พิมพ์หน้านี้ - -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: THAMON926 ที่ 21-01-2020 08:49:41

หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 21-01-2020 08:49:41
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต... --
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 21-01-2020 08:52:15
---------

เมื่อคนแปลกหน้ากลายมาเป็นคู่ชีวิต...


'ย่าจะให้เขาแต่งกับเจ้า!'


...หากท่านย่าจะตรึกตรองสักนิด...


...ข้ากับเขา...


...เราเป็นคนแปลกหน้า...

หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทนำ -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 21/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 21-01-2020 09:01:27
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทนำ

---------

โลกนี้ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลาย



บนท้องฟ้าเป็นเมืองของเหล่าเทพ บนพื้นและใต้น้ำเป็นดินแดนของมนุษย์และอมนุษย์ ส่วนใต้พิภพเป็นอาณาจักรของปีศาจ แต่ละพื้นที่ล้วนถูกครอบครองลงตัว แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดอาเพศ



ในงานประชุมประจำปีที่เชิญผู้นำทุกเผ่าพันธุ์มารวมตัว



เหล่าเทพกล่าวว่า สรรพสิ่งบนพื้นและใต้น้ำเป็นบริวารของตน เพราะทั้งหมดล้วนอยู่ใต้ฟ้า หากไม่มีฟ้า ใครเล่าจะให้ทั้งฝนทั้งลม พืชผลเหี่ยวแห้งตาย สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องบรรลัยสิ้น



พวกปีศาจตบโต๊ะฉาด แย้งว่าทั้งหมดล้วนดำรงอยู่ได้เพราะมีเมืองของตนรองรับ ทั้งบนพื้นและใต้น้ำควรจะตระหนักถึงบุญคุณของปีศาจ จงมาเป็นบริวารของตนต่างหาก



ประชุมประจำปีจบลงบัดนั้น แล้วมหาสงครามระหว่างเทพและปีศาจก็อุบัติขึ้น



ความฉิบหายวายวอดรุกลามไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เพียงเทพและปีศาจล้มตาย มนุษย์และอมนุษย์ก็ล้วนตกเป็นเหยื่อในสงคราม มนุษย์กลุ่มหนึ่งที่สามารถใช้เวทมนต์คาถาร่วมมือกันเปิดประตูเส้นแบ่งเวลา แล้วผลักลูกหลานของพวกตนให้ข้ามไปอยู่ในโลกอื่น เมื่อปิดประตูลงแล้วก็ให้อมนุษย์กลุ่มหนึ่งเฝ้าเอาไว้



สงครามกินเวลาร้อยปี จู่ๆ ก็ยุติโดยไม่มีใครรู้ว่าใครแพ้หรือชนะ

---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

 ธ ม น -​ THAMON926


หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทนำ และ บทที่ 1-- หน้า 1 -- (อัพเดต 21/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 21-01-2020 09:08:39
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 1

คนแปลกหน้า

---------

111 ปี หลังมหาสงครามยุติ



หิมะขาวโพลนปกคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า



ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบปี ผู้คนต่างพากันเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน



สกุลไหนร่ำรวยก็มักมีเตาให้สุมฝืนไฟ จิบน้ำอุ่นเพื่อไม่ให้ป่วยไข้ สวมเครื่องแต่งกายหนา คลุมทับด้วยผ้าขนสัตว์ฟูอีกชั้น



สกุลไหนพอมีพอกินก็อาจมีทั้งสามอย่าง หรือมีสองในสามอย่างก็นับว่าพอใช้ได้แล้ว



แต่หากสกุลไหนยากจน ขอเพียงมีปัจจัยสักอย่างให้ผ่านความหนาวเหน็บไปได้ ก็นับว่าเพียงพอ



สกุล ‘อหัสกร’ นับว่าเป็นสกุลร่ำรวยมาแต่โบราณ ประกอบสัมมาอาชีพด้านการรักษาและค้าขายยารักษาโรค มีร้านยาอยู่ใจกลางเมือง อย่างไรก็ดี สกุลนี้กลับเหลือเพียง ‘อมรา’ สตรีเฒ่าและ ‘ตรัส’ หลานชายอายุยี่สิบห้าที่รับหน้าที่ดูแลทั้งเรื่องในเรือนและกิจการ แม้จะเงียบเหงาอยู่บ้าง เนื่องจากหลานชายผู้นี้ไม่รับสะใภ้เข้าสกุลสักที แต่กระนั้นก็นับว่าใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขทั้งย่าทั้งหลาน



จนกระทั่ง...วันที่หิมะตกหนักจนทุกอย่างขาวโพลน แขกแปลกหน้าสามคนก็ปรากฏขึ้นที่เรือน



ตรัสกลับมาถึงในตอนเย็น เขาเห็นเพียงผ่านตา ไม่ได้ใส่ใจนักแต่ก็พอประเมินได้ว่าแขกทั้งสามประกอบด้วยชายหนุ่มดูแล้วอายุน้อยกว่าเขาอยู่สักหน่อย เด็กหญิงวัยสิบถึงสิบสองขวบ และเด็กชายที่อายุราวห้าหรือหกขวบ



ชายหนุ่มไม่ทราบว่าแขกทั้งสามนี้พูดจากับท่านย่าของเขาเช่นไร แต่เมื่ออมราทราบว่าเขากลับมาแล้วก็เรียกเข้าไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว ในขณะที่แขกทั้งสามยังอยู่ที่ห้องโถงรับรองแขก



“ย่าจะรับสามคนนั้นเข้ามาอยู่ในเรือนของเรา”



ตรัสชะงัก



“ท่านย่าว่าอะไรนะขอรับ”



“ย่าบอกว่าจะรับสามคนนั้นเข้ามาอยู่ในเรือนของเรา”



แม้อมราจะอาวุโสที่สุดในเรือน แต่กระนั้นตรัสก็เติบใหญ่และดูแลทุกความเป็นไปในสกุลมานานแล้ว การที่นางจะรับใครเข้ามาอยู่ ต่อให้ตัดสินใจแล้ว ก็ต้องแจ้งความเป็นไปให้เขารับทราบ



“ทำไมจู่ๆ ...”



“ปู่ของพวกเขาเป็นเพื่อนของย่า เวลานี้พวกเขาไม่เหลือใครแล้ว ย่าเลยอยากจะรับเข้ามาอยู่ด้วย”



“ทั้งสามคนเลยหรือขอรับ”



“ทั้งสามคน เขาเป็นพี่น้องกัน”



สีหน้าของตรัสไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าผู้เป็นย่าย่อมดูออก



“เจ้าไม่อนุญาตหรือ”



“ไม่ใช่ว่าไม่อนุญาต แต่รับคนเดียวยังพอว่า นี่รับมาถึงสาม สกุลของเราเวลานี้ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนก่อน ฤดูหนาวอย่างนี้ คนป่วยไข้ก็มีเพียงหวัดเล็กๆ น้อยๆ กำไรไม่ได้มากพอจะรับคนมาอยู่เพิ่มนะขอรับ”



เพราะมีกันเพียงสองคนย่าหลาน ตรัสจึงเลือกที่จะให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมา



แม้สกุลของพวกเขาจะมีกินมีใช้ไม่ขาดแคลน ที่อยู่อาศัยใหญ่โต แต่ก็เพราะความรุ่งเรืองในอดีต เวลานี้เหลือเพียงตรัสที่ทำงานหากินเพียงผู้เดียว การพยุงคนทั้งสกุลเอาไว้นับว่าเต็มกลืนแล้ว หากจะต้องรับคนมาอยู่เพิ่ม ก็ไม่ต่างจากหาภาระมาสุมอยู่บนบ่าของเขา แล้วคนที่อมราจะรับเข้ามา สองในสามก็ยังเด็กมากเกินกว่าจะใช้งานได้ ในขณะที่อีกคน...เป็นผู้ใหญ่แล้ว เหตุใดไม่เลี้ยงปากท้องตนเองและน้องสาวน้องชาย ใยต้องมาพึ่งใบบุญอาศัยคนอื่นเช่นนี้กัน



“แต่ทั้งสามคนเป็นหลานของเพื่อนย่า” อมราแย้ง



ตรัสถอนหายใจ คิดหาวิธีแก้ปัญหา แต่ไม่ทันเสนอ หญิงชราก็ออกปากขึ้นมาเสียก่อน



“ถ้าหลานไม่สบายใจที่จะให้พวกเขาเข้ามาอยู่โดยไม่ทำอะไร ย่าจะต่อรองให้เอง”



“ท่านย่าจะต่อรองอะไรล่ะขอรับ ถ้าพวกเขามีประโยชน์ให้ท่านต่อรองได้ เหตุใดไม่ดำรงชีวิตด้วยประโยชน์ที่ตนเองมี ใยต้องมาขออยู่ที่นี่” หลานชายย้อนอย่างเหนื่อยหน่าย ทว่าวาจาของเขากลับทำให้หญิงชราขึงขังขึ้นมาทันที



“เจ้านี่ช่างแล้งน้ำใจ! หากใครไร้ประโยชน์ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ ถ้าเช่นนั้นหญิงแก่อย่างย่าเล่า อยู่ที่นี่ทำประโยชน์อันใดให้เจ้ากัน?!”



“ท่านย่าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”



“มิได้หมายความเช่นนั้นอะไรกัน! ย่าไร้ประโยชน์แต่ก็ยังอยู่ที่นี่ให้เจ้าเลี้ยงดู คงจะเหนื่อยใช่ย่อยแล้ว!”



“ท่านเป็นย่าของข้านะขอรับ แต่พวกเขาเป็นใครก็ไม่ทราบ”



“อ้อ! ถ้าทราบแก่ใจ จะยอมรับอย่างนั้นรึ?!”



หลานชายเหนื่อยใจจะโต้ตอบ ผู้เป็นย่าไม่เพียงย้อนเขาทุกประโยค แต่ยังพูดจาราวกับเขาไร้เมตตา



แต่หากต้องเมตตาผู้อื่นแล้วต้องเหนื่อยยากกว่านี้ ตรัสก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่เขาควรทำ



“ถ้าอย่างนั้นก็ผูกสัมพันธ์กันเสียเลยเป็นไร! เจ้าจะได้รับพวกเขาเข้ามาอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องแคลงใจ!”



“ท่านย่าหมายความเช่นไร”



“ย่าจะให้เขาแต่งกับเจ้า!”



“ท่านย่า!”



“รติ...หลานคนโตของเพื่อนย่า ย่าจะให้เขาแต่งเข้าสกุลเรา แล้วจากนี้ ทั้งเขาและน้องสาวน้องชายของเขาก็ย่อมอยู่ที่นี่ได้แล้ว จริงไหม”

---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น - THAMON926
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทนำ และ บทที่ 1 -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 21/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 21-01-2020 11:32:50
เปิดเรื่องน่าติดตามค่ะ o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทนำ และ บทที่ 1 -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 21/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-01-2020 12:45:28
 :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 2 รติ...-​- หน้า 1 -- (อัพเดต 22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 22-01-2020 17:24:32
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 2

รติ

---------
   

รติ เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ


รูปงามและผิวสีน้ำผึ้งอย่างคนเมืองใต้ขนานแท้ เขามิได้ตัวเปล่าแต่พ่วงด้วยน้องสาววัยสิบสองนามว่ารุจี น่ารักเรียบร้อยมีมารยาทราวกับถูกอบรมมาอย่างดี และน้องชายชื่อระพี วัยห้าปีผู้มีผิวขาวจัด และดวงตาสีดำขลับใสบริสุทธิ์ เพียงเห็นหน้า ตรัสก็ถูกชะตากับเด็กชายผู้นี้


จะผิดก็แต่...รติ...คนที่ท่านย่าต้องการให้แต่งงานด้วย


หาได้น่ารักเรียบร้อย หาได้ถูกชะตากับตรัสแต่ประการใด


ไม่ต้องพูดเรื่องมีดวงตาใสบริสุทธิ์ มิต้องพูดเรื่องมารยาทดีงาม ต่อให้หน้าตาดีเพียงไร แต่เสนอหน้ายินดีกับการแต่งงานคลุมถุงชนอย่างไร้ศักดิ์ศรี ก็มิต่างอะไรกับขายวิญญานให้ผู้อื่น


 “โอ้ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง! จะจัดพิธีเมื่อไหร่ดี หรือจะยึดฤกษ์สะดวกก็ได้ขอรับ!”


ตรัสตาเหลือกถลน ไม่คิดว่านอกจากจะไร้ศักดิ์ศรียินดีอย่างยิ่งกับการแต่งงานแล้ว ยังถามถึงฤกษ์อีกต่างหาก!


หญิงชราหันมาทางหลานชายของนางราวกับจะบอกว่าเหลือเพียงตรัสคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ยินดีกับงานแต่งนี้


“ข้าว่าเราควรตรวจสอบให้ถ้วนถี่ก่อน มิทราบว่า...เขา...มีคู่แล้วหรือยัง” ตรัสแย้ง ปรายสายตาไปยังคนที่ยังยิ้มระรื่น


เจ้าตัวโบกมือหย็อย


“ไม่มีๆ ข้าไม่เคยมีความรักด้วยซ้ำ”


“แต่ถ้าจะจัดงานแต่ง ก็ต้องเตรียมพิธี เตรียมสถานที่...” ตรัสแย้งคำรบที่สอง


คนหน้าระรื่นโบกมืออีกรอบ


“ข้าไม่เคร่งพิธีการ ส่วนสถานที่ก็เรือนอหัสกรนี่เป็นไร กว้างใหญ่อยู่แล้ว!”


“แล้วเรื่องเชิญแขก...” ตรัสแย้งคำรบที่สาม


คนโบกมือก็ยังโบกมือต่อเนื่อง


 “แขกทางข้าไม่มี พ่อแม่ตายไปนานแล้ว ท่านปู่ก็เพิ่งมาเสียไป ฝั่งข้ามีแค่รุจีกับระพีเท่านั้น”


ตรัสหายใจแรงด้วยความหงุดหงิด เป็นอันว่าอะไรก็ยินดีทั้งนั้น สำหรับว่าที่ภรรยาผู้นี้!


...จริงสิ! หรือเจ้าคนระรื่นคิดว่าจะได้เป็นสามีจึงยอมรับงานแต่งอย่างยินดี?!...


“ชายกับชายแต่งงาน ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นภรรยา” เขากล่าวขรึม หน้าตาจริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับไร้ความจริงจัง


“โอ้! เรื่องนั้นยิ่งไม่มีปัญหา! ข้าให้ท่านเลือก!” รติผายมือไปยังตรัส ดูเป็นสุภาพบุรุษเหลือประมาณให้อีกฝ่ายเลือกตามความชอบก่อน คนได้รับโอกาสเลือกตาเหลือกจนไม่รู้จะเหลือกอย่างไร


“หมายความว่าหากเจ้าจะต้องเป็นฝ่ายภรรยาก็ยินดีอย่างนั้นรึ?!”


“ยินดีๆ”


...เหลือจะทน! อะไรก็ยินดี ยังเป็นชายอยู่อีกหรือ?!...


อมราหันมองหลานชายอีกครั้ง ตรัสไม่รู้จะอ้างประการใด ตัวเขาเองก็ยังโสด ไม่มีพันธะกับผู้ใด ผู้เป็นย่าก็เลือกข้างยืนยันจะให้สามพี่น้องเข้ามาอยู่ในสกุลอหัสกรให้ได้ ที่สำคัญไปกว่านั้น เจ้าคนที่จะต้องแต่งกับเขา...หาได้มียางอายสักนิด!


ตรัสพ่นลมหายใจแรง ลุกขึ้นคำนับลาหญิงชราแล้วสะบัดหน้าเดินออกจากห้องโดยไม่พูดสิ่งใดอีก แต่กระนั้น...ก็มีใครบางคนสรุปรวบยอดทั้งหมดพร้อมใบหน้าระรื่น


“เป็นอันว่าหลานชายของท่านอมรายินดีแต่งงานกับข้านะขอรับ! ยินดีๆ!!”


แล้วหลังจากนั้น พิธีแต่งงานของตรัสและรติก็เกิดขึ้น แต่ฝ่ายเจ้าบ่าวหายินดีไม่...

--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------
เรื่องนี้ แต่ละตอนจะสั้น แต่จะมาบ่อยๆ (บ่อย=สัปดาห์หนึ่งมากกว่า 1 ครั้งค่ะ ฮ่าฮ่า)

ฝากด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 2...รติ... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-01-2020 17:57:12
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 2...รติ... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 23-01-2020 12:07:21
แต่งแล้วจะเป็นยังไงต่อเนี่ย นักเขียนสู้สู้นะ ติดตามอยู่จ้า
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 3... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 24/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 24-01-2020 17:41:44
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 3

พิธีแต่งงาน

---------

   พิธีแต่งงานที่ท่านอมราจัดให้หลานชายนั้นเป็นที่เอิกเกริก แม้ว่าจะถูกจัดอย่างเร่งด่วนก็ตามที


หนึ่งเพราะตรัสเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ยังโสด ไม่มีพันธะ ไม่มีกระทั่งการคบหาดูใจกับสตรีงามผู้ใด อีกทั้งยังเป็นชายหนุ่มผู้มีสัมมาอาชีพเป็นที่นับหน้าถือตา บ้านสกุลใดก็ล้วนอยากได้เป็นเขยทั้งสิ้น


สองก็เพราะคู่สมรสของตรัสเป็นชายหนุ่มเช่นกัน แม้จะรูปงามแต่ก็งามผิดแผกจากชายงามในเมือง ว่ากันว่าเป็นคนทางใต้ เครื่องหน้าคมคาย ผิวพรรณคล้ำเนียนโดดเด่น


   สองข้อที่กล่าวมา ล้วนทำให้งานแต่งนี้น่าสนใจ


   ท่านอมราเชิญแขกราวห้าสิบคน ทั้งหมดล้วนรู้จักกับสกุลอหัสกรมานานนม ในจำนวนนั้นมีเพื่อนของตรัสที่มาจากเมืองหลวงบ้าง เมืองข้างเคียงบ้าง ไม่ถึงสิบคน ส่วนคนรู้จักของรติมีเพียงสองคนอย่างที่เจ้าตัวกล่าว คือเด็กหญิงนามว่ารุจี และเด็กชายนามว่าระพี อย่ากระนั้นเลย กระทั่งชื่อสกุลของรติ เจ้าตัวก็มิได้กล่าวถึง เพียงย้อนแค่ว่า จากนี้ใช้สกุล  ‘อหัสกร’ แล้ว สกุลเดิมย่อมเป็นเพียงอดีต


   คนระรื่นทิ้งได้กระทั่งสกุลของตนเช่นนี้ ตรัสก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นใดอีก


   พิธีแต่งงานเป็นงานรื่นเริง แต่ถ้านับเอาจากใบหน้าเครียดขึงของตรัสแล้ว งานนี้มิต่างจากงานศพ กระนั้นคู่สมรสที่ยืนเคียงข้างเขาตลอดงานก็คอยกอบกู้ศักดิ์ศรีงานแต่งได้อย่างดีทีเดียว


   “ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานของเราสองคน”


ช่างไร้ความละอาย ยังกล้ากล่าวอ้างความเป็นเราสองคนได้อย่างหน้าชื่นตาบาน


   “เหล้าจอกนี้ ขอดื่มให้แก่ทุกท่านที่มาร่วมงาน” ว่าที่ภรรยาของตรัสยังคงเป็นผู้กล่าว ในขณะที่ตรัสนั้นทำสีหน้าราวกับถูกบังคับมาฆ่าอย่างไรอย่างนั้น


   แขกทั้งงานล้วนดื่มอวยพร รติเองก็ยกจอกสุรากระดกรวดเดียวจนหมด ในขณะที่ตรัสยกเพียงให้เหล้าโดนริมฝีปากเท่านั้น มิได้กลืนลงไปแม้สักอึก


   สามีภรรยาคงได้ครองคู่ชู้ชื้น แค่ดื่มเหล้าก็มีแค่ฝั่งภรรยาที่ยินดียิ่งอยู่ฝ่ายเดียว


   พิธีสมรสเสร็จสิ้น ตรัสและรติยืนน้อมส่งแขกทั้งหลายที่ประตูเรือน ตรัสยังคงยืนเงียบ ในขณะที่รติค้อมกายแล้วค้อมกายเล่า ปากขอบคุณเจื้อยแจ้ว ใบหน้ามิได้ปราศจากรอยยิ้มเลยแม้แต่ช่วงเวลาเดียว


   แขกชุดสุดท้ายกลับไปแล้ว เหลือเพียงท่านอมราและเพื่อนสนิทของตรัสเพียงไม่กี่คน รวมถึงรุจีและระพี


   ทั้งหมดนี้ รอส่งบ่าวสาวเข้าเรือนหอ


   เรือนหอที่สกุลอหัสกรเตรียมไว้ให้สามีภรรยาคู่ใหม่คือเรือนนอนเดิมของตรัส


เรือนนี้แม้ปลูกแยกเป็นสัดส่วนแต่มีทางเดินเชื่อมไปยังโถงรับรอง ภายในเรือนถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ เชื่อมด้วยประตูโค้งที่ไร้บาน ส่วนแรกเป็นห้องทำงานของตรัส มีตู้หนังสือและม้วนเอกสารวางเต็มเอียด อีกส่วนเป็นห้องพักผ่อน ประกอบด้วยเตียงไม้ ชุดโต๊ะเก้าอี้ และตู้เก็บของ หลังฉากแต่งตัวคืออีกส่วนของห้องที่ปันออกมาสร้างเป็นห้องอาบน้ำและสุขา ส่วนนี้กั้นด้วยประตูมีบาน


   นับว่าเป็นเรือนหอที่พร้อมสรรพและเป็นส่วนตัวยิ่งสำหรับสามีภรรยาคู่ใหม่ กระนั้นเพื่อนสนิทของตรัสกลับไม่มีใครกล้าหยอกล้อเกี่ยวกับเรื่องคืนหลังแต่งงานเลยสักคน


   ‘คืนนี้จะได้นอนหรือ’


   ‘เช้าพรุ่งนี้ ใบหน้าของเพื่อนเราคงอิ่มเอมกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมา’


   ‘เห็นทีจะได้หลานในเร็ววัน’


   อย่ากระนั้นเลย นอกจากคู่สมรสจะเป็นขาย มีหลานให้ใม่ได้แล้ว ยังเป็นชายที่ตรัสมิได้เต็มใจแต่งด้วยอย่างยิ่ง


   คำหยอกล้อจึงต้องเปลี่ยนเป็นคำอวยพรอย่างกลางๆ


   “ขอให้...มีความสุขมากๆ”


   “ขอให้...เป็นครอบครัวที่อบอุ่น”


   “ขอให้...สมปรารถนาทุกประการ”


คำอวยพรประโยคหลังนี้ไม่รู้ว่าปรารถนาเรื่องใด แต่เอาเป็นว่าอวยพรได้เพียงเท่านี้


   คณะเพื่อนสนิทของตรัสถอยออกไป เด็กหญิงชายผู้เป็นแขกชุดเดียวของรติก็เดินเข้ามาแทน


   “ขอให้พี่รติมีความสุข” ระพีจับมือผู้เป็นพี่ ก่อนจะหันมามองตรัส แม้จะยังเด็ก แต่ระพีช่างเรียนรู้ วันนี้เฝ้ามองผู้คนเข้ามาอวยพรคู่แต่งงานแล้วก็เก็บเอาไว้


   “ขอ...ขอให้ท่านตรัส...ท่านตรัสมีความสุข”


   ตรัสเอ็นดูเด็กชายผู้นี้ เห็นเจ้าตัวพยายามอวยพรแล้วก็ยิ้มจาง พอพยักหน้ารับ ระพีก็ถึงกับยิ้มกว้าง ถือวิสาสะจับมือของตรัสและมือของรติมาเขย่า


   “ระพีอยากมีน้อง!”


   ตรัสตาเหลือก แต่รติหัวเราะร่วน ในขณะที่รุจีตกใจรีบดึงน้องชายมาสอบถาม


   “ไปจำมาจากไหน หือ”


   น้ำเสียงนั้นมีแววดุ สีหน้าของระพีสลดลงเล็กน้อย แต่รติยังยิ้มกว้างก้มลงมองเด็กชายพลางลูบศีรษะเล็ก


   “พวกข้าเป็นชาย มีน้องให้เจ้าไม่ได้หรอก ไม่ดีใจหรือเจ้าจะได้เป็นน้องน้อยต่อไป”


ระพีเงยหน้ามองก่อนจะยิ้มกว้าง พยักหน้าระรัว รุจีเห็นว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว น้องน้อยไม่เรียกร้องจะมีน้องเพิ่ม จึงเป็นฝ่ายพูดต่อ


   “พี่รติ ขอให้มีความสุขนะเจ้าคะ”


   รติหันมามองน้องสาว แล้วพยักหน้ารับ รุจีจึงหันไปยังชายหนุ่มผู้ซึ่งเมื่อครู่ตาเหลือกกับคำอวยพรข้องน้องชายของนางไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ย่อมจะอวยพรใดๆที่จะก่อความขุ่นเคืองมิได้


   “ท่านตรัส ข้าทราบดีว่าท่านรู้สึกเช่นไรต่อพี่ชายของข้า แต่ขอเพียงเปิดใจให้เขาบ้าง ท่านจะพบว่าพี่รติมิใช่คนเลวร้าย หวังให้ครอบครัวของพวกท่านมีความสุขที่สุดนะเจ้าคะ”


   คำพูดของน้องชายคนเล็กนั้นทำให้ตรัสตาเหลือก แต่คำพูดของน้องสาวคนรองกลับทำให้รติกะพริบตาปริบๆ


   ส่วนผู้อวยพรคนสุดท้ายคือท่านอมรา นางมองใบหน้าหลานชายและหลานสะใภ้ แม้งานแต่งงานครั้งนี้เป็นความต้องการของนาง หาใช่ความรักใคร่ของบ่าวสาว แต่นางก็หวังให้ทั้งตรัสและรติมีความสุขกับชีวิตครอบครัว


   “ทุกข์สุขร่วมเสพ โกรธเคืองให้อภัย ชีวิตคู่เป็นของคู่ชีวิต”


   แล้วหลังจากนั้น ผู้คนทั้งหมดก็ออกจากเรือนหอ ทิ้งเอาไว้เพียงบ่าวสาวคู่ใหม่ของค่ำคืนนี้


   และนับจากนี้ จะขอกล่าวว่าเรือนหอคือ ‘เรือนนอน’ ของคู่สามีภรรยา


   ‘ตรัส...รติ’


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 3... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 24/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-01-2020 03:12:29
สถานการณ์น่าเป็นห่วง  :ling2:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 4... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 27/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 27-01-2020 17:52:06
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 4

คืนสมรส

---------


   บ่าวสาวผู้ผ่านพ้นพิธีแต่งงานโดยปราศจากความรัก ให้อย่างไรก็มองหน้ากันไม่ติด


   คนที่รังเกียจเดียดฉันคือตรัสผู้ไม่เคยคิดฝันว่าชีวิตของตนจะต้องมีภรรยาเป็นชายแปลกหน้าที่...ยินดีปรีดากับการแต่งงานคลุมถุงชน


   “เข้ามาอยู่ที่นี่ รู้หรือไม่ว่าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง” ตรัสเปิดฉากก่อน ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาอย่าได้คิดหวัง เงื่อนไขการอยู่ร่วมกันสำคัญที่สุด


“อหัสกรมิใช่โรงทาน ใช่จะอยู่โดยไม่ทำมาหากิน”


“เรื่องนั้นข้าทรา...บ...” พูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ขยายความแทรก


“ทุกเช้าต้องตื่นก่อนอาทิตย์ขึ้น ดูแลกิจการในครัวแทนท่านย่า น้องชายน้องสาวของเจ้าก็หาใช่ภาระคนในเรือน เจ้าจะต้องดูแลอย่างดีอย่าให้เพ่นพ่านวุ่นวาย น้องสาวของเจ้าคงพอทำงานในครัวหรือทำงานบ้านได้แล้ว ก็ให้นางช่วยบ่าวไพร่เท่าที่ทำได้ ส่วนน้องชายของเจ้า เจ้าต้องควบคุมดูแลอย่าให้ซุกซนจนข้าวของเสียหาย อาหารสามมื้อ เจ้าต้องดูแลทั้งของท่านย่าและของข้า มื้อกลางวันข้าจะกลับมารับประทานกับท่านย่า หรือหากวันใดติดคนไข้ที่ร้านยา เจ้าต้องเป็นคนหิ้วปิ่นโตไปให้ ส่วนมื้อเย็น ข้าจะกลับมาทานที่นี่ยกเว้นข้ามีกิจธุระ จะแจ้งเอาไว้ ส่วนจะให้เจ้าเก็บอาหารส่วนของข้าเอาไว้เผื่อหรือไม่ ข้าจะบอกอีกที นอกจากนั้น น้ำอุ่น เสื้อผ้า ที่นอนหมอนฟูกล้วนเป็นหน้าที่...”


   ตรัสพูดไม่ทันจบ คู่สนทนาก็ยกมือขึ้นปรามไม่ให้เขาพูดต่อ


ใบหน้าของว่าที่ภรรยานั้นจัดว่าดูดี เป็นชายที่นับว่ารูปงาม ดวงตายาวรี หางตาตวัดขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ผิวคล้ำเช่นนี้ ชาวเมืองตะวันออกเช่นพวกเขาเรียกว่าผิวสีน้ำผึ้ง ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่พอจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตรัสในงานสมรสครั้งนี้ได้อยู่บ้างก็ตรงที่แขกเหรื่อพากันชื่นชมว่าภรรยาของเขารูปงาม


   รูปงาม ยิ้มก็งาม แต่พอไม่ยิ้มก็มักจะทำหน้าตายียวน เหมือนอย่างที่ทำอยู่ในเวลานี้


   “หยุดก่อน ท่านพูดรวดเดียวเช่นนั้นข้าจำไม่ได้ เอาเฉพาะใจความสำคัญได้ไหม”


   “เรื่องในบ้านทั้งหมดเป็นหน้าที่เจ้า น้องชายน้องสาวของเจ้าก็เป็นภาระเจ้า”


   “เงินทองเล่า?”


   “นั่นเป็นหน้าที่ข้า!” ตรัสเค้นเสียงหน้าตาดุดัน


   “ข้าไม่ได้หมายถึงหน้าที่ใคร ข้าหมายถึงการดูแลเรื่องในเรือนทั้งหมด ข้าจะได้ค่าจ้างเท่าไร”


   “ไม่มีค่าจ้าง! เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะภรรยา หน้าที่ภรรยาย่อมเป็นหน้าที่ หาใช่ต้องใช้อามิสสินจ้าง”


   “ถ้าอย่างนั้น...ข้าคงต้องขอเวลาส่วนหนึ่งออกไปรับจ้าง”


   “ไม่มีภรรยาตระกูลใดออกไปรับจ้าง!” เสียงของตรัสเข้มขึ้นทุกที ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยติดไปทางกวนโทโสด้วยซ้ำ


   “แต่ภรรยาอย่างข้าจำเป็นต้องใช้เงิน”


   “เพื่อกิจอันใด?!”


   “โอ้ ใส่ใจข้าด้วยหรือ ช่างเป็นสามีแสนดีอย่างไม่มีที่ติ เห็นทีพรุ่งนี้จะต้องไปโจษจันให้ทั่วเมืองว่าข้าได้สามีเลิศเลอเพียงใด”


   “เจ้า!!” ตรัสหงุดหงิดเหลือประมาณ แต่มิอาจทำอะไรได้ ภรรยาของเขาผู้นี้ราวกับเป็นเพทภัยของชีวิตจนไม่อยากแม้แต่จะร่วมหายใจ ชายหนุ่มหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง ไม่อยากเสวนาอีกแม้แต่นิดเดียว แต่เสียงจากข้างหลังกลับดังขึ้น


   “อ้าว สามีภรรยาไม่ต้องร่วมเตียงกันคืนแรกหรือ”


   ตรัสหันขวับกลับมามอง ดวงตาเชือดเฉือน แต่อีกฝ่ายมิได้รับรู้อารมณ์ของเขา มิเช่นนั้นก็คงไม่ออกปากทั้งที่ยังตีหน้าใสซื่อเช่นนั้น


   ...‘ไม่ต้องร่วมเตียงในคืนแรกหรือ’…


   คนอย่างนี้ ถ้าไม่ลงโทษให้หลาบจำ ก็เห็นจะต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิตคู่!


   คนยียวนไม่ทันตั้งตัว จู่ๆคนที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากส่วนพักผ่อนก็กลับพุ่งเข้ามาผลักร่างของภรรยาลงกับเตียง   แม้ต่างเป็นชาย แต่รติก็พบว่าตรัสตัวใหญ่กว่าเขา เรี่ยวแรงย่อมเยอะกว่า พออีกฝ่ายโถมตัวทับ เขาก็หงายหลังผึ่งลงบนเตียง ยังไม่ทันหายเวียนเศียร แขนสองข้างถูกตวัดขึ้นเหนือศีรษะแล้วถูกมัดรวบเข้ากับเสาเตียงข้างหนึ่ง


   รติตาเหลือกโตด้วยความตกใจ


   “ท่านจะทำอะไรน่ะ?!”


   “เจ้าเป็นภรรยา! หน้าที่ภรรยาก็ต้องดูแลสามีอย่างไร!”


   “นั่นไม่เกี่ยวกับภรรยาที่เป็นชาย!”


   “เป็นชายแล้วอย่างไร! เจ้าแต่งงานกับข้าในฐานะภรรยา ก็ต้องปฏิบัติตัวอย่างภรรยา!!”


ตรัสโกรธจนหน้ามืด กระชากเสื้อผ้าอีกฝ่ายรวดเดียวก็เผยผิวเนื้อท้าอากาศหนาว รติสะดุ้ง ตาเหลือกไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือถึงขั้นนี้ เขารู้ว่าหากพร่ำร้อง ก็ยิ่งกระตุ้นให้ตรัสข่มเหงรังแก


   ...ข่มเหง...รังแก…


   ช่างเป็นคำที่ทำให้คนอย่างรติครั่นเนื้อครั่นตัวนัก!


   “แต่คนทั่วเมืองรู้ว่าข้าเป็นชาย!” ไม่ร้องขอให้ปล่อย แต่ยกเหตุผลชิ้นใหญ่ขึ้นมาพูดใส่หน้า


   “แน่สิ! ในเมื่อเจ้าเองก็เสนอหน้าว่าตนเป็นชายไม่ใช่รึ!” ตรัสแย้ง กดน้ำหนักตัวทาบทับอีกฝ่ายที่หน้าตาตื่นตะลึง


หากรติจะตั้งสติสักนิด จะรู้ว่า ‘สามีแสนดี’ นั้นมิได้สัมผัสจาบจ้วงแต่ประกาศใดนอกจากนอนทับเฉยๆ แต่เพราะเขาไม่ทันตั้งสติ หมายคิดแต่จะให้รอดปลอดภัย จึงตั้งหน้าตั้งตาหว่านล้อม...ด้วยสีหน้ายียวนกวนโมโห


   “แล้วถ้าท่านข่มเหงข้าทั้งๆที่ชาวบ้านชาวเมืองรู้ว่าเป็นชาย ก็มีเพียงเหตุผลสองข้อเท่านั้นที่ฟังขึ้น! ข้อแรก ท่านหลงรักชายอย่างข้า! หรือข้อสอง ท่านรักผู้ชายแต่แรก!”


   “นี่เจ้า!” นัยน์ตาของตรัสวาวโรจน์ด้วยความโกรธ


   “ว่าอย่างไรล่ะ หรือแท้จริงแล้วพิศวาสบุรุษเพศแต่แรก อยากได้ภรรยาเป็นชายใจจะขาดสิท่า! โธ่เอ๋ย ข้ามันเหยื่อตัวน้อยๆนี่เอง”


   “ข้ามิได้พิศวาสบุรุษ!”


   “แต่ท่านกำลังจะกอดข้าไม่ใช่รึ? ถ้ามิได้พิศวาสบุรุษก็แสดงว่ารักข้าเสียแล้ว?”


   “ข้ามิได้รักเจ้า!!”


   “อย่าโป้ปดทั้งๆที่กำลังคร่อมอยู่บนตัวข้าซี จะโกหกก็สร้างสถานการณ์กันบ้าง นี่อะไร ปากว่าไม่ แต่กายทับข้าอยู่ไม่ใช่รึ”


   “เจ้านี่มัน!!”


   ตรัสลุกพรวด หน้าตาโกรธขึงราวกับจะฉีกเนื้อของอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ เขาไม่ได้คิดจะข่มเหงอีกฝ่ายจริง เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้หวั่นเกรงบ้าง ใครจะคิดว่ารติช่างสรรหาเหตุผลมาตลบหลังเขาเช่นนี้


   ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรงอย่างเจ็บใจ มองร่างที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตารังเกียจ ผ้าผ่อนปกคลุมไม่มิด เผยผิวเนื้อสีน้ำผึ้งล่อตา ทว่า...ไม่ล่อใจสักนิด!


ผู้เป็นสามีบอกตนเองว่ามิได้พิศวาสผู้ชายด้วยกัน ส่วนเรื่องรักใคร่คนอย่างรตินั้นก็ลืมไปได้เลย!


   ไม่มีวัน!!


   พอคิดว่าไม่มีวัน เขาก็หมุนตัวเดินปึงปังออกจากห้องหอทันที รติยิ้มหยัน ทว่าเมื่อลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง กรีดลงบนผิวที่ไร้อาภรณ์ ก็ทำเอาเจ้าตัวนึกขึ้นได้


   “เดี๋ยวซี! กลับมาช่วยข้าแก้มัดก่อน! จะปล่อยให้ข้านอนเช่นนี้ทั้งคืนไม่ได้นะ! เฮ้! ท่าน! ท่าน...ท่านสามี!”


ไร้เสียงตอบ รติเงยมองสองแขนที่ถูกมัดรวบอยู่เหนือหัวกับหัวเตียงแล้วก็ถอนหายใจอย่างปลงตก


อุตส่าห์ยกยอเป็นสามีแสนดี เหตุใดฉีกทึ้งเสื้อผ้าแล้วทอดทิ้งกันให้นอนหนาวอย่างนี้เล่า?



---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 4... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 27/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-01-2020 19:44:33
ช่างยียวนอะไรอย่างนี้นะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 4... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 27/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 27-01-2020 22:05:59
ตามมาอ่านแล้วจ้าาา

น่าสนใจๆ รอตอนต่อไปเลยย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 4... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 27/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-01-2020 22:47:28
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 4... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 27/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-01-2020 17:44:13
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 5... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 29/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 29-01-2020 19:23:16
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 5

เช้าหลังแต่งงาน

---------


น้องสาวและน้องชายของรติถูกจัดให้พักผ่อนที่ปีกฝั่งหนึ่งของเรือน ยังไม่ทันที่ดวงอาทิตย์จะสาดแสง รุจีก็รีบตื่นมาเฝ้าโถงทางเดินที่มุ่งไปยังเรือนหอของพี่ชายด้วยความห่วงใยและร้อนใจ


ทว่าไม่ทราบว่าชายผู้เป็นสามีของพี่ชายของนางไปพำนักแห่งใด จู่ๆก็โผล่มาอีกทางหนึ่ง สีหน้ายุ่งเหยิงหงุดหงิด


   “เจ้าไปปลุกพี่ชายของเจ้าทีเถอะ ไม่รู้จะตื่นกี่โมงกี่ยาม!” 


รุจีได้รับคำอนุญาตเช่นนั้นแล้วก็รีบวิ่งปรู๊ดไปยังเรือนนอนของสามีภรรยาคู่ใหม่ทันที


   ตอนที่นางเปิดประตูเข้าไปยังไม่น่าตกใจเท่าตอนที่เดินลึกเข้าไปในห้องพักผ่อนแล้วพบว่าพี่ชายของนางนอนขดอยู่บนเตียง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย แขนสองข้างถูกจับมันไว้กับเสาเตียงข้างหนึ่ง


   “พี่รติ!!” นางร้องเสียงหลง ถลาเข้าไปช่วยแกะเชือก


รติลืมตาขึ้นช้าๆ ทว่า...อาการครั่นเนื้อครั่นตัวและหนาวสั่นทำให้เขาต้องหดสองแขนลงมากอดร่างกายตัวเอง


   รุจีแนบหลังมือลงกับใบหน้าของเขาแล้วก็ถึงกับอ้าปากค้าง


เพียงแต่งงานคืนแรก รติก็เป็นไข้เสียแล้ว!
   

“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง”


   “หนาว...”


   “ข้าจะไปบอกท่านตรัส...”


   “อย่า...เดี๋ยวเขารู้...” รติปรามเสียงเบา ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า รุจีรีบเข้าช่วยพยุง


   “แต่...”


   “เรื่องของพี่จะให้ใครที่นี่รู้ไม่ได้ เข้าใจไหม”


ความสงสารแล่นริ้วขึ้นมาในใจเด็กหญิง


   “พาไปล้างหน้าล้างตาที นี่ใกล้เช้าแล้วใช่ไหม”


รุจีพยุงคนพูดให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงค่อยประคองเขาเดินไปยังฉากกั้น รติก้าวเท้าช้าๆอย่างไม่รู้ทิศทาง ยามนี้การมองเห็นของเขามืดมิด ต้องอาศัยน้องสาวนำทาง เมื่อล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว จึงให้รุจีพาไปยังโรงครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับคนทั้งเรือน ทว่าเด็กหญิงสั่นหน้าระรัว


   “ท่านพี่มองไม่เห็นเช่นนี้จะทำอะไรได้”


   “ก็ทำเท่าที่ทำได้ ที่เหลือต้องฝากรุจีช่วยแล้ว”


   “แต่ท่านควรพักผ่อน...”


   “รุจี...คนที่นี่จะรู้เรื่องพี่ไม่ได้ จากนี้อย่าพูดคำว่ามองไม่เห็นอีก”


   เด็กหญิงได้แต่รับคำเสียงแผ่ว จำใจยอมพาพี่ชายออกจากห้องหอไปยังโรงครัว


ยามเดินผ่านพวกบ่าวไพร่ นางต้องคอยกระซิบบอกรติให้หันไปแสร้งทักทายราวกับมองเห็น ทั้งที่ความจริง เขามองไม่เห็นเลยสักคน


   นี่คืออาการผิดปกติของรติ


ยามใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือเจ็บป่วย นอกจากอาการตามโรคแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นทุกครั้งคือตาบอด แม้จะเป็นการบอดเพียงชั่วคราว แต่ก็สร้างความรำคาญใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องเข้ามาอยู่ในเรือนสกุลอหัสกร


   สามีไม่รักก็นับว่าแย่แล้ว ยังมีโรคประหลาดติดตัว เกิดคู่สมรสรู้เข้า จะหาเรื่องขับไล่สามพี่น้องออกจากเรือนไปด้วย คราวนี้คงจบเห่


   ครัวอยู่ถัดออกไปจากเรือนหลัก มีบ่าวอยู่ 2 คนกำลังก้มๆเงยๆเตรียมอาหาร รุจีกระซิบบอกและคอยกระตุกแขนผู้เป็นพี่ให้หันไปยังทิศทางที่แต่ละคนประจำอยู่


วันแรกที่ต้องพบปะผู้คน กลับมองไม่เห็นย่อมเป็นภาระใหญ่ โชคดีว่าเขาฉลาดเฉลียวและมีทักษะการแสดงเป็นเลิศ


   “ท่านตรัสให้ข้ามาช่วยดูแล จากนี้คงต้องรบกวนพวกเจ้าช่วยชี้แนะข้าด้วย”


เพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาให้คนเห็นข้องใจว่าเหตุใดนัยน์ตาของเขาจึงไม่จับจ้องใครสักคน รติจึงค้อมกายเป็นการทำความเคารพ ดูราวกับเขาช่างนอบน้อมและถ่อมตนจนสาวใช้ผู้อาวุโสที่สุดต้องถลาเข้ามาจ้บแขนเขาให้ยืดตัวตรง


   “ไม่ต้องมากพิธีเช่นนั้น ท่านเป็นถึงภรรยาของท่านตรัส จะทำความเคารพพวกข้าได้อย่างไรกัน”


รติเลี่ยงสายตาลงมองต่ำ เป็นอีกครั้งที่ท่าทีของเขาช่างสุภาพอ่อนน้อมจนแม่บ้านอย่างพุดกรองยังนึกเอ็นดู


“ข้าชื่อพุดกรองเป็นแม่บ้านที่นี่ ส่วนนั่นหลานสาวของข้า พุดซ้อน”


“ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่าน ข้ากับน้องสาวน้องชายขอฝากตัวด้วย” รติคำนับอีกครั้ง ดูสุภาพและมีมารยาทจนบ่าวไพร่เอ็นดู


   “แล้วพวกท่านทำอะไรได้บ้างเล่า” พุดกรองถาม


   “พวกข้าไม่ถนัดเรื่องงานบ้านงานเรือน ต้องรบกวนพวกท่านคอยชี้นำ จะพยายามเรียนรู้ให้ไว หวังว่าจะช่วยพวกท่านได้ไม่มากก็น้อย”


   “ถ้าเช่นนั้นให้เรื่องในครัวเป็นหน้าที่ของพวกเรา ส่วนพวกท่านสองพี่น้องก็คอยหยิบจับเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน”


รติยิ้มจาง ค้อมศีรษะเล็กน้อย แน่นอนว่าเขายังมองต่ำ ราวกับเป็นคนสุภาพเหลือประมาณ


พุดกรองกลับไปดูแลที่เตาไฟแล้ว รุจีจึงสะกิดผู้เป็นพี่ให้ไปช่วยกันจัดเตรียมอาหาร


อึดใจต่อมา ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในเรือนก็ก้าวอาดๆเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิด ตรัสเหลือบมองคนที่ยังยืนเด็ดผักราวกับไม่รู้การมาถึงของเขา ชายหนุ่มเห็นว่ารุจีสะกิดผู้เป็นพี่แล้ว แต่รติเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเด็ดผักเด็ดหญ้า


   ยโสโอหัง!


   “เสร็จจากงานในครัวก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า! หลังจากมื้อเช้าแล้วต้องไปเปิดร้านยา!”


รุจีชะงัก นางนึกหวั่นว่าพี่ชายผู้มองไม่เห็นจะไปเปิดร้านยาอย่างไร แต่พี่ชายของนางนั้นหาใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก


   “อะไรกัน เมื่อคืนพูดกับข้าแหม่บๆว่าเรื่องในเรือนให้เป็นกิจของข้า เช้านี้ตื่นมายังไม่ทันจะรับมื้อเช้าก็เพิ่มงานที่ร้านยาให้ข้าอีก ท่านแต่งกับคนนะขอรับ มิใช่แต่งกับอมนุษย์ผู้มีพละกำลังเหลือเฟือ”


นอกจากพูดโดยไม่หันมองคู่สนทนาแล้ว ยังใช้วาจาอวดดี ตรัสทั้งโกรธทั้งโมโห แต่บ่าวในครัวมีถึงสอง ไหนจะรุจีที่ยืนอยู่ข้างพี่ชายของนางอีก แม้จะโกรธเช่นไร แต่เขาก็นับว่าเป็นใหญ่ที่สุดในเรือน ย่อมต้องรู้จักควบคุมอารมณ์


   “ถ้าเช่นนั้นก็จงทำกิจในเรือนให้ดีแล้วกัน!!”


   แล้วตรัสก็สะบัดหน้าหมุนตัวเดินตึงตังออกจากโรงครัว ก่อนจะออกไปยังไม่วายสบถ


   “ยโส! โอหัง! อวดดี!”


   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสามคำนั้นมีให้ใคร


บ่าวทั้งสองและรุจีมองหน้ากัน ก่อนที่ต่างคนต่างรีบก้มหน้าก้มตาหันไปสนใจงานของตนเอง มีเพียงรติที่ยังคงมีทีท่าไม่เดือดร้อน เด็ดผักต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ตาจะบอดชั่วขณะแต่ประสาทหูของเขายังดี มีหรือจะไม่ได้ยิน


เพียงแต่...

   
มองไม่เห็นแล้วจะตามไปเอาเรื่องได้อย่างไรเล่า?!

   
ถือเสียว่าจะเป็นภรรยาผู้สงบเสงี่ยมหนึ่งวันยอมให้สามีดุด่าตามใจชอบก็แล้วกัน!


---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926
---------

เป็นภรรยาที่ถูกบังคับแต่งงาน แต่ทำตัวไม่น่าสงสารเลยสักนิดนะคะ ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 5... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 29/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-01-2020 19:59:47
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 5... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 29/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 29-01-2020 23:10:47
ติดตามตอนต่อไปจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 5... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 29/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 31-01-2020 15:56:17
เอ้า เป็นโรคประหลาดด้วย จะทำยังไงต่อไปหนออ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 5... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 29/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 31-01-2020 17:01:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 6... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 31/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 31-01-2020 22:47:13
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 6

สามีแสนดี

---------

   หลังมื้อเช้า ตรัสออกไปเปิดร้านยาเพียงลำพัง ส่วนรติยังคงทำหน้าตาไม่ทุกข์ไม่ร้อนเดินเตร่ไปทั่วเรือนโดยมีรุจีเป็นผู้ติดตาม


มื้อเที่ยง ตรัสกลับมาที่เรือน แน่นอนว่าตอนเขาพบรติกำลังช่วยตระเตรียมโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนานโดยมีน้องสาวน้องชายเป็นลูกมือนั้นเคืองสายตาคนทำงานหนักเป็นที่สุด ยิ่งผู้เป็นย่าใส่ใจ ‘หลานสะใภ้’ มากเพียงใด ตรัสก็ยิ่งหงุดหงิดมากเพียงนั้น


“พวกเจ้าสามพี่น้องเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ บ่ายนี้ก็ให้ตรัสพาไปเที่ยวแถวนี้สิ จะได้รู้ที่ทาง”


ความหวังดีของหญิงชรา รติน้อมรับ แต่เวลานี้ดวงตาของเขายังบอดสนิท ต่อให้ไปก็มองไม่เห็นแม้แต่ต้นไม้สักต้น


“ที่นี่อากาศหนาวกว่าเมืองทางใต้มากขอรับ เกรงว่าข้าจะเดินได้แค่สามก้าวก็ต้องกลับแล้ว เอาไว้คุ้นกับอากาศกว่านี้ ค่อยไปจะดีกว่าขอรับ” รติก้มหน้าตอบ ไม่ได้มองตาผู้ใดทั้งสิ้น


ท่านอมราหัวเราะน้อยๆ


“เห็นจะขี้หนาวจริง คลุมเสื้อเสียหลายตัว ถ้าหนาวมากก็ดื่มน้ำร้อนเยอะๆ ร่างกายจะได้อบอุ่น อีกหน่อยก็ชิน”


“ขอรับ” ร่างกายหนาวสั่นนั้นพอจะปิดบังด้วยการสวมเสื้อผ้าเนื้อหนาจนร่างพอง แต่น้ำมูกที่ประเดี๋ยวไหลประเดี๋ยวตันอยู่ในจมูกนั้นให้อย่างไรก็ปิดไม่มิด


รติสูดน้ำมูกเป็นระยะตลอดมื้อเที่ยง จนอมราชักเป็นห่วง


“เอ? หรือเจ้าจะเป็นหวัดเสียแล้ว ตรัสวัดไข้ภรรยาของเจ้าหน่อยซี” หญิงชราหันไปสั่งหลานชาย ตรัสยังไม่ทันปฏิเสธ รติก็รีบยกสองมือเป็นเชิงห้าม แน่นอนว่าเขามิได้หันไปปรามกับตรัสโดยตรงเพราะมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ทิศใด จึงต้องทำเป็นคนตลก ยกสองมือส่ายไปมาเหมือนเล่นละครลิง


“ข้ามิได้เป็นอะไร แค่เจออากาศเย็น ร่างกายปรับไม่ทันเท่านั้นเอง พรุ่งนี้ก็หาย”


“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ตรัสจัดยาให้สักหน่อย บำรุงร่างกายก็ยังดี” อมรายังมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้ว่าสามีแสนดีของรติจะไม่พูดคำใดเลยก็ตาม


“มิเป็นไรขอรับ มิเป็นไร ไม่รบกวนท่าน...” พูดไม่ทันจบ แขนข้างหนึ่งก็ถูกดึงไปโดยแรง รติสะดุ้งโหยง รู้ตัวอีกทีก็ถูกหงายข้อมือจับวัดชีพจรเสียแล้ว จากนั้นจึงตามมาด้วยหลังมือเย็นที่แนบลงกับหน้าผาก แก้ม และซอกคอของเขา


“มีไข้ ข้าจะให้คนต้มยาให้”


ไม่แน่ใจนักว่าสีหน้าของตรัสเป็นเช่นไร แต่น้ำเสียงทุ้มเรียบกริบ ฟังแล้วมิได้มีความปรารถนาดีให้หายป่วยเลยสักนิด


“โอ้ ขอบคุณๆ” รติรับคำลวกๆ ไม่อยากเสวนากับอีกฝ่ายมากนักเพราะไม่ทราบว่าตรัสฉลาดเฉลียวมากน้อยเพียงใด


“กินข้าวแล้วก็กินยา จะได้หายโดยไว”


“ทราบแล้ว”


แล้วสองสามีภรรยาไม่ได้พูดคุยสิ่งใดอีก


หลังมื้อเที่ยง ตรัสกลับไปทำงานที่ร้านยา ส่วนอมราเข้าห้องพักผ่อน รติไม่ใช่คนอยู่เฉย แม้จะตาบอดแต่เขาก็ให้รุจีหางานง่ายๆให้ทำ เด็กหญิงเสนอให้เขากวาดหิมะที่ลานบ้าน คนเป็นพี่จึงรีบขอไม้กวาดทันที


ทว่าสิ่งหนึ่งที่คนตาบอดชั่วขณะไม่ทราบ คือตรัสที่ออกไปที่ร้านยาแล้ว จู่ๆก็กลับมาที่เรือนเพื่อนำสมุนไพรมาให้บ่าวไพร่ต้มให้คนป่วยดื่มเพื่อรักษาอาการไข้หวัด แต่กลับต้องมาตาถลนเพราะคนป่วยที่ควรจะอยู่ในห้องหับกลับออกมายืนกวาดหิมะท้าอากาศ


“ใครให้เจ้าออกมาทำอะไรเช่นนี้! ไข้มิกลับรึ?!!”


รติสะดุ้งเฮือก ไม่คิดว่าตรัสจะอยู่แถวนี้ หนำซ้ำรุจีและระพีก็ไม่อยู่ อาการตาบอดก็ยังไม่หายดี จึงไม่รู้ว่าต้นเสียงมาจากทิศใด


แต่คนเฉลียวอย่างรตินั้นลูกเล่นแพรวพราว


เขาชูสองมือขึ้นกลางอากาศแล้วหมุนตัวไปมาอย่างร่าเริง เงยหน้าราวกับสนทนากับท้องฟ้า


“มิกลับ มิกลับ อากาศเย็นอย่างนี้สิยิ่งหายไข้ไว!”


“ประสาท!” เสียงก่นด่าดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเดินกระแทกเท้าตึงตังจากไป


รติหยุดหมุนตัวแล้วพ่นลมหายใจฟู่ รอดตัวไป


ตกเย็น ยาที่ตรัสสั่งให้บ่าวจัดหาให้รตินั้นมีสรรพคุณรักษาโรคไข้หวัดได้ชะงัดนัก น้ำมูกหยุดไหล ไข้หายเป็นปลิดทิ้ง จากที่มองไม่เห็นอะไรก็กลายเป็นเห็นภาพพร่าเบลอ ซึ่งนับว่าดียิ่ง


ตรัสกลับเข้ามาในเรือนตอนที่แสงอาทิตย์ใกล้หมด พบว่าภรรยาของตนนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้ว ทั้งที่อมรายังไม่มาด้วยซ้ำ


“ท่านย่าอยู่ที่ใด ทำไมเจ้าถึงนั่งโต๊ะก่อนผู้ใหญ่!”


“รุจีกำลังพามา...”


“ไร้มารยาท!”


รติสำรวม รับคำด่าโดยไม่เถียง แม้อาการป่วยจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังอ่อนล้าอ่อนเพลีย เมื่อครู่ถึงได้ถือวิสาสะนั่งโต๊ะก่อนใคร เชื่อเถอะว่าถ้าอมรามาเห็นเขานั่ง นางก็คงเข้าใจว่าเพราะร่างกายของเขาไม่เอื้ออำนวยจึงนั่งโดยไม่รอผู้ใด


ตรัสไม่ทันได้ดุด่ามากไปกว่านั้น พอดีกับที่เด็กหญิงชายจับจูงหญิงชราเข้ามาในห้อง รติเห็นร่างเงาเลือนรางของคนสามคนก็รีบลุกขึ้น แต่อมราโบกมือ


“ไม่ต้องลุก เจ้านั่งไปเถิด ร่างกายยังไม่หายดี”


“ออกไปท้าลมหนาวข้างนอก จะหายดีได้อย่างไร!” เสียงของตรัสยังดังเข้าหู รติอยากจะสงบปากสงบคำ แต่ติดที่ว่าอาการตาบอดตอนนี้เหลือเพียงพร่ามัว พอจะมองเห็นว่าตรัสอยู่ตรงไหนก็หันไปทางนั้น พร้อมต่อปากต่อคำด้วย


“ไข้หายแล้ว แค่ยังล้าเท่านั้น”


“นั่นก็เพราะดื้อด้าน!!”


“เอาเถิดๆ อย่าทะเลาะกัน มากันพร้อมแล้วก็กินข้าวกันดีกว่า” อมราห้ามทัพ ไม่วายสำทับให้รติกินให้มาก ร่างกายจะได้แข็งแรง ก่อนจะหันมาสั่งหลานชาย


“ตรัส กินข้าวเสร็จแล้ว เจ้าก็ตรวจภรรยาของเจ้าอีกสักครั้ง หากไม่หายขาดจะได้จัดยา”


“เอ้อ...ข้าว่าไม่ต้องกินยาแล้วนะขอรับ” รติรีบแย้ง ยาตำรับอหัสกรถึงจะให้ผลชะงัด แต่ทั้งขมทั้งเหม็น กินไปแค่มื้อเดียวก็แทบจะเป็นลมแทนเป็นไข้


“เจ้าเป็นคนป่วย จะหยุดยาเองได้อย่างไร นู่น ให้สามีของเจ้าสั่งการ” อมราหันมาดุหลานสะใภ้


“ข้าจะจัดยาให้กินต่อเนื่องไปอีกสามวัน”


“เห?! นั่นก็มากเกินไป!” รติร้อง


“จะได้หายขาด ไม่เป็นอีก ไม่ว่าจะโรคจริงหรือโรคสร้างภาพ!” ตรัสกล่าว แน่ใจนักว่าประโยคนี้หาได้มีความห่วงใย อีกทั้งยังด่าล้วนๆด้วยคำหลัง


รติทอดถอนหายใจ แต่งเข้าสกุลอหัสกรได้หนึ่งวันถ้วน ก็เก็บสะสมคำด่าได้แล้วเจ็ดคำ


ยโส โอหัง อวดดี ประสาท ไร้มารยาท ดื้อด้าน สร้างภาพ


   เก่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


...หมายถึงด่าเก่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว สามีแสนดีเอ๋ย...


---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926


------

รติได้สามีแสนดีจริงๆค่ะ แตอนนี้อาจไม่เห็น แต่อนาคตจะเป็นที่ประจักษ์ ฮ่าฮ่า

พูดคุยกันได้ทั้งที่นี่ ทั้งในแท็ก #คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต และใน  แอค(หลุม) (http://twitter.com/thamon926) ค่ะ

ขอบคุณทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 6... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 31/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 31-01-2020 23:32:31
ด่าเก่งจังพ่อ

เหตุการณ์ไหนหนอจะทำให้ตรัสสังเกตถึงความผิดปกติของรติ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 7... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 3/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 03-02-2020 18:07:04
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 7

รุจี และ ระพี

---------


   รุจีเกิดในสกุลร้านยาทางใต้ แม้ไม่ได้ร่ำรวยอย่างอหัสกร แต่ชีวิตครอบครัวและสภาพแวดล้อมนับตั้งแต่จำความได้ก็สงบสุขเรื่อยมา


จนกระทั่งผู้นำสกุลจากไป


พี่ชายอย่างรติก็พานางและระพีระหกระเหินออกจากบ้านเกิดพร้อมด้วยเงินทองก้อนสุดท้ายและจดหมายหนึ่งฉบับที่รติบอกว่าท่านปู่ทิ้งเอาไว้


   จุดหมายปลายทางนั้น รติแจ้งว่าคือเมืองทางตะวันออก


   นางคิดเอาว่า เมื่อถึงเมืองตะวันออกแล้ว รติก็คงหาบ้านคนรู้จักขอพักอาศัยสักระยะหนึ่ง จากนั้นค่อยขยับขยายหาที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง สกุลของนางมิได้สิ้นไร้ไม้ตอก รติมีความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค นางเองก็อายุ12แล้ว ย่อมดูแลทั้งพี่น้องและบ้านเรือนได้อย่างดี นับได้ว่าไม่น่าจะตกระกำลำบาก


   ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น กลับห่างไกลจากความคิดหลายขุม


   รติพามายังเรือนอหัสกร ขออยู่อาศัยไม่พอ ยังแต่งเข้าเรือนในฐานะสะใภ้อีกต่างหาก


   รุจีได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่ทันคิดอ่านทำการใด ไม่ต้องคิดเรื่องทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง ไม่ต้องคิดเรื่องหาที่พำนักเป็นหลักแหล่ง พี่ชายของนางแก้ปัญหาทั้งหมดเบ็ดเสร็จ


แต่งเป็นสะใภ้เข้าสกุลอหัสกร รุจีและระพีติดตามเข้าไปอยู่ในสกุลนั้น


สกุลอหัสกรนั้นร่ำรวย รุจีดูเอาจากเรือนกว้างขวางและการมีร้านยาอยู่ใจกลางเมือง กระนั้นคนในสกุลก็มีเพียงหยิบมือ เมื่อรติย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนนอนของตรัส นางและน้องชายก็ได้ห้องพักส่วนตัวอีกปีกหนึ่งของเรือน


   รุจีโตพอจะดูออกว่าการเข้ามาของพวกนางหาใช่สิ่งที่ตรัสพอใจ


คืนแรกหลังแต่งงาน รติเป็นไข้ แล้วเขาเหมือนคนทั่วไปเสียที่ไหน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ดวงตาจะมืดบอด แต่เขาก็ยังมิให้นางแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนในสกุลอหัสกรรู้ นางจึงทำได้เพียงหุบปากเงียบแล้วอำนวยความสะดวกให้เขาเท่าที่พอทำได้


   นอกจากเก็บงำความลับเรื่องของรติแล้ว การดูแลเด็กชายวัย 5 ปีอย่างระพีก็นับว่าเป็นหน้าที่ของนาง อีกทั้งสกุลอหัสกรก็ให้ที่อยู่และข้าวปลาอาหาร รุจีจึงอาสาดูแลท่านอมราผู้อาวุโสของอหัสกรเพื่อตอบแทนบุญคุณ


   เป็นอันว่าแม้จะอายุเพียง 12 แต่รุจีก็มีหน้าที่ล้นมือ


   ตรัสออกจากห้องพักผ่อนของผู้เป็นย่าแล้วก็พบเด็กหญิงยืนรออยู่หน้าประตู นางเห็นเขาก็ยอบกายนอบน้อม


“ท่านย่าต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ เผื่อข้าจะช่วยดูแลได้”


ตรัสมองเด็กหญิง อมราเล่าให้เขาฟังว่ารุจีดูแลนางอย่างดี อีกทั้งยังอ่านหนังสือให้ฟังด้วย หญิงชราผู้มีเพื่อนเพียงน้อยกับบ่าวไพร่ที่เห็นหน้าตากันมานาน เมื่อมีสมาชิกครอบครัวเพิ่มเข้ามาทั้งเด็กหญิงเด็กชาย ก็ย่อมดีใจ


   “ไม่แล้ว ท่านย่าเข้านอนแล้ว ขอบใจเจ้ามาก” เขากล่าวเรียบ แต่หาได้มีกระแสหงุดหงิดดังที่พูดกับพี่ชายของนางแต่อย่างใด


   รุจีค้อมศีรษะรับคำ มารยาทของนางนับว่าดีเยี่ยม


   “ท่านย่าเล่าว่าเจ้าช่วยดูแลและยังอ่านหนังสือให้ฟัง”


   เด็กหญิงยิ้มกว้าง มิได้เขอะเขิน ดูก็รู้ว่านางถูกเลี้ยงมาให้เข้าสังคมพบปะผู้คน


   “ข้าพอจะมีความรู้เรื่องอ่านเขียน จึงอยากตอบแทนอหัสกรบ้างเจ้าค่ะ”


เมื่อพูดเรื่องตอบแทนแล้ว ใจก็คิดไปถึงอาการของผู้เป็นพี่ ยาที่ตรัสจัดให้นับว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม เพราะเวลานี้รติเริ่มกลับมามองเห็นบ้างแล้ว ไข้หวัดหายแทบจะปลิดทิ้ง


   “เอ่อ...รวมถึงเรื่องยาที่ท่านตรัสจัดให้พี่รติ พี่รติอาการดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”


   ทว่าเมื่อกล่าวถึงรติ ก็ดูเหมือนตรัสจะเกร็งขึงไม่สบอารมณ์ แต่ไม่วายเปรยคล้ายฝากฝัง


   “อย่างไรก็ดูแลพี่ของเจ้าให้ดีแล้วกัน”


   “พี่รติไม่ใช่คนอ่อนแอ พรุ่งนี้ก็น่าจะหายเป็นปกติเจ้าค่ะ” สีหน้าสีตายามนางพูดถึงพี่ชายนั้นดูทั้งรักทั้งปรารถนาดี


ตรัสเป็นลูกคนเดียว ย่อมไม่เคยรู้สึกถึงการมีพี่หรือน้อง แต่เมื่อเห็นอากัปกิริยาของเด็กหญิง ก็พลอยให้เอ็นดู


   “เจ้าเป็นน้องที่ดี”


   “นั่นก็เพราะพี่รติเป็นพี่ที่ดีเจ้าค่ะ” นางแสนฉลาด ทว่าคำพูดของนางมิอาจทำให้ตรัสรู้สึกดี


   “คนเป็นน้องย่อมมองว่าพี่ของตนดี ไม่ใช่เรื่องแปลก” ชายหนุ่มกล่าว ใบหน้าเรียบเฉย


   “แต่ข้าไม่ใช่น้องหรือพี่ของเขา หากต้องการให้ข้ามองว่าเขาเป็นคนดี เขาก็ต้องทำให้ข้าเห็น” ตรัสกล่าวเช่นนั้นก่อนจะก้าวเท้าจากไป แน่นอนว่ารุจีย่อมเถียงไม่ออก กระนั้น ก็มีเรื่องหนึ่งที่ตรัสเองก็แย้งไม่ได้


ไม่ว่าจะน้องสาวหรือน้องชาย ล้วนมองว่ารติเป็นคนดี


---------


ระพี เป็นน้องชายผู้อายุห่างกับรติถึง 15 ปี ใบหน้ากลมเพราะยังเด็กแต่ก็มีแววคล้ายพี่ชายพี่สาว ดวงตาเรียวนัยน์ตาดำขลับ แต่ผิวขาวหยวกผิดแผกจากพี่ กระนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ระพีเป็นเด็กเรียบร้อย รู้ความ แต่ก็ช่างซักช่างถามตามวัย


   ตรัสต้องออกไปดูแลร้านยา ย่อมไม่ทราบว่าวันๆหนึ่งเด็กชายผู้นี้เล่นสนุกอะไรและอย่างไร แต่เมื่อกลับมาถึงเรือนเขาก็พบว่า ยามที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยกำกับ เด็กชายจะนั่งอ่านหนังสือบ้าง วาดรูปเล่นบ้าง มิได้โลดโผนให้น่าเป็นห่วง


   วันนี้ เมื่อกลับมาถึงเรือนก็พบว่าระพีกำลังนั่งอยู่ที่โถงรับรอง ในมือมีกระดาษและปากกาจุ่มหมึก ดวงตาดำขลับจับจ้องสวนนอกเรือนอย่างสนอกสนใจ


   “ระพี...” เสียงเรียกทำให้เด็กชายหันมอง พอเห็นเป็นตรัส เด็กชายก็รีบลุกขึ้นคำนับ


   “ทำอะไรอยู่”


   “วาดรูปขอรับ...” เด็กชายตอบเสียงเบา เหลือบมองผู้ใหญ่อย่างกล้าๆกลัวๆ


   “ขอข้าดูได้ไหม” ทว่าเมื่อตรัสขอ ใบหน้ากลมก็กลายเป็นขยับยิ้มกว้างอย่างยินดี รีบส่งให้


   “นี่ขอรับ!”


   กระดาษแผนหนึ่ง มีรูปอยู่สามรูป เป็นรูปสวนหินส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นรูปใบหน้าของคน อีกส่วนเป็นรูปท้องฟ้า ลายเส้นยังไม่คงที่นัก แต่ก็ดูรู้ว่ามีพรสวรรค์


   “เก่ง”


   ยิ่งได้รับคำชม รอยยิ้มของเด็กชายก็ยิ่งเก็บไม่อยู่ แย้มกว้างอย่างดีใจ


   “แล้วทำไมมีสามรูปในกระดาษแผ่นเดียว หากเจ้าอยากได้กระดาษเพิ่ม ข้าจะเอามาให้”


   เด็กชายสั่นศีรษะไปมา


   “พี่รติบอกว่าต้องประหยัดขอรับ ให้วาดรูปได้วันล่ะหนึ่งแผ่น แต่จะวาดได้ก็ต้องอ่านหนังสือก่อน วันนี้ระพีอ่านหนังสือไปสามหน้า ก็เลยวาดสามรูปขอรับ”


   “พี่ชายของเจ้าไม่ให้วาดรูปหรือ”


   “ไม่ใช่ขอรับ พี่รติชอบรูปของระพีมาก ชมว่าสวยทุกครั้ง แต่ท่านปู่ต่างหาก...” พูดแล้วเด็กชายก็ก้มหน้าคางแทบชิดอก แม้ท่านปู่จะเข้มงวดและไม่ชอบรูปของระพี แต่บัดนี้ท่านปู่เดินทางไกลไม่ได้พบกันอีกก็อดคิดถึงไม่ได้


   ตรัสนิ่งไปเล็กน้อย ปู่ของทั้งสามคงไม่อยากให้ระพีวาดรูป แน่ล่ะ ศิลปินวาดรูปขายจะดำรงชีพอย่างเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร อีกทั้งสกุลของรติก็มีตำรับยาเป็นของตนเอง หากจะไม่สนับสนุนให้เด็กชายวาดรูปก็ไม่แปลก


   กระนั้น กลับเป็นฝ่ายรติที่ตามใจน้อง แต่ก็มิได้ตามใจตะพึดตะพือ


   “แล้ว...พี่ชายของเจ้าอยู่ที่ไหน”


เมื่อคิดไปถึงรติ ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเพราะไม่เห็นแม้แต่เงา


   “ยังไม่กลับมาเลยขอรับ ท่านตรัส ข้าขอกระดาษมาวาดรูปต่อได้ไหมขอรับ ข้าจะวาดหิมะตรงสวนหิน”


   ตรัสส่งกระดาษคืน แต่ไม่วายถามต่อ


   “ยังไม่กลับ แล้วไปไหน”


   “พี่รติไม่ได้บอกขอรับ ออกไปตั้งแต่เช้า บอกว่าจะซื้อขนมมาฝาก คราวนี้ขอออกไปคนเดียวก่อน หากไม่อันตราย คราวหน้าจะมาพาระพีไปด้วยขอรับ!”


   ตรัสฉุนกึก ยังไม่ทันสอบสวนเอากับเด็กชาย เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากประตู


เพียงตวัดสายตาไปมองก็พบว่าคนที่เขาสั่งให้ดูแลกิจการในเรือน เพิ่งกลับมาถึง...ภายหลังเขาที่ออกไปทำงานเสียอีก!!


   สุดจะทน!


   เสียงตวาดของผู้นำสกุลอหัสกรจึงดังลั่น


“เจ้าไปไหนมา!!!”


---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


ท่านตรัสเอ็นดูทุกคน ยกเว้นภรรยานะคะ


ไม่รู้จะสงสารภรรยาของท่านตรัส หรือสงสารท่านตรัสดี


ขอบคุณทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 7... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 3/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-02-2020 20:42:57
ด่าไฟแลบเลยพ่อเอ๊ย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 7... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 3/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 03-02-2020 22:00:34
ดีที่รติรู้จักเถียงแบบมีเหตุผล แถมฉลาดด้วย รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 7... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 3/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 03-02-2020 23:00:55
เบาพ่อเบา

ถามก่อนด่านะพ่อ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 8... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 05/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 05-02-2020 17:32:14
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 8

ตรัส

---------
   
ใครๆก็ว่าตรัสเกิดมาพร้อมกับความชาญฉลาด อายุ 3 ปีก็แยกออกว่าสมุนไพรใดรักษาโรคได้ สมุนไพรใดเป็นพิษ อายุยังไม่ถึง 5 ปีก็อ่านออกเขียนได้


ช่างเป็นทายาทแห่งอหัสกรผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์


ทว่า...พรสวรรค์ของเขาแลกมาด้วยความอาภัพ


ตรัสเสียมารดาไปเมื่อตอนอายุได้ 6 ปี พออายุได้ 15 บิดาก็หายสาบสูญ


ยามนั้น เขากำลังจะสอบเข้าโรงเรียนแพทย์ในเมืองหลวง แต่สกุลอหัสกรเหลือเพียงหญิงชราอย่างอมรากับกิจการร้านยาและบ่าวไพร่ที่ต้องดูแล เด็กหนุ่มวัย 15 จึงกลับมายังบ้านเกิด และลุกขึ้นมาเป็นผู้นำสกุล


แม้ไม่ได้จบจากโรงเรียนแพทย์โดยตรง แต่เพราะมีความรู้ประจำสกุล อีกทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ พออายุได้ 16 ตรัสจึงเข้าสอบเพื่อขอใบประกาศรับรองวิชาชีพ


เวลานั้น การสาธารณสุขทั่วแดนไม่ใคร่ดี มีหมอที่มีความรู้ตามหลักการน้อย อีกทั้งโรงเรียนแพทย์ก็ตั้งอยู่ในเมืองหลวง คนจากเขตต่างๆย่อมเดินทางมาเรียนไม่สะดวก ส่วนกลางจึงออกนโยบายผลิตหมอและร้านยาทางลัด โดยผู้จะเปิดร้านยาต้องมีเงื่อนไขตรงตามที่ส่วนกลางกำหนด และผู้เป็นหมอประจำร้านยาต้องสอบผ่านข้อสอบของโรงเรียนแพทย์ เพียงเท่านี้เป็นอันว่าคุณสมบัติครบถ้วน สามารถเปิดร้านยาและเป็นหมอได้โดยไม่ต้องสมัครสอบและเข้าเรียนที่โรงเรียนแพทย์ในส่วนกลาง


หมอที่ได้รับใบประกาศรับรองวิชาชีพด้วยวิธีนี้มีน้อยคนนัก แต่ดังที่กล่าว ตรัสเป็นผู้มีพรสวรรค์


เพียงวัย 16 ปี ตรัสสอบผ่าน เขาได้เป็นหมอและดำเนินร้านยาของสกุลสืบมาจนปัจจุบัน


อย่างไรก็ตาม เพราะตรัสเป็นทายาทเพียงผู้เดียวของอหัสกร ภาระหน้าที่ของเขาไม่เพียงต้องบริหารกิจการร้านยาอหัสกร รักษาอาการเจ็บป่วยของคนไข้ ขายยาสมุนไพรแขนงต่างๆ แต่ยังรวมถึงดูแลความเรียบร้อยในเรือน ชีวิตประจำวันครึ่งหนึ่งหมดไปกับการทำงาน อีกครึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งดูแลกิจการในเรือน อีกส่วนดูแลท่านย่าอมรา


เมื่อตารางชีวิตแน่นเอี้ยดถึงเพียงนี้ ย่อมหมายความว่าชายหนุ่มไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างครอบครัวใหม่หรือหาสะใภ้เข้าสกุลแต่อย่างใด


‘แค่นี้ก็ยุ่งจะแย่ ข้าจะเอาเวลาไหนไปหาเมีย’ ตรัสเคยตอบเพื่อนฝูงเช่นนั้น เมื่อถูกถามว่าเหตุใดจึงไม่สร้างครอบครัวเสียที


‘อย่างเจ้า ต้องใช้เวลาหาด้วยหรือ?!’


‘ไม่ใช้เวลา แล้วไปคว้าสุ่มสี่สุ่มห้า จะได้ภรรยาที่ดีรึ’


ตรัสเชื่อหมดใจว่าหากจะสร้างครอบครัว ต้องเลือกเฟ้นภรรยาอย่างถ้วนถี่


ภรรยาของเขาต้องเป็นสตรีผู้อ่อนหวานเรียบร้อย ทำอาหารเป็น ดูแลกิจการในเรือนได้ไม่ขาดตกบกพร่อง บ้านช่องสะอาดสะอ้าน นอกจากจะเอาใจใส่เขาแล้ว ก็ต้องดูแลท่านย่าและบ่าวไพร่ในบ้านอย่างดี นอกจากนั้นต้องมีความรู้ อ่านออกเขียนได้ แม้ไม่รู้ตำรับตำรายาใดๆ แต่ต้องรู้จักทำบัญชีรับจ่าย ใช้ลูกคิดเป็น และมีนิสัยอดออม


เรียกว่าภรรยาที่ตรัสคิดจะสร้างครอบครัวด้วย ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งกริยา มารยาท ความรู้และนิสัย
ไฉนเล่า สิ่งที่หวังกับสิ่งที่เป็นถึงไม่เหมือนกัน

.

.

.

   “ข้าให้เจ้าดูแลกิจการในเรือน แล้วเจ้าหายไปไหนมา!”


หลังจากแต่งงานได้สามวัน รติก็หายจากอาการหวัด พอหายปุ๊บ ก็ออกจากเรือนปั๊บ


วันแรกและวันที่สองที่หาย ตรัสไม่ทราบว่าภรรยาหนีไปเที่ยวตลาด มาทราบเอาวันที่สาม


ตกเย็น พบหน้าระพี เด็กชายบอกว่าพี่ชายออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า แถมพอเจ้าตัวกลับเข้าเรือน จมูกยังแดงก่ำเป็นหลักฐานว่าอยู่ข้างนอกมาทั้งวัน


แต่จมูกแดงก็เป็นเรื่องของจมูก คนอย่างรตินั้นยังคงมีใบหน้าแช่มชื่นอยู่เสมอ


“ข้าเพิ่งย้ายมาอยู่ ก็ต้องรู้จักที่ทาง” รติตอบ หน้าตาไม่ได้ยี่หระกับความถมึงทึงของฝ่ายสามีแต่อย่างใด


“แล้วงานการที่เรือนเสร็จแล้วหรือไร?!”


“ในเรือนก็มีบ่าวไพร่ดูแลความสะอาดและอาหารสามมื้ออยู่แล้ว ไม่มีงานใดให้ข้าทำสักหน่อย”


“อ้อ! งานน้อย คนเยอะอย่างนั้นรึ?!”


“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ไม่พูดเปล่ายังยักไหล่อีกต่างหาก “สู้ให้ข้าไปเปิดหูเปิดตาไม่ดีกว่าหรือ นี่นะ...ข้าใช้เวลาสามวันก็เที่ยวจนทั่วทั้งเมืองแล้ว บอกได้เลยว่าร้านไหนอยู่ที่ใด!”


ตรัสไม่รู้ว่าความโมโหพุ่งมาจากไหน แต่มันทำให้เขาหัวร้อนจนแทบลุกเป็นไฟท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของฤดูหนาว


“ดี! ในเมื่ออยากเปิดหูเปิดตา! ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่พรุ่งนี้ เจ้าต้องออกไปทำงานที่ร้านยากับข้า!”


คนสั่งหน้าตาบูดบึ้ง แต่คนระรื่นทำตาระริกระรี้ ดีใจจะได้ออกไปเที่ยวอีกหน!


เห็นหน้าตาของภรรยาแล้ว ตรัสก็ยิ่งหงุดหงิดเหลือประมาณ


นี่อย่างไรเล่า ถึงได้บอกว่าภรรยาต้องเลือกต้องเฟ้น มิใช่คว้าเอาสุ่มสี่สุ่มห้า มิเช่นนั้นจะได้ภรรยาเช่นนี้!!


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

วันนี้ก็ว่าคว้าเอาสุ่มสี่สุ่มห้า ได้ภรรยาเช่นนี้

แต่วันหน้าจะขอบคุณวันนี้ค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณทุกการอ่านค่ะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 8... -​- หน้า 1 -- (อัพเดต 05/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 05-02-2020 23:05:59
รติมีแผนการณ์สำหรับตัวเองแล้วแน่ๆ ถึงออกไปสำรวจที่ทาง
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 9 ร้านยาอหัสกร -- (อัพเดต 07/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 07-02-2020 21:29:12
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 9

ร้านยาอหัสกร

---------


กลางเมืองของเขตตะวันออกนั้นพลุกพล่านสมกับเป็นเมืองใหญ่ของภูมิภาค



ใจกลางเมืองเป็นน้ำพุขนาดใหญ่ แต่ช่วงฤดูหนาว น้ำในบ่อกลายเป็นน้ำแข็ง น้ำพุก็ย่อมหยุดไปด้วย ช่วงที่น้ำแข็งหนาพอเหมาะ พวกเด็กๆ จะลงไปวิ่งเล่นด้วยรองเท้าที่ทำจากวัสดุพิเศษ ทำให้ลื่นไถลเป็นที่สนุกสนาน



ร้านยาอหัสกรตั้งอยู่ใกล้น้ำพุ นับว่าทำเลดี อีกทั้งยังเป็นร้านยาเก่าแก่ ตำรับยามีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์



ร้านยาอหัสกรมีหมอประจำหนึ่งคนคือตรัส ซึ่งเป็นทายาทโดยตรงของสกุล เมื่อตรวจคนไข้หรือทำการรักษาแล้ว จะเขียนใบสั่งยาให้นำไปมอบที่ตู้กระจกหน้าร้านซึ่งมีชายชราผู้หนึ่งเป็นผู้จัดยา ตาเฒ่าผู้นี้เป็นมือฉมังในการหยิบยาที่อยู่ในตู้ลิ้นชักสูงจากพื้นจรดเพดาน แต่ความชราทำให้มิอาจคล่องแคล่วได้อย่างเก่า อีกทั้งสายตาก็ฟ่าฟาง บางครั้งทำให้คนไข้ไม่เชื่อมั่น



เมื่อรับยาแล้ว ตรัสจะเป็นคนคิดค่ารักษาและค่ายา เป็นผู้รับและทอนเงิน ถือเป็นอันเสร็จกระบวนการตรวจรักษาคนไข้หนึ่งคน



“เข้าๆ ออกๆ ไม่เหนื่อยแย่หรือ”



วันแรกที่รติมาเยือนร้านยาอหัสกรก็ตั้งคำถามทันทีที่เห็นตรัสอยู่ไม่สุข ประเดี๋ยวตรวจคนไข้ ประเดี๋ยวออกมาคิดเงิน



“เรื่องของข้า! เจ้ามีหน้าที่ช่วยจัดยาก็เรียนรู้ให้ไว!” สามีแสนดีกล่าวเช่นนั้น จากนั้นก็เรียกคนไข้อีกรายเข้าไปตรวจในห้อง รติเบ้ปาก ก่อนจะหันไปท่องจำตู้ลิ้นชักด้านหลังตามที่ชายชราสอน



เพราะสกุลของรติก็เป็นสกุลทางด้านการรักษาโรค แม้สมุนไพรที่นี่จะแตกต่างจากบ้านเกิด แต่เมื่อมีพื้นฐานแต่เดิม ย่อมต่อยอดไม่ยาก ใช้เวลาเพียงสองวันก็จำสมุนไพรในตู้ลิ้นชักได้ทั้งหมด



“ท่านรติเก่งจริงๆ ขอรับ ใช้เวลาเพียงสองวันก็จำได้แล้วว่ายาใดอยู่ลิ้นชักใด และยาใดใช้สำหรับใคร” ชายชราชมเชยให้ตรัสฟัง แล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างสบายใจ



“ข้าคงหมดหน้าที่แล้ว จากนี้จะกลับไปปลูกสมุนไพรที่เรือนอย่างเดียว” ชายผู้นี้มีเรือนเล็กๆ อยู่ท้ายตลาด ที่ยังทำงานให้กับร้านยาอหัสกรทั้งที่แก่ชรามากแล้วก็เพราะทั้งปู่และบิดาของตรัสว่าจ้างตั้งแต่เขายังหนุ่มแน่น เมื่อเหลือเพียงตรัส จึงช่วยงานเรื่อยมา วันนี้เมื่อมีคนทำหน้าที่แทนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ก็พร้อมจะเกษียณ



“เขาเพิ่งเรียนได้เพียงสองวัน...”



ชายชราส่ายหน้าไปมา



“เชื่อเถิด ภรรยาของท่านทั้งเก่งทั้งฉลาด ท่านโชคดีเหลือเกินที่ได้ท่านรติมาเป็นคู่ชีวิต”



คนจะไป เหตุใดก็รั้งไม่ได้ อีกทั้งยังอายุมากแล้ว ตรัสก็ไม่อยากดื้อดึง ยินยอมปล่อยให้ชายชราปลดเกษียณกลับไปปลูกสมุนไพรที่เรือนตามใจ



“แต่หากต้องการความช่วยเหลืออะไร ไปเรียกข้าได้เสมอ”



ตาเฒ่าจากไปแล้ว ทิ้งงานหน้าร้านเอาไว้ให้รติดูแล และแน่นอนว่าตรัสย่อมกังวลใจ



ช่วงแรก คนกังวลย่อมอยู่ไม่สุข เมื่อตรวจคนไข้แล้วก็ถือใบสั่งยาออกมาส่งที่หน้าร้านด้วยตนเอง เฝ้ามองรติหยิบยาจากตู้ลิ้นชักด้านหลัง แม้จะไม่คล่องแคล่วนัก แต่ก็ไม่มีข้อผิดพลาด



พ้น 7 วันจึงเริ่มสบายใจ แต่หลังตรวจคนไข้ เขาต้องออกมาคิดเงินค่ารักษาอยู่แล้ว จึงถือโอกาสสอดส่องคนจัดยาไปในตัว



หารู้ไม่ คนจัดยาก็สอดส่องเจ้าของร้านผู้เข้าๆ ออกๆ จากห้องตรวจเช่นกัน



“ท่านจะเข้าๆ ออกๆ ทำไม ไม่เหนื่อยหรือ ก็ให้ข้าเป็นคนเก็บเงินคนไข้เสียเลยซี”



ตรัสหันมามอง ดวงตาเริ่มเอาเรื่อง แต่รติยกมือห้ามเสียก่อน



“ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะขโมยเงินหรอก ท่านก็จดเอาไว้ว่าตรวจคนไข้คนไหน คิดค่ายาค่ารักษาเท่าไรบ้าง ตกเย็นปิดร้านก็มานับว่าเงินที่ข้าเก็บกับเงินที่ท่านจดตรงกันหรือไม่ หากไม่ตรงก็มีสองเหตุ หนึ่งข้าขโมยหรือไม่ก็สมองข้ามีปัญหาสายตาฟ่าฟาง คิดเงินตกหล่นทอนเงินผิดพลาด กับสอง ท่านจดผิด”



ตรัสขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากดุแต่ไม่รู้จะดุอย่างไร อยากแย้งก็ไม่รู้จะแย้งท่าไหน รติพูดถูกว่าเขาไม่เหนื่อยหรือ ตรวจคนไข้แล้ว ก็ยังออกมาคิดเงินค่ารักษาด้วยตัวเอง เก็บเงิน ทอนเงินแล้วก็เข้าไปในห้องตรวจใหม่ บางวันที่คนไข้น้อยก็ไม่เหนื่อยมากนัก แต่บางวันคนไข้เยอะก็พลอยเอาล้าไปทั้งร่างกาย



“แล้วไม่ต้องกลัวข้าจะเชิดเงินท่านหนีหรอก น้องข้าสองคนก็อยู่ที่เรือนของท่านไม่ใช่รึ”



ไม่ทราบว่าคำหว่านล้อมของรติมีเสน่ห์ตรงส่วนใด สุดท้ายตรัสถึงได้ยอมยกหน้าที่ทั้งจัดยาและคิดเงินค่ารักษาให้ดูแล ส่วนตนเองนั่งตรวจคนไข้อยู่ในห้องเพียงอย่างเดียว



เมื่อนั้นจึงพบว่า...การเชื่อใจและยอมให้ใครสักคนแบ่งงานไปจากมือตน ก็ทำให้ชีวิตสบายขึ้นมากทีเดียว


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ท่าตรัสเริ่มไว้ใจภรรยาแล้ว สบายขึ้นเยอะเลยจริงมั้ยคะ ท่านตรัส ^^

ขอบคุณทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 9 ร้านยาอหัสกร -- (อัพเดต 07/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-02-2020 00:30:18
รอตอนต่อไปน๊าาา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 9 ร้านยาอหัสกร -- (อัพเดต 07/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 08-02-2020 05:16:17
ตรัสต้องมีคนแบ่งเบาภาระมั้ง ที่ผ่านมาดูเคร่งเครียด อาจจะเพราะทำงานทุกอย่างคนเดียว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 9 ร้านยาอหัสกร -- (อัพเดต 07/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-02-2020 03:14:54
มีงานทำแล้วรติ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 10 ภรรยาก็แสนดี -- (อัพเดต 10/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 10-02-2020 18:42:37
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 10

ภรรยาก็แสนดี

---------



แม้จะเป็นสามีภรรยา แต่ตรัสและรติย่อมไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแต่ประการใด



หนึ่ง...เพราะตรัสและรติเป็นชาย ที่มิได้พิศวาสชายด้วยกัน



สอง...เพราะตรัสและรติมิได้มีความรู้สึกรักใคร่ลึกซึ้งต่อกัน



และสาม...เพราะทั้งตรัสและรติ...แยกกันนอน



จริงอยู่ว่าทั้งคู่ยังอาศัยอยู่ในเรือนนอนเดียวกัน แต่เรือนนั้นมีสองส่วนอย่างที่กล่าวไปแล้ว คืนแรกหลังแต่งงาน รติถูกมัดแขนกับเสาเตียง คืนต่อๆ มา เมื่อตรัสออกจากห้องน้ำมาพบว่าเตียงโดนคนไร้ยางอายยึดไปแล้ว เขาย่อมไม่แทรกตัวลงไปนอนด้วย แม้เตียงจะกว้างพอสำหรับสองคนก็ตามที



ทีนี้ทำอย่างไร



ตรัสยังหนุ่มแน่น คืนแรกหลังแต่งงาน นอนไม่หลับเพราะหงุดหงิดเหลือประมาณ แต่มิได้หมายความว่าเขาจะไม่ต้องนอนติดต่อกันหลายๆ คืนได้



คืนต่อๆ มา อาศัยไปนอนที่โถงรับรอง แต่ไม่ได้สบายเลยสักนิด หลับๆ ตื่นๆ จนอ่อนล้า สุดท้ายทนไม่ไหวกลับมาที่เรือนของตนเอง



เรือนนอนมีสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นห้องพักผ่อนที่อยู่ด้านในที่ถูกรติยึดไปแล้ว อีกส่วนซึ่งเป็นห้องทำงานของเขา มีตั่งยาวตัวหนึ่ง ตรัสจึงอาศัยนอนตรงนั้นแทน



รติไม่เคยทราบว่าสามีไปนอนที่ใด และไม่เคยคิดจะถาม จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งออกจากห้องนอนแล้วก็พบตรัสนอนเหยียดยาวอยู่บนตั่งในห้องทำงาน



อากาศยามเช้ามืดนั้นหนาวจัด แต่คนที่นอนบนตั่งยาวยังคงนอนนิ่งไม่กระดิกสักนิด ดูแล้วน่าหวั่นใจว่าหนาวตายหรือไม่ จึงเดินเข้าไปสอดส่องใกล้ๆ



รติยื่นนิ้วไปอังใต้จมูกก็พบว่ายังหายใจ เป็นอันว่าไม่หนาวตาย แต่...จะหนาวไหม?



คนจากเมืองใต้ผู้ไม่คุ้นชินกับอากาศหนาว มองอีกฝ่ายแล้วก็ตัดสินใจหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอน เปิดตู้ไม้หยิบเอาผ้าห่มผืนใหม่ แล้วเดินกลับออกมาคลุมให้กับคนที่ยังนอนอยู่



ตรัสดูจะหลับสนิท เพราะไม่ว่าจะมีผ้าห่มคลุมหรือไม่ เขาก็ยังนอนนิ่ง รติมิได้อยู่รอดูอากัปกิริยาอีกฝ่าย พอทำเท่าที่ตนเห็นสมควรแล้ว จึงออกจากห้องไปดูแลงานในครัวและเตรียมโต๊ะมื้อเช้าตามหน้าที่



เป็นฝ่ายคนตื่น ที่มึนงงกับผ้าห่มซึ่งไม่มีที่มาที่ไป แต่ก็พอคาดเดาได้ไม่ยาก ในเมื่อเรือนนอนแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดเข้าออกในยามกลางคืน นอกจาก...รติ



รติ...นำผ้าห่มมาให้เขาอย่างนั้นหรือ



แม้จะมีอคติ แต่ตรัสหาใช่คนหลอกตนเอง เมื่อคนมีน้ำใจให้แก่เขา ก็ย่อมต้องขอบคุณ



ตอนที่ร่วมโต๊ะมื้อเช้าด้วยกัน ตรัสจึงตักเนื้อผัดแบบเผ็ดมาใส่ชามข้าวให้คนข้างกาย รติชะงักเงยหน้ามองเพราะไม่เคยได้รับน้ำใจเช่นนี้จากอีกฝ่าย



“ข...ขอบคุณ”



ไม่เพียงรติที่แปลกใจ แต่ทั้งอมราและรุจีก็มองชายหนุ่มตาค้าง ตรัสรู้ว่าการที่เขาทำในสิ่งที่ไม่เคยทำย่อมเป็นเป้าสายตา ดังนั้นเมื่อตักให้แล้วครั้งหนึ่งก็ย่อมไม่ทำครั้งที่สอง และหากจะพูดขอบคุณในน้ำใจที่รติยกผ้าห่มมาให้เขา ก็เอาไว้กระทำเมื่ออยู่กันเพียงสองคน



แต่...คนบางคนดูจะไม่เข้าใจ



อีกทั้งยังมีนิสัยได้คืบจะเอาศอก



“เอ้อ...ถ้าท่านไม่ว่าอะไร ตักผัดผักให้ข้าด้วยได้ไหม” เสียงของรติดังขึ้น ตรัสเหลือบมองเล็กน้อย แต่ก็ยอมตักผัดผักมาใส่ชามให้



“ขอบคุณ ท่านอยากได้อะไรจากฝั่งนี้ไหม ข้าจะตักให้”



“ไม่...”



“ไม่เป็นไรหน่า ข้าบริการให้” รติเห็นอีกฝ่ายมีน้ำใจแก่ตน ก็อยากจะแสดงน้ำใจกลับ ออกตัวบริการ ตักกับข้าวมาใส่ชามให้ตรัสจนแทบพูน ฝ่ายสามีไม่รู้จะปรามอย่างไร สุดท้ายเลยต้องรีบตักข้าวรับประทานให้หมด



มื้อเช้าวันนั้น จึงมีชายหนุ่มที่อิ่มตื้อเพราะรีบเคี้ยวรีบกลืน ในขณะที่อมราและรุจีมัวแต่อึ้งจนรับประทานไม่ลง และรติกับระพีที่รับประทานอาหารโดยไม่รู้อะไร



จบมื้อเช้า สองสามีภรรยาก็ออกจากเรือนไปเปิดร้านยาอหัสกรเช่นเคย ระยะทางพอเดินได้ ไม่ไกลนักแต่ก็มีเวลาพอจะพูดคุยกัน ตรัสจึงเอ่ยปากขึ้นมา



“ขอบใจเจ้ามาก”



“เรื่อง?” รติหันมาถาม



“ผ้าห่ม”



รติโบกมือไปมา



“ไม่เป็นไรๆ ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านตาย”



ตรัสชะงัก หันมอง



“อ้าว ก็ข้ากลัวท่านหนาวตาย ในเรือนมีแค่ท่านกับข้า เกิดท่านตายขึ้นมา ข้าก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ยิ่งข้าเพิ่งแต่งกับท่านด้วยแล้ว คราวนี้คงถูกเพ่งเล็งว่าหมายจะฮุบสมบัติ เพราะฉะนั้น...ถ้าท่านจะตาย จักต้องไม่ตายตอนอยู่กับข้า” รติตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่คนฟังไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศแต่อย่างใด



ไม่ใช่ห่วงใย ไม่ใช่น้ำใจ ไม่ใช่มนุษยธรรม แต่ 'ถ้าท่านจะตาย จักต้องไม่ตายตอนอยู่กับข้า'



“เจ้านี่มัน!!” ตรัสไม่รู้จะดุด่าอย่างไร สุดท้ายจึงได้แต่สะบัดหน้า ก้าวเท้าฉับๆ จากไปทันที



ภรรยาแสนดีมีจริง แต่มิใช่รติแน่นอน!



---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ภรรยาแสนดีจริงๆนะคะ น่ารักด้วยค่ะ

ห่มผ้าให้เพราะกลัวตัวเองกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหวังฮุบสมบัติ ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 10 ภรรยาก็แสนดี -- (อัพเดต 10/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 10-02-2020 19:56:39
จะรักกันยังไงหนอ  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 10 ภรรยาก็แสนดี -- (อัพเดต 10/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-02-2020 01:06:27
อันนั้นก็ขวานผ่าซากเกิน~555
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 11 ภรรยายังแสนฉลาด -- (อัพเดต 12/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 12-02-2020 18:04:45
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


บทที่ 11


ภรรยายังแสนฉลาด

---------

   
แม้จะเพิ่มแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้สกุลอหัสกรได้ไม่นาน แต่เพราะติดตามไปร้านยาทุกวัน รติจึงเห็นเค้าลางที่ทำให้ตรัสมักจะมองพวกเขาสามพี่น้องอย่างหงุดหงิดเสมอ 


บ่าวไพร่ในร้านยาเป็นคนเก่าคนแก่หรือไม่ก็บุตรหลานของคนเก่าคนแก่ มีสองคน ส่วนที่เรือนอหัสกรมีบ่าวไพร่สี่คน เป็นหญิงสามคนที่ทำอาหาร ดูแลความสะอาดเรือนและดูแลท่านอมราไปด้วย และเป็นชายอีกหนึ่งคอยดูแลสวนและซ่อมแซมของใช้ในเรือน ทั้งหมดคนนี้ล้วนเป็นญาติพี่น้องกัน


   เมื่อครั้งร่ำรวย บ่าวไพร่จำนวนเท่านี้ไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อทั้งสกุลมีเพียงคนเดียวที่ทำงานหาเงินได้ การแบกรับคนเกือบสิบ ย่อมเป็นความลำบาก


แต่ครั้น จะบังคับบ่าวไพร่พวกนี้ให้ออกก็ไร้คุณธรรม เมื่อเลี้ยงเอาไว้ก็เต็มกลืนแล้วสำหรับการทำมาหากินอยู่เพียงผู้เดียว ดังนั้นเมื่อสามพี่น้องเข้ามาอยู่เพิ่ม ตรัสจะมองเป็นภาระก็ไม่แปลกใจสักนิด

.

.

.

   ดึกมากแล้ว แต่ในห้องทำงานของตรัสยังคงมีแสงตะเกียงลอดออกมา ดังนั้นภรรยาผู้นอนอยู่ในห้องข้างๆจึงย่อมเห็นว่าสามียังไม่พักผ่อน


   รติลุกจากเตียง ก้าวเดินด้วยฝีเท้าเบาไปยังห้องทำงาน ภาพของชายหนุ่มร่างสูงผู้มักทำหน้าตาหงุดหงิดใส่เขา แต่ขณะเดียวกันก็ตั้งอกตั้งใจรักษาคนเจ็บคนป่วย ยามอยู่กับผู้เป็นย่าก็สุภาพอ่อนโยน หรือแม้แต่อยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่ก็เป็นผู้นำที่ดี


   ทว่าชายผู้นั้นในเวลานี้ กลับนั่งอยู่เพียงลำพังที่โต๊ะทำงาน มือหนึ่งดีดลูกคิดเพื่อคำนวน อีกมือหนึ่งนวดขมับไปมา สีหน้าเครียดเขม็ง


   มิใช่กิจการของร้านยาอหัสกรไม่ดี เพียงแต่เวลานี้มีผู้คนเจ็บป่วยเพียงน้อย อากาศหนาวเหน็บ คนส่วนใหญ่มักป่วยแค่ไข้หวัด หรือมิเช่นนั้นก็สิ้นลมไปเลย ไม่มีใครเจ็บเพียบหนักหรือเป็นโรคเรื้อรังประหลาด นอกจากนั้น แม้รติจะเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่เพราะความชอบเปิดหูเปิดตา เขาจึงพอจะรู้ว่าร้านยาอหัสกรไม่ใช่ร้านยาแห่งเดียวของเมือง ผู้คนมีตัวเลือกมากมายเพียงใด ตัวหารรายได้ของอหัสกรก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว


   รติตัดสินใจก้าวเท้าเดินเข้าไปยังอาณาเขตห้องทำงานของอีกฝ่าย


นับตั้งแต่แต่งงาน ตรัสไม่เคยมาร่วมเตียงกับเขา เหมือนที่เขาเองก็ไม่เคยย่างเท้าเข้ามายุ่มย่ามในห้องทำงานยามตรัสอยู่ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาก้าวเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย


   เสียงฝีเท้า ทำให้ใบหน้าเครียดขมึงเงยขึ้นทันที แล้วพอเห็นว่าเป็นรติ คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน แววตาไม่พอใจระคนสงสัย


   รติเห็นสายตาคู่นั้น แต่ไม่ได้อธิบายสิ่งใด เขาเดินไปยังกาน้ำร้อนที่วางอยู่บนโต๊ะ เพียงแตะดูก็พบว่ากากระเบื้องนั้นเย็นชืดเพราะอากาศหนาว


   “ข้าจะไปต้มน้ำร้อนมาให้” ผู้บุกรุกพูดเพียงเท่านั้นก็หิ้วกาน้ำออกจากห้องไป ตรัสมองตามอย่างมึนงง ยังไม่ทันทำความเข้าใจ รายนั้นก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมด้วยกาน้ำ เมื่อเทน้ำลงในถ้วยกระเบื้องเล็กๆก็ปรากฏควันฉุยลอยขึ้นมา ชวนให้รู้สึกอุ่น ทั้งๆที่ยังไม่ยกจิบเลยสักอึก


   “ดื่มก่อน แล้วค่อยทำงานต่อ อากาศคืนนี้หนาว ร่างกายควรอบอุ่นเข้าไว้” รติพูด จากนั้นจึงวางจานขนมในมือลงกับโต๊ะ


   “ข้าเห็นในครัวมีขนมอยู่บ้าง ดึกมากแล้ว มีอะไรรองท้องสักหน่อยน่าจะทำให้มีแรง”


   ตรัสได้แต่มองคนพูดเจื้อยๆอย่างตกตะลึง นี่อาจจะเป็นประโยคแรกๆที่อีกฝ่ายพูดกับเขาโดยไม่มีสำนวนยียวน


   “มองอะไรอีกเล่า รีบทานสิ”


   ชายหนุ่มมึนงง พอถูกกระตุ้นก็ยอมยกถ้วยกระเบื้องขึ้นจิบน้ำอย่างว่าง่าย 


น้ำร้อนทำให้รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเย็นจัดเพียงใด และเพราะได้รับน้ำร้อน ภายในร่างกายจึงอบอุ่นขึ้นมาชวนให้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างผ่อนคลาย


พอร่างกายไม่เครียดขึง ก็ถึงเพิ่งรู้ว่าท้องว่าง มือใหญ่เอื้อมไปหยิบขนมมากัดรองท้อง รสหวานในปากชวนให้ดื่มด่ำ รู้ตัวอีกทีก็ส่งส่วนที่เหลือเข้าปากหมดทั้งชิ้น


   “ที่เมืองทางใต้ เราไม่ชินกับอากาศหนาว พออากาศเริ่มเย็น สิ่งที่จะขายดีนอกจากเสื้อผ้าเนื้อหนาและฟืนแล้ว ก็มีสมุนไพรบำรุงร่างกายให้แข็งแรงและให้ความอบอุ่น น้ำต้มสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนช่วยให้ร่างกายอบอุ่นจึงขายดีมากในช่วงหน้าหนาว” รติพูด ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะคิดเห็นอย่างไรกับการที่เขาเสนอโดยไม่มีการเกริ่นเช่นนี้ แต่เมื่อพูดแล้ว ตรัสยังเอาแต่มองเขานิ่ง ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรอีก ทว่าพอจะหมุนตัวจากมา เสียงของคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานกลับดังขึ้น


   “เดี๋ยว...”


   รติหันมอง สีหน้าของตรัสมีแววลำบากใจและไม่แน่ใจ แต่เมื่อลดสายตาลงมองกระดาษตรงหน้าก็ตัดสินใจเงยหน้ากลับขึ้นมามองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล


   “เจ้า...ก็มาจากร้านยาใช่ไหม”


   น่าจะเป็นประโยคแรกที่ตรัสตั้งคำถามโดยไม่มีวี่แววหาเรื่อง


   “ใช่ สกุลข้ามีตำรับยาเป็นของตนเอง”


ตรัสพยักหน้ารับรู้


การที่สกุลมีตำรับตำราเป็นของตนเองย่อมบอกได้อย่างหนึ่งคือสกุลนั้นมีความเชี่ยวชาญในอาชีพ และได้รับความเชื่อถือพอๆกับการมีใบประกอบวิชาชีพที่ต้องสอบจากส่วนกลาง


   แม้จะตระหนักว่ารติน่าจะพอเป็นกำลังหลักให้แก่สภาวะการเงินของสกุลอหัสกรได้บ้าง แต่ทุกวันนี้ตรัสก็เห็นเต็มสองตาว่าภรรยาทำงานทั้งร้านยาและในเรือนอย่างขยันขันแข็ง แม้จะกวนโทโสอยู่บ้าง แต่ก็นับว่ารับผิดชอบในฐานะภรรยาของเขาได้เป็นอย่างดี หากจะให้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงินทองอีก ตัวเขา...ในฐานะผู้นำสกุลก็ไม่รู้จะไปพบบรรพบุรุษยามสิ้นลมได้อย่างไร


   รติมองท่าทีเหมือนสองจิตสองใจของคนที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแล้วก็พอจะเข้าใจ


ถึงความสัมพันธ์จะสามวันดีสี่วันไข้ แต่เขาก็ใกล้ชิดกับตรัสมากพอจะรู้จักนิสัยบางประการของอีกฝ่าย


ตรัสถือตัวว่าตนเป็นผู้นำสกุล ต้องดูแลทุกคนในอหัสกร ไม่ว่าจะสมาชิกในครอบครัว บ่าวไพร่ หรือแม้แต่กาฝากสามพี่น้องอย่างพวกเขา ความรับผิดชอบจึงกดทับสองบ่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าการปันหน้าที่ของตนไปสู่คนอื่นคือการโยนภาระ


ทั้งที่...หากแบ่งไปบ้าง จะสบายขึ้นแท้ๆ


   “ขอข้าดูได้ไหม” รติเดินกลับไปแบมือตรงหน้า แต่สายตาโบ้ยไปยังกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ ตรัสพูดไม่ออก หากสุดท้ายก็ยอมตัดใจ หยิบกระดาษส่งให้ เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งในชุดพักผ่อนสีขาวสะอาดทรุดกายลงนั่งที่ตั่งใกล้ๆ แล้วไล่เปิดกระดาษทีละหน้า


   นี่คือบัญชีรายรับรายจ่ายของสกุล นอกจากค่าจ้างของบ่าวไพร่แล้ว ยังมีค่าวัตถุดิบบางส่วนที่ต้องซื้อจากชาวบ้าน ค่าข้าวของอุปโภคบริโภคในเรือน ค่าของใช้จำเป็นสำหรับท่านอมรา และค่าเบ็ดเตล็ดที่รติเห็นชื่อของพวกเขาสามพี่น้องเขียนเอาไว้ด้านล่าง


เพียงเท่านี้ก็เต็มกลืน ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวของตรัส


   “ค่าเบ็ดเตล็ดนี่คืออะไร”


   “ค่าใช้จ่ายของพวกเจ้า”


   “พวกข้าไม่มีค่าใช้จ่าย”


   “น้องสาวของเจ้าอายุสิบสองแล้วไม่ใช่หรือ ข้าเคยเห็นนางอ่านออกเขียนได้ อายุถึงเกณฑ์ก็ควรเข้าเรียน จะได้มีความรู้ติดตัว จะเรียนหนังสือก็ต้องมีเงินทอง ไหนจะค่าตำรับตำรา ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ส่วนระพีก็เช่นกัน”


   รตินิ่งงัน คิดไม่ถึงว่าสามีผู้แสดงตัวว่าไม่ต้องการจะรับพวกเขาทั้งสามเข้าสกุลอหัสกร เมื่อถึงเวลานี้แล้ว กลับคิดไกลถึงเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งสอง ทั้งที่จะไม่ทำก็ได้


   ตรัสเห็นอีกฝ่ายเงียบไป ก็พลอยนึกว่ารติอาจจะอยากเรียนหนังสือด้วยเช่นกัน


   “หากเจ้า...อยากศึกษาโรงเรียนผู้ใหญ่...ก็...รอสักหน่อย ให้น้องของเจ้าสองคนเข้าเรียนตามเกณฑ์ก่อน แล้วค่อยว่ากัน” คำว่าค่อยว่ากันนั้นเบาแผ่ว ไม่ต้องเสริมก็พอเข้าใจว่าย่อมหมายถึงรอให้ตรัสจัดแจงเรื่องเงินทองให้ได้เสียก่อน จึงค่อยกลับมาหารือกันใหม่


   แม้รติจะไม่ได้คิดเรื่องเรียนหนังสือของตนแล้ว กระนั้นก็อดซาบซึ้งกับความจริงใจของอีกฝ่ายไม่ได้


   “ข้าไม่จำเป็นต้องเรียนแล้ว” เขากล่าวเช่นนั้น อย่างน้อยก็เพื่อให้ตรัสสบายใจว่าไม่จำเป็นต้องกันเงินในส่วนของเบ็ดเตล็ดมากไปกว่านี้


   ใบหน้าของรติก้มลงดูเอกสารในมืออีกครั้ง กวาดตาดูทั้งปึกก็พบว่าบัญชีรับจ่ายนี้เป็นค่าใช้จ่ายตลอดช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา นอกจากจะกันเงินให้กับส่วนเบ็ดเตล็ดแล้ว ตรัสกลับไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวแม้แต่เหรียญเดียว และไม่รู้ว่าเป็นเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว


มิน่าเล่า เขาถึงไม่เคยเห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าหรูหราหรือใหม่อะร้าอร่ามบ้างเลย วันๆทำแต่งาน เลิกงานก็กลับเรือน ไม่เคยเถลไถล มีวิถีสงบเรียบง่ายราวกับคนปลดปลงในชีวิตตนเอง แต่กลับแบกรับเรื่องของผู้อื่นเอาไว้บนบ่า


   รติสะท้อนใจ


   “ถ้าอย่างไร ลองขายสมุนไพรบำรุงร่างกายสำหรับฤดูหนาวไหม ข้าเห็นในครัวมีสมุนไพรที่พอจะนำมาทำได้”


   “จะมีคนซื้อหรือ”


   “ก็ลองต้มให้ชิมก่อน ร้านยาของท่านอยู่ในทำเลดี ตั้งโต๊ะหน้าร้าน ต้มน้ำสมุนไพรให้หอมเข้าไว้ เชิญชวนให้เข้ามาชิมโดยไม่คิดเงิน สามในห้าต้องซื้อกลับไป”


ตรัสยังมีสีหน้าไม่แน่ใจ แต่รติลุกขึ้นแล้วคว้าแขนอีกฝ่ายออกจากโต๊ะ


   “มาเถอะ ดีกว่าอยู่เฉยๆ”


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

มีภรรยาช้างเท้าหน้า สามีก็ต้องก้าวเท้าตามให้ทันนะคะ หายไปล่ะแย่เลย ^^
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 11 ภรรยายังแสนฉลาด -- (อัพเดต 12/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 12-02-2020 18:18:39
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 11 ภรรยายังแสนฉลาด -- (อัพเดต 12/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-02-2020 01:25:33
รอจ้า~
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 11 ภรรยายังแสนฉลาด -- (อัพเดต 12/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-02-2020 00:35:47
เก่งมาก  o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 11 ภรรยายังแสนฉลาด -- (อัพเดต 12/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-02-2020 07:23:16
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 11 ภรรยายังแสนฉลาด -- (อัพเดต 12/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 14-02-2020 08:28:14
ความเห็นอกเห็นใจกันนิละนะ

อย่างน้อยต่างฝ่ายก็ยังช่วยเหลือกันและกัน
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 12 สมุนไพรตำรับรติ -- (อัพเดต 14/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 14-02-2020 18:23:23
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 12

สมุนไพรตำรับรติ

---------


   ครัวของเรือนอหัสกรในคืนนี้ มีแสงสลัวลอดออกมา รติเปิดตู้นั้น ปิดตู้นี้ หยิบจับสมุนไพรที่พอหาได้จากในครัวออกมาวาง ตรัสยืนอยู่ที่ประตู ยักแย่ยักยันไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปช่วยอย่างไร จนรติเหลือบมอง


   “ท่านจะยืนอยู่อย่างนั้นทั้งคืนหรือ ช่วยข้าเด็ดใบนี้หน่อย เอาเฉพาะยอดอ่อน”


   ตรัสพยักหน้า ก้าวเท้าเข้าไปช่วย แต่ไม่วายถาม


   “เอ่อ...เจ้ากังวลเรื่อง...ตำรับยาหรือไม่ เอ่อ...หมายถึง...ถ้าตำรับยาของเจ้าเป็นความลับ ข้าจะ...”


   “ลับแล้วอย่างไร ท่านเป็นสามีข้า ตำรับยาแบ่งปันให้ท่านได้” รติตอบ ดูไม่ยี่หระกับความลับของตำรับยาสกุลตัวเองเท่าไรนัก


   เมื่อเจ้าของตำรับกล่าวเช่นนั้น ตรัสจึงไม่พูดอะไรอีก คราวนี้เขาลงมือช่วยอย่างจริงจัง


รติบดสมุนไพรที่หาได้จากในครัว แล้วต้มกับน้ำ จากนั้นจึงกรองกากออก มีตรัสเป็นลูกมือช่วยอยู่ข้างๆ


   กลิ่นสมุนไพรหอมลอยกรุ่นอยู่ในครัว น้ำต้มสมุนไพรมีสีใส ติดไปทางเขียวอ่อน ดูแล้วคล้ายน้ำชา


   “ลองชิมดู ข้าไม่ได้เติมรสเลย”


   ตรัสรับจอกดินเผาเล็กๆไปจิบ น้ำสมุนไพรไม่เหม็นเขียว อีกทั้งยังรสหวานติดปลายลิ้น ความร้อนยังช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วย


   รติเทน้ำสมุนไพรลองชิมบ้าง สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันมองคนข้างกาย


   “ท่านว่า...น่าจะเติมกลิ่นมากกว่านี้หน่อยดีไหม”


   “น้ำสมุนไพร...จะต้องมีกลิ่นไปทำไมกัน”


   “น้ำสมุนไพรไม่ใช่ยา รสสัมผัสต้องดีทั้งกลิ่นทั้งสีทั้งรส จึงจะจูงใจให้คนดื่ม” รติแย้ง เพียงเท่านั้นคนที่อยู่กับยาขมเพื่อรักษาโรคมาทั้งชีวิตก็เข้าใจ เขาพยักหน้าเห็นดีด้วย คนปรุงน้ำสมุนไพรจึงบดใบสมุนไพรสีเขียวอ่อนที่มีกลิ่นหอมเติมลงในน้ำเพิ่ม


คราวนี้ชงแล้วทดลองดื่มใหม่ นอกจากรสชาติไม่ฝาดเฝื่อนแล้วยังมีกลิ่นหอมติดจมูกตั้งแต่ยกดื่มด้วย


“เป็นอย่างไร” รติถามคนชิมด้วยความอยากรู้อยากเห้น


“ดี” คำสั้นๆนั้นนับว่าชม รติยิ้มกว้าง


“พวกทางใต้มีความเชื่อว่ากินดื่มเพื่อป้องกันโรค ดีกว่ากินดื่มเพื่อรักษาโรค สมุนไพรป้องกันโรคจึงขายได้ดีกว่าและขายได้ตลอดทุกช่วงฤดูกาลด้วย”


ตรัสคิดตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วย


“แต่...ถ้าเราจะขายวัตถุดิบให้คนซื้อไปทำเองก็คงขายได้ไม่ดี เพราะของพวกนี้มีในครัวทุกเรือน ที่นี่เป็นเมืองหนาว เราเก็บสะสมเอาไว้ใช้หน้าหนาวอยู่แล้ว”


รติทำหน้าครุ่นคิด เรื่องนี้แตกต่างจากเมืองทางใต้ที่เขาจากมา ที่นั่นแม้ไม่ใช่เมืองร้อนมีสามฤดู แต่อากาศอบอุ่นกว่าที่นี่ ฤดูหนาวไม่ยาวนานและไม่โหดร้าย พืชผักสมุนไพรไม่ว่าจะฤดูใดๆก็มีให้เลือกซื้อเลือกหา ไม่ต้องเก็บออมเอาไว้ล่วงหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็ผสมแล้วบดเป็นผง ขายเป็นถุงให้ซื้อไปชงละลายน้ำดีไหม ถ้าอย่างนี้คนก็จะไม่รู้ว่าเราชั่งตวงส่วนผสมอย่างไร สะดวกสำหรับคนซื้อด้วย” เจ้าของตำรับน้ำสมุนไพรป้องกันโรคเสนอ


ตรัสพยักหน้าเห็นดีด้วย เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็ยิ้มกว้าง


“เอาล่ะ! ถ้าอย่างนั้นทำเดี๋ยวนี้เลย”


แล้วการร่วมไม้ร่วมมือครั้งแรกของตรัสและรติก็เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น


เช้ามืดวันต่อมา เมื่อพุดกรองมาเตรียมอาหารเช้าจึงพบสองสามีภรรยายังสาละวนอยู่ในครัว ขอบตาดำคล้ำเพราะอดนอน


เรื่องนี้ถึงหูอมรา หญิงชราก็ถึงกับสั่งให้พวกเขาทั้งคู่เข้านอนโดยมิต้องไปเปิดร้านยาหนึ่งวัน


“หยุดร้าน?” ตรัสทวนคำ


นับตั้งแต่บิดาหายสาบสูญ และเขาขึ้นมาเป็นผู้ดูแลสกุล ไม่มีวันใดเลยที่จะหยุดร้าน แต่เมื่อหันมองคนที่ทำหน้าตาง่วงงุนอยู่ข้างๆ ก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายควรพักผ่อน ตัวเขาเองก็ไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้ไม่ควรเปิดร้านเพื่อตรวจรักษาโรคผู้ใด


“ก็ได้ขอรับ วันนี้หยุดร้านหนึ่งวัน”


อมราสั่งให้สองหนุ่มไปพักผ่อน รติค้อมกายรับคำอย่างว่าง่าย ตรัสเองก็ไม่อยากเถียงผู้เป็นย่า ยอมพากันกลับเรือนนอน แต่พอลับสายตาหญิงชรา บานบานประตูปิดลง คนที่ทำหน้าตาง่วงงุนก็หันกลับกระตุกแขนเสื้อตรัสทันที


“ท่านรอที่หน้าต่าง ข้าจะแอบไปยกของจากในครัวมาให้”


“หือ?” สีหน้าของตรัสดูงุนงง รติบรรยายเพิ่ม


“เรายังต้องแบ่งผงใส่ถุงอีกนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันขายวันพรุ่งนี้”


“แต่เมื่อกี้เจ้าง่วง...”


“ไม่ง่วง แค่ไม่อยากให้ท่านอมราเป็นห่วงต่างหาก”


ตอบแล้วก็ปีนออกนอกหน้าต่าง ตรัสตาเหลือก รั้งไม่ทันแม้แต่คำเดียว


อึดใจต่อมา รติวิ่งกลับมาที่หน้าต่างพร้อมด้วยถาดผงสมุนไพร ส่งสายตาให้ตรัสมาช่วยรับของ ชายหนุ่มเลยต้องรีบก้าวเท้าเข้าไปช่วย พอรับมาแล้ว เจ้าตัวก็วิ่งหายไปอีก อีกอึดใจหนึ่งก็กลับมาพร้อมกับผ้าขาวบางและเชือกเส้นเล็กประมาณกำมือหนึ่ง


เมื่ออุปกรณ์และวัตถุดิบครบถ้วน รติจึงปีนหน้าต่างกลับเข้ามา เห็นท่าทางเหมือนจะข้ามหน้าต่างเข้ามาไม่ไหว ตรัสจึงต้องส่งมือไปช่วยดึงกลับเข้ามาอีก


ทว่ายังไม่ทันลงมือเริ่มบรรจุผงสมุนไพรลงในผ้าขาวบางแล้วห่อเป็นถุงเล็กๆ เสียงพูดคุยก็ดังแว่วๆเข้ามาในห้อง


“ย่าล่ะหวั่นใจนัก ตรัสบ้างาน เกรงว่าเขาจะไม่ยอมให้รติพักผ่อน”


ทั้งตรัสและรติเงยหน้ามองกันทันควัน ก่อนที่รติจะรีบดันข้าวของที่ไปแอบขนมาซ่อนเข้าไปใต้โต๊ะ ดวงตามองซ้ายมองขวา แต่จากห้องทำงานนี้ไปยังห้องพักผ่อนด้านข้างก็เกรงว่าจะไม่ทันการ จึงรีบกระโดดผลุงขึ้นนอนบนตั่งที่ตรัสใช้นอน


เจ้าของห้องทำงานเห็นอีกฝ่ายขึ้นไปนอนบนตั่ง ก็มิได้ไร้ความเฉลียว เขารู้ว่าอมรากำลังจะเข้ามาแล้ว หากยังยืนโด่เด่เช่นนี้มีหวังได้ถูกดุเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงตามขึ้นไปนอนเบียดกับรติ


สามีภรรยาหลับตา พอดีกับที่เสียงดังขึ้นที่หน้าประตู


“ตรัส รติ ย่าเข้าไปนะ” อมราส่งเสียง แล้วอึดใจต่อมาก็ผลักประตูเข้ามาในเรือนของหลานชาย


หญิงชรากะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องนอนอิงแอบกันอยู่บนตั่งในห้องทำงาน


“อ้าว แล้วทำไมมาหลับกันตรงนี้ คงจะเหนื่อยกันมาก” นางเปรยพลางยิ้มจางกับตนเอง ก่อนจะหันไปขอผ้าห่มที่ให้รุจีถือให้


“เวลาหลับก็ไม่เห็นจะทะเลาะกันเลยนะ” เมื่อคลุมผ้าห่มให้ทั้งคู่แล้วถอนหายใจยาวอย่างสบายใจ จากนั้นจึงหันไปชักชวนให้เด็กหญิงออกจากห้อง


บานประตูปิดลงแล้ว สามีภรรยายังคงนอนหลับตาอยู่บนตั่งเช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่รติจะเปิดตาขึ้นข้างหนึ่งแล้วผงกศีรษะขึ้นมองไปยังประตู เมื่อเห็นว่าปิดสนิทดีแล้วก็สะกิดคนข้างกายยิกๆ


“ทางสะดวกแล้ว”


ตรัสลืมตาขึ้นมอง รติกระโดดลงไปยืนข้างตั่ง แล้วดึงเอาถาดผงสมุนไพรออกมาจากที่ซ่อน ท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่ายทำให้ตรัสนึกไปถึงความสนุกยามเขายังเด็ก


ตอนที่ยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก ตอนที่หันซ้ายหันขวาก็ยังเต็มไปด้วยเพื่อนพ้องรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่พอเติบใหญ่ ต่างคนต่างมีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง มีความรับผิดชอบอีกมากมายที่ต้องแบกรับ ตัวเขาเองก็แทบลืมไปแล้วว่าความสนุกในชีวิตเป็นเช่นไร


จนกระทั่ง...วันนี้


รติทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตผู้ใหญ่...ก็มีเรื่องสนุกได้เหมือนเด็กๆ


“ตรัส...ตรัส...เป็นอะไรน่ะ ง่วงหรือ” เสียงของรติดังขึ้น ทำเอาคนตกอยู่ในภวังค์กะพริบตาปริบๆ


“เปล่า” เขาตอบ ก่อนจะรีบลุกจากตั่งไปช่วยรติทำห่อผงสมุนไพรสำหรับขายในวันพรุ่งนี้


 แล้วหลังจากนั้น กิจการผัวหาบเมียคอนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

เริ่มมองภรรยาในแง่ดีแล้ว ภรรยาคนนี้นอกจากฉลาดแล้วยังหาเรื่องเล่นสนุกได้ด้วยนะคะ เรื่องซนๆขอให้ไว้ใจรติได้เลยค่ะ

ขอบคุณทุกการอ่านเลยค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 12 สมุนไพรตำรับรติ -- (อัพเดต 14/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 14-02-2020 18:40:32
ช่วงแรกที่อ่าน ดูฝืดๆบ้าง เพราะไม่รู้ที่มาที่ไป รวมทั้งเหตุผลในการกระทำของรติ จึงแอบอ่านเงียบๆ แต่พอถึงตอนล่าสุด มันดีมากเลยอะ นิยายมีชีวิตชีวามาก และมีเรื่องราวให้ติดตาม มาต่อเรื่อยๆนะครับ รออ่านครับ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 12 สมุนไพรตำรับรติ -- (อัพเดต 14/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-02-2020 18:56:44
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 12 สมุนไพรตำรับรติ -- (อัพเดต 14/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-02-2020 19:03:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 12 สมุนไพรตำรับรติ -- (อัพเดต 14/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-02-2020 23:16:34
น่ารักมากอ่ะตอนนี้
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 12 สมุนไพรตำรับรติ -- (อัพเดต 14/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-02-2020 02:56:47
ได้คุยกันมากขึ้นแล้ว
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 13 หลังวางขาย -- (อัพเดต 17/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 17-02-2020 17:41:41
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 13

หลังวางขาย

---------


   เมื่อวาน ร้านยาอหัสกรปิดร้านอย่างไร้สาเหตุ


เช้าวันต่อมาก็มีกลิ่นหอมประหลาดลอยมาจากร้านอย่างไร้สาเหตุ


   วันนี้ร้านยาอหัสกรกลับมาเปิดปกติแล้ว แต่ที่ไม่ปกติคือหน้าร้านครึ่งหนึ่งถูกใช้ตั้งโต๊ะ มีเตาไฟเล็กๆที่มีกาน้ำตั้งอยู่ บนโต๊ะเรียงรายด้วยห่อผ้าขาวเล็กๆ และป้านน้ำชา กลิ่นหอมกรุ่นลอยอวลที่หน้าร้าน พาลให้ใครต่อใครที่เดินผ่านเป็นต้องหันมอง


   “เชิญชิมก่อน เชิญชิม น้ำสมุนไพรบำรุงร่างกายสำหรับฤดูหนาว ดื่มทุกวันสุขภาพแข็งแรงทุกวัน”


   “เชิญชิมๆ ชิมแล้วไม่ซื้อก็ได้”


   รติรับหน้าที่เรียกลูกค้า คนไข้ประจำร้านยาอหัสกรส่วนหนึ่งรู้จักเขาดีอยู่แล้ว อีกทั้งท่าทางเป็นกันเองของเขาทำให้ผู้คนกล้าเข้ามาชิม รติไม่หวงของ คนไข้ที่เข้ามารักษาหรือใครแวะมาซื้อยา แม้กระทั่งคนคุ้นหน้าเดินผ่าน เขาก็มอบผงสมุนไพรให้กลับไปลองโดยไม่คิดมูลค่า


   สามวันแรกไม่ต้องคิดถึงกำไร


สองวันต่อมายังคงมุ่งมั่นตั้งโต๊ะขาย


พ้นเจ็ดวันเริ่มมีคนพูดถึง


   “ลองผงสมุนไพรร้านยาอหัสกรรึยัง เมื่อวานเมียข้าซื้อกลับไปชง ทั้งหอมทั้งอร่อย! ลูกชายข้าตอนแรกครั่นเนื้อครั่นตัว คิดว่าจะไม่สบายเสียแล้ว พอกินน้ำสมุนไพรเข้าไป เช้าวันนี้วิ่งปร๋อ!”


   “เห็นว่าเป็นตำรับทางใต้ด้วยนะ ญาติของข้าที่อยู่ทางใต้ก็เคยบอกว่าคนทางใต้น่ะรู้เรื่องหยูกยาดี”


   “ภรรยาของหมอตรัสก็เป็นคนทางใต้นี่นา แสดงว่าผงสมุนไพรนี่ก็ตำรับของทางบ้านภรรยาแหง”


   “ตอนแรกข้าได้ยินว่าแต่งเพราะยากจน ยังนึกเสียดายหมอตรัส แต่งงานทั้งที เหตุไฉนไปคว้าเอาคนไม่มีอะไร แถมมีน้องอีกสองต้องเลี้ยงดูมาเป็นคู่สมรส ที่ไหนได้! จนแบบนี้เรียกจนแต่มีสมบัติ!”


   เมื่อคนพูดกันปากต่อปาก ผงสมุนไพรของร้านยาอหัสกรก็กลายเป็นที่กล่าวถึง


นอกจากสรรพคุณดี รูป รสและกลิ่นไม่เลวแล้ว ราคาก็ไม่แพงและยังสะดวกสำหรับรับประทาน เพียงแค่ชงละลายกับน้ำอุ่นก็พร้อมดื่ม ผู้คนต่างคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดี รักษาร่างกายให้แข็งแรงย่อมดีกว่ารักษายามเจ็บป่วย ไข้หวัดในฤดูหนาวนั้นเมื่อเป็นทีหนึ่งก็เป็นยาวนาน จึงกลายเป็นคำพูดปากต่อปากว่าหากไม่อยากเป็นหวัด ให้มาซื้อสมุนไพรของร้านยาอหัสกร


เงินจากการขายผงสมุนไพรใน 15 วัน มากกว่าเงินที่ตรัสหาได้จากการตรวจรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนป่วยตลอดทั้งฤดูที่แล้วอีก


   เมื่อเริ่มมีลูกค้าเยอะขึ้น คนที่เหนื่อยมากขึ้นเป็นเงาตามตัวก็คือรติผู้เป็นโต้โผ


ผงสมุนไพรที่นำมาขาย เป็นตำรับยาของสกุลของเขา ตรัสจึงไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่มาช่วย เพราะเกรงว่าตำรับยาของรติจะรั่วไหล อีกทั้งกรรมวิธีในการทำก็ซับซ้อน รุจีและระพียังเด็กเกินไป ทุกขั้นตอนของการทำผงสมุนไพรจึงมีเพียงเขาเป็นลูกมือ


   เมื่อต้องทำงานมากขึ้น เวลาพักผ่อนย่อมน้อยลง พอมีเวลาว่างเพียงเล็กน้อยหลังจากทานมื้อกลางวันที่ให้บ่าวหิ้วมาให้ที่ร้านยา รติจึงแอบหลบมาหลับในห้องเก็บสมุนไพรชั้นใต้ดิน


ตรัสไม่ทราบว่าภรรยาของตนหายไปไหน คิดเอาว่าคงจะเตร็ดเตร่ไปทั่วตามนิสัยไม่อยู่กับที่


เดิมทีเขาเคยมองว่านิสัยเช่นนี้ช่างไม่เอาไหน แต่เวลานี้ต้องยอมรับว่านิสัยช่างเที่ยวของรติทำให้รู้จักพื้นที่ต่างๆรอบเมืองเป็นอย่างดี ทั้งที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ไม่นาน


การที่ผงสมุนไพรขายดีถึงเพียงนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะสรรพคุณเป็นที่ประจักษ์ อีกส่วนก็เพราะความช่างสังเกตของรติที่รู้ว่าไม่มีร้านยาแห่งใดเลยในเมืองตะวันออกที่ขายผงสมุนไพรบำรุงร่างกาย


   เรียกได้ว่า นิสัยที่ตรัสเคยมองว่าเป็นข้อเสียของภรรยา กลายเป็นช่วยวิกฤตทางการเงินของสกุลอหัสกร ดังนั้น หากเวลานี้รติจะไปเตร็ดเตร่ที่ใดบ้าง ตรัสจะไม่ต่อว่าต่อขานใดๆอีก


   เมื่อไม่เอาแต่คอยจับผิด หลังมื้อเที่ยง ชายหนุ่มจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำกิจอื่น เขาลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งเก็บสมุนไพร เพื่อตรวจตราทั้งจำนวนและคุณภาพ ทว่าพอเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบว่าคนที่คิดว่าออกไปเตร็ดเตร่กำลังเอนหลับอยู่บนตั่งยาวตัวหนึ่ง


เพราะต้องดูแลทั้งกิจในเรือน ทั้งมาช่วยงานที่ร้านยา ไหนจะต้องนอนดึกตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมผงสมุนไพรเหล่านั้น แม้จะมีพลังงานล้นเหลือเพียงใด แต่ร่างกายย่อมต้องการการพักผ่อน เมื่อท้องอิ่ม ถึงต้องมาหลบพักสายตาที่นี่


   ตรัสไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้าเพียงนี้เลย รติไม่เคยแสดงมุมเช่นนั้นให้ใครเห็น หรือ...เพราะเขาเองที่ไม่สังเกต


   แม้วิศวกรรมในการก่อสร้างของพวกเขาจะทำให้ส่วนที่มีตั่งและโต๊ะทำงานอบอุ่นกว่าห้องเก็บรักษาสมุนไพรด้านในที่อยู่ลึกเข้าไป แต่เพราะเป็นใต้ดิน อย่างไรก็ย่อมเย็นกว่าปกติอยู่ดี ร่างที่นอนอยู่จึงขดกลมแทบม้วนเป็นก้อน


ชายหนุ่มหมุนตัวกลับขึ้นไปยังห้องตรวจ หยิบเอาหมอนและผ้าห่มผืนใหม่ ก่อนจะลงมาที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง เขาเข้าไปประคองร่างของคนหลับแล้วสอดหมอนเข้ารองใต้คอให้สูงขึ้นอีกหน่อย ทว่าตอนที่กำลังจะปล่อยให้รติลงนอน เสียงของคนที่เขาคิดว่าหลับก็ดังขึ้น


   “ปลุกข้าก็ได้นะ ไม่ต้องบริการขนาดนี้”


ตรัสสะดุ้งโหยง รีบผละออกมา ทำเอารติถูกทิ้งลงหงายใส่หมอนไปเต็มๆ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็เส้นตื้นหัวเราะหน้าตาสดใสพลางหันมองคนที่ตีสีหน้าเคร่งทันทีที่สบตากัน


   “แต่อย่างไรก็ขอบคุณ”


   ตรัสไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้ารับรู้


   “อีกนานไหมกว่าจะหมดเวลาพัก” รติถามพลางเอี้ยวตัวบิดไปมาไล่ความเมื่อยขบ


   “ราวครึ่งชั่วโมงได้” หากจะหลับสักงีบก็คงพอไหว แต่เห็นอีกฝ่ายเดินไปเดินมาหยิบข้าวของแล้วก็เกรงว่าจะรบกวน


   “ท่านจะทำงานหรือ ถ้าอย่างนั้น ข้า...”


ทว่าพอจะลุก เจ้าของร้านยากลับหันมามอง


   “เจ้านอนต่อก็ได้”


พูดแล้วก็เดินเลยไปยังตู้ยา ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องเก็บสมุนไพร แล้วก็ออกมาหยิบเครื่องไม้เครื่องมือที่โต๊ะกลางห้อง  รติมองแผ่นหลังกว้างนั้น แม้จะแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีจ้องจับผิด หรือมองเขม่นอย่างคนไม่ถูกชะตา แต่เพราะได้รับอนุญาตให้นอนได้ หัวใจก็กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด พอเอนร่างลงนอน ครู่ต่อมาก็หลับสนิท


ตรัสหันกลับมาอีกทีก็พบว่าคนบนตั่งหลับไปแล้ว


   ชายหนุ่มวางมือจากทุกอย่าง เดินกลับมาหาแล้วหยิบเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้


คนบนเตียงหลับเงียบ รู้สึกอบอุ่นและสบาย


คนข้างเตียงก็ยืนมองเงียบ รู้สึกสงบและเป็นสุข


คนทั้งคู่...ต่างไม่รู้ตัว


มุมปากของพวกเขา...เจือด้วยรอยยิ้มบางเช่นเดียวกัน


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ท่านตรัสเป็นหนุ่มซึน ส่วนรติก็ชอบแหย่ชอบแกล้ง

แต่ตอนนี้ต่างคนต่างเริ่มยิ้มให้กันแบบตัวเองก็ไม่รู้ตัว แล้วอีกฝ่ายก็ไม่รู้ตัวด้วยแหละค่ะ

ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 13 หลังวางขาย -- (อัพเดต 17/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-02-2020 18:03:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 13 หลังวางขาย -- (อัพเดต 17/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-02-2020 00:09:29
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 13 หลังวางขาย -- (อัพเดต 17/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-02-2020 02:37:05
เป็นนิมิตหมายที่ดี :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 13 หลังวางขาย -- (อัพเดต 17/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 18-02-2020 07:13:36
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีละนะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 13 หลังวางขาย -- (อัพเดต 17/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 19-02-2020 11:51:48
พึ่งได้เข้ามาอ่าน คือสนุกมากๆๆๆชอบมากๆเลยค่ะ ยัยน้องคือฉลาดมีไหวพริบดีมาก :mew1: คุณพี่ก็คือดีถึงตอนแรกจะปากร้ายไปบ้างแต่ตอนนี้ก็ดูอ่อนโยนมากๆเลย รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 14 ผลสืบเนื่อง -- (อัพเดต 19/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 19-02-2020 18:43:34
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 14

ผลสืบเนื่อง

---------


   สมุนไพรบำรุงร่างกายของร้านยาอหัสกรกลายเป็นของขึ้นชื่อ ขายดีจนต้องทำขายวันต่อวัน สองสามีภรรยาช่วยกันทำจนดึกดื่น กว่าจะได้นอนก็พ้นครึ่งคืนไปแล้ว


แม้จะร่วมเรือนนอนเดียวกัน แต่รตินอนในห้องด้านใน ส่วนตรัสนอนในห้องทำงาน ดังนั้น...ฝ่ายสามีย่อมไม่ทราบว่าบางคราว ภรรยาก็ไม่เข้านอนเหมือนเขา


ทำทีเป็นบอกให้ตรัสล่วงหน้าไปก่อนบ้าง บางทีเข้าห้องไปแล้ว แอบปีนออกทางหน้าต่างบ้าง เพื่อแอบกลับไปทำผงสมุนไพรที่ครัวต่อ


   เดิมที รติต้องตื่นก่อนเขาเพื่อมาดูแลกิจการในครัวอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เขาตื่นมาแล้วไม่พบภรรยาในเรือนนอน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติแต่ประการใด


   เรื่องที่รติโหมทำสมุนไพรจำนวนมากจนบางครั้งไม่หลับไม่นอน ควรจะเป็นความลับต่อไป


 ทว่า...วันหนึ่งก็เกิดเรื่อง


   รติเป็นลม


   เช้าตรู่วันนั้นในโรงครัว ไม่แน่ใจว่าเพราะกลิ่นอาหารฉุนเกินไป หรือเพราะเจ้าตัวหมุนไปหมุนมาหลายรอบ สุดท้ายก็ทรุดฮวบลงกับพื้น แม่ครัวอย่างพุดกรองหันมาเห็นก็ร้องลั่น สั่งให้บ่าวอีกคนไปตามคนมาช่วย เรือนอหัสกรในเช้าวันนั้นจึงโกลาหลเป็นที่สุด


   .............


   .......


   ...


เปลือกตาเปิดขึ้นช้าๆ ทำเอารุจีที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงถึงกับกระโดดโหยง รีบวิ่งออกไปเรียกคนอื่นๆ แต่พอนางวิ่งกลับเข้ามาพบว่ารติกำลังยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก็รีบร้องลั่น วิ่งเข้าไปประคองเขา


“ท่านพี่! ยังลุกไม่ได้นะเจ้าคะ”


รติยังทั้งมึนทั้งงง มองน้องสาวแล้วก็มองเลยไปยังคนที่เดินตามเข้ามา


อมราและตรัส


“เป็นอย่างไรบ้าง” หญิงชราถามด้วยความห่วงใย


“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”


“เจ้าเป็นลม” ตรัสเป็นคนตอบ คนบนเตียงถึงกับเงยหน้ามองเขาหน้าตาตื่นตะลึง


“ไม่จริงหน่า!”


“ไม่จริงอะไรของเจ้า เจ้าเป็นลม” ตรัสย้ำ แต่สายตาของรติบอกชัดว่าไม่เชื่อ


“เจ้าเป็นลม รติ เพราะว่าทำงานมากเกินไป ไม่หลับไม่นอน ย่าสั่งทุกคนไว้แล้ว จนกว่าร่างกายจะแข็งแรง อย่าให้เจ้าหยิบจับอะไรอีกเป็นอันขาด ร้านยาก็ไม่ต้องไป” อมราสั่งการเด็ดขาด ทำเอารติตาเหลือก


“แต่ข้าแข็งแรงนะขอรับ!”


“ฮื้อ! ภรรยาของเจ้านี่ดื้อดึง” หญิงชราหันไปบ่นกับหลานชาย ก่อนจะหันกลับไปยังคนบนเตียงที่ตาเหลือกค้างเพราะถูกสั่งห้ามทำอะไรนอกจากทำร่างกายให้แข็งแรง


“มาเถอะรุจี ให้สามีภรรยาเขาคุยกันเอง”


แม้ใจจะเป็นห่วงพี่ชาย แต่มิกล้าขัดคำสั่งหญิงชรา อีกทั้งตรัสเองก็แสดงให้นางเห็นว่าเขาห่วงใยรติไม่น้อย จึงยอมลุกจากข้างเตียงมาช่วยพยุงอมราออกจากเรือนของสองสามีภรรยา


เมื่อเหลือกันเพียงสองคน รติที่ยังไม่ยอมรับความจริงก็หันมาทางร่างสูงที่ยังยืนเงียบ


“ข้าแข็งแรง” เขาย้ำคำเดิม


“เจ้านอนครั้งสุดท้ายเมื่อไร” ทว่าตรัสกลับย้อนถาม


คราวนี้คนที่ออกปากว่าแข็งแรงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง นั่งย้อนอดีตว่าตนเองหัวถึงหมอนครั้งสุดท้ายเมื่อ...คืน...


...ไม่ใช่...


เพราะเมื่อคืนเร่งทำผงสมุนไพรจำนวนมากเพื่อวางขาย รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว จึงไม่นอน


ถ้าเมื่อคืนไม่ได้นอน ก็คงเป็นคืนก่อน...


...ก็ไม่...


เมื่อคืนก่อนก็ไม่ได้นอนเพราะเร่งทำผงสมุนไพรเช่นกัน รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้วต้องไปดูแลเรื่องในครัว รับประทานข้าวเช้าเสร็จก็ออกไปเปิดร้านยากับตรัส ช่วยจัดยา และขายผงสมุนไพรทั้งวัน


อาการเงียบของคนที่ไม่ได้นอนถึงสองคืนติดทำเอาตรัสถอนหายใจ


“จากนี้ ข้าอนุญาตให้ทำแค่ยี่สิบห่อเท่านั้น”


รติตาเหลือกหนักกว่าเก่า


“แค่ยี่สิบห่อจะไปพอขายได้อย่างไร?!”


“ไม่พอก็ขายเท่านั้น ไม่ต้องทำมากกว่านั้น”


“ท่านเพี้ยนไปแล้ว ขายดีปานนั้นให้ทำแค่ยี่สิบห่อ!”


“ทำมากแล้วเจ้าเป็นลมเช่นนี้มันคุ้มกันแล้วหรือ”


พอถูกดุเช่นนั้น รติก็เงียบ ได้แต่อ้อมแอ้ม


“แต่มันก็ทำให้เราได้เงินเยอะขึ้นไม่ใช่หรือ...”


“ได้เยอะมันก็ดี แต่ขายแค่ยี่สิบห่อก็เยอะมากพอแล้ว”


รติเงียบไปอีกหน ตรัสถอนหายใจ รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะช่วยสถานะการเงินของสกุลอหัสกร แต่เขาไม่ต้องการให้ช่วยถึงเพียงนี้


“รติ...สุขภาพของเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ”


คำพูดประโยคนั้นทำเอาคนเงียบถึงกับหันมอง


“ทุกคนเป็นห่วงเจ้า”


ดวงตาของรติมีแววตกตะลึงราวกับไม่คิดว่าจะได้ยิน


“รุจีตกใจมากตอนที่เห็นเจ้าเป็นลม ท่านย่าก็นั่งไม่ติด ระพีเกือบจะร้องไห้ด้วยซ้ำ เขาคิดว่าเจ้าอาการหนัก”


...รุจี...ท่านย่า...ระพี...


รติรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกระตุกวูบอย่างไร้สาเหตุ เมื่อคำพูดของอีกฝ่ายขยายความคำว่า ‘ทุกคน’ ออกมาเพียงสามคนเท่านั้น


บรรยากาศในห้องนั้นเงียบ ตรัสมองคนบนเตียง เห็นว่าเงียบไปก็ยิ่งกังวล


“เจ้า...รู้สึกไม่ดีตรงไหนอีกไหม ปวดหัว หรือปวดท้องไหม?”


รติเพียงส่ายหน้า จะบอกได้อย่างไรว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่...เป็นที่หัวใจต่างหาก คล้ายถูกความหนาวเหน็บกัดกินทีละน้อย


ตรัสเป็นกังวล เขามองมือตนเองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจยื่นออกไปแตะที่ซอกคอภรรยา


“ขอโทษที ข้าขอวัดไข้สักหน่อย เจ้าอาจจะฉุนกลิ่นยาจากมือข้า...”


กลิ่นฉุนที่ว่านั้น แค่เพียงได้กลิ่นก็นึกถึงรสยาขมจัดจนต้องข่มตาแล้ว ตำรับยาอหัสกรนั้นเข้มข้นทั้งกลิ่นทั้งรส แต่ขึ้นชื่อด้านสรรพคุณนัก


“ท่านผสมยาอะไร”


ตรัสนิ่งไปเล็กน้อย


“ยาบำรุงเลือด...สำหรับคนเป็นลม...”


ไม่ต้องขยายความมากไปกว่านั้น รติก็รู้ตัวว่าคนเป็นลมที่ว่าย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากเขา


ประโยคที่ว่า ‘ทุกคนเป็นห่วงเจ้า’ ไม่ได้มีแค่รุจี ท่านอมรา และระพี แต่ยังรวมถึงคนที่ยอมให้มือมีแต่กลิ่นยาฉุนเพราะผสมยาบำรุงให้เขาด้วย


หัวใจที่คล้ายถูกความหนาวเหน็บกัดกิน กลับกลายเป็นอุ่นซ่านราวกับเลือดสูบฉีดไปทั่ว


“ไม่มีไข้ แต่ก็ควรพักผ่อนให้มาก ข้าต้องไปเคี่ยวยาต่อ ตื่นมาเจ้าจะได้ดื่มเลย เดี๋ยวจะให้รุจีมาอยู่เป็นเพื่อน”


ตรัสพูดเพียงเท่านั้นก็หมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่เสียงข้างหลังดังขึ้นเสียก่อน


“ตรัส...”


“ข้าเองก็ห่วงอหัสกร...”


“...ห่วงทุกคนที่นี่ ทั้งท่านอมรา รุจี ระพี...และท่าน”


ร่างสูงหันกลับมามอง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้


พวกเขาเริ่มต้นจากความสัมพันธ์ที่แสนหมางเมิน แต่เวลานี้ตรัสกลับพูดได้เต็มปากว่าทุกคนในอหัสกรห่วงรติ ในขณะที่รติเอง...ก็ห่วงทั้งหมดในอหัสกร


อย่างนี้จะเรียกว่าความสัมพันธ์หมางเมินไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อความรู้สึกอื่นกำลังแทรกผ่านเข้ามาในหัวใจ


“ข้าอยากช่วยท่านจริงๆ”


หัวใจของตรัสอุ่นจนสะท้าน


เขาลุกขึ้นมาเป็นผู้นำสกุลตั้งแต่อายุยังน้อย ต่อให้จะมีอมราคอยสอนสั่งและเกื้อหนุน แต่ก็ไม่เคยมีใครเดินเคียงข้าง เมื่อเขาเติบใหญ่ ในขณะที่อมราแก่ตัวลง  ยามพบเจอปัญหา ตรัสจึงไม่เคยนำพาเรื่องหนักใจเหล่านั้นไปบอกกล่าวแก่ผู้เป็นย่าเลย


เขาเผชิญมันคนเดียวมาตลอดหลายปี จนกระทั่งวันนี้


...มีคนกล่าวว่าอยากช่วย…


“ให้ข้าช่วยเถอะนะ”


ตรัสเห็นทั้งความจริงใจและจริงจังของอีกฝ่ายย่อมซาบซึ้งและไม่อยากขัดใจ เขาถอนหายใจ ก่อนจะยอมพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็ทำสามสิบถุงต่อวัน”


คนจริงใจอยากช่วยถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนทำหน้าสลด


“โธ่ ข้าจะขอสักห้าสิบ...”


“นั่นมันมากเกินไป”


รติถอนหายใจทำหน้าตาน่าสงสาร ดูก็รู้ว่าทำให้ดูน่าสงสารไปอย่างนั้น


หากเป็นตรัสคนที่หมางเมินใส่ความสัมพันธ์สามีภรรยาของพวกเขา นอกจากจะไม่สงสารแล้ว ย่อมขวางหูขวางตา แต่ยามนี้...ไม่ใช่ตรัสคนเก่าผู้นั้นอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่สงสาร แต่กลับนึกเอ็นดู แล้วยัง...ใจอ่อนด้วย


“เอาเถอะ...” คนทำหน้าตาน่าสงสารคล้ายจะได้ยินสัญญานของความยินยอม ดวงตาจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความดีใจในฉับพลัน


“...จะทำมากกว่าสามสิบก็ได้ แต่ถ้าข้าเข้านอน เจ้าก็ต้องเข้านอนพร้อมข้า”


จากดีใจกลายเป็นงุนงง กะพริบตาปริบๆ แต่เมื่อฝ่ายสามียังจ้องราวกับนี่เป็นเงื่อนไขเดียวที่อะลุ้มอะล่วยที่สุดแล้ว รติจึงไม่มีทางเลือกมากไปกว่ารีบพยักหน้ารับ


นับจากนั้น...แม้จะไม่นอนร่วมเตียง แต่สองสามีภรรยาก็เข้านอนพร้อมกันเป็นต้นมา


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ภรรยาอ้อน (?) ท่านตรัสจะไม่ใจอ่อนก็ยังไงอยู่นะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 14 ผลสืบเนื่อง -- (อัพเดต 19/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 19-02-2020 19:23:21
แง้น่ารักมากๆ น่ารักเต็มไปหมด รู้สึกถึงความอบอุ่น ความห่วงใยแถบทุกบรรทัด อ่านแล้วเขินมากๆเลยค่ะ ชอบกันแล้วใช่มั้ย :m1: :m13: :m3: :mc3: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 14 ผลสืบเนื่อง -- (อัพเดต 19/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-02-2020 20:03:53
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 14 ผลสืบเนื่อง -- (อัพเดต 19/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-02-2020 15:02:42
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 14 ผลสืบเนื่อง -- (อัพเดต 19/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-02-2020 15:52:59
น่ารักมาก
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 15 รางวัล -- (อัพเดต 21/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 21-02-2020 18:37:49
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 15
 รางวัล   

---------

   อากาศช่วงฤดูหนาวยังคงโหดร้ายทารุณสำหรับผู้ที่ต้องออกไปทำงาน


เมื่อคืน หิมะตกจนขาวโพลน พอเช้า ความหนาวเหน็บหาได้เจือจาง


รุจีมองออกไปนอกเรือนแล้วก็เห็นแต่ภูมิทัศน์ขาวพร่าแปลกตาสำหรับคนจากเขตทางใต้อย่างนาง ระพีเองก็ดูจะชื่นชอบกับความหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเด็กๆนั้นปรับตัวง่าย แต่ผู้ใหญ่อย่างพี่ชายของนางเล่า ขนาดอากาศหนาวอย่างทางใต้ ก็ยังตัวสั่นระริก


   หลังมื้อเช้า ตรัสและรติต้องไปเปิดร้านยา ทั้งสองเตรียมตัวออกจากเรือนแล้ว แต่รุจีก้าวเท้าไวๆเข้ามาหาเสียก่อน


   “พี่รติ สวมหมวกอีกใบเถอะเจ้าค่ะ” เด็กหญิงพูดพลางยื่นหมวกถัก รติยิ้ม


   “หิมะหยุดตกแล้ว พี่ไม่ต้องสวมหมวกก็ได้”


   “หมวกไม่ได้กันหิมะ แต่ท่านพี่ขี้หนาว อากาศเช่นนี้จะป่วยเอา” ผู้เป็นน้องย้ำประโยคสุดท้าย แน่นอนว่ารติกลัวป่วยเป็นที่สุด เพราะเมื่อป่วยคราใดเป็นต้องมีอาการตาบอดทุกที แล้วเขาจะให้คนที่นี่รู้ไม่ได้


   “ก็ได้ๆ ขอบใจ” รติรับหมวกมาสวม จากนั้นจึงก้าวเท้าออกจากประตู ตรัสมองคนที่เดินนำออกไปแล้ว ก่อนหันมาค้อมศีรษะเป็นเชิงลาเด็กหญิง แล้วเดินตามภรรยาโดยไม่พูดอะไร


---------


   ‘ท่านพี่ขี้หนาว อากาศเช่นนี้จะป่วยเอา’


   แม้ไม่พูด แต่ตรัสรู้สึกว่าตนเองบกพร่อง 


เขาไม่เคยสังเกตว่ารติขี้หนาว แม้เจ้าตัวจะสวมเสื้อคลุมสองชั้นสามชั้นก็ตามที เพราะเห็นยังร่าเริงมีพลังล้นเหลืออยู่กับการขายผงสมุนไพรที่หน้าร้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งเป็นคนทำอะไรปุบปับ ประเดี๋ยวอยู่หน้าประตู ประเดี๋ยวอยู่ที่ห้องใต้ดินเก็บสมุนไพร ประเดี๋ยวก็หายหน้าไป ตรัสจึงไม่ทันได้คิดอะไร แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็พบว่า แม้รติจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่สองมือซุกอยู่กับเสื้อคลุม กระโดดเหย็งๆราวกับจะให้ร่างกายอบอุ่น


   เมื่อวานตอนเย็น ระหว่างเดินกลับเรือน เขาเลยลองมองหาร้านขายเครื่องนุ่งห่มเนื้อหนา หมายจะซื้อให้รติ แต่นอกจากราคาจะแพงแล้วยังไม่ได้คุณภาพ สุดท้ายก็ซื้อไม่ลง


แต่คนจำเป็นต้องใช้ ก็ย่อมต้องใช้


ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ตัดสินใจเปิดตู้ไม้เก็บเครื่องนุ่งห่มของตนแล้วหยิบผ้าพันคอผืนหนึ่งออกมา


   “ตรัส...อาหารเช้าเสร็จแล้ว” รติโผล่หน้าเข้ามาเรียกในห้องพักผ่อน


แม้ทุกวันนี้จะยังร่วมเรือนนอน แต่ก็เว้นระยะห่างไว้ให้กันเสมอ การผลัดผ้าอาบน้ำล้างหน้าล้างตาหรือใช้ห้องสุขาที่อยู่ในห้องพักผ่อนก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต่างคนต่างระมัดระวัง เมื่อคนหนึ่งใช้ อีกคนก็จะหาเรื่องออกจากห้องโดยไม่ต้องให้มีการออกปาก ดังนั้นจึงค่อนข้างจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข


   แต่เช้านี้ ไม่รู้เหตุใดตรัสจึงแต่งตัวช้านัก รติเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ออกไปรับประทานอาหารเสียทีจึงเข้ามาตาม


   คนมาตาม เมื่อทำหน้าที่แล้วก็หมุนตัวจะกลับออกไป ทว่าเรียกฝ่ายเรียกไว้เสียก่อน


   “รติ...”


   พอเจ้าของชื่อหันกลับมา ผ้าพันคอผืนหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า


   “ผ้าพันคอของข้า หากเจ้าไม่รังเกียจที่เป็นของเก่า...จะเอาไปใช้ก็ได้”


นับตั้งแต่รติเข้ามารับรู้สถานการณ์การเงินของสกุล ความสัมพันธ์ของพวกเขานับว่าดีขึ้นตามลำดับ ทว่าก็ไม่เคยถึงขั้นมอบข้าวของให้ ครั้งนี้จึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับตรัสทีเดียว


   รติมองผ้าพันคอสีนวลในมือใหญ่แล้วก็เงยหน้ามองคนพูดราวกับตะลึง


   “ให้ข้า?”


   “หลังจากนี้อากาศจะหนาวกว่านี้ ผ้าพันคอที่ทำจากขนสัตว์ชนิดนี้เนื้อนุ่มและอุ่น แต่หายาก เดี๋ยวนี้แทบไม่มีขายแล้ว หรือถึงมีก็ราคาแพงมาก เอ่อ...ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ ก็เอาไปใช้...”


   “แล้วท่านไม่ใช้หรือ”



   “ข้าเกิดและเติบโตที่นี่ ชินกับอากาศเช่นนี้อยู่แล้ว”


รติยังคงมองอีกฝ่ายราวกับคาดไม่ถึง ทำเอาคนหยิบยื่นน้ำใจ ชักเก้อจนรู้สึกว่าน่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้


   “เอ่อ...แต่...แต่ถ้าเจ้าอยากจะได้ผืนใหม่ ข้าจะจัดสรรเงินจากที่ขายสมุนไพร...”


ทว่ายังพูดไม่ทันจบ ผ้าพันคอในมือก็ถูกดึงเอาไว้ 


   “จะซื้อใหม่ทำไมในเมื่อมีอยู่แล้วล่ะ ข้าใช้เลยได้ไหม”


   “อือ”


รติตวัดผ้าพันคอผืนยาวเนื้อนุ่มโอบรอบคอทบหนึ่ง ก็พบว่าขนสัตว์แบบนี้ให้ความอบอุ่นได้ดีทีเดียว ตรัสช่วยตวัดชายผ้ารอบคออีกทบ จากนั้นจึงจัดให้ชายผ้าคลุมลงมาถึงช่วงไหปลาร้าและไหล่


   “ทำอย่างนี้ ร่างกายจะได้อุ่น”


   “อุ่นจริงด้วย ขอบคุณ” รติยิ้มดีใจ ต่อให้จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่เพียงใด เจ้าตัวก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ต้องผจญกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต พาน้องสาวน้องชายระหกระเหินมาขอพึ่งพาอาศัยผู้อื่นในต่างถิ่น ตรัสรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ เขาถือว่าตนเองเป็นใหญ่ในบ้าน อย่างน้อยรติเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ควรสอดส่องดูแลมากกว่านี้


   “เอ่อ...ตรัส...”


   เสียงเรียกของคนตรงหน้าทำให้รู้ตัว ตรัสกะพริบตา ก่อนจะเอ่ยปาก


   “ไปเถอะ ออกไปกินข้าวจะได้ไปเปิดร้าน”


   “อื้อ”


สามีก้าวเท้าออกนำ แต่มิได้ก้าวไว ปรายตาดูคนเดินตาม เห็นจับขยุ้มชายผ้าพันคออย่างถูกใจ ใบหน้าสดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลอยให้หัวใจของตรัสอิ่มเอิบอย่างประหลาด


   
---------


   รุจีไม่ได้ตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดจู่ๆพี่ชายของนางถึงมีผ้าพันคอผืนใหม่ ในขณะที่ท่านอมราก็มิได้สอบถามกับหลานชายว่าเหตุใดผ้าพันคอของตรัสจึงไปพันอยู่รอบคอของรติ แต่เมื่อเห็นทั้งสองเดินเคียงข้างพูดคุยกันทั้งตอนออกจากเรือนและตอนกลับเข้าเรือนได้โดยไม่ทะเลาะเบาะแว้งเหมือนก่อนหน้านี้ก็สบายใจ


   กิจการร้านยาของอหัสกรรอดพ้นวิกฤติมาด้วยการขายผงสมุนไพรบำรุงร่างกาย บัญชีรายรับรายจ่ายเมื่อบวกลบกันแล้ว มีรายได้เหลือเพียงพอทั้งในส่วนของการเก็บออมและจัดสรรให้แก่ช่อง ‘เบ็ดเตล็ด’ มากกว่าเดิม


   กลางดึกคืนหนึ่ง หลังจากเตรียมผงสมุนไพรสำหรับขายวันพรุ่งนี้แล้ว สองสามีภรรยากำลังจะแยกย้สายเข้านอน ซองกระดาษก็ถูกยื่นมาตรงหน้ารติต้เสียก่อน


   “อะไร”


   “ส่วนแบ่งจากร้านยา”


   รติมองคนตรงหน้า แม้จะไม่ได้เห็นบัญชีรายรับรายจ่ายอีก แต่เขาก็พอจะจำได้ว่าในสกุลอหัสกรมีค่าใช้จ่ายใดบ้าง


   “ค่าจ้างบ่าวไพร่ในเรือนและร้านยาล่ะ”


   “แบ่งไว้แล้ว”


   “ค่าของใช้ ค่าวัตถุดิบที่ร้านยาและอาหารการกินในเรือนล่ะ”


   “เตรียมไว้แล้ว”


   “ค่าเครื่องใช้ส่วนตัวของท่านอมราล่ะ”


   “จัดสรรไว้แล้ว”


   “ส่วนที่เก็บออมและเบ็ดเตล็ดล่ะ”


   “เก็บแยกไว้แล้ว”


   “แล้ว...ค่าของใช้ส่วนตัวของท่านล่ะ”


ตรัสนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบ


   “ข้าไม่มีอะไรต้องใช้”


คนฟังพยักหน้า รับซองมาเปิดดู เป็นเหรียญทองและเหรียญเงิน จำนวนไม่มากนัก แต่ก็นับว่าพอใช้ได้นาน รติดึงมือตรัสมาหงาย จากนั้นก็แบ่งเหรียญเงินและเหรียญทองครึ่งหนึ่งจากในซองให้อีกฝ่าย แล้วเงยหน้ายิ้มให้


   “ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องใช้ เช่นนั้นเราก็แบ่งกันคนละครึ่ง”


   ตรัสมองคนที่เก็บเงินที่เหลืออีกครึ่งลงซอง หากจะนับถึงความพยายามและความเหน็ดเหนื่อยแล้ว เจ้าตัวควรจะได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เพราะจำเป็นต้องจัดสรรสำหรับผู้อื่นในสกุลด้วย จึงแบ่งออกมาได้เพียงเท่านี้ แต่...ก็ยังแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง


   ‘ไม่มีอะไรต้องใช้’


   ต่อให้ไม่มีอะไรต้องใช้ แล้วจะไม่มีอะไรที่อยากได้บ้างหรือ รติช่วยงานของสกุลถึงเพียงนี้ ก็ควรจะได้รางวัลบ้าง


   “พรุ่งนี้...ขากลับจะแวะไปตลาดไหม เผื่อเจ้าจะได้ดูข้าวของ” ตรัสเสนอ


   “ดูไปทำไม” แต่อีกฝ่ายกลับย้อนถามอย่างซื่อ


   “ก็...เสื้อผ้า หรือรองเท้า...”


   “ของที่ข้าใช้ก็ยังดีอยู่นี่”


   “แล้วขนมหรืออาหารที่อยาก”


รติทำหน้าตานิ่งคิด ก่อนจะส่ายศีรษะ


   “อยากอะไรในเรือนก็มีให้กิน”


   เสื้อผ้าของใช้ก็ไม่มีที่อยากได้ อาหารการกินก็ไม่มีที่อยากทาน ตรัสนิ่งคิด เขาเองก็ไม่รู้ว่ารติชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร แต่ที่เห็นทำบ่อยๆก็...ออกไปเที่ยว


   “ถ้าเช่นนั้น...วันหยุดนี้อยากไปเล่นรถเลื่อนไหม”


   “รถเลื่อน?”


   “ใช่ หน้าหนาวอย่างนี้ ทะเลสาบทางเหนือของเมืองจะเป็นน้ำแข็งหนา สามารถเล่นรถเลื่อนบนผิวน้ำแข็งได้ ถ้าเจ้าอยาก...”


   “ท่านจะพาข้าไปหรือ?!”


   “ก็...ถ้าเจ้าอยากจะไป...”


   “ไปสิ! แล้ว...เด็กๆเล่นได้ไหม รุจี ระพี ล่ะ?! แล้วพาท่านอมราไปด้วยได้หรือไม่?!”


   “ได้” 


รติยิ้มสดใส ดูจะดีใจกว่าการได้เงินทองเมื่อครู่นี้อีก เห็นดวงตาวิบวับคู่นั้นแแล้ว ตรัสก็พลันรู้สึกดี ทว่าดวงตาเช่นนั้นอยู่ไม่นาน จู่ๆเจ้าตัวก็หมุนกายขวับแล้วก้าวเท้าออกจากห้อง


“นั่นเจ้าจะไปไหน”


   “ข้าจะไปบอกรุจีกับระพี...”


   “พรุ่งนี้ค่อยบอก นี่ดึกแล้วจะไปรบกวนทำไม”


   “จริงด้วย ข้ามัวแต่ดีใจ ถ้าอย่างนั้นข้าเตรียมของดีกว่า ที่นั่นต้องหนาวมากแน่ๆใช่ไหม ข้าจะไปเตรียมผ้าพันคอแล้วก็เสื้อคลุมหนาๆ” แล้วรติก็หมุนตัว วิ่งวุ่นหาเสื้อผ้าเนื้อหนามาเตรียมอย่างตื่นเต้น ตรัสได้แต่มองตามแล้วหัวเราะเบาๆ


   ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่...


   ความรู้สึกที่ตรัสมีต่อรติในเวลานี้เปลี่ยนไป


   เขามองรติแล้วยิ้มด้วยหัวใจที่เต็มตื้นและมีความสุข แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวันแรกที่แต่งงานกัน


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

มีคนรู้สึกดีๆกับภรรยาของตัวเองด้วยค่ะ

ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 15 รางวัล -- (อัพเดต 21/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 21-02-2020 20:35:46
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 15 รางวัล -- (อัพเดต 21/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 21-02-2020 20:45:01
น่ารักและอบอุ่นมากๆเลยค่ะ  :pig4: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 15 รางวัล -- (อัพเดต 21/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 21-02-2020 22:33:27
 :mew1:

พัฒนาขึ้นมาแล้ว

รอเวลาทั้งคู่รู้ใจตัวเอง รู้ใจกันละนะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 15 รางวัล -- (อัพเดต 21/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-02-2020 02:57:50
ความสัมพันธ์ดีขึ้นทุกวัน  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 16 เที่ยว -- (อัพเดต 24/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 24-02-2020 18:06:09
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 16

เที่ยว

---------


   พรุ่งนี้ สกุลอหัสกรจะออกเดินทางไปเที่ยวทะเลสาบทางเหนือของเมือง ร้านยาอหัสกรจึงติดป้ายปิดให้บริการหนึ่งวัน


   รติตื่นเต้นที่สุด วิ่งวุ่นเตรียมข้าวของตลอดทั้งเย็น ผงสมุนไพรใดๆเป็นอันว่าหยุดทำไปก่อน


   หัวค่ำ อมรา รุจีและระพีแยกย้ายเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า รติยังคงหยิบๆจับๆข้าวของลงตะกร้าไม่เลิก


   จนกระทั่งตกดึก


   ตรัสเตรียมตัวเข้านอน ทว่าตอนที่ดับไฟข้างตั่งนอนของตนก็พบว่าห้องพักผ่อนข้างๆยังคงมีแสงลอดออกมาให้เห็น ป่านนี้รติจะยังไม่หลับอีกหรือ


   พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า เขานึกเป็นห่วงคนยังไม่นอนจึงเดินเข้าไปใกล้ประตูโค้งที่เชื่อมระหว่างห้องทำงานของตนและห้องพักผ่อนด้านใน


   แม้จะอยู่ในฐานะสามีภรรยา แต่ไม่ได้รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย ใช้วิธียืนอยู่ข้างประตูแล้วส่งเสียงเรียกเข้าไป


   “รติ”


   เงียบ


   “รติ”


   ไร้เสียงตอบ


   “รติ”


   ไม่มีวี่แววว่าจะมีผู้อยู่ภายใน ตรัสตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักผ่อน แล้วพบว่านอกจากตะเกียงเทียนที่จุดให้ความสว่าง กลับปราศจากเจ้าของห้อง


   ชายหนุ่มลองเดินสำรวจรอบห้องก็ไม่พบวี่แวว จึงเดินออกจากเรือนนอน เขาเห็นแสงสว่างจากห้องโถงใหญ่จึงก้าวเท้าตรงไปที่นั่น แล้วก็พบว่าคนที่เขากำลังตามหาตัวกำลังเดินวนไปวนมาอยู่รอบตะกร้าสี่ห้าใบที่วางอยู่บนโต๊ะ


   “ทำอะไร”


   รติสะดุ้ง หันมอง พอเห็นว่าเป็นตรัส เขาจึงเอ่ย


   “ข้ากำลังดูว่ามีอะไรขาดบ้าง พรุ่งนี้เราออกแต่เช้า ข้าเตรียมอาหารเช้าง่ายๆไว้ทานบนรถม้า พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาต้มน้ำอุ่นใส่กระติกไปด้วย เดินทางขึ้นเหนือก็คงจะหนาว ข้าเตรียมผ้าห่มเอาไว้ใช้ระหว่างเดินทาง เห็นว่าจะถึงทะเลสาบตอนสายๆ ข้ามีขนมและของว่างในตะกร้านี้ ส่วนมื้อเที่ยง พรุ่งนี้จะรีบตื่นมาหุงข้าวเตรียมไปด้วย ของว่างยามบ่ายก็ตะกร้านี้ ส่วนมื้อเย็นเราจะทานกันบนรถม้าก็คงต้องเป็นของทานง่ายและไม่หกเลอะเทอะ เอ? เล่นรถเลื่อนจะหนาวและเปียกไหม ข้าต้องเตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนให้เด็กๆและท่านอมราหรือไม่”


   ตรัสมองคนพูดเจื้อยแจ้ว พลางยิ้มจาง


   “เท่าที่เจ้าเตรียมก็มากพอแล้ว แต่เตรียมเสื้อผ้าสำหรับเด็กๆไปเปลี่ยนด้วยก็ดี พรุ่งนี้อากาศน่าจะหนาวกว่านี้ หากเล่นจนตัวเย็นจะได้มีเสื้อผ้าชุดใหม่เปลี่ยน”


   “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะ...”


ไม่ทันจะหมุนตัวไปยังห้องของน้องสาวน้องชายที่อีกปีกหนึ่ง แขนก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน


   “เด็กๆหลับกันหมดแล้ว เจ้าจะไปปลุกพวกเขาหรือ ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยเตรียม”


   “แต่ข้าเกรงว่าจะไม่ทัน” 


รติต้องดูแลเรื่องอาหารที่จะนำไปทานที่ทะเลสาบด้วย หากต้องวิ่งไปสั่งเรื่องเตรียมเสื้อผ้าอีกก็เกรงว่าจะยิ่งสาย


   “ข้าจะช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าเด็กๆให้ มาเถอะ นอนได้แล้ว ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เราออกแต่เช้า” รติมัวแต่นิ่งงันเพราะไม่คิดว่าตรัสจะเสนอตัวรับภาระเรื่องรุจีและระพี พออีกฝ่ายเดินไปดับเทียนแล้วดึงเขาให้เดินกลับไปยังห้องพักผ่อน จึงก้าวตามโดยไม่มีเสียงโต้แย้ง


   “ไปนอน” ตรัสบอกด้วยน้ำเสียงทุ้ม ฟังอ่อนโยนกว่าทุกที


   “ถ้าเช่นนั้น...ราตรีสวัสดิ์”


พอฝ่ายหนึ่งไม่หาเรื่อง อีกฝ่ายก็ไม่กวนโทโส


   ชายหนุ่มยิ้มรับ


   “ราตรีสวัสดิ์” เขากล่าวเช่นนั้นรอจนกระทั่งรติเข้าไปยังห้องพักผ่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าไฟในห้องถูกดับ ตรัสจึงเอนกายลงนอน


เสียงราตรีสวัสดิ์ของรติยังดังก้องอยู่ในหู น่าแปลกที่ตรัสอดไม่ได้ที่จะเอียงกายนอนตะแคงหันไปยังห้องพักผ่อน แม้จะมองไม่เห็นคนที่นอนอยู่ในนั้น แต่เขา...ก็หลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม


---------


   เช้าตรู่วันต่อมา รถม้าของสกุลอหัสกรก็ออกเดินทางไปยังทะเลสาบทางเหนือของเมือง


สามพี่น้องจากแดนใต้ตื่นเต้นกันมาก แม้จะต้องตื่นแต่เช้ามืดก็กระตือรือร้นตาลุกวาวไปตลอดการเดินทาง


   ตกสาย รถม้ามาถึงจุดหมายปลายทาง


   เขตตะวันออกนั้นหนาวเย็น ขนาดที่เรือนอหัสกรก็ยังขาวโพลนด้วยหิมะ ทะเลสาบทางตอนเหนือยิ่งหนาวเหน็บกว่า นอกจากหิมะขาวที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่แล้ว ทะเลสาบกว้างยังกลายเป็นน้ำแข็ง มีผู้คนวิ่งไถไปมาบนผิวน้ำแข็ง บ้างก็เล่นรถไถที่ทำจากไม้กันสนุก


   สามพี่น้องตื่นตาตื่นใจ ตรัสเช่ารถเลื่อนคันหนึ่ง รติออกตัวว่าเขาเป็นพี่คนโต ดังนั้นต้องคอยจับบังเหียนอยู่ตลอด มิอาจลงจากรถได้เลย แต่ใครดูก็รู้ว่าเจ้าตัวติดใจกับการไถรถเลื่อนไปมาเพียงใด ระพีและรุจีผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมานั่งรถเลื่อนกับผู้เป็นพี่ เล่นสนุกจนจมูกแดงก่ำก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย จนอมราต้องให้ตรัสมาตามไปพักรับประทานอาหารมื้อกลางวัน รติจึงยอมลงจากรถเลื่อนได้


   มื้อกลางวันของพวกเขาทั้ง 5 ประกอบด้วยอาหารอย่างง่ายที่รติเตรียมมาจากเรือน 


ตรัสซื้ออาหารร้อนๆจากร้านชาวบ้านใกล้ๆมาเพิ่ม ยิ่งทำให้เอร็ดอร่อยเพราะร่างกายอบอุ่น นอกจากนั้นกระติกที่รติพกมาก็ช่วยเก็บน้ำร้อนได้ดี เมื่อชงกับผงสมุนไพรบำรุงร่างกายด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้กระปรี้กระเปร่า


   อิ่มจากมื้อกลางวันแล้ว สามพี่น้องก็วิ่งไปเล่นสนุกกับกองหิมะกันต่อ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกเขาพลอยให้อมราและตรัสแจ่มใสไปด้วย


อมรามองสามพี่น้องเล่นปาหิมะกัน


รุจีและระพีเป็นเด็กสดใสร่าเริง ไม่ได้เรียบร้อยปานผ้าพับไว้แต่ก็มีมารยาทอย่างผู้ดี ไม่เหมือนผู้ขาดบุพการีสักนิด


ส่วนหนึ่งก็เพราะรติที่เลี้ยงดูพวกเขามาอย่างดี นางนึกขอบคุณรติเสมอที่ยอมสละทิ้งเรื่องส่วนตัว ทิ้งกระทั่งศักดิ์ศรีของความเป็นชาย ยอมแต่งงานกับตรัสก็เพื่อให้รุจีและระพีมีบ้านช่องพักพิง


   เมื่อคิดถึงหลานชาย อมราจึงหันมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับนาง ตรัสเองก็กำลังมองสามพี่น้องที่กำลังเล่นอย่างสนุก


   เขาเป็นลูกชายคนเดียว หลานชายคนเดียว ดังนั้นย่อมไม่เคยสัมผัสการเล่นสนุกกับพี่น้องเช่นนั้น   


อมราหยิบหิมะมาปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นจึงยื่นให้ตรัสแล้วบุ้ยหน้าไปยังสามพี่น้อง


   ชายหนุ่มคิดว่าผู้เป็นย่าอยากเล่นด้วย แต่ความชราทำให้นางไม่อาจทำได้ด้วยตนเอง จึงไหว้วานเขา หลานชายที่ดีจึงรับหิมะก้อนนั้นมา


แน่นอนว่าเป้าปาหิมะย่อมไม่ใช่เด็กน้อยหญิงชายอย่างรุจีและระพี


แต่เป็นรติ


   หิมะก้อนกลมถูกปาใส่หลังรติ ทำเอาคนถูกเล่นทีเผลอสะดุ้งโหยงหันกลับมามอง แล้วพอหันกลับมา อมราก็รีบชี้ไปที่หลานชายของนางทันที


   หญิงชราทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รติก็ยิ่งเข้าใจว่าตรัสเป็นคนเล่นกับเขา


   รติก้มลงกระซิบกับน้องๆ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็คว้าหิมะปาใส่ตรัสเป็นเป้าเดียว


   จากเล่นสนุกกันสามคนก็กลายเป็นมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง แต่มิมีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร จากสามพี่น้องเล็งตรัสเพียงคนเดียวก็กลายเป็นสองเด็กรุมปาใส่สองผู้ใหญ่


เสียงหัวเราะร่วนดังลั่น อมราทอดสายตามองหลานชายวัยยี่สิบห้าที่เล่นสนุกเป็นเด็กๆ นานเพียงใดแล้วที่นางไม่ได้เห็นตรัสยิ้มและหัวเราะได้เช่นนี้ นานเพียงใดแล้วที่อหัสกรเปล่าเปลี่ยวและว้าเหว่ ถึงเวลาเสียที...ที่สกุลของนางจะได้ชีวิตชีวาคืนกลับมา


หญิงชราเบี่ยงสายตาไปยังตัวแปรสำคัญที่ทำให้เสียงหัวเราะเกิดขึ้นในอหัสกร


...รติ...


...โชคดีเหลือเกิน ที่เป็นเจ้า...


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 16 เที่ยว -- (อัพเดต 24/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-02-2020 19:04:39
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 16 เที่ยว -- (อัพเดต 24/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 24-02-2020 23:41:46
ดีจังเลย

จากนี้ขอให้มีรอยยิ้มทั้งครอบครัว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 16 เที่ยว -- (อัพเดต 24/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-02-2020 03:34:33
จะมีอะไรมาให้ลุ้นอีกนะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 16 เที่ยว -- (อัพเดต 24/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-02-2020 09:08:45
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 17 มิทันตั้งใจ -- (อัพเดต 26/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 26-02-2020 18:24:06
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 17

มิทันตั้งใจ

---------


   ทะเลสาบน้ำแข็งและหิมะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แสนประทับใจของทุกคน กว่าจะยอมขึ้นรถม้ากลับก็เย็นย่ำ


สามพี่น้องมองทะเลสาบน้ำแข็งตาละห้อย รุจีและระพีนั้นสามารถแสดงออกว่าติดใจอย่างเด็กๆได้ แต่รติแม้จะติดใจแต่ไม่สามารถแสดงออกอย่างเต็มที่ ต้องฮึดหันหน้าหนีรีบต้อนน้องๆขึ้นรถม้า    


   พอรถม้าเคลื่อนตัว   สามพี่น้องก็หลับสนิท อมรามองแล้วหัวเราะเบาๆ


“เล่นจนหมดแรงทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่” ตรัสเอ่ยปาก ไม่ต้องขยายความก็รู้ว่าคำว่าผู้ใหญ่นั้นเจาะจงไปที่รติเพียงเท่านั้น


“ผู้ใหญ่ที่ไหนกัน ย่าเห็นมีแต่เด็ก...สี่คน”


ตรัสชะงัก เม้มปากอยากจะปฏิเสธว่าเขามิใช่เด็ก แต่ก็ตระหนักได้ว่าเขาเองก็เล่นสนุกเป็นเด็กๆเช่นกัน


อมราหันมองหลานชาย ยื่นมือเหี่ยวย่นไปจับมือของตรัสแล้วบีบเบาๆ


“เห็นเจ้ามีความสุข ย่าก็ดีใจ”


ตรัสไม่ปฏิเสธ เพราะเขาเองก็มีความสุขจริง ชายหนุ่มยิ้มจางบีบมือนางกลับ


รถม้าเคลื่อนตัวไปตามทางที่เริ่มมืด มีเพียงเสียงฝีเท้าและล้อที่บดไปกับพื้นถนน


จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท จันทร์ลอยเด่นท่ามกลางหมู่ดาวพร่างพราย รถม้าจึงจอดสนิทที่หน้าเรือนอหัสกร


ตรัสลงจากรถเป็นคนแรก ช่วยพยุงหญิงชราลงเป็นคนที่สอง รติรู้ตัวไว จึงลืมตาขึ้น พอเห็นว่าถึงที่หมายแล้วก็หันไปปลุกรุจีให้ตื่น แต่พอจะหันมาปลุกระพีที่นอนหนุนตักเขา ตรัสกลับห้ามไว้


   “ไม่ต้องปลุกหรอก ข้าอุ้มเอง”


   รติไม่ทันได้ท้วง อีกฝ่ายก็อุ้มเด็กชายออกจากรถม้าไปแล้ว เขารีบก้าวเท้าตาม มีรุจีตามติดอีกคน รติสั่งให้รุจีเข้าไปพักผ่อน ส่วนเขาจะเป็นคนดูแลน้องขายคนเล็กเอง ตรัสวางเด็กชายลงบนเตียง แล้วจึงถอยออกมาให้คนเป็นพี่ได้เข้าไปจัดแจงถอดรองเท้าและเสื้อผ้าเนื้อหนาให้น้องน้อยนอนสบาย


   “ท่านกลับเรือนไปก่อนเถอะ ข้าจัดการระพีเสร็จแล้วจะตามไป”


   “ไม่เป็นไร ข้ารอ”


คำว่า ‘รอ’ นั้นชวนให้เขินประหลาด รติไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น ก็หันไปจัดท่าน้องชายให้นอนสบาย ห่มผ้าให้แล้วจึงดับตะเกียง ก่อนจะพากันออกจากห้อง


   สองร่างเคียงข้าง เดินกลับไปยังเรือนนอนเพื่อแยกย้ายกันพักผ่อน


   แต่เรือนนั้นมีห้องผลัดผ้าและห้องสุขาเพียงห้องเดียว ต่อให้จะแบ่งอาณาเขตในการพักผ่อนกันแล้ว อย่างไรก็ต้องใช้ห้องส่วนหนึ่งร่วมกัน


   วันนี้อากาศหนาวก็จริง แต่เพราะออกไปเที่ยวมาทั้งวัน ควรล้างไม้ล้างมือผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเข้านอน


   “ท่าน...เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ข้ารอแถวนี้” รติเอ่ย แล้วบุ้ยใบ้ไปยังตั่งยาวในห้องทำงาน ตรัสพยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักผ่อนด้านในซึ่งมีห้องผลัดผ้าด้วย


   พวกเขาต่างคนต่างเพลียกับการเดินทางและการเที่ยวเล่น ตรัสจึงใช้เวลาอย่างสั้นๆในการเปลี่ยนเสื้อผ้า ทว่าออกมาอีกทีก็พบว่าคนที่บอกว่าจะรออยู่ที่ห้องทำงานเพื่อให้เขาได้ใช้ห้องด้านในเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเป็นส่วนตัวนั้น กลับนอนเอนหลับสนิทบนตั่งไปแล้ว


   ดูท่าจะเหนื่อยจริง เพราะเจ้าตัวถอดรองเท้าขึ้นนอนเรียบร้อย


   เห็นแล้วก็ชวนขัน ตรัสยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปคลี่ผ้าห่มออกคลุมให้ เพราะตั่งยาวนั้นเหมาะแก่การพักผ่อน รติจึงหลับลึกไม่รู้สติสักนิด


ตรัสยืนมองอยู่อึดใจหนึ่ง แน่นอนว่าต่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะพัฒนาไปในทางที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะขึ้นไปนอนร่วมตั่งแคบๆได้ แต่ให้อย่างไรเขาก็ต้องพักผ่อน ครั้นจะกลับเข้าไปนอนในห้อง เตียงหลังนั้นก็ราวกับมีเจ้าของใหม่เป็นรติไปแล้ว สุดท้ายชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปนั่งเอนบนเก้าอี้โต๊ะทำงานแทน


   คืนนั้น...สามีภรรยาหลับสนิทในห้องเดียวกัน


---------


   รติตื่นตอนที่อากาศเย็นจัด ตั่งในห้องทำงานแม้จะยาวพอจะนอนเหยียดแต่ก็ไม่มีฟูกอุ่นให้รู้สึกสบาย ดังนั้นคนไม่คุ้นกับอากาศหนาว เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงอีกจึงนอนไม่สบายจนตื่นขึ้นมา


   แล้วพอลืมตา ก็ถึงได้รู้ตัวว่าเขายึดที่นอนใครบางคนไปเสียแล้ว


   เขาลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยความตกใจ แล้วก็พลันชะงักเมื่อพบว่าคนที่มักจะอาศัยตั่งนี้นอนทุกคืนกำลังนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน


   ...แทนที่จะปลุกเขาก็ได้ แต่ก็ยังปล่อยให้นอน...


   รติลุกขึ้นหมายจะไปปลุกให้ตรัสกลับมานอนที่ตั่ง ก็พบว่าไม่เพียงแค่ตรัสปล่อยให้เขายึดที่ แต่ยังหาผ้าห่มมาคลุมให้ด้วย


   ความเอื้อเฟื้อและน้ำใจของตรัสนั้น ชวนให้หัวใจวูบไหว


   เขาลุกจากตั่ง เดินเข้าไปหาคนที่นั่งหลับ แล้วสะกิดเรียก


   “ตรัส...ตรัส...ไปนอนดีๆเถอะ”


คนหลับปรือตาขึ้นมองอย่างง่วงงุน ไม่รู้ว่าสติกลับมาครบถ้วนหรือไม่ แต่เจ้าตัวพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้น แล้วก้าวเท้าเดินอย่างโงนเงน


ทว่า...ร่างสูงไม่ได้เดินไปยังตั่ง


   รติเลิกคิ้วเมื่อเห็นคนสะลึมสะลือกลับเบี่ยงปลายเท้าก้าวลึกเข้าไปในห้องพักผ่อนด้านข้าง พอเขาตามเข้าไปก็ถึงกับตาโตเพราะคนที่เขาปลุกเมื่อครู่นี้เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเรียบร้อย


   “เฮ้...” จะท้วงเสียงดังก็ท้วงไม่ออก รติเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียง แต่อีกฝ่ายหลับต่อไปแล้ว เขาเกาศีรษะอย่าง


ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ถ้าจะให้เขาออกไปนอนในห้องทำงานก็คงนอนไม่หลับเพราะไหนจะอากาศหนาวจัด ไหนจะตั่งเย็นชืดนั่น


   “ตรัส...” เขาลองสะกิดคนหลับดูอีกที ดวงตาปรือขึ้นอีกรอบ ในห้วงสะลึมสะลือนั้นดูมีแววหงุดหงิดที่ถูกรบกวน  รติไม่ทันได้พูด ร่างทั้งร่างถูกดึงให้ล้มลงมานอนร่วมเตียง


ตุ่บ!


คนดึงหลับสนิทต่อไป ในขณะที่รตินอนกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง พอหันมองคนที่นอนอยู่ข้างกายก็ไม่รู้จะเรียกอีกฝ่ายอย่างไร สุดท้ายเลยได้แต่ถอนหายใจเบา


   ...เอาก็เอา...นอนด้วยกันก็ได้...อย่างน้อยก็ดีกว่าออกไปนอนหนาวที่ตั่งนั่นล่ะ...


   แล้วคืนนี้...ไม่เพียงแค่ตรัสและรติจะนอนร่วมห้องกัน แต่ยังนอนร่วมเตียงกันด้วย


---------


   เช้าตรู่ รติตื่นก่อนตามปกติเพื่อออกไปดูแลโรงครัว ดังนั้นตอนที่ตรัสตื่นขึ้นมา ย่อมไม่พบคนร่วมเตียงกับเขาแล้ว


   แต่...เขาพบว่าตนเองนอนบนเตียงในห้องพักผ่อน


เตียงที่เดิมทีเป็นของเขา แต่เมื่อแต่งงานก็ตกเป็นของรติแต่เพียงผู้เดียว


ทว่า...คืนที่ผ่านมา...เขากลับมายึดมันคืน


   ได้อย่างไรกัน?


   ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องเมื่อคืน เขาจำได้ว่ารตินอนที่ตั่งในห้องทำงาน ส่วนเขานั่งหลับที่เก้าอี้ รู้สึกตัวครั้งหนึ่งเพราะมีคนสะกิดให้ไปนอน แล้วเขาก็ไป...


   ใช่...ตอนนั้นเขาจำได้ลางๆว่าเดินเข้ามานอนที่เตียง


   จากนั้นก็หลับไปอีก


   แล้ว...ก็ถูกสะกิดให้ตื่นอีก


   เขาจำไม่ได้ว่าคนสะกิดพูดอะไรหรือไม่ แต่มันน่าหงุดหงิดที่ถูกปลุกซ้ำๆ เลยดึงคนสะกิดให้ลงมานอนร่วมเตียงเสียเลย


   นอนร่วมเตียง?


   จะมีใครเล่าที่อยู่ในห้องเดียวกับเขาเมื่อคืนนี้ จะมีใครเล่าที่จะนอนร่วมเตียงกับเขาเมื่อคืนนี้ ถ้าไม่ใช่...รติ


   พอคิดถึงชื่อภรรยา ตรัสก็ทำหน้าปั้นยาก น้ำลายเหนียวหนืดขื้นมาทันที


มิใช่ว่าเขารังเกียจอีกฝ่าย ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะว่าดีกว่าเดิมก็ได้ แต่ให้อย่างไรก็เป็นสามีภรรยาที่มาจากการแต่งงานกับคนแปลกหน้า หาได้มีจิตปฏิพัทธ์แต่อย่างใด


   แต่กลับ...ร่วมเตียง


   นี่เขา...ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดีหนอ





---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น

THAMON926

---------

อยากจะแนะนำให้ท่านตรัสปฏิบัติตัวเหมือนเดิม เพิ่มเติมที่ทำตามหัวใจค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 17 มิทันตั้งใจ -- (อัพเดต 26/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 26-02-2020 18:55:59
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 17 มิทันตั้งใจ -- (อัพเดต 26/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 26-02-2020 19:23:23
นอนร่วมเตียงกันแล้ว :mew1: น่ารักมากๆเลยค่ะ ทำตามหัวใจตัวเองดีที่สุด :mew3:  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 17 มิทันตั้งใจ -- (อัพเดต 26/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 26-02-2020 21:11:32
แค่นอนร่วมเตียงเอง เครียดเหลือเกิน พ่อคนคิดมาก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 17 มิทันตั้งใจ -- (อัพเดต 26/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-02-2020 21:47:51
ชีวิตจะเครียดอะไรขนาดนั้น555
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 18 เรื่องประดักประเดิด -- (อัพเดต 28/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 28-02-2020 17:29:42
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 18

เรื่องประดักประเดิด

---------


   ตรัสออกจากเรือนนอน แต่ไม่กล้าสู้หน้าใคร


พอเข้ามาในห้องรับประทานอาหารแล้ว ก็พบรุจีประคองอมราให้นั่งลงบนเก้าอี้ ในขณะที่รติกำลังจัดแจงให้ระพีนั่งให้เรียบร้อย คนทั้งหมดหันมามองเขา แต่ตรัสทำได้เพียงอ้อมแอ้มทักทายคำว่าอรุณสวัสดิ์แล้วก็เดินมานั่งเก้าอี้ประจำ


   ก่อนหน้านี้เขาเคยรังเกียจคนที่นั่งข้างกายในฐานะภรรยา แต่มาวันนี้หาใช่เช่นนั้น ทว่าพอรตินั่งลงข้างกัน เขากลับรู้สึกอึดอัด ไม่กล้าหันมอง


   รติเองก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายแปลกไป แต่ก็มิได้ถามต่อหน้าผู้อื่น รอจนกระทั่งออกจากเรือนเพื่อไปยังร้านยาอหัสกรด้วยกัน จึงเอ่ยปากถาม


   “ท่าน...ไม่เป็นไรใช่ไหม”


   “เจ้าต่างหาก...” ตรัสเอ่ย ไม่กล้าหันมอง


   “หือ? ข้าหรือ? ข้าเป็นอะไร” ในขณะที่รติหันมองคนข้างกายเต็มสองตา


   “เมื่อคืน...ข้า...กับเจ้า...”


   “เมื่อคืนทำไมหรือ?”


   “ก็...เมื่อคืน...ข้านอนเตียงเดียวกับเจ้า...”


   “นอนเตียงเดียวกันแล้วทำไมหรือ” รติย้อนถาม หน้าตางุนงง


   “เอ่อ...ข้า...ข้า...”


   “ที่ท่านแปลกไปเพราะเรื่องนี้หรือ”


   “ข้า...ข้าทำให้เจ้า...” สีหน้าของตรัสยุ่งยาก แต่นั่นกลับทำให้รติหัวเราะออกมา


สีหน้ารื่นเริงสมกับเป็นเจ้าตัว ตรัสเห็นเช่นนั้นก็พอสบายใจว่าเขาคงไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ


   “โธ่เอ๋ย ท่านกังวลเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไรกัน เราต่างเป็นชาย นอนร่วมเตียงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ท่านไม่เคยนอนร่วมกับใครเลยรึ”


   “เคย...แต่...คนเหล่านั้นเป็นเพื่อน...”


“...ส่วนเจ้า...เป็นภรรยา...”


   เสียงหัวเราะจางหาย รอยยิ้มบนใบหน้าของรติเหือดแห้ง


“แต่เรามิได้มีความสัมพันธ์สามีภรรยา” น้ำเสียงของรติก็มิได้รื่นเริง ตรัสใจหายกับคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้จะแย้งอย่างไร ในเมื่อพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นสามีภรรยาจริง


เรื่องของพวกเขาเริ่มต้นด้วยคนแปลกหน้า และกลายเป็นคู่ชีวิตอย่างรวดเร็ว มิได้ผ่านความรู้สึกลึกซึ้งแต่อย่างใด


   ...เรา...เริ่มจากความรู้สึกผิวเผินที่ค่อนไปทางติดลบด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับลึกซึ้งมากขึ้นทุกที


   ตรัสมองใบหน้าของอีกฝ่าย คล้ายใบหน้างดงามนั้นจะมีร่องรอยของความเศร้า แต่กระนั้นเมื่อรติหันมาเห็นสายตาของเขา เจ้าตัวก็แย้มยิ้มขึ้นมา


   “ไม่ต้องคิดมากหรอก เรื่องเมื่อคืนก็เช่นกัน ท่านมิได้ทำอะไรสักนิดนอกจากหลับสนิท ต้องขอบคุณท่านด้วยซ้ำ เมื่อวานนี้สนุกมาก รุจีและระพีพูดไม่หยุดว่ารถเลื่อนทะเลสาบน้ำแข็งสนุกที่สุดในชีวิต” รติเปลี่ยนเรื่องคุย แม้ใบหน้าจะกลับมาเปื้อนรอยยิ้มเหมือนเมื่อครู่แล้ว แต่ดวงตาหลบเลี่ยงไปทางอื่น ซุกซ่อนประกายเศร้าไม่ให้คนข้างกายเห็น 


   “แล้วเจ้าสนุกไหม”


คำถามของตรัสทำเอารตินิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบโดยไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย


   “สนุกซี สนุกมาก ขอบคุณ”


   “ไว้ข้าจะพาไปอีก” ประโยคนั้นของตรัส ทำเอาดวงตาที่เอาแต่หลบเลี่ยง ถึงกับต้องเหลือบกลับมามอง


   ตรัสมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาดุในคราวนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้


   มันเต็มไปด้วยแววจริงจัง และคล้ายจะมีความรู้สึกบางอย่างเจือปนมาด้วย


   “ต่อให้ไม่มีความสัมพันธ์สามีภรรยา แต่เจ้าก็เป็นภรรยาของข้า ความสุขของเจ้า ย่อมเป็นสามีเช่นข้าที่ต้องรับผิดชอบ”


   รติไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิต ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาถึงสองอย่าง


หนึ่ง...สถานะของเขา กลายมาเป็นภรรยาของ ‘ตรัส  อหัสกร’


และสอง...


หัวใจของเขา ที่คล้ายจะเปลี่ยนไป



...ไม่ใช่ของตนเองเหมือนเคย...

---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น

THAMON926

---------

คนนึงก็เอาจริงเอาจัง ความสุขของภรรยาเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบไปอีก ส่วนอีกคนก็คือหวั่นไหวไปแล้ว เป็นคู่สามีภรรยาที่คิดกันไปคนละทางจริงๆค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 18 เรื่องประดักประเดิด -- (อัพเดต 28/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 28-02-2020 22:54:07
เขินๆ แล้วสินะ อรุ่มมมม
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 18 เรื่องประดักประเดิด -- (อัพเดต 28/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-03-2020 03:07:38
ใครจะรู้ตัวก่อนกัน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 18 เรื่องประดักประเดิด -- (อัพเดต 28/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-03-2020 09:01:43
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 18 เรื่องประดักประเดิด -- (อัพเดต 28/02/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-03-2020 19:01:02
หยอดเก่ง~5555
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 19 ร่วมเตียง -- (อัพเดต 02/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 02-03-2020 17:14:50
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 19

 ร่วมเตียง

--------


   ‘ต่อให้ไม่มีความสัมพันธ์สามีภรรยา แต่เจ้าก็เป็นภรรยาของข้า ความสุขของเจ้า ย่อมเป็นสามีเช่นข้าที่ต้องรับผิดชอบ’


   แม้จะเพิ่งรู้จักตรัสไม่นาน แต่รติก็พอประเมินได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนตรงไปตรงมาและยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติมากเพียงใด เมื่อรับรติเข้ามาเป็นภรรยา ต่อให้จะไม่พึงใจ แต่ก็ไม่เคยกระทำการหยามหมิ่นแต่ประการใด ยกเว้นคืนแรก...


   แต่คืนนั้นก็มิได้มีสิ่งใดเกินเลย เรื่องที่เกิดก็เกิดเพราะรติปากดีด้วย


   กระนั้น แม้จะรู้ว่าต่างคนต่างมิได้มีใจให้กันในเชิงสามีภรรยาโดยแท้ แต่รติก็...


   ...ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นไรดี...


   ความสัมพันธ์ของพวกเขาในเวลานี้ไม่จัดว่าแย่ แต่ที่แย่คือรติไม่รู้ว่าควรจะจัดการความรู้สึกให้เป็นไปในทิศทางใด และไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตนมีต่อตรัส...เป็นเช่นไร


   เกลียดขี้หน้าหรือ...มิใช่


   รู้สึกดีหรือ...เรื่องนี้ใช่


แต่ก็ต้องถามต่อว่ารู้สึกดีในด้านใด ซึ่งคำตอบนั้น รติหาไม่ได้


   คนที่มักร่าเริงอยู่เสมอเอาแต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พาเอาคนที่เฝ้าสังเกตอย่างเงียบๆมาตลอดนึกสงสัย


   ตอนพักกลางวัน พวกเขาเดินกลับไปรับประทานอาหารที่เรือน รติก็ยังเอาแต่เดินก้มหน้าเงียบ ทั้งที่ทุกทีมักจะสนอกสนใจข้าวของที่วางขาย ทิวทัศน์ หรือผู้คน


   ตอนรับประทานอาหารด้วยกัน รติตักข้าวคำหนึ่งแล้วก็เคี้ยวอยู่นาน กับข้าวก็ตักเฉพาะจานที่อยู่ตรงหน้า มิได้รื่นรมย์กับอาหารอีกสามอย่างที่วางถัดไป


   ตรัสตัดสินใจเอื้อมมือไปตักปลานึ่งมาให้ ทำเอาทั้งโต๊ะหันมองเขาเป็นตาเดียว


   “ปลาเนื้อหวาน...” เขาเปรยเหมือนบอกข้อดีให้รู้


   รติหลากใจ แต่ก็มิได้พูดคำใด จากนั้นในจานของเขาก็มีกับข้าวอย่างอื่นมาวางให้อยู่เนืองๆ จบมื้อกลางวัน สองสามีภรรยาต้องออกไปเปิดร้านยาอีกครั้ง


   จู่ๆ ตอนที่เดินผ่านร้านขายผลไม้ ตรัสก็เรียกคนข้างกายเอาไว้


   “ซื้อผลไม้ไปกินที่ร้านหน่อยไหม”


   “หืม? ท่านอยากหรือ”


   “เจ้าต่างหาก เมื่อครู่เห็นกินข้าวไม่หมดชาม” สายตาของตรัสนั้นห่วงใยชัดแจ้ง ไม่แน่ใจนักว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขามองภรรยาด้วยสายตาเช่นนี้


   รตินิ่งงัน ไม่กล้าบอกว่าเพราะเขามัวแต่คิดเรื่องสถานะ ความสัมพันธ์ และความรู้สึกต่างหาก จึงไม่มีสติจะทำอย่างอื่น ฝ่ายสามีเห็นภรรยาไม่คัดค้าน จึงหันไปเลือกผลไม้สีเหลืองสดผลใหญ่มาสองผลแล้วจ่ายเงิน ก่อนจะหันกลับมาหาคนข้างกายอีกครั้ง


   “ผลไม้รสเปรี้ยวทำให้สดชื่น ไปถึงร้านแล้ว ข้าจะให้คนปอกให้ แล้ววันนี้ก็ไม่ต้องออกไปขายของที่หน้าร้าน ข้าจะให้คนอื่นทำแทน”


   “แต่ข้าไม่เป็นไร...”


   “ไม่เป็นอะไรก็ดี ถือว่าพักสักครึ่งวัน” ตรัสพูดเพียงเท่านั้นก็ก้าวเดินต่อ


ช่วงบ่าย บ่าวในร้านคนหนึ่งถูกสั่งให้ไปขายผงสมุนไพรที่หน้าร้านแทน ในขณะที่รติถูกสั่งให้จัดยาอยู่ภายในร้านเพียงอย่างเดียว และต้องรับประทานผลไม้ที่ตรัสซื้อมาให้หมด


   วันนี้ร้านยาอหัสกรค่อนข้างเงียบ เพราะคนที่ร่าเริงอยู่เสมอถูกสั่งให้พัก แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ความเงียบที่เย็นชาเลยสักนิด เพราะตรัสคอยเวียนออกมาถามไถ่อยู่บ่อยครั้งว่ารติเป็นเช่นไรบ้าง


   เย็นนั้น ร้านยาอหัสกรปิดเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย สาเหตุตรงไปตรงมาของตรัสคือวันนี้อากาศเย็น ควรถึงเรือนโดยไว รติจะได้พักผ่อน


   “ข้าพักมากพอแล้ว” คนถูกสั่งให้พักบ่นอุบ เพราะตลอดช่วงบ่ายทำได้เพียงมองบ่าวขายของ ในขณะที่ตนเองนั่งแกร่ว


   “ถ้าเย็นนี้ข้าวของเจ้าหมดถ้วย จะให้ทำผงสมุนไพร” เพียงเท่านั้นดวงตาของรติก็วาววับ


   แน่นอนว่าเย็นนั้น รติรับประทานอาหารเย็นจนหมด


   ตกค่ำเป็นเวลาเตรียมสมุนไพรสำหรับขายวันพรุ่งนี้ เงื่อนไขคือรติจะทำกี่ห่อก็ได้ แต่เมื่อตรัสเข้านอน รติก็ต้องเข้าด้วย ตรัสเคร่งครัดทุกเรื่อง เรื่องเวลานอนก็เช่นกัน


   ตอนที่เดินเคียงกันกลับไปยังเรือนนอนนั้นก็ยังเป็นการเดินอย่างเงียบๆ ทว่าเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว รติปรายสายตาไปเห็นตั่งยาวในห้องทำงาน ก็พลันนึกถึงความหนาวเหน็บของอากาศและความเย็นชืดเพราะปราศจากฟูกยามที่เขาได้ลิ้มรสเมื่อคืนก่อน


   ตรัสนอนที่นั่นนับแต่แต่งงาน ไม่เคยปริปากบ่นเรื่องความไม่สบายหรือหนาวเย็นแต่อย่างใด ในขณะที่เตียงในห้องพักผ่อนถูกรติยึดไป


   ทั้งๆที่อากาศหนาวเช่นนี้


   ทั้งๆที่เราต่างทำงานหนักกันทั้งคู่เช่นนี้


   แต่กลับมีรติคนเดียวได้พักผ่อนสบาย ในขณะที่ตรัส...ต้องนอนบนตั่งที่ทั้งเย็นทั้งแข็ง


   หากเป็นความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ที่ทั้งเมินทั้งตึง รติคงไม่สนใจจะคิดเรื่องเหล่านี้ แต่เพราะเวลานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดี ตรัสมิได้เพิกเฉยต่อเขา ตัวเขาเองก็ไม่ได้หาเรื่องยียวนเช่นเก่า



คนที่ปรารถนาดีต่อกันอย่างนี้ หากจะสนใจความเป็นอยู่รวมถึงการหลับนอนของอีกฝ่าย...ก็เป็นเรื่องธรรมดา


   ใช่...ออกจะเป็นเรื่องธรรมดา หากรติจะเอ่ย


   “ท่าน...จะเข้าไปนอนในห้องก็ได้”


ตรัสที่กำลังลงกลอนบานประตูหันมอง รติมีท่าทีเก้อเล็กน้อย เอาแต่ตาตกมองพื้น แต่กระนั้นก็พูดต่อ


   “ตั่งมันหนาว...ถ้าท่านอยาก...เอ่อ...อยากนอนบนฟูกก็...เข้าไปนอนกับข้าก็ได้” 


เดิมทีก็เคยเอ่ยปากว่าชายด้วยกัน นอนร่วมเตียงย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่เพราะตรัสพูดเรื่องความเป็นสามีภรรยาขึ้นมา แม้พวกเขาจะไม่มีความสัมพันธ์กันในทิศทางนั้นเลยสักนิด แต่มันก็ชวนให้เขินซ่านขึ้นมาในอกไม่ได้


   รติไม่กล้าสบตา เมื่อเอ่ยปากแล้วก็ไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ หมุนตัวเดินเข้าห้องพักผ่อนด้านในไป


   ชายหนุ่มได้แต่มองตาม ก่อนจะหันไปมองตั่งที่อาศัยหลับนอนมานาน 


เพราะเกิดและเติบโตที่นี่ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องทรมานสำหรับเขา แต่ถ้าเทียบระหว่างตั่งไม้เย็นเฉียบกับเตียงที่มีฟูกอุ่นให้หลับสบายนั้น เตียงย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ


   แต่...รติก็นอนบนเตียงมิใช่หรือ


   ทั้งๆที่ตั้งคำถามเช่นนั้น แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้ตรัสสืบเท้าเข้าไปในห้องพักผ่อนด้านใน


   ภายในห้องยังคงสว่างไสวด้วยตะเกียงที่วางตามจุดต่างๆ ทำให้มองเห็นเตียงกว้างริมห้องที่ถูกจับจองโดยรติ...แต่ก็เพียงแค่ฝั่งหนึ่งเท่านั้น


   รตินอนชิดด้านในติดกับผนัง เหลือพื้นที่อีกครึ่งหนึ่งของเตียงว่างเอาไว้


   หัวใจของตรัสสั่นไหวน้อยๆ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนเองในเวลานี้เป็นเช่นไร แต่ก็ตัดสินด้วยหัวใจไปแล้ว


   ชายหนุ่มดับไฟที่ตะเกียงแต่ละจุดรอบห้อง จนเหลือเพียงไฟดวงน้อยที่ตะเกียงข้างเตียง เขานั่งลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา แล้วสอดกายเข้าไปใต้ผ้าห่ม จากนั้นจึงเอนร่างลงนอนเคียงข้างภรรยา ก่อนจะกระซิบเบากับคนที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนัง หันหลังให้กับเขา


   “ถ้าเช่นนั้น ขอข้านอนด้วยคน...”


    ราวกับเป็นคำบอกกล่าว ไม่แน่ใจนักว่ารติรับรู้หรือไม่ แต่ตอนที่ตรัสใกล้จะหลับ เขารับรู้ถึงการขยับเล็กน้อยจากคนข้างกาย พอพลิกตัวเข้าหา ปรือตาขึ้นข้างหนึ่งก็เห็นรติกำลังมองอยู่ ความง่วงทำให้เขาไม่ทันระมัดระวังกิริยาและคำพูด


   “หลับได้แล้ว...” เขาพึมพำเสียงเบา ขยับแขนขึ้นวางพาดบนกายอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตาลง


   รติมองเจ้าของแขนที่พาดบนเอวของเขา ความอบอุ่นซาบซ่านอยู่ในอกจนอดยิ้มไม่ได้ เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเบาไม่ต่างกัน


   “ราตรีสวัสดิ์”


   บนเตียงนั้นทั้งอุ่นและนุ่มสบาย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่สองสามีภรรยาจะพากันหลับใหลเข้าสู่นิทราอันแสนสุข


   แล้วนับตั้งแต่คืนนั้น...ตรัสกับรติก็ร่วมเตียงกันเสมอมา


---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------


รติก็ใช่ย่อยนะคะ ยังไม่รู้ว่าจะจัดการความรู้สึกของตัวเองยังไงดี ก็ชวนเขามานอนเตียงเดียวกันแล้ว
ผู้ชายเหมือนกันเนอะ นอนเตียงเดียวกันได้ ไม่มีปัญหา (รติเคยบอก ฮ่าฮ่า)


ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 19 ร่วมเตียง -- (อัพเดต 02/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-03-2020 17:42:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 19 ร่วมเตียง -- (อัพเดต 02/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-03-2020 02:00:58
เขานอนกอดกันแล้วค่ะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 19 ร่วมเตียง -- (อัพเดต 02/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 03-03-2020 08:10:25
แหมมมม
นอนกอดกันแล้วนะ

จุดเริ่มต้นจากแค่กอดต่อไปก็....

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 19 ร่วมเตียง -- (อัพเดต 02/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pa'veaw ที่ 04-03-2020 16:02:58
ฮือออ เขินจังเลยย
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 20 สามีผู้ใส่ใจ -- (อัพเดต 05/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 05-03-2020 19:22:01
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 20

สามีผู้ใส่ใจ

----------


รติเป็นคนไม่เรื่องมาก


เสื้อผ้าสีใดก็ใส่ได้ จะเก่าใหม่เพียงใดก็ใส่ได้ ขอเพียงสะอาดและให้ความอบอุ่นแก่คนขี้หนาวก็นับว่าเพียงพอ


ชีวิตไม่ใคร่จะอยากได้สิ่งใด เรื่องฟุ้งเฟ้อยิ่งแล้วใหญ่ มิสนใจเครื่องประดับหรูหราสักนิด


อาหารการกินก็เรียบง่าย มีอะไรขึ้นโต๊ะก็รับประทานได้หมด ไม่เคยมีปัญหาแต่อย่างใด


   พอเป็นเช่นนั้น ตรัสที่เริ่มให้ความสำคัญกับความชอบหรือไม่ชอบ ความถนัดหรือไม่ถนัด รวมถึงวิถีชีวิตของภรรยา ก็ชักรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากขึ้นมาที่จะเข้าถึงตัวตนของรติ


   ไม่มีของที่ชอบเป็นพิเศษ ไม่มีอาหารที่ถูกปากเป็นพิเศษ


ลองแอบถามกับระพี ก็ได้คำตอบเพียงว่า


   “ข้าไม่เคยเห็นพี่รติอยากได้อะไรเลยขอรับ”


   พอลองถามรุจี ก็ได้คำตอบไม่ต่างกัน


   “พี่รติเป็นคนง่ายๆเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ”


   “แม้กระทั่งอาหารที่ชอบที่สุดก็ไม่มีหรือ”


   “พี่รติกินได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ ไม่ใช่คนเรื่องมากจริงๆนะเจ้าคะ”


รุจีดูจะหวั่นใจว่าพี่ชายของนางอาจทำให้ตรัสไม่พอใจเรื่องใดหรือไม่ จึงต้องย้ำข้อดีของรติให้พี่เขยรู้


   เป็นอันว่า เพียรถามน้องสองคนของรติแล้วก็ไม่ได้อะไร ตรัสจึงลองสอบถามกับบ่าวอย่างพุดกรองดู


   นางรับใช้ผู้ดูแลอาหารการกินของคนทั้งเรือนหัวเราะร่วน พลางสั่นหน้ารัว


   “ไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ ท่านรติเคยบอกว่าถ้าท่านอมรากับท่านตรัสรับประทานสิ่งใดได้ ท่านรติและน้องๆก็รับประทานได้เช่นกัน”


   ตรัสดูจะหมดหวังแน่แล้ว ได้แต่ทอดถอนหายใจ


ยามค่ำวันหนึ่ง หลังจากเห็นว่าวันนี้ยังมีผงสมุนไพรเหลือพอขายอยู่บ้าง และรติไม่ต้องเร่งมือนัก เขาจึงปล่อยให้ภรรยาทำเพียงผู้เดียว ส่วนตนเองเข้าไปอ่านหนังสือให้อมราฟังในห้องพักผ่อน


   แม้ผู้หนึ่งจะอยู่ในครัว อีกผู้หนึ่งอยู่กับย่า แต่ตรัสก็ยังหลุดปากถึงความคับข้องใจของเขา


   “คนเรา...จะไม่มีอาหารที่ชอบหรือไม่ชอบเลยหรือขอรับ”


   “หือ? เจ้าพูดถึงใคร”


   ตรัสเพิ่งรู้ตัว แต่ครั้นจะปฏิเสธก็ใช่ที่


   “ก็...รติ...”


   “รติบอกเจ้าหรือว่าไม่มีอาหารที่ชอบหรือไม่ชอบ”


   “ขอรับ...ทั้งรุจีและระพีก็กล่าวเช่นนั้น”


   “แต่เจ้าสงสัยว่ารติชอบอาหารอะไรหรือไม่ชอบอะไรอย่างนั้นหรือ?”


   “ก็...ใช่ขอรับ” ประโยคนี้ช่างเบาแผ่วไม่สมกับเป็นผู้นำสกุลอหัสกรเลยสักนิด


หญิงชราเลิกคิ้วเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่หยอกล้อให้เขาเสียความมั่นใจ แต่แนะนำเรื่องหนึ่ง


   “รติเป็นคนเสียสละ หากเจ้าอยากรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร ก็เห็นจะต้องสังเกตเอง เพราะหากไปถามเขาแล้ว เขาก็จะตอบอย่างเสียสละ คือไม่นำเรื่องของเขามาเป็นปัจจัยใดๆในชีวิตของเจ้าเป็นอันขาด”


   ตรัสรับฟังอย่างสงบ เริ่มต้นสังเกตภรรยาอย่างจริงจังตั้งแต่มื้อเช้าวันต่อมา


   มื้อเช้าวันนี้ มีอาหารสี่อย่าง ประกอบด้วย ปลานึ่งสมุนไพร ไข่เจียว ผัดเผ็ดเนื้อสัตว์รวม และตุ๋นสมุนไพรกับเครื่องใน รติตักปลานึ่งหนึ่งชิ้น ตักไข่เจียวมากที่สุด รองลงมาคือผัดเผ็ดเนื้อสัตว์และตุ๋นสมุนไพรกับเครื่องใน


   มื้อกลางวัน ตรัสและรติหิ้วอาหารมารับประทานที่ร้านยา จึงมีเพียงอาหารง่ายๆอย่างข้าวและปลาทอดกับเครื่องเคียงเป็นผักนึ่ง


   มื้อเย็นมีอาหารห้าอย่าง เนื้อสับปรุงรสทอด ผัดผักใส่เครื่องในแบบเค็ม ต้มสมุนไพรเผ็ดร้อน และไข่ต้มราดด้วยน้ำปรุงรส พร้อมด้วยเครื่องเคียงเป็นผักดองเปรี้ยว รติตักทุกอย่างอย่างละเท่าๆกัน


   “เป็นอย่างไร สังเกตอาหารของรติแล้วได้ความว่าอย่างไร” อมราหันมาถามหลานชายเมื่อรติแยกย้ายไปดูแลน้องสาวน้องชาย


   “ข้าว่าเขาชอบกินปลา”


หญิงชราเลิกคิ้ว พลางยิ้ม


   “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”


   “เพราะระพีก็ชอบกินปลา เขาจึงเลือกตักปลาแต่น้อย เพื่อให้น้องชายได้กินมากขึ้น”


   “ที่เขาตักแต่น้อย อาจจะเพราะไม่ชอบก็ได้”


   “ทีแรกข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อกลางวันข้าให้พุดกรองจัดกับข้าวเป็นปลาทอด ปรากฏว่าปลาหมดเกลี้ยง เขาเลาะก้างเก่งกว่าข้าเสียอีก” ตรัสกล่าวพลางยิ้มเอ็นดู รติมีเรื่องให้เขาประหลาดใจอยู่เรื่อย กระทั่งเรื่องอาหารที่ชอบก็ตามที


   หญิงชรามองหลานชาย ดูท่าเขาจะยิ้มโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังยิ้มด้วยซ้ำ


   “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลองดู ให้พุดกรองจัดปลานึ่ง ปลาทอด ปลาต้มขึ้นโต๊ะสักพัก จะได้รู้กันว่ารติชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”


   แล้วนับจากวันนั้น…


โต๊ะอาหารที่เรือนอหัสกรก็มีปลาขึ้นโต๊ะทุกวัน วันละหนึ่งมื้อเป็นต้นมา


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นสังเกตภรรยาอย่างเงียบๆ ทีตอนแต่งกับเขาแรกๆ หน้าหงิกแบบแสดงออก ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 21 ภรรยาช่างสังเกต -- (อัพเดต 06/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 06-03-2020 17:22:33
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 21

ภรรยาช่างสังเกต

---------


   ดังที่ตรัสเคยกล่าวไว้ เรื่องเงินทองล้วนอยู่ในความดูแลของเขา เมื่อกิจการร้านยาอหัสกรที่ขายผงสมุนไพรสร้างกำไรและทำให้บัญชีรับจ่ายดูดีขึ้นแล้ว รติก็มิได้เห็นมันอีก


   กระนั้นคนช่างสังเกตก็รู้สึกว่าหมู่นี้ อาหารการกินของอหัสกรดูจะหรูหราเกินกว่าที่ควร


   ปลาที่เนื้ออร่อยที่สุดย่อมเป็นปลาฤดูหนาว เนื้อหวานมันกำลังดี แต่ฤดูนี้ที่กระทั่งทะเลสาบยังเป็นน้ำแข็ง ย่อมไม่ได้หาปลาได้ง่าย ดังนั้นปลาจึงมีราคาแพง


   แต่เรือนอหัสกรก็มีปลาขึ้นโต๊ะทุกวัน


   ระพี น้องชายคนเล็กวัยห้าปี ตาลุกวาวทุกครั้งที่เห็นปลาบนโต๊ะอาหาร คราวแรกๆขอเติมข้าวชามที่สองอย่างกระมิดกระเมี้ยนด้วยความเกรงใจ แต่พอเติมทุกมื้อที่มีปลา อมราและตรัสก็ดูจะยิ่งเอาใจเด็กชาย ยังไม่ทันที่ข้าวจะหมดถ้วย ก็ให้พุดกรองตักข้าวมาเพิ่มให้แล้ว


   รติชักเกรงใจ แต่จะห้ามน้องชายวัยกำลังโตเกี่ยวกับเรื่องข้าวปลาอาหารเขาก็ทำไม่ลง สุดท้ายจึงต้องหาทางพูดคุยกับตรัสผู้เป็นคนถือเงิน


   สองสามีภรรยาที่ร่วมหัวจมท้ายช่วยกันทำมาหากินย่อมมีเวลาด้วยกันมาก อาศัยช่วงกลางคืนของวันใดวันหนึ่งที่ต้องทำผงสมุนไพรไว้ขายวันถัดไป ก็มีเวลาพูดคุยถมเถแล้ว


   “หมู่นี้...ท่านว่าพุดกรองตั้งโต๊ะอาหารด้วยปลาบ่อยไปหรือไม่”


   “ทำไมหรือ”


   “ช่วงนี้ฤดูหนาว ปลาเนื้อหวานแต่แพง ข้าเกรงว่า...”


   “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องใส่ใจ” ตรัสกล่าว ก้มหน้าก้มตาตักผงสมุนไพรใส่ห่อ


   “ข้าต้องใส่ใจ ท่านเห็นว่าระพีชอบกินใช่ไหม ถึงได้ตามใจให้พุดกรองซื้อปลามาทำอาหารทุกวัน” รติแย้ง วางมือจากการผสมผงสมุนไพรทั้งหลายแล้วตั้งหน้าตั้งตาคุยให้รู้เรื่อง


   ทว่า...คำถามของอีกฝ่ายกลับทำเอาชะงัก


   “แล้วเจ้าชอบไหม”


   “หือ? ข้าหรือ?”


ตรัสไม่ได้ถามซ้ำ แต่เงยหน้าจ้องราวกับจะบอกว่าถามเจ้านั่นล่ะ


   “ก็...ก็ชอบ...” ประโยคนี้ของรติเบาแผ่ว ทั้งที่เป็นคนพูดจาเสียงดังฟังชัด แต่กับเรื่องความชอบหรือไม่ชอบอะไร เขากลับพูดเสียงเบา ใจไม่อยากเบียดเบียนอหัสกรมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว


   “เท่านั้นก็พอแล้ว” ตรัสกล่าว แล้วก้มหน้าเร่งมือต่อ


   “พออะไรของท่านกัน ข้าบอกว่าปลาแพง...”


   “รู้ว่าปลาแพงก็กินให้มาก ข้าให้พุดกรองทำสำรับจากปลาทุกวันเพราะเห็นว่าเจ้าชอบ หรือหากเบื่อ อยากกินอะไรก็บอกพุดกรองให้ทำให้”


   “ท่านพูดอะไรของท่าน ข้าจะ...”


   “รติ...ข้าคิดว่าเจ้ากับข้าควรพูดกันตรงๆสักเรื่อง อย่างเช่นเจ้าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร เริ่มจากอาหารก็ได้”


   “ทำไม...จู่ๆมาถามข้า...” รติงุนงง ไม่แน่ใจนักว่าระหว่างเขากับตรัส ใครกันที่เริ่มพูดไม่รู้เรื่องก่อน


   “เพราะข้าอยากรู้เรื่องของเจ้า” ตรัสเป็นคนตรงไปตรงมา เรื่องพูดจาอ้อมค้อมจึงทำไม่เป็น กระนั้นความตรงไปตรงมาของเขากลับทำเอาหัวใจคนฟังไหววูบจนต้องเม้มปาก


   “จ...จะอยากรู้เรื่องของข้าทำไม ท่านมิต้องใส่ใจ...”


   “ข้าเคยพูดกับเจ้าแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าเป็นภรรยาของข้า”


   “แต่เรา...”


   “ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์สามีภรรยาหรือไม่ เจ้าก็เป็นภรรยาของข้า...เรื่องนี้ผู้คนรู้กันทั้งเมือง”


   “อ้อ...” ชั่วขณะหนึ่ง รติรู้สึกผิดหวัง


...เกรงว่าจะขายหน้าหรือ...


   “...ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าระลึกถึงสถานะนั้นเสมอ จะไม่ให้ชื่อเสียงของท่านเสื่อมเสีย”


   “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องชื่อเสียง...” ตรัสแย้ง คำพูดที่ว่าผู้คนรู้กันทั้งเมืองนั้น เขาเพียงจะกล่าวว่าทุกคนรับรู้เรื่องนี้...รวมถึงตัวเขาเองด้วย แต่...ไม่รู้จะอธิบายเช่นไร สุดท้ายจึงถอนหายใจ


“...เอาเป็นว่า ข้าเป็นสามีของเจ้า ก็ต้อง...ใส่ใจเจ้า”


รติพูดไม่ออก อารมณ์หวานซาบซ่านในอกจนรู้สึกราวกับใต้แผ่นอกมีแต่คลื่นน้ำที่ม้วนตัวไปมาระลอกแล้วระลอกเล่า เขาได้แต่เม้มปาก ทว่าพอมองอีกฝ่ายที่ยังมองตรงมาที่เขาราวกับจะไม่ปล่อยให้หนีหาย ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว


   “ท่าน...ทำให้ข้าคิดไม่ถึงอยู่เรื่อย”


   “เจ้าต่างหากที่ทำให้ข้าคิดไม่ถึงเรื่อย”


   “ข้าน่ะหรือ?! ข้าทำอะไรให้คิดไม่ถึง”


   “เจ้าชอบกินปลามาก แต่กลับกินน้อยเพราะไม่อยากแย่งน้องชาย พอมีปลาขึ้นโต๊ะทุกวันก็เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายของอหัสกร เมื่อครู่นี้ก็ยังห่วงเรื่องชื่อเสียงของข้าอีก”


   รติได้แต่เม้มปาก ไม่กล้าแย้งสักคำ


   “รติ...ข้ารู้ว่าการแบกทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงลำพังมันเหนื่อยเพียงใด แต่เจ้าสอนให้ข้าวางบางอย่างลงในมือผู้อื่นบ้าง แล้วตัวเจ้าเล่า เหตุใดไม่คิดจะทำอย่างที่สอน”


   รติหันมอง ทั้งสีหน้าและสายตาของตรัสจริงจังและแน่วแน่


   “หากเจ้าไม่รู้จะปันไปให้ใคร ข้า...ในฐานะสามีของเจ้า ยินดีรับภาระจากบนบ่าของเจ้าเอง”


   

---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ทั้งใส่ใจ ทั้งห่วงใย ทั้งขอแบ่งเบาภาระ ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันแล้วมั้งคะ ท่านตรัส ฮ่าฮ่า

ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 21 ภรรยาช่างสังเกต -- (อัพเดต 06/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-03-2020 18:54:15
 :o8: :o8: :o8:
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 21 ภรรยาช่างสังเกต -- (อัพเดต 06/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-03-2020 23:53:25
เขารักกันแล้วจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 21 ภรรยาช่างสังเกต -- (อัพเดต 06/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 07-03-2020 23:44:45
ตรัสพูดถูก

รติต้องว่างลงบ้าง

แบ่งเบากัน

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 21 ภรรยาช่างสังเกต -- (อัพเดต 06/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 08-03-2020 00:00:55
เค้าน่าจะเริ่มมีใจให้กันแล้วนะ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 21 ภรรยาช่างสังเกต -- (อัพเดต 06/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-03-2020 02:40:28
เอาใจใส่กันทีละนิด  :hao5:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 22 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 09/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 09-03-2020 18:04:17
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 22

ภรรยาก็ใส่ใจ

----------


   ต่อให้จะถูกพูดเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ารติจะบอกกล่าวเรื่องในชีวิตของเขาให้อีกฝ่ายรับรู้


เรื่องที่เขาแบกสุมเอาไว้บนบ่ามีมากเกินจะกล่าว ทั้งเรื่องของเขาและน้องของเขา และบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่ตรัสควรจะรู้ แต่ความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมีให้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้าม


สองสามีภรรยา อยู่อาศัยเรือนนอนเดียวกัน ทุกวันออกไปทำงานด้วยกัน ตลอดทั้งวันทั้งคืน นอกจากยามหลับกับกิจธุระส่วนตัวแล้ว ก็แทบจะไม่ห่างกันเลยสักนิด


หากเป็นคู่แต่งงานที่เกิดจากความรัก  ก็คงไม่มีเรื่องใดให้สังเกตนัก แต่เพราะถูกบังคับให้แต่งงาน ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากคนแปลกหน้า รติไม่ได้มีอคติกับคู่สมรสแต่แรก เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี จึงยิ่งมองเห็นเรื่องต่างๆของตรัสได้ชัดเจน


ก่อนแต่งงาน ตรัสใช้ชีวิตเช่นไร รติย่อมไม่ทราบ


แต่หลังแต่งงานแล้ว เรื่องของอีกฝ่ายย่อมอยู่ในสายตาของเขา


นอนดึกตื่นเช้า ดูแลตั้งแต่กิจการในเรือน และกิจการร้านยา ภายหลังรติหันมาทำผงสมุนไพรบำรุงร่างกายออกขาย ตรัสก็ยังมาเป็นลูกมืออีก บางครั้งรติตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วพบว่าห้องทำงานที่อยู่ข้างๆมีแสงตะเกียงลอดออกมา ตรัสเข้านอนพร้อมเขาตามที่สัญญากันไว้ แต่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อทำบัญชีรับจ่ายบ้าง อ่านตำรับตำราบ้าง หรือไม่ก็ศึกษาโรคภัยใหม่ๆ สมุนไพรจากต่างถิ่นบ้าง


ตรัสพักผ่อนน้อย มิใช่เรื่องเกินจริง


พวกทางใต้นั้นมีความเชื่อเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา ดังนั้นสกุลของเขาจึงมีผงสมุนไพรสำหรับบำรุงร่างกายหลายแขนง และหนึ่งในนั้นคือสมุนไพรบำรุงร่างกายสำหรับคนพักผ่อนไม่เพียงพอ


ย่อมใช่ สมุนไพรมิได้เทียบเท่าการนอนหลับ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ไม่เหนื่อยล้า


แต่สูตรที่เขามี ย่อมต้องใช้สมุนไพรของพวกทางใต้ บางชนิดไม่มีขายในเมืองนี้ หากจะต้องสั่งมาจากที่อื่นก็จะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่อหัสกร ดังนั้นต่อให้มีตำรับตำราดั้งเดิมของตนเอง แต่ก็ต้องประยุกต์เมื่อมาอยู่ต่างถิ่น


เมื่อคิดเช่นนั้น รติจึงตั้งใจจะผสมผงสมุนไพรชนิดใหม่สำหรับตรัสโดยเฉพาะ


เป็นเรื่องโชคดีที่อหัสกรก็เป็นร้านยา สมุนไพรหลากชนิดหลายสรรพคุณถูกเก็บอยู่ที่ห้องเก็บสมุนไพรใต้ดินทั้งที่ร้านและที่เรือนอหัสกร


รติฝากให้บ่าวไพร่ช่วยขายผงสมุนไพรที่หน้าร้าน ส่วนตนเองบอกกับตรัสว่าจะคิดค้นผงสมุนไพรบำรุงร่างกายชนิดใหม่ ขอหยิบยืมทั้งสมุนไพรที่อหัสกรเก็บไว้ และห้องหับเล็กๆสำหรับการผสม


“สมุนไพรที่หน้าร้านก็ขายดีแล้ว เจ้ายังคิดจะทำชนิดอื่นๆด้วยหรือ” ตรัสถาม


อันที่จริงรติตั้งใจจะคิดค้นสมุนไพรชนิดใหม่เพื่อตรัสโดยเฉพาะ มิได้ตั้งใจขาย แต่ก็ยังไม่อยากเปิดเผย จึงเออออตามความเข้าใจของสามีไปก่อน


“เผื่อเอาไว้ขายฤดูกาลอื่นๆอย่างไรล่ะ”


“ยังอีกนานกว่าจะเปลี่ยนฤดู”


“ทำไว้ก่อนมิได้หรือ” รติแย้ง เพียงเท่านั้นตรัสก็จนใจจะคัดค้าน


“ตามใจเจ้าเถอะ แต่อย่างไรก็อย่าหักโหมนัก”


“ท่านต่างหากหักโหม”


“ข้าหรือ?” ดูเอาเถิด ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ก็ยังไม่รู้ตัว รติส่ายศีรษะ จนใจจะแย้ง ทว่าประโยคถัดมาของคนตรงหน้ากลับทำเอาเขาชะงัก


“เพราะเราต่างไม่รู้ตัว จึงต้องให้อีกฝ่ายช่วยดูกระมัง” รติหันมองคนพูด  ดูเหมือนตรัสเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขาพูดอะไรออกไป ต่างคนต่างเขินกับความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในใจ จนภรรยาเป็นฝ่ายขอตัว


“ข้า...ลงไปห้องใต้ดินก่อนแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็ให้คนลงไปเรียกได้”


“อืม...ยังไรก็...ระมัดระวัง อย่าให้เป็นอันตรายแก่ตัวเองด้วย”


ความเขินมลายสิ้น รติหัวเราะสดใส


“ข้าผสมผงสมุนไพร มิใช่ผสมดินปืน”


“ข้าเป็นห่วง” ความเขินที่ว่ามลาย คล้ายจะกลับมาเป็นระลอก เสียงหัวเราะกลายเป็นเพียงรอยยิ้มจาง สองสามีภรรยาสบตากัน ก่อนที่รติจะผงกศีรษะรับคำโดยไม่เปรยสิ่งที่อยู่ในใจ


...ข้าเองก็ห่วงท่านเช่นกัน...


ยามอยู่ที่ร้านยาอหัสกร สามีอยู่ที่ห้องตรวจในร้านยา ภรรยาอยู่ที่ห้องใต้ดินเพื่อผสมผงสมุนไพรชนิดใหม่


ยามอยู่ที่เรือน ก็พักทำผงสมุนไพรแล้วหายหน้าลงไปอยู่ที่ห้องใต้ดินของเรือนอีก


เป็นเช่นนี้อยู่สามวันสองคืน จนกระทั่งวันที่สาม


หลังอาหารเย็น ผงสมุนไพรชนิดใหม่ก็เป็นรูปร่างที่เรือนอหัสกร


รติย้ายจากห้องเล็กๆชั้นใต้ดินข้างห้องเก็บสมุนไพรขึ้นมาที่โรงครัวเพื่อลองชงกับน้ำต้ม


กลิ่นฉุนแบบสมุนไพรขมลอยอวล จนรุจีที่โผล่หน้าเข้ามาหมายจะช่วยเหลือ ถึงกับย่นจมูก


   “กลิ่นเหม็นเขียวอย่างนี้จะขายได้หรือเจ้าคะ ท่านพี่” รุจีออกความเห็น รติหันมอง


   “ข้าไม่ได้จะขาย”


   “ชงดื่มหรือเจ้าคะ” นางทำหน้าขยาด “เติมกลิ่นเสียหน่อยดีไหมเจ้าคะ เอ่อ...เติมน้ำผึ้งด้วยอีกนิด จะได้หวานหน่อย...”


   “ตรัสไม่ชอบกลิ่นและรสหวาน เติมไม่ได้” รติเอ่ย


“ใครนะเจ้าคะ” รุจีย้อนถาม เพราะได้ยินไม่ชัด ผู้เป็นพี่นิ่งไปเล็กน้อย แต่เปลี่ยนเรื่องไม่พูดซ้ำ เลื่อนถาดกาน้ำร้อนที่พร้อมด้วยน้ำผึ้งและกลีบดอกไม้บดให้น้องสาว


   “เจ้านี่ช่างซักช่างถามตั้งแต่เมื่อไรกัน เอ้า ยกไปให้ท่านอมราที”


   “แล้วอีกชุดนึงล่ะเจ้าคะ” นางถาม พลางปรายสายตาไปยังถาดกาอีกชุดหนึ่งที่วางไว้ใกล้กัน


   “ข้าจะยกไปเอง ไม่ต้องถามมากหน่า” ผู้เป็นพี่บอกปัดแล้วถือถาดกาน้ำและจอกดินเผาออกจากโรงครัว


เมื่อนางตามออกไปดูก็พบว่าเขาเดินเลี้ยวไปยังเรือนนอน


   มิใช่เรือนนอนของท่านอมรา มิใช่เรือนนอนของนางและระพี


แต่เป็นเรือนนอนของตรัสและรติ


ภรรยาจะยกน้ำสมุนไพรไปให้ใครเล่า ถ้าไม่ใช่...สามี


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ฝ่ายสามีขอเป็นคนแบ่งเบาภาระ ฝ่ายภรรยาก็ห่วงสุขภาพ
ช่างเป็นสามีภรรยาที่ช่างดูแลกันดีจังเลยนะคะ (บอกรักกันสักทีก็ดีนะคะ ฮ่าฮ่า)
ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 22 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 09/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-03-2020 06:44:06
ห่วงเขาก้บอกมาเถอะ555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 22 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 09/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 10-03-2020 12:24:14
น่ารักมากค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 22 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 09/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-03-2020 02:00:23
ดูแลกันดีมาก  :katai2-1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 23 สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม -- (อัพเดต 11/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 11-03-2020 17:52:18
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 23

สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม

---------


   เพราะเป็นสมุนไพรที่ตั้งใจผสมเพื่อตรัสโดยเฉพาะ ใช้สมุนไพรถึงแปดอย่าง แต่ละอย่างล้วนผ่านกรรมวิธีที่แตกต่างกัน ทั้งต้ม ตุ๋น นึ่ง คั่ว ตากแห้งแล้วบด ผัดกับน้ำมัน ใช้สดแบบขูดฝอย ใช้สดแบบตำละเอียด จากนั้นผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วต้มจนเดือด จึงได้เป็นน้ำสมุนไพรแปดอย่างที่มีสรรพคุณให้ความอบอุ่นและบำรุงร่างกาย


   กระนั้น รติก็ตื่นเต้นเหลือประมาณกับการออกตัวว่าตั้งใจทำสิ่งนี้มาเพื่อตรัส


   แต่พอเปิดประตูเข้าไปในเรือนนอน ตรัสเงยหน้าจากงานขึ้นมาเห็นเขาก็วางม้วนกระดาษลงกับโต๊ะทันที


   “คืนนี้จะทำผงสมุนไพรหรือ” ท่าทางของเขาราวกับเตรียมพร้อมจะลุกไปช่วยเป็นลูกมืออย่างทุกที


สามวันที่ผ่านมา รติไม่ได้ทำผงสมุนไพรออกขายเพราะอ้างเรื่องคิดค้นน้ำสมุนไพรชนิดใหม่ ผงสมุนไพรจึงขายเท่าที่ยังมีเหลือและหมดเกลี้ยงไปเมื่อตอนบ่ายวันนี้เอง


   “เปล่า...” พูดแล้วก็ตัดสินใจเดินเข้ามาหา ก่อนจะวางถาดกาสมุนไพรลงบนโต๊ะ


   “ข้า...ทำมาให้ท่านลองชิม”


   “น้ำสมุนไพรที่เจ้าคิดค้นน่ะหรือ” ตรัสย้อนถาม อีกฝ่ายเพียงพยักหน้า เขาจึงเทน้ำในกาลงบนจอกกระเบื้องเล็กๆ


กลิ่นฉุนเล็กน้อย อีกทั้งน้ำเป็นสีคล้ำ หากเป็นผู้อื่นคงไม่ชวนให้อภิรมย์ แต่สำหรับตรัสที่เติบโตมาในสกุลรักษาโรคภัยไข้เจ็บ กลิ่นและรูปลักษณ์ของน้ำสมุนไพรนี้ มิได้แตกต่างจากยาต่างๆที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต


   ชายหนุ่มยกจอกขึ้นชิม รติยืนลุ้นหน้าตาอยากรู้อยากเห็น


   “เป็นอย่างไร อร่อยไหม”


“ดี” รสเฝื่อนนั้นช่วยให้รู้สึกสงบ ความอุ่นร้อนช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย แม้กลิ่นติดฉุนคล้ายยา แต่ก็ไม่น่าเวียนหัวเท่ากลิ่นดอกไม้ สำหรับตรัส น้ำสมุนไพรนี้ถูกใจทีเดียว แต่กระนั้นก็พอทราบว่ารสนิยมของเขาไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ของเมือง น้ำชงสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม รสติดหวาน ย่อมให้ความชื่นใจผู้ดื่มมากกว่า


   “แต่ถ้าจะทำออกขาย...”


   “ข้าไม่ได้ทำขาย”


   ตรัสเงยหน้ามอง รติมีสีหน้าสับสนเล็กน้อย ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร


   “ถ...ถ้าท่านชอบ ก็ดื่มให้หมด แล้ว...ถ้าอยากดื่มก็บอก ข้าจะทำให้”


   “ทำให้ข้าหรือ?”


   “อืม” รติไม่รู้จะพูดอะไรเพิ่ม จึงหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่ถูกคว้าแขนเอาไว้ก่อน


   “เจ้า...หมายถึง...น้ำสมุนไพรนี้ ตั้งใจปรุงเพื่อข้าหรือ” คนถูกถามนิ่งไป ไม่รู้จะตอบอย่างไรให้ดูเป็นปกติ หากตอบเลี่ยงไปเสียก็คงไม่เป็นประเด็นให้อีกฝ่ายถามไถ่ แต่หากตอบเลี่ยง...ก็หาใช่คำตอบโดยเนื้อแท้


   ยิ่งเมื่อหันกลับมาสบตาคนถาม ความคิดที่หมายจะตอบไปเรื่องอื่นก็มลายหายไป


   “ท่านบอกว่าคุ้นเคยกับอากาศหนาว แต่ร่างกายมนุษย์ให้อย่างไรก็ต้องอบอุ่นเข้าไว้ แล้วท่านก็พักผ่อนน้อย นอกจากจะช่วยข้าปรุงผงสมุนไพรสำหรับขายแล้ว บางคืนก็ยังตื่นมาดึกๆเพื่อทำงานต่อ...น้ำสมุนไพรนี่ ข้าปรุงจากสมุนไพรแปดอย่าง มีสรรพคุณให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มการไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ...”


   ตรัสมองคนตรงหน้านิ่งนาน


วันแรกที่พบหน้า เขาไม่ถูกชะตารติเลยสักนิด แต่เวลานี้กลับสามารถมองอีกฝ่ายพูดเจื้อยแจ้วได้โดยไม่รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย


   อีกทั้งยังไม่รู้ตัวว่ามือที่จับแขนของรติอยู่ ก็ยังคงจับอยู่เช่นนั้น ปลายนิ้วไล้ผิวของอีกฝ่ายแผ่วเบาราวกับเพลิดเพลิน


   “เอ่อ...ถ้า...ถ้าท่านอยากดื่มอีกก็บอกแล้วกัน...”


   “แล้วเจ้าดื่มบ้างหรือยัง”


   “ข้าหรือ?”


   “เจ้าเองก็นอนน้อย อีกทั้งยังขี้หนาว”


   “ข้าไม่ค่อยหนาวเท่าไรแล้ว ผ้าพันคอของท่านอบอุ่นดีมาก”


ตรัสยกยิ้มที่มุมปากอย่างดีใจ


   “ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้นอนดึกหน่อยได้ไหม”


รติเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย


   “คืนนี้ท้องฟ้าโปร่ง เมืองตะวันออกได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ท้องฟ้าสวยที่สุดในดินแดน ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่ เคยดูดาวหรือยัง”


   “ดูดาวหรือ? ยังไม่เคยดู อีกอย่าง...ข้าดูไม่เป็น...”


   “ไม่เป็นไร ข้าจะสอน...”


ตรัสลุกขึ้น มือหนึ่งยกถาดน้ำสมุนไพร อีกมือจูงแขนรติไปยังประตูระเบียงที่ผินหน้าออกสู่สวนด้านนอก


เดิมทีประตูฝั่งนี้มักจะเปิดอยู่เสมอ แต่เมื่อรติแต่งงานเข้าอหัสกร ความไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวทำให้เขาเลือกที่จะปิดประตูหน้าต่างมิดชิด แต่วันนี้เมื่อเจ้าของเรือนเชิญชวนให้เปิดประตูชมดาว อีกทั้งยังออกตัวว่าจะสอนดาราศาสตร์ คนขี้หนาวย่อมไม่ขัดใจ


   ตรัสวางถาดกาสมุนไพรลงบนตั่งใกล้ๆ พอหันไปเปิดประตู ลมหนาวก็พัดกรูเข้ามา ทำเอาคนที่มีผ้าพันคอขนสัตว์ยังห่อไหล่ ร่างสูงหันมามองแล้วก็พลันยิ้ม ก่อนจะดึงรติมานั่งใกล้ประตูฝั่งหนึ่ง ส่วนเขานั่งบังอีกฝั่งเอาไว้


   ไม่มีคำพูดประการใด สองสามีภรรยานั่งเคียงข้างกันอยู่ที่ตั่งริมประตูระเบียงอย่างเงียบๆ


   เรือนนอนของสามีภรรยา ย่อมไม่มีใครเข้าไปยุ่มย่าม แต่ก็กล่าวได้ว่า หากใครตาดีก็คงเห็นประตูระเบียงเปิดกว้างทั้งที่อากาศคืนนี้หนาวจัด


   ตะเกียงไฟถูกนำมาตั้งให้ความสว่างเรืองรอง มองเห็นคู่สามีภรรยานั่งดูดาวด้วยกัน


   ในมือของตรัสมีจอกน้ำสมุนไพรร้อน ที่คอของรติก็มีผ้าพันคอขนสัตว์ให้ความอบอุ่น


บรรยากาศเงียบสงบ แต่เมื่อนั่งข้างกันกลับรื่นรมย์ จนถอนหายใจออกมายาวอย่างเป็นสุข


สามีเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย รติกำลังปล่อยสายตาไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองก็หันไปประสานสายตา


   พวกเขามิได้ขยับกายแนบชิด ไม่มีส่วนใดสัมผัสกันสักนิด


   มีเพียง...สบตา


และริมฝีปากที่ขยับวาดเป็นรอยยิ้มมอบให้แก่กัน


   เพียงเท่านั้นก็แน่ใจ


ความรู้สึกที่มี...แตกต่างจากวันวานอย่างสิ้นเชิง


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ก็คือรักกันแล้วแหละ แต่ไม่พูด

แต่ถึงไม่พูด เขาก็ดูจะรู้กันนะคะว่ากำลังรักกัน

สามีภรรยาเนาะ มองตารู้ใจ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 23 สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม -- (อัพเดต 11/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-03-2020 18:00:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 23 สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม -- (อัพเดต 11/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-03-2020 20:59:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 23 สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม -- (อัพเดต 11/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 12-03-2020 02:20:19
ชอบมากๆ ค่ะ เรื่องนีเยิ่งอ่านยิ่งอบอุ่น ยิ่งละมุนมากขึ้นเรื่อยๆ ดำเนินเรื่องดีค่ะ ตัวเอกมีเสน่ห์มากด้วย

ขอบคุณนะคะ ที่แต่งเรื่องดีๆ ให้อ่าน าอตอนต่อหปค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 23 สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม -- (อัพเดต 11/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 12-03-2020 04:44:43
ใช้สายตาสื่อสารแล้ววววว

บรรยากาศอบอุ่นจริงเชียว
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 24 มือจับมือ -- (อัพเดต 13/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 13-03-2020 17:50:36
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 24

มือจับมือ

---------


   อากาศหนาวยามค่ำคืนทำให้หิมะตกจนขาวโพลนไปทั่ว แต่พออาทิตย์ขึ้น อากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อย ทำให้หิมะละลาย แต่เมื่อลมหนาวพัดมาอีก น้ำจากหิมะละลายก็จับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง ที่เป็นปัญหาอย่างยิ่ง คือเป็นน้ำแข็งบนพื้นถนน


การเดินทางในช่วงฤดูหนาวเป็นปัญหาเพราะหิมะที่กองสุมไม่พอ ยังเป็นปัญหาจากน้ำแข็งที่ฉาบเคลือบบนผิวถนนด้วย


อุบัติเหตุเกวียนหรือรถม้าเสียหลักเพราะลื่นมีให้เห็นบ่อยพอๆกับการหกล้ม ช่วงนี้ผู้คนจึงไม่นิยมเดินทางไกล หรือหากไปไหนมาไหนในเมืองก็มักจะใช้วิธีเดิน ซึ่งก็ต้องเดินอย่างระมัดระวัง


   “โอ๊ะ! แง!!!”


นั่นประไร เด็กน้อยที่เดินอยู่ข้างหน้าลื่นล้มก้นจ้ำเบ้าร้องไห้จ้า รติเห็นแล้วก็ต้องสูดหายใจลึก ก้มหน้ามองเท้าตนเองมากขึ้น


   ตรัสเห็นคนข้างกายเอาแต่จดๆจ้องๆทุกฝีก้าวก็พลอยเดินช้าลง จนรติเงยหน้ามอง


   “เอ่อ...ท่านล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”


ระยะหลังนี้ พวกเขาเดินไปกลับจากเรือนและร้านยาอหัสกรด้วยกันทุกวัน รติพอจะบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนก้าวไวและยาว เดิมทีเขาก็เดินจังหวะเดียวกับตรัส แต่วันนี้ดูเหมือนพื้นถนนจะลื่นมากขึ้นกว่าทุกวัน จึงเดินยากกว่าทุกที


รติไม่ใช่คนเมืองนี้ ย่อมไม่คุ้นเคยกับการเดินบนถนนที่ทั้งลื่นทั้งเฉอะแฉะ แต่ตรัสเกิดและเติบโตที่นี่ คนหนึ่งก้าวไวเป็นปกติ แต่อีกคน...ก็ก้าวไวเป็นปกติ แต่พื้นถนนไม่ปกติ ย่อมต้องก้าวช้าลง


   “ไม่เป็นไร” ตรัสกล่าว รติมัวแต่หันมองคนข้างกาย เผลอเพียงก้าวเดียวก็ลื่นพรืด


   “เฮ้ย!”


เกือบหงายหลัง ดีกว่าตรัสคว้าแขนเอาไว้ได้เสียก่อน คนที่เกือบจะล้มทับรอยของเด็กน้อยที่ร้องไห้จ้าถูกพ่อแม่อุ้มเดินจากไปแล้วถึงกับถอนหายใจเฮือก


   “ขอบคุณ...เดินยากจริงๆ...”


   “อากาศอุ่นขึ้น หิมะเลยเริ่มละลาย”


คนขี้หนาวฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็ยังไม่วายกระชับผ้าพันคอ


   “อย่างน้อยก็ไม่หนาวเท่าก่อนหน้านี้แล้ว ถึงจะเดินยากอยู่บ้าง แต่ก็นับว่ามีข้อดี” รติเปรย ดวงตาของตรัสที่ทอดมองคนพูดมิได้เต็มไปด้วยความดูแคลนหรือหงุดหงิดอีกแล้ว บัดนี้กลับทั้งเอ็นดูระคนหวานซ่าน


สามีหัวเราะเบา พลางเย้า


   “เจ้ามองโลกในแง่ดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ”


   “ก็ไม่รู้จะมองในแง่ร้ายทำไม เฮ้ย!” เกือบจะลื่นอีกครั้งแล้ว แต่คราวนี้เป็นฝ่ายรติที่คว้าแขนของตรัสเอาไว้ได้ก่อน จึงพยุงตัวทัน


   ฝ่ายสามีถอนหายใจเฮือกบ้าง ดูแล้วคลาดสายตาไม่ได้จริงๆ แค่คุยกันไม่กี่ประโยค รติเกือบลื่นล้มถึงสองครั้ง


   เจ้าของร้านยาอหัสกรปลดมือของรติที่ขยุ้มแขนเขาเอาไว้แน่น คนถูกปลดแขนดูเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนช่างถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่าย รีบชักแขนตนออกมา แต่กลายเป็นว่าตรัสไม่ปล่อย กลับเป็นฝ่ายประสานมือกับมือข้างนั้นของรติแทน


   ฝ่ายภรรยานิ่งงัน ก้มลงมองมือที่ถูกประสานตาปริบๆ


   “จับมือข้า แล้วค่อยเดิน ไม่ต้องรีบ”


   ตรัสกล่าว แล้วก้าวเท้าเดินอย่างช้าๆ มือของเขาประสานกับมือของรติแน่น ไร้ความรังเกียจ มีเพียงความห่วงใย ไม่ต้องพูดคำใด ใจสื่อถึงใจด้วยการกระทำ


   รติเงยหน้ามองคนพูด แล้วก้มลงมองมือของตนอีกครั้ง


มือประสานมือ หัวใจเต้นถี่


คนผู้หนึ่งประสานมือก่อน คนอีกผู้หนึ่งกุมมือนั้นกลับ ไม่ว่าใครก็รับรู้ ความหนาวเหน็บและการเดินทางที่ยากลำบาก ไม่ได้สร้างความจำเป็นให้กับการใกล้ชิดถึงเพียงนี้


แต่เพราะหัวใจต่างหาก


เพราะความรู้สึกต่างหาก


สองร่างก้าวเดินไปบนถนนที่ทอดตัวสู่เรือนอหัสกร


ไหล่ชิดไหล่ เคียงข้าง...อบอุ่น


จังหวะเดินช้าลง...ทว่ามั่นคง


เหนือสิ่งอื่นใด คือ...หัวใจ


...สื่อถึงกันผ่านฝ่ามือ...


   เส้นทางจากตรงนี้ไปจนถึงเรือนอหัสกรไม่ไกลนัก แต่เพราะต้องก้าวอย่างระมัดระวังจึงใช้เวลาพอสมควร ทว่ากลับเป็นการใช้เวลาด้วยกันที่แตกต่างไปจากเดิม


   เพราะนี่คือครั้งแรก


   ครั้งแรก...ที่มือจับมือ


   ครั้งแรก...ที่ใจสื่อถึงใจ


   ครั้งแรก...ของสามีภรรยา


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

----------

จับมือกันแล้ววววว (แตะเนื้อแตะตัวแต่ละที แทบจุดพลุฉลองแล้วนะคะ ฮ่าฮ่า)

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 24 มือจับมือ -- (อัพเดต 13/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 13-03-2020 23:32:39
แค่จับมือกัน ก็ชุ่มชื่นหัวใจคนอ่านมากๆ

ใจจจจจจ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 24 มือจับมือ -- (อัพเดต 13/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 14-03-2020 10:21:47
ละมุมมากค่า มือจับมือ ใจคล้องใจ :กอด1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 24 มือจับมือ -- (อัพเดต 13/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-03-2020 08:08:33
 แค่จับมือ อุ่นไปถึงใจ  :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 24 มือจับมือ -- (อัพเดต 13/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-03-2020 20:52:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 25 งานปลายฤดูหนาว -- (อัพเดต 16/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 16-03-2020 17:39:16
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 25

งานปลายฤดูหนาว

---------

   ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูดอย่างเอิกเกริก แต่ถึงอย่างนั้นคนรอบข้างก็ดูออก


   ตรัสและรติสนิทสนมกันมากขึ้นทุกที ดูได้จากพวกเขาเข้าใกล้กันอย่างเป็นธรรมชาติ ดูแลกันและกันโดยไม่ต้องไตร่ตรองให้มาก เรื่องของอีกฝ่ายกลายเป็นเรื่องสำคัญและให้ความสำคัญอยู่เสมอ


   “งานฤดูหนาว?” รติร้องถามทันทีที่ตรัสนำเรื่องเทศกาลสำคัญของฤดูกาลนี้มาบอกเล่าที่โต๊ะอาหาร


   โต๊ะอาหารซึ่งประกอบด้วย อมราและตรัสซึ่งเกิดและเติบโตที่นี่ กับสามพี่น้องผู้มาจากที่อื่น การที่ตรัสพูดขึ้นมาย่อมไม่ได้มีเป้าหมายที่อมรา หนำซ้ำรุจีและระพีก็ยังเด็กเกินกว่าจะมีอำนาจตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ ที่สำคัญ...เรื่องเที่ยวคือความชอบของใคร เรื่องนี้ต่างหากที่ควรพิจารณา


   “ต้องเรียกว่างานปลายฤดูหนาว เราจะจุดเทียนเพื่ออธิษฐานให้ฤดูใบไม้ผลิอุดมสมบูรณ์” รติรับฟังอย่างสงบ แต่ดวงตาวาววับ ตรัสตักผัดผักมาใส่จานของคนที่กำลังตั้งใจฟังเขาเล่า


   “พวกเราจะวางเทียนตามทางเดินบ้าง ไปวางที่ลานน้ำพุบ้าง วันสุดท้ายของงาน จะเปิดน้ำพุเพื่อเป็นสัญญานว่าฤดูหนาวจะสิ้นสุดแล้ว”


มิน่าเล่า ตอนเช้า เวลาไปเปิดร้านถึงเห็นเทียนไขวางรายล้อมอยู่รอบน้ำพุตั้งมากมาย พอตกสายค่อยมีเจ้าหน้าที่ของเมืองมาเก็บออกไป แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีอีก


   เรื่องเทียนไขหายคาใจ แต่คำพูดของตรัสทำให้คาใจเพิ่ม


   “เปิดน้ำพุ? หมายถึงที่ตลอดฤดูหนาว ที่น้ำพุไม่มีน้ำพุเป็นเพราะปิดไว้หรือ”


ตรัสยิ้มแล้วพยักหน้ารับ


   “บางปีอากาศหนาวมาก น้ำกลายเป็นน้ำแข็งก็ไม่ต้องปิด แต่บางปีอากาศไม่หนาวมากนัก ถ้าไม่ปิดเอาไว้จะไม่หยุด น้ำบางส่วนจะกลายเป็นน้ำแข็ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับท่อ จึงต้องใช้วิธีปิดระบบท่อส่งน้ำแทน ส่วนน้ำในบ่อ พอไม่มีน้ำพุออกมาแล้ว ก็เลยกลายเป็นน้ำแข็งอย่างที่เจ้าเห็น”


   “อย่างนี้นี่เอง ข้าก็นึกว่าน้ำพุหยุดเพราะอากาศหนาวเสียอีก แล้วงานที่ว่า...จะมีถึงเมื่อไรล่ะ”


   “พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย เป็นวันเปิดน้ำพุ อยากไปไหม”


   “อยากขอรับ!” คนตอบไม่ใช่รติ แต่เป็นเด็กชายตัวน้อยวัย 5 ปี ทั้งโต๊ะหันมองระพีแล้วพากันหัวเราะร่วน


   รติหันไปหาน้องชาย แล้วสำทับ “จะไปเที่ยวก็ต้องอ่านหนังสือก่อน จึงจะไปเที่ยวได้ เข้าใจไหมระพี”


   “เข้าใจขอรับ! ระพีจะตั้งใจอ่านอย่างดี!” รติยิ้ม ขยี้เส้นผมของน้องชายอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมองคนข้างกาย แล้วค้อมศีรษะให้น้อยๆราวกับขอบคุณ


ตรัสชะงักไปเล็กน้อย คิดเอาเองว่ารติน่าจะพอดูออกว่าเขาตั้งใจชวนอีกฝ่ายไปงานเทศกาลด้วยกัน มิใช่ชวนเพราะน้องสาวน้องชายเป็นหลัก แต่เมื่อรติหันกลับไปตักกับข้าวให้ระพีแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเหลือบตามองจานข้าวของรติ แล้วเป็นฝ่ายตักเนื้อสัตว์ตากแห้งมาวางไว้ให้ โดยไม่พูดอะไร


ความรู้สึกลึกซึ้ง คำพูดใดก็ล้วนไม่จำเป็น


   
---------


   งานเทศกาลเทียนฤดูหนาว แม้อากาศจะหนาวแต่ผู้คนคึกคัก ที่ลานน้ำพุกลางเมืองมีเทียนรูปร่างแปลกตาวางรายล้อม แสงไฟจากเปลวเทียนให้ความสว่างไสวระยิบระยับ


   ลมหนาวพัดผ่านมาวูบหนึ่ง เทียนดับไปหลายส่วนเกิดเป็นเสียงผิดหวังออกมาจากเหล่าผู้คน แต่อึดใจต่อมาคนเหล่านั้นก็พากันช่วยจุดเทียนขึ้นใหม่ โดยไม่ได้ใส่ใจว่าเทียนที่ดับเป็นของใคร ล้วนทำด้วยหวังให้ค่ำคืนของเทียนฤดูหนาวสวยสว่างและสมบูรณ์ที่สุด


   “พออธิษฐานแล้ว ก็ค่อยวางเทียนลง ตรงไหนก็ได้” เพราะอมราขอพักผ่อนที่เรือน ตรัสจึงคนท้องถิ่นเพียงคนเดียวที่มากับสามพี่น้อง วิธีการในการร่วมงานเทศกาล เขาจึงต้องเป็นคนสอน


สามพี่น้องทำตามพากันหลับตาขอพร


   “ขอให้ท่านย่า พี่ตรัส พี่รติ พี่รุจีมีความสุข ขอให้ทุกคนในอหัสกรมีความสุข” เด็กชายตัวน้อยขอพรเสียงดังฟังชัด ทำเอาคนพากันมองแล้วหัวเราะคิกคัก


รติลืมตาขึ้นข้างหนึ่งมองน้องชายด้วยความเอ็นดู มองเลยไปยังรุจีที่ยังหลับตาทำปากขมุบขมิบขอพรอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วพอหันกลับไปมองอีกฝั่งหนึ่งของตนก็พบตรัสกำลังหลับตาขอพร เขาจึงกลับมาทำสมาธิหลับตาขอพรอย่างเงียบๆในใจตนเองบ้าง


   ขอพรเสร็จเรียบร้อย เทียนสี่เล่มก็ถูกวางลงตรงหน้าน้ำพุ ทว่าจู่ๆ เทียนของรติกลับล้มไปพิงเทียนของตรัส


   เจ้าของเทียนที่ล้มไปเป็นภาระให้เทียนข้างๆถึงกับอ้าปากค้าง หันมองเจ้าของเทียนที่ตนแพะพิง แล้วหัวเราะแหะๆ


   “ข้า...ข้าวางไม่ดีน่ะ...”


ไม่ได้หมายถึงลางร้ายว่ารติจะเป็นกาฝากแต่อย่างใดหรอกนะ


   ตรัสหัวเราะเบา หันมองเทียนของตนที่เป็นหลักพิงให้เทียนของรติแล้วก็พบว่าเปลวเทียนของพวกเขาหลอมเป็นเปลวเดียว จึงทำให้สว่างกว่าเดิมเท่าตัว


   “แต่ก็เป็นเรื่องดี ไฟสว่างกว่าเดิมอีก”


รติหันกลับไปมอง แล้วทำตาโตวาว


   “จริงด้วย!”


   เป็นอันว่า เปลวเทียนที่รวมเป็นหนึ่งและสว่างขึ้นกว่าเดิมทำให้มองข้ามเรื่องเทียนล้มใดๆ


หลังจากวางเทียนแล้ว ทั้งสี่พากันเดินชมตลาดเทศกาลซึ่งจะจัดเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น มีทั้งพ่อค้าแม่ขายที่ยึดอาชีพขายของอยู่แล้ว และพ่อค้าแม่ค้ามือสมัครเล่นที่นำของแปลกๆมาวางขายเฉพาะในงานเทศกาล


   รุจีได้ผ้าเช็ดหน้าปักลายประหลาดสวยสดงดงามมาหนึ่งผืนจากแม่ค้าผู้หนึ่งที่ยืนยันว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นฝีมืออมนุษย์สาวนอกเมือง ส่วนระพีได้ของเล่นไม้ชิ้นหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ล้วนจ่ายด้วยเงินของตรัส


   “ข้าสมควรจ่ายทั้งผ้าเช็ดหน้าและของเล่น” รติแย้ง หน้าบูดเพราะควักเงินไม่ทันถึงสองครั้งถ้วน


   “เจ้าไม่สมควร”


   “แต่ข้ามีเงินที่ท่านแบ่งไว้ให้คราวก่อน”


   “นั่นเป็นเงินในส่วนของเจ้า”


   “น้องสองคนก็...”


   “นั่นไม่ใช่ส่วนของเจ้าเพียงคนเดียว รุจีและระพีเป็นคนของอหัสกร ย่อมอยู่ในความดูแลของข้า” ตรัสหันมาแย้งเรียบ เพียงเท่านั้นรติก็เงียบไม่รู้จะเถียงอย่างไร พลันคิดไปถึงบัญชีรับจ่ายที่เคยดูคราวก่อนขึ้นมา


   “แต่ค่าเบ็ดเตล็ดของท่าน ไม่ควรเอามาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้”


รติจำได้ว่าอีกฝ่ายเคยใส่ชื่อพวกเขาสามพี่น้องในช่องเบ็ดเตล็ด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆรวมถึงค่าเล่าเรียนในอนาคต


   ตรัสนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมองคนพูด


   “เจ้าคงไม่รู้ ข้านำชื่อรุจีและระพีออกมาจากค่าเบ็ดเตล็ดแล้ว ตอนนี้ทำช่องเพิ่มเป็นค่าเล่าเรียนของพวกเขา และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและอื่นๆ ส่วนเจ้า...ข้าย้ายมาอยู่รวมกับค่าใช้จ่ายของข้า แม้เราจะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร แต่ก็ควรเก็บออมไว้ก่อน หากเจ้าอยากไปที่ใด หรืออนาคตหากเจ้าอยากเรียนอะไรเพิ่ม จะได้ใช้เงินจากส่วนนี้”


   รติกะพริบตาปริบๆ การย้ายชื่อรุจีและระพีออกมาจากช่องเบ็ดเตล็ดยังไม่น่าตกใจเท่า การย้ายชื่อรติมารวมกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวของตรัส


   ราวกับ...เป็นสามีภรรยากันจริงๆ


   “ล...แล้ว...แล้วค่าเบ็ดเตล็ด?”


   “ตอนนี้เป็นศูนย์ ไว้ถ้ามีค่อยใส่” ตรัสพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาเองก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน แม้ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงของความคิดตนเองก็ตามที แต่ในเมื่อ ‘ใจอยากทำ’ อีกทั้งก็ไม่ผิดทำนองคลองธรรมแต่ประการใด ใยจะทำไม่ได้


   ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบกาย


   “เจ้าล่ะ อยากได้อะไรไหม ปีหนึ่งจะมีสักครั้ง ของบางอย่างก็หาได้เฉพาะในฤดูหนาว”


   “ไม่อยาก...ที่ท่านทำให้ข้า มันมากพอแล้ว”


ไม่ใช่แค่ให้ที่พักพิง ไม่ใช่แค่ให้พื้นที่ได้อยู่ข้างกาย แต่ตรัสยังให้เกียรติและยอมรับพวกเขาสามพี่น้อง เรื่องนี้...ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของรติ


   ฝ่ายสามีหันมอง รติในยามนี้ไม่ได้ระรื่นหน้าเป็นเหมือนในวันแต่งงาน พอลดอคติที่มีต่อกันลงแล้ว ตรัสถึงได้พบว่าน้อยครั้งมาก ที่รติจะยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง


   นอกจากยามที่อยู่กับน้องๆแล้ว ตรัสก็อยากเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นยามที่อยู่กับเขาเช่นกัน


   “รติ...ถ้าเจ้ามีเรื่องใดที่ต้องการ หรืออยากทำ หากคิดว่าข้าพอจะช่วยเจ้าได้ก็ขอให้บอก ข้ายินดี” ชายหนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเรื่องมากมายซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังความสดใสร่าเริง เพียงแต่เขาไม่อาจคาดคั้นให้เอ่ยปาก ทำได้เพียงสนับสนุนและแสดงตนว่าเขาอยู่ตรงนี้และยินดี


   เราเริ่มต้นความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้า ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันพักหนึ่งอย่างคนหมางเมิน แต่เวลานี้...หาใช่เช่นนั้นไม่


   ตรัสรู้ดีว่าเขาไม่ได้มองรติเป็นดังกาฝากอย่างแรกเจอ หนำซ้ำก็เป็นรติที่ช่วยเหลือเขา ช่วยเหลืออหัสกร เวลานี้หากตอบแทนความช่วยเหลือเหล่านั้น เขาก็ยินดี...ด้วยความเต็มใจ


   “ขอบคุณ” รติรับรู้ความจริงใจของคนตรงหน้า เพียงแต่เรื่องที่เขาเก็บเอาไว้ก็หนักหนาเกินกว่าจะบอกเล่าในเวลานี้ ทำได้เพียงน้อมรับความปรารถนาดีที่มีให้ แล้วกวาดตามองรอบกายเพื่อรื่นรมย์กับช่วงเวลาที่แสนสวยงามในขณะนี้


   ช่วงเวลาที่สวยงามด้วยบรรยากาศ


   ช่วงเวลาที่สวยงามด้วยคนที่ยืนเคียงข้าง


   เท่านี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

พาเขามาเที่ยว เทียนล้มใส่ก็ไม่ว่า แถมย้ายชื่อเขาออกจากรายจ่ายเบ็ดเตล็ดมาอยู่กับชื่อตัวเอง

ถ้าจะขนาดนี้ ก็บอกรักรติไปเถอะค่ะท่านตรัส ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 25 งานปลายฤดูหนาว -- (อัพเดต 16/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 16-03-2020 17:58:21
หน้าหนาวที่ไม่หนาวเลย...

อุ่นใจไปหมดดด

เรื่องที่รติปกปิดจะม่ามากไหมหนอ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 25 งานปลายฤดูหนาว -- (อัพเดต 16/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-03-2020 23:24:01
อิจฉานะจะบอกให้555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 25 งานปลายฤดูหนาว -- (อัพเดต 16/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-03-2020 02:22:38
ดูคำตอบเขาสิ  :mew3:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 26 ชอบ -- (อัพเดต 18/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 18-03-2020 18:18:15
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 26

ชอบ

---------


สี่สมาชิกแห่งอหัสกรเดินชมงานเทศกาลปลายฤดูหนาวและร้านค้า ก่อนจะวนกลับมาหยุดที่น้ำพุอีกครั้ง ผู้คนยังคงขวักไขว่พากันเดินมาวางเทียนรอบน้ำพุ ในขณะที่ร้านยาอหัสกรที่ปิดแล้ว ก็อยู่ไม่ไกลนี้เอง


คนหัวการค้าเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปรย


   “ถ้าเราเปิดร้าน ชงน้ำสมุนไพรขายสำเร็จให้แวะมาดื่มกันล่ะก็ ข้าว่าเราจะต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ”


ตรัสกะพริบตาปริบๆอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วส่ายศีรษะ


   “เลิกคิดเรื่องงานบ้างก็ได้ ข้าไม่ได้พาเจ้ามาเพื่อให้คิดหาว่าทำอย่างไรอหัสกรจึงจะมีรายได้เพิ่มขึ้น”


   “แต่ว่ามันน่าเสียดาย แล้วอีกอย่าง ระพีก็ใกล้เข้าเรียนแล้ว รุจีเอง...ก็เคยมาพูดกับข้าว่าอยากเรียนหนังสือ เอ่อ...ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของพวกเขา...” รติเอ่ยขึ้นมาอย่างเกรงใจ


การจะเข้าเรียนย่อมต้องใช้ค่าใช้จ่าย เพียงแค่คนเดียวก็มีทั้งค่าเล่าเรียน ค่าตำรา ค่าเดินทางแล้ว แต่นี่มีถึงสองคนที่ต้องเข้าเรียนพร้อมกัน ต่อให้ตรัสจะออกตัวว่าเป็นคนดูแลเรื่องบัญชีรับจ่ายของสกุลทั้งหมด แต่รติก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของตรัสเพียงคนเดียว


   “ข้าบอกแล้วว่า...”


“ข้ารู้ว่าเตรียมเอาไว้แล้ว แต่...” รติยังเป็นกังวล ค่าใช้จ่ายสำหรับสองคนไม่ใช่น้อยเลย


ตรัสรู้ว่าอีกฝ่ายเกรงใจเรื่องค่าใช้จ่าย เขาจึงชวนคุยเรื่องอื่น


   “เจ้าคิดว่างานเทศกาลปลายฤดูหนาวเป็นอย่างไร”


รติกะพริบตาปริบๆ มองไปรอบตัว อากาศหนาว กับแสงเทียนระยิบระยับ หากไม่เรียกว่าสวยก็ไม่รู้จะเรียกอย่างไร


   “สวย แปลกตา” พูดแล้วก็เหลือบไปมองสองเด็กน้อย รุจีจูงมือน้องชายแวะชมเทียนรูปร่างแปลกตาอย่างสนุกสนาน แล้วยิ้มจาง


   “รุจีกับระพีก็ชอบมาก ท่านประสบความสำเร็จแล้ว” เขาพูด ทว่าเสียงถอนหายใจจากคนข้างกาย ทำให้ต้องละสายตากลับมามอง


   ตรัสหันมามองเขาตรงๆ


   “ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้...”


   รติเลิกคิ้วอย่างสงสัย


   “ข้าตั้งใจพาเจ้ามาเที่ยว ถ้าเจ้าชอบ จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ”


   สายตาที่ทอดมองนั้นบอกแน่ชัด เป้าหมายในการมาพาในครั้งนี้เป็นรติ ไม่ใช่ใครอื่น


   หัวใจของภรรยาเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ตรัสมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้


   “รติ...” เสียงเรียกดังแผ่ว


   “...ชอบไหม”


   ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าตรัสถามเรื่องงานปลายฤดูหนาวในค่ำคืนนี้ แต่หัวใจของรติกลับสั่นไหวจนต้องเม้มปาก แต่ครั้นจะไม่ตอบ อีกฝ่ายก็ยังเอาแต่จับจ้องรอคอย


   “ชอบ...”


   ...ชอบ...เพราะเทศกาลนี้ช่างแปลกตาและสวยงาม


   ...ชอบ...เพราะคนเดินเคียงข้างตลอดงานคือตรัส


   ...ชอบ...เพราะนี่คือความตั้งใจของตรัส


   “ข้าชอบ...”


ยิ่งย้ำอีกครั้ง ใบหน้าคนพูดก็ยิ่งแดงเรื่อ ทว่าสายตาไม่ได้หลบเลี่ยง ยังทอดมองประสานสายตากับคนข้างกาย คล้ายสื่อความนัยว่า ‘ชอบ’ นั้น มีความหมายแฝง


แต่...ไม่ต้องกล่าว


คนประสานสายตาย่อมรับรู้


คนเงียบขรึมที่มักมีสีหน้าเรียบเฉย เผยรอยยิ้ม ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแสนอ่อนโยน


   “ข้าก็ชอบ”


   โอ้หนอ...ค่ำคืนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี


   ท่ามกลางแสงสลัวจากเปลวเทียนที่ลานน้ำพุ ลมหนาวพัดมาอีกระลอก เปลวเทียนดับไปแล้วอีกหลายส่วน แต่เปลวเทียนดวงหนึ่งสว่างไสวแม้โอนอ่อนไปตามกระแสลม แต่เมื่อลมจางก็กลับมาลุกโชนใหม่อีกครั้ง


   เปลวเทียนนั้น...เกิดจากเทียนสองเล่มของตรัสและรติ


   สามีภรรยาไร้คำพูดใด มีเพียงสายตาที่ทอดมองกัน และรอยยิ้มที่มอบให้แก่กัน


ลมหนาวพัดผ่าน ดับเปลวเทียน แต่ก็ทำให้คนสองคนขยับเข้าหากันมากขึ้นอีกนิด ปลายนิ้วเกี่ยวกันโดนมิได้ตั้งใจ แต่เมื่อคล้องกันแล้ว ก็มิอาจปล่อยจากกันได้อีก


   ค่ำคืนนี้...ความรู้สึกที่มีให้กัน ชัดเจนเกินกว่าคำพูดใด


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ถึงจะไม่บอกชอบกันตรงๆ แต่ก็บอกว่าชอบให้ได้ยินกันแล้วนะคะ

ส่วนความนัย ไปตีความกันเอง แต่ก็น่าจะตีความตรงกันอยู่เนอะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่าน รักษาสุขภาพด้วยนะคะ





หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 26 ชอบ -- (อัพเดต 18/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 18-03-2020 18:43:44
 :katai2-1: :katai2-1:

คำว่าชอบแบบอ้อม

แต่เข้าใจได้

เขินนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 26 ชอบ -- (อัพเดต 18/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-03-2020 01:51:20
มันจุกอยู่ข้างใน กี๊ดดดดดดดดดดดดดดด เขิน  :heaven
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 26 ชอบ -- (อัพเดต 18/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-03-2020 18:34:23
ขอยาวกว่านี้นิดนึงได้ไหมอ่ะ  ไม่เต็มอิ่มอ่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 26 ชอบ -- (อัพเดต 18/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 19-03-2020 18:46:26
น่ารักมากๆแง ค่อยๆรักกันดูแลกัน :กอด1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 26 ชอบ -- (อัพเดต 18/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 19-03-2020 19:37:54
 :กอด1: o18
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 27 ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน -- (อัพเดต 20/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 20-03-2020 17:17:59
คนแปลกหน้าคือคคู่ชีวิต

บทที่ 27

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน

---------



   ฤดูกาลผันเปลี่ยน หิมะละลายหมดแล้ว ในขณะที่ต้นไม้ใบหญ้ากลับมาเขียวชอุ่ม ดอกไม้ตูมเริ่มปรากฏ



   รติไม่ต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้นเหมือนก่อนหน้านี้ ผ้าพันคอถูกส่งคืนให้เจ้าของเดิม แต่รายนั้นกลับบอกว่าให้เก็บเอาไว้ เพราะฤดูหนาวมีทุกปี ประโยคนี้ราวกับบอกว่ารติต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป หรืออย่างน้อยๆก็อีกหลายปี ทำเอาคนฟังหัวใจอิ่มเอิบ ใบหน้าแดงก่ำ แล้วเก็บผ้าพันคอผืนนั้นเข้าตู้ของตนเองโดยไม่ส่งคืนอีก



   ฤดูใบไม้ผลิแสนร่มรื่น ชีวิตคู่ของสามีภรรยาแห่งอหัสกรก็ราบลื่น



ทั้งสองร่วมเตียงแต่ไม่ถึงขั้นร่วมหมอน ความรู้สึกในอกนั้นแน่ชัดและชวนให้หวานซ่านทุกครั้งที่ต่างคนต่างมองกันด้วยสายตาลึกซึ้ง แต่กระนั้นก็มีเรื่องราวอีกมากที่ทั้งสองต้องให้ความสำคัญ มากกว่าความรู้สึกของพวกตน



   ท่านอมราอายุมากแล้ว ต้องคอยดูแลเรื่องสุขภาพ



   รุจีเริ่มเป็นสาว ก็ต้องคอยเป็นหูเป็นตา



   ระพีเริ่มโต ก็ต้องคอยพร่ำสอน



   ไหนจะเรื่องเตรียมหาสถานที่เรียนของรุจีและระพีอีก รวมถึงสถานการณ์ของร้านยาอหัสกรก็ด้วย เมื่อพ้นฤดูหนาว ผู้คนก็มิได้ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นอีกแล้ว ตรัสและรติย่อมต้องช่วยกันคิดค้นสูตรสมุนไพรใหม่ๆเพื่อนำมาขายทำกำไร



   เป็นอันว่า เรื่องราวมากมาย ล้วนทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การเป็นสามีภรรยาโดยแท้



   ...ทุกวันนี้ก็มีความสุขดีแล้ว...ตรัสคิดเช่นนั้น



   ...ทุกวันนี้ดีกว่าวันไหนๆแล้ว...รติคิดเช่นนั้น



   แต่กระนั้นก็มีคนรู้สึกว่าวันนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควร



   เรือนพักผ่อนของสองสามีภรรยา นอกจากตรัสและรติที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีพุดกรองผู้เป็นแม่บ้านเก่าแก่คอยดูแลความสะอาดและความเรียบร้อย แต่ความเรียบร้อยจนเกินพอดี ทำเอาแม่บ้านวัยกลางคนชักเป็นห่วง



   “ข้าก็มิอยากจะยุ่มย่ามหรอกนะเจ้าคะ แต่ก็เห็นท่านตรัสมาแต่เด็ก” พุดกรองเปรยกับท่านอมรา นางมิได้พูดเกินจริง เพราะเลี้ยงดูตรัสมาแต่เล็ก



   “แต่เรือนของท่านตรัสกับท่านรติน่ะ...เรียบร้อยจนเกินพอดีเจ้าค่ะ!”



   “ช่วงแต่งงานแรกๆ ข้าก็พอดูออกว่าท่านตรัสกับท่านรติมิได้ร่วมเตียงกัน แต่พักหลังมานี่ เวลาข้าเข้าไปทำความสะอาด ไม่พบหมอนและผ้าห่มที่ห้องทำงานอีกแล้ว คงจะย้ายมานอนเตียงเดียวกัน แต่...สะอาดสะอ้านเรียบกริ๊บเลยเจ้าค่ะ! ไม่สมกับเป็นสามีภรรยา!”



พุดกรองผู้ผ่านประสบการณ์มาแล้วย่อมรู้ดีว่าการร่วมเตียงฉันสามีภรรยา กับการร่วมเตียงเฉยๆ นั้น มีผลต่อความสัมพันธ์เช่นไร



   เมื่อนางนำความไม่สบายใจนี้มาบอกกล่าว กลายเป็นว่าท่านอมราก็พลอยเป็นห่วง



หญิงชราแห่งอหัสกรคิดจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์หลานชายหลานสะใภ้คืบหน้า แต่ไม่ทันลงมือ เหตุการณ์หนึ่งก็เกิดขึ้นเสียก่อน



---------



   ที่ประตูเมืองตะวันออก รถเกวียนเทียมม้าคันใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามา มันแล่นไปตามทางปูหินสำหรับรถเกวียนสัญจรจนกระทั่งไปจอดที่หน้าประตูเรือนขนาดใหญ่ของคหบดีคนหนึ่งของเมือง



   หญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยโฉบเฉี่ยวและเรือนร่างสะโอดสะองก้าวเท้าลงจากรถม้า นางเงยหน้ามองท้องฟ้าของเมืองที่แสนคุ้นเคยแล้วสูดลมหายใจลึกราวกับยินดี



   ...จากไปนาน ก็ย่อมโหยหา...



   ...จากคนที่นี่ไปนาน ก็ย่อมคิดถึง...



   และหนึ่งในบุคคลที่นางคิดถึง นอกจากครอบครัวและบุพการีแล้ว ก็เห็นจะเป็น...ตรัส  อหัสกร...



   “ข้ากลับมาแล้ว ทุกคน”



   เสียงของนางดังไปทั่วเรือน



และหลังจากนี้...จะดังไปสะเทือนถึงเรือนอหัสกรด้วยเช่นกัน!

---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

บุคคลที่สามมาก็เพื่อให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาชัดเจน (กว่านี้)

เพราะขืนรอให้ท่านตรัสกับรติพัฒนาด้วยตนเอง คาดว่ารุจีคงออกเรือนไปแล้ว และระพีน่าจะโตซะก่อนค่ะ ฮ่าฮ่า

เนื่องจากเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คพิเศษ คอนเซ็ปต์คือตอนสั้นๆแต่ลงถี่ (ถี่ = สามวันต่อสัปดาห์ค่ะ นับว่าถี่แล้วจริงๆค่ะ แหะๆ) แต่ละตอนใช้เวลาอ่านไม่นาน ก็เลยจะไม่ค่อยยาว จะลงถี่กว่านี้ก็พิมพ์ไม่ทัน ขอโทษจริงๆค่ะ

ยังไงก็ตาม ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 27 ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน -- (อัพเดต 20/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-03-2020 19:17:55
มีตัวแปรมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 27 ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน -- (อัพเดต 20/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 21-03-2020 09:40:03
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนค่า :กอด1: คุณนักเขียนมาลงนิยายบ่อยมากๆขอบคุณมากๆนะคะ :pig4: :3123: แต่ใครกลับมาก :katai1: :katai4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 27 ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน -- (อัพเดต 20/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-03-2020 02:36:40
ใคร  :katai1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 28 หญิงแปลกหน้ามาเยือน -- (อัพเดต 23/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 23-03-2020 17:36:17
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 28

หญิงแปลกหน้ามาเยือน

---------


   เมืองใดๆก็ล้วนเป็นเมืองแห่งสาวงาม


ในเมืองตะวันออกขึ้นชื่อเรื่องสตรีผู้มีเสน่ห์แบบผสมผสาน ตั้งแต่รติย้ายมาอยู่ที่นี่ และช่วยงานที่ร้านยาอหัสกร เขาก็พบสตรีงามหลายคน มีทั้งวัยแรกรุ่นไปจนถึงสูงวัย แต่หาได้มีสตรีใด ‘ฉูดฉาด’ เท่าสตรีผู้ปรากฏตัวที่หน้าร้านยาอหัสกรในเวลานี้


   “ข้ามาพบท่านตรัส”



สตรีนางนั้นสวยหมดจด ผิวขาวหยวก ดวงตากลมโต จมูกและริมฝีปากจิ้มลิ้ม ดูราวกับตุ๊กตากระเบื้องราคาแพง ทว่าไม่ได้สวยอ่อนหวานนุ่มนิ่ม แต่กลับสวยสง่าเย่อหยิ่ง อาภรณ์ที่นางสวมใส่ก็วิจิตรหรูหราร่ำรวย มิใช่สตรีชาวบ้านเป็นแน่แท้


   “ท่านตรัสติดคนไข้ รอสักครู่...” รติอยู่ที่หน้าร้านพอดีจึงเป็นคนรับหน้า แม้นางจะสวยสง่าเพียงใด แต่รติก็มิได้ปฏิบัติต่อนางผิดแผกไปจากที่ปฏิบัติต่อผู้อื่น ดวงตากลมโตนั้นเหลือบมามองเขาเพียงเล็กน้อย แล้วเชิดใบหน้าขึ้นอีก


   “ข้าบอกว่าต้องการพบท่านตรัส”


   รติกะพริบตาปริบๆ แล้วตอบกลับ


   “ข้าบอกว่าท่านตรัสติดคนไข้ ให้รอสักครู่”



ใบหน้าของสตรีนางนั้นมีเค้าของความไม่พอใจฉายขึ้นมาวูบหนึ่ง พอดีกับที่ประตูห้องตรวจถูกเปิดออกมา คนไข้ออกจากห้องแล้ว รติกำลังจะเดินไปบอกคนในห้องให้รู้ว่ามีแขก แต่สตรีนางนั้นเดินตัดหน้าเขา ซ้ำยังหันกลับมามองพลางเอ่ย


   “คนไข้ออกจากห้องแล้ว ข้าจะเข้าไปพบตรัส!”


   รติไม่รู้ว่านางเป็นใคร แต่กริยาที่นางทำกับเขานั้นบอกให้รู้ว่าหากเป็นธิดาคหบดีก็คงเป็นสกุลที่เลี้ยงดูบุตรหลานออกมาได้เอาแต่ใจเป็นที่สุด เขายักไหล่อย่างหงุดหงิด แต่สกุลของเขาก็มิใช่สกุลที่เลี้ยงลูกหลานออกมาให้ยอมอ่อนข้อให้กับคนเอาแต่ใจพรรค์นี้เสียด้วย


   เขาเดินตามหลังสตรีนางนั้นไปยังห้องตรวจ จนใบหน้าสวยตวัดกลับมา


   “เจ้าตามข้ามาทำไม?!”


   “ข้าไม่ได้ตามเจ้า แต่ข้ามีธุระต้องคุยกับตรัสเช่นกัน”


   “ธุระของเจ้าก็ไว้เวลาอื่นซี!”


   “ธุระของเจ้าต่างหากที่ต้องไว้เวลาอื่น” รติตอบเรียบ เดินแซงหญิงสาวไปเปิดประตู นางรีบก้าวตามเข้าไปในห้อง ตรัสเขียนรายการยาเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา พอเห็นว่ามีถึงสองคนยืนอยู่ในห้องตรวจของเขาก็ชะงัก


   “รสนา!!” คนยืนสองคน แต่ตรัสกลับเรียกเพียงชื่อเดียว หญิงสาวเจ้าของชื่อยิ้มกระหยิ่ม เดินตรงไปหาคนพูดอย่างถือดี


   “ข้าเอง กลับมาแล้วเลยมาเยี่ยมท่าน พูดกับคนเฝ้าร้านตั้งนานว่าจะมาพบท่าน แต่เขาไม่ยอมให้เข้ามาสักที รอตั้งนาน” นางไม่พูดเปล่าแต่ยังเจาะจงคำว่าคนเฝ้าร้านให้กับผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางด้วย


   ตรัสมองไปยังรติที่ยืนเงียบ ก่อนจะหันมากล่าวกับหญิงสาว


   “นี่รติ เป็นภรรยาของข้ามิใช่คนเฝ้าร้าน”


   รสนาชะงัก ตาโตด้วยความตกใจ


   “อะไรนะ?! ภรรยา?! ท่านแต่งงานตั้งแต่เมื่อไรกัน?!”


ตรัสพูดไม่ออก แรกเริ่ม งานแต่งงานของเขาและรติไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ และเป็นไปอย่างกะทันหัน จึงส่งข่าวบอกสหายแค่ไม่กี่คน ซึ่งไม่ได้รวมรสนา


แต่...เมื่อวันเวลาผ่านไป ความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาเป็นรูปเป็นร่าง การมีอยู่ของรติในสกุลอหัสกรกลายเป็นเรื่องคุ้นเคย ชีวิตปกติสุขดียิ่ง ก็ยิ่งไม่ได้แจ้งแก่ใคร...รวมถึงรสนา


...ช่างเอ้อระเหย...


...เห็นที ต้องรู้จักส่งข่าวสารบอกผู้อื่นบ้างแล้ว...


   อาการเงียบของตรัสทำเอาหัวใจของรติกระตุกน้อยๆ การแต่งงานที่เกิดจากการจำยอมเพราะถูกบังคับ ให้อย่างไรก็ไม่มีใครลืมทั้งนั้น และมันไม่ใช่การแต่งงานที่สามารถกล่าวกับผู้อื่นได้อย่างหน้าชื่นตาบานเลยสักนิด


   ทั้งๆที่รู้เช่นนั้น แต่รติก็ยังคาดหวัง...



หวังอะไรสักอย่างที่ตรัสจะทำให้สตรีผู้นี้รู้ว่า เขาไม่ใช่คนเฝ้าร้านและมีค่ามากกว่าภรรยาที่ถูกจับคลุมถุงชน


   แต่...ตรัสก็ยังเงียบ


   รติเม้มปากกับตัวเอง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกจากเอื้อมมือไปหยิบใบสั่งยาของคนไข้ก่อนหน้านี้แล้วเอ่ยเบาๆ


   “ตอนนี้ข้างนอกไม่มีคนไข้แล้ว เชิญ...ตามสบาย”


   กล่าวแล้วก็หมุนตัวออกจากห้องไป ตรัสเรียกไม่ทัน บานประตูก็ปิดลงแล้ว


---------


   รติพยายามไม่สนใจห้องตรวจที่ไม่เปิดออกมาอีกเลยนับตั้งแต่สตรีผู้นั้นเข้าไป



ใจหนึ่งก็ภาวนาให้มีคนเจ็บคนป่วยแวะมาที่ร้านยา เขาจะได้มีข้ออ้างไปเคาะประตู แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่


จนกระทั่งประตูห้องตรวจเปิดออก หญิงสาวเดินออกมาก่อน โดยมีตรัสตามออกมาส่ง


   สตรีกับบุรุษเป็นของคู่กัน ยิ่งต่างฝ่ายต่างงดงาม เมื่อเคียงคู่จึงไม่ต่างจากภาพวาด


รติพยายามจดจ่ออยู่กับการจัดเรียงยาในตู้ แต่กระนั้นสายตาก็ยังเหลือบไปเห็นตรัสยืนร่ำลาอยู่กับนางเป็นนานสองนาน


   จนหญิงสาวก้าวขึ้นรถม้าจากไปแล้ว เมื่อนั้นตรัสจึงเดินกลับเข้ามา


เขาหันมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับตู้กระจก หยิบจับจัดเรียงข้าวของทั้งๆที่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้ว


   “รติ...เย็นนี้ ครอบครัวของรสนาจะจัดงานเลี้ยง...”


ตรัสเอ่ย เพียงเท่านั้น รติก็เหลือบสายตาขึ้นมอง แค่เพียงวูบเดียว ก็ทำเอาประโยคที่กำลังเรียบเรียงเพื่อชวนภรรยาไปงานเลี้ยงด้วยกันถึงกับกระจัดกระจาย


“...ข้า...เอ่อ...ต้องไปงานเลี้ยง...”



เจ้าของร้านยาแห่งนี้ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร เหตุใดจึงรู้สึกหวั่นใจกับสายตาของภรรยาถึงเพียงนี้


   รติไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ก็พูดขึ้นมาเรียบๆ


   “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะกลับไปแจ้งพุดกรองไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องเตรียมอาหารในส่วนของท่าน” กล่าวแล้วก็หมุนตัวออกจากหลังตู้กระจก


ทุกอย่างดูเป็นปกติ ทว่าตรัสกลับรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาไม่เหมือนปกติเลย


   ครู่ใหญ่ๆ บ่าวที่เรือนคนหนึ่งก็มาแจ้งข่าวแก่เขาว่ารติไม่กลับมาช่วยงานที่ร้านยาแล้ว ฝากปิดร้านด้วย


แม้จะเป็นถ้อยคำที่ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่านั้น แต่คนฟังกลับรู้สึกหนักอึ้งไปหมดทั้งหัวใจ


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

พอมีผู้หญิงมาใกล้สามี ก็มีคนหึงแรง หึงเงียบ

แล้วก็มีคนกลัวสายตา มีคนเกรงอกเกรงใจภรรยาด้วย

เป็นคู่สามีภรรยาที่ต้องเอาใจช่วยอย่างยิ่งเลยนะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 28 หญิงแปลกหน้ามาเยือน -- (อัพเดต 23/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 23-03-2020 19:51:41
สัญญาณความรักเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เอาใจช่วยกับทั้งสองคนค่าขอให้เปิดใจเปิดความรู้สึกคุยกันไวๆ :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 28 หญิงแปลกหน้ามาเยือน -- (อัพเดต 23/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-03-2020 14:11:56
เป็นใคร ใครก็หึงนะแบบนี้
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 28 หญิงแปลกหน้ามาเยือน -- (อัพเดต 23/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-03-2020 02:10:17
โดนงอนแล้ว
ถ้ายังไม่ทำอะไรนะ  :m16:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 29 นางสะเทือน -- (อัพเดต 25/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 25-03-2020 17:18:07
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 29

นางสะเทือน

---------

   

แม้จะรู้สึกไม่สบายใจกับท่าทีของภรรยา แต่ตรัสก็รับปากกับรสนาแล้วว่าเขาจะไปร่วมงานเลี้ยง



ครอบครัวของรสนาเป็นครอบครัวคหบดีที่ร่ำรวย เขาและนางรู้จักกันแต่เล็กก่อนที่รสนาจะแต่งงานย้ายออกไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง คราวนี้กลับมาเพราะเลิกรากับสามี แม้การแต่งแล้วหย่าจะไม่ใช่ประเพณีนิยม แต่นางก็หาได้สนใจไม่ สกุลของนางก็มิได้มีปัญหาแต่ประการใดหากธิดาจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นสตรีโสดอีกครั้ง



   อย่างไรก็ตาม รสนาจะโสดหรือไม่ ก็หาใช่จะเกี่ยวกับเขา



   “ไหนว่าแต่งงานแล้ว เหตุใดจึงมาคนเดียว” หญิงสาวตั้งคำถาม ดวงตาเป็นประกายวาวระยับ ไร้ความทุกข์ใจทั้งๆที่เลิกรากับสามีมาหยกๆ



   “รติไม่มา” คำตอบของตรัส นับว่าถูกต้องแต่ไม่ครบถ้วน



มาคนเดียวเพราะภรรยาไม่มา แต่ไม่แจ้งว่าเหตุใดภรรยาจึงไม่มา



   “ข้าได้ยินว่าเป็นการคลุมถุงชน ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะยอม”



   “ยอมหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” วาจาของตรัสทำเอารสนาต้องยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้หัวเราะเสียงดังเกินไปนัก



   “ไม่ใช่เรื่องของข้าได้อย่างไรกัน งานแต่งท่าน ข้าก็ไม่ทราบ มาทราบก็ตอนกลับมาที่นี่”



   “จะทราบตอนไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจ้าเถอะ...หย่ากับสามีแล้วกลับมาเช่นนี้ ท่านลุงท่านป้าไม่ว่าอะไรหรือ”



ท่านลุงท่านป้าที่ว่าคือบิดามารดาของรสนา ตรัสถามเปลี่ยนเรื่องไปเช่นนั้นเอง เพราะรู้แก่ใจดีว่าบุพการีของรสนาตามใจนางเพียงใด คิดจะแต่งงานกับใคร ก็ปล่อยให้นางแต่ง เวลานี้หย่าขาดกลับเรือนก็ยังได้



   “จะว่าอะไร นอกจากให้หาสามีใหม่เร็วๆ”



   ตรัสพยักหน้ารับรู้ แต่มิได้แสดงท่าทีใคร่รู้มากไปกว่านั้น รสนาเห็นท่าทีนิ่งเฉยของเพื่อนแล้วก็หัวเราะพลางส่ายศีรษะ



   “ข้าชักอยากรู้แล้วซี ว่าภรรยาผู้แต่งงานกับท่านด้วยการคลุมถุงชน จะได้รับความรักของท่านแบบใดกัน”



   ชายหนุ่มเหลือบมองอย่างไม่เข้าใจ แต่รสนาหาได้สนใจ นางลุกจากโต๊ะไปทักทายผู้อื่น และไม่ได้เวียนกลับมาที่โต๊ะของตรัสอีก จนกระทั่งตรัสต้องเป็นฝ่ายฝากบ่าวรับใช้ให้มาแจ้งแก่นางว่าเขาขอตัวกลับก่อน เมื่อนั้นนางจึงพยักเพยิดรับรู้ แต่ก็มิได้ตามออกไปส่งเขาแต่ประการใด



---------



   อมราผู้อยู่แต่ในเรือน หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นในเมืองตะวันออก ย่อมต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เพื่อที่จะได้มีคนมาเล่าถึงหูของนาง แต่เพราะเมื่อคืน ตรัสกลับเรือนผิดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลากว่าจะมาถึงหูของอมรา



   “เมื่อคืน...เห็นว่าไปงานเลี้ยงหรือ” หญิงชราเอ่ยปากกับหลานชายในเช้าวันต่อมาที่โต๊ะอาหาร



เมื่อวาน ตรัสมิได้กลับมารับประทานมื้อเย็นที่เรือน นางจึงถามเอาจากรติ และคำตอบของรติคือตรัสไปงานเลี้ยง



   “ขอรับ รสนากลับมาแล้ว”



อมราเลิกคิ้ว ทบทวนรายชื่อคนรู้จักของสกุลแล้วก็พลันนึกถึงใบหน้าสวยสง่าของสหายเก่าของหลานชาย



   “รสนา? อ้อ...เพื่อนของเจ้าที่แต่งงานย้ายไปอยู่เมืองอื่นใช่ไหม”



   “ขอรับ ครอบครัวของนางจัดงานเลี้ยงต้อนรับ”



   “กลับมาเที่ยวหรือ”



   “เปล่าขอรับ กลับมาอยู่”



   “อ้าว...แล้วสามีของนางเล่า”



   “เห็นว่าหย่าแล้วขอรับ”



อมรานิ่งไปเล็กน้อย สำรวจท่าทีของหลานชายแต่ก็ไม่พบว่าตรัสจะมีอากัปกริยาแปลกประหลาดแต่อย่างใด



อันที่จริง ทั้งตรัสและรสนาเป็นเพื่อนกันมายาวนาน สมัยก่อนนางคิดว่าหลานชายรักใคร่กับสตรีผู้นั้น แต่เมื่อรสนาแต่งงานย้ายไปอยู่ต่างเมืองก็ไม่เห็นตรัสจะมีท่าทีอกหักแต่ประการใด จึงสรุปเอาเองว่าทั้งสองมิได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน



   แต่...คนอื่นจะรู้ไหมเล่า



   พอคิดถึงคนอื่นที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในเรือนอหัสกร อมราก็เหลือบไปมองหลานสะใภ้ที่ยังคงกินข้าวอย่างเงียบๆ



ตั้งแต่เมื่อวาน รติดูเงียบซึมอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งระพีเล่าเรื่องตลกอย่างเด็กๆ เจ้าตัวก็เพียงยิ้มจางเท่านั้น



จบมื้อเช้า ข้าวในถ้วยของรติก็พร่องไปเพียงเล็กน้อย



   ตรัสหันมองคนข้างกายที่ดูท่าจะอิ่มแล้ว แต่รติมิได้มองเขา ดวงตามองตรงไปยังหญิงชราราวกับขออภัย



   “เมื่อวานทานมากไปหน่อย เช้านี้ก็เลยไม่ค่อยหิวขอรับ”



   อมราอยากแย้งว่าเมื่อวานรติทานน้อยกว่าปกติด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ นางได้แต่พยักหน้ารับรู้ ฝ่ายนั้นจึงยกถ้วยชามไปเก็บที่ครัว



   เป็นปกติทุกเช้าที่ตรัสและรติจะออกไปเปิดร้านยาด้วยกัน



เช้านี้ก็เป็นอย่างเคย แต่ติดที่บรรยากาศของคนที่เดินข้างกัน ต่างไปจากทุกที



   รติไม่พูดอะไร ตรัสเองก็ไม่รู้ว่าตนเองต้องพูดอะไร จึงกลายเป็นต่างคนต่างเงียบ แต่เมื่อต้องทำงานร่วมกัน ให้อย่างไรก็ต้องสื่อสาร สุดท้าย บรรยากาศที่ต่างคนต่างเงียบจึงค่อยมลายหายไป



   “คนไข้ช่วงเช้าหมดแล้ว” รติโผล่หน้าเข้ามาบอก ตรัสพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน



มื้อกลางวันของพวกเขาส่วนใหญ่มักจะกลับไปทานที่เรือนกับอมรา รุจี และระพี วันนี้ก็เป็นเช่นทุกวัน แต่มีเรื่องพิเศษอยู่เล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่ารติไม่ทราบ



   ทั้งสองเตรียมตัวออกจากร้าน ตรัสต้องข่มใจมากทีเดียวที่จะไม่บอกอีกฝ่ายว่ามื้อเที่ยงวันนี้พิเศษกว่ามื้อเที่ยงวันอื่นๆ ทว่าไม่ทันจะก้าวพ้นประตู รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนตัวมาจอด หญิงสาวก้าวลงจากรถพร้อมด้วยรอยยิ้มพริ้มเพรา



   “ตรัส นึกว่าจะมาไม่ทันเจอท่านเสียแล้ว จะมาชวนท่านกลับเรือนด้วยกัน ข้าจะแวะไปพบท่านย่าอมรา”



   วาจาที่มาพร้อมรอยยิ้มหวานทำเอารตินิ่งงัน บรรยากาศระหว่างสามีภรรยาที่เหมือนจะดีขึ้นเมื่อครู่ กลายเป็นเย็นเยียบลงกว่าเดิม รติถอยห่างออกจากตรัสคืบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเรียบ ทว่าได้ยินทั่ว



   “ถ้าเช่นนั้นข้าจะล่วงหน้าไปก่อน จะได้ไปแจ้งที่ครัวว่าจะมีแขกไปร่วมโต๊ะเพิ่ม”



   พูดแล้วก็ไม่รอว่าใครจะว่าเช่นไร รติหมุนตัวก้าวเท้าไวออกจากตรงนั้น ตรัสไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธอะไร แต่ที่แน่ๆ เขาย่อมไม่ปล่อยให้รติออกเดินไปเพียงลำพัง



   ชายหนุ่มหันมาบอกกับรสนาให้ไปเจอกันที่เรือน จากนั้นจึงรีบก้าวเท้าตามภรรยาไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองหญิงสาวอีกเลย



---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

เป็นสองสามีภรรยาที่ไม่พูด สื่อสารกันทางอื่น แต่บางทีก็ไม่พอนะคะ....

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 29 นางสะเทือน -- (อัพเดต 25/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-03-2020 18:10:10
โดนงอนแล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 29 นางสะเทือน -- (อัพเดต 25/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-03-2020 02:07:51
ยังไม่ง้ออีกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 29 นางสะเทือน -- (อัพเดต 25/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 26-03-2020 14:41:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 29 นางสะเทือน -- (อัพเดต 25/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 26-03-2020 15:06:56
ดูหนักกว่าเดิม คุยกันเร็ว :sad4: สนุกมากๆเลยค่า :pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 30 ส่วนเกิน -- (อัพเดต 27/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 27-03-2020 16:30:47
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 30

ส่วนเกิน

---------
   

ตลอดทางกลับเรือน รติก้าวเท้าไวราวกับเร่งรีบ ตรัสเองก็ก้าวตาม เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร พอถึงประตูเรือน คนที่เร่งฝีเท้ามาตั้งแต่แรกกลับหยุดเดิน หันกลับมามอง


   “ท่านควรรอรับ...แขก”


ตรัสชะงัก จริงอย่างที่รติกล่าว เขาเป็นเจ้าบ้านย่อมต้องดูแลแขกเหรื่อ แม้จะอยากบอกแทบตายว่าแขกผู้นั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่คบหากันมายาวนานจนไม่น่าจะนับว่าเป็นแขกแล้วก็ตาม แต่รติไม่ได้อยู่รอฟังคำพูดใด เมื่อก้าวพ้นประตูหน้า ก็หมุนตัวตรงไปยังครัว


   ในครัวกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหาร เมื่อรติไปถึง พุดกรองก็ยิ้มกว้างรีบอวดปลาย่างสมุนไพรหอมฉุยให้ดู


   “ท่านตรัสให้เงินเพิ่มไปซื้อปลามาย่างสำหรับเที่ยงนี้เจ้าค่ะ” นางกล่าวเช่นนั้น นึกดีใจแทนรติที่ตรัสช่างเอาใจใส่


เมื่อเช้า เพราะเห็นว่ารติรับประทานอาหารได้น้อย ชายหนุ่มจึงมอบเงินให้นางไปซื้อของโปรดของรติมาทำเป็นมื้อกลางวัน ปลาที่เนื้อหวานอร่อยย่อมมีราคาแพง กระนั้นเขาก็ยังกำชับให้เลือกปลาเนื้อหวานที่สุดมาย่างด้วยสมุนไพรบำรุงร่างกาย แล้วนำขึ้นโต๊ะสำหรับทุกคน


คำสั่งของตรัส ลงท้ายว่าให้ซื้อปลาสำหรับทุกคน แต่พุดกรองคิดว่านางอ่านใจผู้เป็นนายออก เขาต้องการให้รติได้กินอาหารโปรดต่างหาก


   ทว่า...รติไม่ทราบว่าตรัสสั่งให้ซื้อปลามาเพื่อเขา


   วันนี้มีแขกมาร่วมมื้อกลางวันเพิ่ม เป็นแขกที่ตรัสสนิทสนมเป็นอันดี ปลาย่างสำหรับมื้อกลางวันก็นับว่าเป็นอาหารที่สร้างความประทับใจมากทีเดียว


   “มีปลากี่ตัว”


   “ห้าตัวเจ้าค่ะ”


รติเม้มปาก


   …ห้าตัวสำหรับอมรา ตรัส รุจี ระพี และ...รสนา...


   “วันนี้ท่านตรัสมีแขกมาร่วมโต๊ะด้วย”


   แม่ครัวทำตาเหลือก รอยยิ้มหายวับ


   “อะไรนะเจ้าคะ?! ท่านตรัสไม่เห็นบอก...”


   “เขาถึงให้ซื้อปลามาขึ้นโต๊ะอย่างไรล่ะ”


   “แต่...” พุดกรองตั้งท่าจะแย้ง ตรัสบอกกับนางเองว่าให้ซื้อปลามาย่าง เพราะรติชอบทานปลาย่างมากกว่าปลานึ่ง แล้วจะเป็นอาหารสำหรับแขกได้อย่างไรกัน


   “ทำเสร็จแล้วใช่ไหม เอาขึ้นโต๊ะเลย แขกใกล้มาแล้ว”


   “แต่ปลา...”


   “ปลามีห้าตัวก็เอาขึ้นโต๊ะเท่าที่มี ข้า...นึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่ร้านยา หลังดูแลอาหารเรียบร้อยแล้วก็จะกลับไปที่ร้านเลย ไม่อยู่ร่วมโต๊ะด้วย”


   “ท่านรติจะไม่รับประทานมื้อเที่ยงก่อนหรือเจ้าคะ”


   รติไม่อยากย้อนถามว่าจะให้เขากินอะไรเล่า ในเมื่อปลามีห้าตัว แต่คนมีถึงหก


   แต่...พูดไปก็รังแต่จะเจ็บใจเปล่า


   “ข้ากินขนมก็ได้ ช่วยอุ่นให้ด้วย จะถือกลับไปกินที่ร้าน” สั่งอาหารของตนแล้ว ก็กวาดตาสำรวจสำรับมื้อเที่ยง “...จานนี้ต้องเติมผักนึ่งใช่ไหม มาเถอะ ข้าช่วย” พูดแล้วก็หันไปหยิบจับเครื่องเคียงลงจานอาหาร จากนั้นจึงส่งให้บ่าวนำออกไปขึ้นโต๊ะ


   แขกอย่างรสนามาถึงแล้ว พอดีกับที่อาหารพร้อม แต่ตรัสกลับไม่เห็นรติ จึงเรียกบ่าวมาถาม


   “รติไปไหน”


   “ท่านรติบอกว่าลืมของไว้ที่ร้าน จะกลับไปก่อนเจ้าค่ะ”


   หลบหน้าอาจจะน้อยไป ควรเรียกว่าหนีหน้าจะดีกว่า ตรัสไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำถึงเพียงนี้ไปเพื่ออะไร


   “แล้วเขากินอะไรรึยัง”


   “ข้าอุ่นขนมให้แล้วเจ้าค่ะ”


ตรัสไม่พอใจนักกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เขาก็ไม่แสดงท่าทีอะไร


มื้อกลางวันผ่านไปอย่างไม่รื่นรมย์สำหรับชายหนุ่ม รสนาพูดคุยกับอมราพักหนึ่ง นางก็กลับ ก่อนจะกลับยังเสนอจะไปส่งตรัสที่ร้านยา แต่ตรัสบอกว่าต้องไปทำธุระที่อื่นก่อน เขาจึงออกจากเรือนมาเพียงลำพัง


   ธุระของชายหนุ่มคือร้านเล็กๆขายผลไม้เมืองหนาว แม้ราคาจะไม่ถูกนัก แต่รสชาติของมันอร่อย เขาจำได้ว่ารติเคยกินจนหมด คงพอจะถูกปากบ้าง อีกอย่างคือสรรพคุณของมันทำให้สดชื่น อย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น


   ตรัสมาถึงร้านยาอหัสกรก็พบภรรยากำลังตั้งหน้าตั้งตาขายสมุนไพรบำรุงร่างกายให้ลูกค้า เขาไม่ได้เข้าไปรบกวน แต่ฝากผลไม้เอาไว้กับบ่าวผู้หนึ่งแล้วกำชับ


   “เจ้าปอกแล้วก็เอาไปให้รติที”


สั่งแล้วก็เข้าห้องตรวจ เพื่อเตรียมรักษาคนไข้ บ่าวผู้นั้นรับผลไม้แล้วก็ออกจากห้องไปพักใหญ่ๆ ก่อนจะกลับเข้ามารายงานพร้อมกับจานผลไม้ที่ถูกปอกแล้ว


   “ท่านรติบอกว่าอิ่มแล้วขอรับ”


   “ถ้าเช่นนั้นก็บอกเขาว่าไว้หิวก็ค่อยกิน”


   บ่าววิ่งหายออกไปจากห้องตรวจอีกครั้ง อึดใจต่อมาก็โผล่หน้ากลับมาใหม่


   “ท่านรติบอกว่าวันนี้อิ่มแล้ว ไม่กินอะไรอีกแล้วขอรับ” ตรัสพ่นลมหายใจ ชักหงุดหงิดขึ้นมา


   “ถ้าไม่กินก็ให้เขาทิ้งไป”


   เป็นอันว่า ผลไม้ที่ตรัสซื้อมา ถูกรติยกให้บ่าวผู้นั้น สองสามีภรรยาไม่พูดกันแม้สักคำ


   หากคิดว่าเมื่อกลางวันแย่แล้วนั้น อาหารค่ำเลวร้ายหนักกว่า


รสนาแวะมาที่เรือนอหัสกรถูกเวลาตอนที่ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารพอดี


   “เมื่อกลางวันข้าลืมนำของฝากมามอบให้ท่านย่า ก็เลยแวะมาอีกรอบเจ้าค่ะ” นางให้เหตุผลเช่นนั้น พร้อมด้วยผ้าแพรสีสวยในมือ


แน่นอนว่าในเมื่อนางมาตรงเวลามื้อค่ำ ก็ย่อมต้องมีคนชวนให้ร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ตรัสผู้เป็นเจ้าบ้าน


   รติถอยออกจากโต๊ะทันที ก้นบึ้งหัวใจบอกว่าไม่อยากร่วมโต๊ะที่มีสตรีผู้นี้อยู่ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ให้เหตุผลกับตนเองว่าเป็นเพราะอาหารมื้อสำหรับห้าคน ในเมื่อรสนามาเพิ่ม ย่อมกลายเป็นหก กับข้าวที่รับประทานร่วมกันย่อมไม่พอ


   “จะไปไหน” ทว่าก่อนที่รติจะหลบออกจากห้อง แขนของเขากลับถูกคว้าเอาไว้


   “ข้า...จะไปดูอาหารในครัวเพิ่ม”


   “ไม่ต้องไป ให้พุดกรองดูแล เจ้านั่งลงข้างข้า”


เมื่อถูกบังคับเสียงเข้ม รติย่อมไม่อยากสร้างปัญหาในเวลาที่สภาพจิตใจของตนเองย่ำแย่พอทนอยู่แล้ว จึงยอมให้บ่าวยกเก้าอี้มาเพิ่มแล้วนั่งข้างตรัส


   โต๊ะอาหารทรงกลม เดิมทีนั่งกันห้าคนก็นับว่าพอดีแล้ว เมื่อมีสตรีอีกหนึ่งมาเพิ่ม ก็ย่อมต้องขยับชิดกันมากขึ้นเพื่อให้มีที่สำหรับนาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงเลย หากข้อศอกของรติและตรัสจะชนเป็นครั้งคราว


   ชนกันทีหนึ่งก็เหลือบมองกัน ชนกันอีกทีหนึ่งต่างก็ขยับแขนชิดเข้าหาลำตัว ชนกันอีกทีก็ขยับตัวห่าง แต่โต๊ะก็มีอยู่เท่านี้ สุดท้ายแล้ว ระวังไปก็เท่านั้น อย่างไรก็ชนกันอยู่ดี


   มื้อเย็นผ่านไปโดยมีแต่เสียงพูดคุยของรสนากับอมรา มีตรัสคอยตอบคำถามเป็นระยะเมื่อหญิงสาวหันมาเจาะจงให้เขาตอบ ในขณะที่สามพี่น้องเงียบกริบ


ระพีน้องเล็กไม่ค่อยรู้เรื่องจึงย่อมเงียบเพราะรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย รุจีโตพอแล้วแต่ก็ไม่ทราบว่าพี่ชายของนางเป็นอะไร จึงได้แต่มองเขาอย่างห่วงใย ในขณะที่รติ...โตพอแล้วและรู้ความรู้สึกของตนเองแต่พยายามยกเหตุผลนับร้อยมาบดบัง สุดท้ายต่อให้รู้ก็แกล้งเป็นไม่รู้...


   ...แกล้งไม่รู้ว่ารู้สึกเช่นไร ยามที่สามีของตนมีสตรีงามมาชะม้อยชายตาเช่นนั้น...


   “ตรัส ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย ออกไปคุยด้วยกันหน่อยได้ไหม”


   เสียงของรสนาดังขึ้นกลางโต๊ะ รติที่กำลังเก็บจานชามให้บ่าวนำไปเก็บล้างถึงกับชะงัก แต่ก็เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น เขาฝากบ่าวยกจานชามพวกนั้นไปแล้วก็หันไปทางหญิงชรา


   “ท่านจะพักผ่อนเลยไหมขอรับ ข้าจะให้รุจีพาไป”


   “ก็ดี” อมราพยักหน้า ก่อนจะหันไปขอตัวจากหญิงสาว แต่มิวายเหลือบมองหลานชายแล้วมองเลยไปยังรติที่กำลังสั่งรุจีให้มาดูแลนาง ส่วนตนเองจูงระพีกลับห้อง


   เรื่องหนุ่มสาวนั้น นางไม่ควรยุ่ง แต่ปล่อยไว้เช่นนี้จะดีหรือ


   รติไม่ใช่คนพูด ส่วนตรัสก็ไม่ใช่คนช่างอธิบาย


   หญิงชราถอนหายใจเบา แต่เมื่อรุจีเข้ามาพยุงนางจากไป ก็ทำได้เพียงทิ้งหลานชายเอาไว้กับแขก



---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ก็พยายามง้อแล้ว แต่ง้อไม่เป็น ผู้หญิงก็ยังวุ่นวาย ถ้าท่านตรัสยังไม่เด็ดขาด ง้อไม่สำเร็จแน่ๆ เลยค่ะ

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ท่านตรัสด้วยนะคะ ก้าวพ้นด่านนี้ไปให้ได้ ปลายทางสดใสรออยู่ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 30 ส่วนเกิน -- (อัพเดต 27/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-03-2020 18:05:37
ช่างน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 30 ส่วนเกิน -- (อัพเดต 27/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 27-03-2020 22:05:38
บรรยากาศอึมครึมสุด สุด
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 30 ส่วนเกิน -- (อัพเดต 27/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-03-2020 03:25:04
เร่งมือหน่อยค่ะคุณตรัส เรื่องนี้จะช้าไม่ได้  :ling2:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 31 ระยะห่าง -- (อัพเดต 30/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 30-03-2020 17:23:39
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 31

ระยะห่าง

----------


   รสนาไม่โง่ อีกทั้งนางรู้จักตรัสมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้แต่งงานย้ายไปอยู่เมืองอื่น ห่างหายจากเพื่อนผู้นี้ไปหลายปี แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้


ตอนที่นางกล่าวกับตรัสว่าขอคุยด้วย ตอนนั้นรติก็อยู่ตรงนั้น นางเห็นรติชะงัก ในขณะที่ตรัสเหลือบตามองภรรยาราวกับเป็นห่วง


ตรัสเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่แสดงออกความรู้สึกอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาแสดงออกเพียงเล็กน้อย จะรอดพ้นสายตาของเพื่อนผู้คบหากันมายาวนานเช่นนางได้


แต่...ห่วงแล้วอย่างไร ห่วงแล้วก็มิได้พูดกัน หนำซ้ำยังหมางเมินราวเกลียดขี้หน้า


   “ท่านกับภรรยาของท่านหมางเมินกันเช่นนี้เป็นปกติหรือ”


ตรัสชะงัก รู้สึกหงุดหงิดกับคำว่าหมางเมิน 


   “เรื่องของข้ากับภรรยา ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องสนใจ” เจ้าของเรือนตอบเรียบ หากไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนมายาวนาน ป่านนี้คงไล่รสนาให้กลับไปนานแล้ว เขาจะได้มีเวลาพูดคุยกับรติสักที


   “จะไม่ให้ข้าสนใจได้อย่างไร ในเมื่อภรรยาของท่านหมางเมินต่อท่าน แล้วยังมึนตึงใส่ข้าด้วย”


   เรื่องมึนตึงนี้ หาใช่ตรัสจะไม่สังเกต


รติเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ แม้ไม่ใช่คนท้องถิ่น แต่ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็รู้จักคุ้นเคยผู้คนไปทั่ว ร้านยาอหัสกรสามารถขายผงสมุนไพรได้ดีเป็นเทน้ำเทท่าก็เพราะความร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสและรู้จักผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นของรติ


   แต่...รติกลับไม่เคยยิ้มแย้มกับรสนาเลย


   “ดูท่าจะหึง...” หญิงสาวเปรย เพียงเท่านั้นตรัสก็ชะงักหันมอง


   “หึง?”


   “ใช่ซี หึงมากด้วย คงคิดว่าข้าจะกลับมาแย่งท่าน”


   “ไม่มีเหตุให้ต้องหึง ข้ากับเจ้าเป็นเพียงสหาย”


รสนายกยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย


   “เอ๋? พูดจาผลักไสข้าจริง ความรู้สึกคนเรามันเปลี่ยนกันง่าย วันนี้เป็นสหาย พรุ่งนี้อาจไม่ใช่”


“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า รสนา” ตรัสย้อนถาม ท่าทางเรียบเฉยอย่างที่เขาเป็นมาตลอดชีวิต เพียงเท่านั้นคนที่ออกปากว่า ‘วันนี้เป็นสหาย วันพรุ่งนี้อาจไม่ใช่’ ก็ถึงกับถอนหายใจ


สำหรับผู้อื่น ‘วันนี้เป็นสหาย วันพรุ่งนี้อาจไม่ใช่’ คงเป็นเรื่องไม่ยาก แต่สำหรับตรัส...เรื่องนี้ยาก


แต่ยากแล้วอย่างไร รสนาหาใช่คนใจฝ่อ


“ข้าอยากรู้จริง ท่านจะมั่นคงได้สักเท่าไร” สีหน้าและแววตาของนางวาววับราวกับอยากทดสอบจิตใจ


“ข้ามั่นคงต่อภรรยา ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” วาจาของสหายหนุ่ม ทำเอาหญิงสาวนิ่งงัน พลันดวงหน้าก็สลดลง


“ทำไมสามีของข้าไม่พูดเช่นนี้บ้าง...” เสียงของนางดังแผ่ว แต่อึดใจต่อมากใบหน้าสวยก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน


“หึ! แต่ข้าเองก็มิได้มั่นคงต่อสามี ตอนแต่งว่ารักมาก ตอนนี้หย่าก็เพราะหมดรักแล้วเช่นกัน”


ตรัสมองสหายแต่เด็กอย่างเงียบๆ ราวกับรอฟังหากรสนามีเรื่องใดต้องการปรับทุกข์ แต่หญิงสาวกลับหันมามองแล้วยิ้ม ดวงตาวูบไหวเปลี่ยนเป็นแววทีเล่นทีจริง


   “เรื่องของข้าจบไปแล้ว เรื่องของท่านเถอะ ภรรยาหึงแล้วท่านจะทำเช่นไร หันมาหาข้าเลยดีไหม” เจอประโยคนี้เข้าไป จากสหายที่ตั้งใจจะให้คำปรึกษาและเป็นที่ปรับทุกข์ก็ส่ายศีรษะอย่างระอาใจ


   “ข้าส่งเท่านี้ กลับเองแล้วกัน”


   เขาพูดแล้วก็หมุนตัวกลับเข้าเรือน ทิ้งนางเอาไว้ที่หน้าประตู


ช่างเป็นบุรุษผู้แห้งแล้ง แต่...จะแห้งแล้งเช่นนี้ได้อีกนานเท่าไรเล่า


   ดวงตาของรสนาเป็นประกายวาววับ


   แห้งแล้งปานใด โดนน้ำรดทุกวี่ทุกวันวันละหลายเวลา ก็มีแต่จะอ่อนปวกเปียกเท่านั้น


   อย่างที่เกิดกับอดีตสามีของนางอย่างไร รักนิรันดร์คือหินผา แต่แล้ววันหนึ่งก็ผุกร่อนเหลือเพียงเถ้าธุลี!


      
-----------


   ดึกแล้ว แต่ที่ครัวยังสว่างไสว คืนนี้ตรัสไม่ได้มาช่วยรติเตรียมผงสมุนไพรไว้ขายเหมือนอย่างทุกวัน เพราะเอาแต่คิดเรื่องที่พูดคุยกับรสนา กว่าจะรู้ตัวก็ดึกมากแล้ว เห็นรติยังไม่กลับมาที่เรือนพักผ่อน จึงออกมาตาม


   “ยังไม่เสร็จอีกหรือ” เขาเอ่ยทัก ทำเอาคนที่กำลังสาละวนอยู่ในครัวเงยหน้ามอง แต่เพียงวูบเดียว รติก็เสสายตาลงสนใจผงสมุนไพรตรงหน้า


   “ยัง”


   “ดึกแล้ว หมดเวลาทำแล้ว”


   “ท่านเข้านอนไปก่อนก็ได้” ตอบโดยไม่มองหน้า หนำซ้ำยังหันหลังไปวุ่นวายอยู่กับการจัดเรียงห่อสมุนไพรลงกล่องด้วย


   “แต่เราเคยสัญญาว่าจะเข้านอนพร้อมกัน”


คำพูดประโยคนั้นทำเอามือของรติชะงัก


   ไม่มีคำพูดประโยคใดอีก แต่เมื่อหันกลับไปยังประตูครัว ตรัสก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับจะต้องทำตามสัญญา


   รติไม่อยากเถียง วันนี้เขาเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะพูดสักคำ จึงเก็บข้าวของ ยอมเดินตามอีกฝ่ายกลับไปที่เรือนแต่โดยดี


   สองสามีภรรยาแม้ไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเช่นสามีภรรยาคู่อื่นๆ แต่ก็ร่วมเตียงกันจนชิน ทว่าวันนี้...รติกลับขยับชิดผนังมากกว่าทุกคืน เว้นระยะห่างระหว่างตนและตรัสเอาไว้มากกว่าเดิม


   ระยะห่าง...ทำเอาร่างสูงใจหาย


   ค่ำคืนแห่งความเงียบ ข้างนอกอากาศหนาว ในเรือนอบอุ่นแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นชา นอนเคียงกันแท้ๆ แต่คนที่นอนหันหน้าเข้าหาผนังกลับให้ความรู้สึกว่าห่างไกล


   “รติ...หลับหรือยัง...” ตรัสไม่ใช่คนใส่ใจผู้อื่นมากนัก แต่กับความหมางเมินของภรรยา เขากลับทนไม่ได้


คนที่นอนหันหลังให้เขายังคงนอนนิ่งเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มไม่อาจทนเก็บความไม่สบายใจเอาไว้ได้อีก จึงเอ่ยต่อ


“...เรื่องของรสนา...” ตรัสเกริ่นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ


ใจหนึ่งก็รู้สึกว่ารติน่าจะมีปัญหาเรื่องที่รสนาเข้ามาในชีวิตของพวกเขา แต่ครั้นจะให้พูดตามที่รสนากล่าวว่า ‘รติหึง’ เขาก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ใช่


   “เอ่อ...” ชายหนุ่มไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาเป็นประโยคอย่างไร จนกระทั่งคนที่นอนตะแคงหันหลังให้เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน


   “ถ้าท่านจะแต่งภรรยาคนที่สอง ข้า...ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยินดี”


   ตรัสกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง แต่พอทำความเข้าใจคำพูดของคนที่นอนหันหลังให้ เขาก็รีบแย้งเสียงแข็ง


   “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ใครคิดจะมีภรรยาคนที่สอง?”


   “นอนเถอะ ข้าง่วงแล้ว” รติไม่หันกลับไปมองคนเบื้องหลัง เขาหลับตาลง อยากตัดใจให้เหมือนกับที่ไม่หันกลับไป


   “รติ”


   ตรัสเรียกซ้ำ แต่ไม่มีเสียงตอบ ชายหนุ่มทำได้เพียงถอนหายใจอย่างอึดอัด เหลือบมองคนที่ยังนอนตะแคงหันหลังให้เขา แล้วตัดสินใจพลิกตัวนอนตะแคงให้รติเช่นกัน


   ต่างคนต่างแยกย้ายกันพักผ่อน


แต่คืนนั้น...ไม่มีใครหลับลงเลย


   สามีภรรยานอนหันหลังให้กันก็ว่าแย่แล้ว ระยะห่างยังมากขึ้นกว่าทุกทีอีกด้วย


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

กลายเป็นคนนอกดูออกว่ารู้สึกต่อกันยังไง แต่ทั้งตรัส ทั้งรติกลับไม่รู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายเลย

แต่ไม่เข้าใจกันวันนี้ ก็เพื่อจะได้เข้าใจกันวันพรุ่งนี้นะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 31 ระยะห่าง -- (อัพเดต 30/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 30-03-2020 19:29:17
ทั้งรติและตรัส ก้อไม่ใช่คนใบ้นะ แต่ไม่พูดทั้งคู่ :ruready
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 31 ระยะห่าง -- (อัพเดต 30/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 30-03-2020 23:28:30
คิดไปคนละทาง

หันหน้าเข้าหากันค้าาาา

อยากจะตี อินไปไหม ๕คคค
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 31 ระยะห่าง -- (อัพเดต 30/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-03-2020 11:42:25
คิดไปเองทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 31 ระยะห่าง -- (อัพเดต 30/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 31-03-2020 16:14:34
แงงงง :sad4: ไม่ยอมคุยกันซักทีเรื่องยิ่งแย่เข้าไปอีก :monkeysad: สนุกมากๆค่า :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 31 ระยะห่าง -- (อัพเดต 30/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-04-2020 01:54:36
ยังอีกยังไม่คุยกันอีกกกกกกก :z3:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 32 คำแนะนำ -- (อัพเดต 01/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 01-04-2020 16:50:48
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 32

คำแนะนำ

---------



   รติมิได้ตีโพยตีพาย กิจการใดๆที่เขาเคยดูแลมาโดยตลอดก็ยังดูแลเช่นนั้น ยามออกไปยืนขายสมุนไพรที่หน้าร้านก็ยังคงยิ้มแย้มเชิญชวนลูกค้าเหมือนทุกที แต่ยามเผลอ...เป็นต้องเซื่องซึมแตกต่างไปจากคนเก่าที่แสนร่าเริง


   หลายวันมานี้ เรือนอหัสกรกลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิม คือไม่มีแขกมาเยือนยามมื้ออาหารอีก กระนั้น รติก็หาใช่เหมือนเดิม แม้พบหน้าตรัสทุกวันและทั้งวัน แต่หาได้สบตาหรือมองหน้าแต่อย่างใด


ตรัสอึดอัด คนรอบข้างก็พลอยอึดอัด สุดท้ายชายหนุ่มจึงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นย่า


   “เป็นอย่างไรบ้าง หมู่นี้เราสองย่าหลานไม่ได้คุยกันตามลำพังเลย”


   หญิงชรากล่าวเช่นนั้น ตรัสจึงเพิ่งรู้ตัว เดิมทีพวกเขามีกันเพียงสองคน พบหน้าเวลาใดก็ย่อมพูดคุยกันได้โดยไม่มีเรื่องปิดบัง แต่เวลานี้มีคนเข้ามาอยู่ในครอบครัวเพิ่มอีกสาม ย่อมไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวตามสายโลหิตเช่นเคย


   “ขออภัยขอรับท่านย่า”


   “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องขออภัย ข้าไม่ได้ว่าอะไร เห็นเจ้ามีความสุขก็ดีใจ”


ตรัสพูดไม่ออก ชีวิตคู่ที่ถูกบังคับให้สร้างขึ้นอย่างกะทันหัน อีกทั้งคู่ชีวิตก็ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตรัสยอมรับว่าช่วงแรกนั้นลุ่มๆดอนๆอย่างเห็นได้ชัด


   แต่เมื่อเวลาผ่านไป รติพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าพร้อมจะเคียงข้าง พร้อมจะฟันฝ่า หาใช่เข้ามาชุบมือเปิบสุขสบาย อีกทั้งการเข้ามาของรติ ยังทำให้เขาคลายภาระลง ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายสร้างความสุขให้เขาจริงๆ


   แต่...ความสุขนั้นอยู่ไม่นาน ตรัสเองก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของสามีภรรยาเดินทางมาถึงจุดที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดกันเช่นนี้ได้อย่างไร


   “ท่านย่า...เคยทะเลาะกับท่านปู่ไหมขอรับ”


   “เคยซี สามีภรรยากระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะปล่อยให้เรื่องธรรมดาเช่นนั้นกลายเป็นความเคยชินไม่ได้ ทุกข์สุขร่วมเสพ โกรธเคืองให้อภัย นั่นคือหลักของคู่ชีวิตที่จะมีชีวิตคู่อย่างยืนยาว แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต้องพูดจาหารือกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเงียบ”


ตรัสมองหน้าผู้เป็นย่า


   “แต่ข้า...ไม่รู้จะพูดอะไร...”


   “ย่าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่รู้ เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรมากกว่า เอาอย่างนี้...พรุ่งนี้ หยุดร้านสักวัน พารติไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากันสองคน ย่าเชื่อว่าบรรยากาศเป็นสิ่งสำคัญ”


   ตรัสรับฟังอย่างเงียบๆ ตั้งใจว่าคืนนี้เมื่อมีเวลาอยู่กับรติเพียงลำพัง จะออกปากชวนอีกฝ่ายไปเที่ยวตามคำแนะนำ


   แต่...ความตั้งใจของตรัสล่มไม่เป็นท่า


คืนนั้นเมื่อเขาไปตามรติจากโรงครัว ยังไม่ทันเอ่ยอะไร ก็เป็นฝ่ายภรรยากล่าวขึ้นมาอย่างเรียบๆว่า


   “คืนนี้ข้าขอไปนอนกับระพีได้ไหม ระพีฝันร้าย อยากให้ข้าไปนอนด้วย”


ตรัสไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกเช่นไร และเวลานี้เขารู้สึกเช่นไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายออกปากขอไปนอนกับน้องชาย อีกทั้งยังมีเหตุผลหนุนหลัง เขาก็ย่อมพูดไม่ออก


   รติเห็นว่าคู่สนทนาเงียบไป ก็ถือเอาว่าเป็นคำอนุญาต จากที่จะต้องเดินไปยังเรือนนอนที่ตนอาศัยมาตั้งแต่แต่งงานเข้าอหัสกร ก็เบี่ยงปลายเท้าไปยังอีกปีกของเรือนที่เป็นห้องนอนของน้องชายแทน


   แล้วคืนนั้น...สองสามีภรรยาก็แยกกันนอนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แต่งงาน


----------


   เด็กชายระพีนอนหลับไปแล้ว แต่คนที่นอนด้วยยังไม่หลับ


   ค่อนคืนแล้ว แต่รติยังตาค้าง


   เขานอนตะแคงมองร่างป้อมที่นอนแผ่ เห็นระพีนอนหลับสบายแล้วก็พลอยเบาใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น ทั้งรุจีและระพีก็ยังมีบ้านอยู่


   รติถอนหายใจเบา ความมืดของยามค่ำคืนนั้นทำให้แววตาหม่นหมองกลายเป็นสิ่งที่แม้แต่ตนเองก็มองไม่เห็น แต่...มองเห็นแล้วอย่างไร สุดท้ายแล้วคนที่ต้องจัดการกับมันก็มีแค่เขา


   ในเมื่อเลือกแล้วที่จะทำเช่นนี้ ในเมื่อเลือกแล้วที่จะเดิมพันทุกสิ่งอย่างเพื่อสิ่งนี้ หากเกิดอะไรขึ้น ก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น


   ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มยุ้ยของเด็กชายด้วยความเอ็นดู เป็นเด็กๆก็ดีอย่างนี้ ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจมากไปกว่ากินอิ่มนอนหลับ


   ไม่แน่ใจว่าเพราะคืนนี้ระพีเองก็แปลกใจกับการที่พี่ชายมาขอนอนด้วยหรือเพราะนิ้วที่เกลี่ยแก้มไปมา ถึงทำให้เด็กชายหลับไม่ลึกเหมือนเคย


   เปลือกตากะพริบถี่ๆ ระพีสลึมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุน ปลายนิ้วยังยุกยิกอยู่กับแก้มของเขา ตะเกียงไฟในห้องก็ยังไม่ดับ พอเด็กชายหันมองคนที่นอนข้างกาย จึงทำให้เห็นว่ารติยังไม่หลับ


   เด็กชายขยี้ตาเล็กน้อย พลิกกายเข้าหา


   “ท่านพี่...นอนไม่หลับหรือขอรับ” ระพีถาม พยายามโอบสองแขนป้อมๆรอบร่างของผู้เป็นพี่ แต่ให้อย่างไรก็ไม่รอบ


   “พี่ทำให้ตื่นหรือ”


   “ฮื้อ...” เด็กชายปัดป่ายใบหน้าไปมาบนเสื้อของรติ พอเริ่มสร่างถึงได้เงยหน้ามองพี่ชายเต็มสองตา


   “ท่านพี่ฝันร้ายหรือ”


   รติเม้มปากก่อนจะส่ายหน้า เพราะสิ่งที่ทำให้เขานอนไม่หลับไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริงต่างหาก


   “เปล่าหรอก”


   “แล้วทำไมยังไม่นอน ถ้าพรุ่งนี้ตื่นไม่ไหวจะแย่เอาหนา” เด็กชายระพีนั้นช่างจดช่างจำ เวลาตนเองเอาแต่วาดรูปไม่หลับไม่นอน รุจีก็มักจะพูดเช่นนี้เสมอ พอเวลานี้รตินอนไม่หลับ เขาจึงนำคำที่เคยถูกพูดมากล่าวกับผู้เป็นพี่ชายแทน


   “นั่นสินะ” รติรับคำ โอบร่างเด็กชายเข้ามากอด


ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า การมีใครสักคนให้กอด แม้จะออกปากอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ก็ดีกว่าการนอนเงียบๆอย่างเดียวดาย


----------


   ทว่าใครบางคน...เดียวดายโดยแท้


   หาใช่เพียงรติที่นอนไม่หลับ แต่ตรัสก็ด้วย


ชายหนุ่มนอนฟังเสียง เฝ้ารอว่าจะได้ยินใครสักคนเปิดประตูเข้ามาหรือไม่ แต่จนกระทั่งฟ้าสางก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเดิน สุดท้ายจึงต้องลุกจากเตียง ล้างหน้าล้างตาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากเรือน ตอนนั้นเองถึงได้เห็นรติเดินเข้าโรงครัวตามกิจวัตร


   ตรัสเดินตามไป หมายจะหาเวลาพูดคุย แต่ก็ต้องพบว่าในโรงครัวนั้น นอกจากพุดกรองและพุดซ้อนบ่าวประจำเรือนอหัสกรแล้ว ยังพบระพีมาช่วยพี่ชายด้วย


   “พี่ตรัส อรุณสวัสดิ์ขอรับ” เด็กชายร้องทักอย่างร่าเริง รติชะงัก หันไปมอง แล้วก็พยายามทำให้ทุกอย่างดูเป็นปกติที่สุดด้วยการค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย แต่ไม่พูดอะไรเลย


   ระพีเป็นเด็กน้อย เดิมทีมิได้ช่างสังเกตว่าผู้ใหญ่รู้สึกต่อกันเช่นไร แต่เพราะเมื่อคืนรตินอนไม่หลับ เช้านี้ก็ยังดูไม่สดใส เด็กชายไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร รุจีกำลังดูแลท่านย่าอมราอยู่ เวลานี้คนที่พอจะรับฟังความคับข้องหมองใจของเด็กชายได้ก็มีเพียงตรัสเท่านั้น


   แต่ในครัวมีรติอยู่ด้วย เด็กชายจึงทำได้เพียงเม้มปากมองหน้าตรัสไปมา


   ตรัสเห็นเด็กชายมองเขา ไม่ทราบว่าเด็กน้อยมีเรื่องคับใจ แต่เมื่อคืนรติไปค้างกับระพี หากจะมีใครที่พอสอบถามเรื่องเมื่อคืนได้ก็คงมีแค่ระพี


   “ในครัวมีทั้งน้ำร้อน มีทั้งไฟ เจ้าออกไปช่วยจัดโต๊ะข้างนอกจะดีกว่า มาเถอะ มากับข้า”


ระพีแทบจะคว้ามือของชายหนุ่มที่ส่งมา แต่พอหันไปเห็นรติก็เลยกระมิดกระเมี้ยน รติเห็นน้องชายมองตน จึงพยักหน้าให้ออกไปจากครัว เด็กชายจึงออกจากครัวไปพร้อมกับตรัส


   พ้นออกมาจากครัวแล้ว เด็กชายระพีก็ถึงกับถอนหายใจยาว


   “พี่ตรัสขอรับ พี่รติดูท่าจะไม่สบาย”


ตรัสยังไม่ทันถาม เด็กชายก็ออกปากแล้ว


พอพูดถึงคำว่าไม่สบายแล้ว ระพีก็อยากจะร้องไห้ ท่านปู่ที่เสียไปแล้วเคยบอกว่ายามที่รติไม่สบาย จะมีอาการประหลาดคือการมองไม่เห็น น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ระพีไม่ต้องการให้ผู้เป็นพี่ทุกข์ทรมานเช่นนั้นอีก


   “ทำไมหรือ พี่รติของเจ้าเป็นอะไร” ชายหนุ่มถามอย่างห่วงใย


   “เมื่อคืน ระพีตื่นมา เห็นพี่รตินอนไม่หลับ สงสัยพี่รติจะฝันร้ายหรือไม่ก็ปวดหัว ปวดท้อง...”


   พอได้ยินว่ารตินอนไม่หลับ ตรัสก็ถึงกับถอนหายใจ


   “พี่ตรัส ท่านเป็นหมอ ท่านรักษาพี่รติด้วยนะขอรับ” ระพีคล้ายจะร้องไห้ พอคิดว่ารติจะไม่สบาย ก็ยิ่งเป็นห่วง ตรัสย่อกายลงนั่งยองให้เสมอเด็กชายตัวน้อย


   “ข้าอยากทำเช่นนั้น แต่...เขาไม่คุยกับข้าด้วยซ้ำ”


   “พี่รติโกรธพี่ตรัสหรือขอรับ”


   “คงจะ...”


   “พี่รติเคยโกรธระพี แต่พอระพีขอโทษ พี่รติก็หายโกรธนะขอรับ” เด็กชายแนะนำตามประสาผู้มีประสบการณ์มาก่อน ตรัสหัวเราะเบา ลูบศีรษะเด็กชายด้วยความเอ็นดู น่าแปลกที่เขารู้สึกเอ็นดูระพีมากเป็นพิเศษ รู้สึกคุ้นเคยมากกว่ารุจี อาจจะเพราะระพีเป็นเด็กชายก็เป็นได้


   “ข้าต้องขอโทษเขาอย่างไรดี”


   เด็กชายทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะร้องอ๋อ


   “ตอนกินข้าวสิขอรับ! ตักกับข้าวให้พี่รติ แล้วก็พูดขอโทษไปด้วย!” ช่างเป็นกลเม็ดที่ทำเอาตรัสหัวเราะเบา


   “แล้วทั้งเจ้า ทั้งรุจี ทั้งท่านย่าก็นั่งมองข้าอย่างนั้นหรือ”


   “ท่านพี่ไม่ต้องอายหรอก ข้าจะนัดแนะพี่รุจีกับท่านย่าเอง เราจะทำเป็นว่าไม่เห็น!” เด็กชายว่าอย่างนั้น พอดีเห็นรุจีพาหญิงชราออกมาจาก ระพีจึงรีบวิ่งไปหาทันที ตรัสคว้าเอาไว้ไม่ทัน พอรุจีกับท่านอมรามองมา ชายหนุ่มทำหน้าไม่ถูก แต่ทั้งสองกลับหัวเราะน้อยๆแล้วพยักหน้าเป็นอันรับรู้


   
---------

   ทว่า...เมื่อคืนยังไม่ประสบความสำเร็จ


   เช้านี้จะสำเร็จได้อย่างไรกัน


   อาหารเช้าขึ้นโต๊ะเรียบร้อย แต่ถ้วยข้าวต้มยามเช้ามีแค่สี่ ทั้งที่ควรจะมีห้า


   “ข้ารู้สึกเวียนศีรษะ เมื่อครู่ดื่มน้ำแกงในครัวไปแล้ว จะขอไปพักขอรับ” รติดูแลทุกอย่างเรียบร้อยก็เอ่ยเรียบ ไม่นั่งร่วมโต๊ะด้วยซ้ำ


   “ไม่สบายหรือ” ตรัสปราดเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายขยับเท้าถอยไปครึ่งก้าว


“ข้าไม่เป็นอะไรมาก ขอพักสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้น”


“ถ้าอย่างนั้น วันนี้ปิดร้านสักวันดีไหม ตรัส” หญิงชราถามหลานชาย แต่รติเป็นฝ่ายตอบ


“วันนี้ มีคนไข้หลายคนจะมารับยาเพิ่ม ปิดร้านจะไม่ดีขอรับ”


เป็นอันว่างานที่รออยู่ ให้อย่างไรก็ปัดออกไปไม่ได้ หากคนไข้ที่รักษากับร้านยาอหัสกรไม่ได้รับยาชุดต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อกระบวนการรักษาและความเชื่อถือ


ตรัสมองภรรยา ใจห่วงอีกฝ่าย แต่อีกใจก็ห่วงงาน ทว่ารติกลับไม่พูดอะไรมากกว่านั้น ค้อมกายขอตัว


“ข้าขอไปพักก่อน”


“ไปเถอะ เรื่องงานบ้านงานเรือนไม่ต้องห่วง งานในครัวก็ให้รุจีและพุดกรองช่วยดู” หญิงชราออกปาก ทว่าเมื่อรติหมุนตัวเดินจากไป นางก็เรียกเอาไว้


“แล้วนั่นเจ้าจะไปไหน รติ”


เรือนนอนของสองสามีภรรยาอยู่อีกปีกหนึ่งซึ่งเป็นส่วนตัว แต่รติกลับไปอีกทางหนึ่ง


“ข้าจะไปนอนห้องของระพีขอรับ” รติกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะก้าวเท้าจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงความเงียบงันในห้องรับประทานอาหาร และหัวใจอันหนักอึ้งของผู้เป็นสามี


เมื่อคืนเป็นคืนที่นอนไม่หลับ


เช้านี้...ก็เป็นเช้าที่แสนอึมครึม


---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


คนง้อไม่เป็นก็พยายามง้อแล้วนะคะ แต่อีกคนไม่เปิดโอกาสเลย

ขี้ใจน้อยแล้วยังใจแข็งด้วย ตรัสเจองานหนักแล้วจริงๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 32 คำแนะนำ -- (อัพเดต 01/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 01-04-2020 21:40:59
 :เฮ้อ: 
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 32 คำแนะนำ -- (อัพเดต 01/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 02-04-2020 01:19:41
คิดไปเยอะ คิดไปเองฝ่ายเดียว

เห้ออออ

คนจะปรับก็พยายามหาช่องคุย คนจะหลบก็พยายามหาช่องหลบ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 32 คำแนะนำ -- (อัพเดต 01/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-04-2020 02:37:16
นับ123แล้วเล่าเลย ฮือออออออออออออออ  :ling2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 32 คำแนะนำ -- (อัพเดต 01/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 02-04-2020 04:08:02
 :katai1: :katai1: :katai1: คุยกันซักที
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 32 คำแนะนำ -- (อัพเดต 01/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 02-04-2020 07:46:50
 :katai1: :hao5: เมื่อไหร่จะคุยกัน :pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 33 เบื้องหลัง -- (อัพเดต 03/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 03-04-2020 17:19:44
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 33

เบื้องหลัง

---------


   ร้านยาอหัสกรนั้นเงียบเหงา


   มิใช่เพราะคนไข้น้อยลง แต่เพราะคนร่าเริงแจ่มใสไม่มาประจำที่หน้าร้าน


   “ข้าเคยเห็นตั้งโต๊ะขายของ ทำอย่างกับร้านยาเป็นร้านของชำ วันนี้ไปไหนเสียแล้วล่ะ” รสนาแวะมาที่ร้าน บ่าวคนหนึ่งเลยวิ่งไปตามตรัสออกมา เพียงพบหน้าสหายเก่าแก่ นางก็พูดจายียวน


   “เอ? หรือหย่ากันแล้ว?”


   “ระวังปากด้วย รสนา”


   “ดุจริง” นางสัพยอก


   “เอาล่ะ ก้างขวางคอไม่อยู่ ถ้าอย่างนั้นกลางวันนี้ไปกินข้าวกับข้าดีไหม” นางช่างอ้อล้อ แม้ว่าตรัสจะไม่มีทีท่าชวนให้อ้อล้อเลยสักนิด


   ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้า ความอดทนลดต่ำลงทุกที


   “ตามข้ามา” เขากล่าวเช่นนั้น แล้วหมุนตัวเดินไปยังหลังร้าน


รสนาดีใจนึกว่าอีกฝ่ายจะยอมไปรับประทานมื้อกลางวันด้วยกัน แต่เมื่อเดินตามไปแล้วก็พบว่าตรัสเพียงพานางหลบพ้นสายตาผู้คนเท่านั้น


   หลังร้านยาอหัสกรเป็นห้องเก็บของ ไม่น่าอภิรมย์สำหรับการพลอดรักแต่ประการใด


   “ข้านึกว่าท่านจะพาออกหลังร้านไปกินข้าวเสียอีก”


   “ข้าไม่มีอารมณ์กินอะไรทั้งนั้น เจ้าไม่เคยวุ่นวายกับข้าเช่นนี้ แล้วคราวนี้เกิดอะไรขึ้น” ตรัสกอดอกกล่าวเสียงเรียบดวงตาดุดัน รสนานิ่งไปเล็กน้อย


   สถานะเพื่อนระหว่างนางและตรัสไม่อาจพัฒนา ให้อย่างไรก็เป็นเช่นนั้นตั้งแต่เด็กจนโต ส่วนหนึ่งเพราะนิสัยไปกันไม่ได้ นางชอบปั่นหัว ในขณะที่อีกคนซึมกระทือมิได้รู้ร้อนรู้หนาว แต่ถ้าเมื่อใดที่เขารู้ร้อนรู้หนาวขึ้นมาก็จะเป็นเช่นนี้คือดุยิ่งกว่าบิดาของนางเสียอีก


   รสนาเป็นบุตรีคนเดียวของคหบดีผู้ร่ำรวย นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ แต่ตรัสมิใช่คนตามใจคนอื่น ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ชายคนแรกที่นางตัดออกจากสารบบรายชื่อสามีในชีวิต


   เวลานี้ ความคิดนั้นก็ยังเป็นเช่นเดิม เพียงแต่...ตรัสแต่งงาน ในขณะที่นางเพิ่งหย่า


   ตรัสมีครอบครัว แต่นางเล่า? ไร้สามีเคียงกาย


   กล้าดียังไง นำหน้านางไปก้าวหนึ่ง!


   หญิงสาวพ่นลมหายใจ ท่าทียียวนหายไป แต่มิใช่สลด กลับทำสีหน้าเบื่อหน่าย


   “ข้าไม่คิดว่าท่านจะแต่งงาน”


นางอิจฉา นางริษยา ในขณะที่นางไร้ความสุขในชีวิตคู่ แต่ตรัสกลับมีคู่ชีวิตที่เช้าตื่นขึ้นมาก็พบหน้า กินข้าวแล้วก็ยังมาช่วยกันทำมาหากิน จริงอยู่ว่านางมิได้ต้องการทำงานร่วมกับสามีเช่นตรัส แต่ก็ต้องการสามีเคียงข้างเช่นเดียวกับที่ตรัสมีภรรยาเคียงกาย ทำงานแล้ว ตกเย็นก็ยังเดินเคียงกันกลับเรือน แวะดูร้านค้าบ้างประปราย


   ชีวิตมิต้องสนุกสนาน ขอแค่สงบสุขกับคู่ชีวิตเท่านั้น นางก็พอใจ


   แต่...ชีวิตคู่ของนางหาใช่เช่นนั้น


   “ข้าจะแต่งงานหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


   “เกี่ยวสิ...” รสนาเงยหน้ามองเพื่อนตรงหน้า ดวงตาขมขื่น


   “ข้าคิดว่ากลับมาที่นี่ อย่างน้อยก็คงมีท่านที่โสดเป็นเพื่อนข้า แต่นี่อะไร...แต่งงาน มีคู่ชีวิตที่ดี มีชีวิตคู่ที่ดี แล้วดูข้าสิ!” พอได้ระบายแล้วก็ยากจะหยุด


   “ทั้งๆที่ข้าคิดว่าข้ารักเขา และเขาก็รักข้า ข้าแต่งงานด้วยความรัก และความรักมันก็ควรจะอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่ใช่หรือ แต่เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ข้าไม่อยากมีลูก ตัวเขาก็ไม่อยากมี แต่แม่ผัวสารเลวเป่าหูจนเขาไปมีลูกกับคนอื่น แล้วอย่างไร?! พอข้าไปอาละวาด หาว่าข้ารังแกเด็ก รังแกผู้อาวุโสน้อยกว่า! เหอะ!”


   “เขานอกใจเจ้าหรือ” ตรัสฟังแล้วหดหู่ ไม่คิดว่าชีวิตคู่ของเพื่อนผู้นี้จะย่ำแย่ถึงเพียงนี้


   แต่รสนาเป็นหญิงผู้ยึดคติตาต่อตาฟันต่อฟัน


   “ข้าก็เลยนอกใจเขากลับ...สวมเขาให้เขาด้วยพี่ชายของเขา แสบดีไหม เพื่อนของท่าน”


   “รสนา...” ทีแรกนั้นสงสาร แต่พอฟังเช่นนี้แล้วก็ไม่น่าเวทนาแม้แต่น้อย


   “มันไม่ใช่ความผิดของข้า เขาเป็นคนเริ่ม ครอบครัวของเขาเป็นคนเริ่ม พวกเขาต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำกับข้า”


   “แล้วเจ้าก็เลยหย่ากับเขา กลับมาที่นี่”


   “แน่สิ ความแตกนี่นา” นางพูดแล้วยักไหล่ ไม่ได้ยี่หระแต่อย่างใด ตรัสส่ายศีรษะอย่างระอาใจ ไม่รู้จะช่วยเช่นไรดี ในเมื่อรสนาเลือกวิธีแก้แค้นจนครอบครัวของอดีตสามีเหลือแต่เศษซากแตกกระจาย หรือต่อให้มีวิธีช่วยก็ใช่จะช่วยโดยไร้เงื่อนไข เพราะเวลานี้ รสนากำลังสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวของเขามิต่างจากครอบครัวของอดีตสามีของนาง ทั้งที่ตรัสไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับนางแต่อย่างใด


   “เจ้าหย่ากับสามี พอกลับมาที่นี่เห็นข้าแต่งงาน ก็เลยอยากให้ข้าหย่าบ้างอย่างนั้นหรือ”


   เขาถาม หญิงสาวเงียบ


   “เจ้าต้องการเห็นครอบครัวของข้าลงท้ายเช่นครอบครัวของเจ้าอย่างนั้นหรือ”


   “รสนา...ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนก็ล้วนมีดีเลว ในตัวเราก็ล้วนมีดีเลว แต่เนื้อแท้เจ้ามิใช่คนเลว เหตุใดจึงต้องการให้หายนะเกิดกับผู้อื่น”


   รสนาเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจ


   ครอบครัวของนางล่มสลาย แล้วเหตุใดเล่า จึงอยากให้ครอบครัวของเพื่อนก็เป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่นางควรจะเป็นผู้ชี้แนะไม่ให้ตรัสดำเนินรอยตามครอบครัวของนางไม่ใช่หรือไร


   “ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนมาโดยตลอด รสนา แต่ถ้าวันนี้เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นเพื่อนของเจ้า ทำร้ายครอบครัวของข้า ข้าก็ไม่นับเจ้าเป็นเพื่อนเช่นกัน”


   “ครอบครัวของเจ้าพัง แรกเริ่มอาจไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่หลังจากนั้น ลองคิดให้ดีเถอะว่าเจ้ามีส่วนผิดด้วยหรือไม่ และถ้าความเป็นเพื่อนของเราพัง รู้เอาไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ ความผิดอยู่ที่เจ้า”


   ตรัสกล่าวเช่นนั้น หน้าตาดุดันบอกให้รู้ว่าเอาจริง หากนางยังคิดจะกร้ำกรายทำร้ายครอบครัวและคนในอหัสกร นางจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ความเป็นเพื่อนของตรัส


---------


   วาจาของเพื่อนรักยังดังก้องในสมอง หน้าตาท่าทางของเขาก็ยังติดตรึง แม้กระทั่งตอนที่นางออกมาจากร้านยาอหัสกร ตรัสยังไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาส่ง


   นางถูกเขาโกรธแน่แท้


   เพื่อนที่นางคิดว่าสนิทที่สุดในชีวิต มาวันนี้ประกาศตัวพร้อมยืนอยู่คนละฝั่งกับนางเพื่อปกป้องครอบครัวของเขา ไม่ใช่ความผิดเขาเลย ในเมื่อตัวนางเองต่างหากที่สนุกจนเลยเถิด อิจฉาจนเลยเถิด ก่อเรื่องให้เขาเดือดร้อน


   ทั้งๆที่ยามนางมีความสุข ก็เป็นตรัสที่สุขไปกับนางด้วยใจจริง เป็นเพื่อนที่มีแต่มิตรภาพและความหวังดี


วันที่นางพบรักกับอดีตสามีที่มาเที่ยวที่เมืองตะวันออก นางนำความไปบอกตรัส เขายินดีกับนางด้วยใจจริง วันแต่งงานของนาง เขาก็ไปร่วมและอวยพรให้นางมีความสุขที่สุด


ตอนนางย้ายไปอยู่ที่เมืองของสามี ตรัสก็ยังไปส่ง ตอนร่ำลา ใครเล่าจะคิดว่านางจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง...ตัวลำพัง


ชีวิตครอบครัวที่ล่มสลาย อย่างที่ตรัสกล่าว ตอนที่มันพังลงครั้งแรกหาใช่ความผิดของนาง แต่เมื่อมันพังพินาศทับลงไปยังรอยเดิม คราวนี้เป็นความผิดของนางแล้ว และหากนิสัยของนางยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของนางและตรัสพัง นั่นก็ยิ่งเป็นความผิดของนาง


อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของนางและอดีตสามีก็พังไปแล้ว ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยรักมาก...


มันพลาดตรงไหน นางไม่รู้ เงยหน้าขึ้นมาอีกที ความรักก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นนิรันดร์ คำสัญญาไม่มีจริง สถานะสามีภรรยากลายเป็นเพียงอากาศ เมื่อหย่าขาดก็กลายเป็นคนอื่น ซ้ำยังเป็นคนอื่นที่สาปส่งกันไปชั่วชีวิต


เรื่องสามีภรรยา นางพลาด และนางควรเตือนเพื่อนแสนดีอย่างตรัสให้ระมัดระวัง ดูแลรักษาครอบครัวให้ดี ประคับประคองความรู้สึกและความสัมพันธ์ อย่าให้มีใครแทรกกลาง


แต่นางกลับ...


พอคิดเช่นนั้นก็ทอดถอนหายใจอย่างอ่อนล้ากับสิ่งที่ตนเองทำลงไป


รสนาเพิ่งรู้ตัวว่านางทำลงไปเพื่อความสนุก เพื่อสนองความอิจฉาของตน ทั้งๆที่ตรัสเป็นเพื่อนของนางแท้ๆ


แล้วพอรู้ตัวเช่นนั้น นางก็เพิ่งเห็นว่าสองขาพาเดินมายังเรือนอหัสกรแล้ว


หากจะแก้ตัว...นางก็ควรลงมือทำ


----------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 33 เบื้องหลัง -- (อัพเดต 03/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-04-2020 02:21:12
รติจะยอมฟังมั้ยนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 33 เบื้องหลัง -- (อัพเดต 03/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-04-2020 03:02:38
รสนาเธอร้ายมากกกก 
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 33 เบื้องหลัง -- (อัพเดต 03/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-04-2020 22:41:02
เพื่อนกัน..ไม่ทำแบบนี้   :m16:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 33 เบื้องหลัง -- (อัพเดต 03/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 05-04-2020 22:21:35
รำคาญระติ

รสนาก็ไม่ใช่เพื่อนหรอก แต่ก็ดูเหมือนจะสำนึกอยู่

 :angry2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 33 เบื้องหลัง -- (อัพเดต 03/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 06-04-2020 01:06:39
ตั้งแต่อ่านมาอยากจะตะโกนบอกว่า ปริ่มปริ๊มมั่ก คือมันนวลๆละมุนตุ้นอยู่ในหัวใจ เป็นอะไรที่ดีมาก บรรยายดี ชอบนิสัยของตรัสและระติมั่กกกมันละมุนๆนวลๆ  ยกให้เรื่องที่ปิ่มปิ๊มที่สุดแห่งการเริ่มต้นปีนี้ ไม่ได้อ่านอะไรแล้วเพลิน อยากอ่านต่อสักร้อยตอนสองร้อยตอนอย่างงี้นานแล้ว เลิ้ปมากก
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 34 สามเส้า -- (อัพเดต 06/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 06-04-2020 15:32:46
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 34

สามเส้า

---------


บ่าวคนหนึ่งของเรือนอหัสกรวิ่งไปแจ้งกับรติที่เพิ่งออกจากห้องของระพีว่ามีแขกมาหา เมื่อเขาออกไปดูก็พบว่าแขกที่บุกมาถึงเรือนอหัสกรในเวลาก่อนเที่ยงเช่นนี้คือแขกที่เขาไม่อยากพบหน้าที่สุด


“ตรัสอยู่ที่ร้าน” เขาแจ้งเรียบ


รสนาพยักหน้า


“ข้ามาหาเจ้า”


“หาข้า?”


“มีเรื่องจะคุยด้วย”


นางพูดแล้วหมุนตัวจะเดินนำให้ตามไป รติจึงเอ่ยขึ้นมา


“ถ้าจะคุยกับข้า ก็ต้องมากับข้า” พูดแล้วก็เป็นฝ่ายหมุนตัวเดินไปยังด้านหลังเรือน ท่าทางนิ่งสงบและเยือกเย็นนั้น ทำเอารสนานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยอมก้าวเท้าตาม


สวนด้านหลังเรือนที่เงียบสงบ นอกจากรติและรสนาแล้วก็ปราศจากผู้อื่น แม้เจ้าของเรือนจะเป็นตรัส แต่เวลานี้ เมื่อตรัสไม่อยู่ รติจึงไม่ต่างจากตัวแทน แม้จะอายุน้อยกว่ารสนาหลายปี แต่น่าแปลกที่เยือกเย็นและดูน่าเคารพ


...เหมาะกันดี...


คิดเพียงเท่านั้น รสนาก็ตัดเรื่องรกสมองทิ้ง แล้วพูดขึ้นมา


   “ตอนแรกที่ได้ยินว่าตรัสแต่งงาน ข้าตกใจมากทีเดียว เจ้ารู้ไหม”


   เงียบ ไม่มีคำตอบ ราวกับรสนาพูดคนเดียว แต่เรื่องนั้นหาใช่เรื่องที่นางต้องใส่ใจ


   “พอรู้ว่าภรรยาของเขาเป็นชาย ข้ายิ่งตกใจเข้าไปกันใหญ่”


   เป็นอีกครั้งที่เงียบ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่รสนาไม่ได้ใส่ใจ


   “ตรัสเป็นคนไม่พูด แต่ถ้าเจ้าเป็นภรรยาของเขามาพักหนึ่งก็คงพอจะรู้นิสัยใจคอของเขา เขารักท่านย่า รักสกุล ที่สำคัญคือยึดติด เรื่องหนึ่งที่เขายึดติดคือความคิดของเขาต่อการสร้างครอบครัว...ที่มีลูก”


   เรื่องนี้ไม่ใช่ไม่รู้ อย่างน้อยๆ แม้รติจะไม่สอบถาม ก็พอประเมินได้จากความเคร่งธรรมเนียมปฏิบัติและความยึดติดที่ตรัสมีต่อสกุลอหัสกร ช่วงที่สถานะการเงินของสกุลร่อแร่ ตรัสยอมแม้กระทั่งไม่เจียดเงินสักเหรียญให้ตนเอง เพื่อพยุงทั้งคนในสกุลและกิจการของสกุล คนเช่นนี้...จะไม่อยากมีทายาทเพื่อสืบต่ออหัสกรได้อย่างไร


   แต่...ทายาทเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีภรรยาเป็นชาย


   กลับกัน...หากภรรยาเป็นรสนา เรื่องทายาทย่อมไม่ใช่เรื่องยาก


   รติหันมองคนพูด เดิมทีเป็นคนยียวน แต่ที่ยอมนิ่งเงียบมานานก็เพราะอ่อนล้ากับความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและตรัส แต่อ่อนล้าก็เรื่องหนึ่ง การถูกกระทบกระเทียบในเรื่องที่เขามิอาจแก้ไขได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง


   “ถ้าเจ้าอยากเป็นแม่ของลูกเขา ก็จงไปบอกเขา ไม่ใช่บอกข้า”


   รสนาเลิกคิ้ว


   “พูดอย่างกับยินยอมที่จะให้ข้าเป็นภรรยาของตรัสอีกคน? เอ๊ะ หรือหมายความว่าจะหย่าให้ตรัสแต่งงานใหม่กับภรรยาที่เป็นสตรี?”


   รติถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย หากเขาไม่พูดกับนางให้เข้าใจ ชีวิตนี้เห็นทีจะอยู่สงบไม่ได้


   “ตรัสบอกว่าเจ้าเป็นสหายเก่าของเขา แต่งงานแล้วย้ายไปอยู่เมืองอื่น เวลานี้หย่าขาดกลับมาบ้านเกิด ข้าขอถามเพียงอย่างเดียว เจ้าต้องการแต่งงานใหม่กับตรัสใช่หรือไม่”


   “ถ้าข้าตอบว่าใช่”


   “ก็จงไปบอกตรัส ทางข้าจะรับรู้เอาไว้” รติพูดแล้วก็หมุนตัวหมายจะเดินเข้าเรือนราวกับเสร็จธุระของเขา


รสนากะพริบตาปริบๆอย่างงงงัน พอตั้งสติได้ก็รีบวิ่งไปดักหน้า


   “ทำแค่นี้หรือ?! รับรู้แล้วอย่างไรต่อ?”


   “คนที่ต้องตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับเจ้าไม่ใช่ข้า แต่เป็นตรัส เจ้าต้องไปคุยกับเขา”


   “แล้วเจ้าล่ะ? เอ่อ...ในฐานะที่เป็นภรรยาของตรัส ก็ควรจะแสดงออกไม่ใช่หรือว่ายินยอมหรือไม่”


รสนาไม่เคยเจอใครเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตรัสซึมกระทือเลย ภรรยาก็กิ่งทองใบหยกโดยแท้ ซื่อบื้ออะไรขนาดนี้ นี่นางกำลังจะแย่งสามีอยู่ ไม่เห็นรึไร?


   “ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่ต้องตัดสินว่าจะยินยอมหรือไม่ แต่ตรัสก็ต้องตัดสินใจเช่นกันว่าจะแต่งกับเจ้าไหม”


   “แล้วถ้าเขาคิดจะรับข้าเป็นอนุ โดยไม่แต่งล่ะ”


   “เจ้าไม่ยอมหรอก” รติย้อน เพียงเท่านั้นรสนาก็ถึงกับอ้าปากค้าง


   “รู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ยอม”


   “ถ้าเจ้ายอม เจ้าจะไม่แสดงตัวถึงเพียงนี้ คงกลับมาอย่างเงียบๆ อยู่อย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนนางจะดูคนผิดไป ที่คิดว่ารติช่างซึมกระทือ ซื่อบื้อและไม่รู้ร้อนรู้หนาว


แท้จริงแล้ว เขารู้ร้อนรู้หนาว เขาอ่านนางออก และอ่านนิสัยตรัสออกด้วย ฉลาดเฉลียวไม่พอยังรู้จักควบคุมอารมณ์ ควบคุมสถานการณ์ นางหาญกล้ามาเหยียบจมูกถึงบ้าน เขากลับไม่ตีโพยตีพายสักนิดเดียว


   “หมดเรื่องจะพูดแล้วใช่ไหม ข้ามีงานต้องทำอีก”


   “มีอีกเรื่องที่ข้าอยากรู้...หากตรัสต้องการมีลูก จะทำเช่นไร”


   รติหันมามอง ตอบเรียบ


   “หย่าจากกันโดยมีเงื่อนไข”


   “เงื่อนไขอะไร”


   “นั่นเรื่องของข้ากับเขา ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”


   “เจ้าพูดเรื่องเงื่อนไข ราวกับ...ไร้ความรู้สึก? แต่งงานคลุมถุงชนนี่ดีจริง ตอนแต่งก็ไร้ความรัก ตอนหย่าจึงเป็นไปโดยง่าย”


   รสนายิ้มเยาะ แต่รติกลับนิ่งเฉย ในดวงตาของเขาซุกซ่อนความรู้สึกมากมาย ยามแต่งไร้รักนั้นถูกต้อง แต่ตอนหย่า...หาใช่ไร้ความรู้สึกอีกแล้ว


   “เพราะมีความรู้สึกต่างหาก จึงเลือกที่จะหย่าจากกันโดยดี”


   คนยิ้มเยาะกลายเป็นฝ่ายนิ่งงันแทน


   “เพราะอยากรักษาความรู้สึก อย่างน้อยก็ความสัมพันธ์ที่รู้จักกัน อย่างน้อยก็เพราะครั้งหนึ่งเคยอยู่ข้างกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เป็นสิ่งสวยงาม คนเราพบเจอแล้วจาก มีทั้งจากเป็น มีทั้งจากตาย น่าแปลกที่จากตายกลับเป็นความทรงจำและสูญเสีย แต่จากเป็นกลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่น่าลืมเลือน ทั้งๆที่จากเป็น อาจจะได้กลับมาพบกันใหม่ แล้วเหตุใดจึงต้องจากกันด้วยข้อพิพาท”


   “แล้วถ้าเรื่องที่ทำให้เกิดข้อพิพาทไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่เป็นความผิดของตรัสเล่า?!” รสนาย้อน หน้าตาชิงชัง เมื่อเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่ของตนเองกับคำพูดของรติ


   รักษาความรู้สึก รักษาความทรงจำ อย่างน้อยก็เพราะครั้งหนึ่งเคยเคียงข้างกันอย่างนั้นหรือ?


   แล้วใครทำลายสิ่งสวยงามเหล่านั้นลงก่อน?!


   ไม่ใช่ความผิดของนาง! ในเมื่อฝ่ายอดีตสามีและครอบครัวของอดีตสามีทำร้ายความรู้สึก ทำร้ายความทรงจำของนาง!!


   “ไม่มีข้อพิพาทใดเป็นความผิดของใครแต่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าตรัสต้องการแต่งงานใหม่เพื่อมีลูก ความผิดของข้าก็คือมีลูกให้แก่เขาไม่ได้ ในขณะที่ความผิดของเขาก็คือเขาต้องการสร้างครอบครัวที่มีลูก ถ้าตรัสต้องการแต่งงานเพราะอยากเคียงข้างเจ้า ความผิดของข้าคือข้าทำให้เขารู้สึกอยากเคียงข้างไม่ได้ ในขณะที่ความผิดของเขาคืออยากเคียงข้างผู้อื่นที่ไม่ใช่ภรรยา ความผิดเหล่านั้น ไม่ว่าจะเกิดมาตั้งแต่แรก หรือเพิ่งเกิดขึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความทรงจำที่เคยมี”


   “...แม้ข้าจะเพิ่งรู้จักตรัสไม่นาน แต่ข้ามั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนเสแสร้ง สิ่งที่เขาเคยทำให้ข้า ล้วนเกิดขึ้นอย่างจริงใจ สิ่งเหล่านั้นคือความทรงจำที่งดงามและข้าไม่ต้องการทำลายมัน”


   รสนานิ่งงัน คล้ายภาพจำยามนางเคียงข้างอดีตสามีลอยวนอยู่ในหัว


   อดีตสามีของนางเสแสร้งหรือไม่? หากเสแสร้งแต่แรก นางจะดูไม่ออกเชียวหรือ ความรักที่เขามอบให้นาง หากจอมปลอม นางจะดูไม่ออกเชียวหรือ


ความรู้สึกของเขาเป็นของแท้...เขารักนาง แต่นางมิได้เรียนรู้ว่าเขาช่างหูเบาหัวอ่อน ถูกชักจูงโดยง่าย ในขณะที่นางก็รักเขา แต่เขาก็มิได้เรียนรู้ว่านางเป็นพวกถูกโทสะโมหะมัวเมาได้ง่าย เมื่อฝ่ายอดีตสามีทำลายความเชื่อใจ ฝ่ายอดีตภรรยาก็ทำลายความสัมพันธ์ ต่างคนต่างมิได้เรียนรู้กัน ชีวิตคู่ของนางจึงพังพินาศ


แต่...ทั้งที่รติเองก็กำลังพบเจอสถานการณ์คล้ายกับนาง เขากลับ...เลือกสิ่งตรงข้ามกับนาง


ส่วนหนึ่งก็เพราะตรัสช่างหัวแข็ง...ไม่สิ ทั้งที่เขาหัวแข็ง เขาถูกบังคับให้แต่งงาน แต่ลงท้าย...เวลานี้เขากลับไม่ดื้อดึงจะแยกจากภรรยาผู้ถูกจับแต่งงานกับเขา


ยามนี้เอง ที่รสนาเพิ่งรู้สึกตัว


ไม่มีชีวิตใครก้าวเดินบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตคู่ของนางก็เช่นกัน ชีวิตคู่ของตรัสและรติก็เช่นกัน แตกต่างที่เมื่อนางเหยียบลงบนหนามแหลมคมแล้ว นางก็โทษผู้อื่นไปหมดทุกสิ่ง ในขณะที่ชีวิตคู่ของตรัสและรติ เริ่มต้นเส้นทางด้วยหนามแหลม แน่นอนว่าต่อให้ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาเริ่มต้นชีวิตคู่ รสนาก็นึกภาพออกว่าพวกเขาคงเหยียบลงบนหนามเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเจ็บทั้งปวด แต่เพราะอะไรเล่า...วันนี้ รติจึงกล้าพูดว่าเส้นทางชีวิตของพวกตนที่ผ่านมานั้นเป็นความทรงจำที่สวยงาม?


หากไม่ใช่เพราะมองโลกในแง่ดีเหลือเกิน ก็เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากัน จากชีวิตคู่ที่ถูกบังคับ กลับกลายเป็นชีวิตคู่ที่...น่าอิจฉา


น่าอิจฉาไม่ใช่เพราะพวกเขารักกันมาก แต่น่าอิจฉาเพราะพวกเขารู้จักเรียนรู้กัน ต่างกับชีวิตคู่ของรสนา แรกเริ่มนั้นน่าอิจฉาเพราะรักกันมาก แต่ลงท้ายแล้วน่าเวทนาเพราะรักกันเพียงอย่างเดียว หาได้เรียนรู้กัน


   “เจ้า...รักตรัสขนาดนี้เลยหรือ” คำถามของรสนาหาได้มีแววเย้ยหยัน รตินิ่งไป ไม่ทันได้พูดอะไร ตรัสก็เร่งฝีเท้าเข้ามาที่เรือน


“รติ...รสนา...” เสียงเรียกของเขา ทำให้ทั้งสองหันมอง


เพราะมีคนไปบอกว่าหญิงสาวมาที่นี่ ตรัสจึงรีบออกจากร้านยาเพราะกลัวว่านางจะทำอะไรไร้สติ



แต่สิ่งที่เห็น คือรติกำลังยืนคุยอยู่กับนาง ยิ่งเมื่อหันมาเห็นว่าเจ้าของเรือนกลับมาแล้ว รติย่อมไม่อยากพบหน้า เพียงหันไปพูดกับตรัสเรียบๆ


   “นางมาพบท่าน”


แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าเรือน แต่รสนาเรียกเอาไว้เสียก่อน


   “รติ...ขอให้โชคดี”


ไม่แน่ใจนักว่าประโยคนี้ของนางหมายความเช่นไร แต่พอหันกลับไปมอง ตรัสยังยืนเคียงสตรีผู้นั้น รติก็แน่ใจ


   คนโชคดี...ไม่ใช่เขา


----------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ใครรอเขาคุยกัน ก็บอกเลยว่าตอนหน้าคุยกันแน่ๆค่ะ

คุยกันแบบไม่มีมือที่สามแล้ว คุยกันเองแบบไม่ฝากใครไปคุยด้วยค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 34 สามเส้า -- (อัพเดต 06/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-04-2020 19:37:22
งอนมากกก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 34 สามเส้า -- (อัพเดต 06/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 06-04-2020 22:20:58
 :m16: ทุบใครก่อนดี ตรัส รติ หรือรสนา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 34 สามเส้า -- (อัพเดต 06/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-04-2020 00:29:03
ขัดใจ..หวังว่ารสนาจะได้เรียนรู้  :ling1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 34 สามเส้า -- (อัพเดต 06/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-04-2020 01:40:16
นิ่งมากกกก  :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 34 สามเส้า -- (อัพเดต 06/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 07-04-2020 16:25:40
เดี๋ยวคือรติ รอก่อนลูกก รอก่อน รีบมาก
รสนาคืออะไรรร ทำให้แย่กว่าเดิมอี้กกกก
ส่วนตรัสส ต้องหาอะไรมาง้างปาก
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 08-04-2020 17:40:43
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 35

หันหน้าเข้าหากัน   

---------


ตรัสไม่รู้ว่าก่อนเขาจะมาถึง รติและรสนาพูดคุยกันนานเพียงใดและพูดคุยกันเรื่องอะไร แต่เมื่อเขาถามหญิงสาว นางก็เพียงทำสีหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต


   “เรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องใส่ใจ เรื่องที่ท่านควรใส่ใจคือครอบครัวของท่าน ตัดสินใจดีแล้วหรือที่จะมีภรรยาเป็นชาย”


   “นั่นคือการตัดสินใจของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


   “มีภรรยาเป็นชาย ย่อมหมายความว่าจะมีลูกไม่ได้ สกุลอหัสกรจะสิ้นสุดที่ท่าน”


   “ตลอดชีวิตของข้า ทำเพื่ออหัสกรเสมอมา หากสุดท้ายต้องสิ้นสุดเพราะไร้ทายาท บรรพชนก็คงไม่โมโหนัก”


   “ความคิดนี้จะอยู่ได้อีกสักกี่ปีกันหนอ ตรัส”


   “นั่นมันเรื่องของข้า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”


   รสนามองสหายสมัยยังเยาว์ที่บัดนี้เติบใหญ่ เขาไม่เพียงเป็นผู้ใหญ่ แต่ยังมุ่งมั่นและแน่วแน่


   “รติโชคดี”


   หญิงสาวพึมพำแล้วยิ้มจางกับตนเอง พยักหน้าคล้ายยอมรับ


   “เอาเถอะ ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องของท่านกับภรรยาของท่าน ข้าไม่เกี่ยวจริงๆ มาที่นี่ก็เพราะตั้งใจจะมาลา...”


   “ลา?”


   “อืม...ไปเที่ยว คงไม่กลับมาสักระยะ ระหว่างนี้ก็ขอให้ง้อภรรยาให้สำเร็จด้วย”


   ตรัสนิ่งไปเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร ทว่าท่าทีของเขากลับทำให้หญิงสาวฉุกใจ


   “อะไร ท่าทางเช่นนั้น อย่าบอกนะว่า...ไม่เคยได้เสียกัน?”


   คนนิ่งถึงกับตาเหลือก แต่คนตาเหลือกยิ่งกว่าคือรสนา นางร้องเสียงสูง


   “ท่านบ้าไปแล้วหรือ?! ยังไม่ได้เสียกันอีก?!”


   “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ตรัสอาศัยท่าทีเคร่งขรึมหมายจะให้สหายหยุดพูดเรื่องนี้ แต่คนเยี่ยงรสนา เรื่องที่นางอยากพูด มีหรือจะไม่พูด


   “ก็เพราะมันเรื่องของท่านน่ะซี! ตรัส ท่านแต่งงานแล้วนะ แล้วรติก็ไม่ใช่สตรีแรกรุ่นต้องถือพรหมจรรย์”


   “ข้าบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่อง...”


   “เรื่องของท่านแต่ท่านนิ่งเฉยแบบนี้น่ะสิ เรื่องถึงเลยเถิด”



ตรัสกะพริบตาปริบๆ จู่ๆก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนผิดขึ้นมาชอบกล


   “ท่านกับภรรยาแต่งงานกันแล้ว ถึงจะแต่งงานคลุมถุงชน ตอนแต่งไม่รัก แต่ตอนนี้ฝ่ายนั้นหึงหวงอย่างกับอะไร ฝ่ายท่านก็มั่นคงไม่วอกแวกไปไหน เป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะปล่อยให้แยกย้ายกันนอนอีกรึ?!”


   “เจ้า...” ตรัสพูดไม่ออก รสนาก็คร้านจะหงุดหงิด นางโบกมือไปมา เชื่อแล้วว่าท่านอมราช่างหูตามีแวว จับแต่งงานได้ถูกคู่เสียจริง กิ่งทองใบหยกโดยเนื้อแท้ ซึมกะทือซื่อบื้อพอกันทั้งสามีภรรยา


   “เอาเถอะ! ข้าจะแนะนำเรื่องดีๆในฐานะที่แต่งงานก่อนและหย่าก่อน บางทีคำพูดก็สำคัญกว่าการกระทำ บางทีการกระทำก็สำคัญกว่าคำพูด บางทีก็ต้องใช้ทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ท่านต้องพิจารณาให้ดีว่าเวลาใดควรใช้อะไร อ้อ...แล้วอย่าซื่อคิดว่าการกระทำแปลว่าทำเรื่องดีๆให้แก่กัน นั่นก็ใช่ แต่การกระทำในความหมายของข้าคือ...การร่วมหลับนอน”


   “รสนา!”


   “ไม่เห็นต้องดุ ข้ามีผัวมาแล้วถึงได้กล้าพูด แล้วตอนนี้ก็หย่าผัวแล้วถึงได้กล้าแนะ ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็ปล่อยเอาไว้เช่นนี้ต่อไป แล้วถ้าข้ากลับมาอีกทีเห็นท่านกับภรรยาแยกกันอยู่ จะหัวเราะให้”


   หญิงสาวหมุนตัวจากไปแล้ว แต่ตรัสยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


---------


   แม้จะรู้สึกกระดากกับคำแนะนำของสหายเก่า แต่เมื่อเห็นภรรยายังคงเงียบซึม ตรัสก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาควรทำอะไรสักอย่าง ไหนจะเรื่องที่รสนาและรติคุยกันก่อนที่เขาจะมาถึงอีก ไม่รู้คุยกันเรื่องอะไร แต่ลงท้ายแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร


   รสนาชอบปั่นหัวคนอื่นเพื่อความสนุก แม้ไม่มีใครสนุกกับนางเลยสักคนเดียว


   ค่ำนั้น สองสามีภรรยาใช้เวลาด้วยกันที่โรงครัวเพื่อทำผงสมุนไพรสำหรับขายในวันรุ่งขึ้น ตรัสคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกัน แต่รติกลับมีท่าทีมุ่งมั่นอยู่กับการผสมสมุนไพรจนเขาไม่กล้าพูดสักคำ


   จนพระจันทร์ลอยเด่นขึ้นกลางท้องฟ้า ถึงเวลาเข้านอน รติกำลังจะขอตัวไปนอนที่ห้องของน้องชาย แต่ตรัสฉวยข้อมือจับจูงเชิงบังคับให้กลับมาที่เรือนพักผ่อนของพวกเขา


   “ระพีโตแล้ว หากฝันร้ายก็ต้องรู้จักแก้ฝันร้ายด้วยตนเอง”


   อีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาก็โตแล้ว หากมีเรื่องขัดข้องหมองใจก็ควรแก้ไขด้วยตนเอง มิใช่หนีปัญหา


   เมื่อถูกพูดเช่นนี้ รติย่อมได้แต่เม้มปาก ไม่ดื้อรั้นจะขอแยกไปนอนห้องของน้องชาย แต่พอเข้าเรือนพักผ่อนได้ เขาก็บิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินหนีเข้าไปด้านใน ตรัสต้องรีบก้าวเท้าตามไปดักหน้าไว้


   “รติ...คุยกับข้าก่อน”


   “ข้าง่วงแล้ว”


   “คุยไม่นาน”


   รตินิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ทว่าก็ยืนอยู่กับที่ราวกับพร้อมจะเข้านอนทุกเมื่อที่คุยเสร็จ


   “รสนาคุยอะไรกับเจ้า”


   “ไม่ใช่เรื่องใหญ่”


   “ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าจะเป็นเช่นนี้หรือ...อยู่กับข้า ใยทำหน้าไม่มีความสุข”


   ...เพราะว่าสุขต่างหาก เพราะว่าเคยสุข วันนี้จึงทุกข์แสนสาหัส...


   รติไม่อยากฟื้นฝอย เขากลืนก้อนสากในคอ แล้วเอ่ยพร่า


   “ตรัส...หากท่านต้องการแต่งภรรยาใหม่ หรือต้องการมีลูก...ข้าไม่ใช่อุปสรรคของท่าน”


   ฝ่ายสามีขมวดคิ้วฉับ ย้อนถามน้ำเสียงติดหงุดหงิด “รสนาพูดกับเจ้าเรื่องนี้หรือ”


   “ข้าเพียงขอให้เราแยกจากกันแต่โดยดี มีเงื่อนไขเพียงเรื่องเดียวคือรุจีและระพี ขอให้พวกเขาได้เรียนหนังสืออย่างที่ท่านเคยบอกข้า ส่วนเรื่องการหย่า หากกังวลเรื่องชื่อเสียงของอหัสกร ข้ายินดีไม่ทำเอกสารในเวลานี้ แต่ขอไม่ร่วมเรือนด้วย จะให้ข้าย้ายออกไปปลูกเรือนที่ไหนก็ได้”


   “ข้าไม่ให้เจ้าย้ายไปไหนทั้งนั้น!”


   “แต่ข้าไม่อยากอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่ของท่าน”


   “ข้าไม่เคยคิดจะมีครอบครัวใหม่”


   รติถอนหายใจ เหนื่อยเกินกว่าจะเหนี่ยวรั้งสิ่งใด


ภรรยาที่เป็นชาย ไม่สามารถมอบทายาทให้ได้


อีกทั้งภรรยาที่มาจากการคลุมถุงชน ย่อมไม่อาจสู้ภรรยาที่เลือกด้วยหัวใจ


ทางเลือกเดียวของรติคือการถอยออกมา


   “แต่ข้าไม่ใช่ภรรยาที่เกิดจากความพึงใจของท่าน ตรัส...ถ้าท่านต้องการสร้างครอบครัวใหม่ ข้ายืนยันตามที่เคยพูดไปแล้ว ข้าตามใจท่าน”


น้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าก็เรียบเฉย แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจเจ็บปวดเพียงใด


   ยิ่งเจ็บ...ก็ยิ่งไม่อยากอยู่ต่อให้นานกว่านี้


รติพูดแล้วก็หมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่อีกฝ่ายดึงแขนเอาไว้


   ดึงอย่างเดียวไม่พอ ตรัสกวาดแขนรั้งร่างของภรรยาเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากกับกลีบปากซีดนั่น


   รติตะลึงงัน ตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย พอรู้สติจะถอยห่าง สองแขนของตรัสก็โอบรวบร่างของเขาแนบชิด ดิ้นไม่หลุด


   “อื้อ!!”


สองแขนทั้งผลักทั้งดัน ใบหน้าพยายามเบี่ยงหนี หากแต่ก็หลุดจากจูบจาบจ้วงนั่นเพราะตรัสเป็นคนยอมปล่อยเอง


   “ท่าน!...” รติไม่รู้จะพูดเช่นไร มองสบเข้าไปในดวงตาของคนที่ยังกอดเขาแนบชิดแล้วก็ยิ่งงุนงง เขาไม่รู้ว่าตรัสเป็นอะไร อยู่ๆถึงได้ถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้


   “จากนี้ ถ้าเจ้าพูดกับข้า ถามคำถามข้า แล้วไม่รอฟังคำตอบจากข้า ข้าจะจูบเจ้า”


   “ท่าน!...เพี้ยนไปแล้ว!” รติดุ ผลักอีกฝ่ายออกห่างแล้วหมุนตัวหนี แต่แขนของตรัสรวบกลับมาอยู่ในอ้อมกอดเช่นเดิมแล้วมอบรสจูบหนักหน่วงลงกับริมฝีปากที่เริ่มขึ้นสีเรื่อนั่นอีก


   “อื้อ!” รติได้แต่ร้องเครือในคอ สองมือของเขาขวางกลางระหว่างอกของเขาและร่างสูง แต่เพราะอ้อมกอดนี้ช่างแนบแน่น สองมือย่อมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าพยายามดันอกอีกฝ่าย...แต่ไม่เป็นผล


   สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายตรัสที่ปล่อยริมฝีปากออกเอง


   “ท่านทำบ้าอะไร!” ทั้งไม่เข้าใจทั้งโมโห รติไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปแล้ว


   “เจ้าไม่ฟังข้าพูด”


   รติอ้าปากพะงาบ ไม่เข้าใจคนที่ยังกอดเขาแนบแน่นเลยสักนิด


   “ท่าน...ท่านจะให้ข้าฟังอะไร”


   “ฟังในสิ่งที่ข้าจะพูด” ดูเหมือนรติจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร จึงไม่ยอมหันมอง เป็นฝ่ายตรัสที่ต้องแตะปลายคางเบี่ยงใบหน้าคนที่เอาแต่มองทางอื่นให้หันกลับมามองตรงที่เขา ทีแรกไม่ยินยอม แต่เมื่อเขาดื้อดึง สุดท้ายใบหน้าของภรรยาก็หันกลับมา


ตาสบตา ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนเจ้าตัวจะเข้าใจไปแล้วว่าเขาต้องการแต่งงานใหม่และมีทายาท


   “เป็นความจริง...ที่ข้าไม่คิดจะแต่งงานกับเจ้า”


รติเงียบ ดวงตาหลบลงมองพื้น


   “และก็เป็นความจริง...ที่ข้าอยากมีลูก”


   “ถ้าเช่นนั้น...ก็แต่งงานกับคนที่ท่านอยากแต่ง มีลูกอย่างที่ท่านอยากมี”


ไม่อาจทนฟังได้อีกแล้ว เพียงเท่านี้ก็เข้าใจแล้ว ไม่สิ...เข้าใจมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก


พวกเขาไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก อีกทั้งยังเป็นชาย ชีวิตคู่หาได้มีความสุขไม่ ลูกก็มีไม่ได้เช่นกัน


   ร่างโปร่งหมุนตัวจะเดินหนีอีกครั้ง แต่ก็ถูกคว้ากลับเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนอีก ตรัสก้มลงมาหมายจะทำจริงอย่างที่เปรยเอาไว้ว่าถ้าหนีเขา ไม่ฟังคำพูดเขา จะจูบเสียให้เข็ด


   “ไม่ต้องจูบแล้ว!” รติรีบยกสองมือปิดปากอีกฝ่าย แต่ตรัสนั้นแข็งแรงกว่า เขารวบร่างภรรยาผู้แสนพยศด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างดึงมือของรติออกจากปากเขา


   “เจ้าไม่ฟังที่ข้าจะพูด”


   “ก็ได้ๆ! ฟังแล้วๆ!” รติต้องก้มหน้าหลบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะถูกจูบอีกกี่ครั้ง


   “นึกว่าจะให้ข้าจูบจนปากบวมเสียก่อน จึงจะยอมฟัง” รติเงยหน้าพลัน ดวงตาเบิกโตคิดไม่ถึงว่าคนเงียบขรึมอย่างตรัสจะพูดจาเช่นนี้ แล้วพอเงยหน้าขึ้น ฝ่ายสามีก็ถึงได้เห็นว่าริมฝีปากของคนในอ้อมแขนบวมน้อยๆ


   “บวมจริงๆด้วย”


   “ก็...ก็ท่าน...บดลงมาได้...” พูดแล้วก็หลบสายตา ทั้งอายทั้งโกรธ อายเพราะแม้จะเป็นสามีภรรยา แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น โกรธเพราะอีกฝ่ายตั้งเงื่อนไขอย่างเอาแต่ใจ ‘ไม่ฟังจะจูบ’  โดยไม่ถามถึงความรู้สึกของเขาเลย


   เพราะอีกฝ่ายก้มหน้าหนี ตรัสจึงต้องเชยปลายคางขึ้นมา ในดวงตาของภรรยามีทั้งแววโกรธเคือง เสียใจ น้อยใจ เห็นแล้วสะท้อนหัวใจจนเย็นวาบไปทั้งอก


   “รติ...ข้าขอโทษ...เจ็บรึเปล่า”


รติไม่กล้าบอกว่าต่อให้จะเจ็บ ก็ยังเจ็บไม่สู้ที่ใจ ไม่เข้าใจว่าตรัสทำเช่นนี้ทำไม ในเมื่อว่าอยากแต่งงานมีภรรยาเป็นคนอื่น


   “...เจ็บก็บอกข้า อยากให้ข้าทำอะไรก็บอกข้า ได้โปรด...อย่าเงียบเช่นนี้”


   รติยังเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ กลายเป็นฝ่ายตรัสผู้เงียบขรึมรู้สึกร้อนผ่าวจนอยากพูดให้มากกว่านี้


   “เจ้าก็รู้ว่าเราแต่งงานเพราะถูกบังคับ เป็นความจริงที่ข้าไม่คิดจะแต่งงานกับเจ้าตั้งแต่แรก แต่ในเมื่อแต่งแล้ว ข้าก็ไม่คิดจะแต่งกับใครอีก ส่วนหนึ่งเพราะข้า...เคยสาบานกับตนเองเอาไว้ว่าจะแต่งงานเพียงครั้งเดียว แต่นั่นก็เพียงช่วงแรกเท่านั้น นานวันเข้า ไม่ใช่คำสาบานต่อตนเองที่ทำให้ข้าไม่คิดแต่งงานกับใครอีก แต่เป็นเพราะเจ้า”


   “...เพราะเจ้า...การมีเจ้าเป็นคู่ชีวิต ข้ารู้สึกว่าครบถ้วนแล้ว ไม่อยากแต่งงานใหม่ เรื่องลูกก็ไม่จำเป็นสำหรับข้าแล้วเช่นกัน ข้าอยากย้อนเวลากลับไปในคืนแต่งงานด้วยซ้ำ คืนนั้นข้าไม่ได้ดื่มสุรามงคลสักอึก น่าเสียดาย”


   “ท่าน...ท่านพูดอย่างกับ...ดีใจที่แต่งงานกับข้า...”


   “ความหมายข้าเป็นเช่นนั้น”


   “...เพราะฉะนั้น...อย่าเข้าใจว่าข้าต้องการแต่งงานใหม่กับใครอีก อย่าคิดว่าข้าอยากมีลูกอีก และอย่าขับไสไล่ส่งข้าไปกับใคร ข้าพอใจที่ภรรยาของข้าผู้นี้...พอใจที่เป็นเจ้า”


สิ้นประโยคนั้น รสสัมผัสที่บอกถึงความพอใจ ความพึงใจก็ประทับลงมาอีก



รตินิ่งตะลึงในคราแรก จุมพิตนี้แตกต่างจากจุมพิตก่อนหน้านี้ มันอ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้สึกรักใคร่ ไม่จำเป็นต้องต่อต้านให้กับสัมผัสที่แสนหวานซาบซ่านเช่นนี้ทั้งๆที่หัวใจก็เรียกร้อง


เขาหลับตาลงรับรสหวานละมุนนั้นอย่างเต็มใจ อึดใจต่อมา สัมผัสแสนอ่อนโยนนั้นก็ผละออกห่างเล็กน้อย ก่อนที่ประโยคหนึ่งจะดังขึ้น


“ถ้าเจ้า...พอใจที่ข้า...คืนนี้กลับมานอนกับข้าได้ไหม...”


“...กลับมานอนด้วยกันนะ รติ”


ช่างเป็นคำอ้อนวอนที่ทำเอาหัวใจของคนถูกขอร้องสั่นสะท้าน


“ข้า...ข้าจะไปบอกระพีก่อน...”


“ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วย”


สองสามีภรรยาออกจากเรือนพักผ่อนไปยังห้องของระพี เพื่อแจ้งข่าวแก่เด็กชายว่าคืนนี้ รติจะกลับไปนอนกับตรัส


และคืนนี้ ระพี...ต้องนอนคนเดียวเหมือนเคย


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------
เหมือนจ่ายค่าตัวตรัสมากกว่า 30 กว่าตอนแรกทั้งหมดรวมกันเลยค่ะ เป็นตอนที่ตรัสพูดเยอะที่สุดแล้ว

หวังว่าพอจะให้อภัยตรัสได้บ้างนะคะ ถึงแม้ว่าจะจู่โจม เอาแต่ใจไปสักหน่อย แต่ทั้งหมดนั่นก็เพราะตรัสที่เคยใจเย็น กลายเป็นเดือดเนื้อร้อนใจทำอะไรไม่ถูก (คนไม่เคยมีความรัก มันก็...ไร้ชั้นเชิงอย่างนี้//รสนาฝากบอกมาค่ะ ฮ่าฮ่า)

ขอบคุณสำหรับการอ่านเสมอมาค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Austin ที่ 08-04-2020 18:05:16
รสนา  ชั้นให้อภัยเธอ 55555555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-04-2020 21:30:32
จุดปะทัดฉลองเลย..ยยยยยย   :mc4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 08-04-2020 22:27:52
 :-[  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 08-04-2020 22:40:05
คืนดีกันแล้วจูบกันแล้วด้วย :z3: :-[ ดีใจมากๆ ตอนตรัสพูดว่าาชีวิตของรสนาพังแล้วยังอยากให้คนอื่นพังด้วยหรอคือชอบมากๆ มันโดนใจมาก ดีที่รสนาพูดให้ตรัสสคิดได้ สนุกมากๆค่า :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 09-04-2020 00:30:17
 :o8: :-[  เขิลลลลลลลล
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-04-2020 01:25:02
หันหน้าเข้าหากันแรงไปหน่อยปากชนเลย :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-04-2020 08:52:14
สองคนนี้ควรให้กินไวอากร้าแล้วจับขังอยู่ด้วยกัน
เผื่อจะได้หายปากแข็ง5555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 09-04-2020 09:05:40
คู่นี้เริ่มพัฒนาแล้ว  :mew4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 35 หันหน้าเข้าหากัน -- (อัพเดต 08/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 09-04-2020 22:32:44
.....


นั่นนนน. กว่าจะได้คุยกันเนาะ. 

การกระทำต้องทำพร้อมกับคำพูดนะตรัส

....


 :mew1:  :mew3:  :mew4:  :mew1:  :mew3:  :mew4:


...
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 10-04-2020 17:19:09
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 36

พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า


---------


   ทั้งๆที่เรือนพักผ่อนหลังนี้ อยู่อาศัยมาจนคุ้นชิน แต่รติกลับพบว่าวันนี้ ให้ความรู้สึกแตกต่าง


   อาจจะเพราะเดิมทีอยู่ที่นี่อย่างไร้ละอาย อาศัยฐานะภรรยาของตรัสเข้ามาโดยมิได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นเจ้าของ ทว่าวันนี้...แม้จะอยู่ในฐานะภรรยาเช่นเดิม แต่เป็นเพราะเจ้าของชวน


   ‘คืนนี้กลับมานอนกับข้าได้ไหม’


   พอคิดถึงประโยคนี้ รติก็ร้อนวูบไปทั้งร่าง เหลือบมองคนที่หันกลับไปลงกลอนบานประตูแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาในค่ำคืนนี้ชวนให้หัวใจสั่นอย่างประหลาด


   “ข้า...ข้าขอ...เปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่”


   ความหมายและความนัยเป็นเพียงบอกกล่าวว่าขอใช้เวลาในห้องพักผ่อนเพียงลำพัง และขอให้ตรัสรออยู่ที่ห้องทำงานก่อน กระนั้น ทั้งคนพูดคนฟังกลับคิดลึกไปไกลกว่านั้น


รติหน้าแดงก้มหน้าต่ำ ในขณะที่ตรัสหูคอแดงก่ำหันหน้าหนีไปทางอื่น


   “อือ...เสร็จแล้ว...มาเรียกแล้วกัน”


   ภรรยาเดินหายเข้าไปในห้องด้านในพักหนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งในเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับใส่นอน ตรัสสงบจิตสงบใจด้วยการดูบัญชีรับจ่าย เนื้อแท้เป็นคนชอบทำงาน เมื่อมีงานตรงหน้า ท่าทางของเขาจึงเคร่งขรึมอย่างที่ทำเอาคนออกมาตามยังนิ่งมอง


   จนกระทั่งคนถูกมองรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น


   ตาสบตา


   ทั้งๆที่ไม่ใช่การสบตากันครั้งแรก แต่ครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกหวานซ่านในอกทั้งคู่


   “เสร็จแล้วหรือ”


   “อืม แต่ถ้าท่านจะทำงาน...”


ตรัสส่ายหน้า ลุกขึ้นเดินเข้าหา


   “เราสัญญากันแล้วว่าจะเข้านอนพร้อมกัน”


ช่างเป็นการย้ำคำสัญญาที่ทำเอาคนฟังใจสั่น รติได้แต่พยักหน้าสั้นๆ แล้วกล่าวโดยไม่มองหน้า


   “หากท่านจะใช้ห้องน้ำ...ข้าจะรอที่นี่”


   เขาได้ยินสียงสามีรับคำเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงจะหายเข้าไปในห้องพักผ่อนด้านใน คราวนี้เป็นฝ่ายรติที่ต้องสงบใจด้วยการนั่งรออยู่ที่ตั่ง เอาแต่กุมมือตนเองไปมา


   ทั้งๆที่เข้านอนด้วยกันมาไม่รู้กี่ครั้ง ร่วมเตียงกันมาไม่รู้กี่คืน แต่คืนนี้...ให้ความรู้สึกแตกต่าง


   ไม่รู้ต่างอย่างไร แต่มันซาบซ่านไปหมด แม้กระทั่งเมื่อครู่ตอนเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ยัง...ชำระล้างผิวกายทุกสัดส่วนมากกว่าทุกที


   คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าที่แดงอยู่แล้ว ก็แดงก่ำขึ้นอีกเท่าตัว ร่างกายสั่นเทิ้มราวกับหนาวเหน็บ หากแต่แท้จริงเพราะใจสั่นจนเกรงว่าจะกระเด้งกระดอนออกมานอกอกเลยต้องห่อไหล่เข้าหากันต่างหาก


   “รติ...” เสียงเรียกดังขึ้น ทำเอาคนคิดสะระตะต้องเงยหน้ามอง


   ตรัสเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ออกมาตามภรรยาเข้าไปนอนก็เห็นรตินั่งห่อไหล่ตัวสั่นจนน่ากลัวว่าจะไม่สบาย


   “เป็นอะไร หนาวหรือ?”


   “ป...เปล่า...”


   คนตอบสะท้านขึ้นอีกวูบหนึ่งเมื่อตรัสก้าวเข้าหา แล้วแนบหลังมือลงกับหน้าผากของเขาราวกับจะวัดอุณหภูมิเนื้อตัว


   “ไม่มีไข้...หรือเจ็บปวดตรงใด”


   “ป...เปล่า...ร...เรา...เราเข้านอนกันเถอะ...เอ่อ...”


พอหลุดปากเปลี่ยนเรื่องด้วยการชวนเข้านอน รติก็หน้าแดงขึ้นมาอีก ท่าทางเก้อเขินของภรรยา ไม่อาจรอดพ้นสายตาของสามี กระนั้นตรัสก็ไม่พูดอะไร


   สองสามีภรรยาเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนอย่างเงียบๆ


   เตียงหลังเดิมนั้นเคยนอนเคียงกันมาไม่รู้กี่คืน มีเพียงไม่กี่คืนก่อนหน้านี้ที่รติไม่ได้นอน ทว่าพอกลับมาอีกครั้งกลับให้ความรู้สึกทั้งเขินทั้งหวั่น เขาเม้มปากแน่น แต่ก็ยังใจกล้าขึ้นเตียงกลับขึ้นไปนอนชิดริมในเช่นเดิม ทว่าพอเห็นร่างสูงทรุดตัวลงตามแล้ว รติก็รีบพลิกกายตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย หัวใจเต้นตุบจนแทบจะออกมานอกอก


   มิใช่เพียงภรรยาเท่านั้นที่ตื่นเต้นกับค่ำคืนนี้ สามีก็เช่นกัน


   แม้เตียงหลังนี้ ตรัสจะอาศัยหลับนอนมาตั้งแต่เด็กจนโต จนกระทั่งเปลี่ยนผันจากการนอนเพียงลำพังเป็นมีคนเคียงข้าง แต่ค่ำคืนนี้ให้ความรู้สึกแปลกไป


   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นแผ่นหลังของคนที่นอนตะแคงหันหลังให้เขา


   มือเอื้อมไปแตะไหล่ของรติแผ่วเบา รั้งเล็กน้อย อีกฝ่ายก็ยอมหันกลับมา ยิ่งสบตา ก็ยิ่งพาให้ความรู้สึกในอกยิ่งท่วมท้น


   ใบหน้าขาวจัดก้มลงหา พอริมฝีปากแนบลงมามอบรสจูบอุ่นร้อน รติก็ทำได้เพียงหลับตาลงรับสัมผัสนั้นด้วยหัวใจที่เต้นถี่


แสงสลัวยามค่ำคืนเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ที่ทาบทับลงหาคนที่นอนราบกับเตียง เสื้อผ้าที่ขวางกั้นสองร่างถูกปัดป่ายให้พ้นทาง ต่างคนต่างสอดมือลูบไล้ตามเนื้อตัว ล่วงล้ำสัมผัสกันและกันทั้งตื่นเต้นทั้งสยิวซ่าน กายเบียดชิดกายจนไอผิวร้อนผะผ่าว เรียกเสียงเครือดังแผ่ว


   ค่ำคืนนี้...ความสัมพันธ์สามีภรรยา...ไม่เหมือนเดิม


--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ตอนหน้าก็คือ...สามีภรรยาก็คือสามีภรรยาค่ะ ฮ่าฮ่า

เจอกันวันจันทร์ กับตอนที่รสนาจะหัวเราะเยาะตรัสไม่ได้อีกเลย

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-04-2020 17:35:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 10-04-2020 20:43:27
ในที่สุด... :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 10-04-2020 21:10:34
 :z3: ค้าง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-04-2020 21:49:23
 :jul1: :-[ :-[ เค้าได้กันแล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 10-04-2020 22:37:06
 :o8: :-[ :-[

อยากได้อีกๆๆๆๆๆๆๆๆ คร่าาา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 10-04-2020 23:52:11
คุยกันด้วยภาษากายเลยนะ

อรุ่มมม
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-04-2020 01:48:20
อรุ่มมม  :heaven
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 36 พอใจที่เจ้า พอใจที่ข้า -- (อัพเดต 10/4/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 12-04-2020 12:42:07
 :jul1: :-[ เขาเป็นสามีภรรยากันแล้วจริงๆค่าแงง :L1: :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 37 สามีภรรยา -- (อัพเดต 13/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 13-04-2020 16:49:57
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 37

สามีภรรยา

---------


   ริมฝีปากร้อนของตรัสแนบประทับลงกับกลีบปากชุ่มชื้น ไล้ลงสู่ลำคอและลาดไหล่ ฝ่ามือฟอนเฟ้นเข้าไปใต้เสื้อผ้า


ผิวเนื้อของรติมิได้นุ่มนวลอย่างสตรี แต่เรียบลื่นและอุ่น ยิ่งถูกไล้ลูบลงน้ำหนัก เลือดกายก็ยิ่งสูบฉีดไปทั่ว จนเจ้าของผิวยังส่งเสียงครางเครือในลำคอ


   รสจูบและสัมผัสที่ลากไล้ทำให้สติพร่าเบลอ ไม่ทันรู้ตัว สองขาก็ถูกแยกออก ตรัสขยับกายลงสู่แผ่นอกของภรรยา แนบริมฝีปากลงกับยอดอกข้างหนึ่ง อีกข้างสะกิดด้วยปลายเล็บแผ่วเบา


   “อ๊ะ...อื้อ...” รติยกหลังมือขึ้นปิดปาก แต่มิอาจทนต่อรสสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอได้เลย


ใบหน้าแหงนเงยไปเบื้องหลัง ยิ่งทำให้แผ่นอกเดาะขึ้นป้อนยอดอกเข้าสู่ปากของอีกฝ่าย ตรัสดูดดึงจนพอใจ จึงลากไล้ริมฝีปากลงสู่หน้าท้องแบนราบ


   สาบเสื้อนอนถูกปัดออกให้พ้นทาง เปิดเผยทั้งหน้าท้องและส่วนที่อยู่ต่ำลงไปกว่านั้น ตรัสเงยหน้ามองเจ้าของเรือนกายที่เผยแก่สายตาของเขา สายตาของเขาส่อแววปรารถนา ในขณะที่รติทั้งตื่นเต้นทั้งหวั่นเกรง


   “อ๊ะ...” ฝ่ามือของตรัสสัมผัสแก่นกาย ทำเอารติสะดุ้งเฮือก ไม่ทันได้ออกปากห้าม ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ครอบครองแก่นกายของเขาแล้ว


   “อื้อ!” การครอบครองด้วยความร้อนผ่าวและชุ่มชื้นกับส่วนที่อ่อนไหวนั้นทำเอาซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย รติสั่นสะท้าน เกร็งเฮือกสองมือจิกเกร็งหมอนหนุน


   “ต...ตรัส...ม...ไม่...ย...อื้อ...”


   ตรัสคล้ายจะฟังเสียงครวญ แต่ยิ่งเสียงครางเครือดังเพียงใด เขาก็ยิ่งเพิ่มความหนักหน่วงของการสัมผัสมากเพียงนั้น รติหอบสะท้าน อารมณ์พุ่งสูง ร้องห้ามสลับครางราวใจจะขาด ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลง


หยุด...ทั้งๆที่ความปรารถนาเกือบจะทะลักทลายอยู่แล้ว


ดวงตาคู่สวยของรติมีแววไม่เข้าใจปนเว้าวอน แต่ผู้มอบความร้อนผ่าวด้วยโพรงปากกลับขยับกายขึ้นมาเสมอกัน


ไม่ทันได้ออกปากถามอะไร ฝ่ามือของตรัสก็เข้ากอบกุมความเหยียดเกร็งของภรรยา


รติสะท้านเฮือก ฝ่ามือร้อนไม่ได้ให้สัมผัสเช่นเดียวกับโพรงปาก ไม่นุ่มนวล ไม่ชุ่มชื้น แต่สากระคายและหนักหน่วง ใบหน้าของรติแหงนเงยไปเบื้องหลัง สองมือจิกเกร็งกับฟูก ขาข้างหนึ่งชันเข่า อารมณ์หวามไหลซ่านไปทั้งร่าง


ฝ่ามือเร่งความเร็วขึ้นอีก เรียกเสียงครางเครือกังวาล ตรัสจูบซับตามผิวแก้มราวกับปลอบประโลมคนที่กำลังถูกคลื่นความต้องการโจมตีไปทุกอณูเนื้อ


จนกระทั่ง...ร่างทั้งร่างเกร็งเฮือก


ตรัสรับรู้ความอุ่นร้อนและชุ่มขื้นที่ทะลักทลายในฝ่ามือของเขา


“อื้อ!!!” รติพยายามกลั้นเสียงร้อง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกรอบ เมื่อรับรู้ถึงการบุกรุกที่ปากทางเบื้องหลัง ดวงตาเหลือกโตมองคนที่ทาบทับอยู่เบื้องบน ไม่ทันได้ออกปากห้าม อีกฝ่ายก็ก้มลงมอบรสจูบให้แก่เขาอีกครั้ง


   เบื้องหลังถูกชำแรกทีละน้อย ในขณะที่ริมฝีปากของตรัสจูบซับราวกับปลอบประโลม แม้จะหวั่นกลัว แต่รติพยายามทำความคุ้นเคย


   ตรัสอดใจเอาไว้อย่างยากลำบาก แทรกสอดนิ้วที่ชุ่มชื้นด้วยหยาดรักของภรรยาเข้าไปได้หนึ่งนิ้วแล้ว ก็ค่อยเพิ่มเป็นสองและสาม


   เนิ่นนาน จนแทบขาดใจ นิ้วของตรัสก็แทรกเข้าลึกจนสุดโคนถึงสามนิ้ว


   “อะ...อือ...”


   “ไหวไหม” ตรัสเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาฉ่ำปรือของคนใต้ร่าง


รติเม้มริมฝีปากด้วยความอึดอัด แต่ไม่วายยังพยักหน้ารับ


   ภายในนั้นคับแน่นและร้อนผ่าว ตรัสขยับนิ้วอย่างเชื่องช้า ดึงออกเพียงเล็กน้อย ร่างของรติก็สั่นสะท้าน ดูแล้วไม่น่าจะไหวอย่างที่เจ้าตัวพยักหน้าเลย


   ผู้เป็นสามีเห็นท่าทีนั้นแล้วก็ทั้งรักทั้งสงสาร


   “เจ้าไม่ไหว...”


   “ม...ไม่...ข้าไหว...” ปากว่าไหว แต่ดวงตาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำใส ตรัสก้มลงหา ปลายนิ้วที่แทรกสอดอยู่ในกายของภรรยาขยับเข้าออกจนร่างสะท้าน


   “เจ้ารู้ไหม ว่าถ้าไม่ใช่นิ้ว จะเป็นอะไร”


ใบหน้าของรติแดงซ่าน


   “...ถ้าไม่ใช่นิ้ว จะเป็นอย่างไร”


หัวใจของรติเต้นถี่ ทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นเต้น


   “...ถ้าไม่ใช่นิ้ว...”


   “ต...แต่เป็นท่าน...” ริมฝีปากที่สั่นระริกตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก


   “...อย่างไรก็เป็นท่าน...ถ...ถ้าเป็นท่าน...ข้า...ข้ายินดี...”


   หมดแล้ว ความยับยั้งช่างใจของตรัส


   สามีก้มลงชิด วางหน้าผากลงกับหน้าผากของภรรยา พึมพำเสียงเบากับริมฝีปากนั้น


   “เพราะเป็นเจ้าเช่นกัน ข้าถึงได้เป็นข้าเช่นนี้...”


   ริมฝีปากบดเบียดเข้าหากัน พัดพาอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้ม ตอนที่ริมฝีปากของตรัสถอดถอนออกไป รติก็เพิ่งรู้ตัวว่าเบื้องหลังกำลังถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่ไม่ใช่นิ้ว


   “อ๊ะ...” เขาไม่กล้ามอง ได้แต่หลับตาหันหน้าหนีไปทางอื่น ตรัสไม่เร่งเร้า แทรกสอดอย่างเชื่องช้า สลับกับปลุกเร้าอารมณ์ด้วยริมฝีปากที่คอยวนเวียนมอบแต่รสจูบ ปลายนิ้วข้างหนึ่งบดบี้ยอดอกตึงเขม็ง มืออีกข้างปลุกปั่นตัวตนของภรรยาให้เกร็งขึงขึ้นอีกครั้ง


   จวบจนสองร่างแนบสนิท เนื้อตัวร้อนผะผ่าวจนแทบจะหลอมละลายกันและกัน รติอึดอัดราวกับร่างกำลังถูกแยกออกเป็นสองส่วน แต่ไม่กล้าร้องไห้เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะยุติทุกอย่างลงในเวลานี้


ดูเหมือนตรัสจะรับรู้ความพยายามของภรรยา เขาโอบรัดร่างข้างใต้ ให้สองแขนของรติโอบล้อมรอบคอเขาไว้ ให้ลาดไหล่เป็นที่ซุกซบของใบหน้าของรติ ในขณะที่ริมฝีปากของเขาคอยแต่จูบซับตามใบหูลงมาที่ลำคอ


   ยอมหยุดทุกการเคลื่อนไหว จนกระทั่งร่างที่สั่นน้อยๆในอ้อมแขนของเขาเริ่มคุ้นชินกับสิ่งที่ฝากฝัง ปลายนิ้วที่จิกเกร็งกับแผ่นหลังของเขาเริ่มคลายลง ลมหายใจที่หอบกระชั้นเริ่มช้าลง เมื่อนั้น ตรัสจึงขยับกายเข้าออกอย่างช้าๆ


   “อื้อ...” รติสะท้าน ช่องทางตอดรัดกับสิ่งใหญ่โตที่ฝากฝังเข้ามาแล้วถอดถอนออกไป


   ความสัมพันธ์ทางร่างกายของสามีภรรยานั้นจะว่าเจ็บปวดก็ใช่ แต่ก็แทรกด้วยความสุขสมไปทุกปลายประสาท มันซาบซ่านจนกลายเป็นส่งเสียงครางหวานหู และการขยับกายสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว


ยามบดเบียดเชื่องช้าหนักแน่นก็พาให้รัญจวน หวิวหวาม จนครางเครือเสียงสั่น ยามกระแทกกระทั้นหนักหน่วง เร่งเร้า ก็ซาบซ่านถึงใจ จนต้องเพรียกหาชื่อของอีกฝ่าย




อากาศหนาวยามค่ำคืนแต่บนเตียงในห้องพักผ่อนกลับร้อนผ่าวราวกับสุมไฟ เนื้อตัวชุ่มชื้นด้วยเหงื่อซึม แต่ไหนเลยจะใส่ใจ



ยามนี้อารมณ์รักของพวกเขาโหมกระพือ สองสามีภรรยาพากันโจนทะยานไปในห้วงปรารถนา ริมฝีปากจูบตะโปมราวกับดูดกลืนวิญญาน เชื่อมกายแทรกสอดกระแทกลึกเกี่ยวพันไม่แยกจาก



รติสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กรีดเล็บลงกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย ตอดรัดความแข็งแกร่งที่จ้วงเข้ามาในกาย แต่ยามอีกฝ่ายจะถอนถอยก็กลับติดตามไม่อยากแยกจาก การตอบสนองของรติชวนให้ยิ่งสยิวซ่าน


ตรัสเป็นชายหนุ่มมีเลือดเนื้อ เมื่อได้รับความรักจากร่างกายของภรรยาเช่นนั้นก็ยิ่งไม่อาจทานทน เขาเร่งกายกระแทกกระทั้นหยาบโลน มือร้อนขยี้ขย้ำเนินสะโพกสองข้างจนเป็นรอยนิ้ว เสียงครางของรติดังอยู่ข้างหู คล้ายจะห้ามปรามผสมเร่งเร้า ยิ่งทำให้ตรัสไม่อาจห้ามความรู้สึกตัวเองได้อีก เขาโหมกายจ้วงลึกและแรง ร่างของรติไหวโยก ก่อนจะสะท้านเฮือกขึ้นอีกครั้งเมื่ออารมณ์กำหนัดพุ่งพล่านไปทั้งร่าง


   “อ๊ะ! ตรัส! อื้อ!!”


ร่างของภรรยากระตุกด้วยความซาบซ่าน ความต้องการกลั่นเป็นหยาดข้นพุ่งเลอะขึ้นมาเต็มหน้าท้อง ตรัสเร่งจังหวะเร็วขึ้นอีก ฉุดกระชากอารมณ์ของตนให้พุ่งทะยานจนไปถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ เขากดกายแนบสนิทแล้วปลดปล่อยหยาดรักเข้าไปในร่างกายของคนข้างใต้จนหมด


   สามีทาบทับลงบนร่างของภรรยา สองร่างอ่อนเปลี้ยหอบหายใจหนัก จวบจนกระทั่งลมหายใจกลับมาสงบลงแล้ว ตรัสก็ยังไม่วายบดเบียดริมฝีปากกับผิวเนื้อของรติราวกับไม่รู้จักพอ ไม่กกหูก็ลำคอ วนเวียนกลับมาที่ข้างแก้ม แล้วก็วกไปหาริมฝีปากแดงก่ำนั่น ดวงตาทอดมองใบหน้าของภรรยาอย่างแสนรัก


“รติ...”


เจ้าของชื่อเพียงเลิกคิ้วน้อยเป็นเชิงถาม แต่แล้วก็เบิกตาเมื่อรู้สึกว่าบางสิ่งที่อยู่ในร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลง


เมื่อครู่นี้อ่อนตัว ตอนนี้กลับแข็งขืน


   “ให้ข้า...อีกครั้งได้ไหม”


   คนถูกถามเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง ทว่าไม่ทันได้ค้านสิ่งใด ริมฝีปากของเขาก็ถูกประทับ ร่างกายถูกบดเบียดแนบชิด เนื้อตัวถูกลูบไล้จนร้อนผ่าว เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นอีก...ไปจนเกือบรุ่งสาง


----------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926
---------

ถูกต้องตามนิตินัย พฤตินัย แล้วก็ดูเหมือนจะถูกใจตรัสและรติด้วยค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอมาค่ะ

สวัสดีวันสงกรานต์นะคะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 37 สามีภรรยา -- (อัพเดต 13/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-04-2020 19:04:02
เห็นตรัสเงียบๆ นิ่งๆ แท้จริงแล้วเสือซ่อนเล็บอ่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 37 สามีภรรยา -- (อัพเดต 13/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 13-04-2020 20:37:42
อ้ากกกกกกกก  ละลายแล้ววววววว :jul3: :jul1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 37 สามีภรรยา -- (อัพเดต 13/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 13-04-2020 23:02:56
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 37 สามีภรรยา -- (อัพเดต 13/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 13-04-2020 23:30:52
เรียบร้อยโรงเรียนตรัส  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 37 สามีภรรยา -- (อัพเดต 13/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 14-04-2020 00:15:40
ตรัส เราไม่เบาเหมือนกันน่าาาา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 37 สามีภรรยา -- (อัพเดต 13/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 14-04-2020 21:02:20
แซ่บมากค่าา :-[  :pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 15-04-2020 16:52:53
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 38

อรุณแรก

---------
   

เสียงนกร้องแผ่วเบาดังเข้ามาในโสตประสาท


   รติลืมตาขึ้นช้าๆ แต่แสงสว่างภายในห้องทำให้เขาต้องหลับตาลงอีกครั้ง


   ...แสงสว่าง?...


   พอคิดได้เช่นนั้น คนที่ไม่เคยตื่นหลังพระอาทิตย์ขึ้นก็ถึงกับลืมตาลุกขึ้นนั่งด้วยความตกตะลึง ทว่าก็ยิ่งตะลึงหนักกว่าเก่าเมื่อพบว่าเสื้อผ้าที่สวมนั้นหลุดรุ่ย ต้องรีบรวบมามัดให้มิดชิด แล้วพลันนั้นก็พลอยนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน


   เมื่อคืนที่...ไม่ใช่แค่หลุดลุ่ย...แต่ถอดเปลื้องทุกชิ้น


   คนเคยระรื่นอยู่เสมอถึงกับหน้าแดงก่ำ ยังไม่ทันอับอายมากไปกว่านั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเบาๆ รติเงยหน้ามองแล้วก็พบว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนเดินเข้ามาในห้อง


   “ท่าน...ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกข้า”


   ไม่รู้จะพูดอะไร รติเลยพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุด


แต่...คนไร้ประสบการณ์หนอ คนไร้ประสบการณ์ ช่างหาเรื่องคุยที่ไม่พ้นตัวเอาเสียเลย


   “ก็เมื่อคืนเจ้านอนดึก”


   เหตุผลของตรัสทำเอาคนฟังเม้มปาก คนอย่างรตินั้น เรื่องที่พาลให้เขิน ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ควรตอบโต้ จึงทำเป็นไม่ได้ยินไปเสีย กระถดกายหมายจะลงจากเตียง แต่เพียงแค่ขยับก็เจ็บร้าวจนหยุดกึก


   ตรัสก้าวเท้าเข้าหาอย่างไว พลางถามอย่างห่วงใย


   “เจ้าลุกไหวหรือ”


   รติเงยหน้ามอง ตาสบตา แล้วก็ชวนให้เขินจนต้องเบี่ยงสายตาหนีกันทั้งคู่


   “อาหารเช้า...เรียบร้อยแล้วหรือ” คนที่ต้องตื่นมาดูแลอาหารเช้าในทุกๆวันเอ่ยถามเสียงเบา


   “เรียบร้อยแล้ว ถ้าเจ้าลุกไม่ไหว ข้าจะให้พุดกรองจัดสำรับมาให้กินที่นี่ดีไหม”


   รติส่ายหน้าหวือ


   “ข้าไหว” หรืออีกนัยคือต่อให้ไม่ไหว ก็ต้องไหว ขืนทำตัวป่วย น้องๆคงสงสัย แล้วเขาจะตอบอย่างไรกัน


   พอคนบนเตียงขยับตัวจะลงอีกหน ตรัสจึงเข้าช่วย


   เสื้อผ้าของรติที่สวมอยู่ตอนนี้ เขาเป็นคนช่วยสวมให้ตอนที่เจ้าตัวหลับไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มิดชิดนัก เมื่อครู่รติเองก็ยังไม่ทันจะผูกปมให้ดี พอขยับลงจากเตียง สาบเสื้อข้างหนึ่งจึงหล่นลงจากไหล่


   ตรัสเห็น รติก็เห็น


   ตรัสรีบเบี่ยงสายตาหนี รติรีบรวบสาบเสื้อมากำเอาไว้


   “ท่าน...ไปก่อนเถอะ ข้าจะล้างหน้าล้างตาสักหน่อย”


   “ข้าจะออกไปรอข้างนอก” ทว่าแม้จะกล่าวเช่นนั้น ตรัสก็ยังช่วยประคองภรรยาไปยังห้องน้ำ หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาวางไว้ให้พร้อมสรรพ แล้วจึงออกจากห้องพักผ่อนไปยืนรออย่างสงบที่ห้องทำงาน


   สงบที่ว่า คือพยายามทำใจให้สงบ


   เพราะลาดไหล่เนียนสีน้ำผึ้งนั้นติดตา โดยเฉพาะ...รอยจูบแดงเรื่อจากริมฝีปากของเขาที่ประทับอยู่บนผิว


   ตรัสเม้มปากแน่น สูดลมหายใจลึก


   อย่าว่าแต่ความสัมพันธ์สามีภรรยาไม่เหมือนเดิมเลย สายตาของเขายามมองรติ บัดนี้เต็มไปด้วยความรักลึกซึ้งผสานอารมณ์ต้องการด้วยแล้ว


---------


   เพราะตรัสเป็นคนเข้าครัวไปดูแลมื้อเช้าด้วยตนเอง อมราและรุจีจึงทราบว่าวันนี้รติไม่ค่อยสบาย ระพีเองก็ทราบจากพี่สาว ดังนั้นเมื่อตรัสพาภรรยาเดินมาที่โต๊ะอาหาร เด็กชายตัวน้อยจึงรีบวิ่งเข้าไปหา


   “พี่รติ! เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”


   “ไม่เป็นไร”


   “วันนี้พี่รติต้องรับประทานให้เยอะๆนะขอรับ มากับระพีนะขอรับ”


   พูดแล้วดึงแขนผู้เป็นพี่ตรงไปยังโต๊ะอาหาร ด้วยความเป็นเด็ก ระพีย่อมไม่ระวัง รติสะดุดขาเก้าอี้จนเซเกือบชนโต๊ะ ดีว่าตรัสคว้าเอาไว้ได้เสียก่อน แต่ร่างทั้งร่างก็สะเทือนไปแล้วย่อมทำให้ส่วนที่ระบมปวดหนึบจนหน้าเหยเก


   ตรัสตวัดสายตาไปมองระพีทันที


   “ระวังด้วย พี่รติไม่สบาย” แม้กับระพี ตรัสจะใจดี แต่คราวนี้ดุจริงจังจนเด็กชายหงอ


   “ข...ขอโทษขอรับ...”


   “ไม่เป็นไร ตรัส อย่าไปว่าระพีเลย...” รติหันไปปรามคนที่ยังพยุงเขาเอาไว้ ก่อนจะหันไปลูบศีรษะเด็กชาย


   “พี่ไม่เป็นอะไร ระพีพาพี่นั่งหน่อยสิ” เห็นเด็กชายกลัวตรัสจนน้ำตาคลอ รติเลยต้องเอาใจ พอยื่นมือให้ ระพีก็พลันหน้าตาสดชื่นขึ้นแล้ว ช่วยขยับเก้าอี้แล้วประคองพี่ชายลงนั่งอย่างช้าๆ


   เด็กชายปีนขึ้นนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ รอจนทุกคนนั่งโต๊ะแล้ว ก็ถึงได้ออกตัวว่าจะเป็นคนช่วยตักกับข้าวให้รติเอง


   รติไม่ได้ป่วยเพียบหนัก เพียงแค่ระบมและอ่อนล้า แต่เมื่อเห็นน้องชายเอาจริงเอาจังอยากดูแล จึงปล่อยเลยตามเลย


   “รติ วันนี้เจ้าไม่ต้องไปร้าน ให้ตรัสไปคนเดียวก็พอ” อมรารู้จากหลานชายเพียงว่ารติไม่สบายเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้แจกแจงว่าป่วยด้วยโรคอะไร เห็นจากสีหน้าก็ว่าดูซีดเซียว หล่อนจึงเสนอแนะได้เพียงเท่านั้น


   “ข้าไหวขอรับ”


   “เจ้านอนพักเถอะ ข้าส่งคนไปติดป้ายปิดร้านแล้ว” ตรัสเห็นด้วยกับผู้เป็นย่า จึงร่วมสำทับ


อมราชะงัก มองคนพูดว่าปิดร้านแล้วก็ชวนให้ฉงน หลานชายของนางแทบไม่เคยมีวันหยุด เขามุมานะ ขยันขันแข็ง แต่คนอย่างนั้นกลับบอกว่าปิดร้าน


   “เจ้า...ปิดร้าน?” หญิงชราอดปากไม่ไหว เป็นฝ่ายหันไปถามหลานชาย


   “ขอรับ เผื่อรติอยากได้อะไร ข้าจะได้ช่วยดูแล” คำตอบของตรัสนั้นตรงไปตรงมา อมรายิ่งพลอยคิดไม่ถึง


   ...หลานชายของนาง คิดอะไรเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?...


   “ไม่เห็นต้องดูแลข้าเลย แล้ว...ข้าก็อยากไปทำงานมากกว่าด้วย...” คนชอบทำงานมิทันได้ใส่ใจกับการออกตัวของตรัสมากไปกว่าการที่ตนเองจะไม่ได้ทำงาน จึงรีบต่อรองอย่างน่าสงสาร


รุจีมองพี่ชายตาปริบๆ รติเป็นบุรุษ แม้จะแต่งงานกับบุรุษด้วยกัน แต่ก็มิได้ทำตัวเฉกเช่นสตรี เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนออดอ้อนผู้ใด ถนัดลงมือด้วยตนเองมากกว่า แต่บัดนี้...การต่อรองของเขานั้น คล้ายจะอ้อนวอนอยู่ในที


...พี่ชายของนาง ทำเรื่องเช่นนี้เป็นด้วยหรือ?...


สองหญิงต่างวัย ทั้งท่านอมราและรุจีต่างตะลึงพรึงเพริศ แต่สองสามีภรรยากลับมิได้รู้ตัว คนหนึ่งยังห่วงใยมุ่งมั่นจะให้อีกคนอยู่กับเรือน อีกคนอ้อนวอนขอออกไปทำงาน


   “เจ้าจะไปไหวได้อย่างไร”


   “ข้าไปไหว” ตนเองย่อมรู้ดีว่าร่างกายอ่อนล้ากว่าเดิม แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่สำคัญคือไม่ชอบอยู่เฉยๆ


   “แต่หน้าเจ้ายังซีดเซียว”


   “ข้ากินข้าวแล้วก็จะหายซีดเซียว”


   “แต่เจ้าควรจะพัก”


“ข้าชอบทำงานนี่นา...”


   พอลงท้ายเช่นนั้นแล้ว ตรัสก็พลอยพูดไม่ออก ถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วก็ยอมพยักหน้ารับทั้งที่หนักใจ


   สุดท้าย เช้าวันนั้น ร้านยาอหัสกรก็เปิดทำการปกติ


--------


   แม้จะได้มาทำงานตามที่ขอ แต่กว่าจะออกจากเรือนอหัสกรมาที่ร้านยา ก็ต้องต่อรองกับตรัสอยู่อีกพักหนึ่ง คราวนี้ไม่ใช่เรื่องเปิดหรือปิดร้านยา แต่เป็นเรื่องวิธีเดินทาง


   จากเรือนอหัสกรไปร้านยานั้นไม่ไกลนัก เดิมทีใช้วิธีเดินทั้งไปและกลับ แต่เพราะเรื่องเมื่อคืน ตรัสจึงเสนอวิธีอื่น


“นั่งรถม้าไปไม่ดีกว่าหรือ”


“ไม่ดี มัน...กระเทือน...” ฝ่ายภรรยาแย้งเสียงเบา สามีนิ่งไปเล็กน้อย ทำหน้าปั้นยาก แล้วเสนอความตั้งใจเดิมของเขา


“เจ้าควรพักผ่อนที่เรือน”


“ข้าอยากไปทำงาน...” รติเองก็แย้งด้วยความตั้งใจเดิมของตนเช่นกัน


เดิมทีไม่ใช่คนใจอ่อน แต่กับภรรยา ตรัสก็ไม่รู้ว่าทำไมใจแข็งไม่ได้สักนิด หลังจากต่อรองกันเสียงเบาอยู่หน้าประตู สุดท้ายสองสามีภรรยาก็ออกจากเรือนไปยังร้านยาด้วยวิธีการเดินอย่างที่เคยทำเป็นประจำ


ผิดก็แต่...คราวนี้ฝีเท้าของรติช้าลงกว่าเดิมมาก จนเจ้าตัวต้องออกปาก


“ท่านล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”


แต่ฝ่ายสามีส่ายหน้า “ไปพร้อมกัน”


ไม่พูดเพียงอย่างเดียว แต่ยังจับมือของรติประสานแน่น พวกเขาเดินเคียงข้างเช่นนี้ทุกวัน แต่นอกจากคราวที่ลื่นเพราะหิมะละลายแล้ว ก็ไม่เคยเดินจับมือเช่นนี้อีก


ทั้งตรัสและรติพอจะเป็นที่รู้จักของคนในเมือง เพราะฝ่ายสามีเป็นหมอแห่งร้านยาอหัสกร ฝ่ายภรรยาทำการค้ารู้จักมักจี่คนไปทั่ว การที่พวกเขาเดินจับมือกันในที่ชุมชน ย่อมเป็นที่สนใจของผู้อื่น


อย่างที่กล่าวว่าพวกเขาช่างเป็นสามีภรรยาที่ระมัดระวังความประพฤติอยู่เสมอ คราวนี้กลับเดินชิดใกล้ แม้ไม่อิงแอบแต่ก็จับมือเดินเคียง จึงเป็นเรื่องแปลกตา


“ต...ตรัส...คนมอง” เดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ผู้คนรายทางที่หันมาทักทายก็พากันมองตามตาค้าง เพราะเห็นมือสามีภรรยาจับกัน


“มองแล้วอย่างไร” ตรัสตอบกลับมาเช่นนั้น รติก็พลอยพูดไม่ออก อีกเหตุผลก็เพราะความใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้หัวใจอบอุ่นอย่างน่าประหลาด จึงยอมให้อีกฝ่ายเดินจับมือเขาไปเช่นนั้นตลอดทาง


รติเพิ่งรู้ก็คราวนี้ว่าตรัสนั้นสมเป็นหมอ เขาช่างเป็นห่วง หลังจากเดินจับมือคอยดูแลมาจนถึงร้านยา ก็ยังไม่อนุญาตให้รติออกไปยืนขายที่แผงขายสมุนไพรหน้าร้านอย่างทุกที จัดแจงส่งบ่าวไพร่ไปขายแทน แล้วให้ภรรยานั่งอยู่หลังตู้ไม้จ่ายยา


“อย่างนี้ ก็ไม่ต่างจากอยู่เรือนน่ะสิ” ฝ่ายภรรยาแย้งหน้าตาน่าสงสาร แต่ตรัสไม่ใจอ่อนแล้ว


“ต่าง เพราะมาที่นี่ เจ้าได้หยิบยา ได้คิดเงิน”


ตรัสพูดเช่นนั้น รติก็เลยโต้เถียงไม่ออก แต่มิวายหน้าตาบูดบึ้ง


   “หรือเจ้าจะย้ายไปนั่งกับข้าในห้องตรวจ?”


   พอฝ่ายสามียื่นเงื่อนไขมาเช่นนี้ รติเลยต้องยอมจำนน ยอมเลือกที่จะนั่งอยู่หลังตู้ไม้จ่ายยา แล้วทำหน้าที่จัดยาและคิดเงินแต่โดยดี


 แต่คนชอบทำงานก็ยังเป็นคนชอบทำงานอยู่วันยังค่ำ


เย็นนั้น คนที่ถูกสั่งให้นั่งอยู่หลังตู้ไม้ ก็มีความคิดใหม่มาเสนอตรัสยามเดินกลับเรือนด้วยกัน


   “ท่านรู้ไหม เรามีลูกค้า 15 คน มี 5 คนที่เป็นคนป่วยให้ท่านตรวจ อีกสิบคนแวะมาซื้อสมุนไพรอย่างเดียว คนซื้อผงสมุนไพรกลับไปเป็นหญิงถึง 7 ใน 10”


ผงสมุนไพรนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นโรคก็สามารถซื้อหาได้ ดังนั้นคนที่ไปถึงห้องตรวจจึงมีเพียง 5 คน ในขณะที่ลูกค้าที่แวะเวียนมาซื้อผงสมุนไพรกลับไปมีถึง 10 คน


   “เจ้าคิดอะไร”


   “เรื่องอย่างนี้ ต้องพูดกันที่เรือน ไว้คืนนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” 


ตรัสคิดถึงยามค่ำคืนแล้ว เขาก็พลอยคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน หันมองคนกำลังมีความสุขแล้วก็อยากหารือกับอีกฝ่ายเรื่องการใช้เวลาของพวกเขา


   “ข้า...ก็มีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าเช่นกัน...คืนนี้”


   ...เรื่องงานให้เริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก...


...แต่เรื่องของเรา ให้เริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ตกเป็นต้นไป...


   สามีภรรยาควรจัดสรรเวลาเช่นนี้...จริงไหม รติ…


--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

คนนึงก็คิดแต่เรื่องงาน อีกคนก็ชักจะเริ่มคิดเรื่องสามีภรรยามากกว่าเดิมแล้วล่ะค่ะ

ท่าทางจะหลงภรรยาหัวปักหัวปำแล้วจริงๆ

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 15-04-2020 17:19:51
เรื่องครอบครัวอะเนาะ คุยกันในห้อง 5555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 15-04-2020 17:20:10
 :hao3: มีคนกำลังจะหลงเมีย :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 15-04-2020 17:26:21
แอร๊ยบยบบบบบ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-04-2020 17:39:04
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 15-04-2020 23:28:45
พบคนหลงภรรยา 1 อัตรา  o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 16-04-2020 10:20:38
น่ารักมากคุณพี่หลงเมียที่สุด :hao7: นึกถึงตอนช่วงแรกๆต่างกันลิบลับ5555 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 38 อรุณแรก -- (อัพเดต 15/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 16-04-2020 10:42:01
พบคนหลงเมียเพิ่มมาอีกหนึ่ง   :mc4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 17-04-2020 16:56:21
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 39

ข้อตกลง

--------
   

สมกับที่ออกปากว่าชอบทำงาน


ตรัสเชื่อแล้วว่ารติเป็นคนอยู่ไม่นิ่งโดยแท้ ขนาดเขาสั่งให้นั่งเฉยๆ เจ้าตัวก็ยังเก็บข้อมูลว่ามีคนมาซื้อผงสมุนไพรกี่คน พอนับจำนวนเป็นหญิงได้มากกว่าโข ก็เกิดความคิดดีจะทำสมุนไพรบำรุงผิวพรรณขายอีก


   “เท่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เจ้าก็แทบไม่มีเวลาอยู่แล้ว”


   “ตอนนี้ผงสมุนไพรให้ความอบอุ่นขายไม่ดีแล้ว ข้าก็ทำแค่เพียงน้อย หันมาทำสมุนไพรบำรุงผิวพรรณ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยน เดี๋ยวชื้นเดี๋ยวแห้ง ผงสมุนไพรชนิดนี้จะช่วยให้ผิวยืดหยุ่น มีน้ำมีนวล ชายก็ดื่มได้ เพราะผิวจะไม่แห้งไม่แตกไม่คัน ท่านว่าอย่างไร ดีไหม”



   ตรัสพยักหน้า ใจหนึ่งก็ชื่นชมที่คนข้างกายช่างขยันขันแข็ง แต่ก็อดถอนหายใจเบาไม่ได้



   รติกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดผมที่เปียกชื้นหลังสระผมของตนเอง ช่วงเวลาพักผ่อนหลังจากทำงานมาทั้งวันย่อมมีเพียงน้อยนิด แต่สองสามีภรรยาก็ยังใช้ไปกับการหารือเรื่องงานการ



   อันที่จริง สามีไม่ได้อยากคุยเรื่องงานการ เขาสู้อุตส่าห์พกบัญชีรับจ่ายไปทำในห้องตรวจตอนกลางวัน เพื่อที่ช่วงกลางคืนจะได้มีเวลาอิงแอบกับรติ แต่ดูเหมือนฝ่ายภรรยาจะไม่เข้าใจ



   “แล้วเวลาของเรา?”


   “หือ?” รติกะพริบตาปริบด้วยความงุนงง


   “รติ สามีภรรยา...ย่อมต้องมีเวลาไว้ใช้ร่วมกัน”


คนฟังนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะแย้งเสียงแผ่ว


   “เรา...ก็อยู่ด้วยกันทุกวัน...”


ตรัสกลับส่ายหน้า เดินเข้าหา แล้วรั้งกายภรรยาเข้ามาใกล้ เมื่อใกล้แล้วก็ไม่ได้ปล่อยมือออก ยังโอบร่างของรติอยู่เช่นนั้น


   “จริงอยู่ว่าเราอยู่ด้วยกันทุกวัน ร่วมเตียงเดียวกัน ยามตื่นหรือก่อนนอนก็เห็นหน้า แต่ข้าอยากให้เรามีเวลาได้พูดคุยกันโดยไม่ต้องมีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของเรา”


   รติไม่ใช่คนโง่ แม้จะไม่มีประสบการณ์ด้านความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแปลความหมายไม่ออก


ช่วงเวลาใดเล่า? ที่จะมีเพียงเรื่องของพวกเขาสองคน ช่วงเวลาใดเล่า? ที่จะมีเพียงพวกเขาแค่สองคน


ใบหน้าของรติแดงก่ำ เห็นสีหน้าเช่นนั้น ตรัสก็ประเมินเอาว่ารติคงเข้าใจความหมายแล้ว ริมฝีปากจึงกระซิบเบาที่ข้างแก้ม


   “เมื่อคืน...ดีสำหรับเจ้าไหม”


   รติเม้มปาก หัวใจเต้นถี่ ทั้งเขินอายกับความสัมพันธ์ที่เปิดเผยทุกสัดส่วนให้ได้เรียนรู้กัน ทั้งซาบซ่านกับสัมพันธ์แนบชิดที่เร้าอารมณ์


   “ก็...ก็...ดี...แต่...แต่ทุกคืน...ข้าคงไม่ไหว...”


   แต่งงานกันมาพักใหญ่ เพิ่งเมื่อคืนนี้เองที่คนเรียบง่ายอย่างตรัสแสดงให้เห็นว่าช่างเร่าร้อน ไม่รู้จักพอ และเอาแต่ใจ


   ไฟรักของเขาทั้งร้อนผ่าวและรุนแรง เมื่อโหมกระพือจนมอดไหม้ไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็จุดขึ้นมาใหม่เป็นครั้งที่สอง และสาม...ครั้งที่สามนี้เขาเอาแต่ใจ แกล้งรังแกให้รติสั่นระริก ความต้องการอาบเยิ้มไปทั้งร่าง กว่าจะยินยอมให้รติปลดปล่อยตามใจปรารถนาก็เกือบจะหมดแรง


   แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ไม่ใช่รติไม่ชอบ


   แม้ตรัสจะเร่าร้อน ไม่รู้จักพอ และเอาแต่ใจเพียงใด แต่การกระทำของเขาล้วนตอบสนองความต้องการของภรรยาจนถึงที่สุด เพียงแต่...กว่าจะไปถึงที่สุด รติก็แทบลืมตาไม่ขึ้นแล้ว


   รติที่ตื่นผิดเวลา ต่อให้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะเรื่องเมื่อคืน



ตรัสเองก็ยอมรับว่าความต้องการของเขาที่มีต่อภรรยานั้นราวกับเด็กหนุ่มแรกรุ่นผู้ไร้ประสบการณ์ เมื่อได้แล้วครั้งหนึ่งก็ลุ่มหลงหัวปักหัวปำ ยิ่งเป็นรติด้วยแล้ว ทั้งความรักความหลงผสมกันจนเป็นเนื้อเดียว


   “ไม่จำเป็นต้องทุกคืน ข้าแค่อยากให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างสามีภรรยา”


คำว่าสามีภรรยานั้นชวนให้วูบไหว


   “ข้าอยากให้เราได้มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ไม่ต้องพูดคุยอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ข้าได้กอดเจ้าเช่นนี้”


    คิดไม่ถึงว่าคนอย่างตรัสจะถึงเนื้อถึงตัว ใครเลยจะคิดว่าวันแรกที่แต่งงานดูท่ารังเกียจเดียดฉัน แต่วันนี้กลับเป็นฝ่ายไม่ปล่อยให้รติห่างมือด้วยซ้ำ


   “เจ้า...อึดอัดหรือไม่”


   รติส่ายหน้าไปมาน้อยๆ อย่าว่าแต่ตรัสเลย ตัวเขาเองก็ต้องการกอดอีกฝ่ายไว้เช่นกัน เพราะอย่างนั้น ตอนที่สามีรั้งเข้าไปหา จึงได้โอนอ่อนไม่มีห้ามปรามสักนิด


   อาจจะเพราะเป็นคนขี้หนาว การได้ไออุ่นจากร่างกายของตรัสย่อมทำให้รู้สึกดี อีกทั้ง เพราะเจ้าของไออุ่นคือตรัส นอกจากร่างกายจะรู้สึกอบอุ่นแล้ว หัวใจก็พลอยสงบไปด้วย


การอยู่ในอ้อมแขนของตรัส การได้กอดตรัสเอาไว้ จึงไม่ใช่เรื่องอึดอัดเลยแม้แต่น้อย


   “แล้วชอบไหม”


   “...ชอบ...” คำตอบนั้นแสนเบา แต่ตรัสก็ได้ยิน อ้อมกอดของเขากระชับแน่นขึ้น ราวกับจะบอกว่าเขาเองก็ยินดีกับคำตอบนั้นเช่นกัน


   “ข้าก็ชอบ...”


   เสียงทุ้มกระซิบเบาที่ข้างหู ตามมาด้วยสัมผัสร้อนที่แนบลงกับใบหู พาเอาซาบซ่านไปทั้งอก


   “...ชอบที่ได้กอด...”


“แต่...รักคนที่กอด”


รติชะงัก เงยหน้ามองทันควัน คนพูดมิได้หลบเลี่ยง มองอย่างไรก็มองอย่างนั้น


“ให้ข้าได้กอดคนที่ข้ารักเช่นนี้เถอะนะ”


แล้วประโยคถัดมาของตรัสก็ยิ่งทำให้ตะลึงงัน รติคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้ แต่คนพูดไม่มีวี่แววของความไม่แน่ใจเลยสักนิด สิ่งที่พูดออกมา เป็นความจริงแท้จากใจ


“ท...ท่าน...พูดว่าอย่างไรนะ”


“ข้ารักเจ้า รติ”


ดวงตาของรตินิ่งค้าง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายก้มลงหามอบจุมพิตหวานเป็นหลักฐานของความรู้สึกแล้ว


สัมผัสนั้นช่างอ่อนโยนราวกับมีดอกไม้นับร้อยบานสะพรั่งห้อมล้อมพวกเขาเอาไว้ รสสัมผัสหวานละมุนชวนให้เคลิบเคลิ้ม และกลายเป็นตอบรับรสจูบแสนเสน่หานั้น


ริมฝีปากของพวกเขาบดเบียดเข้าหากัน ปลายลิ้นแตะสัมผัสเกี่ยวกวัด ในขณะที่อ้อมกอดโอบรัดอีกฝ่ายให้กายแนบชิด อารมณ์รัญจวนชวนให้มือลูบไล้ไปทั่วสรรพางค์กาย แม้มีเนื้อผ้าขวางกั้นแต่ก็ไม่อาจขวางไออุ่นจากฝ่ามือร้อนของกันและกันได้เลย


เลือดบุรุษหนุ่มนั้นไม่ต่างจากน้ำ เมื่อถูกอารมณ์จุดชนวนมีหรือจะไม่เดือดพล่าน ท้ายที่สุดรติก็ถูกรวบตัวขึ้นอุ้ม


ริมฝีปากผละออกจากกันเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากพอที่จะทำให้รติทักท้วง


“ไหนว่าไม่ทุกวัน” ใบหน้าคนถามแดงระเรื่อ แม้จะเขินแต่ก็หยอกเย้า


ตรัสยิ้มจาง ดวงตามีแววหวานซึ้งรักใคร่ยามมองภรรยา


“เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ต่างหาก”


ไม่น่าเชื่อ ชายผู้ตรงเผง อีกทั้งยังพูดเล่นไม่เป็นกลับโยกโย้ต่อรอง รติหัวเราะเบา แม้จะรู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเหนื่อยอ่อนกับความต้องการของสามี แต่...ก็ไม่ใช่แค่เหนื่อยอย่างเดียวเสียหน่อย เพราะเขาเองก็มีความสุขกับการได้รับกอดจากคนรักเช่นกัน


เสียงหัวเราะของรติเบาลง เมื่อถูกอุ้มพาเดินลึกเข้าไปในส่วนพักผ่อน


แล้วคืนที่แสนเร่าร้อนของสามีภรรยาก็เริ่มต้นอีกครั้ง 



---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------


ก็คือทำข้อตกลงกันว่าไม่ทุกวัน แต่ไม่ได้เริ่มวันนี้ค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 17-04-2020 17:09:51
 :กอด1: รักกัน รักกัน ทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-04-2020 17:58:10
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-04-2020 18:05:27
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Austin ที่ 17-04-2020 18:12:57
วันเว้นวัน ก็ดีนะรติ  :katai2-1: :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 17-04-2020 20:30:22
อุแหม่ บอกรักกันแล้ว

เบามือกับรติหน่อยนาพ่อ

ให้พักบ้าง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-04-2020 21:14:49
ว้าว ว้าว ว้าว ตรัสร้อนแรงมาก..กกกกกก    :hao6:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 17-04-2020 21:53:57
ร้อนแรงมากค้าาาาาาาา  :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: gotcha ที่ 18-04-2020 16:00:28
กลัวแต่ว่า ต่อไปจะเป็นรติเองที่เป็นฝ่ายสะกิดให้ตรัสทำการบ้านทุกคืน 5555555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-04-2020 00:45:05
คุณคนนี้ขยันส่งงานมากค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-04-2020 09:35:11
 :L2: :L1: :pig4:

ดีงามมากกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-04-2020 16:50:23
ฟินนมากกกกกกก วันนี้ที่รอคอยก็มาถึง บอกรักกัน คิคิ :) สนุกมากเลย อ่านรวดเดียว ดีนะที่มาอ่านตอนมันได้หลายตอน แต่ละตอนก็ไม่ยาวมาก อ่านสนุกจนเพลินไง เลยแว่บๆ 55555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งและมาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 39 ข้อตกลง -- (อัพเดต 17/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 19-04-2020 19:42:16
คู่นี้..แซ่บบบบบบบบบบ
หลังจากอึดอัด อัดอั้น มานาน

พอได้ ปี๊ดดดดดดดดด แตกรุย
ฮ่าฮ่า

ชอบมากกกกกกกกก
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี -- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 20-04-2020 16:46:45
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 40

โชคดี

---------


   รติเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์อันดี ยิ่งทำการค้าก็ยิ่งรู้จักผู้คนมากมาย หนึ่งในผู้คนเหล่านั้นก็คือพ่อบ้านประจำสกุลคหบดีที่ ‘คุณหนูหย่าสามีกลับมาบ้านเกิด’


   ใช่...พ่อบ้านผู้นั้นคือพ่อบ้านประจำสกุลของรสนา


   แม้หญิงสาวจะเข้ามาสร้างปัญหาให้กับชีวิตคู่ แต่รติไม่ใช่คนใจคอคับแคบ พ่อบ้านผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ทักทายพูดคุยแจ่มใสอยู่เสมอ หนำซ้ำยังเป็นลูกค้าชั้นดี ซื้อผงสมุนไพรของร้านยาอหัสกรอยู่เป็นประจำ จึงไม่มีความจำเป็นอื่นใดที่จะต้องชังน้ำหน้า


   เมื่อพ่อบ้านแวะมาซื้อผงสมุนไพรด้วยตนเอง รติจึงออกไปต้อนรับอย่างเคย


   “ยินดีต้อนรับขอรับ วันนี้รับผงสมุนไพรอย่างไหนดี”


แผงขายผงสมุนไพรที่ร้านยาอหัสกร แต่เดิมเป็นแผงเล็กๆ อยู่หน้าร้าน แต่เพราะกิจการเป็นไปด้วยดี อีกทั้งรติก็รู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลง จากแผงเล็กๆหน้าร้าน บัดนี้ก็ยังมีขนาดเท่าเดิม แต่ขยับขยายเข้าไปในร้านแทน ตู้กระจกตู้หนึ่งข้างจุดชำระค่ารักษา เรียงรายไปด้วยผงสมุนไพรสรรพคุณต่างๆ ทำเลนี้ รติเป็นคนเสนอ โดยให้เหตุผลว่าในระหว่างที่รอคิดเงิน เผื่อคนไข้จะสอดส่องแล้วซื้อผงสมุนไพรกลับไป


   กลวิธีเช่นนี้ หาได้ยัดเยียดบังคับขาย แต่อำนวยความสะดวกให้แก่คนซื้อ ผงสมุนไพรจึงขายดีต่อเนื่อง


   “ขออย่างเดิม 10 ห่อ”


   รติหยิบห่อสมุนไพรออกมาสิบห่อ แต่ไม่วายหยิบผงสมุนไพรจากด้านหลังมารวมด้วย พลางยิ้มแล้วขยิบตา


   “ข้าแถมผงสมุนไพรสำหรับบำรุงผิวพรรณให้ไปลอง 1 ห่อ สมุนไพรชนิดนี้ ผู้ชายก็ดื่มได้ เพราะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งแตกและไม่คัน กับผงสมุนไพรลดอาการคัดจมูกในช่วงดอกไม้บานอีก 1 ห่อ เพิ่งลองทำขอรับ”


   นี่ก็กลวิธีการขายของรติ รู้จักโฆษณาผงสมุนไพรใหม่ๆ ด้วยการให้เป็นของแถมเพื่อทดลอง


   “ขอบคุณมาก เอ้อ...ท่านพอจะแนะนำสมุนไพรที่เหมาะกับการเดินทางไกลๆได้หรือไม่”


   “เดินทางไกล?”


   “ก็...คุณหนูของข้าจะออกเดินทาง ข้าเป็นห่วง กลัวจะไม่สบายระหว่างทาง หากมีผงสมุนไพรที่ช่วยให้นางไม่เจ็บไม่ป่วย ข้าจะได้สบายใจ”


   “คุณหนูของท่าน...เอ่อ...ชื่อ...รสนา?”


   “ใช่ จู่ๆก็มาบอกว่าจะออกเดินทาง จะไปเที่ยวที่ใดสักที่ ไม่ยอมให้มีผู้ติดตาม คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงก็ไม่อยากคัดค้าน” พ่อบ้านปรับทุกข์ มิได้รับรู้ว่ารสนาเคยสร้างรอยร้าวเอาไว้ที่นี่ แม้รติจะหมั่นไส้นางอยู่บ้าง แต่อย่างไรนางก็เป็นสหายของตรัส


   “จะไปเมื่อไหร่หรือ”


   “อีกสามวันข้างหน้า”


   เวลาน้อยเช่นนั้น คงไม่อาจคิดและทดลองทำผงสมุนไพรใหม่ๆได้ทัน แต่รติมิใช่คนบอกปัดอย่างไร้น้ำใจ จึงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล


   “ผงสมุนไพรที่ข้ามีตอนนี้ต้องชงด้วยน้ำร้อน หากไม่มีคนต้มน้ำร้อนให้นาง ก็เกรงจะไม่สะดวก แต่อย่างไรจะพยายามคิดดูว่าพอจะทำอย่างไรได้บ้าง”


   พ่อบ้านถอนหายใจอีกเฮือก แล้วจึงโบกมือไปมา


   “เอาเถอะ ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังนักหรอก ขอบคุณท่านมากที่รับฟังความเอาแต่ใจของข้า เฮ้อ...คุณหนูของข้าก็ช่างเลือกเสียจริง เลือกแต่เส้นทางลำบาก แต่อย่างไรก็เลือกเองแล้ว ข้าเป็นพ่อบ้านก็ทำได้เพียงเป็นห่วงเท่านั้น”


   
---------

   

รตินั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ตั่งใกล้โต๊ะทำงาน รอบกายมีม้วนเอกสารมากมายเกี่ยวกับสมุนไพรขึ้นชื่อทั้งของเมืองตะวันออกและเมืองอื่น แต่ดูแล้วมิได้สนใจกับสิ่งที่กองอยู่รอบตัวสักนิด


   ตรัสนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังคำนวนรายรับรายจ่าย แต่ก็มิได้สนใจตัวเลขมากไปกว่าภรรยาที่นั่งคิดสะระตะราวตกอยู่ในภวังค์ ส่วนหนึ่งเพราะบัดนี้บัญชีของสกุลอหัสกรไม่มีติดลบอีกแล้ว อีกทั้งยังมีเหลือเก็บจำนวนมาก เขาจึงไม่เคร่งเครียด อีกส่วนก็เพราะ...เขาอยากรู้ว่าภรรยากำลังคิดอะไร


   นั่งมองอยู่นาน รติก็มิได้มีทีท่าจะออกจากภวังค์เลยสักนิด สุดท้าย เป็นฝ่ายสามีที่ทนไม่ไหว ลุกจากโต๊ะเดินเข้าไปนั่งเคียงข้าง เมื่อนั้นรติจึงคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมา


   “ถึงเวลานอนแล้วหรือ?” ดวงหน้าเหรอหรา นอกจากจะเอาแต่จมจ่อมคิดเรื่องใดอยู่บ้างก็ไม่รู้ ยังไม่รู้เวลาด้วย


   “ยังหรอก ข้าเห็นเจ้านั่งเฉย มีเรื่องอะไรให้คิดเยอะนักหรือ”


   “ก...ก็...ข้าคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรให้ผงสมุนไพรชงด้วยน้ำอุณหภูมิปกติได้...”


   รติผู้หัวสร้างสรรค์ ตอนที่ได้ยินพ่อบ้านของรสนากล่าวว่าอยากได้ผงสมุนไพรสำหรับเดินทางไกล เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ผงสมุนไพรที่อหัสกรวางขาย และร้านอื่นวางขาย ยังจำเป็นต้องชงด้วยน้ำร้อน หากเป็นน้ำอุ่นต้องคนนานขึ้นอีกหน่อย หรือหากซื้อเป็นซองเยื่อกระดาษสำหรับจุ่ม ก็จำต้องใช้น้ำร้อนอยู่ดี


   เวลานี้ อากาศยังเย็น การดื่มน้ำร้อนย่อมทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่เมื่อถึงฤดูร้อน คนที่นี่จะยังนิยมดื่มน้ำร้อนอยู่หรือไม่


   “เอ่อ...คนเมืองตะวันออกขี้ร้อนไหม ยามฤดูร้อน อากาศเป็นเช่นไร”


รติเพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองฤดูเท่านั้น ย่อมไม่รู้ทั้งอุณหภูมิ สภาพอากาศและวิถีชีวิต


   “ฤดูร้อน แดดแรง อากาศอบอ้าว สลับกับฝนตกหนัก หากฝนตกก็พอจะเย็นขึ้นมาบ้าง คนที่นี่ชอบอากาศร้อน แต่ฤดูร้อนเราไม่นิยมกินดื่มของร้อน ร้านอาหารในเมืองบางร้านมีวิธีเก็บหิมะในฤดูหนาว เพื่อนำมาทำเป็นขนมหวานเย็นออกขายในฤดูร้อน”


   รติตาเป็นประกาย สนอกสนใจง่ายราวกับเด็กๆ


“ขนมหวานเย็น? เป็นอย่างไร”


“เป็นขนมที่ทำจากหิมะ ใส่ผลไม้หลายชนิด นิยมผลไม้รสเปรี้ยวและหวาน เจ้าน่าจะชอบ ไว้ข้าจะพาไป”


ภรรยายิ้มกว้าง ดวงตาสดใส ดูแล้วเฝ้ารอการมาถึงของฤดูร้อนแล้ว ตรัสเห็นแล้วก็นึกเอ็นดู โอบร่างภรรยาเข้ามาใกล้


“เมืองตะวันออก เรานิยมขนมตามฤดูกาล อย่างฤดูนี้ เรามีขนมทำจากแป้งแล้วปรุงกลิ่นดอกไม้ รสหวานน้อย สมัยก่อนท่านย่าทำบ่อย ทำอร่อยทีเดียว ร่ำๆว่าอยากจะสอนรุจี ไม่รู้นางจะอยากเรียนไหม”


รติมิใช่รุจี แต่พยักหน้าระรัว ตาเป็นประกายวาววับ


“นางอยากแน่นอน!”


ตรัสหัวเราะร่วน หน้าตาสดใส


“เจ้าสิอยาก...อยากกินใช่ไหม”


ดูเหมือนคนถูกหยอกว่าอยากกิน เริ่มรู้ตัว รีบสงวนท่าที แต่สามีภรรยาจะสงวนอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว รอยยิ้มและสายตาของตรัสบอกเช่นนั้น


“ไว้ข้าจะพาไปกิน ในระหว่างนี้ หากรุจีสนใจอยากเรียน ก็ให้ท่านย่าสอนนางทำดีไหม”


รติผู้อยากกินขนมประจำฤดูใบไม้ผลิ แม้จะกลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า แต่ก็ต้องพยักหน้าอย่างมีชั้นเชิง แม้ดวงตาจะเป็นประกายปิดไม่มิด แต่ก็ต้องสำรวมกิริยา กระนั้นตรัสก็ยังเอ็นดูภรรยาสุดหัวใจ ลูบหลังรติอย่างรักใคร่


“คราวหลังอยากได้สิ่งใดก็บอก เราเป็นสามีภรรยา ไม่ใช่เรื่องต้องปิดบัง”


“ก็ข้าไม่รู้นี่นาว่ามีขนมเช่นนั้น”


ตรัสนิ่งไป เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าภรรยาของเขามาจากต่างถิ่น ทุกวันนี้รติเรียนรู้สิ่งต่างๆในเมืองตะวันออกด้วยตนเอง ในขณะที่เขาเป็นสามีแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ให้ข้อมูลเท่าที่ควร


“ข้าพอจะแก้ตัวได้ใช่ไหม”


“แก้ตัว?”


“เจ้ามาจากต่างเมือง ข้าควรจะเป็นหลักให้เจ้า แต่กลับเป็นเจ้าที่ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง”


“ข้าไม่ใช่ภรรยาที่ช่วยตัวเองไม่ได้ อย่ากังวลเลย” ฝ่ามือของรติแนบลงกับแก้มของสามีอย่างแผ่วเบา


“แต่ข้าก็อยากเป็นสามีที่เคียงข้างเจ้า”


“ก็เคียงข้างแล้วนี่”


“แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไร”


   คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อย ไม่แน่ใจนักว่าตรัสจะรู้เรื่องที่สหายแต่เยาว์วัยจะเดินทางไกลหรือไม่ หากเขากล่าวเรื่องของรสนาขึ้นมา ตรัสจะพูดเช่นไร


   “ก็...คิดเรื่องผงสมุนไพรที่จะวางขายฤดูร้อน...”


   ยิ่งฟังยิ่งเอ็นดู ตรัสยิ้มน้อยๆ


   “คิดแต่เรื่องงานจริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน นี่เพิ่งจะฤดูใบไม้ผลิ ยังมีเวลาอีกมากที่จะคิดถึงฤดูร้อน”


   รติเม้มปาก


เรื่องที่ทำให้เขาคิดถึงการคิดค้นสมุนไพรสำหรับชงโดยไม่ต้องใช้น้ำร้อน หาใช่เพียงเพื่อวางขายในฤดูร้อนแต่แรก แต่...คิดเพราะ...มีใครบางคนกำลังจะออกเดินทาง


   “เอ่อ...อันที่จริง ข้า...คิดเผื่อสำหรับผู้เดินทางด้วย หากเดินทาง แล้วต้องหาน้ำร้อนน้ำอุ่นมาชง ก็คงลำบาก”


   รอยยิ้มของตรัสไม่จางลงสักนิด แล้วเอ่ยชม


   “ช่างคิด”


   “ข้า...เอ่อ...ก็ไม่ได้คิดได้แต่แรกหรอก แต่...แต่ได้ยินมา...”


   คนฟังเลิกคิ้ว มองภรรยาที่พูดจาตะกุกตะกัก


   “อ่า...เพื่อนของท่าน...รสนา...นางจะเดินทางไกล...”


   คราวนี้รอยยิ้มจางลงเล็กน้อย ตรัสไม่ตอบอะไร เพียงพยักหน้ารับรู้


   “เอ่อ...ข้าได้ยินว่านางจะเดินทางในอีกสามวันข้างหน้า ท่าน...จะไปส่งนางไหม”


   “เจ้าอยากให้ข้าไปส่งหรือ”


   “นางเป็นเพื่อนของท่าน...เอ่อ...นางอาจจะทำอะไรเกินเลย แต่ข้าเชื่อว่าเนื้อแท้นางไม่ได้มีจิตใจเลวร้าย มิเช่นนั้นท่านคงไม่เป็นเพื่อนกับนางตั้งแต่เด็ก จริงไหม”


   รติดูออก นิสัยไม่ช่างพูดของสามี ย่อมทำให้มีเพื่อนแต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ตรัสเป็นคนมีกฎเกณฑ์ เคร่งครัดและเจ้าระเบียบ คนเช่นนี้ช่างเลือก จะคบหาใครนับถือเป็นเพื่อนย่อมต้องผ่านเกณฑ์บางประการ


   รสนาคงผ่านเกณฑ์บางประการของตรัส นางจึงเป็นสหายที่คบหามาตั้งแต่เด็กเช่นนั้น


   “นางอาจจะผิด ที่ทำให้เรา...ผิดใจกัน แต่...ส่วนหนึ่งก็เพราะเราต่างไม่พูดกันด้วย นางทำให้เราเรียนรู้ข้อผิดพลาด”


   “เจ้าให้อภัยนางอย่างนั้นหรือ”


   รติส่ายหน้าไปมา


   “อภัยหรือไม่อภัย อย่างไรนางก็เป็นเพื่อนท่าน อย่าลำบากใจเพียงเพราะข้ากับนางเคยมีเรื่องมีราวกัน”


   ตรัสมองคนพูดด้วยสายตาลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าผู้เป็นย่ามีเหตุผลอันใดให้เขาแต่งงานกับรติ แต่วันนี้ เขากลับรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่มีภรรยาเป็นรติ


   แม้นิสัยบางอย่างอาจตรงข้าม ทัศนคติบางส่วนไม่ตรงกัน แต่เขากลับรู้สึกว่ารติเป็นความสบายอกสบายใจ เป็นแรงกายแรงใจ เป็นคนที่เมื่อเขาหันกลับมามองข้างกาย รติจะยืนหยัดเคียงข้างเสมอ


   “ข้าโชคดีเหลือเกิน...”


   “หือ?”


   “โชคดีที่ได้เจ้าเป็นภรรยา...” ท้ายประโยคนั้น ปลายนิ้วแตะปลายคางของภรรยาแผ่วเบา ก่อนจะแนบริมฝีปากลงหากลีบปากอย่างนุ่มนวล จุมพิตร้อนบดเบียดเคล้าคลึง สร้างความรัญจวนจนรติต้องขยุ้มอกเสื้อของอีกฝ่าย


   “ตรัส...อ๊ะ!” รติผู้ถูกมัวเมาด้วยสัมผัสร้อนของสามี กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ถูกอุ้มลอยจากตั่งแล้ว


   “คืนนี้เข้านอนเร็วหน่อยได้ไหม”


ดวงตาของคนถามฉ่ำเยิ้ม ราวกับบอกเป็นนัยว่าแม้เข้านอนเร็ว แต่อาจมิได้นอนเร็ว


   “อุ้มข้าขึ้นมาขนาดนี้แล้ว...ยังจะถามอีกหรือ”


   ใบหน้าขาวของผู้นำสกุลอหัสกรที่แสนยิ้มยาก กลับมีรอยยิ้มเจือที่มุมปาก อุ้มภรรยาแล้วก้าวเท้าไวเข้าไปในส่วนพักผ่อน


   ตะเกียงเทียนในห้องพักผ่อนถูกดับลง


   คืนนี้ สองสามีภรรยาเข้านอนแต่หัววัน...


---------


   ยามรสนากลับมาที่เมืองตะวันออก นางมาอย่างเอิกเกริก ยามนี้นางจะออกเดินทางไปท่องเที่ยว นางก็ย่อมไปอย่างเอิกเกริก


   งานเลี้ยงส่งของนางถูกจัดขึ้นที่เรือน แขกเหรื่อชุดเดิมถูกเชิญมา แต่มีแขกบางส่วนที่ไม่ยอมมา


   เช่น...ตรัส  อหัสกร


   หญิงสาวใจหาย แต่กระนั้นก็มิได้แสดงท่าที พ้นงานเลี้ยงส่งแล้ว วันต่อมาเป็นกำหนดเดินทาง


   เกวียนเทียมม้ารออยู่ที่หน้าเรือนแล้ว รสนาบอกลาบิดามารดาและบ่าวไพร่ พ่อบ้านประจำสกุลถึงกับน้ำตาคลอ ฝากฝังนางหลายสิ่ง นางก็เพียงรับคำพร้อมทั้งทิ้งท้ายว่าเที่ยวจนเบื่อแล้วจะกลับมาให้เห็นหน้า


   กล่าวเช่นนั้นแล้วก็หมุนตัวจะขึ้นรถม้า แต่บุรุษที่ยืนอยู่ไม่ไกลกลับทำให้นางนิ่งชะงัก


   ตรัส


   เขาไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่เคียงข้างด้วยภรรยาของเขา สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กระนั้น...เขาก็ยังมา


   หายโกรธนางแล้วหรือ?


   รสนาอยากถาม แต่ปากหนักไม่ถาม ทว่าก็ยืนนิ่งไม่ขึ้นรถม้า เป็นฝ่ายตรัสและรติต้องเดินเข้ามาหา แล้วยื่นห่อผ้าขนาดย่อมให้นาง


   “ขนมจากเรือนอหัสกร ท่านย่าไม่ได้มาส่งด้วยตัวเอง จึงฝากมา”


   “ขอบใจ แล้ว...ของขวัญจากท่านล่ะ” รสนาถามยียวน สายตาก็ยียวน


แต่ตรัสนิ่งเฉยเหมือนที่เขาเป็นมาตลอดชีวิต


   “ไม่มี ข้ามาเพราะรติมา” หนำซ้ำยังปากร้ายขึ้นด้วย คนถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุให้ตรัสมาส่งรสนาถึงกับหน้าตาเหรอหรา


   รสนาเหลือบมองภรรยาของเพื่อนทีหนึ่ง ตั้งใจเพียงแค่จะปรายสายตาอย่างเย่อหยิ่ง แต่กลับเหลือบเห็นร่องรอยบางอย่างที่ต้นคอใต้ปกเสื้อของรติ


   หญิงสาวชะงัก ก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย


   “หากสหายของข้ามีภรรยาเป็นหญิง ข้าจะอวยพรให้มีลูกหัวปีท้ายปี” นางเอ่ย หน้าตายังคงกวนโทโส แต่สิ่งที่กวนโมโหยิ่งกว่าคือเรื่องทายาทที่นางยังคงหยิบยกมาเป็นประเด็น ตรัสจ้องดุ แต่รสนาหาได้ใส่ใจกับสายตาของเพื่อนรัก ยังจับจ้องภรรยาของสหาย


   “แต่ในเมื่อสหายของข้ามีภรรยาเป็นชาย ข้าก็ขออวยพรให้เคียงข้างกันไปจนชั่วชีวิต เป็นคู่ชีวิตของกันและกันตลอดไป” วาจาของนางคราวนี้มิได้ยโสโอหังอีกแล้ว แต่อวยพรจากใจจริง


   หญิงสาวหมุนตัวก้าวเท้าขึ้นเกวียน เมื่อประจำที่แล้ว ปิดประตูลงแล้ว นางก็โผล่หน้าออกมาส่งยิ้มสดใส


   “ตรัส ถ้าเจอกันคราวหน้า ข้าจะไม่หัวเราะเยาะท่านแล้ว”


   รติกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง ในขณะที่ตรัสเองก็ยังคิดตามไม่ทัน แต่รสนาชี้ที่ต้นคอตนเองก่อนจะมองตรงไปยังรติ เพียงเท่านั้น คนถูกมองก็คล้ายจะรู้ตัว รีบดึงสาบเสื้อให้ปิดสูงแทบถึงคาง


   “ไปได้แล้ว” ตรัสหันไปสั่งคนกุมบังเหียน เกรงว่าหากยังปล่อยให้รสนาพูดมาก คราวนี้นางจะมิได้สร้างรอยร้าวในครอบครัวของเขา แต่จะทำให้รติอายจนซุกแผ่นดินหนี


   ม้าเริ่มก้าวเหยาะๆ ในขณะที่เสียงหัวเราะยังดังแว่วมาจากผู้โดยสาร รสนาโผล่หน้าออกมาโบกมือให้ ตรัสทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ รติหน้าแดงก่ำแต่ไม่วายขยับปากส่งคำพูดบางประโยคให้หญิงสาว


   ‘ขอให้โชคดี’


   นางนิ่งไปเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างกลายเป็นรอยยิ้มจางอย่างอบอุ่น


   ...ขอให้โชคดี...


   นางเองก็หวังให้ทุกคนโชคดีเช่นกัน





---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


ตรัสไม่ปล่อยภรรยาห่างมือเลยค่ะ เดี๋ยวคว้า เดี๋ยวอุ้ม ฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้ห้ามปรามนะคะ ไม่รู้ใครเข้าทางใครแบบนี้ ฮ่าฮ่า


ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ


ป.ล. เรื่องนี้ลงทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ตอนเย็นๆค่ะ ถ้าว่างๆ แวะมาเป็นกำลังใจให้สองสามีภรรยาที่เริ่มต้นด้วยการเป็นคนแปลกหน้า แต่ตอนนี้...เป็นสามีภรรยากันแล้วจริงๆค่ะ ฮ่าฮ่า


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 20-04-2020 17:18:10
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-04-2020 18:00:53
 :sad11:

:ซาบซึ้ง คนเรามีข้อดีข้อเสียเนาะ
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-04-2020 18:17:01
ตรัสเปลี๊ยนไป

รติ..ก็ด้วย
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 20-04-2020 22:10:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 20-04-2020 23:12:22
ขอให้โชคดีทุกคนค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 20-04-2020 23:12:31
พอเปิดอกเปิดใจคุยกัน อะไรๆก็ง่ายขึ้น

ยังรอเฉลยโรคของรติว่าเป็นอะไร รึเป็นโรคธรรมมดา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-04-2020 00:44:35
น่ารัก..กกกกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 21-04-2020 09:16:00
น่ารักมากๆเลยค่า :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 21-04-2020 12:03:53
ต่างคนต่างโชคดีที่มาเจอกัน  :katai2-1: รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 40 โชคดี-- (อัพเดต 20/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-04-2020 01:38:52
โชคดีจริงๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส -- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 22-04-2020 16:41:55
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 41

บิดาของตรัส

---------
   

ความสัมพันธ์ของตรัสและรติใกล้ชิดสนิทสนมสมกับเป็นสามีภรรยา แต่ก็ไม่ประเจิดประเจ้อ กระนั้นคนใกล้ชิดก็ดูออกว่าความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันแตกต่างจากวันแรกที่แต่งงานโดยสิ้นเชิง


   นอกจากความประพฤติแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชี้ชัดถึงความสัมพันธ์แสนแนบชิดของพวกเขาก็คือข้าวของต่างๆในเรือนพักผ่อน


   ‘หมู่นี้ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อยเชียวเจ้าค่ะ!’ พุดกรองแอบกระซิบกับท่านอมราในช่วงบ่ายวันหนึ่งที่นางเข้าไปดูแลหญิงชรา


นางเป็นแม่บ้านแห่งเรือนอหัสกร ครั้งหนึ่งเคยกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยา เพราะรู้เห็นตั้งแต่คืนแรกของงานแต่งงานที่ตรัสออกจากเรือนอย่างฉุนเฉียวไปนอนที่ห้องอื่น จนตรัสยอมกลับมานอนในเรือนพักผ่อนแต่แยกกันอยู่กับภรรยา คนหนึ่งนอนบนเตียง อีกคนนอนบนตั่งยาว แต่พักหลังมานี้หมอนและผ้าห่มบนตั่งยาวหายไป บอกให้รู้ว่าตรัสย้ายเข้าไปนอนกับรติบนเตียงแล้ว และมาถึง...ความเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุด…


   ผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนแทบทุกวัน


   ‘ถ้าท่านรติเป็นสตรี อหัสกรคงมีทายาทอีกโข...จะว่าไปก็น่าเสียดายนะเจ้าคะ’ พุดกรองเปรยต่อ หญิงชราเหลือบมอง


   ‘ถึงรติจะเป็นชาย อหัสกรก็มีทายาท’


   ‘เอ๊ะ? หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ‘


ท่านอมราเพียงยิ้มจาง ไม่ขยายความ แต่กลับไปพูดเรื่องเดิม


   ‘แล้ว...รติพูดอะไรกับเจ้าบ้างไหม เวลาเข้าไปช่วยงานในครัวตอนเช้า’


   แม่บ้านแห่งเรือนอหัสกรอมยิ้มกรุ้มกริ่ม


   ‘ไม่ค่อยพูดหรอกเจ้าค่ะ แต่ถ้าข้าบอกว่าอาหารอย่างนี้ ท่านตรัสชอบ ก็จะทำตาโตสนอกสนใจขึ้นมาทันที แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่แค่ท่านรติสนใจนะเจ้าคะ ท่านตรัสเคยมากระซิบถามว่าท่านรติชอบกินอะไรบ้าง ไม่กี่วันก่อนก็มาบอกว่าถ้าร้านในเมืองขายหวานเย็นเมื่อไร ให้มาบอกที’


   ‘ตรัสน่ะหรือ? จะกินหวานเย็น?’ ท่านอมราหันไปถามแม่บ้านที่กำลังช่วยบีบนวดแขนให้นาง


   ‘เจ้าค่ะ! น่าแปลกใช่ไหมเจ้าคะ ท่านตรัสชอบกินขนมหวานเสียที่ไหน พอข้ามองอย่างตกใจ ท่านตรัสก็เลยยอมบอกว่าท่านรติอยากกิน ที่มาถามก็เพราะอยากจะพาท่านรติไปกิน แต่นี่เพิ่งจะฤดูใบไม้ผลิ ร้านในเมืองจะมีหวานเย็นขายก็ช่วงหน้าร้อนนู่น’


   ท่านอมรายิ้มจางพลางส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอ็นดู


   ‘เขาไม่เคยมีภรรยา ไม่เคยมีคนรัก ก็คงจะตื่นเต้น’


   ‘เหมือนท่านอรุณเลยนะเจ้าคะ เห่อคู่รักอย่างนี้เปี๊ยบ’ พุดกรองเอ่ยไปถึงบิดาของตรัสผู้หายสาบสูญ



อมรายิ้มจางพลางพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย


   ตรัสเหมือนบิดาของเขาเหลือเกิน เหมือนแม้กระทั่งวิธีการในการแสดงความรักต่อภรรยาของเขา


ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนั้นระมัดระวังการกระทำ อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่ดูแลกันโดยไม่แตะเนื้อต้องตัว แต่ทุกการกระทำล้วนบอกให้รู้ว่าเขารักภรรยาเพียงใด 


ส่วนการแสดงความรักในที่รโหฐาน เรื่องนี้ย่อมไม่มีใครรู้ แต่จากการสังเกตของพุดกรองแล้ว คาดว่าคงใกล้ชิดกันมากทีเดียว


หรือ...หากต้องการหลักฐาน ก็เห็นจะต้องรอช่วงดึก แล้วลองเดินผ่านเรือนพักผ่อนของสามีภรรยาดู อาจจะได้ยินเสียงพูดคุยแผ่วเบา บางคืนก็เป็นเสียงหัวร่อต่อกระซิก บางคืนก็เป็นเสียงเครือครางผะแผ่ว หรือบางคืนก็มีทั้งสามเสียงต่อเนื่องกันมา


อย่างเช่นคืนนี้...


เริ่มต้นด้วยเสียงหยอกเอิน ตามมาด้วยเสียงครางเครือเพรียกหากันและกัน ลงท้ายด้วยเสียงหอบหายใจ


   ภายหลังเสียงหอบเงียบลงแล้ว รติก็ค่อยถูกประคองเข้าไปเช็ดเนื้อตัวในห้องสุขา คนประคองออกตัวทุกครั้งว่าพร้อมช่วยเหลือ แต่เป็นฝ่ายรติไม่ยินยอม ตรัสจึงได้แต่ปล่อยให้ภรรยาจัดการร่างกายตนเอง ส่วนเขาออกไปจัดการความเรียบร้อยในส่วนพักผ่อน


ตอนที่รติออกจากห้องสุขาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ตรัสก็เปลี่ยนผ้าปูใหม่เรียบร้อยแล้ว


เตียงตอนนี้กับเมื่อครู่นี้แตกต่างกันลิบลับ พาเอารติเม้มปาก


“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อยอย่างนี้ คงมีคนสงสัย...” เขาเอ่ยเสียงเบา ตรัสชะงักไปอึดใจหนึ่ง รู้สึกเก้อเขินไม่ต่างกัน


ต้นเหตุของการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนจะเพราะอะไรเล่า ส่วนใหญ่ก็เพราะความต้องการรักใคร่ที่มีต่อภรรยานั่นเอง


“เอ่อ...เรือนนอนของสามีภรรยา...คงจะ...มีคนเข้าใจ...”


รติไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่พยักหน้าสั้นๆ แต่ยังไม่วายหวั่น


“เมื่อครู่...ข้า...เสียงดังรึเปล่า...”


ตรัสกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าของภรรยาที่ขึ้นสีเรื่อแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่


รติจะรู้ตัวบ้างไหม ว่าคำถามเช่นนี้และท่าทางเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโหดเหี้ยมคิดแต่จะทำให้ภรรยาต้องหนักใจเช่นนี้อีก


...เสียงดังหรือ...


...อยากให้ดังขึ้นอีก...


...อยากให้เรียกหาแต่ชื่อของเขาอีก...


...อยากให้ทุกห้วงลมหายใจของรติมีแต่เขา...


“ท่าน...มองอะไร” รติเห็นอีกฝ่ายจดจ้องเขาไม่วางตา ก็พาลเอาเขินหนักกว่าเดิม


ตรัสยิ้ม หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายชำระร่างกายสะอาดสะอ้านส่วนเขายังสวมชุดเดิมที่หยิบจากพื้นมาใส่ลวกๆ คงได้เข้าไปกอดรัดภรรยาให้สมกับความรู้สึกในอกนี้แล้ว


“ข้าเคยสงสัยท่านพ่อ เหตุใดยามพูดถึงท่านแม่ จึงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกับยามพูดถึงผู้อื่น”


“เวลานี้ข้าหายข้องใจแล้ว ท่านพ่อมีท่านแม่อยู่ในหัวใจ ความรู้สึกจึงแตกต่าง ท่านแม่เป็นผู้เดียวที่อยู่ในใจของท่านพ่อ และข้า...ก็จะเป็นเช่นนั้น”


   ตรัสหันมองภรรยา หมายจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่า เขาก็จะเป็นเฉกเช่นบิดา แต่...กลับพบว่ารตินิ่งงันไปแล้ว


   “รติ?”


   เจ้าของชื่อกะพริบตาปริบๆ ใบหน้ามิได้มีความเขินอายอย่างเมื่อครู่ ทว่ากลับเหมือนเพิ่งพ้นจากภวังค์


   “เจ้าเป็นอะไร”


   “ม...ไม่ได้เป็นอะไร...”


   ท่าทีของรติก็แปลกไป เจ้าตัวหลบเลี่ยงสายตา ทว่าไม่ใช่ท่าทีอย่างเก้อเขิน แต่เป็นการหลบเลี่ยงราวกับซุกซ่อนเรื่องบางอย่างไว้ในใจ


   “รติ...” ตรัสเรียกอีกหน แต่รติก้าวถึงเตียงแล้ว เจ้าตัวไม่ได้หันกลับไปมองคนเรียก แต่พูดเบาๆ


   “ข้า...ง่วงแล้ว...”


   แล้วก็เอนกายลงนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนัง บทสนทนาทั้งหมดจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น


   ตรัสรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายคล้ายจะหลบเข้าไปอยู่ในม่านหมอกที่เขามองไม่เห็น


เวลานี้เองที่เพิ่งรู้สึกตัว แม้จะผูกสัมพันธ์เป็นสามีภรรยา แต่เขากลับไม่คิดว่าตนเองรู้เรื่องของรติเพิ่มขึ้นเลย



---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

รักกันมาหลายตอนแล้ว เข้าโหมดเคลียร์ปมก่อนนะคะ เดี๋ยวเรื่องไม่เดิน ฮ่าฮ่า

ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-04-2020 18:23:09
 :ling1: :ling3:
ลุ้นนนนนน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 22-04-2020 19:34:44
มีอะไรปิดบังอยู่สินะ

เห้อออออ

รติต้องกล้าเปิดอกคุยนาาาา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-04-2020 20:53:49
 :confuse:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-04-2020 21:23:38
ขอเดาว่า..น้องๆของรติอาจเป็นน้องคนละแม่กับตรัส   :m28:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-04-2020 21:57:38
ความจริงหลังความลับเปิดอาจทำให้ใครบางคนเจ็บปวด แต่ว่าอย่างนั้นก็ต้องผ่านมันไป ว่าแต่มันเรื่องมันปมไรว่ะ 55555 สนุกๆ รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-04-2020 22:11:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 23-04-2020 06:35:52
เอาแล้วมีเรื่องอะไรอีกแง :a5: o22 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 23-04-2020 06:55:57
รีบไปเคลียร์กันนะคะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Marine.blackqueen ที่ 23-04-2020 13:02:06
หรือว่ารพีจะเป็นน้องคนละแม่ของตรัส? เพราะดูตรัสจะคุ้นเคยกับรพีตั้งแต่แรกๆเลย

สนุกมากค่ะ ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 41 บิดาของตรัส-- (อัพเดต 22/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 23-04-2020 15:37:03
เห้ยยย คงไม่ใช่ใช่มั้ยยยยยอ๊ากกกกกกกืก่ก่กากาา
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 42 เพื่อนจากส่วนกลาง-- (อัพเดต 24/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 24-04-2020 17:59:49
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 42
เพื่อนจากส่วนกลาง
---------
   

ตรัสใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบและเรียบง่าย กระนั้นเขาก็มีเพื่อนฝูงอยู่บ้าง การที่สายวันหนึ่งจะมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่มาปรากฏตัวที่ร้านยาอหัสกร ออกตัวว่าเป็นเพื่อนของตรัส จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก


ตรัสฝากให้รติดูแลร้านในส่วนขายยา และปิดบริการส่วนที่รักษาโรคเนื่องจากตนเองต้องพาเพื่อนออกไปกินมื้อกลางวัน


   จนกระทั่งบ่าย บ่าวรับใช้ที่เรือนอหัสกรก็วิ่งมาแจ้งว่าตรัสกลับไปที่เรือนแล้ว เนื่องจากสหายผู้นั้นอยากพบกับท่านอมรา หากรติต้องการปิดร้านยาก่อนเวลาก็ได้ แต่รติก็ยังดูแลร้านจนกระทั่งถึงเวลาปิด หลังจากแยกย้ายกับบ่าวร้านยาแล้ว จึงเดินกลับเรือนอหัสกรเพียงลำพัง


   แน่นอนว่ามันออกจะเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ พักหลังมานี้ เส้นทางสายนี้ เคยมีคนเคียงข้าง แต่บัดนี้กลับเดินเพียงลำพัง แต่รติไม่ใช่คนโหยหาแต่เรื่องที่คุ้นชิน แค่เดินกลับเรือนคนเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก


   ทว่า...เมื่อมาถึงเรือนอหัสกร เขาก็ต้องประสบกับความไม่คุ้นชินอีกหนึ่งประการ


   เสียงไม้กระทบกันดังต่อเนื่อง เสียงแหวกอากาศดังขวั่บๆ ชวนให้สงสัย พลอยให้เร่งฝีเท้าตรงดิ่งไปยังต้นเสียง


ตอนที่ก้าวเท้าไปถึงลานหลังบ้าน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือชายหนุ่มสองคนกำลังประลองฝีมือด้วยการหวดไม้ด้ามยาวใส่กันอย่างไม่ออมแรง


และหนึ่งในสอง...คือสามีของเขาเอง!


   ร่างของตรัสถอยกรูด คู่ต่อสู้หวดด้ามไม้ขึ้นเหนือหัวหมายจะฟาดลงมา รติเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ร้องลั่น


   “หยุด!!”


ร่างของรติถลาไปขวางกลาง ดวงตาวาววับเอาเรื่องมองคู่ต่อสู้ของตรัส


   “ท่านไม่เห็นหรือว่าตรัสถอยแล้ว?!!”


แม้ร่างกายจะผ่ายผอมกว่า แต่รติหาได้หวั่นกลัวไม่ ไม้ที่เงื้ออยู่กลางอากาศหยุดแต่เพียงเท่านั้น


   “รติ...” ตรัสแตะไหล่คนรักแผ่วเบา แต่รตินั้นเลือดขึ้นหน้าแล้ว หันกลับมามองสามีด้วยดวงตามีแววดุ


   “ทำไมท่านไม่บอกให้สหายของท่านหยุด!”


   ฝ่ายสามีเงียบไปอึดใจหนึ่ง ไม่คิดว่าจะได้เห็นรติในแง่มุมนี้ แต่เมื่อตั้งสติได้ เขาก็เอ่ยแผ่วราวกับเกรงอกเกรงใจ


   “ไม่เป็นไรหรอก...พวกข้าแค่ซ้อมเท่านั้น”


   “ซ้อมอะไรกัน?! ไม้จริง มีดจริง!”


   “ถึงจะใช้ไม้จริง เมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้ลงแรงมากนัก เพียงแค่ฝึกกระบวนท่า”


เสียงคู่ต่อสู้ของตรัสดังขึ้น รติตวัดสายตาไปมอง แม้จะไม่สนิทสนมกับอีกฝ่าย อีกทั้งยังเพิ่งเคยเจอหน้าเป็นครั้งที่สอง แต่ก็พอรู้ว่าชายผู้นี้เป็นสหายเก่าแก่ของตรัส


   อิษวัต...เคยมาร่วมงานสมรสของเขาและตรัสแล้วครั้งหนึ่ง


   พอนึกถึงฐานะสหายสนิทของตรัส และการออกตัวของตนเอง รติก็ถึงกับเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบที่ฟังดูแล้วยังเจือแววห่วงใยต่อสามีของตน


   “ขอโทษที่ข้าวุ่นวาย ข้าเพียง...เห็นว่าตรัสถอยแล้ว เกรงว่าหากพลาดพลั้ง จะอันตราย”


   อิษวัตและตรัสเงียบกันไปอึดใจหนึ่ง


   “เอ้อ...ถ้าอย่างไร เจ้าอธิบายให้ภรรยาของเจ้าเข้าใจก่อนจะดีกว่า แล้ว...ค่อยคุยกันใหม่” ผู้มาเยือนเอ่ยกับเจ้าของเรือน ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้กับรติ


   “ข้าขอโทษที่ทำให้กังวล แต่สามีของเจ้าเป็นเพื่อนประลองฝีมือของข้ามาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้คิดจะทำให้บาดเจ็บแต่อย่างใด”


   พูดแล้วก็ส่งไม้ด้ามยาวคืนให้แก่ตรัส ก่อนจะขอตัวจากไป เมื่อพ้นหลังเขาแล้ว ภายในเรือนอหัสกรก็กลับมาเงียบสงบอย่างเคย


   รติเหลือบมองสามี แม้จะรู้แก่ใจว่าเมื่อครู่นี้ตนเองเข้าใจผิดจนทำให้ทั้งตรัสและอิษวัตประลองกันเพียงครึ่งๆกลางๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าการที่ตนเข้าขวางมิใช่เรื่องเกินเหตุนัก   


   “ท่านเป็นหมอ วันๆนอกจากตรวจคนไข้ ทำแผล หยิบจับผงสมุนไพรและยารักษาโรคก็ไม่ได้หยิบจับดาบหรือหน้าไม้ เหตุใดไปประลองฝีมือกับเขาอย่างนั้น” รติบ่น มองสามีด้วยความห่วงใย


   ตรัสกะพริบตาปริบๆ ไม่คิดว่าคำถามนี้จะตอบยากเท่านี้เลย แต่พอเห็นสายตาทั้งห่วงทั้งดุของภรรยา ก็พาลเอาพูดไม่ออก



   “ใช้ไม้จริง มีดจริง เกิดพลาดพลั้งไม่แย่หรือ”


   ยิ่งภรรยากล่าวมาเช่นนี้ ตรัสก็ได้แต่น้อมรีบเสียงแผ่ว


   “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้ากับวัต...เราเรียนมาด้วยกัน ประลองกันบ่อย พอจะรู้ทางกันอยู่ อย่างไรก็...จะระวังให้มาก”


คำว่าระวังให้มาก ย่อมหมายความว่าจะยังประลองกันอยู่


แม้จะรู้สึกเป็นห่วง แต่รติก็ไม่ใช่คนอยุติธรรมที่จะนำความเป็นห่วงของตนไปกำกับใคร ตรัสเองก็เป็นผู้ใหญ่ ย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เมื่อออกตัวว่าจะระวังให้มาก เขาก็ไม่อยากห้ามปรามอีก


   แต่...ไม่วายยังเคืองใจ


   “ท่านเป็นหมอ เพื่อนของท่านก็เป็นหมอหรือ ถึงเรียนมาด้วยกัน”


   “มิใช่ ข้าหมายถึงสมัยยังเด็ก เราเรียนโรงเรียนฝึกอาวุธและการต่อสู้มาด้วยกัน”


   เรื่องของสามีที่ตนเองไม่เคยรู้ ทำเอารติถูกชักจูงไปสนใจเรื่องอื่นแทน จ้องมองตรัสตาแป๋วด้วยความอยากรู้


   “หืม? ข้านึกว่าท่านอยากเป็นหมอแต่เด็กเสียอีก”


   ตรัสยิ้มน้อยๆ เห็นท่าทางใคร่รู้ของภรรยาแล้วก็รู้สึกอุ่นในอก “ตอนยังเด็ก ข้าเรียนวิชารักษาโรคจากท่านพ่อ และเรียนวิชาการต่อสู้ที่โรงเรียน”


   “ท่านสนใจศาสตร์การต่อสู้ด้วยหรือ”


   “ข้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของอหัสกร ต้องขึ้นเป็นผู้นำสกุล ควรเรียนรู้ให้หลากหลาย นอกจากวิชารักษาโรคไว้ทำมาหากินและสืบทอดตระกูลแล้ว ก็ต้องดูแลปกป้องคนในสกุลให้ได้”


   รติมองชายตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา การได้สามีเช่นตรัสนั้นถือเป็นเรื่องวิเศษ เขาไม่เพียงเป็นคนที่มุ่งมั่น ตั้งใจจริง ขยันขันแข็ง แต่เขายังมีความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยม


   “แต่พอท่านพ่อหายสาบสูญ ข้าต้องกลับมาดูแลสกุล ก็เลยไม่ได้สอบเข้าโรงเรียนแพทย์ของส่วนกลาง และไม่ได้เรียนวิชาการต่อสู้อีก แต่ข้าก็ยังฝึกอยู่เสมอ”


ฟังมาถึงตรงนี้ รติก็ทำหน้าปั้นยาก


เขาควรตระหนักได้ตั้งแต่แรกว่าตรัสต้องออกกำลังกายเป็นประจำ มิเช่นนั้นจะแข็งแรงถึงขั้นกดเขาจม อุ้มเขาลอย ร่างกายกล้ามเนื้อสมส่วน เช่นนั้นหรือ


ว่าแต่...เราก็อยู่ด้วยกันแทบทุกเวลา แต่ทำไมเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายฝึกฝนร่างกายเลยสักครั้ง


   “ท่านเอาเวลาที่ไหนไปฝึก”


   “อ้อ ก็ตอนเช้าหลังตื่นนอน”


   เป็นอันว่าช่วงที่รติวุ่นอยู่กับการดูแลอาหารเช้าในครัว ตรัสก็ฝึกฝีมือตัวเองให้คงที่


   “มิน่าเล่า...”


   “มิน่าอะไร”


   “ไม่มีอะไร” เรื่องอะไรจะบอกว่า มิน่าล่ะ ตรัสถึงได้แข็งแรงถึงเพียงนั้น


   “รติ...”


เสียงทุ้มเรียก ทำเอาคนที่เผลอคิดถึงความแข็งแรงของสามีหันมอง


ตรัสกำลังจับจ้องเขาอยู่ สายตาคู่นั้น ยามแต่งงานกันช่วงแรก มันทั้งแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันทอดแววหวานจนกลายเป็นรักใคร่


ทว่าเวลานี้...มันกลับเรียบกริบ นิ่งขรึม ราวกับหมอกหนาบดบัง


   “ข้าเล่าเรื่องสมัยเด็กของข้าให้เจ้าฟังแล้ว เจ้า...อยากเล่าเรื่องสมัยเด็กของเจ้าให้ข้าฟังบ้างไหม”


   รติชะงัก ก่อนจะย้อนถามเสียงเบา


   “ท่าน...อยากรู้หรือ...”


   “ใช่”


   “ก็...อย่างที่ท่านเห็น ข้ามาจากสกุลรักษาโรคทางใต้ พอท่านปู่เสีย ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยขายร้านยา ได้เงินมาก้อนหนึ่ง พาน้องๆมาที่นี่เพราะท่านปู่บอกว่าอหัสกรเป็นเพื่อนของท่านปู่ แล้วก็...แต่งงานกับท่านอย่างไรล่ะ”


   ตรัสเงียบไปอึดใจหนึ่ง ดวงตายังจับจ้องภรรยา ทว่าคล้ายหมอกหนาเคลื่อนตัวบดบังความรักลึกซึ้งใดๆในดวงตา


   “แล้วพี่สาวของเจ้าล่ะ”


   รติชะงัก แทบลืมหายใจ


   “...เจ้ามีพี่สาวอีกคนไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงไม่มาด้วยกัน และเหตุใด...เจ้าจึงไม่เคยพูดถึงเลย”

---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ก็จะดราม่านิดนึง แต่นิดเดียว ไม่นานหรอกค่ะ สัญญา ฮ่าฮ่า

ชอบอ่านเวลามีคนเดามากเลยค่ะ ใครเดาอะไรยังไง บอกได้นะคะ

ตอนนี้เดาแบบหนึ่ง ตอนหน้าเดาอีกแบบก็ได้ค่ะ ยินดีมากๆ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 42 เพื่อนจากส่วนกลาง -- (อัพเดต 24/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 24-04-2020 21:11:59
รติ ยังมีพี่สาวอีก อะไร ยังไง  :a5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 42 เพื่อนจากส่วนกลาง -- (อัพเดต 24/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-04-2020 21:23:00
หรือว่าพี่สาวของรติ จะเป็นเจ้าสาวตัวจริงของตรัส
รติก็แค่ตัวแทนมาแก้ขัด แก้หน้าให้ แต่งงานแทน

โอ้ววววว...ม่าย
ม่ายจริงงงงงง
.กาซิกๆ..

+1 ฮับ สนุกจังเลยเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 42 เพื่อนจากส่วนกลาง -- (อัพเดต 24/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-04-2020 08:48:09
พูดแบบนี้ มีดราม่าแน่ๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 42 เพื่อนจากส่วนกลาง -- (อัพเดต 24/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 25-04-2020 10:51:05
ห้ะแล้วทำไมตรัสรู้ว่ามีพี่สาวล่ะ  o22 :really2: จะเป็นยังไงต่อคือเดาไม่ออกเลยค่ะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 42 เพื่อนจากส่วนกลาง -- (อัพเดต 24/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-04-2020 11:02:42
หืมมมพี่สาว?? อัยยะ เอาแล้ว ไหนจะเวลาพูดถึงท่านพ่อตรัสที่หาบสาปสูญก็อ้ำๆอึ้งๆ คิดนะเนี้ย คิดไปไกลเลย 5555555 สนุกกกกก ลุ้นปมกันต่อเลย จะยังไง ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รรรรรรรรร :pig4: :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 43 คำเตือนของสหาย -- (อัพเดต 27/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 27-04-2020 17:29:28
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 43

 คำเตือนของสหาย

---------


   การมาเยือนของอิษวัตไม่เหมือนคราวรสนา


   ตอนรสนา ตรัสมิคาดคิด และไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ


   ตอนอิษวัต แม้ตรัสจะไม่รู้ว่าสหายจากเมืองหลวงจะมาเยือน แต่ก็รู้ต้นสายปลายเหตุ


   ลูกจ้างของร้านเดินออกจากห้องไปแล้ว จึงเหลือเพียงลูกค้าสองคน ผู้หนึ่งคือเจ้าของร้านยาอหัสกร อีกผู้หนี่งคือนายทหารจากส่วนกลาง


   ร้านอาหารกลางเมืองแห่งนี้ เป็นร้านมีชื่อ ลูกค้าหนาแน่น ปกติถ้าไม่จอง ย่อมไม่มีทางได้โต๊ะในมุมที่ดี หรือได้ห้องส่วนตัว แต่คราวนี้โชคดีนัก เพราะได้ห้องส่วนตัวขนาดย่อม


   “ภรรยาของเจ้าว่าอย่างไร” อิษวัตถาม พลางรินเหล้ารสแรงลงจอก


   “ถ้าไม่ต้อนก็ไม่พูด” ตรัสยกจอกกระดกเหล้าเข้าปาก รสร้อนแรงไหลลงคอจนร้อนวาบ แต่หัวใจกลับยังเย็นเยียบ


   เขาไม่เข้าใจเลย ว่าเหตุใดรติถึงปิดบังเรื่องเหล่านี้เอาไว้


...เราเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรือ แรกเริ่มอาจเป็นโดยไม่มีความรู้สึกเกี่ยวข้อง แต่เมื่อเราต่างเปิดใจ เรื่องที่เป็นความลับยังสมควรปกปิดอีกอย่างนั้นหรือ...


   “เมื่อตอนเย็น กินข้าวด้วยกันก็เอาแต่หลบตา”


ท่าทีของรติมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ เมื่อเขาบอกว่าจะออกไปพบเพื่อนเก่าอย่างอิษวัต และจะพาไปกินดื่ม คงกลับดึกและไม่ได้ช่วยทำผงสมุนไพร รติไม่ว่าอะไร หนำซ้ำยังบอกว่าจะค้างกับเพื่อนก็ยังได้


   สามีภรรยาแยกกันนอนเป็นเรื่องใหญ่


   สามีภรรยามีความลับต่อกันก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่


   แต่ภรรยา...ทั้งเสือกไสไล่ส่ง ทั้งปกปิดความลับ


   หรือสามีที่ชื่อตรัสคนนี้ ไม่คู่ควรจะเคียงข้าง ไม่คู่ควรจะรับรู้เรื่องลับในชีวิตของภรรยาเช่นนั้นหรือ


   “เขาคงไม่อยากพูดถึง” อิษวัตเอ่ย ทว่าตรัสกลับแค่นหัวเราะเย้ยหยัน


   “ไม่อยากพูดถึงหรือข้าไม่มีค่าพอจะรับรู้”


   คนฟังเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเพื่อนเก่าผู้เงียบขรึมมีสีหน้ายุ่งยากถึงเพียงนี้


อันที่จริง ตอนที่เขามอบข้อมูลที่ได้มาจากสายสืบทางใต้ให้แก่ตรัส ก็ไม่คิดว่าภายหลังอ่านเนื้อหาทั้งหมดแล้ว สหายสนิทผู้นี้จะมีท่าทีเช่นนั้น


ตรัสเงียบ เคร่งเครียด แล้วหลังจากนั้นก็ชวนเขาประลองที่ลานหลังเรือน


คนเราจะหาเรื่องประลองฝีไม้ลายมือด้วยเหตุผลสักกี่อย่าง หากไม่ใช่ศัตรูเข่นเขี้ยวกันมาแต่ไหนแต่ไร ก็เพราะคนชวนทั้งเครียดทั้งขึงไม่รู้จะหาทางระบายเช่นไร


การประลองเมื่อตอนบ่ายจึงเกิดขึ้น และคงไม่ยุติง่ายๆถ้ารติไม่เข้ามาห้ามไว้เสียก่อน


คนหนึ่ง...เพียงอ่านข้อมูลของภรรยาก็เครียดขมึง


อีกคนหนึ่ง...เพียงเห็นสามีกำลังพลาดพลั้งก็วิ่งเข้าขวางไม่หวั่นเกรงอันตราย


เห็นที...ชีวิตหลังแต่งงานของตรัสและรติคงพัฒนาไปในทิศทางที่ดีมากทีเดียว แต่ในขณะที่ความสัมพันธ์สามีภรรยากำลังไปได้ดี กลับถูกขวางด้วยเรื่องที่ฝ่ายรติเก็บงำเอาไว้เสียนี่


   “ตรัส เจ้าไม่คิดหรือว่าที่เขาไม่บอก อาจจะเพราะเจ้ามีค่ามากเกินกว่าที่เขาจะทำให้เสียใจ”


   เจ้าของร้านยาอหัสกรนิ่งงัน เปิดโอกาสให้เป็นฝ่ายอิษวัตกล่าว


   “ข้อมูลที่ข้าได้มา อย่างมากก็เป็นแค่การรวบรวมจากสิ่งที่คนในเมืองนั้นเห็น แล้วพวกเขาก็จากมาพักใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องที่พวกชาวบ้านจำได้ หรือเรื่องที่พูดถึงจะเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด ข้าเองก็รับประกันไม่ได้” นายทหารหนุ่มจากส่วนกลางเอ่ย


   “...แต่สิ่งที่ข้าเห็นด้วยสองตาของข้า รติไม่ได้คิดร้ายกับอหัสกรแม้แต่นิดเดียว วันแต่งงาน เจ้าอาจไม่รู้ ในขณะที่เจ้าไม่พูดกับใครเลยทั้งงาน ยกเว้นพวกข้า รติคือคนรับหน้าผู้อื่น โต๊ะใดขาดเหลือ เขาเป็นคนสั่งการ ไม่มีสักนิดจะนิ่งดูดาย ในงานวันนั้น หากมองข้ามเรื่องที่พวกเจ้าถูกจับแต่งงานโดยไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันแล้ว รติทำหน้าที่ได้ไม่มีที่ติ”


   “ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ ข้าคิดว่าเจ้าเองก็คงมองเห็นความดีงามของภรรยาของเจ้าจริงไหม ขนาดข้าเพิ่งมาพบเจ้าวันนี้ ยังได้เห็นว่าภรรยาของเจ้าห่วงใยเจ้าเพียงใด”


   “เมื่อตอนที่เราประลองกันที่สวนหลังเรือน ภรรยาของเจ้ามิได้หวั่นเกรงอาวุธใดๆ เห็นเจ้าถูกโจมตีก็วิ่งถลาเข้ามาขวาง หากไม่ใช่เพราะรู้สึกต่อเจ้ามาก ก็ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว”


   ตรัสฟังแล้วได้แต่นิ่งเงียบ


   “ตรัส เรื่องที่เขาปกปิด ทั้งเรื่องพี่สาวของเขา เรื่องระพี รวมถึง...เรื่องพ่อของเจ้า มันไม่ใช่ความผิดของใครเลย”


   “...เรื่องที่เกิดขึ้น มันคือ...โชคชะตา...โชคชะตาที่ทำให้เจ้าได้รู้จักกับรติ”


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


อิษวัตไม่ได้มาไม่ดีนะคะ มาดีค่ะ ฮ่าฮ่า


ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 43 คำเตือนของสหาย -- (อัพเดต 27/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-04-2020 17:49:09
ตรัสไม่ต้องทำเป็นอยากรู้แล้ว วิธีนี้อาจได้รู้ความจริงเร็วกว่า รติแคร์คนอื่นมากแล้วยิ่งสามีอยากรู้เรื่องพี่สาวแต่ก็ไม่ถามตนเซ้าซี้ รติเองละอาจจะรู้สึกผิดในใจ อึดอัดจนต้องเล่าออกมาเอง บุ้ยยยย 555 ขอบคุณที่มาต่อค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 43 คำเตือนของสหาย -- (อัพเดต 27/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-04-2020 17:52:43
 :hao3: :hao3: :hao3:
 :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 43 คำเตือนของสหาย -- (อัพเดต 27/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-04-2020 20:41:55
สิ่งที่รู้อาจจะไม่ใช่ความจริง
ความจริงอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ได้รับรู้

..มีคนเคยกล่าวเอาไว้..
หุหุ

+1 จ้า
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 43 คำเตือนของสหาย -- (อัพเดต 27/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 27-04-2020 21:31:30
 :m28: :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 43 คำเตือนของสหาย -- (อัพเดต 27/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-04-2020 02:14:30
อยากรู้ด้วยยยย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 43 คำเตือนของสหาย -- (อัพเดต 27/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 29-04-2020 09:03:05
เอ....

พี่สาวรติ กับพ่อตรัส มันยังไงละเนี่ยยย
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 29-04-2020 17:42:50
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 44

คำสารภาพ

---------


   นับตั้งแต่ตรัสถามเรื่องพี่สาว ท่าทีของรติก็เปลี่ยนไป หลบเลี่ยง ไม่สบตา ไม่มองหน้า ตอนที่ทำผงสมุนไพรเพื่อขายวันต่อไป ก็ทำเป็นยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าเตาไฟ ดูแล้วไม่เปิดโอกาสให้ตรัสได้ถามถึงเรื่องนั้นอีก


   ‘...เจ้ามีพี่สาวอีกคนไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงไม่มาด้วยกัน และเหตุใด...เจ้าจึงไม่เคยพูดถึงเลย’


   ‘นางเสียไปแล้ว นานมากแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึง’


   นั่นคือคำตอบของรติในวันนั้น แล้วก็ไม่เคยอธิบายสิ่งใดเพิ่มอีก


...เสียชีวิตแล้ว จากไปเมื่อนานมากแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าว...


ก็อาจใช่...แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากพูดถึงอย่างที่รติกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้


   ตรัสถอนหายใจยาว พลางมองกระดาษในมือที่ได้รับจากเพื่อนผู้มาจากส่วนกลาง เขาอ่านมันเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดจะนับ ตั้งแต่ได้รับจากอิษวัต


อ่านครั้งแรกทั้งเครียดทั้งตึงจนต้องชวนเพื่อนประลองฝีมือ


อ่านครั้งที่สองก็ยังทั้งเครียดทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดรติจึงไม่เคยพูดเรื่องเหล่านั้น ยิ่งอ่านซ้ำหลายครั้ง ก็ยิ่งไม่พบเหตุผลใดเลยที่รติต้องโกหกและปิดบัง


   หากไม่ได้ข้อมูลจากอิษวัต ชีวิตนี้ ตรัสก็คงไม่ได้รู้


   ความจริงแล้ว ตรัสไม่ได้เพิ่งมาอยากรู้เรื่องของภรรยาเอาวันนี้ แต่เขาสงสัยในการมาเยือนของสามพี่น้องตั้งแต่วันแต่งงาน อิษวัตเป็นหนึ่งในแขกฝั่งเจ้าบ่าว ไม่เพียงเป็นสหายสนิทที่คุ้นเคยกันแต่เล็ก ยังเป็นนายทหารสังกัดส่วนกลาง มีพวกพ้องอยู่ฝ่ายใต้ที่พอจะไหว้วานได้


   เขาจึงให้ช่วยสืบข่าวสกุล ‘บริบาล’ อันเป็นสกุลของรติ


   เดิมทีเพราะอยากรู้ว่าเหตุใดท่านย่าของเขาจึงต้องการรับสามพี่น้องเข้ามาอยู่ในเรือนอหัสกร แม้ยามนั้น เขาเพียรบอกว่าสถานะการเงินของสกุลไม่สู้ดี ก็ยังบังคับให้เขาแต่งงานกับรติ เพื่อรับทั้งสามเข้ามาอยู่ในเรือนให้จงได้ หากบอกว่าสามพี่น้องเป็นหลานของสหายสนิท เหตุใด เขาจึงไม่รู้ว่าท่านย่ามีสหายสนิทผู้นี้ด้วย


จนเมื่อได้ข้อมูลมา ก็ยิ่งทำให้ตรัสตะลึงงัน


   ข้อมูลของอิษวัต ขัดแย้งกับสิ่งที่รติบอกทุกคนในอหัสกร


   รติ...ไม่ใช่พี่ชายคนโต


   รุจี...ไม่ใช่น้องสาวคนกลาง


   แล้วใหญ่...คือระพี...ไม่ใช่น้องชายคนเล็ก


   สกุลบริบาลของรติเป็นที่รู้จักกันดีในเขตเล็กๆของเมืองทางใต้ เพราะเป็นสำนักยา ปู่ของรติเป็นหมอ บิดาก็เป็นหมอ ส่วนมารดาไม่ปรากฏ บิดาตายจากเมื่อตอนโรคระบาด เหลือเพียงปู่และสามพี่น้องซึ่งประกอบด้วย พี่สาวคนโต น้องชายคนกลาง และน้องสาวคนเล็ก


ไม่ปรากฏระพีในรายชื่อพี่น้อง


ข้อมูลจากอิษวัตระบุว่า คนในเขตนั้นรู้กันว่าระพีเป็นเหลนของปู่ของรติ ไม่ใช่หลาน


   ระพีไม่ใช่ลูกของรติ แต่ระพีเป็นลูกของพี่สาวที่รติไม่เคยพูดถึงเลย


   ...รมณีย์...


   รมณีย์ผู้นี้มีสามีหนึ่งคน แต่หลังให้กำเนิดบุตรชายไม่นาน ก็เสียชีวิตพร้อมสามีด้วยอุบัติเหตุขณะเดินทาง สกุลบริบาลจึงเลี้ยงดูระพีต่อมา เรื่องของระพีซึ่งเป็นหลานของรติและรุจี และเป็นเหลนของปู่ ไม่ใช่ความลับ ผู้คนในเขตนั้นรู้กันทั่ว


   แต่...เมื่อมาถึงที่นี่ รติกลับบอกทุกคนในอหัสกรว่าระพีเป็นน้องชายคนเล็ก


   เพราะอะไร


   ปกปิดทำไม


   “ตรัส...ห้องน้ำว่างแล้ว” เสียงของรติดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังจมอยู่กับการไตร่ตรองต้องเงยหน้ามอง


กระดาษม้วนหนาในมือนั้น ไม่ใช่สิ่งที่รติเคยเห็นมาก่อน แต่มันปรากฏในช่วงที่ตรัสถามถึงเบื้องหลังของรติ


   คนมีเรื่องลับซุกซ่อนรู้สึกหายใจลำบาก รู้ดีว่าตรัสคงระแคะระคายบ้างแล้ว


   อิษวัตเป็นทหาร จู่ๆก็มาที่นี่ หลังจากนั้นตรัสก็ถามถึงเรื่องราวปูมหลังของรติ


   ไม่ต้องเป็นคนฉลาด ก็รู้ว่าอิษวัตมาที่นี่เพื่อนำเรื่องของรติมาบอกกล่าวให้ตรัสรับรู้


   ตรัสรู้เรื่องใดบ้าง รติไม่รู้ แต่...บางเรื่อง รติก็รู้ดีว่าไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว


   ฝ่ายสามียังมองเงียบ มือยังถือเอกสารไม่วาง ราวกับจะบอกว่าเวลานี้เขาเชื่อถือสิ่งที่อยู่ในมือมากเพียงใด และเรื่องที่อยู่ในนั้น ก็คือเรื่องของรติ


   “เรื่องของข้า...ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ...” รติเอ่ย แม้จะรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายคงไม่วางเรื่องของเขาเอาไว้ข้างหลังแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีก


   “เจ้าเป็นภรรยาของข้า เหตุใดจึงคิดว่าเรื่องของเจ้าไม่สำคัญ”


   “มัน...ไม่มีอะไร”


   “ไม่มีอะไรแล้วทำไมเล่าไม่ได้”


   รติสูดลมหายใจลึก เม้มปากแน่น


   “พี่สาวของข้า...เสียไปตั้งนานแล้ว ส่วนระพี...เป็นลูกของนาง ที่ข้าบอกว่าเป็นน้องของข้าแทนที่จะเป็นหลาน ก็...ข้าไม่อยากดูแก่นี่นา” พูดแล้วก็หัวเราะ ทว่าช่างเป็นเสียงหัวเราะแห้งแล้งเมื่อสายตาของตรัสยังคงนิ่งเรียบ ราวกับเรื่องที่รติกล่าว มิใช่เรื่องที่เขาอยากฟังแต่อย่างใด


   เพราะเรื่องที่เขาอยากฟัง ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง


   “พ่อของระพีคือใคร”


   รติกลืนน้ำลายยากขึ้นมาทันที มองเจ้าของคำถามแล้วใจหาย พยายามสำรวจท่าทีของตรัสว่ารู้สึกนึกคิดเช่นไรกับเรื่องนี้ แต่...ตรัสนิ่งสงบ อ่านไม่ออก


   “ท่าน...รู้แล้วหรือ”


   ตรัสลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหาภรรยาอย่างเงียบๆ


   “พี่เขยของเจ้า...พ่อของระพี...ไม่ใช่คนท้องถิ่นทางใต้ เขามีผิวขาว มีอายุ และพูดด้วยสำเนียงที่ไม่ใช่คนใต้...เขาเป็นคนตะวันออก”


   รติหลับตาลง รู้สึกลมหายใจขาดห้วง แม้แต่แรกจะรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ไม่อาจปิดเป็นความลับไปได้ตลอด รู้ดีว่าวันหนึ่งต้องเปิดเผย แต่ในวันที่เริ่มต้นปกปิด เขาไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ก่อนที่ตนจะบอก


   เพราะตอนนั้น...โอหังคิดว่าตนเองคงไม่รู้สึกอะไร เพียงพา ‘มาส่ง’ แล้วรอดูท่าที หากเป็นไปด้วยดีจึงบอกความจริง เฝ้าดูระพีเติบโต หากทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง แล้ว จึงค่อยจากไป


เพราะตอนนั้น...ไม่คิดว่าการอยู่ที่นี่จะมีความสุขจนล้มเลิกการจากลา และ...มีความสุขจนไม่กล้าบอกความจริง


พอตอนนี้...มีความสุขมาก ก็ยิ่งไม่อยากทำลายทุกอย่าง เก็บทั้งหมดเป็นความลับ จนกระทั่ง...วันนี้


วันนี้...สิ่งที่เป็นความลับไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว สิ่งที่เป็นความลับ มาวันนี้มันเปิดเผยออกมาและทำร้ายความศรัทธาที่ตรัสมีต่อบิดาของตนเอง


   “พ่อของระพี...คือพ่อของข้าใช่ไหม”


   คำถามของตรัส เหมือนมีดที่กรีดลงกับหัวใจของคนถามและคนถูกถามไปในคราวเดียวกัน


   มันไม่เพียงกรีดเพื่อควักเอาความจริงออกมาจากใจของรติ แต่ยังควักเอาหัวใจของรติออกมาด้วย


   ไม่มีคำตอบจากภรรยา แต่ก็ราวกับเป็นคำตอบชัดแจ้งแล้ว


   ตรัสถอนหายใจยาว หัวใจอื้ออึงและหนักหน่วงคล้ายคนจมน้ำ กระเสือกกระสน แต่หนีไม่พ้น ร่างดำดิ่ง อึดอัดจนแทบแหลกสลาย แต่...ทรมานยิ่งกว่าเพราะยังหายใจ ยังรับรู้


   โดยเฉพาะเรื่องของบิดา ชายผู้ที่เขาเชื่อมั่นเสมอว่ามีแต่ท่านแม่อยู่เต็มหัวใจ ชายผู้ที่...หายสาบสูญ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร หากโชคดีวันหนึ่งอาจได้พบกัน


   แต่วันนี้...ทราบแล้ว


   ชายผู้นั้นมีชีวิตอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะจากไป แต่ก่อนจากไปได้ทิ้งมรดกชิ้นหนึ่งให้รติพามายังอหัสกร


   ...ระพี...


   ตรัสหลับตาลง แล้วพอหลับตา ภาพที่ปรากฏในหัวก็มีแต่เรื่องราวของตนเองและชายคนนั้น...ชายผู้ที่เขาเรียกว่าท่านพ่อ แต่อึดใจต่อมา ภาพในหัวก็เปลี่ยนเป็นใบหน้ากลมของเด็กชายวัยห้าปีที่รติแนะนำว่าเป็น ‘น้องชาย’


   ทว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่น้องชายของรติ แต่เป็นน้องชายของตรัสต่างหาก


   น้องชายร่วมบิดา แต่...หาใช่มารดาเดียวกัน


   บิดาของเขาไม่ได้มีเพียงมารดาผู้ล่วงลับ แต่ภายหลังหายสาบสูญได้ร่วมหอกับสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือพี่สาวของรติ แล้วให้กำเนิดระพี แต่หลังจากระพีเกิดไม่นาน สองสามีภรรยาตายจาก ทิ้งระพีเอาไว้ให้ญาติพี่น้องฝั่งภรรยาดูแล


   จนกระทั่งผู้ใหญ่คนเดียวในสกุลจากไปอีกคน รติจึงพารุจีและระพีมาที่นี่


   ตรัสรู้สึกเหมือนความศรัทธาที่เคยมีต่อความรักของบิดาถูกทำลาย รู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโง่ไม่เคยสังเกตสักนิดว่าระพีหน้าตาคล้ายคลึงเขาเพียงใด ไม่เคย...สงสัยว่าเพราะอะไรถึงเอ็นดูระพีมากกว่าใคร


   เพราะเป็นน้องร่วมสายเลือดครึ่งหนึ่ง


   แต่แค่ครึ่งเดียว เพราะมารดาของระพีคือสตรีผู้ทำให้ความรักที่บิดามีต่อมารดาของเขาสั่นคลอน


   ทว่า...ก็ไม่ใช่ความผิดของระพีไม่ใช่หรือ


   แล้ว...ความผิดใคร


   ‘...มันคือโชคชะตา’ อิษวัตกล่าวเช่นนั้น ราวกับรู้ว่าสหายอย่างตรัสคงรู้สึกเหมือนสิ่งที่คิดเอาไว้พังทลาย บิดาผู้มีมารดาคนเดียว บิดาผู้รักมารดาจนวันสุดท้ายที่จากไป แต่แล้ว...ก็มีน้องชายต่างมารดาโผล่ขึ้นมา


   ตรัสหมุนตัวหันหลังให้ภรรยา ด้วยไม่รู้จะจัดการความรู้สึกอึดอัดในอกอย่างไร ไม่เพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อน้องชายต่างมารดาที่ตนเอ็นดู ยังมีความรู้สึกที่มีต่อรติซึ่งถือเป็นน้องชายของสตรีผู้เข้ามาปันความรักของบิดาไปจากมารดาของตน แล้วยังมี...เรื่องที่รติปิดบังความจริงเหล่านี้เอาไว้ด้วย


   “ตรัส...” เสียงเรียกดังขึ้นจากเบื้องหลัง ความอึดอัดในใจของตรัสตีรวนจนรู้สึกราวกับอกจะระเบิด


“...ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านรู้สึกไม่ดี แต่...ข้าไม่คิดว่าการมาที่นี่แล้วบอกท่านว่าระพีเป็นน้องต่างมารดาของท่านจะเป็นเรื่องดี...”


   “...ข้าไม่อยากให้ท่านเกลียดระพี อยากให้ท่านเอ็นดูเขา อยากให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่ชายของเขา”


   คราวนี้ตรัสยอมหันกลับมามอง


   “เจ้าก็เลยโกหก?”


   “...ใช่”


   “ถ้าข้าไม่รู้ด้วยตนเอง เจ้าจะบอกข้าเมื่อไรว่าเขาเป็นน้องของข้า”


   รติเงียบ ได้แต่เม้มปาก ไม่กล้าเอ่ยว่าเขาไม่คิดจะบอกความจริงด้วยซ้ำ ทั้งที่เดิมทีมาที่นี่เพื่อให้ระพีได้ใกล้ชิดกับสกุลอหัสกร หากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็มีสกุลนี้ให้พึ่งพาอาศัย แต่เมื่อถึงเวลานี้ที่รติมีความสุขกับการอยู่ที่นี่ ได้อยู่ใกล้ชิดกับตรัส กลับเป็นฝ่ายตนเองที่ลืมความตั้งใจเดิม ไม่กล้าบอกความจริง ได้แต่หลอกลวงผ่านไปวันๆ


   ...เห็นแก่ตัว...


   “ข้าขอโทษ...”


   “เจ้าไม่คิดจะบอกข้า”


   “เดิมทีคิด...แต่...”


   “แต่อะไร”


   “แต่ตอนนี้...ข้ากลัวท่านโกรธ”


   ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่รติเอาใจใส่กับความชอบ ความไม่ชอบ ความพอใจ ความไม่พอใจของสามี จนกลายเป็นระมัดระวังไม่อยากทำให้ขุ่นเคือง แม้กระทั่งเรื่องบอกความจริง


   ใบหน้าของรติเศร้าสลด ความหวาดหวั่นปรากฏชัดจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เห็นเพียงเท่านั้น หัวใจของตรัสก็อ่อนยวบ


   ใจหนอใจ...เป็นถึงผู้นำสกุลแท้ๆ แต่หัวใจกลับไหวเอนต่อภรรยาง่ายดายถึงเพียงนี้


   ตรัสก้าวเข้าไปหาช้าๆ รั้งกายอีกฝ่ายเข้ามาแนบอก รติไม่กล้าแม้แต่จะกอดตอบ แค่อาการเกร็งขึงไม่กล้าแตะต้อง ตรัสก็สะท้อนไปทั้งหัวใจ รติขี้หนาว ก่อนหน้านี้หากเขาโอบกอด อีกฝ่ายก็มักจะซุกเข้าหาเสมอ แต่คราวนี้...ไม่


   “รติ...” แค่เพียงเรียกชื่อ ก็ราวกับความอึดอัดที่เก็บเอาไว้ พังทลาย ร่างที่เกร็งเครียดในอ้อมแขนของตรัสกลายเป็นสั่นสะท้าน ใบหน้าที่ก้มต่ำเงยขึ้น ดวงตากลมชุ่มไปด้วยหยาดน้ำและประกายของความรู้สึกผิด


   “ข้าขอโทษ ตรัส ข้าขอโทษ”


“ร้องไห้ทำไม” แค่เห็นน้ำตา ตรัสก็ยิ่งใจหาย คำถามของเขาแผ่วหวิว


รติเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว รีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ด เขาไม่ใช่คนอ่อนไหว แม้แต่เรื่องหนักหนาเพียงใดเขาก็ไม่เคยร้องไห้ แต่พอเป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อตรัส กลับทำให้ทนไม่ได้


ฝ่ายสามีเห็นคนตรงหน้าก้มหน้าก้มตาเช็ดน้ำตาก็ประคองใบหน้าขึ้นมา ดวงตาของรติยังเอ่อคลอด้วยน้ำตา บอกให้รู้ว่าแม้จะเพียรพยายามเพียงใด กลับไม่อาจหยุดน้ำใสๆเหล่านั้นได้เลย


“ไม่ร้อง” เขาปลอบเสียงเบา ยิ่งทำให้รติรู้สึกกลั้นน้ำตาไม่อยู่เข้าไปอีก


“ขอโทษ...ข้าขอโทษ...”


ไม่รู้ขอโทษเรื่องใด ระหว่างที่ทำให้ตรัสรู้สึกไม่ดี กับเรื่องที่ไม่อาจหยุดน้ำตาได้ แต่ไม่ว่าจะเรื่องใด ตรัสก็ไม่ต้องการเห็นหยาดน้ำเหล่านั้นอีกแล้ว


เขาจับสองมือของภรรยาที่ปาดน้ำตาลวกๆนั่นออก แล้วเป็นฝ่ายก้มหน้าลงหา แนบริมฝีปากลงกับกลีบปากซีดนั่นแทน


   รสจูบของตรัสร้อนผะผ่าว ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนปลอบประโลมการร้องไห้ แต่ก็ไม่ดุเดือดราวกับต้องการลงโทษ ตรงกันข้าม มันกลับหนักแน่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ต้องการประคับประคองหัวใจของภรรยา


ภรรยาที่แม้จะหลอกลวง


ภรรยาที่แม้จะปกปิดเรื่องราวมากมาย


เป็นภรรยาที่ทำเรื่องผิด แต่ตรัสอยากให้อภัย


เพราะภรรยาผู้นี้คือภรรยาที่ตรัสรักสุดหัวใจ


รติรู้สึกเหมือนชั่วขณะหนึ่งแผ่นดินที่เขาเหยียบยืนนั้นพังทลาย แต่ตรัสก็ยังโอบอุ้มเขาเอาไว้ แม้ไม่ใช่การโอบประคองอย่างอ่อนโยน เพราะการกระทำของเขาหาใช่เรื่องถูกต้อง แต่...ตรัสก็ยังกอดเขา


คนเช่นนี้


สามีเช่นนี้


จะไม่ให้รติรักและปรารถนาให้มีแต่ความสุขได้อย่างไร


   จุมพิตยาวนาน ทั้งหนักหน่วงและดื่มด่ำ ชักนำอารมณ์ของสองสามีภรรยาให้เบียดกายเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ต่างฝ่ายต่างเรียกร้องกันและกัน ช่วยกันปลดเปลื้องอาภรณ์จนเหลือแต่เนื้อตัวเปล่าเปลือยให้ได้สัมผัสกันแนบชิด


ตั่งยาวในส่วนทำงานถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับคู่สามีภรรยา ก่อนจะย้ายเข้าไปทำให้เตียงลุกไหม้ด้วยไฟแห่งความโหยหาที่ร้างลาไปนาน


   ค่ำคืนนี้ ในเรือนพักผ่อนของสองสามีภรรยา เสียงครางเครือแตกต่างจากครั้งก่อนๆไปเล็กน้อย


มันฟังแล้วคล้ายเจ็บปวดด้วยความรู้สึกผิด แต่กระนั้นก็ยังพร่ำเรียกชื่อหา แทรกด้วยประโยคขอโทษที่แสนสั่นเครือ แม้ไม่มีคำพูดว่าให้อภัย แต่การกระทำล้วนบอกชัดว่ารู้สึกเช่นไร


อ้อมแขนของตรัสกอดรัดแนบแน่น ริมฝีปากของตรัสวนเวียนจูบซับหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ฝ่ามือลูบหลังลูบไหล่โอบประคองร่างที่สั่นสะท้านให้หายหวาดหวั่น


หากการปกปิดและโกหกคือความผิดที่รติก่อ


หากความเสียใจของรติคือบทลงโทษแล้ว


ตรัสก็ไม่ต้องการเห็นน้ำตาของภรรยาอีก


ชายหนุ่มประคองใบหน้าที่ยังชื้นด้วยหยาดน้ำตา แล้วก้มลงมอบจุมพิตแห่งความรู้สึกอีกครั้ง


ถ้าการให้อภัยจะทำให้เขาได้ภรรยาคนเดิมกลับมา เขาก็ยินดี


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ทำไมแต่ละตอนมันยาวขึ้นๆก็ไม่รู้ค่ะ คอนเซ็ปต์คือตอนสั้นๆคั่นเวลานะคะ ฮ่าฮ่า

มีคนเดาถูกด้วย ขอบคุณที่ร่วมเดาสนุกๆไปด้วยกันค่ะ (ตบมือๆ)

ขอบคุณทุกการอ่านเสมอมาเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-04-2020 18:05:23
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 29-04-2020 18:50:02
อึ้งเรื่องพ่อตรัสเลย แต่ ตรัสให้อภัยรติคือดี

หะนหน้ามาคุยกันนะ ปรับความเข้าใจกัน

ปริ่มมมม
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: gotcha ที่ 29-04-2020 19:13:18
รู้สึกว่ารติปิดปังตรัสอีกหลายเรื่อง เรื่องระพีเป็นน้องชายต่างมารดาของตรัสและเรื่องพ่อของตรัส แค่ออเดิร์ฟ ความลับของรติจะถูกเปิดเผยทีละเรื่อง กลัวหลังๆตรัสจะรับมือไม่ไหวจัง เดาล้วนๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 29-04-2020 20:47:26
อยู่กับความจริงตรงหน้า น่ะดีแล้วตรัส
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-04-2020 22:58:02
ก้าวผ่านไปให้ได้...อยากให้มีความสุขทั้งคู่   :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-04-2020 23:59:26
ดื่มด่ำกับความรักของคนสองคน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 30-04-2020 10:32:10
ยังดีที่คุยกันดูรักกันมากๆเลยค่า เอาใจช่วยทั้งสองคนนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-04-2020 21:17:02
และแล้ว..มันก็เกิดขึ้นจริง ตอนนี้อ่านแล้วเทใจให้ตรัส 98% ไม่รู้จะน้อยใจภรรยาที่ปิดความลับ จะโกรธ ผิดหวัง เสียใจกับท่านพ่อ แทบจะหมดศรัทธาในรัก แล้วยังเกี่ยวข้องกับคนสำคัญอีก เหมือนถูกหักหลังอ่ะ อึดอัดแทบหายใจไม่ออก อารมณ์ตรงนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก ซึ่งคิดว่ามันควรจะรู้สึกแบบนี้ละ แต่กระนั้นตรัสยังเก็บกดความรู้สึกเหล่านั้นไว้เมื่อเห็นภรรยาเสียใจต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต้องปลอบให้ความอบอุ่นอ่อนโยนต่อใจ แคร์เขามากกว่าตัวเอง ก็ดีแล้วที่คุยกันจนเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นนะถ้าเราเป็นตรัสคงต้องขออยู่กับตัวเองซัก2-3วันให้ทำใจสงบค่อยๆคิดว่าอะไรเป็นอะไรค่อยๆให้อภัย มันไม่ง่ายเลยนะ พ่อที่หายสาปสูญตามหามาตลอดแต่ไม่พบ ผู้ซึ่งคิดว่ารักแม่เราคนเดียวมั่นคงในรักจนตายจากไป มีน้องชายมาแบบไม่ตั้งตัว มันประดังประเดเข้ามาเกิน ขอเราไปพักทำใจแทนตรัสเองนะ 55555 ส่วนรติเราก็เข้าใจความรู้สึก เห็นใจทั้งสองฝ่าย เอาเป็นว่าผ่านไปแล้ว มองข้างหน้า สนุกกกกกกมากกกกกกกกก แต่งดีๆ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-05-2020 01:37:53
 :katai2-1: :katai2-1: ปรบมือให้กับสามีที่น่ารักของตน้อง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 44 คำสารภาพ -- (อัพเดต 29/04/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-05-2020 01:53:47
การให้อภัย  :hao5:
แต่แบบว่าง้อร้อนแรงไปหน่อย  :heaven
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 01-05-2020 16:46:08
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 45

มารดาของระพี

---------


   ค่อนคืน ที่พายุแห่งความโหยหาสงบลง


   บนเตียงที่กระจัดกระจายไปด้วยเสื้อผ้าและหมอน ที่มุมหนึ่งคือคู่สามีภรรยาที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน หนุนหมอนใบเดียวกัน มิได้แนบชิดอย่างเร่าร้อน แต่ซุกซบกันพลางพูดคุยกันพลาง


   “พี่สาวของข้า รมณีย์...นางเชี่ยวชาญเรื่องเก็บสมุนไพรมาก เรียกได้ว่าเก่งที่สุดในเมือง”


ในฐานะน้องชาย การเยินยอสรรเสริญพี่สาวนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่ยังนอนอิงแอบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน


   สำหรับตรัสแล้ว ต่อให้รมณีย์จะเก่งกาจเพียงใด แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่ปันความรักของบิดาไปจากมารดา


   “เล่าต่อสิ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเรียบเรื่อย คล้ายรอฟัง หาได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองไม่ รติจึงเล่าต่อ


   “วันหนึ่ง นางขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนเขานอกเมือง แต่พอตกเย็น นางกลับมาพร้อมกับเกวียน นางไม่ได้สมุนไพรอะไรเลย นอกจากชายผู้หนึ่งซึ่งหมดสติ...”


   “พวกเราช่วยกันรักษาจนเขาฟื้น แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้ หน้าตาของเขาไม่ใช่คนทางใต้ ผิวขาว ดวงตาดุ เราเลยตั้งชื่อเขาว่าพฤกษ์ เพราะพี่หญิงเจอเขาในป่า”


   “เขาช่วยงานในร้านยา แม้จะดูมีอายุแต่ก็หัวไวทีเดียว ท่านปู่ยังเคยพูดกับข้าว่าก่อนความจำเสื่อม เขาคงมีความรู้ด้านรักษาโรคดีพอตัว เราพยายามรักษาเขา อย่างน้อยจะได้ส่งเขากลับภูมิลำเนา...แต่...ยังไม่ทันจำอะไรได้ เขากับพี่สาวของข้าก็...”


   “รักกัน...” ตรัสเอ่ย รติเหลือบสายตาขึ้นมอง แต่ท่าทีของสามียังคงนิ่งสงบ เขาจึงพยักหน้ารับแทนคำตอบ เมื่อนั้น ตรัสจึงถามต่อ


   “แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไร”


   “พวกเขาแต่งงานกัน แล้วก็...มีระพี...”


   “ตอนนั้น...เขาจำเรื่องของอหัสกรได้บ้างไหม”


   “เขาจำได้ครั้งแรกตอนที่ระพีเกิด พอเขารู้ว่าเขาได้ลูกชาย เขาก็พูดถึงเมืองตะวันออก พูดถึงท่าน พูดถึงท่านอมรา เขาบอกว่าเขามีลูกชายอีกหนึ่งคน เรียนเก่งแต่อาภัพ เสียมารดาแต่เล็ก ส่วนบิดาเช่นเขา...ก็หายสาบสูญ...”


   “เขาเคยคิดจะกลับมาที่นี่ไหม”


   “เคย...แต่เขามาไม่ถึง...”


การสูญเสียที่เกิดขึ้น ไม่เพียงเกิดกับตรัส แต่พี่สาวของรติก็ถูกพลัดพรากด้วยความตายเช่นกัน


   “ตรัส...ท่านพ่อของท่าน ทันทีที่ความจำกลับมา เขาก็พูดถึงเรื่องของท่านเป็นลำดับแรก เขาอยากให้ระพีได้เจอท่าน อยากให้พี่น้องสนิทสนมรักใคร่ ส่วนมารดาของท่าน เขาเคยให้ข้าช่วยทำพิธีระลึกให้ เขาไม่ได้ลืมพวกท่านเลย ความรักของเขาที่มีให้ท่านและมารดาของท่านไม่ได้ลดลงเลย”


   “แต่เขาแค่รักพี่สาวของเจ้าและระพีเพิ่มขึ้นมาใช่ไหม”


   รติพูดไม่ออก ตรัสหลับตาลงก่อนจะยิ้มจาง


   “เจ้ารู้ไหม ตอนเราแต่งงานกัน ข้าเอ็นดูระพีมาก ข้ารู้สึกว่าข้าคุ้นเคยกับเขา วันนั้นข้าไม่สงสัยสักนิด ว่าเหตุใดเขาจึงไม่เหมือนทั้งเจ้าทั้งรุจี วันนี้ชัดเจนแล้วว่าเพราะเขาเป็นน้องของข้า ที่ข้ารู้สึกว่าคุ้นเคยกับเขา ก็เพราะเขาเหมือนข้า เหมือนเหลือเกิน...”


   “...สองพี่น้องอหัสกรผู้อาภัพ คนพี่ขาดมารดาแต่เล็ก บิดาหายสาบสูญ คนน้องเสียบิดาและมารดาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ สกุลถูกสาปกระมัง” ตรัสเปรย ความรู้สึกในเวลานี้มิได้โกรธเคืองเรื่องใดแล้ว แต่คล้ายทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่น...ทำให้รติชะงัก เงยหน้ามอง


   “ตรัส...ท่าน...พูดว่า...สองพี่น้องอหัสกร?”


   ตรัสก้มลงมองคนในอ้อมกอดแล้วยิ้ม กระชับแขนให้แนบชิดกันมากขึ้น รับรู้ความอบอุ่นอ่อนโยนจากกายของรติ


   “ระพีเป็นน้องของข้า ข้ามิใช่ลูกคนเดียวแล้ว นับจากนี้เป็นสองพี่น้องอหัสกร...ในเมื่อเป็นคนของอหัสกร ก็ควรใช้สกุลอหัสกร ส่วน...รุจี หากนางอยากเปลี่ยนมาใช้สกุลอหัสกร ข้ายินดี ท่านย่าเองก็คงไม่ว่ากระไร เจ้าคิดเห็นอย่างไร”


   “ท่าน...ไม่โกรธแล้วหรือ”


   “ข้าไม่รู้ว่าควรโกรธใคร โกรธท่านพ่อหรือ...ท่านพ่อก็จากไปแล้ว ท่านแม่เองก็ยิ่งโกรธท่านพ่อไม่ได้ เพราะนางจากไปนานแล้ว จะโกรธเจ้าที่ปกปิด วันนี้เจ้าก็ขอโทษและอธิบายทุกอย่างแล้ว จะให้ข้าโกรธระพี...ระพีก็หาได้ทำความผิดแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเล็กเกินกว่าจะรู้เรื่อง แล้วข้าจะโกรธใครได้เล่า”


   ยิ่งไปกว่านั้น หากดันทุรังโกรธแค้นไปทั่ว คนที่เจ็บปวดที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นรติ ทั้งๆที่รติเสียสละถึงเพียงนี้ ทุ่มเทถึงเพียงนี้ ทั้งที่เป็นชายแต่ก็ยอมแต่งงานกับชายด้วยกัน อีกทั้งชายที่แต่งด้วยก็ยังเป็นชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันเช่นตรัส  อหัสกร แล้วตรัส อหัสกรผู้นี้ก็มิได้ผูกสัมพันธ์ด้วยดีตั้งแต่แรก กระนั้น รติก็ยอมทุกอย่าง หาใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อให้พี่น้องได้อยู่ด้วยกัน


   รติเสียสละถึงเพียงนี้แล้ว ตรัสยังจะถือโทษโกรธเคืองต่อไปได้อย่างไร


   “ขอบคุณ” ดูเอาเถิด คนเสียสละเช่นรติ เวลาเช่นนี้เมื่อตรัสไม่โกรธ ก็ยังขอบคุณเสียอีก


   สามีก้มลงมองภรรยาด้วยความรักใคร่ กระชับกอดแนบแน่นอย่างหวงแหน ไม่รู้ด้วยพรหมลิขิตหรือโชคชะตาประการใด ถึงทำให้เขาได้รติมาเป็นคู่ชีวิต


   “ข้าต้องขอบคุณเจ้าต่างหาก เจ้าทำให้ข้าได้รู้ว่าท่านพ่อ...มิได้ถูกปล่อยให้ตายอย่างโดดเดี่ยว ท่านพ่อ...ยังมีชีวิตอยู่อีกพักหนึ่ง และเขา...ยังจำข้าได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต”


   “เขาจำท่านได้ ตอนที่เขาความจำเสื่อม ข้าคิดว่าเขาคิดถึงท่าน เพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคิดถึงใคร ตอนที่ระพีเกิด พอเขารู้ว่าเขาได้ลูกชาย ก็เหมือนเขาจำได้ขึ้นมาทันทีว่าเขามีลูกชายอีกคน เขาร้องไห้ แล้วก็เอาแต่บอกว่าเขาจำได้แล้ว”


รติรู้ว่าตรัสเทิดทูนบิดามากเพียงใด การที่บิดาหายสาบสูญยังไม่สู้การได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ในอีกที่หนึ่งโดยสร้างครอบครัวใหม่ แต่นั่นก็เพราะบิดาของตรัสจำไม่ได้ เมื่อจำได้ ทุกอย่างก็ล่วงเลยมาแล้ว ครั้นจะกลับมาอหัสกรก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิดเพราะมิได้ตัวเปล่า กระนั้น บิดาของตรัสก็ยังคิดถึงบุตรชายผู้นี้อยู่เสมอ


   “ระพีหน้าเหมือนข้า เขาคงจำได้จากระพี” เสียงของตรัสแผ่วเบา แม้สุดท้ายจะยอมรับการมีน้องชาย แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่บิดาจำเขาได้จากระพี


   “จำได้เพราะเห็นระพี แสดงว่าเขาจำหน้าท่านได้ ตรัส”


   ตรัสนิ่งงัน คิดไม่ถึงในเหตุผลข้อนี้ รติประคองใบหน้าของสามี ทอดมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากล้น รอยยิ้มจางที่มอบให้ทั้งปลอบประโลมทั้งอบอุ่น


“ระพีหน้าเหมือนท่าน ทั้งโครงหน้า ทั้งจมูก ทั้งปาก เห็นระพีแล้ว ก็คิดถึงท่าน เช่นนี้จะไม่บอกว่าบิดาของท่านจำหน้าท่านได้หรือ”


ตรัสมองภรรยาด้วยสายตาลึกซึ้ง คำพูดของรติทำให้หัวใจของเขาอิ่มเอิบ


   “ขอบคุณ รติ ขอบคุณที่มาที่นี่ ขอบคุณที่พาระพีมาพบข้า ขอบคุณที่ยอมทำทุกอย่าง ขอบคุณ...ที่อยู่กับข้า”


   รติยิ้มจาง ยืดหน้าขึ้นหาแล้วมอบจุมพิตแผ่วเบาให้สามี ทดแทนคำว่า ‘ยินดี’


   ในค่ำคืนนี้ เมฆหมอกของความไม่เข้าใจจางหาย ความสัมพันธ์สามีภรรยา...กลับมาแน่นแฟ้นอีกครา

---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

ก็คือ...รักกันก่อน คุยกันทีหลังตลอดเลยค่ะตรัส นี่กลยุทธ์อะไรของคู่นี้ก็ไม่รู้ค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณทุกการอ่านเสมอเลยค่ะ

เจอกันวันจันทร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 01-05-2020 17:33:22
ยินดีด้วย กับทั้งคู่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-05-2020 18:09:49
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-05-2020 20:57:09
รติน่ารักมาก..กกกกกกก    :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 01-05-2020 21:17:47
ดีจังง

นอนคุยแบบนี้บ่อยๆ จะได้ปรับความเข้าใจกันเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-05-2020 21:19:33
 :L2: :pig4: :L1:

ดีงาม สมกันอย่างยิ่ง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-05-2020 21:23:15
เคลียร์กันทุกปมครอบครัว เข้าใจกันดีแล้ว ดีต่อใจเรามาก 55 ก็คงเหลือปิดเรื่องของตัวเองอีกละนะ ว่ากันไปๆ ยังไงผ่านจุดปมนี้ไปได้แล้วคงไม่ยากที่จะเคลียร์กันข้างหน้าอีก(มั้ง) สนุกมาก ชอบเลย รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะเกิดไรขึ้นบ้าง รรร  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-05-2020 23:38:40
 :katai2-1: :katai2-1: ข้าใจกันดีแล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-05-2020 15:11:48
พระเอกกับนายเอก
เป็นคู่รักที่รักกันอย่างเข้าใจกันจริงๆ

ยกให้ ตรัสกับรติ
เป็นไอดอลของรักแท้

..เยี่ยมมมมมมมม..
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 45 มารดาของระพี -- (อัพเดต 01/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-05-2020 02:09:38
ดีที่สุดดดด  :katai2-1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ-- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 04-05-2020 15:39:03
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 46

พิธีรับขวัญ

---------
   

เรื่องของระพีไม่ใช่เรื่องเล็ก


   ตรัสและรติบอกความสัมพันธ์ทางสายเลือดของระพีกับสกุลอหัสกรให้ท่านอมราฟังในเช้าวันต่อมา หญิงชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีย่อมสงบเยือกเย็น นางรับฟังอย่างเงียบๆ พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ย


   “ไม่ใช่เรื่องเล็ก”


   รติใจฝ่อ ไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นของเขาที่จงใจปกปิดเรื่องนี้ไว้แต่แรก


   “ต้องทำพิธีรับระพีเข้าสกุลให้สมกับเป็นทายาทของอหัสกร ไหนจะเรื่องทางราชการอีก ตรัสไปจัดการให้น้องของเจ้าด้วย” ทว่าประโยคต่อมาของหญิงชรา ทำเอาคนยึดว่าความผิดทั้งหมดเป็นของตนต้องเงยหน้ามองอย่างตกตะลึง และที่น่าตะลึงยิ่งกว่าก็เห็นจะเป็นสายตาอ่อนโยนของท่านอมรา


   “อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะเรียบร้อย ข้าอยากให้เจ้าทำความเข้าใจกับระพี บัดนี้เขาเป็นทายาทของอหัสกรอีกคน ส่วนรุจี...หากนางยินดีเปลี่ยนมาใช้สกุลอหัสกร ข้าก็ยินดี แต่หากนางไม่เปลี่ยน ก็ขอให้นางรู้เอาไว้ว่านางเป็นคนของอหัสกรเช่นกัน”


   ความเมตตาของหญิงชราทำให้รติรู้สึกท่วมท้น อหัสกรคือที่พึ่งพิงแม้กระทั่งกับคนที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข เขาได้แต่คำนับไม่รู้กี่ครั้งแทนคำขอบคุณที่มีต่อหญิงชราและสกุล


   แม้จะไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น


ระพีเป็นเด็กฉลาดหัวไว เมื่ออธิบายแก่เขาอย่างตรงไปตรงมาว่าบิดาผู้จากไปของเขาคือบิดาของตรัส และตรัสเป็นพี่ชายต่างมารดา เขาก็ยิ้มแย้มยินดี


   “หมายความว่าข้าจะมีพี่ชายเพิ่มอีกคนใช่ไหมขอรับ!”


เด็กน้อยก็คือเด็กน้อย ย่อมไม่มีเรื่องใดให้ต้องคิดมากนัก


   ในขณะที่รุจี เมื่อระพีเปลี่ยนมาใช้สกุลอหัสกร นางย่อมเป็นคนเดียวที่ใช้สกุลอื่น ทั้งท่านอมรา ตรัสและรติกังวลว่านางจะคิดเล็กคิดน้อย แต่เมื่อสอบถามกับนาง เด็กหญิงกลับยิ้มอ่อนโยนแล้วส่ายหน้า


   “หากข้าเปลี่ยนไปใช้สกุลอหัสกรอีกคน สกุลบริบาลของท่านปู่จะไม่เหลือแล้ว ข้าขอใช้สกุลเดิมได้ไหมเจ้าคะ แม้จะใช้สกุลอื่น แต่ข้าสัญญา ข้าจะดูแลทุกข์สุขของอหัสกรดุจสกุลตนเอง”


   เป็นอันว่ารุจีจะขอใช้สกุลเดิมต่อไป


   ภายหลังทำเอกสารราชการเพื่อรับรองการสืบสายทายาทของสกุลอหัสกรใหม่ ท่านอมราให้จัดพิธีรับขวัญเด็กชายระพี


   พิธีทางประเพณีย่อมไม่เหมือนเรื่องราชการ


ในเอกสารจะระบุว่าบิดามารดาเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ แต่ในพิธีรับขวัญ หากบิดามารดาเสียชีวิต ก็ย่อมต้องมีบิดามารดาเลี้ยงเป็นผู้มอบขวัญให้แก่เด็กชายระพี


   แล้วจะให้ใครเป็นบิดามารดาเลี้ยงให้แก่ระพีดีเล่า?


   ท่านอมรามองไปมองมา ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่าตรัสกับรติอีกแล้ว จึงสั่งให้หลานชายหลานสะใภ้รับหน้าที่


   “ต...แต่ข้าเป็นพี่ของระพีนะขอรับ” รติท้วง


   “เจ้าเป็นน้า” หญิงชราแย้ง คนเป็นน้าแต่ออกตัวว่าเป็นพี่ไปเมื่อครู่กะพริบตาปริบๆ รับคำตะกุกตะกัก


   “ข...ขอรับ...”


   “ตรัสเป็นผู้นำสกุล ส่วนเจ้า...แม้เป็นชาย แต่หากนับตามฐานะแล้วก็เป็นภรรยาของตรัส สถานะพวกเจ้าเหมาะสม อายุอานามก็เหมาะสม หรือเจ้าจะให้ข้าเป็นบิดามารดาเลี้ยงของระพี? อายุข้าปูนนี้แล้ว จะอยู่เลี้ยงได้อีกสักกี่ปีเล่า”


   “ต...แต่...” รติไม่รู้จะแย้งอย่างไร เหลือบมองสามีที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ข้างกายก็พบว่าตรัสก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างไม่ทุกข์ร้อน หนำซ้ำยังพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงชราทุกคำ


   “อีกอย่าง ระพีมีสายเลือดของเจ้าครึ่งหนึ่ง มีสายเลือดของตรัสครึ่งหนึ่ง ไม่ให้พวกเจ้าเป็นพ่อเป็นแม่ในพิธีรับขวัญ แล้วจะให้พุดกรองเป็นรึไร”


พูดอีกก็ยิ่งถูกอีก ตรัสพยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่รติแย้งไม่ออก สองย่าหลานเห็นพ้องต้องกัน คนอยากแย้งเลยกลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ


   ท้ายที่สุด ในพิธีรับขวัญระพี ก็มีตรัสและรติเป็นบิดามารดาเลี้ยงทำพิธีมอบขวัญให้เด็กชาย


   พิธีรับขวัญเป็นงานรื่นเริงประเภทหนึ่ง ย่อมมีแขกเหรื่อมาร่วมงาน แม้ไม่คับคั่งเท่างานมงคลสมรส แต่ในเรือนอหัสกรก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่รู้จักมักจี่กับท่านอมราและสกุลอหัสกร


   “ตอนงานแต่ง หน้าอย่างกับถูกบังคับ แล้วดูหมอตรัสในงานนี้สิ หน้าชื่นตาบานรับน้องชายของภรรยามาเป็นทายาทของสกุลด้วยแหน่ะ! สงสัยจะรักกันเสียแล้ว!”


   “ได้ยินว่าเป็นน้องคนละแม่ของหมอตรัสด้วยนะ อ่า...ข้าชักงง”


   “ไม่รู้น้องคนละแม่จริงหรือไม่ อาจจะเป็นน้องภรรยา แต่อยากจะรับเข้าสกุลก็เลยบอกว่าน้องคนละแม่!”


   “แสดงว่ารักภรรยามากเลยสินะ”


   “ไม่รักอย่างไรไหว ข้าได้ยินว่าตอนแรกกิจการร้านยาอหัสกรร่อแร่เต็มทน แต่กลับมารุ่งเรืองได้ก็เพราะผงสมุนไพร แล้วผงนั่นก็ฝีมือภรรยาของหมอตรัสทั้งนั้น!”


   “พูดเป็นเล่นไป! ร้านยาอหัสกรน่ะหรือร่อแร่”


   “ใช่ซี ข้ายังคิดเลยว่าร้านยากิจการไม่ดี ยังจะแต่งงานรับภาระมาเพิ่ม ที่ไหนได้! หลังแต่ง ภรรยาพลิกวิกฤตร้านยาเฉย!”


   “แต่ผงสมุนไพรนั่นก็ดีจริงๆ ตอนแรกข้าก็ไม่คิดจะซื้อ แต่เดินผ่านร้านยาอหัสกรบ่อยๆ เห็นภรรยาหมอตรัสทักทายข้าดี พอมีผงสมุนไพรมาขายราคาไม่แพง ก็เลยช่วยซื้อ ใครจะคิด! ฤดูหนาวที่ผ่านมา ลูกๆข้าไม่ป่วยเลยสักคนเพราะผงสมุนไพรนั่นแล!”


“แล้วดูเถอะ ฤดูเปลี่ยนก็ไม่ทู่ซี้ขายของเดิมๆ รู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ขายสมุนไพรบำรุงผิวพรรณ เมียข้ายังซื้อมาลอง เด้งดึ๋งเชียวล่ะ” แล้ววงสนทนาก็หัวเราะครืนตามประสาผู้ชาย ตบท้ายด้วยใครคนหนึ่งพูดสำทับ


“นับว่าหมอตรัสโชคดีจริงๆ ภรรยาทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ไม่รักไม่หลงก็ตาบอดแล้ว”


   เสียงพูดคุยของบรรดาแขกย่อมดังไปถึงหูเจ้าภาพ บางเรื่องพอได้ยินแล้วควรทำเป็นลมผ่านหู แต่บางเรื่องได้ยินแล้วก็พลอยให้พยักหน้าเห็นด้วยใจเป็นสุข


ตรัสนั้นหน้าชื่นตาบานกว่าเดิมมากนัก ภรรยาเป็นหน้าตาของสามีโดยแท้ แม้รติจะไม่ใช่หญิงสาว ไม่สวยงามผุดผาด แต่ความฉลาดเฉลียว ความสามารถของรติเป็นที่ประจักษ์ ในขณะที่ท่านอมราเองก็ได้ยินคำชื่นชมหลานสะใภ้ นางมิได้มีปฏิกริยาโดยตรง แต่ก็จับสังเกตหลานชายและหลานสะใภ้อย่างเงียบๆ


   ตรัสเปลี่ยนไปจริงอย่างที่ผู้คนพูดกัน จากเจ้าบ่าวหน้าตาหงุดหงิดในวันแต่งงาน จนกระทั่งวันนี้กลับมองภรรยาด้วยความรักใคร่ กับเจ้าสาวผู้แสนร่าเริงยิ้มแย้มหน้าเป็น จนวันนี้เป็นภรรยาที่มองสามีด้วยสายตาเทิดทูนเต็มหัวใจ


   แต่ก็แค่มอง


   หญิงชราเพิ่งตระหนักก็เวลานี้


   ตรัสและรติไม่ค่อยแสดงออกต่อหน้าธารกำนัล ว่าพวกเขารู้สึกต่อกันเช่นไร หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไร


   เรื่องนี้ชักน่าห่วง


   คราวรสนา ทุกอย่างคลี่คลายโดยง่ายเพราะนางมิได้มีใจปรารถนาในตัวตรัสแต่แรก แต่หากเป็นผู้อื่นที่หมายมาดต้องการตรัสหรือรติ หากเป็นใครสักคนที่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาเพื่อแทรกกลางเล่า


   อาศัยว่าทั้งสองไม่แสดงออกต่อกัน อาศัยว่าทั้งสองไม่แสดงความสัมพันธ์ให้เป็นที่ประจักษ์


   ท่านอมรากังวลใจ


   และในฐานะญาติผู้ใหญ่ของอหัสกร จะอยู่เฉยได้อย่างไรกัน!


--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

ตอนหน้า ท่านย่าจะมาสอนรติให้มัดใจหลานชายแกค่ะ (แกไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ใจหลานแกโดนมัดดิ้นไม่หลุดนานแล้วนะคะ ฮ่าฮ่า)

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ เจอกันวันพุธ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 04-05-2020 17:32:46
ท่านย่าจะออกโรงเองแล้วค่ะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-05-2020 21:17:18
รอดูแผนคุณย่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 04-05-2020 22:35:24
ท่านย่าครับ หลานสะใภ้ท่านมัดใจหลานชายท่านอยู่มัดแล้ว

เรื่องบนเตียงก็ดูแลสามีดิบดี มิต้องห่วงแต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 04-05-2020 23:47:25
ท่านย่า5555 :pighaun: :z1: :m25: แค่นี้ก็เลือดพุ่งแล้วค่าจะไม่ได้ได้นอนกันแล้ว :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 05-05-2020 00:21:20
 :pig4: :pig4: รอคอยท่านย่ามาจัดการ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 05-05-2020 00:29:05
ท่านย่าาา

ถึงไม่เห็น แต่ไม่ใช่ไม่มีนะเจ้าคะ

เขาแสดงตอนกันอยู่ 2 คนนน

 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-05-2020 00:42:05
เอาแล้วท่านย่า จะให้เขาแสดงความรักต่อหน้าธารกำยัลยังไงดีนะ จูบโชว์เลยเป็นไง 55555555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-05-2020 13:04:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-05-2020 01:31:57
ชาวบ้านนี่เม้าท์จริงๆ555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-05-2020 02:30:58
ท่านย่า 55555555555555  o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 46 พิธีรับขวัญ -- (อัพเดต 04/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 06-05-2020 11:51:48
สนุกมว๊ากกกกก      :give2:


แต่ยังติดใจอาการป่วยแล้วตาบอดชั่วขณะของรติ มันคืออะไรยังไง!?    :m28:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 06-05-2020 15:23:10
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 47

คำแนะนำของท่านอมรา

--------


   สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ค่อยแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่คนใกล้ชิดดูออกว่ายามใดทะเลาะเบาะแว้ง ยามใดรักใคร่กลมเกลียว 


ยามใดรติไม่สดใสร่าเริง หลบเลี่ยงไม่มองหน้าหรือสบตาตรัส หรือยามใดตรัสนิ่งเฉยไม่พูดไม่จา นั่นก็เพราะพวกเขาทะเลาะกัน ยามใดรติกลับมาร่าเริงอย่างเก่า ตรัสพูดคุยยิ้มแย้ม นั่นก็เพราะความสัมพันธ์กลับมารักใคร่ตามเดิม


สามีภรรยาเหมือนลิ้นกับฟัน ตรัสและรติก็เช่นกัน มีทะเลาะเบาะแว้ง มีรักใคร่กลมเกลียว ความสัมพันธ์สลับสับเปลี่ยนไปตามเวลา


   อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวว่าตรัสและรติไม่ใช่คู่สามีภรรยาที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ท่านอมราก็ชักเป็นกังวล


   ในฐานะคนอาบน้ำร้อนมาก่อน การไม่เห็นฝ่ายสามีแสดงออก เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แม้ว่ารติจะไม่แสดงท่าทีว่าต้องการแต่อย่างใดก็ตาม หรือการไม่เห็นฝ่ายภรรยาเอาอกเอาใจปรนนิบัติสามีต่อหน้าธารกำนัล ก็เป็นเรื่องน่าห่วง แม้ว่าฝ่ายสามีจะไม่มีท่าทีว่าต้องการเรื่องเหล่านั้นเช่นกัน


   พักนี้ รติทำผงสมุนไพรเพียงลำพัง หาใช่เพราะหมางเมินกัน แต่เพราะกรรมวิธีไม่ยุ่งยาก รติจึงเสนอให้สามีทำบัญชีรับจ่าย ศึกษาโรคภัยใหม่ๆ หรืองานใดๆที่ต้องทำ แล้วค่อยเข้านอนพร้อมกันโดยไม่ต้องตื่นกลางดึกมาทำเพียงลำพังอีก


   แน่นอนว่าตรัสย่อมยินดี การได้นอนกอดภรรยาจนถึงเช้าเป็นช่วงเวลาที่เขาชื่นชอบ ใครเล่าจะอยากผละห่างร่างอุ่นๆของคนรัก


   มีบ้าง เมื่อตรัสจัดการธุระใดๆเรียบร้อยแล้ว แวะมาช่วยรติเป็นครั้งคราว แต่โดยรวม เป็นอันว่าช่วงกลางคืน รติและตรัสแยกกันทำงานเป็นส่วนใหญ่ อมราเห็นว่าสบโอกาส จึงเข้ามาหาทางพูดคุยด้วย


   “รติ...” เสียงเรียกดังขึ้นเบื้องหลัง ทำเอาคนกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมผงสมุนไพรในโรงครัวต้องหันมอง


   “ท่านอมรา ต้องการอะไรหรือขอรับ” รติรีบวางมือเข้ามาหาหญิงชรา เห็นท่าทางกระตือรือร้นพร้อมจะช่วยเหลือนางแล้ว อมราก็ยิ่งเอ็นดู รติถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เขาดูไม่จริงจังแต่กลับเป็นคนเสียสละ เขาดูรักสนุกแต่กลับเอางานเอาการ ภาพลักษณ์ภายนอกของเขาสดใสร่าเริง แต่ภายในกลับแบกรับความคาดหวังและความลับมากมาย


   “แค่อยากสนทนากับเจ้าบ้าง ในบรรดาคนในเรือนนี้ก็เห็นจะมีแต่เจ้า ที่ข้าไม่ค่อยได้พูดคุยด้วยนัก”


   รติกะพริบตาปริบๆงุนงงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแผล่


   “ขออภัยขอรับ ข้า...ไม่ค่อยมีเวลาดูแลท่านสินะขอรับ”


   “ไม่ต้องดูแลข้าหรอก รุจีดูแลข้าอย่างดีแล้ว นางช่างเอาใจใส่ ละเอียดรอบคอบ ส่วนระพีก็เรียบร้อยมีมารยาทใฝ่รู้ใฝ่เรียน เจ้าเลี้ยงน้องได้ดี”


   “หาใช่ความดีของข้าขอรับ ทั้งรุจีและระพีต่างดีด้วยเนื้อแท้ของพวกเขา”


   “เอาเถอะ ไม่เถียงกับเจ้าหรอก” ท่านอมราพูดพลางโบกมือไปมาแล้วยิ้ม หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง รติจึงชงน้ำสมุนไพรร้อนๆมาให้นางดื่มในระหว่างที่เขาก็ยังเตรียมผงสมุนไพรสำหรับขายไปด้วย


   “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่แต่งงานเข้ามาอยู่ที่นี่”


   “ดีขอรับ ดีทุกอย่าง” ปากว่าดี แต่มือมิได้หยุดทำงาน ท่านอมราเห็นแล้วก็นึกเอ็นดู


ผู้คนทั้งหลายต่างรักสบาย ใครเลยจะอยากลำบาก รติก็คงเป็นเช่นนั้น แต่ในเมื่อยังสบายไม่ได้ ก็มิได้กระฟัดกระเฟียดโทษชะตาฟ้าดิน กลับมุมานะ ขยันขันแข็ง คนอื่นพากันชื่นชมที่นางช่างหาสะใภ้เข้าอหัสกรได้เก่งกาจ แต่ใครเลยจะรู้ว่าหญิงชรานอนไม่หลับอยู่พักใหญ่เพราะไม่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่นางดื้อดึงพาเข้าเรือน เนื้อแท้เป็นเช่นไร


   นางวางเดิมพันครั้งใหญ่ ความเสี่ยงครั้งนี้สูงลิบลิ่ว และผลที่ได้ยิ่งกว่านอนตายตาหลับ


   “ตรัสดูแลเจ้าอย่างดีไหม”


   “ดีขอรับ”


   “รักเจ้า ใส่ใจเจ้าไหม”


 คำถามชักตอบยาก รติเริ่มตะกุกตะกัก


   “ข...ขอรับ”


   “เขาไม่ค่อยแสดงออก ข้าก็เกรงว่าเจ้าจะไม่สบายใจ”


   “ม...ไม่จำเป็นเลยขอรับ”


   “ทำไมถึงคิดว่าไม่จำเป็นเล่า ชีวิตคู่ การแสดงออกเป็นสิ่งสำคัญ”


รติพูดไม่ออก ไม่กล้าบอกว่าตรัสแสดงออกเสมอยามอยู่กับเขาสองต่อสองในที่รโหฐาน


   “รติ เจ้าเป็นภรรยา ต้องรู้จักออดอ้อนเอาใจ รู้จักแสดงเนื้อตัวให้คนรอบข้างเห็นว่าตรัสเป็นสามีของเจ้า จริตมารยาเป็นเรื่องสำคัญ จำเรื่องตอนรสนากลับมาได้หรือไม่ นั่นเพราะนางไม่เอาจริง จึงล่าถอยไปโดยง่าย แต่ลองคิดว่าเป็นผู้อื่นที่หมายมั่นจะยึดเอาตรัสไปจากเจ้าเล่า? ตรัสรักเดียวใจเดียวมั่นคงก็จริง แต่ใจคนเราเป็นเลือดเป็นเนื้อ บอกไม่ได้ว่าวันใดจะเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เจ้าต้องรู้จักประคบประหงม รู้จักทำให้เขารักหลงอย่าได้หน่าย อย่าประมาทเชียว”


   “อ่า...ต้องถึงเพียงนั้นเลยหรือขอรับ”


   “เจ้าเป็นชาย คงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร” อมราเปรย มองหลานสะใภ้แล้วก็ถอนหายใจ รตินั้นเหมือนจะมีเหลี่ยมมีมุม หากแต่แท้จริงแล้วใสซื่อ เรื่องรักใคร่ยิ่งแล้วใหญ่ บริสุทธิ์ผุดผ่องรู้จักแต่คำว่าเสียสละ


   “ยามเดินในเมือง ก็ต้องรู้จักออเซาะให้เขาช่วยจับจูง ยามรับประทานอาหารก็ต้องรู้จักป้อนข้าวป้อนน้ำ ชะม้อยชายตาให้เขาด้วย เวลาแนะนำตัวกับใคร ก็จงพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นภรรยาของตรัส อย่าได้กระมิดกระเมี้ยน”


   “เอ่อ...” รติทำหน้าไม่ถูก


   ยามเดินในเมือง แม้จะเคียงข้าง แต่ไม่เคยจับมือ ยกเว้นถนนลื่น หิมะละลายอย่างคราวก่อน


ยามรับประทานอาหาร ไม่เคยป้อนข้าวป้อนน้ำ เพียงแต่รู้ว่าอะไรคือของโปรด อะไรคือของไม่โปรด หลีกเลี่ยงสั่งหรือเตรียมอาหารไม่โปรด และสรรหาของโปรดของดีมาขึ้นโต๊ะ


ยามแนะนำตัวกับใคร รติไม่เคยพูดเสียที เพราะใครๆก็ล้วนรู้กันอยู่แล้วว่าเขาเป็นภรรยาของตรัส


   “คงไม่เคยทำเลยล่ะซี” อมราหนักใจนัก ยิ่งเห็นสีหน้ากระอั่กกระอวลแล้วก็ทั้งเวทนาปนเอ็นดู


   “แล้วเวลาอยู่กันสองต่อสองน่ะ เจ้าเคยใกล้ชิดตรัสบ้างไหม”


   “ก...ใกล้ชิด?!” รติย้อนถามตาเหลือก หน้าแดงก่ำ เห็นท่าทีตกตะลึงอีกทั้งยังหน้าแดงหูแดงเช่นนั้น ท่านอมราก็ถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้า


   “รติเอ๋ยรติ...เจ้าเป็นชายแท้ๆ กลับละเลยเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”


   “เจ้าก็รู้ว่าผู้ชายน่ะ เรื่องใกล้ชิดเป็นเรื่องสำคัญ ต้องรู้จักแตะต้องถึงเนื้อถึงตัวให้เขารู้สึกว่าเราใกล้ชิดเป็นคู่ผัวตัวเมีย แล้วไม่ใช่แตะอย่างที่จับโต๊ะจับเก้าอี้ เอ้า! วางมือจากผงสมุนไพรนั่นเสีย แล้วไหนลองจับมือตัวเอง”


   “จ...จับมือตัวเองหรือขอรับ?” รติงงเป็นไก่ตาแตก หญิงชราถอนหายใจอีกครั้งอย่างขัดใจ ดึงมือสองข้างของอีกฝ่ายมาใกล้ แล้วบังคับให้มือหนึ่งวางทับอีกมือหนึ่ง


   “เช่นนี้รู้สึกอย่างไร”


   “อ...เอ่อ...ร...รู้สึก...เอ่อ...อุ่นขอรับ...” รติไม่รู้ว่าต้องรู้สึกเช่นไร มือหนึ่งวางทับอีกมือหนึ่งก็...อุ่น


   ท่านอมราพลิกมือที่อยู่ด้านล่างให้หงายฝ่ามือขึ้น จากนั้นจับอีกมือวางทับลงไป


   “แล้วอย่างนี้ล่ะ”


   “ก...ก็...อุ่น...”


   “ไหนลองเขี่ยฝ่ามือเจ้าเองดูซิ”


   รติตาเหลือกโต แต่หญิงชราจ้องให้ทำตาม เขาก็จำต้องทำตาม ใช้ปลายนิ้วเขี่ยฝ่ามือตนเอง


   “ม...มันจั๊กกะจี้นิดๆขอรับ”


   “ใช่! นี่ล่ะ มันไม่เหมือนกัน ถ้าเจ้าอยากให้เขารู้สึกอบอุ่น ก็จับมือเขาทั้งมือ แต่หากเจ้าอยากให้เขารู้สึกวูบวาบ ก็ต้องค่อยๆลูบ ค่อยๆแตะ ฝ่ามือเอย ท้องแขนเอย ต้นขาเอย ผิวใต้ร่มผ้าส่วนใหญ่มิได้ถูกผู้อื่นแตะต้องโดยง่าย เจ้าเป็นภรรยา ย่อมมีอภิสิทธิ์ในพื้นที่ที่ผู้อื่นมิอาจมีสิทธิ์” หญิงชราสอนสั่ง แต่รติดูจะตะลึงค้างไปแล้ว นางไม่ทันถามว่าเขาเข้าใจดีหรือไม่  ตรัสก็โผล่หน้าเข้ามาในโรงครัวเสียก่อน


   “อ้าว ท่านย่า ยังไม่พักผ่อนหรือขอรับ”


   “นอนไม่หลับ ก็เลยแวะมาพูดคุยกับรติ”


   หญิงชรากล่าวเช่นนั้น หลานชายจึงหันไปทางภรรยาของตนด้วยความสงสัยว่าพูดคุยกันเรื่องใด แต่รติไม่กล้าเอ่ย


   จะให้เอ่ยได้อย่างไรว่าอมราสั่งสอนเรื่องใดแก่เขาบ้าง ล้วนกระดากใจทั้งสิ้น


   “เจ้ามาตามรติกลับไปพักหรือ ข้าก็จะกลับไปพักแล้วเช่นกัน”


เห็นสองสามีภรรยามองตา หญิงชราก็หมายเปิดทาง


   “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งท่านย่านะขอรับ แล้วจะกลับมารับรติ”


   นางโบกมือไปมา แล้วลุกขึ้น


“ไม่ต้อง ข้ามาเองก็กลับเองได้ เจ้าพารติไปพักผ่อนได้แล้ว...อ้อ...รติมีเรื่องจะคุยกับเจ้าแหน่ะ” ท่านอมรากล่าว ก่อนจะออกจากโรงครัวไป นางเปิดทางสะดวกให้รติใช้วิชาที่นางสอนสั่งแล้ว ตรัสมิได้รู้เรื่อง จึงหันมาถามดว้ยความสงสัย


“คุยเรื่องอะไรหรือ” ถามพลาง มือช่วยเก็บข้าวของพลาง แต่มือไม้ของรติเก้งก้าง รู้สึกประหม่าครามครัน


“อ...เอ่อ...เอ่อ...คุย...คุยเรื่อง...เรื่องซ่อมเรือน...คือ...คือข้าเห็นรั้วผุ...”   


   “รั้วผุ?”


   “ช...ใช่...ผุ...พ...พรุ่งนี้...พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปดูแล้วกันนะ” รติพูดแล้วก็รีบยัดทุกอย่างลงกล่อง เก็บเข้าที่ สำรวจฟืนไฟว่าดับดีแล้ว สองสามีภรรยาก็พากันเดินกลับเรือนพักผ่อน


แล้วคืนนั้น...ทุกอย่างก็เงียบสนิท


   หญิงชราโผล่หน้าจากห้องของตนออกมาสอดส่อง แล้วก็ถอนหายใจแรงๆทีหนึ่ง


   นางสอน นางแนะ นางสั่งการบ้าน แต่นักเรียนที่ชื่อรติ ไม่ทำการบ้านไม่พอ ยังไม่ทบทวนบทเรียนด้วย น่าตีนักเชียว!


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ท่านย่าต้องให้เวลานักเรียนหน่อย นักเรียนตามบทเรียนไม่ทัน สอนปุ๊บจะให้ทำปั๊บ มันก็จะหัวไวไปหน่อย

แต่วันศุกร์นี้ล่ะค่ะ วันศุกร์นี้...มีคนเสียอาการจริงๆ แต่ไม่รู้คนไหนนะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-05-2020 18:12:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 06-05-2020 20:21:40
อิอิอิ 
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 06-05-2020 21:34:04
นักเรียนเขินไงค่าาาา

แต่คนอ่านอยากนักเรียนลองทำบ้างนะ 555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 06-05-2020 22:46:46
 :katai1: ขัดใจรติ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: PoyPay ที่ 06-05-2020 23:13:47
นักเรียนอาจจะคิดว่า...
ถ้าทำตามคงไม่ได้ลุกออกจากเตียงแน่ๆ... คุคุ...
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-05-2020 23:35:05
น่ารัก..กกกกกก   :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-05-2020 00:21:53
ท่านย่าจัดการเองเลย 555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 07-05-2020 17:27:09
รอแปป ทำใจก่อนแล้วค่อยหัด(ยั่ว)  ตรัสจะเป็นยังไงนะเจอรติเวอร์ชั่นนี้เข้าไป 55555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 07-05-2020 21:19:24
ค่อยเป็นค่อยไปนะรติ ค่อยค่อยทำอย่างที่ท่านย่าสอนล่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 07-05-2020 22:29:34
อย่างงี้ต้องตีแล้วค่ะคุณย่านักเรียนไม่เชื่อฟัง5555 ถ้ารติทำจริงตรัสคงปิดร้านยาวๆ :-[ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 47 คำแนะนำของท่านอมรา -- (อัพเดต 06/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-05-2020 01:42:12
นักเรียนขี้เขิน  :mew3:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 48 ทดลอง -- (อัพเดต 08/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 08-05-2020 17:26:53
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 48

ทดลอง

---------


วาจาผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน จะไม่ทำตามก็ได้ หากเห็นว่าบริบทเปลี่ยนแปลง แต่รติมิใช่คนนิ่งเฉยต่อคำแนะนำของผู้อื่น โดนเฉพาะผู้อื่นอย่างท่านอมราที่มิได้มุ่งร้าย อีกทั้งคำพูดของนางก็ล้วนไม่มีเรื่องใดเกินจริง


‘…ใจคนเราเป็นเลือดเป็นเนื้อ บอกไม่ได้ว่าวันใดจะเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เจ้าต้องรู้จักประคบประหงม รู้จักทำให้เขารักหลงอย่าได้หน่าย อย่าประมาทเชียว’


ลงท้ายว่าอย่าประมาทเช่นนี้ รติก็ชักรู้สึกว่าหากจะลองทำในสิ่งที่ท่านอมราแนะนำก็คงไม่เสียหาย


‘ยามเดินในเมือง ก็ต้องรู้จักออเซาะให้เขาช่วยจับจูง...’


ตรัสและรติต้องเดินด้วยกันทั้งเช้า กลางวันและเย็น เส้นทางประจำของพวกเขาคือเรือนอหัสกรสู่ร้านยาอหัสกรที่อยู่ใกล้น้ำพุใจกลางเมือง และจากร้านยาอหัสกรกลับมาที่เรือน



โอกาสจะทำตามคำแนะนำของหญิงชรานั้นมีมากทีเดียว ผิดก็แต่...จะเริ่มเช่นไร


ถนนไม่กว้างไม่แคบ ริมถนนเป็นทางเดินเท้า กลางถนนเป็นทางสัญจรของรถม้า เกวียน รถเข็นรถลาก ตอนเช้าผู้คนไม่พลุ่กพล่านนัก ก็พอจะเดินเคียงโดยไม่เกะกะ


แต่เดินเคียง...หาใช่เดินออเซาะ


แล้วออเซาะทำเช่นไร? ตรัสจึงจะจับจูง



แล้วตรัสจะจับจูงทำไมในเมื่อเส้นทางสายนี้พวกเขาก็เดินด้วยกันทุกวัน


“รติ... นั่นเจ้าจะไปไหน” เสียงเรียกดังปลุกสติ ทำเอารติกะพริบตาปริบๆ รู้ตัวก็ตอนที่ตนเองกำลังจะเดินไปทางหนึ่ง ในขณะที่ตรัสยืนอยู่อีกทางหนึ่ง


มัวแต่คิดจนเดินไม่รู้สติ ผิดทางเสียแล้ว ฝ่ายภรรยาทำหน้างงงัน ตรัสจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา


“เจ้าไม่สบายหรือ วันนี้ดูใจลอยพิกล”


“ป...เปล่า ข้า...มัวแต่คิด...”


“คิดว่าจะขายผงสมุนไพรอะไรอีกแล้วล่ะซี เวลาเดินก็เดิน อย่าเพิ่งคิด ไว้ถึงร้านแล้วจะคิดก็ไม่ว่า” ตรัสมิได้ดุจริงจัง เพราะรู้นิสัยชอบทำงานของรติดี


“มาเถอะ ข้าจูง จะได้ไม่หลงอีก” ว่าแล้วก็คว้าเอาข้อมือของภรรยามากุมแล้วพาเดินเลี้ยวยังทางที่มุ่งสู่ร้านยาอหัสกร รติท้วงไม่ทัน แต่พอก้มลงมองมือของตนที่ถูกอีกฝ่ายจับอยู่ ก็พลอยคิดไปถึงคำสั่งสอนของหญิงชรา


‘…ออเซาะให้เขาช่วยจับจูง’


อย่างนี้เรียกออเซาะให้จับจูงไหมไม่รู้ แต่ตรัสจูงเขาจนกระทั่งถึงร้านยา พอตอนกลางวัน ตรัสก็ยังจูงภรรยากลับไปกินมื้อเที่ยงที่เรือน โดยให้เหตุผลว่ารติจะมัวแต่คิดแล้วเดินผิดทางอีก แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดอยู่แค่ครั้งนั้น เพราะตรัสเห็นว่าภรรยาไม่ได้ป่วยไข้ เมื่อมีสติครบถ้วน ก็เลิกจับจูงไปโดยปริยาย


เรื่องออเซาะนั้นถือว่าเป็นงานยาก รติล้มเลิกเพราะทำไม่ได้ ก็มาถึงคำสั่งสอนเรื่องที่สอง


‘ยามรับประทานอาหารก็ต้องรู้จักป้อนข้าวป้อนน้ำ ชะม้อยชายตาให้เขาด้วย...’


สามีภรรยาร่วมโต๊ะด้วยกันทุกวัน วันละสามเวลา แต่ทุกเวลาล้วนมีผู้อื่น การจะชะม้อยชายตาย่อมไม่เหมาะ รติจึงหาโอกาสจากมื้อกลางวันในวันหนึ่งที่มีคนไข้นัดมาดูแผลตอนเที่ยง



ตรัสจะกลับไปกินอาหารกลางวันที่เรือนย่อมไม่สะดวก เพราะต้องรอทำแผลคนไข้ก่อน ครั้นทำเสร็จแล้วค่อยกลับไป คนที่เรือนก็ต้องหิ้วท้องรอ รติจึงเสนอให้คนที่เรือนกินกันไปได้เลย ส่วนอาหารกลางวันของเขาและตรัส รติจะหิ้วมากินที่ร้านยา


มื้อกลางวันที่มีเพียงสองคนเกิดขึ้นแล้ว เรื่องถัดไปก็คือชะม้อยชายตา


...แล้วมันทำอย่างไร...


ต้องก้มหน้าไหม แล้วต้องเหลือบตาขึ้นหรือ แล้ว...ต้องยิ้มไหม? จะยิ้มอย่างไร ต้องเคี้ยวข้าวให้หมดก่อนใช่ไหม...


“รติ...รติ...” เสียงเรียกของผู้ร่วมโต๊ะดังปลุกสติ รติสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็พลันรู้ตัวว่าเขาเอาแต่คิดจนไม่ตักข้าวเข้าปากสักคำ


“เจ้าเป็นอะไร” ตรัสถาม มองภรรยาด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง รติเอาแต่คนข้าวในชามไปมาจนเละไปหมดแล้ว ยังไม่เห็นกินสักคำ


“อ...เอ่อ...ม...ไม่มีอะไร”


“ไม่มีอะไรได้อย่างไร ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้ง แล้วข้าวนั่นก็คนจนเละ มัวแต่คิดอะไรอยู่”



คราวนี้ตรัสชักจริงจัง สองครั้งแล้วที่เขาจับได้ว่าอีกฝ่ายเอาแต่ตกอยู่ในภวังค์จนดูไม่ปกติ


“หรือไม่สบาย? เจ้าเจ็บป่วยตรงใด บอกข้า” สามีไม่พูดอย่างเดียว แต่ลุกจากเก้าอี้มาจับหน้าผากลูบแก้ม หากแต่อุณหภูมิของภรรยาปกติ


“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”


“ถ้าเช่นนั้นคิดอะไร”


คำถามนี้ตอบยาก หากตอบตามความจริงว่าคิดไม่ตกว่า ‘ชะม้อยชายตา’ ทำอย่างไร มีหวังตรัสคงยิ่งตกตะลึงพรึงเพริศ


“อ...เอ่อ...ก็...เรื่องผงสมุนไพร”


พอตอบไปเรื่องงาน คราวนี้ตรัสทำหน้าดุ ถอนหายใจแรง


“เรื่องนี้อีกแล้ว นี่เวลาพักกลางวันก็ยังเอาแต่คิดเรื่องงานเช่นนี้ แล้วสมองจะได้พักผ่อนหรือ” กลายเป็นว่าถูกดุ รติยิ้มแหย


“ขอโทษ ข้า...คิดเพลินไปหน่อย...”


“เลิกคิด แล้วกินข้าว” พอสั่งเสียงเข้มงวดเช่นนั้น ตรัสก็เหลือบไปมองข้าวในถ้วยของรติที่กลายเป็นก้อนรวมกันไม่น่ารับประทานอย่างยิ่ง เขาส่ายศีรษะ ขยับเก้าอี้ของตนเองเข้าไปหาภรรยา พร้อมด้วยชามข้าว


“ข้าวในถ้วยของเจ้าน่ะกินไม่ได้แล้ว กินกับข้าก็แล้วกัน”


“ไม่เป็นไร ข้ากินได้” รติรีบท้วงเมื่ออีกฝ่ายจะยกชามข้าวของเขาไป


“จะกินได้อย่างไร จับกันเป็นก้อนเละขนาดนี้ ไม่ดื้อ กินข้าวกับข้า แล้วก็เลิกคิดเรื่องงานเวลากินข้าวด้วย”



พอถูกสามีดุด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง รติก็พลอยเถียงไม่ออก หรืออีกนัยหนึ่งคือเกรงว่าเถียงไปแล้วจะกลายเป็นความแตกเรื่องที่กำลังคิดหาใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องชะม้อยชายตา คราวนี้คงถูกดุหนักกว่าเดิม


เป็นอันว่าคำสั่งสอนเรื่องที่สองของท่านอมราก็ไม่สัมฤทธิ์ผล รติชักถอดใจ ยิ่งคิดถึงคำสั่งสอนเรื่องที่สาม คราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่


‘เวลาแนะนำตัวกับใคร ก็จงพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นภรรยาของตรัส อย่าได้กระมิดกระเมี้ยน’


อย่าได้กระมิดกระเมี้ยนทำอย่างไร รติไม่รู้ ที่ไม่รู้หนักกว่าคือจะต้องแนะนำตัวกับใคร


วันๆของเขาล้วนหมดไปกับการค้าขายในร้านยาอหัสกร ลูกค้าที่แวะเวียนมาล้วนอยากรู้เรื่องผงสมุนไพรมากกว่าอยากรู้ว่าคนขายเป็นใคร หนำซ้ำ...มีใครบ้างไม่รู้ว่าเขาคือภรรยาของหมอตรัส


“อ...เอ่อ...ท่าน...ท่านรู้จักข้าใช่ไหม” ลองเสี่ยงถามลูกค้าคนที่หนึ่งที่เข้ามาซื้อผงสมุนไพร ลูกค้าคนนั้นก็กะพริบตาปริบๆ


“รู้จักซี ท่านคือภรรยาของหมอตรัส”


ลูกค้าว่ามาเช่นนี้ก็เป็นอันว่าไม่ต้องแนะนำตัว


พอพบหน้าลูกค้าคนที่สอง รติก็ลองดูอีก


“เอ่อ...ท่านรู้ไหมว่าข้าชื่ออะไร สกุลอะไร”



ลูกค้าคนนั้นกะพริบตาปริบๆ


“ท่าน...เป็นภรรยาของหมอตรัส ชื่อรติ”


กับคนนี้ก็ไม่ต้องแนะนำตัวอีก รติถอดใจลงทุกที จนกระทั่งลูกค้าคนที่สาม


“ท่าน...รู้ไหมว่าข้าชื่ออะไร”


ลูกค้าผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ ยิ้มจืดแล้วส่ายหน้า


“ขอโทษที ข้าไม่ค่อยได้เข้ามาในเมือง บังเอิญท่านพ่อฝากให้มาซื้อผงสมุนไพรก็เลยแวะมาซื้อให้”



คล้ายรติเห็นแสงเรืองรองแห่งความหวัง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ รีบแนะนำตัวพัลวัน


“ข้าชื่อรติ อหัสกร เป็นภรรยาของหมอตรัส!”


“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จัก” ลูกค้าคนนั้นตอบพลางหัวเราะ ตอนนั้นเองที่รติเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าท่าทีของเขาคงจะเกินกว่าคำว่า ‘อย่าได้กระมิดกระเมี้ยน’ ไปมากโข เพราะมัวแต่ดีใจที่จะได้ลองแนะนำตนเอง



เขาถอนหายใจ สุดท้าย ก็จำต้องถอดใจกับคำสั่งสอนที่สามของท่านอมราเช่นเดียวกับคำสั่งสอนที่หนึ่งและสองนั่นเอง


คำสั่งสอนของท่านอมราล้วนไม่สำเร็จสักข้อ เหลือเพียงข้อสุดท้าย


‘...ถ้าเจ้าอยากให้เขารู้สึกอบอุ่น ก็จับมือเขาทั้งมือ แต่หากเจ้าอยากให้เขารู้สึกวูบวาบ ก็ต้องค่อยๆลูบ ค่อยๆแตะ ฝ่ามือเอย ท้องแขนเอย ต้นขาเอย ผิวใต้ร่มผ้าส่วนใหญ่มิได้ถูกผู้อื่นแตะต้องโดยง่าย เจ้าเป็นภรรยา ย่อมมีอภิสิทธิ์ในพื้นที่ที่ผู้อื่นมิอาจมีสิทธิ์’


รติก็เป็นชาย คำสั่งสอนข้อนี้ของท่านอมราเขาย่อมเข้าใจ เพศชายนั้นมีพื้นที่อ่อนไหวไม่กี่แห่ง แต่ใช่ว่าชายทุกผู้จะมีจุดที่อ่อนไหวเช่นเดียวกัน กระนั้น ไม่ว่าจะจุดใด การค่อยๆลูบ ก็เป็นวิธีจุดอารมณ์ได้ไม่ต่างกันเลย


แต่...อย่างไรจึงจะเรียกว่าลูบ


วันนี้ทั้งวัน รติลองจับมือตนเองตามที่ท่านอมราสอน จับทั้งมือให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ลูบเบาๆที่กลางฝ่ามือก็ไม่เห็นจะให้ความรู้สึกวูบวาบแต่อย่างใด เพียงรู้สึกจั๊กกะจี้เท่านั้น



หรือต้องลูบเบากว่านี้? แต่ยิ่งลูบเบา ก็ยิ่งจั๊กกะจี้ แต่อย่างที่กล่าว แม้ทั้งเขาและตรัสล้วนเป็นชาย แต่ก็ใช่ว่าจะมีพื้นที่อ่อนไหวเช่นเดียวกัน


ดังนั้น...ต้องลอง


สองสามีภรรยานั้นยุ่งอยู่เสมอ ตลอดทั้งวัน ทำงานที่ร้านยาอหัสกร พอกลับมาที่เรือน คนหนึ่งต้องทำผงสมุนไพร อีกคนทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงาน จนกระทั่งตกดึก ตรัสถึงไปตามภรรยามาเข้านอน


รติไม่ค่อยจะมีสมาธินัก เพราะเอาแต่คิดว่าจะหาทางทดลองทำตามที่คิด พอก้าวเข้ามาในเรือนพักผ่อนแล้ว นี่คือช่วงเวลาสองต่อสองของพวกเขา ตรัสหันไปปิดประตูลงกลอน พอเรียบร้อยดีแล้ว กำลังจะหมุนตัว ก็กลับถูกคว้ามือไว้


คนถูกคว้ามือชะงัก คนคว้ามือก็ชะงัก


ฝ่ายสามีมองหน้าภรรยา ฝ่ายภรรยาก็มองหน้าสามี ก่อนที่รติจะรู้ตัวรีบปล่อยมืออีกฝ่ายออก


“อ...เอ่อ...เอ่อ...ขอโทษ...ข้า...”



ไม่รู้จะอ้างอย่างไร รติรู้สึกเหมือนตนเองช่างไร้สาระ ทำเรื่องอะไรไม่เข้าท่า แต่ท่าทางของเขากลับยิ่งทำให้ตรัสเป็นห่วง


ความประพฤติของรตินั้นเรียกได้ว่าไม่ปกติ สามีผู้เอาใจใส่เช่นตรัสจะดูไม่ออกเชียวหรือ แม้ไม่พูด แต่เฝ้าดูภรรยาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้หนักอกเรื่องใด


“หน้าเจ้าแดง เป็นอะไรไป หรือไม่สบาย” เขาถามด้วยความเป็นห่วง เอื้อมมือไปแตะหน้าผาก


“อุณหภูมิปกติ...” ตรัสเอ่ย “...แต่แก้มเย็น...”


รตินั้นขี้หนาว กระทั่งอากาศในช่วงใบไม้ผลิที่อุ่นขึ้นมากแล้ว แต่ช่วงกลางคืนก็ยังหนาวเย็น ในโรงครัวมีทั้งไฟมีทั้งน้ำร้อนก็จริง แต่ก็มิได้เป็นห้องหับมิดชิด


เขาลูบมือกับข้างแก้มของภรรยาคล้ายจะให้ความร้อน ฝ่ามือของตรัสมิได้นุ่มนวล แต่กระด้างอย่างชายหนุ่ม ทว่าก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น


...อุ่น...


...จับเช่นนี้สินะที่เรียกว่าอุ่น...


รติจับมือของสามีแล้วแนบแก้มของตนลงกับมือนั้นมากขึ้น ฝ่ามือของตรัสให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายจนเผลอยิ้ม เหลือบตาขึ้นมอง


“แต่มือของท่านอุ่น...”


ท่าทางของภรรยานั้นไม่ได้ออดอ้อน ไม่ได้แฝงจริตมารยา แต่กลับทำให้หัวใจของตรัสเต้นถี่



ฝ่ามือของเขาที่แนบอยู่กับแก้มของรติ ค่อยๆไล้นิ้วโป้งกับผิวแผ่วเบา ดวงตายังมองสบเข้าไปในดวงตาของภรรยา



ราวกับต้องมนตร์ ตรัสขยับเข้าใกล้ ก้มลงหา แล้วแนบริมฝีปากเข้าไปกับริมฝีปากของภรรยาแผ่วเบา


จุมพิตนั้นชวนให้เคลิบเคลิ้มจนเบียดกายเข้าหากัน บดริมฝีปากเข้าแนบสนิทกันมากกว่าเดิม สื่อความรู้สึกของหัวใจผ่านทางการสัมผัสกันและกัน จนกระทั่งริมฝีปากของตรัสผละออกห่างเล็กน้อย เมื่อนั้น รติจึงคล้ายได้สติ รีบดันแผ่นอกร้อนรุ่มของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วท้วงแผ่วเบา


“ตัวข้ามีแต่กลิ่นสมุนไพร”


ประโยคนี้แสนน่ารักสำหรับตรัส คล้ายจะปรามแต่มิได้ห้ามจริงจัง ราวกับว่าหากกายไร้กลิ่นสมุนไพรเหล่านี้แล้ว...ก็ไม่ว่า


“ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะอาบน้ำให้”


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

จริงๆ รติไม่ต้องทำตามท่านอมราเลยค่ะ แค่รติทำในสิ่งที่รติอยากทำ ตรัสก็วูบวาบแล้ว

ส่วนตอนหน้าก็คือ...รติต้องได้รับผลจากการทดลองในตอนนี้ค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 48 ทดลอง -- (อัพเดต 08/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 08-05-2020 20:11:42
นักเรียนลองทำแล้ว

555555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 48 ทดลอง -- (อัพเดต 08/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 08-05-2020 20:35:59
เขินนนน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 48 ทดลอง -- (อัพเดต 08/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-05-2020 21:03:53
เอ็นดูรติ...น่ารักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 48 ทดลอง -- (อัพเดต 08/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 08-05-2020 22:25:01
ก้อทำได้หนิรติ เอ้า สู้ สู้ 
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 48 ทดลอง -- (อัพเดต 08/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-05-2020 23:11:27
เออ! บทจะได้ สำเร็จพิชิตสามีไปหนึ่งบท จัดไปอย่าให้เสียตรัส 555 รติไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ผ่อนคลายนะ แค่ทำตามที่ใจต้องการจะง่ายเอง อยากทำไรทำเลย ตรัสชอบทุกอย่างละ อิอิ สนุกกกกดดด ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :m31: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปเลย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 48 ทดลอง -- (อัพเดต 08/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 11-05-2020 09:42:59
ขำรติน่ารักมากๆเลย :pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 11-05-2020 16:59:14
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 49

ไม่ทุกวัน

---------


สองสามีภรรยาใกล้ชิดกันมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่นี่คือครั้งแรกที่ตรัสออกปากว่าขอใกล้ชิดในยามที่ไม่ได้อยู่บนเตียง


รติตื่นเต้นจนหัวใจเต้นถี่ แต่พอถูกดึงแขนไปยังห้องน้ำ ก็เดินตามแต่โดยดี ตอนที่อีกฝ่ายช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้า เสียงของรติก็ดังขึ้นอีกครั้งทั้งที่เจ้าตัวก้มหน้างุด


“ข...ข้าหนาว...”


ตรัสยิ้ม ไม่พูดอะไรแต่มือปลดอาภรณ์หล่นจากไหล่ของภรรยา


สองร่างเปลือยเปล่า ภายในห้องน้ำนั้นมีแสงเทียนเรืองรองให้ความสว่างสลัว รติเอาแต่หลบเลี่ยงสายตาไปทางอื่น ย่อมไม่รู้ว่าเรือนกายของตนเองถูกจับจ้องราวกับจะกลืนกิน ตรัสตักน้ำขึ้นรดแขนของภรรยาช้าๆ อากาศเย็น ต่อให้น้ำอุ่นเพียงใดก็ทำให้สั่นได้ไม่ยาก ดูแล้วช่างน่าสงสาร จนชายหนุ่มต้องขยับกายเข้าชิด


ยิ่งชิด...ก็ยิ่งไม่อยากปล่อย


มือหนึ่งลูบผิวกายที่เปียกชื้น อีกมือโอบประคองมิให้ภรรยาแยกห่าง


ยิ่งชิด...ก็ยิ่งรับรู้


กายแนบกาย ใจแนบใจ อารมณ์จะนิ่งสงบได้อย่างไร


ตอนที่ตรัสลูบเนื้อตัวภรรยา พอปลายนิ้วปัดผ่านยอดอก เสียงอุทานของรติก็ดังขึ้นแผ่วเบา พอเขาแกล้งลูบลงมาที่หน้าท้องแบนราบ เสียงเครือของรติก็ดังตามมา คราวนี้...เขาลองลูบไปยังก้อนเนื้อกลมด้านหลัง รติครางเบา สะดุ้งน้อยๆ จิกแขนเขาแน่น


“ต...ตรัส...นี่...ห้องน้ำ...”


อารมณ์หวามเริ่มก่อตัว แต่รติยังพอมีสติ กระนั้น...ดูเหมือนตรัสจะไร้สติเสียแล้ว


เขาแนบจูบลงกับผิวแก้ม เมื่อได้สัมผัสครั้งหนึ่งแล้ว การจะถอนตัวถอนใจออกมายิ่งเป็นไปไม่ได้ ริมฝีปากที่บดเบียดกับแก้มของรติจึงลากไล้ชิมรสผิวเนื้อลงสู่ซอกคอที่เปียกชื้น ดูดดึง ขบเม้มราวกับจะลิ้มลองทุกอณูผิว มือข้างที่ลูบก้อนเนื้อสะโพกลากปลายนิ้วไปยังร่องหลืบ กดนิ้วผ่านความเบียดชิดของก้อนเนื้อกลมลงสู่ส่วนลับที่ร้อนผ่าว เพียงแตะ...รติก็สะท้านขึ้นมาอีกครั้ง ตรัสเงยหน้าขึ้นมาจากซอกคอของภรรยา ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวแห่งความต้องการ


“ได้ไหม”


รติเงยหน้ามอง ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งตื่นตระหนก ทั้งตื่นเต้น


“ที่นี่...ได้ไหม” คำถามดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับปลายนิ้วยาวที่บดลงกับปากทางร้อนผะผ่าวนั้น


รติหมดแรงต้านทาน ก้มหน้าซุกกับแผ่นอกกว้างแล้วปล่อยใจปล่อยกายไปกับสัมผัสของสามี


ตรัสเชยปลายคางของอีกฝ่ายขึ้นมาหา ปรนเปรอด้วยจูบดูดดื่ม ฝ่ามือลูบกายปลุกเร้า ในขณะที่ดันร่างของภรรยาไปจนชิดผนังไม้ที่เย็นชื้น


เบื้องหน้าถูกรุกไล่ด้วยร่างกายสูงใหญ่ของสามี เบื้องหลังแนบติดไปกับผนัง รติตกอยู่ในที่แคบๆ ขยับไปทางไหนไม่ได้ เมื่อถูกเร้าโลมจนอารมณ์ปะทุไปแทบทุกส่วน กลับทำได้เพียงบิดเร้าไปมา


สองมือของตรัสฟอนเฟ้น เมื่ออยู่ในท่ายืนเช่นนี้ แน่นอนว่ารติย่อมไม่อาจซุกกายกับฟูกหลบเลี่ยงการสัมผัสของสามีได้อย่างเคย ยิ่งตรัสยกขาข้างหนึ่งของภรรยาขึ้นแนบกับเอวของเขา มืออีกข้างก็ปาดนิ้วที่ชุ่มฉ่ำด้วยเนื้อสบู่ลื่นถูไถกับร่องหลืบแล้วสอดลึกเข้าไปภายใน


“อ๊ะ...ย...อย่า...อื้อ...”



อารมณ์กำหนัดนั้นแสนร้ายกาจ แม้จะอับอายจนร้องปฏิเสธ แต่แท้จริงแล้วหัวใจกลับเรียกร้อง ดูได้จากร่างกายของรตินั้นพรั่งพร้อมแข็งขืนเสียดสีกับความต้องการของตรัสจนหยาดเยิ้ม


ตรัสยกร่างภรรยาขึ้นเล็กน้อย จัดท่วงท่าให้ความแข็งแกร่งของเขาทักทายปากทางร้อนที่ถูกเตรียมพร้อมแล้ว หัวใจของรติเต้นตุบจนแทบกระเด้งกระดอนออกมานอกอก ท่าทางเช่นนี้ เขาไม่คุ้นเคยจึงเผลอเกร็งรับเมื่อความแข็งแกร่งแทรกผ่านเข้ามา


เดิมที ความคับแคบของรติไม่พอดิบพอดีกับความใหญ่โตของตรัสอยู่แล้ว เมื่อรติยิ่งเกร็งก็ยิ่งแคบ หากดันทุรังก็จะมีแต่เจ็บปวด


   แม้จะนึกกระหยิ่มในใจทุกครั้งที่ได้เห็นภรรยาหน้าแดงเขินอายหรือเรียกร้องการกระทำของเขา แต่การจะให้รติร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดกลับไม่เคยอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตรัส ดังนั้น เมื่อลองดูแล้วไม่สำเร็จ ตรัสก็ไม่ฝืน รติคล้ายจะร้องไห้ที่คราวนี้ไม่อาจพาสามีไปถึงฝั่งฝันอย่างที่เคย


   “ข...ข้า...ข้าขอโทษ...”


   ไม่รู้ว่ารติจะรู้หรือไม่ ทั้งคำพูดคำจา แววตารู้สึกผิด กลับยิ่งน่ารักในสายตาของตรัส


เขาคว้าร่างภรรยาขึ้นอุ้ม “ไม่ใช่เรื่องต้องขอโทษ”


   “แต่...”


   “กลับไปที่เตียงของเรา” คำชวนนั้นแสนอบอุ่นแต่ก็วาบหวาม ตรัสอุ้มภรรยาออกจากห้องอาบน้ำตรงไปยังเตียงนอน เนื้อตัวยังเปียกชื้น อากาศภายนอกก็เหน็บหนาว แต่พอเนื้อแนบเนื้อเสียดสี ก็ราวกับจุดไฟบนผิวหนังจนร้อนผ่าว


ร่างของรติถูกพลิกลงนอนคว่ำ สะโพกถูกยกขึ้นสูง ท่านี้ช่างน่าอับอาย แต่สามารถตอบรับความแข็งแกร่งของตรัสได้โดยไม่สร้างความเจ็บปวดนัก อีกทั้งรติยังกลั้นเสียงร้องด้วยการซุกหน้าลงกับหมอนได้ด้วย


แต่...ตรัสนั้นขี้แกล้ง


การที่ภรรยาจะร้องด้วยความเจ็บปวดมิได้อยู่ในความต้องการของเขาก็จริง แต่การที่ภรรยาเรียกร้องด้วยความต้องการ กลับเป็นความปรารถนาของตรัส


เมื่อทุกอย่างแนบสนิทดีแล้ว ตรัสมิได้เป็นผู้สร้างจังหวะอย่างทุกที แต่เขากลับรั้งสะโพกของรติเข้าแนบตัว จากนั้นเป็นฝ่ายนั่งลง


กลายเป็นร่างของรติถูกรั้งให้เป็นฝ่ายนั่งทับตักเสียแล้ว เขาเอี้ยวตัวกลับไปมองด้วยความตกใจ แต่ตรัสยังเอาแต่ซุกไซ้จูบไปทั่วแผ่นหลังและท้ายทอยของเขา


“ท...ท่าน...อ๊ะ!...ท่านทำอะไร”



ตรัสเงยหน้าขึ้นมา จูบริมฝีปากเจ้าของคำถามนั้นอย่างรักใคร่และต้องการ สองมือของเขาจับยึดสะโพกกลมแล้วสอน


“ยกสะโพกขึ้น รติ...อ่า...”


“อ๊ะ!...ม...มัน...” รติต้องใช้หัวเข่าค้ำกับฟูก พอยกร่างของตนขึ้น ภายในก็เสียดสีจนกายสั่นระริก แต่ตรัสมิได้รอให้คุ้นชิน เขาก็บังคับให้สะโพกกลมกดลงแนบกับตักเขาอีกครั้ง


“กดสะโพกลง...ใช่...อ่า...”


“อ๊ะ...ต...ตรัส...ม...มัน...”


มันวูบวาบไปทั้งช่องท้อง แต่จะครวญครางตามอารมณ์รัญจวนก็เกรงว่าใครจะได้ยินเข้า จึงต้องยกสองมือขึ้นปิดปาก กระนั้นก็ดูเหมือนตรัสจะไม่เข้าใจความพยายามของภรรยาเลยสักนิด


เขาสอนให้อีกฝ่ายขยับกายขึ้นลง แรกเริ่มนั้นเชื่องช้าเพราะรติไม่คุ้นเคย แต่มือของตรัสคอยบังคับให้สะโพกกดลงและยกขึ้นเป็นจังหวะ รติเป็นคนหัวไว ยิ่งเมื่อจัดร่างกายให้คุกเข่าอย่างมั่นคงดีขึ้นแล้ว จังหวะขยับกายของเขาก็เริ่มเร็วขึ้น คล้อยหลังเพียงไม่กี่อึดใจ จากจังหวะเนิบนาบก็กลับกลายเป็นเร็วขึ้น แรงขึ้น รติครางกระเส่า หาใช่เพียงเขาที่โยกกายขึ้นลง แต่ตรัสก็เป็นฝ่ายเสยความแข็งแกร่งขึ้นกระแทกถี่ยิบด้วย


“อ๊ะ! อ๊ะ!...ต...ตรัส...อื้อ...แรง...แรงไป...อ๊ะ!...”


“ดีไหม...อ่า...รติ...”


“ม...มัน...อื้อ...มัน...” รติพูดไม่เป็นคำแล้ว อารมณ์กระสันพุ่งพล่านไปทั้งร่าง แม้แต่เวลานี้เขาก็ไม่รู้ตัวแล้วว่าตรัสไม่ได้เป็นฝ่ายบังคับสะโพกของเขาให้ขยับขึ้นลง แต่เป็นตนเองที่โยกขย่มตักสามีอย่างเร่าร้อน


สองร่างบนเตียงคล้ายเป็นกองเพลิงขนาดย่อม ฝ่ายภรรยานั่งหันหลังทับตักสามี สองขาแยกคร่อมตักใช้หัวเข่าช่วยยันกายส่งแรงให้ขย่มได้ตามใจปรารถนา ฝ่ายสามีกอดรัดจากด้านหลัง เสยกายตอบรับอย่างถึงอารมณ์ ใบหน้าซุกไซ้จุมพิตดูดดึงไปทั่วแผ่นหลัง มือหนึ่งบดขยี้ยอดอกตึงเขม็ง อีกมือชักรูดปลุกปั่นอารมณ์ของภรรยา


เสียงครางเครือเรียกหากันและกันดังลั่น ก่อนที่รติจะสะท้านเฮือก ทะลักเอาความต้องการขุ่นข้นออกมาเต็มฝ่ามือของตรัส


ภรรยาถึงห้วงสวรรค์แล้ว แต่สามียัง...


ตรัสดันร่างของรติกลับลงไปนอนคว่ำกับเตียง แล้วยกสะโพกของอีกฝ่ายขึ้นสูง คราวนี้เขาเป็นคนคุมจังหวะด้วยตนเอง อารมณ์ของเขาเจียนระเบิดเต็มที จึงกระแทกกระทั้นรุนแรง ในขณะที่ร่างกายของรติในยามที่เพิ่งปลดปล่อยนั้นแสนอ่อนไหว เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความเกรี้ยวกราดของอารมณ์รักของสามี ความรู้สึกจึงถูกจุดขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว คราวนี้มันซาบซ่านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สองมือกำผ้าปูที่นอน สองเท้าเกร็งจิก ราวกับจะช่วยลดความเสียวกระสันลงได้ แต่...ไม่เลย


“ต...ตรัส...อ๊ะ! อ๊ะ!”


ตรัสตะบี้ตะบันอัดกระแทกความแข็งแกร่งของเขาจนกระเสือกกระสนไปจุดอารมณ์ของรติ เบื้องหน้าเหยียดเกร็งขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ภายในตอดรัดถี่ยิบ ตอบสนองความใหญ่โตที่กระแทกกระทั้นเข้ามา ตอนที่ตรัสอัดกายเข้าลึกในครั้งสุดท้ายและปล่อยไอรักเข้าไปในกายภรรยา รติก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง


“อ๊า!”


สามีภรรยาพากันขึ้นไปกอดเกี่ยวบนสวรรค์


ร่างของรติร่วงผล็อยลงกับเตียงอย่างอ่อนล้า ก่อนจะถูกทาบทับด้วยร่างของสามีที่ตามลงมาแนบจูบกับกกหูและขมับ ความแข็งแกร่งที่อยู่ภายในกายอ่อนตัวลงแล้ว มันถูกถอนออกไป ตามด้วยหยาดข้นที่เยิ้มไหลตามมา


...ทั้งๆที่...เคยบอกว่าจะไม่ทุกวันแท้ๆ...


“ท...ท่านน่ะ...ไหนว่าไม่ทุกวัน” เสียงประท้วงดังแผ่วมาพร้อมกับเสียงหอบหายใจ ฟังดูแล้วน่าสงสาร แต่ตรัสก็ยังคลอเคลียกับผิวแก้มของอีกฝ่ายไม่ห่าง


“เมื่อวานก็ไม่” เขาตอบเบาแต่จริงจัง


“แต่เมื่อวันก่อน...” รติหันไปท้วง


“เว้นหนึ่งวัน ก็ถือว่าไม่ทุกวันแล้ว”


เหตุผลของตรัส  อหัสกรข้อนี้...มิอาจโต้แย้งได้เลย


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ตรัสทื่อกับทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้ค่ะ ถ้าเว้นหนึ่งวัน ก็จะนับว่าทุกวันไม่ได้ อย่างน้อยก็เว้นให้รติพักแล้วนะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 11-05-2020 18:14:08
 :jul1: :jul1: :jul1:

จริงของตรัส

ไม่ทุกวัน

อร๊อยยย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 11-05-2020 18:55:43
ร้อนแรง....งงงงงงงงง    :haun4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 12-05-2020 00:10:03
 o13  o13 ตรัสเริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาบ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 12-05-2020 00:58:10
ร้อนแรงมาก :m25: :pighaun: หนูไม่ไหวแล้วค่าทำไมคุณตรัสถึงร้อนแรงขนาดนี้เตียงก็คือร้อนป็นไฟไปหมดแล้ว o13 ฟินมากๆเลย :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 12-05-2020 03:49:32
เขียนได้ดีมาก มีมิติ ดูเป็นเรื่องยาวได้อีกมาก แม้จะขัดๆกันเรื่อง บรรยากาศออกไปทางจีน หรือโลกแฟนตาซี ที่ขัดๆกับชื่อไทยๆ ที่ดูแปลกอยู่

แต่ละมุนแล้วใช้ภาษาได้งดงามมาก ขอชื่นชม
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 12-05-2020 09:10:14
 :-[  อร๊างงงงงง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-05-2020 14:40:40
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 49 ไม่ทุกวัน -- (อัพเดต 11/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 12-05-2020 16:00:13
 :oo1: :pighaun: :haun4: :jul1:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 13-05-2020 17:11:26
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 50

ท่านอมราลงมือ

---------


   แม้ในเรือนพักผ่อนของสองสามีภรรยาจะเร่าร้อนเพียงใด ก็เป็นเพียงเรื่องในที่รโหฐาน


ในสายตาของท่านอมรา ยังมิได้เห็นว่าสองสามีภรรยาใกล้ชิดกันมากไปกว่าก่อนหน้านี้ จึงคาดเอาว่ารติคงไม่ทำตามที่นางแนะ หารู้ไม่ว่าไม่ใช่รติไม่ทำ แต่ทำแล้ว และสำเร็จสมประสงค์ท่านอมราอีกต่างหาก


   กระนั้น...หญิงชราก็มิได้รับรู้ นางจึงต้องหาทางลงมือด้วยตนเอง


   “งานเลี้ยงหรือขอรับ” ตรัสทวน


   “ตอนงานแต่งงานของเจ้ากับรติ ทางนั้นก็มา พอถึงงานของลูกหลานเขา พวกเจ้าจะไม่ไปไม่ได้หรอก”


บัตรเชิญจากเพื่อนเก่าผู้หนึ่งถูกส่งมาที่เรือนอหัสกรเมื่อเช้า มีใจความขอเชิญอมราไปร่วมงานเลี้ยงพิธีวิวาห์ เพื่อนเก่าผู้นี้ เมื่อครั้งที่ตรัสและรติแต่งงาน ก็เคยมาร่วมงาน หรืออย่างเมื่อครั้งที่อหัสกรจัดพิธีรับขวัญระพี ก็ส่งทายาทมาร่วม ครั้นถึงงานของลูกหลานทางนั้น อหัสกรจะไม่ส่งใครไปก็ไม่ได้


   ท่านอมราย่อมต้องไปร่วมงานอยู่แล้ว เพราะสนิทสนมกับเจ้าภาพ แต่ตรัสกับรติ จะไม่ไปก็ได้


   กระนั้น...นางก็ยังจงใจสั่งการให้หลานชายและหลานสะใภ้ไปร่วมให้ได้


   อย่างไรก็ตาม ทั้งสองหารู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของความพยายามของท่านอมรา


   รติคิดว่าเป็นการไปเพื่อตอบแทน


   ตรัสคิดว่าไปตามคำสั่งย่า


   หญิงชราได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา


   อย่ากล่าวเพียงว่าหลานสะใภ้ใสซื่อเลย กระทั่งหลานชายก็บริสุทธิ์เช่นกัน


   งานเลี้ยงมงคลสมรส แขกเหรื่อมากมาย เจ้าภาพย่อมไม่อาจมีเวลาให้แขกแต่ละคนมากนัก ท่านอมราไม่ติดใจ เพราะนางมีความตั้งใจมาร่วมงานส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือมาเพื่อ ‘จัดแจง’


   โต๊ะจัดเลี้ยงเป็นทรงกลม มีสิบที่นั่ง สกุลอหัสกรนั่งไปแล้วสาม อีกเจ็ดที่ล้วนเป็นคนอื่น อย่างไรก็ตาม ตรัสเป็นหมอประจำร้านยาเก่าแก่ ผู้คนย่อมรู้จักเขา ชายชราที่นั่งข้างเขาเป็นคหบดีที่ฝากสุขภาพเอาไว้กับร้านยาอหัสกรมาตั้งแต่บิดาของตรัสยังอยู่ เมื่อกิจการมาถึงมือตรัส ก็ยังฝากผีฝากไข้เรื่อยมา จึงมีเรื่องให้สนทนามากมาย


รตินั่งถัดจากตรัส มิได้เข้าไปร่วมสนทนาด้วยแต่รับประทานอาหารอย่างเงียบๆ ส่วนท่านอมรานั่งถัดจากรติอีกทีหนึ่ง นางมิได้เอาแต่รับประทานอาหาร หรือหันไปคุยกับคนที่นั่งอีกข้าง แต่สนอกสนใจความสัมพันธ์ของหลานชายและหลานสะใภ้


   แต่...หลานชายเอาแต่คุย หลานสะใภ้เอาแต่กิน นั่งข้างกันแต่หาได้มีปฏิสัมพันธ์กันแต่อย่างใด


   ท่านอมราชักเคือง สะกิดรติ แล้วบุ้ยใบ้ไปที่จอกสุราของตรัส


   “ท่านอมราจะดื่มหรือขอรับ”


   “ไม่ใช่! เจ้าลืมแล้วหรือไร ดูแลสามีของเจ้าซี!”


   รติกะพริบตาปริบๆ


   “เทสุราให้สามีของเจ้า!” หญิงชรากระซิบเสียงเข้มงวด


รติลำบากใจ ให้อย่างไรประเพณีดั้งเดิมของที่นี่คือชายหญิงเป็นสามีภรรยา แต่คู่ของพวกเขาล้วนเป็นชายทั้งคู่ ต่างคนต่างเอาใจใส่กันอย่างเงียบๆนั้นนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะไม่ถูกจับจ้องมากนัก


สำหรับรติ ผู้อื่นจะมองอย่างไรล้วนเป็นเรื่องของผู้อื่น แต่สำหรับตรัส เห็นอีกฝ่ายเงียบๆไม่หือไม่อือ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสนใจเสียงนกกามากน้อยเพียงใด


ลำพังแต่งงานกับชายอย่างรติ อยู่กินเป็นสามีภรรยาท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งเมืองก็นับว่าเด็ดเดี่ยวมากแล้ว หากเขาปรนนิบัติตรัสต่อหน้าธารกำนัลก็เกรงว่าผู้อื่นจะมองอย่างขำขันแล้วตรัสจะไม่สบายใจ


แต่...หากไม่ทำ ก็เกรงว่าจะถูกท่านอมราดุและกลายเป็นว่าผู้อาวุโสของสกุลไม่ชอบหน้า รติถอนหายใจเบา เอื้อมมือไปหยิบขวดสุรามาเทใส่จอกให้ พอวางขวดลงแล้ว นึกว่าจะเสร็จพิธี...แต่มิใช่


   หญิงชรายังบงการต่อเนื่อง


   “ขยับเข้าไปใกล้สามีของเจ้าอีก”


   “ข...ขยับ?”


   “ใช่ ขยับเข้าไปใกล้ๆซี เจ้านั่งห่างเพียงนี้จะดูแลอย่างไร”


   รติกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ยอมทำตาม ขยับเก้าอี้เข้าใกล้สามีมากขึ้นกว่าเดิม แต่...หญิงชรายังไม่หยุด


   “เรียกสามีของเจ้าให้หันมายกสุราดื่ม บอกเขาว่าเจ้าเทให้”


   “ร...เรียก?” รติเหลือบไปมองตรัส เห็นอีกฝ่ายยังคุยถูกคออยู่กับคนที่นั่งอีกฝั่ง เขาก็ไม่กล้าขัด


   “จับต้นขาตรัสเบาๆ เขาก็รู้ตัวเอง” หญิงชราสั่งอีก


รติยอมทำตาม วางมือลงกับหน้าขาอีกฝ่าย การกระทำนี้ถึงเนื้อถึงตัว แม้จะเป็นสามีภรรยา แต่ตรัสกับรติมิเคยใกล้ชิดกันในที่สาธารณะ ชายหนุ่มที่กำลังคุยกับคนข้างๆถึงกับหันมามอง


   เห็นภรรยาทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ตรัสก็ยิ่งงุนงง แต่ไม่ทันได้ถามอะไร ฝ่ายนั้นก็เอ่ยเสียงเบา


   “อย่าคิดอะไรมากนักเลยนะตรัส...” เสียงกระซิบนั้นไม่ให้ความกระจ่าง แต่ที่ชัดแจ้งคือการที่คนพูด เหลือบไปมองยังจอกสุราที่ตนเทให้


   “ดื่มสิ”


ตรัสกะพริบตาปริบๆ แล้วเสียงจากชายที่นั่งอีกฝั่งของเขาก็ดังขึ้น


“โอ้! ภรรยาของหมอตรัสนี่ช่างดูแล เทสุราให้ด้วยหรือนี่”


ตรัสหันไปมองคนพูด แล้วหันกลับมามองภรรยาที่ยังคงทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ท่าทีของรติแปลกไปจากเคย แต่เวลานี้ผู้คนมากมาย ย่อมไม่เหมาะจะถามไถ่ เขาจึงยกจอกสุราขึ้นดื่ม เมื่อดื่มหมด รติก็เทให้อีก


   ตลอดงานเลี้ยง รติปรนนิบัติดูแลสามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัว แม้ไม่รุ่มร่ามแต่หากตาไม่บอดก็คงดูออกว่าความสัมพันธ์สามีภรรยาของพวกเขาราบรื่นและหวานซ่านเพียงใด แต่หากผู้ตาไม่บอดจะเผื่อแผ่มามองหญิงชราที่นั่งข้างรติก็คงจะเห็นว่านางบงการแทบทุกกระเบียด


   ‘ตักอาหารมาใส่จานให้ตรัสสิ’


   ‘ถ้าตรัสหันมา เจ้าต้องมองตาเขาให้บ่อย ไม่ต้องยิ้มมากนัก เพียงยิ้มมุมปากก็พอ’


   ‘สุราก็อย่าให้พร่อง’


   ‘ต...แต่เขาดื่มไปเยอะแล้วนะขอรับ’ รติชักกังวลกลัวตรัสจะล้มป่วยหากดื่มมาก แต่หญิงชราส่ายหน้า


   ‘ไม่ต้องห่วง ตรัสไม่แพ้เหล้า ดื่มมากก็แค่เมา เจ้าก็จัดการต่อเอาซี!’ นางว่ามาเช่นนั้น รติก็ไม่รู้จะแย้งอย่างไร


เป็นอันว่างานเลี้ยงคืนนี้ ตรัสดื่มมากเป็นพิเศษ ส่วนท่านอมราก็ยินดีเป็นพิเศษเพราะนางได้ทำในสิ่งที่ต้องการครบถ้วน!

---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ท่านย่าก็คือไม่รู้เรื่องในห้องหอ แต่อยากให้เกิดเรื่องในห้องหอนะคะ ฮ่าฮ่า

ตอนหน้า รอดูคนเมาเลยค่ะ (เรื่องนี้ไม่ได้เน้น NC แต่ช่วงนี้มันถี่หน่อยเพราะเขาอยู่ในช่วงฮันนีมูนกันค่ะ ฮ่าฮ่า)

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ

เจอกันวันศุกร์นี้ค่ะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 13-05-2020 18:30:39
55555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-05-2020 21:20:53
เอ็นดูรติ..จะร้องไห้แล้ว  o18
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 13-05-2020 21:33:17
55555  ต้องให้ถึงมือท่านย่า


อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 13-05-2020 21:36:21
โธ่ ท่านย่าาาา รติจะร้องไห้แล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 13-05-2020 21:52:39
ทีนี้คนรู้ทั้งบางละค่ะท่านอมรา ว่าภรรยาหมอตรัสดูแลสามีดีขนาดไหน รักกันหวานชื่นเพียงใด แผนนี้ดีค่ะท่าน 555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 13-05-2020 23:08:59
ท่านอมรา

ต้องแอบไปส่องเวลาเขาอยู่ในห้องบ้างนะคะ

555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 13-05-2020 23:45:26
 :laugh: ท่านย่าช่างจัดการ  :laugh:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-05-2020 02:24:01
เอาล่ะ เมาแล้วจะเป็นแบบไหนกัน 555555555555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 15-05-2020 00:02:02
เข้ากันได้ดีมากๆคนหนึ่งใสซื่ออีกคนก็บริสุทธิ์55555 ขำท่านย่าหนักมาก จะเป็นยังไงต่อน้า :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 50 ท่านอมราลงมือ -- (อัพเดต 13/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 15-05-2020 02:42:29
วงวารรรรรรรรร5555555 :hao7:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 15-05-2020 17:16:51
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 51

เมา

---------


   งานเลี้ยงเลิกราในยามดึก สามสมาชิกแห่งอหัสกรนั่งรถม้ากลับมาที่เรือน


หญิงชราแยกตัวเข้าห้องพักผ่อนไปแล้ว


   ตรัสออกจะกรึ่มเล็กน้อย เพราะดื่มไปมาก รติจึงให้เขานั่งพัก ส่วนตนเองเป็นคนออกไปดูความเรียบร้อยทั้งเรือน เห็นลงกลอน ดับไฟหมดแล้วก็กลับเข้าเรือนพักผ่อน ทว่าพอจะย่างเท้าเข้าประตูมา ก็กลับถูกสามีผู้ที่ควรนั่งอยู่ที่ตั่ง คว้าเอวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน รัดรึงแนบแน่นชิดใกล้


   “อ๊ะ! ทำอะไรน่ะตรัส”


   “วันนี้เจ้าแปลก...ไม่สิ...หมู่นี้เจ้าแปลก”


   “แปลกอะไรกัน ท่านเมาแล้ว”


   “เพราะใครรินเหล้าให้ข้าไม่หยุด ปรนนิบัติข้าอย่างดี รู้ไหมว่ามีแต่คนมองข้าด้วยสายตาริษยาเพียงใด”


ริมฝีปากของตรัสคลอเคลียที่ข้างแก้ม ไม่รู้เพราะฤทธิ์สุราร้อนแรงในกายหรืออย่างไร เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายตัวเย็นจนน่า...ทำให้ร้อนรุ่มไปด้วยกัน


   ริมฝีปากร้อนบดเบียดเข้ากับแก้มแรงขึ้น แล้วลากไล้ลงสู่ลำคอ กลิ่นเนื้อของรติจะว่าคุ้นเคยก็ใช่ จะว่ามัวเมาก็ได้ ยิ่งดอมดม ยิ่งหลงใหล ตรัสคิดถึงสายตาของผู้อื่นในงานที่พากันมองรติดูแลเขาอย่างดีแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองมีเพชรล้ำค่าในมือ ผู้คนล้วนชื่นชมปนอิจฉา


   เพชรเม็ดงามนี้...เป็นของเขา


   “อื้อ...ตรัส...ท่านเมา...” สัมผัสหนักๆที่บดลงกับผิวของเขาทำให้รติซาบซ่านไปทั้งอก


“มีแต่คนมองข้าด้วยความอิจฉา แต่รู้ไหม...มีเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งไม่ได้มองข้าอย่างอิจฉา แต่มองเจ้าด้วยความปรารถนา...” มือร้อนบีบขย้ำเนินเนื้อสะโพกแรงๆ ชายใดจะปรารถนาภรรยาของเขาก็ปรารถนาไปเถิด คนที่ได้ครอบครองทั้งหมดของรติมีเพียงเขาเท่านั้น


   “ข...ข้าไม่รู้...อ๊ะ...ท่าน...”


   “ภรรยาของข้า...มีแต่คนอยากไขว่คว้า...”


เสียงของตรัสเริ่มอู้อี้ เมื่อเขารั้งสาบเสื้อแล้วฝังใบหน้าลงกับลาดไหล่


   “ม...ไม่จริง...อื้อ...อ๊ะ!...” ร่างของรติถูกอุ้มลอยจากพื้น หัวใจกระตุกไปวูบหนึ่ง แต่พอถูกวางร่างลงบนโต๊ะทำงาน สองขาถูกรั้งออกกว้างแล้วร่างของตรัสแทรกขวางกลางก็ทำเอาหัวใจกระตุกอีกวูบ มือร้อนลูบไล้เข้าไปใต้ร่มผ้า ในขณะที่ปากบดจูบ ฝ่ามือบีบคลึงปลุกปั่นอารมณ์ให้ลุกชัน เสื้อผ้าเบื้องล่างกลายเป็นสิ่งกีดขวางให้ตรัสหาทางปลดเปลื้องมันออกอย่างไว เมื่อปราศจากเนื้อผ้า แก่นเนื้อชูชันก็สามารถเสียดสีกันได้โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น


“อ่า...” จุมพิตร้อนแรงบดขยี้กันและกันไม่หยุด สองมือลูบไล้เรือนกายจนร้อนผะผ่าว ในขณะที่เบื้องล่างถูไถจนร้อนเห่อ ตรัสไม่อาจยับยั้งช่างใจได้อีก กดร่างภรรยาลงนอนบนโต๊ะทำงาน เปิดช่องทางคับแคบให้เขาได้แทรกสอดฝังลึก


   “แต่มีเพียงข้าที่ได้ครอบครอง...อ่า...”


การเดินทางดำดิ่งเข้าสู่ความคับแคบที่ร้อนจัดนั้น ดึงสติของตรัสให้ยิ่งมัวเมากับความรักใคร่ที่แสนเร่าร้อน


   ร่างของรติสั่นระริก สองมือกำจิกสาบเสื้อของเจ้าของความแข็งแกร่งที่ชำแรกเข้ามาในร่างกายของเขา ยามแก่นกายฝังลึกจนสุดทางนำมาซึ่งความอึดอัดที่แสนหวาม หากยามถอดถอนกลับเวิ้งว้างเย็นวาบให้หัวใจเพรียกหา ต้องไขว่คว้าไหล่ของอีกฝ่ายเข้ามากอด


   อ้อมแขนของภรรยาที่โอบรัดบอกให้รู้ว่าต้องการ สองมือที่ย้ายมาจิกลงกับแผ่นหลังก็แสดงให้เห็นว่ารติทั้งอึดอัดทั้งทรมาน แต่ภรรยาคนเก่งก็ยังหยัดกายขึ้นรับความรักของเขาอย่างไม่หวั่นเกรง


   ตรัสกัดกรามกรอด มิอาจทานทนกับความรัญจวนที่โอบรัดเขาเอาไว้ได้อีก สาวกายออกจนสุดแล้วกระแทกกลับเข้าไป ร่างของรติสะท้านราวกับถูกซัดซาดด้วยคลื่นโหม


   “อื้อ! ตรัส! อ๊ะ!”


แต่ละครั้งที่ตรัสตอกลึกเข้ามา ต้องแนบสนิทแล้วจึงค่อยถอนออก ยามถอดถอนก็ราวกับต้องลากเอาหัวใจของรติออกไปด้วย จึงจะกระแทกกลับเข้ามาใหม่ ทุกห้วงจังหวะทั้งเร่าร้อนทั้งรุนแรง เต็มไปด้วยความปรารถนาและความต้องการ


   ร่างของรติสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ๆบทรักก็หยุดกลางคัน ทว่าไม่ทันประท้วง ร่างของเขาก็ถูกคว้าจากโต๊ะทำงานขึ้นอุ้มกระเตงด้วยสองมือของตรัส


   “อ๊ะ! ท...ท่าน...อื้อ!!”


ขนสันหลังลุกชัน หยัดกายหมายจะหนีแรงกระทุ้งจากเบื้องล่าง แต่ให้อย่างไรก็ไม่พ้น


รติสั่นไปทั้งร่าง ยิ่งถูกอุ้มพาเดินโยกขย่มจากโต๊ะทำงานเข้าไปในห้องพักผ่อน เขาก็ตะเกียกตะกายอยู่บนร่างกายของสามีจนแทบคลั่ง


   “อ๊ะ อื้อ...อื้อ...ว...วางข้าลง...อ๊า! อย่า...อื้อ...”


สติเพียงน้อยนิด ทำให้รติเห็นว่าเบื้องหลังคือเตียง ตรัสพาเขามายืนอยู่ข้างเตียงแต่ยังไม่ปล่อย กลับโยกสะโพกเขาลงกดกระแทกกับความร้อนผ่าวที่แทงสวนขึ้นมา


   เสียวสะท้านเจียนตาย แต่อีกฝ่ายดูจะสมใจยังจูบเม้มต้นคอรติไม่หยุด


   “ต...ตรัส...อ๊ะ!” แล้วจู่ๆ ร่างของรติก็ถูกวางลงบนเตียง แก่นกายตะหง่านถูกถอนออกไป ก่อนที่มือของตรัสจะจับภรรยาลงพลิกคว่ำแล้วลากสะโพกกลมมาที่ข้างเตียง รติไม่ทันได้ร้องสักคำ ความร้อนผ่าวก็กระแทกกลับเข้ามาอีก


   เสียงหวีดดังลั่น ซ่านเสียวจนน้ำตาชุ่ม


   ส่วนกลางลำตัวที่เครียดเขม็งกระแทกลึกแล้วถูกถอนออก จากนั้นก็กระแทกกลับเข้าไปใหม่ เสียงครางของตรัสดังอย่างสมใจ ในขณะที่รติต้องคว้าหมอนมากัดเอาไว้ แล้วได้แต่ครางอู้อี้เพราะความเสียวเกินจะทน


   อารมณ์หวามถูกปลุกปั่นขึ้นสูง รติคล้ายถูกดึงให้ขึ้นไปล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆขาว แต่ก่อนจะได้ไขว่คว้าความปรารถนาสูงสุด ร่างทั้งร่างก็ถูกกระชากลงสู่พื้น ความร้อนจัดที่แสนใหญ่โตถูกถอนออกไป ร่างถูกพลิกกลับมานอนหงาย หว่างขาแฉะชื้นน่าอาย รติได้แต่ปิดหน้าปิดตาตนเองไม่กล้ามอง แต่แล้วก็ต้องหวีดเสียงสูง เมื่อสะโพกของเขาถูกยกลอย โพรงปากร้อนผ่าวเข้าครอบครองที่กลางลำตัวของเขา


   “อ๊า! ตรัส! ไม่ อ๊ะ ไม่! อื้อ!!”


ตรัสตะกละตะกราม เขาทั้งดูดกลืน ไล้เลีย สุดท้ายรติก็ทะลักทะลายในปากของเขา


   ร่างของภรรยากระตุกเฮือก ปลดปล่อยความต้องการออกมาจนหมดสิ้น


   แต่ก็มีเพียงแค่รติที่หมดสิ้น ตรัสยังไม่ถึงจุดปรารถนาเลยสักครั้งในค่ำคืนนี้


   สะโพกของรติถูกวางลงกับเตียง เงาร่างของสามีทาบทับจนมองไม่เห็นสิ่งอื่น ดวงตาของรติชุ่มโชกทั้งน้ำตาแห่งความปรารถนาและความยินดี สองแขนโอบรั้งไหล่ของสามีเข้ามาหา จูบซับริมฝีปากรับรู้ถึงรสชาติของตนเองที่ยังหลงเหลืออยู่ในโพรงปากของตรัส ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกพลิกขึ้นอยู่เบื้องบนในขณะที่ตรัสพลิกตัวลงนอนแทน มือร้อนบีบคลึงก้อนเนื้อสะโพกกลมแน่นอย่างต้องการ ปลายนิ้วไล้เกลี่ยที่ปากทางบวมร้อนนั่นเพื่อบอกความปรารถนา


   ใบหน้าของรติแดงก่ำยิ่งกว่าดื่มสุราสิบจอก แต่แม้จะอายเพียงใด ความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตรัสก็ไม่ใช่เรื่องน่าปฏิเสธ


   สะโพกกลมยกขึ้นช้าๆ จดจ่อที่ปลายความแข็งแกร่งที่เหยียดตรง หลับตาลงแล้วรับรู้ถึงความใหญ่โตที่แทรกผ่าน ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันใจคนที่ยังไม่ปลดปล่อย ยังไม่ทันจะถึงครึ่งทาง มือใหญ่ก็เป็นฝ่ายบังคับให้สะโพกกลมกดลงรับแรงกระแทกจากเบื้องล่างที่กระดกสวนขึ้นมา


   “อ๊า!!” เสียงครางดังลั่น ใบหน้าเชิด สะท้านสะเทือน สองมือค้ำลงกับหน้าท้องแข็งแรง แต่ไม่อาจต้านทานมือสองข้างที่จับบังคับสะโพกของเขาให้ขยับขึ้นลงได้เลย


   “อ๊ะ ช้าๆ อื้อ! ม...ไม่ไหว อ๊ะ ตรัส ไม่ไหว อ๊ะ”


ปากร้องประท้วงแต่ร่างกายกลับตรงข้าม แรกเริ่มขยับโยกตามมือตรัสชักนำ แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับเป็นฝ่ายขยับกายด้วยตนเอง ดวงตาดุเฝ้ามองภรรยาจากเบื้องล่างด้วยความรักความใคร่ ผู้คนในงานเมื่อตอนหัวค่ำล้วนมองเขาอย่างอิจฉาริษยา บ้างก็ปรารถนาในภรรยาของเขา แต่จะมีใครเล่าที่ได้ครอบครองรติทั้งตัวและหัวใจเช่นเขา


   ภรรยาของสามี


   สามีก็เป็นของภรรยาเช่นกัน


   ตรัสยันกายลุกขึ้น บดจูบร้อนแรง อกเปลือยถูไถในขณะที่เบื้องล่างช่วยกระแทกกระทั้นรับกับแรงขย่มจากรติ


   สองสามีภรรยาพากันตะเกียกตะกายสู่ห้วงความสุขที่ปลายเส้นทางปรารถนา จนกระทั่งห้วงอารมณ์พุ่งทะยานขึ้นสูงและแตกกระจายซ่านกระเซ็น เสียงหวีดดังอยู่ในคอเมื่อริมฝีปากยังประกบกันแนบแน่น แผ่นอกเบียดชิดกันจนร้อนผ่าว เบื้องล่างแนบสนิทจนไม่มีช่องว่าง


   สองร่างหลอมรวม คล้ายมีหัวใจดวงเดียวกัน


   เสียงหอบหายใจเบาลงไปพักหนึ่ง ก่อนที่เสียงครางจะดังขึ้นใหม่อีกหน


คืนนี้...สองสามีภรรยาเติมไฟรักให้กันจนเกือบรุ่งสาง

---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926

---------

ไม่รู้ใครเมาแล้วค่ะตอนนี้ แต่เอาเป็นว่า ถือว่าเป็นช่วงฮันนีมูนของคู่ชีวิตคู่นี้แล้วกันนะคะ


จากนี้ไปก็...จะกลับเข้าสู่เส้นเรื่องแล้วค่ะ ฮ่าฮ่า


ขอบคุณทุกการอ่านนะคะ


เจอกันวันจันทร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 15-05-2020 18:52:20
งืออออออออ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 15-05-2020 19:15:38
ต้องขอบคุณท่านอมรา   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 15-05-2020 19:48:00
 :jul1: :pighaun: :m25:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 15-05-2020 20:59:24
สำเร็จแล้วท่านย่า 
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-05-2020 00:19:13
โอ้โห้  :oo1: ร้อนแรงสุดวันนี้  :pighaun: :haun4: เพราเหล้าแท้ๆและแรงหึง ต้องยกนิ้วให้เลย  :jul1: 55
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 16-05-2020 00:29:58
 o13 ท่านย่าเก่งสุดๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 16-05-2020 00:45:38
ท่านย่า มาดูผลงานท่านย่าเร็วเจ้าค่าา


ตรัส โอโห โอโห มากๆ


รติสู้นะลูก

 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 16-05-2020 09:11:55
ร้อนแรงมากค่า :m25: :-[ ท่านย่าคงสมใจแล้ว  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-05-2020 10:17:23
การสั่งสอนเคี่ยวกรำของท่านย่าสัมฤทธิ์ผลแล้วค่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 16-05-2020 11:13:42
 :jul1: :jul1: :jul1: :hao7:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 51 เมา -- (อัพเดต 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 16-05-2020 14:21:35
เพิ่งเข้ามาอ่านชวนติดตามมากค่ะเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 18-05-2020 16:49:09
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 52

คนตัดสินใจ

---------


   แสงสว่างทำให้นอนไม่สบาย แม้อากาศจะเย็นจนน่าหลับต่อเพียงใดก็ตาม


รติพลิกตัวหลบแสงอย่างอ้อยอิ่ง รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งร่าง สติอันน้อยนิดทำให้เขาฉุกใจ


   ...แสง...


   ...แสงสว่าง...


   ...แสงสว่างหรือ?!...


   คนที่ตอนแรกหลบเลี่ยงจากแสงด้วยการซุกหน้ากับหมอนถึงกับลืมตาโดยพลัน แสงสว่างทำให้มองเห็นทุกสิ่งอย่างในห้องพักผ่อนอย่างชัดเจน


   และเพราะเป็นเช่นนั้นจึงทำให้เขารู้ว่าตนเองไม่ได้ตื่นในเวลาที่ควรตื่น


   รติลุกพรวดขึ้นนั่ง ก่อนที่อาการเจ็บร้าวไปทั้งตัวจะทำให้เขาต้องทรุดตัวลงนอนเม้มปากกลั้นเสียงโอดโอย ไม่ทันได้ไตร่ตรองว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ร่างสูงของสามีก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง


   “รติ...ตื่นแล้วหรือ” คนทักสาวเท้าเข้ามาหาอย่างไว


   “น...นี่...นี่เช้าแล้วหรือ?” รติหน้าตาตื่น มองซ้ายมองขวา สว่างไสวเช่นนี้ มิน่าใช่แค่เพียง ‘เช้า’


   “เอ่อ...เที่ยง...” คำตอบของตรัสแสนเบา แต่ทำเอารติตาเหลือก


   “อะไรนะ?!”


   “เที่ยงแล้ว พุดกรองกำลังยกอาหารมาให้เจ้า”


   “ข้าตื่นเที่ยงหรือ?!” คนเพิ่งตื่นชี้หน้าตนเองด้วยความตกตะลึง ทั้งชีวิตเป็นคนตื่นเช้า แต่คราวนี้อย่าว่าแต่ตื่นสายเลย ต้องเรียกว่าตื่นเที่ยง


   ตรัสพูดไม่ออก หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้ที่ทำให้รติตื่นเที่ยงก็คือเขา ที่ไม่ปล่อยภรรยาจนกระทั่งรุ่งสาง


   โทษสุราไม่ได้ โทษความมึนเมาก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองอย่างนั้นหมดฤทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ค่อนคืนด้วยซ้ำ ต้องโทษตนเองที่ไม่ได้ยับยั้งช่างใจ ภรรยาชิดใกล้ก็อยากแนบชิด ภรรยาเรียกหาก็อยากตอบสนอง ต่อให้หมดเรี่ยวแรงก็ยังลูบไล้ไปทั่วร่าง แตะต้องทุกอณูเนื้อจนกระทั่งหลับ


   รติหมดแรงในอ้อมแขนของเขา ตรัสเองก็เหนื่อยอ่อนไม่ต่างกัน แต่พอเช้า เขาต้องออกไปพบหน้าผู้อื่นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ตรัสแจ้งข่าวแก่ท่านอมรา รุจีและระพีว่ารติไม่ค่อยสบาย และไม่รับอาหารเช้า


   ‘พี่รติไม่สบายหรือเจ้าคะ?! พี่รติเป็นอะไรมากหรือไม่ ขอข้าเยี่ยมได้ไหมเจ้าคะ’



รุจีมีท่าทีตกใจมากทีเดียว ตอนที่เขาบอกว่ารติไม่สบาย ในขณะที่ระพีจวนจะร้องไห้รอมร่อพูดเสียงเครือ


   ‘พี่รติไม่สบายหรือขอรับ...’ เด็กชายผู้เข้มแข็ง แม้น้ำตาเจียนจะหยดแต่ก็กลั้นสะอื้น


   ตรัสแปลกใจที่ทั้งสองดูจะเป็นกังวลกับความเจ็บป่วยของภรรยาของเขามาก แต่เพราะเรื่องป่วยคือเรื่องที่ยกขึ้นมาอ้าง เขาจึงไม่ทันสังเกตมากกว่านั้น เพียงแค่บอกให้ทั้งสองสบายใจ


   ‘ไม่เป็นอะไรมาก ข้าจะดูแลเอง แต่เช้านี้ คงไม่ได้ออกมากินข้าวด้วยเท่านั้น’


   รุจีและระพี ย่อมไม่เข้าใจความนัยของการเจ็บป่วย แต่ท่านอมราผ่านเลยวัยมามาก ย่อมรู้ดี เมื่อคืนตรัสเมาเพียงนั้น อีกทั้งรติยังถึงเนื้อถึงตัว เช้านี้ตรัสบอกว่ารติไม่สบายก็เห็นจะเป็นเพียงอาการอ่อนเพลีย


นางเก็บร่องรอยของความยินดีในแผนการของตนเองที่ลุล่วง แล้วจึงช่วยปลอบเด็กๆ ก่อนจะสำทับให้มั่นใจว่ารติจะไม่เป็นอะไร


   มื้อเช้า ตรัสให้คนทำน้ำต้มผักอุ่นๆให้หนึ่งถ้วย เขาเป็นผู้ถือถาดน้ำต้มเข้าไปในห้อง ปลุกคนหลับให้สะลึมสะลือขึ้นมาดื่มแล้วก็ปล่อยให้นอนต่อ


   มื้อเที่ยง รติยังไม่ตื่น ตรัสจำต้องเป็นฝ่ายออกมารับหน้าเพียงผู้เดียวอีกครั้ง


   ‘พี่รติไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ’ รุจีถามอย่างห่วงใย


   ‘พี่รติ...’ ระพีเองก็ได้แต่ครวญ ดวงตาเศร้าสร้อย น้ำตาเอ่อแต่ไม่หยด เพราะยึดมั่นในคำสอนที่ว่าบุรุษต้องเข้มแข็ง


   ‘ไม่เป็นอะไร ตอนเย็นก็ลุกไหวแล้ว’


   ตรัสเป็นหมอ หนำซ้ำพักหลังมานี้ยังดูสนิทสนมกับรติเป็นอันดี แม้จะห่วง แต่รุจีก็พอจะวางใจ ตรัสไม่อยากให้น้องของภรรยาซักถามเรื่องของรติมากนัก จึงชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง


   ‘ว่าแต่เรื่องเรียนของเจ้าเป็นอย่างไร ได้คิดไว้บ้างหรือยัง เห็นรติว่าเจ้าอยากเรียนต่อใช่ไหม’


   เมื่อพูดถึงเรื่องที่สนใจ รุจีย่อมถูกชักจูงไปทางนั้นโดยง่าย เด็กสาวยิ้มแล้วพยักหน้าแข็งขัน


   ‘เจ้าค่ะ ข้าอยากเรียนต่อ แต่...ข้ายังไม่แน่ใจว่าจะสมัครเรียนที่ใดดี...เอ่อ...โรงเรียนที่นี่มีหลายแห่งที่มีชื่อเสียง อย่างโรงเรียนประจำดรุณีพิไล’


   ‘ดี’


   ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายระยิบระยับเมื่อได้รับคำสนับสนุน


   ‘พี่เขยก็เห็นด้วยใช่ไหมเจ้าคะ’ นางร้องอย่างยินดีก่อนจะหันไปทางหญิงชรา ผู้แนะนำให้นางเรียนต่อที่นั่น


   ‘ท่านย่าบอกว่า ท่านย่าก็จบจากที่นั่น เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของที่นี่ สตรีทั่วเมืองตะวันออกล้วนอยากเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งนั้น’


   ‘เจ้ามีความรู้ อ่านเขียนออก ข้าเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของเจ้า’



เด็กสาวยิ้มกว้าง ‘ข้าจะพยายามเจ้าค่ะ!’


   แม้ท่านอมราจะส่งเสริม ตรัสจะสนับสนุน อีกทั้งรุจีเองก็ประสงค์จะเข้าเรียนที่นั่น แต่ให้อย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากรติผู้เป็นพี่ชาย


   อาหารเย็นในวันนั้น จึงถูกกำหนดให้เป็นช่วงเวลาที่รุจีจะขออนุญาตจากรติ


   ตอนที่เห็นผู้เป็นพี่ถูกประคองมายังห้องรับประทานอาหารในยามเย็น เด็กสาวก็ยิ้มกว้าง รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาครามครัน รีบเดินเข้าไปหา


“พี่รติ หายดีแล้วหรือเจ้าคะ”


รติเม้มปากเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาน้องสาวได้แต่อ้อมแอ้ม


   “ดีแล้ว”


   “นั่งก่อนเจ้าค่ะ วันนี้ข้าลงครัวเอง มีของโปรดของพี่รติด้วยนะเจ้าคะ” เด็กสาวกระตือรือร้นดูแลพี่ชายอย่างดี เดิมที รุจีไม่ใช่คนนิ่งเฉยต่อผู้อื่น นางดูแลทั้งคนแก่ ทั้งเด็ก ทั้งคนเจ็บคนป่วยได้เป็นอย่างดี แต่ก็มิได้อนอวยประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้ อีกทั้งวันนี้...นางดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ


   แม้จะมีชนักปักหลังเรื่องอาการไม่ค่อยจะดีจนไม่ได้ออกจากเรือนพักผ่อนมารับประทานอาหารเช้าและเที่ยง แต่รติก็อดปากไม่ได้ที่จะหยอกน้องสาว


   “วันนี้ดูอารมณ์ดีจริง มีเรื่องอะไรดีๆหรือ”


   รุจีนิ่งไปเล็กน้อย ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม บอกชัดว่าวันนี้มีเรื่องดีจริง


   นางหันมองท่านอมราและตรัสที่นั่งลงร่วมโต๊ะอาหารเย็นแล้ว หญิงชราและผู้เป็นพี่เขยพยักหน้าสนับสนุนให้นางเอ่ย เด็กสาวจึงนั่งลงข้างกายพี่ชาย


   “เรื่องเรียนต่อเจ้าค่ะ”


   “อ้อ...เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ อยากเรียนที่ไหน หรือต้องสมัครสอบอย่างไรล่ะ”


   “เอ่อ...ท่านย่ากับพี่เขยแนะว่าข้ามีความรู้ อ่านออกเขียนได้ ก็ควรไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประจำดรุณีพิไล เพราะเป็นโรงเรียนสตรีที่มี่ชื่อเสียงของเมืองตะวันออก สตรีที่จบจากที่นั่นล้วนมีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น ท่านย่าก็จบ...” ประโยคหลังจากนี้ รติแทบไม่ได้ยินเพราะสมาธิเพ่งอยู่กับคำว่าโรงเรียนประจำ


   “เจ้าพูดอีกครั้งซิ จะไปสมัครเรียนที่ใด?”


   เด็กสาวหันมองทั้งตรัสและท่านอมรา เริ่มหวั่นกับคำถามของผู้เป็นพี่


   “อ...เอ่อ...โรงเรียน...โรงเรียนประจำเจ้าค่ะ...”


   รติขมวดคิ้วมุ่น


   “โรงเรียนประจำ? ประจำอย่างไร?”


   “ประจำ หมายถึงกินนอนที่นั่น” ตรัสเป็นคนอธิบาย เพียงเท่านั้นรติก็ถึงกับเหลือกตาโต


   “กินนอนที่นั่น?! หมายความว่ารุจีจะต้องไปอยู่ที่โรงเรียนทั้งวันทั้งคืนหรือ?!”


   โต๊ะอาหารเย็นเงียบกริบ ทุกคนรู้แน่แล้วว่าการตัดสินใจเรื่องโรงเรียนในครั้งนี้ ไม่เป็นที่พึงใจของรติ ตรัสในฐานะสามี ย่อมเป็นคนเดียวที่กล้าเสนอความเห็น เขากำลังจะกล่อม แต่ภรรยาหน้าบึ้งตึงประกาศโพล่งไม่รอฟังคำใคร


   “ข้าไม่อนุญาต!”


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------
สามียังพูดไม่ทัน รู้เลยนะคะว่าบ้านนี้ใครเป็นคนตัดสินใจ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 18-05-2020 18:25:29
แล้วกัน... :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 18-05-2020 18:26:27
ดราม่าแล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 18-05-2020 21:11:53
เอ๋ ห่วงน้องอะไรหนอรติ

หรือเพราะไม่ได้เจอทุกวัน

เรื่องป่วยของรติก็ยังไม่คลายปม

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 18-05-2020 21:46:30
ใจเย็นๆนะรติมันมีวันกับบ้านอะไรอยู่ไม่ได้อยู่โรงเรียนตลอดเวลา แต่ก็เข้าใจคงห่วงน้องสาวมาก :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-05-2020 00:40:23
ค่อยๆฟังเหตุผลและความต้องการของเจ้าตัวก่อนค่อยว่ากันนะ ใจเย็นนนน คึคึ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 19-05-2020 01:27:49
 :katai1: รติ ฟังน้องก่อน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 19-05-2020 07:40:09
 o22 o22
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 19-05-2020 10:34:21
พึ่งเคยเห็นรติโกรธ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 19-05-2020 11:03:58
ฟังน้องก่อนนะคะรติน้องอาจมีเหตุผล
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 20-05-2020 01:40:52
รติตอบไวมาก  :ling2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 52 คนตัดสินใจ -- (อัพเดต 18/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-05-2020 07:44:17
ขุ่นพี่ฟังเหตุผลน้องก่อน.นะเจ้าคะ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 20-05-2020 16:45:59
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 53

รู้จักรู้ใจ

---------


   รุจีอายุถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียนแล้ว


   โรงเรียนถูกแบ่งออกเป็นโรงเรียนระดับต้นสำหรับเด็กอายุ 7-12 ปี โรงเรียนระดับกลางสำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี และโรงเรียนระดับสูงที่รับเด็กอายุ 15 ปีขึ้นไป และศึกษาในหมวดวิชาเฉพาะทาง


   โดยปกติแล้ว โรงเรียนระดับต้นไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะในสกุลที่มีฐานะ เด็กอายุ 7-12 ปีมักเรียนอ่านเขียนและวิชาเฉพาะของสกุลจากที่บ้าน ในขณะที่สกุลชาวบ้านทั่วไป เด็กวัยเท่านี้ก็มักจะถูกเลี้ยงดูโดยปู่ย่าตายาย พออายุเกิน 12 ปี เด็กในสกุลที่มีฐานะก็มักจะสอบเข้าเรียนในโรงเรียนระดับกลาง ส่วนเด็กจากสกุลชาวบ้านก็มักมีความรู้ไม่สู้ เด็กในกลุ่มหลังนี้จึงเข้าสู่ตลาดแรงงานแทน ในโรงเรียนระดับกลางจะเน้นสอนวิชาพื้นฐานทั่วไป และหากใครมีความสามารถทางด้านใดหรือถนัดวิชาใดเป็นพิเศษ เมื่ออายุเกิน 15 ปี ก็มักจะไปสอบเข้าโรงเรียนระดับสูงที่สอนวิชาเฉพาะทาง อย่างเช่นตรัสที่เคยคิดจะสอบเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ของส่วนกลางเมื่อครั้งอายุ 15 ปี


   รุจีอายุเกิน 12 แล้ว นางมีความรู้เรื่องการเขียนอ่านเป็นอย่างดี เด็กหญิงเล่าว่าคนที่กวดขันให้นางอ่านหนังสือให้มากก็คือรติ ผลผลิตออกดอกผลก็ตอนนางเริ่มโต จึงอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว หากจะสอบเข้าโรงเรียนระดับกลางก็คงมีหวังทีเดียว


   แต่ติดที่ว่า...พี่ชายผู้เคยกวดขันให้นางมีความรู้ กลับเริ่มหวงน้องขึ้นมา


   โต๊ะอาหารเงียบกริบ ท่านอมราเองก็ยังไม่กล้าพูด ตรัสรู้ว่าถ้าเขาไม่พูด รุจีอาจยิ่งฝ่อ


   “รติ...การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ” ชายหนุ่มกล่อม


   “ข้าไม่เถียงว่าการศึกษาไม่สำคัญ แต่ทำไมต้องไปสอบเข้าโรงเรียนประจำอะไรเทือกนั้น?!” รติแย้ง หันมองน้องสาวที่หงอจนกินข้าวไม่ลง เพราะคำว่า ‘ไม่อนุญาต’


   แม้จะไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาต แต่รติก็เกรงใจท่านอมราผู้อาวุโส เขาควบคุมอารมณ์ของตนเองแล้วจึงวางมือจากชามข้าว ก่อนจะหันไปกล่าวกับหญิงชรา


   “ข้ารู้สึกไม่ค่อยหิว ขอตัวไปทำผงสมุนไพรนะขอรับ”


   สถานการณ์มึนตึงเช่นนี้ ย่อมไม่สมควรประจันหน้า เมื่อรติหาทางเลี่ยงจากน้องสาว หญิงชราจึงไม่รั้งไว้ พอนางพยักหน้าอนุญาต เขาก็ลุกออกจากโต๊ะ


   รุจีได้แต่มองตามอย่างเสียใจ แม้กระทั่งระพียังรับรู้ได้จนต้องลูบหลังปลอบ


   ตรัสถอนหายใจเบา เขารู้ว่าเรื่องนี้หากปล่อยให้รติและรุจีคุยกัน เด็กหญิงคนไม่มีทางได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน


   ชายหนุ่มหันไปขอตัวกับผู้เป็นย่า ก่อนจะลุกตามรติไปอีกคน


ตอนที่ตามภรรยามาถึงโรงครัว ก็พบว่าในโรงครัวปราศจากผู้อื่น มีเพียงรติกำลังทำผงสมุนไพรหน้าตาบึ้งตึง ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจกับบทสนทนาเมื่อครู่เลยสักนิด


   “รุจีเสียใจ ที่เจ้าไม่ฟังนาง”


   รติเม้มปากแน่น หันกลับไปมองเจ้าของเสียง แม้ไม่พูดอะไร แต่ดวงตาดื้อดึง ให้อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยน้องสาวห่างหูห่างตา


   “โรงเรียนประจำดรุณีพิไลเป็นโรงเรียนมีชื่อเสียง ไม่เพียงแค่ในเมืองตะวันออก แต่สตรีจากเมืองอื่นก็ยังอยากเข้าเรียน” ฝ่ายสามียังเป็นเพียงผู้เดียวที่ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ กระนั้น สีหน้าของรติก็ยังดูไม่เห็นด้วย


   “โรงเรียนไม่ประจำที่มีชื่อเสียงก็มีอีกถมไป” ใบหน้าของรติบูดบึ้ง ดูก็รู้ว่าเขาห่วงหวงมากเพียงใด



พี่ชายผู้นี้เห็นน้องสาวมาแต่เล็ก วันหนึ่งรุจีจะต้องไปเรียนต่อ จะได้พบหน้าแค่เฉพาะวันหยุด หัวอกคนเป็นพี่ก็โหวงเหวงไปหมด


   “รติ...รุจีเป็นสตรี จริงอยู่ว่าเมื่อเติบใหญ่ก็ต้องแต่งงานเข้าสกุลอื่น แต่ความรู้ติดตัวเป็นเรื่องสำคัญ เจ้าก็รู้ใช่ไหม”


   “โรงเรียนไหนก็ให้ความรู้ได้”


   “โรงเรียนดรุณีพิไลมีชื่อเสียง รุจีจะไม่ได้มีเพียงแค่ความรู้ แต่ถ้านางเรียนจบจากที่นั่น จะเป็นใบเบิกทาง หากนางอยากทำกิจการ หรือประกอบสัมมาอาชีพ เจ้าจะไม่ยินดีเชียวหรือ”


   คราวนี้รติเงียบ


   “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง แต่รุจีก็มิได้ย้ายไปกินนอนที่นั่นเป็นปีเสียเมื่อไร ทุกวันหยุด ข้าจะส่งรถม้าไปรับนางกลับมา หรือถ้าเจ้าอยากจะไปเยี่ยมนางที่โรงเรียนบ้าง ก็แวะไป ดีไหม”


รติหันมามองคนพูด ใบหน้ายังมู่ทู่


   “รุจีให้ท่านมาพูดหรือ”


   “ข้าเพียงเห็นว่าเป็นโอกาสของนาง จริงอยู่ว่ากว่าจะได้เข้าเรียนที่นั่นต้องสอบให้ผ่านเสียก่อน แต่นางเป็นคนมีความรู้ รุจีเองก็บอกว่าเจ้าคือคนกวดขันให้นางหัดอ่านเขียน เวลานี้โอกาสของนางอยู่ตรงหน้า อนาคตของนางจะอีกยาวไกล เจ้าจะไม่สนับสนุนนางหรือ”


   รติเงียบ สิ่งที่ตรัสพูดมา ไม่ใช่ว่าเขาเห็นต่าง การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ รุจีจะมีทางเลือกอีกมากหากนางมีความรู้


   “เอาอย่างนี้ดีไหม เราไปดูโรงเรียนนั้นก่อน เจ้าจะได้สบายใจ หากรุจีสอบเข้าได้ ที่นั่นจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับนาง”


   ฝ่ายภรรยาเหลือบมองคนกล่อม แล้วก็ไม่พูดกระไร หันไปผสมผงสมุนไพรต่อ อย่างไรก็ตามท่าทีของเขามิได้ขึงขังตึงตังเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว ตรัสพอจะเห็นสัญญานที่ดี


   “รติ...” เขาเรียกเสียงเบา ขยับเข้าไปโอบไหล่ภรรยาอย่างปลอบประโลม


   “รู้แล้ว ก็จะไปดูโรงเรียนนั่นอย่างไรล่ะ...”


   “เจ้าต้องชอบที่นั่น ข้ารับรอง”


   “ถ้าไม่ดีล่ะก็ น่าดู” คนในอ้อมแขนขู่ฟ่อ ตรัสหัวเราะเบาโยกภรรยาอย่างรักใคร่ เขาไม่พูดอะไรให้ระคายหู รติเป็นคนสดใส แต่เวลาจริงจังก็น่ากริ่นเกรง คราวนี้ไม่อนุญาตให้รุจีไปเรียนโรงเรียนประจำก็ดุจริงจนรุจีใจเสีย ท่านอมรายังไม่กล้าพูด หากภายภาคหน้าตรัสทำเรื่องผิดหูผิดตาถูกดุบ้าง เห็นทีเขาเองก็คงหงอให้อีกฝ่ายเช่นกัน


    “ว่ากันว่า เรือนใดสามีกลัวภรรยา เรือนนั้นจะสงบสุข” ตรัสเปรย ทำเอาคนในอ้อมแขนหันมอง


   “ไม่เห็นจริง ทำไมต้องมีใครกลัวใครด้วยเล่า สามีภรรยาไม่ใช่คนน่ากลัว เพียงแต่ต้องรู้จักรู้ใจกัน” คราวนี้คนฟังยิ้มจาง มองภรรยาด้วยสายตาหวานฉ่ำ


   “แล้วข้ากับเจ้า รู้จักรู้ใจกันไหม”


   รติทำปากยื่น “หากไม่รู้จักรู้ใจ ท่านจะพูดจนทำให้ข้ายอมไปดูโรงเรียนนั้นหรือ”


   ตรัสหัวเราะเบา “นั่นเพราะเจ้าหวังดีกับรุจีอยู่แล้ว เพียงแต่ห่วงน้องก็เท่านั้น”


   พูดมาถึงความห่วง รติก็ถอนหายใจ


   “รุจีเป็นสตรี ถึงนางจะช่วยตัวเองได้ แต่เป็นหญิงก็คือเป็นหญิง แข็งแรงปานใดก็สู้ชายไม่ได้ นอกจากความปลอดภัยแล้ว นางยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี ข้าก็กลัวว่าห่างหูห่างตาแล้วนางจะถูกหลอก ถึงนางจะฉลาดเฉลียวแต่...คนเราก็ใช่จะฉลาดไปทุกวัน”


   “ความห่วงใยของเจ้า นางย่อมซาบซึ้ง แต่อย่าใช้ความห่วงใยเป็นบ่วงรัดนางไว้กับตัวเลย วันนี้นางได้ออกไปเรียนรู้ วันหน้านางจะเติบใหญ่อย่างมีความรู้ความสามารถ”


   “ลงท้ายเรื่องมีความรู้ แล้วข้าจะพูดอะไรได้อีก” รติย้อน ตรัสหัวเราะเบาที่ถูกจับได้ เสียงหัวเราะของตรัสและการชวนพูดคุยด้วยน้ำเสียงราบเรื่อย ย่อมทำให้บรรยากาศรอบตัวรติเบาบางลง


   ท้ายที่สุด ค่ำวันนั้น รติก็ไปพบน้องสาวที่ห้องพักผ่อนเพื่อแจ้งข่าวแก่นางว่าเขาจะตัดสินใจใหม่อีกครั้ง หลังจากไปสำรวจโรงเรียนประจำแล้ว เพียงเท่านั้นดวงตาของเด็กสาวก็เต็มไปด้วยความหวัง


   เห็นสายตาเช่นนั้นแล้ว รติก็รู้ว่าการที่ตรัสให้เขามาแจ้งข่าวเรื่องนี้กับรุจีด้วยตนเองก็เพื่อให้เขาเห็นว่านางจะดีใจเพียงใด หากไปสำรวจโรงเรียนดรุณีพิไลแล้วมิได้ดีเด่นอย่างที่ใครเยินยอ แต่ไม่เลวร้ายนัก เมื่อบวกลบกับความปรารถนาของน้องแล้ว พี่ชายเช่นเขาย่อมไม่อยากขัดใจ


   “ท่านรู้จักข้าดีเกินไปแล้วจริงๆด้วย” รติได้แต่บ่นงึมงำ ตอนที่เดินกลับเรือนพักผ่อนพร้อมสามี ตรัสยิ้มจาง จับมือภรรยาเอาไว้


   “สามีภรรยา รู้จักรู้ใจ เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือ”


   ค้านไม่ได้แล้ว จากคนแปลกหน้า มาวันนี้รู้จักรู้ใจสมกับเป็นสามีภรรยา

---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ตรัสก็สายตะล่อมเหมือนกันนะคะ ฮ่าฮ่า กล่อมจนรติยอมเปลี่ยนใจ กลายเป็นสามีภรรยาที่รู้ใจกันมากขึ้นแล้วอีกนิด

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

เจอกันวันศุกร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 20-05-2020 16:58:30
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 20-05-2020 17:08:06
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 20-05-2020 18:10:26
อิอิ  แพ้ทางงงง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 20-05-2020 18:32:49
 o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 20-05-2020 19:47:12
น่ารัก...รู้จักคุยกันด้วยเหตุด้วยผล  :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 20-05-2020 19:52:58
รู้ใจกันอะเนาะ  :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 20-05-2020 22:32:15
สงสัย จะปูเรื่อง ที่รติ ป่วยแล้วจะตาบอดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: PoyPay ที่ 21-05-2020 00:29:59
แบบนี้สามีควรต้องได้รางวัลในคืนนี้เพิ่มป่าวเอ่ย... คุคุ...
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 21-05-2020 11:37:05
น่ารักมากๆ ตรัสหรือเปล่า ตรัสกลัวเมียหรือป่าว5555  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 53 รู้จักรู้ใจ -- (อัพเดต 20/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkmoon ที่ 21-05-2020 14:52:39
น่ารักกก
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 22-05-2020 16:37:48
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 54

ผู้ปกครองบุกโรงเรียน

---------


   โรงเรียนประจำดรุณีพิไลเป็นโรงเรียนมีชื่อเสียงของเมืองตะวันออก


   นักเรียนหญิงแทบทั้งหมดของที่นี่ล้วนมาจากสกุลคหบดี ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ ส่วนน้อยเป็นลูกชาวบ้านผู้หัวดี ได้รับทุนของโรงเรียน ผู้ที่จะเข้าศึกษาได้ล้วนต้องผ่านการสอบ เมื่อเข้ามาแล้ว จะได้ร่ำเรียนทั้งวิชามารยาท การเข้าสังคม การเมือง คณิตศาสตร์ การค้า เครื่องดนตรี การทำอาหาร แม้กระทั่งการบริหารกิจการในเรือน


   กระนั้น แม้ชื่อเสียงจะโด่งดัง ศิษย์เก่าของที่นี่เป็นสตรีเก่งในหลายแวดวง แต่รติก็ต้องมาดูที่ทางด้วยตาของตนเองเสียก่อน


   “ท่านอมราแจ้งว่าพวกท่านจะมาขอชมโรงเรียน” ครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ เป็นสหายของหญิงชราผู้อาวุโสแห่งอหัสกร ก่อนที่ตรัสจะพารติมาที่นี่ นางส่งสารหนึ่งฉบับมาแล้วล่วงหน้า มีใจความขอชมโรงเรียนเพื่อตัดสินใจส่งหลานสาวเข้าร่วมการสอบเข้าเรียนในภาคเรียนที่จะถึงนี้


   “ข้ากับรติ ขอเพียงชมโดยรอบ จะมิให้รบกวนการเรียนการสอนแต่อย่างใด”


   “ยินดี ข้าจะให้ปราณพาพวกท่านชมโรงเรียนและห้องเรียนของเรา ปราณเป็นบุตรชายของข้า และเป็นครูสอนคณิตศาสตร์” ครูใหญ่หันไปทางชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมแว่นผู้ยืนอยู่เบื้องหลัง เมื่อนั้น...ตรัสถึงกับชะงัก


   ชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่ถูกแนะนำว่าเป็นครูของที่นี่ คือชายหนุ่มที่เขาพบที่งานเลี้ยงเมื่อครั้งก่อน


   งานเลี้ยงครั้งนั้น ผู้คนมากหน้าหลายตา เขาจำได้ว่าแทบทั้งหมดล้วนมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉาที่รติปรนนิบัติเขาอย่างดี แต่...มีสายตาคู่หนึ่งแตกต่างจากผู้อื่น เพราะหาใช่มองด้วยความอิจฉา แต่มองด้วยความปรารถนา


   ...ปรารถนา...


   ...ปรารถนาอะไรไม่ทราบ ทราบแต่จับจ้องแต่ภรรยาของเขา...


   “ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ ข้าชื่อปราณ เป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ที่นี่” ชายผู้นั้นแนะนำตัวแล้วยิ้มแย้มจนดวงตาใต้แว่นสายตาทรงกลมยกโค้งอย่างเป็นมิตร


   แต่...ตรัสไม่รู้สึกเป็นมิตรด้วยเลยสักนิด



เขาเหลือบตามองภรรยาที่ยืนเคียงข้าง โชคดีที่รติมัวแต่กังวลใจเรื่องน้องสาวต้องห่างตาจึงไม่มีอารมณ์ผูกไมตรีมากนัก นอกจากยิ้มจางแล้วค้อมศีรษะ


   แต่เพียงเท่านั้น ตรัสก็หึงแล้ว เขาก้าวเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เบี่ยงกายบังภรรยาเอาไว้ แล้วจ้องมองอาจารย์หนุ่ม


มิได้สร้างศัตรูโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่ได้ผูกมิตรมากนักเช่นกัน


   “อย่างไรต้องรบกวนอาจารย์พาพวกเราสามีภรรยาดูโรงเรียนด้วย”


   จากชายผู้พูดไม่เกินความจำเป็น มาถึงวันที่ต้องเน้นย้ำคำว่าสามีภรรยาด้วยหัวใจรู้สึกจำเป็นแล้ว


   ...พวกเราสามีภรรยา...


   ...ส่วนผู้อื่น หากกล้ำกรายก็ล้วนเรียกว่ามือที่สาม...


---------


   อาจารย์ปราณเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับตรัส แต่เป็นมิตรกว่ามาก เขาพาเดินนำดูรอบโรงเรียนอย่างเป็นกันเอง มีความรู้เกี่ยวกับประวัติของโรงเรียนและหลักสูตรอย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นครู ทักษะการพูดของเขาจัดว่าดี จึงทั้งให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียนการสอนผสานไปกับการโฆษณาโรงเรียนได้อย่างดี



แม้ใจของรติจะไม่อยากให้น้องสาวห่างตา แต่ก็ต้องยอมรับว่าหากฟังความตามที่อาจารย์ปราณผู้นี้กล่าวแล้ว โรงเรียนประจำแห่งนี้จะเป็นสถานศึกษาฟูมฟักรุจีให้เติบโตเป็นสตรีผู้มีความสามารถไม่เป็นสองรองใคร


   หลังจากเยี่ยมชมโรงเรียนจนทั่ว ตรัสและรติก็ขอตัวกลับ ระหว่างโดยสารรถม้าส่วนตัว รติที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นมา


“ตรัส ท่าน...คิดว่าที่นี่ดีใช่ไหม”


   แต่...ไร้คำตอบ


   ตอนนั้นเองที่รตินึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาที่เยี่ยมชมโรงเรียน เขาแทบไม่ได้ยินเสียงของคนที่เดินอยู่ข้างกายเลย


   “ตรัส?”


   เจ้าของชื่อดูจะเพิ่งรู้สติ เหลือบสายตามองภรรยา ที่กำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง


   “ท่านเป็นอะไรไป หรือไม่สบาย?”


   “เปล่า เมื่อครู่นี้เจ้าถามอะไรหรือ” ตรัสย้อนถาม แน่นอนว่าเขาไม่กล้าเอ่ย ว่าเขาหวงภรรยาขึ้นมาครามครัน ยิ่งเห็นอาจารย์หนุ่มผู้นั้นเป็นมิตรกับรติมากเพียงใด เขาก็ยิ่งหงุดหงิด ถึงขั้นไม่อยากให้รุจีสมัครสอบเข้าเรียนที่นี่แล้ว



   แม้ท่าทีของอีกฝ่ายจะผิดไปจากเคย แต่เรื่องโรงเรียนดรุณีพิไลก็ยังคงเป็นเรื่องคาใจลำดับแรกของรติอยู่ดี




   “ถ้ารุจีเรียนที่นั่น จะดีใช่ไหม”


   อันที่จริงคำตอบคือดี แต่...โรงเรียนประจำแห่งนั้นมีอาจารย์นามว่าปราณ สำหรับตรัส ถือว่าไม่ดี


   รติขมวดคิ้ว คิดไม่ตก


   “อาจารย์ปราณก็บอกว่าดรุณีพิไลเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาโรงเรียนสำหรับสตรี คนที่จบจากที่นั่นล้วนมีความรู้ความสามารถ ข้าไม่ได้คาดหวังว่ารุจีจะต้องเก่งกาจเกินใคร แต่ถ้านางมีความรู้ความสามารถก็ย่อมดีกว่าไม่มี จะได้ไม่มีใครรังแก ท่านคิดเห็นเช่นไร”


   ตรัสเงียบไปอึดใจหนึ่ง เดิมทีเป็นคนมีเหตุผลกำกับทุกการกระทำมาโดยตลอด คราวนี้ก็ควรมี แม้จะไม่อยากมีก็ตามที


   “โรงเรียนนั่น...ดี...” เขาพูดได้เพียงเท่านั้น


โรงเรียนดีจริง สกุลใดก็ล้วนอยากให้ธิดาเข้าเรียนทั้งนั้น เขาเองก็อยากให้รุจีได้เรียนในโรงเรียนที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของนาง แต่...ติดที่อาจารย์ผู้นั้น


   “นั่นสินะ...” รติมัวแต่คิดสะระตะเรื่องน้องสาว ย่อมไม่ทันสังเกตอาการสามี


   ภายในห้องโดยสารของรถม้าตกอยู่ภายใต้ความเงียบ มีเพียงเสียงล้อบดไปตามถนนปูหินที่ดังเข้ามา แต่ปราศจากการพูดคุยอีก



ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง โดยเฉพาะห้วงความคิดของตรัส...ไม่มีผู้ใดรู้



---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926


   --------

   มีคนหึงหนึ่งอัตราค่ะ ส่วนอีกหนึ่งอัตรายังไม่รู้ตัวว่าถูกรักมากขนาดนี้ ฮ่าฮ่า

   ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านค่ะ

   เจอกันวันจันทร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-05-2020 17:48:07
ตรัสก้อมีมุมนี้นะ...หึงๆๆๆๆๆๆ   :hao7:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-05-2020 18:03:06
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 22-05-2020 20:35:47
 :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 23-05-2020 00:41:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-05-2020 11:53:27
 :L2: :L1: :pig4:

เอ็นดูทั้งคู่
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-05-2020 11:56:16
พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา 55555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 23-05-2020 20:19:32
ตรัสหรือเปล่า ตรัสหึงหรือเปล่า5555 คุณตรัสต้องแสดงออกเน้นๆแล้วค่ะว่าเป็นสามีภรรยากับรติ ขำที่บอกว่ารร.ดีแต่ครูไม่ดี จนไม่อยากให้เข้าเรียน555  สนุกมากๆเลยค่ะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 54 ผู้ปกครองบุกโรงเรียน -- (อัพเดต 22/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 23-05-2020 20:23:39
 :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 25-05-2020 17:16:39
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 55

หึง

---------
   

แม้จะห่วงหวงน้องสาว ไม่อยากให้รุจีห่างหูห่างตา แต่รติก็มิอาจปฏิเสธความเหมาะสมของโรงเรียนแห่งนั้น


   ท้ายที่สุด จึงยินยอมให้รุจีสมัครสอบ


   รุจีอ่านออกเขียนได้ อีกทั้งยังอ่านหนังสือให้ท่านอมราฟังบ่อยๆ ความรู้ของนางจึงกว้างขวางหลายแขนง คนเช่นนี้หากสอบไม่ติด ก็ไม่รู้จะมีผู้ใดสอบติดแล้ว


   ภายหลังประกาศผลสอบ ท่านอมราดีใจ รุจีดีใจ ระพีก็ดีใจ ในขณะที่รติเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ก็ต้องหักห้ามใจยอมปล่อยน้องสาวย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำ



ส่วนตรัส...เขาชมเชยเด็กสาวอย่างยินดีด้วยใจจริง ปลอบประโลมรติไม่ให้คิดมากเรื่องรุจีจะห่างสายตา แต่เมื่อถึงเวลาไปส่งเด็กสาวที่โรงเรียน กลายเป็นเขาเครียดขมึงทันทีที่ใครบางคนพุ่งตัวมาแสดงความยินดี


   “ยินดีด้วย รุจีเก่งมาก” ผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ปราณ...อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์


   เมื่อครั้งที่มาเยี่ยมชมโรงเรียน รติมิได้มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้นี้มากนัก เพราะยังคิดไม่ตกว่าควรให้น้องสาวสอบเข้าเรียนที่นี่ดีหรือไม่ แต่บัดนี้ตัดสินใจให้รุจีเรียนที่นี่แล้ว การผูกสัมพันธ์กับอาจารย์ของที่นี่ย่อมเป็นการดีที่จะฝากฝังให้ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนเขา


   “ขอบคุณ ข้าต้องฝากน้องสาวด้วย”


   “ไม่ต้องห่วง เราดูแลนักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี ในหอพักนักเรียนก็มีอาจารย์ผู้หญิงพักด้วย หากมีปัญหาอะไร สามารถปรึกษาอาจารย์ได้ทุกเมื่อ”


   รติพอจะเบาใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพูดคุยกับอาจารย์ปราณเกี่ยวกับชีวิตในหอพักของโรงเรียนประจำแห่งนี้ ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องพักผ่อน รวมถึงเรื่องความปลอดภัย ปราณเป็นบุตรชายของครูใหญ่ และสอนที่นี่มาสามปีแล้ว ย่อมสามารถให้ข้อมูลที่รติต้องการ ซึ่งนั่นทำให้คนเป็นพี่ชายสบายใจขึ้นมากทีเดียว


   แต่...กลับมีคนไม่พอใจ


   ตรัสยืนเงียบมาตั้งแต่ต้น จ้องมองภรรยาพูดคุยกับชายอื่นด้วยสายตาหงุดหงิด แต่ครั้นจะเข้าไปขวางก็ไม่รู้จะขวางด้วยเหตุผลใด


รติมิได้ซักถามเรื่องส่วนตัว แต่สิ่งที่ถามล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับน้องสาว ในขณะที่อาจารย์หนุ่มก็มิได้รุ่มร่าม แต่...การพูดคุยอย่างเป็นกันเองทั้งๆที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งที่สาม และพูดคุยเป็นครั้งที่สอง แต่กลับดูสนิทสนมยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ตรัสไม่พอใจ


   เย็นนั้น หลังจากส่งรุจีที่โรงเรียนประจำแล้ว สมาชิกอหัสกรก็พากันกลับเรือน รติมีท่าทีกังวล แต่ไม่ทันจะได้ปรับทุกข์กับสามี อีกฝ่ายก็เดินหนีกลับเรือนพักผ่อนไปแล้ว


   ฝ่ายรติงงงัน ก้าวเท้าตามกลับไป พอปิดประตูเรือนพักผ่อนได้ หันกลับไปมองคนที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ไม่ทันได้ซักถาม อีกฝ่ายก็คว้ามือโดยไร้คำชวน...จูงเข้าห้องอาบน้ำไป


   รติหน้าแดงเรื่อตอนที่ฝ่ายสามีปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาอย่างตั้งหน้าตั้งตา พอจะยื้อมือเอาไว้ ดวงตาดุของตรัสก็เหลือบมาสบ กลายเป็นมือไม้อ่อนไปโดยปริยาย


   วันนี้ตรัสไร้คำพูด แต่เปลื้องผ้าทั้งของตนเองและภรรยาจนเปลือยเปล่า


   ฝ่ายสามีเป็นคนจูงพาไปล้างตัว ก่อนจะดึงมือไปยังอ่างไม้สำหรับแช่ตัว



รติไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ เขาต้องทำเช่นไร ตรัสมิได้เข้ามาอ้อล้อกอดก่าย ปล่อยให้เขาลูบน้ำอุ่นกับผิวกาย แต่พอเขาจะลุกจากอ่างไม้ กลับกลายเป็นตรัสดึงเขาเข้าหาแล้วมอบรสจูบหนักหน่วง


   ไม่แน่ใจนักว่าวันนี้อีกฝ่ายเป็นอะไร ไม่เพียงจุมพิตเท่านั้น แต่อารมณ์รักของตรัสก็ร้อนรุ่มแม้กระทั่งในอ่างไม้ ทั้งรุกเร้าและปลุกปั่น แม้กระทั่งรติบอกว่า ‘ในน้ำ...ฝืด’ ตรัสก็ไม่หยุด ซ้ำยังดึงร่างภรรยาขึ้นยืน ชะโลมร่างกายด้วยน้ำมันหอมจนเนื้อตัวเปียกลื่น แล้วแนบชิดเข้าไปใหม่ คราวนี้ รติไร้ซึ่งเสียงทัดทานแล้ว อารมณ์วาบหวามร้อนระอุพุ่งพล่านไปทั่วเนื้อตัว



ตรัสหนักหน่วงทุกการกระทำ ท่วงท่าใดที่จะแนบชิดกันและกัน เขาไม่รอช้า ทั้งบดเบียด อัดกระแทก รติแทบขาดใจ แต่มิได้ห้ามปรามหรือถอยหนี เพราะต่อให้บทรักในวันนี้จะแตกต่างจากเคย แต่ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้นของตรัสเหมือนทุกคราว


   กระนั้น...ความรู้สึกบางอย่างก็บอกรติว่าวันนี้ตรัสไม่เหมือนเดิม


   กว่าจะได้ออกจากอ่างไม้อาบน้ำ ก็ตอนที่รติถูกความรัญจวนเร่งเร้าจนถึงสวรรค์ไปแล้วถึงสองครั้ง อีกฝ่ายจึงยอมหยุดความปรารถนาลง



เขาต้องนั่งพักอยู่ในอ่างไม้ที่น้ำกระฉอกหายไปมากกว่าครึ่งอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะขอใช้ห้องน้ำเป็นการส่วนตัวเพื่อล้างคราบไคล ตรัสจูบหนักๆที่ข้างขมับ แล้วจึงยอมออกไปรอข้างนอกอย่างเงียบๆ พักใหญ่ รติจึงออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ตอนนั้นตรัสถึงได้กลับเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างเช่นกัน


   จนกระทั่งตอนที่ตรัสกลับเข้ามาในส่วนพักผ่อน แล้วเอนกายลงนอนเคียงข้างรติ จากนั้นจึงรั้งภรรยาเข้าไปนอนกอดอย่างทุกที คำถามจึงดังขึ้นจากคนที่ซุกอยู่กับอ้อมแขนอุ่น


   “ตรัส...วันนี้...ท่านเป็นอะไรหรือ”


   ตรัสก้มลงมองคนที่เงยหน้ามองเขา ดวงตาของรติใสแจ๋ว เต็มไปด้วยความห่วงหาห่วงใยจนเขารู้สึกผิด


เมื่อครู่นี้เหมือนเขาเอาอารมณ์ทั้งหมดผสมกับความต้องการ แล้วกอดก่ายร่างนี้อย่างตะกรุมตะกราม ไม่ถามภรรยาสักคำว่าเจ็บปวดตรงใดหรือไม่ เพียงแต่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของเท่านั้นเอง


   อ้อมแขนของตรัสกระชับแน่นขึ้น มอบจูบอ่อนโยนลงกับหน้าผากของรติ


   “ขอโทษ เจ็บไหม”


   “ไม่เลย ท่านต่างหาก วันนี้เป็นอะไร”


   ตรัสไม่รู้จะพูดเช่นไรว่าเขาทั้งหึงทั้งหวงที่รติสนิทสนมกับชายอื่นที่มองรติอย่างปรารถนา ตัวรติอาจไม่รู้ แต่สามีเช่นเขา รู้เต็มอกว่าชายผู้นั้นมองภรรยาของเขาเช่นไร


   ยิ่งคิดยิ่งหวง ยิ่งคิดยิ่งหึง อยากเก็บรติเอาไว้ในอ้อมแขนนี้ ไม่ให้ออกไปที่ใดอีก


   แต่...เรื่องนี้พูดออกไปจะถูกมองเช่นไร ตรัสที่เคยเป็นคนมีเหตุผล กลับไร้เหตุผลเพราะความหึงหวงที่มีต่อภรรยาตนเองเช่นนั้นหรือ


   “ขอโทษ ไม่มีอะไรหรอก”


   แม้จะรู้สึกว่าวันนี้ตรัสแปลกไป แต่รติก็ไม่ซักไซ้ ทว่าก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้สึกโดดเดี่ยว แม้จะซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของสามี แต่เขาก็โอบแขนกอดร่างของตรัสเช่นกัน


   หัวใจของคนหึงคล้ายเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน เมื่อรับรู้ถึงการกอดกระชับของภรรยา ตรัสฝังจมูกลงกับหน้าผากของรติอีกครั้ง


   หัวใจที่ร้อนผ่าวเมื่อครู่นี้สงบสุขอยู่กับการกอดภรรยาในค่ำคืนนี้

--------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

หึงเงียบ แต่หึงรุนแรงอยู่นะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 25-05-2020 19:28:44
หึงหน้ามืดเลยพ่อ

55555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 25-05-2020 21:49:34
คุยกัน อธิบายให้รติเข้าใจด้วย เพราะกว่ารุจีจะเรียนจบ ยังต้องเจอปราณอีกหลายครั้งแน่ ไม่งั้นรติไม่รู้ตัวหรอก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 25-05-2020 21:51:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-05-2020 22:15:02
เอ็นดูคนขี้หึง   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-05-2020 22:18:57
 :กอด1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-05-2020 22:41:37
 :hao3: ขี้หึงแบบนี้ น้องช้ำหมด
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 26-05-2020 00:02:28
เจอคนขี้หึงหนึ่งอัตรา  :laugh:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-05-2020 15:13:29
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 55 หึง -- (อัพเดต 25/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: KhunYingJung ที่ 26-05-2020 15:18:40
ชอบจังเลย จะตามอ่านนะ กดเป็ด+1
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 27-05-2020 17:23:22
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 56

ข้อเสียของตรัส

---------


   ตรัสเป็นผู้นำสกุลนับตั้งแต่บิดาหายสาบสูญไป



ยามนั้นอายุยังน้อย จะปกครองคนในสกุลให้ได้ ย่อมต้องพูดแต่น้อยแล้วใช้เวลาทำเป็นส่วนมาก ใช้ความเข้มงวดเด็ดขาดเอาจริงเอาจังจนได้รับการยอมรับจากบ่าวไพร่ ดังนั้น ชายหนุ่มจึงติดนิสัยไม่ค่อยพูดมานับแต่นั้น


   ตรัสไม่เคยคิดว่าการไม่พูดของเขาจะเป็นปัญหา เขาพูดเฉพาะเรื่องที่เห็นจำเป็นว่าต้องพูด เรื่องใดไม่จำเป็นก็ไม่พูด แต่ลงมือทำ


   ชายหนุ่มคิดเสมอว่าเขาช่างโชคดีที่ได้คู่ชีวิตเป็นรติ รติไม่ได้แสดงออกว่าชื่นชอบคำพูดเยินยอหรือการบอกความรู้สึกหวานซึ้ง ตัวรติเองก็มิได้เป็นคนช่างพูดเรื่องเหล่านั้น พวกเขาจึงเคียงคู่กันอย่างเป็นสุข อาจมีช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายเมื่อมองการกระทำแล้ว ก็ยังเชื่อมั่นเต็มอกว่าความรู้สึกที่มีให้กันมิได้เสื่อมคลายแต่ประการใด
   

ตรัสเชื่อเช่นนั้นมาตลอด


   การกระทำดีกว่าคำพูด


   รสนาเคยเตือนเขาเอาไว้ครั้งหนึ่ง ว่าบางครั้ง ชีวิตคู่ก็ต้องการทั้งคำพูดและการกระทำ แต่เขาคิดเอาว่าชีวิตคู่เป็นเรื่องเฉพาะตัว คู่ของใครก็ล้วนไม่เหมือนกัน คู่ของเขา สื่อสารกันด้วยวิธีอื่น คำพูดอาจจำเป็น แต่มิได้จำเป็นมากไปกว่าการกระทำ


   จนกระทั่งวันนี้


   ตรัสตระหนักถึงบางสิ่ง


กระทำดีกว่าคำพูดอาจจริง แต่สิ่งที่จริงอีกประการคือคำพูดเสียงดังกว่าการกระทำ


   “ตรัส บ่ายวันนี้ข้าไปโรงเรียนของรุจีนะ”


หลังอาหารมื้อกลางวันที่เรือนอหัสกร ระหว่างที่สองสามีภรรยาเดินกลับมายังร้านยา รติก็เอ่ยขึ้นมา หน้าตาดูแจ่มใสทีเดียวที่จะไปเยี่ยมโรงเรียนของรุจี


   ...อีกแล้ว...


   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รติไปโรงเรียนของรุจี นับตั้งแต่น้องสาวเข้าเรียนที่นั่น แต่ไปทุกสองวันจนสนิทสนมกับอาจารย์ที่ชื่อปราณเป็นอย่างดี


   “เจ้าเพิ่งไปเมื่อวันก่อนไม่ใช่หรือ”


   “ก็ข้าสัญญากับอาจารย์ปราณว่าจะนำผงสมุนไพรไปให้เขา”


   “แล้วอาจารย์ปราณไม่ต้องสอนหนังสือรึ?”


   “วันนี้ไม่มีสอน ข้าถามเขามาแล้ว”


   ตรัสเงียบ สายตาไม่พอใจบ่งชัด แต่ก็เลี่ยงไปมองทางอื่นเสีย 


สุดท้ายบ่ายวันนั้น รติแวะไปที่โรงเรียนของรุจี มีตรัสติดตามไปด้วยโดยไม่พูดอะไร


   พอหนึ่งคนไม่พูด เอาแต่เก็บงำอารมณ์ หงุดหงิดเพียงใดก็ใช้วิธีเงียบเสีย อีกคนก็ย่อมไม่ทราบ หรือถึงพอจะทราบ แต่พอถาม คนเงียบก็เพียงบอกปัดว่าไม่มีอะไร หากอยู่ที่ร้านยา ก็มักเดินหนีเข้าห้องตรวจ หากอยู่ที่เรือน ก็มักเดินหนีไปหยิบจับงานที่โต๊ะทำงานขึ้นมาทำ รติจึงไม่กล้าตามตอแย


   ข้อเสียของตรัสประการนี้ ให้อย่างไรก็แก้ไขไม่ได้ กระนั้น ก็ไม่ใช่คนถือโทษโกรธเคืองภรรยานานๆ พอตกกลางคืนได้นอนอิงแอบกันและกัน เช้าตื่นขึ้นมา รติเอาอกเอาใจดูแลอาหารการกินให้อย่างดี ก็พลอยลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปจนสิ้น


   แต่...เมื่อมีนิสัยไม่พูด อีกทั้งยังหายโกรธโดยไว อีกฝ่ายก็ย่อมไม่ทันระมัดระวัง


   สองวันต่อมา ระหว่างที่กำลังเดินจากเรือนอหัสกรไปที่ร้านยาในตอนเช้า รติก็ชวนขึ้นมาอีก


   “วันนี้รุจีมีกำหนดกลับเรือน เรารีบไปแต่ไวหน่อยดีไหม เผื่อจะได้ถามอาจารย์ที่สอนรุจีว่านางเป็นอย่างไร มีอะไรต้องปรับปรุงบ้างหรือไม่”


   ตรัสชะงักกึก หันมาตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง


   “ไม่เห็นจำเป็นต้องถามใคร โรงเรียนมีสมุดพกให้รุจีถือกลับมาอยู่แล้ว หากเจ้าอยากรู้เรื่องใดก็เขียนใส่สมุดพกให้รุจีถือกลับไปถามก็ได้”


   หน้าตาของเขาหงุดหงิดงุ่นง่านเหลือประมาณ รติพลอยชะงักไปเช่นกัน


   ท่าทีนิ่งงันของภรรยา ทำเอาตรัสรู้ตัวว่าเขาแสดงออกมากเกินไป ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก หันหน้าหนีไปทางอื่น


   “โรงเรียนให้ไปรับตอนเย็น ก็ไปตอนเย็น ไม่ต้องไปก่อน” เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็ก้าวเท้าไว เดินนำทันที


รติได้แต่มองตามแผ่นหลังสามี ไม่เข้าใจว่าเขาทำเรื่องใดให้โกรธ แต่เมื่อตรัสรู้สึกตัวว่าอีกคนไม่เดินตามมา ชายหนุ่มจึงหยุดฝีเท้าหันกลับมามอง เมื่อนั้น รติจึงยอมก้าวเท้าตามไป


   วันนี้...สองสามีภรรยาเดินไปเปิดร้านยาอย่างเงียบๆ ก่อนที่ฝ่ายสามีจะหายหน้าเข้าห้องตรวจไปและไม่ออกมาอีกเลยตลอดครึ่งเช้า ส่วนภรรยาก็ได้แต่นั่งหน้าหมองคิดไม่ตกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากัน



---------



#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต



ธ ม น



THAMON926



---------



ตรัสไม่ใช่พระเอกดีพร้อม เขาก็มีข้อเสีย และคราวนี้ความเงียบของเขาคือข้อเสียค่ะ



อย่าโกรธตรัสเลยนะคะ (ขอความเห็นใจสุดๆ ฮ่าฮ่า)



ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ



เจอกันวันศุกร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-05-2020 17:30:18
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 27-05-2020 17:57:28
จนได้ ถ้าตรัสยังไม่คุยกับรติให้รู้เรื่อง อีกหน่อยต้องทะเลาะกันแน่ ไม่มีใครอยากเป็นที่รองรับอารมณ์นะ แล้วจะเข้าทางปราณแน่แน่ เตือนแล้วนะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-05-2020 19:27:43
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 27-05-2020 19:46:15
ต้องคุยกันได้แล้วนะ   :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 27-05-2020 22:46:39
ให้เวลาคุณสามีปรับตัวหน่อยนะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 27-05-2020 23:22:52
แล้วกัน... :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 28-05-2020 07:05:14
เป็นแบบนี้ไปได้นะตรัส เดียวรติไม่สนใจนะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 56 ข้อเสียของตรัส -- (อัพเดต 27/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: KhunYingJung ที่ 28-05-2020 11:53:49
เพิ่งอ่านได้แค่บทที่ 4 แต่กำลังไล่ตาม  :o12:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 29-05-2020 17:40:50
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 57

ความกังวลของรุจี

---------
   

ตรัสไม่ได้แสดงท่าทีก้าวร้าวแต่ก็ดูรู้ว่าเขาหงุดหงิด มื้อเที่ยงวันนี้ที่เรือนอหัสกรจึงเต็มไปด้วยความเงียบ


   รติก็ไม่ตอแย อันที่จริงก็นับตั้งแต่ตอนที่เดินออกจากร้านยาอหัสกรกลับมาที่นี่แล้ว


   ต่างคนต่างเดิน แม้จะเดินเคียงกัน แต่ก็มิได้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างทุกที พอมาถึงเรือน นั่งประจำที่ แม้ยังนั่งข้างกัน แต่ก็ไม่มีเรื่องใดพูดคุย ตรัสยังตักอาหารให้ตามสมควร รติก็เพียงแค่ค้อมศีรษะเล็กน้อย แต่มิได้พูดอะไรมากกว่านั้น


   ต่างคนต่างกินข้าวอย่างเงียบๆ ในขณะที่ท่านอมรามองเห็นท่าทางปั้นปึ่งที่หลานชายมีต่อสะใภ้แล้วก็สงสัย


   “วันนี้รุจีจะกลับมาแล้วใช่ไหม” นางถามไปเรื่องอื่นแทน แล้วเฝ้าสังเกตว่าสองสามีภรรยาตรงหน้าจะมีท่าทีเช่นไร



เท่านั้นก็เห็นชัด ตรัสชะงัก วางถ้วยในมือลงกับโต๊ะราวกับอิ่มขึ้นมา รติเหลือบมองตรัส ก่อนจะหันมองหญิงชราแล้วเป็นคนตอบ


   “ขอรับ”


   “พวกเจ้าไปรับหรือ”


   “ขอรับ...เอ่อ...” รติยังเป็นคนรับคำ เหลือบมองตรัสอีกหน


   “ปิดร้านยาก่อน แล้วค่อยไปขอรับ โรงเรียนให้ไปรับตอนเย็น” ตรัสแทรกขึ้นมา น้ำเสียงกระด้างเสมอต้นเสมอปลาย รติหันมองสามี ต่อให้เป็นคนโง่ก็ต้องรู้ตัวแล้วว่าตรัสไม่พอใจเรื่องที่เขาขอไปโรงเรียนของรุจีก่อนเวลา


   มีปัญหาตรงใด รติไม่เข้าใจ เขาแค่จะไปก่อนเวลาแค่เล็กหน่อย และอาจารย์ปราณก็ออกปากเองว่าวันที่มารับรุจีกลับเรือน หากมีเรื่องหารือ จะมาก่อนเวลาสักหน่อยก็ได้


   เจ้าของสถานที่ยังไม่มีปัญหา แต่ตรัสมี


   มีแล้วพูดจะไม่ว่า นี่อะไร มีแล้วอุบเงียบ ทำทีเหมือนเคืองกันนักหนา ราวกับว่าการที่เขาไปโรงเรียนของรุจีเป็นเรื่องผิดร้ายแรงนัก!


   สองสามีภรรยาพากันเงียบไปอีก คราวนี้รติเริ่มปั้นปึ่งบ้างแล้ว ระหว่างทางจากเรือนอหัสกรไปยังร้านยาในตอนบ่าย จึงเต็มไปด้วยความอึมครึม


   เย็นนั้น ร้านยาอหัสกรปิดตรงตามเวลา แม้จะไม่พูดกัน แต่ตรัสและรติก็ยังโดยสารรถม้าไปยังโรงเรียนของรุจีเพื่อรับเด็กสาวกลับเรือนอหัสกรในวันหยุดสุ


   ตอนรุจีพบหน้าพี่ชาย นางเริงร่าพูดคุยไม่หยุดปาก สภาพแวดล้อมใหม่ โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ล้วนเป็นเรื่องตื่นตาตื่นใจ ตลอดทางกลับจากโรงเรียนถึงเรือนอหัสกรมีแต่เสียงของนาง แม้จะเอาแต่พูดเรื่องสนุกของตนเอง กระนั้น...รุจีก็เป็นเด็กหัวไว


   นางรู้สึกว่าตรัสและรติมีท่าทีแปลกไป


   เดิมที ทั้งสองคนไม่ใช่คู่สามีภรรยาที่รักกันอย่างประเจิดประเจ้อ แต่ก็แสดงออกทางสีหน้าและแววตาอยู่เนืองๆ ทว่าวันนี้กลับพบว่าตรัสหันหน้าหนีออกนอกหน้าต่างรถม้า ในขณะที่รติก็มิได้หันไปมองสามีของตนแต่อย่างใด


   ตอนรับประทานอาหารเย็นยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งสองคนไม่พูดกันเลยสักคำเดียว ไม่มองกันด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องปรนนิบัติดูแลก็คล้ายทำตามหน้าที่


รุจีคิดว่านางคงพลาดเรื่องใหญ่สักเรื่องแน่แล้ว คืนนั้นเมื่อเข้าไปอ่านหนังสือให้ท่านอมราฟัง นางจึงลองเลียบเคียงถามด้วยความเป็นห่วง


   “ท่านย่าเจ้าคะ เอ่อ...ช่วงที่ข้าไม่อยู่...ท่านพี่...มีปัญหาอะไรหรือไม่เจ้าคะ”


   อมราหันมอง แล้วก็ถอนหายใจ


   “ก็คงมี...สามีภรรยาก็อย่างนี้...”


   “ข้า...ไม่ควรยุ่งใช่ไหมเจ้าคะ แต่ข้าห่วงท่านพี่...”


รติเป็นคนสดใสร่าเริง ไม่ว่าเรื่องใดๆก็ยิ้มแย้มอยู่เสมอ งานหนักหรือต้องเหนื่อยยากเพียงใดก็ยังยิ้มสู้ แต่...คราวนี้เจ้าตัวไม่ยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว


   “...วันนี้ท่านพี่ดูไม่ค่อยดี หน้าตาซีดเซียวชอบกล ข้ากลัว...พี่รติป่วย...” ประโยคหลังเบาแผ่ว หากรติมีอาการเจ็บป่วยขึ้นมาด้วยแล้ว นางคงยิ่งกังวล


   คิดแล้วก็นึกโทษตนเอง หากนางไม่ดื้อรั้นเรียนโรงเรียนประจำ ก็คงกลับเรือนได้ทุกวัน แต่ในเมื่อเรียนโรงเรียนประจำแล้วก็ต้องไปกินนอนทางนั้น จะกลับเรือนแต่ละครั้ง ต้องรอวันหยุด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในช่วงที่นางไม่อยู่ หากรติเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยดูแล


   ที่สำคัญ...หากรติป่วย แล้วมีอาการตาบอดขึ้นมาอีก จะทำเช่นไร


   ในเรือนอหัสกรนี้ คนที่รู้เรื่องอาการประหลาดของรติก็มีเพียงนางและระพีเท่านั้น แม้ระพีจะยังเล็ก แต่นางก็จำต้องฝากฝังกับเขา


   หลังออกจากห้องของท่านอมรา นางตรงไปยังห้องพักผ่อนของระพี เด็กชายกำลังวาดรูปเล่น แต่พอรุจีบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ระพีก็รีบวางมือ ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างดี


   “ช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลพี่รติให้ดี เจ้ารู้ใช่ไหม พี่รติมีโรคประหลาด หากไม่สบายจะมองไม่เห็นชั่วคราว”


   เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก


   “เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ เจ้าเองก็จะบอกใครไม่ได้”


   “บอกพี่ตรัสก็ไม่ได้หรือขอรับ”


   “ไม่ได้ จะให้ใครรู้ไม่ได้ ท่านปู่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเรื่องของพี่รติ ให้รู้แค่เฉพาะเราสองคนเท่านั้น”


   เด็กชายมีสีหน้าหงอยลง


   “ระพี เรื่องของพี่รติจะบอกใครไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อข้าไม่อยู่ หากพี่รติมีอาการขึ้นมา เจ้าต้องช่วยดูแล อย่าปล่อยให้พี่รติอยู่เพียงลำพัง เข้าใจไหม”


   “ขอรับ! ข้าจะดูแลพี่รติอย่างสุดความสามารถ!”


   “ดีมาก”


   แม้จะไม่อาจวางใจได้โดยแท้ เพราะระพียังเล็กมากนัก แต่ก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสา ระพีช่วยเหลือตัวเองได้ และก็น่าจะถึงเวลาที่เขาจะดูแลผู้อื่นได้แล้วเช่นกัน


--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

เจอกันวันจันทร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-05-2020 18:29:54
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 29-05-2020 20:36:22
ไม่หันหน้ามาคุยกัน ความหมางเมินจะเข้ามาแทนที่ความเข้าอกเข้าใจ  มือที่สามจะเข้ามาแทรกแน่นอน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-05-2020 21:24:30
เรื่องราวชักจะบานปลาย..รับเปิดใจคุยกันทีเถิด..ดดดดดดดด    :call:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-05-2020 01:24:23
รสชาติของการไม่คุยกันฉันสามีภรรยามันก็ออกจะฝืนๆขืนๆหน่อย ไม่อร่อยหรอก แต่ก็จะได้จำวิธีการทำจะได้ไม่ทำอีก อิอิ น่าเอ็นดูรุจิระพีจริง น้องๆห่วงใหญ่เลย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-05-2020 01:59:33
 :ling2: :ling2: อึมครึม
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 30-05-2020 09:20:20
เป็นกันอีกแล้วตอนแรกภรรยาก็ไม่คุยกับสามี ตอนนี้สามีก็ไม่คุยกับภรรยา :hao5:  รีบคุยกันเร็วๆหม่นมากตอนนี้อึมครึมไปหมด :katai1: :L1: :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 57 ความกังวลของรุจี -- (อัพเดต 29/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 31-05-2020 07:43:31
ความจะแตกก็คราวนี้และรติต้องป่วยแน่ๆ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 01-06-2020 17:27:02
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 58

ป่วย

---------


   ก่อนหน้านี้ มีเรื่องกังวลเกี่ยวกับโรงเรียนประจำที่ทำให้น้องสาวห่างหูห่างตา พักหลังนี้ยังมีเรื่องระหองระแหงกับตรัสอย่างไม่รู้ที่มาที่ไปอีก


   เมื่อคนหนึ่งไม่พูดต้นเหตุของปัญหา อีกคนก็ไม่เข้าใจซ้ำยังพลอยหงุดหงิด กลายเป็นว่าคราวนี้ต่างคนต่างเมินหน้าหนีกัน


   หากเมินแล้วเป็นสุข ก็คงไม่ใช่คู่สามีภรรยา


   แต่เพราะเมินแล้วเป็นทุกข์ ไหนจะความกังวลที่สุมทับมาหลายวัน ทั้งเครียดทั้งนอนไม่หลับ รติก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองชักจะไม่สบาย


   รติรู้ดีถึงข้อจำกัดของตนเอง เมื่อไม่สบาย จะมองไม่เห็น และเรื่องนี้ยังคงเป็นความลับ ไม่มีผู้ใดในสกุลอหัสกรล่วงรู้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้รู้


   ตอนที่เริ่มรู้สึกตัวว่าร่างกายไม่ปกติ จึงรีบหาสมุนไพรมาบำรุง แต่ไม่รู้ว่าเพราะความกังวลยังทับถม ความเครียด ความโกรธเคืองยังสะสมอยู่ในจิตใจหรือไม่ แม้จะบำรุงร่างกายแล้ว แต่...ก็ไม่หาย


   เช้าวันที่รุจีกลับไปเรียน อาการของรติเริ่มส่อเค้าแย่ลง


 เมื่อไปส่งน้องสาวที่โรงเรียนแล้ว ตลอดทั้งวัน รติให้บ่าวในร้านยาเป็นคนขายผงสมุนไพร ส่วนตนเองหลบไปงีบหลับในห้องเก็บสมุนไพรชั้นใต้ดินเพราะไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ 


   อันที่จริง ห้องเก็บสมุนไพรนั้นค่อนข้างเย็น และควรจะหาห้องที่อบอุ่นกว่านี้เพื่อพักผ่อน แต่ร้านยาอหัสกรมิได้มีพื้นที่มากมายนัก ห้องที่อุ่นที่สุดก็คงเป็นห้องตรวจของตรัส พื้นที่ลับตาในห้องนั้นก็พอมี เช่นข้างหลังโต๊ะทำงาน แต่...ได้ที่ไหนกัน ทุกวันนี้หน้ายังไม่มอง แล้วจะกล้าร้องขอพื้นที่สักส่วนเพื่อพักผ่อนได้อย่างไร


   เย็นนั้น อาการไม่สบายทุเลาเพียงบางส่วน มื้อเย็น รติพยายามกินให้มาก แต่เพราะความกังวล ให้อย่างไรก็ไม่อยากอาหารและอิ่มไวกว่าปกติ ในขณะที่ก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติด้วยการยังคงทำผงสมุนไพรในโรงครัว


   แม้จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นขึ้นมากแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่ายามค่ำคืน อากาศจะอบอุ่นเท่าตอนกลางวัน รติต้องเผชิญกับอากาศหนาว แม้ในโรงครัวจะมีทั้งฟืนไฟ แต่ก็ให้ความอบอุ่นเป็นหย่อมๆ ตัวเขาต้องขยับไปมา ประเดี๋ยวเดินไปบดยา ประเดี๋ยวเดินไปต้มสมุนไพร อยู่ในที่หนาวบ้าง อุ่นบ้าง ร้อนบ้าง แต่เพราะเคลื่อนไหวตลอด จึงไม่ทันรู้ตัวว่าร่างกายของตนเองที่เริ่มอ่อนแอ ต้องพบกับความไม่แน่นอนของอุณหภูมิรอบตัว


   และเมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง...ร่างกายที่อ่อนแอก็แสดงอาการผิดปกติ


   คนที่นอนข้างกัน แม้จะไม่กอดก่ายเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ แต่มีหรือจะไม่รู้ว่าอุณหภูมิของคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันผิดปกติ


   ตรัสตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด เดิมที รติจะลุกจากเตียงพร้อมเขา คนหนึ่งเข้าครัวไปดูแลกิจการในนั้น อีกคนฝึกฝนร่างกาย เดินตรวจตรารอบเรือนดูแลความเรียบร้อย แต่เช้านี้...มีเพียงตรัสที่ลุก


   รติยังนอนอยู่ข้างกาย เสียงหายใจไม่ราบรื่นนัก ที่แปลกที่สุดคือภรรยาของเขาไม่มีทีท่ารู้สึกตัว


   ชายหนุ่มรู้สึกผิดปกติ แม้จะยังอยู่ในช่วงปั้นปึ่ง แต่ความห่วงใยมีมากกว่า แล้วพอเขาทาบหลังมือลงกับหน้าผากของภรรยา ตรัสก็รู้ในทันทีว่าเขาคิดถูกแล้วที่ละทิ้งความโกรธเคืองลง


   เขาลุกจากเตียง คว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วก้าวเท้าไวออกจากห้อง


   เช้านี้ ในโรงครัววุ่นวาย เพราะหมอหนุ่มแห่งร้านยาอหัสกรเข้าไปจัดแจงสั่งให้พุดกรองต้มยาแก้ไข้ทันที!



--------


   
น้ำต้มสมุนไพรและยาแก้ไข้ที่เพิ่งถูกต้มหมาดๆ ถูกตรัสยกเข้ามาในเรือนพักผ่อน แต่ทันทีที่เห็นคนป่วยกำลังลุกจากเตียง เขาก็รีบวางถาดแล้วปราดเข้าไปช่วยพยุง พลางดุเสียงเข้ม


   “เจ้าจะทำอะไร”


   รติชะงักไปอึดใจหนึ่ง ไม่เงยมองและพูดด้วยเสียงอันเบา


   “เปลี่ยนเสื้อผ้า...”


   “ไม่ต้องลุก ข้าจะทำให้” ฝ่ายสามีพูด กำลังจะผละไปเปิดตู้ไม้เพื่อหยิบเสื้อผ้า แต่เสียงของภรรยาดังขึ้นก่อน


   “ไม่เป็นไร” คราวนี้ตรัสหันกลับมามองทันที


   “ไม่เป็นไรได้อย่างไร?! เจ้าไม่สบายขนาดนี้!”   


ความเป็นห่วง ทำให้เผลอใจร้อน แม้กระทั่งเสียงดุของตนเองก็ยังทำให้ตรัสรู้สึกตัว


เขาไร้เหตุผลมากขึ้นทุกที เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับรติ แค่เห็นภรรยาใกล้ชิดกับผู้อื่น ก็หึงหวง แค่เห็นภรรยาป่วยไข้โดยไม่บอกกล่าว ก็โกรธเคือง แต่โชคดีที่เขารู้ตัว ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ปรับอารมณ์และน้ำเสียง


   “วันนี้...ไม่ต้องออกไปร้านยา เจ้าควรพักผ่อน ข้าเองก็จะรีบไปรีบกลับ วันนี้ปิดร้านไม่ได้ เพราะมีคนไข้จะเข้ามาทำแผล”


   “ไม่เป็นไร ข้าอยู่ได้...” รติเอ่ยเสียงแผ่ว กระนั้นก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา



ตรัสคิดเอาเองว่าภรรยาคงกลัวที่เห็นเขาอารมณ์ร้าย ไหนจะเพราะอาการตัวร้อนเป็นไข้ จึงไม่สงสัยว่าเหตุใด รติจึงไม่มองหน้าเขาเลย เจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้า เบี่ยงสายตาไปทางอื่น


   ยิ่งคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวอารมณ์ของเขา ตรัสก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาแตะมือลงกับไหล่ของภรรยาแล้วลูบเบาๆอย่างอ่อนโยนคล้ายจะปลอบประโลม


   “แต่ข้าเป็นห่วง”


   รตินิ่งงัน แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ฝ่ายคนพูดจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเม้มปากเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์หวามไหวในอกจากคำพูดประโยคสั้นๆนั้น


   “ข้าจะให้พุดกรองมาอยู่เป็นเพื่อน ในระหว่างที่ข้าไปเปิดร้าน”


   “ไม่เป็นไร ข้าอยู่ได้จริงๆ แค่ไม่สบายเล็กน้อย” รติย้ำคำเดิม แต่ยังไม่เงยหน้ามอง


   “อย่าดื้อ” แม้จะดุ แต่น้ำเสียงของตรัสก็ไม่ได้เข้มงวดมากนัก


   “ข้าไม่ได้ดื้อ”


“ทั้งดื้อทั้งป่วย”


“แค่ป่วยเล็กน้อย”


“เถียงอีก”


คราวนี้รติเงียบ ไม่ตอบโต้ และยังไม่ยอมเงยหน้ามองตรัสเช่นเดิม


เห็นท่าทีเช่นนั้น ตรัสก็ไม่อยากบังคับ เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงโกรธที่เขาดุในทีแรก แล้วยังขัดใจจะให้คนมาอยู่เป็นเพื่อนอีก สุดท้ายชายหนุ่มจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายยอม


“เอาเถอะ...อยู่ได้ก็อยู่ได้ ถ้าไม่อยากให้มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ข้าก็จะไม่ขัดใจ แต่เจ้าต้องกินข้าวกินยา ห้ามทิ้งสักอย่าง เข้าใจไหม”


“เข้าใจแล้ว”


พอภรรยารับปาก ตรัสก็พลอยถอนหายใจ แม้ใจจะห่วง แต่ก็ไม่อยากขัดใจ เขาพยุงรติขึ้นยืนพลางเอ่ย


“มาเถอะ ข้าจะพาไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตากินข้าวกินยาจะได้พักผ่อน...”


ชายหนุ่มพาเดินไปยังห้องสุขา ฝีเท้าของรติเชื่องช้า แต่ก็อย่างที่กล่าวว่าวันนี้รติไม่สบาย หากจะผิดแปลกไปจากเดิมบ้าง ตรัสจึงไม่สงสัย


และ...เขาไม่สงสัยเลยสักนิด ว่าภรรยาที่เขาส่งเข้าห้องสุขาที่สว่างไสวด้วยแสงจากตะเกียงเทียน กลับมองเห็นแต่ความมืด อาศัยความเคยชิน ในการหยิบจับและเดินเหิน ดังนั้น เจ้าตัวจึงดีใจมากที่ตรัสบอกว่าวันนี้ปิดร้านไม่ได้เพราะต้องทำแผลคนไข้ที่นัดเอาไว้


   เวลานี้...อยู่ห่างกันเห็นจะดีที่สุด อย่างน้อยตรัสจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมภรรยาผู้เป็นไข้ กลับทำตัวเหมือนคนมองไม่เห็น


   เพราะเช้านี้...


รติหาใช่เพียงไม่สบาย แต่ยังตาบอดอีกด้วย


---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


อย่าโกรธตรัสนะคะ ตรัสไม่รู้ ก็รติไม่บอกนี่นา


ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ


เจอกันวันพุธค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-06-2020 17:45:54
ความลับใดๆไม่มีในโลก ถ้าตรัสรู้ก็ดี จะได้หาทางช่วยกันรักษา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 01-06-2020 18:25:02
เมื่อไหร่จะเคลียร์กันให้เข้าใจร้าปัญหายิ่งสั่งสมมันไม่ดีต่อชีวิตคู่นะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 01-06-2020 21:27:30
จนป่านนี้ก้อยังไม่บอกตรัส ถึงอาการป่วย เพราะ ?
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-06-2020 21:43:40
เป็นห่วงรติ... :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 01-06-2020 23:25:32
รติต้องบอกตรัสสิ :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 02-06-2020 18:12:46
ไม่สบายต้องบอกกันนะ :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 58 ป่วย -- (อัพเดต 01/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 02-06-2020 23:29:57
 :mew5:เดียวก็โดนโกรธกว่าเดิม มีอะไรไม่บอกกัน
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 59 ปราณ -- (อัพเดต 03/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 03-06-2020 14:06:02
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 59

ปราณ

--------
   

ปราณเป็นคนท้องถิ่นในเมืองตะวันออก แต่ย้ายไปอยู่เมืองหลวงตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อสามปีก่อนเพิ่งจะกลับมาสอนหนังสือในโรงเรียนที่ตระกูลของตนเป็นเจ้าของกิจการ


โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำสตรีที่มีชื่อเสียง ตัวเขาเองในฐานะทายาท ย่อมต้องเรียนรู้ทั้งงานในสายวิชาการและการบริหาร


   และเพราะไปเรียนต่างเมืองแต่เล็ก ปราณจึงไม่มีเพื่อนในเมืองตะวันออกมากนัก


   ตลอดสามปีที่กลับมาฝึกงานในโรงเรียนประจำดรุณีพิไล ปราณมุ่งมั่นเรียนรู้งาน มิได้สร้างสังคมนอกโรงเรียน จึงมีเพียงเพื่อนครูด้วยกัน จนกระทั่ง...พบรติ


   รติผู้นี้เป็นภรรยาของหมอตรัสแห่งร้านยาอหัสกร


เรื่องสถานะนี้ ใครก็ทราบดีเพราะทั้งสองมิได้ปิดบัง รติเองก็ไม่ใช่ภรรยาในเรือน แต่ช่วยกิจการอหัสกรจนรุ่งเรือง


ปราณเคยพบรติแล้วสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่ไปซื้อผงสมุนไพรให้บิดา แล้วรติถามว่าตนเองเป็นใคร ยามนั้นเขาตอบว่าไม่รู้ เจ้าตัวจึงแนะนำตัวเองอย่างแข็งขัน


‘ข้าชื่อรติ อหัสกร เป็นภรรยาของหมอตรัส!’


ยามนั้นเขานึกขันกับท่าทีมุ่งมั่น แต่ก็ถูกชะตากับดวงตาเป็นประกายสดใส ทว่ามิได้ทำความรู้จักมากนัก มาพบครั้งที่สองก็ตอนไปงานเลี้ยงมงคลสมรสที่เรือนคหบดีผู้หนึ่งแทนบิดา แล้วพบรติปรนนิบัติดูแลสามีอย่างดี แม้ไม่ประเจิดประเจ้อ แต่ก็ดูออกถึงความสนิมสนมนั้น


คนเราเมื่อถูกชะตาครั้งที่หนึ่งแล้ว ครั้งที่สองก็ย่อมถูกชะตาเช่นเดิม


และคราวนี้...สร้างความรู้สึกน่าสนใจให้แก่ปราณด้วย


   เขาเฝ้ามอง มิได้รุ่มร่าม พบเจอสองครั้ง ล้วนรู้สึกถูกชะตาทั้งสองครั้ง แต่ก็มิได้ผูกสัมพันธ์


   จนกระทั่งวันหนึ่ง บิดาผู้เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนมาบอกเขาว่า สกุลอหัสกรจะขอเยี่ยมชมโรงเรียนเพราะทายาทผู้หนึ่งของสกุลสนใจเข้าเรียนที่นี่


ปราณสนใจขึ้นมาทันที


เท่าที่เขาทราบ สกุลอหัสกรเป็นสกุลเล็ก ไม่ได้มีญาติพี่น้องมากมายนัก ประกอบด้วยท่านอมราผู้อาวุโส ตรัสและรติสองสามีภรรยา และน้องสาวน้องชายของรติ ท่านอมราอายุมากแล้ว คงไม่ใช่ผู้ที่จะมาเยี่ยมชม ส่วนน้องสาวน้องชายของรติก็อายุยังน้อย ถึงจะเป็นผู้สนใจเข้าเรียนที่นี่ก็ไม่น่าจะมาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นผู้ที่จะมาก็คงเป็น...ตรัสและรติ


สองสามีภรรยาไม่น่าส่งผู้ใดผู้หนึ่งมาเพียงลำพัง ดังนั้นปราณจึงเสนอตัวขอเป็นผู้นำทางผู้มาเยือนในวันนั้น


ตามที่คาด ตรัสและรติเป็นตัวแทนของอหัสกรมาเยี่ยมชมโรงเรียน


ปราณได้ทำความรู้จักกับรติสมความตั้งใจ แต่ที่เหนือความตั้งใจคือรติน่าสนใจกว่าที่เขาคิดเอาไว้


รติไม่ใช่ภรรยาผู้เดินตามหลังสามี แต่กลับเป็นคนช่างซักถาม รู้จักสังเกต สงสัยสิ่งใดก็หาใช่เก็บงำเพราะตื่นคนแปลกหน้า


หากจะเรียกว่าตรัสช่างโชคดีที่ได้ภรรยาเช่นนี้...ก็ใช่


หากจะเรียกว่าปราณโชคดีที่ได้พบสหายถูกใจเช่นนี้...ก็ใช่


อาจารย์หนุ่มถูกโฉลกรติเป็นอันมาก รติแวะเวียนมาที่โรงเรียนบ่อยๆเพราะเป็นห่วงน้องสาว ก็พลอยได้พูดคุยกันมากขึ้น หนำซ้ำยังมีน้ำใจ นำผงสมุนไพรบำรุงร่างกายมาฝากด้วย ปราณจึงคิดตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่ายเช่นกัน


วันหนึ่งที่ไม่มีการสอนคาบคณิตศาสตร์ ปราณสั่งให้คนจัดตะกร้าผลไม้ให้หนึ่งตะกร้า แล้วหิ้วไปยังร้านยาอหัสกร


ครั้งหนึ่งเคยได้รับผงสมุนไพรบำรุงร่างกายจากรติ จึงคิดตอบแทนด้วยผลไม้รสชาติดี


น้ำใจของสหายก็ย่อมต้องตอบแทนด้วยน้ำใจของสหาย


ปราณไม่ได้คิดว่าสหายผู้นี้มีสามีแล้ว และแม้พวกเขาต่างเป็นชาย แต่สามีของรติก็ใช่จะสบายใจ


---------


   ชายหนุ่มสวมแว่นร่างสูงก้าวเท้าลงจากเกวียนเทียมม้าที่หน้าร้านยาอหัสกรในตอนที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะพอดี ร้านยาอหัสกรตั้งอยู่ใกล้ลานน้ำพุจึงพลุกพล่าน กระนั้น ในร้านก็ค่อนข้างเงียบ เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าหมอตรัสผู้ตรวจรักษาและรติผู้ขายผงสมุนไพรจะพักรับประทานอาหารเที่ยง หากไม่ใช่ต้องการรักษาเร่งด่วน ก็มักไม่มีคนแวะมาเวลานี้ แต่เรื่องนี้ปราณไม่ทราบ


   ตอนที่เขาไปถึง หมอตรัสออกไปแล้ว กระนั้นเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาพบหมอหนุ่มแห่งร้านยา จึงหันไปแจ้งความจำนงกับบ่าวผู้เฝ้าร้านผู้หนึ่ง


   “ข้าชื่อปราณ เป็นสหายของท่านรติ ไม่ทราบว่าท่านรติอยู่ไหม”


   “วันนี้ท่านรติไม่มาขอรับ”


   “ไม่มา? แล้วไปที่ใด ข้าอยากพบเขา”


   “เอ? เห็นท่านตรัสว่าไม่สบาย วันนี้พักผ่อนที่เรือนนะขอรับ” บ่าวแสนซื่อเล่าทุกข้อเท็จจริง โชคดีที่ปราณมิใช่คนร้าย หนำซ้ำยังเป็นชายหนุ่มผู้มีวิชาความรู้และมารยาท เมื่อบ่าวที่ร้านยาอหัสกรแจ้งแก่เขาว่ารติอยู่ที่เรือน และเวลานี้เป็นเวลาเที่ยง ย่อมต้องรับประทานอาหารเที่ยง หากมีแขกเช่นเขาแวะเวียนไปเยี่ยมเยียน จะเป็นการสร้างความลำบากในการจัดหาอาหารมาต้อนรับ ดังนั้น อาจารย์หนุ่มแห่งโรงเรียนสตรีจึงลาจากร้านยาอหัสกร แล้วแวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเสียก่อน


   เมื่ออิ่มหนำแล้ว เห็นเป็นเวลาสมควรที่จะไปเยี่ยมเยียนผู้อื่น จึงออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังเรือนอหัสกร


   ตอนที่ปราณไปถึง ตรัสออกจากเรือนไปพักหนึ่งแล้ว จึงไม่ได้พบกัน


   และในเมื่อตรัสไม่อยู่ ผู้ที่ต้องออกมาต้อนรับสมควรจะเป็นรติ แม้รติไม่สบาย แต่เพราะอาจารย์ปราณมาเพื่อนำของกำนัลมามอบให้รติ จะให้ท่านอมราออกมารับหน้าแทนก็กระไร หนำซ้ำ ช่วงบ่ายหลังมื้อเที่ยงเป็นที่รู้กันดีในอหัสกรว่าท่านอมราจะต้องพักผ่อน จึงไม่มีใครรบกวนนางให้ออกมารับแขก


   สีหน้าของรติดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามากนัก อย่างน้อยก็เพราะตรัสไม่เมินเฉย หนำซ้ำยังเอาใจใส่อย่างดี สั่งให้คนต้มยาและสมุนไพรสำหรับบำรุงร่างกาย เมื่อตอนกลางวันก็กลับมาดูแล ถามไถ่เรื่องอาหารการกิน รติมองไม่เห็น ย่อมไม่ร่วมโต๊ะกับผู้ใด และอาศัยความเป็นคนป่วยเอาแต่ใจด้วยการขอน้ำแกงเพียงถ้วยหนึ่ง ตรัสยอมตามใจแต่ก็เฝ้าดูเฝ้าประคองให้ดื่มจนหมดถ้วย แม้รติจะมองไม่เห็น แต่ก็รับรู้ว่าตรัสห่วงใยเขาเพียงใด


   กระนั้น...อาการตาบอดก็ใช่จะหายปุบปับ


   รติยังคงมองไม่เห็น จึงต้องให้บ่าวช่วยพยุงพาออกมาต้อนรับปราณ


   แม้ในความเป็นจริง...รติไม่ได้เป็นไข้เพียบหนักจนเดินไม่ไหว แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นสะโหลสะเหล เพื่อจะได้มีคนช่วยพยุงพาเดินพานั่งได้โดยไม่มีใครสงสัย


   ตอนที่ปราณเห็นบ่าวรับใช้พยุงรติเข้ามาในห้องรับรองแขก เขาก็ถึงกับชะงักไปด้วยความตกใจ รติเป็นคนสดใสร่าเริง และดูแข็งแรง ไม่คิดว่าจะไม่สบายจนถึงขั้นต้องให้คนช่วยพยุงเช่นนี้ เขารีบลุกขึ้นก้าวเข้าไปช่วยพยุงแขนอีกข้าง


   “ท่านป่วยหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!”


   “ไม่หรอกๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก” รติตอบ ค้อมศีรษะไม่เงยมองสหายโดยตรง ท่าทีของเขาช่างสุภาพ แต่นั่นก็เพื่อจะได้ไม่มีใครสังเกตว่าดวงตาของเขา หาได้จับจ้องผู้ใด


   ...เพราะมองไม่เห็น...


   อาจารย์หนุ่มช่วยพยุงพาเดินไปนั่งที่ตั่ง


   “เมื่อตอนเที่ยงข้าไปที่ร้านยา เห็นบ่าวที่นั่นบอกว่าท่านไม่สบาย ข้าก็เลยมาที่นี่ ท่าน...กินข้าวกินยาแล้วใช่ไหม”


   รติหัวเราะเบา ดูสดใสแต่ก็ไม่ได้หันมองคู่สนทนา


   “แน่ซี อหัสกรเป็นร้านยา หากข้าเจ็บป่วยแต่ไม่ได้กินยา เห็นทีคงแย่แล้ว”


   ราวกับปราณเพิ่งนึกออก สามีของรติเป็นหมอรักษาโรค ย่อมดูแลภรรยาอย่างดี


   “ว่าแต่...ท่านมาหาข้า มีอะไรหรือ หรือว่า...รุจีมีปัญหาใด”


   “ไม่ใช่เรื่องรุจีหรอก ข้าแค่นำผลไม้มาฝาก”


   รติชะงักไปเล็กน้อย อาการตาบอดทำให้เขาย่อมมองไม่เห็นว่าปราณนำผลไม้ชนิดใดมามอบให้ จำนวนเท่าไร หน้าตารูปลักษณ์ของมันเป็นเช่นไร แต่ก็อาศัยความเฉลียวหาทางรอดตัว


   “ขอบคุณท่านมาก ขอให้บ่าวรับแทนข้าได้ไหม ข้า...รู้สึกแขนล้าชอบกล...” พูดแล้วก็บีบนวดแขนตนเองให้ดูว่าร่างกายของเขาช่างอ่อนเปลี้ยเพราะอาการป่วย ไม่อาจรับของฝากจากปราณด้วยมือตนได้


   เห็นดังนั้นแล้ว อาจารย์หนุ่มก็ยิ่งห่วงใย


   “ข้าจะฝากบ่าวเอาไว้ ท่านควรพักผ่อนให้มาก ข้าไม่รบกวนแล้ว ท่านจะได้พักผ่อน”


   รติยิ้มน้อยๆ ปราณนั่งอยู่ข้างเขา เมื่อปราณลุก เขาย่อมรับรู้ จึงขยับลุกตาม เพียงแค่ลุกขึ้นยืน ปราณก็ช่วยพยุงแล้ว


   “ท่านไม่ต้องไปส่ง” สหายกล่าว แต่รติกลับส่ายหน้าไปมา โดยที่ยังก้มหน้าต่ำ


   “ได้อย่างไรกัน ท่านอุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยมข้าถึงนี่ อีกทั้งยังนำของฝากมาให้ ข้าก็ต้องไปส่งให้ถึงหน้าประตูเรือน”


   แม้จะมองไม่เห็น แต่น้ำใจของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องจะมองข้าม รติพอจะมีลู่ทางในการเดินไปส่งสหายผู้นี้ที่หน้าประตูด้วยการให้บ่าวรับใช้พยุงพาไป แต่ปราณจับแขนเขาข้างหนึ่งอยู่แล้ว แม้บ่าวของเรือนอหัสกรจะเข้ามาช่วยจับแขนอีกข้าง แต่อาจารย์หนุ่มก็หาได้ปล่อยไม่


   สองคนเดินพยุงคนป่วยไปยังหน้าประตูใหญ่ ฝั่งหนึ่งคือชายหนุ่มผู้สวมแว่นมีฐานะเป็นอาจารย์แห่งโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองตะวันออก อีกฝั่งคือสาวใช้แห่งเรือนอหัสกร


   แต่...ชายหนุ่มที่ก้าวเท้าเดินอาดๆเข้ามาในเรือนกลับมองเห็นเพียงภรรยาของตนถูกประคองโดยชายหนุ่มที่ชื่อปราณ!


   “นั่นทำอะไร?!!” เสียงของตรัสดังลั่น ทุกสรรพสิ่งหยุดชะงักแต่เพียงเท่านั้น!


--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

ไม่รู้จะตีใครเลยค่ะ น่าตีทั้งรติ ทั้งตรัส ทั้งปราณ

ปราณมาดีแต่คิดน้อยไปหน่อย ส่วนตรัสก็ขี้หึงแล้วยังไม่พูด รติก็มีเรื่องปิดบังอีก ทุกอย่างมาเจอกันในตอนนี้ค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

เจอกันวันศุกร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 59 ปราณ -- (อัพเดต 03/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 03-06-2020 14:15:29
เอาแล้วไง   :serius2: อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์เลยค่ะจะเป็นยังไงต่อ :katai1:  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 59 ปราณ -- (อัพเดต 03/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-06-2020 14:33:50
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 59 ปราณ -- (อัพเดต 03/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 03-06-2020 16:00:57
รอวันศุกร์  :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 59 ปราณ -- (อัพเดต 03/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 03-06-2020 16:17:35
จนได้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 59 ปราณ -- (อัพเดต 03/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-06-2020 17:48:34
ตรัส...ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ   :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 59 ปราณ -- (อัพเดต 03/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: toonsora ที่ 03-06-2020 17:59:34
ถ้าจะบอกว่าแต่ละตอนช่างสั้นนัก จะผิดไหม 5555 :z3: :z3:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 60 ทะเลาะ -- (อัพเดต 05/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 05-06-2020 13:44:55
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 60

ทะเลาะ

---------


   ตรัสกลับไปที่ร้านยาแล้วครั้งหนึ่ง แต่บ่าวในร้านบอกว่ามีคนมาขอพบรติ เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง สวมแว่น ชื่อปราณ เพียงเท่านั้น ก็ไม่ต้องคิดถึง ‘ปราณ’ อื่นอีกแล้ว นอกจากอาจารย์หนุ่มแห่งโรงเรียนดรุณีพิไล


เขาแทบจะเหาะกลับมาที่เรือน แล้วทันทีที่มาถึง เขาก็พบว่าสิ่งที่คาดไว้ ไม่ผิดสักนิด!


ปราณมาที่นี่!!


มาไม่พอ ยังจับต้องรติด้วย!!


ไม่รู้ว่าความโกรธแล่นริ้วมาจากที่ใด ทั้งที่เดิมทีเป็นคนใจเย็น เวลานี้เหมือนมีแต่ไฟสุมอยู่เต็มอก ตรัสก้าวเท้าอาดๆเข้าไปกระชากร่างของภรรยาออกมาจากมือของปราณทันที!


   “โอ๊ย!” เสียงร้องของรติไม่อาจทำให้ตรัสสงสาร เขาเหลือบมองภรรยา แขนข้างหนึ่งถูกเขากุมแน่นถึงเพียงนั้นยังไม่เงยหน้าขึ้นมาทักสักคำ


คนอะไร! นิสัยเช่นนี้!


   “เบาหน่อยท่านตรัส ภรรยาของท่านไม่สบาย” ปราณทักท้วง


   “ไม่สบายแล้วทำไมไม่พักในเรือน ออกมาตากแดดตากลมข้างนอกเช่นนี้จะหายป่วยรึ?!” ไม่แน่ใจนักว่าตรัสถามใคร เพราะเขาพูดโดยมองหน้าปราณ ก่อนจะหันมามองภรรยาที่ไม่ยังก้มหน้านิ่ง


   “อาจารย์ปราณ ท่านกลับไปก่อนเถอะ” รติเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ ปราณอยากแย้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเครียดขมึงของตรัส เขาก็ไม่อยากสร้างปัญหา


   “ไว้ข้าจะมาเยี่ยมใหม่ ขอตัว” เขากล่าวแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย


“ขอไม่ส่ง ต้องดูแลภรรยา!” เจ้าของเรือนตอบกลับเสียงเรียบ มีมารยาทอย่างไร้มารยาทด้วยการยืนเฉยราวกับไล่ อาจารย์หนุ่มมองตรัสอีกครั้ง ถอนฉุนทีหนึ่ง ก่อนจะยอมเดินออกจากเรือนอหัสกร


ตรัสมิได้มองส่งแขก เขาพูดเสียงกระด้าง ไม่แม้แต่จะมองภรรยาด้วยซ้ำ


   “มากับข้า!” พูดแล้วก็ดึงอีกฝ่ายเข้าไปในเรือน รติมองไม่เห็น แต่เรื่องนี้ตรัสไม่ทราบ การถูกกระชากโดยไม่รู้ทิศทางทำให้สะเปะสะปะจนต้องร้องบอก


   “ตรัส! ช้าหน่อย...อ๊ะ!...” พูดได้เพียงเท่านั้น ร่างของเขาก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น รติชะงัก รู้สึกเหมือนร่างของตนโคลงเคลง แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็คิดว่าเขาน่าจะถูกจับอุ้มขึ้นพาดบ่า หัวห้อย


รติไม่ได้ดิ้นรนจะลง เพราะรู้ดีว่าจะเป็นการก่อปัญหา และอีกฝ่ายอาจสังเกตอาการผิดปกติของเขา จึงยอมอยู่ในท่านั้นแต่โดยดี จนกระทั่งถูกโยนลงบนฟูก


แม้จะนุ่มพอประมาณ แต่การที่จู่ๆก็ถูกโยนก็ทำเอาความเจ็บแล่นริ้วมาตามเนื้อตัว


   “โอ๊ย!” เสียงร้องของรติย่อมทำให้ตรัสมีสติขึ้นมาวูบหนึ่ง กระนั้นเมื่อคิดถึงภาพเมื่อครู่ ความโกรธก็ลุกโชนในใจขึ้นมาอีก


   “ยังไม่หายดี เหตุใดยังออกไปรับแขก!”


   “อาจารย์ปราณแวะมาเยี่ยม ไม่ให้ออกไปรับได้อย่างไรกัน” คนป่วยเถียง แต่มิได้เงยหน้ามอง


   “ให้คนไปตามท่านย่าก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นที่เจ้าจะต้องออกไปเอง หรือชายผู้นั้นวิเศษวิโสนักหรือ?! เจ้าถึงต้องออกไปต้อนรับ บิดพลิ้วไม่ได้!”


   รติฟังแล้วคิ้วขมวด จับต้นชนปลายไม่ถูกจนต้องเอ่ยปากถามอย่างงุนงง


   “ท่านต้องการพูดอะไร”


   ตรัสได้แต่เม้มปาก รู้ดีว่าเขาช่างไร้เหตุผล แต่ทันทีที่ได้ยินว่ามีแขกชื่อปราณมาขอพบรติที่ร้านยา เขาก็ถึงกับต้องถ่อกลับมาที่เรือนด้วยความหึงหวง


   “เจ้าไม่สบาย! ไม่ควรพบใครทั้งนั้น!” ชายหนุ่มยกเรื่องเจ็บป่วยขึ้นมาอ้าง ทั้งที่ในความจริงแล้ว ใจของเขาร้อนรนราวไฟเผาเพราะชายผู้นั้นใกล้ชิดรติต่างหาก


“อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว” รติตอบอย่างใจเย็น เมื่อตอนกลางวัน เขารู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่แล้วเวลานี้ก็กลับมาแย่ลงอีก


...ตรัสอารมณ์ร้อน ทั้งที่ไม่เคยอารมณ์ร้อน…


   “แต่ยังไม่หายดี!”


   รติเงียบ ไม่รู้จะพูดเช่นไรอีก ราวกับยิ่งพูด ตรัสก็ยิ่งหงุดหงิด


   เมื่อฝั่งหนึ่งเงียบราวกับเหนื่อยใจจะเถียง ตรัสเองก็หงุดหงิดเกินกว่าจะสรรหาเรื่องมาโมโหอีก เขาพ่นลมหายใจแรง


   “ข้าจะออกไปสั่งบ่าวไพร่  จนกว่าจะหายดี ห้ามไม่ให้เจ้ารับแขกอีก!” พูดแล้วชายหนุ่มหมุนตัวเดินปึงปังจากไป


เสียงของพายุจากไปแล้ว คนที่นั่งอยู่บนเตียงก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ร่างกายเจ็บป่วยไม่สู้ความรู้สึกอ่อนล้าในใจ


---------


   ตรัสสั่งบ่าวไพร่ในเรือนอหัสกรอย่างที่พูดเอาไว้ คือห้ามคนนอกพบรติจนกว่ารติจะหายดี หากมีใครมาเยี่ยม ก็ให้ไปตามท่านอมรามาต้อนรับ ชายหนุ่มกลับไปทำงานที่ร้านยาต่อ แต่บ่าวไพร่ที่ร้านยาต่างก็ไม่มีใครเข้าหน้าติด ต่างพูดกันว่าวันนี้หมอตรัสหงุดหงิดกว่าทุกวัน


   เย็นนั้น ตรัสกลับมาที่เรือน และเป็นคนไปตามรติออกมากินข้าว แต่กลับทะเลาะกันขึ้นมาอีก


   “ข้าบอกแล้วว่ายังไม่หิว” รติอ้างเหตุผลที่ไม่ออกไปรับประทานมื้อเย็นร่วมโต๊ะกับผู้อื่น แน่นอนว่าฟังไม่ขึ้นสำหรับตรัส การยืนกรานหนักแน่นว่าไม่หิว ไม่ออกจากห้อง จะนอนอย่างเดียว ดูอย่างไร ตรัสก็มองว่าอีกฝ่ายพยศ


   ...พยศเพราะอะไร? เพราะเมื่อกลางวันเขามาขวางความสุขของรติกับชายอื่นอย่างนั้นหรือ?!...


   “ไม่หิวได้อย่างไร เย็นป่านนี้แล้ว!”


“ก็ข้ายังไม่หิว ข้าง่วง อยากนอน” แล้วรติก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ทันที ทั้งที่แท้จริงแล้วหิวจนต้องกดท้องเอาไว้ แต่เพราะเมื่อกลางวันเพิ่งทะเลาะกับตรัส อาการป่วยทางร่างกายทุเลาด้วยยา แต่อาการป่วยทางจิตใจกลับทำให้การมองไม่เห็นกลับมาแย่ลงอีก


   มองไม่เห็นไม่พอ คราวนี้ยังรู้สึกแขนขาอ่อนเปลี้ยไม่มีเรี่ยวแรง


   เขากลัวว่าหากออกไปร่วมโต๊ะกับผู้อื่น อาจจะล้าแรงจนผิดสังเกต เกรงว่าจะปิดความลับเอาไว้ไม่อยู่


   แต่เรื่องเหล่านี้ ตรัสไม่ทราบ   


ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างเตียง มองภรรยาพลิกตัวหนีแล้วรู้สึกเหมือนความใจเย็นของตนมอดไหม้ไปหมดแล้ว ครั้นจะดันทุรังบังคับอีกฝ่าย ก็รังแต่จะทำให้เจ็บใจ


   ...กับผู้อื่น ใกล้ชิดสนิทสนม…


   ...กับเขา นอนหันหลังให้…


   ชายหนุ่มตัดใจไม่ตอแยอีก หมุนตัวเดินออกจากเรือนพักผ่อนของตนทันที


   สองสามีภรรยา...ห่างเหิน เคืองขุ่น...เพราะไร้การพูดจา

---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


พอดีสัปดาห์นี้ติดธุระ เลยมาเร็วหน่อยนะคะ แต่มาสั้นเหมือนเดิม ฮ่าฮ่า

ชื่อตอนว่าทะเลาะ แต่มีคนเดียวที่ทะเลาะคือตรัส คนอื่นไม่เห็นมีใครทะเลาะกับตรัสเลยค่ะ ฮ่าฮ่า

เจอกันวันจันทร์ค่ะ (ตรัสจะรู้แล้วววววว...)
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 60 ทะเลาะ -- (อัพเดต 05/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 05-06-2020 14:33:27
ใจเย็นลงนิดนึงพ่อ..อออออออออ  :serius2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 60 ทะเลาะ -- (อัพเดต 05/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 05-06-2020 14:50:33
หนึ่งไม่พูด หนึ่งไม่ถาม หนึ่งไม่สบตา ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 60 ทะเลาะ -- (อัพเดต 05/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 05-06-2020 18:36:29
โอ๊ยยยยยแม่ไปกันใหญ่  :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 60 ทะเลาะ -- (อัพเดต 05/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-06-2020 21:32:47
พอกัน ทั้งคู่อะ ผัวเมียก็งี้แหละนะ 555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 60 ทะเลาะ -- (อัพเดต 05/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 06-06-2020 08:02:19
 :z3: ฟาดใครเมียคู่นี้
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 60 ทะเลาะ -- (อัพเดต 05/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 07-06-2020 11:39:03
 :katai1: เข้าใจทังสองคนเลยอะ  :กอด1:  :เฮ้อ: รอตอนต่อไป :3123: :pig4:  :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 08-06-2020 17:51:06
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 61

ความจริง

---------


เย็นนั้น...ผู้ที่ร่วมโต๊ะมื้อค่ำจึงมีเพียงท่านอมรา ตรัส และระพี...


เด็กชายเหลือบมองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยความกล้าๆกลัวๆ ส่วนหนึ่งเพราะสีหน้าของตรัสในเวลานี้เครียดขมึง ดูแล้วไม่ควรเข้าใกล้เลย แต่...ถ้ายังขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ รติจะไม่ได้กินข้าว แล้วอาการป่วยก็อาจจะแย่ลงอีก


   เด็กน้อยไม่รู้จะทำเช่นไร เมื่อกดดันมากเข้า ความอัดอั้นก็กลายเป็นน้ำใสไหลอาบแก้ม


   “ระพี เจ้าเป็นอะไร” หญิงชราหันมาเห็นหลานชายร้องไห้ทั้งๆที่ยังตักข้าวเข้าปากก็ร้องถามด้วยความตกใจ ตรัสที่แม้จะหงุดหงิดกับเรื่องของรติ แต่เมื่อหันมาเห็นเด็กชายนั่งร้องไห้เงียบๆ ก็พลันต้องวางอารมณ์ร้ายนั่นลงเสียก่อน


   “เจ้าเป็นอะไร หรือเจ็บป่วยตรงใด”


   “เปล่าขอรับ ไม่ใช่ข้าขอรับ” ระพีตอบเสียงสั่น ใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ ก่อนจะเงยหน้ามองอมราและตรัส


   “พี่รติขอรับ พี่รติต่างหาก...พี่รติ...ยังไม่ได้กินข้าว...”


   ตรัสนิ่งไป เม้มปาก รู้สึกเหมือนตนเองช่างเป็นสามีที่ไร้น้ำใจ ภรรยาไม่กินข้าว ก็ยังปล่อยปละละเลย แต่...นั่นก็เพราะภรรยาหันหลังให้เขาไม่ใช่หรือ


   “เขาบอกว่าเขายังไม่หิว...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ


   เด็กชายส่ายหน้า สูดน้ำมูก


   “ท่านปู่เคยบอกว่า ยามเจ็บป่วย แม้ไม่หิวก็ต้องกิน ร่างกายจึงจะสู้กับโรคภัยได้ แต่...แต่ท่านพี่ไม่กินข้าว...ท่านพี่จะยิ่งป่วยหนักกว่าเดิมนะขอรับ...”


ตรัสเงียบ เขารู้ว่าทิฐิของเขาอาจทำให้อาการของรติแย่ลง


แต่...อาการที่ตรัสเป็นกังวล กับอาการที่ระพีเป็นกังวลไม่ใช่อาการเดียวกัน


ตรัสรู้เพียงเรื่องไข้หวัดที่รติเป็น แต่ระพีรู้เรื่องอาการต่อเนื่องที่รติเป็น นอกเหนือจากไข้หวัด...


ท้ายที่สุด เมื่อความอึดอัดและเป็นห่วงรติรุมเร้า เด็กชายก็ไม่อาจเก็บความลับได้อีก


   “ระพีกลัว...กลัวท่านพี่...จะมองไม่เห็นอีก...” เสียงสะอื้นของระพีทำเอาตรัสชะงัก


   ท่านอมราก็พลอยชะงักไปด้วย หันมองเด็กชายตัวน้อย


   “เจ้าพูดอะไร?”


   “พี่รติ...ม...มองไม่เห็น...”



แม้จะถูกกำชับมาว่าอย่าบอกใครเรื่องนี้ แต่ระพีไม่อาจนิ่งนอนใจได้แล้ว รติไม่สบาย หนำซ้ำยังไม่ออกมากินข้าว เมื่อตอนเที่ยง เขาเห็นเพียงน้ำแกงถ้วยหนึ่งถูกยกเข้าไปให้ หากยังกินน้อยเช่นนี้ จะหายป่วยได้อย่างไร จะปรึกษารุจี นางก็ไม่อยู่ให้ปรึกษา ครั้นจะปล่อยไว้เช่นนี้ เขาก็เกรงว่ารติจะมองไม่เห็นไปอีกนาน


   “หมายความว่าอย่างไร” อมราถามซ้ำ


   “ถ...ถ้าพี่รติไม่สบาย...ฮึก...จะมองไม่เห็นขอรับ...”


   “มองไม่เห็น?” ตรัสทวนคำแล้วก็ชะงัก นึกย้อนไปถึงเมื่อตอนที่เขาเข้าไปกระชากร่างของรติออกมาจากมือของอาจารย์ปราณ


หากรติมองเห็น คงหันมาจ้องเขาอย่างเอาเรื่องแล้ว แต่เมื่อกลางวันเจ้าตัวกลับนิ่ง ตอนเขาอุ้มพาเข้าเรือนก็ยอมอยู่เฉย ไม่แม้แต่จะกระดุกกระดิก ที่สำคัญ...ตลอดเวลา รติไม่สบตาเขาสักนิด!


   “แต่...คราวก่อนที่รติเป็นไข้ หลังจากนั้นก็มองเห็นไม่ใช่หรือ” อมราถาม


   “ถ...ถ้าหายป่วยจึงจะกลับมามองเห็นขอรับ แต่...แต่ถ้าท่านพี่ไม่ได้กินข้าว ท่านพี่จะหายป่วยหรือขอรับ”


ระพีนั้นช่างไร้เดียงสา ใครถามอะไรล้วนตอบความจริงด้วยความเป็นห่วง


ตรัสลุกขึ้นยืนโดยพลัน หันไปสั่งให้คนรับใช้ตักข้าวมาให้หนึ่งถ้วย จากนั้นก็ตักปลาทอดตัวยาววางบนข้าวอีกทีหนึ่ง


   “ข้าพิสูจน์เอง!” เขาเอ่ยเช่นนั้น ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องรับประทานอาหารทันที


----------


   รติไม่กล้าลุกขึ้นทำอะไร เพราะเวลานี้ดวงตาของเขามองไม่เห็นแม้แต่แสง แม้จะหิวข้าวหิวน้ำก็ทำได้เพียงนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง จนกระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้น แล้วอึดใจต่อมาก็เกิดเสียงวางของดังเคร้งมาจากโต๊ะข้างเตียง


   “ลุกขึ้นมากินข้าว!” เสียงทุ้มกระชาก ไม่ต้องมองเห็นก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร รติทำเป็นนอนหลับไม่รับรู้ จนกระทั่งเสียงนั้นดังขึ้นอีก


   “รติ!!”


   รติยอมลืมตา แต่เพราะมองไม่เห็นและไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้จึงทำเป็นพลิกตัวตะแคงหันหลังให้


   “ข้ายังไม่หิวหน่า ท่านนี่วุ่นวายจริง”


ทั้งๆที่ความจริงหิวจนแสบท้อง แต่ก็ทำได้เพียงนอนขดอยู่ใต้ผ้านวมแล้วกดท้องตนเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงใดๆน่าสงสัย


   “ดี! ไม่หิว ไม่กินก็เรื่องของเจ้า!” เสียงของตรัสดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่หายออกไปทางประตู



รติยังนอนนิ่งเช่นนั้น ทิ้งเวลาสักเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าตรัสจะไม่วกกลับเข้ามาในไม่กี่อึดใจนี้ แต่กลิ่นหอมฉุยจากอาหารที่วางอยู่ใกล้หัวเตียงก็ทำเอาเขาอดทนได้ไม่นานพอ


   เขาลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือคลำไปยังโต๊ะข้างเตียง แต่เพราะมองไม่เห็น ปลายนิ้วจึงสัมผัสเข้ากับถ้วยกระเบื้องที่ร้อนจัด รติหดมือ ร้องเบาๆ ก่อนจะค่อยๆจับอย่างระมัดระวัง มืออีกข้างควานหาช้อนหรือตะเกียบที่น่าจะวางอยู่ไม่ไกลกัน พอทั้งสองอย่างอยู่ในมือแล้ว เขาก็คลี่ยิ้มอย่างสบายใจ ยกถ้วยจ่อใกล้ปาก ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างหิวโหย ใช้ปากกัดปลาทอดที่วางอยู่บนสุดด้วยเพราะไม่รู้ว่ารูปทรงเป็นเช่นไร และจะคีบอย่างไร


   ทว่า...นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวที่การมองไม่เห็นทำให้เขาไม่รู้


   อีกประการที่เขาไม่รู้...คือคนที่เขาคิดว่าออกจากห้องไปแล้ว มิได้ไปไหนไกลเลย


   ตรัสยืนอยู่ที่ประตู มองรติอย่างตกตะลึง อาชีพหมอที่รักษาคนมาหลายโรค ย่อมต้องมีอาการตาบอดผ่านมือไม่มากก็น้อย และเขามั่นใจว่าสิ่งที่รติเป็นในเวลานี้คือตาบอด มองไม่เห็นแม้แต่ข้าวและปลาทอดที่อยู่ใกล้ถึงเพียงนั้น


   ชายหนุ่มทนไม่ไหวอีกแล้ว เขาก้าวเท้าอย่างไวเข้าไปดึงตะเกียบและถ้วยมาจากคนที่กำลังทาน รติชะงัก แทบลืมหายใจ


   “เจ้ากำลังจะกินก้างปลา” ประโยคต่อมายิ่งทำเอาคนป่วยแทบอยากหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น


   คนที่เข้ามาขัดจังหวะ มิได้นำอาหารไปที่อื่น รติรับรู้ว่าอีกฝ่ายนั่งลงข้างเขา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงทุ้มที่ดังขึ้นอีก


   “อ้าปาก” ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกเช่นไร น้ำเสียงเข้มงวดแต่มิได้มีแววโมโหสักนิด รติทำตามคำพูดของตรัสแต่โดยดี แล้วพออ้าปาก ก็มีข้าวอุ่นๆกับเนื้อปลาเข้ามาในปาก


   ตรัส...ป้อนข้าวเขาอย่างนั้นหรือ?


   ฝ่ายภรรยาได้แต่ก้มหน้าเคี้ยวอย่างเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรสักคำ


   ในขณะที่สามีก็ได้แต่มองคนข้างกายอย่างเงียบๆ คีบข้าวและปลาป้อนให้โดยไม่เร่งรีบ ไม่มีแม้แต่แววหงุดหงิดเหมือนเมื่อครู่ อาการของรติทำให้เขาลืมเลือนความโกรธเคืองไปหมดแล้ว หนำซ้ำ หัวใจยังบีบรัดจนเจ็บหน่วง มือของเขาสั่นจนแทบระงับไม่อยู่ รู้สึกราวกับตัวเองช่างโง่เขลาที่ไม่เคยสังเกต


รักษาคนมากี่ร้อยกี่พัน แต่ไม่เคยสังเกตสักนิดว่าคนในเรือนของตนเองตาบอดมองไม่เห็น


   ภายในห้องที่เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงลมพัดจากข้างนอกหน้าต่าง จนกระทั่งเสียงของตรัสดังขึ้น


   “เป็นตั้งแต่เมื่อไร” น้ำเสียงไม่มีวี่แววตะคอกอีกแล้ว กลับทุ้ม สงบและแสนเบา


   “เมื่อเช้า”


   “ตอนกลางวัน ที่ขอกินแค่น้ำแกง ก็เพราะไม่อยากให้ข้ารู้ใช่ไหม”


   “อืม”


“ที่ต้องให้คนพยุงก็เพราะมองไม่เห็นใช่ไหม”


   “อืม”


   ตรัสเม้มปาก กลืนก้อนสากระคายในคออย่างยากลำบาก ตั้งแต่เมื่อเช้าที่รติมองไม่เห็น แต่เขากลับไม่สังเกตสักนิด เมื่อตอนกลางวัน ที่ไม่ยอมกินข้าว เอาแต่ใจขอกินเพียงน้ำแกงก็เพราะมองไม่เห็น ไม่อยากจับถ้วยจับช้อน ที่ต้องให้คนช่วยประคองก็เพราะมองไม่เห็น เดินไปไหนไม่ถูก


แต่...เขาก็ยังไม่สังเกต หนำซ้ำยังโกรธเคืองหึงหวงที่รติให้ชายอื่นแตะเนื้อต้องตัว แท้จริงแล้ว...เพราะเจ้าตัวต้องการรักษาหน้าตาของสามีโง่เง่าอย่างเขาต่างหาก ถึงได้โกหกคนอื่นว่าเดินไม่ไหว หาใช่ตาบอดมองไม่เห็น


   “เป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว”


รตินิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขามองไม่เห็น ก็ไม่มีเหตุใดให้ปิดบังเอาแต่หลบสายตาอีกแล้ว


แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา แม้จะรู้ว่าตรัสนั่งอยู่ข้างๆ แต่ดวงตาของรติย่อมไม่มีแววของการจับจ้อง ทว่าตรัสก็ยังรับรู้ว่ารอยยิ้มนี้มีให้เขา นั่นยิ่งทำให้หัวใจของชายหนุ่มเจ็บหน่วง


   “จำไม่ได้แล้ว แต่เป็นแล้วก็หาย เป็นไม่นานหรอก”


   “นอกจากมองไม่เห็น ยังมีอาการอื่นอีกไหม”


   “ปกติไม่มี”


   “แล้วที่เป็นตอนนี้ปกติไหม”


   รติชะงักไป ก่อนจะส่ายหน้า


   “...มัน...ไม่ค่อยมีแรง” ประโยคนี้แสนเบา ราวกับคนพูดไม่ต้องการให้อาการเจ็บป่วยของตนเป็นภาระของผู้อื่นมากกว่านี้ “...แต่...เดี๋ยวก็หาย เชื่อข้าสิ ข้าชินแล้ว”


   คนฟังสะท้อนไปทั้งใจ รติมักเก็บเรื่องทุกข์ยากไว้กับตนเอง ครั้งนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้าตัวไม่ต้องการให้เขารู้เรื่อง หากไม่ได้ระพีเล่าความจริง ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้รู้อาการผิดปกติเช่นนี้ของคนข้างกายหรือไม่


   “ข้า...อิ่มแล้ว”


ตรัสหยุดป้อน หันไปเทน้ำมาให้ถ้วยหนึ่ง


“ดื่มน้ำให้หมด ข้าจะช่วยเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า อยากเข้าห้องน้ำไหม จะพาไป”


“ไม่เป็นไร ข้าจัดการได้ ท่านแค่พาข้าเข้าห้องน้ำก็พอ”


“ข้าทำให้” ตรัสมิได้ตะคอก แต่น้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจังหมายจะดูแลภรรยาโดยไม่ให้อีกฝ่ายบิดพลิ้ว


ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า พาเข้าห้องน้ำแล้วก็พาออกมาพักผ่อน ตลอดเวลา ตรัสไม่ได้ถามอะไรมากเกินจำเป็น นอกจากเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติอื่นๆ พอภรรยาลงนอนได้เรียบร้อยดีแล้ว ก็จับชีพจรจากข้อมือ


“ขอข้าวัดชีพจร”


รติไม่ทันสังเกตว่าปลายนิ้วของตรัสหาใช่วัดเพียงชีพจร แต่เลื่อนปลายนิ้วไปจากจุดชีพจรเล็กน้อย คนเป็นหมอมิได้บุ่มบ่าม ตรวจสอบแล้วก็วางแขนของรติลง


“ชีพจรปกติดี แต่ก็ควรพักให้มาก ข้าจะไปสั่งให้พุดกรองต้มยาและน้ำสมุนไพรให้อีก”


“ขอบคุณ”


ตรัสไม่เอ่ยอะไรอีก คราวนี้เขาลุกออกจากห้องไปโดยไม่ตุกติก มุ่งหน้าไปยังโรงครัว สั่งให้คนต้มน้ำสมุนไพรสำหรับบำรุงร่างกายแล้วก็หมุนตัวตรงดิ่งไปยังห้องหนังสือของเรือน


เขาต้องรู้ให้ได้ ว่าอะไรที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของรติ และมันทำให้รติตาบอด!


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------
หลังจากนี้ ตรัสจะเป็นสามีที่ดี ตรัสสัญญา ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 08-06-2020 18:08:03
สู้ๆน้า ทั้งรติ ทั้งตรัส
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 08-06-2020 18:21:12
ในที่สุดแง ไม่ต้องปิดบังแล้วนะระติ ดีใจจังเลย ทีนี้ตรัสจะได้รักษาจะได้ไม่เป็นอีก เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนเลย :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-06-2020 20:41:09
โอ๊ยยยเอ็นดูระพีไม่ไหวแล้วลูกเอ๊ย! กลัวพี่จะไม่ได้กินข้าวจะไม่หายป่วย ไม่รู้จะทำยังไงดี ร้องไห้แม่ง 5555 ความลับแตกเลย ทำดีมาก ให้รู้ๆกันไปสักทีจะได้หาทางรักษา สู้ๆนะตรัสรติ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-06-2020 21:12:47
ต้องขอบคุณรพีน้อย   :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-06-2020 21:14:48
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 08-06-2020 21:40:38
รพี คนเก่ง เป็นฮีโร่เลยนะ พี่สองคนเริ่มคุยกันแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 09-06-2020 18:28:38
 :mew1:ในที่สุดก็รู้จนได้ ยกนิ้วให้ระพี
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 61 ความจริง -- (อัพเดต 08/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 09-06-2020 22:12:22
 :hao5: น่าสงสารที่สุดคือคนเก็บความลับ
กดดันมาก ร้องแม่งเลย
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 62 คิดถึง -- (อัพเดต 10/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 10-06-2020 17:39:04
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 62

คิดถึง

---------


   พออาการตาบอดของรติถูกเปิดเผย ตรัสก็ไม่หาเรื่องทะเลาะอีก แม้เขาจะไม่ได้ใกล้ชิดอ้อล้อกับรติอย่างคู่สามีภรรยาที่รักกันหวานชื่น แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอีกแล้ว หนำซ้ำยังดูแลอย่างดี จัดยาขนานเอกแห่งสกุลอหัสกรให้สามเวลา อาการไข้หวัดก็หายสนิท เมื่อหายไข้แล้ว อาการตาบอดก็หายเป็นปลิดทิ้งในวันถัดมา


   กระนั้น ตรัสก็ยังตรวจอาการอย่างถ้วนถี่


“ไม่มีไข้แล้ว ชีพจรเป็นปกติ ขอข้าดูตาของเจ้า...มองตรงมาที่ข้า” ตรัสวางมือของภรรยาลงอย่างแผ่วเบา แล้วจับใบหน้าของรติให้มองตรงมาที่เขา จากนั้นจึงสำรวจทั้งตาดำตาขาว นัยน์ตามีแววจับจ้องแล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่มืดมัวอย่างคนตาบอด


“เจ้ามองเห็นอะไรบ้าง”


“เห็นทุกอย่าง” โดยเฉพาะใบหน้าของตรัสที่อยู่ตรงหน้า


“ชัดมากน้อยเพียงใด”


“ชัดมาก”


ตรัสพยักหน้ารับรู้ แต่เป็นฝ่ายเขาเองที่ไม่เอ่ยปากเกี่ยวกับบางสิ่งที่เขาจับได้จากการวัดชีพจรตอนที่รติมองไม่เห็น แต่วันนี้เมื่อรติมองเห็น เขาก็ไม่รู้ถึงสิ่งนั้นในร่างกายของรติอีก


ราวกับ ‘มัน’ สงบ


ไม่รู้สิ่งนั้นคืออะไร แต่ยามรติไม่สบายและมองไม่เห็น สิ่งนั้นในร่างกายของรติไม่สงบ ทว่าพอหายป่วย ร่างกายกลับมาแข็งแรง ตรัสก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีก แสดงว่าความแข็งแรงของร่างกายมีผลต่อความปั่นป่วนของสิ่งดังกล่าว


ตรัสยังจ้องอีกฝ่ายนิ่ง และเพราะเป็นการจ้องในระยะใกล้ หัวใจของรติก็ชักเต้นถี่จนต้องหลบสายตา


“หลบตาข้าทำไม” ทั้งคำถามทั้งน้ำเสียงออกจะเข้มงวด เหมือนหมอผู้เคร่งครัด แต่หากรติหันมามอง จะพบว่าแท้จริงแล้ว ในดวงตาของตรัสกลับทอดแววเอ็นดูที่ได้เห็นปฏิกิริยาเขินอายและใบหูแดงก่ำของภรรยา


กี่วันแล้ว ที่พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกัน กี่วันแล้วที่อคติและทิฐิทำให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาห่างเหิน


“ก็...” รติไม่รู้จะอธิบายอย่างไร พวกเขาเป็นสามีภรรยาก็จริง แต่ก่อนหน้านี้มีแต่เมฆหมอกแห่งความโกรธเคืองจนเข้าหน้ากันไม่ติด พอวันนี้ อีกฝ่ายมาดูแลใกล้ชิด อีกทั้งให้เขามองลึกเข้าไปในดวงตา มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะ...เขิน


เขินสามีตัวเองแล้วผิดอะไรเล่า?!


“ก็อะไร” ตรัสปล่อยมือจากใบหน้าของภรรยา แต่ดวงตายังจับจ้อง ทันทีที่เขาปล่อย รติก็หันหน้าหนีไปทางอื่น


“ก็...ก่อนหน้านี้เรา...”


รติไม่รู้จะพูดอย่างไร ต้นเหตุของความบาดหมางระหว่างพวกเขา คือการไม่พูดคุยกัน แต่พูดไปแล้วก็ไม่ต่างจากการโยนความให้กันไปมา


รติไม่อยากให้พวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว


เมื่อฝ่ายภรรยาไม่พูด สามีจึงเอ่ยปากขึ้นมาเอง


“ข้าหึง”


เพียงเท่านั้น ฝ่ายภรรยาก็ถึงกับชะงัก หันมองอย่างงุนงงผสมตกตะลึง


“หึง? หึงใคร?”


ถูกย้อนถามกลับมาเช่นนี้ ตรัสก็นึกขุ่นเล็กน้อย ดูเอาเถอะ พูดถึงเพียงนี้ รติยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหึงใคร


“จะหึงใคร ภรรยาของข้าสนิทสนมกับชายอื่นถึงเพียงนั้น พบกันแต่ละทีก็ยิ้มแย้มสดใส หัวร่อต่อกระซิก แล้วชายอื่นผู้นั้น ข้าก็เคยบอกแล้วว่าเขาปรารถนาในตัวเจ้า แต่เจ้าก็ยัง...” ตรัสพูดได้เพียงเท่านั้น รติก็ร้องถามสวนขึ้นมา


“ท่านหมายถึงอาจารย์ปราณหรือ”


“รอบกายเจ้านอกจากข้าก็มีอาจารย์คนนั้น...” พอพูดถึงชายผู้นั้น สีหน้าของตรัสก็คล้ายจะทะมึนขึ้นมาอีก รติกะพริบตาปริบๆ ตั้งสติอยู่อึดใจหนึ่งก็รีบร้องบอก


“อาจารย์ปราณไม่ได้ปรารถนาในตัวข้า!”


ตรัสเหลือบมอง ก่อนจะแย้ง “เขาเคยมองเจ้าในงานเลี้ยง”


“ไม่จริง! ข้ากับอาจารย์ปราณเป็นสหายกันเท่านั้น อาจารย์ปราณมีคนรักอยู่แล้ว”


คราวนี้ตรัสชะงัก มองคนพูดแล้วถามซ้ำ


“เจ้าว่าอะไรนะ”


“อาจารย์ปราณมีคนรักแล้ว เขามักพูดบ่อยๆว่าเห็นท่านกับข้า...เอ่อ...แล้ว...แล้วก็อิจฉาที่พวกเรา...ปฏิบัติต่อกัน...อย่างเป็นธรรมชาติ เขาเคยให้ข้าสอน แต่ข้าสอนไม่เป็น เขาเองก็ทำไม่เป็น...”


ตรัสถึงกับพูดไม่ออก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาหึงหวงคนรักของตนเองกับคนที่มีคนรักแล้วเช่นนั้นหรือ?


ชายหนุ่มใจหายจนโหวงเหวงไปทั้งอก ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้า


“...นี่ข้า...หึงเจ้ากับคนที่มีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาครวญ


“...แล้วเพราะข้ามัวแต่หึงหวง ถึงไม่สังเกตสักนิดว่าเจ้า...” ยิ่งพูดมาถึงเรื่องนี้ คนเป็นหมอที่รักษาคนไข้มานับร้อยก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลาเบาปัญญา ปล่อยให้รติทุกข์ทรมานเพราะความหึงหวงบังตาจนเขาไม่สังเกตถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างไม่คู่ควรกับภรรยาเลยแม้แต่น้อย


“ตรัส...” รติเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบา สีหน้าของตรัสในเวลานี้คล้ายคนสิ้นท่า หมดแล้วซึ่งความหยิ่งทะนง


“...ตรัส ไม่ใช่ความผิดท่านหรอก เพราะท่านไม่รู้ ท่านก็เลย...”


ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา สีหน้าของเขาเศร้าสลดอย่างคนรับผิด


“เพราะข้าโง่งม อีกทั้งยังเอาแต่ความคิดตนเป็นใหญ่ รสนาเคยเตือนให้ข้าพูด แต่ข้า...คิดว่าพวกเราเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด แต่แล้วก็กลายเป็นข้าเองที่ไม่เข้าใจอะไรเลย...”


“...ขอโทษ รติ...ข้าขอโทษ”


“ข้าเองก็ผิดที่ไม่เคยรู้ว่าท่านรู้สึกเช่นไร ข้าก็ต้องขอโทษ”


ลงท้ายคำขอโทษด้วยรอยยิ้มจาง เป็นรอยยิ้มอ่อนหวานละมุนละไมที่ทำให้หัวใจของตรัสคล้ายได้รับน้ำจนชุ่มชื้น


...สิ่งใดหนอ ดลบรรดาลให้เขาได้ภรรยาอย่างรติ ทำให้ตรัส อหัสกรกลายเป็นชายผู้โชคดีถึงเพียงนี้...


เขาแนบฝ่ามือลงกับแก้มของภรรยา ลูบไล้แผ่วเบาอย่างอ่อนโยน ราวกับรับรู้ในบัดนี้แล้วว่าคนตรงหน้าคือแก้วมีค่าที่ต้องรักษาและทะนุถนอม


น้ำหนักของการลูบไล้ผิวบนใบหน้าและสายตาที่ทอดมองมานั้นชวนให้รติเขินซ่านไปทั้งอก สายตาของตรัสเทิดทูนและรักใคร่ อีกทั้งยัง...มีประกายของความคิดถึง


คนเป็นสามีภรรยาจะไม่รู้เชียวหรือว่าทั้งสายตา ทั้งสัมผัส...บอกอะไร...


...แต่...นี่เช้าแล้ว และถ้าพวกเขายังไม่ออกจากเรือน อาจมีคนสงสัย...


“อ...เอ่อ...ถ้า...ถ้าท่านตรวจเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปดูแลในครัว อ๊ะ!” ออกตัวหมายจะลงจากเตียง แต่ร่างถูกดึงกลับมานั่งทับตักคนที่นั่งอยู่ริมเตียง


คราวนี้ใกล้ยิ่งกว่าใกล้ ใกล้จนแผ่นอกแนบสนิทกั้นกลางเพียงอาภรณ์ ใกล้จนได้ยินสิ่งที่เต้นสะท้อนอยู่ใต้แผ่นอก


“วัดชีพจรด้วยวิธีเช่นนี้ก็น่าจะดี...” คนเป็นหมอเอ่ยแผ่ว ดวงตาทอดมองใบหน้าของภรรยาอย่างรักใคร่ ยิ่งได้รู้จากปากของรติว่าไม่เคยคิดเป็นอื่นกับชายใด เมฆหมอกใดๆก็ล้วนมลายไปจากใจทั้งสิ้น


อย่าว่าแต่รติมีปฏิกิริยากับการมองหน้ากันในระยะใกล้เลย ตรัสเองก็รู้สึกสุขล้นไปกับการได้พินิจพิเคราะห์ใบหน้าของภรรยาเช่นกัน


ทั้งๆที่ก็เห็นกันทุกวัน เห็นกันทุกคืน ตื่นมาก็เจอกัน ก่อนนอนก็เจอกัน แต่ก็ยัง...รู้สึกราวกับตกอยู่ใต้มนต์สะกดทุกครั้งที่ได้ทอดสายตามอง


เป็นมนต์สะกดที่เย็นตา เย็นใจ แต่บางทีก็ทำให้ร้อนรุ่มไปทั้งสรรพางค์กาย


เป็นมนต์สะกดที่ทำให้ใจสงบ แต่บางคราวก็ทำให้ใจเต้นถี่


ไม่รู้เจ้าของใบหน้าทำอย่างไร ถึงทำให้บุรุษผู้นิ่งเฉยเช่นตรัสรู้สึกถึงเพียงนี้


ปลายนิ้วของตรัสแตะปลายคางของรติให้เบี่ยงใบหน้าลงมาเล็กน้อย ริมฝีปากห่างกันแค่คืบ แต่เสียงของภรรยาดังขึ้นแผ่วเบาเสียก่อน


“ตรัส...”


“...ช...เช้าแล้วนะ...” เหตุผลแรกคือเช้าแล้ว เหตุผลที่สองคือพวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว พอมาวันนี้ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้ จึงราวกับครั้งแรกของพวกเขาหมุนวนกลับมาอีกครั้ง


“ข้ารู้ แต่...ข้าคิดถึง...”


ประโยคนั้นคล้ายหยุดเวลาเอาไว้ รตินิ่งงัน ใจสั่นจนไร้เรี่ยวแรง


“คิดถึง...” ตรัสย้ำเสียงเบา ดวงตากวาดมองใบหน้าของภรรยาที่ห่างหายการใกล้ชิดมาหลายวัน เป็นหลายวันที่ไม่มีความสุขเลย


“อยู่ใกล้แค่นี้ แต่หลายวันที่ผ่านมากลับไม่ได้กอดเจ้า ไม่ได้ดูแลเจ้า...คิดถึง...”


“ก...ก็ท่าน...ท่านโกรธข้า...”


“ข้าขอโทษ...ข้าเป็นสามีที่แย่...เรื่องของเจ้า กลับไม่เคยสังเกต ถ้าระพีไม่บอก ข้าก็คงโง่เขลาต่อไป เอาแต่หึงหน้ามืดตามัว ข้าขอโทษ...” ทั้งน้ำเสียง ทั้งสีหน้า ทั้งแววตาของตรัสนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด จนรติต้องส่งสองแขนโอบกอดร่างของคนรักเอาไว้ แล้วกระซิบเบา


“ไม่ต้องขอโทษแล้ว ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ”


ตรัสทอดมองเจ้าของเสียงนุ่ม ดวงตาของเขามีทั้งความรู้สึกผิดแต่ก็เต็มไปด้วยความรักใคร่ มันอ้อนวอนคล้ายขอความเห็นใจ


...นี่หรือ ตรัส อหัสกรผู้นำสกุลอหัสกร ชายผู้เงียบขรึมและเคร่งครัดกับเรื่องรอบกาย แต่ยามนี้กลับไม่ต่างจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ ทำได้เพียงวอนขอความรู้สึกจากภรรยาที่นั่งอยู่บนตัก...


“แล้วคิดถึงข้าไหม”


ใบหน้าของคนถูกถามขึ้นสีก่ำ แม้จะไม่ใช่คนช่างพูดเรื่องเหล่านี้ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็บอกให้รู้ว่าการที่พวกเขาไม่คุยกัน ทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่เพียงใด


ถึงเวลาต้องพูดบ้างแล้ว


“คิดถึงสิ...ข้าก็คิดถึงท่าน...”


ความรู้สึกที่แท้จริงถูกเปิดเผยด้วยคำพูด ย้ำชัดด้วยสายตาที่ทอดมองกันและการโอบกอด ใบหน้าเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะย้ำคำว่าคิดถึงด้วยการจุมพิต


บทจูบและการลูบไล้ของพวกเขา มิได้ร้อนผ่าว ทว่ามันกลับหนักแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ถูกขังเอาไว้ในใจ


“ตรัส...” หลังจากริมฝีปากของตรัสเคลื่อนออกห่างเล็กน้อยให้ได้หายใจ เสียงแผ่วเบาของรติก็ดังขึ้น


“...ถ้าไม่ออกไป...คนอื่นๆจะเป็นห่วง...”


ใบหน้าของรติแดงเรื่อ คล้ายจะรู้ว่าหากพวกเขายังมอบความรู้สึกให้กันเช่นนี้ เช้านี้คงอีกไกล...


ตรัสยิ้มจาง ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ผิวแก้ม


“เจ้ายังไม่หายดี...”


“...หากจะออกจากเรือนสายหน่อย ก็คงไม่มีใครว่าอะไร...” แล้วหลังประโยคนั้น ตรัสก็มอบรสจูบแห่งความคิดถึงระคนโหยหาให้อีกครั้งและอีกครั้ง


ริมฝีปากประกบบดเบียด ส่งลิ้นรุกไล่กันและกัน ความรู้สึกในใจล้นทะลักจนต้องกอดรัดแนบแน่น


กว่ารสจูบของความคิดถึงจะผละห่าง ก็ตอนที่เกือบจะหมดอากาศหายใจแล้ว รติหอบตัวโยนบนตักของสามี ตรัสเองก็หอบหายใจไม่ต่างกัน เพียงแต่...ยังสู้อุตส่าห์กดจมูกและริมฝีปากไปตามผิวแก้มและซอกคอของคนบนตัก


“คิดถึง...” ไม่เพียงลิ้มรสผิวเนื้อ แต่ยังพร่ำบอกกับเนื้อตัวของภรรยาอย่างโหยหา


“อ๊ะ...อื้อ...”


เสียงของรติครางเครือ ริมฝีปากของตรัสมิได้อ่อนโยนเลยสักนิด ทั้งบดทั้งดูด ในขณะที่ฝ่ามือร้อนลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังลงสู่สะโพก จนรติสะท้านวาบไปทั้งอก


ตรัสใช้ริมฝีปากคาบสาบเสื้อให้แยกออกจากกันก่อนจะเหลือบตาขึ้นมาพูดกับเจ้าของแผ่นอกเขา 


“เจ้าล่ะ...คิดถึงข้าไหม”


“ข...ข้า...ข้าบอกไปแล้ว...อ๊ะ...”


“บอกซ้ำไม่ได้หรือ” คำถามนั้นช่างแสนหวาน แต่ฝ่ามือร้อนกลับขยุ้มก้อนเนื้อนุ่มที่สะโพกแรงๆราวกับมันเขี้ยว จนรติสะดุ้งโหยง ซ่านเสียวไปทั้งกาย


“อ๊ะ!...ข...ข้า...”


“บอกอีกครั้งได้ไหม รติ”


ดวงตาของรติเริ่มฉ่ำปรือ มือร้อนล้วงเข้าไปใต้อาภรณ์แล้วบีบขย้ำสะโพกของเขาไม่หยุด ในขณะที่ริมฝีปากของตรัสเริ่มลากไล้ไปทั่วแผ่นอกของเขาโดยไม่แตะต้องกับจุดที่กำลังชูชันสองข้าง


พอไม่ได้แตะต้องร่างกายกันนานๆแล้ว จู่ๆมาจุดอารมณ์อย่างนี้ รติผู้ไม่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญก็ไม่อาจอดทนต่อความรู้สึกซาบซ่านในอกได้


“ข...ข้า...อ๊ะ...ตรัส...อื้อ...”


จุดที่ต้องการให้แตะต้อง ตรัสกลับหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้อง จูบพรมบนหน้าอกแต่ไม่สนใจยอดอกทั้งสองข้าง บีบขย้ำสะโพกทั้งสองข้าง แต่กลับทอดทิ้งเบื้องหน้าที่กำลังตั้งชัน


รติเสียวซ่าน แต่ไม่กล้าเอ่ย สองแขนที่เคยโอบร่างสามี มือหนึ่งขยับมาบดบี้ยอดอกของตน อีกมือล้วงลงต่ำสู่เบื้องล่าง แต่...ไม่ทันจะได้แตะต้องให้สมกับความปรารถนาที่ลุกโชน มือของตรัสก็จับสองมือของภรรยาไขว้หลัง ดวงตาดุที่บัดนี้เต็มไปด้วยความรักความต้องการเหลือบขึ้นสบกับดวงตาปรือปรอยที่คล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ด้วยความต้องการที่ไม่ถูกปรนเปรอ


“ต...ตรัส...”


“บอกข้าอีกครั้ง ว่าเจ้าก็คิดถึงข้า”


“...ค...คิดถึง...” แม้ประโยคนี้จะกระท่อนกระแท่น แต่คนฟังกลับยิ้มจาง ตวัดร่างของรติลงนอนราบ ส่วนตนเองตามขึ้นทาบทับแนบชิด


“ข้าสัญญา...ต่อจากนี้...จะไม่ปล่อยให้เราต้องคิดถึงกันอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว”


แล้ว...ความคิดถึงของสองสามีภรรยาก็ถูกคลายลงในเช้าวันนั้นเอง…


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

พอเขาดีกันแล้ว มันก็เข้าทางตรัสอีกแล้วค่ะ ฮ่าฮ่า ไหนใครบอกว่าไม่ทุกวันนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่าน

เจอกันวันศุกร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 62 คิดถึง -- (อัพเดต 10/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 10-06-2020 18:52:32
 :กอด1: :o8: :-[ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 62 คิดถึง -- (อัพเดต 10/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 10-06-2020 22:51:14
ตรัสคนเดิม...เพิ่มเติมคือมีเสน่ห์  :hao3:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 62 คิดถึง -- (อัพเดต 10/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-06-2020 22:58:56
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 62 คิดถึง -- (อัพเดต 10/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 11-06-2020 01:26:20
กรี๊ดดดดด :mew2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 62 คิดถึง -- (อัพเดต 10/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 11-06-2020 20:19:51
หวานมากๆเลยค่ะ :pighaun: เข้าใจกันแล้ว :-[ อ่านตอนนี้คือมดแดงเต็มจอหวานกันสุดๆเลย แล้วมันคืออะไรที่อยู่ในรติ :ruready  :pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 12-06-2020 17:16:36
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


บทที่ 63


 ท่านอมรา


---------


   อมรา  อหัสกรเป็นหญิงอาวุโสแห่งสกุลอหัสกร สกุลเก่าแก่แห่งเมืองตะวันออกที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ


นางเป็นสะใภ้ผู้แต่งเข้าสกุล กระนั้นก็มีความรู้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บเป็นอย่างดี เพราะเคยเป็นลูกมือให้สามี ครั้นบุตรชายเติบใหญ่ และรับหน้าที่ต่อจากบิดา ท่านอมราก็ปล่อยให้กิจการอยู่ในมือบุตร จนกระทั่งเขาหายสาบสูญ ตรัสขึ้นมาเป็นผู้นำสกุล และดูแลร้านยาอหัสกรแทน ถึงแม้นางจะไม่ได้เข้าไปยุ่มย่าม แต่ก็คอยสอดส่องอยู่เสมอ


   ตรัสเป็นคนเคร่งครัด มุมานะและอุตสาหะ เขาดูแลทั้งสกุลและกิจการของอหัสกรอย่างดี แม้กิจการจะไม่ได้อู้ฟู่ แต่เหลือกันเพียงสองย่าหลานที่มิได้ทะเยอทะยาน ก็นับว่าเป็นชีวิตที่สงบสุข


   จนกระทั่ง...วันที่คนแปลกหน้าผู้แนะนำตัวเองว่า ‘รติ บริบาล’ มาเยือนพร้อมกับจดหมายหนึ่งฉบับ


   ‘ท่านปู่ของข้า ฝากฝังเอาไว้ก่อนจะสิ้นลม ให้มาขอพึ่งพาอาศัยสกุลอหัสกรขอรับ เห็นว่าเป็นสหายสนิท’


   ท่านอมราอายุมากแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนปูนนี้ มีหรือจะเชื่อถือคำพูดเพ้อเจ้อเหล่านั้น นางอยู่อาศัยที่เมืองตะวันออกตั้งแต่เกิด จะรู้จักมักจี่กับคนจากเมืองทางใต้ได้อย่างไรกัน


เรื่องสหายสนิทนั่นเป็นเพียงลมปาก จดหมายในมือก็เป็นเพียงข้อความที่มิรู้ว่าผู้ใดเขียน มีใจความเพียงแค่ฝากฝัง ‘รติ รุจี ระพี’ เท่านั้น ชื่อของปู่ของคนถือจดหมายนางยังไม่รู้จัก นับประสาอะไรกับสามชื่อนี้เล่า


   แต่...พอหันไปเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ความคิดก็เปลี่ยนโดยพลัน


   นางเลี้ยงลูกชายมาตั้งแต่เกิด นางเลี้ยงหลานชายมาตั้งแต่เด็ก มีหรือจะไม่เห็นว่าเด็กชายผู้นั้นหน้าตาคล้ายคลึงกับทั้งลูกชายและหลานชายของนางเพียงใด


   หญิงชราตัดสินใจรับทั้งจดหมายและผู้มาเยือนทั้งสามเข้าเรือน เพ่งพิจารณาจดหมายอีกครั้ง แล้วก็ฉุกใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง


   จดหมายมีเนื้อหาขอความช่วยเหลือให้รับทั้งสามเข้าสกุล ประโยคเหล่านี้จะให้รติเป็นคนพูดปากเปล่ายังได้ เพราะถ้าคนเขียนเป็นปู่ของทั้งสามจริง ก็น่าจะรู้ดีว่าสองสกุลมิได้รู้จักกันแต่แรกแล้ว กระนั้น...ก็ยังเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา


   จดหมายที่มิได้มีใจความสลักสำคัญแต่อย่างใด จะเขียนขึ้นมาทำไม หากไม่ใช่ว่า...ซุกซ่อนความสำคัญบางประการเอาไว้...


   ในสมัยก่อน มีความนิยมประการหนึ่งของพวกเหล่าหมอยา คือการปรุงสมุนไพรล่องหน วิชาความรู้นี้นิยมอยู่ช่วงหนึ่งก็หายไป หากปู่ของทั้งสามเป็นหมอ อายุอานามก็น่าจะพอกับนาง และ...น่าจะพอรู้วิชานั้น


   ท่านอมราลองทดสอบ ด้วยเห็นว่าสามพี่น้องผู้นี้มาจากทางใต้ นางจึงเทียบเคียงฤทธิ์ของสมุนไพรทางใต้กับสูตรสมุนไพรล่องหน แล้วผสมในน้ำร้อนจัด จากนั้นรอให้น้ำเย็นลง แล้วใช้พู่กันจุ่มน้ำมาป้ายลงกับกระดาษ เมื่อยกขึ้นทาบกับตะเกียงเทียน...ทุกอย่างยังเป็นปกติ ทว่าพอพลิกด้านหลัง ก็กลับมีข้อความปรากฏ


   ‘รติเป็นคนเสียสละ รุจีเป็นคนเอาใจใส่ ระพีช่างน่าสงสาร โปรดพิจารณาหน้าตาของระพีให้ดี หากเห็นว่าเขามีค่า โปรดรับไว้ทั้งสาม โปรดรักและเอ็นดูระพี ส่งเสียรุจีให้มีความรู้ ฝากผีฝากไข้ของรติด้วย ขอให้อหัสกรรุ่งเรืองสืบไป’


   ตอนที่นางเห็นข้อความนี้ ท่านอมราก็แน่ใจ


ในเมื่อหน้าตาของระพี...พิมพ์เดียวกับอหัสกร ย่อมเป็นอื่นไม่ได้อีกแล้ว




นางจึงมุ่งมั่นต่อรองกับตรัสให้เขารับเข้าเรือนให้จงได้ แม้ฐานะทางการเงินของสกุลจะไม่สู้ดีก็ตาม ทีแรกตรัสไม่ยอม จนนางต้องบังคับให้เขาแต่งงานกับรติ แม้จะรู้ว่านี่ช่างเป็นกลวิธีโง่เขลา แต่การปล่อยให้ทายาทผู้หนึ่งของอหัสกรระหกระเหิน นางก็ทำไม่ลง ครั้นจะรับแต่ระพีเข้าสกุล รติก็คงไม่ยอม จำเป็นต้องรับทั้งหมด โดยที่รติเข้ามาในฐานะสะใภ้อหัสกร


ท่านอมราเชื่อมั่นในตัวตรัส เขามิใช่คนมนุษยสัมพันธ์ดีเด่น ติดจะไว้ตัว หนำซ้ำยังมีวิชาป้องกันตัวในระดับที่สามารถเป็นคู่มือของนายทหารจากส่วนกลางซึ่งเป็นสหายสนิทของเขาได้ หากรติทำให้เขาไม่พอใจ แน่นอนว่าเขาไม่เอาไว้ หากรติคิดร้าย เขายิ่งจัดการขั้นเด็ดขาด


เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจะกันระพีออกมา ส่วนรติจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง


แต่...รติกลับทำให้ตรัสไว้เนื้อเชื่อใจ รติเข้ามาแบ่งเบาภาระของหลานชายของนาง ท่านอมราพินิจพิเคราะห์ผู้มาเยือนผู้นี้ใหม่อีกหน ผสมกับข้อมูลที่นางว่าจ้างคนให้ลงไปสืบเรื่องราวของสกุลบริบาลที่เมืองใต้ ก็พบว่าเป็นสกุลรักษาโรคจริงอย่างที่รติกล่าวอ้าง เคยรับชายแปลกหน้าผู้ไม่ใช่คนท้องถิ่นเข้าสกุลและแต่งงานกับหลานสาวคนโต สองสามีภรรยาคู่นี้มีบุตรชื่อระพี แต่พวกเขาอายุสั้น ส่วนผู้อาวุโสของสกุลบริบาลก็จากไปในเวลาไม่นานหลังจากนั้น หลานชายคนรองจึงขายกิจการและทรัพย์สิน พาสมาชิกครอบครัวที่เหลือออกจากเมืองใต้


นอกจากเรื่องสหายสนิทระหว่างปู่ของรติและนาง เรื่องบุตรชายของท่านอมราเป็นเขยของสกุลบริบาล และเรื่องสถานะของระพีที่รติโกหกแล้ว เรื่องอื่นนอกจากนั้นก็ตรงกับรติบอกกล่าวทั้งหมด


เรื่องปกปิดโกหก จะไม่ถือสาก็ได้ เพราะเมื่อพิจารณาเนื้อแท้อย่างถ้วนถี่แล้วก็พบว่ารติเป็นคนจริงใจ ร่าเริง แต่ก็เอาจริงเอาจัง เรื่องเหล่านี้สำคัญส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญกว่าคือรติทำให้ตรัสเปลี่ยนไปทีละน้อย


เดิมที ตรัสมีความสุขตามอัตภาพ แต่หลังจากรติเข้ามาในเรือนอหัสกร ตรัสมิใช่เพียงมีความสุขตามอัตภาพ แต่ยังมีความสุข...สมกับวัยหนุ่มของเขาด้วย


   ความเปลี่ยนแปลงของตรัส ล้วนอยู่ในสายตาของท่านอมรา นางพบว่าข้อความในจดหมายที่เกี่ยวกับรติ รุจีและระพีมิได้กล่าวเกินจริงเลย แต่...เวลานี้ นางคิดว่าตนมองข้ามข้อความแฝงในจดหมายฉบับนั้น


หญิงชราทบทวนสิ่งที่เพิ่งได้รู้


รติตาบอด มองไม่เห็นเฉพาะเวลาที่ร่างกายไม่แข็งแรง


จดหมายบอกว่าให้พินิจหน้าตาของระพีให้ดี ระพีหน้าเหมือนตรัสอย่างกับอะไร เรื่องนี้ท่านอมราปิดตามองข้างหนึ่งก็ดูออก แต่...ตาไม่เหมือน


คนท้องถิ่นในเมืองตะวันออกล้วนมีดวงตาสีอ่อน ยิ่งสกุลเก่าแก่อย่างอหัสกรด้วยแล้ว จัดว่าเป็นหนึ่งในสกุลที่มีดวงตาสีอ่อนที่สุดของเมือง


แต่...ระพีกลับมีดวงตาสีดำสนิท เรื่องนี้แปลก


คราแรก นางคิดว่าเป็นเพราะมารดาของระพีเป็นคนเมืองอื่น ระพีจึงอาจมีดวงตาเหมือนทางมารดาก็เป็นได้ แม้จะรู้สึกว่าดวงตาของรุจีและระพีคล้ายคลึงกัน ในขณะที่ดวงตาของรติกลับมีเฉดสีประหลาดแฝงอยู่ แต่หญิงชราคิดว่าสายตาตนเองฝ่าฟางตามวัย จึงไม่ฉุกใจนัก


จนกระทั่ง...รู้ว่ารติตาบอด


อะไรบางอย่างดลใจให้นางกลับมาอ่านจดหมายฉบับนี้อีกครั้ง โดยเฉพาะข้อความที่ถูกซุกซ่อนด้วยกลของสมุนไพรล่องหน


‘รติเป็นคนเสียสละ’


รติเสียสละแน่นอน...มิเช่นนั้นเขาจะยอมแต่งงานกับตรัสเพื่อทำตามเงื่อนไขจึงจะได้อยู่ที่นี่ทำไม ในเมื่อเขาเองก็น่าจะรู้ว่าสกุลของตนและอหัสกรมิใช่สหายอย่างที่ปากพูด


รติเสียสละแน่นอน...นับตั้งแต่แต่งงาน เขาช่วยทำมาหากิน แบ่งเบาภาระของตรัสมาไว้ที่ตนเอง ลำบากลำบนเหนื่อยยากจนเป็นลมก็เคยมาแล้ว ไม่มีครั้งใดเลยที่เขายึดความสบายของตนเป็นที่ตั้ง


แต่...ความเสียสละของรติมีเท่านี้จริงหรือ?


หรือความเสียสละของรติจะมีก่อนที่รติจะพารุจีและระพีมาที่อหัสกร


โดยเฉพาะสิ่งที่ท่านอมราฉุกใจแต่แรก


ดวงตาของระพี


นางพยายามทบทวนผู้คนในสกุลอหัสกรที่มีอยู่น้อยนิด ไม่มีผู้ใดเลยที่มีดวงตาสีอื่น ตัวนางเองเป็นคนตะวันออก แต่ดวงตาสีเข้มกว่าพวกอหัสกรเล็กน้อย เมื่อมีลูก บุตรชายของนางก็หาได้มีสีตาคล้ายนาง แต่กลับอ่อนจางอย่างบิดาของเขา ตรัสเองก็มีดวงตาสีจางอย่างบิดาและปู่ แม้ว่ามารดาของเขาจะมีดวงตาเข้มก็ตามที


ทุกคนในอหัสกรมีดวงตาสีเดียวกัน แต่ระพีที่เป็นเชื้อสายของอหัสกรกลับมีดวงตาสีดำสนิท


แล้วพลันนั้น หญิงชราก็นึกไปถึงถ้อยความประโยคเดิม


‘รติเป็นคนเสียสละ’


แล้วก็พลอยฉุกใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง


...ดวงตาของรติ...


พอคิดอย่างนั้น หญิงชราก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งกาย หากการคาดคะเนของนางถูกต้อง ความเสียสละของรติคราวนี้ก็ยิ่งใหญ่เหลือเกิน


นางก้มลงอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘…ฝากผีฝากไข้ของรติด้วย’ แล้วก็พลันยิ้มจางกับตนเอง


 “น่าเสียดายที่ท่านตายเสียก่อน มิเช่นนั้นจะไปหาถึงที่ จะขอคบหาเป็นสหาย และจะนำของกำนัลไปเยินยอที่ฉลาดเหลือเกิน”


“...คิดเอาไว้แล้วใช่ไหม ว่าการให้รติพาระพีมาที่นี่ จะทำให้ระพีได้อยู่กับสายเลือดครึ่งหนึ่งของเขา เนื้อแท้และความสามารถของพวกเขาจะทำให้คนที่นี่ยอมรับ ทำให้รุจีไม่ต้องระหกระเหิน มีที่อยู่ ได้เรียนหนังสือ ที่สำคัญคือ...หมายจะให้รติได้ฝากผีฝากไข้...”


ท่านอมราพึมพำ มองตัวอักษรบนกระดาษที่เริ่มจางหายเมื่อความชื้นของกระดาษเริ่มหมดลง


“ท่านกล้าหาญเหลือเกินที่วางเดิมพันเช่นนี้ เห็นแก่ว่าท่านใจกล้า อีกทั้งยังเก่งที่เลี้ยงดูหลานออกมาได้ดีถึงเพียงนี้ ข้าจะทำให้ท่านเบาใจก็แล้วกัน”


---------



#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


ท่านย่าแกมีเหตุผลแต่แรกนะคะ แกบังคับตรัสแต่งกับรติเพราะจะเอาระพีไว้ แต่สุดท้ายกลายเป็นรติชนะใจทั้งแกและตรัสเลยค่ะ (ภูมิใจในตัวน้อง)


ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ


เจอกันวันจันทร์กับเรื่องตาบอดของรติค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 12-06-2020 17:25:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 12-06-2020 17:37:04
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 12-06-2020 18:52:52
โอ๊ะโออออ~~~พีคคคคคค รติสุดจริง ตำแหน่งเมียตำแหน่งพี่ดีเด่นเอาไปครองเลย ซาบซึ้ง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 12-06-2020 19:14:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 12-06-2020 21:05:13
รติเสียสละมากจริงๆ

จากนี้ก็ขอให้ทีแต่ความสุขนะ แงงงง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 12-06-2020 21:35:19
ขอให้มีทางช่วยรติได้เถอะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 12-06-2020 21:49:32
รติ...แสนดีมาก   :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: KhunYingJung ที่ 13-06-2020 22:26:15
ตามอ่านจนทันแล้ว :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 13-06-2020 23:35:32
ท่านย่าคือสุดยอดมากๆเลยฉลาดมากๆ ลุ้นเรื่องตาของระติ :mew2: สนุกมากๆเลนค่ะตอนนี้คือตื่นเต้นมากทั้งเรื่องใจความในจดหมาย หมึกล่องหน แบบว้าวว้าวว้าวมาก :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 14-06-2020 02:10:21
ยอมแลกตัวตาตัวหลายตัวเอง นับถือๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 63 ท่านอมรา -- (อัพเดต 12/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 14-06-2020 08:21:39
ท่านย่าใกล้ไขปริศนาตาของระพีได้แล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 64 คำพูดและการกระทำ -- (อัพเดต 15/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 15-06-2020 16:38:08
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 64

คำพูดและการกระทำ

---------


แม้อาการตาบอดจะหายไป หลังจากรติกลับมาแข็งแรง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตรัสนิ่งนอนใจ


ทุกเช้า หลังเปิดร้านยาแล้ว คนไข้คนแรกของทุกวันก็คือรติที่ตรัสขอตรวจดูลูกตาและการมองเห็น


“ท่าน...ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้”


รติท้วงเสียงแผ่ว ใจรู้ดีว่าที่ตรัสเคร่งครัดทั้งตรวจทั้งจดบันทึกอย่างทุกวันนี้ เพราะเป็นห่วงและอยากรักษาให้หายดี


แต่...ให้อย่างไรก็ไม่มีวันหาย


พอพูดถึงเรื่องนี้ ตรัสก็หันมอง


พวกเขาสองสามีภรรยามีเรื่องที่คิดเห็นตรงกันหลายเรื่อง แต่บางเรื่องก็ไม่ เช่นเรื่องตาบอดของรติ


ฝ่ายรติมักพูดเสมอว่าไม่จำเป็นต้องรักษา


ในขณะที่ฝ่ายเขา...จำเป็นมาก


หากเป็นก่อนหน้านี้ ตรัสคงไม่คิดว่าการอธิบายยืดยาวเป็นเรื่องจำเป็น แต่เวลานี้...ผ่านพ้นการเรียนรู้การผิดใจกันมาหลายครั้ง การกระทำเพียงอย่างเดียวไม่พอแล้ว


“ข้าเป็นหมอ เปิดร้านยา มีตำรับยาประจำสกุล แต่เจ้ากลับตาบอด ข้าจะมีหน้าไปสู้บรรพชนตอนตายได้อย่างไร”


“แต่มันไม่ใช่ความผิดของท่านที่ข้าตาบอด แล้ว...ข้าก็...ก็ไม่ได้ตาบอดทั้งวันทั้งคืน แค่บางช่วงเท่านั้นเอง”


“ถึงจะบางช่วงก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับข้า” สายตาของตรัสทั้งมุ่งมั่นทั้งจริงจัง รตินิ่งไป ก่อนจะท้วงแผ่ว


“แต่...ดวงตาของข้า...รักษาไม่ได้”


“ทำไมถึงเชื่อเช่นนั้น”


รติอ้าปากคล้ายจะพูด แต่แล้วก็หุบปากลงราวกับตัดสินใจใหม่ แล้วจึงเอ่ย


“ก็...สกุลของข้าก็มีตำรับยาเป็นของตนเอง ท่านปู่ของข้าก็เป็นหมอ ยังรักษาดวงตาของข้าไม่ได้เลย”


“ตำรับยาของสกุลเจ้ากับตำรับยาของสกุลข้ามิใช่ตำรับเดียวกัน”


“ทำไมท่านถึงดื้อดึงเช่นนี้”


“เพราะเป็นเรื่องของเจ้า”


ตรัสคนก่อนหน้านี้ที่ไม่พูดมากก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย พอมาเป็นตรัสคนพูดมากตอนนี้แล้ว...ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียเช่นกัน เพราะเถียงทุกประโยค อีกทั้งบางประโยคยังทำให้หัวใจคนฟังซาบซ่านขึ้นมาโดยพลันทั้งๆที่เมื่อครู่กำลังเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครแท้ๆ


ใบหน้าของรติร้อนผ่าว ประโยคของตรัสนั้นแสนสั้นแต่ทรงพลานุภาพ


...เพราะเป็นเรื่องของเจ้า...


...เพราะเป็นเรื่องของรติ...


ตรัสจึงมุ่งมั่นถึงเพียงนี้


“ข...ข้า...ข้าจะออกไปดูที่หน้าร้าน...” รติต้องหาทางเลี่ยงออกจากห้อง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาทั้งที่หัวใจเต้นถี่ ทว่าไม่ทันจะหมุนตัวออกจากห้อง มือของเขากลับถูกคว้าเอาไว้ คนหมายจะหนีหันกลับไปมอง เห็นตรัสจ้องอยู่ราวกับรอคอย ก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูก เม้มปากหน้าแดงก่ำ


“ที่เราตกลงกันไว้” ตรัสย้ำ


นอกจากเรื่องตรวจร่างกายของรติที่ตรัสไม่นิ่งนอนใจแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เขายิ่งวางเฉยไม่ได้คืออุปนิสัยไม่ช่างพูดของพวกเขาจนทำให้เกิดปัญหามาแล้วหลายครั้ง ชายหนุ่มจึงเสนอเงื่อนไขเรื่องหนึ่งเพื่อชดเชยนิสัยส่วนนี้


...ตอนเช้า...ภรรยาจูบสามี


...ตอนดึก...สามีจูบภรรยา


ตรัสเห็นว่า วิธีเช่นนี้ดี ในเมื่อการจะเปลี่ยนนิสัยจากคนไม่ค่อยพูดให้เป็นพูดทุกเรื่องในเวลาอันสั้นก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อต่างคนต่างชอบทำมากกว่าพูดก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้อดี อย่างน้อย...หากวันใดมีเรื่องโกรธเคืองก็ยังอาศัยเงื่อนไขนี้ในการใกล้ชิดกันให้คลายอารมณ์ขุ่นหมอง



อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังวางเงื่อนไขอย่างยุติธรรม ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้กระทำแต่เพียงผู้เดียว


...ตอนกลางวันเป็นหน้าที่ภรรยาใกล้ชิดสามี ตอนกลางคืนเป็นหน้าที่สามีใกล้ชิดภรรยา...


“ท...ท่านตกลงอยู่คนเดียวต่างหาก”


“แต่เจ้าไม่ค้าน”


รติเม้มปากแน่น ดวงตามีแววเคืองเล็กน้อย กับเงื่อนไขที่ตรัสวางเอาไว้นับตั้งแต่พวกเขาคืนดีกัน


“อะไรของท่านกันนะ แบบนี้...ไม่ใช่การรักษาแล้ว...” ทำได้เพียงบ่น ในขณะที่ตรัสยังเงียบ จ้องนิ่งราวกับต้องทำตามเงื่อนไขเสียก่อน มิเช่นนั้นจะไม่ปล่อย สุดท้ายกลายเป็นรติที่ต้องตัดใจ


“ก็ได้ๆ...” แล้วก็ก้มลงหา แนบริมฝีปากลงกับมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของสามี จากนั้นจึงผละออกอย่างรวดเร็ว


เมื่อสมใจแล้ว ตรัสจึงยอมปล่อยอีกฝ่ายให้ออกจากห้องตรวจของเขาไป


ชายหนุ่มมองตามพลางยิ้ม ก่อนจะก้มลงมองมือของตนเองที่เมื่อครู่จับข้อมือของภรรยาเอาไว้ตลอดเวลานับตั้งแต่รั้งรติจนกระทั่งอีกฝ่ายยอมก้มลงมาจูบที่มุมปากของเขา


...ชีพจรเต้นดี...บางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในกายของรติก็สงบ อีกทั้งยังจับการเคลื่อนไหวไม่ได้ด้วย...


เป็นอันว่านอกจากร่างกายแข็งแรง จิตใจมีความสุขแล้ว การแตะสัมผัสของพวกเขา ก็ล้วนช่วยให้สิ่งที่อยู่ในร่างกายของรติซึ่งบัดนี้ยังไม่รู้ว่าคืออะไรสงบลงด้วย


หมอตรัสแห่งร้านยาอหัสกร หยิบกระดาษขึ้นมาจดบันทึกข้อสังเกตของตนอย่างรวดเร็ว


---------


เงื่อนไขของตรัส หาได้หมดแต่เพียงเท่านั้น


นอกจากตรวจร่างกายเป็นประจำทุกเช้า และการแบ่งหน้าที่ในการใกล้ชิดของสามีภรรยาแล้ว  เขายังสอดส่องเรื่องอื่นๆของรติอย่างตั้งอกตั้งใจด้วย


แม้ไม่จับจ้องจนอีกฝ่ายอึดอัด แต่ยามเดินเหินขยับกาย ก็คอยสังเกตถ้วนถี่ว่าผิดแปลกไปจากเดิมหรือไม่ ยามรับประทานอาหาร ก็คอยดูแลว่ากินมากน้อยเพียงใด หากเห็นสิ่งใดผิดปกติ ตรัสจะสวมบทหมอตรัสแห่งร้านยาอหัสกรซักถามละเอียดยิบ


“วันนี้กินข้าวไม่หมด ไม่ถูกปากหรือ หรือว่าเบื่อปลาแล้ว”


ตรัสเอ่ยปากถาม ระหว่างเดินไปเปิดร้านยาอหัสกรด้วยกันในช่วงบ่าย


รติรีบส่ายหน้าพัลวัน


“ไม่ใช่ๆ อาหารฝีมือพุดกรองอร่อยเสมอ แล้วข้าก็ชอบกินปลามาก”


คำพูดนี้มิได้เกินจริง แต่ละคนได้ปลาหนึ่งตัวเป็นกับข้าวส่วนตัว ส่วนกับข้าวอื่นๆรับประทานร่วมกัน รติกินปลาในส่วนของตนเองจนหมด และกินกับข้าวอย่างอื่นครบทุกอย่าง แต่อย่างละนิดละหน่อยและกินข้าวไม่หมดถ้วย


ตรัสยังมองภรรยาด้วยความเป็นห่วง จนรติต้องยอมบอก


“ตอนเดินกลับเรือน ข้าเห็นขนมน่ากิน ข้าก็เลย...ตั้งใจว่าขากลับไปร้าน จะแวะซื้อสักหน่อย...”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับที่เจ้ากินข้าวไม่หมด?”


“ก็...ข้าก็ต้องเผื่อท้องไว้หน่อยซี กินข้าวอิ่ม แล้วจะกินขนมไหวได้อย่างไร”


เพียงเท่านั้นตรัสก็ยิ้มจาง แล้วส่ายศีรษะไปมาอย่างระอาใจ รติชอบกินขนม เรื่องนี้เขาทราบ แต่ไม่คิดว่าจะชอบถึงขั้นยอมเผื่อท้องเพื่อขนมเลย


“ข้าก็นึกว่าเจ้าไม่สบาย คราวหลังอยากได้อะไรก็บอก เราสัญญากันแล้วว่าจะพูดคุยกัน”


รติพยักหน้ารับ ดูสลดลงเล็กน้อยที่ตนเองเผลอไผลไม่พูดอีกแล้ว ตรัสมองภรรยาอย่างเอ็นดู แล้วบุ้ยหน้าให้เดินนำ


“ไหนล่ะ ขนมที่เจ้าอยากซื้อ”


เพียงประโยคนั้น รติก็ยิ้มกว้าง รีบสาวเท้าไวพาอีกฝ่ายไปยังร้านขนมที่ตนหมายตา


รติซื้อขนมหนึ่งอย่าง แต่ตาแอบมองขนมอีกสองอย่าง เรื่องนี้มิทันได้พูด ตรัสเห็นสายตาก็เอ่ยถามขึ้นมาเอง


“อยากกินไหม”


รติหันมอง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสังเกต ตอนแรกตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เมื่อสบตากับคนถาม ก็พลันนึกถึงความตั้งใจของพวกเขาที่จะเรียนรู้กันด้วยการพูดจา แม้จะไม่คุ้นเคย แต่รติก็พยายามเปลี่ยนแปลงตนเอง


“อยาก...”


ตรัสจึงหันไปสั่งขนมเพิ่มอีกสองอย่าง


แล้วบ่ายวันนั้น ข้างกายรติ มีจานขนมวางไม่ห่างมือ ส่วนในห้องตรวจของตรัส ที่โต๊ะเล็กข้างโต๊ะทำงานของเขามีจานขนมที่รติแบ่งสันปันส่วนอย่างละนิดมาให้ตรัสชิม สำหรับคนไม่ถนัดขนมหวาน ย่อมกินได้เพียงน้อย เรื่องนี้รติทราบดี ดังนั้นตอนที่ยกมาให้ถึงในห้องตรวจ ภรรยาจึงออกตัว


‘ข้ารู้ว่าท่านไม่ค่อยชอบกินขนม แต่ขนมอร่อยมาก อยากแบ่งมาให้ท่านชิมบ้าง แล้วก็...ขอบคุณที่เอาใจใส่ข้า’


รติสุขใจที่ได้กินขนม ส่วนคนไม่ค่อยกินขนมกลับสุขใจยิ่งกว่ากับการได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายเป็นคำพูด


...การกระทำสำคัญ คำพูดก็สำคัญ...



การกระทำทำให้เห็นความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ส่วนคำพูดนั้นเสียงดังเป็นที่รับรู้ ตรัสและรติตั้งมั่น พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะบอกเล่าความรู้สึกนึกคิดให้อีกฝ่ายรับรู้...ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ



---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

รติไม่ยอมบอกสาเหตุที่ทำให้ตาบอด ตรัสก็จะได้กำไรไปเรื่อยๆแบบนี้นะคะ ฮ่าฮ่า

ตอนแรกคิดว่าวันนี้ถึงตอนที่เฉลยแล้ว แต่ตัดตอนผิด (ขอโทษด้วยค่ะ) ก็ถือเป็นช่วงเข้าอกเข้าใจกันดี เป็นตอนหวานๆชดเชยหลายตอนที่ผ่านมานะคะ ฮ่าฮ่า แต่คิดว่าน่าจะภายในสัปดาห์นี้ที่จะเฉลยแล้ว

เพราะงั้น เรื่องนี้ก็ใกล้จบแล้ว น่าจะไม่เกินเดือนหน้าค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอเลย

เจอกันวันพุธค่ะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 64 คำพูดและการกระทำ -- (อัพเดต 15/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 15-06-2020 18:02:18
รู้จักปรับตัวเข้าหากัน...ดีงาม..มมมมมม   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 64 คำพูดและการกระทำ -- (อัพเดต 15/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 15-06-2020 20:30:07
การปรับตัวของทั้งคู่ดีขึ้นมากๆ การใส่ใจกันนี้แหละคือชีวิตคู่
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 64 คำพูดและการกระทำ -- (อัพเดต 15/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-06-2020 20:32:42
 :katai2-1: o13 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 64 คำพูดและการกระทำ -- (อัพเดต 15/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 16-06-2020 15:12:49
 :katai2-1: พอรักกันดี เบาหวานเราก็จะขึ้นตา  :katai5:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 17-06-2020 17:06:50
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 65

เชื่อมั่น

---------


   นอกจากการดูแลเอาใจใส่และเงื่อนไขให้สามีภรรยาได้ใกล้ชิดกันแล้ว ตรัสยังใช้เวลาแทบทั้งหมดที่ว่างในการอ่านหนังสือและตำรับยาแขนงต่างๆ เพื่อตามหาบางสิ่งที่ทำให้รติตาบอด แม้เวลานี้รติจะกลับมามองเห็นชัดเจนแล้ว แต่เขาก็ไม่วางใจ


ในสกุลอหัสกรมีห้องหนังสือเป็นของตนเอง ในห้องประกอบด้วยตำรับยา และตำราเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บทั้งของมนุษย์และอมนุษย์ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเก่าที่ต้นตระกูลสะสมเอาไว้ แต่สิ่งที่เขาค้นคว้าไม่มีอะไรนอกจากโรคที่ทำให้เกิดอาการตาบอด


   ตาบอดจากพิษของสัตว์ร้ายก็ไม่ใช่


   ตาบอดจากเวทย์ของพวกอมนุษย์ก็ไม่ใช่


   ตาบอดเพราะทะเลาะวิวาทกับเทพหรือปีศาจก็ไม่ใช่


   โลกนี้มีสรรพสิ่งมากมาย มีองค์ความรู้หลากหลายจนกลายเป็นอุปสรรคในการรักษา แต่มิใช่เรื่องที่ตรัสจะย่อท้อ


ความมุ่งมั่นของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมองไม่เห็น รติรับรู้ว่าอีกฝ่ายวางเงื่อนไขและดูแลเขาก็เพราะอยากรักษาอาการตาบอด แต่...เป็นตัวเขาเองที่ไม่บอกความจริง


   ...รติเอ๋ยรติ...รติผู้ที่เคยลงมือทำทุกอย่างด้วยความกล้าหาญ เวลานี้เมื่อมีความรู้สึกต่อตรัสมากล้นถึงเพียงนี้ จะคิดอ่านทำสิ่งใด อย่างแรกคือต้องดูว่ากระทบต่อความรู้สึกของตรัสหรือไม่


   หากบอกความจริง ตรัสจะรับได้ไหม


   หากพูดความจริง ตรัสจะรู้สึกเช่นไร


   พอคิดเช่นนั้นแล้ว รติก็รู้สึกว่าตนเองช่างเห็นแก่ตัวที่เก็บงำความจริงเอาไว้ เพราะเกรงว่าหากอีกฝ่ายรู้...ความรู้สึกที่มีต่อกันจะไม่เหมือนเดิม


   “รติ...”


   เสียงเรียกดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังทำผงสมุนไพรอยู่ในโรงครัวเพียงลำพังหันมอง หญิงชราก้าวเท้าเข้ามา พลางสอดส่ายสายตาหาคนที่มักอยู่กับรติเสมอ


   “ตรัสไปไหนแล้ว”


   “อยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ”


หมู่นี้ตรัสไม่ได้มาช่วยทำผงสมุนไพรเช่นเคย เพราะกำลังมุมานะหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการตาบอดของรติ วันๆขลุกตัวอยู่แต่กับตำรับตำราจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำหน้าที่สามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยังคงเข้านอนพร้อมรติ กกกอดดูแลอย่างดี


   “แล้วอาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านอมราถาม


   “ไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ พอร่างกายแข็งแรงก็ไม่มีส่วนใดผิดปกติ”


หญิงชราพยักหน้ารับรู้


   “ดูเหมือนเจ้าจะรู้ดีว่าร่างกายของเจ้าเป็นเช่นไร”


   รตินิ่งไป ท่าทางของเขาแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีพิรุธในสายตาของผู้สูงอายุ


   “รติ เจ้ารู้ไหมทำไมข้าถึงยอมให้พวกเจ้าเข้ามาอยู่ในอหัสกร”


   “เอ่อ...เพราะ...” รติไม่รู้จะยกคำใดมาเป็นข้ออ้าง ในเมื่อบัดนี้คนทั้งเรือนล้วนรับรู้ว่าระพีเป็นทายาทของอหัสกร ย่อมเชื่อมโยงได้ว่าการที่เขามาที่นี่ตั้งแต่แรก เพราะหวังให้ระพีได้กลับมาอยู่กับสกุล ส่วนเรื่องที่กล่าวอ้างว่าปู่ของตนเป็นสหายของท่านอมรานั้น ถูกปัดตกไปนานแล้ว


   ท่าทางอึกอักของเขา ทำให้หญิงชราส่ายศีรษะอย่างระอาใจ


   “รติ...อายุเจ้าก็เท่านี้ จะเก็บความลับอะไรเอาไว้มากมายนัก” ประโยคนี้ของนาง ทำเอารติเงียบ


   “เจ้าบอกว่าปู่ของเจ้าเป็นคนสั่งให้พากันมาที่นี่ใช่ไหม”


“ใช่ขอรับ”


“ทั้งเจ้าและปู่ของเจ้าต่างก็รู้ว่าสองสกุลมิได้รู้จักกันตั้งแต่แรก จริงไหม”


“จ...จริงขอรับ”


“แต่ปู่ของเจ้าสั่งว่า เมื่อสิ้นเขาแล้ว ต้องพาระพีมาที่อหัสกร เขาบอกเจ้าไหมว่าทำไม”


“เพื่อให้ระพีได้รู้จักกับสายเลือดของเขาขอรับ”


“จดหมายที่เจ้าถือมาฉบับนั้น บอกว่าฝากพวกเจ้าสามคน นอกจากเอ็นดูระพีแล้ว ก็ให้รุจีได้มีการศึกษา และ...ดูแลเจ้ายามเจ็บไข้”


รติขมวดคิ้วมุ่น เขาแน่ใจว่าเขาเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้นก่อนจะมาถึงเรือนอหัสกร และข้อความในจดหมายล้วนไม่มีท่อนใดที่กล่าวถึงการดูแลเขายามเจ็บไข้


หญิงชราเห็นท่าทางงงงันก็ยิ้มอ่อนโยน แม้รติจะอยู่ที่นี่ไม่นาน แต่นางคิดว่านางดูคนไม่ผิด คนเช่นรติ นอกจากจะเสียสละแล้ว ยังไม่เคยนำเรื่องทุกข์ยากของตนไปเป็นภาระแก่ผู้อื่น ปู่ของรติเองก็คงรู้จักนิสัยนี้ดี จึงเขียนข้อความเหล่านั้นด้วยกลอักษรล่องหน วางเดิมพันว่ารติจะคิดไม่ถึงข้อความที่เขาต้องการบอก และให้นางฉุกใจ


“ปู่ของเจ้ารู้ว่าถ้าที่นี่ขอรับเลี้ยงแค่ระพี เจ้าไม่มีวันยอมเพราะเจ้าเป็นห่วงระพี ความเป็นห่วงของเจ้าทำให้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ด้วย ทำให้รุจีต้องอยู่ที่นี่ด้วย อหัสกรมีตำรายาเป็นของตนเอง ข้าคิดว่าพอลูกชายของข้าความจำกลับมา คงเล่าให้พวกเจ้าฟังว่าเขามีลูกชายคนหนึ่งที่คิดจะเป็นหมอ ปู่ของเจ้าคงเดาเอาว่า อหัสกรที่มีทายาทเพียงคนเดียวอย่างตรัส อย่างไรตรัสก็ต้องสืบทอดกิจการของสกุล เมื่อเขาเป็นหมอ เขาก็ย่อม...ดูแลเจ้าได้”


   รตินิ่งงัน เงยมองนาง คาดไม่ถึงกับสิ่งที่หญิงชราเอ่ย


   ท่านอมรายิ้มจาง


   “ปู่ของเจ้าห่วงใยเจ้าที่สุด รติ เขาถึงสั่งให้เจ้าอพยพจากเมืองทางใต้มาที่นี่ เพราะเขารู้ว่านิสัยอย่างเจ้าจะไม่สร้างครอบครัว แต่มุ่งเลี้ยงให้รุจีและระพีเติบใหญ่เสียก่อน เมื่อรุจีและระพีออกไปสร้างครอบครัวของตัวเอง เจ้าก็อาจจะแก่เกินไปที่จะหาใครสักคนมาอยู่ด้วย หรือ...หากสร้างครอบครัว ปู่ของเจ้าก็ไม่รู้ว่าคู่ชีวิตของเจ้าจะมีความรู้ด้านการรักษาพยาบาลหรือไม่ ไม่รู้...ว่าอนาคตร่างกายของเจ้าจะเป็นเช่นไร” หญิงชรากล่าว


   ประโยคสุดท้ายของนาง ทำให้รติตะลุงงัน “ร...เรื่องนั้น...”


   “เจ้าอาจไม่รู้ สกุลอหัสกรเป็นสกุลเก่าแก่ ผู้คนในสกุลล้วนมีผิวขาวและดวงตาสีอ่อน ระพีหน้าเหมือนตรัสและพ่อของเขา อีกทั้งยังมีผิวขาว แต่...ดวงตาของเขากลับเป็นสีดำ เพราะอะไร”


   รติพูดไม่ออก แต่หญิงชรายังยิ้มอ่อนโยน


   “คนที่ตาบอดในทีแรกไม่ใช่เจ้า แต่เป็นระพีใช่ไหม”


คราวนี้รติได้แต่เม้มปาก ไม่กล้าพูดสักคำ


   “เจ้ามอบดวงตาของเจ้าให้เขา...ข้าไม่รู้ว่าทำไมทั้งปู่และเจ้าถึงใจเด็ดเพียงนั้น แต่ตัวเจ้าและระพีมีสายเลือดเหมือนกันอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อมอบดวงตาให้ระพี ข้าคิดว่าเขาคงเข้ากับมันได้ดี แต่การอยู่ใกล้หมอย่อมปลอดภัยกว่า เหตุผลนี้คือข้อหนึ่ง ที่ทำให้ปู่ของเจ้ากำชับให้พากันมาที่อหัสกร ส่วนเหตุผลข้อสอง...คือตัวเจ้า...หลังมอบดวงตาของเจ้าให้ระพี เจ้าคงรับดวงตาของผู้อื่นมาใช้ คงเป็นคนที่ไม่เข้ากันเสียเท่าไร อาการจึงไม่แน่ไม่นอน เจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรย่อมรักษาตัวเองได้ส่วนหนึ่ง แต่หากอาการเพียบหนัก ใครจะช่วยเจ้าได้ รุจีก็ยังเด็ก ระพีก็ยังเล็ก”


“ข้าคิดว่าท่านปู่ของเจ้าคงเป็นนักเดิมพันตัวยง เขาเลือกที่จะส่งเจ้ามาอยู่ที่อหัสกร แล้วเดิมพันว่าเจ้าจะเป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับของคนที่นี่หรือไม่ หากเจ้าทำได้ ต่อให้เจ้าอยู่ในฐานะญาติของอหัสกร เจ้าก็จะมีคนของอหัสกรดูแลยามเจ็บไข้”


   รติพูดไม่ออก เขาคิดไม่ถึงว่าคำสั่งเสียสุดท้ายของผู้เป็นปู่จะมีจุดประสงค์แฝงเป็นเรื่องของเขา


ระพีเป็นเด็กอาภัพ ขาดบิดามารดาตั้งแต่เล็ก จุดนี้น่าสงสาร เมื่อปู่ของเขากำชับว่าให้พามายังอหัสกร แรกเริ่มรติไม่เข้าใจ ทั้งเขาและรุจีก็เป็นครอบครัวของระพีได้ แต่เพราะท่านปู่ย้ำว่าสกุลอหัสกรจะเป็นที่พึ่ง แม้ดวงตาของรติจะเข้ากับร่างกายของระพีได้ดี แต่ไม่อาจรู้ว่าภายภาคหน้าจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด รติมีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรก็จริง สามารถรักษาโรคได้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ย่อมไม่อาจเป็นหมอรักษาระพีได้อย่างเอิกเกริก นอกจากนั้น การมีคนที่สามารถรักษาระพีได้อีกคน ก็ย่อมเป็นการผ่อนแรง ส่วนรุจีเองก็เริ่มโต รติเพียงคนเดียวจะดูแลทั้งรุจีและระพีไม่ไหว การมาฝากฝังกับอหัสกร อย่างน้อยก็ยังมีอีกสกุลให้เกี่ยวดอง


เมื่อท่านปู่ยืนกรานด้วยเหตุผลเช่นนั้น รติจึงรับปากทำตามความประสงค์


   ภายหลังพิธีศพของชายชรา รติขายร้านยาที่เมืองทางใต้ ได้เงินก้อนหนึ่งก็พารุจีและระพีมาที่อหัสกร แม้ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าที่นี่จะยอมรับระพีหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าการบอกว่าเป็นเชื้อสายอีกคนของอหัสกรจะเป็นที่เชื่อถือหรือไม่ และบุตรชายคนแรกของพี่เขยของเขาจะรู้สึกเช่นไร รติจึงต้องจำโกหกไปก่อน


แต่เมื่อท่านอมราเห็นหน้าระพี นางก็ต้อนรับพวกเขาอย่างดี


อย่างไรเสีย อหัสกรก็ยังมีอุปสรรคชิ้นโตคือตรัส แต่เพื่อให้ระพีได้รู้จักกับพี่ชายผู้มีเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนเขา อีกทั้งรุจีจะมีที่อยู่ รติยินยอมเข้าพิธีแต่งงานตามเงื่อนไขของอหัสกร


   ความหวังสุดท้ายของท่านปู่ของรติเป็นจริง ระพีได้อยู่กับพี่ชายและย่าของเขา รุจีมีที่อยู่และอหัสกรก็พร้อมส่งเสียให้นางเรียนหนังสือ แต่รติไม่เคยรู้เลย...ว่าความหวังอีกประการที่ท่านปู่ไม่ยอมบอกก็คือต้องการให้เขามีคนดูแล


   “รติ...ปู่ของเจ้าวางเดิมพันเรื่องของเจ้า เวลานี้ชนะแน่แล้ว ชนะยิ่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก เพราะเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะคนที่เกี่ยวดองกับอหัสกร แต่อยู่ในฐานะคนของอหัสกร ตรัสรับเจ้าเป็นคู่ชีวิต เขายินดีดูแลเจ้าด้วยใจจริง เขาพร้อมที่จะรับรู้และรักษาร่างกายของเจ้า เพียงแค่เจ้า...ต้องยอมบอกความจริงแก่เขา”


   “รติเอ๋ย ชีวิตคู่ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่ต้องประกอบด้วยความรู้สึกอื่นเพื่อเกื้อหนุนส่งเสริม และหนึ่งในนั้นคือความเชื่อมั่น นี่คือบทพิสูจน์ว่าเจ้าเชื่อมั่นในตัวตรัสหรือไม่ เชื่อมั่นในความรู้สึกของตรัสหรือไม่”


   หญิงชราย้ำ แล้ววางเดิมพันต่อจากปู่ของรติ หากรติเชื่อมั่นในตัวตรัสจนกล้าเปิดเผยความลับของเขาอย่างตรงไปตรงมา ชีวิตคู่ของสองสามีภรรยา ก็ล้วนไม่มีเรื่องใดน่าหวั่นใจอีกแล้ว


นางออกจากโรงครัวไปแล้ว รติยังอยู่ในนั้น และคล้อยหลังเพียงไม่กี่อึดใจ ท่านอมราก็พบว่าไฟในโรงครัวถูกดับลง รติถือตะเกียงเทียนเดินไปตามทาง เขาไม่ได้กลับไปที่เรือนพักผ่อน แต่ตรงไปยังห้องหนังสือของเรือนอหัสกร


ตรัส...อยู่ที่นั่น


คืนนี้ สองสามีภรรยาอาจจะเข้านอนช้ากว่าเดิม อาจจะไม่ได้หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างหลายคืนที่ผ่านมา และอีกสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม...คือค่ำคืนนี้ ตรัสจะได้รู้ความจริงจากปากของรติ


ความจริงเรื่องสุดท้าย ที่รติเก็บเอาไว้ นับตั้งแต่ระพีเกิดมา


----------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

เป็นสองสามีภรรยาที่รู้ตัวเองช้ามากเลยค่ะ ฮ่าฮ่า
คือจริงๆก็รักกัน เชื่อมั่นกัน แต่ถ้าไม่มีคนมาเปิดประเด็นให้ ก็มักจะไม่รู้ตัวว่าควรทำยังไง แต่เพราะพวกเขาต่างก็ไม่เคยมีความรัก ยังไงก็เอาใจช่วยตรัสกับรติด้วยนะคะ

ส่วนตอนหน้า จะเฉลยจริงๆแล้วค่ะ รู้พร้อมตรัสเลยค่ะ 

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอเลยค่ะ

เจอกันวันศุกร์นะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-06-2020 18:23:29
ท่านหญิงมาพูดเสริมให้ความมั่นใจในเรื่องที่รติกังวลอยู่พอดีว่าถ้ารู้ความจริง ตรัสจะรับได้ไหม  o13 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 17-06-2020 18:51:11
ความจริง จะทำให้ตรัสเข้าใจร่างกายรติมากขึ้น
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-06-2020 19:49:25
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 17-06-2020 20:04:52
งืมมมมมม รติเอ๋ย หัวจิตหัวใจทำด้วยอะไร  ใยถึงกล้าหาญและเสียสละปานนี้
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-06-2020 20:15:42
รอฟังไปพร้อมกับตรัส.. :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 17-06-2020 22:19:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 18-06-2020 02:03:15
ควรเข้าเรื่องหลักได้แล้วนะ อมนุษย์ ยังไม่มีบทเลย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 65 เชื่อมั่น -- (อัพเดต 17/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-06-2020 08:40:56
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 19-06-2020 17:10:04
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 66

ความจริงเรื่องที่สอง

---------


   ในห้องหนังสือของเรือนอหัสกร เต็มไปด้วยชั้นหนังสือและม้วนกระดาษจำนวนมาก กลางห้องเป็นตั่งและโต๊ะทำงาน บริเวณนั้นสว่างไสวที่สุดด้วยแสงจากตะเกียงเทียน


   สองสามีภรรยานั่งอยู่บนตั่ง ฝ่ายภรรยานั้นตัวหดลีบราวกับเด็กน้อยทำความผิด ในขณะที่ฝ่ายสามียังนั่งเงียบเฝ้ามองคนข้างกายที่ค่อยๆเผยความจริงออกมาทีละส่วน



ความเงียบรอบตัวยิ่งทำให้รติรู้สึกกดดันมากขึ้นอีก แต่พอเหลือบตามองคนที่ยังนั่งสงบ เขาก็ทำได้เพียงบอกตนเองอย่างที่ท่านอมรากล่าว ‘เชื่อมั่นในตัวของตรัส เชื่อมั่นในความรู้สึกของตรัส’


   “เรื่องที่ข้าจะบอก...คือเรื่องดวงตาของข้า...”


   “ดวงตาที่ข้าใช้...ไม่ใช่ของข้า...”


   “ข้า...ยกดวงตาของข้าให้ระพี ดังนั้น...ดวงตาที่ข้าใช้ในยามนี้...เป็น...ดวงตาของผู้อื่น...ที่ไม่ใช่คน”


ตรัสชะงัก ดวงตาของรติเหลือบมองเขา มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เสียใจ และรู้สึกผิด


“ทำไม...ถึงต้องยกดวงตาให้ระพี”


“ระพีเกิดมาตาบอด มีแต่ตาขาวไม่มีนัยน์ตา บิดาของท่านและพี่สาวของข้าตั้งใจจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากอหัสกร แต่...ตายเสียก่อน ระพีรอช้าไม่ได้ หนังตาเริ่มเปิดไม่ขึ้น ข้า...เลยขอให้ท่านปู่ผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาของข้าให้กับเขา”


“ทั้งสองข้างเลยหรือ”


“เรามีเวลาตัดสินใจกันไม่มาก ที่สกุลของข้ามีตำราเกี่ยวกับเรื่องผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาวิธีหนึ่ง คือเปลี่ยนจากศพ แต่ศพของบิดาของท่านและพี่สาวของข้าล้วนเน่าเปื่อยเมื่อเราไปพบ ดวงตาใช้การไม่ได้ จะหาดวงตาของศพผู้อื่นก็ไม่แน่ว่าจะเข้ากับร่างกายของระพี จึง...ต้องเปลี่ยนจากคนด้วยกัน ตำราอีกเล่มกล่าวถึงการใช้ดวงตาของปีศาจ แต่ต้องใช้ทั้งสองข้าง และคนที่จะรับดวงตาปีศาจได้ต้องแข็งแรงและมีสติรับรู้ ระพียังเล็ก หากใส่ดวงตาปีศาจให้กับเขา ย่อมไม่ได้ ข้ากับท่านปู่...เลยตัดสินใจผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาของข้าให้ระพี แล้วหาดวงตาปีศาจมาใส่ให้ข้าแทน”


“แล้วทำไมต้องเป็นดวงตาปีศาจ”


“การจะใช้ดวงตาของคนด้วยกันต้องทำเรื่องผ่านเจ้าหน้าที่ทางการ ถ้าเป็นเช่นนั้นระพีจะรู้เรื่องที่เขาได้รับดวงตาจากข้าในภายหลัง”


“หมายความว่าระพีก็ไม่รู้หรือ”


“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ นอกจากข้าและท่านปู่ ข้าตัดสินใจยกดวงตาของข้าให้ระพี แล้วหาดวงตาของใครก็ได้ที่ไม่มีคนรู้มาใส่ให้ข้า เพียงแค่ทำให้ข้าพอจะมองเห็น”


“ท่านปู่ของเจ้าก็ยอมอย่างนั้นหรือ”


“ระพีเสียพ่อแม่ไปแล้ว เขาจะอาภัพมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว” รติเอ่ย แต่นั่นก็ทำเอาตรัสสะท้อนไปทั้งหัวใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจเด็ดถึงเพียงนี้


“ข้ามีเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนระพี ร่างกายของเขาจึงรับดวงตาของข้าได้ค่อนข้างดี ส่วนข้า...พอใช้ดวงตาปีศาจ ก็ต้องคอยดูแลร่างกายมากขึ้น จะป่วยไม่ได้”


“เพราะเวลาป่วย จะควบคุมดวงตาปีศาจไม่ได้ใช่ไหม”


รติพยักหน้ารับ


“สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเจ้า ที่ข้าพยายามหาก็คือพลังปีศาจที่มากับดวงตานี่เอง...”


“ท่าน...รู้หรือว่ามีอย่างอื่นในร่างกายของข้า”


“รู้ตอนที่จับชีพจรของเจ้า แต่มันออกมาเฉพาะตอนที่เจ้าตาบอด ภายหลังเจ้าแข็งแรง ข้าก็หาไม่เจออีก”


รติเม้มปาก ไม่รู้จะรู้สึกเช่นไรดี ที่อีกฝ่ายรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างในร่างกายของเขา


“ท่าน...รังเกียจไหม ข้า...ไม่ใช่มนุษย์อย่างท่าน...”


“รติ...โลกนี้มีสิ่งที่แตกต่างจากเรามากมาย เจ้าไม่ใช่มนุษย์อย่างข้าแล้วเป็นอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นคู่ชีวิตที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ก็ยังอยู่กับข้าไม่ใช่หรือ”


“ขอบคุณ”


“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณ กี่ครั้งแล้ว...ที่เจ้าทำเพื่ออหัสกร ถึงระพีจะเป็นหลานของเจ้า แต่สิ่งที่เจ้าให้เขาก็มากเกินกว่าที่คนผู้หนึ่งจะมอบให้กับคนอีกผู้หนึ่งอยู่ดี...”


“ข้า...ทนไม่ได้ที่จะเห็นระพีมีชีวิตที่น่าสงสารเช่นนั้น”


ตรัสมองภรรยาด้วยความรักลึกซึ้ง


“ตรัส...ที่ข้าบอกความจริงเรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้ท่านเหนื่อยอีกแล้ว อาการของข้าเป็นผลพลอยได้ของการใช้ดวงตาปีศาจ ไม่มียาใดรักษาได้”


“ยกเว้น...ผ่าตัดเอาดวงตาปีศาจออก แล้วแบ่งดวงตาของข้าให้เจ้าใช้ข้างหนึ่ง”


“ตรัส!” รติร้องลั่น ตะลึงงัน แต่ตรัสไม่มีวี่เววล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว คนตรงหน้าเอาจริง หมายจะแบ่งดวงตาให้รติจริง แต่ถ้าเขารับดวงตาของตรัส เขาจะมองหน้าผู้อื่นได้อย่างไรกัน


รติสูดลมหายใจลึก ตั้งสติแล้วต่อรอง


“ท่านเป็นหมอ ถ้าท่านเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว ท่านจะหยิบจับสิ่งของถนัดหรือ แม้จะฝึกฝนจนถนัดแล้ว คนเจ็บคนป่วยมาให้ท่านรักษา ความเชื่อมั่นของพวกเขาจะมีสักเท่าไร”



สิ่งที่รติพูด ไม่ได้พ้นไปจากความจริงเลย ระหว่างหมอตรัสที่มีดวงตาสองข้าง กับหมอตรัสที่มีดวงตาเพียงข้างเดียว ความเชื่อมั่นที่คนไข้มีต่อหมอย่อมแตกต่างกัน


“ตรัส ท่านไม่จำเป็นต้องทำเพื่อข้าถึงเพียงนั้น ข้าขอเพียงแค่ท่านไม่รังเกียจในสิ่งที่ข้าเป็น ยามข้าเจ็บป่วย ท่านช่วยรักษาข้า เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”


“แต่เจ้าจะมองไม่เห็น...”


“นั่นก็แค่ยามไม่สบาย ถ้าท่านรักษาข้า ข้าก็จะหาย กลับมามองเห็นอย่างเดิม”


ตรัสดูมีทีท่าจะคัดค้าน แต่รติไม่ใช่คนหัวอ่อน จึงเริ่มเจรจา


“ตรัส ท่านคือกำลังหลักของอหัสกร ท่านอมรา รุจี ระพี บ่าวไพร่ทั้งที่นี่และที่ร้านยา รวมถึงข้า ทั้งหมดอยู่ในความรับผิดชอบของท่าน ท่านจะให้ความสำคัญเพียงข้าแล้วทอดทิ้งพวกเขาไม่ได้”


พอถูกเตือนสติเช่นนี้ ก็ดูเหมือนความขึงขังที่หมายจะแบ่งดวงตาให้รติพลอยลดลง ตรัสหลับตาลง เจ็บปวดที่ไม่อาจช่วยเหลืออย่างใจ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขายังมีความรับผิดชอบอีกมากที่ต้องให้ความสำคัญ


ฝ่ามือเย็นแนบกับแก้มเขา ทำให้ตรัสต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของรตินั้นเป็นสีเข้มแต่แฝงด้วยเฉดสีประหลาด คงเป็นอานุภาพของดวงตาปีศาจ แต่สิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตาคู่นี้คือความงดงามของหัวใจ ความฉลาดหลักแหลม และความรู้สึกท่วมท้นที่มีต่อเขา


“ได้โปรด...เป็นหมอรักษาข้าในยามข้าเจ็บป่วย เป็นดวงตาสองข้างแทนข้าในยามที่ข้าตาบอด เป็น...คนแรกที่ข้ามองเห็นหลังจากหายป่วย...ได้ไหม ตรัส”


ตรัสสูดลมหายใจลึก แม้จะเจ็บปวดที่ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็จะรับหน้าที่ดูแลรักษารติเอง


“ได้ ข้าจะเป็นหมอของเจ้า เป็นดวงตาแทนเจ้า เป็นคนแรกให้เจ้าเห็น ทันทีที่หายป่วย...ตลอดชีวิตของเจ้า”


ช่างเป็นคำสัญญาที่แสนวิเศษ ทำให้หัวใจของรติอิ่มเอิบ เมื่ออีกฝ่ายรั้งเขาเข้าไปหาจึงโอนอ่อนแต่โดยดี เมื่อริมฝีปากของตรัสแนบลงมาก็ยิ่งมีแต่ความยินดี


ชีวิตนี้ช่างโชคดี...ที่มีคู่ชีวิตชื่อตรัส  อหัสกร



--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

จริงๆ เรื่องนี้เน้นไปที่ตรัสกับรติและการเรียนรู้กันของคนสองคนที่เป็นคนแปลกหน้าแต่ต้องมาอยู่ด้วยกัน

ส่วนแบ็กกราวด์ของเรื่อง ที่มีเทพ ปีศาจ ฯลฯ อันนี้เพื่อให้โลกของพวกเขากว้างมากๆ เพราะเราอยากเขียนอะไรอีกหลายอย่างเลยค่ะ (หมายถึงฉากอื่นๆที่โลกความเป็นจริงทำไม่ได้ หรือคู่อื่นๆที่เราอยากเขียนถึง อะไรแบบนี้ค่ะ)

ส่วนตอนหน้า พกผ้าเช็ดหน้ามานิดนึงนะคะ (ไม่ได้เช็ดน้ำตาหรอกนะคะ ฮ่าฮ่า)

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 19-06-2020 17:56:54
 :hao3: น่ารักทั้งคู่
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-06-2020 18:00:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-06-2020 18:50:52
ซึ้งงงง ปลิ่มในอก อบอุ่นอะไรเบอร์นี้  :mew4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 19-06-2020 20:15:12
รติคิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ..ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 19-06-2020 22:00:47
รติคนดีที่หนึ่งเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 20-06-2020 01:43:50
อุ่นนนนวาบทั้งอก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: PoyPay ที่ 20-06-2020 02:07:00
ให้พกผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดอะไรเอ่ย...  :z1: ...
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 20-06-2020 03:04:35
รู้สึกว่ามาไกลมากๆจริง ในที่สุดก็เข้าใจกันเชื่อใจกันจริงๆ :-[ เกือบลืมไปเลยว่ามีแฟนตาซีด้วย รติคือคนดีที่หนึ่งเลยอะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 66 ความจริงเรื่องที่สอง -- (อัพเดต 19/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-06-2020 07:43:55
ตอนนี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเพราะความปลื้มปริ่ม ตอนหน้าคงจะต้องไว้เช็ดน้ำหมากใช่ไหมจ๊ะ.  :laugh:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 22-06-2020 18:02:58
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 67

ของเจ้า

---------


ห้องหนังสือของเรือนอหัสกรยังคงมีแสงจากตะเกียงเทียนเรืองรอง


รติช่วยเก็บหนังสือและม้วนกระดาษที่ตรัสขนออกมาอ่าน เรื่องอาการตาบอดของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพยายามหรือถอดใจ เรื่องบางเรื่องก็มิอาจแก้ไข แต่การเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน รู้จักปรับเปลี่ยนในสิ่งที่เปลี่ยนได้และมีสติก็เป็นสิ่งสำคัญ


“ถ้าอหัสกรไม่เปิดร้านยาและรักษาคน ข้าว่าเปิดร้านหนังสือน่าจะดี ตำรับตำราเยอะจริง”


“หืม? ตำราเล่มนี้ สมัยก่อนสกุลข้าก็มี แต่ก็ขายออกไปจนหมดแล้ว”


หยิบหนังสือใดมาเก็บ รติเป็นต้องได้พินิจหน้าปกสักเล็กน้อย


ตรัสหันไปมองคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการหยิบจับหนังสือเข้าที่ แล้วก็ยิ้มจาง


“ถ้าอยากอ่าน ก็มาหยิบไปอ่าน” เขาเอ่ย ทำเอารติหันไปมอง ดวงหน้าสดใส ดวงตาเป็นประกายวาว


“จริงหรือ? ข้าเข้ามาอ่านได้ใช่ไหม”


“ได้”


รติหยิบหนังสือออกมาพลิกดูอย่างตื่นตาตื่นใจ ท่าทีเช่นนั้นยิ่งทำให้ตรัสรักใคร่เอ็นดู แล้วก็คล้ายมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด ชายหนุ่มผละจากชั้นหนังสือเข้าไปยืนซ้อนหลัง คราแรกเพียงแค่อยากใกล้ชิด แต่พอใกล้แล้วก็กลับไม่อาจห้ามใจ เป็นต้องสอดมือเข้าไปโอบเอวรติจากด้านหลังด้วย


คนที่จู่ๆก็ถูกประชิดตัวถึงกับสะดุ้งโหยง แก้มขึ้นสีเรื่อมาจนถึงใบหู ตรัสเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งเอ็นดู ก้มลงหาแล้วกระซิบเบา


“จะหยิบจับอะไรในอหัสกรก็ได้ ทุกอย่างในอหัสกร...นับเป็นของเจ้า”



แล้วพอได้โอบ ก็ไม่อาจห้ามใจอีก ตรัสยิ่งขยับกายชิด แผ่นอกของเขาแนบสนิทกับแผ่นหลังของรติ ความ ‘คิดถึง’ ผุดวาบขึ้นในอก


“ตรัส...”


สามีภรรยามีหรือจะไม่รู้ว่าการเข้าใกล้เช่นนี้เพราะต้องการอะไร แต่ที่นี่คือห้องหนังสือ แม้จะลับสายตาจากผู้อื่นเพราะดึกมากแล้ว และคงไม่มีใครเข้ามาในนี้ แต่ก็ไม่นับว่าส่วนตัวอยู่ดี


“...นี่ห้องหนังสือ...” รติปรามเบา แต่พออีกฝ่ายซุกใบหน้าลงกับคอของเขา ก็กลับเปิดเผยให้ตรัสได้มอบสัมผัสวาบหวามนั้นอย่างถนัดถนี่ ริมฝีปากลากไล้ไปกับผิวเนื้ออ่อนพร้อมกับเสียงกระซิบเบา


“คิดถึงเจ้า...ไม่ได้หรือ”


“ค...คิดถึงอีกแล้วหรือ...”


“เมื่อวานไม่ได้... ‘คิดถึง’ ...”


คำว่า ‘คิดถึง’ ของตรัสและรตินี้มีความหมายสองอย่าง



ความหมายอย่างแรกคือความรู้สึกคิดถึงอย่างที่คนทั่วไปรู้กันดี คิดถึงเพราะจากไกล คิดถึงเพราะไม่เห็นหน้า ความรู้สึกเช่นนั้นให้เกิดกับคู่สามีภรรยาที่พบหน้ากันทั้งเช้าค่ำก็เห็นจะไม่ใช่ ดังนั้นคำว่า ‘คิดถึง’ ของพวกเขาจึงมีความหมายที่สอง


คิดถึง...เพราะไม่ได้กกกอด


คิดถึง...เพราะไม่ได้แนบชิด


คิดถึง...จนอยากเกี่ยวกวัดกันและกัน ไม่แยกจากจนกว่าจะรุ่งสาง


ความหมายนี้ เป็นความนัยที่สามีภรรยารู้กันดี ดังนั้นเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่าคิดถึง อีกคนย่อมซาบซ่านไปทั้งกาย


“...ต...แต่...ที่นี่...ด...เดี๋ยวมีคนเห็น...”


“ใครเห็น” ตรัสเงยหน้าขึ้นจากซอกคอ พลิกกายคนในอ้อมแขนมาถาม ดวงตาของเขามีประกายกล้าของความรักใคร่ร้อนแรง คนถูกจ้องร้อนวาบไปทั้งหน้า รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายกลายเป็นกองเพลิงที่พร้อมจะหลอมละลาย


รติเม้มปาก พูดไม่ออก ยิ่งมือไม้ของสามีบีบขย้ำตามเนื้อตัวเขา ก็ยิ่งเผลอเบียดกายชิดอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว แล้วพอใกล้ชิด...ก็ยิ่งรับรู้ว่าความรู้สึกของตรัสนั้น...แข็งแกร่งเพียงใด


จากห้องหนังสือของเรือน ต้องเดินลัดเลาะสวนด้านหลังกลับไปยังเรือนพักผ่อนของพวกเขา แต่...ความรู้สึกเช่นนี้จะกลับไปถึงได้อย่างไรกัน


รติซุกหน้าลงกับแผ่นอกของสามี แล้วพึมพำเสียงเบา แต่...ตรัสไม่ได้ยิน เขาจึงก้มลงหา กระซิบถามข้างหู ในขณะที่สองมือเลื่อนไล้ลงสู่สะโพกกลมของภรรยา


“ว่าอย่างไร รติ...”


ใบหน้าแดงก่ำเงยขึ้นมอง ในดวงตามีแววอัดอั้นเล็กน้อยที่ต้องพูดซ้ำ อีกทั้งยังเขินอาย แต่...หากไม่พูดอีกครั้ง ตรัสคงนวดเฟ้นสะโพกเขาไม่หยุด


“...ถ้าจะ...ที่นี่...ก็เข้าไปข้างใน...”


ราวกับเป็นคำอนุญาต ตรัสยิ้มพราว รวบร่างของภรรยาขึ้นจากพื้น ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจแผ่วเบามาจากคนในอ้อมแขน แต่เมื่อเขามอบจุมพิตให้กับภรรยา แล้วพาเดินลึกเข้าไปในห้องหนังสือ เสียงของพวกเขาก็เปลี่ยนไป


ห้องหนังสือของเรือนอหัสกรเรียงรายด้วยชั้นหนังสือที่อัดแน่นด้วยหนังสือและม้วนกระดาษ เรื่องความสะอาดสะอ้านไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีบ่าวไพร่เข้ามาดูแลอยู่เป็นนิจ แต่กลางดึกเช่นนี้ ไม่มีบ่าวคนใดขยันขันแข็งอยากจะปัดกวาดแน่แท้


ช่างเป็นที่รโหฐานชั้นดี แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ที่เป็นส่วนตัว รติทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น เลยพลอยให้รู้สึกตื่นตัวเป็นพิเศษ อีกทั้งต้องพยายามกลั้นเสียงร้องเพราะเกรงว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน


แต่ดึกปานนี้...จะมีใครผ่านมาเล่า


ตรัสนึกเอ็นดูภรรยา แต่กระนั้นก็ไม่ปลอบประโลมให้คลายกังวล รติในเวลานี้ ทั้งน่ารัก ทั้งน่ารังแก พอเขาลงน้ำหนักกับฝ่ามือและริมฝีปาก ก็ยิ่งสะดุ้งสะท้าน ยิ่งเขาแตะต้องส่วนลับ ร่างของรติก็ยิ่งสั่นระริก เสียงครางหวานหูได้ยินเพียงผะแผ่วเพราะเจ้าตัวเอาแต่ยกฝ่ามือกลั้น


แต่ไหนเลย...จะทนไหว


ตรัสเพิ่มน้ำหนักกับฝ่ามือ รูดรั้งแตะต้องส่วนไวต่อสัมผัส จนรติสะท้านไปทั้งร่าง เขาก็คว้าร่างคนรักขึ้นมาคร่อมตัก


ดวงตาคู่สวยเหลือกโตด้วยความตกใจ แต่ฝ่ายสามีกลับกดสะโพกลงหาความเป็นชายของตนเองที่เหยียดเกร็งรอรับการครอบครอง


“อ๊ะ! ตรัส!”



ท่วงท่านี้ช่างน่าอาย สถานที่ก็ไม่มิดชิด รติอยากผละกายหนี แต่มือหนึ่งของตรัสกดสะโพกของเขาลงหาแท่งร้อนผ่าวที่ค่อยๆชำแรกเข้ามาทีละน้อย ในขณะที่มืออีกข้างรั้งกายของรติให้แอ่นอกเข้าหา แล้วครอบครองยอดอกตึงเขม็งข้างหนึ่งด้วยริมฝีปากร้อน


เพียงเท่านั้นคนอยากผละจาก ก็หมดใจจะต้านทาน


สองมือของรติกอดคอตรัสไว้แน่น อารมณ์วาบหวามและความอึดอัดคับแน่นตีรวนจนทำอะไรไม่ถูก พอถูกริมฝีปากตะโปมดูดยอดอก ก็ทำได้เพียงแอ่นอกเข้าหา พอถูกมือร้อนนำพาให้กดสะโพกลง ร่างกายก็ยินดีทำตามจนแนบสนิท


รติหอบฮัก ครางเครือผะแผ่วอย่างอดไม่ไหว


“ต...ตรัส...อื้อ...ตรัส...”



เสียงของภรรยานั้นช่างหวานหู ความคับแน่นตอดรัด ยิ่งทำให้ตรัสเตลิด สองมือของเขาเลื่อนลงไปกอบกุมเนื้อสะโพก บีบขย้ำจนเนื้อปลิ้นตามร่องนิ้ว จับฉีกแยกให้ปากทางขยายตอบรับความต้องการของเขาจนสุด แล้วบังคับจังหวะขยับขึ้นลงตามใจปรารถนา ยามกดสะโพกลง ก็กระดกเอวสวนกลับขึ้นไป ยามยกสะโพกขึ้นก็ส่ายวนให้รติยิ่งรัญจวนจนแทบขาดใจ


“นี่ของเจ้า...” ตรัสกระซิบกับริมฝีปากที่ครางเครือแผ่วเบา ในขณะที่เสยแก่นกายเข้าฝังแน่นภายในร่องร้อน


“ของเจ้าทั้งหมด...”



สองมือของตรัสกดสะโพกของภรรยาให้แนบชิดลงกับตักของเขา แม้จะสนิทแนบแล้วก็ยังไม่ปล่อย รติดิ้นพล่าน อึดอัดทรมานแต่สัมผัสหยาบกระด้างที่บดกับผิวเนื้ออ่อนก็ซาบซ่านถึงใจ


“ทุกอย่างของอหัสกรเป็นของเจ้า...”



ราวกับต้องการตอกย้ำให้รติรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของ ตรัสกดสะโพกอีกฝ่ายให้แนบนิ่งอยู่กับที่ ให้รติรับรู้ตัวตนของเขาจนถึงที่สุด ให้ครอบครองทั้งใจและกายของตรัส  อหัสกรอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้


“อ๊ะ...ต...ตรัส...ไม่ไหว...อ๊ะ ไม่ไหวแล้ว...ข...ขยับ...” รติสั่นสะท้านไปกับความรัญจวน รับรู้ถึงความใหญ่โตร้อนผ่าวที่ฝังเข้ามาในร่างกายของเขา แม้จะทรมานแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าไม่ต้องการ


“รับรู้ไว้ รติ...อหัสกรเป็นของเจ้า...ตรัส อหัสกรก็เป็นของเจ้า...”


สิ้นเสียงนั้น ร่างของรติก็ถูกตวัดลงนอนราบกับพื้น ตรัสขึ้นคร่อม ตวัดขาของรติข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่าได้แล้วก็กระหน่ำกระแทก ฉุดพาอารมณ์ทั้งมวลให้พุ่งทะยานไปด้วยกัน


“อ๊า ตรัส...” แม้แต่ตนเองก็ยังรับรู้ว่าเสียงครางนั้นไม่ได้เบาแผ่วอีกแล้ว ความต้องการทำให้ไร้ซึ่งความอดทน แต่ความอับอายทำให้ตัดสินใจคว้าคอสามีก้มลงหาแล้วใช้ริมฝีปากของอีกฝ่ายปิดเสียงร้องของตนเอง


การกระทำเช่นนั้นราวกับเป็นคำอนุญาตที่แสนหวาน


ตรัสโหมแรงโจนทะยาน บดจูบและบดขยี้ร่างของภรรยา เขากระแทกกายเข้าจนสุด ฝากฝังความใหญ่โตให้รติได้ครอบครองจนสุดความยาว แล้วถอนถอยออกจนเกือบสุด จากนั้นก็อัดกระแทกเข้าไปใหม่


อารมณ์รักโหมกระพือ บทรักถี่กระชั้น ริมฝีปากแทบไม่ถอยห่าง ปลายลิ้นเกี่ยวกวัด แผ่นอกถูไถ ในขณะที่เบื้องล่างกระแทกกระทั้น เสียงเนื้อกระแทกเนื้อทั้งซ่านเสียวและเหนอะหนะ แม้จะฟังแล้วช่างหยาบโลนแต่กลับไม่อยู่ในความสนใจของพวกเขาเลย คล้ายต่างคนต่างมัวเมาอยู่ในโลกของความรักใคร่ร้อนแรง คนหนึ่งโจนทะยานเข้าหา อีกคนหยัดกายตอบสนอง บทรักนี้ของสองสามีภรรยาทั้งถึงใจและเต็มไปด้วยอารมณ์รักใคร่ จนห้วงสุดท้ายมาถึง


“อื้อ!!” รติเกร็งไปทั้งร่าง กระตุกเฮือกพุ่งทะยานเอาความต้องการออกมาจนเปรอะเลอะหน้าท้องของพวกเขา ในขณะที่ภายในช่องทางร้อนตอดรัดจนตรัสทนไม่ไหว เขากดกายเข้าหาสุดลึก แล้วปลดปล่อยความต้องการเข้าไปในร่างของภรรยาจนหมดสิ้น


เสียงครางเงียบลงเหลือเพียงเสียงหอบหายใจ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อและคราบไคล กระนั้นสองร่างก็ยังแนบชิดอยู่บนพื้นภายในห้องหนังสือ


“เก่ง” ริมฝีปากของตรัสยังวนเวียนอยู่กับริมฝีปากของภรรยา และผิวแก้ม แต่ก็ยังชื่นชมเอาใจ รติทั้งเขินทั้งอาย แต่ครั้นจะปล่อยให้อีกฝ่ายชมอยู่เพียงลำพังก็ใช่ที่


“ท่านก็ด้วย”


ตรัสเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกกระหยิ่มที่ได้รับคำชม ผละออกห่างเพื่อมองสบเข้าไปในดวงตาของภรรยาผู้เป็นที่รัก


“แล้วชอบไหม”


คำถามนี้ตอบยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่ไม่ส่วนตัว


หากกล่าวว่าชอบ ก็ไม่รู้จะถูกอีกฝ่ายรวบรัดว่าชอบเพราะสถานที่ หรือชอบเพราะคน หรือชอบเพราะท่วงท่า


“ชอบไหม รติ...” แต่พอไม่มีคำตอบให้ ร่างก็ถูกรวบขึ้นไปนั่งทับตักอีกครั้ง รติตาโต ส่วนที่ยังเชื่อมกันก็ยังแนบสนิท จากที่เมื่อครู่อ่อนตัวลงก็กลับมาเริ่มแข็งขืนจนรู้สึก


“ท...ท่าน...”


“ไม่ตอบ...เห็นทีต้องพิสูจน์อีกรอบ”


“อ๊ะ ต...ตรัส...ท...ที่นี่อีกหรือ...”


“ที่นี่ก็ที่ของเจ้า” ตรัสเอ่ย มีรอยยิ้มจางที่มุมปาก มือร้อนนวดวนสะโพกกลมแล้วกดลงแนบตักเขาจนรติสั่นขึ้นมาอีก


“อ๊ะ...ต...ตรัส...”


“ตรงนี้...ก็ของเจ้า...”


“ด...เดี๋ยว...อื้อ...” รติข่มตา กายสั่นระริก อารมณ์รัญจวนเริ่มก่อตัวระลอกใหม่อีกแล้ว


ท่าทางของภรรยานั้นน่าเอ็นดูในสายตาของตรัส เขาก้มลงหา จุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปากราวกับปลอบประโลม


“รติ...” เสียงเรียกนั้นทำให้คนที่กำลังข่มตาเพราะอารมณ์วาบหวามต้องลืมตาขึ้นมา แล้วก็ได้พบว่าเจ้าของเสียงกำลังทอดมองด้วยทั้งรักใคร่และเอ็นดู


“...อหัสกรเป็นของเจ้า รวมถึง...ใจและกายของตรัส  อหัสกรก็ด้วย...”


ใครเลยจะคาดคิด คราแรกเมื่อเหยียบย่างมาที่นี่ เพียงแค่หวังจะมาอาศัยไม่นาน เมื่อทุกอย่างลุล่วงตามประสงค์แล้วจะจากไป แต่วันนี้...คนที่นี่...กลับยกทุกอย่างให้


โดยเฉพาะ ‘ใจและกายของตรัส  อหัสกร’


ดวงตาของรติที่แต้มด้วยเฉดสีประหลาดในความสลัวของแสงตะเกียงเทียน เอ่อคลอด้วยน้ำใสยามทอดมองใบหน้าของผู้นำสกุลอหัสกรที่ออกปากมอบทุกอย่างให้กับเขา


สิ่งใดจะมีค่ามากไปกว่าความรู้สึกของชายผู้นี้...ชายที่ชื่อ ตรัส  อหัสกร...


รติประคองใบหน้าของตรัสด้วยสองมือแล้วแนบริมฝีปากเข้าหาแผ่วเบา จากนั้นจึงผละออกมาเอื้อนเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง


“ใจและกายของข้า ก็เป็นของตรัส  อหัสกรเช่นกัน...”


แล้วจากนั้น สองใจและสองกายของสองสามีภรรยาก็หลอมรวมเป็นของกันและกันอีกครั้ง


ห้องหนังสือของเรือนอหัสกรในคืนนี้...จึงมีแสงสลัวจากตะเกียงเทียนสว่างไปอีกค่อนคืน

--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMO926

---------

ไม่ใช่แค่เป็นสองสามีภรรยาที่ปากแข็ง ปากหนักและซื่อบื้อเรื่องความรักเหมือนกันหรอกค่ะ แต่เรื่องแบบนี้ก็เข้าขากันดีด้วยนะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ

เจอกันวันพุธค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: KhunYingJung ที่ 22-06-2020 18:57:15
 :mew1: ดีนะพกผ้าเช็ดหน้ามาตามคำแนะนำ :hao6:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 22-06-2020 19:28:40
ต้องไปอ่านในห้องสมุดเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-06-2020 20:33:12
 :oo1: :pighaun: :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 22-06-2020 21:27:00
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-06-2020 21:57:43
ตรัสมุมนี้..มีเสน่ห์มาก..รติก็น่ารักเหลือเกิน   :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-06-2020 22:47:09
 :hao6: :katai4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 22-06-2020 22:48:31
อยากลองแวะชะโงกดูหนังสือในห้องสมุดจัง

ปล. ถ้าคนเขียนจะสร้างจักรวาล จาก อมนุษย์ ปีศาจ อื่นๆ ก็น่าสนนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 22-06-2020 23:15:40
 :jul1: :jul1: ไม่ไหวแล้วขอเลือดเพิ่มค่ะ คิดถึงหนักมาก :-[ หวานๆแบบนี้ทีไรคิดถึงช่วงแต่งงานใหม่ๆที่ตรัสไม่ชอบรติขึ้นมาเลยค่ะ5555  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 22-06-2020 23:29:44
หวานนนเลือดหมดตัวแล้ว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 22-06-2020 23:33:08
 :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 24-06-2020 07:21:58
ความหมายของคำว่าคิดถึงจะเปลี่ยนไป   :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 67 ของเจ้า -- (อัพเดต 22/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-06-2020 15:22:45
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 24-06-2020 17:33:04
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 68

สามีเอาใจใส่

---------
   

ให้อย่างไร ปราณก็ยังคงเป็นอาจารย์ในโรงเรียนประจำที่รุจีเรียนหนังสือ อีกทั้งยังเป็นสหายสนิทของรติด้วย ดังนั้นแม้ตรัสจะไม่ค่อยชอบหน้าอยู่สักหน่อย แต่ก็พยายามทำความเข้าใจกับความสนิทสนมที่ทั้งสองมีต่อกัน


   เรื่องนี้ รติเองก็ระมัดระวังการกระทำเสมอ ถึงจะถูกใจกับมิตรภาพที่ตนเองและปราณมีต่อกัน แต่ก็ไม่ใกล้ชิดมากนักเมื่อตรัสอยู่ด้วย


แต่ใกล้ชิดอย่างไรให้อยู่ในขอบเขตที่พอดี รติไม่รู้แจ้ง ตอนที่อาจารย์ปราณแวะมาเยี่ยมเยียนที่ร้านยาอหัสกรช่วงแรกๆ จึงทำให้ใครบางคนหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมายืนจ้องอยู่ที่หน้าห้องตรวจ


   รติมิได้สังเกต คนสังเกตกลับเป็นปราณ


   “รติ...อาการเจ้าดีขึ้นแล้วใช่ไหม”


   “ดีแล้ว หายสนิท”


   “แต่บางคนรู้สึกจะไม่ดี”


   รติกะพริบตาปริบๆ มองสหายเบื้องหน้า


   “ท่านหรือ?! ท่านไม่สบายอย่างไร ให้ตรัสช่วยตรวจให้ไหม”


   ปราณหัวเราะร่วน รติเป็นคนหลักแหลม แต่บทจะซื่อก็ซื่อเหลือเกิน


   “ถ้าข้าให้สามีของเจ้าช่วยตรวจ ข้าอาจจะได้กินยาขมไปหลายวัน”


   รติยังงุนงง


   “ยาขม? หมายความอย่างไร” ด้วยความอยากรู้ พอย้อนถามแล้วจึงยื่นหน้าเข้าใกล้


ความใกล้ชิดของสหายถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนเป็นสามีผู้หวงแหนภรรยากลับรู้สึกว่าใกล้...เกินไปนัก


   แม้รติจะออกปากด้วยตนเองว่าไม่เคยคิดเกินเลยกับปราณ ตรัสเองก็เคยไปพบปราณเป็นการส่วนตัว ทางนั้นก็ยืนยันว่ามีแค่ความเป็นเพื่อนให้กับรติเท่านั้น และเมื่อจับจ้องด้วยสติแล้ว ตรัสก็มองไม่เห็นความรักใคร่อย่างคู่รักระหว่างปราณและรติเลยสักนิด


   กระนั้น...ภาพเบื้องหน้าก็ใกล้ชิดไปสักหน่อย แม้จะมีตู้ไม้กระจกขวางระหว่างทั้งสองก็ตาม


   หมอแห่งร้านยาอหัสกรก้าวเท้าจากหน้าห้องตรวจอย่างว่องไวตรงไปประชิดร่างภรรยาแล้วดึงแขนให้ออกห่างจากตู้ไม้เล็กน้อย...ซึ่งรวมถึง ออกห่างจากปราณด้วย


   “ใกล้มากไป” เขาเตือนเสียงเรียบ จ้องดุทีหนึ่งจากนั้นก็หมุนตัวเดินเลี้ยวกลับไปยืนที่หน้าห้องตรวจของตนตามเดิม


   ดูราวกับมาเพื่อเตือน จากนั้นก็พยายามระงับอารมณ์อย่างยิ่งแล้วกลับไปยืนจังก้าอยู่ที่เก่า


   ปราณมองตามแล้วหันกลับมามองสหายที่ยังทำหน้าเหรอหรา จากนั้นก็หัวเราะดังอย่างถูกใจ


   “สามีของเจ้านี่ขี้หึง”


   รติหันกลับมามองคนเปรย ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะงุนงงไปหมด


   “เอาเถอะ จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ จะไม่ทำให้สามีของเจ้าอยู่ไม่สุข ข้าจะไปแล้ว” เขากล่าวเช่นนั้นแล้วหยิบห่อผงสมุนไพรที่ซื้อมาถือไว้ แต่ยังไม่วายนึกสนุก หันไปโบกมือลาให้ตรัสที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องตรวจ


   “ขอตัวก่อน ท่านตรัส แล้วไว้จะแวะมาใหม่”


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปราณจะแวะมาหาผู้ใด


   ลูกค้าของร้านยาอหัสกรหมุนตัวเดินออกจากร้านไปแล้ว รติที่ยังงุนงงจึงหันไปมองสามี ฝ่ายนั้นสบตากับเขาเพียงอึดใจเดียวแล้วก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องตรวจไปอย่างเงียบๆ


   ความเงียบนี้ ผู้อื่นอาจดูไม่ออก แต่รติดูออกว่ามันแฝงด้วยความไม่พอใจเล็กๆ


   เขาหันไปฝากหน้าร้านกับบ่าวคนหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินตามเข้าไปในห้องตรวจ


   ไม่ทราบว่าเข้าไปคุยกันอย่างไร เพราะหายเข้าไปเป็นนาน กว่าจะออกมาอีกทีก็ตอนที่มีคนหกล้มแผลถลอกแวะมาให้รักษา บ่าวเคาะประตูแล้วรออึดใจหนึ่ง รติก็เป็นคนเปิดประตูออกมาพาคนเจ็บเข้าไปในห้องให้หมอตรัสทำแผล


   คนเจ็บผู้นั้นได้รับการรักษาแล้วก็ออกมาจ่ายเงินกับรติ ไม่วายถามขึ้นมาเรื่องหนึ่งด้วยความฉงน


   “วันนี้หมอตรัสอารมณ์ดี มีเรื่องดีๆรึ”


   รตินิ่งงัน ตอบไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้าแล้วส่ายไปมาแทนคำตอบ คนเจ็บผู้นั้นไม่ได้ติดใจจะเอาคำตอบนัก เมื่อรับเงินทอนแล้วก็ซื้อผงสมุนไพรไป 3 ห่อ แล้วก็ออกจากร้านยาอหัสกรไป จึงย่อมไม่เห็นว่าคนที่ตนถามคำถามทิ้งเอาไว้ หน้าแดงเห่อ เผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตนเอง เพราะคิดไปถึงเรื่องที่ทำให้ตรัสอารมณ์ดี


   เป็นอันว่า สองสามีภรรยาเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่และสงบ ชีวิตคู่จึงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น


   ส่วนเรื่องร่างกายของรติ เมื่อรู้ข้อจำกัดแล้ว ตรัสก็ยิ่งเอาใจใส่ แต่ก็มิได้มากเกินความพอดี รติชอบทำงาน เขาก็ไม่ขัด แต่คอยสอดส่อง สอบถาม ใส่ใจ


   ย่างเข้าฤดูร้อน อากาศเริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้จากหนาวเป็นร้อน อีกทั้งมีฝนตก แผงขายสมุนไพรหน้าร้านยาจึงถูกพับเก็บ แต่โปรดอย่าคิดว่าคนอย่างรติจะนั่งเฉยมองหยาดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่โปรยปราย


   แม้ออกไปยืนขายผงสมุนไพรหน้าร้านไม่ได้ แม้ออกไปเที่ยวเตร่ในเมืองไม่ได้ แม้จะต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน ในร้านยา แต่หากตรัสคลาดสายตา ก็เป็นต้องหาไม่เจอ


   “รติอยู่ที่ใด”


   “เมื่อครู่นี้เห็นว่าจะลงไปห้องเก็บสมุนไพรขอรับ” บ่าวผู้หนึ่งในร้านยาตอบ


   ได้ยินดังนั้นก็พอสบายใจ ตรัสจึงกลับเข้าไปตรวจคนไข้ ครึ่งวันผ่านไป ออกมาอีกครั้งก็ยังไม่พบหน้ารติ


   “รติอยู่ที่ใด”


   “ฝนหยุดแล้ว ท่านรติเลยบอกว่าจะนำสมุนไพรไปแจกขอรับ”


   “นำสมุนไพรไปแจก?”


   “ขอรับ เห็นว่าเป็นสมุนไพรให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ท่านรติบอกว่าหลังฝนตก อากาศเย็นชื้น แล้วก็มีสมุนไพรให้ความอบอุ่นเหลือตั้งแต่ช่วงฤดูหนาว ก็เลยนำไปแจกตามบ้านขอรับ”


   ตรัสพูดไม่ออก แต่นึกอยากตีภรรยาขึ้นมาครามครัน เขาเดินออกไปยืนที่หน้าร้านยา เงยมองฟ้าแล้วพบว่าแม้ฝนจะหยุดไปแล้ว แต่อากาศก็ยังชื้น ดีไม่ดี คนนำของไปแจก จะกลายเป็นคนป่วยของเขา


   ชายหนุ่มคอยชะเง้อมองว่าเมื่อไรรติจะกลับ และจะกลับมาด้วยสภาพเยี่ยงไร พักใหญ่ทีเดียว กว่าเจ้าของรอยยิ้มสดใสจะหิ้วตะกร้าว่างเปล่ากลับมา


   “ตรัส ออกมายืนทำอะไรหรือ” ยังมิวายทักคนยืนรอหน้าร้าน


   “เจ้าออกไปไหนมา”


   “ข้าเอาผงสมุนไพรไปแจก พวกสมุนไพรไล่หวัดกับสมุนไพรให้ความอบอุ่นกับร่างกายที่เหลือจากฤดูหนาว ท่านบอกว่าที่นี่อากาศร้อน แล้วคนเมืองนี้ก็ขี้ร้อนไม่ใช่หรือ ถึงเก็บเอาไว้ก็ขายไม่ได้แล้ว สู้เอาไปแจกตอนนี้ดีกว่า นี่! ดูสิ! มีลูกค้าฝากเงินมา ให้ข้าเอาผงสมุนไพรไปส่งเขาที่เรือนด้วย ข้าให้คนจัดของก่อน” อวดเงินที่ได้รับมาเป็นค่าผงสมุนไพรกับตรัสแล้วจึงหันไปสั่งบ่าวคนหนึ่งให้จัดผงสมุนไพร พร้อมกำชับให้นำไปส่งที่เรือนของลูกค้าโดยเร็ว ก่อนจะหันกลับมาชวนคนข้างกายคุย


   “ท่านว่า เราเพิ่มบริการขายสมุนไพรตามบ้านเรือนดีไหม ช่วงนี้ฝนตก ลูกค้าออกมาซื้อหาไม่สะดวก”


   “แล้วเจ้าออกไปขายสะดวกหรือ” ตรัสถามเสียงเข้ม


   “ก็...รอหลังฝนตก”


   “หลังฝนตกอากาศก็ยังชื้น” สุ้มเสียงของตรัสเข้มงวดก็บอกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจนัก รติชะงักไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม


   “ท่าน...โกรธหรือ...”


   สามีย่อมรู้ใจภรรยา นิสัยของรติจะให้อยู่เฉยเห็นจะเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องสุขภาพร่างกายก็ต้องให้ความสำคัญ


   ตรัสถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง


   “ถ้าเจ้าอยากออก ก็รอให้อากาศหายชื้นลงสักหน่อย หรือมิเช่นนั้นก็สวมหมวก ข้างหลังร้านมีหมวกสำหรับกันฝนอยู่ไม่ใช่หรือ”


   “ข้าก็อยากใส่ แต่มันพังแล้ว”


อากาศที่นี่เปลี่ยนแปลง ข้าวของบางชิ้นใช้ได้ช่วงหนึ่งแล้วต้องวางเอาไว้อย่างนั้น หมวกสำหรับกันฝนก็เช่นกัน มันทำจากพืชชนิดหนึ่งตากแห้ง แล้วเคลือบด้วยน้ำมันจากไม้ ทำให้กันน้ำได้ แต่เมื่อไม่ได้ใช้นานเข้าก็ผุพังตามกาลเวลา


   รติมองอีกฝ่าย พอจะรู้ว่าตรัสห่วงใยร่างกายของเขาเพียงใด ข้อจำกัดที่ว่าหากเจ็บป่วยแล้วจะมองไม่เห็น เป็นเรื่องที่ตรัสไม่อยากให้เกิดขึ้น


   “ตรัส ข้าไม่ออกแล้วก็ได้”


ความสบายใจของตรัสเป็นหนึ่งในความสุขของรติ หากการออกไปเตร็ดเตร่อย่างใจชอบจะทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ ต้องออกมายืนรออยู่หน้าร้านอย่างอยู่ไม่สุข เขาก็จะไม่ทำ


   ตรัสสบตา แล้วก็ส่ายศีรษะปฏิเสธ


   “ข้าไม่ได้ห้าม แค่อยากให้เจ้าดูแลตัวเองให้ดี” เขากล่าวเช่นนั้น ก่อนจะดึงแขนรติเข้าไปในห้องตรวจ


   “มาเถอะ มาอยู่ในห้องนี้ ไว้ตัวแห้งดีแล้ว ผมไม่ชื้นแล้ว ค่อยออกไปอยู่หน้าร้าน” ตรัสพูดแล้วดันร่างภรรยาเข้าไปในห้องตรวจของเขา แต่ตนเองหันไปสั่งบ่าวคนหนึ่ง


   “ให้ใครไปซ่อมหมวกกันฝนที หรือถ้าซ่อมไม่ได้แล้วจะซื้อใหม่ก็มาเบิกเงินจากข้า อ้อ...ซื้อเสื้อคลุมกันฝนกับรองเท้ากันน้ำด้วย”


   คำสั่งของเขามิได้ดังเข้าไปในห้องตรวจที่รติอยู่ แต่ข้าวของที่เขาสั่งให้บ่าวเตรียมไว้ก็ปรากฏแก่สายตาของรติในอีกไม่กี่วันต่อมา


   ช่างเป็นสามีที่เอาใจใส่โดยแท้


---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ฟ้าหลังฝน มันก็จะน่าอิจฉานิดนึงนะคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอเลยค่ะ

เจอกันวันศุกร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-06-2020 17:43:12
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 24-06-2020 19:27:56
ความใส่ใจนี้ อิจฉาาาาา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 24-06-2020 21:58:15
สามีดีเด่น สามีแห่งปี 2020 ต้องยกให้ตรัสแล้วละ 555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 24-06-2020 22:03:41
 :katai2-1: รักเมีย หลงเมียมากหมอตรัส
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 24-06-2020 22:07:59
รักเมียหลงเมียใครกันนะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-06-2020 00:12:48
คนขี้หึง..มักน่ารัก   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 25-06-2020 20:15:07
อิอิอิ  น่าร้ากกด
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 25-06-2020 22:40:49
อันความสามีของตรัสนี้คือดีมาก.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 68 สามีเอาใจใส่ -- (อัพเดต 24/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 26-06-2020 00:04:20
สามีแห่งชาติดูแลดีมากๆ ขำอาจารย์ปราณแหย่เก่งมาก สนุกม ากๆเลยค่ะ :katai2-1::pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 26-06-2020 17:05:07
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 69

เยี่ยงอย่าง   

---------


   ก่อนจะเข้าสู่ฤดูร้อน ฝนยังคงตกต่อเนื่อง



ในเมืองตะวันออก ดินร่วนซุยดี เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่ก็ทำให้ดินอุ้มน้ำ มักส่งผลเสียต่อบ้านเรือน


   เรือนอหัสกรเป็นเรือนเก่าแก่ ทั้งตัวเรือนและรั้วล้วนถูกปลูกสร้างมานานแล้ว แม้จะคอยซ่อมแซมตรวจตราอยู่เสมอ แต่เมื่อคืนฝนตกหนัก ยิ่งดินอุ้มน้ำ รั้วด้านหลังเรือนจึงเริ่มมีรอยร้าวจากการทรุด


   กิจวัตรของตรัสคือตื่นแต่เช้า เดินตรวจตรารอบเรือนดูแลความเรียบร้อย ก่อนจะเริ่มฝึกฝนร่างกาย แต่เพราะวันนี้ สังเกตเห็นว่ารั้วมีรอยร้าว จึงยกเลิกการฝึกร่างกาย แล้วเรียกบ่าวไพร่ให้มาช่วยกันดู


   ตอนที่อาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว รติเดินตามมาพบตรัสยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับบ่าวไพร่ชาย 2-3 คน


   เห็นสีหน้าของตรัส รติก็ชักเป็นห่วง


“มีอะไรหรือ ตรัส”


   “รั้วทรุด”


รติมองตาม หากมองเพียงผิวเผินย่อมไม่เห็นว่ารั้วบริเวณนั้นไม่เสมอกัน แต่เมื่อสังเกตดีแล้ว จึงพบว่านอกจากรั้วบริเวณนั้นจะไม่เท่ากับบริเวณอื่นแล้ว ยังมีรอยร้าวด้วย



   “ข้าให้คนไปตามช่างมาแล้ว วันนี้คงไม่ได้เปิดร้านยา ต้องอยู่ดูช่างซ่อมรั้วให้เรียบร้อย ช่วงนี้ฝนตกหนัก ข้ากลัวว่ารั้วจะถล่มลงมา”


   “แต่วันนี้มีคนไข้จะมารับยาไม่ใช่หรือ”


   ดูเหมือนชายหนุ่มจะเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาทำหน้าปั้นยาก หันมองรั้วแล้วก็ถอนหายใจ


   “ถ้าอย่างนั้น...” เขากำลังจะเอ่ย แต่รติแตะแขนเขาเสียก่อน


   “ข้าไปเปิดร้านให้ ท่านอยู่ทางนี้คอยดูช่างมาซ่อมรั้วเถอะ”


   ตรัสหันมามองคนพูด เขาลืมไปได้อย่างไรว่ารติหาใช่ภรรยาผู้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เจ้าตัวเก่งกาจทั้งเรื่องค้าขายและมีวิชาความรู้ด้านสมุนไพร


   “ถ้าอย่างนั้นก็ฝากเจ้าด้วย ข้าจะเขียนยาของคนไข้ให้ เมื่อเขามารับ เจ้าก็จัดยาให้เขาตามนั้น”


   รติพยักหน้า ก่อนจะชวนตรัสไปรับมื้อเช้าก่อน


   วันนี้สองสามีภรรยาแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตน



รติไปเปิดร้านยาอหัสกรแทนตรัส ตั้งป้ายไม่รับคนไข้เพิ่ม นอกจากคนไข้เดิมที่เคยรักษาและต้องมารับยา ส่วนตรัสคอยดูแลช่างที่มาซ่อมรั้ว ตั้งแต่เช้าจนเที่ยง


   เขาปิดร้านยาในตอนเที่ยง เมื่อกลับมาที่เรือนก็พบตรัสยังคงยืนดูแลการซ่อมแซม ช่างและบ่าวไพร่ยังคงทำงานอย่างขมีขมัน ตรัสเองก็ไม่ไปไหน แม้ว่าแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงจะแผดเผาจนผิวของเขากลายเป็นสีแดง


   “พี่ตรัสตัวแดงแจ๋เลย” ระพีพูด รติยิ้ม ก้มลงมองเด็กชายที่เขาชวนมาตามตรัสไปพักรับประทานมื้อกลางวัน


   “ตัวแดงเช่นนั้นไม่ดี เพราะอยู่กลางแดดนานๆ จะไม่สบาย แต่...มีเรื่องหนึ่งที่อยากให้เจ้าเอาเยี่ยงอย่าง พี่ตรัสของเจ้าดูแลทั้งในเรือนนอกเรือน เอาใจใส่แม้แต่เรื่องเล็กน้อย รอยร้าวเหล่านั้น หากไม่มองอย่างช่างสังเกตย่อมไม่เห็น หรือหากเห็น จะไม่เห็นเป็นปัญหาก็ได้ แต่เพราะเขาเกรงว่าต่อไปรั้วจะพังลงมาเป็นอันตรายต่อทุกคน จึงต้องรีบจัดการแต่เนิ่นๆ”


   เด็กชายตัวน้อยหันมองพี่ตรัสด้วยดวงตาระยิบราวกับเห็นผู้เป็นแบบอย่าง ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้รติ


   “ขอรับ! ข้าจะเอาเยี่ยงอย่างพี่ตรัสขอรับ!”


   รติยิ้ม ก่อนจะบอกให้เด็กชายรออยู่ในเรือน ส่วนตนเองก้าวเท้าออกไปตามตรัสเพื่อให้พักรับประทานมื้อเที่ยง เขาเชิญชวนช่างซ่อมรั้วให้รับประทานมื้อกลางวันที่นี่ โดยจัดสำรับแยกไว้ให้ เรื่องนี้มิได้อยู่ในค่าจ้าง แต่เป็นน้ำใจของเรือนอหัสกร


   พวกช่างไปพักรับประทานอาหารที่เรือนอหัสกรจัดไว้ให้แล้ว ได้ยินเสียงชมเชยไม่ขาดปากว่าเอร็ดอร่อย นับว่าเป็นหน้าเป็นตาโดยแท้


   ทั้งหมดนี้ก็เพราะรติจัดแจง


   แบ่งเบาภาระ เปิดร้านยา และจ่ายยาให้แทน แล้วยังคิดรอบด้าน ด้วยการมีน้ำจิตน้ำใจกับผู้อื่น


ตรัสมองภรรยาด้วยสายตารักใคร่ลึกซึ้ง เขามิทันคิดเรื่องมื้อกลางวันของพวกช่างซ่อมแซม เรื่องนี้เป็นน้ำใจเล็กน้อย แม้นไม่มีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อมี กลับทำให้สุขใจอย่างประหลาด


   “ท่านตัวแดงหมดแล้ว” รติมัวแต่สนใจเนื้อตัวของตรัส จึงไม่ทันเห็นสายตาของเขาที่มองตน


เพราะอากาศร้อนยามเที่ยง ตรัสจึงมิได้สวมเสื้อผ้ามิดชิดนัก ท่อนล่างเป็นกางเกงที่ถูกถลกขากางเกงขึ้นมาจนถึงเข่า ส่วนท่อนบนของเขาสวมเพียงเสื้อไม่มีแขน ทั้งหมดนี้ล้วนสกปรกเลอะเทอะทั้งเหงื่อและคราบเปื้อน


   “มาเถอะ หลบเข้ามาในเรือน ท่านจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยไหม จะได้สบายตัว”


   “ไม่ดีกว่า ตอนบ่ายต้องมาดูรั้วต่อ อย่างไรก็ต้องเปื้อน ให้คนยกสำรับมาให้ข้าตรงนี้เถอะ ตัวข้าสกปรก เข้าไปในเรือนก็จะพลอยลำบากปัดกวาดไปด้วย” ตรัสรู้ว่าเนื้อตัวของเขาสกปรก อีกทั้งยังเหม็นเหงื่อ จึงไม่กล้าแม้แต่ขยับเข้าใกล้รติด้วยซ้ำ


   รติเห็นจริงดังที่อีกฝ่ายกล่าว จึงพยักหน้า


   “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ล้างหน้าล้างมือก็ยังดี ข้าจะให้คนจัดสำรับมาให้ตรงนี้”


   ตรัสพยักหน้ารับ แยกตัวไปล้างมือเรียบร้อยแล้วกลับมายังรั้วด้านหลังเรือนอีกครั้ง ก็พบว่าพุดกรองยกอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กที่เฉลียงสองสำรับ โดยมีรติอยู่ใกล้ๆ


   “จัดมาทำไมเยอะแยะขนาดนี้” เขาหันไปถามภรรยา แต่อีกฝ่ายกลับมองเขาประสาซื่อ


   “สำรับของข้ากับของท่านน่ะซี”


ตรัสกะพริบตาปริบๆ


   “เจ้า...จะกินที่นี่หรือ”


   “ก็ท่านจะกินที่นี่ไม่ใช่หรือ ข้าก็จะกินเป็นเพื่อนอย่างไรล่ะ”


ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มจางอย่างอิ่มเอมใจ


   มื้อกลางวันที่เรือนอหัสกรวันนี้แยกเป็นสองที่ ที่เฉลียงหลังเรือน คือที่รับประทานอาหารของรติและตรัส แม้จะอยู่ในร่มเงาของหลังคาแต่อากาศก็ยังร้อน ทว่ารติยืนกรานจะรับประทานเป็นเพื่อนตรัส


   ‘ข้ากินเป็นเพื่อน ท่านจะได้ไม่เหงาอย่างไรล่ะ’ ประโยคนี้ทำให้หัวใจของตรัสสดใสราวกับมีดอกไม้ฤดูร้อนเบ่งบาน


   ส่วนที่โต๊ะอาหารในห้องอาหารคือที่รับประทานอาหารของท่านอมราและระพี


   เด็กชายเคี้ยวข้าวอย่างเอาจริงเอาจัง พอกลืนลงคอแล้วก็เอ่ยขึ้นมาอย่างมุ่งมั่น


   “ข้าจะเอาเยี่ยงอย่างพี่ตรัสขอรับ! ข้าจะดูแลทั้งในเรือน นอกเรือนอย่างดี!”


   “โอ้...ดีจริง” ท่านอมราเห็นด้วย


   “แล้วข้าจะมีคู่ชีวิตที่ดีอย่างที่พี่ตรัสมีพี่รติด้วยขอรับ! ทุกข์สุขร่วมเสพใช่ไหมขอรับท่านย่า”


   ท่านอมรากะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ใครเอาคำพูดนี้ไปใส่หูเด็กน้อย แต่...ก็เป็นเรื่องถูกต้อง สมควรเออออ คู่ชีวิตต้องทุกข์สุขร่วมเสพ


   “โกรธเคืองก็ต้องรู้จักให้อภัยด้วย” นางสำทับ


   “ขอรับ! คู่ชีวิต ทุกข์สุขร่วมเสพ โกรธเคืองให้อภัย! ระพีจะต้องมีคู่ชีวิตที่ดีและจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีอย่างพี่ตรัสและพี่รติเลยขอรับ!”

---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

รติน่ารักจนรู้สึกไม่อยากยกให้ตรัสแล้วค่ะ ฮ่าฮ่า (เป็นสายอวยนายเอก ฮ่าฮ่า)

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอ

เจอกันวันจันทร์ค่ะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 26-06-2020 18:22:19
พรุ่งนี้วันจันทร์แล้วนะคะ5555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 26-06-2020 19:09:48
ระพี 555555

เป็นตัวอย่างที่ดีแล้วลูก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 26-06-2020 19:16:11
รพีผู้คิดการณ์ไกล   o13
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 26-06-2020 20:55:23
เอ็นดูรพีน้อย    :m1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-06-2020 23:03:43
มุ่งมั่นมากลูกเอ๊ย!! มาหอมหัวหน่อยมาระพี 55 ตรัสกลายเป็นไอดอลของเด็กชายระพีไปอย่างไม่รู้ตัว 5555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 27-06-2020 00:04:25
น้องระพีน่ารักจังเลยลูก5555 :m3: :m4: รติก็คือดูแลตรัสดีมากเป็นคู่ที่หวานมากๆเลย :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 69 เยี่ยงอย่าง -- (อัพเดต 26/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 27-06-2020 01:02:13
 :katai2-1: :katai2-1: รอจ้าๆ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 29-06-2020 16:29:37
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่  70

ฤดูร้อน

---------


   รั้วหลังเรือนอหัสกรถูกซ่อมแซมเรียบร้อย ฝนก็ตกหนักต่อเนื่องไปอีกหลายวัน พอหมดฝนหอบใหญ่ ก็เข้าสู่ฤดูร้อน


   นี่คือฤดูร้อนแรกของรติ รุจี และระพีที่เมืองตะวันออก


   อากาศที่นี่ไม่ร้อนจัดอย่างเมืองทางใต้ที่พวกเขาเคยอยู่ แต่ร้อนอบอ้าว แดดแรง กระนั้นผู้คนในเมืองตะวันออกก็ดูจะชอบอกชอบใจกับอากาศเช่นนี้ ดอกไม้ในเมืองบานสะพรั่ง โดยเฉพาะที่น้ำพุกลางเมืองใกล้กับร้านยาอหัสกร มีกระถางดอกไม้นำมาตั้งเรียงราย เป็นอาหารแก่สายตายิ่ง


   นอกจากดอกไม้สีสวยหลากพันธุ์แล้ว เรื่องหนึ่งที่โดดเด่นในฤดูร้อนคือขนมหวานเย็นที่ตรัสเคยสัญญาว่าจะพาไปกิน



ร้านอาหารที่ดังที่สุดของเมืองอย่าง ‘มธุรตรัย’ เดิมทีก็มีลูกค้ามากมายอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงฤดูร้อนมีขนมหวานเย็น ก็ยิ่งทำให้คนแน่นขนัด


   ขนมหวานเย็นสูตรของร้านมธุรตรัยใช้หิมะที่เก็บจากฤดูหนาว เพิ่มความหวานสดชื่นด้วยผลไม้หลากชนิด โรยด้วยพืชจำพวกถั่วและข้าวที่นำไปอบจนกรอบสร้างรสสัมผัสให้กับขนม และราดด้วยน้ำผึ้งให้ความหวาน


   ขนมเช่นนี้ ตรัสเคยมากินครั้งหนึ่งเพราะอยากรู้ แต่เพราะไม่ใช่คนนิยมขนมหวาน ลองกินครั้งหนึ่งให้รู้รสชาติแล้วก็ไม่ได้มาอีก แต่...ดูเหมือนหลังจากนี้คงได้มาบ่อยๆ เพราะใครบางคนดูท่าจะชอบ


   ชอบมากเพียงใด ดูได้จากสีหน้ามีความสุขทุกครั้งที่ตักขนมหวานเย็นเข้าปาก กระนั้น รติก็ยังสมเป็นรติ เพราะแม้จะเอร็ดอร่อยถูกปาก แต่ก็ตักอย่างช้า ปล่อยให้รุจีและระพีจ้วงเข้าปากไม่หยุด


   “อร่อยไหม” รติหันถาม รุจียิ้มเขิน ส่วนระพีรีบตอบ


   “อร่อยมากขอรับ!” ดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย เห็นดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแล้ว ก็พลอยให้ตรัสเหลือบมองเจ้าของดวงตาที่แท้จริง
    

เรื่องดวงตาของระพีไม่ใช่ของระพีนั้น ระพีย่อมไม่รู้ เพราะรติขอร้องเอาไว้ไม่ให้ใครพูด เพราะไม่อยากให้ระพีรู้สึกแย่ที่เป็นต้นเหตุของความผิดปกติของตน


ส่วนเรื่องดวงตาที่รติใช้เป็นดวงตาของผู้อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ เรื่องนี้มีคนทราบเพียงสามคน คือ ปู่ของรติ รติ และตรัส ส่วนท่านอมราไม่แน่ว่าทราบหรือไม่ แต่นางมิได้ถามอะไร ตรัสก็ไม่คิดจะเปิดเผย ส่วนรุจีทราบเพียงแค่ว่า สมัยก่อน ยามที่จะทำการรักษาดวงตาของระพี ท่านปู่และรติหายออกจากเมืองไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อตามหาผู้บริจาคดวงตา ก่อนที่ท่านปู่จะได้ดวงตากลับมาจากผู้ใดไม่ทราบ ส่วนรติอยู่นอกเมืองนับเดือนเพราะท่านปู่บอกว่าต้องคอยปรุงยา ทุกวันท่านปู่จะออกไปหารติที่อยู่นอกเมืองเพื่อไปนำยามารักษาระพีที่ผ่าตัดเปลี่ยนดวงตา


แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รติกุขึ้นมาเพื่อไม่ให้รุจีทราบว่าในยามนั้น เขาไม่ได้ปรุงยาอยู่นอกเมือง แต่หลบซ่อนเพื่อพักฟื้น โดยมีท่านปู่เดินทางไปมาเพื่อรักษาอาการทั้งเขาและระพี


ความเสียสละอย่างเงียบๆนี้ ยิ่งทำให้ตรัสนับถือภรรยา


รติคือผู้เสียสละโดยแท้ แม้แต่ดวงตาก็ให้ระพีได้ แม้แต่ขนมหวานที่ชอบ ก็ตักเพียงน้อย ปล่อยให้รุจีและระพีได้รับประทานอย่างเต็มที่


ตรัสเห็นเช่นนั้น จึงหันไปเรียกพนักงานร้านมาสั่งเพิ่ม รติห้ามไม่ทัน ฝ่ายสามีก็สั่งมาอีกสองถ้วยแล้ว


“ท่าน...สั่งอีกทำไมกัน”


ขนมหวานเย็นนั้นอร่อย หากให้กินอีกก็ไม่เกินความสามารถ แต่ราคาเอาเรื่องทีเดียว กรรมวิธีของมันยุ่งยาก เพราะต้องเก็บหิมะตั้งแต่ฤดูหนาวมาจนถึงบัดนี้ หากจะแพงก็ไม่แปลก


“เจ้าจะได้กินอีก” เขาตอบเพียงเท่านั้น


“แต่...มันแพง” รติกระซิบเสียงเบา ตรัสยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา


“ไม่ได้กินบ่อย แล้วขนมอย่างนี้ก็มีขายแค่ช่วงนี้เท่านั้น หากไม่ได้กิน เห็นทีจะต้องรอปีหน้า”


รติยังดูเกรงใจกับการสั่งขนมราคาแพงเพิ่ม แต่เมื่อหวานเย็นถ้วยใหญ่อีกสองถ้วยถูกวางลงตรงหน้า ตรัสก็ได้เห็นว่าคนที่เกรงใจ กลับมีดวงตาเป็นประกายแวววาว ความสุขของรติทำให้หัวใจของตรัสพองฟู เขาย้ำกับตนเองว่าจะพารติมากินขนมหวานเย็นชนิดนี้ทุกปี



หลังจากอิ่มหนำ ตอนเดินออกจากร้าน ชายหนุ่มจึงให้คำมั่นกับภรรยา


“ไว้จะพามากินอีก”


รติรีบสั่นหน้า


“พอแล้ว”


ราคาขนมหวานเย็น 4 ถ้วยพอๆกับอาหารอย่างดีมื้อหนึ่งทีเดียว แม้รติจะช่วยทำมาหากิน อีกทั้งการเงินของอหัสกรก็ไม่ร่อแร่ แต่จะให้เขาใช้เงินเป็นเบี้ยก็ทำไม่ลง


ตรัสหันมายิ้ม


“ฤดูร้อน ปีหน้า”


ราวกับทำสัญญาว่าปีต่อไป ก็จะอยู่ด้วยกันเช่นนี้อีก รติไม่ใช่คนคาดหวัง ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขดีอยู่แล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายนัดแนะไปถึงปีหน้า ก็ชวนให้หัวใจอิ่มเอิบ จึงไม่มีเหตุอะไรให้ต้องบอกปัด พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มเป็นสุข


สมาชิกอหัสกรอาศัยวันว่างในฤดูร้อนเดินเที่ยวเตร่ในตลาด แม้วันนี้แดดจะแรง แต่เมื่อเดินหลบตามใต้ร่มเงาของหลังคาบ้าง ต้นไม้ใหญ่บ้าง ผสมกับลมเย็นสบายก็พอจะคลายร้อน กระนั้น ทั้งตรัสและระพีมีผิวพรรณขาวหยวก เมื่อประสบกับอากาศเช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาจึงเป็นสีชมพูระเรื่อ


ระพียังเป็นเด็กน้อย จึงน่ารักน่าเอ็นดู ส่วนตรัส เป็นหนุ่มฉกรรจ์ มิได้น่ารักแล้ว และสำหรับรติซึ่งลอบมองใบหน้าของสามีที่ขึ้นสีและมีเหงื่อซึมตามไรผมแล้วก็รู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นถี่เพราะแอบกระหวัดนึกไปถึงยามเขา...เร่าร้อน


แล้วพอคิดถึงยามตรัสเป็นเช่นนั้น ก็พาลให้มองหน้าตรงๆไม่ได้ ต้องหลบเลี่ยงไปทางอื่น


ตรัสเห็นอีกฝ่ายหลบสายตา ก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ระคนเป็นห่วง


“เป็นอะไร ร้อนหรือ”


รติส่ายหน้า กำลังจะหาทางเลี่ยงที่จะตอบด้วยการพารุจีและระพีไปเดินเที่ยว แต่ถูกตรัสดึงแขนไว้


“ไม่ร้อนแล้วทำไมหน้าแดง หูแดง” ตรัสถาม รติได้แต่เม้มปากไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สบตาอีกฝ่ายทีหนึ่งแล้วก็เบี่ยงสายตาหนีไปทางอื่นอีก นึกโกรธตนเอง ท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงนี้ แต่เขากลับคิดถึงยามที่ตรัสอยู่กับเขา...สองคน...


สามีภรรยา แม้จะไม่ได้อ่านใจกันออกทุกเรื่อง แต่เรื่องบางเรื่อง แค่เห็นอาการเพียงนิด ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ยิ่งเห็นโหนกแก้มของรติขึ้นสี ลามไปจนถึงใบหู ก็รู้สึกเหมือนคอแห้งผาดขึ้นมาจนต้องเลียริมฝีปาก


...อย่าว่าแต่รติมองเขาเลย เขาเองก็...มองรติเช่นกัน...


...ยิ่งมอง...ก็ยิ่งอยากเร่งเวลาให้ตกค่ำแล้วสิ...


ตรัสเงียบไป แต่ยังจ้องภรรยานิ่ง รติเลยเหลือบสายตากลับมา แล้วก็ถึงได้พบว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องเขาอยู่ด้วยสายตา...ร้อนแรง


เห็นอย่างนั้นเพียงวูบเดียวก็รีบหันหนี กำลังจะหันไปรุนหลังรุจีและระพีให้เดินไปทางอื่น แต่ตรัสโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเบาให้ได้ยินกันสองคน


“คืนนี้...ห้องหนังสือ...”


ไม่แน่ใจว่านัดแนะหรือชักชวน แต่ก็ทำเอารติร้อนวาบไปทั้งหน้า ทว่าตรัสยังไม่ทันได้พิศใบหน้าแดงเรื่อของคนรักให้สมใจ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน


“รติ?...นั่นรติ บริบาลใช่หรือไม่” เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาสกุลอหัสกรทั้งหมดพลอยชะงัก โดยเฉพาะเจ้าของชื่อและนามสกุลเดิม


รติ บริบาล


หญิงสาวผู้หนึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาหา หน้าตาดูไม่แน่ใจ แต่เมื่อรติหันไปสบตากับนาง ใบหน้าของนางก็เปื้อนยิ้ม


“เป็นท่านจริงๆ! รติ!”


รติชะงัก แต่เมื่อมองหญิงสาวผู้นั้น ก็พลอยยิ้มออก


“กัญญา! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”


“ก็ท่านบอกทุกคนว่าจะย้ายมาอยู่เมืองตะวันออก ข้าต้องขอท่านพ่อแทบตายกว่าจะตามมาที่นี่ได้ โอ๊ะ! รุจี! ระพี! ระพีโตขึ้นเยอะเชียวไม่เจอกันพักใหญ่ รุจีก็เป็นสาวแล้ว...แล้ว...” ดูเหมือนหญิงสาวจะเพิ่งสังเกตว่าในกลุ่มของรติที่นางรู้จักมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างรติ และเป็นชายหนุ่มผู้ที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อน


“ตรัส นี่กัญญา เพื่อนของข้าที่เมืองใต้” รติหันไปกล่าวกับชายผู้นั้น ก่อนจะหันมาทางกัญญาแล้วเอ่ย


   “นี่ตรัส เป็นสามีของข้า”



กัญญาตาโตอ้าปากค้าง


   “สามี?! น...นี่เกิดอะไรขึ้น?! ท...ทำไม...ทำไมท่านแต่งงาน...”


เป็นคำถามที่ทั้งรติและตรัสล้วนรู้ดีในคำตอบ แต่ครั้นจะให้พูดคำตอบที่เป็นความจริงในอดีต ในเวลานี้ที่มีความสุขดีแล้ว ก็ไม่อยากขุดคุ้ยมาหักหาญน้ำใจกัน


   “ข้าจะพารุจีกับระพีไปซื้อของก่อน ถ้าอย่างไร...เจ้าพา...เพื่อนไปนั่งร้านน้ำชาดีไหม” ตรัสเปรยกับภรรยาด้วยน้ำเสียงปกติ มิได้กระซิบกระซาบ กัญญาย่อมรับรู้ นางกะพริบตาปริบๆมองชายหนุ่มสองคนเบื้องหน้าอย่างคาดไม่ถึง ที่คาดไม่ถึงที่สุดก็เห็นจะเป็นรติผู้ที่นางเคยคิดว่ารู้จักดี แต่เวลานี้สิ่งที่นางไม่รู้คือเขามาที่นี่และแต่งงานมีสามี!


   อันที่จริง รติคิดว่าการที่เขาจะพาสหายเก่าไปนั่งร้านน้ำชาไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เพราะที่นี่ทุกคนล้วนรู้จักตรัส อหัสกร และรู้ว่าเขาคือภรรยาของตรัส การที่จู่ๆจะนั่งดื่มน้ำชากับหญิงสาวแปลกหน้าสองต่อสอง ย่อมจะกลายเป็นเรื่องสนุกปากของชาวบ้าน


   “ข้าต้องซื้อของฝากอาจารย์ปราณด้วย” เขาให้เหตุผล สบตากับตรัสราวกับจะขอให้สหายผู้นี้แวะเวียนไปที่เรือนอหัสกรแทน


   “ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เพื่อนของเจ้าไปรอที่เรือนก็ได้” ตรัสเองก็ดูจะเข้าใจคำขอที่มากับสายตา ผูกสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากันด้วยหัวใจเช่นนี้เป็นเรื่องดีก็ตรงที่บางครั้งไม่ต้องพูดเป็นคำ เพียงแค่มองตาก็เข้าใจแล้ว


   รติพยักหน้า แล้วจึงหันไปทางหญิงสาวที่มองพวกเขาตาไม่กะพริบ


   “เย็นนี้เจ้าว่างไหม แวะไปหาข้าที่เรือน ข้าจะบอกทางให้”


   ต่อให้ไม่ว่างก็ต้องว่างแล้ว กัญญามาที่นี่เพื่อมาตามหารติ แต่เมื่อพบแล้ว ก็กลับพบว่าเขามีเรื่องที่ชวนให้ตกใจอย่างการแต่งงานเป็นภรรยาของชายอื่นด้วย


   “ด...ได้...” นางรับคำละล่ำละลัก รติจึงบอกทางไปเรือนอหัสกรแก่นาง จากนั้นจึงนัดแนะเวลาแล้วขอตัว ตอนที่พวกเขาทั้งสี่หมุนตัวเดินจากไปนั้น กัญญาก็ยังสนอกสนใจมองตามอย่างคาดไม่ถึง


   รติแต่งงาน


   เป็นภรรยาของชายผู้นั้น


   รติผู้ที่เคยคบหากับนาง


   มาบัดนี้แต่งงานเป็นภรรยาของชายอื่น


   นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!



---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------


ตรัสดูท่าจะติดใจห้องหนังสือนะคะ ไม่รู้มีดีอะไร


เรื่องใกล้จบแล้วจริงๆค่ะ ไม่ต้องห่วงดราม่านะคะ ฮ่าฮ่า


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเสมอเลยค่ะ


เจอกันวันพุธค่ะ


หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-06-2020 16:38:30
พี่ตรัสปราณีน้องรติด้วย..อย่างหึงโหดนะ ขอร้อง..งงงง  :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 29-06-2020 17:14:00
อย่ามีอะไรอีกเลยนะขอให้2คนมีชีวิตที่สงบสุขไปนานๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-06-2020 20:59:42
๋อ๋อแฟนเก่านี่เอง จบกันด้วยดีสินะถึงยังมีความรู้สึกดีต่อกันแบบฉันท์เพื่อนมิตร อย่าคิดมากนะตรัส 5555 นับวันความรู้สึกที่มีต่อกันยิ่งล้ำลึกแน่นแฟ้น  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-06-2020 21:33:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 30-06-2020 14:52:41
สนุกมาก ๆ ค่ะ ตามอ่านตั้งแต่เมื่อคืน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 30-06-2020 18:50:05
ว้าวมากไม่คิดว่ารติจะมีแฟนด้วย รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 70 ฤดูร้อน -- (อัพเดต 29/06/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 30-06-2020 22:00:24
มีคนมาพิสูจน์ความรักอีก1คน

คราวนี้อาจจะเบา?

เพราะรักกัน มั่นใจกันแล้ว
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 01-07-2020 17:28:30
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 71

ภรรยาก็เอาใจใส่

---------



   เรือนอหัสกรเป็นเรือนใหญ่และเก่าแก่ ถามทางจากผู้ใดก็มีแต่คนรู้จัก กัญญาใช้เวลาไม่นานก็มาถึง ตอนที่ไปถึง อาหารเย็นพร้อมสรรพแล้ว นางจึงถูกเชิญชวนร่วมโต๊ะด้วย


สมาชิกอหัสกรนั้นเป็นคนที่นางรู้จักไปแล้วสามคน คือ รติ รุจีและระพี ส่วนสามีของรติชื่อว่าตรัส มีย่าหนึ่งคนชื่ออมรา ทั้งสองไม่ค่อยพูดแต่ก็เป็นกันเอง ต้อนรับขับสู้นางอย่างดี


กระนั้น กัญญาไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวังให้ใครต้อนรับอย่างดี นางมาเพื่อพบรติต่างหาก


หญิงสาวสู้อุตส่าห์รบเร้าบิดามารดาจนได้ออกเดินทางมาที่นี่ แต่เมื่อพบแล้วกลับเห็นความเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่


รติแต่งงานแล้ว


หนำซ้ำยังแต่งกับชาย ยิ่งกว่านั้นคือแต่งเข้าสกุลอื่น


นับตั้งแต่พบรติในเมือง นางก็ใคร่ครวญแต่คำว่าทำไม...ทำไม...ทำไม


กัญญามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย รติที่นั่งอยู่ข้างชายหนุ่มผู้นั้น ดูอย่างไรก็มีทั้งส่วนคล้ายและไม่คล้ายรติที่นางรู้จัก


   นางรู้จักรติตั้งแต่เล็ก เมื่อถึงเวลาหนึ่งความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปเป็นคนรัก จนกระทั่งรติเสียพี่สาวไป จึงขอเลิกกับนางด้วยเหตุผลว่าเขามีภาระหน้าที่ จึงไม่อาจดูแลนางได้อย่างเดิมแล้ว ยามนั้นนางโกรธเคือง ยิ่งเขาบอกลา ออกเดินทางจากเมืองใต้มายังเมืองตะวันออก นางก็ยิ่งไม่เข้าใจ พอติดตามมาที่นี่ เห็นเขาแต่งงานเข้าสกุลอื่น นางก็ยิ่งมีแต่คำถาม


แต่...พอมองเขากับบุรุษอีกผู้หนึ่งที่นั่งข้างกันแล้ว ก็คล้ายมีคำตอบบางอย่างเกิดขึ้นในใจของนาง โดยที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำ


รติและตรัส  อหัสกรมิได้ใกล้ชิดอ้อล้อ ตรงกันข้าม กลับเพียงนั่งรับประทานอาหารข้างกันอย่างเงียบๆ รติดูแลระพีบ้าง หันมาพูดคุยกับนางซึ่งเป็นแขกคนเดียวของโต๊ะบ้าง กระนั้น กับข้าวในชามของเขากลับไม่เคยพร่องเลย


แต่ละคนล้วนได้ปลาเป็นกับข้าวส่วนตัวคนละหนึ่งตัว แต่ที่กลางโต๊ะมีกับข้าวที่รับประทานร่วมกันอีกสี่-ห้าอย่าง รติแทบไม่ต้องตักอะไร เพราะคนข้างกายคอยดูแลตักมาให้อย่างเงียบๆ


“เจ้ามาที่นี่คนเดียวหรือ ท่านลุงท่านป้าไม่ว่าเอาหรือไร” รติถาม กัญญายิ้มแหย นางไม่กล้าเอ่ยความจริงว่าเพราะนางดื้อรั้นจนทะเลาะกับบิดามารดาแล้วหลายครั้ง จนทั้งสองระอาใจในครั้งสุดท้ายถึงได้ปล่อยนางมา


“ข้าอยากมาเที่ยวนี่นา”


“แล้วพักที่ไหนเล่า” หญิงชราหันมาถามบ้าง


“มีคนปล่อยเรือนให้เช่าเจ้าค่ะ ข้าก็เลยขอเช่ารายวัน”


“แล้วเจ้ามากี่วันแล้ว” รติถามต่อ


“สองวันได้”


สองวันที่นางเตร็ดเตร่ตามตรอกซอกซอยมองหารติ จนกระทั่งวันนี้ถึงได้พบ แต่เมื่อพบ...ก็รู้แล้วว่าเขาเปลี่ยนไป


“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่กี่วัน อย่าบอกว่าไม่มีกำหนด ท่านลุงท่านป้าจะปวดหัว”


“ท่านปวดหัวแทนพ่อแม่ข้าแล้วกระมัง” หญิงสาวกระเง้ากระงอด แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ คนที่นางเคยกระเง้ากระงอดได้อย่างใจ กลับมีสามีแล้ว หญิงสาวมองไปยังสามีของรติ ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไร ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ รติเองก็พอรู้ว่ามื้อนี้ตรัสเงียบกว่าทุกที ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด นอกจากที่มีหญิงสาวมาร่วมโต๊ะ


“ตรัส ท่านชิมผักดองเปรี้ยวหรือยัง”



แม้จะต้องทั้งดูแลแขกซึ่งเป็นสหายของตน รติก็ยังเอาใจใส่สามีเช่นเคย มือเอื้อมไปตักผักดองเปรี้ยวที่วางอยู่ใกล้กัญญามาใส่ชามของตรัส พลางยิ้มชวน


“ลองชิมดู ไม่รู้จะสู้ฝีมือพุดกรองได้หรือไม่”


คำพูดนั้นทำเอาทั้งตรัสและกัญญาพากันชะงัก แม้ตรัสจะอยากถาม แต่กัญญาไวกว่า


“ท่านพูดอย่างกับท่านทำเองอย่างนั้นล่ะ”


รติหันไปมองหญิงสาว แล้วยิ้มเขิน ก่อนจะหันมามองคนข้างกาย


“ข้าลองทำดู...”


ตรัสกะพริบตาปริบๆ คาดไม่ถึง ก้มลงมองผักดองที่วางอยู่บนข้าวของตนเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย


ผักดองเปรี้ยวเป็นอาหารโปรดของเขา เรื่องนี้คนในเรือนทราบดี แต่สิ่งหนึ่งที่คนทั้งเรือนก็ย่อมทราบคือรติไม่มีฝีมือด้านการทำอาหาร


เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในครัวน่ะได้ เป็นลูกมือก็ได้ แต่ให้ลงมือทำอาหารด้วยตนเอง เจ้าตัวมักขอถอยฉาก นอกจากนั้น รติก็ยุ่งกับการทำผงสมุนไพรและค้าขาย เวลาว่างน้อยเต็มที แต่ก็ยังเอาเวลาไปทำผักดองเปรี้ยวของโปรดของตรัส


“เจ้าเอาเวลาที่ไหนไปทำ” ตรัสถามเสียงเบา หัวใจอุ่นซ่านที่ได้รับความเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ รติยิ้มไม่ยอมตอบ เขาถึงลองตักเข้าปาก เนื้อผักดองนั้นกรอบกรุบ ให้รสเปรี้ยวสดชื่น กินแกล้มกับข้าวอย่างอื่นยิ่งช่วยเสริมรสชาติอาหาร


“อร่อยไหม” คนทำตั้งคำถาม ดวงตาเป็นประกายวาวอย่างวาดหวัง


“อืม” ไม่เพียงคำตอบ แต่ยังพยักหน้า เพียงเท่านั้นคนทำก็ยิ้มกว้าง หันไปชวนคนทั้งโต๊ะให้ลองฝีมือของตน


รติก็ยังเป็นรติ เขาช่างเอาใจใส่ผู้อื่น แต่รติในเวลานี้ก็ไม่ใช่รติคนเดิมที่กัญญารู้จัก


หญิงสาวมองใบหน้าสดใสร่าเริงของเขา และมองท่าทีเอาใจใส่ที่เขามีต่อสามีแล้วก็พลันรู้ตัวว่าเวลานี้สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือเขามีคนข้างกายแล้ว


กัญญาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร แต่หัวใจของนางอื้ออึงด้วยเสียงที่จับไม่ได้ศัพท์ทีเดียว


---------


   หลังมื้ออาหาร หญิงสาวถูกชวนให้ร่วมดื่มน้ำชาและขนม ท่านอมราขอตัวไปพักผ่อน โดยมีรุจีดูแล ตรัสเองก็ขอตัวไปดูแลระพี รติในฐานะสหายของกัญญา จึงเป็นคนรับรองนาง


   เรือนอหัสกรนั้นมิดชิด ดังนั้นการที่สองหนุ่มสาวจะนั่งดื่มน้ำชาด้วยกันที่ชานเรือนจึงไม่เป็นเป้าสายตาของใคร


   “ท่าน...มีความสุขดีใช่ไหม รติ”


เมื่ออยู่กันสองคน คำถามที่คาใจกัญญาก็ดังขึ้นมาเป็นสิ่งแรก รติเลิกคิ้วมองนาง แล้วจึงยิ้มจาง พยักหน้ารับ


   “ใช่”


   “แม้ว่าท่านจะเป็นชาย และเขาก็เป็นชายน่ะหรือ”


   “ใช่”


   กัญญาเม้มปาก รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ


   “มีความสุขกับการเป็นภรรยาของชายผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”


   “ใช่”


   “แม้ว่าท่านจะถูกมองว่าเป็นภรรยาของชายด้วยกัน แม้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อท่าน เรียกท่านเหมือนท่านเป็นหญิง ท่านก็มีความสุขอย่างนั้นหรือ”


   “เพราะข้าเป็นชาย ข้าถึงให้เขาเรียกเช่นนั้น”


กัญญามองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่รติยังยิ้มจาง


   “เจ้าคิดว่าการมีภรรยาเป็นชาย จะเป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาคนทั่วไปโดยง่ายหรือ ไม่ง่ายเลย ตรัสเป็นหมอ อหัสกรมีร้านยาอยู่ใจกลางเมือง การที่เขาแต่งงานกับข้า คนส่วนหนึ่งก็พูดกันอย่างขำขันเป็นเรื่องตลกแล้ว หากข้ายังเอาความเป็นชายมากำกับอีก เขาจะรู้สึกเช่นไร”


   “การแต่งงานของข้ากับเขาไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความรักแต่แรก การที่ข้ายอมให้เขาเรียกข้าอย่างผู้หญิง อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เขารู้สึกแปลกแยกจากคตินิยมของการแต่งงานระหว่างชายหญิงมากนัก ตรัสเป็นคนเคร่งธรรมเนียม การให้เขายอมรับทั้งการแต่งงานกับชาย การได้ชายเป็นภรรยา หรือการปฏิบัติตัวกับภรรยาที่เป็นชาย มันมากเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน”


   “ท่านก็เลยยอมหรือ” กัญญามองคนตรงหน้าด้วยความอาทร


   “ตอนแรกเป็นการยอม แต่เวลานี้ไม่ใช่การยอมอีกแล้ว”


   รติพูด รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้า กวาดตามองสวนหลังบ้านด้วยความสบายอกสบายใจ


   “เวลานี้ ข้าไม่ได้คิดเรื่องชายหญิง สิ่งสำคัญคือความสุข หากเขามีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ข้าก็มีความสุขเช่นกัน หากสิ่งใดทำให้เขาทุกข์ ข้าก็อยากปันมาเพื่อแบ่งเบา สามีภรรยา ไม่ใช่ฝ่ายใดเป็นชายหรือฝ่ายใดเป็นหญิง แต่คือการเคียงข้างอย่างเข้าอกเข้าใจ”


   กัญญาได้แต่มอง ชายหนุ่มในเวลานี้ ยังคงเป็นรติที่นางเคยรู้จัก


นิสัยของเขามักคิดถึงคนอื่นก่อนตนเอง คนเช่นนี้หาความสุขง่ายดายเพราะเพียงเห็นผู้อื่นมีความสุข ตนเองก็มีความสุขแล้ว แต่คนเช่นนี้ก็มักเหนื่อยยาก เพราะต้องลงแรงกายแรงใจทำให้ผู้อื่นสุขสบายก่อน กว่าจะได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อตนเองก็แทบไร้เรี่ยวแรงแล้ว


   ...ไม่สิ...


   รติจะไม่เหนื่อยยาก เพราะในยามที่รติทำเพื่อคนอื่น ก็มีผู้อื่นคนหนึ่งทำเพื่อรติ


   กัญญาคิดไปถึงตอนรับประทานอาหาร ชายผู้นั้นคอยดูแลเอาใจใส่รติอย่างสม่ำเสมอ กับข้าวใดๆก็ล้วนตักมาให้


    ‘สามีภรรยา ไม่ใช่ฝ่ายใดเป็นชายหรือฝ่ายใดเป็นหญิง แต่คือการเคียงข้างอย่างเข้าอกเข้าใจ’


   หญิงสาวถอนหายใจยาว คล้ายทั้งปล่อยวางและสบายใจ


   “ถ้าท่านพอใจเช่นนี้ ข้าก็ยินดีด้วย”


   “ขอบใจ กัญญา”


   “ค่ำมากแล้ว เห็นทีต้องกลับเสียที” หญิงสาวเอ่ย พลางลุกขึ้นยืน


   “ข้าจะไปส่ง ขอไปตามตรัสก่อน” รติพูดแล้วลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในเรือน อึดใจหนึ่งก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มผู้เป็นสามีของเขา


   สองชายหนึ่งหญิงออกจากเรือนอหัสกร แต่ครั้นทั้งสามจะเดินขนาบข้างกันไป ทางเดินก็ไม่ได้กว้างมากนัก ตรัสจึงดันไหล่ภรรยาเบาๆให้เดินข้างหญิงสาวผู้มาจากต่างถิ่น


   รติสบตาอีกฝ่าย แต่ตรัสเพียงยิ้ม ไม่มีท่าทีโกรธขึงแต่อย่างใด เขาก็พยักหน้ารับ ก้าวเท้าเคียงไปกับสหายผู้มาจากเมืองใต้ โดยมีตรัสเดินรั้งตามหลัง กระนั้น...แม้จะไม่ได้เดินเคียงกันอย่างเคย แต่รติก็คอยมองหลังอยู่เสมอ ว่าอีกฝ่ายตามมาหรือไม่ คล้ายจะรั้งรออยู่ในที


   ใช้เวลาไม่นาน ก็เดินมาถึงที่พักของกัญญา


   “แล้วพรุ่งนี้จะไปไหนบ้าง” รติถามอย่างห่วงใย นางมาที่นี่ตัวคนเดียว จะไม่ให้เขาใส่ใจก็ไม่ได้


   “ข้าได้ยินว่าทางตอนเหนือของเมืองมีทะเลสาบที่ดอกไม้สวย”


   “ทะเลสาบตอนเหนือหรือ? อ๊ะ! หรือว่าทะเลสาบที่ท่านเคยพาข้าไปตอนฤดูหนาว” คราวนี้ รติหันไปถามคนข้างกาย ตรัสพยักหน้า แล้วหันไปเอ่ยกับหญิงสาว


   “ในฤดูร้อน ที่นั่นจะมีทุ่งดอกไม้สวยทีเดียว แต่ต้องใช้เวลาเดินทางสักหน่อย ควรออกจากที่นี่แต่เช้า ไปถึงจะได้ไม่ร้อนมากนัก”


รติเป็นนักเที่ยวตัวยง ได้ยินอย่างนี้ก็เนื้อเต้นอยากไปดูให้เห็นกับตา แต่ครั้นจะไปกับกัญญา เขาก็รู้ว่าตนเองไม่ได้ตัวเปล่า หน้าตาชื่อเสียงของตรัส อหัสกรเป็นสิ่งสำคัญ คนจะพูดเอาได้ว่าภรรยาเที่ยวโร่ไปกับผู้อื่น ที่สำคัญกว่าชื่อเสียงคือความรู้สึกคนขี้หึงนี่อย่างไร


   ดังนั้น แม้จะอยากเที่ยวเพียงใด รติก็สงวนท่าทีเอาไว้ แล้วหันไปกล่าวกับสหายจากแดนใต้


   “ถ้าอย่างนั้น ก็ควรพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ตื่นไหว”


   กัญญาคบหากับรติมาแต่เล็กแต่น้อย มีหรือจะไม่รู้ว่าเขาชอบท่องเที่ยวเพียงใด ดูสีหน้าเขาก็รู้แล้วว่าสนใจอยากจะไปชมทะเลสาบตอนเหนือในวันพรุ่งนี้


แต่...รติก็ยังเป็นรติ เขาวางความอยากของตนเองลง เพราะเอาใจใส่สามีของเขา


   “พวกข้าไม่กวนเจ้าแล้ว พรุ่งนี้เดินทางปลอดภัย” รติกล่าวเช่นนั้น ส่งยิ้มให้กับหญิงสาวแล้วจึงจากมาพร้อมกับตรัส เขาไม่ได้หันกลับไปมองเบื้องหลัง แต่กัญญาก็ยังมองตามส่งจนเขาลับสายตา


   ชายผู้นั้น...ช่างโชคดี ที่ได้รับความเอาใจใส่จากคนเช่นรติ


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------
มีแต่คนเอาใจใส่กันและกัน อิจฉาจังค่ะ ฮ่าฮ่า

รติเป็นคนน่ารักมากจริงๆ เห็นอย่างงี้แล้วก็อยากมีรติเป็นของตัวเองเหมือนกันนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอเลย

เจอกันวันศุกร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-07-2020 17:38:12
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-07-2020 21:16:11
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-07-2020 22:11:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-07-2020 23:02:24
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 01-07-2020 23:26:14
สองคนนั้นน่าจะไม่มี่องว่างให้ใครเข้ามาแทรกได้ ออกจะใส่ใจกันและกันขนาดนี้.  :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 02-07-2020 01:24:08
โล่ง 555 นึกว่าจะมีม่า
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 02-07-2020 11:05:30
เหมือนเอากัญญามาแกง55555  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 02-07-2020 14:01:38
มีรึรติจะไม่ได้ไป

ตรัสรู้แล้วแหละ

ได้ไปแน่แท้

555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 71 ภรรยาก็ใส่ใจ -- (อัพเดต 01/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-07-2020 15:16:21
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 03-07-2020 17:03:25
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ตอนที่ 72

ไปด้วยกัน

---------


   สามีภรรยารู้ใจกันไม่ใช่เรื่องแปลก


   คืนนี้ ท้องฟ้ากระจ่างด้วยดาวพร่างพราย อากาศไม่อบอ้าว อีกทั้งยังมีลมเย็นสบาย แตกต่างจากกลางวัน


แต่...มีเรื่องหนึ่งที่ไม่แตกต่าง


รติเหลือบมองคนที่เดินเคียงข้าง สีหน้าของตรัสไม่เครียดขึง



เมื่อกลางวันตอนที่รับประทานขนมหวานเย็นด้วยกันก็เช่นนี้ เมื่อตอนเย็นมีกัญญามาร่วมโต๊ะด้วยก็เช่นนี้ เพราะไม่แสดงออก รติจึงไม่ทราบว่าในใจของอีกฝ่ายมีคำถามอะไรบ้างหรือไม่  ดังนั้น เขาจึงชวนเดินไปดูน้ำพุกลางเมืองก่อนกลับเรือนอหัสกร


   ผู้คนสัญจรประปรายเพราะยังไม่ดึกมากนัก น้ำพุกลางเมืองยังคงส่งน้ำพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศแล้วตกลงมาเป็นละอองฝอยให้ความสดชื่น รอบน้ำพุมีทั้งตะเกียงเทียนให้ความสว่างสลับกับกระถางดอกไม้หลากสี แต่เพราะความมืดสลัว ย่อมทำให้ไม่อาจชื่นชมสีสันของดอกไม้ได้เท่ากลางวัน กระนั้นก็ให้บรรยากาศนวลตา ชวนให้ผ่อนคลาย


   “วันนี้อากาศดี” รติชวนคุย หันมองคนที่เดินเคียงกัน ตรัสพยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไร เป็นฝ่ายคนชวนคุยที่เอ่ยปากเสียงเรียบเรื่อยคล้ายพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ


   “กัญญา...นางเคยเป็นคนรักของข้า”


ตรัสนึกเอาไว้ไม่ผิด เขาเห็นท่าทีสนิทสนมที่นางปฏิบัติต่อรติก็พอคาดเดาได้


   “แต่หลังพี่สาวและพี่เขยเสีย ข้า...ขอเลิกกับนาง” รติเล่าต่อ พลางหันมามอง


   “ข้าบอกนางว่า ท่านพี่ของข้าเสียแล้ว ท่านปู่ก็อายุมาก ข้าต้องดูแลทั้งรุจีและระพี คงดูแลนางอีกไม่ได้”


คงเพราะเวลาล่วงเลยมาป่านนี้แล้ว เรื่องจากวันวานจึงยังทำให้คนเล่ามีรอยยิ้มจางติดอยู่บนใบหน้า


   “นางโกรธข้ามาก หาว่าข้าดูถูกเห็นว่านางดูแลตัวเองไม่ได้ และดูแลข้าไม่ได้ พ่อแม่ของนางก็โกรธ คิดว่าข้าคงมีคนอื่นจึงขอเลิกกับนาง”


   “หลังเลิกกัน ข้าเดินทางออกนอกเมืองเพราะเรื่องดวงตา ช่วงแรก ร่างกายข้าไม่สู้ดี บางทีลุกไม่ได้เป็นวันๆเพราะปรับตัวกับพลังที่มากับดวงตาไม่ได้ แต่พอเริ่มคุ้นเคย ก็พอจะรับมือไหว แต่...อย่างที่ท่านเห็น มันไม่แน่ไม่นอน บางทีป่วยก็มองไม่เห็น ยิ่งเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งแน่ใจว่าการเลิกกับนางเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว และไม่สมควรมีคนรักให้ใครต้องมาตกระกำลำบากด้วย” 


   รตินั้นสมเป็นรติ ผลจากการใช้ดวงตาของผู้อื่นต่างเผ่าพันธุ์ ผลกระทบย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร การเลิกรากันไป ย่อมดีกว่าทำให้หญิงสาวผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาแบกภาระ


   “สมกับเป็นเจ้า”


   รติหัวเราะเบาๆ หันมองคนข้างกายด้วยสายตาลึกซึ้ง


   “ข้าเลิกกับนางด้วยเงื่อนไขเรื่องร่างกาย และไม่คิดจะมีใครอีกก็เพราะเรื่องร่างกาย แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ ข้ากลับ...ไม่กล้าบอกท่าน เพราะไม่อยากเลิก...”


ตรัสนิ่งงัน เพิ่งตระหนักก็ตอนนี้ ว่าสำหรับเรื่องของพวกเขาแล้ว ‘พิเศษ’ กว่าเรื่องของผู้อื่น


   รติพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาเอาไว้ พยายามอย่างยิ่งที่จะประคับประคองเอาไว้


   ไม่มีอะไรที่จะต้องไม่มั่นใจกับความรู้สึกของรติเลยสักนิด


   ตรัสยิ้มจาง ดึงมือของภรรยามาจับจูง ทั้งที่ปกติ พวกเขาไม่เคยใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวยามอยู่ในที่สาธารณะ แต่เพราะยามนี้มืดแล้ว ผู้คนไม่มากนัก อีกทั้ง...ต่างคนต่างอยากให้คนข้างกายมั่นใจในความรู้สึกของตน ฝ่ายหนึ่งจึงมอบสัมผัสกอบกุมแม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาผู้อื่น อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่คิดหลบเลี่ยง


   ใจสื่อใจนั้นเพียงพอ แต่เมื่อสัมผัสต่อสัมผัส ก็ยิ่งเกื้อหนุนให้ยิ่งกว่าเพียงพอ


   “หลังจากนี้ มีเรื่องอะไรก็บอก ไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียวอีกแล้ว รู้ไหม” ตรัสหันมากล่าว ยังจับมือภรรยาไม่ปล่อย


คนถูกกำชับให้บอกเล่าเรื่องลับถึงกับหัวเราะร่วน


   “ไม่มีความลับอะไรต่อท่านอีกแล้ว”


   “อาจจะมี แต่เจ้านึกไม่ออกตอนนี้ก็เป็นได้”


คราวนี้รติทำหน้านิ่งคิด


   “อาจจริง...ไว้ถ้ามี และข้านึกออก ข้าจะบอกท่านคนแรก” เมื่อรติรับปาก ก็ไม่มีเหตุใดให้ต้องกังวลใจอีก ตรัสจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง


   “เจ้า...อยากไปทะเลสาบไหม”


   “ทะเลสาบ?”


   “ที่เพื่อนของเจ้าจะไปพรุ่งนี้ ถ้าเจ้าอยากไป...” ตรัสกำลังจะบอกว่าหากรติอยากไปกับเพื่อน ก็ไปเถอะ เขาไม่ติดใจกังขา แต่ดูเหมือนภรรยาผู้ช่างชอบเที่ยวของเขาจะตื่นเต้นดีใจไปก่อนที่เขาจะพูดเสียอีก


   “ท่านจะพาข้าไปหรือ?! ไปสิ ไป! ไปเมื่อไรดี! ช่วงนี้รุจีปิดเทอมพอดีด้วย นางต้องชอบแน่”


 ตรัสกะพริบตาปริบๆ มองภรรยาผู้คาดหวังว่าเขาจะพาไปเที่ยวแล้วก็กลายเป็นหัวเราะเบา


   จากที่คิดจะออกปากให้ไปเที่ยวกับเพื่อน เห็นทีจะปล่อยให้ไปกับผู้อื่นไม่ได้แล้ว


   “ท่านหัวเราะอะไรน่ะ”


   ตรัสหัวเราะไม่หยุด กลายเป็นว่าที่จะออกปากให้รติไปกับเพื่อนหญิงผู้นั้น เป็นอันกลืนลงท้อง เพราะเขาจะเป็นผู้พาไปเอง


   “ยังหัวเราะอยู่อีก”


   “เจ้านี่ช่างเที่ยวจริง”


   “ก็...ข้าไม่เคยไปนี่นา”


   “เคยไปแล้ว”


   “นั่นตอนฤดูหนาว”


   ตรัสพยักหน้าเห็นด้วย เหลือบมองคนตาโตเป็นประกายแล้วก็นึกอยากแกล้ง


“จริงด้วย ตอนนี้ฤดูร้อน ทะเลสาบนั่นไม่เหมือนตอนฤดูหนาวเลยสักนิด จากที่พื้นน้ำเป็นน้ำแข็งก็กลายเป็นน้ำเย็น เวลาแสงแดดส่องเป็นประกายระยิบเชียว พวกเด็กๆชอบลงไปเล่นน้ำในทะเลสาบ เพราะมันใสจนเห็นพื้น แต่พอขึ้นจากน้ำก็พากันตัวสั่นงกๆ เพราะลมพัด อ้อ...มีทุ่งดอกไม้หลากสีด้วย สีสวยเชียวล่ะ สุดลูกหูลูกตาเลย”


   รติฟังแล้วชักเคลิ้มตามประสาคนชอบเที่ยว ตรัสหันมาเห็นภรรยาตาลอยแล้วก็ยิ่งเอ็นดู


   “เอ? แต่เจ้าชอบทำงาน ถ้าอยากจะเปิดร้าน ก็คง...”


   “ปิดๆ! ปิดร้านยาหนึ่งวัน!”


ตรัสหัวเราะ นิสัยชอบทำงานพ่ายแพ้ให้กับความอยากเที่ยวแน่แล้ว รติได้ยินเสียงหัวเราะนั้นก็นึกรู้ว่าถูกแกล้งหยอก ทุบอั่กเข้าไปที่ไหล่ทีหนึ่ง


   “หยุดหัวเราะเลย ก็ท่านทำให้ข้าอยากไป”


   “เข้าใจแล้ว จะพาไปแน่ๆ” ตรัสรับคำ แล้วมองภรรยาด้วยสายตาลึกซึ้ง


“จากนี้ เจ้าอยากไปที่ใด...เราจะไปทุกที่ด้วยกัน”


หัวใจของรติพองฟู ความยินดีถาโถม ริมฝีปากแย้มยิ้มจนดวงตาหยีโค้งแล้วพยักหน้ารับคำสัญญา ก่อนที่สองสามีภรรยาจะพากันเดินกลับเรือนอหัสกรโดยมีเสียงพูดคุยกันไปตลอดทาง


--------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

--------

ไม่รู้จะอิจฉาใครเลยค่ะ อิจฉาตรัสที่มีรติ อิจฉารติที่มีตรัส

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ

เจอกันวันจันทร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-07-2020 17:40:31
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 03-07-2020 17:46:08
ดีงามทั้งคู่ค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 03-07-2020 18:23:51
อบอุ่นหัวใจ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-07-2020 19:00:47
โว้ยยยหัวใจฟูไปกับทั้งคู่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-07-2020 19:32:59
คู่สร้าง..คู่สม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 03-07-2020 20:02:48
น่ารักเก่ง

เข้าใจกันเก่งงง

ปล.ว่าแล้วตรัสจะต้องได้พาไป
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 04-07-2020 22:45:13
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 05-07-2020 07:35:27
น่ารักกันจริงมีลูกซักคนคงน่ารักน่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 72 ไปด้วยกัน -- (อัพเดต 03/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 05-07-2020 21:45:03
น่ารักมากๆเลยค่ะ :m3: :pig4: :L1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 06-07-2020 14:50:57
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 73

สมประสงค์

---------
   

กัญญาอยู่ที่เมืองตะวันออกอีกไม่กี่วันก็กลับ


วันเดินทางกลับ ตรัสและรติไปส่งด้วยไมตรีจิต มีขนมและผลไม้ของเมืองตะวันออกให้นางถือกลับไปด้วย รติย้ำหนักหนาว่าหากถึงเมืองใต้แล้วให้ส่งสารมาบอกกล่าว และย้ำว่าหากมาที่เมืองตะวันออกอีกก็ให้แวะมาเยี่ยมเยียนได้เสมอ


   ทั้งหมดนี้ ล้วนพูดต่อหน้าตรัส โดยที่ชายหนุ่มยืนเคียงข้างปล่อยให้รติพูดโดยไม่คัดค้านหรือมีท่าทีไม่พึงใจแต่อย่างใด


   อดีตย่อมเป็นอดีต เวลานี้รติเป็นภรรยาของเขาแล้ว หาใช่ต้องกังวลเรื่องใดอีก


   กัญญาออกจากเมืองไป สองสามีภรรยาอหัสกรก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับงานและการดูแลสกุล แม้จะรับปากแล้วว่าจะไปเที่ยวทะเลสาบทางตอนเหนือในช่วงฤดูร้อนด้วยกัน แต่งานการล้นมือ ย่อมไม่อาจหาเวลาไปได้อย่างกะทันหัน กว่าจะหาวันว่างไปเที่ยวทะเลสาบได้ก็ตอนที่ฤดูร้อนใกล้หมดลงแล้ว


   แดดยังจัดสมกับเป็นฤดูร้อน แต่อากาศเริ่มเย็น ดอกไม้บางส่วนร่วงโรย บางส่วนยังบานสะพรั่งสีสันสวยสด


   ทะเลสาบทางตอนเหนือของเมืองในยามฤดูร้อนให้ทิวทัศน์แปลกตาไปจากที่รติเคยมาเยือนเมื่อตอนฤดูหนาว


   ฤดูหนาวนั้นขาวโพลน มองไปทางไหนก็เวิ้งว้าง อีกทั้งยังหนาวเหน็บ


   ฤดูร้อนกลับเต็มไปด้วยสีสัน สุดลูกหูลูกตาคือทุ่งหญ้าและดอกไม้นานาพันธุ์ แม้อากาศจะไม่ร้อนจัด แต่ก็ไม่จัดว่าหนาวจนตัวสั่นงั่นงก น้ำในทะเลสาบใสแจ๋วและเย็นฉ่ำ ระพีและรุจีเล่นน้ำด้วยกันอย่างสนุก มีท่านอมราปูเสื่อนั่งอยู่ริมน้ำพักผ่อนหย่อนใจ ในขณะที่รติและตรัสพากันไปเดินเล่น ดื่มด่ำชื่นชมกับบรรยากาศสดใสรอบตัว


   ช่วงเวลาของสองสามีภรรยาเป็นไปอย่างเงียบๆ ด้วยการเดินเคียงกันรอบทะเลสาบที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ เสียงเครื่องดนตรีดังแว่วมา ชวนให้หันมอง ต้นเสียงคือชายชราผู้หนึ่งกำลังเล่นเครื่องดนตรีอยู่ที่ริมทะเลสาบ ท่วงทำนองอ่อนโยน พาให้เคลิบเคลิ้ม


   “อยากเล่นดนตรีหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านข้าง รติหันมองแล้วยิ้ม


   “ข้าเล่นไม่เป็นหรอก”


   “ที่เรือนอหัสกรมีเครื่องดนตรีอย่างนั้น ถ้าเจ้าอยากลองเล่น ข้าจะสอนให้”


   คราวนี้รติตาโต ร้องถาม


   “ท่านเล่นเป็นด้วยหรือ?!”


   “ตอนเด็กๆเคยเรียนอยู่บ้าง แต่คงต้องฟื้นสักหน่อย ไม่ได้จับนานแล้ว”


ดวงตาของรติที่มองคนพูดนั้นมีประกายชื่นชมปิดไม่มิด


   “มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้บ้าง ดูดาวก็ได้ เล่นเครื่องดนตรีก็ได้ เก่ง”


ตรัสหันมอง แม้จะรู้สึกภาคภูมิใจที่อีกฝ่ายชื่นชมเพียงนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าตนเองเก่งกาจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับมองว่ารติเก่งกว่าเขามาก


   “เจ้าต่างหากที่เก่ง”


   “ข้าน่ะหรือ ไม่ๆ ข้าทำอย่างท่านไม่ได้สักอย่าง...”


   “แต่เจ้าทำในสิ่งที่ข้าทำไม่ได้ เจ้ายอมแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักก็เพื่อผู้อื่น แต่งแล้วสามีผู้นั้นไม่ได้ดีต่อเจ้า เจ้าก็ยังมีน้ำใจต่อเขา การเงินของสกุลร่อแร่ ก็ไม่นึกรังเกียจ หนำซ้ำยังลงแรงช่วยคิดช่วยหาทาง เจ้าไม่เคยรักสบาย ไม่เคยเอาดีเข้าตัว มีน้ำใจ คิดอ่านสิ่งใดก็ทำเพื่อผู้อื่นก่อนเสมอ”


   รติชักเขิน จู่ๆถูกชมก็ไม่รู้จะทำหน้าเช่นไร มือไม้ล้วนเก้งก้าง แต่พอจะหาเรื่องเดินหนี ก็กลับถูกคว้าแขนเอาไว้


   “ขอบคุณ รติ”


   “ท่านขอบคุณข้าบ่อยเกินไปแล้ว”


   “ไม่เลย ถ้าเทียบกับสิ่งที่เจ้าทำ” ตรัสลูบมือภรรยา มือของรติมิได้นุ่มนวลอย่างผู้หญิงเพราะรติเป็นชาย และรติก็มีความรู้ความสามารถมากเกินกว่าจะเป็นเพียงภรรยาในสกุลอหัสกรที่ดูแลเรื่องหลังบ้าน


   “รติ...เจ้าอยากรักษาคนไหม”


   “ท่านหมายความว่าอย่างไร”


   “ถ้าเจ้าอยากเป็นหมอ ข้าจะสอน แล้วส่งไปสอบใบประกอบวิชาชีพ จะกลับมาเป็นหมอที่อหัสกรก็ได้ หรือจะเปิดร้านยาแห่งใหม่ก็ได้ หรือถ้าอยากเรียนหนังสือ ข้าจะหาโรงเรียนให้ หรือถ้าเจ้าชอบค้าขาย อยากขายอะไรก็บอก ร้านข้างๆร้านยาอหัสกรเขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น ข้าเจรจาขอซื้อตึกไว้ หากเจ้าอยากจะเปิดเป็นร้านขายอะไรก็แล้วแต่เจ้า”


   รติมองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างคาดไม่ถึง


   “ทำไม...อยู่ดีๆ...”


   “ข้าขอโทษที่ไม่คิดให้เร็วกว่านี้ เจ้าเป็นชาย การเป็นภรรยาของชายด้วยกันก็ย่อม...”



...เป็นเรื่องแปลกประหลาด...



แต่รติไม่เคยเก็บสายตาผู้อื่นมาใส่ใจ ตรัสเองก็ไม่ใช่คนเงี่ยหูฟังเสียงนกเสียงกานัก เรื่องตลกขำขันจำพวก ‘หมอตรัสมีภรรยาเป็นชาย’ จึงไม่เคยสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้เขาแต่อย่างใด


   จนกระทั่งได้ยินกัญญาคุยกับรติ


   รติเป็นชาย ความภาคภูมิใจของความเป็นชายในเวลานี้คือการมีอาชีพการงานเป็นที่นับหน้าถือตา ความรู้ความสามารถของรติย่อมทำให้โดดเด่นได้ไม่ยาก


   “ท่านได้ยินที่ข้าคุยกับกัญญาใช่ไหม”


   ตรัสยิ้ม ยังจับมือภรรยาไม่ปล่อย ในขณะที่เบนสายตาออกไปมองยังทะเลสาบกว้าง ลมพัดผ่านผิวน้ำเป็นระลอก ยามแดดส่องยิ่งเป็นประกายระยิบ


   “ตรัส ท่านไม่จำเป็น...”


   “สามีภรรยาใช่ว่าใครคือชายหรือใครคือหญิง แต่ในฐานะที่เจ้าแต่งเข้าสกุล และข้าเป็นผู้นำสกุล ข้ากลับทั้งโง่ทั้งทื่อ บางครั้งก็ดูไม่ออกว่าเจ้าอยากทำสิ่งใด เจ้าก็ไม่ช่างพูดเรื่องความอยากของตนเองให้ใครฟัง แต่ข้าก็...อยากให้เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ”


   รติมองคนพูดอย่างคาดไม่ถึงผสมตื้นตัน ใครจะคิดว่าชีวิตนี้จะโชคดีถึงเพียงนี้ ไม่เพียงมีคนรัก ได้เคียงข้างคนที่รัก แต่คนผู้นั้นยังคิดถึงความสุขของเขา


   มือที่ตรัสจับ บีบกระชับมือของตรัสเช่นกัน รติยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาเป็นเส้นโค้ง บอกให้รู้ว่าเขามีความสุขเพียงใด


   “ข้า...เคยอยากเป็นหมอ”


“...อยากเป็นพ่อค้า อยากเป็นนักเดินทาง อยากเป็นนักประดิษฐ์ เคยอยากทำสวนทำไร่ด้วย” รติพูดแล้วหัวเราะเบาๆ


“ความอยากเหล่านั้น ชั่วชีวิตนี้ก็เป็นทั้งหมดไม่ได้จริงไหม เมื่อลองคิดถึงความอยากแต่ละข้อดูแล้ว ข้าก็พบว่าถึงจะไม่ได้เป็นในสิ่งที่อยาก แต่ข้าก็ได้ทำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งที่อยาก”


“...ข้าได้ช่วยท่านรักษาคน เรื่องนี้ก็คล้ายได้เป็นหมอ ข้าได้ค้าขายผงสมุนไพร เรื่องนี้ก็เป็นพ่อค้า ข้าได้คิดได้ค้นเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรแปลกๆ เรื่องนี้พอจะถือว่าเป็นนักประดิษฐ์ก็ได้ แล้วข้ายังได้เห็นแต่เรื่องแปลกหูแปลกตา ได้มาที่นี่ทั้งฤดูหนาว ฤดูร้อน นี่ก็คล้ายนักเดินทาง เหลือทำสวนทำไร่ ยังไม่ได้ทำ แต่คิดเอาไว้ว่าถ้าว่าง ก็จะหาเมล็ดผักไปลงดินปลูกที่ลานหลังเรือน พอออกดอกออกผลจะได้มีไว้กินไม่ต้องซื้อหา”


รติยังยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่ปลดปลงตัดใจ แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่มีความสุขกับชีวิต รอยยิ้มของเขาให้ความรู้สึกสงบและเรียบง่าย เป็นรอยยิ้มที่มองแล้วสบายตาสบายใจ


“ขอบคุณที่คิดถึงความต้องการของข้า แต่การที่ข้าได้อยู่กับท่าน ได้ทำเรื่องที่อยากทำตั้งมากมาย ได้เลี้ยงรุจีและระพีให้เติบโต ได้ดูแลท่านอมรา ชีวิตของข้าในเวลานี้มีความสุขแล้ว”


ตรัสมองคนข้างกาย หัวใจมิได้เต้นถี่รัวเร็ว แต่กลับสงบสุข รติคือความสบายอกสบายใจ คือความดีงามของชีวิต เป็นสีสันและความสดใส เป็นทั้งสายลมแผ่วเบาที่ทำให้ผ่อนคลาย แต่หากขาดสายลมนี้ไปก็คล้ายขาดอากาศ รติจึงเป็นทั้งหัวใจ เป็นทั้งร่างกาย และเป็นทั้งความรู้สึกนึกคิดของเขา


สองสามีภรรยาก้าวเท้าไปตามทางเดินริมทะเลสาบอย่างช้าๆ มีเสียงพูดคุยหัวเราะกันแผ่วเบา บ้างก็หันมายิ้มและทอดสายตามองกันด้วยความรัก บ้างก็หันไปดื่มด่ำกับบรรยากาศในฤดูร้อน


พวกเขามิได้แสดงความรักต่อกันอย่างเปิดเผย แต่หากมีผู้ใดสังเกต ก็คงพบว่าหาใช่เพียงเดินเคียงกัน แต่ปลายนิ้วของสองสามีภรรยายังเกี่ยวกันเอาไว้ ถ่ายทอดความรู้สึกให้กันและกันรับรู้ว่า ชีวิตนี้...สมประสงค์เพียงใดที่มีคนข้างกายเคียงข้างกันไปบนเส้นทางชีวิตสายนี้


และพวกเขา...จะเดินเคียงข้างกันเช่นนี้...ไปจนกว่าจะถึงปลายทางของชีวิต



--------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


คู่นี้เหมือนแต่งงานกันมานานแล้วเลยค่ะ ฮ่าฮ่า แต่จริงๆก็นับว่านาน เพราะ 70 กว่าตอนแหน่ะ


เหลืออีก 2 ตอน เรื่องนี้ก็จะจบแล้วล่ะค่ะ


ขอบคุณสำหรับทุกการอ่าน


เจอกันวันพุธนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-07-2020 15:09:15
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 06-07-2020 15:54:27
จะจบแล้วเหรอคะยังสนุกอยู่เลย..ขอบคุณนะคะคุณนักเขียน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-07-2020 16:29:42
กิ่งทองใบหยก.. :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-07-2020 21:03:08
อิ่มเอมใจไปกับทั้งคู่ ความรักคือสิ่งดีงาม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 06-07-2020 22:01:45
เร็วมากๆเลยจะจบแล้วหรอ เป็นคู่ที่น่ารักมากๆเข้าใจกันคุยกัน อบอุ่นหัวใจมากๆเลยตอนนี้ ชอบรติมากๆทำไมแสนดีขนาดนี้อะ คุณตรัสก็น่ารักดูแลรติดีมาก :กอด1:  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 06-07-2020 23:12:45
.....

 :กอด1:  :L2:  :L1:  :กอด1:  :L2:  :L1:


.....
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 06-07-2020 23:37:51
ตรัสใส่ใจมาก

อิ่มเอมแทน

ปล. นักเขียนจะสร้างจักวาลมนุษย์ อมนุษย์ ปีศาจ ต่อไหมหนอออ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 07-07-2020 01:06:34
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 73 สมประสงค์ -- (อัพเดต 06/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 07-07-2020 02:45:07
เหมาะสมกันมาก รักกันนานๆนะ
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 08-07-2020 17:13:16
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 74

ดำเนินต่อไป

---------


   นับตั้งแต่ร้านยาอหัสกรขายสมุนไพร กำไรก็ยิ่งงอกเงย


สกุลอหัสกรมีทั้งเงินเก็บ และสามารถปันส่วนให้กับทุกคนในสกุลได้ใช้จ่าย เงินเก็บในส่วนของตรัส เขาสะสมเอาไว้ จนกระทั่งวันนี้ที่ได้ใช้


   อย่างที่ตรัสเสนอกับรติ คือร้านข้างๆร้านยาอหัสกรจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น เขาจึงซื้อตึกขนาดสองชั้นหลังนั้นเอาไว้ แต่เงินเก็บตลอดปีที่ผ่านมา ไม่เพียงพอ ชายหนุ่มจึงขอยืมจากผู้เป็นย่า ท่านอมรามิได้มีทรัพย์สินมากมาย นางมีเงินในส่วนที่ตรัสแบ่งสันปันส่วนตลอดปีและเครื่องประดับอีกไม่กี่ชุด จึงยกให้หลานชายทั้งหมด พร้อมสำทับว่าข้าวของเหล่านี้หากขายได้เท่าไร ก็ยกให้เป็นเงินของตรัส มิใช่การให้ยืมแต่ประการใด ตรัสซึ้งใจ เขานำของมีค่าเหล่านั้นไปจำนำกับสกุลของรสนาซึ่งรู้จักมักจี่กันดี และหมายมาดว่าจะรีบไถ่ถอนคืนมาทันทีที่มีเงิน 


เมื่อรวบรวมเงินได้ครบถ้วนแล้ว ชายหนุ่มจึงซื้อตึกหลังข้างๆร้านยาอหัสกร และทำหนังสือมอบมันให้กับรติ


   “เจ้าอยากขึ้นป้ายที่นี่ว่าอะไร... ‘รติ’ ดีไหม เป็นชื่อของเจ้า”


“ท่านซื้อ เหตุใดจึงจะขึ้นป้ายเป็นชื่อของข้า” รติย้อนถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อตรัสยื่นหนังสือทางการที่ระบุว่าตึกหลังนี้ซึ่งติดกับร้านยาอหัสกรมีเจ้าของชื่อ รติ  อหัสกร เขาก็ถึงกับตะลึงงัน


ตรัสยืนมองป้ายร้ายยาอหัสกรซึ่งเก่าแก่ พลางยิ้ม


“หากเจ้าขึ้นป้ายร้านว่ารติ ยามผู้ใดเห็น เขาก็จะอ่านเป็น รติ อหัสกร” เขาพูด พลางชี้ป้ายที่ว่างเปล่า แล้วชี้ไปยังป้ายอหัสกร


แม้ป้ายจะไม่ติดกัน แต่ร้านอยู่ติดกันเช่นนี้ หากมองป้ายร้านหนึ่งแล้วมองไปยังป้ายร้านข้างๆ ก็จะอ่านได้เช่นนั้น


ร้านรติ


กับ


ร้านยาอหัสกร


เมื่ออ่านเพียงชื่อร้านก็จะเป็น รติ อหัสกร


รติได้แต่มองคนพูดอย่างคาดไม่ถึง ตรัสไม่ใช่คนพูดเรื่องความรู้สึก แต่สิ่งที่เขาทำกลับเต็มไปด้วยความรักมากล้น


“ข้าพูดจาเอาแต่ใจ หากเจ้าอยากตั้งชื่อร้านว่าอะไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ เจ้าอยากจะใช้ที่นี่ทำอะไรก็ตามใจเจ้า” ตรัสย้ำความตั้งใจของตนด้วยความเต็มใจ


รติยิ้มแล้วเอ่ย “ชื่อร้านว่ารตินั้นดีที่สุดแล้ว”


จากนั้นจึงปรับปรุงตึกหลังข้างๆร้านยาอหัสกร โดยจ้างช่างทุบผนังให้เชื่อมถึงกัน ขยายพื้นที่โถงของร้านยาอหัสกรมายังตึกหลังนี้ สร้างชั้นวางสินค้าเพื่อขายผงสมุนไพร และกั้นห้องด้านหลังติดกับห้องตรวจของตรัสเป็นห้องปรุงผงสมุนไพรของเขาด้วย


   “ทำประตูจากห้องตรวจของข้าไปยังห้องปรุงสมุนไพรของเจ้าด้วยดีไหม” ตรัสเสนอความคิดเห็น หน้าตาเรียบเฉย


   “แต่ข้าว่า...มีประตูหลายบาน ก็จะไม่มีสมาธิทำงาน” รติแย้ง เนื่องจากห้องปรุงผงสมุนไพรหรือห้องทำงานของรตินี้ มีประตูหน้าสู่โถงของร้านอยู่แล้ว หากจะเจาะประตูด้านข้างเชื่อมกับห้องตรวจของตรัสอีก ก็ดูจะเกินพอดี


    “แต่เจ้ามักจะมีสมาธิในการทำงานมากเกินไป บางครั้งก็ไม่กินข้าวกินปลา ทำประตูเชื่อมกับห้องตรวจของข้าด้วยน่ะดีที่สุดแล้ว” ตรัสรวบรัด รติเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จึงไม่แย้งอีก ปล่อยให้ตรัสช่วยกำกับการปรับปรุงร้านต่อไป


   ช่างปรับปรุงร้านจนแล้วเสร็จในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง


ในช่วงใบไม้ร่วง บริเวณรอบๆน้ำพุใจกลางเมืองมีสีสันแปลกตาด้วยใบไม้หลากสี อากาศช่วงนี้ไม่หนาวจนเกินไป รติจึงถือโอกาสเปิดกิจการร้านของตนเอง


   เมื่อขยายร้านออกมาแล้ว ก็ย่อมต้องมีสินค้าวางขายมากกว่าเดิม จึงต้องจ้างคนมาช่วยงาน เดี๋ยวนี้รติไม่ต้องบรรจุหีบห่อเองแล้ว เพียงแค่ผสมให้แล้วเสร็จ แล้วยกผงสมุนไพรมาที่หลังร้าน ให้คนงานช่วยบรรจุหีบห่อ ดูแล้วเหมือนจะผ่อนงานลง แต่คนชอบทำงานก็ยังชอบทำงานอยู่วันยังค่ำ ห้องปรุงผงสมุนไพรที่ร้านจึงกลายเป็นที่ประจำของรติ เขาสามารถหมกตัวอยู่ในนั้นได้เป็นวันๆเพื่อคิดสูตรสมุนไพรใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ อย่างลูกประคบสมุนไพรที่เพิ่งวางขายนั่นก็ผลพลอยได้จากการใช้ห้องปรุงผงสมุนไพรนี้


   แต่...แม้เขาจะหมกตัวอยู่ในนั้นได้เป็นวันๆ ก็ยังมีใครบางคนสามารถเข้าถึงตัวได้โดยง่าย


   ห้องปรุงผงสมุนไพรของรติอยู่ติดกับห้องตรวจคนไข้ของตรัส อย่างที่ตรัสกล่าวว่าให้ทำประตูเชื่อมถึงกัน ช่างปรับปรุงร้านก็จัดการให้


   แต่...ประตูที่ว่านี้ไม่มีกลอน


   กว่ารติจะรู้ตัวก็ตอนที่ช่างส่งงานแล้ว ย่อมไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ในขณะที่เจ้าของห้องตรวจคนไข้ยังทำสีหน้าเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อน ทั้งๆที่ห้องตรวจของเขาสามารถเข้าออกจากห้องปรุงผงสมุนไพรของรติได้โดยสะดวก


   “คราวนี้เถอะ ท่านจะตรวจคนไข้ลำบาก!” รติเข่นเขี้ยว แต่คนต้นคิดหาได้ทุกข์ร้อนไม่ ยิ่งวันใดรติเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องปรุงผงสมุนไพรด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งสำทับว่าการไม่มีกลอนระหว่างประตูเชื่อมนั้นเป็นเรื่องดียิ่ง


   “เห็นไหม ถ้ามีกลอน เจ้าก็จะลงกลอน แล้วข้าจะเข้าไปตามเจ้าออกมากินข้าวได้อย่างไร”


   เหตุผลนี้คล้ายจะฟังขึ้น แต่บางครั้ง ตรัสก็อาศัยการเข้าไปตามภรรยาในตอนเย็นแล้วไม่ยอมออกโดยง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดเสียงท้วงจากคนในห้องด้วย


   “ท่าน...ทำอะไร...อ๊ะ! ด...เดี๋ยว...เดี๋ยวคนอื่น...”


   “ไม่มีใครอยู่แล้ว ข้าให้คนกลับไปหมดแล้ว”


   “ต...แต่...ย...อื้อ...ยังไม่ปิดร้าน...”


   “ข้าปิดหมดแล้ว...”


“ด...เดี๋ยว...”


“แน่ใจหรือ เจ้าเป็นถึงเพียงนี้แล้ว อ่า...รติ...”


   “อ๊ะ...ม...มัน...อื้อ...”


   เสียงท้วงเหล่านั้นไม่มีผู้ใดได้ยิน เพราะตรัสปิดทั้งร้านรติและร้านยาอหัสกรแล้ว


   เป็นอันว่าวันนั้นสองสามีภรรยากลับเรือนดึกกว่าเคย และก็เป็นเช่นนี้อยู่เนืองๆ ท่านอมราผู้อาวุโสแม้จะเข้านอนแต่หัวค่ำแต่ก็รับรู้ว่าทั้งตรัสและรติกลับเรือนค่ำๆมืดๆจึงเปรยด้วยความเป็นห่วง


   “หมู่นี้งานเยอะหรือ กลับเรือนดึกดื่น เพลาๆเสียบ้างเถอะ เงินทองเราก็ใช่จะขัดสน” นางกล่าวเช่นนั้น แต่รติถึงกับหน้าแดงก่ำ ส่วนตรัสชะงัก


   “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าชอบทำงาน แต่ก็ควรมีเวลาเลิกงาน ไม่ใช่คนหนึ่งทำ อีกคนก็ทำด้วย เช่นนั้นจะแย่”


รติยิ่งพูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้ากินข้าว ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร เพราะแท้จริงแล้ว พวกเขามีเวลาเลิกงานชัดเจน แต่ที่กลับถึงเรือนดึกก็เพราะ...ทำอย่างอื่น...


   แล้วทำอย่างอื่นที่ว่า ไม่ใช่ตรัสบังคับขืนใจด้วย แม้จะปราม แต่รติก็ไม่เคยห้ามจริงจัง จึงเข้าประโยคของหญิงชราตรงเผง


   ‘คนหนึ่งทำ อีกคนก็ทำด้วย’


   จึงเป็นเหตุให้กลับดึกเช่นนั้น


   “เข้าใจไหมตรัส เจ้าอายุมากกว่า ต้องรู้จักความพอดี” หญิงชราหันไปสั่งสอนหลานชาย


   “ขอรับ...” เขารับคำ เหลือบมองภรรยาที่นั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวงุดๆ แต่แก้มแดง หูแดงแล้วก็รู้ตัวว่าแม้รับปาก แต่ไม่รู้จะทำตามที่รับปากไปได้สักกี่น้ำ


   “แต่...บางวันขอกลับดึกได้ไหมขอรับ เอ่อ...ถ้าทำให้เรียบร้อยที่ร้าน จะได้ไม่ต้องนำกลับมาที่เรือนขอรับ” ชายหนุ่มเสนอข้อยกเว้น รติเหลือบมองแล้วก็ได้แต่เม้มปาก นึกอยากหยิกคนพูดขึ้นมาตะหงิด


   ท่านอมราฟังแล้วก็เห็นด้วย งานการควรเสร็จที่ร้าน กลับมาที่เรือนจะได้พักผ่อนให้เต็มที่ พอเหลือบมองรติแล้วเห็นอีกฝ่ายมิได้ดูผ่ายผอมทรุดโทรมอย่างคนทำงานหนัก ถึงแม้จะอยู่ที่ร้านจนดึกดื่นก็ตาม


   “เอาเถอะ พวกเจ้าโตแล้ว ก็ดูความเหมาะสมแล้วกัน อย่าให้เรื่องงานทำให้เสียสุขภาพ”


   “ขอรับ จะไม่ให้เสียสุขภาพขอรับ” ตรัสรับคำหนักแน่น แล้วสะดุ้งเล็กน้อยเพราะถูกคนข้างกายหยิกเข้าที่เอวไปทีหนึ่ง


   หลังจากนั้น ตรัสและรติก็ยังคงกลับเรือนดึกบ้างเป็นบางคราว แต่ทั้งสองมิได้ดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการทำงานหนัก ท่านอมราจึงไม่ท้วงขึ้นมาอีก


กิจการร้านยาอหัสกรและร้านรติเป็นไปด้วยดี หากไม่มีคนไข้ หมอตรัสก็มักเข้าไปช่วยรติปรุงผงสมุนไพร แต่หากมีคนไข้อาการหนัก รติก็จะวางมือจากงานของตนไปช่วยตรัสรักษา


สองสามีภรรยาช่วยกันทำมาหากิน รักใคร่กลมเกลียว ชีวิตของพวกเขาดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่ายในเมืองตะวันออกนี้เอง


   
---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------


ท่านย่าไม่รู้ไม่เห็น แต่ก็ช่วยปรามแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่รติต้องเข้มงวดให้ตรัสเพลาๆลงเองนะคะ

ไม่เกี่ยวกับท่านย่าแล้วค่ะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่าน

เจอกันบทส่งท้ายวันศุกร์นี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 08-07-2020 17:22:05
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 08-07-2020 19:12:49
เขินมากคนหนึงทำอีกคนก็ทำตาม :-[ :z1: :fox2: อบอุ่นมากอ่านแล้วใจฟูตอนตั้งชื่อร้านก็น่ารักมากๆเลย :m1: สนุกมากๆค่ะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 08-07-2020 20:01:24
อิอิอิ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-07-2020 20:52:15
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-07-2020 21:39:05
หนูคิดว่าท่านอมราห่วงผิดเรื่องแล้วละค่ะ คงมีเรื่องนี้สินะที่ท่านอมราตามไม่ทัน ???? 555555  :impress2: ทุกที่คือฟิน  :pighaun: 555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 08-07-2020 21:42:58
น่ารักจริงๆสามีภรรยาคู่นี้
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 08-07-2020 23:20:49
 :hao6: ช่างเอาการ เอางาน ทั้งคู่
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-07-2020 23:53:40
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 09-07-2020 00:13:09
งานหนักจริงงงง พักผ่อนบ้างง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 09-07-2020 01:26:58
วุ้ยยย ท่านตรัสบทจะไม่ธรรมดาก็ไม่ธรรมดานะค้าาา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 09-07-2020 07:42:03
สองสามีภรรยาเอางานเอาการดีมาก แต่อย่าหักโหมอย่างที่ท่านย่าปรามนะจ๊ะ.
ถ้ารติท้องได้ คงมีลูกหัวปีท้ายปีแน่   :laugh:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 74 ดำเนินต่อไป -- (อัพเดต 08/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 09-07-2020 17:32:33
ท่านย่าปรามเหมือนรู้ 55
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 10-07-2020 17:11:43
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทส่งท้าย

---------



   ปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ผลัดใบจนโกร๋นหมดแล้ว แต่ที่ร้านยาอหัสกรและร้านรติก็ยังยุ่งอยู่เสมอ


ตรัสและรติยังคงทำงานอย่างมุมานะ


ร้านยาอหัสกรยังคงรับรักษาดูแลคนเจ็บคนป่วย หรือหากไม่ป่วย จะแวะเวียนมาที่นี่แล้วเดินทะลุประตูเชื่อมมายังร้านรติที่ขายผงสมุนไพรสรรพคุณต่างๆก็ได้


ในแต่ละวันจึงมีทั้งคนเจ็บและลูกค้าแวะเวียนมาเนืองๆ


ในขณะที่เรือนอหัสกรแม้จะเงียบลงบ้างเพราะรุจีไปเรียนที่โรงเรียนประจำ เหลือเพียงท่านอมรา ระพีและบ่าวไพร่ แต่ก็ไม่นับว่าเหงา เด็กชายเป็นความสดใสของทุกคนในเรือน


นอกจากทำงานแล้ว ตรัสและรติยังมีหน้าที่อีกประการคือการสั่งสอนระพีทั้งวิชาความรู้ มารยาท และวิธีการใช้ชีวิต ส่วนรุจีเริ่มโตเป็นสาว รติจึงเริ่มเฝ้ามองว่ามีชายใดหมายตาน้องสาวของตนบ้าง ดังนั้นเวลาว่างของสองสามีภรรยาจึงเรียกได้ว่ามีน้อยนิด


กระนั้น เวลาที่แสนน้อยนิดก็มีคุณค่า พวกเขามอบความรัก ความห่วงใย และความเอาใจใส่ให้กันอยู่เสมอ


   ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีดวงดาวสุกสกาวนับร้อยพัน ช่างเป็นภาพที่จรรโลงใจ ในขณะที่บรรยากาศเงียบสงบและลมหนาวที่พัดผ่านก็ยิ่งทำให้การพักผ่อนบนตั่งยาวริมหน้าต่างของสองสามีภรรยาในค่ำคืนนี้ยิ่งรื่นรมย์


   “หนาวไหม” อ้อมแขนโอบร่างอุ่นๆเข้ามาแนบชิด ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากคนที่ซุกหน้าเข้าหาไหล่ของเขา


   “ไม่หนาวแล้ว”


   “ชินแล้วหรือ”


   “ไม่ชิน แต่สวมเสื้อหนา ท่านกอดอีก ผ้าห่มอีก ยังหนาวก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร”


ตรัสหัวเราะเบา โอบร่างของคนช่างพูดให้แนบแน่นขึ้นอีก


“ใบไม้ร่วงหมดแล้ว...” ชายหนุ่มชาวเมืองตะวันออกกล่าว มองต้นไม้สูงใหญ่ที่เหลือเพียงกิ่งก้านในความมืด มิได้รู้สึกวังเวงน่ากลัวแต่อย่างใด อย่างน้อยก็เพราะมีคนเคียงข้างให้กอดแน่น


“...จวนเข้าฤดูหนาว ไม่รู้ปีนี้จะหนาวเหมือนปีที่แล้วหรือไม่” เขาเปรย จำได้ดีว่ารติขี้หนาวเพียงใด ปีนี้จึงสั่งให้บ่าวไพร่เตรียมฟืนไฟไว้มากกว่าเดิม


“ข้าจะเตรียมผ้าพันคอที่ท่านเคยให้เอาไว้” รติหันมาบอกพลางยิ้ม รอยยิ้มนั้นงดงามในความรู้สึกของตรัส จนต้องยกมือขึ้นแตะที่มุมปากของภรรยาแผ่วเบา


“ใกล้ครบปีแล้ว ที่เจ้าย้ายมาอยู่ที่นี่”


ไม่เพียงย้ายมาอยู่เมืองนี้ แต่ยังย้ายมาอยู่ในเรือนหลังนี้ด้วย


“ไวจริง”


“ที่นี่เปลี่ยนไปมาก นับตั้งแต่เจ้าเข้ามา”


รติหันมอง ท่ามกลางความมืดสลัว สายตาของตรัสกลับชัดเจน


“ข้าเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่คิดฝันว่าชีวิตนี้จะมีคนเคียงข้างอย่างนี้”



เป็นคนเคียงข้างที่ค่อยๆเรียนรู้กันและกัน



เป็นคนเคียงข้างที่ประคับประคองกันมา



เป็นคนเคียงข้าง...ที่รติรักเต็มหัวใจ


“ดีใช่ไหม” คำถามของตรัสนั้นแสนถ่อมตน รติหัวเราะ หน้าตาสดใสท่ามกลางความมืดสลัว


“ดีสิ...แต่วันแรกนั่นไม่ดีเอาเสียเลย ท่านหน้าบูดอย่างกับอะไร”


“ก็...จู่ๆให้ข้าแต่งงานกับเจ้า ส่วนเจ้าก็ยิ้มระรื่น อะไรๆก็ยินดี มีแขกฝั่งตนเองแค่สองคนก็ยินดี ไม่ต้องดูฤกษ์ก็ยินดี จัดงานที่เรือนก็ยินดี...” ตรัสเอ่ย น้ำเสียงอ่อนโยนยามคิดถึงอดีต แม้อดีตในวันนั้น เขาจะไม่พอใจกับภรรยาคนนี้เลยสักนิด แต่นานวันเข้า กลับพบว่าวันเวลาล้วนเปลี่ยนแปลงผู้คน รวมถึงจิตใจของเขาด้วย


รติหัวเราะร่วน คิดถึงท่าทีของตนเองแล้วก็ไม่แปลกใจที่ตรัสจะเกลียดชัง


“ท่านกลัวไหม จู่ๆต้องแต่งกับใครไม่รู้” รติถาม


“ไม่เชิงว่ากลัว ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้ามาไม่ดี ข้าจะจัดการเจ้าได้” แน่ล่ะ ในเมื่อตรัสมีวิชาต่อสู้ อีกทั้งยังอยู่ในพื้นที่ของตนเองเช่นเรือนอหัสกร อย่างไรก็ภาษีดีกว่า


“แต่โกรธ...ไม่ชอบหน้าเจ้า คนอะไรแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักด้วยหน้าระรื่นปานนั้น พอแต่งแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีสงบเสงี่ยม สั่งให้ดูแลบ้านเรือนก็ออกไปเตร่ทั่วเมือง ตอนข้ารู้จากระพีว่าเจ้าออกไปเที่ยว ข้าโกรธมาก พอคิดว่าจะดัดนิสัยให้ไปทำงานที่ร้าน ก็กลับเป็นเข้าทางเสียอีก แล้วยังทำได้ดีด้วย” ตรัสเล่า แต่สีหน้ามิได้โกรธเคืองเลยสักนิด กลับยิ้มจาง


“...เจ้าล่ะ ต้องแต่งงาน ต้องเข้ามาอยู่ในเรือนผู้อื่น กลัวสักนิดบ้างไหม” คำถามของตรัสทำเอารติหัวเราะ 


“กลัวซี ข้าไม่รู้จักท่าน ไม่รู้ว่าคนในสกุลอหัสกรเป็นอย่างไร แต่...บิดาของท่านเป็นคนดี ไม่ว่ายามเขาความจำเสื่อมหรือจำได้ ก็ไม่มีจิตใจร้ายกาจ จึงคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนเช่นนั้นคงจะอยู่ในสกุลที่ดี อีกอย่างคืออยากให้ระพีได้รู้จักกับพี่ชายของเขา ก็เลย...ต้องทำใจไม่กลัว” รติเล่า พลางยิ้ม


“แต่รู้ไหม ตอนท่านมัดข้าแล้วจากไป ข้าสบายใจมากทีเดียว อย่างน้อยข้าถูกมัดเช่นนี้ จะไม่มีใครกล่าวโทษว่ามีของหาย แล้วชี้นิ้วมาที่ข้าว่าเป็นขโมย อีกทั้งท่านยังไปไหนก็ไม่รู้ด้วย ไม่ต้องอยู่ร่วมห้อง สบายใจไปมากทีเดียว”



ตรัสฟังแล้วหัวเราะ


“เจ้าไม่กลัวข้ามัดเจ้าแล้วไปตามคนมาทำร้ายหรือ”


รติทำหน้าคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าไปมา


“ไม่เลย ข้ารู้สึกว่าท่านไม่ใช่พวกหมาหมู่”


“แต่ข้าก็ทำให้เจ้าไม่สบาย...ทำให้เจ้ามองไม่เห็น...” คราวนี้ตรัสเปรยเสียงเบา รติยิ้ม


“ข้าต้องทำเป็นมองเห็นด้วย ถูกท่านโมโหด้วย”


ตรัสกระชับกอดภรรยาแน่นขึ้น


“ข้าไม่ได้ดีต่อเจ้าเลย รติ...แต่เจ้ากลับดีต่อข้า เจ้ารู้ไหม ตั้งแต่เมื่อไรที่ข้าเปลี่ยนไป” คำถามของสามี ทำเอาดวงตาเรียวสีดำขลับเหลือบมอง


“เอ? ตอนที่ข้าช่วยกอบกู้สกุลกระมัง”


คราวนี้ตรัสหัวเราะ


“กอบกู้เชียวหรือ”


“ก็ตอนนั้นการเงินของอหัสกร...อ่า...ก็ไม่เชิงว่าย่ำแย่ แต่ก็หัวชนท้าย ชักหน้าแทบไม่ถึงหลัง เงินเก็บก็ไม่มี เงินส่วนตัวของท่านยิ่งไม่ต้องพูดถึง”


“นั่นก็ด้วย”


“หืม? แสดงว่ามีเรื่องอื่นที่ท่านประทับใจข้าหรือ”


“จริงๆเป็นเรื่องก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ตอนที่เจ้า...ต้มน้ำร้อนยกขนมมาให้”


รติกะพริบตาปริบๆ ทว่าตรัสกลับยิ้มจาง ยามหวนคิดถึงสิ่งที่รติปฏิบัติต่อเขา ทั้งๆที่เขาตั้งแง่อคติจนไม่เคยกระทำสิ่งใดให้เลย


“ทั้งๆที่ข้าร้ายต่อเจ้า พูดจาไม่ดีกับเจ้า แต่เจ้ากลับ...มอบน้ำใจให้แก่ข้า”


“ใครว่าท่านร้ายต่อข้ากัน เรื่องพูดไม่ดีอาจจะใช่ แต่ทั้งรุจีและระพีก็บอกข้าว่าท่านเอ็นดูพวกเขา ตอนข้าไม่สบาย ท่านก็ยังจัดยาให้ ถึงจะแกล้งให้ข้ากินยานานกว่าปกติก็เถอะ”


“รู้ด้วยหรือว่าข้าแกล้ง”


“รู้สิ เป็นไข้หวัดแค่นั้น กินยาแรงขนาดนั้นตั้งสามวันไปเพื่ออะไรกัน”


“แล้วเจ้ากินหรือ”


“ก็ไม่กินไง วันที่สองก็เททิ้งแล้ว อ๊ะ!” เป็นอันว่าความจริงเปิดเผยวันนี้ ตรัสได้แต่ส่ายศีรษะ พลิกร่างคนรักลงนอนราบกับตั่งแล้วตามขึ้นคร่อมแนบชิด


“จากนี้จะไม่แกล้งให้กินยาขมนานๆแล้ว แต่ถ้าให้กินก็ต้องกิน ห้ามแอบเททิ้งเข้าใจไหม”


“เข้าใจแล้ว”


“จากนี้...จะไม่ร้ายต่อเจ้า จะไม่พูดไม่ดีกับเจ้า จะรัก...และดูแลเจ้า ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์  ไม่ว่าจะยากดีมีจน ก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า จนกว่าจะหมดลมหายใจ”


ดวงตาทอดสบ มากกว่าความหวานฉ่ำคือความลึกซึ้ง มากกว่าความรักใคร่และตัณหาคือความผูกพันแน่นแฟ้น


“อย่างกับ...คำสาบานวันแต่งงานเลย” รติพึมพำ


“ข้าต้องการกล่าวเช่นนั้น รติ...แต่งงานกับข้าอีกครั้งได้ไหม” คำถามของตรัส ทำเอารตินิ่งงัน ดวงตาตื่นตะลึงคิดไม่ถึง


“ต...แต่เราแต่งงานกันแล้ว...”


“ในงานแต่งงานครั้งแรกของเรา ข้าไม่ได้พูดในสิ่งที่ควรพูด เพราะข้าไม่รู้สึกใด แต่วันนี้...ข้าอยากขอเจ้าแต่งงานอีกครั้ง ให้เป็นการแต่งงานของเรา...ที่เต็มไปด้วยความยินดี”


ดวงตาของตรัสนั้นแน่วแน่จริงจัง


“รติ  อหัสกร...”


“...แต่งงานกับข้าอีกครั้งได้ไหม เป็นคู่ชีวิตของข้า...นับจากนี้...ตลอดไป...ได้ไหม”


กระบอกตาของรติร้อนผ่าว จะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการที่ได้รับความรักและยกย่องให้เป็นคู่ชีวิตของคนที่ตนเองรัก จะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการถูกขอให้อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต และจะมีอะไรน่ายินดีไปกว่า...การได้เป็นคู่ชีวิตของตรัส คนที่เขารักหมดหัวใจ



แม้ดวงตาของรติจะพร่ามัวเพราะหยาดน้ำคลอหน่วย แต่ก็ยังจับจ้องใบหน้าของชายตรงหน้าไม่คลาย ริมฝีปากวาดรอยยิ้มแห่งความสุข ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“ยินดี...”


“...ข้ายินดีจะเป็น...คู่ชีวิตของท่าน...ของตรัส  อหัสกร...จากนี้...ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ”


หัวใจของคนฟังเต็มตื้นไม่แพ้กัน หลังประโยคนั้นจึงเป็นการมอบรสสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนลงกับริมฝีปากของรติ



จุมพิตนี้...แด่ความรักและความศรัทธา


เป็นจุมพิตแห่งคำมั่นสัญญา


...ของคนที่เป็นคู่ชีวิตของกันและกัน...





จบ



---------



#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้เป็นโปรเจ็คพิเศษ เขียนเป็นตอนสั้นๆ (แต่รวมทั้งเรื่องแล้วยาวมากเลยค่ะ ฮ่าฮ่า) เนื้อหาอ่านง่าย และสบาย หวังว่าคนอ่านจะอ่านแล้วสบายใจ อย่างที่เราตั้งใจนะคะ

เรื่องนี้ตั้งใจใช้แบ็กกราวด์เป็นแฟนตาซี เพราะมีอีกหลายอย่างที่อยากเขียนต่อ แต่ไม่แน่ใจว่าเรื่องอื่นๆในจักรวาลเดียวกันจะมาลงได้เมื่อไหร่ เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา แต่ยังไงก็จะหาเวลามาลงตอนพิเศษของเรื่องนี้ให้ได้อ่านกัน ยังไงก็ฝากตรัสและรติต่อไปด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านมาจนถึงบทส่งท้ายเลยค่ะ

เจอกันใหม่กับตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 10-07-2020 17:31:20
พระเจ้าจอร์จ..มันยอดมาก..กกกกกกก   :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-07-2020 17:32:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 10-07-2020 18:11:50
ฮือๆๆๆจบแล้วเหรอจริงเหรอ??ดีใจกับทั้งสองเลยขอบคุณคุณนักเขียนมากๆนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 10-07-2020 22:11:08
หวานส่งท้าย ยินดีด้วยนะกับการแต่งงาน
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 10-07-2020 23:56:32
หวานล้ำมาก อิ่มเอมเปรมใจ  :กอด1: เส้นทางคู่ชีวิตของกันและกัน จากวันนั้นจนวันนี้กว่าจะมีความรักความเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ง่ายเลย ทั้งในด้านคู่ตัวเองและครอบครัว ประคับประคองสู้ด้วยกันมา  o13 สามีภรรยาที่ดีแห่งปี 2020 ยกให้คู่นี้เลย #ตรัสรติ #อหัสกร รอตอนพิเศษ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ และมาอัพในthaiboysให้ได้อ่านกัน รอตามผลงานหน้าเลยจ้า  :pig4: :pig4: 
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 11-07-2020 02:28:05
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 12-07-2020 00:49:06
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 12-07-2020 01:35:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 14-07-2020 23:40:45
อย่าว่าแต่รติที่กระบอกตาร้อน คนอ่านก็เป็นค่ะฮือ :mew2: ชอบตอนจบมากๆเลยค่ะ ซึ่งมาก สนุกมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ :pig4:  :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 16-07-2020 23:53:33
น่ารักมากครับ  มีความสุขที่ได้อ่านเรื่องนี้  ขอบคุณผู้แต่งมากๆครับ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 18-07-2020 14:20:33
เป็นนิยายที่สนุกมากค่ะ การจัดพล๊อตเรื่องแต่ละตอนน่าติดตามแค่ได้อ่านชื่อตอน หมอตรัสแอบหวาน โรแมนติก ขอให้มีความสุขมากๆนะรติหมอตรัส :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 19-07-2020 23:03:18
งืออออ เขิลลล  :-[

แอบมีลุ้นนะว่าตาของรติจะรักษาหายได้ แอบเสียดายนิดหน่อยที่มีปูเรื่องของอมนุษย์ไว้แต่ไม่มีบท แต่รวมๆแล้วเนื้อเรื่องน่ารัก ตัวละครไม่หลุดจากคาร์ที่อ่านตั้งแต่ตอนแรกเลย อยากอ่านตอนพิเศษจังเยยยย นะๆๆๆ  :impress2:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 22-07-2020 11:39:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 28-07-2020 01:34:54
 :pig4: ประทับใจไม่รู้ลืมม หวานนนนไปหมด น้ำตาลขึเนจอแล้วว
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 28-07-2020 13:04:36
เรื่องละมุนดี แม้จะมีบางตอนที่คิดว่าอืดไป...โดยรวยถือว่าโอเคเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: joko ที่ 28-07-2020 20:29:37
ต้องบอกว่าสนุกละก้อชอบมากๆเลยค่ะ คือเหมือนจะเรื่อยๆแต่มันชวนให้อ่าน ติดตามไปแต่ละตอนเรื่อยๆ จนจบ ขอบคุณมากเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 06-08-2020 10:20:37
จบแล้ววว
เนื้อเรื่องน่ารัก สนุกดีค่ะ
ชอบรติ น่ารักดี
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 09-08-2020 12:03:14
จบแช้ว
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วฟินมาก
ภาษาเขียนดี โครงเรื่องดี
ฟินจริงๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ืNtop ที่ 09-08-2020 13:49:01
สนุกมากๆเลยค่ะ​ ขอบคุณ​นะคะ​
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: mayachiwit ที่ 12-08-2020 13:01:17
ชอบจริงเรื่องนี้ คนเขียนเก่งมากเลยทำเราอ่านทุกตัวอักษรไม่มีข้ามอ่ะ กราบบบ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 12-08-2020 18:15:51
สนุกมาก ภาษาเขียนดีมาก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 15-08-2020 07:45:14
นิยายสนุกมากค่ะ อ่านไปเขินไป  อยากมีรติเป็นของตัวเองมากกกกก
ขอบคุณคุณนักเขียนมากๆ เลยที่เขียนนิยายสนุกๆแบบนี้มาให้อ่าน
ขอบคุณมากนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 15-08-2020 21:17:49
ฮือออออ ดีมากกกกกกกTT เป็นนิยายที่อบอุ่นมากๆๆๆๆๆเลยค่ะ พอเค้ารักกันแล้วทุกอย่างคือละมุนไปหมดดด
ตรัสก็คือมนุษย์คลั่งรักเมียแหละ แบบว่า อ่านแล้วก็ได้แต่โอ้โหๆๆๆๆผุ้ชายคนนี้!!!!!
แต่รติก็เป็นคนที่สมควรได้รับความรักขนาดนี้จริงๆ อ่านแล้วไหลลื่นดีมากๆๆๆ สรุกมากๆเลยครับบบ
ไว้ถ้าคุณคนเขียนได้เขียนตัวละครอื่นๆในโลกนี้อีกเราจะตามไปอ่านให้ครบเลยยยย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 16-08-2020 11:44:29
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 16-08-2020 22:16:13
นิยายอ่านแล้วสบายใจ มีความสุขมากค่ะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: darkangel ที่ 17-08-2020 07:24:27
ชอบๆ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: kimhamwong ที่ 22-08-2020 11:28:01
ภาษาดี คำผิดแทบจะไม่มี อ่านลื่นไหล
ขอบคุณที่มาลงในนี้ให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: kimhamwong ที่ 23-08-2020 23:46:22
 :-[หวานมากกกกก
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Pitachio ที่ 03-09-2020 20:09:35
 :o8:  :mew1:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 03-09-2020 21:10:26
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทพิเศษ ฟันน้ำนม

---------


   “พี่ตรัสขอรับ พี่รติขอรับ แย่แล้วขอรับ!” เด็กน้อยระพีวิ่งหน้าตั้งออกมาที่หน้าประตูทันทีที่ได้ยินเสียงพูดคุยและฝีเท้าดังเข้ามาในเรือน


   สองสามีภรรยาที่เพิ่งกลับมาถึงหันมองตามเสียง หน้าตาตื่นตระหนกของระพี ทำเอารติเป็นห่วง รีบย่อกายลงเพื่อสอบถาม


   “เกิดอะไรขึ้น ระพี”


   เด็กชายแบมือตัวเองออกมา เผยบางสิ่งสีขาวนวลขนาดเล็กจ้อยอยู่กลางอุ้งมือ


   “ฟันขอรับ! ฟันของระพีหลุดออกมาขอรับ...” ระพีพูดเสียงสั่น จะร้องไห้อยู่รอมร่อ


   “ฟันซี่ใด เจ็บมากหรือไม่”


   “ไม่เจ็บขอรับ ต...แต่...แต่ทำไมฟันถึงหลุดล่ะขอรับ ฟันไม่อยากอยู่กับระพีหรือ” เด็กน้อยคิดอย่างเด็กน้อย ฟันหลุดออกจากปากก็พาลคิดว่าฟันไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว จึงจากลา


   ส่วนผู้ใหญ่ก็คิดเช่นผู้ใหญ่ เมื่อเด็กบอกว่าไม่เจ็บก็เบาใจ แต่เพียงแค่ครึ่งเดียว เหลืออีกครึ่งหนึ่งคือต้องอธิบายว่าเหตุใดฟันจึงหลุดออกมา


   รติหันมองคู่ชีวิตผู้มีอาชีพรักษาคนเจ็บป่วย เรื่องร่างกายของมนุษย์ ตรัสย่อมเข้าใจดีและสามารถอธิบายได้ดี


   ไม่ต้องพูดคำใด สามีย่อมเข้าใจสายตาของภรรยา จึงเดินเข้ามาหาน้องชายต่างมารดา แล้วอุ้มระพีขึ้นมา


   “ระพี ฟันมิได้ไม่อยากอยู่กับเจ้า แต่เพราะเจ้ากำลังเติบโต ฟันนี้สำหรับเด็กน้อย จึงต้องหลุดออกมา”


   “ระพีไม่อยากเติบโต มันทำให้ระพีเสียฟันไป”


   “เสียไป แต่เจ้าก็จะมีฟันใหม่”


   เด็กน้อยส่ายหน้าจนผมกระจาย


   “แต่ฟันซี่นี้อยู่กับระพีมานานแล้วนะขอรับ วันนี้พอระพีโต เหตุใดจึงไม่อยู่ด้วยกันต่อ”


   “เพราะเขาไม่เหมาะกับเจ้าอีกแล้ว คนเราเมื่อเติบโต ย่อมต้องสละบางสิ่ง เพื่ออีกสิ่ง เป็นเรื่องธรรมชาติ”


   ระพีนิ่งคิด มองตรัสและรติแล้วก็พาลให้อยากร้องไห้มากกว่าเดิม


   “ถ้าวันหนึ่งระพีโต พี่ตรัสกับพี่รติก็จะไม่เหมาะกับระพีหรือขอรับ”


   ตรัสยิ้มจาง แล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน


   “พวกข้าก็จะแก่แล้ว ย่อมไม่เหมาะจะอุ้มเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็จะโตขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น ต่างจากวันนี้”


ระพีน้อยคล้ายจะร้องไห้ โผเข้ากอดคอตรัสเอาไว้แน่นราวกับกลัวสูญเสีย ตรัสโอบร่างป้อมเอาไว้ ลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลม


   “ระพี...เมื่อถึงเวลาเติบโต ก็ต้องเติบโต เมื่อถึงเวลาแก่เฒ่า ก็ต้องแก่เฒ่า เป็นเรื่องของธรรมชาติ หักห้ามไม่ได้ แต่จงมีความสุขกับทุกเวลาของเจ้า ใช้มันอย่างคุ้มค่า เหมือนฟันซี่น้อยของเจ้า เขาเป็นฟันที่ดีของเจ้าตลอดมาใช่ไหม”


   “ใช่...ขอรับ” เด็กน้อยรับคำเสียงอู้อี้ มือกำฟันซี่น้อยของตนแน่น


   “เขาใช้ช่วงเวลาของเขาอย่างคุ้มค่าแล้ว เมื่อวันนี้เขาต้องจากมา เพื่อให้มีฟันซี่ใหม่ขึ้น เจ้าจะเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จงชื่นชมเขาด้วยว่าเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างดีแล้ว”


   “ขอรับ...เขาเป็นฟันที่ดี เขาทำให้ระพีได้กินของอร่อย”


ตรัสยิ้มจาง ฟังเสียงน้องชายพูดอู้อี้อยู่กับไหล่ จึงดันตัวระพีออกมาเล็กน้อย มองสบเข้าไปดวงตาสีดำสนิทที่มีน้ำตาเอ่อคลอ


   เด็กน้อยผู้มีหัวใจอบอุ่นและอ่อนโยน แต่ก็พยายามเข้มแข็งอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้


   “ขอข้าดูหน่อยได้ไหม ว่าฟันแสนดีของเจ้าหลุดออกมาจากตรงไหน”


   “ขอรับ” ระพีอ้าปากให้ผู้เป็นพี่ตรวจดูก็เห็นช่องโหว่ที่ฟันล่างด้านหน้า รติเองก็สนใจอยากรู้ ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยเช่นกัน เห็นไม่มีเลือดออกมากนักก็พอจะเบาใจ


   “เลือดหยุดแล้ว ไม่น่าห่วงอะไร” ตรัสพอจะรู้ว่าภรรยาเป็นห่วง จึงหันมาบอก


   “จริงๆแล้ว ระพีเอาลิ้นไปดุนมันด้วยขอรับ...” เด็กน้อยสารภาพ “มันกึกๆ ระพี...ระพี...ไม่คิดว่าจะหลุดขอรับ...”


   “มีซี่ไหนอีกไหมที่เจ้ารู้สึกเช่นนั้น”


   “ไม่มีแล้วขอรับ”


   “ถ้ามีอีกให้รีบบอกพวกข้ารู้ไหม”


   ระพีตาโต หยาดน้ำที่เอ่อคลอ จะหยดแหล่ไม่หยดแหล่แล้ว


   “ม...หมายความว่าพวกเขาจะหลุดกันหมดหรือขอรับ”


   “มันเป็นธรรมชาติของเขา เจ้าเองก็มีฟันชุดใหม่ เป็นฟันที่เหมาะสมกับอายุของเจ้า”


คำปลอบของผู้ใหญ่ ฟังอย่างไรก็ไม่อาจปลอบใจได้อีกแล้ว


ฟันทั้งหมดในปากจะพากันหลุดร่วง ฟันแสนดีที่ทำให้ได้กินของอร่อยจะไม่อยู่ด้วยกันอีกต่อไป แค่คิด...ระพีก็อยากร้องไห้แล้ว


รติเห็นน้องชายคล้ายจะใจสลาย จึงเข้ามาจับมือน้อยเอาไว้


   “เอาล่ะ ในเมื่อเขาเป็นฟันที่แสนดีของเจ้า ถ้าอย่างนั้น เราก็เอาเขาไปพักใต้ดินดีไหม ใต้ดินทั้งอุ่นและนุ่ม เขาจะได้พักให้สบายตรงนั้น”


   ระพีหันมองคนพูด ก่อนจะถามเสียงสั่นเครือ


   “ได้หรือขอรับ”


   “ได้ซี ถือเป็นการขอบคุณ จริงไหม ตรัส” รติหันไปขอเสียงสนับสนุนจากชายหนุ่ม ระพีหันไปมองคนที่อุ้มตนอยู่ ตรัสพยักหน้า เมื่อมีถึงสองเสียง เด็กน้อยจึงยอมทำตามคำแนะนำ


   เย็นนั้น ก่อนที่สามอหัสกรจะเริ่มมื้อค่ำ ตรัส รติและระพีพากันไปที่ลานหลังเรือน


ระพีขุดหลุมเล็กๆหลุมหนึ่ง ก่อนจะห่อฟันน้อยๆของตนด้วยใบไม้สีเขียวสดใบใหญ่ แล้ววางลงก้นหลุม ตอนจะกลบหลุมด้วยดิน ยังไม่วายช้อนตาขึ้นมองรติที่นั่งยองอยู่ใกล้ๆ


   รติยิ้ม “ขอบคุณเขาเสียสิ ที่เป็นฟันแสนดีของเจ้ามาตลอด”


   ระพีสูดลมหายใจลึก ก้มลงมองห่อใบไม้ในหลุมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทว่าหนักแน่น


   “ขอบคุณที่เป็นฟันแสนดีของระพีตลอดมาขอรับ!”


เด็กน้อยสูดน้ำมูก แล้วเงยหน้ามองรติ คล้ายเป็นสัญญานว่าจะปล่อยให้ฟันแสนดีได้พักผ่อนแล้ว จากนั้นจึงกวาดเอาดินลงกลบหน้าหลุม 


   อาหารเย็นวันนี้ ระพีมิใช่ต้นเสียงร่าเริงและไม่กินเก่งเหมือนเคย อีกทั้งยังเศร้าซึม รติรู้ว่าเด็กชายต้องการคนปลอบโยน แต่ก็มิใช่จะต้องอุ้มชูกันตลอดไป ความรู้สึกสูญเสียนี้ บางครั้งก็ช่วยสร้างพัฒนาการทางอารมณ์ จึงต้องปล่อยให้เรียนรู้


หลังมื้ออาหาร ตรัสแยกไปดูแลท่านอมรา ส่วนรติสอนระพีอ่านเขียน และอ่านนิทานให้ฟัง ส่งเด็กชายเข้านอนแล้ว ก็ไปเตรียมผงสมุนไพรที่โรงครัว ตรัสเองก็ไปพบเขาที่นั่น


สองสามีภรรยาดูแลกิจการในเรือนและงานการจนเรียบร้อยดี จึงค่อยถึงเวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัว


   คืนนี้ ท้องฟ้ากระจ่าง ตรัสชวนภรรยาออกมานั่งรับลมเย็นที่เฉลียง ดื่มด่ำกับบรรยากาศเงียบสงบและลิ้มรสน้ำสมุนไพรสูตรใหม่ของรติไปด้วย


   “เห็นระพีแล้ว ข้าก็อดคิดไม่ได้ว่าตอนที่ฟันน้ำนมหลุดเป็นครั้งแรก ข้าทำเช่นไร” ตรัสเปรยขึ้นมา รติหัวเราะเบาๆ


   “นานขนาดนั้น จำไม่ได้ก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ”


   ตรัสพยักหน้าก่อนจะเอ่ย “ระพีเอง...วันหนึ่งก็คงลืม...”


   ฟังแล้วน่าเศร้า วันนี้อาลัยต่อสิ่งหนึ่ง แต่วันหน้าอาจลืมเลือนไม่เหลือสักเสี้ยวของความทรงจำ


   “วันหน้าจำไม่ได้ก็ให้เป็นเรื่องของวันหน้า แต่วันนี้ยังจำได้ ความรู้สึกยังสดใหม่ ก็ทำให้มันเป็นเรื่องที่ดี” เสียงของรติทำให้ตรัสหันมอง ภรรยาผู้มองโลกในแง่ดียิ้มสดใสพลอยให้หัวใจอบอุ่นไปด้วย   


   “เจ้าว่า...ถ้าระพีตอนเป็นหนุ่มจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยฝังฟันแสนดีของเขาไว้ใต้ดิน เขาจะหัวเราะไหม”


   รติหัวเราะ นึกไปถึงระพียามเติบโตเป็นชายฉกรรจ์ เป็นผู้นำสกุลอหัสกรรุ่นต่อไป แต่ถูกหยอกด้วยเรื่องราวในยามยังเล็ก ยามที่หัวใจดวงน้อยๆเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และความอ่อนโยน


   “หัวเราะซี แต่พอหัวเราะแล้ว เขาจะต้องยิ้มเอ็นดูตัวเขาในยามเป็นเด็ก ไม่ว่าในยามเป็นผู้ใหญ่ เขาจะยังอ่อนโยนเช่นนี้หรือไม่ แต่ถ้าเขาจำเรื่องในวันนี้ได้ อย่างน้อย...เขาก็จะรู้สึกว่าอยากอ่อนโยนให้ได้สักครึ่งหนึ่งของตนเองในยามนี้”


   ตรัสยิ้มจาง พยักหน้าเห็นพ้อง หากเรื่องราวในวันนี้ จะทำให้ระพีในวันหน้าอบอุ่นและอ่อนโยน เขาก็พร้อมสนับสนุน


   “ระพีต้องโตขึ้นมาเป็นคนที่อ่อนโยนแน่ เขาเหมือนเจ้า”


รติที่อ่อนโยนและเข้มแข็ง ไม่แปลกเลยถ้าระพีจะซึมซับนิสัยเช่นนี้จากคนที่เลี้ยงดูเขามา


ภรรยาผู้อ่อนโยนหันมองสามีพลางยิ้มซน “แต่ข้าไม่ร้องไห้ตอนที่ฟันน้ำนมหลุดหรอกนะ”


   ตรัสหัวเราะเบา เอ็นดูคนโอ้อวด


   “จำได้ด้วยหรือ”


   “จำได้ซี ตอนฟันหลุดน่ะไม่ร้องไห้ แต่ตอนฟันผุน่ะร้องไห้”


   คราวนี้ตรัสหัวเราะร่วน จับใบหน้าของภรรยาเอาไว้เพื่อสอดส่อง “ฟันผุหรอกหรือ ไหน...ให้ข้าดู”


   “ฮื้อ! หมายถึงตอนยังเด็กหรอก!”


   “ตอนนี้ไม่ผุแล้วหรือ”


   “ไม่ผุแล้ว”


   “รู้ได้อย่างไร ให้ข้าตรวจจะดีกว่า โอ๊ย!”


คำพูดของคนเป็นหมอไม่น่าไว้ใจอย่างไรก็ดูได้จากพอเขาออกปากว่าจะตรวจ อีกฝ่ายก็ทุบอั่กเข้าที่ไหล่


   “ไม่ต้องเลย ข้ารู้ว่าท่านคิดจะทำอะไร”


   “ข้าคิดจะตรวจให้เจ้า” หมอตรัสแห่งร้านยาอหัสกรย้ำความตั้งใจ แต่สายตาเป็นประกายระยิบชนิดที่รติรีบลุกขึ้นก้าวถอยหลังอย่างไม่วางใจ แต่อีกฝ่ายก็ว่องไวสมเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ลุกขึ้นสืบเท้าเข้าหาไม่ปล่อยให้ถอยไกลเช่นกัน


   “จะหนีไปไหน รติ” สามีถาม มุมปากเจือรอยยิ้ม


   “ข้าตรวจเองได้” ภรรยาตอบ เห็นทางหางตาว่าประตูอยู่ทางใดก็ถอยหลังไปทางนั้น


   “เจ้าตรวจเองจะเห็นได้อย่างไร” สามียังถาม สืบเท้าตามต่อเนื่อง ดวงตาจับจ้องคล้ายสิงโตล่าเหยื่อ แต่รอยยิ้มยังไม่จาง


   “เห็นแล้วกัน” ภรรยาโต้ นึกขัดใจว่าเรือนนอนใหญ่เหลือเกิน พ้นประตูโค้งไร้บานแล้ว ก็ยังเป็นห้องทำงาน ไม่ถึงประตูเรือนนอนเสียที


   “เจ้าไม่ใช่หมอ ไม่ควรตรวจเอง” ฝ่ายสามีแย้ง ก้าวเท้าตามไม่คลาด


“ท่านก็ไม่ใช่หมอฟัน”


“แต่ข้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอ มีใบประกอบ”


   รติหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ ก้าวเท้าถอยหลังอีกก้าวหนึ่ง เห็นทางหางตาแล้วว่าประตูอยู่ข้างหลังนี่เอง แต่อีกฝ่ายยังสืบเท้าตาม ระยะห่างระหว่างสามีภรรยาเพียงแค่เอื้อมมือถึง


   “ท่านจะตรวจอย่างไร”


   “เจ้าอ้าปาก ข้าตรวจ”


   “แล้วตรวจด้วยอะไร อ๊ะ!...”


   คำถามนี้ไม่มีคำตอบ เพราะตรัสกระโจนเข้าคว้าร่างภรรยาเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดประตูหนี


ไปไหนไม่รอด รติตกอยู่ในอ้อมแขนร้อนรุ่มของอีกฝ่าย


กายแนบกาย โอบรัดด้วยวงแขนไม่ให้ผละจาก ใบหน้าจึงห่างกันแค่คืบ ตรัสทอดสายตามองไล่เรื่อยตั้งแต่หน้าผาก ดวงตา ปลายจมูก ลงมายังริมฝีปาก


   ฝ่ามือข้างหนึ่งแตะที่ปลายคางของภรรยาเบาๆ เพื่อให้อ้าปากออกเล็กน้อย


   “ให้ข้าตรวจนะ รติ” เขากระซิบ


   “ท่านยังไม่บอก...ว่าจะตรวจด้วยอะไร” รติย้อนถาม เสียงเบาไม่ต่างกัน มือที่วางทาบอยู่บนแผ่นอกของสามีลูบไล้น้อยๆ ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ ก็จุดอารมณ์เพริศให้แก่ตรัสแล้ว


   ฝ่ายสามียิ้มจาง ตาสบตา ฝ่ามือร้อนลูบแผ่นหลังของภรรยา เน้นย้ำทีละจุดลงไปยังสะโพก ได้ยินเสียงเครือเบาๆจากคนในอ้อมแขน ก่อนที่สองมือของรติจะเลื่อนขึ้นโอบรอบคอเขา


สองร่างแนบชิดมีเพียงอาภรณ์ขวางกั้น ย่อมรับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ของกันและกัน


   กระนั้น...ตรัสก็ยังตอบเป็นคำพูด...ที่ชวนให้หัวใจคนฟังวาบหวามเป็นที่สุด


   “ตรวจ...ด้วยตัวข้า...”


   แล้วหลังจากนั้น ก็หาได้มีเพียงฟันของรติที่ถูกตรวจ แต่ตรัสตรวจทั้งหมดของภรรยา ด้วยตัวของเขา...ไปค่อนคืน...



จบ

---------

ธ ม น

THAMON926

--------

คนที่ฟันน้ำนมหลุดคือระพี แต่ทำไมตรัสตรวจรติละคะ ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
[/b]
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทที่ 75 บทส่งท้าย -- (อัพเดต 10/07/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 03-09-2020 23:11:12
โยงเก่ง อุแหมะ

มาภึงตรวจร้างกายภรรยาได้เก่งมากค่ะคุณหมอตรัส
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-09-2020 09:04:46
ทำไมตรัสดูเจ้าเล่ห์ขึ้นจังนะ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 05-09-2020 15:31:50
น้องระพีลู้กก55555555 เอ็นดูน้องงง
น้องระพีบอกงงคนที่ฟันหลุดคือผมแต่ไมพี่ตรัสไปตรวจพี่รติล่ะค้าบบ5555555
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 26-09-2020 10:54:49
หวานมากกกกกกกกกก แล้วคุณตรัสก็เจ้าเล่ห์มากด้วยยย  :mew3:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวยุ่ง ที่ 26-09-2020 17:32:26
อ่ะหวานกันตลอด ตอนนี้สำหรับน้องระพีไม่ใช่รือ ทำไมท่านตรัสกับรติมาแย่งซีนไปหมดเลยเจ้าคะ หวานไม่เหรงใจน้ำตาอาลัยฟันน้ำนมของน้องเลย 5555555

เอ็นดูเจ้าหนูระพีเป็นที่สุด  :mew3:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: PoyPay ที่ 28-09-2020 04:13:34
แอบอยากขอทราบวิธีตรวจแบบละเอียดด้วยค่ะ... คิคิ...
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 28-09-2020 07:51:37
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 01-10-2020 07:22:20
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ฟันน้ำนม -- (อัพเดต 03/09/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: reginasorn ที่ 20-10-2020 23:26:59
อบอุ่นมาก :o8:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 03-12-2020 21:50:04
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทพิเศษ

ดีสมกัน

---------


   สังคมมนุษย์มีเรื่องปกติอยู่เรื่องหนึ่ง คือบทสนทนามักเป็นเรื่องของผู้อื่น เรียกอย่างง่ายว่า นินทา


   เมืองตะวันออกเป็นเมืองของมนุษย์ เรื่องนินทาจึงเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน


   “ข้าได้ยินว่าลูกชายร้านมธุรตรัยเลิกกับเมีย!”


   “แต่ข้าได้ยินว่าเมียหนี”


   “เมียติดพนันไม่ใช่รึ? จะเลิกไปหรือหนีไปก็ดีทั้งนั้น ขืนยังอยู่ด้วยกัน มีหวังล่มจม จำตาแก่สุระได้ไหมเล่า นั่นก็เมียติดพนัน จากร่ำรวย กลายเป็นยากจน แก่ตายไร้ญาติแหน่ะ!”


   “ผัวเมียนี่นะ จับคู่ถูกจึงจะเจริญ จับคู่ผิดล่ะก็...เห็นมานักต่อนักแล้ว ถ้าอยู่ไม่ยืด ก็ทนอยู่กันไปให้ชีวิตกันและกันเป็นอัปมงคล!”


   “จริง! ดูอย่างผัวเมียอหัสกรนั่นซี จับคู่ถูก! แต่ก่อนนี้อหัสกรร่อแร่ พอแต่งกับรติเท่านั้น มีทั้งร้านยาทั้งร้านสมุนไพร”


   “ฮ้า! แต่คู่นี้ ยายแก่อมราก็จับคู่ให้ใช่ไหม ไม่ได้รักกันแต่แรก”


   “เฮ้ย! หากไม่รัก หมอตรัสจะยอมแต่งโดยดีหรือ?! แต่งแล้วยังพาเมียไปช่วยงานที่ร้านยาอีก ถ้าไม่รู้สึกอะไร จะพาออกหน้าออกตาทำไมกัน”


   “พูดไป! ถ้ารัก ทุกวันนี้จะเป็นเช่นนี้รึ?!”


   คนทั้งโต๊ะหันมองคนพูดที่ยิ้มกระหยิ่มปานผู้รู้


   “เอ้า! พวกเจ้านี่ตาบอด! ผัวเมียอหัสกรน่ะ วันๆทำแต่งาน มองหน้ากันเกินอึดใจหนึ่ง หรือก็ไม่ เดินด้วยกันที่ตลาดก็ไม่เห็นจะกระหนุงกระหนิง ข้าว่าไม่ได้รักกันหรอก! อยู่กันยืดเพราะต่างคนต่างทำมาหากินของตัวเองมากกว่า!”


   คนฟังพากันไตร่ตรอง ก่อนที่คนในโต๊ะผู้หนึ่งจะเอ่ยขึ้นมาคล้ายเอนเอียง


   “จะว่าไป ข้าก็ไม่เคยเห็นเมียสกุลไหนทำงานหนักเท่ารติ เมื่อวานนี้วิ่งไปมาระหว่างร้านยากับร้านสมุนไพร ไหนจะช่วยจัดยา ไหนจะขายผงสมุนไพร เห็นแล้วสงสาร หมอตรัสก็เหลือเกิน ตรวจคนไข้ไม่ออกมาช่วยเมีย หรืออาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า...อยู่กันยืดเพราะต่างคนต่างทำมาหากิน”


   คนในวงนินทาทุบโต๊ะดังปั่ก หน้าตาหงุดหงิดขึ้นมาทันที


“อย่างนี้น่ะไม่ใช่สามีเลี้ยงดูภรรยาแล้ว! ต่างคนต่างทำงานก็ไม่เห็นต้องแต่งกันก็ได้จริงไหม ปล่อยรติไปอยู่กับสกุลที่เลี้ยงดูได้จะดีกว่า!!”


   “พูดอย่างนี้จะยุให้เขาเลิกกันนี่! ข้ารู้นะว่าเจ้าอยากได้รติไปเป็นลูกเขยใจจะขาด”


   “ได้คนขยันขันแข็งอย่างรติเข้าสกุล ไม่ว่าจะเขยหรือสะใภ้ก็มงคลทั้งนั้น!”


   “พูดอย่างกับผัวเมียอหัสกรจะเลิกกัน ถึงจะอยู่กันโดยไม่รัก แต่ถ้าหมอตรัสยอมเลิกกับรติ ข้าจะไม่ไปรักษาที่ร้านยาอหัสกรอีกเลย! เพราะถือว่าเป็นหมอโง่!”


   คนทั้งโต๊ะทำหน้าเหมือนเห็นพ้อง แต่คนผู้หนึ่งมิได้เห็นพ้อง


ตรัส  อหัสกรนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง อีกฝั่งของฉากกั้น จึงได้ยินบทสนทนาทั้งหมด


แม้จะเข้าใจว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นชื่นชอบการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของผู้อื่น แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ใคร่พอใจ


นายทหารหนุ่มผู้ป็นสหายรักที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย หัวเราะเบาๆในคอพลางหยอก


   “หวังว่าเจ้าจะไม่เป็นหมอโง่นะตรัส”


   
---------


   ตรัสกลับมาที่ร้านยาหลังจากออกไปพบสหาย และนับตั้งแต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าหน้าติดสักคน


บ่าวผู้หนึ่งถูกตะเพิดออกมาเพราะเห็นใบหน้าถมึงทึงของเจ้าของห้องตรวจ แล้วเผลอทำเครื่องมือหล่น เดือดร้อนรติที่อยู่ร้านข้างๆ ถูกขอให้เข้าไปช่วยดูอารมณ์ของสามี


   แต่การที่จู่ๆจะเข้าไปโดยไม่มีกิจใดก็เห็นจะแปลก แต่บ่าวไพร่ถูกดุเช่นนี้ก็ปล่อยไว้ไม่ได้ รติให้คนต้มน้ำชาให้กาหนึ่ง แล้วยกเข้าไปเป็นใบเบิกทาง


   ‘ข้าให้คนต้มน้ำชามาให้ ข้างนอกอากาศเย็น ดื่มน้ำชาร้อนๆ จะได้อบอุ่น’


ภรรยาดูจะเป็นคนเดียวที่พอตรัสพบหน้า อารมณ์คุกรุ่นก็คลายตัวลง



แต่...เพียงแค่คลายตัวเท่านั้น


‘ขอบคุณ’ เขาตอบสั้น มิได้เอ่ยปากเกี่ยวกับต้นเหตุของความถมึงทึง รติเองก็ไม่อยากละลาบละล้วง วางถาดน้ำชาแล้วก็ออกจากห้องมากำชับบ่าวไพร่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องเข้าไป ปล่อยให้ตรัสอยู่เพียงลำพัง


โชคดีที่วันนี้ไม่มีคนไข้แวะมารักษาอีกแล้ว มีเพียงคนไข้ผู้หนึ่งมาขอซื้อยาเพิ่มเนื่องจากทำยาหาย บ่าวหัวไว แทนที่จะเข้าไปบอกตรัส กลับวิ่งไปหารติ รติก็จำต้องทิ้งร้านสมุนไพรมาดูแลร้านยาอหัสกรเสียก่อน จัดยาชุดเดิมให้คนไข้แล้ว ก็เป็นอันธุระลุล่วงไปหนึ่งเปราะ


ตกเย็น ตรัสก็ยังไม่ออกจากห้องตรวจ รติเป็นคนดูแลปิดร้านสมุนไพรและร้านยาอหัสกรจนเรียบร้อยแล้ว จึงเคาะประตูเข้าไปในห้องทำงานของสามี


เจ้าของห้องยังนั่งเฉยอยู่ที่เก้าอี้ตัวประจำ ท่าทีของเขาคล้ายไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดมุ่น ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของความเครียดขึง


“ตรัส...” รติส่งเสียงเรียกเบาๆ เมื่อนั้นตรัสจึงเหมือนรู้ตัว พอหันมาเห็นคนเรียก หัวคิ้วก็คลายลง


“มีคนไข้หรือ”


รติส่ายหน้า แม้กระทั่งเวลา ตรัสยังไม่รู้เลย บางที เขาอาจะตัดสินใจผิดที่ปล่อยอีกฝ่ายไว้เพียงลำพังโดยไม่เข้ามาสอบถาม


“เย็นแล้ว ถึงเวลากลับเรือนแล้ว”



ตรัสชะงัก ไม่คิดว่าตนเองจะนั่งขุ่นมัวจนลืมเวลา



หมอหนุ่มแห่งร้านยาอหัสกรสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ แล้วเอ่ย


“อ้อ...อย่างนั้นหรือ ข้าจะออกไปปิดร้าน”


“ข้าปิดให้แล้ว”


ตรัสนิ่งไป หัวใจบีบหน่วง เรื่องที่ได้ยินมาเมื่อกลางวันยังดังก้องอยู่ในหัว แม้เดิมทีไม่ใช่คนเก็บคำพูดว่าร้ายของผู้อื่นมาใส่ใจ แต่เพราะคราวนี้เป็นเรื่องของรติ...รติที่แสนดี รติที่น่าจะสุขสบายกว่านี้ หาก...ไม่ได้แต่งกับเขา


ตอนที่กำลังจะกลับเข้าสู่ภวังค์ที่แสนทุกข์ตรมนั้น ความอบอุ่นก็กอบกุมมือของตรัสอย่างอ่อนโยน


เขารู้สึกตัว เห็นรติยืนอยู่ตรงหน้า กุมมือเขาเอาไว้ นัยน์ตาที่มีเฉดสีประหลาดมีแววห่วงใย แต่ริมฝีปากขยับยิ้มหมายจะให้เขาสบายใจ


“กลับเรือนกันเถอะ กลับไปร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับท่านอมราและระพีกัน”



คำชวนที่แสนอบอุ่น มาพร้อมกับการกระชับมือของตรัส


เย็นนั้น มีภาพหนึ่งที่ไม่คุ้นตาผู้คนในเมืองตะวันออก


สองสามีภรรยาอหัสกรที่เดิมทีมักจะเดินเคียงกันโดยไม่มีส่วนใดเกาะเกี่ยว มาวันนี้ สามีภรรยากลับเดินจูงมือ…ไปจนถึงเรือนอหัสกร


----------
[/b]


ตรัสไม่ได้เคร่งเครียดเท่าตอนอยู่ที่ร้านยา กระนั้น เขาก็เคร่งขรึม แม้แต่ระพียังมองเขาอย่างหวาด


หลังมื้อเย็น รติแยกไปสอนหนังสือระพี ส่วนตรัสดูแลท่านอมรา สองสามีภรรยาไปพบกันอีกครั้งที่โรงครัวเพื่อเตรียมผงสมุนไพรไปขายในวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างแล้วเสร็จจึงค่อยกลับเรือนพักผ่อน


ตรัสให้ภรรยาไปอาบน้ำก่อนโดยบอกว่าตนต้องทำบัญชีรับจ่าย รติไม่ขัดใจ อาบน้ำแล้วก็ค่อยโผล่หน้าไปเรียกตรัสที่นั่งอยู่ในห้องทำงาน



ทว่า...แม้จะมีบัญชีรับจ่ายวางอยู่บนโต๊ะ แต่ตรัสกลับใจลอย


   “ตรัส...” ไม่ใช่การเรียกครั้งแรก แต่รติเรียกเป็นครั้งที่สาม จนเดินถึงตัวแล้ว ตรัสจึงเพิ่งรู้สึกตัว


   “ห้องอาบน้ำว่างแล้ว”


   “อ้อ...” ฝ่ายสามีเพียงรับคำแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า


รติมองตามอย่างห่วงใย แต่ก็มิได้ก้าวก่ายเวลาส่วนตัว เขาปล่อยให้ตรัสอาบน้ำ ส่วนตนเองเข้าโรงครัวต้มน้ำสมุนไพรที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เห็นขนมชิ้นเล็กในตู้ไม้ก็จัดใส่จานมาด้วย กลับมาก็พอดีกับที่ตรัสออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่


   “ข้าต้มน้ำสมุนไพรมาให้” ภรรยาแสนดีพูดพลางยิ้ม ก่อนจะวางถาดกาน้ำสมุนไพรลงบนโต๊ะใกล้ๆ


หัวใจของตรัสบีบรัดหนักกว่าเก่า รติทำงานทั้งวัน กลับมาถึงเรือน ดูแลระพีและเตรียมผงสมุนไพรไว้ขายวันพรุ่งนี้แล้ว ก็ยังดูแลเขาอีก สามีที่ปล่อยให้ภรรยาทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ อย่ากล่าวเพียงว่าเป็นสามีที่ไม่เลี้ยงดูภรรยาเลย ควรเรียกว่าสามีไม่เอาไหน


   “ตรัส...ท่าน...บอกข้าได้ไหมว่าเป็นอะไร” รติเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งก็ยิ่งเป็นห่วง รีบก้าวเท้าเข้าไปหา


   “...เมื่อตอนบ่าย ท่านออกไปพบท่านอิษวัต มีเรื่องไม่สู้ดีหรือ”


อิษวัตแวะมาที่เมืองนี้ครั้งคราว บางครั้งรติก็ติดตามตรัสไปพบปะด้วย แต่คราวนี้มาอย่างกะทันหัน ตรัสจึงออกไปหาเพียงลำพัง ส่วนรติดูแลร้านสมุนไพรและร้านยา แต่ก็ฝากขนมและผลไม้จำนวนหนึ่งไปกับตรัส


น้ำใจนี้ หาได้มีเพียงครั้งเดียว แต่รติเผื่อแผ่อยู่เสมอ และมิได้ตกเพียงอิษวัตเท่านั้น เพราะเขานำไปแจกจ่ายลูกน้องในสังกัด พร้อมบอกว่าได้รับจากสามีภรรยาอหัสกร เคยมีครั้งหนึ่ง ลูกน้องของอิษวัตถึงกับขอติดตามมาพบหน้าสองสามีภรรยาคู่นี้ให้จงได้ เพราะหวังว่าสักวันจะตอบแทนน้ำใจได้โดยตรง แน่นอนว่ารติปฏิเสธ น้ำใจที่มอบให้เป็นเพียงมิตรไมตรี หวังเพียงอยากให้คนรู้จักที่มาจากต่างถิ่นได้ชิมของดีของอร่อยของเมืองตะวันออกก็เท่านั้น



ความอ่อนโยนที่แสนซื่อตรงนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้พบเห็นประทับใจ แต่เหนืออื่นใดคือคนข้างกายเช่นตรัสก็ยิ่งหลงรักภรรยาแสนดีของเขามากขึ้นทุกวัน


แต่...ยิ่งรติแสนดีมากเพียงใด...ตรัสก็กลับรู้สึกว่าเขาช่างไม่คู่ควร...


   “ไม่ใช่เรื่องของวัตหรอก...” คำตอบของตรัสชวนให้ฉงน ยังไม่ทันถามเพิ่ม ตรัสก็ถามขึ้นมา


   “เจ้า...เหนื่อยไหม”


   “หือ? ข้าน่ะหรือ?”


   “ไหนจะงานที่ร้าน ไหนจะงานในเรือน เหนื่อยไหม” คนถาม มีสีหน้าทั้งกังวลทั้งเศร้าใจ รติไม่ใช่คนพูดเรื่องทุกข์ยากให้ผู้อื่นฟัง แต่ตรัสเป็นสามีผู้อยู่ใกล้ชิดภรรยา มีหรือจะไม่รู้ว่ารติทำงานหนักเพียงใด การปกปิดความจริง ยิ่งจะทำให้ตรัสเป็นทุกข์


   “เหนื่อยสิ” ปากว่าเหนื่อย แต่กลับยังยิ้ม ดวงตามิได้มีแววทุกข์ยาก


   “แต่ทำงานที่ร้านก็สนุก งานในเรือนก็ทำให้มีความสุข ถึงจะเหนื่อย แต่ข้าก็อยากทำ”


   “แต่เจ้าไม่ควรทำงานหนักถึงเพียงนี้”


   “แล้วใครสมควร?” รติย้อนถาม ทำหน้าทะเล้น “สามีภรรยา ไม่ใช่ว่าใครเป็นชายหรือเป็นหญิง ไม่ใช่ว่าใครต้องรับผิดชอบใคร ไม่ใช่ว่าใครต้องดูแลใคร แต่เราควรจะต้องรับผิดชอบกัน ดูแลกัน แบ่งเบาภาระกันไม่ใช่หรือ”


   “แต่เจ้า...ควรจะสุขสบายกว่านี้...” ถ้าเทียบกับการที่รติตัวคนเดียว ไม่ต้องมีภาระใด ไม่ต้องมีอหัสกรห้อยท้ายเช่นนี้ รติคงจะสุขสบาย หากจะค้าขายสมุนไพรก็ทำเพียงค้าขาย ไม่ต้องดูแลผู้อื่นอีก


   รติยิ้ม


   “เท่านี้ก็สุขสบายแล้ว”


   “แต่...”


   “การที่ได้อยู่กับท่าน คือความสุขสบายของข้า”


   “ข้า...ทำให้เจ้ามีความสุขถึงเพียงนั้นหรือ”


   “มากกว่าที่คิดด้วยซ้ำ”


   “ข้า...เป็นสามีที่ดีพอแล้วหรือ”


   “ยิ่งกว่าดีพออีก”


   สีหน้าของตรัสยังเศร้า รติจึงขยับเข้าหา โอบสองแขนรอบเอวของอีกฝ่าย ขยับกายเข้าแนบชิด คนขี้หนาว ร่างกายมิได้ร้อนผ่าว กระนั้นก็ยังอยากสร้างความอบอุ่นให้กับคู่ชีวิต


   รติเอ๋ยรติ...รติผู้แสนดี รติผู้พยายาม


   กายอุ่นเบียดชิด พาให้หัวใจของตรัสคลายตัวคล้ายความกังวลค่อยๆสละออกไปทีละส่วน ทว่า...นี่ไม่ใช่ความพยายามเพียงอย่างเดียวของรติ


   ฝ่ามือลูบไล้แผ่นอกหนา รติเม้มปาก แม้จะไม่ใช่คนใจกล้า แต่เวลานี้มีเพียงพวกเขาสองสามีภรรยา หากจะใจกล้าขึ้นสักหน่อย เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ในใจของตรัส มันก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือ


   “พิสูจน์ไหม ว่าท่านดีพอแล้ว...”



เสียงของรติดังขึ้นเบาๆ นัยน์ตาสีประหลาดที่มีประกายทั้งเขิน ทั้งรักใคร่เหลือบขึ้นสบ ก่อนจะยืดกายขึ้นเล็กน้อย เพื่อมอบสัมผัสอุ่นให้แก่ริมฝีปากของตรัส


น้อยครั้งที่ภรรยาผู้ขี้อายจะเริ่มก่อน แต่คราวนี้ภรรยากลับใจกล้า...เพื่อสามี


   ริมฝีปากของภรรยาผละออกห่างอย่างเชื่องช้า รติก้าวถอยหลัง เข้าไปยังห้องพักผ่อนด้านใน แต่ดวงตายังไม่ละจากสายตาของตรัส ราวกับเชิญชวนและชักจูงให้เขาก้าวเท้าตามเข้าไป


รตินั่งลงบนเตียง ยกขาข้างหนึ่งอ้ากว้างเผยเนื้อหนังที่ไร้อาภรณ์ สายตายังทอดมองสามี ทั้งเขินทั้งอาย อยากหุบสองขาเข้าหากันเต็มที แต่...ทำได้เพียงสูดลมหายใจลึก ในเมื่อใจกล้าแล้ว ก็ต้องใจกล้าต่อไป



เขาเกี่ยวสาบเสื้อข้างหนึ่งให้เผยยอดอก แตะปลายนิ้วเกลี่ยไล้ไปมาจนมันชูชัน อารมณ์หวามไหวเริ่มไหลซ่านไปตามเนื้อตัวจนส่งเสียงเครือออกมาอย่างไม่ตั้งใจ กระนั้น...รติก็ยังไม่หยุด ยอดอกชูชันล่อสายตาแล้ว ก็ไล้ปลายนิ้วลงสู่หน้าท้อง ลงไปยังหว่างขาเปล่าเปลือย



เพียงเท่านั้น...ตรัสก็ก้าวเข้าหาทันที!



--------


   รติเป็นคนขี้อาย การจะอ้อล้อใกล้ชิดกับตรัสต่อหน้าผู้คนไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย ในขณะที่ตรัสเองก็ไม่ใช่คนแสดงออกโจ่งแจ้ง แม้จะรักใคร่อีกฝ่ายปานใด แต่เมื่อเห็นภรรยาขี้อาย ก็ไม่สร้างความลำบากใจ ผลคือสามีภรรยาไม่เคยใกล้ชิดกันต่อหน้าผู้อื่น


   ทว่าเมื่อปิดประตูอยู่ในเรือนเพียงสองคนแล้ว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


   แต่รติเป็นคนขี้อาย ต่อให้อยู่กับตรัสเพียงสองคน ก็ใช่จะเชี่ยวชาญเก่งกาจ ทว่า...แม้จะไม่มีลูกเล่นแพรวพราวนัก รติก็ยังพยายาม


   อ้าขาเปิดเผยเชิญชวน


   บดบี้ยอดอกตนเองล่อสายตา


   ยามอีกฝ่ายบดริมฝีปากลงขยี้ก็หยัดใบหน้าขึ้นตอบรับ


   ปลายลิ้นเกี่ยวกวัด ไม่หลบเลี่ยง


   ยามริมฝีปากนั้นผละจากก็เรียกหาเพียงชื่อของคู่ชีวิต


   ครั้นถูกชำแรกเข้าสู่ภายในที่ร้อนผ่าวก็ตอดรัดถี่ยิบ


   ยามแก่นกายถอนออกห่าง ก็ไขว่คว้าร่ำร้องให้แนบชิด


   แม้นตรัสรุนแรงหนักหน่วง รติก็ไม่หนี หยัดกายขึ้นรับทุกสัมผัสและความรู้สึกของคู่ชีวิต คราวหนึ่งเขากระแทกกระทั้นดันทุรัง รติก็ยอมให้เขาทำตามใจ พอเขารู้ตัว ปลอบประโลมด้วยสัมผัสละมุนละไม ต่อให้จะสร้างความวาบหวามจนหายใจติดขัด รติก็ยินดี


ค่ำคืนนี้รติโอบกอดร่างของตรัสเอาไว้ ใช้ร่างกาย หัวใจ และความรู้สึกทั้งหมดที่มี ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าตรัสคือคนที่มอบความสุขที่พอดี ตรัสคือคนที่เป็นทั้งสามีและคู่ชีวิตที่ดี หาได้มีใครอีกแล้วที่จะพอดีกับรติได้เท่าตรัส  อหัสกร


---------


   ค่อนคืนของความสัมพันธ์ที่แสนร้อนแรง เสียงหอบจางลงแล้ว แต่สองร่างเปลือยเปล่ายังอิงแอบกันบนเตียง



ตรัสโอบอีกฝ่ายให้ขึ้นมานอนบนอกเขา รติไม่ค้านสักคำ อกเปลือยแนบกัน ตรัสวนเวียนจูบข้างขมับบ้าง แก้มบ้าง ในขณะที่รตินอนเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังเสียเพลิน ดูแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่อยากหลับ ตรัสเองก็ไม่ง่วงสักนิด ตอนหนึ่งของเรื่องเล่าของภรรยา เป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา


   “ท่านรู้ไหม คนอื่นชมท่านให้ข้าฟังอย่างไร”


   ตรัสส่ายหน้า


   “บอกว่าท่านให้เกียรติข้า สนับสนุนให้ข้าทำงาน เปิดร้านสมุนไพรใช้เงินทองไปตั้งเท่าไรก็ยอม แล้วยังบอกว่าท่านซื่อสัตย์ ข้าเป็นชาย มีลูกให้ไม่ได้ แต่ท่านก็ไม่เคยข้องแวะกับหญิงใด นอกจากนั้นท่านยังขยันทำมาหากิน ข้าวของหรูหราฟุ้งเฟ้อไม่อยู่ในความสนใจ ไม่ติดสุรา ไม่ยุ่งเกี่ยวการพนัน อีกทั้งยังมีคุณธรรม รุจีมิใช่น้องสาวของท่าน ไม่ใช่คนของอหัสกรก็ยังส่งเสียนางเรียนหนังสือ พวกบ่าวไพร่ไม่ว่าจะคนใหม่คนเก่าท่านก็จุนเจือพวกเขาตามสมควร เป็นหมอที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นผู้นำสกุลที่ดี” รติพูดแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใดคือสายตาที่ทอดมองคู่ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ


“ท่าน...เป็นความภาคภูมิใจของข้านะ ตรัส”


   คำกล่าวใดของผู้อื่นล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว


   การได้ยินได้ฟังว่าตนเป็นความภาคภูมิใจของภรรยา มิต่างจากประโยคบอกรัก


   “ข้าโชคดี ที่ได้สามีเช่นท่าน”


   ในเวลาที่สองร่างเปลือยเปล่าแนบชิด การพูดจาเช่นนี้ ยิ่งทำให้ตรัสไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายนอนสบายได้อีกแล้ว


   เขาพลิกกายภรรยาลงนอนราบใต้ร่าง กักสองแขนโอบล้อมรติเอาไว้


   “ให้ข้าพิสูจน์ความโชคดีของเจ้าอีกครั้งไหม”


   รติหัวเราะสดใส


   “หลงตัวเองก็เป็นด้วยหรือ ตรัส  อหัสกร”


   ตรัสยิ้มจาง นึกเขิน แต่ก็สารภาพตามตรง


   “ข้าเคยคิดมาตลอดว่าตนเองอาภัพ จนกระทั่งได้เจ้าเป็นภรรยา”


   “แต่ตอนแต่งงานกับข้าก็น่าจะเรียกว่าอาภัพไม่ใช่หรือ”


   “แต่ตอนนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่”


   สายตาของตรัสมิใช่เพียงทอดแววหวานด้วยความรัก แต่ยังเทิดทูนภรรยาในอ้อมแขนอย่างที่สุด


   “เจ้าเองก็เป็นความภาคภูมิใจของข้าเช่นกัน รติ  อหัสกร”


   หัวใจคนฟังเต็มตื้น รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ดวงตาหยีจนเป็นเส้นโค้ง ตรัสก้มลงมอบจุมพิตดูดดื่ม รติก็ตอบรับอย่างยินดี


   สามีภรรยาที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่กัน ไม่เรียกว่าโชคดีที่ได้ครองคู่ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว


   
---------


   ร้านสมุนไพรรติยังคงมีลูกค้าอยู่เนืองๆ วันนี้ลูกค้าขาประจำของร้านแวะมาเพราะพาสามีมาหาหมอ นางจึงเดินผ่านประตูเชื่อมมาเลือกซื้อผงสมุนไพรด้วย รติเห็นเข้าก็ตรงรี่มาอำนวยความสะดวกเพราะคุ้นเคยกันดี


   “ข้าอยากได้ผงสมุนไพรสำหรับบำรุงร่างกายสักหน่อย สามีข้าน่ะซี ทำงานไม่หลับไม่นอน เมื่อเช้านี้เป็นลมหน้าคะมำ ตกบันไดจนแข้งขาหัก!” ลูกค้าหญิงร่างอวบบ่นน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ดูก็รู้ว่าเพราะเป็นห่วง นางหันมาทางรติแล้วก็ถาม


   “หมอตรัสดื่มอะไรเป็นพิเศษไหม”


   “ตรัสทำงานหนัก แต่เข้านอนเป็นเวลา เรื่องการพักผ่อนของเขาไม่น่าห่วงนัก จึงเพียงแค่ชงสมุนไพรบำรุงกำลังเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องอาหาร ก็ต้องให้ครบถ้วน อีกอย่างคือการออกกำลังกายต้องทำให้เป็นนิสัย”


   “เฮ้อ! เรื่องออกกำลังกายนั่นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เวลาจะนอนยังไม่มี! คนบ้างาน ก็ทำหามรุ่งหามค่ำ เข้านอนไม่เป็นเวล่ำเวลา!”


   “แล้วหลับสนิทไหมขอรับ”


ลูกค้าทำหน้านึก ก่อนจะส่ายศีรษะ “คงเพราะเหนื่อย บางคืนเลยเหมือนจะหลับๆตื่นๆด้วย”


   “ถ้าเช่นนั้น ดื่มสมุนไพรที่ช่วยเรื่องการนอนหลับดีไหมขอรับ หากนอนไม่เป็นเวลา อีกทั้งยังนอนน้อย ก็ควรหลับให้สนิท”


   ลูกค้าฟังแล้วก็เห็นด้วย จึงสั่งผงสมุนไพรที่รติแนะนำ ตอนจ่ายเงิน รติไม่ลืมมอบของกำนัลเป็นผงสมุนไพรที่เพิ่งคิดขึ้นใหม่ให้นำไปลองดื่มด้วย


   “นี่เป็นผงสมุนไพรช่วยให้เจริญอาหารขอรับ เผื่อท่านจะชงให้สามีของท่านดื่ม”


   ลูกค้าคนนั้นหัวเราะเบา มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู


   “เจ้านี่ช่างคิดช่างค้น”


   “ข้าอยากให้ลูกค้ามีตัวเลือกหลากหลายนี่ขอรับ”


   “ตรัสต้องภูมิใจที่มีเจ้าเป็นภรรยา ทั้งฉลาด ทั้งขยัน”


รติมองลูกค้าคนนั้นแล้วก็ยิ้มอ่อนโยน กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง


   “ข้าเองก็ภูมิใจที่มีตรัสเป็นสามีขอรับ”


   ราวกับคนถูกพูดถึงจะรู้ตัว เพราะเดินออกจากห้องตรวจพร้อมกับคนไข้ซึ่งเป็นสามีของลูกค้าผู้นั้น


ตรัสช่วยพยุงคนไข้พาออกมานั่งรอที่โถง ประตูเชื่อมระหว่างร้านยาอหัสกรและร้านสมุนไพรรตินั้นกว้างขวางพอจะทำให้เห็นหมอหนุ่มโค้งกายลงพูดคุยกับคนไข้อย่างสุภาพ


   ภรรยาของคนไข้ผู้นั้นมองภาพเบื้องหน้าแล้วก็หันมามองรติอีกครั้ง ก่อนจะยิ้ม


   “พวกเจ้าสมกับเป็นความภาคภูมิใจของกันและกันแล้ว”


รติหันกลับมามองนาง


   “...เป็นสามีภรรยาที่ดีสมกัน” นางสำทับ ก่อนจะรับผงสมุนไพรที่ซื้อมาจากรติ แล้วเดินเข้าไปหาสามีซึ่งเป็นคนไข้ของตรัส พูดคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ตรัสก็ให้บ่าวในร้านช่วยเรียกรถม้าเพื่อพาคนไข้และภรรยากลับเรือน


แต่ก่อนที่สามีภรรยาคู่นั้นจะออกจากร้านไป ไม่ทราบว่าพูดกับตรัสเรื่องใด ตรัสยิ้มแล้วค้อมศีรษะรับทีหนึ่ง เมื่อเขาเลื่อนสายตามาเห็นรติมองอยู่ ชายหนุ่มก็เพียงยิ้มจางแล้วเดินกลับเข้าห้องตรวจไป


รติเห็นว่าในร้านมีบ่าวดูแลลูกค้าแล้ว จึงเข้าไปในห้องทำงานของตนที่มีประตูเชื่อมถึงห้องตรวจของตรัส เพื่อสอบถามว่าเมื่อครู่นี้ภรรยาของคนไข้ของตรัสกล่าวสิ่งใด


แต่ไม่ทราบว่าได้คำตอบหรือไม่ เพราะทั้งห้องตรวจของหมอตรัสและห้องทำงานของรติต่างปิดประตูเงียบ


   ไม่มีคนไข้มาให้ตรัสตรวจรักษา และรติก็มิได้ออกมาดูแลลูกค้า


   พักใหญ่ๆ มีคนไข้แวะมาที่ร้านยาอหัสกร บ่าวของร้านยาไปเคาะประตูห้องตรวจ ก็คล้ายได้ยินเสียงปิดประตูจากด้านใน ก่อนที่ตรัสจะส่งเสียงอนุญาตให้พาคนไข้เข้ามา


ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ลูกค้าในร้านสมุนไพรก็ถึงได้เห็นรติออกมาเตร็ดเตร่หน้าร้าน


   ชีวิตอันแสนเรียบง่ายของสามีภรรยาอหัสกรนั้น ดูแล้วไม่น่าสนใจอย่างยิ่ง กระนั้น หากพวกชาวเมืองไม่มีเรื่องใดให้พูดถึงแล้วไซร้ ก็มักจะวนไปที่เรื่องของสามีภรรยาอหัสกร


   “ข้าได้ยินรติพูดเองเต็มสองหู ว่าภูมิใจที่มีหมอตรัสเป็นสามี!”


   “จะว่าไปก็สมควรภูมิใจหรอก อหัสกรก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ มีร้านยาใจกลางเมือง มีตำรายาเป็นของตนเอง หมอตรัสเองก็นับว่าเป็นคนฉลาด สอบได้ใบประกอบตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งที่ไม่ได้เรียนโรงเรียนแพทย์ พอแต่งงานกันแล้ว ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าหมอตรัสจะข้องแวะหญิงชายคนใดอีก พูดก็พูดเถอะ เรื่องเมียสอง เมียสาม ใช่ว่าจะมีไม่ได้ จะว่ารติเป็นชายหน้าตาสะสวยไม่มีชายใดเทียบก็ไม่ใช่ แล้วยังมีลูกให้ไม่ได้ เป็นคนอื่นคงมีเมียน้อยนานแล้ว!”


   “นั่นซีๆ ข้าว่าหมอตรัสรักรติมากเชียวล่ะ!”


“เอ?...ผัวเมียอหัสกรก็ไม่ยักหาทางมีลูก ข้าได้ยินว่ามีคนเคยไปขอลูกจากเทพแล้วได้ไม่ใช่รึ เป็นผู้ชายทั้งคู่อย่างหมอตรัสและรตินี่ล่ะ!”


“คงไม่อยากมีกระมัง...”


   “แต่น้องชายของรติที่หน้าเหมือนหมอตรัสนั่นก็ใช้สกุลอหัสกรแล้วไม่ใช่หรือ”
   

“หน้าเหมือนแต่ก็เป็นคนอื่น!”


   “แต่ข้าว่าไม่ใช่คนอื่นหรอก หน้าเหมือนหมอตรัสอย่างกับโขลก! คงเป็นลูกลับของหมอตรัสแน่!”


   “เฮ้ย! พูดไป เด็กคนนี้ รติพามาไม่ใช่หรือ?!”


   “พวกอหัสกรน่ะความลับแยะ! มีที่ไหน เด็กถูกพามาจากที่อื่น กลับหน้าคล้ายหมอตรัสอย่างกับแกะ!”


   “จะอย่างไรก็เถอะ ข้ากล้าพนันว่าหมอตรัสไม่มีลูกกับหญิงอื่นแน่!”


   “ถ้าอย่างนั้นรติก็โชคดีแล้ว ได้สามีตั้งใจทำมาหากิน เหล้ายาไม่ยุ่ง เมียน้อยไม่มี การพนันไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่นิยม คู่ชีวิตเช่นนี้...ได้มาก็เหมือนถูกรางวัล”


   “ได้รติเป็นคู่ชีวิตก็ถูกรางวัลเหมือนกันแหละหน่า!”


   “เจ้านี่ช่างอวยรติจริง แต่...รติเองก็ดีสมกับที่เจ้าอวยนั่นล่ะ ผัวเมียอหัสกรน่ะ...ดีสมกันแล้วจริงๆ!”


   คำนินทาของพวกชาวเมืองนี้ ดีร้ายปะปน บ้างเข้าหูตรัส บ้างเข้าหูรติ แต่ไม่ว่าผู้ใดจะพูดถึงสามีภรรยาอหัสกรเช่นไร พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตคู่  เรียบง่ายและมีความสุข


เป็นคู่ชีวิตที่ ‘ดีสมกัน’ ที่สุดคู่หนึ่งในเมืองตะวันออกนั่นเอง


จบ


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

พวกชาวเมืองตะวันออกนี่ขี้นินทามากๆ ฮ่าฮ่า คุยเรื่องคนอื่นเป็นวรรคเป็นเวรเลย

แต่ก็เพราะเรื่องนินทาไปถึงหูตรัสเนอะ รติก็เลย...

(อยากอุ้มรติหนีตรัสแล้วค่ะ ไม่อยากยกให้ตรัสแล้วจริงๆ ฮ่าฮ่า)

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอเลยค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านงานของนักเขียน (นามปากกา) ใหม่คนนี้นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 03-12-2020 22:54:11
ชาวเมืองนี้มีนิสัยคล้ายๆชาวเมืองแถวบ้านเราเลยนะค้า..รติลู้กกกที่แม่สอนไม่ใช่แบบนี้
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: PoyPay ที่ 04-12-2020 04:14:23
อ่านจบแล้วอมยิ้มเบาๆกับวิธีเพิ่มความมั่นใจให้คุณสามี... คุคุ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 05-12-2020 09:47:10
ดีงามสมกันแท้จริง
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 05-12-2020 22:31:42
เป็นคู่ที่น่ารัก...กกกกกก   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 06-12-2020 10:15:45
ฮือออ เค้าดีสมกันจริงงงงๆ เรายังภูมิใจในตัวทั้งคู่เลยค่ะ แงงงง /ซับหัวตา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Jely ที่ 06-12-2020 21:22:45
 :mew1: สนุกมากเลย ชอบทั้งตรัสและรติ อบอุ่นมากๆ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 06-12-2020 22:58:04
เป็นคู่ที่เหมาะสมกันทุกประการค่ะ   :L2:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 13-12-2020 13:42:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-12-2020 13:33:48
ลุงป้าข้างบ้าน ถึงกับทำท่านตรัสเป๋ไปแปปนึง 555555 จะมีคู่ไหนสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว  :impress2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: noveeo ที่ 16-12-2020 11:46:17
 ขอบคุณไรท์...สำหรับเรื่องราวน่ารักๆ ของครอบครัวนี้ค่ะ

อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-01-2021 18:55:29
ขอบคุณพี่บัวสำหรับนิยายน่ารักๆนะคะ
ตามอ่านรวดเดียวจบเลย
เป็นคู่และครอบครัวที่น่ารักกันมากๆ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ดีสมกัน -- (อัพเดต 03/12/2020) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 21-01-2021 12:09:42
น่ารัก อบอุ่นละมุนใจมากๆๆๆๆๆ เสียดายไม่ได้อ่านแบบเรียลทาม มาตามอ่านรวดเดียวที่หลัง
น้องรติ น่ารัก น้องเสียสละมาก สมแล้วที่ท่านตรัสจะทั้งรักทั้งหลง ภรรยาแสนดีเช่นนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก
ท่านตรัสถึงตอนแรกจะปากร้าย ด่า7คำไม่ซ้ำ :hao7: แต่พอเทใจรักแล้ว กลายเป็นสามีที่แสนจะอบอุ่น ใส่ใจดูแลภรรยา ซ้ำมากเล่ห์ เพทุบาย เอ่ะอ่ะ จับภรรยาตรวจๆ ไม่ทุกวัน แต่วันเว้น โอ้ยย พ่อคุณ!
หึงหวงเมียได้เป็นเรื่องเป็นราวมากกก 55555

ตอนท่านย่าพยายามสอน มารยามัดใจสามีให้รติ โอ้ยย ขำไม่ไหว555555555
น้องน้อยระพี ก็น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ทุกคนเติมความกลมกล่อมให้กับทุกเรื่องราวได้ลงตัวมากๆเลยค่ะ
เป็นอีกจักรวาลของคุณบัว ที่จะสร้างความสุขให้เราจริงๆค่ะ  ตอนที่รู้ว่าเป็นอีกนามปากกาของคุณบัว เซอร์ไพร้มากกก ทั้งดีใจทั้งแปลกใจเลยค่ะ ขอบคุณคุณบัวนะคะ คอยติมตามเรื่องต่อๆไปค่าา  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 21-01-2021 22:07:28
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทพิเศษ

ไม่พิเศษ

---------

เมืองตะวันออกในช่วงฤดูหนาว หิมะปกคลุมไปทั่ว


รติย้ายมาอยู่ที่นี่ครบปีแล้ว แต่ก็ยังตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นเมืองกลายเป็นสีขาวโพลน


แต่เมืองจะถูกปกคลุมด้วยหิมะได้ อากาศก็ต้องหนาวจัด ครั้นหนาวจัด ผู้คนก็มักจะเจ็บป่วยออดๆแอดๆ ทว่าสุขภาพของรติไม่เหมือนผู้อื่น ต้องระวังเรื่องป่วยไข้ มิเช่นนั้นจะตาบอดด้วย


อาการนี้รักษาไม่หาย ทำได้เพียงดูแลสุขภาพ แต่อากาศเช่นนี้ ผู้คนน้อยนักที่จะรอดพ้นจากไข้หวัด แม้ไม่ใช่การเจ็บหนัก แต่รติก็เคยหนาวจนไข้ขึ้น ตาบอดมาแล้วเมื่อครั้งแต่งงานใหม่ๆ


ตรัสหมายมั่นว่าฤดูหนาวปีนี้ จะซ้ำรอยไม่ได้


“หืม? หมู่นี้มีน้ำแกงทุกมื้อเลยหรือ พุดกรอง” ท่านอมราเห็นอาหารมื้อเช้าวันนี้ แล้วก็หันไปถามแม่ครัวประจำเรือน


พุดกรองชำเลืองไปทางตรัส ไม่กล้าพูดต่อหน้า แต่หากไม่อ้างคำสั่งของผู้นำสกุล นางก็ไม่รู้จะให้เหตุผลอย่างไร


“เอ่อ...ท่านตรัสสั่งไว้เจ้าค่ะ” นางพูดเสียงเบา กระนั้นโต๊ะอาหารก็ไม่ได้ใหญ่โต ตรัสเองก็ย่อมได้ยิน แต่เขามิได้แสดงอาการ


หญิงชราหันมองหลานชาย แต่อย่างที่กล่าวว่าตรัสยังเฉย เมื่อเห็นนางมอง เขาก็เพียงตอบเรียบๆ


“น้ำแกงทำให้ร่างกายอบอุ่นขอรับ”


ถูกต้อง! น้ำแกงทำให้ร่างกายอบอุ่น


แต่...ตรัสเคยสนใจใยดีเรื่องอาหารที่ไหนเล่า?!


อ้อ...ดูเหมือนจะเคย อย่างเรื่องมีปลาขึ้นโต๊ะทุกวัน วันละตัวนี่อย่างไร


ต้องให้รติเป็นคนออกปากว่าอยากกินอย่างอื่นบ้าง ตรัสจึงยอมผ่อนผัน แต่เรื่องนี้ท่านอมราแน่ใจว่าความเบื่อเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะบางช่วง ปลาขาดตลาด มีราคาแพง ส่วนคนเช่นรติ หาเงินนั้นเก่ง แต่ใช้เงินไม่เก่ง ถึงจะชอบเพียงใด แต่ก็เพลาความอยากเพราะเสียดายเงินทอง


กระนั้น...ปลาเป็นเนื้อสัตว์ชั้นดี ขึ้นชื่อเรื่องมีประโยชน์ต่อร่างกาย ตรัสจึงกำชับพุดกรองว่าต้องมีปลาให้รติรับประทานทุกๆเจ็ดวัน


ไม่เพียงแค่เรื่องอาหารเท่านั้นที่ตรัสใส่ใจ 


ทุกวัน สองสามีภรรยาจะต้องเดินไปเปิดร้านยาอหัสกรและร้านสมุนไพรรติ แต่ถนนหนทางในช่วงฤดูหนาว มีทั้งหิมะและน้ำแข็ง สัญจรว่ายากแล้ว เดินก็ไม่ง่าย แม้รติจะระวังมากขึ้น และเริ่มคุ้นเคย แต่บางคราวก็ลื่น ดีว่าคว้าคนข้างกายเอาไว้ทัน


ตรัสเป็นหลักยึดที่ดี เพราะคอยสอดส่องภรรยาอยู่ตลอด เมื่อรติลื่น หากคว้าเขาไม่ทัน ก็เป็นฝ่ายเขาที่คว้าไว้แทน


แต่จะให้ลื่นบ่อยๆก็ไม่รู้ว่าวันใดจะล้มเข้าจริงๆ สุดท้าย ตรัสจึงสั่งให้คนงานที่ร้านยาอหัสกรหารองเท้าที่บุด้วยแผ่นกันลื่นมาให้รติ


แน่นอน ในช่วงฤดูหนาว รองเท้าชนิดนี้ย่อมขายดี ราคาจึงแพง มีแต่พวกเศรษฐีที่จะหาซื้อได้


อหัสกรมิได้ยากจน แต่พวกชาวเมืองตะวันออกล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘มัธยัสถ์อย่างยิ่ง’ ถึงขั้นที่ร้านเครื่องประดับยังเคยกล่าวว่า อหัสกรคือสกุลเศรษฐีที่แทบไม่เคยเป็นลูกค้าของร้านเลย


ทว่า...ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ทุกคนล้วนมีทางออกของเงินทอง


อหัสกร มิใช่ลูกค้าร้านเครื่องประดับ แต่กลับเป็นลูกค้าประจำชั้นดีของร้านรองเท้า


ช่วงฝนตก อหัสกรต้องการรองเท้ากันน้ำและบุแผ่นกันลื่น



พวกชาวเมืองขี้นินทาลงความเห็นว่า เพราะหลังฝนตก พื้นดินเฉอะแฉะ รติ  อหัสกร มักจะนำผงสมุนไพรไปแจกจ่ายบ้าง ไปส่งขายถึงเรือนของลูกค้าบ้าง อหัสกรจึงต้องสั่งทำรองเท้าชนิดพิเศษ


ช่วงอากาศร้อน อหัสกรต้องการรองเท้าสาน สวมใส่สบาย และระบายอากาศได้ดี



พวกชาวเมืองขี้นินทาส่วนใหญ่คาดกันว่า เพราะอากาศอบอ้าว ส่วนรติ  อหัสกรไม่เคยอยู่เฉย หากสวมรองเท้ารัดกุมมากไปก็จะอับและอึดอัด หากไม่สวมรองเท้าเลย ก็อาจบาดเจ็บ อหัสกรจึงต้องสั่งทำรองเท้าชนิดพิเศษ


ช่วงหิมะตก อหัสกรต้องการรองเท้ากันลม ให้ความอบอุ่นและบุแผ่นกันลื่น



พวกชาวเมืองขี้นินทาเห็นตรงกันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะล้วนรู้กันว่า รติ  อหัสกรมิใช่คนท้องถิ่น ไม่สู้ทนอากาศหนาว อหัสกรจึงต้องสั่งทำรองเท้าชนิดพิเศษ



รองเท้าพิเศษเหล่านี้ ล้วนเป็นการสั่งซื้อจาก ตรัส  อหัสกร ทั้งสิ้น


อย่างไรก็ตาม นอกจากร้านรองเท้าแล้ว ฤดูหนาวปีนี้ ตรัส  อหัสกรยังเป็นลูกค้าของพ่อค้าอีกคนหนึ่งด้วย


พ่อค้าผู้นี้รู้จักกับพ่อค้าร้านรองเท้า จึงให้พ่อค้าร้านรองเท้าพาตนมานำเสนอสินค้าที่ร้านยาอหัสกร อาศัยว่าตรัสรู้จักกับพ่อค้าร้านรองเท้าอย่างดี อีกทั้งสินค้าน่าสนใจ จึงให้เข้ามาพบในห้องตรวจทั้งที่ไม่มีอาการเจ็บป่วย


“ข้าได้ยินว่าภรรยาของท่านเป็นคนเมืองใต้ คงจะไม่สันทัดอากาศของที่นี่ พอดีข้าได้ของดีมาชิ้นหนึ่ง จึงนำมาให้ท่านชมขอรับ” พ่อค้าหน้าใหม่เกริ่นแล้วก็ค่อยคลี่ห่อผ้าที่ถือติดมือมาด้วยออก


“นี่คือผ้าอย่างพิเศษ เนื้อเบา แต่นุ่มและอบอุ่น กันลมแต่ไม่อับและกันน้ำได้เล็กน้อย เหมาะกับอากาศในช่วงฤดูหนาวที่มีทั้งลม มีทั้งหิมะ ท่านลองจับดูได้”


ตรัสรับผ้ามาพิจารณา เนื้อผ้าสีแดงก่ำ โดดเด่น อีกทั้งยังสมคำโฆษณา คือเบา นุ่ม และอบอุ่น


“เป็นผ้าของพวกอมนุษย์หรือ” คำถามแรกของเขา ย่อมเป็นเรื่องที่ตรัสกังวลที่สุด


สิ่งใดจะตกถึงมือรติผู้มีร่างกายผิดแปลกไปจากมนุษย์ เขาต้องคำนึงถ้วนถี่ หากเป็นข้าวของของพวกอมนุษย์ ปีศาจ หรือเทพ ก็เกรงว่าจะส่งผลต่อดวงตาที่รติหยิบยืมมาใช้


แต่พ่อค้าย่อมไม่ทราบข้อจำกัดนี้ เขาคิดเพียงว่าตรัสคงจะเป็นพวกแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ไม่รวมกลุ่มหรือใช้ข้าวของของพวกต่างเผ่า


“หามิได้ขอรับ ข้าได้ผ้าผืนนี้มาจากเมืองเหนือ รับประกันว่าทอมือโดยมนุษย์ ไม่มีการลงเวทย์หรืออาคมแน่นอน วัสดุที่ใช้ทอแม้ไม่ใช่ของวิเศษ แต่กรรมวิธีของพวกเมืองเหนือก็ทำให้ผ้าผืนนี้ให้ความอบอุ่นได้อย่างดีนะขอรับ”


ด้วยความมากประสบการณ์ พ่อค้าเห็นสีหน้าของตรัสดูจะพออกพอใจกับสินค้ามากขึ้น จึงรีบเสนอ


“หากท่านสนใจ ข้ายินดีตัดเป็นเสื้อตัวใน หรือเสื้อคลุมตัวนอก ตามที่ท่านต้องการให้ด้วย หากเป็นเสื้อตัวใน ก็น่าจะได้กางเกงอีกตัว หรือหากเป็นเสื้อคลุม ก็จะยาวคลุมทั้งตัวขอรับ”


ยื่นข้อเสนอแล้ว ไม่วายตบท้ายด้วยคำโฆษณา


“ผ้าอย่างนี้ไม่ได้ทอได้ง่ายๆนะขอรับ ในเมืองตะวันออก ไม่มีใครเหมือนแน่นอน เหมาะอย่างยิ่งจะซื้อเป็นของขวัญให้ภรรยาของท่าน คิดดูซี! ภรรยาของท่านจะมีของขวัญแสนวิเศษที่ไม่มีภรรยาของผู้ใดมี!”


ตรัสเพียงฟัง มิได้ให้ความสำคัญกับข้าวของจำพวกมีเพียงชิ้นเดียวในเมือง สิ่งสำคัญคือประโยชน์ใช้สอย แม้รติจะมีเครื่องนุ่งห่มที่เหมาะกับฤดูหนาวอยู่แล้ว แต่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่พกติดตัวมาจากเมืองใต้


เมืองใต้มิได้หนาวเหน็บเท่าที่นี่ อาภรณ์เหล่านั้นจึงต้องสวมหลายชั้นจึงจะให้ความอบอุ่น อ้อ...รติยังมีผ้าพันคอที่เขาให้อีกผืนหนึ่งด้วย


...ทั้งหมด...ล้วนเป็นของเก่าทั้งสิ้น...


“ข้าจะให้คนไปตามรติมาดูว่าชอบไหม” ตรัสหันไปกล่าวกับพ่อค้าคนนั้น แม้จะประเมินด้วยสายตาแล้วว่าผ้าผืนนี้เหมาะกับคู่ชีวิตของตนทั้งสี ทั้งสรรพคุณ


แต่สำคัญที่สุดคือรติต้องพึงใจ หากรติพึงใจแล้วไซร้ ไม่ต้องถามราคา ตรัสก็พร้อมจ่าย


หมอหนุ่มกำลังจะหันไปสั่งคนงานของร้านยาที่อยู่ในห้องตรวจ แต่พวกพ่อค้ากลับพากันรั้งเอาไว้เสียก่อน


“ท่านจะเรียกภรรยามาถามหรือขอรับ”


“ใช่ ทำไมหรือ” ตรัสย้อนถาม


“ง่า...ถ้าจะให้เป็นของขวัญก็ควรเป็นเรื่องลับนะขอรับ” พ่อค้าร้านรองเท้าทักท้วง


“นั่นซี! ของขวัญที่เป็นของพิเศษก็ต้องเก็บเป็นความลับ จะได้ประหลาดใจยังไรล่ะ” พ่อค้าผ้าก็เห็นด้วย 


แต่ตรัส...กะพริบตาปริบๆ


...เป็นของขวัญ...


...เป็นเรื่องลับ...


…เป็นของพิเศษ...


ชายหนุ่มผู้ทื่อมะลื่อเพิ่งตระหนักว่าชีวิตคู่ของพวกเขานั้นช่างเรียบง่าย ไม่มีความลับต่อกันก็เป็นเรื่องดี แต่...ไม่มีของขวัญ ไม่มีเรื่องประหลาดใจด้วยนี่สิ...


…อันที่จริง จะกล่าวว่าไม่เคยมีของขวัญให้กันก็ไม่ใช่ ตรัสเคยให้ของขวัญรติ รติเองก็เคยให้ของขวัญตรัส แต่นั่นเพราะเป็นวันเกิด คนในเรือนอหัสกรทั้งหมดล้วนตระเตรียมของขวัญให้กันและกันในวันเกิด...


...แต่ฤดูหนาวไม่ใช่วันเกิดของรติ...


“เอ่อ...ช่วงนี้ไม่ใช่วันเกิดของรติ” ตรัสเปรยขึ้นมา สำหรับเขาแล้ว ของขวัญต้องให้ในวันเกิด ไม่ใช่ให้ในวันอื่นๆ


พ่อค้าสองคนมองหน้ากันตาปริบๆ คำถามของหมอหนุ่มที่ใครต่อใครก็ว่าเก่งกาจนั้นแสนซื่อเหลือเกิน!


“เอ้อ...ของขวัญไม่ต้องให้ในวันเกิดก็ได้นะขอรับ” พ่อค้าผ้ากล่าว


“แล้วจะเรียกว่าของขวัญหรือ” ตรัสย้อนถามประสาซื่อ ทำเอาพวกพ่อค้ามองหน้ากันอีก


“อ่า...ของขวัญ...ของขวัญสำหรับวันครบรอบล่ะขอรับ วันแต่งงานยังนี้...”


“วันแต่งงานผ่านมาแล้ว” ตรัสตอบซื่ออีกครั้ง


“คือ...คือยังนี้ขอรับ อันที่จริง สามีภรรยา ไม่ต้องเป็นวันสำคัญก็ให้ของขวัญกันได้นะขอรับ” พ่อค้าผ้าอยากขายผ้าก็อยาก แต่ที่พูดนี้ก็เพื่อสอนสั่งตามประสาคนอายุมากกว่าและมีครอบครัวแล้ว


“อย่างภรรยาของข้า นางทำงานทั้งวี่ทั้งวัน เห็นนางเหน็ดเหนื่อยก็อยากมอบของขวัญให้เป็นกำลังใจ ไม่ต้องเป็นวันเกิดหรือวันพิเศษ แค่เพียงได้เห็นนางประหลาดใจ ดีใจ นั่นก็ถือว่าเป็นเป้าหมายของการให้ของขวัญแล้วขอรับ"


“อ้อ...” ตรัสรับคำเบา ใคร่ครวญกับความรู้ใหม่


พ่อค้าร้านรองเท้าเห็นว่าตรัสตกอยู่ในภวังค์ ก็ไม่อยากให้เคลือบแคลงว่าตนพาเพื่อนมานำเสนอสินค้าอย่างเร่งรัด ลูกค้าเช่นตรัส  อหัสกรนั้น แม้นคนอื่นกล่าวหาว่า ‘มัธยัสถ์อย่างยิ่ง’ แต่กลับเป็นลูกค้าที่สมควรรักษาไว้อย่างยิ่งยวด เพราะหากเขาตัดสินใจซื้อสิ่งใดแล้ว ขอเพียงเป็นของดี ราคาเท่าไรก็พร้อมจ่ายโดยไม่ต่อรอง


 พ่อค้าร้านรองเท้าจึงหันไปแนะเพื่อน


“เอาอย่างนี้ดีไหม เจ้าให้ท่านหมอเก็บผ้าไว้พิจารณาก่อน ผ้าผืนนี้แม้จะพิเศษแต่ก็ราคาแพง แล้วพรุ่งนี้ ค่อยมาเอาคำตอบ”


 “เอาอย่างนั้นก็ได้” พ่อค้าผ้าก็ใจป้ำ ก่อนจะหันไปทางตรัส แล้วค้อมกาย “เชิญท่านหมอพิจารณาเสียก่อน แล้วไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่” จากนั้นก็ทิ้งสินค้าของตนเอาไว้ ก่อนที่สองพ่อค้าจะออกจากห้องตรวจไป


ตอนที่ประตูปิดลง ตรัสจึงเพิ่งรู้ตัว เขาก้มลงมองผ้าในมือ แล้วหันไปทางคนงานของร้านยาที่เข้ามาจัดห้องให้เรียบร้อย


“เจ้าเคยให้ของขวัญภรรยาโดยไม่มีเหตุอื่นใดไหม”


คนงานผู้นั้นหันมามองเจ้าของคำถาม ยิ้มเขินพลางพยักหน้า


“เคยสิขอรับ ตอนนางทำตาวิบวับทั้งดีใจทั้งประหลาดใจน่ะ น่ารักอย่าบอกใครเชียว!”


ตรัสฟังแล้วก็นิ่งคิด


...‘น่ารักอย่าบอกใครเชียว’ อย่างนั้นหรือ…


“ท่านหมอลองดูสิขอรับ ข้าว่าท่านรติต้องดีใจและประหลาดใจแน่ๆ! ท่านรติเป็นคนยิ้มเก่ง ถ้าได้รับของขวัญจากท่านล่ะก็ จะต้องยิ้มมากกว่านี้ น่ารักมากกว่านี้อีกสิบเท่า!!”


ตรัสมองคนงาน สายตาเย็นเยียบขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยเรียบ


“อย่างนั้นหรือ”


“เอ่อ...ข...ขอรับ...” คนงานเริ่มรู้สึกหนาววูบ จนตะกุกตะกัก


“รติน่ารักอยู่แล้ว”


“จ...จริง...จริงขอรับ”


“ต่อให้น่ารักมากกว่านี้ รติก็เป็นภรรยาของข้า” ประโยคนี้แสดงความหวงภรรยาอย่างชัดเจน


“ช...ใช่เลยขอรับ! ท่านรติเหมาะกับท่านหมอที่สุด...อ่า...” คนงานหัวไว รีบสำทับทั้งๆที่หนาวไปทั้งสันหลัง


“อืม”


แม้แต่เสียงรับคำของตรัสก็ยังเย็นจัด คนงานกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ รีบร้อนขอตัวพัลวัน


“...ง่า...ข้า...ข้าขอออกไปดูข้างนอกก่อนนะขอรับ!” ว่าแล้วก็เผ่นแน่บออกไป เพราะขืนยังเอ้อระเหยพูดถึงภรรยาของหมอตรัส คาดว่าอาจไม่มีคอให้กลืนน้ำลายอีกแล้ว!   


---------
หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: THAMON926 ที่ 21-01-2021 22:08:11
วันรุ่งขึ้น พ่อค้าก็ได้รับคำตอบที่น่ายินดีจากตรัส  อหัสกร


หมอหนุ่มผู้มัธยัสถ์ตกลงซื้อผ้าผืนนั้น และให้ตัดเป็นเสื้อคลุม โดยมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งเป็นต้นแบบ


“เสื้อคลุมตัวนี้เป็นของภรรยาของข้า ข้าต้องการให้ท่านวัดความยาว ความกว้างตามนี้ แล้วให้เพิ่มหมวก ส่วนกระเป๋าให้ทำทั้งด้านข้างและด้านใน”


ตรัสแจงรายละเอียดเสร็จสรรพ ฝ่ายพ่อค้าแจ้งราคา ตรัสไม่ต่อรองสักคำ พร้อมจ่ายเงินมัดจำ พ่อค้าผู้นั้นทำสัญญาว่าจะเร่งงานโดยไว พรุ่งนี้จะนำส่วนที่เสร็จมาให้ชม ก่อนจะจากไปอย่างชื่นมื่น


แน่นอน...เรื่องนี้ ตรัสตัดสินใจเก็บเป็นความลับ หมายให้เป็นของขวัญ รติจึงไม่ทราบ


อย่างไรก็ตาม ร้านยาอหัสกรและร้านสมุนไพรรติอยู่ติดกัน มีประตูเชื่อมระหว่างโถงทั้งสองร้าน รติย่อมเห็นว่าคนไข้ของร้านยาอหัสกรคือใครบ้าง


อันที่จริง คงไม่ผิดสังเกต หากไม่ใช่เพราะรติหันไปเห็นคนผู้หนึ่งออกจากห้องตรวจของตรัสแล้วก็เดินออกจากร้านยาไปโดยไม่ได้แวะรับยาจ่ายค่ารักษาพยาบาลแต่อย่างใด


เห็นครั้งที่หนึ่งก็ว่าน่าสงสัย วันต่อมาก็ยังเห็นคนผู้นั้นมาที่ร้านยาอหัสกรอีก พร้อมด้วยห่อผ้าในมือ


รติเฝ้าสังเกต คนผู้นั้นเข้าไปในห้องตรวจพักหนึ่ง ก่อนจะออกมาพร้อมห่อผ้าแล้วก็ออกจากร้านไป ไม่ได้แวะรับยาหรือจ่ายค่ารักษาพยาบาล


เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ จึงเดินไปถามคนงานที่ดูแลเรื่องจ่ายยาและคิดเงินของร้านยา


“คนผู้นั้น...เป็นอะไรหรือ”


คำถามหมายความว่าเป็นโรคอะไรถึงมาร้านยาอหัสกร แต่คนงานใสซื่อตอบตามตรง


“เป็นพ่อค้าขายผ้าขอรับ เมื่อวานนี้พ่อค้าร้านรองเท้าพามา” คนงานผู้นี้รับหน้าที่จ่ายยาและคิดเงิน มิได้อยู่ในห้องตรวจเมื่อวานด้วย จึงไม่ทราบว่าตรัสได้รับคำแนะนำให้ซื้อผ้าเป็นของขวัญสำหรับรติและต้องเก็บเป็นความลับ


“พ่อค้าขายผ้า?”


รติทวนคำ แต่คนงานหน้าตาซื่อ ดูแล้วไม่น่าจะรู้มากกว่านั้น จึงไม่ถามอะไรอีก เก็บความสงสัยแล้วกลับไปยังร้านสมุนไพร


วันต่อมา พ่อค้าขายผ้าผู้นั้นก็ยังกลับมาอีก คราวนี้หิ้วห่อผ้าเข้าห้องตรวจแล้วกลับออกมามือเปล่า


...พ่อค้าผ้าทิ้งห่อผ้าปริศนาไว้ในห้องตรวจของตรัส…


รติสงสัยเป็นที่สุด ได้แต่ครุ่นคิดว่าระหว่างเขาและตรัสไม่มีเรื่องใดเป็นความลับต่อกัน แต่คราวนี้ตรัสกลับไม่บอก ครั้นเขาจะเป็นฝ่ายถาม ก็ไม่ทราบจะถามอย่างไร


‘ข้าเห็นคนผู้หนึ่งมาให้ท่านตรวจสามวันติดแล้ว เขาไม่สบายหรือ’


คำถามนี้ดูซอกแซกเกินไป


‘ข้าเห็นคนผู้หนึ่งมาให้ท่านตรวจวันนี้ จำได้ว่าเป็นพ่อค้าขายผ้า เขาไม่สบายเป็นอะไรหรือ’


คำถามนี้ก็ดูเจาะจงเหลือเกิน


‘ข้าเห็นคนผู้หนึ่ง...’


...เฮ้อ...ขึ้นต้นว่าเห็นคนผู้หนึ่ง ฟังอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ฟังอย่างไรก็ดูซอกแซกและเจาะจง...


แล้วรติเป็นคนเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไรเล่า


“รติ...” เสียงเรียกดังขึ้น ทำเอาเจ้าของชื่อตื่นจากภวังค์ ถึงได้รู้ตัวว่าในร้านสมุนไพรไม่มีลูกค้า และประตูหน้าปิดลงแล้ว เหลือเพียงคนงานในร้านที่กำลังนับสินค้า มองไปทางร้านยาอหัสกรก็เห็นว่าปิดแล้วเช่นกัน


พอหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก็พบว่าตรัสกำลังมองเขาอย่างห่วงใย


“รู้สึกไม่สบายหรือ”


รติส่ายหน้ารัว แล้วตอบ “เปล่า”



แต่ถึงอย่างนั้น คนเป็นหมอก็ยังไม่วางใจ กวาดสายตามองสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นว่าดูไม่เหมือนทุกทีจึงออกปาก


“ข้างนอกหนาว ไปรอในห้องตรวจเถอะ ข้าจะดูแลตรงนี้เอง”


รติมีเรื่องคาใจ ไม่อยากแย้งอะไรเวลานี้ ยอมหมุนตัวเดินไปยังร้านยาอหัสกรแล้วเข้าไปรอในห้องตรวจอย่างเงียบๆ


ตรัสมองตามภรรยาอย่างไม่สบายใจ รีบช่วยเหลืองานของบ่าวไพร่ให้เสร็จโดยไว เมื่อทั้งหมดกลับกันแล้ว เขาก็ปิดประตูหลังร้าน แล้วค่อยตามเข้าไปในห้องตรวจ


ตอนที่ตรัสเข้าไป รตินั่งเงียบๆบนเตียงตรวจคนไข้ ดูแล้วตกอยู่ในภวังค์ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดประตูด้วยซ้ำ


เห็นอย่างนั้นแล้ว ยิ่งห่วงหนัก หมอหนุ่มก้าวเท้าจนไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว รติก็ยังไม่รู้ตัว กระทั่งเขาแตะหลังมือลงกับหน้าผาก เจ้าตัวถึงได้สะดุ้ง


“เป็นอะไร ทำไมใจลอย”


“เปล่า...” รติตอบตามความเคยชิน แม้ภายหลังจะเริ่มบอกกล่าวให้อีกฝ่ายรับรู้มากขึ้น แต่ให้อย่างไร ก็ยังติดปาก


ตรัสรู้จักภรรยาดี คำว่าเปล่าของรติไม่อาจทำให้เขาวางใจ สายตาที่ทอดมองจึงเต็มไปด้วยความห่วงใย


พอเห็นสายตาเช่นนั้นแล้ว รติก็ยิ่งรู้สึกผิด ที่คิดสงสัยจนทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วง


“ข้า...คือ...อ่า...”


ตรัสมองภรรยาอย่างเงียบๆ และใจเย็น


“คือ...อ่า...” รติต้องสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยอมเอ่ยออกมา


“...ข้า...เห็นพ่อค้าคนหนึ่ง...”


พูดเท่านี้ ตรัสก็รู้แล้วว่าภรรยาเป็นอะไร เขาถอนหายใจเบา นึกขันตัวเองที่คิดจะสร้างความประหลาดใจ แต่สุดท้ายกลายเป็นความวิตกแทน


เขาหมุนตัวเดินไปเปิดตู้ลิ้นชักใกล้ๆ แล้วหยิบห่อผ้าออกมา รติจำได้ว่านั่นคือห่อผ้าที่พ่อค้าผ้าคนนั้นถือเข้ามาในห้องนี้ ก่อนจะออกไปโดยไม่ได้ถือกลับไปด้วย


“ข้าให้พ่อค้าคนนั้นทำเสื้อคลุมให้ตัวหนึ่ง” ตรัสกล่าว แล้วดึงรติลงจากเตียง ก่อนจะเปิดห่อผ้าออก ภายในบรรจุผ้าผืนหนึ่งเป็นสีแดงก่ำไร้ลวดลาย เขาหยิบออกมาคลี่แล้วคลุมไหล่ให้รติ


“ผ้าชนิดนี้เป็นผ้าอย่างพิเศษ ให้ความอบอุ่น กันลม แต่ไม่อับและไม่หนัก” ตรัสเล่าตามที่พ่อค้าผ้าบรรยายสรรพคุณให้ฟัง เขาไม่ใช่คนหัวอ่อน ลองจับดูแล้ว ลองคลุมดูแล้ว ลองส่งไปให้คนรู้จักในเมืองช่วยตรวจสอบให้แล้ว ก็ยืนยันว่าผ้าชนิดนี้เป็นเช่นนั้นจริง แม้ราคาจะแพง แต่ถ้าเพื่อรติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตระหนี่


ชายหนุ่มทอดสายตามองคู่ชีวิตที่คลุมด้วย ‘ของขวัญพิเศษของเขา’



ความยาวของเสื้อคลุมกำลังพอดี หมวกข้างหลังเมื่อหยิบมาคลุมศีรษะแล้วก็ปกปิดมิดชิด กระเป๋าบนเสื้อคลุมทั้งด้านข้างและด้านในก็ใช้ประโยชน์ได้เหมาะเหม็ง อีกทั้ง สียังขับผิวของรติอย่างยิ่ง


เขายิ้มอย่างพึงใจและภูมิใจ ชวนให้รติเขิน เบี่ยงสายตาก้มลงมองเสื้อคลุมบนกายตนเอง เนื้อผ้านุ่มสบาย อีกทั้งยังเบา แต่ก็ให้ความอบอุ่นมาก


“ท่าน...ซื้อให้ข้าหรือ”


ตรัสยิ้มแทนคำตอบ แล้วถาม “ชอบไหม”


“อื้อ”


“ดีแล้ว”


รติเหลือบสายตาขึ้นมอง แล้วก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมา


“ข้า...ขอโทษที่ไม่เชื่อใจ”


“ไม่เลย ข้าเองที่ผิด ทั้งที่สัญญาไว้ว่าจะไม่มีความลับต่อกัน แต่ข้ากลับมีความลับต่อเจ้าเสียเอง”


รติส่ายศีรษะรัว “ฮื้อ! ความลับอย่างนี้ไม่เป็นไร”


ตรัสหัวเราะเบาอย่างเอ็นดู โอบร่างภรรยาเข้ามาในอ้อมแขน


“เลิกกังวลแล้วใช่ไหม”


“อืม...ขอโทษ...”


“บอกแล้วว่าไม่เป็นไร”


“ทำไม...ถึงซื้อให้หรือ”


“เป็นของขวัญ”


รติกะพริบตาปริบๆ งุนงงที่จู่ๆอีกฝ่ายก็หาของขวัญให้เขา ตรัสเองก็นึกเหตุผลไม่ออกว่าทำไมต้องให้ของขวัญ แต่เพราะผู้อื่นพากันพูดเรื่องของขวัญ เขาก็เลย...


สุดท้าย หมอหนุ่มก็ถอนหายใจ


“อันที่จริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ”


ใช่...แท้จริงแล้ว ตรัสไม่มีเหตุผลอะไรเลย


“แค่อยากให้”


ความปรารถนาของตรัสมีเพียงเท่านี้ เขาเพียง ‘อยากให้’ ก็เท่านั้น


คำตอบของตรัสทำให้คนฟังรู้สึกพิเศษ หัวใจเต้นถี่ด้วยความยินดี ทว่าก็เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น เพราะรติเองก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองไม่เคยมอบอะไรให้อีกฝ่ายเลย


“ข้า...ไม่มีอะไรให้ท่าน” น้ำเสียงแสนเบาบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกผิดเพียงใด


พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเรียบง่าย บางครั้งก็ละเลยเรื่องตื่นตาตื่นใจที่จะมีให้กันไปโดยปริยาย


“แค่เจ้าอยู่ตรงนี้ ให้ข้าได้ให้เจ้า ก็ถือว่าเจ้าให้ข้าแล้ว” เป็นอีกครั้ง ที่คำพูดของตรัสทำให้หัวใจรติเต็มตื้น


ความรู้สึกนี้เอง ที่ทำให้รติอยากมอบอะไรสักอย่างตอบแทน แต่เวลานี้เขาไม่มีอะไรเลย จึงทำได้เพียงยื่นหน้าขึ้นหา แล้วมอบจูบเบาๆบนริมฝีปากของคู่ชีวิต ก่อนจะผละออกมายิ้มเขิน


“ข้าให้ได้เท่านี้”


ตรัสหัวเราะ กระชับอ้อมกอดจนรับรู้ได้ถึงไออุ่นของภรรยา ราวกับได้กอดดวงไฟดวงน้อย


รติ...คือดวงไฟที่เป็นทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นของเขา


หมอหนุ่มทอดสายตามองคนในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ แล้วพูดทั้งรอยยิ้ม


“เจ้าให้ได้มากกว่านี้ไม่ใช่หรือ”


คนฟังหัวเราะ ทำหน้าเป็นแล้วหยอก


“โลภ!”


ตรัสไม่โต้แย้ง อีกทั้งยังแสดงความเป็นคนโลภด้วยการก้มหน้าลงใกล้ แล้วแนบริมฝีปากเข้ากับข้างแก้ม


ฝ่ายภรรยาก็มิได้ปัดป้อง หรือหลบเลี่ยง ริมฝีปากของสามีจึงค่อยๆ จูบซับอย่างเชื่องช้ามายังริมฝีปากของเขา


สัมผัสใกล้ชิดและอ้อยอิ่งนี้ ย่อมแสดงความนัย


รติรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ใจมิได้รังเกียจ แต่ถึงที่นี่จะมีเพียงพวกเขา ก็...ไม่ใช่เวลา 


“ตรัส...ต้องกลับเรือนแล้ว...”


คนถูกท้วงยกยิ้มจาง


“ข้างนอก หิมะกำลังตก...” เขาเปรยขึ้นมา ดวงตาระยิบระยับยามทอดมองภรรยา “...รอจนกว่าหิมะจะหยุด แล้วค่อยกลับดีไหม”


“รอในนี้หรือ”


“ใช่...” ตอบแล้ว ก็แนบริมฝีปากลงกับผิวแก้มเย็นของภรรยาอีกครั้ง “แก้มเจ้าเย็น...ควรจะทำให้อุ่นเสียก่อน”


คำว่า ‘ทำให้อุ่น’ ย่อมไม่ใช่แค่แก้ม รติมีหรือจะไม่รู้ แม้จะเขิน ก็อดหยอกเย้าอย่างซุกซนไม่ได้


“ทำให้อุ่นแค่แก้มหรือ”


ฝ่ายสามีผละออกมาเล็กน้อย ทอดสายตาสบก็รู้ว่าต่างคนต่างรู้ใจกันดี เขารวบตัวคู่ชีวิตขึ้นนั่งบนโต๊ะ แทรกกายขวางกลางหว่างขา แม้มีอาภรณ์หนาขวางกั้น แต่ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อมือของตรัสสอดไล้เข้าไปใต้เนื้อผ้าแล้ว


“จะทำให้อุ่นจนร้อนไปทั้งตัวเลย ดีไหม”


เสื้อผ้าเริ่มหลุดลุ่ยแต่ไม่มีชิ้นส่วนใดพ้นกาย แม้ในห้องจะอบอุ่นกว่าข้างนอก แต่...นานๆที ได้ลิ้มลองความยากลำบากในการใกล้ชิดกันบ้าง ก็ไม่เลว


“ถ้าอย่างนั้นก็เห็นจะกลับไม่ไหว อื้อ...”


ปลายนิ้วของตรัสแตะสัมผัสแม้แต่จุดที่วาบหวาม จนรติสะท้าน


“ก็ไม่ต้องกลับ”


“อื้อ...แต่ท่านอมรา...”


“ข้าจะเรียนท่านย่าเอง...ว่าหิมะตก ถนนลื่น กลับไม่ได้”


“โกหกนี่” ดวงตาของรติปรือปรอย ฝ่ามือของตรัสปลุกเร้าอารมณ์ใต้ร่มผ้าจนร้อนเห่อทีละน้อย


“ไม่ได้โกหก...แค่บอกไม่หมด ในเมื่อกลับไม่ได้...ก็เลย...” เขาพูดแล้วทิ้งห้วง ข่มอารมณ์อย่างยากลำบากเมื่อ ‘เนื้อแตะเนื้อ’ 


“...กับเจ้า...อ่า...” เขาพึมพำ แล้วกดแทรกเข้าไปในกายของรติ มันร้อนวาบ จนเสียวกระสันต์ไปทั้งตัว


“...ที่นี่...” เขากดกายเดินทางเข้าไปลึกขึ้นอีก ช่องทางตอดรัดจนแทบอยากบดขยี้ในทีเดียว แต่...ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อาจจะจบเร็วเกินไป


คืนนี้หิมะตก และที่นี่มีเพียงพวกเขา ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งอะไรเลย


“...ทั้งคืน...”


...ใช่...พวกเขามีเวลาทั้งคืน...


ค่ำคืนที่เหน็บหนาว


ค่ำคืนที่หิมะกำลังโปรยปราย


ค่ำคืนที่มีเหตุผลมากมายที่จะยังไม่กลับเรือน และใช้เวลาร่วมกัน...อย่างพิเศษ...เพียงสองคน


---------


ท่านอมราทราบจากพุดกรองว่าตรัสและรติกลับถึงเรือนเมื่อตอนเช้ามืด


อากาศหนาว หิมะตก ผู้คนในเมืองพากันล้มป่วย แต่สองสามีภรรยาอหัสกรทำงานหามรุ่งหามค่ำ กลับเรือนตอนก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น!


...ให้ตายเถอะ! ทำงานอย่างนี้ เห็นทีอหัสกรจะรวยจนบรรพบุรุษก็คงอยากฟื้นจากความตายมาช่วยใช้เงิน!...


หญิงชราเคยดุหลานชายเรื่องนี้แล้วครั้งหนึ่ง คราวนั้นเขารับปากว่าจะไม่ทำงานมากเกินไป และระมัดระวังเรื่องสุขภาพของตนเองและรติ แต่ครั้งนั้นก็ผ่านมาพักหนึ่งแล้ว เกรงว่าจะลืมกระมัง!


“เจ้าสองคนเพิ่งกลับมาถึงเมื่อตอนเช้ามืดรึ”


เวลาดีสำหรับการอบรมสั่งสอนลูกหลานก็ตอนร่วมโต๊ะอาหารเช้า


ตรัสและรติดูไม่เหมือนคนอดนอน หน้าตาแจ่มใส กระนั้น การกลับมาถึงเรือนตอนเช้ามืดก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลย


“อ่า...ขอรับ...” คนตอบคือตรัส


“...คือ...เมื่อวาน ตอนจะกลับ หิมะตก เราก็เลย...รอที่ร้าน แต่พอหิมะหยุดตก ก็...เอ้อ...เดินยาก ซ้ำยังมืด ลื่นล้มจะเป็นอันตรายขอรับ”


เหตุผลของตรัสนั้นฟังขึ้น ส่วนรติ...ท่านอมราเห็นเอาแต่ก้มหน้าเม้มปาก


“ไม่ใช่ว่าทำงานกันไปเรื่อยรอหิมะหยุดหรอกนะ!”


   “อ่า...พวกเรา... ‘พักผ่อน’ รอหิมะหยุดตกขอรับ” ตรัสยังเป็นคนพูด แต่จบประโยคแล้วก็สะดุ้งโหยงขึ้นมาทีหนึ่ง เพราะถูกหยิกเข้าที่กลางหลัง โทษฐานเน้นคำว่า ‘พักผ่อน’


   สำหรับรติ อาจไม่ใช่การพักผ่อน แต่สำหรับตรัส เขาสดชื่นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดภรรยา จะไม่เรียกว่า ‘พักผ่อน’ ได้อย่างไรกัน


   “เอาเถอะ! ยังไรก็อย่าลืมเรื่องสุขภาพ เจ้าก็ด้วย รติ...” พอท่านอมราหันมาทางหลานสะใภ้ คนที่ก้มหน้าเม้มปากก็ถึงกับสะดุ้ง หน้าตาตื่น


   “ข...ขอรับ...” ดวงตาที่มีเฉดสีประหลาดเหลือกโต ใบหน้าก็แดงเรื่อน้อยๆ ท่านอมราแม้อายุมาก แต่ก็ช่างสังเกต


   “แล้วนั่นอะไร ทำไมหน้าตาหูเหอแดงปานนั้น ไม่สบายรึ”


   “ไม่...ไม่ขอรับ”


   “เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ร่างกายของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ เข้าใจไหม”


   “ข...เข้าใจขอรับ”


   เมื่อสอบสวนสั่งสอนตรัสและรติแล้ว ท่านอมราก็ค่อยหันไปสนใจระพีที่นั่งดูผู้ใหญ่คุยกัน นางสำทับให้ระพีก็ต้องระมัดระวังสุขภาพ เด็กชายรับคำแข็งขัน


   มื้ออาหารเช้าจบลงแล้ว สองสามีภรรยาเตรียมตัวออกไปเปิดร้านยาและร้านสมุนไพรเช่นทุกวัน แต่วันนี้แปลกไปกว่าเดิมเล็กน้อย ตรงที่รติมีเสื้อคลุมตัวใหม่ที่ท่านอมราไม่เคยเห็น


   นางเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้ถามอะไร ก็เห็นตรัสช่วยจัดเสื้อคลุมให้ภรรยาของเขา ฝ่ายรติยิ้มแย้มขอบคุณ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันออกจากเรือนอหัสกรไป


   เมืองตะวันออกเช้านี้ ขาวโพลนเพราะหิมะที่ตกเมื่อคืน ภาพนี้เห็นกันจนชินตา


   เป็นเช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวที่ไม่มีอะไรพิเศษ



ผู้คนบางตา เดินทางลำบาก และสามีภรรยาคู่หนึ่งก็ยังใช้ชีวิตปกติอย่างทุกวัน


เดินเคียงกันไป...จากเรือนอหัสกรสู่ร้านยาและร้านสมุนไพร


ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย...ไม่มีสิ่งใดพิเศษ


ไม่มีวันพิเศษ ไม่มีของขวัญพิเศษ ไม่มีการกระทำพิเศษ


เป็นคู่ชีวิตที่ไร้ความพิเศษ แต่กลับให้ความรู้สึกพิเศษ...ที่พวกเขาเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน


จบ

---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

ช่วงนี้ชีวิตบัวเปลี่ยนเยอะมากๆ ก็เลยไม่มีเวลาเลย ขอโทษที่ยังไม่สามารถนำเรื่องต่อไปในจักรวาลนี้มาลงได้ค่ะ

จะพยายามเคลียร์ชีวิตให้ไวที่สุด แล้วจะหาทางมาเขียนต่อ

ยังไงก็ฝากๆจักรวาลกว้างๆนี้ไว้ด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-01-2021 21:35:07
ขอบคุณพี่บัวสำหรับตอนพิเศษที่น่ารักนะคะ
ชอบคู่นี้จังเลย
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-01-2021 22:26:02
แม้จะใช้ชีวิตแบบธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่มีความสุขมากแน่นอน รู้สึกได้เลย..ยยยยย  :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 23-01-2021 17:23:10
โอ้ยย ขำไม่ไหว5555 หมอตรัสคนซื่อ
นึกหน้าสองพ่อค้า ที่มองตาปริบๆเอายังไงดี มาขายผ้าอยู่ดีๆต้องมาสอนหมอเซอร์ไพรส์เมีย  :hao7:

เรื่องหวงเมียนี่ยกให้เลย ชมก็ไม่ได้ โอ้ยย จะบ้าตาย5555
อากาศมันหนาวต้อง 'พักผ่อน' นอนอุ่นจนร้อน ยันเช้าเลยค่ะท่านย่า :z1:

 :pig4: ขอบคุณคุณบัวนะคะ น่ารักอบอุ่น เรียยง่ายละมุนใจมากๆเลยค่ะ น้องรติน่ารักกก อยากกอดน้องให้หายหนาว แต่เกรงชีวิตจะหาไม่!  หมอตรัสดุ! หวงเมียยิ่งกว่าจงอางหวงไข่! :hao7:
คุณบัวรักษาสุขภาพด้วยนะค เรารอได้เสมอค่าา
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: PoyPay ที่ 24-01-2021 18:31:48
"แค่อยากให้..." -> สามีสายเปย์ที่แท้ทรูจริงๆ.... คิคิ...

ปล. อีกหน่อยคงมีคนเปย์เรื่อยๆเพราะรางวัลถูกใจมากกกก... คุคุ...
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 25-01-2021 09:15:03
ธรรมดานี่ละพิเศษ
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 25-01-2021 14:08:29
ดีใจที่มีตอนพิเศษมาให้หายคิดถึงหมอตรัสกับรติ :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 25-01-2021 23:38:33
เอ็นดูในความซื่อๆตรงๆ และความหวงของตรัส แต่ความช่างสังเกตุของระติก็ทำให้ของขวัญเซอไพรส์กลายเป็นของขวัญธรรมดาไปเฉย   o18
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Tonson777 ที่ 12-03-2021 21:53:09
ละมุนละไมดีงามมาก ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆฮิวใจค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 09-01-2022 14:48:39
 :-[
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 13-01-2022 19:18:18
อบอุ่นหัวใจ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 27-01-2022 08:04:32
นิยายโคตรสนุก

คนแต่งโคตรขยัน

และตัวละครมีทัศนคติและนิสัยที่เหมาะสม ดีงาม น่าทำตามสุดๆ

AAAAAAA+++++++++++++
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 14-02-2022 02:11:43
❤️
หัวข้อ: Re: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 14-02-2022 18:56:12
 :pig4: