OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)  (อ่าน 29144 ครั้ง)

ออฟไลน์ noteno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
«ตอบ #150 เมื่อ24-08-2020 20:57:47 »

ในที่สุด...ก้อจำพาสเวิดตัวเองได้สักที แฮ่...
นี่เข้าใจว่าเบสคือโอเวนมาโดยตลอดจริงๆ

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
«ตอบ #151 เมื่อ25-08-2020 09:06:31 »

พี่ลุค ปล่อยน้องบลูมาซะดีๆ :กอด1:




แวะมารอ




 :hao3:




ตอนหน้าจะเป็นยังไงนะ :mew3:





ลุ้นๆ  :ling1:




ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #152 เมื่อ25-08-2020 15:38:20 »

ตอนที่ 11

สภาพการจราจรช่วงเย็นคือการนั่งอยู่ในรถมองรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านทางซ้ายและขวาของรถไปเรื่อย ๆ และทำให้เห็นว่าคนที่นั่งข้างคนขับกำลังทำบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมานานแล้ว
ข้าวโพดจับมือเบสไว้เมื่อเห็นว่ากำลังจะยกมือขึ้นมากัดเล็บอีกครั้ง
“จะกัดให้เล็บมันกุดทั้ง 10 นิ้วเลยหรือไง”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” เบสบอกแล้วบิดข้อมือออก แต่พอลืมตัวก็ยกมือขึ้นมาจะกัดเล็บอีกครั้ง ข้าวโพดก็คว้าไว้อีกครั้ง
“เครียดอะไร คุยกัน”
“ก็เรื่องตึกคณะสังคมฯ ไง”
ข้าวโพดพยักหน้า
“ข้าวโพดไม่ห่วงพี่ ๆ หรือไง”
“ไม่นะ เราห่วงเบสมากกว่า” ตอนแรกที่เรียกตัวเองว่าเรา ข้าวโพดรู้สึกแปลก ๆ แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มชิน
“จะมาห่วงอะไรเรา”
“ก็ห่วงว่า เบสจะคิดนั่นคิดนี่ เสร็จแล้วก็จะมาบอกให้เราเลี้ยวรถกลับไปที่ตึกคณะสังคมฯ น่ะสิ บอกเลยนะ ว่าไม่ว่าจะงอแงยังไง เราก็จะไม่กลับไปอย่างเด็ดขาด”
“ข้าวโพด”
“นั่นไง ไม่ต้องมาข้าวโพดเลย พี่ ๆ เขาบอกให้รอก็คือรอ เมื่อกี้พี่ลุคเขาก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขาจัดการกระดาษแผ่นนั้นยังไง”
เบสทำปากยื่นแล้วบ่น “กระดาษนั่นน่ากลัว อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นหัวกะโหลกพุ่งเข้ามาหา”
ข้าวโพดพยักหน้าอีกครั้ง “เราทำอะไรแบบที่พี่ลุคทำไม่ได้ ถ้าความอยากรู้คือการที่ทำให้เราต้องเสี่ยงแล้วอาจทำให้เรื่องมันบานปลาย เราจะไม่ทำเด็ดขาด เพราะฉะนั้นอย่ามางอแง”
“กลัวละสิ”
“ใช่” ยืดอกรับแบบแมน ๆ ไปเลย “นี่ไม่ใช่เรื่องเขม่นกันหลังสนามบาสนะ จะได้เคลียร์กันได้”
เบสยังมีเรื่องที่คาใจ “จำวันก่อนที่เราไปดูที่ตึกนั้นได้ไหม”
“จำได้”
“ตึกนั้นมีคนเรียนอยู่ด้วย”
“ก็มั่นคืออาคารเรียนของคณะ ก็ต้องมีคนเรียนอยู่ มีอาจารย์ มีคนดูแลตึก ที่เบสจะถามก็คือ มีกี่คนที่เรียนในคลาสที่ปิดประกาศไว้ใช่ไหม”
“นั่นแหละ” จากนั้นเอียงคอคิด “แต่เราก็สงสัยทุกคนเลย”
“สงสัยอะไร ทุกคนอะไร”
“ทุกคนที่เราเห็นว่าอยู่ที่ตึกตอนนั้น ทุกคนในคณะสังคมฯเลย”
“เบสจะสงสัยไปหมดทุกคนแบบนั้นไม่ได้” ข้าวโพดพยายามกลั้นหัวเราะ “คิดถึงความน่าจะเป็นหน่อยสิ”
“คุยไหม”
“ก็คุยอยู่ไง”
“งั้นก็อย่าขัดคอ”
“ก็...”
“ข้าวโพด”
“ครับ”
บางทีก็สงสัยนะ เมื่อสัก 7 วันก่อนหน้านี้เบสยังไม่ใช่คนที่จะชอบออกคำสั่งมากขนาดนี้เลยนี่นา หรือเป็นเพราะจูบเมื่อวันก่อน
ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ เบสเวลาที่เครียดและตื่นกลัวจะกลายเป็นคนที่พูดไม่หยุด
“ข้าวโพด”
“ครับผม”
“ฟังอยู่ไหม”
“ฟังสิ แต่ตอนนี้ขับรถอยู่ ต้องใช้สมาธิเหมือนกัน”
เบสพยักหน้า แบบที่เป็นการส่งสัญญาณว่าเดี๋ยวจะกลับมาจัดการเรื่องนี้
“เราสงสัย ใครคือคนที่เอากระดาษมาติดที่บอร์ด แล้วติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีนักศึกษาไปที่คลาสนี้กี่คนแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ได้เรียนจริง ๆ หรือเปล่า แล้วอาจารย์ นักศึกษา คนที่ทำงานที่เรียนที่ตึกนั้น เขาเป็นยังไง เคยพบเจออะไรแปลก ๆไหม” เบสจะยกมือขึ้นมากัดเล็บอีกครั้ง ข้าวโพดก็คว้าไว้ก่อนเหมือนเดิม “ตั้งแต่เราเห็นกระดาษแผ่นนั้น เราก็คิดแต่ว่าจะรอถามพี่ ที่จริงเราควรถามคนที่คณะสังคมฯ เรื่องคลาสเรียนนั้น”
“ถามว่าอะไร”
“ก็ถามว่าเคยมีใครเข้าเรียนคลาสนี้บ้างไง”
ข้าวโพดส่ายหน้า “มาตั้งคำถามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะพี่ลุคทำลายกระดาษแผ่นนั้นไปแล้ว”
เบสหันมาหาข้าวโพด “ถ้าเคยมีคนเข้าเรียนไงข้าวโพด เขาก็จะบอกเราได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร แล้วถ้าคนที่ทำกระดาษแผ่นนั้นยังอยู่ เขาก็อาจจะทำใหม่แล้วเอามาติดใหม่ก็ได้”
“คนที่ทำกระดาษที่มีหัวกะโหลกพุ่งออกมาได้ เบสคิดว่าเขาจะเป็นคนยังไง เขาจะทำอะไรได้บ้าง แล้วคนที่เดินเข้าไปเรียนคลาสนี้จะกลายเป็นแบบไหน พี่ทั้ง 2 คนย้ำแล้วย้ำอีกให้พวกเรากลับบ้าน”
“แต่เราอยากรู้”
“เราก็อยากรู้ อยากอยู่ช่วยพวกเขา”
เบสเชื่อว่าข้าวโพดพูดจริง คนที่มีนิสัยแบบนักสังคมสงเคราะห์อย่างข้าวโพดย่อมต้องอยากอยู่ช่วยพี่ ๆ จัดการเรื่องนี้แน่นอน 
“แต่เราต้องประเมินตัวเองด้วย ถ้าพี่เขาอยากให้เราไปหาข้อมูลอะไร เขาก็คงจะบอกแล้ว เบสไม่คิดว่าพี่ ๆ เขาจะจัดการได้หรือ”
“คิดสิ แต่ข้าวโพดไม่คิดว่าเรื่องนี้มันดูกระจัดกระจายหรือ” เบสให้เหตุผล “จริงอยู่ที่ตอนนี้เราโฟกัสไปที่กระดาษแผ่นนั้น แล้วพี่ก็ย้ำให้เรากลับบ้านตลอด แต่ถ้ามองให้มันกว้างออกไปนะ จู่ ๆ เราก็ได้พบกับพี่ทั้ง 2 คน แม่เราเปลี่ยนไป มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นที่บ้านจนเรากลับบ้านไม่ได้ มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ก็มีคลาสประหลาด”
“คลาสประหลาดนั่นอาจมีมาตั้งนานแล้ว แต่เราเพิ่งเห็น”
“นั่นก็ใช่”
“เอาอย่างนี้ละกัน เอาเรื่องที่เราพอจะทำได้ และไม่ไปขัดขวางการทำงานของเขาแน่นอน เดี๋ยวกลับไปถึงบ้าน เบสลองค้นข่าวเก่าดูว่ามีข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเราที่หายไปไหม แล้วค่อย ๆ คัดที่มันไม่น่าจะเกี่ยวกับคลาสพิเศษนั้นออกไป”
“เราควรได้คุยกับคนที่ทำงานแล้วก็เรียนอยู่ที่ตึกนั้นด้วย”
“นั่นเอาไว้หลังจากที่พี่เขามาสรุปเรื่องให้ฟังก่อนน่าจะดีกว่าไหม เราเป็นกองหนุนนะอย่าลืม”
เบสคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
“เรื่องที่อยากรู้สำคัญก็จริง แต่อย่าลืมทำงานส่งอาจารย์ให้เสร็จก่อนล่ะ เพราะที่ต้องค้นข่าวน่าจะใช้เวลานานกว่า”
การค้นข่าวเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานอย่างที่ข้าวโพดบอกไว้จริง ๆ เพราะการใช้คีย์เวิร์ดป้อนเข้าไปในกูเกิ้ลแบบง่าย ๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
ตอนที่ใช้คำเฉพาะเจาะจงว่า ‘คลาสพิเศษ คณะสังคมฯ’ ก็มีแต่ข้อมูลทางวิชาการขึ้นมา พอเพิ่มคำอื่นลงไปอย่างชื่อมหาวิทยาลัย หรือคำว่า ‘คนหาย และอุบัติเหตุ’ ก็กลายเป็นเรื่องเกมไปเสียนี่ แล้วพอลองเปลี่ยนเป็น ‘คนหาย คณะสังคมฯ’ ก็กลายเป็นประกาศตามหาคนหาย
เบสลองเปลี่ยนคำค้นหาอีกหลายคำ ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ต้องการ
เช้าวันถัดมา เบสก็พยายามจะให้ข้าวโพดขับรถไปแถวตึกเรียนของคณะสังคมศาสตร์อีกครั้ง
“หาในเว็บแล้วมันไม่เจออะไร ลองไปดูที่คณะดีกว่า”
ยิ่งนานข้าวโพดยิ่งหวั่นใจ ว่าจะขัดใจกันไปได้อีกสักกี่ชั่วโมง กี่วัน
“เบส เรารับปากอะไรไว้กับพี่ จำได้ไหม”
“จำได้สิ ก็แค่ไปดูห่าง ๆ ขับรถผ่านเหมือนวันก่อนก็ได้ แล้วนี่ก็ตอนเช้า”
“ตอนพี่ลุคจัดการหัวกะโหลกนั่นก็ตอนกลางวันนะ” ข้าวโพดเตือนขณะที่เลี้ยวรถเข้ามหาวิทยาลัย
“เราไม่ได้ขอให้ข้าวโพดไปจัดการอะไรเลยนะ” เบสชี้ไปทางคณะสังคมฯ “ก็แค่ผ่านไปดูเท่านั้นเอง”
ข้าวโพดสังหรณ์ใจว่าเรื่องจะไม่ได้ง่ายแค่ผ่านไปดู เพราะตึกนี้ก็ค่อนไปทางด้านหลังของคณะ คือจากถนนสายหลักที่ผ่านหน้าคณะก็พอจะมองเห็นตัวอาคาร อย่างเวลากลางคืนที่ผ่านมาก็เห็นว่าเปิดไฟ แต่ในวันนี้....
จากระยะไกลมองเห็นว่า เช้านี้มีคนงานหลายคนกำลังเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่คณะ 
“มองไม่ถนัดเลย” เบสบอก “ทำไมตอนกลางวันถึงมองเห็นได้ยากกว่าตอนกลางคืนนะ
มาถึงตอนนี้ข้าวโพดก็มีความสงสัยอยู่เหมือนกัน จึงเลี้ยวรถตามรถมอเตอร์ไซค์คนงานเข้าไป
อาคาร06 ในเวลานี้อยู่ในสภาพที่เหมือนกับถูกพายุพัดถล่มเมื่อคืนนี้ เศษกระดาษ เอกสารและสิ่งของต่างๆ กระจัดกระจาย ประตูหน้าต่างอาคารเรียนพังเสียหาย
เบสไม่ได้พูดอะไรสักคำเมื่อข้าวโพดเลี้ยวรถออกมาจากคณะ แล้วมาจอดที่ลานจอดรถของคณะบริหาร
“ข้าวโพด ขออีกอย่าง อย่างเดียวจริง ๆ”
“อะไร”
“ไปดูบอร์ดนั้นกันหน่อย”
“อย่างเดียวจริง ๆ นะ” ข้าวโพดถามทั้งที่ก็อยากรู้เหมือนกัน
เบสจับมือของข้าวโพดไว้แน่น ตลอดทางที่เดินไปที่บอร์ดติดประกาศข้างทางเดินระหว่างอาคารเรียน
ที่จริงจากระยะไกลก็พอจะเห็นแล้วว่าไม่มีกระดาษแผ่นนั้น แต่ทั้งคู่ก็ยังเดินเข้าไปจนใกล้ ทั้งชะโงกมองไปทางด้านหลัง เพื่อดูให้แน่ใจ
“ไม่มีแล้วใช่ไหม”
“ไม่มี”
“จบแล้วใช่ไหม”
“แต่เมื่อคืนพี่ไม่ได้มาหาพวกเรานะ”
เบสหันมามองหน้าข้าวโพด แล้วหันไปมองทางตำแหน่งของคณะสังคมฯ
“ข้าวโพดคิดว่าในมหา’ลัยของเราจะยังมีอะไรแบบนี้อีกไหม”
“จะไปรู้ได้ไง มหา’ลัยออกจะกว้าง แต่ที่รู้ก็คือ ถ้าสภาพหลังจากที่พี่ ๆ เข้าไปจัดการแล้วเละขนาดนั้นก็แปลว่า เรายิ่งต้องเพิ่มความระวัง”
ข้าวโพดดึงมือเบสให้เดินกลับมาและเจตนาพูดเพื่อสร้างความหวาดกลัว “ถ้าศัตรูของพี่เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ตอนนี้อาจกำลังมีใครที่กำลังเฝ้ามองเราอยู่”
เบสหยุดเดิน หันมามองข้าวโพด “แม่”
“เบส”
“พี่บอกว่า อย่าเพิ่งกลับไป แต่เราโทรไปหาแม่ได้นี่”
ข้าวโพดพยักหน้า “เรียนคาบเช้าเสร็จแล้วค่อยโทรละกัน”
เมื่อเดินเข้ามาที่ตึกคณะ เพื่อน ๆ ต่างจับตามองมือที่จับกันไว้ไม่ยอมคลาย
“ทำไมผลสรุปถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” แหม่มที่ชอบข้าวโพดมานานโวยวายขึ้น
.....
บลูตื่นนอนท่ามกลางกลิ่นกาแฟผสมกลิ่นเนย ที่หอมไปจนถึงในห้องนอน และประสาทรับรู้ว่ามีคนอยู่ 2 คนในร้าน
บลูระงับความตื่นเต้นนั้นไว้ แล้วสวมแว่นดำเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเจตน์กำลังอ่านหนังสืออยู่ และเงยหน้าขึ้นมาทักในทันที
“ตื่นแล้วหรือครับคุณ ดื่มนมอุ่นสักหน่อยไหมครับ”
ยิ้มแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ คาดว่า ‘เถ้าแก่’ คงบอกอะไรไว้เยอะ จนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปทำความเข้าใจที่ถูกต้อง
อยากให้เชื่อว่าอะไรก็เป็นไปตามนั้นแล้วกัน
บลูพยักหน้า มองข้ามไหล่ของเจตน์ไปที่สตรีอีกคนที่น่าจะมีอายุประมาณ 40 ปี
“นี่เมียผมครับ ชื่อแอน”
บลูยิ้มกว้าง “วันนี้แข็งแรงแล้วหรือครับ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่เจตน์กลัวจะล้มไปอีก ก็เลยชวนมาช่วยงานที่ร้านด้วยกัน”
การที่ทุกคนยังมีสุขภาพที่แข็งแรงดี และมีชีวิตที่ดี คือสิ่งที่ดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้
“ทำไมถึงหรี่ไฟในร้าน”
เจตน์ปิดม่านไม้ไผ่หน้าร้านลงมาครึ่งหนึ่ง แล้วเปิดไฟตรงหน้าเค้าน์เตอร์ที่กำลังอ่านหนังสือกับที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น แม้จะยังมีแสงสว่างจากนอกร้าน แต่ก็ยังถือว่าเป็นแสงสว่างที่น้อยเกินไปอยู่ดี
“เถ้าแก่บอกว่า ตาคุณรับแสงสว่างมากไม่ได้ ผมก็เลยปิดไฟในร้านแล้วหรี่ไฟตรงหน้าเค้าน์เตอร์ สว่างไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก เห็นว่าอ่านหนังสืออยู่ แสงสว่างน้อยเกินไปจะไม่ดีกับสายตา”
“นี่ก็สว่างพอแล้วครับ” เจตน์ชี้กระจกบานใหญ่หน้าร้านที่เปิดรับแสงสว่างไว้ครึ่งหนึ่ง
“แล้วปิดม่านอย่างนี้มาตั้งแต่กี่โมง”
“เมื่อบ่ายโมงครึ่งครับ เถ้าแก่สั่งไว้”
ที่เจตน์ไม่ได้บอกก็คือตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเป็นต้นมา ก็ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย กำลังคุยกันอยู่ว่าเป็นเพราะปิดม่านหน้าร้านจนทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดว่าปิดร้านหรือไม่ แต่ป้ายหน้าร้านก็บอกว่าเปิดร้านนี่นา แล้วบลูก็ลงมาพอดี
บลูหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง ตอนนี้บ่ายสองโมงแล้ว
เจตน์ถือนมอุ่นกับแซนด์วิชมาวาง “เถ้าแก่ออกไปข้างนอกครับ ให้บอกว่าเดี๋ยวจะกลับมา”
เพราะในร้านไม่มีลูกค้า บลูจึงไม่ต้องระวังเรื่องสายตาคนมอง และไม่ต้องระวังคำถาม
“แอนมีฝาแฝดไหม”
แอนที่กำลังเช็ดโหลใส่ขนมเงยหน้าขึ้นมา
“ไม่ทราบหรอกค่ะ”
เจตน์ช่วยตอบ “แอนเติบโตจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะครับ”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” แอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว และไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ “ที่รู้ก็คือ มีคนขับรถแท็กซี่ไปพบว่าอยู่ในกระเป๋าที่ถูกทิ้งไว้ตรงที่ทิ้งขยะ แล้วก็ถูกส่งมาที่สถานรับเลี้ยงเด็ก พอถึงเกณฑ์ก็ออกมาทำงาน ได้เจอกับเจตน์ ก็ได้เปลี่ยนนามสกุลจากนามสกุลกลางของบ้านเด็กมาเป็นนามสกุลเดียวกับเจตน์ค่ะ”
“ชื่อนี้ ทางสถานรับเลี้ยงตั้งให้หรือครับ”
“ค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะหน้าตาตอนเล็ก ๆ เหมือนลูกฝรั่งมังคะ”
“คุณเคยเห็นคนที่หน้าตาเหมือนแอนหรือครับ” เจตน์ถาม
“ครับ แต่พอมาคำนวณดู คิดว่าไม่น่าจะเป็นฝาแฝด เพราะอีกคนมีลูกเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว น่าจะอายุประมาณ 50”
“ดิฉันเพิ่งจะ 40 ค่ะ” ถึงจะไม่รู้วันเกิดที่แน่ชัด แต่ก็สามารถคำนวณจากวันที่พบได้
บลูบอกให้แอนวางมือจากการทำงานแล้วมานั่งคุยกัน ปล่อยให้เจตน์จัดขนมต่อไป
“ที่จริงเถ้าแก่บอกให้ผมทำสลัดผลไม้อีกอย่าง รับเลยไหมครับ”
“ครับ ขอน้ำส้มด้วยนะครับ” จากนั้นก็หันมาถามแอน “กินอะไรหรือยังครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” แอนนั่งลงตรงข้ามกับบลูด้วยท่าทางเกรงใจ
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นครับ ผมแค่หาเพื่อนคุยระหว่างกินอาหารเท่านั้น”
แอนยิ้มกว้างท่าทางตั้งใจที่จะตอบคำถามมากกว่าเดิมเสียอีก
“แอนเคยคิดว่าจะตามหาครอบครัวไหมครับ” บลูรู้ว่าคำถามนี้เป็นเรื่องส่วนตัวมาก แต่นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่อยากรู้
“ตอนเด็ก ๆ ก็คิดนะคะ แต่พอนานไป มีเรื่องอื่นที่ต้องคิดมากกว่าก็ไม่ได้สนใจแล้ว ยิ่งดูจากอายุตัวเอง จากสุขภาพของตัวเองก็คิดว่า พวกเขาอาจไม่อยู่แล้วก็ได้”
การไม่ตามหาอาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับเจตน์และแอน 
บลูพยักหน้าแล้วหันไปทางเจตน์ “อาจเพราะครอบครัวที่มีอยู่ในปัจจุบันมีค่ามากกว่าครอบครัวที่หายไป”
แอนหัวเราะเบา ๆ “มีกันอยู่ 2 คนอย่างนี้มานานกว่า 20 ปีแล้วค่ะ”
“เจอกันยังไงครับ”
“ตอนที่ออกมาจากบ้านเด็ก ก็ไปทำงานที่โรงงานค่ะ ส่วนเจตน์อยู่โรงพิมพ์ใกล้กัน มีที่พักคนงานใกล้กัน”
“แต่โรงงานที่แอนทำอยู่เป็นโรงงานเย็บเสื้อครับ ทำไปสักพักก็เริ่มเป็นภูมิแพ้ จะชวนมาทำที่โรงพิมพ์ด้วยกัน เขาก็เหม็นหมึกพิมพ์ รู้สึกว่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับกลิ่นตลอด”
บลูนึกย้อนไปในอดีต แอนนาเคยเกี่ยวข้องกับอะไรกับเรื่องฝุ่นหรือกลิ่นไหม
“เวลาแอนอยู่ในที่ที่คนเยอะก็จะเวียนหัวเหมือนกัน”
บลูยกนมอุ่นขึ้นจิบ    
“แล้วเป็นหนักมากจนต้องออกจากงานเลยหรือ”
“ตอนที่อยู่ในห้องพัก หรือเดินทางไปโรงงานไม่เป็นไรนะครับ แต่นั่งทำงานไปสักพักก็จะมีอาการเวียนหัว ปวดหัว บางทีก็มีผื่นแพ้ขึ้นมาเฉย ๆ พอเป็นบ่อย ๆ ก็ต้องหยุดงานไปหาหมอ ทีนี้หัวหน้างานก็เริ่มพูดไม่ดี ทั้งที่แอนได้ค่าแรงเป็นรายวัน เขาก็เลยต้องฝืนตัวเองไปทำงาน ทำได้ 2 ปีก็ลาออก ได้งานที่โรงงานอีกแห่งเกี่ยวกับอาหารสัตว์ ยิ่งหนักกว่าเดิม ทำได้ 5 วันก็ต้องลาออก ผมก็เลยให้เขารับจ้างรายวันแบบที่รับกลับมาทำงานที่ห้องได้น่ะครับ”
   ในบรรดาทางเลือกทั้งหมด การทำงานโรงงานอาหารสัตว์ถือว่าเลวร้ายที่สุด และต้องยกย่องแอนที่สามารถต่อสู้กับความหวาดกลัวนั้นได้ถึง 5 วัน
“พอไม่ต้องเจอคนเยอะ ๆ แล้วดีขึ้นใช่ไหม”
“ดีขึ้นค่ะ แต่ก็มีเวียนหัว หน้ามืดอยู่บ่อย ๆ เพราะความดันต่ำ”
“มีคนแนะนำให้กินเบียร์ แต่แอนน่ะ แค่กลิ่นก็เวียนหัวแล้วครับ เคยฝืนจิบไปนิดหน่อยปรากฏว่าผื่นขึ้น”
“สรุปคือแพ้ทุกอย่างค่ะ แล้วต้องไปหาหมอเป็นระยะ”
“แล้วตั้งแต่เข้ามาที่ร้านนี้ แพ้อะไรไหม” บลูถาม
แอนคิดแล้วหันไปมองหน้าเจตน์ที่ยกจานสลัดพร้อมน้ำส้มมาวาง จากนั้นทั้งคู่ก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
“ไม่เวียนหัว ไม่รู้สึกว่าเหม็นอะไรเลย ไม่แพ้อะไรเลยด้วยค่ะ” แอนพลิกข้อมือให้ดู
“ดีแล้ว” บลูพูดยิ้ม ๆ “เอางานที่รับจ้างมาทำที่ร้านนี้ก็ได้”
“ที่จริงเถ้าแก่ ก็บอกให้แอนเอางานมาทำที่นี่เหมือนกันครับ แต่ผมเกรงใจ” เจตน์ลูบท้ายทอย
บลูจิ้มองุ่นเข้าปาก “ที่พักอยู่ไกลไหม”
“ไม่ไกลครับ ประมาณ 5 ป้ายรถเมล์”
“อย่างนั้นก็น่าจะทำอย่างที่เถ้าแก่เขาบอก” บลูสรุปแล้วบอกกับเจตน์ว่าสลัดอร่อยมาก “เมื่อครู่จัดขนมอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ” แอนรีบลุกขึ้นไปจัดขนมใส่จานมาวางให้
“ขอบใจมาก”
บลูบอกพร้อมรอยยิ้ม ก็เป็นอันเข้าใจว่าไม่มีคำถามแล้ว ทั้ง 2 คนจึงกลับไปช่วยกันทำความสะอาดหน้าเค้าน์เตอร์ ขณะที่บลูกินอาหารช้า ๆ เสร็จแล้วก็กลับขึ้นมาอยู่ในห้องนอนที่ปิดม่านหน้าต่างไว้
เพราะนี่คือเวลากลางวัน จะอย่างไรก็ยังมีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามา บลูไม่มีปัญหาเรื่องแสงสว่าง แต่มีปัญหาเรื่องการปิดประตูหน้าต่างห้องจนสนิท และปัญหาเรื่องเสียงจากภายนอก
อยากกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็รู้ว่ายังกลับไปตอนนี้ไม่ได้
เกรซกลับบ้านตัวเองไม่ได้ บลูก็กลับห้องของตนเองไม่ได้เหมือนกัน
แต่อย่างน้อยเกรซก็อยู่ในที่ปลอดภัย แล้วบลูล่ะ
ก็คงจะปลอดภัยในระดับหนึ่งละนะ...
มีหนังสือเล่มหนาหนักอยู่เล่มหนึ่งวางอยู่บนหลังตู้ข้างประตูห้อง บลูเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาที่นี่ และพยายามมองผ่านมันไป แต่ตอนนี้มือผอม ๆ ที่วางแว่นดำไว้หลังตู้เลื่อนมาหยิบหนังสือขึ้นมาโดยที่ไม่ได้หันไปมอง แล้วถือมานั่งอ่านบนที่นอน
ปกหน้าของหนังสือทำด้วยแผ่นหนังสีน้ำตาล ไม่มีข้อความบอกว่านี่คือหนังสืออะไร แต่ตรงมุมล่างด้านขวามีตราสัญลักษณ์เป็นรูปดอกทานตะวัน
นี่คือบันทึกเกี่ยวกับเครื่องรางของแม่มดและพ่อมดในยุโรปและเอเชีย
ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องรางได้ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่จะเลือกของมีค่าที่ไม่ผุพังหรือย่อยสลายได้โดยง่าย เพราะหากเครื่องรางถูกทำลาย ก็คือการทำลายพลังของแม่มดตนนั้น
บลูไม่เคยเจอกับมนุษย์ที่เป็นลูกสมุนของซอว์นีย์ตรง ๆ แต่ผลจากการที่ตามล่าคาร่ามานานหลายปีทำให้สามารถค้นหาคาร่าท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้เสมอ
ก็เหมือนกับการตามหาครอบครัวไร้ท์ ที่แม้ว่าจะไม่ค่อยได้พบเจอกับพวกเขาบ่อยนัก แต่หากได้พบก็จะไม่มีทางผิดพลาดไปได้
แอนกับแอนนาคือคน ๆเดียวกันอย่างแน่นอน แต่ยังมีสตรีอีกคนที่มีไอชีวิตสีชมพูอ่อนเหมือนกัน
แล้วหากแอนนามี 2 คนก็มีความเป็นไปได้ที่คนอื่น ๆ ก็จะมี 2 คนเหมือนกัน
มีความเป็นไปได้ในประเด็นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนแตกแขนงออกไปไม่สิ้นสุด
บลูรวบรวมสมาธิกลับมาเมื่อครั้งที่ยังอยู่ตามลำพัง ในยามที่เฝ้าตามคาร่า กับพรรคพวกขอเธอ ยามที่รู้สึกว่ากำลังตกเป็นฝ่ายถูกตามล่าทำให้ต้องหลบหนีแล้วกลับมาโจมตีอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะหนีไปให้ไกลอีกครั้ง
ฝ่ายตรงข้ามรู้แล้วว่า หากบลูพบคาร่าแล้วเขาจะต้องกลับมาโจมตีคาร่าอย่างแน่นอน
สัมผัสอันตรายในช่วงเวลานั้นมันเป็นอย่างไรนะ...
บลูหลับตาแล้วเปิดประสาทสัมผัสเพื่อฟังเสียง รับรู้การเคลื่อนที่ของมวลอากาศ
ในรัศมี 1 กิโลเมตรไม่มีร่องรอยของลุค เมอร์ฟี...
บลูหัวเราะให้กับตนเองเบา ๆ แล้วกลับมาอ่านหนังสือท่ามกลางความมืดสลัวต่อไป
ท่ามกลางเสียงที่น่ารำคาญเหล่านั้น ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ตรงมาทางนี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และทั้งที่ดวงตายังมองหนังสือที่วางอยู่บนที่นอน แต่กลับมองเห็นคนในชุดสีดำที่กำลังขับรถ จมูกได้กลิ่นของเพศชายผสานกับสมุนไพร
ได้ยินเสียงสนทนาของชายคนนี้กับคนในร้าน
ได้ยินแม้แต่เสียงในตอนที่เขาเข้าห้องน้ำไปล้างมือ ล้างหน้า และจัดการเรื่องส่วนตัว
ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันได
และเสียงลมหายใจในตอนที่เขาหยุดยืนที่หน้าห้อง
เพราะเป็นอย่างนี้บลูถึงได้ไม่ประหลาดใจ และไม่ต้องหันไปมองในตอนที่ลุคเคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามา
“มีความคืบหน้าอะไรบ้าง” บลูที่นอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือถามขึ้นก่อน
ลุคถอดเสื้อคลุมพาดไว้กับเก้าอี้ “ส่งนายวิญญาณกลับไปอีก 1 แต่ก็ยังไม่ใช่ซอว์นีย์อีกเหมือนเดิม”
“การเลี้ยงวิญญาณกำลังเป็นเทรนด์ยอดนิยมที่นี่หรือไง”
“มีนายวิญญาณหลายคนที่เพิ่งเดินทางเข้ามา รวมทั้งคนที่เจอวันนี้” ลุคเดินมานั่งลงข้าง ๆบนเตียง “มีอัสวัด นายวิญญาณที่พวกเราเจอที่คลินิกเถื่อนนั่น”
“รวมถึงเจ้าพ่อมดหรือแม่มดที่นายจัดการที่บ้านของมาร์ธา”
ลุคพยักหน้า พ่อมดซอว์นีย์ตนนั้นคือแบร์รี่
บลูพลิกตัวนอนหงาย ประสานมือไว้บนหน้าท้อง “ฉันเพิ่งนึกบางสิ่งบางอย่างออก”
ลุครอฟัง
“นายบอกว่านายคือมือปราบแห่งวาติกัน วาติกันคือคาทอลิก แต่นายเคยพูดถึงสำนักที่เยอรมัน พวกเขาเป็นโปแตสแตนท์ ที่เรียกว่าคริสตจักรปฏิรูป นายรู้จักกับพวกเขาได้อย่างไร”
“ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นโรมันคาทอลิก และวาติกันกำลังรุ่งเรือง แต่ความโหดร้าย ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ และมีคำสอนที่แตกต่างออกไป ในโปแตสแตนท์เองก็แตกออกเป็นหลายกลุ่ม”
“คนที่ทำให้นายเป็นสสารที่ซ่อมตัวเองได้เป็นใคร”
“เป็นสาธุคุณที่เป็นนักวิทยาศาสตร์”
คำตอบนี้ชัดเจนกว่าเมื่อตอนที่ถามครั้งแรก “อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับนิกายหรือความเชื่อน่ะสิ”
“เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ และการแปรธาตุ เขาเชื่อว่าแม่มด ปีศาจ และวิญญาณคือการแปรธาตุในรูปแบบหนึ่ง”
บลูหันมามองหน้า ลุคก็พยักหน้ายืนยันว่าที่พูดมาคือความจริง
“เขาก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติอะไรสักเท่าไหร่ เพียงแต่การทดลองท้าทายวงจรชีวิตแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นภายในมุมหนึ่งของวาติกัน แล้วจะได้รับความคุ้มครองเขาก็เลยอยู่”
“ก็ถ้าลองไปท้าทายอยู่ข้างนอกอย่างกาลิเลโอก็จะมีจุดจบอย่างเดียวกัน” (กาลิเลโอ กาลิเลอี 1564-1642)
ลุคหันมามองหน้า “ฉันเกิดก่อนเจ้าเด็กนั่นเกือบ 100 ปีนะ”
“แล้วทำไมนายไม่พาเจ้าเด็กนั่นไปอยู่ในวาติกัน”
“อย่างกับเจ้านั่นจะฟังคนอื่นอย่างนั้นแหละ”
“แย่ชะมัด”
“ฉันไม่ได้เป็นคนที่รับหน้าที่นี้นะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ฉันคือมือปราบพ่อมดดำ ไม่ใช่ผู้คุ้มครองนักวิทยาศาสตร์”
บลูกลอกตา
“สรุปคือนายคือสสารที่เรียกว่ามือปราบ ซึ่งเป็นผลผลิตของนักวิทยาศาสตร์ภายใต้เครื่องแบบหนัก ๆ ของนักบวช”
“ทำนองนั้น”
“เพราะตอนนั้นนายเป็นนักเรียนการศาสนาของคาทอลิก เมื่อนายถูกแปรธาตุไปแล้วนายจึงกลายเป็นคาทอลิกอยู่เหมือนเดิม”
“ฉันคือมือปราบวาติกัน”
“นอกจากนายแล้วมีมือปราบคนอื่นที่เป็นแบบนายอีกไหม”
“ไม่มี”
ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกว่านี่เป็นชีวิตที่เงียบเหงาเกินไป
“แล้วนายก็มีผู้พิทักษ์ที่มาจากนิกายเล็ก ๆ ของโปแตสแตนท์ในเยอรมัน”
“ใช่”
“แล้วก็พากันกลับมารับคำสั่งจากวาติกันเหมือนเดิม”
“ที่จริงยังมีสาธุคุณอีกคนจากฝรั่งเศส”
“โปแตสแตนท์”
“ใช่ เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นพวกอูว์เกอโนต์คริสเตียนฝรั่งเศส เขาถึงสามารถเชื่อมโยงคริสเตียนทั้งคาทอลิกและโปแตสแตนท์ตั้งแต่ฝรั่งเศส เยอรมันไปถึงอังกฤษ และสกอต”
บลูพยักหน้า “มิน่าฉันถึงไม่เคยเจอเขา”
“ฉันรับรองว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นายจะได้พบกับเขา”
บลูคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่าเลย ฉันคือปีศาจ ลำพังการที่มานอนอยู่ในบ้านของมือปราบนี่ก็แปลกอยู่แล้ว ถ้าให้มานั่งดื่มน้ำชากับสาธุคุณที่เป็นมนุษย์มันจะยิ่งประหลาดไปกันใหญ่”
“ฌ็องส์เป็นผู้สนับสนุนที่ดี”
บลูเคาะนิ้วที่ปกหนังสือ “เครื่องหมายดอกทานตะวันที่ปกหนังสือนี่คืออะไร”
“เครื่องหมายของโบสถ์ที่รวบรวมรายงานเรื่องนี้น่ะ”
“อยู่ที่ไหน”
“โบสถ์นี้เคยอยู่ที่สวอนซี ในเวลส์ แต่ถูกไฟไหม้เมื่อ 10 ปีก่อน” ลุคก้มลงมองคนที่นอนอยู่ “ไฟของแม่มดเผาทำลายทุกอย่าง รวมถึงชีวิตของบาทหลวงที่เขียนรายงาน หนังสือเล่มนี้ถูกส่งมาถึงมือฉันในวันเดียวกับที่เกิดไฟไหม้”
“ฌ็องส์เป็นคนเอามาให้นาย”
“ใช่ พวกสิ่งของที่พวกเราต้องใช้ หรือแม้แต่หนังสือเดินทางเขาก็หามาให้”
“หนังสือเดินทางน่ะนะ” บลูไม่อยากเชื่อ
“เดินทางข้ามประเทศก็ต้องใช้หนังสือเดินทาง”
“ปลอม?”
“ของจริงสิ”
“แล้วนายไปทำเองหรือเปล่า เขาใส่วันเดือนปีเกิดจริง ๆ ของนายหรือเปล่า” เมื่อลุคเงียบ บลูก็พูดต่อ “นั่นแหละปลอม”
“มีตราถูกต้องเลยนะ”
บลูส่ายหน้า พลิกตัวเปิดหน้าหนังสือไปที่เรื่องที่ยังสงสัย เพื่อซักถาม ขณะที่ลุคคอยอธิบายอยู่ข้าง ๆ
.....
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #153 เมื่อ25-08-2020 15:40:31 »

(ต่อครับ)

เบสโทรกลับบ้านในระหว่างที่ย้ายห้องเรียนในภาคเช้า คนรับใช้ที่รับสายบอกว่าผกาออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อเช้ามืด เบสจึงโทรฯเข้ามือถือ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
เบสรอจนถึงช่วงพักกลางวันหลังจากที่กินมื้อเที่ยงเสร็จก็โทรฯกลับเข้าบ้านอีกรอบเผื่อว่ามารดาจะกลับมาแล้ว คราวนี้กัลย์ซึ่งเป็นแม่บ้านเป็นคนรับสาย
เบสได้ยินเสียง ‘วืด’ เบา ๆ แล้วดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ในแบบที่เสียงนั้นกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาจนต้องยกหูโทรศัพท์ออกห่าง
“คุณคะ” เบสได้ยินเสียงของกัลย์จึงแนบหูกับโทรศัพท์อีกครั้ง
“แม่กลับมาหรือยังฮะ”
“ยังค่ะ”
“ผมโทรเข้ามือถือแม่แล้ว แต่ติดต่อไม่ได้ ถ้าแม่กลับมา หรือคุณกัลย์ติดต่อแม่ได้ ช่วยบอกว่าผมโทรหานะฮะ”
“ได้ค่ะ”
เบสกดวางสายโทรศัพท์แล้วหยิบกระเป๋าเรียนมาวางบนโต๊ะ พิมพ์ข้อความส่งถึงข้าวโพด ไม่ถึง 10 นาที ข้าวโพดกับนทีก็ตรงมาที่โต๊ะยาวใต้ตึกคณะ
เป็นการมาถึงแบบที่ทุกคนที่กำลังนั่งคุยเล่นกันอยู่ต้องหันมามองเป็นตาเดียวกัน
มือใหญ่แตะที่หน้าผากของคนที่ฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ แล้วหันไปถามนานา “หลับมานานหรือยัง”
“ก็สักพัก มีอะไร”
“กูไปซื้อน้ำเย็นมาให้” นทีบอก แต่เพื่อนอีกคนส่งน้ำขวดที่ยังไม่ได้เปิดให้
“ขอบใจ” นทีรับขวดน้ำมาเปิด
ส่วนข้าวโพดนั่งลงข้างเบส แล้วจับให้เบสเอนตัวมาพิง หันไปรับขวดน้ำจากนที “เบส ดื่มน้ำนะ”
เบสตอบรับเบา ๆ แต่ก็ดื่มน้ำไปได้นิดเดียว
“เรามีทิชชู่เปียก” นานายื่นทิชชู่ให้ แต่พอเห็นว่าข้าวโพดไม่รับไปก็ต้องอธิบายเพิ่ม “อันนี้เช็ดหน้าได้”
“ขอบใจ” ข้าวโพด รับมาเช็ดหน้า แต่พอจะเช็ดคอ หันไปเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาก็เปลี่ยนเป็นเช็ดมือให้
“ไม่ต้องรักษาอาการแล้ว ดูแลกันขนาดนี้” แหม่มบอก “จะทำอะไรก็ทำไปเหอะ”
“ข้าวโพด” น้ำเสียงของเบสเบามาก   
   “ดีขึ้นไหม”
“หนัก ไม่ มี แรง”
“ไปโรงพยาบาล” นทีแนะนำในฐานะที่เป็นอีกคนที่ต้องเอียงหูเข้ามาฟังคำพูดของเบส
ข้าวโพดพยักหน้าแล้วลุกขึ้น นทีกับบอลก็ช่วยกันพยุงเบสขึ้นขี่หลัง ส่วนนานารีบเก็บกระเป๋าของเบส กับกระเป๋าของข้าวโพดวิ่งตามมาที่รถ
เบสหลับไปตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล แล้วถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน หลังจากที่พยาบาลเข้ามาทำประวัติแล้วข้าวโพดลงชื่อรับรอง และอนุญาตให้ทำการรักษา นทีกับบอลก็ขับรถของข้าวโพดกลับไปมหาวิทยาลัย บอกว่าเลิกเรียนจะเอารถมาคืน
“เชื่อเหอะว่า นายหญิงนานากับเอฟซีมึงต้องตามมาที่โรงพยาบาล”
“ลำพังนายหญิงคนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่เอฟซีไอ้ข้าวโพดจะมารบกวนคนอื่นไหม ที่นี่โรงพยาบาลนะ” บอลเตือน   ข้าวโพดพยักหน้า บอกนทีว่าก่อนที่จะมาก็ให้โทรมาถามก่อน
เมื่อเพื่อนกลับไปแล้ว ข้าวโพดถึงได้โทรหาอัจฉราซึ่งเป็นมารดาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง จากนั้นก็หันไปเปิดโทรศัพท์มือถือของเบส
เบสไม่เคยบอกรหัสเปิดหน้าจอ แต่ข้าวโพดจำวิธีลากนิ้วเป็นตัวอักษร ‘Z’ เมื่อเปิดหน้าจอได้
บันทึกการโทรบอกว่าวันนี้ เบสโทรกลับบ้าน 1 ครั้งจากนั้นก็โทรเข้าเครื่องของมารดา แล้วก็เป็นการโทรกลับบ้าน กับการส่งข้อความหาข้าวโพด
ไม่ใช่แค่กลับบ้านไม่ได้ แค่โทรกลับบ้านยังไม่ได้เลย
แต่อาการคราวนี้เป็นแบบเฉียบพลันแล้วก็เป็นหนักกว่าเดิม
นทีโทรมาในตอนเลิกเรียน แล้วก็ขับรถมาคืนให้อย่างที่บอก โดยมีนานาขับรถตามมาพร้อมด้วยบอลและเพื่อน กลุ่มใหญ่แต่พอมาถึง พบว่าเบสยังหลับอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบวีไอพี ส่วนข้าวโพดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กับยังมีคนรับใช้ที่มาช่วยดูแลและกำลังจะกลับไป เพื่อนทุกคนก็เลยเพิ่งนึกได้ว่าครอบครัวของข้าวโพดรวยมาก
“แล้วติดต่อแม่ของเบสได้หรือยัง” นานาถามขึ้น
“ยังเลย”
ที่จริงแล้วข้าวโพดไม่กล้าโทรกลับไปที่บ้านของเบส และไม่กล้าโทรเข้ามือถือของผกาด้วย
ก็ถ้าหากวูบไปอีกคน จะทำอย่างไร
“หมอว่าไง”
“เบื้องต้นคือเม็ดเลือดขาวสูง”
“ยังไงวะ จู่ ๆ มันก็สูงงี้หรือ” นทีไม่เข้าใจ เพื่อน ๆ ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ
“ผลตรวจมันออกมาอย่างนั้น มันเกิดจากอะไรกูจะรู้ไหม”
“เบสก็กินข้าวไข่เจียว กับผัดผักเหมือนปกติแหละ ไม่เห็นมีอะไรแปลก” นี่ก็คือการตั้งสมมุติฐานในแบบของนานาเหมือนกัน
“หรือจะเป็นพวกกลิ่น” บอลช่วยเดาต่อไปเรื่อย ๆ
นานาหันมาเพิ่มข้อมูลอีกอย่าง “เห็นว่าคุยโทรศัพท์ แล้วก็นอนฟุบกับกระเป๋า กดโทรศัพท์แล้วก็หลับไป ไม่รู้เลยว่าหมดสติ”
“ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกน่ะ เขาก็เลยพอจะเซฟตัวเองได้ทัน” ข้าวโพดมองคนที่ยังหลับอยู่ “ที่เห็นเขากดโทรศัพท์อันสุดท้ายนั่นคือ เขาส่งข้อความหากูเอง”
“ทั้งที่พวกเรานั่งอยู่ตรงนั้นเป็นสิบน่ะนะ” แหม่มพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
นานากระทุ้งศอกใส่เพื่อนเบา ๆ เพื่อให้หยุดพูด “บอกเรา แล้วเรารู้เรื่องไหม ขนาดเพื่อนวูบไปแล้วเรายังไม่รู้เรื่องกันเลย หรือต่อให้รู้ เราก็ต้องโทรเรียกข้าวโพดอยู่ดีนั่นแหละ”
“แล้วพรุ่งนี้ว่าไง มึงจะหยุดเรียนไหม”
ข้าวโพดส่ายหน้า “กูจ้างพยาบาลแล้ว แต่พรุ่งนี้เช้าแม่กูจะแวะมาดูแล้วรอคุยกับหมอ กูเลิกเรียนก็จะกลับมาดู”
นทีหันไปมองหาโทรศัพท์ของเบส “แล้วโทรศัพท์เบสอยู่ไหน ยังไงเราก็ต้องโทรหาแม่ของเขา”
“อยู่กับกู เดี๋ยวกูโทรเอง”
นทีมองหน้าเพื่อน “มีอะไรหรือเปล่าวะ”
เพื่อน ๆที่กำลังคุยกันหันมามองข้าวโพด “ไม่มี มึงสงสัยอะไร”
“ไอ้เบสมีปัญหาอะไรกับที่บ้านหรือเปล่า เกี่ยวกับอาการป่วยของมันใช่ไหม”
ที่นทีสงสัยก็มีส่วนที่ถูกต้อง แต่ข้าวโพดก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเล่าไปแล้วเพื่อนจะคิดอย่างไร
“อย่าบอกว่าไม่รู้” เวลาที่นทีจริงจังขึ้นมาก็ทำให้ทุกคนเกรงใจได้เหมือนกัน
“ที่กูรู้ก็คือ เบสติดต่อแม่ไม่ได้ แล้วมึงก็เห็นตอนที่เบสไม่สบายครั้งก่อน” เพื่อนทุกคนพยักหน้า “กูก็เลยชวนมาอยู่ที่บ้านตั้งแต่ตอนนั้น”
“อันนั้นรู้แล้ว” นทีบอก “มึงต้องบอกเรื่องที่กูไม่รู้”
“มึงก็รู้ก็เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่แรก แล้วมึงจะอะไรกะกูนักหนาเนี่ย”
ข้าวโพดทำตลกได้ไม่ตลกที่สุด เพราะนทีส่ายหน้า แล้วหันไปยืนยันกับนานา “ข้าวโพดมีเรื่องปิดบัง ไม่อยากเชื่อเลย”
“เอางี้ พรุ่งนี้มึงมารอคุยกับหมอเลยละกัน”
“กูไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น กูอยากรู้ว่าทำไมเบสถึงมาอยู่บ้านมึง”
“ก็เบสป่วย แม่ไม่อยู่” ข้าวโพดย้ำคำเดิม
แหม่มถามอย่างตรงไปตรงมา “พวกเธอคบกันแล้วก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่แม่ของเบสไม่เห็นด้วยทำให้เบสเครียดจนไม่สบายใช่ไหม”
ข้าวโพดถึงกับสตั๊นในความสามารถผูกเรื่องของแหม่ม
“หรือพวกเธอคบกันมานานแล้ว แต่มีเรื่องเมื่อวันก่อนโน้น ใช่ ฉันนึกออกแล้วที่เบสเงียบไปเลยตอนที่กลับบ้านน่ะ”
“หยุด” ข้าวโพดบอก “หยุดคิดนั่นคิดนี่ ได้แล้ว”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
“กูจะไปรู้ได้ไง รู้แต่เบสไม่ค่อยสบาย โทรมาเรียกให้กูไปรับ แล้วเขาก็มาอยู่บ้านกู” ข้าวโพดมองหน้าเพื่อน “ใช่ กูชอบเขา คิดกับเขามากกว่าเพื่อน แต่เขาชอบกูมากกว่าเพื่อนหรือเปล่ากูไม่รู้ พอใจหรือยัง”
“บ้า พวกมึงสนิทกันขนาดนี้” นทีบอก
“เบสหึงฉันเสียขนาดนั้น” แหม่มพูดบ้าง
ข้าวโพดมองคนที่ยังนอนหลับอยู่ ขณะที่ภายในสมองคิดถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่มารดาของเบสกลับมาบ้าน...

.....จบตอนที่ 11.....
อ่านจบตอนนี้แล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าคุณคิดเห็นอย่างไร
รบกวนรีพลายบอกเราด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ
ไจฟ์ครับ

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #154 เมื่อ25-08-2020 16:30:03 »

แปะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านฮะ


  :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #155 เมื่อ25-08-2020 21:41:47 »

ลุคกะบลูไม่มาหาเบสเลย

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #156 เมื่อ26-08-2020 11:45:55 »

หมายความว่ายังไงนะที่คนอื่น ๆ ก็จะมี 2 คนเหมือนกัน


สงสัยๆ  :hao4:


บลู ถ้าน้องจะจับร่องรอยพี่ลุคในระยะ 1 กิโลได้ ต่อไปพี่ก็ไปไหนไม่รอดแล้ว หึหึ  :laugh:


แม่ของเบสก็แวบไปแวบมา จริงๆ แล้วเป็นใครอ่ะ ถึงขนาดทำให้เบสสลบได้ผ่านเสียงทางโทรศัพท์ น่ากลัวเกินไปแล้ว


มุ่งเป้าเบสเพื่อล่อให้บลูเผยตัวออกมาหรือเปล่านะ :hao4:


รอคลายปมตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อฮะ


ขอบคุณพี่ไจฟ์น้องที  :3123:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #157 เมื่อ28-08-2020 16:17:50 »

 
 รึมีร่างแยก  o22


ว่าแต่อิหนูเบส ถ้าไม่มีข้าวโพดอยู่ข้างๆ น่าจะโดนหนักกว่านี้นะนี่ เหมือนพร้อมวิ่งเข้าหาสิ่งที่ทำร้ายตัวเองได้ตลอด


อันนี้ตอบคุณไจฟ์ที่ถามท้ายๆตอนเอาไว้นะคะ จริงตอนแรกก็กลัวแหล่ะ

แต่เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเขียนมาให้อ่านสักเท่าไหร่ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่อ่านเพลินมาก

ตอนแรกก็มีเอ๊ะ มีเครื่องรางแอบคิดถึงพ่อมดแฮรรี่บ้าง แต่เนื้อหาก็คนละแบบเลยอันนี้พระเอกเก่งงงงงง


ติดตามอยู่ค่ะ เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนค่ะ  :pig4:





 

ออฟไลน์ jeab12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #158 เมื่อ13-09-2020 10:33:14 »

มาเป็นกำลังใจให้ น้ำชา นะคะ   

ออฟไลน์ jj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #159 เมื่อ13-09-2020 11:27:49 »

เข้ามาให้กำลังใจน้ำชาจ้า
อ่านแต่ละตอน ต้องใช้สมาธิอยู่นะ
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนได้ดีจริงๆ

ตามๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
« ตอบ #159 เมื่อ: 13-09-2020 11:27:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yupinka

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #160 เมื่อ13-09-2020 12:15:38 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #161 เมื่อ13-09-2020 12:21:54 »

ตามๆๆๆ :3123:


ตอนนึงยาวมาก อ่านแบบจุใจ


ขอบคุณคนแต่งทั้งพี่ไจฟ์น้องที :mew1:


เป็นกำลังใจให้น้า :กอด1:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #162 เมื่อ14-09-2020 09:07:28 »



 :L2:

เรายังรอน้องบลูอยู่เสมอ


เข้ามาเป็นกำลังใจให้จ้า


 :กอด1:  :กอด1:




ออฟไลน์ nongfom

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
«ตอบ #163 เมื่อ14-09-2020 11:12:34 »

เป็นกำลังใจให้น้ำชานะ สู้ ๆ

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #164 เมื่อ16-09-2020 16:00:12 »

ตอนที่ 12
   
ข้าวโพดเลิกเรียนก็กลับมาที่โรงพยาบาล ซึ่งมีทั้งพยาบาลพิเศษที่จ้างให้เฝ้าไข้ และยังมี ‘พี่นี’ ซึ่งเป็นคนรับใช้จากที่บ้านอยู่อีกคน
ส่วนเบสกำลังนอนดูโทรทัศน์
“เป็นไงบ้าง”
เมื่อข้าวโพดถาม พยาบาลก็บอกผลการตรวจและอาการว่านอกจากอ่อนเพลียแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น ข้าวโพดจึงบอกให้เธอกลับไปพักผ่อน จากนั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้พี่นีเก็บเสื้อผ้ากลับไปซัก
เมื่อพี่นีกลับไปแล้ว ข้าวโพดจึงเดินมานั่งลงข้างเตียง จับมือข้างที่ไม่ได้ให้น้ำเกลือไว้
“ขอบใจนะ” เบสบอก
ข้าวโพดพยักหน้า “โทรศัพท์เบสอยู่กับเรา”
เบสบีบมือข้าวโพดแน่นขึ้น “แล้วโทรหาที่บ้านหรือเปล่า อย่าโทรนะ”
“เปล่า เรารอถามเบสให้แน่ใจก่อน”
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ บ่งบอกว่าเราทั้งคู่คือจุดอ่อน และจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม
“ถามอะไร”
“ที่เบสเป็นอยู่มันไม่ใช่อาการป่วยแบบที่หมอบอก”
“ก็ถึงได้อยู่เงียบ ๆนี่ไง” ไม่กล้าบอก ไม่กล้าถามอะไรใครั้งนั้น คนที่ไว้ใจได้ และสามารถบอกเล่าทุกอย่างได้ เหลือเพียงแค่ข้าวโพดเพียงคนเดียว
ข้าวโพดขยี้ผมนิ่มเบา ๆ “อาการของเบส มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน”
เบสไม่เข้าใจคำถาม “ตอนที่เป็นครั้งแรก หรือตอนนี้”
“งั้นเล่าตั้งแต่ตอนที่แม่ของเบสกลับมาจากเมืองนอกรอบล่าสุดเลยละกัน เวลาที่พี่มาจะได้บอกกับเขาได้”
“หมายถึงตอนที่แม่ซื้อเสื้อมาซ้ำแล้วเราเอาให้ข้าวโพดน่ะหรือ”
“เออ เอาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”
เบสเริ่มตั้งแต่ตอนที่แม่เดินทางไปงานแต่งงานของญาติผู้พี่ ที่เบสไม่ชอบเธอสักเท่าไหร่นัก แต่การเดินทางของคุณผกาก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือเที่ยวเป็นหลัก เธอจึงส่งพวกของฝากและสินค้าที่ระลึกกลับมาก่อน
“แม่ชอบของที่ระลึกมากเลยหรือ” ข้าวโพดนึกถึงพวกของประดับบ้าน ที่ไปทีไรก็มองผ่านมาโดยตลอด
“เขาชอบพวกของชิ้นเล็ก ๆ  ไปที่ไหนก็ซื้อมา แล้วเอามาจัดบ้าน พอเบื่อก็เก็บใส่กล่อง แต่พวกหมวก หรือตุ๊กตาตัวสูงสัก 2 ฟุตก็มีนะ เขาก็เอามาวาง ๆ สักพักก็เก็บเหมือนกัน”
ข้าวโพดขมวดคิ้วแน่น
“เดาไม่ถูกเลยใช่ไหมล่ะ ว่ามันคือชิ้นไหน”
“ยากว่ะ แล้วเบสเปิดกล่องออกมาดูก่อนหรือเปล่า”
“เปล่า เวลาบริษัทเขามาส่งของ เราก็อยู่มหาวิทยาลัย คุณกัลย์” ที่เป็นแม่บ้าน “เป็นคนรับ เขาก็เก็บทั้งหมดไว้ที่ห้องของแม่”
ข้าวโพดพยักหน้าบอกให้เบสเล่าต่อ
“วันที่เขากลับมา เรามาถึงบ้านทีหลังเขาไง ตอนที่มาถึงแม่ก็กำลังแกะของ กระจายเต็มห้อง เราก็ช่วยเก็บพวกขยะ ที่เป็นพวกพลาสติกหรือเศษกระดาษ พวกบับเบิ้ลกันกระแทกออกไปทิ้ง แล้วข้าวโพดก็ตามมาบ้าน”
ตอนนั้นยังไม่เห็นว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น
“ตอนแกะนี่ แม่อยู่คนเดียวหรือ”
“ใช่ ขนาดคุณกัลย์ยังห้ามเข้ามายุ่งเลย เป็นอย่างนี้ตลอด”
“แม่หวงของมากเลยหรือ”
“ก็เขาชอบของที่ระลึกแบบนี้ แต่ถ้าเป็นพวกขนม หรือของที่เตรียมไว้ให้คนอื่นนี่ เขาจะแยกไว้ก่อนบอกไว้เลยว่า จะเอาอะไรไว้ให้ใคร”
ฟังดูก็เหมือนจะเป็นความหวงในอีกแบบหนึ่ง
ถ้าสาเหตุที่ทำให้เบสมีอาการแบบนี้อยู่ในกลุ่มพวกของที่ระลึกที่คุณผกาซื้อกลับมา เบสก็น่าจะเริ่มมีอาการตั้งแต่ตอนนั้น
แล้วอาการมันเริ่มจากตอนไหน
เบสนึก “พี่มาหาครั้งแรกแล้วก็คุยกันจนดึกมาก จากนั้นก็ไปกินเหล้ากับพวกข้าวโพดไง ทีนี้ก็เหมือนนอนไม่พอ แต่ก็นอนไม่หลับในเวลาเดียวกัน”
เบสเล่าเรื่องมาจนถึงตอนที่มีอาการอ่อนเพลียครั้งแรก แล้วข้าวโพดช่วยดูแลที่มหาวิทยาลัย จนถึงตอนที่กลับไปบ้านแล้วอาการแย่ลง จากนั้นก็บอกให้ข้าวโพดมารับที่บ้าน
“ตอนที่รอน่ะ เรารู้สึกว่าแขนขามันหนักมาก อยากอยู่เฉย ๆ ไม่อยากขยับตัว มันจะประมาณนี้ ทั้งที่รู้ว่ายังมีของอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้หยิบมา แต่ก็ไม่อยากขยับ พอข้าวโพดมาเราก็จะไปบอกแม่ แต่ก็รู้สึกไม่อยากบอก”
เบสรู้ตัวมาตลอดว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับตนเอง แต่ไม่ยอมบอกใคร
ส่วนความผิดปกติที่เกิดขึ้นตอนที่กลับไปเอาของที่หน้าบ้าน ไม่ถือว่ารุนแรง แต่ควรเก็บเป็นข้อมูลเพื่อระวังเหมือนกัน
จนมาถึงครั้งล่าสุดนี้ เบสลำดับการโทรศัพท์ให้ข้าวโพดฟัง แล้วพอเริ่มมีอาการขึ้นมา ก็รีบส่งข้อความหาข้าวโพด
ข้าวโพดวิเคราะห์ “เรารู้สึกสงสัยคุณกัลย์”
“เราเป็นห่วงแม่ ยิ่งพอมาลำดับเรื่องแบบนี้ เราก็ยิ่งเป็นห่วง”
ข้าวโพดก็คิดอย่างเดียวกัน ทั้งนึกระแวงไปถึงขั้นที่อยากพาเบสออกจากโรงพยาบาลเสียทันที
“แต่เราก็ยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ไม่รู้ว่าจะสู้พวกเขายังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำร้ายแม่ของเบสทำไม แล้วแม่อยู่ที่ไหน รู้อย่างเดียวคือต้องรอให้พี่ ๆ มาจัดการ”
“รู้สึกว่า นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว เรายังเป็นตัวถ่วงพี่เสียอีก” เบสเขย่ามือของข้าวโพด “ไปถามหมอให้หน่อยสิ ขอกลับบ้านวันนี้เลยได้ไหม”
เป็นคำขอที่ตรงกับใจของข้าวโพดมาก แต่เมื่อข้าวโพดโทรไปถาม หมอก็บอกว่าเบสยังต้องสแกนสมองในวันพรุ่งนี้ และยังต้องรอให้ระดับของเม็ดเลือดกลับมาเป็นปกติก่อน คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 3 วัน
ข้าวโพดวางสายจากหมอแล้วหันมาบอกกับเบส
“อีก 3 วัน”
“นานจัง” เบสบ่น

สายวันถัดมา หลังจากที่ข้าวโพดไปเรียนแล้ว พยาบาลพิเศษกับพี่นีก็พาเบสไปตรวจเพิ่มเติม แล้วกลับมาที่ห้องในเวลาเกือบเที่ยงวัน หลังจากที่ทั้ง 2 คนจัดอาหารกลางวันให้เสร็จ เบสจึงบอกให้ทั้งคู่ไปพักในระหว่างที่ตนเองกำลังจะนอน แต่หลังจากที่ประตูห้องปิดลงได้ไม่ถึง 2 นาที หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาที่ห้อง
เบสไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้
เธอมีใบหน้าสวยคม โดดเด่นที่ดวงตากลมโตที่แม้จะสวยงามแต่ก็ดูน่ากลัวมากในเวลาเดียวกัน เส้นผมยาวสีดำ และสวมชุดพอดีตัวสีดำ เครื่องประดับเพชรสีดำเป็นรูปแมงมุมสะดุดตา
“สวัสดีฮะ” เบสทักขึ้นขณะที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“สวัสดี ไม่ต้องตกใจ ฉันชื่ออรัญญา ตั้งใจมาหาเธอ ไม่ได้เข้าห้องผิดแน่นอน”
นั่นคือคำถามที่อยู่ในใจ “แล้วมีอะไรหรือฮะ”
เบสไม่ไว้ใจอยากเอื้อมมือไปกดออดเรียกพยาบาล แต่กลับขยับตัวไม่ได้ จนกระทั่งเธอมาหยุดอยู่ข้างเตียง
“เด็กดี ไม่ต้องกลัว ฉันก็แค่มีเรื่องอยากมาเตือนเธอไว้ ไม่อยากให้เธอทำเสียเรื่อง” ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด “ฉันรู้ว่าเธอเจอลุคคนนั้นแล้ว เขาไม่ใช่คนดี แล้วก็ยังเอาคนที่เราต้องการตัวไปซ่อนไว้เสียอีก คน ๆ นั้นคือคนที่ทำร้ายแม่กับเพื่อนของเธอ”
เบสพูดไม่ได้ ขยับแขนขาก็ไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งฟังเธอพูด
“เธอต้องหยุดขัดขืนฉันก่อน และสัญญาว่าจะคุยกันดี ๆ ฉันถึงจะคลายการควบคุมเธอ”
ที่แท้เธอก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่พี่เคยบอกว่า ศัตรูของพี่มีหลากหลายรูปแบบ 
เมื่อเบสพยักหน้า ก็สามารถขยับแขนขาและพูดได้ทันที
 “คุณเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ มาพูดแบบนี้ ผมจะเชื่อคุณได้ไง”
“ฉันรู้ว่าเรื่องมันไม่ได้เริ่มขึ้นในตอนที่แม่เธอกลับมาจากต่างประเทศ แต่มันเริ่มขึ้นหลังจากที่คนที่มีดวงตาสีฟ้ามาพบเธอต่างหาก เขาคือปีศาจ”
“ไม่ใช่”
อนัญญายิ้มมุมปากเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเบสจะต้องเถียงแบบนี้ “เขาชี้นำ แล้วก็บอกให้เธอเชื่อฟังเขาใช่ไหม เขาทำให้เรื่องมันแย่ลง แต่ลุค ทั้งที่เขามีหน้าที่จัดการปีศาจตนนั้น ก็กลับเอาเขาไปซ่อนไว้”
เมื่อเบสหยุดคิดตามก็พบว่า สิ่งที่พบเห็นมา มันไม่ได้ตรงกับที่อนัญญาเล่าสักเท่าไหร่
“แล้วคุณต้องการอะไร”
“ในเมื่อลุคไม่ทำหน้าที่ ฉันก็ต้องจัดการแทน”
“คุณเป็นใคร ทำไมต้องจัดการแทน”
อนัญญาไม่ได้ตอบว่าเธอเป็นใคร “ปีศาจที่มีดวงตาสีฟ้าตนนั้น ทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมาย”
พี่น่ะหรือจะทำเรื่องอะไร จากที่เห็นก็มีแต่พี่ลุคที่จัดการ
“เธอไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้”
“แล้วคุณมาบอกผมทำไม” เบสเถียงทันที
“เพราะเขาคือปีศาจที่ทำร้ายเธอกับแม่ของเธอ”
พี่ทำร้ายเราหรือ เขามีแต่บอกให้เราระมัดระวังตัวให้มาก
“ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น”
“เด็กน้อย” อนัญญาก้มลงมาหา “เขาทำร้าย และทรมานแม่ของเธอมานานเหลือเกิน ส่วนสาเหตุ...ก็เพราะความเข้าใจผิดไง”
นั่นยิ่งฟังดูเลื่อนลอยและไม่น่าเชื่อถือมากไปกว่าเดิมเสียอีก
“แล้วคุณมาหาผมทำไม ในเมื่อคุณเป็นคนที่บอกว่าพี่ลุคซ่อนเขาไว้”
หญิงสาวยกมือขึ้น เล็บสีดำปลายแหลมกรีดลงบนต้นคอของเบสอย่างรวดเร็ว แต่พอปัดมือของเธอออก เธอก็หัวเราะ
“คุณ”
“เพราะสุดท้ายแล้ว ทั้งลุคและปีศาจตาสีฟ้านั่นจะต้องกลับมาเธออย่างแน่นอน เด็กดี หลับให้สบาย จำไว้ว่าเขาคือคนที่ทำร้ายเธอกับแม่”
เบสหลับในทันทีอย่างที่เธอบอก และออกจากโรงพยาบาลกลับมาบ้านในอีก 3 วันถัดมา
...
นอกจากเวลาที่ได้คุยกับเจตน์กับแอนในร้านกาแฟ บลูไม่เคยชอบการพักอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเจ้าของร้านจะพยายามปรับเปลี่ยนห้องอย่างไรก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับความพอใจของบลูเลยสักนิด เพราะที่นี่ไม่เงียบ ไม่มีความสงบ ที่สำคัญคือการที่ต้องอยู่ในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างแทบตลอดเวลา มันคือการขังไว้ในกรงดี ๆ นี่เอง
“ต้องอยู่อย่างนี้อีกนานไหม เบื่อ”
บลูที่ยืนกอดอกรออยู่กลางห้องพูดทันทีที่ลุคเปิดประตูห้องเข้ามา
ลุคมาถึงตั้งแต่ตอนที่เจตน์กับแอนกำลังปิดร้าน บลูได้ยินเสียงทั้ง 3 คนคุยกันเกี่ยวกับการขาย เรื่องลูกค้า รายรับ รายจ่ายอะไรมากมาย จนกระทั่งทั้ง 2 คนกลับออกไป ก็ยังได้ยินเสียงลุคปิดร้าน ทำอะไรอยู่ข้างล่างอีกพักใหญ่กว่าที่จะขึ้นมา
ที่จริงบลูก็อยากเดินลงไปถามคำถามนี้ให้มันชัด ๆ ตั้งแต่ตอนที่ลุคเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เลี้ยวเข้ามาจอดที่ในที่จอดรถด้านหลังร้านแล้ว แต่เพราะคิดว่าอีกครู่หนึ่งเขาก็คงขึ้นมา
แต่ปรากฏว่า เวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงเขาถึงได้ขึ้นมาที่ห้อง
“ไม่หรอก” ลุคตอบแล้วเดินเข้ามาในห้อง
“ที่ว่าไม่หรอก นี่คือกี่วัน” บลูเดินวนรอบลุค “ทำไมนายมีสัญลักษณ์แปลก ๆ สีทองกับสีเงินเหลื่อมกันรอบตัวนายนี่มันคืออะไร”
“ฉันถูกตาม ก็เลยต้องใช้คาถาสะกดวิชาติดตามไว้”
“ซอว์นีย์ไม่รู้หรือไงว่าร้านนายอยู่ที่นี่”
“รู้ แต่ไม่รู้ว่านายอยู่ที่นี่” เมื่อเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ลุคก็รู้สึกอยากวิ่งเอาศีรษะชนเสาให้รู้แล้วรู้รอด
“นายเจอซอว์นีย์แล้ว แต่นายไม่ยอมบอกฉัน”
“ฉันอยากบอก แต่เพราะว่า ที่ร้านนี้มีเจตน์กับแอน ถ้าบอกเรื่องนี้ นายต้องออกไปสู้กับมันแน่ ๆ ถ้าสู้กันซึ่งหน้าไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกมันหันมาจับทั้ง 2 คนไว้เป็นตัวประกันจะทำอย่างไร” ลุคยอมรับ “ฉันพลาดเอง” ที่ทำให้คนสำคัญทั้งหมดมาอยู่ในที่เดียวกัน
ลุคพูดมากกว่า 1 ครั้งว่าการซอว์นีย์มีความถนัดเรื่องจับผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน
บลูกอดอกแน่นกว่าเดิม “พรุ่งนี้นายปิดร้าน แล้วออกไปต่างจังหวัด ฉันจะกลับไปที่ห้อง”
“ฉันก็ออกไปต่างจังหวัดโดยมีพวกมันคอยตามฉันอยู่โดยตลอด แต่พวกมันวางวิญญาณให้คอยเฝ้ามองอยู่แถวนี้ด้วย”
“เดี๋ยว” บลูยกมือ เมื่อครู่นายบอกว่าอะไรนะ “พวกมันตามนาย แสดงว่ามันเห็นฉันแล้ว”
“น่าจะเพิ่งเห็นก็ตอนที่พวกเราไปจัดการวิญญาณที่อาคาร06 นั่น”
“อธิบายตรงนี้อีกครั้งได้ไหม”
“ฉันเป็นมือปราบ พวกมันหนีฉัน แต่หลังจากที่เหตุการณ์ที่อาคาร06 พวกมันจะตามฉันอยู่ห่าง ๆ ทั้งวางวิญญาณคอยเฝ้าที่นี่ และที่หน้าโบสถ์ของฌ็องส์ด้วย แสดงว่าพวกมันเห็นนายแล้ว”
“ทำไมฉันไม่รู้ตัวเลย” ไม่เคยสัมผัสวิญญาณ หรือปีศาจแถวนี้เลยสักตน
“ฉันผนึกที่นี่ไว้ พวกมันไม่เห็นนาย แล้วก็เข้ามาไม่ได้”
มิน่าถึงสัมผัสวิญญาณคนแก่ หรือบรรพบุรุษของคนแถวนี้ไม่ได้เลยสักตน
ไม่น่าถามเลยแฮะ “งั้นสรุปเลยนะ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ถามเจตน์ว่าจะพาแอนไปหาหมอเมื่อไหร่ เราปิดร้านวันนั้นแล้วฉันจะออกไป”
“บลู”
“ฉันกำลังจะเป็นบ้าอยู่แล้ว! นายมองไม่เห็นหรือไง!”
“เห็น แต่นายออกไปไม่ได้นะ” คิดแล้วเชียวว่าถ้ารู้แล้วจะต้องอาละวาดแบบนี้
“แล้วนายจะซ่อนฉันไว้ตลอดไปหรือไง ป่านนี้เบสจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
“แต่พวกมันไม่ได้ต้องการเบส พวกมันต้องการนาย พวกเขาจะปลอดภัยตราบใดที่พวกมันหานายไม่พบ”
“นายก็เลยปล่อยให้ทุกคนต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างนี้น่ะหรือ”
“บลู ขอร้อง” ลุคจะกอดบลู แต่บลูขัดขืนไว้ ลุคก็บังคับกอดจนได้ “ขอร้อง ฉันไม่ต้องการเสียนายไปอีกแล้ว ขอเวลาอีกนิดเดียวนะ ขอแค่อีกวันเดียวเท่านั้น ฉันจะหาทางดึงพวกมันให้ตามฉันไป จากนั้นนายก็ค่อยหนีไปอีกทาง แต่ห้ามกลับไปหาเบสอย่างเด็ดขาด”
บลูหยุดขืนตัว “พวกมันจะใช้เบสล่อฉันออกมา แล้วก็กำจัดฉันใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า “วิธีการหลอกล่อให้ออกมามีหลายแบบ แต่มันจะใช้วิธีนั้นก็ต่อเมื่อมันรู้ว่านายอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่ามันต้องเสียเหยื่อไปฟรี ๆ”
“ยังไง”
“ที่ผ่านมานายจะลงมือกับคาร่าโดยตรง พวกมันจึงเข้าหาคาร่าก่อนเพื่อเอาเป็นพวก และรอให้นายลงมือกับคาร่าจึงจะกำจัดนาย เพราะนั่นจะเป็นโอกาสเดียวที่มันจะเห็นได้อย่างชัดเจน แต่นายกลับมาตามเบส แล้วฉันก็เอานายมาซ่อนไว้เสียก่อน”
“แสดงว่านายรู้ว่ามีซอว์นีย์อยู่ใกล้ตัวเบสมาโดยตลอด”
“คาร่า หรือผกา กับเกรซ หรือเบสในเวลานี้” ลุคทำความเข้าใจ “ฉันจับไอปีศาจ หรือพ่อมด แม่มดใกล้พวกเขาไม่ได้เลย จึงสงสัยว่าเป็นเครื่องรางบางอย่าง แต่คาร่าหรือผกาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนหลังจากที่กลับมาจากสแกนดิเนเวียนรอบนี้ แล้วหลังจากที่ได้คุยกับข้าวโพดในวันนี้ เขาสงสัยคนที่เป็นแม่บ้าน ที่ดูแลผกาอย่างใกล้ชิด และเป็นคนรับของที่มาจากยุโรปแล้วก็จัดเก็บของทั้งหมดไว้ โดยที่เบสไม่ได้แตะต้องของพวกนั้นเลย อาการของเขามันเริ่มขึ้นหลังจากนั้นหลายวัน ทำให้คิดว่า น่าจะเพราะเพิ่งมีการเปิดผนึกเครื่องรางนั้น”
“นายหมายถึงอาการอ่อนเพลียนั่นน่ะหรือ”
บลูไม่รู้ว่าเบสป่วยเข้าโรงพยาบาล และลุคก็ไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้ เพราะบลูจะต้องดึงดันที่จะออกไปหาน้องอย่างแน่นอน 
“ใช่ ตอนนี้ข้าวโพดก็เลยต้องเก็บโทรศัพท์ของเบสไว้ เพื่อไม่ให้ติดต่อกับคนที่บ้านไว้ก่อน”
บลูถามว่า ทำไมต้องห้ามการติดต่อ ลุคก็อธิบาย
“ก็ถ้าเกิดโทรกลับบ้านแล้วทางนั้นพูดจาหว่านล้อม แล้วข้าวโพดจะห้ามยังไงไหว ดีไม่ดีถ้าไปด้วยกันทั้ง 2 คนนายต้องพุ่งตรงไปช่วยพวกเขาแน่นอน”
บลูทุบหลังของลุค “ปล่อยได้แล้ว”
“จูบก่อนได้ไหม” ลุคพูดแล้วก้มลงฟัดแก้มบลูจนเต็มปอดถึงได้ปล่อยออก
ใบหน้าของบลูเป็นสีแดงเรื่อชัดเจนมากกว่าที่เห็นเมื่อวันก่อน และเพราะว่ามัวแต่สนใจความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายทำให้ไม่เห็นขาที่ยกขึ้นมาแล้วถีบเต็มแรง!
ลุคเสียหลักถอยไปหลายก้าวแล้วต้องคุกเข่าลง
“ลุค เมอร์ฟี! ไอ้สสารสมองเม็ดถั่ว!”
“เบาหน่อย”
“นายน่ะมันตัวอันตรายมากกว่าไอ้ตัวที่มันเฝ้าที่นี่อยู่เสียอีก!” บลูโกรธจนอยากจะคลั่ง คนกำลังห่วงน้อง ไอ้หมอนี่กลับคิดแต่จะฉวยโอกาส!
ลุคนั่งลงขัดสมาธิเงยหน้ามองคนที่กำลังโกรธ
“เพราะฉันแน่ใจว่าวันพรุ่งนี้ ทันทีที่ฉันออกไป นายก็จะหลบหนีไปอีกทาง ถ้าพวกมันตามนายทัน...ก็หมายความว่าชีวิตของฉันไปจนถึงวันสิ้นโลก คือความว่างเปล่า”
บลูเท้าเอว เงยหน้าเดาะลิ้น แล้วนั่งลงขัดสมาธิเข่าชิดกับลุค
“หยุดความคิดของนายที่มันหมุนเร็วอย่างกับลูกข่างเดี๋ยวนี้ ฉันตามนายไม่ทันแล้ว”
“นายไม่เข้าใจ ว่าฉันรักและเป็นห่วงนายขนาดไหน”
บลูใช้สองมือจับใบหน้าของลุคให้มองมาตรง ๆ “ลุค เมอร์ฟี ฉันไม่ใช่โอเวน ไร้ท์ ฉันดีใจที่นายพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องฉัน แต่ฉันไม่ใช่ โอเวน ไร้ท์” สายตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจของลุคทำให้บลูต้องเปลี่ยนความตั้งใจ “ฉันจะอยู่ที่นี่อีก 1 วันอย่างที่นายขอครั้งแรก จากนั้นฉันจะหนีไปให้เร็วที่สุด ไกลที่สุด จะหลบซ่อนตัว เพื่อให้นายจัดการเรื่องพวกนี้ได้อย่างเต็มที่ ฉันไม่ต้องการให้นายห่วงหน้าพะวงหลัง จนทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในความเสี่ยงไปด้วยกันทั้งหมดแบบนี้ แล้วฉันจะกลับมาหานายเอง ฉันสัญญา”
“บลู”
“ที่จริงฉันก็อยากขอให้นายเว้นคาร่าไว้ให้ฉัน เพราะถ้าให้มือปราบอย่างนายจัดการ คาร่าก็คงไม่ได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว หลังจากนี้ฉันจะตามล่าใคร เอาไว้ค่อยคิดทีหลัง ตอนนี้ ฉันอยากให้นายกำจัดพวกซอว์นีย์ไม่ให้เหลือซากมากกว่า”
บลูชกที่ไหล่หนาเบา ๆ
“นายโทรศัพท์ไปคุยกับเจตน์เรื่องปิดร้านไป ฉันจะล้างตัวแล้วก็จะนอนอ่านหนังสือต่อแล้ว”
ลุคหายลงไปพักใหญ่ก็กลับขึ้นมา ล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแทรกตัวใต้ผ้าห่มนอนข้าง ๆ “วันนี้มีอะไรจะถามไหม”
บลูพยักหน้า เปิดไปที่หน้าหนังสือที่มีเรื่องสงสัย แต่ถามเรื่องอื่น “นายมองเห็นในความมืดในระดับไหน”
“ไม่ถึงกับหาเข็มได้”
“บาทหลวงนักวิทยาศาสตร์คนนั้นยังอยู่ไหม”
“ไม่”
“เขาเปลี่ยนนายแล้วทำไมเขาไม่เปลี่ยนตัวเอง”
“เพราะขั้นตอนที่ฉันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้มันสาหัสชนิดที่อยู่ไม่สู้ตายน่ะสิ”
บลูเงยหน้าขึ้นมองคนที่มองมาด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วก็ต้องปิดหนังสือ จากนั้นก็ขยับตัวนอนหนุนแขน “การหลบหนีเป็นสิ่งที่ฉันถนัดที่สุด ขอให้เชื่อว่าฉันจะไม่เป็นอะไร นี่เป็นโอกาสที่ดีที่นายจะกำจัดพวกมัน”
ลุคดันคางบลูให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ แล้วกอดไว้แน่น

สายวันถัดมาลุคขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มุ่งหน้าไปที่โบสถ์ของสาธุคุณฌ็องส์ ส่วนเจตน์และแอนมาเปิดร้านตามปกติ บลูลงมากินอาหารเช้าที่ครัวทางด้านหลัง จากนั้นก็กลับขึ้นมาอยู่ในห้อง
ลุคกลับมาร้านในตอนเย็น เพื่อจ่ายค่าแรงให้กับทั้ง 2 คน และบอกให้แบ่งขนมในร้านกลับไปด้วย ส่วนที่เหลือลุคเอาไปแจกเด็ก ๆในละแวกใกล้เคียง แล้วก็ไปแจ้งไว้กับร้านขนมว่าจะต้องปิดร้านหลายวัน
2 ทุ่มเศษลุคขี่รถจักรยานยนต์คันใหญ่ออกไป
บลูรอจนถึงช่วงเช้าของวันถัดมา ขณะที่การจราจรหน้าร้านกำลังแน่นขนัด ปีศาจตาสีฟ้าเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มควันปะปนไปกับควันของรถคันใหญ่ที่ผ่านมา ย้ายจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่ง จนกระทั่งออกมานอกเมืองก็แฝงตัวอยู่ในต้นไม้ใหญ่
...
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #165 เมื่อ16-09-2020 16:05:59 »

(ต่อครับ)
หลังจากที่เบสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ให้ข้าวโพดฟัง ช่วงเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลหลายวันถัดมา เบสกับข้าวโพดก็แทบไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ข้าวโพดจะนอนเฝ้าเบสเองอยู่ทุกคืน
ทุกครั้งที่เบสถามว่าได้เจอพี่บ้างหรือยัง ข้าวโพดก็ตอบเหมือนเดิมคือยังไม่เจอ
“เขาไปไหน”
ทั้ง 2 คนต่างก็สงสัยเหมือนกัน   
ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลข้าวโพดจ่ายค่ารักษาทั้งหมดก่อนที่จะออกไปเรียน แม้เบสจะยืนยันว่าสามารถจ่ายค่ารักษาเองได้ก็ตาม
ส่วนคนที่รับเบสกลับบ้านคือคุณจีนซึ่งเป็นแม่บ้านของอัจฉรากับเบส และเมื่อคนขับรถเลี้ยวรถเข้ามาในบ้าน เบสก็เหลียวมองไปรอบตัวด้วยความกังวล
ที่นี่ปลอดภัยกว่าการกลับไปบ้านจริงหรือ
...
เมื่อข้าวโพดเลิกเรียนแล้วกลับมาบ้านในตอนเย็น ก็มีนทีกับนานาตามมาด้วย ทั้ง 2 คนอ้างว่า มาช่วยทำรายงานในช่วงที่เบสหยุดเรียนไปหลายวัน
“มีงานสะสมหลายอย่าง ขนาดของข้าวโพดเองยังทำไม่เสร็จ ฉันมั่นใจว่าของแกก็จะต้องยังไม่ได้ทำแน่นอน” นานาเดา แล้วพอเบสหน้าตาเหรอหราหันไปหาข้าวโพด นานาก็เร่งให้ไปทำรายงานทันที
“อย่ามัวแต่คิด รีบขึ้นไปทำรายงานด่วนเลย พวกเราช่วย” 
ทั้ง 4 คนไปรวมอยู่ในห้องนอนของข้าวโพดเพื่อช่วยกันทำรายงาน ทั้งรายงานส่วนตัว และรายงานกลุ่ม รวมถึงช่วยเก็บชีทมาให้ด้วย
“ฉันไปตามจากคนที่ลงวิชาเดียวกับแกมาให้ เพราะเดาว่าข้าวโพดก็ต้องลืมเรื่องนี้เหมือนกัน”
“ไม่ได้ลืม แต่เห็นว่าเดี๋ยวเบสก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไปตามจากเพื่อนทีหลังก็ได้” ข้าวโพดบอก
“แต่เอามาให้ก็ดี มีควิซตอนท้าย  ดีที่นานาเอาต้นฉบับของเพื่อนมาด้วย เดี๋ยวเราทำอันนี้ก่อน พรุ่งนี้จะได้เอาต้นฉบับไปคืนเขา เขาจะได้มีอ่าน”
ระหว่างที่กำลังคุยกันนี้ ทั้ง 4 คนต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานตลอดเวลา
อัจฉราที่กลับมาถึงบ้านตอนเกือบ 1 ทุ่มต้องขึ้นไปเตือนให้ทั้งหมดมากินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปช่วยกันทำรายงานต่อ
“แม่รู้ว่า คุณจีนต้องเตรียมของว่างให้พวกเธอแล้ว แต่ก็มากินข้าวเป็นเพื่อนแม่หน่อย นาน ๆ ทีจะมากินข้าวด้วยกัน”
“ของว่าง มันก็คือของว่าง ไม่อิ่มหรอกครับ กินข้าวกับแม่ต้องดีกว่าอยู่แล้ว” นทีบอก แล้วนำอีก 3 คนมากินข้าว จากนั้นก็กลับมาทำรายงานต่อ
เกือบ 3 ทุ่มข้าวโพดก็บอกให้นทีกับนานากลับบ้าน เพราะหลังจากที่ส่งนทีลงกลางทางแล้ว นานายังต้องขับรถคนเดียวกลับบ้านอีกไกล
“ที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง” ข้าวโพดบอก
และในตอนที่รถของนานาพ้นออกไปจากประตูบ้าน เบสก็หันมาถาม “ตกลงเขาคบกันแล้วใช่ไหม”
ข้าวโพดยิ้มขำ “แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ถาม”
“บ้า นานาเป็นผู้หญิงถามตรง ๆได้ไง”
“แต่เรื่องแบบนี้เขาก็ต้องถามผู้หญิง ว่าตกลงไหม”
“แล้วนานาตกลงหรือยัง”
“คิดว่าไง”
“ข้าวโพด อย่าโยกโย้ รู้อะไรก็พูดมาเลย เราคิดอะไรไม่ค่อยทัน”
“ยังงงอยู่หรือ”
“นิดหน่อย แต่สักพักก็คงจะดีขึ้น” เบสหันมาหาข้าวโพด “แล้วสรุปว่านทีกับนานานี่ยังไง”
“ก็อย่างที่เห็น”
“ข้าวโพด”
“ก็ตอบได้เท่านี้แหละ เพราะเวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ทีมันก็มากินข้าวกับเรา นานาก็แยกไปกลุ่มเขา”
“คงยังไม่แน่ใจ เป็นเพื่อนกันไปก่อน”
“ใช่ แต่ถ้าแน่ใจเมื่อไหร่ช่วยบอกกันสักคำก็จะดี จะได้ไม่ต้องคอยเบรกตัวเองว่า อย่าคิดอะไรไปฝ่ายเดียว”
ข้าวโพดหักเลี้ยวเรื่องที่กำลังคุยกันมาที่เรื่องของตัวเอง เบสจึงไม่ตอบ ทั้งเดินนำเข้าบ้านไปก่อน จนเกือบ 4 ทุ่มอัจฉราก็เดินมาเตือนอีกครั้ง
“แม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยเนี่ย 4 ทุ่มยังถือว่าหัวค่ำอยู่ แต่เบสเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ยังมียาก่อนนอนอีกใช่ไหม พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วที่เหลือค่อยกลับมาจัดการต่อวันพรุ่งนี้ดีไหมลูก”
ข้าวโพดรู้ว่าถ้ามารดาเริ่มพูดเตือนก็จะเตือนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะทำตามที่เตือน จึงบอกให้เบสไปนอนก่อน
“อ้าว แล้วข้าวโพดล่ะ”
“เดี๋ยวเราทำรายงานฉบับที่ต้องส่งพรุ่งนี้ให้เสร็จ แล้วเบสค่อยอ่านตอนเช้า เผื่ออาจารย์เรียกพรีเซ้นต์”
“ของข้าวโพดด้วยนะ”
“ของเราเสร็จหมดแล้ว เบสไปนอนเหอะ ชักช้า เดี๋ยวแม่ก็กลับมาอีกรอบ” พูดไม่ทันขาดคำอัจฉราก็กลับมาเคาะประตูที่ห้องอีกรอบจริง ๆ
“ไปนอนแล้วครับ” เบสบอกขณะที่วิ่งไปเปิดประตู
5 ทุ่มกว่าข้าวโพดเก็บงานทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งส่วนที่ต้องเป็นเล่มส่งอาจารย์และแผ่นใสที่ต้องเตรียมพรีเซ้นต์ จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน
เป็นการเข้านอนที่เร็วที่สุดในรอบมากกว่า 1 เดือนจริง ๆ แต่หลังจากที่กดรีโมทปิดไฟห้องแล้วกำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หานที เบสก็เปิดประตูห้องเข้ามา
“กำลังจะแชทกับใครหรือ” เบสถาม
“ไอ้ทีน่ะ จะถามเรื่องงานที่ชมรม เบสมีอะไรหรือเปล่า”
เบสพยักหน้า “คุยกับนทีเหอะ”
เบสเดินไปนอนอีกฝั่ง มองข้าวโพดคุยกับนทีจนกดวางสาย ถึงได้ถาม “กำลังจะนอนแล้วเพิ่งนึกออกหรือไง”
“ที่จริงยังไม่ค่อยง่วง แต่ก็ไม่อยากเล่นเกม ปิดไฟไปแล้วแต่นึกเรื่องงานชมรมขึ้นมาได้ก็เลยไลน์หาไอ้ที” ข้าวโพดพูดพลางลงนอนข้าง ๆ หันหน้าเข้ามาหาเบสแล้วกระชับผ้าห่มให้ “นอนไม่หลับหรือไง”
“คงเพราะนอนเยอะไป”
“ห่วงพี่ด้วยใช่ไหม”
“นั่นก็ใช่ เขาหายไปหลายวันแล้ว”
เบสยกมือขึ้นแตะที่คางของข้าวโพด
“ทำไหม”
นั่นไม่ใช่เสียงของเบส และเบสไม่มีวันพูดจาเชิญชวนแบบนี้
ข้าวโพดคว้าข้อมือของเบสไว้ แต่เบสพลิกตัวกลับขึ้นมานั่งคร่อมแล้วก้มลงจูบ
“เดี๋ยวเบส เกิดอะไรขึ้น”
เบสถอดเสื้อนอนของตนเองแล้วพยายามจะถอดเสื้อให้ข้าวโพด
“เบส ใจเย็น บอกกันก่อน นี่มันเรื่องอะไร”
“ต้องมีเรื่องด้วยหรือ หรือว่าไม่ต้องการเราแล้ว”
คราวนี้น้ำเสียงที่ได้ยินเป็นน้ำเสียงของเบส ข้าวโพดขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ยังจับข้อมือไว้  เบสมีบางอย่างที่ผิดปกติไป และหากทำในสิ่งที่เบสต้องการในเวลานี้ มันจะไม่เป็นผลดีกับทั้งคู่ในภายหลัง
“เบส”
เบสคลี่ยิ้มหวาน แล้วชะโงกตัวเข้ามาจูบที่ริมฝีปาก พลิกข้อมือออกแล้วถอดกางเกงของตนเอง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าของอีกคน
ข้าวโพดรักเบส ภาพของเบสในจินตนาการมากกว่าครึ่งหนึ่งก็คือภาพของเบสที่เป็นแบบนี้ การสัมผัส จูบ และโอบกอดกันแบบนี้
ป่วยการที่จะคอยเตือนตัวเองว่าอะไรใช่ หรือไม่ใช่ รู้แต่ว่านี่คือเบสในจิตนาการที่กลายมาเป็นความจริงที่อยู่ในอ้อมกอด ถ่ายทอดความต้องการผ่านลมหายใจร้อน
เบสที่อยู่ด้านบนที่ค่อย ๆ กดสะโพกลงมาหาแล้วหยุดนิ่ง
ชั่ววินาทีหนึ่งดวงตาของเบสเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แต่พอข้าวโพดหยุดมองเพื่อความแน่ใจ ดวงตาของเบสก็กลับมาเหมือนเดิม
อาจมองผิดไป...
“เบส”
“หืม...”
ข้าวโพดสัมผัสใบหน้าคนรักแล้วโน้มคอลงมาจูบ
เบสบดสะโพกช้า ๆ และเมื่อข้าวโพดปล่อยมือ เบสก็หยียดตัวเอนไปทางด้านหลัง ใบหน้าที่แหงนเงยอวดร่างกายงดงามทำให้ลุ่มหลงทั้งตัวและหัวใจ   
ข้าวโพดปล่อยให้เบสทำหน้าที่ควบคุมไปจนถึงปลายทาง หยดน้ำสีขาวขุ่นไหลจากส่วนปลายตกลงที่หน้าท้อง ข้าวโพดถอนออกช้า ๆ จับให้เบสคุกเข่า แล้วเข้าหาทางด้านหลัง   
เบสพยายามขัดขืน เพราะไม่ชอบแบบนี้ แต่ข้าวโพดช้อนใบหน้าให้หันมารับจูบแล้วกดสะโพกเข้าหา ทั้งช่วยรูดจนเบสเสร็จไปอีกครั้ง แรงบีบรัดในครั้งนี้ทำให้ข้าวโพดเสร็จตามไปด้วย
เมื่อข้าวโพดช่วยล้างตัวให้ก็ยังฟอนเฟ้นไปทั่วตัวจนเบสเสร็จเป็นครั้งที่ 3 เมื่อเช็ดตัวและสวมชุดนอนเรียบร้อย เบสก็หลับสนิทไปจนถึงเช้า
...
ข้าวโพดตื่นขึ้นมาอาบน้ำเสร็จแล้วถึงได้มาปลุกเบสให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องของตนเอง แต่ในตอนที่ข้าวโพดลงมาที่โต๊ะอาหารก็พบว่าอัจฉรากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว และกำลังจะออกไปทำงาน
“ทำไมวันนี้แม่ออกไปเร็วจัง”
“ประชุมคอนเฟอร์เร้นซ์กับที่โตเกียวน่ะสิ เช้าเรา แต่สายของเขา ก็เลยต้องรีบ”
“โชคดีครับแม่ เงินทองไหลมาเทมา” ข้าวโพดบอก
“สมพรปาก” อัจฉราบอกแล้ว   หันไปพยักหน้ากับคุณบัวแม่บ้านให้ถือของตามมาที่รถ
ข้าวโพดหันไปมองทางบันได เห็นว่าเบสยังไม่ลงมาก็เดินเข้าไปหาพี่นีที่อยู่ในครัว
“พี่นี”
“คะ” คนรับใช้ละจากงานตรงหน้า แต่ข้าวโพดบอกให้ทำงานต่อไปได้
“ตอนที่อยู่โรงพยาบาล มีใครมาหาเบสบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีนะคะ” พี่นีตอบทันที
“แล้วมีช่วงที่เบสอยู่คนเดียวหรือเปล่า”
พี่นีมีสีหน้าสำนึกผิดในทันที เพราะรู้ว่าการให้มีคนรับใช้ไปอยู่ด้วยทั้งที่ว่าจ้างพยาบาลพิเศษก็เพราะไม่ต้องการให้เบสอยู่คนเดียว
“ตอนกลางวันหลังจากที่เธอรับอาหารกลางวันและกินยาเสร็จแล้ว เธอจะบอกให้พี่กับคุณพยาบาลไปกินข้าว เพราะเธอจะนอน”
“ทุกวันเลยหรือ”
“ค่ะ”
   
....จบตอนที่ 12.... Aranya negra แมงมุมดำ
ตอนนี้ไม่น่ากลัวแล้วเนอะ เพราะไม่มีร่างโปร่งใส
เอ๊ะหรือน่ากลัวเพราะแม่นาง Aranya มาแล้ว
คนเขียนขอกำลังใจเป็นรีพลายกันคนละเล็กละน้อยนะครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ
น้ำชา


ออฟไลน์ yupinka

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #166 เมื่อ16-09-2020 20:20:24 »

 :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #167 เมื่อ16-09-2020 21:04:18 »

โอ้ย ... ลุ้นไปซะทุกตอน

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #168 เมื่อ17-09-2020 10:02:55 »


เริ่มมีตัวละครที่น่าสนใจมาเรื่อย ๆ ต้องคอยลุ้นว่าใครจะเก่งกว่ากัน

แอบสงสัยว่าบลูต่อสู้ยังไง

แต่กลัวการตัดสินใจของลุคทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้บลูเจ็บปวดอีกจัง

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่จ้า


 :กอด1:  :กอด1:

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #169 เมื่อ17-09-2020 12:42:00 »

อ๊ากกกๆๆ ตัวละครใหม่มิสอนัญญา คือ ใคร  :katai1:



รู้สึกว่าคนนี้ออร่าน่ากลัวกว่าตัวละครอื่นเยอะเลยแฮะ กล้ามาหาเบสโดยตรงเลย :serius2:



เบสจะกลายเป็นเหยื่อล่อทำให้บลูเปิดเผยตัวหรือเปล่านะ :hao7:



โถ น้องบลูอย่าทำร้ายพี่ลุคด้วยการบอกว่าไม่ใช่โอเว่นสิ สงสารพี่เค้าหน่อย :sad4:





พี่ลุคไม่อยากสูญเสียน้อง น้องก็ไม่อยากสูญเสียพี่เหมือนกันนะ  :mew2:





ลุ้นอ่ะ :call:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
« ตอบ #169 เมื่อ: 17-09-2020 12:42:00 »





ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #170 เมื่อ18-09-2020 20:21:21 »

มิสอนัญญาคือใครนะ..ตามๆๆ
แล้วน้องจะบอกความจริงพี่ไหม??

ออฟไลน์ noteno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #171 เมื่อ18-09-2020 21:07:30 »

เบสโดนนางเเมงมุมสะกดใช่มั้ยย ตัวละครตัวนี้จะเป้นตัวสุดท้ายมั้ย เป้นแค่สมุนหรือบิ๊กบอส.,.รอกันต่อปายย

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #172 เมื่อ27-09-2020 09:37:02 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #173 เมื่อ29-09-2020 15:51:36 »


 :กอด1:  :กอด1:

  เข้ามารอน้องฮูกจ้า

 :กอด1:  :กอด1:



ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #174 เมื่อ06-10-2020 22:28:33 »

มารอชมตัวละครมิสอนัญญา :hao7:




ลุ้นๆ  :z3:



ตอนหน้าจะเกิดไรขึ้นบ้างน้า :katai1:




หวังว่านกฮูกน้อยของเราจะปลอดภัย :call:




รอๆๆ ตอนต่อไปฮะ




 :mew1:


ออฟไลน์ noteno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #175 เมื่อ07-10-2020 07:12:20 »

 :z13: รอฮะ

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #176 เมื่อ08-10-2020 15:28:57 »


   ก๊อก ๆ ๆ ๆ  เข้ามาบอกว่าติดตามอยู่ และรอได้เสมอจ้า
   

    :กอด1:   :กอด1:



ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #177 เมื่อ15-10-2020 16:28:37 »



    มาส่งกำลังใจจ้า  ยังรออยู่น้า

           :กอด1:  :กอด1:   

                  :L2:

     

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
«ตอบ #178 เมื่อ19-10-2020 16:36:32 »

ตอนที่ 13
   
ช่วงพักกลางวัน เบสไปกินข้าวกับกลุ่มนานา และนที ส่วนข้าวโพดขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนขับมาที่โรงฝึกงานหลังเก่าของคณะเกษตรฯ ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย
โรงฝึกงานหลังนี้ ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าน่ากลัวอย่างอาคาร06 คณะสังคมฯ แต่เพราะนักศึกษาคณะนี้ มีภาคปฏิบัติเยอะมาก พื้นที่ของคณะก็กว้างมาก ทำให้โรงฝึกงานหลังเก่าและพื้นที่โดยรอบไม่มีใครอยู่
ข้าวโพดไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุค แต่พอจอดรถที่หน้าโรงฝึกงาน ลุคก็เดินออกมาจากโรงฝึกงานแล้วพยักหน้าเรียกให้เข้าไปคุยข้างใน
“เป็นไงบ้าง”
“เบสเป็นฝ่ายรุกผม”
ลุคไม่เข้าใจ “เธอหมายถึงอะไร”
“เมื่อคืน เรานอนด้วยกัน แล้วเบสเป็นฝ่ายเริ่ม”
“บลูฆ่าเธอแน่” ลุคมั่นใจด้วยว่าต้องเป็นการตายอย่างอนาถแน่นอน
“โธ่ พี่ ผมรักเบส แล้วเขาก็เริ่มก่อน ทีแรกผมก็คิดอยู่ว่าต้องมีอะไรที่ผิดปกติแน่ ๆ แต่พอเขาเริ่ม ผมก็หยุดไม่ได้แล้ว”
“ผิดปกติยังไง”
“ตอนที่เขาเริ่มพูด มันไม่ใช่เสียงของเขา แต่พอผมเรียก เสียงเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตาเขามันกลายเป็นสีดำไปทั้งหมด”
“เสียงที่ได้ยินเป็นแบบไหน”
“เสียงแหบ ๆ ครับ แหบมาก แต่เหมือนผู้หญิง”
“แล้วตอนที่ตาเปลี่ยนเป็นสีดำ ลักษณะอื่น ๆ บนใบหน้าอื่นเปลี่ยนไปไหม”
“ไม่ครับ แล้วเปลี่ยนไปแป๊บเดียว พอจะจ้องมองก็กลับมาเหมือนเดิม”
เมื่อลุคสอบถามว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว ในเวลาอื่นเบสเป็นอย่างไร ข้าวโพดก็บอกว่า ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม
“เขาทำเหมือนลืมเรื่องเมื่อคืนนี้ไปแล้ว ทั้งที่เขาตื่นในห้องนอนผม”
“ตอนที่พวกเธอกอดกันอยู่ เขาพยายามจะกัดเธอหรือเปล่า”
“เขาก็จูบ” ข้าวโพดหน้าแดงมาก “ก็มีแบบที่ใช้ฟัน เรียกว่ากัดไหมครับ”
ลุคหัวเราะ “มันไม่เหมือนกัน”
ข้าวโพดยิ่งเขินหนักกว่าเดิม “ก็คิดเผื่อเวลาแปลภาษาไทยกับภาษาอังกฤษไง มันอาจเหมือนกันก็ได้” โบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้กัดครับ”
“เขาพยายามจะกัดไหม”
ข้าวโพดนึกถึงตอนจูบ “เหมือนเขาจะกัดริมฝีปากตอนที่จูบ แต่ผมดึงออกมาก่อน เพราะว่าวันนี้ต้องเรียน ถ้ามีแผล หรือมีรอย แล้วแม่หรือพี่บลูเห็นเข้า พวกเราต้องถูกแยกกันแน่ ๆ”
เรื่องเสียงและดวงตาที่เปลี่ยนไปบ่งบอกว่าซอว์นีย์เข้ามาควบคุมเบสแล้ว และเจตนาส่งสารนั้นผ่านมาทางข้าวโพด เพื่อให้มาถึงลุคและบลู
แต่ลุคจะไม่บอกเรื่องนี้กับบลูอย่างแน่นอน
“ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แต่ระหว่างนี้ เธอต้องระวังไม่ให้เขากัดเธอ ทางที่ดีคืออย่าหันหลังให้เขา” ลุคย้ำอีกครั้ง “อันนี้ฉันหมายความในทุก ๆ ความหมายของคำนี้ คือทั้งไม่หันหลังให้ และอย่าทิ้งเขาเพราะความกลัว”
“เบสถูกปีศาจเข้าครอบงำจริง ๆ ใช่ไหมครับ”
ลุคพยักหน้า ยกมือข้างขวาขึ้นมาลูบที่ปลอกข้อมือ ปรากฏหมุดเงินเล่มเล็กขนาด 1 เซนติเมตรจารึกอักขระสีฟ้า 1 เล่ม
ทำไมปลอกข้อมือแอเรียสถึงให้หมุดเงินกับเชส...
“มันจะเจ็บหน่อยนะ” ลุคบอกขณะที่กดตำแหน่งเหนือหัวใจของข้าวโพด
เด็กหนุ่มรู้ตัวทันทีรีบยกมือบอกว่าให้รอ แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมากัดพลางมองหาที่นั่ง เมื่อพร้อมแล้วก็พยักหน้า
ลุคแนบฝ่ามือเหนือหัวใจของข้าวโพด หมุดเล่มเล็กก็หายเข้าไปภายในร่างกาย
มันเป็นความเจ็บที่ยิ่งกว่าเจ็บ เพราะมันทั้งเจ็บและปวดในทันทีที่ปลายเข็มเตะที่ผิวหนัง แล้วค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามาในร่างกาย
รับรู้การเคลื่อนที่นั้นได้ชัดเจนเหมือนกับมองเห็น ตั้งแต่ตอนที่ปลายหมุดฉีกเซลล์กล้ามเนื้อแล้วแทรกตัวทีละนิด 
มันไม่ใช่ความ ‘เจ็บหน่อย’ อย่างที่ลุคบอก แต่มันคือ ‘เจ็บเหี้ย ๆ’ แบบที่ไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร อยากส่งเสียงร้องออกมา แต่เสียงก็มาจุกอยู่ที่คอ
อยากถอยหนี แต่ก็ทำให้แค่นั่งตัวตรง มือเท้าเกร็ง เหงื่อแตกพลั่ก
เมื่อหมุดเงินหยุดการเคลื่อนที่ อาการปวดจนชาก็แพร่กระจายไปทั่วร่าง ข้าวโพดใกล้จะหมดสติเต็มที แต่ชั่ววูบหนึ่งที่มองดวงตาสีเข้มของคนที่อยู่ด้านหน้า 
ภาพของแผ่นหลังคนที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าก็ปรากฏขึ้น คนผู้นั้นหันกลับมามองแล้วยกยิ้มมุมปาก โบกมือเร่งให้ตามมา...
ข้าวโพดทิ้งตัวลงเอาหน้าผากแตะที่ไหล่หนา
“ลุค...”
ลุคลูบแผ่นหลังชื้นเหงื่อ
“หายใจเข้าลึก ๆ”
ข้าวโพดทำตามที่บอก เมื่อเริ่มปรับลมหายใจตนเองได้ ความเจ็บปวดทั้งหมดก็ค่อย ๆ ลดลง
   “หมุดนี้พอจะป้องกันตัวเธอจากปีศาจที่อยู่กับเบสได้ เจ้านั่นไม่ได้มีอิทธิพลที่จะครอบงำเบสได้ทั้งหมด แต่เราก็ไม่ควรทำอะไรที่เป็นการท้าทายให้มันทำอย่างนั้น เพราะเธอไม่ได้แข็งแรงพอที่จะกำจัดมัน และถ้าเธอถูกเบสกัด อย่างน้อยมันจะช่วยชะลอพิษที่จะเข้าสู่หัวใจของเธอได้ ดังนั้นทางที่ดีคืออย่าให้ถูกกัด จำไว้ว่า ถ้าเธอเป็นอะไรไป จะมีหลายคนที่ต้องล้มตามไปด้วย เบส แม่ของเขา และก็แม่ก็เธอเอง”
ข้าวโพดพยักหน้า  “ลุค”
ลุคยิ้มขำขยี้ผมอีกคนจนหัวโยกคลอน
“ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง”
   ข้าวโพดกอดลุคไว้แน่น สะอึกสะอื้นร้องไห้ด้วยความดีใจและความคิดถึง
...
ข้าวโพดกลับมาเกือบไม่ทันคาบเรียนบ่าย และยังไม่ได้กินอาหารกลางวัน เจอกับนทีก็ทักทันทีว่าทำไมถึงได้ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนร้องไห้มา
“ห่วงเบสหรือมึง”
ข้าวโพดพยักหน้า
“แล้วตอนพักมึงไปไหนมา หนีไปร้องไห้ตลอดพักเที่ยงใช่ไหม มึงเป็นห่วงแล้วทำไมไม่อยู่กับมัน”
นานาหันมาดุนทีให้หยุดพูดเพราะอาจารย์เข้ามาในห้องแล้ว ส่วนเบสหันมามองแล้วยิ้มให้ จากนั้นก็หันกลับไป
   ข้าวโพดได้แต่นั่งมองแผ่นหลังของเบสไปจนหมดคาบเรียน
...
ภายในห้องสนทนาภายในโบสถ์ สาธุคุณฌ็องส์กำลังสนทนาอยู่กับกลุ่มผู้สูงวัยเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิต ด้วยลักษณะภายนอกที่อาวุโสกว่าความเป็นจริงมากกว่า 30 ปี ทำให้ดูเป็นผู้ที่มีคำพูดทันสมัยและทำความเข้าใจง่าย สร้างความพอใจให้แก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าหน้าที่โบสถ์คนหนึ่งเดินมาชะโงกหน้าตรงกระจกประตู แล้วชี้ไปทางด้านนอก
สาธุคุณรู้ความหมายนั้น แต่ก็ยังสนทนาต่อไปจนครบกำหนดเวลาก็เดินไปส่งทั้งหมดถึงด้านหน้าประตูใหญ่ ล่ำลากับอีกหลายนาที ถึงได้เดินกลับไปที่เรือนพักหลังเล็กทางด้านหลัง
มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ด้านหน้า 2 คัน
ที่ผ่านมาทั้ง 2 คนจะพรางรถ หรือไม่ก็จอดชิดผนัง การที่ทั้งคู่เจตนาจอดรถแบบที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลชัดเจนเช่นนี้ แสดงว่าลุค ‘ตัดสินใจแล้ว’
เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไปก็เห็นว่าจัสตินยืนรออยู่ แต่อีกคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจกำลังจิบน้ำชาด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ชารสดีไหม” สาธุคุณถาม
“ฉันมักสงสัยอยู่เสมอว่า ชุดน้ำชา และกล่องใบชาพวกนี้คือของประดับบ้านของนาย”
“แต่ฉันก็เห็นว่านายชงชาทุกครั้งที่มาที่นี่” แถมยังจัดชุดใหญ่มีทั้งเครื่องดื่มและขนมด้วย
“ไม่ได้แปลว่าฉันจะพอใจ”
“ไม่พอใจเพราะต้องมาจัดเองสินะ”
“เป็นเช่นนั้น และถ้านายจะสังเกตสักนิดจะพบว่า ฉันไม่เคยหยิบใบชาชนิดเดิมมาดื่มซ้ำเลยสักครั้ง”
“อ่า...จริงสินะ” สาธุคุณหันไปหาจัสติน “ผลการปะทะคารมครั้งนี้ฉันแพ้”
จัสตินกลอกตา 1 รอบด้วยความยินดีที่วันนี้เสียเวลาให้กับการสนทนาไร้สาระเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น “เสียใจด้วย  คุยเรื่องงานได้แล้วใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า “เราจะทำตามเกมที่ซอว์นีย์กำหนดให้เราทำ ด้วยการเดินเข้าไปสู่กับดักที่บ้านคาร่า”
ลุคบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่คนฟังอีก 2 คนผุดลุกขึ้นทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกมันควบคุมเกรซได้แล้ว”
จัสตินพยักหน้า “เป็นการบังคับให้นายต้องปล่อยเจ้าตาสีฟ้านั่นออกมา”
ลุคมีสีหน้าไม่พอใจกากชาที่ค้างอยู่ก้นแก้ว “ฌ็องส์”
“ว่าไง”
“รู้จักพ่อมดที่ใช้หมุดเงินเป็นเครื่องรางไหม”
สาธุคุณนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงให้คำตอบ “ไม่มีใครใช้ของชิ้นเล็ก และธรรมดาแบบนั้นหรอก”
“หาพ่อมดคนนั้นให้เจอ”
“หมายความว่ายังไง นายเจออะไรมา” สาธุคุณถาม
ส่วนจัสตินถามได้ชัดเจนว่า “ปลอกข้อมือแอเรียสของนายเรียกหมุดเงินออกมาหรือ”
ลุคพยักหน้า
ปลอกข้อมือแอเรียส ก็เหมือนหมวกของนักมายากล เรียกได้เฉพาะสิ่งของที่มีอยู่จริงเท่านั้น อาวุธส่วนใหญ่ที่ลุคเรียกออกมาใช้ คืออาวุธที่ลุคมีอยู่ นาน ๆ ครั้งถึงจะมีอาวุธของผู้อื่น
แต่ทั้งหมดนั้นคืออาวุธ ไม่ใช่เครื่องราง
ส่วนในวันนี้ลุคเจตนาเรียกเครื่องประดับเพื่อคุ้มครองให้กับเชสหรือข้าวโพด อาจเป็นแหวนสักวง เพราะหากเป็นเครื่องราง ปีศาจหรือวิญญาณที่ติดตามเกรซหรือเบสอยู่อาจจะรู้ตัว
แต่ปลอกแขนกลับเรียกเครื่องรางที่เป็นหมุดเงินออกมาให้ 
ลุคเพิ่งเคยเห็นหมุดเงินนี้เป็นครั้งแรก แต่ที่รู้ว่านี่คือเครื่องรางก็เพราะเข็มเล่มนี้มีชีวิต และอำนาจของมันก็รุนแรง ถึงขนาดที่ทำให้ข้าวโพดช็อกจนมองเห็นอดีตภพของตนเองได้
เจ้าของหมุดเงินนี้เป็นใคร และทำไมเขาถึงตาย
“ฉันจะหาตัวพ่อมดเจ้าของหมุดเงินเล่มนั้น ว่าแต่ทั้ง 2 คนจะไปบ้านของคาร่าตอนกี่โมง”
“สักเที่ยงคืน” ลุคบอก “สะกดคนในบ้านง่ายดี”
“แต่เป็นเวลาที่พวกมันกำลังเริ่มเพิ่มกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ” จัสตินบอก “แล้วคิดจะขอความช่วยเหลือจากใครบ้างหรือเปล่า”
ลุคส่ายหน้า จัสตินก็พยักหน้า แต่ลุคยกข้อมือที่มีปลอกข้อมือสีเงินลงลายอักขระภาษากรีกโบราณขึ้นมามอง
อีก 2 คนรู้ว่าลุคกำลังใช้ความคิด จึงไม่รบกวน คนหนึ่งกลับไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาหนังสือเกี่ยวกับเครื่องรางของพ่อมด ส่วนอีกคนเตรียมพร้อมอาวุธสำหรับการต่อสู้ในวันนี้
“จัสติน”
ชายชาวเยอรมันลุกขึ้นยืนตัวตรงเตรียมพร้อมทันที ลุคจึงโบกมือให้นั่งลง
“กล่องที่ใส่เครื่องรางของมาร์ธาอยู่ไหน”
จัสตินชี้ลงไปที่ด้านล่าง
ลุคเดินเข้าไปในครัวของบ้าน หยุดที่หน้าตู้ไม้ความสูง 1 เมตร โดยมีจัสตินเดินตามมายืนอยู่ทางด้านหลังแล้วออกคำสั่ง “ออฟเนน” (Öffnen-เปิด) ตู้ไม้ยืดความสูงขึ้น แล้วเปิดประตูออก สิ่งของที่อยู่ในตู้เลื่อนหายไปทางขวามือ เปิดช่องทางที่เป็นบันไดวนลงไปด้านล่าง
เมื่อทั้ง 2 คนเดินลงมา สิ่งของในตู้ก็เลื่อนกลับมาที่เดิม ประตูตู้ปิดลง และความสูงของตู้ลดลงมาเท่าเดิม
ผู้ที่พักอยู่ที่นี่คือสาธุคุณฌ็องส์ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส แต่ใช้คำสั่งควบคุมด้วยภาษาเยอรมัน เผื่อกรณีที่มีผู้บุกรุก หรือเกิดเหตุร้ายขึ้นกับสาธุคุณ ของที่ซ่อนไว้ในห้องใต้ดินก็จะยังเป็นความลับต่อไป
เมื่อเท้าสัมผัสพื้น จัสตินคือคนที่ออกคำสั่งอีกครั้ง “ฟอยเยอร์” (Feuer-ไฟ) มีแสงสว่างที่ปราศจากต้นกำเนิดเกิดขึ้นภายในห้อง
ภายในห้องที่ถูกซ่อนไว้อย่างลึกลับ มีกล่องไม้อยู่เพียง 2 ใบ ใบหนึ่งเก็บภาพถ่าย อีก 1 ใบคือกล่องไม้ของมาร์ธา
เจ้าของกล่องไม้นี้ตายไปแล้ว แต่เครื่องรางยังคงอยู่ภายใน ลุคแตะที่สลักกุญแจซึ่งไม่ว่าจะถูกล็อกไว้ด้วยกลไก หรือคาถาใด แต่เมื่อเพียงแค่แตะ สลักกุญแจก็เลื่อนเปิดออกเอง
ที่อยู่ภายในคือไม้กายสิทธิ์ของแม่มดขนาดความยาว 1 ฟุต เป็นเครื่องรางที่ธรรมดามาก และก็ทำให้ทั้ง 2 คนรู้สึกผิดหวังอยู่นิดหน่อย
“คิดว่าจะเป็นไพ่หรืออุปกรณ์ทำนายอะไรเสียอีก” จัสตินบ่น
ลุคอธิบายโดยที่ไม่ได้หันมามอง “จำตอนที่มาร์ธาให้เครื่องรางนี่ได้ไหม”
“ได้”
มาร์ธาไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับซอว์นีย์มากนัก แต่พยายามให้รับกล่องไม้นี้มา
“ภูตินั่นต่างหากที่เป็นเครื่องรางของมาร์ธา เมื่อมาร์ธาตายมันจึงตามมาร์ธาไปด้วย เพราะไม่ต้องการไปรับใช้พ่อมดหรือแม่มดตนอื่น  ดังนั้นไม้กายสิทธิ์ในกล่องนี้ต้องเป็นของคนอื่น”
จัสตินเงยหน้ามองเพดานห้อง แต่ไม่มีความเห็น
“ไม้กายสิทธิ์ที่มาร์ธาต้องการให้พวกเรารับมา กับหมุดเงินที่แอเรียสเรียกมาให้เชส” ลุคปิดฝากล่องและล็อกกุญแจไว้เหมือนเดิม
ดงตาสีเข้มหันไปมองกล่องไม้อีกใบที่เก็บภาพที่เป็นความลับของฌ็องส์ แล้วเดินนำกลับมาที่บันไดวน
“เคยเปิดดูของในกล่องไหม”
“ไม่ นั่นมันของส่วนตัวของฌ็องส์”
“ไม่คิดว่าการที่เขาเก็บของไว้ในห้องใต้ดิน ที่มีนายเป็นคนออกคำสั่งจะมีความหมายพิเศษอย่างอื่นหรือ”
“ฉันคือผู้พิทักษ์ของนาย เพราะนายสั่งให้ฉันควบคุมที่นี่ ฉันจึงควบคุม หากนายบอกให้ฉันเปิดกล่องของฌ็องส์ ฉันก็จะเปิดมันตามที่นายสั่ง”
ลุคหันมามองดวงตาสีเทา
“อย่าเข้าใจผิด ฉันรู้ว่าฌ็องส์พยายามอย่างหนัก ทั้งต่อหน้าที่ของสาธุคุณและการสนับสนุนพวกเรา แต่เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่อาจถูกทำร้ายถูกทรมาน ต้องกลายเป็นเหยื่อที่ถูกนำมาใช้ล่อหลอกให้เป้าหมายเข้ามาลงมือ จากนั้นพวกมันก็จะจัดการไปทั้งหมดโดยไม่เสียดาย แต่หน้าที่ของฉันคือการยึดนายเป็นหลัก”
ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าจัสตินไม่สนใจฌ็องส์
ในทางตรงข้ามชายชาวเยอรมันกำลังให้ความร่วมมือในการรักษาความลับของฌ็องส์ที่อยู่ในกล่องใบนั้น
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากสาธุคุณเสียชีวิตไปแล้ว เป้าหมายลำดับต่อไปก็คือจัสติน การที่ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนั้นจึงเท่ากับเป็นการรักษาความลับนั้นไว้ตลอดกาล เพราะจัสตินจะไม่มีทางส่งต่อความยุ่งยากนี้ให้กับลุคอย่างแน่นอน
เมื่อค่ำลง สาธุคุณกลับมาที่บ้านพักอีกครั้ง ทั้ง 2 คนจึงขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่กลับออกไป
นกกลางคืนตาสีแดงตัวหนึ่งจ้องมองจากภายใต้พุ่มไม้ของต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม ส่งเสียงร้องที่ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดได้ยิน
...มือปราบออกมาแล้ว...

ลุคและจัสตินจอดรถมอเตอร์ไซค์ห่างจากบ้านของคาร่าหรือผกา จัสตินใช้คาถาบดบังกล้องวงจรปิดของบ้านทุกหลังในละแวกนี้ จากนั้นกอบฝุ่นจากข้างทางขึ้นมา แล้วใช้คำสั่ง “ชลาเฟิ่น” (Schlafen = หลับ) เป่าฝุ่นพัดพาเข้าไปในบ้าน เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านหลับสนิท
ท่ามกลางความเงียบ และไฟส่องถนน การที่ไม่พบวิญญาณ ปีศาจ หรือภูติเฝ้าอยู่ที่หน้าบ้านคือเรื่องปกติ เพราะมีบางอย่างที่น่ากังวลมากกว่าอยู่ในบ้าน
บ้านหลังใหญ่ที่มีเพื่อนบ้านล้อมรอบทั้งซ้าย ขวา ด้านหลัง และบ้านฝั่งตรงข้าม ลุคเดินเลียบรั้วบ้านทั้ง 3 หลังทางฝั่งเดียวกับบ้านของผกา โรยผงแป้งสีขาวติดแนวรั้วตลอดทาง ส่วนฝั่งตรงข้ามจัสตินก็กำลังทำแบบเดียวกัน
   มวลความร้อนก่อตัวขึ้นจากภายในบ้านทำให้ทั้ง 2 คนที่ด้านนอกต้องเร่งมือ กลับมาตั้งแนวกันบ้านทุกหลังที่อยู่ติดกับบ้านของผกา
   ปลอกข้อมือแอเรียสส่งม่านสีฟ้าโปร่งกั้นตามแนวรั้วทั้ง 3 ด้านที่เหลือ ลายอักขระภาษากรีกโบราณถักทอสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
   ไอร้อนจากในบ้านก่อให้เกิดความดันอากาศผลักให้ม่านสีฟ้าสั่นไหวแล้วสงบนิ่ง
   น้ำเสียงแหบพร่าดังจากในบ้าน บ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่ยังไม่ยอมปรากฏตัว
   ลุคก้าวออกมาข้างหน้า สะบัดมือทั้ง 2 ข้างปลอกข้อมือแอเรียสส่งหอกคู่ขนาด 3 ฟุต ขณะที่จัสตินใช้ดาบขนาด 3 ฟุต แต่มีปืนพกกระสุนเงินมาอีก 1 กระบอก
   กำแพงสูง 3 เมตรทั้ง 2 คนกระโดดข้ามได้สบาย ๆ
   “มีคน 4 คนหลับอยู่ที่ห้องพักทางด้านหลัง” จัสตินบอก
   ลุคพยักหน้า เดินนำไปทางห้องนอนของคาร่า
   เงาสีดำของผู้หญิงผมยาวเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้อง เมื่อลุคส่งพลังขึ้นไปตรง ๆ เธอก็ถอยกลับเข้าไปด้านใน
   “นั่นไม่ใช่มนุษย์” จัสตินบอก
   หอกในมือของลุคเปลี่ยนเป็นแส้ยาว เมื่อสะบัด 1 ครั้งก็เพิ่มความยาวพุ่งผ่านผนังห้องขึ้นไปหาเพื่อดึงเธอลงมา แต่ถูกผลักกลับมาด้วยความร้อนจัด
   ลุครวบรวมพลังอีกครั้งแล้วสะบัดแส้ในมือ ปลายแส้พุ่งตรงขึ้นไปที่ห้องนั้นอีกครั้งแล้วแตกตัวเป็นตาข่ายพุ่งเข้าหาร่างสีดำที่อยู่ในห้อง เมื่อไอความร้อนผลักดันแส้เส้นหนึ่งออกไปก็ยังมีอีกหลายเส้นที่ตรงเข้ามาหาแล้วรัดแน่นยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม
   ร่างสีดำกรีดร้องรวบรวมพลังเพื่อตอบโต้ แส้ของแอเรียสดูดซับความร้อนทั้งหมดแล้วส่งกลับมาที่ร่างสีดำ
   “....งือ....”
   เงาร่างสีดำส่งเสียงขึ้น มวลอากาศรอบตัวเริ่มจางลง แต่ก่อนที่ภายในห้องของผกาจะกลายสภาพเป็นความมืดมิดที่หาทางออกไม่เจอ ลุคก็กระตุกแส้ดึงร่างนั้นลงมาก่อน ทำให้ร่างนั้นส่งเสียงกรีดร้องจนลงมานอนอยู่ที่สนามหญ้าข้างบ้าน
   เงาสีดำที่กำลังนอนดิ้นพล่านอยู่ข้างหน้ายังไม่ยอมแพ้ พยายามที่จะรวบรวมพลังความร้อนเพื่อต่อสู้อีกครั้ง แต่ลุคก้าวไปหา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางจี้ลงกลางส่วนที่เป็นศีรษะ ร่างนั้นจึงสงบนิ่ง และปรากฎร่างชัดเจนขึ้น
   นี่คือเงาร่างของผู้หญิง แต่เธอมีผมสีดำ ผิวสีดำสนิท  ดวงตาสีดำปราศจากสีขาวเจือปน  เสื้อผ้าของเธอก็เป็นสีดำเช่นกัน
   น้ำเสียงที่ผ่านฟันแหลมคมแหบพร่าฟังไม่เป็นคำ
   ลุคปลดล็อกแส้ กลายเป็นเชือกสีดำเส้นหนึ่งรัดเธอไว้ อาวุธที่อยู่ในมือกลับมาเป็นหอกคู่เหมือนเดิม จากนั้นหันหน้าด้านข้างไปหาจัสติน พยักหน้าส่งสัญญาณให้ 1 ครั้ง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดขึ้นไปอยู่ระเบียงห้องนอนของผกา ผลักประตูเข้าไปด้านใน 
   จัสตินก้าวเข้ามาหา ร่างสีดำที่นอนอยู่กับพื้น ใช้อาวุธปืนบรรจุกระสุนเงินจ่ออยู่ที่ศีรษะของเธอ ขณะที่อีกมือถือดาบ โดยชี้ปลายดาบออกไปข้างนอกเพื่อเฝ้าระวัง
   ลุคก้าวเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องนอนของผกาไม่มีอะไรที่น่าสนใจนอกจากร่องรอยของเงาสีดำตนนั้นที่อยู่ในห้องนี้ รวมไปถึงห้องแต่งตัวและห้องน้ำ
   แม้จะชัดเจนว่าเงาสีดำนั่นอยู่ในส่วนนี้ แต่การที่เบสมีความผิดปกติเกิดขึ้น ทำให้ลุคต้องสำรวจห้องของเบสด้วย และอาจต้องสำรวจบ้านทั้งหลัง เพื่อกำจัดบางสิ่งบางอย่างที่ครอบครองบ้าน
   ภายในห้องแต่งตัวนอกจากตู้เสื้อผ้า ถาดเครื่องประดับ และเครื่องสำอางมากมายแล้ว ยังมีบรรดาของสะสมถูกเก็บใส่กล่องไว้อย่างเรียบร้อย ซ้อนเรียงกันสูงเกือบถึงเพดานห้องแต่งตัว
   ลุคพบเจอนักสะสมมามากเกินกว่าจะนับไหว แต่ผกาเป็นนักสะสมประเภทที่ซื้อของไปเรื่อย ไม่ได้เน้นว่าจะเป็นของแท้หรือของปลอม ชอบใจก็ซื้อมาแล้วก็เอามาใส่กล่องไว้
   ห้องแต่งตัวจึงเป็นห้องที่ ‘แน่น’ มาก
   ‘แน่น’ ถึงขนาดที่ลุคเข้ามาในห้องนี้แล้วต้องหยุดชะงักไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงส่วนไหนก่อน 
   เงาสีดำสนิทควรจะอยู่กับเครื่องรางแบบไหนกัน
   ลุคกวาดตามองไล่ตามกล่องต่าง ๆ ขณะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวจากภายนอกบ้าน
   ถ้าเจ้าพวกที่อยู่นอกบ้าน สามารถฝ่าแนวของม่านสีฟ้าเข้ามาได้ จัสตินคงต้านไว้ไม่ได้นาน
   อย่างนั้นก็ต้องจัดการด้วยวิธีข่มขวัญกันอย่างตรงไปตรงมา
   ลุคใช้หอกชี้ไปที่กล่องเหล่านั้น บรรดากล่องทั้งหมดก็พุ่งตรงออกไปทางประตูระเบียงแล้วลงไปอยู่ที่สนามหญ้า
   มีเสียงโครมครามดังขึ้นจากด้านนอกรั้วบ้าน ร่างสีดำที่นอนอยู่ส่งเสียงหัวเราะแหลมเล็ก ม่านสีฟ้าโปร่งรอบบ้านเริ่มสั่นไหว เมื่อสิ่งที่อยู่ภายนอกพยายามผลักดันเข้ามา
ลุคกระโดดตามลงมา  แล้วมองหาสิ่งของที่เป็นเป้าหมาย
ที่ผ่านมาลุคไม่เคยต้องเสียเวลากับการมองหาเครื่องรางนานขนาดนี้ แต่คราวนี้ทุกชิ้นมันดูเหมือนใช่ และไม่ใช่ในเวลาเดียวกันไปทั้งหมด
มีการเคลื่อนไหวจากห้องพักทางด้านหลัง คน ๆ หนึ่งกำลังเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ
ทุกคนต่างก็ระแวง ไม่ไว้ใจคน ๆ นี้ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าค่อยจัดการในภายหลัง
ไม่คิดว่าเธอจะไม่ต้องการรอ
‘คุณกัลย์’ แม่บ้านของคาร่าเดินพ้นเงามืดของบ้าน ออกมายืนอยู่ห่างจากลุคไม่ถึง 3 เมตรจึงหยุด
นอกจากความเคร่งขรึมจนผิดปกติแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรที่ชวนให้ต้องสงสัย ไม่มีไอปีศาจ ไม่มีวิญญาณควบคุม ไม่มีเครื่องรางของพ่อมดหรือแม่มดอะไรสักอย่าง 
แต่เธอสามารถฝืนคำสั่งของจัสตินและมายืนมองทั้ง 2 คนด้วยสายตาตำหนิที่เข้ามาวุ่นวายอยู่ในบ้านของคนอื่น
จัสตินอยากจัดการเจ้าร่างสีดำที่ยังส่งเสียงที่น่ารำคาญเป็นสิ่งแรก แต่ก็ต้องรอเพราะลุคยังหาเครื่องรางที่ใช้ควบคุมร่างนี้ไม่เจอ มาถึงตอนนี้ลุคกลับเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์ผู้หญิงคนนี้เสียอีก
“ลุค”
ลุคพยักหน้าโดยที่ไม่ได้หันไปมองจัสติน แต่กลับใช้หอกชี้ไปที่กล่องใบหนึ่ง กล่องใบนั้นก็ลอยขึ้นสูงแล้วระเบิดจากภายใน
จากกล่องใบแรกที่ระเบิดขึ้นทำให้เกิดไฟไหม้ลามไปหากล่องอื่น ๆที่กระจายอยู่ในสนาม บางกล่องลอยขึ้นมาก่อนแล้วระเบิดขึ้น ทำให้กล่องที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ไปด้วย จัสตินหันไปสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเจ้าร่างสีดำที่ดิ้นรน ทั้งส่งเสียงกรีดร้องจนสุดเสียง เมื่อถึงกล่องใบหนึ่งร่างสีดำพยายามสุดตัวที่จะพุ่งเข้าไปหา แต่จัสตินจ่อยิงเพียงนัดเดียว ร่างนั้นก็สลายไป แต่ไฟยังคงลุกไหม้สิ่งของต่างๆ ในสนามหญ้า
การโจมตีจากภายนอกยิ่งรุนแรงขึ้น ม่านสีฟ้าสั่นไหวตามแรงแต่ยังไม่เกิดรอยร้าว
และในเวลาเดียวกัน คุณกัลย์แม่บ้านผู้เคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นหญิงผมยาวในชุดสีดำ เธอแทบไม่ได้แตกต่างจากร่างสีดำที่นอนอยู่
ทั้งผม สีผิว ดวงตา ฟันแหลม แต่ที่เพิ่งเห็นชัดเจนก็คือนิ้วและเล็บยาวในตอนที่เธอพุ่งเข้ามาหา
ลุคใช้หอกคู่ปัดเธอให้ถอยออกไป พร้อมกับที่กระโดดตามออกมาเพื่อเปิดพื้นที่ต่อสู้ให้อยู่ห่างจากจัสตินที่จะต้องจัดการทั้งร่างสีดำที่หน้าบ้าน และกล่องข้าวของเหล่านั้น
แม้ว่าลุคจะอยากรู้ว่าสิ่งที่แม่บ้านคนนี้เป็นอยู่จะมีชื่อเรียกว่าอะไร แต่ไม่สำคัญเท่ากับการจัดการเธอให้ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจ้าพวกที่อยู่ข้างนอกจะพังเข้ามาได้ และนอกจากแม่บ้านคนนี้แล้ว ยังมีใครในบ้านหลังนี้ หรือหลังอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเป็นเหมือนกันหรือไม่
แม่บ้านคนนี้รวดเร็วมาก หอกคู่ไม่สามารถสัมผัสเธอได้เลย แต่เธอเองก็ไม่สามารถทำให้ลุคบาดเจ็บได้
ในตอนที่จัสตินลั่นกระสุนใส่ร่างสีดำ จึงทำให้เธอหยุดชะงัก หันไปมอง แล้วจะเปลี่ยนทิศทางไปหาจัสตินแต่ลุคเรียกโซ่แอเรียสจากปลอกข้อมือขวา ไปรัดเอวของเธอไว้
ความร้อนที่เธอส่งกลับมาทำให้ปลอกข้อมือแอเรียสร้อนจัดและกำลังเผาข้อมือขวาของลุค

(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
«ตอบ #179 เมื่อ19-10-2020 16:40:25 »

(ต่อครับ)

“ย่าห์!”
ลุคส่งความร้อนนั้นกลับไป ขณะที่หอกในมือซ้ายส่งความเย็นจัดเข้าปะทะ โดยที่ไม่ทันจะได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมาร่างของเธอก็แตกออกเป็นชิ้นส่วน  จัสตินตามมายิงซ้ำเพียงนัดเดียวไปที่ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุด ทั้งหมดก็ลุกไหม้ขึ้นแล้วสลายไป
การเคลื่อนไหวที่อยุ่นอกบ้านสงบลงพร้อมกัน แล้วถอยห่างออกไป
“ลุค” จัสตินชี้ที่ข้อมือที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกเผาไหม้
แต่ลุคไม่สนใจอาการบาดเจ็บนั้น “ฉันจะขึ้นไปดูห้องข้างบน นายไปดูคนอื่นที่ห้องพักหลังบ้าน”
แม้จะรู้ว่าลุคสามารถซ่อมแซมตนเองได้ แต่ไฟจากปีศาจย่อมไม่เหมือนกับไฟทั่วไป ลุคไม่ยอมให้จัสตินแสดงความเป็นห่วง พอออกคำสั่งเสร็จก็กระโดดกลับขึ้นไปที่ระเบียงห้องนอนของผกาอีกครั้ง แล้วเข้าไปสำรวจบ้าน 
ส่วนจัสตินไปทางด้านหลังบ้านปล่อยให้ไฟไหม้สิ่งของต่าง ๆ ต่อไปเองจนไม่เหลือสิ่งใด
ทั้งที่มีทั้งการระเบิด และมีทั้งไฟไหม้ แต่เมื่อทุกอย่างสงบลง ก็ไม่เหลือแม้แต่เศษเขม่า ต้นหญ้าในสนามทุกต้นยังเป็นปกติไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการถูกเหยียบ
ลุคเดินเข้าไปในห้องนอนของเบส แล้วหันไปมองที่ระเบียง
ดวงตาที่สามมองเห็นบลูคุยกับเบสจากที่ตรงนั้น และเห็นในตอนที่บลูเข้ามาที่ห้องนี้ แล้วพบกับดักที่ปีศาจตนนั้นสร้างขึ้นมา แต่บลูก็หลบหนีไปได้
ถ้าไม่ใช่ดวงตาที่สามลุคก็จะไม่รู้เลยว่าบลูมาที่นี่
คนที่ลอบมองภาพในอดีตกำลังยิ้มด้วยความเชื่อมั่นว่าบลูจะหลบหนี และหลบซ่อนตัวจากผู้ที่กำลังตามล่าได้อย่างที่พูดไว้
ลุคเดินสำรวจห้องอื่นต่อไป ไม่พบเครื่องรางหรือวิญญาณอื่นในบ้านหลังนี้ แต่ยังมีเงาสีดำจาง ๆ อยู่ในห้องรับแขก
ลุคยืนกอดอก เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งขณะที่มองหน้ากากไม้แกะสลักขนาด 3 นิ้วที่ถูกจัดวางเป็นเพียงที่ทับหนังสือในห้องรับแขก
ทั้งที่มีผู้บุกรุกเข้ามา 2 คน มีการเคลื่อนย้ายข้าวของและมีการต่อสู้กันอย่างอึกทึกคึกโครมจนปีศาจถูกกำจัดไปแล้ว 2 ตน แต่เจ้าหน้ากากนี่ก็ยังคงพยายามแสดงตนว่าเป็นเพียงไม้แกะสลักชิ้นหนึ่ง
ลุคเดาะลิ้น แล้วใช้หอกชี้เรียกให้หน้ากากไม้นั้นเลื่อนเข้ามาหา
แต่ในเวลานั้นเองที่หน้ากากไม้เปลี่ยนสภาพเป็นหัวกะโหลกพุ่งเข้ามาหา ลุครวบหอกสั้นถือไว้ด้วยมือซ้าย ขณะที่กางมือขวารับหัวกะโหลกนั้นไว้แล้วสลายกลายเป็นฝุ่นผง จากนั้นก็สลายซ้ำอีกครั้งจนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผง
   ที่มหาวิทยาลัย
เครื่องรางที่เป็นแผ่นกระดาษแจ้งคอร์สพิเศษที่หลอกล่อนักศึกษาไปเรียน ก็เป็นหัวกะโหลกแบบเดียวกัน
ปัญหาของพวกพ่อมด แม่มดก็คือพวกเขาเคยชินกับการเลือกใช้คาถาหรือวิชาที่ถนัดที่สุดเป็นลำดับแรกเสมอ หากไม่ได้ผลจึงเลือกคาถาที่มีความถนัดรองลงมา
ลุคแน่ใจว่ากำจัดมิธพ่อมดสีน้ำตาลดำที่พบในมหาวิทยาลัยตนนั้นไปแล้ว!
มวลอากาศรอบตัวถูกกดดันอีกครั้ง
มีวัตถุกำลังเคลื่อนที่จากที่ห่างไกลกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ด้วยความเร็ว
ลุครีบออกมาจากบ้าน พบว่าจัสตินกำลังวิ่งออกมาจากหลังบ้านเหมือนกัน
ทั้ง 2 คนเตรียมพร้อม วัตถุนั้นไม่ได้ลดความเร็วลงเมื่อเข้ามาใกล้บ้าน
โดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาในบ้าน ลุคและจัสตินพุ่งตัวฝ่าม่านสีฟ้าออกไปหาแล้วฟาดทวนเข้าใส่พ่อมดและบริวารที่ติดตามมา
ทั้งหมดไม่คิดว่ามือปราบกับผู้คุ้มกันที่วุ่นวายกับการสำรวจบ้านจะเปลี่ยนมาตอบโต้อย่างรวดเร็วเช่นนี้พากันถอยห่างแล้วล้มทับกันเอง ส่วนวิญญาณที่หลบทันถูกจัสตินกวาดหายกลายเป็นอากาศ
พ่อมดที่เป็นผู้นำไม่ใช่มิธ แต่ก็มีความคล้ายกับมิธเป็นอย่างมาก ทั้งยังสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำเหมือนกัน
“ไมค์ ผู้ทรยศ” ลุคเอ่ยชื่อของพ่อมดตนนั้น
ไมค์มีสีหน้าตกใจก้าวถอยหลัง แล้วสะบัดผ้าคลุมหลบหนีไป
ลุคยิงพลุไฟสีขาวขึ้นฟ้า แล้วหันมาช่วยจัสตินกวาดล้างพวกวิญญาณติดตามทั้งหมด จากนั้นจึงกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์พร้อมกับการคลายผนึกของบ้านทุกหลังที่อยู่รอบบ้านของผกา แล้วขับรถตามไมค์พ่อมดผู้ทรยศตนนั้นไป

...จบตอนที่ 13...
โอวาซ่าเขียนจบนานแล้ว การที่มีตัวละครบางตัวมีชื่อเหมือนกันบุคคลในข่าวในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงเป็นความบังเอิญเท่านั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่กรุณาติดตามและให้กำลังใจครับ
น้ำชา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2020 12:32:40 โดย MyTeaMeJive »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด