คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 40
โชคดี
---------
รติเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์อันดี ยิ่งทำการค้าก็ยิ่งรู้จักผู้คนมากมาย หนึ่งในผู้คนเหล่านั้นก็คือพ่อบ้านประจำสกุลคหบดีที่ ‘คุณหนูหย่าสามีกลับมาบ้านเกิด’
ใช่...พ่อบ้านผู้นั้นคือพ่อบ้านประจำสกุลของรสนา
แม้หญิงสาวจะเข้ามาสร้างปัญหาให้กับชีวิตคู่ แต่รติไม่ใช่คนใจคอคับแคบ พ่อบ้านผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ทักทายพูดคุยแจ่มใสอยู่เสมอ หนำซ้ำยังเป็นลูกค้าชั้นดี ซื้อผงสมุนไพรของร้านยาอหัสกรอยู่เป็นประจำ จึงไม่มีความจำเป็นอื่นใดที่จะต้องชังน้ำหน้า
เมื่อพ่อบ้านแวะมาซื้อผงสมุนไพรด้วยตนเอง รติจึงออกไปต้อนรับอย่างเคย
“ยินดีต้อนรับขอรับ วันนี้รับผงสมุนไพรอย่างไหนดี”
แผงขายผงสมุนไพรที่ร้านยาอหัสกร แต่เดิมเป็นแผงเล็กๆ อยู่หน้าร้าน แต่เพราะกิจการเป็นไปด้วยดี อีกทั้งรติก็รู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลง จากแผงเล็กๆหน้าร้าน บัดนี้ก็ยังมีขนาดเท่าเดิม แต่ขยับขยายเข้าไปในร้านแทน ตู้กระจกตู้หนึ่งข้างจุดชำระค่ารักษา เรียงรายไปด้วยผงสมุนไพรสรรพคุณต่างๆ ทำเลนี้ รติเป็นคนเสนอ โดยให้เหตุผลว่าในระหว่างที่รอคิดเงิน เผื่อคนไข้จะสอดส่องแล้วซื้อผงสมุนไพรกลับไป
กลวิธีเช่นนี้ หาได้ยัดเยียดบังคับขาย แต่อำนวยความสะดวกให้แก่คนซื้อ ผงสมุนไพรจึงขายดีต่อเนื่อง
“ขออย่างเดิม 10 ห่อ”
รติหยิบห่อสมุนไพรออกมาสิบห่อ แต่ไม่วายหยิบผงสมุนไพรจากด้านหลังมารวมด้วย พลางยิ้มแล้วขยิบตา
“ข้าแถมผงสมุนไพรสำหรับบำรุงผิวพรรณให้ไปลอง 1 ห่อ สมุนไพรชนิดนี้ ผู้ชายก็ดื่มได้ เพราะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งแตกและไม่คัน กับผงสมุนไพรลดอาการคัดจมูกในช่วงดอกไม้บานอีก 1 ห่อ เพิ่งลองทำขอรับ”
นี่ก็กลวิธีการขายของรติ รู้จักโฆษณาผงสมุนไพรใหม่ๆ ด้วยการให้เป็นของแถมเพื่อทดลอง
“ขอบคุณมาก เอ้อ...ท่านพอจะแนะนำสมุนไพรที่เหมาะกับการเดินทางไกลๆได้หรือไม่”
“เดินทางไกล?”
“ก็...คุณหนูของข้าจะออกเดินทาง ข้าเป็นห่วง กลัวจะไม่สบายระหว่างทาง หากมีผงสมุนไพรที่ช่วยให้นางไม่เจ็บไม่ป่วย ข้าจะได้สบายใจ”
“คุณหนูของท่าน...เอ่อ...ชื่อ...รสนา?”
“ใช่ จู่ๆก็มาบอกว่าจะออกเดินทาง จะไปเที่ยวที่ใดสักที่ ไม่ยอมให้มีผู้ติดตาม คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงก็ไม่อยากคัดค้าน” พ่อบ้านปรับทุกข์ มิได้รับรู้ว่ารสนาเคยสร้างรอยร้าวเอาไว้ที่นี่ แม้รติจะหมั่นไส้นางอยู่บ้าง แต่อย่างไรนางก็เป็นสหายของตรัส
“จะไปเมื่อไหร่หรือ”
“อีกสามวันข้างหน้า”
เวลาน้อยเช่นนั้น คงไม่อาจคิดและทดลองทำผงสมุนไพรใหม่ๆได้ทัน แต่รติมิใช่คนบอกปัดอย่างไร้น้ำใจ จึงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“ผงสมุนไพรที่ข้ามีตอนนี้ต้องชงด้วยน้ำร้อน หากไม่มีคนต้มน้ำร้อนให้นาง ก็เกรงจะไม่สะดวก แต่อย่างไรจะพยายามคิดดูว่าพอจะทำอย่างไรได้บ้าง”
พ่อบ้านถอนหายใจอีกเฮือก แล้วจึงโบกมือไปมา
“เอาเถอะ ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังนักหรอก ขอบคุณท่านมากที่รับฟังความเอาแต่ใจของข้า เฮ้อ...คุณหนูของข้าก็ช่างเลือกเสียจริง เลือกแต่เส้นทางลำบาก แต่อย่างไรก็เลือกเองแล้ว ข้าเป็นพ่อบ้านก็ทำได้เพียงเป็นห่วงเท่านั้น”
---------
รตินั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ตั่งใกล้โต๊ะทำงาน รอบกายมีม้วนเอกสารมากมายเกี่ยวกับสมุนไพรขึ้นชื่อทั้งของเมืองตะวันออกและเมืองอื่น แต่ดูแล้วมิได้สนใจกับสิ่งที่กองอยู่รอบตัวสักนิด
ตรัสนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังคำนวนรายรับรายจ่าย แต่ก็มิได้สนใจตัวเลขมากไปกว่าภรรยาที่นั่งคิดสะระตะราวตกอยู่ในภวังค์ ส่วนหนึ่งเพราะบัดนี้บัญชีของสกุลอหัสกรไม่มีติดลบอีกแล้ว อีกทั้งยังมีเหลือเก็บจำนวนมาก เขาจึงไม่เคร่งเครียด อีกส่วนก็เพราะ...เขาอยากรู้ว่าภรรยากำลังคิดอะไร
นั่งมองอยู่นาน รติก็มิได้มีทีท่าจะออกจากภวังค์เลยสักนิด สุดท้าย เป็นฝ่ายสามีที่ทนไม่ไหว ลุกจากโต๊ะเดินเข้าไปนั่งเคียงข้าง เมื่อนั้นรติจึงคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมา
“ถึงเวลานอนแล้วหรือ?” ดวงหน้าเหรอหรา นอกจากจะเอาแต่จมจ่อมคิดเรื่องใดอยู่บ้างก็ไม่รู้ ยังไม่รู้เวลาด้วย
“ยังหรอก ข้าเห็นเจ้านั่งเฉย มีเรื่องอะไรให้คิดเยอะนักหรือ”
“ก...ก็...ข้าคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรให้ผงสมุนไพรชงด้วยน้ำอุณหภูมิปกติได้...”
รติผู้หัวสร้างสรรค์ ตอนที่ได้ยินพ่อบ้านของรสนากล่าวว่าอยากได้ผงสมุนไพรสำหรับเดินทางไกล เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ผงสมุนไพรที่อหัสกรวางขาย และร้านอื่นวางขาย ยังจำเป็นต้องชงด้วยน้ำร้อน หากเป็นน้ำอุ่นต้องคนนานขึ้นอีกหน่อย หรือหากซื้อเป็นซองเยื่อกระดาษสำหรับจุ่ม ก็จำต้องใช้น้ำร้อนอยู่ดี
เวลานี้ อากาศยังเย็น การดื่มน้ำร้อนย่อมทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่เมื่อถึงฤดูร้อน คนที่นี่จะยังนิยมดื่มน้ำร้อนอยู่หรือไม่
“เอ่อ...คนเมืองตะวันออกขี้ร้อนไหม ยามฤดูร้อน อากาศเป็นเช่นไร”
รติเพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองฤดูเท่านั้น ย่อมไม่รู้ทั้งอุณหภูมิ สภาพอากาศและวิถีชีวิต
“ฤดูร้อน แดดแรง อากาศอบอ้าว สลับกับฝนตกหนัก หากฝนตกก็พอจะเย็นขึ้นมาบ้าง คนที่นี่ชอบอากาศร้อน แต่ฤดูร้อนเราไม่นิยมกินดื่มของร้อน ร้านอาหารในเมืองบางร้านมีวิธีเก็บหิมะในฤดูหนาว เพื่อนำมาทำเป็นขนมหวานเย็นออกขายในฤดูร้อน”
รติตาเป็นประกาย สนอกสนใจง่ายราวกับเด็กๆ
“ขนมหวานเย็น? เป็นอย่างไร”
“เป็นขนมที่ทำจากหิมะ ใส่ผลไม้หลายชนิด นิยมผลไม้รสเปรี้ยวและหวาน เจ้าน่าจะชอบ ไว้ข้าจะพาไป”
ภรรยายิ้มกว้าง ดวงตาสดใส ดูแล้วเฝ้ารอการมาถึงของฤดูร้อนแล้ว ตรัสเห็นแล้วก็นึกเอ็นดู โอบร่างภรรยาเข้ามาใกล้
“เมืองตะวันออก เรานิยมขนมตามฤดูกาล อย่างฤดูนี้ เรามีขนมทำจากแป้งแล้วปรุงกลิ่นดอกไม้ รสหวานน้อย สมัยก่อนท่านย่าทำบ่อย ทำอร่อยทีเดียว ร่ำๆว่าอยากจะสอนรุจี ไม่รู้นางจะอยากเรียนไหม”
รติมิใช่รุจี แต่พยักหน้าระรัว ตาเป็นประกายวาววับ
“นางอยากแน่นอน!”
ตรัสหัวเราะร่วน หน้าตาสดใส
“เจ้าสิอยาก...อยากกินใช่ไหม”
ดูเหมือนคนถูกหยอกว่าอยากกิน เริ่มรู้ตัว รีบสงวนท่าที แต่สามีภรรยาจะสงวนอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว รอยยิ้มและสายตาของตรัสบอกเช่นนั้น
“ไว้ข้าจะพาไปกิน ในระหว่างนี้ หากรุจีสนใจอยากเรียน ก็ให้ท่านย่าสอนนางทำดีไหม”
รติผู้อยากกินขนมประจำฤดูใบไม้ผลิ แม้จะกลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า แต่ก็ต้องพยักหน้าอย่างมีชั้นเชิง แม้ดวงตาจะเป็นประกายปิดไม่มิด แต่ก็ต้องสำรวมกิริยา กระนั้นตรัสก็ยังเอ็นดูภรรยาสุดหัวใจ ลูบหลังรติอย่างรักใคร่
“คราวหลังอยากได้สิ่งใดก็บอก เราเป็นสามีภรรยา ไม่ใช่เรื่องต้องปิดบัง”
“ก็ข้าไม่รู้นี่นาว่ามีขนมเช่นนั้น”
ตรัสนิ่งไป เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าภรรยาของเขามาจากต่างถิ่น ทุกวันนี้รติเรียนรู้สิ่งต่างๆในเมืองตะวันออกด้วยตนเอง ในขณะที่เขาเป็นสามีแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ให้ข้อมูลเท่าที่ควร
“ข้าพอจะแก้ตัวได้ใช่ไหม”
“แก้ตัว?”
“เจ้ามาจากต่างเมือง ข้าควรจะเป็นหลักให้เจ้า แต่กลับเป็นเจ้าที่ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง”
“ข้าไม่ใช่ภรรยาที่ช่วยตัวเองไม่ได้ อย่ากังวลเลย” ฝ่ามือของรติแนบลงกับแก้มของสามีอย่างแผ่วเบา
“แต่ข้าก็อยากเป็นสามีที่เคียงข้างเจ้า”
“ก็เคียงข้างแล้วนี่”
“แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไร”
คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อย ไม่แน่ใจนักว่าตรัสจะรู้เรื่องที่สหายแต่เยาว์วัยจะเดินทางไกลหรือไม่ หากเขากล่าวเรื่องของรสนาขึ้นมา ตรัสจะพูดเช่นไร
“ก็...คิดเรื่องผงสมุนไพรที่จะวางขายฤดูร้อน...”
ยิ่งฟังยิ่งเอ็นดู ตรัสยิ้มน้อยๆ
“คิดแต่เรื่องงานจริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน นี่เพิ่งจะฤดูใบไม้ผลิ ยังมีเวลาอีกมากที่จะคิดถึงฤดูร้อน”
รติเม้มปาก
เรื่องที่ทำให้เขาคิดถึงการคิดค้นสมุนไพรสำหรับชงโดยไม่ต้องใช้น้ำร้อน หาใช่เพียงเพื่อวางขายในฤดูร้อนแต่แรก แต่...คิดเพราะ...มีใครบางคนกำลังจะออกเดินทาง
“เอ่อ...อันที่จริง ข้า...คิดเผื่อสำหรับผู้เดินทางด้วย หากเดินทาง แล้วต้องหาน้ำร้อนน้ำอุ่นมาชง ก็คงลำบาก”
รอยยิ้มของตรัสไม่จางลงสักนิด แล้วเอ่ยชม
“ช่างคิด”
“ข้า...เอ่อ...ก็ไม่ได้คิดได้แต่แรกหรอก แต่...แต่ได้ยินมา...”
คนฟังเลิกคิ้ว มองภรรยาที่พูดจาตะกุกตะกัก
“อ่า...เพื่อนของท่าน...รสนา...นางจะเดินทางไกล...”
คราวนี้รอยยิ้มจางลงเล็กน้อย ตรัสไม่ตอบอะไร เพียงพยักหน้ารับรู้
“เอ่อ...ข้าได้ยินว่านางจะเดินทางในอีกสามวันข้างหน้า ท่าน...จะไปส่งนางไหม”
“เจ้าอยากให้ข้าไปส่งหรือ”
“นางเป็นเพื่อนของท่าน...เอ่อ...นางอาจจะทำอะไรเกินเลย แต่ข้าเชื่อว่าเนื้อแท้นางไม่ได้มีจิตใจเลวร้าย มิเช่นนั้นท่านคงไม่เป็นเพื่อนกับนางตั้งแต่เด็ก จริงไหม”
รติดูออก นิสัยไม่ช่างพูดของสามี ย่อมทำให้มีเพื่อนแต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ตรัสเป็นคนมีกฎเกณฑ์ เคร่งครัดและเจ้าระเบียบ คนเช่นนี้ช่างเลือก จะคบหาใครนับถือเป็นเพื่อนย่อมต้องผ่านเกณฑ์บางประการ
รสนาคงผ่านเกณฑ์บางประการของตรัส นางจึงเป็นสหายที่คบหามาตั้งแต่เด็กเช่นนั้น
“นางอาจจะผิด ที่ทำให้เรา...ผิดใจกัน แต่...ส่วนหนึ่งก็เพราะเราต่างไม่พูดกันด้วย นางทำให้เราเรียนรู้ข้อผิดพลาด”
“เจ้าให้อภัยนางอย่างนั้นหรือ”
รติส่ายหน้าไปมา
“อภัยหรือไม่อภัย อย่างไรนางก็เป็นเพื่อนท่าน อย่าลำบากใจเพียงเพราะข้ากับนางเคยมีเรื่องมีราวกัน”
ตรัสมองคนพูดด้วยสายตาลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าผู้เป็นย่ามีเหตุผลอันใดให้เขาแต่งงานกับรติ แต่วันนี้ เขากลับรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่มีภรรยาเป็นรติ
แม้นิสัยบางอย่างอาจตรงข้าม ทัศนคติบางส่วนไม่ตรงกัน แต่เขากลับรู้สึกว่ารติเป็นความสบายอกสบายใจ เป็นแรงกายแรงใจ เป็นคนที่เมื่อเขาหันกลับมามองข้างกาย รติจะยืนหยัดเคียงข้างเสมอ
“ข้าโชคดีเหลือเกิน...”
“หือ?”
“โชคดีที่ได้เจ้าเป็นภรรยา...” ท้ายประโยคนั้น ปลายนิ้วแตะปลายคางของภรรยาแผ่วเบา ก่อนจะแนบริมฝีปากลงหากลีบปากอย่างนุ่มนวล จุมพิตร้อนบดเบียดเคล้าคลึง สร้างความรัญจวนจนรติต้องขยุ้มอกเสื้อของอีกฝ่าย
“ตรัส...อ๊ะ!” รติผู้ถูกมัวเมาด้วยสัมผัสร้อนของสามี กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ถูกอุ้มลอยจากตั่งแล้ว
“คืนนี้เข้านอนเร็วหน่อยได้ไหม”
ดวงตาของคนถามฉ่ำเยิ้ม ราวกับบอกเป็นนัยว่าแม้เข้านอนเร็ว แต่อาจมิได้นอนเร็ว
“อุ้มข้าขึ้นมาขนาดนี้แล้ว...ยังจะถามอีกหรือ”
ใบหน้าขาวของผู้นำสกุลอหัสกรที่แสนยิ้มยาก กลับมีรอยยิ้มเจือที่มุมปาก อุ้มภรรยาแล้วก้าวเท้าไวเข้าไปในส่วนพักผ่อน
ตะเกียงเทียนในห้องพักผ่อนถูกดับลง
คืนนี้ สองสามีภรรยาเข้านอนแต่หัววัน...
---------
ยามรสนากลับมาที่เมืองตะวันออก นางมาอย่างเอิกเกริก ยามนี้นางจะออกเดินทางไปท่องเที่ยว นางก็ย่อมไปอย่างเอิกเกริก
งานเลี้ยงส่งของนางถูกจัดขึ้นที่เรือน แขกเหรื่อชุดเดิมถูกเชิญมา แต่มีแขกบางส่วนที่ไม่ยอมมา
เช่น...ตรัส อหัสกร
หญิงสาวใจหาย แต่กระนั้นก็มิได้แสดงท่าที พ้นงานเลี้ยงส่งแล้ว วันต่อมาเป็นกำหนดเดินทาง
เกวียนเทียมม้ารออยู่ที่หน้าเรือนแล้ว รสนาบอกลาบิดามารดาและบ่าวไพร่ พ่อบ้านประจำสกุลถึงกับน้ำตาคลอ ฝากฝังนางหลายสิ่ง นางก็เพียงรับคำพร้อมทั้งทิ้งท้ายว่าเที่ยวจนเบื่อแล้วจะกลับมาให้เห็นหน้า
กล่าวเช่นนั้นแล้วก็หมุนตัวจะขึ้นรถม้า แต่บุรุษที่ยืนอยู่ไม่ไกลกลับทำให้นางนิ่งชะงัก
ตรัส
เขาไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่เคียงข้างด้วยภรรยาของเขา สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กระนั้น...เขาก็ยังมา
หายโกรธนางแล้วหรือ?
รสนาอยากถาม แต่ปากหนักไม่ถาม ทว่าก็ยืนนิ่งไม่ขึ้นรถม้า เป็นฝ่ายตรัสและรติต้องเดินเข้ามาหา แล้วยื่นห่อผ้าขนาดย่อมให้นาง
“ขนมจากเรือนอหัสกร ท่านย่าไม่ได้มาส่งด้วยตัวเอง จึงฝากมา”
“ขอบใจ แล้ว...ของขวัญจากท่านล่ะ” รสนาถามยียวน สายตาก็ยียวน
แต่ตรัสนิ่งเฉยเหมือนที่เขาเป็นมาตลอดชีวิต
“ไม่มี ข้ามาเพราะรติมา” หนำซ้ำยังปากร้ายขึ้นด้วย คนถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุให้ตรัสมาส่งรสนาถึงกับหน้าตาเหรอหรา
รสนาเหลือบมองภรรยาของเพื่อนทีหนึ่ง ตั้งใจเพียงแค่จะปรายสายตาอย่างเย่อหยิ่ง แต่กลับเหลือบเห็นร่องรอยบางอย่างที่ต้นคอใต้ปกเสื้อของรติ
หญิงสาวชะงัก ก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“หากสหายของข้ามีภรรยาเป็นหญิง ข้าจะอวยพรให้มีลูกหัวปีท้ายปี” นางเอ่ย หน้าตายังคงกวนโทโส แต่สิ่งที่กวนโมโหยิ่งกว่าคือเรื่องทายาทที่นางยังคงหยิบยกมาเป็นประเด็น ตรัสจ้องดุ แต่รสนาหาได้ใส่ใจกับสายตาของเพื่อนรัก ยังจับจ้องภรรยาของสหาย
“แต่ในเมื่อสหายของข้ามีภรรยาเป็นชาย ข้าก็ขออวยพรให้เคียงข้างกันไปจนชั่วชีวิต เป็นคู่ชีวิตของกันและกันตลอดไป” วาจาของนางคราวนี้มิได้ยโสโอหังอีกแล้ว แต่อวยพรจากใจจริง
หญิงสาวหมุนตัวก้าวเท้าขึ้นเกวียน เมื่อประจำที่แล้ว ปิดประตูลงแล้ว นางก็โผล่หน้าออกมาส่งยิ้มสดใส
“ตรัส ถ้าเจอกันคราวหน้า ข้าจะไม่หัวเราะเยาะท่านแล้ว”
รติกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง ในขณะที่ตรัสเองก็ยังคิดตามไม่ทัน แต่รสนาชี้ที่ต้นคอตนเองก่อนจะมองตรงไปยังรติ เพียงเท่านั้น คนถูกมองก็คล้ายจะรู้ตัว รีบดึงสาบเสื้อให้ปิดสูงแทบถึงคาง
“ไปได้แล้ว” ตรัสหันไปสั่งคนกุมบังเหียน เกรงว่าหากยังปล่อยให้รสนาพูดมาก คราวนี้นางจะมิได้สร้างรอยร้าวในครอบครัวของเขา แต่จะทำให้รติอายจนซุกแผ่นดินหนี
ม้าเริ่มก้าวเหยาะๆ ในขณะที่เสียงหัวเราะยังดังแว่วมาจากผู้โดยสาร รสนาโผล่หน้าออกมาโบกมือให้ ตรัสทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ รติหน้าแดงก่ำแต่ไม่วายขยับปากส่งคำพูดบางประโยคให้หญิงสาว
‘ขอให้โชคดี’
นางนิ่งไปเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างกลายเป็นรอยยิ้มจางอย่างอบอุ่น
...ขอให้โชคดี...
นางเองก็หวังให้ทุกคนโชคดีเช่นกัน
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
ตรัสไม่ปล่อยภรรยาห่างมือเลยค่ะ เดี๋ยวคว้า เดี๋ยวอุ้ม ฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้ห้ามปรามนะคะ ไม่รู้ใครเข้าทางใครแบบนี้ ฮ่าฮ่า
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
ป.ล. เรื่องนี้ลงทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ตอนเย็นๆค่ะ ถ้าว่างๆ แวะมาเป็นกำลังใจให้สองสามีภรรยาที่เริ่มต้นด้วยการเป็นคนแปลกหน้า แต่ตอนนี้...เป็นสามีภรรยากันแล้วจริงๆค่ะ ฮ่าฮ่า