พิมพ์หน้านี้ - OWAZA ตอนจบ (7/6/64)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: MyTeaMeJive ที่ 05-12-2019 08:09:35

หัวข้อ: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 05-12-2019 08:09:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**************************************************************************************
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 05-12-2019 08:15:15
OWAZA
เริ่มเรื่อง

ยุโรปยุคกลาง
เมื่อยุคแห่งการไล่ล่าแม่มดมีความรุนแรงในระดับสูงสุด ในปี ค.ศ.1484 ศาสนจักรออกกฎหมายลงโทษผู้ที่ออกนอกรีตและฝักใฝ่ไสยศาสตร์ ทั้งออกหนังสือคู่มือล่าแม่มด รวบรวมวิธีการจับกุม ทรมาน และประหารเหล่าแม่มดทั้งหลาย หลายประเทศในยุโรปยึดถือหนังสือเล่มนี้เป็นแนวทางกำจัดแม่มดอยู่นานกว่า 200 ปี
ในปี ค.ศ.1610 เนเธอร์แลนด์ประกาศยุติการประหารแม่มด เมื่อล่วงเข้าศตวรรษที่ 17 การล่าแม่มดจึงลดความรุนแรงลง แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนผู้ที่ถูกประหารชีวิตเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็มีจำนวนหลายแสนคน เฉพาะในเยอรมนีมีจำนวนมากกว่า 100,000 คน ฝรั่งเศสกับแคว้นสกอตแลนด์มีจำนวนประมาณ 10,000 คน และแคว้นอังกฤษอีกมากกว่า 1,000 คน

ตอนที่ 1
ค.ศ.1597
หมู่บ้านร็อคไซด์ ชุมชนเล็กๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทของเมืองเบ๊ตตี้ สกอตแลนด์ 
บ้านของครอบครัวไร้ท์ เป็นหนึ่งในบ้านไม่กี่หลังที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตชุมชน เพราะพวกเขามีอาชีพปลูกผัก ทั้งแบ่งขายจากสวน นำไปขายที่หมู่บ้าน และส่งให้กับพ่อค้าในเมือง
ในครอบครัวเล็ก ๆ นี้ ประกอบไปด้วย จอร์จที่เป็นบิดาและแอนนามารดา
โอเวนลูกชายและเกรซลูกสาว
ตอนที่โอเวนอายุได้ 5 ขวบเขาออกไปช่วยงานบิดาในสวน พบลูกนกฮูกตัวหนึ่งอยู่ในพุ่มไม้ ปีกของมันบาดเจ็บจึงนำมาใส่กรงและรักษาจนหายดี แต่เมื่อปล่อยออกมาจากกรงเจ้านกฮูกตัวนี้ก็ไม่ได้บินหนีไปไหน
ในตอนที่เก็บมา จอร์จบอกกับลูกชายว่านกฮูกตัวนี้คือนกฮูกหิมะสแกนดิเนเวีย
ขนสีขาว ปีกกว้าง ดวงตาสีฟ้ากลมโต เงียบขรึม และหากินในเวลากลางวัน
"แสดงว่าพลัดหลงจากครอบครัวน่ะสิ น่าสงสารจริง" แอนนาลูบปีกสีขาวเบา ๆ
"นกฮูกตัวนี้ตาสีฟ้า" โอเวนบอก "ชื่อบลูได้ไหมครับ"
เมื่อพ่อและแม่พยักหน้าเห็นด้วย เกรซซึ่งในตอนนั้นอายุเพียง 3 ขวบก็ถามต่อ
"บลูเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ"
"เป็นตัวผู้" จอร์จชี้ที่ปีก "ตัวผู้จะสีขาวล้วนและตัวเล็ก ถ้าตัวเมียจะมีจุดสีน้ำตาล แล้วก็ตัวใหญ่กว่า"
“ถึงตอนนี้บลูจะตัวเล็กแต่บลูก็เป็นนกฮูกที่หล่อที่สุด เก่งที่สุดเข้มแข็งที่สุด" เกรซบอกและไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปี บลูก็ยังคงเป็นนกฮูกที่หล่อที่สุดในสายตาของเกรซเสมอ
บลูรักครอบครัวนี้มากเช่นกัน ตอนเล็ก ๆ ยังนอนอยู่ในห้องเดียวกับโอเวน หรือไม่ก็เกรซ แต่เมื่อตัวโตขึ้นก็เปลี่ยนออกมาเกาะขอนไม้นอกบ้าน
จอร์จบอกว่า “บลูเป็นนักล่า ก็ต้องเลี้ยงเขาแบบนักล่าเข้าใจไหม”
“ถ้าวันหนึ่ง พ่อหรือแม่ของบลูมารับไปแบบในนิทาน หนูคงคิดถึงบลูมาก” เกรซบอก
“แต่นั่นหมายความว่า บลูได้อยู่กับพ่อแม่ของเขาไงจ๊ะ” แอนนาบอกขณะที่ถักเปียให้ลูกสาว
เกรซพยักหน้า แล้วยื่นเม็ดถั่วให้นกฮูกตาสีฟ้า “เมื่อถึงตอนนั้น บลูก็ต้องคิดถึงฉันเหมือนกันนะ รู้ไหม“
บลูเป็นนกฮูกที่ไม่ชอบอยู่บ้าน มักจะตามจอร์จกับโอเวนออกไปอยู่ที่สวนด้วยเสมอ แต่ไม่เคยตามไปถึงตลาดเวลาที่ 2 คนพ่อลูกเอาผักไปส่ง บลูก็จะกลับมาเกาะขอนไม้อยู่หลังครัวคอยเป็นเพื่อนกับแอนนาและเกรซ
จอร์จอธิบายว่า บลูอาจคิดว่าตนเองมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองสาว ๆ ในระหว่างที่พ่อไม่อยู่ ซึ่งทุกคนก็เชื่ออย่างนั้นจนกระทั่งเช้าวันหนึ่งแอนนาพบซากหนู วางอยู่ที่หน้าประตูบ้าน โดยมีบลูยืนยืดคอท่าทางภูมิใจสุด ๆ อยู่ด้านข้าง
“พ่อจ๊ะ บลูกำลังอวดว่าเขาล่าหนูที่มากินผักในสวนได้ใช่ไหม”
“ก็คงอย่างนั้น”
แอนนาชมเชยนกแสนรู้ “บลู เก่งมากเลยจ้ะ”
หลังจากที่ได้รับคำชม ก็จะมีทั้งซากหนู และงูมาวางไว้ที่หน้าครัวเป็นระยะ
"บลู ขอบใจมากนะ ฉันรู้ว่าเธอเก่งมาก แต่เราไม่กินหนู และก็ไม่กินงูด้วย เธอเก็บไว้กินเองเถอะนะ" แอนนาบอก
บลูเอียงคอมองสาวงาม แล้วบินไปเกาะคบไม้หันหลังให้
"เกิดอะไรขึ้นคะแม่" เกรซได้ยินเสียงแม่พูดก็เลยเดินออกมาดูแล้วก็กลายเป็นหยุดชะงักมองซากหนูที่หน้าครัว "ถึงจะไม่ใช่ตัวแรกที่บลูเอามาฝาก แต่หนูก็ตกใจอยู่ดี"
แอนนาชี้มือบอกลูกสาว "เกรซดูสิ บลูกำลังงอนแม่"
เกรซเดินเลี่ยงซากหนูที่หน้าประตู เดินไปหาบลู
"บลู ขอบใจมากนะ ให้แม่จัดการของขวัญที่เธอเอามาให้ ระหว่างที่เราไปหาพ่อกับโอเวนกันดีไหม"
บลูหันมามองสาวน้อยแล้วบินลงมาเกาะไหล่
เกรซส่งสัญญาณมือให้แม่จัดการเรื่องที่หน้าประตู ขณะที่เธอเดินไปหาพ่อกับพี่ชายในสวน
"พ่อคะ พี่คะ ใกล้เที่ยงแล้วนะ กลับบ้านไปกินมื้อเที่ยงกันดีกว่า"
พ่อเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วเช็ดมือกับชายเสื้อ "ใกล้เที่ยงแล้วพาบลูออกมาทำไมล่ะลูกสาว บลูเป็นนกฮูกหิมะนะ เขาชอบอากาศเย็น"
"บลูกำลังงอนแม่อยู่ค่ะ"
บลูเปลี่ยนไปเกาะไหล่โอเวน ที่กำลังเก็บรวบรวมถังน้ำ
"ทำไมถึงงอนแม่ล่ะ"
"บลูเอาของขวัญมาให้แม่ แต่แม่ไม่รับน่ะ"
3 คนพ่อลูกหัวเราะ 
โอเวนแกะเม็ดถั่วให้บลู "ผู้หญิงนี่ช่างไม่รู้ถึงความตั้งใจของผู้ชายอย่างเรา ๆเสียเลย"
บลูส่งเสียงตอบรับเบาก่อนที่จะก้มลงกินถั่วจากมือของโอเวน
"ผู้ชายนี่ช่างเข้าใจกันดีจริงนะ" เกรซค้อนทั้งพี่ชายทั้งบลูที่เข้ากันได้ดีกว่าเธอ
"ก็เพราะพวกผู้หญิงน่าเบื่อไงเนอะ อย่าไปสนใจเลย" โอเวนแกล้งน้องสาว
เกรซแกล้งคืนด้วยการสะบัดผมเปียใส่
“โหย อะไรกัน วิธีการตีคนแบบใหม่หรือไง คันชะมัด”
2 คนพี่น้องเดินไปพลางทะเลาะกันไปพลาง โดยมีพ่อเดินตามหลัง
“จะคันได้ไง ผมหนูน่ะสะอาดกว่ามือของพี่เสียอีก”
“จะสะอาดกว่าได้ไง พี่ล้างมือตลอดนะ”
“อี๋” เกรซชี้มือที่เต็มไปด้วยคราบดิน “แบบนี้น่ะนะ”
“แบบนี้แหละ”
พี่ชายพยายามจะคว้าจับผมเปียของน้องสาว ทำให้เกรซรีบวิ่งหนีไปซ่อนอยู่ข้างหลังของพ่อ พลางตะโกนฟ้อง จากนั้นก็รีบวิ่งนำเข้ามาในบ้านก่อน
ทันทีที่เข้ามาในบ้าน บลูก็ผละจากไหล่ของโอเวนไปเกาะขอนไม้ที่จอร์จผูกไว้ให้ที่มุมห้อง
เวลาที่เข้ามาอยู่ในบ้านระดับเสียงของ 2 คนพี่น้องก็ลดลงไปด้วย
แม้นกฮูกสีขาว ดวงตาสีฟ้าจะหลับอยู่นิ่ง ๆ แต่ยังคงได้ยินเสียงพูดคุย และการเคลื่อนไหวทุกอย่างภายในบ้าน รอบบ้าน ครอบคลุมไปจนถึงแปลงผัก
โอเวนหันไปถามพ่อ “บลูได้ยินไกลไหมครับพ่อ”
“ก็ต้องไกลอยู่เหมือนกัน เพราะเขาเป็นนักล่า” พ่อบอกขณะที่ชี้ไปที่แม่
“อย่าเชียวนะ บลูยังงอนแม่อยู่” แม่รีบบอก
“ก็จริงนี่ครับ บลูอุตส่าห์เอาของขวัญมาให้แม่ทั้งที”
แม่ส่งค้อนมาให้สามีกับลูกชาย แล้วตักซุบใส่ถ้วยมาวางไว้ให้ข้างหน้าพร้อมด้วยพายชิ้นใหญ่ “ช่างพูดกันจริงนะ พ่อลูก”
โอเวนหันไปหาน้องสาว “ว่าไงครับเจ้าหญิง ทำไมวันนี้ไม่กินพาย”
เกรซหัวเราะคิกคัก แล้วลุกไปหยิบพาย 2 ชิ้นที่มีขนาดเล็กกว่ามาจากเตาอบ
“หนูมีพายไก่ 2 ชิ้นด้วย”
“อะไรกัน” โอเวนร้องขึ้นมาทันที แต่พอมองเห็นขนาดของพายที่เล็กกว่ากันก็ถาม “อิ่มไหมเนี่ย”
“พี่โอเวน!” เกรซโวยวาย “พี่หยาบคายมาก!”
   
ในตอนเช้าตรู่โอเวนถือกล่องอาหารไปที่กระท่อมหลังเล็ก ทรุดโทรม ที่แทบไม่เคยมีใครในหมู่บ้านมาที่นี่
“คุณย่าครับ” โอเวนเคาะประตูกระท่อม ก่อนที่จะเดินเข้าไป
กระท่อมหลังนี้ไม่เคยปิดล็อก ช่องหน้าต่างก็ผุพัง เนื่องจากคุณย่ามาร์ธาเจ้าของบ้านมีอายุมากกว่า 90 ปีแล้ว หลังจากที่สามีเสียชีวิตไปเมื่อประมาณ 40 ปีก่อนเธอก็อาศัยอยู่ตามลำพังมาโดยตลอด
แอนนาเคยเสนอให้จอร์จกับโอเวน 2 พ่อลูกมาช่วยซ่อมบ้านให้ แต่เธอก็ปฏิเสธ บอกว่ามีอายุมากแล้วอีกไม่นานก็คงออกเดินทางไปพบกับสามี จึงขอแค่มีที่พักที่พออยู่ได้เท่านั้น
“คุณย่าครับ ผมเอาอาหารมาให้ครับ”
มีเสียงกุกกักจากในห้องนอน ทำให้โอเวนผ่อนลมหายใจยาว
“ตื่นหรือยังเอ่ย”
เสียงหัวเราะอ่อนล้าดังมาจากในห้องนอน จากนั้นก็เป็นเสียงเปิดประตูออกมา
แม้มาร์ธาจะมีอายุมากและดวงตาก็ฝ้าฟาง แต่หากไม่สนใจเรื่องนั้นเธอจะดูเหมือนคนอายุ 60 เศษเท่านั้น
“ตื่นแล้ว ออกมาล้างหน้าแล้วรอบหนึ่ง พอกลับเข้าไปในห้อง เธอก็มาพอดี”
“จะกลับเข้าไปนอนต่อละสิ”
“เจ้าเด็กไม่น่ารัก รู้ทันจริงเชียว” หญิงชราหันไปทางอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ “อาหารเช้าหรือ บอกว่าไม่ต้องเตรียมมาให้ พวกเธอก็ยังเตรียมมา”
“ถ้าแม่ไม่เตรียมมาให้ แล้วคุณย่าจะกินอาหารเช้าไหมครับ” โอเวนรู้ทัน
“ฉันเกลียดเธอ เจ้าเด็กไม่น่ารัก รวมถึงพ่อกับแม่แล้วก็น้องสาวของเธอด้วย” มาร์ธากล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่เดินลากขาช้า ๆ ไปที่โต๊ะอาหาร
โอเวนจะเข้าไปพยุงแต่หญิงชรายกมือห้าม
“ฉันจะนั่งลง และกินมัน เพราะมันคืออาหารจากครอบครัวที่วุ่นวาย น่ารำคาญ แล้วช่วยเก็บจานอาหารของพวกเธอเมื่อวันก่อนกลับไปด้วย” หญิงชรานั่งลง “แล้วก็อย่ามาที่นี่บ่อยนัก ถึงฉันจะไม่ได้ออกไปพบกับใครที่ไหน แต่ก็พอจะรู้เรื่องการล่าแม่มดนั่น ฉันไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวที่ไม่น่ารักต้องเดือดร้อน”
โอเวนเดินไปหยิบจานที่ล้างสะอาด แต่ยังไม่กลับไป
“คุณย่าได้ยินเรื่องล่าแม่มดจากใครหรือครับ”
หญิงชราไม่ตอบ แต่ไล่ให้โอเวนกลับไป “ถ้าเธอไม่กลับไป ฉันก็จะไม่กินอาหารรสชาติไม่เอาไหนพวกนี้”
โอเวนกลอกตา
“ได้ครับ งั้นผมจะเก็บจานกลับไป แล้วบอกแม่ว่า อาหารของแม่อร่อยมาก คุณย่าทานหมดไม่เหลือเลย”
หญิงชราโบกมือไล่ให้โอเวนออกไปก่อน รอจนได้ยินเสียงประตูบ้านปิดลง เธอจึงลงมือกินอาหารนั้น

อีก 2 วันต่อมาจอร์จและโอเวน 2 คนพ่อลูกจะต้องเอาผักไปส่งที่ตลาด ขณะที่แอนนากับเกรซรับหน้าที่เฝ้าบ้านเหมือนเคย
เพราะข่าวเรื่องการไล่ล่าแม่มดที่ใกล้เข้ามาสร้างความกังวลให้กับทุกคนในหมู่บ้าน แม้ว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวส่วนใหญ่จะเป็นหญิงชราที่อยู่บ้านตามลำพัง หรือหญิงม่าย แต่จอร์จก็ยังคงเฝ้าระวังภรรยาและลูกสาว หากไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่ยอมให้ทั้งคู่ออกจากบ้านอย่างเด็ดขาด
ลำพังเรื่องการสงสัยผู้ที่เป็นแม่มดนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่จอร์จรู้ดีว่า ยังมีผู้ที่ถูกจับกุมตัวไปอีกหลายคนไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรที่ส่อเค้าว่าจะเป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นเพราะการขัดผลประโยชน์บางอย่างกับผู้มีอำนาจจึงทำให้ถูกจับกุมตัวไปแล้วตั้งข้อกล่าวหาเป็นแม่มด ถูกทรมานจนต้องยอมรับสารภาพ และสุดท้ายคือการถูกเผาทั้งเป็น
ความหวาดกลัวถูกลงโทษอย่างไม่มีเหตุผลนั้น เป็นความหวาดกลัวที่รุนแรงกว่าการเผชิญหน้ากับแม่มดที่แท้จริงเสียอีก
2 คนพ่อลูกส่งผักเสร็จแล้วและกำลังเข็นรถเปล่าเดินกลับบ้าน รถม้าของเจ้าเมืองแล่นผ่านมา ทำให้ทุกคนบนถนนต้องหยุดให้รถม้าผ่านไปก่อน
ม่านหน้าต่างรถม้าเปิดออกขณะที่รถแล่นผ่าน
หญิงสาวดวงตาสีดำเข้มมอง 2 พ่อลูกจนเหลียวหลัง
“พ่อรู้จักเธอหรือครับ” โอเวนถาม
“คาร่า ฟอกซ์ ภริยาคนใหม่ของเจ้าเมืองไง”
“อ่อ...”
เวลานี้โอเวนอายุ 17 ปีแล้ว รู้จักคนมากมาย ทั้งหมู่บ้านนี้และละแวกใกล้เคียง  และเคยได้ยินมาว่าไบรเดน เมอร์ฟี เจ้าเมืองเบ๊ตตี้ มีภริยาลับอยู่หลายคน โอเวนเคยเห็นสาวสวยเหล่านี้จากที่ไกล ๆ
อาจเพราะนี่เป็นเรื่องบันเทิงเพียงเรื่องเดียวในหมู่บ้าน มีตัวละครหลายตัว เรื่องราวซับซ้อน และช่างมีสีสันหลากหลาย แม้ว่าโอเวนจะจำชื่อตัวละครส่วนใหญ่ไม่ได้ และมากกว่าครึ่งหนึ่งก็ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน รวมถึงคาร่า ฟอกซ์คนที่นั่งรถม้าผ่านไปเมื่อครู่นี้ด้วย
เมื่อสักปีก่อนเคยมีข่าวที่ไม่มีการยืนยันว่า ภริยาลับคนหนึ่งของเจ้าเมืองที่มาจากอีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นแม่มด ทุกคนในตลาดต่างไต่ถามกันว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่ยังไม่ทันจะได้รู้ว่าตกลงเธอชื่อเบลหรือบาร์บาร่ากันแน่ เธอก็ถูกควบคุมตัวไปลงโทษแล้ว
และไม่มีใครได้ข่าวของเธออีกเลย
ส่วนเจนนิเฟอร์ภริยาของเจ้าเมือง คนที่ได้รับการรับรองจากศาสนจักรของเจ้าเมือง เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่ถึงเดือน ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนกลมคนนั้นก็สมรสภริยาใหม่แล้ว
นี่ก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านให้ความสนใจกันมาก ตั้งแต่การที่เธอเป็นใครมาจากไหน และทำไมถึงได้รับการรับรองให้สมรสเร็วนัก
เจนนิเฟอร์ ภริยาผู้ล่วงลับของเจ้าเมืองมีลูกชาย 2 คน คนโตคือลุค อายุ 20 ปีกับเชส อายุ 19 ปี
ตั้งแต่ตอนที่แม่ของพวกเขาป่วยจนถึงพ่อสมรสใหม่ ทั้ง 2 คนไม่ได้อยู่บ้าน
โอเวนเคยเห็นบุตรชายของเจ้าเมืองทั้ง 2 คนมาแล้วหลายครั้ง คือในตอนที่พวกเขายังเด็ก เพราะว่าทั้งคู่ย้ายไปเรียนต่อที่เกาะอังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบ นานเป็นปีถึงจะกลับบ้านสักครั้งหนึ่ง
ชั่วชีวิตของโอเวนไม่เคยไปไหนไกลว่าคฤหาสน์ของเจ้าเมือง
โอเวนกับเกรซเรียกที่นั่นว่าปราสาท ซึ่งทำให้พ่อกับแม่หัวเราะให้กัน และบอกว่าปราสาทที่แท้จริงหลังใหญ่โตกว่าคฤหาสน์ของเจ้าเมืองมากนัก ผู้คนมากมายแต่งตัวสวยงาม งานเลี้ยงหรูหราที่จะดำเนินไปข้ามวันข้ามคืน เป็นความร่ำรวยที่มากเกินกว่าชาวสวนผักอย่างเราจะจินตนาการได้
2 วันถัดมาขณะที่โอเวนกำลังถางหญ้าที่ขึ้นรกทางเดินเข้าบ้าน เด็กหนุ่มก็พบกับคาร่า ฟอกซ์คนนั้นอีกครั้ง ในรถม้าที่แล่นผ่านหน้าบ้านไป
แต่วันถัดมา เธอมาที่บ้านตามลำพัง
แม่กระซิบบอกให้ 2 คนพี่น้องออกไปอยู่ในสวนกับพ่อ จากนั้นเธอก็นั่งลงคุยกับคาร่า
“พ่อคะ ภริยาเจ้าเมืองมาหาแม่” สาวน้อยเกรซรีบไปบอกพ่อ
จอร์จสั่งให้ 2 คนพี่น้องช่วยกันรดน้ำผักต่อ และอย่าเพิ่งกลับเข้าบ้านจนกว่าพ่อจะมาเรียก จากนั้นพ่อก็เดินไปที่บ้านหลังเล็กของพวกเขา
บลูเกาะกิ่งไม้มองความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เงี่ยหูฟังเสียงจากที่ห่างไกล แล้วขยับซ่อนตัวอยู่ภายใต้กิ่งไม้ที่ทับซ้อนกัน
“ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ” เกรซบอก
โอเวนก็คิดอย่างนั้น “พวกเราช่วยกันทำงานเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีผักไปส่ง”
“พี่ไม่อยากรู้หรือ”
“อยากรู้สิ แต่ทั้งพ่อและแม่สั่งเราเหมือนกันแบบนี้ เราก็ควรเชื่อฟัง อีกอย่างพอภริยาเจ้าเมืองกลับไป เราค่อยถามพ่อกับแม่ก็ได้”
“แต่หนูอยากรู้ตอนนี้”
“ถ้าเราไปแอบฟังตอนนี้ แล้วเราจะรู้เรื่องไหมว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร เอาไว้ไปซักถามให้เข้าใจตอนหลังดีกว่า”
เกรซอยากรู้ แต่ก็ยอมคล้อยตามพี่ชาย “หนูว่าภริยาของเจ้าเมืองคนนี้ดูน่ากลัวมาก”
โอเวนรีบหันไปดุน้องสาวพลางเหลียวมองไปรอบตัว “อย่าพูดเสียงดังไป”
“ทำไมล่ะ หนูก็แค่บอกว่าน่ากลัว”
โอเวนดุน้องอีกครั้ง “อย่าพูดเสียงดัง” พี่ชายลดเสียงลงมาเป็นกระซิบ “พี่รู้ว่าเธอกำลังจะพูดอะไร แต่เราพูดเรื่องนี้นอกบ้านไม่ได้”
“เพราะอะไร”
“เพราะนี่เป็นเรื่องที่เราไม่มีหลักฐานไง”
น้องสาวทำหน้าตาไม่เข้าใจ โอเวนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้เคียงให้น้องสาวฟัง
เรื่องที่เริ่มขึ้นจากการโต้เถียงกันระหว่างผู้หญิง 2 คน คือลูซี่กับมอลลี่ ที่แย่งกันซื้อเครื่องประดับชิ้นเดียวกันในตลาด แต่ในการโต้เถียงกันในครั้งนั้น ทั้งคู่ต่างเรียกอีกฝ่ายว่าแม่มด และต่างก็ยกเรื่องความแตกต่างจากคนอื่นมาพูดถึง สีผม สีตา ท่าทางในการเดิน ลูซี่บอกว่ามอลลี่เป็นแม่มดที่ดื่มเลือดแมว ขณะที่มอลลี่ก็ว่าลูซี่เลี้ยงภูตผีเป็นผู้รับใช้
“มันเป็นไปไม่ได้”
“ใช่ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในครั้งถัดมาที่พี่เอาผักไปส่ง พ่อค้าในตลาดบอกว่าทั้งคู่ถูกจับตัวไปสอบสวน ว่าเป็นแม่มดอย่างที่อีกฝ่ายบอกหรือเปล่า”
“ก็ต้องไม่ใช่แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาก็แค่ทะเลาะกัน ก็พูดไปเรื่อย”
“ตอนแรกทั้งคู่ก็ยอมรับว่าพูดไปเรื่อย เจ้าหน้าที่จึงจะลงโทษ ฐานที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด พวกเขาก็เลยยืนยันว่าอีกคนหนึ่งเป็นแม่มดจริง ๆ”
และยังต้องถูกทรมาน กระทั่งยอมรับว่าตนเองเป็นแม่มด สุดท้ายคือถูกควบคุมตัวนำไปประหารด้วยการเผาที่หน้าเรือนจำนั่นเอง
เกรซเคยได้ยินเรื่องการจับกุมคนที่พอจะมีเบาะแสบางอย่างที่ทำให้น่าเชื่อว่าเป็นแม่มดจริง ๆ อย่างหญิงชราที่พักอยู่ตามลำพัง หรือไม่ก็เป็นคนที่ป่วยหนักแล้วจู่ ๆ ก็หายป่วย บางทีก็เป็นคนที่ท้าทายอำนาจของศาสนจักร แต่เรื่องของหญิงสาว 2 คนนี้ออกจะไร้เหตุผลอยู่มาก
“ไม่มีหลักฐานพยานอะไรเลย แค่คำพูดจากการทะเลาะกันก็เชื่อ”
หากเป็นในเขตเมืองใหญ่ผู้พิจารณาความผิดย่อมเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ที่นี่เป็นชนบท อำนาจจึงอยู่ที่เจ้าเมืองและนักบวช ซึ่งเห็นว่าการเอาใจผู้ปกครองจากส่วนกลางสำคัญกว่าชีวิตของชาวบ้าน ยิ่งหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องแม่มด พวกเขาก็จะเลือกที่จะสรุปข้อสงสัยให้เร็วที่สุด
“พี่ได้ยินเรื่องการล่าแม่มดทุกครั้งที่เอาของไปส่งที่ตลาด หลายครั้งที่ชาวบ้านรู้ว่าคนที่ถูกจับไปก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนเรา แต่กลับถูกกล่าวหาด้วยสาเหตุที่มาจากการกลั่นแกล้งกัน ผลประโยชน์ แม้แต่ความหึงหวง ถึงต้องบอกเธอว่าอย่าได้พูดเสียงดังไป”
เกรซเป็นน้องสาวที่น่ารัก คือแก้วตาดวงใจของครอบครัว โอเวนที่รู้ข่าวร้ายมากมายข้างนอกจึงไม่อยากเล่าให้น้องสาวฟังเพราะไม่อยากให้หวาดกลัว และรู้สึกระแวง
เกรซเข้าใจ “กลัวว่า ถ้าพูดโดยไม่ระวัง แล้วจะทำให้เรื่องบานปลายแบบเรื่องลูซี่กับมอลลี่ใช่ไหม”
“ใช่” พี่ชายบอก “บางทีพ่อก็กังวลว่า เราปลูกผัก ค้าขายแล้วไปทำให้ใครเสียหายหรือเปล่า เขาอาจเขียนเรื่องร้องเรียนพวกเรากับทางเจ้าเมืองก็ได้”
น้องสาวส่ายหน้า “พวกเราปลูกผัก ขายผัก ส่งทั้งเงินทั้งผักให้เจ้าเมืองอยู่ตลอด หนูว่า เจ้าเมืองเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของพวกเราอยู่บ้าง” เกรซนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “พี่เคยเห็นภริยาเจ้าเมืองคนที่มาบ้านเราวันนี้ไหม”
“เคยเห็นตอนที่เขานั่งอยู่ในรถม้าผ่านไปน่ะ”
น้องสาวดูผิดหวัง “หนูคิดว่าพี่เคยเห็นเขาที่ปราสาทของเจ้าเมือง”
พี่ชายส่ายหน้า น้องสาวก็ชวนคุยต่อ “ลุค กับ เชส เมอร์ฟี ลูกชายของเจ้าเมืองกลับมาบ้างไหม”
โอเวนทำเสียงขึ้นจมูกก่อนตอบ “ถามถึงทำไม พวกเขาไม่กลับมาเมืองเล็ก ๆ แบบนี้หรอก”
สาวน้อยไม่ปิดบังความผิดหวัง “ถึงที่นี่จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็เป็นบ้านเกิดของพวกเขานะ”
โอเวนทำหน้าตาล้อเลียนน้องสาว 2 คนพี่น้องคุยกันจนได้ยินเสียงรถม้าของภริยาคนใหม่ของเจ้าเมืองขับออกไปถึงได้ชวนกันกลับเข้าบ้าน

หลายวันถัดมาจอร์จกับโอเวนต้องเอาผักไปส่งที่คฤหาสน์ของเจ้าเมือง และพ่อแยกไปหาพ่อบ้านเพื่อจ่ายเงินค่าเช่าที่ปลูกผัก
เพราะที่ดินทั้งเมืองนี้เป็นของไบรเดน เมอร์ฟี ทุกคนถึงได้กลัวเขา
แต่นั่นมันคนละเรื่องกับลูกชายของเจ้าเมือง
โอเวนนั่งอยู่บนหลังรถส่งผักที่ตอนนี้ว่างเปล่า มองเห็น 2 คนพี่น้องที่ควบม้าอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารจากระยะไกล จากนั้นพวกทหารก็แยกไปทางคอกม้า แต่ 2 คนพี่น้องกลับควบม้ามาทางนี้
การย้ายจากชนบทไปอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
“ไง โอเวน ไม่เจอกันหลายปี นายก็ยังเป็นเด็ก 7 ขวบอยู่เหมือนเดิม” เชสทัก
...ในบางเรื่องนะ เพราะเรื่องปากไม่ดี ก็ยังเหมือนเดิม
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เฮ้ พวกเราอายุมากกว่านายนะ อย่างน้อยก็น่าจะแสดงความเคารพกันบ้าง” เชสพูดยิ้ม ๆ
โอเวนมีสีหน้าเบื่อหน่าย “ไฮ ลุค และเชส เมอร์ฟี ลูกชายเจ้าเมืองเบ๊ตตี้ สบายดีไหม การใช้ชีวิตที่ลอนดอนเป็นอย่างไรบ้าง ฉันหวังว่านายจะสุขสบาย แล้วพวกนายมีธุระอะไรหรือถึงได้กลับมาที่นี่ ที่พวกนายตรงดิ่งมาตรงนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าฉันจอดรถส่งของนี่เกะกะนาย อย่างนั้นฉันจะเลื่อนมันไปทางอื่น...”
“โว้ว โอเวนน้อยของฉัน ใจเย็นหน่อย” ลุคที่มีท่าทีสุขุม จริงจังยังต้องร้องห้าม ขณะที่เชสหัวเราะสนุกสนานที่ถูกโอเวนกวนกลับไป
พี่น้องคู่นี้มันโรคจิต!
“มีอะไร”
เชสหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม จนโอเวนอยากขว้างด้วยหัวผักกาดสักหัว ถ้ายังมีเหลืออยู่นะ
“ก็เห็นว่ายังรอจอร์จอยู่ไม่ใช่หรือไง ก็เลยเข้ามาทักทาย”
“ทักแล้วใช่ไหม ไปได้แล้ว”
เชสชี้หน้าทั้งที่ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าตัวเล็กนี่ยังซ่าเหมือนเดิม”
โอเวนไม่ได้เป็นคนตัวเล็ก ยิ่งเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันในหมู่บ้าน เขาจัดอยู่ในกลุ่มคนตัวสูงด้วยซ้ำ แต่ 2 คนพี่น้องคู่นี้ต่างหากที่สูงกว่า 6 ฟุตแล้ว
ถึงได้เด่นมาก รู้ว่าเป็นใครทั้งที่อยู่ตั้งไกล
“ไม่คิดว่าเราควรจะผูกมิตรพูดดีต่อกันไว้สักนิดหรือไง” เชสบอก
“นี่ก็ดีแล้วไง”
ลุคพยักหนัก “ยังไงรออยู่ที่นี่ก่อน มีของฝากให้นายกับน้องสาวด้วย แต่อยู่บนห้อง”
“ไม่เอาหรอก เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” โอเวนปฏิเสธทันที
2 คนพี่น้องที่กำลังอารมณ์ดีหยุดชะงัก
“มีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่เราไม่อยู่หรือเปล่า” เชสถามขึ้น
โอเวนมอง 2 คนพี่น้อง “ก็เป็นผู้ใหญ่แล้วไง”
“นายน่ะนะ เป็นผู้ใหญ่” เชสเถียง แต่พอหันไปเห็นว่า จอร์จเดินออกมาจากอาคารของพ่อบ้านก็หันมาบอกกับพี่ชาย
“ไว้คุยกันวันหลังก็แล้วกัน”
จากนั้นทั้งคู่ก็กลับไปทางคอกม้า
ตัวเองก็มีเรื่องที่เป็นความลับ พูดไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ
วันถัดมา 2 คนพี่น้องถือของฝากที่เป็นผ้าตัดชุดกระโปรงสำหรับแอนนา และเกรซมาให้ถึงที่บ้าน ส่วนจอร์จ ได้ยาสูบ 1 กล่อง ขณะที่โอเวนได้สร้อยคอแบบสั้น 1 เส้นพร้อมจี้ห้อยคอที่เป็นนกฮูกทำด้วยเงินแท้
เกรซตื่นเต้นที่เห็นสร้อยเส้นนี้ รีบร้องบอก “นี่ถ้าตัวกลม ๆ กว่านี้ก็จะบอกว่าเป็นบลูแล้วนะ”
ลุคกับเชสสงสัย เกรซก็เลยเปิดหน้าต่างบ้าน เรียกบลูให้มาหา เจ้านกฮูกสแกนดิเนเวียก็บินมาหาเกาะไหล่
“ตัวกลมขึ้นจริง ๆ ด้วย” เชสหัวเราะ
จอร์จพิจารณานกฮูกที่สร้อย “นี่น่าจะเป็นนกฮูกแบบที่อยู่นอกเกาะอังกฤษ พ่อเคยเห็นแต่ในหนังสือ”
“ก็พยายามจะหาที่เหมือนบลูที่สุดอยู่เหมือนกัน แต่ว่าไม่มี อันนี้ใกล้เคียงที่สุดแล้ว” ลุคอธิบาย
ส่วนเชสพูดคุยกับบลู “กินแต่ถั่วจนตัวอ้วนกลมไปหมดแล้วบลู”
บลูส่งเสียงตอบรับต่ำ ๆ แต่เกรซไม่เห็นด้วย
“ไม่อ้วนสักหน่อย บลูหล่อมาก เก่งมากด้วย บางวันก็จับหนู บางวันก็จับงูมาให้แม่”
แอนนารีบห้าม “โอ้ย เกรซ อย่าเพิ่งชมมาก เดี๋ยวไปจับมาให้แม่อีก”
เชสยังพยายามจะเล่นกับบลู “บลู มาเกาะเราได้ไหม”
“ไม่ได้ บลูเป็นเพื่อนหนูก็ต้องอยู่กับหนูสิ” เกรซหวง
ระหว่างที่ทุกคนหันไปให้ความสนใจบลู ลุคก็เดินไปหยิบสร้อยคอจากมือของโอเวนแล้วสวมให้
“ทำไมถึงซื้อสร้อยมาให้ฉัน” หนุ่มตัวเล็กถาม
ลุคยิ้ม “เพราะฉันคิดว่าสร้อยนี้เหมาะกับนายมาก” ดวงตาสีเข้มมองมือที่จับจี้รูปนกฮูกขึ้นมาดู “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมื่อวันก่อนนายถึงพูดอย่างนั้นกับฉัน”
โอเวนทำหน้ามุ่ย “นี่ถึงกับต้องตามมาถามถึงบ้านเลยหรือ”
“ถึงไม่มีคำถามนี้ ฉันก็ต้องเอาของฝากมาให้นายที่บ้านอยู่แล้ว”
“โอเค ฉันชอบมัน”
“โอเวน”
โอเวนกลอกตา “ฉันแค่เบื่อ รำคาญที่จะต้องตอบคำถามของนาย”
“อย่างนั้นนายก็เป็นฝ่ายถามฉันสิ ฉันอยากตอบ”
ขณะที่ลุคไม่ได้สนใจความผิดปกติรอบตัว แต่โอเวนสนใจ และหันไปมองทุกคนในบ้านที่หยุดคุยกัน ทั้งหันมามองทางนี้
“ไม่มีคำถาม”
“พี่เกเร” เกรซช่วยบอก
โอเวนรู้สึกขอบใจน้องสาวที่ช่วยพาผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ แต่พอลุคและเชสจะกลับไป ลุคก็ยังกระซิบถามโอเวนอีกครั้ง
“ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับนายใช่ไหม”
“ไม่มีหรอก”
เป็นคำตอบที่อย่าว่าแต่ลุคจะไม่เชื่อเลย โอเวนก็ยังไม่เชื่อคำตอบของตนเองเหมือนกัน
หลังจากที่ 2 คนพี่น้องกลับไปแล้วโอเวนจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนี้ยังปฏิเสธไม่รับของฝากของพวกเขาอยู่แท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับได้รับของฝากมากมาย
เราสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็แค่เคยเห็นพวกเขาที่คฤหาสน์บ้าง ในเมืองบ้าง ที่โบสถ์บ้างในตอนที่ยังเป็นเด็กก่อนที่เขาจะไปเรียนที่ลอนดอน ตอนที่พวกเขากลับมาบ้าน ตอนที่พวกเขามาหาที่บ้าน
เห็นไหมว่าไม่ค่อยได้เจอกัน แล้วก็ไม่สนิทกันด้วย

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 05-12-2019 08:19:31
(ต่อครับ)

เช้ามืดวันถัดมา โอเวนเอาขนมปังกับอาหารไปให้มาร์ธาตั้งแต่เช้ามืด
อากาศที่เริ่มชื้นทำให้หญิงชรามีอาการไอ โอเวนจึงต้มน้ำอุ่นไว้ให้ และรอจนหญิงชรากินอาหารเช้าจนเสร็จ จึงได้กลับมาที่กระท่อม แต่ต้องแอบบอกกับจอร์จเบา ๆ ว่ามาร์ธาไม่สบาย กะว่าตอนเย็นจะกลับไปดูอาการอีกครั้ง
“มาร์ธามียาหรือเปล่า”
โอเวนส่ายหน้า จอร์จจึงออกไปเตรียมสมุนไพรพื้นบ้านไว้ให้ลูกชายเอาไปให้มาร์ธาในตอนเย็น
แต่ในระหว่างที่จอร์จออกไปข้างนอก ลุคก็เดินเข้ามาที่บ้าน พร้อมด้วยตะกร้าขนมปังและผลไม้แห้ง พอโอเวนจะไม่รับไว้ ลุคก็อ้างว่านี่คืออาหารมื้อเช้าของเขาเอง แต่รู้สึกเบื่อไม่อยากกินก็เลยเอาใส่ห่อผ้ามาด้วย แล้วบังเอิญว่าบ้านหลังนี้เป็นทางผ่านก็เลยแวะเอามาให้
“ระหว่างทางมีบ้านตั้งหลายหลัง เอาไปให้เขาสิ”
“ถ้านายไม่อยากกินก็แค่ทิ้งไปเท่านั้น” ลุคทำหน้าตึง วางห่อผ้าที่ใส่ของกินไว้ แล้วขี่ม้าออกไป
“อะไรน่ะ โอเวน แม่เห็นคุยกันตั้งนาน”
แอนนาเดินเข้ามาดูห่อผ้า ข้างในมีทั้งขนมปังและผลไม้แห้งหลายชนิดบรรจุในขวดโหล
“นั่นแหละ” ลูกชายคนโตบอกสั้น ๆ “ผมจะไปช่วยพ่อรดน้ำผักแล้วนะ”
“อ้าว แล้วของพวกนี้ล่ะ”
“แล้วแต่แม่แล้วกัน”
พอถึงวันถัดมา คนที่เอาขนมปังกับผลไม้มาให้ในตอนเช้า คือคนงานคนหนึ่งในครัวที่บ้านของลุค บอกว่า ลุคต้องเดินทางไปทำงานที่อีกเมืองหนึ่ง และสั่งไว้ว่าให้เอาขนมปังกับผลไม้มาให้ทุกวัน
โอเวนปฏิเสธ แต่คนงานก็ขอให้รับไว้ ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกลงโทษ
“แล้วเชสล่ะ”
“คุณเชสไม่สบาย คุณพ่อบ้านไปตามหมอมาดูแลตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”
แต่ในวันถัดมา หลังจากคนที่รับใช้แวะเอาขนมปังมาให้และบอกว่า อาการของเชสแย่ลงกว่าเดิม แล้วกลับไป โบรดี้หัวหน้าของหน่วยทหารของเจ้าเมืองก็มาที่บ้านแล้วคุมตัวทั้ง 4 คนไว้ขณะที่พวกเขาค้นหาของบางอย่าง
“หาอะไรอยู่หรือ” จอร์จถาม
ทหารคนหนึ่งรื้อของในครัว แล้วหยิบขวดเครื่องเทศของแม่ออกมาวางเรียง
“อาจเป็นของพวกนี้ก็ได้นะครับหัวหน้า”
“นั่นเป็นเครื่องเทศ ก็มีใช้กันอยู่ทุกบ้าน มันมีอะไรพิเศษหรือ” แอนนาถาม ความกังวลว่าจะถูกกล่าวโทษเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หัวหน้าของกลุ่มหันไปพยักหน้าให้ค้นหาต่อไป
แต่ทั้งที่หาของที่ต้องการไม่พบ แต่โบรดี้กลับออกคำสั่งให้ควบคุมตัวทั้งหมดไปที่เรือนจำ
“อะไรกัน ควบคุมตัวพวกเราด้วยเรื่องอะไร” จอร์จถามขึ้น
โบรดี้ หันมาบอก “คุณเชสมาที่นี่ เมื่อกลับไปก็ป่วยหนัก แม้แต่หมอในเมืองก็ยังไม่รู้วิธีรักษา นั่นเพราะพวกแกใช้เวทย์มนตร์กับเขา”
“เวทย์มนตร์อะไร พวกเราเป็นแค่คนปลูกผักเท่านั้น” จอร์จโต้เถียง แต่ทหารที่หยาบคายหันไปคว้าแขนเล็ก ๆ ของเกรซ ทำให้โอเวนเข้าไปผลักออก เมื่อต้องยื้อยุดกัน ทำให้จี้เงินรูปนกฮูกพ้นจากคอเสื้อออกมา
โบรดี้ตรงเข้ามากระชากสร้อยคอจนขาด
“ที่แท้ก็อยู่ที่นี่เอง”
“อะ อะไร”
“พวกแกเลี้ยงนกฮูกใช่ไหม”
ทหารคนหนึ่ง ร้องถามคนที่อยู่ข้างนอกว่าเจอหรือไม่ แต่คนที่ข้างนอกตอบมาว่ายังไม่พบ โบรดี้ก็สั่งให้เผา
“พอเจอไฟ เจ้านกฮูกนั่นก็ต้องออกมาเอง”
ทั้ง 4 คนถูกลากออกมาจากบ้าน มองดูบ้านและแปลงผักที่กำลังถูกราดด้วยน้ำมัน แล้วจุดไฟเผา บลูที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงไม้ด้านหลังของสวนได้ยินทุกถ้อยคำ และพยายามที่จะไม่ออกมา เพราะอาจกลายเป็นอีก 1 หลักฐานที่ชี้ว่าครอบครัวนี้เป็นแม่มด
ไฟเผาไหม้บ้านหลังเล็กนั่นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไฟที่เผาทำลายแปลงผักลุกลามไปอย่างช้า ๆ เพราะมีความชื้นมากกว่า
โบรดี้สั่งให้ทหารคุมตัวทั้ง 4 คนออกไปก่อนและสั่งให้ทหารอีก 5 คนเอาน้ำมันมาราดที่แปลงผักเพื่อเร่งให้ไฟเผาไหม้ทุกอย่างให้หมด  และรออยู่ที่นี่จนกว่าจะเจอนกฮูกตัวนั้น 
แต่ทหาร 5 คนนี้ไม่ได้เฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดแบบนั้น เมื่อโบรดี้ควบคุมตัวทั้ง 4 คนกลับไปได้ไม่นาน พวกเขาก็ล่าถอยออกมา
บลูจึงแฝงตัวท่ามกลางกลุ่มควันหลบหนีออกมาอีกทางหนึ่ง

ต่อหน้าเจ้าเมือง และคณะตุลาการ คาร่า ฟ็อกซ์ มองจี้เงินรูปนกฮูกที่โบรดี้นำมาเป็นหลักฐาน แล้วยืนยันกับเจ้าเมืองอีกครั้ง ว่าเธอเคยเห็นนกฮูกตัวหนึ่งที่บ้านของครอบครัวไร้ท์
“เป็นนกฮูกสีขาว ที่มีตาสีฟ้า”
ชาวบ้านหลายคนก็ยืนยันว่าเห็นเคยเห็นนกฮูกตัวนี้
“จอร์จและแอนนารู้เรื่องสมุนไพรหลายอย่าง”
ทั้งคู่มีความสามารถในการรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้
“ทั้งแอนนา เกรซ และโอเวนต่างก็มีรูปร่างใบหน้าที่สวยงามผิดจากคนอื่น”
โดยเฉพาะโอเวนที่ยังถือว่ามีใบหน้าแบบผู้หญิง
แอนนา และเกรซถูกตัดสินให้เผาทั้งเป็นในค่ำวันนั้นเอง ขณะที่จอร์จ และโอเวนถูกทรมานด้วยการถูกทุบตีด้วยท่อนไม้
...เพราะพ่อมด และแม่มดจะไม่ตายด้วยการฆ่าแบบธรรมดา
โอเวนมองไฟที่ลุกท่วมแม่และน้องสาว ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานจนกระทั่งเสียงนั้นเงียบลง
ส่วนพ่อไม่ต้องทรมานนานขนาดนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่คนหนึ่งฟาดไม้เข้ามาที่ท้ายทอย ทำให้พ่อขาดใจในทันที
แต่สำหรับโอเวน ช่วงเวลานับจากนั้นสมควรเรียกว่าเหลือเพียงแค่ลมหายใจ เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าจอร์จเสียชีวิตเร็วเกินไป ก็เปลี่ยนมาใช้สารพัดวิธีที่จะทรมาน และสร้างความเจ็บปวด...
ความเจ็บปวด เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป
ภายในห้องใต้ดินปิดทึบที่มีช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ใกล้เพดานสูง
เด็กหนุ่มมองเห็นแสงพร่ามัวด้วยดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียว แต่ภายในดวงตาข้างนั้นยังเห็นภาพของพ่อ แม่ และเกรซอย่างชัดเจน แม้จะไม่มีใบหูทั้ง 2 ข้างเหลืออยู่อีก แต่ก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานยาวนาน จมูกที่ถูกทุบหักยังได้กลิ่นเนื้อมนุษย์ยามที่ถูกเผาไหม้
2 แขน ข้างหนึ่งเหลือเพียงข้อมือ อีกข้างหนึ่งก็แตกหักจนไม่สามารถยกขึ้นได้อีก
2 ขาที่เหลือเพียงเข่า
ลำตัวที่มีแต่ริ้วรอยจากการถูกโบย
ทำไมยังไม่ตาย หรือเราจะเป็นพ่อมดจริง ๆ
ข้อกล่าวหานี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
นี่เป็น 2 คำถามที่โอเวนถามตัวเองตลอดเวลา แต่เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับจี้ห้อยคอรูปนกฮูกนั่น
ลุค คือคนที่เอาจี้ห้อยคอมาให้แล้วหายไป
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“บลู...” น้ำเสียงที่เปล่งออกจากคอแหบพร่า และไม่ชัดเจน เพราะถูกตัดลิ้นไปแล้ว
เด็กหนุ่มมองเห็นนกฮูกสีขาวดวงตาสีฟ้าปรากฏขึ้นข้างหน้า แน่ใจว่าการมองเห็นนี้ไม่ได้เกิดจากดวงตา
“บลู...” แค่คำเดียวก็เหนื่อยหอบ เจ็บร้าวไปทั้งอก “ฉัน...ต้องการ...คำตอบ...” และยังตายไม่ได้ จะกว่าจะได้ “...แก้แค้น...”
ดวงตาสีฟ้าสว่างที่มองมา ช่วยให้ความเจ็บปวดทั้งหมดจางหายไป
ในอีก 1 ชั่วโมงถัดมา ทหารยามเดินผ่านมาตรวจห้องขังนักโทษ แต่ไม่พบร่างของโอเวน ไรท์ อยู่ในห้องขังแล้ว

...จบตอนที่ 1...

เริ่มเรื่องใหม่ในแบบที่คาดหวังจากใจว่าคุณผู้อ่านจะชอบ
แต่จะชอบหรือไม่ชอบติชมกันได้นะครับ
MyTeaMeJive


สารบัญเรื่อง
ตอนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4016274#msg4016274) / ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4020261#msg4020261) / ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4023819#msg4023819) / ตอนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4027088#msg4027088) / ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4029270#msg4029270) / ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4031945#msg4031945) / ตอนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4037775#msg4037775) /  ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4041748#msg4041748) / ตอนที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4043476#msg4043476) / ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4045919#msg4045919) / ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4047626#msg4047626) / ตอนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4048753#msg4048753) / ตอนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4050121#msg4050121) / ตอนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4051124#msg4051124) / ตอนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4051731#msg4051731) / ตอนที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4052654#msg4052654) / ตอนที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4053517#msg4053517) / ตอนที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4054853#msg4054853) / ตอนที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4055403#msg4055403) / ตอนที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4056062#msg4056062) / ตอนที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4056524#msg4056524) / ตอนที่ 22  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4057074#msg4057074) / ตอนจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71252.msg4057639#msg4057639)

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 05-12-2019 09:02:46
 :mc4:
ต้อนรับก่อนเดี๋ยวเข้าไปอ่านครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 05-12-2019 09:12:17
เรื่องใหม่มาแล้วว :mc4:
สงสารครอบครัวโอเว่นจัง :m15:
โอ๊ยลุ้นๆ โอเว่นหายไปไหน
สนุกค่ะ รอติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-12-2019 09:26:13
 :pig4:
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 05-12-2019 09:37:59
เดี๋ยวมาอ่านนะคะแป๊บนึงตั้งเตือนไว้แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 05-12-2019 09:56:26
 
ก่อนอื่นต้องเข้ามาขอบคุณที่มีเรื่องใหม่มาให้ติดตามนะคะ  :pig4:

ส่วนเนื้อเรื่องเปิดตัวมาก็แฟนตาซีแบบอลังกันเลยทีเดียว ยังลุ้นว่าจะเป็นพ่อมดน้อยหรือเปล่า

ที่แน่ๆ บลูไม่ธรรมดาจริงๆ  รอตอนต่อไปค่ะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-12-2019 10:34:18
 :mew4: นี่เตรียมใจเรื่องการจากไปของตัวละครของนักเขียนคู่นี้....เเต่ก็ไม่คิดว่าจะมาตั้งเเต่ต้นเรื่องเเบบเน้!!! :katai1:

อ่านไปก็นึกคิดตามว่าต่อไปจะเป็นยังไง ไม่คิดว่าจะมาโดนกับครอบครัวโอเวน นี่เดาว่าคุณยายข้างบ้านอาจจะมาช่วย เเต่หวยมาออกที่บลูจ้า...เดาว่าบลูน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของเเม่มดอีกที เดาไปเรื่อยๆจนกว่าตอนใหม่จะมาหล่ะกันนน
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 05-12-2019 10:42:33
ล้างแค้นมัน


ฆ่ามันให้ตายอย่างทรมาณ


ทุกผู้ทุกคน


ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้


อย่าใจอ่อน


ฆ่ามันทุกคน
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-12-2019 11:01:50
โหดมาก
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 05-12-2019 20:16:37
ขอบคุณผู้เขียนที่เรียกเพศสัตว์ได้ถูกต้อง
ไม่ใช่เรียกสัตว์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเหมือนคนสมัยนี้ ทำให้คนอ่านรุ่นหลังสับสน

สงสารครอบครัวของโอเวนมาก ๆ โหดร้ายเกินไป
ขอให้โอเวนจงเข้มแข็งนะ

 :hao7:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 07-12-2019 20:21:51
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 07-12-2019 20:39:38
 :z13:  รอตอนใหม่อยู่น๊าาา
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 09-12-2019 13:33:27
มีความลึกลับมากมายจริงๆ เชสกับลุคเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ บลูต้องเป็นมากกว่านกฮูกธรรมดาๆ อยู่แล้ว
โอเวนจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร โชคชะตาที่มาพร้อมกับบลูจะเปลี่ยนชีวิตเขาไปมากเท่าไรกันนะ

ขอบคุณน้องทีกับคุณไจฟ์ที่เอาเรื่องใหม่มาแบ่งปันกันอ่านนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
ป.ล. เรื่องการล่าแม่มดนี่เป็นตัวอย่างของความดวงตามืดบอดของมนุษย์อย่างหนึ่งจริงๆ ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นน่ากลัวมากๆ เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ชอบเรื่องนี้นะคะ อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 11-12-2019 22:00:46
เปิดเรื่องมาได้น่าสนใจมาก ๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-12-2019 16:15:15

 นับวันรออออออ  :L2:   :L2:   :L2:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-12-2019 21:12:40
 :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 20-12-2019 19:30:24
อ่านตอนแรกจบแล้วยังฉงนกับชื่อเรื่อง OWAZA  :hao4:
มันแปลว่าอะไรเหรอคะน้องน้ำชา

รอตอนต่อไปอยู่น๊าาา o18
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 20-12-2019 19:51:34
 :ling1: ตอนใหม่อยู่หนายยยย
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 20-12-2019 19:58:34
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: jeab12 ที่ 21-12-2019 20:44:09
มาให้กำลังใจ น้ำชา จ๊ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-12-2019 11:22:21

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก  รออยู่จ้า



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-12-2019 15:04:07


  ยู้ฮู้วววววววววว   แปะที่รอจ้า





หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 30-12-2019 19:16:27
มาช่วยดัน...ฮึบ!!!!
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 30-12-2019 19:49:32
มาส่งท้ายปีใหม่สักหนึ่งตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 30-12-2019 20:14:38
 :z13: อย่ามัวเเต่กินเค้กปีใหม่เพลินน๊าาาา...เค้ารอตอนใหม่อยู่จ้าาา
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่1 (5/12/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 03-01-2020 21:01:00
 :z13:วางชานมไข่มุกในมือได้เเล้วน๊าาา
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 04-01-2020 06:28:27
ตอนที่ 2

ค.ศ.1813
สงครามนโปเลียนดำเนินมานาน 10 ปีแล้ว โลกกำลังแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายสัมพันธมิตร กับฝ่ายของจักรวรรดิฝรั่งเศสและพันธมิตร
ระบบการเกณฑ์ทหารแบบใหม่ทำให้กองทัพฝรั่งเศสมีกำลังทหารจำนวนมาก และได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงเมื่อปีที่แล้วนี่เองที่กองทัพแห่งนโปเลียนพ่ายแพ้จากการรุกรานเข้าสู่ดินแดนของรัสเซีย
ในสมรภูมิ เหล่าวิญญาณ และยมทูตลอยตัวอยู่เหนือทหารแนวหน้า....
ปีศาจสีขาวผู้มีดวงตาสีฟ้า ผลักร่างของโบรดี้เข้าไปในกองไฟ...
 
ต้นไม้ใหญ่ภายในสุสาน มีพุ่มใบหนาทึบเหมาะสำหรับการหลบซ่อนและเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย
คลอรีน เด็กผู้หญิงผมสีดำเข้มคนนั้นคือลูกสาวของคนเฝ้าสุสานแห่งนี้ เธอต้องรับหน้าที่ช่วยบิดานับตั้งแต่พี่ชาย 2 คนถูกเกณฑ์ทหาร และเมื่อทั้งคู่เสียชีวิตในสนามรบ มารดาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจก็เริ่มล้มป่วยและจากไป
บลูอยากเห็นชีวิตที่ยากลำบากของคลอรีนต่ออีกสักปีสองปี แต่ที่ต้องรีบลงมือก็เพราะเมื่อวันก่อนระหว่างงานศพของลูกชายเศรษฐีของเมืองนี้ มีผู้ที่มาร่วมงานคนหนึ่งสังเกตเห็นนกฮูกสแกนดิเนเวียอยู่ตามลำพังภายในสุสาน
การถูกพบเห็น หมายถึงการที่จะถูกผู้ติดตามพบเจอในเร็ว ๆ นี้
ค่ำลง กลุ่มโจรขุดศพลอบเข้ามาที่สุสาน บลูส่งเสียงร้องขึ้นครั้งหนึ่ง ผู้เป็นพ่อก็รีบคว้าอาวุธ ส่วนคลอรีนคว้าตะเกียงตามพ่อออกมาที่สุสาน
เมื่อเห็นกลุ่มโจรกำลังช่วยกันขุดหลุมศพใหม่ คนเฝ้าสุสานก็ยิงปืนออกไป 1 นัด พวกโจรพากันทิ้งเครื่องมือต่าง ๆ แล้ววิ่งหนีไป แต่คลอรีนที่วิ่งตามพ่อมา จู่ ๆ กลับมองเห็นภาพข้างหน้าไม่ชัดเจน สะดุดจอบที่ถูกวางทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ตะเกียงในมือถูกหมุนเหวี่ยงขึ้น น้ำมันในตะเกียงไหลลงมาที่ข้อมือ แขนและเสื้อ เปลวไฟลุกลามลงมาตามน้ำมันในตะเกียง แล้วติดเสื้อผ้า
เด็กหญิงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ โดยที่บิดาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย จนกระทั่งเธอสิ้นใจ
เรื่องการทำหน้าที่ของคนเฝ้าสุสาน บลูก็แค่ส่งเสียงเรียกให้ออกมา
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับคลอรีน แน่นอนว่า มันคือฝีมือของนกฮูกตาสีฟ้าตัวนี้!
...
เวลาเดินหน้าต่อไป นกฮูกตาสีฟ้าไล่ตามหาวิญญาณของคาร่าและพรรคพวกของเธอที่ทำร้ายครอบครัวไร้ท์ และมอบความตายในกองไฟแบบเดียวกัน
ท่ามกลางวันเวลาแห่งการแก้แค้น นกฮูกตาสีฟ้าได้พบกับแอนนา และเกรซ 2 แม่ลูกอีกหลายครั้ง
เมื่อได้พบก็จะเฝ้าคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ จนกว่าทั้ง 2 คนจะจากไปด้วยอายุขัย
เว้นแต่ในครั้งนี้ ที่นกฮูกตาสีฟ้า ไม่สามารถที่จะคอยเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เหมือนที่ผ่านมา
ชายหนุ่มในเครื่องแบบนักศึกษาคนนั้น ดูโดดเด่นกว่าคนอื่น ต่อให้อยู่ไกลกว่านี้ก็รู้ว่านี่คือใคร แม้ว่าไอชีวิตที่เป็นละอองสีชมพูที่ล้อมรอบอยู่จะมีสีอ่อนจางก็ตาม
“เบส” จุ๊บจิ๊บเพื่อนร่วมชั้นปีที่ 2  ร้องเรียกแล้ววิ่งนำกลุ่มเพื่อนเข้ามาหา ปรัตถ์ ยิ่งพลวัฒน์ หรือ เบส หนุ่มตัวผอม ผิวขาวแล้วสอดมือคล้องแขนไว้
สาว ๆหลายคนในคณะเดียวกันมักจะคล้องแขนแบบนี้ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนแรกเบสก็ตกใจในความมือไวของบรรดาหญิงสาว แต่พอหลังจากการรับน้องซ้อมเชียร์ผ่านไปได้ 1 เดือนก็ไม่รู้สึกตกใจแล้ว
“จะกลับแล้วหรือ ข้าวโพดไม่ได้บอกหรือว่าวันนี้พวกเราไปชาบูกัน”
“บอก แต่วันนี้ไปไม่ได้ เพราะแม่กลับมาแล้ว” เบสตอบ
“เครื่องลงกี่โมง” จุ๊บจิ๊บถามต่อระหว่างรอกลุ่มเพื่อนที่เดินตามมา
“ลงตั้งนานแล้ว อยู่ที่บ้านแล้วเนี่ย”
“เบสรักแม่มากเลยเนอะ” จุ๊บจิ๊บชื่นชม ทำให้เพื่อน ๆ พากันแซว
“ที่มาออเซาะเบสเนี่ย ขออนุญาตข้าวโพดหรือยัง”
“แหมพวกแกพูดซะเสียหาย” จุ๊บจิ๊บหันไปต่อว่า “ฉันรู้หรอกน่าว่าอะไรเป็นอะไรน่ะ”
“เป็นอะไรล่ะ เพื่อนกันทั้งนั้น” เบสบอกด้วยสีหน้าที่ค่อนไปทางไม่พอใจสักเท่าไหร่
เป็นการตัดบทที่ทำให้เพื่อนรู้สึกเพลียใจแทนคนที่ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก
“พวกเธอจะให้ขับรถไปส่งหน้าห้างใช่ไหม”
“ก็เออ” จิรกร คุณสิริกร หรือ ข้าวโพดเพื่อนหน้าตาดีที่เดินรั้งท้ายกลุ่มเป็นคนตอบ “ฝากไปหน่อย ทีแรกก็ว่าจะแบ่งอัดไปรถกูกับนานาก็น่าจะได้ แต่ถ้าถูกเรียกตรวจตรงสี่แยกขึ้นมามันจะไม่คุ้ม กูฝากไปกับมึง 5 คนนะ”
ข้าง ๆของข้าวโพดคือแหม่ม เพื่อนผู้หญิงที่เบสรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าเธอชอบข้าวโพด ไม่ใช่เพราะว่าเธอสารภาพกับข้าวโพด หรือมาบอกกับเบสหรอก แต่เพราะการกระทำของเธอต่อข้าวโพดมันชัดเจนว่าเธอมีความรู้สึกพิเศษ แต่สำหรับข้าวโพดแล้วแหม่มก็เหมือนเพื่อนทุกคนในคณะ   
เธอเป็นเพื่อนสนิทของนานาซึ่งเป็นทั้งนักกิจกรรมและดาวคณะ แต่แทนที่เธอจะไปขึ้นรถของนานา เธอกลับมายืนเกาะแขนข้าวโพด
แหม่มที่เกาะแขนข้าวโพดให้ความรู้สึกว่า เธอคือเจ้าของ
แต่จุ๊บจิ๊บที่เกาะแขนเบสอยู่ให้ความรู้สึกว่านี่คือเพื่อนสนิท และออกจะเร่งอยู่หน่อย ๆว่าเมื่อไหร่จะขึ้นรถสักที
เมื่อเบสมองมือของแหม่มที่เกาะแขนของข้าวโพดอยู่ ข้าวโพดก็แกะมือของเธอออก
   พอสบตากันกับข้าวโพด เบสก็หันไปมองทางอื่น
   ถ้าแหม่มปฏิบัติกับข้าวโพดแบบคนพิเศษแบบใคร ๆ ก็รู้ การปฏิบัติของข้าวโพดต่อเบสก็พิเศษชนิดที่ใครเห็นก็รู้ว่านี่คือคนพิเศษเหมือนกัน
“นี่แยกไปรถนานา 6 คนแล้วแต่ยังไม่หมด” บอลเพื่อนตัวสูงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติ ยังคงอธิบายกับหนุ่มตัวขาวที่จะไม่ได้ไปกินชาบูกับทุกคนต่อไป 
ทั้งกลุ่มที่กำลังวุ่นวายกันอยู่หน้าอาคารเรียนในเวลานี้ คือเพื่อนร่วมชั้นปีที่ 2 ของคณะบริหารธุรกิจ ที่อาศัยว่าวันนี้ไม่มีกิจกรรมคณะถึงได้นัดกันไปกินชาบูหลังเลิกเรียน
ในกลุ่มเพื่อนจำนวนเกือบ 20 คน คนที่เบสสนิทที่สุดก็คือ ข้าวโพด หนุ่มหล่อประจำคณะคนที่ทุกคนมักพูดพาดพิงไปถึงตลอดเวลาคนนั้น
เบสเดินนำกลุ่มเพื่อนไปที่รถ หันไปอีกทีเห็นเพื่อน 5 คนเดินตามมา ถัดไปทางด้านหลังคือข้าวโพดที่กำลังมองอยู่ แต่ก็หันหน้าไปทางอื่นอีกครั้งในทันทีที่สบตากัน
“อะไรของมันวะ” เบสบ่นทั้งที่ตัวเองเป็นคนหลบตา ทำเป็นกดรีโมทเปิดประตูให้เพื่อนขึ้นรถ
“ตัวขาว” นทีเพื่อนผิวเข้มแทรกตัวเข้ามาเรียกเบส “มึงอย่ารีบออกรถนะ” ชายหนุ่มถือวิสาสะดันหลังจุ๊บจิ๊บไปนั่งเบาะหลัง ส่วนตัวเองรีบเข้ามานั่งข้างคนขับ
“ทำไมล่ะ มีอะไรหรือ”
“มึงส่งพวกกูแค่หน้าห้าง แต่ข้าวโพดมันต้องไปวนรถหาที่จอดอีก กูขี้เกียจไปรอ”
“โทรไปบอกให้พวกที่อยู่ในรถข้าวโพดลงจากรถหน้าห้างพร้อมกันสิ ปล่อยข้าวโพดหาที่จอดรถคนเดียวก็ได้” เพื่อนคนหนึ่งบอกแล้วกดโทรศัพท์หา 1 ในคนที่อยู่ในรถของข้าวโพด
“โห อีเพื่อนแสนดี เกาะรถเขาไปยังทิ้งให้เขาหาที่จอดรถคนเดียวอีก แทนที่จะไปช่วยมองหาที่ว่าง หรือช่วยเข็นรถ”
ตลอดทางที่เบสขับรถตามรถข้าวโพดมาจนถึงหน้าห้าง เพื่อน ๆ ก็คุยกันไปทะเลาะกันไปตลอดทาง ทำให้พอทุกคนลงจากรถไปแล้วทำให้รู้สึกได้ว่า รถ ‘เบา’ ลงไปมาก ทั้งด้วยจำนวนคนและเสียง
แต่ขับรถต่อมายังไม่ทันจะถึงหน้าปากซอยบ้าน ข้าวโพดก็ส่งข้อความมาบอกให้ขับรถกลับบ้านดี ๆ แล้วช่วยเก็บของฝากจากยุโรปไว้ให้ด้วย
“เชยชะมัด ส่งข้อความมาแทนที่จะส่งไลน์” เบสพูดกับโทรศัพท์ แต่ยังไม่ส่งข้อความกลับไป
ผกา ยิ่งพลวัฒน์ กับกลุ่มญาติพี่น้องของเธอซึ่งทุกคนมีอายุมากกว่า 50 ปี เดินทางไปสวีเดนเพื่อร่วมงานแต่งงานของหลานสาวคนหนึ่ง เสร็จงานก็พากันตระเวนเที่ยวหลายประเทศในยุโรปนานถึง 1 เดือนเพราะเป็นการเที่ยวแบบไม่รีบร้อน และเพิ่งจะกลับมาถึงบ้านในวันนี้
ส่วนบรรดาข้าวของที่ ‘คุณผกา’ ส่งพัสดุกลับมาก่อน รวมถึงที่ถือกลับมาเอง ประมาณ 1 ใน 4 คือสินค้าประจำชาติแบบที่ใครไปก็ต้องซื้อ อย่างม้าไม้สีแดงสวีเดน หน้ากากคาร์นิวัล หมวกและกรอบรูป ซึ่งเธอจะนำมาจัดวางเพื่อตกแต่งบ้าน
อีก 1 ใน 4 เป็นของประเภทที่จะซื้อมาเพื่อเก็บลงกล่องแล้วก็นำไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยไม่ยอมให้ใครได้เห็น ส่วนที่เหลือคือเครื่องสำอาง และข้าวของเครื่องใช้ของเธอเอง
ส่วนลูกชายได้เสื้อแบรนด์เนมมา 1 ตัว
“แม่ครับ แม่ซื้อเสื้อแบรนด์นี้ สีเดียวกันนี้ให้เบสเมื่อตอนที่แม่ไปติดต่องานที่ฝรั่งเศส 3 เดือนก่อนนะครับ”
“อ้าว งั้นหรือ” แม่นึกไม่ออก “แม่เห็นว่าเสื้อสีอ่อน ๆ แบบนี้เหมาะกับเบสน่ะก็เลยซื้อมา” แม่หันไปมองข้าวของต่าง ๆ รอบตัว “อย่างนั้นเบสมาเลือกใหม่ไหมลูก กระเป๋าไหม”
หลุยส์งั้นหรือ ไม่ละ
ลูกชายหันไปหยิบเสื้อตัวที่แม่ซื้อมาฝาก “เสื้อก็ได้ครับ” แต่พอเห็นกระดาษและถุงที่กระจายอยู่ทั่วห้องลูกชายก็ต้องวางเสื้อไว้ที่โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งก่อน แล้วเข้ามาช่วยแม่เก็บของ
ที่จริงควรเรียกว่าแยกขยะมากกว่า
“พอเบสบอกว่า ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝาก แม่ก็ได้แต่หยิบแล้ววางไปเสียทุกร้าน จะไม่ซื้อเลยก็ทำไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับซื้อของมาซ้ำเสียได้”
ลูกชายหัวเราะนึกภาพเมื่อนึกภาพ ‘คุณแม่นักช้อป’ ตามที่แม่บอกมา “ไปกับพี่น้องหลายคน สนุกไหมครับ”
“ก็สนุกดี เดี๋ยวคุยเรื่องเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็ก เดี๋ยวก็คุยเรื่องงาน แล้วก็เปลี่ยนมาเถียงกันว่า มื้อนี้จะไปกินที่ร้านไหน หันมาอีกทีพ่อเจ้าสาว” ลุงกมล ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของแม่ “ก็เดินไปหาที่นั่ง บอกว่าขอพักขาครึ่งชั่วโมง”
ผกาเก็บรองเท้าลวดลายสวยงามแบบสแกนดิเนเวียลงกล่อง แล้วหันมาบอกกับลูกชาย
“พอแม่เจอไอวี เธอก็ถามคำแรกเลยว่าทำไมเบสไม่มาด้วย ยังโกรธที่โดนแกล้งเมื่อตอนเด็ก ๆ อยู่หรือไง”
เบสขำพลางส่ายหน้า
ไอวี ยิ่งพลวัฒน์ ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลโอลอฟซันตามสามีชาวสวีเดนไปแล้ว
เธอเป็นญาติผู้พี่ ที่มีความสามารถพิเศษคือการตอกย้ำจุดอ่อนของคนอื่น เมื่อเธอรู้ว่าแนนซี่ ญาติผู้น้องคนหนึ่งกลัวจิ้งจก เธอก็จะไปหาจิ้งจกของจริงบ้าง ของปลอมบ้างมาใส่ไว้ในกระเป๋า หรือไม่ก็โยนใส่หน้า ต่อให้ไม่มีจิ้งจกให้แกล้ง เวลาที่เจอกันเธอก็จะร้องว่าจิ้งจกทุกครั้ง
ดังนั้น เมื่อเธอรู้ว่าเบสกลัวความสูงแม้แต่เครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นก็ยังไม่กล้าเล่น เธอก็มักนำเรื่องนี้มาท้าทายและล้อเลียนอยู่เสมอ
หลายคนที่เห็นว่า ‘ความกลัวเป็นเรื่องตลก’ ก็จะเอามาพูดย้ำและช่วยไอวีแกล้งทั้ง 2 คน
ซึ่งทั้งแนนซี่และเบสไม่เคยเห็นว่าเป็นเรื่องตลก สุดท้ายทั้ง 2 คนจึงทำเหมือนกันคือจะอยู่ห่างจากพี่สาวคนนี้ให้มากที่สุด และทั้งคู่ต่างก็มีบทเรียนสำคัญคือ จะไม่บอกใครว่ากลัวอะไร
ดังนั้น ไอวี จึงไม่ได้เป็นพี่สาวที่ชวนให้คิดถึงสักเท่าไหร่ และเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ตอนที่เธอย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วก็ย้ายไปทำงานที่สวีเดนจนกระทั่งแต่งงาน
“แล้วแม่คิดว่าที่เบสไม่ไปด้วย ก็เพราะว่ายังโกรธเขาอยู่จริง ๆ หรือเปล่าล่ะ” เบสถาม
“ไม่หรอก แม่ก็รู้ว่าเบสไม่ได้เป็นคนฝังใจขนาดนั้น แต่แม่คิดว่าการที่เขาถามขึ้นมาในทันทีที่เจอกัน นั่นก็เพราะเขาคือคนที่ฝังใจ ว่าทำไม่ดีกับพี่น้องไว้มาก”
เบสพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร ผกาจึงหยุดมือหันมามองหน้าลูกชาย “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า”
“เบสไม่สนุก” ลูกชายยอมรับ “ทุกครั้งที่ถึงตอนนั้น เบสก็มักจะสงสัยว่าการที่บอกและแสดงออกว่ากลัวคือความผิดปกติ และสมควรที่จะถูกแกล้ง”
ผกาลูบผมลูกชาย เธอรู้ว่าเบสกลัวความสูงมาก ขนาดแค่ระเบียงบ้านที่ชั้น 2 เบสยังออกมายืนที่ระเบียงไม่ได้เลย ตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่เขาพยายามแก้ไขความกลัวของลูกชายด้วยการพาปีนต้นไม้ แต่เบสก็ปีนขึ้นไปได้แค่ระดับไหล่ของพ่อก็ไม่ยอมไปต่อ
สามีของเธอใช้สารพัดวิธี ทั้งขู่และปลอบ แต่เบสก็ยังกลัวอยู่เหมือนเดิม
เป็นความกลัวที่ทำให้พ่อของเบสเคยคิดว่าจะพาลูกชายไปหาจิตแพทย์ แต่ผกาท้วงไว้ว่า เมื่อโตขึ้นและถึงช่วงวัยที่เล่นซนแบบเด็กผู้ชายทั่วไป เบสก็น่าจะเลิกกลัวความสูงไปเอง
แต่ไม่ใช่เลย เบสเคยกลัวอย่างไรก็ยังคงกลัวแบบนั้น
นอกจากนี้แล้วเบสยังกลัวไฟ แต่ผกาคิดว่าเบสอาจเหมือนเธอ และก็เหมือนคนอื่น ๆ ที่กลัวไฟกองใหญ่
เพราะเป็นแม่ เธอจึงไม่ย้ำเรื่องความกลัว แต่มองเป็นเรื่องดี ‘อย่างน้อยแม่ก็แน่ใจว่าเบสจะไม่ปีนระเบียงบ้านหนีออกไปเที่ยวตอนกลางคืน’
และเธอก็เห็นมาตลอดว่า บรรดาน้อง ๆ ที่ถูกไอวีแกล้งมักจะรวมกลุ่มเล่นด้วยกัน และพยายามอยู่ห่างจากพี่สาวคนนี้
“ทุกคนก็มีเรื่องที่กลัวด้วยกันทั้งนั้น ไอวีเองพอเป็นผู้ใหญ่ พบเจอผู้คนมากขึ้น ก็คงคิดได้”
ผกามักจะสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นแบบนั้น
...สักพักก็จะดีขึ้นเอง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี แต่สำหรับเบส เบสคิดว่าไม่เจอกันก็ดีแล้ว ต่อไปนี้ก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วละครับ” ลูกชายหันมาย้ำกับแม่ “เบสไม่ได้โกรธพี่เขานะแม่ แต่ในฐานะคนที่ถูกแกล้ง ขอไม่เจอดีกว่า”
กำลังคุยกัน เสียงโทรศัพท์ของลูกชายดังขึ้น
เบสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วกดรับ พอวางสายก็หันมาบอกแม่ “ข้าวโพดโทรมา บอกว่า แม่ของเขามีของมาฝากแม่”
ผกาคอแข็งขึ้นมาทันที “อย่างยายอัจฉราจะเอาของจากไหนมาฝากเรา ส่งลูกชายมาเอาของฝากจากแม่น่ะสิไม่ว่า”
“เบสว่าไม่ใช่แม่เขาฝากมาหรอก เพราะว่าเมื่อบ่าย ข้าวโพดกับแก๊งค์เขาไปเดินห้างกินชาบูกัน พอรู้ว่าแม่กลับมาแล้ว ก็คงซื้อของมาฝาก”
“แล้วทำไมข้าวโพดต้องซื้อของมาฝากเบส”
“เขาซื้อของมาฝากแม่ต่างหาก” ในใจของเบสมีความขุ่นมัวอยู่หน่อย ๆ “อีกอย่างเมื่อเย็นมันฝากเพื่อนมาขึ้นรถเบส 5 คนมาลงหน้าห้างด้วย”
ผกาพยักหน้าแบบหยิ่ง ๆ “ข้าวโพดเนี่ยเป็นคนดีกว่าแม่ของเขานิดหน่อย เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่า ควรตอบแทนคนที่ให้ความช่วยเหลือ”
“เพื่อนกัน แล้วก็ทางผ่าน”
“แล้วทำไมเบสไม่ไปเดินห้างกับเขาล่ะ”
“ก็รีบกลับมาหาแม่ไง” เบสกอดเอวแม่ “ไปตั้งหลายวัน คิดถึง”
ผกาหันมาหอมหน้าผากลูกชาย “แม่ก็คิดถึงเบส”
“แม่ครับ” ลูกชายหันไปหยิบเสื้อสีอ่อน “เบสเอาเสื้อที่แม่ซื้อมา ไปให้ข้าวโพดต่อแล้วกัน คุณอัจฉราเขาคงไม่เอาไปใส่เองหรอก”
แม่ยังมีสีหน้าเสียดาย “เอาช็อกโกแลตที่แม่ซื้อที่สนามบินไปให้เขาดีกว่า ถูกหน่อย”
“แม่ครับ” นั่นเป็นของฝากสำหรับกรณีที่มีญาติหรือเพื่อนคนไหนพาเด็ก ๆ มาเที่ยวที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วพอผ่านไป 1 เดือนแม่ก็จะบังคับให้คนรับใช้ในบ้านช่วยกันกินให้หมด
ลูกชายจะขัดใจแต่แม่เรียกแม่บ้านให้ไปหยิบช็อกโกแลต
“กัลย์ ไปเอากล่องช็อกโกแลตที่เป็นแบบเม็ดมาหน่อย จะเอาให้ข้าวโพด”
แม่บ้านซึ่งเป็นสตรีที่มีอาวุโสมากกว่าผกาพยักหน้ารับคำสั่งแล้วก็ออกไปเอาของโดยที่ไม่ต้องบอกต้องถามซ้ำ
“แม่ เอาจริงหรือ”
“จริงสิ ช็อกโกแลตเม็ด ๆ เนี่ยแหละดีแล้ว”
“ข้าวโพดมันไม่กินช็อกโกแลตแล้วมั๊งแม่”
“ไม่ได้ให้ข้าวโพด” ผกาย้ำ “ก็เบสจะเอาเสื้อให้ข้าวโพด อย่างนั้นช็อกโกแลตก็ต้องเป็นของฝากแม่ของข้าวโพด”
“คุณอัจฉราเขาก็ไม่น่าจะกินช็อกโกแลตแล้วนะ”
“แม่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่กิน เพราะกลัวอ้วน กลัวน้ำตาล ไขมันอะไรของนางพวกนั้น” ผกามีสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข “แล้วนางต้องโมโห เพราะนางจะอยากกินมาก แต่กินไม่ได้”
ประโยคนี้อาจเหมือนสาววัยรุ่น 2 คนที่ไม่ถูกกัน ทะเลาะกันไปแบบขำ ๆ แต่ในความเป็นจริงก็คือผกาเกลียดอัจฉราโดยไม่มีสาเหตุตั้งแต่เจอกันครั้งแรกในงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จของโครงการพันล้าน โดยที่ยังไม่ได้คุยกันสักคำ จากนั้นก็ได้พบกันอยู่เรื่อย ๆ และเธอก็แสดงความเกลียดชังโดยไม่มีการปิดบังมาโดยตลอด
อัจฉราไม่ได้เกลียดชังอีกฝ่ายรุนแรง แต่เป็นการตอบสนองจากการที่ถูกเสียดสีอย่างไม่มีเหตุผล
พอถูกกระแนะกระแหนรุนแรง เธอก็จะตอบโต้กลับไปสักครั้ง พอให้ผกาถอยออกไปนิดหน่อย แล้วพอต้องมาพบเจอกันในงานเลี้ยงครั้งต่อไป ก็ค่อยมารับมือกับการเชิดหน้า จิกตาใส่กันอีกรอบ
แล้วก็เหมือนคนบนฟ้าจะกลั่นแกล้ง เพราะว่าลูกชายของทั้งคู่กลับมาเรียนในคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ตั้งแต่วันแรกที่เบสกับข้าวโพดเจอกันที่มหาวิทยาลัยแล้วรู้ว่าแม่ของอีกฝ่ายเป็นใครก็คิดตรงกันว่าถ้าแม่รู้เรื่องนี้ จะเกิดอะไรขึ้น
อัจฉรารู้น่ะไม่เท่าไหร่เพราะเธอไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่เมื่อผการู้เรื่อง คนที่จะถูกกดดันอย่างหนักหน่วงย่อมต้องเป็นเบส
ช่วงแรกต่างคนต่างก็คอยจะถามว่าลูกชายของอีกคนเป็นอย่างไรบ้างอัจฉราถามในเชิงเป็นห่วง ส่วนผกาจะถามในเชิงแข่งขัน เธอและลูกต้องดี และเด่นกว่าอีกฝ่าย
 จนกระทั่งข้าวโพดทำไม่รู้ไม่ชี้ถือกระเช้าผลไม้มาสวัสดีผกาแม่ของเบส และเบสก็ถือกระเช้าของขวัญไปสวัสดีอัจฉราแม่ของข้าวโพด เรื่องก็กลายเป็นว่า แม่ของตนเองกลับเป็นห่วงลูกของอีกคนมากกว่าลูกของตัวเอง
ตอนที่ข้าวโพดยังมาไม่ถึง ผกาก็นินทาอัจฉราไปเรื่อย แต่พอข้าวโพดเลี้ยวรถเข้ามาในเขตรั้วบ้าน เธอก็อารมณ์ดีแล้วชวนกินมื้อเย็นด้วยกัน ทั้งชื่นชมของฝากที่ข้าวโพดซื้อมาฝาก
“ผมจำได้ว่า คุณน้าชอบคัพเค้กร้านนี้ แล้วนี่เป็นแอปเปิ้ลเกรดเอเชียวนะครับ” ข้าวโพดมีสีหน้าแบบคนที่รู้สึกผิด “ตอนที่กำลังขับรถออกมาจากห้องยังคิดอยู่เลยว่าคุณน้าเพิ่งกลับมาจากยุโรป ของที่ผมซื้อมาจะทำให้คุณน้ารู้สึกเบื่อหรือเปล่า”
“จะเบื่อหรือไม่เบื่อมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับของฝากหรอก แค่แวะมากินข้าวเย็นด้วยกัน น้าก็หายเบื่อแล้ว”
เบสมองหน้าเพื่อนที่พยักหน้าตอบรับคำชวนกินอาหารเย็นในทันที
“กินชาบูมาแล้วไม่ใช่หรือ”
“ใช่” ข้าวโพดบอกเพื่อนแล้วหันไปหาแม่เพื่อน “แต่พอรู้ว่าวันนี้คุณน้ากลับมา ผมก็เลยกินมานิดหน่อย เพราะอยากมากินข้าวกับคุณน้ามากกว่า ขอรบกวนด้วยนะครับ”
ผกายิ้มกว้างอารมณ์ดีตามคาด และทำให้อาหารมื้อนี้ กลายเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนอารมณ์ดีมาก
“ข้าวโพดนี่ปากหวาน เอาใจคนเก่ง”
“ผมพูดความจริงครับ”
“อย่างนั้นก็แวะมากินข้าวเย็นด้วยกันบ่อย ๆ”
ข้าวโพดยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง “ผมถือว่านี่คือคำสั่งของคุณน้า ที่เด็กอย่างผมต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะครับ”
   เบสไม่ได้อิจฉาที่แม่พูดดี และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพอใจข้าวโพด
   แต่เบสกำลังอิจฉาที่ข้าวโพดช่างสามารถสรรหาคำพูดหวานมาพูดกับทุกคนได้แบบเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ ก็แบบคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี...นอกไปจากการที่เป็นคนหน้าตาดีมาก

เกือบ 1 ทุ่มข้าวโพดถึงได้ขอตัวกลับ ผกาก็ไม่ลืมที่จะย้ำอีกครั้งว่าให้แวะมากินข้าวที่บ้านบ่อย ๆ
เบสถือของฝากเดินตามข้าวโพดมาส่งถึงรถบีเอ็มปี 2006 สีน้ำตาล สภาพดีเยี่ยม ที่จอดอยู่ข้างรถฟอร์ด เอคโคสปอร์ตของเบส
“เมื่อไหร่ข้าวโพดจะเปลี่ยนรถ รถรุ่นนี้ราคาตกไปเยอะแล้ว”
“รถพ่อกูน่ะ”  พ่อของข้าวโพดป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดและเสียไปเมื่อ 5 ปีก่อน
“อ้าว เราไม่รู้ว่าเป็นรถของพ่อข้าวโพด ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร แม่กูก็บอกอยู่เหมือนกันว่าอยากให้เปลี่ยนรถใหม่ แต่กูมันคนถ้าชอบแล้วก็จะชอบอยู่อย่างนั้น”
เบสไม่มีท่าทีว่าจะเข้าใจความหมายที่แฝงมาในคำพูดของข้าวโพด ยื่นเสื้อกับกล่องช็อกโกแลตให้
“เอาเสื้อกับช็อกโกแลตกลับไปด้วย”
ข้าวโพดมองดูเสื้อสีหวานที่เบสส่งให้ “สีชมพูอมส้มแบบนี้เหมาะกับมึงมากกว่า มึงเอาของมึงมาให้กูหรือเปล่า”
เบสหัวเราะ “แม่เราซื้อมาซ้ำน่ะ พอข้าวโพดบอกว่าจะมา เราก็เลยฉวยโอกาสส่งต่อเสียเลย”
“แบบนี้ ถ้าใส่พร้อมกันก็เป็นเสื้อคู่น่ะสิ”
“เสื้อคู่อะไรกัน” เบสดึงเสื้อคืนมา “จะเอาหรือไม่เอา”
“เอาสิ มึงให้ทั้งที แล้วจะใส่วันไหนบอกด้วยนะ จะได้ใส่คู่”
“จะใส่ไปไหนได้ นอกจากเก็บเข้าตู้” เบสยืนยัน เสื้อตัวก่อนที่แม่ซื้อมาให้ก็ยังอยู่ในตู้อยู่เลย “กลับไปได้แล้ว”
“ไล่กูอีกละ”
“ทุ่มกว่าแล้ว เราอยากอาบน้ำ อยากเล่นเกมบ้างเหมือนกัน”
“มึงเล่นเกมอะไร” ข้าวโพดอยากรู้ขึ้นมาทันที
เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ไม่เคยเห็นว่าเบสจะเล่นเกมอะไรจริงจัง
“คนละเกมกับข้าวโพดแล้วกัน”
“อย่าบอกนะว่ามึงเล่นเกมผู้หญิง ทำขนม ปลูกผักแบบนั้น” ข้าวโพดทาย “หรือไม่มึงก็ยัง Minecraft อยู่น่ะ ถึงไม่ยอมบอกกู”
เบสไม่หลงกล “ไป กลับได้แล้ว พี่เขาเปิดประตูบ้านรอข้าวโพดนานแล้วนะ”
“เบส” จู่ ๆ ข้าวโพดก็มีสีหน้าจริงจัง “เมื่อเย็น ที่มึงไม่ได้ไปชาบู เพราะมึงอยากกลับมาหาแม่จริง ๆหรือ”
“จริงสิ”
“เรื่องเดียว?”
เบสเอียงคอด้วยความสงสัย แล้วก็ยิ้มกว้าง “เรื่องที่เรากลัวไฟ กับกลัวความสูงน่ะหรือ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
ชาบูในร้านอาหารไม่ใช่ไฟกองใหญ่ที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวโดยไม่รู้สาเหตุ
เรื่องกลัวไฟน่ะไม่เท่าไหร่ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเบสกลัว แต่เรื่องกลัวความสูงนี่ เบสกลัวถึงขั้นที่ขับรถขึ้นอาคารจอดรถไม่ได้ เวลานัดกันไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ เบสจึงมักเดินทางไปด้วยรถแท็กซี่ ถ้าจะขึ้นบันไดเลื่อนในห้าง เบสจะทำเป็นเดินเล่น แต่แท้จริงคือเดินหาลิฟท์ เพื่อนหลายคนไม่รู้สึกผิดสังเกต แต่ข้าวโพดที่เฝ้ามองมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน รู้ว่านี่คือความผิดปกติ จึงถามเบสในวันหนึ่ง เบสก็บอก
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่บอกกับใคร แต่เบสก็บอกเรื่องนี้กับข้าวโพด ทั้งเป็นเพียงคนเดียวที่บอก โดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น
หลังจากนั้นเวลาที่จะไปเที่ยวด้วยกัน ข้าวโพดก็มักจะเอารถมารับเบสเสมอ และเลี่ยงบันไดเลื่อนด้วยการใช้ลิฟท์ แต่ถ้ามันสุดวิสัย ข้าวโพดจะให้เบสยืนด้านในแล้วคอยจับมือไว้
“อันที่จริง เวลาจะขึ้นที่สูง เราก็คอยบังคับตัวเองให้มองขึ้นไป แทนที่จะมองลงมา มันก็ไม่เท่าไหร่” แต่ตอนที่จะลงบันไดเลื่อนแล้วต้องมองลงมานี่แหละที่คือปัญหา
การแก้ปัญหาของข้าวโพดคือชวนคุย ชวนมองป้ายโฆษณาไปตามเรื่อง
“คราวหน้า มึงให้ไอ้บอลขับรถให้มึงก็ได้นะ”
“บอลรู้หรือ” เบสดูตกใจ ข้าวโพดก็เลยรีบบอก
“ไม่รู้หรอก แต่มันขับรถได้ แล้วให้มันนั่งข้างมึง ปลอดภัยกว่าให้คนอื่นมานั่งข้างมึง”
เบสเรียบเรียงประโยคของข้าวโพดอยู่ 1 วินาทีแล้วดันไหล่คนพูดให้ขึ้นรถ “ข้าวโพดชอบพูดไปเรื่อย ทำให้คนเข้าใจผิด กลับบ้านได้แล้ว”
เป็นการปฏิเสธในแบบของเบส ที่ข้าวโพดเจอแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
แต่อาการเจ็บลึกเวลาที่ถูกปฏิเสธมันก็ยังทำให้เจ็บอยู่เหมือนเดิม ไม่ชินสักที...
หนุ่มตัวสูงโบกมือ “เออ กูกลับละ พรุ่งนี้เจอกันที่คณะ” แต่พอขึ้นรถก็ลดกระจกลงมาบอกกับเจ้าของบ้าน “ถ้าคืนนี้นอนไม่หลับ โทรศัพท์มาให้กูร้องเพลง หรือเล่านิทานกล่อมนอนได้นะ”
เบสยิ้มขำแล้วโบกมือให้ข้าวโพดรีบออกรถ
เมื่อประตูบ้านปิดลง เบสก็หันหลังกลับเดินเข้าบ้าน
ภายใต้พุ่มไม้หนาทึบของต้นไม้ใหญ่ในบ้าน นกฮูกสีขาวดวงตาสีฟ้าจับตามองการเคลื่อนไหวของคนในบ้านอยู่ครู่หนึ่งก็ลับหายไป แล้วไปปรากฏตัวอีกครั้งภายในพุ่มไม้ของบ้านอีกหลัง
เฝ้ารอจนประตูอัตโนมัติส่งเสียงขึ้นแล้วเคลื่อนเปิดประตูช้า ๆ นกฮูกสีขาวจึงลืมตาขึ้น เฝ้ามองรถสีน้ำตาลที่ขับช้า ๆ เข้ามาจอดที่โรงรถ แล้วสตรีวัยกลางคนเดินออกมารับลูกชายเข้าบ้าน
“ทำไมวันนี้กลับเร็ว”
“โหย แม่ครับ” ลูกชายโอบเอวของผู้เป็นแม่ “พูดซะรู้สึกผิดเลยนะเนี่ย”
“เห็นบอกว่าจะไปกินชาบู แม่ก็คิดว่าจะไปดูหนัง หรือไปไหนต่อ” แม่มองถุงในมือลูก “แล้วนี่อะไร”
“ไปกินข้าวบ้านเบส แล้วเบสให้นี่มา”
“แม่ดูได้ไหม”
ข้าวโพดพยักหน้า แม่ก็เปิดถุงออกมาดู “เสื้อสีสวย เหมาะกับเบส แต่ไม่เหมาะกับเราสักเท่าไหร่ แม่เขาซื้อของมาผิดอีกละสิ”
ข้าวโพดหัวเราะ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
อัจฉราส่ายหน้า “ผู้หญิงคนนี้แปลก เธอแสดงออกว่ารักลูกมาก แต่ลงท้ายก็ไม่ใช่” เธอมองเสื้อในมือ “แล้วเสื้อตัวนี้จะซักเลยไหม หรือใส่ห่อไว้ก่อน”
“ซักเลยก็ได้ครับ”
อัจฉราหันไปเรียกคนรับใช้ให้มารับเสื้อไป แล้วหันมาบอกกับลูกชาย “ไว้ชวนเบสมากินข้าวที่บ้านอีกนะ”
บทสนทนาระหว่างแม่ลูกคู่นี้มีแต่เรื่องของเบส โดยที่ไม่ได้สนใจช็อกโกแลตกล่องนั้นเลยสักนิด
นกฮูกตาสีฟ้าคอยมองตามจนกระทั่งเธอกลับขึ้นไปที่ห้องนอน ก็เปลี่ยนที่ไปอยู่ตรงคบไม้ที่เห็นห้องนอนได้ถนัดขึ้นแล้วหายไปเมื่อใกล้รุ่งสาง

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 04-01-2020 06:36:00
(ต่อครับ)

ในห้องพักที่ปิดม่านหน้าต่างหนาทึบ ชายหนุ่มในชุดสีขาวหยิบหนังสือหนาเล่มหนึ่งจากหลังชั้นวางหนังสือมานั่งอ่านที่เก้าอี้สีดำ
จริงอยู่ที่เวลานี้เป็นตอนกลางวัน แต่แสงสว่างในห้องน้อยเกินไปสำหรับการอ่านหนังสือ
ชายหนุ่มยังคงพลิกหน้าหนังสือต่อไปเรื่อย ๆ สักพักหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น วางหนังสือ แล้วเปิดประตูออกมาจากห้องนอน
ชายหนุ่มรูปร่างหนาในชุดสีดำคนหนึ่งกำลังมองสำรวจห้องคอนโดฯ ที่มีเครื่องเรือนเพียงโซฟาเบดเพียงตัวเดียวกับชั้นวางหนังสือ
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็หันมามอง
ต่างฝ่ายต่างหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
“บลู”
“ใช่”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเป่าปากด้วยความผิดหวัง ทำให้บลูกระตุกยิ้มมุมปาก
“ผิดหวังขนาดนั้นเลยหรือ”
ชายหนุ่มยกมือ “ฉันเห็นนายไปหาเชส”
“ใช่”
“นายก็รู้ว่าเชสไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“เกี่ยวหรือไม่เกี่ยว ฉันจะตัดสินมันเอง”
“บลู เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับเชสจริง ๆ ถ้านายจะแค้น ก็ควรแค้นฉัน”
บลูเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงเข้าหาแล้วผลักคนที่ตัวสูงใหญ่กว่ากันเป็นคืบไปชนผนังอีกด้านหนึ่งของห้อง
มือที่ผอมเกร็งกดแน่นอยู่ที่อกหนา
น้ำเสียงยามที่กล่าวคำเต็มไปด้วยความโกรธ “ฉันตามหามันมานานกว่า 400 ปี จู่ ๆ นายที่หายไปไหนก็ไม่รู้ในเวลาที่เกิดเรื่องขึ้น ก็มาบอกให้ฉันไม่ฆ่ามัน ง่ายไปหรือเปล่าลุค เมอร์ฟี”
“ไม่ ฉันไม่ได้หายไป ฉันอยู่ที่วาติกัน กว่าที่จะได้รับจดหมายว่าเกิดอะไรขึ้นก็คือทุกอย่างจบลงแล้ว”
มือผอมเกร็งกระชากคอเสื้อแล้วเหวี่ยงคนตัวใหญ่ไปชนกับผนังห้องแล้วรูดลงมานั่งพิงผนังห้อง บลูตามเข้าไปเตะซ้ำ
“ไม่ จบ โว้ย!”
ครอบครัวไร้ท์เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายและฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นแม่มด แล้วจะมาพูดง่าย ๆ ว่าทุกอย่างจบแล้วได้อย่างไร!
“อยากให้แค้นนายหรือ! ใช่! ฉันแค้นนายมาก! แค้นมาตลอดเวลามากกว่า 400 ปี เพราะนาย! ครอบครัวไร้ท์ถึงพบจุดจบอย่างน่าอนาถ! ไอ้คนสารเลว!”
บลูร้องด่าไปพลาง เตะอัดอีกฝ่ายไปพลาง เห็นชัด ๆ ว่าปลายรองเท้าเตะเข้าที่หน้าผากทำให้มีเลือดซึม
แต่ว่า...
คนตัวเล็กคุกเข่าลงจ้องมองบาดแผลที่ค่อย ๆ จางหายไป
“ไม่ยุติธรรมเลย” บลูผิดหวังมาก “ทำไมนายถึงไม่ตาย ทำไมถึงยังอยู่ ถ้านายไม่ตาย ฉันก็ฆ่านายไม่ได้”
ลุคไม่ใช่คน และไม่ใช่ปีศาจ
แต่เป็นเพราะการเข้าสู่การทดลองทางการแพทย์ จนทำให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมร่างกายของตัวเองได้ รักษาอาการบาดเจ็บได้เอง...จึงไม่ตาย
แม้ว่าเวลานี้บาดแผลภายนอกจะจางหายไปแล้ว แต่อาการเจ็บภายในจะฟื้นฟูได้ช้ากว่า ทำให้ทุกครั้งที่พูดออกมายังรู้สึกเจ็บทั้งภายในศีรษะ และในอกที่ถูกเตะไปหลายครั้ง
“แล้ว โอเวน เขา อยู่ที่ไหน”
ดวงตาสีฟ้าวาววับ “ฉันไม่มีวันบอกนาย”
“บลู ได้โปรด การที่โอเวนหายไปจากภายในห้องขังที่ปิดตาย มันยิ่งตอกย้ำว่าเขาคือพ่อมด”
“ไม่ว่าเขาจะใช่หรือไม่ใช่ มันก็ไม่สำคัญแล้ว!” บลูชกหน้าลุคอีกครั้ง
“สำคัญสิ มันสำคัญมาก”
“ไม่! ทุกคนตายหมดแล้ว! ไม่มีอะไรเหลือแล้ว และนายก็ไม่มีวันจะได้พบกับเขาอีก”
ลุคยันตัวขึ้นนั่ง บลู-นกฮูกตาสีฟ้าตัวนั้นพาโอเวนออกมาจากห้องขังอย่างที่หลายคนคาดไว้
“บลู ถ้านายรักโอเวน นายต้องปล่อยเขาออกมา”
“ไม่”
“บลู”
“เพื่ออะไร ปล่อยออกมา เพื่อให้เกิดใหม่ แล้วก็ตายอย่างทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าน่ะหรือไม่ มี วัน”
“บลู” ลุคจับที่ศีรษะเล็ก ๆ จะดึงเข้ามากอด แต่ถูกผลักเต็มแรง
“ครอบครัวไร้ท์เชื่อนาย แล้วพวกเขาก็ตาย ฉัน ไม่ ใช่ พวกเขา ฉันไม่มีวันเชื่อนาย”
บลูขยับจะลุกขึ้น แต่ลุคคว้ามือไว้
“จะไปไหน”
ดวงตาสีฟ้าหันมามอง ไม่ต้องพูดออกมา ลุคก็พูดขึ้น “ฉันรู้ว่านายจัดการเชสได้ แต่คิดดูสิ ตอนนั้นเชสป่วยหนัก เขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร คนที่นายแค้นที่สุดคือฉัน ในเมื่อฉันอยู่ตรงนี้ นายสามารถลงโทษฉัน หรือใช้งานฉันได้ ให้ฉันได้ชดใช้” 
บลูหัวเราะ เป็นเวลายาวนานเหลือเกินที่ไม่ได้หัวเราะแบบนี้
“นายช่างเป็นพี่ที่รักน้องเสียเหลือเกิน แต่เพราะนายไม่ตาย และฉันไม่ได้ต้องการให้นายมาทำอะไรให้ นายจึงไม่มีประโยชน์”
“ฉันต้องมีประโยชน์สิ นายไม่สงสัยหรือไง ว่าทำไมฉันถึงยังอยู่ และนายไม่อยากรู้หรือไงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ความจริงมันคืออะไร”
บลูตอบตามตรง “ไม่อยากรู้”
“บลู เพราะโอเวนหายไป ทำให้มีบางคนในวาติกัน และพวกพ่อมดตามหาโอเวนมาตลอด”
บลูลุกขึ้นยืน ทำให้อีกคนเท้าผนังเพื่อพยุงตัวยืนขึ้นตาม
“บลู”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอีก”
บลูเดินไปนั่งที่โซฟาเบด เฟอร์นิเจอร์เพียงชิ้นเดียวในห้อง แต่เมื่อลุคเดินเข้าไปใกล้ คนที่ตัวเล็กกว่าก็พูดขึ้น
“นายบอกว่านายไปวาติกัน” ดวงตาสีฟ้าต้องมองมา “แล้วมีบางคนในวาติกันตามหาโอเวน”
“ฉันตามหาโอเวนด้วยเหตุผลที่ฉันจะบอกกับเขาเอง ที่สามารถบอกนายได้ในเวลานี้ก็คือ ฉันไม่ได้คิดร้าย แต่มีหลายคนที่คิดร้ายกับเขา” ลุคก้าวเข้ามาหา แล้วนั่งลงข้าง ๆ “นายไม่อยากรู้หรือไง ว่าทำไมฉันถึงไม่ตาย”
“ไม่อยากรู้” บลูตอบทันที ทำให้อีกคนพยักหน้ายอมแพ้
“ก็ได้” ลุคพยายามหว่านล้อมอย่างเต็มที่ “ในเมื่อนายเกลียดฉันมากขนาดนี้ เพราะว่าฉันคือคนที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด แล้วฉันก็กำลังพยายาม...” ดวงตาสีฟ้าหันมามอง ทำให้ต้องเปลี่ยนเรื่องพูด “อย่าเพิ่งทำอะไรกับเชส เพราะเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้จริง ๆ”
“ฉันต้องจัดการพวกที่กำลังตามหาโอเวนก่อน” ไม่ว่าจะมีอยู่กี่กลุ่มก็ตาม

หลังจากที่เกิดเรื่อง บลูออกจากสกอตแลนด์ แล้วมาหลบซ่อนตัวอยู่ในยุโรปตะวัน
นกฮูกไม่ใช่สัตว์อายุยืน ยิ่งมีอายุมากกว่า 400 ปียิ่งเป็นไม่ได้
ดังนั้นในภาษาของคนที่ไล่ล่าพ่อมด จะเรียกบลูว่านกฮูกปีศาจ
แต่สำหรับกลุ่มที่ยกย่องโอเวน พวกเขาเรียกว่านกฮูกปีศาจของพ่อมด
ตลอดเวลาที่ยาวนานของการตามล่าคนที่ทำร้ายครอบครัวไร้ท์ บลูรู้ดีว่าตนเองก็ตกเป็นเป้าหมายของการไล่ล่าเช่นกัน จึงต้องพยายามหลบซ่อนตัว และรีบลงมือให้เร็วที่สุด

มีเสียงกระพือปีกของนกตัวใหญ่ที่ด้านนอกบ้าน บลูหันกลับไปมองทิศทางของเสียงแล้วหันมาถีบคนที่ยืนอยู่ใกล้กันจนกระเด็นไปติดที่ผนังห้องอีกครั้ง
“ไม่ ใช่ ฉัน”

...จบตอนที่ 2...
คติประจำใจของพระเอกเรื่องนี้ก็คือ "จะเป็นพระเอกของโอวาต้องอดทน"
ส่วนโอวาซา คือชื่อผสมของ Owen กับ Owe เจ้าตัวสีขาวตาสีฟ้า ที่เดิมก็ซ่าพอตัวอยู่แล้ว พอมารวมกันแล้วมันซ่ามากขึ้นไปคูณ 2 และเป็นคาถาของเจ้าตัวนี้ด้วย
อยากบอกมากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็สปอยไปเยอะแล้ว
หากชอบใจอยากคุยกันก็ตามไปคุยกันที่เฟสบุ๊กเพจ กดไลค์กดแชร์กันได้นะครับ
น้ำชาครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-01-2020 11:29:00
ยังสับสนอยู่
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 05-01-2020 18:19:16
อ่านไปพร้อมกับเก็บเล็กผสมน้อยปมต่างๆ ไว้ ไม่นึกเลยว่าเวลาจะผ่านมานานถึงสี่ร้อยปีแล้ว ดวงวิญญาณต่างๆ ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมก็เวียนว่ายตายเกิดมาหลายชาติ โดยมีบลูคอยตามล้างแค้นให้ครอบครัวไร้ท์ เราชอบบลูมากเลยค่ะ แล้วก็สงสัยด้วยว่าลุคทำอย่างไรร่างกายจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนเบสกับข้าวโพดจะมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อไป

เหตุที่บลูไปจับตามองข้าวโพดที่บ้านของเขาก็คงเพราะข้าวโพดคือเชสกลับชาติมาเกิดใช่หรือเปล่าคะ? แล้วโอเวนล่ะ? ถูกบลู "ปกป้อง" ด้วยการจับขังไว้ที่ไหนหรือเปล่า? หรือว่าเสียไปนานแล้วและเวียนเกิดเวียนตายจนสุดท้ายกลับมาเกิดเป็นเบส? หรือว่าเขาเป็นพ่อมดอย่างที่ลุคว่าจริงๆ? แล้วเหตุที่แม่ของเบสเกลียดแม่ของข้าวโพดหรือเพราะเป็นครอบครัวของคาร่ากลับครอบครัวของไรท์กลับชาติมาเกิดอีก? เลยนำเอาความไม่ชอบในชาติก่อนๆ มาด้วย

ความจริงนี่เพิ่งเป็นตอนที่สองเท่านั้น จึงยังมีปมอะไรอีกหลายๆ อย่างให้เราเก็บมาปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องราวสมบูรณ์ แต่สิ่งที่ชอบมากๆ คือมีความเป็นแฟนตาซีผสมประวัติศาสตร์พร้อมกับกลิ่นอายของวิทยาศาสตร์นิดหน่อยด้วย เอาเป็นว่าติดตามกันยาวๆ เลยนะคะเรื่องนี้

ขอบคุณคุณไจฟ์กับน้องที และสวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 05-01-2020 18:25:26
สวัสดีปีใหม่คุณไจฟ์กับน้ำชาค่าา
มาแปะเรื่องใหม่ เดี๋ยวตามเก็บน๊าา
❤❤
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Jely ที่ 05-01-2020 19:06:40
Storyอลังการมาก  o13
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 05-01-2020 19:49:12
กรี๊ดๆๆ สนุกค่ะ :katai2-1:

ผ่านมาสี่ร้อยปี ปมเก่ายังไม่คลายว่าโอเวนหายไปไหน
มาถึงยุคปัจจุบันที่มีตัวละครใหม่ (ในชาติก่อน) เพิ่มมา
คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าใครเป็นใคร

บลูยังคงเฝ้าติดตามและปกป้องคนตระกูลไรท์ในทุกชาติ
รู้สึกว่ามันเป็นความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ที่ทำได้แค่เฝ้ามอง
แต่อยู่เคียงข้างเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้

ว่าแต่ พระเอกคือโอเว่นใช่ม้ายย :katai1:

ขอบคุณคุณไจฟ์และน้องทีสำหรับตอนใหม่ที่ยาวมากๆๆ
อ่านกันจุใจเลยทีเดียว :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 06-01-2020 01:25:04
อ่านตอน 2 จบ ต้องกลับไปอ่านตอนแรกใหม่
งง งง 55555555
ซับซ้อนซ่อนเงื่อน  และนี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น
แต่ กลิ่นอายนี่ สนุกแน่นอน

ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-01-2020 15:58:10

 :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:
 
นี่ไม่ใช่ว่าลุคบลูนะ ตอนแรกคิดว่าเป็น บลูโอเวน ซะอีก  o18


แต่..........400 ปี คำนี้มันนานแสนนานมากเลย ทำเอาที่เค้าบอกว่าแก้แค้น 10 ปีไม่สายแพ้ไปเล้ยย


มากันเกือบครบรอโอเวนเป็นรายต่อไปจ้า  :mew1:








หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 09-01-2020 09:31:47
ลุ้นมาก ๆ อ่านแล้วตื่นเต้น


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 12-01-2020 09:37:05
เพิ่งอ่านจบตอนที่ 1
ตอนเดียวหลากอารมณ์ โอยยย  :monkeysad:
 ไปอ่านต่อก่อน  :กอด1:

ความที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่วันก่อน แล้วมาตามเก็บ นึกว่ามีตอนใหม่แล้ว
พออ่านจบคือ มีตอนแค่ตอนเดียว ม่ายยยยย :z3:
ค้างมากกก

รอๆๆ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 12-01-2020 11:40:10
ตอนแรก คิดว่า เชส กับลุค ตัวร้าย
หรืองัย ? ร้ายจริง ?
ยังไม่แน่ใจ  รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ

ชอบแนวนี้มากกกกก ขอบคุณค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 12-01-2020 21:21:33
ผ่านไป2ตอนเร้าใจตลอดนี่เรารอบลูมา400ปีเชียวเหรอรอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 13-01-2020 21:24:02
มารอตอนที่ 3 อิอิ    :L2:

   
 :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 15-01-2020 21:13:38
มารอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 16-01-2020 13:21:40
 :a5: เดาว่าที่ลุคยังอยู่เพราะต้องเป็นทำงานบางอย่างก่อนถึงจะตายได้ เเต่ถ้าโอเว่นยังอยู่จะเป็นคนพิการหรือดวงจิตหล่ะเนี่ยะ เพราะถ้าเป็นคนที่กลายเป็นปกติเเสดงว่าโอเว่นเป็นพ่อมดรึเปล่านะ ...รอตอนต่อไปปป
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Neithx ที่ 16-01-2020 23:00:39
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากค่ะ
รอตอนที่สาม สี่ ห้า ... อย่างใจจดใจจ่อเลยน้าา
จริง ๆ พอเริ่มอ่านก็ชักจะกลัวละ ว่าจะเกิดอะไรกับคนในครอบครัวรึเปล่า แล้วก็ไม่ต้องรอนานเลยจ้าาา TOT

ปล.รู้สึกเรื่องนี้มีกลิ่นอายต่างจากเรื่องอื่น ๆ อยู่นิดหน่อยแฮะ (เรื่องภาษา วิธีการบรรยาย การใช้คำต่าง ๆ) แต่ก็ตื่นเต้น น่าติดตามเหมือนเดิมน้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 19-01-2020 06:51:00
บลูและลุคคือคนที่น่าสงสารที่สุด
เพราะความทรงจำในอดีตยังอยู่

รอๆค่ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 2 (4/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 26-01-2020 08:00:31
มารอ  :กอด1:
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-01-2020 18:26:14
ตอนที่ 3

บลูยืนอยู่ในสวนข้างบ้าน จุดที่คาดว่าเจ้านกตัวนั้นจะมาลอบฟังการสนทนา
หลับตาแล้วใช้ประสาทสัมผัสติดตามเจ้านกตัวนั้นไป...
แต่ประสาทกลับไป ‘แตะ’ การเคลื่อนไหวของอีกคนได้ก่อน 
ลุค เมอร์ฟี กำลังขับรถจักรยานยนต์คันใหญ่ ไร้เสียงพุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกับที่นกตัวนั้นบินไป บลูจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากติดตามลุคไปด้วย
เมื่อชายหนุ่มตัวใหญ่ในชุดสีดำจอดรถที่ด้านหน้าของโรงพยาบาลเก่า บลูก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ และพูดโดยที่ไม่ได้หันมามอง
“นายหายตัว หรือว่าบินมาไม่ได้หรือไง”
“เสียใจด้วย มวลสารของฉันซ่อมตัวเองได้ แต่เปลี่ยนรูปไม่ได้”
บลูเบ้หน้า เหลียวมองรอบตัว “นายเป็นนักบวชหรือเปล่า”
ลุคหันมามอง “ฉันเคยอยู่ในช่วงฝึกหัด แต่เมื่อฉันได้รับจดหมาย ฉันก็ต้องเปลี่ยนเส้นทาง”
บลูหันมามองเงาของลุคที่เป็นปกติ ส่วนบลูไม่มีเงา แต่พอลุคหันมามองตาม บลูก็กลับมีเงาปรากฏขึ้น
“เก่งนี่”
บลูยักคิ้วแล้วเดินนำเข้าไปภายใน แต่ได้แค่ไม่กี่ก้าว ลุคก็ตามมาจนทัน
จากบันไดชำรุด 5 ขั้นหน้าอาคาร ส่วนของห้องโถงยังมีเค้าน์เตอร์เก่าโทรมขวางอยู่ ถัดไปด้านหลังจึงเป็นบันได 2 ฟากที่จะขึ้นไปชั้นบน แต่ในชั้นล่างนี้มีทางเดินแยกเป็นฝั่งซ้ายและขวา
บลูหันมาถาม “ไม่ใช่นักบวชแน่นะ”
“เกือบ ๆ”
คนตัวเล็กถอนหายใจแรง ๆ แบบคนที่ถูกขัดใจ “งั้นมายืนอยู่ข้างหลัง”
ลุคอมยิ้มขณะที่ก้าวมายืนอยู่ข้างหลังตามคำสั่ง
บลูหันไปทางขวาก่อน ปลายนิ้วชี้แตะที่ปลายนิ้วหันแม่มือเป็นรูปวงกลม แล้วหมุนข้อมือขณะที่กล่าวถ้อยคำบางอย่างที่ฟังไม่ชัดเจน จากนั้นตวัดมือขึ้น ดีดแสงสว่างจากปลายนิ้วมือไปข้างหน้าจนสุดทางเดิน เงาร่างงองุ้มตรงปลายทางเดินกระโดดหายไปข้างนอก แล้วทำแบบเดียวกันกับทางเดินทางซ้าย แต่ทางนี้ไม่มีเงาร่างใด ๆ
บลูเดินนำขึ้นไปที่ชั้นบน
ห้องโล่งกว้างทั้งฝั่งซ้ายและขวา ทำให้คาดเดาได้ว่าจะเป็นห้องผู้ป่วยแบบเตียงรวม ดวงตาสีฟ้าเพ่งมองไปทั่วแล้วหันมากำชับ
“อย่าเดินไปมั่ว ๆ นะ”
ลุคพยักหน้าตอบรับคำสั่งด้วยดี
บลูก้าวเข้าไปในห้องทางขวา พลางหมุนข้อมือเตรียมพร้อม ไอสีฟ้า-ขาวจากปลายนิ้วไล่ขึ้นมาปกคลุมจนถึงศอก
เมื่อเดินเข้าไปถึงกลางห้อง เงามืดจากมุมห้องก็กางปีกแล้วพุ่งตรงเข้ามาหา บลูกล่าวถ้อยคำที่ยังคงฟังได้ไม่ชัดเจนอีกครั้ง แต่คราวนี้ลุคมั่นใจว่านั่นเป็นคาถา เพราะเมื่อกล่าวจบก็สะบัดแสงสีฟ้า-ขาวออกไปกระแทกเข้าสู่เงามืดนั้น เปลวไฟสีฟ้าลุกท่วมแล้วร่วงลง
บลูก้าวเข้าไปมอง แล้วหันมาหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
“นายทำอะไร”
“เปล่า นายบอกให้ฉันอยู่เฉย ๆ ไม่ใช่หรือไง”
คนตัวเล็กมองซากนกที่ ‘ควรจะ’ ถูกเผาด้วยไฟสีฟ้า แต่เวลานี้กลับเหลือเพียงขี้เถ้ากองหนึ่ง
บลูกระแทกเสียงในลำคอ แล้วกระโดดออกจากทางหน้าต่าง กลายเป็นนกฮูกตัวหนึ่งบินลับหายไปท่ามกลางความมืด
ลุคหันมาที่ซากเถ้าถ่านที่ยังหลงเหลืออยู่ กางมือเหนือซากนั้น จัดการเผาซ้ำอีกครั้ง ซากนกปีศาจสีดำกลายเป็นฝุ่นผง แล้วถูกพัดพาออกไป

เบสเข้านอนแล้ว แต่รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวที่ระเบียง จึงลุกขึ้นมาดู
แสงสว่างจากภายนอกมองเห็นคนในชุดสีขาว ดวงตาสีฟ้าที่กำลังมองมา
เบสคิดว่านี่คือชื่อของคนที่อยู่ตรงระเบียง “บลู”
...เขาไม่ใช่คน...
“ใช่”
“เรารู้จักกันใช่ไหม”
“ใช่”
ความรู้สึกคุ้นเคยที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่แค่เคยพบเจอ หรือรู้จักกัน
แต่นี่คือความคุ้นเคยที่ทำให้ไม่มีความกลัว ไม่มีความหวาดระแวงแม้แต่นิดเดียว
“พี่...”
บลูยิ้มกว้าง ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นสวยงาม
“ทำไมไปนั่งตรงนั้น ผมกลัวความสูง ผมไม่เดินออกไปคุยกับ...พี่หรอกนะ”
ดวงตาสีฟ้าหม่นมองลง “ฉันรู้ว่านายไม่ได้กลัวความสูงเพียงอย่างเดียว แต่ถ้านายไม่พูดออกมา ฉันก็จะไม่บอกใคร เราคุยกันแบบนี้ก็ได้”
แบบที่คุยกันผ่านหน้าต่าง
“พี่มีธุระอะไรหรือเปล่า...คือ ผมหมายถึง พี่ทำไม...เออ เอาเถอะ มีอะไร ทำไมถึงมาตอนนี้”
บลูหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ดวงตายังมีแววหม่นหมอง
“ก็แค่มาดูว่า สบายดีหรือเปล่า”
“ผมสบายดี” เบสรอให้อีกฝ่ายตั้งคำถามต่อ แต่บลูก็เพียงแค่มองมากับรอยยิ้มอ่อน “ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเจอพี่ที่ไหน เมื่อไหร่ แต่กลับจำชื่อได้ แปลกดี”
“การที่เธอยังจำชื่อได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
เบสพยักหน้า
“เธอรักแม่ของเธอไหม”
“รักสิ” เบสตอบทันที
“ทั้งที่แม่ของเธอ ดูไม่ค่อยจะเอาใจใส่เธอน่ะหรือ”
“ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก”
“แล้วเคยคิดไหมว่า กับแม่ของเพื่อนสนิท เธอสบายใจที่จะคุยกับเขามากกว่า”
เบสสงสัย “แม่ของใครหรือ”
“คนที่ขับรถสีน้ำตาลมาบ้านนี้เมื่อวันก่อน”
“อ๋อ ป้าอัจแม่ของข้าวโพดน่ะหรือ” ต่อหน้าแม่ เบสต้องเรียกป้าอัจว่าคุณอัจฉรา “ก็ใช่นะ เพราะป้าอัจใจดี”
“เขาไม่ได้เป็นอย่างแม่ของเธอมักจะพูดถึงอยู่ตลอดเวลา”
เบสพยักหน้า “พวกเขาไม่ชอบกัน ก็แบบนั้นแหละ”
หนุ่มในชุดสีขาวยกยิ้มมุมปาก “เมื่อครู่เธอกำลังจะเข้านอนไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่” แต่ตอนนี้ไม่อยากนอน เพราะยังอยากคุยกับคนนี้ต่อไปอีก
...คิดถึง...
หากจะเปรียบเทียบความคิดถึงเป็นสายน้ำ ก็สามารถพูดได้ว่า ความคิดถึงกำลังเพิ่มสูงขึ้นจนเริ่มเอ่อล้นออกมาช้า ๆ
“เที่ยงคืนกว่าแล้ว เข้านอนเถอะ” บลูย้ำ “พรุ่งนี้ต้องไปเรียนไม่ใช่หรือ”
เบสพยักหน้า “ใช่ แต่ผมรู้สึกว่ามีเรื่องที่อยากถาม อยากคุยเยอะไปหมด”
“เอาไว้คืนพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ถ้าเธอเห็นฉันในที่อื่น เธอต้องทำเป็นไม่รู้จักฉัน”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะ...ฉันทำเรื่องไว้เยอะ”
เมื่อเบสขยับจะถามต่อ บลูก็พูดขึ้นก่อน “ไปนอนเถอะ คืนวันพรุ่งนี้จะมาให้ถามต่อ”
“แล้วพี่จะกลับไปยังไง ปีนระเบียงลงไปน่ะหรือ”
บลูหัวเราะ “ไม่ต้องปีนหรอก”
คนในชุดสีขาวลอยขึ้นจากระเบียงช้า ๆ ทั้งที่ขาทั้ง 2 ข้างยังงอเหมือนตอนนี่นั่งอยู่ที่ระเบียง
“แบบนี้ กลัวไหม”
เบสส่ายหน้า “ไม่หรอก แต่กำลังคิดว่า ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงกระโดดไปมุดผ้าห่มแล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มสดใส “แบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเดินทาง หรือต้องกลัวพวกดักจี้กลางซอย”
บลูส่ายหน้า “ไปนอนเถอะ ฉันจะอยู่ตรงนี้ ขอให้รู้ว่า ฉันอยู่กับเธอเสมอ”
เบสพยักหน้าแล้วกลับไปที่เตียงนอน แต่ยังรู้สึกได้ว่าอีกคนกำลังมองผ่านฝาผนังบ้านเข้ามาถึงที่เตียงนอน
ก็ใช่นะ หากเจอคนแปลกหน้าอยู่ตรงระเบียงห้องนอน จะต้องกลัวแน่ ๆ แต่พอเห็นคนนี้ ไม่มีความรู้สึกกลัวเลยสักนิด
“หลับได้แล้ว” เสียงของบลูดังมาจากตรงระเบียงทำให้เบสรีบห่มผ้า
“หลับอยู่นี่ไง”
ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากด้านนอกระเบียง
“หลับให้สบาย” อย่าห่วงกังวลอะไร ฉันจะอยู่ตรงนี้ คอยเฝ้าดูเธออยู่เสมอ...

ลุค เมอร์ฟี กลับไปที่บ้านหลังเล็กชานเมืองที่บลูเคยใช้เป็นที่หลบซ่อนตัว แต่ในเวลานี้ภายในบ้านไม่มีเฟอร์นิเจอร์หลงเหลืออยู่อีก จึงตามไปที่มหาวิทยาลัย เพราะคาดว่าบลูอาจไปตามหาเชส
บลูที่อยู่ในร่างมนุษย์ นั่งอยู่เก้าอี้หินอ่อนหน้าอาคารของคณะบริหารธุรกิจ ไม่ได้หันมามองคนที่เดินมานั่งลงข้าง ๆ
“วันนี้มีเงา”
บลูยกยิ้มมุมปาก
“มานานแล้วหรือ”
“สักพักแล้ว นายมวลสารที่แปรสภาพไม่ได้”
ลุคหรี่ตามองนกฮูกปากร้ายแล้วพยักหน้า “นกฮูกของโอเวน” ...ช่างเหมือนกับเจ้านายไม่ผิดเพี้ยน
“ใช่ แล้วไง” บลูย้อนแต่ยังคงเหลียวมองไปทางอื่น
สายตาของลุคอ่อนลงเมื่อกล่าวต่อ “นายย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วหรือ”
“ที่เดิมมีหมาป่ามากวนใจ ก็เลยย้าย”
“บังเอิญว่าฉันไม่ใช่หมาป่า”
บลูหันมามองหน้า “นายคือมวลสารหมาป่าที่แปรสภาพไม่ได้ และน่ารำคาญมาก”
“ยอมแพ้” ลุคยกมือ 2 ข้างขึ้นเสมอไหล่ “ฉันไปหาที่บ้านแล้วไม่เจอถึงได้ตามมาที่นี่” บลูไม่พูดอะไร และยังเหลียวมองหาบางคนอยู่อย่างนั้น “ฉันรู้ว่านายเอาตัวรอดได้ แต่ก็ยังคิดเป็นห่วง กลัวว่าจะไปเจอกับตัวอะไร”
“แต่ฉันกำลังอยากเจอไอ้ตัวอะไรนั่นมาก จะได้จัดการให้จบ ๆ ไป” บลูพูดช้าลง “จากนั้นจะได้จัดการเชส น้องชายของนาย”
“บลู” ลุคลืมตัวจับแขนเล็ก ๆ ไว้แน่น “อย่าบอกนะว่า นายเจตนาปรากฏตัวในเวลากลางวัน ที่นี่ ก็เพื่อดึงคนที่กำลังตามหาโอเวนให้มาหานาย”
บลูยกยิ้มมุมปาก “นายฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว”
เมื่อบลูเจอเชส และลุคก็เจอบลูแล้วเหมือนกัน การติดตามกันไปมาเป็นวงกลมย่อมทำให้คนที่กำลังตามหาโอเวนตรงเข้ามาหาบลู-นกฮูกปีศาจของพ่อมด
มีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังสับสนจากภายในอาคารเรียน บลูหันมาบอกลุค
“นายหลบไปก่อน”
“ทำไม”
“หรือว่านายอยากแนะนำตัวกับเชสในเวลานี้”
ลุคเลิกคิ้วขึ้นสูง
“พร้อมที่จะบอกกับเขาไหมว่านายต้องเสียสละอะไร เพื่อให้ได้ชีวิตที่เป็นอมตะ”
“เมื่อเขาตาย ความทรงจำในอดีตก็ลบไป ฉันไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวอะไรกับเขา คนที่ยังไม่ตายอย่างนายกับฉันต่างหากที่จดจำทุกเรื่อง แล้วก็ต้องใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับความทรงจำพวกนั้น”
ดวงตาสีฟ้าแข็งกร้าวขึ้น “แต่ฉันสามารถทำให้เขาจำได้ และถ้าเขารู้ เขาต้องเกลียดนายมากแน่ๆ”
ทั้งที่รู้ทันว่าอีกฝ่ายก็แค่ขู่ เพราะถ้าเชสจำความเป็นพี่น้องในอดีตไม่ได้ การรู้เรื่องราวเบื้องหลังของลุค ก็เปรียบเหมือนกับการฟังเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น
แต่เพราะบลูแสดงท่าที ‘เอาจริง’ ลุคจึงยอมถอยห่างออกมา และอยากรู้ว่านกฮูกตัวนี้จะทำอะไรต่อไป
เบสที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนกำลังทยอยเดินออกมาจากอาคารเรียน เมื่อเห็นหนุ่มในชุดขาวนั่งอยู่ตามลำพังที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ร่มไม้ ก็หยุดชะงัก จากนั้นก็ก้าวต่อไปได้อีก 2 ก้าวก็เปลี่ยนใจหันไปพูดบางอย่างกับเพื่อน แล้วเดินมาหา
ความรู้สึกคิดถึงมาก และดีใจมากที่ได้พบกันมันมากมายจนบังคับตัวเองไม่ได้
“ผมแค่มาบอกว่า ผมจำได้ว่าพี่สั่งไว้ว่าอะไร” บลูสั่งไว้ว่าห้ามทัก
บลูยิ้มไม่เปิดปากพลางพยักหน้า
“แต่ผมก็ยังอยากบอกว่า ผมสบายดี”
บลูพยักหน้าอีกครั้ง 
ข้าวโพดที่เพิ่งลงจากอาคารเรียน เดินตรงมาทางนี้อีกคนแล้วตะโกนเรียก “เบส”
ข้าวโพดมองหนุ่มในชุดสีขาวที่เบสกำลังคุยด้วย แล้วมองต่อไปที่ชายหนุ่มตัวใหญ่ในชุดดำที่ยืนห่างออกมา จากนั้นก็หันกลับมาหาเบส
“นี่ข้าวโพด เจ้าของรถสีน้ำตาลที่พี่พูดถึงเมื่อวาน”
เบสแนะนำอย่างเก้อเขิน เพราะทั้ง 2 คนคือคนสำคัญที่อยากแนะนำให้รู้จักกัน
บลูหัวเราะเบา ๆ สีหน้าแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ทำให้ข้าวโพดที่ยืนอยู่ตรงนี้ กับลุคที่ยืนห่างออกมา รู้สึกหวั่นใจ
“ไม่คิดว่าพี่จะมาหาถึงมหาวิทยาลัย”
“ดีใจไหม”
“ฮื่อ ดีใจสิ”
“เลิกเรียนหรือยัง”
“เลิกแล้ว”
“แล้วกำลังจะไปไหน” บลูชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่
“ไปห้องสมุด หาข้อมูลทำรายงานกลุ่ม พี่ไปด้วยกันไหม”
“ต้องใช้บัตรอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก”
บลูพยักหน้าแล้วลุกขึ้น เมื่อยื่นมือออกไปเบสก็ส่งหนังสือให้ถือด้วยท่าทางเขิน ๆ อีกครั้ง
เบสที่มีความสุขมากเมื่อเห็นบลูมาหาถึงมหาวิทยาลัย กับบลูที่มีรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้บรรดาเพื่อน ๆ พากันหันไปถามข้าวโพด
“ใครน่ะ”
“กูเพิ่งเคยเห็นเขาพร้อมกับพวกมึงนี่แหละ”
“อะไรวะ มึงออกจะสนิทกัน”
“สนิท แต่ไม่เคยเห็น”
“แฟนเบสหรือวะ”
นี่เป็นคำถามที่ทำให้ข้าวโพดมีสีหน้าเคร่งเครียด “ได้ไงวะ”
แต่ยังมีคนในชุดดำอีกคนที่เครียดกว่า! 
เครียดมาก และอยากเข้าไปจับ 2 คนนั้นให้อยู่ห่างกัน
แต่ทำไม่ได้!
ในห้องสมุด บลูขอแยกไปอ่านหนังสืออีกโต๊ะหนึ่ง ขณะที่เบสรวมกลุ่มทำรายงานอยู่กับเพื่อนที่อยากรู้ว่าหนุ่มตาสีฟ้าคนนี้เป็นใคร แต่เบสก็บอกได้แค่ว่า ชื่อบลูแล้วก็คุยกันมาสักพักหนึ่งแล้ว
ช่างเป็นคำตอบที่กว้างมาก
เพื่อน ๆ จึงมีเบาะแสเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย นอกไปจากการที่เบสจะคอยชะเง้อมองหา เวลาที่บลูเดินไปอ่านหนังสืออยู่แถวชั้นหนังสือ 
...เพื่อนตัวเล็กของเรานี่แหละที่น่าเป็นห่วง เพราะไม่สามารถควบคุมอาการได้เลย...
นานาเพื่อนสาวดาวคณะกระซิบบอก “เบส แกอย่าออกอาการมากนัก”
“หือ” เบสหันมามองหน้าเพื่อน
นานาลดเสียงพูดลงไปอีก “อย่าคอยมองตามเขาแบบนั้น อย่าไปเจ้ากี้เจ้าการ จัดการนั่นนี่ให้เขาด้วย ผู้ชายน่ะชอบแสดงอำนาจ ถ้าแกจะทำอะไรให้เขา แกต้องถามเขาก่อนว่า อันนี้ดีไหม”
เห็นนานาทฤษฎีเข้มข้นขนาดนี้ อย่าคิดว่ามีแฟนหลายคน
เพราะที่จริงแล้วเธอโสดแบบเกือบ ๆ สนิท
“บ้า นานา” เบสหน้าแดงจัดจนเพื่อนสาวใช้นิ้วชี้จิ้มแก้ม
“ไม่ต้องมาปฏิเสธเลย เขามาหาถึงมหาวิทยาลัยแกก็หน้าบาน ออกอาการเสียขนาดนี้”
เบสขยับตัวจะหันไปมองหาบลูอีกครั้ง ทำให้ถูกนานาตีแขนเบา ๆ “อย่าหันไปมอง ทำคอแข็งไว้ แล้วถ้าตอนหลังเขาถามเรื่องที่ฉันคุยกับแก แกก็บอกไม่มีอะไรนะ” เพื่อนสาวให้คำแนะนำเพิ่มเติม “ยิ่งเขาเป็นคนนิ่ง ๆ แบบนี้แกก็ต้องอ้อนเข้าไว้ น่ารักใส ๆ แบบแกนี่แหละสเป็คเมะ”
เบสยก 2 มือปิดหน้า “นานา...”
“แล้วถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ แกโทรมาปรึกษาฉันได้ตลอด 24 ชั่วโมง” สาวสวยบอกแล้วหันไปเร่งเพื่อนอีกคนให้รวบรวมข้อมูลทำรายงาน

เพราะว่าวันนี้คนพิเศษของเบสมารับ จึงไม่มีเพื่อนคนไหนขอติดรถมาลงที่หน้ามหาวิทยาลัย
ส่วนบลูก็ขอลงที่หน้าปากซอยบ้าน แล้วบอกว่าค่ำนี้จะแวะไปหาที่ห้องเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา
“ผมคิดว่าพี่จะถูกแสงสว่างไม่ได้เสียอีก”
“ถูกแสงสว่างได้ แต่ไม่ชอบเพราะร้อน”
เบสทำตาโต “แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า”
“นอกจากร้อนไปหน่อย ก็ไม่มีอะไร ส่วนหอสมุดแอร์เย็นดี”
เบสที่คิดตาม พอเข้าใจก็หัวเราะ “คุยกันคนละเรื่องแล้ว”
“อันที่จริง จะมีแสงสว่างหรือไม่มีแสงสว่าง พวกวิญญาณที่เขาเคยอยู่ตรงไหนเขาก็อยู่ที่เดิมตรงนั้น”
“ยังไงหรือครับ”
“อย่างวิญญาณนักศึกษาที่อยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ข้างสนามฟุตบอล ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน เขาก็จะอยู่ตรงนั้น แต่เพราะเขาเป็นวิญญาณที่โปร่งแสง ในเวลากลางวันที่มีแสงสว่าง ก็จะเห็นไม่ชัดเจน แต่ถ้าเป็นเวลากลางคืน ก็จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น”
“ผมเอาน้ำแดงไปให้เขาดีไหม”
“ไม่ดี” บลูตอบทันที “ถ้าเขารับไว้แล้วเข้มแข็งขึ้น ได้ไปสู่ภพภูมิอื่นก็ดีไป แต่ถ้าตามเธอไปทุกที่ จะทำยังไง”
“พี่ก็จัดการให้ผมสิ” เบสพูดแล้วเราะ ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของบลูก็ยิ่งรู้สึกขำ

ค่ำลงหลังจากที่กินอาหารเสร็จ เบสก็กลับเข้าห้อง พอ 2 ทุ่มเศษ บลูก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ระเบียงเหมือนเคย
เกือบ 5 ทุ่มผกาที่เดินผ่านหน้าห้องได้ยินเสียงหัวเราะของลูกชาย จึงเคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามาทันที เห็นว่าเบสถอยห่างออกมาจากหน้าต่างแล้วเดินมาหาแม่
“เบส ยังไม่นอนหรือลูก แม่ได้ยินเสียงหัวเราะ”
“เบสคุยโทรศัพท์กับเพื่อน แม่มีอะไรหรือเปล่า” เบสบอกพลางจับมือแม่ให้แม่ยืนหันหลังให้กับหน้าต่างที่เมื่อครู่ยืนคุยอยู่กับบลู
“มีสิ แม่จะมาเตือนว่าดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังไม่ใช่วันหยุดนะ”
“ครับ จะนอนแล้วครับ”
“งั้นก็ดี”
เบสเปิดประตูให้แม่
“อ้อ เบส พรุ่งนี้แม่ไปงานเลี้ยงกลับดึกนะ แล้วเบสมีนัดกับเพื่อนหรือเปล่า”
“ได้ยินเขานัดกัน แต่เบสยังไม่ได้ตอบว่าจะไปไหม เพราะยังต้องเร่งทำรายงาน”
ผกาดึงแก้มลูกชายเบา ๆ “ดีมาก ทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปเที่ยว”
“คร้าบ” ลูกชายหอมแก้มแม่ “ราตรีสวัสดิ์นะครับแม่”
เมื่อประตูห้องนอนปิดลง เบสก็รีบกลับมาที่หน้าต่าง แต่บลูไม่อยู่แล้ว...

ที่พักใหม่ของบลูคือห้องชุดชั้นบนสุดของคอนโดฯหรู
ลุคยืนกอดอกสีหน้าเรียบตึง อยู่กลางห้องโถงกลางที่มีเครื่องเรือน คือโซฟาเบดตัวยาวกับตู้หนังสือสูงชนเพดาน
บลูที่เปิดประตูห้องนอนออกมาหยุดชะงักนิดหนึ่งแล้วกระแทกเสียงหัวเราะในลำคอ
“เจ้าของห้องคุยว่าระบบรักษาความปลอดภัยคอนโดฯ นี้ดีมาก แต่กลับมีหมาป่าบ้าพลังเข้ามาอยู่ในห้องพัก”
ลุคไม่สนใจคำพูดเสียดสีนั้น “บลู ฉันไม่รู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่นายไม่ควรเข้าหาเด็กคนนั้น”
“แล้วฉันต้องเชื่อฟังนายไหม”
“บลู” ลุคมีสีหน้าเจ็บปวด “แยกแยะหน่อย อย่ามัวแต่ประชด สิ่งที่เราควรทำในเวลานี้ก็คือ จัดการพวกที่กำลังตามหาโอเวน”
“แต่ฉันสามารถทำทุกอย่างพร้อมกันได้” บลูตอบยิ้ม ๆ
ทั้งสีหน้าและแววตาบ่งชี้ว่าจะไม่มีวันยอมถอยจากสิ่งที่กำลังทำอยู่
“นายไม่สงสัยหรือ ตลอดเวลาหลายร้อยปี ครอบครัวไร้ท์ และเชสน้องชายของฉันไม่เคยกลับมาพร้อมกัน แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงกลับมาพร้อมกัน แต่ยังมาอยู่ใกล้กันด้วย”
เมื่อเห็นว่าบลูไม่ได้โต้ตอบ ลุคก็พยายามโน้มน้าวต่อ “ถ้านายอยากรู้...”
“ฉันไม่อยากรู้เรื่องจากนาย ลุค เมอร์ฟี”
“ทำไมนายถึงได้ดื้อรั้นขนาดนี้”
บลูหันมาดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความโกรธ “นายรู้ดีว่าฉันไม่ได้ดื้อรั้น ฉันก็แค่ไม่อยากฟังสิ่งที่นายกำลังจะพูด   เป็นอีกครั้งที่ลุคใช้ท่าไม้ตาย คือยกมือยอมแพ้
“โอเค”
บลูเอียงคอมอง “พูดจนขนาดนี้ นายยังคิดจะพยายามพูดให้ฉันฟังอีกหรือ”
“ก็ไม่มีวิธีอื่นนี่ ฉันอยากให้เราร่วมมือกันจัดการเรื่องนี้”
บลูเดินไปนั่งที่โซฟาเบด เครื่องเรือนเพียงชิ้นเดียวที่สามารถนั่งได้ในห้องนี้ ลุคก็เลยเดินไปนั่งข้าง ๆ ไม่สนใจท่าทีไม่ชอบใจของอีกฝ่าย
“นายไปบ้านของทั้ง 2 คนแล้วใช่ไหม”
ลุคถาม บลูพยักหน้า
“เคยเข้าไปในบ้านไหม”
บลูส่ายหน้า
“เพราะอะไร นายเข้าไปในนั้นได้สบาย ๆ นี่นา”
“มีบางอย่างเตือนว่าไม่ควรเข้าไป” บลูหันมาถามอีกคน “นายก็รู้สึกถึงคำเตือนเรื่องนั้นเหมือนกันใช่ไหม”
“ใช่ ฉันถึงพยายามที่จะคุยกับนายหลายครั้ง แต่นายก็ปฏิเสธ แล้วก็หนีตลอด”
บลูยักไหล่
ลุคหันไปมองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้น “จะสว่างแล้ว นายต้องพักผ่อนใช่ไหม”
สีหน้าของบลูชัดเจนว่ารำคาญ
เพราะเวลาที่ไม่อยากฟัง ลุคก็อยากพูด แต่พอเวลาที่พร้อมจะฟัง ลุคก็กลับอ้างเรื่องเวลาพักผ่อนขึ้นมา
“ฉันก็แค่เป็นห่วงนาย”
“สรุปคือนายอยากให้ฉันเข้าไปในบ้านหลังนั้นแทนที่จะยืนคุยกันตรงระเบียง นายไม่หวงเบสแล้วหรือไง”
“ฉันไม่มีสิทธิ์ไปหวงเขาในแง่นั้น แต่เบสเขา...” ลุคไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่ “ไม่น่าจะเป็นคนที่ส่งสัญญาณเตือนให้ทั้งนายและฉัน ไม่ให้เข้าไปในบ้าน”
บลูพยักหน้า เพราะได้รับสัญญาณนี้จึงได้แต่คุยกับเบสที่ระเบียงบ้าน
“ได้ยินว่าคืนวันนี้ หมายถึงคืนวันศุกร์น่ะ เขาจะไปเที่ยวกัน แล้วเบสยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ”
“แล้วเย็นนี้นายจะไปหาเบสที่มหาวิทยาลัยไหม”
“ไม่แน่ เพราะคืนนี้ฉันมีเรื่องให้ทำ”
“เรื่องอะไร” ลุคถามทันที
“แล้วนายไม่มีอะไรไปทำหรือไง”
“ที่จริงก็มี แต่ตอนนี้ทุกอย่างรอได้”
“เพราะอะไร”
“เพราะฉันไม่อยากให้นายไปไหนมาไหนตามลำพัง”
บลูเลิกคิ้วสูง “ถ้านายคิดจะปกป้องน้องชายของนาย นายก็ควรไปเฝ้าเขา ไม่ใช่มาคอยตามฉันอยู่แบบนี้”
“ถ้าจะมีใครสักคนที่คิดทำร้ายน้องชายของฉัน ก็มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นแหละ แล้วที่ฉันคอยตามนายมันก็เป็นเพราะโอเวนต่างหาก” เรื่องราวที่กำลังจะวนกลับไปที่เดิม “ฉันไม่ขอให้นายบอกว่านายซ่อนโอเวนไว้ที่ไหน แต่ความแค้นของนายอาจทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”
“จริงสินะ ฉันลืมไป ว่านายสารภาพแล้วนี่นา ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากนาย” บลูลุกขึ้น “เพราะฉะนั้น ฉันควรใช้งานนายให้หนัก” ชายหนุ่มในชุดขาวหันมามอง “คำสั่งของฉันก็คือ ไปให้พ้น”
ชายหนุ่มในชุดขาวเดินกลับเข้าไปในห้อง
ส่วนคนที่ยังนั่งอยู่ที่โซฟาเบด ค่อย ๆ คลี่ยิ้มกว้าง แล้วหัวเราะเบา ๆ
...ให้ตายสิ นิสัยแบบนี้...

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-01-2020 18:31:48
(ต่อครับ)

ที่มหาวิทยาลัย ข้าวโพดมายืนรอเบสอยู่ที่ลานจอดรถของคณะตั้งแต่เช้า พอเห็นเบสเลี้ยวรถเข้ามาก็พยายามเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็นอย่าแสดงท่าทีอะไรที่มันชัดแจ้งเกินไป
...เขาไม่ได้เป็นอะไรกับมึง มึงไม่มีสิทธิ์ที่จะหึงเขานะโว้ย!
พอเบสจอดรถเสร็จก็เดินมาหา “ไง ข้าวโพด รอใครอยู่”
“รอมึงแหละ”
“เหรอ มีอะไร”
“กูอยากถามเรื่องพี่ คนที่เขามาหามึงเมื่อวานน่ะ”
เบสพยักหน้า
“พี่เขา เป็นแฟนมึงจริง ๆ หรือ”
เบสหน้าแดงจัด จนคนถามใจแป้ว “เอาเหอะ ไม่ต้องตอบแล้วก็ได้”
เบสพยักหน้าเขิน ๆ “อันที่จริง มันก็ไม่ได้ชัดเจนว่าเป็นแฟนหรือเปล่า เพราะที่คุยกันอยู่ทุกวัน ก็เป็นเรื่องทั่วไป ไม่เคยคุยเรื่องคบกันหรือเปล่า คือ ไม่มีคำนั้น”
“งั้นกูถาม ใจของมึงน่ะ คิดกับพี่เขายังไง”
“คิดถึง” เป็นความรู้สึกตั้งแต่แรกเจอ ทำให้แม้จะรู้ว่าบลูไม่ใช่คน แต่ก็ไม่กลัว
“มึงเคยเจอเขามาก่อนหรือ”
เบสพยักหน้า “แต่เราจำไม่ได้ เคยถามเขา ว่าเราเคยเจอกันใช่ไหม แต่ว่าเรานึกไม่ออกว่าเจอกันที่ไหน เมื่อไหร่ เขาก็หัวเราะ แล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่น พอเราบ่นมาก ๆ เข้า เขาก็บอกว่า คุยกันไป เดี๋ยวก็คิดออกเอง หรือถ้าจะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
ยิ่งคุยกัน ได้เห็นอาการของหนุ่มหน้าใสยิ้มเก่ง ก็ยิ่งทำให้หัวใจอ่อนล้าลงเรื่อย ๆ
“ข้าวโพดเป็นอะไรหรือเปล่า โอเคไหม” เบสยังมีแก่ใจถามเพื่อน
“ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่” มาถึงขั้นนี้แล้ว “เบส กูชอบมึง”
เบสชะงักไปนิดหนึ่ง “เอ่อ เราขอโทษ เราไม่รู้ว่า...เรารู้ว่าข้าวโพดเป็นห่วงเรา แต่ก็คิดว่าข้าวโพดชอบผู้หญิง คิดว่าแค่แกล้งแหย่กันเล่น ๆ” มือขาว ๆ ลูบท้ายทอยตัวเอง “ขอโทษ ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้ข้าวโพดรู้สึกไม่ดีใช่ไหม”
ข้าวโพดบอกตามตรง “มึงเป็นคนพิเศษสำหรับกูมาตลอด จะให้บอกอีกกี่ครั้งก็ยังได้ ว่าข้าวโพดชอบเบสมาก ไม่ว่ามึงกับพี่เขาจะตกลงกันว่ายังไง ก็ขอให้กูชอบมึงต่อไปได้ไหม”
“แบบนั้นมันจะไม่ดีกับข้าวโพดหรือเปล่า ยังมีคนดี ๆ ที่เหมาะสมกับข้าวโพดอีกตั้งหลายคน”
“อย่ามาบอกว่าให้เป็นเพื่อนกัน เพราะกูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นเพื่อนมาตั้งแต่แรก แล้วต่อให้มึงไม่ชอบกู ต่อให้เกลียดกู มึงก็ไม่มีสิทธิ์โยนกูให้คนอื่น”
เบสถึงกับหน้าถอดสีเมื่อข้าวโพดพูดอย่างจริงจัง
ข้าวโพดคนที่มักตามใจเบสมาตลอดจะไม่พูดอะไรแบบนี้
แต่มันก็ทำให้รู้ว่า ภายใต้คำพูดตลก ๆ และคำหวาน ๆ เหล่านั้น มันคือความจริง
“เรา ขอโทษ”
“เอาเป็นว่า ถ้ามีอะไรที่ไม่เป็นไปอย่างที่มึงต้องการ ก็ยังมีตรงนี้อยู่อีกคน” ข้าวโพดเปลี่ยนเรื่องคุย “ตกลงคืนนี้มึงจะไปกินเหล้าด้วยกันหรือเปล่า”
“ไปก็ได้ แต่ต้องกลับก่อน 5 ทุ่มนะ”
“ทำไมล่ะ”
“แม่เราไปงานเลี้ยงอะไรของเขาสักอย่าง แล้วเขามักกลับบ้านช่วงนั้น ถ้าเขากลับมาแล้วเรายังไม่กลับ เขาจะโกรธ”
“ให้กูโทรไปขอให้ไหม”
เบสโบกมือ “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกน่า”
ข้าวโพดพลิกข้อมือดูนาฬิกา “กินอะไรมาหรือยัง” เบสส่ายหน้า “งั้นไปหาอะไรกินที่แคนทีนแล้วกัน”
เมื่อเดินคู่กันมาที่แคนทีน เบสก็นึกถึงเรื่องที่บลูบอกเมื่อคืน
“ข้าวโพดรู้เปล่า ว่าตรงสนามบอลน่ะ มีวิญญาณด้วย”
“ห๊ะ อะไรนะ” หัวข้อการพูดคุยเปลี่ยนเร็วเกินไปจนคิดตามไม่ทัน
เบสทวนอีกครั้ง  “เราบอกว่า ตรงสนามบอลน่ะ มีวิญญาณ”
“แล้ว...”
“ข้าวโพดรู้หรือเปล่า”
“กูจะไปรู้ได้ไง” ข้าวโพดและเบสหันไปไหว้รุ่นพี่ที่เดินสวนมา แล้วหันมาคุยกันต่อ “มีอะไรหรือไง”
“พี่...พี่บลูน่ะ เขาพูดถึงเรื่องวิญญาณที่สนามบอล”
ข้าวโพดหันมามองหน้าเบสแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ข้าวโพดรู้ใช่ไหม”
“เปล๊า” ข้าวโพดมีพิรุธชัดเจน
“ไม่ได้จะมาคาดคั้นอะไรสักหน่อย ไม่เห็นต้องปฏิเสธขนาดนั้น”
“ก็อยู่ดี ๆ มึงก็ถามขึ้นมา”
เบสส่ายหน้า “เราว่า เราเป็นคนโกหกไม่เก่งแล้วนะ แต่ข้าวโพดโกหกไม่เก่งยิ่งกว่าเราเสียอีก”
ข้าวโพดหัวเราะเสียงแปลก ๆ เพราะกับคนอื่นจะสามารถพูดจาเอาตัวรอดได้คล่องกว่านี้ แต่กับคนนี้...เฉพาะคนนี้เพียงคนเดียวที่โกหกไม่เคยรอด ถูกจับได้ทุกที
ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหก
...เออ แต่เมื่อกี้นี้โกหก แล้วก็ถูกจับได้ไง...
“สรุปคือ ทำไมจู่ ๆถึงพูดขึ้นมา”
“ก็กำลังสงสัย ว่าในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยนี่เขาต้องมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผี แต่ส่วนใหญ่มักอยู่ในอาคาร แต่พี่พูดถึงวิญญาณที่สนามบอล ก็เลยรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยของเราไม่เหมือนใครดี”
เรื่องพูดคุยเกี่ยวกับวิญญาณที่สนามฟุตบอลพักไว้ก่อนชั่วคราวเพราะที่โรงอาหาร มีนทีที่มาถึงก่อนกำลังโบกมือเรียกทั้ง 2 คนให้มารวมกลุ่ม
“มึงกินอะไร โจ๊กกุ้งไหม” ข้าวโพดหันมาถาม ขณะที่ส่งกระเป๋าให้เบส
“ได้ ไม่ใส่ไข่นะ”
“งั้น 2 ฟองเลยแล้วกัน”
“ไม่เอา เยอะไป เดี๋ยวกินไม่หมด”
แต่ข้าวโพดตรงไปที่ร้านโจ๊กแล้ว เบสถือกระเป๋า 2 ใบเดินมาที่โต๊ะ
“ทำไมมึง 2 คนไม่มารถคันเดียวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ” นทีที่กินอิ่มแล้วทักขึ้น
“บ้านเรากับข้าวโพดอยู่คนละทาง” เบสบอก “ทำไมอิ่มเร็วจัง”
“กูมาถึงตั้งนานละ แดกจนอิ่ม แต่ขี้เกียจไปที่ตึก เลยนั่งอยู่นี่ พวกมึง 2 คนก็มาพอดี”
“เออ รอก่อนสิ เดี๋ยวไปพร้อมกัน”
ข้าวโพดยกถาดอาหารพร้อมน้ำดื่มมาถึง เบสหันมาช่วยยก
“มึง 2 คนแดกอะไร” นทีถาม “อ้าวแดกไม่เหมือนกัน แล้วทำไมโจ๊กกุ้งมีไข่ 2 ฟอง”
เบสหน้างอ เขี่ยไข่ลวก 2 ฟองในถ้วยโจ๊ก “บอกว่าไม่เอาไข่ลวก มันเยอะไป กินไม่หมด ไม่เคยฟังกันเลย”
“โห...บ่นเป็นชุดเลย สมน้ำหน้ามึงไอ้ข้าวโพด”
“ทีเอาไข่ลวกไหม” เบสเกี่ยงให้เพื่อน
“ห้ามกินนะที” พอข้าวโพดดุ ทั้งเบสและนทีก็หยุดหันมามอง
“แค่นี้ก็ต้องดุด้วย” นทีบอกแล้วหันมาหาเบส “มึงก็กิน ๆ ไปเหอะ โจ๊กมันไม่อยู่ท้อง โอวัลตินนั่นก็ด้วยกินให้หมด คนซื้อมาให้มันหวังดีอยากให้กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ”
เบสอยากเถียง แต่เพราะรู้ว่าข้าวโพดหวังดีจริง ๆ ก็เลยตีไข่ลวกผสมกับไปโจ๊ก “อยากเติมแม็กกี้อ้ะ”
“ลองชิมดูก่อน”
เบสตักชิม 
“เอาแม็กกี้ไหม”
เบสส่ายหน้า “ไข่ลวก 2 ฟองคิดว่ามันจะคาวเสียอีก”
“กูใส่มาแล้ว”
“ขอบใจนะ”
“ถ้ากลัวคาว คราวหน้ามึงบอกให้ลุงร้านโจ๊กแกตีมาเป็นไข่สุกเลยสิ แบบโจ๊กเด็กน่ะ” นทีบอกแล้วหัวเราะ
“ไม่เหมือนนะ เพราะเรากินผักได้” เบสเถียงเพื่อน
“กูแดกผักนะ แต่บางชนิดเท่านั้น กูไม่กินคะน้า” นทีอวด
“เราชอบก้าน แต่ไม่ชอบใบ”
“กูไม่แดกทั้งนั้นแหละ จะก้านหรือใบ”
“เบส อย่าเพิ่งเถียงกับมัน เดี๋ยวโจ๊กเย็นจะไม่อร่อย”
นทีหัวเราะแล้วหันไปมองที่แผงขายอาหารเช้า “เห็นโอวัลตินแล้วอยากกิน กูต่อโอวันตินร้อนกับปังเนยนมดีกว่า มึงเอาอะไรอีกไหม” พอเพื่อน 2 คนส่ายหน้า นทีก็ลุกไปทันที

...จบตอนที่ 3....
ขอบคุณที่ช่วยกันแสดงความเห็นครับ ชอบจัง
ตอนที่คุณพี่เขาเขียนก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงให้คู่นอมอลของเรื่องชื่อ "ที" แต่อ่าน ๆ ไปก็อ๋อ เข้าใจละ ...บังเอิญชื่อเหมือนเท่านั้นแหละ 555
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 31-01-2020 19:50:52
เดี๋ยวต้องกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่


รู้สึกว่ามีอะไรแปลก


ทำให้ปะติดปะต่อไม่ได้
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 31-01-2020 19:52:53
บลูมาแล้วววว :katai2-1:

แน่นอนแล้วว่าข้าวโพดคือเชสกลับชาติมาเกิด
เบสล่ะใช่เกรซหรือเปล่านะ :hao4:
แต่คิดว่าน่าจะใช่เพราะลุคบอกว่ากลับมาเกิดพร้อมกันแถมยังอยู่ใกล้กันอีก

ตอนนี้หนุ่มน้อยโอเว่นของเราก็ยังไม่ออก
สงสัยจังว่าบลูซ่อนโอเว่นไว้ที่ไหน

แล้วใครเป็นคนส่งสัญญาณเตือนไม่ให้เข้าไปในบ้าน
ถ้าเป็นมนุษย์ปกติก็ไม่น่าจะส่งได้ มีแต่ปมให้สงสัย :katai1:

รอติดตามตอนต่อไปว่าบลูกับลุคจะเผยปมอะไรอีก

ขอบคุณสำหรับตอนนี้ค่า :pig4:

ปล. มีพิมพ์ผิด 2 จุดนะคะน้องน้ำชา
 - ดวงสีฟ้าแข็งกร้าวขึ้น >>  ดวงตาสีฟ้า
 - บลูขอไปแยกไปอ่านหนังสือ >> บลูขอแยก
ตอนรีไรท์ทำอีบุ๊คจะได้ไม่ต้องแก้เนอะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-01-2020 20:21:40
แก้ไขแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 01-02-2020 09:20:20
เดาผิด  :mew3:
คิดว่า เบส คือ โอเว่น

อ่านตอนที่ 3 จบ ก็ เกิดคำถามขึ้นมาใหม่อีกว่า
จะ บลูเบส  หรือ ข้าวโพดเบส   อ้าว... แล้ว ลุคบลูล่ะ ^^

ปล.คนชื่อ"ที"นี่น่ารักทุกคนเลยนาาาา

 :กอด1: :3123:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 01-02-2020 09:36:00
บลูเอาโอเว่นไปซ่อน ?
นั่นหมายความว่าโอเว่นยังไม่ตาย เหมือนกับลุคและบลู
ถ้าเป็นแบบนั้นโอเว่นน่าสงสารมาก 
คงไม่มั้งงงงง  :monkeysad:
คาดเดาไม่ได้ รอตอนต่อไป :L2:

ขอบคุณค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-02-2020 13:50:21
ซับซ้อนมาก ยังงงๆ ลุ้นๆอยู่
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 04-02-2020 11:10:47
 :L2:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 15-02-2020 11:18:31
ถ้านิยายเรื่องนี้ มีชื่อภาษาไทย จะชื่ออะไรดีน๊าาา
นิยายดีๆ อยากให้คนอ่านเยอะๆๆ
มาให้กำลังใจคนเขียนจ้าา :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 18-02-2020 20:49:48
มารอ... :t3:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 18-02-2020 21:25:49
มารอด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-02-2020 07:33:51
ถ้าโอเวนกลับมา...จะคู่ใคร
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-02-2020 15:37:59
 :hao5:   :hao5:  อยากหยิกตัวเอง อ่านตั้งนานแล้ว ลืมเม้นท์ซะงั้น


ความรู้สึกตอนนี้ >>>>>>> กลัวผี<<<<<<


แต่ลึกลับดีจัง ลุ้นว่าบลูจะเอาโอเวนมาส่งที่ตอนไหน

รอจ้า  :mew1:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 20-02-2020 21:24:20
รอแป๊บน้าเคลียร์งานก่อน
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 3 (31/1/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 21-02-2020 07:57:28
มารอ  :กอด1:
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 29-02-2020 08:12:52
ตอนที่ 4

เป็นเวลากลางคืน ที่เงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงของแมลงกลางคืน
คฤหาสน์หลังนั้นตกอยู่ท่ามกลางความมืด มีแสงสว่างเพียงริบหรี่ที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องหนึ่ง
ลุค เมอร์ฟี ที่สวมชุดสีดำอยู่เสมอ จอดรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไว้ใต้ร่มไม้หน้าบ้าน เมื่อโบกมือ 1 ครั้งรถคันใหญ่ก็กลมกลืนไปกับความมืด จากนั้นก็กระโดดข้ามรั้วสูงเข้าไปข้างใน
ภายในโรงรถมีรถจอดอยู่หลายคัน ถึงแม้ว่าบ้านจะปิดเงียบแต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าบรรดาเจ้าของรถเหล่านี้ยังอยู่ในบ้าน ขณะที่เหลียวมองหาจุดที่จะขึ้นไปใกล้ห้องที่มองเห็นแสงไฟริบหรี่ให้ได้มากที่สุด ประตูหน้าบานใหญ่ก็ขยับเปิด มือข้างหนึ่งกระชากให้หลบมาอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ในสวน มืออีกข้างปิดปากแน่นสนิท
บลู...
แปลก ที่บลูซึ่งอยู่ในชุดสีขาวกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของเวลากลางคืน เหมือนจะโปร่งใส แต่ก็ไม่โปร่งใส
ลุคเคยพบเจอพลังงานในลักษณะนี้ครั้งหนึ่งเมื่อนานกว่า 300 ปีที่แล้ว เป็นพลังงานกึ่งปีศาจ กึ่งวิญญาณ กึ่งพ่อมด
หรือว่า...
คนในบ้านทยอยออกมา ต่างคนต่างตรงไปที่รถของตนแล้วขับออกไป
รอจนกระทั่งทั้งหมดพ้นแนวรั้วออกไปแล้ว บลูจึงปล่อยมือออก
“ถ้าหายตัวไม่ได้ เปลี่ยนร่างไม่ได้ ก็ควรจะรู้ว่าต้องหลบซ่อนตัว นายมีชีวิตรอดมา 400 ปีได้ยังไงกัน”
ลุคไม่เถียง แต่ถ้าสามารถหัวเราะได้ด้วยดวงตา เสียงหัวเราะนั้นก็คงจะดังมาก
ดีที่บลูกำลังมองไปทางอื่น ไม่อย่างนั้นคงได้โดนดุอีกแน่ ๆ
เมื่อเจ้าของบ้านกลับเข้าไปแล้วบลูจึงออกคำสั่งโดยที่ไม่ได้หันมามอง
“ฉันจะขึ้นไปดูที่ห้องนั้น นายรออยู่ที่นี่”
ชายหนุ่ม กลายเป็นละอองสีขาวพุ่งผ่านหน้าต่างบานนั้นแล้ววนอ้อมกลับมาหา แม้จะยังเป็นเพียงละออง แต่เวลาที่ออกคำสั่งชัดเจนมาก
“ออกไปข้างนอกก่อนแล้วจะบอก”
ลุคขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาเกือบครึ่งทางก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ซ้อนท้ายอยู่ จึงจอดรถ “เปลี่ยนรูปร่างได้นี่มันดีอย่างนี้นี่เอง”
บลูยักคิ้วแล้วนึกขึ้นได้ ฟาดหลังมือใส่คนขับรถ
“จริงจังหน่อยได้ไหม”
ลุคฉวยโอกาสคว้ามือไว้ “ก็จริงจังอยู่ แต่ก็ชื่นชมไง เปลี่ยนรูปร่างได้ด้วย”
“ปล่อยมือ” บลูทำเสียงแข็ง
ลุคปล่อยมือตามสั่ง แล้วถามเข้าเรื่อง “เห็นอะไรบ้าง”
“พวกเขาทำพิธีบางอย่างในห้องนั้น แต่ไม่มีอะไรที่ชี้ว่า เขาตามหาโอเวนจากที่นั่น” บลูหันไปมองทางตำแหน่งของบ้าน “แต่ฉันกำลังคิดว่า ฉันควรจัดอุบัติเหตุประเภทฟ้าผ่า หรือไฟไหม้บ้านหลังนั้น ก่อนที่จะลุกลามไปเรื่องอื่น”
“บลู” ลุคเตือนสติ “ในกลุ่มคนที่ออกมาจากบ้าน นอกจากคาร่าที่ฉันรู้ว่านายตามเธอมา ก็ยังมีกลุ่มคนที่เป็นพรรคพวกของเธอในอดีตอยู่ด้วย” ทั้งน้ำเสียงและดวงตาในเวลาที่กล่าวประโยคนี้จริงจัง จนเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อ 5 วินาทีก่อนหน้า
นั่นเป็นเรื่องราวในส่วนที่บลูไม่เคยรู้
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาบลูยังคงตามฆ่าคาร่ากับทหารที่เข้ามาจับกุมครอบครัวไร้ท์ โดยไม่สนใจที่จะสืบหาเรื่องราวส่วนอื่น
“คาร่าคือแม่มดงั้นหรือ”
ลุคนิ่งไปชั่วครู่ “ตามไปที่ของฉัน แล้วฉันจะให้ดูบางอย่าง”
บลูส่ายหน้า “ยังไม่ใช่เวลานี้ ฉันยังมีเรื่องต้องไปทำก่อน”
“จะไปหานักศึกษาคนนั้นน่ะหรือ”
“ใช่”
“งั้นฉันไปด้วย”
บลูหันมามองหน้า “นายมันสสารเคลื่อนที่ช้า”
“แข่งกันไหมล่ะ บอกที่หมายมาก็แล้วกัน ดูสิว่าใครจะไปถึงก่อน”
“ได้ยินว่าเพื่อนของเขานัดไปเที่ยว แต่ต้องกลับมาบ้านก่อนที่แม่ของเขาจะกลับมา”
ลุคพยักหน้า “จะไปรอที่บ้านนะ”
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เคลื่อนที่ออกไปก่อน และทั้งที่บลูใช้เส้นทางลัดที่ตรงมายังบ้าน แต่ก็ยังมาถึงทีหลังลุคอยู่ดี
“นายทำได้ไง” บลูทึ่งมาก และแทนที่ถามคนจะมองคน แต่กลับมองไปที่รถที่กลืนหายไปกับความมืด “ยอดเยี่ยมมาก”
ลุคบ่นให้ได้ยิน “ตกลงชมคนหรือรถกันแน่ แล้วยุคนี้ไม่มีใครเขาชมกันด้วยคำนั้นแล้ว”
“แล้วเขาชมกันว่าอะไร”
“เยี่ยม!” ลุคทำน้ำเสียงเวอร์เกินความจำเป็นไปมาก จนหนุ่มตัวเล็กส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
ยิ่งลุคพยายามทำตลกเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดยิ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเครียด และจริงจังมากเมื่อชะโงกมองเข้าไปในบ้าน เห็นว่ารถยังไม่กลับมาทั้ง 2 คัน
บลูหลับตาฟังเสียงรอบตัว “ทั้ง 2 คนไม่ได้อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตร”
“ระหว่างที่มาที่นี่ ฉันเห็นรถของคาร่าไปอีกทางหนึ่ง”
หนุ่มตัวเล็กหันมาดุ”แล้วทำไมเพิ่งบอก ออกรถสิ”
“คราวนี้นายจะซ้อนท้ายรถฉันใช่ไหม”
“ก็ใช่น่ะสิ เร็ว ๆ”
ลุคกลับไปที่รถพยักหน้าให้บลูซ้อนท้าย แล้วจับให้กอดเอวไว้
“เดี๋ยวจะปลิว”
“นายมันหลงตัวเอง”
“อ้อ”
“สสารหลงตัวเอง ออกรถได้แล้ว”
ลุคหัวเราะให้กับตัวเองแล้วออกรถ
บลูใช้ประสาทสัมผัสไล่ตามรถของคาร่าที่ตรงออกไปนอกเมือง จากนั้นเธอก็เปลี่ยนรถอีกคันเพื่อเข้าไปในซอยลึก
เมื่อเข้าไปใกล้รถของคาร่า ทั้งลุคและบลูต่างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมาก่อน
ลุคจอดรถ “บลู นายรอที่นี่”
“ไม่”
“บลู นายต้องรอที่นี่ ถ้าคาร่าเห็นนาย เธอจะสานต่อเรื่องทั้งหมดได้ แล้วคนอื่น ๆ จะไม่ปลอดภัยไปด้วย”
บลูยกมือลูบใบหน้าของตนเอง แสงสีฟ้าเปลี่ยนใบหน้าเป็นเพียงผืนหนังขาวซีดที่ไร้ความรู้สึก
“เร็วหน่อย ใบหน้านี้คงอยู่แค่ชั่วโมงเดียว”
ลุครู้สึกเหนื่อยใจ “ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้นะ”
“เร็วสิ” บลูเร่งอีกครั้ง
ไม่มีเวลาให้โต้เถียง แต่เมื่อตามมาจนเห็นรถญี่ปุ่นจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เงามืดที่หน้าบ้านซึ่งมองเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้บลูทักขึ้น
“คลินิกเถื่อนหรือ”
ที่นี่คือ “ศูนย์รวมของวิญญาณที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น” ลุคจอดรถแล้วหันมาถามอีกครั้ง “นายแน่ใจนะว่าจะเข้าไป”
บลูพยักหน้า
ตามมาจนถึงขนาดนี้ จะไม่เข้าไปได้ไง!
ลุคพับแขนเสื้อที่ยาวปิดข้อมือขึ้นมาจนถึงข้อศอก ทำให้เห็นปลอกรัดข้อมือที่ทำด้วยเงินความกว้างเกือบ 4 นิ้ว สลักลวดลายของอักษรภาพ กำกับด้วยอักขระโบราณ
บลูละสายตาจากภาพที่ปลอกรัดข้อมือ ไปที่เงามืดที่หน้าบ้านที่ก่อตัวชัดเจนขึ้น
หญิงสาวผมยาวเกือบถึงเอว ชุดนอนสีอ่อนของเธอเต็มไปด้วยเลือด
แม้เธอจะก้มหน้ามาตลอดตั้งแต่แรก แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเธอคือเจ้าของเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ได้ยินก่อนหน้านี้     
“ทีแรกคิดว่าจะลองคุยกับยามเฝ้าบ้านก่อน แต่ดูแล้วเขาไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยสักเท่าไหร่”
ตลกฝืดของลุคได้รับรางวัลคือเสียงถอนหายใจ “จะดีมากถ้านายหยุดพูดอะไรแบบนี้”
“เผื่อนายจะหัวเราะ”
ดวงตาสีฟ้าเข้มขึ้นทันที น้ำเสียงทั้งห้วนและดุขึ้นด้วย “ลุค เมอร์ฟี”
“ก็ได้  นายจริงจังเกินไปแล้ว”
เมื่อลุคโบกมือผ่านหนุ่มตัวเล็ก ร่างในชุดขาวก็จางลง แต่นั่นมีผลเฉพาะกับดวงตาของมนุษย์ อย่างชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง และคนขับรถที่มาส่งคาร่า ที่จะมองไม่เห็นบลู
แต่ไม่มีผลกับวิญญาณ เพราะเมื่อทั้งคู่เข้ามาใกล้ เงาร่างของหญิงสาวก็กรีดร้องแล้วพุ่งเข้ามาหาบลูทันที
บลูยก 2 มือทาบไขว้กันผลักร่างของเธอให้ถอยกลับไป
“...เปิดทาง พวกเราต้องการผู้หญิงคนที่เพิ่งมาที่นี่...” บลูพูดกับเธอด้วยจิต
“...ไม่ ให้ เข้า...” น้ำเสียงของเธอแหบพร่า
“...ใครสั่งเธอ...” บลูถามต่อ
“...”
“...ถ้าจะไม่ให้เข้าไปก็ต้องบอก...” บลูต่อรอง
“...เจ้านาย...”
“...ผู้หญิงคนนั้นมาทำไม...”
“...บอกไม่ได้...”
“...อย่างนั้นพวกเราจะเข้าไป...”
เมื่อบลูก้าวเท้า เงาร่างของหญิงสาวก็พุ่งตรงเข้ามาหาอีกครั้ง บลูประสานมือผลักเธอกลับไป ชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการจะทำร้าย แต่เพราะเธอคือวิญญาณที่ถูกควบคุม เมื่อได้รับคำสั่งก็จะทำตามคำสั่งนั้นจนถึงที่สุด
วิญญาณหญิงสาวกรีดร้องพร้อมที่จะพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง บลูชิงลงมือก่อนผลักเธอให้ถอยห่างออกไปอีก ลุครีบแทรกตัวเข้าไปในเขตรั้วบ้าน จากนั้นบลูก็ตามเข้ามาแล้วต้องหยุดชะงัก แล้วต้องหันหลังชนกัน เมื่อพบว่าในบริเวณบ้านยังมีวิญญาณของเด็กและผู้หญิงอีกนับสิบ ที่รออยู่และเคลื่อนที่ช้า ๆ เข้ามาล้อมรอบ
นายแห่งวิญญาณที่บ้านหลังนี้รู้ตัวทันทีที่ทั้ง 2 คนเข้ามาอยู่ในเขตบ้าน สั่งให้คนในบ้านรอโอกาสแล้วพาลูกค้าหลบออกไปอีกทางหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบไม้เท้าแล้วพยักหน้าให้คนในบ้านคนหนึ่งเปิดประตู
คนผู้นั้นพอเปิดประตูให้ก็หลบออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่นายแห่งวิญญาณเห็นก็คือ ชายหนุ่ม 2 คน แม้ว่าคนหนึ่งจะสวมชุดสีดำ อีกคนหนึ่งสวมชุดขาว แต่กลับกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม 
วิญญาณที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าบ้านหลังนี้ ยังคงเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ขณะที่เข้ามาหาทั้ง 2 คน บางตนยังส่งเสียงร้องโหยหวน
ชายหนุ่มคนที่สวมชุดดำหันหน้ามาทางนี้ ลายเส้นและอักขระที่ข้อมือส่องแสง เป็นประกาย
นายแห่งวิญญาณที่เป็นชายสูงวัย เคยได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับผู้ครอบครองปลอกข้อมือนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนผู้นั้นจะอยู่ที่นี่
“เด็กน้อย ดึกแล้ว ยังมาวิ่งเล่นอะไรกันแถวนี้ ทำไมไม่กลับบ้าน”
ลุคพูดคำเดียว “เครื่องราง”
นายแห่งวิญญาณหรี่ตาลงแล้วชี้ไม้เท้าในมือมาทางชายหนุ่ม ส่งเปลวไฟตรงเข้ามาหา ลุคยกข้อมือขึ้นสกัดไฟแล้วตอบโต้กลับไป แต่อีกฝ่ายยกไม้เท้าขึ้นสลายเปลวไฟ แต่ความรุนแรงที่แฝงมายังทำให้ต้องถอยไป 1 ก้าว
ลุคตามเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่ แต่ก็ถูกปัดออกไปอีกครั้ง
ขณะเดียวกันบรรดาวิญญาณของสตรีและเด็กต่างพุ่งตรงเข้าหาบลูจากทุกทิศทาง แต่บลูก็เพียงแต่ปัดซ้ายขวาเพื่อผลักให้ถอยห่างออกไป
“...อย่าเข้ามา ฉันไม่ได้อยากทำร้ายใคร...”
เสียงกรีดร้องโหยหวนที่บาดลึกเข้าไปถึงจิตใจ ทำให้บลูเป็นกังวล
“...อย่าเข้ามา ถอยออกไป...”
ระหว่างที่ข้างนอกกำลังมีการต่อสู้ คนในบ้านลอบพาลูกค้าออกไปทางหลังบ้านแล้ววิ่งอ้อมออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่
เสียงรถที่สตาร์ทขึ้นทำให้บลูผลักวิญญาณเด็กตนหนึ่งเต็มแรง เพื่อที่จะเปิดช่องทางติดตามสตรีคนนั้นออกไป แต่เพราะอีกฝ่ายยังเป็นเด็กทำให้เหลียวกลับมามอง
“...ขอ...โทะ...”
บลูพูดได้แค่ครึ่งคำเพราะถูกวิญญาณผู้หญิง 2 ตนฟาดเต็มแรงจนหมดสติ
ร่างกายที่โปร่งใสกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ลุคโบกมือไล่วิญญาณที่จะเข้ามาซ้ำพร้อมกับวิ่งกลับมาหา คุกเข่าลงแล้วแตะ 2 นิ้วที่กลางหน้าผาก
เหล่าวิญญาณล้อมเข้ามาหาอีกครั้ง ขณะที่นายแห่งวิญญาณยืนอยู่ห่างออกมา
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ยก 2 มือขึ้นขนานกัน ภายในมือปรากฏแส้เงิน 9 ข้อ จากนั้นฟาดแส้ลงข้างตัวประกายสีเงินส่องสว่าง ยามเมื่อกวาดแส้ไปรอบตัว แสงสีฟ้าจากปลายแส้กลายเป็นเชือกมัดวิญญาณทั้งหมดไว้ด้วยกัน
“แกเป็นใคร”
“ลุค เมอร์ฟี”
นายแห่งวิญญาณยังสงสัย “เป็นไปไม่ได้ แกอยู่ที่ชาโมนิกไม่ใช่หรือ”
ลุคไม่ได้พูดอะไร แต่ขยับแส้อีกครั้งเพื่อยืนยัน นายแห่งวิญญาณจึงตัดสินใจ
“ดี ในเมื่อมือปราบลุค เมอร์ฟีให้เกียรติมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง เราก็มาสู้กันให้ถึงที่สุด เพราะฉันจะไม่ยอมถูกแกจับตัวกลับไป”
พูดจบนายแห่งวิญญาณก็กระโดดเข้าหาพร้อมกับฟาดไม้เท้าในมือลงมา ลุคสะบัดแส้ในมือเพื่อตอบโต้ มีเสียงดังก้องและประกายไฟในยามที่อาวุธปะทะกัน วิญญาณที่ยังไม่ได้ถูกมัดรวมไว้ พยายามจะเข้ามาช่วยเหลือ ลุคหันไปฟาดแส้ใส่ เสียงของดวงวิญญาณในยามกรีดร้องอย่างเจ็บปวดช่างน่าสะพรึงกลัว และทำให้เลือดในกายเหือดหาย ลุครวบรวมพลังฟาดแส้ใส่นายวิญญาณเต็มแรง ไม้เท้าในมือหักครึ่งเมื่อปะทะกับแส้เงิน ร่างของชายชราถูกผลักกระเด็นไปกระแทกผนังอาคารแล้วร่วงลงมา หยาดเลือดสีแดงไหลจากมุมปาก ดวงตาสีแดงก่ำมองลุคที่ก้าวเข้ามาหา แส้เงินในมือเปลี่ยนเป็นดาบยาวปลายแหลม ตัวดาบสีดำสนิท
“ลุค เมอร์ฟี เจ้า ไม่ มี วัน ชนะ พวก เรา” นายแห่งวิญญาณยังคงพยายามข่มขู่
ชายหนุ่มยืนอยู่เหนือร่างนายแห่งวิญญาณ ปลายดาบชี้ลงที่ลำคอ “อัสวัด จงกลับไปรับโทษทัณฑ์ ณ ที่เจ้าหนีมา”
ปลายดาบปักลงที่ลำคอตรึงไว้กับผืนดิน ร่างกายสลายกลายเป็นเพียงควันสีดำแล้วจางหายไป 
ลุคเดินกลับไปที่กลุ่มวิญญาณที่ถูกมัดไว้รวมกัน
ทั้งที่เป็นการแสดงพลังเพียงเศษเสี้ยว แต่ก็สามารถสร้างความตื่นกลัวให้กับวิญญาณเหล่านี้จนไม่มีตนไหนที่ส่งเสียงกรีดร้องอีก   
“พวกเจ้าต้องไปรับการพิพากษา”
ทั้งหมดพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว ยอมรับการส่งวิญญาณแต่โดยดี
ลุคหมุนดาบยาวในมือ แล้วกรีดดาบผ่าน วิญญาณทั้งหมดกลายเป็นสีดำแล้วสลายหายไป
ดาบยาวกลายเปลี่ยนเป็นอักขระแล้วกลับเข้ามาจารึกอยู่ที่ปลอกรัดข้อมือ ลุคแตะข้อมือเพื่อเก็บอาวุธ หญิงรูปร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมาหาด้วยความกลัว
“คุณ” มืออวบอูมชี้ไปที่บลู “อีกคนบาดเจ็บอยู่ เรียกรถพยาบาลไหม”
ลุคหันมาพยุงคนเจ็บขึ้นมา “ไม่ต้อง เขาถูกฟาดแรงไปหน่อย แต่ผมต้องเข้าไปเอาของบางอย่างในบ้านของคุณ”
หญิงคนนั้นพยักหน้าแล้วบอกให้อุ้มคนเจ็บเข้ามานอนที่เตียงไม้ในบ้าน
“คุณ เป็นคนหรือเปล่า”
ลุคตอบโดยที่ไม่ได้หันมามอง “ผมไม่ใช่คน แต่ก็ไม่ได้เป็นวิญญาณ” และแม้จะใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิต แต่ก็ไม่มีชีวิต
ลุค เมอร์ฟี อยู่นอกกลุ่มทุกกลุ่มในโลกใบนี้
คนถามชะงักไปชั่วครู่แล้วก็พยักหน้า จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เธอไม่มีทางเลือกมากนัก และต้องให้ลุคพาหนุ่มในชุดขาวเข้ามาในบ้าน เพื่อเอาของบางอย่าง
เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงเจ้าของบ้านแนะนำตัวว่า ชื่อชมชบา เธอเคยเป็นพยาบาล แต่มาเปิดคลินิกเถื่อนเพื่อรักษาชาวบ้านแถวนี้และรับทำแท้ง โดยมีลูกมือคือหลานชายกับหลานสาว
หลังจากที่แน่ใจว่า บลูไม่เป็นอะไร ชมชบาก็เปิดประตูห้องทางซ้ายมือของบ้าน ซึ่งเป็นห้องที่เธอใช้เป็นห้องพยาบาล
“ทั้งรักษาคนเจ็บและทำแท้งก็คือห้องนี้”
ภายในห้องคือเตียงผู้ป่วย 2 เตียงกับอุปกรณ์ เครื่องมือ และตู้ยา ชายหนุ่มยืนมองไปรอบห้องแล้วเดินกลับออกมา
ชมชบาอ้างว่า ที่รับทำแท้งก็เพราะความสงสาร แม้จะไม่เห็นวิญญาณ แต่ทั้ง 3 คนก็เชื่อว่าวิญญาณของหญิงสาวที่เสียชีวิตจากการทำแท้ง กับเด็ก ๆ น่าจะยังอยู่ที่นี่
“ตอนแรกก็ช่วยคนเจ็บ ประเภทถูกยิงหรือถูกทำร้ายมา แต่เขาไม่กล้าไปโรงพยาบาล เพราะกลัวถูกตำรวจจับ ต่อมาก็เป็นผู้หญิง เขาก็มีความจำเป็น ถ้าไม่จำเป็นใครจะมาเอาเด็กออกใช่ไหม ก่อนจะทำฉันก็บอกทุกคนว่ามีความเสี่ยงนะ เพราะเครื่องมือของเราไม่ได้พร้อมเหมือนโรงพยาบาล แต่เพราะความจำเป็น มีเหตุผลมากมาย ที่ทำให้ต้องยอมเสี่ยง มาร้องไห้ขอให้ช่วย ฉันสงสาร ฉันก็ทำ”
ดวงตาสีเข้มจ้องมองมานิ่ง ๆ หลานชายกับหลานสาวของชมชบา จึงช่วยกันเล่าเรื่องเสริม
“เมื่อเดือนที่แล้วผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาที่บ้าน บอกว่าเขาเป็นเจ้านาย ให้เรียกเขาว่าเจ้านาย เรากลัวเขา ก็เรียกเขาตามที่เขาบอก”
“ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มรู้สึกว่ามีเงา ได้ยินเสียงแว่วอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็มีคนมาหาเขา”
“มันจะแปลก ๆ คือจะมีคนมาหาก่อน แล้ววันถัดมาก็จะมีคนเจ็บหนักที่ส่งเข้ามา แล้วก็มาตายที่นี่ เป็นอย่างนี้อยู่ 3 ครั้งแล้ว”
“เขาอยู่ที่นี่เลยหรือเปล่า” ลุคถาม
“ช่วงอาทิตย์แรกเขาอยู่ที่ห้องข้างบนตลอดเวลา พวกเราก็เลยพากันขนของย้ายลงมาอยู่ข้างล่าง ตรงนี้แหละ” ในห้องที่บลูนอนอยู่ “หลังจากนั้นเขาก็ออกไปข้างนอก บางทีหายไปหลายวันแล้วก็กลับมาอยู่ข้างบนอีก”
“แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมอง มีคนที่รอจะทำร้ายเราก็จะยังอยู่”
“เรากลัว ไม่กล้าแจ้งความ ไม่กล้าหนี แล้วก็ไม่กล้าบอกใคร กลัวตำรวจมาตรวจที่นี่และก็กลัวเขาด้วย”
“กลัวจนไม่มีใครกล้าขึ้นไปข้างบนแล้ว”
“แต่ในช่วง 1 เดือนมานี้มีคนมาทำแผลอยู่เหมือนกันนะ พวกเขาก็คงรู้สึกเหมือนเรา คือปกติเวลามาพวกเขาก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรกับเรามากอยู่แล้ว เราเองก็ไม่อยากรู้เพราะกลัวเวลาที่ตำรวจตามมาแล้วจะพากันเดือดร้อนวุ่นวาย”
“แต่มันชัดว่าพวกเขาก็ไม่ได้อยากมาทำแผลกับเราหรอก พอทำแผลเสร็จ จ่ายเงินก็จะรีบออกไป”
ทุกอย่างวนเวียนอยู่ที่การกระทำที่ผิดกฎหมาย ซ้ำด้วยวิญญาณที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าและควบคุม ยิ่งทำให้ทั้ง 3 คนป้าหลานอยู่ที่นี่ด้วยความหวาดกลัว
“นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นวิญญาณ” ชมชบาสรุป
“หนูพอจะจำวิญญาณได้หลายคน” หลานสาวบอก “หนูคิดว่าพวกเธอจากไปแล้ว”
หลานชายพูดขึ้น “แต่ไม่เห็นคนเจ็บที่มาตายที่นี่”
ลุคมีความเห็นว่าหลานสาว หลานชายของชมชบาเป็นพวกจิตแข็งในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
หรือไม่ก็กลัวและเครียดมานานเป็นเดือน จนไม่รู้สึกกลัวและเครียดอีกต่อไป 
“ตอนที่ยังมีชีวิต ก็มาที่นี่มีด้วยเหตุผลจำเป็น และพอตายแล้วยังไปไหนไม่ได้ก็ด้วยเหตุผลจำเป็นเหมือนกัน” ลุคพยายามสรุปเรื่องโดยย่อ “ส่วนเด็ก ๆ อยู่เพราะพวกเขาโกรธแค้น ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งรวมวิญญาณผู้หญิงและเด็ก อัสวัดจึงมาที่นี่ เพราะเขาเข้มแข็งขึ้นด้วยพลังแบบนี้”
ลุคหันไปมองคนที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา สั่งให้ทั้ง 3 คนช่วยดูแลคนเจ็บ “ถ้าเขาขยับตัว หรือแสดงอาการอะไร เรียกผมทันทีเลยนะ”
ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน เมื่ออัสวัดนายแห่งวิญญาณสลายไปเกราะป้องกันต่าง ๆ ก็สลายไปด้วย ภายในห้องนอนใหญ่มีเครื่องรางที่ใช้ควบคุมวิญญาณในบ้านอยู่หลายชิ้น ลุคเก็บออกมาโยนรวมกันไว้ที่กลางสนาม จากนั้นท่องคาถาเรียกไฟศักดิ์สิทธิ์เผาทำลายจนไม่เหลือซาก
แล้วหันไปบอกให้ทั้ง 3 คนเก็บของในห้องพยาบาลรวมถึงเตียงและตู้ทั้งหมดออกมากองรวมกันไว้ กว่าจะหมดก็ทำเอาทั้ง 3 คนเหนื่อยหอบ
“ผมต้องเผาทั้งหมดนี้”
ชมชบาพยักหน้ายอมรับ ลุคจึงเริ่มเผาสิ่งของกองใหญ่
ระหว่างที่ไฟยังคงลุกไหม้ ชายหนุ่มหันมาพูดกับทั้ง 3 คน
“หลังจากนี้ คุณต้องทำตามหลักศาสนาของคุณ จะพระ จะบาทหลวง สาธุคุณหรือเรียกว่าอะไรก็ตาม ขอให้เขามาที่บ้านนี้ บอกกับเขาว่า คุณทั้ง 3 คนกำลังจะเริ่มชีวิตใหม่” ชายหนุ่มมองสบตาทั้ง 3 คน “พอมาถึงเขาก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไร นับจากนี้ทั้ง 3 คนต้องอุทิศตนเองให้กับการช่วยเหลือคน เลิกช่วยโจร ไม่ทำแท้ง โลกนี้ไม่มีบาปสีขาว บาปก็คือบาป มันคือสีดำ มีวิชาชีพอยู่กับตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีหนทางทำมาหากิน”
ชมชบากับหลาน ๆ รับปาก ลุคกลับเข้าไปในบ้านอุ้มบลูออกมา หลานชายของชมชบาวิ่งตามมาช่วยจับบลูที่ต้องซ้อนท้ายรถ
“ผมได้ยินผู้ชายคนนั้นเรียกคุณว่ามือปราบ”
ลุคพยักหน้า
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก ผมสามารถไปหาคุณได้ที่ไหน”
ลุคหันมามอง “วิธีที่ง่ายกว่าก็คือ ทำความดีอย่างที่รับปากไว้ ฉันรับรองว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ทำให้เธอต้องไปหาฉัน”
หลานชายของชมชบามองส่งรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไปจนลับตา จึงเดินเข้าบ้าน ปรากฏว่าไฟมอดลงแล้ว แหลือเพียงเถ้าถ่านที่ชมชบาบอกว่า ไว้รอพรุ่งนี้เช้าค่อยมาเก็บกวาด
ทั้ง 3 คนหันไปมองบ้านด้วยความรู้สึกโล่งใจที่ผ่านเรื่องราวมาได้ด้วยดี

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 29-02-2020 08:14:19
(ต่อครับ)

เสียงเพลงและเสียงทะเลาะกันทำให้บลูลุกขึ้นมานั่งกุมขมับอยู่บนเตียงนอนของใครบางคน
เจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามาดู “ตื่นแล้วหรือ”
“ปวดหัวเป็นบ้า! แล้วเสียงพวกนี้มันอะไรกัน”
ดวงตาสีฟ้าหันไปมองนอกหน้าต่าง นี่เป็นเวลากลางวัน
“เดี๋ยวนะ” ลุคตรงเข้ามาช่วยคนตัวเล็กนั่งพิงหัวเตียง “นายดื่มน้ำอุ่นได้ใช่ไหม”
บลูพยักหน้า ลุคหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกับน้ำอุ่น 1 กา รินใส่จอกใบเล็กแล้วเป่าให้ก่อนที่จะจ่อให้ถึงริมฝีปาก
“กินเองได้”
“เอาน่า นายเพิ่งฟื้น ถ้าทำหกเลอะเทอะขึ้นมา...”
ดวงตาสีฟ้าตวัดขึ้นมามองด้วยความไม่พอใจ
“จะโกรธ จะไม่พอใจ แต่เรื่องนี้ช่วยทำตามหน่อยได้ไหม เพื่อตัวของนายเองนะ”
คนตัวเล็กจิบน้ำอุ่นไปนิดหน่อยก็ดันมือของคนช่างเอาใจให้ห่างออกมา
“ปวดหัว นี่เป็นห้องของนายหรือ”
“บ้านฉัน แต่นี่คือห้องสมุดน่ะ” ถึงได้เป็นห้องที่มีแสงแดดเข้าถึงมากกว่าห้องอื่น
“ฉันต้องกลับไปที่ห้องของฉัน”
ลุคส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ได้หรอก”
“แต่ฉันต้องกลับไป ฉันอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้!”
ลุครีบลุกขึ้นมาปิดหน้าต่าง ปิดผ้าม่าน  “นายอยู่ในห้องนี้ ฉันจะไปเก็บห้องนอนของฉันก่อน”
“บอกว่าฉันจะกลับ! ไม่ได้ยินหรือไง!”
ความโกรธของบลูรุนแรงถึงขั้นทำให้หนังสือ และสิ่งของที่อยู่ในชั้นหนังสือร่วงหล่นลงมา
ลุคโผเข้ามากอดไว้ปลอบให้ใจเย็นลง “ชู่ว์ ใจเย็น เด็กดี ใจเย็น ขอโทษ ฉันคิดว่านายชอบที่โล่ง ๆ ก็เลยให้นอนห้องนี้”
บลูปวดหัวมาก “ฉันเป็นนกฮูก ฉันไม่อยู่กับคนและเสียงดังแบบนี้”
“ขอโทษ ใจเย็นนะ”
ลุคช้อนอุ้มบลูไปที่ห้องนอนอีกห้อง “นอนก่อนนะ” จากนั้นก็วิ่งวุ่นไปทั่วห้องทั้งปิดหน้าต่าง ปิดม่าน เปิดเครื่องปรับอากาศ เมื่อเห็นว่ายังมืดไม่พอ ก็ไปหอบผ้าห่มมาบังหน้าต่างอีกชั้น
บลูนอนมองตามจนรู้สึกเวียนหัวหนักกว่าเดิมจึงหลับตาลง
“นายเป็นไงบ้าง”
เพราะบลูยังหลับตาอยู่ทำให้ไม่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยน กับแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ดี
“ก็หนักอยู่เหมือนกัน” คนหน้าตาหล่อมากมักพูดโกหก “แต่ฉันเป็นสสารที่ซ่อมตัวเองได้ ก็เลยไม่เป็นไรแล้ว”
“ดีแล้ว” บลูพูดเบา ๆ “ทำไมได้กลิ่นกาแฟ กับพวกเบเกอรี่”
“เพราะที่นี่เป็นร้านกาแฟ”
บลูหรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นมามอง “ลุค เมอร์ฟี นายน่ะนะ ขายกาแฟ”
ลุคทำเสียงจิ๊กจั๊ก ขณะที่ทำความสะอาดห้องต่อไป
“บลู ฉันต้องทำมาหากินนะ บ้านต้องเช่า รถก็ยังต้องผ่อน”
“ฉันจำได้ว่านายรวยมาก”
ลุคส่ายหน้า “พ่อแต่งงานใหม่ นายคิดว่าเขาจะเหลืออะไรไว้ให้ฉันหรือไง”
คนที่นอนอยู่หายปวดหัวแล้ว “แล้วทำไมนายไม่หาใหม่ สร้างตัวเองแบบลูกผู้ชายไง”
ลุคแบ 2 มือ “ฉันอยู่วาติกัน”
หนุ่มตัวเล็กมีสีหน้าเหยียดหยาม “ฉันอยู่วาติกัน คนในวาติกันที่ร่ำรวยเยอะแยะ”
“ไม่ใช่ฉันก็แล้วกัน”
“แล้วนายชงกาแฟเป็นด้วยหรือ”
“เป็นสิ ไม่อย่างนั้นจะเปิดร้านได้ไง แต่เพราะว่าบางทีฉันก็ต้องไปนั่นมานี่ แล้วก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการย้ายไปอยู่ที่อื่น ก่อนที่จะมีใครผิดสังเกต ก็เลยให้อีกคนช่วยจัดการเรื่องในร้านให้”
“อ้อ...” บลูพยักหน้ารับรู้
ลุคทำความสะอาดเสร็จแล้วก็รีบไปล้างมือจากนั้นก็ถือกาน้ำอุ่นมารินให้ใหม่
“ดื่มอีกนิดนะ”
เมื่อเสียงข้างนอกเบาลง แสงภายในห้องมืดสลัว และอากาศเริ่มเย็น บลูก็ใจเย็นลงกว่าเดิม
“ดีขึ้นหรือยัง”
บลูพยักหน้า “ฉันอยากกลับ”
“ไม่อยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหรือ”
คนตัวเล็กส่ายหน้า “ตอนนี้กำลังคิดว่า ไม่รู้อะไรเลยน่าจะดีกว่า พออยากรู้ก็ต้องมายุ่งกับเรื่องวุ่นวายของนายไปด้วย”
แต่ตอนนี้ลุคกำลังอยากเล่าเรื่องราวบางอย่าง ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นจนไม่ได้เล่า
“คาร่าในตอนนี้ต่างจากหลายชาติที่นายตามเผาเธอมาตลอด ถ้านายเผาเธอ คนที่นายคอยปกป้องอาจเสียใจ และ อาจเดือดร้อนตามไปด้วย”
บลูกระตุกยิ้มมุมปาก ทั้งที่หน้าตาซีดเซียว “ถามจริง  ที่นายรู้เยอะแยะเนี่ย มันทำให้นายทำงานได้สำเร็จ หรือว่าทำอะไรไม่ได้เลย”
ลุคยอมแพ้จากใจ เพราะไม่เคยเถียงชนะเลยสักครั้ง
“ลุค เมอร์ฟี เป้าหมายของฉันไม่ใหญ่ ฉันต้องการแค่เผาทั้งเป็นคาร่า ฟอกซ์ เพื่อชดใช้ให้กับแอนนา และเกรซ ไร้ท์ และฉันจะเผาให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะตามเผาไปอย่างนี้ไม่ว่าอีกกี่ร้อยปีก็ตาม”
ลุคจับ 2 มือของบลูไว้ “บลู ฟังฉันนะ คาร่าใส่ร้ายครอบครัวไร้ท์ว่าเป็นแม่มดทำให้พวกเขาต้องตายก็จริง คาร่าต้องชดใช้ให้พวกเขาอย่างแน่นอน แต่การที่นายล้างแค้นด้วยการตามฆ่าคาร่ามาแล้ว 5 ครั้ง มันทำให้คาร่ากับพวกของเธอรู้ตัว และจับทิศทางการเคลื่อนไหวของนายได้อย่างง่ายดาย แล้วก็กลายมาเป็นฝ่ายที่ไล่ล่านาย”
“ก็ให้มันไล่ล่าฉัน เพราะฉันจะเผาคาร่าเป็นครั้งที่ 6 ก่อน”
“แต่นายอาจถูกฆ่า จากนั้นโอเวนก็จะดับสูญไปตลอดกาล”
บลูก้มลงมือใหญ่ที่บีบกระชับมือของตนเองไว้อย่างมั่นคง
“นายรู้เรื่องมากจริง ๆ”
“ก็...” ลุคเหลือบตามองเพดาน “ถึงฉันจะไม่ได้เป็นนักบวช แต่ก็ถูกขัง...วัน ๆ ถ้าไม่อ่านหนังสือ ก็คือคุยกับคนนั้นคนนี้”
“ตกลงนายอยากเล่าหรือไม่อยากเล่ากันแน่”
ในเวลาที่ไม่อยากฟังก็บอกให้ฟัง แต่พอตั้งใจฟังก็กลับเล่าเรื่องจบภายใน 10 วินาทีเสียอย่างนั้น
“เอาเป็นว่าอยากเล่าเรื่องไหนก็บอกมาแล้วกัน” หนุ่มตัวเล็กประชด
“นายบอกเองนะ”
บลูพยักหน้าส่ง ๆ แต่ลุคขยับตัว ตั้งใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
“เรื่องเมื่อคืนนี้ หลังจากที่นายหมดสติไป ฉันจัดการกับ...หมอผีคนนั้น แล้วก็ได้คุยกับเจ้าของบ้านตัวจริง เป็นป้ากับหลาน 2 คน” ลุคเล่าข้ามการต่อสู้ที่ดุเดือด และการเผาทำลายสิ่งของต่าง ๆ ไป “เจ้าของบ้านตั้งข้อสังเกตว่า จะมีคนได้รับบาดเจ็บถูกส่งมาให้รักษา แล้วก็ตายจากนั้นในวันถัดมาจะมีคนมาพบกับหมอผี และคาร่าคือคนที่ 3”
คิ้วสวยขมวดแน่น “หมายความว่า ถ้าเมื่อคืนเราไม่ไปขัดขวาง ในวันนี้จะมีคนบาดเจ็บถูกส่งมาให้รักษา แล้วคนนั้นก็จะตายใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า “จากสถิติมันเป็นอย่างนั้น”
   “เห็นไหม ฉันสมควรเผาผู้หญิงคนนั้นทันที” บลูโวยวาย
   “ใจเย็นก่อนสิ การเผาคาร่ามันไม่ได้ทำให้เรื่องนี้มันจบ อีกไม่นานเธอก็จะกลับมาในร่างใหม่ แต่หลังจากที่นายเผาเธอคราวนี้ มันจะมีความเสี่ยงไปถึงคนที่นายกำลังปกป้องอยู่นะ”
   บลูกอดอกหน้างอ แต่นิ่งเงียบฟังที่ลุคพูด
“เรากำจัดหมอผีคนนั้นไปแล้ว ในเมื่อคาร่าเป็นคนที่ 3 ที่ไปบ้านนั้น แสดงว่าต้องมี 2 คนก่อนหน้า และแสดงว่าพวกเขาจะต้องมีการติดต่อกัน มีคนที่คอยจัดการเรื่องการที่ทั้ง 3 คนไปคลินิก จัดการเรื่องหาผู้บาดเจ็บเพื่อส่งไปตายที่นั่น”
“พวกมันกำลังรวบรวมวิญญาณ” บลูบอก “แล้วพวกมันก็ตามหาโอเวน”
“นายคงไม่ได้คิดว่ามีพ่อมด แม่มดอยู่คนเดียวในโลกนี้ใช่ไหม”
“ไม่ได้มีคนเดียวอยู่แล้ว อย่านอกเรื่อง”
ลุคส่ายหน้า “พวกเขาตามหาโอเวนมาตลอด นับจากเช้าวันถัดมาที่คนคุมเปิดห้องขังเข้าไปแล้วไม่เจอตัว” บ้านทุกหลัง โรงนา จนถึงสุสานถูกตรวจสอบ รื้อค้น และเมื่อไม่พบก็ยิ่งเชื่อว่าโอเวนคือพ่อมด
“ตามหา เพื่ออะไร”
“ถ้าเขาไม่ยกให้โอเวนเป็นหัวหน้าใหญ่ ก็คือต้องทำลาย”
“ทำไมนายมักจะโยงกลับมาเรื่องการทำลายโอเวนอยู่ตลอด”
“เพราะพวกมันหลบซ่อน และต่อสู้มาตลอดเวลาหลายร้อยปี มันไม่ยอมให้เด็กหนุ่มอายุ 17 ปีมาเป็นหัวหน้าอย่างแน่นอน”
บลูเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง
“คาร่า ฟอกซ์ไม่ได้เป็นแม่มด แต่เธอพึ่งพิงแม่มดให้ช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ”
“เธอฆ่าแม่ของฉัน ให้พ่อมดจองจำวิญญาณ เพื่อให้แม่ของฉันกลายเป็นวิญญาณรับใช้ของพวกมัน”
บลูหันมามอง แต่ลุคยิ้มอ่อน “พอรู้เรื่องฉันก็ปลดปล่อยเธอไปแล้ว ทำให้เธอไม่ต้องกลับมาวนเวียนแบบคนอื่น ๆ”
บลูเก้อไปเล็กน้อยเมื่อถูกรู้ทัน “คาร่าได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ตั้งหลายครั้ง แต่ถ้าสุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพวกพ่อมด หมอผีอยู่เหมือนเดิม ก็แสดงว่ายังไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่”
แต่มันก็แสดงให้เห็นว่า ซอว์นีย์ก็มีคาร่าเป็นเป้าหมายเหมือนกัน ลุคดึงความคิดของบลูไปอีกเรื่องที่จะทำให้บลูลดความใจร้อนลงอีกนิด
“การที่ทั้งหมดกลับมาเกิดในเวลาไล่เลี่ยกันแล้วมาเจอกัน จะเรียกว่าพระเจ้ากำหนด หรือเวรกรรมเป็นตัวกำหนดก็เถอะ สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสที่เราจะได้จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ไม่ต้องยืดเยื้อต่อไปอีก”
ลุคเดินไปหยิบแว่นกันแดดแบบสปอร์ตมาส่งให้ “แว่นตาขี่รถของฉันเอง นายใช้ไปก่อน เดี๋ยวตอนเย็นจะไปซื้ออันใหม่มาให้”
“ใส่ทำไม”
“มีคนที่อยากให้นายเจอ” เมื่อบลูมองมาเชิงถามทั้งยังไม่ยอมรับแว่น และไม่ยอมลุกจากเตียง “เพื่อยืนยันความเห็นของฉันไง ว่านี่เป็นโอกาสที่ดี”
บลูลุกขึ้นยืนแล้วรับแว่นมาสวม
“คนที่ฉันจะแนะนำ เขาชื่อเจตน์ เป็นคนทำกาแฟของร้านเรา” มือใหญ่เดินจูงมือเล็ก ๆ ออกมาจากห้องแล้วก้าวลงบันได “คอยดูแลร้านในเวลาที่ฉันไม่อยู่ มีภรรยาที่ไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไหร่ชื่ออร พวกเขาไม่มีลูก” ทั้ง 2 คนลงมาถึงชั้นล่าง “เขาเป็นคนธรรมดา ที่ถูกล้างความทรงจำเมื่อสิ้นสุดชาติภพ ซึ่งฉันเห็นว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด มือใหญ่ผลักเปิดประตูออกมาที่ส่วนหน้าร้าน
ร้านกาแฟเล็ก ๆ มีลูกค้าอยู่ตรงหน้าเค้าน์เตอร์ 1 คนที่กำลังรอรับเงินทอน จากนั้นก็เดินออกไป
“เถ้าแก่” ชายคนที่อยู่ตรงหน้าเครื่องคิดเงินทักทาย
เมื่อได้พบ บลูคลี่ยิ้มกว้าง ภาพข้างหน้าพร่าเลือนด้วยน้ำตา 
“เจตน์ ขอนมอุ่นกับแซนวิชด์ให้บลูหน่อย”
“ครับ”
ลุคดึงมือให้บลูเดินไปนั่งที่โต๊ะในร้าน
...จอร์จ ไร้ท์ คนที่ไม่เคยได้พบเจอเลยสักครั้งตลอดเวลาที่ยาวนาน กลับมาอยู่ที่นี่เอง
“ลุค เมอร์ฟี” บลูใช้หลังมือปาดน้ำตา “ขอบใจนะ”

...จบตอนที่ 4...
สะ-ปอย ว่า "ใครหลายคน ไม่มีคู่นะครับ"
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-02-2020 12:04:31
ซับซ้อนมาก
รอเจอโอเวนไป
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 29-02-2020 13:57:34
ตอนนี้ต้องยกให้ลุคบลู บรรยากาศสีม่วงๆท่ามกลางเหล่าวิญญาณมันดูฟินไปอีกเเบบ ตัวละครเริ่มกลับมาอย่างต่อเนื่อง :hao5:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 29-02-2020 14:05:36
สะ-ปอย ว่า ใครหลายคนไม่มีคู่
แต่ขอคู่นี้สักคู่ได้ม๊ายย
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 01-03-2020 18:45:03
ซับซ้อนซ่อนเงื่อน :katai2-1:

โอเว่นมีความสำคัญอย่างไงน้า
ถึงตามล่ากันมาหลายร้อยปี :hao4:

ตอนนี้สสารเคลื่อนที่ช้ากับนกฮูกไม่ชอบแสง
มีความมุ้งมิ๊งให้อมยิ้มกัน o18

คุณพ่อจอร์จออกมาแล้วล่ะ
รอคิวโอเว่นต่อไป :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 03-03-2020 14:41:17

 :katai2-1:  :katai2-1: ว้าวววว ลุคเท่จัง


ว่าแต่อ่านตอนนี้ความรู้สึกมันหลอนนนอ่ะ   :ling3:  แต่พี่บาลีเรายังผ่านไปได้ เรื่องนี้เราก็ต้องได้  :z2:


บลูจะคิดว่าเพราะตัวเองเข้ามาทำให้ครอบครัวโอเวนเลยทำให้ครอบครัวนี้โดนล่าหรือเปล่าน๊อ

ถ้าโอเวนไม่เอาบลูมารักษาวันนั้นครอบครัวก็ไม่เป็นแบบนี้มันคงไม่ซ้อนในซ้อนแบบนี้หรอกเนาะ 555555


รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:






หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 11-03-2020 19:20:59
เข้ามาดันจ้า  :z1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-03-2020 15:40:06


ปูเสื่อรอจ้า


 :กอด1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: nongfom ที่ 12-03-2020 16:03:37
รออ่านต่อจ๊ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 4 (29/2/2563)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 14-03-2020 13:25:54
  :z13: รอ ร้ออออ รอออ
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 21-03-2020 20:16:55
ตอนที่ 5

ลุคอยากเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ให้บลูได้รับรู้เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด และหยุดความตั้งใจที่จะตามล่าผู้ที่ทำลายครอบครัวไร้ท์
หยุดการไล่ล่าที่ไม่มีวันจบสิ้น
แต่นี่คือการคิดจากในมุมมองของคนภายนอก ไม่ใช่ผู้สูญเสีย การบอกให้หยุดความโกรธแค้นอย่างตรงไปตรงมาคือการบอกปัดปัญหาให้พ้นตัวแบบคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย มีแต่จะทำให้นกฮูกปีศาจของโอเวนหนีหายไป ลุคจึงต้องเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องไปตามความพร้อมที่จะรับฟัง และพยายามให้มองภาพรวมของเหตุการณ์แทนที่จะยึดติดอยู่กับความแค้น
ลุคต้องการอยู่ฝ่ายเดียวกับบลู ไม่ใช่ฝ่ายตรงข้าม
“ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”
บลูจริงใจมากพอที่จะพยักหน้า
“อย่างนั้นดื่มนมเสร็จ ก็ขึ้นไปพักข้างบนก่อน พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“ฉันไม่ได้บาดเจ็บขนาดนั้น”
เจตน์ยกอาหารและเครื่องดื่มมาให้ตามที่สั่ง “คุณไม่สบายหรือครับ หน้าซีดมากเลย”
“ชัดขนาดนั้นเลยหรือ” บลูหยิบแว่นดำขึ้นมาสวมอีกรอบ
“ก็บอกแล้ว ว่ายังต้องพักอีกหน่อย” ลุคคะยั้นคะยอให้บลูกินอาหารจนหมด แล้วหันไปสอบถามเจตน์เกี่ยวกับการค้าในวันนี้
“ถ้าไม่ไหวหรือมีธุระอะไร ก็ปิดร้านได้นะ”
“ทำอย่างนั้นก็แย่สิครับ”
ลุคยืนยันคำเดิม “คนเรามีธุระกันได้นี่นา”
“นายปิดร้านบ่อยไหม” บลูถาม
“ก็...”
เจตน์ช่วยตอบ “บ่อยครับ”
บลูส่ายหน้า “แล้วมาบอกว่าบ้านต้องเช่า รถก็ต้องผ่อน” หนุ่มใส่แว่นดำหันมาถามเจตน์ “ต้องเฝ้าร้านคนเดียวตลอดเลยสินะ”
“เถ้าแก่งานยุ่งน่ะครับ”
บลูดื่มนมอุ่นจนหมดก็บอกขอบคุณเจตน์
“เฮ้ หนุ่มน้อย นี่ร้านกาแฟของฉัน ที่เธอต้องบอกขอบคุณคือฉัน ไม่ใช่เจตน์”
“อ้อ เหรอ” บลูลุกขึ้นยืน “แต่ที่ฉันบาดเจ็บรอบนี้ก็เพราะนายนะ”
ลุครีบฉวยโอกาสทองนี้ไว้ “งั้นนายก็ควรขึ้นไปพักข้างบนก่อน” จากนั้นก็ลดเสียงลง “รอให้ค่ำก่อนแล้วค่อยออกไป จะได้ไม่ผิดสังเกต”
นี่เป็นเรื่องที่บลูเห็นด้วย จึงเดินตามขึ้นมาบนห้อง
“ลุค เมอร์ฟี นายถูกขังที่วาติกันเพราะอะไร”
ลุคหันมามอง บลูก็เลยบอกตามตรง
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันสนใจตามหาแต่คาร่าเป็นหลัก ไม่ค่อยได้รู้เรื่องทางฝั่งนั้นสักเท่าไหร่”
น่าจะเรียกว่าไม่สนใจอะไรเลยต่างหาก ดีที่มีประสาทสัมผัสเรื่องเสียงและการเคลื่อนไหวทำให้หนีได้เร็ว มีชีวิตรอดมาได้หลายร้อยปี
“ฉันค้านเรื่องการเผาแม่มด”
“ในช่วงเวลาที่การล่าแม่มดอยู่ในช่วงพีคสุดเนี่ยนะ” บลูส่ายหน้า “นายมันบ้า”

ลุคเดินทางออกจากหมู่บ้าน โดยที่มีจดหมายบอกเรื่องน้องชายป่วยตามหลังมา แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร ก็ได้รับจดหมายอีกฉบับ แจ้งว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับครอบครัวไร้ท์ การเดินทางกลับบ้านในเวลานี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จึงให้คนไปรับน้องชายมาจากเมืองเบ็ตตี้ อ้างว่าจะพามารับการรักษา ขณะที่ตนเองเข้าร่วมกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการล่าแม่มด แต่เพียงเดือนเดียวที่เชสเดินทางมาอยู่กับพี่ชาย อาการป่วยลึกลับนั้นก็ทำให้น้องชายป่วยหนักจนเสียชีวิต กลุ่มผู้ที่สนับสนุนการล่าแม่มดยิ่งชี้ว่านี่คือการกระทำของแม่มด แต่กลุ่มที่สนับสนุนการแพทย์ชี้ว่านี่คือการวางยาพิษ โทษของการขัดขืนคือการถูกใส่ร้ายและถูกนำตัวไปคุมขัง ซึ่งทำให้ได้อ่านหนังสือมากมายและรู้เรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มแม่มดที่คาร่านับถือ
“ฉันตัดสินใจเข้ารับการทดลองของกลุ่มการแพทย์” และหลับไป 5 ปี “หลังจากนั้นก็ไปอยู่กับกลุ่มผู้พิทักษ์ของโรม ต่อมาได้รู้พ่อของฉันเสียชีวิตแล้ว จึงกลับไปที่เบ็ตตี้ และที่หมู่บ้านร็อกไซด์ ถึงได้ปลดปล่อยวิญญาณแม่ของฉัน แล้วก็อยู่อย่างนี้มาตลอด”
“นายเจตนาเล่าข้ามไปเยอะมาก” ตอนนี้บลูเอนตัวลงนอนบนเตียงฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่อง
“เพราะฉันเริ่มเห็นด้วยกับนายแล้วว่า การรู้น้อย ทำให้มีความสุขมากกว่าจริงๆ”
บลูเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ทำไมเหมือนกำลังถูกนายตำหนิว่าฉันโง่”
“นายคิดมากไปแล้ว ฉันจะกล้าว่านายได้ไง” ลุคคลี่ผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ “นายนอนพักอีกนิดดีกว่า หรือว่าอยากอ่านหนังสือ”
บลูทำหน้าตาเหยเก “หลังจากที่ฟังการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของนาย ฉันก็ไม่คิดอยากอ่านหนังสืออะไรอีกแล้ว”
มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ระหน้าผากสวย
“ลุค เมอร์ฟี ฉันมีคำถาม”
“ว่าไง”
“ที่นาย...ทำไมนายถึงยอมรับการทดลองที่อาจทำให้นายต้องตาย”
“เพราะโอเวน” ลุคมองบลูด้วยสายตาที่สื่อความหมายจากหัวใจ “ฉันต้องนำความยุติธรรมกลับมาให้คนที่ฉันรัก”
บลูหลบตาไปทางอื่น
ลุคยิ้มอ่อน ก้มลงจูบหน้าผาก เลื่อนลงมาจูบปลายจมูกแผ่วเบาและริมฝีปาก
บลูใบหน้าร้อนผ่าว ดันอกกว้างให้ห่างออก
ลุคเข้าใจความหมายนั้น จึงถอยห่างออกมาแล้วออกไปจากห้อง

ในตอนแรกบลูก็ตั้งใจว่าเมื่อออกจากห้องแถวของลุคแล้วจะตรงไปที่บ้านของเบส แต่ในระหว่างทางต้องผ่านโรงเรียนเก่าที่ปิดกิจการไปแล้ว บลูสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
นกฮูกสีขาว ดวงตาสีฟ้าเกาะกิ่งไม้เหลียวมองไปรอบ ๆ
ทั้งที่ถนนหน้าโรงเรียนมีรถวิ่งผ่านเป็นระยะ แต่ประสาทการได้ยินที่โดดเด่นสามารถแยกเจ้ารถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไร้เสียงคันนั้นที่ขับเข้ามาใกล้ แล้วจอด รู้แม้กระทั่งตอนที่เจ้าของพรางรถคันนี้ให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม จากนั้นเจ้าสสารน่ารำคาญที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากการรักษาตัวเองก็เข้ามาในโรงเรียน และตรงไปทางห้องพักยาม
ดวงตาสีฟ้ามองตามสสารนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนความสนใจไปที่ห้องหนึ่งบนชั้น 3 ที่เป็นชั้นบนสุด ทันทีที่บินเข้ามาเกาะที่ระเบียง บรรยากาศรอบตัวก็กดทับความรู้สึก จึงเปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มในชุดขาว
ทุกห้องในอาคารนี้กลายเป็นห้องโล่ง แม้แต่หลอดไฟก็ถูกถอดเก็บออกไปแล้ว แต่ห้องนี้ยังมีทั้งโต๊ะทำงาน เก้าอี้ ตู้เอกสาร รวมถึงรูปภาพขมุกขมัวที่ติดอยู่ทางด้านหลังเก้าอี้เก่า ๆ ตัวนั้น
ร่างโปร่งแสงของครูใหญ่ที่เป็นหญิงสูงวัยปรากฏขึ้นภายในห้อง ดวงตาดำสนิทที่มองมายิ่งชัดเจนว่าไม่พอใจที่ถูกบุกรุก
“...ก็ไม่ได้อยากจะมารบกวนสักเท่าไหร่หรอก แต่ฉันว่ารูปที่เธอใช้ประดับห้องน่ะ มันเป็นสาเหตุที่ทำให้โรงเรียนต้องเป็นแบบนี้...”
เสียงออดในโรงเรียนดังขึ้นภายในสมอง จากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นรอบตัว เงาร่างโปร่งแสงของเด็กนักเรียนและครูกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น
ดูจากสภาพแล้วทั้งหมดน่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
“...ใจร้ายชะมัด ทำไมไม่ให้พวกเขากลับบ้าน...”
เพิ่งจะคุยกันได้ไม่กี่คำ เจ้าสสารขนาดใหญ่นั่นก็ปรากฏตัวตรงมุมบันได
...เฮ่อ...
“บลู”
เงาร่างโปร่งใสของครูใหญ่ที่ยืนนิ่งอยู่ภายในห้อง ยกมือสั่งให้วิญญาณเด็กและครูพุ่งเข้าหาบลู
“...ถ้าพุ่งเข้ามา พวกเธอจะไม่ได้กลับบ้านนะ...”
เหล่าวิญญาณทั้งหมดหยุดชะงัก
พวกเขาไม่ได้เต็มใจอยู่ที่นี่ แต่ต้องอยู่เพราะถูกจองจำไว้เป็นวิญญาณรับใช้ ในลักษณะที่คล้ายกับที่คาร่าในอดีตทำกับแม่ของลุค
ขณะที่บลูกำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่วิญญาณของครูใหญ่ในห้อง ลุคยื่นมือมาข้างหน้า แสงสีขาวจากสายรัดข้อมือ แยกเป็นหลายเส้นพุ่งตรงมายังวิญญาณของแต่ละคน แล้วรัดไว้ เมื่อดึงเพียงครั้งเดียวทั้งหมดก็ถูกส่งออกมารวมอยู่ที่กลางสนามหญ้าด้านหน้าอาคาร
เพราะเห็นว่าคนที่เพิ่งมาถึงแย่งชิงวิญญาณไปอย่างง่ายดาย ร่างของครูใหญ่ที่อยู่ในห้องขยายใหญ่แล้วพุ่งเข้ามาลุค
“โอ วา ซา” บลูท่องคาถา แสงสีฟ้าจากปลายนิ้วตกกระทบร่างวิญญาณของครูใหญ่ ทำให้ร่างกายแตกออก แต่ก็กลับมารวมกันใหม่อีกครั้ง
บลูรวบรวมลูกไฟสีฟ้าจากกลางฝ่ามือซัดใส่อีกครั้ง ดึงให้เธอหันมาหา
ลุคได้โอกาสเข้าไปในห้อง ใช้มีดบางเล่มเล็กในมือปักลงที่รูปภาพขมุกขมัว
ร่างโปร่งใสของครูใหญ่กรีดร้อง จะหันไปหาลุค แต่บลูเข้าไปขวางอีกครั้ง แสงสีฟ้าขาวจากปลายหมัดทำให้เธอต้องถอยไปหลายก้าว
เมื่อเปลวไฟลามจากรอยกรีด ลุกลามไปทั่วผ้าใบ ครูใหญ่คุกเข่าลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นมองลุคจากนั้นก็สลายไป
บลูถอยออกจากชั้น 3 ลงมารอที่กลางสนาม ระหว่างรอให้ลุคสำรวจห้องอีกครั้ง
“...ไง อยากกลับบ้านใช่ไหม...รอให้เขามาทำให้ดีกว่า เพราะถ้าฉันส่งพวกเธอ อาจจะหลุดไปที่อื่น ไม่ได้กลับบ้าน...”
วิญญาณของนักเรียนและครู ที่แทบไม่ได้ส่งสัญญาณในทางร้ายใด ๆ กับบลู มาจนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันอย่างสงบเรียบร้อย รอจนลุคลงมาทั้งหมดก็มีท่าทียินดี เมื่อลุคคลายเชือกสีขาว ทั้งหมดกล่าวคำขอบคุณแล้วเลือนหายไป
“ทุกคนจะได้กลับบ้านหรือเปล่า”
ลุคพยักหน้า เดินมาปัดฝุ่น เก็บเศษเถ้าถ่านที่ติดผมสีอ่อน “จะไปส่งบ้านนะ”
บลูพยักหน้า เดินตามไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์
“...ทีแรกฉันตั้งใจว่าจะไปหาเบส แต่ตอนที่ผ่านที่นี่ก็ฉุกคิดถึงเรื่องเล่าของนาย ก็เลยหยุดดู สุดท้ายต้องมาช่วยนายปล่อยวิญญาณที่ถูกจองจำในโรงเรียน...”
คนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ยังมองตรงไปข้างหน้า
“...นี่ ฉันรู้ว่านายได้ยิน...”
“...ก็ได้ ถ้านายอยากเล่นเป็นคนที่ไม่มีพลังอะไร ฉันก็จะเล่นกับนาย...แต่ฉันไม่อยากรู้เรื่องอะไรของนายอีกแล้ว ไม่ต้องเล่าอะไรให้ฉันฟังอีก จะเรื่องของกลุ่มไหน ใครที่อยากเจอโอเวนฉันก็ไม่อยากรู้...”
“...ฉันอยู่ตามลำพังมาหลายร้อยปี แต่พอมาเจอกับนายอีกครั้ง กลับต้องมาทำอะไรแบบนี้ น่ารำคาญชะมัด...”
ลุคจอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าคอนโดฯ บลูพูดขอบใจแล้วเดินขึ้นคอนโดฯ แต่ลุคกลับเดินตามมาด้วยจนถึงห้อง
“นายโอเคไหม”
“ไม่”
“วิญญาณเหล่านั้นทำให้นายคิดถึงแอนนากับเกรซใช่ไหม”
บลูเงียบไป
ลุคลูบผมสีอ่อนเบา ๆ เห็นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่คลินิกเถื่อนแล้วว่าบลูได้แต่ถอย ไม่กล้าลงมือ จนทำให้ถูกทำร้าย และมาในครั้งนี้ก็รีบลงมาดูวิญญาณเหล่านั้นในทันที
“ตอนที่ฉันมา วิญญาณเหล่านั้นสงบมาก นายพูดอะไรกับพวกเขา”
บลูเดินไปนั่งลงที่โซฟาเบด แล้วเปลี่ยนเป็นนอนเหยียดยาว
“บอกว่าให้รอนาย”
ห้องนี้ไม่มีเก้าอี้สักตัว ลุคจึงต้องเดินไปนั่งบนเตียง
“ดี”
บลูเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ขณะที่ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ “อธิบายหน่อยได้ไหม”
“ก็ดีไง เพราะปกติแล้วฉันจะไม่ค่อยคุยกับวิญญาณ”
“ลุค เมอร์ฟี นายทำอะไรมาตลอดเวลา 400 ปี”
“นายรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“ถ้าฉันพูด หรือทำอะไรให้นายคิดว่าฉันรู้ นั่นคือฉันโกหก”
ลุค เมอร์ฟี ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้างนวดขมับเบา ๆ
“บลู บลู บลู”
ทั้งที่ยังขำ แต่บลูก็ยกมือขึ้น “อ้อ ลืมไป ไม่ต้องเล่ามานะ พอแล้ว เหนื่อยมาก” 
คนตัวเล็กทำท่าจะล้มตัวลงนอน แต่เปลี่ยนใจลุกจากที่นอน เดินกลับไปที่ห้อง
“ตอนจะออกไป ช่วยล็อกห้องให้ด้วย”
“บลู”
“อะไร”
“จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะหาเก้าอี้อีกสักตัว หรือกาต้มน้ำร้อนมาไว้ที่ห้องนี้”
ดวงตาสีฟ้ามองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า “อย่าเลย เวลาที่ต้องเก็บของย้ายบ้านมันยุ่งยาก”
“งั้นถ้าฉัน หมายถึง ถ้าฉันกลับไปปรับปรุงห้อง ที่บ้านของฉันให้สามารถกันเสียงจากภายนอกได้...”
บลูเอียงคอ “ไม่”
“งั้นถ้าฉันซื้อบ้านใหม่ นอกเมืองที่เงียบ ๆ”
“ไม่”
“บลู”
บลูเดินกลับมาหา “ฟังนะ ลุค เมอร์ฟี ฉันขอบใจที่นายดูแลจอร์จกับแอนนา และฉันเชื่อว่านายดูแลเกรซและเชสมาตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะเจอพวกเขา แต่นายไม่จำเป็นต้องดูแลฉัน ฉันเป็นแค่นกฮูกตาสีฟ้า ที่เลี้ยงชีวิตด้วยความเกลียดชัง ในวันหนึ่งฉันจะจางหายไป แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ฉันจะต้องเผาคาร่ากับพรรคพวกของเธอเสียก่อน”
“บลู เราพูดเรื่องนี้กันแทบจะตลอดเวลา”
“ฉันรู้ การที่นายเล่าเรื่องมากมายให้ฉันฟัง ทั้งที่ไม่อยากเล่า ก็เพื่อให้ฉันไม่พุ่งตรงเข้าหาคาร่าแล้วก็เผาเธอในทันที แล้วเห็นไหมว่าตอนนี้เรื่องมันเป็นยังไง ตอนนี้เรื่องก็เริ่มไปถึงไหนไม่รู้ จนตอนนี้ฉันชักคิดแล้วว่า ฉันน่าจะเผาเธอไปตั้งนานแล้ว”
“บลู ขอร้อง”
“ลุค เมอร์ฟี คนพวกนี้ตายแล้วเกิดใหม่เพื่อสานความคิดบ้าบอมานานกว่า 400 ปี...” บลูหยุดพูด แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง
ตอนนี้ใกล้จะเช้าแล้ว พลังที่มีอยู่ตอนนี้ไม่พอที่จะออกไปข้างนอกในเวลากลางวัน
“แวะไปดูเกรซให้หน่อยได้ไหม”
“ได้ แต่นายโอเคไหม”
“ไม่” บลูตอบตามตรง “ถ้านี่เป็นแผนของนายเพื่อให้ฉันไม่ไปขัดขวางการทำงานของนาย ขอบอกว่ามันได้ผล”
ลุคโอบหนุ่มตัวเล็กเข้ามากอดไว้ “นายจะโทษ จะโกรธ หรือเกลียดฉันก็ได้ แต่ขอให้รู้ว่าฉันไม่เคยคิดร้ายกับนายเลยสักครั้ง”
“ช่างเหอะ” บลูตบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ “ฉันจะไปพักแล้ว”
บลูเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลง

งานที่แท้จริงของลุค ย่อมเป็นการค้นหาและกำจัดกลุ่มพ่อมด แม่มดที่ใช้วิชาทำในเรื่องเลวร้าย โดยเฉพาะแม่มดที่เรียกว่า ‘ซอว์นีย์’ ที่ช่วยคาร่าฆ่าเจนนิเฟอร์แม่ของเขาแล้วของจำวิญญาณไว้รับใช้ ทั้งเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุสังหารครอบครัวไร้ท์
หลังจากที่ปลดปล่อยวิญญาณของเจนนิเฟอร์ ลุคก็ย้ายไปที่เบอร์ลิน เพื่อช่วยงานผู้สอบสวนซึ่งทำหน้าที่ปราบปรามผู้ที่แอบอ้างศาสนาไปกำจัดผู้ต่อต้าน
ตลอดเวลาหลายปี ลุคพบไบรเดน กับเชส บิดากับน้องชายหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยความคิดถึง แต่เมื่อมาถึงเมืองใหญ่แห่งนี้ ลุคพบคาร่า รวมถึงบุคคลในครอบครัวไร้ท์ 
จนเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนนี้เอง ที่ลุคสัมผัสได้ว่ามีวิญญาณคอยติดตามมนุษย์ที่เคยเป็นเกรซและเชสเมื่อหลายร้อยปีก่อน
เป็นวิญญาณเบาบางจนแทบไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ติดตาม
จนกระทั่งบลูเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ลุคจึงสามารถแกะรอยตามมาจนถึงห้องนี้
ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ลุคไม่สามารถรับรู้ได้ถึงชีวิตที่อยู่ด้านหลังประตูได้เลย
จากจุดที่ยืนอยู่ ไม่สามารถมองเห็นห้องนอนทั้งห้องอย่างแน่นอน แต่ชัดเจนว่าในห้องนั้นไม่ได้มีแค่เตียงนอน แต่มีชั้นวางหนังสือ ที่มีกล่องหลายใบวางอยู่
ภายในห้องนั้นมี ‘บางคน’ และนั่นอาจเป็น ‘บางคน’ ที่ตามหามานานกว่า 400 ปี
ลุคให้กำลังใจตนเองอีกครั้ง แล้วออกมาจากห้องพักของคอนโดฯ โดยไม่ลืมล็อกห้องตามที่เจ้าของห้องสั่ง
จากคอนโดฯ ของบลู ลุคแวะมาที่โบสถ์...บ้านพักหลังเล็ก ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกันกับโบสถ์...ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองหลวง
การเดินทางแบบข้ามเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วนนี่มันทำให้รู้สึกอ่อนเพลียเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ชายหนุ่มผมสีดำเข้ม เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์นั่งอยู่ตามลำพังในห้อง และหันมามองประตูตั้งแต่ลุคยังอยู่ห่างจากประตูบ้านอยู่หลายก้าว
“จัสติน” ลุคทักขึ้นก่อน 
ผู้ที่ถูกเรียกว่าจัสตินพยักหน้า “ท่าทางเหมือนยังไม่ได้นอน”
ลุคยอมรับแล้วเดินไปชงกาแฟ “กาแฟไหม”
“ดี” จัสตินตอบสั้น ๆ แล้วนั่งหลังตรงหลับตา ระหว่างที่รอกาแฟ
ลุคชงกาแฟเข้มข้น 2 แก้วมาวางบนโต๊ะ ทั้งคู่ดื่มกาแฟและจมอยู่ในความคิดของตนเอง จัสตินหลับตาลงอีกครั้ง แต่จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นยืนหลังตรง โดยหันหน้ามาทางประตู ลุคทำตามโดยไม่มีคำถาม จากนั้นสาธุคุณชราเปิดประตูเข้ามา
“นั่งลงเถอะ ทั้ง 2 คนดูไม่ดีเลยในวันนี้”
ลุคเดินไปชงชา พร้อมรินนมสดใส่เหยือกใบเล็ก และน้ำตาล จากนั้นก็หยิบคุกกี้ 2 ชิ้นจัดวางอย่างสวยงามในถาดแล้วเสิร์ฟให้สาธุคุณ
“ชาแบบอังกฤษสินะ” สาธุคุณชื่นชม
“ขออภัย ฉันเป็นสกอต”
ลุคแย้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้ทั้งสาธุคุณและจัสตินต่างก็หัวเราะ
“ฉันรู้สึกยินดีที่ทำให้ทั้ง 2 คนมีความสุข” ลุคยังพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหมือนเดิม ทั้ง 2 คนก็ยิ่งหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ลุคก็แค่ชาวสกอตอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบใจเมื่อถูกทักว่าเป็นชาวอังกฤษ และทั้ง 2 คนรู้นิสัยนี้เป็นอย่างดี
ในที่นี้ ลุค ชาวสกอต แม้ว่าจะดูเหมือนคนอายุ 20 เศษแต่แท้จริงอายุมากกว่า 400 ปีแล้ว เขาพบกับจัสตินที่สำนักผู้คุ้มครองแห่งเบอร์ลิน  ชายชาวเยอรมันผู้นี้ หน้าตาเหมือนคนอายุประมาณ 30 ปี แต่แท้จริงอายุประมาณ 350 ปี
อีกคนคือสาธุคุณฌ็องส์ ชาวฝรั่งเศส ซึ่งพบกันครั้งแรกที่ฝรั่งเศส มีอายุจริงคือ 50 ปีแต่ดูแก่ชราเหมือนคนอายุ 80 ปี
หลังจากที่เริ่มต้นด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน ก็เริ่มเข้าสู่การพูดคุยอย่างจริงจัง เมื่อจัสติน รายงานผลการติดตามกลุ่มผู้มีศรัทธาในแม่มดซอว์นีย์
ส่วนสาธุคุณเล่าว่า ในเวลานี้มีกลุ่มไล่ล่าแม่มด และกลุ่มพ่อมดหลายกลุ่มแสดงตนชัดเจนว่า กำลังตามล่าพวกซอว์นีย์ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีใครทำอะไรกลุ่มซอว์นีย์ได้ 
“ซอว์นีย์มีทั้งพ่อมด แม่มด ปีศาจ และวิญญาณรับใช้จำนวนมาก พวกมันเป็นกลุ่มแม่มดที่เข้มแข็ง ผู้เข้มแข็งย่อมถูกท้าทาย จากการคาดเดา พ่อเชื่อว่าซอว์นีย์จะพบโอเวนอย่างแน่นอน” สาธุคุณกล่าวอย่างสุขุม
“ตอนนี้ซอว์นีย์ได้ตัวคาร่าแล้ว ก็ถือว่าเข้าถึงครอบครัวของโอเวนเหมือนกัน เหลือแค่เขาจะปล่อยใครออกมาก่อน ทันทีที่ปล่อยออกมาโอเวนก็ต้องออกมาแน่” จัสตินบอก
“ถ้าออกมาแล้ว พวกเราสามารถจัดการซอว์นีย์ให้เสร็จสิ้นได้ก็คงดี”
ลุคส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าคาร่าจะยังไม่รู้ตัวว่าตกเป็นตัวประกันของซอว์นีย์แล้ว เธอยังเดินทางและติดต่อกับคนอื่น ๆ เป็นปกติ ส่วนโอเวนไม่ใช่พ่อมด นกฮูกที่พิทักษ์วิญญาณของโอเวนอยู่ก็ไม่ใช่ พวกเขาเป็นเพียงดวงวิญญาณที่อาฆาตแค้นอย่างที่สุด สิ่งเดียวที่ทั้งคู่ทำได้และทำมาตลอดคือเผาคาร่ากับพรรคพวกของเธอ หากเป็นคนอื่นนอกกลุ่ม พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย”
จัสตินพยักหน้าทำความเข้าใจ
สาธุคุณลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เดินช้า ๆ ไปเปิดตู้เอกสารหยิบบันทึกเล่มหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่ข้างใต้ออกมา
“ที่หอสมุดหลวงเพิ่งส่งเล่มนี้มาให้ มีอยู่ประมาณ 10 บรรทัดที่เขียนเกี่ยวกับ การสอบสวน คำสารภาพ และการลงโทษครอบครัวไร้ท์ หมู่บ้านเบ็ตตี้”

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 21-03-2020 20:19:38
(ต่อครับ)
ในช่วงเวลาที่เปลวไฟจากการล่าแม่มดลุกลามไปทั่วยุโรป มีผู้ที่เสียชีวิตนับหมื่นคน และอีกนับล้านคนต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว แต่บันทึกที่เกี่ยวกับการสอบสวนส่วนใหญ่สูญหายไปตามเวลา ส่วนที่เหลืออยู่มาจนถึงวันนี้ก็ชัดเจนว่า นี่คือบันทึกที่คนสอบสวนไม่ได้จดบันทึกไว้อย่างละเอียด อาจเพราะเป็นการทำงานที่รีบเร่ง และต้องการปิดบังวัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่ทำให้ต้องกล่าวโทษบุคคลเหล่านั้น
แถมยังมีบันทึกที่มาเขียนเพิ่มเติมกันในช่วงเวลาหลังจากนั้นเพื่อเพิ่มน้ำหนักข้อกล่าวหา ซึ่งกลายเป็นการสร้างความสับสนต่อกลุ่มผู้ศึกษาเหตุการณ์ที่แท้จริงมากขึ้นไปอีก
ลุครับมาอ่านรอบหนึ่งก็ส่งให้กับจัสติน นี่เป็นรายการสอบสวนฉบับที่เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว แต่สาธุคุณไม่รู้ จึงแจ้งต่อหอสมุดหลวงเพื่อให้ช่วยหาข้อมูลมาให้
ที่ลุคเคยอ่านก็เพราะนี่คือฉบับที่ทางการท้องถิ่นรวบรวมการประหารชีวิตแม่มดจากหลายพื้นที่เพื่อนำเสนอต่อทางการและวาติกัน
เนื้อหาของรายงานก็คือการยืนยันความเชื่อของผู้กล่าวหาที่ว่า แอนนาและเกรซคือแม่มดจึงตัดสินให้เผาทั้งเป็น ส่วนจอร์จซึ่งเป็นพ่อเสียชีวิตในระหว่างการสอบปากคำ ขณะที่โอเวนลูกชายหลบหนีไปได้
และคำว่าหลบหนีไปได้นี่เอง ที่ทำให้กลุ่มผู้ศรัทธาในแม่มดหลายกลุ่มยึดถือบันทึกนี้กุญแจสำคัญในการตามหา ต่อมามีบันทึกอีกฉบับจากโบสถ์ในเบ็ตตี้ที่มีข้อความว่า โอเวนที่ถูกทรมานอย่างหนักหนาเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะทนไหว ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน ทำให้คาดว่าจะมีคนที่ติดสินบนผู้คุมเพื่อพาหนีออกมา และเขาเสียชีวิตแล้วในระหว่างการหลบหนี
ไม่มีบันทึกฉบับใดที่เขียนเกี่ยวกับนกฮูกตาสีฟ้าที่ชื่อบลู
คนที่รู้จักบลู ก็มีเพียงคาร่า
เมื่อการค้นหาผ่านไปนานข้ามปี กลุ่มที่ตามหาจึงเหลือเพียงกลุ่มซอว์นีย์ ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับบลูมาตั้งแต่แรก ดังนั้นการที่บลูไล่ล่าพรรคพวกของคาร่ามาตลอด ยิ่งทำให้กลุ่มซอว์นีย์มีความเชื่อมั่น และเก็บความลับเกี่ยวกับบลูไว้

“ซอว์นีย์ฆ่าครอบครัวของโอเวน แล้วโอเวนกับบลูก็ตามล้างแค้นมาตลอดเวลาหลายปี อย่างมากพวกเขาก็จะโยนคาร่าออกมา เพื่อที่จะกำจัดทั้งบลูและโอเวนในเวลาเดียวกัน”
จากนิสัยของโอเวน และเหตุการณ์ที่บลูเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของวิญญาณของผู้หญิงและเด็ก 2 ครั้งติดกันทำให้ลุคเชื่อมั่นในความคิดนี้
“ไม่คิดว่าพวกเขาจะหว่านล้อมโอเวนหรือ”
ลุคส่ายหน้า พวกซอว์นีย์ไม่มีทางหว่านล้อมได้สำเร็จ
จัสตินและสาธุคุณฌ็องส์หันไปมองหน้ากัน
ในบรรดาทั้ง 3 คน ลุคคือคนที่รู้จักโอเวนดีที่สุด ทั้ง 2 คนจึงไม่เคยเสียเวลาโต้เถียงเรื่องนี้
แต่จัสตินและสาธุคุณฌ็องส์คือคนที่รู้จักกลุ่มซอว์นีย์ดีที่สุด
ความแก่ชราราวกับคนอายุ 80 ปีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่มีอายุเพียง 25 ปีคือหลักฐาน
ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างพ่อมดตนหนึ่งกับมือปราบ สาธุคุณหนุ่มผู้มีความมุ่งมั่นที่จะต่อต้านกลุ่มแม่มดที่ใช้อำนาจควบคุมวิญญาณ ถูกตอบโต้ด้วยการเผาทั้งเป็น เขาคงเสียชีวิตไปตั้งแต่เวลานั้นหากลุคและจัสตินไม่ช่วยไว้ แต่พิษจากไฟจากพ่อมดไม่อาจรักษาได้ สิ่งที่ทิ้งไว้คือรูปลักษณ์ของความแก่ชรา
ช่วงเวลาหลายปีแห่งการเดินทางไปทั่วโลก จนกระทั่งย้ายมาที่สิงคโปร์ และสำนักในกรุงเทพฯ จากเครือข่ายของนักการศาสนา สาธุคุณพบร่องรอยของครอบครัวในอดีตของลุค และครอบครัวไร้ท์ จึงโน้มน้าวให้ลุคตามมาด้วย
“หนังสือนี้พอจะมีประโยชน์บ้างหรือไม่”
ลุคพยักหน้า
แต่จัสตินส่ายหน้า “ทุกอย่างที่อยู่ในนี้คือเรื่องที่พวกเรารู้อยู่แล้วทั้งนั้น”
“นี่คือรายงานที่เจ้าเมืองเบ็ตตี้เสนอทางการในเวลานั้น” สาธุคุณแย้ง
ในรายงานที่บันทึกโดยเจ้าเมืองเบ็ตตี้ ซึ่งก็คือพ่อของลุค ไม่เอ่ยชื่อของผู้กล่าวหาแม้แต่คนเดียว มีแต่ชื่อของผู้ถูกกล่าวหา และคำตัดสินที่ลงนามโดยเจ้าเมือง ซึ่งทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ลุคกับเชสกลับมาบ้านในปีนั้น เพื่อแจ้งเรื่องที่ 2 คนพี่น้องตัดสินใจที่จะศึกษาต่อด้านศาสนา แล้วบิดาไม่เห็นด้วย เพราะต้องการให้ใครสักคนสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองต่อ
แต่ 2 พี่น้องปฏิเสธ
ตั้งแต่ก่อนวันที่ต้องออกเดินทาง เชสก็เริ่มมีอาการป่วย จึงบอกให้พี่ชายออกเดินทางไปล่วงหน้า มิเช่นนั้นจะพลาดกำหนดนัดกับคนอื่น ๆ และตารางเดินเรือ
ตลอดเวลาที่กลับมาบ้านครั้งนั้น ลุคพบเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นหลายอย่าง แต่เพราะมีเรื่องให้ต้องจัดการหลายเรื่อง บวกกับความยินดีที่ได้พบกับโอเวน ไร้ท์ ทำให้ลุคต้องพักการสืบสวนหาความจริงเกี่ยวกับความผิดปกติทั้งหมดเอาไว้ก่อน 
“บางทีฉันก็อยากรู้เหมือนกันนะว่า ไอ้ที่ว่าทรมาน และที่บอกว่าบาดเจ็บสาหัสน่ะมันคืออะไร” จัสตินขัดความคิดของลุค
สาธุคุณฌ็องส์ส่ายหน้า “เวลาที่เขาบอกว่า สอบสวนธรรมดา แต่สำหรับเรา เราเรียกมันว่าการทรมาน ดังนั้นถ้าเขาเขียนไว้ว่าบาดเจ็บสาหัส มันก็จะต้องเป็นการบาดเจ็บที่หนักมาก ๆ แต่ในบันทึกฉบับนี้ไม่ได้บอกเรื่องวิธีการลงโทษนะ” สาธุคุณชี้ให้ดู “ไม่พูดเรื่องอาการ แต่ข้ามไปเลยว่าหลบหนี”
ลุคสรุปการหารือเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ด้วยการฝากให้สาธุคุณฌ็องส์ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ของหอสมุดหลวงที่ช่วยหาข้อมูลให้ “พวกเราอ่านจบแล้ว ก็ควรส่งคืนกลับไป”
สาธุคุณมีท่าทีผิดหวัง ขณะที่ลุคขยับตัวหยิบกระบอกโลหะออกมาจากใต้เสื้อโค้ท เปิดฝาออกแล้วเทวัตถุที่อยู่ภายในออกมา
จัสตินผุดลุกขึ้นทันทีที่ภาพเลื่อนไหลออกมาจากกระบอก ทำให้สาธุคุณลุกขึ้นตาม
ม้วนผ้าสีดำขนาด 1 ฟุตคลี่ออก 
จัสตินใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดลงที่กลางภาพ “ฮัลท์”
มีเสียงดัง ‘ฟุบ!’ จากภายในภาพวาด
นี่คือภาพวาดปีศาจร้ายในเสื้อคลุม มองเห็นดวงตาสีแดงวาวคู่นั้นชัดเจน ทั้งภาพนี้ประกอบไปด้วยสีเทา-ดำ-แดงเท่านั้น  สำหรับคนทั่วไป นี่คือภาพที่ให้ความรู้สึกหวาดกลัว และพลังในทางลบจากภาพจะส่งผลให้เกิดความเป็นกังวล หดหู่
สาธุคุณหันมาหาลุค “แบบนี้เขาเรียกแก้แค้นนะ”
ลุคยักไหล่ ทั้งยังเป็นเพียงคนเดียวในห้องนี้ที่นั่งอยู่ที่เดิม ไม่สนใจคำตำหนิอย่างตรงไปตรงมานั้น “ฉันเจอภาพนี้ที่คลินิกเถื่อน”
“ตอนที่เล่าเรื่องที่คลินิกเถื่อนเมื่อวันก่อนไม่เห็นพูดเรื่องภาพ”
“ฉันตั้งใจเก็บไว้เซอร์ไพร้ซ์พวกนาย 2 คนไง”
“โอ้ เซอร์ไพร้ซ์” จัสตินมีสีหน้าไร้ความรู้สึกในแบบของชาวเยอรมัน
ลุคกดยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แล้วเรื่องที่ให้ตามไปดูที่อยู่จริงของอัสวัดเป็นอย่างไร”
“เจอแล้ว” จัสตินบอก “เสร็จจากที่นี่ออกไปด้วยกันเลยก็ได้”
ลุคพยัคหน้า “ถัดจากรูปนี้ เมื่อคืนเจออีกรูปที่โรงเรียนเก่า แต่วิญญาณที่ผูกไว้กับรูปนั้น ผูกพันกับภาพด้วยความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ด้วยคาถาฉันก็เลยเผาไปแล้ว”
สาธุคุณชรา มีสีหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เดี๋ยวนี้ รู้จักทำลายหลักฐานแล้วหรือ ได้รับอิทธิพลมาจากใครหรือเปล่า”
ลุคอธิบาย ไม่สนใจคำถามที่พยายามจูงเข้าเรื่องส่วนตัว “ไม่ใช่ทำลายหลักฐาน แต่ตอนนั้นเจ้าของภาพกำลังโมโหที่ถูกบุกรุก”
“เพราะเจ้าของภาพกำลังจะทำร้ายใครหรือเปล่า”
“ฌ็องส์ แท้จริงนายไม่ได้เป็นแค่สาธุคุณแก่ ๆ คนหนึ่งใช่ไหม”
สาธุคุณหันไปหาพวกกับจัสติน “ดูเถอะ พอถูกจับได้ ท่าทีสุภาพก็หายไป เสียใจด้วยนะหัวหน้าลุค ฉันเป็นแค่สาธุคุณแก่ ๆ ที่พอจะมีประสบการณ์ชีวิตมาบ้าง ก็เลยทำให้พอจะคาดเดาอะไรหลายอย่างได้”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ปีศาจตนนั้นคือทุกเหตุผลในการกระทำของนาย”
“เขาไม่ใช่ปีศาจ”
น้ำเสียงของลุคที่ไม่พอใจชัดเจน ทำให้ทั้ง 2 คนเปลี่ยนเรื่องคุยมาที่ภาพ
จัสติน มองดูภาพวาดที่ไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าศิลปะ “แล้วภาพนี่จะเก็บไว้ที่ไหน”
นี่ยังเป็นการเปลี่ยนเรื่องที่แสดงให้เห็นว่า จัสตินไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับสาธุคุณ
“ฝากไว้ที่นายก่อน” ลุคตอบชัดเจน “ช่วงนี้ ฉันอยู่ใกล้กับครอบครัวไร้ท์ อาจไม่ปลอดภัย”
“อยากให้มิดชิดขนาดไหน”
คราวนี้สาธุคุณมีสีหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ก็ต้องมิดชิดระดับสูงสุดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เพราะเรายังต้องเก็บเครื่องรางอีกหลายชิ้น เพื่อเรียกใช้ เวลาที่ต้องสู้กับซอว์นีย์”
ถ้าคนที่พูดไม่ใช่สาธุคุณ และไม่ได้มีลักษณะเหมือนคนอายุ 80 ปี คงได้โดนจัสตินจับอัดใส่กรอบรูปติดข้างฝาไปแล้ว
“เรื่องนั้นก็รู้อยู่ แต่เมื่อครู่เราเพิ่งพูดกับถึงเรื่องที่พวกซอว์นีย์อาจล่อให้บลูลงมือ ฉันก็คิดว่าต้องพกไว้กับตัวเกิดเรื่องฉุกเฉิน”
ลุคเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดี แต่ขอรอดูสถานการณ์อีกนิด”
สาธุคุณชราทั้งที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มบอกให้จัสตินม้วนภาพนั้นแล้วเก็บเข้าไปในกระบอกโลหะให้ดี ก่อนที่จะพูดคุยกันต่อ
“ฉันรู้ว่าทั้ง 2 คนต้านพลังมืดนี้ไหว แต่ช่วยเห็นใจคนธรรมดา 1 คนตรงนี้ด้วยเถอะ” สาธุคุณบอกแล้วหยิบหนังสือบนโต๊ะไปใส่ในกล่องไม้เพื่อเตรียมส่งคืน
“ก็คิดอยู่ว่าหนังสือนี่ไม่มีประโยชน์ แต่สุดท้ายคือมันไม่มีประโยชน์จริง ๆ”
ระหว่างนั้น ลุคใช้มือเปล่าม้วนภาพใส่ในกระบอกโลหะเงิน แล้ววางลงกลางฝ่ามือทั้ง 2 กระบอกโลหะหดเล็กลง จนเหลือประมาณ 1 เซนติเมตร
จัสตินพับแขนเสื้อขึ้น จากนั้นลุคก็วางโลหะเงินลงเหนือข้อศอกเล็กน้อย เมื่อเลื่อนมือผ่านโลหะเงินเล็ก ๆ นั้นก็หายไป
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจทุกครั้งที่ได้เห็นพวกเธอทั้ง 2 คนเล่นมายากลให้ดู” สาธุคุณบอกทั้งที่หันหลังให้ตลอดเวลา “เอาล่ะ ใกล้จะได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว จะรับที่นี่เลยไหม จะได้เรียกเด็ก ๆ ให้จัดมาให้”
“ไม่ละ เราไปแวะกินที่ร้านในระหว่างทางได้”
สาธุคุณมองทั้ง 2 คนแล้วให้คำแนะนำที่เคยบอกมาแล้วมากกว่า 50 ครั้ง “เมื่อไหร่ทั้ง 2 คนจะแต่งตัวให้มันกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ลองแต่งตัวแบบครูสอนภาษาก็ยังดี แต่งตัวแบบนี้มันชัดเจนเกินไป”
ทั้งคู่ลุกขึ้นยืน กล่าวคำขอบคุณแล้วก็เดินออกไป ยังได้ยินเสียงบ่นตามหลังมา
“มีความมั่นใจมากเกินไป สักวันความมั่นใจนั้นจะทำร้ายตนเอง”

.... จบตอนที่ 5 ....(Halt (ฮัลท์)=หยุด)
สะ-ปอยว่า "ลุครู้แล้ว และลุครักโอเวน" ใครที่ยังไม่รู้ อย่าบอกคนที่ยังไม่รู้นะ จุ๊ๆ 
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 22-03-2020 18:05:45
OMG :katai2-1: อ่านตอนนี้ก็ตะหงิดๆ อยู่ล่ะว่า

เอ...มันยังไงอะไรกันนะตั้งแต่ตอนที่แล้ว

พอมีสปอยตอนท้าย ก็อ่าฮ่ะ  :hao3:

จุ๊จุ๊จุ๊  ใครยังรู้ ลองอ่านดูอีกรอบได้เล้ย o18

ปล. อ่านนิยายคลายเครียดกันค่ะ

Stay Healthy and Think Positive :mew1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-03-2020 01:00:23
โอเวนยังอยู่ไหมนะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-03-2020 13:27:40

แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม


ร้ายนะยะลุค  ปากนี่รักอีกคนมาจุบอีกคน



สาธุ โอเวนรักบลู  :katai3:   :katai2-1:



 :hao3:  :hao3:






หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 27-03-2020 10:31:20
แปะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 27-03-2020 13:10:51
ใครๆก็รักโอเวน.....เเล้วเมื่อไรจะได้เจอกันจังๆ3คนสักที
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: nongfom ที่ 28-03-2020 16:05:41
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 5 (21/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 02-04-2020 15:44:34

บลูจ๋า พี่มารอจ้าาาาาา  :L1:



หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 11-04-2020 13:31:02
ตอนที่ 6

เบสตื่นนอนเช้าวันนี้ด้วยอาการเหมือนคนที่ยังไม่ได้นอน การงัดตัวเองขึ้นมาจากที่นอนทำได้ยากมาก จนต้องสั่งตัวเองว่าห้ามขออีก 5 นาทีอย่างเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องสาย หรือไม่ก็ต้องขาดเรียนไปเลยอย่างแน่นอน
โทษตัวเองว่านี่เป็นความเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำตัวเอง ตั้งแต่การที่ไปดื่มกับเพื่อนในคืนวันศุกร์ แล้วก็มารอบลู 3 คืนติดต่อกัน
เบสเคาะหน้าผากตัวเองในระหว่างล้างหน้าแปรงฟัน มั่นใจว่าเมื่อคืนวันศุกร์ดื่มเบียร์แค่ขวดเดียวก็กลับ เพราะทั้งกลัวเจอด่านตรวจ ทั้งกลัวว่าบลูจะมารอนาน แต่หลังจากที่รอจนหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ คิดเอาเองว่าบลูอาจมาแล้วเห็นว่าหลับก็เลยไม่ได้ปลุก
เป็นวันที่เบสคิดโทษความไม่เอาไหนของตัวเองอยู่ทั้งวัน
...บ้าหรือเปล่า เบียร์แค่ขวดเดียวก็เมาหลับได้
แล้วบลูจะมาหาอีกไหม...
จนถึงคืนวันเสาร์ หนุ่มน้อยถึงกับเขียนป้ายกระดาษไว้ที่ข้างหน้าต่าง ว่าหากมาถึงแล้วเห็นว่าหลับก็ให้ปลุกได้เพราะว่ารออยู่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจพยายามฝืนความง่วง รออยู่จนถึงตี 4 บลูก็ยังไม่มา ถึงได้เข้านอนแล้วไปตื่นนอนตอนเที่ยง
พอมาถึงคืนวันอาทิตย์ก็เลยกลายเป็นว่ามีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะยิ่งแน่ใจว่าบลูอาจมาเมื่อวันศุกร์ แล้วต้องเห็นว่าเมาจนหลับไป
บลูอาจไม่ชอบคนที่ชอบดื่ม
ไม่ได้ชอบดื่มสักหน่อย ไม่ได้ดื่มเยอะด้วย เมื่อไหร่จะมาสักที...
เป็นการตั้งคำถามที่มีแต่ทำให้ยิ่งเกิดความสับสนในตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 
ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่นายปรัตต์ ยิ่งพลวัฒน์ เป็นแบบนี้   
แล้วการที่ผล็อยหลับไปโดยมีสารพัดคำถามก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ไม่ได้นอน
เมื่อลงมาที่โต๊ะอาหาร กัลย์ซึ่งเป็นแม่บ้านเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ชุดเดียวเหมือนเคย
ไม่จำเป็นต้องถาม ว่าแม่ตื่นหรือยัง เพราะ ‘คุณผกา’ ไม่เคยตื่นก่อน 9 โมงเช้า
“คุณเบส ไม่สบายหรือคะ” แม่บ้านถาม
“เวียนหัวน่ะครับ”
ที่จริงเบสก็ไม่รู้จะบอกอาการของตัวเองว่าอะไรดี เพราะเหมือนยังไม่ได้นอน แต่ก็ไม่ได้ง่วงนอน ถ้าจะบอกว่าเวียนหัวก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น จะบอกว่าปวดหัวก็ไม่ใช่อีก
มันงง ๆ เบลอ ๆ แต่ก็รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
“แล้วจะขับรถไปเรียนไหวหรือคะ หยุดเรียนไม่ดีกว่าหรือคะ”
เบสกินขนมปังไปแผ่นเดียวกับนมสดครึ่งแก้ว ก็ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าเรียน
“ทานไปนิดเดียวเอง” กัลย์เป็นห่วง
“ไม่รู้สึกอยากกินน่ะครับ เดี๋ยวไปถึงมหา’ลัย ค่อยไปหาอะไรกินที่โรงอาหารต่อ”
“มันจะไม่สะอาดเหมือนอาหารที่บ้านนะคะคุณเบส ไม่สบายอยู่แล้ว อาจยิ่งหนักกว่าเดิม”
เบสยิ้ม แล้วหยิบกุญแจรถ
“ให้คนขับรถขับไปส่งไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“จะให้บอกคุณแม่ไหมคะว่าคุณไม่สบาย”
“อย่าเลยครับ เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง ขอบคุณนะครับคุณกัลย์”
ตั้งแต่จำความได้ เบสกินอาหารเช้าคนเดียว โดยและมีพี่เลี้ยง คนรับใช้ไปส่งโรงเรียนมาตลอด จนรู้สึกเฉย ๆ กับเรื่องนี้
แต่ตอนที่ขับรถออกมาจากบ้าน กลับคิดถึงหลายเรื่องที่ไม่เคยคิด ยิ่งเมื่อรวมกับอาการอ่อนเพลียที่เป็นอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม
ถึงได้บอกว่า อาการนี้มันคืออาการของคนทำตัวเองชัด ๆ
ตอนใกล้สอบ หรือต้องเร่งงานส่งอาจารย์ที่อดนอนจนข้ามวัน เกิน 24 ชั่วโมงก็ผ่านมาได้โดยที่ไม่มีอาการแบบนี้ โดยเฉพาะการติดอยู่ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นแบบนี้
อาการที่เป็นอยู่หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเตือนตัวเองมาตลอดทางว่าห้ามหลับเด็ดขาด พอถอยรถเข้าที่จอดรถได้ เบสก็ดับเครื่องยนต์ เปิดกระจกรถ ตั้งโทรศัพท์ปลุกไว้ แล้วเอนเบาะลงนอน 
ข้าวโพดขับรถตามหลังเบสมาตั้งแต่เลี้ยวเข้ามหาวิทยาลัยจนกระทั่งจอดรถ แต่ตอนที่จะเดินไปทักก็เห็นว่าเบสกำลังเอนเบาะลงนอน ก็เลยนั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ใกล้ ๆ พักหนึ่งเพื่อนร่วมคณะหลายคนทยอยเข้ามาที่ลานจอดรถ ถามว่ามานั่งรอใคร ข้าวโพดก็บอกไปตามตรงว่า รอเบสที่กำลังหลับอยู่
“มันไม่สบายหรือ” เพื่อนถาม
ข้าวโพดพยักหน้า “เออ ได้นอนสักพักคงดีขึ้น”
“แล้วมึงจะนั่งรอมันแบบนี้หรือ กินอะไรมาหรือยัง”
“ยัง แต่ไม่เป็นไร รอเบสตื่นแล้วค่อยไปหาข้าวกินก็ได้”
นทีที่เพิ่งมาถึงก็เป็นอีกคนที่แวะเข้ามาถาม ว่าข้าวโพดรอใครอยู่ เพื่อน ๆช่วยกันตอบว่ารอเบสที่หลับอยู่
แต่คุยกันเสียงดังขนาดนี้เบสยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่น ทำให้ข้าวโพดเดินไปดูที่รถรอบหนึ่ง เห็นว่าหลับอยู่จริง ๆก็เดินกลับมา
“ท่าจะหนักนะมึง พาไปที่โรงพยาบาลไม่ดีกว่าหรือ” นทีแนะนำ
“เดี๋ยวกูรออีกสัก 15 นาทีถ้าไม่ตื่นก็จะปลุกแล้ว พวกมึงไปก่อนเหอะ”
นทีคนมีน้ำใจบอกว่าจะไปซื้อแซนด์วิชมาให้
“เออ ขอบใจ แต่ไม่เป็นไร มึงต้องเดินไปเดินมา ไว้เจอกันที่ห้องเรียนเลยแล้วกัน”
แต่นทีก็ซื้อแซนด์วิชกับกาแฟเย็น และน้ำเปล่า 2 ขวดมาให้ข้าวโพดก่อน
“ของมึงอันนึง อย่าแดกหมดล่ะ เก็บไว้ให้คนที่หลับอยู่อันนึง”
“น้ำเปล่าของเบสใช่ไหม”
“เออ เผื่อไว้ล้างหน้าด้วยขวดนึงนะมึง”
“รอบคอบนะเนี่ย”
“กูเปล่า” นทียอมรับ “เจอนานาที่โรงอาหาร นางเป็นคนจัดการ”
ข้าวโพดหัวเราะ “ฝากขอบใจด้วย มึงก็ไปแดกข้าวเหอะ มัวแต่วิ่งไปวิ่งมา”
“กูอยากเก็บไว้ให้มึงที่ห้องเรียนอย่างที่บอกตอนแรกจะตายห่า แต่ถ้ากูไม่มา นานามันคงดึงหูกูยานลงมาถึงตาตุ่มแน่ ๆ” นทีบอกแล้วรีบกลับไปหานานาที่โรงอาหาร
เหลืออีก 10 นาทีจะถึงเวลาเรียนได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งปลุกดังมาจากรถ แต่เบสก็ยังไม่ขยับ ข้าวโพดเลยเดินไปเรียก
“เบส ตื่นเหอะ จะถึงเวลาเรียนแล้ว”
หนุ่มตัวขาวลืมตาขึ้นมามอง ท่าทางจะงง ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“มหา’ลัยไง เปิดประตูรถมาล้างหน้า ล้างตาก่อน”
“อือ”
เบสเปิดประตูรถตามที่บอก ลุกมาล้างหน้า แล้วดื่มน้ำเย็น
“ขอบใจ”
ข้าวโพดแตะที่คอเพื่อน “ไม่มีไข้นี่”
“อือ” เบสพูดคำเดิม “ไม่ค่อยดีตั้งแต่เช้าวันเสาร์ละ มันงง ๆ เบลอ ๆ  ตลอดเวลา”
“แล้วเรียนไหวหรือเปล่า ไปนอนห้องพยาบาลไหม”
“ไม่ต้องหรอก ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นนี่ก็ดีเหมือนกัน” เบสหันมาส่งยิ้มอ่อนเพลีย
ข้าวโพดส่งแซนด์วิชให้ “กินอะไรมาหรือยัง นานาฝากนทีให้เอามาให้”
เบสเอียงหันหน้าหันมามองอีกคนขณะที่ลำดับประโยคที่ข้าวโพดบอกอีกครั้ง “นานาฝากนทีเอามาให้ข้าวโพด เพื่อเอามาให้เรา”
ข้าวโพดพนักหน้า เบสก็พยักหน้าตาม
“กินขนมปังกับนมมาแล้วจากบ้าน ไม่ค่อยหิวน่ะ ข้าวโพดกินเหอะ”
“กูกินแล้ว” มือใหญ่แกะแซนด์วิชให้ “กินเสียหน่อย”
เบสส่ายหน้าทันที แต่พอเห็นสีหน้าคนที่คอยดูแลก็ต่อรอง “มันมี 2 คู่ ข้าวโพดแบ่งไปคู่นึงสิ”
“นี่เท่ากับมึงกินขนมปังแผ่นเดียวเลยนะ”
เบสส่ายหน้าอีกครั้ง “กินที่บ้านมาแผ่นนึงแล้ว”
“เบส มึงนะ กินให้หมดเลย ไม่หมดไม่ต้องขึ้นห้องเรียนทั้งมึงทั้งกูนี่แหละ”
เบสกินไปต่อรองไปจนหมด ข้าวโพดก็เปิดขวดน้ำให้
“เห็นไหม ก็กินหมดนี่หว่า ต่อรองอย่างกับเด็ก ๆ” ข้าวโพดดุแล้วลุกไปหยิบกระเป๋าเรียนของเบสจากในรถ “แล้วตั้งแต่วันเสาร์ได้ไปหาหมอหรือยัง” จากนั้นก็หันมาเตือน “อย่าลืมกดล็อกรถ” ปิดท้ายด้วยการเดินไปหยิบกระเป๋าหนังสือจากรถของตัวเอง
เบสยืนรอจนข้าวโพดเดินกลับมาหาแล้วเดินไปด้วยกัน
“ไม่ได้ไปหาหมอหรอก ตั้งแต่วันเสาร์ก็กินไทลีนอลไปเม็ดนึง แต่ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นก็เลยไม่ได้กินอีก”
“ไม่มีไข้ ไม่ปวดหัว มันไม่น่าใช่ไทลีนอลนะ” ข้าวโพดหันมามองหน้า “เดี๋ยวช่วงเที่ยงเราไปหาหมอกัน ไหน ๆ มอ’เราก็มีโรงพยาบาล ใช้สิทธิ์กันหน่อยดีกว่า”
“ข้าวโพดก็ไม่สบายเหมือนกันหรือ” สีหน้าของเบสเป็นห่วงเพื่อนจริงจัง
“เราน่ะหมายถึงเบสคนเดียว ไม่ได้หมายถึงกู...เอ่อ ข้าวโพด”
เบสยิ้มกว้าง “เรียกตัวเองว่ากู เหมือนเคยก็ได้”
หนุ่มตัวสูงใช้ลิ้นดุนแก้ม “ยังไม่ค่อยชินน่ะ”
“เป็นตัวของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว” เบสให้กำลังใจ “แล้วทำไมถึงอยากเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเอง”
ข้าวโพดหันไปขำให้กับดินฟ้าอากาศกับการใช้ถ้อยคำของหนุ่มตัวเล็ก
“ก็อยากเปลี่ยน เผื่อจะเข้ากับเบสไง”
เบสไม่เข้าใจ ข้าวโพดก็เลยปล่อยผ่านไป
จนถึงขนาดนี้ เบสก็ยังทำเป็นไม่เข้าใจอยู่เหมือนเดิม
“ช่างมันเหอะ แต่อาการที่เป็นอยู่นี่มันอาจเกิดจากการที่เบสไม่กินอะไรเลยก็ได้นะ”
“ช่วงวันเสาร์อาทิตย์มันเหมือนเครื่องรวนยังไงไม่รู้ อธิบายยาก ไม่หิวด้วย นี่ก็กะว่าจะมากินข้าวต้มที่โรงอาหาร แต่พอมาถึงก็ไม่ไหวแล้ว ในหัวมันหนักมาก เลยนอนก่อนดีกว่า”
“ยังดีที่ไม่หลับใน ตอนที่กำลังขับรถ”
เบสพยักหน้า
“นอนดึกหรือ”
“ใช่ รอพี่บลูน่ะ”
มีเพื่อนนักศึกษาที่เดินผ่านมาหันมาเร่งทั้ง 2 คนที่ยังคุยกัน ว่าใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว ถ้าสาย 10 นาทีอาจารย์จะล็อกห้อง เบสหันไปขอบคุณเพื่อน แล้วหันมาบอกกับข้าวโพด “เอาไว้ช่วงพักเที่ยงจะเล่าให้ฟัง”
เบสไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เล่าให้ข้าวโพดฟังจะได้รับปฏิกิริยาแบบไหนกลับมา แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้ฟังทั้งหมด
ข้าวโพดไม่มีปฏิกิริยาอะไรในตอนที่เบสบอกว่าบลูไม่ใช่มนุษย์ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ จึงไม่มีความเห็นอะไร นั่งฟังไปเรื่อย ๆ แต่ให้ความสนใจความรู้สึกของเบสที่มีต่อบลูเป็นหลัก
“ทำไมไม่แปลกใจเรื่องพี่บลู”
“ก็ไม่” ข้าวโพดเกาคางตัวเอง “อธิบายยาก ตั้งแต่ตอนที่เจอครั้งแรกก็รู้สึกว่า พี่บลูก็คือพี่บลู ถ้าเบสจะบอกว่าเขาเป็นอะไร เขาก็คือพี่บลูอยู่ดี เข้าใจไหม”
เบสพยักหน้า “ไม่กลัวใช่ไหม”
“ไม่ เราทำอะไรผิดล่ะ ถึงต้องกลัว”
คนหน้าหวานยิ้มกว้าง รู้สึกเบาใจขึ้นที่ข้าวโพดเข้าใจเรื่องของบลู
“ตอนที่เจอเขาครั้งแรกเราก็ไม่กลัวเหมือนกัน แต่พอลองสมมุติว่าคนที่อยู่ตรงระเบียงเป็นคนอื่น แล้วลอยได้ เราคงกลัวจนไข้ขึ้นไปแล้ว”
“เออ ใช่” ข้าวโพดหัวเราะ “แล้วตกลงเบสชอบเขาหรือเปล่า”
ข้าวโพดบอกพลางชี้เตือนไม่ให้เบสเขี่ยหมูก้อนออกจากข้าวต้ม ทำให้เบสทำปากยื่นก่อนที่จะตอบ
“เราคิดว่าชอบเขา ตอนได้เจอก็ดีใจ ชอบเวลาที่ได้คุยกัน แล้วก็เป็นห่วงที่เขาหายไปหลายวันแล้วติดต่อไม่ได้ แต่มันมีความเป็นเหตุผลมีบางอย่างอยู่ในนั้น มีความไม่แน่ใจ”
“แบบนั้นก็ยังมีหวัง”
ดวงตาหวานเชื่อม กับรอยยิ้มของข้าวโพด บอกความรู้สึกภายในใจที่ชัดเจนมาโดยตลอด
...แต่เบสทำเป็นมองไม่เห็น
“ยังมีคนที่ดีกับข้าวโพดมากกว่าเราอีกตั้งเยอะ อย่าเสียเวลากับเราเลย”
“เบสเอง ก็ยังให้เวลากับพี่บลู ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ใช่คน” รู้ดีว่าไม่มีทางสมหวัง “แล้วจะมาห้ามจีบได้ไง”
เบสสงสัย “ทำไมข้าวโพดถึงชอบเรา แล้วไม่กลัวว่าพี่บลูจะคิดยังไงหรือ” 
“ชอบก็คือชอบน่ะแหละ ไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนพี่บลู พอมาคิด ๆ ดู รู้สึกคุ้นกับเขามากเลยนะ” เหมือนเคยเจอ เคยรู้จักกัน
“ข้าวโพด” เบสมีสีหน้าจริงจัง
“อะไร”
“อย่าชอบพี่บลูนะ ข้าวโพดหล่อกว่าเรา แล้วก็เอาใจคนเก่งด้วย เดี๋ยวพี่บลูจะชอบข้าวโพดมากกว่าเรา”
ข้าวโพดส่ายหน้าที่จู่ ๆ อีกคนก็พาออกนอกเรื่อง เตือนให้เบสกินข้าวอีกคำ แล้วค่อยไปหาหมอด้วยกัน
“เออ ตอนนี้ไม่ค่อยเป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องไปหาหมอแล้วก็ได้” เบสรีบบอก
หนุ่มที่เพิ่งได้รับคำชมว่าหล่อหัวเราะเบา ๆ “ถ้าดีขึ้นแล้วก็ดี แต่ถ้าไม่ไหวแล้วต้องบอกนะ”
เป็นวันที่ข้าวโพดคอยดูแลเบสเป็นอย่างดี ตั้งแต่เช้าจนถึงเลิกเรียน ก็ยังขับรถตามมาส่งจนเลี้ยวรถเข้าบ้าน ขณะที่สรรพนามเรียกตัวเองของข้าวโพดก็ยังคงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามประสาคนที่ยังไม่คุ้นชิน จนกลายเป็นเรื่องให้อีกคนต้องอมยิ้มได้ตลอดการคุยกัน
แต่ทันทีที่เบสก้าวเท้าผ่านประตูบ้านเข้ามาอาการเวียนหัว อ่อนเพลีย ไม่มีแรงก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่กินอาหารเย็นเสร็จ เบสก็เข้าห้องนอน มีโทรศัพท์จากข้าวโพดที่โทรมาหาแต่ไม่ได้รับ
“โทษที เมื่อกี้เราลงไปกินข้าว ไม่ได้เอาโทรศัพท์ลงไปด้วย มีอะไรหรือเปล่า”
“จะถามว่า ยังรู้สึกไม่สบายอยู่อีกหรือเปล่า”
เบสลังเล อยากตอบว่าไม่เป็นไร แต่นึกดูอีกที ข้าวโพดก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ความลับหลายเรื่อง
“ไม่ค่อยดีเลย กำลังสงสัยว่าแพ้อากาศ หรือแพ้ดอกไม้อะไรที่นี่หรือเปล่า เพราะว่าพอเข้าบ้านก็มีอาการ”
ข้าวโพดตัดสินใจทันที “เบสมานอนบ้านกูไหม” พอเบสเงียบไปข้าวโพดก็รีบบอก “เมื่อกี้กูคุยกับแม่แล้ว ลองดูไง คืนเดียว คุณน้าอยู่หรือเปล่า”
ข้าวโพดเรียกแม่ของเบสว่าคุณน้า
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่กลับมายังไม่เห็นเขาเลย”
“เออ งั้นก็ยิ่งไม่ควรอยู่คนเดียว เบสเก็บเสื้อผ้ากับหนังสือเรียนรอกูก่อนนะ เดี๋ยวพอกูเลี้ยวรถเข้าซอยจะโทรบอก แล้วเบสก็ออกมารอหน้าบ้านแค่นั้นแหละ”
“ข้าวโพด เราเกรงใจน่ะ”
“จะเกรงใจอะไร เพื่อนกันก็ต้องคอยดูแลกันสิ”
“แล้วถ้าเกิดว่าพี่บลูมา”
“ถ้าเขามาแล้วไม่เจอ เขาก็น่าจะรู้ว่าเบสอยู่ที่ไหน”
เกือบ 2 ทุ่มข้าวโพดก็โทรศัพท์มาบอกว่ากำลังเลี้ยวรถเข้ามาในซอย เบสที่เก็บเสื้อผ้ากับหนังสือเรียนเสร็จนานแล้ว จะเดินไปเคาะประตูห้องนอนของแม่เพื่อบอกว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนก็กลับหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของตัวเอง
มันเป็นความรู้สึกว่า ไม่อยากเดินไปห้องนั้น และไม่อยากบอก
ไม่ได้กลัว
แต่ไม่อยากบอก
เบสเด็กดีที่รักแม่ของเขามาก รู้สึกว่าไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้แม่รู้

ผกาเก็บตัวอยู่ภายในห้องนอนมาหลายวัน จนไม่รู้แล้วว่าวันนี้คือวันอะไร
เธอได้ยินเสียงรถของลูกชายไม่ว่าจะเป็นตอนที่ออกไปเรียนหรือกลับเข้ามาบ้าน จนถึงตอนที่เขากำลังจะออกไปอีกครั้ง
เสียงเปิด-ปิดประตูเหล่านั้นมันชัดเจนเกินไป
ผกาได้ยินเสียงของใครบางคนกระซิบอยู่ข้างหู บอกว่าเธอเป็นใคร
บอกว่าลูกชายของเธอเป็นใคร
บอกว่าข้าวโพดเพื่อนของลูกชายของเธอคือใคร   
บอกว่าเกิดอะไรขึ้น
บอกว่าเธอควรทำอะไร
บางครั้งก็ขู่ว่าจะจุดจบของเธอคืออะไร
ครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงเหล่านี้ เธอคิดว่าคิดไปเอง จากนั้นเธอก็เริ่มโต้เถียง แต่เมื่อผ่านไป 3 วัน ความเป็นผกา ยิ่งพลวัฒน์ ก็เริ่มจางลงไป
....
กว่าจะกลับมาถึงบ้านของข้าวโพดก็ดึกมากแล้ว แต่คุณอัจฉรา แม่ของข้าวโพดก็ยังรออยู่ และบอกว่าเตรียมห้องนอนเล็กสำหรับแขกไว้ให้
“นอนได้ไหม” หนุ่มหล่อแขวนเครื่องแบบของเบสไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า แล้ววางกระเป๋าเรียนของเบสไว้ที่โต๊ะตัวเล็กข้างเตียงนอน 
“ได้สิ” เบสบอก
“มีอินเตอร์คอมนะ ถ้าเวียนหัว ไม่สบาย หรือจะเอาอะไรก็กดออดเรียก มันจะไปดังที่ครัว” ข้าวโพดเดินมารับกระเป๋าอีกใบที่เบสยังถืออยู่ “เอามาสิ จะไปจัดให้”
“ไม่เป็นไร อันนี้เดี๋ยวเราจัดการเองได้”
ข้าวโพดตามใจ “ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่หรือเปล่า”
“รู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น แต่ยังมีมึนงงอยู่หน่อย ๆ สงสัยจะแพ้อะไรบางอย่างที่บ้านจริง ๆ” เบสเดินไปนั่งบนเตียง วางกระเป๋าไว้ข้างตัว
“แม่เบสซื้ออะไรที่มีกลิ่น กลับมาจากที่เขาไปเที่ยวมาหรือเปล่า” ข้าวโพดตั้งข้อสังเกต เพราะเบสเพิ่งมีอาการหลังจากที่มารดากลับมาจากสแกนดิเนเวียรอบนี้
“เขาซื้อของสะสม ของที่ระลึกมาเยอะมาก ส่งล่วงหน้ามาก่อนก็มี”
เบสยกมือนวดขมับเพราะเมื่อพยายามจะนึกถึงภาพที่บ้าน อาการมึนงง ก็กลับมาอีกครั้ง ข้าวโพดดันไหล่ของเบสให้เอนตัวลงนอน แล้วลุกไปกดอินเตอร์คอมขอผ้าชุบน้ำอุ่น
“กูดีใจนะที่เบสยอมมานอนที่บ้าน”
เบสพยักหน้าแล้วหลับตาลง มีเสียงเคาะประตูห้อง พอเห็นว่าอัจฉรามารดาของข้าวโพดเดินนำคนรับใช้ที่ถือถาดน้ำเข้ามา  ก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“เบส ไปหาหมอไหมลูก”
“ไม่เป็นไรครับ เบสรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วครับ”
จากที่เห็นก็คิดว่าเบสมีสีหน้าที่ดีกว่าตอนที่เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับลูกชาย แต่เพราะลูกชายขอให้คนรับใช้เตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดตัว ถึงได้คิดว่ามีอาการแย่กว่าเดิม จึงเข้ามาดู
อัจฉราหันไปมองหน้าลูกชาย และพูดอย่างคนที่รู้ทันความคิด
“อย่างนั้นอย่าคุยกันดึก ให้เบสได้นอนพัก พรุ่งนี้ข้าวโพดยังต้องไปเรียน ส่วนเบสถ้ายังไม่ค่อยดีก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อน ไม่ต้องเกรงใจ”
เบสพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ชัดเจนว่าเกรงใจมาก และแน่นอนว่าจะต้องตื่นเช้าไปเรียน
อัจฉราส่ายหน้า
...เด็กคนนี้แสดงออกทางสีหน้าท่าทางชัดเจนเสียจนไม่จำเป็นจะต้องพูดออกมา และลูกชายของเธอเองย่อมต้องรู้นิสัยนี้เป็นอย่างดี ถึงได้มาขออนุญาตว่าจะพาเบสมานอนที่บ้าน
ใช่ ข้าวโพดชวนเบสก่อน จากนั้นจึงมาขออนุญาตแม่ว่าจะพาเพื่อนมานอนที่บ้าน
“เอาเถอะ ยังไงก็อย่านอนดึก แล้วถ้าไปเรียนไม่ไหวก็อย่าฝืน” อัจฉรากำชับอีกครั้ง จากนั้นก็กลับออกไปพร้อมกับคนรับใช้
เบสหันมาบอกกับข้าวโพด “ไม่ได้ป่วยหนักขนาดต้องเช็ดตัวสักหน่อย ดูสิ รบกวนแม่ไปด้วยเลย”
ข้าวโพดโบกมือ “ตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงบ้าน คุยกับแม่ ว่าเบสไม่สบายแล้วยังไปเรียน แม่ยังถามว่าทำไมไม่พาไปหาหมอ แล้วก็เป็นคนบอกเองว่าให้ลองชวนมานอนที่นี่” โกหกกันเห็น ๆ
เบสเข้าใจ “ข้าวโพดเห็นว่า บ้านเราดูแปลก ๆใช่ไหม”
“เฮ้ย กูไม่ได้ว่าแบบนั้น”
“แต่เราเข้าใจ แม่เราไม่เหมือนใคร จนถึงตอนที่ข้าวโพดมารับ เรายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่บ้านหรือเปล่า”
“อ้าว”
“ถ้าคุณกัลย์ก็คงรู้แหละว่าอยู่หรือไม่อยู่ แต่ตอนนั้นมันนึกอะไรไม่ออก ไม่อยากขยับตัวไปไหน พอวางสายจากข้าวโพดตอนแรก เราก็เก็บของเสร็จแล้วก็นอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ พอข้าวโพดโทรมาอีกทีถึงลุกขึ้นมาล้างหน้า แล้วถือของลงมาเลย”
“ฟังดูผิดปกติจริง ๆ”
“ใช่” เบสยอมรับ “ตอนที่นั่งอยู่ในรถก็ไม่คิดจะโทรบอกเขานะ จนถึงตอนนี้ เรายังสงสัยตัวเองเลยว่าเป็นอะไร”
ข้าวโพดเดินไปหยิบโทรศัพท์มาส่งให้ “งั้นก็โทรบอกเขาตอนนี้เลย”
เบสรับโทรศัพท์มากดโทรออก ครู่หนึ่งมารดาก็รับสาย พูดกันไม่กี่คำเบสก็กดวางสาย
“เหมือนเบสกำลังงอนแม่เลย”
“บ้า” หนุ่มตัวเล็กหัวเราะ “เสียงเขาดูเครียด ๆ เหมือนไม่ค่อยอยากคุย เราถึงได้วางสายเลย”
แต่เบสกลับหน้าซีดลงอีกรอบ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง
“เริ่มรู้สึกไม่สบายอีกรอบแล้วใช่ไหม”
“ใช่”
ข้าวโพดหันไปมองรอบห้อง “แต่ในห้องนี้ไม่ได้มีดอกไม้ หรืออะไรที่มีกลิ่นนี่”
“หรือว่าเรากำลังจะเป็นบ้า”
“หยุดเลย ห้ามพูดแช่งตัวเองแบบนั้น” ข้าวโพดดุ “ตกลงลุกไปอาบน้ำเองไหวไหม”
“ไหวสิ” เบสลุกขึ้นมาหยิบกระเป๋าใบเล็กหยิบเสื้อนอนออกมา “เราอาบน้ำนอนเลยแล้วกัน ข้าวโพดจะได้ไปเล่นเกมกับเพื่อน”
“ช่างพวกมันเหอะ ไม่เล่นสักคืนก็ไม่เป็นไรหรอก”
พอเบสเข้าห้องน้ำ ข้าวโพดก็ออกไปจากห้องเหมือนกัน สักพักก็กลับมาพร้อมกับหมอนและผ้าห่ม
เบสยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าข้าวโพดกำลังปูที่นอนหน้าเตียง
“ทำอะไร”
“ขอนอนหน้าเตียง รับรองว่าไม่ทำอะไร”
เบสส่ายหน้า “เรารู้ว่าข้าวโพดเป็นห่วง แต่นี่บ้านข้าวโพดนะ ข้าวโพดนอนบนเตียง เรานอนพื้นก็ได้”
“เออ เถียงเก่งขนาดนี้ก็นอนเหอะ กูจะไปเอาคอมพ์มานั่งทำงานต่อ”
“รายงานยังไม่เสร็จอีกหรือ ช่วยไหม”
ข้าวโพดยกมือจะตีเหม่งของอีกคน แต่นึกขึ้นมาได้ว่า เบสไม่ค่อยสบายก็เลยบอกให้ไปนอน
พอกลับมาอีกรอบ ปรากฏว่าเบสนอนหลับสบายอยู่บนเตียง
ข้าวโพดนั่งทำรายงานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรากฏแสงสีขาวสว่างขึ้นที่นอกหน้าต่างระเบียง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าบลูยืนอยู่
อย่างที่บอกกับเบสไป ว่าทั้งที่รู้ความจริง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกกลัว
ยิ่งพอเห็นชัดเจนในเวลานี้ จากใบหน้า ลักษณะภายนอก และดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ข้าวโพดเชื่อว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง บลูมีอายุน้อยกว่าข้าวโพด แต่มากกว่าเบส
และเชื่อว่า ตนทำผิดต่อบลู
หนึ่งในนั้นคือเรื่องของเบส ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องอะไร ข้าวโพดนึกไม่ออก ทั้งความเชื่อที่เกิดขึ้นในเวลานี้ยังเป็นความเชื่อแบบไม่มีที่มาที่ไป
ที่สำคัญคือ ข้าวโพดเชื่อว่า บลูกำลังหัวเราะทั้งที่ไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อใบหน้าแม้แต่นิดเดียว 
“พี่บลู” ข้าวโพดเรียกพี่ตามเบส ขณะที่ลุกขึ้นมาหา “เบสหลับไปแล้ว”
บลูพยักหน้า “ฉันมีเรื่องให้ไปจัดการหลายวัน เลยไม่ได้ไปหาที่บ้าน” ดวงตาสีฟ้ามองคนที่หลับสบาย “ดีแล้วที่นายไปรับเขามา”
“เบสรอพี่ทุกคืน เขาไม่ค่อยสบายมาตั้งแต่วันเสาร์”
บลูขมวดคิ้วขณะที่ฟังข้าวโพดบรรยายอาการของเบส
“น่าจะเกี่ยวกับของที่แม่ของเขาเอากลับมา”
แม้จะมีหลายเรื่องที่ข้าวโพดไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ข้าวโพดก็เลือกที่จะเชื่อบลูในทันที
“นายช่วยดูแลเบสจนกว่าฉันจัดการเรื่องของพวกนั้นได้ไหม”
“ผมไม่เกี่ยงเรื่องดูแลเบสอยู่แล้ว แต่เขาไม่ยอมไปหาหมอ”
บลูหันมามองคนที่กำลังฟ้องเพื่อนคนพิเศษ รอยยิ้มขำกดลึก “ถ้าสาเหตุอยู่ที่ของที่แม่เขาเอามา เราก็แค่ให้เขาอยู่ห่างจากของพวกนั้น”
ข้าวโพดยังไม่แน่ใจ และอยากพาเบสไปหาหมอมากกว่า
“อย่างนั้นก็รอดูพรุ่งนี้เช้า ถ้าไม่ดีขึ้นก็พาไปหาหมอ แต่ถ้าจะไปเอาของที่บ้าน จะให้เบสเป็นคนโทรไปบอกคนที่บ้านก็ได้ แต่นายต้องเป็นคนไปเอามา ยังไงก็ได้แต่อย่าให้เบสเข้าไปในบ้าน”
“พี่ครับ”
บลูพยักหน้า
“เรา คือ พี่รู้จักผม คือ ผมคิดว่าผมรู้จักพี่ แต่ผมไม่เคยเรียกพี่ว่าพี่”
ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายวูบหนึ่ง “นายอาจรู้จักฉัน” ในชื่ออื่น “แต่ฉันไม่อยากรู้จักนาย”
“แสดงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นหลายเรื่อง แต่เพราะบทสุดท้ายของการรู้จักกันคือความเลวร้าย และความสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เมื่อนึกย้อนกลับไป จะนึกถึงแต่เรื่องเลวร้ายเหล่านั้น
ที่นายยังรอดอยู่จนถึงตอนนี้ก็เพราะมีคนขอชีวิตของนายไว้ และ... “ฉันแน่ใจว่านายจะดูแลเบสได้”
“ครับ” ข้าวโพดมีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นมาตลอดตั้งแต่พบกับเบสครั้งแรกอยู่แล้ว
บลูมองเห็นความตั้งใจนั้น
มันชัดเจนจนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่พูดคุยกับคน ๆ นี้นานเกินไปจนรับรู้ความรู้สึกของคน ๆ นี้ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
หงุดหงิดที่ลุคขอชีวิตหนุ่มคนนี้ไว้
และยอมรับว่า มีแต่หนุ่มคนนี้ที่เบสสามารถพึ่งพาได้
มันน่าโมโหจริง ๆ ให้ตายเถอะ!
บลูออกจากบ้านของข้าวโพดก็พบรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุคจอดซ่อนอยู่ข้างทางจึงแวะดู
เจ้าของรถปรากฏตัวในทันทีที่บลูแตะรถ
“นายหวงรถขนาดนี้เชียวหรือ”
“ฉันห่วงนายมากกว่ารถอยู่แล้ว” ลุคไม่สนใจสีหน้าแสดงความรำคาญของอีกฝ่าย
...เพราะหนุ่มคนนี้มักแสดงท่าทีแบบนี้เสมอ...
“แล้วมาทำอะไรแถวนี้”
“ฉันตามนายมาน่ะสิ”
บลูเลิกคิ้วขึ้นสูง “แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เข้าไปคุยกับเขาล่ะ”
“เพราะฉันก็ยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถาม”
“อย่างกับว่า เวลาที่ฉันถามแล้วนายจะตอบ”
“ฉันตอบ”
“นายต่อเวลาไปเรื่อย ๆ นายไม่ได้ตอบคำถาม”
ลุคใช้ท่าไม้ตายคือยกมือยอมแพ้
“เห็นไหม ตอนที่ฉันเดินหนีนายจะหลอกล่อให้ฉันเดินตามนาย แล้วพอฉันเดินตามนาย นายจะหนี”
ช่างเป็นคำวิจารณ์ที่ตรงและเจ็บแสบ
“แล้วเมื่อกี้ แอบฟัง?”
“อืม”
เมื่อมองลึกลงไปในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ลุคแน่ใจว่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตนเองบุกรุกเข้าไปในบ้านของบลูเมื่อหลายวันก่อน บลูก็จะเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการพบเจอกันไปตลอด
“แล้วจะทำไงต่อ”
ลุคหันมามองหน้า คนที่หันไปมองทางอื่น
“บลู มีอะไรหรือเปล่า”
บลูหันมามองหน้า แล้วก็ส่ายหน้า “ช่างเหอะ ถ้านายจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป ฉันก็จะไปจัดการเรื่องของฉันแล้วนะ”
“ก็ฉันไม่รู้ว่านายหมายถึงเรื่องอะไร”
บลูกำลังพยายามควบคุมความโกรธอย่างจริงจัง “ฉันต้องการกำจัดคนที่ใส่ร้ายครอบครัวไร้ท์”
“ก็...”
“อย่าอ้อมค้อม ฉันไม่ได้มีเวลามากนัก”
“ฉันต้องลงคาถาคุ้มครองที่นี่ไว้ก่อน จากนั้นก็กลับไปดูที่บ้านของคาร่า”
...ก็แค่นี้ โยกโย้ตลอดเวลาเพื่ออะไร!
บลูก้าวถอยออกมายืนห่างจากแนวรั้วบ้าน แล้วกอดอกมองลุคที่พับแขนเสื้อที่ปิดลงมาถึงกลางหลังมือให้ขึ้นไปอยู่เหนือข้อศอก ทำให้มองเห็นปลอกข้อมือที่เป็นโลหะสีเงินสะท้อนแสงไฟ ลวดลายและอักขระโดดเด่น
เมื่อลุคยื่นมือไปข้างหน้า ลวดลายเส้นเล็กบางเหล่านั้นก็ลอยขึ้น สอดประสานกลายเป็นตาข่ายคลุมบ้านไว้ แล้วกลืนหายไปกับความมืด
กว่าที่จะกลับไปถึงที่บ้านก็พบว่าคาร่าไม่ได้อยู่ในบ้านแล้ว
“ฉันอยากเข้าไปดูในบ้าน อยากเห็นว่า เธอเอาอะไรกลับมาจากสแกนดิเนเวีย” บลูบอก
“มันอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ได้”
“อย่างน้อยก็จะได้แน่ใจว่าอยู่ที่นี่หรือว่าย้ายออกไปแล้ว”
ลุคตามใจ
“ฉันจะเข้าไป นายรออยู่ที่นี่” บลูบอกแล้วเปลี่ยนเป็นนกฮูกสีขาว และลำแสงสีขาวพุ่งตรงไปที่หน้าต่างห้องนอนของเบส
ที่ผ่านมา บลูจะอยู่แค่ระเบียง ไม่เคยเข้าไปในห้อง เพราะกังวลว่าอาจทิ้งร่องรอยไว้ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าไปตรวจสอบ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเสี่ยง

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 11-04-2020 13:34:20
(ต่อครับ)

มือขาวซีดแตะที่ผนังบ้านแล้วก้าวผ่านเข้าไปในห้องนอนของเบส
ห้องนอนที่สวยงาม สะอาดและเป็นระเบียบของเบส ชวนให้เปรียบเทียบกับบ้านหลังเดิมที่เคยอยู่เมื่อ 400 ปีก่อน
...เกรซในวันนี้สมควรมีชีวิตอย่างสุขสบาย หากแม่ของเธอคือแอนนา ไม่ใช่คาร่า...
บลูพยายามมองผ่านผนังห้องนอนของเบสออกไปที่ห้องติดกัน และที่ทางเดินด้านนอก พบแต่ความว่างเปล่า
เป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีชีวิต ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีสี ไม่ให้ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น
ความว่างเปล่านี้ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไร
ในทางตรงข้าม นี่หมายความว่ามีใครบางคนวางเครื่องรางป้องกันไว้
และยังต้องมีเครื่องรางหรืออะไรบางอย่างที่ส่งผลให้เบสรู้สึกไม่สบาย
...บ้านนี้มันยังไงกัน...
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะสำรวจ แม้จะรับรู้ได้แต่ความว่างเปล่า บลูก็ยังพยายามที่จะเพ่งมองความว่างเปล่านั้น
กลุ่มก้อนร้อนจัดจากห้องนอนของผกาพุ่งตรงเข้ามาหา บลูผงะถอยพุ่งตัวผ่านผนังบ้านออกมา เชือกสีขาวหลายเส้นพุ่งตรงมาจากด้านหลัง เส้นหนึ่งรัดบลูไว้แล้วดึงให้ออกไปนอกเขตรั้วบ้านอย่างนุ่มนวล แต่เส้นสีขาวอีกหลายเส้นพุ่งตรงเข้าหากลุ่มก้อนนั้น ปะทะอย่างรุนแรง ทำให้ก้อนความร้อนแตกกระจายกลายเป็นสะเก็ดไฟแล้วสลายตัวไป
แต่ยังมีกลุ่มก้อนความร้อนระลอกสองจากภายในบ้านที่ติดตามออกมา ลุคก้าวเข้ามายืนขวาง เชือกสีฟ้าใสจากปลอกข้อมือพุ่งเข้าหา ยังไม่ทันจะปะทะกัน กลุ่มก้อนความร้อนนั้นก็ถอยหลังกลับแล้วสลายไปก่อน
สิ่งนั้นยังอยู่ในบ้าน!
ลุควาดแขนเป็นวงกลม ส่งตัวอักขระจากปลอกข้อมือเป็นตาข่ายคลุมรอบบ้าน แล้วหันมาอุ้มบลูที่ยังถูกเชือกสีขาวรัดไว้ จับให้ซ้อนหน้ารถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล้วขับออกมาอย่างรวดเร็ว
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มุ่งตรงกลับมาที่ห้องแถว
นาฬิกาที่ฝาผนังบอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ขี้เมากอดคอกันเดินโซเซผ่านหน้าร้าน ขณะที่ลุคเลี้ยวรถเข้ามาจอดทางด้านหลังร้าน แล้วอุ้มพาดบ่าคนที่ยังถูกมัดไว้ จนขึ้นมาถึงห้อง ลุคจึงวางบลูให้ลงยืนแล้วปลดเชือกให้
สิ่งแรกที่บลูทำคือชกเข้าหนึ่งหมัด! แล้วตามด้วยอีกหนึ่งถีบ!
   ลุครับทั้งหมัดและเท้าเพราะไม่คิดว่าจะหลบ
   แต่เสียงโครมครามจากห้องแถวห้องนี้ก็ดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบ
   บลูโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา
   ถ้าลุคปล่อยลงที่อื่น รับรองว่าจะโดนหนักกว่านี้อย่างแน่นอน!
   “ฉัน เป็น นกฮูก สแกนดิเนเวีย ไม่ใช่แฮม!” บลูเตะซ้ำอีกครั้งแล้วหยุดชะงัก “นายทำอะไร ทำไมฉันเปลี่ยนร่างไม่ได้”
   “เพราะเครื่องรางของฉันน่ะ” ชายหนุ่มขยับลุกขึ้น
   “ลุค เมอร์ฟี” บลูเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงคำราม “ปลด เครื่องราง เดี๋ยวนี้!”
   “ตอนนี้ยังไม่ได้” ลุคเดินเข้ามาหา บลูที่กำลังเงื้อหมัดขึ้นอีกครั้ง
   “ฉันยอมให้นายซ้อมจนกว่านายจะพอใจ แต่ฉันยังปล่อยนายไม่ได้”
   “นายไม่ได้อยากโดนซ้อม ถึงได้พาฉันมาที่ห้องนี้”
   “เกลียดคนรู้ทันจริง ๆ”
   “ลุค เมอร์ฟี ปลดเครื่องรางให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
   ลุคส่ายหน้า มือใหญ่คว้าหมัดที่พุ่งตรงเข้ามาหาแล้วพลิกแขนกอดรัดไว้จากทางด้านหลัง
   “ปล่อยแล้วจะไปไหน”
   บลูพยายามบิดตัวออกจากแขนใหญ่ที่โอบรัดอยู่
   “กลับคอนโดฯ”
   “โกหก”
   “ลุค เมอร์ฟี ปล่อย”
   “ถ้าปล่อย นายต้องกลับไปที่บ้านของเบส แล้วไปลุยกับเครื่องรางที่อยู่ในบ้านนั้นแน่ ๆ”
   “ก็แล้วจะปล่อยมันไว้ได้ยังไง นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำลายเครื่องรางนั่น”
   “นายจะตายก่อนที่จะได้ทำลายเครื่องรางต่างหาก”
   “ฉันไม่ตายเพราะเครื่องรางห่วย ๆนั่นหรอก ปล่อย ลุค...”
   ลุคจับคางของบลูให้หันมารับจูบ บลูตอบรับด้วยการกัดริมฝีปาก แม้จะรู้สึกถึงรสชาติของเลือด แต่ลุคก็ยังไม่ยอมปล่อย บลูจึงต้องยอมให้จูบจนลุคเป็นฝ่ายถอนจูบออกมาเอง
   “เราคุยกันมาเป็นร้อยครั้ง ว่านายต้องใจเย็น”
   “งั้นฉันจะบอกกับนายเป็นครั้งแรก ว่านายเอาเปรียบฉันมาหลายครั้งแล้ว”
   “แต่ถ้านับจากที่ฉันโดนนายซ้อม จำนวนครั้งที่เราจูบกันมันยังน้อยกว่าตั้งหลายครั้ง”
   บลูเริ่มไม่รู้แล้วว่ากำลังโกรธเรื่องอะไร
   “โอเค ฉันจะยังไม่กลับไปที่บ้านของเบส แต่นายต้องปลดเครื่องรางของนายออกจากฉัน”
   “ไม่ได้หรอก”
   บลูนิ่งคิด “เครื่องรางของนาย จะทำให้พวกซอว์นีย์หาฉันไม่เจอหรือไง”
   “ใช่” ลุคคลายอ้อมกอด แต่ก้มลงหอมแก้มแรง ๆ อีกครั้ง    
   “ไอ้สสารลามก”
   ลุคก้าวถอยออกมา แล้วเปิดตู้เสื้อผ้า มาส่งให้
   “นายไปอาบน้ำก่อน แถวนี้พอสักตี 4 เขาก็จะเริ่มตื่นนอนกันแล้ว นายนอนไม่พอเดี๋ยวก็จะโมโหอีก”
   “ตอนนี้ฉันก็กำลังโมโหนายอยู่”
   “เอาน่า อาบน้ำเสร็จแล้วก็มานอนพัก เดี๋ยวตอนสาย ผู้คุ้มครองของฉันจะมาที่นี่ แล้วช่วงค่ำเราจะไปหาแม่มดสายดำคนหนึ่ง”
   บลูสงสัย “สายดำ ซอว์นีย์หรือเปล่า”
   “เท่าที่รู้ก็คือ เคยอยู่ในกลุ่มซอว์นีย์ แต่มีความขัดแย้งบางอย่างเกิดขึ้นก็เลยแยกตัวออกมา”
   “นายจะกำจัดแม่มดคนนั้นไหม”
   “มันขึ้นอยู่กับการกระทำในปัจจุบันของเขา”
   บลูส่ายหน้า รับผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนจากลุค “ตอบเหมือนไม่ได้ตอบ น่ารำคาญชะมัด”

...จบตอนที่ 6...
:m18:
อย่าลืมรีพลายให้เราด้วยนะฮะ

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 11-04-2020 15:16:33
เรื่องราวทับซ้อน ติดตามการคลี่คลายให้หายงงกันต่อไป
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 12-04-2020 10:48:30
ตอนนี้มีซีนน่ารักๆ ของเบสกับข้าวโพดด้วย o18

ชอบความห่วงใยของเพื่อนๆ ที่มีให้กันจังเลย

แต่ดีแล้วนะที่ข้าวโพดชวนให้เบสมาอยู่ที่บ้านก่อน ไม่รู้ว่าคาร่ามีแผนจะทำอะไรต่อ :katai1:

ว่าแต่นะ สสารลามก ก็ยังคงชอบตอดนิดตอดหน่อยน้องบลูอยู่เรื่อย :hao7:

555 บลูน่ารักแบบซึนๆ  :impress2:

รอติดตามตอนต่อไปค่า :pig4:



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 13-04-2020 14:59:28


   “ไอ้สสารลามก”

               ^
               ^
               ^
เอ็นดูคำด่าลูกบลูชะมัด   o7



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-04-2020 09:01:35

แวะมาทักทายจ้า   :กอด1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 03-05-2020 09:13:49
แปะก่อน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-05-2020 09:13:43

แวะมาบอกคิดถึงจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: yupinka ที่ 09-05-2020 19:16:19
รอติดตามตอนต่อไปค่า  :katai2-1:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-05-2020 19:50:41
 :mc4: จุดประทัดเรียกกกกก
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 11-05-2020 13:20:06
ยู้ฮู  ยู้ฮู
มีคนรออยู่ค่าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 6 (11/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-05-2020 08:26:30

 จ๊ะเอ๋ บลูจ๋ามารอแล้วจ้า  :L1:  :L1:



หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-05-2020 07:31:18
ตอนที่ 7
   
6 โมงเช้าลุคลงมาเปิดร้าน แต่ยังไม่ทันจะเริ่มจัดโต๊ะเก้าอี้ เจตน์ก็มาถึง
“อ้าว ไหนบอกว่าจะพาเมียไปหาหมอ”
“ผมจำผิดครับ กลับไปดูวันนัดอีกที ปรากฏว่าเป็นวันพรุ่งนี้”
“งั้นพรุ่งนี้ก็เหมือนเดิม หยุดไปเลยก็ได้”
ตี๋น้อยร้านปาท่องโก๋ และขนมปังวิ่งตามหลังเจตน์มาไม่กี่ก้าวร้องเรียกแล้วส่งของตามที่สั่งไว้ ระหว่างทางมาร้าน
“ตี๋ มาไวมากเลย” เจตน์ทักแล้วส่งค่าอาหารให้
“ม้าบอกให้เอาของลูกค้าคนอื่นมาให้ร้านกาแฟเฮียฝรั่งก่อน” ตี๋น้อยบอกพร้อมกับรับเงินจากลุค แล้วก็รีบวิ่งกลับไป
ที่ต้องสั่งของกันรายวันแบบนี้ เพราะลุคปิดร้านบ่อยจนต้องใช้วิธีแวะสั่งของในระหว่างทาง
“คุณจะปิดร้านอีกแล้วหรือครับ”
ลุคพยักหน้า หันไปบอกให้เจตน์เตรียมอเมริกาโน่แก้วใหญ่
เจตน์ยังทำกาแฟให้เจ้านายยังไม่เสร็จ ลูกค้ารายแรกก็เดินเข้ามาในร้าน
จัสตินผู้มีสีหน้าบึ้งตึงเดินเข้ามาแล้วชี้ขึ้นไปข้างบน ลุคก็พยักหน้า จัสตินตอบกลับด้วยอาการกลอกตามองบนที่ไม่ได้เข้ากับใบหน้าแบบชาวเยอรมันเข้มข้นของเขาสักเท่าไหร่
เมื่อจัสตินนั่งลงตรงข้ามกับลุค เจตน์ก็ยกกาแฟและแซนด์วิชมาเสิร์ฟ
“คิดว่าจะมาตอนสายกว่านี้เสียอีก”
จัสตินตอบด้วยภาษาเยอรมันแบบโบราณ “ฉันไม่ได้มองนาฬิกา คิดว่าควรจะมาก็มา”
“จัสติน”
“ฉันมีหน้าที่คุ้มครอง ดังนั้นนายควรเลิกใช้วิธีหลอกฉันไปทางอื่น เพื่อที่นายจะไปผจญภัยกับคนรักของนาย”
ลุคจ้องมองจัสตินด้วยสายที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ทำให้จัสตินกล่าวคำขอโทษที่แทบไม่พ้นริมฝีปากแล้วจิบกาแฟ ตามด้วยแซนด์วิช
กลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุ ทยอยเข้าร้านมาทักทายกับเจ้าของร้านแล้วเลือกหยิบของว่างตามชอบ จากนั้นไปจับกลุ่มอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องข่าวสารและเรื่องทั่วไป เจตน์ชงชา-กาแฟโบราณอย่างรวดเร็ว แล้วตามไปเสิร์ฟ
“กินเสร็จ นายขึ้นไปนอนพักสักครู่ก่อนก็ได้ เพราะเขาเพิ่งจะได้นอน” ลุคเหลือบตามองนาฬิกาที่ผนัง “ก็ตอนเกือบเช้าแล้ว”
“แล้วนายได้นอนหรือยัง”
“ยัง”
“กู้ด”
ลุคตบไหล่จัสตินเบา ๆ “เจอกันตอนสาย”
ลุคกลับขึ้นมาข้างบนเพื่อเตรียมอาวุธ และสำรวจแผนที่ที่จะเดินทาง ไม่ถึง 5 นาทีจัสตินก็ตามขึ้นมา พูดคุยกันได้ครู่หนึ่ง บลูก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
ทันทีที่บลูเห็นจัสตินก็ซัดลูกไฟเข้าใส่จัสตินทันที แต่เพราะว่าลุคใช้เครื่องรางควบคุมไว้ทำให้ลูกไฟนั้นสลายไปก่อนที่จะถึงตัวของจัสติน
บลูหันไปคว้าหนังสือและสิ่งของใกล้มือขว้างใส่ ลุคจึงเข้าไปกอดไว้ แต่บลูก็ยังพยายามเงื้อขาจะเตะ
แปลกที่บลูไม่ส่งเสียงออกมาจนกระทั่งถูกลุคกอดไว้
“ปล่อย”
“นายจะเริ่มต้นทำความรู้จักกับทุกคนด้วยการไล่เตะเขาไม่ได้นะบลู”
“มันคือผู้พิทักษ์!”
“เขาคือผู้พิทักษ์ของฉัน”
บลูหันกลับมามองหน้าลุค ขณะที่จัสตินแนะนำตัว
“ยินดีทีได้รู้จัก ฉันคือจัสติน ฮอฟมันน์ ผู้พิทักษ์ของลุค เมอร์ฟี”
บลูหน้างอออกคำสั่งกับคนที่กอดอยู่ “ปล่อยได้แล้ว”
แต่พอลุคปล่อย บลูก็เงื้อหมัดชกลุคทันที
และในเวลาเดียวกันนั้นเองที่จัสตินส่งพลังเพื่อที่จะผลักบลูออกห่างจากลุค แต่ลุคหมุนตัวมารับพลังของจัสตินเข้าไปเต็ม ๆ
ลุคที่ยังกอดบลูไว้ก้มลงมองคนที่มีสีหน้าตกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไอ้ ไอ้บ้า ลุค เมอร์ฟี!”
ลุคยิ้มขณะที่เช็ดเลือดที่มุมปาก “ยังด่าได้ แสดงว่าไม่เป็นไร”
“ฉัน ไม่เป็นอะไรหรอก นายน่ะแหละ ที่เป็น” บลูช่วยเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วพยายามจะหมุนตัวลุคเพื่อที่จะดูแผ่นหลังที่รับพลังของจัสตินไปเต็มแรง “ผู้พิทักษ์บ้าอะไรวะ ซัดพลังใส่ลูกพี่ตัวเอง”
ได้ยินเสียงจัสตินบ่นอะไรสักอย่างเป็นภาษาเยอรมัน ประมาณว่า ‘พวกน่าเบื่อ’ แต่บลูไม่สนใจ ขณะที่เจตน์วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาดู
“เกิดอะไรขึ้นครับ ผมได้ยินเสียงโครมครามดังลงไปถึงข้างล่าง”
“เรื่องเข้าใจผิดน่ะ ไม่มีอะไร ฝากขอโทษลูกค้าด้วย” ลุคบอกกับเจตน์
ส่วนบลูเปิดเสื้อด้านหลังของลุคจนได้ และได้เห็นว่ารอยแดงช้ำที่แผ่นหลังกำลังจางหายลงไปต่อหน้า
เมื่อเจตน์เห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงกลับลงไปข้างล่าง
“เออ ใช่ นายรักษาตัวเองได้นี่หว่า” ดวงตาสีฟ้าช้อนมองคนที่หันมายิ้มให้ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” 
“เพราะอย่างนี้เอง...” จัสตินพูดขึ้น
“อะไร” บลูหันมาหาเรื่อง
แต่จัสตินกระแทกเสียงในลำคอ แล้วยืนกอดอกหลังตรง “ไม่ต้องสนใจฉัน เชิญพวกนาย 2 คนตามสบาย”
บลูเงื้อหมัดจะชกคนตัวใหญ่ที่มีรอยยิ้มจาง ๆ แต่หันไปเห็นว่าจัสตินขยับตัวจะเข้ามาขวางก็เลยลดหมัดลง “ตกลงว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ของนาย แล้วไงต่อ”
“เปลี่ยนอารมณ์ไวชะมัด” จัสตินทำเป็นบ่นคนเดียวอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนอารมณ์ แต่ฉันต้องการจัดการเรื่องราวให้มันเสร็จ ๆ ไปจะได้กลับมาจัดการกับนาย” ดวงตาสีฟ้าของบลูเข้มขึ้น บ่งบอกว่าไม่พอใจจัสตินอย่างชัดเจน
แต่ทั้ง 3 คนต่างก็รู้ดีว่า บลูก็แค่ขู่ เพราะรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้มีพลังมากพอที่จะทำอะไรสองคนตรงนี้ได้ และสาเหตุที่บลูโจมตีจัสติน ตั้งแต่แรกเหมือนกับในตอนที่เจอลุค ก็เพราะการที่ทั้งคู่คือมือปราบกับผู้พิทักษ์ ที่มีหน้าที่ปราบปรามพ่อมด ผู้ใช้เวทย์ดำ และปีศาจแบบบลูนั่นเอง
ลุคลูบด้านหลังศีรษะของบลู “ใจเย็น นอนไม่พอแล้วอารมณ์ไม่ดีตลอด”
บลูหันมาถามลุค “นายบอกว่าจะไปหาแม่มดสายดำ เมื่อไหร่จะไป”
ลุคดันคางสวยให้เงยขึ้นมารับจูบเร็ว ๆ “ไปสิ”
...
เบสฝันร้าย มีเงาดำที่ไม่เป็นรูปร่างเข้ามาห้อมล้อมและสร้างแรงกดดันจนหายใจไม่ออก เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้าวโพดเป็นคนที่มาปลุก
ทั้งที่นอนอยู่ในห้องนอนที่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ยังมีเหงื่อซึมจากไรผมที่หน้าผาก และแผ่นหลังมีเหงื่อเปียกชุ่ม
“เบส เป็นอะไร”
เบสหอบหายใจ เหลียวมองไปรอบห้องแล้วมองหน้าข้าวโพด  “ข้าวโพด”
“ใช่ กูเอง กูกำลังจะไปเรียน แวะมาดูเบสว่าเป็นไงบ้าง เห็นท่าทางอึดอัดเลยปลุก เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เราฝันร้ายน่ะ”
ข้าวโพดพยักหน้า ช่วยเช็ดเหงื่อที่ไรผม “งั้นก็ลุกมาอาบน้ำล้างหน้าเลยแล้วกัน วันนี้ไปเรียนไหวไหม”
“ไหว” เบสบอกแล้วลุกขึ้น
แม้ว่าจะไม่ได้ลุกขึ้นยืนในทันที แต่ตอนที่ลุกขึ้นยืนเบสก็ยังเซจนข้าวโพดประคองไว้
“ไหวจริง ๆ หรือวะ หยุดเรียนสักวันไหม”
“ไหวสิ” เบสบอก แตะที่มือของข้าวโพดแล้วเบี่ยงตัวเดินไปไปหยิบผ้าเช็ดตัว
“เออ งั้นก็อย่าล็อกประตูห้องน้ำแล้วกัน ถ้าล้มจะได้เข้าไปช่วยได้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” เบสเถียงด้วยรอยยิ้มขำ
“งั้นกูลงไปบอกให้เขาเตรียมข้าวต้มไว้ให้ แล้วจะขึ้นมาดูอีกทีนะ”
รอเบสเข้าห้องน้ำไปแล้ว ข้าวโพดถึงได้ลงมาบอกแม่บ้านให้เตรียมข้าวต้มสำหรับเบสด้วย
“เบสไปเรียนไหวหรือลูก” แม่ถาม
“ดื้อน่ะแม่”
“อ้าว”
“เมื่อกี้ตอนไปปลุก พอลุกขึ้นมายังเซอยู่เลย แต่ก็บอกว่าจะไปเรียน ไม่ยอมหยุดอยู่บ้าน”
อัจฉรารู้สึกขำ “ตรงข้ามกับข้าวโพดเลยนะ เราน่ะ ปวดหัวนิดน้อยก็โอดครวญไม่อยากไปเรียน”
“ปวดหัวไม่นิดหน่อยนะแม่” ข้าวโพดเถียงแล้วหันไปมองนาฬิกา “ผมขึ้นไปดูเบสอีกทีดีกว่า ไม่ลงมาสักที แม่จะไปทำงานแล้วใช่ไหม”
“ใช่ สายแล้วรถติด แม่ออกเช้าหน่อยดีกว่า นี่แล้วอย่าลืมนะ ว่าพฤหัสฯ นี้แม่ไปญี่ปุ่น”
“ลืม” ข้าวโพดบอกตามตรง
“เรานี่มันจริง ๆ เลย” อัจฉราส่ายหน้า แล้วหันไปสั่งแม่บ้านเรื่องการดูแลทั้ง 2 หนุ่มและบ้านในระหว่างที่เธอไม่อยู่ 
ข้าวโพดเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็เดินขึ้นมาดูเบสที่ห้องนอน เห็นว่าแต่งตัวเสร็จแล้ว
“เสร็จแล้ว ถึงกับต้องขึ้นมาดูเลยหรือ”
“ก็เออสิ เห็นตั้งนานแล้วไม่ลงไปสักที” ข้าวโพดมองดูเบสที่กำลังเซ็ตผม เสร็จก็หันไปหยิบกระเป๋าเรียน
“เสร็จแล้ว”
“อืม ลงไปกินข้าวต้มก่อน แล้วจะได้ไปเรียน”
เบสนั่งหลับตามาตลอดทางตั้งแต่บ้านจนถึงมหาวิทยาลัย และลืมตาขึ้นก็ตอนที่ข้าวโพดกำลังถอยหลังรถเข้าจอดที่ลานจอดรถข้างหอสมุดคณะศิลปศาสตร์ ที่จะใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ไปถึงคณะบริหารธุรกิจ
“เบสนอนต่ออีกสักสิบห้านาทีก็ได้ อีกครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงชั่วโมงเรียน”
“ไม่เป็นไรแล้ว” เบสพูดขณะที่หยิบกระเป๋า “ทำไมนอนในรถข้าวโพดกลับหลับสบายกว่านอนที่บ้านเสียอีก”
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวพักเที่ยงกินข้าวเสร็จ เบสก็มานอนต่อในรถกูเลย”
ทั้ง 2 คนลงจากรถข้าวโพดก็เดินอ้อมมาหาเบส แตะหลังมือที่หน้าผากสวย
“เราไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
เบสสงสัย “มีอะไรหรือเปล่า”
“อะไรคือมีอะไร”
“ก็ดูข้าวโพดเป็นห่วง”
“กูก็ต้องห่วงสิวะ” ข้าวโพดอยากแย่งกระเป๋ามาถือไว้เอง แต่คาดว่าเบสคงไม่ยอม “เบสไม่เห็นตัวเองนี่ ว่าเป็นยังไงบ้าง นี่เพราะดื้อจะมาเรียนหรอก กูถึงต้องคอยดู”
เบสพูดขอบใจ “เราไม่อยากขาดเรียนน่ะ”
ตอนที่เดินผ่านบอร์ดข้างทางเดินที่เชื่อมต่อจากอาคารหอสมุด มาที่อาคารคณะบริหารธุรกิจ มีแผ่นกระดาษขนาด A4 สีเหลืองกรอบติดอยู่ที่มุมขวามือล่างของตู้ ทั้ง 2 คนที่กำลังจะเดินผ่านไปต้องหยุดมอง
เดินผ่านบอร์ดนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นป้าย
“อะไรน่ะ” เบสก้มลงอ่าน “คลาสพิเศษการควบคุมจิตใจตอนสี่ทุ่ม ที่อาคาร06 คณะสังคมฯ อาคารเก่า ๆนั่นน่ะหรือ”
ข้าวโพดพูดขึ้นบ้าง “วิชาเลือกมั๊ง กูไม่ได้ลงตัวนี้ เบสเองก็ไม่ได้ลงเหมือนกันใช่ไหม” ข้าวโพดจำได้ “นี่ระบุวันที่เป็นวันนี้ด้วย แต่กระดาษนี่มันเหลืองกรอบอย่างกับติดมานานเป็นปีเลยนะ”
“แบบนี้มันก็ดูแปลก ๆ” เบสนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เออ ใช่ แล้วเมื่อคืนพี่บลูมาหรือเปล่า”
ข้าวโพดไม่อยากโกหก ก็เลยปัดไปเรื่องเรียน “ไปเรียนกันดีกว่า”
“เดี๋ยว ข้าวโพด” เบสดึงมือข้าวโพดไว้ “พี่บลูมาใช่ไหม แล้วทำไมข้าวโพดไม่ปลุกเรา”
“ก็เบสไม่สบาย”
“แต่เรารอเขาอยู่ ข้าวโพดก็รู้” เบสตัดพ้อ “เราอยากเจอพี่บลู แล้วพี่เขาคุยกับข้าวโพดว่ายังไงบ้าง ข้าวโพดบอกเขาหรือเปล่าว่าเราไม่สบาย แล้วเขาบอกไหมว่าจะมาอีกเมื่อไหร่”
ข้าวโพดเลือกตอบคำถามข้อสุดท้าย “ไม่ได้บอก”
“ข้าวโพดไม่อยากบอกเรามากกว่า เหมือนกับที่ไม่ยอมปลุกเราทั้งที่พี่บลูมาหาแล้ว แล้วเขาคุยอะไรกับข้าวโพดบ้าง”
ข้าวโพดก้มลงมอง 2 มือที่จับมือของตนเองไว้ แล้วมองสายตาอ้อนวอนของเบส
“เขาก็บอกให้ดูแลเบสดี ๆ บอกว่าอย่าเพิ่งให้กลับบ้าน”
“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ให้กลับบ้าน”
“ไม่รู้หรอก เขาบอกแค่นี้”
“ข้าวโพดไม่อยากบอกมากกว่า”
“เขาสั่งให้กูไม่บอก ว่าเขามาหาแล้ว แต่กูก็ขัดคำสั่งเขา แล้วก็ยังถูกต่อว่าเสียอีก”
เบสที่ไม่พอใจทำตอบนี้ปล่อยมือจากข้าวโพด แล้วเดินนำกลับไปที่อาคารเรียน ปล่อยให้ข้าวโพดส่ายหน้าด้วยความเซ็งแล้วเดินตามมา
การที่เบสออกอาการ ‘งอน’ อย่างจริงจัง ไม่พูดด้วยจนถึงคาบบ่ายที่จะต้องแยกกันเข้าเรียน ทำให้ข้าวโพดต้องใช้วิธีส่งข้อความเข้ามือถือบอกว่าเลิกเรียนแล้วให้รออยู่ที่หน้าอาคาร อย่าเพิ่งรีบกลับไปก่อน
พอเลิกเรียนเบสก็เดินกลับมารออยู่ที่หน้าอาคารเจอกับกลุ่มของนานาที่รอรวมกลุ่มเพื่อที่จะพากันไปเดินเล่นหลังเลิกเรียน
“เบส” นานาโบกมือเรียกหนุ่มตัวเล็กให้มานั่งด้วยกัน “เบสอยู่ชมรมละครหรือเปล่า”
เบสส่ายหน้าทันที “อยู่ชุมนุมสัมพันธ์”
ปายที่นั่งอยู่กับนานา ถามต่อ “ที่ไปดูแลคนพิการน่ะหรือ”
“คนพิการ คนชรา เด็กในชุมชน สัตว์ที่ถูกเอามาทิ้ง ก็ด้วย”
“ตอนปี 1 เบสก็อยู่ชุมนุมนี้ใช่ไหม” ปายถามต่อ
“ใช่ พี่เขาน่ารักดี ไม่บังคับเรื่องลงเวลาให้ครบ ถ้าไม่ว่างไปทำกิจกรรมก็ช่วยค่าอาหารได้” แต่ส่วนใหญ่เบสจะรับหน้าที่ขับรถไปซื้อของ และช่วยจัดเตรียมของที่ชุมนุม
“สนใจไปช่วยงานชุมนุมละครไหม” นานาถามขึ้นมา “เขากำลังขาดคน”
“ไม่ละ” นั่นเป็นชุมนุมสุดท้ายที่เบสคิดถึง “ทำไมชวนเราล่ะ”
“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าเขาขาดคน ฉันก็ชวนไปทั่วละแก แต่ทุกคนพากันทำหน้าอย่างแกหมด”
“ไม่อยากเชื่อว่าชุมนุมนี้ขาดคน” ปายบอก “แล้วแกจะไปช่วยเขาไหม”
นานาพยักหน้า “ก็ทำหน้าที่ช่วยหาคนอยู่นี่ไง”
ปายทำหน้าเบื่อหน่าย “สรุปคือแกช่วยทุกชุมนุมเหมือนเคย”
“ไม่ใช่สักหน่อย มันเป็นเรื่องที่ช่วยได้ก็ช่วยแค่นั้นแหละ” นานาหันมาบอกกับเบส “ตอนที่พี่เก่งประธานชุมนุมเขาจะทำละครเรื่องใหม่ เขาเคยมาคุยกับข้าวโพดให้ไปเล่นละครให้เขาด้วยนะ แต่มันปฏิเสธเขาไป บอกว่าเล่นไม่เป็น”
เบสสงสัย “ทำไมเขาถึงชวนข้าวโพดล่ะ”
“ไม่รู้ ฉันก็ถามแกอยู่นี่ไง”
“เราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าชื่ออยู่ชุมนุมกราฟฟิค แต่ไม่เคยเห็นไปชุมนุมเลยสักครั้ง”
นานาพยักหน้าเพราะข้าวโพดก็ไม่ได้ต่างจากชายหนุ่มคนอื่นในคณะเดียวกันที่มีชื่ออยู่ในชุมนุมแต่เข้าชุมนุมไม่เกิน 5 ครั้งตลอดทั้งปี
ที่แปลกก็คือการที่เบสไม่ค่อยรู้เรื่องของข้าวโพด ขณะที่ข้าวโพดรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเบส
“นานา รู้จักใครที่ลงคลาสพิเศษการควบคุมจิตใจไหม”
2 สาวส่ายหน้าพร้อมกัน
“ชื่อน่ากลัว” ปายบอก
“มีด้วยหรือ” นานาถาม
“อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องแกล้งกันของเด็กศิลป์” เบสบอก
นานากับปายช่วยกันถามว่าทำไมจู่ ๆเบสถึงได้ถามเรื่องนี้ เบสก็บอกไปตามที่เห็นมา ทั้ง 2 สาวก็สรุปเรื่องตรงกันว่านี่คือเรื่อง ‘แกล้งกัน’ ของเด็กศิลป์อย่างแน่นอน
เมื่อเพื่อน ๆ เลิกเรียนแล้วทยอยเข้ามาสมทบ หัวข้อการพูดคุยกันก็เปลี่ยนไปที่เรื่องอื่น
แหม่มพอเห็นว่าเบสนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าอาคารก็ตรงเข้ามาทัก
“เบส ฉันถามแกตรงๆ เลยนะ”
เบสพยักหน้า
“แกรอใคร”
“รอใคร” เบสย้อน
“ก็เนี่ยมานั่งรอใครอยู่”
“จะรอใคร ก็รอแฟนเขาสิ” ปายบอก “พี่บลูน่ะ แกก็เห็นไม่ใช่หรือไง ที่เขามาหาเบสอาทิตย์ก่อนน่ะ”
แหม่มบอกว่าจำได้ “หน้าตาดีขนาดนั้น จะลืมได้ไง แต่ถ้าแกรอพี่บลู ฉันก็จีบข้าวโพดได้ใช่ไหม”
เบสอึ้งไปวินาที แล้วพยักหน้าแบบงง ๆ “จะจีบก็จีบสิ แล้วถามเราทำไม”
“เช็คเพื่อความชัวร์ไง ว่าแกไม่เอาข้าวโพดแน่ ๆ”
นานาสะกิดแหม่ม “ใจเย็นนังแหม่ม เดี๋ยวผู้หนีหมด”
ปายหัวเราะเพื่อนสาวคนกล้า “ประกาศเสียงดังขนาดนี้ รู้กันทั้ง 4 ชั้นปี 5 ภาควิชาแล้วมั๊งเนี่ย”
“แกร๊” แหม่มเสียงแหลมปรี๊ด แล้วหันมาบอกกับเบส “ยังมีใครที่ไม่รู้ว่าฉันเล็งข้าวโพดอีกหรือไง”
“เรา” เบสพูดเบา ๆ
“งั้นตอนนี้แกก็รู้แล้วใช่ไหม”
เบสพยักหน้า ขณะที่นานาส่ายหน้า แล้วไล่แหม่มไปเติมแป้งระหว่างที่รอข้าวโพดเลิกเรียน ปายก็เลยตามแหม่มไปด้วย
พอ 2 สาวห่างออกไปนานาก็หันมาถามเบส “นัดพี่เขาไว้กี่โมง”
“ไม่ได้นัดเวลาหรอก”
“มิน่าถึงได้มองนาฬิกา มองโทรศัพท์อยู่ตลอด” พอเบสไม่ตอบ นานาก็เดา “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ที่จริงเมื่อวานเราไม่ค่อยสบาย ตอนที่กำลังหลับอยู่ปรากฏว่าเขามาหาแล้วเจอกับข้าวโพด ก็เลยไม่ได้เจอ”
“แล้วเขาเข้าใจผิดหรือไง ที่แกอยู่กับข้าวโพด”
“ไม่หรอก เขารู้แหละว่าเพื่อนกัน”
“แล้วพอตื่นก็เลยโทรหาเขา นัดให้มารับที่มหา’ลัย หรือไง” นานาเดาไปเรื่อย ๆ
“ไม่ได้โทรหรอก เพราะปกติมีแต่เขาที่โทรมา”
นานาสงสัย แต่มีมารยาทมากพอที่จะไม่ซ้ำเติมความกังวลของเพื่อน “เขารู้ว่าแกไม่สบาย ยังไงก็ต้องติดต่อกลับมาอยู่แล้ว”
เบสพยักหน้าแบบซึม ๆ นานาก็ให้กำลังใจต่อ “ดูเขาเป็นห่วงแกออก” จากนั้นก็เปลี่ยนไปอีกเรื่อง “เมื่อวันก่อนที่ฝากนทีเอาแซนด์วิชไปให้ แกกินหมดหรือเปล่า”
“หมด ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร พอวันนี้เห็นแกกลับหน้าใสกิ๊กเหมือนเดิมก็ดีแล้ว”
“นานาก็พูดเกินไป” เบสหัวเราะเบาๆ
“ไม่หรอก เราพูดความจริง เบสน่ะผิวดีจนสาว ๆ ยังอิจฉา”
“นานา เป็นอะไรเนี่ย จู่ ๆก็มาชมกันแบบนี้ เราเริ่มไม่ไว้ใจละนะ”
นานาหัวเราะคิกคัก “ให้กำลังใจเพื่อนคิดมากไง ไม่ต้องกลัว ฉันไม่คิดจะจีบแกแน่นอน”
“นที”
“โอ้ย บ้า” นานาตีแขนเบส “ห้ามพูดถึงนะ”
“ทำไม พูดถึงแล้วเป็นไง” นทีเพื่อนผิวเข้ม ‘พุ่ง’ ตรงเข้ามาที่โต๊ะ โดยมีข้าวโพดกับกลุ่มเพื่อนของเขาเดินตามหลังมาด้วย
“เพราะแกก็จะอยากรู้นั่นนี่ไม่หยุดน่ะสิ เบื่อจะตอบคำถาม”
“เธอเองก็ถามนั่นนี่ไม่หยุดเหมือนกันนั่นแหละ เห็นมาตั้งแต่ไกลว่าพูดไม่หยุดเลย”
“นที” นานาเสียงเข้ม
“จ๋า”
“อย่ามาจ๋า น่ากลัวกว่าหนังสยองขวัญเสียอีก ไปซื้อน้ำให้หน่อยสิ เผื่อเบสด้วยนะ”
นทีวางหนังสือ แล้วหันไปเรียกข้าวโพด “มึงไปซื้อน้ำกะกูหน่อย นายหญิงสั่ง”
แต่เพื่อนอีกคนวางหนังสือไว้ที่โต๊ะแล้วอาสาไปแทน
“เบส ยังไม่สบายอยู่หรือเปล่า”
เบสส่ายหน้า
เพื่อน ๆที่เพิ่งเลิกเรียนลงมาถึงส่งเสียงทักทายกันวุ่นวาย แต่ข้าวโพดยังเฝ้ามองคนที่หันไปมองทางอื่น จนนทีถือขวดน้ำกับขนมมาให้
เบสขอบใจนที แต่ไม่ได้ขอบใจคนที่เปิดขวดน้ำให้
ทั้งนทีและนานาต่างลอบสังเกตอาการของทั้งคู่ แล้วสบตากันเงียบ ๆ
ข้าวโพดเหลียวมองไปรอบตัว เห็นว่าวันนี้เพื่อน ๆ เกือบทั้งคณะยังรออยู่   
“ยังไงกันเนี่ยสาว ๆ เลิกเรียนแล้วไม่ไปไหนกันหรือไง ทำไมอยู่กันเยอะ”
แหม่มที่เพิ่งมาถึงสะกิดให้นทีลุกไปนั่งที่อื่น นทีก็ลุกขึ้นอย่างงง ๆ แต่ร้องอ้อในทันทีที่เธอนั่งลงแล้วกอดแขนข้างหนึ่งของข้าวโพด “ข้าวโพด วันนี้ขอแหม่มติดรถกลับบ้านด้วยคนสิ”
ข้าวโพดที่มีรถไว้คอยรับ-ส่งเพื่อนตอบรับทันทีทั้งถามต่อว่าจะมีใครติดรถกลับไปด้วยอีก
นานาหันมาบอกเบสที่กำลังบิขนมปังเป็นชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากไปชิ้นเดียวแล้วทำท่าจะอิ่ม
“กินอีกนิดสิเบส กว่าจะถึงบ้าน กว่าจะได้กินมื้อเย็นอีกเป็นชั่วโมง”
“กลัวอ้วกหรือ” นทีถาม
“ไม่หรอก ไม่ค่อยอยากกินน่ะ”
นานามองขนมปังในมือของเบสแล้วหันมาหานที “มื้อเช้านึกอะไรไม่ออกก็ซื้อแซนด์วิชให้เพื่อน เย็นลงก็ยังซื้อขนมปังให้เพื่อนอีก ไม่สร้างสรรค์เลยนที”
“ตอนนี้ ที่ซุ้มเจ๊อ้อ นอกจากขนมปังก็เหลือแต่ขนมถุงแล้วขอรับนายหญิง”
เบสมองเพื่อน 2 คนแล้วกินขนมปังต่ออีกหน่อย “กินแล้ว ไม่ต้องเถียงกัน”
ท่าทางกลัวเพื่อนจะทะเลาะกันของเบสน่ารักจนเพื่อน ๆกลั้นขำจนเจ็บแก้มไปตามกัน
เบสหน้าตาเหรอหรา “เป็นอะไร”
“ไม่เป็นไร แกกินเถอะ ข้าวโพดไปส่งเบสใช่ไหม” ตอนท้ายนานาหันไปถามข้าวโพดที่ยังยิ้มค้างอยู่
“ส่งฉันด้วย” แหม่มที่ไร้ตัวตนไปชั่วครู่ท้วงขึ้นมา
ข้าวโพดพยักหน้า แล้วหันไปมองเบสที่ก้มหน้ากินขนมปังไส้ถั่วหวานต่อ
นานากับนทีหันไปมองกันแล้วพยักหน้าเงียบ ๆอีกครั้ง
“ไม่ต้องรีบนะ เดี๋ยวติดคอ”
ต่อให้ข้าวโพดไม่พูดอะไร เบสก็ไม่ได้เร่งความเร็วในการกินอยู่แล้ว
ระหว่างที่เพื่อนกำลังคุยกันเรื่องที่ใครจะไปรถใคร และจะไปลงที่หน้ามหาวิทยาลัย หรือจุดผ่านตรงไหน กลุ่มเกย์สาวหลายคนจากต่างคณะ กำลังเดินมาทางนี้
เพราะเป็นกลุ่มที่มาจากคณะอื่น ทำให้หลายคนที่นั่งอยู่หันไปมอง
หนึ่งในกลุ่มแยกเดินออกมาหาข้าวโพด
“ข้าวโพด เราชื่อวิทนีย์”
ข้าวโพดหันมามองเบสทันที แต่เบสก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“วิทนีย์ขอเบอร์ข้าวโพดได้ไหม”
แหม่มโวยวายทันที “นี่ไม่เห็นหรือว่า ฉันกอดแขนข้าวโพดอยู่ แกมาจากไหนนี่ ถึงได้กล้ามาขอเบอร์”
“ก่อนนี้เราคิดว่า ข้าวโพดเป็นแฟนเบส แต่ในเมื่อไม่ใช่ ก็แปลว่าข้าวโพดโสด” วิทนีย์หันมาถามย้ำกับเบส เบสก็พยักหน้า “เห็นมั้ย เรามีสิทธิ์ที่จะขอเบอร์ได้”
ข้าวโพดมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่รับโทรศัพท์ของวิทนีย์มาพิมพ์เบอร์โทรฯแล้วส่งคืนให้
วิทนีย์รับมาด้วยความดีใจ ขณะที่กลุ่มเพื่อนสาวที่รอให้กำลังใจพากันส่งเสียงกรี๊ด และยิ่งส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อวิทนีย์เขย่งเท้าหอมแก้มข้าวโพดแล้ววิ่งกลับไปรวมกับกลุ่มเพื่อน
“นางไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน” แหม่มหมั่นไส้สุด ๆ
นานาเอียงตัวมากระชิบกับเบส “น่าสงสารแหม่มเหมือนกันนะ ชอบข้าวโพดมาตั้งนาน พอนางจะจีบก็มีเกย์เข้ามาเป็นคู่แข่งเสียอีก”
เบสพยักหน้า ปายส่งค้อนให้นานาเบา ๆ แล้วหันมาถามข้าวโพด
“ตอนที่พี่บลู ฝากข้าวโพดดูแลเบส เขาว่าไงบ้าง”
ข้าวโพดไม่รู้ว่า เบสบอกกับเพื่อนไว้อย่างไร แถมเบสก็ไม่ได้ทีท่าทีว่าจะช่วยตอบเลยสักนิดก็เลยตอบไปแบบที่ปลอดภัยที่สุด “เขาก็แค่บอกว่าฝากดู เพราะเขามีงานเยอะ” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องเมื่อเบสกินขมมปังเสร็จแล้วดื่มน้ำ “สาว ๆ เชิญที่รถครับ จะกลับแล้วครับ”
“งั้นก็แสดงว่าข้าวโพดเจอพี่เขาที่บ้านเบสบ่อยละสิ”
“สาว ๆ ครับตกลงเป้าหมายของสาว ๆ อยู่ที่ไหนครับ พี่บลู เบส หรือกูครับผม โฟกัสไม่ถูกแล้วครับ”
“ข้าวโพดนะ” สาว ๆ โวยวาย “ก็อยากรู้ทั้งหมดแหละ”
ข้าวโพดไม่ยอมตอบอะไรอีก แต่เร่งให้ทั้งหมดไปขึ้นรถ แต่ปรากฏว่า สาวทั้งกลุ่มรวมถึงนทีพากันไปขึ้นรถของนานา มีแต่แหม่มที่เดินควงแขนข้าวโพดมาที่รถ เบสก็เลยไปนั่งที่เบาะหลัง ทั้งไม่ได้ย้ายไปนั่งหน้า แม้ว่าแหม่มจะลงรถไปแล้ว
“เบส” ข้าวโพดหันมาเรียก แต่เบสกอดอกหันออกไปมองนอกรถ “เบสครับ หายโกรธได้แล้ว กูขอโทษ ถ้าคืนนี้พี่บลูมา สัญญาว่าจะปลุกแน่นอน” อ้อนขนาดนี้ แต่เบสก็ยังนิ่งเงียบมาจนถึงบ้าน

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-05-2020 07:33:45
(ต่อครับ)

พอเลี้ยวรถเข้ามาจอดเสร็จ เบสก็หยิบกระเป๋าเรียนแล้วเดินเข้าไปบ้านไปเลย ขณะที่ข้าวโพดได้แต่เดินตามมา   คนรับใช้เข้ามาถามว่าจะรับอาหารเย็นเลยหรือไม่ เพราะอัจฉราโทรมาสั่งไว้ว่าจะกลับดึก ไม่ต้องรอกินอาหารเย็นพร้อมกัน ข้าวโพดก็เลยเรียกเบสให้มาล้างมือแล้วมากินข้าว
เบสวางกระเป๋าเรียน แล้วเดินไปล้างมือ ข้าวโพดเดินตามมาล้างมือข้าง ๆ
“กูรู้แล้ว ว่าเบสโกรธมาก แต่ช่วยเก็บอาการหน่อย เพราะถ้าแม่รู้เข้า เขาจะไม่สบายใจ”
ดังนั้นในตอนที่เดินกลับมาที่โต๊ะกินข้าว เบสจึงยิ้มแย้มและพูดคุยกับแม่บ้าน และคนรับใช้ตามปกติ
กับข้าวบนโต๊ะวันนี้มีหลายอย่างและมีปริมาณมากเกินกว่าจะกิน 2 คน
“จำได้ว่า คุณเบสชอบแกงส้มชะอมไข่ กับผลไม้มาก วันนี้ก็เลยเตรียมแกงส้มกับของหวานเป็นฝรั่งกับส้มโอ พรุ่งนี้เช้าอยากทานอะไรบอกได้นะคะ” แม่บ้านแนะนำอาหารด้วยความยินดี
“อะไรจะตามใจกันขนาดนั้น” ข้าวโพดแซวแล้วตักแกงส้มให้เบส
“คุณเบสไม่ได้มากินข้าวที่บ้านนานแล้วนี่คะ” แม่บ้านบอก แล้วย้ำให้กินเยอะ ๆ จากนั้นก็ออกไปจากห้อง
ข้าวโพดตักชิ้นปลา แกะก้างออกด้วยช้อนส้อม จากนั้นก็ตักให้เบส
“พอแล้ว”
ข้าวโพดชะงักมือ
“ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ไม่ต้องทำก็ได้”
แต่ข้าวโพดตักปลาให้เบสอีกชิ้น “กินเยอะ ๆ”
เบสมองเศษก้างปลาในจานของข้าวโพดแล้วกินอาหารต่อ หลังจากกินฝรั่งได้หลายชิ้นก็ลุกขึ้น มาอาบน้ำที่ห้อง ไม่ได้สนใจคนที่มองตามหลังด้วยความเป็นห่วง
มีชุดนอนและเสื้อผ้าชุดใหม่เพิ่มขึ้นในตู้ เพราะเบสคิดว่าอย่างมากก็มาพักแค่คืนเดียว แต่สุดท้ายกลับต้องมานอนเป็นคืนที่ 2
เพราะอะไร
เพราะข้าวโพดบอกว่า บลูบอกว่าให้อยู่ที่นี่ต่อ อย่าเพิ่งกลับบ้านงั้นหรือ
มีสักวินาทีไหมที่คิดว่า บลูไม่ได้มา และบลูไม่ได้สั่งประโยคนี้ไว้
ไม่เลย เบสรู้ว่าบลูมาจริง ๆ และสั่งประโยคนี้ไว้จริง ๆ
แต่ตอนที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เบสถึงได้นึกออกอีกเรื่อง
‘หนังสือเรียน กับเครื่องแบบ’
มีเสียงเคาะประตูห้องก่อน จากนั้นข้าวโพดก็เปิดประตูห้องเข้ามา ไรผมยังเปียกชื้นทั้งยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดคอ
“ไอ้ทีบอกว่า มีรายงานที่ต้องส่งวันศุกร์”
“เราไม่ได้เอาโน๊ตบุ๊คมา หนังสือของวันพรุ่งนี้ด้วย”
ข้าวโพดพยักหน้า “งั้นเอาเครื่องแบบของวันนี้ไปซักก่อนแล้วกัน เบสโทรไปบอกที่บ้าน ให้เขาเก็บของที่จะใช้ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยแวะไปเอาของ แล้วไปทำต่อที่มหาวิทยาลัยแล้วกันตอนนี้มืดแล้ว”
ที่จริงนี่เป็นเรื่องที่ควรบอกเบสตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ได้บอกจนมาถึงตอนนี้
“ให้คุณกัลย์เขาเอาของใส่รถเราไว้ แล้วพรุ่งนี้เราก็ขับรถออกมาเลยดีกว่า”
“ไม่ได้” ข้าวโพดรีบบอก “พี่เขาบอกไว้ว่า ไม่ให้เบสเข้าไปในบ้าน”
“งั้นข้าวโพดก็ขับออกมาให้เราสิ เราขับรถข้าวโพดเอง”
“ก็เบสไม่สบายอยู่ แล้วยังไงเราก็ไป-กลับด้วยกันอยู่แล้วจะขับรถหลายคันไปทำไม”
แต่เบสคิดว่า การที่ต้องเดินทางด้วยรถของข้าวโพดนี่ต่างหากที่ยุ่งยาก
“ก็จะต้องอยู่อย่างนี้กี่วันก็ไม่รู้ ถ้านานเกินอาทิตย์ก็ไม่ดีแล้ว เราออกไปเช่าคอนโดฯอยู่ก็ได้”
“เอางี้ ทั้งเรื่องรถ เรื่องที่เบสจะย้ายออก ทุกอย่างเลย รอถามพี่ก่อน ถ้าพี่เขาโอเค กูก็โอเค”
เบสหันไปโทรศัพท์บอกกับที่บ้านเพื่อปิดการพูดคุย แต่ข้าวโพดหันไปกดอินเตอร์คอมเรียกคนรับใช้มารับเครื่องแบบของเบสไปซัก ระหว่างรอก็พิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์ไปพลาง หลังจากที่คนรับใช้มารับเครื่องแบบไปแล้วก็ยังยืนพิมพ์ข้อความอยู่ที่เดิม
“คุยเรื่องรายงานกับทีหรือ”
“เปล่า วิทนีย์ไง เพิ่งได้เบอร์ไปเมื่อเย็น ตอนนี้แอดไลน์มาแล้ว”
“แหม่มด้วยหรือเปล่า”
“ไลน์มาบอกว่าเพิ่งออกจากห้าง เมื่อสัก 5 นาทีนี้เอง”
เบสใช้ลิ้นดุนแก้ม 
ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่เสี้ยววินาทีว่าทำไมถึงได้ไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เบสแย่งโทรศัพท์มาจากมือของข้าวโพด ที่ไม่ได้ยื้อไว้แม้แต่นิดเดียว แล้วโน้มคอคนที่ตัวสูงกว่าลงมาจูบ
ข้าวโพดที่ไม่เคยขัดใจ ก็ยังคงตามใจเหมือนเคย มือใหญ่รั้งเอวบางเข้ามาหา
เมื่อลมหายใจร้อนรดแก้ม ริมฝีปากหนากดจูบที่ลำคอ เบสก็ผลักออก แต่ข้าวโพดรั้งไว้ แล้วเหวี่ยงลงบนที่นอน ทั้งตามมาทาบทับไว้
“เบสเป็นคนเริ่มต้นเองนะ”
“ไอ้...” เบสหน้าแดงจัด ยังไม่ทันจะได้ห้าม หรือต่อว่า ข้าวโพดก็จูบซ้ำ
คนตัวเล็กกว่าขัดขืน “ไม่...”
มือใหญ่เลื่อนลงมาหาอกบาง แล้วเลื่อนลงมาสอดใต้กางเกงนอน
เบสบิดตัวเบี่ยงหนี แต่มือใหญ่ก็ยังกอบกุมความอ่อนนุ่ม
ข้าวโพดเลื่อนมาจูบแก้ม เบสเบี่ยงหน้าหนีพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองด้วยความยากลำบาก
“ข้าวโพดชอบเบสนะ ชอบมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน หลายครั้งที่คิดว่าเบสก็ชอบกลับมาเหมือนกัน แต่ก็ยังมีหลายครั้งที่เบสเห็นว่า เรื่องที่ทำให้...เป็นเรื่องตลก” ข้าวโพดจูบแรง ๆ ที่ริมฝีปากแดงจัด “เบสไม่รู้หรอกว่า กูทรมานขนาดไหน”
เบสคว้าข้อมือใหญ่ที่รูดรั้งแท่งเนื้อจนเริ่มอุ่นร้อน
“สัญญา กับ เรา”
“อะไร”
“รับปากสิ” เบสกัดมุมปากโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าทำให้เลือดในกายของอีกคนเดือดพล่าน
“ได้”
“ทุกอย่าง ที่ ทำกับเรา ห้าม ทำกับใคร”
ข้าวโพดก้มลงจูบริมฝีปากแดง อีกครั้ง ละมือมาแกะกระดุมชุดนอน แล้วหยุดชะงัก
“ไม่มีเจล”
“จะทำถึงขั้นเจลเลยหรือ” เบสทั้งผลักทั้งถีบ “ลามกเกินไปแล้ว”
“งั้นข้างนอกก็ได้” ข้าวโพดยื้อกอดไว้ แล้วจูบไซ้ที่ลำคอขาว
เบสยังคงดันไหล่กว้าง “ไม่”
มือใหญ่จับที่แก่นกายของเบสเร็วเกินกว่าที่เจ้าของจะปิดทัน “แต่เบสแข็งแล้วนะ”
เบสหน้าแดงจัดพยายามแกะมือออก “ก็เพราะข้าวโพดนั่นแหละ ปล่อยเลย”
“อย่าลืมสิว่าเบสเป็นคนเริ่ม” ข้าวโพดก้มลงจูบปาก
แต่การที่มือหนึ่งพยายามแกะมือที่รูดแก่นกาย อีกมือหนึ่งดันไหล่ยิ่งทำให้ทุกอย่างยากกว่าเดิม
“เบสโคตรจะเซ็กซี่เลยว่ะ”
“พอแล้ว”
“ช่วยรูดให้กู”
“ข้าวโพด หยุดพูด”
ข้าวโพดดึงมือขาวที่จับข้อมือหนาเปลี่ยนมาจับที่แก่นกายอุ่นของตนเอง
“ทำแบบที่กูทำให้”
ใบหน้าของเบสยิ่งแดงจัดกว่าเดิม เมื่อสัมผัสความต้องการของข้าวโพด
“ไม่อยากให้กูทำอย่างนี้กับคนอื่นไม่ใช่หรือ” มือใหญ่ลูบไล้แก่นกายสีอ่อน “เพราะงั้นเบสก็ต้องเป็นคนทำให้กู...นะ”
เบสเบี่ยงหน้าหลบจูบ ทั้งไม่ยอมทำในสิ่งที่ข้าวโพดต้องการ
“เบส มึง ใจร้ายว่ะ”
“ข้าวโพด บอก ให้ หยุด พูด หยุดมือ” 
ข้าวโพดขยับลูกขึ้น ไม่สนใจการขัดขืน ยื้อถอดกางเกงนอนของเบสออกจนได้ แล้วจับให้นั่งบนตัก ดันหลังคอขาวให้เงยหน้ารับจูบร้อน ขณะที่อีกมือจับรวบแก่นกายแล้วรูดไปพร้อมกัน
มือขาวที่พยายามจะจับต้นแขนใหญ่ไว้แน่น ทั้งยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้นเมื่อความต้องการไต่ขึ้นถึงระดับสูงสุด แล้วซุกหน้าลงกับไหล่กว้าง
“ให้กูอุ้มไปล้างตัวนะ”
“ไม่ต้อง เราทำเองได้” เบสหันไปมองหากางเกงนอน พยายามไม่หันไปมองอีกคน ที่ยังนั่งอยู่บนเตียง   
พอเห็นกางเกงนอนที่หล่นอยู่ข้างเตียงก็รีบลุกขึ้นมาหยิบแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำไปในทันที
ข้าวโพดรู้สถานะของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองถึงขั้นที่กลับไปล้างตัวที่ห้องนอนแล้วหยิบโน้ตบุ๊กกลับมานั่งทำรายงานอยู่ที่ห้องของเบส
   นานเกือบครึ่งชั่วโมงเบสถึงได้ออกมาจากห้องน้ำและหยุดชะงัก
ข้าวโพดลุกไปดึงมือให้มานอน
“นอนเหอะ เดี๋ยวกูจะนั่งทำรายงานต่อ ถ้าพี่เขามากูจะปลุก กูสัญญา”   
“ข้าวโพด เรา...”
“กูเข้าใจ แต่กูไม่ขอโทษ เพราะว่าเบสเป็นคนเริ่มก่อน” ข้าวโพดห่มผ้าให้เบสแล้วนั่งลงบนเตียง แต่พอจะก้มลงมาจูบแก้ม เบสก็ผลักออก ทั้งลุกขึ้นนั่ง
“แต่คราวนี้เราไม่ได้เริ่ม”
ข้าวโพดยอมรับ “จริงสินะ”
“แล้วข้าวโพดก็สัญญาแล้วด้วย ว่าจะไม่ทำกับใครแบบที่ทำกับเรา”
ข้าวโพดยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะให้ตีความกันตามตัวอักษรเลยหรือเปล่า เพราะยังมีอีกหลายอย่างเลยนะที่กูทำกับคนอื่นได้”
เบสโกรธทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ไปโกรธ เหมือนกับที่เป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อนทั้งที่ไม่ควรจะจูบ แล้วก็ทำให้ต้องกลายเป็นฝ่ายที่ทำอะไรไม่ถูก ขณะที่ข้าวโพดกลับไปเป็นคนเดิมที่คอยตามใจ
เบสหันไปมองนาฬิกา ตอนที่กินข้าวเสร็จแล้วกลับขึ้นมาอาบน้ำประมาณ 1 ทุ่ม และตอนนี้ก็เพิ่งจะ 3 ทุ่ม
ไม่อยากเชื่อเลยว่า ตอนที่กอดกันจะใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง
“ข้าวโพดเคยทำกับผู้ชายมาก่อนใช่ไหม”
ข้าวโพดพยักหน้า “ก็เคยศึกษามาบ้าง”
แต่จากที่รับรู้ด้วยตนเอง ข้าวโพดไม่ได้อยู่ในระดับ ‘ศึกษามาบ้าง’ 
“ช่างเหอะ ข้าวโพดรู้ดีว่า ที่สัญญากันไว้น่ะ เราหมายความว่ายังไง” ทั้งที่ยังไม่ง่วง แต่เบสก็อารมณ์ไม่ดีแบบไม่มีเหตุผลขึ้นมาอีก “จะไปทำรายงานใช่ไหม ไปสิ เราจะนอนแล้ว”
เบสนอนหันหลังให้ ข้าวโพดก็ลุกไปนั่งทำรายงาน
แต่คืนนั้น บลูไม่ได้มาหา

...จบตอนที่ 7...
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-05-2020 21:02:08
ยังซับซ้อน เดาไม่ออก
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 15-05-2020 07:35:20
ซับซ้อน ซ่อนไว้ เงื่อนอยู่ที่ไหนหนอ
ถึงกับต้องลงมือเขียนผังตัวละครกันเลยค่ะ 55555555555
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-05-2020 15:27:16

  :angry2:  อิป้าแจ้งจับลุคข้อหาอะไรได้บ้างคะ ช่างขยันทำบลูของอิป้ามีมลทินซะจริง   :serius2:  :serius2:

อีกคู่นี่เอิ่มมมมม สายซึนรึนี่ เอาลูกเอา แค่ขอให้อย่าให้มีใครเป็นอะไรก็พอ  :mew2:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 15-05-2020 16:13:48
ตอนนี้ี่พี่ลุคกับน้องบลูมาให้หายคิดถึงนิดเดียวเอง :กอด1:

แต่อั๊ยย่ะ :-[ น้องเบสส หนูจะรุกอย่างนี้ไม่ได้นะลูก

ซึนอย่างนี้ ข้าวโพดจะหนีไปไหนได้ :hao3:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 25-05-2020 15:42:08
 :z3: น้องเบสสสสสสสส

ปมเยอะจริงๆ อ่านเเล้วคิดว่าน่าจะใช่ เเต่ไม่ใช่ซะงั้น555555
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: @PurPle SuN@ ที่ 12-06-2020 20:59:47
แปะไว้ก่อนน๊า เดี๋ยวมาอ่านย้อนหลัง
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 12-06-2020 21:00:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 7 (14/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-06-2020 21:07:57
เข้ามาปูเสื่อรอออ
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 12-06-2020 21:31:53
ตอนที่ 8

ประโคแรกที่เบสถามข้าวโพดในตอนที่เจอกันที่โต๊ะอาหารตอนเช้าก็คือ “พี่ไม่ได้มา หรือข้าวโพดแอบหนีกลับไปนอนก่อน”
“โหว...นี่นั่งรอพี่เขาจนเกือบตี 1 เลยนะถึงได้กลับไปนอนห้องน่ะ” ข้าวโพดบ่น “ไม่เคยสนใจกันเลยว่าได้นอนหรือเปล่า”
เบสหน้างอ แต่ยอมรับอยู่ในใจว่าทำตัวไม่มีน้ำใจกับอีกฝ่ายจริง ๆ
ในเวลาเดียวกัน ก็เริ่มสงสัยตัวเอง ว่าทำไมถึงเชื่อทุกคำที่ข้าวโพดบอก ทั้งที่เสียงหนึ่งในใจร้องเตือนว่าอย่าเพิ่งเชื่อทุกคำ แต่อีกเสียงก็ท้วงว่าข้าวโพดพูดความจริง
บลูไม่ได้มาหาจริง ๆ
ทั้ง 2 คนรีบกินอาหารเช้าแล้วรีบออกไปก่อนที่อัจฉราจะลงมาที่ห้องอาหาร เพราะต้องรีบไปที่บ้านของเบสเพื่อเอาของที่ให้แม่บ้านจัดไว้
พอใกล้จะถึงบ้าน เบสก็โทรบอกให้คุณกัลย์เอาของออกมารอที่หน้าบ้านได้เลย
คุณกัลย์กับคนงานชายคนหนึ่งยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน ทันทีที่ก้าวลงจากรถมายืน เบสก็มีอาการเวียนหัวจนต้องเกาะรถไว้
ข้าวโพดเห็นอาการนั้น แต่เพราะคำเตือนจากบลูก่อนหน้านี้ทำให้รีบหันไปทักทายแม่บ้านกับคนงานชายแล้วช่วยกันยกของขึ้นรถ
เบสขอบใจทั้ง 2 คนแต่ไม่ได้ถามถึงแม่ และไม่ได้เข้าไปในบ้าน พอเห็นว่ายกของเสร็จแล้วก็กลับเข้ามานั่งในรถแล้วหลับตา
“เบสบอกแม่หรือยังว่าอยู่บ้านกู”
เบสส่ายหน้า
ข้าวโพดรู้ว่าเบสรักแม่ของเขามาก แต่พอเห็นเบสเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามีเรื่องที่น่าสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากเรื่องที่ไม่สบายยังอาจจะมีสาเหตุอะไรอย่างอื่น ที่ทำให้เบสออกจากบ้านเมื่อ 2 คืนก่อน
“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไร ก็บอกได้นะ”
“เราเวียนหัว แล้วก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก”
ข้าวโพดใช้หลังมือแตะหน้าผากของเบสทันที
“เราไม่ได้ตัวร้อน แค่รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายอีกแล้ว”
“เป็นตั้งแต่เมื่อคืนหรือ”
“อืม ตั้งแต่ตอนที่โทรมาบอกให้เขาเก็บของให้ ตอนแรกก็ว่าจะบอกแม่ด้วยว่าจะค้างกับข้าวโพดอีกคืน แต่พอคุณกัลย์รับสาย เราก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี ก็เลยรีบบอกว่าให้เก็บอะไรมาให้บ้างแล้วก็วางสายไปเลย เมื่อกี้พอเข้าใกล้บ้านก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีอีกแล้ว”
คุณกัลย์คือแม่บ้านที่อยู่กับคุณผกามารดาของเบสมานาน
แต่ตอนนี้เธอเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ข้าวโพดรู้สึกสงสัย แต่ไม่มีความกล้ามากพอที่จะแสดงความสงสัยออกมา
เพราะกลัวคำตอบ
คำถามของข้าวโพดยังเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง เกี่ยวกับประกาศบนบอร์ดที่ตั้งอยู่ข้างทางจากอาคารหอสมุดย่อยมาที่อาคารเรียน
นี่เป็นเรื่องที่เบสเองก็สงสัยมาตั้งแต่วันก่อน พอเดินผ่านบอร์ดครั้งนี้ทั้งคู่ก็หยุดอยู่ที่หน้ากระดาษสีน้ำตาลโดยที่ไม่ต้องสะกิดบอกกัน
ข้อความทุกอย่างในกระดาษแผ่นนี้ยังคงเดิมเว้นแต่วันที่
มันคือวันนี้!
“ข้าวโพด” เบสไม่ได้พูดเสียงดังนัก
แต่ข้าวโพดที่เห็นข้อความในกระดาษแล้วเหมือนกัน รีบคว้าข้อมือของเบสไว้แล้วดึงมือให้รีบเดินต่อมาจนถึงอาคารเรียน ทั้งสองคนก็หันมาพูดพร้อมกัน
“มันเป็นกระดาษแผ่นเดิม”
ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่จะจดจำรายละเอียดของรอยยับ หรือรอยเปื้อนได้ แต่มันคือความมั่นใจ

เมื่อเลิกเรียนและต่อด้วยการทำกิจกรรมคณะ ก็คือเวลา 2 ทุ่ม ความอยากรู้ของเบสทำให้ชวนข้าวโพดไปดูอาคาร06 ของคณะสังคมฯ
กลุ่มอาคารเรียนของคณะสังคมฯ มีอาคารเรียนอยู่ 6 หลัง ตัวอาคารหลัก 2 หลังทางด้านหน้าที่ติดกับถนนหลักเป็นอาคารใหญ่ เว้นช่องว่างระหว่างอาคารด้วยสวนหย่อมกับทางเดิน ส่วนอาคารอีก 3 หลังเป็นอาคารความสูง 2 ชั้น ตัวอาคาร 3 อยู่ติดถนน อาคาร 4 กันอาคาร 5 สร้างเรียงกันเป็นแถวตอนลึก ทั้งมีทางเดินเชื่อมต่อกันระหว่างอาคารที่เป็นห้องสมุดคณะ และกิจกรรมคณะ
จากถนนสายหลักจะมีทางแยกเป็นถนนขนาด 2 เลนเป็นรูปตัวยูจากฝั่งขวาของอาคาร 1 อ้อมไปทางด้านหลัง แล้วออกมาทางระหว่างอาคาร 2 กับอาคาร 3
ลานจอดรถของคณบดีกับอาจารย์อยู่ด้านหลังของอาคาร 1 และ 2 ส่วนลานจอดรถของนักศึกษาจะไปอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของแถวอาคาร 3 ที่เชื่อมกับโรงอาหารเล็ก
ส่วนอาคาร 6 ที่ว่านี้อยู่ค่อนไปทางด้านหลัง หลังสนามบาสที่ไม่เคยเห็นใครมาเล่น และอยู่หลังจากลานจอดรถที่ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครเอารถมาจอด และอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม
คืออาจมีคนเคยมาเล่นบาส และเอารถมาจอดที่นี่ แต่ข้าวโพดไม่เคยเห็น ที่เห็นเป็นปกติก็คือรถของนักศึกษาที่จะจอดเป็นแถวยาวไปตามถนนสายหลักและที่วนรอบอาคารเรียนในนี้
ตอนที่ผ่านมาครั้งแรกยังคิดว่าอาจเพราะต้นไม้ใหญ่จะมียางไม้ หรือมีมูลนกทำให้นักศึกษาไม่อยากจอดรถที่ตรงนี้ ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่าอาคาร06 มีเรื่องเล่าที่เป็นความน่ากลัว และความลึกลับ แต่ทุกเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาข้าวโพดปล่อยผ่านไป เพราะทุกสถาบันการศึกษาก็มีเรื่องเล่าแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ ข้าวโพดกลับจำเรื่องเล่าเหล่านั้นได้ และทำให้ตั้งใจว่าต่อให้ตามใจกันมากขนาดไหน ก็จะไม่ลงไปดู
“แค่ผ่านมาดูเท่านั้นนะ ไม่ลงไป”
เบสไม่รับปาก ข้าวโพดก็ขู่
“ถ้าไม่รับปากก็ไม่ไป”
“ไปดูก่อนไง อยากรู้”
ข้าวโพดใช้คาถาเดิมที่เคยได้ผลมาแล้วหลายครั้ง “ไปดูไว้ก่อน แต่อย่าลงไป ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาพี่บลูเขาจะเสียใจ เขาอุตส่าห์กันเบสให้ออกมาจากอะไรสักอย่างที่บ้านแล้ว ก็อย่าให้มามีเรื่องที่นี่”
พอพูดถึงบลู เบสก็เชื่อฟังโดยดีอย่างที่คาดไว้

ด้วยระบบควบคุมไฟฟ้าจากศูนย์ควบคุมที่อยู่ในสำนักงานของคณะสังคมศาสตร์ ทำให้อาคาร06 เปิดไฟบริเวณหน้าอาคาร และทางเดิน
ห้องเรียนหลายห้องปิดไฟ ปิดประตูเรียบร้อย แต่ยังมีบางห้องที่เปิดไฟอยู่ และยังมองเห็นเงานักศึกษา และอาจารย์อยู่ในอาคารเรียนด้วยซ้ำ
“ไหนไอ้ทีมันบอกว่า อาคารนี้ไม่มีคนเรียนแล้วไงวะ” ข้าวโพดได้ยินเสียงปลดซีทเบลท์ก็หันมาคว้าข้อมือของเบสทันที “เราตกลงกันแล้วไงเบส”
“กลัวอะไร ยังมีคนอยู่ที่อาคาร” มันเป็นความอยากรู้จนผิดปกติ
แต่ข้าวโพดรีบออกรถทันที
“ก็แค่ลงไปดูเดี๋ยวเดียว ไม่มีอะไรหรอก เพิ่ง 2 ทุ่มเอง” เบสพูดขณะที่หันไปมองห้องเรียนที่ยังมีแสงไฟส่องสว่าง
“ถ้าชวนกันมาอาคารนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะรู้จักพี่บลู จะลงไปด้วย แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ” มีแต่เรื่องให้ชวนระแวงอยู่เต็มไปหมด
เบสเข้าใจแล้ว และยิ่งเงียบไปตลอดทาง จนถึงบ้านตอน 3 ทุ่มกว่า อัจฉราเดินออกมารอรับลูกชาย ที่ดูคนรับใช้ยกของ ของเบสขึ้นไปเก็บที่ห้อง
“ขอรบกวนสักระยะนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผกาไม่อยู่ใช่ไหม เมื่อตอนบ่ายมีงานสมาคม แต่เขาไม่ได้ไป ก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่า ถ้าเบสอยู่บ้านกับพวกคนรับใช้แล้วเกิดไม่สบายขึ้นมาอีกจะทำยังไง” อัจฉราหัวเราะเบา ๆ “ที่แม่ออกมารออยู่ก็เพราะตั้งใจว่าเบสไม่กลับมาด้วย จะให้ข้าวโพดวนรถไปรับเสียเลย”
ข้าวโพดทำหน้าเมื่อย “แม่ครับ คราวหน้าแม่คิดเร็วหน่อยนะ ผมไม่เกี่ยงเรื่องวนรถกลับไปบ้านเบสหรอกนะ แต่ช่วงที่ผมวนรถกลับไปรับอาจเกิดอะไรขึ้นกับเบสก็ได้”
“ข้าวโพดเวอร์ละ” เบสบอกแล้วหันมาหาอัจฉรา “รบกวนคุณน้าด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก น้ายินดี ว่าแต่กินอะไรกันมาหรือยังลูก”
“ยังครับ”
“งั้นไปล้างหน้าล้างมือแล้วมากินข้าวก่อน ดึกแล้ว” อัจฉราบอกแล้วหันไปบอกแม่บ้านให้ไปอุ่นกับข้าว
ข้าวโพดให้เบสล้างหน้าล้างมือก่อนเหมือนเคย ในตอนที่ส่งผ้าขนหนูผืนเล็กให้เช็ดหน้า ข้าวโพดก็พูดเบา ๆ
“ขอบใจ ที่ไม่เฉยกับกูต่อหน้าแม่”
เบสมองคนที่กำลังส่งยิ้มกว้างมาให้เหมือนเดิม แล้วเดินออกมารอที่หน้าห้องน้ำ ยืนมองโทรศัพท์ของข้าวโพดที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าห้อง
หน้าจอโทรศัพท์มีสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้ามา แต่หน้าจอล็อกอยู่
ข้าวโพดเดินมา “พาสเวิร์ดคือ P-A-R-A-T ปรัตต์ ชื่อเบสนั่นแหละ”
“ข้าวโพดจริงจังเกินไปแล้ว”
“ขนาดจริงจัง เบสยังคิดว่าพูดเล่นมาตั้ง 2 ปี”
เบสส่ายหน้าแล้วเดินมากินข้าว ไม่ได้ดูข้อความในโทรศัพท์มือถือ และไม่ได้ห้ามที่ข้าวโพดเอาใจ แค่ไม่อยากพูดอะไร
เพราะรู้สึกว่าทุกอย่างที่พูดไปมันผิด และมันไม่ตรงกับใจ ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง
ขอเวลาตั้งสติ ควบคุมความคิดและคำพูดอีกนิด
เบสรู้ตัวแล้วว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับตนเอง ทุกอย่างที่คิด พูดและทำลงไปมันคือสิ่งที่เบสคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะไม่ทำแบบนี้
...
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 12-06-2020 21:35:07
(ต่อครับ)

จัสตินใช้รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เหมือนกับที่ลุคใช้ และดัดแปลงให้ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เหมือนกัน หลังจากที่บลูถูกจับให้ใส่หมวกกันน็อคแบบไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ ก็ถูกจับให้ซ้อนท้ายแล้วมุ่งหน้าไปที่เมืองทางเหนือ
เป็นการเดินทางที่ใช้เวลานานอย่างไม่จำเป็น...ในความคิดของบลู
“เบื่อพวกสสารเคลื่อนที่ช้า จะไปไหนแต่ละทีเรื่องเยอะชะมัด”
“เราจะได้ใช้เวลาในระหว่างการเดินทางคิดว่าจะทำอะไรต่อไป”
“นายคิดมา 400 ปียังไม่พออีกหรือ”
“แต่ 400 ปีมานี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน ฉันไม่อยากพลาดแล้วทำให้เรื่องบานปลาย และไม่อยากทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตอีก”
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขับขึ้นเขาแล้วเลี้ยวออกนอกถนนสายหลักเข้าไปในเขตป่าแล้วหักเลี้ยวอีกครั้งพุ่งลงทางลาดชันไปตรง ๆแล้วจอดนิ่งอยู่ที่หน้ากระท่อมหลังหนึ่ง
ตั้งแต่ก่อนที่ลุคจะขับรถลงทางลาดชัน บลูก็มองเห็นภูติสีดำดวงตาสีขาวตนนี้แล้ว
และในเวลานี้เจ้าภูติตนนี้ก็นั่งอยู่บนหลังคาของกระท่อม 
ทั้ง 3 คนย่อมไม่มีใครเดินผ่านประตูเข้าไปโดยที่มี ‘เจ้าตัวนั้น’ นั่งอยู่ข้างบนแน่ ๆ แต่ตอนนี้ทั้ง 3 คนต่างก็กำลังเกี่ยงกันไล่ ‘เจ้าตัวนั้น’ ออกไป
“ถ้านาย 2 คนไม่ทำอะไรสักอย่างฉันจะกลับแล้วนะ”
จัสตินมีสีหน้าเบื่อหน่าย ขณะที่ยกมือขึ้นโบกเพียงครั้งเดียว ‘เจ้าตัวนั้น’ ก็กระโดดลงมาแล้วเข้าไปอยู่ในกระท่อม
บลูมีสีหน้าเบื่อหน่ายมากกว่าจัสตินขึ้นไปอีก 1 ขั้น และเป็นคนที่เดินนำเข้าไปก่อน
คนที่รออยู่ในบ้านคือคนที่ทำให้บลูต้องหยุดอยู่ประตูกระท่อมนั่นเอง
“เข้ามาข้างในสิ”
คุณย่ามาร์ธา คืออดีตแม่มดสายดำกลุ่มซอว์นีย์ที่แยกตัวออกมาอย่างนั้นหรือ
ลุคที่เดินตามเข้ามาจับไหล่ของบลูเบา ๆ แต่กล่าวทักทายหญิงชราที่นั่งอยู่แล้วเดินผ่านเข้าไปด้านใน ตามมาด้วยจัสติน
ส่วนเจ้าภูติสีดำดวงตาสีขาวตนนั้นนั่งอยู่บนหลังตู้ตัวสูง และจ้องมองบลูอยู่ตลอดเวลา
บลูยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสีฟ้าจ้องมองหญิงชราด้วยความผิดหวัง
“ฉันเสียใจ” หญิงชรากล่าวขึ้นก่อน
บลูเดาะลิ้นแล้วหันไปมองทางอื่น ไม่รับคำเสียใจนั้น
ไม่มีใครโน้มน้าวให้บลูเปลี่ยนใจ เพราะหากต้องพบเจอกับสถานการณ์และความสูญเสียอย่างที่บลูพบเจอก็ไม่สามารถรับคำเสียใจนั้นโดยง่ายเช่นกัน
แต่มาร์ธายังมีเรื่องที่อยากจะชี้แจง
“เข้ามาฟังก่อนสิ” จัสตินบอก บลูแค่หันไปปิดประตูบ้าน แล้วยืนอยู่ห่าง ๆ เหมือนเดิม
“ฉันรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ เพราะครอบครัวไร้ท์ดูแลและให้ความช่วยเหลือฉันมาตลอด แต่ฉันตอบแทนพวกเขาด้วยความเห็นแก่ตัว”
ดวงตาสีฟ้าหันออกไปมองนอกหน้าต่าง เพื่อมองภาพที่อยู่ห่างไกลออกไป หูฟังเสียงจากสถานที่อื่น มีเพียงร่างกายที่ยืนอยู่ตรงนี้
บลูไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในที่นี้โดยสิ้นเชิง ขณะที่ลุคและจัสตินไต่ถามเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้น และสาเหตุที่ทำให้มาร์ธาออกจากกลุ่มซอว์นีย์ ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนมาตลอดเวลาที่ยาวนาน แล้วกลับมาติดต่อกับจัสตินเพื่อขอพบกับลุค
มาร์ธามองบลูที่ไม่รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องนี้ “ฉันเริ่มต้นการเป็นแม่มดด้วยการใช้วิชาพยากรณ์สนับสนุนกลุ่มซอว์นีย์ แต่เพราะฉันไม่เห็นด้วยกับการใช้วิชาทำร้ายคนอื่น จึงค่อย ๆ ห่างออกมาจากกลุ่ม” วิชาพยากรณ์ของมาร์ธาในเวลานั้นถือว่าไม่ได้มีความโดดเด่นจากแม่มดคนอื่นในกลุ่ม การที่เธอถอยห่างออกมาจึงไม่มีผลใด ๆ 
“ในยุคของการล่าแม่มด ฉันที่เป็นแค่หญิงชราพักอยู่ตามลำพังในกระท่อมห่างไกลย่อมถูกสงสัยว่าเป็นแม่มดไปด้วย ทั้งจอร์จและแอนนาต่างก็สงสัยว่าฉันเป็นแม่มด แต่แทนที่พวกเขาจะแจ้งทหารให้มาจับฉันไปเผาทั้งเป็น ครอบครัวไร้ท์กลับซ่อนฉันไว้ และคอยดูแลอยู่ตลอด”
“มีคนถูกจับกุมและเผาทั้งเป็นอยู่ทุกวัน แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ได้เป็นแม่มด กลุ่มซอว์นีย์ก็ทำเหมือนกับแม่มดอีกหลายกลุ่ม คือการทำตัวเป็นคนที่สนับสนุนศาสนจักรชี้ช่องให้จับกุมคนบริสุทธิ์แล้วกล่าวหาว่าเป็นแม่มด คาร่าเองหลังจากที่พึ่งพากลุ่มซอว์นีย์กำจัดศัตรูของเธอไปหลายคนก็ทำให้เธอเริ่มถูกสงสัย เธอจึงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจนั้น จนวันหนึ่งเธอพบกับโอเวนในเมือง เพราะโอเวนมีลักษณะที่อยู่ข่ายที่จะเป็นแม่มด นั่นคือเขาเป็นคนสวย และแตกต่างจากคนอื่นทั้งหมู่บ้าน”
ลุคขยับตัวนั่งหลังตรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการให้คนเล่าเรื่องมีความระมัดระวังถ้อยคำ ขณะที่จัสตินมีรอยยิ้มจาง
“แต่พอเธอตามมาถึงบ้าน แล้วพบจอร์จกับแอนนา เธอก็พบร่องรอยของฉัน แต่ทั้ง 2 คนปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นครอบครัวไร้ท์ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ มาถึงตอนนี้เป้าหมายของคาร่าจึงกลายเป็นโอเวนและฉัน”
“ในเมื่อห่างออกมาจากกลุ่มแล้ว ทำไมคาร่าถึงยังการตามหาคุณอยู่” จัสตินถาม
“เพราะฉันคลายผนึกที่พวกแม่มดใช้จองจำวิญญาณเหล่านั้นได้ หากไม่สามารถชักจูงให้ฉันเป็นพวกเดียวกันได้ ก็คือกำจัดฉัน”
“แต่คุณเชี่ยวชาญวิชาพยากรณ์” จัสตินถาม
มาร์ธาหันมายิ้มให้กับจัสติน “เธอเองก็คงไม่ได้ถนัดเพียงการใช้ดาบยาวคู่เพียงอย่างเดียวใช่ไหม”
และนั่นทำให้มาร์ธาและบลูในเวลานี้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
“ตอนที่คาร่าตามมาพบกับครอบครัวไร้ท์ที่บ้าน ฉันคิดว่าบลูน่าจะได้ยินตอนที่พวกเขาคุยกัน และรู้ว่าจอร์จกับแอนนาพยายามปกป้องฉันอย่างไร และแม้แต่ในตอนที่พวกเขาถูกทรมานให้รับสารภาพ พวกเขาก็ไม่เคยพูดชื่อฉัน” ดังนั้นบลูจึงโกรธมาธาร์มาก และไม่รับฟังคำชี้แจงใด ๆ ทั้งสิ้น
“ตอนที่ทหารมาจับกุมพวกเขา ตอนที่บ้านและสวนถูกทำลาย ฉันได้แต่แอบมองจากที่ห่างไกล มองดูไฟที่ลุกลามเข้ามาที่กระท่อมที่ฉันเคยอยู่ และฉันอยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่ลานประหาร มองดูพวกเขาเผาแอนนากับเกรซ...หลังจากที่โอเวนหายไปได้ไม่ถึงเดือน พวกซอว์นีย์ก็พบฉันที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่ตอนนั้นพ่อมด แม่มดหลายกลุ่มกำลังแข่งขันกันตามหาโอเวน จึงสอบถามฉันเรื่องโอเวน แต่ฉันไม่รู้เพราะว่าได้แต่หลบซ่อนตัว”
“พวกเขาเชื่อที่คุณพูดหรือ” จัสตินถาม
มาร์ธาอธิบาย “แม่มดที่มีวิชารีดเค้นย่อมรู้ว่าฉันพูดจริง และรู้ว่าฉันไม่กล้าต่อสู้กับพวกเขาแต่ก็บังคับให้ทำสัญญาว่าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก เพื่อบังคับให้ฉันไม่รับคลายผนึกวิญญาณ จากนั้นฉันก็ย้ายไปอยู่นอร์เวย์ ต่อมาก็คือสวีเดน และเดนมาร์ก วนเวียนอยู่ใน 3 ประเทศนี้ตลอดเวลาหลายร้อยปี”
เรื่องราวมาถึงตอนที่เธอพบกับคาร่าอีกครั้ง
“ฉันเป็นเพียงหญิงชราเจ้าของร้านขายของเก่าคนหนึ่งเท่านั้น”
ท่ามกลางร้านขายสินค้าที่ระลึกในหมู่บ้านชนบท หญิงคนหนึ่งที่มีดวงจิตของคาร่าเดินเข้ามาในร้านขายของเก่า   ท่ามกลางสินค้านับพันชิ้นในร้าน หญิงสาวคนนั้นเลือกสร้อยเพชรสีเขียวที่เคยเป็นของเธอเมื่อหลายร้อยปีก่อนกลับไป
ขณะที่พนักงานหน้าร้านกำลังลงบัญชีรายการสินค้า หญิงชราเจ้าของร้านลุกจากเก้าอี้นวมในห้องเล็กบนชั้นลอยของร้าน เปิดหน้าต่างห้องออกกว้าง หยิบไม้กายสิทธิ์สีน้ำตาลเข้มวาดออกไปข้างหน้า เพื่อสำรวจการเคลื่อนไหวของสายลมและก้อนเมฆ พยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เธอมองเห็นภาพของความสูญเสียในอดีตที่จะวนกลับมาอีกครั้ง
ครอบครัวไร้ท์จะพบจุดจบแบบเดียวกับที่พวกเขาพบเจอเมื่อ 400 ปีก่อน
มีข้อกังวลมากมายหากเข้าไปขัดขวางจุดจบนี้ และทุกทางที่จะหลีกเลี่ยงล้วนกลับไปที่จุดจบเดิม รวมถึงการที่อาจต้องกลายมาเป็นผู้ถูกล่า แต่มาร์ธาก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีก เธอส่งภูติคุ้มครองประจำตัวออกไปเพื่อให้ขโมยสร้อยกลับมา
แต่ไม่สามารถทำได้!
มาร์ธาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะติดตามมาจนถึงประเทศไทย แต่เมื่อมาถึงก็พบว่า คนของกลุ่มซอว์นีย์อยู่ข้างตัวของคาร่าแล้ว เธอจึงต้องปกปิดร่องรอยและตามหาคนในครอบครัวไร้ท์คนอื่น ๆ จนกระทั่งมาพบเจตน์ที่อยู่ในการคุ้มครองของลุค เมอร์ฟี
หญิงชราส่งกล่องไม้ใบเล็กให้ลุค
“ฉันเอาสร้อยของคาร่าให้พวกเธอไม่ได้ แต่นี่คือเครื่องรางของฉัน โปรดรับมันไว้”
ลุคปฏิเสธที่จะรับเครื่องรางนั้นไว้ เพราะรู้ความหมายของการมอบเครื่องรางประจำตัวให้กับผู้อื่น “อย่างที่คุณเห็น เรามีคนอยู่แค่นี้ เราต้องการคนที่จะมาช่วยสนับสนุนเราในการปกป้องครอบครัวไร้ท์และ...เชส น้องชายของผม”
หญิงชราส่ายหน้า “วิชาของฉันไม่ได้มีไว้ต่อสู้ ไม่สามารถคุ้มครองใครได้ ได้แต่หาทางหลีกเลี่ยงความเสียหาย แต่เครื่องรางของฉันอาจเสริมการทำงานของเธอได้”
จัสตินขัดขึ้น “แต่คุณรู้เรื่องเครื่องรางของแต่ละคน”
มาร์ธาพยักหน้า “เครื่องรางของคาร่าคือเพชรสีเขียวนั่น เครื่องรางของฉันอยู่ในกล่องนี้”
เครื่องรางที่เจ้าของเต็มใจส่งมอบให้ ผู้รับมอบสามารถนำไปใช้ได้ แต่หากทำลายเครื่องรางที่ไม่ว่าเจ้าของจะเต็มใจส่งมอบให้หรือไม่ คือการทำลายเจ้าของเดิมไปด้วย
“แล้วเครื่องรางของโอเวนอยู่ที่ไหน” จัสตินถามตรง แต่หญิงชราไม่ตอบ “แสดงว่าโอเวนคือพ่อมดจริง ๆ”
“โอเวนไม่ใช่พ่อมด” ลุคตอบ
หญิงชราหันมาหาลุค “อะไรทำให้เธอคิดว่าเขาไม่ใช่พ่อมด”
“ก็เพราะเขาไม่ใช่ โอเวนไม่มีวิชา ไม่มีพลังวิเศษอะไรเลย”
ดวงตาขุ่นมัวหันมามองบลู “เด็กคนนั้นถูกทรมานอย่างหนัก เกินกว่าที่คนธรรมดาจะทนได้ แต่เขาก็ไม่ตาย ทั้งยังหายออกไปจากเรือนจำ...ผู้ที่ช่วยเหลือเขาออกไปก็คือนกฮูกตาสีฟ้าตัวนั้น” หญิงชราหันมาหาลุค
คิ้วเข้มขมวดแน่นเมื่อแน่ใจในความสอดคล้องกันที่เกิดขึ้น
“เรามีคำถามมาตลอดว่า โอเวนพบเจอกับอะไร” จัสตินถาม “เพราะตั้งแต่ตอนที่ลุคกลับไปที่หมู่บ้าน เพื่อส่งวิญญาณแม่ของเขา ก็ได้ยินแต่คำว่าเขาถูกทรมาน ไม่มีบันทึกรายละเอียด”
มาร์ธาหันมาหาจัสติน “เธอสามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดจะถูกทรมานอย่างไร”
ลุคส่ายหน้า “โอเวนไม่ได้ถูกทรมานเพื่อให้สารภาพว่าเป็นพ่อมด เขาถูกทรมานเพื่อให้บอกที่ซ่อนของคุณ”
มาร์ธาชะงักแล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือ
“ในตอนถูกจับกุม พวกเขาชี้ว่าแอนนา และเกรซคือแม่มด ส่วนโอเวนคือผู้สงสัย เขาถูกทรมานเพื่อให้ยอมรับว่าแม่กับน้องคือแม่มด และบอกว่าคุณอยู่ที่ไหน แต่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เพราะว่าเขาถูกทรมานอย่างหนักแล้วยังไม่ตาย ทั้งยังหายออกไปจากคุกใต้ดิน เขาจึงกลายเป็นคนที่ถูกตามล่ามาตลอด 400 ปี” จัสตินบอก
“มาร์ธา ได้โปรดช่วยโอเวน ด้วยการบอกเราเรื่องเครื่องรางเหล่านั้น” ลุคช่วยอีกแรง
มาร์ธาเงยหน้าขึ้น แตะที่กล่องไม้ใบเล็กนั้น “เก็บมันไว้ก่อน”
มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วที่พุ่งตรงเข้ามา ลุคตรงเข้ามาคว้าตัวบลูให้ออกมาพ้นจากประตู ขณะที่จัสตินรีบเก็บกล่องไม้ไว้ใต้เสื้อคลุมแล้วก้าวมายืนขวางทุกคนไว้
ชัดเจนว่าบลูเพิ่งจะดึงการรับรู้ทั้งหมดกลับมาที่ปัจจุบัน เพราะเหลียวมองไปรอบตัวด้วยสีหน้างุนงง แล้วมาหยุดที่คนที่กอดอยู่ จากนั้นก็หันไปทางประตูของกระท่อม
“มีคนมาทางนี้” ลุคบอก “อยู่กับมาร์ธานะ”
ดวงตาสีฟ้าเงยหน้าขึ้นมอง
ถ้อยคำที่สื่อผ่านดวงตาชัดเจนว่า บลูจะไม่ยอมอยู่ข้างหลัง
มือเหี่ยวย่นดึงมือบลูให้มาอยู่ด้วยกัน ส่วนลุค จัสติน และภูติสีดำออกไปรอผู้มาเยือนอยู่ด้านนอกกระท่อม
บลูหันมามองมือเหี่ยวย่นที่แตะอยู่
“ฉันขอโทษที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ทำให้เกิดเรื่องร้ายขึ้น”
อาการชาเกิดขึ้นจากตำแหน่งที่ถูกจับอยู่จากนั้นบลูก็หมดสติ หญิงชราประคองไปนอนพักที่เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่เมื่อครู่ จัดท่าทางให้นอนสบายแล้วร่ายคาถาอำพราง จากนั้นจึงออกมาสมทบกับผู้ที่อยู่ด้านหน้ากระท่อม

ที่ด้านหน้ากระท่อม ภูติสีดำ ลุค และจัสตินมองนกปีศาจตัวใหญ่ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยดวงตาของมนุษย์กำลังพุ่งตรงเข้ามาหา แต่เมื่อเข้ามาใกล้ก็เปลี่ยนร่างเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีน้ำตาลเข้ม กระแทกไม้เท้ารูปร่างคดงอลงกับพื้นดิน
“ลุค เมอร์ฟี มือปราบแห่งโดมซ้ายวาติกัน ฉันไม่ควรแปลกใจที่เจอกับนายที่นี่ แต่ก็ยังแปลกใจอยู่ดี”
ลุคยกยิ้มมุมปาก “แบร์รี่ บราวน์”
โดยธรรมเนียมของการต่อสู้เมื่อฝ่ายหนึ่งขานชื่อและตำแหน่งของคู่ต่อสู้แล้ว คู่ต่อสู้ก็จะทำเช่นเดียวกัน บางโอกาสหมายถึงการให้เกียรติคู่ต่อสู้ แต่ในบางโอกาสกลับหมายถึงการดูหมิ่นว่าอีกฝ่ายไร้ความสามารถ
แต่การที่ลุคเรียกชื่อและนามสกุลของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยคือการดูหมิ่น
“ส่งตัวแม่มดในกระท่อมนั่นออกมา!” แบร์รี่ข่มขู่
ลุคสะบัดมือหนึ่งครั้งปรากฏพลองเงินขนาด 2 ฟุตในมือทั้ง 2 ข้าง ส่วนจัสตินกล่าวคาถาปรากฏดาบไขว้ที่กลางหลัง ชายหนุ่มดึงดาบออกจากฝักเตรียมพร้อม
แบร์รี่ก้าวถอยหลัง ปล่อยกระแสลมแรงต้านทานลุคที่พุ่งเข้าหาในทันที ทำให้ลุคต้องลอยตัวอยู่สูงจากพื้นดินมากกว่า 2 เมตร
จัสตินวาดดาบในมือเป็นวงกลมซ้อนกัน 2 วงแล้วตรงเข้าหา แบร์รี่จึงผลักลุคออกไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ เกิดช่องว่างให้จัสตินเข้ามาถึงตัว แบร์รี่ใช้ไม้เท้ารับดาบคู่ที่ฟันลงมา ภูติสีดำสนับสนุนจัสตินด้วยการลดการมองเห็นของแบร์รี่ลง
ประตูกระท่อมเปิดออก มาร์ธาเดินออกมาจากบ้านช้า ๆ ลุคที่วิ่งมาจากอีกทางหนึ่งใช้ตัวบังไว้
“กลับเข้าไปข้างใน”
มาร์ธาแตะที่แขนของคนที่ยืนขวาง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียง 2 คน
“ถ้าฉันกลับเข้าไปข้างใน เธอจะต้องเสียคนที่อยู่ข้างในไปพร้อมกับฉัน”
ลุคเข้าใจเจตนาของมาร์ธาว่าเธอต้องการละทิ้งร่างกายนี้
มาร์ธามีวิชาพยากรณ์ จึงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอพยายามคิดหาทางหลีกเลี่ยงแล้ว แต่ทั้งหมดก็ยังมีจุดจบเหมือนเดิม เธอจึงหาทางจึงติดต่อกับจัสติน และเร่งให้พาลุคมาหา!
หากเปรียบชีวิตนั้นเหมือนสายน้ำ วิชาพยากรณ์คือการมองไปล่วงหน้าว่าสายน้ำนั้นผ่านไปที่ใดบ้าง และหากเข้าไปขัดขวาง สายน้ำก็จะเปลี่ยนเส้นทาง ผู้รู้วิชานี้จึงมักลดความเสียหายร้ายแรงด้วยการขุดลำคลองเล็ก ๆ บรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
แบร์รี่เห็นมาร์ธาแล้ว แต่การต่อสู้กับจัสตินและภูติสีดำยังอยู่ในช่วงคับขัน
มาร์ธาเรียกภูติสีดำ แต่ทันทีที่ภูติตัวเล็กหยุดการสนับสนุนจัสติน พลังดาบของจัสตินก็ลดความดุดันลงมากกว่าครึ่ง ทำให้ถูกกระแทกกลับไป
จัสตินพลิกตัวบ้วนเลือด จะเข้าไปสู้กับแบร์รี่ต่อ แต่มาร์ธาใช้คาถาเรียกตาข่ายคลุมเธอกับแบร์รี่ไว้เพียงสองคนแล้วร่ายคาถาเรียกลูกไฟโจมตีแบร์รี่
ตาข่ายที่มาร์ธาเรียกมา เป็นตาข่ายที่นอกจากจะกักทั้งคู่ไว้ภายในแล้ว ยังกักพลังและเสียงที่เกิดจากการต่อสู้ไว้ภายในด้วย เมื่อแบร์รี่ซัดพลังตอบโต้ทำให้ลูกไฟของมาร์ธาแตกกระจายแล้วเพิ่มจำนวนอยู่ภายในตาข่าย เมื่อลุกไฟนั้นปะทะกับผนังด้านในก็แตกกระจายเพิ่มจำนวนขึ้นไปอีก
แบร์รี่ประสบความสำเร็จในการป้องกันลูกไฟได้ไม่ถึงนาที เพราะเมื่อจำนวนของลูกไฟเพิ่มจำนวนมากขึ้นหลายเท่าตัว ก็ไม่สามารถป้องกันตนเองได้อีก ไฟของแม่ลดลุกไหม้ลามไปทั่วตัว
เสียงร้องของแบร์รี่ไม่สามารถลอดผ่านออกมาได้ก็จริง แต่ความทรมานนั้นมองเห็นได้ชัดเจน
ขณะที่มาร์ธาไม่สนใจลูกไฟที่หวนกลับมาทำร้ายเธอเอง ยังคงซัดลูกไฟใส่แบร์รี่อย่างต่อเนื่อง
จัสตินหันมามองลุคที่กำมือแน่นสีหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้
ทั้ง 2 คนได้แต่ยืนมองไฟที่ลุกไหม้ท่วมผู้ที่อยู่ภายในจนทั้งคู่ล้มลงแล้วกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ภายใน เมื่อตาข่ายที่คลุมอยู่หายไป เถ้าถ่านของทั้งคู่ก็สลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดิน ภูติสีดำคุกเข่าทั้ง 2 ข้างลงข้างตำแหน่งที่มาร์ธาเคยอยู่ ก้มหน้าลงกับพื้นแล้วสลายร่างตามไป
จัสตินหันไปมองในกระท่อมแล้วส่งเสียงในลำคอโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา
มาร์ธาต้องผนึกบลูไว้อย่างแน่นอน เพราะหากแบร์รี่เห็นบลู ก็จะเท่ากับว่าทุกคนในกลุ่มก็จะเห็นบลูไปด้วย
แต่เพราะเธอไม่ใช่แม่มดสายการต่อสู้ ทั้งการผนึกบลู และการเรียกลูกไฟล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อน จึงอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ แต่จะเป็นไรไปในเมื่อเธอเจตนาจะฆ่าตัวตายมาตั้งแต่แรก
วิธีการของเธอจึงโหดร้ายจนทั้ง 2 คนที่ผ่านการสู้รบมามากยังตกใจ
ลุคที่เดินเข้าไปในกระท่อมไม่สามารถมองเห็นบลูด้วยตาเนื้อ ทั้งไม่สามารถใช้คาถาเรียกหา
เพราะความสามารถในการพยากรณ์และการพรางตนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เอง กลุ่มซอว์นีย์จึงปล่อยแม่มดมาร์ธาไว้เป็นทางเลือกของกลุ่ม
จัสตินหยิบกล่องไม้ที่เก็บไว้จากในเสื้อออกมาส่งให้ลุค
ภายในมีไม้กายสิทธิ์ความยาว 1 ฟุต ลุคหยิบมาวาดออกไปข้างหน้า จึงเห็นบลูที่นอนอยู่ที่เก้าอี้โยกตัวที่มาร์ธานั่งอยู่ก่อนหน้านี้
ชายหนุ่มอุ้มบลูออกไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ขณะที่จัสตินเผาทำลายกระท่อมหลังนั้นจนแน่ใจว่าไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ไว้อีกจึงขับรถตามออกมา

บลูตื่นนอนภายในห้องคอนโดฯของตนเอง
เป็นห้องกลาง ไม่ใช่ห้องนอน และคนที่พามาก็กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในส่วนที่เป็นห้องครัว
ห้องนี้มีเครื่องครัวตั้งแต่เมื่อไหร่
ห้องมีแต่เครื่องเรือนที่คอนโดฯ ตกแต่งไว้ให้ มีตู้เย็นและเตาไฟฟ้า แต่ไม่มีเครื่องครัว รวมถึงจาน ชาม เก้าอี้ แก้วน้ำ ทุกอย่างที่คน ๆนั้นกำลังใช้อยู่
“กลิ่นอาหารรบกวนนายหรือ” คนที่กำลังกินอาหารทำท่าจะลุกขึ้น แต่บลูชี้บอกให้กินต่อไป
“จัดการให้เสร็จภายใน 5 นาที” จากนั้นก็ลุกเข้าไปในห้องนอน
แต่ลุคใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งต้องมานั่งรออีกฝ่ายอีกเกือบครึ่งชั่วโมง บลูถึงได้ออกมาจากห้อง
เจ้านกฮูกตาสีฟ้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย โดยรวมแล้วถือว่าอยู่ในสภาพที่ ‘ดีมาก’ ยกเว้นสีหน้าไม่พอใจ
ตอนที่ตื่นนอนขึ้นมาบลูกังวลว่าลุคจะเข้าไปในห้องนอน จึงรีบเข้าไปตรวจสอบก่อน เมื่อพบว่าลุคไม่ได้เข้ามาห้องนี้ก็ลดความกังวลลง แต่พอออกมาเห็นรอยยิ้มกว้างกับเครื่องเรือนหลายอย่างที่เพิ่มขึ้นมาก็ทำให้อารมณ์ไม่ดี
“ของพวกนี้ ยังไงกัน”
“ฉันชวนนายไปอยู่ที่ร้านกาแฟด้วยกันแล้วนายไม่ไป ก็เลยให้ผู้ช่วยของฉันช่วยจัดการเรื่องนี้ให้”
บลูหันไปมองข้างนอก พยายามควบคุมตนเองไม่อาละวาดก่อนที่จะถามเรื่องที่อยากรู้
“ลุค เมอร์ฟี นายรู้จักคำว่ามารยาทไหม”
ลุคยิ้มกว้างยอมรับคำตำหนินั้นโดยไม่โต้แย้ง
“แม่มดแก่คนนั้น...เป็นไงบ้าง”
...เพราะเขาเป็น ‘คน’ แบบนี้ ถึงได้รักเขาเพียง ‘คน’ เดียวมาตลอดเวลาที่ยาวนาน
ลุคเดินมากอดบลูไว้ คนที่อยู่ในอ้อมกอดฝืนตัวอยู่ชั่วอึดใจก็ถามขึ้น
“เธอ ตายแล้วหรือ”
ลุคพยักหน้า “มาร์ธามีวิชาพยากรณ์ และคาถาพรางตน เธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงออกมาจากที่หลบซ่อนและมีความตั้งใจที่จะทำอย่างนี้มาตั้งแต่แรก ฉันพยายามโน้มน้าวให้เธอเปลี่ยนใจ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในกระท่อม แล้วพอแบร์รี่ พ่อมดกลุ่มซอว์นีย์มา...”
“นายรู้จักพ่อมดคนนั้นไหม”
“เคยสู้กันครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ที่ฝรั่งเศส”
บลูพยักหน้าให้ลุคเล่าต่อ
“พวกเรา คือฉัน จัสติน กับภูติสีดำของมาร์ธาสู้กับแบร์รี่ แล้วมาร์ธาก็ออกมาจากกระท่อม ฉันถึงได้รู้ตัวว่าฉันจับการมีอยู่ของนายในกระท่อมไม่ได้ เมื่อมาร์ธายืนยันทางเลือกของเธอเองอีกครั้ง ฉันจึงยอมให้มาร์ธาสู้กับแบร์รี่ แล้วพวกเขาก็ตายไปพร้อมกัน”
บลูกอดเอวหนา ซุกหน้าลงกับอกกว้าง “นายถอนคาถาของแม่มดไม่เป็นหรือไง”
ลุคยอมรับโดยดีว่าทำไม่เป็น “ตอนที่อยู่ในกระท่อม เขาย้ำหลายครั้งให้เก็บเครื่องรางไว้ เราจึงได้ใช้เครื่องรางนั้นค้นหานายในกระท่อม พอเจอฉันก็รีบพานายกลับมาที่พักที่นี่ คิดว่าพอถึงเวลา นายก็คงจะฟื้นขึ้นมาเอง”
ที่จริงลุคก็พอจะรู้วิธีแก้ไขให้บลูฟื้น แต่คิดว่าปล่อยให้พักผ่อนให้เต็มที่ น่าจะดีกว่า
อย่างน้อยถ้าได้นอนเต็มอิ่มอาจจะโดนอาละวาดน้อยลง
...
...
...
บลูกระทืบเท้าลงบนหลังเท้าของลุคเต็มแรง แล้วพอลุคถอยหลังบลูก็ชกอีก 2 หมัดซ้อน ตามมาด้วยลูกถีบ
การถูกซ้อมในคอนโดฯ หนักกว่าตอนถูกซ้อมที่ร้านกาแฟหลายเท่า
บลูกระชากคอเสื้อของลุคลงมาหา
“ครั้งต่อไป ที่ฉันถูกกันออกมาจากการต่อสู้ ไม่ว่าจะเพราะฉันหมดสติ ถูกมัด หรือด้วยคาถาอำพราง จะเป็นวิชาห่าเหวอะไรก็ตาม! ฉันจะอัดนายให้น่วม จนนายซ่อมตัวเองไม่ทันเลยคอยดู!”   
ปัญหาก็คือไอ้คนที่ถูกซ้อมกลับเข้าใจความโกรธ ความไม่พอใจและคิดว่าตนเองสมควรที่จะโดนซ้อมนี่สิ
ลุคดึงใบหน้าคนขู่เข้ามาจูบแล้วพลิกตัวลงมากอดคร่อมตัวบนโซฟาเบดตัวนั้น 
บลูดึงหูคนคลั่งจูบจนลุคต้องร้องโอดโอย
“ลุค เมอร์ฟี! นายมันหน้าด้านจนไม่รู้จะเปรียบกับอะไรแล้ว!” บลูลุกขึ้นยืนและทำให้ลุคต้องลุกขึ้นตามไปด้วย
“เจ็บ บลู ปล่อยก่อน!”
“ไม่” บลูดึงหูลง จากนั้นก็ยกขึ้น
“บลู เจ็บ เจ็บ”
“ตอบมา เข้าใจที่ฉันบอกไหม”
“เข้าใจ โอ้ย! บลูอย่าดึง”
“เข้าใจว่า...”
“ห้ามกันนายออกจากการต่อสู้อีก ไม่อย่างนั้นนายจะอัดฉัน”
บลูปล่อยมือ แล้วยิ้มขำมองลุคที่กำลังลูบใบหูที่ถูกดึงจนแดงจัด
“เวลาที่หูหลุด ต้องใช้เวลาเป็นวันเลยนะกว่าที่มันจะงอกขึ้นมาใหม่น่ะ”
“จริงหรือ อยากเห็นตอนมันงอกขึ้นมาใหม่ ขอทดสอบได้ไหม”
ลุคปิดใบหูทั้ง 2 ข้าง “อย่าทดสอบเลย เจ็บมากจริง ๆ นะ”
บลูไม่ค่อยยิ้ม และเมื่อเขายิ้ม ก็อยากรักษารอยยิ้มนี้ไว้นาน ๆ

“นายมันบ้า ลุค เมอร์ฟี”
เมื่อ 400 ปีก่อนนายเป็นอย่างไร จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ฉันรู้ว่านายยอมถูกฉันอัดจนน่วม แต่จะไม่ยอมให้ฉันต้องไปต่อสู้กับใคร
ยิ่งมาร์ธาสละชีวิตเพื่อปกป้องฉัน มันยิ่งชัดเจนว่าจุดจบของฉันอยู่ไม่ไกล
นายนี่มัน...ลุค เมอร์ฟี่จริงๆ
“ไปหาเกรซ และเชสกันไหม”

...จบตอนที่ 8...
ขอรีพลายกันคนละเล็กละน้อยต่อความหวังกำลังใจของคนเขียน
กราบขอบคุณครับ
JiveTea
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 13-06-2020 09:56:23
แปะ เดี๋ยวไปอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 13-06-2020 11:00:36
"เพราะเขาเป็น"คน"แบบนี้ จึงรักเขาเพียง"คน"เดียวมาตลอด
อ้าว ไหนบอกว่ารักโอเวนงัย  ประโยคนี้กล่าวถึงใครนะลุค ^_^

ขอบคุณคนแต่งมากค่าาา
 :L2:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 13-06-2020 11:50:00
เก่งทุกอย่างมาเเพ้คนดึงหู..5555 อ่านตอนดึงหูเเล้วได้ฟิลพ่อบ้านเมียเผลอ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 13-06-2020 12:08:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 13-06-2020 15:07:17
 :katai2-1:   :katai2-1:  :katai2-1:

บลูทำดีมากลูก โฮ๊ะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ  เอาคืนได้สักที

ว่าแต่มาลุ้นว่าโอเวนน้องจะมาตอนที่เท่าไหร่ พร้อมๆกับความสงสัยว่าใครคือนายเอก  :mew1:


ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 13-06-2020 21:21:57
โอเวนหายไปไหนนะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: yupinka ที่ 13-06-2020 22:48:22
ขอบคุณคนแต่งมากค่า
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 14-06-2020 13:11:14
ถ้าโอเวนไม่ใช่พ่อมด แล้วโอเวนออกจากที่คุมขังไปได้ยังไงหนอ
ภาวนาให้โอเวนเป็นคนธรรมดา และตายไปจากร่างเดิมที่ถูกทรมาน
และมาเกิดใหม่โดยลืมความทรงจำเดิมให้หมด :monkeysad:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 16-06-2020 12:06:01
ทางออกอยู่ตรงไหน แล้วจะแก้ไขโชคชะตาที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียในอนาคได้ยังไงละนี่ :เฮ้อ:

ลุ้นกันต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

แต่ชอบโมเม้นต์น้องบลูดึงหูอ่ะ มีความเป็นพ่อบ้านกลัวเมียนะนี่พี่ลุค :hao3:

ขอบคุณน้องน้ำชาที่มาต่อจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 23-06-2020 11:53:17
 :z2: รอ ร้อ รอ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-06-2020 19:50:04

 :L1:   มาปูเสื่อรอแล้วจ้า  :L1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-06-2020 11:32:22


วันนี้จะมาไม๊น๊ออออ  / รอจ้า  /   :L2:  :L2:






หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 24-06-2020 11:51:16
อยากอ่านต่อแล้วววว

คิดถึงน้องงง :3123:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 24-06-2020 14:29:03
สนุกค่ะ
ติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 24-06-2020 17:33:48
ลุคหูจะหลุดแล้วมีครั้งต่อไปหลุดแน่ๆแต่เอ๊ะ..ยังไม่เคลียร์คำพูดเลยใครดีมาก?รักใคร?
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 8 (12/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 26-06-2020 10:45:12

.........................   มายังเอ่ย   ..................

..........  มาลุ้นน้องนกฮูก .................


 :L1:  :L1:

หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 27-06-2020 11:02:29
ตอนที่ 9

เบสนั่งรอข้าวโพดอยู่ที่โต๊ะใต้อาคารเรียน ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน และรุ่นพี่รุ่นน้องเหมือนเคย ทำให้มองเห็นตั้งแต่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่เลี้ยวเข้ามา แล้วจอดที่หน้าอาคารเรียน จากนั้นบลูก็ลงจากเบาะนั่งด้านหลัง ส่งหมวกกันน็อคส่งให้คนขับที่สวมแจ็คเก็ตหนังสีดำแล้วเดินนำมาก่อน
ทุกครั้งที่เจอกันบลูมักจะสวมชุดสีขาว แต่วันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อสีฟ้าอ่อนจนเกือบขาว กับกางเกงสีดำ แต่ก็ยังคงมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น
คนที่สวมแจ็คเก็ตหนังกับยีนส์สีดำที่เดินตามมานั่นก็เหมือนกัน
“แก พี่บลูมา” บรรดาคณะพรรคพวกใต้ถุนตึกหันมาเม้าท์ทั้ง 2 คนที่กำลังเดินมาทางนี้
“พี่บลูโคตรสวยว่ะแก”
“คนที่มากับพี่เขาก็หล่อ แต่ท่าทางจะเป็นฝรั่ง”
“พูดไทยได้ไหมเนี่ย”
“แกก็ลองทักดูสิ”
เบสไม่อยากให้บลูได้ยินเสียงนินทาเหล่านี้รีบลุกขึ้นยืนจนนานาต้องเตือนให้รักษาฟอร์มไว้บ้าง เบสที่กำลังจะวิ่งไปหาพี่ เลยต้องเปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ทั้ง 2 คน
“พี่สวัสดีฮะ หายไปหลายวันเลย”
บลูจับศีรษะเล็ก ๆ “เป็นไงบ้าง เพื่อนเราดูแลดีไหม”
เบสเก้อเขิน ทั้งเขินพี่ เขินคนที่มากับพี่ และทุกคนที่กำลังมองดูอยู่ “ดีฮะ ไม่ปวดหัว ไม่เพลียแบบนั้นแล้ว”
บลูไม่ได้อยากแนะนำคนที่มาด้วยสักเท่าไหร่ แต่เพราะว่าคนนั้นยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ก็เลยต้องแนะนำ
“นี่คือลุค เขาเป็นมือปราบ จะมาช่วยพวกเรา”
“ขอบคุณนะฮะ แล้วก็ขอโทษที่รบกวน” เบสหันไปยกมือไหว้ขอบคุณ
“เธอไม่ได้รบกวนฉันหรอก” ลุคมองไปที่กลุ่มนักศึกษาที่อยู่ใต้ถุนอาคารเรียน “อีกคนล่ะ”
“อีกคน?”
“เพื่อนเรา เจ้าของรถสีน้ำตาลน่ะ” บลูบอก
“อ๋อ ข้าวโพดหรือฮะ เขาเอาของไปส่งที่ห้องชุมนุม เดี๋ยวก็มา ผมรอเขาอยู่เหมือนกัน” เบสกระตุกแขนเสื้อของบลู “ผมมีเรื่องอยากให้พี่ช่วย แต่รอข้าวโพดมาแล้วค่อยบอกทีเดียวดีกว่า”
บลูเลิกคิ้วสูงแล้วหันไปมองลุค
“มีอะไรหรือฮะ”
“มี แต่เธอจะรอเพื่อนก่อนไม่ใช่หรือ”
“ไม่เข้าไปนั่งข้างในหรือ” ลุคถาม
เบสรีบส่ายหน้า “อย่าเลยฮะ พวกนั้นกำลังนินทาพี่ 2 คนอยู่”
บลูมีรอยยิ้มจาง ขณะที่ลุคหัวเราะเบา ๆ
“ผมโทรไปเร่งข้าวโพดดีกว่า”
แต่ยังไม่ทันที่เบสจะกดโทรศัพท์ ข้าวโพดกับนทีก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนมาถึงพอดี
บลูหรี่ตามองข้าวโพดแล้วหันขวับมาหาเบส
“พี่ฮะ คือผม...”
บลูตรงดิ่งไปหาข้าวโพดทันที มือผอม ๆ นั่นผลักอกจนข้าวโพดเซ หากนทีไม่รีบรับไว้คงได้ลงไปนั่งงงอยู่กับพื้น
“พี่ ไม่มีอะไรจริง ๆ นะฮะ” เบสเข้าไปขวางระหว่างบลูกับข้าวโพด
“บลู ใจเย็น ๆ”
“ผมชอบเบส” ข้าวโพดพูดเสียงดัง “ผมชอบเขามาก ผมเลิกชอบเขาไม่ได้ ผมขอโทษ”
บลูก้มลงมองเบสที่ยังยืนขวางอยู่
“พี่...ผมขอโทษ”
เป็นสถานการณ์ที่ทำให้กลุ่มคนที่กำลังแอบฟังเขาคุยกันต้องงุนงงไปทั้งกลุ่ม เพราะเห็น ๆ อยู่ว่าคุยกัน หัวเราะกันดีอยู่แท้ ๆ ไม่ได้ยินว่าเบสจะฟ้องอะไรพี่สักคำ แต่พอข้าวโพดมาถึง ก็ถูกพี่พุ่งเข้าไปผลักอกเสียแล้ว
“ไปหาที่เงียบ ๆคุยกันดีกว่า” ลุคเสนอ
ข้าวโพดหันไปบอกกับนทีและเพื่อน ๆ ว่าให้กลับไปก่อน จากนั้นก็บอกว่า ตรงข้างสระน้ำใกล้สวนเพาะชำเวลานี้ไม่ค่อยมีคนแล้ว ไปคุยที่นั่นก็ได้
“เดี๋ยวฮะ ผมไปเอากระเป๋าก่อน” เบสรีบวิ่งไปเอากระเป๋าเรียน ก้มหน้าก้มตาไม่สบตาใคร แต่รับรู้ความเป็นห่วงของเพื่อน นานาคว้าข้อมือของเบสไว้
“ไม่เป็นไรนะเบส ใจเย็น ๆ ค่อย ๆพูดกับพี่เขา”
ตอนที่เบสเดินออกไป  นทีที่เดินเข้ามาหันไปพยักหน้ากับนานาทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มหันมาซักถามด้วยความสงสัย
“2 คนนี้รู้อะไรแล้วไม่ยอมบอกเพื่อน”
แต่ทั้ง 2 คนต่างก็ไม่ยอมบอกเกี่ยงให้รอถามจากเบสและข้าวโพดเอาเอง
“อะไรของแกวะ” เพื่อนโวยวาย
“ก็เขาคุยกันอยู่ ไม่เห็นหรือไง” นทีบอกแล้วหันไปหานานา “กลับบ้านกันได้แล้ว”
“เดี๋ยว ๆ นที แกชวนนานากลับบ้านงั้นหรือ” ปายตกใจ “อะไร ยังไงกันวะเนี่ย”
นานาปวดหัว เรื่องนั้นไป เรื่องนี้มา “อย่าเพิ่งสงสัยอะได้ไหม แยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้ว ใครจะติดรถไปลงที่ไหน ตามมาเลย”
“แหม เราก็คิดว่าจะมีเซอร์ไพรซ์” แหม่มบ่น แล้วเดินตามมาด้วย “ตกลงข้าวโพดกับเบสนี่ยังไงกันแน่นะ เขาคบกันหรือแค่เพื่อนกัน แล้วทำไมพี่บลูถึงโกรธ ฉันต้องกินแห้วจริง ๆใช่ไหม”
“ไว้ค่อยไลน์ถามข้าวโพดดูก็ได้” ปายแนะนำเพื่อน
แต่ก่อนที่จะแยกกันกลับบ้าน นทีก็หันมาสบตากับนานาอีกรอบ

ที่จริงในใจของเบสมีเรื่องที่อยากถามเกี่ยวกับความลึกลับที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้มีเรื่องที่ควรทำความเข้าใจกันก่อน
ข้าวโพดเดินนำไปจนถึงโต๊ะหินอ่อนข้างสระน้ำ เป็นโต๊ะที่แยกเดี่ยวออกมาห่างจากโต๊ะอื่น
บลูที่มีสีหน้าเครียดมากไม่ได้นั่งลง ทำให้ทั้งข้าวโพดและเบสได้แต่วางกระเป๋าเรียนไว้แล้วยืนอยู่ข้างกัน ส่วนลุคนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนตัวหนึ่ง แต่เพราะขายาวเกินไปทำให้ต้องนั่งหันหลังพิงขอบโต๊ะ คอยดูว่าบลูจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“ทำไมพี่รู้” เบสถามขึ้นก่อน
บลูเดาะลิ้น กลอกตามองบน ไม่อยากอธิบายว่าเป็นเพราะเบสมีไอชีวิตเป็นสีชมพูจาง ๆ แบบที่เรียกว่าเครป (crepe) เป็นสัญลักษณ์ที่ติดตัวข้ามภพ ส่วนข้าวโพดมีไอชีวิตเป็นสีส้มแบบที่เรียกว่าน้ำผึ้ง (honey) ตอนที่เห็นเบสหน้าตึกก็มองเห็นไอสีส้มนั้นซ้อนอยู่กับไอชีวิตของเบส ก็นึกสงสัยอยู่ แต่พอข้าวโพดมาแล้วเห็นว่าไอชีวิตของเบสไปซ้อนอยู่กับไอชีวิตของข้าวโพดก็รู้สึกโมโห
เมื่อเห็นว่าบลูไม่ยอมตอบ เบสก็เขย่าแขนเร่ง “พี่”
“ที่ฉันให้ข้าวโพดดูแลเธอ ก็เพราะรู้ว่าเขาชอบเธอ แต่ไม่ได้อนุญาตให้ทำอะไรเธอ”
การที่บลูไม่อธิบายเรื่องไอชีวิตของมนุษย์ไม่ได้เหนือความคาดหมายของลุค แต่การที่พูดตรง ๆเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 คนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก
“พี่...” เบสเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
“เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” บลูถาม
“ผมเริ่มก่อนฮะ” เบสสารภาพ
แต่ข้าวโพดรีบแย้ง “เบสกำลังโมโห แล้วผมก็ฉวยโอกาสเอง”
คราวนี้คนที่อึ้งไปคือบลู
“เราแค่จูบกัน แล้วก็...มือ...” ข้าวโพดก้มหน้าสารภาพ
ได้ยินเสียงหัวเราะของคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ที่ดังขึ้นมาอย่างไม่รู้กาลเทศะ

เมื่อนานมาแล้ว เชสชอบเกรสอย่างแน่นอน และความทรงจำเหล่านั้นก็ติดตามมาจนถึงวันนี้ เมื่อมารวมกับความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยเหลือจนทำให้เกรสต้องตายอย่างทรมาน เชสในวันนี้ถึงได้คอยดูแลและยอมลงให้กับเกรสทุกอย่าง
แต่เพิ่งรู้ว่าเกรสก็มีใจต่อเชส
เกรสที่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมในวันนั้น จากไปด้วยความรู้สึกแบบไหนกันนะ...
มือผอมของบลูจับที่ศีรษะของเบส “คิดว่าหมอนี่เชื่อใจได้ไหม”
“ไม่แน่ใจ” เบสตอบตามตรง “ข้าวโพดดีกับทุกคน ใคร ๆก็ชอบข้าวโพด”
“รวมเธอด้วยหรือเปล่า”
เบสทำปากยื่น “เปล่า”
“เขาไม่ได้ดีกับเธอหรือ”
“ก็ดี แต่ก็ชอบทำตัวน่ารำคาญ”
เท่าที่ลอบมองมาระยะหนึ่งด้วยสายตาอาฆาต บลูยังไม่เห็นว่าข้าวโพดจะทำตัวน่ารำคาญกับเบส เว้นแต่เราเรียกการตามใจแบบนั้นว่าเป็นการทำตัวน่ารำคาญ
“เขาขัดใจ หรือชอบห้ามเธอทำนั่นนี่หรือไง”
“ไม่นะ”
“ตามใจ”
เบสลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า
“ทำไมต้องลังเลด้วย”
“ก็ไม่แน่ใจว่าตามใจเพราะว่าเขาอยากทำ หรือเพราะว่าพี่สั่งไว้นี่นา”
“ผมชอบเบสมาตั้งแต่แรก แล้วก็อยากทำอย่างนี้ เป็นมาก่อนที่จะเจอพี่เสียอีก” ข้าวโพดเถียง “บอกว่าชอบไปตั้งหลายครั้ง แต่เบสก็บอกว่าผมพูดเล่น”
“ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกน่ะหรือ” บลูหันไปถาม
“ครับ” ข้าวโพดตอบ “แล้วผมก็ไม่ได้ทำดีกับทุกคนนะ แต่ถ้าเขาไม่ได้หวังร้ายกับผม จะให้ผมปฏิเสธเขาได้ไง”
บลูหันไปหาเบส “แล้วเธอคิดอย่างไร”
“ข้าวโพดเป็นเพื่อน” สำหรับเบสแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ ว่าชอบคนที่ดีกับทุกคน “จนเมื่อผมได้พบกับพี่...ผมก็...ผมอยากเจอพี่”
บลูชี้ไปที่คนในชุดดำที่นั่งอยู่ด้านหลัง “ตอนที่เห็นว่ามาด้วยกันคิดว่าไง”
“ก็คิดว่า ดี”
“ดี?” ลุคถาม
เบสหันมาตอบ “ก็ดีน่ะฮะ ไม่รู้จะบอกว่ายังไงเหมือนกัน”
“ฉันชอบพี่ของเธอ และกำลังตามตื้อเขาอยู่ เธอยังคิดว่าฉันดีอยู่ไหม”
เบสหันไปมองบลูที่กำลังขึงตาใส่ลุคแล้วก็หัวเราะออกมา “ผมว่าพี่น่าจะรำคาญคุณ”
“ที่จริงเขาชอบฉัน แต่ชอบกลบเกลื่อนด้วยการทำเป็นดุน่ะ”
“ลุค เมอร์ฟี อย่าพาเสียเรื่อง”
ทั้งเบสและข้าวโพดต่างนิ่งอึ้งไป
“ผมคุ้นกับชื่อ แล้วก็วิธีเรียกแบบนี้ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน” ข้าวโพดบอกแล้วมองหน้าเบส “เบสเดจาวูเหมือนกันไหม”
เบสพยักหน้า
บลูยังไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำของทั้ง 2 คนในเวลานี้ “ตอนที่เห็นคนที่เธอบอกว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่กับคนอื่น คิดว่ายังไง”
“ก็ไม่คิดยังไงนี่ฮะ ก็ธรรมดา” เบสเถียง
บลูกอดอก “เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
เบสหันหน้าไปทางอื่นไม่ตอบคำถาม ข้าวโพดก็เลยเป็นคนตอบ
“เวลาที่ผมคุยกับคนที่มาชอบผม เบสจะโกรธ แล้วก็ไม่พูดกับผม”
บลูคลี่ยิ้ม “แบบนี้มันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“แต่ว่า...”
“ฉันว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะจูบ หรือทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่เป็นเพื่อนใช่ไหม”
เบสหันมากอดบลู ซุกหน้ากับไหล่ผอม “พี่ ผมขอโทษ”
ความรู้สึกต่อพี่ที่เคยสับสนมาหลายวัน ชัดเจนก็ในวันนี้
ความคิดถึง ความกังวลทั้งหมดไม่ใช่ในฐานะคนรัก
...และไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อข้าวโพด
เวลาที่ข้าวโพดตามใจ หรือเรียกร้องเอาแต่ใจกับข้าวโพด ไม่เคยหยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียวว่ามันใช่ไหม ถูกต้องหรือไม่
แต่ในทางกลับกัน หากเป็นความต้องการ หรือความรู้สึกของข้าวโพด เรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นเรื่องรอง หรือเรื่องที่คิดว่ารอได้
ไม่ได้ลืม แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดว่าข้าวโพดต้องเข้าใจ และต้องรอได้
แล้วพอได้เจอกับพี่ ก็คิดแต่ว่าอยากเจอและกลัวว่าจะต้องห่างกัน กลัวว่าพี่จะไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ทำ
เบสไม่ใช่เด็ก ๆ ทั้ง 3 คนอธิบายถึงขนาดนี้แล้วย่อมต้องรู้ตัวเอง แต่ไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจและยอมรับ
บลูลูบแผ่นหลังบางด้วยความเข้าใจ “เธอจะค่อย ๆ ศึกษากันไปก็ได้ แต่อย่าเสียเวลามาสับสนเรื่องฉัน”
เบสพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “แล้วผมกลับบ้านได้หรือยัง“
“ยัง”
น้ำเสียงของบลูเปลี่ยนไปเป็นเข้มงวดขึ้นในทันที ลุคจึงช่วยอธิบาย “เราต้องตามหาของบางอย่างในบ้านของเธอ แต่เรายังเข้าไปไม่ได้”
“หาอะไรฮะ ผมกลับบ้านไปเอามาให้” เบสอาสา
ลุคที่เป็นคนรอบคอบระมัดระวังต้องเตือนขึ้นมาก่อน “เรามีเรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้าไปเอาของ”
“ให้ผมช่วยนะ ผมอยากช่วย” เบสรีบบอกอีกครั้ง ข้าวโพดก็อาสาอีกคน
“ไม่ได้ ทั้งคู่นั่นแหละ” บลูดุ ทำให้ทั้งคู่เงียบไปทันที
ลุคเป็นฝ่ายปลอบตามเคย “พวกเธอรู้อยู่แล้วว่าเราไม่เหมือนกับพวกเธอ ศัตรูของเราก็...ค่อนข้างจะหลากหลายอยู่เหมือนกัน ที่เราต้องการก็คือ คนที่จะบอกกับเราเวลาที่พบเห็นเรื่องแปลก ๆ” ลุคเน้นย้ำ “บอกว่าเธอเห็นอะไร ไม่ใช่ลงมือทำเอง”
“วิชาการชะมัด” บลูทำปากยื่น
“แบบแจ้งเบาะแสตำรวจน่ะหรือ” เมื่อครู่พี่บอกว่าเขาคือมือปราบนี่นะ เบสหันไปมองหน้าข้าวโพดแล้วหันมาหาบลู “อย่างนั้นก็พอดีเลย เพราะมีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้พี่ไปดูให้หน่อย”
บลูอยากจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ติดที่รู้ทันว่าเบสกำลังคิดอะไรอยู่
หากไม่ตามใจ เบสจะต้องดื้อกลับไปบ้านเพื่อค้นหาของที่พี่กำลังตามหาอยู่แน่ๆ
ลุคเองก็คิดอย่างเดียวกัน
คนที่ยอมถูกเผาทั้งเป็น แต่ไม่ยอมเปิดปากเรื่องของหญิงชราในสวนหลังบ้าน และเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงมายาวนานถึง 400 ปีจะต้องเป็นคนที่ดื้อรั้น ยึดมั่น และแน่วแน่ขนาดไหนกัน
“พวกเราจะไปดูให้ แต่เธอ 2 คนต้องรับปากว่าจะกลับบ้าน”
“เสร็จเรื่องแล้วจะมาบอกหรือฮะ” เบสดักคอ 
“ใช่” บลูตอบ
“แล้วพี่ก็จะหายไปอีกหลายวันหรือเปล่าฮะ”
“มันก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่เธออยากให้เราไปดู มันอาจไม่มีอะไรก็ได้”
เบสทำปากยื่น ไม่มีทางเลือกนอกจากการพาพี่ทั้ง 2 คนไปที่ป้ายประกาศที่ติดกระดาษปริศนาใบนั้น
...คลาสพิเศษการควบคุมจิตใจ เวลาสี่ทุ่ม กับวันที่ที่เปลี่ยนมาเป็นวันนี้
“นั่นไง” เบสชี้ แต่แทนที่จะบอกกับบลู กลับหันไปบอกกับข้าวโพด ทำให้ข้าวโพดต้องหันมาอธิบายกับลุคและบลู
“ข้อความในกระดาษนี้เหมือนเดิมทุกวัน เว้นแต่วันที่ที่จะเปลี่ยนเป็นปัจจุบันตลอด”
คราวนี้เบสหันมาหาบลู “มันผิดปกติใช่ไหมฮะ”
“ผิดปกติแน่นอนอยู่แล้ว” บลูตอบ “คราวนี้ทั้ง 2 คนกลับบ้านกันได้แล้ว”
“อ้าว” เบสดูผิดหวังอย่างชัดเจน
“เธออยากให้มาดู ก็มาดูแล้วไง คราวนี้พวกเธอก็กลับบ้าน”
“แต่พี่ฮะ ป้ายนี้มันผิดปกติ แล้วอาจมีนักศึกษาที่หลงเชื่อแล้วก็ไปตามนี้ก็ได้”
บลูหรี่ตาลง “เธอไปดูคลาสนี้มาแล้วใช่ไหม”
เบสกอดแขนบลูไว้ “แค่ขับรถผ่านหน้าตึก เพราะข้าวโพดไม่ยอมจอดรถให้ลงไปดู”
“เขาทำถูกแล้ว ที่ไม่ตามใจเธอไปหมดทุกอย่าง”
“พี่อ้ะ”
บลูขยี้ผมนิ่มของเบส “กลับบ้าน ฉันกับลุคจะจัดการเรื่องนี้เอง”
ลุคยกมือขวาง เพื่อดันอีก 3 คนให้ถอยออกมาหลายก้าว ขณะที่ตนเองก้าวเข้าไปห่างจากบอร์ดประมาณ 2 ก้าว เมื่อยกมือขึ้นมากระดาษเก่าแผ่นนั้นก็ขยับตัว กะโหลกศีรษะสีขาวผุดขึ้นจากกลางกระดาษ ส่งเสียงกรีดร้องขณะที่พุ่งเข้าหาลุคพร้อมเสียงร้องด้วยความโกรธ
บลูกางแขนทั้ง 2 ข้างกันเบสและข้าวโพดไว้ด้านหลัง ทั้งดันให้ถอยหลังห่างออกมาอีก
ลุคจับกะโหลกศีรษะนั้นด้วยมือเปล่า กะโหลกก็กลายเป็นฝุ่นผง แต่ชายหนุ่มใช้ปลอกข้อมือข้างซ้ายรองรับไว้ทั้งหมด
ลุคหันมาหาทั้ง 2 คนทางด้านหลังของบลู “กลับบ้าน”
“ครับ” ทั้งคู่รับปากทันที
พอเห็นว่าทั้ง 2 คนห่างออกไปแล้ว บลูถึงหันมาถามลุค
“ซอว์นีหรือ”
“ไม่ใช่หรอก แต่ก็เป็นพวกที่เล่นมนต์ดำเหมือนกัน”
“นายไปจัดการสิ” บลูบอก ทั้งหันมองซ้ายขวาเพื่อหาที่นั่งรอ
ลุคหัวเราะให้กับดินฟ้าอากาศ “ต้องรอสี่ทุ่มก่อน ไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไร”
“งั้นฉันกลับไปที่ห้องของฉัน สักห้าทุ่มเจอกันที่บ้านของหนุ่มรถสีน้ำตาลนั่นก็แล้วกัน”
“ตอนนี้เขาคือข้าวโพด ชื่อจริงคือ จิรกร คุณสิริกร”
“อยากให้เรียกแบบนั้นหรือ”
“ก็เหมือนกับที่นายเรียกเกรซว่าเบสนั่นแหละ” ลุคนั่งลงที่เก้าอี้ยาว ท่าทางสบายมาก ไม่เหมือนคนที่เมื่อ 5 นาทีก่อนเพิ่งจะเผาเครื่องรางไปชิ้นหนึ่ง
บลูกอดอกยืนมอง “จะรอสี่ทุ่มจริง ๆหรือ”
เจ้าแม่มดดำนั่นหลอกนักศึกษาไปที่ตึกนั้นทำไม และหลอกมาได้กี่คนแล้ว
ทำไมหมอนี่ถึงได้ใจเย็นนักนะ!
ลุคพยักหน้า “เรากำลังคุยกันเรื่องชื่อ”
“ฉันอยากถามเรื่องเวลา”
“ก็ได้” ลุคต้องยอมแพ้อยู่แล้ว “ถ้าเวลาที่กำหนดไว้ว่าสี่ทุ่ม ก็แสดงว่านั่นคือช่วงเวลาที่พวกมันเข้มแข็งที่สุด”
“ทำไมไม่ไปตอนที่พวกมันอ่อนแอ”
“เพราะมันจะไม่เอาเครื่องราง หรืออาวุธของมันออกมา”
บลูเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิดใจ
“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานายจะ...”
ลุคพูดยังไม่จบ บลูก็ยกมือห้าม “ฉันเห็นด้วยกับการที่นายรอ”
คนที่ยืนอยู่ กอดอกแน่นเหมือนกำลังหนาวจัด ดวงตาสีฟ้าหันไปมองทางอื่น แต่ใบหน้าที่มักขาวซีดอยู่เสมอมีสีชมพูเจือจาง
...สีชมพูหรือ เขาไม่มีเลือดนะ
ลุคลุกขึ้นยืนยื่นมือจะไปแตะใบหน้า แต่บลูก้าวถอยพลางปัดมือออก
“จะทำอะไร ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยนะ”
ลุคพลิกมือคว้าข้อมือของบลูไว้
“ใบหน้านายมีสีเลือด”
บลูแตะแก้มตัวเอง “จะมีได้ไง”
“นายจะกลับไปที่ห้องก่อนใช่ไหม นายกลับได้นะ”
“ลุค เมอร์ฟี นายกลัวอะไร”
“ฉัน...”
“ลุค เมอร์ฟี มองตาฉัน แล้วบอกกับฉัน สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่านายกลัวอะไร”
“ฉันไม่อยากเสียนายไปอีกครั้ง”
บลูหัวเราะเบา ๆ “นายกำลังสับสนนะ แล้วมันก็ไม่ดีต่อมือปราบอย่างนายด้วย ฉันคือบลู นกฮูกสแกนดิเนเวีย สีขาวที่ครอบครัวไร้ท์เก็บมาเลี้ยง ฉันมองเห็น ฉันได้ยิน ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรับรู้ความเจ็บปวด และเข้าใจความว่างเปล่าภายในห้องใต้ดินนั้น แต่ฉันไม่ใช่เขา”
ลุคคลายมือออก “เมื่อครู่นายบอกว่าจะกลับไปรอที่ห้องไม่ใช่หรือ”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
“บลู”
“ไปเดินเล่นกันดีกว่า วันก่อนคุยกับเบสเกี่ยวกับวิญญาณในมหาวิทยาลัย ดูเขาค่อนข้างกังวลอยู่”
“บลู”
“จะเรียกอะไรนักหนา” บลูเดินนำไปอีกทางโดยที่ไม่หันมามอง เพราะรู้ว่าลุคจะต้องเดินตามมา
ลุคส่ายหน้าแล้วเดินตามมาจริง ๆ
“บลู”
“อะไร”
“จะฟังกันสักครั้งไม่ได้หรือไง พอฉันบอกให้นายอยู่ นายก็จะกลับ พอฉันบอกให้นายกลับ นายกลับพาเดินเที่ยวในมหาวิทยาลัย”
“ฉันเบื่อที่จะต้องคอยมองจากที่ไกล ๆ”
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 27-06-2020 11:10:38
(ต่อครับ)

ลุคเข้าใจความคิดนี้ ทั้งรู้ว่าเถียงกันไปก็มีแต่จะแพ้เหมือนเดิม จึงเดินคู่กันมาเงียบ ๆ
เมื่อเดินไปด้วยกันอีกสักพักบลูก็ถามขึ้น “ไม่บอกให้กลับไปแล้วหรือ”
“ถึงบอกไปนายก็ทำในสิ่งที่อยากทำอยู่ดี”
บลูหันมายิ้มกว้าง
“อย่ายิ้มแบบนี้” ลุคบอก “แค่เดินอยู่ข้างกัน มันก็ยากพออยู่แล้วที่จะไม่ดึงนายมากอด ถ้ายังหันมายิ้มให้อีก ฉันต้องพานายกลับบ้าน โดยที่ไม่ได้ไปดูคลาสพิเศษอะไรนั่นแน่ ๆ”
บลูซัดหลังมือใส่หน้าท้องของลุคเบา ๆ
“คุยกันเยอะแยะ ก็ยังฟังกันประโยคเว้นประโยคเหมือนเคย” บลูหันไปมองรอบ ๆ “พวกเขาเสียชีวิตที่อื่น แต่ทำไมถึงได้กลับมาที่นี่กันนะ”
“ถ้าใช่เพราะความผูกพัน ก็คือยังมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จน่ะ”
“ผูกพันกับมหาวิทยาลัยน่ะนะ” ไม่เห็นจะน่าผูกพันเลยสักนิด “ผูกพันกับบ้าน หรือครอบครัวตัวเองไม่ดีกว่าหรือไง”
   “ไม่ลองถามเขาดูล่ะว่าทำไมถึงผูกพันกับมหาวิทยาลัย”
“นายถามสิ”
“ไม่เห็นหรือว่า พวกเขากลัวฉัน”
บลูหันไปมองวิญญาณนักศึกษาสาวที่หลบวูบไปหลังต้นไม้
บลูเบะปากใส่ลุคด้วยสีหน้าท่าทางรังเกียจอย่างเปิดเผย “นายเป็นสสารที่น่ารังเกียจ จะคนหรือวิญญาณก็ไม่อยากเจอนายทั้งนั้น”
“อ้อ...” ลุคพยักหน้า ค่อนไปทางภูมิใจที่อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกชัดเจน
“อะไร อ้อมาคำเดียว แล้วคนอื่นจะไปต่อยังไง”
“ก็ อ้อ...” ดวงตาสีเข้มเป็นประกายท่ามกลางแสงสว่างจากไฟถนน “2 คำแล้ว”
“คนจริงจังที่อยู่ต่อหน้าน้องเมื่อกี้ไปไหนแล้วนะ ไปเรียกเขากลับมาเลย แล้วเก็บสสารกวนประสาทนี่ไปทิ้งบ่อขยะหลังมหาวิทยาลัยด้วย”
ลุคสงสัย “หลังมหาวิทยาลัยมีบ่อขยะด้วยหรือ”
“แล้วมีไหมล่ะ”
“อ้าว ก็ที่บลูบอกเมื่อครู่”
“ฉันมั่ว”
ลุคกระตุกยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้า บลูที่พูดเล่นเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศนี่เป็นอะไรที่น่ารัก และอยากให้เป็นแบบนี้ต่อไปนาน ๆ
“ตกลงนายคิดจะทำอะไร กับวิญญาณในมหาวิทยาลัยเหล่านี้”
บลูมองวิญญาณนักศึกษาชายที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ “อยากให้เขาหลุดพ้นจากที่นี่”
“ไม่มีใครผูกเขาไว้กับที่นี่”
“รู้ได้ไง”
ลุคชี้ไปที่วิญญาณนักศึกษาชายที่ก้มหน้า อยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ เงาร่างเลือนรางปราศจากเท้า
“เขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายแล้ว”
“นายส่งเขาหน่อยสิ แบบที่นายส่งวิญญาณครูกับเด็กนักเรียนน่ะ”
ลุคหันมายิ้ม “ได้ แต่นายต้องเดินไปด้วย”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันเป็นสสารที่มีมวลไง ถ้าฉันยืนพูดอยู่คนเดียว ใครมาเห็นเข้าเขาคงว่าฉันบ้า”
บลูพยักหน้า “ก็ได้ ฉันจะยืนอยู่ข้างหลังนายนะ”
ลุคพยักหน้าล้อเลียน “กลัวว่าฉันจะใช้คาถาพลาดไปโดนนายหรือไง”
“ใครกลัว” ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย “ตั้งแต่แรกมาก็มีแต่นายนี่แหละ ที่คิดมากทุกเรื่อง กลัวนั่นนี่ทุกเรื่องอยู่คนเดียว”
“ไม่คิดบ้างหรือไง ว่าถ้านายบอกปุ๊บแล้วฉันลงมือทันทีจะเกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องนี้จะจบลงอย่างรวดเร็ว” บลูสวนทันที
ลุคมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดี ขณะที่กล่าวคำพูดไม่เห็นด้วย “มันจะพากันเละไปทั้งหมดต่างหาก นายกับฉันน่ะ ไม่เท่าไหร่ แต่มนุษย์อีกอย่างน้อย 4 คนที่อยู่ข้างหลัง พวกเขาจะเป็นยังไง ถ้าเราถูกทำลาย”
บลูโบกมือ “นายถ่วงเวลามานานแล้ว ไปส่งวิญญาณนักศึกษาชายคนนั้นกัน ฉันจะอยู่ข้างหลัง”
นั่นคือการยอมแพ้ในแบบของบลูใช่ไหม

ค่ำแล้ว แต่มหาวิทยาลัยที่เปิด 24 ชั่วโมงยังมีนักศึกษารวมกลุ่มทำกิจกรรม และโครงงานกลุ่มอยู่ใต้ตึกคณะต่าง ๆ  ขณะที่อาคารเรียนหลายหลังยังเปิดไฟสว่าง
บลูเดินข้ามถนนตามลุคไปหาวิญญาณนักศึกษาชาย ที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ จากจุดที่ยืนอยู่ไม่มีใครอยู่ใกล้ก็จริง จะพูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครได้ยิน แต่ถ้ามองไปรอบ ๆ จะมีคนมากกว่า 50 คนที่เห็นลุคและบลู
“ว่าไง” ลุคทักทาย แต่วิญญาณยังก้มหน้า “ชื่ออะไรน่ะเรา”
นักศึกษาหนุ่มเงยหน้าขึ้น
ใบหน้าขาวซีด เส้นผมที่เปียกชื้น เสื้อเครื่องแบบมีรอยเปื้อนสีดำ กับกางเกงนักศึกษาเลอะคราบบางอย่าง
“เรียกผมหรือ”
“ใช่ ชื่ออะไรน่ะเรา”
วิญญาณนิ่งเงียบ ดวงตาสีดำขลับมองผ่านไปไกล จนลุคต้องถามซ้ำ
“ชื่ออะไร”
“อนิรุธครับ”
“รอใครอยู่”
วิญญาณมองหน้าลุคนิ่ง ๆ แล้วเหลียวมองไปรอบตัว ใช้เวลานานทีเดียวกว่าที่จะเอ่ยคำพูดออกมา
“ผมรอ...ขจี...”
“แฟนหรือ”
“ครับ”
“นัดกันไว้ที่นี่หรือ”
“ไม่ได้นัดครับ”
“แล้วทำไมถึงมารอที่นี่”
“เรา...นัดเจอกันตรงนี้มาตลอดครับ”
“เพราะว่าเรียนกันคนละคณะหรือ”
“ครับ”
“ก่อนที่จะมารออยู่ที่ตรงนี้ อนิรุธไปไหนมา”
เป็นอีกครั้งที่วิญญาณนิ่งเงียบไปนาน
“ขจีโกรธ ที่ผมไม่มีดอกไม้ให้เธอ เลิกเรียนคาบบ่าย ผมจึงออกไปซื้อดอกไม้” ในมือขาวซีดปรากฏช่อดอกกุหลาบสีแดง เครื่องแบบนักศึกษาขาวสะอาด แม้ใบหน้าจะยังขาวซีด แต่เส้นผมไม่ได้เปียกชื้นแล้ว “แล้วก็มารอ...”
“ซื้อดอกไม้ที่ไหน” ลุคถามทวนความทรงจำอีกครั้ง
“ร้านดอกไม้ ในห้างครับ”
“ดอกไม้สวยดีนะ”
“ครับ ผมตั้งใจเลือก ให้ร้านเขารวมช่อให้”
“ดอกไม้ในวันเทศกาล น่าจะแพงมาก”
“ขจีอยากได้ดอกไม้”
“แล้วทำไมถึงไม่ได้ซื้อให้ขจีตั้งแต่เช้า”
“ผมไม่รู้ว่าเธออยากได้ดอกไม้ คิดว่าเลิกเรียนแล้วไปกินข้าว ดูหนังด้วยกันก็พอ”
“แล้วอนิรุธทำอย่างไร”
“พอผมรู้ก็เลยรีบออกไปซื้อ...” วิญญาณก้มหน้าลงอีกครั้ง
“แล้วอนิรุธตั้งใจว่าจะทำอะไรต่อ”
“ให้ดอกไม้เสร็จก็จะไปกินข้าว ดูหนังด้วยกันครับ”
“หนังเรื่องอะไร”
“มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ลครับ”
“ภาคแรกสินะ”
“ครับ”
บลูที่ฟังอยู่นาน ไม่เห็นว่าจะเข้าเรื่องสักทีกำลังจะหลุดคำพูดไม่พอใจออกไป แต่ลุคก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“มิชชั่น ปี 1996 หรือ”
วิญญาณนิ่งคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้า
บลูดีใจที่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไป เพราะตอนนี้ปี 2019 หนุ่มคนนี้รออยู่ที่นี่มานานหลายปี จนเกือบจะลืมตัวตนไปแล้ว ลุคจึงต้องรื้อฟื้นอดีตของเขาขึ้นมาก่อน เพื่อที่จะนำมาที่ปัจจุบัน แล้วถึงจะส่งเขาเดินทางต่อไปได้
“เล่าตอนที่เลือกซื้อดอกไม้ให้ขจีหน่อยได้ไหม”
วิญญาณที่โปร่งใสจนแทบกลืนหายไปกับสภาพแวดล้อม มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น แต่อยู่ในสภาพของหนุ่มนักศึกษาที่ไม่มีรอยเลือด เสื้อผ้าไม่มีรอยเปื้อน ทั้งมีกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลแบบนักศึกษาด้วย
อนิรุธเป็นหนุ่มหน้าตาดีมากคนหนึ่ง
“ร้านดอกไม้อยู่ในห้าง มีทั้งดอกไม้สด และดอกไม้แห้ง ผมเลือกไม่เป็นและกลัวว่าขจีจะโกรธแล้วกลับไปก่อน ก็เลยจะเลือกแบบที่เขาจัดช่อเสร็จแล้ว...แต่พอนึกอีกที มันอาจเหมือนคนอื่น ก็เลยเลือกดอกไม้สวย ๆ ให้ที่ร้านจัดให้...”
เมื่อร่างของอนิรุธชัดเจนขึ้น ลุคก็ปล่อยให้อีกฝ่ายรื้อฟื้นความทรงจำของตนเองไปโดยที่ไม่ได้ซักถาม
“ผมออกมาจากห้าง ดูนาฬิกาเห็นว่า อีกครึ่งชั่วโมงขจีจะเลิกเรียน ผมรีบข้ามถนนจะไปอีกฝั่ง ได้ยินเสียงดังมาก มีเสียงคนร้องตะโกน มีคนวิ่งมาหา แต่ผมกำลังรีบ ก็ไม่ได้หันไปมอง รีบขึ้นรถเมล์ แล้วกลับมาที่นี่ แต่ตอนที่มาถึงผมดูนาฬิกา มันแตกไปแล้ว ไม่รู้ว่าแตกได้อย่างไร ไปดูที่คณะ เห็นเพื่อน ๆ ของขจียังอยู่ ผมถามพวกเขาแต่ไม่มีใครบอกอะไร จึงฝากให้บอกขจีว่าผมรออยู่ แล้วผมก็มารออยู่ที่นี่...”
การทบทวนความทรงจำทำให้ร่างกายที่สมบูรณ์มีการเปลี่ยนแปลงช้า ๆเกิดขึ้นตามเรื่องที่เล่าจนกลับมาอยู่ในสภาพที่ศีรษะมีบาดแผลใหญ่ เลือดอาบใบหน้า แขนข้างซ้ายแนบลู่ไปกับลำตัว ขาข้างซ้ายผิดรูป และเลือนหายไปเมื่อถึงข้อเท้า
อนิรุธจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว
เสียงดังที่เกิดขึ้น คือการที่เขาถูกรถชนในตอนที่ข้ามถนนมาอีกฝั่ง นาฬิกาที่แตกจากอุบัติเหตุนั้น การที่เพื่อนในคณะของขจีไม่ตอบคำถาม และการที่เขารอคอยอยู่ที่นี่มานานหลายปี
“อนิรุธ แซ่เลี้ยง”
“ครับ”
“พร้อมที่จะเดินทางต่อไปหรือยัง”
อนิรุธหันไปมองรอบตัว แล้วหยุดมองตึกเรียนของขจีอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมาหาลุค
“ขจีรู้ไหมครับว่าผมรอเธออยู่ที่นี่มาตลอด”
“ฉันไม่รู้”
ลุคตอบตรงไปตรงมาไม่ถนอมน้ำใจเลยสักนิดจนบลูอยากฟาดสักที
“ผม...อยากพบขจี”
“เวลาของเธอหยุดลงตั้งแต่ตอนที่เธอข้ามถนนในปี 1996 แล้ว แต่เวลาของขจีเดินหน้าต่อไป เขาไม่ได้เป็นขจีคนที่เธอรออีกต่อไป ยังอยากพบเขาอีกไหม”
อนิรุธก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้า
ลุคหันมาจับมือของบลูไว้ ส่วนอีกมือที่ว่างอยู่ชี้ไปที่ด้านข้างของอนิรุธ วาดเป็นวงกลมที่พื้น
“คนที่รอเธออยู่อีกฝั่ง จะให้คำตอบกับเธอเองว่า เธอควรจะไปที่ไหน”
อนิรุธเงยหน้าขึ้น “ขอบคุณมากครับ”
วิญญาณของอริรุธเลื่อนไปอยู่เหนือวงกลม แสงสว่างสีขาวปรากฏขึ้นล้อมรอบ และเมื่อแสงสว่างนั้นเลือนหาย อนิรุธก็หายไป
บลูถามคำถามที่อยากรู้ที่สุด “รู้นามสกุลเขาได้ไง”
ลุคหันมาแตะเบา ๆ ที่ขมับของบลู ภาพในอดีตของอนิรุธ แซ่เลี้ยงก็ปรากฏขึ้นจนถึงวาระสุดท้าย
“ยังคิดว่านายจะพาเขาไปลาขจี หรือพ่อกับแม่ของเขาเสียอีก”
ลุคยักไหล่ “ฉันไม่มีหน้าที่พาเขาไปลาใคร”
บลูหน้างอ
“งานตรงนี้เสร็จแล้ว จะกลับหรือจะไปเข้าคลาสเรียนพิเศษ”
บลูต้องตอบว่าไปคลาสเรียนพิเศษอยู่แล้ว

...จบตอนที่ 9 ....
ไม่กลัวกันใช่ไหมฮะ เพราะน่าจะมีภูมิคุ้มกันจากคุณพี่บาลีกันมาบ้างแล้ว
แต่คนช่วยเขียนคนนี้ สารภาพว่า "กลัวนะฮะ"
ตอนที่ป๋าร่างพล็อตเรื่องใน A4 บอกว่า ขอ "ร่างโปร่งใส" แค่ 1 ไม่ได้เหรอ ปรากฎว่าเรียงกันมาเป็นแถว  :ling3:
ขอบคุณทุกความเห็นนะฮะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-06-2020 17:46:43
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 27-06-2020 19:52:32
กรีดร้องๆๆ  o22

มีทั้งร่างโปร่งแสง ร่างปกติ ร่างเลือดท่วมตัว

รถอ้อยคว่ำกันอยู่ดีๆ 

จูงมือกันมาเจอวิญญาณซะงั้น :katai1:

ตอนนี้หวานนิดๆ ปนสยองหน่อยๆ :mew4:

ขอบคุณคนเขียนและคนช่วยเขียนฮะ :3123:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-06-2020 20:05:38
ทำไมบลูแก้มชมพูล่ะ

มีวิญญาณอีกหลายดวงให้ลุคช่วยหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: yupinka ที่ 27-06-2020 21:41:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-06-2020 09:19:17



ได้ยินเสียงหัวเราะของคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ที่ดังขึ้นมาอย่างไม่รู้กาลเทศะ



^
^
แหมมมมมมมมม ไอ้ที่หัวเราะ อิจฉาเค้าป่ะล่า ลูกบลูไม่ยอมหร๊อก



........ เราอยากบอกว่า กลัว ตัวโต   :sad4:   แต่จะ ค่อยๆข้ามตอนน่ากลัวๆ ไปอย่างรวดเร็ว ......


 :กอด1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 11-07-2020 09:16:11
สงสารอนิรุธ  :sad11: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 23-07-2020 18:47:40
มารอน้องบลู


เมื่อไรจะมาน้อ :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 9 (27/6/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-07-2020 14:01:08


...................จ๊ะเอ๋...............

............มารอนกฮูกของเราแล้วจ้า............


 :กอด1:  :กอด1:

หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-07-2020 20:16:40
ตอนที่ 10


อาคาร06 เป็นอาคารเรียนความสูง 5 ชั้นที่แยกออกมาจากกลุ่มอาคารเรียนของคณะสังคมฯ แม้ว่าจะมีการซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ แต่หากมาตอนกลางวันก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นเขตที่ไม่ควรเข้ามา
ตัวอาคารไม่ได้เป็นอาคารหลังใหญ่ เพราะจากบันได 5 ขั้นก็คือห้องโถงของอาคารและบันไดขึ้นไปชั้นบน แยกห้องบรรยายซ้ายขวา มีระเบียงด้านหน้า
เพราะแทบจะไม่มีการใช้ห้องในอาคารนี้ ทำให้ศูนย์ควบคุมส่วนกลาง ปิดไฟในห้องเรียนทั้งหมดตั้งแต่สามทุ่ม เหลือเพียงไฟบริเวณระเบียงทางเดินหน้าห้อง กับตรงบันได แต่ในทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุคเข้ามาใกล้ ไฟที่ห้องโถงชั้นล่างก็ส่องสว่าง
ลุครับคำท้านั้นด้วยการจอดรถเทียบบันไดอาคาร
บลูเหวี่ยงขาลงจากเบาะหลังพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ทำให้ลุคหันมายิ้มกว้าง
“ชอบละสิ”
“เปล่า” ไม่ใช่ ‘ชอบ’ แต่คือ ‘ชอบมาก’ เวลาที่เจอคำท้าแล้วได้รับสิทธิ์ให้พุ่งเข้าชนทันทีแบบนี้
ลุคมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการที่อีกคนปฏิเสธทันทีแบบนี้
“ฉันคิดว่านายเลือกคุณสมบัติธาตุของนายได้ถูกต้อง เพราะถ้านายซ่อมตัวเองไม่ได้ หรือต้องใช้เวลาซ่อมนาน นายคงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้”
“ขอบใจที่ชมนะ”
“ฉันประชด”
“ไม่ นายชมฉัน จากใจเลยด้วย”
“ลุค เมอร์ฟี ลงจากรถแล้วไปคุยกับเขา จัดการเรื่องนี้ให้จบ ๆ ไปดีกว่า”
ลุคยิ้มกว้างกว่าเดิมขณะที่ลงจากรถคันใหญ่ แต่ในใจกลับคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมคุยอย่างที่บลูบอก ชายหนุ่มถกแขนเสื้อเปิดปลอกแขนทั้ง 2 ข้างอย่างชัดเจน
อักขระจารึกที่ปลอกแขนส่องประกายหลากสีไล่ไปตามลายเส้นอักษร แล้วหยุดที่สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
“แปลว่าอะไร” บลูถาม
ถึงจะได้ร่วมการต่อสู้ด้วยกันไม่กี่ครั้ง แต่สีของอักขระที่ข้อมือของลุคไม่เคยซ้ำกันเลยสักครั้ง
“ปีศาจที่มีเวทย์มนต์”
ลุคตอบไม่เต็มเสียง เพราะไม่อยากสะกิดบาดแผลในใจของบลู แต่บลูกลับใช้นิ้วแม่มือชี้ที่จมูกตัวเอง เพราะคิดว่าปลอกข้อมือหมายถึงตน จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินตรงดิ่งไปที่บันไดขึ้นอาคาร จนลุคต้องรีบคว้าข้อมือไว้
“อยู่ข้างหลังฉัน”
“ไม่”
พบกันครึ่งทางตามเคย “เราจะเดินไปข้าง ๆกัน”
บลูรู้ตัวดีว่าดื้อมาก และลุคต้องใช้รอยยิ้มกว้างเพื่อพยายามปราบปรามความดื้อรั้นนี้
ก็อยากทำตัวเป็นปีศาจที่ดี เชื่อฟังอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้เดินตามกันตลอดเวลามันก็ยากเกินไป เอาเป็นว่าเรื่องไหนสมควรเชื่อฟังก็จะเชื่อฟัง
แต่เรื่องที่ให้ไปเดินตามหลังตอนที่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในอาคารเรียนแบบนี้มันเท่ากับเสียโอกาสทองเลยนะ!
การที่บลูแสดงท่าทางกระตือรือร้นมากเกินไปทำให้ลุคหวั่นใจ
“บลู ในนั้นคือปีศาจที่มีเวทย์มนต์นะ”
“ฉันก็คือปีศาจที่มีเวทย์มนตร์”
“บลู”
“ลุค เมอร์ฟี อย่าปล่อยให้ความกังวลของเป็นโซ่ตรวนที่ทำให้นายเดินได้ช้ากว่าเดิม อย่าทำให้ฉันเป็นสมอเรือที่ทำให้นายไม่ได้ไปไหน”
พูดถึงขนาดนี้สสารประหลาดที่ชื่อลุคยังจะมีทางเลือกอื่นอีกหรือไง
ก็อย่างที่บอกมาหลายครั้ง ว่าเข้าใจ ไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่ไม่อยากขัดใจ!
เมื่อก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก ไฟทั้งอาคารก็เกิดช็อตติดๆ ดับๆ แล้วกลายเป็นดับลงทั้งหมด แต่เมื่อมองออกไปด้านนอก ทั้งไฟสนาม และไฟตามอาคารเรียนหลังอื่นยังเป็นปกติ
ร่างโปร่งใสเคลื่อนตัวออกมาจากใต้บันได ก่อร่างชัดเจนขึ้นจนกลายเป็นหญิงสาวในชุดสีขาว เส้นผมสีดำยาวปกปิดใบหน้า แต่กลับมองเห็นดวงตาสีดำสนิทที่อยู่ด้านหลัง
ข้อเสียของดวงตาแบบนี้ก็คือ ไม่ว่าคุณจะยืนอยู่ตรงไหนคุณก็จะรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมอง ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้หันมาทางคุณก็ตาม
วิญญาณโดยทั่วไปเมื่อเจอปีศาจแบบบลูจะเข้ามาท้าทายเพื่อต่อสู้กัน แต่หากเจอมือปราบแบบลุคพวกมันจะหลีกเลี่ยงด้วยความหวาดกลัว เพราะยังไม่ต้องการที่จะถูกส่งไปรับคำพิพากษา
ส่วนเจ้าหนุ่มอนิรุธนั่นไม่รู้ว่าตนเองตายไปแล้ว ปิดการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลุคมายืนอยู่ข้างหน้า แล้วก็พูดคุยกันด้วยดี เรื่องราวจึงจบลงแบบมีความสุขด้วยกันทุกฝ่าย
แต่คราวนี้ไม่ใช่!
วิญญาณผู้หญิงตนนี้ที่ไม่ได้หนีไปไหนก็เพราะว่ามีผู้ที่สั่ง หรือ ผูกเธอไว้กับที่ตรงนี้ และอาจเพราะเมื่อครู่บลูเพิ่งได้ฟังเรื่องราวของอนิรุธและมีเรื่องราวบางอย่างที่ติดอยู่ในใจ ทำให้เกิดความอยากรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับวิญญาณผู้หญิงตนนี้
“เฮ้ คุยกันหน่อยไหม”
วิญญาณตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ไม่เป็นคำ
“คนที่ผูกเธอไว้ที่นี่ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
อากาศรอบตัวเย็นลงกว่าเดิม แสดงให้เห็นว่าดวงวิญญาณไม่พอใจ และไม่ต้องการตอบคำถาม แต่ลุคก็ปล่อยให้บลูซักถามต่อไป
“เธอเรียนที่นี่”
ไม่ตอบ
“หรือตายที่นี่”
ไม่ตอบอีก
“ตายที่อื่นแล้วมีคนที่รู้คาถาพามาอยู่ที่นี่”
วิญญาณนั้นกรีดร้องเสียงดัง ริมฝีปากฉีกกว้าง เส้นผมยาวที่ปกปิดใบหน้าสะบัดแรง แต่เพราะกลัวลุคทำให้เธอได้แต่ขู่อยู่ห่าง ๆ
“คนที่รู้คาถานั้นเป็นคนเอเชียหรือตะวันตก”
มือที่ผอมเกร็งหงิกงอยกขึ้นช้า ๆ
“อยากไปจากที่นี่ไหม”
วิญญาณนั้นพุ่งตรงเข้ามาหาบลูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถอยกลับไปเมื่อลุคเข้ามาขวางทาง เธอจึงแสดงออกว่าไม่พอใจด้วยการเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวากลับไปกลับมา
เสียงกรีดร้องยิ่งนานยิ่งโหยหวน
ทั้งลุคและบลูต่างเหลียวมองไปรอบ ๆ
ที่นี่ไม่ได้มีวิญญาณแค่ดวงเดียว แต่ทั้งที่เธอถูกก่อกวนและแสดงความเกรี้ยวกราดถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่มีวิญญาณดวงอื่นออกมา
“หมดคำถามหรือยัง” ลุคถาม
พอลุคถามบลู วิญญาณของหญิงสาวก็นิ่งฟังไปด้วย แต่ทันทีที่บลูตอบว่ายังเธอก็เริ่มส่งเสียงแหบ ๆ ออกมาอีกครั้ง
บลูสรุป “ปีศาจที่มีลักษณะแบบคนตะวันตก แบบฉันงั้นหรือ”
นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าหมอนั่นเป็นตัวอะไร และใช้ร่างของใคร แถมยังใช้วิชาผูกวิญญาณได้ด้วย
“ทำไมหมอนั่นถึงผูกวิญญาณไว้ในมหาวิทยาลัย”
เมื่อคำถามเบี่ยงเบนไปหา ‘ผู้เป็นนายวิญญาณ’ วิญญาณของหญิงสาวก็ตวัดมือเพื่อหวังให้ลุคพ้นไปจากการเป็นกำแพงสูงที่บังบลูไว้ แต่ลุคไม่ได้ขยับออกจากที่เดิมแม้แต่นิดเดียว ทั้งประสานมือรับพลังลมที่เกิดจากความไม่พอใจ
ยามเมื่อพลังปะทะกันทำให้เกิดกระแสลมรุนแรงพัดพาข้าวของและเอกสารต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงกระจัดกระจาย แม้แต่รูปภาพที่แขวนผนังอยู่ก็ถูกพัดจนปลิวแล้วกระแทกลงพื้น
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องนายวิญญาณของเธอ ก็คือความโกรธนายวิญญาณแต่เพราะเธอจัดการเขาไม่ได้ จึงต้องการจัดการคนที่มีลักษณะหลายอย่างที่เหมือนกับนายวิญญาณ
บลูอาจไม่แน่ใจเรื่องของวิญญาณดวงนั้น แต่แน่ใจว่าลุคยังต้องการข้อมูลอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับนายของวิญญาณถึงได้ยังไม่จัดการกับเธออย่างเด็ดขาด
“คนที่ผูกวิญญาณของเธอใช้ไม้กายสิทธิ์ไหม”
ดวงวิญญาณที่เกรี้ยวกราดลดมือลง แต่ยังส่งเสียงไม่พอใจ
“นายวิญญาณไม่ใช่ซอว์นีย์ นายส่งเธอได้แล้วล่ะ เราจะได้ไปดูห้องอื่นกันต่อ”
บลูตัดสินแล้วก้าวถอยหลังออกมา เพื่อให้ลุคจัดการได้ถนัดขึ้น
ลุคหมุนข้อมือ อักขระสีดำถักทอเป็นทรงกลมเคลื่อนที่เข้าหา วิญญาณของหญิงสาวต่อสู้ด้วยกระแสลมแรงที่ทำให้ตาข่ายอักขระเกิดช่องว่าง แต่ก็กลับมาประสานกันได้ใหม่ จนสามารถล้อมรอบเธอไว้ภายในได้สำเร็จ
เมื่อลุคร่ายคาถากำกับเพื่อส่งวิญญาณ เธอก็สลายไป
ลุคหันมาถามบลู “ถามเขาตั้งเยอะแยะ จะให้ฉันส่งวิญญาณเขาไปดี ๆ แบบอนิรุธหรือไง”
“ใช่” บลูยอมรับ “เดินขึ้นไปดูห้องข้างบนกัน เสียงดังกันขนาดนี้ จะพากันหนีหายไปหมดแล้วหรือเปล่าไม่รู้ จะได้เรียนไหมเนี่ย ไอ้คลาสพิเศษอะไรเนี่ย”
ที่บ่นก็เพราะว่าถ้าวิญญาณที่คอยเฝ้า หรือปีศาจที่ผูกวิญญาณดวงนี้เกิดหนีหายไป ก็เท่ากับว่างานที่จุดนี้ยังไม่จบ
ปีศาจที่ทำใบปลิวหลอกล่อนักศึกษามาที่นี่ยังอยู่ มันอาจทำใบปลิวนั่นขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้
เมื่อก้าวขึ้นมาถึงชั้นที่ 2 สิ่งที่รออยู่คือร่างโปร่งใสของหญิงสาวที่ถูกมัดติดอยู่กับเสา แม้ร่างนั้นจะโปร่งใสและมองเห็นไม่ชัด แต่ก็ทำให้บลูหยุดยืนนิ่ง เมื่อร่างโปร่งใสนั้นเงยหน้าขึ้น เธอก็เลือนหายไปในทันที
บลูวิ่งตรงเข้าไปหา แต่ที่อยู่ข้างหน้าก็มีเพียงเสาต้นหนึ่ง ไม่มีทั้งเงาร่างโปร่งใสนั้นและไม่มีเชือก
ดวงตาสีฟ้าหันมามองลุคด้วยความกังวล
นั่นเป็นภาพที่อยู่ในความทรงจำของบลู
ชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าปิดปากสนิท กวาดตาไปรอบ ๆ เพื่อหาดวงวิญญาณที่อยู่ในที่นี้
“ชั้น 4” ลุคบอกแล้วเดินนำขึ้นบันไดไปอีก 2 ชั้น
ที่รออยู่ชั้น 4 ก็ยังเป็นวิญญาณที่ถูกผูกไว้ ไม่ใช่ปีศาจที่กำลังตามหาอยู่เช่นเดิม
วิญญาณตนนี้ปรากฏตัวอย่างชัดเจน และยืนรออยู่ เมื่อลุคและบลูก้าวขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็พุ่งตรงเข้ามาหาทันที
บลูก้าวถอยลงมารออยู่ที่ช่วงพักบันได ปล่อยให้ลุคสู้กับวิญญาณผู้ชายตัวใหญ่
วิญญาณตนนี้มีสีดำทั้งร่าง และเมื่อมาเจอกับลุคที่ก็สวมชุดดำเหมือนกัน สิ่งเดียวที่มองเห็นชัดเจนก็คือปลอกข้อมือของลุค
แรงปะทะกันของมวลอากาศทำให้เกิดเสียงดัง และเกิดแรงสั่นสะเทือน วิญญาณผู้ชายอีกหลายคนเดินผ่านผนังห้องจากทางฝั่งซ้ายขวา แล้วหยุดยืนจ้องมองการต่อสู้
การที่วิญญาณเหล่านี้เป็นสีดำทำให้ไม่รู้ว่านี่คือนักศึกษา หรือวิญญาณที่ถูกดึงมาจากที่อื่น
ส่วนห้องโถงของชั้น 4 ซึ่งมีเพียงนาฬิกาที่ผนังกับหลอดไฟ ก็แตกกระจายไปในทันทีที่ทั้งคู่เริ่มการต่อสู้ ไม่เหลืออะไรให้วิญญาณเหล่านี้ขว้างปาใส่ลุคอย่างวิญญาณผู้หญิงที่ชั้น 1 ทำ ดังนั้นการต่อสู้ของพวกมันคือพยายามพุ่งเข้าหาลุคแต่ก็ถูกปัดออกไป แต่พวกมันก็ลุกขึ้นมาใหม่แล้วพุ่งตรงเข้าหาอีกครั้ง
บลูนึกสงสัยว่าทำไมลุคถึงไม่ใช้ตาข่ายส่งวิญญาณ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาต่อสู้กัน
ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นจากทางด้านหลัง จากที่ห่างไกลที่กำลังเลื่อนเข้ามาใกล้
บลูหมุนตัวหันมา
ชายในชุดคลุมสีน้ำตาลเข้มลอยตัวอยู่กลางอากาศในระดับความสูงอาคาร 4 ชั้น
เพราะภายนอกยังมีแสงสว่างของไฟจากอาคารอื่น ทำให้บลูเห็นใบหน้า ที่แน่ใจว่าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน แต่บลูรู้จักไอปีศาจของชายคนนี้ ที่ไม่มีไอของสิ่งมีชีวิตอื่นเจือปน รู้ว่าปีศาจตนนี้ใช้คาถาของพ่อมด
นี่คือพ่อมดดำที่ขายวิญญาณให้ปีศาจ
ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง บลูเข้าใจแล้วว่าทำไมลุคถึงได้คิดแต่จะพาเขาไปหลบซ่อน 
บลูเหยียดแขนกางมือวางซ้อนไขว้กันเพื่อเตรียมความพร้อม
ลุคสะบัดมือ 1 ครั้งปลอกข้อเปลี่ยนเป็นโซ่ยาว วาดวงกลมล้อมรอบ เพื่อผลักดันวิญญาณรอบตัวให้ถอยห่างออกไป
ชายคนหนึ่งวิ่งขึ้นบันไดมาหา พร้อมกับคำรามดังก้อง แล้ววิ่งผ่านบลูไปแทนที่ลุค ทำให้ลุคสามารถละจากการต่อสู้ข้างหน้า พุ่งตัวออกไปหาปีศาจที่มีเวทย์มนตร์ตนนั้นในทันที
เสียงร่ายคาถาของปีศาจดังก้อง แต่ลุคฟาดโซ่เส้นยาวใส่
บลูหันกลับไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึง
จัสติน!
ชายชาวเยอรมันใช้คาถาต่อเนื่องเหวี่ยงวิญญาณกระเด็นไปพร้อมกับการเผาเป็นเถ้าถ่าน แต่เถ้าถ่านนั้นก็กลับก่อตัวขึ้นมาใหม่
ขณะที่การต่อสู้ของลุคกับปีศาจต้นนั้นที่ด้านนอกก็เป็นไปอย่างหนักหน่วง
ลุคที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศทำให้บลูมีอีกคำถามที่ต้องถามให้รู้เรื่องเมื่อเสร็จสิ้นจากเรื่องราวตรงนี้ แต่เมื่อหันไปมองวิญญาณที่จัสตินเผาไปแล้ว แต่ก็ยังกลับมาใหม่ได้ทุกครั้ง บลูก็นึกถึงกระดาษแผ่นนั้น และคำถามที่ว่า นักศึกษาที่เคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้มีจำนวนเท่าไหร่และพวกเขาอยู่ที่ไหน
บลูต้องขึ้นไปที่ชั้น 5 และถ้ายังหาไม่เจออาจต้องขึ้นไปถึงดาดฟ้าอาคาร แต่การจะขึ้นไปก็คือต้องผ่าน ‘สนามรบ’ ของจัสติน
ที่จริงบลูสามารถเปลี่ยนร่างเป็นนกฮูกสีขาว หรือเป็นควันสีขาวเพื่อที่จะขึ้นไปข้างบนได้อย่างสบาย ๆ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ เพราะทั้งวิญญาณและปีศาจที่อยู่ด้านนอก
เมื่อจัสตินเผาวิญญาณไปร่างหนึ่ง บลูก็รีบวิ่งขึ้นไปด้านบน แต่วิญญาณตัวใหญ่ที่เฝ้าชั้นนี้มาตั้งแต่แรกเปลี่ยนจากการโจมตีจัสตินเข้ามาหาบลูทันที
สิ่งเดียวที่บลูทำได้ คือการใช้ลูกไฟผลักดันให้ถอยออกไป 
จัสตินเปลี่ยนมาคุ้มครองบลูให้ขึ้นไปถึงชั้น 5 แต่วิญญาณเหล่านั้นก็โผล่ขึ้นจากพื้นอาคารสกัดบลูไว้อีก
ถึงเวลาที่บลูต้องสู้แบบหันหลังชนกันกับจัสติน
อาคาร 5 มีห้องเรียนทั้งซ้ายและขวา แต่มีบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า คาดเดาไว้ล่วงหน้าเลยว่ามันจะต้องปิดล็อก ดังนั้นก่อนที่จะไปสำรวจห้องเรียน บลูก็เบี่ยงเบนความสนใจด้วยการใช้พลังพังประตูบ้านนั้นก่อน แต่ทันทีที่ประตูบ้านนั้นพังลง ก็เป็นเรื่องของ ‘ความรู้สึก’ ล้วน ๆ ว่าสิ่งที่กำลังตามหาอยู่ที่ดาดฟ้า
วิญญาณสีดำร่างใหญ่ที่เฝ้าชั้น 4 พุ่งตรงเข้าหาเพื่อขัดขวางไม่ให้ขึ้นไปด้านบน บลูจึงใช้ลูกไฟผลักวิญญาณตนนั้นให้นำทางขึ้นไปข้างบนก่อน จากนั้นก็พุ่งตัวตามออกมา
บนดาดฟ้าอาคารนอกจากลานโล่งก็คือห้องไฟฟ้าที่มีป้าย ‘ห้ามเข้ากระแสไฟฟ้าแรงสูง’ ติดอยู่ที่ประตูห้อง
จัสตินตามขึ้นมาแล้วดึงวิญญาณตัวใหญ่ให้ออกมาห่างจากบลู
เสียงท่องคาถาของจัสตินดังปกคลุมทุกตารางนิ้วของชั้นดาดฟ้าแห่งนี้
บลูพังประตูห้องอีกครั้ง แล้วเรียกไฟสีฟ้าไว้ที่ปลายนิ้วทั้ง 5 จัสตินหันมามองแวบหนึ่งแล้วหันไปจัดการเผาวิญญาณที่ตามขึ้นมา
ท่ามกลางความมืด บลูมองเห็นได้ชัดเจนกว่ายามอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ที่จุดไฟก็เพื่อให้จัสตินช่วยมองหา แต่เมื่อไม่มาช่วยกันหา ก็เลยดับไฟแล้วใช้ดวงตาของนกฮูกมองไปทั่วห้องขนาดประมาณ 4 ตารางเมตรนั้น
ไม่มีวัตถุใดในห้องนี้ที่ให้ความรู้สึกถึงการเป็นเครื่องรางเลยสักชิ้น
บลูหันไปมองตู้ไฟ
เอาจริง ไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้าสักเท่าไหร่ แต่แน่ใจว่าถ้าทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาอาจกลายเป็นการวางเพลิงอาคารหลังนี้ แต่ยิ่งคิดนาน คนที่จะแย่ก็คือจัสตินที่ต้องต่อสู้กับวิญญาณเหล่านั้น
มันคงดูโง่ไปสักนิดที่บลูพยายามใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ในห้องทำลายกุญแจตู้ไฟ เพราะไม่อยากให้เกิดประกายไฟ แล้วกลายเป็นการพังประตูตู้อีกครั้ง
เมื่อมองดูด้วยสายตามนุษย์ตู้นี้ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่บลูมองเห็นว่ามุมบนด้านขวามือของตู้ มีกล่องยาวขนาด 2x8 นิ้วติดอยู่
กล่องนี้ถูกกำกับไว้ด้วยคาถาพรางตาทำให้มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น ทั้งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธาตุไฟทำให้ปีศาจตนอื่น และนักล่าปีศาจหาไม่พบ
บลูดึงกล่องนั้นลงมา แล้วออกมาหาจัสตินที่ด้านนอกห้อง วิญญาณทั้งหมดหยุดโจมตีแต่เข้ามาล้อมรอบทั้ง 2 ไว้
จัสตินให้สัญญาณด้วยการพยักหน้า บลูก็ส่งกล่องให้เพราะไม่รู้วิธีการทำลายเครื่องรางนี้ จัสตินจึงรับมาแล้วหันไปหาลุค ชูกล่องนั้นขึ้นสูง
พวกวิญญาณที่ล้อมรอบอยู่ ขยับเข้ามาหาพร้อมกัน แต่บลูผลักออกไป ส่วนจัสตินหันมาเผาพวกมันอีกครั้ง

การต่อสู้ของลุคกับปีศาจตนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้จะเป็นถึงมือปราบแห่งวาติกัน แต่เจ้าปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยมาเป็นเวลานานก็ย่อมรู้วิธีที่จะหลีกเลี่ยงและรับมือกับพวกมือปราบ
ปลอกข้อมือเปลี่ยนเป็นดาบคู่เรียกสายฟ้าฟาดใส่ปีศาจร้าย แต่เจ้าปีศาจก็เรียกงูตัวใหญ่ขึ้นมารับสายฟ้านั้น
กลิ่นคาวและเศษชิ้นเนื้อที่กระจายไปทั่วยืนยันว่าปีศาจตนนี้สามารถเรียกสัตว์ร้ายออกมาได้จริง มิใช่แค่ภาพลวงตา
ลุคพยายามดึงปีศาจออกมาให้ห่างจากบลู แต่เมื่อจัสตินชูกล่องเครื่องรางขึ้นสูง เจ้าปีศาจก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาจัสตินทันที
ลุคเรียกสายฟ้าอีกครั้งเพื่อผลักดันให้ปีศาจตนนั้นห่างออกไป แต่ตนเองพุ่งกลับมาหาจัสติน
รับกล่องเครื่องรางไว้
แล้วยืนอยู่บนราวกันตกของชั้นดาดฟ้า
ลุคที่มือหนึ่งถือดาบยาว อีกมือหนึ่งถือกล่องเครื่องรางไว้ ปลอกข้อมือลายอักขระสีน้ำตาลเคลื่อนที่กำลังส่องประกาย
สีหน้าท่าทางเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
ทั้งที่อยากรู้ว่าลุคจัดการกับกล่องเครื่องรางอย่างไร แต่จัสตินรีบหมุนตัวบังคับให้บลูหันหลังชนกันเพื่อเฝ้าระวังวิญญาณที่กำลังล้อมเข้ามา แม้จะคาดเดาได้ว่าปีศาจตนนั้นเห็นบลูแล้ว แต่เพราะทั้ง 3 คนไม่ได้พูดอะไร ต่างมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับวิญญาณและปีศาจ จนไม่เปิดโอกาสให้ปีศาจตนนั้นมีเวลาได้คิดว่า ‘ปีศาจนกฮูกสีขาว’ ที่กำลังตามหาอยู่ข้างหน้านี่เอง
ปีศาจส่งเสียงคำรามในลำคอ รวบรวมพลังเพื่อโจมตีก่อนที่ลุคจะทำลายกล่องเครื่องราง
แต่เหล็กแหลมจากปลอกข้อมือแทงทะลุกล่องเครื่องรางก่อนที่ปีศาจตนนั้นจะขยับตัวเสียอีก!
วิญญาณสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากกล่องไม้
ท่ามกลางความมืดของเวลากลางคืน ปรากฏจุดสีขาวที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดึงเหล่าวิญญาณสีขาวเหล่านั้นเข้าไปทั้งหมดแล้วปิดตัวลงในทันที
แต่ในเวลาเดียวกันเหล่าวิญญาณสีดำที่ล้อมรอบอยู่ส่งเสียงกรีดร้องและบิดตัวด้วยความทรมาน จากนั้นก็สลายตัวไปทั้งหมด
จัสตินคว้าข้อมือบลูให้วิ่งลงมาที่ชั้นล่าง แล้วจับให้ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-07-2020 20:18:11
(ต่อครับ)

สถานที่ที่จัสตินพากลับมาย่อมต้องเป็นร้านกาแฟร้านนั้น
ชายชาวเยอรมันยังคงไม่ได้พูดอะไร พอพามาถึงก็ชี้ให้เข้าไปรอภายในร้านส่วนตัวเองเดินดูไปรอบ ๆ แม้ในเวลานี้ร้านค้าในละแวกใกล้เคียงจะปิดหมดแล้ว แต่แสงไฟถนนหน้าร้านก็ยังเปิดสว่าง จัสตินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ไฟก็ดับลง
รออยู่นานกว่า 1 ชั่วโมงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุคจึงกลับมาถึง 
ทันทีที่เดินเข้ามาในร้านคนตัวใหญ่ก็ตรงเข้ามาหาบลู จับที่ใบหน้า และแขนเพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ เมื่อเห็นว่าไม่เป็นไรถึงได้หันไปหาจัสติน
“ขอบใจในความเป็นห่วงนะเจ้านาย” จัสตินประชดแล้วเดินผ่านไปรินน้ำดื่ม
“ปีศาจตนนั้นเห็นฉัน” บลูบอกด้วยความกังวล
ลุคพยักหน้า
“แต่นายบอกว่ามันไม่ใช่ซอว์นีย์”
“ไม่ใช่”
ลุคหันไปขอบใจจัสตินและรับน้ำดื่ม ส่วนบลูหันไปมองข้างนอกร้าน รับรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาของลุคและจัสตินแต่บลูเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
ทั้ง 3 คนต่างนั่งอยู่เงียบ ๆ จนได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าร้าน บลูถึงลุกขึ้นอีก 2 คนก็ลุกตาม
“ฉันนอนที่ห้องข้างบนได้ไหม”
“ได้” ลุคบอกแล้วหันไปพยักหน้ากับจัสติน ที่บอกว่าจะรออยู่ในร้าน

บลูแยกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตัว ขณะที่ลุคปิดม่านหน้าต่างซ้อนด้วยผ้าผืนใหญ่จนห้องตกอยู่ในความมืดสนิท แล้วยืนรอ แต่บลูที่ออกมาจากห้องน้ำเดินผ่านไปแล้วนอนที่เตียงใหญ่ในห้อง
ลุคยืนมอง และรอจนบลูหลับไปแล้วถึงได้ออกจากห้องนอนลงไปหาจัสติน ก่อนที่จะเริ่มบทสนทนา ลุคใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากไม่ให้พูด เพราะรู้ว่าบลูจะได้ยินเสียงสนทนา
จัสตินใช้นิ้วชี้วิธีเขียนตัวหนังสือเหนือจากโต๊ะประมาณ 1 นิ้ว เพราะถ้าเขียนลงกับพื้นโต๊ะ บลูจะได้ยินเสียงเสียดสีที่เกิดขึ้นเช่นกัน
‘พูดอะไรไหม’
ลุคส่ายหน้า
‘แต่พวกเราต้องกลับไปค้นหาของในห้องของเขา’
ลุคกอดอกแล้วพยักหน้า
จัสตินและฌ็องส์เคยไปที่ห้องนั้นแล้ว ตอนที่ย้ายเครื่องเรือนหลายชิ้นไปที่นั่น แต่ทั้งคู่ไม่สามารถเข้าไปในห้องนอนของบลู
“เจ้าปีศาจนั่นเรียกว่าอะไร”
“มิธ” (Myth)
“มิธ” จัสตินทวนแล้วส่งเสียงฮึ หันมาเห็นว่าลุคมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามก็อธิบายเพิ่ม “ชื่อเชยมาก แล้วก็ออกไปทางกลาง ๆ คาดเดาสภาพแวดล้อมได้ยาก”
“คิดว่ารู้จัก”
“ฉันได้เห็นหน้ามันชัด ๆ สักวินาทีไหม” จัสตินโวยวาย ขณะที่เขียนตัวอักษรเหนือโต๊ะอีกครั้ง ‘เด็กคนนั้นใช้พลังเพื่อกำจัดวิญญาณและปีศาจพวกนั้นไม่ได้’
ลุคตอบ “ไม่”
“ได้เบาะแสอะไรจากเจ้านั่นหรือเปล่า” จัสตินถาม ‘เขามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร’
“ไม่” ลุคตอบ ‘เขาปราบพวกวิญญาณเล็ก ๆ ที่หลงลืมตัวตนไปแล้วได้ ระมัดระวังตัวมาก และหนีได้เร็วมาก’
“ที่ใช้เวลานานเพราะกำจัดเจ้านั่นเสร็จ ฉันตรวจดูอาคารเรียนทั้งหลัง แล้วก็ไปคุยกับวิญญาณที่อยู่ละแวกนั้น ส่วนใหญ่รู้แค่ว่ามีช่างไฟคนหนึ่งเอาของที่มีไอปีศาจเข้ามา พวกเขาก็หลีกเลี่ยง”
จัสตินพยักหน้าทำความเข้าใจทั้ง 2 เรื่องไปพร้อมกัน
แปลว่าช่างไฟต้องรู้จักเจ้าปีศาจตนนั้นก่อน จากนั้นก็อาจจะถูกควบคุม หรือไม่ก็มีข้อตกลงแลกเปลี่ยนเพื่อนำเครื่องรางมาที่มหาวิทยาลัย แล้วปีศาจจึงตามเครื่องรางเข้ามา พร้อมกับวิญญาณสีดำเหล่านั้น ที่นำมาผูกไว้ที่อาคารเรียน เพื่อเฝ้ากล่องเครื่องรางที่กักวิญญาณนักศึกษาไว้ข้างใน
“วิญญาณสีดำเหล่านั้น เคยเป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับมัน แต่เพราะตัวมันเองที่เลือกจะเข้าสู่โลกมืดมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้วิญญาณเหล่านั้นถูกกลืนกินไปด้วย ถ้าเราไม่ได้ปล่อยวิญญาณนักศึกษาออกมา อีกไม่นานพวกเขาก็จะเป็นเหมือนกัน”
“แต่นายทำลายเครื่องรางไปทั้งกล่อง วิญญาณทั้งหมดหายไปแล้ว นายก็ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ถึงกำจัดมันได้”
“มันค่อย ๆ อ่อนแรงลง”
จัสตินบอก “อย่างนั้นฉันจะกลับไปพักก่อน แล้วจะกลับไปดูที่มหาวิทยาลัยอีกรอบ เผื่อว่าจะยังมีปีศาจหรือเครื่องรางอื่น ๆ อยู่อีก”
ลุคพยักหน้า “ระมัดระวังด้วย ฉันสงสัยว่า ปีศาจนั่นจะเกี่ยวข้องกับซอว์นีย์”
“ซอว์นีย์มันไม่ทำอะไรยุ่งยาก ยิ่งเรื่องใช้มนุษย์ถือเครื่องรางของมันยิ่งเป็นไปไม่ได้”
“แต่การกักขังวิญญาณไว้กับเครื่องรางคือวิธีของมัน”
จัสตินรับทราบ แต่ก็อดไม่ได้ทีจะเอียงหน้าขึ้นไปมองชั้นบนอีกครั้ง
ปกติแล้วเวลาที่ทำงานเสร็จ ทั้ง 2 คนจะต้องไปคุยกันที่ ที่พักของสาธุคุณเพื่อสรุปการทำงาน หาข้อบกพร่อง จุดที่ทำให้งานสำเร็จ การตั้งข้อสังเกตและวางแผนการทำงานต่อไป แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ เพราะบลูอยู่ที่ชั้นบน แล้วลุคก็ไม่วางใจที่จะปล่อยบลูไว้ตามลำพัง
อีกเรื่องก็คือ ลุคไม่ต้องการให้บลูพบกับสาธุคุณ เพราะหนึ่งคือปีศาจอีกหนึ่งคือสาธุคุณ ตอนที่พบกับจัสตินที่เป็นผู้พิทักษ์ยังตรงเข้าจู่โจมในทันที
หากบลูพบกับสาธุคุณแล้วโจมตีในทันที คนที่บาดเจ็บต้องเป็นสาธุคุณอย่างแน่นอน
“ช่วง 5 ปีมานี้เราเจอพวกที่เลือกใช้แนวทางบางอย่างของซอว์นีย์บ่อยขึ้น ว่าไหม” จัสตินบอก “ทั้งในเอเชีย และยุโรป นายยังคิดว่าฐานสำคัญของมันอยู่ที่สกอตแลนด์อยู่หรือเปล่า”
ลุคพยักหน้า กลุ่มซอว์นีย์มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่สกอตแลนด์ หากจะกำจัดให้หมดสิ้นก็ต้องกลับไปค้นหาแล้วกำจัดอย่างเด็ดขาด แต่ทั้งลุคและมือปราบอีกหลายคน ค้นหาสถานที่ต้องสงสัยหลายแห่ง และผลัดเปลี่ยนกันติดตามผู้ต้องสงสัยมาตลอดเวลาที่ยาวนานก็ยังไม่พบ ความเห็นที่ว่าพวกมันอาจย้ายไปที่อื่นแล้วก็มีขึ้นมาตลอด
ลุคมีหน้าที่หลักคือการปราบปรามพวกซอว์นีย์ แต่ทันทีที่พบบลู เป้าหมายในการทำงานทั้งหมดก็เปลี่ยนไป
‘ฉันคือผู้พิทักษ์ของนาย อยู่ข้างเดียวกับนายอยู่แล้ว ต่อให้นายกำลังเสียเวลาเพราะการแก้ไขบาปในอดีตของนายอยู่ก็ตาม’ จัสตินเขียนตัวหนังสือเหนือโต๊ะอีกครั้ง
‘ทั้งหมดนี้คือเรื่องเดียวกัน’ ลุคเขียนตอบ ขณะที่กล่าวคำ “นายกลับไปพักก่อนเถอะ”
“แล้ว...”
“ฉันต้องรอปิดบ้าน”
จัสตินกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ที่จู่ ๆ ก็ถูกตัดบท ไล่ให้กลับไปพัก
“เห็นแถวนี้เงียบ ๆ ก็มีขโมยเหมือนกันนะ” ลุคบอกยิ้ม ๆ ขณะที่จัสตินเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทรถออกไป
ลุคปิดประตูบ้านแล้วกลับขึ้นมาอาบน้ำจากนั้นก็กลับไปนอนลงข้างบลู
ภายในห้องนอนที่ปิดทึบ ร่างที่นอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มหนา ไม่ขยับตัวแม้สักนิด หน้าอกไม่ได้ขยับตามการหายใจ และไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ
ไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ว่าผู้ที่นอนหลับอยู่ข้างกันมีชีวิต
มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ระหน้าผากสวย ไล่ตามคิ้ว สันจมูก แก้ม แล้วกระชับผ้าห่มให้
บลูกังวลว่าอาจถูกจดจำได้จึงยอมอยู่กับลุคในวันนี้เพื่อไม่ให้เกรสต้องตกอยู่ในความเสี่ยง
การตามล่ามาอย่างยาวนานเปลี่ยนแปลงทุกความรู้สึกไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือความโกรธแค้น
ความกังวลของลุคมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่เห็นการต่อสู้ของบลู ที่เราไม่ควรเรียกว่าเป็นการป้องกันตัว และหลบหนีมากกว่า
วันของการเผชิญหน้ากันต้องมาถึงในสักวัน
“ก่อนที่จะถึงวันนั้น ได้โปรดอยู่กับฉันได้ไหม ฉันอยากมองเห็น อยากได้ยินเสียง อยากมีนายอยู่ใกล้ ๆ
ยังมีเรื่องที่ฉันอยากทำให้นาย โอเวน ไร้ท์ ฉันรักนาย”

..จบตอนที่ 10...
คุณครับ ขอรีพลายเป็นกำลังใจสักนิดนะครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-07-2020 22:33:07
ตกลงลุครักโอเวน หรือ บลู
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 29-07-2020 11:59:40
บลูก็คือ โอเวนใช่ไหมๆๆๆ  :hao7:


อยากรู้มากว่า โอเวนหนีออกจากคุกแล้วมาอยู่ในร่างนกฮูกได้ไง  :hao4:


งือๆๆ พี่ลุคปกป้องน้องด้วยนะ อย่าให้น้องหายไปอีก :call:


ลุ้นอ่ะ ตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น :katai1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-07-2020 20:43:52
น่านนนนนน.
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 30-07-2020 19:33:51
โห คิดไม่ถึงเลย
คนแต่งเก่งมากกกกกกก
 :L2:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-08-2020 14:34:21

วันที่อ่านวันแรก เม้นไว้ซะเยอะ แต่ข้อความไม่ขึ้นซะงั้น  :sad4:



ตื่นเต้นอ่ะ คือเค้ารวมร่างกันใช่ป่ะ แล้วมันจะต้องคืนร่างให้อีกคนยังไงอ่า


รอตอนต่อไปจ้า


 :กอด1:  +  :pig4:



 


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 16-08-2020 15:47:50
รออย่างลุ้นๆ :hao7:


คอนหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างน๊า
  :katai2-1:

รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: yupinka ที่ 16-08-2020 20:12:07
 :pig4: รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 16-08-2020 22:02:24
ถึงจะซับซ้อน
แต่เมื่อค่อยๆอ่านแล้ว
สนุกมากกกกค่า
เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-08-2020 08:59:12


   ก๊อก กีอก ก๊อก

   หอบหมอนหอบเสื่อมารอแล้วจ้า

    :กอด1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 20-08-2020 09:11:13
พี่มารอนีองบลูที่ท่าน้ำทุกวันเลย :impress2:


เมื่อไรน้องจะมา


 :ling1:


คิดถึงแล้ววววว
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-08-2020 16:06:13



 :L2:


คิดถึงแล้วจ้าาาาาา



 :L2:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 21-08-2020 14:22:55


 :z13:

 :z13:

รออยู่จ้า


 :z13:

 :z13:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 24-08-2020 20:14:49
มาอ๊ะยัง


 :ling1:


มาอ๊ะยัง


 :ling1:


มาอ๊ะยัง


 :ling1:


รออยู่น๊า
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: @PurPle SuN@ ที่ 24-08-2020 20:30:36
มาแล้วววววว
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 24-08-2020 20:41:29
มารึยังน้า
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 24-08-2020 20:57:47
ในที่สุด...ก้อจำพาสเวิดตัวเองได้สักที แฮ่...
นี่เข้าใจว่าเบสคือโอเวนมาโดยตลอดจริงๆ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 10 (28/7/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 25-08-2020 09:06:31
พี่ลุค ปล่อยน้องบลูมาซะดีๆ :กอด1:




แวะมารอ




 :hao3:




ตอนหน้าจะเป็นยังไงนะ :mew3:





ลุ้นๆ  :ling1:



หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 25-08-2020 15:38:20
ตอนที่ 11

สภาพการจราจรช่วงเย็นคือการนั่งอยู่ในรถมองรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านทางซ้ายและขวาของรถไปเรื่อย ๆ และทำให้เห็นว่าคนที่นั่งข้างคนขับกำลังทำบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมานานแล้ว
ข้าวโพดจับมือเบสไว้เมื่อเห็นว่ากำลังจะยกมือขึ้นมากัดเล็บอีกครั้ง
“จะกัดให้เล็บมันกุดทั้ง 10 นิ้วเลยหรือไง”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” เบสบอกแล้วบิดข้อมือออก แต่พอลืมตัวก็ยกมือขึ้นมาจะกัดเล็บอีกครั้ง ข้าวโพดก็คว้าไว้อีกครั้ง
“เครียดอะไร คุยกัน”
“ก็เรื่องตึกคณะสังคมฯ ไง”
ข้าวโพดพยักหน้า
“ข้าวโพดไม่ห่วงพี่ ๆ หรือไง”
“ไม่นะ เราห่วงเบสมากกว่า” ตอนแรกที่เรียกตัวเองว่าเรา ข้าวโพดรู้สึกแปลก ๆ แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มชิน
“จะมาห่วงอะไรเรา”
“ก็ห่วงว่า เบสจะคิดนั่นคิดนี่ เสร็จแล้วก็จะมาบอกให้เราเลี้ยวรถกลับไปที่ตึกคณะสังคมฯ น่ะสิ บอกเลยนะ ว่าไม่ว่าจะงอแงยังไง เราก็จะไม่กลับไปอย่างเด็ดขาด”
“ข้าวโพด”
“นั่นไง ไม่ต้องมาข้าวโพดเลย พี่ ๆ เขาบอกให้รอก็คือรอ เมื่อกี้พี่ลุคเขาก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขาจัดการกระดาษแผ่นนั้นยังไง”
เบสทำปากยื่นแล้วบ่น “กระดาษนั่นน่ากลัว อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นหัวกะโหลกพุ่งเข้ามาหา”
ข้าวโพดพยักหน้าอีกครั้ง “เราทำอะไรแบบที่พี่ลุคทำไม่ได้ ถ้าความอยากรู้คือการที่ทำให้เราต้องเสี่ยงแล้วอาจทำให้เรื่องมันบานปลาย เราจะไม่ทำเด็ดขาด เพราะฉะนั้นอย่ามางอแง”
“กลัวละสิ”
“ใช่” ยืดอกรับแบบแมน ๆ ไปเลย “นี่ไม่ใช่เรื่องเขม่นกันหลังสนามบาสนะ จะได้เคลียร์กันได้”
เบสยังมีเรื่องที่คาใจ “จำวันก่อนที่เราไปดูที่ตึกนั้นได้ไหม”
“จำได้”
“ตึกนั้นมีคนเรียนอยู่ด้วย”
“ก็มั่นคืออาคารเรียนของคณะ ก็ต้องมีคนเรียนอยู่ มีอาจารย์ มีคนดูแลตึก ที่เบสจะถามก็คือ มีกี่คนที่เรียนในคลาสที่ปิดประกาศไว้ใช่ไหม”
“นั่นแหละ” จากนั้นเอียงคอคิด “แต่เราก็สงสัยทุกคนเลย”
“สงสัยอะไร ทุกคนอะไร”
“ทุกคนที่เราเห็นว่าอยู่ที่ตึกตอนนั้น ทุกคนในคณะสังคมฯเลย”
“เบสจะสงสัยไปหมดทุกคนแบบนั้นไม่ได้” ข้าวโพดพยายามกลั้นหัวเราะ “คิดถึงความน่าจะเป็นหน่อยสิ”
“คุยไหม”
“ก็คุยอยู่ไง”
“งั้นก็อย่าขัดคอ”
“ก็...”
“ข้าวโพด”
“ครับ”
บางทีก็สงสัยนะ เมื่อสัก 7 วันก่อนหน้านี้เบสยังไม่ใช่คนที่จะชอบออกคำสั่งมากขนาดนี้เลยนี่นา หรือเป็นเพราะจูบเมื่อวันก่อน
ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ เบสเวลาที่เครียดและตื่นกลัวจะกลายเป็นคนที่พูดไม่หยุด
“ข้าวโพด”
“ครับผม”
“ฟังอยู่ไหม”
“ฟังสิ แต่ตอนนี้ขับรถอยู่ ต้องใช้สมาธิเหมือนกัน”
เบสพยักหน้า แบบที่เป็นการส่งสัญญาณว่าเดี๋ยวจะกลับมาจัดการเรื่องนี้
“เราสงสัย ใครคือคนที่เอากระดาษมาติดที่บอร์ด แล้วติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีนักศึกษาไปที่คลาสนี้กี่คนแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ได้เรียนจริง ๆ หรือเปล่า แล้วอาจารย์ นักศึกษา คนที่ทำงานที่เรียนที่ตึกนั้น เขาเป็นยังไง เคยพบเจออะไรแปลก ๆไหม” เบสจะยกมือขึ้นมากัดเล็บอีกครั้ง ข้าวโพดก็คว้าไว้ก่อนเหมือนเดิม “ตั้งแต่เราเห็นกระดาษแผ่นนั้น เราก็คิดแต่ว่าจะรอถามพี่ ที่จริงเราควรถามคนที่คณะสังคมฯ เรื่องคลาสเรียนนั้น”
“ถามว่าอะไร”
“ก็ถามว่าเคยมีใครเข้าเรียนคลาสนี้บ้างไง”
ข้าวโพดส่ายหน้า “มาตั้งคำถามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะพี่ลุคทำลายกระดาษแผ่นนั้นไปแล้ว”
เบสหันมาหาข้าวโพด “ถ้าเคยมีคนเข้าเรียนไงข้าวโพด เขาก็จะบอกเราได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร แล้วถ้าคนที่ทำกระดาษแผ่นนั้นยังอยู่ เขาก็อาจจะทำใหม่แล้วเอามาติดใหม่ก็ได้”
“คนที่ทำกระดาษที่มีหัวกะโหลกพุ่งออกมาได้ เบสคิดว่าเขาจะเป็นคนยังไง เขาจะทำอะไรได้บ้าง แล้วคนที่เดินเข้าไปเรียนคลาสนี้จะกลายเป็นแบบไหน พี่ทั้ง 2 คนย้ำแล้วย้ำอีกให้พวกเรากลับบ้าน”
“แต่เราอยากรู้”
“เราก็อยากรู้ อยากอยู่ช่วยพวกเขา”
เบสเชื่อว่าข้าวโพดพูดจริง คนที่มีนิสัยแบบนักสังคมสงเคราะห์อย่างข้าวโพดย่อมต้องอยากอยู่ช่วยพี่ ๆ จัดการเรื่องนี้แน่นอน 
“แต่เราต้องประเมินตัวเองด้วย ถ้าพี่เขาอยากให้เราไปหาข้อมูลอะไร เขาก็คงจะบอกแล้ว เบสไม่คิดว่าพี่ ๆ เขาจะจัดการได้หรือ”
“คิดสิ แต่ข้าวโพดไม่คิดว่าเรื่องนี้มันดูกระจัดกระจายหรือ” เบสให้เหตุผล “จริงอยู่ที่ตอนนี้เราโฟกัสไปที่กระดาษแผ่นนั้น แล้วพี่ก็ย้ำให้เรากลับบ้านตลอด แต่ถ้ามองให้มันกว้างออกไปนะ จู่ ๆ เราก็ได้พบกับพี่ทั้ง 2 คน แม่เราเปลี่ยนไป มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นที่บ้านจนเรากลับบ้านไม่ได้ มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ก็มีคลาสประหลาด”
“คลาสประหลาดนั่นอาจมีมาตั้งนานแล้ว แต่เราเพิ่งเห็น”
“นั่นก็ใช่”
“เอาอย่างนี้ละกัน เอาเรื่องที่เราพอจะทำได้ และไม่ไปขัดขวางการทำงานของเขาแน่นอน เดี๋ยวกลับไปถึงบ้าน เบสลองค้นข่าวเก่าดูว่ามีข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเราที่หายไปไหม แล้วค่อย ๆ คัดที่มันไม่น่าจะเกี่ยวกับคลาสพิเศษนั้นออกไป”
“เราควรได้คุยกับคนที่ทำงานแล้วก็เรียนอยู่ที่ตึกนั้นด้วย”
“นั่นเอาไว้หลังจากที่พี่เขามาสรุปเรื่องให้ฟังก่อนน่าจะดีกว่าไหม เราเป็นกองหนุนนะอย่าลืม”
เบสคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
“เรื่องที่อยากรู้สำคัญก็จริง แต่อย่าลืมทำงานส่งอาจารย์ให้เสร็จก่อนล่ะ เพราะที่ต้องค้นข่าวน่าจะใช้เวลานานกว่า”
การค้นข่าวเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานอย่างที่ข้าวโพดบอกไว้จริง ๆ เพราะการใช้คีย์เวิร์ดป้อนเข้าไปในกูเกิ้ลแบบง่าย ๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
ตอนที่ใช้คำเฉพาะเจาะจงว่า ‘คลาสพิเศษ คณะสังคมฯ’ ก็มีแต่ข้อมูลทางวิชาการขึ้นมา พอเพิ่มคำอื่นลงไปอย่างชื่อมหาวิทยาลัย หรือคำว่า ‘คนหาย และอุบัติเหตุ’ ก็กลายเป็นเรื่องเกมไปเสียนี่ แล้วพอลองเปลี่ยนเป็น ‘คนหาย คณะสังคมฯ’ ก็กลายเป็นประกาศตามหาคนหาย
เบสลองเปลี่ยนคำค้นหาอีกหลายคำ ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ต้องการ
เช้าวันถัดมา เบสก็พยายามจะให้ข้าวโพดขับรถไปแถวตึกเรียนของคณะสังคมศาสตร์อีกครั้ง
“หาในเว็บแล้วมันไม่เจออะไร ลองไปดูที่คณะดีกว่า”
ยิ่งนานข้าวโพดยิ่งหวั่นใจ ว่าจะขัดใจกันไปได้อีกสักกี่ชั่วโมง กี่วัน
“เบส เรารับปากอะไรไว้กับพี่ จำได้ไหม”
“จำได้สิ ก็แค่ไปดูห่าง ๆ ขับรถผ่านเหมือนวันก่อนก็ได้ แล้วนี่ก็ตอนเช้า”
“ตอนพี่ลุคจัดการหัวกะโหลกนั่นก็ตอนกลางวันนะ” ข้าวโพดเตือนขณะที่เลี้ยวรถเข้ามหาวิทยาลัย
“เราไม่ได้ขอให้ข้าวโพดไปจัดการอะไรเลยนะ” เบสชี้ไปทางคณะสังคมฯ “ก็แค่ผ่านไปดูเท่านั้นเอง”
ข้าวโพดสังหรณ์ใจว่าเรื่องจะไม่ได้ง่ายแค่ผ่านไปดู เพราะตึกนี้ก็ค่อนไปทางด้านหลังของคณะ คือจากถนนสายหลักที่ผ่านหน้าคณะก็พอจะมองเห็นตัวอาคาร อย่างเวลากลางคืนที่ผ่านมาก็เห็นว่าเปิดไฟ แต่ในวันนี้....
จากระยะไกลมองเห็นว่า เช้านี้มีคนงานหลายคนกำลังเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่คณะ 
“มองไม่ถนัดเลย” เบสบอก “ทำไมตอนกลางวันถึงมองเห็นได้ยากกว่าตอนกลางคืนนะ
มาถึงตอนนี้ข้าวโพดก็มีความสงสัยอยู่เหมือนกัน จึงเลี้ยวรถตามรถมอเตอร์ไซค์คนงานเข้าไป
อาคาร06 ในเวลานี้อยู่ในสภาพที่เหมือนกับถูกพายุพัดถล่มเมื่อคืนนี้ เศษกระดาษ เอกสารและสิ่งของต่างๆ กระจัดกระจาย ประตูหน้าต่างอาคารเรียนพังเสียหาย
เบสไม่ได้พูดอะไรสักคำเมื่อข้าวโพดเลี้ยวรถออกมาจากคณะ แล้วมาจอดที่ลานจอดรถของคณะบริหาร
“ข้าวโพด ขออีกอย่าง อย่างเดียวจริง ๆ”
“อะไร”
“ไปดูบอร์ดนั้นกันหน่อย”
“อย่างเดียวจริง ๆ นะ” ข้าวโพดถามทั้งที่ก็อยากรู้เหมือนกัน
เบสจับมือของข้าวโพดไว้แน่น ตลอดทางที่เดินไปที่บอร์ดติดประกาศข้างทางเดินระหว่างอาคารเรียน
ที่จริงจากระยะไกลก็พอจะเห็นแล้วว่าไม่มีกระดาษแผ่นนั้น แต่ทั้งคู่ก็ยังเดินเข้าไปจนใกล้ ทั้งชะโงกมองไปทางด้านหลัง เพื่อดูให้แน่ใจ
“ไม่มีแล้วใช่ไหม”
“ไม่มี”
“จบแล้วใช่ไหม”
“แต่เมื่อคืนพี่ไม่ได้มาหาพวกเรานะ”
เบสหันมามองหน้าข้าวโพด แล้วหันไปมองทางตำแหน่งของคณะสังคมฯ
“ข้าวโพดคิดว่าในมหา’ลัยของเราจะยังมีอะไรแบบนี้อีกไหม”
“จะไปรู้ได้ไง มหา’ลัยออกจะกว้าง แต่ที่รู้ก็คือ ถ้าสภาพหลังจากที่พี่ ๆ เข้าไปจัดการแล้วเละขนาดนั้นก็แปลว่า เรายิ่งต้องเพิ่มความระวัง”
ข้าวโพดดึงมือเบสให้เดินกลับมาและเจตนาพูดเพื่อสร้างความหวาดกลัว “ถ้าศัตรูของพี่เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ตอนนี้อาจกำลังมีใครที่กำลังเฝ้ามองเราอยู่”
เบสหยุดเดิน หันมามองข้าวโพด “แม่”
“เบส”
“พี่บอกว่า อย่าเพิ่งกลับไป แต่เราโทรไปหาแม่ได้นี่”
ข้าวโพดพยักหน้า “เรียนคาบเช้าเสร็จแล้วค่อยโทรละกัน”
เมื่อเดินเข้ามาที่ตึกคณะ เพื่อน ๆ ต่างจับตามองมือที่จับกันไว้ไม่ยอมคลาย
“ทำไมผลสรุปถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” แหม่มที่ชอบข้าวโพดมานานโวยวายขึ้น
.....
บลูตื่นนอนท่ามกลางกลิ่นกาแฟผสมกลิ่นเนย ที่หอมไปจนถึงในห้องนอน และประสาทรับรู้ว่ามีคนอยู่ 2 คนในร้าน
บลูระงับความตื่นเต้นนั้นไว้ แล้วสวมแว่นดำเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเจตน์กำลังอ่านหนังสืออยู่ และเงยหน้าขึ้นมาทักในทันที
“ตื่นแล้วหรือครับคุณ ดื่มนมอุ่นสักหน่อยไหมครับ”
ยิ้มแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ คาดว่า ‘เถ้าแก่’ คงบอกอะไรไว้เยอะ จนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปทำความเข้าใจที่ถูกต้อง
อยากให้เชื่อว่าอะไรก็เป็นไปตามนั้นแล้วกัน
บลูพยักหน้า มองข้ามไหล่ของเจตน์ไปที่สตรีอีกคนที่น่าจะมีอายุประมาณ 40 ปี
“นี่เมียผมครับ ชื่อแอน”
บลูยิ้มกว้าง “วันนี้แข็งแรงแล้วหรือครับ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่เจตน์กลัวจะล้มไปอีก ก็เลยชวนมาช่วยงานที่ร้านด้วยกัน”
การที่ทุกคนยังมีสุขภาพที่แข็งแรงดี และมีชีวิตที่ดี คือสิ่งที่ดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้
“ทำไมถึงหรี่ไฟในร้าน”
เจตน์ปิดม่านไม้ไผ่หน้าร้านลงมาครึ่งหนึ่ง แล้วเปิดไฟตรงหน้าเค้าน์เตอร์ที่กำลังอ่านหนังสือกับที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น แม้จะยังมีแสงสว่างจากนอกร้าน แต่ก็ยังถือว่าเป็นแสงสว่างที่น้อยเกินไปอยู่ดี
“เถ้าแก่บอกว่า ตาคุณรับแสงสว่างมากไม่ได้ ผมก็เลยปิดไฟในร้านแล้วหรี่ไฟตรงหน้าเค้าน์เตอร์ สว่างไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก เห็นว่าอ่านหนังสืออยู่ แสงสว่างน้อยเกินไปจะไม่ดีกับสายตา”
“นี่ก็สว่างพอแล้วครับ” เจตน์ชี้กระจกบานใหญ่หน้าร้านที่เปิดรับแสงสว่างไว้ครึ่งหนึ่ง
“แล้วปิดม่านอย่างนี้มาตั้งแต่กี่โมง”
“เมื่อบ่ายโมงครึ่งครับ เถ้าแก่สั่งไว้”
ที่เจตน์ไม่ได้บอกก็คือตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเป็นต้นมา ก็ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย กำลังคุยกันอยู่ว่าเป็นเพราะปิดม่านหน้าร้านจนทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดว่าปิดร้านหรือไม่ แต่ป้ายหน้าร้านก็บอกว่าเปิดร้านนี่นา แล้วบลูก็ลงมาพอดี
บลูหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง ตอนนี้บ่ายสองโมงแล้ว
เจตน์ถือนมอุ่นกับแซนด์วิชมาวาง “เถ้าแก่ออกไปข้างนอกครับ ให้บอกว่าเดี๋ยวจะกลับมา”
เพราะในร้านไม่มีลูกค้า บลูจึงไม่ต้องระวังเรื่องสายตาคนมอง และไม่ต้องระวังคำถาม
“แอนมีฝาแฝดไหม”
แอนที่กำลังเช็ดโหลใส่ขนมเงยหน้าขึ้นมา
“ไม่ทราบหรอกค่ะ”
เจตน์ช่วยตอบ “แอนเติบโตจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะครับ”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” แอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว และไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ “ที่รู้ก็คือ มีคนขับรถแท็กซี่ไปพบว่าอยู่ในกระเป๋าที่ถูกทิ้งไว้ตรงที่ทิ้งขยะ แล้วก็ถูกส่งมาที่สถานรับเลี้ยงเด็ก พอถึงเกณฑ์ก็ออกมาทำงาน ได้เจอกับเจตน์ ก็ได้เปลี่ยนนามสกุลจากนามสกุลกลางของบ้านเด็กมาเป็นนามสกุลเดียวกับเจตน์ค่ะ”
“ชื่อนี้ ทางสถานรับเลี้ยงตั้งให้หรือครับ”
“ค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะหน้าตาตอนเล็ก ๆ เหมือนลูกฝรั่งมังคะ”
“คุณเคยเห็นคนที่หน้าตาเหมือนแอนหรือครับ” เจตน์ถาม
“ครับ แต่พอมาคำนวณดู คิดว่าไม่น่าจะเป็นฝาแฝด เพราะอีกคนมีลูกเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว น่าจะอายุประมาณ 50”
“ดิฉันเพิ่งจะ 40 ค่ะ” ถึงจะไม่รู้วันเกิดที่แน่ชัด แต่ก็สามารถคำนวณจากวันที่พบได้
บลูบอกให้แอนวางมือจากการทำงานแล้วมานั่งคุยกัน ปล่อยให้เจตน์จัดขนมต่อไป
“ที่จริงเถ้าแก่บอกให้ผมทำสลัดผลไม้อีกอย่าง รับเลยไหมครับ”
“ครับ ขอน้ำส้มด้วยนะครับ” จากนั้นก็หันมาถามแอน “กินอะไรหรือยังครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” แอนนั่งลงตรงข้ามกับบลูด้วยท่าทางเกรงใจ
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นครับ ผมแค่หาเพื่อนคุยระหว่างกินอาหารเท่านั้น”
แอนยิ้มกว้างท่าทางตั้งใจที่จะตอบคำถามมากกว่าเดิมเสียอีก
“แอนเคยคิดว่าจะตามหาครอบครัวไหมครับ” บลูรู้ว่าคำถามนี้เป็นเรื่องส่วนตัวมาก แต่นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่อยากรู้
“ตอนเด็ก ๆ ก็คิดนะคะ แต่พอนานไป มีเรื่องอื่นที่ต้องคิดมากกว่าก็ไม่ได้สนใจแล้ว ยิ่งดูจากอายุตัวเอง จากสุขภาพของตัวเองก็คิดว่า พวกเขาอาจไม่อยู่แล้วก็ได้”
การไม่ตามหาอาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับเจตน์และแอน 
บลูพยักหน้าแล้วหันไปทางเจตน์ “อาจเพราะครอบครัวที่มีอยู่ในปัจจุบันมีค่ามากกว่าครอบครัวที่หายไป”
แอนหัวเราะเบา ๆ “มีกันอยู่ 2 คนอย่างนี้มานานกว่า 20 ปีแล้วค่ะ”
“เจอกันยังไงครับ”
“ตอนที่ออกมาจากบ้านเด็ก ก็ไปทำงานที่โรงงานค่ะ ส่วนเจตน์อยู่โรงพิมพ์ใกล้กัน มีที่พักคนงานใกล้กัน”
“แต่โรงงานที่แอนทำอยู่เป็นโรงงานเย็บเสื้อครับ ทำไปสักพักก็เริ่มเป็นภูมิแพ้ จะชวนมาทำที่โรงพิมพ์ด้วยกัน เขาก็เหม็นหมึกพิมพ์ รู้สึกว่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับกลิ่นตลอด”
บลูนึกย้อนไปในอดีต แอนนาเคยเกี่ยวข้องกับอะไรกับเรื่องฝุ่นหรือกลิ่นไหม
“เวลาแอนอยู่ในที่ที่คนเยอะก็จะเวียนหัวเหมือนกัน”
บลูยกนมอุ่นขึ้นจิบ    
“แล้วเป็นหนักมากจนต้องออกจากงานเลยหรือ”
“ตอนที่อยู่ในห้องพัก หรือเดินทางไปโรงงานไม่เป็นไรนะครับ แต่นั่งทำงานไปสักพักก็จะมีอาการเวียนหัว ปวดหัว บางทีก็มีผื่นแพ้ขึ้นมาเฉย ๆ พอเป็นบ่อย ๆ ก็ต้องหยุดงานไปหาหมอ ทีนี้หัวหน้างานก็เริ่มพูดไม่ดี ทั้งที่แอนได้ค่าแรงเป็นรายวัน เขาก็เลยต้องฝืนตัวเองไปทำงาน ทำได้ 2 ปีก็ลาออก ได้งานที่โรงงานอีกแห่งเกี่ยวกับอาหารสัตว์ ยิ่งหนักกว่าเดิม ทำได้ 5 วันก็ต้องลาออก ผมก็เลยให้เขารับจ้างรายวันแบบที่รับกลับมาทำงานที่ห้องได้น่ะครับ”
   ในบรรดาทางเลือกทั้งหมด การทำงานโรงงานอาหารสัตว์ถือว่าเลวร้ายที่สุด และต้องยกย่องแอนที่สามารถต่อสู้กับความหวาดกลัวนั้นได้ถึง 5 วัน
“พอไม่ต้องเจอคนเยอะ ๆ แล้วดีขึ้นใช่ไหม”
“ดีขึ้นค่ะ แต่ก็มีเวียนหัว หน้ามืดอยู่บ่อย ๆ เพราะความดันต่ำ”
“มีคนแนะนำให้กินเบียร์ แต่แอนน่ะ แค่กลิ่นก็เวียนหัวแล้วครับ เคยฝืนจิบไปนิดหน่อยปรากฏว่าผื่นขึ้น”
“สรุปคือแพ้ทุกอย่างค่ะ แล้วต้องไปหาหมอเป็นระยะ”
“แล้วตั้งแต่เข้ามาที่ร้านนี้ แพ้อะไรไหม” บลูถาม
แอนคิดแล้วหันไปมองหน้าเจตน์ที่ยกจานสลัดพร้อมน้ำส้มมาวาง จากนั้นทั้งคู่ก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
“ไม่เวียนหัว ไม่รู้สึกว่าเหม็นอะไรเลย ไม่แพ้อะไรเลยด้วยค่ะ” แอนพลิกข้อมือให้ดู
“ดีแล้ว” บลูพูดยิ้ม ๆ “เอางานที่รับจ้างมาทำที่ร้านนี้ก็ได้”
“ที่จริงเถ้าแก่ ก็บอกให้แอนเอางานมาทำที่นี่เหมือนกันครับ แต่ผมเกรงใจ” เจตน์ลูบท้ายทอย
บลูจิ้มองุ่นเข้าปาก “ที่พักอยู่ไกลไหม”
“ไม่ไกลครับ ประมาณ 5 ป้ายรถเมล์”
“อย่างนั้นก็น่าจะทำอย่างที่เถ้าแก่เขาบอก” บลูสรุปแล้วบอกกับเจตน์ว่าสลัดอร่อยมาก “เมื่อครู่จัดขนมอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ” แอนรีบลุกขึ้นไปจัดขนมใส่จานมาวางให้
“ขอบใจมาก”
บลูบอกพร้อมรอยยิ้ม ก็เป็นอันเข้าใจว่าไม่มีคำถามแล้ว ทั้ง 2 คนจึงกลับไปช่วยกันทำความสะอาดหน้าเค้าน์เตอร์ ขณะที่บลูกินอาหารช้า ๆ เสร็จแล้วก็กลับขึ้นมาอยู่ในห้องนอนที่ปิดม่านหน้าต่างไว้
เพราะนี่คือเวลากลางวัน จะอย่างไรก็ยังมีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามา บลูไม่มีปัญหาเรื่องแสงสว่าง แต่มีปัญหาเรื่องการปิดประตูหน้าต่างห้องจนสนิท และปัญหาเรื่องเสียงจากภายนอก
อยากกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็รู้ว่ายังกลับไปตอนนี้ไม่ได้
เกรซกลับบ้านตัวเองไม่ได้ บลูก็กลับห้องของตนเองไม่ได้เหมือนกัน
แต่อย่างน้อยเกรซก็อยู่ในที่ปลอดภัย แล้วบลูล่ะ
ก็คงจะปลอดภัยในระดับหนึ่งละนะ...
มีหนังสือเล่มหนาหนักอยู่เล่มหนึ่งวางอยู่บนหลังตู้ข้างประตูห้อง บลูเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาที่นี่ และพยายามมองผ่านมันไป แต่ตอนนี้มือผอม ๆ ที่วางแว่นดำไว้หลังตู้เลื่อนมาหยิบหนังสือขึ้นมาโดยที่ไม่ได้หันไปมอง แล้วถือมานั่งอ่านบนที่นอน
ปกหน้าของหนังสือทำด้วยแผ่นหนังสีน้ำตาล ไม่มีข้อความบอกว่านี่คือหนังสืออะไร แต่ตรงมุมล่างด้านขวามีตราสัญลักษณ์เป็นรูปดอกทานตะวัน
นี่คือบันทึกเกี่ยวกับเครื่องรางของแม่มดและพ่อมดในยุโรปและเอเชีย
ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องรางได้ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่จะเลือกของมีค่าที่ไม่ผุพังหรือย่อยสลายได้โดยง่าย เพราะหากเครื่องรางถูกทำลาย ก็คือการทำลายพลังของแม่มดตนนั้น
บลูไม่เคยเจอกับมนุษย์ที่เป็นลูกสมุนของซอว์นีย์ตรง ๆ แต่ผลจากการที่ตามล่าคาร่ามานานหลายปีทำให้สามารถค้นหาคาร่าท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้เสมอ
ก็เหมือนกับการตามหาครอบครัวไร้ท์ ที่แม้ว่าจะไม่ค่อยได้พบเจอกับพวกเขาบ่อยนัก แต่หากได้พบก็จะไม่มีทางผิดพลาดไปได้
แอนกับแอนนาคือคน ๆเดียวกันอย่างแน่นอน แต่ยังมีสตรีอีกคนที่มีไอชีวิตสีชมพูอ่อนเหมือนกัน
แล้วหากแอนนามี 2 คนก็มีความเป็นไปได้ที่คนอื่น ๆ ก็จะมี 2 คนเหมือนกัน
มีความเป็นไปได้ในประเด็นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนแตกแขนงออกไปไม่สิ้นสุด
บลูรวบรวมสมาธิกลับมาเมื่อครั้งที่ยังอยู่ตามลำพัง ในยามที่เฝ้าตามคาร่า กับพรรคพวกขอเธอ ยามที่รู้สึกว่ากำลังตกเป็นฝ่ายถูกตามล่าทำให้ต้องหลบหนีแล้วกลับมาโจมตีอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะหนีไปให้ไกลอีกครั้ง
ฝ่ายตรงข้ามรู้แล้วว่า หากบลูพบคาร่าแล้วเขาจะต้องกลับมาโจมตีคาร่าอย่างแน่นอน
สัมผัสอันตรายในช่วงเวลานั้นมันเป็นอย่างไรนะ...
บลูหลับตาแล้วเปิดประสาทสัมผัสเพื่อฟังเสียง รับรู้การเคลื่อนที่ของมวลอากาศ
ในรัศมี 1 กิโลเมตรไม่มีร่องรอยของลุค เมอร์ฟี...
บลูหัวเราะให้กับตนเองเบา ๆ แล้วกลับมาอ่านหนังสือท่ามกลางความมืดสลัวต่อไป
ท่ามกลางเสียงที่น่ารำคาญเหล่านั้น ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ตรงมาทางนี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และทั้งที่ดวงตายังมองหนังสือที่วางอยู่บนที่นอน แต่กลับมองเห็นคนในชุดสีดำที่กำลังขับรถ จมูกได้กลิ่นของเพศชายผสานกับสมุนไพร
ได้ยินเสียงสนทนาของชายคนนี้กับคนในร้าน
ได้ยินแม้แต่เสียงในตอนที่เขาเข้าห้องน้ำไปล้างมือ ล้างหน้า และจัดการเรื่องส่วนตัว
ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันได
และเสียงลมหายใจในตอนที่เขาหยุดยืนที่หน้าห้อง
เพราะเป็นอย่างนี้บลูถึงได้ไม่ประหลาดใจ และไม่ต้องหันไปมองในตอนที่ลุคเคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามา
“มีความคืบหน้าอะไรบ้าง” บลูที่นอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือถามขึ้นก่อน
ลุคถอดเสื้อคลุมพาดไว้กับเก้าอี้ “ส่งนายวิญญาณกลับไปอีก 1 แต่ก็ยังไม่ใช่ซอว์นีย์อีกเหมือนเดิม”
“การเลี้ยงวิญญาณกำลังเป็นเทรนด์ยอดนิยมที่นี่หรือไง”
“มีนายวิญญาณหลายคนที่เพิ่งเดินทางเข้ามา รวมทั้งคนที่เจอวันนี้” ลุคเดินมานั่งลงข้าง ๆบนเตียง “มีอัสวัด นายวิญญาณที่พวกเราเจอที่คลินิกเถื่อนนั่น”
“รวมถึงเจ้าพ่อมดหรือแม่มดที่นายจัดการที่บ้านของมาร์ธา”
ลุคพยักหน้า พ่อมดซอว์นีย์ตนนั้นคือแบร์รี่
บลูพลิกตัวนอนหงาย ประสานมือไว้บนหน้าท้อง “ฉันเพิ่งนึกบางสิ่งบางอย่างออก”
ลุครอฟัง
“นายบอกว่านายคือมือปราบแห่งวาติกัน วาติกันคือคาทอลิก แต่นายเคยพูดถึงสำนักที่เยอรมัน พวกเขาเป็นโปแตสแตนท์ ที่เรียกว่าคริสตจักรปฏิรูป นายรู้จักกับพวกเขาได้อย่างไร”
“ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นโรมันคาทอลิก และวาติกันกำลังรุ่งเรือง แต่ความโหดร้าย ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ และมีคำสอนที่แตกต่างออกไป ในโปแตสแตนท์เองก็แตกออกเป็นหลายกลุ่ม”
“คนที่ทำให้นายเป็นสสารที่ซ่อมตัวเองได้เป็นใคร”
“เป็นสาธุคุณที่เป็นนักวิทยาศาสตร์”
คำตอบนี้ชัดเจนกว่าเมื่อตอนที่ถามครั้งแรก “อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับนิกายหรือความเชื่อน่ะสิ”
“เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ และการแปรธาตุ เขาเชื่อว่าแม่มด ปีศาจ และวิญญาณคือการแปรธาตุในรูปแบบหนึ่ง”
บลูหันมามองหน้า ลุคก็พยักหน้ายืนยันว่าที่พูดมาคือความจริง
“เขาก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติอะไรสักเท่าไหร่ เพียงแต่การทดลองท้าทายวงจรชีวิตแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นภายในมุมหนึ่งของวาติกัน แล้วจะได้รับความคุ้มครองเขาก็เลยอยู่”
“ก็ถ้าลองไปท้าทายอยู่ข้างนอกอย่างกาลิเลโอก็จะมีจุดจบอย่างเดียวกัน” (กาลิเลโอ กาลิเลอี 1564-1642)
ลุคหันมามองหน้า “ฉันเกิดก่อนเจ้าเด็กนั่นเกือบ 100 ปีนะ”
“แล้วทำไมนายไม่พาเจ้าเด็กนั่นไปอยู่ในวาติกัน”
“อย่างกับเจ้านั่นจะฟังคนอื่นอย่างนั้นแหละ”
“แย่ชะมัด”
“ฉันไม่ได้เป็นคนที่รับหน้าที่นี้นะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ฉันคือมือปราบพ่อมดดำ ไม่ใช่ผู้คุ้มครองนักวิทยาศาสตร์”
บลูกลอกตา
“สรุปคือนายคือสสารที่เรียกว่ามือปราบ ซึ่งเป็นผลผลิตของนักวิทยาศาสตร์ภายใต้เครื่องแบบหนัก ๆ ของนักบวช”
“ทำนองนั้น”
“เพราะตอนนั้นนายเป็นนักเรียนการศาสนาของคาทอลิก เมื่อนายถูกแปรธาตุไปแล้วนายจึงกลายเป็นคาทอลิกอยู่เหมือนเดิม”
“ฉันคือมือปราบวาติกัน”
“นอกจากนายแล้วมีมือปราบคนอื่นที่เป็นแบบนายอีกไหม”
“ไม่มี”
ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกว่านี่เป็นชีวิตที่เงียบเหงาเกินไป
“แล้วนายก็มีผู้พิทักษ์ที่มาจากนิกายเล็ก ๆ ของโปแตสแตนท์ในเยอรมัน”
“ใช่”
“แล้วก็พากันกลับมารับคำสั่งจากวาติกันเหมือนเดิม”
“ที่จริงยังมีสาธุคุณอีกคนจากฝรั่งเศส”
“โปแตสแตนท์”
“ใช่ เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นพวกอูว์เกอโนต์คริสเตียนฝรั่งเศส เขาถึงสามารถเชื่อมโยงคริสเตียนทั้งคาทอลิกและโปแตสแตนท์ตั้งแต่ฝรั่งเศส เยอรมันไปถึงอังกฤษ และสกอต”
บลูพยักหน้า “มิน่าฉันถึงไม่เคยเจอเขา”
“ฉันรับรองว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นายจะได้พบกับเขา”
บลูคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่าเลย ฉันคือปีศาจ ลำพังการที่มานอนอยู่ในบ้านของมือปราบนี่ก็แปลกอยู่แล้ว ถ้าให้มานั่งดื่มน้ำชากับสาธุคุณที่เป็นมนุษย์มันจะยิ่งประหลาดไปกันใหญ่”
“ฌ็องส์เป็นผู้สนับสนุนที่ดี”
บลูเคาะนิ้วที่ปกหนังสือ “เครื่องหมายดอกทานตะวันที่ปกหนังสือนี่คืออะไร”
“เครื่องหมายของโบสถ์ที่รวบรวมรายงานเรื่องนี้น่ะ”
“อยู่ที่ไหน”
“โบสถ์นี้เคยอยู่ที่สวอนซี ในเวลส์ แต่ถูกไฟไหม้เมื่อ 10 ปีก่อน” ลุคก้มลงมองคนที่นอนอยู่ “ไฟของแม่มดเผาทำลายทุกอย่าง รวมถึงชีวิตของบาทหลวงที่เขียนรายงาน หนังสือเล่มนี้ถูกส่งมาถึงมือฉันในวันเดียวกับที่เกิดไฟไหม้”
“ฌ็องส์เป็นคนเอามาให้นาย”
“ใช่ พวกสิ่งของที่พวกเราต้องใช้ หรือแม้แต่หนังสือเดินทางเขาก็หามาให้”
“หนังสือเดินทางน่ะนะ” บลูไม่อยากเชื่อ
“เดินทางข้ามประเทศก็ต้องใช้หนังสือเดินทาง”
“ปลอม?”
“ของจริงสิ”
“แล้วนายไปทำเองหรือเปล่า เขาใส่วันเดือนปีเกิดจริง ๆ ของนายหรือเปล่า” เมื่อลุคเงียบ บลูก็พูดต่อ “นั่นแหละปลอม”
“มีตราถูกต้องเลยนะ”
บลูส่ายหน้า พลิกตัวเปิดหน้าหนังสือไปที่เรื่องที่ยังสงสัย เพื่อซักถาม ขณะที่ลุคคอยอธิบายอยู่ข้าง ๆ
.....
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 25-08-2020 15:40:31
(ต่อครับ)

เบสโทรกลับบ้านในระหว่างที่ย้ายห้องเรียนในภาคเช้า คนรับใช้ที่รับสายบอกว่าผกาออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อเช้ามืด เบสจึงโทรฯเข้ามือถือ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
เบสรอจนถึงช่วงพักกลางวันหลังจากที่กินมื้อเที่ยงเสร็จก็โทรฯกลับเข้าบ้านอีกรอบเผื่อว่ามารดาจะกลับมาแล้ว คราวนี้กัลย์ซึ่งเป็นแม่บ้านเป็นคนรับสาย
เบสได้ยินเสียง ‘วืด’ เบา ๆ แล้วดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ในแบบที่เสียงนั้นกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาจนต้องยกหูโทรศัพท์ออกห่าง
“คุณคะ” เบสได้ยินเสียงของกัลย์จึงแนบหูกับโทรศัพท์อีกครั้ง
“แม่กลับมาหรือยังฮะ”
“ยังค่ะ”
“ผมโทรเข้ามือถือแม่แล้ว แต่ติดต่อไม่ได้ ถ้าแม่กลับมา หรือคุณกัลย์ติดต่อแม่ได้ ช่วยบอกว่าผมโทรหานะฮะ”
“ได้ค่ะ”
เบสกดวางสายโทรศัพท์แล้วหยิบกระเป๋าเรียนมาวางบนโต๊ะ พิมพ์ข้อความส่งถึงข้าวโพด ไม่ถึง 10 นาที ข้าวโพดกับนทีก็ตรงมาที่โต๊ะยาวใต้ตึกคณะ
เป็นการมาถึงแบบที่ทุกคนที่กำลังนั่งคุยเล่นกันอยู่ต้องหันมามองเป็นตาเดียวกัน
มือใหญ่แตะที่หน้าผากของคนที่ฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ แล้วหันไปถามนานา “หลับมานานหรือยัง”
“ก็สักพัก มีอะไร”
“กูไปซื้อน้ำเย็นมาให้” นทีบอก แต่เพื่อนอีกคนส่งน้ำขวดที่ยังไม่ได้เปิดให้
“ขอบใจ” นทีรับขวดน้ำมาเปิด
ส่วนข้าวโพดนั่งลงข้างเบส แล้วจับให้เบสเอนตัวมาพิง หันไปรับขวดน้ำจากนที “เบส ดื่มน้ำนะ”
เบสตอบรับเบา ๆ แต่ก็ดื่มน้ำไปได้นิดเดียว
“เรามีทิชชู่เปียก” นานายื่นทิชชู่ให้ แต่พอเห็นว่าข้าวโพดไม่รับไปก็ต้องอธิบายเพิ่ม “อันนี้เช็ดหน้าได้”
“ขอบใจ” ข้าวโพด รับมาเช็ดหน้า แต่พอจะเช็ดคอ หันไปเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาก็เปลี่ยนเป็นเช็ดมือให้
“ไม่ต้องรักษาอาการแล้ว ดูแลกันขนาดนี้” แหม่มบอก “จะทำอะไรก็ทำไปเหอะ”
“ข้าวโพด” น้ำเสียงของเบสเบามาก   
   “ดีขึ้นไหม”
“หนัก ไม่ มี แรง”
“ไปโรงพยาบาล” นทีแนะนำในฐานะที่เป็นอีกคนที่ต้องเอียงหูเข้ามาฟังคำพูดของเบส
ข้าวโพดพยักหน้าแล้วลุกขึ้น นทีกับบอลก็ช่วยกันพยุงเบสขึ้นขี่หลัง ส่วนนานารีบเก็บกระเป๋าของเบส กับกระเป๋าของข้าวโพดวิ่งตามมาที่รถ
เบสหลับไปตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล แล้วถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน หลังจากที่พยาบาลเข้ามาทำประวัติแล้วข้าวโพดลงชื่อรับรอง และอนุญาตให้ทำการรักษา นทีกับบอลก็ขับรถของข้าวโพดกลับไปมหาวิทยาลัย บอกว่าเลิกเรียนจะเอารถมาคืน
“เชื่อเหอะว่า นายหญิงนานากับเอฟซีมึงต้องตามมาที่โรงพยาบาล”
“ลำพังนายหญิงคนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่เอฟซีไอ้ข้าวโพดจะมารบกวนคนอื่นไหม ที่นี่โรงพยาบาลนะ” บอลเตือน   ข้าวโพดพยักหน้า บอกนทีว่าก่อนที่จะมาก็ให้โทรมาถามก่อน
เมื่อเพื่อนกลับไปแล้ว ข้าวโพดถึงได้โทรหาอัจฉราซึ่งเป็นมารดาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง จากนั้นก็หันไปเปิดโทรศัพท์มือถือของเบส
เบสไม่เคยบอกรหัสเปิดหน้าจอ แต่ข้าวโพดจำวิธีลากนิ้วเป็นตัวอักษร ‘Z’ เมื่อเปิดหน้าจอได้
บันทึกการโทรบอกว่าวันนี้ เบสโทรกลับบ้าน 1 ครั้งจากนั้นก็โทรเข้าเครื่องของมารดา แล้วก็เป็นการโทรกลับบ้าน กับการส่งข้อความหาข้าวโพด
ไม่ใช่แค่กลับบ้านไม่ได้ แค่โทรกลับบ้านยังไม่ได้เลย
แต่อาการคราวนี้เป็นแบบเฉียบพลันแล้วก็เป็นหนักกว่าเดิม
นทีโทรมาในตอนเลิกเรียน แล้วก็ขับรถมาคืนให้อย่างที่บอก โดยมีนานาขับรถตามมาพร้อมด้วยบอลและเพื่อน กลุ่มใหญ่แต่พอมาถึง พบว่าเบสยังหลับอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบวีไอพี ส่วนข้าวโพดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กับยังมีคนรับใช้ที่มาช่วยดูแลและกำลังจะกลับไป เพื่อนทุกคนก็เลยเพิ่งนึกได้ว่าครอบครัวของข้าวโพดรวยมาก
“แล้วติดต่อแม่ของเบสได้หรือยัง” นานาถามขึ้น
“ยังเลย”
ที่จริงแล้วข้าวโพดไม่กล้าโทรกลับไปที่บ้านของเบส และไม่กล้าโทรเข้ามือถือของผกาด้วย
ก็ถ้าหากวูบไปอีกคน จะทำอย่างไร
“หมอว่าไง”
“เบื้องต้นคือเม็ดเลือดขาวสูง”
“ยังไงวะ จู่ ๆ มันก็สูงงี้หรือ” นทีไม่เข้าใจ เพื่อน ๆ ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ
“ผลตรวจมันออกมาอย่างนั้น มันเกิดจากอะไรกูจะรู้ไหม”
“เบสก็กินข้าวไข่เจียว กับผัดผักเหมือนปกติแหละ ไม่เห็นมีอะไรแปลก” นี่ก็คือการตั้งสมมุติฐานในแบบของนานาเหมือนกัน
“หรือจะเป็นพวกกลิ่น” บอลช่วยเดาต่อไปเรื่อย ๆ
นานาหันมาเพิ่มข้อมูลอีกอย่าง “เห็นว่าคุยโทรศัพท์ แล้วก็นอนฟุบกับกระเป๋า กดโทรศัพท์แล้วก็หลับไป ไม่รู้เลยว่าหมดสติ”
“ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกน่ะ เขาก็เลยพอจะเซฟตัวเองได้ทัน” ข้าวโพดมองคนที่ยังหลับอยู่ “ที่เห็นเขากดโทรศัพท์อันสุดท้ายนั่นคือ เขาส่งข้อความหากูเอง”
“ทั้งที่พวกเรานั่งอยู่ตรงนั้นเป็นสิบน่ะนะ” แหม่มพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
นานากระทุ้งศอกใส่เพื่อนเบา ๆ เพื่อให้หยุดพูด “บอกเรา แล้วเรารู้เรื่องไหม ขนาดเพื่อนวูบไปแล้วเรายังไม่รู้เรื่องกันเลย หรือต่อให้รู้ เราก็ต้องโทรเรียกข้าวโพดอยู่ดีนั่นแหละ”
“แล้วพรุ่งนี้ว่าไง มึงจะหยุดเรียนไหม”
ข้าวโพดส่ายหน้า “กูจ้างพยาบาลแล้ว แต่พรุ่งนี้เช้าแม่กูจะแวะมาดูแล้วรอคุยกับหมอ กูเลิกเรียนก็จะกลับมาดู”
นทีหันไปมองหาโทรศัพท์ของเบส “แล้วโทรศัพท์เบสอยู่ไหน ยังไงเราก็ต้องโทรหาแม่ของเขา”
“อยู่กับกู เดี๋ยวกูโทรเอง”
นทีมองหน้าเพื่อน “มีอะไรหรือเปล่าวะ”
เพื่อน ๆที่กำลังคุยกันหันมามองข้าวโพด “ไม่มี มึงสงสัยอะไร”
“ไอ้เบสมีปัญหาอะไรกับที่บ้านหรือเปล่า เกี่ยวกับอาการป่วยของมันใช่ไหม”
ที่นทีสงสัยก็มีส่วนที่ถูกต้อง แต่ข้าวโพดก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเล่าไปแล้วเพื่อนจะคิดอย่างไร
“อย่าบอกว่าไม่รู้” เวลาที่นทีจริงจังขึ้นมาก็ทำให้ทุกคนเกรงใจได้เหมือนกัน
“ที่กูรู้ก็คือ เบสติดต่อแม่ไม่ได้ แล้วมึงก็เห็นตอนที่เบสไม่สบายครั้งก่อน” เพื่อนทุกคนพยักหน้า “กูก็เลยชวนมาอยู่ที่บ้านตั้งแต่ตอนนั้น”
“อันนั้นรู้แล้ว” นทีบอก “มึงต้องบอกเรื่องที่กูไม่รู้”
“มึงก็รู้ก็เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่แรก แล้วมึงจะอะไรกะกูนักหนาเนี่ย”
ข้าวโพดทำตลกได้ไม่ตลกที่สุด เพราะนทีส่ายหน้า แล้วหันไปยืนยันกับนานา “ข้าวโพดมีเรื่องปิดบัง ไม่อยากเชื่อเลย”
“เอางี้ พรุ่งนี้มึงมารอคุยกับหมอเลยละกัน”
“กูไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น กูอยากรู้ว่าทำไมเบสถึงมาอยู่บ้านมึง”
“ก็เบสป่วย แม่ไม่อยู่” ข้าวโพดย้ำคำเดิม
แหม่มถามอย่างตรงไปตรงมา “พวกเธอคบกันแล้วก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่แม่ของเบสไม่เห็นด้วยทำให้เบสเครียดจนไม่สบายใช่ไหม”
ข้าวโพดถึงกับสตั๊นในความสามารถผูกเรื่องของแหม่ม
“หรือพวกเธอคบกันมานานแล้ว แต่มีเรื่องเมื่อวันก่อนโน้น ใช่ ฉันนึกออกแล้วที่เบสเงียบไปเลยตอนที่กลับบ้านน่ะ”
“หยุด” ข้าวโพดบอก “หยุดคิดนั่นคิดนี่ ได้แล้ว”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
“กูจะไปรู้ได้ไง รู้แต่เบสไม่ค่อยสบาย โทรมาเรียกให้กูไปรับ แล้วเขาก็มาอยู่บ้านกู” ข้าวโพดมองหน้าเพื่อน “ใช่ กูชอบเขา คิดกับเขามากกว่าเพื่อน แต่เขาชอบกูมากกว่าเพื่อนหรือเปล่ากูไม่รู้ พอใจหรือยัง”
“บ้า พวกมึงสนิทกันขนาดนี้” นทีบอก
“เบสหึงฉันเสียขนาดนั้น” แหม่มพูดบ้าง
ข้าวโพดมองคนที่ยังนอนหลับอยู่ ขณะที่ภายในสมองคิดถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่มารดาของเบสกลับมาบ้าน...

.....จบตอนที่ 11.....
อ่านจบตอนนี้แล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าคุณคิดเห็นอย่างไร
รบกวนรีพลายบอกเราด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ
ไจฟ์ครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 25-08-2020 16:30:03
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านฮะ


  :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-08-2020 21:41:47
ลุคกะบลูไม่มาหาเบสเลย
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 26-08-2020 11:45:55
หมายความว่ายังไงนะที่คนอื่น ๆ ก็จะมี 2 คนเหมือนกัน


สงสัยๆ  :hao4:


บลู ถ้าน้องจะจับร่องรอยพี่ลุคในระยะ 1 กิโลได้ ต่อไปพี่ก็ไปไหนไม่รอดแล้ว หึหึ  :laugh:


แม่ของเบสก็แวบไปแวบมา จริงๆ แล้วเป็นใครอ่ะ ถึงขนาดทำให้เบสสลบได้ผ่านเสียงทางโทรศัพท์ น่ากลัวเกินไปแล้ว


มุ่งเป้าเบสเพื่อล่อให้บลูเผยตัวออกมาหรือเปล่านะ :hao4:


รอคลายปมตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อฮะ


ขอบคุณพี่ไจฟ์น้องที  :3123:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-08-2020 16:17:50
 
 รึมีร่างแยก  o22


ว่าแต่อิหนูเบส ถ้าไม่มีข้าวโพดอยู่ข้างๆ น่าจะโดนหนักกว่านี้นะนี่ เหมือนพร้อมวิ่งเข้าหาสิ่งที่ทำร้ายตัวเองได้ตลอด


อันนี้ตอบคุณไจฟ์ที่ถามท้ายๆตอนเอาไว้นะคะ จริงตอนแรกก็กลัวแหล่ะ

แต่เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเขียนมาให้อ่านสักเท่าไหร่ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่อ่านเพลินมาก

ตอนแรกก็มีเอ๊ะ มีเครื่องรางแอบคิดถึงพ่อมดแฮรรี่บ้าง แต่เนื้อหาก็คนละแบบเลยอันนี้พระเอกเก่งงงงงง


ติดตามอยู่ค่ะ เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนค่ะ  :pig4:





 
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: jeab12 ที่ 13-09-2020 10:33:14
มาเป็นกำลังใจให้ น้ำชา นะคะ   
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 13-09-2020 11:27:49
เข้ามาให้กำลังใจน้ำชาจ้า
อ่านแต่ละตอน ต้องใช้สมาธิอยู่นะ
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนได้ดีจริงๆ

ตามๆๆๆ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: yupinka ที่ 13-09-2020 12:15:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 13-09-2020 12:21:54
ตามๆๆๆ :3123:


ตอนนึงยาวมาก อ่านแบบจุใจ


ขอบคุณคนแต่งทั้งพี่ไจฟ์น้องที :mew1:


เป็นกำลังใจให้น้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 14-09-2020 09:07:28


 :L2:

เรายังรอน้องบลูอยู่เสมอ


เข้ามาเป็นกำลังใจให้จ้า


 :กอด1:  :กอด1:



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 11 (25/8/63)
เริ่มหัวข้อโดย: nongfom ที่ 14-09-2020 11:12:34
เป็นกำลังใจให้น้ำชานะ สู้ ๆ
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 16-09-2020 16:00:12
ตอนที่ 12
   
ข้าวโพดเลิกเรียนก็กลับมาที่โรงพยาบาล ซึ่งมีทั้งพยาบาลพิเศษที่จ้างให้เฝ้าไข้ และยังมี ‘พี่นี’ ซึ่งเป็นคนรับใช้จากที่บ้านอยู่อีกคน
ส่วนเบสกำลังนอนดูโทรทัศน์
“เป็นไงบ้าง”
เมื่อข้าวโพดถาม พยาบาลก็บอกผลการตรวจและอาการว่านอกจากอ่อนเพลียแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น ข้าวโพดจึงบอกให้เธอกลับไปพักผ่อน จากนั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้พี่นีเก็บเสื้อผ้ากลับไปซัก
เมื่อพี่นีกลับไปแล้ว ข้าวโพดจึงเดินมานั่งลงข้างเตียง จับมือข้างที่ไม่ได้ให้น้ำเกลือไว้
“ขอบใจนะ” เบสบอก
ข้าวโพดพยักหน้า “โทรศัพท์เบสอยู่กับเรา”
เบสบีบมือข้าวโพดแน่นขึ้น “แล้วโทรหาที่บ้านหรือเปล่า อย่าโทรนะ”
“เปล่า เรารอถามเบสให้แน่ใจก่อน”
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ บ่งบอกว่าเราทั้งคู่คือจุดอ่อน และจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม
“ถามอะไร”
“ที่เบสเป็นอยู่มันไม่ใช่อาการป่วยแบบที่หมอบอก”
“ก็ถึงได้อยู่เงียบ ๆนี่ไง” ไม่กล้าบอก ไม่กล้าถามอะไรใครั้งนั้น คนที่ไว้ใจได้ และสามารถบอกเล่าทุกอย่างได้ เหลือเพียงแค่ข้าวโพดเพียงคนเดียว
ข้าวโพดขยี้ผมนิ่มเบา ๆ “อาการของเบส มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน”
เบสไม่เข้าใจคำถาม “ตอนที่เป็นครั้งแรก หรือตอนนี้”
“งั้นเล่าตั้งแต่ตอนที่แม่ของเบสกลับมาจากเมืองนอกรอบล่าสุดเลยละกัน เวลาที่พี่มาจะได้บอกกับเขาได้”
“หมายถึงตอนที่แม่ซื้อเสื้อมาซ้ำแล้วเราเอาให้ข้าวโพดน่ะหรือ”
“เออ เอาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”
เบสเริ่มตั้งแต่ตอนที่แม่เดินทางไปงานแต่งงานของญาติผู้พี่ ที่เบสไม่ชอบเธอสักเท่าไหร่นัก แต่การเดินทางของคุณผกาก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือเที่ยวเป็นหลัก เธอจึงส่งพวกของฝากและสินค้าที่ระลึกกลับมาก่อน
“แม่ชอบของที่ระลึกมากเลยหรือ” ข้าวโพดนึกถึงพวกของประดับบ้าน ที่ไปทีไรก็มองผ่านมาโดยตลอด
“เขาชอบพวกของชิ้นเล็ก ๆ  ไปที่ไหนก็ซื้อมา แล้วเอามาจัดบ้าน พอเบื่อก็เก็บใส่กล่อง แต่พวกหมวก หรือตุ๊กตาตัวสูงสัก 2 ฟุตก็มีนะ เขาก็เอามาวาง ๆ สักพักก็เก็บเหมือนกัน”
ข้าวโพดขมวดคิ้วแน่น
“เดาไม่ถูกเลยใช่ไหมล่ะ ว่ามันคือชิ้นไหน”
“ยากว่ะ แล้วเบสเปิดกล่องออกมาดูก่อนหรือเปล่า”
“เปล่า เวลาบริษัทเขามาส่งของ เราก็อยู่มหาวิทยาลัย คุณกัลย์” ที่เป็นแม่บ้าน “เป็นคนรับ เขาก็เก็บทั้งหมดไว้ที่ห้องของแม่”
ข้าวโพดพยักหน้าบอกให้เบสเล่าต่อ
“วันที่เขากลับมา เรามาถึงบ้านทีหลังเขาไง ตอนที่มาถึงแม่ก็กำลังแกะของ กระจายเต็มห้อง เราก็ช่วยเก็บพวกขยะ ที่เป็นพวกพลาสติกหรือเศษกระดาษ พวกบับเบิ้ลกันกระแทกออกไปทิ้ง แล้วข้าวโพดก็ตามมาบ้าน”
ตอนนั้นยังไม่เห็นว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น
“ตอนแกะนี่ แม่อยู่คนเดียวหรือ”
“ใช่ ขนาดคุณกัลย์ยังห้ามเข้ามายุ่งเลย เป็นอย่างนี้ตลอด”
“แม่หวงของมากเลยหรือ”
“ก็เขาชอบของที่ระลึกแบบนี้ แต่ถ้าเป็นพวกขนม หรือของที่เตรียมไว้ให้คนอื่นนี่ เขาจะแยกไว้ก่อนบอกไว้เลยว่า จะเอาอะไรไว้ให้ใคร”
ฟังดูก็เหมือนจะเป็นความหวงในอีกแบบหนึ่ง
ถ้าสาเหตุที่ทำให้เบสมีอาการแบบนี้อยู่ในกลุ่มพวกของที่ระลึกที่คุณผกาซื้อกลับมา เบสก็น่าจะเริ่มมีอาการตั้งแต่ตอนนั้น
แล้วอาการมันเริ่มจากตอนไหน
เบสนึก “พี่มาหาครั้งแรกแล้วก็คุยกันจนดึกมาก จากนั้นก็ไปกินเหล้ากับพวกข้าวโพดไง ทีนี้ก็เหมือนนอนไม่พอ แต่ก็นอนไม่หลับในเวลาเดียวกัน”
เบสเล่าเรื่องมาจนถึงตอนที่มีอาการอ่อนเพลียครั้งแรก แล้วข้าวโพดช่วยดูแลที่มหาวิทยาลัย จนถึงตอนที่กลับไปบ้านแล้วอาการแย่ลง จากนั้นก็บอกให้ข้าวโพดมารับที่บ้าน
“ตอนที่รอน่ะ เรารู้สึกว่าแขนขามันหนักมาก อยากอยู่เฉย ๆ ไม่อยากขยับตัว มันจะประมาณนี้ ทั้งที่รู้ว่ายังมีของอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้หยิบมา แต่ก็ไม่อยากขยับ พอข้าวโพดมาเราก็จะไปบอกแม่ แต่ก็รู้สึกไม่อยากบอก”
เบสรู้ตัวมาตลอดว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับตนเอง แต่ไม่ยอมบอกใคร
ส่วนความผิดปกติที่เกิดขึ้นตอนที่กลับไปเอาของที่หน้าบ้าน ไม่ถือว่ารุนแรง แต่ควรเก็บเป็นข้อมูลเพื่อระวังเหมือนกัน
จนมาถึงครั้งล่าสุดนี้ เบสลำดับการโทรศัพท์ให้ข้าวโพดฟัง แล้วพอเริ่มมีอาการขึ้นมา ก็รีบส่งข้อความหาข้าวโพด
ข้าวโพดวิเคราะห์ “เรารู้สึกสงสัยคุณกัลย์”
“เราเป็นห่วงแม่ ยิ่งพอมาลำดับเรื่องแบบนี้ เราก็ยิ่งเป็นห่วง”
ข้าวโพดก็คิดอย่างเดียวกัน ทั้งนึกระแวงไปถึงขั้นที่อยากพาเบสออกจากโรงพยาบาลเสียทันที
“แต่เราก็ยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ไม่รู้ว่าจะสู้พวกเขายังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำร้ายแม่ของเบสทำไม แล้วแม่อยู่ที่ไหน รู้อย่างเดียวคือต้องรอให้พี่ ๆ มาจัดการ”
“รู้สึกว่า นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว เรายังเป็นตัวถ่วงพี่เสียอีก” เบสเขย่ามือของข้าวโพด “ไปถามหมอให้หน่อยสิ ขอกลับบ้านวันนี้เลยได้ไหม”
เป็นคำขอที่ตรงกับใจของข้าวโพดมาก แต่เมื่อข้าวโพดโทรไปถาม หมอก็บอกว่าเบสยังต้องสแกนสมองในวันพรุ่งนี้ และยังต้องรอให้ระดับของเม็ดเลือดกลับมาเป็นปกติก่อน คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 3 วัน
ข้าวโพดวางสายจากหมอแล้วหันมาบอกกับเบส
“อีก 3 วัน”
“นานจัง” เบสบ่น

สายวันถัดมา หลังจากที่ข้าวโพดไปเรียนแล้ว พยาบาลพิเศษกับพี่นีก็พาเบสไปตรวจเพิ่มเติม แล้วกลับมาที่ห้องในเวลาเกือบเที่ยงวัน หลังจากที่ทั้ง 2 คนจัดอาหารกลางวันให้เสร็จ เบสจึงบอกให้ทั้งคู่ไปพักในระหว่างที่ตนเองกำลังจะนอน แต่หลังจากที่ประตูห้องปิดลงได้ไม่ถึง 2 นาที หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาที่ห้อง
เบสไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้
เธอมีใบหน้าสวยคม โดดเด่นที่ดวงตากลมโตที่แม้จะสวยงามแต่ก็ดูน่ากลัวมากในเวลาเดียวกัน เส้นผมยาวสีดำ และสวมชุดพอดีตัวสีดำ เครื่องประดับเพชรสีดำเป็นรูปแมงมุมสะดุดตา
“สวัสดีฮะ” เบสทักขึ้นขณะที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“สวัสดี ไม่ต้องตกใจ ฉันชื่ออรัญญา ตั้งใจมาหาเธอ ไม่ได้เข้าห้องผิดแน่นอน”
นั่นคือคำถามที่อยู่ในใจ “แล้วมีอะไรหรือฮะ”
เบสไม่ไว้ใจอยากเอื้อมมือไปกดออดเรียกพยาบาล แต่กลับขยับตัวไม่ได้ จนกระทั่งเธอมาหยุดอยู่ข้างเตียง
“เด็กดี ไม่ต้องกลัว ฉันก็แค่มีเรื่องอยากมาเตือนเธอไว้ ไม่อยากให้เธอทำเสียเรื่อง” ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด “ฉันรู้ว่าเธอเจอลุคคนนั้นแล้ว เขาไม่ใช่คนดี แล้วก็ยังเอาคนที่เราต้องการตัวไปซ่อนไว้เสียอีก คน ๆ นั้นคือคนที่ทำร้ายแม่กับเพื่อนของเธอ”
เบสพูดไม่ได้ ขยับแขนขาก็ไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งฟังเธอพูด
“เธอต้องหยุดขัดขืนฉันก่อน และสัญญาว่าจะคุยกันดี ๆ ฉันถึงจะคลายการควบคุมเธอ”
ที่แท้เธอก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่พี่เคยบอกว่า ศัตรูของพี่มีหลากหลายรูปแบบ 
เมื่อเบสพยักหน้า ก็สามารถขยับแขนขาและพูดได้ทันที
 “คุณเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ มาพูดแบบนี้ ผมจะเชื่อคุณได้ไง”
“ฉันรู้ว่าเรื่องมันไม่ได้เริ่มขึ้นในตอนที่แม่เธอกลับมาจากต่างประเทศ แต่มันเริ่มขึ้นหลังจากที่คนที่มีดวงตาสีฟ้ามาพบเธอต่างหาก เขาคือปีศาจ”
“ไม่ใช่”
อนัญญายิ้มมุมปากเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเบสจะต้องเถียงแบบนี้ “เขาชี้นำ แล้วก็บอกให้เธอเชื่อฟังเขาใช่ไหม เขาทำให้เรื่องมันแย่ลง แต่ลุค ทั้งที่เขามีหน้าที่จัดการปีศาจตนนั้น ก็กลับเอาเขาไปซ่อนไว้”
เมื่อเบสหยุดคิดตามก็พบว่า สิ่งที่พบเห็นมา มันไม่ได้ตรงกับที่อนัญญาเล่าสักเท่าไหร่
“แล้วคุณต้องการอะไร”
“ในเมื่อลุคไม่ทำหน้าที่ ฉันก็ต้องจัดการแทน”
“คุณเป็นใคร ทำไมต้องจัดการแทน”
อนัญญาไม่ได้ตอบว่าเธอเป็นใคร “ปีศาจที่มีดวงตาสีฟ้าตนนั้น ทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมาย”
พี่น่ะหรือจะทำเรื่องอะไร จากที่เห็นก็มีแต่พี่ลุคที่จัดการ
“เธอไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้”
“แล้วคุณมาบอกผมทำไม” เบสเถียงทันที
“เพราะเขาคือปีศาจที่ทำร้ายเธอกับแม่ของเธอ”
พี่ทำร้ายเราหรือ เขามีแต่บอกให้เราระมัดระวังตัวให้มาก
“ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น”
“เด็กน้อย” อนัญญาก้มลงมาหา “เขาทำร้าย และทรมานแม่ของเธอมานานเหลือเกิน ส่วนสาเหตุ...ก็เพราะความเข้าใจผิดไง”
นั่นยิ่งฟังดูเลื่อนลอยและไม่น่าเชื่อถือมากไปกว่าเดิมเสียอีก
“แล้วคุณมาหาผมทำไม ในเมื่อคุณเป็นคนที่บอกว่าพี่ลุคซ่อนเขาไว้”
หญิงสาวยกมือขึ้น เล็บสีดำปลายแหลมกรีดลงบนต้นคอของเบสอย่างรวดเร็ว แต่พอปัดมือของเธอออก เธอก็หัวเราะ
“คุณ”
“เพราะสุดท้ายแล้ว ทั้งลุคและปีศาจตาสีฟ้านั่นจะต้องกลับมาเธออย่างแน่นอน เด็กดี หลับให้สบาย จำไว้ว่าเขาคือคนที่ทำร้ายเธอกับแม่”
เบสหลับในทันทีอย่างที่เธอบอก และออกจากโรงพยาบาลกลับมาบ้านในอีก 3 วันถัดมา
...
นอกจากเวลาที่ได้คุยกับเจตน์กับแอนในร้านกาแฟ บลูไม่เคยชอบการพักอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเจ้าของร้านจะพยายามปรับเปลี่ยนห้องอย่างไรก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับความพอใจของบลูเลยสักนิด เพราะที่นี่ไม่เงียบ ไม่มีความสงบ ที่สำคัญคือการที่ต้องอยู่ในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างแทบตลอดเวลา มันคือการขังไว้ในกรงดี ๆ นี่เอง
“ต้องอยู่อย่างนี้อีกนานไหม เบื่อ”
บลูที่ยืนกอดอกรออยู่กลางห้องพูดทันทีที่ลุคเปิดประตูห้องเข้ามา
ลุคมาถึงตั้งแต่ตอนที่เจตน์กับแอนกำลังปิดร้าน บลูได้ยินเสียงทั้ง 3 คนคุยกันเกี่ยวกับการขาย เรื่องลูกค้า รายรับ รายจ่ายอะไรมากมาย จนกระทั่งทั้ง 2 คนกลับออกไป ก็ยังได้ยินเสียงลุคปิดร้าน ทำอะไรอยู่ข้างล่างอีกพักใหญ่กว่าที่จะขึ้นมา
ที่จริงบลูก็อยากเดินลงไปถามคำถามนี้ให้มันชัด ๆ ตั้งแต่ตอนที่ลุคเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เลี้ยวเข้ามาจอดที่ในที่จอดรถด้านหลังร้านแล้ว แต่เพราะคิดว่าอีกครู่หนึ่งเขาก็คงขึ้นมา
แต่ปรากฏว่า เวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงเขาถึงได้ขึ้นมาที่ห้อง
“ไม่หรอก” ลุคตอบแล้วเดินเข้ามาในห้อง
“ที่ว่าไม่หรอก นี่คือกี่วัน” บลูเดินวนรอบลุค “ทำไมนายมีสัญลักษณ์แปลก ๆ สีทองกับสีเงินเหลื่อมกันรอบตัวนายนี่มันคืออะไร”
“ฉันถูกตาม ก็เลยต้องใช้คาถาสะกดวิชาติดตามไว้”
“ซอว์นีย์ไม่รู้หรือไงว่าร้านนายอยู่ที่นี่”
“รู้ แต่ไม่รู้ว่านายอยู่ที่นี่” เมื่อเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ลุคก็รู้สึกอยากวิ่งเอาศีรษะชนเสาให้รู้แล้วรู้รอด
“นายเจอซอว์นีย์แล้ว แต่นายไม่ยอมบอกฉัน”
“ฉันอยากบอก แต่เพราะว่า ที่ร้านนี้มีเจตน์กับแอน ถ้าบอกเรื่องนี้ นายต้องออกไปสู้กับมันแน่ ๆ ถ้าสู้กันซึ่งหน้าไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกมันหันมาจับทั้ง 2 คนไว้เป็นตัวประกันจะทำอย่างไร” ลุคยอมรับ “ฉันพลาดเอง” ที่ทำให้คนสำคัญทั้งหมดมาอยู่ในที่เดียวกัน
ลุคพูดมากกว่า 1 ครั้งว่าการซอว์นีย์มีความถนัดเรื่องจับผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน
บลูกอดอกแน่นกว่าเดิม “พรุ่งนี้นายปิดร้าน แล้วออกไปต่างจังหวัด ฉันจะกลับไปที่ห้อง”
“ฉันก็ออกไปต่างจังหวัดโดยมีพวกมันคอยตามฉันอยู่โดยตลอด แต่พวกมันวางวิญญาณให้คอยเฝ้ามองอยู่แถวนี้ด้วย”
“เดี๋ยว” บลูยกมือ เมื่อครู่นายบอกว่าอะไรนะ “พวกมันตามนาย แสดงว่ามันเห็นฉันแล้ว”
“น่าจะเพิ่งเห็นก็ตอนที่พวกเราไปจัดการวิญญาณที่อาคาร06 นั่น”
“อธิบายตรงนี้อีกครั้งได้ไหม”
“ฉันเป็นมือปราบ พวกมันหนีฉัน แต่หลังจากที่เหตุการณ์ที่อาคาร06 พวกมันจะตามฉันอยู่ห่าง ๆ ทั้งวางวิญญาณคอยเฝ้าที่นี่ และที่หน้าโบสถ์ของฌ็องส์ด้วย แสดงว่าพวกมันเห็นนายแล้ว”
“ทำไมฉันไม่รู้ตัวเลย” ไม่เคยสัมผัสวิญญาณ หรือปีศาจแถวนี้เลยสักตน
“ฉันผนึกที่นี่ไว้ พวกมันไม่เห็นนาย แล้วก็เข้ามาไม่ได้”
มิน่าถึงสัมผัสวิญญาณคนแก่ หรือบรรพบุรุษของคนแถวนี้ไม่ได้เลยสักตน
ไม่น่าถามเลยแฮะ “งั้นสรุปเลยนะ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ถามเจตน์ว่าจะพาแอนไปหาหมอเมื่อไหร่ เราปิดร้านวันนั้นแล้วฉันจะออกไป”
“บลู”
“ฉันกำลังจะเป็นบ้าอยู่แล้ว! นายมองไม่เห็นหรือไง!”
“เห็น แต่นายออกไปไม่ได้นะ” คิดแล้วเชียวว่าถ้ารู้แล้วจะต้องอาละวาดแบบนี้
“แล้วนายจะซ่อนฉันไว้ตลอดไปหรือไง ป่านนี้เบสจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
“แต่พวกมันไม่ได้ต้องการเบส พวกมันต้องการนาย พวกเขาจะปลอดภัยตราบใดที่พวกมันหานายไม่พบ”
“นายก็เลยปล่อยให้ทุกคนต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างนี้น่ะหรือ”
“บลู ขอร้อง” ลุคจะกอดบลู แต่บลูขัดขืนไว้ ลุคก็บังคับกอดจนได้ “ขอร้อง ฉันไม่ต้องการเสียนายไปอีกแล้ว ขอเวลาอีกนิดเดียวนะ ขอแค่อีกวันเดียวเท่านั้น ฉันจะหาทางดึงพวกมันให้ตามฉันไป จากนั้นนายก็ค่อยหนีไปอีกทาง แต่ห้ามกลับไปหาเบสอย่างเด็ดขาด”
บลูหยุดขืนตัว “พวกมันจะใช้เบสล่อฉันออกมา แล้วก็กำจัดฉันใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า “วิธีการหลอกล่อให้ออกมามีหลายแบบ แต่มันจะใช้วิธีนั้นก็ต่อเมื่อมันรู้ว่านายอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่ามันต้องเสียเหยื่อไปฟรี ๆ”
“ยังไง”
“ที่ผ่านมานายจะลงมือกับคาร่าโดยตรง พวกมันจึงเข้าหาคาร่าก่อนเพื่อเอาเป็นพวก และรอให้นายลงมือกับคาร่าจึงจะกำจัดนาย เพราะนั่นจะเป็นโอกาสเดียวที่มันจะเห็นได้อย่างชัดเจน แต่นายกลับมาตามเบส แล้วฉันก็เอานายมาซ่อนไว้เสียก่อน”
“แสดงว่านายรู้ว่ามีซอว์นีย์อยู่ใกล้ตัวเบสมาโดยตลอด”
“คาร่า หรือผกา กับเกรซ หรือเบสในเวลานี้” ลุคทำความเข้าใจ “ฉันจับไอปีศาจ หรือพ่อมด แม่มดใกล้พวกเขาไม่ได้เลย จึงสงสัยว่าเป็นเครื่องรางบางอย่าง แต่คาร่าหรือผกาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนหลังจากที่กลับมาจากสแกนดิเนเวียนรอบนี้ แล้วหลังจากที่ได้คุยกับข้าวโพดในวันนี้ เขาสงสัยคนที่เป็นแม่บ้าน ที่ดูแลผกาอย่างใกล้ชิด และเป็นคนรับของที่มาจากยุโรปแล้วก็จัดเก็บของทั้งหมดไว้ โดยที่เบสไม่ได้แตะต้องของพวกนั้นเลย อาการของเขามันเริ่มขึ้นหลังจากนั้นหลายวัน ทำให้คิดว่า น่าจะเพราะเพิ่งมีการเปิดผนึกเครื่องรางนั้น”
“นายหมายถึงอาการอ่อนเพลียนั่นน่ะหรือ”
บลูไม่รู้ว่าเบสป่วยเข้าโรงพยาบาล และลุคก็ไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้ เพราะบลูจะต้องดึงดันที่จะออกไปหาน้องอย่างแน่นอน 
“ใช่ ตอนนี้ข้าวโพดก็เลยต้องเก็บโทรศัพท์ของเบสไว้ เพื่อไม่ให้ติดต่อกับคนที่บ้านไว้ก่อน”
บลูถามว่า ทำไมต้องห้ามการติดต่อ ลุคก็อธิบาย
“ก็ถ้าเกิดโทรกลับบ้านแล้วทางนั้นพูดจาหว่านล้อม แล้วข้าวโพดจะห้ามยังไงไหว ดีไม่ดีถ้าไปด้วยกันทั้ง 2 คนนายต้องพุ่งตรงไปช่วยพวกเขาแน่นอน”
บลูทุบหลังของลุค “ปล่อยได้แล้ว”
“จูบก่อนได้ไหม” ลุคพูดแล้วก้มลงฟัดแก้มบลูจนเต็มปอดถึงได้ปล่อยออก
ใบหน้าของบลูเป็นสีแดงเรื่อชัดเจนมากกว่าที่เห็นเมื่อวันก่อน และเพราะว่ามัวแต่สนใจความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายทำให้ไม่เห็นขาที่ยกขึ้นมาแล้วถีบเต็มแรง!
ลุคเสียหลักถอยไปหลายก้าวแล้วต้องคุกเข่าลง
“ลุค เมอร์ฟี! ไอ้สสารสมองเม็ดถั่ว!”
“เบาหน่อย”
“นายน่ะมันตัวอันตรายมากกว่าไอ้ตัวที่มันเฝ้าที่นี่อยู่เสียอีก!” บลูโกรธจนอยากจะคลั่ง คนกำลังห่วงน้อง ไอ้หมอนี่กลับคิดแต่จะฉวยโอกาส!
ลุคนั่งลงขัดสมาธิเงยหน้ามองคนที่กำลังโกรธ
“เพราะฉันแน่ใจว่าวันพรุ่งนี้ ทันทีที่ฉันออกไป นายก็จะหลบหนีไปอีกทาง ถ้าพวกมันตามนายทัน...ก็หมายความว่าชีวิตของฉันไปจนถึงวันสิ้นโลก คือความว่างเปล่า”
บลูเท้าเอว เงยหน้าเดาะลิ้น แล้วนั่งลงขัดสมาธิเข่าชิดกับลุค
“หยุดความคิดของนายที่มันหมุนเร็วอย่างกับลูกข่างเดี๋ยวนี้ ฉันตามนายไม่ทันแล้ว”
“นายไม่เข้าใจ ว่าฉันรักและเป็นห่วงนายขนาดไหน”
บลูใช้สองมือจับใบหน้าของลุคให้มองมาตรง ๆ “ลุค เมอร์ฟี ฉันไม่ใช่โอเวน ไร้ท์ ฉันดีใจที่นายพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องฉัน แต่ฉันไม่ใช่ โอเวน ไร้ท์” สายตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจของลุคทำให้บลูต้องเปลี่ยนความตั้งใจ “ฉันจะอยู่ที่นี่อีก 1 วันอย่างที่นายขอครั้งแรก จากนั้นฉันจะหนีไปให้เร็วที่สุด ไกลที่สุด จะหลบซ่อนตัว เพื่อให้นายจัดการเรื่องพวกนี้ได้อย่างเต็มที่ ฉันไม่ต้องการให้นายห่วงหน้าพะวงหลัง จนทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในความเสี่ยงไปด้วยกันทั้งหมดแบบนี้ แล้วฉันจะกลับมาหานายเอง ฉันสัญญา”
“บลู”
“ที่จริงฉันก็อยากขอให้นายเว้นคาร่าไว้ให้ฉัน เพราะถ้าให้มือปราบอย่างนายจัดการ คาร่าก็คงไม่ได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว หลังจากนี้ฉันจะตามล่าใคร เอาไว้ค่อยคิดทีหลัง ตอนนี้ ฉันอยากให้นายกำจัดพวกซอว์นีย์ไม่ให้เหลือซากมากกว่า”
บลูชกที่ไหล่หนาเบา ๆ
“นายโทรศัพท์ไปคุยกับเจตน์เรื่องปิดร้านไป ฉันจะล้างตัวแล้วก็จะนอนอ่านหนังสือต่อแล้ว”
ลุคหายลงไปพักใหญ่ก็กลับขึ้นมา ล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแทรกตัวใต้ผ้าห่มนอนข้าง ๆ “วันนี้มีอะไรจะถามไหม”
บลูพยักหน้า เปิดไปที่หน้าหนังสือที่มีเรื่องสงสัย แต่ถามเรื่องอื่น “นายมองเห็นในความมืดในระดับไหน”
“ไม่ถึงกับหาเข็มได้”
“บาทหลวงนักวิทยาศาสตร์คนนั้นยังอยู่ไหม”
“ไม่”
“เขาเปลี่ยนนายแล้วทำไมเขาไม่เปลี่ยนตัวเอง”
“เพราะขั้นตอนที่ฉันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้มันสาหัสชนิดที่อยู่ไม่สู้ตายน่ะสิ”
บลูเงยหน้าขึ้นมองคนที่มองมาด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วก็ต้องปิดหนังสือ จากนั้นก็ขยับตัวนอนหนุนแขน “การหลบหนีเป็นสิ่งที่ฉันถนัดที่สุด ขอให้เชื่อว่าฉันจะไม่เป็นอะไร นี่เป็นโอกาสที่ดีที่นายจะกำจัดพวกมัน”
ลุคดันคางบลูให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ แล้วกอดไว้แน่น

สายวันถัดมาลุคขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มุ่งหน้าไปที่โบสถ์ของสาธุคุณฌ็องส์ ส่วนเจตน์และแอนมาเปิดร้านตามปกติ บลูลงมากินอาหารเช้าที่ครัวทางด้านหลัง จากนั้นก็กลับขึ้นมาอยู่ในห้อง
ลุคกลับมาร้านในตอนเย็น เพื่อจ่ายค่าแรงให้กับทั้ง 2 คน และบอกให้แบ่งขนมในร้านกลับไปด้วย ส่วนที่เหลือลุคเอาไปแจกเด็ก ๆในละแวกใกล้เคียง แล้วก็ไปแจ้งไว้กับร้านขนมว่าจะต้องปิดร้านหลายวัน
2 ทุ่มเศษลุคขี่รถจักรยานยนต์คันใหญ่ออกไป
บลูรอจนถึงช่วงเช้าของวันถัดมา ขณะที่การจราจรหน้าร้านกำลังแน่นขนัด ปีศาจตาสีฟ้าเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มควันปะปนไปกับควันของรถคันใหญ่ที่ผ่านมา ย้ายจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่ง จนกระทั่งออกมานอกเมืองก็แฝงตัวอยู่ในต้นไม้ใหญ่
...
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 16-09-2020 16:05:59
(ต่อครับ)
หลังจากที่เบสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ให้ข้าวโพดฟัง ช่วงเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลหลายวันถัดมา เบสกับข้าวโพดก็แทบไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ข้าวโพดจะนอนเฝ้าเบสเองอยู่ทุกคืน
ทุกครั้งที่เบสถามว่าได้เจอพี่บ้างหรือยัง ข้าวโพดก็ตอบเหมือนเดิมคือยังไม่เจอ
“เขาไปไหน”
ทั้ง 2 คนต่างก็สงสัยเหมือนกัน   
ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลข้าวโพดจ่ายค่ารักษาทั้งหมดก่อนที่จะออกไปเรียน แม้เบสจะยืนยันว่าสามารถจ่ายค่ารักษาเองได้ก็ตาม
ส่วนคนที่รับเบสกลับบ้านคือคุณจีนซึ่งเป็นแม่บ้านของอัจฉรากับเบส และเมื่อคนขับรถเลี้ยวรถเข้ามาในบ้าน เบสก็เหลียวมองไปรอบตัวด้วยความกังวล
ที่นี่ปลอดภัยกว่าการกลับไปบ้านจริงหรือ
...
เมื่อข้าวโพดเลิกเรียนแล้วกลับมาบ้านในตอนเย็น ก็มีนทีกับนานาตามมาด้วย ทั้ง 2 คนอ้างว่า มาช่วยทำรายงานในช่วงที่เบสหยุดเรียนไปหลายวัน
“มีงานสะสมหลายอย่าง ขนาดของข้าวโพดเองยังทำไม่เสร็จ ฉันมั่นใจว่าของแกก็จะต้องยังไม่ได้ทำแน่นอน” นานาเดา แล้วพอเบสหน้าตาเหรอหราหันไปหาข้าวโพด นานาก็เร่งให้ไปทำรายงานทันที
“อย่ามัวแต่คิด รีบขึ้นไปทำรายงานด่วนเลย พวกเราช่วย” 
ทั้ง 4 คนไปรวมอยู่ในห้องนอนของข้าวโพดเพื่อช่วยกันทำรายงาน ทั้งรายงานส่วนตัว และรายงานกลุ่ม รวมถึงช่วยเก็บชีทมาให้ด้วย
“ฉันไปตามจากคนที่ลงวิชาเดียวกับแกมาให้ เพราะเดาว่าข้าวโพดก็ต้องลืมเรื่องนี้เหมือนกัน”
“ไม่ได้ลืม แต่เห็นว่าเดี๋ยวเบสก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไปตามจากเพื่อนทีหลังก็ได้” ข้าวโพดบอก
“แต่เอามาให้ก็ดี มีควิซตอนท้าย  ดีที่นานาเอาต้นฉบับของเพื่อนมาด้วย เดี๋ยวเราทำอันนี้ก่อน พรุ่งนี้จะได้เอาต้นฉบับไปคืนเขา เขาจะได้มีอ่าน”
ระหว่างที่กำลังคุยกันนี้ ทั้ง 4 คนต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานตลอดเวลา
อัจฉราที่กลับมาถึงบ้านตอนเกือบ 1 ทุ่มต้องขึ้นไปเตือนให้ทั้งหมดมากินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปช่วยกันทำรายงานต่อ
“แม่รู้ว่า คุณจีนต้องเตรียมของว่างให้พวกเธอแล้ว แต่ก็มากินข้าวเป็นเพื่อนแม่หน่อย นาน ๆ ทีจะมากินข้าวด้วยกัน”
“ของว่าง มันก็คือของว่าง ไม่อิ่มหรอกครับ กินข้าวกับแม่ต้องดีกว่าอยู่แล้ว” นทีบอก แล้วนำอีก 3 คนมากินข้าว จากนั้นก็กลับมาทำรายงานต่อ
เกือบ 3 ทุ่มข้าวโพดก็บอกให้นทีกับนานากลับบ้าน เพราะหลังจากที่ส่งนทีลงกลางทางแล้ว นานายังต้องขับรถคนเดียวกลับบ้านอีกไกล
“ที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง” ข้าวโพดบอก
และในตอนที่รถของนานาพ้นออกไปจากประตูบ้าน เบสก็หันมาถาม “ตกลงเขาคบกันแล้วใช่ไหม”
ข้าวโพดยิ้มขำ “แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ถาม”
“บ้า นานาเป็นผู้หญิงถามตรง ๆได้ไง”
“แต่เรื่องแบบนี้เขาก็ต้องถามผู้หญิง ว่าตกลงไหม”
“แล้วนานาตกลงหรือยัง”
“คิดว่าไง”
“ข้าวโพด อย่าโยกโย้ รู้อะไรก็พูดมาเลย เราคิดอะไรไม่ค่อยทัน”
“ยังงงอยู่หรือ”
“นิดหน่อย แต่สักพักก็คงจะดีขึ้น” เบสหันมาหาข้าวโพด “แล้วสรุปว่านทีกับนานานี่ยังไง”
“ก็อย่างที่เห็น”
“ข้าวโพด”
“ก็ตอบได้เท่านี้แหละ เพราะเวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ทีมันก็มากินข้าวกับเรา นานาก็แยกไปกลุ่มเขา”
“คงยังไม่แน่ใจ เป็นเพื่อนกันไปก่อน”
“ใช่ แต่ถ้าแน่ใจเมื่อไหร่ช่วยบอกกันสักคำก็จะดี จะได้ไม่ต้องคอยเบรกตัวเองว่า อย่าคิดอะไรไปฝ่ายเดียว”
ข้าวโพดหักเลี้ยวเรื่องที่กำลังคุยกันมาที่เรื่องของตัวเอง เบสจึงไม่ตอบ ทั้งเดินนำเข้าบ้านไปก่อน จนเกือบ 4 ทุ่มอัจฉราก็เดินมาเตือนอีกครั้ง
“แม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยเนี่ย 4 ทุ่มยังถือว่าหัวค่ำอยู่ แต่เบสเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ยังมียาก่อนนอนอีกใช่ไหม พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วที่เหลือค่อยกลับมาจัดการต่อวันพรุ่งนี้ดีไหมลูก”
ข้าวโพดรู้ว่าถ้ามารดาเริ่มพูดเตือนก็จะเตือนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะทำตามที่เตือน จึงบอกให้เบสไปนอนก่อน
“อ้าว แล้วข้าวโพดล่ะ”
“เดี๋ยวเราทำรายงานฉบับที่ต้องส่งพรุ่งนี้ให้เสร็จ แล้วเบสค่อยอ่านตอนเช้า เผื่ออาจารย์เรียกพรีเซ้นต์”
“ของข้าวโพดด้วยนะ”
“ของเราเสร็จหมดแล้ว เบสไปนอนเหอะ ชักช้า เดี๋ยวแม่ก็กลับมาอีกรอบ” พูดไม่ทันขาดคำอัจฉราก็กลับมาเคาะประตูที่ห้องอีกรอบจริง ๆ
“ไปนอนแล้วครับ” เบสบอกขณะที่วิ่งไปเปิดประตู
5 ทุ่มกว่าข้าวโพดเก็บงานทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งส่วนที่ต้องเป็นเล่มส่งอาจารย์และแผ่นใสที่ต้องเตรียมพรีเซ้นต์ จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน
เป็นการเข้านอนที่เร็วที่สุดในรอบมากกว่า 1 เดือนจริง ๆ แต่หลังจากที่กดรีโมทปิดไฟห้องแล้วกำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หานที เบสก็เปิดประตูห้องเข้ามา
“กำลังจะแชทกับใครหรือ” เบสถาม
“ไอ้ทีน่ะ จะถามเรื่องงานที่ชมรม เบสมีอะไรหรือเปล่า”
เบสพยักหน้า “คุยกับนทีเหอะ”
เบสเดินไปนอนอีกฝั่ง มองข้าวโพดคุยกับนทีจนกดวางสาย ถึงได้ถาม “กำลังจะนอนแล้วเพิ่งนึกออกหรือไง”
“ที่จริงยังไม่ค่อยง่วง แต่ก็ไม่อยากเล่นเกม ปิดไฟไปแล้วแต่นึกเรื่องงานชมรมขึ้นมาได้ก็เลยไลน์หาไอ้ที” ข้าวโพดพูดพลางลงนอนข้าง ๆ หันหน้าเข้ามาหาเบสแล้วกระชับผ้าห่มให้ “นอนไม่หลับหรือไง”
“คงเพราะนอนเยอะไป”
“ห่วงพี่ด้วยใช่ไหม”
“นั่นก็ใช่ เขาหายไปหลายวันแล้ว”
เบสยกมือขึ้นแตะที่คางของข้าวโพด
“ทำไหม”
นั่นไม่ใช่เสียงของเบส และเบสไม่มีวันพูดจาเชิญชวนแบบนี้
ข้าวโพดคว้าข้อมือของเบสไว้ แต่เบสพลิกตัวกลับขึ้นมานั่งคร่อมแล้วก้มลงจูบ
“เดี๋ยวเบส เกิดอะไรขึ้น”
เบสถอดเสื้อนอนของตนเองแล้วพยายามจะถอดเสื้อให้ข้าวโพด
“เบส ใจเย็น บอกกันก่อน นี่มันเรื่องอะไร”
“ต้องมีเรื่องด้วยหรือ หรือว่าไม่ต้องการเราแล้ว”
คราวนี้น้ำเสียงที่ได้ยินเป็นน้ำเสียงของเบส ข้าวโพดขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ยังจับข้อมือไว้  เบสมีบางอย่างที่ผิดปกติไป และหากทำในสิ่งที่เบสต้องการในเวลานี้ มันจะไม่เป็นผลดีกับทั้งคู่ในภายหลัง
“เบส”
เบสคลี่ยิ้มหวาน แล้วชะโงกตัวเข้ามาจูบที่ริมฝีปาก พลิกข้อมือออกแล้วถอดกางเกงของตนเอง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าของอีกคน
ข้าวโพดรักเบส ภาพของเบสในจินตนาการมากกว่าครึ่งหนึ่งก็คือภาพของเบสที่เป็นแบบนี้ การสัมผัส จูบ และโอบกอดกันแบบนี้
ป่วยการที่จะคอยเตือนตัวเองว่าอะไรใช่ หรือไม่ใช่ รู้แต่ว่านี่คือเบสในจิตนาการที่กลายมาเป็นความจริงที่อยู่ในอ้อมกอด ถ่ายทอดความต้องการผ่านลมหายใจร้อน
เบสที่อยู่ด้านบนที่ค่อย ๆ กดสะโพกลงมาหาแล้วหยุดนิ่ง
ชั่ววินาทีหนึ่งดวงตาของเบสเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แต่พอข้าวโพดหยุดมองเพื่อความแน่ใจ ดวงตาของเบสก็กลับมาเหมือนเดิม
อาจมองผิดไป...
“เบส”
“หืม...”
ข้าวโพดสัมผัสใบหน้าคนรักแล้วโน้มคอลงมาจูบ
เบสบดสะโพกช้า ๆ และเมื่อข้าวโพดปล่อยมือ เบสก็หยียดตัวเอนไปทางด้านหลัง ใบหน้าที่แหงนเงยอวดร่างกายงดงามทำให้ลุ่มหลงทั้งตัวและหัวใจ   
ข้าวโพดปล่อยให้เบสทำหน้าที่ควบคุมไปจนถึงปลายทาง หยดน้ำสีขาวขุ่นไหลจากส่วนปลายตกลงที่หน้าท้อง ข้าวโพดถอนออกช้า ๆ จับให้เบสคุกเข่า แล้วเข้าหาทางด้านหลัง   
เบสพยายามขัดขืน เพราะไม่ชอบแบบนี้ แต่ข้าวโพดช้อนใบหน้าให้หันมารับจูบแล้วกดสะโพกเข้าหา ทั้งช่วยรูดจนเบสเสร็จไปอีกครั้ง แรงบีบรัดในครั้งนี้ทำให้ข้าวโพดเสร็จตามไปด้วย
เมื่อข้าวโพดช่วยล้างตัวให้ก็ยังฟอนเฟ้นไปทั่วตัวจนเบสเสร็จเป็นครั้งที่ 3 เมื่อเช็ดตัวและสวมชุดนอนเรียบร้อย เบสก็หลับสนิทไปจนถึงเช้า
...
ข้าวโพดตื่นขึ้นมาอาบน้ำเสร็จแล้วถึงได้มาปลุกเบสให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องของตนเอง แต่ในตอนที่ข้าวโพดลงมาที่โต๊ะอาหารก็พบว่าอัจฉรากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว และกำลังจะออกไปทำงาน
“ทำไมวันนี้แม่ออกไปเร็วจัง”
“ประชุมคอนเฟอร์เร้นซ์กับที่โตเกียวน่ะสิ เช้าเรา แต่สายของเขา ก็เลยต้องรีบ”
“โชคดีครับแม่ เงินทองไหลมาเทมา” ข้าวโพดบอก
“สมพรปาก” อัจฉราบอกแล้ว   หันไปพยักหน้ากับคุณบัวแม่บ้านให้ถือของตามมาที่รถ
ข้าวโพดหันไปมองทางบันได เห็นว่าเบสยังไม่ลงมาก็เดินเข้าไปหาพี่นีที่อยู่ในครัว
“พี่นี”
“คะ” คนรับใช้ละจากงานตรงหน้า แต่ข้าวโพดบอกให้ทำงานต่อไปได้
“ตอนที่อยู่โรงพยาบาล มีใครมาหาเบสบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีนะคะ” พี่นีตอบทันที
“แล้วมีช่วงที่เบสอยู่คนเดียวหรือเปล่า”
พี่นีมีสีหน้าสำนึกผิดในทันที เพราะรู้ว่าการให้มีคนรับใช้ไปอยู่ด้วยทั้งที่ว่าจ้างพยาบาลพิเศษก็เพราะไม่ต้องการให้เบสอยู่คนเดียว
“ตอนกลางวันหลังจากที่เธอรับอาหารกลางวันและกินยาเสร็จแล้ว เธอจะบอกให้พี่กับคุณพยาบาลไปกินข้าว เพราะเธอจะนอน”
“ทุกวันเลยหรือ”
“ค่ะ”
   
....จบตอนที่ 12.... Aranya negra แมงมุมดำ
ตอนนี้ไม่น่ากลัวแล้วเนอะ เพราะไม่มีร่างโปร่งใส
เอ๊ะหรือน่ากลัวเพราะแม่นาง Aranya มาแล้ว
คนเขียนขอกำลังใจเป็นรีพลายกันคนละเล็กละน้อยนะครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ
น้ำชา

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: yupinka ที่ 16-09-2020 20:20:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-09-2020 21:04:18
โอ้ย ... ลุ้นไปซะทุกตอน
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-09-2020 10:02:55

เริ่มมีตัวละครที่น่าสนใจมาเรื่อย ๆ ต้องคอยลุ้นว่าใครจะเก่งกว่ากัน

แอบสงสัยว่าบลูต่อสู้ยังไง

แต่กลัวการตัดสินใจของลุคทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้บลูเจ็บปวดอีกจัง

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่จ้า


 :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 17-09-2020 12:42:00
อ๊ากกกๆๆ ตัวละครใหม่มิสอนัญญา คือ ใคร  :katai1:



รู้สึกว่าคนนี้ออร่าน่ากลัวกว่าตัวละครอื่นเยอะเลยแฮะ กล้ามาหาเบสโดยตรงเลย :serius2:



เบสจะกลายเป็นเหยื่อล่อทำให้บลูเปิดเผยตัวหรือเปล่านะ :hao7:



โถ น้องบลูอย่าทำร้ายพี่ลุคด้วยการบอกว่าไม่ใช่โอเว่นสิ สงสารพี่เค้าหน่อย :sad4:





พี่ลุคไม่อยากสูญเสียน้อง น้องก็ไม่อยากสูญเสียพี่เหมือนกันนะ  :mew2:





ลุ้นอ่ะ :call:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 18-09-2020 20:21:21
มิสอนัญญาคือใครนะ..ตามๆๆ
แล้วน้องจะบอกความจริงพี่ไหม??
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 18-09-2020 21:07:30
เบสโดนนางเเมงมุมสะกดใช่มั้ยย ตัวละครตัวนี้จะเป้นตัวสุดท้ายมั้ย เป้นแค่สมุนหรือบิ๊กบอส.,.รอกันต่อปายย
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-09-2020 09:37:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-09-2020 15:51:36

 :กอด1:  :กอด1:

  เข้ามารอน้องฮูกจ้า

 :กอด1:  :กอด1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 06-10-2020 22:28:33
มารอชมตัวละครมิสอนัญญา :hao7:




ลุ้นๆ  :z3:



ตอนหน้าจะเกิดไรขึ้นบ้างน้า :katai1:




หวังว่านกฮูกน้อยของเราจะปลอดภัย :call:




รอๆๆ ตอนต่อไปฮะ




 :mew1:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 07-10-2020 07:12:20
 :z13: รอฮะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-10-2020 15:28:57

   ก๊อก ๆ ๆ ๆ  เข้ามาบอกว่าติดตามอยู่ และรอได้เสมอจ้า
   

    :กอด1:   :กอด1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-10-2020 16:28:37


    มาส่งกำลังใจจ้า  ยังรออยู่น้า

           :กอด1:  :กอด1:   

                  :L2:

     
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-10-2020 16:36:32
ตอนที่ 13
   
ช่วงพักกลางวัน เบสไปกินข้าวกับกลุ่มนานา และนที ส่วนข้าวโพดขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนขับมาที่โรงฝึกงานหลังเก่าของคณะเกษตรฯ ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย
โรงฝึกงานหลังนี้ ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าน่ากลัวอย่างอาคาร06 คณะสังคมฯ แต่เพราะนักศึกษาคณะนี้ มีภาคปฏิบัติเยอะมาก พื้นที่ของคณะก็กว้างมาก ทำให้โรงฝึกงานหลังเก่าและพื้นที่โดยรอบไม่มีใครอยู่
ข้าวโพดไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุค แต่พอจอดรถที่หน้าโรงฝึกงาน ลุคก็เดินออกมาจากโรงฝึกงานแล้วพยักหน้าเรียกให้เข้าไปคุยข้างใน
“เป็นไงบ้าง”
“เบสเป็นฝ่ายรุกผม”
ลุคไม่เข้าใจ “เธอหมายถึงอะไร”
“เมื่อคืน เรานอนด้วยกัน แล้วเบสเป็นฝ่ายเริ่ม”
“บลูฆ่าเธอแน่” ลุคมั่นใจด้วยว่าต้องเป็นการตายอย่างอนาถแน่นอน
“โธ่ พี่ ผมรักเบส แล้วเขาก็เริ่มก่อน ทีแรกผมก็คิดอยู่ว่าต้องมีอะไรที่ผิดปกติแน่ ๆ แต่พอเขาเริ่ม ผมก็หยุดไม่ได้แล้ว”
“ผิดปกติยังไง”
“ตอนที่เขาเริ่มพูด มันไม่ใช่เสียงของเขา แต่พอผมเรียก เสียงเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตาเขามันกลายเป็นสีดำไปทั้งหมด”
“เสียงที่ได้ยินเป็นแบบไหน”
“เสียงแหบ ๆ ครับ แหบมาก แต่เหมือนผู้หญิง”
“แล้วตอนที่ตาเปลี่ยนเป็นสีดำ ลักษณะอื่น ๆ บนใบหน้าอื่นเปลี่ยนไปไหม”
“ไม่ครับ แล้วเปลี่ยนไปแป๊บเดียว พอจะจ้องมองก็กลับมาเหมือนเดิม”
เมื่อลุคสอบถามว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว ในเวลาอื่นเบสเป็นอย่างไร ข้าวโพดก็บอกว่า ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม
“เขาทำเหมือนลืมเรื่องเมื่อคืนนี้ไปแล้ว ทั้งที่เขาตื่นในห้องนอนผม”
“ตอนที่พวกเธอกอดกันอยู่ เขาพยายามจะกัดเธอหรือเปล่า”
“เขาก็จูบ” ข้าวโพดหน้าแดงมาก “ก็มีแบบที่ใช้ฟัน เรียกว่ากัดไหมครับ”
ลุคหัวเราะ “มันไม่เหมือนกัน”
ข้าวโพดยิ่งเขินหนักกว่าเดิม “ก็คิดเผื่อเวลาแปลภาษาไทยกับภาษาอังกฤษไง มันอาจเหมือนกันก็ได้” โบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้กัดครับ”
“เขาพยายามจะกัดไหม”
ข้าวโพดนึกถึงตอนจูบ “เหมือนเขาจะกัดริมฝีปากตอนที่จูบ แต่ผมดึงออกมาก่อน เพราะว่าวันนี้ต้องเรียน ถ้ามีแผล หรือมีรอย แล้วแม่หรือพี่บลูเห็นเข้า พวกเราต้องถูกแยกกันแน่ ๆ”
เรื่องเสียงและดวงตาที่เปลี่ยนไปบ่งบอกว่าซอว์นีย์เข้ามาควบคุมเบสแล้ว และเจตนาส่งสารนั้นผ่านมาทางข้าวโพด เพื่อให้มาถึงลุคและบลู
แต่ลุคจะไม่บอกเรื่องนี้กับบลูอย่างแน่นอน
“ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แต่ระหว่างนี้ เธอต้องระวังไม่ให้เขากัดเธอ ทางที่ดีคืออย่าหันหลังให้เขา” ลุคย้ำอีกครั้ง “อันนี้ฉันหมายความในทุก ๆ ความหมายของคำนี้ คือทั้งไม่หันหลังให้ และอย่าทิ้งเขาเพราะความกลัว”
“เบสถูกปีศาจเข้าครอบงำจริง ๆ ใช่ไหมครับ”
ลุคพยักหน้า ยกมือข้างขวาขึ้นมาลูบที่ปลอกข้อมือ ปรากฏหมุดเงินเล่มเล็กขนาด 1 เซนติเมตรจารึกอักขระสีฟ้า 1 เล่ม
ทำไมปลอกข้อมือแอเรียสถึงให้หมุดเงินกับเชส...
“มันจะเจ็บหน่อยนะ” ลุคบอกขณะที่กดตำแหน่งเหนือหัวใจของข้าวโพด
เด็กหนุ่มรู้ตัวทันทีรีบยกมือบอกว่าให้รอ แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมากัดพลางมองหาที่นั่ง เมื่อพร้อมแล้วก็พยักหน้า
ลุคแนบฝ่ามือเหนือหัวใจของข้าวโพด หมุดเล่มเล็กก็หายเข้าไปภายในร่างกาย
มันเป็นความเจ็บที่ยิ่งกว่าเจ็บ เพราะมันทั้งเจ็บและปวดในทันทีที่ปลายเข็มเตะที่ผิวหนัง แล้วค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามาในร่างกาย
รับรู้การเคลื่อนที่นั้นได้ชัดเจนเหมือนกับมองเห็น ตั้งแต่ตอนที่ปลายหมุดฉีกเซลล์กล้ามเนื้อแล้วแทรกตัวทีละนิด 
มันไม่ใช่ความ ‘เจ็บหน่อย’ อย่างที่ลุคบอก แต่มันคือ ‘เจ็บเหี้ย ๆ’ แบบที่ไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร อยากส่งเสียงร้องออกมา แต่เสียงก็มาจุกอยู่ที่คอ
อยากถอยหนี แต่ก็ทำให้แค่นั่งตัวตรง มือเท้าเกร็ง เหงื่อแตกพลั่ก
เมื่อหมุดเงินหยุดการเคลื่อนที่ อาการปวดจนชาก็แพร่กระจายไปทั่วร่าง ข้าวโพดใกล้จะหมดสติเต็มที แต่ชั่ววูบหนึ่งที่มองดวงตาสีเข้มของคนที่อยู่ด้านหน้า 
ภาพของแผ่นหลังคนที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าก็ปรากฏขึ้น คนผู้นั้นหันกลับมามองแล้วยกยิ้มมุมปาก โบกมือเร่งให้ตามมา...
ข้าวโพดทิ้งตัวลงเอาหน้าผากแตะที่ไหล่หนา
“ลุค...”
ลุคลูบแผ่นหลังชื้นเหงื่อ
“หายใจเข้าลึก ๆ”
ข้าวโพดทำตามที่บอก เมื่อเริ่มปรับลมหายใจตนเองได้ ความเจ็บปวดทั้งหมดก็ค่อย ๆ ลดลง
   “หมุดนี้พอจะป้องกันตัวเธอจากปีศาจที่อยู่กับเบสได้ เจ้านั่นไม่ได้มีอิทธิพลที่จะครอบงำเบสได้ทั้งหมด แต่เราก็ไม่ควรทำอะไรที่เป็นการท้าทายให้มันทำอย่างนั้น เพราะเธอไม่ได้แข็งแรงพอที่จะกำจัดมัน และถ้าเธอถูกเบสกัด อย่างน้อยมันจะช่วยชะลอพิษที่จะเข้าสู่หัวใจของเธอได้ ดังนั้นทางที่ดีคืออย่าให้ถูกกัด จำไว้ว่า ถ้าเธอเป็นอะไรไป จะมีหลายคนที่ต้องล้มตามไปด้วย เบส แม่ของเขา และก็แม่ก็เธอเอง”
ข้าวโพดพยักหน้า  “ลุค”
ลุคยิ้มขำขยี้ผมอีกคนจนหัวโยกคลอน
“ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง”
   ข้าวโพดกอดลุคไว้แน่น สะอึกสะอื้นร้องไห้ด้วยความดีใจและความคิดถึง
...
ข้าวโพดกลับมาเกือบไม่ทันคาบเรียนบ่าย และยังไม่ได้กินอาหารกลางวัน เจอกับนทีก็ทักทันทีว่าทำไมถึงได้ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนร้องไห้มา
“ห่วงเบสหรือมึง”
ข้าวโพดพยักหน้า
“แล้วตอนพักมึงไปไหนมา หนีไปร้องไห้ตลอดพักเที่ยงใช่ไหม มึงเป็นห่วงแล้วทำไมไม่อยู่กับมัน”
นานาหันมาดุนทีให้หยุดพูดเพราะอาจารย์เข้ามาในห้องแล้ว ส่วนเบสหันมามองแล้วยิ้มให้ จากนั้นก็หันกลับไป
   ข้าวโพดได้แต่นั่งมองแผ่นหลังของเบสไปจนหมดคาบเรียน
...
ภายในห้องสนทนาภายในโบสถ์ สาธุคุณฌ็องส์กำลังสนทนาอยู่กับกลุ่มผู้สูงวัยเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิต ด้วยลักษณะภายนอกที่อาวุโสกว่าความเป็นจริงมากกว่า 30 ปี ทำให้ดูเป็นผู้ที่มีคำพูดทันสมัยและทำความเข้าใจง่าย สร้างความพอใจให้แก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าหน้าที่โบสถ์คนหนึ่งเดินมาชะโงกหน้าตรงกระจกประตู แล้วชี้ไปทางด้านนอก
สาธุคุณรู้ความหมายนั้น แต่ก็ยังสนทนาต่อไปจนครบกำหนดเวลาก็เดินไปส่งทั้งหมดถึงด้านหน้าประตูใหญ่ ล่ำลากับอีกหลายนาที ถึงได้เดินกลับไปที่เรือนพักหลังเล็กทางด้านหลัง
มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ด้านหน้า 2 คัน
ที่ผ่านมาทั้ง 2 คนจะพรางรถ หรือไม่ก็จอดชิดผนัง การที่ทั้งคู่เจตนาจอดรถแบบที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลชัดเจนเช่นนี้ แสดงว่าลุค ‘ตัดสินใจแล้ว’
เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไปก็เห็นว่าจัสตินยืนรออยู่ แต่อีกคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจกำลังจิบน้ำชาด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ชารสดีไหม” สาธุคุณถาม
“ฉันมักสงสัยอยู่เสมอว่า ชุดน้ำชา และกล่องใบชาพวกนี้คือของประดับบ้านของนาย”
“แต่ฉันก็เห็นว่านายชงชาทุกครั้งที่มาที่นี่” แถมยังจัดชุดใหญ่มีทั้งเครื่องดื่มและขนมด้วย
“ไม่ได้แปลว่าฉันจะพอใจ”
“ไม่พอใจเพราะต้องมาจัดเองสินะ”
“เป็นเช่นนั้น และถ้านายจะสังเกตสักนิดจะพบว่า ฉันไม่เคยหยิบใบชาชนิดเดิมมาดื่มซ้ำเลยสักครั้ง”
“อ่า...จริงสินะ” สาธุคุณหันไปหาจัสติน “ผลการปะทะคารมครั้งนี้ฉันแพ้”
จัสตินกลอกตา 1 รอบด้วยความยินดีที่วันนี้เสียเวลาให้กับการสนทนาไร้สาระเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น “เสียใจด้วย  คุยเรื่องงานได้แล้วใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า “เราจะทำตามเกมที่ซอว์นีย์กำหนดให้เราทำ ด้วยการเดินเข้าไปสู่กับดักที่บ้านคาร่า”
ลุคบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่คนฟังอีก 2 คนผุดลุกขึ้นทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกมันควบคุมเกรซได้แล้ว”
จัสตินพยักหน้า “เป็นการบังคับให้นายต้องปล่อยเจ้าตาสีฟ้านั่นออกมา”
ลุคมีสีหน้าไม่พอใจกากชาที่ค้างอยู่ก้นแก้ว “ฌ็องส์”
“ว่าไง”
“รู้จักพ่อมดที่ใช้หมุดเงินเป็นเครื่องรางไหม”
สาธุคุณนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงให้คำตอบ “ไม่มีใครใช้ของชิ้นเล็ก และธรรมดาแบบนั้นหรอก”
“หาพ่อมดคนนั้นให้เจอ”
“หมายความว่ายังไง นายเจออะไรมา” สาธุคุณถาม
ส่วนจัสตินถามได้ชัดเจนว่า “ปลอกข้อมือแอเรียสของนายเรียกหมุดเงินออกมาหรือ”
ลุคพยักหน้า
ปลอกข้อมือแอเรียส ก็เหมือนหมวกของนักมายากล เรียกได้เฉพาะสิ่งของที่มีอยู่จริงเท่านั้น อาวุธส่วนใหญ่ที่ลุคเรียกออกมาใช้ คืออาวุธที่ลุคมีอยู่ นาน ๆ ครั้งถึงจะมีอาวุธของผู้อื่น
แต่ทั้งหมดนั้นคืออาวุธ ไม่ใช่เครื่องราง
ส่วนในวันนี้ลุคเจตนาเรียกเครื่องประดับเพื่อคุ้มครองให้กับเชสหรือข้าวโพด อาจเป็นแหวนสักวง เพราะหากเป็นเครื่องราง ปีศาจหรือวิญญาณที่ติดตามเกรซหรือเบสอยู่อาจจะรู้ตัว
แต่ปลอกแขนกลับเรียกเครื่องรางที่เป็นหมุดเงินออกมาให้ 
ลุคเพิ่งเคยเห็นหมุดเงินนี้เป็นครั้งแรก แต่ที่รู้ว่านี่คือเครื่องรางก็เพราะเข็มเล่มนี้มีชีวิต และอำนาจของมันก็รุนแรง ถึงขนาดที่ทำให้ข้าวโพดช็อกจนมองเห็นอดีตภพของตนเองได้
เจ้าของหมุดเงินนี้เป็นใคร และทำไมเขาถึงตาย
“ฉันจะหาตัวพ่อมดเจ้าของหมุดเงินเล่มนั้น ว่าแต่ทั้ง 2 คนจะไปบ้านของคาร่าตอนกี่โมง”
“สักเที่ยงคืน” ลุคบอก “สะกดคนในบ้านง่ายดี”
“แต่เป็นเวลาที่พวกมันกำลังเริ่มเพิ่มกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ” จัสตินบอก “แล้วคิดจะขอความช่วยเหลือจากใครบ้างหรือเปล่า”
ลุคส่ายหน้า จัสตินก็พยักหน้า แต่ลุคยกข้อมือที่มีปลอกข้อมือสีเงินลงลายอักขระภาษากรีกโบราณขึ้นมามอง
อีก 2 คนรู้ว่าลุคกำลังใช้ความคิด จึงไม่รบกวน คนหนึ่งกลับไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาหนังสือเกี่ยวกับเครื่องรางของพ่อมด ส่วนอีกคนเตรียมพร้อมอาวุธสำหรับการต่อสู้ในวันนี้
“จัสติน”
ชายชาวเยอรมันลุกขึ้นยืนตัวตรงเตรียมพร้อมทันที ลุคจึงโบกมือให้นั่งลง
“กล่องที่ใส่เครื่องรางของมาร์ธาอยู่ไหน”
จัสตินชี้ลงไปที่ด้านล่าง
ลุคเดินเข้าไปในครัวของบ้าน หยุดที่หน้าตู้ไม้ความสูง 1 เมตร โดยมีจัสตินเดินตามมายืนอยู่ทางด้านหลังแล้วออกคำสั่ง “ออฟเนน” (Öffnen-เปิด) ตู้ไม้ยืดความสูงขึ้น แล้วเปิดประตูออก สิ่งของที่อยู่ในตู้เลื่อนหายไปทางขวามือ เปิดช่องทางที่เป็นบันไดวนลงไปด้านล่าง
เมื่อทั้ง 2 คนเดินลงมา สิ่งของในตู้ก็เลื่อนกลับมาที่เดิม ประตูตู้ปิดลง และความสูงของตู้ลดลงมาเท่าเดิม
ผู้ที่พักอยู่ที่นี่คือสาธุคุณฌ็องส์ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส แต่ใช้คำสั่งควบคุมด้วยภาษาเยอรมัน เผื่อกรณีที่มีผู้บุกรุก หรือเกิดเหตุร้ายขึ้นกับสาธุคุณ ของที่ซ่อนไว้ในห้องใต้ดินก็จะยังเป็นความลับต่อไป
เมื่อเท้าสัมผัสพื้น จัสตินคือคนที่ออกคำสั่งอีกครั้ง “ฟอยเยอร์” (Feuer-ไฟ) มีแสงสว่างที่ปราศจากต้นกำเนิดเกิดขึ้นภายในห้อง
ภายในห้องที่ถูกซ่อนไว้อย่างลึกลับ มีกล่องไม้อยู่เพียง 2 ใบ ใบหนึ่งเก็บภาพถ่าย อีก 1 ใบคือกล่องไม้ของมาร์ธา
เจ้าของกล่องไม้นี้ตายไปแล้ว แต่เครื่องรางยังคงอยู่ภายใน ลุคแตะที่สลักกุญแจซึ่งไม่ว่าจะถูกล็อกไว้ด้วยกลไก หรือคาถาใด แต่เมื่อเพียงแค่แตะ สลักกุญแจก็เลื่อนเปิดออกเอง
ที่อยู่ภายในคือไม้กายสิทธิ์ของแม่มดขนาดความยาว 1 ฟุต เป็นเครื่องรางที่ธรรมดามาก และก็ทำให้ทั้ง 2 คนรู้สึกผิดหวังอยู่นิดหน่อย
“คิดว่าจะเป็นไพ่หรืออุปกรณ์ทำนายอะไรเสียอีก” จัสตินบ่น
ลุคอธิบายโดยที่ไม่ได้หันมามอง “จำตอนที่มาร์ธาให้เครื่องรางนี่ได้ไหม”
“ได้”
มาร์ธาไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับซอว์นีย์มากนัก แต่พยายามให้รับกล่องไม้นี้มา
“ภูตินั่นต่างหากที่เป็นเครื่องรางของมาร์ธา เมื่อมาร์ธาตายมันจึงตามมาร์ธาไปด้วย เพราะไม่ต้องการไปรับใช้พ่อมดหรือแม่มดตนอื่น  ดังนั้นไม้กายสิทธิ์ในกล่องนี้ต้องเป็นของคนอื่น”
จัสตินเงยหน้ามองเพดานห้อง แต่ไม่มีความเห็น
“ไม้กายสิทธิ์ที่มาร์ธาต้องการให้พวกเรารับมา กับหมุดเงินที่แอเรียสเรียกมาให้เชส” ลุคปิดฝากล่องและล็อกกุญแจไว้เหมือนเดิม
ดงตาสีเข้มหันไปมองกล่องไม้อีกใบที่เก็บภาพที่เป็นความลับของฌ็องส์ แล้วเดินนำกลับมาที่บันไดวน
“เคยเปิดดูของในกล่องไหม”
“ไม่ นั่นมันของส่วนตัวของฌ็องส์”
“ไม่คิดว่าการที่เขาเก็บของไว้ในห้องใต้ดิน ที่มีนายเป็นคนออกคำสั่งจะมีความหมายพิเศษอย่างอื่นหรือ”
“ฉันคือผู้พิทักษ์ของนาย เพราะนายสั่งให้ฉันควบคุมที่นี่ ฉันจึงควบคุม หากนายบอกให้ฉันเปิดกล่องของฌ็องส์ ฉันก็จะเปิดมันตามที่นายสั่ง”
ลุคหันมามองดวงตาสีเทา
“อย่าเข้าใจผิด ฉันรู้ว่าฌ็องส์พยายามอย่างหนัก ทั้งต่อหน้าที่ของสาธุคุณและการสนับสนุนพวกเรา แต่เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่อาจถูกทำร้ายถูกทรมาน ต้องกลายเป็นเหยื่อที่ถูกนำมาใช้ล่อหลอกให้เป้าหมายเข้ามาลงมือ จากนั้นพวกมันก็จะจัดการไปทั้งหมดโดยไม่เสียดาย แต่หน้าที่ของฉันคือการยึดนายเป็นหลัก”
ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าจัสตินไม่สนใจฌ็องส์
ในทางตรงข้ามชายชาวเยอรมันกำลังให้ความร่วมมือในการรักษาความลับของฌ็องส์ที่อยู่ในกล่องใบนั้น
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากสาธุคุณเสียชีวิตไปแล้ว เป้าหมายลำดับต่อไปก็คือจัสติน การที่ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนั้นจึงเท่ากับเป็นการรักษาความลับนั้นไว้ตลอดกาล เพราะจัสตินจะไม่มีทางส่งต่อความยุ่งยากนี้ให้กับลุคอย่างแน่นอน
เมื่อค่ำลง สาธุคุณกลับมาที่บ้านพักอีกครั้ง ทั้ง 2 คนจึงขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่กลับออกไป
นกกลางคืนตาสีแดงตัวหนึ่งจ้องมองจากภายใต้พุ่มไม้ของต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม ส่งเสียงร้องที่ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดได้ยิน
...มือปราบออกมาแล้ว...

ลุคและจัสตินจอดรถมอเตอร์ไซค์ห่างจากบ้านของคาร่าหรือผกา จัสตินใช้คาถาบดบังกล้องวงจรปิดของบ้านทุกหลังในละแวกนี้ จากนั้นกอบฝุ่นจากข้างทางขึ้นมา แล้วใช้คำสั่ง “ชลาเฟิ่น” (Schlafen = หลับ) เป่าฝุ่นพัดพาเข้าไปในบ้าน เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านหลับสนิท
ท่ามกลางความเงียบ และไฟส่องถนน การที่ไม่พบวิญญาณ ปีศาจ หรือภูติเฝ้าอยู่ที่หน้าบ้านคือเรื่องปกติ เพราะมีบางอย่างที่น่ากังวลมากกว่าอยู่ในบ้าน
บ้านหลังใหญ่ที่มีเพื่อนบ้านล้อมรอบทั้งซ้าย ขวา ด้านหลัง และบ้านฝั่งตรงข้าม ลุคเดินเลียบรั้วบ้านทั้ง 3 หลังทางฝั่งเดียวกับบ้านของผกา โรยผงแป้งสีขาวติดแนวรั้วตลอดทาง ส่วนฝั่งตรงข้ามจัสตินก็กำลังทำแบบเดียวกัน
   มวลความร้อนก่อตัวขึ้นจากภายในบ้านทำให้ทั้ง 2 คนที่ด้านนอกต้องเร่งมือ กลับมาตั้งแนวกันบ้านทุกหลังที่อยู่ติดกับบ้านของผกา
   ปลอกข้อมือแอเรียสส่งม่านสีฟ้าโปร่งกั้นตามแนวรั้วทั้ง 3 ด้านที่เหลือ ลายอักขระภาษากรีกโบราณถักทอสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
   ไอร้อนจากในบ้านก่อให้เกิดความดันอากาศผลักให้ม่านสีฟ้าสั่นไหวแล้วสงบนิ่ง
   น้ำเสียงแหบพร่าดังจากในบ้าน บ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่ยังไม่ยอมปรากฏตัว
   ลุคก้าวออกมาข้างหน้า สะบัดมือทั้ง 2 ข้างปลอกข้อมือแอเรียสส่งหอกคู่ขนาด 3 ฟุต ขณะที่จัสตินใช้ดาบขนาด 3 ฟุต แต่มีปืนพกกระสุนเงินมาอีก 1 กระบอก
   กำแพงสูง 3 เมตรทั้ง 2 คนกระโดดข้ามได้สบาย ๆ
   “มีคน 4 คนหลับอยู่ที่ห้องพักทางด้านหลัง” จัสตินบอก
   ลุคพยักหน้า เดินนำไปทางห้องนอนของคาร่า
   เงาสีดำของผู้หญิงผมยาวเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้อง เมื่อลุคส่งพลังขึ้นไปตรง ๆ เธอก็ถอยกลับเข้าไปด้านใน
   “นั่นไม่ใช่มนุษย์” จัสตินบอก
   หอกในมือของลุคเปลี่ยนเป็นแส้ยาว เมื่อสะบัด 1 ครั้งก็เพิ่มความยาวพุ่งผ่านผนังห้องขึ้นไปหาเพื่อดึงเธอลงมา แต่ถูกผลักกลับมาด้วยความร้อนจัด
   ลุครวบรวมพลังอีกครั้งแล้วสะบัดแส้ในมือ ปลายแส้พุ่งตรงขึ้นไปที่ห้องนั้นอีกครั้งแล้วแตกตัวเป็นตาข่ายพุ่งเข้าหาร่างสีดำที่อยู่ในห้อง เมื่อไอความร้อนผลักดันแส้เส้นหนึ่งออกไปก็ยังมีอีกหลายเส้นที่ตรงเข้ามาหาแล้วรัดแน่นยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม
   ร่างสีดำกรีดร้องรวบรวมพลังเพื่อตอบโต้ แส้ของแอเรียสดูดซับความร้อนทั้งหมดแล้วส่งกลับมาที่ร่างสีดำ
   “....งือ....”
   เงาร่างสีดำส่งเสียงขึ้น มวลอากาศรอบตัวเริ่มจางลง แต่ก่อนที่ภายในห้องของผกาจะกลายสภาพเป็นความมืดมิดที่หาทางออกไม่เจอ ลุคก็กระตุกแส้ดึงร่างนั้นลงมาก่อน ทำให้ร่างนั้นส่งเสียงกรีดร้องจนลงมานอนอยู่ที่สนามหญ้าข้างบ้าน
   เงาสีดำที่กำลังนอนดิ้นพล่านอยู่ข้างหน้ายังไม่ยอมแพ้ พยายามที่จะรวบรวมพลังความร้อนเพื่อต่อสู้อีกครั้ง แต่ลุคก้าวไปหา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางจี้ลงกลางส่วนที่เป็นศีรษะ ร่างนั้นจึงสงบนิ่ง และปรากฎร่างชัดเจนขึ้น
   นี่คือเงาร่างของผู้หญิง แต่เธอมีผมสีดำ ผิวสีดำสนิท  ดวงตาสีดำปราศจากสีขาวเจือปน  เสื้อผ้าของเธอก็เป็นสีดำเช่นกัน
   น้ำเสียงที่ผ่านฟันแหลมคมแหบพร่าฟังไม่เป็นคำ
   ลุคปลดล็อกแส้ กลายเป็นเชือกสีดำเส้นหนึ่งรัดเธอไว้ อาวุธที่อยู่ในมือกลับมาเป็นหอกคู่เหมือนเดิม จากนั้นหันหน้าด้านข้างไปหาจัสติน พยักหน้าส่งสัญญาณให้ 1 ครั้ง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดขึ้นไปอยู่ระเบียงห้องนอนของผกา ผลักประตูเข้าไปด้านใน 
   จัสตินก้าวเข้ามาหา ร่างสีดำที่นอนอยู่กับพื้น ใช้อาวุธปืนบรรจุกระสุนเงินจ่ออยู่ที่ศีรษะของเธอ ขณะที่อีกมือถือดาบ โดยชี้ปลายดาบออกไปข้างนอกเพื่อเฝ้าระวัง
   ลุคก้าวเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องนอนของผกาไม่มีอะไรที่น่าสนใจนอกจากร่องรอยของเงาสีดำตนนั้นที่อยู่ในห้องนี้ รวมไปถึงห้องแต่งตัวและห้องน้ำ
   แม้จะชัดเจนว่าเงาสีดำนั่นอยู่ในส่วนนี้ แต่การที่เบสมีความผิดปกติเกิดขึ้น ทำให้ลุคต้องสำรวจห้องของเบสด้วย และอาจต้องสำรวจบ้านทั้งหลัง เพื่อกำจัดบางสิ่งบางอย่างที่ครอบครองบ้าน
   ภายในห้องแต่งตัวนอกจากตู้เสื้อผ้า ถาดเครื่องประดับ และเครื่องสำอางมากมายแล้ว ยังมีบรรดาของสะสมถูกเก็บใส่กล่องไว้อย่างเรียบร้อย ซ้อนเรียงกันสูงเกือบถึงเพดานห้องแต่งตัว
   ลุคพบเจอนักสะสมมามากเกินกว่าจะนับไหว แต่ผกาเป็นนักสะสมประเภทที่ซื้อของไปเรื่อย ไม่ได้เน้นว่าจะเป็นของแท้หรือของปลอม ชอบใจก็ซื้อมาแล้วก็เอามาใส่กล่องไว้
   ห้องแต่งตัวจึงเป็นห้องที่ ‘แน่น’ มาก
   ‘แน่น’ ถึงขนาดที่ลุคเข้ามาในห้องนี้แล้วต้องหยุดชะงักไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงส่วนไหนก่อน 
   เงาสีดำสนิทควรจะอยู่กับเครื่องรางแบบไหนกัน
   ลุคกวาดตามองไล่ตามกล่องต่าง ๆ ขณะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวจากภายนอกบ้าน
   ถ้าเจ้าพวกที่อยู่นอกบ้าน สามารถฝ่าแนวของม่านสีฟ้าเข้ามาได้ จัสตินคงต้านไว้ไม่ได้นาน
   อย่างนั้นก็ต้องจัดการด้วยวิธีข่มขวัญกันอย่างตรงไปตรงมา
   ลุคใช้หอกชี้ไปที่กล่องเหล่านั้น บรรดากล่องทั้งหมดก็พุ่งตรงออกไปทางประตูระเบียงแล้วลงไปอยู่ที่สนามหญ้า
   มีเสียงโครมครามดังขึ้นจากด้านนอกรั้วบ้าน ร่างสีดำที่นอนอยู่ส่งเสียงหัวเราะแหลมเล็ก ม่านสีฟ้าโปร่งรอบบ้านเริ่มสั่นไหว เมื่อสิ่งที่อยู่ภายนอกพยายามผลักดันเข้ามา
ลุคกระโดดตามลงมา  แล้วมองหาสิ่งของที่เป็นเป้าหมาย
ที่ผ่านมาลุคไม่เคยต้องเสียเวลากับการมองหาเครื่องรางนานขนาดนี้ แต่คราวนี้ทุกชิ้นมันดูเหมือนใช่ และไม่ใช่ในเวลาเดียวกันไปทั้งหมด
มีการเคลื่อนไหวจากห้องพักทางด้านหลัง คน ๆ หนึ่งกำลังเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ
ทุกคนต่างก็ระแวง ไม่ไว้ใจคน ๆ นี้ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าค่อยจัดการในภายหลัง
ไม่คิดว่าเธอจะไม่ต้องการรอ
‘คุณกัลย์’ แม่บ้านของคาร่าเดินพ้นเงามืดของบ้าน ออกมายืนอยู่ห่างจากลุคไม่ถึง 3 เมตรจึงหยุด
นอกจากความเคร่งขรึมจนผิดปกติแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรที่ชวนให้ต้องสงสัย ไม่มีไอปีศาจ ไม่มีวิญญาณควบคุม ไม่มีเครื่องรางของพ่อมดหรือแม่มดอะไรสักอย่าง 
แต่เธอสามารถฝืนคำสั่งของจัสตินและมายืนมองทั้ง 2 คนด้วยสายตาตำหนิที่เข้ามาวุ่นวายอยู่ในบ้านของคนอื่น
จัสตินอยากจัดการเจ้าร่างสีดำที่ยังส่งเสียงที่น่ารำคาญเป็นสิ่งแรก แต่ก็ต้องรอเพราะลุคยังหาเครื่องรางที่ใช้ควบคุมร่างนี้ไม่เจอ มาถึงตอนนี้ลุคกลับเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์ผู้หญิงคนนี้เสียอีก
“ลุค”
ลุคพยักหน้าโดยที่ไม่ได้หันไปมองจัสติน แต่กลับใช้หอกชี้ไปที่กล่องใบหนึ่ง กล่องใบนั้นก็ลอยขึ้นสูงแล้วระเบิดจากภายใน
จากกล่องใบแรกที่ระเบิดขึ้นทำให้เกิดไฟไหม้ลามไปหากล่องอื่น ๆที่กระจายอยู่ในสนาม บางกล่องลอยขึ้นมาก่อนแล้วระเบิดขึ้น ทำให้กล่องที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ไปด้วย จัสตินหันไปสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเจ้าร่างสีดำที่ดิ้นรน ทั้งส่งเสียงกรีดร้องจนสุดเสียง เมื่อถึงกล่องใบหนึ่งร่างสีดำพยายามสุดตัวที่จะพุ่งเข้าไปหา แต่จัสตินจ่อยิงเพียงนัดเดียว ร่างนั้นก็สลายไป แต่ไฟยังคงลุกไหม้สิ่งของต่างๆ ในสนามหญ้า
การโจมตีจากภายนอกยิ่งรุนแรงขึ้น ม่านสีฟ้าสั่นไหวตามแรงแต่ยังไม่เกิดรอยร้าว
และในเวลาเดียวกัน คุณกัลย์แม่บ้านผู้เคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นหญิงผมยาวในชุดสีดำ เธอแทบไม่ได้แตกต่างจากร่างสีดำที่นอนอยู่
ทั้งผม สีผิว ดวงตา ฟันแหลม แต่ที่เพิ่งเห็นชัดเจนก็คือนิ้วและเล็บยาวในตอนที่เธอพุ่งเข้ามาหา
ลุคใช้หอกคู่ปัดเธอให้ถอยออกไป พร้อมกับที่กระโดดตามออกมาเพื่อเปิดพื้นที่ต่อสู้ให้อยู่ห่างจากจัสตินที่จะต้องจัดการทั้งร่างสีดำที่หน้าบ้าน และกล่องข้าวของเหล่านั้น
แม้ว่าลุคจะอยากรู้ว่าสิ่งที่แม่บ้านคนนี้เป็นอยู่จะมีชื่อเรียกว่าอะไร แต่ไม่สำคัญเท่ากับการจัดการเธอให้ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจ้าพวกที่อยู่ข้างนอกจะพังเข้ามาได้ และนอกจากแม่บ้านคนนี้แล้ว ยังมีใครในบ้านหลังนี้ หรือหลังอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเป็นเหมือนกันหรือไม่
แม่บ้านคนนี้รวดเร็วมาก หอกคู่ไม่สามารถสัมผัสเธอได้เลย แต่เธอเองก็ไม่สามารถทำให้ลุคบาดเจ็บได้
ในตอนที่จัสตินลั่นกระสุนใส่ร่างสีดำ จึงทำให้เธอหยุดชะงัก หันไปมอง แล้วจะเปลี่ยนทิศทางไปหาจัสตินแต่ลุคเรียกโซ่แอเรียสจากปลอกข้อมือขวา ไปรัดเอวของเธอไว้
ความร้อนที่เธอส่งกลับมาทำให้ปลอกข้อมือแอเรียสร้อนจัดและกำลังเผาข้อมือขวาของลุค

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 12 (16/9/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-10-2020 16:40:25
(ต่อครับ)

“ย่าห์!”
ลุคส่งความร้อนนั้นกลับไป ขณะที่หอกในมือซ้ายส่งความเย็นจัดเข้าปะทะ โดยที่ไม่ทันจะได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมาร่างของเธอก็แตกออกเป็นชิ้นส่วน  จัสตินตามมายิงซ้ำเพียงนัดเดียวไปที่ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุด ทั้งหมดก็ลุกไหม้ขึ้นแล้วสลายไป
การเคลื่อนไหวที่อยุ่นอกบ้านสงบลงพร้อมกัน แล้วถอยห่างออกไป
“ลุค” จัสตินชี้ที่ข้อมือที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกเผาไหม้
แต่ลุคไม่สนใจอาการบาดเจ็บนั้น “ฉันจะขึ้นไปดูห้องข้างบน นายไปดูคนอื่นที่ห้องพักหลังบ้าน”
แม้จะรู้ว่าลุคสามารถซ่อมแซมตนเองได้ แต่ไฟจากปีศาจย่อมไม่เหมือนกับไฟทั่วไป ลุคไม่ยอมให้จัสตินแสดงความเป็นห่วง พอออกคำสั่งเสร็จก็กระโดดกลับขึ้นไปที่ระเบียงห้องนอนของผกาอีกครั้ง แล้วเข้าไปสำรวจบ้าน 
ส่วนจัสตินไปทางด้านหลังบ้านปล่อยให้ไฟไหม้สิ่งของต่าง ๆ ต่อไปเองจนไม่เหลือสิ่งใด
ทั้งที่มีทั้งการระเบิด และมีทั้งไฟไหม้ แต่เมื่อทุกอย่างสงบลง ก็ไม่เหลือแม้แต่เศษเขม่า ต้นหญ้าในสนามทุกต้นยังเป็นปกติไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการถูกเหยียบ
ลุคเดินเข้าไปในห้องนอนของเบส แล้วหันไปมองที่ระเบียง
ดวงตาที่สามมองเห็นบลูคุยกับเบสจากที่ตรงนั้น และเห็นในตอนที่บลูเข้ามาที่ห้องนี้ แล้วพบกับดักที่ปีศาจตนนั้นสร้างขึ้นมา แต่บลูก็หลบหนีไปได้
ถ้าไม่ใช่ดวงตาที่สามลุคก็จะไม่รู้เลยว่าบลูมาที่นี่
คนที่ลอบมองภาพในอดีตกำลังยิ้มด้วยความเชื่อมั่นว่าบลูจะหลบหนี และหลบซ่อนตัวจากผู้ที่กำลังตามล่าได้อย่างที่พูดไว้
ลุคเดินสำรวจห้องอื่นต่อไป ไม่พบเครื่องรางหรือวิญญาณอื่นในบ้านหลังนี้ แต่ยังมีเงาสีดำจาง ๆ อยู่ในห้องรับแขก
ลุคยืนกอดอก เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งขณะที่มองหน้ากากไม้แกะสลักขนาด 3 นิ้วที่ถูกจัดวางเป็นเพียงที่ทับหนังสือในห้องรับแขก
ทั้งที่มีผู้บุกรุกเข้ามา 2 คน มีการเคลื่อนย้ายข้าวของและมีการต่อสู้กันอย่างอึกทึกคึกโครมจนปีศาจถูกกำจัดไปแล้ว 2 ตน แต่เจ้าหน้ากากนี่ก็ยังคงพยายามแสดงตนว่าเป็นเพียงไม้แกะสลักชิ้นหนึ่ง
ลุคเดาะลิ้น แล้วใช้หอกชี้เรียกให้หน้ากากไม้นั้นเลื่อนเข้ามาหา
แต่ในเวลานั้นเองที่หน้ากากไม้เปลี่ยนสภาพเป็นหัวกะโหลกพุ่งเข้ามาหา ลุครวบหอกสั้นถือไว้ด้วยมือซ้าย ขณะที่กางมือขวารับหัวกะโหลกนั้นไว้แล้วสลายกลายเป็นฝุ่นผง จากนั้นก็สลายซ้ำอีกครั้งจนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผง
   ที่มหาวิทยาลัย
เครื่องรางที่เป็นแผ่นกระดาษแจ้งคอร์สพิเศษที่หลอกล่อนักศึกษาไปเรียน ก็เป็นหัวกะโหลกแบบเดียวกัน
ปัญหาของพวกพ่อมด แม่มดก็คือพวกเขาเคยชินกับการเลือกใช้คาถาหรือวิชาที่ถนัดที่สุดเป็นลำดับแรกเสมอ หากไม่ได้ผลจึงเลือกคาถาที่มีความถนัดรองลงมา
ลุคแน่ใจว่ากำจัดมิธพ่อมดสีน้ำตาลดำที่พบในมหาวิทยาลัยตนนั้นไปแล้ว!
มวลอากาศรอบตัวถูกกดดันอีกครั้ง
มีวัตถุกำลังเคลื่อนที่จากที่ห่างไกลกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ด้วยความเร็ว
ลุครีบออกมาจากบ้าน พบว่าจัสตินกำลังวิ่งออกมาจากหลังบ้านเหมือนกัน
ทั้ง 2 คนเตรียมพร้อม วัตถุนั้นไม่ได้ลดความเร็วลงเมื่อเข้ามาใกล้บ้าน
โดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาในบ้าน ลุคและจัสตินพุ่งตัวฝ่าม่านสีฟ้าออกไปหาแล้วฟาดทวนเข้าใส่พ่อมดและบริวารที่ติดตามมา
ทั้งหมดไม่คิดว่ามือปราบกับผู้คุ้มกันที่วุ่นวายกับการสำรวจบ้านจะเปลี่ยนมาตอบโต้อย่างรวดเร็วเช่นนี้พากันถอยห่างแล้วล้มทับกันเอง ส่วนวิญญาณที่หลบทันถูกจัสตินกวาดหายกลายเป็นอากาศ
พ่อมดที่เป็นผู้นำไม่ใช่มิธ แต่ก็มีความคล้ายกับมิธเป็นอย่างมาก ทั้งยังสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำเหมือนกัน
“ไมค์ ผู้ทรยศ” ลุคเอ่ยชื่อของพ่อมดตนนั้น
ไมค์มีสีหน้าตกใจก้าวถอยหลัง แล้วสะบัดผ้าคลุมหลบหนีไป
ลุคยิงพลุไฟสีขาวขึ้นฟ้า แล้วหันมาช่วยจัสตินกวาดล้างพวกวิญญาณติดตามทั้งหมด จากนั้นจึงกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์พร้อมกับการคลายผนึกของบ้านทุกหลังที่อยู่รอบบ้านของผกา แล้วขับรถตามไมค์พ่อมดผู้ทรยศตนนั้นไป

...จบตอนที่ 13...
โอวาซ่าเขียนจบนานแล้ว การที่มีตัวละครบางตัวมีชื่อเหมือนกันบุคคลในข่าวในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงเป็นความบังเอิญเท่านั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่กรุณาติดตามและให้กำลังใจครับ
น้ำชา

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 19-10-2020 18:16:12
มาแล้ว มาแล้วๆๆ :katai2-1:



ตอนนี้พี่ลุคกับจัสตินเท่ห์มากๆ อยากได้ปลอกข้อมือแอเรียสบ้าง  o18



 :impress2:



เบสถูกครอบงำไปแล้วจริงๆ ด้วย งื้อ มิสอรัญญานี่ร้ายมาก  :katai1:



แต่เพราะเรื่องนี้ ข้าวโพดก็เลยจำเรื่องในอดีตได้แล้ว  :hao5:



อยากรู้เหมือนพี่ลุคเลยว่าคุณกัลย์แม่บ้านเป็นตัวอะไรกันแน่ ไม่มีทั้งไอปิศาจ ไม่มีทั้งวิญญาญควบคุมอ่ะ



 :hao4:



แต่ละฝ่ายเริ่มลงสนามรบต่อสู้กันแล้ว รอติดตามตอนหน้าต่อไปว่าจะเปิดปมอะไรออกมาบ้าง



ตอนนี้ไม่มีน้องบลู คิดถึงน้องงงงง :mew1:



ยังคงติดตามและเป็นกำลังใจให้ทั้งพี่ไจฟ์และน้องทีเหมือนเดิมนะฮะ



 :3123:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: yupinka ที่ 19-10-2020 19:55:42
 :L2มาแล้ว มาแล้วๆ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-10-2020 01:13:16
ลุ้นแทนลุค
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-10-2020 10:19:05

 :katai2-1: ว้าวววว ได้เห็นพลังเวทย์ที่ลุคใช้ปราบแล้ว   :katai2-1: 


       :L2:  ทีนี้ก็รอว่า บลู ใช้พลังอะไรแบบไหนสู้กับพวกพ่อมด  :L2:


            เข้มข้นขึ้นอีกแล้ว จนชักสงสัยลาสบอสคือใครแน่ แล้วก็หวั่นๆว่าถ้าบลูกับโอเวนอยู่ร่างเดียวกันนี่แหล่ะ


รอตามตอนต่อไปจ้า

 :pig4:





 
       






 
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 10-11-2020 12:19:34
ตอนที่ 14

ข้าวโพดซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนมาจากสโมสรนักศึกษา เห็นเบสนั่งรออยู่ที่ป้ายรถรางหน้าคณะวิทย์ก็รีบชี้บอกเพื่อนว่าให้จอดรถ
เบสเองพอเห็นว่าข้าวโพดซ้อนท้ายรถเพื่อนมาทางนี้ก็ลุกขึ้นยืนรอ
เบส มาทำอะไรถึงที่นี่” คณะวิทยาศาสตร์อยู่ห่างจากคณะบริหารมาก
เบสยังไม่ตอบคำถามของข้าวโพด แต่หันไปส่ายหน้าให้กับเพื่อนของข้าวโพดที่ถามว่าจะกลับคณะบริหารเลยหรือไม่ จะได้ซ้อนสามไปส่งที่คณะ ข้าวโพดก็เลยหันไปบอกกับเพื่อน ว่าเดี๋ยวจะนั่งรถรางกลับไปคณะ
อาจเพราะเรื่องเมื่อคืนก่อน ทำให้เบสดูแปลกไปและต้องการเวลาส่วนตัว ดังนั้นในตอนที่เบสบอกว่าจะไปธุระในตอนเที่ยง และจะไม่อยู่กินอาหารเที่ยงด้วย เสร็จธุระเมื่อไหร่จะโทรบอก ข้าวโพดถึงไม่ได้เซ้าซี้
จนเมื่อสัก 10 นาทีก่อน เบสโทรมาบอกว่า ตอนนี้อยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ ข้าวโพดที่กำลังช่วยจัดของอยู่ที่สโมสรนักศึกษาถึงต้องขอให้เพื่อนต่างคณะที่มีรถมอเตอร์ไซค์ช่วยขับรถมาส่ง
เมื่อ 10 นาทีถามไปแล้วรอบหนึ่งว่ามาทำอะไรที่นี่ แต่เบสไม่บอก เมื่อถามอีกครั้งก็ยังไม่ยอมบอกอยู่เหมือนเดิม
“มาทำอะไรถึงที่นี่” ข้าวโพดเหลียวมองไปรอบ ๆ “แล้วทำไมมานั่งรอตรงนี้ ร้อน น่าจะไปนั่งรอในคาเฟ่”
เบสจับที่แขนเสื้อของข้าวโพด “ไปดูกรงกระต่ายกัน”
เบสหมายถึงกระต่ายที่อยู่ในส่วนของภาควิชาชีวะวิทยา ที่จะเลี้ยงสัตว์ไว้หลายชนิด ทั้งกบ กระต่าย หนู และปลาเพื่อการศึกษาดูการเจริญเติบโต และการเจริญพันธุ์อะไรแบบนั้น แต่สัตว์เลี้ยงที่ภาควิชาชีวะวิทยา ไม่ได้มีจำนวนมาก และไม่ได้มีความหลากหลายอย่างที่คณะเกษตร ถ้าเบสอยากดูกระต่าย น่าจะไปดูที่คณะเกษตรมากกว่า
แถมคณะเกษตรยังอยู่ใกล้กว่าคณะวิทยาศาสตร์ด้วย
แต่ถึงที่ภาควิชาชีวะวิทยาจะเลี้ยงไว้น้อยกว่า แต่บางทีก็มีสาว ๆ จากคณะอื่นเอาอาหารมาเลี้ยงสัตว์ที่นี่เหมือนกัน รวมถึงตอนนี้ที่มีนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเอาถั่วฝักยาวให้กระต่ายในกรง พอเบสเห็นว่าที่กรงกระต่ายมีคนอยู่และกำลังพูดคุยกันเสียงดัง ก็เดินไปทางบ่อปลาที่อยู่ด้านหน้าของโรงเลี้ยงที่ดัดแปลงมาจากตู้คอนเทนเนอร์ แต่ตอนนี้บ่อปลาและบ่อกบทั้งหมดว่างเปล่า
ขณะที่ทั้ง 2 คนกำลังยืนงง ก็มีนักศึกษาปี 4 หลายคนเดินออกมาจากโรงเลี้ยงและกำลังจะปิดประตู 
“พี่ ไม่เลี้ยงปลาแล้วหรือ” ข้าวโพดหันไปถาม
รุ่นพี่บอกว่า การเลี้ยงปลายุ่งยากและต้องคอยทำความสะอาด อาจารย์ก็เลยยกให้คณะเกษตรเลี้ยง และกำลังจะย้ายกระต่ายไปให้คณะเกษตรเลี้ยงเหมือนกัน กลุ่มนักศึกษาหญิงได้ยินเข้าก็เดินมาถามว่า ทำไม
“เพราะที่นั่นเขาก็เลี้ยงปลา เลี้ยงกระต่ายเหมือนกันน่ะสิ เลี้ยงหลายอย่างด้วย ถ้าใครจะทำวิจัยเรื่องนี้ ก็ไปดูที่ฟาร์มของเขาได้”
“คณะเกษตรอยู่ไกล” สาว ๆ บ่น
“แล้วกลุ่มที่อยู่ในโรงเลี้ยงนั่นจะย้ายด้วยหรือเปล่าครับ” เบสถาม
“ไม่หรอก เพราะว่ามีแต่หนู กับงู พวกเกษตรเขาไม่เลี้ยง”
สาว ๆร้องอี๋ แล้วก้าวถอย บอกว่าพวกเธอไม่ชอบสัตว์แบบนั้น
“เพราะอย่างนั่นแหละ เราก็เลยต้องเลี้ยงเอง” รุ่นพี่บอก แล้วถามเบสว่าจะเข้าไปดูหรือเปล่า
เบสหันมาถามข้าวโพด “ไปดูไหม”
“อ้าว เบสเป็นคนชวนนะ”
เบสหันไปถามรุ่นพี่ “พี่กำลังจะปิดห้องแล้วหรือครับ”
“ใช่ เพราะบ่ายไม่มีใครใช้ห้อง จะมาเปิดอีกทีก็ตอนเอากบมาให้งูตอนเย็น”
เบสส่ายหน้าพูดขอบคุณรุ่นพี่ แล้วหันมาชวนข้าวโพดกลับ
“มีเยอะไหมครับ” เบสถามต่อ
“อีกสักพักคงเยอะ เพราะตอนนี้มีงูเห่าที่ตั้งท้องอยู่ตัวหนึ่ง”
กลุ่มนักศึกษาสาวพากันกลับไปที่กรงกระต่ายเหมือนเดิม ส่วนเบสบอกว่าไม่เข้าไปแล้ว แล้วพูดขอบคุณรุ่นพี่ จากนั้นก็ชวนข้าวโพดกลับไปที่คณะ
ระหว่างที่เดินกลับมาที่ป้ายรถราง ข้าวโพดแวะซื้อน้ำเปล่ากับแซนด์วิชให้เบส
“ได้กินอะไรหรือยัง”
เบสพยักหน้า แต่ก็กินแซนด์วิชที่ข้าวโพดซื้อให้
“นึกยังไงถึงได้อยากมาดูกระต่ายที่ชีวะ”
“ที่นี่คนน้อยกว่าที่คณะเกษตรน่ะ”
“ยังไง” ข้าวโพดซัก
“ก็คณะเกษตรน่ะ มีกระต่าย มีปลาเยอะกว่าก็จริง แต่มีคนอยู่ตลอด ทั้งนักศึกษา อาจารย์ คนงานแล้วก็พวกคณะอื่นที่มาดูปลา ดูนก เราไม่ชอบ”
“อยากดูเงียบ ๆ หรือไง”
“ฮื่อ” เบสพยักหน้า “แต่ปรากฏว่าผู้หญิงพวกนั้นก็มาทำเสียงดังที่นี่เสียอีก พวกสัตว์น่ะไม่ชอบเสียงดังหรอก”
“ที่คณะเกษตรคนเยอะ แต่เขาไม่ได้เสียงดังนะ”
เบสส่ายหน้า “คนเยอะ วุ่นวาย ทำให้สัตว์ตกใจ”
“งั้น วันนี้เลิกเรียนแล้วเราไปเที่ยวสวนสัตว์กันไหม เดินเที่ยวเสร็จแวะกินข้าว แล้วกลับบ้าน ก็ไม่น่าจะดึกมาก”
“ได้ แล้วจะชวนนทีไปด้วยไหม”
“ก็แล้วแต่เบสสิ ถ้าอยากให้มันไปด้วยก็ชวน แต่ถ้าไม่ชวน ไอ้ทีมันก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
“นทีกับนานาไม่ได้เป็นคนเสียงดัง ไม่วุ่นวาย ชวนไปก็ได้ แต่คนอื่น มักเสียงดัง พูดไม่หยุด ไม่ชอบ”
รถรางมาพอดีเบสเดินเอาขยะไปทิ้งแล้วเดินมาขึ้นรถราง
“มีอะไร” เบสหันมาถามข้าวโพดที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง ทำให้คนที่ถูกถามต้องกลบเกลื่อน
“ก็กำลังคิดไง”
“คิดอะไรล่ะ”
“รู้จักกันมาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่าเบสไม่ชอบคนเสียงดัง กับวุ่นวาย”
เบสหัวเราะ “แล้วมาบอกว่าชอบเรา เราไม่ชอบคนแบบไหนยังไม่รู้เลย”
“ตอนนี้รู้แล้วไง” ข้าวโพดบอก “กำลังคิดอยู่ว่าเราเสียงดัง แล้วก็วุ่นวายหรือเปล่า”
“ข้าวโพดไม่ได้เป็นคนเสียงดังหรอก แต่ค่อนข้างวุ่นวาย”
ข้าวโพดพยักหน้าช้า ๆ “จะแก้ไข...”
“ไม่ต้องหรอก เป็นตัวของตัวเองน่ะดีแล้ว ถ้าต้องมาเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อีกคนถูกใจ จะทำให้อึดอัดไม่สบายใจเสียเปล่า ๆ”
รถรางวนรอบมหาวิทยาลัยกว่าจะกลับมาถึงคณะบริหารก็ใกล้จะถึงเวลาเรียน ข้าวโพดจึงโทรหานทีบอกให้เอาหนังสือเรียนไปรอที่ห้องเรียนให้ด้วย จากนั้นก็ชวนไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกันหลังเลิกเรียน
ดังนั้นหลังเลิกเรียนตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง นานาก็ขับรถตามรถของข้าวโพดมาที่สวนสัตว์ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะชานเมือง กว่าจะมาถึงก็ 4 โมงครึ่ง เหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สวนสัตว์ก็จะปิดแล้ว
พอจอดรถเสร็จ เบสก็เดินมาหานที “ที่นี่มีสัตว์ป่าให้ดูจริง ๆหรือ”
“มีสิ กูเคยมา”
“มากับนานาหรือ”
“เฮ้ย” นทีโวยวายเสียงดัง ขณะที่นานาหัวเราะ “กูมากับเพื่อนตอนมัธยม มาเล่นสเก็ตกันที่สวนข้างนอก ตอนนั้นในสวนสัตว์มีแต่นก กับยีราฟ แล้วก็ช้าง แต่ตอนนี้เขาขยายพื้นที่ มีตัวอะไรหลายอย่างมาเพิ่ม”
“โอ้โห ทำการบ้าน นะมึง” ข้าวโพดแซวขณะที่เดินนำไปที่ซุ้มขายบัตร
“ก็เพิ่งเปิดดูในเว็บตอนที่มึงบอกนั่นแหละ ไม่แน่ใจว่ามีกระต่ายไหม แต่ที่นี่ไม่ต้องออกไปไกล แล้วใกล้ ๆ นี่ก็มีร้านอาหาร จะได้ไม่ต้องกลับดึก”
ระหว่างที่นทีบรรยายว่าในสวนสัตว์นี้มีอะไรบ้าง ข้าวโพดก็แยกไปซื้อบัตร
“มึงอยากดูกระต่ายหรือ”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นกระต่ายเท่านั้น แต่ในมหาวิทยาลัย มันก็มีแต่แบบนั้นที่น่าดูใช่ไหมล่ะ จะให้ไปเล่นกับแมวแถวโรงอาหารหรือไง ฉีดยาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
นานาเห็นด้วย
“ทำไมนทีมาเล่นสเก็ตบอร์ดที่นี่ล่ะ ไกลบ้านมากเลยนะ” เบสตั้งข้อสังเกต
“ไม่ไกลหรอก นั่งรถตู้ไปเล่นน้ำทะเลที่พัทยาแล้วกลับบ้านก็ทำมาแล้ว” นทีอวด แต่ข้าวโพดที่ซื้อบัตรเสร็จแล้วหันมาเบรก
“อันนั้น ใคร ๆ ก็ทำเหมือนกันไหมเพื่อน”
“เหรอ มึงก็ทำอย่างนั้นเหรอ”
“เออ”
“เบสไม่เคยเที่ยวแบบนี้แน่ ๆ”
เบสบอกว่าเคยนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองกาญจน์กับเพื่อน
“แล้วนี่อะไรเนี่ย นายหญิงหัวเราะอย่างเดียว” นทีหันมาโวยวายกับนานาที่หัวเราะอย่างเดียวจริง ๆ
“อะไร อยู่ ๆ ก็หันไปพาลกับนานา” ข้าวโพดท้วง
“ก็หัวเราะอย่างเดียวจริง ๆนี่นา” นทีเถียง
“แล้วมีช่องไฟให้เราพูดไหม” นานาบอก
“ไม่มีครับ” นทียอมรับ
ทั้งเบสและข้าวโพดถึงกับหัวเราะที่เห็นคนเกเรเปลี่ยนท่าทีมาเชื่อฟังคนสวยในทันที
“เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวจะปิดเสียก่อน” นทีบอก
ยีราฟที่นทีพูดถึง ทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ที่คอกขนาดใหญ่ด้านหน้าของสวนสัตว์ ซึ่งมีซุ้มอาหารและร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่ตรงข้ามกันทางแยกหนึ่งไปทางสวนกวาง ส่วนอีกทางคือทางที่จะไปที่กรงของสัตว์ประเภทลิง
“ไปทางไหนก่อนดี” นานาหันมาถามความเห็นเบส
“ไปทางกวางก่อนก็ได้ วนทวนเข็มนาฬิกากลับมาที่เดิม” เบสตัดสินใจ
สวนสัตว์ภายในสวนสาธารณะที่ไม่ได้มีสัตว์มากมาย แต่มีการจัดพื้นที่ว่างระหว่างสัตว์ในคอก และในกรง สลับกับสวนหย่อมอย่างสวยงาม ทำให้นานาขอหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ นทีจึงบอกให้ข้าวโพดกับเบสล่วงหน้าไปก่อน
“กระต่ายน่าจะอยู่ในกลุ่มสัตว์ตัวเล็ก ไม่ก็น่าจะอยู่กับกวาง” ข้าวโพดเดา
“ดูไปเรื่อย ๆ ก็ได้” เบสชี้ไปที่จุดที่เป็นอาคารจัดแสดงสัตว์กลางคืน “ไปดูที่นี่กัน”
ข้าวโพดพยักหน้า แล้วหันไปบอกนทีว่าจะไปดูสัตว์กลางคืน นทีทำมือโอเค แล้วหันไปถ่ายรูปให้นานาอย่างตั้งใจ
เบสไม่ได้ตรงไปที่อาคารส่วนจัดแสดง แต่เดินดูไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน จนกระทั่งมาถึงส่วนจัดแสดงเมื่อเปิดเข้าไปภายในอาคาร นอกจากเจ้าหน้าที่ ที่ประจำอยู่ตรงจุดด้านหน้าแล้วก็ไม่เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวคนอื่น
เพราะเป็นสัตว์กลางคืน จึงตกแต่งด้วยหลอดไฟให้ความสว่างเฉพาะจุดที่เป็นป้ายให้ข้อมูลทางวิชาการด้านหน้าตู้เลี้ยง กับแสงไฟริบหรี่ตามทางเดิน
ข้าวโพดรู้สึกถึงเข็มเล่มเล็กเหนือหัวใจอุ่นขึ้นเล็กน้อย
...น่าจะเป็นการส่งสัญญาณเตือน
แต่สัญญาณนั้นหยุดลงทันทีที่เบสหันมามอง
มองตรงจุดที่เข็มเล่มนั้นถูกฝังอยู่ ข้าวโพดจึงเบี่ยงตัวหันข้างให้แล้วเดินไปก้มหน้าอ่านป้ายข้อมูลทางวิชาการ
“งูหลามแอฟริกา โห นายมาไกลนะเนี่ย”
“นางต่างหาก เขาเป็นผู้หญิง” เบสบอกขณะที่ก้าวมายืนข้าง ๆ
“รู้ได้ไง”
“รู้สิ เขาสวยขนาดนั้น”
ข้าวโพดหันไปมองงูตัวใหญ่ในตู้กระจกแล้วส่ายหน้า “ก็ดูเหมือน ๆ กันหมด แต่ก็ขอโทษนะเธอ ที่เรียกผิดคิดว่าเป็นผู้ชาย”
เบสหัวเราะ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “เขาเป็นผู้ชายน่ะถูกแล้ว”
“อ้าว เราก็หลงเชื่อ”
“แต่ที่จริงเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเขาหรือเธอ”
“อะไรเนี่ยเบส” ข้าวโพดบ่นแล้วหันมาอ่านข้อความที่ป้ายด้านหน้าตู้อีกครั้ง “เป็นตัวเมีย อย่างที่เบสบอกตอนแรกน่ะถูกแล้ว”
เบสยิ้มพลางพยักหน้า ทั้งหันไปส่งยิ้มให้กับงูตัวใหญ่ในตู้กระจกแล้วเลยไปที่ตู้ถัดไป
ข้าวโพดหายใจเข้าช้า ๆ รู้สึกได้เองว่าอาการประหม่าหายไป มีความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น
เบสหันมายิ้มแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน จนถึงส่วนที่จัดแสดงแมงมุม
ที่นี่เงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงเคลื่อนไหวใด ๆ จนกระทั่งเบสเดินเข้าไปใกล้แล้วแตะมือที่กระจกหนา
ด้านหลังกระจกคือแมงมุมตัวใหญ่ สีดำ-น้ำตาล
ข้าวโพดก้มลงอ่าน “ทารันทูล่า”
เบสพยักหน้า แต่ยังไม่ละมือจากกระจก
“เบสระวัง อย่าเอามือไปแตะกระจก”
เบสยิ้มอ่อนขณะที่ลดมือลง “ทารันทูล่าไม่ได้ฆ่าใคร แต่จะทำให้เจ็บปวดจนอยากตายมากกว่ามีชีวิตอยู่”
“ทารันทูล่าไม่ได้เป็นสัตว์กลางคืนทำไมเอาเขามาอยู่ที่นี่ น่าจะเรียกตรงนี้ว่าส่วนจัดแสดงสัตว์มีพิษมากกว่าสัตว์กลางคืนนะ”
“เพราะกลางคืนเป็นสัญลักษณ์ของความไม่รู้ พอไม่รู้ก็กลัวไง”
ข้าวโพดพยักหน้าคล้อยตาม “แต่เด็กนักเรียน ถ้ามาดูแบบนี้เขาอาจจะจำไปแบบผิด ๆ ก็ได้นะ”
เบสหยุดยืนอยู่ที่ตู้กระจกมองแมงมุมสีดำสนิท เครื่องหมายรูปนาฬิกาทรายสีแดงเด่นชัด
“แมงมุมแม่ม่ายดำ” ข้าวโพดอ่านป้ายข้อความด้านหน้าตู้ “อา...จักรวาลแห่งมาร์เวล”
เบสมีอาการเหมือนหลุดออกมาจากบางสิ่งหันมามองหน้าข้าวโพดงง ๆ “ข้าวโพดพูดอะไร”
“ก็แมงมุมแม่ม่ายดำ อเวนเจอร์ สกาเล็ตต์ โจแฮนสันไง”
เบสส่ายหน้าให้กับข้าวโพด “อยู่ดี ๆก็พูดถึงหนัง”
“ออกจะเข้ากัน” ข้าวโพดชี้ไปที่แมงมุมตัวใหญ่ในตู้กระจก “สวย แต่พิษร้าย เห็นแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเป็นสกาเล็ตต์”
เบสหันมากลอกตามองบน ที่ดูยังไงก็คือเบสกำลังคุยกับแมงมุมในตู้เกี่ยวกับมนุษย์ที่พูดไร้สาระ
“นี่เรากำลังชมเธออยู่นะ สกาเล็ตต์”
“เธอไม่ได้ชื่อสกาเล็ตต์”
“แล้วชื่ออะไร”
เบสหันมาทันที “ชื่อ...จะไปรู้ได้ไง”
ข้าวโพดหัวเราะ เดินต่อไปที่ล็อกถัดไปซึ่งเป็นค้างคาวที่อยู่ไม่ถึง 5 ตัวในตู้ขนาดใหญ่
“นี่สิ ตัวนี้ถึงจะเรียกว่าสัตว์กลางคืนตัวจริง”
เบสไม่มีความเห็นอะไร เดินผ่านออกมาเฉย ๆ จนข้าวโพดต้องหันกลับไปมองทางที่ไปยังตู้กระจกของบรรดาแมงมุมอีกครั้ง
เมื่อออกมาที่ด้านนอกนทีกับนานาก็มาถึงพอดี แต่พอทั้ง 2 คนรู้ว่าข้างในมีอะไรก็ไม่เดินเข้าไปดู แต่เดินต่อไปที่สวนกวาง และตรงไปที่ทางออกของสวนสัตว์ กว่าจะมาถึงก็คือได้เวลาปิดสวนสัตว์พอดี และเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงเวลาปิดสวนสาธารณะ ทั้งหมดจึงชวนกันออกไปที่ร้านอาหารตามที่นทีอีกครั้ง
“หาในกูเกิ้ลอีกหรือเปล่า” ข้าวโพดถาม
“ใช่” นานาบอก “เพิ่งหาเมื่อกี้นี้เอง พิมพ์ร้านอร่อยใกล้ฉัน”
“อยากกินกุ้งถัง หมูกระทะ หรือสเต็ก” นทีภูมิใจนำเสนอ
“สเต็ก” เบสเลือก
“ได้เลย” นทีแชร์แผนที่ไปร้านเข้าโทรศัพท์ของข้าวโพด แล้วให้นานาขับรถตามมา
เพราะเป็นร้านสเต็กจึงมีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แต่ทั้ง 3 หนุ่มสั่งเบียร์คนละขวด ขณะที่นานาสั่งน้ำอัดลม
“ทำไมนทีไม่เรียนขับรถ จะได้ขับรถให้นานา” เบสถาม
นทียอมรับแต่โดยดี “มึงเข้าใจไหมเบส ว่าคนเราเนี่ย มันสามารถทำอะไรได้ร้อย พัน หมื่น แสนอย่าง แต่มันจะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ให้ทำยังไงก็ไม่ได้”
“หมายถึงเคยไปเรียนแล้ว แต่ไม่ได้น่ะหรือ”
“ฮื่อ” นานาบอก “แค่ขับไปตรง ๆ ก็ยังแย่ ลงจากรถมาเหงื่อเปียกชุ่มหลังเลย ไม่รวมกับไปเบียดกำแพง ชนถังขยะ”
“ถ้ามันขนาดนั้นก็สมควรที่จะเหงื่อชุ่มหลังแล้วละ” เบสบอก
“มิน่า มึงถึงไม่เคยเล่าให้กูฟัง ว่าไปเรียนขับรถ”
“โห มึง ถ้าจะเล่าก็เล่าเรื่องดี ๆ ดีกว่าไหม” นทีบอก
“ทีเวลาที่มึงเล่าเรื่องใส่กางเกงในซ้ำกัน 7 วันไม่เห็นจะอาย”
ข้าวโพดเผาเพื่อนนิ่ม ๆทำให้นานาที่นั่งอยู่ข้างนทีขยับหนี ส่วนเบสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถอยหนีเหมือนกัน
“วันนี้เปลี่ยนแล้ว” นทีบอก “ไม่ต้องขยับหนีกันขนาดนั้นก็ได้”
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ สเต็กแบบดิบของเบสทำให้นานาและนทีหันมามองข้าวโพดพร้อมกัน แต่ข้าวโพดไม่ได้ทักอะไร ทั้ง 2 คนก็เลยชวนคุยเรื่องอื่น
“วันศุกร์นี้ ไปเลี้ยงวันเกิดไอ้เจษฎ์คณะวิศวะไหม” นทีถาม
ข้าวโพดส่ายหน้าตามคาด “ไม่ไปหรอก ศุกร์นี้กูมีนัดสู้กับมิสเตอร์วันอาย”
“อะไรนะ คนอะไร ทำไมชื่ออย่างนั้น” นานาไม่เข้าใจ
“ชื่อในเกมออนไลน์ไง” นทีบอก “เห็นว่าตัวจริงเป็นเด็กวิศวะ ม.เทคโนเยอรมัน ดวลกับไอ้ข้าวโพดมาหลายนัดแล้ว”
“ส่วนใหญ่ใครชนะ” นานาถาม
“เราชนะสิ”
นานามีสีหน้าไม่เชื่อ นทีก็เลยหัวเราะ ทำให้ทั้งนานาและเบสพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“นี่ไม่เชื่อใช่ไหม”
ทั้ง 3 คนไม่ได้ตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่นานาหันไปถามเบสว่า อาหารอร่อยหรือไม่ เบสพยักหน้า แล้วชวนคุยเรื่องอาหาร
ทำให้ข้าวโพดบ่นว่าทำไมถึงไม่มีใครเชื่อ
กว่าจะออกมาจากร้านก็เกือบ 2 ทุ่มทั้ง 2 คู่จึงแยกกันที่หน้าร้าน พอขึ้นรถได้ข้าวโพดก็บอกให้เบสหลับไปได้เลย แต่เบสนั่งนิ่ง ๆ มองตรงไปข้างหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร จนรถเลี้ยวเข้าบ้าน เบสถึงได้พูดขึ้น
“ข้าวโพดคิดว่าเราแปลกไปหรือเปล่า”
“ไม่นี่” ข้าวโพดตอบทันที
“ไม่คิดว่าแปลกหรือที่เรากินสเต็กแบบค่อนข้างดิบ”
“ไม่” ข้าวโพดย้ำคำเดิม “เรารักเบส เบสจะชอบอะไรก็ตามนั้นแหละ เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินว่ามันแปลกหรือว่าธรรมดา”
แม้ข้าวโพดจะไม่ได้หันไปมอง แต่จากหางตาก็ยังเห็นว่าเบสมีรอยยิ้มมุมปากแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อจะหันไปมองเต็มตา เบสก็ลงจากรถไปแล้ว
คืนนั้นเบสมานอนที่ห้องของข้าวโพดเหมือนในคืนก่อน และข้าวโพดที่ระวังเพราะกลัวว่าทำให้อีกฝ่ายเจ็บเพราะไปย้ำแผลก็ทำให้เบสอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงพยายามเร่ง ทั้งยังมากกว่า 2 ครั้งที่เบสพยายามจะกัดริมฝีปากของข้าวโพด แต่ข้าวโพดก็หลีกเลี่ยงได้สำเร็จ
เลี่ยงได้สำเร็จ ทั้งทำให้เบสเสร็จไปก่อน แต่ตัวเองกลับเกิดอาการค้าง
และหลังจากที่ทำให้เบสเสร็จเป็นครั้งที่ 2 ข้าวโพดก็ขยับเข้าหาจากทางด้านหลัง เบสพยายามจะหมุนตัวกลับมา แต่คนที่อยู่ด้านบนกดข้อมือไว้แน่น ทั้งจูบไซ้ซอกคอ เมื่อเบสอ่อนลงก็เลื่อนมือลงมารูดให้
เป็นความพยายามที่ใช้เวลานานกว่าชั่วโมง จนหงาดเหงื่อสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีเงิน
เบสเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว ยอมให้ข้าวโพดอุ้มไปล้างตัวแล้วกลับมาสวมชุดนอนให้จากนั้นก็หลับไปในทันที
ข้าวโพดจูบที่หน้าผากสวย
จะหลีกเลี่ยงการถูกกัดไปได้อีกสักกี่วัน...
...
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 10-11-2020 12:26:48
(ต่อครับ)

จากถนนหลักเลี้ยวเข้าซอยมามากกว่า 15 กิโลเมตร ผ่านทั้งโรงงาน หอพัก ตลาดนัดทางแยกทางเลี้ยว ลุคและจัสตินก็เลี้ยวรถผ่านแนวรั้วทรุดโทรม กองดิน แล้วไปหยุดอยู่หน้าอาคารโรงงานร้าง
จากประสบการณ์ ผู้ที่พักในลักษณะนี้มักเป็นปีศาจหรือวิญญาณ 
แต่เจ้าพ่อมดไมค์ตนนั้น นำทางมาที่นี่
จัสตินลงจากรถแล้วกระชับดาบ 2 มือเตรียมพร้อมขณะที่เหลียวมองไปรอบ ๆ
จนถึงตอนนี้ชายชาวเยอรมันยังไม่มีคำถาม ส่วนลุคก็ยังไม่มีเวลาที่จะตอบ แต่นั่นไม่ได้ทำให้การทำงานมีอุปสรรค
ตั้งแต่ปากซอยมาจนถึงโรงงานร้างแห่งนี้ มีวิญญาณที่ทำหน้าที่เฝ้ามองอยู่ 3 ตน และในเวลานี้ทั้ง 3 ตนก็มารวมกันอยู่ตรงจุดที่เคยเป็นป้อมยาม
ส่วนภายในเขตโรงงาน ก็มีวิญญาณที่ลอบมองจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ และในอาคาร แต่ทั้งหมดนี้คือวิญญาณที่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้ามอง ที่นี่ต้องมีหัวหน้าหรือนายวิญญาณที่ควบคุมวิญญาณเหล่านี้
แต่ลุคกำลังมองหาพ่อมดที่ชื่อไมค์ตนนั้น
ถ้านี่เป็นการหลอกล่อให้มาติดกับ ตอนนี้ทั้ง 2 คนก็เข้ามาติดกับแล้ว แต่ทำไมนายวิญญาณถึงยังไม่ปรากฏตัว
เมื่อลุคหันไปมองวิญญาณ 3 ตนที่ด้านนอกเขตโรงงาน ทั้งหมดก็หลบวูบไปอยู่ที่ด้านหลังเสาไฟฟ้าฝั่งตรงข้าม พอหันกลับมาหามองวิญญาณที่ในที่นี้ก็พากันถอยห่างออกไป
ลุครู้วิธีสร้างสร้างความไม่พอใจหลายร้อยวิธี แต่วิธีนี้ง่ายที่สุด
มีวิญญาณหญิงสาวตนหนึ่งหลบอยู่ใกล้เสาต้นแรกของลานจอดรถ ลุคใช้ปลอกข้อมือแอเรียสส่งเชือกไปมัดเธอไว้อย่างรวดเร็วแล้วดึงเข้ามาหา แต่เมื่อเข้ามาจนเหลืออีกเพียง 2 เมตรลุคก็ประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางชี้ไปที่เธอแล้วส่งดวงวิญญาณของเธอออกไปในทันที
วิธีการนี้ยังได้ผลเหมือนเคย เพราะมีเสียงอื้ออึงที่เกิดจากความสับสนวุ่นวายดังขึ้นรอบตัว เมื่อวิญญาณที่ต้องการพ้นไปจากที่นี่ต้องการเข้ามาขอความช่วยเหลือจากลุค แต่ก็มีวิญญาณที่อยากออกไปแต่ยังหวาดกลัวผู้คุม และวิญญาณที่ขัดขวางดวงวิญญาณที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากลุค
ที่หน้าต่างชั้นบนของอาคารโรงงาน มีเงาสีดำปรากฏขึ้น บรรดาวิญญาณทั้งหมดในที่นี้พากันถอยห่างออกไปอีกครั้ง
ลุคส่งเชือกจากปลอกข้อมือแอเรียสดึงวิญญาณที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ออกมา เป็นวิญญาณชายวัยกลางคน ลุคส่งวิญญาณนั้นออกไปด้วยวิธีเดียวกัน
ร่างสีดำนั้นพุ่งตรงลงมาจากหน้าต่างชั้นบนของโรงงาน จัสตินเข้ามาขวางลุคไว้เพื่อหยุดร่างสีดำนั้น
เมื่อทุกอย่างสงบลงจึงมองเห็นร่างนั้นชัดขึ้น
นี่คือนายวิญญาณที่ลุคและจัสตินไม่เคยพบมาก่อน แต่มีสัญลักษณ์บางอย่างที่บ่งบอกว่า มีความเกี่ยวพันกับไมค์
จากวิญญาณที่มีพลังอ่อนด้อยจนถึงนายวิญญาณที่ถูกดึงลงมาอย่างง่ายดาย ทำให้คาดได้ว่าทั้งหมดนี้คือเบี้ยทหารเลวอีกตัวที่ซอว์นีย์วางไว้
แต่วางไว้เพื่ออะไร
ลุคต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็ว
ดังนั้นซอว์นีย์จึงทำทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลา!
เพื่ออะไร ในเมื่อพวกมันเข้าถึงตัวของเบสแล้ว!
สมองของลุควิ่งเร็วกว่าเดิมเมื่อนายวิญญาณที่ไม่รู้จักตนนั้นเอ่ยชื่อขึ้นมาก่อน
“ลุค เมอร์ฟี มือปราบแห่งวาติกัน”
“ไมค์ไปไหนแล้วล่ะ ถึงได้ทิ้งนายวิญญาณอย่างนายไว้ที่นี่”
“สำหรับมือปราบวาติกันที่ทำได้แค่ไล่จับวิญญาณอย่างนาย ไม่จำเป็นต้องให้ท่านไมค์ลงมาจัดการให้รองเท้าอันสวยงามของท่านต้องเลอะเทอะหรอก”
เสียง “เหอะ” ของจัสตินช่างเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “นี่แสดงว่าไม่เห็นตอนที่ไอ้พ่อมดแมลงสาบนั่นวิ่งหนีพวกเรามาถึงที่นี่”
นายวิญญาณที่ชัดเจนว่าเป็นสมุนของพ่อมดแมลงสาบ...ไม่ใช่...พ่อมดที่ชื่อไมค์ เพราะมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจอย่างชัดเจน
“พวกนายอยู่ที่นี่กันหรือ” คำถามของลุคดูเป็นมิตร “วิญญาณอยู่อย่างนี้ไม่แปลก แต่นายวิญญาณอยู่ที่นี่ด้วยมันดูอนาถาไปหน่อยนะ”
“แต่ฉันคิดว่า มือปราบลุคที่ใช้ถ้อยคำเสียดสีแบบนี้ดูอนาถายิ่งกว่าเสียอีก” พ่อมดไมค์ปรากฎตัวที่ประตูด้านหน้าของโรงงาน
แต่จากการหลบหนี และการที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ลุคและจัสตินไม่รู้ตัวต่างหากคือเรื่องที่ควรเป็นกังวลมากกว่าการต่อสู้กัน
ลุครอจนไมค์เดินเข้ามาอีกระยะหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น
“ไมค์ กาเล พ่อมดไร้ถิ่น ผู้หลบหนีออกจากฝรั่งเศสไปภักดีกับซอว์นีย์ แต่สุดท้ายก็เป็นได้แต่เบี้ยที่ถูกทิ้งลงมาให้เราต้องกำจัดออกไปจากเส้นทาง”
ไมค์ยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นสูง พร้อมกันกับที่ปลอกข้อมือแอเรียสส่งกรงเล็บเหล็กขึ้นมาให้ใช้
นี่เป็นอาวุธโบราณของญี่ปุ่นที่เหมาะกับการต่อสู้แบบประชิดตัว
แต่เจ้าพ่อมดที่อยู่ข้างหน้ามีความถนัดเรื่องหนี
แอเรียสน่าจะมีปัญหาเสียแล้ว!
ลุคไม่มีเวลาให้วิเคราะห์อะไรมากมายนัก พุ่งตรงเข้าหาไมค์ แต่ไมค์เรียกก้อนหิน ก้อนกรวดรอบตัวขึ้นมาซัดตอบโต้เหมือนเม็ดฝน
กรงเล็บเหล็กประสานกันกลายเป็นโล่ขณะที่มือปราบในชุดหนังสีดำไม่ได้ลดความเร็วลงในการพุ่งตรงเข้าหาแล้ววาดมือออก กรงเล็บเหล็กกรีดชายเสื้อคลุมของไมค์ที่กระโดดถอยหลัง 
ลุคไล่ตามติด ไมค์เรียกวัตถุใกล้ ๆ ซัดเข้าใส่ลุคอีกครั้ง แต่เพราะเวลาอีกฝ่ายตามเข้ามาประชิดตัว วัตถุเหล่านั้นจึงหักเปลี่ยนเส้นทาง
กระบวนท่ากรงเล็บเหล็กยิ่งต่อสู้ยิ่งรวดเร็ว และหนักหน่วง
ขณะเดียวกัน จัสตินหันไปต่อสู้กับนายวิญญาณผู้มีศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมต่อไมค์ แต่สิ่งที่นายวิญญาณผู้นี้ทำก็คือการถอยไปด้านหลังแล้วเรียกวิญญาณเหล่านั้นเข้ามารุมล้อมจัสติน
แต่วิญญาณเหล่านี้แทบไม่มีพลัง เพราะไม่มีความเคียดแค้น ไม่มีความหวงแหน หรือรู้สึกว่าลุคและจัสตินคือผู้บุกรุกที่ต้องขับไล่ออกไป
นี่จึงไม่ต่างจากการโยนตุ๊กตาหมีขนฟูใส่จัสติน
นายวิญญาณกางแขนออกกว้างแล้วเรียกพลังจากสิ่งมีชีวิตรอบตัวเข้ามาเสริมเพื่อให้วิญญาณเหล่านี้กล้าแข็งขึ้น และตรงเข้ามาสู้กับจัสติน
จัสตินคือผู้พิทักษ์ ไม่ใช่มือปราบ เมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ สิ่งที่จัสตินทำคือการ ‘กำจัด’ ไม่ใช่การส่งไปยัง ‘อีกฝั่งหนึ่ง’ อย่างที่ลุคทำ
เสียงของวิญญาณที่กรีดร้องอย่างโหยหวน ดังก้องไปทั่วบริเวณ กระแสลมวนหมุนอยู่รอบตัวของจัสตินและเหล่าวิญญาณ
“จัสติน!” ลุคร้องเตือน
จะอย่างไรวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะรับการจองจำไว้ที่นี่ การทำแบบนี้คือการลงโทษเหยื่อชัด ๆ
เมื่อลุคหันไปเตือน ไมค์ก็ฉวยโอกาสหลบหนีไป ลุคจึงหันมาเรียกเชือกส่งวิญญาณจากปลอกข้อมือแอเรียส พุ่งเข้าหาวิญญาณที่อยู่ในสถานที่นี้
จัสตินหันไปสู้กับนายวิญญาณที่เฝ้าสถานที่นี้ ขณะที่เชือกสีขาวมัดวิญญาณเหล่านี้ไว้ด้วยกันทั้งหมด ลุคร่ายคาถาส่งวิญญาณทีละดวง แล้วจึงกลับมาหานายวิญญาณ
จัสตินก้าวถอยออกมาด้านหลัง เป็นผู้สนับสนุนให้ลุคเป็นผู้ต่อสู้กับนายวิญญาณ แต่เพียงแค่กระบวนท่าแรกกรงเล็บเหล็กก็สร้างบาดแผลตั้งแต่ไหล่ซ้ายลงมาถึงเอวขวา
นายวิญญาณซวนเซทรุดตัวลง กระอักเลือดออกมาครั้งหนึ่งร่างกายก็หลอมเหลวลง จนกลายเป็นเลือดเนื้อกองหนึ่งจากนั้นก็ละลายและไหลซึมลงสู่ผืนดิน
ลุคเข้าไปสำรวจในอาคารร้าง พบการเขียนสัญลักษณ์ไว้ในห้องต่าง ๆ ทั้งกางเขนกลับหัว ตัวเลข และดาวปีศาจ 5 แฉก ส่วนในห้องที่คาดว่านายวิญญาณยืนอยู่เมื่อครู่พบภาพของสัตว์มีพิษหลายชนิดอยู่ในห้องนั้นทั้งงู ค้างคาว และแมงมุม
ลุคบันทึกภาพทั้งหมดไว้ในความทรงจำแล้วหันมาพยักหน้ากับจัสติน จากนั้นก็เดินนำลงมาก่อน สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล้วขับออกไป
นาทีถัดมาจัสตินจึงเดินตามลงมา แล้วขับรถตามออกไป เมื่อรถพ้นแนวรั้วโรงงาน มีไฟลุกไหม้จากภายในโรงงาน ผู้ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงรีบโทรแจ้งเหตุไฟไหม้ แต่ไฟนั้นโหมไหม้อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่พยายามควบคุมเพลิงจนถึงเช้า ไฟจึงสงบลง
แต่โรงงานนั้นก็ถูกไฟเผาทำลายไปทั้งหมดแล้ว
...
ลุคขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามรอยของไมค์ไปจนถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ บริเวณรอบบ้านหลังนี้คือทุ่งหญ้า และป่ากก
พลังที่ปกคลุมบ้านหลังนี้คือพลังของกลุ่มซอว์นีย์อย่างชัดเจน
เป็นอีกครั้งที่กลุ่มซอว์นีย์ท้าทายให้มาต่อสู้กัน และในขณะที่ลุคขยับข้อมือแล้วปลอกข้อมือแอเรียสส่งดาบยาวแบบฝรั่งเศสออกมาให้ใช้ จัสตินก็ตามมาถึง
ชาวชาวเยอรมันมองดาบยาวในมือของลุคแล้วหันไปมองในบ้าน
“พร้อมแล้ว”
ทั้ง 2 คนกระโดดข้ามรั้วสูงเข้าไปในบ้าน เท้ายังไม่ทันจะแตะพื้น ฝูงแมลงมากมายก็บินเข้ามาปะทะ ดาบในมือของลุค อาบย้อมด้วยลูกไฟเมื่อวาดออกไปก็เผาแมลงทั้งหลายร่วงลง
เมื่อเท้าแตะพื้น ทั้งคู่ก็ดีดตัวพุ่งตรงเข้าไปถึงหน้าประตูบานใหญ่ ถีบบานประตูนั้นจนพังลง แล้วก้าวเข้าไป
สัญลักษณ์ดาวปีศาจห้าแฉกสีดำปรากฏชัดที่พื้นกลางห้อง ลุคร่ายคาถาขณะที่ปักดาบลงตรงจุดกึ่งกลาง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นรอบตัว สร้างแรงกดดันให้คนได้ยินต้องคุ้มคลั่ง แต่จัสตินรีบประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเขียนรูปเครื่องหมายกางเขน สร้างเกราะคุ้มครองให้ลุคและตนเอง
ในความเป็นจริงเสียงกรีดร้องโหยหวนยังคงดังอยู่ เกราะนี้ช่วยลดระดับเสียงและผลกระทบจากเสียงนั้นลงไปมาก แต่กลับทำให้รับรู้การเคลื่อนไหวรอบตัวได้ชัดเจนกว่าเดิม โดยเฉพาะจำนวนค้างคาวภายในห้องโถงกลางที่เพิ่มมากขึ้นในทันที และพ่อมดไมค์ที่เรียกได้ว่า ‘วิ่ง’ ลงมาจากชั้นบนของบ้าน พร้อมกับการร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ลุค เมอร์ฟี่!”
ไม้กายสิทธิ์ในมือยกขึ้นสูง เรียกค้างคาวในห้องเข้ามาโจมตีทั้ง 2 คน
ค้างคาวที่พุ่งตรงเข้ามาเมื่อกระแทกกับเกราะคุ้มครองบ้างก็ร่วงลง บ้างก็กระเด็นกลับไป แต่ทั้งหมดจะบุกโจมตีเข้ามาใหม่
ค้างคาวเหล่านี้มีจำนวนมาก ทั้งยังอยู่ในเขตอำนาจของไมค์ จัสตินไม่สามารถใช้เกราะคุ้มครองอีกฝ่ายได้นานนัก แต่ก็ไม่สามารถเร่งให้ลุคจัดการทำลายเครื่องหมายที่พื้นได้เช่นกัน
ลุคไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวรอบตัว น้ำเสียงในการท่องคาถาเร่งขึ้น และหนักแน่นกว่าเดิม จากนั้นใช้คาถาล้างเวทย์มนตร์พร้อมกับลากปลายดาบไปตามภาพสัญลักษณ์ที่พื้น
ลายเส้นสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวกระทั่งสัญลักษณ์ดาวปีศาจห้าแฉกสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาว แล้วลุกขึ้นยืนภาพสัญลักษณ์เลือนหายไป
จัสตินลดเกราะคุ้มครองลง ลุคก็กระโดดเข้าหาพ่อมดไมค์ อาวุธในมือกลับกลายเป็นกรงเล็บเหล็กฟาดเข้าใส่ค้างคาวที่พยายามเข้ามาขัดขวาง
จัสตินใช้ดาบในมือฟาดฟันใส่ฝูงค้างคาวอย่างรวดเร็ว ทุกตัวที่ถูกดาบจะร่วงลงเมื่อกระทบพื้นก็สลายไป เสียงกรีดร้องรอบตัวค่อย ๆเงียบลง
เหลือเพียงเสียงร้องตะโกนของไมค์ที่พยายามข่มขู่คู่ต่อสู้ ทั้งที่กำลังถอยกรูดไปจนเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะติดกำแพง ลุคตามติดแล้วแทงผ่านซี่โครงผ่านอวัยวะภายใน 
กรงเล็บเหล็กยาวทะลุด้านหลังของไมค์สัมผัสกับผนังห้องพอดี
ดวงตาของพ่อมดเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
มือปราบผู้นี้สามารถค้นหาและกำจัดพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำ...
หรือว่าที่ลงมือในวันนี้ก็เพราะ...
การแทงในตำแหน่งนี้ไม่ได้ทำให้ตายในทันที แต่ทำให้หายใจลำบาก ร่างกายไม่มีแรง เมื่อลุคดึงกรงเล็บเหล็กออก ยังเห็นเลือดที่พุ่งตามกรงเล็บออกไป ทั้งยังสำลักเลือดออกมาอีกก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งพิงผนัง ดวงตาเริ่มพร่ามัวลงในตอนที่มองตามการเคลื่อนไหวของมือปราบก้มลงดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาจากมือแล้วหักครึ่ง ทั้งใจดีวางคืนให้บนหน้าขา
กรงเล็บเหล็กที่อาบเลือดวางลงบนศีรษะ หยดเลือดสัมผัสที่หน้าผาก ไหลผ่านแนวจมูก แล้วหยดลงปลายคาง
ไม่น่าเชื่อว่าการแทงเพียงครั้งเดียวจะทำให้กรงเล็บเหล็กต้องอาบเลือดได้มากถึงเพียงนั้น
แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นทันทีนั้นต่างหากที่สร้างความทรมานอย่างถึงที่สุด ทั้งยังรับรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ความร้อนที่เกิดขึ้นจากศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้า ไฟที่เริ่มเผาไหม้จากเส้นผม ผิวหนัง กระดูก
จนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย ไมค์ก็ยังไม่เชื่อว่าหลังจากที่ต้องใช้ชีวิตผ่านการหลบหนี และการทรยศหักหลังมาอย่างยาวนานจะต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของมือปราบวาติกันในลักษณะนี้
ลุคและจัสตินยืนมองจนกระทั่งร่างนั้นเผาไหม้ไปจนหมดจึงเดินสำรวจไปทั่วบ้าน เพื่อทำลายเครื่องรางที่อาจหลงเหลืออยู่
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลามากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะลุคยืนยันให้ตรวจสอบซ้ำถึง 3 รอบ ก่อนที่จะออกมาจากบ้านหลังนั้น
หลังจากที่เสร็จเรื่องลุคและจัสตินกลับไปที่บ้านพักหลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มไม้ครึ้ม
จัสตินทำอาหารง่าย ๆ ระหว่างที่รอลุคอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำเสร็จก็วางไว้บนโต๊ะแล้วยืนกินส่วนของตนเองในครัว เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ เมื่อกลับออกมาอีกครั้งเห็นลุคยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวยาว หันหน้าออกไปข้างนอก ขณะที่ปลอกข้อมือแอเรียสถอดวางอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กข้างตัว ส่วนในมือถือขวดน้ำเปล่า
“ทำไมยังไม่ไปพัก” ลุคถามทั้งที่ไม่ได้หันมามอง
“กำลังจะพัก”
ลุคหันมามองหน้า จัสตินก็เลยชี้ไปที่เตียงไม้ในห้องที่สมควรจะเป็นห้องรับแขก แต่บ้านนี้ไม่มีห้องรับแขก มีแต่เก้าอี้ตัวยาวที่ลุคนั่งอยู่ กับเตียงไม้ตัวนี้ แล้วก็ห้องครัวที่ไม่มีเก้าอี้
อ้อ...มีห้องนอนใหญ่และ ห้องน้ำอยู่ที่ชั้นบน
“นายนอนตรงนั้นหรือ”
“ใช่”
ลุคพยักหน้า “ขอนั่งคิดอะไรตรงนี้อีกสักครู่”
จัสตินเดินมายืนเยื้องไปทางด้านหลัง ดวงตามองไปในทิศทางเดียวกันกับลุค
“เพิ่งรู้ว่านายรู้จักกังฟูด้วย”
ลุคส่ายหน้า “ไม่ใช่ฉัน” ปลายคางชี้ไปที่ปลอกข้อมือที่วางอยู่ “กรงเล็บเหล็กที่แอเรียสเรียกออกมาต่างหาก”
จัสตินหันมามองปลอกข้อมือ “นายไม่มีกรงเล็บเหล็กหรือ”
“ไม่มี” ลุคเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนแรกที่แอเรียสส่งกรงเล็บเหล็กออกมา ฉันก็แปลกใจ เพราะฉันไม่เคยสู้กับใครที่ใช้อาวุธ หรือมีเครื่องรางนี้ แต่พอสู้กับไมค์ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมแอเรียสถึงเลือกอาวุธนี้ออกมา”
จัสตินยืนกอดอกฟังลุคพูดเกี่ยวกับการต่อสู้ และวิชาที่เขาไม่เคยใช้มาก่อน
“นี่อาจเป็นอาวุธที่เจ้าของแอเรียสคนก่อนเก็บไว้”
“นายไม่ใช่เจ้าของแอเรียสคนแรกหรือ”   
“ฉันเชื่อมาตลอดว่าฉันคือเจ้าของคนแรก แต่หลังจากที่แอเรียสส่งหมุดเงิน กับกรงเล็บเหล็กออกมา ฉันก็เชื่ออย่างจริงจังมากขึ้น ว่าแอเรียสต้องเคยอยู่กับคนอื่นมาก่อน”
ชายชาวเยอรมันขมวดคิ้วแน่น เมื่อต้องทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานกว่า 350 ปีที่แล้ว
“แต่ที่ผ่านมา ที่เราสู้กับพ่อมด และปีศาจมานับครั้งไม่ถ้วน แอเรียสไม่เคยเรียกอาวุธที่ไม่ใช่ของนายออกมาเลยนะ”
ลุคยอมรับ และนั่นทำให้เขารู้สึกแปลก ๆกับปลอกข้อมือแอเรียสที่เป็นเครื่องรางประจำตัวมาอย่างยาวนานคู่นี้
ไม่ถึงกับไม่ไว้ใจ แต่หากแอเรียสส่งอาวุธที่ไม่รู้จักออกมาอีก แล้วยังเป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนไหวของเขาอย่างที่กรงเล็บเหล็กควบคุมเขาในวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้น
โดยเฉพาะหากในเวลาที่บลูกลับมาหา แล้วแอเรียสเรียกอาวุธออกมาเพื่อกำจัดบลู เขาจะทำอย่างไร
ปมปัญหาในอดีตที่พัวพันกันมาจนถึงปัจจุบันยากจะแก้ไข ตอนนี้ยังมีปัญหากับแอเรียสขึ้นมาเสียอีก
แต่ยังมีอีกเรื่องที่น่าจะจัดการได้
ซอว์นีย์...
“ก่อนนี้ฉันคิดว่าปีศาจที่กำลังพยายามกลืนกินเบสอาจอยู่ในประเภทเดียวกับปีศาจออร์ก้าจากไอริช”
จัสตินเลิกคิ้วสูง ลุคจึงอธิบายต่อ “เพราะเธอพยายามจะกัดข้าวโพด”
ออร์ก้าเป็นสตรี เธอแข็งแกร่งจนไม่ต้องอาศัยร่างของใคร ทั้งหากเป็นเธอจริง ก็น่าจะสูบเลือดและพลังชีวิตของเบสก่อน จากนั้นก็จัดการข้าวโพดเป็นรายต่อไป
“แอเรียสยังส่งหมุดเงินออกมาให้ใช้คุ้มครองข้าวโพด แทนที่จะให้เครื่องรางไปกำจัดปีศาจ และจากที่พวกเรากำจัดนายวิญญาณนั่น มาจนถึงไมค์ ฉันเชื่อว่า ปีศาจตนนั้นอาจเป็นสัตว์ร้าย”
“งู แมงมุม หรือค้างคาว อย่างนั้นซอว์นีย์ก็ไม่น่าจะอยู่ที่นี่”
“อาจอยู่หรือไม่อยู่ 50-50 พวกมันทิ้งเหยื่อลงมาทีละคน เพื่อศึกษาพวกเรา”
จัสตินใช้ลิ้นดุนแก้ม
ลุคบอกให้จัสตินไปพักผ่อน “เมื่อตื่นนอนเราจะกลับไปหาเครื่องหมายที่บ้านของผกากันอีกครั้ง และหลังจากนี้พวกเราอาจไม่ได้นอนอีกหลายวัน”

...จบตอนที่ 14...
ผมว่าเรื่องนี้ของป๋าก็มีความน่ากลัวและความสนุกสูสีกันดีนะ หวังว่าคุณผู้อ่านจะอ่านด้วยความสนุกสนานเช่นกัน
เข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ดูแลสุขภาพนะครับ
น้ำชาครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 10-11-2020 15:46:34
พี่ลุคคิกถึงน้องใช่มั้ย ตอนนี้เลยมาเร็ว


 :hao3:


แปะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านจ้า
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 10-11-2020 21:22:02
ตอนนี้พี่ลุคก็เท่ห์อีกแล้ว   :katai2-1:




คราวนี้กำจัดสมุนพวกซอว์นีย์ไปได้หลายคนล่ะ แต่เหมือนเป็นแค่เหยื่อสังเวยถ่วงเวลาเลยอ่ะ  :ruready




ตอนที่แล้วอยากได้ปลอกข้อมือแอเรียส แต่อ่านตอนนี้แล้วแอบหลอนๆ เพราะแม้แต่พี่ลุคยังควบคุมมันไม่ได้แฮะ




อะไรกันนี่ๆๆๆ มาอีกหนึ่งปม :katai1:




เฮ้อ ดูเหมือนคู่ต่อสู้จะมีกำลังคนเยอะน่าดู การต่อสู้หลายร้อยปีจะสิ้นสุดลงได้จริงไหมนะ




เอาใจช่วยพี่ลุคกับน้องบลูให้ปลอดภัยกัน :call:




ขอบคุณพี่ไจฟ์น้องน้ำชา :pig4: เป็นกำลังใจให้เสมอค่า :3123:



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-11-2020 22:10:59
ยังเดาไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 13-11-2020 09:38:41


ลองคิดว่ามันเป็นอนิเมะดูนะ มันต้องตื่นตากับฉาดความอลังของแสงสีต่างๆตอนสู้กัน เสียงตุ้มต้าม แฉ๊งฉ้าง อะไรงี้   :katai2-1:

ชักจะมีของมาให้สงสัยเพิ่มอีกแล้วว่าเจ้าของคนเก่า แอเรียส คือใครรร

แล้วบลูต้องหลบอยู่อีกนานแน่ กว่าจะจัดการหมดทุกคน เอะ หรือว่าบลูก็ไปจัดการคนอื่นๆได้


 o13 สนุกค่ะ  o13


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 18-11-2020 19:51:47
ลุคอย่าเก็บตัวนานนะคะ..อ่านแล้ววาดภาพตามสนุกอะ
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-11-2020 13:53:15
ตอนที่ 15

   
ที่ต้นไม้ใหญ่ทางทิศเหนือของสุสาน มีนกฮูกสีเทาอายุมากตัวหนึ่งซุกตัวอยู่ในโพรงไม้ขนาดพอดีตัว มีใบไม้ กิ่งไม้ปิดซ้อนช่วยปิดบังแสงสว่าง
ในเวลากลางคืน เหล่าดวงวิญญาณล่องลอยอยู่ภายในสุสาน นกฮูกแก่ก้าวช้า ๆ ออกมาจากโพรงไม้ เพื่อหาอาหาร จากนั้นก็เกาะขอนไม้เหลียวมองไปรอบตัวแล้วหลับตาลงรับฟังเสียงรอบตัว
ยามดึกสงัด ได้ยินเสียงใบไม้ และเสียงสนทนากันของเหล่าวิญญาณเบาบางอยู่ในสายลม
จากที่ห่างไกล มีการเคลื่อนไหวผิดปกติกำลังตรงมาทางนี้
เป็นกลุ่มพลังงานที่พยายามปกปิดตนเองอย่างเต็มที่ แต่เจตนาร้ายที่เอ่อล้นออกมานั้นมีความชัดเจน จนทำให้วิญญาณในสุสานต่างขยับออกไปดู นกกลางคืนส่งเสียงร้องเตือน
นกฮูกแก่ลืมตาขึ้นมองก้าวขาขยับกลับไปในโพรงไม้ พลันสลายเป็นไอสีขาวพุ่งตรงไปในทิศทางตรงกันข้าม

ลุคสะดุ้งตื่นแล้วลุกขึ้นนั่งในสภาพที่หัวใจเต้นแรง มือทั้ง 2 ข้างกำลังสั่นด้วยความกังวล ความสับสน และความร้อนใจ
เมื่อเหลียวไปมองนาฬิกาที่เข้าสู่ตีสาม ก็ต้องรีบลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว แต่ทุกสิ่งที่เห็นความฝันยังคงชัดเจน
ที่ห้องรับแขกชั้นล่างจัสตินที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว กำลังยืนมองมาทางนี้
ท่าทางจะพร้อมมานานกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว
“ขอโทษ ฉันไม่คิดว่าจะหลับไปนานขนาดนี้”
“นายตื่นเพราะฝันร้ายหรือ” จัสตินถาม
“ใช่” 
“อย่างนั้นก็ดื่มน้ำสักแก้วแล้วค่อยออกไปน่าจะดีกว่า”
น้ำแก้วนั้นไม่ได้ทำให้ภาพที่เห็นในความฝันจางลง แต่อย่างน้อยก็ทำให้สามารถจัดลำดับเรื่องที่จะต้องจัดการในคืนนี้ได้ดีขึ้น
บ้านของผกาและเบสตกอยู่ในความมืดสนิท
นี่เป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ เพราะเมื่อเจ้านายทั้ง 2 คนไม่อยู่ แล้วยังมีเรื่องแปลก ๆ หลายอย่างเกิดขึ้นกับคนที่ยังอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะการที่แม่บ้านคนนั้นต้องตื่นขึ้นมาที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ขณะที่ยามหลับสนิทไม่ได้รู้เรื่องอะไร ส่วนข้าวของในห้องของเจ้าของบ้านก็หายไป
ถึงอย่างนั้นลุคก็ยังไม่ไว้ใจแม่บ้านของผกา
คนที่ถูกส่งให้มาอยู่กับเป้าหมายคนสำคัญของเรื่องนี้ จะต้องไม่ใช่คนที่ถูกกำจัดอย่างง่ายดาย 
แต่ตอนที่มาถึงก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านนี้จริง ๆ ทั้ง 2 คนสวมถุงมือยาง จากนั้นจัสตินก็ปลดล็อกประตูด้านข้างของบ้าน แล้วเดินนำเข้าไปก่อน
ในเวลาเกือบตี 4 ทั้งคู่เดินขึ้นไปสำรวจห้องด้านบนอีกครั้ง ห้องนอนและห้องแต่งตัวของของผกาโล่งไปมากเพราะลุคเผาของสะสมของเธอไปหลายชิ้น
แต่ถึงอย่างนั้นลุคก็ยังสำรวจอย่างละเอียด ถึงกับเลื่อนตู้ที่ตั้งไว้ชิดผนังออกมาดู และก้มลงไปสำรวจใต้ตู้ใต้เตียงด้วย
จัสตินเห็นอย่างนั้นก็หันไปรื้อลิ้นชักตู้ออกมา แล้วตรวจหาสัญลักษณ์ของพ่อมด หรือการบูชาปีศาจในบ้าน
ทั้งคู่จัดเป็นนักรื้อค้นระดับเซียนเพราะไม่ว่าจะรื้ออะไรออกมาก็จะเก็บกลับไปให้อยู่ในสภาพเดิมทุกอย่าง เพื่อที่เวลาที่เจ้าของบ้านกลับมาแล้วจะไม่พบความผิดปกติ
คำถามคือ พ่อมดหรือปีศาจที่ซ่อนสัญลักษณ์นี้ไว้ จะต้องมีความร้ายกาจขนาดไหนกันถึงสามารถลงสัญลักษณ์ที่ลุคและจัสตินหาไม่เจอ
ทั้งในห้องนอนของผกาและห้องนอนของเบส ไปจนถึงห้องพักแขก แม้กระทั่งห้องน้ำ ทั้งคู่ก็เข้าไปตรวจค้นแต่ไม่เจอ
จัสตินเอาลิ้นดุนแก้มขณะที่เดินตามลุคลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน จากนั้นก็ส่ายหน้าให้กับตนเองเมื่อลุคชี้บอกให้จัสตินเข้าไปสำรวจจากครัวหลังบ้าน ส่วนตนเองจะสำรวจจากห้องรับแขกหน้าบ้านเข้ามา
ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นี้มาหลายร้อยปี นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องสำรวจบ้านกันอย่างละเอียดขนาดนี้ และใช้เวลานานขนาดนี้
เวลาผ่านไปเกือบเที่ยงวัน ลุคยืนเท้าเอวหันไปมองทางห้องพักคนรับใช้ที่ด้านหลังบ้าน จากนั้นก็เดินนำไปก่อน ส่วนจัสตินก็ได้แต่เดินตามไปเหมือนเดิม
เป็นการค้นหาและจัดเก็บคืนไปที่เดิมซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น 24 ชั่วโมงพอดี ทั้งลุคและจัสตินต่างก็รู้สึกเครียด และเหนื่อย
“มันต้องอยู่ที่นี่สิ” ลุคพูดเสียงต่ำ ๆ ขณะที่มองไปรอบ ๆ แล้วเงยขึ้นไปที่หลังคาบ้าน
จัสตินกลอกตาอย่างประชดประชัน แล้วกระโดดขึ้นไปด้านบน แต่แค่แตะเท้าลงที่กระเบื้องหลังคาก็ต้องกลับลงมาในทันที
คนที่ดีใจคือลุค ที่ลอยตัวขึ้นสูงไปยังตำแหน่งที่จัสตินขึ้นไปดูเมื่อครู่
ชายชาวเยอรมันเรียกเกราะคุ้มครองบ้านหลังนี้ ขณะที่ลุคกำลังจัดการทำลายสัญลักษณ์ที่ถูกอยู่บนหลังคา
สัญลักษณ์ดาวปีศาจ 5 แฉกที่อยู่มุมหนึ่งของหลังคาบ้านมีขนาดเพียงครึ่งฟุตเท่านั้น แต่จากตำแหน่งนี้ถือได้ว่าชัดเจนเกินพอสำหรับการเป็นเป้าหมายของพ่อมดหรือแม่มดของกลุ่มซอว์นีย์ที่จะส่งวิญญาณหรือคาถามาที่นี่
มิน่าในตอนที่มาทำลายของที่ระลึกของผกาในรอบแรก พวกซอว์นีย์ถึงได้ยอมล่าถอยกลับไปง่ายนัก
ปลอกข้อมือแอเรียสส่งดาบออกมาให้ ลุคท่องคาถาแล้วปักดาบลงที่กึ่งกลางของสัญลักษณ์รูปดาว  มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่จากที่ไหนสักแห่งพุ่งเข้ามากระแทกเกราะที่จัสตินสร้างไว้ น้ำหนักและแรงกระแทกนั้นมีมากจนเกราะยุบตัวเข้ามาหา แต่ก็ดีดป้ายโฆษณานั้นกลับออกไป
จัสตินประสานนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้างเป็นรูปสามเหลี่ยม ขณะที่ท่องคาถาผู้คุ้มครองเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับเกราะ
พ่อมดผู้หลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งกำลังเรียกสิ่งของอีกหลายอย่างโยนเข้ามาที่บ้านหลังนี้อย่างต่อเนื่อง แต่จัสตินก็ส่งกลับคืนไปทางเดิมทั้งหมด จนกระทั่งเกราะทางทิศใต้เริ่มแตกร้าว ชายชาวเยอรมันจึงต้องเร่งเสริมเกราะทางนี้ แต่เกราะทางฝั่งตะวันตกก็เริ่มปริแตกออกอีกจุดหนึ่ง
ที่หลังคาบ้าน ประกายไฟเล็ก ๆ เริ่มขึ้นจากมุมหนึ่งของสัญลักษณ์รูปดาวแล้วลามไปจนเต็มรูปดาว จากนั้นจึงลามไปยังเส้นวงกลมที่ล้อมรอบอยู่ เปลวไฟนั้นแรงขึ้นวูบหนึ่งแล้วจางหายไป หลังคาบ้านกลับมาเป็นสีของกระเบื้อง ปราศจากร่องรอยที่บ่งชี้ว่าเคยมีการขีดเขียนสัญลักษณ์ไว้
ลุคหันกลับมาพร้อมกันกับที่จัสตินปลดเกราะคุ้มครองทั้งหมด
แม้ว่ายังมีสิ่งของมากมายที่พุ่งตรงเข้ามาหา แต่ลุคประสานดาบทั้ง 2 มือแล้ววาดออกอย่างรวดเร็ว สิ่งของเหล่านั้นพุ่งตรงกลับไปในทางเดียวกัน คือกลับไปหาผู้ที่ส่งมันมา
ลุคหันมาพยักหน้ากับจัสติน แล้วรีบออกมาขับรถจักรยานยนต์คันใหญ่ตามไปในทิศทางที่สิ่งของเหล่านั้นพุ่งตรงไปหา จนได้ยินเสียงโครมครามดังอยู่ไม่ไกลจึงเร่งเครื่อง
แต่เมื่อไปถึงก็พบเพียงขยะกองใหญ่ที่อยู่ในลานสนามกีฬาเก่า
ถึงจะไม่พบตัว แต่ทั้งลุคและจัสตินก็หันมายกนิ้วหัวแม่มือให้กัน 
...
หลายวันผ่านไป เพื่อนทุกคนในคณะเดียวกันก็เลิกถามแล้วว่า ตกลงข้าวโพดกับเบสคบกันจริงหรือเปล่า เพราะรวม ๆ แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ที่เปลี่ยนไปชัดเจนก็คือบรรดาเอฟซีของข้าวโพดแถวหน้าตึกเรียนที่พากันหายไปหมด
เช้านี้ พอทั้งคู่มาถึงคณะ ก็มานั่งอยู่ข้างกันที่หน้าตึกเรียนเพื่อรอเพื่อนที่ทยอยมาถึง 
ส่วนนที เช้านี้ซ้อนรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาถึงตึกเรียนแล้ว แต่ไม่ได้เดินเข้ามารวมกลุ่มเพื่อน ยังยืนรออยู่ห่าง ๆ จนเห็นรถของนานาผ่านไปที่ลานจอดรถข้างคณะก็รีบเดินไปหา
“โอเคไหม” นทีถามทันทีที่นานาเปิดประตูรถ
“โอเคสิ เราจะเป็นอะไรล่ะ” นานาสงสัย “แล้วมีอะไร ท่าทางมีความลับ”
นทีใช้วิธีดึงสายกระเป๋าสะพายของนานาให้เดินตามมาจนถึงมุมตึกก็ส่งตะกรุดข้อมือให้ แต่พอนานาจะรับมาชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นผูกข้อมือให้เอง “เราขอพ่อมาให้เธอ”
นานายิ้มขำ ยอมให้นทีผูกข้อมือให้ “เพิ่งรู้ว่าเธอก็เชื่ออะไรแบบนี้”
“ก่อนนี้ก็เฉย ๆ นะ แต่หลังจากที่มีเรื่องอะไรแปลก ๆ ก็เลยขอพ่อมาให้เธอน่ะ” นทีชูข้อมือตัวเอง ขณะที่ใบหูแดงจัด “เราก็มีเหมือนกัน ถ้าใครถามก็บอกว่าเราให้ ใส่คู่กันนะ”
มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ แต่...
“ทีแรกก็อยากซื้อสร้อยข้อมือให้ ไปดูแล้วแหละ แต่พอจะกลับไปขอเงินแม่มาซื้อให้ เรารู้สึกแปลก ๆ ก็เลยคุยกับพ่อ พ่อบอกอันนี้ดีกว่า จะได้คุ้มครองด้วย” นทีหน้าเจื่อนลง ทำให้นานาหัวเราะ
“ขอบใจนะ ที่เป็นห่วง ช่วงนี้มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นบ่อยจริงแหละ” และส่วนใหญ่จะเกิดกับเบส “แต่จะให้บอกคนอื่น จริง ๆหรือว่า เราใส่คู่กัน”
นทีลูบท้ายทอยพลางพยักหน้า “ถ้าเพื่อนถาม ขอให้เราเป็นคนตอบได้ไหม”
“มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว” นานาพยักหน้า “เราจะไปรู้เรื่องเครื่องรางของขลังของนทีได้ไง”
นทีขออนุญาตข้อที่ 3 “เราขอพักเรื่องเรียนขับรถไว้ก่อนได้ไหม ขอเว้นสัก เอ่อ 2 เดือนแล้วค่อยลองใหม่ อาจจะดีขึ้น”
“ตามใจเหอะ” นานาบอก “ไปได้หรือยัง จะเข้าเรียนแล้วนะ”
ตอนที่ทั้ง 2 เดินมาถึงเพื่อน ๆในคณะยังไม่ทันจะล้อ นทีก็รีบเดินไปหาข้าวโพด ที่ยืนรออยู่
“สายนะมึง”
“ไม่สายซะหน่อย อีกตั้ง 10 นาที” นทีบอก
แต่เพราะกลุ่มชายหนุ่มจะให้กลุ่มผู้หญิงเดินนำขึ้นบันไดไปก่อน และเพราะว่าสร้อยข้อมือตะกรุดที่ข้อมือของนานาไม่ได้เข้ากับบุคลิกและนิสัยของเธอเลยสักนิด ทำให้สร้อยนั้นโดดเด่นจนเพื่อนคนหนึ่งหันกลับมามองข้อมือของนที แล้วก็พากันชี้ จากนั้นก็หัวเราะ และพากันแซวว่า “นี่ถึงขนาดต้องเล่นของ มัดไว้ด้วยกันเลยหรือวะ”
“มึงอย่าทำเป็นพูดเล่นไป นี่ของศักดิ์สิทธิ์นะ พ่อกูให้มา”
“ชัดเลย ไปขอของพ่อมาให้แฟนนี่คือหมั้นกันเห็น ๆ”
“เร็วไป” นานาเตือนนิ่ง ๆ เพื่อนก็เลยเปลี่ยนไปแซวเรื่องอื่น
“ขอของพ่อมาให้แฟน แทนที่จะขอทองสัก 5 บาทไรงี้” เพื่อนอีกคนแซวขำ ๆ
“ทีแรกกูก็กะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่กูยังไม่มีเงิน”
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ คือนทีทำหน้าที่ตอบคำถามของเพื่อน ขณะที่นานาได้แต่ยิ้ม
ส่วนเบสไม่ได้พูดอะไร แต่รอยยิ้มกดลึกที่มุมปากแบบนั้น ทำให้นทีจับข้อมือของข้าวโพดด้วยความกังวล
ข้าวโพดเองก็ไม่ได้รู้เรื่องพวกเครื่องราง และไม่ใช่นักเลงพระ แต่จากที่ได้คุยกับบลูและลุคมาก่อนหน้า ก็คิดว่า เครื่องรางของขลังน่าจะอยู่คนละสายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ 
รวมถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังมีอิทธิพลกับเบสมากขึ้นเรื่อย ๆด้วย
“เพิ่งรู้ว่ามึงมาสายนี้ ไม่เข้ากับมึงเลย” ข้าวโพดพยายามบอกใบ้เพื่อน
“เปล่า” เพื่อนกันเข้าใจคำใบ้นั้น “กูไปถามพ่อว่าจะเอาอะไรให้...” นทีพยักหน้าไปทางนานาที่หันมามอง ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆต่างก็หยุดคุยกันแล้วหันมาฟัง “แล้วพ่อกูเอามาให้ 2 เส้นกูเลยแบ่งให้...เส้นนึง”
ข้าวโพดไม่เข้าใจบางอย่าง “ทำไมมึงต้องเว้นวรรคด้วยวะ แค่เรียกชื่อแฟนมึงน่ะ”
“กูยังไม่ชิน” นทีเกาขมับตัวเอง ขณะที่หูแดงจัด
นานาเสียอีกที่ต้องหันไปสะกิดเพื่อนให้ขึ้นเรียน เมื่อแถวนักศึกษาเคลื่อนที่ไป ยังมีเสียงแซวจากใครบางคนในกลุ่มลอยมาให้ได้ยิน “เพิ่งสังเกตเหมือนกันนะเนี่ยว่านทีไม่เคยเรียกชื่อนานา”
อีกคนบอก “ขนาดชื่อยังไม่กล้าเรียก นานาเป็นโวลเดอร์มอร์หรือไง”
“บ้า” นานาบอก
เพื่อน ๆ แซวเรื่องนานากับนทีได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่กับคู่ของข้าวโพดกับเบสนี่ไม่รู้ว่าจะแซวอะไรดี ทั้งที่ทุกคนรู้ว่าข้าวโพดชอบเบสมานาน แล้วมาวันหนึ่งเบสก็ย้ายไปอยู่บ้านข้าวโพดเพราะที่บ้านมีปัญหา คือเข้าใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็น ๆ คบกันเห็น ๆ แต่ไม่รู้ว่าควรแสดงความเห็นยังไงดี
เพราะสาเหตุสำคัญคือเบสเปลี่ยนไปในแบบที่ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัว และไม่อยากอยู่ใกล้นานนัก
เมื่อมาถึงหน้าห้องเรียน เบสไม่ได้เลี้ยวซ้ายเข้าห้องเรียน แต่เดินไปจนชิดราวระเบียง เพ่งมองไปที่ฝูงนกที่เกาะกิ่งต้นไม้ใหญ่ 
“ดูอะไรอยู่” ข้าวโพดถาม
เบสชี้ไปที่ฝูงนก “แถวนี้มีนกกาน้ำแดงด้วยหรือ”
“พวกมันหนีอากาศหนาวมาจากเมืองจีนน่ะ”
เบสพยักหน้า “อย่างนี้เอง” จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องเรียน
ข้าวโพดมองตามหลังคนที่เดินกลับเข้าเรียน แล้วหันไปมองฝูงอพยพ มองระดับความสูงของอาคารเรียน คิ้วเข้มขมวดแน่นขณะที่เดินตามมาเข้าห้องเรียน
ระหว่างที่นั่งฟังอาจารย์บรรยายจากหลังห้อง ข้าวโพดยกมือลูบตำแหน่งที่หมุดเงินเล่มนั้นฝังอยู่
เบสกลัวความสูง ขนาดที่ไม่กล้าเดินออกมาที่ระเบียงห้องนอนที่อยู่แค่ชั้น 2 แต่ห้องเรียนนี้อยู่ชั้น 5 เบสกลับยืนมองฝูงนกอพยพเหล่านั้นได้สบาย ๆ
คนที่อยู่ด้วยกันในเวลานี้ คือเบสที่ถูกครอบงำด้วยสิ่งลึกลับที่บลูและลุคกำลังต่อสู้อยู่ หรือเป็นคนอื่นที่มาสวมรอยเป็นเบสกันนะ...
เบสที่นั่งอยู่หน้าห้อง หันมามองข้าวโพด เมื่อสบตากันก็หันกลับไปมองหน้าห้องเรียนเหมือนเดิม
นทีสะกิดข้อศอกข้าวโพดทันที แต่ข้าวโพดยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเตือนว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
รอจนถึงพักเที่ยง ทั้ง 2 คนก็แยกไปช่วยงานที่อาคารกิจกรรมนักศึกษา
ที่ป้ายประกาศด้านหน้าของห้องสโมสรนักศึกษา ด้านหน้าอาคารมีกระดาษหลากสีติดอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นของชมรม ‘หนูป่าในเมืองหลวง’ ที่เขียนถึงข้าวโพดว่าขอยกเลิกการติวภาษาอังกฤษในวันนี้ และขอให้ช่วยจัดของในห้องชมรมให้ด้วย เพราะประธานชมรมต้องไปซื้อของสำหรับจัดกิจกรรมพิเศษตอนเย็น
เมื่อขึ้นไปถึงหน้าห้องเจอกับรุ่นพี่ปี 3 อีกคนที่กำลังจะปิดห้อง แต่หันมาเห็นข้าวโพดกับนทีพอดี จึงบอกคร่าว ๆเกี่ยวกับงานที่ขอให้ช่วยจัดการในช่วงพักกลางวัน ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ชมรม ‘อาสาพากันบันเทิง’ เอามาคืนแล้วทิ้งกระจัดกระจายอยู่ในห้อง จึงขอให้ช่วยจัดใส่กล่องกระดาษแล้วเขียนบอกไว้ที่หน้าด้านข้างของกล่องให้ด้วย เผื่อชมรมอื่นมายืมใช้ต่อจะได้หยิบได้ง่าย
“ส่วนพวกเครื่องดนตรีมีตะกร้าใส่ของอยู่แล้ว” รุ่นพี่บอกไว้แล้วก็รีบไป แล้วบอกว่าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด
‘ชมรมหนูป่าในเมืองหลวง’ ก็คือชมรมของกลุ่มนักศึกษาที่มาจากต่างจังหวัดและรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมช่วยเหลือกลุ่มเพื่อนที่มาจากต่างจังหวัดเหมือนกัน มีตั้งแต่ไปเล่นดนตรีเปิดหมวกรวบรวมค่าเทอม ค่าหนังสือ จนถึงรวมกลุ่มกันติวหนังสือ
ส่วน ‘ชมรมอาสาพากันบันเทิง’ เป็นชมรมที่มีกิจกรรมตามชื่อทุกถ้อยคำ หากชมรมใดจัดกิจกรรมแล้วต้องการคนไปสร้างเสียงเฮฮา ไปช่วยร้องเพลง สามารถเรียกพวกเขาไปเสริมให้งานครึกครื้นได้
แต่พวกเขาไม่ชอบการเก็บงาน ดังนั้นเมื่อชมรม ‘รักน้อง ต้องห่วงน้อง อย่าห่วงใคร’ จัดกิจกรรมในช่วงเช้านี้แล้วต้องการคนไปช่วยสร้างสีสัน พวกเขาก็พากันไปช่วย เสร็จแล้วก็พากันขนของมาคืนที่ห้องชมรม ‘หนูป่าในเมืองใหญ่’ ด้วยการทิ้งไว้เกลื่อนห้อง 
เมื่อเห็นสภาพห้องในวันนี้ นทีถึงกับส่ายหน้า
“ให้มันได้อย่างงี้สิ ไอ้พวกหนูนา ห่วงน้องพากันบันเทิง”
“หนูป่า” ข้าวโพดตบไหล่เพื่อน ที่ผสมชื่อชมรมจนกลายเป็นชมรมใหม่ “ปะ ของไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แป๊บเดียวก็เสร็จ จะได้รีบกลับไปที่คณะ ไม่อยากฝากเบสไว้กับพวกนานานานเกินไป”
“ห่วงเบส หรือห่วงนานาถามจริง นานาแฟนกูนะ”
ข้าวโพดขว้างปอมปอมสีสดใสใกล้มือใส่นที “ทีอย่างนี้มาเรียกนานาแฟนกู ต่อหน้าเขาจะพูดชื่อยังไม่กล้า ไอ้หอยเอ้ย!”
นทีรับปอมปอมมาใส่กล่อง “ที่จริงกูก็เรียกชื่อเขานะ พวกมึงแหละล้อจนกูไม่กล้า”
ข้าวโพดยิ้มให้กับแผ่นกระดาษ ขณะที่เขียนข้อความ ‘กระดาษสี’ ไว้ข้างกล่องที่เก็บกระดาษสีไว้เต็มกล่องแล้วผลักเข้ามุมห้อง นทีก็ผลักกล่องที่ใส่ปอมปอมจนเต็มเข้ามาให้ ข้าวโพดเขียนข้อความใส่กระดาษอีกแผ่น ติดไว้ที่ข้างกล่องแล้ว วางเรียงต่อกัน
2 คนทำงานกันไปคุยกันไป
“แล้วตกลงเรื่องไอ้เบส นี่มันยังไงกันแน่วะ กูว่าพักนี้มันดูแปลก ๆ” นทีแยกกระโปรงที่ทำจากเชือกฟาง ออกจากกองปอมปอม แล้วใส่ที่กล่องอีกใบ “ที่ผ่านมาเบสมันไม่ใช่คนที่จะเครียดหรือดุใครแต่ไม่กี่วันมานี้มันดูเหมือนเป็นคนละคน”
“มันชัดขนาดนั้นเลยหรือ”
“ชัดสิ มึงเองก็เห็นว่ามันแปลกใช่ปะล้ะ มึงถึงเตือนกู ไม่ให้ทัก”
“กูไม่รู้หรอกว่า เกิดอะไรขึ้น แต่กูเป็นห่วง”
“อ้าว” นทีหน้าเหวอ
2 คนคุยกันแบบคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักอย่าง 
นทีสารภาพ “กูไม่อยากระแวงเบส แต่มันน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันที่มันอยากไปสวนสัตว์นั่นแล้ว กูจำได้นะ เรื่องที่มันที่มันไม่กินเนื้อวัวน่ะ แต่วันนั้นมันกินดิบ แล้วมึงคงไม่ได้สังเกต เบสมักจะชอบทำตาขวางใส่คนอื่น เหมือนมันไม่พอใจ มันโกรธ มีเรื่องที่มันไม่ชอบใจมาก ๆ มีความรู้สึกว่ามันพร้อมที่จะด่า หรืออาละวาดใส่คนที่ทำให้มันไม่พอใจได้ตลอดเวลา มันไม่เคยเป็นอย่างนั้นนะเว้ย เบสน่ะกับคนอื่นถ้ามันไม่ชอบ มันก็จะเดินหนี มีก็แต่กับมึงคนเดียวที่มันจะงอน จะโกรธ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดพร้อมบวกขนาดนี้”
ข้าวโพดรับกล่องที่นทีใส่พวกกระโปรงฟาง กับหมวกมาแล้วเขียนกระดาษมาติดไว้ ยกขึ้นซ้อน แล้วหันไปคลี่กล่องกระดาษอีกใบส่งให้นที ส่วนตัวเองหันไปเรียงแผ่นชีทโค้ทใส่กล่อง
“กูอยากถามมัน ว่ามันมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า แต่ก็แม่ง กลัวมันบวกว่ะ” ข้าวโพดหันมามองหน้า “กูหมายถึงถ้าจะบวกกับกู กูก็อยากรู้สาเหตุ แต่นี่มันไม่ใช่ ส่วนเรื่องตะกรุดที่ให้นานา ทีแรกกูก็อยากซื้อสร้อยข้อมือสวย ๆ ให้เขาน่ะแหละ ทีนี้จะไปขอเงินแม่มาซื้อของให้หญิงมันก็แปลกไปปะว้ะ กูก็เลยไปคุยกับพ่อ คุยไปคุยมา กูก็เล่าเรื่องบรรยากาศแปลก ๆ ในมหาวิทยาลัย พ่อกูก็จัดมาให้เลย เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเบสหรอก แล้วกูก็คิดว่าไม่ได้เกี่ยวกับที่เบสมันแปลกไปด้วย” นทีเอียงคอเพื่อนึกคำพูด “กูไม่รู้จะใช้คำยังไงถึงจะถูก รู้แต่ว่ามันไม่ปลอดภัย แล้วกูก็ไม่อยากอยู่เฉย พ่อให้มากูก็รับมาเลย”
นับว่านทีเป็นคนที่มีเซ้นส์แรงอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเป็นเพื่อนกับเบส ก็เลยพยายามกันเพื่อนออกไปจากความรู้สึกผิดปกติเหล่านั้น
น่าเสียดายที่ข้าวโพดไม่มีคำตอบให้ ก็เลยเล่าเรื่องที่เบสเคยสงสัยเรื่องวิญญาณในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เล่าเรื่องป้ายประกาศ
“เรื่องผีในมหาวิทยาลัยนี่กูก็เคยได้ยินมาบ้าง ส่วนใหญ่ก็มาจากพวกที่ทำชมรมเลิกดึกเนี่ยแหละตัวดีเลย แม่งชอบเล่านัก” นทีตั้งข้อสังเกต “แต่จู่ ๆ เบสก็มาถามมึง ในเวลาเดียวกับที่มันเปลี่ยนไป แล้วกูก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยหรือวะ”
“เบสไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ จู่ ๆ เขาก็สงสัย แล้วยังมีเรื่องที่บ้านเขาอีก”
“เออ กูว่าจะถามมึง แม่ของเบสเขาไปไหนวะ”
“กูก็ไม่รู้ ติดต่อไม่ได้”
“เรื่องใหญ่นะมึง แจ้งความหรือยัง”
ข้าวโพดส่ายหน้า “กูก็อยากทำอย่างนั้น แต่กูเป็นห่วงเบส”
“อะไรวะ” นทีไม่เข้าใจ “เพราะมึงห่วงเบส มึงก็ต้องไปแจ้งความที่แม่เขาหายไม่ใช่หรือวะ”
“กูก็อยากทำอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่ไปติดต่อกับที่บ้านเขา อาการของเบสจะแย่ลง” นทีถึงกับตาโตเมื่อข้าวโพดหลุดเรื่องนี้ออกมา แต่เพื่อการฟังอย่างราบรื่นต้องไม่ทัก ปล่อยให้ข้าวโพดเล่าออกมาเอง
“ตอนแรกเลยที่กูไปรับเขาที่บ้าน กูก็ไม่ได้รู้อะไร รู้แต่ว่าเบสไม่สบาย แล้วเขาก็มาโดยที่ไม่ได้บอกแม่ ยังคิดว่า แม่ลูกทะเลาะกัน พอมาถึงบ้านกู เขาก็ดีขึ้น แต่พอโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านว่าจะไปเอาของที่ลืมไว้ เบสก็เริ่มไม่ค่อยดี แล้วแค่แวะหน้าบ้านเอาของที่แม่บ้านเขาเก็บไว้ให้ เบสก็ไม่สบายมากขึ้น ตอนที่ป่วยครั้งหลังสุด เขามาบอกกับกูทีหลังว่า เขาโทรกลับไปบ้านเพราะจะถามเรื่องแม่ จากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป กูรู้ว่ากูต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วทำอะไรล่ะ กูก็แค่นักศึกษาคนหนึ่ง รู้แต่ว่าเบสต้องอยู่ห่าง ๆ จากบ้านแล้วเขาจะดีขึ้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ทั้งที่เขาอยู่กับกูตลอด เขายังค่อย ๆเปลี่ยนไป กูไม่รู้ว่าความผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน อะไรทำให้เขาเปลี่ยนไป แล้วก็กลัวว่าไอ้ความไม่รู้ห่าเหวอะไรสักอย่างของกูจะทำให้เขาแย่ลงไปกว่าเดิม ที่กลัวที่สุดคือกูกลัวว่าเขาจะหายไปอีกคนเหมือนแม่ของเขา”
นทีลูบหลังเพื่อนให้ใจเย็นลง “เออ กูเข้าใจแล้ว ขอโทษที่กดดันมึงมากไปหน่อย”
“เมื่อคืนนี้ กูถึงกับสะดุ้งตื่นกลางดึก แล้วเดินไปดูเขาที่ห้อง เห็นว่ายังหลับสบายถึงได้กลับมานอนต่อ”
นทีมองหน้าเพื่อน รับรู้ถึงความเครียด และความกังวลที่เก็บไว้ในใจ “ให้กูช่วยอะไรก็บอกนะ ให้กูย้ายไปนอนบ้านมึงอีกคนก็ได้ จะได้ช่วยกันดู”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ลำพังแค่ที่มหาวิทยาลัย กับที่มึงไปเที่ยวด้วยกันก็ดีมากแล้ว ที่จริงกูก็รอพี่บลูเขากลับมา เขาน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องทั้งหมด และช่วยเบสได้ แต่เขาก็เป็นอีกคนที่หายไปเลย”
“อ้าวอะไรกันวะ” นทีผลักกล่องใบสุดท้ายให้ข้าวโพด แล้วหันไปยกกลองคองก้าไปไว้ที่มุมห้องอีกทาง “แต่ให้ยังไง กูก็ยังคิดว่า มึงต้องทำอะไรสักอย่างอยู่ดีแหละ ปล่อยไปเรื่อย ๆ รอไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เล่นหายไปแล้ว 2 คนอย่างนี้”
ข้าวโพดพยักหน้ายอมรับ หยิบแทมโบลีนไปใส่ตะกร้า แล้วมองหามาราคา “แต่ถ้าทำอะไรลงไปแล้ว มันส่งผลเสียกับเบส กูว่ารออีกหน่อยก็ได้”
   
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-11-2020 13:57:44
(ต่อครับ)

อีกฝั่งหนึ่งของประตูห้องกิจกรรม เบสที่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้ผลักประตูห้องเข้าไป เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดอาคารมาทางนี้ ก็เดินไปอีกทางหนึ่ง

“ไปเที่ยวกันไหม อย่างน้อยก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศ” นทีชวน ขณะรื้อตะกร้าใส่แก้วน้ำพลาสติกแล้วหยิบมาราคาขึ้นมา “เหี้ยเอ้ย เอามาราคาใส่ในตระกร้าแก้วน้ำ มิน่ารุ่นพี่ถึงเกี่ยงให้มึงกับกูมาจัดของ”
“เอาแก้วไปล้างแล้วเอามาคว่ำวางไว้บนโต๊ะกลาง ให้พี่เขามาเก็บดีกว่า เกิดพรุ่งนี้เขาเอาไปให้น้อง ๆ ใช้จะพากันไม่สบาย”
นทีมีสีหน้าเบื่อหน่าย “น้องที่มึงพูดถึงน่ะ ปี 1 ไม่ใช่อนุบาล คงไม่ติดโรคมือเท้าปากแล้วละมั๊ง”
“เอาเหอะน่า เราจะได้ล้างมือล้างหน้าไปด้วยเลยไง” ข้าวโพดบอกแล้วเดินไปหยิบตะกร้าแก้วน้ำและมาราคาไปล้าง
   
ข้าวโพดกับนทีรีบลงมาจากอาคารกิจกรรม และเห็นว่าเบสยืนรออยู่หน้าอาคารอย่างที่โทรมาเรียกเมื่อ 1 นาทีก่อนจริง ๆ
“มีอะไรหรือมึง” นทีถาม “มาถึงที่นี่”
เบสทำปากยื่น “อยากกินซาลาเปาป้าแดงข้างตึกกิจกรรม”
“ห๊ะ อะไรนะ” นทีไม่อยากเชื่อ “โทรมาสั่งให้กูซื้อกลับไปฝากก่อนเข้าเรียนก็ได้ไหม”
“ก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นั่งรถรางตามมาดีกว่า อยากรู้ว่าทำอะไรกัน แต่รออยู่ตั้งนานไม่เห็นมีใครเดินขึ้นตึกสักที เลยโทรเรียกให้ลงมาหาดีกว่า”
นทีงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ร้องอ๋อ
เพราะเบสกลัวความสูง เวลาจะเดินขึ้นบันได เขาต้องเดินชิดผนัง แล้วให้เพื่อนหรือต้องมีคนอื่นเดินอยู่ด้านนอก
“อย่ามาฟอร์มอยากกินซาลาเปา มึงจะมาเช็คละสิ ว่าข้าวโพดมาหาใครแถวนี้”
“มีไหม” เบสหันไปหน้าตึงใส่ข้าวโพด
“ไม่มี” ข้าวโพดโบกมือวุ่นวาย “มาถึงก็ช่วยกับไอ้ทีจัดของลงกล่อง รุ่นพี่มาถึงก็สั่งเป็นชุดแล้วเขาก็ออกไปข้างนอก จะกลับมาตอนบ่าย”
เบสพยักหน้า นทีก็เลยแซว “แล้วตกลงซาลาเปาว่าไง”
“ก็...” เบส เคาะปลายเท้ากับพื้นถนน “งานเสร็จหรือยังล่ะ ถ้ายังไม่เสร็จเราขึ้นไปดูข้าวโพดทำงานได้ไหม”
“เหลือเก็บกวาดอีกนิดหน่อย” ข้าวโพดบอก “ขึ้นไปด้วยกันก็ได้”
เบสพยักหน้า เดินนำทั้ง 2 คนไปก่อนแล้วพอนึกขึ้นได้ก็รีบดึงมือข้าวโพดให้รีบเดินตามมา “เร็ว ๆสิเดี๋ยวก็หมดเวลาพัก”
นทีที่เดินตามรั้งท้าย แกล้งร้องว่าอยากกินซาลาเปาป้าแดง ทำให้เบสหันมาทำปากยื่นใส่
ระหว่างที่ข้าวโพดกำลังเช็คของในห้องอีกรอบ นทีก็เก็บกวาดฝุ่นผงในห้อง เบสเดินไปเกาะขอบหน้าต่าง มองออกไปที่ต้นไม้ด้านนอก ไล่ตามแนวต้นไม้ลงมาที่พุ่มไม้ด้านล่าง จากนั้นก็ถอยกลับมา ถึงได้เห็นว่าทั้งข้าวโพดกับนทีกำลังมองอยู่
“มองอะไร”
“ถ้ากลัว ก็อย่าฝืนเลย” ข้าวโพดบอก
“เดินมานั่งข้างในนี่” นทีบอก
เบสเดินมานั่งเก้าอี้ด้านในห้อง “เราอ่านในเว็บ เขาบอกว่ามันเกี่ยวกับความคิดล่วงหน้าของเราเอง”
“ยังไง” นทีถามขณะที่เทฝุ่นผงลงที่ถังขยะท้ายห้อง 
“ถ้าไม่คิดไปล่วงหน้า ไม่ตั้งใจ ก็ไม่เป็นไร”
“ยังไงนะ” นทีถามซ้ำ
“อย่างเมื่อกี้ พอมาถึงแล้วเงยหน้าเห็นระเบียงหน้าห้อง ไม่เห็นว่ามีใครขึ้นมาสักที เราก็เริ่มคิดว่าเราขึ้นมาคนเดียวไม่ได้หรอก ต้องขาสั่น ขึ้นมาไม่ได้ แล้วพอขึ้นมาบนนี้ มองออกไปข้างนอกก็ไม่ได้กลัว แต่พอเดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง กลับเริ่มคิดว่าเราต้องกลัว เราก็กลัวขึ้นมาจริง ๆ” เบสสังเกตท่าทีของทั้ง 2 คน “หรือเราต้องลองใช้วิธีฮาร์ดคอร์ กลัวแต่ก็ต้องฝืนทำให้ได้แบบนั้น กลัวจนเลิกกลัว”
“เบสบอกว่า ถ้าไม่คิดไปล่วงหน้าก็ไม่เป็นไร เลือกวิธีนั้นดีกว่า เวลาที่เริ่มคิดกลัว ก็บอกตัวเองว่า ลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยหยุด” ข้าวโพดแนะนำ หันไปมองรอบห้องว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี “เสร็จแล้ว ไปล้างมือล้างหน้าอีกรอบแล้วค่อยลงไปซื้อซาลาเปาแล้วกลับคณะกัน”
เบสเดินตามข้าวโพดออกไปรอบนอกห้อง ส่วนนทีบ่นว่าเพิ่งล้างมือไปตอนที่ล้างแก้วน้ำ จากนั้นก็เบ้ปาก
“ที่ต้องล้างมืออีกรอบก็เพราะเบสจะกินซาลาเปาละสิ”
“มึงจะไม่ล้างก็ได้ แต่ห้ามแดกซาลาเปา เดี๋ยวเชื้ออีโคไลระบาด”
“สัดเหอะ อีโคไล” นทีเถียงเพื่อนแต่ก็ยอมล้างมือตามที่เพื่อนบอก “เมื่อกี้คุยอะไรค้างอยู่นะ ก่อนที่จะมาถึงอีโคไลเนี่ย อ้อ กูจะบอกว่า เวลาที่มึงรู้สึกว่าไม่ไหวมึงก็โทรเรียกไอ้ข้าวโพดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“เราไม่ได้โทรหาข้าวโพดทุกครั้งสักหน่อย” เบสเถียง
“แล้วเคยถึงกับเป็นลมไหม”
“ไม่เคย” เบสรู้สึกขำในความใส่ใจของนที “พอรู้สึกว่าไม่ค่อยดี จะหยุด ไม่ฝืน เราไม่ชอบถูกล้อเลียน”
“เข้าใจละ” นทีบอก “ถึงได้ไม่มีใครรู้”
“แล้วทำไมทีรู้”
“เพราะกูฉลาด” นทีเคาะที่ขมับตัวเองเบา ๆ “กูรู้จักคนที่กลัวความสูง ถึงจะไม่มากขนาดมึง แต่ก็เขาก็พยายามเลี่ยงคล้ายมึงนี่แหละ”
เบสหันมามองหน้า “แล้วตอนนี้เขายังกลัวอยู่ไหม”
เมื่อลงมาถึงชั้นล้าง ทั้ง 3 คนก็ตรงไปที่ร้านซาลาเปา ขณะที่การสนทนาเรื่องการกลัวความสูงยังไม่จบ
“ไม่รู้สิ ไม่เจอกันนานแล้ว ว่าแต่อาการนี้มันรักษาได้ด้วยหรือ”
“เราอ่านในเว็บ เขาว่าทำได้นะ”
“แล้วลองทำดูหรือยัง”
“ก็พยายายามอยู่ แต่ติดที่เราชอบคิดไปล่วงหน้านี่แหละ”
ข้าวโพดส่งซาลาเปาหมูสับลูกใหญ่ให้นที แล้วเป่าซาลาเปาหมูแดงที่เบสชอบ จากนั้นจึงส่งให้ รอจนเบสกัดคำแรกก็ถาม “อร่อยไหม”
เบสยิ้มแก้มพอง “อร่อย”
ระหว่างที่นั่งรอรถรางกลับไปที่คณะ เบสหันมาถามข้าวโพด “พรุ่งนี้จะมาที่ตึกกิจกรรมอีกหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ วันนี้ที่มาก็เพราะชมรมหนูป่านัดมาติวภาษาอังกฤษ แต่พวกเขามีกิจกรรมเย็นนี้ ก็เลยให้ช่วยเก็บของ”
“แล้วข้าวโพดก็เก็บของให้เขาจริง ๆ น่ะนะ” เบสมีน้ำเสียงห้วนขึ้นทันที แล้วก็เปลี่ยนเป็นทำหน้างอ “ก็เขานิสัยไม่ดี หลอกข้าวโพดมาทำงานนี่นา”
“เขามีกิจกรรม แล้วเราก็มาแล้ว เดี๋ยวเขาก็มาจัดการต่อ ไม่ได้เป็นเรื่องหลอกมาทำงานอะไรหรอก” ข้าวโพดคนดีบอก
“แล้วถ้าเขาโทรมาบอกให้มาช่วยอีกจะมาไหม”
“ดูก่อน” ข้าวโพดแบ่งรับแบ่งสู้
“เราอยากกินหมูกระทะ” เบสบอก “ครั้งก่อนโน้นที่ลองกินเนื้อวัว รู้เลยไม่ใช่ทาง ไม่อร่อยเลย วันนี้ไปกินหมูกระทะกัน”
ข้าวโพดพยักหน้าตามใจ ขณะที่นทีต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงออกว่ากำลังรู้สึกเครียด
เมื่อรถรางใกล้เข้ามา นทีก็เห็นโอกาสดีที่จะได้ลดความเครียดลง “มึง ประธานเอ๋มาแล้วว่ะ”
ประธานเอ๋แห่งชมรมหนูป่าฯ ขนแพ็คน้ำขวดและแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นรถรางมาถึง ข้าวโพดกับนทีคนมีน้ำใจก็รีบเข้าไปช่วยยกของลงมา ส่วนเบสรีบขึ้นรถไปจองที่ แล้วนั่งมองทุกคนช่วยกันขนของลงจากรถไปพลางคุยกันไปพลาง
ข้าวโพดบอกว่า คราวหน้าถ้าจะขนของก็บอกได้ เพราะว่ามีรถ แต่รุ่นพี่บอกว่า ให้ 2 หนุ่มช่วยจัดของในห้องน่ะดีแล้ว
จากนั้นนทีก็รีบรายงาน ว่าจัดการของในห้องตามที่พี่ ๆ สั่งไว้เรียบร้อยแล้ว รวมเวลาทั้งหมดนี้ไม่เกิน 2 นาที 2 หนุ่มก็รีบขึ้นรถรางที่เคลื่อนที่ออกไป พร้อมกับการที่ประธานเอ๋แห่งชมรมหนูป่าตะโกนขอบใจตามหลังมา
“พี่เขากำลังจะมีกิจกรรมกันหรือ” เบสถาม
“พวกชมรมวิชาการน่ะ เขามีติวให้เด็กมัธยมตอนเย็น ประธานเอ๋ก็เลยไปช่วยซื้อของ ไม่รู้ว่าไปซื้อของเยอะขนาดนี้” ข้าวโพดบอก
นทีหันมาบ่น “อะไรของมึงวะ ก่อนนี้กูถาม มึงบอกว่าเขาเรียกมาติวภาษาอังกฤษ พอมาตอนนี้มึงรู้ว่าเขาไปขนของ ทำกิจกรรม แม่งรู้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมบอก”
“มีเด็กปี 1 ที่เขาจะให้กูมาติวจริง ๆ แต่เขาไม่ว่างอย่างที่มึงก็ได้ยินตอนที่มาถึง” ข้าวโพดอธิบาย “แล้วพี่ ๆ เขาก็บอกว่าเขากำลังจะไปเอาของ มึงก็ได้ยินพร้อมกูเหมือนกัน”
“ไม่สิ เรื่องติวเด็กมัธยมนี่ มึงรู้ก่อน”
“มึงก็รู้อยู่แล้ว”
“เออใช่” นทียอมรับ
เบสใช้หลังมือตีแขนข้าวโพดเบา ๆ “แล้วต้องมาติวด้วยหรือเปล่า”
“เปล่า ของชมรมวิชาการเขา” ข้าวโพดบอก
“อ้อ...” เบสลากเสียงยาว “พูดถึงวิชาการ เสาร์อาทิตย์นี้ไปเที่ยวกันไหมอยากไปดูบ้านเก่า ๆ ตึกเก่า ๆ นทีลองหาในเว็บให้หน่อยสิ ไปเที่ยวกัน ใกล้ ๆ”
นทีพยักหน้า ความเครียดในระดับเดิมกลับมาอีกครั้ง
...นี่ไม่ใช่เบส
ยิ่งพยายามปกปิดเท่าไหร่ก็ยิ่งชัดเจนว่าไม่ใช่เบส
แล้วเบสคนเดิมอยู่ที่ไหนกัน...

...จบตอนที่ 15...
 ผมเป็นกลัวผี (จริงๆ ไม่จกตา) แต่กลับชอบฉากในสุสานของเรื่องนี้ ทั้งตอนแรกที่มีโจรขโมยศพ มาจนถึงสุสานที่บลูมาซ่อนตัว
บรรยากาศแบบเงียบ เย็น มีไอหมอก มันต้องสวยแน่ๆ เนอะ
คิดเห็นอย่างไร คุยกัน แนะนำกันได้นะครับ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 24-11-2020 15:35:06
 :impress2:

มาแล้วๆ  เดี๋ยวค่ำๆ กลับมาอ่านฮะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 25-11-2020 11:04:06
พี่ลุคมาไม่เยอะ แต่ยังคงคีพความคูลแอนด์คูลขึ้นเรื่อยๆ



 :mew1:



แอบสงสารที่นักเขียนให้พี่ลุคกับจัสตินวนหาสัญลักษณ์กันทั้งวันทั้งคืน


หาทั่วบ้าน หาทุกห้อง แต่สุดท้ายอยู่บนหลังคาที่เองงงงงง โถววววว :mew4:



สงสัยเหมือนข้าวโพดเลยว่าเบสตอนนี้เป็นเบสที่ถูกครอบงำ หรือว่าเป็นคนอื่นที่มาใช้ร่างเบสกันแน่


น่าหวั่นใจแทนข้าวโพดจัง ดูเหมือนใช่ แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่น้องเบสอ่ะ   :katai1:



ตอนนี้มีซีนแอบหวานของนทีกับนานาด้วย อะไรคือการให้ตะกรุดเป็นของขวัญแทนสร้อยข้อมือ 555 นทีนี่มันนทีจริงๆ


 o18


ตอนนี้ยังดีที่มีนทีคอยรับฟังข้าวโพดนะเนี่ย อ่านมาตั้งแต่ตอนแรกๆ คิดว่าเหล่าผองเพื่อนจะอยู่นอกวงของการรับรู้ซะอีก


หวังว่าเพื่อนๆ จะคอยช่วยข้าวโพดให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้นะ



ตอน 15 นี้ พี่บลูก็ยังไม่ออกมา หนีไปซ่อนตัวที่ไหนนี่   :ling1:



คนอ่านคิดถึงแล้วน๊า  :ling3:




สุดท้าย ขอบคุณพี่ไจฟ์กับน้องน้ำชาสำหรับตอนที่ 15 นี้ด้วยจ้า เลิฟๆ


 :pig4:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-11-2020 21:36:09
นที เซ้นท์แรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 03-12-2020 09:33:07


ชักจะทำให้เป็นห่วงเบสตามนทีซะแล้วซิ  :mew2:


    เพี้ยงงง หวังว่าจะกลับคืนร่างเดิมโดยที่ไม่มีเรื่องไม่ดีกับน้อง


       ลุครีบมาหาน้องแทนบลูได้แล้ววว  :ling3:



(เอาจริงคืออ่านตั้งแต่วันที่อัพ และเม้นจากโทรศัพท์ไว้แต่...... ไม่ขึ้นอีกแล้ว  :katai1:  :katai1:)


ขอบคุณค่ะ ...ตั้งตารอบลูต่อไป  :กอด1:



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 07-12-2020 21:20:54
ขอบคุณค่าาาา   :L1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 08-12-2020 10:24:39
มารอตอนใหม่ฮะ



 :call:



ไม่อยากให้นางแมงมุมสิงร่างน้องเบสนานข้ามปี



 :katai1:



หวังว่าตอนหน้าพี่บลูนกฮูกน้ำเงินของเราจะแวะมาทักทายคนอ่านบ้าง



 :hao5:



คิดถึงแล้ววววววน้าาาาา



 :กอด1:



ฮึบๆ รอๆ


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 18-12-2020 15:54:20


    ก๊อกๆๆๆ เราแวะมารอน้องจ้า  :L2:


หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-12-2020 20:03:41
ตอนที่ 16

เช้ามืดวันเสาร์ก่อนที่จะออกจากบ้าน ข้าวโพดโทรศัพท์ไปหานที บอกว่าจะไปรับที่บ้าน แต่นทีบอกว่าให้รับที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยสะดวกกว่า 
“อ้าวเฮ้ย ยังไงเนี่ย มึงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วหรือไง” ข้าวโพดแปลกใจมาก
“นายหญิงโทรมาปลุกกูน่ะสิ เดี๋ยวไปเล่าต่อในรถละกัน” นทีพูดแล้ววางสาย เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เก็บสายชาร์ตกับแบตสำรองใส่กระเป๋า
เป้าหมายการท่องเที่ยวในวันนี้ คือ ‘เกาะอิน’ ตั้งอยู่ในเขตอ่าวไทย ซึ่งไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับครอบครัว และค่อนไปทางการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ อย่างหมู่บ้านของชาวเรือต่างชาติในยุคสำรวจ และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ ที่ทำให้นทีบอกกับนานาอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่อยากให้ไปด้วย
นานานิ่งเงียบไป
“เราเอารถข้ามฝั่งไปที่เกาะไม่ได้ ต้องเอารถไปฝากไว้ แล้วนั่งเรือข้ามฝั่งไป ค้างคืนนึง แล้วก็จะกลับมา”
“แล้วทำไมถึงต้องไปที่นั่น”
“เบสอยากไป ข้าวโพดก็ตามใจ แล้วเราก็ไม่อยากให้มันไปกันตามลำพัง 2 คน” ไม่ได้หมายความว่าจะไปเป็นอุปสรรคความรักของทั้งคู่หรอกนะ แต่นี่เป็นเรื่องจำเป็น
เป็นความรู้สึกว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น และนานาจะปลอดภัยมากกว่าถ้ารออยู่ที่นี่
“มีเหตุผลอื่นอีกไหม”
“เรา ข้าวโพด เบส ผู้ชาย 3 คนนอนห้องเดียวกันได้ แต่จะให้นานานอนคนเดียวหรือไง”
“นานาชวนเพื่อนของนานาไปด้วยก็ได้”
“แล้วคิดว่าเบสมันจะโอเคไหม”
นานาคิดแค่วินาทีเดียวก็พยักหน้าเห็นด้วยเพราะในช่วงหลายวันมานี้ เบสชักสีหน้าเหม็นเบื่อใส่เพื่อนของนานาโดยเฉพาะปายกับแหม่มอยู่บ่อย ๆ ในตอนแรกแหม่มก็คิดว่าเป็นเพราะเธอชอบข้าวโพดอยู่เหมือนกัน แต่พอหันไปเห็นว่าเพื่อนอีกหลายคนในคณะก็ถูกเบสตีสีหน้าใส่แบบเดียวกัน ก็เลยเลิกคิดเยอะ
“มีเหตุผลอื่นอีกไหม” นานาถามคำถามเดิมอีกครั้ง
นทีส่ายหน้าด๊อกแด๊ก “แค่นี้แหละ จริง ๆ นะ คราวนี้ขอไป 3 คนก่อน นานาไปดูว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน นัดกับปายแล้วก็แหม่มไว้เลยก็ได้”
นานาไม่ได้เชื่อเหตุผลของนทีสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคสุดท้าย มีเรื่องที่ปิดบังไว้อยู่ทุกประโยค แต่คงเพราะไม่อยากให้ไปด้วยจริง ๆ ถึงต้องอ้างเรื่องนั้นเรื่องนี้
นานาอยากรู้ความจริง แต่บางทีพวกผู้ชายก็อยากมีความลับ ถ้าซักถามมากไปอาจทำให้ทะเลาะกันได้ จึงพยักหน้า
“นานาเชื่อที่นทีบอก ยังไงก่อนจะลงเรือข้ามฝั่งไป ถ่ายรูปสวย ๆ แล้วส่งมาให้ดูหน่อยก็ดี เพราะที่เกาะอาจไม่มีสัญญาณเน็ต”
นทีสัญญาว่าจะทำตามที่บอกทุกอย่าง นานาก็ย้ำอีกที
“นที พวกเขาเป็นแฟนกัน ถ้ามีห้องว่างอีกห้อง ก็แยกออกมาเหอะนะ ไปนอน 3 คนแบบนั้นมันเสียมารยาท”
“นานา พูดอะไรเนี่ยแก่แดดนะเรา” นทีทำเข้ม
นานาเล่นตาม “เรื่องแบบนี้เด็กอนุบาลยังรู้ นทีติดเพื่อนมากไปไม่ดีนะรู้ไหม”
“รู้คร้าบบบบ”

จากนั้นเช้ามืดวันเสาร์ นานาก็ยังเป็นคนที่โทรมาปลุก และย้ำกับนทีว่าอย่าลืมของสำคัญ แต่นทีก็ยัง ‘เกือบ’ ลืมของสำคัญอยู่ดี
ออกมารออยู่ที่หน้าปากซอยได้ไม่ถึง 10 นาทีข้าวโพดก็มาถึง
“รอนานไหม” เบสหันมาถามนทีที่เบาะหลัง
“ไม่หรอก นี่กำลังคิดว่าจะเดินไปซื้อชานมที่เซเว่น มึง 2 คนก็มาพอดี”
“งั้นแวะเซเว่นถัดไปไหม” ข้าวโพดถามเพื่อน แล้วหันไปถามเบส “เบสจะเอาขนมหรือเปล่า”
“เอา แต่ซื้อที่ซูเปอร์ในปั๊มที่ข้าวโพดแวะเติมน้ำมันดีกว่าจะได้ไม่ต้องแวะหลายที่”
คำตอบของเบสคือคำตอบสุดท้าย
“โอเคครับ แวะปั๊มเติมน้ำมัน แล้วค่อยซื้อชานม” นทีสรุป
ข้าวโพดแวะเติมน้ำมันก่อนเข้าสู่ถนนเลี่ยงเมือง จากนั้นก็มุ่งตรงไปถึงจังหวัดชายทะเลในตอนที่สาย แวะพักกินอาหารจากนั้นก็ตรงไปที่ท่าเรือ เพื่อยืนยันที่นั่งเรือที่จะไปถึงเกาะอินซึ่งมีกำหนดออกเรือในเวลา 11.00 น. เสร็จแล้วถึงได้เอารถไปฝากไว้กับบ้านที่เขารับฝากรถ จากนั้นก็ช่วยกันขนของกลับมานั่งรอเรืออยู่ที่ท่าเรือ
นทีใช้เวลาว่างด้วยการสอบถามว่าในบรรดานักท่องเที่ยวที่มีจำนวนเกิน 100 คนในเวลานี้ว่าไปเที่ยวที่ไหนกัน
คำตอบคือทั้งหมดจะไปเที่ยวที่ ‘เกาะงาม’ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ส่วนคนที่จะไป ‘เกาะอิน’ นอกจากนที ข้าวโพดและเบสแล้ว ก็มีอีก 2 คน คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เอายาไปส่งให้กับผู้ใหญ่บ้านที่อยู่บนเกาะ อีกคนคือคนขนส่งของ
หมายความว่าทั้ง 2 คนแค่เอาของไปส่งให้กับคนบนเกาะ แล้วก็จะกลับมาพร้อมกับเรือเลย
ทำไมถึงมีคนไปเกาะอินน้อยนัก
“ส่วนใหญ่เขาจะพักที่เกาะงาม แล้วนั่งเรือเล็กไปเที่ยวเกาะอิน ไม่ได้ค้าง เพราะที่เกาะนั้นไม่มีที่พักสวย ๆ” คนงานที่ท่าเรือบอก
“ที่จริงเกาะนั้นสวยมากนะ” คนส่งของบอก “น้ำทะเลก็สวย เล่นน้ำก็ได้ แต่นักท่องเที่ยวก็มักจะกลับมาเล่นน้ำที่เกาะงามกัน”
“ผมอ่านในเว็บ เขาแนะนำว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และโฮมสเตย์ของชาวเกาะพื้นบ้าน” ข้าวโพดบอก
“ในเว็บเขียนแบบนั้นหรือ ก็ใช่นะ ถ้าชอบท่องเที่ยวแบบพื้นบ้านจริง ๆ ก็แนะนำที่นี่แหละ” คนงานที่ท่าเรือบอก 
“เป็นนักศึกษาหรือ” เจ้าหน้าที่สาธารณสุขถามบ้าง
“ครับ” ข้าวโพดบอก
เมื่อลงเรือไปด้วยกัน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจึงเล่าว่า ที่เกาะอินมีชายหาดที่สวยงาม และมีสถานที่สำคัญให้ท่องเที่ยว ขณะที่มีชาวบ้านอยู่ประมาณ 100 คน ซึ่งใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม พร้อมไปกับการพยายามอนุรักษ์สถานที่สำคัญนั้นไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีค่าใช้จ่าย เมื่อทางจังหวัดมาแนะนำเรื่องการเปิดสถานที่สำคัญให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีเจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวและกรมศิลป์ เข้ามาให้คำแนะนำ พวกเขาจึงตอบรับแบบไม่ค่อยเต็มใจ และทำให้ทั้งเกาะจึงมีบังกะโลที่พักเพียงแห่งเดียวที่เป็นของผู้ใหญ่บ้าน    
ข้าวโพดเล่าว่า ที่เลือกมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะว่าดูจากเว็บไซต์ ที่โฆษณาว่ามีความเงียบสงบ และอยากเห็นหมู่บ้านโบราณที่อยู่บนเกาะด้วย จึงจองที่พักล่วงหน้ากับโอนเงินค่าที่พักบางส่วนมาแล้ว
“คนที่จัดการเรื่องนี้น่าจะเป็นญาติของผู้ใหญ่ที่เขาอยู่เกาะงาม ทำร้านอาหารแล้วก็รีสอร์ทอยู่ที่นั่น” คนส่งของบอก “นักท่องเที่ยวหลายคนที่จองที่พักไว้ที่เกาะอิน แต่ย้ายไปนอนที่เกาะงามก็เยอะ เพราะว่าที่นี่กลางคืนเงียบเกิน”
“ก็เขาอยู่กันแบบนั้น” สาธารณสุขบอก
เรือแวะส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ลงที่เกาะงาม จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เกาะอิน
นทีก้มลงมองโทรศัพท์ ที่ไม่มีสัญญาณเมื่อเรือออกจากฝั่ง จากนั้นก็กลับมามีสัญญาณเมื่อเรือเทียบท่าเกาะงาม จึงได้รีบส่งภาพและข้อความไปหานานารอบหนึ่ง แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เพราะหลังจากที่ออกจากท่าเรือเกาะงามได้ไม่ถึง 5 นาที การสื่อสารก็ถูกตัดขาด
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมองเหมือนรู้ใจ “ที่เกาะงามมี 4จีให้ใช้ แต่ที่เกาะอินไม่มี เวลาเขาจะติดต่อกันระหว่างเกาะกับฝั่ง ส่วนใหญ่จะใช้คลื่นวิทยุแบบเก่า แบบที่ชาวเรือเขาใช้กัน”
“เขามีโทรทัศน์ไหมครับ” นทีชักเป็นกังวล
“มีสิ แต่คงเพราะคนน้อย เห็น ๆ กันอยู่ว่าใครเป็นยังไง เขาก็เลยไม่คิดว่าจำเป็นต้องติดตั้งเครือข่ายการสื่อสาร อะไรที่ไม่จำเป็น”
นทียกโทรศัพท์ขึ้นมองอีกครั้งแล้วตัดสินใจเก็บใส่กระเป๋า หยิบกล้องถ่ายภาพขึ้นมาถ่ายรูปทะเล ขณะที่ฟังข้าวโพดคุยกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและคนส่งของต่อไป
ส่วนอีกคนไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ลงเรือ
นทีหันไปมองใบหน้าซีกหนึ่งของคนที่มองออกไปด้านนอก ดวงตาภายใต้แว่นดำที่มองออกไปในทะเลเป็นแบบไหนกัน
ชายหนุ่มบันทึกภาพนั้นไว้ แล้วเลื่อนมาบันทึกภาพของข้าวโพด
เบสหันมามอง แล้วหันกลับไปทางเดิม

ท่าเรือของเกาะอินอยู่ปากทางของอ่าวแคบประมาณถนน 6 เลน เมื่อมองลึกเข้าไปด้านในจะมีทั้งเรือประมงขนาดเล็กของชาวบ้านผูกอยู่ที่ท่าเรือซึ่งไม่แข็งแรง กับยังมีซากความเสียหายของบ้าน และท่าเรือ ให้มองเห็นอยู่ทั่วไป
“ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนมีพายุเข้า ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้” คนส่งของบอก
สภาพของเกาะหลังจากที่ต้องเผชิญกับพายุ ยิ่งทำให้ไม่น่าท่องเที่ยวมากกว่าเดิม
ที่ท่าเรือของเกาะอินมีผู้ใหญ่โอมกับอรรถซึ่งเป็นลูกชายมารอรับทั้งนักท่องเที่ยวทั้ง 3 คน ขณะที่มีคนเฒ่าคนแก่อีกหลายคนมาอยู่ที่ศาลาใกล้กับท่าเรือ เพื่อรอพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หลังการทำความเคารพ ผู้ใหญ่ก็บอกให้ลูกชายพาทั้ง 3 คนไปที่บังกะโลที่พัก เพราะตัวผู้ใหญ่บ้าน กับชายอีกคนอายุรุ่นเดียวกับอรรถต้องอยู่ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
แต่อรรถกับคนส่งของต้องเอาของกลับไปเก็บไว้ที่ร้านก่อน จึงขอให้ทั้ง 3 คนตามไปที่ร้านค้า จากนั้นจะพาไปที่บังกะโล
ดีที่ร้านนี้อยู่ถัดเข้ามาจากท่าเทียบเรือไม่กี่ก้าว แต่สามารถยึดเป็นหลักได้ว่าตรงจุดนี้คือปากทางของหมู่บ้าน ทั้งเกาะนี้มีร้านโชห่วยอยู่ร้านเดียว ซึ่งยังเป็นทั้งร้านขายยา ร้านกาแฟ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงที่ทำงานของผู้ใหญ่โอม
อรรถจ่ายเงินค่าของ จากนั้นคนส่งของก็กลับไปที่ท่าเรือ รอสาธารณสุขจ่ายยาตามอาการให้กับคนเฒ่าคนแก่ แล้วนั่งเรือกลับไปรับคนที่เกาะงามกลับเข้าฝั่งพร้อมกัน 
ชายหนุ่มผิวคล้ำแดดยังไม่จัดของที่ร้าน ก็หันมาพาทั้ง 3 คนไปที่บ้านบังกะโลที่พัก
“ไม่ต้องเฝ้าร้านหรือพี่” นทีถามด้วยความเป็นห่วง แต่อรรถบอกว่าไม่เป็นไร
“มีแต่คนกันเอง ไม่ต้องเฝ้าหรอก”
 ชายหนุ่มพาเดินไปในทิศทางตรงจข้ามกับหมู่บ้านชาวประมง ทั้งต้องเดินผ่านแปลงผัก และสวนเล็ก ๆ จากนั้นจึงเป็นบ้านหลังเล็ก ด้านหน้ามีโต๊ะอาหาร 2 โต๊ะกับครัวเล็กๆ ที่บ่งชี้ว่าเป็นร้านอาหาร อรรถแนะนำสตรีสูงวัยที่รออยู่ที่ร้านอาหาแนะนำว่านี่คือแม่ติ๊ก ที่จะมาช่วยดูแลนักท่องเที่ยว จากนั้นอรรถก็พาทั้ง 3 คนไปที่บังกะโลที่อยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 10 เมตร
มีบ้านบังกะโลอยู่ 5 หลัง แต่ละหลังห่างกันประมาณ 3 เมตร ทั้งหมดหันหน้าไปทางทะเล อรรถหันมาบอกกับข้าวโพด “ที่จองไว้คือหลังริมนอกสุด” ชายหนุ่มชี้ไปที่หลังขวาสุด “อยากเปลี่ยนไหม”
“ไม่ละ หลังนี้ก็ดีแล้ว” นทีตอบแล้วถามต่อ “เล่นน้ำหน้าบ้านได้ไหมพี่”
อรรถพยักหน้าขณะที่เดินไปไขกุญแจเปิดบ้านให้ “ตรงนี้เล่นน้ำได้”
บ้านบังกะโล ระเบียงกว้างแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ
“ที่จริงเราติดโซลาร์ที่หลังคา แล้วก็มีลานแผงโซลาร์ด้วย แต่เมื่อวันพุธมีพายุเข้า แผงเสียไปทั้งแถบ แจ้งช่างไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มา”
สภาพของท่าเรือ บ้านเรือน รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่เห็นตอนที่มาถึงบ่งบอกได้ชัดเจน ว่าพายุนี้หนักขนาดไหน
“แล้วช่วงนี้ต้องใช้ไฟจากตะเกียงหรือพี่” นทีถาม
“ช่วงนี้เรากลับมาใช้ไฟจากเครื่องปั่นไฟ แต่บรรดาพ่อแก่เขาก็ไม่ชอบ บ่นว่าเสียงดัง พ่อก็เลยจะปั่นไฟตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปถึง 3 ทุ่มเท่านั้น ถ้าจะชาร์ตโทรศัพท์ หรือใช้คอมพ์ก็ต้องช่วงนั้นแหละ หลังจากนั้นก็จะดับเครื่อง ถ้าจะอ่านหนังสือก็ต้องใช้ไฟตะเกียง” อรรถดูเกรงใจ “ถ้าไม่ไหวก็บอกได้นะ จะขับเรือไปส่งที่เกาะงาม มีรีสอร์ทของอาอยู่ที่นั่น”
“ไม่เป็นไร” เบสพูดขึ้นเป็นคำแรก “เราอยากไปเดินเที่ยวแล้ว เพราะว่าค้างที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”
อรรถพยักหน้า “จะพาไปนะ แล้วนี่เที่ยงแล้ว กินอะไรมาหรือยัง กินข้าวก่อนแล้วค่อยเดินไปดูก็ยังทัน”
นทีรีบบอก “ขอเป็นข้าวผัดหมู 3 จานกับต้มยำกุ้งละกัน”
“เอาแกงจืด ไม่กินเผ็ด” เบสบอก
“ตามนั้นเลยพี่” นทีบอกแล้วนึกขึ้นได้ “ไม่มีไฟ แล้วจะใช้ตู้เย็นเก็บกุ้งยังไง”
“ใช้โอ่งซ้อนกัน” อรรถอธิบายด้วยภาษามือวุ่นวายเพราะไม่รู้ว่าจะเรียกภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ว่าอะไรดี
“อ๋อ นึกออกละ เคยเห็นในสารคดี” ข้าวโพดบอก “เที่ยวอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้ความรู้กลับไปด้วย”
“แล้วเรากินข้าวที่ระเบียงนี้ หรือต้องไปกินที่ร้าน” นทีถาม
“กินที่นี่ก็ได้ อาบน้ำพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวยกมาให้”
ทั้ง 3 คนอาบน้ำยังไม่ทันจะเสร็จ อรรถก็ยกอาหาร และน้ำดื่มมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กตรงระเบียง
ข้าวโพดกับเบสที่อาบน้ำเสร็จก่อน เดินออกมานั่งรอนที
“แล้วมื้อเย็นอยากกินอะไร พวกทะเลเผาก็มีนะ” อรรถบอก “จะไปเอาที่เรือปลามารอไว้”
เบสยิ้ม “งั้นขอปลา กุ้ง ปลาหมึก แล้วก็ปูละกัน”
ข้าวโพดพยายามมองหากระดาษที่เป็นรายการอาหาร “ไม่มีเมนูหรือครับ”
“อ๋อ ไม่มีหรอก จะดูราคาอาหารหรือ”
ข้าวโพดพยักหน้า แม้จะรู้ดีว่ามาถึงขั้นนี้คงเลือกมากไม่ได้ก็ตาม
“ผมไม่ได้กดเงินสดมามาก เพราะคิดว่าจะจ่ายแบบโอนเงินสด หรือใช้บัตรได้”
อรรถโบกมือ “ไม่ต้องคิดมาก พ่อให้รวมไปในค่าที่พักแล้ว” ทั้ง 2 คนแปลกใจมาก “บ้านเราไม่ได้สะดวกอย่างเกาะอื่นเขา มาพักก็ดีใจแล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะมาเก็บจานแล้วจะพาไปเดินเที่ยว”
ข้าวโพดขยับจะพูดบางอย่างแต่เบสขัดไว้ บอกว่าหิวแล้ว ข้าวโพดจึงให้เบสกินก่อนได้เลย อรรถจึงขอตัวกลับไปที่ร้าน
เบสกินข้าวผัดในแบบที่ไม่ได้บ่งบอกว่าหิวเลยสักนิด
ส่วนนทีที่เพิ่งออกมา หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากข้าวโพดก็แสดงความเห็น “ยังไงเราก็ต้องไปเช็คเอ้าท์ที่ร้าน แวะไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านแล้วให้เงินกับแม่ของเขาก็ได้ หรือไม่ก็ไปเดินเล่นตรงเรือปลาที่พี่เขาบอก แล้วค่อยอุดหนุนซื้อของของเขาก็ได้”
“ที่ร้านเขาน่าจะไปซื้อจากเรือปลามาทำให้เรานะ” ข้าวโพดบอก “หรือไม่แน่ เรือปลาก็อาจเป็นของผู้ใหญ่บ้านเองเหมือนกัน”
“เป็นไปได้” นทีใช้ช้อนชี้หน้าเพื่อนแล้วตักข้าวผัดคำใหญ่เข้าปาก
เบสกินอิ่มแล้ว ก็ขยับออกมานั่งพิงราวระเบียงมองทะเล ขณะที่ฟังทั้ง 2 คนคุยกัน
อีก 1 ชั่วโมงถัดมา อรรถก็มาพร้อมกับปัดซึ่งเป็นน้องสาว ทั้งคู่ช่วยกันเก็บจานชามใส่ถังแล้วให้ปัดถือกลับไป ส่วนอรรถพาทั้ง 3 คนเดินกลับไปที่หมู่บ้านชาวประมง ระหว่างทางอรรถเตือนเรื่องการถ่ายรูปชาวบ้าน ซึ่งเหมือนกับที่เคยได้ยินคำเตือนมาก่อนหน้านี้
“ก็ไม่ได้ถึงกับห้ามถ่ายรูปนะ แต่ในเมื่อคุณใช้กล้องถ่ายรูป คุณก็อยู่ห่าง ๆ แล้วซูมเข้าไปหาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเอากล้องไปจ่อติดหน้าเขาเพื่อถ่ายรูป”
“ไม่ได้เป็นเพราะไม่ชอบนักท่องเที่ยวใช่ไหมครับ” ข้าวโพดถามย้ำ
“เขาก็ไม่ชอบที่ถูกถ่ายภาพแบบนั้น แล้วนักท่องเที่ยวบางคนก็เดินเข้าไปถึงในบ้าน ไปหยิบจับข้าวของของเขา”
“แบบนั้นมันก็เกินไป” ข้าวโพดบอก
“ก็เลยมาคุยกันว่า เวลามีนักท่องเที่ยวมาต้องให้มีคนนำทาง จะได้คอยบอก”
เมื่อเดินกลับมาผ่านร้านค้าของผู้ใหญ่บ้าน เข้าสู่เขตหมู่บ้านชาวประมง กล้ามเนื้อบริเวณที่หมุดตรึงอยู่เหนือหัวใจกดลงเบา ๆ แต่เพราะเป็นอาการที่เกิดขึ้นในทันที ทำให้ข้าวโพดหยุดชะงัก ยกมือขึ้นมาสัมผัสบริเวณที่หมุดตรึงอยู่
เบสหันมามองข้าวโพดแล้วหันไปมองรอบตัว จากนั้นก็หันมาหาข้าวโพดอีกครั้ง
“เป็นอะไร” อรรถถาม “ไม่สบายหรือเปล่า นั่งพักก่อนไหม”
“ไม่เป็นไร” ข้าวโพดตอบ แล้วบอกให้อรรถเดินนำต่อไป
นทีถามย้ำ เมื่อข้าวโพดตอบแบบเดิมก็หันไปถามอรรถว่าสามารถถ่ายภาพจากตรงที่ยืนอยู่นี้ได้หรือไม่
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น” อรรถหันไปบอก แล้วช่วยแนะนำเรื่องการถ่ายภาพ พร้อมไปกับการอธิบายเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-12-2020 20:11:18
(ต่อครับ)

แต่อาการที่เกิดขึ้นกับข้าวโพดยังไม่หายไป กล้ามเนื้อที่เปลี่ยนเป็นการกระตุกเบา ๆ ตามการเต้นของหัวใจ ทำให้คาดเดาได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือน เพราะไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวด และทำให้รู้สึกกังวลใจจนต้องจับข้อมือของเบสไว้ ให้เดินอยู่ข้างกัน
“ถ้าเหนื่อยหรือเพลียขึ้นมาอีกก็บอกนะ”
เบสส่ายหน้า บางอย่างในดวงตาบ่งบอกว่า ข้าวโพดควรใส่ใจตนเองมากกว่า
เมื่อต้องเดินต่อไป ข้าวโพดก็กันให้เบสเดินอยู่ฝั่งที่อยู่ติดกับทะเล ส่วนตัวเองเดินทางฝั่งที่เป็นบ้านเรือนของชาวประมง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความระวังภัย ทั้งดึงมือให้เบสยืนอยู่ห่างจากชาวบ้านที่กำลังซ่อมแซมความเสียหายด้วย
การเดินเที่ยวใช้เวลานานอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะนอกจากอรรถจะต้องคอยตอบคำถามของนทีแล้ว ยังต้องคอยตอบคำถามชาวบ้านเรื่องอุปกรณ์ก่อสร้างที่จะนำมาใช้ในการซ่อมแซมบ้าน เพราะของที่เรือข้ามฟากขนส่งมาให้เป็นพวกสินค้าจำเป็นทั่วไป ส่วนเรือที่จะส่งวัสดุก่อสร้างจะเข้ามาในช่วงบ่าย
พายุผ่านไปหลายวันแล้ว มีเรือหลายลำเข้ามาเทียบท่า แต่วัสดุที่จะใช้ซ่อมแซมยังไม่มาสักที ทั้งบ้านและเรือต่างก็รอการซ่อมแซมทั้งนั้น ก็สมควรที่จะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นทั่วไป
หลายครั้งที่เบสยืนอยู่ด้านหลังของข้าวโพด มองเห็นลำคอ และไหล่แข็งแรงอยู่ข้างหน้าแล้วต้องหันไปมองทางอื่น
ถัดจากบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ผืนทะเล อรรถพาเดินต่อไปที่ส่วนของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเกาะ ขณะที่อธิบายว่า บ้านเรือนบนฝั่งได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากพวกกิ่งไม้ และต้นไม้ใหญ่ที่ล้มลงมาเกี่ยวหลังคาบ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เสียหายอะไร
จู่ ๆ อาการเตือนที่เหนือหัวใจก็กลายเป็นเจ็บจี๊ดขึ้นมา แต่เพราะข้าวโพดเฝ้าระวังอยู่แล้วจึงได้แต่นิ่วหน้าขณะที่กวาดตามองไปรอบ ๆ เมื่อเดินต่อไป อาการนั้นก็บรรเทาลง แล้วจู่ ๆ ก็กลับรุนแรงขึ้นมาใหม่อีกรอบ
จากหางตาเห็นคนในชุดสีเข้มเดินลับหายไปทางด้านหลังของบ้านหลังหนึ่ง ข้าวโพดก้าวมายืนขวางเบสไว้ในทันที
นทีกับอรรถที่กำลังคุยกับเกี่ยวกับเรื่องถ่ายภาพหันมาถาม “มีอะไร”
ข้าวโพดส่ายหน้า แต่ทั้ง 2 คนต่างก็รู้ว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้น อรรถจึงชวนพาไปดูหมู่บ้านโบราณของชาวไอริชที่ตั้งอยู่ตอนในของเกาะ
พื้นที่ด้านหลังของหมู่บ้านคือแปลงของแผงโซลาร์เซลหลักของหมู่บ้านที่เสียหายอย่างหนัก จากนั้นก็เป็นทางเดินเข้าไปยังพื้นที่ตอนในของกาะ พื้นที่ 2 ข้างทางเป็นสวนผักผลไม้ของชาวบ้านที่ช่วยกันปลูกไว้ กับธารน้ำจืดที่มาจากอ่างเก็บน้ำซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงตอนในของเกาะ แต่ทั้งในหมู่บ้านมาจนถึงสวน ก็ยังพบถังเก็บน้ำเป็นระยะอยู่ทั่วไป
“เคยมีนักท่องเที่ยวมาแล้วทักว่าถังน้ำจืดพวกนี้ไม่สวยเลย คุณคิดว่าไง”
ข้าวโพดแนะนำ “ทำกราฟฟิตี้ดูสิ”
“ต้องขออนุญาตพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านอีกก่อนหรือเปล่า” นทีถาม อรรถก็พยักหน้าทันที
“ว่ากันว่าเมื่อก่อนเกาะนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ แต่เพราะน้ำทะเลกัดเซาะก็เลยทำให้เกาะเล็กลง” อรรถอธิบาย “พายุเมื่อหลายวันก่อนทำที่เก็บน้ำจืดเสียหายไปหลายถัง แต่ยังดีที่เกาะไม่ได้มีคนอยู่มาก แล้วก็มีฝนตกอยู่เรื่อย ๆ แบบชายทะเลน่ะ ก็เลยพออยู่กันได้”
อรรถเล่าประวัติของเกาะแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมองเห็นปลายแหลมของหลังคาอาคารที่โผล่พ้นยอดไม้
“หมู่บ้านไอริชครับ”
ข้าวโพดเห็นยอดแหลมของหลังคาพร้อมกันกับทุกคน แต่ทันทีที่อรรถพูดขึ้น อาการเจ็บแปลบในบริเวณที่หมุดตรึงอยู่ก็เกิดขึ้น
เบสหันมามองหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แต่พลิกมือมาจับข้อมือหนาของข้าวโพดไว้แน่น
“ไหวไหม อยากกลับไปที่พักก่อนไหม”
“ไม่เป็นไร เบสอยากมาดูหมู่บ้านไอริชไม่ใช่หรือ เที่ยวก่อนก็ได้”
ปลายทางด้านหน้ามีประตูไม้โปร่งความสูงแค่เอว กับรั้วไม้ที่ยอดยาวออกไปทั้ง 2 ด้าน ทางฝั่งขวามือมีป้ายข้อความเขียนไว้ว่าหมู่บ้านไอริช 
อรรถเปิดประตู แล้วเดินนำเข้าไปที่หมู่บ้านขณะที่เล่าเรื่องราวต่อไป
เมื่อนานกว่าร้อยปีที่แล้วมีชาวยุโรปเดินเรือเพื่อมาค้าขาย ส่วนหนึ่งแวะพักเรือที่เกาะนี้ แล้วเข้าไปยึดครองที่ดินตรงส่วนกลางของเกาะ มีการปลูกสร้างบ้านเรือน รวมถึงโบสถ์อยู่ที่นี่
ระบบประปา และการทำประมงที่ชาวบ้านใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ได้เป็นการเรียนรู้จากท้องถิ่น แต่คือความรู้ที่สืบทอดมาจากชาวต่างชาติกลุ่มนี้
“เราเรียกพวกเขาว่าไอริช แต่นักประวัติศาสตร์ที่มาสำรวจบอกว่าพวกเขามีหลายสัญชาติ” อรรถไปที่โบสถ์ และห่างไปทางด้านหลังคือสุสานที่มีหินสลัก ที่มีสภาพไม่สมบูรณ์
ขณะที่ไม่มีบ้านเรือนของชาวต่างชาติหลงเหลืออยู่ แต่โบสถ์หลังนี้ยังอยู่ที่นี่เพื่อทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ใต้กรอบหน้าต่างทางฝั่งขวามือของโบสถ์ คือภาพวาดสีปูนที่บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่พวกเขามาถึง จนถึงวันที่พวกเขาเริ่มล้มป่วย และจากไป
“มีนักวิชาการมาดูภาพเหล่านี้ แล้วบอกว่าเป็นภาพดั้งเดิมที่พวกเขาเขียนไว้”
หลังจากที่ชาวต่างชาติเหล่านี้มาพักอยู่ได้ประมาณ 50 ปีก็เริ่มล้มป่วยและเสียชีวิตไปด้วยโรคไข้ป่า
อรรถพากลับออกมาที่สุสานทางด้านหลังของโบสถ์
ข้าวโพดเจ็บบริเวณที่หมุดกดตรึงอยู่ เป็นความเจ็บรุนแรงเหมือนจะบอกว่านี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย
“ที มึงจะไปถ่ายรูปใช่ไหม กูจะออกไปคอยตรงหน้าโบสถ์นะ” ข้าวโพดบอกกับเพื่อน แล้วหันมาหาเบส “ออกไปนั่งเล่นข้างหน้าด้วยกันไหม”
เบสกลับบอกว่าอยากเดินดูรอบ ๆนี้ก่อน ทำให้ข้าวโพดไม่มีทางเลือกนอกจากการเดินออกมาให้พ้นจากรั้วกั้นพื้นที่ สุสานแล้วเดินตามเบสอยู่ห่าง ๆ
เตือนอะไรก็ไม่รู้ กำลังเจอกับอะไรอยู่ก็ไม่รู้...ข้าวโพดได้แต่เหลียวมองไปรอบ ๆ
พ้นจากเขตสุสาน ต้องเดินผ่านเศษอิฐ เศษปูนของสิ่งปลูกสร้างที่ยังหลงเหลืออยู่ อรรถบอกว่าคาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกร้านค้า หรือตลาดเก่า และยังมีถังเก็บน้ำที่เป็นต้นแบบของถังเก็บน้ำที่ชาวบ้านใช้อยู่ในปัจจุบันแต่ในเวลานี้เหลือเพียงส่วนฐาน
อีก 1 ชั่วโมงถัดมา อรรถก็พาทั้ง 3 คนออกมาจากหมู่บ้านไอริช และกลับมาถึงที่พักในช่วงเย็น ทั้ง 3 คนสั่งอาหารค่ำ ส่วนอรรถก็ย้ำเรื่องช่วงเวลาที่จะมีไฟฟ้าใช้อีกครั้งแล้วกลับไป
เบสบอกขณะที่มองทะเลข้างหน้า “เล่นน้ำกัน”
การเล่นน้ำทะเลให้บรรยากาศที่ไม่แตกต่างจากการเดินเที่ยวบนเกาะ จนนทีรู้สึกว่าการไม่พานานากับเพื่อนคนอื่นมาด้วยเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว
ทั้งที่เบสคือคนต้นคิดที่จะมาที่นี่ แต่กลับเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ส่วนข้าวโพดก็มีอาการเหมือนคนขวัญผวา มักจ้องมองไปทางหลังบ้าน หรือในสวนจากนั้นก็ส่ายหน้า
จนถึงเวลาที่ผู้ใหญ่บ้านจะปิดเครื่องปั่นไฟ ทั้ง 3 คนยังใช้ไฟฟ้าจากแบตสำรองเพื่อดูภาพยนตร์ที่ดาวโหลดไว้จนจบนทีก็แยกไปเข้าห้องนอน จากนั้นเบสกับข้าวโพดก็ปิดไฟแล้วเข้านอนบ้าง
เบสหันมามองหน้าข้าวโพดที่ลงนอนข้าง ๆ จากนั้นก็หันหลังให้
การมาเที่ยวทะเลแล้วได้นอนก่อนเที่ยงคืน ทั้งไม่ได้แตะเหล้าเบียร์สักหยด ไม่ได้เล่นกีตาร์ร้องเพลง ทั้งหมดนี้ว่าแปลกแล้ว ความเงียบรอบตัวยังแปลก เพราะข้าวโพดไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่น นอกไปจากเสียงคลื่น
จริงอยู่ที่บังกะโลหลังนี้อยู่ห่างออกมาจากหมู่บ้าน แต่ความเงียบแบบนี้มันผิดปกติ
ข้าวโพดชะโงกมองเบสเห็นว่าหลับอยู่ก็ลุกขึ้นมา หยิบไฟฉายอันใหญ่ ใส่รองเท้าแล้วเดินออกมาจากที่พัก
จากหน้าบ้านหากเดินไปทางขวามือ คือบ้านของแม่ติ๊กและปัด น้องสาวของอรรถ ส่วนทางซ้ายมือคือป่า
ข้าวโพดกำลังคาดหวังว่าจะได้พบกับคนชุดดำที่พบในหมู่บ้านวันนี้ แต่เพราะไม่มีอาการเจ็บแปลบในบริเวณที่หมุดตรึงอยู่หัวใจ ทำให้พอจะรู้ตัวว่าคงไม่มีใคร หรืออะไรที่เป็นอันตราย ถึงอย่างนั้นข้าวโพดก็ยังถือไฟฉายเดินดูรอบบังกะโล
ในตอนที่กำลังเดินไปทางบังกะโลหลังที่อยู่ติดกัน ข้าวโพดมองเห็นแสงสีขาวเคลื่อนที่ผ่านไป แต่เมื่อวิ่งตามไปยังไม่ถึง 5 ก้าว เบสก็เรียกไว้
“ข้าวโพด อย่าตามไป!”
ข้าวโพดหันมามองเบสด้วยความตกใจ แล้วหันกลับไปทางด้านแสงสีขาวที่หายไป เบสเดินเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ
“รู้หรือเปล่าว่านั่นคืออะไร”
ข้าวโพดส่ายหน้า หมุดเหนือหัวใจส่งสัญญาณในแบบที่เป็นความปวดและตึง คงที่อยู่อย่างนั้น
ในรอบวันนี้ข้าวโพดได้เรียนรู้ว่าหมุดเงินที่ลุคให้ไว้นั้นทำหน้าที่อะไร และในบรรดาสัญญาณเตือนหลากหลายรูปแบบที่ส่งมานั้น ข้าวโพดไม่รู้หรอกว่าหมายถึงอะไร จึงเลือกที่จะระวังไว้ก่อน ไม่ว่ากำลังจะทำอะไรต้องหยุด และออกมาห่างจากที่ตรงนั้น
แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ปวดแบบนี้ และเป็นครั้งแรกที่ข้าวโพดแน่ใจว่า หมุดกำลังบอกอะไร โดยเฉพาะการที่เบสมายืนอยู่ข้างหน้า
ดวงตาคู่สวยสะท้อนแสงจันทร์วาววับ
“ไม่รู้แล้วก็ยังจะตามไปอีก มันอันตรายนะ”
“เหรอ...” ข้าวโพดมีคำตอบที่ดีกว่าคำตอบโง่ ๆ แบบนี้ แต่หมุดเงินกำลังทำหน้าที่ควบคุมคำพูดของเขา และข้าวโพดก็วางใจให้หมุดเงินทำหน้าที่นั้น
“ข้าวโพดได้เห็นหรือเปล่าว่ามันเป็นตัวอะไร”
ข้าวโพดส่ายหน้า
เบสเหลียวมองไปรอบ ๆ “อย่างนั้นเขาบอกอะไรข้าวโพดบ้าง”
“ใคร บอกอะไร”
เบสชักสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่กอดอก ซึ่งเป็นท่าทีที่กดดันคู่สนทนาเป็นอย่างมาก
“คนที่ชื่อลุคคนนั้นไง เขาบอกอะไร”
“ไม่นี่”
เบสเอียงคอมอง เหมือนกำลังหยั่งความคิด
“เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจ ว่ามีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นหลายอย่าง เขาเป็นสาเหตุของเรื่องพวกนั้น แล้วมันก็ส่งผลต่อพวกเรา”
“แล้วแสงสีขาวนั่นเกี่ยวอะไรกับเขา”
“มันต้องเกี่ยวกับเขาสิ แล้วนั่นก็อาจจะเป็นพี่บลูก็ได้ เขาเป็นนกฮูกสีขาวนะ”
ข้าวโพดแปลกใจในความจริงเรื่องนี้ แต่ปากถามไปอีกอย่าง
“เบสอยากพบพี่บลูไม่ใช่หรือ”
เบสเหลียวมองไปรอบ ๆ “เราบอกว่าอาจเป็นพี่บลู หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ ถึงได้ถามว่าเห็นหรือเปล่าว่ามีรูปร่างเป็นยังไง”
ข้าวโพดเงียบ
“มีเรื่องที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นเยอะแยะ อย่างเรื่องที่พวกเรามาที่นี่ก็เหมือนกัน”
“แต่เบสคือคนที่เลือกจะมาที่นี่นะ”
“เราไม่ได้เลือก แต่เราก็อธิบายไม่ถูก เหมือนเราถูกควบคุมให้เลือกมาที่นี่” เบสลูบแขนตัวเอง “หลาย ๆ ครั้งเราก็ควบคุมตัวเราเองไม่ได้”
“ไม่สบายหรือ เข้าไปในบ้านก่อนไหม”
“ไม่” เบสเสียงดัง “คุยกันตรงนี้ให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า”
ข้าวโพดปล่อยให้เบสพูดต่อ
“เขากับพี่บลูเป็นชาวสกอต พวกเขาเคยมีชีวิตอยู่เมื่อนานกว่า 400 ปีที่แล้ว เขาเคยบอกเรื่องนี้หรือเปล่า”
ข้าวโพดหันไปมองทางตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านไอริชที่อยู่ตอนในของเกาะ เรื่องที่ว่าไม่ใช่มนุษย์ ก็รู้มาตั้งแต่แรก ทั้งการฝังหมุดยังทำให้จำเรื่องราวในอดีตได้มากมาย
“เพราะฉะนั้นการที่เรามาที่นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่”
หมุดเงินบังคับให้ข้าวโพดเงียบ และรอฟังที่เบสพูด
“แล้วเราก็อยากรู้ ว่าเขาบอก เขาทำอะไรกับข้าวโพด” เบสกลับไปที่คำถามแรก
“ไม่ได้บอก”
“ข้าวโพดปิดบังเรา เขาต้องทำอะไรบางอย่างแน่ ๆ”
“แต่เบสคือคนที่รู้จักพวกเขานะ”
“พวกเขากำลังหลอกใช้พวกเรา และทำให้พวกเราเป็นเหมือนกับพวกเขา””
“ทำไม”
“เพราะมันคือความจริง ข้าวโพดดูที่เราสิ ก่อนที่จะรู้จักกับพวกเขา เราเป็นยังไง แล้วหลังจากที่รู้จักพวกเขา เราเป็นยังไง เราไม่สบาย จากนั้นก็คุมตัวเองไม่ได้ กลายเป็นคนที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้”
ข้าวโพดเข้าใจแล้วว่า ทำไมหมุดเงินถึงปล่อยให้เบสพูดไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งพูด ความไม่พอใจก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
“ที่เราถามก็เพราะเราไม่อยากให้ข้าวโพดต้องเปลี่ยนไป แล้วก็เป็นเหมือนเรา”
“พี่บลูเขาดีกับเบสไม่ใช่หรือ”
เบสย้ำคำพูด “เรา-คิด-ว่าเขาดีไง ถึงได้ไว้ใจ เขากลับทำร้ายเรา เราพยายามต่อต้านแล้ว แต่มันไม่เป็นผล ยิ่งนานไปก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อย ๆ เขาก็ต้องทำอะไรสักอย่างกับข้าวโพดแน่ ๆ เพราะข้าวโพดน่ะ เปลี่ยนไปมาระยะหนึ่งแล้ว แต่มันชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ตอนที่มาถึงที่นี่ เพราะฉะนั้นการมาที่นี่ก็ต้องเป็นหลุมพรางอะไรสักอย่าง”
“เราไม่ได้เปลี่ยน และเราไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่วันนี้ ที่ข้าวโพดต้องหยุดเดินเป็นระยะนั่นคืออะไร เรารู้นะว่าข้าวโพดเจ็บข้างในอกใช่ไหม  ต้องเป็นฝีมือของลุคอยู่แล้ว”
ข้าวโพดส่ายหน้า “เข้าไปข้างในบ้านกันเถอะ”
เบสคว้าข้อมือของข้าวโพดไว้ “ทำไมต้องหลีกเลี่ยง ทำไมไม่บอก ถ้าไม่บอกเราจะช่วยข้าวโพดได้ยังไง”
“เราไม่ได้เป็นอะไร เข้าไปข้างในบ้านก่อนเถอะ”
“ข้าวโพดจะปกป้องเขาไปทำไม”
“เราปกป้องใครไม่ได้หรอก” ลำพังตัวเองยังแทบเอาตัวไม่รอดเลย
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราหมายถึง เราไม่อยากให้ข้าวโพดเป็นเหมือนเรา” เบสร้อนใจ เมื่อข้าวโพดไม่ยอมบอกอะไรเลย
“เข้าไปคุยต่อในบ้านดีกว่า”
เบสยอมให้ข้าวโพดเดินจูงมือเข้ามาในบ้าน แต่การพยายามซักถามต่อจากนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม
“พรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับไปแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” ข้าวโพดบอก
...
นกฮูกสีขาวแฝงตัวอยู่ภายในช่องว่างเล็กๆ ภายใต้หลังคาของโบสถ์โบราณมองวิญญาณชาวตะวันตกในชุดเสื้อผ้าแบบโบราณล่องลอยอยู่ภายในสุสาน ทั้งชาย หญิง เด็กและคนชรา
วิญญาณที่ถูกทิ้งไว้ในที่ห่างไกลจากบ้านเกิด
ยิ่งมีแสงสว่างมากขึ้น ก็ยิ่งมองเห็นเลือนรางลงไป
แต่ภาพสะท้อนของชีวิตที่ผ่านไป คือภาพในอีกซีกโลกหนึ่งยังคงอยู่ในความทรงจำ
แว่วเสียงสัญญาณเรือที่กำลังจะเข้าเทียบท่า เหล่าวิญญาณจึงจางหาย นกฮูกสีขาวก้าวถอยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายใน หูฟังการเคลื่อนไหว เส้นประสาทต่าง ๆ คอยตรวจสอบระวังภัย
ชายชราในชุดผ้าย้อมสีดำ ดวงตาแข็งกร้าวคนหนึ่งเดินมาที่สุสาน มือเหี่ยวย่นแตะที่ป้ายสุสานที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด
“ปีศาจร้ายเรียกหาบริวารมาถึง หลบซ่อนตัวให้มิดชิด อย่าได้ออกมา”
นกฮูกสีขาวรู้สึกถึงไอสีดำนั้นเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา ทันทีที่ประสาทรับรู้ว่าศัตรูกำลังใกล้เข้ามาก็จะรีบหนีไป แต่ในครั้งนี้กลับมี ‘ความรู้สึก’ ว่าเบสกำลังมาที่นี่ จึงอยู่รอ
พยายามไม่เคลื่อนไหว สะกดตัวเองให้เป็นเหมือนท่อนไม้เล็กๆ ตั้งใจว่าจะรอให้ค่ำลงจึงจะออกไปดูให้แน่ใจ แต่ในบ่ายวันนั้นเองที่เบส ข้าวโพดและนทีมาที่โบสถ์
ไอปีศาจที่นำทางมาก่อน กดดันวิญญาณทุกดวงให้หนีห่าง แต่นกฮูกสีขาวไม่สามารถหนีไปได้
เพราะหากหนีไปในเวลานี้ก็เท่ากับเปิดเผยตนเอง จึงได้แต่ควบคุมตนเองให้เป็นเพียงท่อนไม้เล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง และต่อให้ทั้ง 3 คนกลับไปแล้ว นกฮูกสีขาวก็ยังไม่ยอมคลายการควบคุมตนเอง
รอจนถึงเวลากลางคืนมาถึง นกฮูกสีขาวเปลี่ยนเป็นนกกลางคืนสีดำตัวเล็ก แทรกตัวอยู่ท่ามกลางนกตัวอื่นในเขตป่าหลังบ้านพัก
เห็นว่าข้าวโพดเดินออกมาจากบังกะโล แล้วเดินไปทางบังกะโลอีกหลัง ห่างจากจุดที่คอยซุ่มมอง จากนั้นก็มีแสงสีขาวพุ่งผ่านไป ข้าวโพดขยับเท้าจะวิ่งตาม แต่เบสเดินออกมา
เงาสีดำแปดขาที่อยู่เหนือร่างของเบสทำให้เจ้านกกลางคืนทั้งโกรธและเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน ยิ่งเมื่อได้ฟังเสียงสนทนาก็ยิ่งเป็นกังวล
เมื่อทั้ง 2 คนกลับเข้าไปในที่พักแล้ว นกกลางคืนตัวเล็กไปที่บ้านพักของชายคนที่ไปแจ้งเตือนเหล่าวิญญาณที่สุสานเมื่อตอนกลางวัน
ชายชราที่กำลังนั่งเรียงเปลือกหอยโบราณรูปร่างแปลกตาเงยหน้าขึ้นมามองนกตัวเล็กที่บินเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วยืนอยู่บนเบาะที่นั่งฝั่งตรงข้าม
ชายชราพยักหน้า “จะมีเรือประมงเข้าฝั่งตอนรุ่งเช้า”
ใกล้สว่าง เรือประมงชาวบ้านเข้ามาเทียบท่า เรือเล็กอีกลำออกเดินทางเข้าสู่ชายฝั่ง ละอองสีขาวจางไหลเอื่อยไปพร้อมกับสายลม กลับเข้าสู่ชายฝั่ง

....จบตอนที่ 16 ....(สถานที่สมมุติ ไม่มีอยู่จริง)

ทั้งโรคระบาดทั้งสภาพอากาศ อย่าลืมดูแลสุขภาพนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้นะครับ

น้ำชา


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 19-12-2020 22:15:12
  สารภาพ แวบแรก ว่าจะไปเสริซหาเกาะนั้น 55555555 จนมาเจอประโยคสุดท้าย


....  :ling3: แอบกลัวนะ แบบกลัวน้องๆจะเป็นอันตราย ยิ่งเจอเซ้นต์นทีตอนแรก อ่านๆหยุดๆ กันเลย


งานนี้ต้องเอาใจช่วยบลู ไม่ให้ทำอะไรเกินตัว



ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นี้จ้า


 :L1:



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 20-12-2020 18:02:12
เหมือนความเห็นบนค่ะ คิดว่าจะไปเสิร์ชดูชื่อเกาะเหมือนกัน 555 (อดเลย)




 :laugh:





มิสแมงมุมควบคุมจิตใจเบสให้มาถึงที่นี่ ต้องการอะไรกันแน่นะ สงสัยๆ




 :katai1:





พี่บลูของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วย แสดงว่าต้องมีปมเชื่อมโยงอะไรซักอย่าง

(ออกนิดเดียว ฮือๆ)




ที่นี้พี่บลูก็รู้แล้วว่า มีปิศาจแมงมุมชักใยควบคุมเบสอยู่ แต่จะช่วยน้องยังไงดีละ :ling3:




เป็นห่วงน้องๆ กับพี่บลูจัง มากันแค่นี้กลัวจะถูกหลอกล่อจนเกิดอันตรายกัน




 :เฮ้อ:




ขอให้เดินทางออกจากเกาะได้อย่างปลอดภัย :call: หรือเปล่านะ 555





มาลุ้นกันเถอะว่าตอนหน้าว่าจะเป็นยังไงต่อ  :hao3:





ขอบคุณสำหรับตอนนี้ด้วยค่า :3123:






หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-12-2020 20:05:10
ซับซ้อนกันจริง
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 11-01-2021 18:44:07
 ฮึบ ฮึบ ฮึบ   :katai5:





แวะมาดัน




แวะมารอตอนใหม่





 :mew3:





wfh กันไป อยากคลายเคลียดก็เข้ามาอ่านนิยายกัน  :hao3:






รอพี่ลุคพี่บลูนะฮัฟ คนอ่านคิดถึงแล้ววว





 :ling3:





ขอให้ทุกคนปลอดภัย และมีสุขภาพแข็งแรงกันน๊า





 :mew1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 11-01-2021 19:44:46
 :mew1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 13-01-2021 15:35:55

 :L2:

   :กอด1:

      มาจ้า เราอยู่ตรงนี้ \ยกมือสูงๆ/ ยังรอคอยเสมอจ้า

 :L1:  :L1:  :L1:


หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-01-2021 18:53:48
ตอนที่ 17

การตามหาลุค เมอร์ฟี กับจัสติน ฮอฟมันน์ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเพราะทั้งคู่ใช้วิธีการพรางตนแบบครึ่งหนึ่ง จากที่โดยทั่วไปจะใช้การพรางตนแบบสมบูรณ์ในเวลาที่ทำงานสำคัญ ทำให้พ่อมด หรือปีศาจที่เป็นเป้าหมายรู้ตัวก็คือทั้ง 2 คนมายืนอยู่ข้างหน้าแล้ว
แต่คราวนี้ทั้งคู่ต้องการให้พ่อมดและปีศาจที่มีพลังเข้มแข็งในระดับหนึ่งรับรู้ว่าทั้งคู่กำลังเร่งจัดการลงมือในเรื่องราวบางอย่าง ทำให้ต้องบุกไปจัดการปีศาจ ผู้คุมวิญญาณ และพ่อมดอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ปีศาจนกฮูกตาสีฟ้ากำลังตามหาว่าลุคอยู่ที่ไหน จู่ ๆ ก็สามารถรับรู้ถึงไอที่เป็นพลังงานสีขาวของมือปราบวาติกัน แต่เมื่อไล่ตามไปเป็นระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตรถึงได้เห็นทั้งคู่อยู่ข้างหน้า
นี่เป็นพลังที่แปลก และทำให้รู้สึกสับสนเพราะไม่ว่าจะตอนอยู่ในระยะห่าง 1 กิโลเมตร หรือห่างแค่ 1 เมตร พลังสีขาวที่เป็นความเย็นและสว่างก็ชัดเจนอย่างสม่ำเสมอ
ไอชีวิตของเบสกับข้าวโพดจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ยังมีความเหลื่อมของสี บ่งชี้ของความมีชีวิต
แต่ไอที่เป็นพลังงานของลุคและจัสตินจะมีความคงที่แบบคนดีที่ชวนให้รู้สึกขัดใจ
แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงระยะ 1 เมตรจากทั้งคู่ บลูพบกลุ่มก้อนสีดำที่ไม่สามารถแยกได้ว่าร่างเดิมคืออะไรคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ
ทั้งบลูและเจ้าก้อนสีดำนั่น ไม่มีไอหรือพลังงานใด ๆ เป็นเพียง ‘สิ่งหนึ่ง’ ที่ยังอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง และบลูคิดว่า หากตนเองสามารถรับรู้ถึงกลุ่มก้อนสีดำนั่นได้ ทั้งลุคและจัสตินก็น่าจะรู้เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็ทำเป็นไม่รู้
พวกเขากำลังทำอะไรอยู่นะ แต่การตามกันเป็นทอด ๆ แบบนี้มันอันตรายเกินไป บลูยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ หรืออย่างน้อยก็ต้องให้ 2 คนนี้ไปจัดการ
หรือควรไปรอที่ร้านกาแฟ หลบอยู่ที่ห้องชั้นบนรอให้ลุคกลับมา ก็ที่นั่นเป็นบ้านของเขาไม่ใช่หรือ
แต่บลูก็ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ เพราะทั้งจอร์จและแอนนา...เจตน์และแอนยังอยู่ที่นั่น
มีไอมนุษย์อยู่ทั่วไปในร้าน ที่แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่พักอยู่ที่นี่มาตลอด 
ดีแล้ว...และเราไม่ควรเข้าไปที่นั่นเพื่อทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในอันตราย
บลูกลับไปที่ห้องพักในคอนโดฯที่ปิดทึบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่ลุคและจัสตินจะตามมาพบ   บลูใช้ดวงตาที่สามมองเคลื่อนไหวในอดีต เห็นว่าจัสตินกับสาธุคุณอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนที่ชื่อฌ็องส์ กำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนของลุคเข้ามาวางไว้ที่ห้องด้านนอก และพยายามที่จะเข้าไปในห้องนอนของบลู แต่พวกเขาเข้าไปไม่ได้ เมื่อจัดห้องเสร็จทั้งคู่ก็กลับไป
หนุ่มในชุดสีขาวหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน ประตูก็เปิดออกเอง ภายในห้องที่ถูกผนึกไว้หลายชั้นอย่างแน่นหนา ของสำคัญที่เก็บไว้ยังอยู่ในที่เดิม
แต่ด้วยประสบการณ์หลายร้อยปี ทำให้บลูรู้ว่าวันหนึ่งทั้ง 2 คนจะเข้ามาในห้องนี้ได้ และหากพวกเขาทำได้ คนอื่น ก็จะทำได้เหมือนกัน
“เออ ใช่” บลูเก็บของสำคัญไว้ที่เดิม แล้วออกมาจากห้อง ปิดประตูทั้งปิดผนึกอย่างแน่นหนา ใช้ดวงตาที่สาม มองตามการเคลื่อนไหวของทั้ง 2 คนภายในห้องนี้ แล้วตามชายชาวเยอรมันออกไปจากห้อง
มันออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าการรอคอยไปเรื่อย ๆ
ลุคและจัสตินเป็นคนดี พยายามดึงพวกพ่อมดแม่มดให้อยู่ห่างจากคู่สามีภรรยาที่ร้านกาแฟ และไปอาละวาดห่างจากบ้านของผกา กับอัจฉรา แต่ในเมื่อบุคคลเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับโอเวน บรรดาสมุนของซอว์นีย์จึงวางดวงวิญญาณไว้ใกล้สถานที่ทั้ง 3 แห่งเพื่อคอยส่งข่าวหากบลูกลับมาที่นี่
แต่ยังมีอีกที่หนึ่ง ที่บลูไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ก็อย่างที่บอก ว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่ารอไปเรื่อย ๆ
จัสตินเป็นผู้พิทักษ์ที่เดินทางไปทั่ว ทั้งร้านขายของเก่า โบสถ์ของสาธุคุณฌ็องส์ และร้านกาแฟของลุค แต่สุดท้ายแล้วเขาต้องกลับไปเซฟโซนของเขาเอง
บลูตามร่องรอยจัสตินอยู่ครึ่งวันจนมาถึงบ้านไม้ 2 ชั้นหลังเล็กที่อยู่นอกเมือง เงาของจัสตินที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นผ่านเขตป้องกันโปร่งใส เข้าไปในเขตรั้วบ้านหลังนี้
ลุคมีที่พักเป็นร้านกาแฟที่อยู่ในเขตเมืองเก่า บ้านของจัสตินหลังนี้ก็เป็นบ้านเก่าภายใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม ที่ต่างกันก็คือร้านกาแฟของลุคมีวิญญาณที่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้ามอง แต่ในรัศมี 200 เมตรของบ้านหลังนี้ ไม่มีวิญญาณแปลก ๆ แม้แต่ตนเดียว
บลูไม่เห็นว่า การวางเขตป้องกันไว้ 2 ชั้นของจัสตินจะดีกว่าการวางเขตป้องกันแค่ชั้นเดียวของลุคตรงไหน ดูจะระแวดระวังจนน่าสงสัยมากกว่าเดิม และเป็นการเสียพลังงานไปเปล่า ๆ
นกฮูกสีขาวสแกนดิเนเวีย เกาะกิ่งไม้ที่พ้นมาจากรั้วบ้าน แล้วเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้เขตที่จัสตินวางเขตป้องกัน ใช้ปีกแตะที่เขตป้องกัน
...ไม่มีประกายไฟ หรือแรงผลักกระเด็นออกมา แต่รู้สึกได้ถึงความยืดหยุ่นของผนังบาง ๆ ที่กั้นอยู่
“...เฮ้ ฉันอยู่หน้าบ้านนายแล้ว บอกลุคให้มาที่นี่ภายใน...ครึ่งชั่วโมง เพราะถ้านานกว่านี้ พวกที่ตามฉันอยู่อาจมาทัน...”
บลูเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคาของบ้านอีกหลัง แฝงตัวอยู่ในมุมมืดที่สุด และให้ความรู้สึกว่าไม่สบายตัวที่สุด ดีที่ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น บลูก็สัมผัสถึงการเคลื่อนที่ของลุคที่ใกล้เข้ามา
ตอนที่อยู่ในการต่อสู้ ไอพลังงานของลุคเป็นวาติกันของแท้ แต่ตอนนี้เป็นพลังงานแบบ ‘ลุค เมอร์ฟี’
เสียงของหัวใจที่กำลังเต้นแรงด้วยความร้อนใจ ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเมื่อมาถึงในระยะหนึ่ง บลูยังแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นผ่านเขตป้องกันเข้าไปในบ้าน และเมื่อจัสตินเปิดประตูบ้าน แสงสีขาวพุ่งผ่านมือเข้าไปในบ้านก่อน ทันทีที่ประตูปิดลงอีกครั้งชายหนุ่มในชุดขาว ดวงตาสีฟ้าก้าวออกมาจากมุมมืดที่สุดของบ้าน และพูดขึ้นทันที
“ปีศาจแมงมุม ตัวใหญ่อยู่กับเกรซ”
ทั้งลุคและจัสตินนิ่งเงียบ ขณะที่จัสตินหันไปมองทางอื่น
“พวกนายรู้แล้ว” บลูตรงเข้ามากระชากคอเสื้อของลุค “นายบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ ให้ฉันไปซ่อนตัว แล้วทำไมนายไม่ช่วยเกรซ ปล่อยให้แมงมุมตัวนั้นมันควบคุมเกรซ”
“เราทำแล้ว” จัสตินบอกขณะที่จับข้อมือของบลูเพื่อให้ปล่อยลุค แต่ลุคกลับส่ายหน้าให้กับจัสติน
ชายชาวเยอรมันปล่อยมือ กลอกตาแล้วเดินไปรินน้ำดื่ม หันหลังให้กับทั้ง 2 คน
“นายทำอะไร แล้วทำไมแมงมุมตัวนั้นมันถึงได้อยู่กับเกรซ”
“เชสมีเครื่องราง” ลุคบอก
“ช่างหัวเชส! ฉันไม่สนใจ! ฉันถามถึงเกรซต่างหาก พวกที่มันต้องการตัวโอเวน มันไม่สนใจน้องของนายหรอก นายไม่เข้าใจหรือไง”
ลุคกอดคนที่กำลังร้อนใจไว้
“ใจเย็น ๆ คิดตามที่ฉันบอกนะ”
เพราะหัวใจที่กำลังเต้นแรง ไอร้อนที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตทำให้บลูไม่ได้ผลักอีกคนออกไป
คน ๆ นี้เลือกที่จะมีชีวิตแบบนี้เพราะใคร...
“พวกมันควบคุม แต่จะไม่กลืนกิน” ลุคพยายามอธิบาย “พวกมันต้องการตัวประกัน เพื่อให้แน่ใจว่านายจะไม่เผาคาร่าไปก่อนที่มันจะได้สิ่งที่พวกมันต้องการ”
“แต่ฉันอยากให้นายไปช่วยเกรซ”
“เราต้องช่วยเกรซอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องเอาคาร่าออกมาด้วย เพราะว่าเกรซกับคาร่าในเวลานี้มีความผูกพันกันมากกว่าที่เราคาดคิด ทั้งต้องไม่ให้พวกมันพบนายด้วย”
“ลุค เมอร์ฟี เพราะนายช้าอย่างนี้ พวกมันถึงได้เข้าถึงตัวเกรซ นายต้องไปช่วยเกรซออกมาก่อน”
การที่บลูยังคงเรียกชื่อเดิมในอดีต คือการปฏิเสธที่จะยอมรับว่ามีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้การเผาคาร่าในเวลานี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าเดิม
“ตอนนี้ทั้งสองคนไม่ได้เป็นคาร่ากับเกรซที่แทบจะไม่เคยพูดคุยกัน พวกเธอคือผกากับเบสที่มีความผูกพันระหว่างแม่ลูก การที่พวกมันครอบงำและชักจูงผกาก่อน แล้วส่งผลมาถึงเบสคือคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องที่ฉันให้เครื่องรางคุ้มครองไว้กับข้าวโพดไม่ใช่แค่คุ้มครองข้าวโพดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะว่าข้าวโพดอยู่กับเบส เครื่องรางนั้นจะช่วยคุ้มครองทั้งสองคน”
“ไม่เข้าใจ”
จัสตินกลอกตาหนึ่งรอบให้กับความไม่พยายามทำความเข้าใจอะไรเลยของบลู
“ไม่อยากฟังเรื่องทางฝั่งนี้บ้างหรือไง” จัสตินถาม
“ไม่” บลูตอบทันที “เป้าหมายของฉันไม่ได้ครอบจักรวาลเหมือนพวกนาย ฉันต้องการแค่เผาคาร่า ฟอกซ์เท่านั้น”
“แต่ถ้านายเผาผู้หญิงคนนั้นในตอนนี้ เบสก็จะกลายเป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์แบบ ถูกแมงมุมตัวนั้นกินในทันที” จัสตินเถียง “ทีนี้นายก็ต้องรอกันไปอีกกี่ปีก็ไม่รู้ กว่าที่คาร่าจะกลับมาเกิดใหม่อีกรอบ เพื่อให้นายตามไปเผาเธอ เล่นเกมตามล่าวนไปวนมาไม่รู้จบ หรืออย่างเลวร้ายที่สุด ก็คือคราวนี้ถูกทำลายไปพร้อมกับน้องของนาย แล้วคาร่าก็จะกลับมาเกิดใหม่ โดยที่นายไม่สามารถเผาเธอได้อีกแล้ว”
“เพราะอะไรนายถึงคิดอย่างนี้” บลูหันไปหาจัสติน
“ก็เพราะลำดับเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ไง”
“นั่นแหละ ทำไมนายถึงรู้ว่ามันคิดแบบนี้”
“ให้ตายเหอะ นายนี่มันเกินจะเยียวยาแล้วจริง ๆ” จัสตินรู้สึกอยากหักคอเจ้าปีศาจนกฮูกตัวนี้เต็มที
ลุคลูบแผ่นหลังบางเพื่อให้บลูใจเย็นลง พูดในสิ่งที่เคยพูดมาแล้วหลายครั้งเพื่อให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกัน
การตามไปเผาคาร่าในครั้งนี้แตกต่าง และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียอีกหลายชีวิตไปด้วย บลูเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ถึงได้ไม่ไล่ตามหาคาร่าแล้วเผาเธอเหมือนกับที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ยอมที่จะหลบหนี แล้วที่กลับมาก็เพราะเห็นว่ามีแมงมุมสีดำควบคุมเกรซอยู่
เมื่อเล่าเรื่องเดิม ๆ จบลงลุคก็ถาม “นายไปเจอเบสที่ไหน”
“ที่เกาะเล็ก ๆ ชื่ออิน หรือ จิน หรืออะไรสักอย่างคล้าย ๆ แบบนี้ ที่นั่นมีสุสานชาวไอริชอยู่ด้วย” ดวงตาสีฟ้าเหลือบตามองลุค “ฉันอยู่ที่สุสานนั้น”
นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ “นั่งลงแล้วเล่าเรื่องเกาะนั้นกันตั้งแต่ต้นดีกว่า” จัสตินบอก การคุยกับคนที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้นะ “เสียเวลาคุยกันอีกสักชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง ก็ไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือการที่พวกมันยังหานายไม่เจอ แต่ทั้งที่นายหนีไปตั้งไกลขนาดนั้น แล้วทำไมถึงได้ไปเจอกันได้”
เมื่ออยากให้เล่า บลูก็เล่า เรื่องราวของบลูในช่วงนานกว่าสองสัปดาห์มานี้ คือการที่ย้ายสถานที่หลบซ่อนแทบจะทุกวัน
“ฉันคิดว่า ฉันคือฝ่ายที่ถูกพวกมันตามล่า แต่เพราะนายย้ำหลายครั้งว่าให้หนี ฉันก็หนี แต่ว่าที่ผ่านมา ฉันไม่เคยต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้มาก่อนเลยนะ แบบที่เข้าไปอยู่ในบ้านร้างได้ยังไม่ทันข้ามคืนฉันก็ต้องรีบหนีออกมาในตอนรุ่งเช้าก็ยังมี มันเป็นการไล่ตามที่เหมือนกับว่าฉันมีสัญญาณบอกตำแหน่งติดอยู่ที่ข้อเท้า จนกระทั่งเมื่อคืนเดือนมืดฉันถึงได้ตามเรือลำหนึ่งออกไปกลางทะเลเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีพ่อมด หรือนายวิญญาณที่ไหนตามไปเจอ ที่เกาะนี้มีหมู่บ้านประมง แต่ตรงพื้นที่ด้านในของเกาะคือหมู่บ้านโบราณ วิญญาณที่นั่นเป็นพวกที่เดินทางมากับเรือ แต่เพราะมีปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่างก็มาปลูกบ้านอยู่ที่นี่แล้วก็ตายไป แต่อยู่ที่นั่นได้แค่ 2 คืนปรากฏว่าเกรซ กับเชสแล้วก็เพื่อนสนิทของเชสน่ะมาที่เกาะ”
“เพื่อนของ...ข้าวโพดน่ะหรือคนไหน”
“ชื่อนทีหรือทีอะไรเนี่ยแหละ”
เมื่ออีก 2 คนพยักหน้า บลูก็เล่าต่อ ว่าเห็นแมงมุมตัวใหญ่อยู่กับเบส ก็รีบออกมา
“มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” บลูสรุป “พวกมันตั้งใจที่จะทำให้ฉันเห็นว่า เกรซอยู่ในกำมือของพวกมันแล้ว”
“พวกมันเคยเห็นนายอยู่กับพวกเรา จากนั้นนายก็หายไป แล้วทางนี้ก็เปิดเกมสู้กับพวกพ่อมดไปทั่ว ยึดเครื่องรางได้เท่ากับทำงานหนึ่งปี พวกมันก็ต้องไปเร่งทางน้องของนายอยู่แล้ว” จัสตินเสียดสีลุคอย่างตรงไปตรงมา
ลุคส่ายหน้าให้กับ 2 คนที่พร้อมจะทะเลาะกันได้ทุกเมื่อ
“ในเมื่อรู้อยู่แล้ว นายก็ยิ่งไม่ควรเดินเข้าไปหา เพื่อให้พวกมันล้อมจับนาย”
“แต่ถ้ามันเป็นทางเดียวที่จะช่วยเกรซ”
“นายจะช่วยเบสและใครไม่ได้เลย แม้แต่ตัวนายเอง” ลุคย้ำ “ไม่ว่านายจะเผาคาร่าอีกสักกี่ครั้ง แต่เธอจะกลับมาใหม่ เกรซก็เหมือนกัน ไม่ว่าชาตินี้เธอจะจากไปด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่เธอจะกลับมาอีก แต่นายไม่เหมือนกัน”
ถ้าบลูถูกทำลาย ก็คือการทำลายโอเวนไปตลอดกาล ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากบลูถูกทำลาย ทั้งเบส และคนอื่น ๆ ก็จะไม่ปลอดภัยไปด้วย
บลูลูบหน้าแรง ๆ “ทำไมจู่ ๆพวกเราถึงได้ติดอยู่ในวงล้อมของพวกมันได้นะ”
“ขอเวลาอีก 3 วันได้ไหม” ลุคพยายามอีกครั้ง “ฉันคิดว่าแมงมุมตัวนั้น น่าจะเป็นปีศาจแมงมุมดำที่ชื่ออารันญ่า”
บลูเม้มริมฝีปากเมื่อพยายามคิดทบทวน
“รู้จักไหม” จัสตินถาม
“กำลังคิดอยู่ นายก็รู้ว่าฉันไม่ผูกมิตรทำความรู้จักกับใคร นอกจากฟังพวกวิญญาณคุยกัน แต่เหมือนจะเคยได้ยินใครพูดถึงชื่อนี้เมื่อนานมาแล้ว นานมาก แล้วก็ไม่ใช่ที่นี่ด้วย น่าจะเป็นแถว...” บลูหลับตานึกทบทวน “สุสาน หิมะ มีต้นสนสูงเสียดฟ้า...สวีเดน”
“ผกา เพิ่งกลับมาจากสวีเดน” ลุคบอก
“ฉันคิดว่า การตามล่าซอว์นีย์อยู่ที่นี่ไม่ถูกต้อง หากนายต้องการกำจัดพวกมันที่ต้นตอ นายต้องกลับไปยุโรป” บลูเสนอขึ้น “ถึงแม้ว่าทุกคนที่เราต้องการปกป้องจะอยู่ที่นี่ รวมถึงคนที่ฉันต้องการจะเผาด้วย แต่ถ้าเงื่อนไขของนายคือการกำจัดซอว์นีย์ให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก ก็ต้องทำอย่างนี้แหละ”
คนตาสีฟ้าหันไปมองทั้ง 2 คนที่หันไปมองหน้ากัน “ทำไม รีบ ๆ ไปจัดการให้ได้สักทีเหอะ ฉันอยากเผาคาร่าจะแย่อยู่แล้ว”
“แต่เราไม่รู้ว่าคาร่าอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องแมงมุมดำอารันญ่า ก็ยังเป็นแค่การสันนิษฐาน หากไม่ใช่อารันญ่า เป็นแมงมุมดำตัวอื่นการคุ้มครองที่วางไว้ก็อาจไม่ได้ผล ที่สำคัญคือ หากเป็นอารันญ่าจริง ฉันก็อยากเจอมัน แล้วจัดการมันที่นี่”
แววตาของลุคแข็งกร้าวขึ้นเมื่อกล่าวถึงความตั้งใจ
“แมงมุมดำตัวนี้ เคยทำอะไรนายหรือ”
“อารันญ่า เป็นหนึ่งในสี่ของเฮ้นช์แมน เอ่อ คนสนิทของซอว์นีย์” อารันญ่าเป็นปีศาจแมงมุมดำ การเรียกว่าคนสนิทออกจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความจริงที่สุดแล้ว
“โอย อะไรกันเนี่ย ตกลงแล้วอะไรเป็นตัวอะไรกันเนี่ย ข้าม ๆ ไปแล้วไปช่วยเบสเลยไม่ได้หรือไง”
จัสตินกลอกตามองเพดาน ขณะที่ลุคยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อให้บลูใจเย็นลง
“ซอว์นีย์ที่พวกเราเรียกมันว่าพ่อมด มีเฮ้นช์แมนอยู่ 4 คน คืออารันญ่าที่เป็นปีศาจแมงมุมดำ ไวเพอร์ซึ่งเป็นพ่อมดจากแอฟริกาที่ควบคุมพวกงูพิษ ดาร์ทพ่อมดพิษสีน้ำเงิน แล้วก็อูซุสเป็นพ่อมดตัวใหญ่เหมือนหมี”
บลูอ้าปากค้างลืมตัวหันไปรับนมอุ่นจากจัสตินทั้งกล่าวขอบใจ
“ตัวหนึ่งเป็นปีศาจ อีก 3 เป็นพ่อมดที่ถูกเวทย์มนตร์ของตัวเองกลืนกินงั้นหรือ”
“ใช่” ลุคย้ำ “เราพบเจอพวกพ่อมด แม่มด รวมถึงพวกนักเล่นแร่ที่นี่ในจำนวนที่มากจนผิดปกติ เหตุผลเดียวก็คือนาย พวกมันกำลังแข่งกันว่าใครจะพบนายก่อน แล้วการที่อารันญ่าที่เคยอยู่ในยุโรปมาปรากฎตัวที่นี่ทั้งเข้าควบคุมเบสแล้วแบบนี้ ไม่แน่ว่า ไวเพอร์ ดาร์ท แล้วก็อูซุส หรือแม้แต่ซอว์นีย์ก็อาจจะมาที่นี่แล้ว”
บลูนิ่งเงียบขณะที่จิบนมอุ่น
“เอาอย่างนี้ ฉันขอเวลา 3 วัน ตรวจสอบให้แน่ใจ ถ้าเป็นอารันญ่าจริง ๆ ฉันต้องการกำจัดมันก่อน แต่ถ้ามีคนอื่นมาด้วย พวกเราก็อาจต้องดึงพวกมันทั้งหมดกลับไปที่สวีเดน”
“ต้องทำวีซ่าไหม” จัสตินถามขึ้น
“เดี๋ยวนะ วีซ่าอะไร” บลูถาม
“เชงเก้นไง ลุคถือหนังสือเดินทางยูเคอยู่ ของฉันเยอรมัน ไม่ต้องขอวีซ่า”
บลูทำหน้างง ขณะที่ลุคส่ายหน้าก่อนที่จะอธิบาย “พวกเราหายตัวไม่ได้ เวลาจะข้ามแดนก็ต้องทำตามกฎหมาย”
“อะไรกันเนี่ย นอกจากจะมีศัตรูเป็นกองทัพ พวกนายก็ยังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ต้องจัดการอีกล้านแปดเรื่อง ตกลงนอกจากฉันจะช่วยเกรซไม่ได้ ฉันยังต้องปล่อยให้คาร่าแก่ตายไปเองด้วยใช่ไหม”
“เอาเป็นว่า ยังไงก็ไปภายในวันสองวันนี้ไม่ได้น่ะแหละ เดี๋ยวให้ฌ็องส์ไปจัดการเรื่องการเดินทางให้” ลุคมีสีหน้าขอโทษ
บลูรู้สึกอยากคุ้มคลั่ง “ทำไมเรื่องเยอะขนาดนี้นะ”
จัสตินกระแทกเสียงในลำคอ แล้วหันไปหาลุค “ไหน ๆก็กลับมาบ้านแล้ว ฉันจะทำอาหารเที่ยง พวกนายกินอาหารก่อนแล้วค่อยไปพัก ค่ำค่อยออกไปใหม่ดีกว่า”
ลุคพยักหน้าแล้ว คว้าเสื้อหนังไปแขวนไว้แล้วหันมาถาม
“ว่าไง อยากไปล้างหน้าล้างตัวก่อนไหม จัสตินทำอาหารไม่นานหรอก แล้วที่นี่ก็เงียบมาก นายน่าจะนอนหลับสนิทไม่ตื่นมาปวดหัว”
บลูหันไปมองจัสติน “แต่ว่า...”
“นายต้องหลบหนีมาตลอดหลายวันไม่ใช่หรือไง ตอนนี้มีโอกาสได้พักก็ควรจะพักสักหน่อย”
ผู้มีดวงตาสีฟ้าเดินตามลุคขึ้นมาที่ห้องชั้นบนทั้งที่ยังรู้สึกขัดใจ
ห้องนอนที่ลุคกำลังลดแสงสว่างในห้องนี้ให้เหลือน้อยที่สุด มีทั้งหนังสือและสิ่งของหลายอย่าง “พวกนายอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ ของถึงได้มากขนาดนี้”
“นานกว่า 1 ปีแล้ว พอครบกำหนดฌ็องส์ก็ไปทำเรื่องขอต่อวีซ่าให้ พวกเราไม่ต้องทำอะไร”
บลูยกมือ “โชคดีชะมัดที่ฉันเป็นปีศาจ ไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้น”
ลุคส่ายหน้าแล้วเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตัวก่อน ขณะที่บลูเดินไปรอบห้องแล้วหยุดมองหนังสือปกหนังเดินขอบทองเล่มใหญ่ ตัวหนังสือภาษาอาหรับที่หน้าปกเป็นถ้อยคำสรรเสริญพระเจ้า
การตามล่าแม่มดกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเลยหรือ
...พวกซอว์นีย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
และบลูก็ไม่ได้สนใจหนังสือเล่มนั้น
หนุ่มตัวเล็กหันไปมองสิ่งของที่วางอยู่บนชั้น ส่วนใหญ่คือดาบและอาวุธจำลอง แต่บลูรู้ว่าอาวุธเหล่านี้สามารถใช้งานได้จริง และมันคืออาวุธที่เจ้าของสามารถเรียกใช้จากที่ห่างไกลได้
เพียงแต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าพวก
กระดิ่งแก้วแบบที่มีด้ามจับ ทั้งตัวกระดิ่งจนถึงด้ามจับเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน และมี ‘สีเทาใส’ สีเดียวกับดวงตาชาวเยอรมันคนนั้น...
“...เฮ้ หลับอยู่หรือเปล่า คุยกันหน่อยสิ...”
เด็กผู้ชายตัวเล็กผมสีทอง ดวงตาสีเทาใสปรากฏตัวนั่งอยู่ข้างกระดิ่งแก้ว ชุดที่เด็กชายสวมใส่ยังเป็นชุดเสื้อสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล
บลูคลี่ยิ้ม เด็กผู้ชายคนนี้คือสาเหตุที่ทำให้จัสตินคุ้มครองบ้านหลังนี้อย่างแน่นหนา
...
ลุคเปิดประตูห้องน้ำออกมา มองเห็นแต่ด้านหลังของบลู
“อาบน้ำ ล้างหน้าสักหน่อยไหม แล้วเมื่อกี้จัสตินขึ้นมาหรือ”
“เปล่า” บลูหันมา
“เหมือนได้ยินนายกำลังคุยกับใคร”
“คุยกับใครล่ะ ฉันกำลังบ่นว่าห้องนี้มันรกมากต่างหาก”
ลุคมองตามคนที่เดินสวนไปเข้าห้องน้ำ แล้วหันไปมองตำแหน่งที่บลูยืนอยู่เมื่อครู่
กระดิ่งแก้วสีเทาใสใบนั้น
...
ในระหว่างมื้ออาหารบลูตั้งคำถามมากมายที่บ่งบอกว่า นกฮูกตาสีฟ้าตัวนี้จดจ่ออยู่แค่การแก้แค้นเป็นอย่างมาก จนแทบจะไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย
“ฉันไม่ได้เป็นนกฮูกที่ไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น ฉันรู้จักไอ้พวกเอกสารหรืออะไรที่นายพูดกัน แค่ลืมไปว่าพวกนายต้องใช้มัน”
จัสตินรู้สึกขำเวลาที่เห็นสายตาของลุคเวลาที่มองเจ้าปีศาจนกฮูกตัวนี้เล่าเรื่อง แต่การที่ต้องอยู่ใกล้กับปีศาจในระยะไม่เกิน 3 เมตรแบบนี้ดูเป็นการทดสอบความอดทนที่มากเกินไปสักหน่อย
“ฉันคิดว่า พวกนายควรขึ้นไปพักข้างบน นอนหลับสักหลายชั่วโมง เพราะเรายังออกไปตอนนี้ไม่ได้”
เมื่อจัสตินบอก บลูก็ลุกขึ้นยืน พยายามเงี่ยหูฟังเสียงรอบตัว
“มีอะไร ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
“ถ้าออกไปตอนนี้น่ะมีแน่” จัสตินพยักหน้าใส่ลุค “พาเด็กน้อยของนายไปนอนได้แล้ว”
ลุคที่ไม่สามารถหุบยิ้มได้ ลุกขึ้นยืนและเดินนำขึ้นไปข้างบน
“เดี๋ยวนะ” บลูดึงมือลุคไว้ “ฉันไม่อยากนอนในห้องที่นายพาขึ้นไปครั้งแรก”
ลุคกับจัสตินหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าพาขึ้นไปที่ห้องนอนเล็กที่มีเบาะนอนแบบพับกับผ้าห่มวางอยู่ จัสตินตามขึ้นมาด้วยเพื่อขนผ้าห่มมาลดแสงในห้องนี้
ไม่เคยมีใครมาพักในห้องนี้ พวกเครื่องนอนในห้องนี้คือเครื่องนอนของจัสตินที่จะยกลงไปนอนที่ห้องข้างล่าง ในเวลาที่ลุคมาพักที่นี่
บลูยืนมองจัสตินแล้วหันไปมองทางห้องนอนอีกด้านของผนัง จนกระทั่งลุคหันมาถามว่าแสงสลัวระดับนี้พอหรือไม่
“พอแล้ว” บลูบอก แล้วหันไปหาจัสติน “นายไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา” บลูพูดแล้วเม้มริมฝีปากลังเลว่าจะพูดต่อดีไหม แล้วก็ตัดสินใจพูดต่อให้จบ “การวางคาถาป้องกัน การทำให้ที่นี่เป็นเรื่องลึกลับมันยิ่งทำให้ที่นี่เป็นจุดสนใจ และทำให้เขาเป็นอันตราย”
จัสตินชะงัก เดินเข้ามาตบไหล่เบา ๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง
“เคยคุยกันเรื่องนี้แล้วใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า กอดไหล่บางพาให้ไปนอนพัก
จัสตินเข้าใจเรื่องอันตรายเป็นอย่างดี  แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเพิ่มการคุ้มครองมากขึ้นไปอีก
สำหรับจัสตินแล้ว กระดิ่งเงินใบนั้นเป็นมากกว่าเครื่องราง   
“นี่”
“หืม”
“ใช้คาถากั้นเสียงและอะไรทุกอย่างในห้องนี้ได้ไหม ฉันไม่อยากให้เขาได้ยิน”
ลุคยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วหมุนเป็นวงกลม ทุกสรรพเสียงรอบตัวก็อยู่ห่างไกลออกไป 
ชายหนุ่มไม่ได้ตัดห้องนี้ออกจากสภาพแวดล้อมทั้งหมด เพราะยังจำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวรอบตัวเหมือนกับบลูที่ต้องเฝ้าระวังว่าจะมีศัตรูไล่ตามเข้ามาหรือไม่ การป้องกันเสียงจึงทำได้แค่ ‘หรี่’ เสียงในห้องนี้ และเสียงจากรอบตัวเท่านั้น
...ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...
บลูยักไหล่ขณะที่เดินไปนอน ส่วนลุคเดินตามมานั่งพิงฝาผนังห้อง เหยียดขา อีกคนก็ขยับตัวมานอนหนุนตัก ขอให้เล่าเรื่องของเฮ้นช์แมนทั้ง 4 ของซอว์นีย์ให้ฟังอีกครั้ง
ตั้งแต่ตอนที่อยู่บ้านร้านกาแฟ บลูก็มักจะขอให้ลุคเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง และนั่นเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่บลูจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี มีการซักถามและแสดงความเห็นที่น่าสนใจ คราวนี้ก็เหมือนกันที่บลูสรุปว่า
“ทุกคนต่างก็มีคนสำคัญที่ต้องการปกป้อง พวกมันก็เลยพยายามเข้าถึงคนสำคัญของพวกเราให้ได้ แต่สิ่งที่พวกมันไม่ได้เรียนรู้ก็คือ คนสำคัญเหล่านี้แหละที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และพยายามมากขึ้นที่จะปกป้องพวกเขา”
คนที่เล่าเรื่องก้มลงมาหาแล้วจูบ
...คนสำคัญที่อยากปกป้อง ทั้งที่เขาไม่ได้ต้องการให้ปกป้อง
มือเล็ก ๆ ตีที่ไหล่หนา “ฉันไม่ได้ให้นายกั้นเสียงเพื่อทำเรื่องนี้นะ”
แต่ลุคหัวเราะเบา ๆ จับให้บลูนอนหนุนหมอน ส่วนตัวเองเลื่อนลงมาคร่อมตัวแล้วจูบ มือใหญ่จับมือเล็กให้มาสัมผัสเหนือหัวใจ
ลุครู้ว่าบลูหลงใหลความมีชีวิต ลมหายใจอุ่นและกล้ามเนื้อหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ
แต่ความคิด ความรู้สึกที่สื่อผ่านดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นต่างหากที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตได้ชัดเจนที่สุด
“ลุค เมอร์ฟี คืนนี้ไปดูที่บ้านของคาร่ากันอีกสักรอบ ฉันรู้ว่ามันอาจเป็นกับดัก แต่ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ฉันรออยู่อย่างนี้ไม่ได้จริง ๆ”
“ฉันเคยไปสำรวจบ้านนั้นแล้ว และทำลายพวกเครื่องราง และสิ่งของที่มีวิญญาณติดตามมาด้วยไปหลายชิ้น หลังจากที่ผกาออกจากบ้านไปในคืนที่พวกเราไปที่คลินิกเถื่อน เธอก็ไม่ได้กลับมาอีก ส่วนแม่บ้านที่ชื่อกัลย์เธอถูกปีศาจครอบงำอยู่ ฉันจัดการปีศาจตัวนั้นไปแล้ว ตอนนี้ที่บ้านของผกาไม่มีใครอยู่แล้ว”
บลูขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่ลุคจับให้นอนหนุนแขน
ดวงตาสีฟ้าดูจะไม่พอใจอยู่หน่อย ๆ แต่แล้วก็ยอมตามใจ ลุคที่พอใจท่าทีนี้พลิกตัวตามลงมาจูบหน้าผาก
“บ้านที่ไม่มีคนอยู่ สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นที่อยู่ของวิญญาณเร่ร่อน” ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งลุค และบลู จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“ตอนนายเรียกฉันกลับมา ฉันกำลังจะไปสำรวจบ้านเก่าหลังหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมือง ถ้าไม่อยากรออยู่เฉย ๆ คืนนี้พวกเราไปด้วยกันก็ได้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ แล้วพวกเราไปสวีเดนด้วยกัน”
“ถ้าเราไปสวีเดน แล้วแมงมุมตัวนั้นมันจะทำอะไรเกรซไหม”
“คนที่พวกมันต้องการคือนาย ไม่ใช่เกรซหรือคาร่า”
“แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะทำร้ายเกรซเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเราไปสวีเดน หรือเพื่องบังคับให้พวกเรากลับมาจากสวีเดน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็ต้องตรวจสอบว่าพวกมันรู้เรื่องที่พวกเราจะไปสวีเดนได้ยังไง”
“เออจริง” บลูขยับตัวกอดเอวหนาไว้ “ในเมื่อฉันยอมตามใจนายเรื่องที่นายจะไปกำจัดซอว์นีย์ก่อนให้ได้ นายก็ต้องรักษาสัญญาเรื่องที่จะช่วยเกรซให้ได้เหมือนกัน”
“แน่นอน”
...
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-01-2021 18:56:52
(ต่อครับ)

บลูตื่นนอนในตอนเกือบสองทุ่ม เพราะได้กลิ่นอาหารมื้อค่ำที่จัสตินเตรียมไว้
“ขอโทษ ฉันหลับสนิทเลย”
บลูพยายามทำสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกอาย เพราะในฐานะที่เป็นปีศาจนกฮูกที่บรรดาพ่อมด หมอผีมากมายต่างก็ต้องการตัว สมควรที่จะรู้สึกตัวตื่นนอนตั้งแต่ตอนที่ลุคตื่น แต่นี่กลับไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหาร
แย่ชะมัด!
“จัสตินทำสเต็ก มากินก่อนสิ เสร็จแล้วจะได้ออกไปจัดการเป้าหมายคืนนี้กัน”
บลูมองจานอาหารใบใหญ่ที่มีเนื้อชิ้นใหญ่ กับเครื่องเคียงมากมาย แล้วหันไปมองหน้าคนทำอาหาร
“จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะกินไม่หมด”
คือมันเยอะมากสำหรับนกฮูก แต่มันอาจเป็นปริมาณที่พอเหมาะสำหรับมนุษย์ตัวใหญ่อย่างทั้ง 2 คน
จัสตินพยักหน้าเชิงบอกว่าตามสบาย แต่บลูยังมีข้อสังเกตเมื่อเปรียบเทียบเนื้อสเต็กในจานของตัวเองที่ค่อนข้างดิบกว่าอีก 2 จาน
“ตอนที่เป็นนกฮูก ไม่ว่าจะกินหนอน หรือเมล็ดถั่ว ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะต่างกัน แต่พอมาอยู่ในร่างมนุษย์ไม่ว่าจะกินอะไร ก็มักจะรู้สึกว่าอาหารคือสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งการทำอะไรออกมาสวย ๆ แบบนี้”
“แล้วมันดีไหม” ลุคถาม
“ดี อย่างน้อยนี่ก็คืออาหารที่มีคนทำให้กิน ไม่ใช่บินออกไปไล่จับมากินเอง” บลูเล่าแล้วส่ายหน้า “ถ้าบรรยายออกมา นายต้องกินไม่ลงแน่ ๆ”
“แล้วถ้าเทียบกับแซนด์วิชและนมอุ่นที่ร้าน นายชอบแบบไหน”
บลูทำปากยื่นชกที่ไหล่หนาเบา ๆ ไม่ได้บอกว่าชอบอาหารที่ไหนมากกว่ากัน
...
บลูยังคงใช้วิธีแฝงตัวไปกับไอความร้อนจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุคที่มุ่งตรงไปที่เป้าหมาย
ถนนลูกรังสายนี้มีความกว้างพอให้รถวิ่งสวนทางกันได้ เมื่อพ้นจากบ้านหลังสุดท้ายที่มีลักษณะเป็นเพิงพักที่ไม่แข็งแรง เส้นทางระยะมากกว่า 10 เมตรถัดไปจะมีสภาพที่เป็นหลุมเป็นบ่อเป็นระยะไปตลอดทาง
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ห่างจากเป้าหมายมากกว่า 10 เมตร บลูก็รู้สึกถึงไอปีศาจที่ข่มขู่ว่าอย่าเข้ามาใกล้ แต่คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ทั้ง 2 คันก็ไม่เห็นจะสนใจ พุ่งตรงไปหาที่หมายอย่างแน่วแน่
สรุปว่า วันนี้พวกเขามาหาปีศาจ ไม่ได้มาหาพ่อมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไล่ล่าพ่อมดแม่มดจนสามารถยึดเครื่องรางได้มากมายจนผู้พิทักษ์ชาวเยอรมันคนนั้นต้องบ่นไม่ใช่หรือไง
จากตำแหน่งที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ 2 คันจอดอยู่ ถัดไปคือประตูบานเล็กขนาดความกว้างเท่ากับสะพานไม้ที่ทอดไปหาบ้านไม้ 2 ชั้นสภาพไม่แข็งแรงที่ปลูกอยู่กลางบึงน้ำ
ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ดูน่ากลัว และไม่น่าเข้าใกล้ ต่อให้ไม่มีเงาปีศาจสีดำดวงตาสีแดงที่ยืนจ้องมองลงมาจากหน้าต่างบ้านที่ชั้น 2 นั่นก็ตาม
ท่ามกลางความมืด ที่มองเห็นก็มีแต่ดวงตาสีแดงคู่นั้น กับความรู้สึกว่าถูกเกลียดชังเป็นอย่างมากจนสงสัยตัวเองว่ารู้จักกับเจ้าปีศาจตนนี้ด้วยหรือ แล้วไปทำร้ายเขาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ถูกเกลียดขนาดนี้
ยังมีความเคลื่อนไหวในบึงน้ำ ฟองที่ผุดขึ้นมาดึงความสนใจจากชั้น 2 ของบ้านลงมาที่ระลอกคลื่นและกลิ่นเหม็นรุนแรง 
ในตอนแรกยังคิดไปว่านี่คือกลิ่นน้ำที่เน่าเสีย แต่เมื่อลุคแตะที่ประตูไม้กลิ่นนั้นก็ชัดเจนขึ้น บลูคว้าชายเสื้อของลุคไว้แน่น เมื่อเห็นร่างที่ผุดขึ้นมาอยู่เหนือน้ำ
“อีกแล้วหรือ”
น้ำเสียงของบลูนั้นเบาจนแทบจะไม่พ้นจากริมฝีปาก แต่ทำให้ลุคก้าวถอยออกมา แล้วบอกให้บลูถอยไปรออยู่ที่รถ ขณะที่จัสตินที่ถือดาบสั้นปลายแหลมแบบเยอรมันเข้ามายืนแทนที่ลุคเมื่อครู่
บลูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก้าวถอยไปยืนรออยู่ที่รถ แต่ยังคงจ้องมองร่างเล็ก ๆ นับสิบ ที่ผุดขึ้นมาจากบึงน้ำแล้วส่งเสียงกรีดร้องเพื่อสร้างความหวาดกลัว
“เด็ก เยอะ เลย”
“รออยู่ตรงนี้นะ”
ลุคกำชับอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังให้ ขณะที่เดินกลับไปที่ประตูบ้านหลังนั้นก็สะบัดข้อมือทั้ง 2 ข้าง ปลอกข้อมือแอเรียสเรียกแส้หนังสีแดงเหมือนกับดวงตาเจ้าปีศาจตนนั้นออกมา
ในตอนที่ลุคสะบัดแส้ กลับแผ่ความเย็นเหมือนเกล็ดน้ำแข็ง ที่เสียดแทงลึกเข้าไปถึงในกระดูก บลูที่อยู่ด้านหลังถึงกับยกมือกอดอก แต่เมื่อลุคหันมามอง บลูก็รีบส่ายหน้า
“ฉันไม่เป็นไร นายไปจัดการธุระของนายเหอะ”
จัสตินผลักเปิดประตูนำเข้าไปก่อน แล้ววาดดาบในมือ แสงสีขาวจากปลายดาบแผ่กระจายตัดร่างเล็ก ๆ เหล่านั้นออกเป็นสองท่อนแล้วสลายไป ขณะที่ลุคฟาดแส้ลงกับพื้นกลายเป็นแรงส่งให้ดีดตัวขึ้นไปหาปีศาจที่อยู่บนบ้าน
ตอนที่จัสตินวาดดาบตัดร่างเล็ก ๆ เหล่านั้นบลูถึงกับสะดุ้งเฮือก ทั้งเกือบจะร้องตะโกนต่อว่า แต่เมื่อมวลอากาศสีดำปรากฎขึ้นมาแทนที่แล้วรวมกลุ่มขึ้นมาใหม่ บลูก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
วิญญาณเด็กในบึงน้ำ กลายเป็นกลุ่มก้อนสีดำพุ่งตรงเข้ามาหาจัสตินในลักษณะที่พร้อมจะเข้าครอบคลุมแล้วกัดกิน แต่ก็ถูกจัสตินวาดดาบตัดกลุ่มก้อนสีดำนั้นจนแตกกระจาย เพื่อที่จะกลับมากลับมารวมตัวใหม่เป็นกลุ่มก้อนสีดำ 2 ก้อนที่แยกย้ายกันเข้ามาหาอีกครั้ง
นั่นเป็นการเปลี่ยนรูปร่างของวิญญาณที่มีความโหดร้ายมาก
ขณะที่ลุคซึ่งกระโดดขึ้นไปหาปีศาจที่ชั้น 2 ฟาดแส้ 1 ครั้งเพื่อสลายมวลอากาศสีดำแห่งความเกลียดชังที่ปีศาจตนนั้นสร้างขึ้นเพื่อทำร้ายผู้บุกรุกเข้ามาหา จากนั้นฟาดแส้ครั้งที่ 2 เพื่อผลักดันให้ปีศาจนั้นถอยห่างจากหน้าต่าง เปิดช่องว่างให้ลุคเข้ามาในบ้านได้ แต่เมื่อจะผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาก็ต้องเผชิญกับมวลอากาศสีดำแห่งความเกลียดชังที่ถูกเรียกขึ้นมาใหม่และพุ่งเข้ามาหา ทั้งยังมีวิญญาณที่หลงลืมตนเองไปแล้วจนกลายเป็นเงาสีดำที่ไร้รูปร่างถูกเรียกขึ้นให้ต่อสู้กับลุคอีก
เงาสีดำเหล่านี้ ไม่ได้ถูกเรียกขึ้นมาจากบึงน้ำ แต่มาจากที่ใดที่หนึ่งในบ้านหลังนี้ 
ชายหนุ่มฟาดแส้สลายวิญญาณที่พุ่งเข้ามาหา และผลักให้ทั้งปีศาจและวิญญาณล่าถอยออกไปอยู่ใกล้หน้าต่างฝั่งตรงข้าม เปิดช่องว่างให้เข้ามาอยู่ภายในบ้านได้สำเร็จ
ปีศาจตาสีแดงแผ่ร่างให้กว้างกว่าเดิมแล้วพุ่งเข้ามาหา ลุคฟาดแส้ในมือชิ้นส่วนที่ถูกฟาดจนขาดยังพุ่งเข้ามาหา ชายหนุ่มสะบัดแส้อีกครั้ง ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็แตกสลาย แต่ตัวตนของปีศาจที่อยู่ในฝั่งตรงข้ามกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม
ท่ามกลางประกายแส้สีแดงที่วิ่งวนล้อมรอบห้องในชั้น 2 ของบ้านที่เป็นเพียงห้องโล่งเพียงห้องเดียว ปีศาจตาสีแดงยืนอยู่ด้านข้าง สิ่งของเพียงชิ้นเดียวที่อยู่ในห้องนี้คือรูปถ่ายชายคนหนึ่งในกรอบสีเงิน ที่ติดอยู่ที่ฝาผนัง
รูปขาวดำนั้นถ่ายไว้นานแล้ว ทั้งด้วยความมืดสลัว ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ลุคดีดนิ้วเรียกเปลวไฟจากปลายนิ้วมือส่งเข้าไปหารูปภาพ
แต่ภาพนั้นไม่มีชื่อบุคคลในภาพ ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะบ่งชี้ว่าเขาคือใคร
ทั้งปีศาจและวิญญาณในห้องนี้เคลื่อนไหวช้า ๆ เพื่อที่จะถอยห่างจากแสงสีแดงจากแส้แอเรียส แต่จะหนีไปที่ไหนได้ในเมื่อแสงนั้นล้อมรอบห้องนี้
ชายหนุ่มหมุนแส้ในมือช้า ๆ ขณะที่กล่าวถ้อยคำ
“ไม่ว่าเวลาปัจจุบันเจ้าจะอยู่ในสถานะอะไร มีความรู้สึกอย่างไร เรื่องราวที่เป็นสาเหตุนั้นล้วนผ่านไปแล้ว จงปล่อยมันไป”
ปีศาจตนนั้นต่อต้านด้วยการกรีดร้องเสียงดัง จนทำให้บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน ลุคฟาดแส้อีกครั้งแต่ปีศาจตนนั้นปัดออกทั้งควบคุมวิญญาณผู้หลงลืมตัวตนเหล่านั้นเข้ามาทำร้าย แต่เมื่อเข้ามาใกล้ลุคก็ฟาดแส้ออกไปวิญญาณเหล่านั้นแตกกระจัดกระจายแล้วกลับมารวมเป็นร่างเดียวกันดังเดิม
เสียงกรีดร้องทั้งในบ้านและนอกบ้านสร้างความหวาดกลัว ทั้งส่งผลต่อจิตใจให้ผู้ที่ได้ยินมีความเกลียดชังเพิ่มขึ้นจนอาจต้องคุ้มคลั่งแล้วหันไปทำร้ายผู้อื่น
แต่เสียงนี้ไม่มีผลต่อลุคและจัสติน
ลุคหมุนแส้ในมือขณะที่ท่องคาถาเพื่อให้ปีศาจสงบลง แล้วกลับมาสู่ร่างวิญญาณเพื่อที่จะส่งกลับไป 
นี่เป็นขั้นตอนที่ลุคต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก เพื่อควบคุม และสลายสาเหตุที่ทำให้วิญญาณของผู้ที่เดินทางมาไกล ต้องกลายไปเป็นปีศาจ ทั้งยังต้องใช้เวลานานจนบลูที่รออยู่ข้างนอกรู้สึกกังวล และต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นนกฮูกซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้
เวลาผ่านไปจนใกล้สว่าง เงาสีดำที่บึงน้ำถูกจัสตินสลายไปหมด บลูจึงรีบเข้ามาหาแล้วเปลี่ยนร่าง
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
จัสตินเช็ดรอยเปื้อนที่เสื้อพลางพยักหน้า
“นายส่งเด็ก ๆ ที่สู้กับนายไปในที่ดี ๆ หรือแค่กำจัดพวกเขา”
จัสตินเหลือบตามองดวงตาสีฟ้า ไม่ได้ตอบคำถามนั้นแล้วเดินนำเข้าไปที่บ้าน ทิ้งให้บลูคาดเดาคำตอบเอาเอง
ผู้ที่มีดวงตาฟ้ามองไปรอบ ๆ แล้วก็เดินตามเข้าไปในบ้านอีกคน
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเปล่า ๆ ที่ประกอบไปด้วยฝาผนัง 4 ด้าน ไม่มีเครื่องเรือน ประตูบ้านผุพัง ช่องหน้าต่างบางช่องยังมีบานหน้าต่างอยู่ ส่วนที่ไม่มีก็เพราะว่าผุพังลงมา ไม่ใช่เพราะมีผู้บุกรุกเข้ามางัดแงะขโมยของ
ลุคกำลังก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง เพราะบันไดบางขั้นหายไป
“ต้องสะสมความเกลียดไว้มากขนาดไหนถึงเปลี่ยนคนให้เป็นปีศาจ” บลูพูดขึ้นมาลอย ๆ ทำให้อีก 2 คนหันมามอง
“ทำไมต้องมองอย่างนั้น ความเกลียดของเจ้าตัวสีดำนั่นมันชัดเจนเสียขนาดนั้น”
จัสตินกับลุคกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้กัน ที่ทำให้บลูรู้สึกไม่สบายใจ
“ถ้ามีความลับแล้วพาฉันมาทำไม”
ลุคพยักหน้าเรียกให้ทั้ง 2 คนเดินตามขึ้นมาที่ด้านบน แล้วชี้ไปที่รูปที่ฝาผนัง
บลูเอียงคอมอง แล้วหันมาหาลุค “อธิบายมาเถอะ” นายก็รู้ว่านอกจากเผาคาร่าแล้ว ฉันทำอย่างอื่นไม่เป็น
“บรรพบุรุษของเขาคือเฒ่าเลียมหัวหน้าคนสวนที่บ้านของฉันในเบ็ตตี้ เมื่อนานกว่า 400 ปีที่แล้ว” ลุคหันมามองบลูที่กำลังทบทวนความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน “เรารู้ว่าซอว์นีย์ คือกลุ่มพ่อมด แม่มดที่ควบคุมปีศาจ ขณะที่ทายาทคนนี้ของเฒ่าเลียมกลายเป็นปีศาจด้วยอำนาจที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือด และเมื่อเขาตกอยู่ในความเกลียดชังเป็นอย่างมาก เขาใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิดทำให้เขากลายเป็นปีศาจในแบบเดียวกัน”
บลูเข้าใจไม่ถึงครึ่ง “เฒ่าเลียมคือพ่อมด หรือเป็นคนควบคุมปีศาจของคาร่า”
ขณะที่จัสตินกลอกตามองบน ลุคก็ต้องเริ่มอธิบายตั้งแต่แรก
“ฉันไม่รู้ พวกเราตามหาซอว์นีย์จากหลายทาง หนึ่งในนั้นคือการตามหาบันทึกการไต่สวนเพื่อหาตัวคนที่กล่าวหา หรือเป็นพยานในคดีที่เกิดขึ้นในเบ็ตตี้ รวมถึงครอบครัวไร้ท์ แต่เราไม่เจอชื่อใครสักคนอยู่ในบันทึก ไม่มีแม้แต่ชื่อของคาร่า ทั้งที่เราทุกคนรู้ว่าเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง เรารวบรวมรายชื่อของคนในบ้านของฉัน รวมถึงคนในหมู่บ้าน แล้วก็มาวิเคราะห์พฤติกรรมของพวกเขา ว่ามีใครเข้าข่ายว่าจะเป็นพ่อมด หรือผู้ควบคุมปีศาจ”
ช่างเป็นการทำงานที่กว้างมาก และต้องใช้เวลาในการติดตามการเคลื่อนไหวของแต่ละครอบครัวเป็นเวลานาน
“แต่เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงเฒ่าเลียมในเวลานั้น ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นพ่อมด หรือเป็นผู้คุมวิญญาณ เพราะเขาอยู่ที่บ้านมาก่อนที่คาร่าจะเข้ามาที่บ้าน เป็นคนไม่มีความลับ เขาอาจจะมีความไม่พอใจใครบางคน แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์รุนแรง หรือมีอะไรให้ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ สรุปคือในตอนแรกที่ฌ็องส์บอกว่ามีผู้สืบเชื้อสายของคนงานในบ้านคนหนึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันก็ยังไม่คิดว่าจะเป็นทายาทของเฒ่าเลียม”
“นายคิดสงสัยใคร”
“ฉันคิดถึงพวกคนงานในครัว หรือโรงฆ่าสัตว์ ไม่ก็พวกกลุ่มคนแก่ที่เป็นผู้นำหมู่บ้านที่มักจะไปที่โบสถ์”
บลูละสายตาจากภาพถ่ายแล้วหันมาหาลุค “เอาเป็นว่า เมื่อรู้ว่าปีศาจตัวนี้คือทายาทของเฒ่าเลียมแล้วจะจัดการยังไงต่อไป”
สาธุคุณฌ็องส์คือผู้พบเบาะแสว่ามีบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากชาวเบ็ตตี้คนหนึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อ 80 ปีก่อน และมีครอบครัว ลุคกับจัสตินจึงตามมาพบ เพื่อหาเบาะแส แต่กลับพบว่า คนผู้นี้กลายเป็นปีศาจไปนานหลายปีแล้ว
จัสตินพูดขึ้น “ดูจากช่วงเวลาที่มา น่าจะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาอาจเป็นคนที่ถูกส่งมายังอีกซีกโลกหนึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง”
“เราต้องให้ฌ็องส์สืบต่อ ว่ายังมีใครในครอบครัวของเฒ่าเลียมที่เป็นปีศาจอีกหรือไม่” ลุคชี้ไปที่รูปภาพ “ที่ฉันสามารถบอกกับนายในตอนนี้ได้ก็คือ สำหรับมนุษย์โดยทั่วไป จะมีหลายสาเหตุที่สามารถเปลี่ยนให้เขากลายไปเป็นปีศาจได้ แต่จะมีปีศาจอยู่รูปแบบหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนที่เคยเป็นพ่อมด หรือเคยควบคุมปีศาจ”
ลุคกำลังพูดถึงหลักฐาน ที่บลูรู้ว่าการที่ลุคเล่าเรื่องมาตามลำดับอย่างระมัดระวัง ก็เพื่อไม่ให้คนฟังอาละวาดขึ้นมาก่อนที่จะเล่าเรื่องจบ
แต่เพราะต้นเรื่องราวที่เกี่ยวกับปีศาจตนนี้มีความเกี่ยวข้องกับการใส่ร้ายครอบครัวไร้ท์ ดังนั้นบลูจึงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเพื่อที่จะฟังเรื่องที่อีกคนกำลังอธิบายให้จบ
“ปีศาจแบบที่เราเจอวันนี้ มีชื่อเรียกกว้าง ๆ ว่าเฟโอ”
“น่าเกลียดน่ะหรือ” บลูถาม
“ใช่” ปีศาจที่เกิดจากความเกลียดชัง ชื่อว่าน่าเกลียดก็ถูกแล้ว “จากที่ต่อสู้กันและส่งวิญญาณเมื่อครู่ เฟโอตัวนี้ไม่ได้ติดต่อสื่อสารกับพ่อมด หรือปีศาจตนอื่น เขาอยู่ที่นี่มาตลอดตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นปีศาจ และเมื่อเป็นปีศาจไปแล้ว เขาใช้พลังอำนาจจากความเกลียดชังนั้นผลักดันคนและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ให้ออกไป”
บลูกำมือแน่น “หมายความว่า เจ้าตัวนี้มีความเป็นพ่อมดหรือความสามารถในการควบคุมปีศาจอยู่ในสายเลือด เหมือนกับบรรพบุรุษของเขา โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องในอดีตเลย แต่เพราะความเกลียดชังบางสิ่งบางอย่าง ทำให้เขาค่อย ๆกลายเป็นปีศาจ แถมเขายังอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว แล้ววิญญาณเด็ก ที่ผุดขึ้นมาจากน้ำพวกนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”
“นั่นเป็นเด็กที่เขาเป็นคนฆ่าแล้วทิ้งศพไว้ที่นี่ ฉันเห็นภาพไม่ชัดว่า เป็นลูกหลานของเขา หรืออาจเป็นเด็กที่เขาขโมยมา”
บลูหันไปทำตาขวางใส่จัสติน “พวกเขาถูกฆ่าและถูกกักขังวิญญาณไว้ที่นี่ แต่นายก็กลับไม่ส่งวิญญาณพวกเขาไปที่ดี ๆ”
“คนที่ทำเรื่องนั้นได้คือมือปราบ ไม่ใช่ผู้พิทักษ์อย่างฉัน” จัสตินกอดอกเถียงด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
บลูเดาะลิ้นหันไปพาลใส่ลุคทันที “สรุปคือเราได้อะไรจากการมาที่นี่”
“ได้รู้ว่ามีคนในบ้านของฉันเอง ที่เป็นคนสนับสนุนคาร่า และได้รู้ว่าคนที่ดูเปิดเผย และมีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเป็นพ่อมดก็ยังสามารถเป็นพ่อมด หรือผู้ควบคุมปีศาจได้เหมือนกัน”
บลูส่ายหน้า “นี่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังนึกหน้าเฒ่าคนนี้ไม่ออก แล้วพวกนายจะไปที่ไหนกันต่อ”
จัสตินบอก “ฉันต้องไปหาฌ็องส์ บอกเรื่องที่บ้านนี้ และเรื่องที่พวกเราต้องเดินทาง”
“ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการเหมือนกัน” บลูบอก “ฉันต้องไปทำเรื่องย้ายของออกจากคอนโดฯน่ะ”
ลุคเลิกคิ้วสูง แต่บลูชี้บอก “อย่าหวังว่าฉันจะบอก”
“ไม่บอกก็ได้ แต่ฉันไม่มีอะไรทำพอดี ดังนั้นวันนี้ฉันจะตามนายไปทุกที่”

จบตอนที่ 17
ฮัลโหล ยังมีใครอยู่บ้าง ตอบไลน์ อ๊ะไม่ใช่ ขอช่วยตอบข้อความเป็นกำลังใจกันสักนิดนะครับ
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันในวันที่เงี๊ยบเงียบเนอะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 14-01-2021 19:34:08
เย้ๆ เย้ๆ มาแล้ววววว



 :mew1:  :mew1:


แปะไว้ก่อน


เดี๋ยวกลับมาอ่านน๊า


 :3123:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-01-2021 20:59:30
ยังคงซับซ้อน มีเรื่องให้ลุ้นตลอด
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 15-01-2021 17:07:24
อืม ก็สงสัยมาหลายตอนว่าทำไมพี่ลุคไม่จัดการนางปิศาจแมงมุมที่ควบคุมเบสก่อน




 :serius2:




มาตอนนี้พอพี่ลุคอธิบายให้พี่บลูฟัง เราก็เลย อ้อ...เข้าใจล่ะ อย่างงี้นี่เอง ต้องค่อยเป็นค่อยไป




 :เฮ้อ:       ใจร้อนไปกับพี่บลูด้วยอ่ะ




ตอนนี้มีตัวละครใหม่ด้วย เด็กน้อยกระดิ่งแก้ว

เป็นใคร อะไร ยังไงฮะพี่จัสติน ตอบด้วยยยยย



 :katai2-1: 



อ่านมาตั้งนาน ไม่ยักรู้ว่ามือปราบวาติกันอย่างพี่ลุค พี่จัสติน ต้องมีวีซ่าด้วย 555 เชงเก้นด้วยน๊า




แล้วตอนทำพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่เค้าไม่ตกกะใจเหรอฮะว่าพี่ๆ อายุหลายร้อยปีเลย 



 :hao3:



ตอนหน้าไปสวีเดนกันแล้ว ตัวละครไหนจะโผล่ออกมาบ้างนะ อยากรู้จัง



ติดตาม ติดตาม  :impress2:



ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นี้นะฮะ  :pig4:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 27-01-2021 13:56:29


ในขณะที่พวกลุคต้องค่อยๆตามสืบเสาะไปแบบนี้


แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าแผนของพวกปีศาจพวกนั้นซะจริง


นกฮูกเราที่ช่างจ๊อกๆแจ๊กกๆ ข้างๆลุคแบบนี้ค่อยอุ่นใจ คือยังไงก็รู้สึกว่าน้องจะไม่เป็นอันตราย




แต่ ........... คนที่จัสตินคอยปกป้องในบ้าน ตอนนี้ น่าติดตามจุง  :katai2-1:  :katai2-1:



ขอบคุณค่า

 :L2:  :L2:


หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 16-02-2021 12:49:17
ตอนที่ 18

บลูไม่ได้อยากให้ลุคตามไปด้วยทุกที่ แต่การหนีจากลุคในเวลานี้มันก็อาจทำให้กลายเป็นผู้ต้องสงสัย
“นายมีเรื่องให้ทำตั้งมากมายไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ไปทำ”
ภายในห้องสีขาวที่มีเครื่องเรือนของลุควางอยู่ บลูกำลังยืนเท้าเอว ท่าทางเอาเรื่องคนที่ใช้เวลามากกว่ากันแค่ 10 นาทีในการเดินทางมาถึงห้องนี้
คาดว่าที่ช้าน่าจะเป็นเรื่องการหาที่จอดรถ กับรอลิฟท์ ไม่ใช่เรื่องการจราจร
“ก็เผื่อว่ามีอะไรให้ช่วย”
“ไม่มีอะไรให้ช่วย บอกไว้เลยว่า ไอ้แสงขาว ๆ จากนายน่ะมันคือสัญญาณเรียกศัตรู”
“แต่ตอนนี้เก็บไปแล้ว” ลุคผายมือ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้
...เออ จริง ไอพลังงานของมือปราบถูกเก็บหายไปตั้งแต่ตอนที่อยู่ในบ้านไม้กลางบึงน้ำหลังนั้น น่าจะหายไปพร้อม ๆ กับตอนที่จัดการปีศาจตนนั้นเสร็จ
ลุคเหลียวมองไปรอบห้อง “นายจะย้ายของในห้องนี้ไปที่ไหน”
บลูเงียบ ไม่ตอบคำถาม ลุคก็เลยพยักหน้า “แล้วพวกเตียงกับเครื่องครัวของฉันล่ะ นายย้ายไปด้วยหรือเปล่า”
บลูพยักหน้า “พรุ่งนี้บริษัทขนย้ายจะมาย้ายไป เสร็จเรียบร้อยจะบอก มันออกจะยุ่งยากสักหน่อย”
สีหน้าท่าทางของบลูดูลำบากใจที่จะเล่าอย่างแท้จริง และลุคก็เข้าใจ
“หมายความว่า ในระหว่างวันพรุ่งนี้และวันถัดไปจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ห้ามฉันตามนายถูกต้องไหม”
บลูพยักหน้า
“สัญญาได้ไหม ว่าในเวลาที่ฉันไม่ได้ตามนาย นายจะไม่เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย”
“ลุค เมอร์ฟี่ นายไม่เบื่อบ้างหรือไง ที่ต้องพูดประโยคนี้ซ้ำอยู่ทุก ๆ 5 นาทีน่ะ”
“ไม่นะ ครั้งก่อนที่พูดคำนี้ มันนานกว่า 10 ชั่วโมงแล้ว” ลุคเดินเข้ามากอดแล้วแนบคางไว้กับผมนิ่ม
“นายมันสสารน่าเบื่อ” บลูบ่นเบา ๆ “นายจะอยู่ในห้องนี้ต่อก็ได้นะ แต่ฉันต้องนอนพักแล้ว”
ลุคก้มลงหอมที่ขมับ “นอนพักให้สบาย ฉันจะเป็นการ์ดให้นายเอง รับรองว่าจะไม่มีใครรบกวนการนอนพักของนาย”
...
เบส ข้าวโพด และนทีกลับจากการเที่ยวเกาะในแบบที่ไม่ได้รู้สึกว่า ‘มีเรื่องสนุก ๆ ที่จะไปเล่าอวดให้คนที่ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันฟังมากมายหลายเรื่อง”
มีก็แต่รูปถ่ายมากมายที่นทีถ่ายและอัพโหลดใส่ไดรฟ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไว้ เพราะที่เกาะไม่มีอินเทอร์เน็ต แล้วในระหว่างที่กำลังนั่งรถกลับมาเบสก็ถามถึงรูปภาพเหล่านั้น นทีจึงเปิดโน้ตบุ๊กให้ดูรูปอยู่ด้วยกันที่เบาะด้านหลัง
นทีถ่ายรูปมาเยอะ แต่มันก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดที่ต้องใช้เวลาดูนานมากอย่างที่เบสกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้
รูปในตอนที่ออกเดินทาง ไปจนตอนที่ขึ้นเรือไม่เท่าไหร่ มีอยู่รูปสองรูปที่เบสจะจ้องมองรูปอยู่นิ่ง ๆ แต่รูปที่ถ่ายบนเกาะอินนี่ถือว่า เบสพิจารณามากเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ซูมเข้าซูมออกไปยังบางจุดในรูป
บางรูปดูผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังกลับมาดูมาวิเคราะห์ใหม่ก็มี
ชัดเจนเลยว่า เบสกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างในภาพ
นทีอยากถามใจจะขาด แต่ยอมรับกลัวคำตอบ พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากข้าวโพดก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะข้าวโพดขับรถอยู่
ตอนแรกก็พยายามจ้องมอง และสังเกตภาพตามเบสไปด้วย แต่ผ่านไปได้ไม่ถึง 15 นาทีนทีก็เปลี่ยนมาสังเกตท่าทีของเบสแทน
ข้าวโพดแวะปั๊มน้ำมัน เพื่อแวะซื้อขนมและเข้าห้องน้ำ เบสถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
“เอาอะไรไหมเบส”    นทีถาม
“ขอชามะนาวไม่หวาน” เบสบอก “เดี๋ยวเราเฝ้ารถ พอข้าวโพดหรือนทีกลับมา เราค่อยไปห้องน้ำ”
ทั้ง 2 คนพยักหน้าตามนั้น
ข้าวโพดเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ไปซื้อชามะนาวมาให้เบสก่อน ส่วนนทีไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อขนม
เบสไม่ได้พักหน้าจอโน้ตบุ๊ก เพราะคิดว่าไปเข้าห้องน้ำแค่ไม่กี่นาที แต่ภาพที่เบสกำลังดูอยู่เป็นภาพตอนที่กำลังเดินเที่ยวในหมู่บ้านชาวประมง
ข้าวโพดพยายามเพ่งมองหาคน หรือ เงาที่อาจเป็นสิ่งที่เบสกำลังพยายามมองหา แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรในรูปนี้ที่น่าสงสัย
จากเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ข้าวโพดรู้สึกระแวงและไม่ไว้ใจใครหลายคนบนเกาะนั้น แต่ถ้าจะถามถึงสถานที่ที่รู้สึกไม่ไว้ใจ ก็แทบจะทุกพื้นที่บนเกาะนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะหมู่บ้านประมง หมู่บ้านโบราณหรือแม้แต่ที่บ้านพัก
ตั้งแต่ตอนที่ลุคฝังเข็มเล่มเล็กไว้เหนือหัวใจ ข้าวโพดก็บอกกับตัวเองมาตลอดว่าควรไปเรียนมวย หรือการต่อสู้อะไรสักอย่างเพิ่มเติม แต่จะไปอย่างไรในเมื่อในใจกำลังเป็นกังวลที่เบสกำลังกลายไปเป็นใครอีกคนที่ไม่รู้จัก
เบสกลับมาที่รถอย่างรวดเร็ว และถามขึ้นทันทีที่เปิดประตูรถเข้ามา แล้วนั่งลงที่เดิม
“เป็นอะไร ขับรถไหวหรือเปล่า”
“ไหว ไม่ได้เป็นอะไร”
“เห็นหน้าซีด”
“แล้วถ้าเราไม่สบาย เบสจะขับรถไหมล่ะ นทียังไม่มีใบขับขี่”
“เออ นี่ ตกลงนทีขับรถเป็นหรือไม่เป็นกันแน่”
“เป็น เคยขับรถกระบะของที่บ้าน แต่ไม่รู้ทำไม มันขับรถคนอื่นไม่ได้ เห็นนานาพยายามจะให้มันไปเรียนขับรถจะได้ไปทำใบขับขี่ แต่ก็ไม่สำเร็จ”
เบสทำหน้ายู่ แล้วดื่มชามะนาว ขณะที่ข้าวโพดดื่มน้ำอัดลม
“เบสบอกให้นทีมันแชร์รูปมาให้สิ แล้วไปดูที่หน้าจอใหญ่ที่บ้านดีกว่ามาเพ่งแบบนี้”
“รู้หรือไงว่าเรากำลังหาอะไร”
“ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เบสสนใจ หรือชอบ เราก็ตามใจเบสอยู่แล้ว”
เบสส่ายหน้าแล้วหันไปมองข้างนอก
“หิวหรือเปล่า”
“ยังไม่หิว ข้าวโพดหิวหรือไง”
“ไม่เท่าไหร่ จากตรงนี้ยิงยาวถึงบ้านเลยก็ได้”
นทีเคาะประตูก่อนที่จะเปิดประตูรถ “อ้าวยังไงกันคุณ มาอยู่เบาะหลังกันหมด จะให้ผมขับรถหรือครับ ไม่รับประกันความปลอดภัยนะครับ”
ข้าวโพดลุกจากที่นั่งด้านหลัง ย้ายไปที่นั่งคนขับ
“ทำไมนทีขับรถกระบะที่บ้านได้ แต่ขับรถคนอื่นไม่ได้” เบสถามเมื่อนทีเข้ามาประจำที่แล้วส่งถุงขนมให้
“รถส่งน้ำแข็งที่บ้านน่ะเหรอ ขับด้วยความจำเป็นไง เพราะต้องทำงาน แต่ก็ใกล้ ๆ ละแวกบ้าน ขับทุกครั้งก็เครียดเหงื่อตกทุกครั้ง แล้วจะให้ไปขับรถคนอื่นเหรอ ไม่เอาหรอก ไม่มีเงินซ่อมให้เขา” นทีอธิบายยาว
“ไม่เห็นมันจะต่างกันเลย”
“มันต่างกันครับ ต่างกันมาก” นทียืนยัน
ข้าวโพดเลี้ยวรถออกจากปั๊มน้ำมันเข้าสู่ถนนใหญ่ “ที มึงอย่าลืมแชร์รูปให้กูด้วยนะ”
“ไม่ลืม” ข้าวโพดหันไปค้นกระเป๋า “แต่กูว่ากูมีแฟลชสำรอง 32 กิ๊กติดอยู่ก้นกระเป๋าอันนึง แต่ขอหาก่อน โหลดใส่แฟลชไปเลยดีกว่า”
ในที่สุดนทีก็หาแฟลชไดร์ฟสีแดงที่อยู่ก้นกระเป๋าจนเจอ จัดการฟอร์แมทแล้วอัพโหลดรูปทั้งหมดให้เบส
ระหว่างนั้นเบสก็เลือกดูขนมที่นทีซื้อมา
“มีโตเกียว มึงป้อนข้าวโพดสิ” นทีแนะนำขณะที่กำลังโหลดภาพ
เบสพยักหน้า หยิบขนมโตเกียวป้อนให้ข้าวโพด
“ย้ายไปนั่งข้างหน้าดีกว่าไหม” เพราะตอนนี้เบสที่นั่งอยู่เบาะหลังต้องยื่นมือไปป้อนข้าวโพดที่ขับรถ
เบสพยักหน้าอีกครั้ง แล้วจะก้าวข้ามช่องว่างระหว่างเบาะไปหาข้าวโพดจริง ๆ
“เดี๋ยวเบส ใจเย็น ขอเอารถเข้าข้างทางก่อน” ข้าวโพดเตือน
“อ้าว” เบสดูงุนงง แต่ก็รอจนข้าวโพดบอกให้ข้ามมาได้ ถึงได้ข้ามมาหา จากนั้นข้าวโพดก็ออกรถต่อไป
“คิดว่าจะเลือกโหลดไปเฉพาะรูปที่มีแต่มึง 2 คนเสียอีก เห็นที่เกาะไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกัน ไม่คิดว่าจะเอาทั้งหมด ไม่งั้นก็โหลดให้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะข้าวโพดกับเบสใช้โทรศัพท์ส่วนตัวถ่ายรูปไปเพียง 5 รูป คือรูปเดี่ยวของทั้งคู่กับรูปวิวอีก 3 รูป ก็สมควรที่นทีจะคิดอย่างนั้น
“ก็กูเห็นมึงถ่ายรูปตั้งแต่ขาไปยันกลับ ก็คิดว่าไว้บอกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วไปกัน 3 คนก็ต้องมีรูปทั้ง 3 คนเป็นที่ระลึกสิวะ” ข้าวโพดบอก
“แหม ๆ ไปกัน 3 คน” นทีทำน้ำเสียงกระแนะกระแหน “มึง 2 คนตัวติดกันตลอด รู้หรือเปล่าเหอะ ตอนที่กูไปจีบลูกชายเจ้าของรีสอร์ทน่ะ”
“นที” เบสหันมาดุ
นทีแกล้งทำเป็นตกใจ “อะไร แค่นี้ต้องดุด้วย”
“นานาล่ะ”
“กูแหย่เล่น กูเปรียบเทียบ กูพร่ำไปเรื่อย กูไม่ได้พูดจริง โอเคป้ะ”
เบสส่ายหน้าขำ ๆ ไม่ได้ว่าอะไร
“กูควรอธิบายอะไรต่ออีกสักหน่อยไหม”
ข้าวโพดเหลือบตามองกระจกมองหลัง “มึงอยากอธิบายอะไรก็พูดมาเหอะ ปล่อยรถเงียบ เดี๋ยวกูเผลอหลับใน”
“ตบปากก่อนเลยมึง” นทีขยับตัว “ชี้แจงก่อนเลยนะครับคุณเบส กระผมมิได้จีบลูกชายเจ้าของรีสอร์ท คุณก็เห็นว่าพอถึงฝั่งโทรศัพท์มีสัญญาณ กระผมก็โทรหานายหญิงนานาเป็นคนแรกเลยนะ”
“รู้แล้ว” เบสพยักหน้า “นี่ถ้าย้ำมาก ๆ จะคิดว่าจีบจริงละนะ”
“กลัวคิดว่าจริงแล้วจะเอาไปฟ้องนายหญิงน่ะสิ” นทีทำสีหน้าขอความเห็นใจ “นี่กูเปล่าย้ำนะ กูแค่ทำความเข้าใจ”
“เข้าใจแล้ว” เบสหันไปป้อนขนมให้ข้าวโพด ที่หันมาหาทำให้ต้องดุกันอีกคน “อ้าปากอย่างเดียว ไม่ต้องหันมา”
“โดน...” นทีชี้เพื่อนแล้วหัวเราะ
“แหมมึง พอกูโดนดุแล้วมีความสุขนะ”
“ถูกต้องครับผม” นทีบอกแล้วส่งแฟลชไดร์ฟ ที่โหลดเสร็จแล้วให้กับเบส
ตั้งแต่ออกเดินทางจากบ้านไปเที่ยวเกาะอิน จนกลับมา ทั้ง 3 คนเพิ่งได้คุยกัน หัวเราะกันอย่างผ่อนคลายก็ตอนนี้เอง
ข้าวโพดและเบสไปส่งนทีถึงหน้าบ้าน ทั้งลงไปสวัสดีแม่ของนที ส่วนพ่อยังอยู่ที่โรงน้ำแข็ง
เมื่อกลับขึ้นมาบนรถ เบสก็ชวนคุย ในแบบที่ข้าวโพดรู้ว่าเบสกำลังพยายามที่จะไม่ปล่อยให้เกิดช่วงเงียบอย่างที่ข้าวโพดบอกไว้ก่อนหน้านี้ จนมาถึงหัวข้อเรื่องที่ข้าวโพดต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตอบ
“ถ้าเมื่อวานนี้พวกเราไม่ไปเกาะอิน ข้าวโพดจะทำอะไร”
“คงไปช่วยชมรมใดชมรมหนึ่งในมหาวิทยาลัยน่ะแหละ”
“แต่เราไม่ชอบไปชมรมนี่”
ข้าวโพดพยักหน้า “เรารู้ แต่ก่อนนี้เราเป็นยังไง เบสก็คงเห็นอยู่ แต่ในเมื่อเวลานี้พวกเราอยู่ด้วยกัน ถ้าเรายังทำอะไรแบบเดิมทั้งที่รู้ว่าเบสไม่ชอบ มันก็จะทำให้เบสรู้สึกไม่ดีใช่ไหม”
“แสดงว่าฝืนใจไปเที่ยวกับเราสินะ”
“เบสรู้ดีว่าเราไม่ได้ฝืนใจ เราอยากไปเที่ยวกับเบส แล้วทำไมต้องพูดอะไรแบบที่จะทำให้ตัวเองต้องอารมณ์ไม่ดีแบบนั้น”
เบสนิ่งเงียบหันไปมองทางอื่น ข้าวโพดก็เอื้อมมือมาจับศีรษะ
“อย่าคิดมาก แล้วถ้าอยากไปไหนก็บอก”
“ข้าวโพดมักจะตามใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สักวัน ตัวตนของข้าวโพดจะหายไป”
“คนอื่นที่ไหนล่ะ เราตามใจเบสต่างหาก ถ้าไม่ใช่เบส เราก็ไม่ตามใจหรอก”
เบสไม่เห็นด้วย “แต่จากที่เราเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย ข้าวโพดดีกับทุกคน ตามใจทุกคน”
“ตามใจ กับช่วยเหลือกัน มันคนละเรื่องกันนะเบส เราตามใจเบสเพราะอยากให้เบสมีความสุข ส่วนเรื่องเพื่อนหรือเรื่องชมรมเนี่ยเราไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องช่วยเหลือหรืออะไร คิดแค่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เราทำได้เราก็อยากทำ”
“ถึงจะทำไม่ได้ ก็อยากจะไปเรียนเพื่อทำให้ได้ใช่ไหม”
ข้าวโพดหัวเราะ เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งคิดเรื่องไปเรียนการต่อสู้อยู่พอดี
“ก็เพื่อนกัน รุ่นพี่ รุ่นน้องมีอะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน เราเองก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง เราอาจต้องเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือในสักวันหนึ่งก็ได้”
“แล้วถ้าเขาไม่ช่วยล่ะ”
“ก็ไม่เป็นไร อะไรที่ให้ไปแล้ว ถ้าจะไม่ได้รับกลับมาก็ไม่เป็นไร”
เบสหันไปมองใบหน้าด้านข้างของข้าวโพด คิดว่าคำที่ข้าวโพดบอกออกมามีความหมายมากกว่าเรื่องการช่วยเหลือคนอื่น
“ข้าวโพดเป็นคนดี”
“เบสเคยเรียกเราว่าเป็นอาสาไม่ต้องสมัคร” ข้าวโพดเหลือบตามองคนที่ไม่มีท่าทีว่าจะจำคำพูดของตัวเองได้ “แถมยังทายไว้ว่า ถ้ามีแฟนก็ไม่น่าจะคบกันได้ยืดเพราะเราไม่น่าจะมีเวลาเหลือให้แฟน”
ดังนั้นข้าวโพดจึงตามใจ และให้เวลากับเบสก่อนเสมอ
“เรารู้ว่าข้าวโพดดีกับเรามาก...” เบสพูดแล้วนิ่งเงียบ สีหน้าแววตาเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่วินาทีหนึ่งแล้วก็หายไป “เอาเป็นว่า ทำทุกอย่างเหมือนเดิมก่อนที่เรา...จะมาอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าจะไปไหน ก็อยากให้บอกกันไว้บ้างก็ดี เผื่อเราจะได้ตามไปกินซาลาเปาข้างตึกกิจกรรม”
“ได้ ขอบใจนะ”
มือที่จับพวงมาลัยรถแน่นกว่าเดิม
ไม่เคยเลยสักครั้งที่ข้าวโพดจะไม่บอกกับเบสว่าจะไปไหน กับใคร และจะทำอะไร เบสอยู่ในสถานะพิเศษมาตั้งแต่วันแรกที่พบกัน
แต่เมื่อเลี้ยวรถเข้าซอยมาได้ไม่ถึง 50 เมตรก็เห็นคนซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งถีบรถมอเตอร์ไซค์อีกคันจนตกข้างทาง ข้าวโพดกดแตรรถลากยาวเสียงดัง ทำให้รถมอเตอร์ไซค์คันแรกหันมามองแล้วรีบหนีไป
“เบส”
“หือ”
“ขออนุญาตไปช่วยคนนะ”
เบสพยักหน้า มองตามข้าวโพดที่จอดแล้วรีบลงไปช่วยคนเจ็บ ขณะที่มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีก 2 คันแวะมาช่วยแต่คนเจ็บถูกรถทับและหมดสติ ทำให้ทั้ง 3 คนไม่กล้าดึงคนเจ็บออกมา
เบสคว้าโทรศัพท์มาส่งให้ข้าวโพด “เรียกตำรวจกับเรียกรถฉุกเฉินสิ”
ข้าวโพดรับโทรศัพท์มากดแจ้งเหตุทันที ไม่ถึง 5 นาทีรถฉุกเฉินก็มาถึง ตามมาด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบสจึงถอยมายืนอยู่ข้างประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ มองดูข้าวโพดพูดคุยกับตำรวจทั้งกลับมาดูภาพจากกล้องหน้ารถว่ามองเห็นป้ายทะเบียนของรถมอเตอร์ไซค์คันที่เป็นฝ่ายถีบหรือไม่ แล้วกลับไปบอกกับตำรวจว่า จะกลับไปโหลดไฟล์ภาพจากกล้องหน้ารถที่บ้านแล้วส่งเมล์ไปให้ที่สถานีตำรวจ
เมื่อญาติผู้บาดเจ็บมาถึงก็แบ่งกลุ่มกันคนหนึ่งไปกับรถกู้ภัยเพื่อพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล ส่วนที่เหลือยืนคุยอยู่กับตำรวจ
ช่วงเวลาที่วุ่นวายนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่คนกอดอกยืนมองมีรอยยิ้มอ่อนเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เรียกว่าข้าวโพดอยู่จนกระทั่งตำรวจและญาติหันมาบอกขอบคุณ ข้าวโพดถึงได้กลับมาที่รถ
“เรียบร้อยแล้วหรือ”
“ยังหรอก ต้องกลับไปโหลดคลิปช่วงที่โดนถีบแล้วส่งไฟล์ให้ตำรวจกับญาติเขา”
“ขอเมลมาแล้วหรือ”
“ให้มาทั้งเมล ทั้งเบอร์โทรฯและไลน์” ข้าวโพดยักคิ้ว “เผื่อลืม ลบไฟล์ทิ้งก็ยังมีสำรอง”
ความสุขของข้าวโพด-จิรกร คุณสิริกร คือการได้ช่วยเหลือผู้อื่น และยิ่งมีความสุขมากขึ้นเมื่อหันมาเห็นว่าเบสชื่นชม
“ตอนที่กดแตรรถเสียงดัง ไม่คิดหรือว่าถ้าอีกฝ่ายมากันหลายคน หรือมีอาวุธเขาอาจจะหันมาทำร้ายเรา”
ข้าวโพดเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่ส่ายหน้า “ไม่คิดหรอก ถ้าคิดก็จะไม่ได้ช่วยคน”
เบสเห็นด้วย “ก็จริงนะ แต่ถ้าตอนนั้นข้าวโพดไม่กดแตรในทันทีที่เกิดเหตุขึ้น คนพวกนั้นก็อาจจะตามไปซ้ำคนเจ็บก็ได้ ทำดีแล้ว”
ข้าวโพดยิ้มกว้าง ความยินดีและความภูมิใจที่ฉายออกมาทางแววตาชัดเจน
ตัวตนของข้าวโพดไม่ได้หายไปไหน ยิ่งเขาช่วยเหลือ ดูแลคนอื่นมากเท่าไหร่ ตัวตนของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
...
ลุคผู้ไม่มีความจริงจังในการขัดใจบลู ก็ยังคงไม่มีความจริงจังอยู่เช่นนั้น เพราะสุดท้ายก็ยอมมาดูข้าวโพดและเบสที่บ้านว่ากลับมาหรือยัง และเป็นอย่างไรบ้างตามที่บลูต้องการ แต่การตามใจครั้งนี้ต้องมีเงื่อนไข
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพบเห็น และต้องอยู่ห่างจากแมงมุมดำตัวนั้น บลูเลือกที่จะแฝงตัวและรออยู่ที่คาเฟ่สัตว์เลี้ยง แล้วให้ลุคไปดูที่บ้าน
แต่ที่รอต้อนรับลุคที่หน้าบ้านหลังใหญ่ คือวิญญาณชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กับกางเกงขายาว เป็นวิญญาณที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก หากไม่เพราะเงาสีดำที่ปกคลุมอยู่ตั้งแต่เข่าลงไปที่บ่งชี้ว่ามีพ่อมดใช้คาถาตรึงเขาไว้ที่นี่ ลุคก็จะคิดว่านี่คือวิญญาณทั่วไป
ชายหนุ่มทั้งกลัว และยินดีที่ได้พบกับลุค
“...คุณคือลุค เมอร์ฟี มือปราบวาติกันใช่ไหมครับ...”
ลุคพยักหน้า ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นี้มาอย่างยาวนานมีวิญญาณที่ถามแบบนี้ไม่เกิน 5 ครั้ง
“...เขาบอกว่า คุณสามารถปลดปล่อยและส่งผมไปจากที่นี่ได้ แต่ทันทีที่คุณปล่อยผมไป เขาก็จะรู้ว่าคุณมาที่นี่...”
“แล้วนายอยากไปจากที่นี่ไหม”
วิญญาณตนนั้นยอมรับ “...แต่คนที่ผูกผมไว้ที่นี่ดูน่ากลัวมากเขาใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ และมีปีศาจอยู่กับเขาด้วยตัวหนึ่ง มันมีรูปร่างคล้ายกบผสมเต่า ผมบรรยายรูปร่างไม่ถูก แต่ที่เห็นชัดเลยก็คือมันมีลิ้นยาวและเหม็นมาก...”
ชายหนุ่มคนนี้ตอนที่เป็นมนุษย์คงจัดอยู่ในกลุ่มพลเมืองดี เมื่อตายไปแล้วก็ยังคงพยายามช่วยเหลือลุคอย่างเต็มที่ 
“ขอบใจ ฉันพอจะนึกออกแล้ว ว่าคนที่ตรึงนายไว้ที่นี่เป็นใคร”
“...แล้วเขาเอาผมมาเป็นเหยื่อล่อคุณเพราะอะไร...”
“เพราะพวกเราต้องสู้กัน”
“...แต่เขามีผู้ช่วยเป็นปีศาจ คุณควรไปหาคนมาช่วย...”
ลุคยิ้มอ่อน “ชอบใจที่เป็นห่วง แต่โดยหน้าที่ การปล่อยวิญญาณผู้บริสุทธิ์แบบนายคือสิ่งแรกที่ฉันต้องทำ ไม่ใช่การเรียกผู้สนับสนุน”
“...คุณไปหาคนช่วยก่อนก็ได้ เขาคงไม่ทำอะไรผมหรอก...”
ลุคส่ายหน้า “เขาจะทรมานนายอย่างเหี้ยมโหดอย่างหนักต่างหาก” ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้น อักขระบนปลอกข้อมือแอเรียสเปล่งประกาย
“นายไม่มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าบ้านใคร ดังนั้นฉันจะส่งนายไปอีกฝั่ง”
“...ขอบคุณครับ...”
“แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น ฉันขอถามก่อนว่านายเห็นแมงมุมสีดำตัวใหญ่กลับมาหรือยัง”
“...กลับมาแล้วครับ พร้อมกับลูกชายเจ้าของบ้าน...”
เพราะการถูกตรึงอยู่ในที่นี้ ก็มองเห็นเพียงเท่านี้ การสอบถามต่อไปมีแต่จะเสียเวลาเปล่า ลุคจึงเริ่มการส่งวิญญาณ
“เล่าให้ฉันฟัง นายรู้ได้อย่างไรว่าตายแล้ว”
“...ผมถูกฆ่า จำได้แค่ว่านั่งกินเหล้าอยู่กับเพื่อน แล้วผมก็หลุดออกมา มองเห็นตัวเองล้มลงไปกับโต๊ะ มองเห็นรอยเลือดเต็มหลัง...” วิญญาณชายหนุ่มบิดตัวให้ดูด้านหลัง ยังมองเห็นคราบเลือดที่ด้านหลัง “...แล้วก็ได้ยินเสียงลมแรงมาก เลยรีบหนี ตอนนั้นคิดแต่ว่าต้องหนีไปให้ไกล ๆ แต่ก็ถูกดึงมาที่นี่...”
ลุคพยักหน้า เสียงลมแรงอาจเป็นไปได้ทั้งยมทูต หรืออาจเป็นผู้ที่จะมาชิงวิญญาณของเขา แต่ผู้ที่มาชิงวิญญาณพบชายหนุ่มคนนี้ก่อน จึงส่งมาให้พ่อมดเพื่อตรึงไว้ที่นี่ ซึ่งนั่นหมายความว่าพ่อมดตนนี้ควบคุมได้ทั้งปีศาจและวิญญาณ
“นึกย้อนกลับไปตอนที่นายกำลังกินเหล้าอีกครั้ง นายนั่งกินเหล้าอยู่ที่ไหน เพื่อนที่นั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกัน กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ นายเดินทางมาที่ร้านเหล้านั้นอย่างไร งานที่นายทำเมื่อบ่ายวันนี้ ...”
เมื่อร่างวิญญาณของชายหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้น ลุคจึงคลายคาถาที่ตรึงวิญญาณชายหนุ่มไว้ แต่ทันทีที่วิญญาณของชายหนุ่มหายไป เงาปีศาจสีดำก็ปรากฏขึ้นจากทางด้านหลัง
นั่นเป็นเงาสีดำของสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกบผสมเต่าอย่างที่วิญญาณบอกเมื่อครู่
ปลอกข้อมือแอเรียสส่งดาบสั้นคู่ออกมาให้ ซึ่งทำให้ลุคลอบยินดีอยู่ในใจเพราะนี่คืออาวุธที่แอเรียสส่งออกมาให้ใช้บ่อยที่สุด จนมีความชำนาญ
เงาปีศาจส่งเสียงแหลมแล้ว ‘กระโดด’ เข้ามาหา ลุคหมุนตัวแล้วฟันดาบเฉียงลง เงาปีศาจที่ถูกผ่าออกตามแนวดาบกรีดร้อง แล้วถอยออกไปรวมร่างใหม่
“ดาร์ท” ลุคยังอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ดวงตายังไม่ละจากปีศาจที่อยู่ตรงหน้า “ส่งลูกสมุนออกมาก่อนแบบนี้ ดูจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเฮ้นช์แมนเลยนะ”
มีแสงสว่างวาบเหมือนพลุขนาดเล็กจากนั้นพ่อมดในชุดสีน้ำเงินเข้มเกือบดำปรากฏขึ้น
นี่คือดาร์ท พ่อมดผู้มีคางคกพิษเป็นเครื่องราง จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษของคางคก แต่ในเวลานี้รูปร่างหน้าตาของดาร์ท แทบไม่ได้ต่างอะไรจากปีศาจคางคกตัวหนึ่ง
ดาร์ทสะบัดไม้กายสิทธิ์ในมือ เปลวไฟสีม่วงพุ่งออกมาจากปลายไม้ตรงเข้าหามือปราบวาติกันที่กระโดดหลบ กลิ่นฉุนจากเปลวไฟบ่งบอกว่านอกจากจะเป็นไฟพ่อมดแล้ว ไฟนี้ยังมีพิษอีกด้วย
ดาร์ทควบคุมไฟไล่ตามลุค ปลอกข้อมือแอเรียสเรียกกำแพงแก้วขึ้นมากั้นแล้วผลักดันเปลวไฟสีม่วงออกไปด้านข้าง สะเก็ดเปลวไฟที่ถูกกำแพงบ้านกัดเซาะ เป็นรอยลึก
“กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
มีเสียงร้องแหลมเล็กดังมาจากในบ้าน ตามมาด้วยร่างสีดำที่อยู่บนหลังบ้าน ทำให้มองเห็นดวงตาสีแดงอย่างชัดเจน และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือไอสีดำที่แผ่กระจายจากร่างนั้น
นั่นไม่ใช่ไอหรือพลังงานชีวิต แต่มันคือการข่มขู่ผู้ที่อยู่นอกรั้วบ้าน
ลุคกำลังจะคิดว่าแมงมุมดำอารันญ่ากำลังข่มขู่ตนเอง แต่เมื่อหันไปหาดาร์ทและปีศาจคางคกยักษ์ ปรากฎว่าทั้งคู่กลับรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เฮ้นช์แมนทั้ง 4 ของซอว์นีย์ไม่น่าจะต้องมีใครกลัวใคร แต่ดาร์ทยอมหลบให้กับอารันญ่าโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ลุคหันไปมองแมงมุมสีดำตัวใหญ่ขนาดเกือบเท่าหลังคาบ้าน แล้วก้มลงมองกำแพงที่มีรอยไหม้ จากนั้นก็เหลียวมองไปรอบตัว
“ถ้าไม่ว่าอะไร ขอล้างพิษที่รั้วนี่ได้ไหม”
อารันญ่ายังไม่ได้อนุญาตหรือปฏิเสธ ลุคก็ยกข้อมือขึ้นมาสั่งการ “แอเรียส ช่วยส่งอะไรสักอย่างออกมาล้างพิษที่รั้วนี่หน่อยเถอะ ถ้าชาวบ้านแถวนี้มาโดนเข้าจะเป็นอันตราย”
สิ่งที่ปลอกข้อมือส่งออกมาคือน้ำเย็นจัดที่จับพิษร้ายลงมาจากกำแพง แล้วสลายไปก่อนที่จะตกกระทบพื้น ถึงร่องรอยของกำแพงที่ถูกกัดเซาะจะแก้ไขไม่ได้ แต่การที่ไม่มีพิษตกค้างอยู่ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้
ตลอดเวลาที่ลุคจัดการกับพิษคางคกที่กำแพง แมงมุมสีดำตัวนั้นยังคงเฝ้ามอง และไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาหา
มีความเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูดออกมา
ลุคพยักหน้า แล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่พบบลูที่คาเฟ่สัตว์เลี้ยงที่นัดกันไว้ ที่แน่ใจว่าบลูไม่ได้อยู่จริง ๆ ก็เพราะปลอกข้อมือแอเรียสที่สงบนิ่งไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนว่ามีปีศาจอยู่ในละแวกใกล้เคียง ลุคจึงกลับมาที่โบสถ์เชอริชของสาธุคุณฌ็องส์ ซึ่งพบว่าจัสตินยังรออยู่ที่นี่
ชายชาวเยอรมันนั่งหลังตรงหลับตาสำรวมตนอยู่ที่มุมห้อง จนกระทั่งลุคเดินเข้ามาในห้องจึงได้ลืมตาขึ้น จากนั้นจึงเป็นเสียงเปิดประตูห้องนอนที่ชั้นบน และสาธุคุณเดินลงมาหา
“ต้องการนมอุ่นสักแก้วหรือไม่” เจ้าของบ้านถาม
ลุคส่ายหน้าแล้วเดินไปล้างหน้า “ขอบใจมาก ขอน้ำสักแก้วก็พอ”
สาธุคุณเดินไปรินน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ขณะที่จัสตินหันไปมองนอกบ้านแล้วมองกลับมาที่ลุคที่เดินออกมาจากห้องน้ำ
“นายให้เขาไปรอที่ไหน”
“เขาหายไป”
จัสตินกับสาธุคุณขยับนั่งตัวตรงรอฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ หลังจากที่ลุคเล่าเรื่องโดยย่อผ่านไปรอบหนึ่ง ทั้งหมดจึงกลับมาช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติมากมายที่เกิดขึ้นที่หน้าบ้านของอัจฉราค่ำวันนี้
“อารันญ่าที่ควบคุมเบสไว้ และมีข้าวโพดคุมเธออยู่อีกที เธอรู้อยู่แล้วว่ายังไงฉันก็ต้องไปดูเบสกับข้าวโพด” เพราะลุคก็มักไปดูทั้งคู่เป็นระยะมาตลอด แต่เธอไม่เคยแสดงตน “ตอนที่ฉันคุยกับวิญญาณผู้ชายคนนั้น และสู้กับดาร์ท เธอก็ไม่ออกมา จนกระทั่งไฟพิษของดาร์ทไปถูกกำแพงเธอจึงปรากฏตัวขึ้น ฉันคิดว่าเธอกำลังรักษาอาณาเขตของตัวเองไม่ให้ดาร์ทและฉันเข้าไปวุ่นวาย”
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 16-02-2021 12:51:38
(ต่อครับ)

ผู้ฟังทั้งคู่พยักหน้าเห็นพ้อง
“ส่วนการที่ดาร์ทไปดึงวิญญาณของหนุ่มคนนั้นมารอฉันที่หน้าบ้าน เพื่อให้เป็นสัญญาณเรียกมันมาสู้กับฉันยิ่งไม่สมเหตุสมผล”
“ดาร์ทรู้ว่าอารันญ่าหวงอาณาเขต แต่มันอยากสู้กับนาย มันจึงต้องทำอย่างนี้” สาธุคุณแสดงความเห็น “คือ มันอยากสู้ แต่ถ้ามารออยู่ใกล้ ๆ อาจทำให้อารันญ่าไม่พอใจได้”
ผู้ฟังอีก 2 คนส่ายหน้า
“สู้เพื่ออะไร” จัสตินถาม
“ดาร์ทและอารันญ่าเป็นเฮ้นช์แมนเหมือนกัน ไม่เคยได้ยินว่าภายในกลุ่ม 4 คนนี้จะมีการจัดลำดับอะไร ฉันคิดว่าการทำอย่างนี้มันต้องมีเบื้องหลัง”
“อย่างนั้นก็กลับมาที่คำถามของฉัน” จัสตินท้วง “ดาร์ทสู้กับนายเพื่ออะไร”
“เพื่อที่จะเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมเรื่องนี้จากอารันญ่า มาเป็นมัน” สาธุคุณคาดเดา
“ก็ต้องจัดการอารันญ่า ไม่ใช่มาท้าสู้กับลุค” จัสตินให้เห็นผล “แถมยังหนีไปทันทีที่เธอออกมา”
สาธุคุณหมดข้อโต้แย้ง “วิญญาณหนุ่มคนนั้นอายุประมาณเท่าไหร่”
“ประมาณยี่สิบเศษ”
“ก็ใกล้เคียงกับข้าวโพดตอนนี้”
“ความคิดของเขาก็คล้ายกับข้าวโพด” ลุคใช้นิ้วชี้ขีดเส้นลงบนโต๊ะ เพื่อทำความเข้าใจกับอีก 2 คน “ดาร์ทดึงวิญญาณชายหนุ่มคนนั้นมารอฉันอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้นนานประมาณ 4 วันแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นพวกเราก็เพิ่งจะแวะไปดูที่นั่น แต่ไม่เจอวิญญาณ ถ้าดาร์ทอยากสู้กับฉัน เขาสามารถทำอย่างนั้นได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนที่คล้ายข้าวโพดแล้วตรึงเขาไว้ที่นั่น มันต้องการส่งข้อความบางอย่าง ข้อสันนิษฐานอีกข้อของฉันก็คือ ช่วงที่มันดึงวิญญาณนั้นมาคือบลูไปหลบซ่อนตัวอยู่ แล้วบลูอาจกลับมาหาเบส แต่จากที่วิญญาณบอกว่า ฉันคือคนที่จะปล่อยเขาได้ แล้วทันทีที่ฉันปล่อยเขาไป ดาร์ทก็จะมา”
“เขาต้องการพบนาย ไม่ใช่บลู” สาธุคุณช่วยสรุป
“ก็กลับไปที่คำถามเดิมอีกนั่นแหละ”
“ข้อสันนิษฐานถัดมา ก็คือพวกมันคิดว่า ฉันกับบลูยังติดต่อกันตลอด และจะไปที่นั่นด้วยกัน จริงอยู่ที่ฉันส่งวิญญาณได้ แต่มันก็เผื่อว่าบลูจะอยู่ใกล้ ๆด้วย แล้วเมื่อพบว่าบลูไม่ได้อยู่ด้วย ดาร์ทจึงสู้กับฉันแล้วหนีไปในทันทีที่อารันญ่าออกมา”
“อันนี้มีความเป็นไปได้” สาธุคุณกล่าวแล้วหันไปหาจัสตินที่พยักหน้าเห็นด้วย “แต่บลูที่รออยู่ในคาเฟสัตว์เลี้ยงอาจจับการเคลื่อนไหวของดาร์ทได้ จึงหนีไป”
ความเห็นของสาธุคุณในข้อนี้ทำให้ลุคคลายความกังวลลงไปได้เล็กน้อย
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
สาธุคุณเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ “ขอเบรกตรงนี้ก่อน หมายความว่า บลูจับการเคลื่อนไหว ของพ่อมด แม่มด ปีศาจ อะไรพวกนี้ได้หมด แต่นายกลับไม่รู้ว่าดาร์ทรอนายอยู่อย่างนั้นหรือ”
ลุคยอมรับ “ฉันเห็นเงาดำที่บ้านของอัจฉรา ซึ่งเป็นเงาของอารันญ่าแน่นอน แต่ไม่เห็นเครื่องหมายอะไรของดาร์ทเลย”   
“แย่แล้ว...” สาธุคุณส่ายหน้า “ทีนี้เด็ก 2 คนนั่นก็ยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก”
“ที่จริงในตอนที่ดาร์ทหนีไป และอารันญ่ามองดูฉันทำความสะอาดพิษคางคก ฉันยังคิดอยู่เลยว่า หรือว่าที่จริงแล้วเธอคือซอว์นีย์”
สาธุคุณรีบสนับสนุน “จำคุณพ่อโจนส์ที่เวลส์ได้ไหม ท่านเคยแสดงความเห็นไว้ว่า ซอว์นีย์น่าจะเป็นแม่มดที่ถูกเครื่องรางปีศาจของตนเองครอบงำ ทำให้เธอเปลี่ยนร่างได้ เธอถึงอยู่มานานหลายร้อยปีโดยที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นตัวจริง ขณะที่พ่อมด แม่มดในกลุ่มเฮ้นช์แมนมีการเปลี่ยนแปลง”
ลุคกอดอก “ถ้าอารันญ่าคือซอว์นีย์ตัวจริง เรื่องนี้ก็จะได้ข้อสรุปสักที แต่มันจะวนกลับไปที่คำถามของจัสตินอีกครั้ง ก็ในเมื่อซอว์นีย์คุมเบสไว้แล้ว ดาร์ทจะมาสู้กับฉันเพื่ออะไร ก็แค่เอาเบสกับข้าวโพดมาขู่ฉันให้ส่งตัวบลูไปให้ ไม่ง่ายกว่าหรือ”
สาธุคุณโต้เถียง “นายไม่มีวันส่งบลูไปให้พวกมัน เพราะสำหรับทุกคนแล้ว พวกเขากลับมาใหม่เมื่อถึงวันเวลาของพวกเขา แต่บลูจะหายไปตลอดกาล”
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดี
จัสตินที่นั่งฟังมานานพูดขึ้นบ้าง “ที่โปแลนด์เมื่อประมาณ 100 ปีก่อนตอนที่เรากำจัดแม่มดวีซ ที่ใช้เขาของกระทิงสีแดงเป็นเครื่องราง” เธอคือ 1 ใน 4 ของเฮ้นช์แมนของซอว์นีย์ในช่วงเวลานั้น “เธอเรียกซอว์นีย์ว่าเจ้านาย และแม้ว่าเราแทบจะไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ เพราะในกลุ่มซอว์นีย์เองก็มีอยู่ไม่ถึง 10 คนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงว่าเขาคือใคร  ไม่ว่าอารันญ่าจะเป็นซอว์นีย์ตัวจริงหรือไม่ พวกเราก็ต้องหาทางเอาเธอออกมาจากเบส แล้วก็กำจัดเธอเหมือนกัน”
นั่นคือเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง ที่ลุคยังไม่ตัดสินใจ สาธุคุณจึงถามในเรื่องที่น่าจะได้ข้อสรุปในคืนนี้ “แล้วเรื่องสวีเดนว่าไง”
“เอาไว้ก่อน” ลุคตอบทันที “ถ้าไม่เจอบลู ฉันจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น เรื่องที่จะไปสวีเดนก็เพราะเราคาดว่า รังใหญ่ของมันอาจอยู่ที่นั่น  เราจึงต้องดึงพวกมันทั้งหมดกลับไปเพื่อกำจัดที่รังใหญ่ แต่ตอนนี้เราไม่มีอะไรที่จะดึงพวกมันกลับไปได้เลย”
“ลุค” สาธุคุณมีท่าทีจริงจังมากกว่าเดิม “ฉันสงสัยตั้งแต่ตอนที่จัสตินบอกว่า นายจะพาบลูไปสวีเดน นายจะทำอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”
“จริง”
“นายจะใช้เขาเป็นเหยื่อล่อให้พวกมันทั้งหมดตามไปสวีเดนใช่ไหม” สาธุคุณถาม
“ฉันไม่ได้อยากทำอย่างนั้นนะฌ็องส์ ฉันต้องการปกป้องเขา แต่มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
สาธุคุณส่ายหน้า “เขาอาจมีอย่างน้อย 50 วิธีที่จะแฝงตัวหรืออะไรสักอย่างเพื่อตามนายไป แต่ระยะทางไม่ใช่ใกล้ ๆ มีความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ตลอดเวลา ในขณะที่เราแทบไม่รู้เรื่องของพวกมัน แต่พวกมันรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร”
“สำหรับฉันแล้ว การหาบลูให้เจอคือเรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องอื่นค่อยมาคุยกัน รวมถึงเรื่องสวีเดน ค่อยคิดอีกที เพราะถ้าพวกมันมาอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า เราสามารถจัดการเรื่องนี้ได้”
“เรา 3 คนน่ะนะ จะจัดการพวกซอว์นีย์”
“นั่นคือหน้าที่ของพวกเรา” จัสตินดุ
สาธุคุณผู้หลงลืมหน้าที่ของตนเองไปชั่วครู่ กล่าวขออภัยแล้วยื่นข้อเสนอ “ฉันจะขอให้สำนักในนอร์ดิกช่วยตรวจสอบเรื่องป่าสนในสวีเดน ในระหว่างที่พวกเราจัดการเรื่องทางนี้”
ลุคพยักหน้า แล้วขอให้สาธุคุณหาหนังสือแผนที่มาให้ สาธุคุณก็รีบไปจัดการให้ในทันที
ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการหาแผนที่ และไม่เคยรำคาญทั้งสาธุคุณและจัสติน หลายครั้งหลายหนที่ทั้งคู่มีข้อสังเกตที่ดีแต่เวลานี้เขาต้องการความเงียบชั่วครู่เพื่อรวบรวมสมาธิกลับมาที่งานหลัก แต่ความกังวลทั้งหมดกลับยังวนเวียนอยู่ที่บลู และโอเวน จนต้องยกมือลูบหน้าแรง ๆ
“เพราะเขาจับการเคลื่อนไหวของดาร์ทได้ จึงหนีไปงั้นหรือ”
ในตอนที่สาธุคุณกลับมาอีกครั้งพร้อมกับหนังสือแผนที่เล่มหนา ก็เห็นว่าลุคกำลังยืนมองท้องฟ้าตอนกลางคืน ขณะที่จัสตินกำลังเช็ดดาบคู่มือ
สาธุคุณฌ็องส์วางหนังสือลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันจะแสดงความเห็นอะไร ลุคก็บอกให้กลับไปพักผ่อน แต่ผู้ที่อ่อนอาวุโสที่สุดในที่นี้ยังมีเรื่องที่สงสัยอีกหลายเรื่อง
“ลุค นายพบร่องรอยอะไรเกี่ยวกับการที่บลูหายไปหรือไง”
“ไม่มีร่องรอยอะไรเลยต่างหาก”
“ฉันอยากให้นายเชื่อมั่นว่าบลูจะไม่เป็นอะไร แล้วเขาก็จะกลับมาหานายเองเหมือนทุกครั้งก่อนหน้านี้” สาธุคุณต้องการให้กำลังใจ “ที่ประเทศนี้ก็มีป่าสนที่อยู่ทางเหนือ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีสุสานหรือไม่ แทนที่จะออกไปหาเรื่องทะเลาะกับพ่อมด แม่มดตามใบสั่งของวาติกัน นายลองไปค้นหาดูไหม”
...
ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน เบสนั่งดูรูปทั้งหมดอยู่ในห้องนอน จะหยุดพักก็ตอนที่อัจฉรากลับมาถึงบ้าน และกินอาหารเย็นพร้อมกัน จากนั้นก็จะกลับมาอยู่ในห้องจนเกือบ 3 ทุ่มถึงได้เข้ามาที่ห้องนอนของข้าวโพด
ชายหนุ่มเบาเสียงภาพยนตร์ที่กำลังดูอยู่ แล้วหันไปทัก
“ว่าไง”
“ไม่ว่าไง” เบสบอกแล้วเดินไปนอนหงายบนที่นอน “ดูหนังอยู่หรือ”
“ใช่ ดูรูปหมดแล้วหรือ”
“ฮื่อ”
“ดูเหนื่อย ๆ”
เบสหัวเราะ “เล็งหาจนปวดตา”
“เบสหาอะไร”
“พี่บลู”
เบสตอบตามตรงจนข้าวโพดชะงัก “พี่บลูอยู่ที่เกาะนั้นหรือ”
“เราคิดว่าเขาอยู่ที่นั่น”
“แล้วเจอไหม”
เบสส่ายหน้า แล้วถอนหายใจ “มันมีเงาขาว ๆ อยู่บางจุด แต่พอขยายก็ไม่เห็นมีอะไร”
“ทำไมเบสถึงคิดว่าพี่อยู่ที่นั่น” ข้าวโพดเรียงลำดับใหม่ “เราหมายถึง เบสรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นถึงได้ไปหา หรือว่าเจออะไรบนเกาะ ถึงได้คิดว่าเขาอยู่ที่นั่น”
“เพราะชื่อหมู่บ้านโบราณบนเกาะ ทำให้เราคิดว่าเขาอยู่ที่นั่น แล้วพอไปถึง เราก็แน่ใจว่าเขาอยู่ที่นั่น เขาคอยมองเราอยู่ แต่ยังไม่รู้อะไรแน่ชัดข้าวโพดก็วิ่งตามอะไรก็ไม่รู้ออกไปข้างนอก แบบนั้นมันอันตราย”
เบสบ่นแบบนี้ตั้งแต่คืนที่อยู่บนเกาะแล้ว แล้วก็กลับมาบ่นใหม่เมื่ออยู่ด้วยกันในห้องนอน
“ขนาดเบสยังไม่รู้แล้วเราจะรู้ได้ยังไง”
เบสลุกขึ้นมานั่งกอดหมอน “เราอยากเจอพี่บลู เขาหายไปนาน อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขา”
“เรื่องไม่ดีแบบไหน คือ เราหมายถึง เขาไม่ได้เป็นเหมือนพวกเรา จะมีใครทำอะไรเขาได้”
“จะไปรู้หรือ เขาเคยมาหาเราตลอด แล้วจู่ ๆ ก็หายไป” เบสส่ายหน้า แล้วล้มตัวลงนอนห่มผ้า “คืนนี้เราจะนอนห้องนี้ ถ้าข้าวโพดจะดูหนังก็ตามสบาย เรานอนได้”
เมื่อเบสพลิกตัวนอนหันหลังให้ ข้าวโพดก็หันมาดูหนังต่อจนจบถึงได้ปิดไฟแล้วนอนข้างกัน เบสก็พลิกตัวกลับมานอนกอดแขน
“อ้าว คิดว่าหลับไปแล้วเสียอีก”
“ยัง แต่กำลังจะหลับแล้ว”
เกือบเที่ยงคืน คนทั้งบ้านหลับไปแล้ว แต่เบสนอนลืมตาท่ามกลางความมืด ฟังเสียงสนทนาและการเคลื่อนไหวที่หน้าบ้าน เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เงาสีดำแปดขาก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดในห้องแล้วหายไป เสียงแหลมเล็กที่ดังก้องทำให้การต่อสู้ที่หน้าบ้านหยุดลง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเงาสีดำแปดขาจึงกลับเข้ามา แล้วแฝงตัวเข้ากับความมืดภายในห้อง

จบตอนที่ 18
ใกล้จบแล้วนะจ๊ะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด
ไจฟ์กับที
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-02-2021 17:05:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 16-02-2021 19:12:21

มาแล้วๆๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1:




พี่บลูหายไปไหนอีกล่ะเนี่ย





เพิ่งกลับมาจากเกาะ หายไปอีกแล้ว :katai1:





ใกล้จบแล้วเหรอเนี่ย แล้วพี่ลุคกับจัสติน สาธุคุณจะสู้พวกนั้นไหวมั๊ย :เฮ้อ:





ติดตามเอาใจช่วยทีมพี่ลุคกัน





ขอบคุณสำหรับตอนนี้ค่า  :pig4: :L1:


 :mew1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-02-2021 16:06:01


อ๊ากกก !!!! [ :katai1:] บลูหายไปไหน พึ่งจะดีใจที่เค้าอยู่ใกล้ๆกับลุค


ใจแรกก็คิดว่า บลูอยู่ในสายรอดเสมอคงไม่เป็นไร เหมือนที่สาธุคุณบอกให้เชื่อมั่น


แต่อีกใจก็กังวล เพราะลุคดูกังวล  :ling3:


และที่กลัวอีกอย่างคือ เบสจะโดนครอบงำจนไม่อาจช่วยเหลือได้


 :katai1:  :katai1:  :katai1: ลุ้นนนนนน มาก




ขอบคุณค่า รอตอนต่อไปเสมอ  :L2:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 25-02-2021 14:27:04
ลุ้นนนนนน อ่าาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 04-03-2021 17:25:50
ตอนที่ 19

ลุคและจัสตินเดินทางขึ้นเหนือเพื่อตามหาบลูเป็นเรื่องหลัก และทิ้งให้สาธุคุณฌ็องส์รับหน้าที่ตอบคำถามที่มาจากวาติกัน ศาสนจักร หรือจากที่ใดก็ตาม
ใกล้เที่ยงวัน ลุคและจัสตินจอดพักที่จุดชมวิวอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชายชาวเยอรมันเปิดกล่องท้ายรถมอเตอร์ไซค์หยิบกล่องอาหารและเครื่องดื่มออกมาส่งให้ แล้วนั่งกินอาหารอยู่ข้างกัน จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ เมื่อต้องแวะเติมน้ำมัน จัสตินก็ไปซื้ออาหารและเครื่องดื่มมาเตรียมไว้สำหรับมื้อต่อไป
ค่ำนั้นทั้งคู่ได้ที่พักเป็นบ้านพักหลังเล็กในรีสอร์ทเชิงเขา จัสตินเป็นคนลงชื่อเข้าพัก ขณะที่ลุคยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักงาน จากนั้นก็ขับรถตามพนักงานของรีสอร์ทไปถึงหน้าบ้านพัก
สถานที่ในลักษณะนี้ย่อมต้องมีดวงวิญญาณ แต่ปรากฏว่าบรรดาวิญญาณทุกดวงต่างพากันหลีกเลี่ยงพลังงานสีขาวของลุคจนไม่เหลือ ‘ใคร’ ให้ซักถาม
บ้านพัก 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ กับห้องโถงกลางที่จัสตินตรงเข้าไปจับจองเป็นที่นอนในคืนนี้
ลุคดื่มน้ำจนหมดขวดถึงได้เลือกห้องนอนใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปในห้อง แล้วได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนเล็กที่อยู่ติดกันจึงคาดว่าจัสตินคงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน
หลังจากที่อยู่ในเมืองร้อนมานานกว่า 2 ปี ลุคและจัสตินก็เริ่มติดนิสัยรำคาญเหงื่อของตัวเองและอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้ จัสตินก็มาเคาะประตูห้อง เพื่อเอาชุดที่ใส่ในวันนี้ไปซักที่สำนักงาน พอลุคส่งให้ ชายเยอรมันก็ออกไปในทันที
“ลุค เมอร์ฟี” เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลัง ภายในห้องนอน ทำให้เจ้าของชื่อรีบปิดประตูห้องนอนแล้วหันกลับมาหาคนที่ถามในทันที
“นายกำลังจะไปไหน”
ผู้ที่อยู่ในชุดสีขาวยืนอยู่ตรงมุมห้องยืนกอดอกสีหน้าท่าทางมีความไม่พอใจอยู่มาก แต่ลุคตรงเข้าไปกอดไว้แน่นด้วยความดีใจ
“เป็นอะไร” น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นความกังวล ขณะที่แตะแผ่นหลังหนาเบา ๆ “ใครเป็นอะไรหรือไง”
“ฉันตามหานาย”
“ฉันต่างหากที่ตามนาย แต่นายก็เอาแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ยักษ์ แล้วก็ส่งไอ้พลังห้ามเข้าใกล้นั่นมาตลอดทางจนฉันไม่มีโอกาสโผล่ออกมา”
ลุคแปลกใจมาก “พลังห้ามเข้าใกล้ มันเป็นยังไง”
บลูกลอกตาตบแผ่นหลังหนา “ปล่อยก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
พอลุคคลายอ้อมกอด บลูก็เดินไปนั่งบนเตียง “นายกำลังจะไปไหน ตามหาฉันทำไม”
“นายบอกให้ฉันไปดูว่าเบสเป็นยังไงบ้าง ฉันก็ไป แต่พอกลับมาแล้วนายหายไป”
“อ๋อ...” บลูลากเสียงยาว “ก็นายบอกว่าจะไปสวีเดน ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ฉันก็เลยไปทำเรื่องย้ายบ้าน แล้วกลับไปรอนายอยู่ที่หน้าบ้านของคนเยอรมัน”
“แล้วทำไมไม่เรียก”
“ก็ครั้งก่อนตอนที่เรียก พวกนายกำลังตามล่าปีศาจอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าคราวนี้เรียก ฉันจะไปขัดขวางการทำงานของนายอีกหรือเปล่า ก็เลยรอ แต่รอนานไม่ได้ต้องหลบออกมา แล้วกลับไปใหม่ ไม่เห็นพวกนายกลับมาสักที ชักเริ่มไม่ค่อยปลอดภัย คิดว่านายกำลังตามอะไรกันอยู่แน่ ๆ ก็เลยหาสุสานเพื่อซ่อนตัว แต่ระหว่างทางฉันจับร่องรอยของนายได้ ก็เลยตามมา แต่นายก็กลับส่งพลังนั่นผลักฉันออกมาตลอดทาง”
ลุคลูบใบหน้าแรง ๆ แล้วทิ้งตัวลงนอน พลังที่บลูพูดถึงอาจเป็นความเครียดและความกังวลที่บลูหายไป จัสตินเองก็คงจับความรู้สึกนี้ได้ ถึงได้ติดตามมาเงียบ ๆตลอดทาง
แต่มันกลายเป็นการผลักบลูออกไป จนกระทั่งเข้าพักและความเครียดผ่อนคลายลง บลูถึงออกมาหาได้
“นายกำลังตามหาฉันจริงหรือ แล้วนายจะไปตามหาฉันที่ไหน”
“ฌ็องส์บอกว่า มีป่าสนอยู่ทางเหนือ ก็คิดว่าจะลองไปตามหานายที่นั่น”
“บอกแค่มีป่าสนอยู่ทางเหนือ นายก็ไปเลยหรือ นายเชื่อฟังเขาขนาดนั้น”
ลุคมองแผ่นหลังคนในชุดขาวแล้วดึงให้ลงมานอนข้าง ๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้น พอนายหายไป ฉันกับจัสตินก็ตามหานายไปทั่วเมืองหลวง และสถานที่ที่คิดว่านายจะไป ทั้งร้านกาแฟ บ้านจัสตินก็ไป คิดว่าเราน่าจะคลาดกัน ยังมีที่มหาวิทยาลัยของเบสกับข้าวโพด สุสานใกล้เมืองหลวง หาอยู่ 2 วันยังไม่เจอนาย ฉันจึงคิดว่านายอาจหลบหนีไปที่ป่าสนทางเหนือ เพราะก่อนหน้านี้นายพูดถึงป่าสน”
“ฉันพูดถึงป่าสนที่สวีเดนต่างหาก นายเป็นคนบอกเอง ว่าป่าสนที่ฉันพูดถึงมันอยู่ที่สวีเดน” บลูย้ำ รู้สึกหงุดหงิดที่ลุคเชื่อฟังชายชาวฝรั่งเศสคนนั้น
“ตามหาฉันทำไม”
“ฉันเจอดาร์ทที่หน้าบ้านของผกา”
“ดาร์ทคือใคร”
“ดาร์ทคือ 1 ใน 4 ของพ่อมดที่ซอว์นีย์ไว้ใจมากที่สุด” บลูพยักหน้าให้ลุคเล่าต่อ “มันใช้วิญญาณมาเป็นสัญญาณเรียกฉันแบบไม่จำเป็น และสู้กับฉันแบบไม่มีเหตุผลให้ต้องสู้ เพราะมันสามารถออกมาท้าสู้กับฉันได้ทุกเมื่อ แล้วการต่อสู้ก็จบลงเพราะอารันญ่าออกมา โดยที่เรายังไม่รู้ผล” ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลยสักอย่าง 
“แม่มดที่ควบคุมเกรซน่ะหรือ แล้วยังไงต่อ” บลูสนใจตรงจุดนี้มาก
“เธอส่งพลังอ่อน ๆ บอกกับฉันตั้งแต่ไปถึงว่าเธออยู่ในบ้าน โดยทั่วไปในเวลาที่มีพ่อมดตนหนึ่งออกมา จะมีพ่อมดที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาสมทบเพื่อรวมกลุ่มสู้กับฉัน แต่คราวนี้อารันญ่าออกมาในตอนที่พิษของดาร์ทไปถูกกำแพงบ้าน”
“ห๊ะ” ผู้มีดวงตาสีฟ้าไม่เข้าใจ
นั่นเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ลุคเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เธอแค่ปรากฏตัวออกมาแล้วก็อยู่ภายในเขตรั้วบ้าน แต่พอเธอออกมาดาร์ทก็หนีไป ฉันก็เลยล้างพิษที่มันเลอะบริเวณนั้น”
“ตอนที่นายล้างแม่มดตนนั้นทำอะไร”
“ไม่ทำอะไร ยืนมองดูเฉย ๆ  พอฉันจัดการเรื่องที่หน้าบ้านเสร็จก็กลับออกมาหานายที่จุดนัดพบ แต่ก็ไม่พบ ฉันกังวลว่า มันเป็นกับดักเพื่อที่จะจับนายไป เพราะการที่มีทั้งอารันญ่า และดาร์ท มันก็มีความเป็นไปได้ว่าไวเพอร์ กับอูซุส รวมถึงซอว์นีย์เองก็น่าจะมาอยู่ที่นี่”
ลุคดึงบลูลงมากอดแล้วก้มลงจูบหน้าผาก
“ดีที่นายไม่ถูกพวกมันจับตัวไป”
“เดี๋ยว ๆ ไวเพอร์ กับอูซุสคือใคร อ๋อ ลูกน้องอีก 2 คนของซอว์นีย์” บลูถามเองตอบเอง “ความสามารถพิเศษของฉันคือการหนี นายลืมไปแล้วหรือ”
“อย่าประมาท ลูกน้องของซอว์นีย์ไม่ได้มีแค่ 4 ในรอบหลายร้อยปีมานี้ มีมือปราบวาติกันหลายคนที่สามารถสังหารพ่อมด แม่มดที่เป็นพวกเฮ้นช์แมนของซอว์นีย์ แต่สุดท้ายแล้วก็จะมีเฮ้นช์แมนคนใหม่ขึ้นมาแทนที่เสมอ ที่สำคัญคือไม่เคยมีใครเจอซอว์นีย์”
“ซอว์นีย์อาจไม่มีตัวตน”
“มี” ลุคบอก “มีพ่อมด หรือแม้แต่นายวิญญาณหลายคนที่เวลาจะสู้กับฉัน จะยกซอว์นีย์ขึ้นมาขู่”
บลูหัวเราะเบา ๆ “มันไร้ความสามารถขนาดยกหัวหน้าขึ้นมาขู่เลยหรือ กระจอกชะมัด”
นิ้วมือใหญ่เกลี่ยหน้าผาก และแก้มสีซีดขาว “ฉันดีใจที่นายไม่เป็นอะไร”
“นายน่ะคิดเยอะมาก แล้วหลังจากนี้จะทำยังไง จะเชื่อฟังชายฝรั่งเศสคนนั้นเดินหน้าหาป่าสนทั้งที่ฉันอยู่ตรงนี้ หรือจะไปสวีเดนตามที่ตั้งใจไว้”
“บลู”
“อะไร”
“นายดูไม่พอใจเรื่องที่ฌ็องส์ให้คำแนะนำ”
บลูตาขวาง หน้างอ
“ไม่ใช่สิ นายไม่พอใจที่ฉันฟังคำแนะนำของเขา”
บลูไม่ตอบ
“เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม หน้าที่ของเขาคือสนับสนุนข้อมูล และให้คำแนะนำ”
“ข้ามไปเลยเหอะ” สีหน้าแววตาชัดเจนว่าไม่อยากฟังคำอธิบายนี้ “ฉันไม่สนใจเรื่องป่าสนไม่ว่าจะที่ไหนทั้งนั้นแหละ ที่ฉันอยากรู้ก็แค่ เมื่อไหร่ฉันจะได้เผาคาร่าสักที”
“เรายังไม่มีเบาะแสว่าคาร่าอยู่ที่ไหน และยิ่งไม่รู้ว่าซอว์นีย์อยู่ที่ไหน”
บลูไม่เชื่อ
ลุคมักทำเหมือนกับว่าเขาทำงานกันอยู่ 2 หรือ 3 คนทั้งที่มีมือปราบวาติกันจำนวนนับร้อยคนทั่วโลก ที่เฝ้าติดตามและกำจัดพ่อมด แม่มดนอกรีตมากมายหลายกลุ่มมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไปที่นั่นที่นี่ โดยไม่มีเบาะแสอะไรเลย
แต่ถ้าลุคอยากให้เชื่อแบบนั้น...
“นายไม่มีเบาะแส แต่นายมีเหยื่อนะ แค่ฉันเดินออกไป...”
“ไม่ได้!” ลุคจริงจังมาก “ห้ามทำอย่างนั้นอย่างเด็ดขาด ฉันตามล่าพวกมันไปจนถึงวันสิ้นโลกเลยก็ได้ แต่ห้ามนายทำอย่างนั้น อย่างเด็ดขาด!”
ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมานิ่ง ๆ สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในบรรดาเรื่องราวทั้งหมดคือความกังวลใจของคน ๆ นี้
บลูจูบที่ริมฝีปากหนา “ลุค เมอร์ฟี ฉันไม่มีเวลานานขนาดนั้น หน้าที่หลักของนายคือการกำจัดซอว์นีย์ ไม่ใช่การคุ้มครองฉัน” ปีศาจตาสีฟ้าพยายามโน้มน้าวให้ลุคเร่งมือทำงาน “ตั้งแต่อดีต มีผู้คนมากมายที่ถูกพวกมันใส่ร้ายว่าเป็นแม่มดทำให้ต้องตายอย่างทรมาน จนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังคงใช้คาถาเพื่อหลอกลวงคนอื่น เพื่อกลืนกินวิญญาณ ในเมื่อนายพยายามโน้มน้าวฉันอยู่ทุกครั้งที่เจอกัน ไม่ให้ฉันใจร้อน นายก็ควรทำหน้าที่ของนายให้เรียบร้อย ไม่ต้องห่วงฉัน ถึงฉันจะไม่สามารถตามนายไปได้ทุกที่ แต่ก็ขอให้ไว้ใจความสามารถของฉันเรื่องหนี และเรื่องพรางตัว”
ลุคขยับตัวขึ้นนั่ง มีท่าทีลังเลที่จะพูดต่อ
“มีอะไร”
“มันมีวิธีที่จะทำให้ฉันสามารถรู้ได้ว่านายยังอยู่หรือไม่”
บลูกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า
“นายรู้วิธีหรือ”
บลูพยักหน้าอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง การผูกพันด้วยร่างกายและหัวใจทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายรู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่หรือตายไปแล้ว แต่กรณีนี้ฝ่ายหนึ่งคือปีศาจนกฮูก และอีกฝ่ายหนึ่งคือมือปราบวาติกันที่ซ่อมแซมตนเองได้
มันก็คงจะเป็นวิธีที่ใช้การได้จริงอย่างที่ลุคต้องการ แต่หลังจากนี้ ปีศาจกับมือปราบจะเป็นอย่างไรต่อไป
“แล้ว...นายโอเคไหม”
“นายก็พยายามจะทำให้ฉันเป็นของนายมาตลอดไม่ใช่หรือไง”
“ฉันจึงถามว่านายตกลงที่จะเป็นของฉันไหม”
“ถ้า เราผูกพันกันด้วยร่างกายแล้ว แต่ใจเรายังสื่อถึงกันไม่ได้ มันก็แปลว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้ใจใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า
“นายไม่กลัวหรือว่า เราอาจสื่อใจกันไม่ได้ เพราะ...ฉัน...”
ลุคช้อนคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมามอง
“อย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว ว่าจะให้ใจฉันไหม เพราะว่าใจของฉันน่ะยกให้นายคนเดียวมาตลอด”
บลูแตะที่อกหนา “ลุค เมอร์ฟี นายสับสนอีกแล้ว ฉันไม่ใช่...”
ลุครั้งเอวบางเข้ามาหาแล้วกดจูบปิดคำพูด
เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความตั้งใจและจริงจังมาก ถึงขนาดที่มือใหญ่กดแน่นอยู่ที่เอวบางไม่ได้ขยับไปไหน สุดท้ายคือบลูต้องตีที่ไหล่หนาให้ปล่อยก่อน แล้วพอลุคคลายออก บลูก็หลุดหัวเราะร่วน ทำให้ลุคต้องทิ้งตัวลงนอนลูบหน้าแรง ๆ อีกครั้ง
“ฉันรู้ว่า ในเวลาที่นายจริงจัง นายจะเป็นคนที่จริงจังมากกว่าคนทั่วไปเป็น 100 เท่า” แล้วหัวข้อที่คุยกันก่อนที่จะมาถึงเรื่องนี้มันก็ดูเป็นการหักมุมอย่างแรง จนไม่น่าจะมีอารมณ์อยากกอดกัน “แต่เวลาที่เราจูบกันมันต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ” บลูพูดไปหัวเราะไป
“บลู หยุดหัวเราะได้แล้ว”
แต่บลูยังไม่หยุดหัวเราะ ลุคจึงดึงแขนบลูให้ลงมานอน ขณะที่ตัวเองพลิกตัวขึ้นคร่อม ดวงตาสีฟ้าสว่างที่มองมายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อสีขาวทีละเม็ด
ในที่สุดบลูก็หยุดหัวเราะ ทั้งยังไม่สามารถละสายตาจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น รู้แต่เพียงว่าลุคค่อย ๆถอดเสื้อผ้าออกให้ทีละชิ้นจนร่างกายเปลือยเปล่า
รับรู้ถึงปลายนิ้วที่สัมผัสแก้มใส ปลายคาง เรื่อยลงไปถึงอก และหน้าท้อง
บลูกลืนน้ำลาย ความรู้สึกแปลกก่อตัวขึ้นภายในช่องท้อง ความรู้สึกยามเมื่อถูกจูบคราวนี้ไม่ได้ทำให้คิดว่านี่เป็นเรื่องน่าหัวเราะอีกต่อไป ในทางตรงข้าม นี่เป็นจูบที่พาให้รู้สึกลุ่มหลง และทำให้ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อลุคต้องถอนจูบเพื่อถอดเสื้อ บลูถึงกับผวาตาม ดวงตาสีฟ้าจับจ้องริมฝีปากหนาที่ห่างออกไป แล้วตอบรับในทันทีที่ลุคจูบอีกครั้ง นิ้วมือขาวแทรกที่เส้นผมเรียกร้องให้ลุคตามใจ
ไอร้อนจากร่างกายสูงใหญ่ และลมหายใจที่เป่ารดแก้มยังคงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดอยู่เช่นเดิม บลูไม่สนใจอะไรนอกไปจากการถูกคน ๆ นี้กอดจูบ 
มือใหญ่ลูบไล้อยู่ที่เอวเลื่อนลงไปที่สะโพกแล้วบีบเคล้น กล้ามเนื้อแน่นเต็มฝ่ามือชวนให้ลงมือหนักกว่าเดิม ทั้งท้าทายให้สำรวจร่างกายส่วนอื่น ๆ ต่อไปอีก เมื่อกดปลายนิ้วลากมาที่สะดือ คนตัวเล็กก็ถึงกับสะดุดลมหายใจ แล้วดูดริมฝีปากแลกลิ้น
ลุคเลื่อนมือลงหาแก่นกายสีอ่อน กอบกุมแล้วรูดช้า ๆ จนเริ่มอุ่นร้อน ก็ละจูบริมฝีปากบางลงมาที่ปลายคางแล้วไซ้ซอกคอขาว
บลูส่งเสียงครางที่บ่งบอกว่านี่คืออีก 1 ในจุดอ่อนไหว มือที่กำลังรูดแท่งเนื้อเลื่อนขึ้นมาบีบเคล้นยอดอกจนแข็งก็เลื่อนลงมาใช้ริมฝีปากดูดเม้ม
ไม่มีถ้อยคำบอกกันว่าชอบหรือไม่ ต้องการให้ทำแบบไหน แต่ลุครู้คำตอบทั้งหมดจากเสียงจากในลำคอ และเสียงหอบหายใจที่บ่งบอกถึงความรู้สึกทั้งหมดอย่างชัดเจน
ริมฝีปากหนาเลื่อนลงมาหาหน้าท้อง บลูก้มลงมองแล้วต้องหันหน้าหนีเมื่อดวงตาสีเข้มช้อนมองขณะที่แตะลิ้นที่ส่วนปลาย โลมเลียตลอดแท่งแล้วจูบ รูดริมฝีปากช้า ๆ
สะโพกบางยกขึ้นตามริมฝีปาก เล็กบางกดจิกอยู่ที่ไหล่หนา
ลุคดูดแรงแล้วรูดริมฝีปากถอนออก มือใหญ่รองรับสะโพกบางที่กล้ามเนื้อด้านหลังกำลังรัดตัว
ลุคขยับตัวยกสะโพกบางขึ้นสูง มือหนึ่งรูดท่อนเนื้อที่ด้านหน้า อีกมือหนึ่งต้องช่วยประคองร่างผอมบางไว้ ขณะที่ก้มลงจูบที่ผลแฝด
ในตอนที่สัมผัสผลแฝด กล้ามเนื้อของบลูยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม
“ไม่ชอบหรือ”
“อือ”
ลุคต้องจับให้บลูคว่ำหน้าแล้วยกสะโพกขึ้นสูง ใช้ทั้ง 2 มือบีบเคล้นก้นกลม แล้วก้มลงจูบที่รอยบุ๋มที่เอว
“บลู”
“หือ” ดวงตาสีฟ้าหันมามองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ ๆก็ถูกเรียก
“เคยได้ยินเรื่องวีนัสโฮลไหม”
บลูส่ายหน้า
“จากตำแหน่งที่อยู่ตรงข้อต่อกระดูกเชิงกราบแบบนี้” ลุคก้มลงจูบที่รอยบุ๋มตรงเอวทั้ง 2 ด้าน “นอกจากจะเซ็กซี่มากเป็นพิเศษ ยังทำให้คนที่มีเสร็จเร็วด้วย”
บลูจะพลิกตัวกลับมาหา แต่ลุคกดไหล่ไว้แล้วก้มลงจูบที่เอว
“มาลองดูกันหน่อยไหม ว่ามันจริงหรือเปล่า”
คนตัวเล็กส่ายหน้าขณะที่หัวเราะเบา ๆ “อยู่ดี ๆก็จะมาทดสอบ”
“นายตกลงแล้วนะ ว่าจะเป็นของฉัน”
บลูหันมาค้อน “มาถึงขั้นนี้แล้ว”
ลุคตีก้อนงอนเบา ๆ แต่ก็ยังทำให้บลูสะดุ้ง เกร็งกล้ามเนื้อที่เอวรับริมฝีปากหนาที่พรมจูบเอว ขณะที่อีกมือหนึ่งลูบไล้ที่ต้นหาแล้ววนอ้อมมากอบกุมแก่นกายอุ่นที่ด้านหน้า
ลุคคาดหวังว่าการพูดเล่นเมื่อครู่ จะทำให้บลูผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เคร่งเครียดลงบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีผลเลยสักนิด
ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นจูบที่ไหล่บาง ขณะที่ยังคงอ้อมมือไปรูดให้ช้า ๆ ทำให้แก่นกายของตนเองเบียดเข้ากับต้นขาของอีกฝ่าย
บลูหันมาดึงใบหน้าของลุคให้เลื่อนขึ้นมาจูบพลิกตัวนอนหงาย ส่วนอีกมือเลื่อนลงไปที่ใต้สะดือ
“เดี๋ยวก่อนก็ได้”
ลุคบอกแล้วดึงมือขาวออก เอาใจคนที่ชักสีหน้ายามที่ถูกขัดใจด้วยการกดจูบไซ้ซอกคอชาว แล้วก้มลงใช้ฟันขบเบา ๆ ที่ยอดอกบาง
บลูตีที่ไหล่หนา แล้วบอกตามตรง “อย่าใช้ฟัน ไม่ชอบ”
ลุคพยักหน้า แล้วเปลี่ยนเป็นริมฝีปากและปลายลิ้นโลมเลียที่ยอดอก ทำให้บลูถึงกับหัวเราะเบา ๆ ดึงลุคขึ้นมาจูบอีกครั้ง
ยังคงเป็นจูบที่พาให้ลืมตัวได้อย่างง่ายดาย แม้จะรู้ว่ามือใหญ่เลื่อนไปที่ก้นกลมอีกครั้ง  และสัมผัสที่รอยจีบ
บลูหลับตา 2 เอียงคอรับจูบไซ้ที่ใบหูและต้นคอ 
นิ้วมือใหญ่เกลี่ยที่รอยจีบแล้วเบียดแทรกนิ้วกลางลงไปก่อน แต่ได้เพียงแค่ข้อนิ้วแรกกล้ามเนื้อที่บีบรัดแน่นก็กลับไม่ยอมให้ไปต่อ
“บลู นายต้องยอมให้ฉันเตรียมพร้อมให้นาย”
...หรือว่า...
ลุคขยับลงมาจูบที่หน้าท้องแล้วใช้ปากและลิ้นทำรักให้ พร้อมไปกับการบีบนวดสะโพกกลม หลีกเลี่ยงการสัมผัสผลแฝดที่บลูบอกแล้วว่าไม่ชอบ จนรู้สึกถึงน้ำรสชาติปร่าลิ้นที่หยดจากส่วนปลายก็เปลี่ยนมาใช้มือรูดเบา ๆ จนบลูยกสะโพกตามมือ
ลุคที่ยังไม่ยอมให้บลูไปถึงฝั่งโดยง่าย ฝังใบหน้าอยู่กับหน้าท้องแบนราบ ขณะที่ใช้หยดน้ำลายผสานกับน้ำหล่อลื่นของบลูอาบที่ปลายนิ้วจนชุ่มเพื่อเกลี่ยที่รอยจีบทางด้านหลัง แล้วแทรกปลายนิ้วลงอีกครั้ง
ริมฝีปากหนาเพิ่มน้ำหนักจูบที่หน้าท้อง เมื่อคนผอมบางกระตุกเอวครั้งหนึ่งก็สอดนิ้วเข้าไปอีก แล้วถอยออกมาเล็กน้อยจากนั้นก็สอดลึกกว่าเดิม
ฝ่ามือเล็กดันศีรษะให้ลงไปหาที่แก่นกาย ลุคเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีฟ้าที่ร้องขอแล้วก้มลงใช้ปากทำรักให้ ทั้งที่กล้ามเนื้อภายในรัดแน่น แต่ลุคก็แทรกนิ้วชี้เพิ่มลงไปอีกนิ้ว
มือเล็กข้างหนึ่งยังคงประคองศีรษะเพื่อบอกถึงตำแหน่งที่พอใจ แต่อีกมือหนึ่งทึ้งหมอนไว้แน่น
ลุคเพิ่มนิ้วนางอีกหนึ่งนิ้วแล้วขยับเร็วขึ้น
“ลุค ลุค...” เสียงเรียกชื่อที่อ่อนหวาน “ให้ฉัน ทำให้ นาย...”
บลูหมุนตัวลงมาหาแก่นกายสีเข้ม ใช้มือรูดให้ก่อนจากนั้นจึงใช้ปาก ลุคที่อยู่อีกด้านจึงทำในแบบเดียวกันพร้อมไปกับการเตรียมพร้อมช่องทางด้านหลัง
ในเวลาที่ลุคกดย้ำที่จุดอ่อนไหวภายใน บลูตอบรับด้วยการจิกนิ้วลงที่ต้นขาใหญ่แน่นขึ้น แต่พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ฟันครูดแก่นกาย แต่ครู่หนึ่งบลูก็ถอนริมฝีปากออก ร่างกายเคร่งเครียดขึ้นแล้วกระตุกสะโพกเบา ๆ ลุครับหยาดน้ำสีขาวขุ่นที่เอ่อล้นไว้ 
เมื่อลุคถอนนิ้วออกบลูก็ถึงกับพลิกนอนหลายผ่อนลมหายใจ แล้วส่งเสียงประหลาดใจเมื่อลุคจับให้นอนหนุนหมอน แล้วยกสะโพกบางให้สูงขึ้น คายน้ำของบลูลงที่ช่องทางด้านหลัง
ชายหนุ่มไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปโดยง่ายจากนิ้วที่ 1 เป็นนิ้วที่ 2 และ 3 อย่างรวดเร็ว ทั้งกดย้ำจุดที่ทำให้บลูถึงฝั่งเมื่อครู่
เมื่อช่องทางด้านหลังอ่อนนุ่มและมีความพร้อม ลุคก็จับให้บลูพลิกคว่ำ ใช้น้ำรักของบลูเป็นน้ำหล่อลื่นให้กับแก่นกายสีเข้มที่ใกล้จะระเบิด แล้วกดเข้าหาจากทางด้านหลัง
มือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางที่เกร็งเครียดเมื่อสอดใส่ รอจนผ่อนคลายลงก็ค่อย ๆกดเข้าหา มือใหญ่อ้อมไปด้านหน้าบีบเคล้นยอดอกบาง ขยับสะโพกถอยออกเพียงเล็กน้อยแล้วขยับเข้าหาลึกกว่าเดิม เป็นความฝืดที่อาจหมายถึงการที่บลูยังไม่พอใจสักเท่าไหร่
ลุคก้มลงจูบที่ไหล่ ช้อนปลายคางให้หันมารับจูบ เมื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลายลงก็กดเข้าหาจนสุดแล้วหยุดนิ่ง
หยดเหงื่อจากไรผมหยดกระทบแผ่นหลัง
ลุคถึงกับสูดปากด้วยความรู้สึกเสียว
มีถ้อยคำลามกมากมายเกิดขึ้นในสมอง แต่จากนิสัยของอีกคน หากพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกไปอาจทำให้ความพยายามที่ใช้เวลานานนับชั่วโมงครั้งนี้ต้องจบลงอย่างไม่เป็นท่า
สะโพกแกร่งขยับหมุนหาจุดอ่อนไหวภายใน ดึงข้อศอกบางให้บลูเหยียดตัวขึ้นมาหา แล้วถอยออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วกดย้ำ
กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งเกร็ง แท่งเนื้อสีอ่อนที่อ่อนลงไปแล้วกลับมาแข็งขึงอีกครั้งเมื่อจุดอ่อนไหวภายในถูกกระตุ้น กล้ามเนื้อภายในตอบรับการบุกรุก
“ลุค...” น้ำเสียงในยามที่ร้องขอเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหวามไหว
มือใหญ่อ้อมไปบีบเคล้นแก่นกายอุ่นร้อน เร่งมือรูดสอดรับกับการขยับสะโพก
ข้อมือหนาถูกคว้าจับไว้แน่น แต่ช่องทางด้านหลังรัดแน่นกว่า ทั้งยังรู้สึกถึงน้ำหล่อลื่นจากภายในที่ไหลซึม ลุคก้มลงจูบไหล่บาง บลูเกร็งตัวแล้วถึงจุดสูงสุดไปอีกครั้ง
ลุคถอนออกแล้วจับให้บลูนอนหงาย แยกเรียวขาออกกว้าง ยกสะโพกขึ้นสูงแล้วสอดใส่
“นาย อึด เกินไปแล้ว”
บลูโอดครวญด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อยแต่ช่องทางด้านหลังกลับยังคงตอบรับเป็นอย่างดี
ดวงตาสีฟ้าหรี่ปรือที่มองมา 2 แขนที่ยกขึ้นมาหาเรียกร้องให้โอบกอด ริมฝีปากฉ่ำหวานในยามจูบ ร่างกายที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
ลุคเร่งเร้าโถมเข้าใส่แล้วหลั่งข้างใน ในยามที่ถอนออกแล้วลงนอนด้านข้างยังมีน้ำสีขาวขุ่นหยาดหยดตามออกมา
บลูพลิกตัวหันมา แล้วซุกใบหน้าลงกับต้นแขนหนา
“เหนื่อยกว่าตอนที่หนีเจ้าตัวพวกนั้น อย่างเทียบกันไม่ติด”
ลุคหัวเราะเบา ๆ ขณะที่ก้มลงจูบหน้าผาก
“พักก่อนนะ อย่าเพิ่งไปไหน”
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 04-03-2021 17:27:30
(ต่อครับ)

บลูเหนื่อยจริงอย่างที่บอก และหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้าที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคนที่นอนกอดกันอยู่เมื่อคืนไม่อยู่แล้ว
นี่ถ้าหากเมื่อคืนมีใครบุกรุกเข้ามา ปีศาจนกฮูกตัวนี้ก็คงเหลือแต่ชื่อ
เมื่อออกมาที่นอกห้อง ก็เห็นว่า ลุคและจัสตินกำลังกินอาหารเช้าอยู่ด้วยกัน และมีนมอุ่นกับขนมปังวางอยู่ตรงตำแหน่งข้างขวาของลุค
บลูพยายามบังคับสายตาไม่ให้มองจัสติน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองอยู่ดี แล้วจัสตินก็รู้ตัวว่าถูกมองทั้งที่ไม่ได้หันหน้ามาทางนี้
“พวกนาย 2 คนทำให้ฉันต้องออกไปนอนนอกบ้านอยู่ครึ่งคืน”
ลุคหัวเราะเบา ๆ ทำให้บลูเดินไปชกต้นแขนหนา 1 หมัด แล้วหันไปขอโทษจัสตินด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่พ้นคอ
ชายชาวเยอรมันยังมีสีหน้าเรียบตึงในเวลาที่พูด “เมื่อคืนนายก็ทำเสียงแบบนี้เวลาอยู่กับลุคหรือเปล่า มิน่า...”
บลูมีอาการหน้าชาไร้ความรู้สึกไปชั่วครู่ แล้วก็กลายเป็นรู้สึกร้อนผ่าว นั่งลงตรงเก้าอี้ที่คิดว่าน่าจะเป็นของตนเอง
“พอแล้ว” ลุคเตือนทั้งที่กำลังยิ้มกว้างให้กับออมเล็ตในจาน
“ตื่นนานแล้วหรือ ฉันหลับสนิทเลย”
“ตื่นนานแล้ว ดีแล้วที่นายหลับสนิท” ลุคตอบ
“อันนี้” บลูชี้ที่แก้วนม “ของฉันใช่ไหม”
“ใช่ ดื่มสิ”
บลูจิบนมสดแล้วถาม “พวกนายคุยเรื่องอะไรกันอยู่”
“เรื่องไปสวีเดน”
บลูพยักหน้า แสดงว่ายกเลิกการไปป่าสนทางเหนือแล้ว “สวีเดนเคยเป็นเป้าหมายหลักของนายมาก่อนหรือเปล่า ฉันหมายถึง นายเคยบอกว่า พวกนายค้นหาซอว์นีย์มานานหลายปี แล้วนายเคยมีเบาะแสอะไรที่ชี้ไปที่นั่นมาก่อนหรือเปล่า”
“มีเบาะแสมากมายที่ชี้ไปที่นั่น รวมถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับป่าลึกลับ ที่มีนักท่องเที่ยวหายไป เราเคยค้นหาที่นั่นมาแล้วหลายครั้ง เรียกว่าค้นที่นั่นมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงครั้งล่าสุดคือเมื่อ 2 ปีก่อน และจนถึงตอนนี้เราก็มีคนคอยเฝ้าระวังอยู่”
แสดงว่าป่าสนแห่งนั้น คือสถานที่ต้องสงสัยมาตลอด
“แล้วตอนนี้นายก็กำลังจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง เพราะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่คาร่ากลับมาจากสวีเดนพร้อมกับเครื่องรางบางอย่างที่มีวิญญาณร้ายกลับมาด้วย รวมกับเรื่องที่ฉันได้ยินคนพูดถึงอารันญ่าที่ป่าสนในสวีเดน นายคิดว่าพวกมันซ่อนคาร่าไว้ที่นั่นหรือไง”
ลุคพยักหน้า “แค่สงสัย ไม่มีหลักฐานอะไรเลย”
“ช่างมีเวลาเหลือเฟือ” บลูประชดแล้วเอียงคอ “นึกบางอย่างขึ้นมาได้”
ผู้ฟังทั้ง 2 คนพยักหน้าให้บลูพูดต่อ
“วันที่คาร่ากลับมาจากสวีเดน เธอพูดกับแม่บ้าน ผู้หญิงที่ดูอึมครึมคนนั้น”
“เธอชื่อกัลย์” ลุคบอก
“คนนั้นแหละ บอกเรื่องเอาของสำคัญไปฝากธนาคาร การที่นายไปรื้อค้นบ้านเธอก่อนหน้านี้แล้วไม่ได้เบาะแสอะไร อาจเพราะของไม่ได้อยู่บ้าน”
ลุคพยักหน้า “เบสน่าจะเป็นอีกคนที่รู้เรื่องนี้ไหม”
บลูทบทวนแล้วส่ายหน้า “ฉันไม่รู้ เพราะว่าพอเกรซกลับมาถึงบ้าน คาร่าก็ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้ แต่คิดว่า ถ้าเธอจะเอาของไปไว้ที่ธนาคารก็น่าจะเป็นวันถัดมา เพราะในวันนั้นฉันเฝ้าอยู่ทั้งวัน คิดไปคิดมา ฉันน่าจะเผาคาร่าเสียตั้งแต่ตอนนั้น จะได้ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้”
ดวงตาสีฟ้ามองขนมปังในมือ “นายอาจมีเหตุผลมากมายที่จะเดินทางไปทั่วโลก แต่มีคำถามเกี่ยวกับการที่นายยอมละทิ้งเป้าหมายที่นี่ไปง่าย ๆ ทั้งที่นายย้ำกับฉันอยู่เสมอว่า ให้ฉันอยู่เฉย ๆ และนายยังสงสัยว่าซอว์นีย์และพวกอยู่ที่นี่”
ลุคเลิกคิ้วขึ้นสูง ขณะที่จัสตินวางแก้วกาแฟ
บลูจ้องดวงตาสีเข้มเมื่อพูดต่อ “โอเค ไม่ต้องบอกก็ได้ อย่างนั้นฉันจะบอกกับนายในเรื่องที่เกี่ยวกับฉัน สิ่งที่ฉันจำได้ ฉันคือนกฮูกสแกนดิเนเวีย ถิ่นกำเนิดของฉันคือสวีเดน แต่ฉันกลายเป็นแบบนี้ที่สกอตแลนด์ ที่ร็อกไซด์นั่นแหละ ทุกอย่างเกิดขึ้นในยุโรป ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเอเชีย จนกระทั่งวันหนึ่งฉันถูกพวกล่าปีศาจไล่ตามในแบบที่เลวร้ายกว่าในตอนนี้ ฉันทำได้แค่หนีมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่นี่ แล้วมาเจอกับเกรซ เอาจริงนะ ตอนที่เจอก็ยังงงอยู่เหมือนกัน ฉันซ่อนตัวอยู่ในสวนสาธารณะ แล้วเขาผ่านมา คือมันแบบ...” บลูทำมือไม้วุ่นวาย “จู่ ๆเขาก็วิ่งออกกำลังกายผ่านต้นไม้ที่ฉันซ่อนตัวอยู่ หลังจากนั้นก็คือการที่นายพาฉันไปพบกับครอบครัวไร้ด์ ฉันฟังในสิ่งที่นายพูดนะลุค แล้วฉันก็เชื่อที่นายบอกว่า เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีอันตรายอยู่รอบตัวพวกเขา โดยเฉพาะการที่อารันญ่าควบคุมเกรซอยู่อย่างนี้ ดังนั้นฉันก็จะสรุปอีกครั้ง ว่านายอยากจะจัดการซอว์นีย์ที่ไหนก็แล้วแต่นาย แต่ถ้านายไปสวีเดน ฉันขอรออยู่ที่นี่ ฉันไม่อยากห่างจากเกรซ แล้วก็ช่วยจัดการให้เร็วหน่อยเถอะ เวลาของฉันเหลืออีกไม่มากแล้ว”
ลุคนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องตามล่าแม่มด มีการล่าปีศาจแลกเงินรางวัลจากศาสนจักร เมื่อเวลาผ่านไปทั้งนักล่าและปีศาจก็เปลี่ยนรูปแบบของตนเอง นักล่าหลายคนทำงานขึ้นตรงกับศาสนจักร ปีศาจจำนวนมากกลายมาเป็นเครื่องมือของพ่อมด”
บลูขยับตัวนั่งหลังตรง
“ทั่วโลกมีเรื่องบันทึกเกี่ยวกับพ่อมด เวทย์มนต์และปีศาจเป็นหมื่น ๆ เรื่อง แต่บันทึกที่เกี่ยวกับซอว์นีย์หายากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ถ้าเรื่องที่นายบอกว่า นายเป็นแบบนี้ที่สกอตแลนด์ ฉันคิดว่า มันอาจเกี่ยวข้องกับการทำพิธีกรรมของพ่อมดในสุสาน”
ผู้มีดวงตาสีฟ้าอ้าปากค้าง “นายมักจะอยู่ในสุสานใช่ไหม”
บลูพยักหน้า
“แล้วฉันก็คิดว่า พ่อมดคนนั้นอาจเป็นซอว์นีย์”
“หา...”
“ถ้าเป็นซอว์นีย์จริง มันจะเป็นเหตุผลในแง่ที่ว่าเขากำลังทำพิธีกรรมเกี่ยวกับเครื่องราง อาจกำลังเปลี่ยนอะไรสักอย่างให้เป็นเครื่องรางของเขา แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ แต่กลับทำให้นายที่อยู่ในสุสานในเวลานั้นพอดีต้องกลายเป็นแบบนี้”
“อันนี้คือการคาดเดาใช่ไหม”
“ฉันกำลังหาเหตุผลมารองรับการที่นายกลายเป็นแบบนี้ นายคิดว่ายังมีพ่อมดคนไหนที่ทำได้อีก”
บลูส่ายหน้า “ฉันลืมเรื่องในคืนนั้นไปแล้ว จำได้แค่ตอนที่จอร์จเก็บฉันกลับมาบ้าน กับเรื่องหลังจากนั้น”
“ในช่วงเวลาที่พวกเรายังเด็ก พ่อมดกลุ่มนี้ยังอยู่อย่างกระจัดกระจาย ซอว์นีย์เองก็มักทำตัวลึกลับมาตลอด ในช่วงแรกเราเคยตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นที่หลบซ่อนของซอว์นีย์ ก็มักจะเป็นบ้าน หรือกระท่อม”
“แต่นายบอกว่าเขามีลูกน้อง เขาน่าจะอยู่ในสถานที่ที่มันมีพื้นที่กว้างสักหน่อยไหม”
“เราเคยตรวจค้นปราสาทของพวกขุนนางเก่า แต่ทุกที่จะมีบางอย่างเหมือนกัน คือมีไอของพ่อมดและปีศาจจาง ๆ ซึ่งหมายความว่า เขาเคยมาที่นั่น แต่ไม่ได้อยู่ที่นั่น”
“การตรวจค้นพวกนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ครอบครัวไร้ท์ตายไปแล้วมากกว่า 10 ปี” จัสตินเสริม 
“ในยุคล่าแม่มด ศาสนจักรเองก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องแม่มด และการล่าแม่มด แล้วก็ยังมีเรื่องราวในส่วนของกลุ่มนักล่าที่ไม่ใช่พวกที่ไล่จับผู้ต้องสงสัยไปเผา พวกเราถูกเรียกใหม่ว่ามือปราบวาติกันที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างเพื่อให้มีความเข้มแข็งขึ้น และต้องมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถกระจายกันออกไปค้นหาพ่อมดแม่มดในหลายประเทศ ฉันไม่ได้เป็นคนที่ขอย้ายจากฝรั่งเศสมาที่นี่ แต่ที่มาก็เพราะมีผู้ทำนายที่วาติกันบอกว่าครอบครัวไร้ท์ปรากฎขึ้นที่นี่อีกครั้ง ฉันจึงมาและพบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อน ฉันสามารถแยกออกมาได้แค่เจตน์กับแอน 2 คน ฉันออกห่างจากภารกิจตามล่าซอว์นีย์ตั้งแต่มาถึงที่นี่ หน้าที่ของฉันคือการจัดการพวกปีศาจ หรือวิญญาณที่เข้ามาใกล้พวกเขา จนกระทั่งผกากลับมาจากสวีเดนและฉันเจอนาย”
“นี่! อย่ามาโทษกันนะ บอกแล้ว”
“ไม่ได้โทษ แต่กำลังอธิบาย และเชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง”
บลูส่ายหน้า “ลุค เมอร์ฟี นายอาจไม่รู้ตัวว่านายมักหลีกเลี่ยงการพูดความจริงกับฉันด้วยการอธิบายแบบอ้อมโลก พูดเรื่องที่ฉันไม่สนใจอยู่ครึ่งวัน เพื่อให้ฉันลืมคำถาม นายบอกว่าเรื่องมันเครียด บอกให้ฉันอยู่ห่าง ๆ พอฉันห่าง นายก็จัดการอะไรมากมาย พอฉันกลับมา นายก็หยุดการทำงานทุกอย่าง ที่จริงแล้วนายอยากให้ฉันอยู่หรือไปกันแน่”
จัสตินหัวเราะหึ แล้วลุกขึ้นเก็บจาน และแก้วกาแฟไปล้าง
“ไปกันใหญ่แล้วบลู” ลุคจับมือขาวซีดของบลูไว้ “ฉันพยายามหาซอว์นีย์และผกาอยู่ตลอด แต่ฉันไม่เจอเบาะแสอะไรเลย อย่างซอว์นีย์ เราควรตามหามันได้จากการที่พวกลูกสมุนรายงานผลการทำงานกลับไป หรือไม่ก็ต้องมีการรวมกลุ่มทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง แต่ในช่วง 5 ปีมานี้พวกมันจะปรากฏตัวออกมาแล้วอยู่กับที่อย่างอารันญ่า หรือออกมาสู้กันแล้วหายไปอย่างดาร์ท และพ่อมดอีกหลายคน ขณะที่การตามรอยผกายิ่งยากมากกว่าเพราะแม้แต่รถยนต์คันที่ผกาใช้อยู่ตลอดก็หายไปด้วย”
ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกาย “นายให้เชสช่วยดูว่าอารันญ่าติดต่อใครอยู่ใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า
“แต่อารันญ่าก็ไม่ได้ติดต่อกับใครเลย ตอนที่เจอกับดาร์ท พวกมันยังไม่พูดกันสักคำ”
“เพราะมันรู้น่ะสิ ว่านายต้องวางเครื่องรางอะไรไว้ มันก็เลยระวังตัว”
ลุคยอมรับ
“มีอะไรอีก” บลูคาดคั้น “มาถึงขั้นนี้แล้ว นายยังมีอะไรที่ปิดบังอยู่อีก”
คนตัวใหญ่กอดอกไม่ยอมพูด ซึ่งเท่ากับการสารภาพว่ามีเรื่องปิดบังอยู่จริง ๆ
“ลุค เมอร์ฟี ถ้านายไม่พูด ฉันจะไปหาเบสที่บ้านจริง ๆ นะ ฉันไม่สนแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันต้องเป็นปัญหาใหญ่ของนาย แน่ ๆ”
“อันที่จริงฉันรอคืนเดือนมืดของเดือนหก” ซึ่งก็คืออีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ “ซอว์นีย์อาจทำพิธีกรรม”
“ทำไมต้องเดือนมืด และเดือนหก” บลูถาม
“จากพิธีกรรมที่สุสานในร็อกไซด์เมื่อนานกว่า 400 ปีที่แล้ว และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นอีกหลายที่ ที่คาดว่านั่นคือเวลาที่ซอว์นีย์จะทำพิธีกรรม”
“ขอเดานะ” นี่คือการคาดเดาจริง ๆ “นายกำลังคิดว่าซอว์นีย์น่าจะทำพิธีกรรมในเดือนหน้า ที่ป่าสนในสวีเดนใช่ไหม แต่ที่จริงเขาสามารถทำพิธีกรรมที่สุสานไหนก็ได้ไม่ใช่หรือ”
“ใช่สุสานไหนก็ได้ที่อยู่ใกล้ป่า แต่ฉันเดาว่า คราวนี้ในที่นั้นจะต้องมีผกา”
ลุคจึงไปที่ป่าสนทางเหนือ เพราะคิดว่าพวกซอว์นีย์อาจไม่ได้พาผกาเดินทางข้ามประเทศกลับไปสวีเดน
“พวกมันวางกับดักฉัน เป็นกับดักที่แบบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน แต่นายห้ามไว้ก่อนว่างั้น”
“แต่นายก็จะดื้อตามไปจนได้”
บลูยักไหล่ “อย่างนั้นอีกไม่นานพวกมันก็คงจะส่งคนมาบอกนายเองแหละ ว่าจะให้ไปที่ไหน จะเดินทางให้เหนื่อยทำไม” คนตาสีฟ้าหันมาจ้องหน้ามือปราบชาวสกอต “หรือว่า...นายรู้ว่าซอว์นีย์จะต้องทำแบบนี้ ดังนั้นในระหว่างที่รอพวกมันส่งคนมาบอก นายก็เลยให้ฉันไปซ่อนตัว และการที่ยกเรื่องสวีเดนขึ้นมาพูด ก็เพื่อที่วันหนึ่งนายต้องออกไปเจอพวกมัน ฉันที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็จะคิดว่านายไปสวีเดน”
จัสตินเดินกลับมามองหน้าลุค เพราะจากที่บลูพูดมาแสดงให้เห็นว่าทั้งตนเองและสาธุคุณฌ็องส์ก็ถูกลุคหลอกและปิดบังเหมือนกัน
ลุคลูบหน้าแรง ๆ “ขอโทษนะบลู”
“นายต้องขอโทษฉันด้วย” จัสตินท้วง “ฉันคือผู้พิทักษ์ของนาย ตามนายไปทั่วโลก แต่นายกลับหลอกฉัน”
“ขอโทษ”
จัสตินหันมาหาบลู “ขอบใจนะ ที่ผ่านมาใช่ว่าฉันจะไม่สงสัยที่ทำไมเขาถึงมักจะบอกให้พวกเราแยกกันทำงาน หรือแม้แต่เรื่องบ้านพัก พวกเราก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันอย่างมือปราบกับผู้พิทักษ์คู่อื่น แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า เขาตั้งใจจะจัดการกับซอว์นีย์ตามลำพังมาโดยตลอด”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ลุคพยายามจะอธิบาย “ตอนที่ต้องมาที่ประเทศนี้เพราะครอบครัวไร้ท์ปรากฏขึ้นที่นี่ ฉันก็คิดว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว การให้นายมาจัดการเรื่องส่วนตัวของฉันมันไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่"   
บลูหันไปหาจัสติน “คิดว่าประโยคนี้เชื่อได้ไหม”
“คิดว่าควรเชื่อ เพราะจากการกระทำทั้งหมดของเขามันบ่งชี้ไปอย่างนั้น” ผู้พิทักษ์ชาวเยอรมันตอบ
“พูดขึ้นมาแล้วก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง” วันนี้บลูมีพรรคพวกแล้ว “นายเคยทำเป็นฟอร์มว่าไม่เก่ง”
“แล้วนายก็เชื่อด้วยหรือ เขาเป็นมือปราบแห่งวาติกันเชียวนะ” จัสตินไม่ได้พูดช่วยลูกพี่เลยสักนิด
“เชื่อสิ ก็เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นนักบวช ฉันก็คิดว่าอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้” บลูส่ายหน้า “ไม่รู้จะทำให้มันซับซ้อนไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ตัวนายเองนั่นแหละที่ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา”
โดนถึงขนาดนี้ลุคกลับยังดูไม่เดือดร้อนสักเท่าไหร่ ทั้งรู้สึกดีที่บลูกับจัสตินสามารถกลายเป็นฝ่ายเดียวกัน จนปล่อยให้ทั้ง 2 คนต่อว่าโดยไม่คิดจะชี้แจงหรืออธิบายอะไร
 
สายวันนั้นลุคและจัสตินออกเดินทางอีกครั้ง โดยมุ่งหน้าไปทางป่าสนทางเหนือตามที่มีการวางแผนไว้ตั้งแต่แรก เนื่องจากทั้ง 3 คนเห็นพ้องกันว่า ซอว์นีย์จะต้องส่งปีศาจ หรือดวงวิญญาณติดตามลุคมา หากจู่ ๆ ลุคเดินทางกลับอาจทำให้เกิดความสงสัย
“ไหน ๆ ลุค เมอร์ฟีก็เดินแผนหลอกทั้งกลุ่มซอว์นีย์และคนกันเองมาตั้งนาน จะมาทำอะไรตรงไปตรงมาตอนนี้ มันก็จะผิดวิสัย เพราะฉะนั้น ฉันเห็นด้วยที่นาย 2 คนจะเดินทางต่อไป” บลูแสดงความเห็นในแบบที่ทำให้คนฟังอยากดึงจมูกเล็ก ๆ นั่นสักที

จบตอนที่ 19  (Venus Hole ถ้าเป็นชายเรียก Apollo holes)
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 04-03-2021 19:02:21
ตอนใหม่มาแล้ว ปรบมือรัวๆ :mc4:



แปะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านนํา



 :mew1:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 05-03-2021 16:58:57

แหมๆๆๆๆๆ พี่ลุค  :hao7:




 :pighaun:  :pighaun:  :pighaun:




สงสารจัสติน ต้องย้ายหนีเลยทีเดียว แต่พี่ลุคเค้าก็รอมานานอ่ะนะ เข้าใจเค้าหน่อย  :hao3:




เอาล่ะ ผสานจิต ผสานกายกันแล้วก็ไปลุยกันต่อ



 :katai2-1:




ตอนนี้เข้าใจกันมากขึ้นแล้ว พี่ลุคเปิดเผยเรื่องที่เก็บไว้มากขึ้น น้องบลูกับจัสตินจะได้ไม่ต้องกังวลมากเนอะ




ตอนหน้า ลาสบอสซอว์นีย์จะปรากฎตัวไหมนะ ได้ยินแต่ชื่อ แต่ยังไม่เผยตัวซะที




 :hao4:



หวังว่าตอนหน้าจะมีฉากพี่ลุคกับน้องบลูอีก แค็กแค็ก ฉากต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายอีก




ขอบคุณสำหรับตอนนี้ค่า รอลุ้นตอนหน้ากันต่อไป คึคึ



 :3123:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-03-2021 22:15:34
เย้ ผูกพันกันแล้ว
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 10-03-2021 09:52:23

 :z1:  :z1:   :z1:   :z1:   :z1:


เอาล่ะ ตกลงข้อพิสูจน์ของลุคว่าบลู มีวีนัสโฮล ก็เป็นจริงซินะ


 :z1:  :z1:   :z1:   :z1:   :z1: 


เราควรโฟกัสเรื่องเค้าต้องไปต่อสู้ใช่ป่ะ  ไม่อ่ะ

ตอนนี้ได้รู้ว่าต่อไปลุคจะไม่ต้องกังวลว่าบลูจะหายไปก็ดีต่อใจแระ



ขอบคุณค่ะสำหรับตอนใหม่ กับความรู้ใหม่เรื่อง Venus holes ถึงกับไปหาข้อมูลตามเลยทีเดียว   o18


 :L2:  :L2:  :L2:









หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-03-2021 19:47:10
ตอนที่ 20
   
ลุคและจัสตินยังคงขับรถไปตามจุดหมายเดิม ตามที่ตั้งใจไว้ จากเขตเมือง เข้าสู่ชนบท และหมู่บ้านของชนพื้นเมือง
หัวหน้าหมู่บ้านลอบมองชายชาวต่างชาติทั้ง 2 คนด้วยความหวาดระแวง
หมู่บ้านชนบทมักแฝงไว้ด้วยเวทมนตร์ ภูตผีทั้งดีและร้าย แต่ลุคก็เลือกที่จะไม่แตะต้องเรื่องราวเหล่านั้นซึ่งทำให้จัสตินผู้มีความซื่อตรงต่อหน้าที่ออกจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย ยังดีที่ลุคขอเช่าบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งเป็นที่พักก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตป่า ซึ่งทำให้จัสตินพอจะมองข้ามเรื่องราวที่ทำให้ไม่พอใจเหล่านั้นไปได้
ก่อนที่ฟ้าจะมืด ชายเจ้าของบ้านนำอาหารค่ำและน้ำดื่มมาให้ ทั้งกำชับเรื่องการปิดประตูหน้าต่างให้ดี ทั้ง 2 คนก็ทำตามคำแนะนำ ปิดประตูหน้าต่าง เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง
แต่ในทันทีที่ลุคปิดหน้าต่างบานสุดท้าย บลูก็ปรากฏตัวตรงมุมห้อง
“ที่นี่มีเวทมนตร์แปลก ๆ ล้อมไว้ทั้งหมู่บ้าน ฉันเลยต้องหลบอยู่ข้างนอก”
“แล้วมันมีผลต่อนายหรือเปล่า” ลุคถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่านายกำลังปิดบ้าน ก็พุ่งตรงเข้ามาเลย ถ้าจะเป็นอะไร ก็น่าจะเป็นแล้ว” บลูก้มลงมองมือ และแขนขาตัวเองจากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“แล้วได้กินอะไรหรือยัง” ลุคถาม “ชาวบ้านเขาทำอาหารพื้นเมืองมาให้ ฉันเก็บผลไม้ไว้ให้นาย”
บลูหันไปมองหน้าจัสติน แล้วหันกลับมาหาลุค “นายกล้ากินอาหารที่ชาวบ้านทำให้ด้วยหรือ”
“เขาไม่ได้ใส่อะไรมาในอาหารหรอก หรือต่อให้ใส่มา จัสตินก็ปลดออกได้” ลุคบอก
บลูเห็นว่าจัสตินมักเป็นคนเตรียมอาหารให้ลุค แต่เพิ่งรู้ว่าจัสตินสามารถปลดพิษหรือคาถาในอาหารได้
“ที่จริงฉันกินมาแล้ว แต่ในเมื่อนายตรวจสอบผลไม้ตรงนี้แล้วฉันก็ไม่เกรงใจละนะ” บลูหยิบลูกสาลี่ขึ้นมา
“ตอนที่นายตามมา เจออะไรไหม” ลุคถาม
บลูเหลือบตาขึ้นมองคนถาม “ก็มีวิญญาณที่ตามนายมา ไม่ใช่ มันเป็นแบบ ส่งต่อกันมาเป็นทอด ๆ น่ะ วิญญาณที่ตามอยู่ตอนนี้เป็นคนละตัวกับที่ตามนายตอนที่ออกมาจากเมือง นายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ลุคพยักหน้า “เผื่อว่าจะมีอย่างอื่นอยู่อีก”
“อย่างอื่นเหรอ” บลูหน้าตาเหรอหรา ขยับตัวเตรียมพร้อมจะหลบหนีทันที
“ไม่ต้องหนีหรอก ฉันวางตาข่ายคุ้มครองบ้านนี้ไว้แล้ว”
“ฉันกินต่อได้นะ”
“อืม” ลุคบอกแล้วหันไปหาจัสตินที่กำลังทำความสะอาดอาวุธ “นายเองก็นอนพักได้ ไม่ต้องเฝ้ายามหรอก”
บลูถาม “มือปราบกับผู้คุ้มครองคู่อื่น เขาดีต่อกันแบบนาย 2 คนหรือเปล่า”
“แน่นอน”
ดวงตาสีฟ้ามอง 2 คนสลับไปมา แล้วก้มมองผลไม้ในมือ “ดีแล้ว”
ท่ามกลางสายลมเย็นในเวลากลางคืน มีเสียงดนตรีพื้นเมืองดังแทรกขึ้นมา ทำให้ทั้ง 3 คนที่กำลังพูดคุยกันหยุดฟังเสียงเพลง
“เพราะดีนะ” บลูบอก
จัสตินหันมาบอก “ฉันจะออกไปนั่งที่ด้านนอก”
“ไม่ต้องเฝ้ายามหรอก”
“พวกนายอาจมีเรื่องที่อยากคุยกัน” ชายชาวเยอรมันพูดจบก็เดินออกไปนั่งอยู่ที่ระเบียง
บลูกัดผลไม้ป่าลูกเล็กสีม่วงเข้ม “นี่มันลูกอะไร หวานนิด เปรี้ยวหน่อย”
ลุคหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
เป็นคำตอบที่ทำให้บลูชะงักมือ แล้วเปลี่ยนไปหยิบลูกสาลี่ “ลุค เมอร์ฟีมีเรื่องที่ไม่รู้ด้วยหรือ”
“ฉันมีเรื่องที่ไม่รู้มากมาย”
บลูทำหน้ายู่ เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยทันที “แล้วนายไม่ต้องทำความสะอาดอาวุธหรือไง ฉันไม่เคยเห็นนายทำความสะอาดเลย แต่คนเยอรมันจะทำความสะอาดอาวุธ 3 ใน 5 ครั้งที่เจอกัน”
“อาวุธของพวกเราไม่เหมือนกัน”
“นายเคยเล่าเรื่องอาวุธของนายให้ฉันฟังหรือยัง”
“เคยพูดไปนิดหน่อย”
บลูพยักหน้า
“อยากฟังหรือเปล่า”
“ถ้านายอยากเล่า” บลูกัดสาลี่ผลที่ 2 “นายอยากเล่าเรื่องไหน ฉันก็อยากฟังเรื่องนั้นแหละ”
ลุคเอื้อมมือไปจับศีรษะเล็ก ๆ แล้วเล่าเรื่องเกี่ยวกับการที่ปลอกข้อมือแอเรียสรวบรวมอาวุธจากนักสู้ พ่อมด และปีศาจไว้ แล้วจะส่งออกมาให้กับลุคในเวลาที่พบคู่ต่อสู้
บลูกินผลไม้หมดไป 2 ลูกก็ดื่มน้ำ นั่งฟังลุคเล่าเรื่องอาวุธไปเรื่อย จนกระทั่งนกกลางคืนส่งเสียงร้องขึ้นมา บลูจึงเหลียวไปมองทางที่มาของเสียง แล้วบอกลุคให้เรียกจัสตินเข้ามาในบ้าน
ชายชาวเยอรมันเดินเข้ามาในบ้านตามที่ลุคเรียก จากนั้นบลูจึงแปลการสื่อสารของนกกลางคืนให้ฟัง
“ฉันไม่รู้ว่าพวกนาย หรือคนที่นี่เรียกพวกเขาว่าอะไร พวกเขาคือวิญญาณของคนที่ตายในละแวกนี้ ในป่านี้ ที่กำลังจะผ่านไป ถ้านายยังนั่งอยู่ข้างนอก เกิดวิญญาณตนหนึ่งตนใดหันมาเห็น แล้วแตกออกมาจากแถว เขาก็จะพลัดหลงกับวิญญาณอื่น ๆ”
“ไม่อยากให้ฉันส่งพวกเขาหรือ” ลุคถาม
บลูคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “พวกนั้นไม่ได้เป็นวิญญาณร้าย คือจะบอกว่าหลงทางก็ไม่น่าใช่ อธิบายไม่ถูก แต่เขาจะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ รอให้ข้างบนมารับไปเท่านั้น นายไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานเพื่อส่งพวกเขาหรอก” มือเล็กขยี้ตาท่าทางเริ่มง่วง “อีกอย่าง กว่านายจะส่งวิญญาณไปได้ทั้งหมดอาจนานข้ามวัน เพราะนายต้องคุยทีละคน นานชะมัด”
ลุคหัวเราะ ขณะที่จัสตินแค่ยิ้มขำให้กับคำบ่นปนง่วง
“ง่วงแล้วหรือ ขอโทษทีลืมไปว่านายนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน วันนี้พวกเราเดินทางตลอด ทำให้นายไม่ได้นอน”
“ตอนแรกก็ไม่ง่วงหรอก แต่พอนึกถึงตอนที่นายคุยกับวิญญาณแล้วง่วง” บลูแก้ตัว
“พวกนายไปนอนพักเถอะ ฉันจะอยู่ในห้องนี้”
ถึงแม้ว่าจัสตินจะเป็นคนยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และบลูก็เชื่อตามนั้น แต่ยังรู้สึกไม่ไว้ใจ หันไปมองผ่านหน้าต่างที่ปิดสนิทออกไปข้างนอก
“ไม่ต้องห่วง ฉันส่งวิญญาณไม่ได้ แต่สลายให้มันหายไปได้” ชายชาวเยอรมันดูพอใจที่เห็นว่าบลูตั้งท่าจะอาละวาด “แต่ถ้าลุคไม่สั่ง ฉันก็จะนั่งอยู่เฉย ๆ ในห้องนี้”
บลูหน้างอ หันไปกระตุกชายเสื้อของลุค “บอกเขาสิ เขาเป็นลูกน้องนายนะ”
ลุคตามใจทุกคน “ฉันอยากให้นายพักผ่อนเหมือนกัน พวกเรายังต้องเดินทางกันอีกนาน”
บลูหันไปมองจัสตินเชิงบังคับให้ชายชาวเยอรมันรับปาก แต่จัสตินก็แกล้งด้วยการส่งเสียงตอบรับในลำคอสั้น ๆ แล้วเดินมาเก็บโต๊ะอาหาร
ลุคจับมือเล็ก จูงไปล้างหน้าล้างมือ “อยากล้างตัวก่อนนอนสักนิดไหม”
บลูอ้าปากจะกล่าวปฏิเสธ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้อยู่ในร่างมนุษย์ ก็เลยพยักหน้า
“ที่นี่มีห้องน้ำเพียงห้องเดียว รออยู่ที่นี่ก่อน จะไปเอาเสื้อนอนมาให้”
จัสตินที่กำลังจะล้างถ้วยชามหยุดการทำงาน แล้วเดินไปยืนอยู่ใกล้กับประตูด้านหน้า กาง 2 มือออกท่าทางเตรียมพร้อมที่จะเรียกอาวุธออกมาได้ทุกเมื่อ บลูจึงได้รู้สึกตัวว่า ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง เสียงนกกลางคืนเงียบหายไป แม้แต่สายลมเย็นในเวลากลางคืนก็ยังหยุดนิ่ง
“ไม่เป็นไร” บลูเป็นกังวล “อย่าทำอะไรพวกเขา เดี๋ยวเขาก็ผ่านไป”
แต่จัสตินยังคงเตรียมพร้อม
ในตอนที่บลูบอกให้ฟัง ยังคิดว่าอย่างมากก็สัก 5 ดวงวิญญาณ แต่จากแรงกดดันที่กำลังใกล้เข้ามา ทำให้คาดเดาได้ว่าจะมีมากกว่านั้นหลายเท่าตัว
ลุคเดินออกมาจากห้อง โอบไหล่บลูไว้
ทั้ง 3 คนที่ยืนอยู่ในบ้านต่างมองเห็นด้วยดวงตาที่ 3 เมื่อร่างโปร่งใส ทั้งที่อยู่ในชุดพื้นเมือง ชุดในยุคสมัยปัจจุบัน เด็ก คนหนุ่มสาว และคนชรา ทั้งหญิงและชายเคลื่อนผ่านหน้าบ้านไปอย่างช้า ๆ
เสียงพูดคุยกันของดวงวิญญาณแผ่วเบาจนไม่สามารถจับถ้อยคำได้
วิญญาณแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งที่สวมชุดในยุคสมัยปัจจุบันหยุดที่หน้าบ้าน แล้วหันมามอง
บลูละสายตาจากดวงวิญญาณที่ด้านนอกกลับมาที่ด้านหลังของจัสตินที่ยืนขวางอยู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้ง 2 คนจึงมีท่าทีเตรียมพร้อม ในเมื่อบอกไปแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่วิญญาณร้าย แต่คนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าก็พร้อมที่จะเรียกอาวุธออกมาอยู่ทุกวินาที ส่วนน้ำหนักมือของอีกคนหนึ่งที่โอบไหล่ไว้ ก็ชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย
ดวงวิญญาณมากมายเลื่อนผ่านไป จนมาถึงดวงวิญญาณสุดท้ายที่เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดพื้นเมือง ที่เมื่อมาถึงวิญญาณคู่แม่ลูกก็มีการพูดคุยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับสายลม วิญญาณของคู่แม่ลูกหันกลับหาชายผู้นั้น แล้วเคลื่อนที่ตามกลุ่มดวงวิญญาณอื่น ๆ ต่อไป โดยมีชายผู้นั้นปิดท้ายขบวน
เมื่อดวงวิญญาณทั้งหมดห่างออกไปบลูก็ผ่อนลมหายใจยาว
“ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว” ลุคบอก
บลูหันไปคว้าเสื้อแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร พอออกมาอีกทีลุคก็ชี้มือไปทางห้องนอนใหญ่ทางขวามือ “พวกเรานอนที่ห้องนั้น”
บลูหยุดชะงักหันไปมองหน้าจัสติน จากนั้นรีบโบกมือกับลุค “ไม่มีอะไร ง่วงนอนมากไปคิดไม่ทัน”
“คิดอะไร” ลุคถาม
“เมื่อกี้นายพูดว่าพวกเรา ฉันก็เลยคิดว่านอนห้องเดียวกัน 3 คนแล้วก็นึกได้ว่าไม่ใช่”
ลุคยิ้มขำ ขณะที่จัสตินส่ายหน้าขณะที่ปูผ้าผืนหนาลงบนเตียงไม้ ตามด้วยหมอนและผ้าห่ม
   “ไปนอนดีกว่า” บลูบอกแล้วเดินนำไปที่ห้องนอน โยนเสื้อผ้าชุดเดิมไว้ที่เก้าอี้ที่วางอยู่ข้างประตู แต่พอลุคจะหยิบมาคลี่แล้ววางพาดให้ใหม่ก็รีบแย่งมาทำเอง
“แล้วนายไม่อาบน้ำล้างตัวหรือไง”
ลุคพยักหน้า แล้วเดินกลับไปล้างหน้าล้างตัวตามคำสั่ง
ตอนที่เดินออกมาอีกรอบ จัสตินที่กำลังจะเอียงตัวลงนอนถึงกับลุกขึ้นนั่งทันทีด้วยความสงสัย
“แค่ออกมาล้างหน้า นายนอนไปเถอะ”
จัสตินหัวเราะพลางส่ายหน้า แต่ยังนั่งรอจนกระทั่งลุคอาบน้ำล้างหน้าเสร็จแล้วกลับออกมา ถึงได้ล้มตัวลงนอน ส่วนคนที่อยู่ในห้องนอนก็นั่งรออยู่บนที่นอน
“มีอะไรหรือเปล่า” ลุคถาม
บลูส่ายหน้าชี้บอกให้ปิดไฟ แล้วถึงได้เข้าไปนอนด้านในให้ลุคนอนใกล้ประตู
“นายคิดว่า ถ้าเราคุยกัน เขาจะได้ยินไหม” บลูบอกขณะที่ขยับตัวศีรษะนอนหนุนแขนใหญ่
“ไม่รู้สิ มีอะไรหรือ”
“ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก แต่คิดถึงตอนครั้งก่อน ที่เขาบอกว่าเราทำให้เขาต้องออกไปนอนข้างนอก”
ลุคหัวเราะเบา ๆ
“หัวเราะทำไม”
คนที่หัวเราะไม่ตอบแต่กลับดันคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ บลูก็เลยตีมือไป 1 ที
“ลุค เมอร์ฟี รู้จักอายบ้างไหม”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”
“แต่ผู้พิทักษ์ของนายอยู่ข้างนอก เขาอาจได้ยิน”
“เขามีอายุมากกว่า 350 ปีแล้ว เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
ลุคตอบแล้วก้มลงจูบอีก แต่บลูเบี่ยงหน้าหลบทำให้ริมฝีปากกดลงที่ใบหู
ความรู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ เป็นแบบนี้เอง
“เวลาที่นายทำแบบนี้เขาก็อยู่หน้าห้องเสมอเลยหรือ”
“ก็ไม่ทุกครั้งหรอก”
บลูจับมือที่กำลังสอดเข้าใต้เสื้อนอน “เดี๋ยวนะ” สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังทำใจ “นายก็อายุเอ่อ 400 กว่าปี เป็นไปไม่ได้ที่นายจะนอนกับฉันเป็นคนแรก แต่มันก็เออ รู้สึกแปลก ๆ”
“ยังไง” ริมฝีปากหนาจูบไซ้ที่ลำคอขาว
“ไม่รู้อธิบายไม่ถูก แต่ก็ช่างเหอะ สสารบ้าพลังอย่างนาย ไม่น่าจะเก็บน้ำเชื้อไว้ให้มันเน่าเสียอยู่แล้ว”
บลูไม่ได้หึงหวง และรู้มาตลอดว่าลุค เมอร์ฟีต้องมีประสบการณ์ในแบบคนหนุ่ม อาจไม่ถึงกับนักรัก แต่ลึกลงไปในใจก็ยังมีความรู้สึกกึ่งอิจฉา หญิงหรือชายที่ลุคเคยกอดเหล่านั้น
มือใหญ่เลื่อนขึ้นมากอบกุมอกบาง
“ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนแรกของนาย” ต่อให้นายแกล้งทำเป็นว่ามีประสบการณ์ แต่ปฏิกิริยาบางอย่าง และนิสัยที่ติดตัวมาตลอดเวลายาวนาน บ่งบอกว่า ปีศาจนกฮูกตนนี้ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ใด
มือที่จับข้อมือซุกซนสั่นเบา ๆ จนลุคต้องหยุดลวนลาม
“บลู”
“เอ่อ...ขอโทษ”
“ขอโทษทำไม”
“ก็...คือ...ฉันมักจะอยู่ตามลำพัง คือมันแบบ...ก็ ไม่เคย ไม่รู้ว่า...”
“ชู่ว” ลุคจูบที่หน้าผากสวย “นั่นไม่ใช่ความผิดอะไรเลย”
“ฉันไม่เก่ง”
“ไม่ได้บอกคำนั้นเลยนะ” ลุคให้กำลังใจ “ที่ฉันสนใจก็คือนายชอบเวลาที่ฉันกอด จูบนาย ทำรักกับนายหรือเปล่า”
บลูหลบตาขณะที่พยักหน้า “ฉันคิดว่าที่นายตั้งใจมาก และไม่ชอบให้ฉันทำให้ ต้องเป็นเพราะว่าฉันทำได้ไม่ดี”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ลุคจูบแก้มใส “ที่ฉันตั้งใจมาก เพราะว่าฉันกอดนายอยู่ อยากให้นายรู้สึกดี ไม่เป็นกังวล ส่วนฉันทำให้นาย หรือนายจะทำให้ฉันมันขึ้นอยู่กับความต้องการของเราในเวลานั้น”
 ริมฝีปากหนากดจูบไซ้ที่ใบหู
“ฉันเข้าใจสถานการณ์ของนายที่ต้องอยู่ตามลำพัง และดีใจที่วันนี้เราได้อยู่ด้วยกัน มันสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว”
“ฉันก็ดีใจ แต่เวลาที่จูบกัน ฉันมักคิดว่า นายเก่ง แต่ฉันยังไม่ได้เรื่อง”
“ขอบใจที่บอกว่าฉันเก่ง แต่ฉันชอบที่นาย...เอ่อ...ฉันดีใจที่นายไว้ใจ ให้ฉันเป็นคนแรกของนาย”
บลูไม่กล้าสบตาขณะที่พยักหน้า “ฉันไว้ใจ”
“ขอบใจ” ลุคจูบที่ริมฝีปากสวย
มือใหญ่ถอดเสื้อนอนให้บลู ตามมาด้วยกางเกงนอน
บลูหันมาถอดเสื้อนอนของลุค แต่ลุคขอถอดกางเกงนอนของตัวเอง จากนั้นก็ขยับให้บลูขยับเข้ามาใกล้
ลุคจับมือเล็กให้มาสัมผัสที่ตำแหน่งของหัวใจ
จังหวะการเต้นของหัวใจที่ส่งมาถึงปลายนิ้ว ทำให้ใบหน้างดงามคลี่ยิ้มแล้วก้มลงจูบที่หัวใจ
ลุคช้อนคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ ขณะที่อีกมือดึงมือเล็กลากผ่านหน้าท้องลงไปหาแท่งอุ่น บลูชะงักมืออยู่เสี้ยววินาทีแล้วหัวเราะเบา ๆให้กับตนเอง
“ขอโทษ” บลูบอกกับลุคอย่างเก้อเขิน “ฉันรู้ความหมายของนาย” แท่งอุ่นร้อนที่เหยียดตรงรับมือที่ลดลงมาหา จะสื่ออะไรได้นอกจากความมีชีวิต แต่การที่เจ้าแท่งอุ่นร้อนนี้มีปฏิกิริยาทักทายกันในทันทีต่างหากที่ทำให้แปลกใจ
ลุคอดใจไม่ไหวดึงเข้ามาจูบฟัดริมฝากบางและแก้มใส มือใหญ่ฟอนเฟ้นอกบาง เรื่อยไปหาแผ่นหลังและสะโพกกลม ริมฝีปากหนากดจูบหน้าท้องบาง แล้วครอบครองด้วยริมฝีปาก นิ้วมือใหญ่บีบนวดสะโพกบาง เมื่อเกลี่ยนิ้วที่ช่องทางด้านหลัง กล้ามเนื้อแน่นกระตุกรับ ต้องจับให้ร่างผอมบางพลิกคว่ำ จูบที่ก้นกลมแล้วลงลิ้นที่ช่องทางด้านหลัง
บลูหันมามอง แล้วดึงต้นแขนของลุคให้ขึ้นมา
“ไม่ชอบหรือ”
“อือ” ดวงตาสีฟ้าช้อนมอง “ฉันชอบให้นายจูบฉันที่ปากมากกว่าตรงนั้น”
ลุคจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากสวยอย่างที่บลูบอกว่าชอบ แต่บลูกลับผลักหน้าออก “ฉันไม่จูบก้นตัวเอง”
...เข้าใจแล้ว...
การที่บลูเปิดเผยตัวเองมากขึ้น ทำให้ลุคอารมณ์ดีและตั้งใจใช้นิ้วเตรียมพร้อมช่องทางด้านหลัง จนกระทั่งบลูพยักหน้าและขอให้เข้ามาหา
ช่องทางด้านในของบลูทั้งคับแน่นและตอดรัด ชายหนุ่มขยับสะโพกสอดรัดกับมือที่รูดให้ จนกระทั่งบลูถึงจุดสูงสุดก่อน ช่องทางด้านหลังรีดเค้นให้ลุคถึงจุดสูงสุดตามไปด้วย
บลูจะลุกไปล้างตัวแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า จัสตินอยู่ข้างนอก แม้ลุคจะบอกไว้ก่อนหน้านี้ ว่าชายชาวเยอรมันไม่ใช่เด็ก ๆแล้วแต่ก็ยังรู้สึกอายอยู่ดี
ลุคไม่สนใจจับสวมกางเกงให้แล้วพาเดินจูงมือออกมาจากห้องนอน จัสตินขยับตัวลุกขึ้นมามองแล้วก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้
พอล้างตัวเสร็จกลับออกมาอีกรอบ จัสตินไม่ได้หันมามองแล้ว แต่ทั้ง 2 คนทางนี้ก็รู้อยู่ดีว่าชายชาวเยอรมันไม่ได้หลับ
“ขอโทษนะ” บลูบอกแล้วรีบวิ่งเข้าห้องนอน
พอล้มตัวลงนอนความง่วงก็เข้ามาหาในทันที ลุคลูบศีรษะเล็ก ๆ ที่ซุกอยู่ที่ต้นแขน
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
“ไม่”
ยิ่งอยู่ด้วยกัน ตัวตนที่แท้จริงของบลูก็ยิ่งปรากฏออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ
“บลู”
“หืม”
“ในตอนที่เราทำอะไรกัน บางทีในสมองฉันก็มีแต่คำพูดลามกเต็มไปหมด”
บลูเงยหน้าขึ้นมอง “นายมันคนลามก ก็คิดแต่เรื่องลามก”
ลุคยอมรับ
“อย่าพูดออกมานะ ไม่ชอบ”
...โอเวน ไร้ท์ เด็กหนุ่มที่หายไปจากคุกใต้ดินคนนั้น แม้ว่าจะเป็นลูกของชาวสวน แต่เขาก็เป็นคนที่มีมารยาทดี ไม่พูดคำหยาบคายพร่ำเพรื่อ ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่หาเรื่องใคร ทั้งเมืองเบ็ตตี้ คนที่โอเวนจะต่อปากต่อคำด้วย ก็เห็นจะมีแต่สองพี่น้อง ลุค และเชส เมอร์ฟีเพียง 2 คน
การโต้เถียงกันเหล่านั้น คำพูดเหล่านั้น มีความหมายว่านี่คือคนที่เขาไว้ใจ และเชื่อใจ...
“ลุค เมอร์ฟี ถ้าตอนเช้านายตื่นมาไม่เจอฉัน ก็ไม่ต้องห่วงนะ นายเดินทางต่อได้เลย ฉันจะตามนายไปห่าง ๆ ถ้าสามารถมาหานายได้เมื่อไหร่ ฉันจะมาเอง”
“โอเค”
...ลุครู้ว่าความไว้ใจและเชื่อใจเหล่านั้นถูกทำลายไปแล้ว และต้องใช้เวลาในการทำให้กลับมาเชื่อใจกันอีกครั้ง
ลุคก้มลงจูบหน้าผากสวย และขยับริมฝีปากโดยที่ไม่เปล่งเสียงออกมา
...ฉันรักนายนะ โอเวน ไร้ท์...

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-03-2021 19:52:46
(ต่อครับ)
ตลอดวันถัดมา ลุครู้สึกถึงความกังวล ความไม่สบายใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในใจบอกให้เดินทางกลับ แต่สมองสั่งการให้มุ่งหน้าเดินทางไปตามที่วางแผนไว้ ยิ่งเดินทางต่อไปก็ยิ่งมีแต่ความสงสัยในการกระทำของตนเอง
ทำไมลุค เมอร์ฟี มือปราบวาติกันต้องเดินทางมาที่ป่าสนทางเหนือที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเลย
นี่เป็นการเดินทางที่ไม่เคยอยู่ในแผนการทำงานใด ๆ มาตั้งแต่แรก
ทำไมจู่ ๆ ถึงมีเรื่องเกี่ยวกับป่าสนทางเหนือเกิดขึ้นมา
เมื่อแนวเขาสูงซึ่งเป็นตำแหน่งของเขตป่าสงวนซึ่งเป็นป่าสนอยู่ข้างหน้า ลุคก็จอดรถแล้วหยุดยืนมอง จัสตินก้าวลงมายืนอยู่ข้าง ๆ
“นายจะไม่ไปต่อแล้วใช่ไหม”
“อืม” ลุคยอมรับ “จะเป็นไรไหม ถ้าตอนที่พวกเราเดินทางกลับ ฉันจะไม่แวะพัก”
“เป็น” จัสตินเป็นผู้พิทักษ์ที่ดี “อย่างน้อยในเวลาที่พักเติมน้ำมัน พวกเราจะต้องได้พักครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเดินทางต่อ รถนี่เป็นเครื่องจักร ฉันเป็นคน เราต้องการหยุดพักสักเล็กน้อยแล้วค่อยไปต่อ”
ลุคส่ายหน้า “กลับกันเถอะ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาไปโดยไม่จำเป็น” 
ความกังวลเมื่อดำเนินไปถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นความระแวง ขณะที่ทั้ง 2 คนแวะพักรถและเติมน้ำมันรถในช่วงเวลาเกือบ 4 ทุ่ม ลุคเดินแยกออกไปทางด้านหลังของปั๊มน้ำมันที่เป็นสวนผลไม้ ใช้กำไลแอเรียสส่งข้อความออกไป เมื่อหันกลับมาพบว่าจัสตินยืนหันหลังให้ในลักษณะที่คอยเฝ้าระวังทางด้านหลัง เหมือนเคย
“นายไม่ได้เครียด จนส่งพลังไล่พวกวิญญาณอะไรออกมาอีกใช่ไหม”
“ถ้าจะส่งออกมาจริง ฉันก็ไม่รู้ตัวหรอก แต่รู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“นอกจากที่หมู่บ้านนั้น พวกเราก็ไม่ได้เจอกับวิญญาณอะไรอีกเลย มันแปลก และสมควรแล้วที่นายจะรู้สึกไม่ค่อยดี”
ตลอดการเดินทางที่เข้าสู่คืนที่ 3 ในคืนนี้ ในแง่ของการทำความเข้าใจกับบลู ถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่ในแง่ของการทำงาน...
มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น
ลุคแน่ใจว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับบลู แต่อาจเกิดขึ้นกับเบสและข้าวโพด ที่ก่อนหน้านี้อารันญ่าไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายทั้งคู่
อะไรทำให้ลุค เมอร์ฟีทิ้งทั้ง 2 คนไว้อย่างนั้น
การเดินทางในเวลากลางคืนผ่านไป จนถึงเวลากลางวัน และในช่วงสายของวันถัดมา ทั้งคู่จึงเข้าใกล้เขตเมืองหลวง ทันทีที่แวะพักรถเพื่อเติมน้ำมัน จัสตินก็ตรงเข้ามาจับข้อมือไว้
“ตรงไปที่บ้านของฉันก่อน”
ลุคพยักหน้า
เมื่อมองจากภายนอกบ้านของจัสติน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบร้อยดี แต่จัสตินรีบตรงขึ้นไปที่ห้องนอนด้านบน  “เบล!”
เสียงของจัสตินในยามที่เรียกเครื่องรางดังมากจนลุคต้องตามขึ้นมาดู
ใบหน้าของชายชาวเยอรมันซีดเผือดเมื่อหันมาหาลุค “เบล ไม่อยู่ มีคนเข้ามาเอาเขาไป โดยที่ฉันไม่รู้ คาถา เครื่องคุ้มครองของฉัน สกัดมันไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ได้เรียกฉันด้วย”
ลุคใช้นิ้วชี้แตะที่หน้าผากเพื่อเปิดดวงตาที่ 3 จัสตินมองภาพที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน
ภาพที่ปรากฏคือกลุ่มควันสีดำที่ก่อตัวขึ้นจากด้านนอกของรั้วบ้าน พุ่งตรงผ่านเกราะคาถาที่จัสตินวางไว้ที่รั้วบ้าน อย่างง่ายดาย แล้วหยุดอยู่ที่หน้าต่างบ้านที่ปิดสนิท
กล่องเหล็กใบเล็กที่ถูกซ่อนอยู่ใต้หลังคาห้องร่วงหล่นลงมา
ฝากล่องเปิดออก
จากนั้นกระดิ่งแก้วสีฟ้าใสก็ลอยขึ้นมา แล้วหายไป
กลุ่มควันสีดำนั้นถอยกลับไปอยู่นอกรั้วบ้านแล้วหายไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ต่อให้จัสตินอยู่ในระยะ 50 เมตรจากบ้านหลังนี้ก็ไม่สามารถกลับมาได้ทัน 
“ซอว์นีย์! ต้องเป็นมัน!” จัสตินแน่ใจ
ลุคเองก็แน่ใจอย่างนั้นเหมือนกัน
“ไปดูที่บ้านของข้าวโพด!”
....
ที่หน้าบ้านของข้าวโพดมีวิญญาณชายวัยรุ่นตนหนึ่งรอลุคอยู่
จัสตินจะก้าวไปยืนขวางแต่ลุคแตะไหล่ไว้ แล้วก้าวไปหาดวงวิญญาณนั้น
...หากซอว์นีย์ต้องการจะสื่อสารกับบลู มันจะเลือกวิญญาณผู้หญิงกับเด็ก
...และหากซอว์นีย์ต้องการสื่อสารกับลุค มันจะเลือกวิญญาณของวัยรุ่นชาย
“...ลุค เมอร์ฟี...”
“ใช่ ฉันเอง”
“...มีปีศาจคางคก ตรึงผมไว้ที่นี่ และให้บอกกับคุณว่า เด็กผู้ชาย 2 คนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว...”
ดวงวิญญาณวัยรุ่นชายยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ที่มีภาพของสถานที่แห่งหนึ่ง
ลุคใช้ดวงตาที่ 3 มองเข้าไปในบ้านก็ไม่เห็นว่าเบสกับข้าวโพดจะอยู่ในบ้านจริง
“...นักบวชคนนั้น ก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านของเขาเหมือนกัน...”
“อะไรนะ” ลุคถามซ้ำ
หากดวงวิญญาณนั้นสามารถก้าวถอยได้ ก็คงจะทำไปแล้ว แต่ที่ทำได้คือรีบยก 2 มือขึ้น
“...คางคกตัวนั้น สั่งให้ผมบอกคุณแค่นี้ บอกให้คุณตามไปยังสถานที่ในรูป...”
จัสตินเดินเข้ามาขอกระดาษแผ่นนั้นไปดู
“ฉันรู้จักที่นี่”
ลุคพยักหน้า หันมาหาดวงวิญญาณแล้วส่งวิญญาณดวงนั้นให้เดินทางข้ามไป
เป็นการส่งวิญญาณที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะทั้ง 2 คนทางนี้มีเรื่องร้อนให้ต้องเร่งไปจัดการ
...
จัสตินนำทางไปออกไปนอกเขตเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองชายแดนทางฝั่งตะวันตก
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องพักเติมน้ำมันรถ ทั้ง 2 คนก็คงจะไม่ได้หยุดพัก และคุยกัน
“นายเคยไปที่นั่นหรือ”
“เป็นทางผ่านน่ะ ตอนนั้นฉันข้ามแดนไปอีกฝั่งเพื่อไปเอาของที่สถานกงสุลที่นั่น”

ลุคพยักหน้าเมื่อจำได้ว่า เมื่อครึ่งปีก่อน ทางสำนักวาติกันส่งตราสัญลักษณ์อันใหม่มาให้โดยส่งผ่านมาทางสถานกงสุลในประเทศเพื่อนบ้าน แทนที่จะส่งมาให้กับสถานกงสุลในประเทศนี้ แล้วเมื่อลุคหันไปเห็นว่าจัสตินกำลังมีสีหน้าเบื่อหน่าย ชายหนุ่มก็ส่งกล่องตราสัญลักษ์อันเดิมให้กับจัสติน แล้วบอกให้นำไปแลกกับอันใหม่ที่สถานกงสุลในประเทศเพื่อนบ้าน
จัสตินไม่พอใจที่ได้รับหน้าที่นี้ แต่การจะให้สถานกงสุลส่งมาทางผู้ให้บริการไปรษณีย์ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จะให้พนักงานของโบสถ์ไปรับก็ไม่เหมาะ
5 วันถัดมาจัสตินก็กลับมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์อันใหม่ และสีหน้าบึ้งตึง
ผู้พิทักษ์ชาวเยอรมันไม่พอใจทุกครั้งที่ต้องอยู่ห่างจากมือปราบวาติกันชาวสกอต เพราะหน้าที่ของเขาคือการพิทักษ์ หากต้องอยู่ห่าง ๆ จะทำหน้าที่พิทักษ์ได้อย่างไร
   
จัสตินกอดอกแน่น ขณะที่พูด “ขอโทษที่ฉันต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ที่ผ่านมาพวกเราจะอยู่รอบ ๆ คนที่เราต้องคุ้มครอง แต่เพราะการเดินทางไกลไปป่าสน นานข้ามวันข้ามคืน ทำให้พวกมันได้คนที่เราต้องคุ้มครองไปทั้งหมด”
ลุคมองตรงไปข้างหน้า ขณะที่จัสตินพูดต่อ
“ฉันไม่เคยที่จะไม่ไว้ใจเขา แต่ยิ่งคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันกลับยิ่งรู้สึกสงสัย”
“เขาแค่พูดถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมา และฉันคือคนที่ตัดสินใจที่จะไป เพื่อตามหาบลู และยังคงเดินทางต่อไป ทั้งที่พบบลูแล้ว เพราะคิดว่าซอว์นีย์อาจทำพิธีบวงสรวงที่นั่น”
จัสตินพยักหน้า “เดินทางกันต่อเถอะ เมื่อไปถึงที่พวกมันบอกไว้ พวกเราก็จะรู้เอง ว่าความจริงคืออะไร”
จากทางหลวงฝั่งตะวันตกมีป้ายทางแยกไปทางเขตป่าสงวน จัสตินนำทางต่อไป ผ่านจากหมู่บ้านก็เข้าเขตที่เป็นทุ่งนา แต่เมื่อถึงป้ายที่บ่งชี้ว่าคือป่าสงวน จัสตินก็นำทางไปอีกทาง
มีสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ว่ากำลังเข้าสู่เขตของพ่อมด และปีศาจชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งจัสตินมาหยุดอยู่ที่ปากทางของถนนที่พุ่งตรงไปอีกมากกว่า 400 เมตรข้างหน้าคือประตูเหล็กที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ไม้เลื้อย สองข้างของประตูนี้คือแนวต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายทั้งภายในก็ยังมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนมองไม่เห็นว่าหลังแนวรั้วนี้คืออะไร แต่จากที่มองในระยะไกล นั่นเป็นสถานที่ที่อาจชวนให้เข้าใจผิดได้ว่าเป็นพื้นที่ประเภทสวนป่า ที่มีการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
จัสตินบอกโดยที่ไม่ได้หันมามอง
“ครั้งก่อนฉันผ่านเข้าเขตป่าสงวน ไปจนถึงด่านชายแดน ไม่ได้มาทางนี้”
ลุคพยักหน้า ตั้งแต่ทางแยกไปเขตป่าสงวนก็ “มีแต่ไอปีศาจ แต่ไม่เห็นสักตัว”
“คงทิ้งเป็นสัญญาณเพื่อบอกว่า เรามาถูกทางแล้ว”
เมื่อต่างคนต่างก็ไม่ประสบความสำเร็จในการผ่อนคลายความกังวล ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินหน้าเพียงอย่างเดียว “ฉันจะช่วยพวกเขาให้ได้”
จัสตินพยักหน้า แล้วบอกให้ลุคขี่รถนำเข้าไปก่อน จนถึงหน้าประตูรั้ว ทั้ง 2 คนต้องจอดรถไว้ที่ด้านนอกของประตูรั้ว เพื่อมองหาทางที่จะเข้าไป
ตอนที่มองจากระยะไกล เห็นว่านี่คือประตู แต่เมื่อมาถึงกลับเห็นแต่ไม้เลื้อย ไม่รู้ว่าจะต้องเปิดที่ตรงไหน
   ซอว์นีย์ไม่ได้เป็นแค่พ่อมดที่มีพลังควบคุมทั้งพ่อมดและปีศาจมากมาย แต่ยังเป็นพ่อมดที่รู้วิธีทรมานคนอื่น หลังจากที่ปล่อยให้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมาระยะหนึ่งก็จะเข้ามากดดันสร้างความตึงเครียด จากนั้นก็สร้างความสับสนลังเล หลงทาง เพื่อเข้ามาแย่งชิงคนสำคัญไป แล้วมาถึงตอนนี้ก็ยังจะมาทำให้ร้อนใจเพิ่มขึ้นอีก
แน่นอนว่า ซอว์นีย์ต้องไม่ลืมที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเองโง่มาก
มีเสียงฝีเท้าดังจากฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามาใกล้จากนั้นเหล็กและไม้เลื้อย ‘ส่วนหนึ่ง’ ก็ขยับตัวและเปิดเป็นช่องประตูบานเล็ก
คนที่ยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามมีเพียงคนเดียว นี่คือเบส ชายหนุ่มผิวขาวตัวเล็ก คนที่บลูเป็นห่วงมากที่สุด กับร่างสีดำ 8 ขาของแมงมุมเป็นเงาดำสูงใหญ่ปกคลุม
ว่ากันว่า อารันญ่ากลายเป็นหนึ่งเดียวกับแมงมุมของเธอไปแล้ว
ตอนที่เธอปรากฏตัวที่หลังคาบ้านของผกา เธอแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นหนึ่งเดียวกับแมงมุมของเธอจริง ๆ แต่การที่เวลานี้เธอควบคุมเบส แม้จะเป็นการควบคุมเพียงครึ่งหนึ่ง และให้เบสตัดสินใจเองครึ่งหนึ่ง มันแสดงให้เห็นว่าเธอมีความมั่นใจว่าเบสจะทำในสิ่งที่เธอต้องการ
การควบคุมในลักษณะนี้ กับคนที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง ทำให้ลุคและจัสตินได้แต่ทำตามในสิ่งที่เบสบอก
“คุณมาเร็วมาก เข้ามาเถอะครับ”
และเมื่อทั้ง 2 คนก้าวผ่านประตูเข้ามา เหล็กและไม้เลื้อทางด้านหลังก็ขยับตัวอีกครั้งเพื่อเลื่อนเข้ามาประสานกันกลายเป็นประตูบานใหญ่ปิดทึบที่มองไม่เห็นฝั่งตรงข้าม
เบสหมุนตัว เดินนำไปตามทางเดินเล็ก ๆ  ภายใต้ซุ้มไม้ ผ่านทางเลี้ยวทางแยกหลายครั้งจนกระทั่งมาสิ้นสุดที่หน้าประตูกระท่อมหลังหนึ่ง
นี่เป็นกระท่อมในแบบที่พบเห็นอยู่ในทั่วไปในเขตชนบทของเมืองเบ็ตตี้
ความกังวลและลางสังหรณ์ที่ซ่อนไว้ที่ก้นบึ้งของความคิดกำลังส่งเสียงร้องเตือนว่า ทุกความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะเกิดขึ้น
เบสก้าวขึ้นบันได 3 ขั้นแล้วผลักเปิดประตูไม้เข้าไปในบ้าน
ทางฝั่งขวาของห้องโถงกลางของบ้าน มีเตียงไม้ยาว เมื่อมองเห็นคนที่นอนอยู่ลุคก็ตรงเข้าไปหาในทันที
“ข้าวโพด!
เบสเดินเข้ามายืนตรงปลายเตียง
“เกิดอะไรขึ้น” ลุคหันมาถาม
“ผมว่าคุณน่าจะรู้ดีกว่าผม”
จัสตินขยับจะเข้ามายืนขวางระหว่างลุคกับเบสในทันที แต่ลุคยกมือห้าม ขณะที่ถามเบสซ้ำอีกครั้ง
“เขา เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เบสขมวดคิ้วก่อนที่จะเล่าเรื่อง “ผมคงต้องย้อนไปถึงตอนที่เขาหลบผมกับนที ออกไปหาคุณที่คณะเกษตร”
“อารันญ่า” ลุคเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ที่ทำให้เบสยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ น้ำเสียงในเวลาที่กล่าวคำต่อมา มีน้ำเสียงของผู้หญิงดังผสานออกมาพร้อมกัน
“ตอนที่เราไปเที่ยวเกาะ ข้าวโพดมักจะมีอาการเจ็บ เสียดภายใน ไม่แน่ใจว่าเขาเจ็บที่ส่วนไหน เพราะมักจะงอตัว อาการนี้จะเกิดขึ้นเสมอเวลาที่พวกเราอยู่ใกล้กับปีศาจ หรือวิญญาณ แต่เขาไม่มีปัญหาอะไรเวลาที่อยู่ใกล้ผม/ฉัน”
จู่ ๆ สีหน้าของเบสก็กลับมาแสดงความวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“ตั้งแต่ตอนที่พวกเราออกเดินทางมาที่นี่ เขาก็มีอาการไม่ค่อยดี แต่พอมาถึงตรงประตูหน้า เขาก็ทรุดแล้วหมดสติไป เราเลยให้เขาพักอยู่ที่บ้านหลังนี้ ไม่ได้...เข้าไปข้างใน”
หนุ่มตัวเล็กหันกลับมาหาลุค “ที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะเครื่องรางที่คุณ/นายฝังไว้ คุณ/นายต้องเอามันออกมา ไม่อย่างนั้นข้าวโพดคงต้องตาย”
ลุคส่ายหน้า “ฉันเอามันออกมาไม่ได้”
“ทำไมถึงเอาออกมาไม่ได้”
“เอาออกมาไม่ได้” ลุคย้ำ “ถ้าเอาออกมา เขาก็ต้องตายเหมือนกัน”
“ทำไมคุณ/นายถึงได้ทำอะไรที่ทำให้เขาอยู่ในอันตรายแบบนี้ เขาเป็นคนสำคัญของคุณ/นายไม่ใช่หรือไง”
“ใช่” ลุคลูบเส้นผมสั้นของน้องชายในอดีต ที่ยังคงเป็นน้องชายที่รักและเป็นห่วงมากอยู่เสมอ “บลูมองว่าเขาคือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และต้องการฆ่าเขา ฉันจึงให้เครื่องรางไว้ เพื่อส่งสัญญาณเตือนหากมีปีศาจ หรือดวงวิญญาณที่คิดร้ายอยู่ใกล้ ๆ เขาจะได้รู้ตัว”
“รู้ตัวก็ควรที่จะมีแรงหนีด้วย ไม่ใช่เจ็บจนหมดสติ แบบนี้มันก็คือการนอนรอให้ถูกทำร้ายต่างหาก”
การที่เบสและอารันญ่าต่างก็มีความรู้สึกที่ดีต่อข้าวโพด ทำให้ลุคและจัสตินรู้สึกเบาใจและมองเห็นช่องทางในการจัดการเรื่องราวส่วนนี้

บลูประกาศตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ว่าข้าวโพดเป็นอีก 1 เป้าหมายล้างแค้น ในเวลานั้นลุคยังคิดว่าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ แต่เมื่ออารันญ่าเข้ามาควบคุมเบสที่อยู่กับข้าวโพดแทบจะตลอดเวลา จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องรางเพื่อคุ้มครอง   อารันญ่าใช้ร่างของเบสในยามที่มีความสัมพันธ์กับข้าวโพด เรื่องนี้ ในตอนแรกย่อมหมายถึงการที่แมงมุมตัวเมียจะกำจัดตัวผู้หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ แต่เพราะข้าวโพดมีความระมัดระวังตัว ทั้งยังมีเครื่องรางจึงอยู่รอดปลอดภัย
เพียงแต่ยิ่งใช้เวลาด้วยกันนานขึ้น ความผูกพันทางกายก็ส่งผลมาถึงจิตใจ ยิ่งการที่ได้รับรู้ว่าข้าวโพดรักเบสจากใจจริง ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปในทางที่ดูน่ากลัวมากขึ้น แต่ข้าวโพดก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ทั้งยังดีต่อเบสมากกว่าเดิม
การเป็นเฮ้นช์แมนของซอว์นีย์สำคัญคือการทำงานให้สำเร็จตามคำสั่ง แต่ในเมื่ออารันญ่าทำไม่ได้ จึงเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้เบสฟัง และลดการควบคุมลง เพื่อหวังให้เบสช่วยเหลือไม่ให้ต้องถูกลงโทษ

“ซอว์นีย์ รออยู่ข้างในใช่ไหม”
เบสพยักหน้า
“อย่างนั้นก็ให้ข้าวโพดอยู่ที่นี่ และฉันอยากพบกับซอว์นีย์”
“คุณ/นายต้องได้พบกับเจ้านายอยู่แล้ว” เบสหันไปมองข้าวโพด แล้วหันกลับมาหาลุค “ที่เอาคนและเครื่องรางสำคัญของทั้ง 2 คนมาที่นี่ก็เพราะเจ้านายต้องการเช่นนี้ แต่พวกเราอยากให้ช่วยจัดการเรื่องของข้าวโพดก่อน”
“ฉันจัดการอะไรเรื่องของข้าวโพดไม่ได้ จึงขอให้เขาพักอยู่ที่นี่” ลุคบอก
“หมายถึงถ้าเขาอยู่ห่างจากปีศาจที่มุ่งร้ายต่อเขา เขาจะดีขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
เบสหลับตาลง กำมือแน่นแล้วคลายออก
“อย่างนั้น ผม/ฉัน ขออาวุธของพวกคุณ/พวกนาย” มือขาวชี้ไปที่ข้อมือของลุค และอาวุธของจัสติน
ลุคบอก “คุณปลดอาวุธเขาได้ แต่ผมถอดปลอกข้อมือออกมาไม่ได้”
เบสเลิกคิ้วขึ้นสูง เอียงหน้าเหมือนกำลังเอียงหูฟังคำสั่ง
“คุณ/นาย ถอดปลอกข้อมือได้”
“ไม่ได้”
เบสส่ายหน้า “คุณ/นายถอดมันได้ อย่าบังคับให้เราทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ”
“เสียใจด้วย”
ประตูบ้านเปิดออกเด็กหนุ่มเชื้อสายเอเชียตัวเล็กที่เหมือนคนอายุไม่ถึง 15 ปีเดินเข้ามา ดวงตาเรียวยาวจับจ้องอยู่ที่ลุค
“ที่นี่มีสถานการณ์ที่จัดการไม่ได้อยู่สินะ”
“ไวเพอร์”
นี่คือ 1 ใน 4 ของเฮ้นช์แมนซอว์นีย์ ที่เคยพบกับลุคเมื่อนานมาแล้วที่เมืองซือริชในเยอรมนี  แต่ในเวลานั้นไวเพอร์เป็นฝ่ายที่หลบหนีออกมาก่อน จึงไม่ได้ต่อสู้กัน
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากบอกกับนายมานานกว่า 50 ปี” นั่นคือช่วงเวลาที่พบกัน “ที่ฉันออกมาจากการต่อสู้ที่ซือริช ก็เพราะเจ้านายสั่ง”
“มีอะไร” เบสหันไปถามพ่อมดในร่างเด็กที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องพิษงู
ไวเพอร์ยักไหล่ “เจ้านายสั่งให้ฉันมาตัดแขนมือปราบ”
จัสตินขยับเข้ามายืนขวางไว้ทันที ทำให้ไวเพอร์ส่ายหน้า “ไม่ต้องทำท่าอย่างนั้น ลืมไปแล้วหรือไง ว่านี่เป็นแค่ด่านแรกเพื่อที่จะไปพบกับคนสำคัญ เครื่องรางสำคัญของพวกนาย”
แต่บังเอิญว่า คนสำคัญที่ลุคต้องการปกป้องอยู่ที่นี่
“ถ้ามือปราบอยากเจอเจ้านาย  แต่ถอดอาวุธไม่ได้ ก็ต้องตัดมือ...แบบนี้...” ดวงตาเรียวยาวมองที่ข้อมือของลุค “น่าจะตัดเกือบถึงข้อศอกเลยนะ”
“มันจะเกินไปแล้ว” จัสตินพูดเสียงดัง
ไวเพอร์ยักไหล่อีกครั้ง “แค่ตัดแขน เขาไม่ตายหรอก เดี๋ยวก็งอกออกมาใหม่”
ลุคตัดสินใจ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว “นายตัดเถอะ”
“ลุค!” จัสตินหันไปมองด้วยความตกใจ
เบสก็ตกใจเหมือนกัน
“แค่ตัดแขน ฉันไม่ตาย แล้วแขนมันงอกออกมาใหม่ได้จริง ๆ อย่างที่เขาว่า”
ไวเพอร์มีรอยยิ้มที่บ่งบอกว่ารู้อยู่แล้วว่า ลุคจะตัดสินใจอย่างนี้
หลังจากที่ตามหากันมานานถึง 400 ปี สูญเสียไปมากมายทั้ง 2 ฝ่าย ลุค เมอร์ฟีจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปโดยง่าย
ไวเพอร์เรียกดาบยาว 1 ฟุตออกมา
ทั้งตัวด้ามและดาบมีสีดำเลื่อมเงาเป็นสีม่วงออกดำ เหมือนกับสีเสื้อผ้าที่ไวเพอร์สวมใส่อยู่
“ยื่นมือออกมา”  ไวเพอร์บอก
ลุคหันไปมองข้าวโพดที่ยังหลับสนิท แล้วยื่น 2 แขนออกไปข้างหน้า
หนุ่มน้อยชาวเอเชียยิ้มกว้าง แล้วตวัดดาบลงมา
เสียงทึบในยามท่อนแขนร่วงหล่นลงมาพร้อมกับปลอกข้อมือแอเรียสดังก้อง
เลือดสีแดงฉีดพุ่งจากบาดแผล
ความเจ็บปวดพุ่งจากปากแผลตรงเข้าสู่หัวใจ
ไวเพอร์คือสุดยอดแห่งงูพิษ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเล่นงานด้วยยาพิษ แต่ลุค เมอร์ฟีก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ นอกจากการยอมให้ถูกทำร้าย เพื่อให้ได้เจอกับซอว์นีย์
จัสตินเข้าไปประคองร่างกายสูงใหญ่ที่ค่อย ๆ ทรุดลง แล้วหมดสติไป
....
ลุค เมอร์ฟี รู้สึกตัวตื่นบนแท่นหินสีเทาเย็นเฉียบ ที่มีความกว้างและความยาวพอดีกับตัว กลิ่นควันไฟจาง ๆ ปะทะจมูก ความเจ็บปวดจากปากแผลทั้ง 2 ข้างย้ำเตือนว่า ร่างกายยังซ่อมแซมตัวเองไม่เสร็จ บาดแผลยังไม่สมานกัน และแขนก็ยังไม่งอกกลับมา
ที่ข้อเท้า 2 ข้างคือโซ่ตรวนเส้นใหญ่ ที่โยงไว้กับหมุดที่พื้น คาดว่าจะเป็นเพราะการตัดมือจนเกือบถึงข้อศอก ทำให้ต้องล่ามกันไว้แบบนี้
“ลุค” เสียงของจัสตินและสาธุคุณฌ็องส์ร้องเรียก ทำให้ลุคเหลียวมองหา และขยับตัวขึ้นนั่ง
ภายในห้องกว้างที่มีแสงสว่างไม่มากนัก จัสติน และสาธุคุณฌ็องส์ถูกขังอยู่ในกรงขังคนละกรง อยู่ห่างกันเกือบ 2 เมตร กับยังกรงที่ 3 ซึ่งคนที่อยู่ในกรุงคือคาร่า ที่มีสีหน้าท่าทางดูหวาดกลัว พูดจาพึมพำพอให้จับความได้ว่าเธอยังไม่อยากตาย 
“เบลอยู่ทางนั้น” จัสตินชี้ไปอีกทางหนึ่ง 
ข้างเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่สีดำ คือกระดิ่งแก้วแบบมีด้ามจับของจัสตินที่ถูกผนึกไว้ภายในครอบแก้ว และวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กสีดำ
ดาร์ทที่กลายเป็นหนึ่งเดียวไปกับคางคกพิษสีน้ำเงินของตนเอง เวลานี้คือชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงิน ทำหน้าที่ควบคุมทั้งหมดในห้องนี้ เมื่อเห็นว่าลุคฟื้นแล้วก็เดินออกไปจากห้อง แล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับไวเพอร์ จากนั้นชายชาวรัสเซียตัวสูงใหญ่ก็เดินตามเข้ามา
ทั้ง 3 คนต่างมองมือปราบวาติกันที่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนแท่นปูนกลางห้อง แต่ไม่สามารถขยับไปไหนได้
“นายคืออูซุส”
ชาวรัสเซียพยักหน้า
ความเงียบที่เข้าปกคลุมทำให้ทั้งหมดรู้ว่า เฮ้นช์แมนทั้ง 3 กำลังรอใครบางคน
เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอก้าวเข้ามาใกล้
คนที่ก้าวเข้ามาสวมเสื้อสีขาว กางเกงสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้างดงามอยู่เดิม ยิ่งงดงามและอ่อนหวานเมื่อเจ้าตัวมัดผมรวบครึ่งศรีษะ
คาร่าที่อยู่ในกรงกรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นคนผู้นั้น เงาสีดำที่อยู่มุมหนึ่งของห้องพุ่งเข้าหาทำให้เธอตกใจกลัว และเงียบเสียงลง
“โอเวน”
“ใช่ ฉันเอง ลุค เมอร์ฟี”
   
จบตอนที่ 20
:o12: ทำไมป๋า ถึงทำกับเราเช่นนี้
ใกล้จบแล้ว ชอบหรือไม่ชอบอะไร บอกกันสักนิดนะฮะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 01-04-2021 13:50:29
 :katai1:        อ๊า ค้างๆๆๆๆ 



ลุคกับจัสตินมาตามข้อความให้มาพบซอว์นีย์ไม่ใช่เหรอ แล้วโอเวนโผล่มาได้ยังไงเนี่ย



ทำไมถึงเรียกชื่อโอเวน แทนที่จะเรียกชื่อบลูล่ะ สงสัยๆๆๆ   :ling1:



แต่ตอนนี้พี่ลุคถูกตัดแขน แถมยังถูกล่ามโซ่ด้วย  แงงงงงงงง สงสารพี่



:hao5:



ในเมื่อทุกคนถูกจับมาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว คงใกล้จะเฉลยปมทุกอย่างแล้วสินะ



ลาสบอสคนสุดท้ายคือใครกันแน่ โอ๊ย ลุ้นมากๆๆๆ 



อดทนรอเฉลยปมตอนหน้าไหวมั๊ยเนี่ย  :serius2:



ขอบคุณสำหรับตอนที่ทำให้สุดจะตกกะใจนี้นะคะ



 :pig4:   :3123:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-04-2021 15:21:28
รวดเดียวจบ นึกสงสัยอยู่ละเชียววว
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-04-2021 02:00:15
เซอร์ไพรส์อีกล่ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 05-04-2021 16:37:33


 :katai1:   :katai1:   :katai1:




หูยยย อุตส่าห์เจอฉากน่ารักๆของคู่นี้


ตอนนี้มันก็มีแต่คำถามชวนสงสัยในหัวตามาเต็มไปหมด  :katai4:  :katai4:  :katai4:



ทำไมเป็น โอเวน  แล้วตกลงสาธุคุณคือหักหลังพวกลุคจริงหรือ


เอาล่ะ มาลุ้นกันตอนต่อไป


 :pig4: +  :L1:







หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 20-04-2021 12:37:28
ตอนที่ 21

ลุคมองตามโอเวนที่เดินเข้ามาหาแล้วหยุดยืนใกล้กับปลายเท้าของตนเอง เก้าอี้หนาหนักจากริมผนังห้องเลื่อนเข้ามาหาและรองรับในทันทีที่นั่งลง
สายตาของลุคที่มองมาเต็มไปด้วยความผิดหวัง 
“ทำไม...”
....ทุกความพยายามที่ผ่านมาจึงไม่เป็นผล
ทำไมคำอธิษฐานจึงไม่เป็นดังหวัง
ทำไมโอเวนถึงได้เป็นซอว์นีย์ พ่อมดผู้ชั่วร้ายคนนั้น...
โอเวนหันไปมองคาร่าและสาธุคุณฌ็องส์แล้วหันกลับมาหาลุค ยังไม่ตอบคำถาม ทำให้ลุคถามซ้ำ
“โอเวน ทำไม ถึงได้ เป็นนาย ทำไม”
โอเวนส่ายหน้า “นายตั้งคำถามในสิ่งที่นายรู้อยู่แล้ว”
“ไม่ ฉันไม่รู้ ซอว์นีย์อาจเป็นใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่นาย”
พิษของดาร์ทรุนแรงกว่าที่คิดและทำให้การฟื้นตัวของลุคทั้งสร้างความเจ็บปวด และใช้เวลานานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“การที่นายทำให้พวกเราเสียเวลาไปนานหลายเดือน มันบ่งบอกอยู่แล้วว่านายรู้ และพยายามทำให้ฉันเปลี่ยนใจ”
ลุคส่ายหน้า “ต้องไม่ใช่นาย”
“ถ้านายคิดว่าไม่ใช่ ฉันก็ต้องไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ฉันอยู่ในฐานะของคนที่ต้องฟังคำสั่งของนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“นายไม่ต้องฟังคำสั่งของฉัน ฉันขอร้อง ถ้านายเป็นซอว์นีย์จริง...”
“ฉัน คือ ซอว์นีย์ พ่อมดที่ศาสนจักร นักล่า และพ่อมดทั่วโลกต้องการกำจัด”
“โอเวน ฉันรู้ว่านายต้องการแก้แค้นคนที่ฆ่าครอบครัวของนาย แต่...แต่ มันไม่มีเหตุผล...”
...ถ้าโอเวนคือพ่อมดซอว์นีย์แล้วทำไมจึงปล่อยให้ครอบครัวถูกฆ่า แล้วทำไมถึงได้กลับมาล้างแค้น
หรือซอว์นีย์ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไม่ใช่โอเวน อย่างนั้นโอเวนก็เพิ่งจะเป็นซอว์นีย์
แต่ซอว์นีย์คือพ่อมดที่ถือว่าอยู่เบื้องหลัง เรื่องเลวร้ายทั้งหมด
เกิดอะไรขึ้น...
“จับพวกเรามาทำไม”  สาธุคุณฌ็องส์ตะโกนถาม เพราะตั้งแต่ถูกจับตัวมายังไม่มีใครบอกเรื่องราวให้ฟังเลยสักคน
โอเวนยกยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่ละสายตาจากคนที่นอนอยู่บนแท่นหินเย็นเฉียบ
รู้ว่าลุคมีข้อสงสัย และกำลังคาดเดาเรื่องราวที่ตนเองยังไม่ต้องการจะตอบในเวลานี้
“ในเมื่อนายอยากเป็นคนที่ออกคำสั่งกับฉัน ฉันจะให้โอกาสนั้น อยากให้ฉันตอบคำถามของเขาไหม”
ลุคส่ายหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ และอาการเจ็บปวดในยามที่ร่างกายพยายามรักษาตัวเอง ที่ยิ่งนานก็มีแต่จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น 
“นายดูย่ำแย่มาก ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ดาร์ท นายทำได้ดี” โอเวนหันไปชื่นชมดาร์ท ที่ยืดอกรับคำชมนั้นด้วยความภาคภูมิใจ
ดวงตาคู่สวยกวาดตามองต่อไปทางด้านหลังของแฮนช์แมนทั้ง 3 คนแล้วถามถึงผู้ที่ไม่อยู่
“ทำไมอารันญ่าไม่อยู่ที่นี่”
ไวเพอร์รีบตอบคำถามนี้
“นางอยู่ที่กระท่อมต้นไธม์ คอยดูแลน้องชายในอดีตชาติของมือปราบ”
“ไปดูมันทำไม ยังไงมันก็ต้องตายอยู่แล้ว!”
“โอเวน” ลุคท้วงขึ้น
โอเวนที่หันหลังให้ กางมือออก ร่างก็ลุคก็ลอยขึ้นจากแท่น ตรงเข้ามาหา ลำคอหนาอยู่ในฝ่ามือของผอมบาง
“ลุค เมอร์ฟี เวลานี้ ที่นี่ มีทั้งคาร่า ไบรเดน เมอร์ฟี และเชส เมอร์ฟี ฉันจะไม่รออะไรอีกแล้ว ในวันพระจันทร์เต็มดวงอีก 3 วันข้างหน้า พวกแกทั้งหมดจะต้องชดใช้”   
ผการ่ำร้องอ้อนวอนเสียงดัง  “อย่า! ได้โปรด! เจ้านาย! ไม่ว่าในอดีตที่ผ่านมา ดิฉันทำอะไรลงไป ดิฉันเสียใจ และได้โปรดไว้ชีวิต!”

ผกาพบเครื่องรางของคาร่า ซึ่งเป็นสร้อยเพชรสีเขียวจากสวีเดนแล้วนำกลับมาพร้อมกับสิ่งของอีกหลายชิ้นที่มีวิญญาณอาศัยอยู่ วิญญาณเหล่านี้ถูกควบคุมโดยบรรดาพ่อมด และแม่มดของซอว์นีย์ เมื่อรวมพลังกันทำให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น กลายเป็นเงาดำลึกลับภายในบ้านที่คอยกระซิบบอกเรื่องราวในอดีตให้ผการับรู้ ทั้งควบคุมผู้คนในบ้าน และกัดเซาะพลังวิญญาณของเบสจนอ่อนแอเพื่อให้อารันญ่าเข้ามาควบคุมได้โดยง่าย
หลังจากที่ถูกนำตัวมาที่นี่ อูซุสพ่อมดจากอเมริกาเหนือที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลสถานที่แห่งนี้ ก็บอกกับเธอว่า ‘เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เจ้านายซอว์นีย์จะมาจัดการกับเธอด้วยตัวเอง’
การที่ถูกกดดันให้อยู่ท่ามกลางความกลัว ความกังวลมาเป็นเวลานาน ทำให้ผกาในวันนี้จึงอยู่ในสภาพที่เหมือนเส้นด้ายที่พร้อมจะขาดอยู่ตลอดเวลา

“ไม่ว่า ในอดีต ผกา กับ เบส จะเป็นใคร แต่ในวันนี้ พวกเขา เป็นแม่ลูกกัน ถ้านายฆ่าผกา เบสจะต้องไม่ให้อภัยนายแน่”
ในเวลานี้ คนแรกที่โอเวนอยากฆ่าที่สุดก็คือลุค เมอร์ฟี คนที่คุกเข่าอยู่แทบเท้า ขณะที่ลำคออยู่ในฝ่ามือ แต่เพราะคนผู้นี้ไม่ตาย สิ่งที่ทำได้ก็คือการทำให้เจ็บปวดมากกว่าเดิม
“ดาร์ท”
“ขอรับ”
“หยอดพิษที่ปากแผล”
พูดจบโอเวนก็ปล่อยมือ ขณะที่ผู้ช่วยของดาร์ท 2 คนตรงเข้ามาจับยึดลุคไว้ คนหนึ่งยกแขนข้างที่ถูกตัดขาดและแผลยังปิดไม่สนิทขึ้นมา
“โอเวน ไร้ท์ นายมันคนไม่รู้จักแยกแยะ ทั้งที่ลุคตามหานาย คอยดูแลครอบครัวของนายมาตลอด!” สาธุคุณฌ็องส์ร้องตะโกน
“หุบปาก!” เสียงของอูซุสในเวลาที่ออกคำสั่งดังก้องไปทั้งห้องกว้าง
ไวเพอร์เดินไปหาสาธุคุณ “สภาพแบบนี้ยังกล้าพูดทวงบุญคุณคน ถ้าเขาดูแลจริง เรื่องก็คงไม่มาถึงขั้นนี้หรอก เตรียมตัวพบกับวาระสุดท้ายของพวกนายดีกว่า”
ดาร์ทใช้เล็บของตนเองกรีดแผลเล็กที่ปลายนิ้ว แล้วหยดเลือดสีม่วงเข้มจนเกือบดำลงมาที่ปากแผล
ลุคไม่ได้สนใจว่าดาร์ทกำลังทำอะไร
ดวงตาสีเข้มจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนงดงามที่กำลังมองกลับมา มีภาพจำมากมายในอดีตที่ยังชัดเจนอยู่เสมอ 
แต่ทันทีที่โอเวนหันไปมองทางอื่น ลุคก็หมดสติไปด้วยความเจ็บปวด 
โอเวนหันไปบอกกับลูกน้อง “เอาผ้าเช็ดเท้านั่นกับผู้หญิงไปที่คุกใต้ดิน เอาลุค เมอร์ฟีไปที่ห้องมืด” จากนั้นก็หันกลับมาหาจัสติน “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับนายก่อน”
เมื่อเฮนช์แมนทั้ง 3 คนช่วยกันนำทั้ง 3 คนออกไป ในห้องนี้เหลือเพียงเงาร่างสีดำที่อยู่ตามมุมห้อง ซึ่งโอเวนไม่มีทีท่าว่าจะไล่ออกไป
โอเวนหงายมือขึ้น แก้วหนาที่ครอบกระดิ่งเครื่องรางของจัสตินซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก็เปิดออก เด็กน้อยตาสีเดียวกับจัสตินปรากฎขึ้นแล้วเดินมายืนอยู่ข้างโอเวน
เมื่อจัสตินพยักหน้า เด็กน้อยก็พยักหน้ารับ
“นายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ แต่เพราะว่าผ้าเช็ดเท้านั่นอยู่แต่ในโบสถ์ ไม่ยอมออกมา ฉันก็เลยต้องใช้เครื่องรางของนายไปเรียกเขาออกมา ขอโทษด้วย”
“ฉันเป็นผู้พิทักษ์ของลุค เมอร์ฟี การที่นายทำร้ายเขามันก็คือการเป็นศัตรูกับฉัน”
“นายไม่ควรท้าทายฉัน ทั้งที่เครื่องรางสำคัญของนายอยู่กับฉัน”
จัสตินมองเด็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด แม้โดยทั่วไปหากเครื่องรางถูกทำลาย จัสตินก็จะต้องตายไปด้วย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากเขาตายไป วาติกันก็จะส่งผู้พิทักษ์คนอื่นมาให้ลุค แต่สิ่งสำคัญคือเขาไม่อยากให้เครื่องรางนี้ถูกทำลาย
“ฉันมีเรื่องบางอย่างที่อยากรู้”
จัสตินนิ่งเงียบ
“ลุค เมอร์ฟี กำลังตามหาเครื่องรางอะไร”
ชายชาวเยอรมันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สีหน้าเย้ยหยัน “นายไม่รู้”
“พวกนายเดินทางไปทั่ว กำจัดพ่อมดและปีศาจในแบบที่นายสามารถจะจัดการพวกมันแบบนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ และยังมีอีกหลายครั้ง ที่พวกนายเจตนาปล่อยพวกมันไป”
“เขาไม่ได้ตามหาเครื่องราง ไม่ได้อยากกำจัดพ่อมดหรือปีศาจมาตั้งแต่แรก” จัสตินบอกตามตรง “เขาตามหานาย”
โอเวนนิ่งอึ้งไปครู่ แล้วหันไปลูบศีระษะเด็กน้อยเบา ๆ “เด็กน้อยคนนี้ เป็นอะไรกับนาย”
“น้องชายของฉัน”
“ทำไมถึงเอาเขามาเป็นเครื่องราง”
จัสตินให้คำตอบที่โอเวนพอจะคาดเดาได้ “เขาตายตอนที่อายุ 6 ขวบ ฉันผนึกวิญญาณของเขาไว้เพื่อให้เป็นเครื่องรางของฉัน ฉันอยู่ เขาอยู่”
เด็กน้อยยิ้มให้กับจัสตินแล้วหันมายิ้มให้กับโอเวนที่ถอนหายใจ เปลี่ยนเด็กน้อยให้กลับไปเป็นเครื่องรางวางอยู่-บนฝ่ามือ และเมื่อพลิกมือเครื่องรางนั้นก็หายไป
“ตึกศิลา ดูดซับไอปีศาจไว้มากเกินไป ฉันจะพาเขาไปอยู่ที่อื่น รับรองว่าปลอดภัย” จากนั้นเรียกให้คนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาย้ายจัสตินไปที่ห้องใต้ดินของตึกนี้ รวมถึงสาธุคุณฌ็องส์ และคาร่า

ภายใต้ร่มไม้ครึ้ม โอเวนที่มีเงาวิญญาณสีดำติดตาม เดินมาที่บ้านไม้หลังเล็กที่ถูกเรียกว่ากระท่อมต้นไธม์ ไวเพอร์ ดาร์ท และอูซุส ก็ปรากฎตัวขึ้นทางด้านหลังในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ยังไม่ทันจะก้าวขึ้นบันได อารันญ่าที่อยู่ในร่างของเบสก็รีบเปิดประตูออกมาก่อน ทั้งทำท่าว่าจะให้คุยกันที่ด้านนอก แต่โอเวนก็สะบัดมือออก ผลักร่างของอารันญ่าจนเซถอยไปหลายก้าวแล้วทรุดตัวลงกับพื้น
อารันญ่าที่ยังอยู่ในร่างของเบสก้มตัวเช็ดเลือดที่มุมปากขณะที่เบี่ยงตัวหลบให้โอเวนก้าวเข้ามาข้างใน
ไวเพอร์ไม่ปิดบังความพึงพอใจเมื่อเห็นว่าอารันญ่าถูกลงโทษ ขณะที่อีก 2 คนไม่ได้แสดงออกอะไร แต่ดาร์ทชี้เตือนให้โอเวนมองดูปลอกข้อมือแอเรียสที่ตกอยู่กับพื้นกลางห้อง
ปลอกข้อมือที่เป็นอาวุธสำคัญของลุค เมอร์ฟี แต่ในเวลานี้ไม่มีท่อนแขนของลุคแล้ว
“ตอนที่ตัดออกมา มันยังมีแขนติดอยู่” ไวเพอร์รีบอธิบาย
โอเวนพยักหน้า “ที่สลายไปมันก็ถูกต้องอยู่แล้ว สำหรับแขนอายุ 400 ปี”
พ่อมด แม่มดทั้ง 4 คนหันมามองหน้ากันเพราะไม่เข้าใจ โอเวนจึงตั้งคำถาม
“กิ่งไม้ที่ถูกตัดออกจากต้นไม้ ร่วงหล่นลงพื้น สุดท้ายเป็นอย่างไร”
อูซุสตอบ “แห้งตายไป”
“ซากศพอายุ 400 ปีควรเป็นอย่างไร”
“ย่อยสลายไป” อูซุสตอบ
โอเวนพยักหน้า “แขนข้างนั้น ประกอบไปด้วยเลือด เนื้อ กระดูกที่หล่อเลี้ยงด้วยหัวใจ พอถูกตัดขาด ถูกแยกออกจากหัวใจ แขนก็เหี่ยวแห้ง สลายไป ซึ่งมันใช้เวลาน้อยกว่าการที่แขนของเขาจะงอกออกมาใหม่หลายเท่าตัว พวกนายก็เห็นแล้ว”
เมื่อหันไปมอง ก็พบว่ามีแต่เพียงอูซุสอีกเช่นเดิมที่เข้าใจในสิ่งที่พูด ขณะที่อีก 2 คนยังคงสนใจแต่การทำให้ ‘เจ้านาย’ พึงพอใจ ส่วนอารันญ่ายังคอยหันไปมองข้าวโพดที่มีอาการกระตุกเกร็งด้วยความทรมาน
“ดูเหมือนว่า เธอจะให้ความสนใจกับมันมาก”
“ไม่ใช่ เพราะที่ผ่านมา เขาดีต่อพวกเรามาก” น้ำเสียงในยามที่กล่าวคำเป็นเสียงของอารันญ่า ไม่ใช่เบส
“พวกเรา?”
“ขะ ข้า หมะ หมายถึง ข้า และ เบส” อารันญ่าตะกุกตะกัก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นที่หน้าผาก
โอเวนเดาะลิ้นขณะที่เดินเข้ามาหา
“อารันญ่า เจ้าไม่ควรโกหกเรา เพราะถึงแม้ว่าเบสจะมีดวงจิตของเกรซ แต่เขาก็ไม่ใช่เกรซ” มือสะบัดมือเพียงเล็กน้อย ร่างของอารันญ่าก็ปลิวไปกระแทกกับฝาผนังห้อง
“เราให้เจ้าควบคุม ไม่ใช่คอยปกป้องพวกมัน! ถ้าทำไม่ได้ เราจะให้ดาร์ทมาควบคุม”
“เจ้านาย เจ้านาย” อารันญ่าลนลานคลานเข่าเข้ามาหา “ข้าจะควบคุม ได้โปรดให้โอกาสด้วย”
โอเวนหันไปหาดาร์ท “เก็บปลอกข้อมือสิ”
“ทำ ทำไม่ได้ขอรับ”
“อะไรคือ ทำไม่ได้”
อีก 3 คนก็ช่วยกันยืนยันว่าทำไม่ได้จริง ๆ 
“ตั้งแต่ตอนที่ตัดออกมา ก็จะเก็บ นำไปมอบให้กับเจ้านาย แต่ก็ทำไม่ได้ขอรับ” ไวเพอร์บอก
โอเวนชี้บอกให้ไวเพอร์เก็บปลอกแขนนั้นขึ้น แต่สิ่งที่พ่อมดผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษงูทำก็คือการขยับเข้าไปใกล้ แล้วก้มตัวจะใช้มือหยิบขึ้นมา แต่เมื่ออยู่ห่างประมาณ 1 ฟุต หนามแหลมสีดำก็ปรากฏขึ้นมารอบปลอกแขนจนดูเหมือนเม่นขนโลหะ พร้อมด้วยไอพิษปกคลุม ทำให้พ่อมดแม่มดทั้ง 4 คนก้าวถอย ใช้แขนเสื้อปิดจมูก
โอเวนก้าวไปยืนอยู่เหนือปลอกแขน กางมือผอมบางออกแล้วหงายมือขึ้น ปลอกแขนทั้ง 2 ข้างก็วางอยู่บนมือ
พ่อมด และแม่มดทั้ง 4 ต่างแสดงความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีเวทย์มนต์ใดจะมีอำนาจเหนือท่าน”
โอเวนพลิกมืออีกครั้งปลอกข้อมือทั้ง 2 ข้างหายไป เฮ้นช์แมนทั้ง 4 ประสานเสียงยกยออีกครั้ง
“พิษของเขาดัดแปลงมาจากสารเคมี”
โอเวนยกมือห้ามก่อนที่ทั้ง 4 จะแย่งชิงกันกล่าวคำเยินยออีกครั้ง ดวงตาสวยหันไปมองข้าวโพดที่นอนงอตัวอยู่บนเตียงด้วยความทรมาน
“รอให้แขนของลุค เมอร์ฟี งอกออกมาใกล้จะสมบูรณ์ แล้วค่อยเอาน้องชายในอดีตของเขาที่อยู่ในสภาพแบบนี้ ไปให้เขาดู”
เมื่อโอเวนก้มลงแตะที่แขนข้างขวาของข้าวโพด หนุ่มนักศึกษาก็กระตุกแรง แล้วดีดตัวเองไปชนกับผนังห้องอีกด้านหนึ่งของที่นอน ทำให้โอเวนหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“เขาควรได้เห็นกับตาตัวเอง ว่ายิ่งเขาพยายามมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มการคุ้มครองมากขนาดไหน น้องชายของเขาก็ยิ่งต้องทรมานมากขึ้นเท่านั้น”
....
ผกา และสาธุคุณฌ็องส์ถูกพาลงไปภายในคุกใต้ดินที่อยู่ภายในอาคารหลังเดียวกันนั้นเอง และถูกปล่อยให้ออกมาอยู่นอกกรง ที่เหมือนกรงนกทรงสูงนั่น
นี่เป็นคุกใต้ดินที่สะอาดมาก มีแสงสว่างจากไฟบริเวณทางเดิน ไม่มีหน้าต่างให้แสงสว่างส่องเข้ามา แต่ก็ไม่มีกลิ่นอับใด ๆ แม้แต่ภายในห้องก็ยังมีเตียงนอนที่เป็นแท่นหินสูงขึ้นมา ฉากกั้นส่วนที่ใช้อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวสูงถึงเอว
สาธุคุณหันกลับไปมองที่นอนอีกครั้ง นี่เป็นแท่นหินในลักษณะเดียวกันกับที่ลุคนอนด้านบน
ฝาผนังทั้ง 4 ด้านรวมถึงเพดานและพื้น คือแผ่นหินสีเทาดำ ซี่กรงด้านหน้าของห้องขัง ไม่ได้ทำด้วยไม้ หรือโลหะ แต่มันคือแท่งหินเหมือนกัน
เหมือนการสร้างสถานที่แห่งนี้ด้วยการเจาะลึกลงไปในก้อนหินก้อนใหญ่
ความเย็นในสถานที่แห่งนี้ เป็นความเย็นที่เสียดลึกเข้าไปถึงกระดูก การที่ลุคนอนอยูบนเตียงที่ทำให้ด้วยหินชนิดนี้ ทำให้การฟื้นตัวของเขายิ่งทรมานมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
“หินลาควิไคต์” สาธุคุณพูดขึ้น ทำให้ผกาที่ถูกขังอยู่ในห้องตรงข้ามกันเดินมาเกาะหา
“ท่านพูดว่าอะไรนะ”
“หินลาควิไคต์ แต่พอมาคิดอีกทีไม่น่าใช่” สาธุคุณหันมาเห็นว่าอีกคนยังตั้งใจฟัง จึงอธิบายต่อ “เป็นหินที่ส่งเสริมพลังทางเวทมนตร์ ขับไล่พลังงานในทางลบ ซึ่งจากสิ่งที่เรากำลังเจออยู่ ฉันว่า พวกเขาน่าจะเลือกใช้แร่ที่ส่งเสริมพลังทางลบมากกว่า”
ผกาส่ายหน้า ดวงตาสิ้นหวัง ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งพิงลูกกรง “ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานอะไรกับฉันหรอก แค่อยากได้พบกับลูกอีกสักครั้งเท่านั้น”
ขณะที่สาธุคุณกำลังคิดว่า ผกาอาจไม่เข้าใจเรื่องของหินเวทมนตร์ เธอก็พูดขึ้นมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอย
“เนื้อแท้ของหินก็แค่แร่ธาตุ หินสีคู่กับความเชื่อ เพราะเชื่อถึงได้มีพลัง หากไม่เชื่อก็เป็นแค่แร่ธาตุ เพชรก็เป็นแค่แร่ธาตุหายาก เชื่อกันว่าเพชรมีพลังอำนาจให้ได้รับชัยชนะ แต่หลังจากที่ฉันพบเข็มกลัดเพชรสีเขียว ทั้งที่ฉันชอบมาก แต่ชีวิตฉันก็มีแต่ทรุดกับพังเท่านั้น”
สาธุคุณนั่งลงฟังที่ผกาพูดแล้วคิดตาม
การถูกครอบงำด้วยวิญญาณร้ายที่คอยกระซิบบอกเรื่องราวในอดีต และหลอกหลอน สลับกับการข่มขู่ว่าวาระสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามา โดยที่ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร ทำให้ผกาสูญสิ้นความหวังว่าจะมีชีวิตต่อไป
“เพชรสีเขียว เครื่องรางของคาร่าใช่ไหม”
ผกาพยักหน้าช้า ๆ ดูเลื่อนลอย และไม่แน่ใจ “คงจะใช่ เพราะพวกเขาบอกกับฉันแบบนั้น บอกให้ฉันไปเอาเครื่องรางนั้นออกมาจากธนาคารมาให้เจ้านาย...ก็คงจะทำลายเพชรไปพร้อมกับฉัน”
“เธอจะยอมตายอย่างนั้นหรือ”
“แล้วฉันจะทำอะไรได้ ฉันเป็นแค่มนุษย์ที่ถูกกำหนดให้ต้องตายมาตั้งแต่แรก” ผกาหันมามองสาธุคุณให้ถนัดขึ้น “ท่านเองก็มีบาดแผลที่ดูเหมือนคนที่เคยถูกไฟลวก”
สาธุคุณพยักหน้า “เมื่อหลายปีก่อน ที่ฝรั่งเศส ฉันตกอยู่ในการต่อสู้ระหว่างมือปราบกับพ่อมด และได้รับความช่วยเหลือจากลุค ฉันจึงกลายมาเป็นผู้สนับสนุนงานของเขา”
มีเสียงดังจากอีกด้านของประตู จากนั้นประตูก็เปิดออก จัสตินผู้มีสีหน้าเรียบเฉยเดินตามพ่อมดคนหนึ่งเข้ามา แล้วถูกคุมขังอยู่ในห้องติดกับสาธุคุณ ทำให้มองไม่เห็นกัน
“จัสติน”
“อืม”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“รู้สึกโง่มาก เป็นการติดกับดักที่โง่เง่าที่สุดในชีวิตแล้ว”
ทั้งผกาและสาธุคุณต่างเดินไปหาจัสติน พยายามให้อยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เครื่องรางของนายอยู่ที่ไหน”
“อยู่กับ...ซอว์นีย์แล้ว”
“จัสติน ขอฉันถามอะไรโง่ ๆ อีกสักข้อเถอะ”
“อืม”
“ตอนที่บลูไปบ้านของนาย นายไม่มีความรู้สึกระแวง ไม่ไว้ใจอะไรเลยหรือ”
“...”
“เอาเถอะ ถ้าไม่อยากตอบ”
“ลุค ไว้ใจเขา”
สาธุคุณเข้าใจ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้คิดสงสัยอะไร และเข้าใจตามที่ลุคบอกมาตลอดว่า ฉันควรหลีกเลี่ยงการเจอกับบลู เพราะเขาคือนกฮูกปีศาจ ส่วนฉันคือนักบวช แต่พอมาถึงวันนี้ ตอนที่เจอกับเขาฉันถึงได้เข้าใจ ว่าฉันเคยเจอเขา” สาธุคุณหันไปหาผกา “ฉันไม่ได้บังเอิญระลึกชาติขึ้นมาได้ หรือมีอะไรหรอกนะ แต่ในตอนที่เขาเดินเข้ามา จะมีความรู้สึกว่าฉันถูกเกลียดมาก แค้นฉันมากชนิดที่ต่อให้ฆ่าฉันให้ตายเขาก็ยังไม่พอใจ ทั้งที่เขาก็แทบจะไม่ได้หันมามองฉันตรง ๆ แต่ตลอดเวลา ฉันรู้สึกอย่างนี้ตลอดเวลา ฉันเคยรู้สึกอย่างนี้ เมื่อหลายปีก่อนที่ฝรั่งเศส ตอนนั้นมีการต่อสู้กัน แล้วฉันถูกไฟของพ่อมด แล้วลุคก็มาช่วยฉันไว้”
ผู้ฟังทั้ง 2 คนเงียบไป
“ฉันเคยสงสัย แต่ไม่กล้าถามกับลุคตามตรง ว่าฉันคือใครในกลุ่มคนที่ทำร้ายครอบครัวไร้ท์”
“ไบรเดน เมอร์ฟี” จัสตินบอก “นายคือคนที่สั่งประหารครอบครัวไร้ท์”
...    
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 20-04-2021 12:39:33
(ต่อครับ)

โอเวนยืนมองข้าวโพดที่ยังคงนอนหลับตา แต่ร่างกายบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดตามหน้าผาก
ข้าวโพดไม่ได้ฝัน เป็นการหลับโดยที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถสะดุ้งตื่นให้หลุดออกมาได้
“ไวเพอร์”
“ขอรับ”
“ดูแลเขา ส่วนอารันญ่า ตามฉันมา”
แต่คนที่เดินตามออกมายังมีดาร์ท และอูซุสด้วย ส่วนที่ด้านหน้าบ้านพักก็ยังมีแม่มดชราอีก 1 คนยืนรออยู่
“เจ้านาย”
“กลั่นยาเสร็จแล้วหรือ” โอเวนถามแม่มดชรา
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” แม่มดชราส่งขวดแก้วใบเล็กบรรจุน้ำยาปราศจากสีและกลิ่นให้ขวดหนึ่ง
“ยังมีอีกกี่ขวด”
“3 เจ้าค่ะ”
“เอาไปให้ 3 คนในคุกใต้ดิน แล้วเอาที่เหลือไปไว้ที่บ้านพักของเรา”
แม่มดชรารับคำสั่ง
ทั้งหมดเดินตามโอเวนมาระยะหนึ่งเมื่อทางแยก ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จนเหลือเพียงอารันญ่าที่เดินตามมาจนถึงหน้าบ้านที่ปลูกด้วยไม้ซุง ตัวบ้านสูงกว่าทางเดินครึ่งเมตร ระเบียงหน้าบ้านมีเก้าอี้ยาววางอยู่เพียงตัวเดียว
ขณะที่ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกโอเวนจึงกล่าวขึ้น
“อารันญ่า ถอยออกไปก่อน”
หญิงสาวในชุดสีแดงก้าวถอยออกจากร่างของหนุ่มในชุดนักศึกษา
“พี่” เบสทักขึ้น แล้วเดินตามโอเวนขึ้นมา
“เป็นอย่างไรบ้าง”
เบสส่ายหน้า เดินตามไปนั่งลงข้าง ๆ
การที่อารันญ่าเปิดการรับรู้ของเบสไว้ ทั้งคอยบอกเรื่องราวหลายอย่างให้ฟัง ทำให้ชายหนุ่มมีการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างดี
“หิวหรือยัง” โอเวนหันไปเรียกวิญญาณผู้รับใช้ ให้เตรียมอาหารมาให้กับเบส
“เมื่อกี้พี่ซัดผม” เบสชี้ไปที่หน้าท้อง “ในปากยังรู้สึกถึงเลือดอยู่เลย”
โอเวนยิ้มอ่อนโยน “เดี๋ยวก็หาย อารันญ่า ไม่ปล่อยให้นายเจ็บอยู่แล้ว”
เบสที่กำลังจะส่ายหน้าเปลี่ยนใจเป็นพยักหน้าเพราะกลัวว่าอารันญ่าจะถูกลงโทษอีก
…พี่ซัดเต็มแรงอย่างนั้น จะไม่เจ็บเลยเป็นไปไม่ได้
วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งถือถาดอาหาร ส่วนอีกตนหนึ่งถือโต๊ะเล็กที่มีขนาดพอดีกับถาดออกมาวางข้างหน้าของเบส
“กินสิ”
เบสมองซุปข้นกับปลาทอดในจาน แล้วเปลี่ยนไปหยิบน้ำส้มค้นสด
“ไม่ชอบหรือ”
“ตั้งแต่พี่รับผมมาที่นี่ ผมก็กินแต่อาหารแบบนี้ทุกมื้อ...”
โอเวนมือขึ้นเพียงเล็กน้อย วิญญาณรับใช้ทั้ง 2 ตนถูกกระชากจากด้านหลัง เข้ามาอยู่ห่างจากเบสเพียง 2 เมตร ต่างฝ่ายต่างบีบคออีกฝ่ายไว้แน่น แม้สีหน้าจะเจ็บปวดทรมาน แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะส่งเสียงร้องออกมา
“น้องไม่ชอบอาหารแบบนี้ ไปทำอย่างอื่นมา!” โอเวนออกคำสั่ง
เบสตกใจลนลานรีบกินอาหารในจาน “ผม ผม กินได้ พี่ อย่าทำอะไรเขา”
เมื่อโอเวนลดมือลง วิญญาณรับใช้ทั้ง 2 ทรุดตัวลงคุกเข่าเพื่อรอฟังคำสั่ง
“บอกเขาสิ ว่านายอยากกินอะไร”
“ขอเป็นแบบ 3 มื้อไม่เหมือนกันก็พอครับ” วิญญาณทั้ง 2 คนรับคำสั่งและกำลังจะถอยออกไป เบสก็รีบบอกต่อ “ขอแบบสุก ๆ นะครับ ผมไม่กินของดิบ”
โอเวนยิ้มอ่อน โบกมือให้วิญญาณรับใช้กลับออกไปได้
เบสเหลียวไปมองตาม แล้วหันมาหาโอเวน “แล้วพี่ไม่กินหรือ”
“ไม่”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่ด้วย”
“กินให้เสร็จก่อน แล้วเข้าไปคุยข้างใน”
อารันญ่ารับทราบคำสั่งนั้นของผู้เป็นนาย เธอเดินเข้าไปในบ้านเพื่อจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่และเตรียมที่นอนให้กับเบส เสร็จแล้วก็ออกมาบอกทั้ง 2 คน
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
 ภายในบ้านที่โอเวนใช้คาถาตัดขาดสรรพเสียงและการเคลื่อนไหวภายนอกอย่างสิ้นเชิง ทำให้เบสรู้สึกกลัวตั้งแต่ในวันแรกที่มาถึง จึงไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ตามลำพัง โอเวนจึงให้กินข้าวที่ระเบียงด้านหน้า จากนั้นอารันญ่าจะพาเบสออกไปอยู่กับข้าวโพดเกือบตลอดทั้งวัน
แสงจากโคมไฟที่หัวเสาทำให้เกิดเงาในแบบที่ทำให้เบสไม่แน่ใจว่านั่นคือเงาของตนเอง หรือเป็นเงาสีดำที่คอยติดตามพี่ไปทุกที่
“อารันญ่า เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่หมู่บ้านในสกอตแลนด์ ผมจำอะไรในตอนนั้นไม่ได้ ถึงตอนนี้จะมีความกลัวบางอย่างติดมา แต่มันก็ไม่ได้ถึงขนาดที่จะทำให้ผมใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปไม่ได้ ผมคิดว่า การที่ผมตายไป แล้วเกิดใหม่ก็เพื่อล้างความทรงจำที่เลวร้าย แต่พี่ กับลุค คือคนที่อยู่กับความทรงจำที่เลวร้ายในวันนั้น ผมไม่กล้าคิดแทนพี่หรือลุค ผมแค่อยากบอกสิ่งที่ผมคิด ผม...ไม่ได้ต้องการการล้างแค้นในส่วนของผม”
“เกรซ!”
“พี่ ผมเข้าใจ หากเปลี่ยนกัน ในวันนั้นผมคือคนที่ต้องมองดู เป็นคนที่ถูกทรมานอย่างหนัก ผมก็คงจะแค้นมาก แต่...” เบสเช็ดน้ำตา “แต่ตอนนี้ คนหนึ่งคือแม่ของผม อีกคน ก็เป็นคนรัก”
“พอแล้ว ตอนนี้ดึกมากแล้ว นายควรจะเข้านอน”
“พี่” เบสเช็ดน้ำตา แต่ก็ยอมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแต่โดยดี
เมื่อประตูห้องนอนปิดลง ไฟทุกดวงในห้องนี้ก็ดับลง เงาดำที่มุมห้องก่อเป็นร่างโปร่งใสในชุดสีขาว ดวงตาสีฟ้า เดินเข้ามาหา
โอเวนเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งยกมือขึ้นนวดขมับตนเอง ร่างโปร่งใสนั้นเดินมานั่งลงตรงข้าม
“ไหวไหม”
“ไหวสิ ตอนนี้ก็เหลืออีกแค่ 2 คืนแล้ว”
บลูพยักหน้า หันไปมองประตูห้องนอนของเบส “อยากให้ฉันไปดูจอร์จ กับแอนนาทั้ง 2 คนไหม”
“อย่าเลย ถ้าไปก็จะตกเป็นเป้าหมายไปด้วย พวกเขามีชะตาชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว”
“นั่นมันก็จริง แต่แอนนาน่ะ แยกดวงจิตออกเป็น 2 คืออัจฉรากับแอนแบบนี้ กลายเป็นว่า ร่างหนึ่งเป็นห่วงข้าวโพด ลูกชายที่หายไป กับอีกร่างหนึ่งคือแอน ก็ต้องมาเป็นห่วงลุค เจ้านายที่หายไป แบบนี้ มันเท่ากับเรากำลังทำร้ายแอนนาอยู่หรือเปล่า”
“นายเป็นอีกคนที่พยายามทำให้ฉันยกโทษให้เชสใช่ไหม”
“ไม่ได้ขอให้ยกโทษ” น้ำเสียงของบลูอ่อนลง “ฉันพร้อมที่จะสนับสนุนทุกอย่างที่นายทำอยู่แล้ว แต่เรื่องของเชสมันออกจะหักมุมแรงไปสักหน่อย”
โอเวนกอดอกหันหน้าไปอีกทาง แต่ไม่ได้บอกให้บลูหยุดพูด
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราตามแก้แค้นคาร่ากับทหารพวกนั้น พวกเราพยายามจะเผาเจ้าเมืองเบ็ตตี้ แม้แต่ลุค เมอร์ฟี ก็ยังมีช่วงที่นายเกลียดเขามาก เพราะว่าสร้อยที่เขาให้มามันคือหลักฐานมั่ว ๆ ที่คาร่าเอามากล่าวโทษ แต่กับเชส ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมจู่ ๆ นายถึงได้เกลียดเขามาก ตอนนี้นายเกลียดเขามากกว่า คาร่าและทุกคนรวมกันเสียอีก” บลูเท้าแขนลงกับโต๊ะ “อิจฉาหรือ”
“ไร้สาระน่า”
บลูส่ายหน้า มองคนที่เหมือนกันทุกอย่างเว้นแต่สีของดวงตา “โอเวน ร่างฉันจิตนาย ร่างนายจิตฉัน พลังของฉันความแค้นของนาย พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันมานาน คอยเฝ้ามองและเผาคนเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้านายไม่ยอมรับความจริงเรื่องความรู้สึกของนาย แล้วกลายเป็นการเพิ่มปัญหาขึ้นมา พวกเราจะทำงานสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างไร”
“เป้าหมายของฉันไม่ได้มีอะไรมากนอกจากการตามเผาคาร่าไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของฉัน”
บลูหัวเราะเบา ๆ “โอเวน ไร้ท์ ฉันคือใคร ฉันคือนกฮูกปีศาจของนายนะ เพราะอะไรลุคจึงต้องให้เครื่องรางให้เชส ก็เพราะเขารู้ว่านายเคยพยายามฆ่าพ่อของเขา แล้วนายยังประกาศว่าจะฆ่าน้องชายของเขา”
 แม้โอเวนจะฟังที่บลูพูด แต่ก็ยังมีท่าทีดื้อรั้น
“ภายในกลุ่มของเกรซ เชส คาร่า จอร์จ และแอนนา มีสายใยของคำว่าครอบครัว มันก็ยากอย่างที่ลุคบอกกับนายมากกว่า 5 ครั้ง...”
ทั้งโอเวนและบลูหยุดการสนทนาหันไปทางประตูด้านหน้าของสวนป่าแห่งนี้พร้อมกัน
“ลาการ์ วิด้า” บลูบอก
เรื่องที่กำลังคุยกันอยุ่ต้องพักไว้ก่อน “มาเร็วจริง” โอเวนบอกแล้วขมวดคิ้ว หันมาหาบลูที่หัวเราะเบา ๆพลางส่ายหน้าเหมือนเคย
บลูเปลี่ยนเป็นเงาสีดำติดตามโอเวนที่เปิดประตูบ้านออกไป วิญญาณรับใช้ที่ด้านนอกตรงเข้ามาหา
“ไปเรียกอารันญ่ามา”

วิญญาณรับใช้หายไปครู่หนึ่ง อารันญ่าก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า 
“ควบคุมเกรซไว้ อย่าให้เขารับรู้อะไร พาไปอยู่กับเชสที่กระท่อมต้นไธม์อย่าให้ออกไปจากบ้านจนกว่าฉันให้คนไปเรียก”
“เจ้าค่ะ เจ้านาย”
เมื่ออารันญ่ารับคำสั่งแล้วเข้าไปในบ้าน ดาร์ท ไวเพอร์ และอูซุสก็ปรากฏตัวขึ้น 
“เจ้านาย ลาการ์ วิด้า พ่อมดสแปนิชกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ขอรับ” ดาร์ทรายงานในทันที
โอเวนพยักหน้า ก้าวลงจากบ้าน “ไปเอาลุค เมอร์ฟี กับคนเยอรมันออกไปหาฉันที่กระท่อมเดฟเน่”
ดาร์ทรับคำสั่ง แล้วหันไปหาไวเพอร์กับอูซุสให้ไปช่วยกัน แต่ทั้งคู่ต้องการอยู่กับโอเวนมากกว่า
“อูซุสตามฉันมา”
อูซุสยักคิ้วข้างหนึ่ง สีหน้าภาคภูมิใจ ขณะที่เดินตามเจ้านายไปที่กระท่อมเดฟเน่
...
กระท่อมเดฟเน่เป็นกระท่อมไม้ทรงสี่เหลี่ยม ไม่มีระเบียง แต่ที่ล้อมรอบบ้านคือดอกไม้เล็ก ๆ สีม่วงกลิ่นหอมที่เต็มไปด้วยพิษร้าย
เหล่าวิญญาณรับใช้ และปีศาจเคลื่อนที่เข้ามารวมกันอยู่ที่ด้านหน้าของกระท่อม
ภายในกระท่อมเป็นเครื่องเรือนอย่างโต๊ะ เก้าอี้ และตู้ไม้โบราณที่ทำด้วยไม้หนาหนัก ฝาผนังว่างเปล่า ในชั้นวางของ หรือบนโต๊ะ ไม่มีเครื่องรางใด ๆ
ตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงหัวเสาจุดไฟขึ้นเองเมื่อโอเวนเดินผ่านแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง  หันหน้ามาทางประตู อูซุสเดินตามมายืนทางขวามือ
ทั้งดาร์ทและไวเพอร์ต่างรีบเร่งนำตัวทั้ง 2 คนตามมาที่กระท่อมด้วยการหายตัวแล้วมาปรากฎตัวอยู่ที่ด้านหน้าของกระท่อมจากนั้นดันไหล่ให้เดินเข้ามา
จัสตินมีท่าทีพร้อมสำหรับการต่อสู้อยู่เสมอ ขอเพียงให้ลุคออกปาก ส่วนลุคแม้ว่าแขนทั้ง 2 ข้างยังไม่สมบูรณ์ แต่การออกมาอยู่ในกระท่อมไม้กลับส่งผลดีต่อการฟื้นตัว และไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่ปากแผลมากนัก
โอเวนโบกมือให้ดาร์ทและไวเพอร์ก้าวถอยออกมา ปล่อยให้ทั้งคู่ยืนอยู่กลางห้อง
“รู้จักพวกลาการ์ วิด้าไหม”
“พ่อมดสเปน”
โอเวนพยักหน้า “พวกพ่อมดที่น่ารำคาญ มารออยู่ข้างนอกนั่น ฉันต้องการให้พวกนายจัดการ”
“ทำไม นายก็จัดการเองได้ไม่ใช่หรือ” จัสตินถาม
“ใช่ แต่มันไม่สนุก” โอเวนบอก “ฉันต้องการให้นายจัดการพวกมันแบบเด็ดขาด ไม่ให้พวกมันฟื้นกลับมาได้แม้แต่คนเดียว แลกกับ เชส”
“แต่ว่า...” จัสตินชี้ไปที่ข้อมือของลุค
โอเวนลุกขึ้นยืน เมื่อหงายมือขึ้น ปลอกข้อมือแอเรียสทั้ง 2 ข้างวางอยู่บนมือขาว ทั้งยังสะท้อนประกายแสงไฟในเวลากลางคืน
แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง แต่ลุคก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกลง
โอเวนชี้มาที่แขนของลุค แขนทั้ง 2 ข้างก็ยกขึ้นมาเอง ทั้งงอกออกมาสมบูรณ์พร้อมด้วยปลอกข้อมือแอเรียส
ดาร์ท ไวเพอร์ และอูซุสส่งเสียงชื่นชม แม้แต่จัสตินก็ยังประหลาดใจ
“ขอบใจมาก”
โอเวนยกยิ้มมุมปาก ขณะที่หงายมือขึ้นอีกครั้ง ถ้วยไม้ 2 ใบ ลอยอยู่เหนือฝ่ามือขาว และเคลื่อนที่มาหาลุคและจัสตินคนละใบ
“ดื่ม”
เมื่อลุคหยิบถ้วยไปดื่มโดยง่าย จัสตินก็ทำตาม
“เอาอย่างนี้ ในเมื่อพวกนายรับเงื่อนไขโดยดี ฉันก็จะให้ดาร์ท กับไวเพอร์ไปช่วย”
โอเวนคิดว่าลุคจะต่อรองให้ยอมปล่อยตัวสาธุคุณฌ็องส์ หรืออดีตเจ้าเมืองเบ็ตตี้ แต่การที่ไม่ได้ต่อรอง อาจเพราะลุคชะล่าใจ หรือไม่ก็คิดอะไรมากมายหลายเรื่อง จนกลายเป็นการมองข้ามเรื่องสำคัญ
โอเวนเรียกอาวุธของจัสตินออกมาให้ แล้วสั่งให้ทั้ง 4 คนออกไป ทั้งเดินตามออกไปยืนส่งที่หน้ากระท่อม แต่ทันทีที่ทั้งหมดหายไป ชายหนุ่มก็ออกคำสั่ง
“เตรียมกองไฟที่หน้าตึกศิลา เอาผู้หญิงคนนั้นกับผ้าขี้ริ้วออกมา”
อูซุสและเหล่าวิญญาณรับใช้ที่รออยู่ด้านหน้ารับคำสั่งแล้วหายไปในทันที
โอเวนเงยหน้ามองท้องฟ้า
คืนนี้ไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวง แต่การจะเผาใครสักคน ไม่ได้เกี่ยวกับพระจันทร์ มันเกี่ยวกับเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจัดการ ก็ต้องจัดการ
เมื่อโอเวนเดินมาถึงหน้าบ้านสีดำ ทั้งคนและสิ่งของต่าง ๆ ก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว
สาธุคุณฌ็องส์ และผกาต่างก็ถูกมัดอยู่กับเสา รายล้อมไปด้วยไม่ฟืน และหญ้าแห้งท่วมจนถึงเข่า
“ทำงานได้ดีมาก” โอเวนเอ่ยชมอูซุส แล้วหันไปถามผู้ที่ถูกมัดไว้ “ไม่อ้อนวอนให้ไว้ชีวิตแล้วหรือ”
ทั้ง 2 คนต่างส่ายหน้า
แม้สาธุคุณฌ็องส์จะเพิ่งได้รู้ว่าตนเองคือใคร แต่จากการสืบค้นเรื่องราวในอดีตของครอบครัวไร้ท์มานานหลายปีก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวได้โดยตลอด  ขณะที่ผกาก็ถอดใจยอมแพ้ เมื่อได้รับฟังเรื่องราวอีกครั้งในระหว่างที่อยู่ในคุกใต้ดิน
เธอไม่ได้ต้องการตาย แต่ไม่เห็นหนทางที่จะรอดพ้นจากวันนี้ไปได้ และรู้ตัวแล้วว่าจะไม่ได้พบกับลูกชายอีก
“เราแค่อยากถามว่า เจ้าจะทำแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่” สาธุคุณฌ็องส์ถาม
โอเวนไม่ตอบ เมื่อชี้ไปทั้งกองฟืน ไฟก็เริ่มลุกไหม้
ผการ้องบอก “ท่าน ท่านคะ ฝาก ฝากบอกเบสด้วย ว่าแม่รักเบส แม่อาจเป็นแม่ที่ไม่ดีนัก แต่แม่ก็รักลูกมาก”
โอเวนกำมือแน่น ไฟของพ่อมดโหมแรงลุกท่วมร่างของทั้งคู่ เปลวไฟที่โหมแรงเผาไหม้จนเหลือเพียงฝุ่นผงกองหนึ่ง และเมื่อสายลมพัดมา ฝุ่นผงกองนั้นก็หายไป

จบตอนที่ 21
อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วนะ
น้ำชาครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 20-04-2021 19:07:50

ง้าาาาา   :sad4:




ไม่คิดว่าบอสใหญ่จะเป็นโอเวนเลยนะเนี่ย




พวกพ่อมดระดับบอส ทั้งอารัณญ่า พออยู่ต่อหน้าโอเวน กลายเป็นลูกน้องผู้เชื่อฟังไปเลยทีเดียว




แต่ว่า เฮ้อ สงสารพี่ลุคจัง  :hao5:




จะมีโอกาสทำให้โอเวนใจอ่อนได้ไหมนะ




อย่างที่เบสพูด คนที่กลับมาเกิดใหม่ก็ไม่มีความทรงจำในอดีตแล้ว




มีแค่ลุคกับโอเวนที่ติดอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต ฮือๆ  ปวดตับจัง




 :เฮ้อ:




ว่าแต่ตอนหน้าจะมีหักมุมให้ตกใจอีกมั๊ยเนี่ย  :hao7:




ขอบคุณสำหรับตอนนี้ด้วยฮับ :pig4:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-04-2021 23:56:08
อึ้งไปเลย
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-04-2021 23:58:01
เห้อออออ!!
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-04-2021 10:41:25
 :sad4:   :sad4:   :sad4:   :sad4:


 เอ๋ออออ!!!!!! ผิดจากที่คาดเดาทุกอย่าง 55555555555555555555555555555555555


 หักมุมอารมณ์ ปุ๊บปั๊บฉึบฉับมาก


 ตอนนี้ได้แต่รอแล้วล่ะว่าสุดท้าย โอเวน จะเป็นอย่างไร


 แต่นะ....อ่านมาตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าแค่ที่ว่า "รัก" ของลุค จะช่วยได้มากแค่ไหน  :mew2:



.......ได้แต่หวังว่า ทั้งลุคกับโอเวน จะได้อยู่ด้วยกัน



รอลุ้นมากเลยค่า  :L2:  :L2:


รอตอนต่อไป  :pig4:





 












หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 01-05-2021 12:17:41
สวัสดีค่ะคุณไจฟ์น้องที เราห่างหายจากเล้าไปนานมากๆๆๆๆๆๆ เกือบ 2 ปีได้มั้ง
กลับมาปุ๊บมองหานิยายของคุณไจฟ์น้องทีก่อนเลย อิอิ
เป็นกำลังใจให้นะคะ แล้วก็ขอบคุณที่ยังคงเขียนนิยายสนุกๆให้อ่านอยู่เสมอ  :pig4: :pig4:

ปล. จะค่อยๆทยอยๆอ่าน แล้วก็เข้ามาบ่อยๆขึ้นนะคะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-05-2021 10:00:31

 :กอด1:  :L2:  :กอด1:  :L2:


ทุกครั้งได้อ่านคำว่าใกล้จบแล้วทีไร


มันรู้สึกแอบเหงาเหมือนกันนะ


อาจจะไม่ได้เข้ามาบ่อยด้วยอะไรหลายๆอย่างตอนนี้


แต่อยากจะบอกว่ารอเสมอ ถึงแม้จะไม่อยากให้จบเล้ยย


ยังเป็นนักเขียน(คู่)ที่ติดตามอยู่เสมอจ้า


**** รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทั่้งสองคนเราต้องฟันฝ่าวิกฤตแย่ๆนี้จนกว่าจะผ่านพ้นไปด้วยกัน***


 :กอด1:  :กอด1:







หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 12-05-2021 10:17:32


อีก 2 ตอนก็จะจบแล้ว ใจหายมากมาย







 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:







แวะมาแปะความคิดถึงให้กับพี่ไจฟ์น้องทีด้วยค่ะ








เครียดกับวิกฤตไวรัสนี้จนจิตตกทุกวัน ยังดีที่มีนิยายสนุกๆ ให้อ่านผ่อนคลายความเครียดลงได้บ้าง






 :hao3:   :hao3:    :hao3:






หวังว่าตอนหน้าพี่โอเว่นคงไม่ใจร้ายกับพี่ลุคอีกนะ   :call:







เป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้เสมอค่า  :pig4:







 :3123:  :3123:  :3123:  :3123:  :3123:  :3123:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-05-2021 10:55:24
 :L2: :L2:
 :L2: :L2:
 :L2: :L2:


ก้าวสู่ตอนจบด้วยกันฮะ
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 22 (13/05/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 13-05-2021 18:37:19
ตอนที่ 22  (ตอนก่อนจบครับ)

โอเวนเดินกลับมาที่ประตูด้านหน้าของสวนป่า โดยมีเงาสีดำติดตามไม่ห่าง ถัดออกไปด้านหลังคืออูซุส พ่อมดผมสีอ่อน ผู้ใช้เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม และเป็นผู้ที่ดูแลสถานที่แห่งนี้
เสียงปะทะกันของระเบิดในยามต่อสู้กัน และเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นเหนือยอดไม้ทำให้คาดเดาได้ว่าการต่อสู้ที่ด้านนอกดูยุ่งยาก แต่มันคือความยุ่งยากที่เกินความจำเป็น พ่อมดจากสเปนกลุ่มนั้นไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย ลำพังแค่ลุค เมอร์ฟี กับจัสติน ฮอฟมันน์ 2 คนก็น่าจะจัดการให้เสร็จสิ้นได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หรืออาจเป็นเพราะลุคยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จึงทำให้ต้องใช้เวลานาน
หรือไม่...ดาร์ท กับไวเพอร์ก็กำลังเข้าใจคำสั่งผิดเพี้ยนไปเหมือนเคย
โอเวนในฐานะพ่อมดซอว์นีย์ ไม่เคยตั้งเฮ้นช์แมนคนใดเป็นหัวหน้ากลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนี้ หรืออีกหลายกลุ่มก่อนหน้า เพราะเห็นว่าแต่ละคนต่างก็มีความถนัดที่แตกต่างกัน และที่สำคัญพ่อมดซอว์นีย์ต้องการให้เฮ้นช์แมนและพ่อมด แม่มด ปีศาจ จนถึงวิญญาณรับใช้ฟังคำสั่งจากเขา ไม่ใช่จากหัวหน้าเฮ้นช์แมน!
ภายในกลุ่มของเฮ้นช์แมนทั้ง 4 คน เป็นที่รู้กันว่าซอว์นีย์ไว้วางใจอูซุส พ่อมดจากอเมริกาเหนือคนที่ยืนอยู่ด้านข้างในเวลานี้ เพราะนี่คือคนที่สามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย และหมดจด โดยเฉพาะการดูแลสถานที่แห่งนี้
ส่วนดาร์ทกับไวเพอร์แสดงออกอย่างชัดเจนมาตลอดว่ามีความต้องการที่จะเป็นหัวหน้าเฮ้นช์แมน หรืออย่างน้อยก็คือการได้รับการยกย่องจากพ่อมดคนอื่น ๆ เหมือนกับอูซุส และอารันญ่า ทั้งที่รู้ตัวดีว่ามีความสามารถที่ด้อยทั้งสองอยู่หลายส่วน ดังนั้นสิ่งที่ทั้งคู่มักจะทำเสมอก็คือการแย่งชิงกันสร้างผลงาน หรือไม่ก็ทะเลาะขัดแย้งกันเอง จนกลายเป็นการสร้างความยุ่งยากมากกว่าเดิมอยู่หลายครั้ง
และที่ทำให้รู้สึกน่ารำคาญใจมากขึ้นก็คือ การที่ทั้งคู่ยังมีความสามารถในการเข้าใจคำสั่งของซอว์นีย์ได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ในยามที่อยู่ลับหลัง พ่อมดและแม่มดหลายคนจะแสดงความเห็นว่าทั้งคู่ต่อสู้กันเพื่อที่จะไม่ต้องอยู่ในตำแหน่งอันดับสุดท้ายของเฮ้นช์แมน หรือถูกลดตำแหน่งลงมาเป็นพ่อมดผู้ทำหน้าที่เฝ้าสุสานที่อยู่ห่างไกล แต่ทั้งคู่ต่างยืนยันหนักแน่นว่าความคิดนั้นไม่ถูกต้อง เพราะทั้งคู่มิได้มีฝีมือที่เป็นรองผู้ใด ผลงานมากมายที่ผ่านมาคือหลักฐานยืนยัน และในเวลานี้ ‘เจ้านายกำลังพิจารณาว่าใครคือผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าของเฮ้นช์แมน’
ในตอนที่ซอว์นีย์ล่วงรู้ข้อถกเถียงนี้ ก็มีเพียงการกระแทกเสียงในลำคอหนึ่งครั้ง แล้วไล่ให้ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน
ไม่มีใครรู้ว่าซอว์นีย์มีความคิดเห็นอย่างไร อาจรำคาญ อาจไม่พอใจ หรืออาจไม่สนใจก็ได้ทั้งนั้น
ส่วนอารันญ่า ในตอนแรกที่เธอเลื่อนขึ้นมาเป็นเฮ้นช์แมนต่อจากลินาแม่มดผู้ควบคุมเงาจากบาห์เรน เธอก็มีความเชื่อมั่นและทำหน้าที่ของแม่มดผู้ควบคุมปีศาจแมงมุมได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งมาพบกับข้าวโพด เธอก็กลับหลงรักข้าวโพดอย่างรวดเร็วและปกป้องเขา
ซอว์นีย์ในฐานะของโอเวน ไร้ท์ เข้าใจความคิดนั้น และในความเป็นจริง โอเวนเข้าใจความคิดของแม่มดผู้นี้ที่สุดในบรรดาทั้ง 4 คน
ในตอนแรกที่อารันญ่าเข้าควบคุมเบส เป้าหมายของเธอคือการกำจัดข้าวโพดตามที่ได้รับคำสั่ง แต่เมื่อกำจัดไม่ได้ ทั้งยังค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกของทั้งสองที่มีต่อกัน ได้รับรู้ว่าข้าวโพดมีความรักที่มั่นคง แม้เบสจะมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่น่ากลัว แต่เขาก็ไม่กลัว กลับพยายามทำความรู้จัก ทำความเข้าใจ พยายามรอมชอมกับผู้ควบคุมเบสอยู่ เพื่อไม่ให้เธอทำร้ายเบส
บางทีคนที่ให้คำแนะนำอย่างนั้นอาจเป็นลุค เมอร์ฟี คนที่พยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุด เพราะเชื่อว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงจุดจบของคนหนึ่งคนหรือสองคนได้
เสียดายที่ลุค เมอร์ฟี ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่เบสสามารถทำให้อารันญ่าไม่ทำร้ายข้าวโพดได้
เบสเอง ในช่วงแรกที่ถูกควบคุมก็จะต่อต้าน แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนักในการเรียนรู้ว่าอารันญ่าต้องการอะไร
ยิ่งการที่อารันญ่าผูกพันข้าวโพดไว้ด้วยการมีความสัมพันธ์กัน แล้วพยายามจะกัดอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยทำได้สำเร็จ
เพราะคนหนึ่งพยายาม อีกคนก็หลบเลี่ยง การกระทำของทั้งคู่มันชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดเสียอีก เบสจึงร้องขอว่า ‘อย่าทำร้ายใคร’ แม้จะเป็นคำขอที่คลุมเครือไม่ชัดเจน แต่อารันญ่าเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ เธอจึงไม่ตอบรับคำขอนั้น
แต่เพราะเบสกับข้าวโพดอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา เรื่องราวในส่วนนี้จึงกลายเป็นการที่มนุษย์ 2 คนพยายามที่จะอยู่ร่วมกับแม่มดและปีศาจที่ควบคุมอยู่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับพ่อมดหรือแม่มดตนใด
ไม่เคยมีมนุษย์คนไหน พยายามใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ใช้คาถาอาคมในแบบของทั้งคู่
รู้ตัวอีกที อารันญ่าก็กลายเป็นผู้ที่ถอยห่างออกมา ในเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันในเวลากลางคืน และทำหน้าที่ปกป้องทั้งคู่
การอยู่ร่วมกันของทั้งสามราบรื่นขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน อารันญ่าก็มีความกังวล ว่าหากซอว์นีย์รู้ว่าเธอไม่ได้ทำตามคำสั่ง จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงแน่นอน

ที่ด้านหลังของประตูด้านหน้า ยังมีพ่อมด แม่มดยืนอยู่ 5 ตน ทั้งหมดหันมาทำความเคารพซอว์นีย์ที่เดินมาถึง   “พวกนั้นกำลังเล่นตลกอะไรกันอยู่”
“กราบเรียนเจ้านาย ข้างนอกนั่นมีพ่อมดสเปนอยู่ประมาณ 10 ตนถูกกำจัดไปแล้ว 8 ตอนนี้เหลืออีก 2 ขอรับ”
ซอว์นีย์ออกคำสั่งกับพ่อมดที่รายงาน “พวกแกออกไป ถ้าใครกำจัดพ่อมดสเปน 2 ตัวที่เหลือได้ ฉันจะให้เป็นเฮ้นช์แมนแทนพวกมัน”
พ่อมด 5 ตนที่ยืนอยู่ต่างรีบเร่งออกไปที่ด้านนอกของรั้วเพื่อหวังสร้างผลงาน ซอว์นีย์ส่ายหน้าเดินกลับมาที่เก้าอี้หินตัวหนาที่วางอยู่ในสวน
“นานชะมัด” พ่อมดในระยะ 100 ปีหลังมานี้มีแต่พวกขี้ขลาด มองหาแต่ทางลัดเพื่อที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่!
มีเสียงระเบิดดังขึ้นที่ด้านนอก เปลวไฟลุกขึ้นสูงเหนือยอดไม้ จากนั้นพ่อมด 7 ตนก็รีบล่วงหน้าเข้ามาก่อน ตามมาด้วยลุค และจัสติน
ดาร์ทกับไวเพอร์ ยืนอยู่ตรงกลางเพื่อเตรียมรับความดีความชอบ ถัดไปคือพ่อมด 5 ตน ส่วนลุคกับจัสตินอยู่ทางด้านหลัง
“ฉันให้พวกนายคุม 2 คนนั่น” คางสวยชี้ไปที่คนที่อยู่ทางด้านหลัง “ที่ยืนแบบนี้ แสดงว่า 2 คนนั่นกำลังเป็นผู้ควบคุมพวกนายหรือไง”
ดาร์ทกับไวเพอร์ รีบขยับตัวไปทางขวามือของซอว์นีย์ ส่วนพ่อมด 5 ตนไปยืนคุมอยู่ทางด้านหลังของลุคและจัสติน
นี่คือกลุ่มของพ่อมดหรือนักเรียนอนุบาลกันแน่!
“แล้วใครกำจัดพ่อมดที่อยู่ข้างนอกนั่น”
ดาร์ทตอบ “มือปราบ กับผู้พิทักษ์ขอรับ”
ซอว์นีย์รู้สึกโกรธ ไอสีดำจาง ๆ แผ่ออกจากปลายนิ้ว
“จะ เจ้านาย” ไวเพอร์รีบคุกเข่าลงขอร้อง “เจ้าพ่อมดอ่อนด้อยพวกนี้ พอออกไปก็ร้องตะโกนคำสั่งของเจ้านาย มือปราบกับผู้พิทักษ์ก็ซัดระเบิดใส่พ่อมดต่างถิ่นเหล่านั้นทันที พวก พวกเรา ไม่ทันที่จะ...”
“ที่พวกเราบอก ก็เพราะหากต่อสู้กันแล้วพ่ายแพ้ เฮ้นช์แมนก็จะหาว่าพวกเราคดโกง” หนึ่งในพ่อมดที่อยู่ด้านหลังโต้เถียง
อูซุสที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือของซอว์นีย์ยกมือขึ้น ทุกคนก็หยุดโต้เถียง
“8 ตัวก่อนหน้านั้นใครกำจัด” ซอว์นีย์ถามต่อ
“ก็ ก็เป็น...”
“พอแล้ว!” ซอว์นีย์เสียงดัง เมื่อสะบัดมือออกไป ทั้งดาร์ทและไวเพอร์ก็ถูกซัดกระเด็นในทันที ส่วนพ่อมดที่อยู่แถวทางด้านหลังของลุคและจัสตินรีบคุกเข่าลง
ซอว์นีย์ก้าวเข้ามาหาลุค และจัสตินที่ยังอยู่ในสภาพที่เหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้
“ที่แย่งชิงผลงานของพวกมัน เพราะอยากเป็นเฮ้นช์แมนหรือไง”
“ถ้านั่นคือคำสั่งของนาย” ลุคบอก
ซอว์นีย์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อชี้ไปที่ข้อมือทั้ง 2 ข้างของลุค ปลอกข้อมือแอเรียสก็กลับมาวางอยู่บนมือของซอว์นีย์อีกครั้ง
“นั่นคือคำสั่งของฉัน แต่คนที่แสดงตัวว่าเป็นคนดี ทั้งที่ไม่ซื่อสัตย์ เอาตัวรอด เสแสร้ง และเห็นแก่ตัวแบบนาย เป็นได้แค่ไอ้คนที่น่ารำคาญคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
ซอว์นีย์ชี้นิ้วขึ้นเหนือศรีษะแล้วหมุนเป็นวงกลม ไอสีดำจากปลายนิ้วแผ่กระจายเป็นโดมครอบสวนป่าทั้งหมด เป็นการใช้คาถาป้องกันพื้นที่กว้างใหญ่นี้ ในแบบที่เหมือนกับว่าไม่ได้ใช้คาถา
เหมือนกับว่าหากเขาต้องการให้เป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะการที่เมื่อป้องกันพื้นที่นี้เสร็จ ซอว์นีย์ก็หันหลังกลับพร้อมกับบอกให้ดาร์ทคุมตัวจัสตินไปอยู่กับอารันญ่า แล้วให้ไปรอที่ตึกศิลา ส่วนอูซุสควบคุมลุคให้เดินตามกลับมา ส่วนพ่อมดตนอื่น ๆ รวมถึงไวเพอร์ต่างก็เดินตามมาโดยที่ไม่มีการโต้เถียงกันอีก
ระหว่างทางแยกหลายจุดมีพ่อมด แม่มด และปีศาจมายืนรออยู่ เมื่อซอว์นีย์เดินมาถึงพวกมันต่างทำความเคารพแล้วเดินต่อท้ายตามมาเป็นขบวน
โอเวนคือซอว์นีย์จริง ๆหรือ...

ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย แต่ช่วงเวลานานกว่า 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เต็มไปด้วยความตึงเครียดจนลุคไม่ได้สนใจเรื่องความเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้สึกถึงความหิว ไม่แม้แต่จะขอดื่มน้ำสักแก้ว มีแต่ความคิดว่า ต่อไปจะต้องพบเจอกับอะไร
ถ้าหายตัวมา ก็ใช้เวลาเพียงแค่ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แต่ซอว์นีย์เดินนำเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามทางเดินที่มีทางแยกมากมาย เสียงฝีเท้า และเสียงชายผ้าในยามเดินดังก้องไปตามตามเดินภายใต้ซุ้มไม้หนามแหลม นานกว่า 10 นาทีจึงมาถึงตึกศิลา
พื้นที่ด้านหน้า ปราศจากเขม่าควันหรือฝุ่นผงใด ๆ จากการเผาไหม้ แต่เมื่อมาถึงลุคหยุดยืนมอง ใบหน้าซีดเผือด
“ไม่จริง...”
ซอว์นีย์ยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ ประตูใหญ่หนาหนักของตึกศิลาเปิดออก
“นายฆ่าพวกเขาไปแล้ว...” 
ยามเมื่อเอ่ยคำรู้สึกแขนขาอ่อนแรงจะทรุดตัวลง แต่อูซุสก็ดึงแขนให้เดินตามซอว์นีย์เข้าไปด้านในของตึกศิลา เหลือไวเพอร์ที่ยังยืนรออยู่ที่ด้านหน้าของประตู
   ห้องที่ลุคฟื้นตัวครั้งแรก คือห้องใหญ่เพียงห้องเดียวของตึกนี้ แท่นหินสีดำยังอยู่ที่เดิม ตำแหน่งที่เคยเป็นที่ตั้งของกรงขังคาร่า และสาธุคุณฌ็องส์ เวลานี้ว่างเปล่า แต่ถัดออกไปใกล้ผนังห้อง มีหม้อเหล็ก 13 ใบวางเรียงสลับกันวางอยู่ กลิ่นยาในหม้อดูคุ้นเคย แม่มดชรา 2 คนยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะกลั่นน้ำยาหันมาทำความเคารพซอว์นีย์ จากนั้นคนหนึ่งก็เดินไปตรวจดูยาในหม้อที่กำลังเดือด อีกคนกลับไปตรวจดูการกลั่นยาเช่นเดิม
ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ยืนยันความคิดในครั้งแรกที่ว่าที่นี่คือสถานที่ประกอบพิธีกรรม แสงสว่างที่ลอดผ่านกระจกสี กับแสงสว่างจากตะเกียงตามมุมห้อง ทำให้เกิดแสงและเงารูปทรงประหลาด
เมื่อเข้ามาด้านใน อูซุสก็ปล่อยแขน ปล่อยให้ลุคนั่งคุกเช่าอยู่กับพื้น
ซอว์นีย์นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวหนาหนักตัวเดิม ขณะที่อูซุสเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัว พ่อมดและปีศาจที่ติดตามมาแยกย้ายกันไปยืนอยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆในห้อง เหลือเพียงลุคที่ยืนอยู่ระหว่างโอเวนกับแท่นหินสีดำนั้น 
เงาสีดำหลายร่างวูบไหวอยู่ภายในห้อง
ดาร์ทปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของตึกศิลาแล้วเดินตามไวเพอร์เข้ามาด้านใน แยกย้ายไปนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของตน เหลือเพียงเก้าอี้ไม้สีดำของอารันญ่า ที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าอยู่ที่กระท่อมด้านหน้า ตามมาด้วยปีศาจ และวิญญาณรับใช้ เมื่อทั้งหมดมาพร้อมหน้ากันแล้ว ประตูของตึกก็ปิดลงช้า ๆ
ลุคไม่จำเป็นต้องหันไปมองรอบตัว เพียงแค่มองสีหน้าแววตาของซอว์นีย์ก็รู้แล้วว่า ลำดับต่อไปยังคงเป็นการทรมานเขาอยู่นั่นเอง
เพราะเขาไม่ตาย ซอว์นีย์จึงเลือกที่จะทรมานจนกว่าจะพอใจ อาจทรมานไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเบื่อก็เป็นไปได้
“ทำไมนายถึงเผาพวกเขา”
   “พวกเขารู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องถูกเผา” ซอว์นีย์ตอบ ขณะที่หงายฝ่ามือเรียกปลอกข้อมือแอเรียสออกมาหมุนเล่นรอบหนึ่งแล้ววางลงที่โต๊ะตัวเล็ก ข้าง ๆ ครอบแก้วซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีกระดิ่งแก้วใส เครื่องรางของจัสติน แต่เวลานี้กระดิ่งแก้วไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
ซอว์นีย์หันมามองลุค กระดิ่งแก้วของจัสตินปรากฏขึ้นภายในครอบแก้ว แล้วหายไปอีกครั้ง
เรื่องการเรียกกระดิ่งแก้วออกมา เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในที่นี้ได้มากเท่ากับการที่ซอว์นีย์สามารถ ‘เล่น’ กับปลอกข้อมือแอเรียสของลุค
“การไล่ตามฆ่าพวกเขาไปตลอดมันทำให้ความแค้นของนายลดลงไปได้บ้างไหม”
“คำตอบอยู่ที่นาย ซึ่งพยายามซ่อนไอ้ผ้าขี้ริ้วนั่น” ซอว์นีย์พูดถูก “ฉันยังคิดว่านายบอกกับมันแล้วเสียอีก ว่ามันเป็นพ่อของนายในชาติก่อน”
“แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่”
ไบรเดน เมอร์ฟี เจ้าเมืองเบ็ตตี้ที่ตายไปตั้งแต่เมื่อ 400 ปีที่แล้ว เมื่อกลับมาเกิดใหม่ย่อมไม่สามารถจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้  แต่คนที่จำได้คือลุค
“ไม่ใช่แล้วซ่อนมันทำไม คำพูดกับการกระทำของนายมันสวนทางกันตลอด ถ้านายอยากให้ใครเชื่อคำพูดของนาย นายก็ควรทำอย่างนั้น”
ลุคไม่โต้ตอบ
“ในห้วงเวลาที่ยาวนาน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอมันก่อนนาย พอจะเผามัน นายก็เข้ามาแทรกเพื่อช่วยมัน เอามันไปซ่อนไว้ในโบสถ์ ทั้งที่มันสมควรตายไปตั้งแต่หลายปีที่แล้ว”
ซอว์นีย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่แจกันใบหนึ่งที่อยู่ตรงมุมห้องแตกกระจาย ทำให้วิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นขยับหนีไปอยู่อีกด้าน!
“ปากบอกว่าไม่คิดว่ามันคือพ่อ แต่การกระทำของนายคือปกป้องมัน เชื่อฟังทุกคำพูดของมัน”
แจกันอีกใบใกล้ประตูห้องลอยขึ้นสูงแล้วร่วงหล่นลงมา เสียงดังก้องไปทั่วห้อง ชิ้นส่วนของแจกันแตกกระจาย
“โอเวนฉันแค่...”
“ในที่นี้ ทุกคนเรียกฉันว่าเจ้านาย”
“เจ้านาย” ลุคต้องการอธิบาย
มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าเจ้าเมืองเบ็ตตี้ คือผู้สอบสวนและสั่งประหารครอบครัวไร้ท์ แต่ลุคก็ยังคงคิดกล่าวโทษซอว์นีย์ คาร่า และบรรดาพ่อมดอีกหลายคนในเวลานั้นว่าเป็นต้นเหตุ ถึงกับให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนในบ้านว่ามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้
“นายยืมมือฉันฆ่าคาร่ากับพรรคพวกของเธอมานานหลายปี จนถึงตอนนี้ นายก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเธอตายอย่างไร ที่นายโศกเศร้าจะเป็นจะตายก็เพราะฉันฆ่าไอ้ผ้าขี้ริ้วนั่น และที่นายยังยอมคุกเข่าให้ฉัน ก็เพราะจับน้องชายของนายไว้ หวังให้ฉันปล่อยเขาไป”
ลุคหลับตาลง
“ดูไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ที่ต้องมาตกอยู่ท่ามกลางคนที่ต้องการล้างแค้น กับคนที่คิดแต่จะเอาตัวรอด ฉันรู้มาตลอดว่านายไม่ใช่คนดี แต่ถึงกับยืมมือพ่อมดเพื่อล้างแค้น ถือว่านายเลวกว่าที่คิด เห็นแก่ตัว และชั่วร้ายมากกว่าคนที่นายชี้นิ้วบอกว่าชั่วร้ายอย่างพวกเราเสียอีก ว่าไหม” ซอว์นีย์หันไปขอเสียงสนับสนุนจากบรรดาพ่อมด แม่มดที่อยู่ในห้อง ดาร์ทกับไวเพอร์ถึงกับช่วยกันร้องด่า
“พูดถึงเรื่องข้อมูลที่นายให้มา....” วิญญาณรับใช้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้กับซอว์นีย์มากที่สุดถูกกระชากด้วยมือที่มองไม่เห็นเข้ามาอยู่แทบเท้าของซอว์นีย์
นี่คือวิญญาณของ ‘โบรดี้’ หัวหน้ากลุ่มทหารที่ไปจับกุมครอบครัวไร้ท์ และเผาบ้านของพวกเขา
วิญญาณของโบรดี้กำลังถูกบิดด้วยมือที่มองไม่เห็น ทำให้ส่งเสียงร้องด้วยความทรมาน
ซอว์นีย์พยักหน้า “นายไม่สนใจโบรดี้เหมือนกัน ทั้งที่ตอนมีชีวิตอยู่ เขาคือคนที่รับฟังคำสั่งพ่อของนายให้มาจัดการครอบครัวไร้ท์” วิญญาณของโบรดี้หยุดนิ่งในลักษณะที่ส่วนลำตัวท่อนบนถูกจับให้หมุนไปอยู่ด้านหลัง “ก่อนนี้ฉันก็คิดแต่จะเผาพวกมันเพื่อแก้แค้น จนมาได้แนวคิดใหม่ จากเรื่องเล่าที่นายเล่าให้ฟังว่า คาร่าเคยให้พ่อมดคนหนึ่งควบคุมวิญญาณแม่ของนายมาเป็นวิญญาณรับใช้” นิ้วมือสวยชี้ไปที่กลุ่มวิญญาณที่มุมห้อง “เพราะนาย ทำให้พวกเรามีวิญญาณรับใช้จำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พ่อมด แม่มดที่นี่ ก็เลยสะดวกสบายจนออกจะขี้เกียจเกินไปแล้ว”
ขณะที่เหล่าพ่อมด แม่มดพากันหัวเราะและสนับสนุนคำพูดของเจ้านาย แต่บรรดาวิญญาณที่อยู่ตรงมุมห้องมีความโกรธแค้นลุคมากขึ้น
การถูกจองจำให้กลายมาเป็นวิญญาณรับใช้ของพ่อมด โดยเฉพาะพ่อมดที่ขึ้นชื่อว่าชั่วร้ายที่สุดอย่างซอว์นีย์ คือการถูกทรมานอย่างหนัก ชนิดที่แม้จะตายไปแล้วก็ยังขอตายอีกรอบเพื่อให้รอดพ้นไปจากช่วงเวลานี้
ซอว์นีย์พอใจกับบรรยากาศภายในห้องเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อนายไม่สนใจโบรดี้ อย่างนั้น...”
ขณะที่คำกล่าวของซอว์นีย์ยังดังอยู่ในห้อง วิญญาณของโบรดี้ หัวหน้าหน่วยทหารคนสำคัญของเจ้าเมืองก็ถูกฉีกออก แล้วสลายไปในทันที
ดาร์ทและไวเพอร์ลุกขึ้นยืนร้องตะโกนยกย่องเจ้านายของตน
“ยอดเยี่ยม! เจ้านายซอว์นีย์ผู้ยอดเยี่ยม!”
ซอว์นีย์ยกมือขึ้นบอกให้ทั้ง 2 คนนั่งลง
“รอให้ถึงลูกหนี้คนสุดท้าย พวกนายค่อยชมเชยฉันก็ยังไม่สาย”
วิญญาณที่รวมกันอยู่ตรงมุมห้องส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว
“เงียบ”
น้ำเสียงนั้นออกไปทางเบื่อหน่าย แต่ทำให้ทุกคนในที่นี้นิ่งเงียบ แม้แต่อูซุสที่นั่งอยู่ใกล้กับซอว์นีย์มากที่สุดยังรู้สึกถึงแรงกดดันจากความไม่พอใจ
วิญญาณผู้ชาย 2 ร่างถูกดึงให้ออกมาจากกลุ่มแล้วถูกยกขึ้นสูง
“ไม่คิดจะหันไปมองพวกเขาสักหน่อยหรือ ลุค เมอร์ฟี ทักทาย และ อำลาในฐานะคนเคยรู้จักกันสักหน่อย”
ลุคขยับตัวหันไปมอง แต่ในทันทีที่จดจำได้ว่านั่นคือทหารในกลุ่มเดียวกับโบรดี้ วิญญาณนั้นก็ร่วงหล่นลงมาแล้วกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วสลายไปก่อนที่จะตกถึงพื้น
วิญญาณที่ถูกฉีกทึ้ง คือการสูญสลายอย่างเจ็บปวด แล้วกลายเป็นความว่างเปล่า...
ชายหนุ่มมองต่อไปที่กลุ่มของวิญญาณรับใช้ที่อยู่ตรงมุมห้อง พบว่าทั้งหมดคือคนที่เคยรู้จักกันในอดีตอย่างที่ซอว์นีย์บอกจริง ๆ ตั้งแต่ชาวบ้านที่ให้การยืนยันว่าครอบครัวไร้ท์เป็นครอบครัวพ่อมด ไปจนถึงผู้ที่ทำงานในโบสถ์ในช่วงเวลานั้น ยังมีคนงานที่บ้านหลายคน และเฒ่าเลียมที่ทายาทของเขากลายเป็นเฟโอ ปีศาจบึงน้ำ
ซอว์นีย์จัดการวิญญาณทีละดวงด้วยวิธีการที่ทำให้วิญญาณเหล่านั้นเจ็บปวด ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานก่อนที่จะสลายร่างไป
...จนมาถึงเฒ่าเลียม
“สำหรับเฒ่าเลียม ฉันต้องขอบใจนายมากจริง ๆ ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก”
วิญญาณของเฒ่าเลียม เลื่อนมาอยู่ด้านหน้าของลุค ดวงตาสีแดงดั่งเลือด เงาร่างโปร่งใสกลายเป็นร่างทึบแสง
ลุคขยับตัวลุกขึ้นยืนเมื่อร่างของเฒ่าเลียมขยายใหญ่ขึ้นจนตัวสูงกว่าตนเองสองเท่าแต่การขยายใหญ่นั้นดูผิดรูปร่าง
เฒ่าเลียมที่เคยเป็นหนึ่งในพ่อมด ผู้เคยให้ความช่วยเหลือจองจำเจนนิเฟอร์แม่ของคาร่า กลายเป็นปีศาจในวันนี้
ซอว์นีย์ยังคงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ฉันเคยตามหาคนพวกนี้จากสุสาน แต่เพราะนายเจอทายาทของมันในสภาพของปีศาจ ฉันก็เลยต้องกลับไปตามหาเฒ่าเลียมคนนี้จากสมบัติที่ตกทอดจนมาถึงลูกหลานในปัจจุบัน ทายสิว่ามันหลบซ่อนอยู่ในอะไร” ซอว์นีย์ไม่รอให้ลุคตอบคำถาม “มันซ่อนตัวอยู่ในล็อกเก็ตเก่า ๆ อันหนึ่ง ที่เก็บไว้ในกล่องบุหรี่”
ปีศาจเฒ่าเลียมส่งเสียงในลำคอ เตรียมพร้อมสำหรับการตรงเข้ามาจัดการลุค
“มันมีส่วนร่วมในการทำร้ายแม่ของนายใช่ไหม จัดการมันสิ” ซอว์นีย์บอกแล้วโยนปลอกข้อมือแอเรียสให้กับลุค
ในทันทีที่ปีศาจเฒ่าเลียมพุ่งเข้าใส่ลุค ปลอกข้อมือแอเรียสก็ส่งดาบยาวคู่ให้กับลุคเพื่อรับมือ แต่เมื่อพลังจากปีศาจปะทะกับดาบยาว กลับพบว่านั่นเป็นพลังที่ซอว์นีย์ส่งมาสนับสนุนปีศาจ ผลักให้ลุคกระเด็นไปอยู่อีกฝั่งของห้อง
นี่เป็นวิธีการสร้างความฮึกเหิมให้เหล่าพ่อมดและลูกน้องได้ดีมาก เพราะทำให้เหล่าพ่อมดที่นั่งและยืนอยู่รอบห้องบ้างส่งเสียงหัวเราะ บ้างปรบมือด้วยความชอบใจ ขณะที่ปีศาจเฒ่าเลียมยิ่งลำพองใจว่าได้รับการสนับสนุนจากซอว์นีย์ ยิ่งร้องตะโกนเสียงดังก้อง พุ่งเข้าหาพร้อมส่งพลังเข้าโจมตีอย่างรุนแรง ลุคปัดพลังนั้นออกไปกระแทกตู้ไม้สีดำที่ผนังด้านหนึ่งจนเปิดออก สิ่งของที่อยู่ภายในพุ่งออกมา
หอกสั้นสัมฤทธิ์เล่มหนึ่งพุ่งตรงเข้าปักที่กลางอกของพ่อมดที่ยืนอยู่ใกล้ตู้ที่สุด เปลวไฟลุกลามจากรอบรอยบาดแผลแล้วลุกลามไปทั้งตัว กลายเป็นฝุ่นเถ้าร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับหอกสั้นสัมฤทธิ์ด้ามนั้น
ในเวลาเดียวกันยังมีธนูเงินอีกสองดอกพุ่งเข้าหาพ่อมดอีกตนหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน ฤทธิ์ของธนูนี้ไม่ได้ทำให้เกิดไฟแต่ทำให้เกิดเป็นพิษสีดำที่กัดกร่อนพ่อมดตนนั้น สร้างความเจ็บปวดกระทั่งสลายร่างไป
เป็นการทำลายร่างที่รวดเร็วอย่างน่าแปลกใจถึงขั้นที่ทำให้ซอว์นีย์ลุกขึ้นยืน พร้อมกับพ่อมด และแม่มดทั้งหมดในห้องนี้ บางคนยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาเตรียมพร้อม
ส่วนแม่มดชราที่ดูแลการปรุงยายังละงานหันมามอง
มือปราบวาติกันคือผู้ที่สังหารพวกพ้อง!
จากสีหน้าท่าทางของทุกคนในที่นี้ ทำให้ลุครู้ตัวว่าเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้น คือสู้ตาย!
เฮ้นช์แมนทั้งสามต่างเรียกปีศาจของตนเองออกมา
ปีศาจของดาร์ทคือคางคกพิษสีน้ำเงินที่ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นที่ชวนคลื่นเหียน ยืนอยู่ด้านหน้าของพ่อมด
ปีศาจของไวเพอร์คืองูพิษตัวเล็กราวกับก้านธนูแต่กลับมีความยาวมากกว่า 3  เมตร ในยามที่พันอยู่รอบแขนของไวเพอร์ ส่วนลำตัวยาวยังม้วนอยู่กับพื้น
และปีศาจของอูซุสคือหมีกริซลีตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้ม
เมื่อปีศาจเฒ่าเลียมบุกโจมตีอีกครั้ง ลุคปัดอาวุธทั้งหมดจากตู้ และที่ตกอยู่บนพื้นให้พุ่งเข้าหาพ่อมด แม่มด ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ขณะที่ตนเองพุ่งตรงเข้าหาแทงดาบคู่ลงไปตรง ๆ สลายร่างปีศาจเฒ่าเลียมลงได้สำเร็จ
พ่อมดหลายคนสามารถปัดอาวุธออกไปได้ แต่อีกหลายคนก็พลาด ถูกอาวุธแหลมคมทิ่มแทง จนต้องกลายเป็นฝุ่นผง
ลุคไม่ยอมเสียเวลา บุกเข้าหาอูซุสที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่หมีกริซลีของอูซุสเข้ามาขัดขวาง แม้ว่าจะเคลื่อนที่ได้เร็วแต่ก็ยังถูกดาบของลุคฟันไป 1 แผล อูซุสรีบเรียกหมีกริซลีของตนกลับมาได้ทันก่อนที่จะสูญสลาย แต่จากอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับอูซุสคาดว่า ดาบคู่จะสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับหมีกริซลีตัวนั้นได้มากกว่าที่มองเห็น
ดาร์ทและไวเพอร์ต่างก้าวถอย ปล่อยให้อูซุสออกหน้าต่อสู้แลกชีวิตกับลุค
การต่อสู้ต่อหน้าซอว์นีย์ผู้ยิ่งใหญ่ อูซุสย่อมต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดลงไป คาถาต่อสู้ที่รุนแรงมากพรั่งพรูเข้าใส่คู่ต่อสู้ แต่ก็ถูกสกัดไว้ด้วยกำแพงแอเรียสสีขาวขุ่นที่พุ่งออกมาจากปลอกข้อมือแอเรียสโดยที่ลุคไม่ต้องเรียกออกมา
ซอว์นีย์เรียกให้ดาร์ท และไวเพอร์เข้ามาสนับสนุนอูซุส
เปลวไฟจากอูซุส ผสานพิษของคางคกจากดาร์ท เสริมด้วยแรงกัดเซาะจากพิษของงูของไวเพอร์ พุ่งตรงเข้าหากำแพงแอเรียสจนเริ่มแตกร้าว
บรรดาพ่อมด แม่มดที่พากันยืนดูการต่อสู้รีบเข้ามาสนับสนุนร่ายคาถาโจมตีเกราะแอเรียส
ลุครวบรวมพลังต้านทาน
แต่ปัญหาก็คือ คาถาโจมตีจากพ่อมด แม่มดในระดับรองเหล่านั้นไม่มีความมั่นคง พลังที่โจมตีจึงสะท้อนออกไปอีกฝั่งหนึ่ง สร้างความเสียหายให้กับห้องนี้มากขึ้น
ลูกไฟหลายลูก สะท้อนเข้าหาหม้อยา เตาไฟ และโต๊ะปรุงยา สังหารแม่มดชราทั้ง 2 ตน ยาทั้งที่ปรุงเสร็จแล้ว และที่ยังเดือดพล่านไหลนองพื้น ทั้งไอพิษ และความร้อนอัดแน่นภายในห้อง
กำแพงแอเรียสเริ่มสั่นไหว กำลังจะแตกร้าวในวินาทีถัดมา แต่จู่ ๆ ประตูด้านหน้าของตึกก็เปิดออก ร่างของลุคถูกผลักกระเด็นออกมาภายนอก
ในเสี้ยววินาทีที่มองกลับไป ลุค เมอร์ฟี เห็นว่าโอเวน ไร้ท์ กำลังคลี่ยิ้มกว้าง เป็นยิ้มงดงามที่อยู่ในความทรงจำของลุคมาตลอดเวลานานกว่า 400 ปี
จากนั้นประตูก็ปิดลง มีแรงระเบิดรุนแรงอีกครั้งจากภายในตึก ที่ส่งให้ลุคกระเด็นห่างออกมาอีกครั้ง...
...

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนที่ 22 (13/05/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 13-05-2021 18:39:27
(ต่อครับ)

อารันญ่า แม่มดผู้มีแมงมุมดำเป็นเครื่องราง ยึดถือคำสั่งของพ่อมดซอว์นีย์อย่างเคร่งครัด แม้ว่าจะอยู่ตามลำพังกับข้าวโพดในกระท่อม ก็ยังไม่คลายการควบคุมเบส แม้แต่ในตอนที่ดาร์ทควบคุมตัวจัสตินมาส่ง แล้วกลับไป
ชายชาวเยอรมันเดินผ่านแม่มดหญิงเข้าไปในกระท่อมแล้วหาที่นั่ง
“ดื่มน้ำสักหน่อยไหม” เวลาที่เบสพูดด้วยน้ำเสียงของผู้หญิงฟังดูแปลก ๆ จนจัสตินต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง แล้วส่ายหน้า   “ฉันจัดการเองดีกว่า” จัสตินบอกแล้วลุกไปรินน้ำดื่ม
ไม่ว่าอารันญ่าจะควบคุมเบสอยู่หรือไม่ จัสตินก็ไม่คิดว่าจะชวนอีกฝ่ายพูดคุยอยู่แล้ว และยิ่งไม่คิดว่าจะสอบถามหาข้อมูลอะไรในเมื่อลุคยังอยู่กับซอว์นีย์
ดวงตาสีฟ้ามองข้าวโพดที่ยังหลับอยู่
จากลักษณะของการหายใจที่อกแทบไม่มีการยุบตัว กับลักษณะการนอนตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้อย่างนั้นบ่งชี้ว่า อารันญ่าใช้คาถาควบคุมไว้ แต่หากต้องอยู่แบบนี้เป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อตัวของข้าวโพดเอง
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กชายในชุดเสื้อผ้าพื้นเมืองของเยอรมันปรากฏขึ้นกลางห้อง
จัสตินผุดลุกขึ้นพุ่งเข้าไปกอดทันที “เบล!”
เบลกอดตอบจัสตินแล้วหันไปพยักหน้ากับอารันญ่า
“เธอแบกเชสขึ้นหลังไปได้ไหม” อารันญ่าในร่างของเบสถาม
จัสตินหันไปมองเบล ที่พยักหน้าให้ทำตามคำสังของอารันญ่า
ดูท่าทางอารันญ่ากับเบลจะมีการวางแผนกันมาก่อนหน้านี้
“ได้” จัสตินบอก
“แบกเขา” อารันญ่าบอกจัสตินแล้วแง้มประตูหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ด้านนอกก็รีบโบกมือจัสตินรีบแบกข้าวโพดตามออกมา โดยมีเบลรั้งท้าย
ประตูใหญ่ด้านหน้าขยับเปิดช่องว่างพอให้ทั้ง 4 ออกมาได้แล้วก็ปิดตัวลงทันที
“เธอจอดรถไว้ที่ไหน”
จัสตินพยักหน้าแล้ววิ่งนำออกไปทางต้นไม้ใหญ่ริมถนนใหญ่ เพียงไม่กี่ก้าวจากแนวรั้วบ้าน อารันญ่าก็คลายการควบคุมข้าวโพด ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว หายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วลืมตาขึ้นมามอง
“อะ อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”
ยังไม่ใครตอบคำถามของข้าวโพด ทั้งหมดก็มาถึงต้นไม้ใหญ่ จัสตินปล่อยให้ข้าวโพดลงยืน แล้วคลายเวทมนตร์ที่ใช้บังรถจักรยานยนต์คันใหญ่
อารันญ่า คลายการควบคุมเบส แยกร่างออกมายืนอยู่ด้านข้าง
หญิงสาวสวยจัดตาคมในชุดสีดำหันไปถามเบส “เธอขับรถได้ไหม”
เบสส่ายหน้า ส่วนข้าวโพดรีบพยักหน้า
“ดี รีบไปจากที่นี่”
“เดี๋ยว” จัสตินท้วงขึ้น “ลุคล่ะ เขายังไม่ออกมา”
“รีบออกไปก่อน เขาเป็นมือปราบวาติกันไม่ใช่หรือ เดี๋ยวเขาก็ตามพวกเธอไปเองนั่นแหละ” อารันญ่าบอก แล้วรีบชี้ให้ทั้ง 3 คนรีบขึ้นรถ “เก็บเครื่องรางของเธอด้วย”
จัสตินโบกมือครั้งหนึ่ง เบลก็เปลี่ยนเป็นกระดิ่งแก้ววางอยู่บนฝ่ามือแล้วหายไป
“แล้วเธอล่ะ” เบสถามอารันญ่า “ไม่ไปด้วยกันหรือ”
อารันญ่ายิ้มหวาน “เด็กดี เจ้านายมอบหน้าที่ของฉันกับเธอไว้แค่นี้ หลังจากนี้ฉันต้องกลับไปหาเจ้านายแล้ว รีบไปเร็ว ๆสิ”
จัสตินสตาร์ทรถของตนเองแล้วหันมามองข้าวโพดที่ยังไม่ขึ้นรถ
“มีอะไร”
“กุญแจ”
อารันญ่าชี้บอกให้ทั้งคู่ขึ้นรถแล้วเปลี่ยนใจ บอกให้เบสไปซ้อนท้ายจัสติน จากนั้นก็โบกมือผ่านหน้ารถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุค ที่ข้าวโพดเป็นคนขับ
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น
“คุณ” เบสเรียกอารันญ่า “ช่วยพาพี่กับลุคตามพวกเรามานะ”
แม่มดสาวยิ้มหวาน ไม่ตอบรับคำสั่งนั้น แล้วเดินกลับเข้าไปที่สวนป่า
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ 2 คันขับออกมาได้ไม่ถึง 5 นาทีก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นจากทิศทางที่เพิ่งจากมา
คนขับรถทั้ง 2 คันกลับรถไปตามทางเดิมในทันที
ทั้ง 3 คนสามารถมองเห็นเปลวไฟที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าได้จากระยะไกล และเมื่อเข้ามาใกล้จึงพบว่าสวนป่าแห่งนั้นกำลังมีไฟไหม้ ทั้งได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นจากภายในเป็นระยะ
 
...จบตอนที่ 22...
เหลืออีก 1 ตอนก็จะจบแล้วครับ คิดเห็นอย่างไร บอกกันนิดนะครับ
ขอบคุณครับ
ไจฟ์ที

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 14-05-2021 11:15:23

อ่า ตอนที่แล้วไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมโอเวนถึงโกรธแค้นลุคนัก




 :katai1:




พอมาตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วลุครู้ว่าพ่อตัวเองเป็นคนออกคำสั่งฆ่าครอบครัวโอเวน

แต่ก็ยังปิดบังไม่ให้โอเวนรู้นี่เอง เป็นใครก็โกรธนะ เหมือนถูกหักหลังเลยอ่ะ





 :sad4:





แต่ยังไม่คลายปมว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ในซ่อนอยู่ในซ่อนอีกหรือเปล่านะ :เฮ้อ:






ตอนหน้าจะจบแล้ว ยังเดาทางไม่ออกเลยว่าจะจบลงในรูปแบบไหน





ความแค้น 400 ปีของโอเวน กับความรัก 400 ปีของลุค  :ling1:






ตั้งหน้าตั้งตารอตอนหน้าล่ะค่ะ ลุ้นๆๆๆๆๆๆ




 :pig4: :3123: :กอด1: :L2:

หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-05-2021 22:03:33
ลุ้นไปหมด
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-05-2021 16:20:07
โอ้ยยยย
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-05-2021 15:37:11


เห้ยยยยยย !!!!!!! อะไรๆๆๆๆ เหมือนจะพลิกล๊อค เอาล่ะเหวยยย  :hao5:  :hao5:


ใช่ไม๊ว่าในที่สุดโอเวนก็ไม่อยากให้ลุคตายยย  :katai1:  :katai1:


แถมอีกอย่างอรัญญาก็ยอมช่วยเหลือ



ค้างงงมากกกกจ้าาา ได้แต่รอลุ้น


ขอบคุณค่ะรอตอนต่อไป


 :L2:  :L2:
หัวข้อ: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 07-06-2021 21:35:44
ตอนที่ 23 (ตอนจบ)
   
   เบสยืนอยู่กลางที่ดินว่างเปล่า
ที่ตรงนี้เคยเป็นที่ตั้งของบ้านหลังใหญ่ ที่เบสเกิดและเติบโต แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิต จนทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องจัดการ ‘บางสิ่ง บางอย่าง’ ที่นี่อย่างเด็ดขาด!
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่เมืองชายแดนโดยที่เบสกับข้าวโพดยังไม่ทันจะได้รับคำตอบใด ๆ จัสตินก็กลับมาส่งเบสและข้าวโพดถึงที่หน้าบ้านของข้าวโพด
การที่ทั้งคู่เข้าสู่อาการหลับลึกข้ามวันข้ามคืน ทำให้คุณอัจฉราเป็นกังวลถึงขั้นต้องเรียกให้แพทย์มาตรวจอาการ แต่แพทย์ก็บอกว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอาการอ่อนเพลียมาก เมื่อนอนพักจนเต็มอิ่มทั้งคู่ก็ตื่นขึ้นมา
เบสขอให้ข้าวโพดเป็นคน ‘แต่งเรื่อง’ เพื่อให้คุณอัจฉราไม่ต้องเป็นกังวล แต่เรื่องที่ข้าวโพดแต่งขึ้นมาก็เกือบจะพาให้เรื่องราวไปกันใหญ่ เพราะข้าวโพดบอกว่าทั้งคู่ไปเที่ยวต่างจังหวัด แล้วมีเรื่องเกิดขึ้นต่อเนื่องจนทำให้ไม่ได้พักผ่อน เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงเกิดอาการ ‘ฟิวส์ขาด’ หลับเป็นตายเท่านั้นเอง
“ไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครใช่ไหมลูก” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วง ข้าวโพดจึงยืนยันคำเดิม
ทั้งคู่เลือกที่จะสร้างความสบายใจให้กับมารดาด้วยการอยู่บ้านนานถึง 1 สัปดาห์ ช่วงนั้นเองที่นทีติดต่อมาหา พร้อมคำต่อว่า ว่าหายไปไหนกันทั้ง 2 คนเสียหลายวัน ติดต่อไม่ได้ จากนั้นนทีกับนานาก็มาหาทั้งคู่ถึงบ้าน เรื่องราวที่เล่าให้เพื่อนทั้ง 2 คนฟังก็เหมือนกับที่เล่าให้คุณอัจฉราฟัง
ผู้ฟังทั้ง 3 คนต่างรู้สึกเหมือนกันว่า มีเรื่องราวมากมายที่ผู้เล่าไม่ได้เล่าออกมา และอาจเกี่ยวข้องกับเบสที่วุ่นวายกับการจัดการเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่การแจ้งความว่ามารดาที่หายไปนานกว่า 2 เดือนแล้ว การไปให้ปากคำ ว่าจ้างนักสืบ จนถึงการค้นหาต้องใช้เวลายาวนานจนเบสต้องไปยื่นเรื่องดรอปเรียนไว้ก่อน
โดยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ตลอดเหตุการณ์ที่สวนป่า ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับผกาทั้งไม่มีใครพูดถึง ‘ผู้หญิงที่ถูกควบคุมตัวไว้’ การติดต่อครั้งสุดท้ายของแม่กับลุกจึงเป็นช่วงเวลาที่เบสไม่สบายแล้วโทรมาบอกกับมารดาว่าอยู่ที่บ้านเพื่อน ส่วนญาติพี่น้องหลายคนก็บอกเหมือนกันว่า ‘ติดต่อกับผกาไม่ได้มานานนับเดือนแล้ว’
ตลอดเวลาเหล่านี้ ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนเบสก็ยังคงมองหา ‘พี่’ อยู่เสมอ
ความกังวลของเบสมีผลต่อข้าวโพดไปด้วย เมื่อคุณอัฉราเข้ามาดูแลทั้งคู่มากขึ้นเบสกลับขอย้ายออกไปอยู่คอนโดฯ โดยอ้างว่าเป็นความตั้งใจมาตั้งแต่แรกแล้ว และการอยู่ด้วยกันแบบนี้ จะทำให้ ‘ดูไม่ดี’ 
เบสขอบคุณในความเมตตาของคุณอัจฉรา แต่ความเป็น ‘แม่’ ของคุณอัจฉรากำลังทำให้เบสเปรียบเทียบและยิ่งรู้สึกกังวลมากกว่าเดิม
เมื่อเบสขอย้ายออกมาอยู่คอนโดฯ ข้าวโพดก็ขอมารดาแยกออกมาอยู่คอนโดฯด้วยกัน
“ข้าวโพด เบส แม่ไม่ได้หัวโบราณถึงขนาดที่จะยอมรับเรื่องของเราสองคนไม่ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องแยกออกไปเลยนะ”
“ผมขอบคุณที่คุณน้ายอมรับ และดีกับผมมาตลอด แต่ปัญหามันอยู่ทางฝั่งผมน่ะครับ แม่ผมหายไป ญาติพี่น้องเขาก็เป็นห่วง อีกเรื่องที่ผมต้องจัดการก็คือบ้านผมเองน่ะครับ ผมอยากหาเหตุทุบบ้านหลังเดิม คือถ้าย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วทุบบ้านเดิม เขาอาจตั้งคำถามมาถึงคุณน้าได้”
อัจฉราไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเบสสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่านี่คือความตั้งใจของเบสมาตั้งแต่แรก ว่าจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้
เบสต้องการทำลายความทรงจำบางอย่างที่เกิดขึ้นบ้านหลังนั้น
เป็นการทำลายแบบไม่เหลือแม้แต่ต้นไม้ใหญ่สักต้นในบ้านเลยทีเดียว!

“เบส” ข้าวโพดเรียกจากประตูหน้าบ้าน “ไปกันเถอะ เดี๋ยวไอ้ทีกับนานาจะรอนาน”
เบสพยักหน้า แล้วเดินมาหา
“ตัดสินใจหรือยังว่าจะทำอะไรกับที่นี่ดี”
เบสส่ายหน้า “ยัง แต่รู้สึกว่าคิดถูกแล้ว ที่ทำลายทุกอย่างที่นี่ เพราะไม่รู้สึกถึงอะไรที่น่ากลัวแล้ว”
บางสิ่งบางอย่างในที่นี้คือจุดเริ่มต้น ซึ่งพอไม่มีใครให้ปรึกษาว่าอะไร ‘ใช่หรือไม่ใช่’ ทั้งคู่ก็ทำได้แค่เก็บพวกของมีค่าไปฝากธนาคาร ส่วนของที่ระลึกจากต่างประเทศทั้งหมดก็เอาไปเผาทำลาย ขณะที่พวกเฟอร์นิเจอร์ ที่มั่นใจว่า ‘ไม่น่าจะมีอะไร’ ก็เอาไปขาย และบริจาค เหลือเพียงของใช้ส่วนตัวที่เบสขนย้ายไปไว้ที่คอนโดฯ
“ข้าวโพดล่ะ รู้สึกอะไรไหม”
ข้าวโพดส่ายหน้าเพราะไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติ เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้งโดยที่มีหมุดอยู่เหนือหัวใจก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่เหมือนเดิม
เบสพยักหน้า แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง
“คิดว่าจะบอกนทีกับนานาทั้งหมดเลยไหม ทั้งคู่น่ะห่วงพวกเรามากเลยนะ”
เบสหัวเราะเบา ๆ “ทั้งคุณน้า แล้วก็นทีกับนานา เป็นห่วงเราสองคนมาตลอดน่ะแหละ แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ เรายกให้ข้าวโพดตัดสินใจอีกครั้งแล้วกัน ว่าจะเล่าให้เขาฟังยังไง เพราะหลังจากนี้ก็คงไม่มีอะไร ปีหน้า เราคงได้กลับไปเรียนแล้ว”
“เบส”
“หืม”
“เรื่องพี่น่ะ เราอยากถามให้แน่ใจ”
“ยังไงล่ะ”
“ทำไมเบสถึงเรียกเขาว่าบลู”
“ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเขาตาสีฟ้ามั้ง”
“มันเรื่องที่เราไม่เข้าใจแล้วก็อธิบายได้ยาก”
เบสพยักหน้า
“ในตอนนั้นเราเห็นเขาเป็นแบบนั้น ตาสีฟ้า ผมสีขาว ใส่ชุดสีขาว เราแน่ใจว่าเป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่เรากลับมาถึงบ้าน พอนึกย้อนกลับไป ภาพของเขาที่นึกออกจะเป็นตาสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาล เรา...ไม่รู้จะอธิบายยังไง”
“แต่เราเข้าใจนะ” เบสยืนยัน “ตั้งแต่ที่เราเจอเขาครั้งแรก เราเห็นว่าเขาตาสีฟ้าก็จริง แต่ในใจกลับบอกว่า ไม่ใช่ เขาไม่ได้ตาสีนี้ แล้วปากเราเองนี่แหละที่เรียกเขาว่าบลู...ที่จริงเขาชื่อโอเวน”
“อ่า ใช่ ชื่อนี้แหละ” ข้าวโพดถอนหายใจ “แปลกจริง ๆ”
“เขาเป็นพ่อมดใหญ่ ถ้าเขาจะสามารถควบคุมความคิดเราได้ก็ไม่แปลกหรอก บลูคือนกฮูกที่เป็นผู้พิทักษ์ของเขา”
เบสยังมองออกไปด้านนอกของรถ “พ่อมด แม่มดกลุ่มซอว์นีย์จะมีสัตว์ หรือสิ่งของเป็นเครื่องรางที่เป็นทั้งผู้พิทักษ์และรักษาวิญญาณ แต่พี่กับบลูเป็นมากกว่านั้น พวกเขาสลับร่างกันได้ อาจเพราะในวันนั้น เมื่อหลายร้อยปีก่อน บลูคงทำอะไรบางอย่าง พี่ถึงได้รอดมาได้แล้วกลายมาเป็นซอว์นีย์”
เบสหันมามองข้าวข้าวโพด
“เรารู้เรื่องนี้ เพราะอารันญ่าน่ะ เขาให้เรามองเห็นภาพจากมุมที่เขาเห็น จากเรื่องที่เขาได้ยินมา เพราะไม่อยากให้เราต่อต้านพี่ อยากให้เข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มีสาเหตุมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว”
“พี่ของเบส เกลียดเรา”
“ใช่” เบสยอมรับ “พี่ลุค กับข้าวโพด ตอนนั้นข้าวโพดจะชื่อเชส เป็นพี่น้องที่ดีกับครอบครัวไร้ท์ของเรามาก แต่ลุคเอาสร้อยที่เป็นรูปนกเค้าแมวมาให้ สร้อยนั้นถูกเอามาใช้เป็นหลักฐานกล่าวโทษครอบครัวไร้ท์ว่าเป็นแม่มด บอกว่าพวกเราสาบแช่งให้เชสป่วยหนัก แต่เรื่องตรงส่วนนี้อารันญ่าก็ไม่แน่ใจว่าเชสป่วยจริง ๆ หรือว่าถูกใครสาบแช่ง”
“ไม่เป็นไร”
“เรื่องทางฝั่งของครอบครัวลุคและเชสเป็นยังไง เราไม่รู้ รู้แค่ว่าทางฝั่งนี้ ตายเพราะถูกใส่ร้ายด้วยสาเหตุที่แท้จริงคืออะไรก็ไม่รู้ จะบอกว่าต้องการทรัพย์สิน พวกเราก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดนั้น แต่เพราะสร้อยเส้นนั้น เพราะข้อกล่าวหาแบบนั้น การที่พี่ต้องมาเห็นครอบครัวของตัวเองถูกเผาทั้งเป็น ส่วนตัวเองก็ถูกทรมานอย่างหนัก ก็...เข้าใจ ว่าต้องแค้นมาก”
“อืม” ข้าวโพดเข้าใจจริง ๆ “ในช่วงเวลานั้นเราอาจป่วยตายไปจริง ๆ แล้วพอมาถึงตอนนี้ก็ยังเป็นคนที่หลับอยู่ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องเสียอีก ไม่ได้เรื่องที่สุดแล้ว”
“ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก” เบสให้กำลังใจ ที่จริงแล้วข้าวโพดถูกทรมานอย่างหนักตลอดเวลาที่อยุ่ในสวนป่า แต่หมุดที่ลุคให้ไว้ช่วยทำให้ความเจ็บปวดเหล่านั้น ไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำ “เพราะข้าวโพดต้องอยู่ห่างจากบ้านที่ทำพิธีกรรม ทำให้อารันญ่ากับจัสติน ช่วยพวกเราออกมาจากสวนป่าได้เร็ว”
แต่เพราะรีบออกมาได้เร็ว และออกมาไกล เมื่อกลับไปอีกครั้งจึงพบเพียงกองไฟที่กำลังเผาไหม้สวนป่าแห่งนั้น...

จากบ้านของเบส ข้าวโพดขับรถออกมาที่สวนสาธารณะนอกเมือง นทีกับนานารออยู่ หญิงสาวลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นรถของข้าวโพดเลี้ยวเข้ามาที่ลานจอดรถ
“นายหญิงขอรับ ใจเย็นขอรับ” นทีว่า
“ก็เผื่อ 2 คนจะมองไม่เห็นเราไง” นานาหันไปบอก
“ทั้งกระโดด ทั้งโบกมือขนาดนี้จะมองไม่เห็นได้ไง” นทีทำบ่น แต่หญิงสาวยังคงโบกมือเรียกข้าวโพดและเบสที่กำลังเดินมาหา
“2 คน วันนี้เป็นยังไงกันบ้าง” นานาถามทันที
“ก็ค่อย ๆ จัดการไปทีละเรื่องนั่นแหละ” ข้าวโพดบอก
“ถือว่าค่อยๆ เรียบร้อยไปทีละขั้น” นทีบอกขณะที่รินน้ำดื่มใส่แก้วแล้วส่งให้เพื่อน “มีอะไรก็เรียกใช้กูได้นะ”
“พวกเราเคยมาที่นี่ใช่ไหม” เบสถามขณะที่มองไปรอบ ๆ
นานาชี้ไปทางสวนสัตว์ที่อยู่อีกด้านของสวนสาธารณะ “เมื่อสักครึ่งปีก่อน พวกเราเคยไปที่สวนสัตว์ตรงนั้น เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกัน”
เบสมองตามมือของนานาแล้วนิ่งคิดทบทวน
ครู่หนึ่งเบสจึงหันกลับมามองทั้ง 3 คนแล้วหัวเราะเบา ๆ “อยากรู้อะไรก็ถามสิ แต่ไม่รู้นะว่าจะมีคำตอบให้หรือเปล่า เพราะเราก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักเหมือนกัน”
“เหมือนกับที่ข้าวโพดบอกเราก่อนหน้านี้” นทีบอก “ไม่ได้รู้อะไรมากนัก”
เบสพยักหน้า “เออนั่นแหละ”
“ตอนที่มาหาพวกมึงยังคุยกันอยู่เลยว่า สรุปแล้วเรารู้อะไรกันบ้าง” ข้าวโพดบอก
“งั้นเริ่มที่คำถามปลายเปิด ที่วันนี้นัดมาเจอกันได้ก็เพราะมีบางเรื่องที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนั้นคืออะไร” นานาถาม
ทั้งข้าวโพดและเบสส่ายหน้าพร้อมกัน แล้วหันมามองหน้ากันเอง ทำให้นานารู้สึกปวดหัว
“อะไรกัน”
“ตอนนี้ก็จัดการอะไรหลายอย่างไปเยอะแล้วเหมือนกัน แต่เหมือนกับว่า ยังมีเรื่องที่ยังไม่เรียบร้อย” เบสบอก “แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร”
“คิดว่า เมื่อถึงเวลาก็จะรู้เอง” ข้าวโพดช่วยเสริม ทำให้เบสพยักหน้ายอมรับ
“แบบนั้นแหละ”
“งั้น....” นทียกมือขึ้นช้า ๆ ทำให้ทุกคนหันมามอง “คือ...กูมีสถานที่บางแห่งที่อยากพาทุกคนไป”
“อะไร” ทั้ง 3 คนถามพร้อมกัน
ส่วนนานารีบโบกมือ ส่ายหน้า “ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันนี่แหละ ว่านทีก็มีความลับที่บอกเล่าไม่ได้เหมือนกัน”
“ไม่ใช่ความลับ แต่คือ...เอาน่า ไหน ๆ วันนี้ก็นัดพวกมึง 2 คนออกมาได้แล้วก็ช่วยไปกับกูหน่อย” นทีรีบลุกขึ้นยืน แล้วเร่งให้นานาไปขับรถ
ระหว่างที่อยู่ในรถ นทีบอกกับนานาว่า เมื่อนานกว่า 1 เดือนที่แล้ว ผู้ชายคนที่เคยไปหาข้าวโพดที่มหาวิทยาลัย แวะไปหาถึงที่บ้าน เพื่อบอกว่าให้พาข้าวโพดกับเบสไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่อยู่ในซอยเล็ก ๆ บนถนนที่นทีไม่เคยผ่านไปเลยสักครั้ง เขาจึงเขียนแผนที่คร่าว ๆ ให้
‘คนเอเชียบอกว่า หากมีวาสนาต่อกัน ก็ให้วาสนานั้นนำทาง แต่หากไม่มีวาสนาต่อกัน ก็ปล่อยให้จบลงแค่นี้’   ผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อเขียนแผนที่ให้เสร็จก็ขับรถจักรยานยนต์คันใหญ่จากไป
เมื่อเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ มาได้เล็กน้อย นทีก็บอกให้นานาจอดรถก่อนถึงที่หมาย จากนั้นก็ลงจากรถ เดินนำไปที่ร้านกาแฟ
ภายในร้านที่เงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงเพลง ชายวัยกลางคนในผ้ากันเปื้อนสีดำกำลังเช็ดโต๊ะไม้สีเข้ม และเงยหน้าขึ้นมาทักทายลูกค้า
“สวัสดีครับ 4 คนนะครับ”
“ครับ” นทีบอก แล้วนั่งลงที่โต๊ะติดกระจก
แต่ทั้งข้าวโพดและเบสต่างยืนมองตามชายคนนั้นที่เดินกลับไปหยิบรายการเครื่องดื่ม และอาหารจากเคาน์เตอร์ ขณะที่หญิงอีกคนสีหน้าซีดเซียวเดินออกมาจากหลังร้าน
“อร ออกมาทำไม ไปนอนพักเถอะ”
“ไม่เป็นไร มีลูกค้าไม่ใช่หรือ”
ขณะที่หน้าเคาน์เตอร์กำลังพูดคุยกัน นานาที่นั่งลงข้างนที ลุกขึ้นมาแตะข้อศอกเบส “เบส ข้าวโพดนั่งลงก่อน”
แต่ทั้งคู่ก็ยังมองตามเจตน์ที่ถือรายการอาหารและเครื่องดื่มกลับมาวางให้ที่โต๊ะ
“เบส ข้าวโพด นั่งลงก่อน” นานาบอกอีกครั้ง ทั้งคู่จึงนั่งลงแล้วหันมามองหน้ากัน
“ดูท่าทางจะมีเรื่องให้คุยกันยาว แต่ตอนนี้ช่วยเลือกหน่อยว่าจะกินอะไร”
แต่เบสก็สั่งง่าย ๆ ว่าเอาเหมือนนานา และข้าวโพดก็พยักหน้าว่าเหมือนกับนานาอีกคน ทำให้หญิงสาวเพียงคนเดียวส่ายหน้า แต่พอหันไปหานทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก สุดท้ายหญิงสาวจึงต้องสั่งสลัด กับฟิช แอนด์ ชิพมาอย่างละ 2 ที่ และมอคค่า 4 แก้ว
เมื่อเจตน์ไปเตรียมเครื่องดื่ม อรก็เข้าไปที่ครัวหลังร้านเพื่อทำอาหาร ทั้งนานาและนทีจึงหันมาคาดคั้นกับทั้ง 2 คนที่มีท่าทีผิดปกติ
“เล่าทุกอย่างที่รู้มาเลย”
นทีหันมายกนิ้วให้กับนานาผู้ออกคำสั่งที่รอบคอบรัดกุม
ข้าวโพดหันไปมองหน้าเบสแล้วหันเราะเบา ๆ จากนั้นก็หันมาโบกมือกับเพื่อนทั้งคู่ “ตอนที่ขับรถมาหาพวกมึงที่สวนสาธารณะ เพิ่งคุยกันว่า พวกมึงอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม”
“ตอนนี้อยากรู้ และกล้าถามแล้ว และจะซักจนกว่าจะเข้าใจด้วย” นทีบอก
“ถ้าคุยที่นี่ไม่เข้าใจ เราจะตามไปจนถึงคอนโดฯ จะคุยกันจนกว่าจะเข้าใจ พวกแกสองคนมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นแน่ ๆ แต่ก็เอาแต่พูดว่าเรื่องเรียบร้อยเมื่อไหร่จะบอก มาถึงตอนนี้แล้ว” นานาชี้ไปที่เจตน์ที่กำลังชงกาแฟ “แกต้องช่วยกันเล่ามาให้หมด”
“ก็อยากเล่า แต่ไม่แน่ใจว่า แกจะหาว่าเราเพ้อเจ้อหรือเป็นบ้าหรือเปล่า” เบสกังวลใจ
“เอาตรงที่เกี่ยวกับเจ้าของร้านนี้ก่อนก็ได้” นทีบอก “ไม่ต้องย้อนไปนาน”
ข้าวโพดพยักหน้า “แต่ก็ต้องย้อนไปนานอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะเล่าเรื่องนี้ที่ตรงไหน เรื่องมันก็จะเริ่มขึ้นที่พี่บลู ซึ่งกูอยากบอกว่า ที่จริงเขาชื่อโอเวน และเขาเป็นพ่อมด”
ผู้ฟังทั้งคู่มีสีหน้าตกใจ แต่ก็พยักหน้าให้เล่าต่อ
เบสเป็นคนเล่าเรื่อง “มีลูกน้องคนหนึ่งของพี่โอเวน ชื่ออารันญ่า เขาควบคุมเรา และทำให้เราเห็นภาพที่เกิดขึ้นเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ที่สกอตแลนด์ ตอนนั้นเราชื่อเกรซ โอเวนคือพี่ชายของเรา ส่วนพ่อกับแม่” เบสชี้ไปที่เจตน์ที่กำลังชงกาแฟ กับอรที่อยู่ในครัว “คือพวกเขา”
“คือ มั่นใจได้ยังไงว่าคือพวกเขา” นานาถาม
“ความรู้สึกน่ะ เหมือนตอนที่เจอกับพี่ครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกว่าคิดถึง รู้สึกว่า เราต้องดูแลคนนี้”
นานาขยับจะถามต่อ แต่นทีจับมือหญิงสาวไว้ “เป็นอย่างที่พี่ผู้ชายมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คนนั้นบอกไว้ไง”
“ก็รู้แหละว่าบอก แต่มันก็ต้องมีอะไรที่มันยืนยัน เอาให้แน่ใจสักหน่อยไง” นานาหันไปถามข้าวโพด “แล้วแกล่ะ มีความรู้สึกอะไรด้วยไหม”
“หมุด เย็นมาก ทำให้หายใจโล่งมาก”
“ห๊ะ หมุดอะไร” ทั้งสองคนถามพร้อมกัน แต่นทีรีบโบกมือ “เรื่องหมุดเอาไว้ซักต่อตอนหลัง ตอนนี้เอาที่เรื่องที่ร้านนี้ก่อน อยากให้สรุปให้ได้ว่าพวกมึงจะต่อเรื่องนี้ยังไง”
“พี่บอกอะไรกับมึง” ข้าวโพดหันมาซัก แต่นทีรีบปิดปาก
“นที” นานาดุ “มาถึงขั้นนี้แล้วจะมามีความลับอะไร”
“ทุกอย่างแล้วแต่พวกมึง”
เบสพยักหน้า แล้วลุกมาหาเจตน์ “คุณครับ ผมขอถามอะไรหน่อย ร้านนี้ เป็นของคุณ  2 คนหรือเปล่าครับ”
เจตน์เงยหน้าแล้วบอก “ที่จริงร้านนี้มีเถ้าแก่อีกคนครับ เขาชื่อลุค”
เมื่อชื่อนี้ออกจากปาก เรื่องราวต่อไป ก็คาดเดาได้ไม่ยากแล้ว
...
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 07-06-2021 21:43:53
(ต่อครับ)
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความลึกลับของป่าสนสแกนดิเนเวียมากมาย มากกว่าครึ่งหนึ่งเกี่ยวกับคนที่หายไปในป่า และในรอบ 1 ปีมานี้มีคนหายไปในป่าสน 5 คนแล้ว สร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ไม่น้อย
ที่ด้านหนึ่งของสุสานซึ่งตั้งอยู่เชิงป่า ลุค เมอร์ฟี มือปราบวาติกันยืนกอดอกฟังคนดูแลสุสานเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่แสนจะเป็นปกติธรรมดาของเมืองในชนบท
‘นอกจากคนในครอบครัว ก็ไม่มีคนแปลกหน้ามาที่สุสาน ไม่มีการบุกรุก ไม่มีอะไรผิดปกติมานานแล้ว’
เป็นคำบอกเล่าที่สร้างความผิดหวังให้กับคนฟังเป็นอย่างมาก และลุครู้ว่าคนเฝ้าสุสานพูดความจริง
ที่ประตูด้านหน้าของสุสานชายชาวเยอรมันยืนกอดอกท่าทางเหมือนกับผู้เป็นหัวหน้า ดวงตาสีอ่อนมองตามรถจักรยานยนต์คันใหญ่ 2 คันที่ตรงเข้ามาหาแล้วจอดลง
ทั้ง 3 คนพยักหน้าทักทายกัน ยังไม่ได้เอ่ยคำทักทาย ลุคเดินออกมาจากสุสาน
“ลุค เกิดอะไรขึ้น” ชายในชุดหนังสีดำผมยาวมัดรวบไว้ด้านหลังเป็นคนทักทาย
“กุสตาฟ ลูคัส” ลุคทักทายกลับด้วยชื่อหน้าของมือปราบวาติกันชาวสวีเดน และผู้พิทักษ์ “มาตามหาคน”
กุสตาฟเหลียวมองไปรอบ ๆ “หาใคร อยู่แถวนี้หรือไง”
“ไม่ แต่กำลังคิดว่าจะเข้าไปในป่า”
เมื่อผู้เป็นหัวหน้าพูดคุยกัน ผู้พิทักษ์ทั้งคู่ก็ถอยห่างออกมา

ทันทีที่ลุคฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ เขาก็เดินทางไปที่โดมซ้ายแห่งวาติกันเพื่อขอถอนตัวออกจากการเป็นมือปราบแห่งวาติกัน ซึ่งแน่นอนว่าทางวาติกันไม่ยินยอม กระบวนการสอบสวนเรื่องราวทั้งหมดจึงเริ่มต้นขึ้น
เหตุผลสั้น ๆ ของลุค ก็คือ ‘เหตุสังหารครอบครัวไร้ท์ปรากฎความจริงแล้ว จึงต้องการถอนตัว’
เพราะบาทหลวงผู้ที่ทำให้ลุคกลายเป็นอมตะเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว ลุคจึงไม่เหลือผู้ที่มีความเข้าใจสาเหตุว่าทำไมลุคจึงเลือกเส้นทางนี้
‘เจ้าได้สละชีวิตเพื่อการเป็นมือปราบ คิดจะเลิกก็เลิกได้อย่างนั้นหรือ’
ทุกคนภายในห้องไต่สวนคือผู้ที่รู้จักลุค เมอร์ฟี ในฐานะมือปราบวาติกันมาตั้งแต่แรก ไม่เคยรู้จักเขาในบทบาทอื่น และไม่เข้าใจว่า ลุคยังมีความคิด มีความรู้สึกต่าง ๆ เหมือนมนุษย์ทุกคน
มีผู้สอบสวนคนหนึ่งขอให้ลุคถอดปลอกข้อมือแอเรียสเพื่อมอบให้กับวาติกัน
อาวุธชิ้นแรกที่ลุคได้รับจากวาติกันคือสายฟ้าแห่งเจมส์ที่ประกอบไปด้วยมีดโค้งและปืน ซึ่งลุคส่งคืนให้กับวาติกันไปตั้งแต่ 20 ปีแรกที่เป็นมือปราบ จากนั้นลุคก็ใช้อาวุธของพ่อมด และนักล่าที่พ่ายแพ้ต่อเขามาโดยตลอด จนมาถึงปลอกข้อมือแอเรียส ที่มีความคิดเป็นของตนเอง
ลุคไม่คิดว่าวาติกันจะต้องการปลอกข้อมือนี้ ในเมื่อมีอาวุธที่มีอานุภาพที่ดีกว่านับร้อยชิ้นอยู่ในคลัง  แต่เพราะพวกเขารู้ว่า ‘แอเรียส เลือกเจ้าของ’ และแอเรียสก็ยังทำเช่นนั้นต่อหน้าคณะผู้สอบสวนทุกคน ด้วยการพ่นพิษร้ายออกมาในทันทีที่ลุควางปลอกข้อมือลงที่โต๊ะกลางห้อง เดือดร้อนให้การประชุมต้องหยุดชะงักลง
และในอีก 2 วันถัดมาขณะที่ลุคอยู่ในห้องพักภายในโดมซ้ายเขาก็ได้รับจดหมายสั่งการที่ระบุว่า ‘ลุค เมอร์ฟี คือมือปราบโดมซ้ายแห่งวาติกัน และจะเป็นตลอดไป ปลอกข้อมือแอเรียส อาวุธของเจ้าบ่งชี้เช่นนั้น ดังนั้นสาเหตุส่วนตัวที่ทำให้ขอถอนตัวคือเรื่องส่วนตัว’
และผู้ที่ส่งจดหมายยังบอกให้ลุคไปเก็บอาวุธออกมาจากห้องประชุมด้วย

กุสตาฟใช้ลิ้นดุนแก้ม ขณะที่เหลียวมองไปรอบ ๆ “ในโลกนี้มีผู้ใช้เวทมนตร์และปีศาจมากมายที่คิดว่าตายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ตาย เพียงแค่เปลี่ยนรูปร่างไปเท่านั้น หน้าที่ของพวกเราถึงได้ไม่จบสิ้น ซอว์นีย์ที่เป็นพ่อมดใหญ่ก็คงไม่ตายไปง่าย ๆ แบบนั้น”
ดวงตาสีฟ้ามองชายชาวสก็อตด้วยความเข้าใจ
“ฉันแนะนำให้ไปป่าทางตะวันออก เมื่อสัปดาห์ก่อนมีนายพรานเข้าไปล่าสัตว์แล้วเจอเรื่องแปลก ๆ ในป่า”
ลุคมีท่าทีกระตือรือร้นในทันที “ขอบใจ”
กุสตาฟใจดีถึงขนาดที่ขับรถนำทางไปจนถึงป่าที่บอกทั้งตามเข้ามาด้วยระยะหนึ่ง จนกระทั่งพบสุสานโบราณที่อยู่กลางป่า
เจ้าของพื้นที่ทั้งสองคนก็ยังรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบสุสานเก่าอยู่ในที่แห่งนี้ เพราะนายพรานเหล่านั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องสุสาน
“หรือจะไม่ใช่ที่นี่”
ลุคเหลียวมองไปรอบตัว
‘นายก็รู้ว่าฉันไม่ผูกมิตรทำความรู้จักกับใคร นอกจากฟังพวกวิญญาณคุยกัน ... สุสาน หิมะ มีต้นสนสูงเสียดฟ้า...สวีเดน’
“สุสาน หิมะ ต้นสนสูงเสียดฟ้า ที่นี่แหละ”
ลุค เมอร์ฟีตัดสินใจแล้ว
“กุสตาฟ ลูคัส ขอบใจมาก พวกนายไม่ต้องตามเข้าไปกับฉัน” ลุคหันมาหาผู้พิทักษ์ “จัสติน ฉันมีทางเลือกให้นาย นายจะเลือกมือปราบคนใหม่ หรือ...”
จัสตินส่ายหน้า “ฉันสาบานไว้แล้ว ว่าจะคุ้มครองนายจนกว่าลมหายใจสุดท้าย”
ผู้พิทักษ์ที่ไม่ได้เป็นอมตะ สาบานว่าจะพิทักษ์มือปราบที่เป็นอมตะ...
“แต่ฉันต้องเข้าไปคนเดียว”
จัสตินพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ว่าสุดท้ายแล้วนายจะไปที่ไหน ฉันจะไปรอนายอยู่ที่นั่น”

อุณหภูมิกำลังลดต่ำลงเรื่อย ๆ บ่งบอกว่าฝนอาจตกในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
“สุสาน หิมะ ต้นสนสูงเสียดฟ้า...”  แล้วคนที่ตามหาอยู่ที่ไหน
ลุคเดินเข้าไปในป่าตามลำพัง
ถัดจากสุสานประมาณครึ่งชั่วโมงคือเศษซากกองไม้ใหญ่ที่จากการทรุดพังของซากบ้านเรือนที่ทรุดพัง ลุคเท้าเอวเหลียวมองไปรอบตัว แล้วเดินวนหาบ้านที่น่าจะพอให้กลับมาพักในคืนนี้ได้ แต่ก็ไม่มี จึงเดินทางต่อเข้าไปในป่า จนมาถึงที่พักนายพรานจึงรวบรวมกิ่งสนในละแวกใกล้เคียงมาทำหลังคาเพิงพักท่ามกลางหิมะที่เริ่มตกลงมา
 ลุคมุดเข้าไปใต้เพิงพัก ฟังเสียงรอบตัว

....ในยามที่หิมะโปรยปราย แม้แต่ธรรมชาติยังพร้อมใจกันหยุดการเคลื่อนไหว เพื่อร่วมชมความงดงามนั้น...

มวลอากาศด้านนอกมีการแปรเปลี่ยน  ประสาทสัมผัสเตือนว่านั่นไม่ใช่คนที่ตามหา แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่มาด้วยเจตนาร้าย
ปลอกข้อมือแอเรียสปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ เตือนให้ระวังตัวเมื่อลุคก้าวออกมาจากเพิงพัก
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นชายหนุ่มดวงตาสีฟ้า ทั้งสีผม สีผิวและชุดสีขาวที่สวมใส่กลมกลืนไปกับหิมะขาวรอบตัว
นี่คือร่างที่โอเวนต้องการให้เขาเห็น ลุคก็เห็น แต่กลับมองเห็นร่างที่แท้จริงชัดเจนกว่ามาโดยตลอด
“โอเวนล่ะ เขาเป็นไงบ้าง”
บลูกำลังจะตอบคำถาม แต่กลับหัวเราะเบา ๆ และรอจนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่วิ่งมาทางนี้
ชายชาวเยอรมันในชุดสีดำวิ่งตรงมา แล้วหยุดขวางหน้าของลุคไว้ อาวุธที่อยู่ใน 2 มือยกขึ้นเตรียมพร้อม
“จัสติน ทำอะไร ฉันบอกให้นายไปรอไง”
“ไม่ นี่คือปีศาจ”
“จัสติน หยุด แล้วถอยไป” ลุคออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนัก ๆ
“แต่...”
“นายเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”
จัสตินลดอาวุธลงแล้วก้าวมายืนด้านข้างของลุค
“พวกนายจะทำความตกลงกันก่อนก็ได้นะ”
“อย่าเพิ่งไป” ลุครีบเรียกคนที่กำลังจะจากไป “ขอโทษแทนจัสตินด้วยที่เรียกนายแบบนั้น”
บลูหันมา คิ้วสวยข้างหนึ่งยกขึ้นสูงขณะที่มองจัสติน
“ขอโทษด้วย ฉันจับสัญญาณของปีศาจได้ แต่ไม่รู้สึกถึง...อีกคน” ชายชาวเยอรมันยอมก้มศีรษะให้กับปีศาจนกฮูก
“แล้วโอเวน...”
“แย่กว่าในตอนที่ฉันช่วยเขาครั้งแรก” บลูส่ายหน้า ดูไม่เต็มใจที่จะมาที่นี่สักเท่าไหร่นัก “ฉันไม่ควรมาเจอนายที่นี่ แต่เพราะนายตามหาเขาไม่หยุด ทำให้พวกมือปราบและพ่อมดคนอื่น ๆ หันมาตามรอยนาย วันหนึ่งมันจะไปถึงตัวโอเวน เข้าใจไหมว่า นายทำตัวเองเดือดร้อนไม่พอ ยังทำให้เขาเดือดร้อนด้วย” เหมือนเมื่อ 400 ปีที่แล้ว
“บลู นายตอบฉันได้ไหม ว่าทำไมเขาถึงได้เป็นซอว์นีย์...”
บลูส่งภาพที่ตนเองมองเห็นเมื่อ 400 ปีที่แล้วมาให้ลุคและจัสติน
“ฉันในตอนนั้นก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามีพลังพิเศษอะไร เป็นแค่นกฮูกตัวหนึ่งที่ต้องการปกป้องครอบครัวไร้ท์ แต่ตลอดเวลาที่พวกเขาถูกทำร้ายฉันกลับซ่อนตัว คอยฟังเสียงพูดคุยเกี่ยวกับครอบครัวไร้ท์ เพราะฉันคือหลักฐานอย่างหนึ่งที่คนพวกนั้นนำมากล่าวโทษ จนกระทั่งรู้ว่าโอเวนอยู่ในคุกใต้ดิน เมื่อความคิดฉันอยู่ที่โอเวน ตัวของฉันก็ไปอยู่หน้าเขาแล้ว
สภาพของเขาในเวลานั้น เหลือแค่ลมหายใจ แต่ความคิด ความเจ็บปวดของเขาที่ถ่ายทอดมาให้ฉันมันชัดเจน แล้วก็เหมือนเดิมคือพวกเราออกมาจากที่นั่นได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่สถานที่แรกที่พวกเราปรากฏตัวขึ้นคือสุสานที่เป็นต้นกำเนิดของฉัน
เพราะว่าฉันไม่รู้วิธีการ พ่อมดคนแรกที่เราพบที่สุสานจึงถูกฉันดึงพลัง พ่อมดคนนั้นกลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่ง แต่พลังนั้นถูกดึงไปรักษาโอเวน ฉันทำอย่างนั้นอีกหลายครั้ง แล้วก็หนีไปเรื่อย ๆ เพราะเรากำลังถูกตามหา และตามล่าในเวลาเดียวกัน
นายอาจเรียกว่าฉันกำลังฆ่าพ่อมด แต่ฉันเรียกมันว่าการรักษาโอเวน
วันหนึ่งเราได้เจอกับพ่อมดซอว์นีย์ เขาเป็นชายแก่ผมยาว สวมเสื้อคลุมสีเทา และมีไม้เท้า เขาบอกกับเราว่า เรามีทางเลือก 2 ทาง คือภักดีต่อเขา หรือตาย
พ่อมดคนนั้นยังพูดไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ โอเวนก็จัดการเขาแล้ว กลายเป็นเศษกระดูกกองหนึ่งแล้วสลายไป พลังทั้งหมดของเขากลายมาเป็นของโอเวน
เขาทำอย่างนั้นโดยที่ไม่ต้องใช้ฉัน ไม่มีไม้กายสิทธิ์ ไม่มีคาถาสักบท พลังของเขาเข้มแข็งขึ้นมาก และใช้ชื่อซอว์นีย์ของพ่อมดคนนั้น แน่นอนว่าเพราะชื่อนี้ทำให้ถูกท้าทาย แต่เขาก็จัดการพวกมัน จนไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายอยู่นาน
เรื่องที่พวกนายไล่ล่าเขา หรือพ่อมด แม่มดคนอื่น ๆ น่ะ เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือการตามหาคาร่า และคนที่ทำร้ายครอบครัวไร้ท์”
บลูหันมาหาทั้ง 2 คน “โอเวน บอกกับนายหลายครั้ง ว่าเวลาของเขาเหลือไม่มากนัก มันคือความจริง หน้าที่ของนายคือกำจัดพ่อมดซอว์นีย์ใช่ไหม นายฆ่าเขาไม่ได้หรอก มีแต่ตัวของเขาเองเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้นเขาจึงฆ่าเจ้าเมืองเบ๊ตตี้ก่อน แล้วกำจัดซอว์นีย์ให้นาย เพื่อให้นายยกโทษให้”
“ฉันยอมรับว่าเสียใจ แต่ไม่เคยโทษเขา เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมันก็มีสภาพแวดล้อม มีการเมืองและความเชื่อในเวลานั้นที่กดดันให้พ่อกล่าวโทษครอบครัวไร้ท์ แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ถูกต้อง เขาเป็นเจ้าเมือง หน้าที่ของเขาคือปกป้องชาวบ้าน ไม่ใช่ให้ชาวบ้านมาปกป้องตำแหน่งของเขา แต่ที่ฉันอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือโอเวนเป็นอย่างไรบ้าง”
“ฉันไม่ยอมให้เวลาของเขาหมดลงอย่างแน่นอน ตอนนี้ก็กำลังพยายามอยู่ แม้ว่ามันจะยากกว่าครั้งแรก”
ลุคกำมือแน่น “ฉันไม่ใช่พ่อมด เขาดึงพลังฉันไปรักษาตัวเขาไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงดูแลเขาได้”
บลูส่ายหน้า “ฉันอยากให้นายกลับไปก่อน”
“แต่ฉันอยากพบเขา”
“ไม่ใช่ตอนนี้”
“บลู ฉันเข้าใจสิ่งที่นายพยายามอธิบายให้พวกเราฟังนะ แต่ว่า...”
“การที่นายยังดึงดันที่จะไปหาเขาให้ได้ แสดงว่านายไม่เข้าใจ” บลูชี้ไปที่จัสติน “เขาจับไอปีศาจของฉันได้ คนอื่น ๆ ก็จับได้เหมือนกัน แต่ที่ยังมาไม่ถึงเพราะถูกพวกวิญญาณดึงไปทางอื่นอยู่ เลิกตามหาโอเวน กลับไปตามล่าพ่อมด ผู้คุมวิญญาณของนายต่อไป สัญญาว่า ถ้าโอเวนหายดี ฉันจะพาเขาไปหานายด้วยตัวเอง นายมีเวลาเหลือเฟือ ไม่จำเป็นต้องใจร้อน”
 เมื่อกล่าวถึงคำสุดท้าย บลูก็กลายเป็นนกฮูกสีขาวบินลับหายไปกับหิมะ
“ได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะพอใจได้แล้วไม่ใช่หรือไง” จัสตินบอก
ลุคเข้าใจ แต่ก็ยังอยากพบกันสักครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าโอเวนยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
...
หมู่บ้านร็อคไซด์ พื้นที่ชนบทของเมืองเบ็ตตี้สูญหายไปหลายสิบปีแล้ว รถปิคอัพคันเก่าวิ่งผ่านทุ่งบาร์เลย์ ออกไปที่บ้านซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งอย่างโดดเดี่ยว คนขับรถจอดรถที่ด้านหน้าโรงนา แล้วยกของลงจากกระบะด้านหลังเข้าไปด้านใน ท่ามกลางความเงียบราวหนึ่งชั่วโมงถัดมา จึงได้กลิ่นอาหารมื้อค่ำ เมื่ออาหารมื้อนี้ผ่านไป ชายหนุ่มจึงชงชาแล้วถือแก้วออกมานั่งที่เก้าอี้หน้าบ้าน ดวงตาสีเข้มมองผ่านไปไกล
ภาพเก่า ๆ ในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง
การใช้ชีวิตที่บ้านเกิดคือการทรมานตัวเองมากกว่าการให้ความหวัง ลุคเคยคิดว่าจะเลี้ยงสุนัข หรือวัวสักตัว แต่ก็ไม่เหมาะสักเท่าไหร่ หากต้องเดินทางไกลอย่างเร่งด่วน และอาจจะไม่ได้กลับมานานเป็นเดือน
แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่มา 5 ปีลุคยังไม่เคยต้องทิ้งบ้านไปนานขนาดนั้น
ในช่วงปีแรกจัสตินบ่นทุกครั้งที่มาตามลุคไปทำงานว่าเมื่อไหร่จะซื้อโทรศัพท์สักเครื่อง แต่เมื่อขึ้นปีที่ 2 จัสตินก็เลิกบ่น และช่วงเวลาที่จัสตินจะมาตามไปทำงานก็เริ่มทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ ครั้งล่าสุดนี้คือหายไป 5 เดือน ก็มาตามไปจัดการปีศาจในโบสถ์เก่าที่ลอสคาบอส เมืองแห่งอาชญากรรมเม็กซิโก ทั้งคู่ใช้เวลาจัดการกับปีศาจตนนี้อยู่หลายวัน ลุคก็เดินทางกลับมาโดยลำพัง
ตอนนี้ผ่านไป 3 เดือน ทุกอย่างรอบตัวยังเงียบสงบ
รวมถึงทุ่งบาร์เลย์ในเวลากลางคืน...
มวลอากาศภายในบ้านมีการเคลื่อนไหว หัวใจของลุคเต้นแรงรีบวางแก้วชาแล้วเปิดประตูกลับเข้าไปในบ้าน
ชายหนุ่ม 2 คนยืนอยู่
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้ามีเส้นผมสีขาว ดวงตาสีฟ้า และสวมชุดขาว
ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง มีเส้นผมสีเข้ม ใบหน้างดงาม สวมเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงสีน้ำตาล
“โอเวน” ลุคเรียกคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ทั้งจะก้าวไปหา
“เดี๋ยว” บลูก้าวเข้าขวาง “เรามีคำถาม”
ลุคพยักหน้า
“คนที่อยู่กับนาย หมายถึง นอนกับนายคือคนไหน”
ลุคตอบอย่างมั่นใจ
“คนที่อยู่กับฉันตลอดเวลาคือโอเวน ยกเว้นช่วงหนึ่งที่บ้านมาร์ธาที่เป็นนาย แต่จากนั้นก็เป็นโอเวนอีก ฉันไม่รู้ว่าพวกนายเปลี่ยนตัวกันได้ยังไง แต่...”
“ไม่รู้ก็ดีแล้วนี่” โอเวนขัดขึ้น
“แต่ฉันคิดว่าเขารู้นะ” บลูตอบยิ้ม ๆ “เขาอาจทำเป็นไม่รู้ เพราะไม่อยากขัดใจนายมากกว่า....”
มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มาจอดที่ด้านหน้าบ้าน บลูรีบบอก “คนเยอรมันมาแล้ว ฉันจะออกไปข้างนอก แล้วก็จะไปนอนที่โรงนา พวกนาย 2 คนค่อย ๆ คุยกันไปนะ”
หลังจากที่บลูเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงทักทายกัน และเสียงเปิดประตูโรงนา
“สบายดีไหม” ลุคถาม
“สบายดี”
“ฉันมีเรื่องมากมายที่อยากเล่าให้นายฟัง”
“ถ้าฉันพร้อมที่จะฟัง นายจะหาเรื่องไปทำอย่างอื่น เพื่อที่จะถ่วงเวลาอีกหรือเปล่า”
“ไม่ ฉันสัญญา”
...จบ...
จบแล้วครับเรื่องราวยาวนาน ที่เขียนนานเป็นปีและลงเรื่องนานข้ามปี ขอบคุณที่ให้ความกรุณาสนใจติดตามตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย
ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องที่เราเล่าให้ฟังทั้งเรื่องนี้และอีกหลายเรื่องที่ฝากไว้ที่นี่ ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเราจะเขึยนเรื่องได้นานขนาดนี้
ตั้งแต่วันที่ ทีเรียนม.3 จนถึงวันนี้ที่เขาเป็นพนักงานบริษัทไปแล้ว เป็นการเติบโตไปด้วยกันพบเจอเรื่องราวมากมาย
ขอได้รับคำขอบคุณจากใจ
ขอบคุณมากครับ
ไจฟและทีครับ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-06-2021 23:17:14
ขอบคุณที่ต่อจนจบ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 08-06-2021 16:06:25
จบแล้วในที่สุดดดดด :katai2-1:




ดีใจที่ตอนจบพี่ลุคกับโอเวนยังกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้นะ ไม่งั้นปวดใจแย่เลย




 :กอด1:




มีแอบจิ้นพี่บลูกับจัสตินนิดนึงด้วยแหล่ะ  :hao3:  :hao6:




ติดตามอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนจบสุดท้ายแบบนี้รู้สึกใจหายเหมือนกันนะ  :hao5:





หวังว่าพี่ไจฟ์กับน้องทีจะเอาเรื่องใหม่มาลงต่อให้หายคิดถึงกันบ้างนะคะ (ให้เวลาพักผ่อนนิดนึง)




สุดท้ายนี้ขอบคุณทั้งสองคนที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆ มาให้เราอ่านกันค่า




 :pig4: :3123: :กอด1:


หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-06-2021 20:57:44
็Happy Ending
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-06-2021 21:24:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 18-06-2021 02:56:06
อ่านถึงตอนที่ 11  อ่านไปก็คิดไป ใครเป็นใคร ยังไง ปมเยอะ
คืออ่านเรื่องนี้ต้องตั้งใจมาก อ่านไม่คิดไม่ได้เลยนะ ต้องคิดๆๆ ตลอด
เราไม่กลัวหรอก ผ่านบาลีมาได้ เรื่องนี้สบายมาก
นิยายของ ที ไจฟ์ ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เรานี่ FC อ่านทุกเรื่อง

ไปอ่านตอนที่ 12  ต่อ...

และแล้วเราก็อ่านจนจบ ลุ้นมากกก อ่านแล้ววางไม่ได้ เอาเป็นว่าเราว่าหลายๆคนก็คงเดาตอนจบไม่ถูก ฮ่าๆ ๆ สนุกมากค่ะ

เรายังจะรอเรื่องต่อไปของ ไจฟ์ ที เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-06-2021 16:45:07

ง่ายๆ เลยตอนจบสุดท้าย ในความคิดหลังอ่านจบคือ


ภาพของคนสองคนนั่งอยู่เก้าอี้หน้าบ้าน มืออีกคนจับมืออีกคน


ส่วนอีกข้าง คนหนึ่งถือกาแฟหรือชาอุ่นๆ  อีกคนอาจจะเป็นนมอุ่นๆ หรือชาอุ่นๆเหมือนกัน


ทั้งคู่ค่อยๆคุยค่อยๆปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ใจปล่อยวาง


(ถ้าทั้งคู่แก่เฒ่าได้)


.................  :กอด1:    เวลาที่อ่านแล้วบอกว่าจบทีไร มันก็จะมีความรู้สึกแวบๆมาว่า เอ๋าา!!ไม่อยากให้จบ ซะงั้นทุกที


ขอบคุณทั้งสองคนนะคะที่มาเขียนนิยายให้เราได้ติดตามอ่าน


รอค่ะ รอเรื่องต่อไป หรือตอนพิเศษสำหรับเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็จะรอ


 :pig4:   :pig4:


 :L2:  :L2:



หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 25-08-2021 17:22:23
เพิ่งมาอ่านตอนเขียนจบไปแล้วสนุกมากจ้า อ่านยาวมาสามวันแบบอ่านจนวางไม่ลง สนุกมากจริงๆ :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 10-03-2022 15:37:44
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ
ปกติเป็นคนชอบอ่านแนวอยู่แล้ว
ชอบเนื้อเรื่องมาก สนุกดีค่ะ