.....
งานวันเผามีคนอื่นนอกจากโชคและครอบครัวของธีร์มาร่วมงานด้วยตั้งแต่ช่วงก่อนเที่ยงวัน ร่วมถวายเพลพระ จากนั้นก็รอเวลาเคลื่อนย้ายศพลงจากศาลาตามกำหนดการที่ทำให้แขกทยอยกันมาจนหนาตาในช่วงเวลานี้ โชคถือรูปกรอบทอง ธีร์ประคองกระถางธูปตามหลังพระ นำขบวนผู้คนใกล้ชิดคนอื่นๆ ที่ช่วยกันแบกจูงโลงศพเวียนซ้ายวนครบรอบสามครั้งก่อนนำขึ้นไปตั้งที่หน้าเมรุ
พิธีการหลังจากนั้นดำเนินไปตามครรลองโดยไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง เพียงแต่ค่อนข้างจะเงียบงันเมื่อคำสั่งเสียที่แก้วทิ้งเอาไว้ไม่ประสงค์จะให้มีอ่านประวัติเพื่อระลึกถึงตนที่จากไป มันจึงมีเพียงเสียงนุ่มทุ้มสงบนิ่งของธีร์ที่ประกาศลำดับชื่อผู้ขึ้นทอดผ้าบังสุกุลผ่านลำโพงเป็นระยะ จนกระทั่งครบหมดทุกรายชื่อแล้วก็เอ่ยเชิญผู้มาร่วมงานขึ้นวางดอกไม้จันทน์
แขกเรื่อที่มาหลายคนเดินทางกลับทันทีหลังรับของชำร่วย ทว่าก็มีบางคนที่อยู่รอส่งจนกว่าผู้จากไปจะกลายเป็นไอควัน แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นที่ข้างโลงเป็นช่วงเวลาของคนในครอบครัว
เงียบงัน... และเศร้าหมองแม้ไร้หยดน้ำตา
วัดในกรุงเทพส่วนใหญ่ไม่มีการเปิดโลงในวันฌาปนกิจ รวมถึงที่วัดนี้เองก็ด้วย โชคและธีร์จึงทำได้เพียงยืนนิ่งมองส่งโลงจำปาเข้าสู่เตาเผา มองเปลวไฟลุกโชนที่จะค่อยๆ เผาไหม้ร่างชายที่พวกเขารักกระทั่งประตูเหล็กหนาทึบบดบังริ้วเพลิงวูบไหว
...ปิดสนิทและจะเปิดอีกครั้งเมื่อแก้วกลายเป็นเถ้าถ่าน
ซึ่งมันใช้เวลาเพียงไม่นาน แค่สองสามชั่วโมงแก้วก็จะเหลือเพียงเถ้ากระดูก แต่โชคก็ต้องรอจนถึงวันรุ่งเพื่อที่จะมาเก็บโกยรับส่วนที่เหลือของแก้วกลับไปอยู่ดี
ควันดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากปลายปล่องเมรุ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้เงาเต็นท์ผ้าใบมืดสลัว ดวงตาคู่สวยจ้องมองออกไปยังส่วนหนึ่งของคนรักล่องลอยปลิวหายไปตามสายลมก่อนเดินทางถึงท้องฟ้าสดใส ที่ซึ่งไม่มีเค้าลางของฝนที่จะตกลงมาเพื่อร่วมไว้อาลัย มีเพียงเมฆขาวลอยไปมาคล้ายฟองคลื่นทะเล
โชครอคอยอย่างไร้จุดหมาย เมื่อปลายทางของมันจะไม่มีวันมาถึง
...สิ่งเดียวที่เขารอคอย
“น้องโชค” เสียงเรียกหวานเหมือนริมฝีปากทาสีสวย ปรางในชุดกระโปรงสีดำส่งยิ้มให้เขาเพียงเบาบาง “พี่ขอนั่งด้วยนะคะ”
“ครับ” โชคเลื่อนเก้าอี้ตัวติดกับที่ตนนั่งเล็กน้อยเป็นสัญญาณอนุญาตให้หญิงสาวเข้าใกล้เข้าได้ถึงเพียงนั้น
ปรางนั่งลง สายตามองตรงไปยังทิวทัศน์เดียวกันกับน้องชาย พลันหน้าร้อนเมื่อตอนยังเป็นเด็กหญิงเด็กชายย้อนคืนกลับมา
ในบ่ายแก่วันนั้นเองพวกเขาก็กำลังแอบมองน้าแก้วอยู่เช่นเดียวกัน
“น้องโชคน่ะ ...ก็ยังชอบน้าแก้วมากที่สุดในโลกมาตลอดเลยสินะ” สาวสวยพึมพำแผ่วเบา ระบายยิ้มทั้งที่ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนเล็กน้อย
“ไม่ใช่หรอกนะพี่ปราง” คำตอบกลับมาที่คาดไม่ถึง เรียกดึงให้สาวสวยหันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังจรดปลายทางสายตาอยู่บนน่านฟ้าที่กลุ่มควันค่อยๆ กระจายตัวหายไปในอากาศ
ปรางประหลาดใจด้วยเพราะเธอมั่นใจมาตลอดว่าในใจของโชคคือพื้นที่พำนักถาวรของน้าแก้ว ทว่าแล้วทำไมโชคถึงบอกปฏิเสธออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้ แต่ช่วงเวลาแห่งความสับสนก็คงอยู่ไม่นาน เมื่อทันทีที่ดวงตาคู่สวยเบนมาสบ หญิงสาวก็รับรู้ได้ว่าโชคยังคงเป็นเด็กชายในสวนคนนั้น และยังคงเป็นเด็กหนุ่มใต้หยาดฝนดอกแก้วคนเดิม
“ผมไม่ได้แค่ชอบน้าแก้วหรอกนะครับ” โชคพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่ท้องทะเลไร้ดาวสีน้ำตาลคู่นั้นวาววับ กระซิบถ้อยคำนุ่มนวลราวกับกำลังบอกมันกับใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ “ผมรักแก้ว ...รักมาตลอด แล้วก็จะไม่มีวันเลิกรัก”
จากเด็กชายไร้เดียงสาที่บอกว่าชอบอย่างตรงไปตรงมาไร้ความนัยน์ใดแฝง สู่เด็กหนุ่มที่ล่วงรู้หัวใจตนเองแต่ก็ยังไม่อาจพูดออกมาได้เต็มปากนัก มาจนวันนี้ วันที่ชายหนุ่มพูดว่ารักออกมาอย่างมั่นใจและแน่วแน่ แต่ถึงอย่างนั้นคนบนโลกใบนี้ที่ได้รู้เรื่องราวระหว่างแก้วและโชคก็ยังคงมีเพียงแค่สามคน
ธีร์ มิกซ์ ปราง... แค่สามคนเท่านั้น
ปรางโถมตัวเข้ากอดโชคเอาไว้แน่น หยาดน้ำตาร่วงกราวพรั่งพรู เธอร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ และไม่นานอีกฝ่ายก็ยกแขนขึ้นกอดตอบ ร่างกายใหญ่โตสั่นระริก โชคอิงซบไหล่บางของพี่สาว เขาไม่อาจทานทนเก็บหยดเลือดสีใสที่ท่วมท้นออกมาจากปากแผลของหัวใจแหลกสลายได้อีกต่อไป
โชคร้องไห้จนเหนื่อยล้า ร้องไห้จนตาบวมแดง ร้องไห้จนเมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าหน้าร้อนอีกครั้ง ควันสุดท้ายของน้าแก้วก็กระจายตัวเลือนหายไปในแสงของดวงตะวันที่ยังแรงกล้าแม้จะเริ่มโรยราแล้ว...
ยามเย็นที่ดวงอาทิตย์ยังคงไม่ลาลับฟ้าสนิทดี โชคกลับถึงบ้านเร็วกว่าวันไหนๆ ในรอบเดือน ยังพอมีเวลาให้ได้ชมสวนใต้แสงอัสดงสีส้มที่ย้อมทั้งเมืองให้เป็นสีของมัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก แค่เดินตรงเข้าบ้านไปนั่งทิ้งเวลาให้เลยผ่านอยู่บนโซฟา จนแสงจมขอบฟ้า ท้องนภาแปรเปลี่ยนจากสีส้มเป็นแดง จากนั้นก็ม่วง แล้วก็มืดสนิท
เมื่องานศพจบลงโชคก็มีเวลามากเกินไป
บางทีงานพิธีที่จัดขึ้นคงไม่ได้มีไว้เพื่อผู้ตาย แต่เพื่อปลอบประโลมหัวใจของผู้ที่ยังอยู่ เยียวยาผู้ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังด้วยเหล่าผู้คนที่เกี่ยวโยงกับคนที่จากไป ผ่านเรื่องราว คำบอกเล่า และแววตาที่มองเห็นคนคนนั้นแตกต่างกันไป หลอมรวมเข้ากับความวุ่นวายที่ทำให้หัวใจไม่ได้ว่างเว้น ความเหนื่อยล้าที่ทำให้ข่มตาหลับได้ในยามเย็น ...งานศพแท้จริงแล้วมันมีไว้เพื่อคนเป็นไม่ใช่คนตาย
ดวงตาคู่สวยจ้องมองเรือนนาฬิกาเหนือจอโทรทัศน์ในความมืดที่มีเพียงแสงไฟถนนจากด้านนอกส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ทอดเงาพาดทับเครื่องเรือนและตัวเขาอย่างนุ่มนวล แต่ก็แสนเย็นชาจนหัวใจสะท้านไหว
บ้านไม้สีขาวสองชั้นที่ไร้เงาเจ้าของเก่า เหมือนกับหัวใจของเขาที่ไม่มีที่ให้กลับไป
เหน็บหนาว... บ้านที่ไม่มีน้าแก้วอีกต่อไปสิ้นไร้ซึ่งไออุ่น
โชคเพิ่งรู้สึกตัว ว่าแก้วไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วจริงๆ
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนขดอยู่บนโซฟา ในเงามืดมิดที่ไร้แสงใดตกกระทบ หลีกเร้นซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนที่โอบกอดตัวเองไว้ ประวิงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับค่ำคืนหม่นหมองยาวนานที่จะค่อยๆ คืบคลานผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนเวลาหยุดเดินนี้ออกไป
...แต่เขาก็รู้ว่าไม่อาจหนีได้ตลอดกาล
นาฬิกาเดินผ่านไปกว่ารอบ และแสงนีออนเย็นชาขึ้นกว่าเก่าเมื่อย่ำเข้าสู่กลางราตรี โชคหยัดตัวลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านด้วยหัวใจที่ทิ้งเศษไว้รายทางตามทุกก้าวที่ย่างเดิน
บานประตูห้องนอนใหญ่ยังคงปิดสนิทอยู่เบื้องหน้านัยน์ตาคู่สวย และโชคก็ยังคงยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นเหมือนกับตัวเขาเองในวัยยี่สิบปีที่ประหม่าเกินกว่าจะเข้าไปหาคนรักในค่ำคืนแรกที่ได้ร่วมสัมพันธ์กัน เพียงแต่ในวันนี้ความรู้สึกมันสวนทางกับในวันนั้นอย่างสิ้นเชิง
โชคไม่ได้ประหม่าเพราะความตื่นเต้นหรือเป็นกังวล แต่เขากำลังหวาดกลัวและบอบช้ำจนสั่นไหว
ตั้งแต่เริ่มต้นเดือนเมษาที่แก้วเข้าโรงพยาบาลและเขาตามไปนอนเฝ้ามันก็ไม่ได้ถูกใช้งานอีกเลย แม้แต่ในช่วงวันคืนที่แก้วอยู่ในห้องบริบาลผู้ป่วยหนัก เขาก็ไม่ได้เข้ามานอนในห้องนี้ กระทั่งตอนที่ร่างของแก้วถูกแช่ไว้ในอุณหภูมิต่ำของโลงเย็นบนศาลาวัด โชคก็ยังปักหลักอยู่ที่โซฟา ไม่ย่างกรายขึ้นมาราวกับมันเป็นเขตแดนต้องห้าม ด้วยรู้ดีว่าสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวความทรงจำแห่งนี้จะกวนเอาตะกอนความรู้สึกให้ล้นทะลักขึ้นมา
ทว่าตอนนี้ที่ชายผู้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาคนนั้นถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนหลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน มันก็ถึงเวลาที่โชคต้องเผชิญหน้ากับความจริง...
ความจริงที่ว่าหลังประตูที่กั้นขวางบานนั้นไม่มีน้าแก้วที่กำลังรอเขาอยู่อีกแล้ว
มือใหญ่แตะสัมผัสบนลูกบิดประตูเย็นเฉียบแผ่วเบา ค่อยๆ ขยับหมุนเปิดมันออก อากาศอุ่นของหน้าร้อนในห้องที่ถูกปิดมิดชิดมาแรมเดือนไหลออกมาโอบกอดเขาพร้อมนำเอากลิ่นอายของคนที่เคยมีชีวิตอยู่ในนั้นมาต้องจมูก
ฉ่ำชื้น รินไหล ร้อนผ่าว
ทว่าแห้งแล้ง แน่นิ่ง เหน็บหนาว
หยดน้ำตาและความเศร้า
โชคนอนมองพื้นที่ว่างเปล่าข้างกายจนถึงเช้า เฝ้ามองหาคนรักของเขาที่จะไม่มีวันกลับมาที่ตรงนี้อีกต่อไปแล้วในแสงสลัวรางสีฟ้าของเครื่องปรับอากาศ นึกถึงตอนจบเรื่องราวของวาฬสีน้ำเงินที่สุขสันต์กับเสียงเล่านิทานกล่อมนอนของแก้วคนนั้น...
เพิ่งรู้ว่าความคิดถึงมันทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้
เมื่อมันจะไม่มีวันสิ้นสุดจวบจนชั่วชีวิตของเขามอดดับลงไป
อากาศยามเช้าตรู่ของหน้าร้อนกำลังดี ลมอุ่นพัดเมฆขาวลอยเอื่อยเฉื่อย และแสงแดดสีทองที่สาดส่องลงมาก็ยังไม่แผดเผาผิวมากนัก
โชคมารับแก้วใต้ท้องฟ้าโปร่งใสที่งดงามราวกับภาพฝันผืนนั้น
ชายหนุ่มเก็บโกยเอาเศษเสี้ยวที่เหลือของคนรักบนใบตองที่สัปเหร่อนำออกมาวางให้ทำพิธีใส่ผืนผ้าขาวบาง เก็บเอากระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยสีควันในวันฝนตกตัดกับกลีบดอกไม้สีสดสวยที่ปะปนอยู่มากมายในกองเถ้า และเฝ้าประครองผ้าห่อนั้นอย่างนุ่มนวลทะนุถนอมไปตลอดทางกลับบ้าน...
วันนี้น้าแก้วของเขาก็เบาขึ้นอีกแล้ว
หลังจากกลับมาถึงบ้าน โชคใช้เวลาร่วมชั่วโมงไปกับการกอดห่อผ้าสีขาว สัมผัสของสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นทั้งขรุขระและบางเหลี่ยมมุมก็คมจนทิ่มแทงมือให้รู้สึกเจ็บ แต่เขาก็ยังคงกอบกุมไว้แน่น เพราะมันล้วนแล้วแต่เป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่แก้วหลงเหลือเอาไว้ และมันก็ไม่ได้จะอยู่กับเขาเนิ่นนานสักเท่าไหร่ตามคำสั่งเสีย
‘โปรยเถ้ากระดูกฉันลงน้ำ ปล่อยให้ไหลไปไม่ต้องเก็บเอาไว้หรอกนะ’ เช่นเดียวกับที่ไม่มีรูปในกรอบสีทองไว้ให้บูชา เมื่อมันถูกเผาไหม้ไปพร้อมๆ กับตัวคนในรูปด้วยเปลวไฟแรงร้อนของเตาเผา เพราะวันเกิดกับวันตายเด่นชัดเพียงในใบมรณบัตรก็พอแล้ว และหากอยากจะระลึกถึงกันก็ให้ดูรูปถ่ายมากมายที่เก็บความทรงจำเปี่ยมสุข ดีกว่าจุดธูปไหว้รูปตั้งหน้าโลงที่ทำให้ใจหม่นหมอง แก้วบอกอย่างนั้น
...ราวกับจะไม่ให้เหลืออะไรไว้เลยนอกจากความทรงจำ ที่สักวันก็จะเลือนรางและซีดจางจนหายไปในที่สุด
ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนั้นเอง หากไม่มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่คอยจดจำเรื่องราว ตัวตนของเราก็จะสิ้นสูญไปในชั่วพริบตา บางทีด้วยเหตุนั้นมันจึงมีความเชื่อที่ส่งต่อกันมาอย่างการบูชาบรรพบุรุษที่เราไม่เคยแม้แต่จะได้รู้จักหรือทันเห็นหน้าด้วยตาตัวเอง ...คนเราก็คงแค่ไม่อยากเลือนหายไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น
เวลาผันผ่านไปอีกพักใหญ่ ดวงอาทิตย์ลอยสูงในองศาที่สาดแสงแรงร้อนเข้ามาไม่พ้นขอบหน้าต่าง โมกนอนอ้าปากกว้างหาวหวอดมองแขกคุ้นตาที่ปรากฏตัวหน้ารั้วไม้ ธีร์จัดการส่งตัวเองเข้าบ้านเมื่อประตูรั้วไม่ได้คล้องโซ่เอาไว้ รอยยิ้มอ่อนล้าแต่ยังไม่ราแสงถูกส่งให้ชายหนุ่มที่นั่งนิ่งงันกับห่อผ้าในอ้อมแขน
“กินข้าวกันเถอะ” เขาบอก ก่อนจะเดินเข้าครัวไปเตรียมสำรับ
โชคในฐานะเจ้าบ้านเห็นดังนั้นจึงต้องผละจากเถ้ากระดูกของคนรักแล้วไปช่วยแขกในครัว พวกเขากินมื้อแรกของวันกันเงียบๆ มีเพียงการพูดคุยถึงสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำตามคำสั่งเสียของคนที่จากไป
ลอยอังคาร... โปรยเถ้ากระดูกลงสู่ผืนน้ำ ปล่อยให้จมลงไปในกระแสธารที่จะพัดพาไปอย่างไร้จุดหมายไม่มีที่สิ้นสุดตราบเท่าท้องทะเลยังไม่แห้งเหือด
“คิดไว้รึยังว่าจะเอาไปลอยที่ไหน” ธีร์ถาม
“ครับ” โชคตอบ ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มบางขณะเอ่ยถึงจุดหมายแห่งนั้น “...ที่หัวหิน”
เจ้าของคำถามไม่รู้ว่าที่อำเภอเล็กๆ ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยนั้นมีความทรงจำแบบไหนถูกสร้างขึ้นมาระหว่างโชคกับแก้ว แต่มันก็คงมากมายและแสนสำคัญอย่างที่ฉายชัดออกมาผ่านแววตา...
ยังคงเปี่ยมรักละมุนไม่ร้างราแม้จะผ่านความทุกข์ทนมาไม่น้อย
“จะไปวันไหนล่ะ”
“วันนี้แหละครับ”
“เอางั้นเหรอ” ธีร์ถามซ้ำ ด้วยเพราะมันอาจเร็วเกินไปสำหรับอีกฝ่ายที่จะปล่อยมือจากเศษเสี้ยวสุดท้ายของชายที่รัก
โชคชะงักงัน ติดอยู่ในห้วงที่กาลเวลาไม่เคลื่อนไหว เพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าชั่วระยะของการจากลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้าทว่ารวดเร็วนัก จากวันนั้นที่แก้วไม่ได้ขานรับกลับมา จนกระทั่งวันนี้ที่เหลือเพียงเถ้าธุลี
เนิ่นนานในความรู้สึก แต่ก็ชั่วพริบตาจนใจวูบโหวง
อยู่ๆ ข้าวบางคำก็เค็มปร่าด้วยรสน้ำตาปะปน โชควางช้อนลงทั้งที่เพิ่งกินไปไม่ถึงครึ่ง
“ผมไม่รู้ว่าผมควรทำอะไรดี... อาธีร์” ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดหน้า ราวกับพยายามเก็บซ่อนความร้าวรานเอาไว้ในฝ่ามือ “พอไม่มีน้าแก้วแล้วผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร”
ทั้งชีวิตที่โชคตั้งใจจะใช้มันไปกับแก้วนั้นแสนสั้นจนตั้งตัวไม่ทัน เขากำลังลอยคว้างกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่ไร้คลื่นลม เมื่อเด็กชายโชคในวัยเยาว์เติบโตมากับความคิดที่มีแค่ว่าต้องเรียนแล้วก็อยากรีบโตไปดูแลน้าแก้ว จนกระทั่งใกล้จะเรียนจบนายโชคก็วางแผนอนาคตไว้ที่การทำงานแล้วก็ดูแลแก้วของเขา จากนั้นพอเรียนจบเขาก็ใช้ชีวิตไปอย่างนั้น ทำงานตามรอยแก้ว ดูแลแก้ว รักแก้ว อยู่เคียงข้างแก้ว...
เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันของโชคก็คือแก้ว
พอไม่มีแก้วแล้วมันก็เลยดูจะไร้ความหมายขึ้นมา
...ชีวิตของโชคแท้จริงแล้วช่างแสนกลวงเปล่า
“แก้วรักเรามากนะ” ไม่ใช่ทั้งคำตอบหรือคำปลอบโยนที่ออกจากปากชายวัยกลางคนผู้ที่รับฟังอย่างเงียบงันกระทั่งดวงตาคู่สวยปรากฏตัว ธีร์มองรอยแดงและความฉ่ำชื้นซึ่งเป็นร่องรอยของความเสียใจบนใบหน้าโชค คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่พูดซ้ำถึงความจริงที่เขารับรู้ “แก้วรักเรามากนะโชค...”
เรื่องราวเล็กน้อยจากในวันวานถูกบอกเล่า เรื่องราวระหว่างเขากับเพื่อนรักที่เป็นดั่งดวงใจคนนั้นในวันที่ได้รับรู้ถึงอาการป่วยของเจ้าตัวเป็นครั้งแรก แก้วเป็นคนดื้อ หัวแข็งไม่ชอบพึ่งพาใครและมักเก็บอะไรๆ เอาไว้กับตัวเองคนเดียวเสมอ เพราะอย่างนั้นหลังจากที่ถามออกไปว่า ‘ทำไมถึงไม่บอก’ แล้วได้คำตอบที่ทำให้หัวใจไหววูบกลับมา บทสนทนาของพวกเขาไม่ได้จบลงแค่ที่ตรงนั้น แต่มันกลับยังคงเต็มไปด้วยความรักในดวงตาสีเข้มและทุกถ้อยคำที่แก้วพูดออกมา
“ที่แก้วบอกเราตั้งแต่แรกทั้งที่ปกติคงหนีไปตรวจเองคนเดียวเงียบๆ แล้วมาบอกทีหลังน่ะ ก็เพราะว่าแก้วตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดไปกับเรา... ในฐานะคู่ชีวิต” ดอกแก้วสีขาวในลานอิฐร่วงโปรยลงสู่พื้น เช่นเดียวกับหยดน้ำตาฉ่ำชื้นที่รื้นไหลผ่านหางตาแดงก่ำของชายหนุ่ม “แก้วรักเรามากขนาดนั้นเลยล่ะนะ”
“ครับ” โชคตอบรับได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นฮักที่ดังระงมไปทั่วทั้งบ้าน
เกือบบ่ายแล้วกว่าโชคกับธีร์จะจัดการเก็บล้างจานชามแล้วย้ายออกมาอยู่หน้าทีวีในห้องนั่งเล่น หากอยากไปให้ถึงปลายทางที่หมายไว้ใต้แสงของวันอันโชติช่วงโชคก็ควรเริ่มออกเดินทางเสียที
กุญแจรถและห่อเถ้ากระดูก... ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมในชั่วนาที
ดวงตาคู่สวยหันมามองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่รู้จักเขามาค่อนชีวิต ไม่มีความคิดที่จะไล่ให้กลับไป แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะฝากฝังบ้านไว้กับอีกฝ่ายดีหรือเปล่า ในเมื่อชีวิตคนเรามีเรื่องให้ต้องทำอยู่ตั้งมากมายในเวลาที่จำกัด
“อารออยู่ที่นี่นะ” จนธีร์เป็นคนพูดออกมา ระบายรอยยิ้มเจิดจ้าผ่านดวงตาคมแสนอ่อนโยน “อาจะรอจนกว่าเราจะกลับมานะโชค”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาแค่ขับรถออกจากบ้านมุ่งหน้าลงใต้ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 โดยมีท้องฟ้ากระจ่างใสและดวงตะวันจัดจ้าปกคลุมโลกทั้งใบในคลองจักษุ
สามชั่วโมงบนท้องถนนหลังจากนั้น โชคลงจากรถมาพบกับสายลมที่หอบกลิ่นเกลือขึ้นมาจากมหาสมุทร บนริมทางเท้าของซอกซอยเดิมที่เคยเดินผ่านกับใครอีกคนที่กอบกุมมือกันไว้ ดวงตาคู่สวยก้มลงมองห่อผ้าในมือ แสงสว่างเหนือหัวย้อมให้ใบหน้าถูกซ่อนไว้ในเงา
“ได้กลิ่นไหมครับแก้ว” เขาหวังว่าน้าแก้วจะรับรู้แม้มองไม่เห็น ว่าดวงดาวในทะเลสีน้ำตาลมันกำลังส่องแสงสุกสกาวแวววาวอย่างที่แก้วชอบนักหนา “...กลิ่นของทะเล”
โชคลัดเลาะตามทางมาจนถึงชายหาด ดวงตะวันยามบ่ายคล้อยยังคงสาดลงกระทบเม็ดทรายเป็นประกายระยิบระยับเช่นเดียวกับบนผิวน้ำ ระลอกคลื่นม้วนตัวตีเข้าหาฝั่ง สาดซัดก่อนไหลย้อนกลับคืน
เย็น... จนเหน็บหนาว ทั้งที่เป็นทะเลหน้าร้อนใต้ท้องฟ้าสว่างไสวและแสงอาทิตย์เจิดจ้า
สองเท้าเปลือยเปล่าก้าวเดินเลียบแนวคลื่นกลืนผืนทราย มุ่งหน้าไปยังจุดที่มีท่าเรือยื่นลงไปในทะเล หาเช่าเหมาเรือประมงเล็กลำหนึ่งให้พาออกสู่กลางน่านน้ำห่างไกลจากชายฝั่ง เพื่อให้เถ้ากระดูกของแก้วนั้นไม่ถูกตีกลับคืนมาคั่งค้างอยู่บนแผ่นดิน
โชคประครองห่อผ้าอย่างหวงแหนระหว่างที่เรือแล่นกรีดผิวน้ำ เสียงของลมทะเลพัดหวีดหวิวผ่านข้างหู และฝั่งก็ดูไกลห่างออกไปทุกที ยิ่งสีฟ้าโอบล้อมย้อมทุกสิ่งในกรอบสายตามากเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งวูบไหวมากขึ้นเท่านั้น
“ของใครล่ะนั่นน่ะ” และมันคงแสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจน คนขับเรือวัยสามสิบถึงได้ถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแข็งกระด้างทว่าอุ่นร้อนจนขอบตาร้อนผ่าวเช่นนั้น “ครอบครัว... หรือว่าคนรัก”
“...เป็นทั้งครอบครัว แล้วก็คนรักเลยครับ” โชคตอบ “เป็นทุกอย่างของผมเลย”
“รักมากเลยสินะ” คราวนี้โชคหันไปยิ้มแทนคำตอบรับ อีกฝ่ายเลยยิ้มตอบกลับมา “ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละ รักมากแค่ไหนก็ต้องจากกันสักวันอยู่ดี...”
“แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีที่ได้รักเขามากตั้งขนาดนี้เลยนี่นะ”
“ครับ” บทสนทนาเลือนหายไปกับคลื่นลม มีเพียงเสียงกระซิบแผ่วของชาวประมงที่บอกโชคว่า ‘ถึงแล้ว’ เป็นสัญญาณของการบอกลาครั้งสุดท้าย แม้โชคจะไม่คิดพูดมันออกมาก็ตาม
โชคจะไม่บอกลาแก้ว ...เขาจะบอกเพียงว่ารัก
เรือลำน้อยยังคงแล่นไปอย่างเอื่อยช้า ห่อผ้าขาวถูกเปิดออก ละอองฝุ่นผงฟุ้งปลิว ก่อนชิ้นกระดูกจะถูกโปรยอย่างนุ่มนวลลงสู่ท้องน้ำสีฟ้าคราม กลีบดอกไม้กับเศษเสี้ยวสุดท้ายของแก้วลอยเหนือผิวน้ำเป็นทางยาวก่อนจะแตกกระจายอย่างไร้ทิศทางตามริ้วคลื่น
โชคมองตามทุกชิ้นส่วนอย่างอาลัยจนเผลอทำผืนผ้าบางพลิ้วไหวในกระแสน้ำเย็นเยียบหลุดมือ ล่องริ้วราวกับกำลังเริงระบำในโลกสีน้ำเงินชั่วขณะหนึ่งก่อนจมหาย ราวกับเป็นตัวแทนหัวใจของโชคที่ร่วงหล่นลงไปใต้มหาสมุทรสุดลึก ดำดิ่งติดตามน้าแก้วของเขาไปทั่วทุกแห่งหนตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ
เสี้ยวหนึ่งของนาทีที่เนิ่นนาน โชคอยากกระโจนลงน้ำแล้วจมลงไปยังท้องทะเลไร้ก้นบึ้งด้วยกันกับแก้ว แต่ก็ถูกฉุดรั้งเอาไว้ด้วยคำสัญญาฝ่ายเดียวที่เขาไม่ได้ตอบรับ แต่อีกคนก็จะยังคงรักษามันเอาไว้อยู่ดี
‘อาจะรอจนกว่าเราจะกลับมานะโชค’ บ้านไม้สีขาวหลังนั้นยังมีคนที่รอให้เขากลับไป ไหนจะเจ้าแมวสีควันตัวนั้นอีก
ระหว่างทางแล่นเรือกลับเข้าฝั่ง โชคปล่อยความคิดไปกับสายน้ำเย็นเฉียบและเกลียวคลื่นที่ไล้ผ่านมือ คิดถึงต้นมะลิที่หลังบ้าน คิดถึงผืนผ้านุ่มนิ่มสีม่วงอ่อนกับผ้าคลุมไหล่ชีฟองลายผีเสื้อ ภาพจำของรอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังคงก้องกังวาน ณ สถานที่แห่งนั้น
ชีวิตที่กลวงเปล่าเมื่อไร้น้าแก้วดูมีความหมายขึ้นมาเมื่อมีเรื่องราวมากมายให้ช่วยจดจำ มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคิดถึงคนสำคัญ แบกรับตัวตนของพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้ในลมหายใจ พร้อมกับที่ค่อยๆ ค้นหาไป ...เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง
ชีวิตที่แก้วมอบให้เขาพร้อมกับสายสัมพันธ์ที่ได้รับมาไม่ได้กลวงเปล่าแม้แต่น้อย
โชคขับรถมุ่งตรงกลับบ้านก่อนเวลาอาทิตย์ตกดิน หันหลังให้กับเมืองชายฝั่ง เขาไม่ได้แวะไปยังรีสอร์ทเล็กๆ แห่งความทรงจำ เลยไม่รู้ว่าชิงช้าตัวใหญ่นั้นยังแข็งแรงดีอยู่หรือเปล่า ไม่รู้ว่าเสียงคลื่นกระทบฝั่งยังคงก้องกังวาน ณ ที่แห่งนั้นอยู่หรือไม่ ไม่รู้ว่าทิวทัศน์ยามแสงอาบไล้ลงบนผืนน้ำยังคงส่องประกายราวกับทะเลดวงดาวเช่นเคยไหม เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรในการไปยังที่แห่งนั้นอีกแล้ว
ดวงตะวันจะไม่จมทะเลอ่าวไทยที่เมืองนี้ จะไม่มีทิวทัศน์ยามมันตกลงอันดามันอย่างที่เขากับแก้วเคยดูด้วยกันที่ภูเก็ต หรือต่อให้มีและงดงามสักเพียงใด โชคก็ไม่อยากดูอีกแล้วเมื่อแสงสีส้มอบอุ่นนั้นจะไม่มีวันตกกระทบลงบนใบหน้าคนที่เขารักยามหันไปข้างกาย
ชั่วนิรันดร์ในเดือนเมษา ตลอดกาลของโชคจากไปแล้ว
...น้าแก้วคนนั้น
ฤดูร้อนจากไปในสายฝนพรำ โชคเก็บของในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยกองกระดาษ และถือโอกาสทำความสะอาดครั้งใหญ่ไปด้วยในตัว
เที่ยงวันตะวันตรงหัวแต่กลับชื้นแฉะ ลมพัดเอาละอองฝนผ่านมุ้งลวดหน้าต่างเข้ามาปะทะผิว หอบเอากลิ่นหอมจางของดอกไม้สีขาวเข้ามาต้องจมูก ต้นแก้วกลางลานทิ้งดอกร่วงโปรยปรายราวสายฝน โชคค้นเจอไฟแช็กสีทองกับซองบุหรี่นอนแน่นิ่งอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน
บุหรี่มวนสุดท้ายยังคงถูกเก็บไว้ในนั้น แก้วตัดสินใจเลิกไปก่อนจะได้สูบมัน
โชคนั่งมองที่เขี่ยบุหรี่สีใสบนโต๊ะไม้หน้าโซฟา มันเคยถูกอัดแน่นไปด้วยขี้เถ้าและก้นกรอง ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันค่อยๆ ลงลดจนกลายเป็นแค่ถาดว่างเปล่าที่เอาไว้วางประดับ บางทีมันอาจจะตั้งแต่ที่แก้วเริ่มรู้สึกตัวถึงความเป็นไปได้ที่ก้อนเนื้อจะเติบโตขึ้นในปอด หรืออาจจะตอนที่ทั้งสองคนเริ่มคบกัน หรืออาจจะนานกว่านั้น อาจจะตั้งแต่ที่โชคมาอยู่ในบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำที่ทำให้แก้วพยายามลดมันลงโดยไม่รู้ตัว
บุหรี่กลิ่นเดิมถูกจุดขึ้นอีกครั้งแต่กลับไม่มีใครสูบ โชคเพียงแค่วางมันไว้บนขอบที่เขี่ยแก้วใส ปล่อยให้มวนกระดาษและใบยาสูบถูกเผาไหม้อย่างเงียบงัน ในห้องนั่งเล่นที่ยังคงกรุ่นกลิ่นของความทรงจำ
กระทั่งบุหรี่มวนนั้นกลายเป็นขี้เถ้า... มันก็ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ลุกโชนอยู่ในหัวใจ
ความรักที่อุ่นร้อน ทว่าแสนอ่อนโยนที่เกิดขึ้นมา
ในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้ โชคจะยังคงมีแก้วเสมอ
“ผมรักแก้วนะครับ”
“ฉันก็รักเธอ โชค”
...To Be Eternity
[/b]
แผดเผาอย่างเชื่องช้า เนิ่นนาน ในชั่วพริบตา ก่อนหลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน ทว่าความรักที่เกิดขึ้นมาจะยังคงงดงามสุกสกาวตลอดกาลในห้วงทรงจำ
ขอบคุณทุกคนที่เดินทางมาด้วยกันจนกระทั่งถึงปลายทางแห่งนี้ หวังว่าจะได้รับความทรงจำที่ดี และเรื่องราวขมอมหวานเรื่องนี้จะสามารถจุดรอยยิ้มบนริมฝีปาก จุดหยดน้ำตรงปลายหางตา และจุดไฟอุ่นร้อนในหัวใจของทุกคนได้นะคะ
สุดท้ายนี้ สุขสันต์วันสิ้นปี และสวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้ช่วงเวลาของพวกคุณเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นสดใสนะคะ มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง ไม่ปวดหลังปวดไหล่ นอนหลับสนิทในทุกๆ คืน และขอให้หัวใจของคุณยังคงอ่อนโยนเหมือนในวัยเยาว์ แม้ต้องเผชิญกับความใจร้ายมากมายของโลกใบนี้ ได้โปรดอย่าลืมรอยยิ้มจากหัวใจนะคะ
รักและขอบคุณ
FebruarySea.