Special Chapter : ไม้เบื่อไม้เมา
Kirin's Partน้องสกาย หรือ เด็กชายนคินทร์ อคิระไพบูลย์ เกิดมาพร้อมกับความรักที่ได้รับท่วมท้นจากทั้งพ่อแม่ คุณตาคุณยาย คุณย่า และคุณลุง หรือแม้กระทั่งจากคนต่างสายเลือดอย่างน้าลม ก็หลงเด็กคนนี้จนแทบจะประเคนทุกอย่างให้ ซึ่งเจ้าตัวน้อยเองก็เผื่อแผ่ความรักมากมายกลับไปให้แก่ทุกคน ยกเว้นก็แต่...
“หม่ะม้าๆๆ แง้!!” เด็กน้อยร้องไห้จ้าเมื่อคนเป็นแม่ส่งให้คนเป็นพ่ออุ้ม
ส่วนคนที่ถูกลูกเมินอย่างผมก็ถึงกับถอนหอยใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะพูดตัดพ้อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างจนใจ
“ทำไมล่ะครับสกาย หนูโกรธอะไรพ่อล่ะลูก ร้องไห้ทุกครั้งเลยเวลาพ่ออุ้มเนี่ย”
“ฮึก.. หม่ะม้า ฮึกกกก แงงงง้”
ลูกชายวัยสิบเดือนของผมไม่ตอบ แต่กลับร้องไห้จ้ายิ่งกว่าเดิม ตากลมที่กลมไปด้วยน้ำใสเอาแต่มองหาคนที่ตัวเองร้องเรียกว่า
'หม่ะม้า' ตาไม่กะพริบ ให้คนที่ถูกเรียกแทบจะวิ่งแจ้นออกมาจากครัวเมื่อได้ยินเสียงลูกร้อง
“โอ๋.. มาหาหม่าม้ามาครับ ไม่ร้องนะเด็กดี คุณท้องฟ้าคนดีของหม่าม้า.. ไม่ร้องนะครับ โอ๋ๆ”
และเสียงร้องก็เหมือนถูกปิดสวิชต์ เจ้าลูกชายตัวแสบของผมซุกหน้าลงบนบ่าเล็กๆ ของไนล์อย่างออดอ้อน ริมฝีปากเล็กแย้มยิ้มกว้างที่เห็นแต่เหงือก เหมือนการร้องไห้เมื่อกี้เป็นเพียงละครฉากใหญ่ที่เรียกให้แม่กลับมาอุ้มก็เท่านั้น
และนั่นก็ทำให้ผมต้องส่ายหัวอย่างปลงตก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สกายทำแบบนี้...
ตอนแรกผมก็คิดว่าสกายแค่ติดไนล์ตามปกติของเด็กอ่อนที่มักจะชอบอยู่กับแม่ แต่แล้วผมก็พบว่ามันไม่ใช่ เพราะต่อให้ไม่ว่าจะเป็นใครอุ้ม หรือแม้แต่ลม สกายก็ไม่ร้องไห้สักแอะ หนำซ้ำยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจเวลาที่ลมเล่นด้วย
แต่พอเป็นผม ลูกกลับร้องไห้ มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ถูกสกายเมิน!!นี่ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยซ้ำที่ผมถูกเจ้าลูกชายตัวแสบเมินขนาดนี้ สกายไม่เอาผมตั้งแต่เด็กแล้ว และเพราะเหตุนี้แหละ ไอ้เทมส์มันเลยล้อผมบ่อยๆ ว่าลูกไม่รัก
เคยแกล้งแม่เขาไว้ สุดท้ายเขาเลยมาเอาคืนจากที่คิดว่าไร้สาระ พอบ่อยครั้งเข้า ผมก็ชักจะเชื่อแล้วนะ...
จะไม่ให้ผมเชื่อได้ยังไง เพราะตั้งแต่ตอนท้องแล้วที่ไนล์เหม็นผมอยู่เป็นเดือนๆ แล้วไหนจะตอนที่เจ้าตัวแสบแกล้งไม่ดิ้นตอนได้ยินเสียงผมอยู่ใกล้ๆ อีก และที่สุดของที่สุดคือพอเกิดมาได้สองเดือนสกายจะร้องไห้จ้าทุกครั้งเวลาที่ไนล์เปลี่ยนมือให้ผมอุ้ม ยกเว้นตอนที่ไนล์บ่นออกเสียงว่าอุ้มไม่ไหวแล้วหรือเหนื่อยอยากพักผ่อน ตอนนั้นสกายจะอยู่นิ่ง ไม่ต่อต้าน เชื่อฟังและไม่ร้องไห้เลยสักนิด แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่กลับสู่สภาวะปกติ เมื่อนั้นแหละ สกายจะไม่ค่อยยอมให้ผมแตะตัวง่ายๆ นอกจากจะได้อะไรจากผม สกายถึงจะทำตัวเป็นลูกที่น่ารัก เจ้าเล่ห์จนผมหลงหัวปัก ยอมตามใจทุกอย่าง
ผ่านไปนานนับปีจนสกายสามขวบกว่าย่างเข้าสี่ขวบ ลูกก็ยังเป็นแบบเดิม แม้จะยังพูดไม่ชัดก็ตาม
“สกาย มาหาพ่อมาลูกมา ให้หม่าม้าทำงานก่อน” ผมร้องเรียกลูกที่กำลังเดินพันแข้งพันขาอยู่ข้างๆ ไนล์ ที่ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมเอกสารเพื่อไปคุยกับลูกค้าคนสำคัญวันพรุ่งนี้
“...” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผมยังคงเงียบ และยังพัวพันพันพัวกับไนล์ไม่ยอมห่าง จนไนล์กลัวลูกจะล้มนั่นล่ะ ถึงได้ยอมหยุดเดินไปเดินมา แล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ ให้เสมอกับลูกแล้วพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน
“คุณท้องฟ้าครับ หนูไปหาปะป๊าก่อนนะ ขอหม่าม้าเตรียมเอกสารแปปเดียว เดี๋ยวหม่าม้าไปเล่นด้วยนะครับเด็กดี” ตากลมที่ถอดมาจากไนล์กะพริบปริบๆ ก่อนจะพูดในสิ่งที่ไนล์ต้องอมยิ้ม ในขณะที่ผมหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม
“ฉกายจะอยู่กับหม่าม้า ฉกายจานั่งยอตงนี้ อยู่กับหม่าม้า ไม่เอาปะป๊าหยอก”
“ทำไมหื้ม? อยู่กับพ่อแล้วมันยังไงสกาย?” ผมแกล้งร้องถาม ไม่ได้โกรธอะไรจริงจังหรอก ผมรู้ดีว่าสกายเป็นเด็กยังไง เขาค่อนข้างที่จะติดแม่มาก และไม่ค่อยจะถูกกับผมเท่าไหร่ ไม่รู้จำฝังใจมาจากในท้องหรือเปล่า
นิสัยเหมือนผมไม่มีผิด“ไม่เอาปะป๊า พูดฉองยอบแย้ว” เจ้าเด็กหน้ามึนหันมาตอบผมนิ่งๆ ติดจะรำคาญหน่อยๆ ด้วยที่ต้องพูดซ้ำสองรอบ ดูเอาก็แล้วกันว่ากวนประสาทได้ใคร
ก็ได้ผมอีกนั่นแหละ... โขลกผมมาอย่างกับแกะ แล้วผมจะไปโกรธลงได้ยังไง
“ก็หม่าม้าเขาจะทำงาน ลูกไปขวางแล้วเมื่อไหร่หม่าม้าจะทำเสร็จ” ผมแกล้งเปรย “แล้วเดี๋ยวถ้าเสร็จช้า หม่าม้าก็อดมาเล่นกับสกาย พ่อไม่รู้ด้วยแล้วนะ”
เจ้าตัวแสบของผมเม้มปากแน่นตอนได้ยินแบบนั้น ท่าทางครุ่นคิดที่เห็นนั่นน่าหยิกไม่น้อย ทำเอาไนล์กับผมต้องแอบมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม และการตัดสินใจอันยาวนานของเด็กวัยสามขวบกว่าก็สิ้นสุดลง เมื่อสกายยอมลุกขึ้นแล้วเดินเตาะแตะปีนขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างผม พร้อมกับกอดอกแน่น
“ฉกายรอหม่าม้า ปะป๊าห้ามพูด” ผมยิ้ม ไนล์ก็แอบยิ้ม แล้วปฏิบัติการแหย่ลูกก็เริ่มขึ้น
“อ้าว สกายไม่ให้พ่อพูด แล้วสกายจะให้พ่อทำอะไรครับ?”
ผมแกล้งถาม พร้อมกับอุ้มลูกขึ้นมานั่งตัก แล้วก็ตามคาดที่เจ้าตัวเล็กทำขัดขืนนิดหน่อย แต่พอได้นั่งแล้วสบายแถมยังมีที่พิง เจ้าตัวแสบของผมก็เลิกทำเป็นฮึดฮัด ก่อนจะนั่งพิงผมอย่างสบายอารมณ์ แต่ความไม้เบื่อไม้เบายังคงอยู่
“นั่งเฉยๆ คับ ปะป๊านั่งเฉยๆ ไม่พูดอะไยเยย”
ผมหลุดหัวเราะ ในขณะที่ไนล์ก็เตรียมเอกสารเสร็จพอดีเลยเดินมานั่งข้างๆ ผม เจ้าตัวเล็กเองพอเห็นหม่าม้าก็ยิ้มกว้าง พร้อมกับตะกายลงจากตักผมแล้วโผเข้าหาให้ไนล์อุ้มทันที ทำเอาผมอดหมั่นไส้ไม่ได้
ดังนั้นเมื่อไนล์นั่งได้เรียบร้อยพอดี ผมก็เลยแกล้งแหย่ ด้วยการยกแขนโอบไหล่ภรรยาแน่น พร้อมกับก้มลงไปหอมแก้มนิ่มๆ ของน้องฟอดใหญ่ พร้อมกับกดจมูกแช่ไว้แบบนั้น จนกระทั่ง...
“ปะป๊า!!!” เสียงลูกชายผมแหวลั่น พร้อมกับใช้มือเล็กๆ ดันหน้าผมออกจ้าละหวั่น “อย่าหอม อย่าหอม ไม่หอมมม”
ผมยอมผละออกในขณะที่ไนล์กลั้นขำแทบไม่อยู่ เพราะนี่ก็เหมือนจะเป็นนิสัยอีกอย่างที่สกายเหมือนผมอย่างกับแกะ
สกายหวงแม่ สกายหวงไนล์มาก ยิ่งกับผมสกายยิ่งหวง วันไหนเห็นผมกับไนล์หวานใส่กันพิเศษเมื่อไหร่ เจ้าตัวเล็กจะตามติดไนล์เป็นเงาทันที คล้ายกับว่าผมเป็นศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งก็ไม่ปาน
“ทำไมล่ะ ปะป๊ารักหม่าม้า ปะป๊าก็หอมหม่าม้าไง สกายไม่ให้ปะป๊าหอมหม่าม้าแล้วสกายจะให้ปะป๊าหอมใครครับ” ผมถามไปกลั้นขำไป เพราะเจ้าลูกชายตัวดีของผมโกรธจนแก้มแดง
หวงแม่ไม่มีใครเกิน
“หอมคุณย่า ปะป๊าไปหอมคุณย่า หม่าม้าให้ฉกายหอมคนเดียว” เจ้าตัวแสบว่าพลางปีนขึ้นเอาแขนป้อมๆ คล้องคอไนล์แน่น พร้อมกับใช้ปากกับจมูกเล็กๆ ระดมหอมคนเป็นแม่ จนไนล์หัวเราะคิกคักไม่หยุด
เมียผมก็ชอบให้ลูกอ้อน ลูกหวง .. พอกันทั้งแม่ทั้งลูกนั่นล่ะ“แล้วหม่าม้าหอมสกายบ้างได้ไหมครับ.. ไหนจุ๊บๆ หน่อย”
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผมยิ้มปากบาน พร้อมกับทำปากจู๋ใส่เมียผมทันที ไนล์เองก็ชอบใจ จูบย้ำๆ รัวๆ ลงไปบนปากเล็กๆ ของลูกชาย ให้เจ้าตัวแสบหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ
“หม่าม๊ายักฉกาย ฉกายก็ยักหม่าม๊า” ผมแอบกลอกตาตอนได้ยินสกายออ้อนไนล์ เพราะกับผมน่ะไม่มีหรอกมีแต่...
‘ปะป๊าห้ามหอม’
‘ปะป๊าไป ไม่อุ้ม’‘ปะป๊าอย่ากอดหม่าม๊า’
‘ปะป๊าอย่ามาจุ๊บ’ห้ามผมทุกอย่าง กว่าจะจู๋จี๋กันได้แต่ละทีต้องรอสกายนอน แถมบางวันสกายยังมานอนกั้นกลางผมกับไนล์อีก เล่นเอาผมนี่คิดมากไปอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ลูกถึงไม่รักขนาดนี้
ผมเคยคิดมากจนถึงขั้นที่ว่าล้มป่วยเพราะความเครียด ปวดท้องกินอะไรไม่ได้อยู่หลายวัน เป็นหลายวันที่ผมสงสารไนล์มาก เพราะไนล์ต้องคอยดูแลทั้งผมและก็ลูก แต่ถึงอย่างนั้นไนล์ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีจนทุกอย่างผ่านพ้นมาได้ และก็เพราะผมไม่สบายตอนนั้นแหละผมถึงได้รู้ทุกอย่าง
.
.
.
มันน่าจะเป็นช่วงปลายปีที่แล้วตอนสกายอายุครบสามขวบเต็ม เป็นเด็กชายแข็งแรงน่ารัก สกายรูปร่างและหน้าตาแทบจะถอดผมทั้งด้าม เว้นก็แต่ดวงตาที่กลมโตเหมือนไนล์ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่สกายติดมากกว่ามักจะเป็นไนล์ ลูกจะชอบงอแงเวลาอยู่กับผม หรือบางครั้งเราสองคนพ่อลูกก็ชอบแย่งกันที่อยู่ใกล้ไนล์ ทำไปทำมาก็โดนดุทั้งพ่อทั้งลูกแต่ก็ไม่เข็ด
ตอนแรกก็ขำๆ ดี แต่ทำไปทำมาก็เริ่มจะขำไม่ออก เพราะผมเกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าลูกจะไม่รัก ส่วนหนึ่งอาจมาจากเจอทั้งไอ้เทมส์และลมล้ออยู่บ่อยๆ จากที่ไม่คิดก็เริ่มคิด จากที่ไม่สังเกตก็เริ่มสังเกต และมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความวิตกตั้งแต่ตอนไหนผมก็แทบจะจำไม่ได้เหมือนกัน
“สกาย อยู่กับปะป๊านะลูกวันนี้หม่าม้าต้องไปทำงาน”
ผมพยายามพูดบอกลูกที่กอดไนล์แน่นไม่ยอมปล่อย เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดที่เราสามคนพ่อแม่ลูกพักผ่อนอยู่บ้าน แต่จู่ๆ เลขาฯ ของเทมส์กลับโทรมาแจ้งว่าให้ไนล์ไปพบลูกค้าด่วนแทนเทมส์เพราะเทมส์ติดประชุมอยู่กับลูกค้าอีกคน ไนล์เลยต้องรีบแต่งตัวและกระวีกระวาดเตรียมออกจากบ้าน แต่ลูกชายตัวดีกลับเห็นเสียก่อน เลยกระจองงอแงไม่ยอมให้ไนล์ไป
“ไม่เอา ฉกายจะอยู่กะหม่าม้า ไม่อยู่กะปะป๊า ไม่อยู่ๆๆๆ” ทำเด็กน้อยหน้ายู่ งอแงแต่ไม่ร้องไห้ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยไนล์ด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้ครับสกาย ปะป๊าบอกแล้วไงว่าหม่าม๊าต้องไปทำงาน ไม่ดื้อสิลูก” ผมพูดเสียงเข้มให้สกายรู้ว่าผมกำลังดุ ในขณะที่ไนล์เองก็เงียบ เพราะเราเคยตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่โอ๋ลูกถ้าหากใครคนใดคนนึงกำลังดุลูกอยู่
“ฮะ.. ฮึก ฉกายไม่ให้ไป หม่าม้าคับ” จากที่แค่งอแง ตอนนี้น้ำตาร่วงแผละ และสุดท้ายไนล์ก็ใจอ่อน
“ไม่เป็นไรครับพี่ภู ยังพอมีเวลา .. ไนล์อยู่กับลูกก่อนอีกสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ค่อยไป วันนี้รถไม่น่าจะติด” น้องหน้าเสีย พร้อมกับทำท่าจะก้มลงไปอุ้มลูกขึ้นมาโอ๋ แต่ผมไวกว่าเพราะคว้าตัวสกายขึ้นมาอุ้มก่อนได้
“ไม่ได้ครับ ถ้าไนล์ออกสายไนล์ก็จะรีบและต้องขับรถเร็ว พี่ไม่อยากให้ไนล์ขับรถเร็ว ไนล์ไปเถอะ เดี๋ยวพี่ดูแลลูกเอง”
“หม่าม้า ฮึกกก หมะ.. หม่าม้า แงงง้” สกายร้องไห้เสียงดังและทำท่าจะโผหาแต่แม่ แต่ผมขืนตัวลูกไว้เพราะไม่อยากตามใจไปเสียทุกเรื่อง และยิ่งพอเป็นแบบนั้นยิ่งทำให้ไนล์ละล้าละลัง ผมเลยต้องย้ำ
“ไปเถอะไนล์ อย่าให้ลูกค้าต้องรอ เดี๋ยวพี่ดูแลสกายเองไม่ต้องห่วง”
ไนล์เดินออกไปด้วยความไม่สบายใจ ส่วนผมเองก็อุ้มลูกและกอดสกายไว้แน่นแม้สกายพยายามจะดื้นรนและผลักไสผมก็ตาม ลูกทั้งเตะทั้งดิ้นใส่ตัวผมโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่เจ็บเท่าประโยคเดียวที่ลูกพูดออกมาและผมก็ได้ยินเต็มสองหู
“ฉกายไม่ยักปะป๊า ไม่ยักแล้ว!! ฮือออ ฉกายจะหาหม่าม้า จะหาหม่าม้า แงงง้”
ผมไม่โต้ตอบอะไรลูกและเอาแต่กอดแกเอาไว้แนบอก ผมปล่อยให้สกายร้องไห้จนเหนื่อย ให้ลูกได้รู้ว่าผมจะไม่มีวันตามใจลูกเด็ดขาดถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะโอบกอดเขาไว้ด้วย ไม่ให้เขาคิดว่าผมทอดทิ้งหรือไม่ใส่ใจแม้เขาจะไม่ต้องการผมก็ตาม
สกายร้องไห้จนหลับคาไหล่ผม ผมก็กล่อมลูกจนลูกหลับสนิท แม้จะเสียใจกับสิ่งที่ลูกพูดแค่ไหน แต่ผมก็พยายามจะทำหน้าที่ของพ่อให้ดีที่สุด ตอนที่ได้ยินลูกโพล่งออกมาแบบนั้นผมเสียใจมาก ผมรู้ว่าแกอาจจะพูดออกมาเพราะโกรธที่ผมขัดใจ
แต่.. ไม่รู้สิ การที่ลูกบอกว่าลูกไม่รักเรา มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าผมจะได้ยินและหลังจากวันนั้นผมก็ล้มป่วย ผมเครียดและวิตกกังวลจนปวดท้อง กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนจนน็อค สุดท้ายไนล์เลยต้องจับส่งโรงพยาบาล
“พี่ภูครับ เป็นยังไงบ้างครับ ไหวไหม” ไนล์ที่นั่งเฝ้าผมอยู่ที่โรงพยาบาลถามผมขึ้นหลังจากที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา บนตักของน้องมีสกายนั่งมองผมตาแป๋วมองอยู่ แต่ด้วยความมึนๆ เบลอๆ เพราะเพิ่งฟื้นผมเลยไม่ได้สังเกตเห็นว่า..
ในแววตากลมโตของลูกชายผมแดงช้ำ เหมือนกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
“พะ.. พี่ไหว พี่ไม่เป็นอะไร ที่จริงไนล์ไม่ต้องพาพี่มาโรงพยาบาลก็ได้” ผมว่าแม้ร่างกายจะไม่ค่อยไหวเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากให้ไนล์เป็นห่วง
“พี่จะไหวได้ยังไงครับ พี่ภูรู้ไหมตอนที่ ฮึก.. ตอนที่พี่ล้มลงไปไนล์ตกใจแค่ไหน” น้องพยายามกลั้นน้ำตา และรีบปาดออกเร็วๆ เพราะไม่อยากให้ลูกเห็นว่าตัวเองร้องไห้ “ทำไมพี่เป็นอะไรแล้วพี่ไม่บอกไนล์ครับ พี่ทรมานตัวเองทำไม”
น้องถามเสียงสั่น ทำเอาผมรู้สึกผิดไปทั้งใจ... แต่จะให้ผมบอกน้องได้ยังไงว่าผมป่วย เพราะผมคิดมาก คิดกังวลว่าลูกจะไม่รัก
ผมไม่ได้อาย แต่ผมแค่ไม่อยากให้น้องมองว่าผมจุกจิกกับลูกทั้งที่แกยังเด็ก .. ผมไม่อยากให้ใครมองว่ามันงี่เง่าเลย แต่มันก็งี่เง่าจริงๆ นั่นแหละ ผมห้ามความคิดตัวเองไม่ได้เลย ผมกลัวและกังวลว่าลูกจะไม่รักจริงๆ
“คือพี่..” ผมอึกอัก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
“พี่ภู.. เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ” ไนล์เลื่อนมือมาจับมือผมไว้ พร้อมกับบีบเบาๆ “ไนล์รักพี่ สกายก็รักพี่.. อาหมอบอกว่าพี่เครียดจนลงกระเพาะ พี่มีอะไรไม่สบายใจ พี่ภูบอกไนล์ได้ไหมครับ?”
น้องถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำเอาผมพูดไม่ออก ยิ่งเห็นลูกมองผมตาแป๋วทั้งที่ตาแดงก่ำผมยิ่งพูดไม่ออก และทำนบของความเข้มแข็งของผมก็ทลายลง เมื่อสกายตะกายจากตักไนล์แล้วปีนขึ้นมาบนเตียงโรงพยาบาลที่ผมนอนอยู่ ลูกนั่งลงบนเตียงข้างตัวผมก่อนจะทิ้งศีรษะหนุนบนอกผม ก่อนจะใช้แขนเล็กๆ ของตัวเองกอดผมไว้แน่น
“ปะป๊าไม่ฉะบาย หายไวๆ ฮึก.. หายๆ เพี้ยง” ลูกเงยหน้าขึ้นมาจากอกผม พร้อมกับมองผมนิ่ง น้ำใสไหลกลบในดวงตา แต่เจ้าตัวน้อยก็พยายามฮึบไว้ไม่ให้ไหลออกมา “ฉะกายรักปะป๊า ไม่ป่วยนะคับ ไม่ป่วย”
ผมน้ำตาไหลทันทีตอนได้ยินลูกบอกแบบนั้น พร้อมกับดึงลูกมากอดแนบอก สกายเองก็กอดผมแน่นและตอนนั้นผมก็นึกโกรธตัวเองที่งี่เง่าและคิดมากเกินไป ลูกยังเด็ก อาจจะดื้อดึงและติดแม่มากกว่าพ่อตามประสา อะไรดลใจให้ผมคิดไปแบบนั้นจนเก็บเอามาเครียดได้กัน
และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจได้ว่าควรบอกไนล์ ผมควรให้น้องได้รับรู้และบางทีถ้าได้ระบายออกไป ผมอาจจะสบายใจขึ้นบ้างก็ได้
“คือพี่.. พี่คิดว่าลูกไม่รัก” ไนล์เลิกคิ้ว ดูงงๆ และแปลกใจกับคำบอกเล่าของผมไม่น้อย “พี่คิดว่าสกายไม่รักพี่ ลูกชอบร้องไห้เวลาพี่เข้าไปใกล้ๆ หรือบางทีลูกก็ดูไม่อยากจะอยู่กับพี่เท่าไหร่ แถมวันนั้น...”
“วันนั้น...?”
“วันนั้นที่ไนล์ไปหาลูกค้า แล้วพี่ขืนไว้ไม่ให้ลูกร้องตามไนล์ ลูกก็พูดออกมาว่าไม่รักพี่ พี่ก็เลย..” ผมอึกอัก นึกอายขึ้นมานิดหน่อยที่คิดเป็นตุเป็นตะไปเอง
“พี่เลย..?”
“พี่ก็เลยเครียด คิดมาก แล้วสุดท้ายพี่ก็ป่วยอย่างที่ไนล์เห็นนี่ล่ะ” ผมยิ้มแห้งๆ ส่งให้น้อง พลางก้มลงมองดูสกายที่ตอนนี้หลับคาอกผมไปแล้ว
ไนล์ถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ให้ผมต้องนึกโล่งอก เพราะคิดไว้ว่าน้องน่าจะต้องหัวเราะเยาะผมแน่ๆ แต่ไนล์ก็ไม่ได้ทำแบบนั้น
“โถ่พี่ภู..” ไนล์คราง ก่อนจะบีบมือผมแน่นขึ้น แล้วขยับเข้ามาใกล้ “วันหลังพี่มีอะไรพี่ต้องบอกไนล์นะครับ พี่จะได้ไม่เก็บเอาไปคิดมากแบบนี้”
“คือ.. พี่คิว่ามันค่อนข้างที่จะงี่เง่า พี่ก็เลยไม่ได้บอก” ผมอึกอัก รู้สึกผิดน้อยๆ ที่ทำให้น้องเป็นห่วง
“แล้วพี่ก็เก็บเอาไปเครียดจนปวดท้องแบบนี้น่ะหรอ?” น้องดุผมนิดหน่อย ก่อนจะลดเสียงให้อ่อนโยนลง “ทีหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ เราครอบครัวเดียวกันมีอะไรต้องคุยกันสิ .. ไหนเราสัญญากันแล้วไงครับว่ามีอะไรเราจะคุยกันทุกเรื่อง”
“พี่ขอโทษครับ” ผมบอกน้องเสียงจ๋อย นึกรู้สึกผิดเต็มๆ
“ช่างเถอะครับ” ไนล์บอกปัดพร้อมกับยิ้มกว้าง น้องเหลือบมองลูกที่หลับไปแล้วนิดหน่อย ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าพี่ถามไนล์ ไนล์ก็จะได้ย้ำและบอกกับพี่ได้ว่าเรื่องที่พี่เป็นกังวลไม่จริงเลยสักนิด”
“...” ผมเงียบพลางมองไนล์ที่ยื่นมือไปลูบศีรษะกลมของลูกชาย สายตาที่มองไปยังเจ้าตัวน้อยเต็มไปด้วยความรักจนเก็บไม่มิด
“ไนล์จะบอกให้พี่มั่นใจได้เลยว่าสกายรักพี่ สกายรักเราสองคนมาก ลูกอาจจะติดไนล์มากกว่าพี่เพราะสกายติดสกินชิพแล้วก็ชอบให้กอด แต่กับเรื่องอื่นไนล์กล้าบอกได้เต็มปากเลยว่าสกายรักพี่ไม่แพ้ไนล์เลยสักนิด... ไนล์เป็นแม่ ไนล์รู้ดี”
“...” เป็นอีกครั้งที่ผมเงียบ และก็เป็นอีกครั้งที่ผมรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ไนล์พูดไม่ผิดจากความจริงเลยแม้แต่น้อย
“วันนั้นสกายคงจะโมโหที่ถูกขัดใจเลยพูดไปแบบนั้น แต่สกายไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ พี่รู้ใช่ไหมครับ”
ผมยิ้มบางส่งให้น้องพร้อมกับพยักหน้า “รู้ครับ พี่รู้แล้ว”
“สกายร้องไห้จ้าเลยนะตอนที่เห็นพี่ล้มลงไปน่ะ คงจะทั้งตกใจด้วย ทั้งกลัวด้วย” ผมกระชับแขนกอดลูกให้แน่นขึ้นเมื่อได้ยิน “นี่ก็คงง่วงนานแล้วแต่ไม่ยอมหลับ ลูกรอให้พี่ตื่น ลูกรอให้มั่นใจก่อนว่าพี่ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ถึงหลับได้... ไม่คิดแล้วนะครับว่าลูกไม่รัก โอเคไหม?”
“ครับ.. ไม่คิดแล้ว พี่ขอโทษนะไนล์ พี่ขอโทษที่ทำให้ไนล์กับลูกต้องเป็นห่วง” ผมพูดอย่างรู้สึกผิด ในขณะที่ไนล์ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้ผม
“ไม่ต้องขอโทษแล้วครับ” น้องก้มลงมาจูบแก้มผมเบาๆ “ขอแค่ให้พี่หายป่วยแล้วก็แข็งแรงเร็วๆ ก็พอ.. ไนล์กับลูกขอแค่นี้แหละ”
ผมยกมือน้องขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากแล้วจูบ “ครับ.. พี่จะหายเร็วๆ แล้วก็จะไม่ป่วยอีกแล้ว”
“ไนล์รักพี่ภูนะครับ”
“พี่ก็รักไนล์ครับ”
ไนล์ก้มลงมานอนทับแขนผมพร้อมยกแขนโอบสกายที่นอนอยู่บนอกผมอีกที เราสามคนกอดกันแน่น.. กอดกันด้วยความรักและความเข้าใจ
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)