมอ

 

 

 

          หลังจากวันนั้นแก้วก็ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้กับโชคอีก มีเพียงแค่สายวัดตัวจากกล่องเก็บอุปกรณ์เย็บผ้าที่แขวนรอเด็กหนุ่มอยู่ที่ลูกบิดประตูห้องเท่านั้น และโชคก็ย้ายมันเข้าไปไว้ในบนโต๊ะหนังสือ แต่ยังไม่ได้หยิบมาใช้ตามวิธีที่ชายหนุ่มเคยสอน เพราะเขายังทำใจไม่ได้ยังไงไม่รู้

 

          “น้องโชค วันอาทิตย์นี้ว่างไหมคะ” เสียงจากปลายสายเอ่ยถาม เวลาสองทุ่มครึ่งของทุกวันเด็กสาวจะโทรมาหาแฟนหนุ่มของเธอ

 

          “ก็ว่างอยู่ครับ พี่แพรจะชวนไปเที่ยวเหรอ” โชคตอบพร้อมถามกลับ พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าแฟนสาวถามไปทำไม ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้พวกเขาจะได้เจอกันบ่อยขึ้นเพราะแพรได้มหาวิทยาลัยไปตั้งแต่รอบรับตรงแล้ว จากที่เคยเจอกันแค่ตอนเช้า เดี๋ยวนี้บางวันเด็กสาวก็มาหาเขาหลังเลิกเรียนเพื่อไปเที่ยวตามประสาคู่รักวัยรุ่นบ้าง

 

          “อื้อ เพื่อนพี่บอกว่าร้านขนมที่เปิดใหม่อร่อยมากเลย ก็เลยอยากไปกับโชคน่ะ”

 

          “อ่อ ไปสิครับ เจอกันกี่โมงดี”

 

          “สักสิบโมงก็ได้จ้า โชคว่าพี่ใส่กระโปรงไปดีไหม”

 

          “ตัวที่บอกว่าเพิ่งซื้อมาน่ะเหรอ..” บทสนทนายืดยาวกินเวลาไปอีกกว่าชั่วโมงจากนั้น ทั้งที่มีแต่เรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อย แต่โชคกลับไม่ได้รู้สึกรำคาญ เช่นเดียวกับเด็กสาวอีกฝั่งสัญญาณที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

 

          หนึ่งเดือนของความสัมพันธ์ โชครู้สึกว่ามันดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้

 




 

          เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์แห่งความรัก บรรยากาศยามเช้าที่ลมหนาวยังพัดแผ่ว แพรสวมเสื้อคลุมไหมพรมตัวบางมายืนรอโชคอยู่ที่ประจำ

 

          “วันพุธหน้าก็วาเลนไทน์แล้วเนอะ” เด็กสาวกล่าวถึงวันแห่งความรักที่กำลังจะมาถึงอย่างตื่นเต้นนิดหน่อย ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์จริงจังนัก แต่ในรั้วโรงเรียนมัธยมของหนุ่มสาววัยใสก็ยังคงมีการมอบขนมช็อกโกแลตแทนใจกับคนที่ชอบให้เห็นอยู่บ้าง

 

          “อื้อ พี่แพรอยากได้อะไรรึเปล่า” เด็กหนุ่มถามออกไปตรงๆ ก่อนจะรู้สึกว่าไม่ควรพูดแบบนั้นเลย เพราะมันเหมือนเขาบอกว่าแพรยกประเด็นขึ้นมาเพราะอยากได้ของขวัญเลยน่ะสิ แต่ไม่ทันที่โชคจะได้อ้าปากอธิบาย แฟนสาวของเขาก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

 

          “ไม่นะ ไม่มีอะไรที่อยากได้เลยตอนนี้” เด็กสาวทำหน้าคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะหันมายิ้มเขินๆ “แค่พี่มีโชคอยู่ด้วยแบบนี้ก็พอแล้วค่ะ”

 

          โชคถูกจู่โจมด้วยออร่าสีชมพูที่แผ่ออกมาจากรอยยิ้มของแฟนสาวโดยไม่ตั้งตัว หัวใจเต้นแรงกับคำหวานที่ชวนให้รู้สึกขัดเขิน ไหนจะใบหน้าน่ารักที่ขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะซบอิงลงบนหัวไหล่ ปลายนิ้วมือเกาะเกี่ยวประสานกันจนถึงเวลาต้องแยกกันไปเข้าโรงเรียนจึงค่อยผละออก

 

          ในตอนนั้นโชคคิดว่าเขาคงชอบแพรอย่างที่อีกฝ่ายชอบเขาแล้ว

 

 

 

          วันเสาร์ที่สองของเดือนกุมภาตรงกับวันที่สิบ วันเกิดของธีร์เวียนมาถึงเป็นรอบที่สามสิบเก้า วันที่เขาจะอายุเท่ากับแก้ว งานเลี้ยงปีนี้ก็ยังคงเรียบง่ายเช่นเคย ตอนกลางวันชายหนุ่มอยู่กับพ่อแม่และลูกชาย ตอนเย็นก็มานอนค้างที่บ้านเพื่อนสนิท

 

          “งั้นผมขึ้นห้องก่อนนะครับ” เวลาสองทุ่มเด็กหนุ่มขอตัวจากปาร์ตี้ข่าวภาคค่ำที่ชายวัยใกล้เลขสี่ทั้งสองคนดูอยู่เพื่อกลับขึ้นห้องนอน ทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ แต่ในช่วงเปิดเทอมโชคก็มักจะนอนก่อนเที่ยงคืนเสมอ และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาอยากแยกตัวไปอยู่ลำพังก็เพราะใกล้ถึงเวลาที่แฟนสาวของเขาจะโทรมาแล้วด้วย

 

          “คุยกับแฟนล่ะสิ” เจ้าของวันเกิดแซวนิดๆ อย่างรู้ทัน โชคได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่มแทนคำตอบก่อนจะปลีกตัวออกมา

 

          บทสนทนาระหว่างหนุ่มสาวยังคงฝากรอยยิ้มเอาไว้บนริมฝีปาก หลังจากที่วางสายไปในตอนที่ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบ โชคลงมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดในขณะที่บนโซฟาหน้าทีวียังคงมีสองร่างนั่งเคียงกันดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย... เหมือนคู่แต่งงานวัยกลางคนทั่วๆ ไป

 

          โชคมองเห็นความสุขในดวงตาของคนทั้งคู่ยามที่ร่างกายแตะสัมผัสกัน แม้จะเล็กน้อยเพียงปลายนิ้ว มันก็ยังคงแจ่มชัดหลังม่านควันเบาบางกลิ่นฝาดเฝื่อนที่ชวนให้ดวงตาพร่ามัว

 

          แต่เขาก็ไม่ได้เบนสายตาหนีอีกต่อไปแล้ว

 

          ความรู้สึกที่เคยล้นจนแทบสำลักออกมาถูกฝังกลบลงไปโดยรอยยิ้มของเด็กสาว ช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับแพรทำให้โชคเข้าใจความรู้สึกของน้าแก้วกับอาธีร์ขึ้นมา ความรู้สึกของการถูกรัก และมันเป็นความรู้สึกที่ดี มากมายเพียงพอที่จะช่วยทำให้เขาเข้าใจว่าเหตุใดที่ตรงนั้นมันจึงเป็นของเขาไม่ได้

 

          จนกระทั่งกลางดึกที่เด็กหนุ่มแง้มประตูออกมา ตั้งใจจะลงไปชั้นล่างเพื่อหาน้ำดื่มดับความแห้งผากในลำคอ แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่ในค่ำคืนที่ไร้สายฝนช่วยกลบนั้นมันชัดเจนเกินไป ชัดเจนจนสองแก้มร้อนฉ่า สองขาก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบานนั้นที่กั้นกลางเอาไว้ไม่ให้เขาเห็นว่าคนในห้องกำลังทำอะไรกันอยู่

 

          แต่เขาก็รู้ได้จากเสียงของการขยับไหวเป็นจังหวะที่รับกับเสียงหอบครางขาดช่วง รับรู้ได้จากเสียงกระซิบปลอบโยนแผ่วเบาก่อนที่ทุกอย่างจะสงบ และก็ได้รู้...

 

          ว่าการเข้าใจได้ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เจ็บปวด

 




 

          เช้าวันพุธมาถึง มันเป็นเช้าของวันวาเลนไทน์ที่หน้าโรงเรียนชายล้วนดูคึกคักกว่าปกติ เมื่อมีเด็กสาวต่างถิ่นมาเยี่ยมเยือนอยู่ประปรายพร้อมของขวัญเล็กน้อยที่ติดมือมา แพรเองก็เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่มาพร้อมกล่องของขวัญสีหวาน และคำบอกกล่าวที่ว่าจะมาหาอีกทีในตอนเย็น

 

          “วันนี้มึงไปเที่ยวต่อกับพี่แพรเปล่า” เพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งสารถีประจำถามขึ้นในตอนพักเที่ยง เพื่อที่เจ้าตัวจะได้รู้ว่าต้องรอรับเด็กหนุ่มกลับด้วยกันไหม

 

          “คงไปแหละ พี่เขาบอกจะมาหาอีกตอนเย็น” โชคตอบพลางตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก พอดีกับที่เสียงโห่แซวของกลุ่มเพื่อนดังขึ้น

 

          “ฮั่นแน่ น้องโชคเด็กดีของพี่แพร”

 

          “จะไปไหนกันคร้าบ วาเลนไทน์ทั้งที ขอสัมภาษณ์หน่อย”

 

          “กูไม่เคยคิดเลยนะว่าไอ้โชคจะมีแฟนก่อนกู”

 

          “กูก็ไม่คิดเหมือนกัน” กับอีกสารพัดคำหยอกเย้ากลั้วเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่ โชคยิ้มตอบปัดๆ เพราะเขินบ้าง รำคาญบ้างตามประสา จนกระทั้งมีคำถามหนึ่งหลุดออกมา

 

          “มึงกับพี่แพรถึงไหนกันแล้ววะ”

 

          “ถึงไหนอะไร” โชคเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่กำลังพิมพ์ตอบแชทแฟนสาวอยู่

 

          “ก็แบบที่...เคยมีอะไรกันยังอะ”

 

          ทุกคนในวงสนทนาพร้อมใจกันเงียบรอฟังคำตอบ โชคพลันหูแดงวาบขึ้นมา ก่อนที่สมองจะย้อนกลับไปคืนวันเสาร์ที่เขายืนอยู่หน้าห้องนอนใหญ่บนชั้นสองของบ้านไม้สีขาว ทั้งที่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับแพรเลยสักนิด แต่เด็กหนุ่มกลับคิดถึงมันขึ้นมา ความร้อนที่วิ่งพล่านค่อยๆ สงบลงจนรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบ

 

          “บ้า ไม่มีหรอก ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกันสักหน่อย” สิ้นคำปฏิเสธเสียงกริ่งบอกเวลาก่อนหมดพักเที่ยงก็ดังขึ้นพอดี กลุ่มเด็กหนุ่มเลยต้องลุกจากที่นั่งเพื่อเอาจานไปเก็บแล้วกลับเข้าห้องเรียนอีกครั้ง ทิ้งให้เรื่องส่วนตัวของโชคยังเป็นของโชคต่อไปโดยไม่มีใครเค้นถามอะไรอีก

 

          ตลอดทั้งคาบบ่าย โชคจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เรื่องที่น้าแก้วกับอาธีร์มีความสัมพันธ์ทางกายแนบชิดกันนั้นทิ้งความรู้สึกปั่นป่วนเอาไว้ในตัวเขา มันทั้งทำให้รู้สึกวูบวาบในช่องท้องและวูบโหวงในหัวใจไปพร้อมกันอย่างบอกไม่ถูก

 

 

 

          แพรมาหาเด็กหนุ่มตอนเลิกเรียนอย่างที่บอกไว้ อาจจะเป็นเพราะใกล้ปิดเทอมใหญ่แล้ว เด็กชั้นมัธยมศึกษาปีสุดท้ายจึงว่างกว่าเด็กชั้นปีอื่นๆ แพรถึงได้มีเวลามาหาเขาได้บ่อยๆ แถมยังมาถึงก่อนเวลานิดหน่อยอีกต่างหาก

 

          “หวัดดีครับพี่แพร” เสียงทักทายจากนักเรียนชายกลุ่มใหญ่ที่เดินออกมาพร้อมกับโชค เหล่าเด็กหนุ่มที่ยังโสดยังว่างรวมตัวกันไปจะเที่ยวเล่นเกมเซ็นเตอร์ที่ห้างใกล้ๆ แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายขอแวะมาทักทายแฟนสาวรุ่นพี่ของเพื่อนเสียก่อน

 

          “สวัสดีค่า วันนี้พี่ขอยืมน้องโชคก่อนนะคะ” แพรยิ้มสดใสตอบพร้อมเอ่ยปากขอยืมแฟนหนุ่มจากกลุ่มเพื่อน

 

          “โหยพี่ เอาไปเลยไม่ต้องขอ ของพี่อยู่แล้ว” เสียงหัวเราะร่าของเด็กๆ กับรอยยิ้มเอียงอายของคนที่ถูกยกให้เป็นเจ้าของช่วยพัดเอาความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในอกของโชคให้จางหายไป

 

          “กูไปนะ” เด็กหนุ่มบอกลาเพื่อนๆ พร้อมกับจับมือแฟนสาวเดินไปตามบาทวิถีมุ่งตรงไปอีกทาง

 

          แพรกับโชคเดินไปเรื่อยๆ พลางคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงร้านที่เด็กสาวบอกเอาไว้ ร้านขนมหวานสัญชาติญี่ปุ่นกรุ่นกลิ่นขนมปังอบใหม่ พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นเนิ่นนานจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีของกลางคืนที่ยังไม่มืดสนิท

 

          “วันนี้อยู่ด้วยกันนานๆ ได้ไหม” คำถามของเด็กสาวขณะรอรถคล้ายมนต์สะกดให้โชคคล้อยตาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรอยยิ้มหรือดวงตาคู่นั้น แต่มันฉายแววเหงาหงอยชัดเจนไม่ต่างกันเลย

 

          “ครับ” โชคก้าวขึ้นรถประจำทาง ยืนเกาะราวข้างที่นั่งของแฟนสาว โดยที่มือข้างหนึ่งถูกมือที่เล็กกว่ากอบกุมเอาไว้อย่างทะนุถนอมไปตลอดทาง จนถึงบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรแถวชานเมือง จากนั้นก็ถูกจูงให้เดินตามขึ้นไปถึงห้องนอนบนชั้นสองของบ้านที่เงียบสงัดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

 



...
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 21 [06.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 13-08-2020 21:35:32
...





          กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยขึ้นมาจากผ้าปูที่นอนสีสะอาดตาเบื้องล่าง และจากร่างกายของเด็กสาวที่คร่อมทับเขาอยู่ด้านบน

 

          “พี่แพร” เอ่ยเรียกออกไปด้วยเสียงสั่นไหว ถึงโชคจะยังไม่ประสา แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าสถานการณ์ล่อแหลมตรงหน้านี้กำลังจะพาไปสู่อะไร

 

          “คะน้องโชค” เสียงตอบกลับมาเองก็สั่นไหวไม่แพ้กัน แพรซบหน้าลงบนแผงอกคนใต้ตัว พยายามจะซุกซ่อนความประหม่าเอาไว้ให้สมกับที่ตนโตกว่าอีกฝ่าย แต่ทำยังไงหัวใจก็ไม่ยอมสงบเลย โชครับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจใต้ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มที่ทาบทับเขาอยู่ รู้ว่ามันเต้นแรงจะแทบกระโดดออกมาจากปากแฟนสาวอยู่แล้ว และเขาเองก็ไม่ต่างกัน

 

          โชคยกมือขึ้นลูบหัวแฟนสาว ไล้นิ้วสางเรือนผมยาวที่ไม่ได้ถูกมัดไว้เป็นทรงหางม้าตามกฎโรงเรียน แพรเป็นคนผมเส้นเล็กและมีสีออกน้ำตาล ยามที่มันร่วงหล่นจากมือเมื่อสางจนสุดความยาวจึงทิ้งไว้เพียงความอ่อนนุ่มชวนให้สัมผัสซ้ำอีกครั้ง และเด็กหนุ่มก็ทำเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งสัมผัสนุ่มนิ่มจากสิ่งอื่นแนบชิดลงมาบนริมฝีปากแทน

 

          พวกเขาจูบกัน มันเป็นจูบที่ประดักประเดิดและชวนให้รู้สึกขบขัน แต่ก็ทิ้งรสชาติของจูบแรกเอาไว้อย่างนุ่มนวล ก่อนจะผละออกห่างพอให้สบตา แล้วแนบชิดเข้าหากันอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้วาบหวามกว่าครั้งก่อน เรียวลิ้นขยับรุกไล้กับกลีบปากที่เผยอออกรับอย่างเก้ๆ กังๆ สี่มือที่ค่อยๆ ช่วยกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าอย่างติดๆ ขัดๆ จนกระทั่งเปลือยเปล่านั้น มันก็ทั้งตลกทั้งน่าอาย

 

          ‘ครั้งแรกของทุกคนมันก็ดูตลกเหมือนกันหมดนั่นแหละ’

 

          คำพูดของน้าแก้วที่เคยบอกกับเขาดูเหมือนจะจริงอย่างว่า

 

          และเมื่อคิดถึงน้าแก้ว ร่างกายมันก็ดันแข็งทื่อขึ้นมา ฝ่ามือที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังเนียนละเอียดหยุดชะงัก อุณหภูมิที่กำลังทะยานขึ้นสูงในร่างกายดับวูบลง ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นส่งผลถึงคนในอ้อมแขน แพรหยัดตัวขึ้นนั่งเช่นเดียวกับโชคที่ยันตัวขึ้นตาม

 

          “พี่แพร...” เสียงเรียกแหบแห้งเต็มไปด้วยความรู้สึก ซุกซบใบหน้าลงบนฝ่ามือที่ยกขึ้นมาปิดบังแววตาที่สะท้อนภาพของคนอื่น “ผมขอโทษ”

 

          “...ไม่ต้องขอโทษหรอกนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดียวกับสัมผัสที่ประคองสองมือเขา ค่อยๆ ขยับเข้าไปแทรกกำฝ่ามือใหญ่แล้วดึงออกจากใบหน้า เผยให้เห็นดวงตาคมสวยที่เธอตกหลุมรัก แพรก้มลงจูบปลายนิ้วในอุ้งมือราวกับจะส่งผ่านความจริงใจไปพร้อมกับถ้อยคำ “คิดว่าพี่เป็นคนที่โชคชอบก็ได้”

 

          “พี่แพร..” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกชื่อ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาอีก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไร อีกทั้งปากยังถูกปิดด้วยริมฝีปากของอีกคนที่โถมร่างเข้ามาแนบชิด

 

          โชคถูกดึงให้ให้ล้มลงไปคร่อมทับอยู่เหนือร่างเปลือยของเด็กสาววัยกำลังผลิบานเต็มที่ ผิวเนื้อเนียนนุ่ม กลุ่มผมสีน้ำตาลกระจายอยู่บนผ้าปูที่นอนสีอ่อน ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อยชวนมอง เอวคอดบางเป็นเส้นเว้นระหว่างเนินเนื้อขนาดพอดีตัวกับสะโพกผ่ายตามสรีระเพศหญิง แพรมีเสน่ห์เย้ายวนมากพอที่จะทำให้ผู้ชายมากมายคล้อยตามบรรยากาศชวนเตลิดนี้ไป

 

          เพียงแต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่โชค...

 

          เพราะแพรบอกว่าให้เขาคิดถึงคนที่เขาชอบ เขาเลยทำไม่ได้ น้าแก้วไม่ใช่สาวน้อยวัยใสผิวนุ่มเนียน เรือนผมยาวเพียงประบ่าสีเข้มจนเกือบดำสนิท ใบหน้าคมสันของบุรุษมักเฉยชาอยู่เป็นนิจ มีเพียงยามที่อยู่กับใครอีกคนเท่านั้นที่มันจะแผดเผาตัวเองจนร้อนฉ่า และเรือนร่างของผู้ชายที่แบนราบไปเสียเกือบทุกส่วนก็ล้วนแตกต่างจากคนตรงหน้า แม้โชคจะไม่เคยเห็น แต่เขาก็พอจะจินตนาการออกว่ามันคงเป็นเช่นนั้นในสายตาของอาธีร์

 

          “พี่แพร ผมทำไม่ได้” โชคกระซิบแผ่วเบา ทั้งที่ยังคงใช้แขนยันร่างไว้เหนืออีกฝ่าย

 

          “พี่บอกแล้วว่าคิดถึงคนที่เราชอบก็ได้ พี่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” แพรยิ้มตอบแผ่วเบาเช่นกัน ยกมือขึ้นวางทาบแก้มคนด้านบน สบตายืนยันในคำเดิม

 

          “...มันไม่ใช่แบบนั้น” เด็กหนุ่มผละถอยไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง เด็กสาวลุกตามไปนั่งเผชิญหน้าแล้วรอคอยโดยไม่พูดอะไร “ผมขอโทษ”

 

          “น้องโชคขอโทษทำไมคะ” เจ้าของชื่อทรุดตัวลงไปหมอบกับตักตัวเอง ได้ยินเสียงสะอื้นที่ชวนให้ใจเธอสลายเล็ดลอดออกมา แพรทำได้แค่เอ่ยถามกับวางมือลงบนแผ่นหลังสั่นเทา

 

          “คนที่ผมชอบเขาเป็นผู้ชาย”

 

          โลกของแพรหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดมาก่อน ทุกอย่างอื้ออึงไปพร้อมกับดวงตาพร่ามัว แต่เมื่อเธอเห็นเด็กหนุ่มที่หมอบคู้กายอยู่ตรงหน้า กำลังสั่นไหวเพราะแรงสะอื้น หูที่ดับไปก็ได้ยินเพียงเสียงของโชคซ้ำๆ

 

          “ผมขอโทษ พี่แพร ผมขอโทษ”

 

          “ไม่เป็นไรค่ะ น้องโชค ไม่เป็นไรเลย”

 

          แพรเอ่ยตอบ โน้มตัวลงไปโอบกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ รับรู้ได้ถึงสองแขนที่เลื่อนขึ้นมากอดเอวเธอแน่นเช่นเดียวกัน บนตักเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา ไม่ต่างกับแผ่นหลังที่เธอใช้ซบใบหน้าลงไปเลย ท่ามกลางคำกล่าวขอโทษและคำปลอบโยนที่ตอบกลับไป พวกเขาโอบกอดกันไว้ได้แนบชิดกว่าครั้งไหนๆ ด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าเสียยิ่งกว่าร่างกาย

 


 

 

          เกือบสามทุ่มแล้วกว่าน้ำตาบนใบหน้าจะแห้งเหือด โชคกับแพรนั่งพิงหมอนอยู่ข้างกัน มือเล็กเกี่ยวไล่ไปตามเรียวนิ้วของอีกฝ่ายอย่างเลื่อนลอย

 

          “พี่ถามได้ไหมคะว่าคนๆ นั้นเขาเป็นใคร”

 

          “ผม..” โชคลังเล แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เจ้าของศีรษะที่ทิ้งลงบนไหล่ก็ช่วยให้มันง่ายขึ้น

 

          “นั่นสิเนอะ มันก็คงพูดออกมาไม่ได้ง่ายๆ สินะ” โชคครางรับในคอ พลิกฝ่ามือขึ้นสอดประสานกับมือของเด็กสาว เอนหัวลงไปพิงทิ้งไว้กับคนที่ยืมไหล่เขาอยู่ ทิ้งให้กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างเชื่องช้าในความเงียบงัน

 

          “ขอโทษนะครับ” คำขอโทษหลุดออกมาอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องไหนกันแน่ โชคอยากขอโทษสำหรับทุกอย่าง เขาทำผิดกับแพรไปมากมายจนหาจุดเริ่มต้นไม่เจอแล้ว แต่แพรก็ยังคงส่ายหน้าไม่รับมันไป “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษ โชคไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

 

          “ผมน่าจะบอกพี่ตั้งแต่แรก” เด็กหนุ่มยังคงรื้อฟื้นหาต้นตอความผิดของตัวเองอยู่

 

          “เราก็บอกพี่ตั้งแต่แรกแล้วนี่” และแพรก็ยังคงรอยยิ้มยืนยันว่ามันไม่มีอยู่จริงเอาไว้ “เราบอกพี่ว่าเรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว เป็นพี่เองที่บอกว่าไม่เป็นไร”

 

          “แต่ผมก็ทำให้พี่เสียใจอยู่ดี”

 

          “ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของโชคสักหน่อย” เด็กสาวขยับตัวเปลี่ยนท่า แต่ยังคงกอบกุมมือของเด็กหนุ่ม และทิ้งหัวไว้บนบ่าอีกฝ่ายเหมือนเดิม “พี่เป็นคนที่บอกว่าไม่เป็นไรแล้วเดินเข้ามาทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะเจ็บ มันเป็นความสมัครใจของพี่เอง พี่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเลือก เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก”

 

          ความเด็ดเดี่ยวในถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้โชคได้แต่พยักหน้ารับ เพราะมันคงจะเป็นการดูถูกเด็กสาวผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งคนนี้ถ้าเขาปฏิเสธมัน

 

          “แต่พี่ก็โล่งใจนะที่เราไม่ได้ทำอะไรกันไปมากกว่านี้น่ะ” แพรพูดขึ้นในตอนที่พวกเขาเก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาใส่ “ตอนแรกพี่คิดว่าถ้าพี่ได้นอนกับโชค พี่จะได้หัวใจเรามาบ้าง ถึงจะทีละนิดละหน่อยก็ช่าง...”

 

          ในช่วงจังหวะที่ถูกเว้นไป โชคหันมาสบตากับเด็กสาว ใบหน้าน่ารักที่ดวงตายังคงฉ่ำชื้นอยู่เล็กน้อยระบายยิ้มกว้างออกมา

 

          “แต่ว่าความรักมันไม่ได้ทำงานแบบนั้นสักหน่อย”

 

          ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวยาวนานเพียงห้าสิบเอ็ดวัน แต่พวกเขากลับได้เรียนรู้มากมายเหลือเกิน

 

 

 

TBC...

          ความสัมพันธ์จบลงไปในระยะเวลาเพียงน้อยนิดระหว่างการเป็นวัยรุ่น

          น้องแพรเป็นตัวละครที่สำคัญอีกตัวหนึ่งสำหรับการเติบโตของน้องโชคเลยล่ะค่ะ และเป็นตัวละครที่เราชอบมากๆ (ซึ่งจริงๆ ก็ชอบทุกตัวแหละค่ะ อุอิ) แต่น้องแพรเป็นตัวละครหญิงที่แข็งแกร่งมากๆ เลย เป็นสาวน้อยใจเด็ดเดี่ยว เป็นตัวแทนของคนที่กล้าหาญในความรัก หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูน้องแพรของรีนนะคะ

          ส่วนในตอนนี้รีนใส่อะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะพูดถึงลงไปเลยค่ะ ทั้งเรื่องของเพศศึกษา เรื่องของมุมมองความรักกับเซ็กส์ จริงๆ ในเรื่องนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่รีนสอดแทรกเอาไว้ อย่างที่เคยมีใครสักคนเคยว่าไว้ ว่างานเขียนถ่ายทอดส่วนหนึ่งของผู้เขียนออกมา รีนเองก็ใส่ความเป็นตัวเองลงไปในนิยายเรื่องนี้เยอะมากๆ เลยล่ะค่ะ อาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ถ้ามันบ้งก็สามารถทักท้วงมาพูดคุยกันได้เลยนะคะ

          และในตอนนี้มีอีกเรื่องที่อยากจะแชร์ คือประโยคสุดท้ายของน้องแพรค่ะ ที่บอกว่า “ตอนแรกพี่คิดว่าถ้าพี่ได้นอนกับโชค พี่จะได้หัวใจเรามาบ้าง ถึงจะทีละนิดละหน่อยก็ช่าง แต่ว่าความรักมันไม่ได้ทำงานแบบนั้นสักหน่อย” ประโยคนี้เป็นการตีความของรีนที่มาจากเพลงเพลงหนึ่งค่ะ ชื่อเพลงว่า Downtown - Allie X เป็นเพลงที่รีนชอบมากๆ ไปหาฟังกันได้นะคะ

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ

          ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

 

          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้าน้าาาา   :mew1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 22 [13.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-08-2020 21:52:12
 :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 22 [13.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 13-08-2020 22:08:55
เติบโตตามการเวลา การผ่านเรื่องราวต่างๆตามการใช้ชีวิต จะเป็นยังไงต่อไป เอาใจช่วยนะโชค ดีแล้วที่น้าแก้วสอนเรื่องเพศ :mew6: ขอบคุณที่มาต่อค่า รอตอนหน้าเลย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 23 [20.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 20-08-2020 21:04:27

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 23



          ในคืนวันพุธที่โชคกลับมาถึงบ้านตอนสี่ทุ่มกว่า คนที่รอคอยอย่างเป็นกังวลจนที่เขี่ยบุหรี่อัดแน่นด้วยก้นกรองออกมายืนรอที่ประตูบ้านเมื่อได้ยินเสียงจากรั้ว มีเพียงข้อความเดียวที่ถูกส่งมาเมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้วว่ากำลังกลับหลังจากที่เขาโทรหาและส่งข้อความไปหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่หัวค่ำ แก้วตั้งใจว่าวันนี้เขาคงต้องดุเด็กหนุ่มสักหน่อยแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ทำ

 

          เมื่อคนที่เพิ่งกลับมานั้นเปียกโชกแม้ท้องฟ้าจะไรเมฆฝน แต่ในดวงตาคู่นั้นกำลังมีพายุซัดสาด สีหน้าเจ็บปวดและสับสนทั้งที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เข้าใจนัก แก้วรวบตัวเด็กชายที่กำลังหลงทางในความรู้สึกเข้ามากอดไว้ ปล่อยให้ไหล่ของเขาเปียกปอนพร้อมกับบางสิ่งที่พังทลายอยู่ข้างในใจของโชค

 

          “โดนใครทำอะไรมารึเปล่า” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ ซุกตัวเข้าหาไออุ่นให้แนบแน่นกว่าเดิม

 

          “น้าแก้ว...”

 

          “หืม”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อืม ฉันอยู่นี่”

 

          การเติบโตของวัยรุ่น และการประคับประคองให้วัยรุ่นให้เติบโตนั้น

 

          ...ช่างซับซ้อนและเปราะบางเหลือเกิน

 

 

 

          ยามเช้าหลังค่ำคืนที่ร้องไห้อย่างหนักมักทิ้งอาการปวดหัวเอาไว้ โชคลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนสาย โลกทั้งใบหมุนคว้างจนต้องยกมือขึ้นมานวดบริเวณดวงตา แล้วก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ราวกับจะปกปิดไม่ให้ใครได้เห็นความบวมช้ำ แม้จะอยู่เพียงลำพังก็ตามที

 

          เด็กหนุ่มนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ กว่าจะขยับควานหาโทรศัพท์มาเปิดดูนาฬิกา น่าแปลกที่ไม่มีข้อความหรือสายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิทที่น่าจะโวยวายเพราะวนรถมารอเขาเก้อ แต่โชคก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันนักในขณะที่หัวเขากำลังจะระเบิด และลำคอแห้งผากจนแสบไปหมดเช่นนี้

 

          “ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทักทายดังขึ้นทั้งที่บ้านหลังนี้ควรจะร้างไร้คนอื่นเมื่อเจ้าของบ้านหนุ่มออกไปทำงาน แต่ธีร์ก็อยู่ที่นั่น ส่งยิ้มให้เขาจากบนโซฟาที่มีแมวสาวนอนอยู่ใกล้ๆ “แก้วบอกมิกซ์ให้ลาโรงเรียนให้แล้วนะ”

 

          “..ครับ” โชคขยับปากตอบ แต่สิ่งที่ออกมีเพียงลมกับปลายเสียงไม่เป็นคำ ถึงอย่างนั้นธีร์ก็เข้าใจ แล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จนเขาเข้าครัวไปหาน้ำดื่มให้ชุ่มคอ จนเขากลับออกมาพร้อมกับนมกล่องในมือ จวบจนเขาเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ธีร์ก็ยังคงมีเพียงรอยยิ้มบาง ไม่เอ่ยถามอะไรเลย

 

          และด้วยความเงียบงันอันอ่อนโยนนั้น มันก็ทำให้เขายอมเปิดปากออกมาเอง

 

          “อาธีร์”

 

          “ครับ”

 

          “ผมเลิกกับพี่แพรแล้ว”

 

          “งั้นเหรอ” คำตอบรับเรียบง่ายไม่เค้นถามถึงเรื่องราว ในห้องนั่งเล่นยามสายของปลายฤดูหนาวจึงมีเพียงเสียงโทรทัศน์ขับกล่อม เคล้าไปกับเสียงสูดสมหายใจของคนที่ซุกหน้าลงกับแขน พยายามที่จะกลืนหยาดน้ำตากลับลงไป

 

          โชคไม่ได้เสียใจที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแพรจบลง สำหรับเขาแล้วแพรคือความสบายใจ ไม่ใช่ความรัก แต่ความขมขื่นที่อยู่ข้างในก็ไม่อาจหาสาเหตุได้เช่นกัน เขาเลยปล่อยมันทิ้งเอาไว้ ปล่อยให้มันเป็นรสชาติของความสัมพันธ์ที่พังทลายในช่วงวัยรุ่นอย่างที่คนรอบๆ ตัวเขาเข้าใจ เพราะมันง่ายดายกว่าการหาคำตอบในตอนนี้

 

          ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังฉายแสงผ่านไปโดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก จนกระทั่งแก้วกลับมา เด็กหนุ่มก็โดนดุว่าเรื่องที่กลับบ้านดึกโดยไม่บอกกล่าว กับที่ไม่รับสายและตอบข้อความเท่านั้น และแล้ววันอันแสนยาวนานกับอาการปวดหัวปวดตาก็จบลงพร้อมมื้อเย็นบนโต๊ะอาหารในห้องครัว

 

 

 

          วันศุกร์โชคไปโรงเรียนตามปกติ โดยมีเพื่อนสนิทขี่รถมารอรับที่หน้าบ้านอย่างเคย ระหว่างทางจนถึงหน้าประตูโรงเรียนมิกซ์ไม่ได้ถามถึงเหตุผลที่เมื่อวานเด็กหนุ่มขาดเรียนไป เช่นเดียวกับที่ไม่ถามว่าทำไมเด็กสาวที่เคยมายืนรอตรงนั้นถึงไม่มา เพราะเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะเดาไม่ออกว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่พูดออกมา เขาก็เลยไม่พูดเช่นกัน

 

          ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติเหมือนตอนก่อนที่เด็กสาวจะปรากฏตัว จนเข้าสู่เดือนมีนาคม ในวันที่อากาศร้อนกับแสงแดดส่องจ้าตลอดทั้งวัน พอถึงเวลากลับบ้านที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำย้อมทั้งเมืองให้เป็นสีของมัน บนรถจักรยานยนต์สองล้อที่วิ่งไปตามถนนให้ลมช่วยไล่ไอเหงื่อเปียกชื้นบนเสื้อนักเรียนจนมันแห้งสนิท

 

          “กูชอบผู้ชาย” โชคพูดขึ้นมาระหว่างทาง ด้วยเสียงราบเรียบปกติ ไม่ได้เปล่งให้ดังแข่งกับสายลมที่ตีพัด หรือเบาหวิวจนลอยหายไปในอากาศ แค่ประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ หนึ่งประโยค

 

          “อ่อ” และมิกซ์ก็ตอบรับเรียบง่าย ไม่ได้มีความตกใจหรืออาการใดแสดงออกมามากไปกว่าว่ารับรู้แล้ว

 

          ระหว่างทางกลับบ้านในต้นฤดูร้อนก่อนปิดเทอมใหญ่สุดท้ายในฐานะเด็กมัธยมต้น รถมอเตอร์ไซต์สีแดงแล่นไปด้วยความเร็วคงที่ ไม่ได้มีบทสนทนาเพิ่มเติม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

 




 

          วันศุกร์สุดท้ายก่อนอาทิตย์สอบ มิกซ์ถูกแม่ไล่ให้มานอนเป็นเพื่อนโชคที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะน้าแก้วต้องไปดูไซต์งานที่ชลบุรี โดยคราวนี้ธีร์ที่ปกติจะมาอยู่ดูเด็กหนุ่มแทนอาสาขับรถให้ เพราะดูแล้วว่านายสถาปนิกที่อดนอนมาหลายวันไม่อยู่ในสภาพที่ควรจะขับรถข้ามจังหวัดด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย

 

          บนชั้นสองของบ้านไม้สีขาวตอนสี่ทุ่มจึงมีเพียงเด็กหนุ่มสองคนกับแมวอีกหนึ่งตัว มิกซ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น โบกก้านของเล่นล่อให้มะลิตะปบ ส่วนโชคนอนตอบข้อความจากน้าแก้วที่ทักมาถามไถ่นั่นนี่ตามประสาผู้ใหญ่ที่ปล่อยให้เด็กเฝ้าบ้านลำพังอยู่บนเตียง

 

          บรรยากาศก่อนนอนปกติของทั้งสองที่เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนยังคงเป็นไปตามปกติ จนกระทั่งเด็กหนุ่มเจ้าของห้องวางโทรศัพท์ลงเป็นอันว่าจบบทสนทนากับคนในแชทแล้ว อีกคนในห้องจึงค่อยเอ่ยถามคำถามที่คาใจเขามาสักพักใหญ่ๆ ออกมา

 

          “มึงรู้ได้ไงวะว่ามึงชอบผู้ชาย”

 

          โชคชะงักงัน มือข้างที่ยังไม่ทันผละออกจากมือถือบนโต๊ะข้างหัวเตียงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น แต่เพียงเสี้ยววินาทีเด็กหนุ่มก็ดึงมือกลับ พลางหยัดตัวขึ้นนั่งชันเข่าพิงหัวเตียง ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำมองปลายเท้าที่ขยับยุกยิกราวกับกำลังหาคิดคำตอบ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังหวาดกลัวที่จะสบตาเพื่อนสนิท กลัวว่าในสายตาที่มองมานั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไป ถึงจะรู้ว่ามิกซ์ไม่ใช่คนแบบนั้นก็ตาม แต่หากหากมันมีวี่แววของความขยะแขยง หรืออาจะเป็นความเคลือบแคลงที่ปะปนมา แม้จะเพียงเล็กน้อยแค่ไหน หัวใจเขาก็คงเจ็บปวดอยู่ดี

 

          “ทำไมเพิ่งมาถามเอาตอนนี้ล่ะ” โชคถามกลับ เพราะจากวันที่เขาบอกออกไป มันก็ใช่เวลาเนิ่นนานถึงสามสัปดาห์กว่าที่เพื่อนจะเอ่ยถามถึงขึ้นมา และเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอๆ กับที่เขาใช้ในการตัดสินใจที่จะบอกอีกฝ่ายเลย เด็กหนุ่มถึงได้ยิ่งกลัว

 

          กลัวว่ามิกซ์จะใช้เวลาสามอาทิตย์นั้นคิดทบทวนแล้วบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับตนอีกต่อไป

 

          “กูก็แค่อยากรู้” เจ้าของคำถามแรกยังคงโบกไม้ของเล่นล่อมะลิต่อ ไม่มีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด “ที่มึงรู้ว่ามึงชอบผู้ชาย ก็แสดงว่าคนที่มึงชอบเป็นผู้ชายใช่ไหมล่ะ”

 

          “..ก็ใช่” เสียงตอบเบาหวิว แต่โชคก็มีความกล้ามากพอที่จะหันมาหาเพื่อนแล้ว มิกซ์เองก็หยุดเล่นกับแมว เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเด็กหนุ่มตรงๆ

 

          “แล้วพี่แพรล่ะ”

 

          “กูไม่ได้ชอบพี่เขาแบบนั้น”

 

          “แล้วมึงคบกับเขาทำไม” สิ้นคำถาม แววตาของเด็กหนุ่มก็วูบไหว โชคจมลงไปสู่ทะเลความรู้สึกที่ดูสงบนิ่ง แต่กลับเชี่ยวกรากอยู่ภายใน

 

          “กูคิดว่าถ้ากูคบกับพี่แพร กูจะเลิกชอบคนๆ นั้นได้...” หลังจากนั้นเขื่อนที่กักกั้นทุกสิ่งก็พังทลายลง เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนวาเลนไทน์ถูกบอกเล่าออกมาอย่างหมดเปลือก รวมถึงความรู้สึกของเขาตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่มีเด็กสาวข้างกาย จะมีก็เพียงแต่ผู้ชายปริศนาที่ครองหัวใจของเขาเท่านั้นที่โชคไม่ได้บอกออกไปว่าเป็นใคร

 

          “แล้วมึงก็เลิกชอบคนๆ นั้นไม่ได้อยู่ดี” เป็นการสรุปตอนจบที่กระชับและเข้าใจง่ายอย่างที่สุด มิกซ์เท้าคางมองเพื่อนด้วยความสงสัยในสิ่งที่ตัวเขาเพิ่งจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย

 

          “อืม กูเห็นแก่ตัวใช่ไหม” เด็กหนุ่มเจ้าของเรื่องราวนั่งก้มหน้าซุกหัวเข่า ความรู้สึกผิดเข้มข้นไม่เจือจางลงเลยแม้จะสารภาพบาปออกไปแล้ว

 

          “เออดิ” โชคพลิกหันหน้ามามองเพื่อนทั้งที่ยังทิ้งหัวซบกับแขนที่กอดเข่าไว้ ในดวงตากลมโตของมิกซ์ฉายชัดว่าคิดเช่นนั้นจริงๆ อย่างที่เจ้าตัวแสดงความรู้สึกออกมาอย่างซื่อตรงเสมอ “แต่พี่แพรเองก็เห็นแก่ตัวแหละ ที่บอกว่าไม่เป็นไรก็เพราะเห็นแก่ตัว อยากจะให้มึงอยู่กับเขา เพราะงั้นก็เจ๊ากันไป”

 

          โชคขยับตัวเพื่อให้บนเตียงมีพื้นที่พอให้อีกคนที่กำลังปีนขึ้นมา เด็กหนุ่มร่างผอมบางกว่าเขาแทรกกายเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน มิกซ์ขยับตัวนอนหามุมสบายแล้วหันมาสบตากับคนที่ยังจ้องเขาอยู่

 

          “อะไรวะ”

 

          “มึงลืมปิดไฟ”

 

          มิกซ์พรูลมหายใจพร้อมยู่หน้าอย่างอิดออด ก่อนจะลุกไปกดสวิตช์ไฟข้างประตูให้ทั้งห้องตกลงสู่ความมืดเจือเสียงหัวเราะขบขันของอีกคนในห้อง แล้วจึงค่อยย้อนกลับมาซุกตัวลงบนเตียงที่เดิม

 

          “มิกซ์” ในแสงสลัวรางจากไฟเครื่องปรับอากาศและดวงดาวเรืองแสงบนเพดาน บทสนทนาก่อนนิทราได้เริ่มขึ้น

 

          “ว่า”

 

          “มึงไม่คิดว่ากู...แปลก ใช่ไหม”

 

          “แปลกยังไง”

 

          “ก็...ที่กูชอบผู้ชาย”

 

          “ไม่”

 

          “ถึงกูจะไม่ได้ชอบผู้หญิงเลย”

 

          “ไม่”

 

          “...ขอบใจนะ”

 

          จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท คล้ายว่าถึงเวลาสิ้นสุดวันที่พวกเขาต้องพักผ่อนแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ปิดเปลือกตาลงสุด แสงสว่างวาบจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็พุ่งเข้าจู่โจมจนต้องหยีตา

 

          “กูสงสัย..” ผู้ร้ายที่เป็นคนเกิดปลดล็อกหน้าจอมือถือแล้วกดเข้าแอปพลิเคชั่นอินเทอร์เน็ตพูดขึ้นมา “มึงรู้ว่ามึงชอบผู้ชายก็เพราะว่าคนที่มึงชอบเป็นผู้ชาย แล้วก็รู้ว่าไม่ชอบผู้หญิงเพราะว่ามึงไม่ได้ชอบพี่แพร”

 

          “เอ่อ อืม ก็ใช่”

 

          “แล้วมึงมั่นใจได้ไงว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง มึงอาจจะแค่ไม่ชอบพี่แพรก็ได้”

 

          “เรื่องนั้น..” โชคเว้นช่วงไป ดึงรั้งชายผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงใต้ตาก่อนจะตอบ “กูไม่รู้สึกอะไรกับร่างกายผู้หญิงเลย”

 

          “แล้วกับผู้ชายล่ะ”

 

          “ถ้าคิดว่าเป็นคนนั้นก็..รู้สึกอยู่” ใบหน้าที่ถูกแสงไฟตกกระทบขึ้นสีเรื่อขึ้นมาหลังจากได้ฟังคำสารภาพตรงไฟตรงมา ทั้งที่มิกซ์ไม่ใช่พวกที่จะขัดเขินกับการพูดเรื่องอย่างว่าสักหน่อย แต่เพราะน้ำเสียงที่ดูเขินอายและเปี่ยมรักของเพื่อนสนิท เขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

          ราวกับเป็นสาวน้อยที่ได้ฟังเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ เป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น

 

          “งั้นมึงก็เป็นเกย์”

 

          “อืม ก็คงใช่”

 

          “ส่วนกูเป็นสเตรท” มิกซ์พึมพำออกมาหลังจากที่อ่านบทความออนไลน์ที่ว่าด้วยความหลากหลายทางเพศ ในขณะที่โชคโน้มตัวผ่านหัวเขายื่นมือไปกดเปิดโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงพึมพำตอบ “ก็มึงเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง”

 

          มิกซ์พยักหน้ารับ แต่ใบหน้าใต้แสงสีส้มนวลก็ยังคงขมวดคิ้วมุ่น เขามีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจแม้จะกดเข้าไปอ่านบล็อกอื่นๆ ด้วยแล้วก็ตาม

 

          “ที่กูเป็นสเตรทก็เพราะว่าตอนนี้กูยังชอบผู้หญิงอยู่” โทรศัพท์มือถือถูกวางคว่ำลงบนอก ในขณะที่ดวงตากลมโตฉายแววครุ่นคิดมองตรงขึ้นไปยังดวงดาวบนฝ้าเหนือหัว “แล้วถ้าวันนึงกูชอบผู้ชายขึ้นมากูก็จะกลายเป็นไบ แต่ถ้าถึงตอนนั้นกูชอบผู้ชายแบบที่เลิกชอบผู้หญิงแล้วก็จะเป็นเกย์...ใช่ไหม”

 

          “...” โชคไม่ได้ตอบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบ แต่ก็คิดตามเพื่อนไป โดยที่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกออกมาก่อนจะเก็บโทรศัพท์แล้วปิดไฟนอนอีกครั้ง

 

          “คนเรามันก็เปลี่ยนแปลงกันได้ตลอดนี่หว่า งั้นมันก็คงจะดีถ้าทุกคนเลิกสาระแนเรื่องคนอื่นแล้วปล่อยให้เจ้าตัวเขาเลือกเองว่าจะเป็นอะไร”

 

          “อา ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดี”

 

          “เพราะงั้นถึงมึงจะเป็นเกย์ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

 

          “อือ ขอบใจ”

 

          “ไม่เห็นจำเป็นเลย”

 

          “งั้นก็ราตรีสวัสดิ์”

 

          “เออ ฝันดีมึง”

 

          โชคในวัยย่างสิบเจ็ด คิดเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่าเขาช่างโชคดีที่มีอีกฝ่ายเป็นเพื่อน

 

          มิกซ์... เด็กชายตัวเล็กที่มีหัวใจยิ่งใหญ่กว่าใครๆ

 

 

 

TBC...

          การเป็นวัยรุ่นนี่ไม่ง่ายเลย เป็นช่วงระยะแห่งการเติบโตและค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง สับสนและอ่อนไหว แด่ทุกคนที่เคยผ่านพ้นช่วงวัยนั้นมาแล้ว พวกคุณเก่งมากเลยนะคะ ตอนนี้ก็ผลิบานอย่างงดงามแล้ว ส่วนคนที่กำลังอยู่ในใจกลางพายุ ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปนะคะ ไม่มีพายุใดปั่นป่วนไปตลอดกาล และสำหรับคนที่จะต้องเผชิญหน้ากับมันในสักวัน การเป็นวัยรุ่นอาจจะเจ็บปวด แต่ไม่ได้น่ากลัวและเลวร้าย จงก้าวเดินไปอย่างกล้าหาญด้วยหัวใจที่มีอิสระเต็มที่นะคะ

 

          มาถึงตอนนี้น้องโชคก็กำลังค่อยๆ โตอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็จะเป็นหนุ่มแล้ว รู้สึกแก่แล้วแก่อีกเลยล่ะค่ะ 555555 และจนกว่าเราจะแก่เป็นคุณยายที่มองลูกชายโตไปเป็นฝั่งเป็นฝา ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ อยู่ด้วยกันไปยาวๆ เลยน้า
 
          ปล.น้องมิกซ์ is best boy ever แง้
          ปล2.เวลาที่คุณบอกว่ารอตอนต่อไป รีนมีความสุขมากๆ เลย เพราะรีนเองก็รอคุณมาอ่านอยู่เสมอเลยเช่นกันค่ะ  :L2:


          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่าน

          ขอบคุณเสมอค่ะ

 

          เจอกันวันพฤหัสบดีหน้านะคะ See you..

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 23 [20.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-08-2020 21:21:24
เด็กมิกซ์เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ เพื่อนซี้คู่นี้น่ารักมากก คุยกันเปิดเผยและยอมรับซึ่งกันและกัน  o13 โตไปอีกวันแล้วกับโชค  :katai2-1: ขอบคุณนะคะที่มาอัพ รอตอนต่อไปเลย ใกล้จะเข้ามหาลัยแล้ว จะไปทางไหนยังไงกัน รอตามค่า
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 23 [20.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: narongyut ที่ 20-08-2020 21:42:32
 :กอด1: กอดโชคนะครับ เข้าใจเลยช่วงวัยรุ่นนี่ สุดๆเลยแบบนีเกว่าจะผ่านไปได้ ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอครับ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 23 [20.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-08-2020 01:19:20
 o13 :hao3:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 24 [27.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 27-08-2020 18:18:18

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 24


          อีกไม่กี่วันก่อนจะหมดเดือนมีนาคม ภาคการศึกษาสุดท้ายของชั้นมัธยมต้นก็ได้จบลงไป และปิดเทอมใหญ่ฤดูร้อนของเด็กหนุ่มก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

          แต่ถึงจะบอกว่าปิดเทอม มันก็ดันเป็นช่วงรอยต่อก่อนขึ้นชั้นมัธยมปลายพอดี โชคเลยไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนปิดเทอมก่อนๆ เด็กหนุ่มต้องเทียวไปกลับที่เรียนพิเศษอยู่เนืองๆ เนื่องด้วยคำสั่งของป้าดาที่ไล่เขากับลูกชายตัวแสบของตนที่คะแนนสูสีผ่านเกณฑ์แบบคาบเส้นเสมอมา ให้ไปเรียนเสริมก่อนการสอบเข้าเรียนต่อม.สี่ของโรงเรียนชายล้วนที่เดิมที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้

 

          “กูก็บอกแม่แล้วนะว่ามีโควตาเด็กเก่าอยู่ ยังไงโรงเรียนก็แค่ให้สอบเลือกห้องพอเป็นพิธีเฉยๆ อยู่แล้ว แต่แม่ไม่ฟังกูเลย ฟังแต่ป้าข้างบ้านอยู่นั่นแหละ” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทางจนถึงหน้าบ้านไม้สีขาว โชคได้แต่ยิ้มแห้ง แม้จะคิดไม่ต่างกับเพื่อนสนิทนัก แต่ใครเล่าจะกล้าหือกับสาวใหญ่สุดแกร่งอย่างป้าดา

 

          “เอาน่ามึง ก็แค่ติวข้อสอบวิชาสามัญเฉยๆ สองอาทิตย์ก็จบแล้ว” โชคพูดเสียงอ่อน ขณะที่ลงจากรถไปเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน “ขี่รถดีๆ”

 

          “เออ เจอกันพรุ่งนี้” ว่าจบมิกซ์ก็บิดมอเตอร์ไซต์คันเก่งแล่นห่างไปจนลับตา

 

          เพราะเป็นช่วงบ่ายแก่วันอาทิตย์ เจ้าของบ้านจึงไม่ได้ออกไปทำงานเหมือนวันปกติ โชคเพิ่งก้าวขาขึ้นบันไดเฉลียงมาถึงขั้นบนสุด กลิ่นควันฝาดเฝื่อนจากในบ้านก็ลอยออกมาต้อนรับทันที บรรยากาศเดิมๆ ที่สัมผัสมาเนิ่นนานนับสิบปีชวนให้รู้สึกอบอุ่น แต่ก็เหงาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงคืนวันที่ไม่อาจย้อนคืนกลับมาเหล่านั้น

 

          “น้าแก้ว...” ปลายเสียงเอ่ยเรียกแผ่วลงเมื่อคนบนโซฟาร่วงหล่นสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ทั้งที่มวนบุหรี่ติดไฟแดงฉานยังคงวูบวาบอยู่ในที่เขี่ย วางค้างเติ่งอยู่บนขอบแก้วใส ค่อยๆ ถูกขี้เถ้าสีเทากลืนกิน

 

          โชควางกระเป๋าแอบไว้กับขาโต๊ะ ก่อนขยับตัวเข้าไปนั่งลงบนพื้นตรงหน้าชายหนุ่มที่กำลังหลับใหล สายตาไล่สำรวจเก็บบันทึกภาพนั้นไว้ในม้วนฟิล์มที่เรียกว่าความทรงจำ เนิ่นนานไม่มีเบื่อ ปล่อยให้ชั่วนิรันดร์อันเงียบงันเกิดขึ้นจริงในแสงสุดท้ายของวันที่คล้อยต่ำลงจรดจูบกับผืนดินตรงเส้นขอบฟ้า

 

          จวบจนกระทั่งดวงตาสีเข้มปรือเปิดขึ้นมา

 

          “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงแหบพร่าเจือความงัวเงียเอ่ยถาม

 

          “สักพักแล้วครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบ แต่ไม่ได้บอกว่าสักพักของเขานั้นนานแค่ไหน มีเพียงหัวที่เอนไปพิงเข้ากับขาของอีกฝ่าย รอคอยให้มือเรียวลูบไล้อย่างอ่อนโยนอย่างที่ทำประจำ

 

          “ไปญี่ปุ่นกันไหม” อยู่ๆ คนที่เพิ่งตื่นนอนไม่นานก็พูดออกมา เหมือนคำถามเรื่อยเปื่อยขณะที่ยังเมาขี้ตา แต่โชคกลับรู้สึกว่าคราวนี้คงได้ไปกันจริงๆ เสียที

 

          “ไปสิครับ”

 

          “ไปเมื่อไหร่ดี”

 

          “ผมมีเรียนถึงอาทิตย์หน้า แล้วก็สอบอีกทีปลายเดือนเลยครับ”

 

          “งั้นไปตอนอาทิตย์ก่อนเธอสอบแล้วกันเนอะ เดือนหน้าฉันมีงาน”

 

          “ครับ” โชคยิ้มรับ เงยหน้าขึ้นเกยคางบนตักแข็ง ช้อนสบดวงตาสีเข้มด้วยแววตาวิววับอย่างมีความสุข

 

          วันต่อมาแก้วก็เริ่มวางแผนการท่องเที่ยวและที่พัก ลองถามรุ่นน้องพนักงานในบริษัทผู้เป็นขาประจำนักช้อปที่ชอบไปหิ้วของกลับมาอยู่แทบทุกไตรมาสเกี่ยวกับสภาพอากาศ พอตกบ่ายก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินขาไปในช่วงปลายสัปดาห์ที่สาม แล้วกลับช่วงกลางสัปดาห์ที่สี่ของเดือนเมษายน

 

          ...ตั๋วเครื่องบินสามใบ

 

          สำหรับโชค แก้ว และใครอีกคน

 




 

          ยามเย็นวันแรกของเดือนเมษายน เจ้าของบ้านหนุ่มใช้เวลาอยู่ในสวนฝั่งต้นมะม่วง ในมือถือสายยางฉีดรดน้ำต้นไม้ พร้อมกับที่มืออีกข้างที่คีบบุหรี่สูบควันเข้าปอด ช่วงนี้งานที่บริษัทไม่ยุ่งมาก แก้วเลยได้กลับบ้านเร็วขึ้นจนพอมีเวลาได้ออกมารดน้ำต้นไม้ดอกไม้ใต้ท้องฟ้าที่ยังคงมีแสงแดดรำไร เหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเรียนอยู่อีกครั้ง

 

          นานแค่ไหนแล้วไม่รู้ที่ชายหนุ่มไม่ได้ทำหน้าที่นี้ อาจจะตั้งแต่ที่เจ้าหมาน้อยของเขารู้ความแล้วลุกมาทำแทนเขาที่เริ่มทำงานหนักจนกลับบ้านหลังฟ้ามืดนั่นกระมัง

 

          “น้าแก้ว เดี๋ยวผมรดให้ก็ได้” โชคที่เพิ่งกลับมาถึง ยังไม่ทันเปิดรั้วเข้าบ้านด้วยซ้ำ แต่กลับออกตัวอาสาจะทำแทน แก้วหันมามองเด็กหนุ่ม คลี่ยิ้มบางเบาแล้วส่ายหน้าคล้ายว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็หันกลับไปจมจ่อมอยู่กับสายน้ำที่พุ่งออกจากปลายสายยาง จมหายไปในม่านควันสีขาวหม่น...อย่างรอคอย

 

          ในตอนที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังแว่วมาจากข้างนอก เด็กหนุ่มกำลังทักทายแมวสาวที่จับจองพื้นที่บนกล่องลังรองเท้าที่วางซ้อนกันแอบไว้ข้างประตูด้านในบ้าน มันจึงไม่ยากเย็นอะไรนักที่จะมองผ่านบานหน้าต่างที่มีเพียงมุ้งลวดกั้นขวางออกไปเห็นสีหน้าและแววตาของผู้ที่ไม่จำเป็นต้องรอคอยอีกต่อไปแล้ว

 

          “..เหรอ ฝากบอกแม่มึงด้วยว่าไว้คราวหน้านะ ...อืม โชคเพิ่งกลับมาถึงเมื่อกี้...” แก้วพูดคุยกับปลายสายที่โชคเดาได้ว่าเป็นใครด้วยแววตาอ่อนโยน เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนหน้า แม้ว่าน้ำเสียงจะยังคงราบเรียบก็ตาม ก่อนจะปรับให้ดูสดใสขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อคู่สนทนาที่ปลายสายเปลี่ยนคน “ว่าไง สุขสันต์วันเกิดนะเมษา”

 

          1 เมษายน วันเกิดของเมษา

 

          โชคจำได้ดีว่าวันนี้เมื่อสี่ปีที่แล้วน้าแก้วของเขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าด้วยแววตาเช่นไร หลังจากรับรู้ว่าเด็กชายได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้แล้วผ่านเสียงบอกเล่าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจของอาธีร์

 

          มันทั้งยินดี แต่ก็แสนร้าวราน

 

          แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

 

          “โชค” แก้วดึงโทรศัพท์ออกห่างจากตัวเล็กน้อยขณะหันมาหาเด็กหนุ่ม ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเจือจางอยู่บนใบหน้านั้น “เมษาอยากคุยด้วย”

 

          “ครับ” โชคตอบรับ ก่อนจะเดินออกจากบ้านมารับช่วงต่อแทนเจ้าของโทรศัพท์ ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของปลายสายแล้วตอบกลับไปอย่างร่าเริง เขาชอบน้องเมษา เพราะเด็กชายตัวน้อยมักมองเขาด้วยแววตาใสซื่อและชื่นชอบอย่างไม่ปิดบัง และก็เพราะว่าเด็กชายคนนั้น...

 

          ช่างมีใบหน้าคล้ายคลึงกับน้าแก้วเหลือเกิน

 

          โชคส่งโทรศัพท์คืนให้แก้วเมื่อพูดคุยรวมถึงอวยพรเด็กชายที่เพิ่งครบห้าขวบปีเสร็จเรียบร้อย ได้ยินเสียงทุ้มที่แว่วออกมาบ่งบอกว่าปลายสายเปลี่ยนคนกลับแล้ว แต่ต่อให้เขาไม่ได้ยิน มันก็ชัดเจนว่าอีกฝั่งเป็นอาธีร์ เมื่อดูจากดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้าในตอนนี้ มันมีความสุขมหาศาลกำลังวิ่งวนอยู่ในนั้น

 




 

          โชคเรียนพิเศษเตรียมสอบเสร็จไปตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่สองของเดือน แก้วเองก็ลางานทั้งอาทิตย์เอาไว้สำหรับการไปเที่ยวเรียบร้อย ส่วนธีร์ก็จัดการธุระตระเตรียมทุกอย่างไว้แล้วเช่นกัน อีกแค่สองวันก็จะถึงกำหนดการบินที่จองเอาไว้

 

          “ลูกเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มไม่ได้ดังมากนัก แต่คนข้างตัวก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่ออยู่ๆ ความอบอุ่นที่โอบล้อมตนก็จางหายไป แก้วตื่นขึ้นมาเห็นธีร์นั่งหันหลังให้พร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่แนบอยู่ข้างหู ฟังจากน้ำเสียงแล้วอีกฝ่ายคงกำลังเครียดน่าดู เขาจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป ทำเพียงแค่ขยับเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังเปลือยเปล่าแผ่วเบา

 

          “โทษที เมษาไม่สบายน่ะ” ธีร์หันมาส่งยิ้มให้ทั้งที่คิ้วยังคงขมวดมุ่น มือถือที่ดึงโทรศัพท์ลงไปแนบกับอกเพื่อกันเสียงเข้ายกขึ้นชิดหูอีกครั้ง “ตัวร้อนมากไหม.. พาไปโรงพยาบาลเลยดีกว่า เดี๋ยวธีร์ไปรับ ....อืม เดี๋ยวออกไปเดี๋ยวนี้แหละ เนตรเตรียมตัวเลย”

 

          “ขับรถดีๆ” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่หลุดออกจากปาก แก้วหลับตารับริมฝีปากที่แนบจูบลงบนหน้าผากแล้วผละจากไป ธีร์เปิดตู้เสื้อผ้าคว้าเสื้อมาใส่ลวกๆ ก่อนหยิบของติดตัวสองสามอย่างออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อนในตอนกลางดึกของคืนที่ท้องฟ้ายามราตรีไร้เมฆบดบัง

 

          และในเช้าวันต่อมา ข้อความที่ถูกส่งมาจากธีร์ก็บอกให้แก้วรู้ว่าจะต้องมีตั๋วเครื่องบินหนึ่งใบที่เสียทิ้งไปเปล่าๆ

 

 

 

          ญี่ปุ่นกลางฤดูใบไม้ผลิตอนกลางวันนั้นอากาศเย็นสบายกำลังดี แต่ในช่วงเช้าและกลางคืนกลับหนาวเย็นลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นั่งเครื่องกันยาวนานเกือบหกชั่วโมงจากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินคันไซ โชคกับแก้วก็มาถึงที่หมายในช่วงบ่ายแก่ พวกเขาเดินทางออกจากสนามบินกลางน้ำด้วยขนส่งสาธารณะที่ดีติดอันดับโลกสู่ตัวเมืองโอซาก้า

 

          หลังจากที่เดินตามแผนที่ในโทรศัพท์มากว่าครึ่งชั่วโมง แก้วกับโชคก็เจอที่พักที่จองเอาไว้ เป็นเรียวกังไม้ดูเก่าแก่แผ่กลิ่นอายแบบดั้งเดิม พนักงานสาวในชุดกิโมโนออกมาต้อนรับก่อนจะพาไปยังห้องที่ถูกเตรียมไว้ให้ พร้อมกับแจ้งเกี่ยวกับเวลาเสิร์ฟอาหารและบริการต่างๆ ให้ทราบเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วจึงจากไปเพื่อให้แขกได้มีเวลาพักผ่อนส่วนตัว

 

          ในขณะที่โชครินน้ำชาร้อนๆ จากกาที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องหลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงใสแผ่วเบาจากการเปิดฝาไฟแช็กสีทองของน้าแก้ว เมื่อหันตามไปก็เห็นชายหนุ่มคาบมวนบุหรี่ปลายแดงฉานไว้ในปาก มือเรียวขยับเปิดบานหน้าต่างที่มองออกไปเห็นวิวแม่น้ำสีชมพูเพราะกลีบซากุระร่วงโรยปกคลุม ควันลอยเอื่อยออกไปยังท้องฟ้าสีม่วงอ่อนจางที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเข้ม

 

          แต่แม้ทิวทัศน์ด้านนอกจะงดงาม... น้าแก้วก็ยังดูเหงาอยู่ดี

 

          วันแรกของการท่องเที่ยวต่างแดน โชคหลับไปในตอนที่จ้องมองแผ่นหลังอ้างว้างของคนบนที่นอนอีกผืน

 

 

 

          วันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้าที่ทางโรงแรมจัดเตรียมมาให้ แก้วกับโชคก็ใช้เวลายามเช้าไปกับการทำอะไรเรื่อยเปื่อยในห้องพักอย่างไม่เร่งรีบ จนพอใกล้เที่ยงค่อยออกไปหาร้านอาหารในละแวกนั้นกินกันสบายๆ พอตกบ่ายถึงได้เดินทางไปยังปราสาทโอซาก้า สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อประจำท้องถิ่น

 

          ปราสาทเก่าแก่อายุร่วมสี่ร้อยปีตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีคูน้ำล้อมรอบสองด้าน โดยที่ก่อนจะเข้าไปถึงตัวปราสาทนั้นยังมีศูนย์การค้าที่ขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ตลอดจนของที่ระลึกต่างๆ อีกทั้งยังมีสถานที่น่าสนใจอย่างพิพิธภัณฑ์ภาพลวงตาที่จัดแสดงสิ่งของในประวัติศาสตร์วงการมายากลและภาพลวงตาจากทั่วโลก รวมถึงมีโชว์มายากลอยู่ในนั้นด้วย แต่เพราะทั้งสองคนมีใครสนใจอยากจะเข้า พวกเขาเลยผ่านเข้าไปยังพื้นที่ด้านในกันเลย

 

          ท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่านที่ต่างพากันหลั่งไหลมาชมความงามของเมืองเก่าใต้เงาของดอกซากุระบานสะพรั่ง ตรงทางเดินเลียบริมน้ำที่กลีบดอกสีหวานร่วงโปรยเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านมา โชคกระชับคอเสื้อคลุมตัวนอกเข้าหาตัวเล็กน้อย มองคนตรงหน้ายกกล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้งที่กดมาจากตู้ขายอัตโนมัติ เพราะไม่ได้เอากล้องตัวเก่าที่อายุการใช้งานเกือบสิบปีมาด้วยขึ้นจับภาพปราสาทโบราญที่ตั้งตระหง่านอยู่ใต้ท้องฟ้าสีสดใส น้าแก้วไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเป็นพิเศษ แต่เขากลับรู้สึกอยากเก็บภาพนั้นไว้เลยล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าแอปพลิเคชั่นถ่ายรูป

 

          วินาทีที่แก้วลดเครื่องบันทึกภาพลงจากใบหน้า แล้วใช้ดวงตาเก็บภาพแทนเลนส์กล้อง ในม่านกลีบซากุระโปรยปราย ใต้ท้องฟ้าที่กระจ่างใสเกินจริง และแสงอาทิตย์ที่สาดลงมาอย่างอบอุ่น

 

          โชคกดปุ่มบันทึกภาพ เก็บเอาน้าแก้วที่แสนเหน็บหนาวไว้ในอัลบั้มรูป

 

          “โชค?” แก้วหันมา ทันเห็นว่าอีกฝ่ายแอบถ่ายรูปตนอยู่ ชายหนุ่มเลยคลี่ยิ้มบาง และเหมือนรอยยิ้มจะส่งไปถึงดวงตาคู่นั้นบ้างแล้ว มือเรียวยกกล้องตัวเดิมขึ้นอีกครั้ง กดปุ่มลั่นชัตเตอร์ถ่ายเด็กหนุ่มคืนทันทีโดยไม่แม้แต่จะให้สัญญาณ โชครีบปรับสีหน้า แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทันการหรือเปล่าจนกว่าจะล้างฟิล์มออกมาในตอนที่กลับถึงไทย

 

          โชคไม่รู้ว่าในรูปนั้นเขาจะทำหน้าตลกๆ อยู่หรือไม่ แต่เขาก็พอใจที่ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอของน้าแก้ว

 

 

 

          แก้วกับโชคกลับมาถึงเรียวกังที่พักก่อนถึงเวลามื้อเย็นพอดี อาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมหน้าตาน่ากินถูกยกมาเสิร์ฟถึงห้องพัก ชายหนุ่มนั่งสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้ที่จัดไว้ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่เขาบอกให้เริ่มลงมือไปก่อนได้เลยคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย พลันรู้สึกว่าทริปห้าวันสี่คืนที่จ่ายเงินไปเฉียดแสนนี้คุ้มค่าแล้ว

 

          “อร่อยมากเลยน้าแก้ว มากินเร็ว” เมื่อถูกคนที่เคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยเอ่ยเร่ง แก้วก็ขยี้บุหรี่ที่เหลือเกือบครึ่งมวนลงบนที่เขี่ย ขยับย้ายตัวเองลงไปนั่งตรงกันข้าม จิบชาล้างรสขมปร่าในปาก ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาเข้าปาก ลิ้มรสชุ่มฉ่ำของความสดใหม่ กับการปรุงรสอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารประเทศนี้

 

          “อืม อร่อยจริงๆ นั่นแหละ”

 

          บรรยากาศระหว่างมื้ออาหารในต่างแดนไม่ได้แตกต่างไปจากในบ้านไม้สีขาวนัก มันยังคงสงบสุข และมีบทสนทนาเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ภายในห้องกว้างใหญ่ไม่เงียบเหงา

 

          หลังจากนอนกลิ้งไปมารอเวลาให้อาหารย่อยแล้วก็ถึงเวลาอาบน้ำ ซึ่งในที่พักแห่งนี้เองก็ทั้งมีห้องอาบน้ำภายในตัว รวมไปถึงห้องอาบน้ำรวมที่ชั้นหนึ่ง เด็กหนุ่มวัยอยากรู้อยากเห็นเลยลงไปส่องดู ที่โอซาก้านั้นไม่ใช่เมืองแห่งน้ำพุร้อน แต่ภายในเรียวกังก็ได้จัดให้มีบ่อออนเซ็นขนาดไม่ใหญ่นักสำหรับให้แขกที่มาพักได้ผ่อนคลายอยู่ด้วย โชคตื่นเต้นอยากลองแช่ดูสักครั้ง แต่เมื่อเห็นปริมาณคนที่เข้าใช้อยู่ก็รู้สึกขัดเขินที่จะแก้ผ้าเปลือยเปล่าเข้าไปอาบน้ำร่วมกับผู้อื่น สุดท้ายก็กลับขึ้นมาบนห้องพักของตัวเองเหมือนเดิม

 

          “ข้างล่างเป็นไงบ้าง” แก้วที่เดินเช็ดผมออกจากห้องอาบน้ำถามขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับขึ้นมาไวกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าแก้ผ้าอาบน้ำรวมแหงๆ

 

          “คนเยอะเลยน้าแก้ว ผมไม่กล้าเข้าไปแช่ด้วยหรอก” คำตอบเป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิด เรียกรอยยิ้มเอ็นดูขึ้นมาบนใบหน้าขึ้นสีเรื่อเพราะอาบน้ำร้อน

 

          โชคไม่กล้าจ้องอีกฝ่ายนานนัก เมื่อในตอนนี้น้าแก้วที่เพิ่งออกจากอ่างอาบน้ำยังคงแผ่อุณหภูมิร้อนผ่าวผ่านชุดยูกาตะที่สวมทับกางเกงชั้นในแค่ตัวเดียว ผ้าผูกเอวก็พันมัดไว้ลวกๆ จนสาบเสื้อแหวกออกกว้าง กับเรือนผมดำประบ่าที่เปียกชื้นตัดกับผิวที่เข้มขึ้นเพราะเพิ่งไปตากแดดมาครึ่งวัน

 

          “ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มเลยได้แต่หอบผ้าเช็ดตัวตรงเข้าห้องน้ำไป เพื่อหลีกหนีจากภาพที่ชวนให้หัวใจสั่นไหวไปสงบสติอารมณ์ในอ่างน้ำร้อนแทน

 

          โชคกลับออกมาเมื่อแช่น้ำนานมากพอที่ผิวหนังบริเวณปลายนิ้วจะเหี่ยวย่นจนเป็นร่องชัดเจน เขาสวมชุดยูกาตะของทางเรียวกังเช่นเดียวกับชายหนุ่ม แต่ผูกมัดผ้าคาดเอวไว้อย่างแน่นหนาและเรียบร้อยกว่าเป็นไหนๆ

 

          ภายในห้องที่เปิดไฟไว้เพียงตรงหน้าห้องน้ำนั้นมืดสลัว แต่ก็เพียงพอที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แก้วนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม สูบบุหรี่ข้างบานหน้าต่างที่ถูกแสงสะท้อนเหนือผิวน้ำในคลองย้อนขึ้นมากระทบเป็นริ้วระยิบระยับ เพียงแต่ครั้งนี้ในมือของเขาไม่ได้คีบแท่งบุหรี่ แต่ถูกแทนที่ด้วยโทรศัพท์มือถือที่ยกขึ้นแนบหู และแววตาที่จ้องมองผ่านม่านควันออกไปยังต้นซากุระในความมืดนั้นก็ไม่ได้ดูหงอยเหงาเท่ากับเมื่อวาน

 

 

 

          “หมอให้นอนอีกกี่วัน” แก้วถามคนปลายสาย

 

          “คืนเดียว พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ถ้าไม่มีอาการอะไรอีกก็ให้กลับบ้านได้แล้ว” ธีร์ตอบตามที่หมอบอกเขามา ก่อนที่ในน้ำเสียงทุ้มน่าฟังนั้นจะแฝงความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน “ขอโทษนะที่ไปด้วยไม่ได้”

 

          “ไม่เป็นไร ก็ลูกมึงป่วย” แก้วตอบกลับง่ายๆ ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงจะเสียดายที่มันเป็นอีกครั้งแล้วที่พวกเขาต้องยกเลิกทริปเที่ยวด้วยกันแบบนี้ก็ตามที

 

          “ไว้คราวหน้านะ” คำพูดที่คล้ายคำสัญญา กระซิบอย่างมั่นคงอยู่ข้างหูจนรู้สึกจั๊กจี้ แก้วพ่นควันขาว ปล่อยให้มันลอยอ้อยอิ่งเช่นเดียวกับบทสนทนาที่เขาปล่อยทิ้งไว้ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงของลมหายใจที่บ่งบอกว่าต่างคนต่างอยู่ตรงนั้น ที่ปลายสายอีกฝั่ง แม้จะห่างกันสี่พันสองร้อยสิบกิโลเมตรก็ตาม

 

          “อืม ไว้คราวหน้า” ชายหนุ่มเอ่ยตอบกลับไปในที่สุด พร้อมกับกลุ่มควันที่สลายไประหว่างการเดินทางสู่ท้องฟ้า ความเงียบที่ทำให้ได้ยินแต่เสียงหายใจเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ทั้งเขาทั้งธีร์ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดกับมัน จึงต่างฝ่ายต่างฟังกันอยู่อย่างนั้น จนมวนบุหรี่มอดไหม้สุดโคน แก้วถึงได้คิดขึ้นได้พอดีว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้พูด

 

          “ค่าที่พักที่มึงออกไปก่อน เดี๋ยวกูโอนคืนให้”

 

          “ไม่ต้องหรอก” เจ้าของค่าที่พักที่สำรองจ่ายมาก่อนนั้นปฏิเสธทันควัน “กูจ่ายให้เลย”

 

          “มึงไม่ได้มาด้วยจะจ่ายทำไม” มือเรียวยื่นไปทิ้งก้นกรองลงในที่เขี่ย ยกขาข้างหนึ่งขึ้นชันบนเก้าอี้เพื่อใช้เท้าแขน

 

          “มันก็...เหมือนคุณพ่อที่จ่ายเงินให้แฟนกับลูกไปเที่ยวกันไง เพราะงั้นไม่ต้องคืนหรอกนะ” ประโยคที่ตอบกลับมาอย่างชัดเจนในทุกถ้อยคำทำเอาคนฟังรู้สึกวูบไหว ราวกับกลีบดอกซากุระที่โดนสายลมพัดจนปลิดปลิว ราวกับดอกแก้วที่ร่วงโรยทิ้งดิ่งลงสู่ลานอิฐ ราวกับรสชาติของการตกหลุมรักในวัยเยาว์หวนย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง...ในตอนที่เขากำลังจะอายุสี่สิบปี

 

          “ธีร์” แก้วเอ่ยเรียก ทั้งที่หัวใจเต้นโครมครามแต่ก็ยังควบคุมเสียงให้นิ่งได้อย่างง่ายดาย มันคงเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของผู้ที่ก้าวผ่านช่วงชีวิตมาจนค่อนทางอย่างเขา “ขอบใจ”

 

          “อา แค่มึงมีความสุขก็พอแล้ว” ธีร์ตอบกลับ ด้วยเสียงแผ่วเบา ทว่าความอ่อนโยนที่เคลือบมานั้นชัดเจน

 

          เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่การพูดคุยผ่านสัญญาณคลื่นทางอากาศระหว่างพวกเขานั้นไร้เสียง แต่ความรู้สึกกลับสื่อสารถึงกันราวกับอีกฝ่ายนั่งอยู่ห่างเพียงปลายนิ้วสัมผัส อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันมาเกือบยี่สิบห้าปีได้ถักทอเส้นใยบางอย่างระหว่างหัวใจสองดวงเอาไว้ด้วยกัน

 

          “แล้วนี่มึงได้เอารถไปจอดไว้ที่สนามบินรึเปล่า” ธีร์ถามเมื่อที่ประเทศไทยบอกเวลาสองทุ่มกว่า และนั่นหมายความว่าที่ญี่ปุ่นเป็นเวลากว่าสี่ทุ่มแล้ว

 

          “ไม่ ตอนไปสนามบินกูโบกแท็กซี่เอา”

 

          “งั้นเดี๋ยววันกลับมากูไปรับนะ”

 

          “อืม”

 

          “เที่ยวให้สนุก”

 

          “อือ”

 

          “แก้ว...” เจ้าของชื่อเผลอกำโทรศัพท์เสียแน่น ในขณะที่ซุกหน้าลงไปบนแขนที่กอดเข่าข้างที่ยกชันขึ้นมา รอคอยให้ปลายสายพูดจนจบประโยค “ฝันดีนะ”

 

          “เหมือนกัน” คำตอบแปลกประหลาด แต่กลับเข้าใจความหมายได้ไม่ยากถึงสิ่งที่อยากจะสื่อ ถ้อยคำที่เขารอคอย และอีกฝ่ายก็คงรอคอยไม่ต่างกัน แต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีใครพูดมันออกมา จนกระทั่งเขากดวางสาย ...ก็ยังไม่มีใครพูดมันออกมา

 

          แก้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างที่เขี่ยที่ไม่เหลือไอควันแล้ว สองแขนโอบกอดท่อนขาข้างเดียวนั้นไว้ วางแก้มลงบนหัวเข่า จับจ้องมองดูผิวน้ำกระเพื่อมไหว ส่งให้แสงไฟถนนที่ตกกระทบเต้นรำทอดเงาสั่นระริกพาดทับมาบนบานหน้าต่าง แล้วส่องผ่านเข้ามาสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาเอง

 

          โชคไม่รู้ว่าชายหนุ่มพูดอะไรกับคนในสาย เขาออกมาทันแค่ตอนช่วงท้ายเท่านั้น ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับสั้นๆ ไม่กี่คำ แต่ก็รับรู้ได้ว่าคำสุดท้ายนั้นเจือไปด้วยความขมปร่าที่แสนหวาน

 

          เด็กหนุ่มขยับเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ตรงที่ๆ คนตรงหน้าเขาคงอยากให้เป็นใครอีกคนนั่งอยู่ แก้วหันกลับมา ดวงตาต้องแสงแวววาว ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม...ที่ราวกับจะเชิญชวนให้เข้าไปหลงทางอยู่กลางหมอกควันทั้งที่ไม่ได้จุดบุหรี่

 

          ใบหน้าใต้ริ้วแสงวูบไหวเช่นเดียวกับวันที่เขาตกหลุมรัก รอยยิ้มที่จุดขึ้นมาก็งดงามราวกับความฝัน

 

          น้าแก้วของเขากำลังมีความสุขและรวดร้าวในเวลาเดียวกัน

 

          ส่วนโชคนั้นรวดร้าวเพียงอย่างเดียว

 

 

 

          เช้าวันที่สามยังคงดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบตามนิสัยของคนวางแผนเที่ยวอย่างแก้ว สำหรับเขาการท่องเที่ยวคือการพักผ่อน ไม่จำเป็นจะต้องรีบไปเบียดเสียดกับผู้คนตามแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่ว่าถ้าไม่ได้ไปถือว่ามาไม่ถึงอะไรพวกนั้นให้ครบเสียหน่อย เพราะงั้นวันที่สามพวกเขาถึงได้ไม่มีกำหนดการไปไหนเป็นพิเศษ แค่วันว่างๆ วันหนึ่งก่อนจะถึงคิวเข้าสวนสนุกที่จองไว้ในวันพรุ่งนี้

 

          “วันนี้จะอยู่ที่ห้องเฉยๆ เหรอครับ” โชคถามขึ้นมาหลังจากที่พนักงานยกจานอาหารเช้าว่างเปล่ากลับออกไปแล้ว

 

          “แล้วเธออยากไปไหนรึเปล่าล่ะ” คนที่นั่งจิบกาแฟหลังมือเช้าอยู่ริมหน้าต่างมุมเดิมนั้นถามกลับ แสงในตอนกลางวันที่สาดส่องเข้ามาในห้องแตกต่างไปจากยามราตรีโดยสิ้นเชิง เพราะมันทั่งสว่างไสวและอ่อนโยน อาบไล้ให้นัยน์ตาของน้าแก้วสะท้อนเป็นสีน้ำตาลเข้มแท้จริงของมัน

 

          โชคเคยคิดว่าท้องฟ้าสีสดใสกระจ่างนั้นมีแต่ในอนิเมะที่เขาดูกับมิกซ์เท่านั้นแหละ แต่มันกลับมีอยู่จริงตรงหน้าเขาตอนนี้ จริงเสียจนเขานึกสงสัยว่าประเทศไทยกับญี่ปุ่นอยู่ใต้ท้องฟ้าผืนเดียวกันจริงๆ หรือเปล่า

 

          “ก็ไม่ได้อยากไปไหนหรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบตามที่คิด เขาไม่ได้อยากออกไปไหน การได้ใช้เวลากับน้าแก้วสองคนในห้องที่ลำแสงสีทองอาบไล้อย่างอบอุ่นเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วมันดีกว่าการที่จะได้ไปสวนสนุกชื่อดังในวันพรุ่งนี้เสียอีก เพียงแต่ใต้ท้องฟ้าที่สวยงามเช่นนี้... “แต่ถ้าได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกันก็คงดี”

 

 
.....
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] Ashtray ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 24 [27.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 27-08-2020 18:19:01
.....


          เพราะคำที่บอกว่าอยากออกไปเดินเล่น โชคเลยถูกพาขึ้นรถไฟมาถึงเมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าแก่ที่ยังคงกลิ่นอายวัฒนธรรมประจำชาติไว้เข้มข้น หลังจากที่เขาต่อรสบัสหน้าสถานีรถไฟเกียวโตมาลงแถววัดน้ำใส เข้าไปไหว้ขอพรตามตามความเชื่อท้องถิ่นที่ว่ากันว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ได้ออกไปให้บริสุทธิ์เหมือนกับชื่อวัด เสร็จแล้วก็ออกเดินไปตามถนนโบราณของย่านฮิกาชิยาม่า ซึมซับเอาบรรยากาศยุคเอโดะที่แฝงเร้นอยู่ในอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ระหว่างทางไปสู่ศาลเจ้ายาซากะที่ตั้งห่างออกไปไม่ไกลนัก

 

          “น้าแก้ว” เด็กหนุ่มเรียกคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ยกกล้องถ่ายรูปที่ตอนนี้เขาเป็นคนถือขึ้นรอบันทึกภาพ ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ กาลเวลาหยุดลงตรงนั้น เมื่อเจ้าของแผ่นหลังที่เขาตามเก็บเอาไว้ในม้วนฟิล์มหันกลับมา ส่งยิ้มให้เลนส์กล้องเพียงเบาบาง แต่กลับสดใสเหมือนกับท้องฟ้าในตอนนี้

 

          “Sorry!” ในตอนที่กดลั่นชัตเตอร์ ไหล่ของเด็กหนุ่มก็ถูกชาวต่างชาติที่เดินสวนมาเบียดชนเข้า ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็ทำให้มือสั่นจนไม่แน่ใจว่ารูปที่ถ่ายไปนั้นจะออกมาพร่าเบลอหรือเปล่า พอจะหันกลับไปถ่ายใหม่อีกครั้งเพื่อกันเสีย นายแบบของเขาก็ไม่ได้อยู่ในท่าเดิมแล้ว เช่นเดียวกับริ้วก้อนเมฆบางเบาบนฟ้าที่ถูกลมพัดพาเปลี่ยนทิศ เพราะเสี้ยววินาทีเดียวที่จะเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

 

          นั่นคงเป็นทั้งเสน่ห์ที่ชวนหลงใหล และความทุกข์ตรมของการพยายามคว้าจับความทรงจำ

 

          ในทะเลของความเสียดายที่โชคกำลังจมลงไปนั้นทำให้หัวใจรู้สึกเหน็บหนาว แต่ก็ไม่ได้คงอยู่นานนักเมื่อเขาถูกอุ้งมืออุ่นคว้ากลับขึ้นมา แก้วจับมือโชคเอาไว้ แล้วจูงเดินฝ่าฝูงชนที่เริ่มแน่นขนัดในเวลาใกล้เที่ยงบนถนนแคบๆ สายนี้

 

          “คนเยอะแล้ว เดี๋ยวจะหลง”

 

          “ครับ” โชครับคำ พลางกุมกระชับมือที่นำทางเขาไปให้แน่นขึ้นอีก

 

          ...เพื่อให้ความอบอุ่นจากตัวคนจริงๆ ฝังแน่นแทนแผ่นภาพทรงจำที่คว้าเก็บไว้ไม่ได้

 

 

 

          เกียวโตกับโอซาก้าห่างกันเพียงนั่งรถไฟครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แก้วกับโชคเลยกลับมาถึงละแวกที่พักกันในตอนบ่ายสาม แวะเดินตลาดขึ้นชื่อซื้อของกินเล่นกันไปพลางๆ ก่อนกลับไปเรียวกังที่พักในตอนก่อนฟ้ามืด

 

          คืนนั้นหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จก็มีฝนตกลงมาพอดี ไม่ได้โหมกระหน่ำหนักหน่วง แค่ร่วงโปรยแผ่วเบาไม่ขาดสาย แก้วลุกไปนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง เสียงใสจากไฟแช็กสีทองดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนกลิ่นของการเผาไหม้จะลอยอวล แต่เพราะห้องพักที่เขาเลือกนั้นเป็นห้องที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้อยู่แล้วจึงมีพัดลมระบายอากาศในตัว เพราะงั้นต่อให้ไม่ได้เปิดบานกระจกที่ถูกหยดน้ำใสเกาะพราวออก กลุ่มควันขาวที่ลอยเอื่อยก็ถูกดูดออกไปผ่านซี่ใบพัดที่สะบั้นให้มันแตกสลายหายไปในอากาศอยู่ดี

 

          เด็กหนุ่มผู้ไม่ได้ถูกรบกวนด้วยควันมือสอง และคุ้นเคยดีกับกลิ่นเหม็นไหม้ของใบยาสูบที่โชยมานอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนพื้น ตอบข้อความในแชทที่ถูกส่งมาโดยเพื่อนสนิท พุดคุยไร้สาระเรื่อยเปื่อยในช่วงเวลาที่รอให้อาหารย่อยก่อนจะไปอาบน้ำ จนกระทั่งได้ยินเสียงครืดคราดของโทรศัพท์มือถือสั่นอยู่บนโต๊ะไม้ข้างที่เขี่ยบุหรี่ แล้วมือเรียวก็คว้ามันขึ้นไปกดรับสายทันที

 

          “อืม ว่าไง” เสียงของแก้วในตอนที่รับโทรศัพท์ยังคงราบเรียบ แต่แววตากลับมีชีวิตชีวา “วันนี้ไปเกียวโตกันมา...”

 

          โชคขยับตัวลุกทั้งที่มื้อเย็นในท้องยังไม่ย่อยดี คว้าเอาชุดยูกาตะตัวใหม่ที่ทางโรงแรมเปลี่ยนมาให้กับผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป น้ำร้อนในอ่างยังไม่ทันเต็ม แต่เขาก็ยินดีจะนั่งรอมันตรงนี้มากกว่าอยู่ฟังบทสนทนาระหว่างคนสองคนข้างนอกนั่น

 

          จริงๆ มันไม่เรียกบทสนทนาด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงคำพูดของคนทางนี้ฝ่ายเดียว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เดาได้ว่าเสียงของอาธีร์ที่ตอบกลับมาคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นละมุนละไม ไม่ต่างจากในดวงตาของน้าแก้วนักหรอก

 

          เด็กหนุ่มจมตัวเองลงในน้ำร้อน ทิ้งหัวดิ่งลงสู่ก้นอ่าง พยายามจะลืมตาในน้ำอุณหภูมิสูง แต่มันก็แสบร้อนเกินไปจนเห็นเพียงแสงไฟบิดเบี้ยวสว่างจ้าเหนือผิวน้ำ สุดท้ายก็เด้งตัวกลับขึ้นมา นั่งกอดเข่าซุกหน้าลงบนแขน ต่อให้เขาพยายามจะซุกซ่อนความรู้สึกนี้ลงไปให้ลึกแค่ไหน สุดท้ายมันก็ตีย้อนกลับขึ้นมาแผดเผาหัวใจเขาอยู่ดี

 

          ...ความรู้สึกหึงหวงทั้งที่ไม่มีสิทธิ์

 

          ตอนที่โชคออกจากห้องอาบน้ำมาแก้วก็วางสายโทรศัพท์ไปนานแล้ว เขาไม่ได้มีเรื่องให้คุยกับธีร์มากเท่าไหร่ มีแค่เรื่องของเมษาที่เข้าโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้เพราะหวัดลงกระเพาะ และตอนนี้ก็หายดีกลับไปซนซ่าได้เหมือนเดิมแล้ว กับเรื่องที่เขาพาเด็กหนุ่มไปเที่ยวเมืองเกียวโต ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรให้เล่ามากมายนัก สุดท้ายการพูดคุยของพวกเขาก็จบลงที่เสียงลมหายใจ ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์เมื่อถึงเวลาอันสมควร แล้วเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องตัดสายเหมือนกับทุกที

 

          “ผมรองน้ำไว้ให้ใหม่แล้วนะครับ ใกล้เต็มแล้วน้าแก้วเข้าไปอาบเลยก็ได้” ผมสั้นเกรียนยังคงให้ความรู้สึกชุ่มชื้นเพราะอุณหภูมิตกค้างจากน้ำอุ่นร้อน แก้วพยักหน้า ลุกจากเก้าอี้เดินสวนเข้าห้องน้ำไปโดยที่ฝากความรู้สึกเย็นวูบของผิวที่อุณหภูมิต่ำกว่าจากปลายนิ้วไว้บนหน้าผาก ลากยาวไปถึงกลางกระหม่อมตามสัมผัสของมือที่ลูบผ่านตามความเคยชิน

 

          ห้องทั้งห้องเงียบงันเมื่อเหลือเขาเพียงคนเดียว โชคก้าวข้ามฟูกนอนที่พนักงานขึ้นมาปูเตรียมไว้ให้ที่กลางห้องไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะไม้เข้าชุดกับเก้าอี้ที่ข้างหน้าต่าง เศษขี้เถ้ากับก้นกรองที่เพิ่มขึ้นมาอีกอันทำให้เขารู้ว่าแก้วสูบไปสองมวนติด เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ที่ว่าน้าแก้วจะสูบบุหรี่ทุกครั้งที่ชายหนุ่มรู้สึกเหงา... ความเหงาของการคิดถึงใครสักคนอยู่

 

          ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกหนาวทั้งที่ในห้องเปิดฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่น บางทีคงเป็นเพราะเม็ดฝนบนกระจกใส กับแสงไฟนีออนข้างถนนที่ถูกบิดเบือนจนเมื่อมันส่องมาถึงข้างในนี้ มันก็กลายเป็นสีฟ้าที่ชวนให้รู้สึกอ้างว้างต่างจากสีจริง ยิ่งในห้องที่ปิดไฟจนเหลือเพียงแสงรำไรจากหน้าประตู ฟูกนอนสีขาวก็ยิ่งถูกย้อมด้วยสีของสายฝนกับเงาของหยดน้ำที่พาดทับลงมา

 

          โชคซุกตัวเข้าไปในที่นอนนุ่มหนา กอดผ้าห่มเอาไว้แน่นแล้วหลับตา พยายามที่จะหลับไปก่อนเจ้าของแผ่นหลังที่เขาเฝ้ามองมาตลอดสองคืนจะกลับมา เพื่อที่คืนนี้เขาจะได้หลับไปโดยไม่คิดอยากไขว่คว้าคนตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอด

 

          แต่ความพยายามก็ไม่เป็นผล เมื่อทันทีที่เด็กหนุ่มหลับตาลง เสียงจากประตูห้องน้ำก็บ่งบอกว่าชายคนนั้นออกมาแล้ว ในชุดยูกาตะที่สวมใส่ลวกๆ ไม่เรียบร้อย กับเรือนผมเปียกชุ่มแนบลู่ไปบนผิวกรุ่นไอน้ำ

 

          แก้วไม่ได้ใช้ไดร์เป่าผมเพราะคิดว่าคนบนที่นอนหลับไปแล้ว สองมือเรียวเลยได้แต่ขยี้ผ้าเช็ดผมจนมันแห้งหมาด ก่อนแทรกตัวลงบนฟูกนอนของตนที่ปูไว้ข้างกันกับเด็กหนุ่ม ขยับจัดท่าทางให้นอนสบายแล้วปิดเปลือกตาลงเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราที่มีเสียงฝนกล่อมนอน

 

          “น้าแก้ว” คนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว

 

          “หืม” แก้วครางตอบอย่างง่วงงุน

 

          “ผม...ขอไปนอนกับน้าแก้วได้ไหม” โชคไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ขอออกไปอย่างนั้น เขาไม่ใช่เด็กอายุสิบขวบปีที่หวาดกลัวฝันร้ายยามค่ำคืนอีกต่อไปแล้ว เขาอายุย่างสิบเจ็ด กำลังจะเป็นหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่กลับร้องขออะไรแบบนี้ออกมา ร้องขออะไรที่จะอาจจะทำให้น้าแก้วนึกสงสัย...ถึงความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน

 

          ความรู้สึกที่มากไปกว่าเด็กชายที่กลัวความมืด

 

          “ขอโทษครับ ผมแค่..” เมื่อรู้สึกตัวก็รีบละล่ำละลักจะหาข้อแก้ตัว แต่ยังไม่ทันหัวสมองเค้นอะไรออกมาได้เป็นชิ้นเป็นอัน แก้วก็พลิกตัวกลับมาหา ดวงตาสีเข้มปรือต่ำ แต่มุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับเมื่อก่อน ในคืนที่เขาสะดุ้งตื่นจากฝันแล้วไปเคาะประตูห้องนอนใหญ่กลางดึก

 

          “มาสิ”

 

          ตัวขยับไปก่อนที่จะได้ทันคิด โชคหอบหมอนข้ามผ่านระยะห่างเพียงฝ่ามือของสองฟูกนอน แทรกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่กักเก็บความร้อนจากร่างกายคนที่อยู่มาก่อนเอาไว้ให้ความรู้สึกอุ่นวูบไปถึงหัวใจ ซุกเข้าหากลิ่นอายที่คุ้นเคย กลิ่นของความสงบในคืนที่ฟ้าร้องคำราม กลิ่นของความปลอดภัยในคืนที่ห้วนนิทราไม่เป็นมิตร ...กลิ่นของน้าแก้ว

 

          “ฝันดี” เสียงพึมพำกับอุ้งมืออุ่นที่ลูบหัวกล่อมเด็กหนุ่มเหมือนในวันเก่าๆ ไม่มีผิด สำหรับแก้วแล้วโชคก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนเดิมที่ตนเคยส่งเข้านอน แต่สำหรับโชคแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่น้าแก้วคนนั้นที่เขาเฝ้ามองด้วยความรู้สึกรักใคร่แสนบริสุทธิ์เหมือนอย่างวันวาน

 

          หัวใจเต้นโครมครามขณะที่แก้วพลิกตัวตะแคงหันไปอีกฝั่งที่เขานอนถนัดกว่า แผ่นหลังตรงหน้าดูใกล้จนเด็กหนุ่มเผลอเอื้อมมือออกไปคว้า และเมื่อมันมันแตะถึง โชคก็เลยขยับตัวเข้าไปใกล้ โอบกอดร่างกายที่เล็กลงไปทุกทีในสายตาของคนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาไว้จนแนบชิด จนรู้สึกถึงความร้อนจากผิวหนังและความเย็นชื้นของเส้นผมที่ยังไม่ทันแห้งดี

 

          ในตอนนั้นโชคไม่ได้กลัวว่าแก้วจะรับรู้ถึงเสียงหัวใจที่สะเทือนอยู่ในอกเขาเลยสักนิด สิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มกลัวคือการที่น้าแก้วจะเข้าใจผิด

 

          ...ว่าอ้อมแขนและความอบอุ่นจากตัวเขามันเป็นของใครอีกคนที่ซ้อนทับขึ้นมา

 

          เพราะไม่มีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของ อย่างน้อยในค่ำคืนนี้เขาก็ขอครอบครองชายหนุ่มไว้ในอ้อมกอดโดยที่ไม่ถูกเงาของใครบดบัง แม้มันจะเป็นเพียงชั่วขณะเดียวนี้ก็ตาม

 

          และชั่วขณะเดียวนั้นก็ผ่านไปในชั่วพริบตา เหมือนกับดวงจันทร์ที่ลาลับฟ้าไปโดยที่ยังไม่มีใครได้ทันรู้สึกตัว เช้าวันใหม่เดินทางมาถึง พร้อมกับแสงที่ส่องเข้ามาปลุกคนในห้องให้ลืมตาตื่น โชคเป็นคนที่รู้สึกตัวก่อน สองแขนจึงขยับกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่น ยึดเอาไออุ่นจากตัวน้าแก้วไว้กับตัวเอง หวังให้เสี้ยวนาทีแสนสั้นนี้ยาวนาน ก่อนจะถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือจากไป

 

 

 

          วันที่สี่นั้นมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่สวนสนุกระดับโลกที่ตั้งอยู่ในโอซาก้า แต่ถึงจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มีจำนวนคนเข้ามหาศาลอยู่เสมอ แก้วกับโชคก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปให้ถึงอยู่ดี ยามเช้าแสนสงบ มื้ออาการที่กินอย่างสบายๆ พอสายหน่อยจึงค่อยออกเดินทาง ตอนที่ไปถึงจึงเป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว

 

          ท้องฟ้าสีใส แสงแดดอบอุ่นและอุณหภูมิกำลังดี เหลือแค่เพียงแอ่งน้ำเล็กๆ บนถนนที่บ่งบอกให้รู้ว่ามีฝนตกลงมาก่อนหน้านี้ โชคเดินเลี่ยงน้ำฝนที่ตกค้างบนผิวคอนกรีต มุ่งตรงเข้าสู่สถานที่ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อมอบความสุข ด้วยความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ที่บอกไม่ถูกว่ามันสดใสเหมือนท้องฟ้าตอนนี้ หรือยังคงติดอยู่ในสายฝนเมื่อคืน

 

          สวนสนุกขนาดใหญ่มีเครื่องเล่นมากมายจนไม่สามารถเล่นได้ครบทั้งหมดในวันเดียว บริเวณด้านในก็แบ่งออกเป็นหลายๆ โซนที่มีการตกแต่งให้บรรยากาศแตกต่างกันไป โชคกับแก้วดูข้อมูลเครื่องเล่นและพื้นที่โซนต่างๆ จากแผ่นพับที่ได้มาจากซุ้มตรงทางเข้า พอคำนวณเวลาที่ต้องรอคิวด้วยแล้วคงได้เล่นอยู่ไม่กี่อย่าง สุดท้ายก็เลยเลือกเอาที่ตัวเองสนใจกันแค่คนละสองอัน ระหว่างทางเดินไปเครื่องเล่นก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปบ้างจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีหม่นเข้ม

 

          ความทรงจำในสวนสนุกของพวกเขาจบลงด้วยขบวนพาเรด แสงสีเสียงสุดอลังการและนักแสดงสวมบทบาทเดินขบวนออกมามอบความบันเทิงให้แก่นักท่องเที่ยว ย้อมท้องฟ้ายามราตรีเหนือหัวให้สว่างไสวเมื่อมองขึ้นไปจากบนพื้นดิน

 

          ตอนที่กลับออกจากสวนสนุก เวลาอาหารเย็นของเรียวกังก็ล่วงเลยมานานโขแล้ว ซึ่งจริงๆ จะสั่งขึ้นมากินเป็นมื้อดึกก็ได้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แก้วเลยพาเด็กหนุ่มเปลี่ยนบรรยากาศเข้าร้านอาหารข้างทางระหว่างขากลับแทน กว่าจะถึงที่พักจริงๆ เลยกลายเป็นเกือบเที่ยงคืน และเพราะเป็นเวลานั้น ห้องอาบน้ำรวมชั้นหนึ่งจึงโล่งว่างไร้ผู้คน

 

          โชคแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถรองรับคนหกคนได้อย่างสบายๆ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็อาจจะแน่นขนัดเกินไปสักหน่อย แต่ทั้งที่อยู่คนเดียวเด็กหนุ่มกลับรู้สึกอึดอัดไปหมด และเขาก็รู้ว่าไม่ใช่เพราะไอน้ำหรือความร้อนจากบ่อออนเซ็นทั้งนั้น แต่เป็นเจ้าของเรือนร่างเปลือยเปล่าที่กำลังล้างตัวตามมารยาทก่อนลงแช่น้ำอยู่ตรงหน้าต่างหาก

 

          แก้วไม่เคยอาบน้ำกับโชค เขาเคยอาบน้ำให้โชคในตอนที่โชคยังเด็ก แต่ก็ไม่เคยร่วมอาบด้วยสักครั้ง และตั้งแต่ที่เด็กชายขึ้นชั้นประถมก็เริ่มจัดการตัวเองได้ จากนั้นก็เลยไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไรกับเรื่องนี้อีก เพราะอย่างนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้เห็นร่างกายใต้ร่มผ้าของน้าแก้ว

 

          ...มันไม่ได้แตกต่างไปจากที่เขาจินตนาการเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็แตกต่างกันลิบลับเลย

 

          แก้วก็เหมือนกับผู้ชายทั่วๆ ไปที่ไม่ได้มีส่วนเว้าโค้งยั่วยวนมากนัก เพียงแต่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของชายไทยนิดหน่อย ด้วยความสูงที่อีกไม่กี่มิลลิเมตรก็จะแตะร้อยแปดสิบ แขนขายาวสมส่วน เช่นเดียวกับรูปร่างที่ไม่ได้ผอมบางแต่ก็ไม่ได้เจ้าเนื้อ เป็นชายวัยใกล้เลขสี่ที่มัดกล้ามตามร่างกายยังคงแน่นกระชับดูเด็กกว่าอายุพอสมควร เมื่อรวมกับผิวพรรณที่ไม่ค่อยได้ออกแดดจนออกจะซีดอยู่บ้าง กับใบหน้าที่ริ้วรอยยังไม่ถามหา และเรือนผมสีเข้มยาวประบ่า น้าแก้วของเขาจึงดูไม่ได้แตกต่างไปจากวันแรกที่ได้เจอกันนัก ราวกับหยุดเวลาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว

 

          แต่สิ่งที่เขาไม่เคยได้รู้และไม่เคยคิดถึงคือรอยจุดสีคล้ำเล็กๆ ที่แต้มอยู่บนแผ่นหลังกว้าง แก้วมีขี้แมลงวันอยู่สามจุด ตรงสะบักขวา ข้างเอวซ้าย และปลายสันหลังตรงเนินสะโพก โชคไม่รู้ว่าชายหนุ่มยังมีจุดแต้มตรงไหนอีกหรือไม่จนกว่าอีกฝ่ายจะหันมา แต่เขารู้แน่ๆ ว่ามีคนหนึ่งที่รู้ถึงทั้งหมดนั่นอยู่ คนๆ เดียวที่มีสิทธิ์ปลดเปลื้องให้เรือนร่างนั้นเปลือยเปล่า มีสิทธิ์ลูบไล้และฝากร่อยรอยประทับเอาไว้บนผิวกายร้อนผ่าว มีสิทธิ์ที่จะแทรกกายเข้าไปเติมเต็มทุกช่องว่างภายในตัวของน้าแก้ว

 

          ...คนเดียวคนนั้น

 

          ความคิดฟุ้งซ่านแต่กลับแจ่มชัดทำเอาหัวใจปริแตก แต่ในขณะเดียวกันก็พาให้เลือดลมวิ่งพล่านไปตามเส้นเลือดที่ขยายตัวด้วยความร้อนของน้ำในบ่อ ไหลไปรวมกันทั้งบนหัวและกลางตัว

 

          เด็กหนุ่มวัยกำลังโตหุบขาเข้าหากัน กอดเข่าใต้น้ำอย่างทรมาน พยายามจะสงบใจและสงบอวัยวะอีกอย่างที่กำลังตื่นตัวลง โชคดีที่ไอสีขุ่นเหนือผิวน้ำหนาแน่นมากพอจะช่วยเขาซุกซ่อนมันเอาไว้ และยังช่วยกลบเกลื่อนให้สองแก้มที่ขึ้นสีชัดเจนดูเหมือนเป็นการตอบสนองปกติของร่างกายเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงอย่างนี้

 

          เมื่อล้างตัวเสร็จแก้วก็ก้าวลงมาแช่น้ำในบ่อเดียวกัน สีหน้าท่าทางดูพึงพอใจที่ได้ยืดเส้นยืดสายในน้ำแร่ธรรมชาติหลังจากการยืนรอคิวขึ้นเครื่องเล่นจนขาแข็งมาตลอดทั้งวัน แก้วหันมาหาเด็กหนุ่ม แต่ไม่ได้สบตาเพราะดวงตาคมสวยคู่นั้นกำลังหลุบลงต่ำ เช่นนั้นแล้วเขาจึงเบนสายตาหันไปมองโคมไฟหินที่ประดับข้างบ่อแทน ปล่อยให้ความเงียบงันทำหน้าที่ของมันขณะที่ร่างกายของเขากำลังผ่อนคลาย

 

          ...น้าแก้วมีขี้แมลงวันอีกสองจุด ตรงข้างสะดือและแผ่นอกขวา

 

          นั่นเป็นสิ่งที่โชคได้รู้เพิ่มขึ้นมา

 

 

 

          คืนสุดท้ายในต่างแดนโชคไม่ได้ขอไปนอนกับแก้วอีก ได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังที่ขยับตามจังหวะการหายใจในแสงสลัวรางอย่างรู้สึกผิดผสมกับเจ็บปวด และวันสุดท้ายก่อนถึงเวลาขึ้นเครื่องในตอนกลางดึก พวกเขาก็ไปฆ่าเวลาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำติดอ่าวโอซาก้า เดินดูปลาและสัตว์ทะเลหลากสายพันธุ์หลังบานกระจกหนา และออกมาดูท้องน้ำกว้างใหญ่ยามค่ำคืนจากบนชิงช้าสวรรค์ติดริมทะเล

 

          โชคมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ดวงตาสีเข้มสะท้อนแสงสีส้มอบอุ่นของไฟประดับ พลางคิดขึ้นมาได้ว่าในตอนที่เขาตกหลุมรัก มันก็เกิดขึ้นในอความเรียมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร และในหน้าร้อนต่อจากนั้น ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขากับน้าแก้วได้ไปทะเลด้วยกัน

 

          อาจจะเป็นเพียงความบังเอิญ แต่ห้าปีหลังจากวันนั้นมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

 

          การตกหลุมรักในอควาเรียม กับเสียงคลื่นทะเลที่ยังดังไม่เท่ากับเสียงหัวใจ

 

          ในวันนี้ ตอนนี้ กับคนๆ นี้ เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย

 

          โชคไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาในการมาเที่ยวแสนไกลครั้งนี้เป็นอย่างไร เพราะมันทั้งมีความสุขที่ได้ใช้เวลาไปกับน้าแก้ว ในบ้านเมืองที่สวยงามใต้ท้องฟ้าใสกระจ่างเหนือจริงของประเทศแห่งนี้ แต่มันก็เจ็บปวด เมื่อความสุขครึ่งหนึ่งของน้าแก้วถูกทิ้งเอาไว้ใต้ผืนฟ้าแจ้งและแสงแดดแผดเผาของประเทศไทยตั้งแต่ก่อนเดินทาง ในบางครั้งมันจึงมีความอ้างว้างในแววตาคู่นั้น และมันก็กัดกินมาถึงหัวใจของเด็กหนุ่มด้วย

 

          แต่ท่ามกลางความครึ่งๆ กลางๆ เหล่านั้น ก็ยังคงเหลือความรู้สึกหนึ่งที่มั่นคงและชัดเจน

 

          โชคตกหลุมรัก เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือมันยังคงเป็นชายคนเดิม

 

          น้าแก้วคือสิ่งเดียวที่อยู่ในสายตา

 




 

          ความสับสนยุ่งเหยิง ความเจ็บปวดร้าวราน และห้วงแห่งความรัก

 

          ทั้งหมดนั้นคือรสชาติของการเป็นวัยรุ่น

 

          ช่วงชีวิตสั้นๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะถึงวันที่ต้องเติบโต

 

 

 

TBC...

 

          ในที่สุดน้าแก้วกับโชคก็ไปญี่ปุ่นด้วยกันแล้วนะคะ สัญญาในเดือนกรกฎาคมถูกเติมเต็มแล้ว

          ตอนนี้ก็เป็นตอนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่หลักๆ ก็คงเป็นความเหงาสินะคะที่เด่นชัด และเพราะตอนที่ยาวมากกกกกกกกกกกก เป็นตอนที่ยาวมากๆๆๆ อยากบอกว่าเขียนยากมากๆ เลยด้วยล่ะค่ะ รีนจำได้ว่าใช้เวลาติดอยู่กับตอนเดียวนี้เกือบสองอาทิตย์ เป็นช่วงที่ตันแบบวิกฤติ ร้องไห้บอกกับเพื่อนสนิทที่คอยช่วยอ่านให้เสมอ กับน้องสาวที่คอยให้กำลังใจว่าไม่เอาแล้ว อยากยอมแพ้ แต่ก็นั่นแหละค่ะ ยอมแพ้ไม่จริง ทิ้งไม่ได้ สุดท้ายก็ยังคงลากตัวเองมาเขียนต่อ ละก็ชอบสิ่งที่เขียนออกมาได้มากๆ เลย เป็นหนึ่งในตอนที่ชอบที่สุด(ได้ข่าวว่าชอบทุกตอน อุฮิ) ก็หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนกันนะคะ

 

          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่านเสมอ

          ขอบคุณค่ะ

 

          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้า กับตอนที่ยาวไกลไม่แพ้กันอีกตอนนะคะ

          SEE YOU on Thursday
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 24 [27.08.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-08-2020 22:10:11
ต่อด้วยกันยาวๆเลยกับทริปญี่ปุ่น เป็นการเที่ยวที่แอบดูขมุกขมัว มีไอหมอกจางๆลอยพาดผ่านตลอดเวลา 5555 แต่ก็ดี มีความสุขด้วยที่โชคได้ไปเที่ยวต่างประเทศแล้ว ไปเปิดหูเปิดตา น้าแก้วก็พยายามจะให้สิ่งดีที่สุดกับโชค ทำตามสัญญา อะไรให้ได้ก็ให้ แต่เรื่องของหัวใจนั้นก็แล้วแต่ละคนจะจัดการเองนะเออ ถ้าแก้วเลือกธีร์แล้วก็ไปให้มันสุด ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กน้อยอะไรอีกแล้ว ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นยังไง ยินยอม  :hao3: ส่วนโชคก็ค่อยๆทำใจแล้วกัน เอาใจช่วย ชอบภาษาการบรรยายมาก ขอบคุณที่มาต่อนะคะ เลื่อนการอัพบ้างก็ได้ถ้ามันตัน จะได้ไม่กดดันเกินไป อย่าเทพอค่ะ 5555 ค่อยๆแต่งไปนะคะ รออ่านอยู่เสมอ รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 25 [03.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 03-09-2020 18:57:40

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 25



          โชคขึ้นชั้นมัธยมปลายเมื่อเดือนพฤษภาคมเดินทางมาถึงอีกครั้ง เด็กหนุ่มที่สูงพรวดพราดขึ้นมาในช่วงปีก่อนเริ่มชะลอการเติบโตลง แต่ยังคงไม่หยุดสนิท นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้รับมาจากพ่อที่เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ เช่นเดียวกับที่ได้รับดวงตาซึ่งถอดเบ้ามาจากผู้เป็นแม่



          ร่างกายของขามกับนัยน์ตาของช้อย



          มรดกตกทอดเพียงสองสิ่งที่ยังหลงเหลือจากคนสองคนที่ทอดทิ้งเขาไป แต่แทนที่มันจะเป็นตัวแทนแห่งความทรงจำขมขื่น เหมือนกับเมื่อยามที่ขามมองเห็นช้อยในดวงตาของลูกชายแล้วเดือดดาลขึ้นมา เด็กหนุ่มกลับไม่นึกเกลียดชังสิ่งเหล่านั้นเลยสักนิด



          เพราะน้าแก้วบอกกับเขาว่าดีแล้วที่โตขึ้นมาขนาดนี้ กับชมว่าเขามีรูปตาที่สวยขนาดไหน



          คำพูดจาใจดีเพียงไม่กี่คำของชายหนุ่มที่พูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะเก็บเด็กชายขึ้นมาจากซากปรักหักพังของคำว่าครอบครัว... เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งรักในร่างกายที่ตนได้รับมา



          “ไปนะครับ” โชคสวมรองเท้าผ้าใบสีดำตามระเบียบเสร็จก็หันมาบอกลาคนที่ออกมารอส่งเขา ในทุกเช้าแรกของการเปิดการศึกษาที่กลายเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ของบ้านไปเสียแล้ว



          “ขี่รถกันดีๆ” แก้วว่า ขยับเข้ามาช่วยเด็กหนุ่มปรับสายรัดคางของหมวกกันน็อกให้พอดี หลังจากที่เจ้าตัวงมเองอยู่สักพักแต่ไม่สำเร็จ “โตขึ้นอีกแล้วสินะ”



          “ครับ” โชคตอบรับ ทั้งที่มันเป็นแค่การพึมพำกับตัวเองของอีกฝ่าย แต่เพราะเขาเห็นรอยยิ้มในดวงตาสีเข้มทั้งที่ริมฝีปากยังคงเรียบเฉย เขาเลยเผลอตอบออกมา “ผมโตแล้วนะครับ น้าแก้ว”



          แก้วไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ขยับมุมปากยกยิ้มบาง กับฝ่ามือที่ตบลงบนบ่ากว้างเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่เด็กนักเรียนต้องไปโรงเรียนแล้ว พอดีกับที่มีชายอีกคนโผล่หน้าออกมาจากประตู ส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมกับไอควันจากแก้วกาแฟ และแมวสาวที่อยู่ในอ้อมแขน



          ในตอนที่เขาก้าวขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายเพื่อนสนิท ทั้งที่พยายามจะไม่เหลือบไปมองแท้ๆ แต่สายตาเจ้ากรรมก็ยังเผลอมองกลับไปอยู่ดี



          กาแฟแก้วนั้นไม่ใช่ของคนตัวใหญ่ แต่ชงออกมาให้ใครอีกคนต่างหาก เจ้าของบ้านหนุ่มรับกาแฟมาจิบ พวกเขาพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค แต่ก็เรียกรอยยิ้มขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่ธีร์จะกดจูบลงบนหน้าผากของแก้ว แผ่วเบาและอ่อนโยน เช่นเดียวกับแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้าไปตกกระทบลงบนพื้น ย้อมเฉลียงไม้หน้าบ้านให้เป็นสีทองอย่างนุ่มนวล



          ตั้งแต่ที่กลับจากญี่ปุ่นมา ระหว่างน้าแก้วกับอาธีร์ก็ดูจะชัดเจนขึ้นมาก แม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ทั้งสองคนก็รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดจะไม่เข้าใจว่าระหว่างพวกเขามันมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิท และก็เพราะว่าโชครู้ เข้าใจดีเลยทีเดียว เขาจึงได้แต่ดึงสายตากลับมา ปล่อยให้ลมที่ตีพัดเข้าหน้าช่วยพัดพาเอาความรู้สึกหน่วงแน่นในหัวใจลอยหายไปด้วย







          หลังจากเปิดเทอมไปได้สองสัปดาห์ก็เข้าสู่เดือนใหม่ มิถุนายนที่มีฝนตกประปราย บางวันก็หนักจนฟ้าเที่ยงวันมืดครึ้ม บางวันก็ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์อยู่ใกล้พื้นดินกว่าปกติ วันนี้เป็นวันแบบหลัง ที่ทั้งร้อนอบอ้าวและไร้เค้าลางเมฆหม่น



          “กลับมาแล้วครับ” โชคเอ่ยบอกตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดประตูรั้วเข้าไป เพราะความสูงของรั้วไม้ที่สูงแค่ใต้อก ทำให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคนนั่งอยู่ที่ตั่งบนเฉลียงหน้าบ้าน



          “กลับเร็วนะวันนี้” ธีร์ยิ้มกว้างต้อนรับเด็กหนุ่มกลับบ้าน บนตักมีมะลิที่ซุกหัวคลอเคลียกับมือใหญ่ ส่วนในมืออีกข้างกำมือถือเอาไว้ เหมือนว่าเพิ่งวางสายโทรศัพท์ไปได้ไม่นาน



          “วันนี้ไม่มีเรียนพิเศษน่ะครับ” หนุ่มม.ปลายหมาดๆ ว่า เดินถือหมวกกันน็อกขึ้นมาเก็บในชั้นวางข้างตั่งไม้ “แล้วน้าแก้วกลับกี่โมงครับ”



          “คงสักหกโมงนู่นแหละ” คำตอบนั้นฟังดูไม่แน่ใจนัก แต่เวลาปกติที่แก้วกลับบ้านก็ราวๆ นั้นอยู่แล้ว



          โชคพยักหน้าหงึกหงัก ไม่มีอะไรให้พูดต่อเลยคิดจะเดินเข้าบ้านไปสักที ระยะหลังมานี้บทสนนาระหว่างเขากับอาธีร์ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ราวกับที่เคยพูดคุยกันเจื้อยแจ้วเมื่อก่อนไม่ใช่ความจริง แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของกาลเวลาและการเติบโต



          การพูดสิ่งที่คิดออกมากลายเป็นเรื่องยาก เมื่อต้องคิดถึงสิ่งที่ตามมาและความรับผิดชอบต่อคำพูดเหล่านั้น



          ช่องว่างเล็กๆ ที่ฉีกถ่างระยะห่างของความสัมพันธ์มันกว้างขึ้นทุกที เด็กหนุ่มรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดถึงเรื่องของเขาตอนเด็กกับคนตรงหน้า เสียงหัวเราะที่ไม่เคยจางหาย เช่นเดียวกับรอยยิ้มและเกมจ้องตา เขาเคยชอบดวงตาของธีร์ยามที่มันสะท้อนภาพเขา เพราะมันทำให้รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ พราวระยับราวกับอยู่ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า



          นัยน์ตาคู่สวยที่ได้รับมาจากมารดา จึงเผลอเหลือบไปสบเข้ากับดวงตาคมของคนในความคิด ดวงอาทิตย์ที่เขาเคยโปรดปรานยังคงสว่างไสว ...แต่มันกลับให้ความรู้สึกอ้างว้างเกินไป



          “อาธีร์ทะเลาะกับน้าแก้วเหรอครับ” ถามอกไปไวกว่าความคิด โชคไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงถามแบบนั้น แต่สิ่งเดียวที่เขาพอจะคิดออกว่าสามารถทำให้คนตรงหน้ากังวลใจได้ก็มีแต่เรื่องนี้ ธีร์เลิกคิ้วกับคำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็ตอบกลับมา



          “ไม่นี่ ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” เป็นเพราะแววตาของคนตอบไม่ได้โกหก โชคเลยได้แต่ปัดความคิดนั้นทิ้งไปในอากาศ



          “เปล่าครับ ผมก็แค่ถามไปงั้น”



          “อืม อากับแก้วไม่เคยทะเลาะกันหรอกนะ” รอยยิ้มและน้ำเสียงยามบอกเล่ายังคงนุ่มนวลอบอุ่น แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันช่างเหน็บหนาว เมื่อดวงตาคมเบนไปยังต้นแก้วกลางลานอิฐ เนิ่นนานก่อนจะหลับตาลง คล้ายว่าสิ่งที่ชายหนุ่มมองเห็นนั้นไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเกินจะไขว่คว้า เขาเลยต้องวาดรูปร่างมันขึ้นมาใหม่ในความมืดมิดหลังเปลือกตา







          ค่ำคืนหนึ่งของเดือนมิถุนามีฝนตกลงมาอย่างหนัก โชคเผลอหลับไปโดยที่ไม่ได้ปิดบานหน้าต่างตรงหน้าตู้เสื้อผ้า หยดน้ำเลยกระเซ็นลอดซี่กรงมุ้งลวดเข้ามาเจิ่งนองอยู่บนพื้นไม้ เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสิ่งที่เปียกปอนไม่ใช่โต๊ะหนังสือของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรรีบเช็ดพื้นให้แห้งอยู่ดี เขาเลยต้องลงไปเอาผ้าขนหนูเก่าที่ตอนนี้เอามาใช้ทำเป็นผ้าเช็ดพื้นซึ่งพับเก็บอยู่ในชั้นวางของข้างเครื่องซักผ้า



          เวลาสามทุ่มกว่าชั้นล่างของบ้านยังคงไม่เงียบเหงา เสียงของข่าวจากโทรทัศน์ผสมกับเสียงพูดคุยของคนในห้องนั่งเล่น เป็นเรื่องปกติที่โชคเห็นจนชินตา น้าแก้วกับอาธีร์ที่อยู่บนโซฟา นั่งดูรายการทีวีไปเรื่อยเปื่อย บางวันก็ฟังข่าว บางวันก็เปิดดูหนัง หรือบางวันก็แค่เปิดมันทิ้งไว้อย่างนั้น ในขณะที่พวกเขาเข้าไปอยู่ในโลกที่มีกันเพียงสองคน



          และวันนี้ก็เป็นอย่างหลัง



          ธีร์เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ ซ้อนแผ่นหลังแก้วที่พิงทับมาบนอกเขาอีกที โดยที่แขนข้างหนึ่งของคนตัวโตโอบรอบเอวคนในอ้อมกอดไว้หลวมๆ ส่วนอีกข้างกุมเอามือของอีกฝ่ายไว้ในอุ้งมือใหญ่ ขยับไล้แตะเล่นอย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะดึงมาประทับจูบแผ่วเบาอย่างหวงแหนซ้ำๆ จนเจ้าของมือข้างนั้นพลิกมือกลับมาสอดประสานเรียวนิ้วเกี่ยวเข้ากับนิ้วตน เสียงหัวเราะทุ้มต่ำอย่างชอบใจเช่นเดียวกับรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนริมฝีปากที่แนบชิดหลังมือจะเปลี่ยนมามอบจุมพิตลงบนข้างแก้มเจ้าของบ้านหนุ่มแทน



          “ธีร์”



          “หื้ม”



          “เป็นไร” แก้วที่ถูกริมฝีปากของอีกคนตามคลอเคลียไม่ห่างเอ่ยถามเมื่อถูกรบกวนหนัก แม้เขาจะไม่ได้นึกรำคาญสัมผัสวาบหวามเหล่านั้นก็ตาม



          “เปล่า แค่อยากจูบ” ธีร์ตอบกลับเสียงอ่อน ซุกหน้าลงไปฝังกับซอกคอกรุ่นกลิ่นสบู่ของอีกฝ่ายที่เพิ่งไปอาบน้ำมา ลากปลายจมูกพ่นลมหายใจร้อนผ่าวไปตามผิวอ่อนอย่างออดอ้อน “...ไม่ได้เหรอ”



          แก้วไม่ได้พูดอะไร เพียงหันหน้าไปกดจูบลงข้างขมับคนที่ฝังจมูกอยู่บนไหล่เขาแทนคำตอบ และเมื่อได้รับการเชื้อเชิญแสนหวาน ธีร์ก็เปลี่ยนจากผิวกายอุ่นมาบรรจงจูบลงกลีบปากฉ่ำชื้น ค่อยๆ รุกล้ำเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นร้อนที่ขยับรับอย่างช่ำชองและคุ้นเคย



          รสจูบ ความร้อน และเสียงของลมหายใจ แก้วพลิกตัวมาคร่อมทับบนตักกว้าง ธีร์เองจากที่กึ่งนั่งกึ่งนอนสบายๆ ก็หยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรง โอบกอดคนข้างบนเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างขยับร่างกายหาองศาที่จะได้บดเบียดแนบชิดกันให้มากขึ้นอีก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้มันเลยเถิดเกินไปมากกว่านั้น



          “แก้ว” ธีร์กระซิบเรียกชื่อคนตรงหน้าเมื่อถอนริมฝีปากออกจากกัน ดวงตาคมเงยขึ้นสบด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะกลับไปไล่ขบเม้มกลีบปากบนล่างของเจ้าของชื่ออย่างอ้อยอิ่งอีกครั้งแล้วค่อยซบหน้าผากลงบนแผงอกแบนราบ



          “อือ” แก้วครางรับที่ถูกเอ่ยเรียก พลางกระชับแขนโอบรั้งท้ายทอยอีกฝ่ายให้จมหายเข้าไปในอกตน ให้เสียงหัวใจที่ไม่ได้เต้นระรัวสั่นไหวเหมือนอย่างวัยรุ่นแรกรัก แต่ก็หนักหน่วงและชัดเจนมากพอช่วยยืนยันว่ามันยังคงมั่นคงในความรู้สึกที่ไม่เคยพูดออกไป



          “ทำต่อได้ไหม” คำถามสั้นๆ หลังจากเงียบงันมานานดูคลุมเครือ แต่คนฟังก็เข้าใจมันได้อย่างแจ่มแจ้ง



          “งั้นก็ขึ้นไปทำบนห้อง” แก้วขยับจะลุกไปปิดฟืนไฟเพื่อเตรียมขึ้นชั้นสอง แต่ธีร์กลับไม่ยอมปล่อยมือที่รั้งเอวเขาเอาไว้



          “ปวดหลังรึเปล่า” คนตัวใหญ่ถาม เลื่อนมือลงไปกดนวดเบาๆ ตรงกระดูกก้นกบไล่ขึ้นมาตามแนวสันหลังของคนที่ต้องรับภาระทุกครั้งที่ร่วมรักกัน อายุของพวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่น้อยๆ กันแล้ว แม้อยากทำอะไรหักโหมตามอารมณ์ชักนำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าร่างกายมันจะไหวตามได้เหมือนตอนยังหนุ่ม



          “ก็นิดหน่อย” แก้วตอบ พลางทิ้งน้ำหนักตัวกลับลงบนตักอีกฝ่าย ขยับหามุมสบายแล้วซุกกายเข้าไปอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดอุ่น



          “งั้นไม่ทำก็ได้”



          “ไม่ได้ปวดขนาดนั้น”



          “ไม่เป็นไร แค่อยากกอดเฉยๆ”



          “อืม กูเหมือนกัน”



          “เหมือนอะไร”



          “แค่อยากถูกกอดเฉยๆ”



          โชคนั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างเงียบงันหลังฉากไม้ที่บังสายตาจากคนในห้องนั่งเล่น ซ้อนทับกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคืนวันเกิดปีที่สิบห้าของเขา เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีแมวสาวมาช่วยปลอบใจ เด็กหนุ่มรอจนความร้อนแรงจางหาย เหลือเพียงชายวัยใกล้เลขสี่สองคนที่ซบกอดกันอยู่หน้าทีวีแล้วจึงค่อยลุกเดินไปหยิบผ้าเช็ดพื้นที่ตั้งใจลงมาเอา ทำเหมือนว่าเขาเพิ่งลงมาโดยที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรก่อนหน้านี้ทั้งนั้น







          พอเข้าช่วงหลังของเดือนมิถุนายน โชคก็อายุเต็มสิบเจ็ดปี ในวันเกิดของเขาครั้งนี้เองก็ยังคงมีตัวหลักสามคนร่วมฉลองให้



          น้าแก้ว อาธีร์ และมิกซ์เพื่อนรัก



          เริ่มจากตอนเช้าตรู่ที่เพื่อนสนิทขี่มอเตอร์ไซค์มารับ พร้อมกับหอบเอาของขวัญกล่องใหญ่ที่ข้างในเป็นหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาแบบยกเซ็ตถึงเล่มล่าสุดมาให้ถึงหน้าบ้าน ต่อมาในตอนพักเที่ยงที่โรงเรียน ก็ลากเอาเพื่อนทั้งกลุ่มมาประสานเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ตเดย์ดังโหวกเหวกให้อีกรอบ



          พอกลับถึงบ้านในตอนเย็นก็มีอาหารจากภัตตาคารจีนชื่อดังย่านเยาวราชที่ป้าธัญ พี่สาวของอาธีร์แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ถูกหิ้วมาโดยคนตัวใหญ่คนนั้นเอง ส่วนเค้กที่เป็นหัวใจหลักของงานวันเกิด แก้วก็ถือกลับมาจากร้านแถวที่ทำงานที่ไปสั่งทำเอาไว้ล่วงหน้า ในตอนที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิทมื้อเย็นในบ้านไม้สีขาวก็เริ่มขึ้น และจบลงพร้อมกับเปลวเทียนที่ถูกเป่าหลังเสียงร้องเพลงวันเกิดกับคำอวยพร



          “สุขสันต์วันเกิด”



          “แฮปปี้เบิร์ตเดย์ครับโชค”



          เป็นอีกหนึ่งวันเกิดธรรมดาๆ ที่ทำให้หัวใจอบอุ่น



          “น้าแก้ว” โชคออกมาจากห้องครัวหลังล้างจานเสร็จ เห็นในห้องนั่งเหลือแค่เพียงเจ้าของบ้านเลยเอ่ยถามถึงอีกคน “อาธีร์ล่ะครับ”



          “ออกไปคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน” แก้วตอบ พยักพเยิดไปทางประตูหน้า แต่ดวงตายังจับจ้องจอมือถืออ่านเมลล์เรื่องงานจากลูกน้องอยู่ พร้อมกับรู้สึกว่าอีกไม่นานคงถึงเวลาต้องตัดแว่นแล้ว



          “อ่อ ครับ” เมื่อได้คำตอบ เด็กหนุ่มเลยออกไปชะโงกหน้าผ่านบานประตูออกไปหาเจ้าของนาฬิกาที่ถอดลืมไว้ตอนเข้าไปช่วยเขาล้างจาน แต่ก็ต้องออกมาก่อนจะล้างเสร็จเพราะมีเสียงแจ้งเตือนสายเรียกเข้า



          “อืม ธีร์คิดอยู่” คำสุดท้ายก่อนจะมือใหญ่จะกดตัดสาย โชคไม่กล้าเอ่ยเรียกอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะอาธีร์ที่มักมีบรรยากาศสบายๆ กับรอยยิ้มเสมอคนนั้น กำลังยืนพิงเสาเฉลียงไม้ จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบสะท้อนแสงกระทบใบหน้าหล่อเหลาในความมืดที่แสงไฟจากถนนส่องมาไม่ถึง เด็กหนุ่มมองไม่เห็นว่าธีร์กำลังมองอะไร แต่ในแววตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความลังเลและแสนอ้างว้าง...



          คืนนั้นฝนตกลงมาตอนกลางดึกอย่างเงียบงัน แต่ก็หนักหน่วงไปจนถึงเช้า







          และฝนก็กระหน่ำลงมาพร้อมกับเสียงท้องฟ้าคำรามลั่น ในคืนวันเสาร์กลางเดือนกรกฎาคม



          เวลาสี่ทุ่มกว่า บนห้องนอนใหญ่ชั้นสองของบ้านไม้สีขาว เจ้าของบ้านและแขกประจำคนคุ้นเคยขึ้นห้องนอนกันตามเวลาปกติ เพื่อใช้ช่วงเวลาก่อนจะนอนหลับไปร่วมกันเหมือนกับค่ำคืนอื่นๆ ตลอดเกือบสองปีมานี้



          “ธีร์” แก้วเอ่ยเรียกเสียงเจือความสงสัย เมื่ออีกฝ่ายดึงตัวเขาเข้าไปกอดทันทีที่บานประตูปิดลง โอบรัดแน่นเสียจนเขาแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ทุกอย่างเงียบงันทั้งที่ไฟห้องสว่างจ้า หลงเหลือเพียงลมหายใจอุ่นรินรดผิวผ่านปลายจมูกที่ซุกอยู่หลังท้ายทอย



          ธีร์กอดแก้วเอาไว้ เนิ่นนานจนพอใจแล้วจึงค่อยปล่อยให้เป็นอิสระ ฝ่ายคนถูกกอดรัดไม่ได้ถามถึงเหตุผลของการกระทำนั้น เพราะช่วงหลังมานี้ธีร์ดูเหนื่อยล้า บางทีก็คงแค่อยากอ้อนตามประสา แก้วบีบกระชับท่อนแขนที่เกี่ยวเอวตนไว้หลวมๆ ทีหนึ่งก่อนผละจากอ้อมกอด เดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อค้นหาถุงเท้าออกมาเตรียมไว้ใส่ ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก มือและเท้าเขามันมักจะรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาตอนกลางดึก ต่างจากอีกคนที่ตัวอุ่นอยู่เสมอ



          และอีกคนที่ว่านั้นก็นั่งลงบนเตียง ดวงตาคมจับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่กำลังหยิบถุงเท้าสีครีมออกมาจากลิ้นชักตู้ มันเป็นคู่เดียวกับที่เขาสวมใส่ให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองเมื่อไม่กี่คืนก่อน ธีร์ชอบใส่ถุงเท้าให้แก้ว อาจฟังดูตลกนิดหน่อย และดูเหมือนเด็กน้อยเอามากๆ แต่เขาชอบเวลาที่ได้สัมผัสกับหลังเท้าเปลือยเปล่า ค่อยๆ ส่งผ่านไออุ่นจากอุ้งมือเขาสู่ปลายเท้าเย็นเฉียบ แล้วก็ได้สิทธิ์ในการกอบกุมปลายเท้าใต้ผืนผ้าฝ้ายเนื้อหนาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว...



          กิจกรรมเล็กน้อยในคืนฝนพรำที่มีเพียงเขาสองคนที่รู้



          ในคืนนี้เองก็เช่นกัน หลังจากที่แก้วกลับมาที่เตียง ธีร์ก็แย่งเอาก้อนม้วนผ้ากลมๆ ในมือของเขาไป ค่อยๆ คลี่มันกลับเป็นทรงเดิมขณะที่ย้ายตัวเองลงไปนั่งบนพื้น ก่อนจะประคองเท้าคนขี้หนาวขึ้นมาวางพาดบนตักกว้าง บรรจงสวมเครื่องกันหนาวชิ้นเล็กให้อย่างนุ่มนวลทีละข้าง เสร็จแล้วก็ยังคงวางมือทิ้งไว้อย่างนั้น ปล่อยให้ความร้อนค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาใต้เส้นใยถักทอ



          “แก้ว” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียก แต่ก็เว้นช่วงไปเนิ่นนานเมื่อริมฝีปากผู้พูดแนบลงบนข้อเท้าที่โผล่พ้นขอบยางยืดขึ้นมา และดูเหมือนว่าความร้อนจากรอยจูบ จะวิ่งพล่านไปทั่วกายได้ไวเสียยิ่งกว่าความร้อนจากถุงเท้าผ้าฝ้ายที่เขาสวมอยู่ แก้วแทรกเรียวนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมด้านบนที่ยาวพอจะตกลงปรกดวงตาคมของเจ้าตัว ลูบเสยมันขึ้นเพื่อที่จะได้สบตากันชัดๆ พลันความวูบโหวงพุ่งเข้าจู่โจมโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว



          “เนตรขอให้กูกลับไปอยู่ด้วย”



          ...แก้วได้เห็นความร้าวรานหลังนัยน์ตาคู่นั้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งที่สอง



          ความร้อนที่จุดขึ้นมาดับวูบลงจนเย็นเฉียบ หัวใจบีบตัวรัดแน่นจนหูอื้ออึงไปชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นภาพใบหน้าที่ช้อนมองขึ้นมาก็ยังคงชัดเจน เช่นเดียวกับภาพสะท้อนของตัวเขาเองที่อยู่ในดวงตาคมของคนตรงหน้า



          “แล้วมึงว่าไง” แก้วเอ่ยถาม ด้วยเสียงราบเรียบไม่ต่างจากยามพูดปกติ ทั้งที่ก้อนความรู้สึกล้นทะลักมาจุกอยู่ที่คอจนยากจะเอ่ยคำใดออกมา



          “กูไม่รู้” เป็นครั้งแรกที่ธีร์เป็นฝ่ายหลบเลี่ยงสายตาก่อน ชายหนุ่มซุกหน้าลงบนเข่าแข็ง “กูอยากอยู่กับลูก...”



          จากนั้นเรื่องราวก็ไหลออกมาจากปาก บอกเล่าเคล้าเสียงของลมฝนที่สาดซัดลงมา ในตอนที่แก้วไปญี่ปุ่น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ธีร์เฝ้าลูกชายอยู่โรงพยาบาล มันไม่ได้กินเวลาหลายวันนัก แต่ช่วงนั้นความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาตามกฎหมายที่แยกกันอยู่ก็กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง ไม่ได้ถึงกับผูกสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่เพราะเนตรเคยรัก...ยังคงรักธีร์มาตลอด แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายขอเลิกเองก็ตาม ด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง และความรู้สึกในหัวใจที่เธอระแคะระคายมาตลอดว่าอีกฝ่ายไม่ได้รักเธอมากอย่างที่เธอคิดว่าเขาจะรัก



          แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยกันในห้องพิเศษของโรงพยาบาลขนาดไม่กี่ตารางเมตร เห็นหน้า พูดคุย กังวลใจ และยิ้มหัวเราะไปด้วยกันต่อหน้าลูกชาย ความรู้สึกรักที่ยังหลงเหลือในใจของเธอก็หวนกลับมาท่วมท้นอีกครั้ง เหมือนกับสายลมที่พัดหอบเอาความทรงจำของหน้าหนาวกลับมาในทุกคืนสิ้นปี ตอกย้ำว่าความรักของหญิงสาวไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย นับตั้งแต่พฤศจิกายนปีนั้น ในวันแต่งงานที่เธอได้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดและมีความสุขที่สุดในโลก



          เมื่อหลอมรวมเข้ากับเด็กชายวัยห้าขวบปีที่เติบโตขึ้นทุกวันจนตอนนี้อยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งแล้ว และจะเติบโตต่อไปอีกในทุกๆ วันหลังจากนี้ ผู้เป็นแม่อย่างเนตรเลยอยากให้พ่อแม่ลูกได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง เพื่อที่ชิ้นส่วนครอบครัวของเธอที่ขาดหายไปจะได้ถูกเติมเต็มเสียที



          เนตรใช้เวลาเกือบเดือนเพื่อรวบรวมความรู้สึกเข้ากับเหตุผล ก่อนจะโทรหาสามี เอ่ยปากบอกความต้องการ และแม้จะไม่ได้บีบบังคับ แต่ในน้ำเสียงของผู้มีความคาดหวัง มันก็ยังเจือความเว้าวอนมาด้วยอยู่ดี เนตรรู้ว่าธีร์เองก็อยากอยู่กับเมษาเช่นกัน เขาอยากอยู่ตรงนั้น เฝ้ามองอยู่ข้างๆ จนเด็กชายของเขาเติบใหญ่ ได้ทำหน้าที่ของพ่อมากกว่าแค่การกลับไปเยี่ยมเยียนอาทิตย์ละสองสามวัน หรือได้นอนด้วยกันแค่ในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมธีร์ถึงใช้เวลาตัดสินใจนานนัก



          ธีร์รักการเป็นพ่อของเมษา



          ...มากเท่าๆ กับที่เขารักการได้อยู่เคียงข้างแก้ว



          เช่นนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจไม่ได้เสียที ในทุกครั้งที่เนตรโทรมา หวังว่าคำตอบของเขาจะเป็นการกลับไป สิ่งที่ธีร์บอกอีกฝ่ายจึงมีแค่เขากำลังคิดอยู่ กำลังตัดสินใจ และขอเวลาอีกสักหน่อย แต่คำว่าสักหน่อยของเขามันควรถึงเวลาจบลงได้แล้ว



          เขาเลยเสี่ยงดวงเป็นครั้งสุดท้าย เดิมพันด้วยหัวใจที่อาจพังทลายไม่ว่าเลือกทางไหน



          “กูอยากอยู่กับลูก แต่กูก็อยากอยู่กับมึง” ตาคมเงยขึ้นสบกับดวงตาสีเข้มที่สะท้อนความรู้สึกมากมายจนแทบมองไม่ออก แต่เขาก็รู้ว่าในนั้นมีความร้าวรานไม่ต่างจากตนนัก เพราะอย่างนั้นเขาเลยเอ่ยเรียก วิงวอนอย่างเงียบงันให้คนตรงหน้านั้นพูดมันออกมา “...แก้ว”



          มือเรียวขยับลงมาที่ข้างแก้ม ประคองใบหน้าหล่อเหลาที่ผ่านคืนวันจนเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่วันโรยรา แต่ในสายตาของเขาอีกฝ่ายกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ยังคงเป็นเด็กหนุ่มม.ปลายคนเดิมเหมือนกับที่เขาเคยตกหลุมรัก แก้วจูบธีร์ กดจูบแนบแน่นยาวนาน ไม่ใช่จูบร้อนแรงวาบหวาม แต่เป็นจูบที่แสนปวดร้าวและอาลัย



          “ลูกต้องการมึง ธีร์” คำตอบที่ได้รับนั้นแผ่วเบา แต่เมื่อมันถูกกระซิบบอกในระยะที่สายตาของพวกเขายังคงพร่ามัวจนมองเห็นกันไม่ชัด มันถึงได้ดังกึกก้องไปทั้งหัวใจที่กำลังทิ้งดิ่งสู่หุบเหวไร้ก้นบึ้ง



          “แก้ว” ธีร์เอ่ย ในตอนที่ใบหน้าของพวกเขาผละห่างจนมากพอจะสบตากันได้อย่างชัดเจน มองเห็นทุกสีหน้าและความร้าวรานที่ปรากฏออกมาอย่างสงบ เหมือนกับมวลน้ำมหาศาลเคลื่อนไหวใต้มหาสมุทรที่ไม่มีใครมองเห็น แต่รับรู้ได้เองว่ามันรุนแรงเพียงใด และราวกับภาพสะท้อน ในเมื่อตอนนี้หัวใจของพวกเขาแหลกและไม่ต่างกัน “กู...”



          ยังไม่ทันได้พูดสิ่งที่ต้องการออกไป ริมฝีปากคู่เดิมที่แนบชิดกันมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็แนบซ้ำลงมาอีก ขยับแทรกสอดปลายลิ้นเข้ามาเกี่ยวประสาน ปิดผนึกถ้อยคำที่จะเปลี่ยนทุกการตัดสินใจ บิดเบือนเหตุผลทั้งหมดที่มีให้สลายไปเหมือนไอควันบุหรี่ ต่างฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจว่ามันจะกักขังทั้งคนฟังและคนพูดเอาไว้ เช่นนั้นแล้วแก้วถึงได้ปฏิเสธที่จะรับฟัง และธีร์ก็เข้าใจได้ทันที



          ...คำเพียงคำเดียวนั้นจะพันธนาการพวกเขาไปตลอดชีวิต แม้จะรอคอยมาเนิ่นนาน แต่เขาก็ไม่อาจพูดมันออกไปได้อีกต่อไปแล้ว



          รสจูบขมปร่าทั้งที่ไม่มีกลิ่นของใบยาสูบ ขมจนเจ็บปวด แต่ก็ยังคงตักตวงกันไม่ขาด จูบซ้ำๆ เพื่อย้ำเตือนว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้าย จนกระทั่งมันคลุ้งกลิ่นคาวจากแผลที่ปริแตก จูบสุดท้ายแสนยาวนานจึงจบลง ง่ายๆ แค่เพียงริมฝีปากผละห่างจากกัน







          แก้วนอนไม่หลับ ไม่ต่างกับเจ้าของอ้อมแขนที่โอบกอดเขาจากด้านหลัง ไม่มีใครหลับลงทั้งนั้นในค่ำคืนนี้



          ความรู้สึกที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ ช่างเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในห้องเดียวกันนี้เมื่อหกปีก่อน เมื่อธีร์บอกกับแก้วว่าได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง และคิดว่าจะแต่งงานสร้างครอบครัวกับเธอคนนั้น ดวงตาคมที่จ้องสบมาฉายแววคาดหวังและอ้อนวอนให้ชายหนุ่มพูดบางสิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้พูด มีเพียงจูบรสฝาดเฝื่อนที่ตกค้างจากทั้งมวนบุหรี่มอดไหม้และหัวใจร้าวรานแทนคำลา จากนั้นพวกเขาในตอนที่ยังเด็กกว่านี้ เลยเอาแต่กอดกันอย่างลึกซึ้งหนักหน่วง เก็บเกี่ยวอุณหภูมิร่างกายที่พยายามจะเติมกันและกันแต่ก็ไม่เต็มจนถึงเช้า รวดร้าวกันทั้งร่างกายและหัวใจ



          แก้วเหม่อมองเพดาน ในแสงสว่างจากหลอดไฟที่เปิดจ้าจนเห็นคราบน้ำสีอ่อนจางบนแผ่นฝ้า มันเป็นทิวทัศน์เดียวกับที่เขามองข้ามไหล่คนที่ทาบกายเหนือตัวเขาในคืนนั้น ชายหนุ่มจำได้ว่ามันจุกเสียดไปหมด แม้ธีร์จะค่อยๆ แทรกกายเข้ามาอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอมเขาแค่ไหน มันก็ยังเจ็บปวดเกินไปอยู่ดี



          ดวงตาสีเข้มปรือปิดลง ทั้งที่ตอนนั้นก็คิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเหมือนกัน แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ



          แต่ไม่ว่าจะในคืนนั้นหรือคืนนี้ ก็ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดไหลออกมา



          ท้องฟ้ากรีดร้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่ำไห้เป็นสายฝนโหมกระหน่ำลงมา ย้อมค่ำคืนกลางเดือนกรกฎาให้เหน็บหนาว แก้วคิดถึงถุงเท้าสีครีมที่สวมใส่ บางทีเขาอาจไม่ต้องการมันด้วยซ้ำ ในเมื่อตอนนี้ร่างกายและหัวใจของเขามันชาหนึบจนไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่แม้แต่อุ่นไอจากร่างกายที่เคยช่วยคลายหนาวให้เขาอยู่เสมอ



          ...ในอ้อมกอดของธีร์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกนั้นแสนว่างเปล่า







TBC...

   ฝนตกลงมาอีกแล้วล่ะค่ะในตอนนี้ เป็นความรักรสขมที่ไม่มีหยดน้ำตา...

   เรื่องราวต่อจากนี้จะดำเนินไปในทิศทางไหน ก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

   ปล.รีนเขียนเรื่องนี้สต๊อกไว้จนใกล้จบเรื่องแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นมาอัพตรงวันแน่นอนไม่ต้องห่วงเลยค่ะ และไม่ได้เครียดหรือกดดันเท่าเมื่อก่อนแล้วด้วย ขอบคุณมากนะคะสำหรับกำลังใจที่สม่ำเสมอที่พารีนมาได้ไกลขนาดนี้  :mew1:

   ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่าน

   ขอบคุณมากค่ะ



   See you on Thursday นะคะ
 
 
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 25 [03.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-09-2020 19:20:39
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 25 [03.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-09-2020 01:28:17
อะไร? นี่ทุกคนทั้งโชค แก้ว ธีร์ กำลังอยู่ในสถานะมูฟออนแบบวงกลมใช่ไหม รู้สึกวนลูปได้อีก 5555 ทำแบบนี้มันก็เหมือนเนตรเห็นธีร์เป็นของตาย จะเลิกก็เลิก จะกลับมาตอนไหนก็ขอคืนดี แล้วธีร์จะมาเห็นแก้วเป็นของตาย จะมาก็มา จะไปก็ไป มันใช่หรอ? อยากได้ยินอะไรจากปากเขา คำพูดรั้งกันไว้?? คนที่ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ใจดีเก็บเด็กมาเลี้ยงทั้งคนจะให้พูดรั้งให้อยู่ข้างกาย มันใช่?? จะให้แสดงความเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อคุณต้องการครอบครัว ไม่พูด ไม่ทะเลาะไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก!! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดันเป็นแก้วเองที่ยอมให้เขากลับมา รออยู่ตลอด เป็นยังงี้ก็คงต้องรู้สึกเจ็บเองแบบนี้ซ้ำๆวนไป โชคจะพูดอะไรได้ก็น้าแก้วยอมเขาเอง ก็ได้แต่นั่งเห็นใจนี้แหละน๊า โถถังกะละมังความรัก 555 โชคโตไปอีกปีแต่ก็ได้เรียนรู้รักลึกซึ้ง ว่ารักเองเจ็บเองมันเป็นยังไง โชคและน้าแก้วเข้าใจดีก็วันนี้ 5555 เอ๊ะ!หรือว่าบางทีเราจะเข้าใจเจตนารมณ์ของทุกคนผิด ตีความอารมณ์ตัวละครไม่แตก เพราะก็เริ่มงงๆกับสามคนแล้ว จะเอายังไงกันแน่ 5555 แต่ชอบภาษาการแต่งมาก มันหน่วงแบบมึนๆอึนๆดี 55 :katai2-1: ขอบคุณนะคะที่มาต่อ ครั้งนี้อยากจะให้ถึงพฤหัสเร็วๆ จัง เพราะอยากรู้ตอนต่อไปมาก ไม่มีตัวอย่างตอนต่อไปด้วย รออย่างเดียว 55555  :pig4: :pig4: :pig4:  :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 26 [10.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 10-09-2020 19:18:24


ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 26

 

       วันอาทิตย์ท้องฟ้าแจ่มใสจนเหมือนพายุที่โหมเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน หลงเหลือไว้แค่แอ่งน้ำและความชื้นเล็กน้อยบนพื้นผิวของสิ่งต่างๆ ที่บอกให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

       โชคตื่นขึ้นมาในตอนที่ฟ้าสว่างจ้าแล้ว เขาจึงไม่ทันเห็นตอนที่ชายหนุ่มจากไปในตอนรุ่งสาง ท่ามกลางแสงแรกสีทองที่แทรกตัวผ่านมวลเมฆหนาลงมา ส่องสะท้อนให้รอยยิ้มลาบนใบหน้าหล่อเหลาดูอบอุ่น ...แม้ว่านัยน์ตาคมจะร้าวรานก็ตามที

 

       แต่ถึงเด็กหนุ่มจะไม่ได้เห็นมันกับตา เขาก็รับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ฉายชัดออกมาจากน้าแก้ว

 

       ในช่วงสายที่เจ้าของบ้านจะเอาผ้าลงเครื่องซัก เสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงใส่นอนที่อยู่บนสุดของตะกร้าผ้า มือเรียวหยิบมันขึ้นมา มองค้างอยู่เนิ่นนานด้วยใบหน้าที่ราวกับกำลังร้องไห้ทั้งที่ไม่มีน้ำตา ก่อนจะทิ้งมันลงถังซักไปพร้อมกับเสื้อผ้าตัวอื่นๆ แล้วพอตกบ่ายหลังตากผ้าเสร็จ ควันบุหรี่ก็ลักพาตัวชายหนุ่มไปยังดินแดนว่างเปล่า แก้วนั่งเอียงลำตัวพิงพนักโซฟา ดวงตาสีเข้มจับจ้องมองผ่านมุ้งลวดหน้าต่าง มองออกไปไกลแสนไกลอย่างไร้จุดหมาย

 

       น้าแก้วของเขา กลับไปเปลี่ยวเหงาอีกแล้ว

 

       “น้าแก้ว” โชคเรียกเสียงเบา แต่ก็ดังพอจะช่วงชิงชายหนุ่มกลับมาจากม่านควันหม่นมัว

 

       “ว่าไง” เมื่อเจ้าของชื่อหันกลับมาสบตา เด็กหนุ่มกลับกลายเป็นฝ่ายพูดไม่ออก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างน้าแก้วกับอาธีร์ บางทีทั้งสองคนอาจจะทะเลาะกัน หรือบางทีอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาอยากจะถาม...

 

       “...เย็นนี้กินอะไรดีครับ” แต่กลับกลัวเหลือเกินว่ามันจะทำให้คนตรงหน้าบอบช้ำเสียยิ่งกว่าเก่า

 



 

       เข้าสู่เดือนสิงหาที่พัดพาเอาสายฝนมาตั้งแต่วันแรกของเดือน สามอาทิตย์แล้วตั้งแต่ที่ธีร์จากไปในวันนั้น เป็นช่วงเวลาที่เหมือนสั้น แต่ก็ยาวนาน ...นานเกินกว่าที่โชคคิดเอาไว้ นานเสียจนที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะหน้าโซฟาอัดแน่นไปด้วยขี้เถ้าและก้นกรองหลังการมอดไหม้ของใบยาสูบ

 

       ในอาทิตย์แรกที่ผ่านไปโดยไร้เงาแขกประจำ เด็กหนุ่มคิดว่าเจ้าตัวคงติดพันกับงานเหมือนที่เคยเกิดขึ้นสมัยเขายังเป็นเด็ก พออาทิตย์ต่อมาก็ยังคงเงียบเหงา เขาคิดว่ามันคงมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จริงๆ บางครั้งความรักก็ต้องการระยะห่าง แต่ผ่านไปจนสามสัปดาห์เต็มแล้วก็ยังคงไร้วี่แวว โชคเริ่มคิดว่ามันไม่ปกติ

 

       เพราะถ้าหากเป็นอาธีร์คนนั้น ที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา

 

       ...คงไม่ปล่อยให้น้าแก้วรอคอยเนิ่นนานขนาดนี้

 

       ดอกแก้วร่วงโปรยลงมา สวนทางกับกลุ่มควันเบาบางที่ลอยตัวขึ้นสูง เจ้าของบ้านหนุ่มบดขยี้แท่งนิโคตินหลังจากมันไหม้สุดโคน จากนั้นก็ทิ้งเวลาช่วงเช้าที่เหลือของวันหยุดสุดสัปดาห์เอาไว้ในลานอิฐ จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขยับขึ้นตรงหัว ส่องแสงร้อนแรงลงมากระทบผิว เขาถึงได้กลับเข้าไปในบ้าน กินมื้อเที่ยงฝีมือเชฟโชคเจ้าเก่า มื้ออาหารสงบเงียบของวันหยุดไม่แตกต่างจากที่เคยเท่าไหร่นักแม้จะขาดคนไป มันก็แค่ย้อนกลับไปเหมือนตอนก่อนที่ใครคนนั้นจะกลับมา

 

       “น้าแก้ว” โชคออกมาจากครัวหลังล้างจานเสร็จ หยุดยืนนิ่งมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นอยู่ข้างฉากไม้ น้าแก้วสูบบุหรี่อีกแล้ว บนโซฟามุมประจำเหมือนกับที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่กลิ่นอายความเหงาที่แผ่ออกมานั้นเข้มข้นเสียจนรู้สึกอ้างว้าง

 

       “หืม” เจ้าของชื่อครางตอบรับ พลางหันหน้ามาสบตา โชคลังเลเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยถามออกไปจนได้

 

       “อาธีร์ล่ะครับ” คำถามดูไม่เต็มประโยคที่ใช้ถามถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านมาตั้งแต่แรก แต่คนฟังก็เข้าใจสิ่งที่จะสื่อได้ชัดเจน ลมหายใจที่กำลังพ่นควันออกจากปากขาดห้วง แก้วไม่แปลกใจที่ถูกถาม แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าโชคจะถามเช่นกัน

 

       แก้วมองริ้วขมุกขมัวจางหายไปในอากาศจนหมดสิ้น แล้วจึงตอบกลับไป ด้วยคำตอบที่ไม่ชัดเจนนัก และดูเหมือนไม่ตรงกับคำถาม “กลับไปแล้วล่ะ”

 

       โชคขมวดคิ้ว เอ่ยถามต่ออย่างงุนงง “กลับไปไหนครับ”

 

       “กลับบ้าน” แก้วไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น ในตอนแรกโชคก็ยังคงไม่เข้าใจ แต่เมื่อจ้องมองเข้าไปในแววตาหลังม่านควันเบาบางที่ถูกพ่นออกมาอีกระลอก เขาก็ได้รู้ว่าจำนวนมวนบุหรี่ที่ชายหนุ่มสูบ ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนชั่วโมงที่รอคอย แต่เป็นความคิดถึงต่างหาก

 

       น้าแก้วไม่ได้รออาธีร์ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรอคนที่จะไม่กลับมาอีกแล้ว

 

       ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังประตูบานพับที่เปิดกว้าง คิดถึงคืนที่น้าแก้วพยักเพยิดหน้าไปทางนั้น และเมื่อเขาเดินตามไปก็เจอกับคนที่ตนถามหา เขาอยากได้คืนนั้นกลับมา เช่นเดียวกับที่เริ่มเข้าใจแล้วว่าปลายสายของอาธีร์ในตอนนั้นเป็นใคร

 

       “...อาธีร์กลับไปหาอาเนตรเหรอครับ” คลื่นความเดือดดาลบางอย่างกำลังก่อร่างขึ้นใต้ทะเลความรู้สึก โชคหวังว่าแก้วจะปฏิเสธ

 

       “...” แต่ความเงียบงันที่ได้กลับมาก็คือคำตอบรับโดยดุษณี

 

       “ทำไมล่ะครับ” โชครู้ดีว่าน้ำเสียงของตัวเองแข็งกระด้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แก้วเองก็ดูประหลาดใจกับท่าทีของเขา แม้จะไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดนัก แต่เด็กหนุ่มกำลังโกรธ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดอารมณ์ที่กำลังจะปะทุ พูดต่อด้วยเสียงสั่นเครือจากความคับแน่นในอกที่ตีตื้นขึ้นมารวมอยู่ที่กระบอกตา “ทั้งที่อาธีร์กับน้าแก้วน่ะ...รักกันไม่ใช่เหรอครับ”

 

       “...” เป็นอีกครั้งที่คำตอบคือความเงียบ แก้วเพียงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้มแสนแห้งแล้ง ชายหนุ่มขยี้บุหรี่ที่เหลือเกือบครึ่งมวนทิ้ง ก่อนจะลุกเดินเข้ามาใกล้ มืออุ่นที่คุ้นเคยวางลงบนศีรษะคนเด็กกว่า แต่ในวันนี้ความสูงเพิ่มขึ้นมาจนจะเท่าตนแล้วดึงโน้มให้มาซบบนบ่า ลูบผ่านท้ายทอยสากมือเพราะทรงผมสั้นเกรียนเพื่อปลอบปละโลมเด็กขี้แย

 

       “ทำไมล่ะครับ” โชคยังถามหาคำตอบด้วยความสั่นไหวในทุกถ้อยคำ

 

       “เพราะแค่นั้นมันไม่พอที่จะทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันน่ะสิ” ว่าจบไออุ่นจากอ้อมแขนที่โอบกอดเด็กหนุ่มไว้ก็จางหาย แก้วผละจากแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เขารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งที่ตอบคำถามไปเพียงไม่กี่ประโยค ตั้งใจจะไปนอนพักสักงีบเพื่อไล่ความหนังอึ้งในหัว แต่นั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง

 

       ...เขายังไม่พร้อมรับมือกับอารมณ์รุนแรงที่ฉายแววออกมาจากดวงตาคู่นั้นต่างหาก

 

       แก้วเคยรับมือกับโชคในวัยเด็กที่ไม่ยอมพูดจา ไม่แม้แต่จะร้องไห้ เคยดูแลเด็กน้อยที่ขวัญเสียเพราะฝันร้ายตอนกลางดึก เคยปลอบโยนไอ้หนูนักสู้ที่เข้าไปช่วยเพื่อนสนิทที่ไปตีกับอริข้างห้องตอนป.สี่ และสุดท้ายก็จบลงที่ฝ่ายนั้นมีคนหนึ่งถูกเตะจนเสียหลักล้มแขนกระแทกกับราวเหล็กของเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นจนกระดูกร้าว วันนั้นเด็กชายของเขาร้องไห้หนัก รู้สึกผิดและโทษตัวเองทั้งที่มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในการวิวาท ต่อมาพอโชคเติบโตเข้าสู่การเป็นวัยรุ่นช่วงต่อต้าน แก้วก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มที่เอาแต่หลบหน้าหลบตา ไปจนถึงคืนที่ร้องไห้กลับมาโดยไม่ยอมบอกอะไรกับเขาสักคำ

 

       ตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมาแก้วเคยเห็นโชคในหลายรูปแบบ หลากความรู้สึก และช่วยประคับประคองผ่านมาได้จนถึงวันนี้ ทว่าโชคที่กำลังโกรธเคืองอย่างชัดเจนคือสิ่งที่เขาไม่เคยเจอ และแก้วในตอนนี้ก็ไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคลื่นอารมณ์รุนแรงแบบนั้น เขาจึงเลือกที่จะหลบเลี่ยง

 

       แต่โชคไม่ได้ปล่อยให้แก้วหนีไปตั้งหลักอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจ เด็กหนุ่มเดินตามขึ้นไปติดๆ เขารู้ว่าตัวเองกำลังฉุนเฉียวและทำตัวไม่น่ารักเลยสักนิด แต่เพราะเขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยเขาจึงโมโห และความโมโหที่ยังคงไร้ที่มาที่ชัดเจนนั้นมันก็ทำให้เขาเจ็บปวด

 

       “แล้วมันต้องมีอะไรอีกล่ะครับ! ถ้าแค่เพราะรักกันมันไม่พอ แล้วมันต้องใช้อะไรอีก”

 

       “มันมีเหตุผลอีกมากนอกจากแค่คำว่ารักนะโชค ไว้เธอโตขึ้นเธอจะเข้าใจ”

 

       “น้าแก้วบอกผมตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ” คนที่ยังเป็นเด็กและไม่เข้าใจเหตุผลของพวกผู้ใหญ่ที่อีกฝ่ายบอก คว้าลูกบิดประตูยื้อไว้ไม่ให้เจ้าของห้องปิดมันแล้วหนีจากเขาไปสู่ความเงียบงันที่แสนโดดเดี่ยว “อีกกี่ปีผมถึงจะโตพอ! น้าแก้วบอกแต่ว่าผมยังเด็กๆ แล้วเมื่อไหร่ผมจะเข้าใจสักที”

 

       หยาดอารมณ์หยดที่หนึ่งล้นออกมา กลิ้งผ่านแก้มสู่ปลายคาง ก่อนจะทิ้งตัวร่วงลงพื้น แต่เด็กหนุ่มก็ฝืนกลืนหยดที่สองกลับลงคอไปได้ทัน เหลือเพียงดวงตาแดงก่ำที่มองตรงเข้าไปในดวงตาสีเข้มของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

 

       “ตอนนี้ผมโกรธอาธีร์มาก ก็เพราะผมไม่เข้าใจ” โชคผ่อนแรงที่ดันบานประตูเอาไว้ เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างอ้อนวอน “น้าแก้ว... ผมไม่อยากโกรธ ไม่อยากโกรธแค่เพราะผมไม่เข้าใจ”

 

       แก้วยกมือขึ้นลูบหน้า บานประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย เขาเลิกตั้งใจจะปิดประตูตั้งแต่ที่เห็นเด็กหนุ่มพยายามยื้อไว้แล้ว เพราะกลัวว่าถ้าฝืนดันกลับไปมันจะทำให้อีกคนเจ็บตัวเอา และยิ่งเมื่อเห็นน้ำตาอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็อดใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจจะปล่อยให้โชคได้ขยับเข้าไปในโลกของเขามากขึ้นอีกนิด

 

       ชายหนุ่มเดินนำไปยืนพิงตัวกับกรอบหน้าต่างไม้ที่เปิดกว้าง เหลือเพียงมุ้งลวดกันแมลงที่แบ่งเขตแดนระหว่างโลกทั้งใบ กับในห้องนอนที่บรรจุเรื่องราวมากมายของผู้ที่เคยผ่านเข้ามาฝากร่องรอยความทรงจำเอาไว้

 

 

 

       แก้วเริ่มเล่า... เรื่องของเขากับธีร์ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก แต่ก็ชี้ชัดว่ามันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงวัยที่ชายหนุ่มอายุพอๆ กันกับคนฟัง ในตอนแรกนั้นมันยังคงซุกซ่อนอยู่ใต้เงาของคำว่าเพื่อนสนิท ต่างคนต่างมีหญิงสาวที่คบหาและเลิกราไปมากมายระหว่างการเติบโต จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย แก้วก็มั่นใจว่าตนไม่สามารถรักผู้หญิงคนไหน หรือคนคนไหนได้อย่างที่เขารักธีร์ เขาเลยหยุดสร้างความสัมพันธ์ที่สักวันมันก็ต้องพังทลาย แล้วรอคอยให้อีกฝ่ายแวะเวียนกลับมาหาในช่วงที่ไม่ติดพันกับใครอื่น

 

       ต่างจากธีร์ที่ยังคงขยันสานสัมพันธ์กับผู้คนที่เข้าหา ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่มีหน้าตาหล่อเหลา ฐานะการเงินที่บ้านก็ดี การงานก็ไปได้สวย เหมือนกับผู้ชายในอุดมคติ ไม่แปลกเลยที่ผู้คนมากมายจะอยากข้องเกี่ยวกับเขา ทั้งที่ธีร์ไม่ใช่คนเจ้าชู้ เพียงแต่ชอบที่จะได้ดูแลคนอื่น เขาไม่เคยเป็นฝ่ายจีบก่อน และไม่เคยได้เป็นฝ่ายบอกเลิก แต่ถ้ามองจากสายตาของคนนอก เขาก็คงดูเหมือนเป็นผู้ชายมากรัก

 

       แต่ผู้ชายมากรักคนนั้นก็ไม่เคยคงความรักไปได้ตลอดรอดฝั่ง ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาต่างจากเขาไปด้วยคำขอโทษและบอกว่าพวกเธอรู้สึกเหมือนความรักที่ได้จากเขาไม่เหมือนกับที่เธอคาดหวังไว้ และธีร์ก็รู้ดีว่ามันหมายความว่ายังไง

 

       เขาจะให้ความรักที่พวกเธอต้องการได้อย่างไร ในเมื่อเขาให้มันทั้งหมดกับคนๆ หนึ่งไปแล้ว

 

       แม้จะไม่เคยพูดออกไป และไม่เคยแน่ใจ เพราะพวกเขาต่างหวาดกลัว ใจฝ่อเกินกว่าจะกล้าก้าวข้ามเส้นแบ่งมากมายทั้งจากตัวเองและคนรอบข้าง ธีร์มีความคาดหวังที่มองไม่เห็นของบุพการีวางบนบ่า แก้วไม่มี แต่สำหรับเขาพ่อแม่ของธีร์ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของตนที่ไม่อยากทำให้ผิดหวัง ไหนจะสายตาของสังคมที่กะเกณฑ์ความถูกต้องแสนบิดเบี้ยวที่มองเข้ามา พวกเขาไม่ใช่เด็กน้อยผู้มีอิสระ พวกเขาเติบโตและถูกหล่อหลอมมาในกรอบคับแคบที่ยากจะแหกออกไป

 

       ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มในวัยยี่สิบห้าปีก็ยังโหยหาบ้านให้กับหัวใจ ธีร์เลิกเปิดรับผู้คนเข้ามาในชีวิต ใช้ทั้งหมดที่มีในตอนนั้นไปกับแก้ว ไม่ได้เปิดเผย และไม่เคยตกลงกันเลยว่าที่เป็นอยู่มันคืออะไร แต่พวกเขาก็มีความสุข จนกระทั่งมีโชคเข้ามา รูปร่างครอบครัวที่ใฝ่ฝันก็ดูใกล้จะเป็นจริงเสียยิ่งกว่าเก่า ธีร์รักเด็กชาย มากมายเท่าที่เขามั่นใจว่าจะรักลูกของตัวเองได้เท่านั้น และเขาก็รักการได้อยู่กับแก้ว มากเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

 

       แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ความสุขคงอยู่เพียงชั่วคราว สั้นยาวก็ต้องจบลงอยู่ดี ในสักรูปแบบที่จะป่นหัวใจคนให้แหลกสลาย พ่อของธีร์เปรยขึ้นมาว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานในหน้าร้อนตอนที่เขาอายุสามสิบสอง และแม่ก็ยิ้มหวาน เอ่ยปากว่าอยากอุ้มลูกของลูกชายสักครั้งในชีวิต

 

       ชายหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่าต้องบอกลาครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นมาในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนั้นแล้ว ถ้าเขาไม่แต่งงานกับผู้หญิงสักคน พ่อแม่ก็คงหามาให้ในอีกไม่ช้า พอดีกับที่เนตรเข้ามา เรือนผมยาวประบ่า ดวงตาสีเข้ม ชวนให้นึกถึงใครบางคน เพียงแต่อ่อนหวานกว่า และเธอก็ระบายยิ้มกว้างให้เขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน

 

       ...ธีร์เลยคลี่ยิ้มตอบกลับไป

 

       หลังจากนั้นเจ็ดเดือน ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ธีร์ก็เอ่ยปากถามแก้วเป็นครั้งแรก ด้วยประโยคบอกเล่าที่แสนอ้อมค้อม และรอคอยให้เขาเป็นคนตัดสินใจ คนที่กุมชะตาหัวใจสองดวงไว้ในมือที่ไร้เรี่ยวแรงจะฉุดรั้งให้คำตอบเป็นหนึ่งจูบขมปร่า...แทนคำลาและคำขอโทษ

 

       เหมือนกับที่ธีร์ทำลายความหวังของพ่อแม่ไม่ได้

 

       แก้วก็ทำลายชีวิตและครอบครัวของธีร์ไม่ได้เช่นกัน

 

 

 

       ความเงียบงันปกคลุมทั้งห้องไว้หลังจากเรื่องราวใจสลายครั้งแรกของแก้วจบลง โชคยืนนิ่งอยู่ที่ปลายเตียง มือจับราวเหล็กสีดำ ไล้ไปตามเส้นโค้งที่ผ่านการดัดงอมาอย่างเลื่อนลอย เขาไม่กล้าหันไปสบตากับคนเล่าเรื่อง กลัวว่าถ้ามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วเห็นว่ามันแตกร้าว แต่ยังคงเปี่ยมรัก เขาจะจัดการกับความโกรธขึงในหัวใจยังไงดี

 

       “จะนั่งก็ได้นะ” ชายหนุ่มบอก เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนั้น

 

       “ไม่เป็นไรครับ” ตอบปฏิเสธเสียงแผ่วเบา รู้สึกว่าพลาดแล้วที่เบนสายตาหลบน้าแก้วมายังผ้าปูที่นอนลายดอกไม้สีขาวบนพื้นหลังสีน้ำเงินเข้ม แม้จะเห็นว่าเจ้าของห้องเพิ่งเปลี่ยนมันใหม่ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่เด็กหนุ่มก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี ว่าที่ตรงนั้น บนเตียงนอนขนาด 6.5 ฟุต กลิ่นของใครอีกคนที่เคยกกกอดคนตรงหน้าเขาไว้คงยังไม่จางหาย...

 

       แก้วมองเด็กหนุ่มที่ตวัดสายตาหนีจากทุกสิ่งลงไปมองปลายเท้าตัวเอง เขาไม่รู้ว่าโชคกำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังรู้สึกอย่างไร แต่เขาก็เล่าเรื่องมาได้เกินกว่าครึ่งแล้ว เพราะอย่างนั้นก็เล่าต่อไปให้มันจบเลยคงจะดีกว่าทิ้งเอาไว้ให้ค้างคาแค่ตรงนี้

 

       “พอธีร์มีลูก ฉันก็คิดว่ามันคงจบแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่...” แววตาขณะบอกเล่าฉายแววแตกต่างกันไปตามจังหวะของเรื่องราว บางครั้งก็สุกสกาวขึ้นอย่างมีสุข บางคราวก็อมทุกข์หม่นหมอง แต่ความรักที่ล้นอยู่ในนั้นก็ไม่เคยจาง เช่นเดียวกับที่ไร้แววของความโกรธเคือง

 

       เด็กหนุ่มรู้เรื่องราวต่อจากนั้นดี เพราะเขาที่เติบโตพอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของผู้คนแล้วได้อยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นแทบทั้งหมด ทั้งตอนที่ธีร์กลับมากลางฝนฤดูร้อน ทั้งตอนที่แก้วรอคอยแม้จะไม่คิดหวังตลอดเดือนที่เหลือ จนกระทั่งชายคนนั้นกลับมา ไม่ได้ไร้พันธะโดยสิ้นเชิงทางกฎหมาย แต่ก็แยกขาดจากเนตรในฐานะคู่ชีวิต กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่เคยทิ้งไป ในบ้านไม้หลังเก่าที่ยังคงทุกสิ่งไว้เหมือนเดิมเสมอแห่งนี้

 

       แต่สิ่งที่เขาเพิ่งรู้คือเรื่องของอาเนตร การไปเที่ยวญี่ปุ่นห้าวันสี่คืนเหมือนช่วงที่มรสุมเริ่มก่อตัว และเมื่อกลับมาถึงไทยก็กลายเป็นช่วงคลื่นลมสงบก่อนพายุโหม ระหว่างแก้วกับธีร์ดูผลิบานสดใสเสียยิ่งกว่าเก่าทั้งที่อายุล่วงเลยเข้าสู่วัยโรยรา อาจจะเพราะอะไรหลายๆ อย่างเริ่มชัดเจน เหมือนเงาสลัวรางหลังม่านหมอกที่ค่อยๆ เผยกายหลังถูกแสงตะวันสาดส่องให้ระเหยจางไป แต่ยังไม่ทันจางหายดี เมฆฝนที่ตั้งท่าอย่างเงียบงันก็เข้าปกคลุม เทกระหน่ำซัดสาดจนเปียกปอน

 

       ไม่มีใครทันตั้งตัวทั้งนั้น ไม่แม้แต่ธีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแก้ว

 

       “แล้วทำไมน้าแก้วถึงไม่บอกให้อาธีร์อยู่” เด็กหนุ่มเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาในใจ ทั้งที่เข้าใจเรื่องราว แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลอยู่ดี

 

       เขื่อนที่กักเก็บน้ำตาเอาไว้พังทลาย โชคเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม สบตาอย่างค้นหาคำตอบ เขาทั้งรวดร้าวที่เห็นน้าแก้วเจ็บปวด ขุ่นเคืองเมื่อสุดท้ายอาธีร์ก็จากไป ทั้งที่นัยน์ตาสีเข้มร่ำร้องตะโกนบอกความต้องการแท้จริงชัดเจนปานนั้น ถ้าหากเป็นเขา เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งให้น้าแก้วต้องอยู่ลำพัง ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม ...แต่ถ้าหากนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

 

       เด็กหนุ่มทำได้เพียงโมโหและฉีกทึ้งความรู้สึกมากมายในอกตัวเอง

 

       “เพราะเมษาต้องการพ่อ” หลังจากที่รอคอย คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้อะไรกระจ่างขึ้นเลยในความรู้สึก กลับยิ่งโหมให้โทสะลุกโชนกว่าเก่า

 

       ธีร์จะไปหาทุกคนที่ต้องการเขา เรียกร้องหาเขา มันแน่นอนอยู่แล้วเพราะธีร์เป็นคนแบบนั้นเอง แต่แล้วทำไมคนที่ต้องการชายหนุ่มมากที่สุดกลับเป็นคนที่ถูกทิ้งเอาไว้

 

       ...ทั้งที่คนที่ต้องการอาธีร์ที่สุดคือน้าแก้วแท้ๆ

 

       “น้าแก้วเองก็ต้องการอาธีร์เหมือนกัน..” เอื้อนเอ่อยออกไปด้วยเสียงเบาหวิว ก่อนที่ถ้อยคำอื่นจะทะลักทะลายออกมาพร้อมแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ “แล้วทำไมน้าแก้วถึงต้องเป็นคนที่เศร้า ทำไมน้าแก้วถึงต้องเป็นฝ่ายเสียสละ ทั้งที่น้าแก้วบอกผมเองไม่ใช่เหรอ คนเราจะเห็นแก่ตัวเพื่อความสุขของตัวเองบ้างก็ไม่เป็นไร น่ะ แล้วทำไม!? ทำไมถึงปล่อยมือง่ายๆ แบบนั้น ทำไมถึงยอมเป็นคนเจ็บปวดเพื่อให้คนอื่นมีความสุขง่ายๆ แบบนั้น!”

 

       “ทั้งที่เสียใจตั้งขนาดนี้! แต่ก็ยังไม่โกรธเลยเหรอ เพราะรักเหรอครับ แล้วทำไมถึงรักมากขนาดนั้นล่ะ อาธีร์ใจร้ายกับน้าแก้วตั้งเท่าไหร่ โยนการตัดสินใจมาให้ ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าน้าแก้วจะตอบว่าอะไร ถ้าอยากอยู่ด้วยแล้วทำไมไม่พูดเองละว่าอยากอยู่น่ะ! ทำไมต้องทำเหมือนตัวเองไม่มีทางเลือกด้วย! คนที่ถูกทิ้งน่ะมันน้าแก้วนะ..”

 

       ปลายเสียงตวาดลั่นแตกพร่าจนเพี้ยนหาย เด็กหนุ่มสะอื้นฮัก ราวกับความรู้สึกมากมายที่กดเอาไว้มาตลอดหลายปีระเบิดออกมา ผสมปนกันมั่วไปหมด ทั้งความรักที่ซ่อนเร้น ความเกลียดชังที่พยายามฝังกลบ ความหึงหวงที่ไม่อาจแสดง แม้แต่ความอิจฉาที่น่ารังเกียจ แต่เพราะเป็นตอนนี้ ในจังหวะที่พอจะปัดให้มันกลายเป็นความห่วงใยมากมายต่อชายที่ชุบเลี้ยง เลยดูเหมือนว่าเขาเพียงแค่โกรธแทนน้าแก้วเท่านั้น

 

       “ทำไมถึงรักอาธีร์ล่ะครับ..” คำถามสุดท้ายกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา เพลิงโทสะมอดดับลงเมื่อไม่เหลืออะไรให้แผดเผาอีกต่อไป โชคไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาอยากได้คำตอบหรือเปล่า และแก้วก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลย มีเพียงรอยยิ้มบางทั้งที่ดวงตาหม่นหมอง

 

       โชคมองแก้ว ไม่นานเกินเสี้ยวนาทีก็ตัดสินใจหันหลังเดินออกจากห้อง เพราะถ้าอยู่ต่อไปอีกแม้เพียงอึดใจ เขาคงอยากกระชากตัวชายผู้เหว้าแหว่งข้างบานหน้าต่างมากดลงบนเตียง โอบกอดให้แนบแน่นหวังให้ตัวเองเพียงพอจะแทนที่ว่างเปล่าของใครคนนั้น แต่ความรักมันไม่ได้ทำงานแบบนั้นอย่างที่แพรเคยว่า ทั้งยังซ้อนทับกับเงาของขามที่เคยกระทำกับมารดาต่อหน้าเขาที่ยังเป็นเด็ก และแก้วเองก็เคยสอนเอาไว้ ว่าการบังคับขืนใจถือเป็นอาชญากรรมเลวร้ายอย่างที่สุด

 

       แม้เขาจะไม่ได้คิดเลยเถิดไปไกลถึงขนาดนั้น แต่การบังคับใครด้วยกำลัง หรือด้วยอะไรก็ตาม มันก็คงเลวทรามไม่ต่างกันอยู่ดี

 

       เด็กหนุ่มกลับไปห้องของตัวเอง ปิดประตูตามหลังด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง ซุกหน้าเข้ากับหมอนใบที่กลิ่นอายเบาบางของน้าแก้วยังคงอยู่เสมอ แล้วก็ร้องไห้ หนักหน่วง สะอื้นจนตัวโยน เขาบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้เพราะอะไร

 

       สิ่งแรกที่โชคจดจำได้หลังจากที่รู้ว่าธีร์จะไม่กลับมาคือความโกรธ โกรธที่ธีร์พรากเอาดวงดาวหลังนัยน์ตาน้าแก้วไปอีกครั้ง โกรธที่ชายคนนั้นไม่รักษาหัวใจดวงที่ตนได้ครอบครอง ทั้งที่เขาอยากจะมีสิทธ์ดูแลมันมาตลอด ต่อมาความโกรธก็เบี่ยงเป้าหมายไปที่แก้ว โชคโกรธที่แก้วไม่โกรธ โกรธที่เจ้าตัวเอาแต่คลี่ยิ้มบางๆ ทั้งที่ความร้าวรานในดวงตามันปิดไม่มิด จากนั้นเขาก็โกรธตัวเอง ไม่มีเหตุผลในความโกรธนี้ หรืออาจจะมีมากมายยิบย่อยจนหาคำอธิบายไม่ได้ แต่มันก็ทำให้เขาเจ็บปวด เมื่อเจ็บปวดก็แหลกสลาย เขาขึ้นเสียงใส่น้าแก้ว ระบายอารมณ์ของตัวเองออกมาอย่างกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ พูดจากระทบกระเทียบอย่างใจร้าย ทั้งที่คนที่เสียใจที่สุดก็คือคนที่ยืนฟังอยู่ตรงนั้น และอีกคนที่ถูกพาดพิงถึงก็คงใจสลายไม่ต่างกัน

 

       คนเราจะได้คิดไตร่ตรองจริงจังก็หลังจากที่กระทำลงไปแล้ว โชครู้สึกผิด เพราะเมื่อพายุในหัวสงบลง ความเงียบงันก็พาเขาท่องไปในเรื่องราวที่ได้ฟังมาอีกครั้ง ในเรื่องเล่าสีซีดที่เรียบเรียงออกมาด้วยถ้อยคำง่ายๆ กับน้ำเสียงราบเรียบปกติของน้าแก้ว มันมีคำตอบในตัวของมันเองทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่เสียใจ และไม่มีใครเป็นคนผิด หรือถ้าผิด ก็ผิดกันทุกคน

 

       เมื่อร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด เสียงสะอื้นอื้ออึงหยุดไปนานแล้ว เหลือเพียงดวงตาแดงก่ำกับรอยน้ำชุ่มเป็นวงบนหมอน โชคตะแคงแก้มทับความเปียกชื้นนั้น สายตาเหลือบไปเห็นตุ๊กตาสัตว์ทะเลสามตัวที่ซุกซ้อนกันอยู่ตรงมุมระหว่างขอบหัวเตียงกับโต๊ะวางโคมไฟ

 

       ฉลามชื่อบลูได้มาจากแก้ว หลังจากที่เขาเริ่มหลงใหลในห้องทะเล น้าแก้วก็ให้เพื่อนรักจากใต้ทะเลลึกตัวนี้กับเขา จากนั้นไม่นานคุณอาคนโปรดในช่วงเวลานั้นที่ขึ้นมาส่งเขานอนก็เห็นว่าเจ้าฉลามช่างโดดเดี่ยว เลยไปหาเพื่อนร่วมทะเลแต่คนละสายพันธุ์มาให้ โลมาตัวที่สองได้ชื่อว่าทีล และวาฬตัวสุดท้ายที่ได้มาจากการไปเที่ยวทะเลครั้งแรก...เยล

 

       บูล ทีล แล้วก็เยล

 

       ความเชื่อมโยงบางอย่างที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเริ่มก่อตัวขึ้นมา วันนี้เขาพูดกับน้าแก้วถึงสิ่งที่ชายหนุ่มเคยบอกเขาบนระเบียงบ้านพักที่มองเห็นทะเลอ่าวไทยอยู่ไกลๆ มันเริ่มมาจากที่เขาทำบลูตกทะเล แล้วแก้วก็เดินลุยคลื่นไปเก็บคืนมาให้ ในตอนแรกเขาร้องไห้เพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะหายไปในเกลียวคลื่น แต่พอกลับมาถึงที่พัก เอาบลูไปวางตากแดด เขาก็เพิ่งคิดขึ้นมาว่าเพื่อนรักในวัยเยาว์จะอยากคืนสู่ท้องทะเลหรือเปล่า มันเป็นความคิดเด็กๆ ตุ๊กตายัดนุ่นไม่ใช่ของจากทะเล นั่นไม่ใช่ที่ของมัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาในวัยเจ็ดขวบกว่าก็ขบคิดอย่างจริงจัง จนกระทั่งน้าแก้วบอกว่าใต้น้ำมันหนาว ให้เขากอดเพื่อนๆ เอาไว้แหละดีแล้ว เด็กชายตัวน้อยเลยทำตามนั้น

 

       จนมาถึงตอนนี้ ที่โชคคิดว่าบางทีบลูอาจจะอยากกระโจนลงน้ำไปจริงๆ นั่นแหละ แหวกว่ายไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่ไม่มีใครมาตั้งกฎเกณฑ์ ผจญภัยท่ามกลางกระแสน้ำเย็นเฉียบ แต่คงไม่เหน็บหนาวนักหากมีทีลร่วมเดินทางไปด้วย สองเพื่อนซี้ในโลกสีน้ำเงินที่มีเพียงพวกเขา คงเป็นดั่งความฝันที่ทำให้ไม่อยากตื่นขึ้นมา ส่วนเยลที่มาทีหลัง ผูกพันไม่เท่าและเข้าไปแทรกไม่ได้ คงทำได้เพียงว่ายตามห่างๆ หรือไม่ก็รอคอยอยู่บนฝั่ง เฝ้าอธิษฐานให้ทั้งสองยังคงปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้ว่าจะไกลห่างจนไม่อาจได้พบเจอ

 

       น้าแก้ว อาธีร์ แล้วก็โชค

 

       ความคิดฟุ้งซ่านเหลวไหลต้องหยุดลงแค่นั้น เมื่อในความเป็นจริงแล้วสองเพื่อนรักไม่อาจหนีไปไหน และส่วนเกินที่เพิ่มมาทีหลังนั้นเองก็ไม่อาจเฝ้าภาวนาให้ทั้งคู่มีความสุขได้อย่างจริงใจอีกต่อไป

 

       โชคพลิกตัวนอนหงาย มองดาวบนฝ้าเพดาน เขาร้องไห้จนปวดตา แต่สมองกลับว่างเปล่า เหมือนทุกอย่างที่เคยอัดแน่นอยู่ในนั้นไหลออกไปพร้อมกับน้ำตาและเสียงตวาดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ก่อนหน้านี้ และเมื่อมันไม่เหลืออะไรให้คิดอีกต่อไป ความรู้สึกตั้งต้นเพียงหนึ่งเดียวของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ชัดเจนขึ้นมา

 

       วูบโหวง...

 

       คนที่สูญเสียไม่ได้มีเพียงแก้ว

 

       โชคเองก็เสียชายที่ใกล้เคียงกับคำว่าพ่อที่สุดไปด้วยเหมือนกัน

 



.....

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 26 [10.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 10-09-2020 19:21:18
.....

 



       หลังจากที่โชคเดินออกไป แก้วมองบานประตูที่ถูกปิดอย่างนุ่มนวล ไม่หลงเหลือร่องรอยของพายุที่โหมกระหน่ำเมื่อครู่ เขาไม่ได้รู้สึกตกอกตกใจกับความเกรี้ยวกราดของเด็กหนุ่ม แม้จะไม่คุ้นเคยกับดวงตาขึงขังและน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากนัก แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าโชคเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนทั่วๆ ไป มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีวันแบบนี้บ้าง

 

       ...ตัวเขาเองก็เช่นกัน

 

       เพราะเป็นแค่ชายหนุ่มอายุสามสิบเก้าแตะสี่สิบปีธรรมดาๆ คนหนึ่ง มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะมีวันแบบนี้บ้าง

 

       แก้วขยับหลังจากยืนนิ่งพิงกรอบหน้าต่างมานาน ค่อยๆ นั่งลงบนเตียงกว้าง ก่อนจะเอนตัวนอนขวางกลางเตียง ตะแคงมองลวดลายสีขาวลอยเด่นตัดกับสีน้ำเงินเข้ม ผ้าปูที่นอนที่เขาวนใช้มีไม่กี่ชุด เพราะงั้นมันจึงมีความทรงจำที่ได้ใช้ร่วมกับใครอีกคนอยู่ในทุกๆ ผืน

 

       เขาไม่ได้กลิ่นของธีร์ จมูกของเขาพังแล้วจากการสูบบุหรี่จัด มีเพียงกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มฉุนกึกที่ซื้อมาเพราะได้สิทธิ์แลกซื้อพอดี เขาไม่ได้ชอบกลิ่นน้ำหวานแหลมแบบนี้ แต่จะทิ้งก็เสียดายเลยใช้ๆ ไปให้มันหมด และดูเหมือนว่าความเสียดายจะทำร้ายประสาทรับกลิ่นที่ยังคงใช้งานได้น้อยนิดนั้นเข้าแล้ว

 

       กลิ่นหอมจัดตีขึ้นจากโพรงจมูกถึงกระบอกตา ความร้อนวิ่งขึ้นไปรวมตัวกันตรงนั้น ก่อนจะกลั่นตัวระบายความแสบฉุนออกมาในรูปแบบของหยดน้ำ

 

       แก้วร้องไห้ อย่างเงียบงันไร้เสียงสะอื้น

 

       ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดจากกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่ม แต่เป็นความทรงจำของอ้อมกอดที่เคยได้รับท่ามกลางกลิ่นอ่อนจางของไอแดดจากผืนผ้าต่างหาก

 

       เรื่องราวที่เล่าไปอย่างเรียบง่ายราวกับไม่ได้ผูกใจเจ็บ แต่แท้จริงแล้วกลับกรีดปากแผลในทุกๆ ถ้อยคำ เมื่อรวมเข้ากับคำถามของโชค มันก็ยิ่งขมจนอยากสำรอกออกมา

 

       ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับธีร์... แน่นแฟ้นแสนลึกซึ้ง ทว่าเปราะบางและช่างคลุมเครือ

 

       แก้วงอขาขดตัว ซ่อนใบหน้าไว้ในฝ่ามือ ค่ำคืนที่จากลาฝนตกลงมาห่าใหญ่ แต่ในห้องกลับเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ส่วนวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดส่องสว่างผ่านบานหน้าต่างและซี่มุ้งลวดเขามาทอดกายบนพื้น ย้อมแผ่นไม้บริเวณที่ตกกระทบให้เป็นสีทองอบอุ่น แต่ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนักบนเตียงกว้างที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

 

       ฝน...จากดวงตา

 

 

 

       เย็นวันนั้นโชคเป็นคนที่ลงมาก่อน หุงข้าวทำอาหารเสร็จสรรพก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว พอหัวค่ำเวลามื้อเย็นแก้วก็ตามลงมา พวกเขากินข้าวเย็นด้วยกันในความเงียบ ไม่ได้มีความอึดอัดอย่างที่เด็กหนุ่มกลัวในตอนแรก มีเพียงดวงตาสองคู่ที่แดงก่ำ กับรสเค็มปะแล่มของน้าตาที่ตกค้างในปากเล็กน้อย

 

        “ขอโทษนะครับ”

 

        “อืม ฉันเข้าใจ”

 

        “...ขอบคุณครับ”

 

        “ฉันก็เหมือนกัน”

 

       บทสนทนาไร้หัวเปลือยท้าย ใช้ความรู้สึกคาดเดาความหมายที่ไม่รู้ว่าจะตรงกับที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาต่างคนต่างก็คิดกันเอาเองว่าเข้าใจ

 

       โชคมองรอยยิ้มอ่อนล้า แต่ทว่าอบอุ่นแสนอ่อนโยนที่ระบายออกมาเพื่อเขา ความคิดฟุ้งซ่านที่กำลังร่วงหล่นลงไปในหลุมลึกพลันตกกระทบพื้นแล้วแตกกระจายออก ก่อนที่เขาจะใช้เวลาทั้งคืนเก็บซากมันมาประกอบร่างขึ้นใหม่

 

 

 

       วันถัดมาเป็นวันจันทร์ โชคต้องไปโรงเรียน ส่วนแก้วขอลางาน การร้องไห้อย่างหนักหน่วงในรอบหลายปีที่ไม่มีน้ำตาเลยนั้นทิ้งความปวดร้าวในหัวเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า

 

       ในตอนที่โชคลงมาชั้นล่าง น้าแก้วก็อยู่ที่นั่นแล้ว บนโซฟามุมประจำ กับควันบุหรี่สีเทาและความเหงาในแววตา มะลิหมอบอย่างเกียจคร้านอยู่ใต้อุ้งมือที่ลูบไล้อย่างอ่อนโยน เป็นภาพปกติที่คุ้นเคย แม้จะผิดแปลกไปจากกิจวัตรประจำของวันทำงาน

 

        “กาแฟไหมครับ” โชคถาม แก้วเบนสายตามาสบ คลี่ยิ้มบางที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยให้

 

        “อืม ขอบใจ”

 

        “ครับ”

 

       โชคหยิบขนมปังมากินรอเวลาน้ำเดือด คำสุดท้ายเข้าปากพอดีไฟก็ดีดบอกว่าน้ำร้อนพร้อมแล้ว เขาเลยกดน้ำใส่แก้วชงกาแฟ พร้อมกับโกโก้ของตัวเองด้วย จากนั้นก็คนอย่างพิถีพิถัน ยืนยันการตัดสินใจของตัวเองอีกครั้งในชั่วขณะที่เครื่องดื่มสีน้ำตาลหมุนวนส่งไอร้อนให้ลอยสูง และเมื่อมันหยุด เขาก็ยกออกไปให้คนที่รออยู่ในห้องนั่งเล่น

 

        “น้าแก้ว” โชคเรียก วางแก้วโกโก้ว่างเปล่าลงบนโต๊ะไม้ เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นเลยต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบตาเจ้าของชื่อ

 

        “ว่าไง”

 

        “ผมไม่อยากเรียกคุณว่าน้าแก้วอีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากให้คุณมองว่าผมเป็นแค่เด็กที่คุณเลี้ยงมา” เสียงพูดเนิบช้า ชัดเจน เช่นเดียวกับแววตา

 

       แก้วนิ่งเงียบ ในหัวที่ยังคงปวดตุบตีกันมั่วไปหมด สมองของเขาประมวลผลคำพูดของอีกฝ่ายไม่ทัน และยังไม่ทันได้เอ่ยถามให้กระจ่าง เสียงบีบแตรของรถจักรยานยนต์สีแดงก็ดังลั่น ตามด้วยเสียงร่าเริงของมิกซ์ที่ตะโกนเรียกเพื่อน โชคหยิบกระเป๋าลุกขึ้นยืน หันมาสบตาแก้วอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป

 

        “แก้ว...ผมโตพอจะกอดคุณได้แล้วนะ”

 

 

 

TBC...

       จบไปอีกตอนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกล้นทะลัก ตอนนี้เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงกลางเรื่องแล้วนะคะ ต่อจากนี้ไปครึ่งหลังเจ้าหมาของเราจะเป็นยังไงต่อไป ฝากเอาใจช่วยด้วยนะคะ

       ต่อจากนี้รีนมีเรื่องอยากทอล์กยาวมากๆ เลยค่ะ หากไม่อยากอ่านก็ข้ามตัวสีๆ ไปได้เลยนะคะ

       ในตอนนี้ต้นฉบับที่รีนเขียนอยู่เหลืออีกเพียง 3-4 ตอนก็จะปิดเรื่องได้แล้วค่ะ เป็นช่วงที่ท้าทายและสูบพลังมากๆ เลย โดยตอนทั้งหมดก็จะอยู่ที่ 50 ตอนนะคะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ถือว่าเป็นกลางเรื่องพอดี (ถ้าได้โอกาสตีพิมพ์เป็นเล่มก็คงจบเล่มแรกที่ตรงนี้แหละค่ะ 55555 ปล.เป็นถ้าที่อยากให้เกิดขึ้นจริงมากเลยค่ะ ความฝันสูงสุดของรีนคือการได้มีนิยายที่ได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแหละ)

       ส่วนเรื่องเล่าประจำตอนที่รีนชอบเอามาฝอยบ่อยๆ อย่างความรู้สึกตอนที่เขียนอะไรแบบนี้ สำหรับตอนนี้ก็คือเขียนยากมากค่ะ เป็นตอนที่ยากที่สุดเท่าที่เขียนมาจนถึงปัจจุบันที่กำลังจะปิดเรื่องเลยค่ะ อาจจะเพราะเป็นตอนที่มีซีนอารมณ์เต็มไปหมด ความรู้สึกของน้องโชคที่สะเปะสะปะ น้าแก้วที่เจ็บปวด และเป็นรอยต่อที่สำคัญมากๆ ที่กำลังจะนำไปสู่เรื่องราวต่อจากนี้ไป บวกกับช่วงนั้นอารมณ์และมรสุมชีวิตของรีนเองก็ค่อนข้างหนักเลย ทำให้รีนในตอนที่เขียนเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ รีนเขียนแล้วแก้ แล้วก็ปรับ แล้วก็แก้อยู่หลายรอบมากๆ ให้เพื่อนสนิทที่เป็นนักอ่านคนแรกเสมอของรีนคนนั้นช่วยอ่านอยู่หลายทีเหมือนกัน ทั้งที่สุดท้ายแล้วรอบแรกกับรอบหลังที่ส่งไปให้ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากหรอกค่ะ แค่ปรับคำเพิ่มนั่นลดนี่นิดหน่อย ฮา จนในที่สุดแล้วก็ได้ตอนนี้ออกมา มันดีแล้วหรือยังก็สามารถคอมเมนต์ได้เลยนะคะ รีนอยากได้ฟีดแบ็ก แน่นอนว่านักเขียนทุกคนอยากรู้ว่านักอ่านของเราคิดอย่างไรกับงานของเราทั้งนั้น ถ้ามีอะไรอยากบอกหรือแนะนำก็บอกมาเลยนะคะ รออ่านอยู่เสมอเลยล่ะค่ะ

       ไหนๆ คุณอ่านมาตรงนี้แล้ว รีนขอเล่าอีกหน่อยแล้วกันนะคะ 

 
       ในตอนแรกที่รีนวางเรื่องเอาไว้เลยค่ะ รีนกะว่าจะให้ตอนนี้เป็นจุดเปลี่ยน และน้องโชคในตอนนี้จะรุนแรงกว่านี้ (จริงๆ เคยคิดว่าน้องโชคตอนวัยรุ่นจะเกรี้ยวกราดกว่านี้มากๆ เลยค่ะ) แต่พอได้เขียนจริงๆ อยู่กับน้องมาจริงๆ จนถึงตอนนี้ ก็รู้สึกว่าไม่ได้เลย น้องไม่ใช่เด็กแบบนั้นเลยค่ะ เป็นเด็กดีมากๆ จนไม่สามารถยัดความเดือดดาลที่รุนแรงเข้าไปได้เลย ซีนในการทะเลาะกันที่เคยคิดว่าจะปะทุรุนแรงกว่านี้ก็สลายไปเหลือแต่ความเจ็บปวดเอาไว้ ซึ่งรีนคิดว่าจริงๆ การทะเลาะกันมันก็ไม่ได้หมายถึงแค่ว่าเราจะมาวิวาทฟาดอารมณ์ร้ายๆ ใส่กัน บางครั้งการทะเลาะก็อาจจะมีแค่ความเงียบงันด้วยซ้ำ ซึ่งในแต่ละบุคคลแต่ละคู่กรณีก็จะมีอะไรที่แตกต่างกันไป สำหรับบ้านนี้ก็คงเป็นแบบนี้แหละค่ะ ไม่ใช่พวกนิยมความรุนแรงกันเสียหน่อยนี่เน้อ

       แล้วตัวน้องโชคเองที่รีนเห็นในตอนนี้หลังจากที่เขียนจบไปแล้วมาอ่านทวนอีกรอบ รีนก็รู้สึกว่าเขาช่างเป็นเด็กที่มี EQ สูงมากๆ เลยค่ะ อาจจะได้มาจากน้าแก้วรึเปล่านะ แต่ทั้งสองคนเป็นพวกที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากๆ โดยที่รีนเองก็ไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะนำเสนอเขาแบบนี้เลย ก็คงอย่างที่มีคนว่าไว้นั่นแหละค่ะ ตัวละครเราสร้างเขาขึ้นมาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเขาจะมีชีวิตของเขาเอง... และรีนก็รู้สึกดีใจและภูมิใจมากๆ เลยค่ะที่ได้เป็นคนที่ได้ให้ชีวิตกับพวกเขาเหล่านี้

       และหากทำให้คุณชอบและผูกพันกับพวกเขาได้ รีนก็คงได้เป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่อยากจะเป็นแล้วล่ะค่ะ

       ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้นะคะ พูดมายาวมากเลย อาจจะดูน่ารำคาญ แต่ก็อยากจะพูดอยู่ดีแหละค่ะ 55555

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอนะคะ

       ชอบคุณค่ะ (เป็นการพิมพ์ผิดที่ไม่อยากลบเลย เอาเป็นว่าขอบคุณนะคะ)  :o8:

 

       เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าน้า
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 26 [10.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-09-2020 20:38:36
 o22
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 26 [10.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 11-09-2020 12:28:00
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 26 [10.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-09-2020 01:30:45
หลังจากเลิกรากันไปของคนสำคัญมันย่อมอบอวนไปด้วยความเหงาและเสียใจ เข้าใจว่ามันต้องใช้เวลาในการมูฟออน จะกลับมา จะมองหน้ากันยังไงให้ติด แต่ก็นะ น้าแก้วเป็นคนง่ายๆอยู่แล้ว คงชิว บอกไม่เป็นไร ยังเหมือนเดิมตามสไตล์สินะ อุอิ 5555 //โชคจะเกรี้ยวกราด ดุดันในทีนี่มองว่าสมควรนะทั้งในบริบทโมโหเรื่องของน้าแก้ว และจากพันธุกรรมจากพ่อผู้ซึ่งชอบใช้ความรุนแรง โชคได้รับถ่ายทอดมาไม่มากก็น้อย แต่ด้วยการเลี้ยงดูจากน้าแก้ว จึงไม่ได้แสดงออกมา โตเป็นหนุ่มแล้วโชค พร้อมจะปกป้องน้าแก้วแล้วสินะ ถึงกับทำให้น้าแก้วเหวอแดก อึ้งกิ่มกี่ไปเลย 5555 //ตลอดมาธีร์ไม่ได้พยายามอะไรเพื่อแก้วเลย ที่มาหาแสดงว่ารัก ทำไปทั้งหมดเพียงเพราะเห็นว่าแก้วรักตัวเอง แต่จริงๆคือไม่มีอะไร ในเมื่อธีร์ใจร้ายมา เราก็จะใจร้ายกลับไป เหตุผลอะไรฟังไม่ขึ้นทั้งนั้นเพราะคุณไม่พยายามอะไรเลย อย่ามาให้เห็นหน้านะ  :z6: อินจัด 55555 //จะเป็นยังไงต่อไป เดาไม่ถูกเลย รอตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อและความพยายามในการแต่ง มันดีมากจริงๆ ภาษาสวย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 26 [10.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 16-09-2020 01:48:21
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 27 [17.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 17-09-2020 18:17:43

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 27

 

          “แก้ว...ผมโตพอจะกอดคุณได้แล้วนะ”

 

          ระหว่างทางไปโรงเรียน มิกซ์ได้แต่คิดว่าเพื่อนของเขาทำตัวแปลกประหลาด โชคเอาแต่ซุกหน้าลงบนบ่าคนขับรถจนปีกหมวกกันน็อกแข็งกระแทกโดนข้างคอเด็กหนุ่มอีกคน แต่เพราะเจ้าตัวไม่ได้ว่าอะไรมากไปกว่าบ่นพึมพำว่าเขาทำตัวผิดปกติ เขาจึงยังคงซบอยู่อย่างนั้นไปตลอดทางด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีวนอยู่ในช่องท้อง

 

          ประหม่า กังวล และเด่นชัดที่สุด...หวาดกลัว

 

          สองความรู้สึกแรกคงเหมือนกับที่แพรรู้สึกตอนสารภาพรักกับเขา แต่อย่างหลังคงเป็นเหมือนที่ธีร์รู้สึกยามรอคอยคำตอบจากปากของแก้วในคืนสุดท้ายท่ามกลางพายุฝน โชคไม่รู้ว่าจากนี้ไปทุกอย่างจะออกมาเป็นเช่นไร แต่เขาตัดสินใจไปแล้ว ในระหว่างมื้อเย็นที่น้าแก้วแสนเปราะบาง ดวงตาแดงก่ำฉ่ำชื้น ตั้งแต่ที่รอยยิ้มเหนื่อยล้าระบายออกมาเพื่อปลอบโยนเขา เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะเป็นคนดูแลน้าแก้วต่อจากนี้ไปเอง และหลังจากที่ไตร่ตรองมาตลอดคืนโชคก็ตัดสินใจได้อีกอย่าง

 

          ...ว่าไม่ใช่ในฐานะเด็กในปกครอง หรือลูกตามกฎหมาย

 

          เขาจะดูแลแก้วในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ที่รักและต้องการได้รับความรักตอบ

 

 

 

          ในห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาว แก้วยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม บุหรี่มอดหมดมวนทั้งที่ไม่ได้ยกขึ้นสูบ ขี้เถ้าสีเทาหม่นร่วงลงแตกกระจายเป็นวงดอกไม้ไฟบนพื้นกระเบื้อง ถ้อยคำที่เด็กหนุ่มพูดยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เพียงไม่กี่ประโยคที่แสนคลุมเครือ แต่แก้วก็ผ่านโลกมามากเกินกว่าจะไม่เข้าใจแววที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้น

 

          ...ชัดเจนแม้อยากบิดเบือน

 

          “มะลิ”

 

          “...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากแมวสาวใหญ่ มะลิเพียงอ้าปากหาวแล้วใช้หัวถูไถกับฝ่ามือชายหนุ่มแทนคำตอบรับ แก้วทิ้งศีรษะลงบนพนักพิง เงยหน้ามองเพดาน ในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดไฟเพราะแสงยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาส่องให้ข้างในไม่มืดนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีบางสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ในเงาสลัวตรงจุดอับแสง

 

          ‘ต่อไปผมจะกอดน้าแก้วเอง’

 

          ‘ตัวแค่นี้จะกอดฉันไหวเหรอ’

 

          ‘เดี๋ยวผมก็โตแล้ว!’

 

          บทสนทนาในวันวานหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง แก้วจำไม่ได้แล้วว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รู้เพียงว่าเป็นยามเช้าหนาวเย็นหลังคืนฝนตก และมันยิ่งเหน็บหนาวกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อปราศจากอ้อมกอดอุ่นแสนคุ้นเคยที่เขาซุกอิงมาตลอดทั้งคืน ในตอนนั้นเด็กชายตัวเล็กโผเข้ามากอดเอวเขาแน่น ไออุ่นจากร่างกายเล็กจ้อยไม่อาจแทนที่คนตัวโตคนนั้นได้เลย แต่มันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจจริงและทำให้เขายิ้มออก

 

          “ตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่านะ” แก้วพึมพำ เอ่ยถามแมวสาวแม้รู้ว่าจะไม่ได้คำตอบ เขาขยับเอื้อมมือไปทิ้งก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย ก่อนกลับมาเอนหลังพิงพนักโซฟาอีกครั้ง จมตัวเองลงไปในเบาะหนังนุ่มที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ค้นหาสัญญาณเล็กๆ ของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าจะค้นไปลึกแค่ไหน เขาก็หาไม่เจอเลย อาจจะเป็นเพราะในสายตาเขา...

 

          โชคเป็นเพียงเด็กชายคนเดิมที่มีดวงตาซื่อตรงของเจ้าหมาน้อยอยู่เสมอ

 

          แก้วเหลือบสายตาไปมองรูปภาพเรียงรายบนชั้นโชว์ บางรูปก็ถูกแสงสะท้อนย้อมจนมองไม่เห็น บางรูปก็อยู่ในเงามืดสลัว แต่เขาก็จดจำได้ดีว่าแต่ละรูปนั้นเป็นอย่างไร จดจำได้แม้กระทั่งความรู้สึกยามลั่นชัตเตอร์เก็บมันเอาไว้

 

          ...การเติบโตของเด็กชายโชค

 

          ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลง ทวนซ้ำถึงคำพูดที่ได้รับมา เขายังไม่แน่ใจว่าตัวเองตีความได้ถูกหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางได้คำตอบที่แท้จริง จนกว่ายามเย็นจะมาถึง เมื่อเจ้าของถ้อยคำเหล่านั้นกลับมาตอบให้มันกระจ่าง เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ และหวังว่าช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้จะยาวนานมากพอให้เตรียมใจ

 

          ถ้าหากการตีความของเขามันถูกต้องแล้ว...

 

 

 

          เย็นวันนั้นโชคกลับบ้านช้ากว่าปกติ เด็กหนุ่มประวิงเวลาก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทั้งรอคอย แต่ก็ขลาดกลัวมาตลอดทั้งวัน มิกซ์รับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้นดีตั้งแต่ตอนที่บิดมอเตอร์ไซต์พ้นรั้วโรงเรียน ในตอนที่โชคพูดขึ้นมาว่าอยากไปขี่รถเล่นก่อนกลับ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาไปเที่ยวเล่นกันหลังเลิกเรียน แต่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนรักเป็นฝ่ายเอ่ยปาก พร้อมกับเสียงที่แว่วมาท่ามกลางลมที่ตีพัดเข้าหู

 

          “กูชอบแก้ว”

 

          “ห้ะ อะไรนะ” นักบิดหนุ่มน้อยเพิ่มระดับเสียงสู้กับเสียงลมถามย้ำเพราะได้ยินไม่ชัด

 

          “กูชอบแก้ว” คราวนี้ได้ยินชัด แต่กลับประมวลผลไม่ทัน มิกซ์หยุดรถเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงพอดี หันกลับไปสบตากับเพื่อนสนิทเพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม

 

          “แก้วไหน”

 

          “น้าแก้ว” ระยะเวลาไฟแดงเพียงหกสิบวินาที แต่กลับเนิ่นนานเมื่อพวกเขาต่างสบตากันอย่างเงียบงัน ใช้ครึ่งนาทีที่เหลือครุ่นคิดกับตัวเอง ในขณะที่มีฝ่ายหนึ่งคิดว่าไม่น่าพูดออกไปเลย ก็มีอีกฝ่ายที่คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง

 

          “น้าแก้ว..เหรอ” มิกซ์กระพริบตาปริบ เม้มปากแน่นก่อนหันกลับไปในตอนสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วบิดเร่งเครื่องเคลื่อนตัวออกไปตามท้องถนนโดยไร้ซึ่งจุดหมาย

 

          รถราที่แน่นขนัดในช่วงเวลาหลังเลิกงานเริ่มบางตาลงไปทุกทีเมื่อพวกเขาผลาญน้ำมันทิ้งไปกับการขี่รถไปเรื่อยๆ บนเส้นทางที่บ้างก็คุ้นเคย บ้างก็แปลกใหม่ แต่ก็ไม่ได้หลงทางไปไหน สุดท้ายก็กลับมาสู่ถนนเส้นหลักที่จะนำทางกลับบ้าน

 

          ...แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ตรงกลับบ้าน

 

          เด็กหนุ่มตัวเล็กเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางหน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่งที่พวกเขาผ่านไปมาในทุกๆ วัน แต่ไม่เคยได้แวะเลยสักครั้ง

 

          “มิกซ์” โชคเอ่ยเรียก แต่เจ้าของชื่อไม่ตอบรับ มิกซ์ลงจากรถเดินตรงเข้าไปหาลุงเจ้าของร้านที่นั่งเฝ้าโต๊ะเงินซึ่งรายล้อมด้วยขนมลูกอมสีสดใส ถามซื้อน้ำแดงจากตู้แช่ทรงโบราณที่ตั้งอยู่ติดกับประตูบานเลื่อนเหล็ก พอได้ของก็ควักเงินจ่าย ก่อนเดินหลบไปยืนหน้าอาคารถัดไปที่ปิดประตูสนิทคล้ายว่าไม่มีใครอยู่บ้าน

 

          โชคมองเพื่อน แต่แล้วก็เบนตาหลบไปมองดอกชวนชมปลายกลีบสีแดงสดในกระถางข้างๆ ความรู้สึกวูบโหวงในอกขยายตัวใหญ่ขึ้น เขาคงรวนจากความวิตกกังวลเรื่องน้าแก้วจนพลั้งปากพูดออกไป ทั้งที่ตั้งใจจะเก็บเอาไว้กับตัวเองไปตลอดชีวิต แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ความลับทำให้หัวใจกระวนกระวาย และการบอกมันกับใครสักคนมักจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่บางทีก็ลืมคิดไปว่าใครสักคนที่ได้ฟังนั้น อาจจะต้องแบกรับมันต่อจากตัวเอง

 

          มิกซ์ก็อาจจะเป็นใครคนนั้น... แต่ยังไม่ทันได้คิดมากไปกว่านั้น เด็กหนุ่มก็ถูกเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย แม้จะฟังดูจริงจังกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในความรู้สึก

 

          “โชค” มิกซ์กวักมือเป็นสัญญาณให้อีกคนย้ายตัวเองไปหา และโชคก็ทำตาม ก้าวขายาวๆ ไปยืนเคียงกันหน้าประตูเหล็กซี่ที่ปิดเอาไว้ คนตัวเล็กยกขวดน้ำแดงขึ้นกระดก ส่วนคนตัวโตยืนกอดกระเป๋าก้มมองพื้น ยาวนานในความรู้สึก แต่กลับชั่วครู่เดียวในความเป็นจริง “ที่มึงบอกว่าชอบน้าแก้วหมายถึงชอบแบบไหนวะ”

 

          “...น้าแก้วคือผู้ชายคนนั้นที่กูเล่าให้ฟัง” โชคใช้เวลาไม่นานในการพูดตอบออกไป “คนที่กูชอบมาตลอด”

 

          “อ่อ” มิกซ์พยักหน้า ยกขวดน้ำแดงขึ้นดื่มจนหมด ใช้เวลาสักพักในการครุ่นคิดบางสิ่งในหัว ก่อนจะพูดออกมา “งั้นมึงก็ชอบมานานแล้วดิ ตั้งแต่เด็กๆ เลยรึเปล่า”

 

          “ก็..น่าจะตั้งแต่ตอนป.สี่” โชคว่า เขารู้ได้ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น แม้จะใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะตระหนักถึงมันก็ตาม “แต่เพิ่งเข้าใจว่าชอบแบบนี้ แบบที่ไม่ใช่ครอบครัวตอนม.สอง”

 

          “แล้วน้าแก้วรู้ไหม”

 

          “เพิ่งรู้ กูบอกไปเมื่อเช้า”

 

          มิกซ์ไม่ได้ถามอะไรอีก ไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีเรื่องที่อยากถาม แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามไปทำไมต่างหาก ถ้าเขารู้แล้วเขาจะทำอะไรได้ ถ้าเขารู้แล้วจากนี้ไปเขาจะยังมองน้าแก้วด้วยความรู้สึกแบบเดิมได้หรือเปล่า แม้จะไม่ใช่ในทางที่ไม่ดี เพราะสำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ความรู้สึกเคารพหรือสนิทใจที่มีกับผู้ปกครองของเพื่อนจะไม่มีวันเปลี่ยนไป แต่ในเมื่อคนๆ นั้นเป็นชายหนุ่มที่เพื่อนของเขาชอบ แล้วเขาจะห้ามตัวเองไม่ให้คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกของโชคได้อย่างไร

 

          ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อน เขาก็ต้องอยากเห็นโชคสมหวังอยู่แล้ว

 

          “กลับกันเถอะ” หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว คนตัวเล็กกว่าก็วางมือลงบนบ่าของอีกคน แล้วเดินนำไปทิ้งขวดเปล่าลงถังขยะก่อนตรงไปขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซต์คันเก่ง รอจนโชคตามมาซ้อนท้ายค่อยสตาร์ทเครื่องออกตัวไปตามทางกลับบ้าน ในขณะที่สายลมตีปะทะเข้าหน้า มิกซ์ก็พูดออกมาอีกประโยค “มึงรู้ใช่ไหมว่าถึงความรู้สึกของมึงจะไม่ได้ผิด แต่มันก็เป็นไปได้ยาก”

 

          โชคไม่ได้ตอบกลับไป มีเพียงน้ำหนักที่ทิ้งลงซบบนบ่าที่ทำให้เจ้าของคำพูดนั้นรับรู้ว่าคนที่รู้ดีที่สุดถึงความเป็นไปได้ในทางที่เลือกไปนั้นมันสิ้นหวังแค่ไหน...ก็คือเจ้าตัวเอง

 

 

 

          ในที่สุดโชคก็มาถึงบ้าน เด็กหนุ่มบอกลาเพื่อนสนิทด้วยแววตาที่มองสบกันอย่างเงียบงัน มิกซ์ยกยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจากไป สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงเขาที่กำลังจะต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับความรู้สึกคั่งค้างที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นและทิ้งมันเอาไว้ในห้องนั่งเล่นเมื่อเช้าด้วยตัวเอง

 

          ในห้องนั่งเล่นเปิดไฟสว่างโร่ แก้วนั่งรอเขาอยู่แล้ว ตรงที่เดิมจนไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าได้ลุกออกไปไหนหรือเปล่าตั้งแต่ตอนนั้น

 

          “กลับมาแล้วครับ” โชครู้ว่าเขาหนีไม่ได้ และไม่ได้คิดจะหนีมาตั้งแต่ต้น เด็กหนุ่มจึงเดินไปวางกระเป๋าที่ข้างโต๊ะไม้ ยืนกุมมือหลุบตาต่ำอย่างรอคอยให้อีกฝ่ายเริ่มพูดออกมา

 

          “นั่งก็ได้นะ” แก้วว่า แต่โชคส่ายหน้าปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงตรงเข้าประเด็นในทันที “ที่เธอพูดเมื่อเช้า... มันหมายความว่ายังไง”

 

          ความเงียบงันกัดกินทั้งผู้ถูกถามและผู้ที่รอคอยคำตอบ โชคหลับตา ความรู้สึกมากมายกำลังตีกันอยู่ในหัวของเขา มีทั้งความรู้สึกที่นึกเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป หากเขาเก็บงันมันเอาไว้เพียงในใจต่อไป เขาก็จะได้เป็นเด็กชายคนเดิมคนนั้นของน้าแก้ว ได้เป็นลูกชายตามกฎหมาย ได้อยู่เคียงข้างและได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนกับที่ผ่านมา

 

          แต่อีกความรู้สึกที่รุนแรงกว่าก็ผลักดันให้เขากระโจนลงจากหน้าผา ความรู้สึกที่ว่าเสี่ยงดูสักครั้ง ความรักของเขามันมากมายเกินกว่าจะซุกซ่อนเอาไว้หลังนัยน์ตาซื่อตรงของเด็กชายโชค เขาไม่อยากเป็นเพียงแค่เด็กในสายตาของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว เขาอยากเป็นผู้ชายคนหนึ่งในสายตาของแก้ว อยากได้สิทธิ์ครอบครองริมฝีปากที่ระบายรอยยิ้มบางเบา อยากโอบกอดชายหนุ่มไว้ด้วยความรักล้นใจอย่างตรงไปตรงมา อยากสัมผัสส่วนที่ลึกเกินกว่าที่ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกจะให้เขาได้

 

          “ผมชอบแก้ว... ชอบในฐานะผู้ชายคนนึง” คำสารภาพเรียบง่ายและชัดเจนในความหมาย ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นสบกับนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว แก้วพยักหน้าอย่างรับรู้ ไม่มีคำพูดใด ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ เพียงแค่รับรู้แล้วเท่านั้น

 

          ดูเหมือนว่าช่วงเวลาทั้งวันที่ใช้รอคอยเด็กหนุ่มจะมากพอแล้วที่จะให้แก้วได้เตรียมใจ เขาครุ่นคิด ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะตัดสินใจ ไม่ว่าคำพูดของโชคจะมีความหมายแบบไหน ความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อเขาจะลึกซึ้งเกินเลย หรือทั้งหมดนั้นเขาเพียงแต่คิดมากไปเอง เขาก็จะ...

 

          ไม่ทำอะไรเลย

 

          เรียวนิ้วคีบส่งแท่งบุหรี่แนบชิดริมฝีปาก แก้วจุดไฟรนปลายมวนกระดาษ สูดเอาควันเหม็นไหม้และกลิ่นใบยาสูบขมปร่าเข้าไป ก่อนพ่นไอขมุกขมัวออกมาอย่างเชื่องช้า รอคอยให้ลมจากพัดลมตั้งพื้นปัดเป่ามันให้จางหายไปในอากาศ พร้อมกับเอาทุกอย่างในหัวของเขาที่อยู่มาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้จากไปด้วย

 

          “จะกินอะไรกันดีล่ะวันนี้”

 




 

          สิงหาคมกำลังจะจบลงไปโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แก้วยังคงทำตัวเหมือนปกติ กิจวัตรประจำวันวนซ้ำอย่างที่เคยเป็นมาตลอด โชคเองก็ถูกบรรยากาศเหล่านั้นดึงกลับไปจนเหมือนเรื่องที่เขาสารภาพความรู้สึกออกไปไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพียงแต่เขามั่นใจว่าได้พูดออกไปแล้วจริงๆ

 

          “แก้วครับ” มีเพียงสรรพนามเรียกขานที่แตกต่างไปจากเดิม แต่เจ้าของชื่อก็ไม่ติดใจอะไรที่จะตอบรับ

 

          “ว่าไง”

 

          “เอากาแฟไหมครับ”

 

          “ก็ดี ขอบใจ”

 

          โชคเดินเข้าครัวไปชงกาแฟให้ตามที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเอง แก้วมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ใช่ว่าเขาจะไม่มองไม่เห็นความลังเล สับสน และบางครั้งก็เจ็บปวดในดวงตาคู่นั้น เพียงแต่เขาตัดสินใจไปแล้วที่จะไม่ทำอะไรกับความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้

 

          เพราะชายหนุ่มคิดว่าการไม่ทำอะไรเลย คงดีกว่าตัดรอนไร้เยื่อใยจนอาจจะเข้าหน้ากันไม่ติด แก้วไม่คิดจะผลักไสเด็กหนุ่มไปไหน สำหรับเขาโชคยังคงเป็นเด็กในปกครองที่เขารักและห่วงใย อีกทั้งพวกเขายังคงต้องอยู่ร่วมบ้านกันไปอีก... อย่างน้อยก็สามปีกว่าโชคจะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เช่นนั้นแล้วการนิ่งเฉยและทำทุกอย่างให้เหมือนเคยคงเป็นการบอกปฏิเสธที่อ่อนโยนที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา

 

          แต่การไม่ทำอะไรเลยของแก้ว ก็ทำให้โชคปิดหูปิดตา แสร้งว่าไม่เข้าใจความนัยน์ที่แฝงมากับความปกติธรรมดาเหล่านั้น เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องตัดใจจากชายหนุ่ม เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองคงทำไม่ได้

 

          ...โชคไม่อาจตัดใจจากแก้ว แม้จะใช้เวลาชั่วชีวิตที่เหลือก็ตาม

 

          และถึงจะไม่รู้อนาคต เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกที่มีให้แก้วจะไม่มีวันจางหายไปจากหัวใจของเขา

 

          เพียงเท่านั้นก็เป็นเหตุผลที่มากเพียงพอให้โชคพยายามที่จะเป็นผู้ชายคนหนึ่งในสายตาของแก้วต่อไปแล้ว

 

          “แก้ว” หลังจากที่ยื่นแก้วกาแฟกรุ่นไอควันร้อนฉ่ามาให้ โชคก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน คล้ายรอให้เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นจากจอแล็ปท๊อปที่กำลังใช้ทำงาน ดวงตาสีเข้มเลยเหลือบขึ้นสบเข้ากับแววตาซื่อตรงที่จ้องมองมาอย่างอบอุ่นและจริงใจ ยังคงเหมือนในความทรงจำที่เคยได้เห็นมาตลอด แต่ก็แตกต่างเหลือเกินในคราวเดียวกัน “ผมชอบคุณนะครับ”

 

          “อืม” อาจจะเป็นเพราะเกิดสับสนขึ้นมาชั่วขณะ แก้วจึงเอ่ยตอบกลับไปเป็นครั้งแรก “ฉันรู้แล้ว”

 

          กว่าจะรู้ตัวอีกที แก้วก็ได้แต่คิดว่าเขาพลาดแล้วที่พูดออกไปอย่างนั้น เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างเจิดจ้าระบายอยู่เต็มใบหน้าของอีกฝ่าย ตั้งแต่ที่ได้รู้ความในใจของโชค ชายหนุ่มก็นิ่งเฉยกับมันมาตลอด เหมือนกับการที่เจ้านายกลับถึงบ้าน แล้วหมาที่เลี้ยงเอาไว้วิ่งไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น หากยืนหยุดนิ่งเสีย เจ้าหมาก็จะรับรู้ว่าเจ้านายไม่เล่นด้วยแล้วล่าถอยไปเองในที่สุด แก้วเองก็ทำอย่างนั้นกับโชค

 

          แต่ตอนนี้... เขาดันเผลอยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมาตัวนั้นเข้าเสียแล้ว

 

 

 

TBC...

          เฝื่อนฝาด... เป็นตอนที่ให้ความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ไม่ขมปร่าแต่ก็ไม่ได้สดใสนัก เส้นทางรักของเจ้าหมาโชคยังคงอีกยาวไกลเลยค่ะ ที่รีนเคยบอกว่าเป็น Slow burn รีนพูดจริงนะคะ เชื่องช้า เนิบนาบ แต่ก็ไม่คิดว่าน่าเบื่ออะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ


          จะบ่นในตัวสีอีกแล้วนะคะ 55555
          ที่บอกว่ากำลังเขียน 4 ตอนสุดท้ายอยู่ ตอนนี้ก็กระดึ๊บไปได้จนถึงตอนเกือบสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ แต่ก็ติดอยู่ตรงนั้นมาสักพักแล้วเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะยิ่งใกล้จบรีนก็ยิ่งกดดันตัวเองเพราะอยากให้ออกมาดีที่สุด ดีให้ได้เท่าที่เคยคิดเอาไว้ในหัว ยากมากๆ เลยนะคะกับการที่บอกว่าเขียนไปเถอะ ไม่ต้องคิดมากน่ะ แง้ ขอกำลังใจหน่อยค่ะ (จริงๆ แค่รับฟังก็ดีใจมากแล้ว5555) รีนอาจจะงอแงบ่อยในช่วงนี้นะคะ รำคาญได้แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนเลยนะคะ  :hao5:

          แล้วก็อีกเรื่องที่อยากจะพูด ไม่ได้ตัดพ้อน้อยใจอะไรนะคะ แค่ระบายความรู้สึกในใจ คือรีนรู้สึกขอบคุณพวกคุณที่อ่านงานของรีนมาตลอดมากๆ เลยค่ะ เป็นกำลังใจในยามท้อแท้เสมอเลย และไม่ว่าอย่างไรความรู้สึกนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่ในขณะเดียวกันรีนก็รู้สึกดาวน์อยู่บ้างที่ยอดอ่านจริงๆ ก็ยังน้อยอยู่เลยทั้งที่เดินทางมาครึ่งเรื่องแล้ว

          รีนอยากให้น้องโชคได้ตีพิมพ์ค่ะ ไม่ได้คิดหวังขนาดให้มีสนพ.มาติดต่อเอง คิดว่าปิดต้นฉบับก็จะส่งไปตามสนพ.เองด้วยซ้ำ แต่ยังไงวงการสิ่งพิมพ์ทุกวันนี้ที่ไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน นิยายที่จะได้ตีพิมพ์ก็จำเป็นต้องมีฐานคนอ่านหรือฐานตลาดที่จะซื้ออยู่ดี น่าเศร้าที่ตอนนี้นิยายเรื่องนี้ยังไม่เข้าเกณฑ์เหล่านั้นเลยล่ะค่ะ

          แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รีนจะเขียนนิยายเรื่องนี้จบจน รวมถึงตอนพิเศษที่คิดเอาไว้ออกมาให้ได้อ่านกันแน่นอน เพราะแม้สุดท้ายนิยายเรื่องนี้จะไม่ได้ตีพิมพ์ รีนก็จะแค่เสียดาย แต่จะไม่เสียใจที่ได้เขียนเด็ดขาดเลยล่ะค่ะ

          ขอบคุณนะคะที่รับฟังมาจนถึงบรรทัดนี้ และขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้  :L2:


          ปล.ถ้าสะดวกก็สามารถไปแสดงความคิดเห็น หรือช่วยกันขายน้องโชคกันได้ที่ #น้าแก้วของโชค ในทวิตเตอร์นะคะ

 

          ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอ

          ขอบคุณนะคะ

 

          SEE U on วันพฤหัสบดีค่า

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 27 [17.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-09-2020 01:31:46
โอ๊ยยยบรรยายความรู้สึกไม่ถูกหว่ะ มันยังไงวะ คันหัวใจยุบยิบมั้ง 55555 พอโชคเข้ามหาลัย ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว กลับมาบ้านทีน้าแก้วคงตะลึงในความหล่อเหลาสมชายของโชค 555 พอได้ระบายความในใจออกไปก็คงโล่งดีสินะ แต่ก็อย่างว่าแหละ รับรู้ ซึ่งก็ดีแล้ว แต่จะให้ตอบรับหรือปฎิเสธเลยมันก็ยากทั้งสอง เพราะงั้นก็อย่าคาดหวังเยอะ จะได้ไม่อึดอัดกันเกินไป รอเฝ้ามองเส้นทางความรักนี้จะเป็นยังไงต่อไป มันจะไปแบบไหน รู้แต่ว่าไม่ง่ายเลยกับน้าแก้วผู้ซึ่งเป็นพวกรักปักใจ ครั้งนี้แทบจะปิดใจรักไปเลย จะยังไงละเนี้ย  :hao3: ขอบคุณนะคะที่มาต่อตรงตามวันสม่ำเสมอ เป็นกำลังใจในการแต่งทุกๆตอนค่ะ ช่วงนี้พายุเข้า ไปไหนมาไหนอย่าลืมพกร่ม ดูแลตัวเองด้วยนะคะ จะได้ไม่ป่วย มีแรงปั่นนิยายต่อ รออ่านอยู่ 55 (:   :katai2-1: :katai2-1:   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 27 [17.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-09-2020 04:21:00
 :-[
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 28 [24.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 24-09-2020 19:53:26

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 28

 

          ฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องในเดือนกันยา โทรทัศน์ออกข่าวเรื่องน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ เหมือนกับทุกๆ ปี ชายหนุ่มจุดบุหรี่ขึ้นสูบ หูฟังเนื้อหาจากทีวี ส่วนดวงตาจับจ้องมองสายฝนที่ทิ้งตัวร่วงลงมาบดบังทิวทัศน์สวนข้างบ้านด้วยม่านน้ำจนพร่าเบลอ วันนี้เขาไม่ได้ปิดบานหน้าต่างแม้ฝนจะตกหนัก เพราะช่วงเดือนนี้ลมมรสุมจะพัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับหน้าต่างของห้องนั่งเล่นที่หันสู่ทิศตะวันออกทำให้ฝนไม่สาดย้อนเข้ามาถึงตัวบ้าน

 

          ทว่าละอองน้ำฉ่ำชื้นก็ยังคงลอยเข้ามากระทบผิวให้รู้สึกเหน็บหนาว

 

          แก้วสูดควันเข้าปอด ในอกอุ่นวาบเพียงชั่ววูบ ในขณะที่เรียวนิ้วกลับค่อยๆ เย็นลง เขาเป็นคนตัวอุ่นในเวลาปกติ แต่ร่างกายกลับไวต่ออุณหภูมิภายนอก หากยืนนิ่งตากลมหนาวนานๆ หรืออยู่ในห้องที่อากาศชื้นแล้วยังมีพัดลมเป่าใส่ตรงๆ เช่นตอนนี้ มือเท้าเขาจะเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

          และโชคก็รู้ดี แม้ในตอนยังเด็กเขาจะคิดเสมอว่ามือของแก้วนั้นช่างอบอุ่น เพราะทุกครั้งที่คว้าจับมันจะช่วยไล่ความหนาวเย็นไปจากเขา แต่นั่นก็เพียงเพราะเขาในตอนเด็กนั้นตัวเย็นกว่าแก้วเท่านั้นเอง กระทั่งหลังจากที่อยู่ด้วยกันมาแรมปี เด็กน้อยถึงได้สังเกตเห็นว่าบางครั้งร่างกายแก้วก็ช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน

 

          ผ้าห่มผืนบางที่ทำมาจากเส้นใยสังเคราะห์นุ่มนิ่มและให้ความอบอุ่นสูงคลุมทับลงมาบนร่างของชายหนุ่ม แก้วหันกลับมาสบตากับคนที่หอบผ้าห่มจากชั้นสองลงมาให้เขา ยังไม่ทันได้เอ่ยปากขอบใจ โชคก็นั่งลงบนพื้นหน้าโซฟา สองมืออุ่นร้อนทาบลงบนหลังเท้าเปลือยเปล่า หัวใจแก้วกระตุกเมื่อมันซ้อนทับกับเงาของใครอีกคน ยิ่งเมื่อดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมาสบตากับเขาฉายแววอบอุ่นและเปี่ยมรักเช่นนั้น

 

          “เอาถุงเท้าไหมครับ น้ะ..” คำหลังถูกเว้นเสียงไปกลางคันเมื่อเด็กหนุ่มกำลังจะหลุดสรรพนามแทนตัวอีกฝ่ายที่คุ้นเคย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มและเอ่ยชื่อเปล่าๆ ไร้คำนำหน้า “...แก้ว”

 

          “ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร” แก้วถดเท้าหนีจากอุ้งมืออุ่นขึ้นมาซุกไว้ใต้ผืนผ้าห่มอย่างเชื่องช้าและเป็นธรรมชาติ เอี้ยวตัวยื่นมือไปเคาะเศษขี้เถ้าปลายมวนบุหรี่ใส่ที่เขี่ยบนโต๊ะไม้ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “ขอบใจนะโชค”

 

          “ครับ” สัมผัสของผิวเย็นเฉียบที่กำลังค่อยๆ อุ่นขึ้นในมือเขาจากไปแล้ว แต่ความรู้สึกกลับไม่จางหายไปเลย ทั้งความยินดีที่ได้ดูแล และความเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธอีกครั้งแล้ว

 




 

          วันที่ 18 เดือนตุลาคม ท้องฟ้าครึ้มแต่ไม่มีฝน ลมหนาวเริ่มพัดมาสมทบกับความชื้นในอากาศ โชยผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ามาทิ้งความหนาวเย็นไว้ในห้องนั่งเล่น เป็นเพราะแก้วบอกว่าไม่จำเป็นต้องจัดงานอะไร มื้อเย็นของพวกเขาจึงเรียบง่ายด้วยอาหารฝีมือเด็กหนุ่ม แต่ถึงแก้วจะบอกว่าไม่จำเป็น โชคก็ยังคงแอบเตรียมเค้กช็อกโกแลตหวานน้อยก้อนเล็กเอาไว้ จุดไฟใส่แท่งเทียนสีฟ้าเพียงหนึ่งเดียวที่ปักลงตรงกลาง เขาไม่ได้ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ตเดย์ให้กับชายที่เหยียบย่างเข้าสู่วัยสี่สิบ มีเพียงรอยยิ้มและถ้อยคำเรียบง่าย

 

          “สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

 

          กับของขวัญในกล่องฝาปิดขนาดกลาง บรรจุผ้าพันคอไหมพรมนุ่มนิ่มสีเบจ ผ้าพันคอที่เด็กชายโชควัยสิบสองปีขอให้เด็กสาวร่วมห้องตอนชั้นประถมห้าช่วยสอนวิธีถัก และหลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกเป็นปีในการถักมันให้ยาวมากพอจะพันรอบคอกันความหนาว แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่หัดจับเข็มนิตติ้ง ลายในแต่ละแถวจึงออกมาดูบิดเบี้ยวไม่เท่ากัน เด็กชายในวันนั้นตัดสินใจรื้อออกมาเริ่มต้นถักใหม่อีกครั้ง แต่มันก็ใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะถักออกมาให้ลายในแต่ละแถวเรียงเส้นสวยงามจนสุดปลาย

 

          สองปีกว่าที่ใช้ถักผ้าพันคอผืนเดียวนั้น... เนิ่นนานมากพอที่จะให้ใครบางคนหวนกลับมาในหน้าร้อน

 

          และเพราะเด็กชายตั้งใจจะให้มันกับแก้วในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง เพื่อใช้แทนความอบอุ่นที่ขาดหายไปจากใครคนนั้น แต่อาธีร์ก็กลับมา ผ้าพันคอผืนนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เด็กหนุ่มในวัยย่างสิบห้าปีจึงซุกเก็บมันเอาไว้ที่มุมหนึ่งในตู้เสื้อผ้า ไม่เคยคิดหวังว่าจะได้มีโอกาสมอบให้อีก

 

          แต่แล้วก็มาถึงวันนี้... วันที่ข้างกายของแก้วว่างเปล่า และความเหน็บหนาวเริ่มกัดกินประกายในดวงตาสีเข้ม

 

          “ขอบใจนะ” แก้วรับผ้าพันคอทำมือไป หยิบขึ้นมาพาดรอบลำคอ รับรู้ถึงความนุ่มนิ่มของเส้นใย แต่ไม่รู้เลยว่ามันใช้เวลาและผ่านความรู้สึกแบบไหนมาบ้างในระหว่างการถักทอ

 

 

 

          หลังจากที่โชคเก็บถ้วยจานไปล้างในครัว เด็กหนุ่มกลับออกมาอีกครั้งในตอนที่เจ้าของวันเกิดยกโทรศัพท์มือถือไว้แนบหู นั่งชันเข่าพิงลำตัวเข้ากับพนักโซฟา เปลือกตาปิดสนิท มีเพียงเสียงของลมหายใจที่พ่นผ่านสัญญาณคลื่นทางอากาศ ไม่ต้องคาดเดาเลยสักนิด โชครู้ดีว่าปลายสายอีกฝั่งเป็นใคร

 

          “ธีร์” เนิ่นนานกว่าจะมีคำพูดหลุดออกมา ดวงตาสีเข้มเปิดขึ้นพร้อมกับแววของความรู้สึกลึกซึ้งแสนซับซ้อน ถึงจะไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด โชคก็รู้ว่ามันมีความคิดถึงปนอยู่เป็นส่วนใหญ่ “...กูจะวางแล้วนะ”

 

          เมื่อกดตัดสายไปเรียบร้อย เครื่องมือสื่อสารก็ถูกวางแทนที่ซองบุหรี่ที่ถูกหยิบขึ้นไปแทน แก้วจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็กสีทอง เสียงใสดังกังวาน ก่อนที่ปลายมวนกระดาษจะแดงวาบแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านสีเทาหม่น โชคมองดูควันขาวลอยขึ้นสูงแล้วสลายไปเมื่อลมพัดผ่าน

 

          และเมื่อเห็นแววตาของแก้วที่เปล่งประกาย เป็นครั้งแรกนับจากกลางเดือนกรกฎาที่ผ่านมา เด็กหนุ่มก็ได้แต่คิดว่าเขาต้องถักผ้าพันคออีกกี่ผืน ถึงจะทำให้หัวใจของแก้วอบอุ่นได้สักครึ่งหนึ่งของถ้อยคำอวยพรจากชายคนนั้น

 




 

 

          เข้าสู่พฤศจิกายนฝนก็จากไป ทั้งที่ควรจะเป็นหน้าหนาวแล้วแท้ๆ แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีวันที่อากาศร้อนอยู่ดี

 

          บ่ายวันเสาร์แรกของเดือนร้อนอบอ้าวทั้งที่ก้อนเมฆมวลหนาบดบังแสงอาทิตย์ และถึงอย่างนั้นเจ้าของบ้านก็ยังคงงีบหลับได้ลงอยู่บนโซฟา พัดลมตั้งพื้นถูกล็อกคอไว้ให้ลมพัดตรงไปสู่ทิศทางเดียว โชคที่ลงมาหาของกินเล่นระหว่างการทำรายงานเดี่ยวเรื่องภาวะโลกร้อนสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มหลับไปทั้งที่แว่นสายตายังคาอยู่บนใบหน้า เด็กหนุ่มจึงขยับเดินเข้าไปหา อย่างเงียบเชียบมากพอที่จะไม่ทำให้คนในห้วงนิทราตื่นขึ้นมา

 

          แก้วหลับตาพริ้มทิ้งหัวไว้บนพนักพิงด้านหลัง เรือนผมสีเข้มตัดกับเบาะหนังสีขาวครีมชัดเจน ผมที่เคยยาวระต้นคอถูกตัดสั้นจนเหลือเพียงปรกท้ายทอยไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นทรงผมประจำของแก้วก่อนจะปล่อยให้มันยาวไม่เป็นทรงแล้วค่อยวนกลับไปตัดใหม่อยู่เสมอ โชคระบายยิ้มบาง บันทึกภาพตรงหน้าไว้ด้วยเลนส์กระจกตาแล้วเก็บใส่ไว้ในม้วนฟิล์มที่เรียกว่าความทรงจำ

 

          สัมผัสแผ่วเบาปลุกให้ดวงตาสีเข้มเปิดปรือขึ้นมา ใช้เวลาไม่นานนักในการปรับโฟกัสให้ชัดเจน รอยยิ้มของโชคเป็นสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า แก้วชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็ระบายยิ้มอ่อนโยนให้

 

          “ขอบใจ”

 

          “ครับ” โชคยื่นแว่นกรอบทองทว่ารูปทรงทันสมัยที่เขาช่วยถอดให้คืนเจ้าของ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

 

          เด็กหนุ่มรับรู้ถึงจังหวะชะงักงันชั่วอึดใจของอีกฝ่าย และรู้ดีว่ามันเกิดจากอะไร แม้แก้วจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะร่างกายคนเรามักขยับไปตามจิตใต้สำนึกก่อนจะทันได้คิด การผละถอยไปเพียงเล็กน้อยนั้นจึงบ่งบอกชัดเจนแล้วว่าแก้วไม่สนิทใจที่อยู่ใกล้กันกับเขา เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ที่โชคพยายามจะเข้าใกล้แก้วขึ้นอีกนิด พยายามที่จะทำอย่างที่อาธีร์ทำ เช่นการตักอาหารที่เจ้าตัวชอบให้ หรือใส่ใจกับปริมาณน้ำที่ชายหนุ่มดื่มในแต่ละวัน แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ไม่เคยลดลงไปเลย

 

          โชคไม่ได้พยายามจะแทนที่ธีร์ ระยะเวลาห้าสิบเอ็ดวันระหว่างเขากับแพรสอนให้รู้ว่าไม่มีใครแทนที่ใครได้ เด็กหนุ่มเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพื่อที่จะได้เป็นผู้ชายคนนั้นของแก้ว นอกเสียจากพยายามเลียนแบบดวงอาทิตย์เจิดจ้าที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนอยู่เสมอดวงนั้น

 

          ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะไม่ช่วยอะไร ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนโชคก็ไม่ใช่ดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวที่แก้วโหยหาอยู่ดี

 




 

          โชคแขวนไฟประดับต้นคริสต์มาส ในขณะที่แก้วคุยโทรศัพท์อยู่บนเฉลียงหน้าบ้าน ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่นายสถาปนิกก็ชินแล้วกับการทำงานไม่ค่อยจะเป็นเวลาแบบนี้ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มที่เห็นอีกฝ่ายเช่นนี้มาตลอดสิบปี

 

          “บ่ายสามฉันจะไปออฟฟิศนะโชค” แก้วบอกเมื่อเดินกลับเข้ามาในบ้าน

 

          “ครับ” โชคพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามต่อ “แล้วแก้วจะกลับมากินข้าวที่บ้านกับผมไหม”

 

          “อืม แต่อาจจะค่ำๆ หน่อย”

 

          เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนกลับไปสนใจตกแต่งต้นสนตรงหน้าต่อ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปทำไม ความตื่นเต้นของเด็กชายในวันคริสต์มาสมันค่อยๆ จางลงไปทุกที โดยเฉพาะในปีนี้ที่โชคไม่ได้ตั้งตารอคอยเทศกาลส่งท้ายปีให้มาถึงอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงรื้อต้นสนปลอมกับบรรดาของประดับออกมาจากห้องเก็บของ เหมือนกับเป็นความเคยชินประจำปีที่ไม่ต้องมีเหตุผลในการกระทำ มีเพียงความทรงจำของค่ำคืนสุขสันต์ที่สั่งให้มือขยับแขวนลูกบอลสีทองบนกิ่งพลาสติกต่อไปเท่านั้น

 

 

 

          ลมหนาวปลายเดือนธันวาคมมักหอบเอาบรรยากาศเปลี่ยวเหงาที่แสนรื่นเริงมาด้วยเสมอ คริสต์มาสผ่านพ้นไปแล้ว โดยที่คืนคริสต์มาสอีฟสองคนในบ้านไม้สีขาวเพียงนั่งกินมื้อค่ำร่วมกันเคล้าเสียงหนังบนจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น ไม่มีของขวัญสำหรับเด็กน้อยเหมือนปีก่อนๆ ส่วนกล่องห่อกระดาษสีน้ำเงินเข้มที่ถูกส่งมาจากซานตาคลอสผู้ไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้วในบ้านหลังนี้ ก็ถูกโชคเก็บไว้ใต้โต๊ะหนังสือโดยที่ไม่แม้แต่จะเปิดออกดู

 

          โชคยังไม่ยอมคุยกับธีร์ ไม่ใช่เพราะยังโกรธหรือขุ่นเคือง เด็กหนุ่มเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกจะกลับไปอยู่กับครอบครัวแล้ว แต่เพราะทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา มันมีความสุขอยู่มากนักเขาจึงยังคงเจ็บปวด

 

          ...เจ็บปวดที่พวกเขาไม่อาจย้อนกลับไปเป็นอย่างในคืนวันเหล่าได้นั้นอีกแล้ว

 

          “มะลิ” โชคเรียกชื่อแมวสีขาวลายส้มอมน้ำตาลที่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังจากเขา แต่กลับเป็นเหมือนพี่สาว อาจจะเพราะการนับเทียบอายุของคนกับแมวที่ไม่เท่ากัน มะลิจึงแก่กว่าเขาอยู่เสมอ ในอัตราที่รวดเร็วจนเขาไม่มีวันไล่ทัน

 

          พี่สาวขนสวยเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงนอนบนบันไดขั้นสุดท้ายของเฉลียงไม้หน้าบ้านเคียงข้างเด็กชายของเธอ หางยาวสวยไร้รอยหักตวัดกวาดไปมาสองทีก่อนจะได้ที่แล้วดวงตาสีเหลืองอมเขียวก็ปรือต่ำ แต่ไม่หลับไปเสียทีเดียว คล้ายกำลังว่ารอคอยบางสิ่งอยู่ บางสิ่งที่เหมือนกับคนข้างๆ เธอกำลังรอ

 

          หลังเสียงเครื่องยนต์รถที่แล่นเข้ามาจอดบนบริเวณที่ว่างฝั่งตรงข้ามบ้าน กับเงาร่างของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตูรั้ว การรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อชายคนนั้นหันมามองพวกเขาพร้อมกับระบายยิ้มอ่อนโยน

 

          “กลับมาแล้ว”

 

 

 

          โชครับของในมือแก้วมาถือไว้เองทั้งหมด แก้วก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เพราะมือว่างแล้วจึงช้อนก้อนขนนุ่มอุ่นขึ้นมาอุ้มแทน เขาสบตากับมะลิ พูดจากันผ่านการขยับไหวของม่านตา พอเข้ามาในตัวบ้านแล้วจึงค่อยเอ่ยถามออกมา

 

          “ทำไมถึงไปนั่งกันอยู่หน้าบ้านล่ะ” คำถามไม่ได้มีไว้ให้แมวตอบ แต่เป็นคนที่เดินนำเข้าไปในครัวจนเห็นเพียงแผ่นหลังรำไร

 

          “ผมรอแก้ว” โชคตอบกลับทันทีโดยไม่จำเป็นต้องคิด สิ้นคำก็ได้ยินเสียงจานชามดังตามมา

 

          แก้วปล่อยมะลิลง บุหรี่ถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มจุดแท่งนิโคตินขึ้นสูบเอารสขมปร่าเข้าไปอย่างใช้ความคิด หลังๆ มานี้โชคถอยห่างจากเขาไปเล็กน้อย ไม่ได้เหินห่าง แต่กลับไปเป็นอย่างเดิมเหมือนตอนก่อนจะบอกความความในใจให้เขารู้ มีเพียงสรรพนามเรียกขานที่ยังคงเป็นชื่อตัวโดยไร้คำนำหน้าเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกแตกต่างไปจากในอดีต

 

          ถ้าหากว่าโชคตัดใจไปแล้วก็คงจะดี...

 

          แต่ถ้าหากไม่ใช่ การที่อีกฝ่ายยอมถอดใจก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนักสำหรับชายหนุ่ม ทว่าคงผ่านความเจ็บปวดและท้อแท้มาไม่น้อยเลยสำหรับเจ้าตัว

 

 

 

          คืนนั้นหลังมื้อค่ำทั้งสองคนก็นั่งเล่นต่ออยู่บนโซฟา แก้วดูทีวี ส่วนโชคเล่นโทรศัพท์ มะลิเดินทอดน่องเชื่องช้าไปนอนแหมะลงบนที่นอนใต้บันไดหลังกินอิ่ม

 

          เพราะเป็นคืนส่งท้ายปีละแวกบ้านจึงไม่เงียบเหงานัก หนำซ้ำยิ่งดึกดื่นก็จะยิ่งคึกครื้น เวลาเดินผ่านไปจนกระทั่งเข้าใกล้วันใหม่ แก้วลุกขึ้นยืนบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ ส่วนโชคเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวมาสองตัว ตัวหนึ่งให้ชายหนุ่ม อีกตัวสวมใส่เอง พวกเขาออกไปยืนหน้าบ้านด้วยกันโดยไร้บทสนทนา ฟังเสียงนับถอยหลังของข้างบ้านที่มักจะจัดงานสังสรรค์เช่นนี้ทุกปี สิ้นเสียงเฮลั่น พลุไฟก็พุ่งขึ้นฟ้า แตกกระจายก่อนได้ยินเสียงดังตามมา

 

          ดอกไม้ไฟสีสันสดใสเบ่งบานบนผืนฟ้าสีดำ แสงสว่างโชติช่วงวูบวาบชั่วอึดใจก็จางหายก่อนชุดใหม่จะกระจายตัวแต่งแต้มแทนที่ ช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีกลางสายลมหนาว หน้าบ้านไม้สีขาวเงียบสงัด โชคไม่ได้ยินแม้แต่เสียงดนตรีคาราโอเกะที่บ้านติดกันกำลังเปิดร้องรับปีใหม่ เมื่อสายตาและความสนใจทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่ที่คนข้างกาย

 

          แก้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อชมม่านราตรีกาลสว่างไสว ในดวงตาสีเข้มสะท้อนประกายวาววับหลากสีของริ้วแสง ใบหน้าขาวซีดเพราะอากาศหนาวเย็น เรือนผมที่เริ่มยาวพ้นท้ายทอยลงมาเล็กน้อยปลิวไหวเมื่อสายลมพัดผ่าน โชคยิ้มผ่านแววตา ก่อนจะหลุบตาลงมองมือเรียวที่ตอนนี้น่าจะเย็นเฉียบ แต่เขาก็ไม่กล้าเอื้อมไปคว้ามากอบกุมไว้ สุดท้ายก็ได้แต่เบนสายตากลับไปมองฟ้ากว้าง ดูแสงสว่างชุดสุดท้ายจางหายไปในค่ำคืนที่ผู้คนต่างพากันเฉลิมฉลอง

 

          “โชค” อยู่ๆ แก้วก็เรียกชื่อเขาขึ้นมา โชคหันไปหา ระยะห่างของพวกเขายังคงเท่าเดิม ในแววตาของแก้วที่มองมายังคงเป็นความเอ็นดูเด็กชายตัวน้อยอยู่ไม่เปลี่ยน “อากาศหนาวขึ้นอีกแล้ว เข้าบ้านกันเถอะ”

 

          “ครับ” โชครู้สึกว่าในตอนนี้ มือของเขาก็คงเย็นเฉียบไม่ต่างจากแก้วมากนัก

 




 

          เดือนแรกของปีดำเนินไปอย่างเชื่องช้า โชคได้ใบขับขี่รถจักรยายนต์มาแล้ว หลังจากที่มิกซ์ช่วยหัดให้เขาอยู่เป็นเดือน แก้วคิดว่าจะซื้อรถมอเตอร์ไซต์สักคันให้เอาไว้ใช้ แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียก่อน เพราะเขาไม่ได้จำเป็นต้องใช้ขี่ไปไหน จะขี่ไปโรงเรียนเองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าที่รับส่งกันมานานก็ทำท่าจะงอนใส่ บอกไม่อยากไปโรงเรียนเหงาๆ เพียงลำพัง และเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้รถเพื่อไปโรงเรียน เขาก็ไม่มีเหตุอื่นใดให้ต้องใช้อีกแล้ว

 

          “หัดขับรถยนต์ไว้ดีไหม อีกหน่อยเธอก็สิบแปดแล้ว ทำใบขับขี่รถยนต์ได้แล้ว” แก้วเปรยขึ้นในช่วงเช้าวันทำงาน โชคกำลังดูดนมกล่องขณะที่ยกกาแฟของคนที่ยืนโกนหนวดอยู่ตรงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำออกมาวางไว้ให้ที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น

 

          “ครับ หัดไว้ก็ได้ครับ” หลังจากที่กลืนนมหมดปาก โชคก็เอ่ยตอบ หยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพาย พอแก้วเดินออกมาพร้อมชุดทำงานและใบหน้าเกลี้ยงเกลา เด็กนักเรียนม.ปลายก็บอกลา เดินออกไปโดดขึ้นซ้อนท้ายเพื่อนที่มาถึงหน้าบ้านพอดี

 

          ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติเสียจนน่าประหลาด เหมือนช่วงสี่ห้าเดือนที่ผ่านมาที่บรรยากาศระหว่างพวกเขามีความมึนตึงบางอย่างอยู่นั้นสลายไปจากความทรงจำ แก้วจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเขาเคยรู้สึกอึดอัดใจกับโชคบางหรือเปล่า เพราะเขาไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน การกระทำหลายๆ อย่างในตอนนั้นก็เพียงแต่เป็นไปตามกลไกการป้องกันตัวของจิตใจ สร้างกำแพงขึ้นมาเมื่อรู้สึกถูกคุกคาม แต่ตอนนี้โชคก็เป็นแค่เด็กน้อยโชคคนเดิม เขาก็ไม่จำเป็นต้องล้อมรั้วกั้นขวางอีกต่อไป

 

          บ้านไม้สองชั้นสีขาวหลังเดิมกำลังค่อยๆ กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน

 

          ตอนที่มีชายหนุ่มคนหนึ่ง กับเด็กชายอีกหนึ่งคน

 

 

 

          มกราคมแสนยาวนานเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนผ่าน แก้วตัดสินใจที่จะสอนเด็กหนุ่มขับรถด้วยตัวเอง เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงพยายามเลิกงานให้เร็วขึ้นในทุกๆ วัน กลับให้ถึงบ้านก่อนฟ้ามืด แรกๆ ก็เลยเริ่มให้ลองบังคับพวงมาลัยวิ่งไปมาอยู่บนถนนหน้าบ้าน พอเริ่มคุ้นชินก็ขับไปตามทางแยกเล็กน้อยที่ทะลุถึงกันระหว่างซอยหมู่บ้าน

 

          วันนี้ก็เช่นกัน ห้าโมงเศษของยามเย็นที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเร็วตามช่วงฤดูกาล โชคบังคับพวงมาลัยแล่นตรงไปท้ายหมู่บ้าน เหยียบคันเร่งแผ่วเบาของรถเกียร์ออโต้ที่พุ่งไปข้างอยู่ตลอดเวลาให้ความเร็วขึ้นมาแตะสามสิบ ดูเชื่องช้าแต่กลับเร็วน่าดูเมื่ออยู่ในถนนที่ไร้รถรา มีเพียงมอเตอร์ไซต์ที่บิดแซงไป กับจักรยานของแก๊งเด็กที่ทะยานซิกแซ็กไปมาด้วยแรงขา

 

          จนกระทั่งมาถึงเชิงสะพานข้ามคลอง เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มต้องขับขึ้นเนิน แม้จะไม่ลาดชันมากนัก แต่การที่ต้องกะแรงเหยียบคันเร่งให้รถสู้กับแรงโน้มถ่วง แต่ก็ต้องไม่ให้แรงมากจนพุ่งไปชนชาวบ้าน สำหรับมือใหม่แล้วก็ถือว่าน่าตื่นเต้นอยู่เอาการ แก้วไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้โชคใช้สมาธิแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง ลองและเรียนรู้ด้วยตัวเอง

 

          “เก่งมาก” แก้วชมเมื่อการขับขึ้นสะพานเป็นไปได้ด้วยดี โชคยิ้มออกมา เผลอละสายตาจากถนนมามองหน้าคนข้างๆ แต่ทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้านข้างคนขับกลับเบนความสนใจของเขาไป เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจอย่างอื่นมากกว่าในเวลาที่แก้วอยู่ตรงหน้า

 

          “โชค” ครูสอนขับรถเฉพาะกิจกดเสียงเข้มเพื่อดุคนไม่มองทาง โชครีบหันกลับไปมองด้านหน้าแล้วตั้งใจขับรถต่อ

 

          พวกเขาลงจากสะพานแล้วไปถอยกลับรถตรงลานต้นมะขามแถวศาลเจ้าที่ของชุมชนริมคลอง เมื่อขึ้นสะพานอีกครั้ง คราวนี้เป็นแก้วที่มองผ่านกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับออกไป แม้จะผ่านมาสิบปีแล้ว แต่ครั้งหนึ่งโชคก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่ ชีวิตของเด็กชายเริ่มต้นที่ตรงนี้ ห้องโกโรโกโสคับแคบติดริมน้ำ กับเรื่องราวมากมายที่โหดร้ายเกินกว่าที่เด็กสักคนควรเผชิญ

 

          ดวงตาสีเข้มเบนกลับมาที่ใบหน้าของคนในความคิด โชคโตขึ้นมาก จากเด็กชายผอมแห้งที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างถังขยะสีเหลืองกลางสายฝน กลายเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่มีรอยยิ้มร่าเริงแจ่มใสกับนัยน์ตาคู่สวยเปล่งประกาย จากเด็กชายในสลัมที่ไม่รู้จักอะไรนอกจากความรุนแรง สู่การเป็นเด็กที่อ่อนโยน ใจดีและแสนสุภาพ

 

          ช่างเป็นเด็กโชคร้ายที่เติบโตผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้อย่างแข็งแกร่ง

 

          ช่างเป็นการเติบโตที่น่าภาคภูมิใจ

 

          ในตอนนั้นเองที่แก้วเริ่มตระหนัก ...ว่าเด็กชายของเขาได้โตเป็นหนุ่มแล้ว

 

 

 

TBC...

          ในที่สุดเจ้าหมาในสายตาน้าแก้วก็เริ่มโตขึ้นบ้างแล้ว เป็นความสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลา แต่ก็ไม่ได้อืดเอื่อยมากมายเสียขนาดนั้น หวังว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้จะชอบและยังคงชอบนิยายเรื่องนี้อยู่นะคะ 

          ส่วนตัวรีนตอนนี้พยายามปิดบทสุดท้ายอยู่ล่ะค่ะ ยากมากๆ เลย กลัวว่าจะเขียนออกมาได้ไม่ดีเท่าที่หวังไว้ แต่ก็ได้กำลังใจมาจากคุณแล้วนะคะ  :mew1:

 

          ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านอยู่เสมอ

          ขอบคุณจากใจค่ะ

 

          See You on พฤหัสบดีหน้านะคะทุกคน 

 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 28 [24.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-09-2020 21:22:41
 :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 28 [24.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-09-2020 00:30:22
ค่อยๆเป็นค่อยๆไป เป็นตัวของตัวเองละดีที่สุดโชค เมื่อมันคิดไปแล้วก็ทำให้อยู่ในรูปแบบที่ต่างคนต่างก็สบายใจ ไม่อึดอัดต่อกัน อยู่กันสองคนแบบนี้ตอนนี้ก็ดูผ่อนคลาย สบายใจดีนะ เว้นแต่ว่าถ้าโชคเข้ามหาลัย แก้วจะเหงาหรือเปล่า คึ ใกล้แล้ว พ้น 18ปีก็เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว จะไปทางไหนยังไง ก็ดีนะ ขับรถเป็นทั้งรถยนต์และมอไซค์จะได้ไปไหนสะดวก หลังจากนี้ก็คงแยกกันเดินทางหรือต่างมีธุระกันเยอะขึ้นเมื่อเข้ามหาลัย โชคจะไปทางไหนยังไง เป็นอะไรที่ต้องตามต่อจริงๆ 5555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อสม่ำเสมอ รอตอนหน้าเลยค่ะ ชอบบบบบบบ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 28 [24.09.20]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 26-09-2020 19:59:29
เป็นเรื่องราวที่ดีมากๆเลยค่ะ อบอุ่นแต่ก็เศร้าใจ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 29 [01.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 01-10-2020 18:57:20

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 29

 

        เย็นวันวาเลนไทน์โชคกลับมาถึงบ้านในตอนฟ้ามืด เห็นไฟห้องทำงานส่องสว่างตั้งแต่นอกรั้วบอกให้รู้ว่าแก้วอยู่ในห้องนั้น เด็กหนุ่มได้ของติดมือกลับมานิดหน่อย จากเด็กสาวต่างโรงเรียนที่อายุน้อยกว่า ทว่าก็รับรู้ได้ว่าความจริงจังนั้นแตกต่างจากคราวของแพรลิบลับ

 

        แต่ไม่ว่าจะได้ของจากใคร คนที่เขาอยากให้ของขวัญในวันนี้ก็มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

        “ว่าไง” สิ้นเสียงเคาะประตูคนในห้องก็ตอบกลับมา โชคเปิดประตูเข้าไปหา ระบายยิ้มกว้างให้แก้วที่กำลังถอดแว่นวางบนโต๊ะ

 

        “กลับมาแล้วครับ”

 

        “อืม กินข้าวเลยไหม” แก้วรับคำและถามกลับมา จัดการกับแผ่นกระดาษตรงหน้าที่มีรอยวงไว้หลายจุดให้เลื่อนไปตรงกลางโต๊ะทำงานแล้วหยิบที่ทับกระดาษคริสตัลใสมาวางทับไว้เพื่อกันไม่ให้ปลิวตก

 

        “กินเลยก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบ ก่อนจะว่าต่อ “แล้วก็นี่ครับ”

 

        “ให้ฉันเหรอ” แก้วมองดอกกุหลาบสีสดที่อีกคนเดินเข้ามาวางไว้ที่มุมโต๊ะ บนกองหนังสือที่วางซ้อนกันอย่างไม่ใส่ใจจะเก็บ

 

        “ครับ ของขวัญวันวาเลนไทน์” แก้วจำได้ทันทีว่ามันมาจากในสวนข้างบ้าน ต้นกุหลาบที่โชคเอามาปลูกด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อกลางปีก่อน เพียรรดน้ำเฝ้าดูแลอยู่นานกว่าจะออกดอกชุดแรก แต่ตอนนี้กลับเบ่งบานไม่ว่างเว้นจนเต็มต้น

 

        แก้วเคยคิดว่าพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ชีวิตประจำวันธรรมดาของผู้ปกครองและเด็กในปกครอง ดอกกุหลาบดอกเดียวจากโชคไม่ได้ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน เพราะโชคก็ให้ของขวัญวันวาเลนไทน์กับเขาเช่นนี้ทุกปีอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปนั้นอยู่ข้างในตัวเขาเอง

 

        ภาพของเด็กชายในวันวานถูกซ้อนทับด้วยเด็กหนุ่มตรงหน้า และความคิดในหัวยามรับของมาที่เคยว่างเปล่า มีเพียงความเอ็นดูก็ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยระคนไหวหวั่น

 

        ...วาเลนไทน์มากมายที่พ้นผ่าน โชคก็คิดกับเขาแบบนี้มาตลอดเลยหรือเปล่านะ

 



 

        แก้วทบทวนกับตัวเองจนหมดฤดูหนาว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่โชคมองเขาเป็นมากกว่าน้าแก้ว

 

        “แก้วครับ” เสียงของเด็กหนุ่มที่แง้มประตูห้องทำงานโผล่หน้าเข้ามา พร้อมกับมื้อเย็นที่เขาบอกว่าคงไม่มีเวลาออกไปร่วมโต๊ะด้วยในมือ

 

        โชคยิ้ม ขณะที่เอาถ้วยสุกี้เข้ามาวางไว้ข้างโคมไฟตั้งโต๊ะ ตรงที่ว่างๆ ที่ไม่มีเศษกระดาษกองระเกะระกะ ก่อนออกจากห้องไปก็กำชับให้เขากินตอนที่มันยังร้อนอยู่ แก้วบอกขอบใจ ในขณะที่ในหัวคิดย้อนกลับไปถึงแกงส้มกับไข่เจียวชะอม ความห่วงใยเล็กน้อยที่ได้รับมาตลอดหลายปี

 

        ...ตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่า ทว่าสำหรับเขาเวลานั้นโชคก็ยังเด็กเหลือเกิน

 

 

 

        “ผมไปก่อนนะครับ แก้ว” โชคโน้มตัวผ่านราวกั้นเฉลียงมาทอดเงาทับอยู่เหนือหัวคนสูบบุหรี่ บอกลาก่อนไปเรียนพิเศษประจำวันเสาร์ แก้วเงยหน้าขึ้นไปสบตา พยักหน้าแล้วพูดส่งด้วยถ้อยคำเดิมๆ

 

        “ขี่รถกันดีๆ ล่ะ”

 

        โชคยิ้มสดใสให้แทนคำตอบรับ จากนั้นก็เดินจากไปในขณะที่ลมอุ่นระลอกใหญ่พัดผ่านมา ดอกแก้วโปรยปรายจากต้นกลางลานอิฐที่อยู่คนละฝั่งกับทิศที่เด็กหนุ่มมุ่งไป ทว่าภาพจำกลับปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ในช่วงสายก่อนที่เด็กน้อยของเขาจะไปเดทเป็นครั้งแรก

 

        แววตาที่จับจ้องตรงมาในวันวาน หวานจับใจ แต่ก็ฝาดเฝื่อนเหลือเกิน

 

        ...หรือจะเป็นตอนนั้นกันแน่

 

        แต่หลังจากนั้นโชคก็คบเด็กสาวที่ชื่อแพรเป็นแฟน ถึงแม้มันจะกินเวลาเพียงแสนสั้นก็ตาม

 

 

 

        “...มะลิ?” น้ำเสียงง่วงงุนดังจากคนที่เพิ่งสะลึมสะลือตื่นเพราะโดนแมวสาวปัดหางผ่านจมูก แก้วนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งที่ประจำ ส่วนโชคนอนหนุนหัวกับหมอนอิงไม่ห่างจากตักเขาไปเท่าไหร่

 

        มือใหญ่ทว่าเรียวยาวตามประสาเด็กหนุ่มที่ยังเติบโตได้อีก ยกขึ้นลูบก้อนขนที่ม้วนตัวขดเป็นวงอยู่บนอกตัวเองแผ่วเบา เป็นทั้งคำทักทายและขับกล่อมอีกฝ่ายให้นอนหลับ ขณะเดียวกันดวงตาคู่สวยก็ปรือต่ำลงพร้อมหล่นสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

 

        แก้วมองดูหนึ่งคนหนึ่งแมวอย่างเงียบงัน พลางคิดถึงสัมผัสที่เคยไล้จับมือตนอยู่บ่อยๆ เวลาที่เด็กน้อยมานอนหนุนตัก โชคชอบมือเขา แก้วรู้ดี และเพราะเด็กชายไม่เคยเรียกร้องความรัก หรืออะไรจากเขามากไปกว่าการกระทำเล็กน้อยที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะให้ได้ จำนวนครั้งที่พวกเขาใกล้ชิดกันเช่นนั้นจึงมีนับไม่ถ้วน

 

        ...แล้วในจำนวนเหล่านั้นมันมีกี่ครั้งกันที่โชคไม่ได้จับมือเขาเพียงเพราะความเคยชินติดตัว

 

 

 

        ความสงสัยมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ในหัว ร่วมกับชั่วโมงนอนที่น้อยลงทุกวันทำให้แก้วจับไข้กลางเดือนเมษาที่ร้อนที่สุดของปี ร่างกายของชายวัยสี่สิบไม่เหมือนตอนยี่สิบสี่ การอดนอนและโหมงานหนักแสดงผลกระทบต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าหลังจากเป็นลมล้มพับเข้าโรงบาลไปเมื่อสองสามปีก่อน แก้วจะใส่ใจกับสุขภาพตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าที่ควร

 

        “หนาวไหมครับ” พยาบาลจำเป็นข้างเตียงเอ่ยถาม โชคเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเย็นบนหน้าผากให้คนป่วยอย่างเบามือ

 

        “...ไม่เท่าไหร่” แก้วตอบ เสียงแหบแห้งจนเด็กหนุ่มต้องหันไปเทน้ำใส่แก้วมาให้จิบ “ขอบใจ”

 

        “ครับ แก้วหิวไหม เดี๋ยวผมทำข้าวต้มมาให้” ปากเอ่ยถาม แต่ตัวกลับตั้งท่าจะลุกไปทำมาให้อยู่แล้ว แก้วส่ายหัวอย่างอ่อนแรง ขยับร่างกายหาองศานอนสบายแล้วปรือตาต่ำ

 

        “ไม่ต้องหรอก นอนอีกสักงีบก็หายแล้ว”

 

        “งั้นนอนพักเถอะครับ” เสียงพูดบอกแผ่วเบาลงทุกที แต่สัมผัสที่แตะลงบนแก้ม ไล้เกลี่ยเส้นผมให้พ้นกรอบหน้ากลับเด่นชัด “เดี๋ยวผมเฝ้าแก้วอยู่ตรงนี้เอง”

 

        ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนของพิษไข้หรือเปล่า ที่ทำให้สมองเขารื้อค้นหาสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการกระทำของโชคจากความทรงจำ เรื่องเล็กน้อยที่เคยมองข้ามทยอยกันปรากฏตัวออกมา

 

        เหตุผลที่โชคลังเลที่จะตอบตกลงเป็นลูกบุญธรรมของเขาในวันนั้น หากเพราะเด็กชายไม่อยากเป็นเพียงลูกชายของเขาแล้วล่ะ

 

        ในช่วงเวลาหนึ่งที่เด็กหนุ่มหลบหน้าหลบตา ที่เคยคิดว่าเกิดจากฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังพุ่งพล่าน ถ้าแท้จริงแล้วมันเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธีร์ที่แม้ไม่เคยได้บอกอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ได้คิดจะปิดบังนั้นล่ะ

 

        อีกทั้งคำถามที่กระซิบเพียงแผ่วเบา ด้วยความเจ็บปวดเจือสิ้นหวังเต็มเปี่ยมในดวงตา หลังจากที่พายุอารมณ์สลายตัว ในวันที่เขาบอกว่าธีร์กลับไปแล้ว

 

        ‘ทำไมถึงรักอาธีร์ล่ะครับ’ ...บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่คำถาม

 

        แก้วรู้สึกวุ่นวายสับสน เป็นความปั่นป่วนที่แปลกใหม่สำหรับชายวัยสี่สิบปี ยิ่งเมื่อคิดไปถึงค่ำคืนหนึ่งในต่างแดน ตอนที่ถูกโอบกอดเอาไว้แนบแน่น เขาก็เพิ่งจะมานึกออกว่าในตอนนั้นเขาหลับไปในอ้อมอกอุ่น พร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นเร่าจนสะเทือนแผ่นหลังของเขาอยู่นาน

 

        คำว่าชอบของโชค มันจริงจังและมากมายถึงเพียงนั้นเลยสินะ

 

 

 

        สามวันต่อมาไข้หวัดก็จากแก้วไป ทิ้งความร้อนไว้ในร่างกายกับความรู้สึกระคายไว้ในลำคอเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับต้องนอนซมบนเตียง แก้วย้ายตัวเองลงมานั่งเฝ้าจอโทรทัศน์ เปิดฟังข่าวยามบ่าย โชคเองก็ตามลงมาเฝ้า ปิดเทอมหน้าร้อนของเขาปีนี้ไม่มีคำสั่งให้ไปเรียนพิเศษจากป้าดา เพราะคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆ มา

 

        “โชค” แก้วเรียก เด็กหนุ่มจึงวางโทรศัพท์ลง แม้เกมออนไลน์จะหยุดกลางคันไม่ได้ แต่มันไม่ได้สำคัญเท่ากับคนตรงหน้าเลยสักนิด

 

        “ครับแก้ว” รอยยิ้มเป็นประกาย ดวงตาวาววับ เหมือนหมาตอนเจ้าของเรียกชื่อไม่มีผิด แก้วเลยได้แต่ยิ้ม ตบหน้าขาตัวเองสองสามทีเป็นสัญญาณ โชคชะงัก ไม่แน่ใจนักว่ากำลังได้รับอนุญาตให้วางหัวลงบนตักของชายหนุ่มจริงๆ หรือแค่คิดไปเอง แต่เมื่ออีกฝ่ายจ้องมองตรงมาอย่างรอคอย เขาก็ขยับเข้าไป สู่พื้นที่ปลอดภัยแสนอบอุ่นของเขา

 

        เจ้าของตักนึกเอ็นดูท่าทีของเด็กหนุ่ม ทั้งที่ดีใจจนออกนอกหน้า แต่ทว่าตัวกลับแข็งเกร็งไปหมด จนเขาต้องยื่นมือไปช่วยโน้มศีรษะเจ้าตัวลงมานอนในตำแหน่งคุ้นเคย ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากแล้วลูบผ่านไปกลางกระหม่อม ลูบซ้ำอีกครั้งและอีกครั้ง

 

        “แก้ว” คราวนี้เสียงของเด็กหนุ่มคล้ายอ้อนวอน “ผมขอจับมือคุณหน่อยได้ไหม”

 

        แก้วไม่ได้ตอบ เพียงส่งมืออีกข้างไปให้ตามคำขอ แล้วมันก็ถูกคว้าจับไว้อย่างนุ่มนวล ด้วยความทะนุถนอมที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

 

        โชคฉีกยิ้มกว้าง ในขณะที่แววตาฉายแววยินดีระคนโล่งใจ

 

        แค่เพียงการกระทำเล็กน้อยของแก้วก็ส่งผลต่อเด็กหนุ่ม บางครั้งโชคก็ตื่นเต้นดีใจแม้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และในหลายๆ ครั้งมันก็ทำให้เด็กหนุ่มแตกสลายได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน

 

        ...เขามีอิทธิพลกับโชคถึงขนาดนี้เชียว

 

        “โชค” แก้วไม่ได้ก้มลงมามองหน้าคู่สนทนา ดวงตาจับจ้องไปยังตู้โชว์ที่มีรูปภาพเรียงราย “เธอเริ่มชอบฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”

 



 

        เมื่อเข้าสู่พฤษภา หน้าร้อนก็อ่อนแรงลง แก้วออกมาสูบบุหรี่อยู่ในลานอิฐ ควันขาวลอยเคว้งเมื่อลมสงบนิ่ง ทว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากลับย้อมให้มันดูเบาบางจนเกือบจางหายไปจากการมองเห็น หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นเหม็นไหม้ของใบยาสูบที่ยังคงเข้มข้นชัดเจน

 

        ‘...ผมคิดว่าผมเริ่มชอบแก้วตั้งแต่ป.สี่’ คำตอบที่ดูคล้ายไม่แน่ใจนัก แต่ก็จริงจังและมั่นใจ ‘ในอุโมงค์อควาเรียมอยู่ๆ โลกทั้งใบของผมก็มีแต่คุณ ผมคิดว่าน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น’

 

        ‘คิดว่าเหรอ’

 

        ‘คิดว่านะครับ... ผมเพิ่งจะมารู้ตัวว่าคำว่าชอบของผมมันไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ ก็เมื่อตอนสิบห้านี่เอง’ โชคไม่ได้ลังเลที่จะตอบ มีเพียงรอยยิ้มขัดเขินและแววตาเป็นกังวลน้อยๆ ที่หลุบต่ำไม่ยอมสบตา แก้วเข้าใจว่าทำไม

 

        โชคยังคงเป็นเด็กน่ารัก แต่แก้วก็ไม่แน่นักใจว่าเขาจะมองอีกฝ่ายในฐานะผู้ชายคนหนึ่งได้หรือไม่ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในสายตาของเขาตอนนี้มองโชคเป็นอย่างไร ในเมื่อหัวใจของชายวัยสี่สิบไม่ได้เต้นรุนแรงเวลาหวั่นไหวเหมือนพวกหนุ่มสาว เขาเลยไม่รู้ว่าต้องมองหาสัญญาณแบบไหนที่จะบ่งบอกได้ว่าเขาชอบโชคเกินกว่าเด็กชายที่เลี้ยงมาแล้วหรือยัง

 

        เพราะที่แก้วคิดว่าโชคอาจจะถอดใจไปแล้วนั้นไม่เป็นความจริงเลย เด็กหนุ่มยังคงพยายาม เพียงแต่เลิกจะไล่ตามเงาของดวงอาทิตย์อย่างธีร์ แค่พยายามจะดูแลแก้วด้วยทุกอย่างที่ตนมีแทน และแม้โชคจะไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แก้วก็เริ่มสังเกตเห็นว่าทุกสิ่งที่เขาทำเป็นประจำมาตลอดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย มันเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด

 

        ...แก้วเพิ่งจะรู้สึกถึงมัน

 

        เขาเริ่มมองหาเหตุผลในการกระทำของเด็กหนุ่ม และคำตอบที่แสนชัดเจนนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกซาบซึ้งหรือวูบวาบชวนให้ประหม่า เป็นแค่ความสบายใจที่แสนเรียบง่ายและอบอุ่น

 

        แก้วลุกเดินไปหยิบเศษหญ้าแห้งที่คาอยู่บนกิ่งต้นมะลิในกระถางริมรั้วออก คงจะมีนกสักตัวทำหล่นไว้ขณะที่คาบเอาไปทำรัง วันแสนสงบยังคงไม่เปลี่ยนไปในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย...

 

        “แก้วครับ” โชคเดินอ้อมเฉลียงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ โผล่มายืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเพราะไอควันบุหรี่ยังกรุ่นรอบตัวชายหนุ่ม โชครู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้ในเวลาแบบนี้ เลยได้แต่ขยับไปนั่งลงบนม้าหินแทน

 

        “ว่าไง” แก้วว่า ยังคงคีบมวนบุหรี่จรดริมฝีปาก คายควันออกมาเมื่อไร้ลมพัดพาไปหาอีกคน โชคจ้องมองอย่างรอคอย แก้วจึงก้าวเดินเข้าไปหา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าในระยะที่หากเอื้อมมือมาก็คว้าถึงกันได้ง่ายดาย

 

        แสงแดดยามบ่ายส่องแทรกกิ่งใบลงมาอาบไล้ใบหน้าของผู้เฝ้ามอง มันไม่ได้แสบผิวมากนักเมื่อพายุฤดูร้อนเพิ่งพัดผ่านไป

 

        “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” โชคยิ้มบาง ขณะที่ยื่นมือไปคว้าเกี่ยวปลายนิ้วของชายหนุ่มมากุมไว้ ซบหน้าผากลงกับสันกระดูกแข็ง

 

        เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากพอที่แท่งกระดาษจะจะถูกไฟลามเลียจนกลายเป็นขี้เถ้า แต่ยังคงไม่มอดดับไป คนสองคนใต้ริ้วแสงประสานแววตา พลันทุกสิ่งดูเชื่องช้า ดอกไม้บอบบางโรยตัวลงมาแม้ไร้ลม สวนทางกับขบวนควันที่เดินทางมุ่งสู่ท้องฟ้า

 

        แก้วจูบก้นกรอง

 

        โชคจูบหลังมือแก้ว

 

        จากนั้นก็เงียบงัน แก้วสูบบุหรี่ต่อจนหมดมวน ในขณะที่โชคซุกซ่อนใบหน้าแดงก่ำไว้ในอุ้งมืออุ่นที่เขาไม่คิดจะปล่อย และเพราะเด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้า เขาเลยพลาดที่จะเห็นความวูบไหวในดวงตาสีเข้มคู่นั้น

 

        โดยที่รู้ตัวแจ่มแจ้ง การกระทำของโชคเองก็เริ่มมีอิทธิพลต่อแก้วบ้างแล้วเช่นกัน

 



 

        ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้น และโชคเลื่อนขึ้นชั้นมัธยมปีที่ห้า แก้วออกมารอส่งเด็กหนุ่มที่หน้าบ้านอย่างเคยทั้งชุดนอน เพราะวันนี้เขาไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานแต่เช้า

 

        “แก้วครับ” เด็กนักเรียนที่เพิ่งใส่ร้องเท้าผ้าใบสีดำเสร็จเงยหน้าขึ้นมา เพราะนั่งบนขั้นบันไดจึงทำให้ระดับสายตาต่ำกว่าคนที่ยืนจิบกาแฟพิงราวกั้นเฉลียงไม้อยู่มาก เหมือนระดับสายตาของเด็กชายโชคที่เคยช้อนมองน้าแก้วจากความสูงร้อยสิบกว่าเซนติเมตร แต่เพียงชั่วพริบตาที่เด็กหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง...

 

        “ว่าไง”

 

        “ผมโตขึ้นแล้วนะครับ” ...โชคก็เติบโตแล้ว

 

        “อืม” แก้วรับคำแผ่วเบาในลำคอ ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ “ฉันเห็นแล้ว”

 

        ในชั่วขณะที่แสงยามเช้ายังอุ่นพอดี แก้วเดินหายเข้าไปในบ้านสักพัก ก่อนกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล้องฟิล์มตัวเก่า โชคยังยืนอยู่ตรงนั้น บนบันไดขั้นที่สอง รอยยิ้มผลิบานเต็มหน้า ปล่อยให้ชายหนุ่มลั่นชัตเตอร์เก็บเขาใต้แสงสีทองเอาไว้อย่างเต็มใจ

 

        ก่อนจะเอ่ย “ให้ผมถ่ายรูปคุณไว้บ้างสิครับ”

 

        แต่ไม่ทันได้รับบทตากล้อง รถจักรยานยนต์สีแดงก็แล่นมาเทียบรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงทักทายเริงร่าของเพื่อนสนิท

 

        “หวัดดีครับน้าแก้ว!” มิกซ์เอ่ยทักผู้ใหญ่พร้อมยกมือไหว้ทั้งที่ยังนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์พลางยันขากับพื้นไว้ด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะยักคิ้วให้เพื่อนแทนคำพูด

 

        “ผมไปก่อนนะครับ” โชคบอกลา แก้วพยักหน้า ก่อนจะเบนสายตามองเลยไปหาเด็กหนุ่มอีกคนแล้วส่งยิ้มให้เป็นการตอบรับคำทักทายเมื่อครู่

 

        “ขี่รถกันดีๆ”

 



 

        ฝนแรกตกลงมาตอนปลายเดือนห้า ท้องฟ้าสีดำครึ้มเมฆและสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสายบ่งบอกว่าฤดูกาลวนกลับมาอีกครั้งแล้ว แก้วนั่งอยู่หน้าทีวี ก้นกรองบุหรี่ในที่เขี่ยยังคงอุ่นซ่านเพราะเพิ่งมอดดับไปไม่นาน มะลิเดินมาถูสีข้างเข้ากับขาโต๊ะไม้ ก่อนจะไล้ตัวผ่านขาของชายหนุ่มเพื่อเดินวนกลับออกไปยังที่นอนใต้บันได พอดีกับที่มีคนโผล่ลงมาจากชั้นบน

 

        “ยังไม่นอนเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว

 

        “อืม” คนนอนดึกครางตอบ อ้าปากหาวหวอดแต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นไปนอนบนห้องดีๆ โชคเห็น แต่ก็เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระที่ทำให้เขางัวเงียตื่นขึ้นมากลางดึกก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยเข้าไปหา

 

        “...” ไม่ได้มีคำพูดใด ไม่เอ่ยถามซักไซ้หรือไล่ให้ไปนอน เด็กหนุ่มเพียงแค่เบียดตัวลงลงไปนอนเกยตักเจ้าของบ้าน ความอบอุ่นแล่นพล่านในค่ำคืนที่ชื้นแฉะ

 

        “ราตรีสวัสดิ์ครับแก้ว”

 

        “ราตรีสวัสดิ์โชค”

 

        เอ่ยราตรีสวัสดิ์ต่อกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้นอนหลับไปจริงๆ หลังจากนั้นสักพัก เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นปิดฟืนไฟให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นบ้านไปแยกกันเข้าห้องนอนของตัวเอง

 

        ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้แปลกประหลาด ที่แน่ๆ คือไม่ใช่แค่ผู้ปกครองกับเด็กในปกครองอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขยับก้าวไกลไปกว่านั้น มันคงเป็นรูปแบบความสำพันธ์สากลของคนที่ชอบและคนที่ถูกชอบ

 

        คนชอบปารถนาที่จะไล่ตามไขว่คว้า

 

        ส่วนคนถูกชอบก็รับรู้แต่ไม่ตอบรับเสียที

 

        แก้วลังเล เพราะเขายังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่ตนมี

 



 

        มิถุนายนก่อนฝนทิ้งช่วง โชคเป็นหนุ่มครบสิบแปดปีเต็ม วันอาทิตย์ที่ฝนพรำยาวนานไร้แสงตะวันชวนให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาและห่อเหี่ยว แต่เจ้าของวันเกิดกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เมื่อวันทั้งวันของเขาได้ใช้ไปกับชายคนหนึ่ง

 

        “กาแฟไหมครับ” คำทักทายแรกเมื่อเห็นแก้วเดินลงบันไดมา กับคำตอบแผ่วเบาที่มาพร้อมแววตาอ่อนโยน “อืม ขอบใจ”

 

 

        “ดูหนังกันไหมครับ” ในช่วงสายหน่อยหลังข่าวเช้าจบลง โชคก็ชวนแก้วดูภาพยนตร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านสายอินเตอร์เน็ตที่ต่อตรงเข้ากับสมาร์ตทีวีเครื่องใหม่ของบ้านในห้องนั่งเล่น แก้วเอนหลังทิ้งหัวลงบนพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ “เอาสิ ดูเรื่องอะไรล่ะ”

 

 

        “กินข้าวกันครับ” เสร็จจากการทำมื้อเที่ยงตั้งโต๊ะเรียบร้อยก็โผล่หน้าออกไปนอกประตูไม้บานพับที่เปิดกว้าง เอ่ยเรียกเจ้าของรอยยิ้มกลิ่นควันบุหรี่ที่อยู่หลังม่านขมุกขมัวปนกับละอองน้ำในอากาศ “อ่า แป๊บนึงนะ”

 

 

        “แก้วครับ” ตกบ่ายที่แสนว่าง ในห้องนั่งเล่นมีเพียงเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอไว้แม้ไม่มีใครสนใจจะดู โชคนอนอยู่บนตักแก้ว ไล้สัมผัสไปตามเรียวนิ้วที่ตนยึดมาเกาะกุมไว้ แก้วไม่ได้ว่าอะไร ปรือตาที่กำลังจะปิดสนิทขึ้นเล็กน้อย “ว่าไง”

 

        “ผมชอบแก้วนะครับ”

 

        “อืม ฉันรู้แล้ว”

 

 

        “โชค” แก้วเรียกหาเด็กหนุ่มที่หายขึ้นบ้านบอกจะไปเอาสายชาร์จโทรศัพท์เมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว เจ้าของชื่อขานรับจากในห้อง ก่อนจะเดินเร็วๆ มาชะโงกหน้าจากบนบันได “ครับ?”

 

        “คุยโทรศัพท์อยู่เหรอ”

 

        “ครับ มิกซ์โทรมาแฮปปี้เบิร์ตเดย์น่ะครับ” โชคตอบ ทั้งที่มือถือยังคาอยู่ข้างหู

 

        “งั้นไปคุยให้เสร็จก่อนแล้วกัน” ว่าจบแก้วก็เดินกลับจากโถงหน้าบันได้มานั่งรออยู่บนโซฟา หยิบไม้ตกแมวทำมือมาแกว่งหยอกมะลิที่นอนพลิกไปมาพยายามจะตะปบจับ ไม่นานโชคก็วางสายแล้วตามมา

 

        “เสร็จแล้วครับ”

 

        แก้วพยักหน้า คว้ากุญแจรถที่เตรียมไว้แล้วลุกเดินนำออกไป “ฝนซาพอดี ออกไปเอาเค้กกัน”

 

 

 

        ค่ำคืนนั้นไฟในละแวกบ้านมืดดับลงพร้อมกับเสียงดังลั่นคล้ายมีอะไรระเบิด โชคสะดุ้งตกใจ ส่วนแก้วทำเพียงย่นคิ้วแล้วลุกไปหาไฟฉายจากตู้เก็บของเหนือเครื่องซักผ้า เดินออกไปหน้าบ้านเพื่อพูดคุยกับบ้านใกล้เรือนเคียงก็ได้ความว่าหม้อแปลงฟิวส์ขาด อีกสักพักการไฟฟ้าก็คงส่งคนมากซ่อม เมื่อไม่มีอะไรรุนแรงนักก็แยกย้ายกันกลับเข้าบ้าน

 

        ระหว่างรอแก้วกลับเข้ามา โชคก็หาเทียนมาจุดให้ความสว่างบนโต๊ะอาหาร มื้อค่ำของพวกเขาจึงดำเนินต่อไปใต้แสงของเปลวเทียน จวบจนกระทั่งเป่าเค้กเสร็จสิ้น แสงเทียนสีอุ่นในห้องครัวก็มอดดับลงเหนือแอ่งน้ำตาสีขาวเหนือก้นชามพอดี

 

        ในความมืดมิดที่มีโต๊ะกินข้าวกั้นขวาง พวกเขาสบตากัน ก่อนแก้วจะลุกเดินอ้อมไปหา วางมือลงรองคางเด็กหนุ่มให้แหงนเงยขึ้นมา โน้มตัวก้มลงไปมอบจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผาก เนิ่นนานเพียงชั่วลมหายใจก็ถอยห่าง

 

        “สุขสันต์วันเกิด โชค”

 

        แน่นอนว่าของขวัญวันเกิดไม่ใช่รอยจูบ แก้วหันหลังจะเดินกลับไปเอาของขวัญของจริงมาให้ แต่ไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็ถูกคว้าข้อมือรั้งเอาไว้ โชคมองตรงมาที่เขา และทั้งที่อยู่ในความมืดสลัวกลับรู้สึกได้ว่าใบหน้าเด็กหนุ่มนั้นแดงซ่าน

 

        “...แก้ว” เสียงสั่นเครือเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นระส่ำ โชคลุกมายืนซ้อนหลังแก้วไว้ และเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสที่โอบรอบเอวตนเขาไปกอดแน่น เด็กหนุ่มซุกหน้าลงบนไหล่กว้าง ความร้อนจากข้างแก้มแผ่ผ่านเนื้อผ้าสู่ผิวกาย

 

        “ว่าไง”

 

        “ผมขอจูบแก้วได้ไหม” คำขอกระซิบเบาหวิว ไม่มีความมั่นใจใดๆ ว่าจะได้รับอนุญาต แต่ก็ยังเอ่ยปากขอ “จูบ..แต่ไม่ใช่ที่หน้าผาก”

 

        “...อืม”

 

        เมื่อได้รับคำยินยอม โชคกลับยืนนิ่งหายใจระรัวอย่างทำตัวไม่ถูก สองมือเย็นเฉียบทั้งที่สองแก้มร้อนฉ่า แก้วจึงเป็นฝ่ายหันกลับมา ประคองใบหน้าเด็กหนุ่มให้ได้องศาก่อนจะแนบจูบลงบนริมฝีปากที่ยังคงสั่นไหวน้อยๆ แล้วผละออก ดวงตาสีเข้มมองอีกฝ่ายอ้าปากพะงาบๆ คล้ายจะขาดอากาศหายใจตายแล้วแนบสัมผัสลงไปอีกครั้ง

 

        รัญจวน ดูดดื่ม หวามไหว

 

        ทั้งที่ไม่ใช่จูบแรกแต่โชคก็ยังตื่นตระหนกอยู่ดี ในหัวว่างเปล่าประมวลผลไม่ทันสักอย่าง ทว่าร่างกายก็ยังตอบสนองไปตามสัญชาตญาณ ไล่ตามเรียวลิ้นที่แทรกเข้ามาไปอย่างไม่ลดละ แม้จะเงอะงะและไม่ประสาจนอีกฝ่ายนึกเอ็นดูในใจ

 

        แก้วเป็นฝ่ายถอนสัมผัสออกไป เมื่อรับรู้ได้ว่าเด็กน้อยตรงหน้ายังจัดการกับจังหวะหายใจไม่ได้ สุดท้ายก็เผลอกลั้นใจจนเขากลัวว่าจะขาดอากาศตายจริงๆ โชคหอบเอาลมเข้าปากเมื่อร่างกายประท้วงว่าขาดออกซิเจน หน้าแดงหูแดงไปหมด

 

        “...แก้ว..” เอ่ยเรียกแต่ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น โชคซุกหน้าลงบนบ่าแก้วอีกครั้ง แต่เพราะครั้งนี้พวกเขาหันหน้าเข้าหากัน แก้วจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบคอเด็กหนุ่ม พลางลูบหัวปลอบโยนอย่างใจเย็น

 

        “เรียกฉันเหมือนเดิมเถอะ”

 

        “...น้าแก้ว”

 

        “อืม”

 

        “น้าแก้ว”

 

        “อือ”

 

        “น้าแก้ว...”

 

 

 

        ไฟมาตอนสามทุ่มกว่า โชคเก็บโต๊ะล้างจานอยู่ในครัว ส่วนแก้วออกมายืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน เม็ดฝนยังปรอยลงมาอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มยืนให้ลมพัดละอองความชื้นเข้าปะทะ ปล่อยให้ความเย็นวูบหนึ่งนั้นช่วยให้หัวของเขาปลอดโปร่ง

 

        แก้วจูบโชค ไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายเอ่ยขอ แต่เพราะเขาตั้งใจจะจูบอยู่แล้ว

 

        ชายหนุ่มตั้งใจจะหาอะไรบางอย่างมาช่วยตอบคำถามในใจ แต่เมื่อลุกเดินไปยืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม มองเห็นดวงตาคู่สวยทอประกายระยับไม่ต่างจากเด็กในวันวาน เขาเลยลังเลแล้วใจจูบลงบนหน้าผากแทน

 

        “ฉันใจร้ายไปรึเปล่านะมะลิ” เขาถามแมวบนตั่ง ทั้งที่อากาศชื้นแฉะแต่มะลิก็เดินตามเขาออกมา กระโจนขึ้นไปนอนบนไม้เนื้อแข็ง แล้วช่วยอยู่รับฟังราวกับบาทหลวงของชาวคริสต์

 

        กรร...

 

        ดวงตาสีผสมมองมาพร้อมกับเสียงครางครืดคราดในคอของสัตว์ตระกูลแมว แก้วยกยิ้มเพียงริมฝีปาก

 

        “ใจร้ายมากเลยสินะ”

 

        แก้วใจร้าย เพราะเขาดันให้ความหวังกับเด็กหนุ่มทั้งที่ปลายทางยังคงเลือนรางและอาจจะไม่มีอยู่จริง

 

        รสจูบเคล้ากลิ่นขึ้นฉ่ายในเมนูผัดผงกะหรี่เมื่อครู่ทำให้รู้สึกดี

 

        แต่เป็นความรู้สึกดีที่มีมากมายพอๆ กับความรู้สึกผิด

 

 

 

TBC...

        เขาจูบกันแล้วค่ะทุกคน เป็นตอนที่เหมือนทุกอย่างไหลไปอย่างรวดเร็ว แต่รีนขอยืนยันว่าในนิยายเรื่องนี้ไม่มีอะไรเร็วไปอย่างแน่นอน มีเพียงแต่ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของทั้งคู่หลังจากนี้ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อจากนี้ไป ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

        ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารีนยุ่งมากๆ เลยค่ะ เลยยังปิดต้นฉบับน้องโชคตอนสุดท้ายที่ค้างคามาอย่างยาวนานไม่ลงสักที แง้ ท้อใจมาก แต่ก็กำลังพยายามอยู่นะคะ  :katai4:



        สุดท้ายนี้ก็ขอให้เดือนตุลาคมของคุณเป็นเดือนที่ดี มีรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา และไม่ปวดหลังปวดไหล่ส่งงานทันเดดไลน์กันทุกคนเลยนะคะ

 

        ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่าน

        ขอบคุณค่ะ

 

        เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าน้าาาา

 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 29 [01.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-10-2020 19:16:01
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 29 [01.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 04-10-2020 13:08:38
หวานๆขมๆปนกันไป   :o8:  :mew1: :mew2: จะเป็นยังไงต่อละหนอ รักครั้งนี้ของคนสองคนจะไปทางเดียวกันได้ไหม ตามต่อจ้า รรรรรรรร ขอบคุณนะคะที่มาอัพต่อ รออยู่เสมอค่ะ  :กอด1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 30 [08.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 08-10-2020 18:13:41

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 30

 

          ต้นกรกฎาฝนทิ้งช่วงยาวนานสองสัปดาห์ สภาพอากาศก่อนที่ฝนจะเทลงมาอีกครั้งจึงร้อนอบอ้าวจนน่าหงุดหงิด โชคเพิ่งอาบน้ำเสร็จแท้ๆ แต่กลับรู้เหนียวเหนอะไปทั่งตัว เป็นเช้าวันจันทร์ที่ชวนให้รู้สึกอ่อนล้ากว่าวันจันทร์ไหนๆ เว้นเพียงแต่ว่าน้าแก้วของเขาโผล่มาได้ทันเวลาพอดี

 

          “เช็ดหน้าให้แห้งสิ” แก้วว่าเมื่อเห็นหยดน้ำร่วงจากปลายคางเด็กหนุ่ม ยกหลังมือขึ้นลูบปาดออกให้ก่อนเข้าครัวไปชงกาแฟ

 

          โลกของโชคสดใสขึ้นทันตา

 

          ...แม้แต่วันที่ร้อนอบอ้าวก็ทำอะไรความคลั่งรักของเขาไม่ได้เลย

 

 

 

          แก้วยืนมองน้ำร้อนไหลออกจากกาไฟฟ้าด้วยแรงกดของมือตัวเอง ไอร้อนลอยขึ้นสูงและกลิ่นกาแฟก็ฟุ้งชัดติดจมูก เขารู้ว่าโชคกำลังคาดหวัง หลังจากที่จูบกันไปในคืนนั้นโชคก็ยิ่งไม่เผื่อใจ

 

          “น้าแก้ว” สรรพนามเรียกที่คุ้นเคยแต่กลับดูแปลกใหม่ในช่วงนี้เรียกให้เขาหันไปมอง โชคแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเหลือแค่ออกไปใส่รองเท้า เด็กหนุ่มยืนยิ้มแฉ่งอย่างรอคอย แก้วไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรออะไรจนกระทั่งเจ้าตัวเฉลย “วันนี้ผมสอบมิดเทอมอังกฤษ อวยพรผมหน่อยสิครับ”

 

          ได้ยินอย่างนั้นแก้วก็คลี่ยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่วิชาภาษาอังกฤษกลายเป็นวิชาโปรดของโชค ถึงแม้จะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ก็ตาม แต่เห็นว่าเทอมนี้ตั้งใจเรียนสุดๆ แล้วก็ดูจะทำได้น่าพอใจในห้องเรียนด้วย เด็กหนุ่มก็คงคาดหวังเอาไว้เยอะพอตัวสำหรับการสอบในวันนี้

 

          “เธอทำได้อยู่แล้วล่ะ” แก้วเดินเข้าไปหา ลูบหัวให้กำลังใจ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยังรอคอยอีกอย่างอยู่ เขาเลยได้แต่กลืนก้อนความรู้สึกที่กำลังดันขึ้นมาจุกอยู่ในคอกลับลงไป แล้วกดจูบบนหน้าผากของเจ้าเด็กที่ตอนนี้ตัวสูงเลยเขาไปนิดหน่อยแล้วทีหนึ่ง

 

          โชคยิ้มเขินอาย แต่ก็แสดงความพึงพอใจชัดเจนผ่านแววตา

 

          ...ไม่อยากให้โชคเจ็บปวด

 

          นั่นเป็นสิ่งที่แก้วคิด เขาจึงไม่อาจหลอกลวงด้วยความรู้สึกที่ไม่มีจริงแล้วตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ถอยห่างออกไปไหน ราวกับติดอยู่บนขอบของความสัมพันธ์ ที่แค่จะขยับนิดเดียวก็อาจจะร่วงลงไปกระแทกพื้นจนแตกกระจาย

 

          ความรู้สึกผิดเข้มข้นขึ้นอีกแล้ว

 




 

          วันเสาร์หนึ่งของเดือนสิงหา อากาศร้อนอบอ้าวตั้งแต่บ่ายทั้งที่ฝนเพิ่งตกไปตอนเช้า พอดึกมาอากาศถึงเย็นขึ้นหน่อย แต่ก็ยังชวนให้เหงื่อไหลโทรมอยู่ดี โดยเฉพาะในห้องนอนเล็กบนชั้นสอง เครื่องปรับอากาศในห้องของโชคทำงานผิดปกติ เป่าลมออกมาแต่ไร้ความเย็นฉ่ำ ลองปิดแล้วเปิดใหม่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องเดินออกไปเคาะประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม

 

          “แอร์ห้องผมไม่เย็นเลยน้าแก้ว”

 

          แก้วเพิ่งปิดไฟจะเข้านอนเลยยังคงมีสติแจ่มใส เขาพยักหน้ารับรู้ ตามเด็กหนุ่มไปลองเช็คเครื่องปรับอากาศให้ตามวิธีเบื้องต้นที่เรียนรู้มาจากช่วงเวลาสี่สิบปีของชีวิต ชายหนุ่มรุ่นใหญ่ลองปิดแล้วเปิดการทำงานใหม่อีกครั้ง รอสักพักก็ยังไม่เย็นเลยกดปุ่มปิดเครื่อง สับเบรกเกอร์ลง ถอดถ่านรีโมตแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ ยกเบรกเกอร์ขึ้นอีกครั้งแล้วลองเปิดแอร์อีกที แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สาเหตุน่าจะมาจากกลไกภายในที่สถาปนิกอย่างเขาซ่อมให้ไม่ได้

 

          “เดี๋ยวค่อยโทรให้ช่างมาดู” แก้วกดรีโมตหยุดการทำงานของเครื่องปรับอากาศอายุสิบกว่าปีที่ติดตั้งมาพร้อมๆ กับที่มีคนเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องนี้ โชคพยักหน้าหงึกหงัก ตาจะปิดเพราะความง่วง เตรียมพร้อมจะทนจมทะเลเหงื่อต่อไปถึงเช้า แต่ขอเพียงให้เขาได้นอนก็พอ ทว่าแก้วกลับพูดต่อ “คืนนี้ไปนอนห้องฉันก่อนแล้วกัน”

 

          โชคกระพริบตาปริบ คิดอะไรไม่ออกแต่ก็ตอบกลับไปอย่างง่ายดาย “ครับ”

 

 

 

          บนเตียงนอนขนาด 6.5 ฟุตไม่ได้ทำให้รู้สึกกว้างเท่าที่เคย เมื่อที่ว่างอีกฝั่งถูกจับจองด้วยร่างของเด็กหนุ่มอีกคน แก้วนอนตะแคงมองบานหน้าต่างที่ปิดสนิท แสงสีฟ้าจากเครื่องปรับอากาศในห้องเขาสว่างจ้าจนเห็นรอบตัวได้ชัดเจน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องนอนหันมาทางฝั่งที่ไม่ถนัดอย่างนี้

 

          เพราะว่ามันเห็นชัดเกินไป

 

          ...ใบหน้าของโชค

 

          แก้วไม่เคยมีปัญหาในหารนอนร่วมเตียงกับคนอื่น เขาไม่ใช่คนนอนดิ้นและหลับง่าย ครั้งแรกและสุดท้ายที่การนอนข้างใครสักคนทำให้เขากระสับกระส่ายจนยากจะข่มตาหลับก็เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนู้น ในตอนที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตกหลุมรักเพื่อนสนิทที่นอนซุกหลังคอเขาอยู่ในคืนนั้น แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนกับที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้

 

          หัวใจเขาไม่ได้เต้นระรัว เลือดไม่ได้สูบฉีดจนรู้สึกร้อนผ่าว ตรงกันข้าม หัวใจเขาเต้นเนิบนาบและร่างกายก็เย็นวาบราวกับเลือดไหลช้าจนพาความอบอุ่นไปไม่ถึงปลายนิ้วเสียที

 

          รู้อย่างนี้เขาน่าจะปล่อยให้โชคนอนบนผ้าที่เจ้าตัวหอบมาปูเตรียมนอนข้างเตียง แต่คิดดูอีกที เขาก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายนอนบนพื้นแข็งและเย็นเฉียบจนเสี่ยงจะเป็นไข้ได้อยู่ดี

 

          แก้วสับสน เหนื่อยล้ากับความขัดแย้งในใจตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็นอนไม่หลับจนถึงเช้า

 

          สิ่งแรกที่แก้วทำในวันต่อมาคือโทรตามช่างแอร์

 




 

          ฝนเทลงมาห่าใหญ่ ดอกแก้วร่วงกราวเต็มพื้น แต่ก็ยังคงผลิบานขาวเต็มต้นสมกับที่ออกดอกชุกในฤดูฝน เจ้าของบ้านออกมานั่งสูบบุหรี่บนม้าหิน หลังจากที่มวลเมฆครึ้มหลีกทางให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านลงมาถึงพื้นโลกแล้ว ความชื้นซึมผ่านเนื้อผ้าแม้เขาจะเช็ดคราบน้ำออกไปก่อนนั่งลง แต่แก้วก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก

 

          ควันบุหรี่เคลื่อนไหวเชื่องช้าในอากาศชื้นแฉะ แผ่ขยายเป็นม่านขมุกขมัวเนิ่นนานกว่าจะสลายหาย นานเพียงพอที่จะให้ความคิดของเขาดำดิ่งลงไป

 

          ‘น้าแก้ว’ โชคกอดเขาจากด้านหลัง ถูหน้าผากไปมาอยู่บนไหล่อย่างออดอ้อน

 

          ...แก้วยกมือขึ้นขยี้หัวสากเพราะทรงผมสั้นเกรียน

 

          ‘น้าแก้วครับ’ โชคขยับมานอนหนุนตักเขาบนโซฟา ยิ้มร่าเริงดึงมือเขาไปจูบแล้วพูดว่าชอบอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

 

          ...แก้วยิ้ม ไม่ได้ชักมือกลับ และครางรับแผ่วเบาในลำคอ

 

          ‘แก้วครับ’ โชคเรียก เขาไม่ได้ติดใจอะไรกับการที่นานๆ ทีเด็กหนุ่มจะเรียกชื่อเขาโดยไร้คำนำหน้า แต่แววตาที่จ้องสบ กับระยะห่างระหว่างกันที่น้อยลงไปทุกทีทำให้เขาปั่นป่วน ‘จูบได้ไหมครับ’

 

          ...แก้วหลับตาลง แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ

 

          แต่สัมผัสนุ่มนวลเพียงชั่วอึดใจนั้นกลับไม่ทำให้รู้สึกดีเลย เหมือนกับที่คำว่าชอบทำให้เขาหายใจไม่ออก เหมือนกับอ้อมกอดที่รัดแน่นจนหัวใจเขาบีบตัว

 

          ชายหนุ่มขยี้แท่งบุหรี่ที่เหลือเพียงน้อยนิดให้มอดดับ พยายามคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันผิดตรงไหนกัน ถ้าว่ากันตามกฎหมาย พ่อลูกไม่สามารถแต่งงานกันได้ แต่ในกรณีของพวกเขาที่เป็นพ่อลูกบุญธรรม กฎหมายยังมีช่องทางที่ทำให้สามารถยกเลิกการรับเป็นบุตรบุญธรรมก่อนมาจดทะเบียนสมรสกันได้ นั่นหมายความว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดเสียทีเดียว

 

          ถ้าจะพูดถึงเรื่องศีลธรรม เขากับโชคก็ไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ ไม่มีสายเลือดเกี่ยวโยงกันเลยด้วยซ้ำ เป็นคนอื่นของกันและกันโดยสิ้นเชิง จะเหลือก็แต่เรื่องของความรู้สึก ในเมื่อมันเป็นเขากับเด็กชายที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กนิดเดียว อุ้มแขนเดียวยังได้ กระทั่งเติบโตขึ้นมาจนโอบกอดเขาทั้งตัวไว้ได้ในตอนนี้ คงฟังดูตลกร้ายน่าดู...

 

          ในเมื่อมันก็แทบไม่ต่างอะไรกับการมีสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกในไส้เลย

 

          ความรู้สึกผิดทวีขึ้นอย่างท่วมท้นจนขึ้นขั้นเลวร้าย แก้วถอนหายใจยาว ซบหน้าลงกับฝ่ามือ สมองเต้นตุบจนปวดหัวจี๊ด เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี จะจัดการกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ประหลาดที่ดูผิดที่ผิดทางนี้อย่างไรดี แบบไหนโชคถึงจะไม่เจ็บปวด แบบไหนที่เด็กหนุ่มจึงจะไม่แตกสลาย แบบไหนที่จะยังคงรอยยิ้มกว้างสดใสบนใบหน้านั้นเอาไว้ได้ แบบไหนถึงจะดีที่สุด

 

          “น้าแก้ว” ความคิดที่กระจัดกระจายและหนักอึ้งถูกดึงกลับลงไปซุกซ่อนไว้หลังแววตาสงบนิ่งอีกครั้งเมื่อเด็กหนุ่มปรากฏตัว

 

          โชคเท้าแขนกับขอบเฉลียง โน้มตัวข้ามมาอยู่เหนือหัวชายหนุ่ม แก้วเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้ากลับหัวกลับหางและมองจากมุมเสยนั้นดูประหลาด แต่รอยยิ้มกลับยังคงสวยสดจนตาพร่าเหมือนเดิม

 

          “โชค” แก้วไม่เอ่ยถามถึงธุระของอีกฝ่าย แต่กลับเริ่มพูดถึงเรื่องที่กำลังคิดอยู่ “เธอเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีบ้างไหมที่มาชอบฉัน”

 

          โชคนิ่งงัน ไม่ได้ตอบทันทีคล้ายว่ากำลังคิดอยู่ แต่ก็เพียงไม่นาน “ไม่ครับ”

 

          “ไม่เลยเหรอ” แก้วถามย้ำ โชคจึงครุ่นคิดไปเนิ่นนาน ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาซื่อตรง

 

          “ผมเคยคิดว่าไม่ควร แต่ไม่ใช่ไม่ดี”

 

          “ทั้งที่ฉันเป็นผู้ชาย แก่กว่าเธอตั้งยี่สิบกว่าปี แล้วก็เป็นพ่อบุญธรรมของเธอน่ะเหรอ”

 

          “แล้วการชอบผู้ชายมันไม่ดีตรงไหนเหรอครับ”

 

          คำถามที่สวนกลับมาไม่ได้ทำให้แก้วแปลกใจนัก สำหรับเขาแล้วการที่เด็กคนนี้จะชอบผู้หญิง ผู้ชาย หรือคนเพศไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรละอาย

 

          ในรุ่นของเขาความรักของผู้คนถูกจำกัดอิสรภาพโดยกรอบของสังคม กรอบที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนสร้างขึ้นมา แต่กลับยิ่งใหญ่และดูเล่อค่าเสียเหลือเกิน และเพราะตัวแก้วเองก็ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง เขาจึงคิดเสมอว่าบรรทัดฐานความดีงามของสังคมนี้ช่างเป็นเรื่องเฮงซวยที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงเลี้ยงดูโชคมาโดยหวังแค่ว่าเด็กชายของเขาจะได้มีความรักดีๆ กับคนที่ดี ...แม้จะไม่เคยคิดว่าคนๆ นั้นจะเป็นเขาก็ตาม

 

          แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยกขึ้นมาถาม บางทีแก้วอาจจะแค่อยากหาเหตุผลที่ควรจะรู้สึกผิดให้กับตัวเองและเด็กหนุ่ม

 

          “นั่นสินะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” โชคเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของคู่สนทนา เขาไม่รู้สาเหตุของความหม่นหมองนั้น แต่คิดว่าหากตอบคำถามไปตามตรง มันอาจจะทำให้น้าแก้วรู้สึกดีขึ้น เขาเลยพูดต่อ

 

          “แล้วก็มิกซ์เคยบอกผมว่าคนเราก็รักคนที่ตัวเองรักกันทั้งนั้นแหละ แล้วผมก็คิดว่ามันก็จริง คนเราก็แค่รักคนที่ตัวเองรัก” โชคกำขอบราวกั้นเฉลียงแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่บอกความในใจอีกอย่างที่อาจจะทำให้คนที่เลี้ยงดูเขาเหมือนเป็นคนในครอบครัวต้องเสียใจ “อีกอย่างผมไม่เคยมองว่าน้าแก้วเป็นพ่อ น้าแก้วคือน้าแก้ว น้าแก้วเป็นคนใจดีที่เลี้ยงดูผม แต่ไม่เคยเป็นพ่อสำหรับผมเลยสักครั้ง คำว่าครอบครัวของผมคือน้าแก้วกับผม ไม่ใช่การที่จะต้องเป็นพ่อลูกกัน... ขอโทษนะครับ”

 

          แก้วนิ่งไปเมื่อได้ฟังความในใจอีกอย่างของเด็กหนุ่มที่หลบสายตาอย่างรู้สึกผิด แต่กลับไม่ได้รู้สึกวูบโหวงมากเท่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะเขาเองก็ไม่ได้มองว่าโชคเป็นลูกเหมือนกัน แก้วไม่เคยคิดจะมีลูกหรืออยากมีด้วยความต้องการของตัวเอง สำหรับเขาแล้วตลอดการเลี้ยงโชค เขาก็มองโชคเป็นเด็กคนหนึ่ง เป็นเด็กชายที่อาศัยอยู่ในบ้านของเขา เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา แต่ก็ไม่ใช่ลูกเหมือนกัน

 

          ความเงียบงันโรยตัวลงปกคลุม ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ ของหมาท้ายซอยที่ไล่เห่ารถมอเตอร์ไซต์ที่แล่นผ่าน โชคก้มมองมือตัวเอง มองรอยลอกของสีทาไม้แล้วเอ่ยถาม “...ที่ถามผมแบบนี้ น้าแก้วคิดว่าความรู้สึกของผมมันผิดเหรอครับ”

 

          “ไม่หรอก...ไม่ใช่เธอหรอกที่ผิด” แต่เป็นฉันเอง คำหลังเขาไม่ได้พูดออกไป เพราะยังไม่แน่ใจว่ามันผิดจริงๆ รึเปล่า ในเมื่อที่เขาคิดว่าระหว่างเขากับเด็กชายแทบไม่ต่างอะไรกับการมีสัมพันธ์กับคนในสายเลือดนั้นมันไม่ใช่

 

          ในคำว่าแทบไม่ต่าง มันมีความแตกต่างกันอยู่

 

          พวกเขาสองคนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แก้วเพียงแต่รับโชคมาเลี้ยงดูจนเติบโตผ่านวันเวลานับสิบปี เขารักและเอ็นดูเด็กชายโชคคนนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจ ส่วนความรู้สึกดีๆ รูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นมากับนายโชคในตอนนี้ก็เป็นเรื่องไม่คาดฝัน ทว่าไม่มีใครทำอะไรกับมันได้

 

          ชายหนุ่มไม่อาจตัดสินความถูกผิดของความรู้สึกที่กำลังก่อร้างสร้างตัวขึ้นมาอย่างสิ้นเชิงได้ในตอนนี้

 

          ...มันคงต้องใช้เวลาสักพักในการค้นหาคำตอบนั้น

 

          “น้าแก้ว” โชคเรียกเมื่อแก้วเงียบไปทั้งที่ดูเหมือนมีอะไรจะพูดอีก คนที่จมอยู่ในห้วงความคิดเงยหน้าขึ้นไปสบตา คราวนี้เขาจัดการกับสิ่งที่อยู่ในหัวของตัวเองได้บ้างแล้ว

 

          แก้วไม่ได้พูดต่อ เขาแค่ยิ้มให้โชค ยิ้มเพียงเบาบาง แต่ก็แสนอ่อนโยนส่งไปถึงดวงตา

 

          โชคไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นไรแล้ว

 

          น้าแก้วของเขาไม่เป็นอะไรแล้ว...

 

          และหน้าฝนก็หมดไปโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 




 

          เข้าสู่ฤดูหนาวตอนปลายตุลา เครื่องปรับอากาศในห้องนอนของโชคพังอีกแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเมื่ออากาศเย็นจนแค่เปิดหน้าต่างก็รู้สึกสะท้าน ปัญหาคือโชคอยากนอนกับน้าแก้วต่างหาก เด็กหนุ่มจึงลุกออกไปเคาะประตูห้องนอนใหญ่ และแก้วก็เปิดให้เขาเข้าไปโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่ามีเหตุผลอะไร

 

          “แก้ว...” หลังจากที่ปิดไฟขึ้นเตียงเตรียมจะนอน โชคก็กระซิบเรียก ด้วยสรรพนามที่แก้วรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะขอบางอย่างจากเขา เด็กหนุ่มขยับตัวไปซุกหน้าลงบนท้ายทอยกรุ่นกลิ่นแชมพู สอดแขนกอดเอวสอบไว้แน่น แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แก้วคิดว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้วเลยพลิกกลับไปดู

 

          แต่โชคยังไม่หลับ ดวงตาคู่สวยสะท้อนแสงสีฟ้าของเครื่องปรับอากาศ และเพราะเจ้าหมาตัวโตกำลังรอคอยอย่างสงบเสงี่ยม แก้วเลยยอมให้รางวัล

 

          พวกเขาจูบกัน ริมฝีปากแนบชิด เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัด ร่างกายบดเบียด เด็กหนุ่มพลิกตัวขึ้นคร่อมทับแก้วไว้เพื่อให้สัมผัสกันได้ถนัดขึ้นอีก โชคเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดที่กำลังเป็นวัยรุ่น อารมณ์ความต้องการพุ่งทะยาน ร่างกายตื่นตัว ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่มีวันโต แต่ถึงอย่างไรโชคก็ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลาย แก้วคำนึงถึงความเหมาะสมอยู่เสมอตั้งแต่ที่ยอมให้อีกฝ่ายสัมผัส ระดับของมันถูกขีดเส้นไว้อย่างชัดเจน เขาจึงหยุดทุกอย่างไว้ด้วยปลายนิ้วที่ยกขึ้นมากั้นขวาง ไม่ให้โชคล้วงล้ำเข้ามาช่วงชิงลมหายใจได้อีกต่อไป

 

          “พอแล้ว” แก้วว่า โชคเสียดายแต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย ขยับตัวกลับลงไปนอนในที่ของตัวเอง โดยเว้นระยะห่างจากแก้วไปเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายสงบลง ส่วนคนโตกว่าที่ไฟติดยากตามกาลเวลาที่ทำให้คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้แล้วก็พลิกหนีกลับไปนอนตะแคงหันหลังให้

 

          ใช้เวลาสักพักกว่าโชคจะขยับเข้าไปกอดแก้วอีกครั้ง แต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็หลับไป ไม่เหมือนคนในอ้อมแขนที่ยังคงวุ่นวายกับความรู้สึกที่ยังไม่ยอมหายไปเสียที

 

          แก้วรู้สึกผิดอีกแล้ว

 

          ดวงตาสีเข้มจ้องมองขอบหน้าต่างในแสงสลัวรางสีฟ้า ถามตัวเองว่าทำไมถึงยังรู้สึกเช่นนี้อยู่อีก ทั้งที่เขาคิดทบทวนไปมาอยู่หลายครั้งแล้วพบว่าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ความสัมพันธ์ของเขาและโชคทั้งในตอนนี้ หรือหากจะขยับเลื่อนไปอีกขึ้นก็ไม่ได้ผิดศีลธรรมหรือกฎหมายข้อไหน

 

          แล้วทำไมถึงยังรู้สึกอยู่...

 

          ในระหว่างที่ครุ่นคิด แขนที่โอบเอวชายหนุ่มไว้ก็ขยับกระชับกอด ลมหายใจรินรดลำคอจนรู้สึกจั๊กจี้ แก้วคิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา บนเตียงกว้างหลังนี้ เคยมีอีกอ้อมแขนที่ตระกองกอดเขาเอาไว้ ความร้อนของลมหายใจจากปลายจมูกที่ซุกแนบผิว กับความรู้สึกอุ่นใจและชวนให้หวามไหวอยู่เสมอ

 

          ธีร์... ชายที่ทิ้งเงาเอาไว้ในทุกที่ของความทรงจำ แม้จะไม่ได้คิดถึงอยู่ตลอด แต่ก็แฝงเร้นอยู่ในทุกๆ เรื่องราว

 

          หลังจากที่แก้วเริ่มสงสัยในความรู้สึกของโชค เขาหันมาทุ่มความสนใจให้กับมัน และเมื่อเริ่มเข้าใจถึงความจริงจัง เขาก็พยายามที่จะตอบรับไปโดยที่ไม่รู้ตัว แก้วอยากให้โชคมีความสุข เอาแต่คิดว่าเขาชอบโชคแล้วหรือยัง ชอบได้แบบที่โชคชอบเขาหรือเปล่า เมื่อไหร่เขาจะชอบโชคกัน แต่ไม่เคยถามเลยว่าจริงๆ แล้วตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

 

          ความรู้สึกของแก้ว...

 

          เพียงเสี้ยวนาทีก็ได้คำตอบ ในเมื่อมันชัดเจนเหลือเกิน ชัดเจนจนน่าประหลาดใจที่เขามองไม่เห็นมันก่อนหน้านี้

 

          ...แก้วยังคงรักธีร์อยู่ และไม่เคยคิดจะเลิกรัก

 

          ชายหนุ่มปล่อยความรู้สึกที่มีต่อเจ้าของรอยยิ้มเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์คนนั้นเอาไว้อย่างไม่คิดจะแตะต้อง เหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่ารักเพื่อนคนนี้เข้าให้เสียแล้ว เขาก็ไม่เคยคิดคาดหวัง แต่ก็ไม่คิดจะตัดใจเช่นกัน ปล่อยให้มันลอยฟุ้งอยู่อย่างนั้น และเพราะเป็นเช่นนั้น ความรักของเขาถึงได้ยืนยาวมากว่ายี่สิบปี

 

          ในอกวูบโหวงจนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เมื่อความรู้สึกที่มีต่อธีร์มันแจ่มชัดและฝักรากลึกถึงเพียงนั้น แก้วก็ตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่เขาพยายามจะตอบรับโชคกลับไปช่างผิวเผินเหลือเกิน

 

          ความรู้สึกผิดในใจของเขามีซึ่งที่มาแล้ว

 

          ปลายนิ้วเฉียบขยับมาแกะมือที่เกี่ยวเอวตนไว้ออก ขยับหนีจากอกอุ่นที่แนบแผ่นหลัง เว้นระยะห่างระหว่างกันด้วยหมอนข้างที่ยกมาวางกั้น แก้วดึงผ้าห่มขึ้นปิดอกให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงตะแคงฝั่งที่ไม่ถนัด จ้องมองบานหน้าต่างไม้ปิดสนิทอยู่อย่างนั้น

 

          อ้อมกอดของโชคมันอุ่นจนร้อนเกินไปสำหรับเขา

 

 

 

TBC...

          ดูเหมือนว่าความสุขที่ไปไม่สุดทางคือแก่นแท้ของนิยายเหงาๆ เรื่องนี้เลยล่ะค่ะ แม้น้าแก้วจะรู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรัก อาธีร์ยังคงยึดครองพื้นที่ในหัวใจของแก้วไว้อย่างมั่นคง แล้วน้องโชคหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป หัวใจจะพังทลายหรือจะมีปลายทางที่สดใสก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

          ปล.ในเรื่องของความสัมพันธ์ที่มีความก้ำกึ่งในเรื่องของ Power Dynamic และอาจจะคลุมเครือในเรื่องของการ Child Grooming รีนขอยืนยันนะคะว่ารีนตระหนักถึงเรื่องนี้เสมอ อย่างในหน้าแนะนำนิยายที่รีนเคยได้บอกไว้ว่านิยายเรื่องนี้ไม่เปโดและไม่กรูมมิ่งแน่นอน สำหรับคนที่รู้สึกว่ามัน disturb หรือทำให้ไม่สบายใจรีนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ และในตอนนี้อาจจะยังไม่ได้ดันประเด็นนี้ขึ้นมาอย่างชัดเจนนัก แต่รีนได้มีการกล่าวถึง(โดยที่ส่วนรีนคิดว่าค่อนข้างจะเคลียร์)ไว้ในตอนหลังๆ ซึ่งเป็นไปตามจังหวะของเนื้อเรื่องเพื่อให้ตัวนิยายมีความลื่นไหล ไว้ถ้าถึงตอนนั้นแล้วรีนก็จะมาทอล์กถึงประเด็นนี้อีกครั้งในท้ายตอนนั้นนะคะ

          ส่วนตอนนี้ก็มาเอาใจช่วยให้เจ้าหมาโชคของเราไม่เจ็บช้ำจนเกินไปกันเถอะค่ะ  :hao5:

 

          ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอเลย

          ขอบคุณค่ะ 

 

          See U on วันพฤหัสบดีหน้าค่า

 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 30 [08.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 12-10-2020 01:04:36
หนัก หนักเกินไป สิ่งที่อยู่ในใจน้าแก้วมันหนักเกินไป จะวางมันลงได้อย่างไร ทั้งต่อธีร์และโชค ควันบุหรี่หนาทึบ หรือโชคควรจะหยุดดีกว่า ฝืนดันทุรังไปมันก็แน่นหนาอก เพิ่มความรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย มันกลายเป็นความอึดอัดแทน เง้อออออ เดาทางไม่ถูกเลยว่าจะมีวิถีทางของแต่ละคนยังไง   :hao4: รอตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ เป็นกำลังใจในการแต่งนะคะ อย่าคิดอะไรเยอะในการแต่งเลยค่ะ เพราะผู้อ่านแยกแยะได้ว่าเป็นนิยาย อยากให้แต่งด้วยความสบายใจอะคะ คือนี่ไม่ซีเรียสไง 55 เน้นผู้แต่งสบายใจพอ แต่งให้อ่านได้เป็นเรื่องๆก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงไหวแล้ว  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 31 [15.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 15-10-2020 18:40:51

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 31



          อากาศช่วงปลายปียังไม่ทำให้เหน็บหนาวเท่าระยะห่างที่ถูกสร้างขึ้นมา แก้วค่อยๆ ถอยห่างจากโชคทีละนิดอย่างนุ่มนวลเสียจนกว่าเด็กหนุ่มจะรู้ตัว เขาก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้อย่างเคยอีกต่อไปแล้ว

 

          “น้าแก้วโกรธผมเหรอครับ” เขาถามในวันที่เขาพยายามจะจับมืออีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มกลับคว้าซองบุหรี่ลุกออกไปหน้าบ้านเอาเสียดื้อๆ

 

          “เปล่า” แก้วมองเปลวไฟวูบไหวเผาไหม้ปลายแท่งกระดาษ ไม่แม้แต่จะปรายตาไปมองความขมขื่นในดวงตาคู่สวย เพราะเขารู้ว่ามันคงฉายชัดมากแน่ๆ

 

          โชคไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ และไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ ในเมื่อน้าแก้วเย็นชาใส่เขาชัดเจนขนาดนี้ เขาเคยถามแก้วครั้งหนึ่ง หลังจากที่เขาบอกไปว่าไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นพ่อไม่กี่วัน ยังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นขัดเขินจนแทบหายใจไม่ออก

 

          ‘ผมจีบแก้วได้ไหม’

 

          ในตอนนั้นเขาไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงรอยยิ้มขบขันกับแววตาเอ็นดูจากคนถูกถาม เขาเลยคิดว่านั่นเป็นคำอนุญาต แต่บางทีชายหนุ่มอาจจะเปลี่ยนใจ หรือไม่ก็ไม่เคยยินยอมมาตั้งแต่ต้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขารู้เพียงแค่ต้องถอยออกไปเท่านั้น

 



 

          เทศกาลคริสต์มาสเวียนมาอีกครั้ง และในบ้านไม้สีขาวสองชั้นก็ยังคงรื้อต้นสนปลอมออกมาจากห้องเก็บของ พวกเขายังคงตกแต่งห้องนั่งเล่นของบ้านให้ดูมีชีวิตชีวา แต่ทว่ากลับไม่มีงานเลี้ยงฉลองเหมือนอย่างเคย คืนคริสต์มาสอีฟที่ซานต้าควรจะมาส่งของขวัญ คนในบ้านต่างแยกย้ายขึ้นห้องนอนตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม มีเพียงแสงไฟหลากสีกระพริบสลับกันอย่างหงอยเหงาอยู่ในความมืดจนถึงเช้า

 

          วันที่ 25 โชคตื่นก่อนฟ้าจะสว่าง ลงมาชั้นล่างเพื่อเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็ใช้เวลากับตัวเองบนโซฟาหน้าทีวี เด็กหนุ่มประสานมือซุกไว้ตรงหว่างขา ทิ้งตัวเอนไปด้านหลังคล้ายหาท่าสบายเพื่องีบหลับ ทว่าดวงตาของเขากลับเพียงหรี่ลงเล็กน้อย จับจ้องต้นคริสต์มาสที่เคยสูงท่วมหัว จนตอนนี้เขาสูงเลยมันไปแล้วอย่างเงียบงัน

 

          สายลมเย็นพัดผ่านซี่มุ้งลวดเข้ามาทางบานหน้าต่างไม้ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ม่านลายดอกไม้เล็กๆ ขยับไหว เหมือนร่างกายที่เริ่มสะท้านสั่น ทั้งที่ก็ใส่เสื้อแขนยาวตัวหนาแล้วแท้ๆ แต่กลับรู้สึกหนาวจับใจ

 

          คริสต์มาสปีนี้ หนาวกว่าที่เคยจดจำได้

 

          โชคนั่งกอดตัวเองอยู่อย่างนั้นจนแสงแรกจับขอบฟ้า ไม่นานแสงจากสายไฟประดับก็ถูกแสงอาทิตย์ย้อมกลบจนริบหรี่ โชคเดินไปปิดสวิตช์ ก่อนจะกลับขึ้นห้องไปเอาเสื้อผ้าลงมาอาบน้ำเตรียมไปโรงเรียน

 

 

 

          แก้วลงจากห้องมาในตอนที่โชคอาบน้ำอยู่ เข้าครัวไปชงกาแฟอย่างเคย ปลั๊กกระติกน้ำร้อนถูกเสียบไว้ พร้อมกับแก้วกระเบื้อง กระป๋องกาแฟและโหลน้ำตาลที่ปกติจะวางอยู่บนชั้น ถูกนำมาจัดเตรียมไว้ให้หยิบใช้ได้ทันทีรออยู่ก่อนแล้ว โชคทำเช่นนี้ทุกวันมาตลอดหลายปี ตั้งแต่ก่อนจะมีใครจำได้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ และหลายๆ ครั้งก็เอ่ยปากอาสาชงให้เองด้วยซ้ำ

 

          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันไป เด็กหนุ่มเพิ่งออกจากห้องน้ำมายังดูชื้นฉ่ำทั้งที่สวมชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้ว

 

          “ว่าไง”

 

          “หิวไหมครับ เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้” แก้วส่ายหัว อาจจะเป็นเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น เขาถึงได้กินน้อยลงกว่าเดิม ตอนเช้าแค่กาแฟก็ทำให้รู้สึกอิ่มแล้ว ต่างกับอีกคนที่กำลังโต ชายวัยสี่สิบเอ็ดปีมองเด็กกำลังโตคนนั้นพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป พลางคิดถึงความต่างของช่วงเวลายี่สิบสองปีครึ่งระหว่างพวกเขา

 

          กว่าเขาจะคิดตก กาแฟที่คนไปมาก็ส่งไอร้อนลอยหายไปจนเกือบหมดแล้ว และเด็กนักเรียนก็บอกลาเขาโดดขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปโรงเรียนแล้วเช่นกัน

 

          ชายหน่มออกมานั่งจิบกาแฟอุ่นอยู่หน้าโทรทัศน์ แต่ไม่ได้เปิดฟังข่าวอย่างทุกที เขาเพียงแค่นั่งเงียบๆ ไล่สายตามองสายรุ้งสีเขียวสีแดงสะท้อนแสงวิบวับตามผนัง ก่อนจะมาหยุดที่ต้นคริสต์มาสประดับประดาสวยงามที่โชคเป็นคนตกแต่ง

 

          แก้วลุกไปเปิดสวิตช์ให้ไฟหลากสีเรื่อเรืองขึ้นมา แม้ในห้องนั่งเล่นที่หันหน้าเข้าสู่ทิศตะวันออกจะสว่างจ้าด้วยแสงตะวัน เขาก็ยังเห็นสีสันของหลอดไฟชัดเจน

 

          ...เหมือนกับในทุกๆ ปี

 



 

          ช่วงบ่ายวันสุดท้ายของปี มิกซ์โผล่มาหาเพื่อนสนิทถึงที่บ้าน เด็กหนุ่มคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ในขณะที่เจ้าของบ้านอยู่ในห้องทำงาน จนพอใกล้เวลาสี่โมงเย็น แก้วก็ออกมาเข้าห้องน้ำ พอดีกับที่ได้ยินที่คนตัวเล็กเอ่ยชวนโชค

 

          “คืนนี้พวกกูไปเคาท์ดาวน์บ้านไอ้แสนกัน มึงไปด้วยเปล่า” เป็นการชวนที่ไม่ได้คาดหวังการตอบรับ เพราะในทุกๆ ปีโชคก็มักจะเลือกอยู่บ้านกับน้าแก้วอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเขาได้รู้ว่าเพื่อนคิดกับคุณน้าที่มีใบหน้าเฉยชาแต่กลับใจดีผิดคาดคนนั้นยังไง เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าโชคคงไม่ไปด้วยแน่ แต่ก็ยังคงถามอย่างนี้ทุกปีเพื่อไม่ให้โชครู้สึกเหมือนเป็นคนนอกกลุ่ม

 

          “ไปกันทุกคนเลยรึเปล่า” โชคถาม

 

          “อือ ไปหมดแหละ”

 

          “งั้น...” มิกซ์กระพริบตาปริบ เป็นครั้งแรกที่เห็นโชคดูลังเล และในความลังเลนั้นก็ดูจะมีความเศร้าปนอยู่ด้วย

 

          เด็กหนุ่มตัวเล็กไม่รู้เรื่องราวหลังจากที่เพื่อนสนิทบอกชอบน้าแก้วไปว่าเป็นอย่างไร เพราะโชคไม่ได้เล่า เขาไม่ได้ถาม และก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปคิดจินตนาการเอาเองด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้จากการอยู่ที่ข้างๆ กันมาตลอด ว่ามีช่วงหนึ่งที่เพื่อนของเขาร่าเริงสดใส มีความสุขแฝงอยู่ในดวงตา และรอยยิ้มก็ฉีกกว้างจนน่าหมั่นไส้

 

          แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาก่อนหน้านี้

 

          มิกซ์ไม่ได้คิดต่อไปมากกว่านั้น พอดีกับที่แก้วโผล่เข้ามาช่วยให้การตัดสินใจของโชคง่ายขึ้น

 

          “จะไปบ้านเพื่อนกันเหรอ”

 

          “ก็... ไปได้ไหมครับ” โชคมองสบตา แก้วไม่รู้ว่ามันกำลังขอร้องให้เขาอนุญาตหรือรั้งเด็กหนุ่มเอาไว้กันแน่ แต่เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ที่เคยผ่านช่วงวัยรุ่นมา เขาเลยออกความเห็นอย่างผู้ปกครองคนหนึ่ง

 

          “ไปสิ ปีใหม่ทั้งทีไปฉลองกับเพื่อนๆ บ้างก็ดี”

 

          โชคสับสน เขาตื่นเต้นที่จะได้ไปร่วมฉลองส่งท้ายปีกับกลุ่มเพื่อนเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูกที่จะไม่ได้อยู่ดูพลุกับน้าแก้วจากหน้าบ้านไม้สีขาวหลังนี้

 

 

 

          ห้าทุ่มห้าสิบแปด แก้วเดินออกไปยืนตากลมหนาวพร้อมกับแมวสาวที่เดินพัวพันขาเขาออกมาด้วย จากหน้าบันไดขึ้นบ้าน พ้นจากปีกหลังคาออกมาก็จะเห็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้ากว้าง เมฆสีเทาลอยเอื่อยเหมือนกับช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนเสียงพลุจะลั่น แต่แค่ไม่กี่นาทีก็เพียงพอที่จะพาเจ้าของบ้านคนปัจจุบันหวนกลับไปในความทรงจำ

 

          ตั้งแต่จำความได้ ทุกปีแก้วจะออกมายืนที่ตรงนี้ พร้อมกับพ่อและแม่ของเขา จากเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนจนกระทั่งยืนได้ด้วยตัวเอง จากที่เคยมีสามคนก็ลดลงเหลือสองก่อนจะเหลือหนึ่ง และหนึ่งคนนั้นก็ไม่เคยคิดจะออกมายืนดูพลุไฟด้วยตัวเองอีกเลย

 

          แก้วไม่สนใจวันเทศกาล มีบ้างที่เขาถูกลากให้ไปร่วมฉลองกับครอบครัวของเพื่อนสนิท แต่ถ้าปีไหนเขาไม่ยอมไป ปีนั้นธีร์ก็จะเป็นฝ่ายโผล่มาหาหลังเที่ยงคืนที่เคาท์ดาวน์กับที่บ้านเสร็จแล้ว นั่งดูหนังรอบดึกกับเขา พูดคุยกับเขา กอดเขาเอาไว้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่เคยรู้สึกเหงา แม้ช่วงปีที่วุ่นวายตอนยี่สิบปลายๆ ทั้งเขาและธีร์มีเวลาให้กันน้อยมาก แก้วก็ไม่รู้สึกเหงาเพราะเขามีงานของบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ให้ทำจนหัวหมุน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีเด็กชายอีกคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตเขาห่างไกลคำว่าเหงาเข้าไปอีก

 

          ปีใหม่ครั้งที่สามสิบของแก้ว เขากลับออกมายืนดูพลุไฟจากหน้าบ้านอีกครั้ง

 

          หลังจากนั้นจำนวนคนในแต่ละปีก็ไม่เคยเป็นหนึ่งอีกเลย

 

          “ปีนี้ก็มีเธออยู่” แก้วพึมพำ พร้อมกับเสียงนับถอยหลังจากข้างบ้านสิ้นสุดลง

 

          เหมี๊ยว... มะลิร้องตอบ แผ่วเบาแต่ชัดเจนแม้เสียงพลุจะดังกลบ

 

          ดอกไม้ผลิบานบนผืนผ้าใบสีเข้ม สว่างวาบก่อนลาลับ แก้วนั่งลงบนขั้นบันได ลูบปลอบมะลิอย่างอ่อนโยน ถึงจะรู้ว่าแมวสาวจะไม่ได้ตื่นตกใจกับเสียงดังก็ตาม แสงระยิบระยับส่องสะท้อนในดวงตาต่างสีของหนึ่งคนหนึ่งแมว จนกระทั่งมอดดับเหลือเพียงเวิ้งฟ้าว่างเปล่า แก้วดึงสายตากลับลงมามองที่ว่างข้างๆ พลันรู้สึกขึ้นมา

 

          ปีใหม่มันชวนให้หนาวแล้วก็เหงาเท่านี้เลยสินะ...

 

          “น้าแก้ว” เพิ่งรนไฟที่ปลายมวนบุหรี่ โชคก็พุ่งมาเกาะประตูรั้ว และเมื่อหันมาสบตากับเขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้ ตามมาด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กหนุ่มอีกหลายคนที่ทยอยกันเดินมาโผล่หน้าข้ามรั้วยกมือไหว้เจ้าของบ้าน แก้วเลยได้รู้ว่าเสียงมอเตอร์ไซค์ที่เขาคิดว่าคงเป็นของแก๊งเด็กจากคุ้มริมคลองแท้จริงแล้วคือเจ้าพวกนี้นี่เอง

 

          ชายหนุ่มถูกดวงตาเจ็ดคู่จับจ้องมองมา เขาจึงขยี้บุหรี่ที่ยังไม่ทันได้สูบกับพื้นกรวดก่อนลุกเดินหายเข้าบ้านไป เพียงชั่วอึดใจก็กลับออกมาพร้อมลูกกุญแจ

 

          “มานี่ได้บอกพ่อแม่กันรึยัง” แก้วว่า ขณะที่ไขกุญแจโซ่คล้องรั้วออก

 

          “บอกแล้วคร้าบ!” หลายเสียงประสานกันจนแยกไม่ออกว่าใครพูดบ้าง ทั้งตัวเขาเองก็ไม่ค่อยคุ้นหน้าเพื่อนของโชคคนไหนเลยนอกจากมิกซ์

 

          ถึงอย่างนั้นแก้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไรที่จะต้อนรับแขกของเด็กหนุ่ม แต่ที่บ้านไม่มีน้ำอัดลมหรือขนมขบเคี้ยวติดไว้มากขนาดที่จะเพียงพอต่อเด็กม.ปลายเจ็ดคน เขาเลยต้องโทรสั่งพิซซ่ายี่สิบสี่ชั่วโมงสาขาใกล้ๆ ให้เข้ามาส่งให้แทน จากนั้นก็ใช้เวลาจนค่อนคืนที่เฉลียงหน้าบ้าน จนเกือบตีสามเด็กๆ ถึงได้ขอตัวบิดมอเตอร์ไซค์ฝ่าลมหนาวกลับไปเล่นเกมกันต่อที่บ้านของแสน

 

          แก้วยอมให้กลับกันเองโดยไม่ได้ว่าอะไร เขาก็เคยมีช่วงวัยแบบนี้มาก่อน ถึงได้เข้าใจและรู้ว่าพวกเด็กๆ นั้นแข็งแกร่งและดูแลตัวเองกันได้มากกว่าที่พ่อแม่คิดเสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ห่วง ชายหนุ่มนั่งลงบนบันไดขั้นบนสุดข้างๆ กับเด็กหนุ่มของเขา รอให้มิกซ์ส่งข้อความมาบอกว่าถึงที่หมายโดยปลอดภัยแล้วจึงจะขึ้นบ้านนอนได้อย่างสบายใจ

 

          ช่างเป็นปีใหม่ที่คึกคักเหลือเกินสำหรับบ้านหลังนี้

 

          ตั้งแต่ที่มีโชคเข้ามามันก็ไม่เคยเหงาอีกเลยจริงๆ

 

          ในช่วงเวลาที่รอคอยแสนเนิ่นนานเมื่อลมหนาวพัดเสียดผิว โชคห่อไหล่เป่าลมหายใจอุ่นร้อนใส่มือ ในขณะที่แก้วคาบบุหรี่ไว้แต่ไม่ได้จุดสูบ ดวงตาสีเข้มจ้องมองไปด้านหน้า มองชิงช้าใต้ต้นมะม่วงโยกไหวน้อยๆ ตามแรงลม

 

          “ทำไมถึงได้พากันมาที่นี่ล่ะ” แก้วถามขึ้น

 

          “ก็...ผมไม่อยากให้น้าแก้วต้องอยู่คนเดียวเลยว่าจะยืมรถมิกซ์กลับมา แต่เพื่อนบอกว่าขี่รถคนเดียวมันอันตรายก็เลยพากันมาส่ง” โชคเล่าพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อยพลางจ้องมองไปยังปลายทางเดียวกับคู่สนทนา “แล้วทุกคนก็อยากเจอน้าแก้วด้วย”

 

          “อยากเจอฉันเหรอ”

 

          “ครับ” โชคหันกลับมา ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนข้างตัว ในหัวสับสนกับความรู้สึกที่อยากจะอวดน้าแก้วที่แสนใจดีของเขากับทุกคน แต่อีกใจก็ไม่อยากให้ใครได้เห็นเลยนอกจากตัวเอง

 

          “อืม” แก้วครางรับแผ่วเบาไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่แววตากลับวูบไหว “เด็กพวกนั้นเป็นเพื่อนที่ดีนะ”

 

          โชคเกิดสงสัย ว่าในความอ่อนโยนที่ฉายออกมา ลึกเข้าไปทำไมมันถึงได้โศกเศร้านัก

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “ผมทำอะไรผิดเหรอครับ”

 

          คำถามนั้นดึงเอาม่านความเงียบงันลงมาปกคลุม โชคไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบ เด็กหนุ่มชันขาขึ้นมากอดเข่าไว้ รู้สึกถึงช่องว่างในอกที่มันยิ่งเหน็บหนาวเข้าไปอีก

 

          “เปล่าหรอก เธอไม่ได้ทำอะไร..” ในที่สุดแก้วก็ตอบออกมาเพียงแผ่วเบา หลับตาลงเอนพิงเสาเฉลียง สูบควันจากบุหรี่ที่ติดไฟในจินตนาการ หวังให้มันช่วยกวาดเอาตะกอนความรู้สึกที่ตกค้างออกไปกับลมหายใจที่พ่นออกมา

 

          “แล้วทำไม...” น้าแก้วถึงได้ถอยห่างผมไปอีกแล้วล่ะ คำที่อยากถามติดอยู่ในปาก เพราะโชคไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเคยได้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายจริงๆ บ้างแล้วหรือยัง เข้าใกล้...ที่ไม่ใช่แค่สัมผัสทางร่างกาย

 

          แต่แม้จะไม่ได้ถามจนจบประโยค แก้วก็เข้าใจที่อีกฝ่ายอยากถาม และมันคงถึงเวลาที่ต้องพูดบอกเหตุผลกับเด็กหนุ่มแล้ว ดีกว่าปล่อยให้ค้างคากันอยู่อย่างนี้ ปล่อยให้โชคต้องสับสนอยู่กับความโลเลและเห็นแก่ตัวของเขาเช่นนี้

 

          “เพราะว่าเธอยังเด็ก” ดวงตาสีเข้มปรือเปิด มองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย “เพราะเธอยังเด็กโชค ...เธอควรได้มีความรักกับคนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ คนที่จะพูดคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง คิดแล้วก็มองอะไรคล้ายๆ กัน คนที่จะอยู่กับเธอได้จนเธอแก่...คนที่รักเธอได้มากเท่าที่เธอรักเขา”

 

          “...ผมรักแก้ว” เสียงยามเอ่ยบอกความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยใช้มาตลอดเบาหวิว ทว่ามั่นคงและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

 

          “แต่ฉันไม่” คำตอบกลับเองก็เช่นกัน ชัดเจนแม้แผ่วเบา ดวงตาสีเข้มหันมามองเด็กหนุ่มในที่สุด รอยยิ้มอ้างว้างถูกจุดขึ้นมาที่มุมปาก “ฉันไม่คิดว่าฉันจะรักเธอได้อย่างที่เธอรักฉัน โชค ...ฉันมีคนที่ฉันไม่คิดว่าจะเลิกรักได้อยู่”

 

          “อาธีร์สินะครับ”

 

          “อืม”

 

          “ผมรู้อยู่แล้ว”

 

          “อืม”

 

          “แต่ผมก็ไม่คิดว่าผมจะเลิกรักน้าแก้วได้อยู่ดี”

 

          “ฉันถึงได้บอกไงว่าเธอยังเด็ก” แก้วยื่นมือมาลูบหัวเด็กหนุ่มของเขา “ชีวิตเธอจะเจอคนอีกมาก ถึงตอนนั้นก็ลองเปิดใจให้พวกเขาหน่อย แล้วเธอจะได้เจอคนที่เหมาะสมกับเธอเอง”

 

          โชคไม่ได้พูดอะไร ไม่ตอบรับคำแนะนำ ไม่ได้ปฏิเสธ เขาแค่ซุกหน้าลงบนเข่า ซ่อนเงาของความปวดร้าวเอาไว้หลังท่อนแขนที่โอบกอดตัวเอง เขาไม่พูด เพราะหากพูดไปตอนนี้ มันก็คงเป็นเสียงสั่นเครือที่ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี

 

          หยดน้ำตาเค็มปร่า แต่กลับขื่นขมจนใจเจ็บ

 

          รสชาติของการอกหัก... มันเป็นเช่นนี้เอง

 



 

          เข้าสู่เดือนที่สองของปี ฤดูหนาวยังคงทิ้งกลิ่นอายเจือจางในอากาศยามเช้าตรู่ แต่พอสายไอแดดละลายความชื้นหมดสิ้นก็จะร้อนขึ้นจนเกือบหลงลืมไปแล้วว่ายังคงอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์

 

          โชคยังทำทุกอย่างเหมือนเช่นเคย แก้วกาแฟกับกระติกน้ำร้อนที่เสียบปลั๊กเอาไว้ในตอนเช้า มื้อกลางวันในตู้กับข้าวของวันหยุด อาหารเย็นที่จัดเตรียมไว้อย่างเรียนร้อยก่อนเวลาในทุกๆ วัน อีกทั้งงานบ้านปัดกวาดเช็ดถูกรวมไปถึงซักผ้า โชคยังคงทำทุกอย่าง ยังคงดูแลน้าแก้วเหมือนเดิม แต่ก็เว้นระยะห่างเอาไว้ ไม่แตะต้องตัวแก้ว ไม่มีการพูดถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อวันปีใหม่ ไม่มีสัญญาณของความไม่เข้าใจและคำถามใดๆ

 

          ...ครั้งนี้โชคคงจะตัดใจแล้วจริงๆ แก้วคิดอย่างนั้น

 

          จนกระทั่งวันที่ 14 วันเลนไทน์แห่งความรักกลับมาอีกครั้ง และตรงหน้าเขาก็คือเด็กหนุ่มคนเดิมที่มาส่งของขวัญ

 

          โชควางดอกกุหลาบสีแดง จากต้นกุหลาบต้นเดิมในสวนข้างบ้านลงบนโต๊ะไม้ตัวเตี้ย ข้างที่เขี่ยบุหรี่สีใสที่เพิ่งมีกองเถ้าถ่านเล็กๆ จากปลายมวนกระดาษเคาะทิ้งลงมา

 

          “ผมรักแก้ว” โชคดูขัดเขิน แต่ไม่มีความสั่นไหวในน้ำเสียง มีเพียงความอ่อนโยนและมั่นคงของคนที่ตัดสินใจมาแน่วแน่ “แก้วบอกผมว่าผมยังเด็ก เลยให้ลองเปิดใจให้คนที่จะเข้ามาในวันข้างหน้า... แต่แก้วเองก็ยังไม่แก่ขนาดนั้นนี่ครับ”

 

          แก้วคีบบุหรี่ค้างอยู่เหนือขอบถาดแก้วใส เป็นเพราะเด็กหนุ่มนั่งลงบนพื้น ตรงตำแหน่งเดียวกันกับในเช้าวันที่บอกกับเขาว่าโตพอจะกอดเขาได้แล้ว แต่สีหน้ากลับแตกต่างไปจากวันนั้นโดยสิ้นเชิง

 

          “น้าแก้ว” โชคคลี่ยิ้มสดใส สว่างจ้าเสียจนแก้วรู้สึกว่าดวงตาพร่าเบลอ “ลองเปิดใจให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

 

          แก้วครุ่นคิด คีบมวนบุหรี่จรดริมฝีปาก โชคที่ถูกเขาปฏิเสธไปอย่างชัดเจนต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนในการมาขอโอกาสเช่นนี้ ในดวงตาที่จ้องมองตรงมาช่างจริงใจแสนซื่อตรง ไร้แววของความขลาดกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ชายหนุ่มรู้ว่าหากเขาพูดว่าไม่ โชคจะไม่พยายามต่อรองและยอมเข้าใจแต่โดยดี

 

          แต่ว่า...

 

          เพราะโชคไม่กลัวที่จะถูกปฏิเสธ ไม่กลัวแม้ถ้าสักวันความพยายามครั้งนี้จะไม่ได้พาไปสู่ตอนจบที่สุขสันต์ ไม่กลัวว่าจะต้องเจ็บปวดกันอีกครั้ง

 

          ...เช่นนั้นแล้วเขาเองก็ไม่ควรจะกลัวที่จะลองเปิดใจ

 

          สักวันพวกเขาอาจแตกหัก หัวใจแหลกสลาย และอาจจะไม่มีทางกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีก

 

          ถึงอย่างนั้นแก้วก็ยังหัวเราะแผ่วเบา พ่นควันขาวให้ลอยเชื่องช้า จ้องมองสบตากับเด็กหนุ่ม

 

          เขาคงเป็นคนเห็นแก่ตัวที่หวาดกลัวความเหงาเข้าเสียแล้ว

 

          “อืม ก็ลองดู”

 

 

 

TBC...

          ไม่รู้ว่ามันดูเร็วเกินไปรึเปล่า แต่ความรู้สึกของคนเราก็อย่างนี้ โลเลและสับสน อีกทั้งนิยายเรื่องนี้จะมีแต่รสขมไม่ได้!!! ต่อจากนี้ไปทุกคนจะได้พบกับความหวาน(ที่ไม่เลี่ยน)กันแล้วล่ะค่ะ เดินทางฝ่าความขื่นขมมากว่าครึ่งเพื่อช่วงเวลานี้  :hao5:

          เอาใจช่วยเจ้าหมาให้เข้าไปในใจแก้วได้เสียทีกันด้วยนะคะ

 

          ปล.เนื่องจากต้นฉบับน้องโชคได้เดินทางไปถึงตอนสุดท้ายที่สุดท้ายจริงๆ(แม้จะยังปิดไม่ลงก็ตาม)แล้ว รีนก็เลยตัดสินใจว่าจะเพิ่มวันลงเป็น 2 วัน/สัปดาห์ค่ะ และวันที่เลือกมาก็คือพฤหัสบดีที่แสนคุ้นเคย กับวันจันทร์ต้นสัปดาห์ที่อย่างน้อยก็อาจจะทำให้วันที่แสนเหนื่อยล้าน่ารอคอยให้มาถึงได้สักนิดหนึ่ง เย้!

          ปล.2 ในวันที่ 18 ตุลาเป็นวันเกิดน้าแก้ว น่าเสียดายที่ไม่ตรงกับทั้งวันพฤหัสและวันจันทร์เลย ยังไงก็ตาม ไปอวยพรวันเกิดน้าแก้วกันได้ที่ #น้าแก้วของโชค ทางทวิตเตอร์นะคะ

 

ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านจากใจจริง

ขอบคุณค่ะ

 

See You on Monday ค่า!!!!

 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 31 [15.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-10-2020 19:21:11
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 31 [15.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-10-2020 13:33:22
 :katai2-1: :katai2-1: หวานๆขมๆปนกันไปยาวๆ กับเส้นทางรักนี้ อิอิ เห้อ ยาก ต่างคนก็เลิกรักต่ออีกคนของตัวเองยาก จะเป็นยังไงต่อ ขอบคุณนะคะที่ยังมาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4: เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 31 [15.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 18-10-2020 22:49:32
 :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 32 [19.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 19-10-2020 21:35:41

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 32

 

       พฤษภาคมเปิดปีการศึกษาใหม่ ชีวิตมัธยมของเด็กหนุ่มก้าวเข้าสู่ช่วงปีสุดท้าย โชคส่งยิ้มให้คนหลังเลนส์กล้องได้ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพหนุ่มม.ปลายเอาไว้ ก่อนจะยื่นมือไปขอเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่ได้เก็บอีกฝ่ายเอาไว้ในม้วนฟิล์มบ้าง

 

       กล้องตัวเก่าอายุสิบกว่าปีที่ช่วยบันทึกเรื่องราวหลายร้อยหลายพันใบของพวกเขาเอาไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มันยังใช้งานได้อยู่ แต่ทั้งสองคนก็รู้ว่าคงอีกไม่นานแล้ว

 

       “ฉันว่าจะซื้อใหม่สักตัว” แก้วว่าหลังจากที่โชคลดกล้องลง แล้วเอ่ยถามความเห็น “เอาเป็นกล้องดิจิตอลดีไหม”

 

       “กล้องดิจิตอลก็น่าจะสะดวกดีนะครับ” เด็กหนุ่มพูด ดวงตาจับจ้องเครื่องบันทึกภาพที่เคยใหญ่จนเขากลัวจะทำมันตกในตอนเด็กๆ มาตอนนี้กลับพอดีจนอาจจะเล็กไปด้วยซ้ำนั้นเต็มไปด้วยความผูกพัน “แต่ผมก็ยังชอบกล้องฟิล์มมากกว่าอยู่ดี”

 

       “ทำไมล่ะ”

 

       “เพราะว่ามันลบไม่ได้ไงครับ ...จะรูปดีหรือรูปเสียก็ลบไม่ได้”

 

       “เพราะแบบนั้นมันถึงได้เปลืองฟิล์มไง”

 

       “ไม่เปลืองหรอกครับ” โชคเงยหน้าขึ้นมาสบตา รอยยิ้มหวานเหมือนกับดวงตา “ต่อให้รูปมันออกมาเป็นยังไง ผมก็อยากเก็บรูปน้าแก้วไว้ทั้งหมดอยู่ดี”

 

       “ถึงมันจะเบลอจนแทบไม่เห็นหน้าน่ะเหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว พูดถึงรูปจากทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ล้างออกมา แล้วหนึ่งในภาพมากมายเหล่านั้น มีรูปหนึ่งที่ใบหน้าของเขาพร่าเบลอจากความสั่นไหวในจังหวะที่กดปุ่มบันทึกภาพ

 

       “ครับ” ...รูปที่ถ่ายบนถนนโบราณย่านฮิกาชิยาม่า ในวันที่ท้องฟ้าโปร่งใสจนเหมือนกับความฝัน “แต่ถึงมันจะเบลอแค่ไหน ทุกครั้งที่หยิบมาดูผมก็จะยังจำความรู้สึกตอนที่ถ่ายได้อยู่ดีนี่ครับ”

 

       ทั้งที่เป็นเพียงบทสนทนาเรื่อยเปื่อย ไม่มีความหมายแอบแฝง ไม่มีการแตะต้องสัมผัสใดๆ แต่แก้วกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนเด็กจีบผ่านน้ำเสียงและแววตา

 

       ...ในใจมันดันรู้สึกยุบยิบขึ้นมาอีกแล้ว

 

       “ไปโรงเรียนได้แล้ว” แก้วรับกล้องกลับคืนมา พูดบอกเมื่อเห็นสารถีส่วนตัวของคนตรงหน้ามาเทียบรถรออยู่หน้าประตูรั้ว

 

       “ไปก่อนนะครับ”

 

       “ขี่รถกันดีๆ”

 



 

       โชคอายุครบสิบเก้าปีก่อนเข้าช่วงฝนทิ้ง วันเกิดเรียบง่ายอีกปีมีมื้อเย็นเป็นอาหารที่เด็กหนุ่มทำเองกับเค้กจากร้านประจำ และของขวัญวันเกิดจากคนสำคัญ

 

       “สุขสันต์วันเกิด”

 

       แก้วให้แล็ปท็อปเครื่องใหม่เป็นของขวัญ เพราะเครื่องเก่าของเขาที่เด็กหนุ่มเอาไว้ใช้ยกไปทำงานข้างนอกนั้นน้ำหนักเอาเรื่อง อีกทั้งยังตกรุ่นไปแล้ว และแม้จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานที่เป็นรุ่นใหม่ยี่ห้อเดียวกับสมาร์ตโฟนยอดฮิตแล้วก็ตาม เขาก็ยังคิดว่าโชคจำเป็นต้องมีไว้อยู่ดี

 

       “ขอบคุณครับ” โชครับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

       หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งกินเค้กกันอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี พอเสร็จโชคก็เก็บจานไปล้าง ก่อนจะกลับมานั่งดูหนังกันจนถึงเวลาอาบน้ำขึ้นบ้านนอน

 

       งานวันเกิดของโชคจบลงเท่านั้น

 

       ...ไม่มีจูบวาบหวามชวนให้ใจเต้นรัว

 



 

       ต้นกรกฎาไร้ฝน อากาศอบอ้าว เครื่องปรับอากาศในห้องโชคทำงานได้ดีสมกับที่เป็นเครื่องใหม่ หลังจากที่พังบ่อยๆ ในช่วงปีก่อน แก้วก็ตัดสินใจซื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนดีกว่าต้องเรียกช่างทุกเดือน แต่มาคืนนี้กลับเป็นตัวในห้องเขาเองที่ไม่ยอมทำงาน ไม่ใช่เพียงไม่เย็น แต่ไม่มีอะไรออกมาเลยต่างหากนอกจากเสียงเครื่องครางต่ำแล้วดับไป

 

       เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จนปัญญาจะหาทางแก้ด้วยตัวเอง นายสถาปนิกทำได้แค่สับเบรกเกอร์ลง แล้วไปเอาพัดลมจากในห้องเก็บของมาเสียบปลั๊กเปิดหวังช่วยบรรเทาความร้อน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่

 

       แก้วตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะกระหายน้ำ ทั้งยังเหนียวตัวไปหมดจากเหงื่อที่ชุ่มหลัง ชายหนุ่มลงไปหาน้ำในครัวดื่มดับกระหาย ก่อนจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำให้สบายตัวอีกรอบ กลับออกมาอีกทีก็เจอกับเด็กหนุ่มที่ลงมาเข้าห้องน้ำพอดี

 

       “น้าแก้วอาบน้ำเหรอครับ” โชคมองปลายผมที่เปียกชุ่ม สัมผัสได้ถึงไอความฉ่ำชื้นจากตัวอีกฝ่าย “ทำไมอาบอีกรอบล่ะ”

 

       “แอร์ห้องฉันมันเสียน่ะ เหงื่อออกเลยอาบน้ำใหม่” แก้วอธิบาย ยกผ้าเช็ดปลายผมให้แห้งหมาด พลางเบี่ยงตัวหลีกทางให้อีกคนได้เข้าไปใช้ห้องน้ำ

 

       โชคพยักหน้าหงึกหงักรับรู้แล้วเดินเข้าไปทำธุระของตัวเอง ก่อนกลับออกมาอีกทีด้วยสีหน้าที่ดูจะตื่นดีแล้ว

 

       “น้าแก้วไปนอนห้องผมสิครับ” เด็กหนุ่มเสนอ

 

       “หืม” คนบนโซฟาหันมา คาบมวนบุหรี่ไว้อย่างไม่คิดจะจุดสูบ ลูบไฟแช็กสีทองไปมาในฝ่ามือ สัมผัสเย็นเฉียบจากเนื้อทองคำ 18K ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในคืนอบอ้าวเช่นนี้ “งั้นเดี๋ยวฉันตามขึ้นไป เธอนอนไปก่อนเลย”

 

       “ครับ” โชครับคำเพียงแค่นั้น ไม่เอ่ยถามถึงแววความเปลี่ยวเหงาในดวงตาสีเข้มที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน...

 

 

 

       แก้วกลับขึ้นชั้นสองหลังจากเด็กหนุ่มครึ่งชั่วโมง เขาไม่ได้ทำอะไรในห้องนั่งเล่นมากไปกว่านั่งตากพัดลมและไล้จับไฟแช็กราคาแพงเล่นจนมันอุ่นร้อน แก้วตรงไปที่ห้องนอนเล็กทันที ไม่จำเป็นต้องหยิบหมอนจากห้องตัวเองไปด้วยเมื่อในห้องของโชคก็มีเพียงพออยู่แล้ว

 

 

       “โชค” แก้วเอ่ยเรียกแผ่วเบา ทว่าคนที่นอนอยู่บนผืนผ้านวมบนพื้นหลับไปแล้ว

 

       โชคไปรื้อเอาผ้านวมผืนใหญ่ที่ซักไว้เปลี่ยนเวียนใช้จากตู้เก็บผ้าในห้องเก็บของมาพับทบกันเพื่อปูรองนอน คนโตกว่าได้แต่ก้มลงไปดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมอกให้อีกฝ่ายก่อนจะก้าวยาวๆ อ้อมไปขึ้นที่นอนจากทางปลายเตียง

 

       แก้วขยับพลิกตัวหาองศานอนสบาย เหลือบไปเห็นดวงดาวสีซีดบนเพดานแล้วนึกถึงวันที่เขาปีนบันไดขึ้นไปแปะติดมันให้เด็กชายที่แหงนคอมองอย่างตื่นเต้น

 

       ...นานเหลือเกิน หรืออาจจะเพราะเวลาเดินไวกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้

 

       แก้วพลิกตัวตะแคงฝั่งที่นอนถนัด กอดหมอนข้างแล้วหลับตา ลมเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศเป่าปะทะทำให้รู้สึกสะท้านจนต้องดึงผืนผ้านวมขึ้นคลุมไหล่ กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อนจางเหมือนกับที่ใช้กับผ้าปูในห้องของเขา เหมือนกับเสื้อผ้าทุกตัวในช่วงนี้ แต่กลับมีกลิ่นที่แตกต่างแทรกปนอยู่... แตกต่างทว่าคุ้นเคย มันคงเป็นกลิ่นของเจ้าของห้องที่นอนอยู่หน้าเตียง

 

       ดวงตาสีเข้มลืมเปิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ห้องนี้เคยเป็นของเขามาก่อนแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นชิน แม้จะอยู่บนเตียงตัวเดิมที่เขาใช้นอนตั้งแต่ยังเล็กจนจบชั้นมัธยม ก่อนจะย้ายไปนอนห้องนอนใหญ่ที่ว่างลงเพราะเจ้าของเก่าทั้งสองคนต่างจากไปแล้ว

 

       เวลายี่สิบกว่าปีเนิ่นนานพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ห้องทั้งห้อง เตียงทั้งเตียง ทุกสิ่งรอบตัวเขาตอนนี้ล้วนถูกย้อมไปด้วยกลิ่นของโชค เหมือนกับบ้านทั้งหลังและตัวเขาเอง ที่เมื่อมีอีกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้วก็ไม่อาจโยนทิ้ง ไม่อาจลบเลือน ไม่อาจจางหาย จะคงอยู่ไปจนชั่วชีวิต

 

       ความสัมพันธ์ของมนุษย์เกิดขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่ใช้เวลายาวนานในการถักทอให้แนบแน่น เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นความผูกพัน... และความผูกพันก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกลึกซึ้งอีกหลากหลายรูปแบบ

 

       แก้วซุกหน้าครึ่งหนึ่งไว้ใต้ผ้าห่ม ป้องกันความเย็นที่จะทำให้สองแก้มเขาเหน็บหนาว จมอยู่ในกองผ้าที่มีกลิ่นของโชคติดอยู่เต็มไปหมดก่อนจะดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา

 

       ...ที่ราวกับว่าเขาถูกอีกฝ่ายโอบกอดเอาไว้อย่างนุ่มนวลตลอดทั้งคืน

 



 

       ฝนหวนกลับมาอีกครั้งตอนกลางเดือนเจ็ด เสียงฟ้าร้องคำรามกับแสงสว่างวาบในมวลเมฆหม่น ย้อมบรรยากาศให้ดูดึกดื่นทั้งที่ยังไม่ทันถึงหนึ่งทุ่มด้วยซ้ำ

 

       แก้วกับโชคกินมื้อเย็นกันอยู่ในครัว วันนี้โชคไม่ได้เข้าครัวเอง แต่แวะซื้อจากร้านขายข้าวแกงหน้าปากซอยตลาดเพราะเด็กหนุ่มมีเรียนพิเศษตอนเลิกเรียนถึงหกโมงครึ่งเพื่อเตรียมพร้อมที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อาจจะดูเหมือนเริ่มเตรียมตัวช้าไป เพราะส่วนใหญ่เด็กคนอื่นๆ มักจะเตรียมกันตั้งแต่ช่วงเทอมสองของชั้นมัธยมปีที่ห้า หรือใครฟิตกว่านั้นและอยากเข้าคณะที่คะแนนสูงก็เริ่มกันมาตั้งแต่ขึ้นม.ปลายหรืออาจจะตั้งแต่ม.ต้นเลยด้วยซ้ำ

 

       แต่ไม่ใช่กับโชค ส่วนหนึ่งเพราะเด็กหนุ่มยังไม่ได้คิดจริงจังว่าอยากจะทำอะไร และอีกส่วนเพราะน้าแก้วของเขาไม่คิดจะกดดันเรื่องการเรียนอยู่แล้ว

 

       แก้วคิดว่าระบบการศึกษาของที่นี่มันล้มเหลวสิ้นดี และตัวเขาเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของมันมาก่อน เขารู้ดีว่ามันไม่เอื้อให้เด็กๆ มีความฝันเลยสักนิด สำหรับชายหนุ่มแล้วหากโชคจะไม่ต่อมหาวิทยาลัย แต่ไปสายอาชีพ อย่างเรียนทำอาหารหรือทำขนม หรืออะไรก็ตามแต่ เขาก็ไม่ติดอะไร ยินดีสนับสนุนเต็มที่ด้วยซ้ำเพราะเขามีเงินมากพอ

 

       อาจจะฟังดูเหลื่อมล้ำ แต่ราคาความฝันของคนในประเทศนี้สูงลิบลิ่ว

 

       หากอยากจะไล่ตามมันก็จำเป็นต้องใช้เงิน... ใช้มากเสียด้วย

 

       “น้าแก้ว” โชคเริ่มชวนคุย เหมือนบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารเกือบทุกครั้งที่ผ่านมา

 

       “ว่าไง”

 

       “น้าแก้วว่าผมเรียนอะไรต่อดี” พูดพลางตักหมูทอดมากินกับข้าวสวยร้อนๆ ท่าทีสบายๆ แต่ในดวงตากลับฉายแววลังเล สับสน และหลงทาง “เพื่อนผมจะไปต่อมหา’ลัยกันหมดเลย ผมก็อยากไปนะ แต่ผมไม่รู้ว่าจะเข้าคณะอะไรดี”

 

       “แล้วเธออยากต่อสายวิชาที่มีในมหา’ลัยไหมล่ะ หรืออยากไปต่ออย่างอื่น อย่างทำอาหาร ทำขนมอะไรพวกนั้น”

 

       เด็กหนุ่มครุ่นคิด แต่ก็มีเพียงความว่างเปล่าในหัว “ผมไม่รู้เลยน้าแก้ว ผมไม่รู้ด้วยว่าอยากจะเป็นอะไรหลังเรียนจบ”

 

       “อืม ...งั้นก็ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นก็ได้นะ” แก้วว่า ระบายยิ้มอ่อนโยนขณะพูดต่อ “ถ้ายังคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิดก็ได้ เอาแค่ว่าอยากจะเรียนอะไร สนใจอะไรตอนนี้ มหา’ลัยมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการค้นหาตัวเอง บางคนก็เรียนเพราะรู้อยู่แล้วว่าอยากเป็นอะไร แต่บางคนก็เรียนไปเพราะยังไม่รู้ ไม่ต้องกัดดันตัวเองหรอกนะโชค เธอยังมีเวลา แล้วฉันก็มีเงินพอส่งเธอ เพราะงั้นแค่คิดว่าตัวเองอยากจะทำอะไรตอนนี้ก็พอ”

 

       ในวันนั้นโชคก็ยังไม่ได้คำตอบให้กับอนาคตของตัวเอง แต่เขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาที่จะค่อยๆ คิดถึงมันอย่างไม่รีบร้อน

 

 

 

       เข้าสู่เดือนสิงหาคม ฝนตกลงมาในช่วงหัวค่ำ โชคเตรียมมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่เจ้าของบ้านก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมาสักที เด็กหนุ่มจึงออกมานั่งรอหน้าบ้านจนกับข้าวใต้ฝาชีบนโต๊ะอาหารเย็นชืด เลยเวลากินข้าวไปมากโขแล้วแก้วก็ยังไม่กลับมา จนเขาเริ่มเป็นห่วง...

 

       โชคกดโทรไปอีกครั้งหลังจากสองสายก่อนหน้าที่ไม่มีคนรับกับข้อความที่ส่งไปแล้วไม่มีคนอ่าน รอจนเสียงสัญญาณตัดไปก็ยิ่งกังวล คิดไปต่างๆ นาๆ ทั้งเรื่องที่น้าแก้วเคยโหมงานหนักจนล้มพับไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลก่อนหน้านี้ หรือด้วยฟ้าฝนที่ยังตกต่อเนื่องอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาระหว่างทาง

 

ความคิดฟุ้งซ่านยิ่งทำให้รู้สึกวุ่นวายใจเพราะไม่ได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มคิดเพียงว่าถ้าอีกสิบนาทียังไม่ได้รับการตอบกลับมา เขาจะไปเรียกแท็กซี่หน้าปากซอยไปลงที่ทำงานอีกฝ่ายแล้ว

 

       แต่แก้วก็ไม่ได้ทำให้โชคต้องรอนานขนาดนั้น เพราะยังไม่ทันเริ่มจับเวลา เสียงเครื่องยนต์และไฟรถสว่างจ้ากลางม่านฝนก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนหักเลี้ยวไปจอดตรงลานว่างฝั่งตรงข้าม ไม่นานก็เห็นผู้ชายร่างสูงในชุดทำงานก้าวลงมา พร้อมกับกระบอกแปลนและกระเป๋าเอกสารหอบพะรุงพะรัง

 

       โชครีบคว้าร่มออกไปรับพร้อมกับช่วยรับของมาถือ ไม่ได้เอ่ยถามคาดคั้นว่าทำไมถึงได้กลับช้านัก เพราะแค่ได้เห็นหน้าของแก้วเขาก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว

 

       “กินข้าวรึยัง” แก้วถาม เมื่อเข้ามาถึงในบ้านแล้ว

 

       “ยังครับ”

 

       “รอฉันเหรอ”

 

       “ครับ”

 

       “โทษที รถติดน่ะ” ชายหนุ่มกล่าว เดินไปคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่บนผิวจากการที่เขาตากฝนลงจากรถมาในตอนแรก “ฉันหาโทรศัพท์ไม่เจอ น่าจะลืมไว้ที่ออฟฟิศเลยไม่ได้โทรบอก”

 

       “ครับ” โชครับคำ ไม่ติดใจอะไรมาก เขาห่วงก็แต่คนที่เสื้อเย็นชื้น น่าจะเพราะโดนฝนก่อนขับรถตากแอร์กลับมาคนนั้นมากกว่า “น้าแก้วไปเปลี่ยนชุดก่อนไหม เดี๋ยวไม่สบาย”

 

       “อืม เธออุ่นกับข้าวแล้วเริ่มกินก่อนเลยก็ได้”

 

       “ครับ” รับคำอย่างนั้น แต่หลังจากที่เอาของไปไว้ในห้องทำงานให้อีกฝ่ายแล้วไปอุ่นกับข้าวบนโต๊ะอาหาร โชคก็ยังนั่งรอเพื่อที่จะได้เริ่มกินพร้อมกันอยู่ดี

 

       แก้วกลับลงมาในชุดใหม่ ไม่แปลกใจนักที่เด็กหนุ่มยังรอแม้เขาจะบอกว่าไม่จำเป็นก็ตาม จากนั้นมื้อเย็นที่เลยเวลาปกติมาชั่วโมงกว่าก็ดำเนินไปอย่างสงบเช่นทุกวัน

 

 

 

       “น้าแก้ว” หลังเก็บโต๊ะเสร็จ โชคก็ไปเคาะประตูห้องทำงานของแก้ว เอาเหยือกน้ำเข้าไปให้เพราะคืนนี้ดูแล้วแก้วน่าจะอยู่ทำงานจนดึก และหลายๆ ครั้งเจ้าตัวก็จะทำงานจนลืมเวลา พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีร่างกายก็ขาดน้ำจนคอแห้งผากอยู่เสมอ

 

       “ขอบใจ” แก้วยิ้มบาง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

 

       หากเป็นปกติเด็กหนุ่มจะออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้นายสถาปนิกได้มีสมาธิทำงานเงียบๆ แต่วันนี้เขากลับอยากรู้ขึ้นมา เกี่ยวกับสิ่งที่น้าแก้วของเขาทำมาตลอด

 

       “งานของน้าแก้วทำอะไรบ้างเหรอครับ”

 

       ดวงตาสีเข้มเงยขึ้นสบอีกครั้ง แต่เพียงชั่วครู่ก็เบนกลับลงไปยังแผ่นกระดาษเอสามและเริ่มขยับมือขีดเขียนต่อ ก่อนจะบอกให้โชคไปยกเก้าอี้มานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม แล้วจึงเริ่มอธิบายให้ฟัง...

 

       ภาพอนาคตของโชคค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างทีละเล็กละน้อย

 

 

 

       สิ้นสุดเดือนสิงหา โชคก็ตัดสินใจได้ว่าตอนนี้เขาสนใจอยากเรียนต่อคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ไม่ได้คิดภาพไปไกลถึงการประกอบอาชีพ แต่อย่างที่น้าแก้วบอกว่าให้เขาคิดถึงเรื่องที่อยากทำในตอนนี้ก็พอ เด็กหนุ่มจึงเดินไปบอกกับสถาปนิกตัวจริงว่าเขาอยากจะทำอะไร แล้วน้าแก้วก็ส่งเขาไปเรียนโรงเรียนสอนศิลปะ ลงคอร์สติวสถาปัตย์โดยเฉพาะ

 

       ยังไม่ทันได้เริ่มเรียน เพื่อนสนิทอย่างมิกซ์ก็ตามมาลงทะเบียนเรียนด้วย กับเหตุผลง่ายๆ อย่างไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนอะไรต่อดี แต่แม่บอกให้เขาเรียนให้จบอย่างน้อยปริญญาตรี จะสาขาอะไรก็ได้ทั้งนั้น นักล่าปริญญาบัตรจึงจิ้มสุ่มตามเพื่อน ตัวเขาไม่มีแรงบัลดาลใจในการเรียนอยู่แล้ว ถ้าหากจะต้องเรียนต่อไปอีกสี่ห้าปีก็ขอไปเรียนแบบที่มีเพื่อนด้วยดีกว่า

 

       สองเพื่อนซี้ที่มองเห็นอนาคตเพียงเลือนรางจึงจับมือกันไปซื้อดินสออีอีและกระดานวาดเขียน ก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกของเหล่านักออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่เวลานอนเฉลี่ยน้อยนิดไปด้วยกัน

 

       แม้จะไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่มีแรงบัลดาลใจ ไม่มีความมุ่งมั่น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่พวกเขาจะลองดูสักครั้ง

 

       จุดเริ่มต้นความฝันของคนเรามันก็มาจากการลองทำอะไรเล่นๆ เป็นส่วนใหญ่ทั้งนั้นแหละ

 



 

       ตุลาคมปลายฝนต้นหนาว วันอาทิตย์กลางเดือนเป็นช่วงการผลัดเปลี่ยนของฤดูกาลพอดี ท้องฟ้าสีหม่น ลมหนาวและความชื้น ชวนให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

 

       แสงแดดอ่อนจางที่แทรกผ่านเงาเมฆครึ้มส่องลงมากระทบผิวอบอุ่นเพียงชั่ววูบก่อนจะถูกสายลมเย็นกลบทับ แก้วสูบบุหรี่พลางรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนข้างบ้าน ทางทิศตะวันออกนอกบานหน้าต่างของห้องนั่งเล่น ควันขาวลอยเอื่อยก่อนสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเมื่อถูกลมพัดกระจาย กับสายยางเย็นเฉียบในมือที่บ่งบอกอุณหภูมิของน้ำที่ไหลผ่านได้เป็นอย่างดี

 

       ชายหนุ่มเริ่มต้นวันเกิดปีที่สี่สิบสองอย่างเรียบง่ายข้างต้นกุหลาบที่กลางสวน

 

       “ไม่หนาวเหรอครับ” เสียงทักทายดังมาจากในบ้าน ก่อนจะเห็นใบหน้าคนพูดโผล่มาหลังมุ้งลวดหน้าต่าง

 

       “หนาวสิ” แก้วตอบกลับตามจริง

 

       “งั้นแป๊บนึงนะครับ” ว่าจบโชคก็หายไปสักพัก แล้วกลับมาให้เห็นหน้าอีกครั้งที่เฉลียง เด็กหนุ่มหยิบรองเท้าแตะในชั้นวางมาสวมก่อนก้าวยาวๆ เอาเสื้อคลุมแขนยาวมาส่งให้ถึงไหล่คนขี้หนาว

 

       “ขอบใจ”

 

       “ครับ”

 

       ...แก้วใช้วันเกิดปีที่สี่สิบสองทั้งวันที่เหลืออย่างเรียบง่ายเคียงข้างเด็กหนุ่มเจ้าของต้นกุหลาบ

 



 
.....
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 32 [19.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 19-10-2020 21:36:58
.....






       พฤศจิกายนระดับน้ำในแม่น้ำลำคลองสูงขึ้นจากน้ำทะเลหนุน พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นแม้อยู่กลางเมืองกรุง เป็นสัญญาณของประเพณีขอขมาพระแม่คงคา

 

       15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง

 

       โชคนั่งทำกระทงจากขนมปังแผ่น ใช้มันรองเป็นฐานให้กับดอกไม้เล็กๆ ไม่กี่ดอก เพราะปัญหาขยะล้นคลองในทุกๆ ปีจากกระทงตกค้างจนทำให้น้ำเน่าเสีย เขาและน้าแก้วจึงเลิกใช้ต้นกล้วยที่แม้จะทำมาจากวัสดุธรรมชาติ แต่ก็ใช้เวลานานในการย่อยสลาย ยิ่งเมื่อมีมากมายเกินไปก็ย่อยไม่ทันกันมาตั้งแต่ปีที่เด็กชายอายุสิบสาม

 

       “ใส่ดอกอะไรอีกไหมครับ” เด็กหนุ่มผู้รับหน้าที่ตกแต่งกระทงเอ่ยถาม เขาเก็บเอาดอกไม้จากในสวนมาอย่างละนิดละหน่อยรวมกันไว้ตรงกลางแผ่นขนมปังที่กดตรงกลางให้ยุบลงไปเป็นหลุมตื้นๆ

 

       “แค่นั้นก็พอแล้ว” แก้วว่า เอื้อมคว้าเอากุญแจบ้านที่แขวนอยู่กับราวตะขอเหนือโต๊ะวางของเล็กๆ ข้างบานประตู “ไปเลยไหม”

 

       “ครับ” โชคลุกตามออกไป ถือประคองกระทงแผ่นบางไว้ไม่ให้กลีบดอกไม้ร่วงหล่น

 

       ระยะทางจากบ้านไปถึงคลองท้ายซอยไม่ใกล้ไม่ไกล สองคนจึงเดินเท้าเคียงกันไปใต้แสงไฟนีออนสีขาว แต่กลับไม่ค่อยสว่างนัก หลายปีแล้วที่โชคไม่ได้ไปลอยกระทงที่ท่าน้ำแถวคุ้มริมคลองที่เขาจากมา เพราะครั้งล่าสุดเมื่อห้าปีที่แล้วมีแก๊งวัยรุ่นเมาแล้วอาละวาดยกพวกตีกันเสียวุ่นวาย แก้วเลยไม่ได้พาไปที่นั่นอีก แต่ส่งไปลอยกับทางบ้านมิกซ์แทน

 

       ...นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่พวกเขามาลอยกระทงด้วยกัน

 

       เมื่อมาถึงคุ้มชุมชนท้ายซอยนอกเขตหมู่บ้าน ชาวบ้านในละแวกนั้นก็พากันจูงลูกหลานมาต่อคิวกันลงบันไดสู่ท่าน้ำข้างเชิงสะพาน ส่วนบางบ้านที่อยู่ติดริมน้ำอยู่แล้วก็ออกมาจุดธูปเทียนลอยจากท่าซักล้างหลังบ้านตัวเอง โชคหันไปมองท่าน้ำของห้องโกโรโกโสที่เขาเคยอาศัย ขณะรอให้ยายหลานที่อยู่ข้างหน้าสวดขอขมาและขอพรเสร็จ

 

       ห้องเช่าเก่ามีเจ้าของใหม่ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว เป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่วัยรุ่นกับลูกเล็กไม่น่าจะเกินสี่ขวบปีหนึ่งคน โชคไม่รู้หรอกว่าพวกเขาหาเลี้ยงปากท้องกันอย่างไร แต่เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหญิงเมื่อผู้เป็นพ่อช่วยจุดธูปเทียนให้ ก่อนที่แม่จะช่วยประคองกระทงที่ใหญ่กว่ามือน้อยๆ จะถือไหวไปปล่อยลงในน้ำ ทั้งสามคนขยับมานั่งใกล้ชิดกัน เด็กอยู่ในอ้อมแขนแม่ และพ่อก็โอบกอดพวกเขาไว้อีกที

 

       โชคได้แต่ยกยิ้มตามทั้งสามคนนั้น

 

       ห้องสี่เหลี่ยมแสนเหน็บหนาวของเขาไม่เหลืออยู่แล้ว...

 

       แก้วที่ยืนอยู่ข้างๆ มองตามปลายสายตาของเด็กหนุ่มไป เขาไม่รู้ว่าโชคกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่คิดจะเข้าไปรบกวนช่วงเวลาที่ดวงตาคู่สวยดำดิ่งลงไปในความทรงจำแสนห่างไกล เขารู้เพียงแค่ว่าตอนนี้โชคไม่ได้เจ็บปวด... ซึ่งเท่านั้นมันก็เพียงพอแล้ว

 

       หนึ่งเด็กหนุ่มหนึ่งชายวัยกลางคนส่งเครื่องขอขมาแผ่นบางลงสู่คลองน้ำ พวกเขาไม่ได้จุดธูปเทียน มีเพียงดอกไม้ที่เมื่อขนมปังถูกปลาแทะกินจนขาดวิ่นก็จะแตกกระจายอยู่เหนือผิวน้ำ ไหลลอยล่องไร้จุดหมายแต่กลับมีทิศทางแน่ชัด ตามติดไปกับขบวนแสงสีนวลสว่างไสวที่ค่อยๆ ไกลห่างออกไปตามกระแสธาร

 

       หลังจากที่ลอยกระทงเสร็จ แก้วกับโชคใช้เวลาครู่หนึ่งยืนมองเปลวเทียนวูบไหวในสายลมหนาวจากบนสะพาน บ้างก็ยังคงสว่างโชติช่วงจนลับตา บ้างก็มอดดับไประหว่างทาง ความรู้สึกอ้างว้างทว่าเปรมปรีดิ์ผุดขึ้นกลางใจโดยไร้ที่มา แต่บรรยากาศของเทศกาลหน้าหนาวก็มักให้ความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แล้วจึงไม่มีใครคิดจะค้นหาคำตอบให้ยุ่งยาก ...แค่รู้สึกถึงมันอย่างเงียบงันก็พอ

 

       “น้าแก้วขอพรว่าอะไร” โชคถามขึ้น

 

       “ลอยกระทงเขาเอาไว้ขอขมา ไม่ใช่ขอพร” คำตอบเรียบง่ายสมกับเป็นแก้วสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแผ่วเบาให้กับเจ้าของคำถาม

 

       “ครับ แต่คนเราก็ยังขอพรอยู่ดี”

 

       “อืม ก็ปกติแหละ” ดวงตาสีเข้มหันมาสบ ความสูงของพวกเขานั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่เมื่อยืนอยู่บนสะพานที่มีความโค้งชันจึงทำให้ชายหนุ่มต้องช้อนมองขึ้นไปจากระดับที่ต่ำกว่าเล็กน้อย “คนเราขอพรกับทุกสิ่งทุกอย่าง”

 

       “แต่น้าแก้วก็ไม่ได้ขอ”

 

       “...ฉันไม่ได้ขอ”

 

       “แต่ผมขอนะ”

 

       “เหรอ” แก้วเห็นประกายวิบวับในดวงตาคู่สวย แต่ก็ยอมเล่นตามน้ำไปด้วย “ขอว่าอะไรล่ะ”

 

       “ขอให้ผมโตพอจะกอดแก้วได้สักที”

 

       ถ้อยคำที่พูดออกมานั้นเรียบง่าย แต่แววตากลับแฝงความหมายลึกซึ้ง แก้วไม่เคยคิดว่าเขาในวัยสี่สิบสองจะถูกเด็กที่อายุน้อยกว่าเขาหารสองและเลี้ยงดูมากับมือลามปามขนาดนี้

 

       คนแก่กว่าเบนสายตาออกจากรอยยิ้มหวานหยด หันหลังเดินหนีไปตามถนนคอนกรีตสองเลนที่จะพาตรงกลับบ้าน โชคได้แต่รีบก้าวขายาวๆ ตามมาเดินเคียงข้าง ไม่มั่นใจว่าแก้วกำลังรู้สึกแบบไหนภายใต้สีหน้าสงบนิ่งของเจ้าตัว แต่เมื่อกี้ที่กำลังจ้องมองสบตากัน เขามั่นใจว่าเห็นนัยน์ตาคู่นั้นวูบไหว ...แม้จะชั่วพริบตาเดียวก็ตาม

 

       ระหว่างทางเดินกลับบ้านมีเพียงแสงอ่อนจางจากเสาไฟข้างทางที่ตั้งห่างกัน เงียบงันจนทำให้อึดอัดใจ ในตอนที่โชคพูดออกไปเขาไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายในเชิงสองแง่สองง่าม แต่พอมาคิดดูแล้วมันก็ชวนให้รู้สึกไปในทางนั้นอยู่พอตัวเลยทีเดียว เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา และที่เหนือไปกว่านั้นคือกลัวน้าแก้วโกรธ

 

       “...น้าแก้ว” เอ่ยเรียกเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด ขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ๆ แต่ก็รักษาระยะห่างไว้ให้ไม่ดูประชิดตัวเกินไป

 

       “ว่าไง” อีกฝ่ายขานรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติ แต่ก็ไม่ได้ชะลอฝีเท้ารอเขาเลยสักนิด และเมื่อเป็นเช่นนั้นคนมีชนักติดหลังก็ยิ่งร้อนรน

 

       “น้าแก้ว ผมขอโทษ ผม..ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น..”

 

       “แบบไหน”

 

       “ก็...” จนปัญญาจะหาคำอธิบาย สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าราวกับหมาโดนเจ้านายดุ หางลู่หูตกไปหมด

 

       แก้วเหลือบตามามอง ดูก็รู้ว่าเจ้าลูกหมาของเขาไม่กล้าตั้งใจจะพูดจาล่วงเกินรุกหนักขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเขาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ผ่านพ้นช่วงวัยกลัดมันและความสัมพันธ์มามากพอดู เขาถึงได้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดที่รู้ว่าเจ้าเด็กตรงหน้าไม่ได้ตั้งใจ...

 

       “ไว้โตกว่านี้ก่อน”

 

       “ครับ?” โชคเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจในคำที่อยู่ๆ อีกคนก็พูดออกมา

 

       “ตอนนี้เธอยังเด็กเกินไป” แก้วหยุดเท้าที่ก้าวเดิน หันมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มตัวสูงท่วมหัว มองตรงเข้าไปในดวงตาตื่นๆ คู่นั้น ก่อนจะพูดขยายความให้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไว้โตกว่านี้ก่อนค่อยมากอดฉัน”

 

       ว่าจบก็ออกเดินต่อ โชคที่เมื่อสมองประมวลความหมายได้ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนหัวใจระเบิดจนจะหน้ามืด ทั้งแก้มทั้งหูเห่อร้อนไปหมด ได้แต่ตัดพ้อคนขี้โกงที่มาทำให้เขาทรุดตัวลงนั่งกุมหน้าใต้เสาไฟข้างถังขยะสีเหลืองใบใหญ่ในคืนวันเพ็ญเช่นนี้

 

       ส่วนคนขี้โกงที่ว่าก็ไปถึงหน้าประตู ไขกุญแจเปิดรั้วเข้าบ้านไปเรียบร้อยแล้ว

 

       เพราะว่าชายในวัยสี่สิบก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง

 

       ...จะไม่ยอมถูกทำให้ปั่นป่วนอยู่ฝ่ายเดียวเด็ดขาด







TBC...

       รู้สึกเขินน้าแก้วอย่างบอกไม่ถูก เล่นเอาเจ้าหมาหัวใจระเบิดตู้มจนหน้ามืดเลยทีเดียว 555555 เป็นตอนที่เรื่องราวค่อยๆ เดินอย่างไม่รีบร้อนแต่กินเวลาไปเกือบปี บอกเล่าความสัมพันธ์ที่ขยับเชื่องช้าแต่ก็ขยับไปข้างหน้าเรื่อยๆ เลยนะคะ

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอ

       ขอบคุณค่ะ

 

       เจอกันวันพฤหัสบดีค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 32 [19.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-10-2020 01:19:45
 ทำไมแอบรู้สึกเขิน :-[ 5555 โอววโชคจะตามรอยน้าแก้ว ขำเด็กมิกซ์จิ้มตามเพื่อน ไปไหนไปด้วยกันเข้าใจเลย เพราะเราเคยเป็น 55555 ค่อยๆกระเถิบกับความสัมพันธ์นี้ รอดูข้างหน้าเลย จะเบ่งบานดอกไม้ได้ไหม ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4: เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 33 [22.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 22-10-2020 19:43:24

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 33

 

          ลมหนาวทวีกำลังเมื่อเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปี ต้นสนพลาสติกสว่างไสวอยู่ในห้องนั่งเล่น ปกติแล้วเจ้าของบ้านจะจัดเลี้ยงฉลองกันในคืนก่อนวันคริสต์มาส ตามตำนานที่ว่าซานตาคลอสจะออกมาแจกของขวัญในค่ำคืนนั้น แต่เพราะปีนี้วันคริสต์มาสตรงกับวันศุกร์พอดี พวกเขาเลยตัดสินใจเลื่อนไปฉลองกันในคืนก่อนวันหยุดเลยดีกว่า ...อย่างไรเสียบ้านนี้ก็ไม่มีคริสต์เตียนอยู่แล้ว

 

          สองสมาชิกในบ้านนั่งอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ ดวงตาจับจ้องภาพเคลื่อนไหวของหนังแอคชั่นโด่งดังที่เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ไปเมื่อหลายปีก่อน พัดลมถูกเปิดให้ส่ายไปมาเพื่อให้อากาศถ่ายเท แม้จะชวนให้รู้สึกสะท้านทุกครั้งที่หันมาเป่าลมปะทะผิว แต่ก็ไม่ได้เหน็บหนาวจนเกินไปนัก เมื่อต่างคนต่างอยู่ใต้ผ้าห่มเนื้อนุ่มอบอุ่นผืนเดียวกัน

 

          “น้าแก้วเอาถุงเท้าไหมครับ” เนิ่นนานจนหนังเข้าสู่ช่วงกลางที่เดินเรื่องเอื่อย โชคก็เอ่ยถามขึ้นมา แม้จะนั่งกันคนละฝั่ง แต่เพราะแก้วเอนตัวพิงที่พักแขนเหยียดตัวกินที่กว่าครึ่งโซฟา ช่วงขายาวตั้งชันเข่าขึ้นเพื่อให้พอดีกับพื้นที่ สุดปลายเท้าเปลือยเปล่าที่แม้จะอยู่ใต้ผ่าห่มก็ยังคงเย็นเฉียบจึงวางอยู่ชิดติดกับต้นขาของเด็กหนุ่ม

 

          “ไม่ต้องหรอก” แก้วปฏิเสธ ถึงผิวภายนอกจะเย็นตามอุณหภูมิไปแล้วก็ตาม แต่เขาไม่ได้รู้สึกหนาวมากขนาดนั้น

 

          และเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่ต้องการ โชคก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก หันไปมองจอดูหนังครึ่งหลังต่อ

 

          เนื้อเรื่องช่วงท้ายเข้มข้นจนไม่มีใครละสายตาจากโทรทัศน์ และโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ปลายเท้าเย็นเยียบที่ค่อยๆ ซุกเบียดหาไอร้อนจากร่างกายคนอื่นก็ถูกดึงขึ้นไปวางพาดบนตักอุ่น สัมผัสจากปลายนิ้วที่ไล้บีบนวดให้นั้นร้อนฉ่า แต่กลับให้ความรู้สึกดี...

 

          จนกระทั่งหนังจบลงแล้วก็ยังไม่มีใครผละจากไปไหน

 

          ถูกฉุดรั้งไว้ด้วยอุณหภูมิจากผิวกายของกันและกัน

 

 

 

          สัญญาณว่าผ่านพ้นไปอีกปีคือพลุไฟที่แตกกระจายอยู่กลางฟ้า โชคขยับเข้าหาคนข้างกายที่ยืนแหงนหน้าชมดอกไม้ไฟหลากสี ปลายนิ้วเกี่ยวสัมผัสกันไว้เพียงผิวเผิน แต่ก็เพียงพอจะให้รู้สึกอุ่นซ่านท่ามกลางลมหนาวของคืนสิ้นปี

 

          “น้าแก้ว” เด็กหนุ่มไม่ได้จับจ้องทิวทัศน์เช่นเดียวกับคนที่เขาเอ่ยเรียก แต่ก็มองเห็นวงริ้วไฟพร่างพราวผ่านภาพสะท้อนในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

 

          ...งดงามเสียยิ่งกว่าแหงนมองฟ้าด้วยตาตนเอง

 

          “ว่าไง” ขานรับทั้งที่ยังไม่ละสายตามามองคู่สนทนา แต่โชคก็ยังคงคลี่ยิ้มส่งให้อย่างอ่อนโยน ติดจะขวยเขินด้วยเล็กน้อย

 

          “รักนะครับ”

 

          ถ้อยคำลึกซึ้งที่ไม่ค่อยได้พูดบ่อยนักทำเอาเจ้าของคำหวานอายม้วนเสียเอง แก้วระบายยิ้มออกมากว้างกว่าทุกทีเมื่อเห็นเจ้าหมาปากเก่งแต่ใจปลาซิวหันหน้าหนีไปซุกซ่อนสองแก้มเรื่อแดงไว้ในฝ่ามืออีกข้างที่ไม่ได้ประสานนิ้วเกี่ยวกับเขาเอาไว้

 

          “อา..” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเอ็นดูหรือมีใจ แต่คำตอบรับของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปแล้ว... “ขอบใจนะโชค”

 

 

 

          หลังจากปีใหม่ไปเดือนครึ่งก็ถึงวันแห่งความรัก หนึ่งปีหลังจากที่โชคขอโอกาสและแก้วตอบตกลง ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงไม่ได้ก้าวไปไหน แต่กลับรู้สึกว่าค่อยๆ ได้ขยับเข้าไปใกล้กันมากกว่าเดิม ไม่ได้รีบร้อนดันทุรังเหมือนก่อนหน้านี้ที่ใช้ร่างกายเข้าแนบชิด แต่เป็นการก้าวเข้าไปในโลกของกันและกันที่ไม่ใช่แค่การรับรู้เรื่องราวในฐานะคนร่วมบ้าน...

 

          ทว่าในฐานะคนที่มีส่วนร่วมในชีวิต

 

          ดอกกุหลาบสีแดงยังคงผลิดอกบานสะพรั่งตราบเท่าที่มีน้ำและแสงแดดจัด โชคย้ายต้นมันออกจากกระถางมาลงหลุมดินที่ใต้บานหน้าต่างห้องนั่งเล่นแล้ว แก้วจึงสามารถมองเห็นกลีบดอกสีสดได้ตลอดทั้งปี แต่ถึงอย่างนั้นในวันนี้เด็กหนุ่มก็ยังคงไปเก็บมาให้อยู่ดี และครั้งนี้ก็ไม่ได้วางไว้ที่มุมโต๊ะเหมือนคราวก่อนๆ แล้ว

 

          “น้าแก้วครับ”

 

          มือเรียวเอื้อมไปรับดอกไม้ที่ยื่นมาให้ตรงหน้า ดวงตาจ้องมองกลีบดอกนุ่มนวลที่เผยอบานแต่ยังไม่เต็มที่นักด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้โชคจะไม่ได้ถาม แก้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงอยากรู้ ว่าในช่วงเวลาหนึ่งปีมานี้ เจ้าตัวได้เข้ามาอยู่หัวใจเขาบ้างแล้วหรือยัง

 

          “ขอบใจ” แต่ก็เอ่ยออกไปได้เพียงเท่านั้น ด้วยเพราะตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าความรู้สึกที่มีให้เด็กหนุ่มมันเพียงพอที่จะเรียกได้ว่ารัก... หรือแค่รู้สึกดีที่ถูกรัก

 

          โชคไม่ได้ซักไซ้ไล่หาคำตอบ เขาไม่อยากกดดันให้น้าแก้วต้องรีบรู้สึกแบบเดียวกัน ขอแค่ทีละเล็กทีละน้อยก็พอ ขอแค่ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดใจให้เขาเข้าไป แล้วในสักวันเขาคงได้ครองส่วนหนึ่งของหัวใจดวงนั้นบ้าง

 

          เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าลงบนพื้น ซบหน้าผากลงบนเข่าแข็ง ก่อนจะรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือที่ลูบหัวเขาแผ่วเบา ชั่วขณะนั้นไม่มีใครพูดอะไรออกมา โชคเบียดเข้าหาคนบนโซฟา กอดท่อนขาแล้ววางคางเกยตัก ช้อนดวงตาคู่สวยขึ้นมองใบหน้าคนที่เขารักหมดใจด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง

 

          “ไม่ต้องรักผมมากเท่าที่เคยรักอาธีร์ก็ได้นะครับ ขอแค่น้าแก้วชอบผมบ้างสักนิดก็พอ”

 

          “แบบนั้นมันก็ไม่แฟร์น่ะสิ” น้ำเสียงเนิบนาบกับแววตาว่างเปล่า ดอกกุหลาบถูกวางทิ้งไว้บนตัก ในขณะที่สองมือเรียวเลื่อนไปประคองสองแก้มของอีกฝ่าย ขยี้หัวลูบหูเหมือนกำลังหยอกหมาตัวใหญ่ๆ สักตัว

 

          “ไม่หรอกครับ ผมเป็นคนที่มารักน้าแก้วเอง...” เจ้าหมาตัวโตยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบกุมมือแก้วไว้ เอียงหน้าไปประทับจูบในอุ้งมืออุ่น ก่อนจะแนบค้างไว้ข้างแก้มของตัวเองอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มจริงใจ แม้นัยน์ตาจะมีร่อยรอยร้าวรานก็ตามที “เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกครับ”

 

          แม้จะเจ็บปวด แต่คำพูดของเด็กหนุ่มก็ออกมาจากใจจริง และหมายความตามนั้นจริงๆ

 

          แก้วรู้ดี...

 




 

          ปลายเดือนกุมภาพันธ์คือมหกรรมการสอบของเด็กมัธยมศึกษาปีสุดท้าย โชคสมัครสอบในรายการที่จำเป็นต่อการยื่นคะแนนเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเดียวกับที่แก้วจบมา ซึ่งเกณฑ์คะแนนค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีอัตราการแข่งขันที่ดุเดือด เด็กหนุ่มจึงต้องทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือและติวจากข้อสอบเก่าจนแทบไม่ได้หลับได้นอนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสอบ

 

          เพราะเริ่มต้นช้า และกว่าจะมั่นใจว่าอยากไปต่อสายนี้จริงๆ ก็เสียเวลาไปมากโขแล้ว โชคจึงต้องพยายามหนักขึ้นเป็นเท่าตัวของคนที่เตรียมตัวมาแต่เนิ่นๆ แต่โชคดีที่เขามีน้าแก้วเป็นทั้งแรงบัลดาลใจและติวเตอร์ส่วนตัว ทำให้สัปดาห์ที่สามของเดือนที่แสนจะเหนื่อยล้าผ่านไปได้ด้วยดี จนเข้าสัปดาห์ที่สี่ ในช่วงของการสอบ โชคก็ได้นอนหลับเต็มอิ่มก่อนวันลงสนามจริงทุกครั้ง ผิดกับอีกคนที่เอาเวลามาใส่ใจเขาจนต้องทำงานของตัวเองหามรุ่งหามค่ำแทน

 

          “น้าแก้ว” หลังจากเคาะประตูขออนุญาต เจ้าของเสียงเรียกก็แง้มประตูเข้ามา แก้วปรือตามองอย่างง่วงงุน เขาเพิ่งนอนไปตอนเกือบสว่างจึงยังไม่ลุกจากเตียงแม้จะใกล้เวลาออกไปทำงานตามปกติแล้วก็ตาม วันนี้เขาจะใช้สิทธิ์พนักงานอาวุโสและหุ้นส่วนในการขอลาช่วงเช้าแบบกะทันหันเสียบ้าง หลังจากที่ครองตำแหน่งพนักงานดีเด่นมาตลอดหลายปี

 

          “ว่าไง” เสียงงึมงำแหบแห้ง แต่ก็ตั้งใจรอฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มจะพูด

 

          โชคเดินเข้ามานั่งลงบนขอบเตียง รู้สึกผิดเล็กน้อยที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ช่วงหลังมานี้แก้วนอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเจ้าตัวพูดเสมอว่าไม่เป็นไร ถึงจะไม่ได้ติวให้โชค งานช่วงนี้ก็ล้นมืออยู่แล้ว

 

          “เดี๋ยวผมจะออกไปแล้วนะครับ” พูดบอก ขณะที่เลื่อนมือไปทาบประสานเรียวนิ้วเข้ากับมือของอีกคน

 

          “อืม” แก้วครางรับรู้ ก่อนจะปรือเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง พลางคิดถึงกำหนดการสอบของคนตรงหน้า วันนี้เป็นความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์... “มานี่สิ”

 

          เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่ามานี่ของแก้วคือให้ไปที่ไหน ในเมื่อเขานั่งอยู่ข้างเจ้าตัวจนจะชิดติดกันอยู่แล้ว จนกระทั่งแก้วยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกกอบกุมขึ้นมา ดึงรั้งหลังคอเขาให้ก้มลงไปหา กดจูบแนบแน่นเพียงชั่วพริบตาลงบนขมับ กระซิบแผ่วเบาทว่าอ่อนโยนชิดริมหู

 

          “เธอทำได้อยู่แล้ว ทำให้เต็มที่ก็พอ” ว่าจบก็ผละทิ้งตัวกลับไปนอนจมหมอนต่อ โชคที่เมื่อรู้สึกตัวก็ยิ้มเขินน้อยๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทับไหล่ใต้เสื้อยืดสีขาวตัวบางให้ แล้วค่อยจากไปพร้อมกำลังใจในการทำข้อสอบที่เต็มเปี่ยม

 

          “ครับ”

 

 

 

          ค่ำคืนสุดท้ายของเดือนสาม ในเวลาที่ผลัดเปลี่ยนเข้าสู่เดือนสี่ คะแนนสอบในรายการที่มีสัดส่วนมากที่สุดสำหรับการยื่นเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ประกาศผล สองคนในบ้านตกลงกันว่าจะดูคะแนนด้วยกันผ่านคอมพิวเตอร์ในห้องทำงาน โชคนั่งอยู่หน้าจอ ส่วนแก้วยืนอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่มอีกที มือเรียววางลงบนไหล่ที่กำลังเครียดเกร็งเพราะความกดดันและตื่นเต้น ช่วยบีบนวดให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย

 

          หลังจากที่กดรีเฟรซหน้าเว็บที่ล่มเพราะจำนวนผู้เข้าใช้บริการมากเกินไปอยู่สักพัก หน้าจอลงทะเบียนก็ปรากฏตัว โชคกรอกเลขประจำตัวและรหัสผ่านอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่จะกดยืนยันกลับลังเลขึ้นมา และอีกคนก็สังเกตเห็น

 

          “โชค..”

 

          “ถ้าคะแนนผมออกมาไม่ดีล่ะครับ” ทั้งที่ไม่ได้หันกลับมา แต่ชายหนุ่มก็รู้ได้ว่าเด็กตรงหน้ากำลังทำสีหน้ากังวลใจอยู่แน่ๆ

 

          “...ก็ไม่เป็นไร” คนโตกว่าเลื่อนมือที่วางบนบ่าเปลี่ยนไปใช้วงแขนโอบรอบคอเด็กหนุ่มไว้หลวมๆ จากด้านหลัง “ถ้าเธอยังอยากเรียนสายนี้อยู่ก็ค่อยสอบแล้วยื่นคะแนนใหม่ปีหน้าก็ได้ หรือถ้าเปลี่ยนใจแล้วจะไปเรียนทำอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราวต่อจากเมื่อตอนปิดเทอมที่แล้วก็ยังได้ ชีวิตเธอไม่ได้จบตรงนี้หรอกนะ”

 

          ถ้อยคำแสนอ่อนโยน แก้วไม่ได้กำลังพูดปลอบใจ เขาเพียงแต่พูดสิ่งที่คิดจริงๆ ออกไปเท่านั้น เพราะไม่ว่าโชคจะทำได้ดีในตอนนี้หรือไม่ ในอนาคตก็ไม่แน่นอนอยู่ดี หากโชคเรียนไปแล้วเกิดรู้สึกว่าไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือกับงานสถาปนิก เขาก็ไม่คิดจะบังคับให้อีกฝ่ายฝืนเรียนจนจบ ยังมีหนทางอีกตั้งมากมายให้เลือกเดิน อย่างการทำอาหารที่โชคไปลองลงเรียนคอร์สทำอาหารไทยระยะสั้น กับขนมหวานที่เจ้าตัวลงเรียนควบด้วยมาเมื่อตอนปิดเทอมเล็ก หากคิดว่าชอบมากกว่าเขาก็ยินดีสนับสนุน

 

          ช่วงวัยยี่สิบปีควรได้ใช้ไปกับการลองผิดลองถูก ค้นหาตัวเองให้เจอว่าอยากจะทำอะไรจริงๆ ไม่ใช่ทุ่มเทมันไปกับการเรียนสิ่งที่คิดว่ามั่นคง จนสุดท้ายก็ทรมานกับมันไปอีกกว่าครึ่งชีวิตที่เหลือ

 

          แต่การลองเองก็มีระยะเวลาจำกัด อย่างน้อยก่อนอายุครบสามสิบปี แก้วก็อยากเห็นโชคที่ดูแลตัวเองได้

 

          น้ำหนักที่โถมทับมาพร้อมกับอุณหภูมิจากร่างกาย โชครู้สึกอุ่นใจขึ้นมาที่ด้านหลังเขามีน้าแก้วอยู่ ปุ่มยืนยันถูกกดอย่างเงียบงัน รอจนหน้าจอสีขาวปรากฏช่องตารางคะแนนขึ้นมา

 

          ...ไม่มากไม่น้อย อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องไปวัดดวงเอาตอนประกาศรายชื่ออีกที

 

          “เก่งมากแล้ว” แก้วเอ่ยชมอย่างจริงใจ คนเก่งเลยเงยหน้าขึ้นมาสบตาจากองศาที่ต้องแหงนคอจนสุด โชคเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่มีดวงตาทรงเสน่ห์ แต่เมื่อมองจากมุมของแก้วในตอนนี้ที่อีกฝ่ายกลับหัวหลับหางจึงดูน่าตลกชอบกล

 

          ...ทว่าถึงจะน่าตลก เขาก็ยังโน้มใบหน้าลงไปหา จรดจูบแผ่วเบาลงบนกลีบปากนุ่ม ก่อนจะถอนออกไปด้วยเป็นห่วงสุขภาพกระดูกคอของคนที่ต้องแหงนเกร็งจนปวดตึงไปหมดคนนั้น

 

          “น้าแก้ว..” เสียงเรียกแหบแปร่งสั่นเครือเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้าง และหน้าขึ้นสีเมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว โชครีบหมุนเก้าอี้โต๊ะทำงานกลับมากอดรั้งเอวแก้วไว้แน่น ราวกับกลัวอีกคนจะจางหายไปแล้วที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงภาพฝัน

 

          “หืม ว่าไง” แก้วหัวเราะแผ่ว ยกมือโอบไหล่เด็กหนุ่มตอบ

 

          “ทำไมถึงจูบล่ะครับ” คำถามตรงไปตรงมา โชคอยากรู้ว่าทำไมแก้วถึงจูบเขา ตอนที่ถูกจูบขมับในเช้าวันสอบเขาคิดว่าคงเพราะเอ็นดูและเป็นการให้กำลังใจ แต่ครั้งนี้กลับเป็นที่ปาก และทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มจึงอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายมีใจ แต่ก็หวาดหลัวเหลือเกินว่าจะต้องเจ็บปวดกับการคิดไปเองฝ่ายเดียว

 

          “...แล้วเมื่อก่อนเธอจูบฉันทำไม” ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ย้อนถามกลับ ถึงอย่างนั้นโชคก็ยังคงตอบคำถามอยากจริงจัง

 

          “เพราะผมอยากจูบ”

 

          “ทำไมถึงอยากล่ะ”

 

          “ก็เพราะผมชอบน้าแก้ว...”

 

          “อืม...ฉันเหมือนกัน” โลกทั้งใบเหลือเพียงคนสองคน ในห้องทำงานที่กรุ่นกลิ่นดอกแก้วจากลานอิฐ แก้วประคองใบหน้าเด็กหนุ่มให้มองสบตา แม้รู้ว่าโชคสามารถรอเขาได้อีกแสนนาน แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้โชคต้องรอนานขนาดนั้น “ฉันจูบเธอก็เพราะฉันอยากจูบ อยากจูบก็เพราะว่าชอบ แต่มันคงไม่มากเท่าที่เธอชอบฉันหรอกนะ”

 

          “ไม่เป็นไรครับ” อ้อมกอดรัดกระชับขึ้นอีก แต่ไม่ได้แน่นเกินไปจนทำให้คนถูกกอดรู้สึกอึดอัด เหมือนกับความรักที่โชคมอบให้เขามาตลอด

 

          มากมายไม่ลดละ มั่นคงไม่สั่นคลอน และจริงใจแม้ไร้สิ่งตอบแทน

 

          แก้วไม่เคยแน่ใจว่าควรตอบรับความรู้สึกนั้นไหม ด้วยหัวใจที่มีความรู้สึกเพียงครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้มันคู่ควรกับความรักมากมายขนานนั้นแล้วหรือ แต่เพราะโชคบอกเขาว่าไม่เป็นไร...

 

          “ผมรักน้าแก้วนะ”

 

          “ฉันก็ชอบเธอ โชค”

 

 

 

TBC...

          น้าแก้วตอบรับความรู้สึกของน้องโชคแล้ววววว หลังจากที่ผ่านไปกว่าปีจากวันที่เริ่มเปิดใจ ในตอนนี้ก็อาจจะเป็นตอนที่สั้นไปสักหน่อย แต่ในตอนหน้ารับรองว่ายาวและคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอนค่ะ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ  :mew1:
 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจมากๆ เลย

          ขอบคุณนะคะ

 

          เจอกันวันจันทร์หน้าค่า
          ปล.เพิ่งเห็นว่าสีเหลืองมันกลืนหายไปเลย แง้

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 33 [22.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-10-2020 20:56:49
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 33 [22.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-10-2020 12:33:53
 :กอด1: :o8: :-[ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 34 [26.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 26-10-2020 21:35:09

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 34
 


          ปิดเทอมใหญ่ก่อนเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยนั้นยาวนาน และเป็นช่วงเวลาที่ต้องวัดดวงว่าจะได้ที่เรียนหรือเปล่า โชคต้องยื่นคะแนนครั้งแรกในช่วงปลายเมษา กว่าจะรู้ผลอีกทีก็เกือบกลางพฤษภา และถ้าไม่ได้ก็ต้องยื่นอีกครั้งแล้วหวังว่าปลายเดือนห้า เขาจะได้รับการตอบกลับมาว่าให้ไปสัมภาษณ์จากคณะที่ต้องการ

 

          แต่เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือใช้ชีวิตของเด็กหนุ่มต่อไป

 

          ในเดือนเมษาที่ร้อนแผดเผา วันสงกรานต์โชคออกไปเล่นน้ำกับกลุ่มเพื่อนเพราะถือว่าเป็นปีสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไปตามมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เช่นนั้นแล้วจะขาดใครในแก๊งไปไม่ได้เด็ดขาด กว่าจะกลับถึงบ้านอีกทีฟ้าก็มืดสนิทไปนานแล้ว

 

          แก้วไม่ได้รอกินข้าวเย็นพร้อมกัน เพราะโชคส่งข้อความมาบอกแล้วว่าจะกลับดึก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงนั่งรออยู่ที่โซฟา เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

 

          “น้าแก้ว” โชคเอ่ยทักเสียงใส ตัวยังคงเปียกชื้นทั้งที่หลังเลิกเล่นน้ำก็ไปนั่งกินหมูกระทะกับเพื่อนมาตั้งนานสองนาน

 

          ดวงตาสีเข้มที่ปรือต่ำเพราะความง่วงงุนหันมามองก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปอาบน้ำก่อนสิ”

 

          โชคใช้เวลาไม่นานนักในห้องน้ำ เพราะเขาไม่อยากให้อีกคนต้องรอนาน พอออกมาก็เห็นเพียงเถ้าบุหรี่ที่ยังคงอุ่นอยู่ในที่เขี่ย กับกลิ่นเบาบางที่บอกให้รู้ว่าตัวคนสูบขึ้นห้องนอนไปสักพักแล้ว

 

          “น้าแก้ว” เด็กหนุ่มเคาะแผ่วเบาก่อนเปิดประตูห้องนอนใหญ่เข้าไป เห็นเจ้าของห้องหลับไปแล้ว แต่ยังคงเว้นที่ว่างฝั่งหนึ่งของเตียงไว้อยู่ เขาจึงขยับเข้าไปล้มตัวลงนอนบนนั้น ก่อนจะค่อยๆ ดึงร่างอีกคนมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน...

 

          เหมือนกับความฝัน ความสัมพันธ์ของโชคกับแก้วก้าวไปสู่อีกขั้นแล้ว ไม่ได้นิยามออกมาอย่างจริงจังว่าเป็นอะไร แต่การที่เขาสามารถกอดอีกฝ่ายไว้แบบนี้ได้ตลอดทั้งคืน จูบตอนไหนก็ได้ที่อยากจะจูบ พูดคำว่าชอบบ่อยแค่ไหนก็ได้รับรอยยิ้มกลับมา

 

          ...แค่เพียงเท่านี้ก็ดีเกินกว่าที่เคยหวังไว้แล้ว

 

          โชคซุกปลายจมูกลงในกลุ่มผมของคนในอ้อมกอด หลับตาแล้วสัมผัสอุณหภูมิจากร่างกายที่แนบชิด ภาวนาให้เมื่อยามเช้ามาถึง แก้วจะยังคงอยู่ตรงนี้ไม่จากไปไหน

 

          “โชค” เสียงงัวเงียของคนที่สะลึมสะลือตื่น ก่อนจะพลิกตัวหันมาหา

 

          “ผมทำให้ตื่นเหรอครับ” โชคยิ้มเผล่ แต่ไม่ได้ผ่อนแรงแขนลงเลยแม้แต่น้อย

 

          “เปล่าหรอก ฉันหลับไม่ค่อยสนิทอยู่แล้ว”

 

          “ก็เพราะน้าแก้วสูบบุหรี่ก่อนนอนไงครับ”

 

          “อืม คงงั้น” คนโดนดุไม่จริงจังนักว่า ซุกซบใบหน้าเข้ากับลำคออุ่น ไม่นานก็หลับไปอีกครั้ง

 

          กลิ่นบุหรี่เจือจางบนผิวเนื้อลอยแตะจมูก โชคกดจูบหนักๆ ลงบนหน้าผาก ก่อนไล่ไปตามไรผม เขาไม่ได้ชอบกลิ่นเหม็นไหม้ของใบยาสูบขมปร่า ไม่เคยชอบเลย ทว่ากลับแสนคุ้นเคยและทำให้รู้สึกสงบเมื่อมันติดอยู่บนตัวน้าแก้ว

 

          เช้าวันถัดมาโชคตื่นขึ้นพร้อมกับอาการแสบจมูก สำลักไอจนดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอ แก้วได้แต่ยื่นทิชชู่ให้ พลางช่วยลูบหลังแม้มันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากก็ตาม

 

          หลังจากนั้นแก้วก็เลิกสูบบุหรี่ก่อนเข้านอน เมื่อในตอนนี้บนเตียงของเขามีเด็กจมูกไวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

 



 

          พายุฤดูร้อนทำฝนฟ้าคะนองตอนปลายเดือนเมษา ลมกรรโชกแรงจนต้องปิดหน้าต่างห้องนั่งเล่น แก้วไม่ได้ออกไปทำงาน เพราะไม่อยากขับรถฝ่าม่านเม็ดฝนที่โหมกระหน่ำจนทิวทัศน์รอบข้างพร่าเบลอขมุกขมัวชวนเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้

 

          “เอากาแฟไหมครับ” ช่วงสายที่ท้องฟ้าขาวโพลนด้วยมวลเมฆ โชคแวะเข้ามาถามคนในห้องทำงานอย่างใส่ใจ

 

          “อืม ขอบใจ” แก้วตอบทั้งที่ยังหรี่ตาจ้องจอคอมอยู่ แว่นสายตาของเขาดูท่าว่าคงต้องเปลี่ยนใหม่อีกรอบแล้ว

 

          เด็กหนุ่มหายออกไปเพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมแก้วกาแฟหอมกรุ่น ยื่นส่งให้ถึงมือและแถมบริการนวดไหล่ให้ด้วย

 

          “ตอนเที่ยงกินอะไรดีครับ”

 

          “เธอจะทำอะไรล่ะ”

 

          “มีปลาอยู่ ผมเลยว่าจะทอด แล้วก็อาจจะต้มยำอะไรอีกสักอย่าง”

 

          “อืม ก็เอาตามนั้นแหละ”

 

          “ครับ” บทสนทนาประจำวันเกี่ยวกับเมนูอาหารจบลงไป แต่โชคก็ยังไม่ผละไปไหน ยังคงตั้งใจบีบนวดบ่าไหล่ไล่ไปจนถึงหลังคอให้ชายวัยกลางคนที่นั่งหลังขดหลังแข็ง สลับระหว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์กับแผ่นกระดาษเอสามบนโต๊ะทำงานรูปตัวแอลไปมาตั้งแต่ตื่นนอน แก้วเองก็ไม่ได้ว่าอะไร หนำซ้ำยอมพักจากงาน หลับตาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ปล่อยให้เด็กหนุ่มช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้ด้วยท่าทีสบายๆ

 

          “น้าแก้ว...” ดวงตาสีเข้มปรือขึ้นเพียงเล็กน้อยพร้อมเสียงครางรับในลำคอ รอคอยให้อีกฝ่ายพูดต่อจนจบ “ไปทะเลกันไหมครับ”

 

          แก้วลืมตาขึ้น เขาพร้อมตอบรับคำชวนนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องวันเวลาที่จะไปอยู่ พอดีกับที่เหลือบไปเห็นกรอบรูปทำมือที่ถูกวางคว่ำไว้ใกล้กับโคมไฟมุมโต๊ะทำงาน

 

          ...กรอบรูปไม้อัดประดับประดาด้วยเปลือกหอยคละรูปร่างกับกากเพชรหลากเฉดของสีน้ำทะเล และภาพถ่ายของคนสามคน

 

          ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันถูกคว่ำลงซุกซ่อนรอยยิ้มสุขสันต์เอาไว้ อาจจะตั้งแต่ที่รู้ว่ารอยยิ้มเหล่านั้นจะไม่มีวันหวนคืนกลับมา หรืออาจจะแค่เพราะว่ามันบังเอิญล้มพับลงมาเองแล้วเจ้าของโต๊ะไม่ทันสังเกตจึงไม่ได้หยิบตั้งขึ้นคืน

 

          แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน แก้วก็ไม่ได้คิดจะจัดวางมันให้เข้าที่ ปล่อยให้มันคว่ำปิดอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ที่โชคหมุนเก้าอี้เขาให้หันไปหา ในเวลาที่จูบกันเขาก็อยากมองเพียงคนตรงหน้า ไม่ใช่สบตากับเงาของใครอีกคนที่สะท้อนอยู่บนรูปภาพเก่าเก็บ

 

          “ไปทะเลกันนะครับ” หลังจากถอนริมฝีปากออกไป โชคก็เอ่ยซ้ำ ทว่าไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำวอน ดวงตาคู่สวยมองตรงมาอย่างออดอ้อน แก้วเลยบีบปลายจมูกของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยวทีหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้เจ้าหมาที่รอคอยคำตอบ

 

          “อืม ไว้ไปกัน”

 



 

          พฤษภาเข้ากลางเดือนด้วยความเคร่งเครียด การยื่นคะแนนรอบแรกของโชคไม่ผ่าน ในขณะที่เพื่อนรักอย่างมิกซ์ติดสัมภาษณ์ลำดับสุดท้ายพอดี เด็กหนุ่มจึงยื่นรอบต่อไปที่เดิมอีกครั้ง แต่เพิ่มสาขาอื่นนอกจากสถาปัตยกรรมหลักไปด้วย

 

          วันเวลาเดินช้าจนน่าหงุดหงิดเมื่อรอคอยบางสิ่งบางอย่าง เพียงแค่สัปดาห์ที่สองไปจนถึงปลายเดือนก็เหมือนกับครึ่งชีวิต แต่การรอคอยของโชคก็คุ้มค่า เมื่อปลายเดือนนั้นเขาได้รับผลว่าติดรอบสัมภาษณ์ ซึ่งก็ราวกับก้าวขาเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยในฝันแล้วข้างหนึ่ง

 

          “กูบอกแล้วยังไงมึงก็ติด” เสียงจากปลายสายเปลี่ยนจากกังวลเป็นร่าเริงสดใสในพริบตาที่โชคเอ่ยบอกข่าวดี

 

          “อือ แล้วสอบสัมภาษณ์ยากไหมอะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่เคยผ่านการสอบขั้นสุดท้ายมาก่อน

 

          “ไม่นะ เขาก็ถามนู่นนี่เฉยๆ กูก็ตอบไปตามตรง อะไรรู้ไม่รู้ ยังไงก็ไปเรียนเพื่อรู้อยู่แล้วอะ”

 

          “โอเค ขอบใจนะมิกซ์”

 

          “ขอบใจไรกูอะ” เสียงหัวเราะแผ่วเบาแว่วมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ ก่อนมิกซ์จะพูดต่อ “มึงทำได้อยู่แล้วเว้ยโชค”

 

          และเมื่อจบสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน โชคก็ได้ที่เรียนแน่นอนอย่างเป็นทางการ เหมือนกับเพื่อนสนิทที่จะได้กอดคอเรียนด้วยกันไปอีกห้าปี ในคณะเดียวกันแม้จะต่างสาขาวิชา

 

          ...คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรมหลักของมิกซ์ และสถาปัตยกรรมภายในของโชค

 



 

          มิถุนายนล่วงเลยเข้าสู่ช่วงท้ายของเดือน โชคอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ จากเด็กหนุ่มสู่การเริ่มต้นการเป็นผู้ใหญ่ ในสายตาของแก้วเด็กชายของเขาโตขึ้นทุกๆ ปีอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้กลับรู้สึกว่าเจ้าหนูคนนั้นเติบโตขึ้นกว่าทุกวันเกิดที่ผ่านมา

 

          ทั้งที่เคยตัวเล็กแค่เขาโอบอุ้มด้วยแขนข้างเดียว ตอนนี้กลับตัวใหญ่เสียยิ่งกว่าเขา

 

          ทั้งที่เคยตัวสั่นกลั้นน้ำตา ตอนนี้กลายเป็นมีรอยยิ้มกว้างติดใบหน้าอยู่เสมอ

 

          ทั้งที่เคยเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เก็บมาจากข้างถังขยะกลางพายุฝน ตอนนี้กลับกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของบ้าน

 

          จากแค่คนแปลกหน้า สู่การเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับคนรู้ใจ

 

          “สุขสันต์วันเกิด” ถ้อยคำที่ยังคงมีความหมายไม่ต่างจากครั้งแรกที่เคยเอ่ย

 

          ...ยินดีที่เธอได้เกิดมา

 

          “ขอบคุณครับ” โชคยิ้มรับ ฝังหน้าเข้ากับหน้าท้องเจ้าของตักที่เขากำลังหนุนนอน โอบรอบเอวสอบแน่นพลางถูหน้าไปมาเหมือนหมาอ้อนเจ้าของไม่มีผิด

 

          แก้วปล่อยให้โชคทำตามใจ พลางลูบกลุ่มผมที่เริ่มยาวจนไม่ตำมือเพราะไม่ได้ตัดตั้งแต่ปิดเทอมของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

 

 

 

          คืนนั้นโชคมานอนห้องแก้วเหมือนอย่างที่ทำประจำในช่วงสองสามเดือนมานี้ แต่พอตกดึกกลับลุกลงจากเตียง เจ้าของห้องนอนใหญ่ที่ยังหลับไม่สนิทลืมตาตื่นเมื่อไออุ่นที่แนบชิดแผ่นหลังจางหายไป

 

          แก้วไม่ได้ตามออกไปดู เขารู้ว่าชายหนุ่มวัยยี่สิบปีหายไปไหน เหมือนกับหลายๆ คืนที่ผ่านมา และยามเช้าที่เขารับรู้ได้ถึงร่างกายที่ตื่นตัวของอีกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรในเมื่อโชคเองก็เป็นผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ที่สุขภาพแข็งแรงดีคนหนึ่ง...

 

          แต่ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แก้วก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี

 

          ปัญหาไม่ใช่เรื่องของการมีเซ็กส์ แก้วผ่านโลกมาเนิ่นนานเกินครึ่งชีวิต ทั้งยังรู้ขั้นตอนก่อนมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันดี แต่เป็นความรู้สึกต่างหากที่ทำให้เขายังคงลังเลใจ โชคไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อน ถึงจะเกือบๆ กับแฟนเก่าตามคำบอกเล่าของเจ้าตัว แต่ก็ยังไม่ได้เกินเลยถึงขั้นนั้น

 

          แก้วรู้ว่าโชครักเขา แต่นั่นก็เป็นคนละเรื่องกัน เซ็กส์นั้นสะเปะสะปะและน่าตลก ทำให้รู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้งดงามหอมหวานเหมือนอย่างในภาพฝัน มันมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ความชอบ ความต้องการ ทุกอย่างล้วนต้องปรับเข้าหาคู่นอน ...หากสุดท้ายแล้วเขากับโชคเข้ากันไม่ได้จะทำอย่างไร ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการคบหาระหว่างคู่รัก

 

          และหากพวกเขาผ่านมันมาได้ด้วยดี แก้วก็ยังมีสิ่งที่ต้องคิดอีกอยู่

 

          สัมผัสทางกายที่ลึกซึ้ง จะยิ่งนำความรู้สึกให้แนบแน่น ความสัมพันธ์ของเขากับโชคจะขยับก้าวไปอีกขั้น และมันจะเป็นก้าวที่ไม่อาจถอยหลังได้อีก แล้วพอถึงตอนนั้น ความรู้สึกที่มีไม่เท่ากันตั้งแต่แรกจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาหรือเปล่า

 

          ...ฟู่ฟ่อง ล่องลอย ร่วงหล่น แตกสลาย

 

          เพราะราคาความเสี่ยงของความรักนั้นสูงเสมอ

 

          โชคกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากหายไปเกือบครึ่งชั่วโมง ค่อยๆ แทรกตัวลงใต้ผ้าห่มอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะทำอีกคนตื่น แต่อีกคนนั้นตื่นอยู่แล้ว แก้วพลิกตัวหันมาหา ขยับหัวเข้าไปอิงซบติดหัวไหล่กว้าง เลื่อนมือลงไปกุมเกี่ยวเข้ากับเรียวนิ้วของอีกฝ่าย

 

          “โชค เธออยากทำไหม” เอ่ยถามเพียงแผ่วเบา แต่ก็มั่นคงไม่สั่นไหว

 

          “ครับ? ทำอะไร” ในตอนแรกโชคยังไม่เข้าใจความนัยน์กำกวม กระทั่งได้สบเข้ากับดวงตาสีเข้ม แม้ในความมืดสลัวราง ก็ยังเห็นมันแวววาวอย่างเชิญชวน

 

          “เซ็กส์” คำตอบเรียบง่าย แต่กลับเรียกความร้อนวูบแล่นพล่านไปทั่วร่างของผู้ฟัง โชครู้สึกเอียงอายเกินกว่าจะมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ทั้งที่ก็เคยปล่อยร่างกายไหลไปตามอารมณ์จนเกือบเลยเถิดกันมาแล้วในวันวาน แต่พอถูกถามตรงไปตรงมาแบบนี้กลับรู้สึกขลาดเขินเหลือเกิน

 

          ทว่าแม้จะเขินอาย ก็ยังคงพยักหน้าตอบ

 

          “ครับ”

 

          “อือ” มีเพียงเสียงครางเครือในลำคอบ่งบอกว่ารับรู้แล้ว และโดยดุษณี โชคก็เข้าใจได้ว่ายังไม่ใช่ในวันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องการสัมผัสแนบชิดที่จะมาช่วยปลอบโยนหัวใจที่กำลังเต้นเร่า

 

          รสจูบร้อนฉ่า ทว่าไม่เร่งรีบ ค่อยๆ ละเลียดชิมรสรักหวานฉ่ำอย่างอ่อนโยน ความหวามไหวไหลผ่านจากปลายลิ้นสู่กลางอก ความอบอุ่นแล่นริ้วจากปลายนิ้วที่สอดประสานสู่กลางหัวใจ ทีละเล็กทีละน้อย...

 

          แก้วคิดว่าคำว่ารักของเขาคงใกล้ตรงกันกับของโชคแล้ว

 



.....
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 34 [26.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 26-10-2020 21:36:26
.....
 





          วันเสาร์แรกของเดือนกรกฎาคม แก้วที่กินอาหารรสอ่อนมาตั้งแต่วันศุกร์กินแค่ข้าวต้มเป็นมื้อสาย พอฟ้ามืดก็เข้าไปอาบน้ำอยู่นานกว่าจะกลับออกมาเปลี่ยนให้อีกคนไปอาบบ้าง โชครู้สึกใจสั่นอย่างตื่นเต้นและเป็นกังวลไปพร้อมกัน

 

          หลังจากวันนั้นที่น้าแก้วถามว่าเขาอยากทำไหม และคำตอบของเขาคือใช่ เขาอยากทำ อยากกอดแก้วให้ลึกซึ้งที่สุด อยากหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แม้จะเพียงร่างกายและยืนยาวเพียงชั่วข้ามคืน แต่คนเราก็มีความละโมบอยากกลืนกินตีตราเสมือนว่าเป็นเจ้าของคนที่ตนรักกันอยู่แล้วทั้งนั้น...

 

          โชคยืนระส่ำระส่ายอยู่หน้าประตูห้องนอนใหญ่ ใจเขาเปิดประตูเข้าห้องไปรอก่อนแล้ว แต่ร่างกายกลับยังละล้าละลังอย่างประหม่า ...มันจะเป็นครั้งแรกของเขา แม้ว่าจะเคยสัมผัสร่างกายตัวเอง และเคยได้มีช่วงเวลาวาบหวามเกือบเกินเลยกับแฟนสาวคนแรกมาก่อน แต่นั่นมันแตกต่างไปจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง

 

          ...กับแพร ส่วนหนึ่งในความรุ่มร้อนนั้นมากจากความอยากรู้อยากลองตามประสาวัยรุ่น และความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อกันนั้นก็ยังคงเบาบางผิวเผิน แม้แพรจะชอบโชคมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเรียกได้ว่ารัก เหมือนกันกับที่โชคชอบแพรเพราะเป็นความสบายใจ ไม่ใกล้คำว่ารักเลยสักนิด

 

          ส่วนในตอนนี้ คนที่อยู่หลังบานประตูกั้นคือน้าแก้ว... คือแก้วที่เขารักจนหมดใจ ความรู้สึกลึกซึ้งหยั่งรากมั่นคงจนหาไม่เจอแล้วว่ามาจากที่ตรงไหน และน้ำหนักของการตัดสินใจที่จะทำกันต่อจากนี้ก็ห่างไกลจากคำว่าอยากรู้อยากลองไปมากเหลือเกิน

 

          เขากำลังจะได้ร่วมรัก อย่างจริงจังกับคนเดียวที่เป็นเจ้าของหัวใจ

 

          หลังจากรวบรวมความกล้าทั้งชีวิต โชคก็บิดลูกบิดประตูเข้าไป เอ่ยเรียกเสียงแหบแห้ง “น้าแก้ว...”

 

          คล้ายว่าคนในห้องรับรู้ถึงตัวตนของเขาที่ยืนใจฝ่ออยู่หน้าห้องมาสักพักแล้ว ใบหน้าที่ปกติจะเรียบเฉยจึงดูผ่อนคลายลงอย่างนึกเอ็นดู แก้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง กวักมือเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มานี่สิ”

 

          ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ย้ายตัวเองไปหยุดยืนข้างเตียง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อเลยได้แต่ยืนนิ่งๆ ฝ่ายคนเจนสนามยกยิ้มปลอบโยน คว้าข้อมือออกแรงดึงเป็นคำใบ้ให้นั่งลงเสียที ก่อนจะค่อยๆ ดึงรั้งให้ร่างกายเครียดเกร็งขยับเข้ามาใกล้... ใกล้จนลมหายใจร้อนผ่าวลามเลียใบหน้ากันและกัน

 

          “ไม่เป็นไร ครั้งแรกของทุกคนมันก็ดูตลกแล้วก็น่าอายกันทั้งนั้นแหละ” คำพูดใกล้เคียงกับที่เคยเอ่ยสอนเด็กวัยรุ่นไปในวันวานถูกใช้อีกครั้ง ทุกคำล้วนมาจากประสบการณ์ของชายวัยกลางคนเอง

 

          ตลก เพราะร่างกายที่ขยับเงอะงะอย่างไม่คุ้นชิน

 

          น่าอาย เพราะเมื่อเวลาผ่านไปจะนึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้

 

          แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นประสบการณ์ให้ได้เรียนรู้

 

          พื้นฐานชีวิตคนเราเองก็ไม่ต่างไปจากการมีเซ็กส์นักหรอก

 

          ริมฝีปากแนบชิดบดเบียดกันอย่างนุ่มนวล ร่างกายที่เคยแข็งเกร็งเริ่มผ่อนคลายลงโอนอ่อนตามสัมผัสหวามไหว แก้วทิ้งตัวลงจนแผ่นหลังแนบเข้ากับเตียง ปล่อยให้คนเด็กกว่าทาบทับอยู่ด้านบน พวกเขาจูบกัน ก่อนจะผละออกเพื่อสบตาแล้วจูบกันใหม่ ยิ่งเวลาผ่านไปความร้อนก็ค่อยๆ แผดเผาให้ความกังวลหรือเนียมอายมอดไหม้ไปจนหมดสิ้น

 

          ฝ่ามือร้อนแทรกสอดเข้าไปลูบผ่านผิวกายใต้เนื้อผ้า ริมฝีปากฉ่ำชื้นลากไล้สัมผัสไปตามเรียวคางยาวถึงลำคอก่อนจรดลงที่ไหปลาร้านูนเด่น โชคพยายามจะถอดเสื้อนอนสีเข้มที่กั้นขวางเขากับผิวเนื้อของอีกฝ่ายออก แต่แก้วรั้งมือเขาเอาไว้เสียก่อน

 

          “จะเปิดไฟทำหรือปิดไฟ” คำถามในช่วงที่ความต้องการพุ่งทะยานทำเอาชายหนุ่มหยุดชะงัก แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจถึงความสำคัญของคำถาม เพราะเป็นครั้งแรกของเขา มันจึงมีความกระดากอายที่อยากซุกซ่อนเอาไว้ในเงามืด แต่อีกใจก็อยากจะเห็นใบหน้าของน้าแก้วเหลือเกิน อยากเห็นร่างกายที่เขาจะได้สัมผัสให้ชัดเจนเต็มสองตา และเพราะความปารถนาจะจดจำภาพคนที่รักเอาไว้มีมากกว่า โชคจึงเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล

 

          “เปิดไฟครับ”

 

          “อืม” ตอบรับเพียงเท่านั้น เสื้อยืดที่สวมใส่ก็ถูกถอดออกอย่างง่ายดาย โชคไล่สายตามองแผ่นอกแบนราบที่มีขี้แมลงวันแต้มอยู่ทางด้านขวา นิ้วเรียวยาวแตะลงอย่างแผ่วเบาตรงจุดสีเข้ม ก่อนจะโน้มตัวไปจูบลงบนนั้นทั้งหัวใจที่เต้นรัว

 

          เรียวลิ้นร้อนแลบเลียชิมรสผิวกายกรุ่นกลิ่นสบู่อ่อนจาง ลากไล้เข้าใกล้ยอดอกสีน้ำตาลอ่อนอย่างไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไร แก้วหัวเราะขบขันกับท่าทีใสซื่อนั้น มือเรียวช่วยประคองศีรษะของอีกฝ่ายให้ขยับไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พูดบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

          “ค่อยๆ เลีย ไม่ต้องรีบ อืม...ดูดเบาๆ แบบนั้นแหละ” เป็นคำพูดลามกที่ฟังดูนุ่มนวลเหลือเกินเมื่อออกจากปากของแก้ว โชคเหลือบตาขึ้นมามองสบ เห็นแววในดวงตาสีเข้มที่ทอดมองเขาอย่างอบอุ่น จนไม่แน่ใจนักว่าน้าแก้วกำลังมองเขาด้วยความรู้สึกของแม่ที่กำลังให้นมลูกน้อยอยู่หรือเปล่า...

 

          แต่ก็คงไม่ใช่ ในเมื่อมันทอประกายแวววาวอย่างเย้ายวน และเคล้าด้วยเสียงครางเครืออย่างพึงพอใจ

 

          แก้วไม่ได้แสดงท่าทีขัดเขินสมกับที่โชกโชนประสบการณ์ ขยับร่างกายนำอีกคนให้เคลื่อนไหวไปอย่างถูกที่ถูกทาง การเล้าโลมไม่ได้เนิ่นนานนักเมื่อถูกทำโดยคนไม่ประสา ก่อนที่มันจะกลายเป็นน่าเบื่อแก้วก็หยัดตัวขึ้นเผชิญหน้า กลายเป็นฝ่ายเร้าร่างกายคนหนุ่มที่อารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้เตลิดฟุ้งขึ้นไปอีก

 

          เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องจนสองกายเปลือยเปล่า แก้วใช้มือรูดรั้งส่วนตื่นตัวจนแข็งขึงปริ่มจะรินหลั่งออกมา จากนั้นก็คว้าเอาถุงยางที่เตรียมไว้จากโต๊ะข้างหัวเตียงมาฉีกซองสวมใส่ให้อย่างช่ำชอง โชคมองคนตรงหน้าเทเจลหล่อลื่นใส่มือจนชุ่ม สองเข่าแยกออกให้ได้ระยะฐานมั่นคง ก่อนยกสะโพกขึ้นเพื่อตระเตรียมช่องทาง

 

          ใบหน้าชวนมองของชายวันสี่สิบสองเชิดขึ้นเล็กน้อย แผ่นอกขยับไหวตามจังหวะการหายใจที่แรงกว่าปกติ ขณะที่เรียวนิ้วค่อยๆ แทรกสอดเข้าไปในร่างกาย เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันในช่วงแรกๆ ที่ดูติดขัดเพราะห่างหายไปหลายปี แต่ไม่นานก็ปรับตัวได้ด้วยร่างกายยังคงจดจำสัมผัสคุ้นเคยที่ผ่านมาได้อยู่

 

          นี่คงเป็นสิ่งที่อาธีร์ได้เห็นตลอดมา... อยู่ๆ โชคก็คิดถึงชายร่างสูงใหญ่ ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและครอบครองรอยยิ้มดุจดวงตะวันคนนั้นขึ้นมา

 

          หัวใจบีบรัดแน่นจนเจ็บปวด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาคิดถึงเอาตอนนี้ด้วย ในตอนที่เขากำลังจะได้โอบกอดเติมเต็มคนที่เขารักหมดหัวใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเมื่ออยู่บนเตียงหลังเดียวกับที่ใครคนนั้นเคยโอบกอดแก้วไว้ เคยจูบ เคยลูบไล้ เคยแทรกกายเข้าไป...ก่อนเขา

 

          หึงหวง ชื่อของความรู้สึกที่ก่อร่างขึ้นมาภายในใจ

 

          โชคโถมตัวเข้าไปคว้ากอดแก้วเอาไว้ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่เตรียมตัวไม่เสร็จ แก้วงุนงง แต่ก็ใช้มือข้างที่ว่างโอบกอดตอบ ลูบหัวลูบหลังอย่างปลอบประโลมทั้งที่เขาไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าตัวโชคกำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่แสนเปราะบาง

 

          “เป็นไร หืม” แก้วถอนนิ้วออกจากช่องทางที่พร้อมใช้งานแล้ว ขยับขึ้นคร่อมบนตักจัดท่าให้ได้องศาสอดใส่ แต่ไม่ได้รีบร้อนเร่งทำอะไร ทิ้งเวลาให้ไหลผ่านไปกับการจ้องตา

 

          “ย้ายไปทำต่อที่ห้องผมได้ไหมครับ” เด็กน้อยเว้าวอน ดวงตาคู่สวยที่มองสบฉายชัดทุกความรู้สึก หากแต่มีมากเกินไปจนแก้วเดาไม่ออก

 

          “ทำไมล่ะ” โชคฝังหน้าเข้ากับแผ่นอกแน่นเนื้อ อู้อี้ตอบกลับมาไม่เต็มเสียงนัก “เพราะว่าน้าแก้ว.. กับอาธีร์...ที่นี่”

 

          แก้วเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร สองแขนจึงกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่น

 

          “ถ้าเพราะเรื่องนั้น ฉันกับธีร์ก็เคยทำกันในห้องนั้นเหมือนกันนะ” คำบอกกล่าวทำให้คนที่ถูกกอดชะงักงัน อยากจะเอ่ยถามรายละเอียด แต่ในใจก็ร่ำร้องว่าไม่อยากรู้ และดูเหมือนคนโตกว่าจะเข้าใจความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี

 

          จูบอ่อนโยนแนบชิดลงมา ไล่จากหน้าผากมาจนถึงปลายจมูกแล้วผละห่าง ดวงตาสีเข้มจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาคมสวยที่กำลัง...น้อยใจ

 

          “เรื่องที่ฉันกับธีร์เคยมีอะไรกันทำให้เธอรู้สึกแย่เหรอ” ต้นเหตุความน้อยใจเอ่ยถาม

 

          “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น” คนขี้น้อยใจส่ายหน้าปฏิเสธ

 

          “แล้วทำไมล่ะ”

 

          “เพราะว่า... เพราะพอผมคิดว่าอาธีร์เคยกอดน้าแก้วแบบไหน ผมก็รู้สึก..โกรธ...”

 

          “หึงฉันเหรอ”

 

          “...ครับ” ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยสักนิด

 

          “โชค” เมื่อถูกเรียกชื่ออย่างอ่อนโยน โชคก็ยอมโอนอ่อนตามที่อีกฝ่ายชี้นำ แผ่นหลังพิงสัมผัสกับหมอน ในขณะที่คนข้างบนขยับถอยไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “เรื่องของฉันกับธีร์มันผ่านไปแล้ว”

 

          “ผมรู้ แต่...” พูดได้เท่านั้นก็หาคำอธิบายต่อไม่ได้ ในเมื่อตัวเองยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวเลย

 

          “เธอคิดว่าเพราะฉันเคยนอนกับธีร์ก็เลยเป็นของธีร์ก่อนเธอใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดถูก ตรงประเด็นจนโชคได้แต่หยักหน้ารับ แก้วถอนหายใจ “เด็กน้อย ...แค่เพราะฉันเคยนอนกับใครไม่ได้หมายความว่าฉันจะกลายเป็นของคนนั้น ฉันไม่เคยเป็นของธีร์ และจะไม่มีวันเป็นของเธอ ฉันเป็นของตัวฉันเอง”

 

          “...ครับ” โชคเข้าใจในสิ่งที่แก้วบอก แม้จะรู้สึกวูบโหวงในใจกับคำว่าจะไม่มีวันเป็นของเขาก็ตาม แต่เพราะน้าแก้วเป็นน้าแก้ว เป็นคนคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของตัวเองเหมือนกับทุกๆ คน ไม่ใช่สิ่งของที่ต้องมีเจ้าของครอบครอง นั่นคือความเคารพตัวเองที่แก้วมี และการทำความเข้าใจยอมรับมันก็คือการเคารพผู้อื่นที่โชคควรกระทำ... แม้จะทำใจยากลำบากก็จำเป็นต้องทำ

 

          มือเรียวยื่นมาแตะสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม เชื้อเชิญให้มองสบตากันอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่มีแววยั่วยวนเร่าร้อนสะท้อนอยู่ มีเพียงความจริงใจแสนอ่อนโยน

 

          “คนที่ฉันอยู่ด้วยตอนนี้คือเธอนะ” ประโยคเรียบง่ายที่มีความหมายตรงตัว สำหรับโชคแล้วมันกลับให้ความรู้สึกลึกซึ้งราวคำบอกรัก

 

          “ครับ” รับคำเสียงอ่อน ก่อนจะคว้าตัวคนตรงหน้าเข้าไปกอดแน่น ร่างกายยังคงร้อนผ่าวด้วยอารมณ์ความต้องการ แต่หัวใจกลับสงบเพียงได้มีอีกคนอยู่ในอ้อมแขน

 

          เวลาเดินผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง แก้วทิ้งหัวซบไว้บนอกอุ่นเปลือยเปล่า ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอชวนกล่อมให้จมสู่นิทรา ทว่าส่วนกลางตัวที่แข็งขึงบดเบียดกับหน้าท้องเขากลับกำลังอ้อนวอนว่าอย่าเพิ่งนอนในตอนนี้

 

          “ทำต่อไหม” แก้วว่า และเมื่อโชคพยักหน้า เขาก็ขยับเปลี่ยนท่าให้พร้อมสำหรับการร่วมรัก

 

          ชายวัยกลางคนนั่งคร่อมตักชายหนุ่ม บีบเจลหล่อลื่นชโลมส่วนกลางกายที่อ่อนลงเล็กน้อย แล้วสัมผัสกระตุ้นให้ตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนสวมถุงยางอันใหม่ให้พร้อมกับใส่ให้ตัวเอง เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพก็ทำการสอดใส่อย่างใจเย็น

 

          แก้วค่อยๆ ทิ้งสะโพกลงรับเอาโชคเข้ามาจนเต็มแน่น แม้จะตระเตรียมช่องทางมาแล้วแต่ก็ยังคงคับแคบเกินไปสำหรับของจริง ฝ่ายที่ต้องทนรับความเจ็บปวดนิ่วหน้า เอนหน้าผากอิงซบกับไหล่กว้างอย่างต้องการที่พักพิง ขยับเนิบนาบจนในที่สุดก็รับเข้ามาได้สุดความยาว โชคกัดฟันพยายามอดทนกับความรุ่มร้อนและอ่อนนุ่มที่ตอดรัด แต่เขายังเป็นแค่ลูกเจี๊ยบอ่อนหัดในกิจกรรมบนเตียง สุดท้ายก็ทำได้แค่คว้ากอดแก้วแน่น หัวใจเต้นระรัว ลมหายใจหอบขาดห้วง แล้วหลั่งหยาดอารมณ์ออกมาเต็มถุงยาง

 

          ฝ่ายคนเจนสนามรับรู้ได้ถึงส่วนสำคัญที่กระตุกเกร็งในร่างกาย โชคเสร็จเพียงแค่เพราะการขยับเคลื่อนไหวเชื่องช้า เด็กน้อยของเขาก้มหน้างุดอย่างอับอาย แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้สึกอายเสียหน่อย ภาพจำจากหนังโป๊ที่สร้างความคิดที่ว่าการเสร็จเร็วเป็นเรื่องน่าหัวเราะนั้นไร้สาระสิ้นดี ร่างกายคนตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบ คนเรามีเซ็กส์ก็เพื่อให้เสร็จสม แล้วทำไมการที่ร่างกายตอบสนองตามธรรมชาติถึงกลายเป็นเรื่องน่าขายหน้าไปได้ แม้ว่ามันจะจริงที่หากเสร็จเร็วเกินไป ก็อาจจะทำให้คู่นอนพอใจไปด้วยไม่ได้

 

          แต่กับโชคที่นี่เพิ่งเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นและประหม่ายังมีอยู่มาก ในครั้งต่อๆ ไปที่ร่างกายเริ่มคุ้นชินแล้วก็คงทำได้นานขึ้นกว่าเดิมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

 

          “โชค ไม่เป็นไรหรอกนะ” แก้วกระซิบเรียกเสียงหวานอย่างปลอบโยน ยกสะโพกให้หลุดจากการเชื่อมต่อของสองกาย รูดรั้งถุงยางที่เต็มไปด้วยสารคัดหลั่งมามัดปากแล้วทิ้งลงถังขยะข้างเตียง ก่อนจะหยิบอันใหม่มาพร้อมกับใบหน้าที่เคลื่อนลงต่ำลงไปตรงหว่างขาที่ส่วนชูชันยังคงแข็งตัวอยู่ครึ่งๆ กลางๆ

 

          “น้าแก้ว!” โชคร้องเรียก รีบใช้สองมือจับตรึงใบหน้าคนโตกว่าไว้เพื่อให้หยุดการกระทำ ถึงแม้จะอ่อนประสบการณ์ แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร และเพราะกระดากเขินเกินกว่าจะรับไหว พวงแก้มแดงซ่านลามถึงหูจนเห่อร้อนไปหมด

 

          “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” เพราะศีรษะถูกจับตรึงไว้ แก้วจึงใช้มือแทน และก่อนที่โชคจะทันได้ปริปากว่าอะไรอีก เรียวลิ้นฉ่ำชื้นก็แตะลงบนส่วนปลาย ความรู้สึกสะท้านวาบวิ่งปั่นป่วนไปทั่วช่องท้อง เรี่ยวแรงในมือที่ค้ำดันใบหน้าแก้วไว้หดหาย สุดท้ายก็เหลือเพียงความเสียวซ่านจากโพรงปากร้อนชุ่มที่ปรนเปรอให้ล่องลอย

 

          โชคครางแผ่วเมื่อความต้องการทะยานสูง แก้วถอนปากออกแล้วสวมถุงยางให้อีกครั้ง ก่อนจะคว้าหมอนมารองบั้นเอวแล้วดึงให้ชายหนุ่มขึ้นมาคร่อมอยู่ด้านบนแทน เรียวขาแยกออกกว้างพอให้อีกฝ่ายแทรกกายอยู่ตรงกลาง เกี่ยวกระหวัดรั้งสะโพกให้แนบชิดบดเบียดตรงจุดที่จะใช้เชื่อมต่อ คนหนุ่มรู้งานโดยไม่ต้องให้บอกเป็นคำพูด หยิบเจลหล่อลื่นมาใช้อีกครั้ง ก่อนค่อยๆ แทรกกายเข้าไปเนิบช้าเพราะกลัวจะทำอีกฝ่ายเจ็บ

 

          ฝ่ายคนโดนสอดใส่เชิดหน้าขึ้นหลับตาเมื่อร่างกายที่คุ้นชินกับสิ่งแปลกปลอมแล้วเริ่มส่งความรู้สึกวาบหวามไปตามเส้นประสาท ยิ่งเมื่อตรงนั้นของโชคเคลื่อนผ่านจุดกกระสันในตัวก็ยิ่งหอบครางอย่างรัญจวน กระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาจนสุดความยาวแล้วแช่ค้างไว้อย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ ดวงตาสีเข้มจึงค่อยปรือเปิดแล้วเบนกลับขึ้นมองคนบนตัว

 

          ...เด็กน้อยของเขากำลังร้องไห้

 

          “ร้องไห้ทำไม” แก้วถาม ยกมือขึ้นลูบปาดหยดน้ำตาที่ไหลริน

 

          “ผมไม่รู้...” โชคตอบเสียงสั่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้ทำไม เพียงแต่ในตอนที่เขาอยู่ข้างในตัวแก้ว เมื่อได้มองคนใต้ร่างอย่างเต็มตา เรือนผมยาวเคลียบ่าสยายอยู่บนผ้าปู มีบางปอยที่เปียกชุ่มเหงื่อแนบลู่ไปกับลำคอ ขี้แมลงวันบนอกราบกับอีกแต้มจุดข้างสะดือเด่นชัดเมื่อร่างกายเปล่าเปลือย ใบหน้าที่ปกติจะนิ่งเฉยแสดงอารมณ์ความต้องการออกมา เสียงหอบครางเครืออย่างพึงพอใจก็ด้วย ...ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเขา

 

          เพียงแค่คิดว่าในที่สุดก็ได้โอบกอดแก้วจนลึกสุดใจขนาดนี้ ความร้อนทั้งหมดในร่างกายก็กลั่นตัวไหลออกมาจากกระบอกตา แล้วก็ยิ่งร้องไห้หนักเมื่อคนตรงหน้าคลี่ยิ้มเช่นเดียวกับแววตา... อบอุ่นแสนอ่อนโยน

 

          เด็กขี้แยถูกรั้งหลังคอให้โน้มลงไปรับจูบ นุ่มนวล แนบแน่น แสนเนิ่นนาน

 

          หวานหยดทั้งที่หยาดน้ำตาเค็มปร่า

 

          “ขยับสิ” มือเรียวประคองกรอบหน้าคนเด็กกว่าไว้ เอ่ยบอกเสียงอ่อนก่อนร่างกายจะขยับเป็นจังหวะสอดรับประสานกันจนความสุขสมล้นทะลัก

 

          ในความเร่าร้อนของจังหวะเนิบช้า แก้วคอยช่วยปาดน้ำตาให้เด็กน้อยตัวโตของเขา

 

 

 

          ท่ามกลางความมืดที่เหลือเพียงแสงเรื่อรางจากเครื่องปรับอากาศ แก้วมองคนในอ้อมแขนที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะตามแพขนตา ทั้งที่เสร็จกิจกันไปแล้วก็ยังคงร้องไห้ จนลุกไปทำความสะอาดร่างกายกันแล้วก็ยังคงมีน้ำตาคลอ โชคร้องไห้เพียงแค่เพราะได้กอดเขา ร่างกายของชายวัยกลางคนทำให้รู้สึกดีได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ หรือเป็นเพราะเขาคือคนที่โชครัก

 

          ถ้าเป็นเช่นนั้น...

 

          เขาก็คงถูกรักมากมายเหลือเกิน

 

          แก้วซุกจมูกลงตรงไรผมสั้น แนบริมฝีปากทิ้งไว้บนหน้าผากของชายหนุ่ม กระชับแขนกอดให้ได้มุมพอดีอีกครั้งแล้วหลับตาลง เขาถูกรักมากมายขนาดที่ไม่รู้เลยว่าจะให้คืนกลับไปได้อย่างเท่าเทียมเมื่อไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ เขาก็ให้ชื่อกับความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายว่ารักได้แล้ว

 

          ...ฉันก็รักเธอ โชค

 

 

 

TBC...

           :-[ ไม่ไหวแล้วค่ะทุกคน เขินมากเลย พอเอามาลงจริงก็เขินสุดๆ แต่ก็หวังว่ามันจะเป็นฉากร่วมรักที่แสนอ่อนโยน ละมุนละไม และเต็มไปด้วยความเข้าใจชวนให้หัวใจอุ่นฟูนะคะ เพราะรีนตั้งใจไว้ว่าอยากเล่าเรื่องราวความรักที่ยาวนานโดยถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สึกมากกว่าความเร่าร้อนของตัวเอก อยากจะให้ค่อยๆ ซึบซับความรักของพวกเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าตลอดกาลจะสิ้นสูญ

 

          ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ทุกคอมเมนต์ และทุกการอ่านนะคะ

          ขอบคุณเสมอ พวกคุณคือกำลังใจของรีน

 

          See U on Thursday!

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 34 [26.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: _himura_ ที่ 30-10-2020 10:26:03
สนุกมากๆๆๆ รอนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 34 [26.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-10-2020 16:41:34
 :oo1: :jul1: :-[ :กอด1: :กอด1:   :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 35 [29.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 30-10-2020 16:52:38

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 35

 

          สิงหาคมโชคเปิดเรียน ชีวิตเฟรชชี่ปีหนึ่งมีกิจกรรมมากมาย ทั้งที่มีสาระและไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นโชคก็เข้าร่วมกับทุกกิจกรรม ทำให้บางครั้งก็กลับบ้านดึกดื่น แก้วไม่ได้ว่าอะไร เขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมา เพียงแต่เอ่ยถามอยู่เสมอว่าถูกบังคับให้ทำอะไรที่เกินกว่าเหตุหรือเปล่า เพราะถ้ายังมีการกดขี่โดนใช้ข้ออ้างความต่างชั้นปีของรุ่นพี่เข้าข่มเด็กใหม่อยู่ เขาก็จะไม่ยอมนิ่งเฉย อาจจะขอเข้าพบคณะบดี ทั้งในฐานะผู้ปกครองและศิษย์เก่า หลังจากรุ่นเขานานนับยี่สิบปีแล้ว มันก็ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นไม่ใช่หรือ

 

          “รุ่นพี่ใจดีนะครับ จริงๆ ก็เหมือนพวกปีสูงๆ เขาอยากสั่งเข้าระเบียบเหมือนรุ่นตัวเองอยู่ แต่พวกปีสองปีสามไม่ยอม บอกว่ามันลิดรอนสิทธิมนุษยชน พวกผมเลยมีแค่พวกกิจกรรมเล่นเกมเจอเพื่อนกับห้อยป้ายชื่อเวลาอยู่ในคณะเฉยๆ” โชคเล่าเรื่องที่ได้ทำในวันนี้ให้แก้วฟัง ราวกับเป็นกิจวัตรประจำระหว่างมื้ออาหารไปแล้ว

 

          เช่นเดียวกับที่แก้วจะเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังบ้างเล็กๆ น้อยๆ จากที่เมื่อก่อนคนโตกว่าจะเป็นฝ่ายรับฟังเรื่องราวในรั้วโรงเรียนของเด็กชายฝ่ายเดียว กลายเป็นแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้พบเจอมาให้กันและกันฟัง เวลามีปัญหาก็ปรึกษา มีเรื่องดีๆ ก็แบ่งปัน

 

          ...เหมือนกับคู่ชีวิต

 

          การได้ใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันแม้ในวันมืดหม่นให้ความรู้สึกอุ่นใจจนน่าประหลาด

 



 

          ดึกดื่นคืนหนึ่งในเดือนกันยา โชคถูกมิกซ์หิ้วปีกมาส่งถึงบนเฉลียงหน้าบ้าน แก้วที่ออกมารับถูกโถมตัวกอดจนเกือบเซล้ม ดีที่ขนาดร่างกายไม่ได้แตกต่างกันมากถึงได้ยันรับน้ำหนักคนเมาได้ไหว

 

          ดวงตาสีเข้มเบนสบคนสติดีอย่างต้องการคำอธิบาย เด็กหนุ่มร่างเล็กได้แต่ยิ้มแหย ก่อนเปิดปากเล่าเรื่องที่โดนรุ่นพี่ร่วมกับเพื่อนๆ ที่พากันไปร้านเหล้าเชียร์เร้าให้ดื่มแอลกอฮอล์ มิกซ์ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการดื่ม แต่เขาขี่มอเตอร์ไซค์มา และถ้ากลับบ้านแบบเมาแอ๋ต้องโดนแม่ด่าแน่ๆ ยังไม่รวมกับเรื่องที่เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งทางเทคนิคแล้วถือว่ามีความผิดอยู่ดี โชคเลยอาสารับแทนหมดจนสติพร่าเลือนแบบนี้

 

          “โดนบังคับรึเปล่า” แก้วถามอย่างใจเย็น

 

          “เอ่อ ไม่เชิงบังคับ แต่ก็กดดันอยู่พอสมควรเลยครับ” มิกซ์ว่าอย่างตรงไปตรงมา

 

          “อืม จริงๆ ถ้าไม่อยากกินก็ปฏิเสธไปเถอะ ถ้าเชียร์ไม่ขึ้นเดี๋ยวพวกนั้นก็เลิกยุ่งกันไปเอง”

 

          “ครับ”

 

          “แล้วเธอเมารึเปล่า ขี่รถไหวไหม” แก้วถามย้ำอย่างเป็นห่วง แต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าน่ารักตอนยืนยันคำตอบก็ทำให้สบายใจว่าเด็กหนุ่มจะกลับบ้านเองได้อย่างปลอดภัย

 

          “ไหวครับ ไม่ได้แตะสักอึก โชคกินแทนให้หมดแล้ว”

 

          “อืม ขอบใจที่พามาส่ง แต่วันหลังถ้าเมาแบบนี้อย่าพากันซ้อนมอเตอร์ไซค์มา มันอันตราย ให้โทรเรียกฉันหรือแม่ไปรับ เข้าใจไหม” เอ่ยกำชับเสียงจริงจังอีกรอบอย่างที่ผู้ใหญ่ควรจะทำ มิกซ์พยักหน้ารับก่อนบอกลาเสียงใสแล้วออกไปขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ใจเพื่อบิดกลับบ้านไปฟังเจ๊ดาบ่นให้หูชา

 

          พ้นหลังแขกจากไปแล้ว แก้วก็คล้องโซ่ล็อกรั้วบ้านทันที พอกลับเข้ามาก็เจอเจ้าหมาตาเยิ้มที่เดินมาอ้อนกอดคลอเคลีย ถ้าเป็นปกติแก้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ แต่ตอนนี้เขากลับยกมือขึ้นปิดปากกรุ่นกลิ่นสุรา ผลักให้ถอยออกห่างแล้วลากเจ้าตัวเข้าไปในห้องน้ำ สั่งให้ล้างหน้าล้างตาแปรงฟันเสร็จก็หนีขึ้นห้องนอน ล็อกประตูกันไม่ให้คนเมาตามเข้าไปได้

 

          คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่โชคโดนลงโทษโดยการไม่ได้นอนกับแก้ว

 

 

 

          เช้าวันต่อมาโชคตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดตุบในหัว มองดูข้างกายว่างเปล่าบนเตียงนอนแสนคุ้นชินที่ไม่ได้ใช้งานมาสักพักแล้วอย่างงุนงง แต่ไม่นานก็จำได้ทุกอย่าง รวมถึงดวงตาสีเข้มที่ฉายแววดุจริงจังตอนที่เขาพยายามจะจูบคู่นั้นด้วย

 

          ชายหนุ่มลงมาชั้นล่างในตอนสาย เห็นแก้วนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟามุมประจำ กับถ้วยกาแฟว่างเปล่าที่บ่งบอกว่ามื้อเช้าของเจ้าตัวจบลงแล้ว

 

          “...น้าแก้ว” เอ่ยเรียกเสียงอ่อน โชคเดินคอตกเข้าไปนั่งคุกเข่าลงบนพื้นต่อหน้าผู้ปกครอง

 

          “ทำไมถึงได้เมาขนาดนั้น” การสั่งสอนเริ่มต้นขึ้นเมื่อแก้วขยี้ก้นกรองลงในที่เขี่ย น้ำเสียงราบเรียบ แววตานิ่งสงบแต่กลับกดดันอยู่ในที

 

          “ผมขอโทษครับ”

 

          “ฉันไม่ได้อยากให้เธอพูดว่าขอโทษ”

 

          “...ผมดื่มมากไปหน่อย”

 

          “ตั้งใจดื่มเอง หรือโดนบังคับ”

 

          “...ดื่ม..เองครับ”

 

          แก้วถอนหายใจ ดูท่าว่าเด็กตรงหน้าจะยังไม่เข้าใจ ว่าการที่ถูกคนรอบข้างยั่วยุเร้าหรือเองก็เป็นการบังคับรูปแบบหนึ่งโดยใช้การกดดันจากคนหมู่มาก เขาไม่ได้โกรธเจ้าหมาตาใสตรงหน้าเพราะเรื่องที่ดื่มแอลกอฮอล์ ตัวแก้วเองก็ดื่มบ้างนานๆ ที แต่ก็ยั้งตัวเองให้คงสติไว้ได้ทุกรอบ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเมามาย ตอนสมัยเรียนเขาก็เป็นขาประจำร้านเหล้าอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาดื่มจนเมาด้วยความต้องการของตัวเอง

 

          “โชค” น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับแววตา “ถ้าเธอไม่อยากดื่มก็บอกไปว่าไม่อยากดื่ม ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อให้ใครพอใจหรอกนะ”

 

          โชคเงยหน้าขึ้นจากพื้น สบตากับน้าแก้วตรงๆ แล้วพยักหน้า ขยับตัวเข้าหาอย่างดูเชิง และเมื่อแก้วอ้าแขนออกก็ขยับไปซุกหน้าลงบนตัก โอบกอดเอวเจ้าตัวไว้แน่น แต่แก้วยังมีเรื่องให้พูดอยู่อีก

 

          “ฉันไม่ว่าถ้าเธอจะดื่มเหล้า แต่ต้องรู้จักยั้งตัวเองให้มันพอดี เธอจำได้ไหมว่าเมื่อคืนทำอะไรไปบ้าง”

 

          “ผม...จูบน้าแก้ว”

 

          “แค่นั้นเหรอ” พอได้ยินคำถามก็เบิกตาโต โชคผละจากตักอุ่นขึ้นมามองหน้าคู่สนทนา

 

          “ผมทำอะไรอีกเหรอครับ”

 

          “เธอจูบฉันนั่นแหละ” แก้วว่า ลูบเสยเส้นผมที่ไว้ยาวจนปรกข้อนิ้วยามไล้ผ่านไปด้านหลังแผ่วเบา “แต่เธอจูบฉันทั้งที่ฉันบอกให้เธอหยุด”

 

          คนมีความผิดนิ่งงันไป คิดไตร่ตรองความทรงจำพร่าเบลอในหัวอย่างถี่ถ้วน และเป็นอย่างที่แก้วว่า ในห้องน้ำเขาจูบแก้วทั้งที่ถูกเบี่ยงหน้าหนี ฝืนดึงดันทั้งที่โดนสั่งเด็ดขาด จนสุดท้ายก็ถูกผลักออก ก่อนที่คนโดนคุกคามอย่างเอาแต่ใจจะเดินหนีขึ้นบ้านไปแล้วไม่ให้เขานอนด้วย

 

          ...ก็สมควรแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดต่อกัน เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับฝืนใจอีกฝ่าย หากแก้วไม่ยินยอม ที่เขาทำก็เข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศชัดๆ

 

          “ขอโทษครับ ผมขอโทษ” พูดออกไปได้เพียงเท่านั้น ไม่มีการแก้ตัวใดๆ ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

 

          “อืม แล้วถ้าเกิดคนที่โดนไม่ใช่ฉัน เธอจะทำยังไง”

 

          “ผมทำแบบนี้กับน้าแก้วคนเดียว”

 

          “เธอไม่รู้หรอกถ้าเธอเมา” ความเงียบงันทำให้บรรยากาศหนักอึ้ง ทั้งที่ร่างกายแตะสัมผัสกันอยู่ แต่กลับรู้สึกหนาวขึ้นมา จนกระทั่งแก้วเป็นฝ่ายที่พูดทำลายความอึมครึมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหยอกเย้า “อย่าเมาจนคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้อีกนะ ฉันไม่อยากให้เธอไปจูบคนอื่น”

 

          “ครับ” รับคำทั้งที่รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า ขัดเขินขึ้นมากับการที่แก้วแสดงออกว่าหวงเขาเป็นครั้งแรก

 

          แก้วปล่อยให้เจ้าหมาปีนขึ้นมาเลียปากเขา โดยที่ครั้งนี้ยินยอมเปิดปากให้อย่างง่ายดาย โอบกอดรอบคออีกฝ่ายไว้เมื่อถูกเอนตัวทับทำให้ต้องนอนราบลงกับโซฟา การคลอเคลียนี้จะไม่พาเลยเถิดไปไหนไกล เพียงแค่จูบกับกอดก่ายกันไว้เท่านั้น

 

          ชายวัยย่างสี่สิบสามไม่แน่ใจว่าเขามีความคิดที่จะหึงหวงอย่างที่พูดไปจริงไหม เพราะไม่เคยคิดว่าโชคจะไปจูบกับใครคนอื่นอีก จนกระทั่งมานึกคิดดูดีๆ ก็ได้คำตอบว่ามันอาจจะไม่ได้รุนแรงถึงขั้นที่จะต้องโวยวายโมโหใหญ่โต แต่ก็คงทำให้หงุดหงิดใจไม่น้อยเลย...

 

          เพราะทั้งที่เป็นแค่ความคิด มันก็ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจจริงๆ นั่นแหละ

 



 

          ฤดูฝนจากไปในสายลมเย็นชื้นกลางเดือนตุลา แก้วอายุเต็มสี่สิบสามปี เช้าวันเกิดเขาตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนอุ่น ใต้ผ้าห่มนวมคือร่างกายเปลือยเปล่าที่แนบชิดจนร้อนผ่าว รู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามวัยที่ล่วงเลย จะให้แข็งแรงดีเหมือนคนหนุ่มสาวก็คงไม่ได้ ไม่เหมือนตัวการที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้

 

          แต่จะว่าคนหนุ่มฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อตัวเขาก็ต้องการเองด้วย

 

          แก้วชั่งใจอยู่ว่าจะทำอย่างไรในเช้าวันทำงานเช่นนี้ แต่เพราะบริษัทที่ขยับขยายจนใหญ่โตมั่นคงดีแล้วทำให้งานของเขาลดลง และตำแหน่งของเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเข้างานตั้งแต่เช้าตรู่ เขาจึงเลือกที่จะซุกตัวกลับลงไปในความอบอุ่นจากตัวคนข้างๆ นอนอีกสักงีบจนช่วงสายที่อีกฝ่ายต้องลุกขึ้นอาบน้ำเตรียมตัวออกไปเรียนคาบบ่าย

 

          จากนั้นตอนเย็นพวกเขาก็มีมื้อค่ำง่ายๆ กับเค้กก้อนเล็กที่เจ้าของงานไม่คิดจะแตะ แต่ก็ได้ชิมรสชาติของมันผ่านริมฝีปากของอีกคนอยู่ดี และคืนนั้นแก้วก็เข้านอนโดยที่ถูกกอดเอาไว้

 

          เป็นอีกหนึ่งวันเกิดแสนเรียบง่ายและธรรมดา

 



 

          เทศกาลหน้าหนาวผ่านพ้นไปโดยที่โชคกับแก้วอยู่เคียงข้างกัน กระทงแผ่นขนมปังที่ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานขอพรอีกแล้ว คริสต์มาสอีฟเองก็ไม่ต้องรอคอยของขวัญจากซานต้าอีกต่อไป... ในเมื่อเขามีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว

 

          คืนสิ้นปีเวียนมาอีกครั้ง โชคกับแก้วสวมเสื้อคลุมทับออกมานั่งรอเวลาพลุไฟแต่งแต้มท้องฟ้ากลางลมหนาว มะลิในปีที่อายุสิบเอ็ดยังคงสมบูรณ์แข็งแรงดี แมวเพศเมียโตเต็มวัยจับจองพื้นที่บนผืนพรมอุ่นหน้าประตูไม้บานพับ ปล่อยให้สมาชิกหนุ่มสองคนในบ้านได้ใช้เวลาร่วมกันลำพัง

 

          กระทั่งเสียงนับถอยหลังสิ้นสุดลง ดอกไม้ไฟผลิบาน คนสองคนก็ลุกออกไปให้พ้นชายคา มองท้องฟ้าเปล่งประกายโชติช่วงด้วยแสงไฟระยิบระยับ

 

          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เนิ่นนานเหลือเกินในบางครั้ง

 

          วันนี้เมื่อสามปีก่อน ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นไกลจนไม่อาจเอื้อมไปจับมือเย็นเฉียบข้างนั้นมากอบกุมไว้

 

          วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว คำปฏิเสธรักชัดเจนเสียจนหัวใจเจ็บปวด ได้ลิ้มรสขมปร่าเค็มปะแล่มของน้ำตาและการอกหัก

 

          วันนี้เมื่อปีที่ผ่านมา ในที่สุดคำบอกรักที่ให้ไปก็ได้รอยยิ้มกลับมาพร้อมคำว่า ‘ขอบใจ’

 

          จนมาถึงวันนี้ ที่มือของพวกเขาประสานเกี่ยวกันไว้ตั้งแต่ต้น ไม่มีรสขมหรือเค็ม มีแต่ความหวานจากจูบแนบแน่น ...กับคำบอกรักที่ย้อนกลับมาเป็นครั้งแรก

 

          “ผมรักแก้วนะ”

 

          “ฉันก็รักเธอ โชค”

 

          จวบจนพลุราจนหมดฟ้า โชคก็ยังคงจมอยู่ในภวังค์ที่รอยยิ้มของแก้วสว่างไสวกว่าริ้วดอกไม้ไฟเบื้องหลัง ดวงตาสีเข้มแวววาวสะท้อนภาพเขานั้นอบอุ่นจนรู้สึกร้อนวาบไปทั้งอก ถ้อยคำที่รอคอยมาแสนนานก้องกังวานอยู่ในหู...

 

          แก้วบอกรักเขาอย่างอ่อนโยนและหนักแน่นในความหมาย

 

          โชคร้องไห้อีกแล้ว ด้วยหัวใจที่เป็นสุขจนไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างไร

 

 

 

          วานเลนไทน์เดือนสอง สงกรานต์เดือนสี่ วันเกิดของโชคในเดือนมิถุนา ตุลาที่แก้วแก่ขึ้นอีกปี จนจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอีกหนในเดือนสิบเอ็ด คริสต์มาสหนาวเย็นท้ายเดือนธันวา เรื่อยมาจนครบอีกปี ฤดูกาลผันผ่านโดยมีสองคนในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังเก่าจับมือกันเอาไว้

 

          โชครักแก้วไม่ลดลงเลย

 

          และเช่นเดียวกัน

 

          แก้วก็ค่อยๆ รักเด็กน้อยของเขามากขึ้นในทุกๆ วัน
 

 

 
TBC...

          ตอนนี้เป็นตอนที่สั้น และบอกเล่าเรื่องราวในแต่ละช่วงเวลาที่ไม่ปะติดปะต่อนัก แต่ก็หวังว่าจะได้เห็นชีวิตประจำวันปกติของทั้งสองคนที่จับมือกันผ่านพ้นวันเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวัฏจักรของมันที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง ในตอนที่เขียนหัวใจของรีนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ทำให้หัวใจฟูฟ่องมากๆ เลยค่ะ จึงหวังว่าขณะที่นักอ่านไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่มีไม่ถึงหมื่นตัวนี้จะมีความรู้สึกที่อบอวลด้วยความรักที่แสนนุ่มนวลเช่นกันนะคะ

          ปล.ขอโทษที่มาลงช้าไปหนึ่งวันนะคะ พอดีเมื่อวานรีนออกไปทำธุระข้างนอกตอนช่วงเย็นยาวๆ แล้วก็ลืมไปเลยค่ะ แง้  :ling2:

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ

          ขอบคุณค่ะ

 

          เจอกันในวันจันทร์หน้านะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 35 [30.10.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-11-2020 01:51:40
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 36 [02.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 02-11-2020 21:19:52

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 36

 

          หน้าร้อนตอนโชคอยู่ปีสอง เดือนเมษาที่ได้หยุดยาวช่วงสงกรานต์ก่อนที่จะมีการสอบปลายภาคในเดือนพฤษภาคม เขากับน้าแก้วก็ได้ไปทะเลอย่างที่เคยสัญญากันไว้เสียที

 

          หลังจากพามะลิไปฝากบ้านเพื่อนสนิท โชคก็เป็นคนขับรถจากกรุงเทพมหานครมุ่งลงใต้สู่ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางเกือบสองร้อยกิโลเมตรใช้เวลาสองชั่วโมงเศษ แก้วลงจากรถที่จอดเทียบริมทางเท้า บนถนนเส้นเดียวกับที่เขาเคยพาเด็กชายตัวน้อยวัยแปดปีมาดูทะเลเป็นครั้งแรก

 

          “น้าแก้ว” มือใหญ่ของชายหนุ่มตัวโตยื่นมาตรงหน้า แก้วหัวเราะแผ่วเบาเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนเขาก็เคยทำเช่นเดียวกันนี้กับเจ้าตัวเหมือนกัน มือเรียวจึงวางลงในอุ้งมือคนร้องขอ ก่อนเดินเคียงกันไปตามทางที่นำพาสู่ชายหาดกับผืนน้ำกว้างใหญ่

 

          ท้องฟ้ากับน้ำทะเลแบ่งเขตแดนกันด้วยเฉดสีที่แตกต่างเพียงเล็กน้อย เกลียวคลื่นต้อนฟองเหมือนกับลมไล่ก้อนเมฆ ภาพสะท้อนที่ไม่เหมือนกันในรายละเอียดปลีกย่อยชวนให้รู้สึกเหงาแต่ก็ทำให้ใจสงบจนน่าประหลาด แก้วถอดรองเท้าตามคนข้างกาย เดินตามที่อีกฝ่ายชักจูงจนปลายเท้าสัมผัสความชุ่มฉ่ำ คลื่นซัดเข้าหาฝั่ง จรดจูบกับผืนทรายใต้ฝ่าเท้า

 

          ...เย็น แต่ก็อุ่นร้อน จากลมหายใจที่รินรดผิวหน้า โชคก้มลงมาขโมยจูบแก้มเขาทีหนึ่ง ไม่ได้เนิ่นนานอ้อยอิ่ง เพียงชั่ววูบเดียวที่ลมทะเลพัดผ่านมา

 

          แก้วจำไม่เห็นได้เลยว่าทะเลหัวหินกลางเดือนเมษามันทำให้ร้อนวูบวาบเสียขนาดนี้

 

 

 

          ที่พักไว้ที่จองไว้เป็นที่เดียวกับเมื่อสิบสามปีก่อน ตัวห้องพักมีการปรับปรุงตกแต่งใหม่ทับโครงสร้างเดิม บ้านหลังน้อยตรงมุมสุดขอบที่ดินยังคงเป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจนดูโดดเดี่ยวนัก และชิงช้าใต้ต้นมะพร้าวก็ยังคงอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นตัวเดิมที่พวกเขาเคยนั่งหรือเปล่า เมื่อมั่นอยู่ในสภาพโดนแดดเลียจนสีซีดจาง แต่ก็ยังมั่นคงแข็งแรงดีอยู่

 

          โชคเก็บกระเป๋าเข้าห้อง ในขณะที่แก้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ เดินฝ่าลมที่หอบเอากลิ่นเกลือมาด้วยสู่ชิงช้าตัวใหญ่

 

          เรือนผมยาวจนเลยบ่าเพราะไม่ได้ตัดมาพักใหญ่ปลิวไหว เสื้อสีขาวที่สวมใส่ใหญ่กว่าตัวเขาเล็กน้อยแนบลู่ไปกับผิวฝั่งที่ลมตีปะทะ ควันขมุกขมัวแตกตัวกระจายหายไปทันทีที่พ่นผ่านริมฝีปากออกมา แต่สำหรับโชคแล้วภาพตรงหน้าเปรียบดั่งทิวทัศน์ของคำว่าตลอดกาล

 

...ชั่วนิรันดร์ของเขาคือน้าแก้ว

 

          “สูบมากๆ ไม่ดีนะครับ” โชคสอดขาข้างหนึ่งข้ามแผ่นไม้กระดานไป แล้วนั่งลงโดยที่เขาหันหน้าเข้าหาเจ้าของกลิ่นควันเหม็นไหม้และใบยาสูบ

 

          “อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้สิ เดี๋ยวก็สำลักควันหรอก” แก้วว่า ทิ้งมวนกระดาษที่มอดไปยังไม่ถึงครึ่งมวนดีลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับ หันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อส่งควันก้อนสุดท้ายให้ลอยห่าง

 

          “ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่ได้มาที่นี่กันอีกเลยล่ะครับ” คนโดนดุเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงเหตุผลที่ในอดีตที่ปิดเทอมหน้าร้อนน้าแก้วจะพาเขามาทะเล แต่กลับไม่เคยไปซ้ำที่เดิมเลยสักครั้ง

 

          “ฉันไม่อยากให้เธอเบื่อ” แก้วตอบ ยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ทิ้งมาพิงพักไว้บนไหล่เขา “ทะเลแต่ละที่ไม่เหมือนกันหรอกนะ ฉันเลยอยากให้เธอได้เห็นมัน”

 

          “ผมไม่เบื่อหรอก” โชคกระชับแขนที่โอบเอวอีกฝ่ายราวกับจะใช้มันยืนยันคำพูด “ถ้ามีน้าแก้วอยู่ด้วยผมไม่เบื่อหรอก”

 

          ชิงช้าโยกไหวตามแรงของคนโตกว่า โดยมีเด็กน้อยของเขายึดครองไหล่ไว้ไม่ห่าง กับปลายทางของสายตา ห่างไกลออกไปเบื้องหน้าพวกเขาคือท้องทะเลกว้างใหญ่ เสียงคลื่นแว่วมากล่อมให้ยามบ่ายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสกลายเป็นสถานที่แสนสงบ

 

          สิบสามปีผ่านไปอย่างเชื่องช้าในชั่วพริบตาเดียว

 

 

 

          ค่ำคืนแรกของการมาเที่ยวทะเล หลังจากมื้อเย็นที่ไปซื้อของกินง่ายๆ มาจากร้านปากทางเข้าที่พัก แก้วนอนดูทีวีไปเรื่อยอย่างไม่ใส่ใจนัก ในขณะที่โชคนอนอยู่ข้างๆ เล่นโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้มีบทสนทนา แต่ก็ไม่ได้ทำให้อึดอัด พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดจึงมีช่วงเวลาเช่นนี้บ่อยๆ ต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเองด้วยกัน

 

          จนกระทั่งตัวเลขบนมุมจอโทรทัศน์บอกเวลาสี่ทุ่มกว่า แก้วก็ลุกไปอาบน้ำ ใช้เวลานานกว่าปกติ โชคไม่ได้ไปตาม ด้วยรู้ว่าน้าแก้วต้องใช้เวลาสำหรับเตรียมร่างกายสำหรับกิจกรรมบนเตียงที่เขาอ้อนขอ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควรกับการร่วมรักที่ต้องมีการบอกกล่าวกันก่อนล่วงหน้า บางครั้งที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านไฟติดขึ้นมา ก็ต้องยั้งตัวเองไว้เพื่อไปจัดการล้างข้างในให้เรียบร้อยก่อน

 

          โชคเคยบอกว่าเขาไม่คิดมากถ้าจะมีอะไรติดออกมาบ้าง ยังไงก็สวมถุงยางกันอยู่แล้ว แต่แก้วยืนกรานว่าไม่เด็ดขาด เขาเลยต้องยอมตามใจ เพราะอย่างไรเสียคนที่ต้องรับภาระกับเรื่องวุ่นวายมากมายเหล่านี้ก็คือน้าแก้วเป็นส่วนใหญ่ และเซ็กส์จะฝาดเฝื่อนทันทีเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สบายใจกับสิ่งที่ทำกันอยู่

 

          “ไปอาบน้ำได้แล้ว” แก้วกลับออกมาใต้ผ้าขนหนูผืนเดียว นิ่งสงบไม่สนใจสายตากะลิ้มกะเหลี่ยที่จ้องมองมา

 

          ชายหนุ่มวัยยังไม่หยุดโตเดินหอบผ้าขนหนูสวนเข้าห้องน้ำไป โดยที่ไม่ลืมแวะฝากร่องยุบเป็นรอยฟันไว้บนไหล่กว้าง ไม่ได้ตั้งใจกัดให้เจ็บ แต่กัดเพราะมันเขี้ยว ไม่ว่าจะกี่ครั้ง น้าแก้วผู้สุขุมของเขาก็ไม่เคยแสดงอาการขัดเขินกับเรื่องบนเตียงออกมาให้เห็นเลย

 

          และเมื่อกลับออกมาโชคก็แทบวูบ เมื่อคนบนเตียงกำลังใช้นิ้วอาบเจลหล่อลื่นเบิกขยายช่องทางรอเขาอยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินหน้ามุ่ยไปนั่งลงตรงหน้า พร้อมกับดวงตาวาววับเป็นประกาย

 

          “ผมขอทำให้ได้ไหม”

 

          “อือ” แก้วรับคำง่ายดาย ถอนนิ้วตัวเองออกแล้วยื่นขวดเจลให้อีกฝ่ายเอาไปจัดการต่อ

 

          เรียวนิ้วแทรกสอดเข้าไปในช่องทางอุ่นร้อน ขยับขยายให้คุ้นชินกับจำนวนที่ค่อยๆ เพิ่มเข้าไป ผ่านมาเป็นปีแล้วนับจากครั้งแรกที่ได้ร่วมสัมพันธ์กันเช่นนี้ โชคไม่ใช่ลูกเจี๊ยบไม่ประสาอ่อนประสบการณ์อีกต่อไป เขาเรียนรู้ว่าแก้วชอบอะไร จุดไหนจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำให้น้าแก้วผู้จัดเจนคนนั้นเสียอาการไม่ได้เลยแม้สักครั้ง

 

          อย่างเช่นในตอนนี้ ที่แก้วยังคงสงบนิ่งได้ถึงขนาดที่ช่วยใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่ยังชุ่มน้ำหยดเป็นเม็ดให้เขาอยู่

 

          “น้าแก้ว”

 

          “หืม ว่าไง” ดวงตาสีเข้มเบนลงสบตา ยกยิ้มซุกซนที่ทำให้คนได้รับปั่นป่วน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าคิดอะไรอยู่ เพราะแบบนั้นก็เลยรู้สึกเอ็นดูจนอยากแกล้งขึ้นมา

 

          “สนใจผมหน่อย”

 

          “ก็สนใจอยู่นี่”

 

          “ไม่ใช่ผมผมสิครับ”

 

          “ก็หัวเธอเปียก เวลาน้ำหยดโดนตัวฉันมันเย็นนะ” เจ้าหมาตัวโตย่นหน้า แก้วเลยใช้ผ้าพันรอบกรอบหน้าพลางดึงรั้งเข้ามาจูบปลอบใจ “ใส่เข้ามาเลยเถอะ ฉันพร้อมแล้ว”

 

          “ครับ” ถึงจะดูขัดใจแต่ก็ยอมรับคำแต่โดยดี โชคสวมถุงยางให้ตัวเอง แต่ไม่ได้ใส่ให้แก้วด้วย ทั้งที่ปกติถ้าทำที่บ้านจะใส่ไว้ไม่ให้มันเลอะที่นอน แต่เพราะตอนนี้อยู่ข้างนอก และผ้าปูที่นอนของรีสอร์ทก็เปลี่ยนทุกวันอยู่แล้ว

 

          จังหวะการขยับไหวของร่างกายสอดคล้องกันดีเมื่อต่างฝ่ายต่างคุ้นชินกันอยู่แล้ว โชครู้ว่าแก้วชอบให้ทำแบบไหน และแก้วก็รู้ว่าจะทำอย่างไรให้โชครู้สึกดี

 

          เซ็กส์ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจนั้นเป็นเซ็กส์ที่ดี

 

          แก้วพลิกเปลี่ยนท่าขึ้นมาอยู่ด้านบนบ้างเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ สองมือวางค้ำอกอุ่นอยู่ในมือใหญ่ที่กอบกุมไว้อีกที ขยับควบสะโพกบดเบียดให้ร่างกายสอดประสานกันลึกซึ้งขึ้นไปอีก แต่ปอยผมยาวที่ตกลงมาปรกใบหน้าจนทำให้มองอะไรไม่ชัดชวนให้หงุดหงิดใจ เขาเลยต้องหยุดกิจกรรมไว้กลางคัน เอี้ยวตัวไปคว้าหยิบเอายางรัดผมเส้นสีดำจากกองของติดตัวบนโต๊ะข้างหัวเตียงมามัดรวบเรือนผมไว้เป็นมวยเล็กๆ ที่ด้านหลัง

 

          โชคไม่ชอบที่อารมณ์ต้องสะดุดลงในจังหวะที่กำลังได้ที่เช่นนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพที่ได้เห็นเมื่อกี้ฉุดให้ความปารถนาของเขาพุ่งทะยานขึ้นไปอีกหลายระดับ

 

          ...น้าแก้วเซ็กซี่เป็นบ้า

 

          หลังจากที่ได้สิทธิ์สำรวจร่างกายของแก้วตามใจชอบมาเนิ่นนานนับปี โชคก็ได้รู้ว่าที่ต้นขาด้านในข้างซ้ายของแก้วมีจุดแต้มสีเข้มเล็กๆ อีกหนึ่งจุด

 

 

 

          สองคืนหลังจากนั้นโชคทำได้แค่เพียงนอนกอดแก้วจนถึงเช้า เพราะการกินอาหารซีฟู๊ดกับน้ำจิ้มรสเด็ดทำให้แก้วท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา แต่หากตัดเรื่องที่อหการเป็นพิษออกไป พวกเขาก็ได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกันตั้งมากมาย...

 

          ได้ดูพระอาทิตย์โผล่พ้นน้ำในยามเช้าตรู่ เก็บรูปภาพแทนความทรงจำใต้แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่อง กินอาหารทะเลสดใหม่ ไหว้พระขอพรให้การเรียนราบรื่นและสุขภาพแข็งแรงดี จากนั้นก็ไปเดินเล่นริมหาดทรายนุ่มละเอียด ปล่อยให้น้ำทะเลปริ่มข้อเท้า จนแสงแห่งวันลาลับไปจากฟ้า ก็พากันไปเดินตลาดกลางคืน ดื่มจนดวงตาฉ่ำปรือที่บาร์ข้างทาง จูบรสขมปร่าของเหล้า เคล้ากับความหวานที่สร้างขึ้นมาจากความรู้สึก

 

          โชคกอดแก้วไว้อย่างทะนุถนอม... ราวกับโอบกอดโลกทั้งใบไว้ในอ้อมแขน

 



 

          ครึ่งปีแรกกำลังจะผ่านพ้นไป เดือนมิถุนายนใกล้จบลง โชคฉลองวันเกิดครั้งที่ยี่สิบสอง เขาเติบโตแล้ว แต่ก็ยังเยาว์วัยนักหากเทียบกับอีกคนที่ก้าวนำเขาไปเป็นเท่าตัว

 

          โชคจะไม่มีวันโตทันแก้ว ชายหนุ่มรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากโตมากพอที่จะสามารถดูแลอีกฝ่ายได้ในฐานะคู่ชีวิต เพราะอย่างนั้นโชคจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวสุขุมและมีเหตุผล ...แต่เด็กก็ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

 

          “ให้ผมไปด้วยไม่ได้เหรอครับ” โชคทำหน้าที่สารถีขับรถมาส่งแก้วหน้าตึกบริษัทที่ขยับขยายซื้ออาคารข้างเคียงทุบรวมเข้าให้เป็นสำนักงานใหญ่ ฝั่งตรงข้ามถนนไปเป็นสถาบันสอนเทควันโด้ที่โชคเรียนจนจบชั้นประถม ยามเช้าตรู่ที่ยังคงมืดสนิทเงียบเหงาจนวังเวง

 

          “ฉันไปคุยงาน สามสี่วันก็กลับแล้ว” แก้วว่า เปิดประตูรถเตรียมจะลงไปพร้อมกระเป๋าสัมภาระใบเล็กที่ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายมาช่วยถือ

 

          “...ครับ” เอ่ยรับคำง่ายดาย แม้ภายในใจจะไม่ได้คล้อยตามเลยสักนิด แต่โชคก็ไม่อยากงอแงแค่เพราะแก้วกำลังจะต้องลงไปคุยงานไกลห่างถึงกระบี่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายสถาปนิกต้องไปต่างจังหวัดเพราะเรื่องงาน ยิ่งเมื่อห้าหกปีก่อนยิ่งไปบ่อยครั้ง ทว่ามันดันเป็นครั้งแรกที่ต้องห่างกันนับตั้งแต่พวกเขาเลื่อนสถานะขึ้นมา

 

          ดูเหมือนว่าการได้เป็นคนรักจะทำให้คนเราทำเหตุผลหล่นหายไปเสียหลายส่วน

 

          “เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น” คนที่กำลังจะต้องเดินทางไกลหยุดชะงักยังไม่ลงจากรถ เมื่อเห็นดวงตาคู่สวยฉายแววเศร้าสร้อยจ้องมองมา

 

          “ผมไม่อยากห่างแก้วเลย” โชคพูดเสียงอ่อน ซบแก้มลงกับหลังมือที่กำจับพวงมาลัยรถไว้ แก้วยกยิ้มบาง ยื่นมือมาลูบหัวเด็กน้อยขี้งอแง

 

          “ไว้เดี๋ยวจะโทรหา”

 

          ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ายอมพยักหน้าตกลง แต่ยังคงรั้งมือเรียวที่ข้างแก้มตนเอาไว้ ก่อนหันมากดจูบแผ่วเบา แต่อ้อยอิ่งจนเจ้าของมือต้องยื่นหน้าไปใกล้ ส่งริมฝีปากให้แทนถึงที่

 

          “โทรมาเรื่อยๆ นะครับ”

 

          “อืม ถ้าว่างจะโทร”

 

          “ตอนนอนคอลทิ้งไว้ได้ไหมครับ”

 

          “ถ้าฉันได้นอนห้องเดี่ยวน่ะนะ”

 

          “น้าแก้ว...”

 

          “ดูแลบ้านดีๆ” แก้วผละห่างเมื่อเสียเวลากับการล่ำลาเจ้าหมาตัวโตที่ติดเขาแจมากเกินไปแล้ว หอบหิ้วกระเป๋าลงจากรถ ส่งยิ้มบางแทนการบอกลาอีกครั้งแล้วเดินตรงเข้าไปยังตัวตึกอันเป็นจุดนัดพบของคณะเพื่อนร่วมงานที่จะเดินทางไปด้วยกัน

 

          การมีโชคอยู่ข้างกายทำให้แก้วไม่เหงา ไม่ใช่แค่ไม่เหงาแต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ความรักที่ได้รับมา และการได้มอบความรักกลับไป การกลับบ้านดูมีความหมายขึ้นมาเมื่อมีคนรอคอยให้เรากลับไปหา

 

          เพียงแต่ว่า... ช่องว่างยี่สิบสองปีของวัยที่ต่างกันนั้นมีมากเกินไป

 

          แก้วแก่แล้ว เขาต้องการเพียงความเข้าใจที่เรียงง่ายแสนสงบ โชคให้เขาได้ แต่ในขณะเดียวกันโชคก็ยังคงเป็นเด็ก ยังต้องการความรัก อยากอยู่ใกล้กันตลอดเวลา จนบางครั้งมันก็ทำให้แก้ว... เหนื่อย

 



 

          ตุลาฝนซารับหน้าหนาว แก้วอายุสี่สิบห้า หลังมื้อเย็นและเค้กที่ไม่ได้กินเองก็มีโทรศัพท์หนึ่งสายต่อตรงมาเหมือนกับทุกปี

 

          ด้วยเบอร์เดิมที่บันทึกไว้ด้วยชื่อเดิมไม่เคยเปลี่ยน

 

          ...ธีร์

 

          “สุขสันต์วันเกิดนะแก้ว” เสียงทุ้มนุ่มดังผ่านสัญญาณคลื่นมาทางอากาศ แม้จะไม่เห็นหน้าแต่รอยยิ้มเจิดจ้ากลับเด่นชัด ทั้งที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาก็ตั้งหลายปีแล้ว

 

          หลังจากรุ่งสางกลางเดือนกรกฎาครั้งนั้น จนสิงหาที่โชคได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งหมด โชคก็แสดงอาการไม่ต้อนรับแขกด้วยการไม่ยอมพูดยอมจากับคุณอาอีกเลย แม้ธีร์จะแวะเอาของขวัญคริสต์มาสและของขวัญวันเกิดมาให้ ก็ไม่ยอมพูดแม้แต่คำว่าขอบคุณ และเมื่อไม่เป็นที่ต้อนรับ ธีร์ก็ไม่ฝืนดึงดันมาทำให้บรรยากาศของบ้านหลังนี้เสียอีก ทำเพียงติดต่อกับแก้วผ่านการโทรคุยกันบ้างนานๆ ครั้ง เหมือนย้อนกลับไปในช่วงปีที่เขาเพิ่งมีลูก และยังคงส่งของขวัญมาให้เรื่อยๆ แม้คนได้รับจะไม่แกะออกดูสักกล่องก็ตาม

 

          “ขอบใจ” เจ้าของวันเกิดตอบกลับไป จากนั้นก็เงียบงันหลงเหลือไว้เพียงเสียงลมหายใจที่แลกเปลี่ยนกัน มันยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสบายใจแสนสงบ แต่ก็ไม่ได้เนิ่นนานหรือสั้นจนเกินไป ก่อนที่แก้วจะพูดออกมาเมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้ว “จะวางแล้วนะ”

 

          “อืม ฝันดีนะ”

 

          “...เหมือนกัน”

 

          กดวางสายพอดีกับที่ดวงตาสีเข้มเหลือบไปเห็นคนที่ไม่รู้ว่าอาบน้ำเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่ แก้วเลยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ตบที่ว่างข้างตัวเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายมานั่งลงใกล้ๆ โชคทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งยังปล่อยให้แก้วช่วยใช้ผ้าขยี้เช็ดผมให้ แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ

 

          “เป็นอะไร”

 

          “...เปล่าครับ”

 

          “แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น”

 

          “ไม่มีอะไรครับ”

 

          “โชค...”

 

          “ผมมีงานต้องส่งพรุ่งนี้ คืนนี้ผมนอนห้องตัวเองนะ” พูดจบก็เดินหนีขึ้นบ้านไปทันที แก้วได้แต่มองตามโดยไม่เรียกรั้ง จากนั้นก็คีบมวนบุหรี่จรดริมฝีปาก แสงไฟวูบวาบจากไฟแช็กสีทองยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความแตกต่าง

 

          การคบหากับคนที่เด็กกว่าครึ่งชีวิตของตนมันทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ

 

          แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากอาบน้ำเตรียมเข้านอน แก้วก็ไปเคาะประตูห้องโชค ง้อคนขี้งอนด้วยจูบราตรีสวัสดิ์ และสุดท้ายค่อนคืนเกือบตีสามคืนนั้น โชคก็แอบย่องขึ้นเตียงมานอนกอดเขาเหมือนเดิม

 



 

          อากาศหนาวปลายเดือนสิบเอ็ด โชคกับสถานะนิสิตชั้นปีที่สามคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีงานล้นมือ ตรงกันข้ามกับสถาปนิกตัวจริงที่นับวันจะมีเวลาว่างมากพอมาช่วยเขานั่งตัดโมเดลที่ใกล้ถึงกำหนดส่ง ที่หากอยากจะทำให้เสร็จทันด้วยตัวคนเดียวก็คงต้องแลกมาด้วยเวลานอนที่น้อยนิดอยู่แล้วให้เหลือน้อยลงไปอีก

 

          แก้วนึกสงสารเจ้าหมาตัวโตของเขาที่เพื่อนสนิทไม่ว่างมาช่วย ด้วยว่ารายนั้นยิ่งหนักกว่าเพราะเป็นสาขาสถาปัตยกรรมหลัก ทำให้งานโครงสร้างมีมากกว่าโชคที่เรียนออกแบบภายในอยู่หลายตัว

 

          อยู่ๆ ก็คิดถึงช่วงวัยที่ผ่านพ้นมา ตอนที่เขายังเรียนอยู่ก็ได้เพื่อนช่วยถึงรอดมาได้ และเพื่อนที่มาช่วยเขาถึงบ้านไม่เคยบ่น แม้ต้องโต้รุ่งก็ยังคงส่งยิ้มเจิดจ้าให้ตอนหยอกเย้าด้วยคำว่าอรุณสวัสดิ์ทั้งที่ยังไม่มีใครได้นอน

 

          มีอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และทั้งที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับด้านนี้เลยแท้ๆ ...หนุ่มบริหารที่ชื่อว่าธีร์

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “กาวจะแห้งแล้วนะครับ” ไม่รู้ว่าเหม่อคิดเรื่องเก่าๆ ไปนานแค่ไหนจนถูกทัก แก้วติดชิ้นส่วนเข้าที่ของมันให้อย่างประณีต ความรู้สึกไหลกลับมาพร้อมกับความทรงจำ

 

          ...ยังอบอุ่นในใจไม่เลือนราง

 

          “น้าแก้ว?” โชคหันมามองเจ้าของชื่ออย่างงุนงง แต่ก็ยินดีที่อยู่ๆ ก็โดนหอมหัว แก้วไม่ได้อธิบายการกระทำที่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เขาแค่อยากทำ อยากกอด อยากหอม อยากหยอกเจ้าหมาตัวโตของเขา แม้ลึกลงไปข้างในมันอาจจะเจือด้วยความรู้สึกผิด...

 

          แก้วไม่เคยตามหาเงาของธีร์ในตัวของโชค สำหรับเขาโชคไม่เคยเป็นตัวแทนของชายคนนั้น ไม่เคยใกล้เคียง ทั้งสองคนต่างกันมาก และเขารักโชคเพราะโชคเป็นโชค แต่ถึงอย่างนั้นนานๆ ทีเขาก็ยังคงคิดถึงขึ้นมา

 

          รสจูบ สัมผัส รอยยิ้ม บทสนทนา ช่วงเวลาแสนสงบที่เข้าใจกันได้แม้ไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา

 

          ทว่าความคิดถึงมันก็เป็นเพียงแค่ความคิดถึง...

 

 

 

          บ่ายวันศุกร์ของต้นเดือนธันวาคม โค้งสุดท้ายก่อนปิดภาคการศึกษา โชคสอบเสร็จหมดทุกตัวแล้ว แต่ยังเหลือโมเดลที่เป็นไฟนอลโปรเจ็กแทนการสอบอีกชิ้นที่ต้องส่งภายในวันนี้ เขาเพิ่งทำเสร็จและกำลังเตรียมตัวจะขนขึ้นรถไปส่งให้อาจารย์ที่จะรอรับถึงแค่สี่โมงเย็น

 

          แก้วออกมาสูบบุหรี่อยู่ใต้ต้นแก้ว หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งช่วยนิสิตหนุ่มปั่นงานมาตั้งแต่ตื่นนอน ควันลอยเอื่อยเฉื่อย เหมือนกับความคิดในหัวที่ค่อยๆ หลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย ทว่ามากมายมหาศาล

 

          ...ความคิดที่มีชื่อว่าความทรงจำ

 

          ดวงตาสีเข้มเบนมาหาม้าหินติดพื้นยกสูงของเฉลียงบ้าน ภาพของใครคนนั้นพลันเด่นชัดขึ้นมา แม้จะซีดจางแต่กลับยังคงจดจำได้ดี ทั้งน้ำหนักที่เอนมาพิงไหล่ ทั้งกลิ่นอายของควันที่โชยมาจากเจ้าของเสียงทุ้มละมุนข้างหู รอยยิ้มเจิดจ้า... แก้วคิดถึงธีร์อีกแล้ว

 

          ความคิดถึงไร้ที่มาที่ไป แต่กลับบ่อยครั้งขึ้นในช่วงหลังๆ หรือบางทีที่มาอาจจะชัด เพียงแต่ตัวเขาเองที่ทำเป็นมองข้ามมันไป เพื่อที่จะคงความสัมพันธ์ที่มีอยู่ตอนนี้เอาไว้ แม้มันจะทำให้เหนื่อยล้ามากแค่ไหนก็ตาม

 

          เจ้าของบ้านพ่นควันระลอกสุดท้ายใส่ใบพลูด่างในกระถางข้างโต๊ะกระจก ขยี้ก้นกรองเพื่อให้ไฟดับสนิทแล้วทิ้งเอาไว้ในที่เขี่ยบุหรี่ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดวงตาคู่สวยทอประกายาววับจับจ้องเขาอยู่ โชคค้ำราวเฉลียงวางคางลงบนหลังมือ ระยะห่างไม่มากนักกับแก้วที่ยืนเต็มความสูงอยู่ด้านล่าง

 

          “จะเอาอะไร” แก้วถามอย่างเดาทางได้

 

          “จะออกไปแล้วนะครับ จุ๊บหน่อย” โชคยิ้มผ่านแววตา ขณะที่ทำปากยื่นรอรับจูบ

 

          คนโดนอ้อนได้แต่หัวเราะแล้วบีบดึงริมฝีปากล่างของเจ้าหมาที่ชักจะติดนิสัยลามปามชอบเลียปากเจ้านายเป็นการลงโทษ จนเด็กน้อยทำตาเศร้าเพราะคิดว่าคงไม่ได้ในสิ่งที่ขอแล้วถึงได้ยอมยื่นหน้าไปใกล้ ปล่อยให้หมานิสัยเสียแนบจูบลงมาได้ตามใจ และไม่ได้ปฏิเสธแม้มันจะเริ่มเลยเถิดเพราะเรียวลิ้นที่พยายามจะแทรกสอดเข้ามาก็ตาม

 

          แก้วกำลังจูบกับโชค... แต่กลับเหมือนไม่ใช่

 

          อาจจะด้วยมุมด้วยองศา ที่ราวกับว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อนานมากแล้ว มันถึงได้ซ้อนทับกับใครบางคนที่มักโผล่มาจากความทรงจำในช่วงนี้

 

          และดูเหมือนว่าความคิดถึงจะเป็นดั่งลางสังหรณ์ เมื่อที่หน้ารั้วบ้านปรากฏร่างสูงใหญ่ของคนในความคิด ดวงตาคมจ้องตรงมาสบเข้ากับนัยน์สีเข้มฉายแววหลากหลาย

 

          ธีร์ยืนอยู่ตรงนั้น...

 

          มองดูแก้วกับโชคจูบกันด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอันเต็มเปี่ยม

 

 

 

TBC...

          เพราะนิยายเรื่องนี้จะมีแต่ความขมจนจบเรื่องไม่ได้ แต่ยังไงก็ยังเป็นนิยายดราม่าที่เราจะหวานไปตลอดก็ไม่ได้เหมือนกันค่ะ แง้ อาธีร์กลับมาได้จังหวะพอดีมากเกินไปแล้วววว หลังจากนี้ต่อไปจะเป็นยังไงกันนะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

          ปล.ตอนไปทะเลกันนี้หวานละมุนจนอยากมุดหมอนมากเลยค่ะ เป็นตอนที่รีนชอบที่สุดเลย เขียนอย่างมีความสุขมากๆ แต่ในตอนนี้ ปัจจุบันที่พยายามจะจบตอนสุดท้าย รีนรู้สึกว่ามันหายไปแล้วค่ะ ความสนุกและช่วงจังหวะการกดแป้นพิมพ์ที่ทำให้ยิ้มออกมาโดยที่หัวใจรับรู้ได้ว่ามันดีพอแล้ว ตอนนี้รีนยังเขียนอยู่ แต่เขียนเท่าไหร่ก็ไม่มั่นใจเลย ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงช่วงเวลานั้นมันถึงจะกลับมา รีนรักในการเขียนมากๆ รีนไม่อยากสูญเสียมันไปเลยค่ะ อ๊ะ ขอโทษที่งอแงอีกแล้วนะคะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะคะ รีนแค่บ่นเฉยๆ ยังไงก็ยังไม่เลิกเขียนหรอกค่ะ ยังไม่ใช่ในตอนนี้

 

          ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ มันมีค่ามากๆ เลยค่ะ

          ขอบคุณนะคะ

 

          เจอกันวันพฤหัสบดีนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 36 [02.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-11-2020 21:39:10
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 36 [02.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-11-2020 01:00:08
555555 สมหน้าธีร์ดีไหมนะ กลับมาทำไม
เขาลืมเธอไปหมดแล้ววว~~~~5555 มาเลย มาเจอเลย ต่างคนก็มีเส้นทางหัวใจของตัวเอง รักมากได้ก็เบาบางห่างหายได้แม้จะเหลือเพียงเยื่อใยนิดก็ต้องใช้เวลา โชคอ้อนตลอด อิอิ  :-[ ขอบคุณนะคะที่มาต่อสม่ำเสมอ  :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 36 [02.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 03-11-2020 09:35:54
แงงงงงงงง ยังไงน้อ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 37 [06.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 06-11-2020 02:53:40

ASHTRAY

ขี้เถ้า และ การเผาไหม้

ตอนที่ 37





          ลมหนาวของเดือนธันวาอยู่ๆ ก็ทวีความเย็นเยียบขึ้นมาจนเสียดกระดูก รู้สึกชาวาบไปทั้งร่างกาย หัวใจบีบรัด ในขณะที่สมองว่างเปล่า แก้วค่อยๆ ยกมือขึ้นมากั้นขวางเป็นสัญญาณให้เจ้าหมาของเขาหยุด และโชคก็หยุดตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ก่อนจะสังเกตเห็นความสับสนฉายชัดในดวงตาสีเข้ม เขาจึงมองตามไปยังปลายทางสายตาของอีกฝ่าย



          ความรู้สึกวูบโหวงตรงเข้าจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ราวกับร่วงหล่นลงไปในหลุมลึก และยิ่งไร้ก้นบึ้งเมื่อความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาในจิตใจ



          ...รู้สึกผิด ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกเช่นนั้น



          แต่ทั้งเขาและน้าแก้วกลับเหมือนเด็กน้อยที่แอบทำความผิดแล้วโดนจับได้ โชครู้สึกเหมือนกับเป็นชู้ทั้งที่ไม่ใช่ แก้วก็รู้สึกเหมือนกำลังนอกใจทั้งที่จูบกับคนรักของตัวเอง



          ความกระอักกระอ่วนลอยอวลอยู่ในอากาศ ส่วนคนมาใหม่ที่ยืนอยู่หน้าบ้านกำลังสับสน จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก และในขณะที่สมองยังคงว่างเปล่าอยู่นั้น แก้วก็เดินมาปลดโซ่คล้องรั้วออกให้แล้ว



          “ตัดโมกันอยู่เหรอ” นั่นเป็นคำทักทายแรกจากแขกประจำในวันวาน มือใหญ่ที่แก้วยังจำสัมผัสอุ่นไอได้อย่างชัดเจนหยิบเอาเศษกระดาษกับใยกาวออกให้อย่างแผ่วเบา ธีร์ทำไปด้วยความเคยชินโดยไม่ทันได้คิดอะไร



          “อืม งานโชคน่ะ แต่เสร็จแล้ว” เช่นเดียวกันกับตัวคนที่ถูกถาม แก้วไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของการกระทำนั้น ไม่ได้รู้สึกถึงความใกล้ชิดจนเกิดเหตุ ด้วยเพราะมันก็เหมือนกับในอดีตที่พวกเขาทำตอนยังเป็นเพื่อนกัน และในวันนี้ความเป็นเพื่อนก็ยังไม่ได้เลือนหายไปไหน



          แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่จ้องมองอยู่ โชคขมวดคิ้วไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบัง



          ธีร์รู้สึกตัวเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของโชค ความคิดที่กระจัดกระจายกำลังประกอบหลอมรวมเข้าด้วยกัน ระหว่างรอมันขึ้นรูปร่างสมบูรณ์เขาจึงเผลอคลี่ยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเคยส่งไปให้ แม้จะโดนเมินไม่ยอมคุยด้วยมาเนิ่นนานถึงห้าปี แต่โชคก็ยังเป็นเด็กคนเดิมที่เขารักและห่วงใย



          เจ้าของรอยยิ้มดั่งดวงอาทิตย์เฝ้าคิดสงสัยมาตลอดว่าทำไมโชคถึงโกรธเขานัก ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะเขาจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ซ้ำยังทำให้น้าแก้วของโชคต้องเสียใจ เขาคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลดีและไม่คิดจะโต้แย้งอะไร จนกระทั่งตอนนี้ ธีร์ก็ได้รู้ว่านั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด...



          โชคจ้องธีร์เขม็งตลอดระยะทางที่เขาเดินตามเจ้าของบ้านขึ้นมาบนเฉลียง บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ



          “โชค” คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคนที่หนึ่งยิ้มอย่างอ่อนล้ากับอีกหนึ่งที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเอ่ยเรียก เจ้าของชื่อจึงเบนสายตาหลบไปมองอย่างอื่นแทน แต่ยังคงยืนนิ่งจนแก้วต้องเดินเข้าไปหา เรียวนิ้วเกี่ยวปลายนิ้วของคนอายุน้อยกว่าแผ่วเบา ก่อนจะพูดเสียงอ่อน “ไปส่งงานได้แล้ว”



          “ผมไม่อยากไปแก้ว ผมไม่อยากไปตอนนี้” โชคจับมือแก้วแล้วบีบแน่น ดึงดันดื้อรั้นทั้งแววตาและน้ำเสียง แม้จะไม่ได้ขึ้นเสียงดังแต่ก็ชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ในครั้งนี้



          “เธอต้องส่งงานนี้ ไม่งั้นก็ติดเอฟ” แก้วยังคงใจเย็น ยกเหตุผลขึ้นมาพูด



          “ปีหน้าค่อยลงใหม่ก็ได้ครับ”



          “ไม่ใช่เรื่องเลยนะที่จะคิดแบบนี้ เธอโตแล้วนะ”



          “...”



          “โชค...”



          “ถ้าผมไปตอนนี้... ผมกลัวว่าจะต้องมาเสียใจทีหลัง” ดวงตาคู่สวยวูบไหว สั่นสะท้านอย่างปากว่า เขากลัวว่าหากจากไปตอนนี้ เมื่อเขากลับมามันจะหายไปไม่อยู่กับเขาอีกแล้ว



          ...หัวใจของแก้ว



          เกิดการถกเถียงเล็กๆ ขึ้นระหว่างเจ้าบ้านทั้งสอง ธีร์ไม่ได้สนใจฟังเนื้อความ แต่เขารู้ดีว่าฝ่ายไหนจะชนะ เพราะมันเหมือนกันกับเขาไม่มีผิด...



          “โชค” มือเรียวยกขึ้นแตะกรอบหน้าเด็กน้อยที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ออกแรงเพียงนิดหน่อยเพื่อบอกให้อีกฝ่ายหันมาสบตา ก่อนจะสยบทุกอย่างลงด้วยประโยคเดียว “เชื่อใจฉันสิ”



          “...ครับ”



          ...แววตาของโชคที่ใช้มองแก้ว







          หลังจากส่งคนที่ต้องไปส่งงานขึ้นรถเก๋งสีดำแล่นห่างออกไปจนลับตาแล้ว แก้วก็หันมาเผชิญหน้ากับแขกที่มาเยือนโดยไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้า ดวงตาสบกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ธีร์ไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างแก้วกับโชค และแก้วเองก็ไม่ได้คิดจะเล่าให้ฟัง



          กระทั่งเข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่น บนโซฟาตัวยาวที่จับจองกันคนละฝั่ง ความเงียบงันก็ยังกลืนกินบ้านทั้งหลังเอาไว้



          ...เนิ่นนานจนเข็มนาฬิกาที่ขยับเดินอย่างเชื่องช้าผ่านไปเกือบครึ่งรอบ



          “ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ที่นี่” ในที่สุดธีร์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา คำว่าไม่เปลี่ยนของเขาหมายถึงตัวบ้าน แม้ในใจจะอยากให้หมายถึงตัวบุคคลด้วยก็ตาม



          “ก็ไม่มีอะไรให้เปลี่ยน” แก้วตอบเสียงเรียบพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบ มันเป็นความจริงที่เขาไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเปลี่ยนแปลงบ้านหลังนี้ และบางทีตัวเขาเองก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปนักเช่นกัน...



          บางความรู้สึกของเขาก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย



          “นั่นสินะ” สิ้นคำม่านความเงียบงันโรยตัวกัดกินหัวใจอีกครั้ง ทั้งที่การฟังเสียงลมหายใจผ่านสัญญาณโทรศัพท์อย่างไร้ความหมายเมื่อก่อนยังไม่เคยทำให้อึดอัดใจเช่นในตอนนี้



          มะลิเดินมาคลอเคลียขาคนมาใหม่ แม้จะห่างหายไปนาน แต่ประสาทรับกลิ่นของสัตว์สี่เท้าก็ยังคงจดจำได้อยู่ เหมือนกับที่ความทรงจำของมนุษย์ไม่ได้ลบเลือนจางหายไปได้ง่ายดายนัก



          “ธีร์...” ดวงตาคมหันมาสบกับผู้เรียกขาน มองเห็นรอยปริร้าวจวนจะแตกสลายฉายแววอยู่หลังนัยน์ตาสีเข้มยามเอ่ยถาม “มึงมาทำไม”



          “กูหย่ากับเนตรแล้ว” คำบอกกล่าวที่ไม่ใช่คำตอบของคำถามทำเอาคนฟังชาวาบไปตามสันหลัง ความรู้สึกมากมายตีวนในช่องท้อง ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่ที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นความประหลาดใจ เพราะเมื่อวันเกิดเขาตอนเดือนตุลาที่ได้พูดคุยกัน ก็ยังไม่เห็นวี่แววของสิ่งที่จะตามมาเช่นนี้เลย



          ธีร์ดูออกว่าแก้วกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเลยพูดต่อ “อยู่ๆ เมษาก็พูดขึ้นมาน่ะ ...ว่าปะป๊ากับแม่ไม่ได้รักกันสักหน่อย ทำไมถึงต้องทนอยู่ด้วยกันด้วย ทำไมไม่ไปอยู่กับคนที่ทำให้ตัวเองมีความสุข”



          เด็กชายเมษาอายุสิบเอ็ดปีมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากพ่อแม่ผู้ผ่านวันเวลามาเนิ่นนานกว่าตนหลายเท่าตัวนัก เด็กชายตั้งคำถามอย่างเรียบง่าย ด้วยการเลี้ยงดูที่ทำให้มีความคิดอิสระจนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคำว่าครอบครัวถึงต้องกลายเป็นกรงขัง พ่อแม่ให้อิสระแก่เขา แต่กลับขังตัวเองไว้เพียงเพื่อให้เขาได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ และเพราะเขารักปะป๊ากับแม่มาก เขาถึงยิ่งไม่เข้าใจ ว่าทำไมคนทั้งสองต้องทนเจ็บปวด เขาอยากให้คนที่เขารักมีความสุข และนั่นสำคัญกว่าคำว่าครอบครัวที่แสนคับแคบมากนัก



          เมษาบอกว่าเขาจะยังคงเป็นลูกของปะป๊าธีร์และแม่เนตรเสมอ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป



          เพราะคำว่าครอบครัวที่เด็กชายเข้าใจนั้นลึกซึ้งกว้างใหญ่กว่านั้นมาก ครอบครัวคือสายสัมพันธ์ที่ยึดโยงผู้คนเอาไว้ ไม่ใช่ข้อมูลทะเบียนตามกฎหมาย ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่ต้องมีกันครบทุกคนเห็นกันอยู่ในทุกเวลา แต่เป็นความรู้สึกที่เชื่อมโยงถึงกันต่างหาก



          ช่างเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแต่ก็ห่างเหินถึงเพียงนั้นเลย



          ดวงตาคมจ้องตรงมาอย่างมั่นคง เสี้ยวนาทีที่เว้นช่วงไปส่งให้ก้อนความคิดมากมายลอยฟุ้งในอากาศ เหมือนม่านควันหม่นมัวที่กระจายตัวปกคลุม ส่งกลิ่นขมร้าวระทมเข้าไปถึงใจกลางหัวใจ รอยยิ้มอ่อนโยนจริงใจที่แม้ร้าวรานก็ยังคงสว่างไสวปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากที่กำลังขยับไหว...



          “...กูเลยมาที่นี่”



          เพียงห้าคำที่ธีร์พูดออกมา ไอควันก็ฉุนกึกจนดวงตาร้อนฉ่า แดงก่ำจนกลั่นตัวหยดออกมา ทั้งที่สูบมาตั้งเกือบสามสิบปีแล้วแท้ๆ



          “ทำไม...” ...ถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้



          เอ่ยถามออกไปไม่หมดด้วยเพราะเหตุผลมากมายเหลือเกินที่ฉุดรั้งไว้ แต่น้ำเสียงสั่นเครือก็ยังคงแตกพร่าเช่นเดียวกับหัวใจที่แหลกลาญ



          ธีร์ดึงแก้วเข้าไปกอดไว้อย่างนุ่มนวล ทั้งสัมผัส ความร้อน กลิ่นอาย ทุกอย่างเหมือนกับที่จดจำได้ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ครั้งนี้มันแตกต่างไปจากทุกทีแล้ว



          “แต่ก็ไม่ทันแล้วสินะ” ธีร์กระซิบ ฝังปลายจมูกเข้ากับเรือนผมสีเข้ม เขาจดจำได้ว่ารสชาติของหยดน้ำตามันเค็มปร่า แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันขมจนปวดใจ



          แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นฮักเหมือนกับคนในอ้อมแขนที่จิกกำเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นก็ตาม



          แต่ความปวดร้าวที่ได้สัมผัสไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย



          มวนบุหรี่ถูกคนตัวใหญ่กว่าคว้าไปขยี้ทิ้งใส่ที่เขี่ยให้เมื่อตัวคนสูบเอาแต่ซุกหน้าร้องไห้อยู่ในอกเขา ธีร์เคยเห็นแก้วร้องไห้ แต่ก็เกิดขึ้นนานมากจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่ อาจจะเป็นช่วงมัธยมปลายที่อีกฝ่ายเสียพ่อไป เพราะหลังจากนั้นแก้วก็มักจะเก็บความซ่อนรู้สึกเอาไว้ เข้มแข็งเกินไปทั้งที่ไม่จำเป็น คนเก่งของเขาจึงไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายอีกเลย



          แต่ดูเหมือนว่าความชราจะทำให้คนเราเปราะบางลง หรือไม่ก็แข็งแกร่งขึ้นจนแสดงความเจ็บปวดออกมาได้อย่างซื่อตรงด้วยหยดน้ำตา



          แก้วกับธีร์ พวกเขาต่างก็เติบโตขึ้นมาก ผ่านวันเวลาที่ฝากร่องรอยเอาไว้มากมายจนกลายเป็นชายวัยกลางคน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือในสายตาของคนทั้งคู่ พวกเขาต่างมองกันราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว



          แก้วยังคงเป็นเด็กหนุ่มม.ปลายที่มีดวงตาเฉยชา ยังคงเป็นหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ไว้ผมยาวเคลียบ่า ยังคงเป็นชายหนุ่มที่พ่นควันบุหรี่ใส่หน้า แล้วจูบเขาเป็นการไถ่โทษอย่างหยอกล้อ ความซุกซนที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าทีเย็นชาที่ทำให้ธีร์ไม่อาจถอนสายตาหรือหัวใจไปไหน



          เช่นเดียวกับที่ธีร์ยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่เอ่ยทักแก้วก่อนด้วยน้ำเสียงสดใส เป็นชายหนุ่มที่บอกกับเขาในอุโมงค์อควาเรียมว่าม้าน้ำจะจับคู่เพียงครั้งเดียว ก่อนจะมอบจูบแสนหวานประทับฝังสัมผัสลงในหัวใจ ยังคงเป็นผู้ชายคนเดิมที่มีรอยยิ้มเจิดจ้า สว่างไสวแสนอ่อนโยนที่แก้วตกหลุมรัก



          ยังคงเป็นแก้วคนนั้นเสมอมา และยังคงเป็นธีร์คนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง



          พวกเขายังคงรักกันอยู่



          แต่ก็รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาคงอยู่ได้เพียงในอดีต



          ธีร์ไม่คิดจะช่วงชิงแก้วมาจากปัจจุบัน ยิ่งไม่คิดเมื่ออนาคตของทางนั้นอยู่กับเด็กชายที่เขารักมากมายไม่ต่างกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาแก้วรอเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะสักกี่ครั้ง แต่เขาก็ยังคงจากไปซ้ำๆ แล้วเขามีสิทธิ์อะไรถึงจะมาเห็นแก่ตัวเรียกร้องเอาในวันที่อีกฝ่ายตัดสินใจได้ว่าจะไม่รอเขาอีกต่อไปแล้ว



          “โชคดูแลมึงดีไหม”



          “ดี...ดีมาก”



          “งั้นก็ดีแล้ว”



          ธีร์อยากให้แก้วมีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะไม่ได้มาจากเขาก็ตาม



          ...แต่ตอนนี้ ขอเพียงชั่วขณะเดียวนี้ ขอให้เขาได้กอดแก้วเอาไว้ให้เนิ่นนานกว่านี้อีกนิด เหมือนกับที่แก้วอยากยืดเวลาในอ้อมแขนนี้ต่อไปอีกหน่อย สัมผัสความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยกว่าที่ใดในโลกใบนี้ให้นานขึ้นอีกสักนาที ก่อนที่จะไม่ได้สัมผัสกับมันอีกต่อไปแล้ว



          ทว่าดูเหมือนเวลาจะเดินเร็วเหลือเกินในชั่วขณะที่เราไม่ต้องการ



          เมื่อแก้วหยุดสะอื้น ก็ถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือ



          ใบหน้าหล่อเหลาแม้ผ่านวันเวลาแต่ก็ไม่โรยราแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ไม่เคยหม่นแสง แก้วทาบมือลงบนแก้มชายผู้เป็นดวงอาทิตย์ของเขา ฉายแสงเจิดจ้าส่งให้ไม้ชอบแดดอย่างแก้วเติบโตจนหยั่งรากลึกมั่นคง หากไม่มีธีร์ เขาก็คงไม่ได้เป็นเขาอย่างทุกวันนี้ อาจจะยังคงแหลกสลายอยู่ในสักแห่งระหว่างเส้นทางชีวิต



          “ธีร์ ขอบใจ”



          “อา ขอบใจเหมือนกัน ...แก้ว”



          ...แม้ในวันนี้ เสียงยามเอ่ยเรียกชื่อตนที่แก้วชอบที่สุดก็ยังคงเป็นเสียงของธีร์



          ชายหนุ่มผู้มาเยือนเพียงชั่วคราวโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ เพียงอากาศเบาบางที่จางหายไปเมื่อแนบชิด แต่ไม่ใช่ที่ริมฝีปาก ธีร์กดจูบนุ่มนวลเนิ่นนานบนหน้าผากแก้ว ก่อนจะถอนถอยห่างออกไปเมื่อเวลาที่สมควรมาถึง โดยไม่มีสัญญาณใดเตือนบอก แค่รับรู้กันได้เองในความรู้สึก



          เวลาของพวกเขาหมดลงแล้ว...






          โชคกลับถึงบ้านตอนสี่โมงกว่า เขารีบบึ่งกลับมาทันทีที่ส่งงานเสร็จ ในหัวสมองว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ตอนตรวจแบบเขาตอบคำถามได้อย่างไม่มีปัญหา แต่กลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำได้อย่างไร สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในใจคือต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรทำอะไร



          น้าแก้วหลับไปแล้ว หลงเหลือดวงตาบวมแดงที่บอกให้รู้ว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนัก และอาธีร์ก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคู่คมจับจ้องคนข้างกาย ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองมีพอสมควร แต่ถูกจับจองด้วยมือที่วางทิ้งไว้ใกล้ๆ กัน... ห่างเพียงชั่วปลายนิ้วสัมผัส



          และทั้งที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่โชคก็รับรู้ได้ว่ามันห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมถึงกันได้อีกต่อไปแล้ว



          ธีร์หันมาสบตากับโชค ส่งยิ้มอ่อนโยนทั้งที่ดวงตาเศร้าสร้อย แต่ก็เป็นรอยยิ้มจากใจ ชายร่างสูงใหญ่ขยับลุกขึ้นมา บอกลาช่วงเวลาแสนสุขที่จะได้เฝ้ามองคนที่ครองหัวใจเขามาตลอดเกือบสามสิบปี



          “อาขอโทษนะโชค” ฝ่ามือใหญ่ที่ยังคงอุ่นร้อนไม่ต่างจากในความทรงจำวางลงบนหัวชายหนุ่ม ลูบไล้แผ่วเบาก่อนผละจากไป เขาไม่ได้ถามแก้วเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้าตัวกับคนตรงหน้า ไม่ถามว่าเริ่มต้นจากตรงไหน เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ....เขาเชื่อว่าแก้วคงคิดมาดีแล้วก่อนตัดสินใจ และคงทำอะไรๆ อย่างถูกต้องตามสมควร



          ชายหนุ่มไม่ได้ทำหน้าที่ส่งแขกแทนเจ้าของบ้านอีกคนที่ยังคงหลับอยู่ หัวใจเขาบีบตัวรัดแน่นขึ้นมาจนชาดิก ทั้งที่น้าแก้วบอกให้เขาเชื่อใจและคงทำตามที่ปากว่า แต่มันกลับเจ็บปวดเสียจนทรมานเมื่อเห็นรอยร้าวในดวงตาของอาธีร์



          ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นครอบครัว และในตอนนี้ก็ยังถูกยึดโยงด้วยสายสัมพันธ์นั้นอยู่ แม้จะมีการแปรผันสถานะจนยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่โชคก็ยังเจ็บปวดเมื่อคนที่เขารักเจ็บปวด เขารู้ว่าคนทั้งสองต่างก็เสียใจ ในเมื่อต่างคนต่างก็ยังคงรักกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากเป็นคนที่เดินออกไป



          ...ความรักก็เป็นเช่นนี้ เปลี่ยนคนเราให้เห็นแก่ตัว



          โชคเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นตรงหน้าแก้ว ฉวยมือเรียวข้างนั้นมากอบกุมไว้อย่างทะนุถนอม กระทั่งเจ้าตัวตื่นแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย



          “โชค?” ไม่มีเสียงขานรับ โชคซบหน้าลงกับตักแก้ว ลูบไล้วนตามข้อนิ้วของอีกคนไปมา



          “น้าแก้ว”



          “ว่าไง”



          “อาธีร์มาทำไม”



          “...ธีร์หย่ากับเนตรแล้ว”



          “...น้าแก้ว



          “หืม”



          “น้าแก้ว”



          “อืม”



          “แก้ว”



          “ฉันอยู่นี่ โชค ฉันอยู่กับเธอ”



          “ครับ”



          หลังจากนั้นโชคก็ตัวสั่นไหว ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา และก็ไม่ยอมให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเช่นกัน แก้วยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบแผ่นหลัง ก่อนจะโน้มตัวลงซบใบหน้าลงบนนั้น โอบกอดอนาคตที่เขาเลือกเอาไว้ แล้วภาวนาให้ไม่มีวันนึกเสียใจ



          ...ไม่มีวันนึกเสียใจที่เลือกโชคในวันนี้







          คืนนั้นพวกเขายังคงเข้านอนด้วยกัน และทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะ แต่กลับรู้สึกเหมือนมีหมอกมัวสีจางกั้นขวางเอาไว้ แก้วหลับสนิทด้วยความล้า ต่างจากเจ้าของอ้อมแขนที่โอบกอดเขาไว้ โชคนอนลืมตามองผนังห้อง ไม่อาจกำจัดความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจออกไปได้หมดเสียที สุดท้ายก็ค่อยๆ ลุกจากเตียงกลับไปห้องนอนของตัวเองที่ตอนนี้เอาไว้ใช้เวลาทำงานโต้รุ่ง



          เจ้าของห้องนั่งลงบนเตียง มองรอบตัวที่แสนคุ้นตาอย่างเลื่อนลอย จนกระทั่งไปหยุดที่โต๊ะหนังสือ บานหน้าต่างตรงนั้นยังคงเปิดกว้างมองเห็นเงาต้นแก้วโยกไหวในความสลัวรางจากแสงไฟนีออนข้างถนน และที่ใต้โต๊ะก็มีกล่องลังที่อัดแน่นไปด้วยกล่องของขวัญที่เขาไม่เคยเปิดออกดู



          โชคขยับย้ายตัวเองลงไปนั่งบนพื้น มือเอื้อมดึงเอากล่องใบนั้นออกมาเปิดฝา มองดูของขวัญที่มีจำนวนเท่าวันเกิดและคริสต์มาสที่ผ่านพ้นมาตลอดห้าปี... ของขวัญเก้าชิ้นจากอาธีร์ และภายในปลายเดือนนี้ก็จะมีอีกชิ้นที่ถูกส่งมา



          ชายหนุ่มไล่แกะห่อกระดาษออกทีละห่อ เปิดดูของข้างในที่ถูกเลือกมาตามวาระโอกาส ให้เหมาะกับเขาในช่วงวัยนั้นๆ อย่างตั้งใจ กับการ์ดอวยพรที่เขียนด้วยลายมือเพราะเขาไม่ยอมแม้แต่จะรับสายฟังเสียงคนให้



          ‘สุขสันต์วันเกิดนะโชค ขอให้เป็นอีกปีที่เธอยิ้มมากกว่าร้องไห้’



          ‘Merry Christmas หวังว่าจะชอบของขวัญชิ้นนี้’



          ‘Happy Birthday อาเห็นรูปเราจากที่แก้วส่งมาให้ดูแล้วนะ โตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะเรา’



          ‘โชค สุขสันต์วันเกิดครบยี่สิบปี เป็นผู้ใหญ่แล้วนะปีนี้ เติบโตขึ้นมาได้ดีจริงๆ เลย’



          ยิ่งอ่านเท่าไหร่ แต่ละตัวอักษรยิ่งพร่าเบลอเท่านั้น หยดน้ำตาเอ่อล้นจนหยดลงบนแผ่นกระดาษ บางสิ่งท่วมท้นขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก เหมือนกำลังจมลงก้นทะเลลึก ไม่มีแสง ไร้ซึ่งเสียง มีเพียงความรู้สึกที่ไม่มีชื่อเรียก



          ...อาธีร์อาจจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับน้าแก้ว



          ความรักก็เป็นเช่นนี้ มันทำให้คนเราเห็นแก่ตัว หรือไม่ก็ยอมเสียสละ



          และโชคกำลังเป็นคนเห็นแก่ตัวที่พยายามจะเสียสละ







          รุ่งสางวันเสาร์ โชคยังคงไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน เขากลับเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ปีนขึ้นเตียงไปกอดเจ้าของห้องไว้ แก้วรู้สึกตัวตื่นหลังจากนั้นไม่นานเพราะถูกกอดรัดจนแทบหายใจไม่ออก



          “โชค กอดแน่นไปแล้ว” เสียงงึมงำเอ่ยบอกทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา



          “น้าแก้ว” โชคยอมผ่อนแรงแขนลง แต่ก็ยังคงกอดไว้แน่นอยู่ดี



          “หืม เป็นไรไป” คนถูกก่อกวนยามเช้าพลิกตัวหันไปหา ลูบเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าขึ้นให้อย่างอ่อนโยน และราวกับภาพซ้ำ แต่เป็นคนละคนกับในอดีต



          ...ดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาแฝงความร้าวรานเจ็บปวด แต่ทว่ายังคงลังเลอยู่มาก



          โชคจูบแก้วโดยไม่พูดอะไร จูบแล้วผละออกมองตา ก่อนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้าจนพอใจแล้วจึงค่อยถอยห่างออกไป มากพอที่จะทำให้หัวใจวูบโหวง



          “น้าแก้ว” เสียงของโชคทำให้แก้วหวั่นใจ ยิ่งเสียงนั้นมั่นคงแค่ไหน แก้วก็ยังสั่นไหวเท่านั้น “คิดถึงใครอยู่เหรอครับ”



          “หมายถึงอะไร” ความง่วงงุนจางหายไปทันตา แต่ความสับสนปนหวาดกลัวบางอย่างผุดขึ้นมาแทนที่



          “เวลาที่ผมจูบแก้ว...” โชคพูดต่อ ขณะที่ไล้มือเกลี่ยผิวแก้มของคนตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย ทว่าดวงตากลับจ้องตรงลึกเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้ม “เวลาที่ผมกอดแก้ว เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน น้าแก้วคิดถึงใครเหรอครับ”



          “...เธอไง” แก้วขมวดคิ้วตอบ ยกมือขึ้นมากุมทับมือโชคไว้แล้วบีบแน่นโดยที่ไม่รู้ตัว



          “คิดถึงผมคนเดียว...” เพียงแค่เห็นแววตาในจังหวะที่เว้นไป แก้วก็เข้าใจทุกอย่าง “หรือมีอาธีร์อยู่ด้วยครับ”



          “...” เขาไม่ได้ตอบ แต่ก็ไม่ได้หลบตา เป็นฝ่ายคนถามเองที่ชิงหนีไปก่อนด้วยการดึงรั้งเขาเข้าไปกอดไว้แนบอก



          “ที่ผมเคยบอกว่าไม่ต้องรักผมเท่าอาธีร์ก็ได้ไม่เป็นไรน่ะ ตอนนี้ผมทำไม่ได้แล้วนะครับ ผมอยากให้แก้วรักผม รักผมคนเดียว” ในอ้อมกอดที่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสับสน แก้วรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง “แต่ถ้าน้าแก้วทำไม่ได้ ถ้าเลิกรักอาธีร์ไม่ได้...”



          ชั่วขณะที่โชคพูดคำนั้นออกมา



          “น้าแก้วเลิกกับผมก็ได้นะครับ”







TBC...



          ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมาเกือบสามปีเริ่มสั่นคลอนแล้วค่ะ การตัดสินใจของน้องโชค กับคำตอบของน้าแก้วจะเป็นเช่นไร ไว้ติดตามกันในตอนต่อไปนะคะ

          ปล.ตอนต่อไปเราจะเจอกันวันพฤหัสบดีเลยนะคะ เพราะรีนกำลังจะไปต่างจังหวัด แล้วก็คงไม่ได้ยกโน๊ตบุ๊กไปด้วย ขอโทษที่คงทำให้ต้องค้างกันนานสักหน่อย แง้
          ปล.2 ขอโทษที่มาอัพช้าอีกแล้วค่ะ ตอนนี้รีนกำลังเดินทางอยู่ เพิ่งจะได้มีเวลาว่างมาลง :mew6:



          ขอบคุณทุกคนที่ยังคงอ่านนิยายเรื่องนี้อยู่มากๆ เลยนะคะ

          ทั้งคนที่ติดตามอ่าน ทั้งคนที่คอยคอมเมนต์ ทั้งคนที่ส่งกำลังใจให้อยู่เสมอ

          ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ



          ขอให้คุณมีวันที่ดี มีปลายอาทิตย์ที่สดใส และอย่าลืมนอนหลับพักผ่อนกันให้เพียงพอด้วยนะคะ



          See You on Thursday

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 37 [06.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 09-11-2020 21:49:39
สายไปแล้วจริงๆอาธีร์ แต่ก็ยังว่าเป็นเพื่อนกันได้ มากกว่านี้คงไม่แล้ว ไม่ต้องหวั่นไหวไปนะโชค น้าแก้วเลือกแล้ว เลือกคนที่รักเรา ดูแลเราดีกว่า ตั้งใจเรียน จบทำงานแล้วมาเลี้ยงน้าแก้วแทนละนะ 5555  :-[ :katai2-1: รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 38 [12.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 12-11-2020 21:06:41
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 38

 

          ต้นสนพลาสติกถูกรื้อออกมาจากห้องเก็บของอีกครั้งเมื่อคริสต์มาสกำลังจะมาถึง โชคแขวนของประดับพร้อมพันสายไฟตามกิ่งก้านอย่างช่ำชองอยู่ที่มุมประจำข้างชั้นวางทีวี โดยมีมะลินอนเลียอุ้งเท้าอยู่ไม่ห่าง ท่ามกลางกองสายรุ้งหลากสี คอยก่อกวนไล่ตะปบเส้นของตกแต่งเวลาที่ชายหนุ่มหยิบจับขึ้นมา

 

          ภาพบรรยากาศแสนคุ้นเคย แต่กลับห่างไกล

 

          แก้วคว้าซองบุหรี่กับไฟแช็กแล้วลุกเดินออกไปนอกบ้าน จุดไฟที่ปลายมวนกระดาษแล้วสูดควันเข้าปอดอยู่บนขั้นบันไดเฉลียง ลมหนาวพัดมาไล้ผิว เขาไม่ได้สวมเสื้อคลุมออกมา ถึงรับรู้ได้ว่ามันหนาวเย็น... เสียจนรู้สึกอ้างว้าง

 

          ‘ถ้าเลิกรักอาธีร์ไม่ได้... น้าแก้วเลิกกับผมก็ได้นะครับ’

 

          ‘เธออยากเลิกเหรอ’

 

          ‘ไม่ครับ ...น้าแก้วล่ะ’

 

          ‘ฉันก็ไม่’

 

          ‘งั้น... เลิกติดต่อกับอาธีร์ได้ไหมครับ’


 

          ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วหลังจากวันนั้น ที่แก้วเงียบงันไม่ตอบรับคำขอ กับโชคที่ค่อยๆ ผละจากไป เหลือทิ้งไว้แค่เสียงบานประตูที่ปิดลงพร้อมกับหัวใจปริแตก

 

          หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกห้องนอน...

 

          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันไปหาต้นเสียง โชคเดินออกมาพร้อมเสื้อคลุมตัวอุ่นที่วางลงบนไหลชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล ก่อนจะกลับเข้าบ้านไปเก็บของตกแต่งส่วนเกินใส่ลังเตรียมยกไปเก็บ

 

          “โชค” แก้วเรียกรั้ง พ่นควันฝาดเฝื่อนเหมือนความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในหัวใจ รอคอยให้ดวงตาคู่สวยหันมาตอกย้ำให้รสขมจัดเข้มข้นชัดขึ้นไปอีก “ขอบใจ”

 

          “ครับ”

 

          ถึงแม้จะไม่ได้เลิกกัน แต่ความสัมพันธ์กลับห่างเหินเกินกว่าจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนในวันวาน

 

 

 

          ค่ำคืนก่อนวันคริสต์มาส กิจกรรมหนังรอบดึกยังคงมีอยู่ คนสองคนในบ้านนั่งอยู่คนละฝั่งโซฟา ใต้ผ้าห่มคนละผืน ถูกคั่นด้วยมะลิที่กำลังท้องนอนม้วนขดตัวอยู่ตรงกลาง จนกระทั่งเลยเที่ยงคืนไปเกือบรอบ โทรทัศน์จึงถูกปิดลงเมื่อถึงเวลาเข้านอน

 

          แก้วขึ้นไปก่อนแล้ว ส่วนโชคอุ้มแม่แมวไปส่งถึงที่นอนใต้บันได ลูบขนอุ่นนุ่มเป็นการบอกราตรีสวัสดิ์แล้วจึงค่อยขึ้นบ้านไปบ้าง

 

          “น้าแก้ว” โชคเรียกคนที่ยืนอยู่ข้างบานหน้าต่างสุดทางเดินที่เปิดกว้าง ลมหนาวกลางดึกหอบเอากลิ่นดอกไม้อ่อนจางเข้ามาด้วย

 

          คนข้างหน้าต่างไม่ได้พูดอะไร แค่รอให้โชคเดินเข้าไปหา ก่อนฝังผิวแก้มเย็นเฉียบลงข้างคอชายหนุ่ม โอบกอดแนบแน่นจนรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ

 

          “ปิดหน้าต่างไหมครับ” โชคยกแขนกอดตอบ ส่วนอีกข้างเอื้อมไปดึงบานไม้พับเข้ามาหวังจะกันลมหนาว เพิ่งปิดไปได้ฝั่งเดียวก็ถูกคนในอ้อมกอดจู่โจมด้วยจูบวาบหวาม

 

          ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนหนุ่มไฟติด แก้วรู้เสมอว่าต้องเร้าอารมณ์อีกฝ่ายอย่างไร พวกเขาจูบกัน สัมผัสลูบไล้เรือนกายผ่านเนื้อผ้าที่สวมใส่ ก่อนผละออกห่างทั้งที่ร่างกายยังเหนี่ยวรั้งกันเอาไว้

 

          “ทำต่อได้ไหมครับ” โชคเอ่ยถาม และแก้วพยักหน้า เขาเตรียมตัวมาแล้วสำหรับคืนนี้ ...คืนที่ไม่อยากอยู่คนเดียวบนเตียงโล่งว่างที่กว้างเกินกว่าที่เขาเคยจดจำได้

 

 

 

          โชคอยู่กับแก้วจนฟ้าสว่าง หลังจากการร่วมสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้ง เขาก็ยังอยู่บนเตียงของแก้ว นอนหลับไปเคียงข้างกัน แต่ไม่ได้โอบกอดร่างเปลือยเปล่าที่อุ่นร้อนแม้ปลายเท้าเย็นเฉียบเอาไว้แนบอกเหมือนกับทุกที

 

          ระยะห่างเพียงแค่พลิกตัวไปถึงกลับรู้สึกห่างไกล ราวกับว่าเตียงของเขามันกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ...ว่างเปล่าเสียยิ่งกว่าคืนที่ต้องอยู่เพียงลำพัง

 

          เป็นครั้งแรกที่แก้วรู้สึกอยากกรีดร้องโวยวายใส่ใครสักคน ใครสักคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำเช่นนั้น

 

          เขาโตเกินกว่าจะเรียกร้องความรัก... ความรักที่เขาให้กลับไปอย่างเท่าเทียมกันไม่ได้ตั้งแต่แรก

 

          ชายวัยสี่สิบห้าพลิกตัวตะแคงอีกฝั่ง หลับตาลงแล้วจมลงไปในความเหน็บหนาว สั่นสะท้านจนรู้สึกถึงรสเค็มปร่า

 

          กาลเวลาทำให้คนเปราะบาง ดูท่าว่าคำนั้นจะเป็นเรื่องจริง

 




 

          พลุไฟเบ่งบานย้อมราตรีกาลให้สว่างไสว แต่หน้าบ้านไม้สีขาวกลับหม่นครึ้มด้วยม่านความรู้สึกสีเทา

 

          แก้วสูบบุหรี่ มองท้องฟ้าประดับประดาแสงไฟหลากสีด้วยแววตาว่างเปล่า โชคเองก็ไม่ต่างกัน เขายืนอยู่เหนือลมแต่กลับได้กลิ่นขมฝาดเฝื่อน ดอกไม้ไฟตรงหน้าซีดจางไร้สีสัน ทั้งที่ยืนอยู่ข้างกันแต่กลับเอื้อมไปไม่ถึง

 

          ...อีกแล้ว

 

          โชคไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย ช่วงเวลาที่เขาคว้ามือคู่นั้นมากอบกุมเอาไว้ไม่ได้ หลังจากที่เขาออกจากห้องไปในเช้าวันนั้น มันก็เหมือนมีกำแพงมากั้นขวางไว้ไม่ให้เขาล่วงล้ำกลับเข้าไปใกล้ชิดกับแก้วได้อีก

 

          แต่ก็ไม่ชอบเลยจริงๆ

 

          “น้าแก้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเรียก เจ้าของดวงตาสีเข้มจึงหันมาสบตา ไอควันลอยออกจากริมฝีปาก พัดพาหายไปกับสายลมเย็นเฉียบ

 

          “ว่าไง”

 

          “ผมรักน้าแก้วนะ รักเหมือนเดิม”

 

          “ฉันก็รักเธอ โชค”

 

          จูบขมปร่าของใบยาสูบมอดไหม้ ช่วยเยียวยาหัวใจแห้งแล้งให้ชุ่มชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

 

          พวกเขาอยู่รับเช้าแรกของปีด้วยกันในห้องนั่งเล่น อิงซบกันอยู่บนโซฟา แผ่นหลังแนบชิดกับแผ่นอก โชคกอดแก้วไว้ขณะที่ไล้มือไปตามข้อนิ้วของคนในอ้อมแขน กดจูบลงบนกลุ่มผมยาวระท้ายทอยซ้ำๆ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอของเจ้าตัว...

 

          จนแสงสีทองยามเช้าสาดส่องเข้ามา อาบไล้ให้อุ่นจนเริ่มร้อน เสียงบอกราตรีสวัสดิ์จึงดังขึ้น บนโถงทางเดินหน้าห้องนอนที่ต่างคนต่างแยกกันเข้าไป





 

          นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในช่วงชั้นปีที่สาม เปิดฉากชีวิตเทอมสองอย่างวุ่นวายด้วยงานท้วมท้นตั้งแต่ต้นภาคเรียน โชคกลับถึงบ้านค่ำ บางวันก็พลาดมื้อเย็น ไหนจะการหมกตัวทำงานโต้รุ่งจนเวลากินนอนผิดเพี้ยน คาบเรียนในแต่ละวันก็เวลาไม่ตรงกัน ทำให้การได้เจอหน้าแก้วที่กิจวัตรประจำวันเป็นวงจรนั้นแทบนับครั้งได้ในหนึ่งสัปดาห์



          “ยังไม่นอนเหรอครับ” คืนกลางสัปดาห์เวลากว่าห้าทุ่มแล้วโชคเพิ่งถึงบ้าน สภาพดูทรุดโทรมอย่างคนนอนน้อย แก้วที่เคยผ่านมันมาแล้วไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี



          “ยัง มีงานอีกรึเปล่า” ตอบคำพร้อมถามกลับ พลางตบหน้าขาเบาๆ เป็นการสัญญาณเรียก



          โชคส่ายหน้าขณะที่เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา ฟุบหน้าลงบนตักน้าแก้วของเขาแล้วผ่อนลมหายใจยาวพรืด



          “พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง”



          “บ่ายครับ แต่เขายกคลาสเลยว่างทั้งวัน” มือใหญ่ของชายหนุ่มเริ่มขยับเลื่อนไปหลังสะโพกเจ้าของตักที่เขาหนุนนอน พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันมาพักใหญ่แล้ว



          “ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันมีประชุมตอนเช้า” แก้วตบเบาๆ บนต้นแขนข้างที่กำลังลวนลามตนอยู่เป็นเชิงปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ แต่สภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้ควรไปพัก อีกทั้งร่างกายของเขาเองก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดที่จะทำกิจกรรมบนเตียงแล้วตื่นเช้าอย่างสดใสพร้อมไปทำงานได้เหมือนพวกคนหนุ่มสาว



          ค่ำคืนในเดือนมกราของคนทั้งสองจบลงด้วยจูบแผ่วเบาก่อนแยกย้ายกันไปเข้านอน







          ปลายเดือนแรกของปีมะลิคลอดลูกอีกครอก แต่เพราะสุขภาพของแม่แมววัยย่างสิบสี่ ลูกในท้องจึงเหลือรอดเพียงตัวเดียว สิ่งมีชีวิตแรกเกิดตัวเล็กจิ๋วสีควันบุหรี่ เจ้าของบ้านทั้งสองจึงตัดสินที่จะเลี้ยงลูกแมวน้อยตัวนั้นเอาไว้ ...และให้ชื่อว่าโมก



          หนึ่งในเจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเฉลียงไม้หน้าบ้านกับคุณแม่มือฉมังที่ว่างจากการดูแลลูกน้อย โมกลืมตาแล้วเมื่อผ่านไปพ้นสัปดาห์ แต่ยังคงนอนทั้งวันอยู่บนเบาะผ้าใต้บันได



          แก้วเอนตัวพิงเสาไม้ ทั้งที่วันนี้เป็นวันเสาร์เขาก็ยังไม่ได้เจอหน้าโชคที่ออกไปทำงานกลุ่มตั้งแต่เช้า และกว่าจะกลับมาก็คงดึกดื่น วันหยุดดูไร้ความหมายเมื่อบ้านไม้สีขาวเงียบสงบจนชวนให้รู้สึกเหงาขึ้นมา



          ตลอดชีวิตสี่สิบกว่าปีเขาไม่เคยเกลียดความเงียบเลย ไม่เลยจนกระทั่งวันนี้



          ชายหนุ่มรุ่นใหญ่หยิบโทรศัพท์ออกมา กดพิมพ์ข้อความส่งไปถามคนรักอ่อนวัยกว่าของเขาว่าจะกลับมาทันกินข้าวเย็นไหม และคำตอบคือ ‘ไม่น่าจะทันนะครับ น้าแก้วกินไปก่อนเลย’



          ความรู้สึกหงุดหงิดรบกวนจิตใจ เหมือนกับที่ช่วงนี้เขานอนไม่ค่อยหลับ ตอนแรกแก้วคิดว่าอาจจะเพราะเครียดกับงาน ต่อมาก็คิดได้ว่ากำลังเข้าสู่วัยทอง แต่จนแล้วจนรอดต้นตอความวุ่นวายในจิตใจของเขาก็ชัดเจนเหลือเกินว่ามาจากโชค



          หนุ่มวัยทองจุดบุหรี่ พ่นลมหายใจเจือไอควันกรุ่นออกมาก้อนใหญ่ ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันคนใจเย็นอย่างเขาจะกังวลใจด้วยเรื่องแบบนี้ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองในวัยใกล้ห้าสิบปีจะมีคนรักที่เด็กกว่าเกือบเท่าตัวอย่างในตอนนี้...



          วันเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คน เช่นเดียวกับที่ความรักทำ







          ความสัมพันธ์ระหว่างแก้วกับโชคคงตัวอยู่ในระดับที่เรียกว่าเป็นคนรัก แต่ห่างไกลกับคำว่าคู่ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมา แม้บรรยากาศจะกลับมาดีขึ้นกว่าช่วงแรกที่ระหองระแหงกันมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีช่องว่างที่ทำให้รู้สึกกลวงเปล่าคั่นกลางอยู่ดี



          และช่องว่างนั้นก็ดูจะฉีกถ่างระยะห่างให้มากขึ้นไปอีกในวันนี้



          10 กุมภาพันธ์ วันเกิดของธีร์



          เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มเจิดจ้าไม่ได้โผล่หน้ามาสร้างความลำบากใจ และแก้วก็ไม่ได้ออกไปหาเจ้าตัว มีเพียงแค่โทรศัพท์หนึ่งสายที่แก้วเป็นคนกดโทรออกไป กล่าวคำอวยพรเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา พูดคุยถามไถ่เรื่องราวชีวิตกันเล็กน้อยแล้วก็วางสาย



          ...ถึงจะเพียงแค่นั้นก็ทำให้โชคไม่พอใจอยู่ดี



          หากมองเผินๆ อาจดูขี้หึงและใจแคบ แต่สำหรับโชคแล้วมันมีนัยยะสำคัญอยู่... มันแสดงให้รู้ว่าคำขอของเขาถูกปฏิเสธ



          “โชค” แก้วเอ่ยเรียกคนที่กลับมาถึงบ้านพอดีกับที่เขากำลังคุยโทรศัพท์ สีหน้าเรียบเฉยเดินผ่านเขาไปอย่างไม่คิดทักทาย จัดการเทกับข้าวที่ซื้อกลับมาใส่จานให้เรียบร้อยเสร็จสรรพแต่ไม่คิดจะร่วมโต๊ะด้วย



          โทรศัพท์ถูกวางทิ้งส่งๆ ไว้บนโต๊ะข้างที่เขี่ยบุหรี่ ขณะที่แก้วลุกเดินตามมาถึงหน้าบันได คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะพูดอะไร



          “...” ในความเงียบงัน ดวงตาสองคู่ที่จ้องมองกันฉายแววแตกต่าง แก้วกระวนกระวาย ส่วนโชคแหลกสลาย



          “โชค”



          “ครับ”



          “ฉันขอโทษ”



          ดวงตาคู่สวยปิดลงอย่างข่มความรู้สึกบางอย่าง และพอเปิดขึ้นมาอีกครั้งแก้วก็เข้าใจว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ถูกปฏิเสธ



          “ผมไม่ได้อยากให้น้าแก้วขอโทษ”



          เจ็บปวด...



          “ผมอยากให้น้าแก้วรักผม... ผมแค่คนเดียว”



          จนชาหนึบไปทั้งหัวใจ







          สามวันต่อมาคนในบ้านใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว มีเพียงแก้วกระเบื้อง กระปุกกาแฟและโหลน้ำตาล กับกาน้ำร้อนที่เสียบปลั๊กไว้ให้ในวันที่โชคตื่นเช้ากว่า



          แก้วชงกาแฟ ด้วยความรู้สึกมากมายที่ลอยวนอยู่เหนือวังน้ำวนที่จมลงสู่ก้นแก้ว ความรู้สึกอยากอาหารที่มีอยู่น้อยนิดลดลงไปอีกแล้ว



          วันนั้นทั้งวันเขาไม่ได้แตะอาหารเลยสักมื้อ



          พอตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอย่างว่างเปล่าทั้งที่ในหัวเต็มแน่นจนไม่แน่ใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มีเพียงอย่างเดียวที่รู้แน่ชัดคือมันเป็นเรื่องของโชคเสียส่วนใหญ่



          ยามเช้ามาถึงโดยที่แก้วยังไม่ได้หลับ เขาลงจากบ้านมานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เอนลำตัวพิงพนักโซฟา ดวงตาจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง นานแล้วที่ไม่ได้ทำเช่นนี้ ด้วยเพราะปกติจะมีตัวป่วนมากวนให้เขาต้องสนใจจนไม่มีเวลาได้เหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอยเช่นนี้



          รั้วสีขาว สวนสีเขียว ต้นมะม่วง ชิงช้าที่นานๆ ทีจะมีคนใช้งานแต่ยังแข็งแรงอยู่ กับดอกกุหลาบสีแดงเบ่งบานชูช่ออยู่ริมหน้าต่าง...



          “น้าแก้ว” เจ้าของต้นกุหลาบลงจากบ้านมาพอดี นั่นเป็นประโยคแรกที่พวกเขาได้คุยกันหลังผ่านมาสามวัน “กาแฟไหมครับ”



          “ก็ดี ขอบใจ”



          “ครับ”



          โชคชงกาแฟออกมาสองแก้ว หนึ่งของเขา และอีกหนึ่งของคนบนโซฟา ทว่ากลับไร้เงาคนที่เคยอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มเดาว่าอีกฝ่ายคงออกไปสูบบุหรี่อีกตามเคยเลยวางกาแฟเอาไว้ให้บนโต๊ะข้างที่เขี่ยสีใส ส่วนตัวเองตั้งใจจะรีบดื่มแล้วกลับขึ้นไปเอาเสื้อผ้ามาเตรียมอาบน้ำแล้วออกไปเรียน



          แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากห้องนั่งเล่น ไอควันจากกาแฟอุ่นร้อนยังคงลอยเอื่อยขึ้นสูง แก้วก็กลับเข้ามา พร้อมกับดอกกุหลาบสีสดในมือ

 

          ดวงตาสบมองกันอย่างเงียบงัน คนเด็กกว่าเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร

 

          ...วาเลนไทน์แห่งความรัก ที่เขาจะส่งดอกไม้ให้กับอีกคนในทุกๆ ปี

 

          ไม่มีคำพูดใด ชายหนุ่มแค่เดินเข้าไปหาความรักของเขา ที่แม้ตอนนี้จะขมฝาด แต่ก็ยังคงเป็นรักไม่เปลี่ยนแปลง ยกแขนโอบรวบตัวเข้ามากอด เกลี่ยปอยผมยาวปรกหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนแนบริมฝีปากลงแผ่วเบา แก้วหลับตารับสัมผัส ซุกซบลงไปบนบ่ากว้างยามเมื่อโชคถอนจูบออกไป

 

          “คืนนี้กลับเร็วหน่อยได้ไหม” ฟังดูคล้ายคำถาม แต่กลับเป็นคำขอ แก้ววิงวอนผ่านแววตาที่ช้อนขึ้นสบ

 

          “ครับ” และโชคไม่ปฏิเสธ... ไม่อาจปฏิเสธ “เย็นนี้กินอะไรดีครับ”

 

 

 

          หลังมื้อเย็นที่เงียบงันของคนสองคน โชคเป็นฝ่ายที่ไปอาบน้ำก่อน แล้วขึ้นห้องไปทำงานอยู่นานสองนาน แก้วจึงตามขึ้นมาเคาะประตู หยดน้ำยังคงเกาะตามลำคอที่โผล่พ้นขอบเสื้อยืด เรือนผมชื้นฉ่ำกับไออุ่นร้อนรอบตัว บรรยากาศเชิญชวนทั้งที่หัวใจกลวงเปล่า

 

          โชคตอบรับด้วยร่างกายและความปารถนา บนเตียงกว้างในห้องนอนใหญ่ร้อนแรงแข่งกับเครื่องปรับอากาศ ทุกจังหวะการขยับสอดประสานอย่างคุ้นเคย นำอารมณ์พุ่งทะยานจนเสร็จสม แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอ แม้ตักตวงมากมายเท่าไหร่ก็ไม่อาจเติมเต็มช่องว่างในอก...

 

          ความร้อน หยาดเหงื่อ ลมหายใจ เสียงหอบคราง

 

          แก้วมองหน้าคนที่ทาบทับอยู่ด้านบน โชคอยู่ในตัวเขา กอดรัดรึงแนบแน่น มอบจูบวาบหวามดูดดื่ม ทั้งที่สัมผัสกันลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทั้งที่ชัดเจนถึงเพียงนี้

 

          ...แต่กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งความหมาย

 

          และทั้งที่แสนว่างเปล่า เขากลับหายใจไม่ออก

 

          “โชค” เสียงแหบแห้งกับมือที่ดันอกอีกฝ่ายออกห่าง

 

          “ครับ” เจ้าของชื่อขานรับ ยอมหยุดยั้งทุกอารมณ์ไว้อย่างรอคอย

 

          “เปล่า เปลี่ยนท่าเถอะ” แก้วว่า ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมทับอยู่ข้างบน กดสะโพกลงรับส่วนแข็งขึงเข้ามา เชื่อมโยงหลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ก่อนจะขยับเชื่องช้าราวกับจะยั่วเย้าให้คนใต้ร่างทรมาน

 

          คนโดนปลุกเร้าด้วยจังหวะเนิบช้าหยัดตัวขึ้นรวบตัวคนขี้แกล้ง โอบกอดประคองแผ่นหลังที่สั่นไหวน้อยๆ ไว้ขณะจัดท่าทางให้สะดวกกับการกระแทกสวนขึ้นไปจากเบื้องล่าง แก้วเกยคางบนบ่า โอบแขนยึดรอบลำคอของโชคไว้เมื่อจังหวะการสอดใส่กลายเป็นหนักหน่วง มันไม่ได้รุนแรงจนทำให้เจ็บ โชคยังคงเป็นชายหนุ่มที่ทะนุถนอมอ่อนโยนกับเขาเฉกเช่นวันวาน

 

          กระทั่งความร้อนเดือดพล่านจนปะทุหลั่งออกมาเป็นหยาดหยด โชคทิ้งตัวลงนอนพิงหมอน กำลังจะรั้งตัวคนข้างบนให้ซบลงมา แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อน้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงบนอกเขา ก่อนจะพรั่งพรูตามมาอีกมากมาย

 

          ...หยดแล้วหยดเล่า

 

          แก้วร้องไห้ ดวงตาเปียกชุ่มแดงก่ำ ริมฝีปากสีซีดและมีรอยฟันฝังลึกบ่งบอกว่าพยายามกลั้นเสียงมาเนิ่นนาน

 

          “ฉันขอโทษ” เสียงสั่นเครือแหบพร่าเอื้อนเอ่ย ก่อนสองมือยกจะขึ้นปิดซ่อนใบหน้า ทว่าร่างกายกลับสะท้านไหวตามแรงสะอื้น

 

          “น้าแก้ว...” โชคนิ่งค้าง ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรและยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ แก้วก็ชิงเป็นฝ่ายพูดต่อให้แทนแล้ว

 

          “ฉันไม่ชอบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้” แก้วสูดลมหายใจเข้าลึก ปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามจัดการกับจังหวะการหายใจของตัวเองเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ฉันขอโทษ... เรื่องธีร์ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำยังไง ฉันกับธีร์เป็นเพื่อนกันมานาน นานมากเลยโชค แล้วฉันก็รักธีร์มานานมากจนฉันไม่รู้ว่าจะเลิกรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง”

 

          คำสารภาพทำเอารู้สึกจุกเสียด โชคได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างเงียบงัน เห็นหยาดน้ำตาทะลักทะลายอาบสองแก้มแม้ดวงตาคู่นั้นจะยังคงซุกซ่อนไว้หลังฝ่ามือ และในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะสังเกต ว่าตามนิ้วเรียวยาวขึ้นข้อชัดเจนแค่ไหน เช่นเดียวกับกระดูกไหปลาร้าที่นูนเด่นกว่าแต่ก่อน

 

          ...แก้วผ่ายผอมลงมาก กล้ามเนื้อที่เคยมีอ่อนยวบยาบ ไม่ได้ซูบโทรมจนแห้งเหี่ยว แต่ก็ดูเปราะบางเหลือเกินหากเทียบกับในวันวาน

 

          ในอกวูบโหวงและบีบรัดแน่นในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกผิดตรงเข้ากัดกินหัวใจ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน แต่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แก้วต้องเป็นเช่นนั้นก็คงมีเขาด้วยอยู่ดี โชคยกมือขึ้นเกี่ยวรั้งมือเรียวให้พ้นจากดวงตาสีเข้ม จ้องสบอย่างต้องการปลอบโยน แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน สุดท้ายได้ทำได้เพียงจ้องมองดวงตาคู่นั้น รับฟังความในใจแสนสั่นเครือของแก้วต่อไป

 

          “ฉันรู้ว่ามันเห็นแก่ตัว ...ที่ฉันยังรักธีร์อยู่ แต่ฉันก็รักเธอด้วย ฉันอยากอยู่กับเธอ อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ฉันคงเป็นคนโลภมากที่อยากได้ความรักที่มากมายขนาดนั้น... แต่ฉันมีความสุข โชค ฉันมีความสุขมากที่เธอรักฉันแบบนั้น มากจนฉันคงทนไม่ได้ถ้าเราอยู่ด้วยกันต่อไปแบบห่างเหินอย่างนี้...” ยิ่งพูดทั้งที่พยายามกลั้นน้ำตาลำคอก็ยิ่งเจ็บ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพูดต่อไปแม้เสียงเริ่มขาดหายจวนจะกลายเป็นเพียงลมหายใจหอบฮัก แก้วประคองเรียวคางคนหนุ่มไว้มั่น เฉกเช่นเดียวกับน้ำหนักของถ้อยคำ “ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับฉันแล้ว... เราจะเลิก...”

 

          “ผมไม่เลิกหรอกครับ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ...ผมอยากอยู่กับแก้ว” โชคไม่ได้รอให้แก้วพูดจนจบประโยค วางมือทาบทับมืออีกฝ่าย ขยับรั้งมาค้างไว้เหนือริมฝีปาก ก่อนจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้มอย่างซื่อตรง เอ่ยคำพูดที่ราวกับคำสัญญาอย่างหนักแน่น “ผมจะอยู่กับแก้วตลอดไปเลยนะครับ”

 

          แม้คำว่าตลอดไปจะไม่มีอยู่จริง แต่ครั้งนี้แก้วกลับเชื่อหมดใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

 

          เขากับโชค... อยู่ด้วยกันตลอดไปในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้

 

          เสียงสะอื้นหนักขึ้น บางครั้งก็ขาดห้วงด้วยเพราะการหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า แก้วร้องไห้อยู่บนอกโชคเนิ่นนานจนน้ำตาแห้งเหือด ทว่าแผ่นหลังก็ยังคงสั่นไหวอยู่เช่นนั้นต่อไปอีกจนค่อนคืน เป็นครั้งแรกที่แก้วแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมามากมายขนาดนี้ต่อหน้าโชค

 

          อาจจะด้วยเพราะวัยและความเครียดสะสมที่ทำให้คนสุขุมสูญเสียความเยือกเย็น หรือไม่ก็เป็นเพราะความรักทำให้คนสติแตก แต่ไม่ว่าอย่างไหนโชคก็ไม่อยากเห็นน้าแก้วที่เปราะบางราวกับจะแหลกสลายลงไปท่ามกลางหยดน้ำตาแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเพื่อให้แก้วยิ้มแล้วล่ะก็...

 

          “ไม่ต้องฝืนตัวเองให้เลิกรักอาธีร์ก็ได้นะครับ” โชคกระซิบแผ่ว ใช้นิ้วเกี่ยวเส้นผมคนในอ้อมอกเล่น เห็นบางเส้นก็เป็นผมหงอกแซมมา พลางคิดถึงช่วงเวลาที่อีกฝ่ายใช้รักผู้ชายคนนั้น

 

          ...ตั้งแต่ไว้ผมทรงนักเรียนกระทั่งมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ตัวเขาเองก็คิดภาพไม่ออกเหมือนกันว่าหากเป็นเขาจะถอนความรู้สึกนั้นอย่างไร แค่คิดว่าให้เลิกรักน้าแก้วตอนนี้ก็ยังไม่คิดว่าจะทำได้เลย

 

          “ไม่ต้องเลิกติดต่อกันก็ได้... แต่ว่าเลือกผมนะครับ เลือกผมแล้วอย่ากลับไปหาอาธีร์อีก ให้ผมเป็นคนรักคนเดียวของน้าแก้ว”

 

          “อือ” เสียงครางรับจากเจ้าตัวเบาหวิวจนโชคต้องย้ำคำ

 

          “นะครับ”

 

          “อืม เรื่องของฉันกับธีร์มันผ่านไปแล้วโชค มันจบแล้ว ...ฉันมีแค่เธอ”

 

          “ครับ”

 

          อาการเหน็บชาเริ่มคืบคลานประท้วงร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าขาที่รับน้ำหนักของคนข้างบนที่ยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ โชคขยับพลิกตัวอย่างนุ่มนวลเพื่อถอนกายออกจากอีกฝ่าย แก้วรู้สึกตึงเล็กน้อยที่ปากทางเพราะความแห้งผาก แต่ก็ไม่ได้ทรมานมากนัก จนสุดท้ายก็ได้นอนกอดก่ายกันในท่าที่ถนัดและสบายกว่า

 

          “โชค” บทสนทนาก่อนนอนในความง่วงงุนแต่การรับรู้กลับแจ่มชัด

 

          “ครับ”

 

          “กลับมานอนกับฉันนะ” แก้วซุกตัวหนุนหัวบนไหล่กว้าง รู้สึกเหมือนเด็กอ้อนขอความรักทั้งที่ชีวิตเดินมาเกินกว่าครึ่งทางแล้ว “ถึงจะยุ่งแค่ไหน แต่ถ้ากลับมานอนด้วยกัน อย่างน้อยฉันก็จะได้เจอเธอทุกวัน”

 

          “ครับ ได้สิครับ” คนถูกอ้อนหัวเราะ ชอบเหลือเกินเวลาที่น้าแก้วทำท่าทางน่ารักและพูดขอสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

 

          เวลาเดินตรงไปข้างหน้าด้วยจังหวะของมันอย่างไม่รีบร้อน ความเงียบงันไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดใจอีกต่อไปแล้ว ทว่าก่อนที่จะร่วงหล่นสู่ห้วงนิทรา ในเวลาที่สติกำลังเลือนราง เสียงกระซิบงึมงำก็ยังคงดังก้องชัดเจนอยู่ข้างหู

 

          “ผมอยากอยู่ข้างๆ น้าแก้วไปจนถึงวันที่ผมแก่...”

 

          “ถึงตอนนั้นฉันก็กลายเป็นตาแก่อายุเจ็ดสิบแล้วสิ”

 

          “ก็ใช่น่ะสิครับ... เพราะถึงวันนั้นก็ยังอยากอยู่ด้วยกัน”

 

          “อือ”

 

          “ผมรักน้าแก้วมากขนาดนั้นเลยนะครับ”

 

          “ฉันรู้”

 

          “เพราะงั้นผมไม่ไปไหนหรอก”

 

          “ฉันก็เหมือนกัน”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อือ ฉันก็รักเธอ”

 

          “ครับ”

 

          “ฝันดี”

 

          “ฝันดีครับ”

 

 

 

TBC...

          ตอนนี้ก็ได้เห็นน้าแก้วที่แสนเปราะบางกันไปแล้วนะคะ เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน หวังว่าจะยังไม่เบื่อกันน้า มันเป็นเรื่องที่ยาวนานในความรู้สึกเพราะกินเวลานานมากจริงๆ เลยกลัวว่านักอ่านจะเหนื่อยจนเดินจากกันไปเหลือเกิน และสำหรับทุกคนที่ยังตามอ่านอยู่ รีนขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รีนน่ะรอให้พวกคุณมาอ่านอยู่ที่ตรงนี้เสมอเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าช่วงไหนไม่ว่างหรือกำลังยุ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ก็ไม่ต้องรีบร้อนมาอ่านหรอกนะคะ ขอให้พวกคุณได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีน้ำตาหรือรอยยิ้มมากกว่าก็ขอให้หัวใจที่แสนอ่อนโยนดวงนั้นไม่แตกสลาย ขอให้ไม่ลืมเลือนความเป็นตัวเองนะคะ 


          ทั้งนี้วันเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คน เช่นเดียวกับที่ความรักทำ และอากาศก็ด้วยค่ะ

          อย่าลืมดูแลสุขภาพในช่วงอากาศเปลี่ยน ขอให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจเลยนะคะ

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ กำลังใจ

          ขอบคุณจากใจเสมอ


          เจอกันวันจันทร์นะคะ 
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 38 [12.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-11-2020 22:56:20
หืออออออ!! 3p ????? เอาสิ ก็ดีเหมือนกันนะ ลงตัวดี ไม่ต้องแยกจากใครมันสักคนอยู่กันสามคนนี้แหละ หนับหนุนๆ 55555  :katai2-1: :katai2-1: เจอกันตอนหน้าเลยค่ะ จะไปทางไหน  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 39 [16.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 16-11-2020 22:03:02

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 39

 

       เข้าสู่เดือนมีนาอากาศก็ร้อนจนแทบไม่เหลือร่องรอยของฤดูหนาว โชคยังคงยุ่งกับการเรียนและยิ่งเป็นช่วงใกล้สอบกลางภาค บางคืนก็อ่านหนังสือติวกับเพื่อนจนตีหนึ่งตีสอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงกลับบ้านทุกวัน เพียงเพื่อให้ได้เห็นน้าแก้วก่อนตัวเองจะนอน และให้แก้วได้เจอหน้าเขาในตอนที่ตื่นขึ้นมา

 

       “ตื่นนานแล้วเหรอครับ” เช้าวันเสาร์ที่ไม่ต้องออกไปไหน โชคลืมตามาเจอคนข้างกายที่นอนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

       “สักพักแล้ว” แก้วตอบ หลับตาลงเมื่อชายหนุ่มของเขายื่นหน้ามากดจูบเร็วๆ บนริมฝีปาก

 

       “หิวไหมครับ”

 

       “ไม่ค่อยเท่าไหร่”

 

       “ไม่หิวก็ต้องกินครับ” คนเด็กกว่าพูดเสียงเข้มคล้ายกำลังดุ มือใหญ่กำรอบข้อมือที่เห็นข้อกระดูกปูดชัดแล้วดึงขึ้นไปใกล้ใบหน้า ใช้ปลายจมูกถูไถไปมาบนหลังมือเรียว “น้าแก้วผอมลงมากเลยนะรู้ไหม”

 

       “อืม มันไม่ค่อยหิวน่ะ บางทีก็ลืมกิน” เจ้าของมือที่ถูกยึดไว้พลิกมือกลับไปบีบจมูกเจ้าหมาตัวโตที่กำลังทำหน้ามุ่ย "คงเพราะวัยทองล่ะมั้ง”

 

       “อย่าลืมบ่อยสิครับ” โชคว่า ความเป็นห่วงฉายชัดทั้งในแววตาและน้ำเสียง

 

       “อือ” คนไม่กินข้าวครางรับ ขยับตัวหาท่าสบายแล้วตั้งใจจะหลับต่อในอ้อมแขนอุ่น แต่เจ้าของวงแขนกลับไม่ยอมให้เขาได้นอนพักเมื่อท้องยังคงว่างเปล่า

 

       “ลงไปกินข้าวกับผมก่อน”

 

       “...”

 

       “นะครับ”

 

       “อืม”

 

 

 

       เย็นวันอังคารแก้วเลิกงานกลับมาถึงบ้านตอนห้าโมงครึ่ง เห็นเด็กน้อยของเขากำลังเล่นกับแมวเด็กที่กำลังซน กระโดดตะปบของเล่นทั้งที่ขายังไม่แข็งแรงดี พอลงพื้นก็ทรุดก้มจ้ำเบ้าแต่ยังคงจับจ้องขนนกที่ปลายเส้นเอ็นโยกไหวไปมาตาไม่กระพริบ

 

       “กลับมาแล้ว” แก้วยิ้มให้ดวงตาสามคู่ที่จ้องมองมา มะลิเป็นคนแรกที่มาต้อนรับเขาโดยการถูตัวกับขา ต่อมาเป็นชายหนุ่มที่ลุกมารับของในมือไปเก็บให้ในห้องทำงาน และสุดท้ายก็เป็นสมาชิกคนล่าสุดของบ้านที่ค่อยๆ เดินมาดมปลายเท้าคนมาใหม่ที่นั่งลงบนโซฟา รับรู้กลิ่นคุ้นเคยก็ปีนขึ้นไปจับจองบนหลังเท้าราวกับเป็นที่นอนแสนสบาย

 

       แก้วยกเท้าข้างที่ลูกแมวนอนทับขึ้นเล็กน้อยอย่างหยอกล้อ มองสบดวงตาสีออกฟ้าต่างจากตัวแม่ที่ดูตื่นกลัวจนไม่กล้าขยับ “ว่าไงโมก ตัวหนักขึ้นอีกแล้วนะ”

 

       “ก็ดีแล้วนี่ครับ แสดงว่าสุขภาพดี” โชคกลับมานั่งกึ่งขัดสมาธิลงข้างน้าแก้ว วาดแขนข้างหนึ่งไปวางทิ้งไว้เหนือพนักพิงโซฟาด้านหลัง มองเจ้าสีควันแล้วไล่สายตามาที่คู่สนทนา “น้าแก้วก็เหมือนกัน กินให้เยอะๆ หน่อยสิครับ”

 

       “ฉันผอมแล้วไม่ดีเหรอ” แก้ววางลูกแมวน้อยลงพื้นอย่างปลอดภัยแล้วหันมาสบตากับเจ้าหมาตัวใหญ่

 

       “ดีตรงไหนล่ะครับ”

 

       “ก็...เอวบางร่างน้อย เด็กๆ รุ่นเธอชอบแบบนั้นกันไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มถูกจุดขึ้นมาบนใบหน้าของทั้งสองคน โชคหัวเราะผะแผ่วก่อนฝังจมูกลงบนหัวไหล่อีกฝ่าย

 

       “ไม่รู้สิครับ ผมชอบแก้วคนเดียวมาตลอดเลยไม่เคยมองคนอื่น” อยู่ๆ ก็ถูกจีบ แก้วหลุดขำออกมาอย่างเอ็นดู

 

       “แล้วพอฉันผอมก็ไม่ชอบแล้วเหรอ”

 

       “ก็ไม่ได้ไม่ชอบนะครับ” ดวงตาคู่สวยวาวระยับฉายแววซุกซน “แต่ผมชอบตอนมีเนื้อหนังมากกว่า เวลาจับแล้วเต็มมือดี”

 

       “แค่เพราะเรื่องนั้นเหรอ” แก้วยังคงไล่จี้ต่ออย่างนึกสนุก โชคเลยเล่นตามน้ำไปด้วย

 

       “อืม พอแก้วผอมเวลาผมกอดก็ทำแรงไม่ได้ด้วยอะดิ”

 

       “เกี่ยวกันตรงไหน”

 

       “กลัวตัวแก้วจะหัก”

 

       “ฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นสักหน่อย”

 

       “ผมรู้” โชคว่า “แต่ผมก็กลัวอยู่ดี”

 

       “อืม งั้นฉันจะกินให้เยอะขึ้นแล้วกัน”

 

       “หืม”

 

       “เวลาเธอเอาฉันจะได้ไม่ต้องออมแรง”

 

       “น้าแก้ว...” คนเด็กกว่าลากเสียง รู้สึกขัดเขินขึ้นมากับคำพูดของแก้ว ส่วนเจ้าตัวนั้นหัวเราะร่า ยิ้มออกมากว้างกับดวงตาสุกใส ยกมือขึ้นประคองหน้าอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาจูบเบาๆ

 

       “ฉันอยากทำกับเธอให้มากที่สุดในตอนที่ยังไหวอยู่” น้ำเสียงยังคงเจือความอารมณ์ดี แต่ถ้อยคำกลับจริงจังและชวนให้รู้สึกวูบโหวงขึ้นมา “อีกไม่นานฉันก็จะห้าสิบแล้ว ส่วนเธอตอนนั้นแค่ยี่สิบเจ็ด โชค ฉันเลยอยากให้เธอเก็บช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้มากที่สุด”

 

       “...คืนนี้เลยไหมครับ” คำถามเย้าฟังดูเจ้าเล่ห์ โชคกอดแก้วเอาไว้ วางคางเกยบ่ากว้างที่ผอมบางลงมากนัก ขณะฟังแก้วบ่นเรื่องที่เขาเพิ่งจะทำไปเมื่อคืน แต่กลับคึกอะไรนักหนา แล้วสุดท้ายก็ตอบตกลงอยู่ดี

 

       โชคกระชับกอดแน่น... แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่หัวใจเขากลับสั่นไหวเหลือเกิน

 



 

       วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่มีธุระนั้นแสนสงบ โชคตื่นขึ้นมาตอนสายไม่เห็นคนข้างกายเลยลงมาตามหาที่ชั้นล่าง เดินออกไปจนถึงหน้าบ้านก็ได้กลิ่นควันขมลอยมาตามลมโชยเอื่อย

 

       “น้าแก้ว” เอ่ยเรียกคนที่สูบบุหรี่หลับตาพริ้มอยู่บนชิงช้า แสงแดดแรงจ้าส่องสว่างแต่ไม่อาจผ่านพุ่มใบต้นมะม่วงลงมาเลียผิวคนใต้ร่มเงาได้ ค่อนข้างแปลกตาที่เห็นแก้วอยู่ตรงนั้น เพราะปกติที่ประจำในการสูบบุหรี่จะเป็นลานอิฐที่มีดอกแก้วโปรยเสียมากกว่า

 

       “ว่าไง” แก้วขยับปากพูดทั้งที่มวนกระดาษยังคาปาก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ กับดวงตาที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยน

 

       “กินข้าวด้วยกันนะครับ”

 

       “อือ มีอะไรกินบ้างล่ะ”

 

       “ไม่รู้สิครับ ยังไม่ได้ทำ” โชคว่า ก่อนจะเอ่ยถาม “น้าแก้วอยากกินอะไร”

 

       “เธอทำอะไรมาฉันก็กินหมดนั่นแหละ”

 

       “กินให้หมดจริงๆ นะครับ”

 

       “อืม จะกินให้หมดเลย”

 

       โชคยิ้มร่า เดินกลับเข้าบ้านไปประจำตำแหน่งพ่อครัว จัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่จนไม่คิดว่าเป็นปริมาณของสองคนกิน และสุดท้ายแก้วก็กินได้ไม่หมด ...แต่ถึงอย่างนั้นก็มากกว่าที่เคยแล้ว

 

 

 

       กลางดึกที่โชคเพิ่งกลับถึงบ้าน เขารีบอาบน้ำเพื่อจะได้ขึ้นบ้านนอนพักผ่อนเสียที พอเปิดประตูห้องนอนใหญ่เข้าไปก็พบว่าเจ้าของเตียงคนนั้นหลับไปแล้ว ชายหนุ่มเลยต้องค่อยๆ ย่องไปขึ้นเตียงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะฝังตัวเข้าไปแนบชิดกอดอีกฝ่ายเอาไว้

 

       “กลับมาแล้วเหรอ” แก้วงัวเงียปรือตาหันกลับมามองผู้บุกรุกยามวิกาล

 

       “ผมทำให้ตื่นเหรอครับ” เอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด แต่ไหนๆ เจ้าตัวก็ตื่นแล้วโชคเลยขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่

 

       “อือ กี่โมงแล้ว” เสียงงึมงำยังคงพูดไปขณะพลิกตัวหันมาซุกกับอกอุ่น

 

       “ตีหนึ่งกว่าครับ” ชายหนุ่มตอบพลางกระชับอ้อมแขน จัดท่าทางให้นอนสบายแล้วแนบคางเกยศีรษะคนรักสูงวัยของตน บทสนทนาก่อนนิทราถูกกระซิบแผ่วเบา “เริ่มกลับมามีเนื้อมีหนังขึ้นแล้วนะครับ”

 

       “ฉันเหรอ”

 

       “ครับ”

 

       “แล้วดีไหม”

 

       “ก็กอดเต็มมือขึ้นเยอะเลย” เสียงหัวเราะแผ่ว ก่อนที่แก้วจะขยับตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อย

 

       “ปล่อยฉันก่อน หายใจไม่ค่อยออกแล้ว” คนถูกกอดประท้วง ตบเบาๆ บนท่อนแขนที่โอบเอวตนไว้แน่นให้ผ่อนแรงลง

 

       โชคยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งยังปล่อยให้แก้วลุกขยับจัดท่านอนใหม่ตามใจ ซึ่งเจ้าตัวหยิบหมอนมาวางซ้อนให้สูงขึ้นเล็กน้อยก่อนนอนลงไป เสร็จแล้วค่อยดึงรั้งให้เขาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแนบกับแผงอก

 

       “น้าแก้ว...”

 

       “หืม”

 

       “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

 

       “อา ราตรีสวัสดิ์โชค”

 

 

 

       ปลายเดือนมีนาอากาศร้อนขึ้นอย่างรุนแรง แก้วที่เหงื่อโทรมกายเพราะการตากผ้ากลางแจ้งเดินถือตะกร้ากลับเข้ามาในบ้าน โชครีบเอาเหยือกน้ำเปล่ากับแก้วออกมาให้

 

       “ผมบอกแล้วเดี๋ยวผมไปตากให้”

 

       “แค่ตากผ้าเอง เธอไปเก็บตู้เย็นต่อเถอะ เดี๋ยวเขาจะเอาตู้ใหม่มาส่งแล้ว” แก้วเอนหลังพิงพนักโซฟาปล่อยให้พัดลมช่วยเป่าไอร้อนบนผิว พร้อมไล่ให้เด็กน้อยจอมเอาใจใส่ที่ชอบแย่งงานบ้านไปทำเสียหมดให้ไปเก็บของออกจากตู้เย็นอายุหลายสิบปีที่เกษียณอายุการทำงานของตัวเองไปเมื่อเช้าต่อ เพราะใกล้ได้เวลาที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านัดว่าจะเอาตู้ใหม่มาส่งให้แล้ว

 

       “ดื่มน้ำด้วยนะครับ” เอ่ยย้ำอีกครั้งก่อนจะยอมกลับเข้าครัวไป

 

       แก้วเลยได้แต่เทน้ำใส่แก้วแล้วยกดื่ม แต่เพิ่งกลืนไปได้อึกเดียวก็สำลักไอขึ้นมา จากนั้นก็ไอโขลกๆ อยู่นานจนโชคต้องกลับออกมาดู

 

       “น้าแก้ว โอเคไหมครับ” เอ่ยถามเสียงอ่อนพลางช่วยลูบหลังให้อย่างเป็นห่วง

 

       “อืม แค่สำลักเฉยๆ” เจ้าตัวว่าเมื่ออาการทุเลาลงแล้ว แม้จะยังคงแสบจมูกกับคันคออยู่เล็กน้อยก็ตาม

 

 

 

       วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเกิดของเด็กชายที่ได้ชื่อตามเดือนเกิด ...น้องเมษาลูกชายอาธีร์

 

       แก้วโทรศัพท์ไปหาพ่อของเด็กชายเพื่อขอสายอวยพรเจ้าตัว โชคเองก็อยู่ด้วย นั่งซ้อนหลังโอบเอวแก้วไว้พลางแนบหูฟังเสียงใสของเด็กน้อยวัยสิบสองปีที่กล่าวขอบคุณและบ่นว่าคิดถึงป๊ะป๊าแก้วและพี่โชคของตนแค่ไหน

 

       “เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกอะครับ พี่โชคยุ่งเหรอ เนี่ยเจ้ปรางก็บอกว่าพี่โชคไม่ค่อยตอบแชทเจ้ปรางเลย”

 

       “พี่ปรางทักมาในไหนเนี่ย พี่ไม่เห็นเห็นเลย” โชครับช่วงคุยกับเด็กชาย ในขณะที่แก้วหยิบรีโมตทีวีมากดลดเสียงลงไปอีกเพื่อให้ไม่ดังเข้าไปแทรกบทสนทนาในสาย เขาไม่ได้สนใจฟังนักว่าเด็กๆ คุยอะไรกัน ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะคิกคักกับความสดใสของวัยเยาว์ที่แว่วมาเข้าหู ...จนกระทั่งได้ยินชื่อใครสักคนที่ทำให้รู้สึกยุบยิบในหัวใจขึ้นมา

 

       “อาธีร์ครับ”

 

       รับรู้ได้ถึงความเกร็งในน้ำเสียงของคนด้านหลัง แก้วเองก็เผลอเกร็งตัวขึ้นมาเช่นกัน แต่มือของโชคที่เอื้อมมาจับมือเขาแล้วบีบนวดเบาๆ ช่วยให้ผ่อนคลายลง เหมือนกับประโยคที่ชายหนุ่มพูดกับอีกคน

 

       “ขอบคุณนะครับ... ของขวัญที่ให้มาผมเปิดดูแล้วนะ ขอโทษที่ตอนนั้นผมไม่ยอมคุยด้วย ...อาก็เป็นแต่แบบนี้ไง ใจดีตลอดเลย” เสียงหัวเราะในลำคอดูฝืดฝืนอย่างประหม่า แต่แววตาก็อ่อนลงเช่นเดียวกับกำแพงที่เคยสร้างขึ้นมา “ไม่เป็นไรครับ คุยกับน้าแก้วไหม ...ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นไร อย่ามาแย่งน้าแก้วไปจากผมก็พอ ...ครับ งั้นคุยกับน้าแก้วนะ”

 

       โชคยื่นโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ ก่อนกดจูบหนักๆ ลงข้างขมับแล้วลุกผละจากไปเอาข้าวให้แมว ปล่อยให้แก้วได้มีเวลาพูดคุยกับเพื่อนสนิท

 

       “...” ความเงียบงันเกิดขึ้นจากทั้งสองฝั่ง เสียงลมหายใจยังคงดังลอดมาข้างหู จนกระทั่งหลุดหัวเราะกันออกมาทั้งคู่

 

       “โชคโตมาเป็นผู้ชายที่ดีนะ” ธีร์ว่า

 

       “อืม ส่วนนึงก็เพราะมึง” และแก้วบอก

 

       “...แก้ว”

 

       “หืม”

 

       “เปล่า ไม่มีอะไร”

 

       บทสนทนามีเพียงเท่านั้น แต่มันก็ยังคงชัดเจนเหลือเกินว่าเสียงของธีร์ยามเอ่ยเรียกชื่อแก้วยังคงเป็นเสียงที่เจ้าตัวชอบมากที่สุดอยู่เช่นเดิม ...เหมือนกับความรู้สึกที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป

 

       มือเรียวกดวางสายหลังจากเอ่ยลากัน เขาเงยหน้าไปสบตากับชายหนุ่มข้างฉากไม้โปร่งเข้าพอดี

 

       โชคยิ้ม... เป็นรอยยิ้มแสนเศร้าแต่แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ

 

       เป็นอีกครั้งที่แก้วรู้สึกว่าเขาช่างถูกผู้ชายคนนี้รักมากมายเหลือเกิน

 



 

       กลางฤดูร้อนของเดือนเมษายน เทศกาลสงกรานต์ที่ร้อนแรงที่สุดในรอบปี ทั้งโชคและแก้วไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีใครคิดฝ่าแดดออกไปเล่นน้ำให้เปียกโชกเมื่อพวกเขามีห้องแอร์

 

       เจ้าของบ้านนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงกว้าง แก้วอ่านหนังสือนิยายสืบสวนที่โชคซื้อมาไว้ติดบ้านให้อ่านเล่น ส่วนเจ้าตัวคนที่สรรหามาเสียบหูฟังเปิดไมค์เล่นเกมออนไลน์ในโทรศัพท์กับมิกซ์ที่ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด โดยที่บนพื้นห้องมีอีกสองชีวิตแม่ลูกที่หนึ่งนอนแผ่อย่างสบายอารมณ์ กับอีกหนึ่งที่กำลังซนเดินสำรวจไปทั่วพื้นที่

 

       ผ่านไปเกือบชั่วโมงโชคก็เลิกเล่นเกม เพราะเพื่อนสนิทของเขาถูกมารดาเรียกให้ไปรดน้ำดำหัวไหว้ญาติผู้ใหญ่ ชายหนุ่มวัยใกล้ยี่สิบสามปีเลยว่างจนพลิกตัวไปก่อกวนอีกคนบนเตียงต่อ

 

       “น้าแก้ว”

 

       “หืม”

 

       โชคไม่ได้พูดอะไรแต่เริ่มสอดมือเข้าไปใต้เสื้ออีกฝ่าย ลูบไปตามหน้าท้องแบนราบที่นุ่มหยุ่นน้อยๆ เพราะชั้นไขมันตามวัย แก้วยอมวางหนังสือลง ปล่อยให้เจ้าหมาตัวโตมุดเข้ามาในเสื้อ ขมเม้มไล้เลียไปตามผิวเนื้อ ดูดดุนยอดอกกระตุ้นเร้าความต้องการให้ทะยานสูง

 

       แต่เพราะแก้วผ่านคืนวันมาเนิ่นนานแล้ว ร่างกายไม่ได้จุดไฟให้ติดได้ง่ายดายขนาดนั้น

 

       “โชค” แก้วผลักศีรษะที่ถูกเสื้อตัวใหญ่ของเขาคลุมทับเบาๆ เป็นการบอกให้คนซุกซนถอยออกไป และได้ดั่งใจตามคำสั่ง โชคยอมถอยออกมาแต่โดยดี

 

       “ครับ?”

 

       “ให้ฉันเตรียมตัวก่อน” คนโตกว่าบอก เตรียมจะลุกไปจัดการตัวเองในห้องน้ำที่ชั้นล่าง แต่อีกคนกลับไปยอมปล่อย กอดรั้งเอวเขาไว้แน่นด้วยเพราะร่างกายของคนหนุ่มกำลังร้อนได้ที่

 

       “แค่ข้างนอกก็ได้ครับ” เด็กน้อยต่อรอง ทว่าก่อนจะทันได้ขยับทำอะไรต่อ แก้วก็พูดประโยคที่ทำให้เจ้าตัวต้องยอมรอ แม้ว่าความอึดอัดที่ช่วงล่างจะยิ่งคับแน่นขึ้นไปอีก

 

       “แต่ฉันอยากให้เธอใส่เข้ามา”

 

 

 

       เซ็กส์กลางหน้าร้อนไม่ได้แย่นักเมื่ออยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ แต่แก้วกำลังรู้สึกกระดากเล็กน้อยเมื่อเผลอจ้องสบตากับโมกที่กระโจนขึ้นมาบนเตียง

 

       “โมก” โชคเรียกเสียงเข้มเมื่อแมวเด็กเยื้องย่างเข้ามาหาคนที่กำลังทรุดหมอบกอดหมอนแน่นอยู่เบื้องหน้าเขา ก่อนจะเอาหัวไปถูไถกับกลุ่มผมสีเข้มอย่างไม่อ่านบรรยากาศใดๆ

 

       “รู้สึกเหมือนกำลังทำอะไรไม่ดีอยู่เลย” แก้วพึมพำ ยกยิ้มอย่างขบขันขณะใช้ปลายนิ้วเกาใต้คางลูกแมวสีควันบุหรี่

 

       “น้าแก้ว...” พูดพร้อมกับโน้มลงมากัดสะบักขวา ตรงที่มีจุดขี้แมลงวันเล็กๆ แต้มอยู่อย่างเรียกร้องความสนใจ “สนใจผมหน่อย”

 

       “ก็สนใจอยู่” คนถูกอ้อนเอี้ยวคอมองข้ามไหล่มาสบตากับเจ้าหมาขี้อิจฉา และเป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องพูดอะไร ทั้งสองคนก็พลิกเปลี่ยนท่าให้มองหน้ากันได้สะดวก ส่วนแมวเด็กก็ถูกโชคฉวยเอาไปปล่อยลงข้างเตียงอย่างนุ่มนวล

 

       แก้วยิ้มอย่างเอ็นดูระคนหวามไหว การมีแฟนเด็กมันทำให้รู้สึกจั๊กจี้หัวใจอย่างนี้นี่เอง

 

       สอบแขนโอบดึงคนด้านบนลงมาจูบ ในขณะที่สะโพกถูกยกขึ้นสูงส่งให้ร่างกายที่แทรกสอดเข้ามาได้ลึกยิ่งขึ้น ลึกจนรู้สึกแน่นขึ้นมาถึงอก การหายใจติดขัดเล็กน้อยก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงดันที่กระทั้นขึ้นมาจนถึงคอ แก้วผละริมฝีปากออกก่อนจะไอโขลก โชครีบหยุดกระกระทำแล้วประคองอีกฝ่ายขึ้นนั่งพลางลูบหลังอย่างเป็นห่วง

 

       “น้าแก้วไหวไหม”

 

       “อือ” กลืนน้ำลายกลับลงคอไปอย่างยากลำบาก แต่ก็พยักหน้าบอกว่าไม่เป็นไรเมื่ออาการแน่นหน้าอกหายไปแล้ว “เดี๋ยวให้ชั้นอยู่ข้างบนแล้วกัน”

 

       “ครับ” เสียงตอบรับเบาหวิวเต็มไปด้วยความกังวล แต่แก้วก็ยิ้มปลอบบอกแค่ว่าท่าเมื่อกี้มันลึกเกินไปจนจุกเท่านั้น

 

       พวกเขาร่วมรักกันต่อจนเสร็จสม โดยที่แก้วไม่ยอมเปิดปากให้โชครุกล้ำเข้าไปได้อีกเลย จนกระทั่งลงไปอาบน้ำล้างตัวกันเสร็จ แก้วถึงได้จูบโชคอย่างลึกซึ้งดูดดื่มอีกครั้งก่อนจะนอนคุยกันจนหลับไปในตอนบ่ายแก่

 

 

 

       ก่อนเข้าพฤษภาคมที่โชคต้องสอบปลายภาค นิสิตหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านสักเท่าไหร่ ทั้งเรื่องงานกลุ่มที่ทำร่วมกับเพื่อน และการอ่านหนังสือด้วยกันก่อนสอบ แม้ว่าแก้วจะช่วยให้คำปรึกษาเขาได้ในเรื่องวิชาชีพที่ใช้จริง แต่ก็มีหลายสิ่งที่ระยะห่างยี่สิบปีของหลักสูตรที่เพิ่มเติมขึ้นมาซึ่งแก้วไม่สามารถช่วยได้มากนัก สุดท้ายการจับกลุ่มติวจึงเป็นทางเลือกที่ดูเข้าท่าที่สุด

 

       “วันนี้น่าจะไม่ได้กลับนะครับ” เสียงเหนื่อยล้าจากปลายสายเรียกรอยยิ้มเอ็นดูขึ้นมาบนริมฝีปากผู้ฟัง

 

       “อ่านไปเถอะ เดี๋ยวสอบเสร็จก็ว่างแล้ว” แก้วพูดอย่างคนมีประสบการณ์อดนอนไปสอบมาก่อน

 

       “ตอนน้าแก้วเรียนหนักขนาดนี้ไหมครับ”

 

       “อืม ก็เหมือนกันแหละ ไม่ค่อยได้นอนหรอกก่อนสอบน่ะ”

 

       “อือ...” โชคลากเสียงยาว ดูง่วงงุนและหงุดหงิดเล็กน้อย “อยากกลับไปนอนกอดแก้วแล้ว”

 

       “อืม ไปอ่านหนังสือต่อไป”

 

       “ครับ ...ขอกำลังใจหน่อย”

 

       “จะเอาอะไร”

 

       “จุ๊บๆ” แก้วหัวเราะออกเสียง ก่อนจะทำเสียงจุ๊บเบาๆ ตามที่อีกฝ่ายเรียกร้อง พูดลาสองสามคำแล้วกดวางสาย

 

       ห้องนั่งเล่นกลับมาเงียบงันในความมืดมิดของช่วงเวลาเกือบเที่ยงคืนอีกครั้ง หลายวันมานี้แก้วครุ่นคิดถึงหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง

 

       เขารักโชค... รักมากกว่าที่ตัวเองคิด และมากกว่าที่โชคคิดนัก

 

       ช่วงเวลาสองเดือนที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาง่อนแง่นเต็มไปด้วยระยะห่างแสนอึดอัด ทำให้แก้วตระหนักขึ้นมาว่าโชคมีอิทธิพลกับชีวิตของเขามากมายแค่ไหนในฐานะคนรัก

 

       ความรู้สึกหลากหลายที่ไม่เคยได้สัมผัส อย่างการต้องการความรักจนเห็นแก่ตัว ความหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสีย ความสุขของการถูกรักและได้รักตอบ ความปารถนาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันในทุกๆ วัน สิ่งเหล่านั้นโชคเป็นคนที่ทำให้แก้วในวัยสี่สิบกว่าปีได้เรียนรู้ จากคนเฉยชาที่อยู่เพียงลำพังจนเคยชิน กลายเป็นคนที่เกลียดความเหงาขึ้นมา

 

       และเพราะได้รับมามากมายขนาดนั้น เขาถึงคิดว่ามันคงถึงเวลาที่จะทำอะไรเพื่อตอบแทน

 

       ชายวัยกลางคนลูบไฟแช็กสีทองในมือ ...ถึงเวลาที่เขาจะแตะต้องความรู้สึกที่ฝังรากลึกเสียที

 

       ดวงตาสีเข้มปรือปิดลงเมื่อในอกคับแน่น รับรู้ถึงความรู้สึกระคายที่ก่อตัวในลำคอ จนสุดท้ายร่างกายก็บังคับให้เขาไอออกมา ไอจนน้ำตาคลอ ไอจนแสบร้อนไปทั้งอก ไอจนทรมาน ...ไอจนได้กลิ่นคาวคลุ้งอยู่ในปาก

 

       โชคเป็นเหตุผลที่ทำให้แก้วอยากกลับบ้าน

 

       และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ให้เนิ่นนานขึ้นอีกหน่อย

 

       เสียงใสกังวานยามเปิดฝา เปลวไฟลุกโชนวูบไหวเผาไหม้ปลายมวนกระดาษ ส่งกลิ่นขมปร่าและม่านควันหม่นมัวปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง

 

       เวลาเดินต่อไปอย่างเชื่องช้า แก้วลิ้มรสฝาดเฝื่อนของใบยาสูบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมันมอดดับลง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงกองขี้เถ้าใต้ก้นกรองบนพื้นผิวสีใสในที่เขี่ย

 

       แก้วจะตัดใจจากธีร์ เหมือนกับที่เขาจะเลิกสูบบุหรี่

 

 

 

TBC...

       ชีวิตคือรสขมที่แทรกปนด้วยความหวาน ตอนนี้เราก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงท้ายของชั่วนิรันดร์กันแล้วนะคะ รีนรักนักอ่านทุกคนมากๆ เลย ขอบคุณจากใจจริงๆ ที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ และอีกสิ่งที่อยากจะบอกก็คือ... รีนเขียนต้นฉบับจบแล้วนะคะทุกคน สองตอนสุดท้ายที่ใช้เวลาเกือบสองเดือน ในที่สุดก็จบลงได้แล้วล่ะค่ะ  :katai2-1:

       ขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้มาตลอดเลยนะคะ จากนี้ไปรีนก็จะทำการรีไรต์แก้คำผิด ปรับอะไรนิดๆ หน่อยๆ ตามสมควร แต่ไม่ส่งผลกับเส้นเรื่องแน่นอนค่ะ ไว้ถ้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาบอกอีกทีนะคะ เผื่อใครอยากย้อนอ่านทวนอีกครั้งในฉบับที่สมบูรณ์แล้ว และยังไม่หมดแค่นั้น รีนยังมีตอนพิเศษที่อยากจะเขียนมาให้ทุกคนได้อ่านอยู่อีกหนึ่งกระบุงโกย หวังว่าจะติดตามอ่านกันจนถึงตอนสุดท้ายที่ท้ายสุดกันเลยนะคะ  :katai4:

       ปล.ไม่ 3p น้าาาาา แง้ 55555 เรื่องนี้เป็นมิตรกับนักอ่านเกือบทุกวัย โดยผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำและทำความเข้าใจเนื้อหาอย่างมีวิจารณญาณค่ะ เพราะงั้นโปรดอ่านอย่างสบายใจได้เลย  :mew1:

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านจากส่วนลึกสุดหัวใจเสมอ

       ขอบคุณมากๆ ค่ะ

 

       See You on Thursday!

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 39 [16.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-11-2020 23:31:23
ดีงาม  :katai2-1: :katai2-1: ไอ้เราก็แอบเชียร์3pเบาๆ 55555555 เอาใจช่วยให้เลิกบุหรี่ให้ได้นะ จากวันนั้นจนวันนี้ตามกันมายาวนานจริง สนุกและชอบความหน่วงมาก รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้สม่ำเสมอ เป็นกำลังใจในทุกตอนค่ะ  :L1: :pig4:  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 40 [19.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 19-11-2020 20:49:53

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 40

 

          แก้วเป็นมะเร็ง...

 

          หลังจากที่นิสิตหนุ่มสอบเสร็จหมดทุกตัวแล้ว แก้วก็บอกถึงความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะป่วย จากนั้นพวกเขาก็ไปโรงพยาบาลด้วยกัน โชคนั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องตรวจแต่ละแผนกที่แก้วเข้าไป ถ้าห้องไหนสามารถเข้าด้วยได้ก็จะตามไปด้วย หลังจากนั้นก็กลับบ้าน กอดแก้วไว้ทุกคืน กุมมือรอคอยผลตรวจเกือบสัปดาห์ที่ออกมาว่ามีความเสี่ยง และไม่กี่วันต่อมาแก้วก็ต้องไปโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อทำการตัดชิ้นเนื้อออกไปตรวจยืนยันผล

 

          ...แก้วเป็นมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กในระยะจำกัด

 

          กลางเดือนพฤษภาคม หน้าร้อนจบลงในสายฝนพรำ โชคนอนหนุนตักแก้วอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงทีวี ไม่ได้เปิดพัดลม พวกเขาอยู่กันเงียบๆ อย่างนั้นตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล ปล่อยความคิดให้ทำงานของมันในความเงียบงันและอุณหภูมิอุ่นร้อนจากร่างกายที่แตะสัมผัสกัน ท่ามกลางอากาศชื้นกับลมที่หอบเอาละอองฝนผ่านซี่มุ้งลวดเข้ามาปะทะผิวเป็นระยะ

 

          “น้าแก้ว” เสียงแหบแห้งเบาหวิว สั่นเครือเหมือนกับดวงตาคู่สวยที่จ้องมองขึ้นมา “...ผมกลัว”

 

          “อืม ฉันรู้” แก้วตอบเสียงแผ่วเบาไม่ต่างกัน แต่กลับมั่นคงสงบนิ่ง เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีเข้มที่หลุบมองลงมาสบ พร้อมมือเรียวที่ขยับลูบหัวคนบนตักอย่างปลอบประโลม

 

          “น้าแก้ว”

 

          “หืม”

 

          “ผม...” ถ้อยคำถูกกลืนกลับลงไปในคอเมื่อสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาในเวลาเช่นนี้ดี

 

          “โชค ฉันอยู่นี่” แต่แก้วก็ยังคงเป็นแก้วคนนั้นเสมอ เอ่ยกระซิบคำปลอบโยนด้วยรอยยิ้มบางอย่างใจเย็น “ฉันยังมีเวลาอยู่กับเธอได้อีก... อย่างน้อยก็คงสักสองปี”

 

          “...ทำไมถึงใจเย็นได้ขนาดนี้ล่ะครับ” โชคมองรอยยิ้มบนใบหน้าแก้วด้วยหัวใจที่ค่อยๆ ปริแตกเป็นเสี่ยง ทั้งที่เขารักรอยยิ้มของคนตรงหน้าสุดหัวใจ แต่ในตอนนี้กลับทนมองไม่ไหวจนต้องหลบหนีไปซุกซ่อนสายตาอยู่กับหน้าท้องของเจ้าตัวแทน

 

          “มันยังอยู่ในระยะจำกัดนะโชค ยังรักษาได้อยู่”

 

          “แต่มันก็ยังแพร่กระจายได้นี่ครับ แบบเซลล์เล็กมันแพร่กระจายเร็ว...”

 

          “อืม แต่หมอบอกว่ามันตอบสนองกับคีโมแล้วก็การฉายแสงได้ดีนะ”

 

          “ก็ใช่ แต่ผมก็ยังกลัวอยู่ดี”

 

          “ไม่เป็นไร ค่อยๆ รักษาไป...นะ” สิ้นคำแก้ว โชคก็เริ่มร้องไห้ ก่อนจะสะอื้นจนตัวสั่น ทั้งโมโหทั้งเจ็บปวด เขาควรเป็นคนที่ให้กำลังใจแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกปลอบเสียเอง

 

          แก้วลูบหัวเด็กน้อยของเขา รู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาที่เปียกเสื้อจนชุ่มเป็นวง อยู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา คนขี้แยตรงหน้าเขาเคยเป็นเด็กชายที่ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ มาวันนี้กลับแสดงความรู้สึกได้อย่างตรงไปตรงมา มีความสุขก็ร้องไห้ เศร้าเสียใจก็ร้องไห้ เจ็บปวดก็ร้องไห้

 

          ...ช่างเป็นการเติบโตที่ดีเหลือเกิน

 

          ชายผู้เลี้ยงเด็กชายคนนั้นให้กลายมาเป็นชายหนุ่มในวันนี้คลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ก้มลงไปฝังปลายจมูกไว้เหนือหูอีกฝ่าย ตระกองกอดพลางลูบไล้ศีรษะคนบนตักต่อไปอย่างอ่อนโยน แลกเปลี่ยนไออุ่นให้กันและกัน ขณะที่ปล่อยให้เสียงฝนช่วยชะล้างความกังวลให้เจือจางไป

 

พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากรอคอยนัดพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาขั้นต่อไปในอีกสองวันข้างหน้า

 



 

          หลังจากแพทย์สอบถามประวัติแล้วส่งไปตรวจร่างกายดูผลเลือดต่างๆ กับการเอ็กซ์เรย์ช่วงอกเพื่อดูตำแหน่งก้อนเนื้อ แผนการรักษาของแก้วก็ออกมาว่าจะเริ่มจากการใช้ยาเคมีบำบัด โดยจะเริ่มให้คีโมครั้งแรกต้นเดือนมิถุนายน

 

          ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไรออกมา ท่ามกลางความโล่งใจที่แทรกเจือด้วยความตึงเครียด โชคบังคับพวกมาลัยรถด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายเอื้อมมากอบกุมมือแก้วไว้ บีบกระชับราวกับกลัวว่าหากปล่อยแล้วอีกฝ่ายจะหายไป เช่นเดียวกับแก้วที่บีบมือเขาตอบเบาๆ เพื่อช่วยยืนยันว่าตัวเองยังคงอยู่ตรงนี้ ...ยังคงไม่ได้หายไปไหน

 

          “ฉันรักเธอนะโชค” อยู่ๆ ถ้อยคำบอกรักก็หลุดออกมาตอนรถจอดติดไฟแดง รอยยิ้มแสนหวาน แววตาลึกซึ้ง ทว่าชวนให้รู้สึกเหงาเหลือเกิน

 

          “ผมก็รักแก้ว” โชคยกมือขวาของแก้วที่เขายึดไว้ขึ้นมาจูบแผ่วเบา ส่งผ่านความจริงใจในคำพูดที่กล่าวออกไป “จะรักตลอดไป”

 

          “ตลอดไปไม่มีจริงหรอกนะ”

 

          “งั้นก็ชั่วชีวิต”

 

          “ขอบใจ ...ฉันก็จะรักเธอไปชั่วชีวิตเหมือนกัน”

 

          “ครับ”

 

          ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว สัญญาณบอกให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า โชคและแก้วยังคงต้องเดินทางต่อไปบนท้องถนนแม้ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน แต่พวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะกุมมือกันไปจนกว่าสุดสาย...

 

          ถนนยาวไกลแสนสั้นที่เรียกว่าช่วงชีวิต

 



 

          นิสิตหนุ่มรู้สึกว่าโชคดีที่ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงปิดเทอม เขาคิดภาพไม่ออกเลยว่าถ้าการมาให้คีโมครั้งแรกของน้าแก้วเขาไม่ว่างมาด้วยเขาจะรู้กระวนกระวายมากแค่ไหน เพราะขนาดตอนนี้เขานั่งเฝ้าอยู่บนโซฟาสำหรับญาติฝั่งตรงข้ามที่มองเห็นกันตลอดเวลา เขายังรู้สึกทั้งกังวลทั้งร้อนรนในใจอยู่เลย

 

          “โชค” แก้วยิ้ม ทั้งที่แขนถูกเจาะสายระโยงรยางค์ต่อกับถุงยาเคมีบนเสา เพราะการให้คีโมกับผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นรูปแบบฉีดเข้าเส้นเลือดดำโดยตรง โชคไม่รู้ว่ามันเจ็บรึเปล่า แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนใจจะขาดอยู่ดี

 

          “ครับ น้าแก้วจะเอาอะไร” รีบขานรับทันที พร้อมกับเตรียมจะลุกไปหาทุกอย่างที่อีกคนต้องการมาให้ แต่แก้วส่ายหน้า รอยยิ้มยังคงติดอยู่บนริมฝีปากที่สีซีดจางลงเล็กน้อย

 

          “แค่จะบอกว่าฉันไม่เป็นไร เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าในสายตาของน้าแก้วเขาทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่ก็รู้ว่ามันคงดูแย่มากเลยทีเดียว “มันไม่ได้เจ็บขาดนั้นโชค ไม่เป็นไร”

 

          “ครับ” รับคำได้เพียงเท่านั้นแล้วนั่งลงที่เดิม พยายามฝืนกลืนก้อนน้ำตากลับลงคอแล้วยิ้มตอบ

 

          เขาก็ทำได้แค่นี้ ทำได้เพียงนั่งมองอยู่ตรงนี้ไม่ห่างไปไหน คอยให้กำลังใจในขณะเดียวกันก็ถูกปลอบโยนโดยคนตรงหน้า...

 

          คีโมครั้งแรกของแก้วกินเวลายาวไปจนถึงช่วงเย็น โชคพาคนป่วยที่อ่อนเพลียจนหลับไปตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน พลางทบทวนเรื่องการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาเคมีบำบัดที่พยาบาลแนะนำซ้ำไปซ้ำมาในหัวตลอดทาง ทั้งเมนูอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ผลข้างเคียงจากยาเคมี และภูมิคุ้มกันร่างกายที่จะอ่อนแอลง

 

          คืนนั้นแก้วหลับไปเกือบสิบหกชั่วโมง และพอตื่นขึ้นก็ยังคงเซื่องซึมเพราะความวิงเวียนในหัว ความอยากอาหารที่ก่อนหน้านี้น้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก โชคต้มโจ๊กใส่ไข่มาให้ก็กินไปได้เพียงสามคำก่อนจะอ้วกออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามกินเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร เหมือนกับที่โชคพยายามที่จะประคับประคองช่วยเหลือดูแลอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

          จนกระทั่งวันที่สาม...

 

          “น้าแก้ว น้ำครับ” โชคยื่นแก้วน้ำให้คนที่เพิ่งอ้วกจนหมดไส้หมดพุงอยู่หน้าชักโครก เพื่อให้ดื่มลดความแสบร้อนในลำคอ

 

          แก้วรับน้ำไปดื่ม เขาอ้วกเป็นรอบที่สี่ของวัน แตะอาหารไม่ได้เลยสักคำแม้จะเป็นแค่น้ำซุปก็ตาม สิ่งที่เขากินได้ในตอนนี้มีเพียงผลไม้กับน้ำเปล่า ความรู้สึกไม่สบายในตัวทำให้เขาหงุดหงิดจนเผลอพาลใส่โชคไปในตอนเช้า แต่ถึงอย่างนั้นโชคก็ยังคงอยู่ข้างๆ เขา ลูบหลังเช็ดหน้าให้อย่างอ่อนโยน

 

          “ขอโทษนะ”

 

          “อะไรเหรอครับ” คนที่ได้รับคำขอโทษกะทันหันงุนงงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าคงหมายถึงเมื่อตอนเช้าที่แก้วตวาดใส่เขาไปทีหนึ่ง โชคเลยหัวเราะออกมาแผ่วเบา โอบกอดคนตรงหน้าไว้หลวมๆ ก่อนพิงซบหน้าผากลงไปบนแผ่นหลังกว้างทว่าผอมบางลงจนเขารู้สึกหวั่นใจทุกครั้งที่จับต้อง “ถ้าเรื่องเมื่อเช้าก็... ครับ แต่ผมไม่ได้โกรธแก้วหรอกนะ”

 

          “อือ ขอบใจ”

 

          “ขอบคุณเหมือนกันนะครับ... ที่พยายาม”

 

          “อืม”

 

          คำขอโทษกับคำขอบคุณและคำตอบรับ ดังก้องอยู่ในห้องน้ำเล็กๆ ที่มีคนสองคนนั่งซบกอดกันเอาไว้ หน้าโถชักโครกไม่ใช่สถานที่ชวนให้รู้สึกโรแมนติกเลยสักนิด แต่มันก็ทำให้อุ่นใจ เหมือนกับในวันฝนตกที่โชคได้มือคู่นั้นช่วยสระผมให้เป็นครั้งแรก ...เมื่อเกือบสิบเจ็ดปีที่แล้ว

 

 

 

          ผ่านไปครบสัปดาห์แก้วก็อาการดีขึ้น กินอาหารได้มากขึ้น แม้จะยังพะอืดพะอมอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้อาเจียนออกมา ทว่ายังคงอ่อนเพลียเหนื่อยง่ายและหายใจลำบากอยู่

 

          โชคช่วยจัดหมอนหนุนให้สูงขึ้นเพื่อให้แก้วนอนสบาย ส่วนตัวเองก็นอนลงข้างๆ ไม่ได้ดึงรั้งอีกฝ่ายมากอดไว้เหมือนแต่ก่อน เพียงแค่จับมือกันเอาไว้หลวมๆ แค่ให้ร่างกายได้แตะสัมผัสกันก็อุ่นใจ

 

          “ฉันอยากกินก๋วยเตี๋ยว” อยู่ๆ แก้วก็พูดขึ้นมาในความมืดสลัวรางสีฟ้าของแสงไฟเครื่องปรับอากาศ เป็นประโยคธรรมดาแต่โชคกลับรู้สึกตื่นเต้น เพราะมันเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ทำคีโมมาที่แก้วเอ่ยปากว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษ

 

          “ร้านไหนดีครับ กินเช้าเลยไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมออกไปซื้อให้ เอาเส้นเล็กหรือเส้นหมี่ดี แต่มันจะเค็มไปรึเปล่า ให้ผมทำให้ไหม...” ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักถามโดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวตอบ จนแก้วต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเด็กน้อยเพื่อให้เว้นจังหวะให้เขาได้พูดบ้าง

 

          “เธอทำก็ได้ ค่อยกินตอนเที่ยงกัน” ตอบง่ายๆ พร้อมรอยยิ้มขบขัน

 

          “แล้วตอนเช้าล่ะครับ”

 

          “...”

 

          “ไม่กินไม่ได้นะครับ”

 

          “ผลไม้ก็ได้”

 

          “เอาข้าวต้มด้วยไหมครับ”

 

          “ไม่ล่ะ แค่ผลไม้ก็พอ”

 

          “น้ำเต้าหู้?”

 

          “อืม ก็ได้”

 

          “โอเคครับ”

 

          เมื่อตกลงมื้อเช้ากับวางแผนเมนูอาหารของวันถัดไปได้ลงตัวก็ถึงเวลาเข้านอนเสียที โชคขยับเข้าไปใกล้แก้วขึ้นอีกนิด ให้มากพอที่ไออุ่นร่างกายส่งผ่านถึงกัน ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว หลับไป... และเมื่อยามเช้ามาถึงพวกเขาจะได้ตื่นมาเจอกันอีก

 

          บางทีมะเร็งอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิดกลัวเอาไว้ก่อน

 



 

          เข้าสู่อาทิตย์ที่สาม แก้วกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบเป็นปกติ ยังเหลือเวลาอีกหลายวันก่อนที่จะต้องไปรับยาชุดต่อไป นายสถาปนิกเลยตัดสินใจแวะไปที่ทำงาน สะสางงานในช่วงที่เขาลาหยุดไปโดยที่มีโชคตามติดมาด้วย

 

          คนหนุ่มคุ้นชินกับที่ทำงานของน้าแก้วดี ตอนเด็กๆ สมัยที่ยังเรียนเทควันโด้อยู่ก็มาแทบทุกอาทิตย์ พอเลิกเรียนไปก็แวะมาบ้างเป็นครั้งคราว จนกระทั่งตัดสินใจจะเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ โชคก็ได้แวะเวียนมาบ่อยครั้งขึ้นทั้งด้วยเหตุผลเรื่องที่ว่าพอเรียนจบแล้วก็คงไม่แคล้วได้มาทำงานที่นี่ และอีกหนึ่งเหตุผลที่ดูจะสำคัญกว่าคือโชคแวะมาหาคนรักของเขา ส่งข้าวส่งน้ำบ้าง มาหารอรับกลับบ้านบ้าง ...แม้ว่าในสายตาคนอื่นโชคจะยังคงเป็นแค่ลูกบุญธรรมของแก้วอยู่ก็ตาม

 

          “น้องโชคกินลูกชุบไหมคะ” พี่สาวที่ทำงานช่วยกันขุนชายหนุ่มมาตั้งแต่เห็นหน้า จากนั้นก็ยังคอยส่งขนมของกินเล่นมาให้ไม่ขาดสาย สำหรับพวกเธอแล้วโชคเหมือนน้องชายข้างบ้านที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนอดเอ็นดูไม่ได้ แม้ทุกวันนี้เจ้าตัวจะโตจนไม่รู้จะโตยังไงแล้วก็ตาม

 

          “เออ เอานี่ไปให้พี่แก้วด้วย แอปเปิ้ลนี่กินได้ใช่ไหมอะ” พี่สาวอีกคนยัดถุงผลไม้ที่ซื้อติดมาหลังออกไปพักเที่ยงใส่มือโชคฝากไปให้เจ้านาย พลางถามไถ่อาการแก้วอย่างเป็นห่วง “แล้วมาทำงานแบบนี้ได้เหรอ ไม่ต้องนอนพักรึไง”

 

          “ก็ยังมีอาการจากผลข้างเคียงอยู่ครับ แต่ดีขึ้นมากแล้ว แล้วน้าแก้วก็บอกว่าอยู่บ้านแล้วมันทำให้อยากนอนตลอดเลยอยากออกมาทำงานมากกว่าน่ะครับ”

 

          “เหรอ แต่ถ้าไม่ไหวก็ลาไปเถอะนะ พี่เก่งก็บอกว่าให้หยุดไปยาวๆ เลยก็ได้ เรื่องงานไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยังไงพี่แก้วก็เป็นเจ้าของบริษัทนี้ครึ่งนึง”

 

          โชคยืนคุยกับพวกพนักงานสาวต่ออีกนิดหน่อยแล้วจึงค่อยกลับเข้าไปในห้องทำงานแก้วพร้อมกับของเต็มมือ

 

          “ได้อะไรมาตั้งเยอะน่ะ” คนที่โต๊ะทำงานยิ้มบาง รู้ดีว่าเจ้าหมาของเขาตอนเด็กเป็นขวัญใจมหาชนที่นี่แค่ไหน แต่ไม่คิดว่าจนโตแล้วก็ยังได้ขนมจากพี่ๆ อย่างนี้อยู่อีก

 

          “ลูกชุบ ขนมเบื้อง ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูหมู แล้วก็แอปเปิ้ลของน้าแก้วด้วย” คนส่งของสาธยายรายการอาหารว่างให้ฟัง พลางวางสิ่งที่คิดว่าแก้วจะกินได้ลงบนโต๊ะ

 

          “มีของฉันด้วยเหรอ”

 

          “ครับ พี่จิ๋วฝากมา” แก้วดึงถุงแอปเปิ้ลไปจากกองแค่ถุงเดียวเป็นอันว่าเขาเลือกของที่จะกินแค่นั้น นอกนั้นให้คนเด็กกว่าเอาไปจัดการได้เลย

 

          “อ่อ บอกขอบใจจิ๋วด้วย”

 

          “บอกแล้วครับ”

 

          “อืม”

 

          จากนั้นในห้องก็เงียบลง ได้ยินเพียงเสียงถุงของกินดังกรอบแกรบ แก้วมองเด็กน้อยของเขาที่กำลังเคี้ยวสาคูไส้หมูตุ้ยด้วยความรู้สึกหลากหลาย

 

          เวลาเดินไวเสมอสำหรับพ่อแม่ที่มองลูกโต

 

          เช่นเดียวกับที่มันจะผ่านไปในพริบตาเมื่อลูกมองพ่อแม่จากไป

 

          “โชค” เสียงเรียกนุ่มนวล ดวงตาฉายแววอบอุ่น แก้วรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดไปจะทำให้โชคคิดมากแล้วก็อาจจะซึมอีก แต่เขาก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ “พอฉันตาย หุ้นของที่นี่ก็จะเป็นของเธอเหมือนกับทรัพย์สินอย่างอื่นของฉัน ไว้กลับบ้านไปฉันจะบอกอีกทีนะว่ามีอะไรบ้าง”

 

          “น้าแก้ว...” สาคูในปากฝาดลิ้นขึ้นมา โชคกลืนมันลงคอไปอย่างยากลำบาก ไม่แน่ใจนักว่ากำลังรู้สึกอย่างไร แต่มันคงมีความอ้างว้างปนอยู่ไม่น้อยเลย “ไหนบอกว่ายังอยู่กับผมได้อีกอย่างน้อยก็สองปีไงครับ”

 

          “ฉันก็อยากอยู่กับเธอนานๆ โชค แต่คนเราไม่รู้หรอกนะว่าจะตายเมื่อไหร่” แก้วยังคงรอยยิ้มบางไว้บนหน้า เป็นรอยยิ้มที่โชคไม่ชอบเอาเสียเลย

 

          เพราะมันเหมือนว่าแก้วเตรียมใจพร้อมที่จะจากเขาไปแล้ว

 



 

          วันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีของโชค อาการของแก้วดีจนเกือบเป็นปกติ พวกเขากินมื้อเย็นด้วยกัน เป่าเค้กขณะฟังคำอวยพร พร้อมกับของขวัญเป็นรายการทรัพย์สินทั้งหมดที่แก้วมี

 

          ...ของขวัญมูลค่าสูง แต่กลับกลวงเปล่า โชครับไว้ด้วยหัวใจเบาหวิว

 

          “นอนเลยไหมครับ” โชคถามคนบนเตียงเมื่อเขาอาบน้ำเสร็จแล้วขึ้นมาถึงห้องนอน มือตั้งท่าจะกดสวิตช์ไฟข้างประตูเรียบร้อยแต่แก้วกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “จะทำอะไรเหรอครับ”

 

          ชายหนุ่มเปิดไฟทิ้งไวขณะที่เขาเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนฝั่งของตัวเอง แก้วขยับเข้ามาหา สอดแขนมากอดเอวโชคขณะที่ซุกจมูกลงบนท้ายทอย กดจูบไล่ไปตามไรผม ขบกัดติ่งหูอีกฝ่ายเบาๆ อย่างเชื้อเชิญ

 

          โชคหันหน้ากลับไปรับจูบที่คนรักของเขามอบให้ แต่นั่งตัวแข็งไม่โอนอ่อนตาม

 

          “ไหวเหรอครับ” เขาถาม

 

          “ไหว” อีกคนตอบ

 

          “น้าแก้ว” ดวงตาคู่สวยจ้องสบอย่างเต็มไปด้วยความลังเล จริงอยู่ที่ไม่ได้มีการห้ามมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษาด้วยคีโมในผู้ป่วยที่ยังไม่วิกฤติอย่างแก้ว แต่คนเด็กกว่าก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี เพราะช่วงนี้แก้วเหนื่อยง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และเซ็กส์ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานสูงพอสมควร เขาอยากกอดแก้ว แต่ก็ไม่อยากให้แก้วต้องฝืนตัวเอง

 

          “ฉันไม่เป็นไร” แก้วจูบซับไปตามผิวแก้มคนขี้เป็นห่วง ราวกับจะปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมให้ยอมเชื่อว่าเขาไม่เป็นไรจริงๆ ...เพราะเวลามันเหลือน้อยลงทุกที “ฉันเคยบอกเธอแล้วไงโชค ฉันอยากทำในตอนที่ฉันยังไหว อยากให้เธอจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้มากที่สุด...ก่อนที่ฉันจะไป”

 

          “น้าแก้ว...”

 

          “แล้วฉันเองก็เหมือนกัน” มือเรียวทาบลงเหนือรอยจูบแทนที่ริมฝีปากที่ผละห่างออกมา นัยน์ตาสีเข้มจ้องตรงไปอย่างซื่อตรงลึกซึ้ง “ก่อนที่ฉันจะจากเธอไปในสักวัน ฉันอยากให้เธอกอดฉันตอนนี้เอาไว้”

 

          “...ครับ” โชคตอบรับ ทั้งที่รู้สึกถึงความฉ่ำชื้นรอบดวงตา จรดจูบลงบนปลายนิ้ว ไล่สัมผัสไปตามข้อกระดูกสู่หลังมือที่เขาจดจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ได้สัมผัส ...อบอุ่นแสนอ่อนโยน

 

          การร่วมรักครั้งนั้นเป็นไปอย่างเนิบช้าและนุ่มนวล หวามไหวจนหยดน้ำตาร่วงรินออกมา แก้วหัวเราะ ลูบปาดมันออกจากใบหน้าของเด็กขี้แย... เหมือนกับครั้งแรกของพวกเขาไม่มีผิด

 

          โชคทะนุถนอมแก้วราวกับกำลังประคองฟองสบู่ แต่แก้วไม่ใช่ฟองสบู่ เขาไม่ได้ปริแตกง่ายดายขนาดนั้น สัมพันธ์แนบแน่นระหว่างสองกายจึงดำเนินต่อไปจนถึงฝั่ง จนกระทั่งจัดการทำความสะอาดร่างกายกันเสร็จแล้วก็ยังคงมีแรงเหลือพอจะนอกกอดก่ายพลางพูดคุยกันต่อไปได้อีก

 

          “แก้ว”

 

          “หืม”

 

          “ผมรักแก้ว”

 

          “ฉันรู้ ฉันก็รักเธอ”

 

          “ผมอยากอยู่กับแก้วไปจนผมแก่”

 

          “ฉันก็อยากอยู่ได้นานพอจะเห็นเธอแก่”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อืม ว่าไง”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อือ”

 

          “แก้ว”

 

          “อืม...” คนถูกเรียกขานกดจูบลงบนหน้าผากเด็กน้อยตัวโตในอ้อมแขน พลางคิดถึงนิทานก่อนนอนที่เขาเคยอ่านเพื่อส่งอีกฝ่ายเข้านอน “อยากฟังเรื่องวาฬสีน้ำเงินไหม”

 

          “ครับ”

 

          เรื่องราวของวาฬยักษ์แห่งท้องทะเลถูกเรียงร้อยออกมาเป็นถ้อยคำที่แตกต่างจากในหนังสืออยู่บ้าง ทว่าเนื้อเรื่องยังคงเป็นเช่นเดิม ทุกรายละเอียด ทุกใจความสำคัญ แก้วจดจำมันได้ดีแม้จะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

 

          เช่นเดียวกับโชคที่จดจำได้ดีว่าเสียงของแก้วในวันวานยามเล่านิทานกล่อมเขานอนนั้นเป็นเช่นไร มันทั้งสดใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของวัยหนุ่ม ต่างกับตอนนี้ที่แหบแปร่งและอ่อนแรง แต่ก็ยังคงมีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย

 

          ... ความอ่อนโยนที่เจือปนมากับเรื่องราวผจญภัยใต้ผืนน้ำสีครามที่เขาตกหลุมรัก

 



 

          หลังจากนั้นไม่กี่วันแก้วก็รับยาเคมีชุดที่สอง ในคืนเดียวกันเมื่อกลับมาที่บ้าน ตอนกลางดึกที่แก้วไข้ขึ้นสูง เจ็บหน้าอกหายใจลำบาก และอ้วกไม่หยุดจนโชคต้องรีบพากลับไปที่โรงพยาบาล

 

          ขณะที่ยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน โชคก็ได้รู้ว่าเขาคิดถูก

 

          มะเร็งไม่ได้น่ากลัว

 

          ...ความตายต่างหาก

 

 

 

TBC...

          คิดว่ามาจนถึงตอนนี้ทุกคนก็คงมีรูปร่างของตอนจบปรากฏขึ้นมาในใจกันแล้วสินะคะ บางคนอาจจะเศร้า บางคนอาจจะไม่อยากอ่านต่อ และบางคนก็อาจจะสาปส่งรีนแล้ว แง้ แต่ก็อย่างที่บอกไปว่านิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวตั้งแต่ 'เริ่มต้นจนวาระสุดท้าย' และรีนคิดว่ามันสวยงามมากจริงๆ เลยอยากให้ช่วยอ่านกันต่อไปด้วยนะคะ จากนี้ไปอีกสิบตอนอาจจะขมปร่าปนด้วยหยดน้ำตา แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่นิยายเรื่องนี้อยากบอกเล่าออกมาอย่างแท้จริง

          ช่วยเดินทางไปกับน้องโชคจนกว่าจะถึงตอนสุดท้าย ณ ที่หมายปลายทางแห่งนั้นกันด้วยนะคะ

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน ทุกกำลังใจ ทุกคอมเมนต์

          ขอบคุณและขอให้คุณมีวันที่ดีอย่างที่ใจต้องการนะคะ

 

          See You on MONDAY!!!

 


หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 40 [19.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-11-2020 21:12:54
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 40 [19.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-11-2020 21:32:12
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 40 [19.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-11-2020 19:46:52
น้าแก้ว~~ :hao5: :hao5: ไม่เป็นไรนะแค่มะเร็งสู้กับมันไปเล้ย คีโมไม่กี่เข็มก็หายแล้ว กินไข่ขาวเยอะๆและเอนชัวร์นะจะได้ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว แม้ผมร่วงแต่ก็เป็นผู้ชายก็ไม่แปลกอะไร โชคอย่ากลัวไปเลย ไม่งั้นน้าแก้วจะพลอยเครียดและกังวลไปด้วย มันยังรักษาได้อยู่ได้อีกหลายปี ผ่านไปให้ได้  :mew6: ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้ม เกษียณตัวเองแล้วให้โชคทำงานเลี้ยงนะน้าแก้ว ดูแลตัวเองดีๆ  :katai2-1: รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อเอาใจช่วยทั้งผู้แต่งและน้าแก้วกับโชค  :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 40 [19.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 22-11-2020 03:08:41
ใจไม่ไหวเลย เราก็สูญเสียคุณตาคุณยายเพราะโรคนี้ น้าแก้วสู้ๆนะกำลังใจสำคัญที่สุดเลยอย่าท้ออย่าคิดมาก โชคอยู่ข้างๆอยู่แล้วน้าแก้วต้องสู้นะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 41 [23.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 23-11-2020 16:08:53

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 41

 

        ความตายคือสิ่งที่ทำให้โรคร้ายและความชราน่าหวาดกลัว ส่วนความทุกข์ทนจากมันทำให้คนเราทรมาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบเองหรือผู้เฝ้ามอง

 

        โชคยืนอยู่ในอาคารฉุกเฉิน แก้วถูกพาเข้าห้องตรวจไปแล้ว ในขณะที่เขาต้องไปกรอกเอกสารต่างๆ ที่จำเป็น ระหว่างนั้นชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปีก็ได้เห็นรอยต่อระหว่างความเป็นและความตายมากมายผ่านหน้าเขาไป

 

        อุบัติเหตุ ความชรา โรคที่รักษาไม่หาย

 

        ผู้คนมากมายมาที่นี่ ทั้งในฐานะคนที่กำลังเผชิญหน้ากับแสงสุดท้ายที่กำลังจะมอดดับ หรือผู้ที่คอยภาวนาให้แสงนั้นสว่างจ้าและโชติช่วงต่อไป

 

        ผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย... ทุกคนล้วนเจ็บปวด

 

        ไม่ต่างจากเขาเลย

 

 

 

        แก้วถูกย้ายไปห้องพิเศษหลังจากที่ได้รับการพยาบาลเบื้องต้นแล้วอาการสงบลง

 

        ‘เป็นผลข้างเคียงจากคีโม’ พยาบาลบอกกับโชคอย่างนั้น ขณะที่เดินเข็นรถเข็นอุปกรณ์สำหรับการฉีดยาและให้น้ำเกลือออกจากห้องไป

 

        ชายหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่ไปกับการยืนมองคนบนเตียง มองดูแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นสัญญาณของลมหายใจ มือสั่นไหวเอื้อมไปคว้าจับมือคนป่วยข้างที่ไม่ได้ถูกเจาะต่อสายน้ำเกลือมากุมไว้ ซบหน้าผากลงไปเพื่อสัมผัสอุ่นไอของสิ่งมีชีวิต ท่ามกลางความเงียบงันที่ทำให้ได้ยินเสียงเส้นเลือดเต้นตุบบ่งบอกว่าหัวใจยังคงทำหน้าที่ของมัน เนิ่นนานจนแน่ใจแล้วว่าแก้ว...ยังไม่ตาย เขาถึงได้พรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้าระคนโล่งอก

 

        ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไป ในวินาทีที่แก้วทรุดลงไปตอนกำลังเดินออกจากห้องน้ำ เขาโอบช้อนตัวแก้วเอาไว้ได้ทัน แต่เสียงลมหายใจหอบทว่าแผ่วเบากับสีหน้าทรมานของแก้วยังคงติดตา ริมฝีปากซีดเซียวสั่นระริก ดวงตาปิดปรือเลื่อนลอย คิ้วขมวดแน่น ตัวเกร็งไปหมด ...โชคคิดว่าเขาจะต้องเสียแก้วไปเสียแล้ว

 

        ความตาย

 

        คำหนึ่งคำที่วนเวียนอยู่ในหัว ช่างดูห่างไกลและแสนใกล้ในขณะเดียวกัน อาจจะเพราะทุกคนรู้ว่าสักวันจะต้องตาย แต่สักวันมันก็ยังไม่ใช่วันนี้ ในชั่วพริบตาที่เวลานั้นมาถึงจึงไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน เมื่อต่างคิดกันว่าตัวเองจะมีวันรุ่งขึ้นให้ตื่นขึ้นมา ทั้งที่ความจริงแล้วคำว่าพรุ่งนี้มันไกลห่างเสียยิ่งกว่าความตาย ไม่แน่ไม่นอน ลอยฟุ้งเหมือนม่านควัน แต่ก็ทรงพลังเปี่ยมไปด้วยความหวัง

 

        เช่นเดียวกับที่โชคภาวนาให้วันพรุ่งนี้ของเขายังคงมีน้าแก้วอยู่

 

        “โชค” เสียงเคาะประตูรัวทว่าแผ่วเบา ก่อนจะเปิดเข้ามาทันทีอย่างร้อนใจ ธีร์รีบออกจากบ้านมาทั้งชุดนอนทันทีที่โชคโทรไปหา ตื่นเต็มตาทั้งที่เป็นเวลาเกือบตีสาม ขับรถเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่ตั้งอยู่คนละฝั่งกับบ้านเขาโดยสิ้นเชิง “แก้วเป็นยังไงบ้าง”

 

        “พยาบาลบอกว่าเป็นผลข้างเคียงจากคีโมครับ ตอนนี้ให้ดูแลตามอาการไปก่อน รอพรุ่งนี้หมอเจ้าของไข้มาค่อยตรวจดูอีกที” คนข้างเตียงบอก เขาโทรหาผู้ใหญ่อีกแค่คนเดียวที่เขาคุ้นเคยตอนเดินตามเตียงเข็นผู้ป่วยมาที่ห้องพิเศษ โชคโตแล้ว แต่เขาก็ยังเด็กนักสำหรับเรื่องแบบนี้ ยังคงต้องการที่พึ่งพิงให้อุ่นใจ และคนเดียวที่เขาพอจะคิดออกก็คืออาธีร์

 

        “คีโม?” ธีร์เลิกคิ้วทวนคำ ไม่ต้องใช้เวลามากมายเลยที่จะทำความเข้าใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”

 

        “...” โชคเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคมที่ทอดมองมาอย่างแหลกร้าว ...น้าแก้วยังไม่ได้บอกอาธีร์

 

        “ตรวจเจอตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงทุ้มยังคงนุ่มนวลยามเอ่ยถามซ้ำ พร้อมกับขยับเดินเข้ามาลูบหัวชายหนุ่มอายุน้อยกว่าอย่างปลอบโยน ทั้งที่ตัวเองกำลังถูกข่าวใหม่ที่เพิ่งจะได้รู้ฟาดทุบเข้ากลางหน้าผาก ดวงตาคมจับจ้องคนหลับด้วยความห่วงใยระคนสงสัยที่ยังไม่อาจเอ่ยถาม

 

        “กลางพฤษภาครับ” คำตอบชัดเจน แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบ เขาไม่รู้ว่าทำไมแก้วถึงยังไม่ได้บอกธีร์ แต่มันคงมีเหตุผลอยู่ แม้ตอนนี้อีกคนจะรู้ไปแล้วก็ตาม

 

        “เดือนกว่าแล้วสินะ” ชายวัยกลางคนตัวสูงใหญ่พึมพำ ขณะที่บีบไหล่โชคเบาๆ แล้วผละไปนั่งบนโซฟาตัวยาวสำหรับญาติที่มาเฝ้าเมื่อพื้นที่ข้างเตียงผู้ป่วยไม่ได้มีที่ว่างพอสำหรับสองคน ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววร้าวราน แต่ก็ยังคงสงบนิ่งอย่างคนที่ผ่านวันเวลาและเห็นการจากลามามากมาย “แล้ว... เป็นหนักแค่ไหน”

 

        โชคหันหน้ามาพูดคุยกับคู่สนทนา บอกเล่าอาการของแก้วอย่างละเอียดเท่าที่เขารู้มาจากหมอ ละเอียดพอๆ กับที่ตัวแก้วเองรับรู้

 

        ย่ำรุ่งคืนนั้นระหว่างคนทั้งสองไม่มีใครหลับลง พวกเขาต่างร่วมกันแบ่งปันความเงียบงัน กับบทสนทนาสั้นๆ บ้างเป็นครั้งคราวจนฟ้าสาง กระทั่งสายแล้วแสงอาทิตย์ก็ยังไม่อาจลอดผ่านมวลเมฆครึ้มส่องลงมาถึงพื้นได้ มันจึงเป็นท้องฟ้าขมุกขมัวชวนให้บรรยากาศหดหู่

 

        ธีร์บอกให้โชคกลับบ้านไปอาบน้ำจัดการตัวเองและเก็บของจำเป็นสำหรับนอนเฝ้าแก้วในคืนนี้มา โดยในระหว่างนั้นตัวเขาจะอยู่เฝ้าแทนให้ โชคจึงออกจากห้องไปทั้งที่ใจยังคงติดอยู่ในนั้น แม้จะหวาดกลัวว่าทุกย่างก้าวที่ห่างออกมาจะทำให้เขากลับเข้าไปไม่ทันการณ์ แต่สองเท้าก็ยังต้องเดินไปข้างหน้า ทำสิ่งที่ควรทำ ...ทำสิ่งที่ต้องทำ

 

        ชีวิตคนเรายังคงต้องดำเนินต่อไป หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านเหมือนกับกาลเวลา

 

 

 

        ในห้องพักผู้ป่วยเงียบเหงา กว่าแก้วจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ตอนเกือบเที่ยงที่พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนกระปุกน้ำเกลือให้ใหม่เรียบร้อยแล้ว ดวงตาสีเข้มที่เพิ่งปรือเปิดยังคงพร่ามัวจากความมึนงงเพราะพิษไข้ แต่ก็ยังมองออกว่าคนข้างเตียงเป็นใคร

 

        “โชคล่ะ” แก้วถามหาคนที่ควรอยู่ตรงนั้นอีกคน เสียงแหบเพราะลำคอแห้งผาก ธีร์รีบเทน้ำใส่แก้วมายื่นให้ พร้อมกับกดปุ่มปรับระดับเตียงให้ฝั่งหัวสูงขึ้นได้ระดับพอดีกับการดื่มน้ำ

 

        “กลับไปเอาของที่บ้านน่ะ เดี๋ยวก็มา”

 

        “อืม” คนป่วยครางรับพลางจิบน้ำให้ชุ่มคอ ก่อนจะพูดถามต่อ “มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

        “เมื่อคืน... โชคโทรหากูต้อนเขาย้ายมึงมาห้องพิเศษ”

 

        “อ่อ”

 

        บทสนทนาสั้นเพียงเท่านั้นเมื่อต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี พอดีกับที่พยาบาลเข้ามาอีกครั้งพร้อมมื้อกลางวันและยาเม็ดในแก้วเล็กข้างถาดอาหาร สอบถามอาการอีกเล็กน้อยก่อนจะบอกว่าหมอจะเข้ามาตอนช่วงบ่าย ระหว่างนี้ให้พักผ่อนไปก่อน และถ้ามีอาการอะไรขึ้นมาก็ให้รีบกดปุ่มเรียกทันที

 

        “กินไหวรึเปล่า” คล้อยหลังพยาบาล ธีร์ก็ช่วยจัดแจงปรับเตียงให้สะดวกกับการกินอาหาร แก้วย่นจมูกกับกลิ่นข้าวต้มหอมฉุยที่ลอยขึ้นมา แม้ในปากจะขม แต่ท้องไส้เขากำลังประท้วงว่าน้ำย่อยต้องการทำงานของมัน

 

        “น่าจะไหว” ตอบไปอย่างนั้นแล้วตักเข้าปาก รสสัมผัสแรกคือความมันเลี่ยนของไขในน้ำซุป แม้จะเป็นอาหารโรงพยาบาลที่ปรุงรสอ่อนมาเพื่อผู้ป่วย แต่ต่อมรับรสของแก้วในตอนนี้ก็บอดสนิทจนเพี้ยนไปหมด

 

        “อยากอ้วกไหม” น้ำเสียงเจือความกังวลถามไถ่เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าตัว พลางยื่นกระดาษทิชชูไปให้ คอยดูแลจนแก้วฝืนตักข้าวต้มกลืนลงท้องไปได้เกือบครึ่งถ้วยแล้วเลิกกินไป คนตัวใหญ่ก็จัดการเก็บออกไปวางตรงจุดคืนที่โถงทางเดินหน้าห้องให้เรียบร้อย

 

        “ธีร์” แก้วเรียก

 

        “หืม” เจ้าของชื่อขานรับพอดีกับที่กลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมกะละมังน้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนเดินมาถึงข้างเตียง บิดผ้าชุ่มน้ำให้พอหมาดแล้วยื่นส่งให้คนบนนั้นรับไปเช็ดหน้าเช็ดตา แม้เขาจะอยากเช็ดให้เองด้วยซ้ำ แต่ก็ถูกฉุดรั้งด้วยเส้นกั้นบางอย่าง

 

        เส้นกั้นที่เรียกว่าสถานะความสัมพันธ์

 

        “ขอบใจ”

 

        “กูเต็มใจ” แววตาฉายชัดถึงความรู้สึกข้างในว่าตรงกับที่พูดไป เต็มใจจะช่วยเหลือ เต็มใจที่จะดูแล เต็มใจที่จะอยู่เคียงข้าง แต่ลึกลงไปข้างในก็ยังคงมีคำถาม ว่าแม้แต่ในฐานะเพื่อน เขาก็ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะได้รับรู้เลยหรือ

 

        ...ทั้งที่เคยสัญญาเอาไว้แล้วแท้ๆ

 

        “รู้แล้วใช่ไหม” แก้วว่า หันมาสบตาพร้อมรอยยิ้มบางบนใบหน้าซีดเซียว

 

        “อืม” ธีร์ตอบรับ พยายามจะยกมุมปากส่งยิ้มกลับไปให้ แต่มันกลับฝืดฝืนไปจนถึงดวงตา และสุดท้ายก็ยิ้มไม่ออก “ทำไมถึงไม่บอก”

 

        เสียงสั่นน้อยๆ นัยน์ตาวูบไหว หัวใจบีบแน่น ธีร์มองรอยยิ้มของชายวัยกลางคนที่เขารู้จักมากว่าครึ่งชีวิต รอคอยคำตอบที่ไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไรในตอนนี้ที่เขาได้รู้แล้ว แต่ก็ยังอยากฟัง...

 

        “เพราะว่ามึงจะทำหน้าแบบนี้ไง” เหตุผลที่ได้ทำให้ต้องขมวดคิ้ว ธีร์ไม่เข้าใจ ว่าหน้าแบบไหนกันที่แก้วพูดถึง หน้าแบบที่กำลังจะร้องไห้ หรือหน้าแบบที่ร้าวระทมจนรอยยิ้มเหือดหาย หรือทั้งสองแบบ “ยิ่งเห็นมึงทำหน้าแบบนี้... กูก็ยิ่งตัดใจยากขึ้นไปอีก”

 

 

 

        โชคขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกวูบโหวง ที่นั่งข้างคนขับว่างเปล่า เพลงสากลเก่าๆ ที่เขากับน้าแก้วเคยช่วยกันหาในสักหน้าร้อนที่ผ่านมายังคงดังจากลำโพง แต่ผลพวงจากการที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็ทำให้ในหูอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากลมหายใจและการขยับไหวของเส้นเลือด

 

        ระยะทางบนท้องถนนไม่ได้ยาวไกล แต่กลับเนิ่นนานพอที่จะให้คิดทบทวนถึงความหมายของคำอีกคำ...

 

        ชีวิต

 

        คำอีกหนึ่งคำที่แสนเรียบง่ายพอๆ กับความตาย คนเราได้ชีวิตมาโดยที่ไม่ต้องแลกด้วยอะไร แต่ราคาของการมีและรักษาชีวิตเอาไว้กลับสูงลิบ ตั้งแต่ปัจจัยพื้นฐานไปจนถึงการรักษาพยาบาลล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่มหาศาล แก้วไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน เช่นเดียวกับโชคที่ไม่ได้สนใจว่าจะต้องจ่ายมากมายเพียงใดเพื่อให้วันพรุ่งนี้ของแก้วมาถึง

 

        ทั้งที่ท้ายที่สุดสักวันก็ต้องจากลา แต่คนเราก็หวงแหนชีวิตเหลือเกิน

 

        โดยเฉพาะชีวิตของตัวเองและคนสำคัญ

 

        ความคิดฟุ้งซ่านหาที่มาไม่ได้ต้องจบลงที่หน้าบ้านไม้สีขาว โชคเปิดรั้วที่ไม่ได้คล้องโซ่เข้าไป ยังดีที่ก่อนออกไปเขามีสติมากพอจะล็อกประตูไม้บานพับหน้าบ้านเอาไว้

 

        ชายหนุ่มตรงขึ้นบ้านไปเก็บเสื้อผ้ากับของจำเป็นใส่กระเป๋า ก่อนจะลงมาอาบน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็อุ้มแมวสองตัวใส่กรงพาขึ้นรถไปส่งที่บ้านเพื่อนสนิทที่โทรไปบอกก่อนแล้วว่าจะฝากเลี้ยงสักวันสองวัน จากนั้นก็ตรงกลับไปโรงพยาบาลทันที

 

        ทั้งหมดนั้นใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง และเมื่อมาถึงหน้าห้องพิเศษ น้าแก้วของเขาก็ตื่นแล้ว

 

        จากบานกระจกใสตรงประตูมองเห็นเตียงคนไข้ได้อย่างชัดเจน ชัดพอๆ กับคนที่อยู่บนเก้าอี้ไม่ห่าง โชคเห็นสายตาของคนสองคนที่จ้องมองกัน รอยยิ้มประดับบนใบหน้าสว่างจ้าแม้นอกหน้าต่างจะมีฝนโปรยปราย กับมือที่กุมกันไว้หลวมๆ

 

        อาธีร์ยังคงเป็นคนที่จุดรอยยิ้มแบบนั้นให้น้าแก้วได้เสมอ

 

        ความรู้สึกหึงหวงก่อตัว แต่ก็สลายลงไปในชั่วพริบตา ชีวิตคนมันสั้นเกินกว่าจะเสียเวลามาหวาดระแวงหาเรื่องชวนทะเลาะกับอะไรเล็กน้อยเช่นนี้

 

        โชคยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป ไม่ได้หลบสายตาไปจากสองมือที่ค่อยๆ ผละจากกันอย่างนุ่มนวล ไม่มีวี่แววของความตกใจหรือร้อนรนของคนทำผิด แก้วกับธีร์ยังคงแตะตัวกันได้อย่างเป็นธรรมชาติเสียจนน่าหงุดหงิด โชคจึงส่งยิ้มไปให้ ขณะที่พยายามลบความรู้สึกไร้สาระในใจออกไปให้หมด

 

        ...แก้วรักเขา และเขารู้ว่าทั้งสองคนจะไม่ล้ำเส้นเกินเลยกันลับหลังเขา

 

 

 

        สามวันต่อมาแก้วก็ได้ออกจากโรงพยาบาล อาการข้างเคียงยังคงมีอยู่บ้างแต่ไม่ได้ถึงขั้นวิกฤติ แผนการรักษาด้วยยาเคมีของเขาจะยังคงดำเนินต่อไป โดยมีการปรับตัวยาตามความเหมาะสมด้วยดุลยพินิจของแพทย์เมื่อดูจากผลข้างเคียงรุนแรงในรอบนี้



        ในช่วงวันก่อนจะถึงนัดเจาะเลือดเพื่อตรวจก่อนการทำคีโมชุดต่อไป แก้วจึงต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการรับยา และคนที่รับหน้าที่ดูแลอาหารหารกินไปตลอดจนพาออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ ก็คือโชค



        และกิจกรรมการออกกำลังแรกสุดที่พวกเขาทำก็คือการเดิน



        สองร่างเดินเคียงกันไปบนถนนหน้าบ้าน ค่อยๆ ก้าวไปอย่างไม่เร่งรีบ มือเกี่ยวกุมกันไว้ในเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังย้อมทั้งเมืองให้เป็นสีของมัน

 

        “น้าแก้ว” โชคเริ่มพูดขึ้นมา

 

        “ว่าไง”

 

        “ถ้าผมเปิดเทอมแล้วมีวันไหนที่ผมพาน้าแก้วไปโรงพยาบาลเองไม่ได้จริงๆ อาธีร์จะเป็นคนพาไปนะครับ” ชายหนุ่มพูดถึงเรื่องที่เขาตกลงกับคุณอาเอาไว้ แม้ในใจเขาจะอยากพาไปเองทุกครั้งก็ตาม แต่หากมันสุดวิสัยจริงๆ ก็คงต้องฝากฝังคนอื่น

 

        “อืม” แก้วครางรับอย่างเข้าใจ “ถ้าเธอติดเรียนก็ไม่ต้องลามาหรอกนะ”

 

        “ไม่เอาครับ” ปฏิเสธทันควัน แววตามุ่งมั่นว่าหากไม่ได้มีสอบที่ขาดไม่ได้จริงๆ เขาก็จะไปด้วยให้ได้ “ผมอยากอยู่ตรงนั้นกับแก้ว ถึงจะทำอะไรไม่ได้แต่ผมก็อยากอยู่ข้างๆ”

 

        “...จริงๆ ฉันเองก็อยากให้เธออยู่ด้วยเหมือนกัน” แรงบีบจากฝ่ามือที่ประสานกันกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย โชคดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมาจูบเบาๆ แทนการรับปากว่าจะไม่ห่างไปไหน

 

        เส้นทางการเดินออกกำลังกายยาวไกลจนถึงสะพานข้ามคลอง แก้วกับโชคเดินขึ้นไปจนถึงกลางสะพาน บนส่วนโค้งจุดที่สูงที่สุด พวกเขาหยุดยืนมองผิวน้ำกระเพื่อมไหว ปล่อยให้ลมโชยพัดผ่านผิว ใต้ท้องฟ้าสีส้มแดงและแสงอาทิตย์อัสดงที่กำลังจะลาลับ มีรถมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านด้านหลังส่งเสียงรบกวน เช่นเดียวกับเสียงหมาเห่าและขี้เมาจากบ้านสักหลังในคุ้มชุมชนแถวนั้นที่ตะโกนด่ามัน

 

        “แล้วช่วงหลังทำคีโมมา ถ้าผมไปเรียนอาธีร์ก็จะมาอยู่ดูน้าแก้วให้เหมือนกัน” โชคยังคงพูดถึงเรื่องการเปิดเทอมของเขาที่จะทำให้ตัวเองไม่อาจอยู่ดูแลอีกคนได้ตลอดเวลาเหมือนเช่นเคย

 

        “อ่อ” และแก้วก็ยังคงตอบรับอย่างเรียบง่าย

 

        “...ผมหึงนะ” หลังจากเงียบไปสักพักโชคก็พูดความในใจอีกอย่างออกไป ดวงตาสีเข้มจึงหันมาสบอย่างเอ็นดูปนขบขันให้กับคนรักที่เยาว์วัยกว่าและยังคงมีนิสัยหวงของติดตัว “ผมดูเด็กใช่ไหมครับ”

 

        “ก็นะ” แก้วหัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูดต่อ “แต่เธอมีสิทธิ์นี่”

 

        โชคนิ่งงัน มองรอยยิ้มของแก้วที่ระบายออกมาพร้อมกับถ้อยคำที่ทำให้หัวใจเขาอุ่นวาบ

 

        “เราเป็นคนรักกัน มันไม่ผิดหรอกนะที่จะรู้สึกแบบนั้นบ้าง แล้วเธอก็ไม่ได้เป็นคนไม่มีเหตุผลที่จะทำอะไรรุนแรงแค่เพราะอารมณ์ในตอนนั้นด้วย”

 

        “แล้วน้าแก้วเคยหึงผมไหมครับ” เอ่ยถามอย่างนึกสงสัย

 

        “หืม ฉันเหรอ” คนถูกถามครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เธอไม่เคยทำให้ฉันหึงนี่”

 

        “แต่แก้วทำนะ บ่อยด้วย”

 

        “อืม นั่นสินะ” แก้วว่า พลางเป็นฝ่ายดึงมือใหญ่ที่กอบกุมขึ้นมาประทับริมฝีปากบ้าง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยอย่างหนักแน่นพร้อมแววตามั่นคง “แต่เชื่อใจฉันนะโชค”

 

        ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำแต่มีพลังดั่งมนต์สะกด โชคลดมือที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาลง โน้มใบหน้าไปจูบลงบนหน้าผากผู้เป็นเจ้าของหัวใจตนแนบแน่น เนิ่นนานกว่าจะผละออก โดยไม่สนใจว่าใครจะมองอยู่หรือไม่ เพราะในสายตาของเขามันมีเพียงแค่คนคนเดียว...

 

        “ครับ”

 

        มีเพียงแก้วที่อยู่ในนั้น

 



 

        เข้าช่วงปลายกรกฎา แก้วก็ได้รับคีโมชุดที่สาม ผลข้างเคียงในช่วงวันแรกยังคงสาหัส มึนหัวพะอืดพะอมกินข้าวไม่ได้ แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นกว่าสองครั้งก่อน

 

        โชคยังคงคอยดูแลอยู่ไม่ห่างได้ตลอดเวลาเพราะยังไม่เปิดเทอม ชีวิตประจำวันวนซ้ำกับการแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ ห้ามื้อ ปริมาณน้ำที่ดื่มต้องสองลิตรขึ้นไป กับออกกำลังกายนิดๆ หน่อยๆ ที่จะไม่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากนัก ทุกเย็นพวกเขาจึงออกไปเดินเล่นจนกลายเป็นกิจวัตร หรือถ้าวันไหนมีเวลาหน่อยก็ทำกายบริหารอยู่ในสวนตอนเช้าด้วย

 

        “วันนี้หิวไหมครับ” โชคถามหลังจากยืดเส้นยืดสายกันไปกว่าครึ่งชั่วโมง

 

        “นิดหน่อย”

 

        “อยากกินอะไรครับ”

 

        “อะไรก็ได้ที่เธอทำ”

 

        “ครับ”

 

        บทสนทนาซ้ำซากแต่กลับไม่น่าเบื่อเลย โชคจูงมือแก้วกลับเข้าบ้าน ปล่อยให้อีกคนไปพักก่อนอาบน้ำล้างตัว เสร็จออกมามื้อเช้าก็เตรียมพร้อมพอดี พวกเขากินข้าวเช้าด้วยกันทุกวัน มื้อสายของแก้วโชคก็อยู่ไม่ห่าง ก่อนจะร่วมมื้อเที่ยงกับของว่างตอนบ่าย และอาหารค่ำบนโต๊ะอาหาร ไปจนถึงเวลาเข้านอน และเมื่อตอนเช้ามาถึงก็จะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง บางวันอาจจะมีออกไปข้างนอกกันบ้าง ที่ทำงาน ซื้อของเข้าบ้าน ทานอาหารในร้าน ชายหนุ่มก็จะเป็นคนขับรถพาไป

 

        ตลอดเวลา... คอยช่วยดูแลอยู่ข้างๆ เสมอ

 

        จนกระทั่งสิงหาคมที่โชคเปิดเทอม วันที่แก้วไปรับยาเคมีชุดที่สี่เขายังคงเป็นคนพาไปอยู่ แต่วันถัดมาที่แก้วเริ่มเจอกับผลข้างเคียงเขากลับต้องไปเรียน การเช็คชื่อครั้งแรกของรายวิชาเพื่อยืนยันจำนวนคนในชั้นเรียนที่ขาดไม่ได้ ธีร์จึงเป็นคนที่มาโผล่อยู่หน้ารั้วไม้ตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี และรับช่วงดูแลคนป่วยต่อให้แทน

 

        โชคย้ำเรื่องยาและอาหาร กับเรื่องเล็กน้อยอีกจบเป็นครั้งที่สามแล้วจึงค่อยยอมจากไป แก้วหัวเราะแผ่วเบาเมื่อเหลือบไปเห็นแววตาอาวรณ์ของเจ้าหมาที่มองตาละห้อยกลับมาอย่างเป็นห่วง ทั้งที่รู้สึกขมปากและหายใจติดขัด แต่ก็ยังคงอารมณ์ดี

 

        ธีร์เองก็เช่นกัน หนุ่มหล่อรุ่นใหญ่รับรู้ได้ถึงความรับผิดชอบหนักอึ้งที่วางลงบนบ่า แต่แก้วก็ไม่ได้ทำให้เรื่องมันยากมากนัก เพราะนอกจากอาการวิงเวียนควบด้วยหายใจลำบาก กับแน่นหน้าอกขึ้นมาบ้างเป็นระยะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรรุนแรง

 

        โชคตรงกลับบ้านทันทีหลังสามชั่วโมงที่แสนยาวนานสิ้นสุดลง ไม่สนแม้ว่าจะมีวิชาต่อไปรออยู่ตอนบ่ายสอง และพอมาถึงบ้านไม้สีขาวสองชั้นแสนสงบ เขาก็โล่งใจที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี ก่อนจะกินมื้อเที่ยงง่ายๆ แล้วขับรถกลับไปมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนต่อ

 

        ความวิตกกังวลค่อยๆ จางไปพร้อมกับเวลาที่ผันผ่าน ผลข้างเคียงจากคีโมของแก้วไม่ได้เลวร้าย มีบางครั้งที่รุนแรงจนเขานอนซม แต่ก็ไม่ได้ผิดปกติจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปหยอดน้ำเกลือ

 

        โชคเริ่มวางใจ ธีร์เริ่มคุ้นชิน แก้วเริ่มแข็งแรงขึ้นทีละนิด และทุกคนก็กลับไปใช้ชีวิตปกติที่มีการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มเติมขึ้นมากันอีกครั้ง

 

        นิสิตหนุ่มไปเรียนได้อย่างสบายใจ เจ้าของร้านอาหารสามารถเข้าไปคุมร้านได้อย่างเคย นายสถาปนิกกลับไปทำงานที่บริษัท แม้จะไม่ได้ไปทุกวัน แต่ก็บ่อยครั้งกว่าช่วงแรกๆ ที่เริ่มรักษาตัวมากโข

 

        หลังให้ยาเคมีไปเจ็ดชุด ก้อนเนื้อในปอดของแก้วตอบสนองกับยาได้ดีและสามารถวางแผนรักษาขั้นต่อไปได้แล้ว

 

 

 

TBC...

        ชีวิตและความตาย เป็นสองสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวคนเรามากกว่าที่คิด หวังว่าทุกคนจะได้มีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายอย่างที่ใจตนต้องการก่อนที่วันพรุ่งนี้จะไม่มีวันมาถึงนะคะ ในช่วงเวลาที่รีนเขียนตอนนี้เองรีนก็ได้ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างเลยล่ะค่ะ แต่ก็หวังว่านักอ่านทุกคนจะไม่เครียดจนเกินไปนะคะ แง้ รีนอยากให้ทุกคนที่มาอ่านนิยายของรีนมีความสุข แต่เนื้อหากลับหนักเหลือเกิน

        ปล. โรคมะเร็งแสดงผลในผู้ป่วยแต่ละรายแตกต่างกันออกไป กระบวนการรักษาและระยะเวลาไม่เท่ากัน รีนไม่มีเจตนาจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในตัวโรคนี้แต่อย่างใด ข้อมูลต่างๆ ถูกนำมาจากการค้นคว้าประกอบกับประสบการณ์ส่วนตัวรีนที่เสียคุณพ่อไปด้วยโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กเท่านั้นค่ะ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้นะคะ และหากมีข้อมูลใดผิดพลาดก็สามารถบอกรีนได้เลยค่ะ จะปรับแก้ให้ทันทีเลย

        ปล2. สำหรับนักอ่านทุกคนที่สูญเสียคนรักให้กับโรคมะเร็ง หรือไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม กอดๆ นะคะ ขอให้รอยยิ้มของพวกคุณยังคงสวยงามเฉกเช่นเดียวกันกับรอยยิ้มของเหล่าผู้จากไปที่ยังคงเบ่งบานในความทรงจำของคุณ  :กอด1:

        อย่างไรก็ตาม ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจเลยนะคะ

        ขอบคุณค่ะ!

 

        See You on THURSDAY
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 41 [23.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-11-2020 17:50:45
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 41 [23.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-11-2020 21:29:15
เอาใจช่วยน้าแก้ว  :katai2-1: ในเวลาแบบนี้กำลังใจสำคัญที่สุด ทั้งจากอาธีร์และโชค ดีแล้วที่อยู่เคียงข้าง แวะมาดูแลกันตลอด  :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 42 [26.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 26-11-2020 21:25:01

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 42

 

          เช้ากลางเดือนกุมภาพันธ์แก้วตื่นลงจากบ้านมาในช่วงสายแล้ว เลยไม่ได้เจอกับโชคที่ออกไปเรียนตั้งแต่เช้า และเพราะตอนนี้เขาดีขึ้นมากจนไม่จำเป็นต้องมีคนคอยอยู่ด้วยตลอดเวลา ธีร์ก็เลยไม่ได้แวะเวียนมาเปลี่ยนเวรกับชายหนุ่มเหมือนช่วงก่อนหน้านี้



          ถุงน้ำเต้าหู้รออยู่บนโต๊ะอาหารกับแก้วกระเบื้อง แทนที่จะเป็นกระติกน้ำร้อนเสียบปลั๊กกับกระปุกกาแฟและโหลน้ำตาล แก้วเลิกกินกาแฟเป็นมื้อเช้ามาตั้งแต่เริ่มรักษาตัวจนกลายเป็นเลิกกินไปโดยปริยาย ทุกเช้าโชคจึงเปลี่ยนมาเตรียมน้ำเต้าหู้หรือน้ำถั่วรวมไว้กับอาหารง่ายๆ รสอ่อน อย่างวันนี้ก็มีข้าวต้มธัญพืชอยู่บนเตา

 

          ชายวัยกลางคนจัดการเสิร์ฟอาหารให้ตัวเอง เทน้ำเต้าหู้ใส่แก้วเข้าไมโครเวฟ จุดเตาแก๊สอุ่นข้าวต้มให้ร้อนก่อนตักใส่ถ้วยแล้วยกออกไปตั้งโต๊ะที่ห้องนั่งเล่น

 

          บนโต๊ะไม้หน้าโซฟายังคงมีที่เขี่ยบุหรี่ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ววางตั้งอยู่ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนแม้จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และที่ข้างกันนั้นก็มีดอกกุหลาบสีสดจากต้นในสวนถูกวางไว้ให้เมื่อถึงวันแห่งความรัก

 

          แก้วกินข้าวเช้า พร้อมกับแววตาอ่อนโยนที่ทอดมองกลีบดอกไม้สีแดง

 

          ...วานเลนไทน์ปีนี้โชคไม่ลืม

 



 

          กลางเดือนมีนาคมแก้วต้องเริ่มไปรับการฉายรังสี การฉายรังสีจริงๆ ในแต่ละครั้งสำหรับมะเร็งปอดใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที แต่เมื่อรวมกับการเตรียมตัวจัดท่าทางต่างๆ แล้วก็กินเวลาไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง โดยต้องเข้ารับการรักษาห้าวันต่อสัปดาห์ ซึ่งในเคสของแก้วต้องทำอย่างต่อเนื่องทั้งสิ้นหกอาทิตย์

 

          โชคยังคงพาแก้วไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เพราะพอมีเวลาว่างระหว่างคาบเรียนอยู่บ้าง ยกเว้นวันพฤหัสบดีที่มีเรียนเต็มวัน ในวันนั้นจึงจะเป็นธีร์ที่พาไปแทน

 

          “วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ทันทีที่ถึงบ้าน โชคก็เอ่ยถามคนบนโซฟาที่วันนี้ไปรับการฉายแสงมาโดยที่เขาไม่ได้ไปด้วย

 

          “เจ็บคอ” แก้วพูดเสียงแหบเล็กน้อย แต่รอยยิ้มกว้างกว่าปกตินิดหน่อย เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ไม่ได้ติดกระดุมสักเม็ดแหวกออกจนเห็นหน้าท้องแบนราบที่มีชั้นไขมันกองรวมกันเป็นเนินนิ่มน้อยๆ เหนือขอบกางเกง

 

          “เจ็บมากไหมครับ กินข้าวไหวไหม” ชายหนุ่มยังคงถามต่อขณะเดินไปทิ้งตัวลงข้างๆ ปลายนิ้วแหวกสาบเสื้อให้กว้างขึ้นอีก ก่อนจะแตะลงบนกระดูกไหปลาร้านูนเด่น มองดูผิวเนื้อขึ้นสีเรื่อแดงบริเวณอกของอีกฝ่ายที่ถูกเผาไหม้ด้วยแววตาหม่นหมองที่ซุกซ่อนไว้ในห่วงความห่วงใยอีกที

 

          “กินได้ แค่รู้สึกขัดๆ” คนถูกมองรู้ว่าเด็กตรงหน้าคิดอะไรอยู่ มือเรียวยกขึ้นลูบหัวเจ้าหมาตาเศร้าแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มแรงขยี้อย่างมันเขี้ยวเมื่อดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมาสบ “มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอกนะโชค”

 

          “น้าแก้วก็ไม่เคยพูดว่าเจ็บอยู่แล้ว” เด็กน้อยตัดพ้อ

 

          “ก็มันไม่เจ็บจริงๆ” ผู้ใหญ่ยืนยันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉันไม่เคยโกหกเธอ”

 

          “ผมรู้” โชครับคำ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ผมก็ไม่อยากเห็นแก้วเจ็บ แค่อาจจะเจ็บก็ไม่อยาก”

 

          “เพราะเธอรักฉันไง”

 

          “ครับ เพราะผมรักแก้ว”

 

          “ฉันก็รักเธอ”

 

          เสื้อเชิ้ตบนตัวถูกปลดไปวางพาดไว้กับที่พักแขน เพื่อปล่อยให้ผิวหนังส่วนที่โดนรังสีได้สัมผัสอากาศมากที่สุด โชคกดจูบลงบนลาดไหล่เปลือยเปล่าหนักๆ ทีหนึ่งก่อนลุกเข้าครัวไปเตรียมทำมื้อเย็น เลือกเมนูเป็นซุปผักโขมเพื่อให้คนเจ็บคอกลืนได้ง่ายๆ

 

 

 

          เข้าสู่พฤษภาการรักษาด้วยการฉายรังสีของแก้วก็เสร็จสิ้น แต่ด้วยตัวโรคที่โอกาสรักษาหายขาดได้มีน้อยมากเหลือเกิน แก้วจึงต้องวนกลับไปรับยาเคมีบำบัดซ้ำอีกครั้งเพื่อประคับประคองไม่ให้ก้อนเนื้อลุกลามมากกว่าหวังผลให้หายขาด

 

          ...สองปี

 

          เพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดแบบเซลล์เล็กในระยะจำกัดที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง แก้วไม่รู้ว่าเขาจะได้เป็นหนึ่งในยี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเวลาก็เหลือน้อยลงทุกที

 

          “โชค” แก้วเรียกคนบนพื้นหน้าเตียงที่กำลังก้มหน้าก้มตาตัดเล็บเท้าให้เขาอยู่

 

          “ครับ” เจ้าของชื่อขานรับ หูฟังแต่ตายังคงจดจ่อกับมือที่เล็มตัดเล็บให้อีกคนอย่างระมัดระวัง

 

          “คืนนี้ทำไหม” คำถามวาบหวิวแต่เรียบง่าย ดวงตาคู่สวยช้อยเงยขึ้นมาสบ เปล่งประกายวาววับแต่ก็เต็มไปด้วยความกังวล จนคนชักชวนต้องเอ่ยต่อพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู "ฉันไหว”

 

          “ผมอยากทำนะ แต่ไม่อยากให้น้าแก้วผืนตัวเอง”

 

          “มันก็ไม่ได้ฝืนอะไรนี่ ฉันแค่อยากทำกับเธอ”

 

          “ครับ งั้น...”

 

          “ฉันเตรียมตัวมาแล้ว”

 

          โชคมองหน้าคนแก่กว่า น้าแก้วของเขาดูเหมือนเป็นคนใจเย็นแสนเฉยชา แต่บางทีก็ร้อนแรงแถมเจ้าเล่ห์นิดหน่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาเชื้อเชิญขึ้นเตียง ไม่ว่ากี่ครั้งถ้าแก้วเป็นคนเอ่ยปาก โชคจะหาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้เลย...

 

          หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองนั่นแหละที่ไม่คิดจะปฏิเสธจริงจัง

 

          การร่วมรักนั้นยาวนาน เนิบช้า และนุ่มนวล โชคค่อยๆ แทรกกายเข้าไปเติมเต็มคนรักของเขาอย่างทะนุถนอม ตะกองกอดอย่างเปี่ยมรัก ประทับจูบลึกซึ้งดูดดื่ม ปลายนิ้วประสานกันแนบแน่น เช่นเดียวกับนัยน์ตาที่สะท้อนภาพของกันและกัน กังขังภาพจำความรักเอาไว้ในใจ สลักให้ลึกลงไปไม่ให้เลือนหายแม้วินาทีเดียว

 

          แก้วผล็อยหลับแทบจะทันทีที่โชคถอนกายออกไป มันเป็นการร่วมสัมพันธ์แบบสอดใส่ครั้งแรกในรอบหลายเดือน มีเพียงจูบแผ่วเบาข้างขมับแทนคำบอกราตรีสวัสดิ์อย่างอ่อนล้า คนเด็กกว่าได้แต่ยิ้มแล้วกดจูบซ้ำบนเปลือกตาที่ปรือปิดแล้วบอกราตรีสวัสดิ์กลับไป ก่อนจะเก็บกวาดเศษซากถุงยางให้เรียบร้อย ลงไปเอากะละมังน้ำกับผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายให้คนหลับ หาเสื้อผ้ามาใส่พร้อมห่มผ้าให้เสร็จสรรพ จากนั้นตัวเองก็ไปอาบน้ำแล้วค่อยกลับมานอนลงข้างกัน

 

          เรียวนิ้วไล้เกลี่ยปอยผมให้พ้นจากใบหน้าของอีกฝ่าย เฝ้ามองชายที่เขารักใต้เงาแสงสีฟ้าสลัวราง

 

          สิบเจ็ดปีที่อยู่ด้วยกัน

 

          สิบสามปีที่ตกหลุมรัก

 

          แปดปีที่รู้ตัวว่าหลงรักไปแล้ว

 

          กับสี่ปีกว่าในความสัมพันธ์ รักและได้รับรักตอบ

 

          เนิ่นนาน แต่ก็ยังคงหวังว่ามันจะนานได้มากกว่านี้ ...ตลอดไปเลยยิ่งดี

 

          ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไป ใกล้พอให้ลมหายใจอุ่นร้อนของอีกคนรินรดผิวหน้า กอบกุมมือเรียวไว้ในอุ้งมือใหญ่ หลับไปโดยที่คิดถึงรุ่งสาง...

 

          รุ่งสางที่จะได้ตื่นมาบอกอรุณสวัสดิ์กันอีกครั้งในทุกวันพรุ่งนี้

 




 

          พฤษภาคมยังไม่ทันสิ้นสุดลง งานศพแรกที่โชคได้ไปร่วมก็ถูกจัดขึ้น ฝนโปรยปราย บรรยากาศหม่นหมองและรอยคราบน้ำตาบนใบหน้าของเหล่าเจ้าภาพ แม้พวกเขาจะพยายามยกยิ้มให้กับแขก แต่รอยยิ้มนั้นก็ส่งไปไม่ถึงนัยน์ตาปริร้าว

 

          พ่อของธีร์เสียแล้ว... ด้วยวัยเจ็ดสิบหกปี ขณะที่เดินขึ้นบันไดวันที่ไม่มีใครอื่นอยู่ในบ้านแล้วเกิดหน้ามืดเสียหลักตกลงมาหัวกระแทกพื้น ชายชราจากไปอย่างโดดเดี่ยว เงียบงัน และเรียบง่าย ความตายมาเยือนพร้อมกับหยาดฝนที่ปกคลุมบ้านทั้งหลังให้จมลงสู่ความโศกเศร้า

 

          ไม่มีใครสาปส่งโชคชะตา ด้วยเพราะว่ามันเป็นสิ่งเที่ยงแท้ที่จะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครไม่โทษตัวเอง ที่หากในวันนั้นพวกเขาอยู่บ้าน หรือกลับมาเร็วขึ้นอีกสักหน่อย ก็อาจจะพอยืดระยะเวลาที่ต้องจากลากันออกไปได้ แม้มันจะเป็นเพียงถ้าหากที่กลวงเปล่าและไม่มีวันเกิดขึ้นจริงก็ตาม

 

          “ย่ารู้นะ ว่ายังไงคนเราก็ต้องตาย” คุณแม่ของอาธีร์พูดขึ้น ขณะที่ช่วยเรียงน้ำใส่ถาดในมือโชคที่อาสาช่วยน้องเมษายกไปเสิร์ฟแขกเรื่อที่กำลังรอฟังสวดอภิธรรม เสียงของเธอฟังดูระโหยโรยแรง เหมือนกับประกายในดวงตาที่ยังคงเปล่งแสงแต่ก็จืดจางเหลือเกิน “ตั้งแต่วันที่แต่งงาน อย่างแรกที่ปู่เขาบอกย่าก็คือสักวันเราจะตายจากกัน ไม่รู้หรอกว่าใครจะไปก่อน แต่ถ้าปู่เป็นคนที่ไปก่อนก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องร้องไห้...”

 

          พูดได้เพียงเท่านั้น ดวงตาของหญิงชราก็แดงก่ำ ก่อนความทรงจำเก่าเก็บจะกลั่นตัวออกมาเป็นเสียงสะอื้นไห้กับไหล่บอบบางใต้เสื้อลูกไม้สีดำที่สั่นเทา โชคทำอะไรไม่ถูก เขาทำได้แค่วางถาดพักไว้บนฝาถังน้ำแข็งแล้วโอบกอดภรรยาที่สูญเสียสามีผู้ยืนเคียงข้างเธอมาเนิ่นนานกว่าห้าสิบปีเอาไว้

 

          “คุณปู่เขา... รักคุณย่ามากเลยนะครับ” คำปลอบโยนเดียวที่มอบให้ไปเบาหวิว เหมือนกับหัวใจที่เปียกปอนพอๆ กับอกเสื้อที่ชุ่มน้ำตา

 

          ชายหนุ่มไม่รู้ว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไปหรือเปล่า เมื่อคุณย่าร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากพูด พูดสิ่งที่คุณปู่ไม่อาจพูดด้วยตัวเองได้อีกต่อไป

 

          เพราะชายคนนั้นคงอยากบอกมันกับผู้หญิงคนนี้อีกสักครั้ง... สักหลายๆ ครั้งทั้งที่ไม่มีโอกาส

 

          บอกว่ารัก

 

 

 

          หลังจากที่เสิร์ฟน้ำเสร็จก็ถึงเวลาพระสวดพอดี ชายหนุ่มกับเด็กชายวัยสิบสามปีกลับเข้าไปในศาลาที่ตั้งศพ นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกแถวหลังๆ เพื่อให้พวกผู้ใหญ่และคนสนิทหลายๆ คนของผู้ตายที่แวะเวียนมาร่วมไว้อาลัยได้มีพื้นที่นั่งตามสมควรของลำดับอาวุโส

 

          คุณย่าเองก็กลับเข้ามาแล้ว เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่จัดไว้แถวหน้าสุด รอบดวงตายังคงฉ่ำชื้น แต่สีหน้าสงบนิ่งและไร้เสียงสะอื้น มือเหี่ยวย่นยกขึ้นพนมหลังเหยียดตรงขณะที่เสียงสวดดังระงมผ่านเครื่องเสียงทั่วบริเวณ

 

          ...ช่างดูเดียวดาย แม้อยู่ท่ามกลางผู้ร่วมแสดงความเสียใจนับสิบ

 

          บางทีที่ว่างตรงนั้นมันคงเป็นพื้นที่พิเศษของคู่ชีวิต โลกใบเล็กที่มีเพียงพวกเขาสองคน ไม่อาจหาใครแทน ไม่มีใครแทรกได้ แม้แต่ลูกที่มีร่วมกันมา เพราะความรักของสามีภรรยานั้นแตกต่างจากพ่อแม่ลูก ต้นทุนของมันไม่เท่ากันตั้งแต่แรก ความรักที่เกิดขึ้นมาจากศูนย์ เริ่มต้นจากคนอื่นต่อกันโดยสิ้นเชิง ไร้เงื่อนไขของสายเลือดที่สืบทอด ไม่ได้ก่อตัวขึ้นผ่านความคาดหวังและวันเวลาที่นับรอคอยให้อีกฝ่ายลืมตาดูโลก

 

          พ่อแม่ลูกเป็นครอบครัวโดยดุษณี แต่คู่ชีวิตคือครอบครัวที่เลือกด้วยตัวเอง

 

          โชคหลับตาลง หลบหนีทิวทัศน์แผ่นหลังผอมแห้งที่โดดเดี่ยวชวนให้น้ำตารื้น เมื่อชายหนุ่มเห็นมันสะท้อนภาพของตน แต่เพียงเสี้ยวหนึ่งของนาทีดวงตาคู่สวยก็ปรือเปิดขึ้นอีกครั้ง จ้องมองไปยังเบื้องหลังของคนในความคิดที่นั่งเคียงข้างเพื่อนสนิทอยู่บนเก้าอี้ไม้แถวหน้าสุด

 

          ...สักวันเขาก็คงต้องเดียวดายท่ามกลางผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ที่ไร้น้าแก้ว ทว่ามันก็คงดีกว่าการที่ตัวเองเป็นฝ่ายจากไปแล้วทิ้งอีกคนเอาไว้

 

          โชคจะร้องไห้ให้กับแก้ว แต่ไม่อยากให้แก้วต้องร้องไห้เพราะเขา

 

          ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันต้องใช้สักกี่พันคำขอโทษถึงจะเพียงพอชดใช้ให้กับหยดน้ำตาของคนรัก และหากวันนั้นมาถึงจริงๆ เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ชดใช้ให้แม้สักคำ

 

 

 

          งานสวดศพคืนแรกสิ้นสุดลงตอนสองทุ่มกว่า แขกที่มางานร่วมโต๊ะกระเพาะปลากับของหวานทับทิมกรอบพลางพูดคุยแสดงความเสียใจให้กับเจ้าภาพ หรือไม่ก็เพื่อนสนิทวัยโรยราที่โคจรมาพบปะกันตามงานสีดำจับกลุ่มพูดถึงความตายที่คืบคลานตามหลัง พรากพวกพ้องของพวกเขาไปที่ละคนสองคนในทุกช่วงปีหลังมานี้ กว่าจะแยกย้ายกันกลับไปหมดจริงๆ ก็เกือบสี่ทุ่ม แน่นอนว่าโชคและแก้วยังคงอยู่กับครอบครัวธีร์ที่งานจนส่งแขกคนสุดท้ายจากไป

 

          “คิดอะไรอยู่” ระหว่างทางกลับบ้านแก้วถามขึ้น ขณะจ้องมองใบหน้าด้านข้างของคนขับรถใต้เงาแสงไฟถนนสีส้มอุ่น แต่กลับให้ความรู้สึกเหน็บหนาวเมื่อสะท้อนเข้ากับดวงตาคู่สวยที่ฉายแววอ้างว้าง

 

          “ผมกำลังคิดว่าคืนนี้คุณย่าคงจะนอนไม่หลับ” สารถีหนุ่มตอบ เลื่อนมือซ้ายมาหงายรอบนตักคนข้างๆ อย่างรอคอยให้เจ้าตัววางมือลงมา แก้วส่งมือให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการ สานเกี่ยวเรียวนิ้วกระชับจับกันแนบแน่น

 

          “นั่นสินะ แต่ธีร์ก็คงไปนอนเป็นเพื่อนแหละ”

 

          “ถึงอาธีร์จะไปนอนด้วยมันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดีนี่ครับ”

 

          “อืม... ก็คนมันนอนข้างกันมาห้าสิบปีนี่นะ”

 

          “...น้าแก้ว”

 

          “หืม”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อืม”

 

          “แก้ว”

 

          “โชค” คำขานรับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงเรียกแทน โชคละสายตาจากท้องถนนเมื่อรถจอดติดไฟแดงมาสบตาคู่สนทนา ก่อนจะเห็นว่ามันฉ่ำชื้นแม้ริมฝีปากจะแย้มยิ้มบาง “เธอเคยนึกเสียใจบ้างไหมที่มารักฉัน”

 

          “ไม่ครับ ไม่เลย” รีบเอ่ยตอบทันควันโดยไม่จำเป็นต้องคิด เพราะเขาไม่เคยเสียใจ ไม่เคยแม้แต่จะคิด “ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะครับ”

 

          “ฉันแค่คิดว่ามันแปลกดี” แก้วเอี้ยวตัวขยับมานั่งกึ่งหันเข้าหาฝั่งคนขับ ยกมือข้างที่ไม่ได้อยู่ในอุ้งมืออุ่นที่จับกันเอาไว้ขึ้นทาบแก้มคนรักอ่อนวัยของตน ก่อนจะขยับปากพูดเสียงอ่อนโยนทว่าชัดเจนทุกถ้อยคำ “ต่อให้ฉันไม่ได้เป็นมะเร็งตอนนี้ สักวันฉันก็จะตายจากเธอไปก่อนอยู่ดี แต่เธอก็ยังรักฉันทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ต้องเจ็บปวด...”

 

          “ครับ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจะรักแก้วเหมือนเดิม”

 

          “อือ ...เหมือนกัน” ว่าจบก็ผละกลับไปนั่งหลังพิงเบาะเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี แต่มือที่เกี่ยวประสานกันไว้ยังคงแนบแน่นไม่คลาย

 

          “เหมือนอะไรเหรอครับ” โชคถาม ขณะปล่อยให้รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า แล้วค่อยๆ เร็วขึ้นตามแรงเหยียบบนคันเร่ง

 

          “ฉันก็ยังจะรักเธอเหมือนกัน” แก้วตอบ คลี่ยิ้มจนตาปิดให้กับมือจับกันไว้บนตัก ก่อนจะอธิบาย “ต่อให้ฉันรู้ว่าตัวเองต้องตายไปก่อน หรือต่อให้เธอกลายเป็นคนที่ตายจากฉันไป ฉันก็ยังจะเลือกรักเธอโชค”

 

          เพราะชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน อุบัติเหตุ โรคร้าย ความตายไล่ตามทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าคนแก่กว่าจะจากไปก่อน หรือต่อให้คนอายุเท่ากันก็ต้องมีใครสักคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังอยู่ดี และถึงจะรู้แบบนั้นคนเราก็ยังรักทั้งที่สักวันต้องรวดร้าว กระโจนเข้าหาความสุขเพียงชั่วคราวที่อาจแลกมาด้วยความร้าวรานอีกทั้งชีวิต

 

          ความรักเป็นสิ่งที่แปลก... แค่เพื่อให้มันเบ่งบานเพียงชั่วระยะหนึ่งในช่วงชีวิต ก็ทำให้คนเราไม่คิดเกรงกลัวต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป

 

          “ผมรักแก้วนะครับ ไม่เคยเสียใจเลยที่รัก แล้วก็จะไม่มีวันเสียใจ” โชคเอ่ยอย่างหนักแน่นขณะที่กำลังจูงมือแก้วผ่านเข้ารั้วบ้าน ราวกับเป็นคำสัญญา ดั่งสัตย์สาบานที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

 

          “อืม ขอบใจนะ...” แก้วก้าวนำขึ้นบันไดไปก่อนขั้นหนึ่ง กลืนถ้อยคำกลับลงคอไปชั่วนาทีที่ริมฝีปากแนบประทับ สองแขนโอบรั้งเด็กน้อยของเขาเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จรดพรมจูบแผ่วเบาลากไล้ไปตามเครื่องหน้าจนมาหยุดที่ปลายจมูก ก่อนผละออกแล้วแนบหน้าผากชิดลงมาแทน “ขอบคุณที่ไม่เคยเลิกรักฉันเลย”

 

          “ครับ ขอบคุณเหมือนกันที่รับรักผม”

 

          สิ้นคำขอบคุณกันและกัน โชคก็รวบช้อนสะโพกแก้วแล้วยกขึ้น คนถูกอุ้มเองก็รู้งาน กระหวัดขาเกี่ยวรั้งเอวอีกฝ่ายไว้พลางคล้องแขนรอบลำคอชายหนุ่ม พวกเขามองตาแล้วก็หัวเราะ จูบกันก่อนจะผละออกแล้วมองตากันอีก เนิ่นนานจนแผ่นหลังคนโดนยกลอยแนบลงกับเบาะโซฟาถึงได้ละสายตาจากกัน

 

          โชคแนบหูไว้เหนืออกซ้ายของแก้วโดยไม่ได้ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไป เฝ้าฟังเสียงหัวใจเต้นขณะที่รับรู้ถึงไออุ่นจากมือที่ลูบสางผมเขาซ้ำไปซ้ำมา

 

          ...น้าแก้วของเขาตัวเบาขึ้นอีกแล้ว

 

 

 

          งานสวดอภิธรรมศพคืนที่สองมีคนมาร่วมงานหนาตากว่าคืนแรก ซึ่งเป็นเรื่องปกติด้วยเพราะงานศพเป็นงานกะทันหัน คืนแรกคนที่มาส่วนใหญ่จึงเป็นคนสนิทที่ค่อนข้างใกล้ชิด ส่วนในคืนต่อๆ มาคนรู้จักที่ได้ทราบข่าวและจัดสรรเวลาได้จึงค่อยทยอยตามมา จะมีก็เพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นญาติสนิทแต่เพิ่งจะได้มาร่วมงานเอาในคืนนี้...

 

          ยี่สิบกว่าชั่วโมงบนเครื่องบิน สี่ชั่วโมงที่จุดแวะพัก ทั้งที่ซื้อตั๋วทันทีที่ได้รู้ข่าว แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวัน

 

          ปรางเพิ่งบินกลับจากอเมริกามาถึงไทยตอนห้าโมงครึ่ง และไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้นก็ได้มายืนอยู่หน้าโลงจำปา จุดธูปไหว้หน้ารูปตั้งศพของคุณตาตัวเอง

 

          สาวสวยดวงตาแดงก่ำ บวมช้ำจากการร้องไห้มาตลอดทางบนน่านฟ้า ตอนนี้เลยไม่เหลือหยดน้ำตาให้หลั่งรินอีกต่อไป แต่ความเศร้าหลังนัยน์ตาสีน้ำตาลใสกระจ่างคู่นั้นก็ยังคงฉายแววเด่นชัดไม่จางลงเลยแม้แต่น้อย

 

          มือเรียวเล็กปักธูปลงกระถาง ถอยออกมานั่งมองควันลอยสูงอยู่ห่างๆ อย่างเลื่อนลอย โชคไม่ได้ถามว่าพี่สาวของเขากำลังคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มทำเพียงแค่นั่งคุกเข่าลงข้างๆ อย่างเงียบงัน รอจนถึงเวลาต้อนรับแขก ปรางจึงค่อยลุกไปประจำโต๊ะรับซองกับแม่ของตัวเอง ส่วนโชคก็ลงไปเตรียมเสิร์ฟน้ำกับน้องเมษา และเมื่อพระเริ่มสวด พวกเขาก็กลับขึ้นมานั่งเรียงกันสามคนที่แถวหลัง พิงไหล่โดนกันแผ่วเบาราวหาที่ยึดเหนี่ยวให้กับหัวใจที่กำลังหลงทาง

 

          “พี่เพิ่งวิดีโอคอลคุยกับตาไปเมื่อวานตอนเช้านี่เอง” ปรางพูดขึ้นหลังจากที่บทสวดเงียบลงและผู้คนทยอยลุกออกจากศาลาไปยังโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้บริเวณลานด้านนอก “บทคนเราจะตายนี่มันก็ปุ๊บปั๊บจังเลยเนอะ”

 

          “...” ทั้งโชคทั้งเมษาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ด้วยเพราะรู้ว่าหญิงสาวไม่ได้ต้องการคำปลอบโยนหรือปรัชญาชีวิตในตอนนี้ เธอก็แค่อยากระบายมันออกมา ระบายความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ในอกให้ใครสักคนช่วยรับฟัง

 

          “แล้วทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดเอาป่านนี้ แต่ถ้าพี่รู้... ถ้าพี่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้...” น้ำตาที่แห้งเหือดผุดตัวจากความเสียใจจนเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง เสียงหวานแตกพร่าขณะสะอื้นฮัก ปลายนิ้วเรียวที่ทาเล็บสีสวยจิกกำชายกระโปรงสีดำของตัวเองแน่น “ถ้ารู้ว่าจะต้องจากกันไวขนาดนี้ พี่น่าจะโทรหาตาบ่อยๆ น่าจะคุยกันให้เยอะๆ น่าจะบินกลับมาบ้านทุกปี น่าจะ.. น่าจะใช้เวลากับตา...ให้มากกว่านี้”

 

          เมษาโผเข้ากอดเอวลูกพี่ลูกน้องคนโตกว่าเอาไว้แน่น ซุกซบใบหน้าเข้ากับหน้าท้องของหญิงสาวแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นตามเพราะตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทั้งที่เขาสลับมาอยู่บ้านพ่ออาทิตย์ละตั้งหลายวัน และขณะที่อยู่ที่นั่นก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับคุณปู่คุณย่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พออยู่ดี

 

          โชคมองสองพี่น้องที่ร้องไห้จนแทบขาดอากาศหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ถึงเขาจะรู้จักกับคุณปู่ แต่ก็ไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งถึงขนาดที่จะร่วมแบ่งปันความเจ็บปวดเหล่านั้นด้วยได้ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงกอดทั้งสองคนเอาไว้ ปล่อยให้อกเสื้อของตนช่วยซับน้ำตาของหญิงสาว และอีกมือก็ลูบหัวปลอบโยนเด็กชายที่กำลังแหลกร้าว

 

          เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีมากมายสักเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเลย

 

          ไม่เลยสักนิดเมื่อเดินทางมาถึงวินาทีที่ต้องจากลา

 

 

 

          คืนที่ห้าเป็นค่ำคืนสุดท้ายของการไว้อาลัยให้กับพ่อของธีร์ หลังจากแขกเรื่อเดินทางกลับจนหมดแล้ว ทั้งศาลาก็เงียบเหงาจนได้ยินเสียงพัดลมดังหึ่งเคล้ากับเสียงหมาเห่าไล่กันดังแว่วมา คุณย่านั่งลงบนผืนพรมหน้ากระถางธูป ใช้เวลาอยู่กับสามีเพียงลำพังในโลกของคู่ชีวิตที่กำลังจะเลือนหายหลงเหลือไว้เพียงเถ้ากระดูก ลูกสองคนก็จับจองพื้นที่คนละมุมอยู่บนเก้าอี้ไม้ เฝ้ามองแผ่นหลังของแม่ที่ผอมบางและโดดเดี่ยวด้วยความรู้สึกอ้างว้าง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านั้น

 

          ธัญนั่งซบไหล่สามี ธีร์นั่งกุมมือแก้วไว้ ในขณะที่โชคมองเห็นทุกอย่าง เขาไม่เคยชอบใจที่สองคนนั้นแตะต้องตัวกันเลย แต่ครั้งนี้เขากลับคิดว่าดีแล้ว ...ดีแล้วที่น้าแก้วนั่งอยู่ตรงนั้น กุมมือเพื่อนรักของตนไว้ในยามที่อีกฝ่ายจมลงสู่ก้นสมุทรของความโศกเศร้า

 

          อาจจะเป็นเพราะโชคคลับคล้ายคลับคลาว่าแก้วเคยเล่าให้ฟังถึงคืนวันที่เสียพ่อไปในตอนที่ตนอายุสิบเจ็ด เด็กหนุ่มผู้สูญเสียบิดากะทันหันคนนั้นเคว้งคว้าง แหลกร้าว และพังทลาย มีเพียงเด็กหนุ่มตัวโตผู้ครอบครองรอยยิ้มเจิดจ้าและความอบอุ่นล้นเหลืออีกคนที่กอดเขาเอาไว้จนถึงเช้า ประกอบร่างชิ้นส่วนที่แตกสลายขึ้นมาใหม่

 

          ...ธีร์เป็นคนที่พาแก้วข้ามผ่านช่วงเวลายากลำบากครั้งใหญ่ในชีวิต และเจ้าตัวเองก็คงต้องการแก้วในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียนี้เช่นกัน

 

          โชคเลยไม่คิดจะหึงหวงหาเรื่องชวนทะเลาะ เหมือนที่แก้วเองก็ไม่คิดมากอะไรกับการที่เขาให้ปรางยืมอกซับน้ำตา กับมือใหญ่ข้างหนึ่งที่ประสานเรียวนิ้วไว้กับพี่สาวต่างสายเลือด ส่วนเด็กชายอีกคนที่เขาช่วยปลอบกลับบ้านไปก่อนแล้วกับมารดา

 

          ความตายทิ้งเงาขมุกขมัวเอาไว้กับควันธูปในอากาศ และโดยที่ไม่มีอะไรจะลบเลือนไปได้นอกจากกาลเวลา

 

          มันจึงเป็นค่ำคืนที่แสนเงียบงัน เปลี่ยวเหงา และเศร้าหมอง

 

          จนเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง พิธีก่อนการเผาศพที่เป็นของคนในครอบครัวซึ่งนับรวมแก้วกับโชคเอาไว้ด้วยก็ดำเนินไปตามลำดับอย่างเรียบง่าย ต่อเนื่องไปถึงในช่วงบ่ายที่ผู้มาร่วมงานวางดอกไม้จันทน์แล้วรับของชำร่วยก่อนทยอยกลับกันไปจนหมด

 

          ควันจากการเผาไหม้สีดำพวยพุ่งจากยอดเมรุลอยสูงขึ้นไปสู่ท้องฟ้า จางหายไปก่อนได้สัมผัสกับมวลเมฆสีหม่นที่ไม่นานหลังจากนั้นก็โปรยเม็ดฝนลงมา แต่ถึงอย่างนั้นเปลวเพลิงก็ยังคงทำหน้าที่ของมัน แผดเผาต่อไปจนกว่าจะเหลือไว้เพียงเถ้ากระดูกสีขาวที่ครอบครัวจะได้รับกลับไปในตอนรุ่งสางของวันถัดไป

 

          แสงแรกของการเริ่มต้นวันใหม่ เป็นจุดสิ้นสุดของชายคนหนึ่ง

 

 

 

...TBC

          บรรยากาศของงานศพนี่เป็นความหม่นหมองที่ทุกคนสามารถร่วมรู้สึกได้แม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับผู้ตายเลยนะคะ อาจจะเพราะความเศร้าของเหล่าผู้จัดงานกระมัง ในตอนที่เขียนตอนนี้รีนเจอทางตันหลายรอบมากค่ะ เขียนไม่ออกบ้าง เขียนแล้วไม่ถูกใจบ้าง แต่สุดท้ายก็เขียนได้จนจบพร้อมกับนั่งร้องไห้ไปกับคุณย่า

          สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนแข็งแรงนะคะ ทั้งร่างกายและหัวใจเลย อาจจะต้องเหน็ดเหนื่อยท้อแท้มองไม่เป็นอนาคตในประเทศแห่งนี้ แต่ก็อย่ายอมแพ้แล้วเงยหน้ามองจันทร์ดวงสวย หรือหลับตาแล้วแหงนสู่ท้องฟ้าในยามที่ดวงตะวันลอยเด่น จากนั้นก็ขอให้วันคืนของคุณถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังแห่งความสดใสที่แสนอบอุ่นนะคะ

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์และกำลังใจ

          ขอบคุณค่ะ

 

          SEE YOU on MONDAY
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 42 [26.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-11-2020 04:42:48
 :hao5: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 42 [26.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-11-2020 01:47:27
เออบรรยากาศหม่นจริง  :heaven เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ขออยู่เคียงข้างทุกคน ณ ตอนนี้   :L2: :กอด1: ขอบคุณนะคะที่มาต่อสม่ำเสมอ น่ารัก  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 43 [30.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 30-11-2020 20:30:28
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 43

         ปิดเทอมก่อนขึ้นชั้นปีที่ห้าเป็นช่วงเวลาที่โชคต้องฝึกงาน เมื่อเดือนมิถุนายนมาถึงเขาจึงเริ่มแวะเวียนไปยังบริษัทรับออกแบบบ้านที่น้าแก้วถือหุ้นครึ่งหนึ่งและยังคงสถานะพนักงานเอาไว้แม้จะยังต้องรักษาตัวก็ตาม


         นิสิตหนุ่มได้เริ่มศึกษางานอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดมากนักเมื่อเขาต้องดูแลแก้วไปด้วย ส่วนใหญ่ก็จะได้รับงานกลับมาทำอยู่บ้านโดยมีนายสถาปนิกใหญ่ช่วยให้คำแนะนำ แล้วถ้าช่วงไหนแก้วรู้สึกดีพอจะออกไปที่สำนักงาน เขาก็จะได้เจอกับเพื่อนสนิทที่มาฝึกงานด้วยกันแต่คนละแผนกบ้าง


         ทั้งที่มันก็เป็นชีวิตที่วนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นั้น แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลยสักนิด กลับกันเขาคิดว่ามันช่างดีเหลือเกินที่ได้มีอีกวันที่แสนธรรมดาเคียงข้างคนรัก


         โชควาดภาพอนาคตหลังเรียนจบเอาไว้ว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบนั้นในทุกๆ วันไปกับน้าแก้ว


         จนเข้าช่วงหลังของเดือนโชคก็อายุยี่สิบสี่ปีเต็ม ขณะที่แก้วเข้ารับคีโมชุดที่สองพอดี เย็นวันนั้นเมื่อกลับถึงบ้านจึงไม่มีงานเลี้ยงฉลอง แต่ก่อนจะผล็อยหลับไปพร้อมกับความวิงเวียนที่โลกทั้งใบพร่าเบลอ ดวงตาสีเข้มจับจ้องใบหน้าชายหนุ่มของเขา พยายามปรับโฟกัสให้มันชัดเจนที่สุดขณะที่เอ่ยบอก


         “สุขสันต์วันเกิด”


         “ขอบคุณครับ” เจ้าของวันเกิดตอบรับ กดจูบหนักๆ ลงที่กลางฝ่ามืออีกฝ่าย แล้วจึงค่อยเปลี่ยนไปจูบอีกครั้งบนหน้าผาก จากนั้นก็จัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนหลับเรียบร้อยแล้วค่อยจากไปเก็บของกับทำงานบ้านที่คั่งค้างเอาไว้ต่อ


         วันเกิดเรียบง่ายอีกปี ...ที่ยังได้อยู่ด้วยกัน




         เข้าสู่กรกฎาที่ท้องฟ้าแจ้งเพราะฝนทิ้งช่วง โชคตากผ้าอยู่ข้างบ้านในขณะที่ใครอีกคนนั่งรอเขาอยู่บนชิงช้าใต้ต้นมะม่วง มะลิกับโมกเองก็อยู่ตรงนั้นด้วย แม่แมวนอนแผ่บนพื้นหญ้าข้างเท้าแก้ว ส่วนลูกแมวหนุ่มวัยซุกซนก็กำลังฝนเล็บเข้ากับลำต้นไม้ใหญ่


         ...ช่างเป็นวันพุธแสนสงบสุขของทุกคนในบ้านไม้สีขาว


         “เสร็จแล้วครับ” โชคเดินมาเข้าสมทบใต้ร่มไม้พร้อมกับตะกร้าเปล่า เขายื่นมือข้างที่ว่างออกไปตรงหน้าชายวัยกลางคน หวังจะช่วยออกแรงพยุงดึงอีกฝ่ายให้ลุกยืนขึ้นมา แต่กลับไม่เป็นไปตามที่คิด เมื่อแก้วเป็นฝ่ายออกแรงกระตุกให้เขาเสียหลักถลาลงไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแทน


         มะลิส่งเสียงครางประท้วงอย่างไม่ชอบใจที่ถูกรบกวนเวลานอนเมื่อท่อนขาของโชคแตะโดนตัวเธอนิดหน่อย ตะกร้าที่ถือมาด้วยหลุดมือกลิ้งไปตามพื้นก่อนที่โมกจะกระโจนเข้าไปเหยียบไว้ราวกับเป็นของเล่นชิ้นใหม่ แก้วหัวเราะแผ่วเบาขณะยกแขนขึ้นมาคล้องรอบคอคนรักที่นั่งตั้งเข่าทำให้ความสูงของพวกเขาไม่ต่างกันนักในตอนนี้


         “อะไรครับ” โชคถามยิ้มๆ ไม่มีแววของความขุ่นเคืองที่ถูกดึงให้ล้มลงมาอยู่ในท่านี้เลยแม้แต่น้อย


         “อยากสูบบุหรี่” แก้วว่า และคู่สนทนาก็สวนกลับทันที


         “ไม่ได้ครับ”


         “รู้แล้ว” ตัวคนบนชิงช้าตอบเสียงอ่อน ก่อนจะยกยิ้มที่ส่งความซุกซนไปถึงดวงตา “แค่ปากมันว่างเฉยๆ”


         ไม่จำเป็นต้องให้พูดอะไรอีก ปากที่ว่างจนเกินไปก็ยุ่งขึ้นมาด้วยริมฝีปากของอีกคน เรียวลิ้นฉ่ำชื้นไล้เลียก่อนแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกันลึกซึ้ง


         “น้าแก้วอย่าจ้องแบบนั้นสิครับ” โชคหลุดหัวเราะอย่างขัดเขินเมื่อถูกจ้องมองในระยะประชิด กระซิบติดกลีบปากที่ยังคงแตะสัมผัสกันอยู่


         “เธอก็หลับตาสิ” ฝ่ายคนโดนท้วงตอบกลับ อย่างไม่คิดจะปิดเปลือกตาลงแม้แต่น้อย


         “ก็ผมอยากมองหน้าแก้ว”


         “ฉันก็อยากเห็นหน้าเธอ”


         สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมหลับตา พวกเขาจูบกันต่อไปทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้มเหยียดกว้าง แม้จะมองไม่เห็นเพราะระยะสายตาไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ยังคงรับรู้ได้อย่างชัดเจนผ่านสัมผัสและความรู้สึกอุ่นซ่านในใจ


         รสจูบละมุนเหมือนกับลมอุ่นที่พัดมาไล้ผิว ทว่าร้อนผ่าวราวแสงอาทิตย์จ้าที่สาดส่องลงมาตอนเที่ยงวัน


         ความรักของแก้วกับโชคเองก็เป็นเช่นนั้น


         แผดเผาเร่าร้อน อย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล




         สิงหาคมแก้วไปรับยาเคมีบำบัดครั้งที่สี่ อาการข้างเคียงหลังให้ยาครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงและเห็นชัดเจนตั้งแต่ตอนที่กำลังรอรับยา ธีร์ที่เป็นคนพาไปแทนโชคที่ติดเรียนเลยตัดสินใจให้แอดมิทนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการสักคืนแทนที่จะกลับบ้าน


         ตอนห้าโมงเย็นกว่าๆ โชคก็พรวดพราดเข้ามาในห้องพิเศษที่มีป้ายชื่อของแก้วปะอยู่หน้าประตูอย่างรีบร้อน พร้อมกับกระเป๋าสัมภาระที่แวะกลับไปเก็บจากบ้าน และไม่ลืมเทอาหารเอาไว้ให้แมวสองแม่ลูกเรียบร้อยก่อนมุ่งตรงมาโรงพยาบาล


         “เป็นไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามทั้งที่ยังหายใจหนักหน่วงจากการซอยเท้าถี่เมื่อตามอาคารต่างๆ ไม่อนุญาตให้วิ่งเพราะจะเป็นการรบกวนผู้ป่วยคนอื่น


         “ตอนจะลุกกลับไปขึ้นรถเกิดหน้ามืดขึ้นมาน่ะ แก้วบอกไม่เป็นไรแต่อาไม่อยากให้หนักแล้วค่อยมาเลยให้แอดมิทดูอาการสักคืน” ธีร์ลุกขึ้นบิดคลายกล้ามเนื้อเล็กน้อยหลังจากนั่งเฝ้าข้างเตียงมานาน ก่อนจะเก็บของเพื่อเปลี่ยนเวรกับตัวจริงที่สมควรอยู่ตรงนั้นในตอนที่แก้วตื่นมากกว่าเขาอย่างง่ายดาย


         “อาธีร์” โชคเอ่ยเรียกเจ้าของมือใหญ่ที่วางลงบนหัวตนก่อนขยี้แผ่วเบาแล้วเตรียมจะจากไป ใบหน้าหล่อเหลาไม่ร้างรา มีแต่จะจะถูกวันเวลาสลักเสลาให้เข้าที่สมวัยหันมาหา รอยยิ้มเจิดจ้าระบายออกมาอย่างอ่อนโยนและรอคอยให้เขาพูดต่อ “ขอบคุณครับ”


         “ครับ” ธีร์รับคำ แล้วมอบมันกลับคืน “ขอบคุณเหมือนกัน”


         ชายหนุ่มไม่ได้ถาม และเจ้าตัวก็ไม่ได้บอกว่าที่มาของคำขอบคุณของตนนั้นหมายถึงอะไร แต่ก็คิดว่าโชคคงเข้าใจได้อยู่แล้ว


         ...ขอบคุณที่ยอมให้เขาได้ดูแลแก้ว




         คืนนั้นกว่าแก้วจะตื่นขึ้นมาก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เขาไม่ได้ถามถึงเพื่อนสนิทในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ ด้วยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาที่ต้องอยู่ในบ้านหลังใหญ่โดยไร้เงาสามีเพียงลำพัง


         “หิวไหมครับ มีน้ำส้มที่ผมเอามาจากบ้านด้วยนะ” โชคลุกจากโซฟามายืนข้างเตียงผู้ป่วย แนบหลังมือลงบนหน้าผากก่อนไล้ลงมาเกลี่ยผมที่ปรกข้างแก้มน้าแก้วออกอย่างเบามือ


         “อยากกินขนมจีบ” คำที่หลุดออกมาเรียกรอยยิ้มโชคให้เหยียดออกกว้าง รีบลงไปหาซื้อจากร้านสหกรณ์ยี่สิบสี่ชั่วโมงของโรงพยาบาลขึ้นมาให้ทันที รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นคนป่วยมีความอยากอาหารเช่นนี้


         แก้วไม่ได้ดูอิดโรยนักเมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่ต้องเข้านอนโรงพยาบาล ออกจะดูสดชื่นจนพร้อมกลับบ้านได้แล้วด้วยซ้ำ ทว่าโชคก็ยังไม่วางใจเลยขอให้อยู่ต่อจนเช้า และถึงจะยังเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้บังคับเมื่อแก้วบอกปฏิเสธพยาบาลที่เข้ามาเตรียมเปลี่ยนกระปุกน้ำเกลือให้ใหม่


         “โชค” ท่ามกลางความมืดที่ยังคงมองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนจากไฟโถงทางเดินหน้าห้องที่ส่องผ่านบานกระจกใสเข้ามา คนบนเตียงพลิกตัวตะแคงหันมาทางโซฟา จ้องสบกับดวงตาคู่สวยที่ปรือเปิดขึ้นอย่างง่วงงุน แต่ก็รีบเด้งตัวขึ้นลูบหน้าลูบตาเตรียมพร้อมช่วยเหลือเจ้าของเสียงเรียกชื่อตนทุกอย่าง


         “ครับ” เสียงแหบแตกพร่า แก้วยิ้มให้กับท่าทีของเจ้าหมาตัวโตของเขา รับรู้ได้ถึงความรักมากมายที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย หัวใจในอกพองโตขึ้นมาเสียจนคับแน่นไปหมด


         “มานอนด้วยกัน...นะ” คล้ายว่าเป็นคำสั่ง แต่ก็เป็นดั่งคำวอน โชคลุกไปหาตามที่ถูกเรียกร้อง ปีนขึ้นไปแทรกตัวใต้ผ้าห่มบนเตียงของโรงพยาบาลเอกชนที่กว้างขวาง แต่ก็คับแคบลงไปทันตาเมื่อมีร่างของผู้ชายโตเต็มวันสองคนเบียดชิดกันอยู่


         “นอนถนัดเหรอครับ” แม้ไม่มีสายน้ำเกลือระโยงรยางค์ให้ต้องเป็นห่วง โชคก็ยังคงกังวลว่าอีกคนจะนอนไม่สบาย แก้วส่ายหน้าอยู่กับอกอีกฝ่าย ซุกเข้าหาไออุ่นราวกับเป็นลูกแมวเพิ่งคลอด ก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่ทำให้หัวใจใต้อกที่ตัวเองหนุนนอนเต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


         “ถ้าได้นอนกับเธอต่อให้นอนไม่ถนัดก็ไม่เป็นไร”


         ไม่ได้มีบทสนทนาใดหลุดออกมาอีก โชคแค่ฝังปลายจมูกลงกลางกระหม่อมคนในอ้อมแขนที่กึ่งนอนเกยทับอยู่บนตัวเขาแล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ถูไถกลุ่มผมนุ่มที่บางลงจากเมื่อก่อนเล็กน้อยเพราะหลุดร่วงบ้างจากผลข้างเคียงของยาเคมีอย่างมันเขี้ยว


         เช้าวันต่อมาพวกเขาถูกปลุกด้วยเสียงเปิดประตูของพยาบาลที่เข้ามาตรวจอาการ เธอชะงักไปชั่วอึดใจที่มีผู้ป่วยสองคนบนเตียง โชคเลยต้องรีบลงมาเพื่อหลีกทางให้การวัดอุณหภูมิและความดันยามเช้าทำได้อย่างสะดวก จนหญิงสาวในชุดขาวผละจากไปโดยไม่วายส่งยิ้มเจื่อนๆ แทนคำขอโทษที่รบกวนมาให้ก่อนปิดประตู


         สองคนที่เหลือในห้องสบตากัน แก้วเอนหลังพิงหัวเตียงที่ยกสูงขึ้นมาให้สะดวกกับการนั่ง แสงแดดส่องผ่านประตูกระจกระเบียงเข้ามาย้อมให้ห้องเย็นเยียบด้วยเครื่องปรับอากาศอบอุ่น


         “อรุณสวัสดิ์ครับ”


         “อรุณสวัสดิ์”


         โชคขยับตัวเข้าไปโน้มใบหน้าลงประทับริมฝีปากเข้ากับของอีกฝ่าย เพียงชั่วอึดใจก่อนจะผละออกไปเตรียมเก็บของกลับบ้าน




         ปลายฝนต้นหนาวเดือนตุลาคม แก้วแก่ขึ้นอีกปีในวันที่อาการข้างเคียงจากคีโมยังชวนให้พะอืดพะอมอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่มากนักและเขาไม่ได้เบื่ออาหาร ข้าวเย็นฝีมือโชคกับเค้กโฮมเมดที่เจ้าตัวอบเองจึงถูกตักเข้าปากเจ้าของวันเกิดครบทุกเมนู


         “อร่อยไหมครับ” คนทำเอ่ยถามอย่างคาดหวังด้วยแววตาระยิบระยับ


         “อร่อยดี” นักชิมก็ไม่ได้ทำลายความคาดหวังนั้น เพราะมันก็อร่อยจริงอย่างที่ปากว่า แก้วมองเทียนตัวเลขสี่กับเจ็ดที่ละลายไปเล็กน้อยวางอยู่ข้างถาดรองเค้กแล้วพูดสิ่งที่คิดต่ออีกอย่าง “ไว้ปีหน้าทำให้อีกหน่อยนะ”


         “...ได้สิครับ” เพราะคำว่าปีหน้า โชคถึงได้หายใจสะดุด ดวงตาคู่สวยฉายแววอ่อนลงแต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นขึ้น “จะทำให้ไปเรื่อยๆ ทุกปีเลยครับ”


         “อืม ขอบใจนะ”


         สัญญาในสายลมหนาวฉ่ำชื้น คือคำสวดภาวนาให้ปีหน้ามาถึงพวกเขาทั้งสองคน




         จันทร์เต็มดวงลอยเด่น น้ำในคลองถูกทะเลหนุนสูงขึ้นจนปริ่มเสาวัดระดับ โชคยังคงเก็บดอกไม้มาตกแต่งกระทงแผ่นขนมปังเหมือนกับทุกปี โดยมีเจ้าเหมียววัยใกล้จะครบสองปีกำลังเป็นหนุ่มเต็มที่คอยก่อกวนอยู่ไม่ห่าง


         แก้วมองโชคโยนดอกเฟื่องฟ้าให้โมกวิ่งไล่ตามไปตะปบเล่นด้วยความเอ็นดู ทั้งคนทั้งแมวต่างก็เป็นเด็กน้อยของเขาไม่เคยเปลี่ยน ก่อนที่ดวงตาสีเข้มจะลงหลุบต่ำลงมองปลายเท้าที่ถูกก้อนขนนุ่มนิ่มอุ่นร้อนจับจองเอาไว้


         มะลิเองก็ยังคงเป็นเหมือนกับเพื่อนของเขา ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรกแมวสาวก็เพิ่งอายุได้ขวบปีเดียวเท่านั้น แต่กลับให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะความสุขุมและดวงตาเจนโลกคู่นั้นของเจ้าตัวที่มองตรงสบกับเขาอย่างไม่เกรงกลัวกระมัง


         “มะลิ” เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา พลางขยับปลายเท้าสะกิด เจ้าของชื่อยกคอขึ้นอ้าปากหาวยาวๆ ทีหนึ่งก่อนขยับตัวเล็กน้อยแล้วนอนต่อ แก้วยกยิ้มบาง เอื้อมมือไปไล้ใบหูที่กางออกเล็กน้อยเป็นสัญญาณของความผ่อนคลาย พร้อมกับได้ยินเสียงครางเครือในคอโดยที่ดวงตาสีเขียวเหลืองยังคงปิดสนิท


         “น้าแก้ว” โชคหันมาเรียก “เสร็จแล้วนะครับ”


         “อืม” แก้วรับคำ ค่อยๆ ขยับเท้าออกจากใต้ตัวเพื่อนสาวตัวอวบของเขาอย่างนุ่มนวล พร้อมกับกระซิบบอก “ฉันกับโชคออกไปข้างนอกแป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมา”


         กรร... ยังคงมีเพียงเสียงอื้ออึงในลำคอเป็นคำตอบรับอย่างเรียบง่าย




         เดือนธันวาคมส่งท้ายปี แก้วอยู่ในช่วงพักหลังจากการรับยาเคมีมาทั้งหมดแปดชุด ผมที่ร่วงประปรายก่อนหน้านี้ลดลง เหมือนกับที่ความอยากอาหารมีมากขึ้นซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของร่างกายที่กำลังฟื้นตัว


         ต้นสนพลาสติกวางตั้งประจำที่เมื่อถึงเวลาใกล้เทศกาล โชคยังคงรับหน้าที่ตกแต่งมัน โดยที่มีแมวตัวเพรียวดูปราดเปรียวคอยไล่จับเส้นสายรุ้งอยู่ใกล้ๆ ปีนี้โมกเป็นตัวแทนก่อกวนมนุษย์แทนแม่มะลิที่นอนม้วนตัวอยู่ข้างกองกล่องของขวัญใบเล็กสำหรับแขวนประดับ


         แก้วเดินลงมาจากบ้านในช่วงบ่ายแก่หลังจากนอนกลางวัน เห็นภาพเหล่านั้นพลันสงสัยขึ้นมาว่าครอบครัวเขามันใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และในขณะเดียวกันก็ยกมุมปากขึ้นสูงตอบกลับรอยยิ้มกว้างแสนสดใสที่คนผู้เป็นตัวการทำให้บ้านของเขาไม่เงียบเหงาคนนั้นส่งมาให้


         สองเท้าก้าวเดินตรงเข้าไปหา ก่อนจะนั่งลงซ้อนด้านหลังแล้วสอดแขนโอบเอวอีกฝ่ายไว้พลางเกยคางบนบ่ากว้าง ดวงตาจ้องมองลูกบอลสีทองเคลือบเงาที่สะท้อนภาพตนกับคนรักหนุ่มก่อนจะเอ่ยปาก


         “เมอร์รี่คริสต์มาส”


         “เมอร์รี่คริสต์มาสครับ”


         “แต่มันยังไม่ถึงคริสต์มาสเลยนี่นะ” แก้วหัวเราะผะแผ่วด้วยแววตาแสนอ่อนโยน


         โชคหันหน้ามาหอมแก้มน้าแก้วฟอดใหญ่ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเอี้ยวทั้งตัวกลับมารวบอีกคนไปกอดไว้บนตัก ซุกจมูกเข้ากับหัวไหล่ผอมบางพลางถูไถไปมาอย่างออดอ้อน โมกที่เห็นชายเชือกผูกเสื้อคลุมแก้วขยับไหวกระโจนเข้ามาร่วมวงอีกตัว มะลิที่อยู่ใกล้ๆ เองก็ปรายตามามองด้วยสายตาที่ราวกับทอดถอนใจให้กับความซุกซนของเหล่าผู้ชายของเธอ


         เสียงหัวเราะกับเสียงแมวร้องดังระงมไปทั่วบ้าน โชคยังคงโอบเอวแก้วไว้หลวมๆ ขณะที่เอื้อมมือไปสัมผัสหน้าท้องนุ่มนิ่มของพี่สาวขนสวย ส่วนในอ้อมแขนของชายวัยกลางคนที่จับจองพื้นที่บนตักคนรักก็มีเจ้าเหมียวโมกที่ถูกกอดเอาไว้กำลังประท้วงเพราะเล่นซนไม่ได้




         คนในบ้านใช้เวลาคืนคริสต์มาสอีฟกันในห้องนั่งเล่นเหมือนอย่างเคย ร่วมมื้อเย็นที่โชคทำการอบไก่เองตามสูตรในอินเทอร์เน็ตด้วยกัน และมีคุกกี้อัลมอนด์ที่เขาทำไว้อีกเต็มขวดโหลใหญ่ๆ ให้กินเล่นขณะดูหนัง การทำอาหารดูเหมือนจะกลายเป็นงานอดิเรกของชายหนุ่มไปเสียแล้ว


         บนโซฟาแก้วกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนหลังพิงอกคนตัวใหญ่กว่าด้วยท่าทางสบายๆ ผ้าห่มเนื้อนิ่มคลุมทับจากเอวช่วยให้ปลายเท้าไม่หนาวนัก และสักพักก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ดึงรั้งให้มันร่นลงไปอีกเล็กน้อยจากตัวกลมขนนุ่มที่กระโดดขึ้นมาจับจองพื้นที่ว่างระหว่างขายาวๆ ของคนสองคนที่วางก่ายทับกันอยู่


         มะลิหมอบเก็บเท้าใต้ไว้ตัว ดวงตาปรือต่ำก่อนจะหลับสนิท สี่ขาใต้ผืนผ้ายังคงขยับเปลี่ยนท่าหามุมสบายได้โดยที่ไม่ต้องเกร็งเพราะกลัวจะไปทำคุณผู้หญิงรำคาญ ด้วยเพราะรู้ว่าแมวสาวไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งรบกวนการนอนเหล่านั้นนัก ไม่สนใจแม้ลูกชายจะปีนขึ้นมาย่ำไปย่ำมาอยู่ข้างตัว


         ...เธอแค่ต้องการพักผ่อน ในพื้นที่ปลอดภัยแสนสบายใจใกล้ๆ กับคนในครอบครัวของเธอ


         หลังจากหนังบนหน้าจอโทรทัศน์จบลงก็ถึงเวลาขึ้นบ้านนอนเสียที แต่แก้วกลับรู้สึกไม่อยากไปไหน ความอบอุ่นที่รายล้อมในตอนนี้กำลังดีจนไม่อยากจากไป สุดท้ายก็เลยกลายเป็นว่าทุกคนนอนรวมกันอยู่บนโซฟา โชคต้องรับหน้าที่เป็นทั้งเบาะรองนอนและหมอนให้คนแก่กว่า แต่เขาก็ไม่ได้บ่นสักคำเมื่อน้าแก้วของเขาก็ตัวเบาเท่านี้เอง แม้จะรู้ว่าถึงอีกคนจะตัวเบาแค่ไหน ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาคงหนีไม่พ้นโดนเหน็บชาเล่นงานอยู่ดีก็ตาม


         “ราตรีสวัสดิ์ครับ” เอ่ยกระซิบชิดริมหูคนในอ้อมแขนก่อนแนบริมฝีปากลงไปแล้วขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจัดท่าทางเตรียมจะนอน


         “ราตรีสวัสดิ์” แก้วตอบกลับมา ปล่อยให้โชคจับเขาขยับหามุมสบายตามใจ ในขณะที่ตัวเองทอดสายตามองสองสมาชิกหน้าขนที่นอนกองกันอยู่เหนือผ้าห่มตรงแถวท่อนขา เจ้าโมกยังคงเหยียดตัวพลิกไปมาเล่นกับอากาศ ในขณะที่แมวสาวรุ่นใหญ่จมลงไปในห้วงนิทรานานแล้ว


         ราตรีสวัสดิ์นะมะลิ... ชายวัยกลางคนบอกแม่แมววัยชราผ่านแววตาอบอุ่น




         คืนสิ้นปีที่หน้าบ้านไม้สีขาวมีสมาชิกมารวมตัวกันอยู่พร้อมหน้า แก้วอุ้มมะลิไว้แนบอก ขณะที่โมกอยู่ในอ้อมแขนของโชค


         ท้องฟ้ายามค่ำคืนวูบวาบประดับประดาแสงไฟหลากสี พวกเขายืนมองจนดอกไม้ไฟโรยรากลางสายลมหนาว ...ที่ก็ไม่ได้ทำให้หนาวเหน็บสักเท่าไหร่เมื่อมีอุ่นไอจากร่างกายที่ใกล้ชิดกัน


         จนกระทั่งหมดเดือนมกราคมที่โมกอายุเต็มสองปี ในวันที่สามของเดือนที่สอง แก้วนั่งอยู่บนโซฟาที่ประจำ อ่านหนังสือนิยายฆ่าเวลาแก้เบื่อ แมวสีขาวแต้มน้ำตาลส้มอ่อนจางตัวเดิมก็เดินมานอนอยู่ไม่ห่างจากปลายเท้าเขาเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา


         ช่วงหลังมานี้มะลิใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการนอนหลับ เธอแก่มากแล้ว หากเทียบเป็นคนก็คงเป็นคุณยายอายุแปดสิบปี ถึงแม้จะยังอวบอัดขนสลวยดูสุขภาพดีแค่ไหน แต่เวลาที่ต้องลาจากกันก็กำลังใกล้เข้ามาทุกที


         ว่ากันว่าแมวนั้นรับรู้ได้ถึงช่วงชีวิตที่กำลังจะมอดดับของตัวเอง พวกเขาจะจากไปหาที่ตายเพียงลำพังไม่ให้มนุษย์ได้เห็น หลายคนก็ว่ามันเป็นเรื่องโรแมนติกแสนซึ้งที่คุณเขาคงไม่อยากให้คนต้องเศร้าหมอง แต่ความจริงแล้วเมื่อแมวแก่ตัวลงหรือเจ็บป่วย พวกเขาจะไม่สามารถล่าหรือป้องกันตัวเองได้เลยต้องไปหาที่หลบซ่อนเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย และสุดท้ายก็มักจากไปอย่างโดดเดี่ยว


         ...เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่เห็นจะโรแมนติกตรงไหนเลย


         แก้วคิดอย่างนั้น และในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าช่างดีเหลือเกินที่สำหรับมะลิ บ้านหลังนี้คือที่ปลอดภัยของเธอ ตรงข้างเท้าของเขาเป็นที่ที่เธอเลือกใช้มันในวาระสุดท้าย


         ก้อนขนอุ่นนุ่มนิ่มค่อยๆ เย็นลงอย่างช้าๆ


         มะลิหลับใหลไปตลอดกาลในอุ้งมือของแก้วที่คอยลูบไล้ปลอบโยนแผ่วเบา




...TBC

         เหงา และอ้างว้างจับใจ เป็นตอนที่เขียนได้ลื่นไหลแต่ก็เคล้าน้ำตามากๆ เลยค่ะ อายุขัยของแต่ละสิ่งก็มีช่วงต่างนี่ทำเอาหัวใจกลวงโบ๋จริงๆ เลยนะคะ

         ปล.วันพฤหัสบดีนี้เราจะต้องห่างหายกันไปสักหน่อยนะคะ รีนเดินทางพอดีน่ะค่ะ เพราะงั้นเราจะเจอกันวันจันทร์หน้าน้าาาา

         รักษาสุขภาพ ดูแลหัวใจ ยิ้มให้กับตัวเองเยอะๆ นะคะ


         ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ

         ขอบคุณมากค่ะ


         See You on NEXT Monday!!
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 43 [30.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-11-2020 21:03:22
 :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 43 [30.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: narongyut ที่ 30-11-2020 21:10:26
 :L1: ขอบคุณครับ ขอบคุณจากหัวใจ เป็นนิยายที่ละมุมมากๆครับ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 43 [30.11.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-11-2020 21:47:44
งื้อออมะลิ~~~~น้ำตาซึมตามเลย อยู่ด้วยกันมานานจริง ผูกพันธ์กับมันมาก  :hao5: :hao5: ยังดียัังมีเจ้าโมกคอยซนเป็นเพื่อนแทนความเหงา  :katai2-1: ต่างก็ดูแลซึ่งกันและกัน ตื้นตันใจจริงๆ รู้สึกโชคดีมากเหลือเกินที่เก็บเด็กข้างถังขยะมาวันนั้น ยังไม่จบแต่อยากย้อนกลับไปอ่านซ้ำอีกแล้ว 555555 ชอบบ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  รอตอนต่อไปเลย จะเป็นไงบ้าง น้าแก้วสู้ๆนะ :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 44 [07.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 07-12-2020 20:05:24

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 44

 

        โชคร้องไห้ออกมาอย่างเงียบงัน ไม่ได้ฟูมฟายแต่ก็ไม่อาจหยุดน้ำตาที่ทะลักทลายออกมาได้เลย เมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้วเจอน้าแก้วนั่งอยู่บนพื้น เคียงข้างกับร่างเย็นเฉียบที่เริ่มแข็งตัวบนผ้ารองนอนสีม่วงอ่อนผืนโปรดของเจ้าตัว ด้วยสีหน้าสงบนิ่งแต่แววตากลับจมดิ่ง... ลึกลงไปในทะเลความเหงา

 

        มะลิจากไปด้วยความชรา อย่างสงบเรียบง่ายในยามบ่ายของปลายหน้าหนาว โดยมีเพื่อนมนุษย์ของเธออยู่เคียงข้างจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย

 

        ความตายของเธอไม่ได้เจ็บปวด แต่ก็ยังคงนำความโศกเศร้ามาด้วยอยู่ดี

 

        พวกเขาฝังศพมะลิที่สวนฝั่งต้นมะม่วงตรงริมรั้วด้านหลังบ้าน ขุดหลุมลงไปลึกมากพอที่จะไม่ถูกสัตว์ตัวอื่นคุ้ยเขี่ยขึ้นมาได้ และเมื่อกลบดินลงไปจนมองไม่เห็นร่างของแมวสาวผู้อยู่คู่บ้านหลังนี้มาเนิ่นนาน กิ่งชำของต้นไม้ชื่อเดียวกับชื่อของเธอ จากกระถางที่เธอเคยใช้แอบซ่อนในวันวานก็ถูกปักลงไป...

 

        ราวกับเป็นป้ายสุสานที่ไม่มีคำไว้อาลัย มีเพียงดอกใบที่จะผลิบานแทนความทรงจำในวันข้างหน้า

 

        โมกยังคงเดินเตร่อยู่แถวกองดิน ที่สุดท้ายซึ่งกลิ่นของแม่ลอยอวล ทว่าก็ไม่ได้พยายามจะขุดค้นลงไป แค่วนเวียนอยู่อย่างฉงนสงสัย ว่าเหตุใดทั้งที่ร้องเรียกไปแต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับมา

 

        ในช่วงเวลานั้นไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ปล่อยให้เสียงร้องแหลมคล้ายเสียงลูกแมวแรกเกิดร้องหานมแม่เป็นดั่งการไว้ทุกข์ โชคยกมือเปื้อนดินขึ้นปาดน้ำตาจนหน้าเลอะไปหมด แก้วที่นั่งยองอยู่ข้างๆ ช่วยยื่นมือมาเช็ดให้แผ่วเบา ขณะที่ความคิดของเขากำลังล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย

 

        ...อยู่ๆ ก็นึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา

 

        อย่างน้อยรสขมปร่าฝาดเฝื่อนของมันก็เบาบางกว่าช่องว่างเว้าแหว่งในหัวใจตอนนี้

 

 

 

        กลางดึกคืนนั้นแก้วกอดโชคไว้แนบแน่นจนอีกฝ่ายหลับไป ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ลุกจากเตียงลงไปชั้นล่างของบ้านเพียงลำพัง

 

        ...เงียบสนิท

 

        ทั้งที่ปกติจะหากมีคนลงมาตอนกลางดึกแมวหนุ่มจอมซนจะรีบพุ่งมาหาอย่างสนอกสนใจ แต่เพราะตอนนี้โมกถูกพาขึ้นไปนอนบนห้องนอนด้วย เมื่อเจ้าบ้านทั้งสองต่างกลัวว่าเจ้าเหมียวจะเหงาขึ้นมาหากต้องอยู่ตัวเดียวบนเบาะนอนใต้บันไดที่ไร้ไออุ่นจากแมวอีกตัวที่เคยจับจองเป็นเจ้าของ

 

        ทว่าแม้จะไม่ได้เข้าใกล้เบาะนอนเย็นเฉียบ ไม่แม้แต่จะมองเห็นมันจากบนโซฟาที่ถูกฉากไม้บังสายตาเอาไว้ตรงนี้ มันก็ยังคงเหงาขึ้นมาอยู่ดี เมื่อในใจทุกคนต่างก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว

 

        วันเวลาทำให้คนเปราะบางเสียจริง แก้วคิดพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้า วางทิ้งไว้อย่างนั้นเพื่อปิดบังดวงตา รับรู้ได้ว่ามันเห่อร้อนเพียงใดก่อนจะกลายเป็นชื้นฉ่ำ

 

        ทีละคน ทีละคน จากไปตามกาลเวลา

 

        อีกไม่นานก็คงถึงคราวของตัวเอง...

 

 

 

        เช้าวันรุ่งขึ้นโชคตื่นมาเห็นแผ่นหลังคนข้างกายเป็นอย่างแรก แก้วยังคงหลับสนิทเขาเลยไม่อยากปลุก ได้แต่สัมผัสเบาๆ บนแผ่นหลังผอมบาง แค่เพื่อให้แน่ใจว่าความร้อนยังไม่จางหาย และร่างกายยังคงขยับตามจังหวะหายใจอยู่ พอได้รับรู้เช่นนั้นแล้วก็ค่อยโล่งอก กดจูบลงแผ่วเบาหลังท้ายทอยที่ถูกเส้นผมบดบัง จากนั้นจึงค่อยลงจากเตียงแล้วออกจากห้องไปเงียบๆ เพื่อเตรียมมื้อเช้า

 

        จนกระทั่งอาหารเช้าทำเสร็จแล้วแก้วยังไม่ตื่น โชคจึงยังไม่ได้จัดจานขึ้นโต๊ะเพราะตัวเองก็ยังไม่หิวมากเลยกะจะรอกินพร้อมกัน ในขณะที่กำลังจะเดินออกไปเปิดประตูไม้บานพับหน้าบ้านให้ลมและแสงผ่านอย่างเช่นทุกวัน ดวงตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นโมกที่ออกจากห้องมาพร้อมกับเขากำลังเดินวนเวียนอยู่ใต้บันได ก่อนจะเดินไปตามมุมที่ยังคงเหลือกลิ่นจากการสร้างอาณาเขตของเจ้าถิ่นตัวเก่าที่ทิ้งเอาไว้

 

        ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลาเนิ่นนานแค่ไหนที่จะทำให้กลิ่นเบาบางลง แต่ในสักวันมันก็คงจางหายไปจนสิ้นอยู่ดี

 

        เหมือนกับที่กลิ่นบุหรี่ของน้าแก้วจางหายไปหมดแล้ว และในสักวันกลิ่นของเจ้าตัวเองก็จะจืดจางไปเช่นกัน

 

        ประตูหน้าบ้านวันนั้นสุดท้ายไม่ได้ถูกเปิดออก มีเพียงเด็กน้อยสองคนที่แบ่งปันความอ้างว้าง ร่วมร้องไห้ด้วยกันอย่างเงียบงันทั้งที่ไม่มีน้ำตา

 

        โชคกับโมก เด็กน้อยตลอดกาลของแก้วและมะลิ

 

 

 

        แก้วตื่นขึ้นมาก่อนเที่ยงเพียงไม่นาน ดูเหมือนปริมาณความเสียใจที่สวนทางกับหยดน้ำตาที่รินไหลเมื่อคืนจะดึงพลังงานของเขาออกไปไม่น้อยเลย

 

        ชายวัยกลางคนลุกลงจากเตียง พาตัวเองออกจากห้องเพราะคิดว่าชายหนุ่มที่เขาเข้านอนเคียงข้างคนนั้นน่าจะอยู่ชั้นล่าง ทำอาหารเตรียมเอาไว้ให้เขา และอาจจะรอกินพร้อมกันอยู่ด้วยก็ได้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนไกลจากหน้าห้องนอน เสียงที่เล็ดลอดออกมากับบานประตูห้องเก็บของที่แง้มไว้เล็กน้อยก็ทำให้เขาเปลี่ยนจุดหมาย

 

        “ทำอะไรอยู่เหรอ” แก้วเอ่ยถามคนที่นั่งหันหลังให้เขาที่กำลังรื้อค้นผ้าออกมาจากตู้

 

        “ตื่นแล้วเหรอครับ” โชคหันกลับมาส่งยิ้มให้ ก่อนจะตอบคำถามด้วยเสียงนุ่มนวล แต่มันกลับทำให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาขึ้นมา “ผมหาเศษผ้าอยู่น่ะครับ จะเอาไปยัดไส้เบาะนอนให้โมก”

 

        “อ่อ” รับคำเพียงเท่านั้นเมื่อคิดถึงเบาะรองนอนในตะกร้าสาน มรดกตกทอดจากเจ้าของเก่าสู่เจ้าของใหม่ ผ้าสีม่วงอ่อนผืนโปรดของมะลิยังคงพาดทับอยู่บนนั้น และหากเปิดขึ้นดูด้านล่างก็จะพบกับเบาะที่ถูกเจ้าโมกลับเล็บจนมีรอยขาดตรงมุมทำให้นุ่นข้างในทะลักออกมา ปุยขาวบางส่วนก็ถูกลูกแมวในวัยเด็กรื้อจนปลิวหาย เหลือเพียงช่องว่างกลวงเปล่ายุบตัวไม่เป็นทรง และโชคกำลังจะซ่อมแซมมันให้กลับคืนสู่สภาพคล้ายของเดิมให้มากที่สุดด้วยเศษผ้าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วในห้องเก็บของห้องนี้

 

        “น้าแก้ว” เอ่ยเรียกคนที่นั่งลงข้างๆ ดวงตาคู่สวยจ้องมองมือเรียวที่ขยับช่วยเขารื้อผ้าออกมาจากตู้ทีละกอง

 

        “หืม”

 

        “ผมน่าจะเย็บซ่อมให้ตั้งนานแล้วเนอะ”

 

        “ตอนนี้ก็ได้ทำแล้วนี่”

 

        “...ครับ”

 

        “อืม”

 

        หลังจากนั้นแก้วก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่สะดุดขาดห้วงจากคนข้างกาย เขามองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าเช่นไรใต้ผืนผ้าที่ยกขึ้นมาปิดบัง แต่ก็ยังคงยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมาตัวโตแผ่วเบา

 




 

        กลางเดือนสองเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับวันที่สามหลังรับยาเคมีบำบัดชุดใหม่ของแก้วที่ผลข้างเคียงมักจะแสดงอาการออกมารุนแรงที่สุด โชคช่วยลูบหลังให้กับคนที่โก่งคออ้วกจนน้ำหูน้ำตาเล็ดอยู่หน้าชักโครกเป็นอย่างแรกของวัน หลังจากนั้นแก้วก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปบนโซฟา พยายามนอนให้หลับเพื่อไม่ให้ความวิงเวียนในหัวทำให้อยากอ้วกอีกรอบ กว่าจะดีขึ้นจนลุกขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกเหมือนจะวูบก็กินเวลาไปถึงช่วงบ่ายแล้ว

 

        แต่ถึงจะเริ่มต้นวันไม่ดีสักไหร่ วันแห่งความรักของเขามันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก

 

        “นี่ครับ” คนรักหนุ่มกับดอกกุหลาบสีแดงที่ยื่นมาให้ โชคยิ้มหวานเป็นการต้อนรับแก้วกลับจากห้วงนิทรา กดจมูกจูบหอมหลังมือเรียวที่รับเอาของขวัญวาเลนไทน์ไปอย่างรักใคร่ ก่อนจะถามคำถามเดิมๆ ที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “หิวรึยังครับ”

 

        “อืม นิดหน่อย” คำตอบของแก้วทำให้โชคยิ้มกว้าง รีบลุกจะพุ่งตัวเข้าครัวไปเตรียมจัดสำรับอาหารทันที แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็ถูกดึงรั้งข้อมือไว้ไม่แรงนัก

 

        “ครับ?” ชายหนุ่มหันมามองอีกฝ่ายอย่างรอคอย เห็นรอยยิ้มเบาบางขยับคลี่ออกกว้างกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นมาสวมกอดเขาแนบแน่น

 

        “ขอบใจ” เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหู กับแรงกอดรัดที่แน่นขึ้นแต่กลับแทบไม่รู้สึกถึงความอึดอัดเลยสักนิด โชคเลยกระชับกอดตอบ ด้วยแรงที่มากกว่าทว่าอ่อนโยนมากพอที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายหายใจไม่ออก

 

        ไม่มีใครพูดอะไรในระหว่างที่ยืนกอดกันอยู่อย่างนั้น แค่แลกเปลี่ยนไออุ่นจากร่างกายกันและกัน จนในที่สุดแก้วก็เป็นฝ่ายผละออก เดินจูงมือเข้าครัวไปพร้อมกันกับโชค

 

        ดอกไม้สีสดถูกยกขึ้นมาจรดปลายจมูก สูดกลิ่นหอมอ่อนจางที่เขารับรู้ได้เพียงบางเบาจากประสาทรับกลิ่นที่พังไปแล้วเพราะสูบบุหรี่จัด และเย็นวันนั้น บนเนินดินที่มีกิ่งชำของต้นมะลิปักอยู่ก็ถูกแต่งแต้มสีแดงด้วยกุหลาบสามดอกจากต้นใต้บานหน้าต่าง

 

        ทั้งที่ตอนอยู่ก็ไม่เคยมอบให้ แต่เมื่อจากไปแล้วกลับกลายเป็นเครื่องเซ่น

 

        คนเรามักทำอะไรเมื่อมันสายเกินไปเสมอเลย

 




 

        เมษายนช่วงวันหยุดสงกรานต์อากาศร้อนอบอ้าว มันเป็นวันหยุดสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่การสอบปลายภาคของมหาวิทยาลัยที่โชคเรียน แต่เพราะเขาอยู่ชั้นปีสุดท้าย และยิ่งเป็นเทอมสุดท้ายที่ไม่มีการเรียนการสอน มีแต่การทำวิทยานิพนธ์เพื่อจบการศึกษา ซึ่งว่ากันว่าเป็นโปรเจกต์มหาโหดที่นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ทุกคนต้องได้เจอ

 

        เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาใกล้จวนตัว หนำซ้ำนายสถาปนิกใหญ่ที่ปกติจะเป็นคนช่วยงานเขาก็ไม่สามารถนั่งโต้รุ่งไปด้วยกันได้อีกแล้ว แม้แต่ในวันหยุดแบบนี้ชายหนุ่มก็เลยไม่ได้อยู่บ้านอีกตามเคย หอบของไปสิงสถิตที่ห้องสตูดิโอของคณะเพื่อให้เพื่อนพ้องน้องพี่ที่แวะเวียนมาช่วยกันปั่นคนละไม้ละมือในช่วงโค้งสุดท้าย

 

        “เดี๋ยวตอนเย็นผมกลับไปกินข้าวด้วยนะครับ” เสียงจากปลายสายฟังดูอื้ออึงอย่างมีชีวิตชีวาจากรอบข้างที่กำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าววุ่นวาย ก่อนจะค่อยๆ แผ่วเบาลงเมื่อเจ้าตัวเดินหลบออกห่างไปหาที่สงบเพื่อพูดคุยกับคนรัก

 

        “ทำงานให้เสร็จก่อนค่อยกลับมาก็ได้” แก้วตอบกลับไป

 

        “ยังไงวันนี้ก็ไม่น่าเสร็จอยู่แล้วล่ะครับ” โชคหัวเราะแผ่วเบาอย่างปลงใจ ก่อนจะพูดต่อ “แล้วคืนนี้ผมว่าจะกลับมาอยู่ทำต่อด้วย พวกมิกซ์ก็ว่าจะมา ...เพราะงั้นอย่างน้อยถ้าไม่ได้นอนด้วยกันผมก็อยากกินข้าวกับน้าแก้ว”

 

        “อืม ธีร์กำลังออกไปซื้อกับข้าวพอดี”

 

        “...คืนนี้อาธีร์ค้างรึเปล่าครับ” คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคนโตกว่า เขารับรู้ได้ถึงความหงุดหงิดเล็กๆ ที่เจือมาในน้ำเสียง

 

        “เธอจะยอมให้ค้างรึไง”

 

        “ผมก็ไม่อยากให้ค้างหรอก ...แต่ถ้าน้าแก้วรู้สึกไม่ดี มีอาธีร์อยู่ด้วยคืนนี้ก็คงดีกว่า”

 

        “ขี้หึงจังนะ” แก้วหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี ฟังโชคงอแงใส่อีกเล็กน้อยก่อนจะบอกลากันแล้ววางสายไป พอดีกับที่ปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนอีกคนที่หน้ารั้วบ้าน

 

        ธีร์กลับมาพร้อมถุงกระดาษใบใหญ่ที่ข้างในใส่กล่องทัพเพอร์แวร์บรรจุอาหารหลายเมนูซ้อนกันอยู่ ด้วยกระแสการรณรงค์ลดใช้พลาสติกเพื่อลดโลกร้อนทำให้หมู่นี้เวลาพวกเขาไปซื้ออาหารจากนอกบ้านก็มักจะนำภาชนะไปใส่มาเอง และถึงแม้ว่าอาหารเย็นวันนี้จะมาจากหนึ่งในร้านอาหารไทยที่ธีร์เป็นเจ้าของก็ตาม เขาก็ยังคงขับรถเอากล่องไปใส่อาหารกลับบ้านมาด้วยตัวเองอยู่ดี

 

        “คุยกับโชคเหรอ” คนที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทักเมื่อเห็นโทรศัพท์ในมือของเพื่อน

 

        “อืม โชคบอกจะกลับมากินข้าวด้วย” แก้วว่า ช่วยรับถุงผลไม้ที่อีกฝ่ายแวะซื้อติดมาด้วยเดินนำเข้าครัวไป ธีร์ที่เดินตามหลังคนตัวเล็กกว่า ...ที่ดูจะเล็กลงไปอีกเรื่อยๆ ได้แต่หัวเราะแผ่วขณะพึมพำออกมา

 

        “โตมาขี้หึงเหมือนกันนะเนี่ย ทั้งที่ตอนเด็กๆ ไม่เห็นหวงของเท่าไหร่เลย”

 

        “เพราะว่าตอนนั้นไม่คิดว่ามีอะไรที่เป็นของตัวเองจริงๆ ล่ะมั้ง”

 

        “อืม ...แต่ตอนนี้มีแล้วนี่นะ”

 

        “อืม ตอนนี้มีแล้ว”

 

        แก้วระบายยิ้มอ่อนโยนผ่านแววตา

 

        ธีร์มองมันด้วยหัวใจเปี่ยมสุขแต่ก็ปริร้าวเล็กน้อย

 

        โชคช่างเป็นชายที่น่าอิจฉา ...เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเกือบได้เป็น

 



 

        พฤษภาคมหมดไป เช่นเดียวกับที่โชคจบการศึกษา แล้วสิ้นทุกอย่างที่ค้างคาจากตลอดห้าปีที่ผ่านมา เหลือเพียงแค่การรับปริญญาที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม เขาไม่ได้คิดจะเข้าพิธีรับปริญญา แต่ก็ยังคงตั้งใจจะไปถ่ายรูปรวมกับเพื่อนๆ และร่วมงานเลี้ยงในเดือนกันยายนอยู่

 

        มิถุนา... กรกฎา... สิงหา...

 

        ในระหว่างสามเดือนนั้นเขาจึงมีเวลาอยู่กับแก้วได้ตลอดทั้งวัน ทำอาหารให้ พาไปโรงพยาบาล เก็บกวาดเส้นผมยาวที่ร่วงไหลไปคาตระแกรงท่อระบายน้ำ

 

        ทุกวันผ่านไปอย่างเรียบง่าย ...ดั่งแผนชีวิตที่วางเอาไว้ของชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี

 

        ‘สุขสันต์วันเกิด’ แก้วยังคงอวยพรเขาด้วยถ้อยคำเดิม ที่มีความหมายดังเดิม ในวันที่เขาอายุเข้าเบญจเพส

 

        ‘ผมรักแก้ว’ แล้วเขาก็บอกรักไปด้วยสามคำที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนกับความรู้สึกที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ในยามค่ำคืนก่อนเข้านอนกับตอนเช้าหลังลืมตาตื่น และได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา

 

        ‘ฉันก็รักเธอ โชค’

 

        ...มากกว่าสองปี และแก้วยังอยู่ตรงนี้ เป็นหนึ่งในน้อยกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เคยหวังเอาไว้

 

        พวกเขาช่างโชคดี

 

 

 

        วันรับปริญญาจริงมาถึง โชคตื่นขึ้นมาตอนสายหน่อยพร้อมกับแก้ว และไม่รีบเร่งเวลายามเช้าบนเตียงของพวกเขานัก

 

        ปลายนิ้วไล้ผิวแก้มที่มันเล็กน้อยเพราะครีมบำรุงที่เขาทาให้อีกฝ่ายก่อนนอน ไล่สายตามองสำรวจใบหน้าของคนที่เขาตกหลุมรัก นัยน์ตาสีเข้ม เรียวคิ้วเหนือดวงตา จมูก ริมฝีปาก ร่องรอยแห่งกาลเวลา ...แก้วแก่ตัวลงไปมาก แต่ในขณะเดียวกันก็แทบไม่เปลี่ยนไปจากในความทรงจำของโชคเลย

 

        ยังคงเหมือนเดิม...

 

        เหมือนกับผู้ชายคนนั้นที่ใต้อุโมงค์สีน้ำทะเลเมื่อสิบสี่ปีก่อน

 

        “อะไร” แก้วถาม

 

        “อะไรอะไรครับ” โชคถามกลับ

 

        “เธอจ้องฉันแบบนั้นทำไม”

 

        “ก็แค่คิดว่าผมรักแก้วมาสิบสี่ปีแล้ว...” ชายหนุ่มเว้นช่วง กอบเกี่ยวเรียวนิ้วผอมบางขึ้นมาประทับจูบ ไล่ไปตามข้อนิ้วถึงข้อมือ และยังคงคืบคลานไปตามเรียวแขนจรดหัวไหล่ใต้เสื้อนอนตัวหนา จากนั้นจึงค่อยขยับขึ้นมาเอ่ยกระซิบเคลียริมหู “แล้วก็จะรักต่อไปเรื่อยๆ ...เรื่อยๆ จนกว่าผมจะตาย”

 

        “ไม่ต้องรักฉันนานขนาดนั้นก็ได้” คำตอบกลับมาทันทีทำให้หัวใจวูบไหว แก้วดึงคนรักที่อ่อนวัยกว่าตนนักคนนั้นให้กลับมาหัวหนุนหมอนนอนสบตากันอีกครั้ง เขายิ้มให้กับโชคอย่างจริงใจ กดจูบลงบนฝ่ามือใหญ่ที่ตนยึดไว้ในอุ้งมือ “แค่จนกว่าฉันจะตายก็พอ...”

 

        ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของบัณฑิตหนุ่มก็ร้องเรียกความสนใจ เขาเลยต้องผละไปกดรับสายจากเพื่อนสนิท

 

        มิกซ์โทรมาถามเรื่องเวลานัดเจอกันอีกครั้ง เมื่อพวกเขาต่างเลือกที่จะไม่เข้าพิธี แต่จะตามไปถ่ายรูปเก็บความทรงจำกับเพื่อนคนอื่นๆ กันทีหลัง โดยกะว่าจะไปกันสักสิบโมงกว่า ร่วมกิจกรรมกับรุ่นน้องคณะก่อนส่งเพื่อนเข้าพิธีรอบบ่าย ส่วนพวกตัวเองก็คงไปแสดงความยินดีกับเพื่อนต่างคณะที่รับปริญญาในรอบเช้าไปแล้วระหว่างรอรวมตัวกับชาวสถาปัตย์อีกทีหลังพิธีจบ

 

        “ไม่อยากให้ฉันไปด้วยจริงๆ น่ะเหรอ” แก้วถามหลังจากที่โชควางโทรศัพท์ลงที่เดิม สอดตัวกลับเข้ามาใต้ผ้าห่มข้างกายเขา

 

        “ไม่เอาหรอกครับ แดดร้อนจะตาย หรือแก้วอยากไปรึเปล่า” คนถูกถามกลับส่ายหน้า แก้วไม่สนใจพิธีอะไรแบบนี้นัก เมื่อใบปริญญาที่สำคัญจริงๆ ก็เบิกเอาจากฝ่ายทะเบียนได้อยู่แล้ว ในปีที่เขาเรียนจบ ระหว่างรอเพื่อนในพิธีกลับออกมาถ่ายรูปด้วยกัน เขากับบัณฑิตหนุ่มต่างคณะที่ตัดสินใจไม่เข้าร่วมรับปริญญาเหมือนกันจึงไปฆ่าเวลาอยู่ในโลกใบสีน้ำเงินของอความเรียมในห้างที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก

 

        ...ครุยผ้าโปร่งสีขาวแถบทองถูกถอดพาดไว้บนที่นั่งระหว่างกลาง ขณะที่มือพวกเขาบนนั้นเกี่ยวสัมผัสกันไว้หลวมๆ

 

        “คิดอะไรอยู่ครับ” เหมือนกับมีสัมผัสจับได้ว่าอีกฝ่ายคิดถึงคนอื่น โชคโถมตัวไปคร่อมทับแก้วไว้โดยทิ้งน้ำหนักตัวลงบนสองแขนของตัวเองแทนที่จะเป็นร่างกายของคนรัก คนถูกจับได้หัวเราะอย่างเอ็นดู ลูบเสยผมเปิดหน้าผากคนบนร่างแล้วหยัดตัวขึ้นไปจูบ

 

        “คิดถึงงานรับปริญญาปีฉันน่ะ”

 

        “แล้ว...”

 

        “แล้ว... เธอก็ไปอาบน้ำได้แล้ว”

 

        “น้าแก้วครับ” โชคไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ แต่แววตาก็บ่งบอกชัดเจนว่าเขากำลังหึงคนในความทรงจำคนนั้น เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกขานเลยได้แต่ระบายยิ้ม ยกแขนโอบรั้งเจ้าตัวลงมากอดแนบแน่น

 

        “คืนนี้กลับกี่โมง” เอ่ยถามเสียงอ่อนพร้อมปล่อยให้เจ้าหมาตัวยักษ์ฟัดหน้าฟัดคอตัวเองเต็มที่

 

        “ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ น่าจะหลังเที่ยงคืน”

 

        “อืม งั้นเอาไว้วันหลัง”

 

        “อะไรวันหลังครับ” โชคเลิกคิ้วขณะที่ผละห่างหลังทิ้งรอยจูบสีอ่อนที่จะจางหายไปในอีกไม่กี่นาทีไว้ตามลำคอของแก้วแล้ว

 

        “เซ็กส์” คำตอบห้วนสั้นที่ทำให้ชายหนุ่มนึกอยากเปลี่ยนใจยกเลิกนัดเพื่อนขึ้นมากะทันหัน

 

        “งั้นผมกลับเร็วขึ้นก็ได้”

 

        “ไม่ต้องหรอก ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ” ฝ่ายคนโตกว่าหัวเราะขบขัน ขยี้หัวเด็กน้อยของตนอย่างอ่อนโยน “ฉันไม่ได้จะหายไปไหนสักหน่อย... ยังไม่ใช่พรุ่งนี้”

 

        อยู่ๆ บรรยากาศสีหวานยามเช้าก็ฝาดเฝื่อนขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยจ้องสบเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้ม แก้วเลยจูบเขา ราวกับจะใช้แทนคำสัญญาว่าจะไม่หายไปไหนจริงๆ

 

        “แก้ว...” เสียงเรียกสั่นเครือนิดหน่อย ขณะที่ซบหน้าผากลงบนไหล่ผอมบางของเจ้าของชื่อและเจ้าของหัวใจที่ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้าง

 

        “ไปอาบน้ำได้แล้ว มิกซ์รอ”

 

        “...ครับ”

 

        “โชค” เอ่ยเรียกชื่อย้ำเมื่อเจ้าตัวรับคำแต่ยังไม่ยอมลุกเสียที ทว่าคราวนี้ไม่ต้องรอนาน เจ้าหมาขโมยหอมแก้มน้าแก้วอีกฟอดใหญ่ก่อนจะผุดลุกจากเตียงไป

 

        “ผมรู้” สองคำที่หนักแน่นชัดเจนไม่ได้บอกว่าตอบรับคำพูดไหน และก่อนจะปิดประตูชายหนุ่มก็หันมาส่งยิ้มกว้างสดใสที่ฉายแววเช่นเดียวกับดวงตา “ไว้พรุ่งนี้ผมจะกอดแก้วนะ”

 

        “เด็กน้อยเอ๊ย”

 

        “แต่ก็โตพอเป็นผัวแก้วได้แล้วกัน”

 

        คนโดนเด็กลามปามไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ซุกตัวกลับเข้าไปในกองผ้านวม รู้สึกปั่นป่วนในวัยใกล้จะครึ่งร้อย

 

        ตั้งแต่คบหากันในฐานะคนรักมากว่าห้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่โชคทำให้แก้วเสียอาการ...

 




 

        เช้าวันดีถูกเริ่มขึ้นด้วยความสงบสุขที่ชวนให้ใจเต้นอย่างมีชีวิตชีวาข้างคนรัก แต่ตกดึกคืนนั้นฝนก็เทกระหน่ำลงมา และโชคกลับถึงบ้านเร็วกว่าที่บอกเอาไว้

 

        ...พร้อมหัวใจที่แหลกสลายอยู่หลังนัยน์ตาแดงก่ำ

 

 

 

...TBC

        เป็นตอนที่หลากความรู้สึกอีกแล้วค่ะ สวิงมู้ดไปมา แต่ก็อยากให้ซึมซับทุกๆ ความรู้สึกเลยนะคะ ในตอนที่เขียนรีนเองก็ทั้งเศร้า ทั้งเหงา และฟูฟ่องหลากหลาย โดยเฉพาะตอนที่เขียนฉากบนเตียงยามเช้า รีนชอบมากๆ เลย รู้สึกว่ามันเป็นความโรแมนติกที่แสนเรียบง่าย การได้เข้านอนเคียงข้างใครสักคนเพื่อตื่นมาพบกับเขาในตอนเช้า รู้สึกนุ่มฟูน่ารักมากๆ เลยล่ะค่ะ ถึงคำพูดของน้องโชคจะทำให้รู้สึกกระดากอายในฐานะคนเขียนก็ตาม แต่รู้สึกว่าคนเป็นแฟนกันก็คงหยอกกันแบบนี้บ้างแหละน่า 


 
        สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกคนมีวันที่ดีและมีคืนที่แสนสุข ไม่ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและไม่ปวดหัวนะคะ 

 

        ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ

        ขอบคุณค่ะจากหัวใจเลยเช่นเดียวกันค่ะ

 

        เจอกันวันพฤหัสบดีน้าาาา

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 44 [07.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-12-2020 20:39:20
 :hao5: :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 44 [07.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-12-2020 00:26:06
โชครับปริญญาแล้วววว ยินดีด้วย  :L2: :L2: ก็ทำงานเลี้ยงน้าแก้วหรือที่รักเพียงคนเดียวต่อไปจากนี้อะนะ อิอิ   เอ็นดูเจ้าโมก อีกหน่อยก็คงทำใจได้ว่าต้องอยู่กับมนุษย์ทาสเพียงตัวเดียว แม่คงไปสวรรค์แล้ว  :sad11: อาธีร์น่ารักที่มาดูแลน้าแก้วเสมอ ถึงคราวที่ต้องทำเพื่อน้าแก้วบ้างแล้ว  :katai2-1: :katai2-1: น้าแก้วเองก็สู้ๆนะคะ อยู่กับโชคไปนานๆ มาไกลจริงๆอะโชค 555 รอตอนต่อไปค่ะ จะเป็นไงต่อ ขอบคุณนะคะที่ขยันมาอัพ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 44 [07.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-12-2020 05:58:13
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 45 [10.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 10-12-2020 21:10:26
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 45



Warning: Sensitive Content - Abortion Mentioned

 

     แดดจ้าร้อนแรงแผดเผาทั้งที่เป็นปลายฤดูฝนจะเข้าสู่หน้าหนาว รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนจนรู้สึกตาลาย ทั้งบัณฑิตในชุดครุยขาวทอง ทั้งผู้ปกครองพี่น้องพร้อมญาติ ไหนจะเพื่อนที่มาร่วมแสดงความยินดี

 

     โชคกับมิกซ์ในชุดพิธีการสีขาวแต่ไม่ได้เรียบร้อยนักกับครุยที่พาดทบอยู่บนท่อนแขน พากันขยับคอเสื้อระบายความร้อนทั้งที่เพิ่งลงจากรถที่วนหาที่จอดกันอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาก้าวเดินตรงไปยังเขตคณะ สู่ตึกหลักอันเป็นจุดนัดรวมตัวแรกของเหล่าบัณฑิตทุกคน ระหว่างทางก็เจอกับคนรู้จักให้ได้ทักทายบ้างประปราย

 

     “อ้าว พี่โชค พี่มิกซ์ เพิ่งมาเหรอครับ พวกพี่บัณฑิตคนอื่นไปรวมรอเข้าฮอลกันหมดแล้วนะ” เป็นรุ่นน้องที่เดินสวนมาเอ่ยบอก ดวงตาคมทว่ากลมโตมองพวกเขาเปล่งประกายอย่างกระตือรือร้น จนโชคอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวคนเด็กกว่าที่สูงถึงแค่ใต้จมูกเขา

 

     “เออ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อยเจอกันตอนออกมาก็ได้” มิกซ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะอย่างไรเสียก็นัดรวมตัวกันอีกครั้งหลังออกจากพิธีอยู่แล้ว

 

     “แล้วนี่เราจะไปไหน” โชคถามรุ่นน้องกลับบ้าง และเมื่อไม่เห็นอีกสองชีวิตที่มักจะตัวติดกันเป็นกลุ่มทรีโอ้ ซึ่งอีกสองคนนั้นคือน้องสายรหัสของเขากับของมิกซ์เลยถามถึง “ไม่ได้อยู่กับปั้นกับนิวเหรอ”

 

     “อ่อ พวกนั้นยังอยู่ใต้ตึกอยู่พี่ แต่เดี๋ยวผมไปหาพี่สาวผมก่อน แม่โทรมาบอกว่าเขาปล่อยพวกรับช่วงเช้าออกมาแล้ว” ชายหนุ่มตัวเล็กตอบ ก่อนบอกลาเสียงใส “ไว้เจอกันอีกทีตอนรวมนะครับ”

 

     ใกล้ชิดเป็นรุ่นน้องที่ถัดจากพวกเขาลงไปสามรุ่น ซึ่งภายนอกดูคล้ายกับมิกซ์อยู่ไม่น้อย ทั้งใบหน้าที่ดูน่ารัก ผิวขาวตาโต รูปร่างผอมโปร่งพิมพ์นิยม ทั้งยังนิสัยร่าเริงสดใส เข้ากับคนง่ายและจริงใจที่ราวกับถอดกันมา และอาจจะเป็นเพราะอย่างนั้นโชคถึงได้รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน เอ็นดูมากเสียยิ่งกว่าน้องคนไหนในสายของตัวเองเสียอีก

 

     สองรุ่นพี่ไม่ได้รั้งตัวหนุ่มน้อยไว้นานไปกว่านั้น แต่ก่อนจะเดินเลี้ยวพ้นทางแยกเพื่อเข้าสู่ตัวคณะ เสียงเรียกตามหลังก็ทำให้ต้องหันกลับไป

 

     “พี่โชค! พี่มิกซ์!” รอยยิ้มสวยระบายออกมากว้างอย่างน่ามอง “ยินดีด้วยนะครับที่เรียนจบ”

 

     “ขอบใจ” เป็นมิกซ์ที่ตอบกลับไปด้วยเสียงดังและมีชีวิตชีวาพอๆ กัน ในขณะที่โชคได้แต่ยืนนิ่ง แย้มยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยอย่างประหม่าโดยไม่รู้สาเหตุ

 

     ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของรอยยิ้มเจิดจ้า

 

     ...บางทีมันอาจจะเป็นอะไรบางอย่างในดวงตากลมสุกสกาวคู่นั้น

 

 

 

     ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อรุ่นน้อง มันชัดเจนว่าไม่ใช่ความขัดเขินชวนหวั่นไหวในหัวใจอย่างที่โชครู้สึกกับแก้ว แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไรที่ติดใจเขาอยู่

 

     ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักพักจนมันสลายไปกับความชุลมุนของการร่วมแสดงความยินดีกับคนรู้จัก ถูกลากไปถ่ายรูปกลางแจ้งจนเพลียแดด ก่อนจะยกกันไปกินข้าวกลางวันเป็นหมู่คณะจนแน่นร้าน บทสนทนา ความวุ่นวาย และบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง...

 

     โชคไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนั้นอีกเลย

 

     จนกระทั่งยามบ่ายแก่ที่แดดอ่อนลงแต่ยังคงร้อนอยู่ เหล่าบัณฑิตในพิธีช่วงบ่ายก็ถูกปล่อยออกมาถ่ายรูปเก็บความทรงจำกันต่อจากเมื่อเช้าที่ยังไม่หนำใจ

 

     โชคเดินเข้าไปร่วมเฟรมบันทึกภาพกับเพื่อนเกือบทุกกลุ่ม ก่อนจะถูกสายรหัสที่รวมถึงพี่ที่จบไปแล้วกลับมาร่วมแสดงความยินดีด้วยแยกออกจากเพื่อนสนิทที่ไปรวมกับสายของตัวเองเหมือนกัน

 

     บัณฑิตจบใหม่ได้รับช่อดอกไม้และของขวัญมาเต็มอ้อมแขน พูดคุยเอ่ยขอบคุณรุ่นพี่รุ่นน้องพร้อมส่งยิ้มให้กล้องกันไม่ว่างเว้น จากนั้นก็วนกลับไปสู่การถ่ายรูปกับเพื่อนรายคนจนแสงเริ่มโรยรา

 

     “พี่โชคครับ!” เสียงตะโกนเรียกพร้อมรอยยิ้ม โชคหันกลับไปคลี่ยิ้มตอบ

 

     กลางสนามกว้างใหญ่ ใต้ท้องฟ้าสีส้มอมแดง ในสายลมเย็นเบาบาง

 

     โลกของโชคหยุดเคลื่อนไหว ...ในเสี้ยวนาทีที่ใกล้ชิดเดินเข้ามา

 

     แต่มันไม่ใช่เพราะคนตรงหน้า สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังรุ่นน้องพร้อมครอบครัวของเธอ ความรู้สึกมากมายปั่นป่วนอยู่ในช่องท้องจนเหมือนกับลืมหายใจไปชั่วขณะ

 

     เรือนผมยาวหยักศก ใบหน้าสะสวย รูปร่างเพรียวระหง ผิวนวลละเอียด

 

     เขาไม่มั่นใจนัก แต่กลับแน่ใจ เมื่อมันราวกับเป็นภาพสะท้อน

 

     ดวงตาคู่สวยของผู้หญิงคนนั้นมันเหมือนกันกับที่เขาเห็นทุกวันในกระจก

 

     ดวงตาของเขาที่พ่อบอกว่ามันช่างเหมือนกันกับแม่...

 




 

     ในระหว่างที่ยังคงหลงทางอยู่กลางความสับสน โชคก็มาถึงร้านเหล้าที่เหมาเอาไว้เลี้ยงส่งชาวสถาปัตย์ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเพื่อนสนิท รับเอาแก้วน้ำเมาที่ถูกหยิบยื่นมาให้ คนคุ้นหน้ามากมายเข้ามาชวนชน ยกกระดกดื่มลงคอไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน

 

     เหล้าชงเข้มข้นขมปร่ารสร้อนแรง แต่กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลยนอกจากความฝาดเฝื่อนที่บาดลึกลงไปถึงในอก

 

     โชคหันไปมองโต๊ะของรุ่นน้องที่ตั้งห่างออกไปไกลพอสมควร จ้องมองชายหนุ่มผู้พาหญิงสาวที่ละม้ายคล้ายกับมารดาในความทรงจำอันเลือนรางของเขามาด้วยในดวงตาคู่นั้น

 

     แข็งกร้าวทว่างดงาม เปล่งประกายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แตกต่างไปจากความโศกาช้ำชอกและรอยน้ำตาของแม่ที่เขาจดจำได้โดยสิ้นเชิง

 

     ทว่าแม้จะแตกต่างเสียขนาดนั้นก็ยังรู้สึก ...รู้สึกคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน

 

     ชั่วพริบตาที่ได้สบตากับแม่ของใกล้ชิด โชคเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กชายวัยสี่ขวบปีที่ทำได้เพียงนั่งฟังเสียงของแม่ที่กำลังร้องไห้ กลับไปเป็นเด็กชายโชคที่เดียวดายอยู่ในห้องโกโรโกโส กลับไปเป็นโชคที่เกิดขึ้นมาในสลัม ผลผลิตจากกามารมณ์ของคนที่ชื่อขามกับช้อย

 

     และทั้งที่มันไม่มีอะไรดีเลย เขาก็ยังคงโหยหา...

 

     ชายหนุ่มเบนสายตากลับมาที่ปากแก้ว มองลึกลงไปถึงก้นที่ยังคงเหลือก้อนน้ำแข็งบนแอ่งน้ำสีเหลืองทอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังโหยหาอะไรอยู่ สมองของมนุษย์เราจะพัฒนาระบบความจำได้อย่างเต็มที่ตอนอายุประมาณสี่ปี และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ช้อยทิ้งโชคไป นั่นทำให้แม่ในความทรงจำตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาพร่าเบลอ

 

     บางทีมันอาจจะแค่เรื่องบังเอิญที่แม่ของรุ่นน้องมีดวงตาคล้ายคลึงกับเขาเสียจนน่ากลัว ก็เลยเผลอคิดไปว่ามันอาจจะใช่ เหมาเอาไปซ้อนทับกับภาพวาดในหัว ประกอบชิ้นส่วนของแม่ตัวเองขึ้นมาจากความว่างเปล่า ด้วยความหวังที่ว่าภาพนั้นจะสมบูรณ์ได้ในสักวัน

 

     แต่เรื่องบังเอิญก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ...

 

     “เต้” โชคเรียกเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้าม รู้สึกเมามายทั้งที่สติแจ่มใส “มึงพี่สายใกล้ชิดใช่ไหม”

 

     ถ้าหากเขาไม่ขุดค้นให้ลึกลงไปมากกว่านี้

 




 

     สี่ทุ่มคืนนั้นฝนเทกระหน่ำลงมา หลังจากขับรถฝ่าพายุฝนที่ทำให้เบื้องหน้าพร่ามัวด้วยม่านน้ำโชคก็มาถึงบ้าน เขาลงจากรถเดินตากฝนไปยังประตูรั้ว ปลดโซ่คล้องออกแผ่วเบาอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ดูเหมือนคนในบ้านที่ยังไม่ขึ้นนอนจะได้ยินเสียงเลยออกมาดู

 

     “โชค” แก้วเอ่ยเรียก และเจ้าของชื่อก็เงยหน้าขึ้นสบตา พยายามจะยิ้มแต่กลับรู้สึกร้อนฉ่า

 

     หยดน้ำฝนวันนี้ร้อนกว่าที่จดจำได้ยามมันไหลผ่านแก้ม

 

     แก้วเดินทั้งเท้าเปล่าลงมาช่วยชายหนุ่มเปิดประตูรั้ว ดึงรั้งเด็กน้อยของตนเข้าสู่อ้อมแขน กอดเอาไว้แนบแน่นด้วยกลัวว่าหากเขาปล่อยมือไปโชคจะแตกกระจาย

 

     ...เหมือนหัวใจที่แหลกสลายอยู่หลังนัยน์ตาแดงก่ำ

 

     “น้าแก้ว” เสียงสั่นเครือกับความเปียกชุ่มอุ่นร้อนบนบ่า

 

     “อืม” แก้วตอบรับ แม้โชคจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ตอบรับมัน เขาจะตอบรับและช่วยแบกรับทุกความรู้สึกในใจของอีกฝ่าย

 

     เพราะมันเป็นหน้าที่ที่เขาสมัครใจจะทำในฐานะคู่ชีวิต

 

     การตากฝนในช่วงปลายฤดูไม่ได้เนิ่นนานนัก แม้โชคจะร้องไห้จนในหัวตื้อตัน แต่เขาก็ยังรับรู้ได้โดยไม่ต้องไตร่ตรองว่าร่างกายของแก้วมันไม่ได้แข็งแรงเช่นแต่ก่อน

 

     ในห้องน้ำคับแคบไปทันตาเมื่อมีสองร่างเบียดกันใช้ คนแก่กว่ายกมือขึ้นช่วยสระผมให้เด็กขี้แยที่ยังคงร้องไห้อย่างเงียบงันตรงหน้า ระบายยิ้มอ่อนจางขณะลูบปาดฟองบนหน้าผากคนสูงกว่าออกก่อนที่มันจะไหลเข้าตาบวมแดงให้ยิ่งแสบขึ้นไปอีก

 

     “หลับตานะ” กระซิบบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหมุนก๊อกเปิดน้ำจากฝักบัวให้ชโลมรดลงมาล้างฟองของสบู่กับแชมพูกลิ่นฟุ้งให้ไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ

 

     “แก้ว...”

 

     “หืม”

 

     “แก้ว”

 

     “อืม”

 

     “แก้ว”

 

     “เด็กดี เธอต้องเช็ดตัวก่อน”

 

 

 

     ห้องนั่งเล่นเหน็บหนาวแม้ไม่ได้เปิดกระทั่งพัดลม โชคนั่งอยู่บนพื้นปล่อยให้คนบนโซฟาช่วยเช็ดผมให้ โมกโผล่หน้ามาทักทายก่อนจะกลับไปนอนบนเบาะอุ่นใต้บันได ทิ้งบ้านทั้งหลังเอาไว้ในสายฝน และคนสองคนที่ยังเปียกปอนแม้ใส่ชุดใหม่ที่แห้งสนิท

 

     “น้าแก้ว” โชคคว้าจับมือเรียวที่เย็นเฉียบเพราะความชื้นเอาไว้ หลับตาแล้วเอนหัวพิงเข้ากับเข่าแข็ง แต่กลับมองเห็นเข็มของนาฬิกาเหนือจอโทรทัศน์ในความมืดมิดชัดเจน... ชัดเจนเหมือนกับความคิดในหัวที่ขึ้นรูปร้อยเรียงสร้างเรื่องราวขึ้นมาจากหมอกควันและคำบอกเล่าที่ได้ฟังมา

 

     “ฉันฟังอยู่” เสียงของแก้วแผ่วเบาขณะเอ่ยบอก รับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนจากอุ้งมือใหญ่ และความเหน็บหนาวจากเส้นผมชื้นน้ำใต้ผ้าขนหนู

 

     “ผม...คิดว่าผมเจอแม่” ประโยคบอกเล่าเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่สะดุดไม่สั่นไหว “แต่ผมไม่รู้หรอกว่าใช่จริงรึเปล่า แก้วจำรุ่นน้องที่ชื่อใกล้ชิดได้ไหมครับ...”

 

     ชายหนุ่มเล่าเรื่องวันนี้ที่ได้เจอกับหญิงวัยกลางคนที่มีดวงตาคมคู่สวย ผู้หญิงที่โชคคิดว่าอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ จนกระทั่งได้ฟังประวัติครอบครัวเชิงลึกของใกล้ชิดที่ถูกบอกเล่ามาเพียงผิวเผิน แต่กลับสอดคล้องลงตัวไปเสียทุกอย่างจนอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน

 

     โชคคิดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ช้อย เพราะเธอมีลูกสาวคนโตที่อายุไล่เลี่ยกันกับเขาอยู่ ครอบครัวแสนสุขสันต์ พ่อแม่ลูกสาวลูกชาย ไม่มีที่ตรงไหนที่เขาจะแทรกตัวเข้าไปได้ เช่นเดียวกับความหม่นหมองและรอยคราบน้ำตาที่เคยติดอยู่เป็นนิจบนใบหน้าของสาวงามคุ้มริมน้ำ

 

     แต่เรื่องราวของชีวิตก็พลิกผันได้อย่างง่ายดายเพียงชั่วอึดใจที่ได้ยินคำนั้น...

 

     ใกล้ชิดกับจันทร์เจ้าไม่ใช่พี่น้องกันโดยสายเลือด

 

     ชายหนุ่มเป็นลูกติดแม่ และหญิงสาวเป็นลูกติดพ่อ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกันฉันท์พี่น้อง ด้วยตั้งแต่จำความได้ใกล้ชิดก็มีพี่เจ้าเป็นพี่สาวมาโดยตลอด ...พ่อของจันทร์เจ้าแต่งงานกับแม่ของใกล้ชิดตอนเด็กชายได้ขวบกว่า

 

     ช่างเป็นเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับที่น้องชายครึ่งหนึ่งวัยใกล้ครบปีของเขาจากไปพร้อมกับแม่ ทิ้งเขาเอาไว้กับพ่อและถ้อยคำที่ไม่ได้ตั้งใจจะจำ แต่กลับยังชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน

 

     ‘มันไม่ได้รักมึงเลยไอ้โชค มันรักแต่ไอ้ชิดลูกกับชู้มันนู่น แหกตาดูซะบ้าง หอบข้าวหอบของหนีไปแต่ทิ้งมึงเอาไว้ให้เป็นภาระกู’

 

     ไอ้ชิดลูกชู้... น้องใกล้ชิดที่มีรอยยิ้มสดใส

 

     ดูห่างไกลราวฟ้ากับเหว แต่ก็คล้ายกับเป็นคนคนเดียวกัน

 

     แล้วผู้หญิงคนนั้นชื่อช้อยหรือเปล่า แต่ชื่อนั้นสำคัญตรงไหนหากทิ้งมันไปกับชีวิตเก่าทั้งหมดแล้ว ก็แค่ฝังกลบชื่อเดิมลงไปพร้อมกับเหล่าผู้คนที่ไม่อยากจดจำ แล้วไปเริ่มต้นใช้ชีวิตเป็นคนใหม่กับผู้คนดีๆ ที่เลือกเองเสียก็พอแล้วนี่

 

     ส่วนคนที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้เบื้องหลังกับอดีตเลวร้ายนั้นก็ไม่รู้ ไม่รู้หรอกว่ามันใช่จริงหรือเปล่า เขาไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น และเพื่อนของเขาคนนั้นเองก็ไม่ได้มีคำตอบอะไรจะให้ไปมากกว่านี้ โชคแค่เก็บเศษเสี้ยวของเรื่องราวเอามาผูกโยงกัน

 

     มันอาจจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่คิดไปเอง หรืออาจจะเป็นเรื่องจริงที่แสนเศร้า

 

     เขาไม่รู้หรอก เพียงแต่ว่าในตอนนั้น...

 

     ‘ยินดีด้วยนะจ๊ะ’ เธอยิ้มให้โชค อย่างอ่อนโยนขณะที่ก้าวมาหยุดยืนเคียงข้างลูกชาย เสียงของเธออ่อนหวานและฟังดูใจดี ...เหมือนกับแววตา ‘ขอบใจที่ช่วยดูแลลูกชายแม่มาตลอดนะคะ’

 

     “เขายิ้มให้ผม น้าแก้ว... เขายิ้มให้ผม...” โชคหันมาสบตากับคนที่รับฟังเงียบๆ โผเข้ากอดเอวอุ่นไว้แน่นในขณะที่ร่างกายสั่นไหวไปถึงขั้วหัวใจ “...ยิ้มแบบที่แม่ไม่เคยยิ้มให้ผมตอนเด็กเลย”

 

     รอยยิ้มเดียวใต้แสงอาทิตย์อัสดง ณ ใจกลางเมือง

 

     เป็นทั้งสายฝนชุ่มฉ่ำและเพลิงโหมลุกโชนแผดเผาหัวใจให้มอดไหม้ เขารักรอยยิ้มของผู้หญิงที่เป็นดั่งร่างอวตารของแม่ และโกรธแค้นมันไปในเวลาเดียวกัน

 

     ถ้าหากว่านั่นคือช้อยจริงๆ โชคก็หวังว่าเขาจะไม่ได้เห็นมันเลยเสียยังจะดีกว่า

 

     เพราะแม่ยิ้ม ยิ้มกว้างอย่างสดสวย ส่งความสุขไปถึงดวงตา ทั้งยามที่มอบมันให้กับลูกชายอย่างใกล้ชิด ลูกเลี้ยงอย่างจันทร์เจ้า และคนแปลกหน้าอย่างเขา

 

     ราวกับมันเป็นเพียงรอยยิ้มราคาถูก ...ที่เด็กชายโชควัยสี่ปีไม่มีปัญญาจ่ายให้ได้มันมาแม้สักครั้ง

 

     “โชค” แก้วลูบแผ่นหลังปลอบโยนเด็กชายของเขาที่ร่ำไห้ออกมาได้ร้าวรานยิ่งกว่าสายฝนนอกหน้าต่าง รู้ว่าตนไม่อาจทำอะไรกับบาดแผลในใจเรื่องแม่ของอีกฝ่ายได้เลย เขาทำได้เพียงรับฟังความเจ็บปวดที่สาดซัดขึ้นมาจากทะเลความรู้สึก

 

     “ผมไม่ชอบเลย ไม่อยากเห็นแม่ยิ้มแบบนั้นเลย...” เสียงสั่นเครือแตกพร่า แต่กลับดั่งกึกก้องอย่างเจ็บปวดไปทั่วทั้งบ้าน “ถ้ามีความสุขขนาดนั้นแล้วทำไมถึงไม่พาผมไปด้วยล่ะ ทำไมถึงทิ้งผมเอาไว้! ทำไมถึงไม่เคยกลับมา! ทำไม! ...ทำไมถึงลืมผม”

 

     โชคชิงชังรอยยิ้มหวานหยดของแม่ ทว่าก็รู้ดีว่าสักแห่งในตัวเขาร่ำร้องบอกว่าแม้จะเป็นเพียงครั้งเดียวนี้ เขาก็จะหวงแหนมันเอาไว้ในความทรงจำจนวันตาย

 

     เขาโกรธตัวเองที่ดีใจเมื่อได้เห็นมัน

 

     ชายหนุ่มสะอื้นฮัก ดวงตาคู่สวยซึ่งถอดมาจากมารดาแดงก่ำ แน่นหน้าอกจนทรมานเมื่อหัวใจบีบรัดส่งเลือดทั้งหมดขึ้นมากลั่นเป็นหยดน้ำตา

 

     โชคร้องไห้ ร้องไห้ แล้วก็ร้องไห้... เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้

 

     แก้วปล่อยให้ตัวเองถูกดึงรั้งลงมาคร่อมตักคนบนพื้น ขยับขาวาดไปเกี่ยวทิ้งไว้หลังสะโพกชายหนุ่มเพื่อให้นั่งถนัด สองแขนยกขึ้นโอบกอดโชคเอาไว้มั่น ออกแรงกระชับให้มันแนบแน่นที่สุดเท่าที่ร่างกายเขาจะมีแรงไหว เพื่อบอกให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ...จะอยู่กับโชคตรงนี้ในตอนนี้ไม่จากไปไหน

 

     เนิ่นนานจนหยาดน้ำตาแห้งเหือด

 

     ท้องฟ้ายังเป็นผู้ชนะ สายฝนยังคงร่วงโปรยลงมา ราวกับเป็นการบอกลาของหน้าฝน

 

 

 

     “น้าแก้ว” เสียงแหบแห้งเปล่งผ่านลำคอแสบระบม โชคยังคงซุกหน้าอยู่ข้างคอของคนรัก สูดกลิ่นของความปลอดภัยและสบายใจเข้าไปให้ใจสงบ

 

     “ว่าไง” เจ้าของชื่อขานรับ คางที่เกยบนบ่าขยับตามจังหวะที่ริมฝีปากอ้าเปิด

 

     “ผมไม่รู้ว่าเขาใช่แม่ผมจริงๆ ไหม แต่ถ้าใช่เขาก็ดูมีความสุขมาก” คำพูดถูกกลืนหายไปชั่วขณะที่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลั่งไหลออกมาพร้อมกับความรวดร้าวอย่างสงบนิ่ง “มากจนผมคิดว่าถ้าผมไม่ได้เกิดมา แม่จะมีความสุขแบบนั้นมาตั้งนานแล้วรึเปล่า”

 

     ความเงียบงันนั้นยาวนาวในความรู้สึก แก้วครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงคำตอบที่จะมอบให้ไป เขารู้ว่าโชคไม่ได้หวังคำปลอบโยนหวานหูที่กลวงเปล่า แต่กำลังหาเหตุผลและคุณค่าให้กับชีวิตที่ถูกโยนทิ้งขว้างเอาไว้ และเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดนั้นเขาเลยต้องพูดออกไป

 

     แม้มันจะทำให้ลมหายใจของโชคสะดุดขาดช่วง และหัวใจร่วงลงไปยังก้นเหวก็ตาม

 

     “นั่นสินะ ก็อาจจะใช่”

 

     เพราะไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่อยากจะเป็นแม่ เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะเป็นแม่ได้

 

     ความรับผิดชอบ เงินตรา ความรู้ เวลา... มันมีปัจจัยมากมายในการเป็นแม่ที่ดีของใครสักคน

 

     ชีวิต ความฝัน วัยสาว สุขภาพ... รวมถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียเพื่อการนั้นด้วย

 

     เช่นนั้นแล้วแก้วจึงพูดแทนช้อยไม่ได้ เขาไม่รู้จักเธอ ไม่รู้ว่าในตอนนั้นเธอมีความพร้อมต่อการเป็นแม่สักแค่ไหน และไม่รู้ว่าเธอเสียอะไรไปบ้างกับการคลอดเด็กสักคนหนึ่งออกมา เพราะเธออาจจะเป็นหญิงสาวที่ประสบความสำเร็จหากมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา อาจเป็นภรรยาที่มีความสุขที่สุดในโลกหากได้มีเวลาได้ศึกษาดูใจกับชายหนุ่มที่คู่ควร และอาจจะเป็นมารดาที่รักลูกสุดหัวใจหากได้ตั้งท้องในเวลาที่เหมาะสม

 

     เธออาจได้เป็นผู้หญิงคนนั้น ...เหมือนกับที่ผู้หญิงทุกคนอาจได้เป็น

 

     หากเธอมีโอกาส เวลา และความพร้อม

 

     ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่แก้วจะหาคำตอบได้ ไม่มีใครตอบได้ และไม่แม้แต่ตัวช้อยเอง เขาจึงไม่มีสิทธิ์ไปว่าร้ายเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดสรรเสริญสิ่งที่เธอทำ มันเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตแสนห่างไกล และได้แต่หวังว่าในอนาคตผู้หญิงทุกคนจะได้มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกเป็นแม่ได้ด้วยตัวเอง

 

     ไม่ใช่สังคม ไม่ใช่กรอบจารีต ไม่ใช่กฎหมาย ที่จะมามีสิทธิ์ลงโทษและประณามพวกเธอด้วยการยัดเยียดความเป็นแม่ให้ เรียกร้องหาความรับผิดชอบจากฝ่ายหญิงทั้งที่ผู้กระทำร่วมอีกคนยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย

 

     เด็กๆ ที่เกิดมาจากความพลาดพลั้งอาจไม่โชคดีเหมือนอย่างโชค

 

     ...ที่แม้ถูกทอดทิ้งก็มีแก้วที่โอบอุ้มขึ้นมาส่งเสียเลี้ยงดู มีธีร์ที่คอยสอนสั่ง มีป้าดาที่คอยดุเตือน มีป้าธัญที่คอยแนะนำ มีคุณปู่คุณย่าที่เอ็นดู มีปรางเป็นพี่ มีมิกซ์เป็นเพื่อน มีคนดีๆ มากมายเข้ามาในชีวิต

 

     “แม่ของเธออาจจะมีความสุขมากกว่าถ้าเขาแท้งเธอไปตั้งแต่แรก หรือไม่เคยท้องเธอเลยก็อาจจะดีกว่า” แก้วผละออกจากอ้อมกอด ถอยห่างมากพอให้สบตากับชายหนุ่มของเขาได้อย่างชัดเจน สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กน้อยผอมแห้งที่เติบโตขึ้นมาได้อย่างงดงาม จ้องตรงเขาไปยังดวงตาคู่สวยที่มองเขาอย่างเปี่ยมรักอยู่เสมอ

 

     ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะโชคดีเหมือนอย่างโชค

 

     แต่เพราะโชคเป็นเด็กที่โชคดีคนนั้น...

 

     “แต่ฉันดีใจที่เธอได้เกิดมานะโชค” ถ้อยคำเรียบง่าย จริงใจ ไร้การปรุงแต่งให้เลิศหรู แค่คำพูดที่สื่อความหมายเช่นเดียวกับคำอวยพรวันเกิดตลอดสิบเจ็ดครั้งที่ผ่านมา

 

     สุขสันต์วันเกิด... ยินดีด้วยที่เธอได้เกิดมา

 

     ฉันดีใจที่เธอได้เกิดมา

 

     “น้าแก้ว...” หยดน้ำตาร่วงเผาะ แต่ในอกไม่ได้รู้สึกเหน็บหนาวอีกต่อไป ความอบอุ่นจากมือที่ยื่นมาให้ในคืนฝนตกซึมซาบเข้าไปเติมเต็มทุกช่องว่างข้างในหัวใจของโชค

 

     “หืม” คนถูกเรียกครางรับ จรดริมฝีปากลงกลางกระหม่อมคนใต้ร่าง พรมจูบไปทั่วอย่างรักใคร่ เขาไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่พี่ชาย ไม่เคยใช่ เขาเป็นเพียงผู้ปกครองของเด็กชายในวันวาน และกลายเป็นคนรักในวันนี้ แต่ความรักที่มอบให้ไปไม่ว่าในรูปแบบไหนก็เพียงพอต่อหัวใจดวงนั้นแล้ว

 

     ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ลูก ไม่ต้องเป็นพี่น้อง ไม่ได้จำกัดแค่ด้วยสายเลือด

 

     คนเราจะเลือกครอบครัวของตนด้วยตัวเอง

 

     “น้าแก้ว”

 

     “หืม”

 

     “แก้ว”

 

     “อือ”

 

     “ขอบคุณครับ”

 

     “ฉันรักเธอโชค ฉันรักเธอ”

 

     “ผมก็รักแก้ว”

 

     “ฉันรู้”

 

     “แก้ว”

 

     “อืม”

 

     “แก้ว...”

 

     เสียงหนึ่งเอ่ยเรียก และอีกเสียงก็ขานตอบ

 

     ไม่เคยเหนื่อยหน่าย ไม่เคยจากไปไหน และไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย

 

     ในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้ ...โชคจะยังคงมีแก้วอยู่ด้วยเสมอ

 

 

 

...TBC

     ผู้หญิงคนหนึ่งต้องสูญเสียหลายสิ่งเพื่อการเป็นแม่คน เช่นเดียวกับเด็กคนหนึ่งอาจไม่มีโอกาสได้รับสักอย่างหากเกิดมาจากหญิงสาวที่ไม่พร้อมหรือไม่ต้องการเป็นแม่ โดยเฉพาะในสังคมที่คาดหวังความดีงามขาวสะอาดผุดผ่องจากเพศหญิง กดทับผู้คนด้วยขนบปิตาธิปไตยเชิดชูชายเป็นใหญ่เช่นนี้ แต่กลับหลงลืมหรืออาจจะแค่ทำเป็นมองข้ามไปว่าการตั้งท้องนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็จำเป็นต้องมีฝ่ายชายร่วมกระทำด้วย และยิ่งย่ำแย่เลวร้ายเข้าไปอีกกับสารพัดคำพูด อย่างที่รีนเคยได้ยินมากับหูตัวเองเลยว่า "จะเอาอะไรกับผู้ชายมันมาก สันดานผู้ชายมันก็อย่างนี้ ยังไงผู้หญิงเราก็เป็นแม่ก็ต้องเลี้ยงดูลูกไป" ซึ่งนั่นไม่ใช่เหตุผลและไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างแต่อย่างใดเลยค่ะ

     ส่วนตัวรีนสนับสนุน #ทำแท้งถูกกฎหมาย ค่ะ นักอ่านหลายคนอาจจะเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือแนวคิดนี้อาจจะผิดกับความเชื่อในหัวใจของคุณ รีนจะไม่บังคับให้คุณยอมรับนะคะ แต่ก็อยากจะบอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนตั้งใจท้องเพื่อไปทำแท้งหรอกค่ะ หากจะมีก็คงจะน้อยนิดมากเหลือเกิน การทำแท้งไม่ใช่เรื่องง่ายดายและไม่ใช่เรื่องสนุก มีความเสี่ยงทั้งในด้านของสุขภาพร่างกายไปจนถึงสภาพจิตใจ และหากจะบอกว่ามันเป็นบาปกรรม ก็อยากให้มองเหล่าเด็กที่เกิดมาแล้วเผชิญกับความโหดร้ายของโลกใบนี้ด้วยวัยเพียงไม่กี่ปีกันสักหน่อยค่ะ หากคุณสงสารน้องโชคในนิยายเรื่องนี้ รีนก็อยากจะบอกว่าในชีวิตจริงยังมีเด็กอีกมากมายที่ต้องเจอกับความเลวร้ายมากกว่าน้องโชค พวกเขาซึ่งเป็นคนจริงๆ และไม่ได้โชคดีอย่างเด็กชายโชคคนนี้ในนิยาย หากการทำแท้งเป็นบาปกรรมอันใหญ่หลวง แล้วเหล่าเด็กที่ต้องเกิดมาทนทุกข์เช่นนั้นเพียงเพื่อให้ศีลธรรมในใจของคนในสังคมสงบสุขมันคือเรื่องดีงามงั้นหรือคะ บทสรุปของเรื่องนี้แท้จริงแล้วอาจจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องหรือถูกใจคนทุกคนอยู่เลยก็เป็นได้ ทว่าถึงอย่างนั้นรีนก็ยังคงเชื่อมั่นในเสรีภาพเหนือร่างกายตนที่จะทำให้ผู้หญิงอีกหลายล้านคนในประเทศนี้ได้มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตที่แสนสำคัญเช่นนี้ได้ด้วยตัวเองค่ะ

     หากเนื้อหาในตอนนี้และในทอล์กของรีนทำให้คุณไม่สบายใจ รีนก็ต้องขอโทษในฐานะนักเขียนที่ไม่สามารถมอบเพียงความสนุกสนานให้กับคุณได้ แต่รีนจะไม่ขอโทษในฐานะคนคนหนึ่งที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันนะคะ  :กอด1:

 

     ทอล์กไปยาวมากๆ เลย แล้วก็ยังมีต่ออีกล่ะค่ะ

     จากตอนที่แล้วรีนเห็นหลายคนกังวลเป็นห่วงน้าแก้วกันใหญ่ รู้สึกเหมือนแกงคนอ่านเลยค่ะ เพื่อนคนที่คอยอ่านพรูฟให้ตอนอ่านเองก็บอกว่า "โดนสาปแน่มึง นักอ่านเกียมตีมุงแล้วแน่ๆ" แง้ แต่ประเด็นนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่รีนอยากจะบอกเล่าค่ะ ไม่รู้ว่าสื่อสารออกมาได้ดีพอไหม เพราะช่างเป็นหนึ่งตอนที่รวดเร็วและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดูรวบรัด และถึงอย่างนั้นรีนก็ใส่ทุกสิ่งของรีนลงไปแล้ว ยังไงก็ยังหวังว่าทุกคนจะ enjoyed reading นะคะ

 

     ขอให้มีวันที่ดี

     ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ

     ขอบคุณค่า

 

     เจอกัน MONDAY นะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 45 [10.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-12-2020 21:55:38
 :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 45 [10.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-12-2020 22:31:38
โลกของโชคที่บิดเบี้ยวตอนเด็กฉไหนมากลมเอาตอนนี้ 555 เขามีความสุขกับชีวิตใหม่แล้ว ก็อย่าไปรื้อฟื้นมัน ต่างคนต่างอยู่ไปดีกว่านะ อย่างน้อยก็เห็นว่ามีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว  :hao3: อยู่กับปัจจุบันกับน้าแก้ว  :กอด1: ขอบคุณนะคะที่มาต่อ เห็นด้วยกับช่วงtalkเช่นกันค่ะ  :katai2-1: :katai2-1: รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 46 [14.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 14-12-2020 20:30:33

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 46

 

       ฝนตกต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงรุ่งสาง แก้วตื่นขึ้นมาหลังจากที่แสงอาทิตย์ละลายไอชื้นในอากาศไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

       ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวตรงเข้าเล่นงาน แก้วไม่รู้ว่าพวกเขาขึ้นห้องนอนกันตอนไหน เขาหลับไปบนตักโชคตั้งแต่อยู่ในห้องนั่งเล่น ด้วยความเหนื่อยล้าผสมกับความร้อนในร่างกายที่สูงกว่าปกตินิดหน่อยจากการตากฝน ทว่าไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนอุ้มเขาขึ้นมา ทั้งยังแปะแผ่นเจลลดไข้ไว้บนหน้าผากให้อีกด้วย

 

       แต่โชคก็ไม่ได้อยู่บนเตียงเคียงข้างเขาเพื่อรอบอกอรุณสวัสดิ์ในเช้าวันนี้ มีเพียงร่องรอยบนที่นอนทางฝั่งของเจ้าตัวที่บ่งบอกว่ามันถูกใช้งาน

 

       ดวงตาสีเข้มจ้องมองพื้นที่ว่างเปล่าสักพักก่อนจะหยัดตัวลุกออกจากห้องไป

 

       ชั้นล่างของบ้านเงียบเหงาทั้งที่มีกลิ่นของอาหารอบอวลจากห้องครัว แก้วเดินวนในบ้านจนครบทุกห้องหับก็ยังไม่พบคนที่ตามหา สุดท้ายเลยโผล่ออกไปหน้าบ้านพอดีกับที่โชคเดินกลับเข้าเขตรั้วมาพร้อมกับช่อดอกไม้เต็มแขนและถุงกระดาษที่ใช้ใส่ของขวัญอีกสองสามถุง ...ของที่ได้มาจากงานรับปริญญาที่เพิ่งไปขนลงมาจากรถ

 

       “ตื่นแล้วเหรอครับ” โชคส่งยิ้มกว้างให้เป็นการทักทาย

 

       “อืม” แก้วพยักหน้าพลางขยับหลีกทางให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน วางของลงบนพื้นที่โล่งหน้าตู้โชว์ ก่อนจะหันมาเช็คอุณหภูมิบนหน้าผากที่แผ่นเจลลดไข้ถูกเขาดึงออกไปแล้วด้วยความเป็นห่วง

 

       “ปวดหัวไหมครับ”

 

       “ไม่เป็นไร” คนโตกว่าว่า ยกมือขึ้นไล้ปลายนิ้วไปตามรอยบวมแดงรอบดวงตาคู่สวย “เธอล่ะ”

 

       “ไม่เป็นไรครับ” โชครวบมือเรียวมาจุมพิตเบาๆ ก่อนจะจูงเข้าห้องครัวไป “ผมย่างปลากับทำซุปเต้าเจี้ยวไว้แล้ว เอาอะไรอีกไหมครับ”

 

       “...แค่นี้ก็พอ” แก้วบอก พลางกระชับกำมืออีกฝ่ายให้แนบแน่น

 

 

 

       เวลาช่วงบ่ายของโชคใช้ไปกับกองของที่ได้มาจากงานรับปริญญา ถุงของขวัญถูกเปิดออกดูของข้างใน พร้อมกับมือใหญ่ที่กดส่งข้อความไปขอบคุณผู้ให้อีกครั้งแบบรายบุคคล แม้ของส่วนใหญ่จะเป็นของตั้งโชว์มากกว่าจะใช้งานได้จริง แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์ไปเลือกซื้อมาให้ รวมถึงดอกไม้นานาพันธุ์ที่ได้รับมาก็ด้วย แม้น่าเสียดายที่มันจะเหี่ยวเฉาไปในไม่กี่วันแล้วก็คงต้องเก็บทิ้งไป ทว่าความรู้สึกของผู้ให้เขาก็รับมาด้วยใจทั้งหมดแล้ว

 

       ชายหนุ่มนั่งแกะริบบิ้นและวัสดุห่อช่อดอกไม้ออกเพื่อแยกทิ้งขยะ ส่วนตัวดอกก็จะกลายไปเป็นปุ๋ยที่โคนต้นไม้สักต้นในสวน จนกระทั่งทำมาได้ถึงครึ่งทาง ช่อดอกไม้ที่ติดมือขึ้นมาก็ทำให้เขาหยุดชะงัก ทั้งที่มันเป็นเพียงดอกไม้ช่อเล็กที่มีกุหลาบขาวอวบอ้วนที่ยังผลิบานไม่เต็มที่ดอกเดียวท่ามกลางหมู่ดอกแคสเปียแห้ง ถูกห่อมาด้วยกระดาษสีน้ำตาลและผูกด้วยเชือกป่านสีอ่อน...

 

       ไม่ได้แตกต่างไปจากดอกไม้ช่ออื่นๆ เลยสักนิด แต่กลับแสนพิเศษในความรู้สึก

 

       ช่อดอกไม้ที่ได้มาจากใกล้ชิด พร้อมกับรอยยิ้มของผู้หญิงที่มีดวงตาคมคู่สวย

 

       ผู้ที่เฝ้ามองชายหนุ่มของเขาจากบนโซฟาเห็นทุกการกระทำ ทุกจังหวะที่หยุดชะงักงัน และทุกความวูบไหวในแววตา ไม่ต้องเอ่ยปากถามแก้วก็รู้ได้ว่ามันเป็นของที่มาจากใคร เขาเลยลุกเดินเข้าไปใกล้ นั่งยองลงตรงหน้าคนรักแล้ววางมือลงบนหัวอีกฝ่าย



       “เก็บไว้ก่อนก็ได้นะ” เอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน เพราะแม้จะเหี่ยวเฉาจนแห้งกรอบ แต่มันก็ใช้เวลาสักพักกว่าจะสูญสลาย หากอยากเก็บเอาไว้ให้เป็นความทรงจำสักพักก็คงไม่เป็นไร ...ถ้าหากโชคต้องการ

 

       “ไม่เอาหรอกครับ” แต่โชคไม่ได้ต้องการ เขาไม่ได้ต้องการความทรงจำครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้น ชายหนุ่มปฏิเสธขณะที่เริ่มลงมือรื้อวัสดุห่อแยกออกจากตัวดอกไม้ต่อ

 

       “โชค” แก้วพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เงียบงันไปพักหนึ่ง และสักพักนั้นมันก็นานพอที่จะให้โชคแยกส่วนช่อดอกไม้ในมือออกจากกันเรียบร้อยแล้ว

 

       “ครับ” ดวงตาคู่สวยเบนจากดอกกุหลาบขาวไปสบกับคู่สนทนา

 

       “เธอจะทำยังไงต่อ...กับเรื่องแม่” คำถามจริงจังแต่กลับเรียบง่าย ชายวัยกลางคนทิ้งก้นลงกับพื้น วางคางลงบนท่อนแขนที่พาดกอดหัวเข่า รอคอยคำตอบโดยที่ดวงตาสีเข้มจับจ้องมองคนรักอย่างลึกซึ้ง ...โชครู้สึกว่าแก้วตอนนี้ช่างเหมือนกับแมว

 

       “ก็คงไม่ทำอะไรหรอกครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะตอบอย่างชัดเจนแม้เสียงเบาหวิว โน้มหน้าผากมาแนบชิดกับคนตรงหน้า หลับตาขณะที่ใช้ปลายจมูกไล้เคลียกัน “ยังไงตอนนี้มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วนี่ครับ”

 

       ชายหนุ่มหมายความตามที่พูดไป ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นช้อยตัวจริงหรือไม่ เธอก็ดูมีชีวิตที่ดีกับครอบครัวในตอนนี้แล้ว และเขาไม่คิดจะช่วงชิงมันไป ไม่แม้แต่จะอยากเข้าไปฝากรอยหม่นมัวเอาไว้ เพราะรอยยิ้มกว้างสดใสเหมาะกับใบหน้าสะสวยของเธอมากกว่ารอยน้ำตา

 

       ความฝันสูงสุดของเด็กน้อยในวันวานที่เขาจดจำได้ดีคือขอให้แม่มีความสุข

 

       ในวันนี้มันคงเป็นจริงแล้ว...

 

       “เสียใจรึเปล่า” แก้วถาม ไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องไหนกันแน่ เส้นทางที่เขาเลือกให้อนาคตหรือเรื่องราวในอดีต แต่ถึงจะไม่รู้...

 

       “ไม่เลยครับ” ชายหนุ่มก็ยังตอบกลับไปอย่างมั่นใจแน่วแน่

 

       โชคไม่คิดจะกลับไปรื้อฟื้นสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกที่ขาดสะบั้นไปในวันวาน ไม่ได้อยากจะกลับไปเป็นครอบครัวเดียวกับผู้หญิงที่ให้กำเนิดเพียงด้วยเหตุผลเรื่องสายเลือด ตอนนี้ช้อยมีครอบครัวของช้อย เขาเองก็มีครอบครัวของเขา ...บ้านของเขาอยู่ตรงนี้

 

       เรื่องราวของคนสามคนในห้องสี่เหลี่ยมริมน้ำมันจบลงไปตั้งนานแล้ว

 

       “ผมมีน้าแก้ว...” โชควางสองมือลงข้างกรอบหน้าคนรัก ครอบครัว และบ้านของเขา ประคองแผ่วเบาอย่างรักใคร่ กดจูบลงบนริมฝีปากนุ่มชื้นเนิ่นนานกว่าจะผละออก “ผมไม่เสียใจหรอกครับ”

 

       “อืม” รับคำเพียงเท่านั้นก่อนจะปีนขึ้นคร่อมตักอีกฝ่าย โอบกอดให้ร่างกายแนบชิด มอบจุมพิตร้อนผ่าว ชายหนุ่มตอบรับสัมผัสวาบหวามแม้จะไม่ทันได้ตั้งตัว

 

       “น้าแก้ว” เอ่ยเรียกเสียงอ่อนที่แหบพร่าเล็กน้อยเพื่อหยั่งเชิง ด้วยไม่แน่ใจว่าความร้อนแรงที่ถูกจุดขึ้นมาจะพาไปถึงไหน “เป็นไรครับ”

 

       “วันนี้เธอบอกจะกอดฉันไม่ใช่รึไง”

 

       “...ประตูบ้านยังเปิดอยู่เลยนะครับ”

 

       “แล้วไง”

 

       แก้วเหมือนแมวที่เฉยชาแต่บางครั้งก็เอาแต่ใจ และโชคเป็นหมาตัวใหญ่ที่ยินดีจะตามใจเสมอ

 

       “ไม่มีอะไรครับ”

 

       พวกเขาสัมผัสกันและกันอยู่กลางกองดอกไม้และเศษกระดาษกับริบบิ้นกระจัดกระจาย แต่ไม่ได้ถึงขั้นสอดใส่เพราะแก้วยังไม่ได้เตรียมตัว เสียงหอบครางต่ำดังอื้ออึง แก้วซบหน้าลงบนบ่ากว้าง โชคขบผิวต้นคอแก้วจนขึ้นสีจาง ความร้อนพุ่งทะยาน ทั้งจากอุ้งมือและร่างกายที่กำลังจะถึงจุดสุดยอด

 

       แก้วเงยหน้าขึ้นมารับจูบดูดดื่มของชายหนุ่มเมื่อความสุขสมล้นทะลัก ท้องฟ้าเดือนตุลาคมไม่ได้สดใสนัก และลมที่พัดเข้ามาก็ให้ความรู้สึกเย็นชื้น ...ผ่านบานประตูหน้าที่เปิดกว้าง หากมีใครสักคนมองเข้ามาก็คงเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน

 

       แต่นั่นมันก็เป็นปัญหาของคนที่แอบมองไม่ใช่เจ้าของบ้านเสียหน่อย

 

       “ผมเอาไปปลูกดีไหมครับ” คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยดังขึ้นที่ข้างหูขณะที่กำลังเช็ดคราบเปรอะเปื้อน แก้วมองตามสายตาของอีกฝ่ายที่จับจ้องไปยังกุหลาบขาวดอกเดียวดอกนั้น

 

       “จะปลูกยังไงล่ะ”

 

       “ผมเคยเห็นในคลิปที่เขาเอาไปจุ่มน้ำผึ้งก่อนปักใส่มันฝรั่งแล้วฝังดิน สองสามอาทิตย์ก็มีรากออกมาแล้วครับ” โชคว่า โยนกระดาษทิชชูทิ้งรวมกับกองของทิ้งขยะ โอบกระชับเอวแก้วที่อยู่บนตักแล้วซุกซบใบหน้าลงกับอกอีกฝ่าย “แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอดไหม”

 

       “ลองดูก่อนก็ได้”

 

       “ครับ”

 

       พายุร้ายโหมกรรโชกรุนแรงที่พัดพามาอย่างกะทันหันสลายตัวไปในชั่วข้ามคืน หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยของน้ำตาและกิ่งชำกุหลาบในกระถางข้างบ้าน

 

       ฤดูฝนที่ยี่สิบห้า โชคไม่ได้เปียกปอนสักเท่าไหร่นัก

 



 

       ผ่านไปกว่าสองสัปดาห์ กิ่งชำกุหลาบยังคงมีแต่ก้านโดดๆ แต่ก็ยังคงเป็นสีเขียวไม่แห้งกรอบบ่งบอกว่ามีโอกาสรอดชีวิต โชคไม่ได้คาดหวังนักว่ามันจะผลิบาน เขาแค่ดูแลรดน้ำมันไปในแต่ละวัน เฝ้าเอาใจใส่เหมือนตอนที่เขาเอาต้นกุหลาบแดงมาปลูก

 

       และในขณะที่ดอกไม้รอวันงอกงาม

 

       แก้วก็ขยับเข้าใกล้วัยโรยราขึ้นอีกปี

 

       “สุขสันต์วันเกิดครับ” คำอวยพรที่กระซิบชิดริมหูตั้งแต่ลืมตาตื่น โชคนั่งอยู่บนพื้นข้างเตียง เอียงแก้มแนบกับฟูกที่นอนเพื่อรอสบตาคนรัก เขากลับขึ้นห้องมาเพื่อเช็คอาการคนที่เพิ่งรับคีโมมาเมื่อวันก่อนพอดีกับที่แก้วเริ่มฟื้นขึ้นจากห้วงนิทรา

 

       ช่วงหลังมานี้แก้วนอนตื่นสายเป็นประจำ เพราะตอนกลางดึกมักจะตื่นขึ้นมาเพราะแน่นหน้าอกหายใจลำบากทำให้นอนหลับไม่สนิทนัก

 

       “อือ” เสียงครางรับงึมงำในลำคอ แก้วยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมาตาใส รอยยิ้มบางจุดขึ้นที่มุมปาก “ขอบใจ”

 

       “ครับ” โชคตอบรับ ยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่างไปไหน ไล้มือไปตามนิ้วเรียวที่ขึ้นข้อกระดูกชัดอย่างนุ่มนวล “ผมอบเค้กไว้ให้แล้วนะครับ”

 

       “เหรอ รอบนี้เป็นเค้กอะไรล่ะ”

 

       “เค้กแครอทครับ ใส่อัลมอนด์ด้วย”

 

       “อืม” บทสนทนาเงียบลง โชคปีนขึ้นเตียงไปนอนเบียดน้าแก้ว พื้นที่ว่างตรงขอบนั้นไม่ได้มีมากนักจนชายหนุ่มตัวโตจวนจะตกมิตกแหล่

 

       แก้วหัวเราะแผ่วเบา ขยับตัวถอยเพื่อให้มีที่เพียงพอสำหรับอีกคน ก่อนดวงตาสีเข้มจะจับจ้องอย่างรอคอยว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะทำอะไรต่อ

 

       “จูบได้ไหมครับ” เด็กน้อยถาม

 

       “ฉันยังไม่ได้แปรงฟัน” ผู้ใหญ่ตอบ

 

       “ผมรู้”

 

       แก้วไม่ได้บอกอนุญาตเป็นคำพูด แค่หลับตาแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยให้อีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมาได้ถนัด แต่ก็ไม่ได้เปิดปากให้ล้วงล้ำเข้าไปเช่นกัน จูบครั้งนี้จึงไม่ได้ดูดดื่มชวนให้หัวใจไหวสะท้าน เพียงแค่แตะสัมผัสกันผิวเผินแล้วผละออก ก่อนจะแนบชิดลงมาใหม่ที่มุมปาก ข้างแก้ม เปลือกตา หน้าผาก ไล่ลงมาถึงปลายจมูก โชคพรมจูบไปทั่วใบหน้าชายที่เขารัก จากนั้นก็หัวเราะไปด้วยกันเมื่อได้สบตา

 

       แม้หัวใจจะไม่ได้ไหวสะท้าน แต่ก็อุ่นซ่านจนรู้สึกจั๊กจี้

 

       “พอใจแล้วเหรอ” แก้วถาม

 

       “ครับ” โชคตอบ โอบรั้งแก้วเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “แค่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็พอใจแล้ว”

 

       “อือ”

 

       ความเงียบงันที่ไม่ได้ทำให้อึดอัดเข้าปลกคลุม ต่างคนต่างฝังจมูกสูดกลิ่นกายแสนคุ้นเคยของกันและกัน ปล่อยเวลาทิ้งไปอย่างไร้จุดหมายเช่นนั้นโดยที่ไม่มีใครคิดเสียดาย จนกระทั่งร่างกายเรียกร้องอาหาร พวกเขาถึงได้ลุกออกจากห้องนอนลงไปชั้นล่าง

 

       แก้วเข้าไปแปรงฟันในขณะที่โชคจัดสำหรับมื้อสายรอ แต่พอออกมาคนแก่กว่ากลับไม่ได้ตรงไปนั่งประจำที่ตัวเอง มือเรียวตะปบเข้าที่ข้างแก้มของคนรักหนุ่ม ดึงรั้งไปรับจูบร้อนเร่าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ...ทว่าเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ

 

       “อะไรครับ” โชคถามเมื่อปากว่างแล้ว

 

       “หืม” เจ้าของดวงตาสีเข้มและรอยยิ้มยั่วเย้าเหมือนแมวเจ้าเล่ห์ถอยกลับไปที่นั่งตัวเองก่อนจะตอบ “ก็เมื่อกี้ฉันยังไม่พอใจนี่”

 

       “น้าแก้ว...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวอย่างยอมแพ้ให้กับคนตรงหน้า

 

       ไม่ว่าจะคบกันมาสักกี่ปี โชคก็ยังแพ้ให้กับน้าแก้วโหมดนี้เสมอเลย

 



 

       ใกล้หมดเดือนตุลา อากาศเริ่มเย็นลงและไร้ไอชื้นจากฝน โชคจะเริ่มทำงานที่บริษัทของแก้วอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า และแม้บริษัทจะไม่ใช่บริษัทใหญ่โตที่มีระบบบริหารงานซับซ้อนอะไรมากมายนัก กอปรกับที่ทุกคนในบริษัทเป็นห่วงผู้ถือหุ้นและพนักงานเก่าแก่อย่างแก้วที่ยังคงรักษาตัวอยู่จึงอนุญาตให้เขาทำงานที่บ้านได้ แต่ถึงอย่างไรนายสถาปนิกหนุ่มก็ต้องเข้าไปที่สำนักงานหรืออาจจะต้องออกไปพบลูกค้าบ้างเป็นครั้งคราวอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจะได้อยู่กับอีกคนแบบยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันแบบนี้อีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

 

       “ผมไม่อยากห่างแก้วเลย” นิสิตจบใหม่ที่กำลังจะได้ทำงานเริ่มงอแงใส่คนรัก ทิ้งหัวลงบนตักพลางซุกใบหน้าเข้ากับหน้าท้องของอีกฝ่าย “ถ้าผมเริ่มไปทำงานแล้วเราก็จะได้อยู่ด้วยกันน้อยลงสินะครับ ถ้าไปบริษัทก็อาจจะได้อยู่ด้วยกันอยู่ แต่ถ้าไปเจอลูกค้าข้างนอกผมก็คงไปกับพี่อินทีเรียร์คนอื่น...”

 

       “ก็เหมือนเวลาที่เธอไปเรียนนั่นแหละ” คนโตกว่าขยี้หัวเจ้าหมายักษ์คล้ายกำลังปลอบใจ “กลับบ้านมาก็ได้เจอกันแล้ว”

 

       “ผมรู้ แต่ก็อยากอยู่ด้วยกันทั้งวันแบบตอนนี้นี่ครับ” โชคยังคงไม่หยุดบ่นกระปอดกระแปดอย่างขัดใจ แก้วได้แต่ยิ้มอย่างนึกเอ็นดูให้เด็กน้อยของเขา แม้จะอายุถึงวัยเบญจเพสแล้ว แต่โชคก็ยังคงเป็นเด็กในสายตาของแก้วอยู่ดี...

 

       โชคจะไม่มีวันโตทันแก้ว และแก้วก็ไม่อาจหยุดเวลาของตัวเองเพื่อรอโชค

 

       ดวงตาสีเข้มจ้องมองเข็มนาฬิกาเหนือสมาร์ตทีวีจอแบน บ้านหลังนี้ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับตอนที่เจ้าของบ้านคนปัจจุบันเป็นเด็กชาย เขาไม่เคยโยกย้ายมุมจัดวางสิ่งของเลยสักครั้ง แต่ในขณะเดียวกันข้าวของเครื่องใช้ก็มีการเปลี่ยนผ่านตามอายุการใช้งาน ของเก่าผุพังก็เอาออกก่อนนำของใหม่เข้ามาแทนที่

 

       ไม่มีสิ่งใดเป็นนิรันดร์... เวลาไม่เคยหยุดเดิน เช่นเดียวกับที่ไม่อาจต่อรองขอเพิ่มได้

 

       “ไปข้างนอกกันไหม” แก้วเอ่ยชวน ขณะที่ไล้นิ้วสางผมสีดำขลับของคนหนุ่มไปด้วย

 

       “อยากไปไหนครับ” โชคถามกลับ เงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา ยกมือขึ้นไล้เกลี่ยปอยผมยาวที่ผ่านการย้อมดำจนรู้สึกว่ามันแห้งหยาบกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อยออกจากใบหน้าคนที่วัยเยาว์กำลังโรยรา

 

       “เธอเลือกเลย” แก้วก้มลงมากระซิบชิดหน้าผากของโชค นุ่มนวล แผ่วเบา และแสนเศร้าแม้โชคจะมองไม่เห็นมันในแววตาของเจ้าตัว

 

       ที่ไหนก็ได้... ที่ได้ไปกับเธอ

 

 

 

       คำว่าที่ไหนก็ได้พาคนสองคนมายังสถานที่แห่งความทรงจำอันห่างไกล พวกเขาเคยมาที่นี่ด้วยกันเพียงครั้งเดียวเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ตอนที่โชคยังเป็นแค่เด็กชายและแก้วยังคงเป็นชายหนุ่ม

 

       ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพมหานคร... ที่ซึ่งกลิ่นอายประหลาดยังคงลอยอวล ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าเบื่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

 

       คราวนี้พวกเขาขับรถมาเอง ทางที่ใช้เข้าจึงเป็นด้านข้างต่างจากครั้งก่อน โชคจับมือแก้วแน่น ประสานเกี่ยวเรียวนิ้วเข้าด้วยกันอย่างไม่สนใจสายตาใคร เพราะมันไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาต้องกังวลเสียหน่อย คนที่จ้องมองต่างหากที่กำลังทำตัวไร้มารยาท

 

       “รอบบ่ายโมงนะคะ อีกห้านาทีไปรอที่ทางเข้าเลยก็ได้”

 

       โชคเอ่ยขอบคุณพร้อมยิ้มรับตั๋วเข้าชมท้องฟ้าจำลองจากพนักงาน ก่อนเดินกลับไปหาน้าแก้วที่ยืนรออยู่นอกแถว ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มีเวลาให้เข้าไปเดินเล่นดูนิทรรศการเหมือนอย่างครั้งก่อน จึงตรงไปที่โดมจัดแสดงท้องฟ้าจำลองกันเลย

 

       แอร์ยังคงเย็นฉ่ำจนหนาวยะเยือก แต่เพราะพวกเขาต่างใส่เสื้อแขนยาวกันอยู่แล้วจึงไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ส่วนมือของคนที่ไวกับอากาศก็ไม่ได้เหน็บหนาวเมื่ออีกคนเอื้อมมือมากอบกุมมือเขาไว้ โชคหันมายิ้มให้ และแก้วก็ยิ้มตอบ ก่อนจะเอนศีรษะไปพิงซบกับไหล่กว้าง ขณะที่ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองไปยังท้องฟ้าเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องฉายภาพ

 

       จักรวาลกว้างใหญ่บนเพดานโค้งมนจำกัด ถูกแต่งแต้มด้วยแสงสว่างของภาพจำลองดวงดาวนับล้าน หมู่ดาวนับแสน กาแล็กซี่นับหมื่น ก่อนจะขยายเจาะจงเข้ามายังทางช้างเผือกที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของโลกใบนี้

 

       เสียงของผู้บรรยายนุ่มทุ้มและราบเรียบขณะบอกเล่าเรื่องราวของดวงดารา แต่ครั้งนี้แก้วกลับไปคิดอยากหลับ ภาพบนจอเหนือหัวยังคงเปลี่ยนผันไปเรื่อยๆ บ้างลากเส้นโยงใยเป็นรูปร่างของหมู่ดาว บ้างก็กลายเป็นภาพจำลองของเทพเจ้าและเหล่าสัตว์ในตำนานกรีกโบราณ แต่ภาพเดียวในดวงตาของเขากลับเป็นเสี้ยวหน้าของชายหนุ่ม...

 

       แก้วรักโชค ทว่าว่าเขาค่อยๆ รักที่ละเล็กทีละน้อยผ่านวันเวลานานนับปี นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอย่างนี้

 

       บางทีมันคงเป็นความรู้สึกของการตกหลุมรัก

 

       ใต้โดมเล็กๆ ที่มีแสงสลัวรางของดวงดาวจำลองส่องลงมา บนเก้าอี้เบาะหนังที่เย็นเฉียบเพราะเครื่องปรับอากาศพ่นลมอุณหภูมิต่ำปะทะ ในอุ้งมือใหญ่ที่อบอุ่นของคนที่เคยตัวเล็กจนนั่งบนตักเขาได้

 

       ...อุ่นร้อนและอ่อนโยน

 

       การตกหลุมรักของชายวัยสี่สิบแปดปี มันเกิดขึ้นในสถานที่เช่นนี้เอง

 

 

 

       หลังออกจากอาคารโดมจำลอง โชคในวัยยี่สิบห้าปีไม่ได้สนใจนิทรรศการวิทยาศาสตร์ในตึกเหมือนเช่นในวันวานแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปเดินชมสิ่งต่างๆ เบียดเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษา แต่เดินไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ชิดริมรั้วกันแทน

 

       ภายในอควาเรียมขนาดย่อมยังคงไม่แตกต่างไปจากที่จดจำได้นัก ทางเดินทอดยาวไม่กี่เมตรถูกขนาบข้างด้วยตู้โชว์ มีแทงก์น้ำทรงกลมตรงทางเข้า มีบ่อน้ำไม่ใหญ่มากแบบเปิดอยู่ตรงกลางระหว่างทางเดินยกระดับกับพื้นธรรมดา และที่มุมสุดก่อนถึงประตูทางออกก็เป็นห้องจัดแสดงเปลือกหอยคละรูปร่าง

 

       มันไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อพวกเขาต่างเคยได้ไปอควาเรียมใหญ่ที่ครบครันทั้งที่ใจกลางเมืองกรุงแห่งนี้ และที่ติดอ่าวโอซาก้าในต่างแดนมาแล้ว

 

       ทว่าแม้จะไม่ได้น่าสนใจนัก มันก็ยังคงเต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็กของโชค และความรงจำในตอนที่เริ่มต้นการเป็นผู้ปกครองของแก้ว

 

       กว่าสิบแปดปีแล้วนับจากวันนั้น

 

       “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันไปหาต้นเสียง โชคหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปเขาที่หน้าตู้ปลาการ์ตูนเอาไว้

 

       “ยังจะถ่ายรูปฉันไว้อยู่เหรอ” เอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนัก “ฉันแก่แล้วไม่น่าดูหรอกนะ”

 

       “ไม่หรอกครับ ไม่เลย” แต่กลับได้คำตอบกลับจริงจังหนักแน่น “น้าแก้วยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”

 

       ภาพสะท้อนของตนในดวงตาคมคู่สวยทำให้เขารู้สึกเหมือนมันเป็นจริงดังนั้น

 

       ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน แก้วจะยังคงเป็นชายคนนั้นในสายตาของโชค ...ในหัวใจของโชค

 

       “ผมรักแก้วมากเลยนะรู้ไหม” โชคพูดขึ้นมาขณะที่จูงมือกันเดินไปตามบาทวิถีเพื่อไปหาของกินในห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงข้ามถนน

 

       “รู้สิ...” และแก้วก็ตอบกลับไปพร้อมกับหยุดฝีเท้าที่ก้าวเดิน รอคอยให้โชคหันกลับมาแล้วจึงคอยพูดต่อ “ฉันก็รักเธอมากเหมือนกัน”

 

       “ผมรู้ครับ”

 

       “อืม”

 

       ผ่านมาจะสิบเก้าปี โชครู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าของแก้วมันกว้างขึ้นมาก

 

       คงจะเป็นเพราะความรักของเขามันถึงได้ผลิบาน... หวังว่ามันจะเป็นเพราะความรักของเขา

 

       และมันก็เป็นเพราะโชคจริงๆ แก้วรู้ตัวดี

 

 

 

...TBC

       ขมไม่สุด แต่ก็ไม่ได้หวานจับใจ นิยายเรื่องนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายความเหงาสมเป็นนิยายเหงาอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเวลาเกือบสิบเก้าปีที่ผ่านพ้นไปก็ทำให้รอยยิ้มของน้าแก้วกว้างขึ้นแล้วนะคะ 

       วันนี้ขอทอล์กสั้นๆ เพราะรีนไม่สบายแหละค่ะ กลัวจะเป็นโควิดแต่ในประเทศนี้ถ้าไม่ตรวจ=ไม่เจอ=ไม่เป็น แง้ แต่จริงๆ ก็คือรีนแพ้อากาศค่ะ พอดีช่วงนี้จากหนาวๆ ลมดีๆ กลายเป็นร้อนเปรี้ยงร่างกายเลยปรับไม่ทันจนป่วยนอนซมเลย ยังไงก็ตาม ทุกคนรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ขอให้แข็งแรงๆ กันน้าาา

 

       ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจเสมอ

       ขอบคุณค่า

 

       See You on Thursday

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 46 [14.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-12-2020 21:44:19
มาเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี  :-[ ความรักของน้าแก้วกับโชคมันเป็นอะไรที่มากกว่ารัก เป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน  :กอด1: โชคคิดถูกแล้วเรื่องแม่ ปล่อยให้เป็นความทรงจำที่ดีปนขมไปซะ ใจจะสงบขึ้นเอง มีน้าแก้วอยู่ด้วยก็พอ   :katai2-1: ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4: เป็นกำลังใจให้ทุกตอนและดูแลตัวเองด้วยนะคะ  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 47 [17.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 17-12-2020 21:03:51

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 47

 

       ลมหนาวช่วงท้ายปีมักหอบพัดเอาความทรงจำเก่าๆ กลับมาเยี่ยมเยือน ในขณะที่กำลังรื้อต้นสนพลาสติกออกมาเตรียมจะเอาลงไปตั้งรับเทศกาลคริสต์มาสยังที่ประจำของมันในห้องนั่งเล่น โชคก็เหลือบไปเห็นว่าตู้ลิ้นชักเก็บของที่มุมห้องถูกกองทัพปลวกจับจองสร้างรังเกาะแผ่นไม้ด้านข้างไปเสียเกือบครึ่งแผง

 

       และเพราะอย่างนั้นกิจกรรมตกแต่งต้นคริสต์มาสประจำปีจึงต้องถูกพักเอาไว้ก่อน แล้วมาลงมือจัดการรื้อของออกจากตู้ไม้พร้อมจัดการปัญหาปลวกกวนใจแทน

 

       “เดี๋ยวตอนบ่ายๆ เขาจะส่งคนมา” แก้วยืนอยู่หน้าประตูห้องที่เปิดกว้าง เช่นเดียวกับบานหน้าต่างห้องเก็บของที่นานๆ ทีถึงจะได้เปิดระบายอากาศจนทำให้ค่อนข้างอับทึบและชื้นจนมีมดปลวกมาอาศัยสร้างรังอยู่อย่างในตอนนี้เอ่ยบอก หลังจากที่เขาโทรศัพท์ไปหาบริษัทรับกำจัดปลวกแล้ว

 

       “ครับ” โชครับคำแล้วพูดต่อ “น้าแก้วลงไปอยู่ข้างล่างเถอะ ในนี้ฝุ่นไม้มันฟุ้ง เดี๋ยวผมเก็บของออกจากตู้ก่อน”

 

       “อืม” แก้วครางรับอย่างว่าง่าย ไม่คิดจะดื้อดึงอยู่ช่วยชายหนุ่มเมื่อในปอดของเขาสูญเสียพื้นที่ให้ก้อนเนื้อไปหลายส่วนจนทำให้มีปัญหากับระบบหายใจเรื้องรังเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้จากไปในทันที “งั้นเดี๋ยวต้นคริสต์มาสปีนี้ฉันจัดการให้เองแล้วกัน”

 

       คำเสนอช่วยแบ่งเบาภาระงานในบ้านนั้นถูกตอบรับด้วยรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น แก้วอุ้มกล่องลังที่เต็มไปด้วยของประดับประดา ในขณะที่โชคยกต้นสนพลาสติกสูงท่วมอกเดินตามอีกคนลงมาส่งให้ที่ชั้นล่าง จากนั้นสักพักเอาถุงใส่สายไฟหลากสีลงมาให้อีกอย่าง ก่อนตัวเองจะวนกลับขึ้นบ้านไปจัดการกับห้องเก็บของต่อ

 

       เป็นวันหนึ่งในช่วงปลายปีที่วุ่นวาย แต่ก็เรียบง่ายเหมือนเช่นเคย

 

 

 

       วันต่อมาท้องฟ้าหน้าหนาวปลอดโปร่ง แดดจ้าสาดส่องลงมาปะทะกับสายลมเย็นทำให้รู้สึกไม่แสบร้อนนัก ต้นคริสต์มาสถูกประดับประดาดีไซน์แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเมื่อปีนี้เป็นฝีมือของแก้ว แต่ก็ยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อของทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของที่ใช้ประจำ

 

       โชคซักตากผ้าตะกร้าใหญ่ที่รื้อออกมาจากตู้ปลวกเจาะบนชั้นสองตั้งแต่เช้า และเมื่อตกบ่ายผ้าแห้งดีก็ออกไปเก็บมาเตรียมพับเข้าตู้เก็บของอีกใบที่ยังมั่นคงแข็งแรงตั้งอยู่ในห้องเก็บของที่ถูกทำความสะอาดและเปิดหน้าต่างระบายอากาศเรียบร้อยแล้ว

 

       ในขณะที่ปล่อยให้เสียงโทรทัศน์ดังคลอชั้นล่างของบ้าน พัดลมส่ายไปมาด้วยเบอร์ต่ำสุด โมกตรงเข้ามาหมายจะย่ำกองผ้าจนโดนโชคดุห้ามวุ่นวายกันไปยกใหญ่ และท่ามกลางกองสิ่งทอที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นก็มีบางสิ่งปะปนอยู่ในนั้น บางสิ่งที่กวนตะกอนความทรงจำให้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ สะท้อนเงาซีดจางอยู่หลังนัยน์ตาคู่สวย

 

       ...ผืนผ้าชีฟองสีเข้มใต้ลวดลายผีเสื้อสยายปีก และคล้ายว่าปีกบอบบางของแมลงแสนสวยที่แน่นิ่งนั้นมีแรงกระพือพัดพาวันเวลาให้หวนย้อนกลับไปในอดีตแสนห่างไกล

 

       ความรู้สึกเก่าๆ ลอยฟุ้งกรุ่นชัด แม้ภาพใบหน้าของหญิงชราจะพร่าเลือน

 

       ยายหอม... ความโชคดีแรกของเด็กชายโชค และเธอก็จากไปในสายฝนของเดือนกันยา ขณะที่เขากำลังพับผ้าอย่างในตอนนี้พอดี

 

       น่าเศร้าที่หลังจากนั้นเขาในวัยเยาว์ก็ไม่ได้รู้เรื่องของเธออีกเลย ไม่ได้มีแม้แต่โอกาสไปร่วมส่งลาในงานศพ ไม่มีแม้สักคำขอบคุณที่พูดออกไปด้วยความตั้งใจอย่างเหมาะสม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ยายแก่ทำให้เขานั้นสำคัญกับตนแค่ไหน

 

       ในตอนนั้น... เขายังเด็กเกินไป

 

       “คิดอะไรอยู่” แก้วที่เดินมานั่งลงช่วยพับผ้าเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินทางอยู่ในห้วงความคิดจนไม่สังเกตเห็นแม้เขาจะเข้ามาใกล้

 

       “ครับ?” ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์กลับมายังปัจจุบันที่ผืนผ้ารอบกายไม่ใช่สถานที่สุดท้ายของใครคนหนึ่ง หันมาสบกับดวงตาที่ยังคงมีประกายชีวิตในแก้วตาสีเข้มของคนรัก แล้วจึงค่อยตอบคำถาม “ผมกำลังคิดถึงตอนเด็กๆ น่ะครับ... มียายข้างบ้านชื่อยายหอม แกเป็นคนเลี้ยงผมหลังจากที่แม่ทิ้งไป ...ผมเคยเล่าให้แก้วฟังไหมครับ”

 

       “นิดหน่อยน่ะ” แก้วตอบ ดวงตาทอแสงอ่อนโยนลงอีกเมื่อคิดถึงเด็กชายตัวน้อยที่ร้องไห้ออกมาทั้งที่ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความตายคนนั้น "แต่ตอนนั้นเธอเด็กมาก เรื่องที่เล่าเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่”

 

       “เหรอครับ” โชคหัวเราะผะแผ่ว นึกย้อนกลับไปถึงความหลังในความเงียบงัน และแก้วก็ทำเพียงแค่ระบายยิ้มอ่อนจางอย่างรอคอยแทนคำบอกกล่าวว่าจะรับฟังเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจของเขาให้เอง

 

       “ตอนนี้ผมจำหน้ายายหอมไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ผมจำได้นะว่าเวลายายยิ้มตาจะหยีจนเป็นเส้น ...ใจดีมากด้วยล่ะครับ คอยหาข้าวให้ผมกิน หาเสื้อผ้าให้ใส่ ช่วยทำแผลให้... แล้วก็จะได้กลิ่นเหมือนน้ำอบจากตัวแกอยู่ตลอดเลยด้วย...” เรื่องราวเล็กน้อยไม่ปะติดปะต่อ แต่กลับทำให้รับรู้ได้ถึงความเหงาในห้องคับแคบริมคลองของคนสองคนที่ใช้เวลาแต่ละวันไปด้วยกันอย่างชัดเจน

 

       เรื่องของยายหอมที่โชคจดจำได้มีไม่มากมายนัก มันจึงจบลงอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงม่านความรู้สึกที่ลอยคว้าง หลงทางในอากาศ และวูบไหวเมื่อยามสายลมพัดมาต้องโดน ...เหมือนกับน้ำเสียงแตกพร่าเล็กน้อยของชายหนุ่มยามเอ่ยพูดความเสียใจสุดท้ายที่ค้างคาออกมา “ยายหอมเป็นคนสอนให้ผมพูดคำว่าขอบคุณ แต่ผมไม่เคยได้บอกขอบคุณยายเลย... ทั้งที่ยายเป็นคนแรกที่ควรได้ยินคำนั้นแท้ๆ”

 

       แก้วไม่ได้พูดอะไร และโชคก็ไม่มีอะไรให้พูดต่อเช่นกัน พวกเขาต่างนั่งพับผ้ากันเงียบๆ จนเสร็จเรียบร้อย ก่อนโชคจะเป็นคนยกกองผ้าขึ้นไปเก็บใส่ตู้บนห้องเก็บของ โดยแยกเก็บผ้าคลุมไหล่แสนสวยไว้ในช่องลิ้นชักบุกำมะหยี่สำหรับเก็บเครื่องประดับที่ว่างเปล่าอย่างหวงแหน

 

       สมบัติเพียงชิ้นเดียวของเขาที่นำติดตัวมาจากคุ้มริมน้ำ

 

       เช่นเดียวกับที่มันเป็นสมบัติล้ำค่าเพียงชิ้นเดียวของหญิงชรา

 

       โชคจะเก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดี...

 

 

 

       ความมืดที่มีแสงเรื่อรางจากเครื่องปรับอากาศ ย้อมราตรีกาลในห้องนอนให้กลายเป็นสีน้ำเงิน บนเตียงนอนกว้างใหญ่ที่เจ้าของบ้านใช้หลับนอนด้วยกัน โชคขยับเข้าไปใกล้แก้ว ไม่ได้คว้ามากอดเมื่ออีกฝ่ายหนุนนอนหมอนสูงและดูอึดอัดกับการหายใจ เขาเพียงแค่วางมือทาบทับหลังมือแข็ง ก่อนกระชับกุมไว้เพื่อให้ไออุ่นจากตัวเองไหลสู่ผิวเนื้อที่เริ่มจะเย็นน้อยๆ เพราะอากาศ

 

       “น้าแก้ว”

 

       “หืม”

 

       “ขอบคุณครับ... สำหรับทุกอย่างเลย”

 

       “อืม”

 

       “ผมรักแก้วนะ”

 

       “ฉันก็รักเธอเหมือนกันโชค ...ขอบใจ”

 

       “ครับ”

 

       บทสนทนาก่อนห้วงนิทรามาเยือนนั้นแผ่วเบา ซ้ำซากราวกับกล่าวมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ก็ยังอยากจะพูดบอกออกไป เพราะต่อให้ใช้ถ้อยคำลึกซึ้งกินใจมากมายหลายล้านคำแค่ไหนมันก็ไร้ค่าหากส่งไปไม่ถึงปลายทาง...

 

       หากในวันนั้นคนที่อยากให้รับฟังไม่อยู่ตรงนี้อีกแล้ว

 



 

       หลังจากเข้าสู่ปีใหม่ได้ไม่นานก็มีข่าวน่ายินดีพร้อมกับซองกระดาษสีชมพูถูกส่งมาให้ ข้อความด้านในบอกกล่าวว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน

 

       ในวัยสี่สิบเก้าปี เนตรจะเริ่มต้นชีวิตคู่ใหม่อีกครั้งกับชายหนุ่มรุ่นน้องที่เข้ามาขอโอกาสดูแลเธอ

 

       วันงานจะถูกจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์แห่งความรัก แต่เป็นวันที่ยี่สิบเอ็ดเพราะตรงกับฤกษ์ดี แขกเรื่อที่ได้รับเทียบเชิญมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวและคนใกล้ชิดสนิทสนมของบ่าวสาว ซึ่งครอบครัวของอดีตสามีที่เลิกรากันไปด้วยดี และในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ยังคงติดต่อกันอยู่เสมอเพราะเรื่องของลูกไว้ด้วย

 

       ส่วนแก้วกับโชคนั้นแน่นอนว่าถูกนับรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวธีร์ที่สนิทสนมกับเมษาลูกชายของเจ้าสาว และแม้พวกเขาจะไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง แต่เมื่อคนเราโตเป็นผู้ใหญ่ คนรอบตัวที่ยังพอมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอยู่บ้างก็เหลือไม่มากแล้ว

 

       ทว่าน่าเสียดายที่วันเวลาไม่เป็นใจนัก วันงานเป็นวันหลังจากการเข้ารับยาเคมีบำบัดของแก้วพอดี แขกจากบ้านนี้จึงไม่ได้เดินทางไปร่วมงาน มีเพียงซองกับคำอวยพรที่ฝากผ่านธีร์ไปส่งให้กับทางเจ้าภาพ

 

       “เป็นไงบ้างครับ เวียนหัวรึเปล่า” หลังจากยามเช้าที่แก้วหน้ามืดในห้องน้ำแต่โชคดีที่คว้าขอบอ่างล้างหน้าไว้ได้ทันก่อนจะล้มลงกระแทกพื้น และโชคก็โสตประสาทไวพอที่จะได้ยินเสียงความผิดปกติแล้วพุ่งเข้ามารวบตัวแก้วพยุงไปนอนพักบนโซฟาได้ในทันที ชายหนุ่มก็คอยเฝ้าดูแลอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน

 

       “ไม่เป็นไรแล้ว” คนน่าเป็นห่วงที่งีบหลับไปพักใหญ่หลังจากกินยาแก้วิงเวียงตอบ ขยับลุกขึ้นนั่งโดยมีอีกคนช่วยประคอง “กี่โมงแล้ว”

 

       “จะเที่ยงแล้วครับ หิวรึเปล่า” โชคตอบพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือด้วยความห่วงใยในแววตา

 

       “อืม หิวแล้ว” แก้วว่า และโชคก็ยิ้มกว้างกับการที่เขามีความอยากอาหาร

 

       มื้อเที่ยงสงบสุขมีบทสนทนาเรื่อยเปื่อย พอกินเสร็จโชคก็จัดการเก็บกวาดล้างจานก่อนจะเข้าไปทำงานต่อในห้องทำงาน แม้เจ้าตัวจะอยากยกเครื่องคอมพิวเตอร์ออกมานั่งทำที่ห้องนั่งเล่นเพื่อที่แก้วจะได้อยู่ในสายตาตลอดจนใจจะขาดก็ตาม แต่ก็โดนคนโตกว่าหยุดไว้ด้วยดวงตาดุๆ และคำพูดที่ว่า ‘ฉันไม่ใช่เด็ก’ เสียก่อน

 

       จนกระทั่งบ่ายแก่กล้ามเนื้อและดวงตาของมัณฑนากรหนุ่มก็เริ่มประท้วงขึ้นมาเมื่อเข้าใช้งานมันอย่างหนักอยู่หน้าจอติดต่อกันมาหลายชั่วโมง โชคยืดเส้นยืดสายบิดตัวไปมาพร้อมกับลุกยืนเตรียมจะออกไปดูอีกคนว่าโดนผลข้างเคียงจากยาเคมีเล่นงานอีกหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินแม้สักก้าว หางตาที่เหลือบไปมองนอกหน้าต่างก็พาคนในความคิดมาอยู่ในกรอบสายตา

 

       ช่วงท้ายเดือนกุมภาพันธ์ไร้ไอหนาวแล้ว บนม้าหินติดเฉลียงยกสูงถูกจับจองด้วยขาประจำ และต้นไม้กลางลานก็ยังคงขยันโปรยดอกสีขาวลงมายามเมื่อลมโชยพัด หอบเอากลิ่นหอมจางให้ลอยละล่องไปทั่วบริเวณ แมวหนุ่มนิสัยซุกซนวันนี้กลับสงบเสงี่ยมอยู่บนตักของชายที่หรี่ตามองริ้วแสงเหนือยอดไม้เอนไหว ดวงตาสีเข้มมองไปยังท้องฟ้าโดยไร้จุดหมายแน่ชัด ราวกับกำลังเดินทางไปในห้วงอากาศ

 

       ในลานอิฐทิศตะวันตกยังคงเหมือนเดิมทุกประการ มีเพียงแก้วที่นั่งอยู่ตรงนั้นที่แลดูบอบบางซูบผอมลงไป

 

       แต่ถึงอย่างไรแก้วก็ยังคงงดงาม... ไม่แปรเปลี่ยนไปเลยในสายตาของผู้เฝ้ามอง

 

       ชายหนุ่มหยุดมองภาพนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินออกไปโดยมีปลายทางคือเจ้าของหัวใจ ...เผื่อว่าบางทีน้าแก้วของเขาอาจจะเหงาปากจนอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาอีก

 

       โชคไม่ปล่อยให้แก้วคิดถึงบุหรี่มากกว่าคิดถึงเขาหรอกนะ

 

 

 

       คืนนั้นก่อนเข้านอนแก้วเอนหลังพิงหัวเตียงมองจอสมาร์ตโฟนอยู่นานสองนาน โชครู้สึกว่ามันผิดวิสัยปกติของอีกฝ่ายที่ไม่เล่นมือถือก่อนนอนเล็กน้อยเลยขยับเข้าไปใกล้ แต่ก็ไม่ได้ละลาบละล้วงแอบมองโดยพลการ เพราะอย่างไรเสียโทรศัพท์ก็ถือเป็นของส่วนตัว ที่แม้จะเป็นคนรักกันก็ใช่ว่าจะทำตัวเสียมารยาทรุกล้ำเข้าไปยุ่มย่ามได้

 

       “ดูอะไรอยู่ครับ” เขาถามเสียงอ่อนอย่างต้องการความสนใจบ้าง

 

       “หืม” แก้วเบนสายตามาหา ยกยิ้มส่งให้อย่างรู้ว่าเจ้าหมาต้องการอะไร ก่อนหันหน้าจอที่กำลังดูรูปถ่ายที่ถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทให้อีกฝ่ายดูบ้าง “งานแต่งเนตรน่ะ”

 

       “เหรอครับ” เห็นดังนั้นชายหนุ่มเลยขยับไปนอนชิดอีกคน วาดแขนไปวางพักบนหมอนนุ่มที่ซ้อนหลังแก้วอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะซบหัวลงบนไหล่กว้างทว่าผอมบางเพื่อดูรูปต่อไปด้วยกัน “อาเนตรสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ”

 

       “อืม สวยมากเลยล่ะ”

 

       “คนนี้เจ้าบ่าวเหรอ” พอเลื่อนมาถึงรูปถ่ายของคู่ชายหญิงในชุดขาวยืนคู่กัน โชคก็แสดงความเห็นออกมา เกี่ยวกับฝ่ายชายที่ยังคงดูเยาว์วัยอยู่มากเมื่อเทียบกับหญิงสาววัยใกล้ห้าสิบปี “...ยังดูเด็กอยู่เลย”

 

       “ห่างกันเจ็ดปีน่ะ ตอนนี้เพิ่งสี่สิบนิดๆ เอง” แก้วบอก เอียงหัวไปชนกับคนรักอายุน้อยของตัวเองบ้าง “แต่ก็เด็กไม่เท่าเธอหรอกนะ”

 

       “แล้ว...เด็กแล้วไม่ดีเหรอครับ” ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองสบ วาววับอย่างออดอ้อนและหยอกเย้า

 

       “ไม่รู้สิ” เขาตอบกลับทันทีอย่างไม่ต้องคิด ก่อนจะแหย่หมาน้อยด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของแมวโตเต็มวัยผู้เจนจัด “แล้วเธอล่ะ คนแก่แบบฉันมีอะไรดีนักรึไง”

 

       โชคเงียบงัน มองรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้น้าแก้วดูยั่วยวนโดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจงใจหรือเปล่า แต่จะจงใจหรือไม่ก็ช่างประไร เพราะจะอย่างไหนมันก็เป็นเหตุผลที่มากพอให้เขากดจูบลงไปบนนั้นเป็นคำตอบ “ผมน่ะพอรักแก้วแล้วก็คิดแค่ว่ารัก ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลยครับ”

 

       “หืม คิดหน่อยก็ดีนะ” แก้ววางโทรศัพท์ ตะแคงตัวหันเข้าหาคนข้างกาย วางมือลงบนกลุ่มผมไม่สั้นไม่ยาวนักแล้วลูบเสยตามไปแนวหู

 

       “ส่วนแก้วน่ะคิดมากเกินไป” คนโดนลูบไล้อย่างอ่อนโยนยึดมือที่มอบสัมผัสอบอุ่นมากุมไว้ แนบริมฝีปากลงบนปลายนิ้วเรียวยาว พลางนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่แก้วใช้ไปในการทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา

 

       “ฉันก็ต้องคิดสิ” คนโดนกล่าวหาพรูลมหายใจยาว แววตาอ่อนลงแต่ยังคงความจริงจังเอาไว้ “ฉันเลี้ยงเธอมานะโชค ฉันอยากจะแน่ใจว่าที่เธอรู้สึกกับฉันมันเพราะเธอรักฉันจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะฉันใจดีกับเธอ หรือเพราะฉันเป็นคนเดียวที่เธอจะพึ่งพาได้เลยเอาหัวใจมาผูกไว้กับฉันแล้วหลงคิดไปว่ามันคือความรักน่ะ”

 

       “แล้วแก้วคิดว่ายังไงครับ” คำถามนั้นทำให้แก้วครุ่นคิด เขามั่นใจว่าโชครักเขา แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่ไม่แน่ใจว่ามันเริ่มมาจากความรู้สึกต้องการที่ยึดเหนี่ยวด้วยความไร้เดียงสาหรือเปล่า

 

       “ฉันไม่แน่ใจ” รู้สึกขมฝาดขึ้นมาเมื่อพูดจบ เพราะแม้จะยังไม่มั่นใจเต็มร้อยแต่เขากับโชคก็มาไกลกันถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งที่บางทีมันอาจจะเป็นการใช้ประโยชน์จากความรักที่ก่อตัวขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ถูกชักนำของเด็กชายมาห่อหุ้มหัวใจเดียวดายของตัวเองก็ได้ ช่างเป็นผู้ใหญ่ที่น่าละอายเสียจริง

 

       “ผมต้องทำยังไงให้แก้วแน่ใจ” คำถามของโชคดึงแก้วกลับมาอยู่ต่อหน้าแววตามั่นคงและลึกซึ้งซึ่งสะท้อนภาพเขาอย่างซื่อตรง “ผมรักแก้ว ไม่ใช่แค่เพราะแก้วใจดีหรอกนะ ถึงจะไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากแบบที่แก้วบอกรึเปล่า แต่ถ้ามันเป็นแค่ความรู้สึกของเด็กๆ แบบนั้นมันก็น่าจะจางไปบ้างสิครับ แล้วแก้วก็ไม่เคยขอให้ผมรักนี่ ผมรักของผมเอง ผมเคยพยายามลองรักคนอื่นแล้วด้วย แต่มันก็ไปไม่รอด...”

 

       “ผมน่ะ... มั่นใจนะว่าผมรักแก้วด้วยตัวของผมเอง” มือใหญ่ไล้เรียวนิ้วของอีกฝ่ายให้เหยียดออก ทาบฝ่ามือราวกับเป็นเด็กน้อยที่กำลังเทียบขนาดมือกัน “ผมรักแก้วมาก...รักมากมานานขนาดนี้แล้ว แก้วเชื่อผมเถอะนะครับ”

 

       “อือ” คำตอบแสนสั้น แต่เขาจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้ แค่ได้เห็นแก้วยิ้มออกมาผ่านดวงตาสีเข้มที่ระยะห่างระหว่างกันค่อยๆ ลดลงจนลมหายใจที่กั้นกลางสลายไป หลงเหลือไว้เพียงความร้อนที่มอบประทับแผ่วเบาบนกลีบปาก กับร่างกายที่กอดก่ายกันเอาไว้แนบแน่น

 

       เขาจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้...

 



 

       พายุฤดูร้อนก่อตัวในช่วงกลางเดือนมีนาคม โหมกรรโชกแรงจนต้องปิดบานหน้าต่างรอบบ้านกันฝนสาดเข้ามา แก้วมีไข้อ่อนๆ และโมกก็หวาดกลัวเสียงฟ้าร้องคำราม

 

       ชายหนุ่มผู้ต้องดูแลแมวสองตัวที่นอนขดอยู่บนเตียงในห้องนอนจึงต้องเดินขึ้นลงบ้านไม่ว่างเว้น

 

       “หนาวไหมครับ น้ำเย็นไปรึเปล่า” โชคถามขณะที่ปั้นผ้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดใบหน้าและลำคอให้คนป่วย

 

       “อือ แต่ห่มผ้าแล้วร้อน” แก้วงึมงำตอบ พลางปัดผืนผ้านวมให้พ้นตัว

 

       “เท้าเย็นหมดแล้วนะครับ” พยาบาลจำเป็นว่า แต่มือก็ช่วยดึงผ้าห่มผืนหนาไปกองไว้อีกฝั่งเตียง ก่อนจะลุกไปรื้อค้นตู้เสื้อผ้าแล้วกลับมาประคองอีกฝ่ายขึ้นนั่ง “ไม่ห่มผ้าก็ได้ครับ แต่ใส่เสื้ออีกตัวกับถุงเท้าก่อนนะ”

 

       “อือ” ชายวัยกลางคนที่ในหัวมึนงงเพราะพิษไข้ยอมให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย สอดแขนสวมเสื้อแขนยาวตามที่คนรักหนุ่มบอกราวกับเด็กน้อยที่กำลังฝึกแต่งตัว แต่หลังจากที่ชายเสื้อทิ้งคลุมลงสุดความยาว เขาก็ทิ้งตัวลงนอนต่ออย่างอ่อนล้าทันที ปล่อยให้หน้าที่สวมถุงเท้าให้ตนเป็นของอีกคน

 

       โชคส่งยิ้มให้เมื่อแก้วพยายามปรือตามองเขา ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบวนกอบกุมปลายเท้าเย็นเฉียบเอาไว้เพื่อถ่ายอุณหภูมิความร้อน ก่อนจะบรรจงสวมเครื่องกันหนาวให้อย่างใจเย็นและตั้งใจ

 

       “ขอบใจ” เสียงพึมพำแผ่วเบา แต่ก็ได้ยินชัดเจน

 

       “ครับ” เขารับคำแล้วเอนตัวลงนอนข้างๆ พร้อมกับจับมือเรียวไว้ให้ไออุ่นจากร่างกายตัวเองซึมผ่านไปหาเจ้าตัว ไม่นานนักก็รู้สึกง่วงตาม และก่อนจะร่วงสู่ห้วงนิทราไปด้วยกันเขาก็รับรู้ได้ถึงก้อนขนนุ่มที่มาซุกอยู่กับท่อนขา

 

       อบอุ่น... แม้อากาศจะเย็นชื้นท่ามกลางเสียงลมฝนฟ้าคะนอง

 

 

 

       ท้องฟ้าหน้าร้อนหลังมรสุมสลายตัวปลอดโปร่งโล่งแจ้ง และแสงแดดก็ร้อนแรงแผดเผาให้อบอ้าวจนร่างกายกระหายน้ำ

 

       โชคออกมาดูต้นไม้ดอกไม้ในสวนข้างบ้านว่าถูกฝนชะดินออกจากกระถางไปหมดแล้วหรือยัง และในขณะที่กำลังเติมดินใส่ปุ๋ยให้กับต้นกุหลาบขาวที่รอดชีวิตกำลังแตกกิ่งผลิดอกตูมอยู่ สิ่งที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ก็เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาสาดแสงแยงตาถึงหน้าบ้านไม้สีขาวสองชั้น

 

       ...แม้วันแห่งความรักจากไปพร้อมกับเดือนกุมภา แต่ดูท่าว่าปีแห่งความรักจะยังไม่สิ้นสุดลง

 

       หญิงสาวเต็มวัยกำลังสดสวยเต็มที่ยืนฉีกยิ้มหวานหยดให้น้องชายต่างสายเลือด

 

       “งานแต่งงานพี่ ไปให้ได้นะโชค”

 

       ปรางกำลังจะแต่งงาน กับคนรักชาวต่างชาติของเธอ...

 

       เรื่องการจดทะเบียนสมรสและเอกสารต่างๆ จะดำเนินการที่ต่างแดนเพราะปรางได้แปลงสัญชาติเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว และคู่สมรสเองก็เป็นอเมริกันชนโดยกำเนิด ส่วนงานพิธีจะกลับมาจัดที่ประเทศไทยในเดือนมิถุนายน บนเกาะริมชายหาดทะเลอันดามันของจังหวัดภูเก็ต

 

       มันยังเป็นเพียงคำชวนปากเปล่าเพราะการเตรียมงานและออกแบบการ์ดเชิญยังไม่พร้อมดีด้วยซ้ำ แต่ปรางก็อยากจะมาบอกข่าวแก่น้องชายด้วยตัวเองแต่เนิ่นๆ ในระหว่างที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิดและวางแผนงานแต่งงาน

 

       โชคสวมกอดพี่สาวคนสวยเอาไว้แน่นด้วยความยินดีจากใจ รู้สึกตื้นตันและตื่นเต้นไปด้วยทั้งที่ไม่ใช่คนที่จะเข้าพิธีเองเสียหน่อย แต่เพราะเขาเห็นว่าในดวงตาสีน้ำตาลกระจ่างใสคู่นั้นมันทอประกายเช่นไรยามหญิงสาวพูดถึงงานสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

       ...มันมีความสุขมากมายจนแทบจะล้นทะลักออกมา

 

       “พี่ปราง” โชคเอ่ยเรียกเมื่อเดินออกไปส่งสาวเจ้าถึงหน้าประตูรั้ว

 

       “คะ?” สาวสวยหันกลับมา แจกรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ดวงตะวันล่าถอย

 

       ปรางกำลังจะได้เป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดและมีความสุขที่สุดในวันแต่งงานของเธอ

 

       และเช่นเดียวกัน...

 

       “คนคนนั้นโชคดีมากเลยนะครับ”

 

       “อื้อ แต่จริงๆ ก็โชคดีกันทั้งคู่นั่นแหละ”

 

       คำตอบรับแสนอ่อนโยนเหมือนกับที่ฉายแววอยู่หลังนัยน์ตา แม้จะยังไม่เคยได้เจอกับคนรักของหญิงสาว แต่โชคก็มั่นใจว่าใครคนนั้นคงคู่ควรแล้ว... ในเมื่อแหวนซันสโตนบนนิ้วนางข้างซ้ายทำให้พี่สาวเขายิ้มได้กว้างถึงขนาดนี้เลยนี่

 

       “มาให้ได้นะ” ปรางเอ่ยกำชับอีกครั้งก่อนจากกัน

 

       “ครับ จะไปให้ได้เลย” และโชคก็รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ

 

       โชคกลับเข้ามาในบ้านหลังจัดการกับไม้ดอกในกระถางเสร็จเรียบร้อย ปรางที่แวะมาไม่ได้อยู่คุยนานนักและเพราะว่าแก้วยังนอนพักจากพิษไข้อยู่จึงไม่ได้เข้ามาทักทาย เขาตรงขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่บนชั้นสอง ตรวจเช็คอุณหภูมิคนป่วยด้วยปรอทวัดไข้ พอเห็นว่ามันลดลงมากแล้วก็สบายใจ

 

       “น้าแก้ว...” ชายหนุ่มนั่งลงบนพื้นข้างเตียง เกยคางบนที่นอนมองคนรักที่ยังคงหลับใหล พลางคิดถึงเรื่องที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนอย่างการแต่งงาน

 

       ...ระหว่างเขากับแก้ว

 

 

 

...TBC

       ผ่านไปกับอีกตอนที่เดินทางผ่านช่วงเวลาอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่ก็ได้เห็นความเปลี่นแปลงในชีวิตของตัวละครมากมาย รวมถึงเรื่องของยายหอมที่ติดอยู่ในใจของโชคด้วย และเพราะหลายๆ ครั้งในชีวิตคนเราก็มีสิ่งที่เสียใจหรือเสียดาย แต่ก็ไม่อาจทำอะไรกับมันได้อยู่เยอะแยะไปหมดเลยล่ะค่ะ คนเราเลยทำได้แค่คิดถึงมัน รู้สึกถึงมัน แล้วก็ก้าวเดินต่อไปเท่านั้น

       แล้วก็ในตอนนี้ก็ถึงตอนที่รีนได้สัญญาเอาไว้ในท้ายตอนก่อนๆ นู้น ว่าจะมีการพูดชี้แจงถึงประเด็นที่ดูสุ่มเสี่ยงและก้ำกึ่งในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างน้าแก้วกับน้องโชคแล้วนะคะ อยากให้ทุกคนอ่านจริงๆ เพราะงั้นรีนเลยไม่ใส่แสดงสปอยล์นะคะ เพราะงั้นอ่านด้วยนะคะ

     

.....
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 47 [17.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 17-12-2020 21:05:06
.....



       1. กรณีเปโด (Pedophilia) หรือ การใคร่เด็ก ซึ่งเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ทางเพศกับเด็กอายุต่ำกว่า 13-14 ปี (ช่วงก่อนวัยหรือวัยเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม/สาว) และเมื่อเด็กโตพ้นช่วงนี้ก็มักจะหมดความสนใจและมองหาเหยื่อรายใหม่แทน และเปโดเป็นความป่วยทางจิตนะคะ เป็นอาชญากรรมด้วย! ส่วนในนิยายเรื่องนี้น้าแก้วไม่เข้าข่ายนี้ค่ะ น้าแก้วไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศกับโชคในตอนเด็ก ไม่ได้มองหรือมีเจตนาในด้านนี้แต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย คนรักเก่าอย่างอาธีร์เองก็ไม่ใช่เด็กที่ยังไม่พ้นวัย Pre-puberty หรือกำลังอยู่ระหว่าง Puberty ด้วยเหตุนั้นจึงเหมารวมว่าเป็นเปโดไม่ได้ อนึ่งเรื่องของเรนจ์อายุเด็กที่ระบุไว้นั้นมีข้อกังขากันในเรื่องของสรีระของชาว Westerner กับชาวเอเชียนที่มีช่วงระยะการเติบโตที่ไม่เท่ากันอยู่ก็ตาม แต่น้องโชคในช่วงวัยที่น้าแก้วเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกนั้นเองก็เติบโตจนพ้นวัยที่เข้าข่ายเปโดแล้วค่ะ น้องโชควัย 17-18 โตเป็นหนุ่มแล้วนะคะ

       2. กรณี Child Grooming หรือ การเตรียมเด็กเพื่อทารุณกรรมทางเพศ ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการเลี้ยงต้อยไว้กินตอนโตนั่นเองค่ะ โดยที่การกรูมมิ่งจะมีเจตนาเป็นหลัก การกรูมมิ่งคือการที่มีเจตนามุ่งเน้นเพื่อที่จะมีเพศสัมพันธุ์กับเหยื่อ หรือเพื่อให้เหยื่อมีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกกับผู้กระทำ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เลี้ยงดูเองก็ได้นะคะ เพื่อนพ่อเพื่อนแม่ ลุงป้าน้าอา คนรู้จักก็สามารถเป็นผู้กระทำได้เช่นกัน และมันจะต่อเนื่องมาถึงการกระทำที่แสดงออกต่อเหยื่อค่ะ เช่น การทำให้เหยื่อรู้สึกเป็นมิตร เชื่อใจ หรือหนักๆ เลยก็ทำให้หลงเชื่อว่าเป็นที่พักพิงเพียงหนึ่งเดียว สร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้เหยื่อต้องพึ่งพาตัวผู้กระทำเอง จนอาจถึงขั้นกักขังจำกัดอิสรภาพ โดยอ้างถึงความปลอดภัยต่างๆ กล่อมเหยื่อยให้คล้อยตามเลยก็มี และการกรูมมิ่งเป็นอาชญากรรมร้ายแรงนะคะ!! ส่วนในกรณีนี้น้าแก้วไม่ได้เข้าข่ายนั้นค่ะ น้าแก้วรับโชคมาเลี้ยงด้วยความรู้สึกสงสาร และหลังจากนั้นก็เลี้ยงดูอย่างดีโดยที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน น้าแก้วไม่เคยพยายามทำให้โชคต้องพึงพาแก้วเลย น้าแก้วอยากให้โชคมีสังคม มีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป ในตอนที่โชคกำลังจะมีแฟน น้าแก้วก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ ทำหน้าที่ผู้ปกครองอย่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นน้าแก้วจึงไม่เข้าข่ายกรูมมิ่งทั้งในด้านของเจตนาที่สำคัญที่สุดและในด้านการกระทำเลยค่ะ

       3. กรณี Power Dynamic หรือ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ค่อนข้างจะคลุมเครือและยากที่จะตัดสินถูกผิด เพราะอำนาจในแต่ละความสัมพันธ์ก็แตกต่างกันไปในทุกๆ คู่เลย หากจะพูดตามทฤษฎี ความสัมพันธ์ที่ Balance ทั้งเรื่องของวุฒิภาวะ ฐานะ การศึกษา และอื่นๆ คือความสัมพันธ์ที่ Healthy ส่วนความสัมพันธ์ที่ Imbalance จะ Unhealthy ซึ่งในความเป็นจริงการที่จะ Balance กันในทุกๆ ด้านเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากเลยค่ะ และในนิยายเรื่องนี้ ว่ากันตามอายุ วุฒิภาวะ ฐานะ น้าแก้วมีมากกว่าโชคในทุกด้านจริงค่ะ และมันก็อาจจะไม่เฮลตี้จริง แต่ก็ไม่ได้ท๊อกซิกนะคะ ในความคิดของรีน (ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้) รีนมองว่าความสัมพันธ์ที่ไม่เท่ากันแบบนี้จะท๊อกซิกก็ต่อเมื่อฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าใช้สิ่งนั้นกดทับอีกฝ่าย เช่น “ผมเป็นคนหาเงินเข้าบ้านเป็นหัวหน้าครอบครัว คุณต้องฟังคำสั่งของผมโดยห้ามโต้แย้ง” หรือในรูปแบบที่เป็นไม่ได้แสดงออกโดยตรงอย่างแด๊ดดี้กับเด็กเสี่ย ที่เสี่ยเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ เด็กเสี่ยเลยทำตามที่แด๊ดดี้ต้องการทุกอย่างเพราะเกรงใจหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ตัวเด็กเสี่ยเองรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า เป็นต้น แต่ในความสัมพันธ์ของน้าแก้วกับโชคไม่ได้มีการใช้อำนาจในเชิงนั้นเลยค่ะ มีแค่น้าแก้วที่โตกว่าดุหรือห้ามปรามโชคบ้างในบางเวลาที่โชคทำตัวไม่เหมาะสมเท่านั้น และเมื่อดูจากช่วงเวลาหลังจากที่น้าแก้วกับโชคคบหากันหลังจากนั้น รีนก็คิดว่ารีนค่อนข้างจะชัดเจนในการเล่าเรื่องออกมาให้ว่าระหว่างทั้งสองคนเขาต่างมีอำนาจในด้านของจิตใจต่อกันมากๆ ทั้งคู่นะคะ ไม่ใช่แค่โชคที่พึ่งพิงแก้ว แก้วเองก็ต้องการโชค มันไม่ใช่การคลั่งรักอยู่ฝ่ายเดียว ความสัมพันธ์มันมีการพัฒนาไปจนอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเท่าเทียมกันแล้วค่ะ

      4. กรณีที่ตกหลุมรักโดยมีความรู้สึกอ่อนไหวทางสภาพจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้อง(?) รีนไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรค่ะ แต่มันเหมือนอย่างการที่คนไข้ตกหลุมรักหมอเพราะรู้สึกปลอดภัย หมอสามารถดูแลรักษาตัวเองได้ ประมาณนี้ ซึ่งความสัมพันธ์ประเภทนี้จะผิดในเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพนะคะ ไม่ได้ผิดศีลธรรมหรือข้อกฎหมายใด ซึ่งในนิยายเรื่องนี้รีนในฐานะคนเขียน รีนก็ไม่ได้ตั้งใจให้ความรู้สึกของโชคแสดงออกไปในรูปแบบนั้นเลยค่ะ อย่างตอนที่น้องโชคตกหลุมรักในอุโมงค์อควาเรียม ตอนนั้นน้องเด็กมากจนไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่เพราะในตอนนั้นน้าแก้วที่จมลงไปในอดีตกำลังดูเหงาและเศร้า น้องก็เลยอยากจะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างนั้นแล้วได้เห็นน้าแก้วยิ้มและมีความสุขเท่านั้น ต่อมาในตอนที่น้องปรางถามน้องโชคว่าทำไมถึงชอบน้าแก้ว น้องโชคตอบว่า “เพราะน้าแก้วใจดีที่สุดเลย” ซึ่งมันเป็นคำตอบในตอนที่ทั้งคู่ยังเด็กอยู่ ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก แค่พูดออกไปโดยไม่มีอะไรแอบแฝง จนมาครั้งที่สองที่ทั้งสองคนเริ่มโตแล้ว ตอนที่ปรางถามแล้วโชคอึกอั่กตอบว่าชอบ ปรางบอกว่า “ก็เพราะน้าแก้วของน้องโชคใจดีที่สุดเลยนี่เนอะ” ซึ่งในตอนนั้นปรางรับรู้แล้วนะคะว่าโชคชอบแก้วแบบไหน มากเกินกว่าในวัยเยาว์ไปแล้ว และมันก็มากกว่าแค่เพราะน้าแก้วใจดีไปแล้วเช่นกัน แต่เพราะน้องดูอึดอัดใจที่จะพูดออกมาตรงๆ พี่สาวเลยช่วยให้มันง่ายขึ้นโดยการพูดแบบนั้นออกไปแทน สรุปแล้วรีนก็แค่อยากจะบอกว่าน้องโชครักน้าแก้วโดยความรู้สึกที่อยากจะทำให้อีกคนมีความสุขค่ะ ไม่ใช่ว่าเพราะน้องขาดแล้วน้าแก้วช่วยเติมให้เลยรัก แต่ตัวน้องเองนั่นแหละที่อยากจะเข้าไปเติมน้าแก้วให้เต็มไปด้วยรอยยิ้มต่างหาก

      5. ต่อมาจะพูดถึงพัฒนาการความรู้สึกของตัวละครหลักทั้งสองตัวนะคะ ของน้องโชค น้องตกหลุมรักในวัย 11 ปี ซึ่งก็เด็กมาก แต่น้องก็ไม่ได้รู้ตัวและไม่ได้ส่งผลอะไรกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่เลย จนกระทั่งที่น้องเริ่มโต ตอนที่น้องเริ่มรับรู้แล้วว่าความรู้สึกของน้องที่มีมันมากเกินกว่าแค่เด็กชายกับผู้ปกครอง ซึ่งตอนนั้นน้องอายุ 15 เป็นวัยแรกรักก็คงจะว่าได้ และเพราะความรักของน้องมันไม่ควร น้องก็เลยเก็บมันเอาไว้กับตัวเอง พยายามที่จะไม่ให้มันส่งผลกระทบกับน้าแก้วหรืออาธีร์ แต่มันก็เจ็บปวดอยู่ดียิ่งด้วยช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ และตอนอายุ 16 น้องโชคก็คิดจะมูฟออนจากน้าแก้วเหมือนกัน น้องโชคเปิดใจให้กับพี่แพร พยายามก้าวออกจากมุมแอบรักที่ความหวังริบหรี่ แต่สุดท้ายความสัมพันธ์นั้นก็ต้องจบลง แล้วโชคก็ได้รู้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่าตัวเองรักแก้วมากแค่ไหน และทั้งหมดนี้น้าแก้วไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการทำให้เกิดความรู้สึกเหล่านั้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ส่วนในด้านความรู้สึกของแก้ว แก้วเลี้ยงโชคมาด้วยความหวังดี อยากให้เด็กชายได้มีชีวิตที่ดีจนเป็นเด็กหนุ่ม แล้วก็ยังคงมองต่อไปถึงอนาคตวันที่ตัวเองจากไปด้วยซ้ำ กว่าน้าแก้วจะรู้ว่าโชคไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่น้าแก้วโชคก็ 17 แล้ว ในตอนแรกที่รู้แก้วก็ไม่ได้รู้สึกดีกับความรู้สึกที่ได้รับ แก้วถอยห่างโดยการไม่ทำอะไรเลย ใช้ชีวิตไปแบบปกติโดยที่มันเป็นคำตอบปฏิเสธในตัวอยู่แล้ว แต่โชคก็ไม่ได้ยอมแพ้ที่จะพยายามเป็นผู้ชายคนหนึ่งในสายตาแก้ว และมันใช้เวลาอีกครึ่งปีกว่าแก้วจะเริ่มมองเห็นว่าโชคไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมอีกแล้ว โชคโตเป็นหนุ่มแล้ว หลังจากนั้นแก้วก็ทบทวนกับตัวเองอยู่อีกหลายเดือนถึงความรู้สึกของโชค จนเมื่อเข้าใจว่าความรู้สึกที่โชคมอบให้มันจริงจังมาก แก้วเลยพยายามที่จะตอบรับไปโดยไม่รู้ตัว และกว่าแก้วจะข้ามผ่านความรู้สึกต่างๆ มาได้ก็ไม่ได้ง่ายดายเลยนะคะ กว่าทั้งสองคนจะรักกันได้ ทุกคนที่อ่านมาก็คงจะรู้กันอยู่แล้วว่าทั้งโชคและแก้วต่างก็มีช่วงเวลายากลำบากและอึดอัดใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้นมา และเพราะว่าทุกตัวละครที่รีนสร้างขึ้นมาไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้ sensible อิงตรรกะกันหมด มันมีอารมณ์และความรู้สึกยุ่งเหยิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ในหลายๆ ครั้งตัวละครก็เลือกทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือไร้เหตุผลลงไปเช่นกัน เพราะฉะนั้นก็อยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่าน คิดและตัดสินใจว่าการกระทำของตัวละครส่งผลกระทบอย่างไรบ้างด้วยตัวเองนะคะ

       6. ในข้อนี้จะขอพูดถึงเรื่องกฎหมายและอายุของน้องโชคที่ดูก้ำกึ่งค่ะ อย่างแรกเลยคือตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ระบุไว้ว่าบุคคลจะบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ต่ำกว่านั้นยังคงเป็นผู้เยาว์อยู่ (ซึ่งใช้ในด้านของกฎหมายที่เกี่ยวกับการทำนิติกรรม) แต่ในทางอาญาซึ่งตีความตามตัวอักษรระบุความผิดโทษฐานพรากผู้เยาว์เอาไว้สองกรณีเท่านั้น ก็คือ ต่ำกว่า 15 ปี กับ 15-18 ปี (ปล. Age of consent ของไทยอยู่ที่ 15 ปีนะคะ อย่างในกรณีพรากผู้เยาว์ 15-18 ปีจะมีมาตราแยกย่อยไปอีก คือ ถูกพรากแบบไม่เต็มใจจะเข้ามาตรา 318 แต่ถ้าหากพรากแบบเต็มใจจะเข้ามาตรา 319) และไม่มีการระบุโทษในช่วงที่มากกว่า 18 ไปแล้วค่ะ ซึ่งจูบแรกของน้าแก้วกับโชคก็เกิดขึ้นเมื่อน้องโชคอายุครบ 18 ปี ทั้งสองคนเริ่มเรียกได้ว่าคบหาดูใจกันตอนน้อง 19 กำลังจะ 20 และมีเซ็กส์กันหลังจากโชคผ่าน 20 ไปแล้วค่ะ ส่วนในช่วงที่โชค 17 ปลายๆ ที่มีการจับไม้จับมือกันนั้นก็ต้องดูที่เจตนาของแก้วเป็นหลักค่ะ และแก้วก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเกินเลยกับโชคเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความผิดตามข้อกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างใด

       7. ประเด็นอินเซส (Incest) หรือ การมีความสัมพันธ์กับคนร่วมสายเลือด ในตอนที่ 29 เองก็มีการบรรยายถึงเรื่องนี้เอาไว้ในเนื้อหาค่ะ อย่างที่บอกไปว่าเพราะเลี้ยงมากับมือ แบบนี้มันก็แทบไม่ต่างอะไรกับการมีสัมพันธ์กับลูกในไส้เลย นั่นคือในเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวค่ะ น้าแก้วกับโชคไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เพราะงั้นทั้งสองคนนี้ไม่เข้าข่ายอินเซสแน่นอน จะมีก็แต่ความรู้สึกที่ถูกกลั่นกรองจากจารีตและสังคม ซึ่งหากจะพูดถึงประเด็นนี้ก็คงคล้ายกับประเด็นที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยมีความสัมพันธ์กันแล้วเพิ่งพบว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดค่ะ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ผิดศีลธรรมตามมุมมองสังคมอยู่ดี แต่หากมองในมุมของบุคคลที่ไม่รับรู้มาก่อนมันก็เป็นเรื่องที่ตัดสินได้ยากว่าถูกหรือผิดนะคะ หรืออย่างในกรณีที่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่ถูกเลี้ยงมาด้วยกันให้เป็นพี่น้องกัน เช่นพ่อแม่แต่งงานกัน ในกรณีนี้เองก็ยากจะบอกเช่นกันว่ามันถูกผิดอย่างไร เพราะทั้งสองไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน แต่ก็เป็นพี่น้องกัน แต่ในขณะเดียวกันตัวของพวกเขาเองก็อาจจะไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นพี่น้องในมุมมองของเขา เพราะงั้นนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รีนอยากให้นักอ่านทุกคนขบคิดและหาคำตอบให้กับตัวเองค่ะ

       หลายๆ ประเด็นข้างต้นรีนก็ได้สอดแทรกเข้าไปในเนื้อหาอยู่แล้ว สำหรับนักอ่านทุกคนรีนก็มั่นใจว่าคงผ่านตากันมาบ้างแน่นอน เพราะจริงๆ รีนก็อยากจะกล่าวถึงเรื่องเปโดและกรูมมิ่งเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ขึ้นมา เหมือนในประเด็นอื่นๆ ที่รีนใส่มาเยอะแยะไปหมด ทั้งเรื่องเซฟเซ็กส์ เซ็กส์ ท้องไม่พร้อม เพศ และอีกหลายๆ ประเด็น แต่เพราะพื้นที่ให้น้ำหนักอาจจะน้อยไปหน่อยเลยดูเหมือนไม่เด่นชัดนักก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ อย่างไรงานเขียนเรื่องนี้ก็เป็นนิยายไม่ใช่ตำราความรู้ที่จะสามารถนำไปอ้างอิงได้ รีนก็ขอให้นักอ่านทุกคนค้นคว้าข้อมูลอื่นๆ ด้วยตัวเอง ศึกษาและช่วยกันทำให้สังคมนี้ดีขึ้นไปด้วยกันโดยที่ยังคงรักษามารยาทเอาไว้ด้วยนะคะ (ทุกวันนี้ฉอดกันแรงมากเลย บางทีมันก็เป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจมากๆ เพราะงั้นเลยอยากให้ระวังกันด้วยนะคะ  :L2: ) และถ้าในส่วนไหนที่รีนบ้งและผิดจริง รีนก็พร้อมรับฟังค่ะ คุณสามารถมาคุยกับรีนได้เสมอเลย ส่วนถ้าหากว่าส่วนที่ทำให้คุณไม่สบายใจไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด แต่ขัดกับศีลธรรมหรือความเชื่อในจิตใจของคุณก็สามารถมาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันได้เช่นกันค่ะ ขอแค่อย่าเอาไม้บรรทัดส่วนตัวมาวัดแล้วตราหน้าด่าว่าทุกสิ่งที่ขัดใจผิดไปเสียหมดก็พอ

       และเพื่อความสบายใจของรีน เพราะรีนก็ไม่อยากให้ใครมาด่าหรือลากออกไปแหกว่าเขียนนิยายที่เป็นพิษกับสังคมหรืออะไรก็ตาม รีนเขียนเรื่องนี้มาด้วยความรักค่ะ รีนรักนิยายเรื่องนี้ รักตัวละครของรีน การที่จะต้องถูกตราหน้าด่าว่าอิกนอร์ทั้งที่รีนก็มั่นใจในระดับหนึ่งว่าแม้รีนจะแตะประเด็นสุ่มเสี่ยงและอ่อนไหว แต่รีนก็เอ็ดดูเคดตัวเองอยู่เสมอ มันเลยเป็นอะไรที่ปวดใจจริงๆ เวลาที่โดนว่าก่อนที่จะอ่านเสียด้วยซ้ำ รีนก็เลยตัดสินใจจะเพิ่ม TW ไว้ที่หน้าแนะนำนิยายค่ะ หวังว่าทุกคนที่อ่านจะได้รับสารจากรีนอย่างครบถ้วนนะคะ ขอบคุณทุกความรักที่มอบให้นิยายเรื่องนี้ค่ะ

       ปล.ถ้าใครอยากจะหวีดหรือรีวิวในทวิตเตอร์ #น้าแก้วของโชค ก็สามารถช่วยกันชี้แจงประเด็นนี้ให้คนที่ไม่ได้อ่านเข้าใจด้วยได้เลยนะคะ เพราะบางคนที่ผ่านมาเห็นรีวิวเขาก็ตัดสินนิยายเรื่องนี้กันไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้เข้ามาอ่านเลยค่ะ

 

       ส่วนในตอนต่อไปที่จะมาถึงในวันจันทร์ รีนก็อยากให้ทุกคนเก็บความสวยงามและอารมณ์ความรู้สึกมากมายในตอนนั้นอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลหรือกลัวอะไรเลยนะคะ สัญญาว่าตอนหน้าไม่ใจร้ายแน่นอนค่ะ 

 

       ขอบคุณทุกการอ่าน ทุกคอมเมนต์ และทุกกำลังใจ

       ขอบคุณมากนะคะ

 

       เจอกันวันจันทร์ค่า
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 47 [17.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-12-2020 21:17:45
 :hao5: :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 47 [17.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-12-2020 21:56:29
ทำงานเก็บเงินซื้อแหวนแทนใจให้ก็ได้นะโชค อิอิ  :-[ ทุกคนก็แยกกันไปมีครอบครัว เราอยู่กันแบบนี้ก็มีความสุขได้  :กอด1: ลืมยายหอมไปเลย ทำบุญให้บ้างก็ดีนะโชค คิดถึงแกเลย  :hao5: สู้ๆนะน้าแก้วผ่านไปอีกเข็ม เป็นกำลังใจให้ทั้งน้าแก้ว โชคและผู้แต่งนะคะ   :3123: รอตอนต่อไปเลย

ปล.ที่อธิบายเพิ่ม ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ ส่วนตัวเราไม่ซีเรียสนะเพราะมันคือนิยาย 555 ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 47 [17.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 19-12-2020 16:34:55
อุแงงงง จนทันแล้วฮะ ตาล้้้้าทีเดียว มาเม้นต์แล้วววค่าหลังจากไปหวีดอยู่แต่ในทวิต ไม่รู้จะเม้นถึงว่ายังไงมันอ่านมาหลายตอนละเกิน ไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับเรามันเป็นงานเขียนที่ดีมากค่ะ ปริ่ม คุณรีนแต่งได้ดี สำนวนดีและเนื้อเรื่องทุกอย่างดีมากกก ชอบหลายประโยคมากเลยค่ะที่อ่านมา  :katai4: อยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำ และขอบคุณสำหรับการที่คุณแต่งเรื่องนี้นะ และอยากขอเป็นกำลังใจในการแต่งนิยายต่อไปๆ อ่านทุกทอร์คเลยค่ะ  จาเป็นกำลังจัยเร้กๆ :mew1: ให้
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 48 [21.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 21-12-2020 18:48:45

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 48

 

       มิถุนายนฝนตั้งเค้าตามฤดูกาล โชคเก็บกระเป๋าสัมภาระสำหรับเดินทางลงใต้ห้าวันสี่คืนทั้งของเขาและของแก้ว เพื่อเตรียมพร้อมจะไปร่วมงานแต่งงานที่จัดขึ้นบนเกาะภูเก็ตกลางช่วงมรสุม แต่ปรางก็หาได้หวั่นเกรงต่อสายฝนไม่ ยังคงยืนยันการตัดสินใจที่จะเป็นเจ้าสาวเดือนหก แม้สภาพอากาศของไทยจะแตกต่างจากอเมริกาที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อนอยู่มากก็ตามที

 

       ‘ทำไมต้องเจ้าสาวเดือนหก’ โชคเคยถามเมื่อตอนที่อีกฝ่ายโทรผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ตมาพูดคุยเล่นด้วยเหมือนกับทุกที

 

       ‘ไม่รู้สิ’ และนั่นคือคำตอบที่เขาได้รับพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก ก่อนปรางจะเล่าถึงตำนานรักของเทพเจ้าโรมันกับความเชื่อที่ว่าหญิงสาวผู้แต่งงานในเดือนมิถุนาจะได้เป็นเจ้าสาวตลอดกาล ครองคู่กับคนรักอย่างมีความสุขตลอดไป แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงที่เธอเลือกเดือนนี้หรอก...

 

       ปรางก็แค่อยากแต่งงานในเดือนมิถุนายนเท่านั้นเอง

 

       “จัดของเสร็จแล้วเหรอ” แก้วถามชายหนุ่มที่เปิดประตูเข้าห้องมา

 

       “ครับ” โชคตอบ หันมองคนบนเตียงเป็นเชิงถามว่าให้ปิดไฟเลยไหม และเมื่อแก้วพยักหน้าไฟทั้งห้องก็ดับลงจนเข้าสู่ชั่วขณะที่มืดสนิทก่อนดวงตาจะปรับโฟกัสได้ แต่เจ้าหมาประสาทดีก็ยังคลำทางมาปีนขึ้นเตียงแถมเกี่ยวเอวเจ้าของไปกอดไว้แน่นได้เรียบร้อยแล้ว

 

       ส่วนคนโดนกอดรัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ขยับจัดท่าทางให้นอนสบายแล้วเอ่ยราตรีสวัสดิ์แผ่วเบา

 

       “ฝันดี”

 

       “ฝันดีครับ”

 




 

       แก้วกับโชคใช้เวลาเกือบชั่วโมงครึ่งบนเครื่องบินโดยสาร เพื่อที่จะมาถึงจุดหมายปลายทางบนเกาะทางตอนใต้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทว่าเที่ยวบินยามเย็นเมื่อลงจอดมันก็เป็นเวลาหกโมงกว่าที่แสงราหมดฟ้าแล้ว ทั้งยังมีเค้าลางของเมฆฝนที่ดูท่าจะโปรยลงมากลางดึกคืนนี้อีก พวกเขาจึงตรงไปยังโรงแรมที่ทางเจ้าภาพจองไว้ให้เพื่อพักผ่อนกันทันทีโดยไม่ได้แวะที่ไหน

 

       “เหนื่อยเหรอครับ” โชคถามคนที่อาบน้ำทันทีที่มาถึงห้องพัก และพอจัดการมื้อเย็นที่สั่งรูมเซอร์วิสมากินเสร็จก็แปรงฟันแล้วขึ้นเตียงเตรียมเข้านอนทันที

 

       “อือ” แก้วครางอู้อี้อยู่กับหมอน ก่อนจะปรายสายตามาทางชายหนุ่มแล้วเอ่ยบอก “เธอออกไปดื่มกับธีร์กับปรางก็ได้นะ จะได้ไม่เบื่อ”

 

       “ไม่เบื่อหรอกครับ” เขาปฏิเสธทันทีขณะผุดลุกไปกดสวิตช์ไฟที่อยู่ข้างเตียงนอนให้เหลือเพียงไฟแสงสีนวลสลัวจากช่องเล็กๆ บนฝ้าเพดานรอบห้อง ก่อนจะโน้มลงจุมพิตเหนือบนหน้าผากอีกฝ่ายเป็นการส่งเข้านิทรา “แก้วนอนเถอะ ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

 

       “ราตรีสวัสดิ์” แก้วยิ้มบาง ใช้เวลาไม่นานเลยเพื่อร่วงลงสู่ห้วงความฝัน

 

       ...และรุ่งสางเองก็มาเยือนอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน

 

       ดวงตาสีเข้มปรือเปิดหลังนอนหลับสนิทมากว่าสิบชั่วโมง นอกบานประตูกระจกใสที่เชื่อมไปสู่ระเบียงตรงหน้าคือทิวทัศน์ของท้องน้ำสีฟ้าเขียวใต้แสงแดดอุ่น และแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เมื่อหันกลับมาสบตาก็มอบรอยยิ้มสว่างจ้าแสนอ่อนโยนให้

 

       ประตูระเบียงถูกเปิดกว้าง ก่อนความร้อนจะแผดเผาริมฝีปาก

 

       “อรุณสวัสดิ์ครับ”

 

       กลิ่นของทะเล...

 

       “อรุณสวัสดิ์”

 

       ...เค็มปร่าแต่ก็หวานจับใจ

 

 

 

       วันที่สองบนเกาะภูเก็ตของโชคและแก้วเป็นวันก่อนวันงาน ทางเจ้าภาพวุ่นวายเล็กน้อยกับการเตรียมตัวรวมถึงเช็คความพร้อมของสถานที่กันตั้งแต่เช้า และพอสายหน่อยชายหนุ่มก็ถูกพี่สาวยืมตัวไปช่วยขับรถซื้อของสำหรับปาร์ตี้สละโสดที่จะจัดขึ้นในตอนเย็นวันนี้ ส่วนอีกคนก็ได้แต่ยิ้มส่งแล้วไปนั่งๆ นอนๆ เล่นริมสระว่ายน้ำกับเพื่อนสนิทที่ไปเฝ้าลูกชายกับพวกเด็กๆ จากครอบครัวทางฝั่งพ่อของปราง

 

       “เนตรมาไหม” แก้วถาม

 

       “มาเย็นนี้” และธีร์ตอบ พร้อมกับขยับตัวเล็กน้อยเพื่อบังแสงแดดไม่ให้สาดส่องไปถึงตัวอีกคน

 

       บทสนทนาเรื่อยเปื่อยไหลไปกับเวลาใต้ท้องฟ้าสีใสในยามบ่ายที่มองเห็นชายทะเล โดยที่มีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องคู่สนทนาข้างกายอยู่ตลอดเวลา

 

       อ่อนโยนและเปี่ยมรัก... ดวงตาคู่คมของธีร์ยังคงฉายแววเฉกเช่นเดิม

 

       เหมือนกับที่ไหนสักแห่งในหัวใจของแก้วที่มันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยเช่นกัน

 

       บางครั้งคนเราก็ทำอะไรกับความรู้สึกไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้มันลอยฟุ้งต่อไป ...โดยไม่คิดไปไขว่คว้ามา

 

 

 

       “วันนี้ทำอะไรมาบ้างเหรอครับ” โชคเอ่ยถามขณะที่นอนเท้าศอกรองข้างแก้มขวางกลางเตียงเพื่อรอแก้วที่กำลังเป่าผมอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำที่ประตูเปิดกว้างและมองเห็นกันได้พอดี

 

       “ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ไปนอนดูพวกเด็กๆ เล่นน้ำที่สระว่ายน้ำจนเธอกลับมานั่นแหละ” ตอบพลางปิดไดร์ที่ใช้เป่าผมเมื่อมันแห้งหมาดพอดี ก่อนจะสอดนิ้วขยี้เช็คว่าโคนแห้งสนิทแล้วหรือยังขณะที่เดินกลับเตียง

 

       “เหรอครับ” ชายหนุ่มขยับเปลี่ยนท่านอนเพื่อให้มีที่สำหรับอีกคน พร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสปลายผมชื้นน้อยๆ แล้วทำหน้าดุ “ผมยังไม่แห้งเลยนะครับ”

 

       “เดี๋ยวก็แห้ง”

 

       “เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

 

       “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย” แก้วหัวเราะผะแผ่ว ใช้ปลายนิ้วบีบจมูกเจ้าหมาหน้ายุ่งอย่างมันเขี้ยว

 

       “ผมรู้” โชคบอก แต่ในดวงตายังคงเคลือบด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย และอีกฝ่ายก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน

 

       “เป็นอะไรน่ะหืม”

 

       “เปล่าครับ”

 

       “โชค”

 

       “...”

 

       “ฉันรอฟังอยู่” ความใจเย็นของแก้วทำให้เจ้าตัวยอมสารภาพออกมาในที่สุด

 

       “ผมหึงนะครับ ...มากๆ เลยด้วยเวลาที่แก้วอยู่กับอาธีร์”

 

       “เด็กน้อย”

 

       “ครับ” คนขี้หึงกระชับแขนกอดเอวคนรักแน่น ฝังจมูกลงบนหลังคอกรุ่นกลิ่นแชมพูของโรงแรม “น่ารำคาญรึเปล่า”

 

       “ไม่หรอก” คนโตกว่าว่า “ก็น่ารักดี”

 

       ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดผิวอ่อนพ่นพรูออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะถูไถใบหน้าไปมากับแผ่นหลังกว้างอย่างออดอ้อนจนคนโดนกอดรัดต้องหันกลับมาลูบหัวเด็กน้อยของตนด้วยความเอ็นดู

 

       พวกเขานอนคุยกันอีกพักใหญ่ ฟังเรื่องราววันนี้ของโชคจนแก้วหลับไป ชายหนุ่มถึงได้ลุกออกจากห้องไปร่วมงานปาร์ตี้สละโสดของปรางที่บาร์ริมสระน้ำจนดึกดื่นแล้วกลับขึ้นห้องไปนอนกอดอีกคนไว้จนฟ้าสาง...

 

 

 

       เช้าวันที่สามบนชายฝั่งทะเลอันดามันก็ยังคงเริ่มต้นด้วยการตื่นมาเจอคนรักเหมือนกับทุกที แต่ที่พิเศษไปจากปกติเล็กน้อยคือวันนี้เป็นวันงานที่แก้วกับโชคต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวทำผมให้ดูเป็นทางการกว่าทุกวัน

 

       “มัดผมแบบไหนดีครับ” ชายหนุ่มถามเจ้าของเรือนผมยาวเคลียบ่าที่ผ่านการย้อมดำทำสีปกปิดวัยที่เริ่มโรยรา

 

       “เดี๋ยวฉันทำเอง เธอไปเซ็ตผมตัวเองเถอะ” แก้วว่าอย่างนั้น พร้อมกับรับหวีมากจากมืออีกฝ่าย ใช้มันสางผ่านกลุ่มผมรวบปลายไปด้านหลังก่อนมัดต่ำด้วยยางสีดำไว้ตรงบริเวณท้ายทอย และในขณะเดียวกันโชคก็จัดการปาดเจลเซ็ตผมเปิดหน้าผากเผยใบหน้าคมคายของชายวัยย่างยี่สิบหกปีที่น่ามองไม่ยอกเสร็จเรียบร้อยพอดี

 

       ดวงตาสองคู่มองภาพสะท้อนของกันและกันบนกระจกเงาบานใหญ่ ใต้ชุดสูทสีน้ำเงินทว่าต่างเฉดเล็กน้อยตามธีมเดรสโค้ดขาวฟ้าให้เข้ากับบรรยากาศของท้องทะเล คนโตกว่าดูเหมาะกับสีน้ำเงินลึกล้ำ ในขณะที่ชายหนุ่มตัวใหญ่กว่าดูเข้ากันดีกับสีน้ำเงินสด

 

       รอยยิ้มถูกจุดขึ้นมาที่มุมปาก ก่อนจะยกสูงกลายเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อโชคดึงแก้วเข้าไปฟัดแก้มแรงๆ อย่างมันเขี้ยว เสียงหัวเราะปนดุอย่างไม่จริงจังดังระงมไปทั่วห้องเมื่อเจ้าหมากำลังจะทำให้ชุดของเจ้านายยับยู่ยี่

 

       “น้าแก้ว” โชควางคางเกยไว้บนไหล่ผอมบาง สบตากับเจ้าของชื่อผ่านเงาสะท้อน ในขณะที่โอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้จากด้านหลัง

 

       “หืม ว่าไง” แก้วเอียงศีรษะไปพิงกับคนบนบ่า พร้อมกับเลื่อนมือไปกุมกระชับทับหลังมือเกี่ยวเอวตนอยู่

 

       “ผมรักแก้ว” คำบอกรักไร้ที่มาที่ไป แต่อย่างไรเสียมันก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรในการบอกรักใครสักคนที่เรารักหมดหัวใจอยู่แล้ว และก็เพราะอย่างนั้นแก้วเลยหันไปกระซิบตอบ...

 

       “ฉันก็รักเธอเด็กน้อย” อย่างอ่อนโยนและเต็มเปี่ยมไปด้วยรักอย่างปากว่า

 

       ชายร่างสูงสองคนเดินเคียงกันไปยังห้องแต่งตัวสำหรับญาติที่ทางเจ้าภาพจ้างช่างแยกต่างหากมาไว้ให้ได้สวยหล่อกันทุกคน หลังลงแป้งเติมลิปพอให้หน้ามีสีสันกันเรียบร้อยก็ออกไปรออยู่บริเวณที่จัดงานช่วงเช้า ซึ่งก็คือพิธียกน้ำชาตามความเชื่อของทางบ้านบิดาเจ้าสาวชาวไทยเชื้อสายจีน

 

       เมื่อถึงเวลางานพิธีก็ดำเนินไปตามขั้นตอน แต่ไม่ได้เคร่งครัดยึดมั่นถือตามขนบดั้งเดิมนัก ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเรียบง่าย บรรยากาศดูผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความอบอุ่น ปรางกับว่าที่คู่ชีวิตประคองถาดถ้วยชาส่งให้ผู้ใหญ่ในบ้านเรียงตามลำดับอาวุโสร่วมกัน

 

       รอยยิ้ม แววตา ถ้อยคำอวยพร... ความสุขห้อมล้อมสถานที่แห่งนี้ไว้อย่างนุ่มนวล

 

 

 

       ยามบ่ายแก่ตะวันคล้อยอ่อนแสงแรงร้อนลง ก็ถึงเวลาเริ่มพิธีศีลสมรสแบบคริสต์ตามความเชื่อของอีกฝั่งบ้าง

 

       ท่ามกลางสายลมที่หอบเอากลิ่นอายทะเลมาปะทะ เสียงเกลียวคลื่นม้วนตัวซัดเข้าหาฝั่งอยู่เบื้องล่างไกลห่างออกไปเล็กน้อย บนลานกระจกใสที่ยื่นออกไปเหนือสระน้ำซึ่งถูกย้อมด้วยสีของผืนฟ้าและมหาสมุทรจนเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศ โชคมองพี่สาวในชุดเกาะอกกระโปรงสุ่มสีขาวยืนอยู่หน้าศิษยาภิบาลหญิงอย่างตื่นเต้นและรอคอยด้วยรอยยิ้ม

 

       กระทั่งในนาทีถัดมาที่เสียงไวโอลินบรรเลงดังขึ้นเป็นท่วงทำนองหวานหู เหล่าสักขีพยานที่มีไม่ถึงหกสิบคนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทก็พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน ทุกสายตาต่างหันกลับไปจับจ้องหญิงสาวหน้าคมผมสีอ่อนในชุดเจ้าสาวผ้าซาตินชายยาวลากพื้นที่ควงแขนบิดาชาวตะวันตกของเธอก้าวเดินไปตามทางสู่ปรัมพิธีประดับประดาดอกไม้

 

       สองเจ้าสาวสบตากันผ่านผ้าคลุมหน้า ก่อนจะค่อยๆ สลับกันช้อนผืนผ้าขาวบางตวัดทบไปไว้ด้านหลังเผยดวงหน้างามของเจ้าของหัวใจ สัตย์ปฏิญาณถูกลั่นออกมาอย่างแน่วแน่มั่นคง จุมพิตศักดิ์สิทธิ์ในฐานะคู่ชีวิตได้รับเสียงเฮลั่นเคล้าเสียงปรบมือ และแหวนวงใหม่ที่ดูเรียบง่ายกว่าแหวนหมั้นซันสโตนสีร้อนแรงก็ถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของกันและกัน

 

       ปรางกับเอลลี่... เป็นภรรยากันอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว

 

       “I love you”

 

       “I love you more”

 

       สองสาวคู่แต่งงานใหม่บอกรักกันด้วยรอยยิ้มกว้าง เอลลี่ช่วยเกลี่ยหยาดน้ำฉ่ำชื้นออกจากหางตาของปรางที่แดงก่ำ ทั้งที่ในขณะเดียวกันหยดน้ำจากนัยน์ตาของตัวเองก็กำลังกลิ้งผ่านแก้มหยดลงบนช่อดอกไม้

 

       หวานล้ำ... หยาดน้ำตาบางครั้งก็ให้รสชาติเช่นนี้

 

       โชคเบนสายตากลับมาหาคนข้างกาย ลมทะเลเค็มปร่าไล้ปอยผมที่ยาวไม่พอให้รวบเก็บขยับไหว ดวงตาสีเข้มฉายแววอ่อนโยน ริมฝีปากแต้มสีอ่อนจางยกยิ้มบางอย่างนุ่มนวลขณะที่ทอดมองภาพประทับใจเบื้องหน้า แต่เพียงไม่นานเจ้าตัวก็รู้สึกได้ว่าโดนแอบมอง

 

       แก้วหันมาสบตาคนรัก มือเรียวสัมผัสปลายนิ้วเกี่ยวรั้งให้สอดประสานกันแนบแน่น ปากขยับกระซิบบอกถ้อยคำฝังความอุ่นซ่านให้วูบวาบไปทั่วทั้งอก เช่นเดียวกับคำตอบกลับของชายหนุ่มที่ราวกับปลดปล่อยผีเสื้อนับพันให้บินวนในช่องท้อง

 

       “I love you”

 

       “I love you more... and more”

 

 

 

       งานเลี้ยงยามเย็นเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง โต๊ะอาหารยาวใต้แสงไฟสีส้มนวลส่องสะท้อนย้อมค่ำคืนให้สว่างไสว พ่อเจ้าสาวผลัดกันกล่าวคำอวยพรพร้อมกับแขกเรื่อที่ยกแก้วแชมเปญขึ้นโห่ร้องร่วมแสดงความยินดี โชคได้ที่นั่งติดกับแก้วในวงล้อมของญาติผู้ใหญ่ต่างวัยชวนให้รู้สึกแปลกแยก แต่เมื่อได้อยู่กับคนสำคัญแล้วอย่างอื่นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น...

 

       “ปรางกับแฟนนี่เจอกันตอนไฮท์สคูลใช่ไหม” แก้วถามขึ้นเมื่อคิดถึงภาพวิดีโอที่ฉายตอนงานเลี้ยงมื้อค่ำ บอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาร่วมกันของสองเจ้าสาว

 

       “ครับ ก็ตั้งแต่ที่ไป’เมกาครั้งแรกเลย ...ที่ไปแลกเปลี่ยนน่ะครับ” โชคที่ได้ฟังเรื่องรักของพี่สาวอยู่เป็นประจำตลอดหลายปีกว่าจะมาถึงวันนี้เริ่มเล่า “แต่กว่าจะได้ลงเอยกันได้นี่ก็ยากเอาเรื่อง...”

 

       การคบหากับของเด็กสาวสองคนนั้นแน่นอนว่าต้องมีคนมาออกความเห็นทั้งที่ไม่จำเป็น บ้างก็ว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะคงอยู่ได้เพียงชั่วคราว บ้างก็ว่าเป็นการหลงผิดในวัยคึกคะนอง หรือที่เลวร้ายกว่าก็บอกว่าหากได้ลองมีเซ็กส์กับผู้ชายแล้วก็จะเปลี่ยนใจกลับมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกที่ควรเอง และนั่นก็บั่นทอนจิตใจจนทำให้ปรางกับเอลลี่คิดปล่อยมือกันอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะรักจึงยังคงฉุดรั้งกันเอาไว้ จนกระทั่งสาวไทยต้องเดินทางกลับบ้านเกิด ระยะทางกับความเหนื่อยล้าที่จะประคับประคองกันต่อไปในฐานะคนรักก็ทำให้มันขาดสะบั้นลงก่อนเข้าฤดูร้อนของเดือนมิถุนา

 

       ...ปรางอกหักเป็นครั้งแรกในปีที่อายุสิบเจ็ด

 

       แม้หลังจากนั้นเด็กสาวจะตัดสินใจกลับไปเรียนต่อที่อเมริกาจนกว่าจะจบปริญญาเลยก็ตาม แต่รัฐที่เธอไปอยู่ก็ห่างไกลจากเมืองที่ทั้งคู่ตกหลุมรักกันคนละฟาก การติดต่อจึงเว้นช่องว่างไปเนิ่นนานหลายปี ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป เปิดใจคบหาผู้คนที่ผ่านเข้ามาทั้งชายหญิงเพื่อที่จะได้รู้ว่าคำพูดของคนพวกนั้นมันไม่จริง เพราะต่อให้นอนกับผู้ชายอีกครึ่งล้าน หัวใจของพวกเธอก็จะไม่ถูกเติมเต็ม และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด พวกเธอไม่ได้บิดเบี้ยว ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะหลุดไปจากเส้นทางที่ถูกที่ควร...

 

       รสนิยมทางเพศไม่ใช่สิ่งตัดสินความผิดปกติของมนุษย์

 

       ดังนั้นเมื่อรู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าสิ่งที่ตามหาคืออะไร ทั้งปรางทั้งเอลลี่จึงเสี่ยงดวงมาเรียนต่อในนครแห่งความฝันที่เคยวาดไว้ร่วมกัน ที่ซึ่งพวกเธอสามารถรักกันได้อย่างเสรี และมีสิทธิ์จดทะเบียนสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หอบเอาความหวังอันริบหรี่ที่อาจจะได้เจอกันอีกครั้งใส่มาในกระเป๋าเดินทาง

 

       และคืนหนึ่งในฤดูหนาวของช่วงเวลาใกล้สิ้นปีตอนที่อายุยี่สิบเอ็ด ณ ผับแสงสีกลางย่านราตรีของซานฟรานซิสโก ท่ามกลางภาพพร่าเบลอจากความมัวเมาด้วยฤทธิ์สุรา... ในที่สุดทั้งสองก็ได้สบกับดวงดาวแสนสวยหลังนัยน์ตาที่ต่างก็ไม่อาจลืมเลือน

 

       “โรแมนติกจังนะ” ชายวัยกลางคนพึมพำออกมา เอนหลังทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าของอีกคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง

 

       “ครับ” โชครับคำอย่างเห็นพ้อง เรื่องราวของปรางและเอลลี่นั้นเป็นความโรแมนติกอย่างจริงแท้แน่นอน ...แต่ความรักของทุกคนก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ทั้งสวยงามทั้งเจ็บปวด หลอมรวมออกมาเป็นเรื่องราวเฉพาะตัวที่ตรึงติดในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นรักที่เรียบง่ายหรือหวือหวาสักแค่ไหน ทุกความรักก็ล้วนแต่เป็นเรื่องโรแมนติกกันทั้งนั้น “อย่างกับในนิยายเลยนะครับ”

 

       ...รักของพวกเขาเองก็เช่นกัน

 

       ในอ่างน้ำอุ่นร้อนที่หมุนวนช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้ร่างกายมีชายสองคนเบียดชิดกันอยู่ โชคกดจูบลงบนฝ่ามือร้อนชื้นของคนในอ้อมแขน ลากไล้ปลายลิ้นร้อนผ่าวไปตามข้อนิ้วเรียวจนพอใจ ก่อนจะผละริมฝีปากมาคลอเคลียบนลาดไหล่ไล่ไปจนถึงซอกคอชุ่มฉ่ำหยาดน้ำ ขบกัดแผ่วเบาทิ้งร่องรอยสีอ่อนจางไว้อย่างทะนุถนอมและหวงแหน

 

       ความรู้สึกวาบหวามก่อตัวกลางม่านไอน้ำสีขุ่น แต่ก่อนที่มันจะแล่นพล่านไปทั่วร่างพาไฟร่านราคะแผดเผาเสียจนเลยเถิด แก้วก็หยุดยั้งมันไว้ด้วยปลายนิ้วแตะลงบนกลีบปากอีกฝ่ายเหมือนเช่นเคย

 

       “ขอโทษนะโชค” เสียงยามเอ่ยบอกทั้งอ่อนโยนและอ่อนล้า “วันนี้ฉันเหนื่อยน่ะ”

 

       “ครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างง่ายดาย กระชับกอดแนบแน่นโดยไม่ได้ล่วงล้ำทำอะไรเกินเลย เพียงแค่ซบอิงใบหน้าไว้ในสัมผัสแสนคุ้นเคยให้เนิ่นนานขึ้นอีกสักหน่อย “แต่ไม่ต้องขอโทษหรอกนะครับ... ไม่ต้องขอโทษเลย”

 

       คำกระซิบแผ่วเบานุ่มนวล แก้วหันมามอบจูบละมุนเหนือหน้าผากของเจ้าหมาแสนเชื่องก่อนลุกออกจากอ่างไปแต่งตัวเตรียมเข้านอน ปล่อยให้โชคได้จัดการตัวเองต่อให้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยตามออกไปนกอดเขาไว้ พูดคุยกัน หัวเราะไปด้วยกัน จนกระทั่งจมสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน

 

 

 

       ยามเช้าวันที่สี่ค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเหล่าเจ้าสาวและผองเพื่อนยังคงสลบไสลจากการปาร์ตี้สุดเหวี่ยงกันจนเกือบรุ่งสาง ในห้องอาหารมื้อเช้าของทางโรมแรมจึงได้เห็นแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เป็นพวกผู้หลักผู้ใหญ่ หรือไม่ก็พวกเด็กๆ ที่ดูตื่นเต้นเพราะจะได้ไปเล่นเซิร์ฟโต้คลื่นกันต่อ

 

       แสงแดดสาดส่องผ่านบานกระจกเข้ามาอย่างอ่อนโยน ตกกระทบลงบนซีกหน้าของแก้วและโชคคนละข้าง ดวงตาสีเข้มถูกส่องสะท้อนปรากฏสีน้ำตาลดั้งเดิมของมัน เช่นเดียวกับนัยน์ตาคู่สวยที่ทอประกายระยิบระยับใต้ลำแสงสีทองอบอุ่น พวกเขาไม่ได้รีบร้อนกันนัก ค่อยๆ ละเลียดชิมรสอาหารกับเวลาที่ไหลผ่านไป...

 

       หลังจากมื้อเช้าจบลงทั้งสองคนก็ออกไปรับลมทะเลริมชายหาด เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสเม็ดทรายนุ่มละเอียด บางครั้งก็เย็นเฉียบด้วยคลื่นน้ำที่ซัดขึ้นมากรอมข้อเท้า มือข้างหนึ่งจับกันเอาไว้ ส่วนอีกข้างหิ้วรองเท้าแตะ ก้าวเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายใต้ดวงอาทิตย์เจิดจ้า ร้อนผ่าวราวกับจะมอดไหม้ด้วยไฟที่ถูกจุดขึ้นเหนือริมฝีปาก

 

       ...จูบรสซอสมะเขือเทศและแยมสตรอว์เบอร์รี่

 

       “แก้ว” ชายหนุ่มเรียก

 

       “ว่าไง” เขาขานตอบ

 

       “เรา...แต่งงานกันบ้างดีไหมครับ” คำถามเคล้าเสียงคลื่นลมฟังดูเรียบง่าย แต่ฉายความจริงจังผ่านแววตา

 

       “หมายถึงแต่งแบบไหนล่ะ” แก้วย้อนถามกลับมา เว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อเมื่อโชคดูจะไม่เข้าใจคำถามนั้น “ถ้าเป็นเรื่องสิทธิตามกฎหมาย เราก็เหมือนแต่งงานกันแล้วนี่นะ”

 

       “หมายความว่ายังไงครับ” โชคยังคงไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกดีใจที่มันไม่ใช่คำปฏิเสธ จ้องมองคนรักสูงวัยตาใสอย่างรอคอยคำอธิบายต่อ

 

       แก้วระบายยิ้มบางพร้อมกับยกมือขึ้นทาบบนแก้มอุ่นของชายหนุ่มของเขา “ก็เพราะที่นี่เรายังจดทะเบียนสมรสกันไม่ได้...”

 

       เพราะในประเทศไทยยังไม่อนุมัติข้อกฎหมายให้คนรักร่วมเพศสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ มีคู่รักมากมายที่ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่ชีวิต แต่กลับไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ได้ในฐานะคู่สมรสตามกฎหมาย ตั้งเรื่องการเงินเพื่อร่วมสร้างเนื้อสร้างตัว ไปจนถึงเรื่องสำคัญทางการแพทย์อย่างการเซ็นยินยอมรับความเป็นความตาย กระทั่งวาระสุดท้ายเมื่อมีคนหนึ่งจากไป สิ่งที่เหลือไว้ให้คนข้างหลังก็มีเพียงแค่ความทรงจำ ...แค่เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกันตามกฎหมาย

 

       เช่นนั้นแล้วคู่รักร่วมเพศในประเทศแห่งนี้หากอยากมีพันธะผูกพันกันเอาไว้แบบเป็นลายลักษณ์อักษรในเอกสารทางราชการ พวกเขาจะใช้วิธีให้ทางครอบครัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเซ็นรับอีกฝ่ายเข้าเป็นบุตรบุญธรรม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้ครอบคลุมให้มีสิทธิอย่างคู่สมรสอยู่ดีเมื่อการลำดับทายาทจะจัดให้พวกเขาเป็นเพียงพี่น้อง และในสังคมไทยที่ยังคงยึดกรอบคับแคบเรื่องเพศเอาไว้ก็ยังมีคู่รักหลายคู่ที่โดนครอบครัวผลักไสและปฏิเสธจะช่วยเหลือ แม้จะยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่จะส่งต่อทรัพย์สินให้แก่คนรักได้ผ่านพินัยกรรม ทว่าคนเราจะมีสักกี่คนกันที่เตรียมพร้อมรับความตายที่ไม่เคยแจ้งเตือนก่อนล่วงหน้า

 

       แต่เพราะในกรณีของแก้วกับโชค แก้วอายุห่างกับโชคมากพอจะรับเป็นบุตรบุญธรรมด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ชายหนุ่มได้เป็นทายาทลำดับที่หนึ่งของเขาโดยชอบธรรม อีกทั้งเขาไม่มีญาติใกล้ชิดคนไหนที่จะมาอ้างสิทธิ์ในมรดกของเขาได้ รวมไปถึงไม่เคยได้จดทะเบียนสมรสกับใคร ทำให้โชคสามารถตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายแทนเขาได้ในฐานะลูกตามกฎหมาย

 

       “...แต่เธอกับฉัน เราเกี่ยวข้องกันตั้งแต่ที่เธอเซ็นยอมรับฉันเป็นพ่อบุญธรรมแล้วล่ะนะ” แก้วพูดบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแสนอ่อนโยน แม้ดวงตาจะฉายแววหม่นเล็กน้อยเพราะด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่โชคนึกหงุดหงิดอยู่ในใจ

 

       “แต่ผมก็ไม่ได้เป็นสามีแก้วอยู่ดี”

 

       “อืม ตอนนี้น่ะนะ”

 

       ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ก็ถือว่าโชคดีกว่าอีกหลายๆ คู่แล้ว แต่มันก็ช่างน่าเศร้าและแสนเจ็บปวดอยู่ดีที่คนมากมายไม่อาจครองคู่กันได้ตามสถานะที่แท้จริงเพียงเพราะเรื่องของเพศ

 

       “ถ้าสักวันเราจดทะเบียนสมรสกันได้แล้ว แก้วเลิกเป็นพ่อแล้วมาเป็นสามีผมแทนเลยนะครับ”

 

       “ถึงวันนั้นฉันอาจจะแก่งั่กแล้วก็ได้ เธอยังจะอยากได้คุณปู่เป็นสามีอยู่รึไง”

 

       “ถ้าเป็นแก้ว จะเมื่อไหร่ผมก็อยากได้อยู่ดีแหละครับ”

 

       “เด็กน้อย”

 

       “ของแก้วคนเดียว” เป็นอีกครั้งที่คำบอกกล่าวไม่อาจเป็นจริง แต่เขาก็คิดจะเชื่อมันสุดหัวใจ “...ตลอดไปเลย”

 

       ทั้งสองหัวเราะแผ่วเบา ออกเดินกันต่อไปบนผืนทรายที่ซึ่งฟองคลื่นถูกซัดขึ้นมาเกยตื้นแล้วสลายไป แต่มือที่เกี่ยวประสานกันไว้ยังคงกอบกุมแนบแน่น

 

       “กลับกันเถอะ” แก้วเอ่ยปากชวนเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มร้อนแรงขึ้นในช่วงสาย

 

       “เหนื่อยแล้วเหรอครับ” โชคเตะน้ำทะเลเล่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันกลับไปยังทิศที่ตั้งของโรงแรม

 

       “เปล่า” แมวเฒ่าเจ้าเล่ห์ว่า “ก็เธอชวนฉันมาเดทไม่ใช่รึไง”

 

       “ก็...ครับ” เจ้าหมาหน้าซื่อยังคงไม่เข้าใจ กระทั่งสบกับนัยน์ตาวับวาวอย่างซุกซนคู่นั้น

 

       “ต้องให้ฉันสอนไหมว่าเดทแบบผู้ใหญ่เขาทำกันยังไงน่ะ เด็กน้อย”

 

 

.....
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 48 [21.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 21-12-2020 18:50:19
.....



       เดทแบบผู้ใหญ่ที่แก้วว่าไม่ได้นำพาความร้อนแรงมาเช่นคำเชิญชวนเมื่อมันเป็นการร่วมรักกับชายที่อายุใกล้ห้าสิบปี มีเพียงสองร่างเปล่าเปลือยที่กอดก่ายกันใต้แสงของวันอย่างไม่เนียมอาย เมื่อพวกเขาต่างสัมผัสกันและกันอย่างลึกซึ้งมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อมอบความสุขสมล้นทะลักให้แก่ร่างกาย และมอบความวาบหวามให้แก่หัวใจที่เต้นเร่าใต้ผิวเนื้อแนบชิด

 

       “ไหวไหมครับ” โชคถามคนที่คร่อมทับขยับควบสะโพกพร้อมพ่นลมหายใจหอบกระเส่าอยู่ด้านบนอย่างห่วงใย มือใหญ่ยกขึ้นไล้ปอยผมยาวชุ่มเหงื่อไปทัดไว้หลังหูให้อย่างเบามือเพื่อสบตา ...ท่านี้จะทำให้แก้วเหนื่อย และแม้มันจะทำให้รู้สึกดีแค่ไหนเขาก็ไม่อยากให้แก้วต้องฝืนตัวเอง

 
 
       “ไหว” ทว่าเจ้าตัวบอกอย่างนั้น เขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจต่อไป แต่ก็ช่วยประคองบั้นเอวนุ่มนิ่มด้วยชั้นไขมันใต้ผิวหนังไว้ให้ทรงตัวได้อย่างมั่นคง

 

       จวบจนจังหวะการกระทั้นกายเร่งเร้าขึ้นเมื่อพายุอารมณ์ใกล้ถึงฝั่ง โชคก็หยัดตัวขึ้นมากอดแก้วเอาไว้อย่างนุ่มนวล มือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังผอมบางอย่างปลอบโยน ส่วนอีกมือก็ช่วยปรนเปรอส่วนอ่อนไหวด้านหน้าให้ได้ปลดปล่อยออกมาด้วยกัน

 

       พวกเขาปล่อยให้ร่างกายที่เชื่อมต่อกันค้างคาอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ ขณะที่รอให้ความร้อนจางไปและเสียงหอบหายใจสงบลง แก้วทิ้งตัวทาบทับเหนืออกอุ่น ซุกซบแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของคนรักอย่างอ่อนล้า เนิ่นนานกว่าจะผละออกจากกัน เพื่อที่โชคจะได้ลุกขึ้นเก็บกวาดเศษซากต่างๆ ไปทิ้งลงถังขยะแล้วกลับมาเช็ดคราบทำความสะอาดให้กับคนที่ผล็อยหลับไปแล้วอย่างเบามือ

 

       อ่อนโยน เฝ้าทะนุถนอม ...โชคไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย

 

       กว่าแก้วจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งตะวันก็คล้อยลงต่ำแล้ว แต่ก็ยังพอมีเวลาก่อนจะหมดวันแล้วผันเข้าสู่ค่ำคืนอยู่ พวกเขาเลยออกมาเดินเล่นในย่านเมืองเก่าเที่ยวชมอาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล์ชิโนโปรตุกีส และเพราะว่าเป็นวันอาทิตย์พอดีถึงได้มีตลาดนัดถนนคนเดินทำให้บรรยากาศยามใกล้สิ้นแสงยังคงคึกคัก มีแสงไฟสีนวลส่องย้อมอย่างอบอุ่นใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ

 

       “เมื่อก่อนแก้วเคยคิดจะแต่งงานบ้างไหมครับ” บทสนทนาเรื่อยเปื่อยเคล้าเสียงดนตรีและกลิ่นของแอลกอฮอล์ในร้านอาหารกึ่งบาร์วนกลับมายังเรื่องการแต่งงานอีกครั้ง โชคนั่งเท้าคางมองคนรักอย่างรอคอย

 

       “เมื่อก่อนไม่” คนถูกถามว่า ขณะที่สายตาทอดมองเรียวนิ้วตนบนโต๊ะที่ถูกอีกคนลูบเล่นอย่างที่ชอบทำประจำ “แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้ว”

 

       คำตอบที่ได้รับทำเอาชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อมันหมายความว่าแก้วคิดอยากจะแต่งงานกับเขา และเพราะอย่างนั้นถึงได้ยิ่งกระตือรือร้นที่จะชวนคุยต่อ “งั้นจัดงานที่ไหนดีครับ ริมทะเลแบบงานพี่ปรางดีไหม หรือจะเป็นในสวนดี แต่จัดที่โรงแรมก็สะดวก...”

 

       “หัวหิน” เสียงพึมพำแผ่วเบาบอกสถานที่ในใจออกมา โชคที่ถูกขัดทั้งที่ยังพูดไม่จบไม่ได้มีแววของความไม่พอใจแม้แต่น้อย มีแต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่ดูจะเจิดจ้าเช่นเดียวกับแววตาที่ทอประกายสว่างไสวขึ้นไปอีก

 

       แผนการจัดงานแต่งงานยังคงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันต่อไปอีกยาวนาน เบียร์ในแก้วค่อยๆ พร่องไปจนหมดแล้วก็สั่งมาใหม่ จูบชื้นฉ่ำแนบลงบนหลังมือ ไล่ไปจนถึงข้อนิ้วนางที่ซึ่งเส้นเลือดต่อตรงเข้าสู่หัวใจ และคงเป็นเพราะอย่างนั้นมันถึงได้ส่งความร้อนวูบวาบถึงกลางอกได้ในทันที

 

       ...หัวหิน ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าวที่มีชิงช้าตัวใหญ่ยึดโยงห้อยอยู่ เสียงของคลื่นทะเล กลิ่นของเกลือในสายลม และทิวทัศน์ของท้องน้ำฝั่งอ่าวไทยที่มองเห็นอยู่ไกลๆ เบื้องหน้า

 

       โชคกับแก้วแต่งงานกัน ณ ที่แห่งนั้นในห้วงฝันของค่ำคืนนี้

 

 

 

...TBC


       หวานละมุนจนลมทะเลกลายเป็นกลิ่นน้ำตาล และเป็นตอนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักเชิงโรแมนติก รีนชอบตอนนี้มากๆ เลยล่ะค่ะ ตอนเขียนก็เขียนไปยิ้มไป และด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้นะคะ แต่งานแต่งงานเป็นงานที่รีนชอบมากเลย รีนรู้สึกว่ามันเป็นงานที่ต่อให้เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้าภาพ แค่เดินผ่านก็ยังรู้สึกมีความสุขและยินดีร่วมไปด้วย เหมือนมีมนต์วิเศษอะไรบางอย่างอยู่ในรอยยิ้มของบ่าวสาวเลยล่ะค่ะ :L2:

       และในตอนนี้ที่มีเรื่องของการแต่งงานเข้ามา รีนก็อยากจะชวนทุกคนมาช่วยกันสนับสนุนและผลักดัน #สมรสเท่าเทียม ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยกันค่ะ อย่างที่รีนใส่ไว้ในเนื้อหาเลย ความรักของคู่รักมากมายถูกจำกัดเอาไว้ภายใต้กรอบของกฎหมายเพียงเพราะเรื่องของเพศ และมันไร้สาระสิ้นดีค่ะ ทุกคนควรได้มีความสุข ทุกคนสมควรได้รับความสุข ไม่มีความรักของใครที่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลังนะคะ มาช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้ดีขึ้นสำหรับทุกคนกันเถอะค่ะ ถึงจะทีละเล็กละน้อยแค่ไหนก็ช่วยสู้กันต่อไปด้วยนะคะ

       ปล.ตอนนี้เราอาจจะยังทำอะไรกับข้อกฎหมายไม่ได้นัก แต่เราเริ่มต้นจากการช่วยกระจายความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศให้กับคนรอบตัวกันก่อนก็ได้ค่ะ และเมื่อวันที่ต้องใช้เสียงของประชาชนมาถึง วันนั้นเสียงของพวกเราจะได้มากพอและดังพอที่จะช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมได้นะคะ  o13

 

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่าน

       ขอบคุณจากใจเสมอเลยค่า

 

 

       See You on Thursday!

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 48 [21.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-12-2020 20:10:23
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 48 [21.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 21-12-2020 21:17:56
 :-[ :-[ :กอด1: :กอด1: ความรักมันเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่มีแบ่งเพศ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 49 [24.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 24-12-2020 21:29:10

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 49

 

       ครึ่งปีแรกผ่านไปพร้อมกับโชคที่อายุเต็มยี่สิบหกปี แก้วตัดสินใจลาออกจากบริษัท โดยมีปุณ รุ่นน้องผู้อยู่คู่สำนักงานมาเนิ่นนานจนกลายเป็นคุณพ่อลูกสองขึ้นมารับช่วงต่อทำหน้าที่แทน ส่วนมิกซ์ที่ไปทำงานกับบริษัทของญาติที่ต่างจังหวัดหลังเรียนจบก็กำลังจะย้ายกลับมากรุงเทพฯ ในช่วงปลายปี โดยที่ยื่นใบสมัครงานใหม่กับสถานที่ฝึกงานที่เดิมแห่งนี้เอาไว้

 

       โชคจะไม่เหงาแล้ว ...แก้วก็สบายใจ

 

       “กินข้าวยังครับ” สายตรงต่อจากนายสถาปนิกตกแต่งภายในที่วันนี้ออกไปทำงานข้างนอกร้องเรียกในเวลาเที่ยงครึ่งพอดิบพอดี และคำถามแรกที่ถามมาก็เรียกรอยยิ้มให้กับคนฟัง

 

       “กินแล้ว ที่เธอทำไว้ให้นั่นแหละ” แก้วตอบแล้วถามกลับ “เธอล่ะ”

 

       “ยังเลยครับ เพิ่งออกจากร้านลูกค้ามา แต่เดี๋ยวกำลังจะไปกินแล้วล่ะ” เสียงเปิดปิดประตูที่แทรกมาในสายบอกให้รู้ว่ารุ่นพี่ที่ไปทำงานด้วยกันกับโชคกลับขึ้นรถมาพอดี และก็คงถึงเวลาต้องวางสาย

 

       “อือ ขับรถดีๆ”

 

       “ครับ เจอกันที่บ้านเย็นนี้นะครับ”

 

       คำบอกลาเพื่อที่จะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อกลับถึงบ้านทิ้งความอุ่นซ่านเอาไว้ แก้วยังคงมองโทรศัพท์มือถือในมือต่อสักพักหลังจากกดวางสาย เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้กว่าจะเบนสายตาไปหาเจ้าโมกที่เดินเข้ามาคลอเคลียชวนให้หยอกเล่นด้วยกัน

 

       วันที่โชคไม่อยู่บ้านมันช่างว่างเปล่าชวนให้เหงาเหลือเกิน

 

 

 

       สิงหาคมฝนตกลงมาถี่ ดอกแก้วผลิบานขาวทั่วทั้งต้นจนแทบกลบใบ ร่วงโปรยย้อมลานอิฐชื้นน้ำให้กลายเป็นทะเลดอกไม้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกรุ่นไอดิน ละล่องลอยอวลโชยผ่านซี่กรงมุ้งลวดหน้าต่างเข้ามาในห้องทำงาน โชคนั่งมองหน้าจอคอมสลับกับคนที่หลับอยู่บนเดย์เบดเบาะผ้าที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาในห้องเมื่อไม่นานมานี้

 

       “ฝันดีไหมครับ” ชายหนุ่มทักทายคนรักด้วยรอยยิ้มทันทีที่ดวงตาสีเข้มปรือเปิด

 

       “อือ” แก้วครางรับในลำคอ ขยับพลิกตัวตะแคงหันมาทางฝั่งคู่สนทนา “ฝันถึงตอนเด็กน่ะ... เห็นแม่นั่งอยู่ตรงเฉลียงกับแมวตัวอ้วนๆ ที่เมื่อก่อนเคยแวะมาบ่อยๆ”

 

       “แล้ว...ได้คุยกับแม่ไหมครับ” โชควางงานไว้ชั่วคราวเพื่อย้ายตัวเองมานั่งลงบนพื้นหน้าโซฟาตัวยาว แนบแก้มลงกับหมอนที่อีกคนหนุนนอนพลางมองจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่สะท้อนเงาเขากลับมา

 

       “ไม่หรอก ไม่ได้พูดอะไรกันเลย ฉันแค่ยืนมองแม่จากตรงหน้าประตู ...อาจจะเป็นเพราะฉันลืมเสียงแม่ไปแล้วล่ะมั้ง” ถ้อยคำนั้นฟังดูแสนเศร้า แต่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์เราที่จะหลงลืม โดยมีลำดับเริ่มจากเสียงเป็นสิ่งแรก ต่อมาคือรูปลักษณ์ที่มองเห็นผ่านดวงตา จากนั้นก็จะเป็นสัมผัสแล้วตามด้วยรสที่เคยลิ้มชิม และสิ่งสุดท้ายที่จะค่อยเลือนจางไปก็คือ... “แต่ก็ยังได้กลิ่นดอกกรรณิการ์ที่พ่อชอบเก็บมาจากที่ทำงานให้แม่ลอยน้ำสรงพระอยู่นะ ทั้งที่ก็ไม่ได้เห็นต้นมันมานานแล้ว ...แปลกดีเหมือนกัน”

 

       “ในฝันได้เจอพ่อด้วยไหมครับ” คนที่ไม่ได้ฝันด้วยยังคงถามถึงเรื่องราวในโลกอีกใบที่ตนไม่อาจไล่ตามอีกฝ่ายเข้าไปได้อย่างสนใจ มือก็เริ่มไล้ไปตามข้อนิ้วเรียวด้วยความเคยชินที่แสนชื่นชอบ

 

       “ไม่ได้เจอ แต่รู้สึกว่าก็คงอยู่ในบ้านนั่นแหละ” ผู้ท่องฝันเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบางเบาที่ดูเหงาเล็กน้อย

 

       “คิดถึงบ้างไหมครับ” คำถามหลังจากที่เงียบงันไปพักหนึ่งได้รับเสียงหัวเราะแผ่วเบาก่อนคำตอบ

 

       “คิดถึงสิ” แก้วว่าพลางกำรวบปลายนิ้วที่ลูบนิ้วเขาอยู่แล้วดึงมาไว้ตรงหน้า แทรกกลางระหว่างพวกเขาที่ห่างเพียงให้ดวงตาจับภาพกันได้ชัดเจน “แต่แค่นานๆ ทีน่ะนะ”

 

       “แล้วปกติแก้วคิดถึงอะไรบ่อยๆ” เจ้าหมายักษ์วอนขอคำตอบที่คาดหวังผ่านแววตากับริมฝีปากอุ่นบนหลังมือ และแก้วก็รับสินบนนั้นมาอย่างเต็มใจ

 

       “คิดถึงเธอไง”

 

       รอยยิ้มกริ่มผลิบานบนใบหน้าชายหนุ่ม โชคกดจูบซ้ำลงบนหลังมืออีกครั้งแล้วจึงค่อยย้ายไปยังกลีบปากสีซีดจางของอีกคน ก่อนจะถูกดึงรั้งให้ขยับป่ายปีนขึ้นไปแทรกกายนอนกอดก่ายเบียดชิดกันบนเดย์เบด

 

       “ผมรักแก้วนะ”

 

       “อือ ฉันก็รักเธอ”

 

       ขอโทษนะครับ แต่อย่าเพิ่งให้แก้วคิดถึงคุณมากนักเลย... โชคอ้อนวอนต่อหญิงสาวผู้มีชื่อเดียวกับดอกไม้ที่ฝังกลิ่นลงบนกายเธอ

 

       กรรณิการ์... มารดาของแก้ว

 

 

 

       ปลายหน้าฝนก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาวครั้งที่สี่สิบเก้าของแก้ว บนเตียงนอนอุ่นร้อนวูบวาบด้วยร่างกายเปลือยเปล่าที่แนบชิดกัน มันทั้งเนิบช้าและนุ่มนวล แต่หัวใจกลับเต้นเร่าอย่างรัญจวนปนเสียงหอบครางสั่นเครือ

 

       ไม่รู้ว่ามันใช้เวลานานแค่ไหนกว่าความร้อนจะสงบลง โชคกอดคนในอ้อมแขนไว้แน่นในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วันใหม่

 

       “สุขสันต์วันเกิดครับแก้ว” กระซิบแผ่วเบาชิดริมหูถึงคำอวยพรจากใจไม่ต่างจากที่เคยได้รับมา

 

       ดีใจที่แก้วเกิดมา... ขอบคุณที่แก้วเกิดมา
 


       “ขอบใจ” แก้วตอบรับ ขยับซุกกายเข้าหาความอบอุ่นขึ้นอีกนิดก่อนจะร่วงลงสู่นิทราที่ความทรงจำสีซีดจางพักนี้กลับมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้งในรูปแบบของความฝัน

 

       แต่ขอเวลาอีกสักพักนะครับ... แก้วบอกกับหญิงสาวบนเก้าอี้สานและชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาหลังเลนส์แว่นกรอบทอง

 

       กรรณิการ์กับสนธยา

 

       แม่กับพ่อ...

 

       รุ่งสางเดินมาถึงในชั่วอึดใจ แก้วได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับชายหนุ่มของเขาอีกวัน สายตาไล่มองจดจำใบหน้านั้นเอาไว้ให้ขึ้นใจ พรมจูบไล่สัมผัสเพียงผิวเผินก่อนที่อีกฝ่ายจะปรือตาด้วยความง่วงงุนมาส่งยิ้มให้ น่าเสียดายที่ยามเช้าไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักสำหรับเก็บจำรสจุมพิต เขาเลยข้ามไปซุกหน้าเข้าใต้คางพลางฝังจมูกลงบนคออุ่นเพื่อสูดกลิ่นกายแสนคุ้นเคยที่โอบกอดเขาอย่างนุ่มนวลเสมอใส่ความทรงจำเอาไว้แทน

 

       หลังจากนั้นเมื่อเข้าช่วงสายของวันพวกเขาก็อบเค้ก เป็นครั้งแรกที่แก้วเข้าครัวในรอบหลายปี ช่วยชั่งตวงส่วนผสมให้โชคได้ตีแป้งในชามด้วยตะกร้อมือ จนเมื่อเอาเข้าเตาอบเรียบร้อยเหลือเพียงรอเวลาให้มันสุก ชายหนุ่มก็พักแขนที่เมื่อยล้าเติมพลังด้วยการอ้อนนอนหนุนตักแก้วอยู่บนโซฟาหน้าทีวี

 

       อีกปี... วันเกิดที่ได้อยู่ด้วยกัน

 

 

 

       พฤศจิกายนน้ำทะเลหนุนสูงท่วมปริ่มริมคลอง โชคทำกระทงแผ่นขนมปัง ส่วนแก้วนั่งรออย่างเงียบงันกระทั่งได้ยินเสียงเรียกบอกว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยลุกเดินออกไปด้วยกัน ตามทางที่ใช้เดินออกกำลังกายเป็นประจำอยู่ทุกวันยามก่อนอาทิตย์อัสดง แต่วันนี้กลับได้เดินท่องไปใต้ไฟนีออนสีขาวที่ย้อมกลบแสงนวลของจันทร์ดวงเด่น

 

       “หนาวไหมครับ” คนหนุ่มหันมาถาม ขณะที่พวกเขายืนกันอยู่กลางสะพาน ทอดมองผืนน้ำสีดำที่ส่องแสงเรืองรองด้วยเปลวไฟจากยอดเทียนไหลผ่านไปเบื้องล่าง

 

       “อืม นิดหน่อย” แก้วบอกตามจริง ขยับเข้าไปชิดอีกคนทั้งที่ปลายทางสายตายังจมลงไปใต้กระแสธารเหน็บหนาว

 

       โชคยกแขนโอบไหล่แก้วไว้หลวมๆ ใช้ตัวบังทางลมเย็นเฉียบไม่ให้เฉียดโดนผิวเนื้อของอีกฝ่าย แบ่งปันความร้อนจากไออุ่นกาย ยืนแนบชิดกันอยู่อย่างนั้นราวกับโลกทั้งใบไม่มีใครอื่น

 

       ประเพณีลอยกระทงมีไว้เพื่อขอขมาต่อพระแม่คงคา

 

       ทว่าแม้จะรู้อย่างนั้นพวกเขาในวันนี้กลับต่างกำลังขอพร

 

 

 

       เทศกาลคริสต์มาสกำลังจะผันผ่านมาเยือนอีกครั้งพร้อมกับลมหนาวที่ทวีหนักกว่าคราก่อนๆ กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่าอุณหภูมิจะลดลงต่ำสุดในรอบห้าปี ห้องนั่งเล่นในค่ำคืนนี้จึงต้องปิดบานประตูหน้าต่างขณะที่เหล่าเจ้าของบ้านช่วยกันตกแต่งต้นสนพลาสติกที่นำลงมาตั้งยังที่ประจำของมันแล้ว

 

       แก้วแขวนลูกบอลประดับกับโชคที่พันสายไฟ ช่วยกันเติมเต็มกิ่งใบให้สนปลอมกลายเป็นต้นไม้แห่งนิรันดรภาพของชาวคริสต์ โมกคราวนี้ไม่ได้เข้ามาก่อนกวนบรรดาของตกแต่ง แต่ไปสาละวนเล่นอยู่กับกล่องลังเก็บของแทน

 

       หลังจากชายวัยกลางคนแขวนกล่องของขวัญสีแดงกล่องสุดท้ายบนปลายกิ่งก้านที่ทำมาจากลวดเหล็กเสร็จเรียบร้อย เขาก็นั่งชันขาข้างหนึ่งขึ้นกอดรองแก้มแนบกับเข่าอย่างรอคอย จวบจนแสงไฟหลากสีกระพริบติดขึ้นมาเมื่ออีกคนกดเปิดสวิตช์ ดวงตาสีเข้มจึงค่อยเบนไปสบกับคนที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

       “อะไร” ...เป็นอีกครั้งที่โชคคิดว่าแก้วช่างเหมือนกับแมว

 

       “เปล่าครับ” โชคบอกอย่างนั้น แต่ก็ยื่นหน้าเข้าใกล้ให้ปลายจมูกแตะสัมผัสกันก่อนจะประทับริมฝีปาก

 

       ...เบาบางและยาวนานเพียงเสี้ยวนาที

 

       ไม่ได้มีบทสนทนาเป็นเรื่องเป็นราวหลังจากนั้น ชายหนุ่มแค่ดึงรั้งคนรักให้โน้มตัวลงมานอนซบอกขณะทิ้งตัวลงนอนแผ่หลังแนบพื้นหน้าต้นไม้เรืองแสง มือใหญ่ขยับลูบสางเส้นผมยาวระท้ายทอยอย่างอ่อนโยน ขณะที่หัวเราะกับเรื่องไร้สาระในอดีตที่หยิบยกขึ้นมาจากความทรงจำ

 

       หนึ่งวันที่แสนธรรมดาในช่วงเวลาก่อนสิ้นปี

 

       ในบ้านหลังนี้ยังคงอุ่นร้อนกลางสายลมหนาว ...ยาวไปจนถึงคริสต์มาสอีฟที่นอนดูหนังด้วยกันจนดึกดื่น กินพิซซ่าโฮมเมดในตอนเที่ยงคืน และขึ้นนอนพร้อมคำบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนรุ่งสางมาเยือนเพียงไม่นานนัก

 

       กระทั่งแสงวูบวาบของดอกไม้ไฟผลิบานเต็มเวิ้งฟ้าบ่งบอกเวลาเข้าสู่ปีใหม่ แก้วยืนพิงอยู่ในอ้อมอกโชค มองดูท้องนภาจนริ้วแสงโรยราหมดสิ้นไป ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูบอกว่ารักเหลือเกินเหมือนกับทุกปี และเขาก็ตอบกลับไปว่ารักเหมือนกัน

 

       สองคนในบ้านไม้สีขาวตื่นมาดูอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกของปีด้วยกันผ่านบานหน้าต่างห้องนั่งเล่น ลำแสงระยิบระยับสีทองอาบย้อมสวนเขียวที่มีดอกไม้เบ่งบานหลากสีให้ดูอบอุ่น แก้วคลี่ยิ้มออกมาด้วยแววตาอ่อนโยน และสำหรับโชคมันงดงามยิ่งว่าทิวทัศน์ใด

 

       “สวัสดีปีใหม่” ถ้อยคำที่ลืมบอกก่อนเข้านอนเมื่อคืนถูกพูดออกมาในตอนนี้เอง

 

       “สวัสดีปีใหม่ครับ” โชคตอบกลับไป เอนศีรษะพิงซบกับหัวไหล่คนข้างกาย ...ที่บอบบางราวกับหากออกแรงมากไปจะทำให้แตกสลาย

 

       ช่วงเวลายามเช้าถูกทิ้งไว้ใต้แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาไล้ใบหน้า

 

       โชคหวาดกลัววันเวลามากกว่าคราไหนๆ

 

 

 

       แล้วในที่สุดเมื่อเข้าสู่เดือนกุมภา ความหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอยู่หลังนัยน์ตาคู่สวยก็เผยตัวออกมา

 

       “โชค...” เสียงเรียกแหบแปร่งและแก้วที่ซวนเซ โชครีบทิ้งถ้วยจานในมือพุ่งตัวไปคว้าคนที่เพิ่งก้าวขาพ้นครัวก็หน้ามืดล้มพับลงกับพื้น

 

       สลบไสลทั้งลมหายใจรวยริน

 

       หัวใจของโชคร่วงหล่นไปพร้อมกับแก้วที่ทรุดลงตรงหน้า

 

 

 

       เนิ่นนานเป็นวันกว่าแก้วจะลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนที่คุ้นเคย โชครีบกดปุ่มเรียกพยาบาลให้เข้ามาตรวจอาการเบื้องต้นทันที และพอตกบ่ายนายแพทย์เจ้าของไข้ก็เข้ามาพร้อมเอกสารรายงานผลการตรวจร่างกายที่ดำเนินการไปตั้งแต่ตอนที่คนป่วยยังไม่ได้สติ

 

       ทั้งที่นอกบานกระจกคือท้องฟ้าโปร่งสดใสเป็นสีของปลายหน้าหนาว แต่พวกเขากลับได้ยินเสียงของฝนดังกึกก้องในหูจนอื้ออึงไปหมด

 

       แก้วสงบนิ่งเอนหลังพิงหัวเตียงที่ยกสูง ในขณะที่โชคเหม่อมองออกไปไกลสุดปลายฟ้าซึ่งถูกตึกรามบดบัง มือใหญ่ที่กอบกุมมือเรียวไว้นั้นเย็นเฉียบแม้เครื่องปรับอากาศจะไม่ได้ลดอุณหภูมิลงต่ำเสียขนาดนั้นก็ตาม...

 

       เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มือของแก้วอบอุ่นกว่าโชค

 

       “ฉันรักเธอนะโชค” เสียงกระซิบแผ่วเบากับรอยยิ้มบางที่ชายหนุ่มรักนักรักหนา ทว่าบัดนี้กลับทำใจยากเหลือเกินที่จะหันมามอง

 

       “ครับ ผมรู้” แต่โชคก็ยังคงหันกลับมา คลี่ยิ้มตอบพร้อมกับกลืนหยดน้ำตาและพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นไหว “ผมก็รักแก้วเหมือนกัน”

 

 

 

       การนอนโรงพยาบาลของแก้วครั้งนี้กินเวลากว่าสัปดาห์ และทุกครั้งที่เขาลืมตาโชคก็จะอยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ มีเพียงยามเช้าตรู่ที่เขายังไม่ตื่นเท่านั้นที่อีกฝ่ายจะกลับบ้านไปจัดการซักผ้าก่อนเก็บของใช้เพื่อมานอนเฝ้าเขาใหม่ ส่วนโมกก็ถูกนำไปฝากฝังไว้กับบ้านของมิกซ์ให้ช่วยดูแล

 

       เช้าวันนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่แก้วตื่นก่อนเวลาปกติมาเจอกับห้องที่ว่างเปล่า ดวงตาสีเข้มจับจ้องที่ซึ่งอีกคนมักจะนั่งทำงานอยู่เป็นประจำตรงข้างประตูระเบียง

 

       ความเงียบงันในตอนนั้นเองที่ทำให้ชายวัยกลางคนได้ยินเสียงของตัวเองชัดเจนขึ้นมา

 

       สองปี... ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กในระยะจำกัดจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง และเพียงห้าเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยในระยะแพร่กระจาย

 

       สำหรับแก้วเขาคงได้เป็นน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่โชคดีที่อยู่มาได้ถึงเกือบสี่ปี ทว่าความโชคดีนั้นไม่ได้จะคงอยู่ตลอดไป เขารู้ดี รู้ดีพอๆ กับโชคที่เฝ้ามองมาด้วยแววตาหม่นหมองซึ่งซ่อนเร้นแฝงกายอยู่ในความรักล้นตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา

 

       แก้วน้ำหนักลดลงทั้งที่กินเท่าเดิม เขาผ่ายผอมลงเรื่อยๆ สวนทางกับชั่วโมงหลับใหลที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน เขาเหนื่อยล้าและเซื่องซึม อ่อนแรงกระทั่งการหายใจก็กลายเป็นเรื่องลำบากจนบางครั้งก็แทบลืมไปแล้วว่าที่ผ่านมาเขาทำได้อย่างไร

 

       ยาเคมีที่ใช้ยับยั้งช่วยชะลอการเติบโตของก้อนมะเร็งนั้น ร่างกายของแก้วรับมันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

 

       ความตาย... แก้วไม่เคยหวาดกลัวปลายทางสู่ความมืดมิดนิรันดร์ ในเมื่อมันเป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของทุกชีวิต แต่เมื่อคิดถึงชายหนุ่มผู้รักเขาด้วยทุกสิ่งเจ้าตัวที่มี เขาก็กลับรู้สึกอยากให้ลมหายใจของตนนี้ยาวนาน ต่อเวลาให้ได้อยู่กับคนที่หัวใจปารถนา ให้ได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวบนใบหน้านั้นในวันพรุ่งนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด

 

       แก้วไม่เคยกระหายการมีชีวิตเท่านี้มาก่อนเลย

 

       ความรักนั้นช่างปวดร้าว...

 

       “ตื่นแล้วเหรอครับ” แก้วหันไปสบตาตัวจริงของคนในความคิดที่โผล่เข้ามาจากหลังบานประตูปิดสนิท

 

       “อืม” เขายิ้มให้และโชคยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มกว้างสว่างไสวอย่างที่เขาอยากจะเห็นมันไปตลอดกาล

 

       “นี่ครับ” ชายหนุ่มมอบของขวัญวันแห่งความรักแก่คนรักของเขา ดอกกุหลาบสีแดงที่เก็บมาจากสวนข้างบ้าน เผยอกลีบบอบบางกำลังดีแผ่กลิ่นหอมจางลอยฟุ้ง แก้วไม่ได้กลิ่นของมันเพราะประสาทรับกลิ่นในจมูกเขาพังไปแล้วจากการสูบบุหรี่จัดเช่นเดียวกับปอดสองข้าง ทว่ามันก็ไม่ได้ยากนักที่จะหวนรำลึกจากความทรงจำเมื่อกลิ่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์จะลืมเลือน

 

       “ขอบใจ”

 

       ความรักนั้นช่างปวดร้าว แต่ก็แสนงดงามจนแม้สุดท้ายต้องแหลกสลายก็เต็มใจจะโอบกอดไว้...

 

       “โชค...” แก้วเรียกรั้งเจ้าของรอยจูบที่แนบลงบนหน้าผากเขาในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังจะผละจากไป

 

       “ครับ” ในแววตาที่จ้องสบตรงมาอย่างรอคอยมันยังคงเต็มไปด้วยความรักใคร่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แก้วจึงค่อยๆ ระบายยิ้มอ่อนโยน ยกมือขึ้นแตะปลายนิ้วบนผิวแก้ม ลากไล้ไปตามรอยแดงใต้ดวงตาคู่สวย ก่อนเอ่ยกระซิบเพียงแผ่วเบา

 

       “กลับบ้านกันเถอะ”

 

       ...แค่เพียงเพื่อให้มันได้เบ่งบานสักครั้งหนึ่งในชั่วชีวิตที่แสนสั้น

 




 

       ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ท้องฟ้าจ้าด้วยแสงของดวงตะวันที่ใกล้เข้าสู่หน้าร้อน แต่ในสายลมยังคงมีกลิ่นอายของฤดูหนาวโชยผ่านพัดพาเอาไอแดดแผดเผาให้ระเหยจางไป

 

       อาทิตย์กว่าแล้วหลังออกจากโรงพยาบาลมา อาการของแก้วยังคงทรงตัวอยู่ เขายังคงใช้ชีวิตประจำวันด้วยตัวเองได้ และไม่ลำบากนักเมื่อมีอีกคนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งสองต่างก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าชั่วขณะนี้จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

       เวลาเป็นสิ่งน่าพิศวงที่มีมากมายเพียงใดก็ไม่เคยเพียงพอ

 

       ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนชิงช้าใต้ต้นมะม่วง ออกแรงขาแกว่งไกวให้มันโยกไหวเป็นจังหวะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มปิดพริ้มทิ้งหัวเอนพิงกับเชือกเส้นหนาสีด่างเหลือง โชคมองภาพนั้นอยู่นานกว่าจะขยับเดินเข้าไปใกล้ นำพาหัวใจที่หนักแน่นแต่ก็วูบโหวงเบาหวิวไปทิ้งเข่าลงบนพื้นหญ้าต่อหน้าคนรัก

 

       “น้าแก้ว” โชคเรียก โอบกอดเอวผอมบางเอาไว้ขณะที่ซบหน้าลงบนตักอีกฝ่าย

 

       “หืม” แก้วค่อยๆ ปรือตาพลางยกมือขึ้นลูบสางผ่านเส้นผมดำขลับด้วยความเอ็นดู “ว่าไง”

 

       ชายหนุ่มช้อนตามองจากองศาที่ต่ำกว่า ออดอ้อนวอนขอบางสิ่งโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา และแก้วก็รู้ว่าเจ้าหมากำลังรออะไรอยู่

 

       พวกเขาจูบกัน เหมือนในวันนั้นแม้แก้วจะไม่ได้กำลังเหงาปากอยากสูบบุหรี่

 

       พวกเขาจูบกัน แนบแน่นนุ่มนวล เนิ่นนานหลอมละลายใต้ผืนฟ้าส่องสว่าง

 

       พวกเขาจูบกัน อีกครั้งและอีกครั้ง...

 

       “แก้ว” โชครวมกุมมือแก้วเอาไว้ ประทับริมฝีปากลงบนโคนนิ้วเรียวที่จำเพาะเจาะจง ดวงตาคู่สวยพราวน้ำราวกับทะเลดวงดาววาวระยับจับจ้องมองเจ้าของหัวใจด้วยความรักทั้งหมดที่มี “แต่งงานกับผมนะครับ”

 

       แก้วจมลงไปในท้องทะเลสีน้ำตาลคู่นั้น

 

       ไม่เคยลดละ ไม่เคยลังเล และจะไม่เลือนราง

 

       แววตาของโชคตะโกนบอกว่าจะรักเขาไปตราบเท่าที่ยังคงมีลมหายใจ

 

       “อืม แต่งสิ” แก้วแย้มยิ้มบาง แต่โชคกลับรู้สึกว่ามันช่างเจิดจ้าจนดวงตาพร่าเบลอ “แต่งงานกันนะโชค”

 

       “ครับ” หัวใจของเขามันอุ่นร้อน และราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะเดียวกัน

 

 

 

       ณ หน้าบ้านไม้สีขาวสองชั้น ใต้ต้นมะม่วงที่ยึดโยงชิงช้าทำมือตัวน้อยเอาไว้ เคล้าเสียงของหมาไล่เห่ารถมอเตอร์ไซค์ ในสายลมกลิ่นปนเปที่แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร และทิวทัศน์ที่ได้เห็นเบื้องหน้ามีเพียงถังขยะสีเหลืองใบใหญ่ข้างเสาไฟฟ้านอกแนวรั้ว

 

       งานแต่งงานของแก้วและโชคที่เคยวาดไว้ในวันวานเกิดขึ้นแล้วในวันนี้

 

       โชคบรรจงสวมแหวนทองที่มีเพชรเม็ดเล็กฝังอยู่ตรงกลางที่เตรียมมาใส่นิ้วนางข้างซ้ายของแก้ว มันเป็นแหวนของกรรณิการ์แม่ของเจ้าตัว และเคยเป็นของย่าเขามาก่อนหน้านั้น ...แหวนของเหล่าผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ หนึ่งในรายการทรัพย์สินที่แก้วเคยแสดงให้โชคดู

 

       ดวงตาสีเข้มจับจ้องโคนนิ้วที่ไม่ว่างเปล่าของตัวเอง เพราะเป็นแหวนของผู้หญิงจึงมีขนาดวงไม่ใหญ่นัก หากเป็นเมื่อก่อนแก้วคงสวมเข้าได้เพียงแค่ครึ่งนิ้ว แต่ตอนนี้กลับใส่ได้พอดิบพอดี ผิดกับโชคที่แม้จะเป็นแหวนทองเกลี้ยงเกลาที่สืบทอดมาจากพ่อและปู่ของเขา มันก็ยังคงคับแน่นเกินไปสำหรับสวมที่โคนนิ้วนาง แก้วเลยต้องย้ายมาใส่ที่นิ้วก้อยของชายหนุ่มแทน ก่อนจะแนบจูบลงบนโคนนิ้วที่มีเส้นเลือดเชื่อมตรงเข้าสู่หัวใจเป็นดั่งคำสาบาน ต่อหน้าสักขีพยานที่มีเพียงเจ้าตัวสีควันที่นั่งเลียอุ้งเท้าอยู่บนเฉลียง กับต้นมะลิที่กำลังแตกกิ่งอยู่ชิดริมรั้วหลังบ้าน

 

       แก้วยังคงนั่งอยู่บนชิงช้า และโชคยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้า ดวงตาที่จ้องสบกันพลันร้อนผ่าวขึ้นมาในขณะที่ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง

 

       “ฉันรักเธอนะโชค”

 

       “ผมก็รักแก้วเหมือนกัน”

 

       ช่างห่างไกลจากที่เคยฝัน แต่ก็ยังคงแผดเผาเร่าร้อน อย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล...

 

       ความรักของพวกเขา

 

 

 

       มื้อเย็นวันนั้นถูกจัดขึ้นใต้แสงไฟสว่างจ้าในห้องครัว ด้วยเมนูปกติธรรมดารสอ่อนแบบที่แก้วกินได้ไม่ลำบากนัก จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นมืดสลัว สมาร์ตทีวีต่ออินเตอร์เน็ตเปิดเพลงหวานหูส่องสว่างเรื่อเรืองวูบไหวตามภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ

 

       แก้วทิ้งตัวอยู่ในอ้อมแขนของโชค โอบกอดกันไว้แนบแน่นขณะขยับไปตามจังหวะเสียงดนตรี การเต้นรำแสนงุ่มง่ามเมื่อไม่มีใครแตกฉาน โชคเคยเรียนลีลาศแค่เมื่อตอนชั้นมัธยม ส่วนแก้วลืมไปแล้วว่าเคยมีวิชานี้ให้ลงบ้างไหมในยุคสมัยของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงก้าวขากันต่อไป ท่ามกลางแสงไฟหลากสีของต้นคริสต์มาสที่แจ่มชัดขึ้นมาหลังเปลือกตาปิดสนิท

 

       อบอุ่น แสนอ่อนโยน

 

       กระทั่งค่ำคืนแต่งงานของสองเจ้าบ่าวก็ไม่ได้เร่าร้อนหวามไหว แค่นอนกอดกันเอาไว้จนถึงเช้าเพื่อตื่นมาใช้ชีวิตวันถัดมาด้วยกันไปตามปกติ

 

       เรียบง่ายและสงบสุข

 

       ฮันนีมูนรสหวานในบ้านไม้สีขาว...

 



.....
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 49 [24.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 24-12-2020 21:30:04
.....



       วันสุดท้ายของเดือนมีนาคม อากาศร้อนอบอ้าวสมกับที่เป็นหน้าร้อน แก้วตื่นนอนในตอนสาย จัดการปิดแอร์แล้วออกจากห้องนอนเย็นฉ่ำมาปะทะกับสายลมอุ่นวาบที่โชยพัดเข้ามาผ่านบานหน้าต่างสุดทางเดิน กิ่งใบของต้นไม้ชื่อเดียวกับเขากำลังโยกไหวน้อยๆ ขณะทิ้งดอกร่วงลงสู่พื้นอิฐแดง

 

       ดวงตาสีเข้มเบนจากทิวทัศน์นอกหน้าต่างไปยังประตูห้องนอนเล็กที่อยู่ติดกันซึ่งถูกแง้มเปิดเอาไว้ ได้ยินเสียงดังเล็ดลอดออกมาบอกให้รู้ว่าสมาชิกอีกคนของบ้านคงกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ข้างในนั้น สองเท้าจึงก้าวตรงไปหยุดยืนมองด้านหลังของชายหนุ่มที่กำลังก้มๆ เงยๆ รื้อกองกระดาษออกจากโต๊ะหนังสือริมหน้าต่างไม้ปิดสนิท

 

       “ทำอะไรอยู่น่ะ”

 

       คนถูกถามพอได้ยินเสียงคุ้นหูก็หันกลับมาส่งยิ้มกว้างให้ โชครีบวางทุกอย่างตรงหน้าเพื่อลุกเดินมาขโมยหอมแก้มคนโตกว่าไปฟอดใหญ่ แก้วได้คำตอบของคำถามว่าอีกฝ่ายกำลังหาเอกสารประกอบการเรียนเก่าไปให้รุ่นน้องที่ขอมา แต่ดูเหมือนว่าโชคจะเลือกเป็นคนรักของเขามากกว่ารุ่นพี่ผู้ใจดี เมื่อเจ้าตัวเลือกที่จะทิ้งกองของระเกะระกะเอาไว้กลางคันเช่นนั้นแล้วจูงมือเขาลงบันไดไปกินมื้อเช้าที่เตรียมเอาไว้พร้อมสรรพด้วยกันในครัวแทน

 

 

 

       ยิ่งใกล้เที่ยงวันดวงอาทิตย์ก็ยิ่งฉายแสงแรงจัดจ้า ย้อมสวนเขียวให้ดูสดใสแต่ก็ไม่มีใครมีกะใจจะออกไปท้าแดดแผดเผา แก้วนั่งมองต้นไม้ใบหญ้าผ่านมุ้งลวดหน้าต่างจากบนโซฟาที่ประจำ พัดลมตั้งพื้นเปิดเบอร์แรงสุดหันหน้าส่ายไปมาหวังไล่ไอร้อนแม้จะเปล่าประโยชน์

 

       หยดเหงื่อไหลชุ่มไรผมและเริ่มกลิ้งหยดผ่านแผ่นหลัง โชคที่หาของเตรียมให้รุ่นน้องเสร็จแล้วลงมาตามแก้วให้ขึ้นบ้านไปอยู่ในห้องแอร์เพราะกลัวอีกฝ่ายจะจับไข้ไม่ก็เป็นลมแดดอย่างหนึ่งอย่างใดไปเสียก่อน

 

       “ติดแอร์ในห้องนั่งเล่นกันดีไหม” แก้วถามขึ้นมาท่ามกลางเสียงของเครื่องปรับอากาศครางต่ำ

 

       “งั้นก็ต้องเปลี่ยนบานหน้าต่างใหม่ด้วยน่ะสิครับ” โชคพลิกตัวตะแคง ใช้แขนข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้ ส่วนอีกข้างเอื้อมไปลูบไล้เรียวนิ้วผอมบางตามความเคยชิน และสัมผัสเย็นเฉียบของโลหะที่เพิ่มมาบนโคนนิ้วนางของอีกฝ่ายก็พาให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

 

       “อือ แล้วก็ต้องติดฉากพลาสติกไม่ก็กั้นกระจกให้เป็นห้องแยกกับโถงตรงบันไดด้วย”

 

       “หรือจะซื้อเป็นพัดลมไอเย็นแทนดีครับ แบบนั้นจะได้ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากมาก”

 

       “นั่นสินะ”

 

       บทสนทนาเรื่องการปรับปรุงห้องนั่งเล่นดำเนินไปราวกับจะลงมือทำจริงจังกันในวันพรุ่งนี้ กระทั่งโทรศัพท์มือถือของโชคมีแจ้งเตือนอีเมลล์เข้ามาเรียกให้เจ้าตัวต้องลงไปเปิดคอมในห้องทำงานชั้นล่างเพื่อแก้งานอีกครั้ง แก้วปล่อยให้เจ้าหมายักษ์เติมกำลังใจด้วยการกอดรัดฟัดเหวี่ยงเขาอย่างเบามือจนเสื้อผ้ายับย่นเล็กน้อยก่อนออกจากห้องไป เหลือไว้เพียงหนึ่งคนหนึ่งแมวที่นอนเอกเขนกอย่างพวกว่างงาน

 

       แก้วไม่ชอบเล่นโทรศัพท์ และหนังสือที่มีในห้องก็อ่านจนจบหมดแล้ว เขาเลยเลือกที่จะนอน โมกเองก็เช่นกัน ทว่านอนจนตื่นขึ้นมาความว่างจนน่าเบื่อก็ยังไม่จางหาย ดวงตาสีเข้มจ้องสบกับดวงตาสีฟ้าใสกระจ่าง พลันความเบื่อหน่ายไร้จุดหมายทำให้แก้วต้องลุกออกจากห้องไปเอาไม้ตกแมวที่ชั้นล่าง ระหว่างทางก็แวะเข้าไปในห้องทำงาน เห็นสภาพมัณฑนากรหนุ่มที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เดินเข้าไปช่วยบีบนวดไหล่คลายความแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อให้อย่างห่วงใย

 

       “พักก่อนก็ได้” เขาว่า

 

       “อีกนิดเดียวเองครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” และโชคก็ตอบมาอย่างนั้น พร้อมกับเอนหัวมาพิงหน้าท้องคนที่ยืนซ้อนอยู่หลังเก้าอี้ ดวงตาคู่สวยช้อนมองขึ้นมาสบตาจากองศาที่ซ้อนทับกับในความทรงจำ และแก้วก็เลือกที่จะทำซ้ำกับในวันนั้นอีกครั้ง

 

       จูบแผ่วเบาที่ทำเอาคนข้างล่างต้องปวดคอ แต่ก็ยินดีที่จะตอบรับอย่างกระตือรือร้น แก้วหัวเราะผะแผ่ว โชคระบายยิ้มเหยียดกว้าง ยามบ่ายของพวกเขาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น โชคกลับไปทำงานต่อ แก้วกลับขึ้นห้องนอนไปเล่นกับแมว ยาวนานจนบ่ายแก่ชายหนุ่มถึงได้ตามขึ้นมายึดพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเตียงและโอบเกี่ยวเอวคนรักไว้หลวมๆ ขณะนอนมองโมกเกลือกกลิ้งตัวไปมาเพื่อตะปบจับของเล่นที่วางไว้ตรงขอบเตียงให้ส่วนพู่ห้อยลงไปล่อตาล่อใจสัญชาตญาณของนักล่าหน้าขน

 

 

 

       ยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตก อากาศยังร้อนจนทำให้เหนียวตัวน่าหงุดหงิดแต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนกลางวันมากโข โชคเข้าไปเตรียมมื้อเย็นอยู่ในครัว ส่วนแก้วออกไปลากสายยางรดน้ำต้นไม้ดอกไม้ในสวนทั้งสองฝั่ง มองดูดอกใบสีสันสดใสใต้แสงสุดท้ายของวัน จากนั้นก็กลับเข้าบ้านไปกินข้าว ดูข่าวภาคค่ำกับหนังฝรั่งสักเรื่อง ก่อนจะอาบน้ำแล้วขึ้นห้องนอนตอนสี่ทุ่มกว่า

 

       ใต้แสงไฟสีขาวสว่างโร่ คนที่อยู่บนเตียงกับแก้วนั้นไม่ใช่คนรักยังเยาว์ของเขา แต่เป็นแมวหนุ่มรูปร่างปราดเปรียวสีควันบุหรี่ โมกกำลังทำหน้าที่ออดอ้อนชายวัยกลางคนแทนโชคที่กำลังอาบน้ำ ใบหน้าเล็กๆ ไล่คลอเคลียไปตามลำคออุ่น ขยับสูงขึ้นถูไถใต้คางก่อนจะลากยาวไปจนถึงข้างแก้ม อุ้งเท้านุ่มนิ่มเหยียบย่างลงบนแผ่นอกผอมบางเบาหวิว ปีนตะกายขึ้นไปเพื่อมอบสัมผัสแสดงความรักให้มนุษย์ของตนรับรู้

 

       แก้วยิ้มบาง ยกมือขึ้นลูบจากกลางหน้าผากไปตามแนวขนจนถึงสุดใบหูที่ขยับลู่ไปตามปลายนิ้วของเขา ดวงตาสีฟ้าจ้องมองเนิ่นนานกว่าจะกระพริบอย่างเชื่องช้า โมกทำอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมากระทั่งหมาขี้อิจฉาเข้ามาแย่งชิงเรียกร้องความสนใจของแก้วให้เบนไปหาตัวเอง

 

       “ถ้าโมกเป็นคนผมคงต่อยไปแล้ว” โชคงึมงำอยู่กับหน้าท้องนุ่มนิ่ม ปั้นหน้าจริงจังจนคนฟังหัวเราะขบขัน

 

       “เธอขี้หึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหืม” มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวเด็กน้อยที่หึงแม้แต่แมวอย่างมันเขี้ยวปนเอ็นดู ก่อนจะประคองสองแก้มแล้วออกแรงดึงรั้งอีกฝ่ายให้ขยับขึ้นมาใกล้เพื่อสบตาในระยะประชิด

 

       “ก็ผมไม่อยากให้แก้วรักใครมากกว่าผมนี่ครับ” ชายหนุ่มว่าเสียงอ่อน ก่อนจะซุกใบหน้าลงไปยังซอกคออุ่น ฝังจมูกไว้บนผิวอ่อนนุ่ม สูดกลิ่นกายของคนรักก่อนจะจามออกมาเมื่อมีขนแมวปะปนเข้าไปให้ระคายจมูก

 

       คนโตกว่าได้แต่หยิบกระดาษทิชชูจากโต๊ะข้างหัวเตียงมายื่นให้คนที่จามจนจมูกแดง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายหันไปส่งสายตาคาดโทษให้ตัวต้นเหตุที่กำลังยืดขาบิดขี้เกียจอยู่บนผืนผ้านวมที่ถูกถีบร่นลงไปกองอยู่ตรงปลายเตียง และหลังจากที่อาการคัดจมูกบรรเทาลงแล้วโชคก็ทำการจู่โจมเจ้าตัวเล็กทันที หน้าท้องที่ถูกปกคลุมด้วยขนนุ่มนิ่มถูกขยำด้วยแรงที่ไม่ถึงกับทำให้เจ็บ อุ้งเท้าทั้งสี่ตะปบจับมือใหญ่ โมกอ้าปากงับปลายนิ้วผู้ร้ายไม่แรงนักเป็นการหยอกกลับ เสียงหัวเราะดังเคล้าเสียงร้องแหลมสูงระงมปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง

 

       ช่างเป็นช่วงเวลาก่อนนอนที่แสนวุ่นวาย... แก้วมองเด็กๆ ทั้งสองของเขาด้วยแววตาอ่อนโยน

 

 

 

       ตกดึกคืนเดียวกันนั้นโชคถูกปลุกขึ้นมาในช่วงเวลาของวันใหม่ด้วยเสียงของคนข้างกายที่ขยับลุกขึ้นนั่งหอบหายใจหนักหน่วง พยายามจะสูดอากาศเข้าไปอย่างทรมานเมื่อปอดทั้งสองข้างไม่อาจฟอกออกซิเจนได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

 

       “น้าแก้ว...” ชายหนุ่มยื่นมือไปแตะสัมผัสแผ่นหลังบอบบางที่กำลังสั่นไหวตามแรงกระเพื่อมของจังหวะการหายใจถี่ ...มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นเช่นนี้ ทว่าไม่ว่าจะสักกี่ทีในอกของโชคก็ยังคงบีบตัวรัดแน่นจนแทบขาดใจตาม

 

       “...ไม่เป็น...ไร” แก้วหันมาคว้าจับข้อมือใหญ่ไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ยเสียงแหบพร่าขาดช่วงอย่างปลอบประโลม

 

       “ไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ” โชคอ้อนวอนเสียงแผ่ว เมื่อเขารู้คำตอบของอีกฝ่ายดี

 

       “ไม่ต้องหรอก... เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็ต้องไปตามนัดอยู่แล้ว”

 

       “แก้ว ผม...”

 

       “ฉันไม่เป็นไร” แม้จะรู้สึกเหมือนกำลังจมลงไปใต้น้ำหนาวเหน็บที่จะทำให้ขาดใจตายในนาทีถัดไป แต่แก้วก็ยังคงคลี่ยิ้มบางให้กับเด็กน้อยของเขาเพื่อยืนยันคำตอบ

 

       และเด็กน้อยคนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามองคนรักของตนทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า เฝ้าอยู่เคียงข้างภาวนาให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเสียที

 

       เฝ้าภาวนาด้วยหัวใจที่ร้าวรานแหลกสลาย...

 

       โชคไม่อาจร่วมแบ่งปันความเจ็บปวดนั้นของแก้วมาได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

 

       กว่าอาการหอบของแก้วจะสงบลงก็กินเวลาไปนับสิบนาที เป็นสิบนาทีที่ยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ แต่ในที่สุดมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว

 

       ชายวัยกลางคนเอนแผ่นหลังลงพิงกองหมอนซ้อนกันสามใบดันกับหัวเตียงเหล็กที่โชคเป็นคนจัดวางเพื่อให้เขาใช้หนุนนอนในองศาที่ช่วยให้หายใจได้สะดวก ดวงตาสีเข้มปรือต่ำอย่างอ่อนล้า ทว่าก็ยังคงมองเห็นความปวดร้าวหลังนัยน์ตาคู่สวยที่จ้องมองมาใต้แสงเรื่อรางสีฟ้าได้อย่างชัดเจน

 

       “นอนได้แล้วโชค ฉันไม่เป็นไรแล้ว” แก้วพลิกตัวตะแคงข้างพลางยื่นมือไปวางแนบทิ้งไว้เหนือขมับอีกฝ่าย ลูบไล้ผ่านไปตามแนวหูอย่างช้าๆ แผ่วเบาและอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบโยนหมาตัวใหญ่ที่กำลังตกใจเสียงฟ้าร้องคำราม

 

       “มัน...ทรมานมากไหมครับ” โชคยึดจับมือข้างนั้นไว้มั่นในอุ้งมือใหญ่อุ่นร้อน ดันหัวคลอเคลียเรียวนิ้วผอมบางไม่ห่างขณะเอ่ยปากถามด้วยเสียงสั่นเครือ

 

       “ก็... มากอยู่ แต่ก็พอทนได้” คนถูกถามไม่คิดจะบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธ ด้วยเพราะเขารู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร หากปลายทางสุดท้ายแล้วไม่ว่าอย่างไรโชคก็ยังต้องทุกข์ทน มันก็คงจะดีกว่าหากอีกฝ่ายได้ทุกข์ทนกับความจริงมิใช่คำโกหกเพียงเพื่อความสบายใจกลวงเปล่าที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการหลอกลวง

 

       น้ำตาร้อนผ่าวกลิ้งหยดลงเปียกหมอน แก้วระบายยิ้มแล้วช่วยบรรจงเช็ดขอบตาฉ่ำชื้นด้วยปลายนิ้วตน สิ่งที่จะบรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจของโชคได้มีเพียงแค่รอยยิ้มและเสียงลมหายใจของเขา และเพราะรู้อย่างนั้นเขาจึงทำได้เพียงดึงรั้งเด็กขี้แยเข้ามาแนบอก โอบกอดกระชับให้แนบแน่น เพื่อให้ร่างกายแนบชิดสนิทมากพอที่จะได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะของชีวิต

 

       “น้าแก้ว” โชคสูดลมหายใจเข้าลึก ยกแขนขึ้นโอบกอดเรือนร่างผอมบางที่เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าแรงแขนของตนจะทำให้มันแตกสลาย

 

       “หืม ว่าไง” แต่แก้วก็ยังคงเป็นแก้วที่ไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น เสียงตอบกลับยังคงมั่นคงและเจือด้วยความอบอุ่นอยู่เฉกเช่นเดิม แตกต่างจากเสียงแหบแห้งแตกพร่าที่ส่งผ่านลำคอร้าวระบมของคนตัวใหญ่

 

       “ผมรักน้าแก้วนะครับ รักมากๆ รักจนผมไม่รู้เลยว่าถ้าวันนึงผมไม่มีแก้วแล้วผมจะอยู่ยังไง”

 

       “นั่นสินะ” คนโตกว่าทว่าก็ไม่ได้ฉลาดกว่านักในเรื่องความตายเอ่ย วางคางเกยกระหม่อมของเด็กน้อยในอ้อมแขน พยายามประมวลคำตอบที่จับต้องได้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเกือบครึ่งร้อยของตัวเอง “ก็คงแค่ต้องอยู่ต่อไปล่ะมั้ง กินข้าว เข้านอน ตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน วนไปอย่างนั้นซ้ำๆ แล้วสักวันเธออาจจะได้เจอกับคนที่ทำให้เธอรู้เหตุผลที่มีชีวิตอยู่... เหมือนที่ฉันมีเธอ”

 

       “ผมก็มีแก้วไง ...ผมมีแก้วตลอดไปเลยไม่ได้เหรอครับ”

 

       “ตลอดไปไม่มีจริงหรอกนะโชค สักวันตลอดไปก็ต้องจบลงเหมือนกัน”

 

       “แต่ไม่ใช่วันนี้ได้ไหมครับ ไม่ใช่ตอนนี้ แล้วก็ไม่ใช่พรุ่งนี้ด้วย”

 

       แก้วไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ กับอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยแรงทั้งหมดที่ตนมี เพราะตัวเขาเองก็ไม่มีคำตอบให้กับอีกฝ่าย รู้เพียงว่าในใจเขาเองก็คิดแบบเดียวกันกับโชค

 

       ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่วันนี้ และไม่ใช่พรุ่งนี้ ...ขอให้ชีวิตนี้ของเขายาวนานกว่านี้อีกสักหน่อย

 

       “ฉันรักเธอนะโชค รักมากกว่าที่เธอคิดว่าฉันรัก”

 

       “ผมก็รักแก้ว รักมากกว่าที่แก้วจะคิดได้ว่ามากแค่ไหน”

 

       “จะแข่งกันเหรอ” แก้วเย้าด้วยรอยยิ้มที่ฉายไปถึงดวงตา

 

       “แก้วสู้ผมไม่ได้หรอก” และโชคก็แทนที่หยดน้ำตาด้วยริมฝีปากที่ระบายยิ้มกว้าง

 

       ชายหนุ่มขยับผละจากอ้อมอกอุ่นมานอนพิงหมอนซ้อนสูงให้ระดับสายตาพวกเขาเท่ากัน ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหน้า ก่อนจะค่อยๆ เกลี่ยปอยผมยาวที่ปรกหน้าผากของอีกคนออกแล้วประทับจูบลงบนนั้นอย่างนุ่มนวล

 

       “อยากฟังเรื่องวาฬสีน้ำเงินไหมครับ” คำถามทำเอาคนฟังประหลาดใจเล็กน้อย แต่แก้วก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มบางเบากับแววตาอ่อนโยน

 

       “เอาสิ”

 

       เรื่องราวของยักษ์ใหญ่ใต้มหาสมุทรสีฟ้าครามถูกเล่าด้วยเสียงทุ้มของชายหนุ่มผู้เป็นฝ่ายถูกกล่อมมาตลอดเกือบยี่สิบปี และทั้งที่ทั้งสองคนบนเตียงนั้นล้วนรู้อยู่แล้วว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะจบอย่างไร แต่กลับรู้สึกแปลกใหม่ในความคุ้นเคยเหลือเกิน

 

       ...อาจจะเป็นเพราะวันนี้เปลี่ยนตัวคนเล่าเรื่องกระมัง

 



 

       เช้าวันแรกของเดือนเมษา หลังจากกินมื้อเช้าและอาบน้ำเรียบร้อย ในขณะที่กำลังรอคอยให้โชคเก็บของพร้อมเตรียมเอกสารประจำตัวผู้ป่วยอีกเล็กน้อยเสร็จ แก้วที่นั่งจ้องตากับโมกก็รู้สึกขึ้นมาว่าผ้ารองนอนสีม่วงอ่อนผืนโปรดของมะลิถูกใช้งานมาเนิ่นนานจนเยินไปหมดแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะเปลี่ยนใหม่ให้เสียที

 

       หนึ่งคนหนึ่งแมวเดินขึ้นบันไดตรงสู่ห้องเก็บของ ข้างในนั้นไม่ได้อับทึบชวนให้ปลวกขึ้นเหมือนแต่ก่อนเมื่อโชคเข้ามาเปิดหน้าต่างระบายอากาศอยู่เป็นประจำ และเพราะเป็นหน้าร้อนถึงได้เปิดทิ้งเอาไว้ข้ามวันข้ามคืนอย่างในตอนนี้

 

       แดดยามเช้าไม่อาจสาดส่องเข้ามายังห้องที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้าน แต่แสงสว่างก็ยังลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกกระทบเครื่องเรือนให้มองเห็นแม้ไม่ได้เปิดไฟ แก้วตรงเข้าไปยังตู้เก็บผ้า รื้อค้นเอาผืนผ้านุ่มนิ่มสีเขียวออกมากางให้ว่าที่เจ้าของสำรวจดู

 

       “ชอบเหรอ” และดูท่าเจ้าตัวเล็กเองก็คงถูกใจผ้าผืนนั้นเข้าให้แล้วเมื่อเจ้าตัวเดินมาถูตัวทิ้งกลิ่นใส่อย่างอ้อยอิ่ง

 

       เมี๊ยว...

 

       เสียงร้องแหลมสูงเรียกให้มุมปากมนุษย์หนึ่งเดียวในห้องยกสูง และอยู่ๆ ห้วงเวลายามเช้าในหน้าร้อนของแก้วก็หยุดชะงักลงในห้องนั้น ท่ามกลางของมากมายที่ถูกเก็บไว้ชิดผนังตามมุมต่างๆ ตู้เก็บผ้านวมขนาดกลางที่เคยเป็นตู้เสื้อผ้าของเด็กชายแก้วในตอนเด็ก โต๊ะไม้ตัวเล็กที่เด็กชายโชคเคยใช้ ไม้กอล์ฟของพ่อ ชุดแต่งงานสีขาวในซองกันฝุ่นของแม่ ชุดครุยผ้าโปร่งบางแถบสีทองของเขาและของโชคที่แขวนเอาไว้ข้างกัน กับต้นสนพลาสติกข้างลังเก็บอุปกรณ์ตกแต่งต้นคริสต์มาส

 

       ...ทุกอย่างในห้องนี้นั้นล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอัดแน่น

 

       ในห้วงเวลาที่หยุดชะงัก แก้วรู้สึกว่ามันช่างผ่านไปเร็วนัก

 

       เร็วจนเกินไป...

 

       “น้าแก้ว” โชคเรียกขณะผลักบานประตูให้เปิดกว้าง ก่อนจะรีบถลาเข้ามาหาเจ้าของชื่ออย่างตื่นตระหนก “แก้วร้องไห้ทำไมครับ”

 

       ชายวัยกลางคนที่กำลังร้องไห้โดยที่ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำเงยหน้ามองคนรัก สองแขนยื่นออกไปไขว่คว้าตัวคนเข้ามากอด แนบแก้มลงบนไหล่กว้าง ซุกฝังปลายจมูกเข้ากับลำคออุ่น หวังอยากจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ที่ตรงนั้น ตลอดกาลในอ้อมแขนที่กอดเขาตอบ ท่ามกลางสัมผัสอุ่นร้อนและเสียงของลมหายใจ

 

       แก้วอยากให้ชั่วนิรันดร์เกิดขึ้นจริงระหว่างเขากับโชคในบ้านไม้สีขาวหลังนี้

 

 

 

       และมันคงเป็นดั่งลางสังหรณ์ ของทั้งคนทั้งแมว แก้วไม่อยากจากบ้านไป เช่นเดียวกับโมกที่มองส่งมนุษย์ของตนจนลับตาจากริมขอบหน้าต่างสุดโถงทางเดินบนชั้นสองและไม่ยอมขยับไปไหนอยู่เนิ่นนาน

 

       ‘เฝ้าบ้านดีๆ นะโมก’ นั่นเป็นถ้อยคำสุดท้ายที่โมกได้ยินจากแก้ว

 

       ฮันนีมูนรสหวานในบ้านไม้สีขาว...

 

       ยาวนานตราบเท่าหนึ่งเดือน

 

 

 

...TBC

       งานแต่งงานหน้าบ้านไม้สีขาว กับฮันนีมูนรสหวานปนขม เป็นตอนที่ยาวมากๆ เลยค่ะ และรีนก็ใช้เวลาเนิ่นนานมากๆ ในการเขียนตอนนี้ เหมือนกับอีกสองตอนที่เหลือที่รีนใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อเรียงร้อยเรื่องราวออกมาในแต่ละตอน หลังจากนี้ไปอาจจะขมปนรสน้ำตา แต่ก็ขอให้ทุกคนช่วยเดินทางไปกับน้าแก้ว น้องโชค อาธีร์ เหล่าตัวละคร และรีนจนกว่าจะถึงปลายทางด้วยกันนะคะ

       สำหรับค่ำคืนคริสต์มาสอีฟนี้ รีนก็ขอให้ทุกคนได้มีช่วงเวลาท้ายปีที่ดีที่สุดเท่าที่ปัจจัยแวดล้อมจะเอื้ออำนวยนะคะ ถึงสถานการณ์รอบข้างตอนนี้จะยากลำบากชวนให้หัวใจเหนื่อยล้า แต่รีนก็ขอให้คุณได้มีรอยยิ้มจากหัวใจ แม้จะจากเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ขอให้ในหนึ่งวันที่ผ่านพ้นไม่ทุกข์ทนจนเกินไปนัก และสุดท้ายนี้รีนก็ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรงค่ะ Merry Christmas

 

       ขอบคุณทุกการอ่าน ทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ

       ขอบคุณมากค่ะ

 

       ไว้พบกันวันจันทร์หน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 49 [24.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-12-2020 22:30:38
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 49 [24.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-12-2020 17:51:57
โฮรรรร จะร้องแล้วววว ทั้งหวานทั้งเศร้า  :m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :sad11: :sad11:

 :pig4: :pig4: merry christmas ka  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 50 [28.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 28-12-2020 20:09:53

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 50

 

       การมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายตามนัดของแก้วในครั้งนี้ ผลอัลตร้าซาวด์ช่วงอกออกมาว่ามีภาวะหัวใจโตกับน้ำในเยื่อหุ้มปอดแทรกซ้อน แพทย์เจ้าของไข้แนะนำให้แอดมิททันทีเพื่อดูแลรักษาตามอาการอย่างใกล้ชิดและเตรียมทำหัตถการเจาะระบายของเหลวออกนอกร่างกายที่วางแผนจะดำเนินการในวันถัดไป

 

       แก้วถูกย้ายไปยังห้องพิเศษบนชั้นสามของอาคารเดิมที่แสนคุ้นเคย โชคเลยต้องรีบกลับบ้านไปจัดการเก็บของเพื่อมานอนเฝ้าพร้อมกับพาโมกไปฝากไว้ที่บ้านเพื่อนสนิทให้ช่วยดูแลอีกครั้ง และในระหว่างที่กำลังลังเลใจเพราะไม่อยากทิ้งอีกคนไว้ลำพัง อาธีร์ผู้ยังคงหล่อเหลาในวัยใกล้ห้าสิบปีก็มาถึงพอดี

 

       โชคฝากฝังอีกฝ่ายให้อยู่เป็นเพื่อนน้าแก้วแทนชั่วคราวก่อนจะคว้าของติดตัวกับกุญแจรถออกจากห้องไป ได้ยินเพียงเสียงพูดคุยที่แว่วหลังมา

 

       “วันนี้วันเกิดเมษาทั้งที มึงไม่เห็นต้องมาเลย”

 

       “ต้องมาสิ ยังไงกูก็ต้องมาหามึงอยู่แล้ว...”

 

       ...มันทั้งน่าหมั่นไส้

 

       “วันเกิดเมษาน่ะปีหน้าก็ยังมี”

 

       “นั่นสินะ”

 

       ...และอ้างว้างจนหัวใจวูบโหวงเหลือเกิน

 

 

 

       คืนนั้นโชคนั่งอยู่ข้างเตียงของแก้ว พูดคุยกันเคล้าเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอให้ห้องไม่เงียบเหงา ยิ้ม หัวเราะ จูบราตรีสวัสดิ์ และแม้กระทั่งหลังจากที่คนบนเตียงร่วงลงสู่ห้วงนิทราไปแล้วเขาก็ยังคงปักหลักอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น เฝ้ามองใบหน้าคนรักยามหลับใหลในแสงสลัว กอบกุมมือเรียวข้างที่ไม่ได้ถูกเจาะต่อสายน้ำเกลือไว้แผ่วเบาจนตัวเองผล็อยหลับไป

 

       อย่างน้อยในค่ำคืนนั้นโชคก็ไม่ได้ถูกปลุกด้วยเสียงหอบหายใจแสนทรมานของแก้ว

 




 

       2 เมษายนฝนตกลงมา พายุฤดูร้อนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยมวลอากาศเย็นของประเทศจีนที่เคลื่อนตัวมาปะทะเข้ากับอากาศร้อนของประเทศไทย กลั่นหยดน้ำมหาศาลเทกระหน่ำซัดสาดพร้อมกับลมกรรโชกจนคลองระบายน้ำกรุงเทพมหานครทำงานไม่ทัน

 

       ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามาในห้องพร้อมกับรถเข็นอุปกรณ์ในช่วงสาย โชคถูกขอให้ออกไปรอด้านนอกระหว่างที่พวกเขาทำการเจาะดูดน้ำในปอดของแก้ว มันไม่ได้ใช้เวลาเนิ่นนานเท่าที่โชคคิดไว้ในตอนแรก เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงประตูที่กั้นขวางเขากับทุกความกังวลใจก็เปิดออก โชคจึงกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างรีบร้อนก่อนจะเดินสวนเข้าห้องไปหาคนด้านในทันที

 

       แก้วส่งยิ้มบางมาให้จากบนเตียงที่เดิม และมันก็สว่างไสวมากพอจะย้อมให้โลกทั้งใบของโชคอบอุ่นแม้นอกหน้าต่างจะมีพายุฝนชื้นฉ่ำและเย็นเฉียบ

 

       “เจ็บไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะขยับเดินเข้าไปทิ้งตัวลงบนที่ประจำข้างเตียง

 

       “ตอนฉีดยาชาก็เจ็บอยู่ แต่ก็พอทนได้” คำตอบเหมือนกับทุกครั้งที่โชคถามคำถามเดียวกันนี้ ถึงจะมีบางครั้งที่แก้วบอกว่าไม่เจ็บขนาดนั้นหรือมันไม่เจ็บเลย แต่โชคก็ไม่รู้เลยว่าคำว่าไม่เจ็บของแก้วมันหมายความว่าไม่เจ็บเลยสักนิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายรับมือไหวกันแน่...

 

       เพราะถึงแก้วไม่โกหก แต่ความจริงของคนเราก็ไม่ได้ตรงกันเสมอไป

 

       “แต่ถ้าวันไหนที่ทนไม่ได้แล้วแก้วจะร้องไห้กับผมบ้างก็ได้นะครับ” ขณะที่พูดอยู่ๆ ลำคอก็ตีบตันขึ้นมาจนเค้นเสียงออกไปได้ลำบาก โชคมองคนตรงหน้าด้วยทะเลสีน้ำตาลที่ดวงดาวไม่เปล่งแสง “แก้วรู้ใช่ไหมว่าผมจะอยู่ตรงนี้ข้างๆ แก้วไม่ไปไหน...ไม่ไหนทั้งนั้น”

 

       “ฉันรู้” แก้วระบายยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย และดำลึกลงไปในทะเลตรงหน้าเพื่อค้นหาดวงดาวที่หายไป ...ในเมื่อเขาชอบนัยน์ตาคู่สวยที่พราวระยับยามจับจ้องมองมามากกว่า “ฉันเองก็จะอยู่กับเธอไม่ไปไหนโชค ตราบเท่าที่เธอยังไม่ลืมฉัน ฉันจะอยู่กับเธอในนี้”

 

       มือเรียวผอมบางแตะสัมผัสลงที่กลางหน้าผาก ราวกับจะบอกว่าพื้นที่ในสมองส่วนหน้าที่เก็บความทรงจำมนุษย์จะเป็นที่อยู่ต่อไปของตนในวันข้างหน้า โชคเลยคว้ามือข้างนั้นให้เลื่อนต่ำลงมา แนบประทับกับแผ่นอกที่รับรู้ได้ถึงจังหวะของก้อนเนื้อที่เต้นตุบอยู่ด้านใน

 

       “อยู่ในนี้ด้วยครับ” คนฟังได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะ ขยับตัวเพียงเล็กน้อยอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร

 

       โชคโน้มตัวเข้าไปใกล้คนบนเตียง ในองศาที่เจ้าของริมฝีปากซีดจางแนบจูบลงบนหน้าผากเขาได้อย่างสะดวก ก่อนที่จะเป็นฝ่ายมอบจุมพิตเนิบนาบหวานละมุนแต่ไม่เนิ่นนานจนรบกวนจังหวะหายใจให้กลับไป ได้ยินเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ในลำคอ

 

       “เด็กน้อย” ...ของแก้ว
 

 

 


       เที่ยงวันเจ้าหน้าที่นำอาหารผู้ป่วยมาให้ถึงหน้าห้อง โชคออกไปรับก่อนกลับมาจัดแจงปรับระดับยกหัวเตียงและโต๊ะล้อเลื่อนเพื่อให้สะดวกต่อการกินข้าว จากนั้นก็ตั้งสำรับพร้อมรินน้ำใส่แก้วเตรียมไว้ให้อีกคนได้กินยาหลังอาหารอย่างเสร็จสรรพ

 

       ข้าวสวยร้อนๆ กับปลานึ่งและผัดผักรสอ่อน แก้วที่ไม่มีความอยากอาหารมากนักตักกินเพียงเล็กน้อยแล้วก็เลิกกินไป ยังดีที่มีผลไม้อีกสองสามอย่างในจานเล็กที่เขาพอจะกลืนลงท้องได้

 

       “น้าแก้วครับ” โชคเอ่ยเรียกเสียงอ่อนเมื่อเขาอยากให้อีกคนกินอาหารมากกว่านี้สักนิด แต่ก็ไม่ได้บังคับเมื่อดวงตาสีเข้มที่หันมาสบฉายแววอ่อนล้าเต็มที

 

       “ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ” คนป่วยว่า แม้จะไม่ใช่คนเลือกกินแต่รสชาติของอาหารโรงพยาบาลก็ไม่ได้กระตุ้นความอยากอาหารของเขาสักเท่าไหร่ และเมื่อเชฟใหญ่ของบ้านได้ชิมก็ตัดสินใจในทันทีว่าหลังจากนี้ตอนเช้าเขาจะกลับบ้านไปทำอาหารสำหรับแต่ละวันมาให้แก้วเอง

 

       “งั้นกินผลไม้อีกไหมครับ เดี๋ยวผมลงไปซื้อมาให้” แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว เสนอทางเลือกใหม่ที่จะเติมท้องแก้วให้เต็มขึ้นได้สักอีกหน่อย

 

       “อือ เอาส้มก็ได้” แก้วบอกขณะที่เอนหลังพิงหมอนและเปลือกตาปรือต่ำ ทว่ามุมปากยังคงยกสูงเป็นรอยยิ้มเมื่อโชคหอมแก้มเขาเร็วๆ ก่อนจากไปพร้อมกับคำที่บอกว่าจะรีบกลับมา

 

 

 

       โชคถือโอกาสแวะเอาถุงเสื้อผ้าใช้แล้วไปเก็บที่รถ ก่อนจะไปซื้อส้มกับของกินเล็กๆ น้อยๆ สำหรับตัวเองจากร้านรวงในละแวกนั้น แถมยังได้ดอกทานตะวันสีเหลืองที่เบ่งบานอย่างสดใสใต้ท้องฟ้ามืดครึ้มและม่านฝนหม่นมัวอยู่หน้าร้านขายดอกไม้ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลติดมือขึ้นมาด้วย

 

       “นั่นของเยี่ยมเหรอ” คนบนเตียงส่งยิ้มบางขณะเอ่ยถาม เขาไม่ได้นอนหลับอย่างที่ตั้งใจเมื่อสิ่งเดียวที่ทำมาตลอดก็คือการนอนจนข่มตาไม่ลง และอาจจะเป็นเพราะเขากำลังรอให้ใครอีกคนกลับมาอยู่ด้วย

 

       “ครับ” โชคยิ้มตอบพลางเดินเข้าไปยื่นช่อดอกไม้ผู้รักมั่นในดวงอาทิตย์น้อยใหญ่ให้กับคนรัก “แก้วจะได้รู้สึกสดใสขึ้นบ้าง ฝนน่าจะตกยาวไปถึงเย็นเลย”

 

       “อือ” แก้วครางรับแผ่วเบา ดวงตาจ้องมองกลีบดอกเรียวรีที่ซ้อนทับกันหลายชั้นรอบวงเกสรดวงใหญ่ตรงใจกลาง ราวกับดวงตะวัน สดใสอย่างที่คนให้ว่าเลย “ขอบใจ”

 

       ชายหนุ่มรับช่อดอกไม้คืนมาเพื่อไปจัดใส่แจกันใสทรงสูงที่ทางโรงพยาบาลมีให้อยู่ในทุกห้องแล้ววางตั้งไว้บนขอบไม้ริมหน้าต่างเยื้องๆ กับด้านหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง หากเป็นตรงนั้นแก้วจะสามารถมองเห็นมันได้ตลอดเวลา และดูเหมือนว่ามันจะทำให้เจ้าตัวดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในดวงตาสีเข้ม...

 

       นับตั้งแต่นั้นโชคจึงเก็บดอกไม้จากสวนที่บ้านในตอนเช้าที่เขากลับไปทำอาหาร สลับกับซื้อจากร้านหน้าโรงพยาบาลมาเปลี่ยนใส่แจกันข้างบานหน้าต่างทุกสองสามวัน...

 

       แล้วเมื่อถึงวันที่แจกันถูกประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู เหล่าเพื่อนร่วมงานจากบริษัทก็พากันมาเยี่ยมเยียนตอนช่วงพักเที่ยงจนทั้งห้องดูวุ่นวายพร้อมกระเช้าผลไม้หลากชนิด

 

       ต่อมาพอเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบขาวและแดงเบ่งบานในวันหยุดสุดสัปดาห์ ครอบครัวของเพื่อนสนิทก็พากันมาเยือนอย่างพร้อมหน้าหลังจากที่เคยมีธีร์เพียงคนเดียวที่แวะเวียนมาอยู่ทุกวัน

 

       จนกระทั่งกลายเป็นดอกบานชื่นอ้วนกลมสีสันสดสวยเบียดเสียดกันอวดความสดใส เพื่อนเก่าสมัยเรียนของแก้วก็รวมตัวกันมาหา บางคนโชคก็คุ้นหน้าเหมือนเคยเจอมาบ้างตามงานสังคมที่อีกคนเคยพาไป ส่วนบางคนก็แปลกหน้าโดยสิ้นเชิงเพราะเพิ่งได้รู้จักกันในวันนี้

 

       ทั้งน่ายินดีและแสนเศร้า

 

       เมื่อผู้คนที่เคยห่างกันไปต่างกลับมาพบเจอกันด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะไม่มีวันหน้าให้ได้เจอกันอีกแล้ว

 




 

       กลางเดือนเมษาที่ไร้ฝน แสงอาทิตย์สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกกระทบพื้นสีขาวและเก้าอี้ที่ประจำของโชคอย่างอ่อนโยนในตอนที่เขากลับมาถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง หลังหายกลับบ้านไปทำอาหารสำหรับทั้งวันของแก้วและตัวเองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ที่ข้างหน้าต่างวันนี้จึงมีดอกหน้าวัวมาแทนที่ ชูดอกเด่นสวยรับแสงเจิดจ้าของท้องฟ้าหน้าร้อนที่ส่องย้อนเข้ามาในอาคารยามสาย แต่ในอากาศกลับมีกลิ่นหอมจางของมวลดอกแก้วลอยอวลอยู่

 

       โชคนั่งพันก้านดอกบอบบางสีเขียว ม้วนเกลียวเกี่ยวดอกไม้สีขาวร้อยเข้าด้วยกันอย่างใจเย็น ขณะเฝ้ารอให้คนรักของเขาลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนกับในทุกๆ วัน เฝ้ารอคอยอย่างอดทน...

 

       ระยะแพร่กระจาย มะเร็งชนิดเซลล์เล็กในปอดของแก้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่ได้รับยาเคมี จากแค่ภายในปอดสองข้างลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง และจะกระจายไปทั่วร่างในอีกไม่ช้า การรักษาที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงการประคับประคองเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงวาระสุดท้ายเท่านั้น

 

       “ทำอะไรอยู่น่ะ” ช่วงเวลาแสนยาวนานของชายหนุ่มที่หยุดชะงักไปได้กลับมาเริ่มเดินต่ออีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา

 

       “มงกุฎดอกแก้วครับ” โชคเงยหน้าขึ้นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ขณะเดียวกันก็หยุดมือเพื่อหันไปรินน้ำใส่แก้วจากโต๊ะวางของด้านข้างมาให้คนเพิ่งตื่นจิบ จัดแจงปรับระดับหัวเตียงให้ยกขึ้นได้องศาเสร็จสรรพเรียบร้อยอย่างคล่องแคล่วก่อนจะลุกไปเตรียมสำรับมื้อเช้าที่รวบมารวมกับมื้อเที่ยงให้อีกฝ่าย โดยที่เขาเองก็ร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน

 

       กระทั่งเก็บล้างจานชามเสร็จหมดแล้วชายหนุ่มจึงค่อยกลับมานั่งถักร้อยดอกแก้วต่อ

 

       แก้วมองมือใหญ่ที่ขยับไปมาอย่างนุ่มนวลเพื่อต่อความยาวโซ่ดอกไม้กลิ่นหอมจาง พลางชวนคุยขึ้นมาฆ่าเวลายามบ่ายที่ไร้จุดหมาย

 

       “ที่บ้านเป็นไงบ้าง”

 

       “ก็เหมือนเดิมครับ ...โมกยังอยู่บ้านมิกซ์ ต้นแก้วโดนฝนเมื่ออาทิตย์ก่อนออกดอกเต็มต้นเลย อ่อ แล้วก็ดอกกุหลาบขาวที่เราแยกกิ่งไปปักชำไว้ตอนนั้นเริ่มแตกยอดแล้วนะครับ ส่วนกุหลาบแดงก็ยังบานเรื่อยๆ ...” โชคเล่าความเป็นไปในบ้านไม้สองชั้นที่ทุกชีวิตยังคงเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ให้เจ้าของบ้านฟัง

 

       “เหรอ” แก้วยิ้ม อย่างเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย เมื่อเขาเป็นสิ่งเดียวที่จะไม่ได้เติบโตต่อไปในเขตรั้วไม้สีขาวอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำ

 

       บ้าน... ที่เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว

 

       ชายวัยกลางคนยื่นมือออกไปลูบหัวเด็กน้อยของตนอย่างเอ็นดู คิดหวังเพียงว่าอีกฝ่ายคงได้เติบโตจนแก่ชราอย่างงดงาม ณ ที่แห่งนั้น

 

       “ครับแก้ว?” โชคเหลือบตาขึ้นมามองเผื่อว่าเขาต้องการอะไร แต่แก้วเพียงแค่ระบายยิ้มขณะผละมือออกเพื่อกลับไปนอนพิงหมอนแล้วชวนคุยเรื่องอื่นต่อ

 

       “เธอทำอะไรบ้างตอนฉันหลับ”

 

       “ผมรอแก้วตื่น” คำตอบของโชคเรียบง่ายและเป็นความจริง

 

       “ฉันทำให้เธอรอนานรึเปล่า” คำถามของแก้วเองก็เช่นกัน เรียบง่าย แสนธรรมดา

 

       “ไม่ครับ ไม่เลย ...แต่ต่อให้นานแค่ไหนผมก็รอได้นะ” ขอแค่แก้วตื่นขึ้นมาก็พอ ประโยคหลังโชคพูดผ่านแววตาที่หลุบต่ำ จับจ้องยังเส้นโซ่ดอกแก้วในมือที่ได้ความยาวตามต้องการพอดี เขาจึงม้วนขดเกี่ยวรัดก้านเขียวขัดกันไว้ให้เป็นวงสมบูรณ์ ก่อนจะมอบมันให้แด่ชายผู้มีชื่อเดียวกับดอกไม้หอม “ผมทำให้แก้ว”

 

       มงกุฎดอกแก้ว บนกลุ่มผมดำขลับแซมสีอ่อนปะปนเล็กน้อย รอยยิ้มบางเบาและแววตาอ่อนโยน

 

       “ขอบใจ” หนึ่งจูบประทับเหนือหน้าผากพาย้อนเวลากลับไปในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะเดินท่องไปในความทรงจำนับสิบปีผ่านคำพูดคุยและบทสนทนาเรื่อยเปื่อย

 

       เนิ่นนานคล้ายห้วงเวลาไร้ที่สิ้นสุด จวบจนแก้วหมดแรงอ่อนล้าและดวงตาสีเข้มปรือปิดไป หลับใหลด้วยจังหวะการหายใจสม่ำเสมอใต้สายออกซิเจนที่คาดผ่านจมูก

 

       กาลเวลากลับไปเดินแช่มช้าชะงักงันอีกครั้ง

 

       ราวกับโชคมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งวันขณะที่แก้วตื่นขึ้นมาสบตา

 




 

       เข้าสู่ช่วงท้ายของเดือนเมษายนที่ไร้ฝนไร้ลมหนาว พายุฤดูร้อนจากไปนานกว่าสามสัปดาห์แล้ว แก้วหายใจด้วยตัวเองได้ยากขึ้นทุกวันแม้จะเปลี่ยนจากสายออกซิเจนมาเป็นหน้ากาก กระทั่งใช้หน้ากากออกซิเจนแบบมีถุงก็ยังคงรู้สึกอึดอัดทรมาน แต่ถึงอย่างนั้น...

 

       “คุณหมอถามว่าจะใส่ท่อช่วยหายใจไหมครับ” โชคถามเสียงเบาหวิว

 

       “ไม่ล่ะ” แล้วแก้วก็ตอบกลับทันทีด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับจะปลิวหายไปในสายลมที่พัดผ่านมา

 

       ชายวัยกลางคนที่กำลังจะสูญเสียปอดทั้งสองข้างไปอย่างสิ้นเชิงยืนกรานปฏิเสธการสอดท่อช่วยหายใจรวมไปถึงการเจาะคอ และเมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงนำไปสู่อีกหนึ่งคำถาม ...ที่โชครวดร้าวเหลือเกินยามเอ่ยออกมา

 

       “แล้ว... แก้วจะให้ปั๊มหัวใจไหมครับ” ก้อนความรู้สึกจุกลำคอจนแสบร้อนทั่วกระบอกตา โชคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรนอกจากความเจ็บปวดที่ไม่มีที่มา เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังคำตอบแบบไหนจากแก้วกันแน่ ในนาทีที่หัวใจใต้แผ่นอกผอมบางหยุดเต้นลง แก้วจะยอมรับความตายในทันที หรือจะเสี่ยงดวงที่อาจจะฟื้นมันกลับมาได้ชั่วคราวแลกกับการที่ซี่โครงก็อาจจะหักหักทิ่มปอด ทางเลือกของแก้ว...

 

       เขาส่ายหน้า

 

       โชคจึงแจ้งความจำนงอันแน่วแน่ของตัวผู้ป่วยเองนี้กับแพทย์เจ้าของไข้ ไม่นานก็มีเอกสารถูกส่งมาผ่านพยาบาลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอยื่นคลิปบอร์ดเย็นเฉียบและปากกาลูกลื่นมาให้ด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครในห้องนั้นพูดอะไรออกมาแม้สักคำเดียว

 

       แดดยามเช้ายังคงส่องย้อนเข้ามาทางบานหน้าต่าง สาดแสงอาบกลีบดอกทิวลิปสีเพลิงในแจกันใส ทอดกายย้อมพื้นขาวให้กลายเป็นสีทองของความอบอุ่น และตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของคนที่นั่งอยู่บนเตียง ...ชายผู้ตัดสินใจทางเลือกชีวิตของตนเองแต่ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะบังคับปากกาให้ตวัดเป็นลายลักษณ์อักษร

 

       แก้วเพียงแค่คลี่ยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ให้กับโชคที่เซ็นชื่อรับรองในหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาเพื่อยื้อชีวิตแทนเขา

 

       ...แสนรวดร้าว ปลายนิ้วของชายหนุ่มชาหนึบด้วยความเย็นเยียบที่ซึมลึกเข้ามาถึงขั้วหัวใจ

 

       ...แต่ก็เต็มใจจะทำให้ ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของแก้วในฐานะเจ้าของชีวิตของตัวเอง

 

       “ผมรักแก้วนะครับ” ดวงตาคู่สวยแวววาวด้วยหยาดน้ำใส โชคพูดออกมาเมื่อพยาบาลนำเอกสารสำคัญออกจากห้องไปแล้ว ...เขาร้องไห้

 

       “มานี่สิ” แก้วเรียกพร้อมเรียวแขนที่อ้าออกรอ โชคจึงขยับเข้าไปซุกกอดเรือนร่างผ่ายผอมบอบบางอย่างทะนุถนอม ก่อนถูกรั้งให้ปีนขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงแคบ ในอ้อมแขนของคนที่เขารักหมดหัวใจ และอีกฝ่ายเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน “ฉันก็รักเธอโชค”

 

       ไม่นานหลังจากนั้นแก้วก็ถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องไอซียูเพื่อให้มีบุคลากรทางการแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โชคจึงไม่สามารถนอนเฝ้าและเข้าเยี่ยมได้แค่ตามเวลาที่กำหนด

 

       แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าไปจูบอรุณสวัสดิ์บนหน้าผากคนที่ตื่นบ้างหลับบ้างขณะที่เขาเข้าเยี่ยม จากนั้นก็เฝ้าวนเวียนรออยู่หน้าห้องทั้งวันเพื่อเข้าไปหาอีกครั้งในตอนเที่ยงและตอนเย็น เตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายจนล่วงเลยไปหมดหัวค่ำค่อยกลับบ้านนอน ก่อนจะมาใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

 

 

 

       จนกระทั่งวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบังดวงอาทิตย์ยามเที่ยง พยาบาลประจำห้องไอซียูก็บอกกับคนที่รออยู่หน้าห้องว่าวันนี้ควรอยู่ที่นี่อย่าไปไหน รวมถึงสามารถเข้าไปนั่งที่ข้างเตียงได้ตลอดเวลา

 

       ...ชีพจรของแก้วอ่อนลงและไม่ตอบสนองต่อยากระตุ้นแล้ว

 

       ชายหนุ่มหันมาสบกับดวงตาคู่คมของคนที่มาเยี่ยมแก้วทุกวันไม่เคยขาดตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล และเป็นคนเดียวกับที่เขาจะได้พบหน้าเสมอหน้าห้องบริบาลผู้ป่วยหนักแห่งนี้ ในทุกเช้าที่มาถึงด้วยเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนจะกลับออกไปพร้อมๆ กันในตอนเย็น

 

       โชคพยักหน้าให้เล็กน้อย ธีร์จึงได้เป็นฝ่ายขยับก่อน

 

       ชายวัยใกล้เลขห้าที่ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าหล่อเหลาราวกับกาลเวลาไม่อาจเอาชัยชนะไปจากเขาได้ลุกขึ้นยืน สองขาก้าวเดินหายเข้าไปหลังบานประตูกระจกขุ่นที่ซึ่งหัวใจของตนถูกทิ้งเอาไว้กับคนในนั้น

 

       กลิ่นของยาฆ่าเชื้อและเสียงเครื่องจับสัญญาณชีพ เตียงเรียงรายถูกกั้นด้วยม่านขาว ความเงียบงันเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงรบกวนเหล่านั้น

 

       ราวกับโลกใบนี้ของเขาไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคนตรงหน้า

 

       “แก้ว...” เสียงเอ่ยเรียกชื่อนุ่มทุ้มแหบพร่า แม้จะไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย

 

       “...ธีร์” และเสียงที่แหบยิ่งกว่าก็ตอบกลับมา เบาหวิวเสียแทบกลืนหายไปกับเสียงจับชีพจรหัวใจที่แสดงผลอยู่บนหน้าจอข้างเตียง

 

       ดวงตาสองคู่จ้องสบกัน พลันคำพูดมากมายมลายหายสิ้น ทั้งที่เคยมีสิ่งที่อยากเอ่ยบอกและได้ยินอยู่ล้นใจ แต่สุดท้ายเพียงได้มองตากันคำพูดเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ...พวกเขาต่างรับรู้มันมาตลอดแม้ไม่เคยพูดบอกออกมา

 

       ระยะเวลาสามสิบห้าปีที่แสนยาวนานผ่านพ้นไปในชั่วอึดใจเดียว

 

       ธีร์ลูบเสยเรือนผมยาวที่ปรกหน้าผากแก้วออกให้พ้นใบหน้า ก่อนก้มลงไปประทับริมฝีปากอย่างนุ่มนวล แนบแน่น และภาวนาให้ชั่วนาทีนี้เนิ่นนาน

 

       ดวงตาคมที่จ้องมองมาในระยะเพียงเอื้อมมือฉาบความอ่อนโยนโบกทับความเจ็บปวดเอาไว้ได้มิดชิด ส่องสะท้อนภาพของคนที่เขารักอย่างลึกซึ้ง พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ยังคงเจิดจ้าและอบอุ่นจนความร้อนตีขึ้นกระบอกตาของผู้ได้รับ

 

       แก้วหลับตาลงแผ่วเบา ก่อนจะปรือเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มบางของเด็กหนุ่มม.ปลายที่ทำให้ธีร์ตกอยู่ในห้วงภวังค์ดั่งต้องมนต์

 

       ...อีกครั้งและอีกครั้ง ไม่เคยจางหาย

 

       ความรู้สึกของการตกหลุมรักในวัยเยาว์ที่แผดเผาหัวใจให้ไหวหวั่น

 

       “ขอบใจ” ชายคนหนึ่งบอก

 

       “ขอบใจเหมือนกัน” และชายอีกคนตอบกลับไปพร้อมความร้อนจากรอยจูบสุดท้ายบนปลายนิ้วเรียวบางที่ยกขึ้นมาแนบอยู่ข้างแก้มตน “เดี๋ยวจะไปเรียกโชคมาให้นะ”

 

       ระหว่างแก้วและธีร์... ไม่มีคำกล่าวลา

 



.....​
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 50 [28.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: FebruarySea ที่ 28-12-2020 20:10:30
.....

 

       ธีร์ใช้เวลาอยู่ข้างเตียงแก้วไม่นานนักเมื่อเขารู้ดีว่าคนที่ควรอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ตัวเอง และโชคที่รออยู่ด้านนอกเมื่อเห็นอีกคนกลับออกมาก็ลุกเดินสวนเข้าไปทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร

 

       ...ในเมื่อพวกเขาต่างก็กำลังแบ่งปันความรู้สึกแบบเดียวกันอยู่

 

       ความแหลกร้าวในดวงตาคมบนใบหน้าสงบนิ่ง และนัยน์ตาคู่สวยที่ซ่อนหัวใจแหลกสลายไว้เบื้องหลัง

 

       เครื่องปรับอากาศปล่อยลมเย็นฉ่ำที่บรรยากาศทำให้มันเหน็บหนาวเกินจริงเข้าปะทะผิวกายให้วูบสะท้าน หัวใจบีบตัวรัดแน่นขึ้นมาและราวกับจะเต้นเชื่องช้าลงตามจังหวะเนิบนาบบนหน้าจอมอนิเตอร์ โชคกลืนความร้าวรานกลับลงไปแล้วส่งยิ้มให้คนบนเตียง

 

       ม่านขาวยาวเฉียดพื้นกั้นขวางคนอื่นเอาไว้เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวในช่วงเวลาสุดท้าย แต่ก็ยังคงเผยอเปิดฝั่งปลายเตียงไว้เป็นช่องน้อยๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประจำสามารถติดตามอาการผู้ป่วยได้สะดวกตลอดเวลา มือใหญ่กอบกุมมือเรียวผอมบางเอาไว้อย่างนุ่มนวลทว่าแนบแน่น ส่งความร้อนเข้าไล่ไอเย็นเฉียบบนผิวเนื้อ พลางคิดถึงคืนที่มือนี้ยื่นมาตรงหน้าท่ามกลางพายุฝนและหยดน้ำตา

 

       การพบพานครั้งแรกของพวกเขาในละอองฝน...

 

       “คิดอะไรอยู่ หืม” แก้วถามยิ้มๆ อยากจะหยัดตัวขึ้นนั่งพร้อมรั้งเด็กน้อยของตนเข้ามากอดแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง สุดท้ายก็ทำได้แค่นอนมองเด็กตาแดงด้วยแววตาอ่อนโยน

 

       “คิดว่า... ผมรักแก้วมากเลยนะครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงที่พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สั่นไหวไปกับหัวใจ ถ้อยคำที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นความจริง เขารักแก้วนั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้ แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของคำถาม เพราะสิ่งที่โชคคิดนั้น...

 

       “พูดมาเถอะ” อีกคนดูออก ดวงตาสีเข้มจ้องมองอย่างรอคอยและใจเย็น ราวกับพวกเขามีเวลาอีกมากมายนักทั้งที่รู้กันอยู่แก่ใจว่ามันสั้นนิดเดียว โชคเลยยอมเปิดปากพูดความในใจออกมา

 

       “ผมคิดว่าจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังโตไม่ทันแก้วในวันที่เราเจอกันเลยนะครับ...” เสียงแหบแปร่งแตกพร่าอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว “ทั้งที่อยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่ ทั้งที่ยังอยากทำหลายๆ อย่างด้วยกันอยู่ ผมอยากไปทะเลกับแก้วอีก อยากไปต่างประเทศด้วยกัน อยากนอนอยู่บนโซฟาแล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ อยากกอดแก้วในทุกๆ คืน พอตื่นมาก็กินข้าวเช้าด้วยกัน... ผมอยากมีแก้วอยู่กับผมในวันพรุ่งนี้แล้วก็วันต่อๆ ไปอีก”

 

       สิ่งที่โชคเก็บไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาในโรงพยาบาลพรั่งพรูออกมา ชายหนุ่มไม่เคยสักครั้งที่จะพูดขอเวลาจากแก้ว ไม่เคยขอว่าให้อดทนอยู่กับตนให้นานขึ้นอีกสักหน่อย ไม่เคยร้องขอในสิ่งที่จะทำให้อีกคนต้องทุกข์ใจ เมื่อใครต่อใครก็ต่างพูดว่าในวาระสุดท้ายเราก็ควรส่งอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม แต่แท้จริงแล้วมันกลับทรมานเหลือเกิน...

 

       การที่ต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้เพียงในใจอย่างสิ้นหวัง

 

       น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงบนหลังมือข้างที่ไม่ได้เสียบสายน้ำเกลือ รินไหลผ่านแหวนทองคำบนนิ้วนางข้างซ้ายที่แก้ววอนขอต่อพยาบาลว่าไม่อยากถอดออกจนกว่าจะหมดลมหายใจ และสุดท้ายคนที่เข้มแข็งตลอดมาก็พ่ายให้กับน้ำตาของคนรัก ดวงตาสีเข้มฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใส ท่วมทะลักจากปลายหางตารินหลั่งจนชุ่มหมอน

 

       แก้วร้องไห้ไปกับโชค ขยับปลายนิ้วแตะแก้มเปียกชุ่มเย็นเยียบของอีกคนอย่างอาลัย ...เพราะเขาเองก็ไม่ต่างกัน

 

       “ฉันไม่เคยคิด...ว่าฉันกลัวความตายเลยนะโชค” ริมฝีปากซีดเผือดขยับกระซิบเสียงแหบพร่าขาดห้วงเพื่อบอกเล่าถ้อยคำจากใจ “ฉันไม่ได้อยากตาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าอยากมีชีวิตอะไรมากมายขนาดนั้น... จนเจอกับเธอ ฉันตั้งใจอยากเลี้ยงเธอจนโต จนพอได้รักเธอ ฉันก็อยากอยู่กับเธอให้นานพอ...พอที่จะได้เห็นเธอแก่ อยากจะมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้...”

 

       “น้าแก้ว...” ปลายเสียงยามเอ่ยเรียกชื่อนั้นเพี้ยนหาย ทั้งสั่นเครือไปพร้อมกับร่างกายที่สะอื้นฮัก

 

       “น่าจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้” เรียวนิ้วเย็นเฉียบเกลี่ยปอยผมบนหน้าผากเด็กชายในวันวานที่กลายเป็นชายหนุ่มในวันนี้ผ่านดวงตาของเขาที่เฝ้ามองมาตลอดยี่สิบปี “...เราสองคน”

 

       ยี่สิบปี... ที่อยู่ด้วยกันมา

 

       เจ็ดปีในความสัมพันธ์... ที่น้อยเกินไปสำหรับคนทั้งสอง

 

       “ผมรักแก้วนะครับ ผมรักแก้วมาก” โชคบอก ด้วยความรักทั้งหมดที่ตนมีส่องสะท้อนออกมาผ่านดวงตาคู่สวย

 

       “ฉันรู้ ฉันก็รักเธอโชค” และแก้วตอบรับ ด้วยหัวใจที่รักอีกฝ่ายมากมายจนไม่อยากตายด้วยซ้ำ ก่อนจะพูดบอกอีกอย่างเมื่อไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะหนีจากมันไม่พ้นอยู่ดี “...ขอโทษนะ”

 

       “ไม่ต้องขอโทษผมหรอกนะครับ ไม่ต้องขอโทษเลย” ชายหนุ่มไม่รับคำขอโทษนั้นเอาไว้ ไม่ว่าแก้วจะขอโทษเขาเรื่องอะไรก็ตามเขาก็ไม่อาจรับมันเอาไว้ ...ในเมื่อเขาไม่เคยโกรธแก้วเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง แล้วก็จะไม่มีวัน

 

       “อืม งั้นก็ขอบใจ”

 

       “ผมสิต้องขอบคุณแก้ว” โชคโน้มตัวไปประทับจูบบนกลีบปากไร้สีเลือดของแก้วแผ่วเบา ไม่ได้ผละจากเร็วนักเมื่อแก้วรั้งเขาไว้ด้วยเรียวลิ้นอุ่นร้อนที่ค่อยๆ แทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดอย่างเนิบช้า จูบดูดดื่มสร้างความร้อนให้กับร่างกาย ซึมลึกเข้าไปในหัวใจเป็นครั้งสุดท้าย สลักฝังความทรงจำเอาไว้ในห้วงเวลานี้ก่อนที่มันจะเย็นเฉียบเมื่อมีใครคนหนึ่งจากไป

 

       จูบแสนหวานช่างขมปร่า

 

       ร้าวรานแต่ก็เปี่ยมรักละมุน

 

       “เด็กน้อย”

 

       “ของแก้วคนเดียว ...ตลอดไปเลย”

 

       แก้วหัวเราะให้กับคำพูดที่ไม่อาจเป็นจริงแต่ก็ยังอยากจะเชื่อมั่นสุดหัวใจนั้น เขาครางรับเพียงแผ่วเบาในลำคอ รับรู้ถึงจุมพิตที่พรมไปทั่วใบหน้าอย่างรักใคร่และหวงแหนแสนทะนุถนอม ก่อนจะผละจากไปอังไอร้อนจากลมหายใจรินรดมือเขาข้างที่ถูกกุมไว้ในมือใหญ่อีกที

 

       คนสองคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอย่างไร้แก่นสาร เพียงแค่คุยกันต่อไปเรื่อยๆ ราวกับมีเรื่องมากมายไม่รู้จบให้แลกเปลี่ยน ทั้งที่เพียงอยากจะได้ยินเสียงของคนรักก็เท่านั้น กระทั่งแก้วดูอ่อนล้าและหายใจลำบากบทสนทนาถึงได้ขาดช่วงไป หลงเหลือเอาไว้แค่เสียงเรียกขานและเสียงตอบรับดังแว่วเคล้าเสียงสัญญาณชีพ

 

       “น้าแก้ว”

 

       “ว่าไง”

 

       “น้าแก้ว”

 

       “หืม”

 

       “แก้ว”

 

       “หือ”

 

       “แก้ว”

 

       “อือ...” เนิ่นนานจวบจนดวงตาสีเข้มปรือเปิดมาอย่างอ่อนล้าพร้อมกับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบางเบาเป็นครั้งสุดท้ายให้กับชายคนรัก

 

       “น้าแก้วครับ”

 

       “...” ไม่มีเสียงขานรับตอบอีกต่อไปแล้ว

 

       โลกใบน้อยของคู่ชีวิตค่อยๆ พังทลายลงพร้อมกับตัวเลขบนจอที่ลดลงทีละนิดอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเข้มปิดสนิท ร่างกายของแก้วเกร็งกระตุกอย่างทรมานอยู่ร่วมนาทีก่อนนิ่งไปพร้อมกับเส้นกราฟหัวใจที่เรียบตรง เสียงร้องเตือนดังขึ้น ตามด้วยพยาบาลที่แหวกม่านเข้ามาจัดการตามขั้นตอน

 

       โชคนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กเย็นเฉียบ มันไม่มีการจากไปอย่างสงบเหมือนในหนังหรือนิยาย ไม่สวยงามเลยสักนิด ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของบทกวีที่ยกยอ จะมีก็แต่ความร้าวรานเจ็บปวด ทุกทรมานจนแทบขาดใจ แสนเศร้าราวกับหัวใจถูกฉีกทึ้ง

 

       ความตายเป็นเช่นนั้นเอง

 

       สิบห้านาฬิกายี่สิบแปดนาที นาฬิกาชีวิตของแก้วหยุดเดินตลอดกาลในชั่วขณะนั้น

 

       ท่ามกลางกลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนกึกที่ลอยวนอยู่ในอากาศ ทัศนียภาพรอบด้านถูกย้อมด้วยสีขาวเสียจนดวงตาแสบร้อนพร่าเบลอไปหมด โชคถอดแหวนแต่งงานบนนิ้วนางของแก้วมาสวมไว้กับคู่ของมันที่นิ้วก้อยซ้ายของตนเอง

 

       ชายหนุ่มมองใบหน้าของคนรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะถูกบดบังด้วยผืนผ้าขาว

 

       ยังคงเหมือนเดิมเสมอ ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

 

       งดงามไม่สร่างซา... แก้วในสายตาและความทรงจำของโชค

 

 

 

...TBC

 

       เจอกันอีกครั้งวันสิ้นปีค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 50 [28.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-12-2020 20:38:45
 :hao5: :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 50 [28.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: narongyut ที่ 28-12-2020 23:11:17
 :L1: :L2: ขอบคุณครับ ความรัก ของ น้าแก้ว กับ โชค ยังคงงดงามอยู่เสมอ จากวันแรกที่พบกันจนถึงวินาทีสุดท้าย
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 50 [28.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-12-2020 23:53:01
โฮรรรรรรร  :m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :sad11: :sad11: ไม่ไหวแล้ว น้ำตาท่วม TT_________TT อึก น้าแก้ว โชค มัน..... พูดอะไรไม่ออก ขอร้องไห้แปป  :m15:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -END- [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 31-12-2020 20:25:24
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: -END- [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-01-2021 07:54:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -END- [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2021 14:21:01
 :pig4:
 :3123:
สวัสดีปีใหม่2564ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 02-01-2021 22:10:56
สวยงามในความเศร้า อบอุ่นในความว่างเปล่า  :m15: :monkeysad: :sad11: ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อน้าแก้วนะโชค

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ ภาษาการแต่งสวยทุกตอน สนุกและชอบมาก ชอบจริงๆ จะรอตามผลงานต่อไป และขอสวัสดีปีใหม่2564นะคะ ขอให้ผู้แต่งแข็งแรง เฮงๆ แต่งนิยายดีๆให้อ่านต่อไปนะ  :กอด1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 15-02-2021 19:18:54
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 25-02-2021 23:45:34
อ่านแล้วน้ำตาไหล
ยิ่งตอนน้าแก้วตายยิ่งร้องไห้
ปกติเราจะไม่ค่อยชอบอ่านแนวนี้เท่าไหร่
แต่พอหลุดเข้ามาแล้วมันก็วางไม่ลง
ต้องอ่านต่อไปเรื่อยๆ อยากรู้เรื่องราวของตัวละครแต่ละคน
เราไม่ชอบธีร์เลย นิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป
ชอบในตัวธีร์อย่างเดียวคือรักและเอ็นดูโชคแค่นั้น
ยังไงก็ขอบคุณคนเขียนค่ะ ที่ทำให้เราน้ำตาไหลได้ เนื้อเรื่องสนุกมากๆ อ่านแล้วจุกแน่นไปหมดตลอดทั้งเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
เริ่มหัวข้อโดย: Namna ที่ 01-03-2021 07:54:22
พึ่งได้เข้ามาอ่าน และอ่านรวดเดียวจนจบ บอกได้คำเดียวว่าเยี่ยมบรรยายได้ดีเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกทุกตัวละคร สุข เศร้า เหงา เสียใจ เป็นนิยายที่มาก หวังว่าจะได้อ่านนิยายเรื่องต่อๆไปของนักเขียนอีกนะคะ จะติดตามอ่านทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 02-03-2021 21:13:53
ทำไมถึงเศร้าอย่างนี้ สงสารทั้งแก้วและโชครวมถึงธีร์ด้วย เข้าใจว่ามีพบก็ต้องมีจาก แต่จากกันแบบนี้มันทรมานใจจริงๆ :mew4: