** Warning : เนื้อหาบางฉากบางตอนในแช็ปเตอร์นี้ อาจมีความไม่เหมาะสมทางด้านการใช้ภาษา และความรุนแรงทางเพศ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านและทำความเข้าใจด้วยนะคะ **
Universe 17th : ความเข้าใจผิด
ผมนั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ อยู่บนพื้นตรงข้างๆ โซฟา ตั้งแต่พี่ภูออกจากห้องไปผมก็ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย เจ็บไปหมด เจ็บทั้งที่หัวใจ และเจ็บทั้งแผลที่มือ
ผมค่อยๆ คลายมือที่กุมอีกมืออีกข้างไว้ออก ก่อนจะพบว่ามันแดงมาก และผมก็ปวดแสบปวดร้อนไปหมด เดาว่าน่าจะเป็นเพราะมันไปลวกโดนกับแผลเก่าที่ถูกรถเข็นชนเมื่อเย็น ตอนนี้สภาพมือผมเลยโคตรแย่
ผมเจ็บจนน้ำตาซึม จะบอกพี่ภูก็ไม่กล้าบอก เพราะในสายตาของพี่ภูตอนนี้ผมคือคนผิด แถมยังเป็นคนน่ารังเกียจที่รังแกและทำให้คุณรันต้องเจ็บตัวเพราะความอิจฉาที่คุณรันได้มีโอกาสใกล้ชิดพี่ภูมากกว่าผม
ผมรู้.. ผมรับรู้ได้ด้วยสายตาทั้งหมดที่พี่ภูมองผมมานั่นแหละว่าเขาจงเกลียดจงชังกันขนาดไหน สำหรับเขาผมมันก็แค่เด็กหิวเงิน เด็กเจ้ามารยาที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งที่ความจริงแล้วผมไม่ได้อยากได้อะไรเลยนอกจากแค่หวังจะให้เขาดีขึ้นและมีความสุข กลับมาเป็นคนเดิมเหมือนที่เคยเป็นอีกครั้ง
ตอนแรกผมก็แอบดีใจนะ ผมแอบคิดว่าพี่ภูอาจจะคลับคล้ายคลับคลาจำผมได้ขึ้นมาบ้าง ถ้าเราได้ใกล้ชิดกันอีกนิด พี่ภูอาจจะฉุกคิดและจำผมได้ในที่สุด แต่จากที่เห็นวันนี้ เขายังไม่เปิดใจให้ผมเลยด้วยซ้ำ เขาฟังแต่สิ่งที่คุณรันบอก ทั้งที่มันไม่เฉียดใกล้ความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
ความจริงที่ว่า.. คุณรันเองต่างหากที่เป็นคนปัดถ้วยชาที่อยู่ในมือผมให้หก แล้วก็หกมาในทิศทางที่ลวกลงบนมือผมเต็มๆ ผมมั่นใจว่าไม่มีแม้แต่ละอองน้ำหรือไอน้ำร้อนใดๆ อังโดนมือคุณรันเลยสักนิด เพราะมันหกมาทางผมทั้งแก้ว และมันก็ลวกมือผมแค่คนเดียว แต่เธอกลับร้องไห้และบอกกับพี่ภูว่าผมทำร้ายเธอ ในขณะที่แม้แต่คิดผมยังไม่กล้า ผมกลัวพี่ภูมาก แล้วผมน่ะเหรอจะกล้าทำร้ายแขกคนสำคัญของพี่ภูแบบนี้
หรืออาจจะเพราะคุณรันเป็นคนสำคัญ พี่ภูเลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนไม่ยอมฟังที่ผมอธิบาย
เป็นคนสำคัญที่ทำให้พี่ภูเปิดใจ และเป็นคนสำคัญที่ทำให้พี่ภูกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง
ผมไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าพี่ภูจะหวั่นไหวกับผู้หญิงอย่างคุณรัน เธอทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งมั่นใจในตัวเอง แถมยังดูเหมือนว่าเธอกับพี่ภูพูดคุยกันเข้าใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนแม้แต่เรื่องงาน
ผมได้แต่มองมือตัวเองที่ทั้งแสบทั้งร้อน ในใจคิดว่าควรต้องไปหาหมอ แต่ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ เลยได้แต่นั่งอยู่แบบนั้นโดยไร้วี่แววที่พี่ภูจะกลับมา
ผมหัวเราะเบาๆ อย่างนึกสมเพชตัวเองในใจ ผมน่าจะเดาออกตั้งแต่บนรถแล้วว่าพี่ภูยกให้คุณรันเป็นคนสำคัญแค่ไหน เพราะตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่พี่ภูก็ไม่เคยชวนใครมาทานข้าวที่คอนโดเลยยกเว้นคุณแพ็ตที่เป็นเพื่อนสนิท
และสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำว่าคุณรันสำคัญแค่ไหนนั้นก็คงจะเป็นตอนที่ผมเกรงใจไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารด้วยเพราะกลัวคุณรันจะไม่ชอบใจ พี่ภูกลับต่อว่าผมจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นอีกต่างหาก
‘อย่าตัดสินคนอื่นไนล์...คุณรันเธอยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรแบบนั้นเลย อย่าคิดไปเองแล้วกล่าวหาคนอื่นแบบนั้น มันดูนิสัยไม่ดี’คุณรันคงเป็นคนที่พี่ภูแคร์มากจริงๆ
ผมได้แต่นั่งบีบมือที่แดงเถือกของตัวเองด้วยความเจ็บปวด จนรู้สึกว่ามันทนไม่ไหวถึงได้คิดจะลุกขึ้นไปหากล่องยาสามัญที่น่าจะอยู่แถวหน้าห้องน้ำมาใช้เบื้องต้น อย่างน้อยก็คงพอให้ทุเลาความเจ็บเพื่อรอเวลาให้ผมไปโรงพยาบาลไหวก็ยังดี
ออดดด~
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นจากพื้นนั้น ออดหน้าประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน ผมรีบถลาไปที่ประตู และแอบคาดหวังว่าจะเป็นพี่ภูที่ผมรออยู่ เขาอาจจะรีบกลับมา หรืออาจจะเป็นห่วงผมบ้างสักนิดก็ได้
แต่พอผมเปิดประตูออกไปกลับเจอคนที่ทำให้ผมอยากจะร้องไห้ยิ่งกว่าเดิมแทน
“พี่เทมส์...”
ผมโผเข้ากอดพี่ชายตัวเองแน่น พี่เทมส์ดูงงๆ ในตอนแรก แต่พอได้สติเขาก็กอดผมตอบ ผมร้องไห้อยู่กับอกพี่ชายที่แสนจะปลอดภัย พี่เทมส์ลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจผมยกใหญ่ เขาไม่ถามอะไรผมสักคำ และรอจนผมสงบ เขาจึงได้เอ่ยปากขึ้น
“เข้าห้องก่อนเถอะไนล์ มีอะไรไปคุยกันข้างในนะ”
ผมพยักหน้าและปล่อยให้พี่ชายประคองกลับเข้ามาในห้อง โดยที่ผมเองก็ยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ ดูเหมือนว่าพอได้เห็นพี่เทมส์ผมยิ่งอยากจะร้องไห้หนักกว่าเดิม
พี่เทมส์พาผมมานั่งที่โซฟา เขานั่งลงก่อนและฉุดผมที่กำลังยืนอยู่ให้นั่งตาม แต่มันไปบังเอิญโดนเข้ากับแผลที่ข้อมือผมพอดี ทำให้ผมเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย!”
“ไนล์เป็นอะไร?”
ผมกระตุกข้อมือข้างที่เจ็บออกจากการเกาะกุมของพี่ชายทันที ทำเอาพี่เทมส์ตกใจเป็นอย่างมาก เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเอื้อมมือมาจับข้อมือข้างที่ผมพยายามซ่อนไว้ข้างหลัง เพราะไม่อยากให้พี่ชายต้องมาเห็นหรือเป็นกังวลกับเรื่องของผม และผมก็ไม่อยากให้พี่เทมส์กับพี่ภูมีปัญหากันเพราะเรื่องของผมด้วย
ในเมื่อผมเป็นคนเลือกที่จะทำแบบนี้เอง ผมก็ต้องรับผิดชอบกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยตัวของผมเองเช่นกัน
“เปล่าครับ ไนล์.. ฮึก ไนล์ไม่ได้เป็นอะไร” ผมตอบพร้อมกับพยายามซ่อนมือข้างที่เจ็บไว้ข้างหลัง
“อย่าโกหกพี่ ยื่นมือที่ซ่อนไว้มาให้พี่ดูเดี๋ยวนี้ครับไนล์”
แต่ผมก็ลืมคิดไปว่านี่คือพี่เทมส์ พี่ชายที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เกิด เลี้ยงดูทะนุถนอมผมมาโดยตลอด ผมไม่มีทางโกหกเขาได้เลย เพราะเขาคือคนที่รู้จักผมดีที่สุด รู้จักผมดีกว่าที่ผมรู้จักตัวเองด้วยซ้ำ แค่ผมผิดปกตินิดเดียวพี่เทมส์ก็จับสังเกตได้แล้ว
“ไนล์ครับ พี่จะไม่พูดซ้ำนะ” พี่เทมส์ย้ำด้วยน้ำเสียงเอาจริง หน้าตาหล่อเหลาของเขาเริ่มมีร่องรอยของความไม่พอใจเกิดขึ้นบ้างแล้ว ผมถอนหายใจก่อนจะยื่นมือข้างที่เจ็บออกไปให้พี่เทมส์ดู
และทันทีที่พี่ชายของผมเห็นรอยแดงขนาดใหญ่ปรากฎที่ข้อมือ สีหน้าของพี่เทมส์ก็เปลี่ยนไปเป็นโกรธขึ้งทันที
“ใครทำ? ใครเป็นคนทำ?”
ผมเม้มปากแน่น แต่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด ไม่รู้จะตอบคำถามพี่เทมส์ยังไง ให้อธิบายอะไรตอนนี้ก็แทบไม่มีแรงเลย
พี่เทมส์มองผมที่ไม่ยอมปริปากใดๆ ก่อนจะเผลอบีบข้อมือผมอย่างลืมตัวเพราะความโกรธ
“โอ๊ย พี่เทมส์ครับ ไนล์เจ็บ”
พอผมร้องบอกพี่เทมส์ก็เหมือนได้สติ ยิ่งพอเขาเห็นผมน้ำตาไหลไม่เลิก เขาเลยต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะเค้นเอาคำตอบจากผมแล้วเปลี่ยนเป็นทำอย่างอื่นแทน
“ช่างเรื่องนั้นก่อน ตอนนี้ไนล์ต้องไปหาหมอ พี่จะพาไนล์ไปหาหมอเดี๋ยวนี้”
ผมทำท่าจะปฏิเสธ แต่พอเห็นตาคมของพี่ชายจ้องมาดุๆ ผมก็หุบปากฉับ ประกอบกับความเจ็บที่ข้อมือ ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจรับคำแทน
“ครับ ไปหาหมอครับ”
พี่เทมส์พาผมออกจากห้องตรงดิ่งไปที่รถโดยไม่พูดอะไรอีก พี่เทมส์เองก็ดูโกรธมากจนผมไม่กล้าพูดอะไร จนกระทั่งพี่เทมส์ขับรถมาถึงโรงพยาบาลใกล้ๆ กับคอนโดของพี่ภู
ผมถูกพาตัวมาที่ห้องฉุกเฉินก่อนที่คุณหมอจะเข้ามาสอบถามอาการและให้พยาบาลเข้ามาทำแผลตามลำดับ และพอทำแผลเสร็จ คุณหมอก็เชิญผมเข้าไปคุยในห้องตรวจ โดยมีพี่เทมส์ตามเข้าไปติดๆ
“สวัสดีครับคุณหมอ น้องชายผมเป็นยังไงบ้างครับ?”
พี่เทมส์เอ่ยถามทันทีที่นั่งลงตรงข้ามกับคุณหมอสูงวัยท่าทางใจดี โดยมีผมนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ คุณหมอมองผมสลับกับพี่ชายยิ้มๆ ก่อนที่จะเริ่มพูด
“ข้อมืออักเสบครับ ช่วงสองสามวันนี้พยายามอย่าใช้ข้อมือหนัก ส่วนแผลน้ำร้อนลวกไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ทายาสักสองสามวันก็น่าจะดีขึ้นครับ”
“ครับคุณหมอ” ผมพยักหน้ารับหลังฟังคุณหมอบอกจบ ในขณะที่พี่เทมส์ยังดูไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
“เค้าไม่ได้เป็นอะไรมากแน่ใช่ไหมครับหมอ?” พี่เทมส์ถามย้ำ ให้คุณหมอต้องยิ้มกว้างก่ออธิบายอีกรอบ
“ไม่มากเท่าไหร่ครับ อย่างที่หมอแจ้งไปข้อมือที่อักเสบน่าจะเพราะถูกรถเข็นกระแทกมาไม่ได้แรงเท่าไหร่ แต่เพราะมันจะระบมช่วงวันแรกๆ เลยอาจจะเจ็บอยู่บ้าง ประกอบกับมาถูกน้ำร้อนลวกอีกเลยไปกันใหญ่ แต่ถ้าหมั่นทายา และทานยาหมอให้ไป ไม่กี่วันก็ดีขึ้นครับ ไม่ต้องกังวลนะ”
“แล้วนอกจากระวังเรื่องไม่ให้ใช้ข้อมือหนักแล้ว มีอะไรที่ต้องระวังเพิ่มไหมครับ” พี่เทมส์ถามคุณหมออีกครั้ง
“หลักๆ ก็เรื่องการใช้งานแหละครับ แล้วก็พยายามอย่ากด ทับ หรือบีบข้อมือแรงเกินไป เพราะมันอาจจะทำให้ระบมเพิ่มได้”
“โอเคครับ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”
พี่เทมส์ยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอให้ผมยกมือขึ้นไหว้ตาม ก่อนที่เราสองคนจะพากันออกมาจากห้องตรวจ แล้วไปจ่ายเงินพร้อมกับรับยา
ผมเดินตามพี่เทมส์ไปห่างๆ มือข้างที่ไม่เจ็บกุมข้อมือข้างที่พันผ้าพันแผลไว้เบาๆ พี่เทมส์ดูหงุดหงิดและอารมณ์ไม่ดีมากๆ ผมเคยเห็นพี่เทมส์เป็นแบบนี้ครั้งล่าสุดก็ตอนที่ผมถูกลูกค้าพูดจาลวนลามใส่ จำได้ว่าพี่เทมส์ด่าลูกค้าเปิง ทำท่าจะวางมวยกันเลยด้วยซ้ำ เขาด่าลั่นว่าต่อให้จ้างด้วยเงินสูงเท่าไหร่เขาก็ไม่เอา ถ้ามาดูถูกคนที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจเขาอย่างผม
เราสองคนขึ้นมานั่งบนรถ โดยที่ผมได้แต่เงียบ ก้มหน้างุดแถมยังเม้มปากแน่น พี่เทมส์ตอนนิ่งแบบนี้น่ากลัวยิ่งกว่าตอนดุผมเป็นร้อยเป็นพันเท่า
“เกิดอะไรขึ้นไนล์? เล่ามา อย่าให้พี่ต้องถามซ้ำ”
ผมเหลือบมองหน้าพี่ชายที่ตอนนี้แทบจะไม่มองผมเลยด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าเขากำลังโกรธ แต่ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้ที่พึ่งเดียวที่ผมมีคือเขา .. พี่ชายของผม
“พี่เทมส์ ไนล์จะเล่า แต่.. ฮึก แต่พี่เทมส์มองกันหน่อย อึก.. ได้ไหมครับ”
ผมพูดไปสะอื้นไปและยิ่งมาร้องไห้หนักตอนที่พี่เทมส์หันมาหาแล้ววาดแขนโอบผมไว้ทั้งตัวให้เข้าไปซุกในอกอุ่นๆ ที่แสนจะปลอดภัยของเขา
“ชู่ว ไม่ร้องครับ พี่อยู่นี่แล้ว”
พี่เทมส์กอดผมแน่น พลางลูบหลังลูบไหล่ปลอบผมไม่หยุด จนผมสงบขึ้น ผมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่เทมส์ฟัง แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหลักๆ เลยผมไม่อยากเป็นสาเหตุให้พี่ภูกับพี่เทมส์ทะเลาะกัน แล้วยิ่งตอนนี้เขาทั้งคู่ยังต้องทำงานร่วมกัน งานที่เป็นโปรเจคใหญ่ของทั้งครอบครัวผมและครอบครัวของพี่ภู ผมจะเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้งานใหญ่พังไม่ได้
“วันนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นนิดหน่อยครับ ไนล์คงโชคไม่ดีเอง” ผมเริ่มเล่าในขณะที่พี่ชายผมนิ่งตั้งใจฟัง “ตอนกลางวันไนล์ไปซุปเปอร์ฯ กับพี่ภูแล้วถูกเด็กเข็นรถเข็นมาชนข้อมือ พี่ภูจะพาไนล์ไปหาหมออยู่แต่ไนล์คิดว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“แล้วน้ำร้อนลวกล่ะ เกิดอะไรขึ้น?”
“อย่างที่ไนล์บอกแหละครับว่าไนล์โชคไม่ดี ตอนยกชาร้อนออกมาให้แขกพี่ภู ไนล์เผลอทำหกมันเลยลวกมือตัวเอง”
พี่ชายผมขมวดคิ้วฟังดูก็รู้ว่ามันโคตรไม่สมเหตุสมผลแต่ผมก็ทำตาใสยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูด
แหงล่ะ มันจะสมเหตุสมผลได้ยังไง ในมื่อผมถือถาดสองมือ มือหนึ่งถือจานรองที่มีถ้วยชาวางอยู่ด้านบน อีกมือก็ต้องกำลังถือถาดอยู่ มือผมยังไม่สัมผัสถูกถ้วยชาสักนิดแล้วผมจะทำถ้วยหกได้ยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหกรดมือตัวเอง
ผมไม่อยากจะโทษว่าคุณรันตั้งใจผลักถ้วยชาให้หกรดลงมาบนมือผม แต่จากการที่เธอกรีดร้องโวยวายทั้งที่น้ำร้อนจากถ้วยชาไม่ได้โดนมือเธอสักนิดนั้น ก็พอจะทำให้ผมเดาออก แต่การเจ็บตัวของผมนั้นยังไม่เท่ากับใจที่เหวอะหวะเพราะถูกพี่ภูตวาดและต่อว่า พี่ภูทำให้ผมไม่กล้าร้องสักแอะและบอกเขาว่าผมเจ็บแค่ไหน
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พอผมเจอพี่เทมส์แล้วปล่อยโฮขนาดนั้น
“แล้วไอ้ภูมันไปไหน ถึงต่อให้ไนล์จะเป็นแค่คนดูแล แต่ถ้าไนล์เจ็บขนาดนี้มันก็ควรจะใส่ใจพาไปหาหมอหรือหายาให้หน่อยไหม” พี่ชายผมพูดอย่างไม่พอใจ ผมเลยต้องรีบอธิบาย
“พี่ภูไปส่งคุณรันครับ คุณรันเธอไม่ได้เอารถมา พี่ภูเลยต้องไปส่งเพราะมันดึกแล้ว”
พี่เทมส์ขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณรัน วิรัลพัชร น่ะเหรอ?”
“ใช่ครับ ท่าทางสนิทสนมกับพี่ภูพอตัว เห็นบอกว่าทำงานร่วมกัน”
“อ๋อ พี่ก็รู้จัก ไม่น่าเชื่อว่าจะไปเจอกันได้”
“บังเอิญเจอที่ห้างน่ะครับ พี่ภูเลยชวนไปทานข้าวเย็นที่บ้าน” ผมพูดเสียงอ่อย “แล้วไนล์ก็ก่อเรื่อง”
พี่ชายผมโบกปัดมือไปมาเป็นเชิงว่าไม่ให้ใส่ใจ “ช่างเถอะ ไนล์อย่าคิดมาก” พี่เทมส์ยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ “ว่าแต่ที่ไนล์ร้องไห้ล่ะ มันยังไง?”
“อะ เอ่อ .. คือ คือไนล์เจ็บน่ะครับ พอเห็นพี่เทมส์ก็เลยร้องไห้ ดีใจไม่คิดว่าพี่เทมส์จะมา” พี่เทมส์ยิ้มบางให้ผม ก่อนที่จะดึงผมเข้าไปกอด
“โชคดีที่พี่มีธุระจะคุยกับไอ้ภูพอดีเลยไปหา ... เลยได้เจอว่าเจ้าตัวเล็กของพี่กำลังงอแง” พี่เทมส์กดจูบที่ขมับผมเบาๆ “โอ๋นะครับคนเก่ง ไม่ร้องไห้นะ”
ผมซุกหน้าเข้ากับอกพี่ชายที่ยังคงอบอุ่นและปลอดภัยเสมอ โดยพยายามกลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดร้องไห้ออกมาอีกรอบ เพราะไม่อยากให้พี่ชายเป็นห่วง
“ไนล์คิดถึงพี่เทมส์ คิดถึงมากๆ เลย”
ผมกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้กอดพี่เทมส์แน่นขึ้น ผมคิดทบทวนอยู่หลายรอบว่าควรยอมแพ้เรื่องพี่ภูดีไหม ผมเหนื่อยกับสิ่งที่เป็นอยู่เหลือเกิน แต่คิดอีกทีว่าถ้าพี่เทมส์ถามว่าทำไมผมอยากจะหยุด อยากจะพอ ผมจะตอบพี่เทมส์ว่ายังไง ผมโกหกเขาไม่ได้หรอก แต่ถ้าขืนพูดความจริง พี่เทมส์กับพี่ภูมีหวังทะเลาะกันแน่ ไหนจะโปรเจคของครอบครัวผมกับพี่ภูอีก ผมจะปล่อยให้มันมีปัญหาเพราะความเอาแต่ใจของผมเหรอ แล้วผมจะพูดมันออกไปได้ยังไง สุดท้ายการเดินหน้าต่อจึงกลายเป็นทางออกที่ผมเลือก
เราสองคนพี่น้องกอดกันอยู่แบบนั้นพักใหญ่จนผมสงบลง พี่เทมส์เลยเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม ก่อนจะเอ่ยบอกอย่างใจดี
“ป่ะ กลับกันดีกว่า ดึกแล้ว เดี๋ยวไอ้ภูกลับมาไม่เจอเราก็โวยวายอีก”
“ครับ”
ผมยิ้มรับบางๆ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา แต่กลับผล็อยหลับไป จนกระทั่งรถพี่เทมส์จอดสนิทที่หน้าคอนโดพี่ภู
“ไนล์ครับ ถึงแล้วครับ”
พี่เทมส์ปลุกผมที่งัวเงียให้ตื่นขึ้นมา พอเห็นคอนโดคุ้นตาผมก็ตื่นและพาตัวเองลงจากรถอย่างอ่อนเพลียโดยมีพี่เทมส์ตามลงจากรถมาด้วย
“ให้พี่ไปส่งข้างบนไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ ไนล์เดินเข้าไปได้ พี่เทมส์กลับเถอะครับ ดึกแล้ว”
พี่เทมส์ยิ้มก่อนจะเดินเข้ามากอดผมให้ผมเองกอดตอบอีกฝ่ายแน่น เราสองคนถ่ายทอดความรักและความคิดถึงให้กันก่อนจะผละออก พี่เทมส์ลูบศีรษะผม ก่อนจะกดจูบมาที่หน้าผากผมเบาๆ ผมซึมซับเอาความรู้สึกดีๆ เอาไว้ จนถึงเวลาที่ผมคิดว่าพี่เทมส์ควรจะกลับได้แล้วจริงๆ
“ไปได้แล้วครับ ขับรถกลางคืนอันตราย”
ผมจับพี่ชายตัวเองให้หันหลังก่อนจะดันคนตัวโตกว่าไปที่รถ พี่เทมส์หัวเราะก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวขึ้นรถไป
“พี่ไปนะครับ แล้วไว้เจอกัน”
“ครับ ไว้เจอกัน”
ผมมองไฟท้ายรถพี่เทมส์ไปจนลับตา ก่อนจะหันหลังเดินเข้าคอนโด โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตาอีกคู่กำลังมองตามหลังผมไปอย่างไม่พอใจจนถึงขีดสุด
.
.
.
ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบว่าไฟยังคงมืดสนิท แสดงว่าพี่ภูยังไม่กลับ ผมไม่แน่ใจว่าบ้านคุณรันอยู่ไกลแค่ไหน แต่นี่ก็จะห้าทุ่มแล้ว และในขณะที่คิดอะไรเพลินๆ และกำลังจะงับประตูห้องปิด ผมก็โดนมือใหญ่ผลักจนถลาเข้ามากลางห้อง ก่อนที่เสียงปิดประตูดังลั่นจะตามมาจนผมตกใจ พร้อมๆ กับที่ไฟสว่างขึ้นมา
“…พี่ภู”
ผมยืนงงอยู่กลางห้องนั่งเล่น โดยมีพี่ภูค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมเองที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ๆ ก็ถูกพี่ภูกระชากแขนข้างที่ไม่เจ็บเข้าหาเต็มแรง แล้วลากผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องนอนของพี่ภู
“พี่ภูครับ เดี๋ยวครับ นี่มันอะไรกันครับ?”
ผมขืนเท้าตัวเองเอาไว้ไม่ให้เดินไปตามแรงลาก เพราะรับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตรายแบบที่ตัวเองเคยได้เจอไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ไม่นึกว่าการทำแบบนั้นของผมจะยิ่งทำให้พี่ภูโมโห เขาหันกลับมาแล้วช้อนตัวผมขึ้นอุ้มแนบอก จากนั้นก็เดินสาวเท้ายาวๆ เดินไปที่ห้องตัวเอง และพี่ภูในตอนนี้ก็ทำผมนึกกลัว และยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาโยนผมลงบนเตียงนอน ก่อนจะตามมาคร่อมไว้อย่างรวดเร็ว
“พี่ภู.. ฮึก พี่ภูครับ ไนล์กลัว ไนล์ทำอะไรผิดอีกหรอครับ .. ฮึก ไนล์ขอโทษ”
ผมเริ่มร้องไห้เมื่อรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ผมตื่นกลัวไปหมด ร่างกายเริ่มดิ้นรนต่อสู้ แต่ผมสู้แรงคนที่คร่อมผมไว้ไม่ได้เลย
“กลัวงั้นเหรอ? หึ!” พี่ภูยื่นมือมาบีบคางผมแน่น สายตาที่จ้องมาทั้งโกรธและโมโหอย่างเห็นได้ชัด “กลัวแต่ปาก! อย่าคิดว่านายจะหลอกฉันได้ซ้ำสอง ฉันไม่มีวันโง่ให้นายเอาน้ำตามาขอความเห็นใจได้อีก!”
“ไนล์ขอโทษครับ .. ฮึก ไนล์ไม่รู้ว่าทำอะไรให้พี่ภูไม่พอใจ ฮืออ ไนล์ขอโทษครับ”
พี่ภูไม่ฟังที่ผมพูดเลยสักนิด เขาก้มลงมาซุกจมูกเข้าที่ซอกคอผม พร้อมกับลากริมฝีปากทั้งจูบ ทั้งกัด ทั้งขบเม้มจนผมเจ็บไปหมด โดยที่ผมทำได้แค่ขอร้องให้เขาหยุดทั้งน้ำตา
ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่า พี่ภูจะได้สติและปล่อยผมไปเหมือนวันนั้น
“ฮึก.. พี่ภูปล่อยไนล์ไป ฮืออ ไปเถอะนะครับ” ผมพยายามใช้มือทั้งสองข้างดันตัวใหญ่โตของเขาออก และถึงแม้จะเจ็บมือข้างที่เพิ่งทำแผลมาแค่ไหน ผมก็ฝืนใช้มันดันไหล่พี่ภู “อึก.. ถ้าพี่ภูโกรธเรื่องคุณรัน นะ..ไนล์ ฮืออ ไนล์ขอโทษนะครับพี่ภู ฮึก พี่ พี่ภูปล่อยไนล์ไปเถอะนะ”
“อยู่เฉยๆ เป็นไหม ห๊ะ? อยู่ให้เฉยเหมือนตอนที่ยั่วให้ไอ้เทมส์กอด ไอ้เทมส์จูบน่ะ! ทำแบบนั้นบ้างสิ!”
ผมตกใจจนเผลอละมือที่กำลังดันไหล่พี่ภูออก เลยเหมือนเปิดโอกาสให้เขาจับล็อกมือทั้งสองข้างตรึงไว้กับเตียงนอน พี่ภูกำข้อมือจนผมเจ็บไปหมด แต่ตอนนี้ความกลัวมีมากกว่าทำให้ผมไม่กล้าร้องบอกอะไรออกไปอีก เพราะกลัวว่าจะทำใก้พี่ภูโกรธมากกว่าดิม
“พี่ภู..ฮึก พี่ภูกำลังเข้าใจผิดนะครับ” ผมพยายามอธิบายในขณะที่พี่ภูยังคงง่วนดับการลากริมฝีากไปทั่วไปหน้าและซอกคอ
เขาไม่ฟังผมเลย ไม่แม้สักนิด
พี่ภูรวบข้อมือผมทั้งสองข้างตรึงไว้เหนือศีรษะด้วยมือเขามือเดียว และถึงแม้จะเป็นมือเดียวแต่เขาก็แรงเยอะกว่าผมมากด้วยขนาดร่างกายที่ต่างกัน ผมโดนบีบข้อมือจนเจ็บไปหมด โดยเฉพาะข้างที่อักเสบมันปวดตุบจนผมน้ำตาไหล ผมพยายามดิ้นรนแต่ก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้พี่ภูกำลังใช้มือข้างที่ว่างแกะกระดุมเสื้อผม แต่พอไม่ทันใจเขาก็กระชากเสื้อผมจนขาดมันบาดผิวเนื้อจนผมลนลานทำอะไรไม่ถูก
พี่ภูกวาดตามองร่างกายส่วนบนที่โผล่พ้นเสื้อที่ขาดกระจุยของผมด้วยสายตาในแบบที่ผมกลัว เขาไม่เหมือนพี่ภูที่ผมรู้จักเลยสักนิด และเขาก็ทำให้ผมกลัวกว่าเดิม โดยการก้มลงมาจูบและขบเม้มไปทั่วอก ไม่เว้นแม้ยอดถันสีอ่อนเล็กๆ เขาก็กัดลงมาจนผมสะดุ้ง และร้องออกมาด้วยความตกใจ
“โอ๊ย!”
ผมขยับตัวดิ้น ให้คนที่กำลังเล่นสนุกกับร่างกายผมออกอาการหงุดหงิด เขายืดตัวขึ้นมามองผมดุๆ ก่อนจะพูดแต่ในสิ่งที่ผมไม่อยากฟังออกมา
“หึ! ตอนนี้ก็ทำเป็นสะดีดสะดิ้ง ทำไม? จะเล่นบทอะไรอีก? ทำเป็นตัวสั่น ทำเป็นไม่เคยงี้หรอ? เหอะ! ไปหลอกไอ้เทมส์โน่น ฉันไม่โง่ให้นายปั่นหัวอีกแน่”
“พี่ภูครับ ฮึก.. ไนล์กลัวแล้ว ปล่อยไนล์ไปเถอะนะครับ ฮือออ”
ผมพยายามขอร้องอีกครั้ง แต่คนที่กำลังรังแกผมแค่ยิ้มเหยียด “พูดมาก! น่ารำคาญ!”
พี่ภูก้มลงมาประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากผมอย่างแรงจนเจ็บ เขาดูดดึง ขบเม้มอย่างจาบจ้วง แล้วพอผมไม่ยอมเปิดริมฝีปากให้ เขาก็กัดที่ริมฝีปากล่างผมซ้ำๆ จนผมเผลอเผยอปากออกเพราะความเจ็บ เขาแทรกลิ้นตัวเองเข้ามาทันที พร้อมกับกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากผม ลิ้นเล็กๆ ของผมขยับหนีเขาอย่างจนตรอกแต่พี่ภูก็ไม่ยอมให้ผมหนีไปไหนได้ เขาตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดและขยับริมฝีปากอย่างชำนาญ ผมพยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว ในหูได้ยินแต่เสียงเฉอะแฉะของน้ำลาย มันเป็นจูบที่ผมไม่มีความสุขเลยสักนิด ในขณะที่ผมหนีพี่ภูก็เอาแต่ตักตวง แม้ผมจะเริ่มหายใจไม่ทันเขาก็ไม่ยอมหยุด จนสุดท้ายพอลมหายใจผมถี่กระชั้น เขาก็ยอมละริมฝีปากออก แต่ไม่ถึงเสี้ยวนาทีเขาก็ก้มลงมาจูบใหม่ จูบจนริมฝีปากผมเจ็บไปหมด
(อ่านต่อด้านล่าง)