ตอนที่ 1
อากาศร้อนในโรงอาหาร ผมยกแก้วชาเย็นขึ้นดูดทั้งๆที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือ มุมปากเผลอยกยิ้มให้กับภาพและข้อความผ่านตาที่ส่งเข้ามาใหม่ของคู่สนทนาใน ณ ขณะนั้น ‘ เจอกันเย็นนี้นะ ’
“ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึงไอ้สัดเมี่ยง ” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันยิ้มถาม แต่ตอนนั้นผมก็แค่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วตอบกลับไปแบบไม่ออกมาเสียง
“ เสือก ”
“ K ” เจ้ย ตอบกลับมาทันที ผมหลุดหัวเราะกับหน้าตาจริงจังของคนตัวเล็กที่ดึงแก้วชาเขียวของตัวเองขึ้นดูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก่อนที่มันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น ข้าวหน้าหมูสับทอดแบบพิเศษกับน้ำซุปกระดูกหมูก็ถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเสียงผิวปากแบบสบายใจซึ่งแน่นอนว่ามันขัดกับเวลานานที่อีกฝ่ายต้องไปยืนรอ
“ แถวยาวขนาดนั้นมึงยังอารมณ์ดีได้อีกเหรอวะ ” ผมถามคนหน้าตาตี๋ ตัวสูง ที่ยกคิ้วให้กันเป็นคำตอบพร้อมด้วยใบหน้ากวนตีน เบส ตักน้ำซุปขึ้นกินพร้อมกับเสียงสดชื่นเอามากในจังหวะที่กลืนลงคอ
“ แหมมม อร่อย ”
“ จ้า งั้นก็รีบแดกเถอะครับไอ้สัด พวกกูแดกเสร็จไปตั้งนานแล้วกว่ามึงจะได้แดก ” เจ้ยบอกเพื่อนสนิทตัวเองที่ก็ยักคิ้วขึ้นยิ้มๆพลางใช้ช้อนคลุกเคล้าน้ำจิ้มที่ราดมาบนหมูกับข้าวให้เข้ากัน
“ ท่าทางมีความสุข แสดงว่าต้องมีอะไร ” ผมยกคิ้วถาม แล้วนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เพื่อนสนิทของอีกคนรู้สึก
“ แน่นอนแหละไอ้สัด ”
เบส กับ เจ้ย เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งมัธยมปลาย ส่วนผมเพิ่งเข้ามาสมทบในตอนที่ได้เข้ามาเรียนมหาลัย เราเรียนคณะบริหารอินเตอร์ด้วยกัน และผมก็จัดให้พวกมันเป็นเพื่อนร่วมคณะที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดประดุจคบกันมาทั้งชีวิตแล้ว แต่ถึงอย่างงั้น ลึกๆ มันก็ยังมีความคิดที่ว่าไอ้เจ้ยสนิทกับเบสมากว่าผมอยู่
ยกตัวอย่างก็เช่น เพียงแค่มอง ไอ้สัดเจ้ยก็รู้แล้วว่าตอนนี้ไอ้เหี้ยเบสไม่ปกติ แล้วคนอย่างมันก็เรื่องที่ทำให้มีความสุข แค่ไม่กี่เรื่อง
“ นี่อย่าบอกนะ ว่ามึงไปกวนตีนไอ้สัดดีนอีกแล้ว ” ยกยิ้มถามแบบรู้ทันก่อนจะหันไปมองรอบโรงอาหาร แล้วตอนนั้นผมกับไอ้เจ้ยก็เจอเข้าพอดี กับอริแห่งความปัญญาอ่อนของไอ้สัดเบส ตรงโต๊ะที่อยู่เยื้องจากเราไม่ไกล
ร่างหนาตาชั้นเดียว ตัวขาว กำลังเอาตาที่มีอยู่น้อยนิดของมัน จ้องมองทางเพื่อนผมอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมมือที่ยัดข้าวจากร้านเดียวกันเข้าไปในปากอย่างไม่มีหยุดยั้ง จนคล้ายกับว่ามันจะแดกไอ้สัดเบสเข้าไปด้วย
“ ไอ้ชิบหาย มึงไปทำอะไรมันวะ ” หันไปถามเพื่อนตัวเองที่ยังคงยิ้ม เบสหันไปมองอีกคนแบบไม่รู้สึกถึงความผิดอะไร
“ กูเอาน้ำซุปกระดูกหมูถ้วยสุดท้ายของร้านป้ามาจากมัน ”
“ กูถามจริง ” และในความหมายของผม คือพวกมึงทะเลาะกันเพราะแค่เรื่องนี้จริงๆเหรอไอ้สัด
“ มึงเห็นหน้ามันมั้ยละ แม่งโคตรแค้นอะ แค้นเพราะอยากแดก ฮ่าๆ ”
“ ไม่ตลกเลยไอ้สัด ” เจ้ยว่า “ คือเมื่อไหร่มึงแม่งจะเลิกกวนตีนมันวะ เอาจริงๆ กูว่าบางทีมึงแม่งก็หาเรื่องมันชิบหายเลยนะ ”
“ กูไปหาเรื่องอะไรมันอะครับเพื่อนเจ้ย ใจเย็นก่อนมั้ยเอ่ย ” ไอ้เบสเถียงกลับ ผมก็ถาม
“ แล้วมึงไปทำอะไรมัน แค่แย่งน้ำซุปมันเหรอ หรือว่ามึงจะไปแซงคิวร้านข้าวมันด้วย ”
“ เพื่อนเมี่ยงครับ คิดก่อนนะ ” คนพูดยกนิ้วขึ้นจรดตรงขมับพลางเคาะเบาๆ “ มึงว่าคนอย่างมันถ้ากูแซงคิว มันจะไม่ด่ากูเหรอ ถ้ากูแซงจริงๆ ได้ยินกันทั้งโรงอาหารแล้วครับสัด ”
“ แล้วมึงทำอะไรมัน ”
“ กูก็แค่ต่อคิวซื้อข้าวของกูอยู่ดีๆ ตอนแรกป้าถามว่าเอาน้ำซุปกระดูกมั้ยถ้วยสุดท้ายแล้ว กูบอกไม่เอา คราวนี้ไอ้สัดดีนมาต่อคิว มันถามป้าว่ามีน้ำซุปกระดูกมั้ย ป้าก็บอกมีถ้วยสุดท้ายพอดี มันก็เลยต่อคิวหลังกู แล้วพอป้าทำข้าวให้กูเสร็จ กูก็แค่บอกป้าว่าขอน้ำซุปกระดูกด้วยมันก็แค่นั้นเอง ”
“ เออ เหี้ยดี ”
“ คิดผิดที่ไหนละไอ้สัด ” เพื่อนสนิทคนก่อเรื่องว่า ก่อนจะส่ายหน้าไปมายิ้มๆ
“ แล้วกูผิดเหรอครับเพื่อนเจ้ย เพื่อนเมี่ยง ” ไอ้เบสถามพลางมองผมสลับกับไอ้เจ้ยแบบหน้าซื่อๆ “ ก็อยู่ๆกูอยากแดกน้ำซุปกระดูกขึ้นมานี่น่า กูก็เลยสั่งเค้าไป แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของกูมั้ยละ ก็กูมาก่อน มันมาหลังเอง แล้วแบบนั้นน้องเบสผิดอะไรอะครับ ”
“ ผิดที่จริงๆมึงไม่ได้อยากกินหรอก แต่แค่อยากจะแกล้งสัดดีนไงไอ้เหี้ยเบส ” เจ้ยมันพูด ก่อนจะหันไปยกยิ้มให้อีกคน “ มึงก็แค่อยากจะแกล้งมันเหมือนทุกครั้งก็เท่านั้นแหละ ”
“ พ่อมึงเล่นมึงแล้วเหี้ยเบส ” ผมแซวก่อนจะเชิดหน้าไปหาคนทำผิดที่ก็เม้มปากก่อนจะทำทีเป็นยกมือไหว้ขอโทษ แต่ถึงอย่างงั้นผมก็รู้ ไอ้สัดนี่ไม่คิดรู้สึกผิดอะไรแบบนั้นหรอก ในตอนนี้ใจมันคงระรื่น มีความสุขที่ได้แกล้งไอ้ดีนเสียมากกว่า
“ ขอโทษนะกั๊บ ”
“ ไม่สำนึกหรอกกูรู้ ” คนตรงหน้าผมว่า “ อายุเท่าไหร่แล้วไอ้สัด ปีสองแล้วนะมึง ยังทำตัวเป็นเด็กไปได้ ”
“ เอาอีก เอาอีก ด่ามันอีกสัดเจ้ย ” ผมยุยิ้มๆ พลางยกแก้วขึ้นมาตักน้ำแข็งอย่างไม่รู้จะทำอะไร ก่อนสายตาจะเหลือบไปมองกลุ่มคู่อริเพราะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันกำลังมองมาทางเราอยู่เหมือนกัน " พวกมึง ”
“ อะไร ” ไอ้เบสหันมาถามผม
“ คืออย่าเพิ่งหันไปมองนะ แต่พวกแม่งกำลังมองมาทางเราว่ะ ”
“ เหรอ ”
“ ไอ้เหี้ย! ก็บอกว่าอย่าเพิ่งหันไปมองก่อนไงไอ้หน้าสัด ” ผมสบถออกมา เพราะจังหวะหลังพูดคำนั้นมันทั้งสองคนก็เสือกหันไปมองคนพวกนั้นพร้อมกันทั้งๆที่ก็เพิ่งพูดห้ามไป “ Kจริง ”
“ งั้นทีหลังมึงก็บอกด้วยสิว่าใครหันไปก่อน ให้หันไปมองทีหลัง ” ไอ้เบสบอกผมยิ้มๆ พร้อมกับไอ้เจ้ยที่หัวเราะเสียงดังก่อนจะท่าทีเลียนแบบ
“ แบบก่อนเล่าก็เจ้ย มึงหันก่อน ส่วนมึงไอ้สัดเบสอย่างเพิ่งหันนะ ไอ้กลุ่มนั่นแม่งกำลังมองมาทางเราว่ะ อะไรแบบนั้นมั้ย ”
“ K ” หลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้า ผมมองไปที่กลุ่มนั้นอีกครั้งก่อนจะพบว่าตอนนี้เพื่อนในกลุ่มคนนึงของไอ้ดีนกำลังมองมาทางผม และสายตานั้นก็ไม่ได้เป็นมิตรสักเท่าไหร่เลย มันคล้ายกับว่าในความรู้สึกของคนที่จ้องมองมา ผมนี่แหละ คือคนที่ไปแย่งน้ำซุปกระดูกหมูจากเพื่อนมันมา
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวความปัญญาอ่อนนี้ เริ่มมาจากตอนที่พวกมันกำลังเรียนมัธยมปลาย สมัยเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ เจ้ยเล่าให้ผมฟังว่า มันสองคนแล้วก็พวกไอ้ดีนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ไอ้เบสตอนนั้นคุยอยู่กับเด็กโรงเรียนหญิงล้วนอยู่คนนึง ซึ่งมารู้ทีหลังว่าผู้หญิงคนนั้นก็คุยอยู่กับไอ้ดีนเหมือนกัน ซึ่งคนที่บอกเรื่องนี้กับมันสองคนก็คือ ไอ้ดีนที่ก็เข้ามาบอกกับไอ้เบสซึ่งๆหน้าเลยว่า อย่ายุ่งกับเด็กมัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนมัน ทั้งๆที่ความจริงคือไม่ใช่
ตอนนั้น เบสยอมถอยห่างเพราะเชื่อ แต่ความลับมันไม่ในโลกฉันใด สุดท้ายไอ้เบสก็มารู้ความจริงตอนนั่งขี้ในห้องน้ำโรงเรียน ซึ่งประจวบเหมาะที่ไอ้ดีนก็เข้ามาฉี่พอดีและพูดอวดกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่ามันหลอกไอ้เบสและเขี่ยไอ้เบสได้สำเร็จ หนำซ้ำยังด่าด้วยว่ามันโง่มากที่เชื่อ
ไอ้เบสโกรธถึงขีดสุด หลังจากล้างขี้เสร็จก็เลยออกไปจัดการไอ้ดีน ซึ่งก็ทะเลาะกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนสาวตัวต้นเรื่อง ก็ลอยตัวแถมตอนนี้ยังย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก มีแฟนใหม่ไป อย่างลอยตัว
“ สงสัยจะมองเพราะกูหล่อ ” สัดเบสยกมือขึ้นเก็กหล่อตอนที่พูดคำนั้น ท่าทางที่ชวนให้ผมหันไปทางอื่น ไม่ต่างกับไอ้เจ้ยที่ถึงขั้นออกอาการสำลอกออกมา
“ ยังไม่เจียมตัวอีกไอ้ชิบหาย ” ได้แต่บอกแบบนั้นแล้วทำใจปลง ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันทะเลาะกันเรื่องปัญญาอ่อน และสำหรับผมคงไม่มีการทะเลาะครั้งไหนของมันสองคนที่จะปัญญาอ่อนเท่ากับวันนั้นที่ร้านน้ำปั่นหน้ามหาลัยอีกแล้ว กับแค่ใส่ชิ้นมะม่วงลงเครื่องปั่นไม่เท่ากัน มันเล่นทะเลาะกันใหญ่โต จนเจ้าของร้านต้องออกมาไล่ หนำซ้ำทุกวันนี้เค้ายังเขม่นผมทุกทีตอนที่ไปซื้อ “ เห้อออ ”
ถอนหายออกมาพร้อมกับส่ายหน้า ผมหันไปที่โต๊ะของคู่อริไอ้เบสอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าคนที่จ้องมองกันอยู่เมื่อครู่ ก็ยังคงมองมาทางผมอยู่อย่างงั้นแบบไม่วางตา ผมจ้องมันกลับ
“ มึงมองเหี้ยอะไรอยู่วะไอ้เมี่ยง ” เจ้ยมันถามก่อนจะเหลือบไปมองที่โต๊ะนั่น
“ มึงรู้จักไอ้สัดนั่นมั้ยเจ้ย คนที่มองกูอยู่ ”
“ แม่งก็มองเราทั้งโต๊ะ ” คนโดนถามหันมาบอกกันก่อนจะหลุดหัวเราะ
“ ไม่สิไอ้สัด คนที่หน้าแหลมๆ คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งหน่อย ”
“ ไอ้คนที่ตาดุๆ ”
“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ
“ ตัวสูงหน่อย แล้วก็ดูผอมที่สุดในนั้น แล้วท่าทางตอนนี้ของมันก็คือเหมือนจะลุกขึ้นมาต่อยมึงประดุจมึงคือคนที่ไปแย่งน้ำซุปเศษหมูนี่มาจากเพื่อนมัน ”
“ เออใช่ ไอ้สัดนั่น ”
“ ไอ้อาร์ม ” เจ้ยบอกยิ้มๆ “ แต่มึงไม่ต้องไปสนใจหรอกไอ้สัดนี่มันก็มองไปแบบนั้นแหละ ตามันก็แค่ดุเฉยๆ ”
“ ใครว่า ” ไอ้เบสหันไปบอกเพื่อนสนิทตัวเอง “ ไอ้สัดอาร์มแม่งเอาเรื่องอยู่นะ ”
“ เหรอวะ ”
“ เออ แล้วมึงไม่เห็นเหรอ ทุกครั้งที่เรามีเรื่องกับไอ้ดีน ไอ้สัดอาร์มคือไม่พูดอะไรเลย มันยืนมองอย่างเดียว แล้วมึงไม่คิดว่าท่าทางแบบนั้นมันเหมือนแค่รอบุกอย่างเดียว อารมณ์มึงต่อยกูก็ต่อยด้วย ” ท่าทางดูไม่ค่อยน่าเชื่อของไอ้เจ้ย มันขมวดคิ้วงง
“ คือถ้าเป็นแบบนั้นสมัยเรียนกูต้องได้ยินข่าวมันมากกว่ากว่ามั้ยวะ แบบไอ้ตัวจี๊ดไง ”
“ ตัวจี๊ดไหนวะ ” ผมถาม
“ คนที่นั่งตรงข้ามไอ้ดีน ตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่นั่งกินข้าวสองจานไง มันชื่อไอ้จุ้น ” เบสบอก “ ไอ้เหี้ยนี่นะโคตรเปรี้ยวตีนกูบอกไว้ เอะอะใช้กำลัง กูพูดเหี้ยไรนิดนึง มึงเข้ามา มึงเข้ามา ยิ่งเข้าคู่กับไอ้โฮม คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันนะไอ้สัด แพ็คเก็ตเตี้ยแล้วไม่เจียมชิบหาย ”
“ มึงก็ไม่เจียมเหมือนกันไอ้เหี้ย เค้ามีตั้งกี่ตีน แต่มึงก็ยังขยันกวนตีนมัน ”
“ เจ้ยครับ คนเรามันก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำ ถ้ามันไม่สร้างศัตรู กูขอถาม มันจะเกิดศัตรูมั้ย ” ร่างสูงพายมืออก “ ก็ไม่ ”
“ ก็จริงอยู่ แต่เพื่อนเบสครับ การให้อภัย คือ ผลบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ”
“ งั้นกูขอนับถือคริสต์แล้วกัน ”
“ ไอ้สัด ” เจ้ยสบถออกไปแค่นั้น ก่อนที่เราทั้งสามคนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งหลังจากไอ้เบสยกน้ำขึ้นกินเป็นอย่างสุดท้าย แล้วก็ดูเหมือนว่าก็เป็นจังหวะเดียวกันกับอีกกลุ่มที่ก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“ มึงเตรียมตัวเลย ” ผมบอกในตอนที่เห็นคนอีกกลุ่มเดินเริ่งฝีเท้าตรงไปยังบันไดฝั่งข้างโรงอาหารที่พวกเรากำลังจะเดินไป แล้วหยุดยืนขวางอยู่ตรงหน้าบันไดตรงนั้น ดูจากรูปการณ์ ก็น่าจะด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากจะเราได้เดินลงบันไดไป
“ ถอย กูจะไปเรียน ” เบสมันว่า แต่ตอนนั้นไอ้ดีนอริของมันก็ยกยิ้ม
“ แล้วไง ? ก็พวกกูจะยืน ” ว่าแบบนั้น ก่อนจะเชิดหน้าไปที่บันไดอีกฝั่ง “ แต่ถ้ามึงรีบมาก ก็ไปลงอีกฝั่งอีกฝั่งสิ กูมาถึงก่อนกูมีสิทธิ์ยืน กูจะยืนตรงไหนก็ได้ ”
“ ไม่ใช่แล้วมั้ง ” ไอ้เจ้ยว่าขัด “ มึงจะยืนตรงไหนก็ได้นั่นก็ถูก แต่มึงจะมายืนขวางทางลงบันไดไม่ได้เพรคนอื่นเค้าจะใช้ แล้วถ้าบอกว่ามาก่อนมีสิทธิ์ยืน กูว่ามันไม่ใช่แล้วมั้ง ตรงนี้มันพื้นที่สาธารณะ มันทางขึ้นลง ใครมาก่อนมาหลังไม่เกี่ยวกันหรอกสัด ”
“ ก็แล้วจะทำไม กูไม่หลบ ”
“ K ” ผมถึงขั้นต้องสบถออกมากับความรั้นที่จะเอาคืนตอนได้ยิน
“ กูเรียนตึกใหญ่ แล้วกูจะให้กูเดินไปลงบันไดหน้าตึกหนึ่งที่มันจะไกลจากตึกใหญ่ทำไมวะ ” เบสถามอีกคนที่ก็ยังคงยกไหล่ไม่สนใจ “ ถ้าคิดแบบนี้ ทีหลังมึงขับรถไปขวางรางรถไฟด้วยสิสัดดีน มาก่อนไม่ใช่เหรอ ”
“ เอาเป็นว่ากูพอใจที่จะยืนตรงนี้ ส่วนพวกมึงถ้ารีบ ก็ไปใช้ที่อื่นก่อน จบ ”
“ ปัญญาอ่อนชิบหาย ” ผมพูดกับตัวเองแบบเสียงไม่เบานัก แล้วนั่นทำให้คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกันอย่างไอ้อาร์มคนของอีกกลุ่มที่มองกันอยู่เมื่อครู่หันมามอง “ มองทำไม มึงจะถามเหรอ ว่ากูพูดอะไร ” หันไปถามมันด้วยสีหน้าหาเรื่อง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนมันอีกสามคนที่เหลือ เพราะตอนนี้พวกมันยืนกั้นทางลงบันไดของเราอยู่ “ กูถามจริงนะ คือพวกมึงจะมาเอาคืน เพราะแค่ยอมไม่ได้เรื่องน้ำซุปเศษหมูนี่น่ะเหรอ ” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ถาม ในตอนนั้นผมเองก็ทำได้แค่มองไปทางอื่นก่อนจะยิ้มแล้วบอก “ อย่าปัญญาอ่อนกันให้มาก ถอยเลยไอ้สัด กูจะไปเรียน ”
ผลักอกคนตัวเล็กผิวแทนที่อยู่ตรงหน้าจนตัวมันเซไปอีกทาง ผมเดินนำผ่านกลุ่มของคนขวางทางออกมา แม้ตอนนั้นจะได้ยินเสียงสถบของคนที่ผลักผมอย่างชัดเจน
“ ไอ้สัด ”
“ เออ ก็ไม่ต่างกันกับพวกมึงหรอก ” เบสมันหันไปบอกก่อนจะเดินเข้ามากอดคอผม ที่ก็มีไอ้เจ้ยเดินยิ้ตามหลังมาแบบติดๆ เราเดินเข้าตึกไปด้วยความเงียบเชียบ ก่อนจะมาหยุดรอลิฟต์ที่กำลังจะลงมาจากชั้นบน
“ ตามมาว่ะ ” ผมพูดขึ้นตอนที่เห็นคนกลุ่มที่ยืนขวาง กำลังเข้ามาใกล้ผ่านเงาสะท้อนของประตูลิฟต์ที่ยืนรอ
“ ส่วนบุญไม่พอเหรอวะ ” เบสหันไปถาม ตอนที่พวกไอ้ดีนเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังมันพอดี “ ตามกูจัง ”
“ ตามเหี้ยอะไร กูก็เรียนตึกนี้ ” ดีนมันพูดยิ้มๆแต่นั้นกลับทำให้ผมหัวเราะออกมา
“ ตอแหลไอ้สัด ” ผมว่า
“ มึงว่าใคร ”
“ มึงนั่นแหละ ” สวนกลับแบบไม่กลัว สายตาที่มองคนพวกนั้นผ่านเงาสะท้อนของตัวลิฟต์ ไม่มีการหลบหลีกแต่อย่างใด มันก็เหมือนที่ไอ้เจ้ยเคยบอกผมไว้ไม่มีผิด เรื่องพวกนี้ ถ้าเราอดใจหนึ่งครั้งที่จะไม่เอาคืน และปล่อยผ่านมันไป มันท้าเลยว่าไม่เกินห้าครั้ง เราจะหลุดพ้นจากวังวนของการต่อสู้เรื่องปัญญาอ่อนเหมือนเด็กในโรงเรียนประถมนี้ทันที
แต่ก็นั่นแหละ ใครแม่งจะไปทนได้ถึงห้าครั้งวะ
“ เราเรียนชั้นไหนวะ ” เจ้ยมันหันมาถามผมท่ามกลางความเงียบในตอนนั้น ผมที่หันไปมองด้วยท่าทางกระอักกระอ่วมแบบไม่อยากบอกเพราะไม่รู้ว่าจะเป็นช่องทางให้อีกฝ่ายได้แกล้งอะไรมั้ย แต่ในวินาทีถัดมาก็ตัดสินใจเอียงตัวแล้วกระซิบบอกไป แบบที่คิดว่าคงได้ยินกันแค่สองคน
“ เจ็ด ”
“ เจ็ด ” เสียงนึงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมหันไปเหลือบมอง ก่อนจะพบกับไอ้อาร์มที่ยกคิ้วให้อย่างกวนตีน “ ทำไม จะถามเหรอ ว่ากูพูดว่าอะไร ” ประโยคคุ้นเคยที่ผมเคยพูดหลุดออกมาจากปากอีกคน ผมยกยิ้มกับความกัดไม่ปล่อยของมัน แต่ก่อนจะพูดตอบโต้อะไรไปคนที่อยู่ข้างกันอย่างไอ้เจ้ยก็เอื้อมมือมาจับไหล่กันไว้ก่อน
“ ช่างมันเถอะ ” เจ้ยบอกผม ที่ก็ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนไอ้เบสจะดึงตัวเองเข้ามาใกล้ มันกระซิบ
“ เตรียมตัวไว้เลย ”
ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกตรงหน้า ผมเดินเข้าไปด้านในสุด ตามด้วยไอ้เจ้ย ไอ้เบส แล้วก็ไอ้ดีนที่ทำทีเป็นกดรอเพื่อน ไอ้โฮมคนที่ผมเดินชนที่บันไดเดินเข้ามา ตามด้วยไอ้ดีนที่เดินเข้ามาทำให้เรารู้สึกว่ามันคงมีเรียนจริงๆ แต่นั่นก็ก่อนที่ทั้งมือของมันและไอ้โฮมจะใช้นิ้วลากปุ่มลิฟต์ทั้งแผงลงอย่างรวดเร็วแล้วก็เสือกเหลือชั้นเจ็ดเอาไว้ชั้นเดียว
“ ไอ้เชี้ย ” เบสสบถก่อนจะคว้ามือตัวการเอาไว้ด้วยความมือไว แต่เหมือนมันจะช้ากว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนอกอย่างไอ้อาร์มที่ก็ยื่นตีนเข้ามาถีบไอ้สัดเบสแบบเต็มแรงจนมาล้มทับทั้งผมทั้งไอ้เจ้ยไว้ พร้อมกับดึงไอ้ดีนให้หลุดออกไปด้วย
ช่วงวินาทีสุดท้ายที่ผมเห็นประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของไอ้สี่ตัวที่ทำตามแผนสำเร็จพร้อมกับเสียงของไอ้ดีนที่ตะโกนลอดเข้ามาอย่างมีความสุขเหมือนซ้ำเติมกัน
“ ขอให้มีความสุขกับการขึ้นลิฟต์นะจ้า ”
“ แม่งเอ้ย!! ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้สัด ” ผมตะโกนออกไป ในตอนนั้นสายตาที่สบเข้ากับไอ้ตัวการที่มันถีบไอ้เบสเข้ามาจนเราต้องมาจนมุมอยู่ในสภาพนี้ สัดอาร์มยกคิ้วพร้อมกับคิ้วหนาของมันที่ก็ยกทักทายด้วยท่าทาง
“ K ” เบสมันลุกขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของไอ้เจ้ยที่ถีบมันออกไปด้วยความหนัก พร้อมทั้งพาตัวเองลุกขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มชั้นเจ็ด “ อย่าให้กูเจอมันครั้งหน้านะไอ้สัด มึงโดนเล่นแน่ ”
“ กูว่าพอมั้ยวะ ” เจ้ยมันหันไปบอกอีกคน “ เอาจริง ทำไมมึงไม่คิดบ้างว่าถ้ามึงไม่ไปแกล้งมันก่อน ไม่ไปแย่งน้ำซุปกระดูกหมูก่อน แม่งก็ไม่มาเอาคืนหรอก ”
“ แล้วมึงคิดว่าคนอย่างสัดดีนมันหยุดเหรอ ” ไอ้เบสหันไปถามเพื่อนสนิทตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมา ซึ่งก็ไม่ต่างกับผมที่ก็พิงหลังลงกับตัวลิฟต์
“ เอาจริงๆรู้สึกเหี้ยชิบหายเลย คือพอคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะแค่น้ำซุปกระดูกหมูร้านป้า กูนี่แบบ มีแต่คำว่าKอยู่ในหัว ”
“ แล้วไอ้ประตูลิตฟ์นี่แม่งก้เปิดทุกชั้นจริงเว้ย ” เจ้ยมันสบถเพราะต้องเอื้อมมือไปกดปิดลิฟต์เป้นครั้งที่สามแล้ว และแน่นอนว่าแม่งต้องกดปิดอยู่แบบนั้นจนกว่าเราจะขึ้นถึงชั้นที่เจ็ด
“ หรือครั้งนี้มึงเลิกเอาคืนมันสักครั้งได้มั้ยไอ้เบส เผื่อจะสงบสุข ”
“ กล้าพูดเนอะสัดเมี่ยง เมื่อกี้มึงยังเปรี้ยวตีนมันอยู่เลย ” หันมาบอกกันด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะผ่อนหลังลงกับตัวลิฟต์ “ กูว่าเราแม่งก็ทนกันไม่ได้สักคนนั่นแหละไอ้ห่า ”
“ แต่พูดก็พูดนะสัด ฉากที่ไอ้สัดอาร์มถีบไอ้เบสแล้วดึงไอ้ดีนออกไป แม่งโคตรพระเอกเลย ” เจ้ยหันมายิ้มกับผม “ มึงเห็นมั้ยเมี่ยง”
“ เห็น ” พยักหน้ารับก่อนจะยกยิ้ม “ แล้วกูก็เห้นด้วยตอนที่ประตูลิฟต์จะปิดไอ้สัดนั่นแม่ง ยกยิ้มให้กู ”
“ เหรอวะ ”
“ ตอนแรกกูก็เฉยๆหรอกกเรื่องทะเลาะปัญญาอ่อนของพวกมึง แต่ตอนนี้ไม่โอเคเลย กูรู้สึกว่า กูแม่งไม่ชอบไอ้เชี้ยนั่น คนที่ชื่ออาร์ม ”
“ ดีมากเพื่อนเมี่ยง” มือหนาของไอ้เบสเอื้อมมือมาจับไหล่ผม สายตาจริงจังนั้นจ้องมา “ กูภูมิใจในตัวมึง ”
“ K ” ตอบรับไปแค่นั้นก่อนจะปัดมือนั้นออกจะไหล่ “ หาเรื่องให้กูไม่เว้นวันยังมาพูด ”
“ สีสันชีวิ๊ตตตตตตตต ” เสียงลากยาวที่แสนน่ารำคาญนั้น ผมหันไปมองทางอื่นอย่างไม่รู้จะทำยังไง “ ว่าแต่พวกมึงไม่รู้เหรอวะ ไอ้อาร์มกับไอ้ดีนแม่ง ผัวเมียกันนะ ”
“ ผัวเมียเหี้ยอะไร ไอ้สองคนนั่นมันเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนไหน ” เจ้ยหันไปถามด้วยสายตาไม่เชื่อ “ มึงไปเอามาจากไหน ล่าสุดกูยังเห็นไอ้อาร์มเดินควงอยู่กับสาวนิเทศอยู่เลย อย่างสวยอะ ”
“ มันก็ควงปิดข่าวเท่านั้นแหละสัดเชื่อกู เพื่อนที่ไหนเค้าชมกันว่าน่ารักวะถามหน่อย มันก็มีแค่พวกเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อทั้งนั้น ”
“ กูไม่เชื่ออะ ”
“ มึงหาว่ากูตอแหลเหรอสัดเจ้ย ” เบสถามด้วยท่าทางจริงจังก่อนจะหันไปกดประตูลิฟต์ให้ปิดอีกครั้ง
“ ก็มันเป็นไปไม่ได้อะไอ้สัด ดีนมันก็ชอบผู้หญิง อาทิตย์ก่อนมันยังควงกันอยู่เลย แล้วกูเห็นมันนัวเนียกันจะตายห่า มีหอมกงหอมแก้ม แถมไอ้สัดอาร์มก็ไม่น้อยหน้าเด็กนิเทศคนนั้นกูก็เห็นนั่งคุยกับมันบ่อยๆ มึงเถอะไปเอามาจากไหน ”
“ ก็กูเห็น วันก่อนที่กูไปผับไง ”
“ อาทิตย์ก่อนอะนะ ” ผมเสริมอีกคนที่ก็ยกคิ้วเป็นคนตอบ
“ กูบังเอิญเจอพวกมันพอดี แม่งเต้นกันอยู่ในผับ ไอ้สัดดีนคือเต้นท่าเหี้ยไรไม่รู้อยู่ตรงหน้าไอ้อาร์ม ส่วนไอ้เชี้ยนั่นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วก็เห็นมันพูดว่า มึงม่งน่ารักว่ะ เนี้ย แล้วมึงจะให้กูคิดยังไง เพื่อนที่ไหนชมกันว่าน่ารัก ไม่มีปะ พวกเรายังไม่ทำเลย ”
“ แต่ถ้ามึงน่ารักกูชมนะ ” เจ้ยบอกเบสก่อนจะเชิดหน้ามาทางผม “ อย่างไอ้เมี่ยงกูก็ชมอยู่บ่อยๆ กู ก็แม่งน่ารัก แล้วมึงจะให้กูพูดว่าอะไร อย่างตอนมึงชูสองนิ้วถ่ายรูปวันก่อน กูยังบอกเลย มึงน่ารักว่ะเบส มึงจำไม่ได้เหรอ ”
“ บ้า ” เบสผงะหลังพลางยกมือขึ้นจับอกด้วยสีหน้าตกใจแบบจอมปลอม “ แล้วมึงเพิ่งมาบอกอะไรตอนนี้วะเจ้ย มึงแม่งมีมิ้งแล้วอะ ”
“ K ” ถึงขั้นต้องด่าออกไปเสียงดัง เราที่หลุดหัวเราะออกมา มันขำจนคนฟังต้องยกเท้าคนถีบคนพูด “ หน้าเหี้ยจริง ไอ้สัดนี่ ”
“ แต่กูว่าสายตาที่มันมองกันมีพิรุธอยู่นะ พวกมึงไม่รู้สึกเหรอ ”
“ คือมึงมองไปถึงสายตา ถามจริงนะสักเบส ผับมืดขนาดนั้นมึงมองว่ามันใส่เสื้อสีอะไรให้ออกก่อนมั้ย ”
“ นี่ก็ขัดจัง ”
“ ก็มันเป็นไปไม่ได้อะ ” เจ้ยว่าพลางถอนหายใจ “ คือกูไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันทั้งคู่จะชอบผู้ชายด้วยกันเอง แต่คือมึงเข้าใจมั้ยว่าพวกมันสองคนคือไม่ได้อะ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกนั้น มองไปก็คือเพื่อนปกติ ”
“ แล้วทำไมมึงถึงรู้สึกอย่างงั้น ”
“ ก็เซ็นส์กูมันบอก ”
“ K พูดมาตั้งนาน มึงสรุปว่าไม่ใช่เพราะแค่เซ็นส์เหรอวะ ”
“ แต่คนเราไปตัดสินว่าใครจะเป็นยังไงจากสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ได้นะมึง ” ผมท้วง “ อย่างเรื่องชมเพื่อนว่าน่ารัก คือบางคนเค้าทำแบบไม่คิดอะไร ก็พูดไปตามที่เห็น อย่างที่สัดเจ้ยมันชอบพูด คือพวกมึงเอามาตัดสินไม่ได้หรอก ว่าแม่งเป็น หรือไม่เป็นอะไรกัน กับเรื่องแค่นั้น ”
“ รุมสัด ถามจริงนี่พวกมึงเพื่อนกูหรือเพื่อนไอ้ดีน ” เบสหันมาถามในตอนที่ลิฟต์มาจอดที่ชั้นเจ็ดพอดี เราเดินออกไปพร้อมกับที่ไอ้เจ้ยหันไปตอบคำถามอีกคน
“ เป็นเพื่อนมึง แต่บางทีที่มึงเหี้ยมากๆ ก็รู้สึกอยากเป็นเพื่อนไอ้ดีนเหมือนกัน ”
“ เจ็บสัด ” มือที่ยกขึ้นจับอกของไอ้เบส มันเม้มปากพลางทำหน้างอ “ แต่ยังไงก็แล้วแต่ กูขอบอกไว้เลยนะ และกูขอพวกมึงแค่อย่างเดียว อย่าเอาพวกไอ้ดีนมาทำเมีย อยากไปญาติดีกับพวกมัน ถือว่าพี่เบสขอร้อง ”
“ เผื่อมึงลืมไอ้สัดดีนมีเพื่อนเป็นผู้ชายหมด ” ผมท้วง
“ แล้วความรักมันมีแค่ชายหญิงเหรอครับเพื่อนเมี่ยง ก็ไม่เปล่ามั้ยละ ” มันหันมาเถียงผมที่ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับไอ้เจ้ย ก่อนจะพูดออกมาพร้อมกันในตอนเดินเข้าห้องเรียน
“ ปัญญาอ่อนชิบหายไอ้สัดเบส ”
...............................................