ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )  (อ่าน 43892 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
หวังว่าดีนจะเข้าใจและไม่เร้าหรือ และอาร์มจะเอาตัวรอดได้

เมี่ยงน่าเอ็นดูมาก ทั้งตอนน่ารัก ทั้งตอนน่าสงสาร ช็อคไปเลย
แต่เจ้ยคือเพื่อนที่ดีนะ ในมุมมองเรา เจ้ยคิดเป็น สองจิตสองใจ
แต่ชั่งน้ำหนักได้ ว่าอะไรควรไม่ควร

อาร์มทำได้ดีมากแล้ว ชัดเจนที่สุด ความชัดเจนของอาร์ม
และคำพูดของเจ้ย กระตุ้นความคิดเมี่ยงได้ดี

เบสคือดีนเลย ไม่ต่างกัน เพื่อความสะใจ
จนเพื่อนมองไม่เห็นความรักกันของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 29

“ กูไปได้มั้ย ” เพราะไม่อยากจะปิดเป็นความลับ เรื่องของดีน ผมรู้ว่าต่อไปนี้คงเป็นเรื่องที่ทำให้เมี่ยงรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าทุกอย่างมันไม่ชัดเจนพอ

“ ไปสิ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ต้องการความช่วยเหลือ ก็ตะโกนให้เสียงดังๆเลยนะ แล้วกูจะเข้าไปช่วยมึงเอง ” ท่าทางกำหมัดด้วยสายตามาดมั่นที่คล้ายกับเด็กเล็ก ชวนให้ผมหลุดหัวเราะเสียงดังแบบที่อดใจไม่เอื้อมมือไปขยี้หัว ไม่ได้เลย

ก็เป็นซะอย่างงี้ น่ารักใส่ตลอดเลย

“ นี่กูพูดจริงๆนะ มึงก็อย่าหัวเราะไป ถ้ามันบังคับมึง อย่าไปตกเป็นเหยื่อของมันนะ มาตกเป็นเหยื่อของกูแทนเข้าใจมั้ย แต่ถ้าไม่ไหว ดื้อด้านมากๆ ก็ให้ตะโกนออกมาให้สุดเสียงเลยนะว่า ‘ เมี่ยงช่วยกูด้วย!!’ แบบนี้นะ แล้วกูจะวิ่งหิ้วกระทะไปทุบหัวมันเอง โอเคนะ ”

“ ครับผม เข้าใจแล้ว ” พยักหน้ารับคำพูดนั้น คนฟังก็ยกนิ้วโป้งถูกใจมาให้

“ ดีมาก ทำตามด้วยนะ ”

“ ค้าบบบบบบบบบบบบบบบ ” ลากเสียงบอก และแบบที่อดใจไม่ไหวเลยในความน่ารักของคนที่พยักหน้ารับกันงึกงักอยู่ตรงหน้า ผมจูบเมี่ยง

“ อีกละ เยอะแล้วนะไอ้สัด ขอย้ำ เยอะไปแล้ว ” คิ้วที่ขมวดติ้วเข้าหากัน แต่ถึงอย่างงั้นท่าทางนั้นก็ยังทำให้ผมก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่ดี แต่คราวนี้แถมให้ที่ข้างแก้มอีกทั้งสองข้าง  “ ยัง คือมึงจะยังไม่หยุด ”

“ อื้ม ”

“ ได้ มึงเจอกู ” ว่าแบบนั้นสีหน้านั้นก็จริงจังขึ้นมาโดยทันที นิ้วมือผสานเข้าหากัน ใบหน้าที่เอียงหน้าไปมา เหมือนคนกำลังเตรียมพร้อมจะใช้กำลัง จนผมได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะถามอะไร มือขาวสองข้างก็จับเข้าที่แก้ม

เมี่ยงประคองหน้าผม มันออกแรงบีบจนปากจู๋ ก่อนจะดึงหน้าเข้ามาใกล้ แล้วจูบลงไปบนริมฝีปากนั่นอย่างแรง แบบย้ำลงซ้ำๆ หนำซ้ำยังบอกกันอีก “ นี่แหน่ะ จูบกลับเลย ”

“ นี่คือจะหยุดน่ารักไม่ได้เลยใช่มั้ยวะ ” ยิ้มถามมัน อีกคนก็ส่งยิ้มกว้างมาให้

“ พูดตามตรงนะ หน้าตาดีอย่างกู มันก็ยากนิดนึงแหละ ” คนน่ารักบอก ในแววตาที่ดูหนักใจไม่น้อยนั้น กวนตีนแบบที่ผมทำได้แค่ส่ายหน้าไปมามา อย่างที่ไม่รู้จะต่อกรยังไง เมี่ยงลุกขึ้น มันจับมือผม  “ กลับบ้านกันเถอะ หิวแล้วด้วยเนี้ย ”

“ แวะหาอะไรกินก่อนมั้ยละ” ประโยคนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป ในสมองของคนตอบมันคงคิดอยากจะบอกกันว่า ‘ ปล่อยให้ดีนคอย มันจะดีเหรอวะ ’ แต่เพราะไอ้สัดนี่ก็แสบใช่ย่อยเหมือนกัน มันก็เลยแค่ยกยิ้มก่อนจะหันมาบอกกัน

 “ ก็ดีนะ หิ๊วหิวอะ ”

‘ ดูออกหมดเลยว่าตอแหล ’ ตอบในใจอย่างงั้น พร้อมกับยิ้มรับในคำตอบ


ก็ยอมรับว่าแพ้ของของน่ารักอยู่ไม่น้อยเลย แล้วแบบนั้นใครจะกล้าขัดใจ


เราใช้เวลานานมากอยู่ในร้านซูซิที่ไม่ไกลกันนักจากมหาลัย แถมคนข้างๆยังชวนกินของหวานที่ก็ละเมียดละไมเหลือเกินแบบที่จะทำให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกลับบ้านให้ช้าที่สุดเพื่อกวนตีนคนที่กำลังรอผมอยู่ เมี่ยงที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในตอนที่เห็นมือถือผมสว่างขึ้นมาเพราะสายโทรเข้าที่ปิดเสียงไว้มันก็เชิดหน้าชวนให้ดู

“ รับสายมันหน่อย บอกว่ายังไม่เสร็จ รอหน่อย ” ว่าแบบนั้นผมก็ส่ายหน้าปฎิเสธ

“ ก็บอกไปแล้วว่าแวะกินข้าว ถ้ารอไม่ไหว ก็ให้ฝากกุญแจไว้ที่นิติ แต่ถ้ายังยืนยันว่าจะอยู่รอ ก็อยู่ไป ”

“ อยากรู้จัง ว่ามันมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกับมึงต่อหน้าขนาดนั้น แล้ววันนี้มันไม่คุยกับมึงเหรอ  ”

“ ไม่ ” ส่ายหน้าบอก ผมแอบถอนหายใจออกมา เอาจริงๆก็พอเดาออกนั่นแหละ ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายคุย มันคือเรื่องอะไร

ก็คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆที่เราคุยกันมาตลอด เรื่องที่อีกฝ่ายยังคิดว่าผมหลอกตัวเองว่ารักเมี่ยง ทั้งๆที่ยังรักมันอยู่

  กว่าจะเสร็จอีกมื้อที่มีความสุขก็เกือบจะค่ำ จนขากลับเข้าคอนโดกลายเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี รถที่ติดจนแทบไม่เขยื้อนไปไหน แต่ทว่าในนี้กลับไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย เพลงที่เราฟังเมี่ยงร้องคลอตามมันไปตลอด สายตาเรียวที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันมาบอกกัน

“ ไอ้ดีนด่ามึงชิบหายแล้วมั้งตอนนี้ ” เมี่ยงว่าแบบนั้นพลางหันไปดูเวลาที่อยู่ตรงส่วนคอนโซลรถ เพราะนับจากตอนที่ดีนโทรมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ที่ผมปล่อยให้อีกฝ่ายคอยอยู่

“ เราก็ไม่ได้ปล่อยให้มันรอข้างนอกสักหน่อยหรือว่าตากฝนอยู่ มันก็อยู่ในห้องกู ไม่ต้องคิดมากหรอก ” ผมว่าปัดก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวคนนั่งข้าง ที่ถึงจะดูเหมือนกวนตีนยังไง แต่มันก็คิดถึงคนอื่นอยู่ดี หลังประโยคนั้นเมี่ยงพยักหน้ารับ

“ นั่นก็จริง ”

รถถอยเข้าจอดที่ช่องจอดประจำของคอนโด ผมผ่อนลมหายใจออกมากับคนนั่งข้างที่ก็ยิ้มกว้างในตอนที่เห็น มือขาวปลดเข็มขัดนิรภัยมันที่ทำทีจะลงไปแต่ผมคว้ามือไว้ก่อน สายตาเรียวที่หันมามองกันในตอนนั้น ผมพูดอ้อนมัน

“ เหนื่อย ”

“ แล้ว ? ” คิ้วเลิกขึ้นแบบที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เมี่ยงเงียบอยู่นาน มันเหลือบมองผมก่อนจะพลิกตัวมาหากัน “ จะเอาอะไร ”

“ มีอะไรให้เลือกบ้างอะ ” ถามออกไปแบบนั้นอีกคนก็นิ่งคิด

“ เลี้ยงน้ำแก้วนึง ” ถอนหายใจออกมาไปในตอนที่ฟัง ผมเหลือบมองไปนอกหน้าต่างรถฝั่งที่ตัวเองนั่ง ก่อนจะเอียงหน้ามองอีกคน ที่ก็ยังมองกันอยู่แบบนั้นอย่างไม่รู้เรื่องอะไรในท่าทีที่ผมกำลังจะสื่อ จนต้องอมลมตรงแก้มข้างนึงให้มันดู

“ เอ๋ ~ เป็นเหี้ยอะนั่น ” พูดแบบนั้นพลางเอียงหน้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ผมทำ จนชวนให้หลุดยิ้มออกมาก่อนจะทำทีเป็นพุ่งเข้าจัดการมันสักหน่อย แต่อีกคนก็แค่หัวเราะลั่น “ ก็ไม่รู้อะ ว่ามึงต้องการจะสื่ออะไร แล้วคือกูผิดเหรอ ก็ไม่ปะ ”

“ กวนตีนนะมึงน่ะ ”

“ ว่าอีก ว่าแฟนแบบนี้ได้เหรอ มึงอะ ทำเหี้ยอะไรไม่เคลียร์เองปะ คนเราอะ อยากได้ก็พูดออกมาสิ พูดให้มันชัดๆหน่อย ”

“ จูบเพิ่มพลังให้หน่อย เหนื่อย ” หันไปบอกแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าคนที่รอฟังอยู่กลับนิ่งไปซะอย่างงั้น เมี่ยงมันเหลือบไปมองทางอื่น แก้มขาวแดงขึ้นกะทันหัน

“ อะ อะไรของมึง! ” ถามกันแบบอารมณ์เสียใส่ แววตาที่เบิกขึ้น มันคงรู้สึกเขินไม่น้อยที่อยู่ๆผมก็ขอให้ผมอะไรแบบนั้น

“ ก็มึงบอกเองว่าพูดให้มันชัดๆ ” หน้านิ่งบอกอีกฝ่ายแบบพาซื่อ เมี่ยงมันก็ทำทีเป็นคิดข้ออ้าง “ อะไรกันมึงเขินเหรอ ทั้งๆที่เมื่อกี้ในห้องดูหนังมือยังจับหน้ากูมาจูบเลยนะ ”

“ มันก็ไม่เหมือนกันเปล่าวะ อันนั้นมันแบบ..” ใบหน้าขาวเว้นเสียงไป เหมือนมันกำลังหาคำอธิบาย “ อันนั้นมันก็ประมานว่า มีต้นเรื่องให้ทำ เข้าใจม่ะ มึงไม่ทันตั้งตัวอะ มึงไม่รู้ว่ากูจะทำอะไร แต่อันนี้มึงรู้อะ มึงรู้ว่ากูจะทำอะไร มึงรู้ว่ากูจะจูบ มึงก็เลยจ้องมองกู แบบนั้นกูก็ต้องเขินสิ มึงจ้องกูขนาดนี้ ถ้ากูเป็นปลาหมอกูท้องแล้วนะหน้าเหี้ย แล้วจะไม่ให้กูเขินได้ยังไง ใจเต้นแรงจะตายแล้วเนี้ยรู้มั้ย กู..”

จูบที่ริมฝีปากนิ่มสีชมพูนั้นในที่สุด อย่างที่อดใจไม่ได้กับน่ารักที่แสนจะมู่จู้นั่น ผมผละตัวออกเล็กน้อย พลางเหลือบสบสายตาของอีกคนก่อนจะยิ้ม เราเลื่อนตัวมาเข้ามาหาก่อนจูบกันอีกครั้ง ร่างกายที่ขยับเข้ามาใกล้กันของเรา ไม่ต่างอะไรกับริมฝีปากที่กำลังขยับจูบนั้นให้ลึกซึ้ง

มือที่วางค้ำอยู่ตรงที่พักแขนเริ่มขยับเข้าไปกอดเอวบางพลางดึงเข้ามาใกล้ ก่อนจะผละริมฝีปากออกแล้วเอียงหน้าลงจูบที่ซอกคอขาว สูดกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอมที่อีกฝ่ายใช้จนกลายเป็นกลิ่นตัว ไล่ลงต่ำจนมาถึงปกคอเสื้อ ผิวขาวที่โผล่พ้นออกมา ผมจูบย้ำลงไป

“ มึง..” เสียงผ่อนลมหายใจเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาเรียวนั้น ริมฝากสวยเม้มกันแน่น “ ไม่เอาในรถนะ ”

“ อึกกกกก ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมาในตอนที่ฟัง ผมซบหน้าลงกับไหล่อีกคนด้วยความรู้สึกเอ็นดู

“ หัวเราะเหี้ยอะไร ความต้องการของกู มันตลกมากเหรอ ”

“ แล้วมึงคิดว่าเราจะมีอะไรกันในรถเหรอไง ? ” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกคน เมี่ยงมันก็จ้องตากันเขม็ง

“ ก็มัน.. ก็มึงเอามาอะ กูก็เลยคิด”

“ ลามกจังน้า เธอคิดว่า พี่จะทำอะไรเธอเหรอครับ ”

“ มึงงงงง มึงแม่งอย่าพูดเหี้ยอะไรแบบนี้กับใครนะ ถือกูขอเลย ” ถึงขั้นขมวดคิ้วในตอนที่ฟัง แต่คนหน้าตาจริงจังตรงหน้าก็แค่เอามือจับอกตัวเอง “ คือใจเต้นแรงเลยนะ ถึงขั้นเกือบวูบเลย กับคำว่าเธอครับ ”

“ เห้อออ ” เบือนหน้าหนียิ้มๆกับมุกของอีกคน แต่เมี่ยงก็ยังยื่นมือมาจับหน้าผมพลางดึงให้หันมาเผชิญหน้า

“ นี่กูพูดจริงนะ กูไม่อยากเป็นหม้ายก่อนวัยอันควร เข้าใจมั้ย เผลอมึงไปพูดแบบนั้นใส่คนอื่นแล้วเค้าตายขึ้นมา มึงติดคุกเลยนะ ”

“ ด้วยข้อหาอะไรไม่ทราบ ”

“ ทำเค้าใจเต้นแรงและตายไปในที่สุดไง ” ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะพูดอะไร สารภาพเลยว่ามันยากมากที่จะสู้ด้วย จนสุดท้ายก็ได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ คนเหี้ยอะไรจะน่ารักขนาดนี้ น่ารักแบบที่ยากจะต่อกรด้วย “ มึงจะบอกว่ากูหล่อ ”

“ แน่นอน ก็แฟนกู ”

“ ลงไปเลยไป ” เชิดหน้าไปที่ประตูอีกคนก็หันไปมอง พร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง เมี่ยงยักคิ้วให้ผม นิ้วขาวยกขึ้นเก็กหล่อ “ อะไรอีก ”

“ เขินก็บอก ดูออกทั้งหมดนะ ” ทิ้งท้ายไปแบบนั้น แต่ก็นั่นแหละ เถียงไม่ออกอยู่ดี เพราะมันจริงทั้งหมดเลย

...............................................................................


“ จะเข้าห้องกูก่อนมั้ย หรือว่าจะไปคุยกับดีนเลย ” สายตาเรียวที่หันมาถามกันในตอนที่เรายืนรอลิฟต์ที่กำลังลงมารับตรงชั้นหนึ่ง ท่าทางที่ให้ความสนใจผมครุ่นคิด

“ ไปเลยแล้วกัน จะได้เสร็จๆจบๆ ไป กี่โมงแล้วละ ” เชิดหน้าถาม เพราะเห็นมือถือที่อีกฝ่ายถืออยู่ เมี่ยงพลิกมันขึ้นมาดู บนหน้าจอนั้นฉายเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว “ ทุ่มครึ่งแล้วเหรอวะ ”

“ ก็แหม กว่าเราจะออกจากมหาลัยก็ห้าโมงกว่าแล้วมั้ย กว่าจะกินข้าวเสร็จอีกอะ รถติดอีกละ เข้าใจยังทำไมเพื่อนมึงโทรมาจิกเป็นไก่ขนาดนั้น ” เชิดหน้ามาที่มือถือของผมที่อยู่ในกระเป๋า ประโยคยาวเหยียดที่มันพูดด้วยปากมู่จู้ผมดึงมือขึ้นขยี้หัวก่อนจะลดลงมาตรงคอแล้วกอดกันไว้อย่างงั้น

“ ครับๆ ขอโทษทีแล้วกันนะ ”

“ ว่าแต่พรุ่งนี้เรียนเช้า เรียนบ่าย ”
 
“ บ่ายนะ มึงก็บ่ายนะ กูจำได้ ” ว่าแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับ เพื่อเน้นย้ำว่าทุกอย่างที่อีกฝ่ายบอกมันถูกต้องแล้ว “ แต่ว่าพรุ่งนี้กินอะไรกันดีเรา ”

“ หมดวันนี้ก่อนได้มั้ย ”

“ มึง วันนี้มันจบแล้ว ไม่กินแล้วไง อันนี้คือพรุ่งนี้ ไม่เข้าใจคำถามเหรอ ”

“ งั้นไว้พรุ่งนี้ค่อยคิด ” แต่พอบอกแบบนั้น เจ้าคนข่างกินก็ถึงกับนิ่งไป

“ มึงแม่งไม่ได้เลยนะ ” สายตาเรียวหันมาบอกแบบนั้นด้วยความจริงจัง “ ชีวิตมันมีวันพรุ่งนี้ถูกม่ะ เพราะงั้น เราก็ต้องคิดถึงวันพรุ่งนี้เข้าไว้ จะได้เป็นพลังบวก เพราะต่อให้วันนี้ชีวิตของมึงมันเหี้ยมากพรุ่งนี้มึงแม่งไม่อยากอยู่แล้ว แต่ถ้ามึงมีของอร่อยๆรออยู่ มันก็เป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆ ที่จะทำให้อยากจะใช้ชีวิตต่อไปแล้วนะ ”

“ ตระกะสมกับแก้มอ้วนๆของมึงดี ” ขยับมือที่กอดคออีกฝ่ายอยู่บีบเนื้อแก้มขาวจนคนช่างพูดถึงกับต้องอ้าปากประท้วงกับความเจ็บ ในตอนนั้นลิฟต์ที่รอก็มาถึงพอดี

“ นี่ อย่าลืมนะ ”

“ อะไรครับ? ” หันไปถามเมี่ยงมันก็ถอนหายใจ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดีตรงชั้นของเรา

“ ก็เรื่องที่กูบอกมึงไว้ไง ว่าถ้ามีอะไร ก็ตะโกนออกมาให้สุดเสียงเลย กูจะหิ้วกระทะเข้าไปทุบหัวมันให้มึงเอง อย่าไปตกเป็นเหยื่อของมัน ”

“ ให้มาตกเป็นเหยื่อของมึงแทน ” ผมพูดล้ออีกคนก็ยักคิ้ว

“ แล้วก็อย่าล็อคห้องเข้าใจมั้ย เพราะกูวาร์ปเข้าไปไม่ได้ โอเค๊ ? ”

“ ครับๆ ” พยักหน้ารับพลางยักคิ้วให้อีกคน ผมยืนรอเมี่ยงเปิดประตูเข้าไปในห้อง มือขาวที่โบกบ๊ายบายกันเหมือนจะไปไหนสักทีที่ไกลมากๆ ทำเอาผมหลุดยิ้ม

ประตูบานนั้นจะปิดลง ผมก้าวเท้ายาวมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของตัวเอง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย มือผมเอื้อมเคาะประตูบานนั้น


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ คิดว่าจะไม่มาแล้วไอ้สัด ” ประโยคแรกที่ดีนเอ่ยทักกัน ผมไม่ได้พูดอะไรมากกว่าการยักคิ้วทักทายมัน ก่อนจะเดินเข้าผ่านเข้าไปในห้อง “ ทำเหี้ยอะไรอยู่โคตรช้า ”

“ ไปกินข้าวกับเมีย ” บอกแบบนั้นผมนั่งลงบนโซฟาของตัวเอง พลางมองไปที่โต๊ะที่อยู่ข้างหน้า ดูเหมือนอีกคนกำลังกินบ็อปคอร์นกับเบียร์ยี่ห้อที่ชอบอยู่ “ แล้วนี่กินข้าวยัง ”

“ เป็นห่วงเหรอ ”

“ แค่ถามได้มั้ยไอ้สัด ทำไมต้องโยงเข้าเรื่องตลอด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจ มันก็ยกยิ้ม ก่อนหมุนตัวไปที่ตู้เย็น เสียงเปิดกระป๋องเบียร์ที่ได้ยินทำเอาผมหันไปมองแผ่นหลังนั้น

“ สักหน่อยนะ ” ว่าแบบนั้นเบียร์เย็นเฉียบก็ถูกยื่นมาให้ ผมกินมันเข้าไปแบบที่ไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะวางลงบนโต๊ะแล้วมองคนที่เดินมานั่งข้างๆ “ คือมึงกินแค่นั้น ”

“ ก็ไม่ได้อยากกิน มึงมีอะไรจะพูดก็พูด ” ผมถามซ้ำ อีกคนก็ยกยิ้มพร้อมกับดึงเบียร์ของตัวเองขึ้นมากิน

“ ทำไม ? ไอ้เมี่ยงไม่อยากจะให้กิน ”

“ เกี่ยวอะไรกัน มึงเลิกโยงไปที่เมียกูได้มั้ย ” ถามออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็ยักไหล่

“ ก็ใครจะไปรู้ บางทีไอ้สัดนั่นอาจจะบอกว่า อย่ามานั่งกินเหล้ากับกูก็ได้ เพราะบางทีถ้าเมาแล้ว อาจจะเผลอเผยสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาก็เป็นได้ ”

“ อะไรคือสิ่งที่มึงบอกว่า ไม่ควรพูด ”

“ ก็ประมานว่าจริงๆ มึงอาจจะเตี๊ยมกับไอ้สัดนั่น เพราะว่าสนิทกัน อยู่คอนโดเดียวกัน ”

“ มึงรู้ว่าเมี่ยงอยู่ที่นี่ ” ผมถาม ดีนก็นิ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

“ กูก็ไม่ได้โง่นี่ จริงๆวันนั้นมึงเองก็เห็นกูใช่มั้ย วันที่มึงจูบกับเมี่ยง ”

“ มึงอยู่ที่นี่ ? ” ถามกลับไปแบบนั้นอีกคนก็เบือนหน้ายิ้ม “ มึงมาด้วยเหรอ กูคิดว่า พอกูวางสาย มึงจะไม่มา แล้วก็ตรงไปกินเหล้าเลย ”

“ รู้มั้ยมึงแม่งโคตรโกหกไม่เนียนเลย ” คำถามนั้นทำให้ถอนหายใจออกมา เบียร์ตรงหน้าถูกดึงขึ้นมาดื่มระบายความเหนื่อยหน่ายนั้น แต่ดีนก็แค่ยิ้ม มันยิ้มเหมือนจับผิดอะไรได้ในตัวผม “ กูว่ามึงต้องรู้จักกับไอ้เมี่ยงที่นี่ แล้วก็สนิทกันถึงขั้นเล่าเรื่องของกูให้ฟัง แล้วมันก็เลยบอกมึงว่าช่วยใช่มั้ย ”

“ ดีน ”

“ กูว่านี่คือแผนของไอ้เมี่ยง ใช่มั้ย ใช่สิ แน่นอนอยู่แล้ว ” สายตานั้นมีแต่น้ำตาที่คลออยู่ แววตาที่ผมเคยชอบ แววตาที่เคยเป็นความสุขทั้งหมด ตอนนี้มันสั่นไหวไปหมด เสียงของดีนเองก็สั่น “ มึงก็แค่อยากจะให้กูยอมรับมึง ยอมรับในความสัมพันธ์ของเรา ส่วนไอ้เมี่ยงก็แค่อยากจะสะใจที่ความลับของเรามันเปิดเผย ใช่มั้ย บอกกูเถอะ กูไม่โกรธเลยจริงๆ กูรู้จักมึงดี กุรู้จักมึงดีกว่าใคร  มึงจะเลิกรักกูได้ยังไง ทั้งๆที่มันแค่ไม่กี่วันเอง มึงจะเลิกรักกูที่รักมาตั้งหลายปีได้แค่ในไม่กี่วันเหรอ พูดยังไงก็ไม่เข้าใจหรอก มันไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกเชื่อได้เลย กูรู้จักมึงดี ”

“ ผิดแล้ว ” ผมพูดขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปมองมัน มองคนที่ตอนนี้น้ำตาไหลออกมาช้าๆในตอนที่สบตาผม ผมที่เหมือนจะค่อยๆจางหาย และดูไกลออกไปในเรื่อยๆในความรู้สึกนั้น “ มึงไม่ได้รู้จักกูหรอก มึงแทบไม่เคยรู้จักกูเลยด้วยซ้ำไป แม้แต่ตอนนี้มึงยังไม่รู้จักกูเลย ว่ากูเป็นคนยังไง มึงถึงได้พล่ามอะไรพวกนั้นออกมาไง ”

“ แล้วมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ กับการไม่รักกู ” คำถามนั้นที่จ้องมองกัน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ ลดความมั่นใจของตัวเองลง แล้วมึงจะมองเห็นกูชัดขึ้น กูที่เป็นเพื่อนมึงมาสิบปี กูเป็นคนแบบนั้นเหรอวะ  กูเป็นคนชอบโกหก สร้างเรื่องตอแหลเพื่อให้มึงมารักเหรอ กูเป็นคนแบบที่ชอบบีบบังคับคนอื่นเหรอวะ ถามจริงดีน กูเป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอ ” ถามย้ำคนตรงหน้าที่ก็ได้แต่เอนหลังลงพิงกับเพดานที่ว่างเปล่านั้น ดีนปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลไปทั้งอย่างงั้น

“ มึงจะไปรู้อะไร บางที อาจจะเพราะกูรู้จักมึงดีเกินไปก็ได้ เลยยังดิ้นรนอยู่แบบนี้ไง แบบที่ยังไม่อยากจะยอมรับความจริง ว่าทุกอย่างมันจบแล้ว จบแบบที่กูยังไม่ทันได้เริ่มสิ่งที่กูคิดจะทำด้วยซ้ำ ”

ความเงียบคืบคลานเข้ามากั้นกลางบทสนทนา เราไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน ทุกอย่างมันไปคนละทิศ ความรักที่คนใดคนนึงพยายามอยู่คนเดียว มีวันหมดอายุซุกซ่อนอยู่ตรงที่ใดสักที่หนึ่งอยู่แล้ว 

“ กูรักมึงนะ ”

ที่สุดท้ายพอจะตอบรับ มันกลับใช้การไม่ได้แล้ว
ทุกอย่าง มันสายเกินไป

“ กูรักมึงจริงๆ รักตลอดมา ความรู้สึกของกูคือแบบนั้น กูไมได้พูดเพราะแค่อยากจะดึงมึงไว้ไม่ใช่เพราะมึงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดเลยไม่อยากเสียไป มันไม่ใช่อย่างงั้น ” ผมเงียบในตอนที่ฟัง ดีนเองก็เหมือนกัน อีกคนยังคงมองเพดานที่ว่างเปล่าอยู่แบบนั้น “ แต่เหตุผลที่กูไม่อยากจะตอบรับ ก็เพราะว่าที่บ้านกูไม่โอเคกับการที่กูจะชอบผู้ชายด้วย กูเลยยังไม่อยากจะตอบรับมึง ที่บอกอยากรอให้เรียนจบก่อน ก็คือรอให้ถึงตอนที่กูไม่ต้องพึ่งพาเค้า กูก็จะตอบรับความรู้สึกของมึงได้เต็มปาก ทุกอย่างมันก็แค่นั้น ”

“ อื้ม ” ตอบรับด้วยเสียงในคอ

แต่ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกตลกก็ไม่รู้ ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่า อีกฝ่ายไม่ได้รู้จักผมเลยสักนิด ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่า ทุกอย่างนั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง ข้ออ้างโง่ๆ ที่มันแค่พูดออกมา พล่ามออกมา เหมือนคนกำลังจะตาย ลมหายใจสุดท้ายที่สมองสั่งการก็คือ จนดิ้นรนในทุกวิถีทาง

“ มึง..”

“ เลิกพูดเถอะ ยิ่งมึงพูดเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้กูรู้สึกว่า จริงๆมึงแม่งไม่รู้จักกูเลย มึงไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึก ว่าจริงๆแล้ว เราแม่ง เดินคนละทางมาตั้งนานแล้ว แต่กูเพิ่งรู้ตัว ว่าจริงๆ กูแม่ง ยืนอยู่คนเดียว บนถนนที่คิดว่า มันมีมึงอยู่ ” ผมหลุดหัวเราะออกมาในตอนที่พูดประโยคนั้นจบ “ พ่อแม่ไม่ชอบที่มึงชอบผู้ชายเหรอ ก็เลยปิดบังงั้นเหรอ ด้วยเหตุผลคือเพราะมึงต้องใช้เงินเค้าก็เลย ไม่บอก เหรอ ? อย่างงั้นเหรอ แล้วทำไม ไม่บอกกูสักคำลั คือไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าตอนนั้นกูทำให้มึงได้ทุกอย่างเลยด้วยซ้ำ ถ้ามึงรักกูเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยด้วยซ้ำ ”

เสียงหัวเราะผมเริ่มดังขึ้น “ มึงบอกว่า รักกูมาตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่ทำคือ บอกว่าให้กูรอ ส่วนมึงก็คบกับผู้หญิงคนนั้นไปทั่ว หึ ” ผมยกยิ้ม “ ดูรักกูมากเลยว่ะ คนรักกันเค้าทำกันแบบนี้เหรอ หรือยังไงอีก เสียสละมั้ย ไม่อยากจะให้กูเหงามั้ย เลยเปิดโอกาสให้กูรักคนนั้นคนนี้ด้วย ตัวเองเลยเปิดก่อน เป็นการนำร่อง แบบนั้นมั้ย ”

“ มึง ”

“ แล้วไม่เจ็บเหรอ ตอนที่เห็นกูรักคนอื่น แต่ว่าตอนนั้น..” ผมเว้นเสียงไปแบบยิ้มๆ “ ตอนนั้น กูเจ็บมากเลยนะ ที่เห็นคนที่กูรัก รักกับคนอื่นที่ไม่ใช่กู แล้วตอนนั้นมึงไม่เจ็บบ้างเหรอ หรือรู้สึกแค่ว่า ไม่ว่ายังไงกูก็ไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว ก็เลยปล่อยกูไปไม่สนใจอะไร  เหมือนที่เคยบอกกูแบบมั่นใจวันนั้นไง ว่าไม่ว่ายังไง มันก็ไม่มีทางสำเร็จ กับการที่กูจะเลิกรักมึง ”

ยิ้มให้อีกคนที่ก็เงียบไป น้ำตาของดีนหลุดไหลไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงแค่คราบน้ำตา ที่มือของผมเอื้อมไปเช็ดให้ “ พอได้แล้วดีน ”

“ แต่ว่า ”

“ มันสายไปแล้วมึง กูตอนนี้ไม่มีพื้นที่ที่ไหนในใจที่เป็นของมึงแล้ว ยอมรับเถอะ ว่าเรื่องของเรา มันจบแล้ว กูไม่ได้รับมึงแล้ว กูรักเมี่ยง ” ลุกขึ้นเต็มความสูงในตอนที่พูดคำนั้นจบ แต่เหมือนว่าอีกคนก็ยังไม่อยากจะยอมรับ ดีนดึงตัวเองขึ้น สองมือนั้นกอดรั้งที่เอวไว้แน่น ใบหน้าซบลงบนไหล่

ราวกับ เชือกเส้นสุดท้ายของมนุษย์ทุกคนที่ทำได้ทุกอย่าง

ดีนจูบลงบนไหล่ผม มือที่พยายามดึงดันให้หันมาเผชิญ ใบหน้านั้นโน้มลงมา ริมฝีปากเองก็พยายามที่จูบกันจนผมต้องดึงหน้าหนี ส่วนมือที่ดันมันออก จนสุดท้ายแรงทั้งหมดก็ผลักอีกคนล้มลงไปนั่งลงบนโซฟา ผมตะโกนลั่น

“ พอแล้วมึง!! หยุดได้แล้ว ” เสียงที่เบาลงตรงท้ายประโยค ผมถอนหายใจพลางมองหน้าคนที่ก้มหน้าลงอยู่แบบนั้น น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อาย มือทิ่ดหน้าตัวเองไว้ กลั้นเสียงร้องไห้ที่ดังลั่นเหมือนเด็กเล็กๆ

 เชือกเส้นสุดท้ายของเรา มันขาดลงแล้ว

“ คิดถึงอนาคตบ้างมึง  อย่าทำตัวไม่มีค่าอย่างงั้น อยากจะมองหน้ากูไม่ติดไปทั้งชีวิตเหรอ ” ผมบอก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่นั้น “ มันยากที่จะยอมรับ กูรู้ แต่มึงก็ต้องยืนหยัดให้ได้นะ ” ไม่มีคำตอบรับใดหลุดออกมาจากปากนั้น ผมถอนหายใจ “ แล้วก็จำเอาไว้ ว่าอย่าทำแบบนี้กับใครอีก ไม่รักก็บอกไปเลยว่าไม่รัก เพราะความรัก มันไม่ใช่ความเกรงใจ อย่าไปทำให้ใคร มันต้องเสียเวลาแบบที่ทำกับกู ”

กูที่สะสมความรู้สึกของเรามาตั้งนาน
แต่ตอนทุบประปุกออกดู กลับพบว่าในนั้นมันมีแค่กู 
และไม่มีเลย แม้แต่คำว่า รัก จากมึง

เปิดประตูออกจากห้องของตัวเองแล้วปล่อยอีกฝ่ายไว้อย่างงั้น โดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ผมผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ปิดประตูลง ก่อนจะก้าวเท้ามายืนอยู่ที่หน้าประตูข้างๆ มือก็เอื้อมเคาะ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ กลับมาแล้วเหรอ ” รอยยิ้มกว้างที่เห็นในวินาทีที่ประตูเปิดออกนั้น ชวนให้หัวใจพองโตจนหลุดยิ้มตามออกมา ผมผ่อนหายใจโล่งในขณะที่เดินเข้าไปใกล้ร่างขาว ก่อนจะโน้มตัวลงกอดอีกฝ่ายไว้อย่างแนบแน่น

“ กลับมาแล้วครับ ” และจะไม่ไปไหนอีก จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ ไปตลอดเลย

.........................................................

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

‘ ออกมั้ย ’ ข้อความในหน้าจอมือถือชวนให้ผละสายตาออกมาจากหน้าจอทีวีที่กำลังฉายหนังที่ค่อนข้างหน้าเบื่อหน่ายต่างจากรีวิวที่มีแต่คนกล่าวชม ผมหยิบมันมาดูพลางครุ่นคิดถึงคำตอบ เพื่อนแก้งค์กินเหล้าของผมเป็นคนละกลุ่มกับเพื่อนมหาลัย เพราะไอ้เมี่ยงไม่ใช่สายดื่ม และไอ้เจ้ยก็ค่อนข้างติดเมีย

‘ มึงออกเหรอ ’

‘ ออก ’

‘ งั้นกูก็ออก ’ ตอบออกไปแบบนั้นผมกดล็อคหน้าจอมือถือรวมทั้งทีวีตรงหน้า คว้าเอาของที่จำเป็นทั้งหมด ยันใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินลงมาที่ลานจอดรถ และใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีในการมาถึงที่ผับร้านประจำ

“ มันเร็วดีจังเว้ย ” คนที่เอ่ยชวนลงจากรถพร้อมกับผม นิ้วของเราทำทีท่าคล้ายกับท่ายิงปืนส่งเข้าหากันพร้อมกับเสียงจิ๊ปากเล็กๆแบบปกติอย่างที่ชอบทำให้กัน

ซุง เป็นเพื่อนคนละมหาวิทยาลัยกับผม หนุ่มรูปร่างสูง หน้าตาไม่ดีเท่าไหร่ เพราะผมหล่อกว่ามากนั้น เคยมีแต่คยบอกว่าเราลักษณะคล้ายๆกัน แม้แต่ในด้านไลฟ์สไตส์ต่างๆ แต่ผมก็ยังมองว่า ผมเจ๋งกว่ามันอยู่ดีนั่นแหละ ในทุกด้านเลย

 เรารู้จักกันแต่แต่ม.ปลาย อยู่กลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่นั้น แถมยังถูกแต่งตั้งสถาปนาให้เป็นเพื่อนก๊งเหล้ามาตั้งแต่เราเริ่มเข้าผับกันครั้งแรก

“ ไอ้สัดเวย์อะ ”

“ มาถึงแล้ว ส่งไลน์มาบอกเมื่อกี้ อยู่ข้างในนู้น ” เชิดหน้าเข้าไปในผับก่อนที่ผมจะเหลือบไปเห็นรถยุโรปคันคุ้นตาที่จอดอยู่ด้านนอก

“ นั่นมันออดี้ไอ้ดีนนี่หว่า ” พูดแบบนั้นคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็โค้งมามอง ไอ้ซุงมันเหลือบมองผม

“ อย่ากวนตีนมันอีก ถือกูขอสงบศึกสักครั้ง ไม่มีใครหาว่ามึง เจ๋งเลย เคนะ ”

“ พูดเหี้ยอะไรกับคนดีๆแบบกู มึงก็เห็นว่าทุกครั้งไอ้สัดนั่นเริ่มก่อน กูไม่คิดจะทำเหี้ยอะไรมันอยู่แล้วเปล่าวะ ” หันไปบอกคนยืนข้างๆ อีกคนก็ยกยิ้มก่อนจะส่ายหน้า แน่นอนว่ามันไม่เชื่อกัน “ พอแล้วกับเรื่องของมัน วันนี้กูโดนยับสัดๆ ไม่ขอหาเรื่องอีกจ้ะพี่จ๋า ”

“ ยับอะไร ” มันถาม พลางขมวดคิ้ว “ มึงโดนเหี้ยอะไรมา ”

“ ไอ้สัดเจ้ยยังไม่ได้เล่ามึงเหรอ ” คนฟังส่ายหน้า “ ทำไม เกิดอะไรขึ้นอีก ทะเลาะกัน ”

“ ไม่มีอะไรมาก กูแค่ปากเหี้ย พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด คือไอ้สัดเมี่ยง แม่งชอบกับไอ้อาร์มเพื่อนสัดดีน แต่เมื่อคืนก็อย่างที่มึงรู้ ไอ้อาร์มมันเคยชอบไอ้ดีนมาก่อน นั่นแหละ กูชิงบอกเรื่องนั้นก่อน แบบที่ไอ้สัดอาร์ม ยังไม่เคยบอกเพื่อนกูเลย ”

“ หน้าเหี้ย ”

“ จ้า รู้แล้วจ้า สำนึกแล้ว จะไม่ต่อยดีกับไอ้สัดนั่นอีกต่อไปแล้วแม่ พอใจมั้ย ” ยกมือไหว้คนที่อยู่ตรงหน้าแบบที่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ กูง้อสัดเจ้ยมาทั้งวันแล้ว แม่ง โกรธกูยิ่งว่าไอ้เมี่ยงอีก ”

“ มึงก็รู้ว่ามันเป็นจริงจังกับเรื่องแบบนี้ ” เราผลักประตูผับในตอนที่อีกคนพูดประโยคนั้นเสียงดังก้องของเพลงที่กำลังถูกเปิด ผมมองไปรอบๆหาโต๊ะตัวเองที่มาก่อนหน้าแต่กลับเจอเข้ากับคนรู้จักอย่างไอ้สัดดีนที่อยู่ตรงเค้าท์เตอร์บาร์ก่อนเสียอีก “ นั่นไง สัดเวย์ ”

“ อื้ม ” ขานรับในคอ ผมเดินไปนั่งลงที่โต๊ะของเพื่อนสนิทที่ก็ยิ้มกว้างแบบเห็นฟันเกือบทุกซี่ ให้กัน มือที่ยกทักทายผมนั่งลง และแบบที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร แก้วถูกดึงขึ้นมาชงเหล้าทันที

“ ซี้มึงก็มานะสัดเบส ” เชิดหน้าหน้าไปที่ไอ้ดีนที่นั่งอยู่ในมุมตรงกับผมพอดี “ แต่วันนี้มาแปลก มาถึงก็นั่งลงตรงนั้น แล้วก็สั่งรัวๆเลยครับ ไม่พูดจากับใครเลย สาวเข้ามาคุย ปกติไอ้สัดนี่จะแบบแอ๋วๆตอบนะ แต่หนนี้ไม่เลย ”

“ มึงแม่งสนใจอะไรมันขนาดนั้นก่อน ” ผมถามคนเล่าก็หันมามองแบบหาเรื่อง

“ หน้าเหี้ยแล้วไง ”

“ ก็ดูสนใจแบบเกินเบอร์จริงๆอะไอ้สัด ” ซุงมันบอกก่อนจะยกแก้วเข้ามาชนแก้วของผมที่ก็ชนเข้ากับชนแก้วของอีกคนพอดี

“ แต่วันนี้มันดูผิดปกติจริงๆนะ มึงต้องเห็นตอนที่มันเดินเข้ามา ” คนที่เห็นเหตุการณ์บอกย้ำแบบนั้นด้วยสายตาความจริงจัง “ ปกติมันจะเดินเข้ามายังไง ”

“ ก็เดินมาด้วยหน้าเหี้ยๆแบบที่คิดว่าตัวเองหล่อชิบหาย แล้วก็ควงมากับใครสักคน แล้วถ้ามันเห็นเรา มันจะเหลือบมองเรา เหมือนเราแม่ง คือกลุ่มคนไร้ค่า ”

“ เอาซะเห็นภาพเลยไอ้สัด ” ผมว่าแบบนั้นกับคำพูดของไอ้ซุง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นกิน

“แต่วันนี้มันไม่เป็นแบบนั้น มันร้องไห้มาเลยนะ มือยังเช็ดน้ำตาอยู่เลย แล้วคราวนี้มันก็เดินก้มหน้าก้มตาไปนั่งฟุบอยู่ที่เค้าท์เตอร์บาร์เลยนะ เล่นเอาบาร์เทนเดอร์เลิ่กลั่กสุดๆ มีความมองมึงมองกู แบบกูจะทำเหี้ยยังไงกับไอ้เชี้ยนี่ดี ”

“ มึงคิดเหมือนกูมั้ยบีหนึ่ง  ” ถามไอ้ซุงที่ก็ยกเหล้าขึ้นดื่มแบบยิ้ม

“ เหมือนสิบีสอง ”

“ เหมือนเหี้ยอะไร พวกมึงคิดเหี้ยอะไรอีก ” คนเล่าพูดขึ้นแบบโวยวาย พลางหันมองเราแบบเลิ่กลั่ก “ ไอ้สัดกูไม่ได้ชอบไอ้ดีน ”

“ ยังไม่ได้พูดอะไรเลยเวย์ ทำไมร้อนตัวอะ ” ผมถาม ก่อนที่อีกคนจะพูดแบบไม่ออกเสียงท่ามกลางเสียงหัวเราะของเรา

“ หน้าเหี้ย ”

 เพลงในผับคลอไปพร้อมกับบทสนทนาระหว่างกลุ่มของเรา บ้างก็ร้องเพลงตามที่ได้ยิน ผมโยกหัวเบาๆ ก่อนจะยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่ม แล้วหันเหลือบไปมองคนที่นั่งกินเหล้าเงียบๆอยู่ที่บาร์คนเดียว

“ มองเหี้ยอะไรอยู่ ” ไอ้เวย์ถามผมยิ้มๆ แบบหมายจะแซว ผมก็หันไปยกยิ้ม

“ เวย์สนใจในตัวกูจังเลยอะ  ว่าแต่ทำไมถึงรู้ว่ากูมองดีนน้า เพราะเวย์มองดีนอยู่เปล่า ”

“ K ”

“ พวกมึงๆ ดูนั่น ” สายตาของไอ้ซุงที่เชิดหน้าไปด้านหน้าพลางกับยกเหล้าขึ้นดื่ม สายตาของมันที่ชี้ชวนให้มองนั้น ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนนึงที่กำลังนัวเนียอยู่กับไอ้ดีนด้วยจูบที่ออกรส  มือเธอไล้ไปตามแผ่นหลังก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงกระเป๋าตังค์ที่เสียบอยู่ตรงกางเกงด้านหลังของอีกคน

“ นั่นมันโจรล้วงกระเป๋าในคราบเสือสาวนี่น่า ”

“ แล้วเราจะนั่งอยู่ตรงนี้แบบที่ไม่ทำอะไรเลยเหรอสัด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่คนทั้งคู่ ผมคว้าเอามือสาวคนสวยที่อยู่ในชุดเดรสรัดรูปสีดำสนิทนั่น ก่อนจะจ้องมองเธอ ที่ก็มีท่าทีเบิกตาขึ้นกะทันหันด้วยความตกใจ “ จะทำอะไรครับ ล้วงกระเป๋าเหรอ ไม่น่ารักเหมือนหน้าตาน้า ”

“ ยุ่ง! ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย ” เธอว่านั้นพลางผลักอกของคนที่จูบนัวเยียกันอยู่เมื่อครู่นั้นเสียเต็มแรง คนเมาเซเข้าซบอกผม “ เพื่อนมึงเหรอ ”

“ ก็ไม่เชิง ”

“ งั้นฝากบอกด้วยแล้วกันว่าจูบห่วยชิบหาย ” สะบัดตัวหนีไปทันทีแบบที่เหมือนว่าทำทีเป็นเสียงดังโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ พี่ ผู้หญิงคนนั้นจะล้วงกระเป๋าผู้ชายคนนี้ ” ผมบอกบาร์เทนเดอร์ที่ก็มีท่าทีตกใจไม่ไม่น้อย ก่อนจะเชิดหน้าไปทางเธอเพื่อบอกให้จัดการ แล้วหันกลับมามองดูคนเมาที่ดึงตัวเองออกจากผมด้วยความเชื่องช้า ดีนมันถอนหายใจ

“ วันเหี้ยอะไรวะเนี้ย ”

“ นี่มันเมาได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ” เอ่ยถามออกไปอีกคนก็เหลือบตาขึ้นมามอง ก่อนจะยกยิ้มให้

“ คิดว่าใคร ที่แท้ก็มึงนี่เอง แต่ก็เอาเถอะ วันนี้ก็คงไม่มีอะไรเหี้ยเท่ากับเรื่องนั้นแล้วละ ต่อไปนี้ก็ด้วย ” ว่าแบบนั้นยิ้มๆ มันหันไปสั่งคอลเทลกับบาร์เทนเดอร์ แบบที่ไม่ได้ขอบคุณอะไรผมสักคำ

“ ช่วยมึง กูช่วยหมาแม่งยังรู้บุญคุณมากกว่า ” พูดแค่นั้นก่อนจะส่ายหน้าเดินออกมา แต่ยังไม่ทันจะเดินกลับมาถึงโต๊ะคนที่เมามากกลับล้มตัวตกลงจากเก้าอี้ที่นั่งตามแรงโน้มถ่วง  “ เชี้ย! ”

คนทั้งผับหันมองเราเป็นสายตาเดียว ร่างที่ล้มลงนอนกับพื้น แต่เหมือนคนที่ตกลงนั้นจะไม่ได้รู้สึกอะไร ร่างหนาพลิกตัวนอนหงายก่อนจะหลุดยิ้ม แล้วก็หัวเราะออกมา ราวกับชีวิตตอนนี้ของมันเป็นอะไรที่โคตรจะบัดซบ บัดซบจนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่มีอะไรจะทำให้รู้สึกแย่กว่าที่เป็นอยู่ได้อีก

“ นี่มันเหี้ยอะไรกันวะ ” พูดแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจแล้วดึงร่างของคนเมาขึ้นมา มันที่แทบไม่ได้สติ ผมจำเป็นต้องเอามือข้างนึงนั้นพาดเข้าที่คอ ก่อนจะเชิดหน้าไปทางเพื่อนอย่างไอ้ซุงไอ้เวย์ที่เดินเข้ามาช่วย “ ฝากจ่ายตังค์ค่าเหล้าให้ไอ้สัดนี่หน่อย แล้วก็เอาบิลมาด้วย กูจะเอาไปเก็บกับมัน ”

“ โอเค ” เวย์พยักหน้ารับให้ผม มันที่เดินตรงไปจัดการเรื่องพวกนั้นกับไอ้ซุง ส่วนเราก็เดินออกมาถึงรถพอดีก่อนที่ผมจะพิงร่างของมันเข้ากับรถของเจ้าตัว

“ แล้วกูจะจัดการมึงยังไงดีวะ ” ยันมือประคองร่างอีกคนที่พร้อมแลนดิ้งทิ้งดิ่งลงพื้นในทุกเมื่อ “ ดีน ” สายตาเรียวนั้นเหลือบมองกัน มันตอบสนองต่อเสียงเรียก ก่อนที่จะค่อยๆขยับมือเข้ามาจับที่คอเสื้อของผมในตอนนั้น อีกคนพูดพูดยิ้มๆ

“ จัดการกูยังไงเหรอ ไม่เห็นจะยากเลย ” มันว่าแบบนั้น พร้อมกับใบหน้าที่ดึงข้ามาหากัน และอย่างไม่ทันได้ระวังตัวให้ดี ดีนจูบผม แบบที่ตาเล็กๆต้องเบิกขึ้นกว้างอย่างสุดตัวด้วยความตกใจ  ก่อนประโยคที่ไม่ทันได้คาดคิดยิ่งกว่านั้น จะถูกเอ่ยออกมา “ ไปมีอะไรกันปะ ”

“ ขออีกที ว่าไงนะ ” เพราะดูเหมือนว่าเมื่อครู่ผมจะฟังผิดไป

...............................................................
เจอกันตอนหน้าค้า #วิ่ง
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า
ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆในทุกๆครั้งเลย
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ฮิ้ววว ก็ถ้าจะจากคู่แค้นมาเป็นคู่รัก มันก็เป็นสีสันไปอีกแบบนะ เอาเล้ย เชียร์ๆ  :impress2: 555555

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ดีนถึงกับเสียศูนย์ไปเลยล่ะมั้ง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :m22: ต่อ ๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไงหล่ะ   มันมีเค้าลางตั้งแต่ต้นแล้ว

ว่าคู่กัดมักจะต้องกลายมาเป็นคู่กัน  หุหุ

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มารอเรื่องนี้

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ตอนที่ 30


ทุกอย่างเงียบ เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงของตัวอะไรสักอย่างร้อง เป็นเสียงที่ดังจี๊ดๆอยู่ในหู ผมมองหน้าคนตรงหน้า คนที่กำลังยกยิ้มให้กัน แต่ทว่าในแววตานั้นกลับมีเพียงแต่ความว่างเปล่า

มันเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ

ดีนคนที่นัยน์ตามีแต่ความรู้สึกดูถูกยามที่มองมาหากันกับท่าทางเหนือกว่า แต่ในวินาทีนี้มันกลับไม่มีอะไรแบบนั้นอยู่เลย แต่นั่นแหละ... บางที ก็อาจจะเพราะกำลังเมา

‘ เออใช่ เมาแหละ พูดเหี้ยอะไรแบบนั้นออกมาได้ คงเมาแน่ๆ ’  คิดได้แบบนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปจ้องมันแบบจริงจัง  “ ถ้ามึงเมาก็กลับบ้านไปนอน ” แต่ดีนก็แค่ยิ้ม “ ยิ้มเหี้ยอะไร นี่รู้มั้ยว่าพูดอะไรออกมา ”

“ โอเคๆ ” ตัดจบแค่นั้นด้วยเสียงที่เหมือนกับคนงัวเงีย ร่างที่ค่อยๆยืนหยัดด้วยขาตัวเอง มันผ่อนลมหายใจออกมา พลางหันไปอีกฝั่ง แล้วตอนนั้นเองที่ไอ้ซุงกับไอ้เวย์ก็เดินออกจากผับและกำลังตรงเข้ามาหา “ มึงไม่ใช่มั้ย งั้นกูจะลองถามเพื่อนมึงดู ” 

ขาที่พยายามยืน ดีนใช้สติของตัวเองทั้งหมดที่มีทำทีเป็นจะเดินไปหาสองคนนั้น แต่ผมก็แค่ดันมันเอาไว้ก่อน ด้วยความไม่เข้าใจเลยว่า ตอนนี้มันคิดอะไรอยู่ และไม่เข้าใจเลยว่า มันจะทำอะไรแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน

“ เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ สติก่อนมั้ยไอ้สัด ” เสียงตะโกนที่ชวนให้อีกคนนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับคนสองคนข้างหลังที่ถึงขั้นชะงัก ดีนหลุดหัวเราะออกมาในตอนที่จ้องหน้าผม

“ แล้วทำไมต้องดุด้วยอ่า ” สายตาของคนไร้สติมองกันอย่างล่องลอยในตอนที่ถามกลับมา ดีนมันยกยิ้มพลางเอียงหน้าไปมาแบบซ้ายทีขวาที “ หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น แค่อยากลองเอง ก็ไม่ได้เหรอ ”

“ แล้วมันใช่เรื่องที่มันต้องลองมั้ย ใช่เรื่องที่มึงต้องเอาตัวไปเข้าแลกเหรอ ” ผมถาม ก่อนจะยกยิ้ม “ ทำไมวะ พอเค้าไม่เอา ก็คือจะปล่อยฟรีเลยว่างั้น นี่มึงไร้ค่าขนาดนั้นเลย ”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา สีหน้าที่เรียบนิ่งแปรเปลี่ยนไปเป็นความหงุดหงิด สายตาเล็กที่ไม่ต่างกันของเราจ้องมองกัน แต่แทนที่จะเถียงอะไรอย่างปกติ คนเมากลับแค่หันหลังหนี ดีนควานหากุญแจรถในกระเป๋าตัวเองแบบสะเปะสะปะ มือมันควานหาไปทั่ว

 “ เมาขนาดนี้มึงยังจะขับรถออกไปเป็นภาระให้สังคมอีกเหรอ คนอื่นเค้าไม่ได้อยากจะตายไปกับมึงมั้ย ”

“ ด่าอยู่นั่น พอสักทีได้มั้ยไอ้สัด! ” เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาจนชวนให้สะดุ้ง คนที่ตะโกนมาผ่อนลมหายใจออกมาพลางซบหน้าลงกับตัวรถ ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก แล้วตอนนั้นเองที่ผมจะได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ของคนที่ค่อยๆไหลลงไปนั่งยองอยู่ข้างๆกับรถของตัวเอง

“ ไอ้นี่ก็ไหลจัง ” พูดเหมือนติดตลกมือสองข้างก็ยกเช็ดมันออกไป

“ ก็ได้นะ ” ดีนเหลือบมองผมในตอนที่พูดคำนั้นออกมา

“ อะไร ”

“ ก็ที่มึงถามเมื่อกี้ไง ว่ามีอะไรกันมั้ย แล้วคำตอบของกูก็คือ ก็ได้นะ ” ยักไหล่ให้ในตอนที่พูดแต่เหมือนมันจะนิ่งไป “ กูน่ะ ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว เพราะกูไม่ได้เสียเปรียบอะไรสักหน่อย ว่าแต่มึงเถอะ ”

“ อะไร ”

“ จะเอาจริงหรือเปล่าละ หรือแค่พูดออกมาพล่อยๆ ”

“ ไม่กลับคำอยู่แล้ว ” สายตาของคนที่ไม่เคยยอมแพ้เงยมองกันก่อนจะเว่าแบบนั้น ผมก็ได้แต่ยกยิ้ม “ เพราะถึงไม่ใช่มึง กูก็จะไปถามเพื่อนมึงอยู่ดี ”

“ เงี่ยนมากเลยว่างั้น ” ดีนไม่ตอบอะไรในตอนที่ผมถาม “ แต่ก็อย่าเลย ถ้าเป็นเพื่อนกู คงไม่หนำใจหรอก ” ผมบอก “ ถ้าเอากับใครสักคน เอากับกูที่เป็นศัตรูนี่แหละดีน เพราะมันดูชีวิตมึงไม่มีศักดิ์ศรีที่สุดแล้ว ”

รอยยิ้มที่ค่อยๆเหยียดยิ้มขึ้นมาตรงมุมปากเล็กๆ ดีนมันถอนหายใจในตอนที่เพื่อนของผมสองคนเดินมาถึง แววตานั้นก็หลับลง ลำตัวที่ค่อยๆไหลลงตามแรงโน้มถ่วง เหมือนคุมสติไม่ไหวนั้น ผมจำต้องดึงขาตัวเองเข้าไปกั้นไว้ที่ข้างตัวเองอีกฝ่าย กันไว้ไม่ให้มันล้มลงนอนบนพื้นหินสกปรก

“ ปวดหัวชิบหาย ลืมตาแทบจะไม่ขึ้นเลย ” ว่าแบบนั้นใบหน้านั้นก็ซบลงมาที่ขาของผม สายตาเรียวเล็กไม่มีทีท่าจะลืมตาขึ้นมา ดีนที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คงร้อนรุ่มไปหมดทั้งร่าง ไม่นับความรู้สึกที่คงอยากจะอ้วกเอาทุกอย่างออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายทุกอย่างมันก็เลยอัดแน่นอยู่ในอก 

“ สมควร ” พูดแค่นั้นแต่ขาก็ขยับเข้าไปแนบลำตัวอีกคนให้มากขึ้น ก่อนจะเกร็งไว้อย่างงั้นในตอนที่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่เหมือนจะเอนลงมามากกว่าเดิมจากคนไร้สติ

 “ สภาพดูน่าหดหู่สัดๆ ” ไอ้ซุงเดินเข้ามาพลางเชิดหน้าไปยังคนเมาที่เจ้าตัวหมายถึง ส่วนไอ้เวย์มันยื่นบิลให้ผม ที่ก็ยื่นมือไปรับก่อนจะก้มหน้าลงมองรายจ่ายทั้งหมดนั้น

“ แดกเหมือนกลัวไม่ตายเร็วอะไอ้สัดซัดแต่ละตัว แรงๆทั้งนั้น ” ผมยกยิ้มพลางมองรายชื่อค็อกเทลที่อยู่บนกระดาษตรงหน้า

“ นี่มันตั้งใจมาเมาเลยนี่หว่า ” ก้มหน้าลงมองคนที่นั่งนิ่งๆแบบหมดสภาพ ก่อนจะพับบิลลงใส่กระเป๋าแล้วหันไปบอกเพื่อน “ เดี๋ยวกูโอนให้นะ รวมถึงของกูด้วย ”

“ อื้ม ”

“ แล้วนี่จะเอายังไง ” เราสามคนมองหน้ากันในตอนที่ซุงเอ่ยถามประโยคนั้น ผมเหลือบมองไปทั่วลานจอดรถ ในที่นี่ไม่มีใคร ไม่เอารถมา  แล้วนั่นก็ทำให้ผมต้องคิดหนัก

“ โทรให้เพื่อนมันมารับมั้ย ไอ้อาร์มอะ ” เวย์มันเสนอทางออก ผมก็เหลือบมองก่อนจะส่ายหน้า

“ คงไม่จำเป็น ดีนมันจะไปห้องกู ”

“ ห๊ะ ? ” ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เสียงประสานของเพื่อนสองคนถามกันขึ้นมาเหมือนนัดหมาย

“ เออ ก็มันบอกแบบนั้น ว่าจะไปนอนห้องกู ”

“ แล้วมึงก็ให้มันไป ”

“ แล้วจะให้กูทำยังไงอะ ” ผมถามกลับ “ ให้มันขับรถกลับบ้านเองในสภาพแบบนี้ ? ”

“ ก็บอกอยู่ ว่าทำไมไม่โทรหาเพื่อนมัน ”

“ นี่โง่ หรือโง่มากเอ่ย ” หันไปถามไอ้ซุงอีกคนก็ทำทีเหมือนจะกำหมัดซัดใส่ผมแบบยิ้มๆ

“ เดี๋ยวเถอะไอ้สัด ”

“ ก็มึงถามเหมือนไม่คิด มึงก็รู้ว่ามันทะเลาะกับไอ้อาร์มที่ตอนนี้ก็เป็นผัวของเพื่อนกูอยู่ แล้วอีกอย่างกูไม่โทรไปบอกให้ไอ้เมี่ยงมันหงุดหงิดหรอก วันนี้วีรกรรมกูเยอะพอแล้ว ก็นี่แหละ การไถ่โทษของกูงายยย ” ยักคิ้วให้ในประโยคจบ แต่เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อกันยังไงก็ยังไม่เชื่อกันอย่างงั้น ทั้งไอ้เวย์ไอ้ซุงหันหน้าไปคนละทาง “ ท่าทางแบบนั้นมันหมายความว่ายังวะไอ้สัด ”

“ หมายความว่าจะขึ้นถึงห้องมั้ย ไม่ใช่ต่อยกันอยู่ในลิฟต์นะหน้าเหี้ย ”

“ นี่ก็เกินไป ”

“ ไม่เกินหรอกจ้าเพื่อน กูเห็นเจอกันทีไร จะใส่หมัดกันตลอดเลย “

“ ก็แค่จะ ไม่เคยได้ใส่หมัดใส่มันสักที ” ผมเถียงกลับก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ มึงก็รู้ว่ากูสุภาพแค่ไหน ไม่มีทางหรอกไอ้ที่จะทำร้ายใคร ”

“ มีพื้นที่ตรงไหนให้กูขากถุยได้บ้างมั้ย ” ไอ้สัดซุงที่ทำทีเป็นมองซ้ายมองขวา ผมยกยิ้มกับท่าทางแบบนั้นก่อนจะพูดไม่ออกเสียง

“ หน้าเหี้ย ”

“ แล้วมึงจะเอามันกลับยังไง ” คำถามของไอ้เวย์ทำเอาผมคิดหนักอีกครั้ง เพราะมันเป็นคำถามที่ก่อนหน้านี้ผมก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน ครั้นจะให้ผมจอดรถของตัวเองไว้ ก็เกรงว่าจะไม่ได้ และจะให้จอดรถอีกคนไว้ก็เหมือนจะไม่ได้เหมือนกัน

“ รถแพงทั้งคู่ด้วยนะ ” ไอ้ซุงมันพูดยิ้มๆ “ เอาไงอะ ”

“ ช่วยขับรถกูไปที่คอนโดให้หน่อยได้มั้ย กูจะขับรถไอ้ดีนกลับเอง ” ผมบอกเพื่อนสองคนก็มองหน้ากัน เวย์มันพยักหน้ารับ

“ งั้นเดี๋ยวกูขับรถกูตามไป แล้วก็รับมึงกลับมาแล้วกันสัดซุง ”

“ โอเคตามนั้น ” โยนกุญแจรถของตัวเองให้อีกฝ่าย ไอ้ซุงไอ้เวย์แยกย้ายออกไปตามแผนที่วางไว้ ส่วนผมก็ย่อตัวลงประคองคนที่เหมือนจะหลับไปแล้วให้ลุกขึ้น “ ดีน ” เอื้อมมือตบแก้มมันเบาๆ แววตาเล็กก็ค่อยๆบรือตามอง

“ ถึงแล้วเหรอ ”

“ ถึงก็เหี้ยละ ลุกขึ้น ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับออกแรงดึงอีกคนขึ้นมาพิงรถของเจ้าตัว ผมจับไปที่หน้าขา แล้วพอมั่นใจว่ามันคือกุญแจมือมันก็ทำหน้าที่ล้วงเข้าไป แต่เหมือนคนเมาจะไม่ได้คิดแบบนั้น ดีนจับที่คอเสื้อของผมแน่นเหมือนมันจะคิดไปเป็นอย่างอื่นในความรู้สึกผม “ ใจเย็นก่อน ” กระซิบบอกอย่างงั้นก่อนจะผละตัวออกห่าง ผมชูกุญแจรถขึ้นตรงหน้ามัน “ แค่ล้วงกุญแจรถเอง ”

ดึงมือของคนที่ยังจับกันที่ปกเสื้อไม่ปล่อยไปไหน ลำตัวหนาที่เอนเอียงงุนงง ชวนให้ผมยกยิ้มกับการเข้าข้างตัวเองเมื่อครู่ แล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแต่อย่างใด

“ คือ ไม่ได้มีอารมณ์หรอกเหรอวะ ” ถามแบบนั้นก่อนจะหุบยิ้มลง เพราะดีนไม่ได้จับคอเสื้อแบบที่คิดเลย มันแค่เมา เมาจนยืนไม่อยู่ ก็เลยจับคอเสื้อกันไว้แบบที่ไม่ให้ตัวเองล้มลงไปไหน แล้วหน้าตาของคนตรงหน้า คือไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองกันด้วยซ้ำ “ โทษที หลงตัวเองไปหน่อ ”

   แล้วก็ขอบคุณมากที่มึงไม่ได้สติขนาดนี้ ไม่งั้นคงโดนล้อไปทั้งชีวิตแน่นอน
กับคำที่มันคงออกมาในรูปแบบที่ว่า กูไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวมึงขนาดนั้นมั้ยไอ้สัด

“ ถ้าจะอ้วกบอกนะ ” ว่าแบบนั้นในตอนที่ยัดอีกคนตรงที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อย ส่วนผมที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ใช้เวลามองดูปุ่มต่างๆในรถที่ไม่เคยขับอยู่ไม่นาน ก็รีบถอยหลังออกไปจากที่จอดแล้วขับกลับคอนโดตัวเองไปแบบที่คันหลังคงแช่งแม่กันอยู่ไปหลายครั้ง ด้วยข้อหาที่กว่าจะออกรถได้ก็เนิ่นนานเสียเหลือเกิน

“ ให้กูช่วยพยุงมันขึ้นไปมั้ย ” ไอ้เวย์ที่เปิดประตูรถของตัวเองเอ่ยถามผม ในตอนที่เดินออกมาตรงที่ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนรถของผมตอนนี้ไอ้ซุงก็จอดให้เรียบร้อยตรงที่ว่างข้างๆกัน มันเดินออกมาพลางโยนกุญแจให้

“ ให้กูช่วยพยุงไอ้ดีนขึ้นไปให้มั้ย ” คำถามเดียวกันกับอีกคน ผมก็ส่ายหน้าไปตามเดิม

“ ไม่ต้องหรอกกูไหว ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็ยักคิ้วตอบรับมาให้ “ โคตรหอมกลิ่นป้ายแดง บุญตูดกูจริงๆ ได้ขับเบนส์พี่เบส เกือบเฉี่ยวฟุตบาทแล้วเมื่อกี้ ตื่นเต้น ”

“ ตีนกูนะพูดเลย ”

“ ใช้ให้กูขับมาเองนะ ได้เหรอไอ้สัดประโยคนั้น ” ว่าแบบนั้นล้อๆ ผมก็ยกยิ้มพลางเก็บกุญแจรถของตัวเองใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง “ กลับแล้วไอ้สัด ขอให้ไอ้สัดดีนอ้วกใส่พื้นห้องมัน ”

“ แล้วพอตื่นเช้ามันกูจะได้ถีบมันจมกองอ้วกนั่นแหละ ”

“ แค่คิดก็หายนะแล้วไอ้สัด ” เวย์มันว่าพลางส่ายหน้า “ คิดเหี้ยอะไรก่อนถึงเอามันมาที่ห้อง ”

“ แล้วจะให้กูทิ้งมันไว้ในผับให้โจรสาวเค้ามาล้วงกระเป๋ามันอีกเหรอไงละ ” ผมว่า “ ตามสโลแกนกูไง หน้าตาดีมีน้ำใจ โอเค๊ ? ”

“ ฟังแล้วปวดขี้ชิบหาย ไปละ ” ซุงมันเขี่ยหูตัวเองแบบที่รับไม่ค่อยได้ ก่อนมันสองคนจะโบกมือลาแล้วขับรถออกไป

ผมใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการพาคนเมาที่แทบจะไม่ขยับขาเดินเองเลยกลับมาที่ห้อง วินาทีที่ปล่อยอีกคนให้นอนลงบนโซฟากลางห้อง ผมถึงขั้นถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรง และแทบจะทรุดลงตรงนั้น

 “ หนักชิบหาย ” เอ่ยบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกตัวเองโง่ชิบหายที่บอกปัดความช่วยเหลือจากเพื่อนสองคนเมื่อครู่ 

ทั้งๆดูภายนอกก็ไม่ได้คิดว่าจะหนักอะไรเอาเบอร์นี้ มันก็รูปร่างดีแบบที่คนหุ่นเฟิร์มเค้าเป็นกัน หุ่นก็พอๆกับไอ้เมี่ยง ที่ตอนนั้นผมแบกมันตอนเมากลับไปที่ห้องแบบแทบจะอุ้มได้ แต่พอเป็นไอ้เหี้ยนี่ กลับคนละเรื่องเลย ตัวแม่งโคตรแน่น

ของทุกอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ ผมเดินไปที่ครัว หยิบเอาแก้วขึ้นมากินน้ำเย็นๆให้ชื่นใจ ก่อนจะวางมันลงบนเค้าท์เตอร์ แล้วมองดูคนเมาที่ยังลงนอนนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับไปไหน และทบทวนกับตัวเองว่า ควรจะทำอะไรต่อไปดี  จะเช็ดตัวให้ หรือแค่ปล่อยให้มันนอนเรื้อนไปแบบนั้นจนถึงเช้า

“ อย่างหลังแล้วนะ ขี้เกียจ ” พูดกับตัวเองแบบยกยิ้ม ก่อนจะผละสายตาไปที่หน้าจอมือถือของตัวเองที่สว่างขึ้นมา ผมเดินไปดูมัน แล้วบนหน้าจอนั้นก็ปรากฏสายโทรเข้า “ แล้วนี่กูไปปิดเสียง ปิดสั่นมันตอนไหน ” 

“ กว่าจะรับสายนะไอ้สัด ” ประโยคที่ได้ยินผ่านสาย ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะดึงมันออกจากข้างหูเพื่อให้มั่นใจว่า เป็นชื่อ ที่เขียนว่า เพื่อนเจ้ย จริงๆ ไม่มีผิดแต่อย่างใด

“ คุยกับกูได้แล้วอะ ” ผมถามใครอีกคนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

หลังจากเรื่องนั้น วันนี้ทั้งวันเจ้ยไม่คุยกับผมเลย ไม่คุยเลยสักคำเดียวหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น แถมยังนั่งหน้านิ่งไปสนใจ ไม่ว่าผมจะพูดอะไรมันก็เมิน ไม่ตอบสักคำถาม

“ กูโทรมาขอโทษที่อินเกิน ” มันว่าแบบนั้นผมก็หลุดยิ้มอย่างห้ามไว้ไม่อยู่

เอาตรงๆคือโคตรดีใจ แน่นอนว่าการทะเลาะกับไอ้สัดเจ้ยแทบจะเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ผมไม่อยากจะให้มันเกิด จนบางทีก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก รู้จักกันครั้งแรกก็ต้องขึ้นม.ปลาย แถมยังมีเพื่อนอย่างไอ้ซุง ไอ้เวย์เข้ามาอยู่ในกลุ่ม แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรให้ขัดใจมันอยู่ดี คล้ายๆว่าจะเกรงใจ จนบางทีก็โดนไอ้สัดสองตัวนั้นขู่บ่อยๆ ว่า ‘ ฟ้องพ่อมึงอะ ’ ไม่ก็ ‘ ทำเหี้ยอะไรเกรงใจพ่อมึงหน่อย ’

แต่ก็อาจจะเพราะด้วยนิสัย

เจ้ยเป็นคนใจดี เป็นคนเดียวที่ถึงจะด่าจะว่ายังไง มันก็ยังเข้าใจในความเป็นผม ที่บางทีถ้าเป็นคนอื่น คงอยากเลิกคบไปแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความปัญญาอ่อน ที่ผมเล่นทะเลาะกับดีนมานานร่วมปี

แต่ถึงอย่างงั้นมันก็อยู่ข้างกันตลอด เป็นคนที่คอยเตือนสติในตอนทำตัวเหี้ยๆ  แล้วก็คอยยินดีในตอนที่มีความสุข

“ เอาจริง แค่มึงคุยกับกู กูก็ดีใจแล้วครับ ” นั่นแหละ จากใจเลยจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ตอนนี้ถ้าตะโกนออกไปก็คือจะตะโกนว่า โคตรโล่งเลยค้าบบบบบบบ

“ เมื่อกี้เมี่ยงมันโทรมาคุยกับกู บอกให้กูคุยกับมึงได้แล้ว ”

“ รู้สึกผิดไปใหญ่เลยกู ” ผมว่า พลางนึกถึงใบหน้าใจดีที่ก็ยิ้มให้กันแห้งๆในชั่วโมงเรียนที่ต้องนั่งกั้นกลางระหว่างเราสองคนของไอ้สัดนั้น เรื่องของตัวเองก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว เพื่อนยังมาทะเลาะกันอีก “ ต้องยกพานไปกราบมันแล้วมั้ยในจุดนี้ ”

“ เออดี กูเห็นสมควรนะ ตอนให้ก็เอาแบบคลานเข่าด้วยนะไอ้สัด ”

“ K เค้ารณรงค์ยกเลิกหมอบคลานกันแทบตาย มึงนี่ยังไง ”

“ ก็มึงถามอะ ” เจ้ยมันว่ายิ้มๆ “ แล้วไม่แค่นั้นนะ กูกลับมาบ้าน พอมิ้งมันเห็นหน้ากูเซ็งหน่อย ก็ถามใหญ่ สุดท้ายพอเล่าจบ เมียด่ากูกระจุย บอกว่ากูทำตัวเหมือนเด็กเล็ก โกรธกับเพื่อนแล้วไม่คุย ทำไมไม่เคลียร์ให้จบๆ ”

“ อะ ต้องสองพานไปเลยแล้วมั้งจุดนี้ ทั้งน้องมิ้งน้องเมี่ยง ” ว่าแบบนั้นปลายสายที่หัวเราะก็ถอนหายใจ

“ แต่เบส กูมีอะไรจะคุยกับมึงอย่างนึง ”

“ ว่า ” มองคนที่นอนอยู่บนโซฟาในตอนที่ตอบรับปลายสาย ผมหย่อนตัวลงนั่งตรงส่วนพักแขนที่ว่าง

“ เลิกทะเลาะกับไอ้ดีนเถอะ เลิกประสาทแดกใส่กัน ถ้ามันหาเรื่องมึงก่อนนะ มึงก็ทนๆไป อดทนเอาหน่อย กูเชื่อว่า ถ้ามึงไม่ตอบรับ ไม่นานมันก็เลิกยุ่งกับมึงเองนั่นแหละ นะ ถือว่าสงสารไอ้เมี่ยงมัน ”

“ กูก็คิดว่าจะ..” อย่างงั้น คำนี้ถูกหยุดชะงักไปก่อนที่จะได้พูด เพราะตอนนั้นคนที่คิดว่านอนอยู่เฉยๆกลับดึงตัวเองขึ้นมาแล้วกอดเข้าที่เอวอย่างแนบแน่น แต่ไม่เท่านั้น ดีนซบลงบนแผ่นหลังของผม

“ มึง..” เสียงครางเบาๆนั้นเอ่ยเรียกกัน “ ทำไมมันเป็นกูไม่ได้แล้ววะ ทำไมอะ ”

“ เชี้ยเบส นี่มึงอยู่กับใครวะ ”

“ เปล่าๆ ” บอกปัดแบบพัลวัล แต่แน่นอนว่าปลายสายคงไม่เชื่อ

“ ก็กูได้ยินอะ เสียงมึงคุยกับใคร ”

“ มึง ”

“ นั่นไง เรียกอีกละ มึงอยู่กับใครเหรออออ ” มันว่ายิ้มๆ แบบที่ผมนึกหน้าออกเลยว่ากำลังแสดงทีท่ายังไงอยู่ “ เออๆ ไม่กวนแล้วไอ้สัด ไว้พูดกันก็ได้ แค่เนี้ย ”

“ เฮ้ย มึงกำลังเข้าใจผิด ” ผมว่าเสียงดังแต่ก็เท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายแค่กดตัดสายไปอย่างคิดเองเออเอง สรุปความเอง และไม่รอฟังผมอธิบายอะไรทั้งสิ้น “ เจ้ย ไอ้เจ้ย เดี๋ยว..”

“ มึง ”

“ มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี้ย ” หันไปถามคนเมาแบบเสียงดัง ก่อนจะนิ่งไปในตอนที่เห็นว่ามันบรือตามองกันอยู่แบบที่สติไม่ค่อยครบสักเท่าไหร่

เออ แล้วกูจะเอาความเหี้ยอะไรกับคนเมาวะ

“ มึง ” เสียงที่เอ่ยเรียกย้ำกัน รู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าคนที่เรียกซ้ำๆซากๆอยู่ตรงหน้านี้คือใคร

“ ว่าไง ” แต่ผมก็ตอบรับ ในตอนนั้นดีนมันก็คว้ามือเข้ามาจับก่อนจะก้มหน้าลงซบกับหลังฝ่ามือนั้น

“ ขอโทษ ขอโทษนะ แต่ให้โอกาสกูไม่ได้เหรอ แค่สักครั้ง นะ ขอร้อง ให้โอกาสกูเถอะ กูจะแก้ตัว กูจะทำให้รู้ ว่ากูรัก รักมึงแค่ไหน ”

“ นี่ทำไมอยู่ๆ มึงดูอาการมันดูหนักขึ้นมาอย่างงั้นวะ ” ผมพูดเสียเบาๆ พลางถอนหายใจแล้วหันไปทางอื่น แบบไม่รู้จะทำยังไงต่อ

เมื่อกี้ตอนที่อยู่ตรงหน้าผับอาการมันยังดูไม่เมามากขนาดนี้ แต่ยิ่งผ่านไป อาการเมามายของอีกคนกลับหนักขึ้น ทั้งๆที่จริงก็ควรสงบลงได้แล้ว

“ เห้อออออออออออออออออออออออ ” ไอ้แต่ลากเสียงยาวออกมา ผมที่หันไปมองมันอีกครั้ง  ดีนก็เอ่ยเรียก

“ อาร์ม ” ลำตัวที่ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กัน ดีนจับที่แขนผมออกแรงจนต้องหันไปเผชิญหน้า ก่อนร่างขาวจะดึงตัวเองที่ไร้สติเข้ามาจูบกันที่ริมฝีปาก

แววตานั้นยังหลับสนิทนตอนที่ผมมองดู ต่างจากรูปปากที่กำลังขยับจูบดูดดื่มอยู่บนสิ่งเดียวกันนี้ ส่วนมือเองก็ยังคงลูบไล้ไปตามรอบเอวที่ดึงรั้งตัวผมให้เข้ามาใกล้ ดีนผละตัวออกมันที่เลื่อนมือขึ้นมาปลดกระดุมสองเม็ดด้านบนของผมที่จำเป็นต้องคว้ามือนั้นให้หยุดลง

“ อย่า บอกไว้ก่อนว่าถ้าตื่นเช้ามาจะเสียใจนะ  ”

“ เราลองมีอะไรกันมั้ย นะ ” คำพูดนั้นมาพร้อมกับสาตาที่คอไปด้วยน้ำตายามที่ถาม ดีนกำลังขอร้องใครคนนั้นในความรู้สึกของมัน คนที่มันไม่ใช่ผม “ ถ้ามึงไม่เชื่อในสิ่งที่กูพูดออกมา ต่อไปนี้ กูจะเก็บเรื่องของเราเอาไว้แค่กับเฉพาะพ่อแม่ของกู แล้วเราก็มาอยู่ด้วยกัน นะ โอเคมั้ย มาประกาศให้คนทั้งโลกมันรู้ไปเลยว่าเราเป็นอะไรกัน มีอะไรกันเถอะ  ”

มือนั้นถอดเสื้อที่กำลังสวมในตอนที่พูดจบ แผ่นอกขาวเปลือยเปล่าในตอนที่มันโยนเสื้อตัวเองลงพื้นไป ทุกอย่างในช่วงเวลานั้นทำให้ผมนิ่งเพราะไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่ผมก็แค่หันไปหยิบเสื้อตัวนั้นก่อนจะคลุมไว้ให้ แต่ดีนก็แค่ขืนตัว มันปัดออก

“ พอเถอะ มึงเมามากแล้ว ” มือถูกดึงขึ้นมาปิดปากผม มันที่ส่ายหน้าไปมา

“ ไม่พูดแบบนี้ได้มั้ย อาร์ม มึงไม่พูดได้มั้ยวะ ” สายตาวิงวอนที่บอกกัน ผมทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างจนใจ

สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะบอกว่า ผมไม่ใช่ใครคนนั้น

คนเราพอเวลาเสียใจมากๆก็เป็นแบบนี้ เป็นเหมือนเชือกที่พอมันขาดออก ด้วยแรงดึงรั้งทั้งหมดที่มี หางเชือกนั้นก็เหมือนจะสะบัดไปมาอย่างไร้ทิศทาง แล้วถูกปล่อยดิ่งไว้อย่างงั้นจนน่าใจหาย

ดีนเองก็เป็นแบบนั้น มันเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร ต้องรู้สึกแบบไหน ต้องเข้าใจอะไร ผมรู้ว่ามันก็คงรู้ว่าตัวเองผิด แต่นั่นแหละ มันก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองยังไง

รู้แค่ว่าเสียใจ รู้แค่ว่าไม่อยากเสียไป
 ดีนคงรู้แค่นั้น

“ ก็ได้ แต่ไม่มีอะไรกันนะ ”

“ ทำไม ”

“ ก็กูไม่มีอารมณ์ ” ผมบอก อีกคนก็นิ่ง “ ให้ได้แค่นอนกอดเฉยๆ”

“ ก็ได้ ” ตอบรับเสียงอ่อนก่อนที่จะดึงตัวเองในตอนนั้นให้เข้ามาซบลงบนอก มันที่กอดกันไว้แน่นหลับตาลงด้วยริมฝีปากที่ยังคงพรึมพรำความรู้สึกของตัวเองออกมา “ แค่นี้ก็ได้ จะตามใจหมดเลย ”

“ อื้ม ”

“ แต่อย่าพูดแบบนั้นได้มั้ย ”

“ พูดอะไร ” ถามออกไปแต่อีกฝ่ายก็ทำได้แค่กอดกันแน่น

“ อย่าไล่กูไป กูไม่ได้อยากจากมึงไปไหน กูอยากอยู่กับมึง อยากอยู่ใกล้ๆ ”

“ เออ ไม่ไล่ ” ตอบแบบนั้นก่อนจะดันอีกคนลงมาซบที่อก ผมนอนราบกับโซฟาตัวที่นั่งแบบที่ลุกออกไปไหนไม่ได้ ส่วนคนบนร่างเองก็ขยับตัวเข้ามากอดกันไว้แน่นแบบไม่ไปไหนเช่นกัน ดีนนอนอยู่ในซอกโซฟาด้านในที่ว่างอยู่นั้น  “ นอนได้แล้ว ดึกแล้ว ”

“ ไม่ไปไหนนะ ” มันถามย้ำด้วยจิตสำนึกที่ก็คงไม่ไว้ใจกัน

“ จริง ไม่ไปไหนหรอก ” ลูบหัวอีกคนอย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยคที่พูดออกไปมันสมควรพูดมั้ย  แต่ที่รู้สึกคืออยากจะให้มันสงบลงหน่อย จะแค่สักนิดก็ยังดี “ หลับเถอะ ฝันดี ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาทั้งนั้น มีเพียงแค่ลมหายใจสม่ำเสมอของคนเมาที่แทบจะไม่มีสติ แต่มันก็แบบนี้  เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าของบางอย่างมีค่ากับเรามากแค่ไหน

ยกเว้นก็ตอนที่เราเสียมันไปแล้ว

...........................................................................


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

แสงอาทิตย์อ่อนๆผ่านช่องผ่านของม่าน ผมขมวดคิ้วพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะรู้สึกชาไปทั่วร่างในตอนที่ขยับตัวเองออกจากซอกโซฟาที่รู้สึกคับแคบ รวมถึงสมองที่หนักเหมือนจะเป็นตัน จนแม้แต่สายตายังบรือขึ้นมองรอบข้างแทบไม่ได้ แต่นั่นก็แค่ก่อนเห็นภาพตรงหน้า ภาพที่ชวนให้เบิกตาก่อนจะรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่ตกใจสุดขีด

“ เชี้ย!!! ” สะโกนสุดเสียงในตอนที่ลุกขึ้นนั่ง หัวใจของผมเต้นรัวต่างจากคนตรงหน้าที่แค่ขมวดคิ้วพลางดึงคอตัวเองขึ้นมองกัน

เบสมันถอนหายใจก่อนจะขยี้หัวอย่างเสียอารมณ์ไม่น้อยกับตอนที่เห็นผมตกใจอย่างงั้น แล้วก็ตามแบบฉบับบของมัน ไม่พ้นว่าต้องกวนตีน

“ ทำไมตัวเหมือนบทนางเอกละครหลังข่าวไปได้  ทำไม ? มึงตื่นมาหลังจากเมาเหล้าและตกใจที่รู้ว่านอนอยู่บนตัวพระเอกเหรอ ”

“ ก็ช่างกล้าที่จะบอกว่าตัวเองเป็นพระเอกนะไอ้สัด ” ผมถามมันอีกคนก็ยกยิ้มเหยียดให้กัน เบสมันมองลงต่ำ ผมเองก็มองตาม ก่อนจะเบิกตากว้างอีกครั้งในตอนที่รู้ว่า ตัวเองไม่ได้ใส่เสื้ออยู่ด้วยซ้ำ

‘ เชี้ย ’ ได้แต่สบถอยู่ในใจ ก่อนไอ้เบสที่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งจะค่อยๆเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ จมูกที่ค่อยๆใกล้กันของเรา ผมได้แต่นิ่งอย่างไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหนเพื่อหลบ ก่อนจะถามออกไปเสียงแข็ง  “ มึงจะทำเชี้ยอะไร ”

“ ทำเป็นรังเกียจ แหมมมมมมม ทีเมื่อคืนนะ ”

“ เมื่อคืนทำไม ” ผมถาม อีกคนก็แบะปากน้อยๆ ก่อนจะหันไปเหลือบมองอื่น

“ ลองคิดดูสิ ทำไมน้า ” มันลากเสียงกวนตีนแบบที่อยากจะซัดใส่หน้าเข้าสักหมัด “ ตื่นมาเสื้อก็ไม่ใส่ แถมยังมานอนกอดอยู่ข้างๆกูอีก เอาจริงๆนะ นี่ถ้าใครเข้ามามาเห็นก็คิดได้อย่างเดียวมั้ยนะ ”

“ Kเถอะ ไม่มีทาง ”

“ อ๋อ เหรอ ” เสียงกวนตีนว่าแบบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวที่นั่ง ร่างสูงลุกขึ้นบิดขี้เกียจด้วยท่าทีสบายๆชวนให้ผมรู้สึกไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองขึ้นมาเสียอย่างงั้น ก็มันดูเหมือนเมื่อคืนมีอะไรสักอย่างระหว่างผมกับมัน

“ ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนเรามีอะไรกันจริงๆนะไอ้สัด ” ผมถามใบหน้ากวนตีนนั้นก็หันมายกยิ้มถาม

“ ปวดตูดมั้ยละ รู้สึกเหนียวๆมั้ย ตรงก้นมึงอะ ”

“ ไม่ ”

“ งั้นก็แสดงว่าไม่ไง ” เบสมันว่าแบบลอยหน้าลอยตา แต่ผมในตอนนั้นกลับถอนหายใจโล่งออกมาจนอีกคนยกยิ้ม “ ชวนเค้าไปมีอะไรด้วย แต่ยังไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงเวลาผู้ชายมีอะไรด้วยกัน คิดเหี้ยอะไรอยู่น้า อยากรู้จริงๆเลย ”

“ แล้วนี่กุญแจรถกูอยู่ไหน ” ถามแบบเปลี่ยนเรื่องกับคนที่เดินไปเปิดตู้เย็นในห้องครัวของตัวเอง

“ เอาอะไรหน่อยมั้ย ห้องกูมีน้ำส้มด้วยนะ ”

“ ไม่เอา ”

“ เอาหน่อยน่า ” ว่าแบบนั้นอย่างตามใจตัวเอง ดีนมันยื่นน้ำส้มแบบกล่องมาให้ แต่ผมก็แค่มองมันแบบไม่เชื่อใจเท่าไหร่ “ จะได้สดชื่นไง รับไปหน่อย ” ท้ายประโยคที่บอกกันอย่างงั้นมันยิ้มตอนที่เห็นผมยังนิ่ง “ กูไม่ทำอะไรมึงหรอก เพราะถ้าทำ ก็ทำไปตั้งแต่มึงชวนกูมีอะไรกันแล้ว ทำไปตั้งแต่มึงจูบกู เพราะคิดว่ากูเป็นไอ้อาร์ม ”

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ”

“ พูดเรื่องจริงไง ” กล่องน้ำส้มถูกยื่นให้ และคราวนี้ผมก็ต้องรับมันมาอย่างช่วยไม่ได้

‘ ทำไมจำอะไรไม่ได้เลยวะ ’ คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวยามที่มองกล่องน้ำส้มที่ถืออยู่ในมือ ผมจำได้แค่ว่า ผมชวนมันมามีอะไรกัน ผมจำได้เท่านี้ แต่อย่างอื่นก็แทบไม่รู้เรื่องเลย “ กูคิดว่ามึงเป็นอาร์มเหรอ ”

“ มากกว่านั้นคือมึงจูบ แล้วก็พูดสารพัดเลย อะไรบ้างน้า ” มันทำท่าคิด “ จะตามใจหมดเลย จะเปิดเผยเรื่องของเราให้คนอื่นรู้ อย่าไปได้มั้ย อยู่กับกู หึ ” เบสมันยิ้มให้กัน  “ ว้าวมากเลยอะ ไม่คิดว่ามึงจะมีโมเม้นท์แบบนี้ด้วย แบบว่า อ้อนๆ ” รอยยิ้มมุมปากของคนที่พูดถึงชวนให้ผมทำได้แค่นิ่งแล้วถอนหายใจออกมา

เพิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองก็ตอนนี้

มากกว่าการอยากด่าตัวเองที่เมาได้ไร้สติอย่างงั้น ก็คือการมานั่งคำพูดที่เหมือนจะดูถูกกัน ทั้งๆที่ทุกอย่างนั้น ก็คือความรู้สึกในใจ

“ ตลกมากเหรอวะ ” ผมถาม “ ความรู้สึกของกู มันแม่ง ดูตลกมากเลยเหรอวะ ”

“ ก็ไม่ใช่จะอย่างงั้น ” กลายเป็นไอ้เบสที่เงียบไป มันที่หันไปมองทางอื่น ผมเองก็ทำได้แค่ลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ กุญแจรถกูอยู่ไหน จะกลับบ้าน ”

“ คุยกันหน่อยสิ ” มันว่าพลางจับข้อมือของผมไว้ เบสเงยหน้ามองกันในตอนที่ผมก้มลงมอง “ โทษที แต่จะไม่หาเรื่องแล้ว นั่งลงก่อนเถอะ ”

“ มีอะไร ” ในที่สุดก็นั่งลงตรงที่โซฟาตัวเดิมอย่างช่วยไม่ได้ อีกคนก็นิ่งมองกันอยู่สักพักจนผมต้องเอ่ยถาม “ แล้วก็ไม่พูด มีอะ..”

“ มึงคิดจะมีอะไรกับกูจริงๆมั้ยเมื่อคืน หรือแค่จะประชดไอ้อาร์ม ”

“ แล้วยุ่งอะไรกับมึงด้วย ”

“ ยุ่งสิ ก็มึงจะมีอะไรกับกูอะ ” ถามกลับอย่างงั้นในตอนที่ผมบอกปัด ก่อนจะถอนหายใจ “ ขอพูดหน่อยนะ  ช่วยอย่าทำตัวไร้ค่าขนาดนั้นได้มั้ย รู้มั้ยว่าเมื่อคืนถ้าไม่ใช่กู มึงอาจจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้วนะ มึงอาจจะนอน อยู่ตรงไหนสักที่ในสภาพที่มันยับเยินกว่าที่มึงจะคาดคิด อาจจะติดโรค ก็แค่คนคนเดียวไม่รัก อย่าตัดสินใจว่าชีวิตมึงไม่มีค่าอะไรแล้วสิ ”

“ กูไม่ได้..”

“ กูรู้มึงไม่ได้อยากจะเอากับใครหรอก มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเอากับผู้ชายมันเป็นยังไง แต่เหมือนมึงแค่อยากจะทำลายชีวิตตัวเองให้มันจบๆไป เพราะมึงรู้สึกเหมือนมันไม่มีค่าอะไรแล้ว ซึ่งถามว่าไอ้สัดอาร์มมันจะมารู้สึกอะไรมั้ยกับสิ่งที่มึงทำ คำตอบคือไม่ มันไม่ผิดสักหน่อย ก็มึงไม่รักมันเอง จะมาเรียกร้องเหี้ยอะไร ”

“ รัก! ใครบอกกูไม่รักมัน ” ผมตะโกนเถียงอีกฝ่ายที่ก็เงียบลง “ อย่ามาทำเป็นตัดสินว่ากูรู้สึกอะไร หรือไม่รู้สึกอะไรได้มั้ย ทำเป็นรู้ดีกว่าตัวกู มึงแม่งเป็นใครอะ  ”

“ มึงเคยรู้สึกอยากกอดมันมั้ย ไอ้อาร์มอะ ” กลายเป็นว่าต้องนิ่งไปในตอนที่อีกคนถาม “ กอดแบบที่คิดถึง กอดแบบที่รู้สึกว่าอยากจะจูบ อยากจะหอมแก้มมันแรงๆสักฟอดให้ชื่นใจ อยากจะชวนกันนั่งลงบนโซฟาแล้วดูหนังสักเรื่อง แล้วกินอะไรสักอย่างไปพร้อมกัน เงยหน้าขึ้นมาจูบกันบ้างในตอนที่เรื่องราวในหนังมันโรแมนติกมากๆ ถามจริง ที่บอกจริงๆก็รู้สึกชอบมันอะ มึงเคยรู้สึกแบบนั้นกับมันบ้างมั้ย ”

‘ ไม่เคยหรอก ’ คำตอบนั้นผุดขึ้นมาในสมองของผม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นเลย ก็อยากจะดูหนังกับมันนะ แต่ก็แค่อยากดูปกติ เหมือนเพื่อนทั่วไปที่ดูหนังเรื่องโปรดด้วยกัน ไม่เคยเลย ที่จะอยากทำอะไรแบบนั้น อย่างที่อีกคนว่ามา

“ ไม่เคยใช่มั้ยละ ” เบสที่เหมือนจะจับความรู้สึกของผมได้เอ่ยบอกกันยิ้มๆ “ นั่นแหละ คือความแตกต่างระหว่างความรู้สึกของมึงกับมัน ”

“ อาร์มมันไม่ได้รู้สึกอยากจะทำอะไรแบบนั้นกับกูหรอก ”

“ น้อยไปสิไอ้สัด” อีกคนเถียง “ มันจริงจังเวลาที่มึงทะเลาะกับกูแบบที่พร้อมเข้าชาร์จกูตลอดเลย ถ้าเผลอคิดจะต่อยมึง เคยรู้สึกมั้ยว่ามันรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มึงควงใคร ซึ่งต่างจากมึงที่รู้สึก เฉยๆกับการที่มันควงใคร ”

“ กูจะรู้สึกเฉยๆได้ยังไง กับเพื่อนมึง กูไม่ได้รู้สึกอะไรเหรอ ”

“ รู้สึกเพราะมึงรู้สึกไง ว่าคนนี้ไอ้อาร์มมันจริงจัง คนนี้ไม่เหมือนคนอื่นหมาที่เลี้ยงกำลังวิ่งออกไปหาเจ้าของใหม่ ใครมันจะไม่รู้สึก ” เบสมันบอกยิ้มๆ “ แต่ขนาดหมามันซื่อสัตย์ยังไง ถ้าเจ้าของทำร้ายมันซ้ำๆ แล้วเจ้าของใหม่ดีกับมันมากๆ มันก็เปลี่ยนเจ้าของเหมือนกันนะ ” ผมเงียบนตอนที่อีกคนสบตา “ ถามจริงๆเถอะ มึงแน่ใจเหรอ ว่าจริงๆความรู้สึกที่มึงให้มัน เป็นแบบคนรักกันจริงๆ หรือแค่เพื่อนที่กลัวว่าจะเสียไป ถ้าเกิดว่าไปตอบรับรัก ”

กลายเป็นว่าผมตอบไม่ได้เลยกลับคำถามนั้น มันมีแต่เพียงความเงียบ กับคำถามที่ยังวนเวียนกับความรู้สึกที่ตัวเองกำลังเอ่ยถามตัวเอง ‘ เออ หรือว่ามันจะเป็นอย่างงั้นกันวะ สำหรับความสัมพันธ์ของเรา ’ 

“ คนรักกันอะ มันก็ต้องอยากจะอยู่ใกล้ๆกันอยู่แล้ว เราที่ทั้งหวง ทั้งหึง แล้วก็เป็นห่วง ความรักมันคือความรู้สึกแบบนั้น  เว้นแต่แค่ว่ามึงไม่รักมัน มึงเลยไม่อยากจะอยู่ใกล้มันไง ” เบสมันถอนหายใจยิ้มๆ “ รู้ตัวได้แล้วดีน มึงไมได้รักมันแบบที่มันรักมึงหรอก มึงแค่รู้สึกไม่อยากจะเสียเพื่อนอย่างมันไปถ้ามึงปฎิเสธคำสารภาพรักนั้นเรื่อมันเลยยุ่งแบบนี้  ทุกอย่างมันก็เท่านั้นเอง แล้วเนี้ยแหละคือคำตอบ ”

“ แล้วทำไมมันถึงเจ็บขนาดนี้วะ ” ผมถามอย่างรู้สึกตลก มึงข้างที่ว่างยกขึ้นจับหัวใจตัวเองที่เหมือนจะถูกจับไว้แน่นแบบไม่มีปล่อยจากมือของใครสักคน “ ทำไมกูถึงรู้สึกว่าไม่อยากจะให้มันหายไปเลยวะ ”

“ ก็แค่ไม่อยากจะให้หายไปไม่ใช่เหรอวะ เลยพยายามรั้งไว้จนถึงที่สุด ”

อาจจะเป็นอย่างงั้น อาร์มไม่รักกันแล้ว จะหายไปจากกันที่สุด อาร์มที่ก็คงไม่ได้อยู่ข้างๆกันแล้ว ถ้าเกิดว่าแฟน ก็ไม่มีแฟนคนไหนรู้สึกดีกับการที่แฟนตัวเองต้องมาอยู่ใกล้ๆคนที่ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนั้น จะได้อยู่ใกล้ๆกันเหมือนเดิมได้ยังไง

แต่ก็ยังอยากเป็นนะ เพื่อนรักของไอ้เหี้ยนั่น
คนที่มันใจดีให้กัน ในทุกๆเรื่องเลย   

“ แต่ก็นั่นแหละ วันนี้ไม่ว่าจะรั้งยังไง มันก็หายไปแล้ว ” ผมพูดยิ้มๆ “ คงไม่ใช่คนที่จะมาใจดีกับกูในทุกๆเรื่องอีก จะว่าไปตอนนั้นก็ไม่น่าเลยเนอะ”

“ ที่มันสารภาพรักกับมึงน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ตอนนั้นกูบอกว่าให้รอก่อน ถ้าพร้อมแล้วจะบอก แต่กูก็ไม่เคยพร้อมเลย จนวันนี้มันเอง ก็ไม่พร้อมเหมือนกันแล้ว ”

“ บางทีตอนนั้นอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะตอบคำถามอะไรอย่างงั้น อาจจะยังไม่รู้ว่าต้องตอบยังไง ให้มันยังอยู่ ” เบสยกยิ้มให้ผม ในตอนที่เราสอบสายตากัน “ มึงจะร้องไห้ก็ได้นะ ร้องให้กับตัวเองที่ตลอดเวลาไม่เคยทำอะไรให้มันถูกเลย หรือจะร้องไห้เพราะรู้สึกว่าต่อไปนี้มึงกับมันไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้วก็ได้ แต่อย่าประชดเหี้ยอะไรอย่างที่ทำเมื่อคืนอีก ”

“ อื้ม ” ขานตอบออกไปอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้จะตอบอะไร น่าแปลกที่บรรยากาศมันกลับนิ่ง และสงบมากจนน่าใจหาย สงบเสียจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือการพูดคุยกันระหว่างเรา

“ รู้มั้ยชีวิตมึงมีค่าสำหรับใครสักคนเสมอนะ เดี๋วสักวันมันก็มี คนที่จะทำให้มึงรู้สึกแบบนั้น แบบที่ตอนนี้ ไอ้อาร์มไอ้เมี่ยงมันรู้สึกต่อกัน”

“ แบบที่อยากกอดตอนดูหนังน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ”

“ อาร์มมันจะเคยรู้สึกแบบนั้นกับกูจริงๆเหรอวะ ” ไม่รู้ทำไมถึงถาม แต่ผมกลับถามออกไปพร้อมกับพิงหลังลงกับโซฟาที่นั่งก่อนจะยกยิ้ม  “ กูยังไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใครเลยนะ จะสักคนเดียวก็ไม่ ”

“ ก็เพราะไม่ได้รักใครจริงๆไง แล้วนั่นแหละ คือคำตอบ ”

“ แล้วมึงเคยรู้สึกเหรอ รู้ดีจัง ”

“ เคยสิ แต่เค้าไม่ได้รู้สึกกับกูหรอก ”

“ งั้นเหรอ เหมือนไอ้อาร์มเลยงั้นสิ ”

“ ไม่เหมือน เพราะกูไม่โง่ขนาดนั้น ” คนตอบว่ายิ้มๆ  “เรื่องบางเรื่อง อะไรที่เราพอรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นยังไง จะไปเสียเวลากับมันทำไม ”

“ มึงพูดเหมือนที่อาร์มพูดเลย ” ประโยคนั้นทำให้ผมยิ้ม ยังจำมันได้อยู่เลยตอนที่อีกคนบอกประโยคที่ทำเจ็บจนหน้าชาไปหมดนั้น กับคำที่ว่า อย่าไปทำให้ใครเค้าเสียเวลาแบบที่ทำกับมันอีก

“ กูยังอยากย้ำอีกรอบ ว่ามึงเสียใจได้นะ ” เบสพูดคำนั้นก่อนจะยื่นมือมาลูบหัวผมที่ก็ปัดออกอย่างเร็ว แต่อีกคนก็แค่ยกยิ้ม “ ตอนนี้ไม่อยากจะเจอหน้ามันก็ไม่เป็นไร มันไม่แปลกที่จะอาย หรือทำอะไรไม่ถูก  แต่อย่ากลัวที่จะเข้าไปขอโทษ หายแล้วก็เข้าไปคุยกับมัน กูว่ามันน่าจะยังอยากคุยกับมึงนั่นแหละ  เพื่อนรักกันนี่ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วก็นี่ กุญแจรถมึง ” ของที่ผมตามหาถูกยื่นออกมาจากในกระเป๋ากางเกงของอีกคน “ กลับบ้านดีๆ ”

“ มึง ”

“ อะไร ”

“ ถ้าขออยู่ต่อสักพักได้มั้ยวะ ” แต่เหมือนคำถามนั้นจะทำให้คนฟังกลับแค่นิ่งไป “ กูขอแม่มาอยู่กับไอ้อาร์มสักพัก เพราะต้องทำรายงานตัวนึง ตอนนี้กูยังกลับบ้าน แล้วก็ยังไม่อยากจะไปเรียนด้วย ”

“ แล้วมึงจะปล่อยให้เพื่อนมึงเป็นห่วงเหรอ ”

“ กูจะโทรบอกมันเองว่าไม่ต้องเป็นห่วง บอกอยู่ทะเลแล้วกัน โอเคมั้ย ”

“ แล้วทำไมไม่ไปจริงๆ ไปพักผ่อน ”

“ ถ้ากูไปจริงๆ แม่กูก็รู้ว่ากูไม่ได้ออยู่กับไอ้อาร์ม แบบนั้นก็ชิบหายพอดีสิ ส่วนถ้าไปอยู่กับไอ้จุ้น กูก็ยังไม่พร้อมจะอธิบายอะไรมัน ”

“ จะอยู่ได้ ก็ถ้าอยู่ได้อะนะ ” มันว่าแบบนั้นพลางมองไปรอบๆ คอนโดของตัวเอง “ แต่ไม่ใช่อยู่แบบคุณชายนะ ช่วยจ่ายค่าที่พักเป็นการทำความสะอาดให้ด้วย ”

“ ไม่เคยทำอะ ” ผมว่า อีกคนก็นิ่งก่อนจะยิ้ม

“ หัดสิ ” มันที่ว่าแบบนั้น ผมก็ทำได้แค่เจาะกล่องน้ำส้มในมือแล้วยกขึ้นดื่มอย่างรู้จะพูดอะไรต่อ แต่เหมือนว่าเบสจะแค่ยังยิ้มอยู่แบบนั้น มันดูอารมณ์ดี “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ แค่รู้สึกว่าฉลาดดี เพราะคงไม่มีใครคิดหรอกจริงมั้ย ว่ามึงจะมาอยู่กับกู ”

‘ มึงก็เหมือนกัน ’ ในใจของผมเถียงกลับไป คงไม่มีใครคิดเหมือนกัน ว่ามึงจะเป็นคนพูดจามีเหตุผลมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่ปกติ ก็เป็นแค่คนที่มีความคิด แบบปัญญาอ่อนเท่านั้น

..........................................................

 บรรยากาศในห้อง ไม่ได้เงียบเชียบ มันมีทั้งเสียงเคี้ยวบ็อปคอร์น เสียงทีวี แล้วก็เสียงแมวสองตัวที่เหมือนกำลังทะเลาะ แต่พอหันไปดูเมื่อไหร่กลับพบว่ามันก็แค่กำลังเล่นกัน ร่างสูงที่กลับจากห้องตัวเองเมื่อบ่ายไม่ได้เยี่ยงย่างออกไปไหนอีกตั้งแต่นั้น 

ถ้าไม่ปวดฉี่ กินข้าว ก็เหมือนว่าคุณชายอาร์มของผมจะไปออกห่างจากกันไปไหนเลย อย่างเช่นตอนนี้ที่มันกอดผมไว้แบบนี้ พร้อมทั้งมืออีกข้างที่หยิบเอาบ็อปคอร์นเข้าไปกินไม่มีหยุด พูดได้เลยว่า สุขใจเอามากๆ กับหนังตรงหน้า แบบที่ไม่มีความกังวลใจมันกั้นไว้ได้เลย

“ นี่..” ผมเอ่ยทักมันออกไปอีกคนก็หันมามองก่อนจะขานรับในคอ

“ หื้ม ? ”

“ ดีนเป็นไงบ้างอะ มึงไม่เห็นเล่าเลย ”

“ ก็คงเข้าใจแล้วละมั้ง ” อาร์มมันว่าแบบนั้นก่อนจะหันมายิ้มแซว “ ทำไม ? เป็นห่วงคู่อริเหรอครับคุณ ”

“ เอาจริงๆ จิตใจกูก็แสนดีในระดับนึงนะ เหมือนหน้าตานั่นแหละ ”

“ จิตใจน่ารักอะเหรอ ” พอมันถามกลับก็กลายเป็นว่าปั้นหน้าซ่อนยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ จนต้องตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจ แล้วพูดออกไปเสียงเบาๆ

“ บ้า เอาความจริงเหี้ยอะไรมาพูดอีก ”

“ หึ ” อารืมันหลุดหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัว “ ขอบใจที่เป็นห่วงมันนะ  แต่กูคิดว่าก็คงต้องให้เวลามันปรับตัวนั่นแหละ บางเรื่องมันก็เข้าใจยากอยู่ ทุกอย่างอาจจะเร็วไปสำหรับมัน แล้วอีกอย่าง ”

“ อีกอย่าง.. อีกอย่างอะไร ”

“ อีกอย่างมันเจ็บนะ กับการที่ต้องเห็นคนที่เคยรู้สึกรักเรา แต่เค้าไม่ได้รักเราแล้ว ”

“ อ่า ” ได้แต่ตอบแบบนั้นเสียงเบาๆ ก็เข้าใจความรู้สึกของมัน แต่นั่นแหละ ยังไงก็ห่วงอยู่ดี “ แล้วไม่โทรไปถามมันหน่อยอะ ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ อะไรทำนองนั้น ” ผมเสนอ

เอาจริงๆ เห็นห้องข้างๆเงียบไปแบบนี้ก็รู้สึกกังวลเหมือนกัน  คนตรงหน้ายิ่งเป็นคนตรงๆอยู่ เผลออีกคนเสียศูนย์แล้วไปทำอะไรสิ้นคิดขึ้นมาจะทำยังไง

“ ไม่อะ ” แต่อาร์มก็แค่ปฎิเสธ พลางกินบ็อปคอร์นเข้าไปในปาก “ ให้เวลามันดีกว่า ถ้ากูยิ่งโทรไปเป็นห่วง มันก็จะออกไปจากความรู้สึกที่คิดว่ากูยังรักยังห่วงไม่ได้ ก็ให้มันจัดการตัวเองไปเถอะ น่าจะดีที่สุดแล้ว ”

“ พูดซะกูรู้สึกผิดเลย เหมือนไปแย่งผัวเค้ามา ” คนฟังหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะหันมาผลักหัวกัน “ แต่กูมาอย่างถูกต้องนะ กูรักมึงอย่างถูกต้อง กูรอด้วยนะ ให้หัวใจมึงมีแค่กูอะ กูไม่ผิด พี่อาร์มน้องบริสุทธิ์ ”

“ ครับๆ คุณมาอย่างถูกต้อง สำเนาถูกต้องที่สุดเลยคุณน่ะ ” ดึงตัวเองเข้ามาหากัน แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากนั้นของเราจะจูบกัน เจ้าตัวลายที่ไม่รู้มาจากไหนกลับกระโดดขึ้นมาขวางเราจนต้องผละตัวออกห่างกันเสียอย่างงั้น “ เหี้ยไรเนี้ย ”

“ เหอะๆ ” ผมที่ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ในตอนนั้น ไอ้นายท่านใช้สองข้างหน้าปีนป่ายขึ้นไปกับตัวของร่างสูงตรงหน้า สองขาหน้าที่อยู่บนอก ก่อนจะเอาขาข้างนึงตะบบเท้าหน้าเข้าที่ริมฝีปากบางของอีกคน ที่ทำให้ผมได้แค่หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“ ฮ่าๆ ”

แต่ทว่าท่ามกลางความสุขนั้น เจ้าของใบหน้าคมกับแค่จ้องมองหน้าอีกฝ่ายแบบไม่ยอมลงให้กันสักเท่าไหร่ บรรยากาศที่ดูคล้ายจะมีศึก ในแววตาสีเหลืองทองนั้น นายท่านเหมือนจะบอกอีกคนว่า  ‘ อย่ามาแตะต้องเมี่ยงของกูนะไอ้สัด ’

........................................................

ถึงแม้ว่าจะไม่น่ารักบ้างในบางมุม แต่ไมได้หมายความว่าต้องจมอยู่กับความเสียใจนะคะ
สักวันนึง เมื่อดีนฟื้นขึ้นจากความรู้สึก ความรู้สึกผิดก็จะทิ่มแทงเค้า อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ชีวิตยังไงก็มีหลายมุม ทั้งมุมสุข และ มุมทุกข์

ตอนหน้ามาดูคนทะเลาะกับแมวกันนะ

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า   :katai2-1: :katai5:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
"กูไม่ผิด พี่อาร์มน้องบริสุทธิ์ ” ขออีกที ขอฟังแบบชัด ๆ อ้อน ๆ อีกทีดิ   :hao3:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
คู่หลักก็  :กอด1: :o8: :-[ คู่อริแค้นแสนรักก็ :katai3: :katai3: จะมีโอกาสพัฒนาได้ไหม ดูเคมีกันดีนะ  o22 ขอบคุณนะค๊าที่มาต่อ รอตอนต่อไป :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่านตอนนี้แล้ว

ให้ความรู้สึกว่า  คนที่ "เบส" รัก ก็คือ "ดีน" นั่นแหละ

แต่ก็เพราะรู้ไงว่า อาร์ม มันแฝงพวงมะม่วงอยู่  เลยไม่เข้าไปอะไรมาก 

ก็แค่พยายามเข้าไปอยู่ในสายตาของ "ดีน" ตลอดเวลา 

ดีนจะมาชวนทะเลาะ  ก็ยอมทะเลาะไปด้วย  แม้เรื่องที่ทะเลาะจะเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม

ถ้าเบสไม่รักดีน   ก็คงยอมปล่อยให้ดีนไปขอมีอะไร ๆ กับเพื่อนมันแล้วสิ   หุหุ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
รู้สึกว่าเจ้ยเป็นตัวละครที่สำคัญมาก

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ก็ต้องปรับตัวกันบ้างอะนะ ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจ
ยิ่งดีน ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นแค่ความรู้สึกว่าถูกแย่งและสูญเสีย
มากกว่าที่จะรั้งไว้เพราะรักกันจริงๆ

ต้องบอกว่าอาร์มทำได้ดีเลยแหละ ตัดใจ เริ่มใหม่ ชัดเจน
เมี่ยงก็น่ารัก แหย่ได้ป่วนประสาทกันดี หักลบอารมณ์ดิ่งได้เยอะ

เบสไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แค่อารมณ์สนุกพาไป จนลืมคิดถึงความรู้สึก
เจอเจ้ยจัดให้ดอกใหญ่ ถึงกับสงบและไปต่อไม่เป็นเลย
เจ้ยคือเป็นคนกลางที่กลางจริงๆ รู้จักครบหมดทุกคนและไม่เข้าข้างใคร

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 31

บรรยากาศภายในห้องดูคุกรุ่น แต่โชคยังดีที่มันไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าอึดอัด ตอนนี้บนตักของผมมีไอ้นายท่านนั่งอยู่ และสายตาของมันก็กำลังมองไปที่คุณแฟนของผม ที่ก็หาได้เฉยเมยต่อการมองนั้นไม่ แน่นอน อาร์มจ้องอีกตัวกลับ แถมยังถามแบบหาเรื่อง

“ มองอะไร อยากมีเรื่องเหรอมึงอะ ” ก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกัน กับท่าทางจริงจังของคนที่หาเรื่องแมวขนาดนี้

“ จริงจังปะเนี้ย ” อดไม่ได้ที่จะถาม ผมเหลือบมองร่างสูงพลางยิ้มแห้งๆ ในตอนนั้นอาร์มก็ขยับเข้ามานั่งใกล้กัน แต่เหมือนว่าอะไรแบบนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่นายท่านของผมจะพึงพอใจเท่าไหร่นัก อีกฝ่ายลุกจากตักลงมานอนเบียดข้างตัว กั้นไม่ให้คนที่อยากจะอยู่ใกล้กันเข้ามา พร้อมทั้งส่งสายตาหาเรื่องไปให้ “ ทำไมมันกวนตีนจังวะ ปกติมันไม่เป็นงี้เลยนะ ”

“ หวงมึงมั้ง ” เหลือบมองคู่อริในตอนที่พูดออกมา สายตาคมของทั้งคนทั้งแมวมองสบกัน แบบชนิดที่ถ้าอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นสักเรื่องก็คงมีสายฟ้าฟาดลงมาเป็นซาวด์เอฟเฟค

“ แก้มหอมขา มานี่มา ” ตบตักตัวเองเรียกเจ้าก้อนขนอีกตัวที่ก็ไม่ได้มีท่าทางสนใจสิ่งใดให้เข้ามาหา แต่นั่นก็มีเพียงแค่ความเฉยเมยกลับมา อีกฝ่ายยังคงมองนิ่งๆออกไปด้านนอก “ สุนทรีย์อะไรขนาดนั้นวะ ”

“ ปกติมันก็เป็นแบบนั้น ”

“ ไม่ได้อ้อนๆมึงทั้งวันหรอกเหรอวะ ” หันไปถามคุณเจ้าของด้วยความสงสัย อาร์มที่พิงตัวเองกับโซฟาตัวที่นั่งส่ายหน้าไปมาบอกกัน “ เค้าอยากอ้อนเมื่อไหร่เค้าก็มาอ้อนเองอะ แต่ถ้าเค้าไม่มีอารมณ์จะอ้อน เค้าก็จะนั่งมองวิวอยู่แบบนั้นทั้งวัน แล้วถ้าเกิดเข้าไปอุ้ม มีหันมากัดด้วยนะ ”

“ ร้ายกับพ่อมันเหมือนกันนี่หว่า ” ผมว่าก่อนจะก้มลงมองแมวตัวเอง “ ส่วนไอ้เหี้ยนี่ก็อย่างที่บอก ครั้งแรกเลยครับที่ติดกูขนาดนี้ ” ลูบหัวไอ้ตัวแสบ ก่อนจะหลุดยิ้มในตอนที่ไอ้ตัวดีซบหน้าลงกับตักแบบออดอ้อนขั้นสุด “ งื้ออออออออออออ น่ารักอะ ไม่กล้าขยับขาเลยค้าบ ”

“ ประสาท ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับมือที่เอื้อมมือมาผลักหัวกัน แต่คราวนี้ไอ้นายท่านเหมือนมันจะเร็วกว่า คมเล็บนั่นตะบบเข้ากับมือของอีกฝ่ายทันที จนอาร์มถึงขั้นร้องเจ็บ “ โอ๊ย ”

“ โดนเหรอ ” ผมถามพลางเอื้อมมือไปจับมืออีกคนด้วยความตกใจ  บนฝ่ามือนั้นแผลไม่ลึกหรอกเป็นแค่แผลข่วนเล็กๆ แต่ถ้าโดนน้ำก็คงไม่พ้นร้องซี๊ดขึ้นมาด้วยความแสบ “ ไอ้นายท่าน ” ผมพูดเสียงหนักพลางมองตัวการที่ก็เชิดหน้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก่อนจะกระโดดลงจากโซฟา ขึ้นไปบนคอนโดแมวของตัวเองที่มีแก้มหอมนอนอยู่ แถมยังล้มตัวลงนอนข้างๆ แบบที่ไม่ได้แคร์เลยว่า  มันทำให้พ่อเค้าเจ็บ

“ คือมันรู้ใช่มั้ยว่า ว่าแก้มหอมเป็นลูกกู ”

“ โทษที ไหนมาดู ” ก้มลงมือที่จับไว้อยู่นั้น ผมมองซ้ายดูขวาแต่อาร์มก็แค่ดึงมือตัวเองออกก่อนจะจูบเข้าที่ข้างแก้ม

“ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วง ”

“ ไวเลยนะไอ้สัด ” ผมแซว แต่อีกคนก็แค่ยักคิ้ว

“ ลูกมึงไม่อยู่ กูก็ต้องรีบฉวยโอกาสสิ ”

นั่นแหละครับ ไม่ปฎิเสธแต่อย่างใด

“ ไอ้สัด ไปอาบน้ำได้แล้วมึงอะ ” ว่าแบบนั้นคนโดนสั่งก็ไหลลงมานอนลงบนตักด้วยท่าทีที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าขี้เกียจหรือว่าแค่แสดงละครเรียกร้องความสนใจดี 

“ อาบน้ำให้หน่อย ”

“ เป็นแมวหรือเป็นหมาอะจ้ะ ถึงต้องอาบให้ ” ตอบกลับไปแต่เหมือนคนอยากให้อาบน้ำให้จะยังไม่ยอมแพ้ อาร์มมันยกมือข้างที่ถูกข่วนขึ้นมา

“ แมวมึงทำกูเจ็บนะ ”

“ แอดว๊านขึ้นเยอะเลยน้าตัวเธออออออ ” ลากเสียงแซวออกไปเพราะยังจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันโดนไอ้นายท่านข่วน อีกฝ่ายก็บอกแบบนั้น แต่ตอนนั้นเหมือนจะแค่บอกสระผมให้หน่อย

“ แน่นอนสิ เป็นแฟนแล้ว ธรรมดาได้ไง ” ได้แต่ยิ้มเจื่อนมองมันพลางหันไปทางอื่นอย่างที่ไม่รู้ว่าต้องต่อกรด้วยยังไง ผมดึงหัวของอีกคนขึ้นมาจากตักพลางเลื่อนตัวเองออกมายืนก่อนจะเดินไปเข้าไปในครัว “ ไปไหนอะ ”

“ ให้อาหารแมว จะกินด้วยม่ะ ” ได้ยินแบบนั้นอีกฝ่ายก็พลิกตัวนอนคว่ำพลางนอนมองเจ้าก้อนขนสองตัวของตัวเอง มือที่เอื้อมไปเคาะกับโซฟา อาร์มเอ่ยเรียกแก้มหอม

“ แก้มหอมขา ”

“ แอ๊ว ” เสียงขานรับที่ได้ยิน แต่ภาพที่ตอนหันไปดูคือหางสีขาวที่สะบัดไปมาอยู่บนคอนโดแมวไม่มีการกระโดดลงมาพ่อมันแต่อย่างใด หนำซ้ำลูกสาวคนสวยยังล้มตัวลงนอนทับไอ้ตัวลายที่ก็นั่งอยู่บนคอนโดเดียวกัน

สถานการณ์แบบลูกสาวหนีตามผู้ชาย

ส่วนไอ้ว่าที่ลูกเขยก็วอนตีนพ่อตาสุดๆ แบบไม่มีหยุดยั้ง ด้วยการส่งสายตาสีเหลืองทองนั้นมาจ้องมองอาร์มก่อนจะก้มลงฟัดแก้มหอมแล้วเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย คล้ายๆว่ากับจะอวดผลงาน

“ โคตรกวนตีนไอ้สัด ถ้าโดนถีบกูก็ไม่แปลกใจ ” หันกลับมาจัดการอาหารแมวต่อ ก่อนจะเดินเอาไปวางไว้ตรงที่ใส่อาหาร แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยเรียก คนที่คิดว่านอนอยู่บนโซฟากลับลุกเดินตรงเข้ามาใกล้ อาร์มกอดเข้าที่คอของผม ก่อนจะดึงให้ให้เดินมาตรงที่คอนโดแมว

“ อะไร จะทำอะไร ” ไม่มีคำตอบ สายตาคมคู่นั้นสบเข้ากับแววตาของเจ้าตัวลาย ก่อนที่อาร์มจะก้มลงหอมแก้มผมไปเต็มฟอดแล้วหันไปหาไอ้นายท่าน แบบที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่เชิดหน้าให้ด้วยท่าทางแบบ ‘ ก็มาสิไอ้สัด ’ แล้วแน่นอนว่าความกวนตีนระดับเดียวกันนั้น ไอ้นายท่านก้มลงไปฟัดแก้มหอมอย่างไม่ยอมแพ้

“ มึงสู้เหรอ ได้ ” บอกเสียงหนักอย่างงั้นพร้อมกับก้มลงหอมแก้มผมไปอีกฟอด “ มึงมา มึงมาเลยนะ ”

“ เอาเข้าไป ” ได้แต่พูดออกมาแบบนั้นตอนที่อาร์มหอมแก้มผมอีกฟอด เพราะฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มียอมแพ้ จนไม่รู้แล้วว่ามันกวนตีน หรือมันกำลังเลียนแบบการกระทำของร่างสูงอยู่ “ นี่มึง.. ”

“ หึยยยย ” เสียงสถบน่ารักๆ ในตอนที่อีกคนเอ่ยพูดออกมาชวนให้ผมนิ่ง หน้าตาคมเข้มดูน่ารักขึ้นมากระทันหันในความรู้สึก เจ้าของใบหน้ายู่ที่ดูน่ารักระดมหอมแก้มกันแบบไม่มีหยุด เพื่อสู้กับอีกฝ่าย จนชวนให้ผมยิ้มกว้าง

เอาจริงๆ รู้สึกใจเจ็บแบบที่มีความสุขก็วันนี้ จนอยากจะตะโกนออกไปให้ก้องโลก แล้วก็ดึงอีกคนเข้ามากอดไว้แน่นๆพร้อมทั้งบอกว่า  ‘ ทำไมผัวน่ารักจังเลยค้าบบบบบบ เอ็นดูเหลือเกินนนน ’

“  อาร์ม ” หันไปเรียกคนแบบที่ต้องถอนหายใจไปด้วย แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ตัว

“ ทำไม ”

“ ทำไม ? ” ผมทวนคำพูดนั้น “ นี่กล้าถามอีกเหรอวะ ว่าทำไม คือมึงจะจริงจังกับการทะเลาะกับแมวขนาดนี้ไม่ได้นะ ”

“ ก็มันกวนตีน ”

“ มันเป็นแมว ” ย้ำให้อีกคนฟังอย่างงั้นก่อนจะยิ้มกว้าง “ มึงจะเอาอะไรกับมันอะ มันรู้เรื่องมั้ยเถอะ ว่าตอนนี้มันกำลังโดนส่งสารท้ารบอยู่ ”

“ มึงไม่เห็นท่าทางมันเหรอ มันฟัดแก้มหอมต่อหน้ากูนะ มันอวดกู กูเลยต้องฟัดมึงต่อหน้ามันเหมือนกันไง จะได้เจ๊าๆ ”

“ เจ๊าเหี้ยอะไรกับแมว ถามหน่อย นี่อยู่ป.สอง หรือปีสอง ” ผมว่า แต่เหมือนคนข้างกันจะยังไม่อยากยอมสักเท่าไหร่ อาร์มเบือนหน้าหนีผม แล้วก็คงเพราะในมุมนึงมันก็คงจะคิดเหมือนกันว่าตัวเองแม่ง โคตรจะปัญญาอ่อนเลย ที่ตัวเองมายืนทะเลาะกับแมวแบบนี้

“ ก็มันกวนตีนกู ” เสียงเบาๆที่เถียงผมถอนหายใจ

“ บางทีมันอาจจะแค่ทำตามมึงก็ได้ ใช่มั้ย นายท่านแค่ทำตามพี่อาร์ม ” เอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าตัวแสบ อีกฝ่ายก็ขานรับขึ้นมา

“ แอ๊ววว ”

“ เห็นมั้ย  นายท่านเด็กดี พูดดีๆมันก็รู้เรื่อง ” ใบหน้าคมขมวดคิ้วแบบที่ไม่เชื่อกันสักเท่าไหร่ในตอนที่ผมบอกอย่างงั้น อาร์มมันหันไปมองไอ้นายท่านที่มองหน้ามันด้วยสายตากลมแบ๊ว แต่เชื่อเถอะว่า หลังจากที่ผมหันหลังเข้าห้องไป มันก็คงกลับมากวนตีนอีกฝ่ายเหมือนเดิม

“ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ” มือหนาเอื้อมขยี้หัวไอ้ตัวกวนตีนแต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมอยู่นิ่งมือนึงก็พยายามเต็มที่จะตะบบอีกฝ่าย พร้อมกับเสียงหงุดหงิดใจที่ครางออกมาเบาๆ อาร์มเดินออกมาจากตรงนั้นตอนที่มันขยี้หัวอีกตัวจนหนำใจแล้ว

 “ แล้วนั่นจะไปไหน ”

“ อาบน้ำไง ” หันมาบอกกันก่อนจะยกยิ้ม “ หรือว่าจะอาบให้ผมดีละครับ คุณแฟน ”

“ อาบเองเถอะจ้ะไอ้สัด ” ฉีกยิ้มตอบอีกฝ่ายไปแบบนั้น ก่อนจะตีหน้านิ่งใส่มันแบบที่คนฟังต้องเดินเข้ามาแล้วจูบลงบนริมฝีปากแบบที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่นั่นก็พอเดาได้ เมื่อดูจากหน้าตาที่น่ารักมากเลยแหละของผม

...........................................................

เสียงวิดีโอภาษาไม่คุ้นดังอยู่บนเตียงในตอนที่ผมอาบน้ำเสร็จ คนอารมณ์ดีนอนดูอะไรบางอย่างในมือถือนั้น อย่างใจจดจ่อ และไม่รู้ว่าคิดไปเองคนเดียวมั้ย แต่วันนี้อาร์มดูรีแลคมากเลย เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน

“ มึงฟังรู้เรื่องด้วยเหรอ ” ล้มตัวลงนั่งบนเตียงคนที่กำลังจดจ่อก็หันหน้ามามอง อาร์มส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ ฟังไม่ออก แล้วดูทำไม ”

“ ก็ดูจากท่าทาง ” ได้ยินแบบนั้นผมก็ล้มตัวลงนอนลงบนหมอนของอีกคน ใบหน้าจอที่อาร์มเลื่อนมาให้ดูด้วยกันนั้น มันเป็นเหมือนกันคลิปวีดีโอสั้นๆที่เคยผ่านหน้าจอในเฟสบุ๊คอยู่บ่อยๆ ตอนที่เลื่อนดูวีดีโอรีวิวอาหาร

“ เออ อันนี้กูเห็นบ่อยเลยนะ ”

“ เฟสบุ๊คมันฉลาด เวลาเราหยุดดูอะไร พอเลื่อนลงไปอีกก็จะเจออะไรแบบนี้อีกในสไตส์เดียวกันอีก ”

“ แล้วหลังจากนั้นก็คือ ดูเพลินจนหยุดดูไม่ได้เลยจ้า ” คนฟังที่หันมามองกันในตอนที่ผมพูด อาร์มยกยิ้มให้กันก่อนจะถอนหายใจแล้วก็ปิดหน้าจอนั่นลงทันที ก่อนจะพลิกตัวหันมามองหน้าผมด้วยหน้าตาดูยิ้มๆแบบมีเลศนัยจนต้องเอ่ยถาม “ อะไร ? ”

“ ไม่ขนาดนั้นอะ ” อาร์มมันว่า “ ไม่ได้เพลินขนาดนั้น เพราะสิ่งเดียวที่กูจะดูแล้วรู้สึกเพลิน มีแต่หน้ามึงเท่านั้น ”

“ บ้า ประสาท ” แบบที่ไม่รู้จะต้องสบถอะไรออกมา ผมดึงตัวเองออกจากหมอนของอีกคนมานอนบนหมอนตัวเองแบบที่ต้องกลั้นยิ้มกัดฟันไว้แน่น จนคนที่แกล้งกันนั้นถึงขั้นหัวเราะลั่นออกมาไม่มีหยุด “ ง่วงแล้วไอ้สัด ”

“ ง่วงแล้วไอ้สัด ” เอื้อมมือกอดกันก่อนจะขยำพุงของผมพร้อมกับเสียงล้อเลียน “ ไม่หรอก อย่ามาตอแหลเลยครับคุณ ” ลำตัวที่เข้ามาใกล้ผมผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ริมฝีปากบางนั้นจูบลงที่หลังหูจนได้เสียงจุ๊บชัดเจน อาร์มกระซิบ “ มึงก็แค่เขิน ”

“ จักกะจี้ ” ดิ้นออกจากอ้อมกอดนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรผิดจากที่พูดเลยสักคำ อาร์มพูดถูก หัวใจผมตอนนี้มันแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ใบหน้าเองก็ร้อนไปหมดราวกับกำลังนอนอาบแดดริมทะเล ผมหลับตาสนิทในตอนที่ต้องหันมาเผชิญหน้ากับคนที่ขยำพุงอยู่ไม่หยุด พร้อมกับกลั้นหายใจข่มความรู้สึกในอกที่แทบจะระเบิดออกมา แม้ไม่รู้ว่ามันจะช่วยได้มั้ย

“ ถ้ามึงกลั้นหายใจนานๆมึงจะตดนะ และก็จะเป็นการตดครั้งแรกในกูฟัง ”

“ ไอ้สัด ” ผ่อนลมหายใจออกมายิ้มๆในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมผลักอกอีกคนแบบที่ไม่รู้ว่าจะแสดงอาการยังไง ไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่าย อาร์มดึงผมให้เข้ามาใกล้ให้เข้ามาใกล้ด้วยความเงียบเชียบ

ความสุขของเราในวินาทีนั้น กระจายตัวออกไปโดยรอบ ราวกับว่ากำลังนอนอยู่ใต้ต้นซากุระสีชมพูบานสะพรั่งในหนังรักดีๆสักเรื่อง เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นอยู่ในความรู้สึก แม้ว่าแท้จริงแล้วเราจะนอนอยู่เตียงสีขาวและหนุนหมอนใบเดียวกันอยู่

ก็คงเป็นสบายใจ และ โล่งใจ ราวกับว่าในที่สุดเรื่องราวทั้งหมด ก็จบสิ้นแล้ว
ทุกอย่างตอนนี้อยู่ในร่องในรอยของมัน ที่สามารถบอกได้เลยว่า ‘โคตรมีความสุข’

“ ปกติมึงชอบกินอาหารเช้ามั้ย ” นั่นเป็นประโยคแรกที่อีกคนเอ่ยถาม ประโยคที่ดูไม่เข้ากับสถานการณ์สักเท่าไหร่ แต่ผมก็อดคิดหาคำตอบมันไม่ได้

“ กินสิ ตอนเด็กๆแม่บอกว่าถ้าเราไม่กินข้าวเช้า เราจะเป็นอัลไซเมอร์นะ ” บอกแบบนั้นอีกคนที่ก็ยกยิ้ม “ ถามทำไม ”

“ ก็อยากรู้ว่าแฟนผมชอบอะไร ไม่ชอบอะไรทำอะไรบ้างไงครับ จะได้เอาใจถูก ”

“ บ้าบอ ” หัวใจคล้ายกับจะล้มเหลวไปในชั่วขณะในตอนที่พูดออกไปอย่างงั้น  ความรู้สึกสุขขยายตัวขึ้น ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย แล้วในตอนนี้ก็เหมือนจะดูอาการหนักขึ้นไปอีก เมื่ออีกคนดึงตัวเองเข้ามาจูบที่ริมฝีปากแบบที่จำใจต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าตัวเองไว้ แบบที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังแดงจัดขนาดไหน

“ เป็นอะไร ” ถามด้วยเสียงที่ติดสงสัยไม่น้อย คนบางคนก็แปลก ทำให้ใครเค้าหัวใจพองโตจนเจ็บอกไปหมดแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย “ เมี่ยงครับ ”

“ อย่าพูดครับ ” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะลดมือที่ปิดหน้าลดลงจนเห็นแค่ตา แล้วตอนนั้นเองที่ผมก็เห็นว่าอาร์มมันกำลังขมวดคิ้วยิ้ม

“ อะไรของมึง ”

“ ก็กูเขินอะ หัวใจกูมันแบบ เต้นแรง มึงเข้าใจมั้ย ”

“ แล้วมันไม่ดีเหรอ ” ถามแบบที่ไม่รู้จริงๆหรือกวนตีนก็ไม่รู้ แถมยังเอาแต่ยิ้มมีความสุข

“ เออ ไม่ดี กูเขิน เขินมาก มึงเข้าใจมั้ยว่า หน้ากูร้อน ร้อนแบบที่ ถ้าเอาไข่มาทอดก็คือกินได้เลยนะ หน้าร้อนแบบไข่สุกอะ” ผมว่าแต่อีกคนก็แค่ดึงมือที่ปิดหน้าอยู่นั้นเข้ามาแนบอกของตัวเอง แต่ตอนนั้นผมก็แค่ขืนมือออก “ มึงอย่าสัมผัส เขินนนนน ”

“ นิ่งก่อน แล้วฟัง ” เลิกดึงดันตามคำขอแต่ก่อนจะสัมผัสได้ถึงหัวใจเต้นแรงในยามที่แนบมืออยู่นั้น

“ แล้วยังไง ”

“ ก็นี่ไง ผลจากความน่ารักของมึง ”

‘ ซัดเข้าไปแล้วครับคุณผู้ชม หมัดตรงจากมุมน้ำเงิน ’ เสียงก้องในหัวดังขึ้นมาแบบนั้นในตอนที่ผมได้แต่นิ่งค้างใส่คนตรงหน้า ลมหายใจที่ผ่อนออกมาทำได้แค่ก้มหน้างุดลง และถ้าให้อธิบายชีวิตตอนนี้แบบชัดที่สุด ก็คงเป็นเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นสักเรื่อง ที่ตัวเอกกำลังหน้าแดงไปหมด พร้อมด้วยเสียงประกอบแบบของร้อนจัดที่โดนน้ำสาดใส่แบบเต็มแรงจนมันดัง ‘ ฉ่า ’ พร้อมกับควันที่ลอยขึ้นเหนือหัว

“ โอเค เอาเลยจ๊ะ เอาที่สบายใจเลยนะจ๊ะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคนแบบที่รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี ผมจ้องตามัน “ มึงมา ว่ามาเลย ”

“ อะไร”

“ ก็กูจะไม่ยอมแพ้แล้วไง กูจะสู้ ” ถลึงตาใส่อีกคนที่ก็หลุดยิ้มกว้างออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมาใช้นิ้วดีดหน้าผากกันเบาๆ

“ ปัญญาอ่อน ”

“ กล้าว่าแฟนเหรอ ”

“ เออ นอกจากจะน่ารักเก่งก็ปัญญาอ่อนเก่งละมึงอะ ” เม้มปากใส่คนพูดอย่างไม่ยอมแพ้ แต่อาร์มก็แค่ยิ้มกับท่าทางนั้น “ จะว่าไปเราก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยนะ กูยังไม่ค่อยรู้จักมึง มึงเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักกู ”

“ นั่นสิ ” ก็ยอมรับว่ามันเป็นอย่างงั้น ตั้งแต่คบกันมายังไม่ค่อยได้รู้จักอีกคนสักเท่าไหร่เลย ยังไม่เคยไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เคยแม้แต่จะไปเดท

“ ถามตอบสามอันดับกันมั้ยละ ”

“ ยังไงๆ ” ขยับตัวด้วยความสนใจ ผมรู้ว่าแววตาของผมมันคงแสดงสนใจน่าดู อีกคนถึงกับยิ้มกว้างอย่างงั้น

“ กูตั้งคำถาม มึงตอบมาสามอันดับแรกที่ชอบ ” คำอธิบายนั้นทำให้ผมพยักหน้ารับ “ พร้อมนะ ”

“ อื้อ! ”

“ อาหารที่ชอบ ”

“ ไอ้สัด ” ถึงขั้นสบถออกมา “ ยากมากนะ กูจะบอกชอบทุกอย่างไม่ได้แล้วสิ แต่กูแดกได้ทุกอย่างจริงๆนะ  ข้าวหน้าหมูมั้งแบบกินบ่อยๆเลย แล้วก็มีขนมทุกชนิด ไอติมก็ทุกชนิด ”

“ คำตอบสมเป็นมึง ”


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
“ แล้วมึงอะ ของที่ชอบกิน สามอย่าง ”

“ ข้าวหน้าหมู แก้มน้องเมี่ยง ปากน้องเมี่ยง ”

“ เอาดีๆ ” โวยใส่คนที่เหมือนจะเอาแต่เล่น แต่อีกคนก็เถียงกลับแบบยิ้มๆพลางดึงตัวเองเข้ามาใกล้ อาร์มหอมแก้มผม มันพรึมพรำ

“ นุ่มสุดเลย ไอ้แก้มก้อน ” เสียงฟอดดังๆที่อีกฝ่ายกดหอมลงไปบนผิวแก้มนั้น อาร์มขยับตัวปรับท่าทางให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ปลายจมูกเราใกล้แก้มแม้แต่เอวที่มือหนานั้นกอดรัดไว้ก็เหมือนขยับให้ได้องศา ทุกอย่างดุเหมือนถูกจัดวางแบบให้สบายตัวที่สุด

“ แล้วสีที่มึงชอบละคือสีอะไร ”

“ น้ำเงิน ขาว ดำ ”

“ เหมือนกันเลย ” ผมว่า “ แต่กูชอบ เทา กับ เหลืองด้วยนะ ”

“ สามอย่างที่ชอบในตัวกูที่มึงชอบ ” อาร์มถาม ผมก็นิ่ง

“ ไม่มี ”

“ ไอ้สัด ” คนถามถึงขั้นสบถออกมาในตอนที่ได้ยินคำตอบนั้น คนตรงหน้ายกยิ้ม “ ไม่มีเลย ”

“ อื้ม รู้ตัวอีกทีก็ชอบแล้วอะ ขนาดตอนนี้ยังไม่รู้เลย ว่าชอบได้ไงวะ บางทีอาจจะแบบชอบทุกอย่างมั้ง ”

“ ทุกอย่างเลยเหรอ ”

“ อื้ม  ก็มันรวมออกมาเป็นมึงนี่ ”

“ บางทีกูเองก็อาจจะเป็นอย่างงั้น ” ถอนหายใจบอกกันยิ้มๆ พร้อมกับกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้นไปอีก “ ต่อไปมึงถาม ”

“ ชอบอะไรบนหน้ากู ”

“ บนหน้าเหรอวะ ” อาร์มมันถามซ้ำ

“ ขอร้องเลยนะ กรุณาอย่าบอกว่าไม่มี ” เสียงหัวเราะดังของคนตอบคำถาม อาร์มเงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงแบบชนิดที่ลั่นห้อง มันที่หอมกัน

“ มีสิครับ แก้ม ปาก ตา ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม แต่มันก็น่ารักหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่มึงบอกไง ” เสียงทุ้มๆนั้นกระซิบบอก “ กูชอบทุกอย่างที่รวมกันเป็นมึง ”

“ โอยยยยยย หมัดซ้ายน็อคกูอีกแล้ว ” ผมว่าอีกคนก็ยกยิ้ม

“ ประสาท ”

“ งั้นถามกูบ้างมั้ย ”

“ จะมีเหรอ ”

“ แฟนกูหล่อขนาดนี้ไม่มีได้ไงวะ ” เสียงยิ้มของคนฟังชวนให้ผมยิ้มก่อนจะดึงตัวเองออกห่างอีกฝ่าย แววตาคมที่ลืมตามองกันในตอนนั้นผมจิ้มลงไปที่จมูก ตา แล้วก็ปาก “ จมูก ตา ปาก ”
 
“ ที่ชอบน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” ตอบรับอีกฝ่ายๆสั้น เราที่มองตากันก่อนผมจะพลิกตัวหันไปกดปิดไฟหัวเตียง “ นอนได้แล้วมึงอะ ง่วงมากแล้ว ดูออก ”

“ แล้วกู๊ดไนท์คิสอะ ”

“ แบบที่เอาตีนกูแนบปากมึงน่ะเหรอ ” ถามกวนตีนไปแบบนั้นแต่ถึงอย่างงั้นก็แค่พลิกตัวไปจุ๊บหน้าผากอีกคนจนเสียงดัง “ ฝันดีครับคุณแฟนที่เคารพรัก ”

“ บ้าจริง ไม่รู้ว่าจะนอนหลับรึเปล่าเลย ”

“ ทำไม ? หลับนั่นแหละน่า ท่าทางมึงดูง่วงมากเลยนะ ” บอกออกไปแต่เหมือนคนที่บอกว่าไม่รู้จะนอนหลับหรือเปล่า กลับขยับตัวเข้ามาใกล้ อาร์มกอดผมไว้ มันที่ถอนหายใจออกมา

“ กูยังดีใจอยู่เลยที่เมื่อกี้บอก ว่าชอบทุกอย่างเลยที่เป็นกู รู้มั้ยว่ามันเป็นครั้งแรกเลย ที่ใครสักคนบอกกูแบบนี้ ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม มันเป็นคำที่โคตรดี เพราะงั้นอนุญาตให้มึงพูดกับกูแค่คนเดียวนะ ”

“ ชี้หวง ” อดแซวมันไม่ได้เลย แต่ถึงอย่างงั้นผมก็แค่ดึงตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดนั้น ผ่อนลมหายใจของความสบายใจออกมา แล้วหลับตาลงในวินาทีที่อาร์มจูบลงบนที่หน้าผาก

“ ฝันดีครับ ” และดูเหมือนว่าคืนนี้ เราจะหลับลงด้วยความสุขยิ่งกว่าคืนไหนๆ ตั้งแต่ที่ตัดสินใจกันมา

..........................................................


แกร็ก แกร็ก แกร็กกกกกกกกกกก


เสียงข่วนประตูดังลากยาวจนชวนให้ผมที่พยายามพลิกตัวหนีลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรำคาญ จำได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้เปิดสนิทเหมือนทุกครั้ง เพราะรู้ว่าเช้าๆแบบนี้ไอ้นายท่านมันชอบเขี่ยประตูเปิดเข้ามาในห้อง

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาด้วยความขี้เกียจ แต่ยังไม่ทันได้ลุกออกจากเตียงคนที่นอนอุตุอยู่ข้างกันกลับดึงตัวเองขึ้น พร้อมกับเดินตรงไปยังประตู ผมที่คิดว่ามันจะปิดให้ไอ้นายท่าน แต่เปล่าเลย อาร์มปิดประตูนั่นลง “ อ้าว ” ได้แต่มองคนที่กระทำการอย่างงั้นแบบเหวอๆ อาร์มล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง พร้อมกับกอดเข้าที่เอวแล้วก็ซุกลงกับตัก

“ กูไม่ให้มันกอด กูจะกอดมึงคนเดียว ”

“ กวนตีนแมวแต่เช้าเลยนะไอ้สัด เมื่อไหร่จะญาติดีกันได้เนี้ย ” ใบหน้าคมที่หลุดยิ้ม ผมดึงตัวเองออกอย่างทุลักทุเลเพราะอีกฝ่ายขืนตัวแบบชนิดนี้ไม่ได้ลุกไปไหน “ เข้ามา ” เปิดประตูให้ไอ้ตัวหน้างอที่ก็ทำทีท่าเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ที่เปิดประตูช้า

ผมกลับขึ้นเตียงนายท่านมันก็กระโดดขึ้นมานอนในวงแขนตรงที่ประจำ แต่หนนี้มันไม่ซุก ไม่อ้อนแบบที่เคย แน่นอนว่ามันเอาแต่จ้องเขม็งไปยังคนที่นอนข้างผมที่ก็มองกลับมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนให้สัตว์ตัวเล็กๆเลยสักนิด

“ มองไร ” อาร์มมันเชิดหน้าถาม ก่อนจะยักคิ้วให้อีกฝ่าย มือที่เอื้อมมือไปจิ้มที่หัวไอ้ตัวลาย ต่อให้โดนยกมือขู่ตะบบแค่ไหนแต่ตราบใดที่ยังไม่โดนเล็บแหลมๆนั่นข่วน ก็เหมือนว่าคนกวนตีนก็จะไม่มีทางหยุด “ เอ้ เอ้ เอ้ ”

“ มึงแม่งโคตรกวนตีนแมว ” ว่าแบบนั้นพลางดึงอีกตัวเข้ามากอด “ ใจเย็นๆไว้ลูกพ่อ อย่าไปกัดกับหมามันนะ ”

“ อ้าว ไม่ใช่แม่เหรอ ”

“ หน้าเหี้ยละ จะดูKกูปะ ” หันไปด่ามันอีกคนก็นิ่ง ก่อนจะค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา แน่นอนว่าอาร์มพยักหน้ารับแบบไม่มีรอช้า

“ ดู ” ไม่มีคำพูดอะไรที่จะเถียงกลับได้เลย สุดท้ายเลยทำได้แค่ยกนิ้วกลางใส่มันที่ก็หัวเราะถูกใจออกมา อาร์มหันมาลูบหัวนายท่านที่ก็ตะบบมืออีกฝ่ายเหมือนทุกครั้ง เป็นท่าทางรังเกียจที่ก็แสดงออกให้เห็นทั้งท่าทางและสีหน้า ว่าอย่ามายุ่งกับกูนะ

“ ม๊าววววว ”

“ เออ อย่ามายุ่ง บอกมันอีก อย่ามายุ่งกับนายท่านได้มั้ยพี่อาร์ม ”

“ มีอะไรจะบอ เมื่อคืนกูนอนกอดเมี่ยงด้วยละ กอดทั้งคืนเลย ส่วนมึงก็ได้มาแค่ตอนเช้า ว๊ายยยยยย ” ได้แต่ถอนหายใจออกมากับท่าทางแบะปากที่อีกฝ่ายล้อเลียนเจ้าแมวที่อยู่ในอ้อมกอดผม

“ ข่วนหน้ามันเลยมั้ย จัดการมันเลย ” อุ้มเจ้าตัวหงุดหงิดไปตรงหน้าอีกคน แต่เหมือนว่าสีหน้าหงุดหงิดนั่นจะไม่แสดงอาการอะไรยกเว้นอ้าปากส่งเสียงไปเบาๆ

“ ม๊าว ”

“ กูแปลให้ มันบอกว่า ไอ้สัด ” ย้ำเสียงแบบนั้นก่อนจะวางอีกตัวลงบนที่นอน ส่วนอาร์มก็หัวเราะลั่น

“ มึงกล้าว่ากูเหรอ คืนนี้กูจัดการลูกพี่มึงแน่ ”

“ บ้า จัดการอะไรอะ ” เอามือปิดหน้าอกตัวเองพลางมองอีกฝ่ายแบบกลัวๆ “ กูไม่เคยผ่านมือใครมาเลยนะ กูบริสุทธิ์ดุจใยไหม ”

“ เรื่องจริง ” แต่กลายเป็นว่าคนตรงหน้ากลับดูตกใจไม่น้อยกับคำพูดนั้น ผมพยักหน้ารับ

“ กูยังไม่เคยมีอะไรกับใครนะ ”

“ แล้วตอนคบกับนาเดีย ก็ไม่ ”

“ อื้ม แล้วทำไมต้องทำด้วยอะ จับมือ หอมแก้มก็พอแล้วมั้ย ”

“ ก็ไม่ได้บอกว่าต้องทำ ” อีกฝ่ายบอกเสียงเบาแบบยิ้มๆ

“ แล้วมึงอะ เคยทำมาเยอะแล้วสิ ” ผมถามเชิงแซวแต่อีกคนก็แค่ยกยิ้ม อาร์มส่ายหน้าไปมา

“ ไม่ขนาดที่มึงกำลังคิดหรอก ”

“ รู้ด้วยว่ากูคิดอะไร ”

“ ก็คงคิดว่ากูเป็นเสือสักตัว ตอนกลางคืนออกล่าเหยื่อ มีอะไรกับคนที่เสนอให้ไปทั่ว ” หยุดยิ้มออกมาอาร์มมันก็หลุดหัวเราะ “ กูมีอะไรกับแค่คนที่อยากมีเท่าไหร่แหละ  ”

“ กับดีน ”

“ ยังไม่เคย ” มันสวนคำตอบแบบทันควัน “ กูจะไปเอามันได้ยังไง คบยังไม่ได้คบเลย กูเป็นจริงจังนะเมี่ยง กับความรู้สึก ไม่ใช่คนที่จะเอากับใครก็ได้อย่างงั้น ”

“ ขอโทษครับ ก็เมี่ยงไม่รู้ เบาๆหน่อย อย่าเพิ่งหงุดหงิดน้า ” ผมว่าเสียงอ่อนแบบอ้อนๆ ก่อนจะชวนอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง “ แล้ววันนี้ว่างจะไปไหนมั้ย ”

“ ว่าจะพาแก้มหอมไปฉีดวัคซีน ”

“ งั้นมึงก็จะไปหาพี่หมอไอซ์อะดิ ”

“ อื้ม ”

“ เราพาไอ้นายท่านไปด้วยได้มั้ย สงสารมันอะ ถ้าปล่อยให้มันอยู่ตัวเดียวในห้อง ” ผมหันไปบอกแต่เหมือนอาร์มจะแค่ขมวดคิ้วให้กัน

“ คือมึงจะออกไปด้วย ” อีกฝ่ายถาม ผมก็พยักหน้ารับ

“ แน่นอนสิ ใครจะอยู่ห้องเฉยๆว่ะ น่าเบื่อตายเลย ออกไปด้วยกันนี่แหละ แถวโรงพยาบาลพี่หมอไอซ์ รถติดมากเลยนะกูจะบอกให้ แต่ถ้ามีกูไปด้วยรับรองว่ารถติดที่ว่าน่าเบื่อ ก็จะหายไป เพราะมึงก็คือจะมีกูอยู่ข้างๆไง ” ยิ้มหวานให้ไปหนึ่งกรุบ  อีกฝ่ายก็ทำทีเป็นหันไปมองทางอื่นแต่นั่นแหละ ผมรู้ ว่าอาร์มมันยิ้มอยู่ “ โอเคนะ ”

“ อื้ม ” ตอบกันมาเสียงสั้นๆแค่นั้นแม้ในใจอยากจะโห่ร้องออกมา ผมรู้ความลับแล้ว ไอ้อาร์มแพ้ผมเวลาอ้อนๆ แล้วแน่นอนว่าต่อไปนี้ ผมจะไม่แพ้มันแบบเมื่อคืนอีกเด็ดขาด

“ ยิ้มอะไรคนเดียว ” 

“ เปล๊า ” ตอบออกไปเสียงสูง อีกคนก็ลุกขึ้นจากเตียงไม่ต่างอะไรกับไอ้นายท่านที่ก็ลุกขึ้นจากตักผมเช่นั้น มันที่ลงไปตรงเตียงฝั่งของร่างสูง ส่วนผมที่หันมองตามอาร์มไป แต่ขาที่ยังไม่ทันเดินถึงประตูห้องน้ำ อีกฝ่ายก็ชี้มาที่เตียงแบบเสียงดัง

“ เห้ยๆ ” หันไปตามมือนั้นที่ชี้ก่อนจะเบิกตาขึ้นในตอนที่เห็นว่า แมวตัวเองฉี่ลงเรียบร้อยบนหมอนของไอ้อาร์มที่หนุนนอนเมื่อคืน

“ เหี้ย!!!! ” สบถได้แค่นั้นส่วนที่เหลือก็ได้แต่นิ่งค้างกับท่าทางไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวนั่น ขาหน้าเล็กๆทำทีเป็นเขี่ยกลบฉี่อย่างที่ทำ “ แล้วมึงจะกลบอะไร มันไม่ใช่ทราย มันเป็นหมอน มันเป็นผ้า มันกลบไม่ได้หรอก  มึงอ่า  ”

“ สงสัยฉี่จองที่เหรอ ไม่ให้กูนอนแล้วว่างั้น ” ร่างสูงที่เดินเข้ามาถามอีกตัวยิ้มๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ แต่เสียใจด้วยนะ กูนอนหมอนเดียวกับเมี่ยงก็ได้ครับ ไม่แน่คืนนี้ กูนอนทับลูกพี่มึงเลย จะได้ไม่เปลืองพื้นที่  ” เสียงครางเบาๆในคอของไอ้นายท่านขู่อีกคนตอนได้ฟังจนผมหลุดหัวเราะกับมุมปากแมวที่กระตุกขึ้นคล้ายกับจะแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย

“ พอเลย มึงทั้งคู่ มึงออกไปเลย ส่วนมึงก็ไปอาบน้ำ ”

“ แล้วนั่นจะทำยังไง ”

“ ส่งซักสิ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจแบบไม่รู้จะทำยังไง ผมมองไปที่หมอน ปลอกหอมๆก่อนหน้านี้แต่ตอนนี้กลับมีวงฉี่เปื้อนอยู่ “ ทะเลาะกันเองไม่ได้สินะ ต้องให้กูร่วมเดือดร้อนด้วย น่าสัดจริงๆ ”

“ บ่นเหี้ยอะไร ”

“ ไปอาบน้ำ ” หันไปตะโกนใส่อีกฝ่ายที่ก็ยิ้มค้างพลางหมุนตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที ผมหันมองไอ้นายมันที่ก็เดินมานั่งจุ่มปุ๊กลงบนตักแบบที่รู้ตัวนั่นแหละว่าทำผิด

“ ไม่ต้องอ้อนเลยยยยยย ทำไมทำแบบนี้ ไม่น่ารัก ” ดึงเหนียงแก้มน้อยๆของอีกตัวผมลุกเดินออกไปนอกห้อง ก่อนจะวางอีกตัวลงบนพื้นพร้อมกับปิดประตูห้องนอนไว้ “ สวัสดีตอนเช้าครับไอ้อ้วงงงงง ” ก้มลงขยำพุงไอ้ก้อนขนที่เดินเข้ามาคลอเคลียขา แก้มหอมส่งเสียงเมี๊ยวๆตลอดทางราวกับจะขอให้อุ้ม “ อุ้มเหรอ ”

“ เมี๊ยว ” ไถหน้าเข้ามาที่ข้างคอ แบบว่าอ้อนกันสุดๆ ผมก็ได้แต่ยิ้ม

“ อ้อนสุด นี่ๆ พี่มีอะไรจะบอกนะแก้มหอมขานะ ” กระซิบลงข้างหูเจ้าตัวน่ารัก “ วันนี้ป๊าจะพาแก้มหอมไปฉีดยาละ คิคิ เจ็บแน่ๆเลย ฮือๆ ม่ายมีใครช่วยด้วย ”

“ แอ๊วว ”

“ แอ๊วไปก็เท่าน้าน เมี่ยงไม่ช่วยอ้วนหรอก อ้วงงงงงงง ” ย้ำกับอีกตัวที่ก็กระโดดลงไปจากตัวผม แล้วก็นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ประตูห้องนอนเปิดออก อาร์มมันเดินออกมาพร้อมกับคว้าอุ้มแมวของตัวเองขึ้นไปจุ๊บรัวๆด้วยความรัก

“ เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ยคะ หนูฝันถึงป๊าบ้างหรือเปล่า แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” ซุกหน้าเข้าไปคอแบบออดอ้อนกันสุดฤทธิ์ และยิ่งอีกฝ่ายหอมไปเท่าไหร่อีกตัวก็ยิ่งน้วยตัวราวกับเป็นของเหลว เสียงเล็กๆนั่นก็อออดอ้อนกันไม่มีหยุด เป็นภาพที่โคตรจะน่ารักและเป็นภาพที่ไม่มีทางหาได้จากไอ้นายท่านของผม

“ นี่สินะที่เค้าพูดว่า บางทีเมียน้อยก็อาจจะในรูปแบบของแมว ”

“ เมียน้อยที่ไหน ” อาร์มมันถาม “ คิดให้ดีๆก่อน ”

“ เชี้ย มันมาก่อนกูนี่หว่า ” เบิกแบบคิดขึ้นมาได้ คนถามก็ได้แต่หลุดยิ้ม  “ ชิบหาย นี่กูเป็นเมียน้อยแมวเหรอ ”

“ บ้า นี่มันลูกของเรา ”

“ มึงอ่า อะไรก็ไม่รู้ ” หันไปอีกทางแบบที่เรียกได้ว่ายืนบิดและในตอนนั้นเองที่ร่างสูงดินเข้ามาใกล้ผม อาร์มกอดเข้าที่รอบเอว พร้อมกับใบหน้าที่ซบลงตรงคอ ลมหายใจอุ่นๆ มันจูบที่ข้างแก้ม พร้อมกับกระซิบ

“ เมี่ยงครับ ”

“ ครับ ”

“ บางทีมึงควรเลิกเพ้อ แล้วไปอาบน้ำสักที ” เสียงทุ้มที่ว่าแบบนั้นพร้อมกับดึงตัวเองออกห่าง ส่วนผมที่หันไปมองช้าๆ แต่ภาพที่เห็นมีแค่สายตาคมที่เชิดไปตรงประตูห้องนอน พร้อมกับมือที่กระชับกอดแมวตัวสวยนั้น  บอกเลยว่ามัน ช่างเป็นการกระทำที่ต่างกันโดนสิ้นเชิง


แต่ก็นั่นแหละ
ชีวิตของผม ที่เมียหลวงของแฟน อาจจะมาในรูปแบบของ แมวตัวน้อย


เวลาที่ใช้ในการจัดการธุระช่วงเช้าของวันไม่นานเท่าไหร่ เรากินแค่นมกับขนมปังคนละอย่าง เพราะแพลนของวันนี้ที่ตั้งใจไว้คือพาเจ้าแก้มหอมไปฉีดวัคซีน พาไอ้นายท่านไปเที่ยว อาบน้ำ แล้วเราก็จะฝากไอ้ตัวป่วนทั้งคู่ไว้ที่โรงพยาบาลสัตว์ ส่วนพวกเราสองคนก็จะแอบออกมาเที่ยวชมคาเฟ่

แน่นอนพี่อาร์มมุ่งมั่นมาก ถึงขั้นพกกล้องถ่ายรูปออกมาด้วยอย่างที่ก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่

“ ไปกัน ” จับแมวใส่กรงเรียบร้อยเราที่เตรียมตัวออกเดินทาง ผมเดินไปใส่รองเท้า ไม่ต่างอะไรกับร่างสูงแต่ทว่าตอนนั้นผมกลับได้ยินเสียงเบาๆออกมาจากปากอีกคน

“ เชี้ย มันเล่นกูละ”

“ อะไร ” หันไปถามคนข้างกันที่ก็ได้แต่นิ่งไป จังหวะนั้นเองที่อาร์มมันดึงเท้าออกจากรองเท้าช้าๆ และภาพที่เห็นก็คือ ถุงเท้าของอีกคน ตรงฝ่าเท้านั้น มันเปื้อนไปด้วยขี้แมว

“ เหี้ยยยยย ” ถึงขั้นกรีดร้องเสียงลากยาวออกมา ผมรับรู้ได้ถึงความแฉะ และความแผละในตอนที่เหยียบเข้าไปบนกองขี้นั้น อาร์มมันหันมองผมก่อนจะก้มลงมองเจ้าตัวการ

“ มึงนี่มัน.. ”

“ ขอโทษพี่อาร์มเดี๋ยวนี้เลย ” ผมยกกรงที่ใส่ไอ้นายท่านขึ้นมาเผชิญหน้าพร้อมกับหันไปทางอีกฝ่าย “ ขอโทษเดี่ยวนี้ เมี๊ยวออกมาหนึ่งครั้งเลยนะ ทำไมมึงเป็นแมวอันธพาลขนาดนี้ เอ้า! เมินอีก ” เรียกว่าท่าทางนั้นไม่มีความเดือดร้อนและทุกข์ใจต่ออะไรทั้งสิ้น นายท่านมันมองหน้าอาร์ม มองเหมือนจะถามว่า ‘ ละจะทำไม ’

“ ไว้ลูกพี่มึงไม่อยู่บ้านเมื่อไหร่นะ มึงเจอกูแน่ ” ร่างสูงที่ฝากไว้แค่นั้นมันวางกรงแมวของตัวเอง ก่อนจะกระเผลกตัวเองเข้าไปที่ระเบียงด้านนอกพร้อมกับรองเท้าคู่โปรด อาร์มถอดถุงเท้าตัวเองออก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

“ มึงนี่จริงๆเลย ทำไมนิสัยไม่ดีแบบนี้ ” ยกกรงขึ้นมามองหน้าไอ้ตัวลายที่ก็ไม่มีท่าทางสำนึกอะไร “ วันไหนนะ ถ้ากูไม่อยู่บ้าน มันเอามึงไปทิ้งจะทำยังไง ไม่กลัวเหรอ ”

“ ม๊าว ”

“ กลัวใช่มั้ย แบบนั้นนายท่านก็ต้องเป็นเด็กดีสิ ”

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวๆนี่ สำนึกหรือไม่สำนึก หึยยยย นี่ถ้าไม่ติดว่าเอาเข้าไปในกรงแล้วน้า กูจะบู้บี้แก้มมึงเลย ไอ้อันธพาล” ลากเสียงบอกอีกตัว ในตอนนั้นอาร์มมันก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี

“ ขอจัดการเอาขี้ออกจากถุงเท้าแล้วก็รองเท้าก่อนได้มั้ย กูจะมันแช่ไว้ เย็นๆจะได้กลับมาซัก ”

“ ตามสบายเลยครับ กูไม่รีบ ” ส่ายหน้าบอกอีกฝ่ายยิ้มๆ อาร์มเดินไปจัดการทุกอย่างที่บอกกันก่อนจะเดินกลับมามองผมที่ก็ยังคงนั่งอยู่ที่ส่วนยกพื้นก่อนเข้าห้อง และแน่นอนว่า นาทีนี้ก็คงได้แต่ฉีกยิ้มจ้ะ ฉีดยิ้มอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อลดความกรุ่นโกรธที่อีกฝ่ายมี 

“ รองเท้าคู่โปรดกูด้วยนะ ” มันที่ว่าแบบนั้นผมก็รีบลุกขึ้นไปหยิบรองเท้าอีกคู่ของมันมาวางลงให้ “ แต่ใส่คู่นั้นมันไม่เข้ากับชุดหรอก ไอ้นายท่านก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน มึงใส่คู่นี่ดีกว่า มันเท่ ”

“ ลูกพี่มันก็เข้าข้างลูกน้องไม่น้อยเลยนะ ”

“ น่าๆ ก็อยากจะให้มึงปล่อยวางไง ” ผมโบกมือปัดก่อนจะหันไปพูดคนเดียวแบบเบาๆ “    มึงก็กวนตีนน้อยซะที่ไหนละไอ้สัด โดนเอาคืนบ้างก็ไม่เห็นจะแปลก ”

“มึงพูดอะไรกับใคร ”

“ เปล๊า ” ปฎิเสธออกไปแบบเสียงสูง ผมยิ้มก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายออกไป แม้ในใจลึกๆจะรู้สึก ทั้ง สมควร และ สมน้ำหน้า มันอยู่ไม่น้อยก็ตาม

.........................................................
อย่ารบกันนนนนนนนนนนนนนนนนน
ใจเย็นๆจ้า
อยากให้ตอนนี้คนอ่านยิ้มๆ แฮปปี้
ขอให้มีความสุขกับสุดสัปดาห์ที่หยุดยาวนะค้า
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยน้า
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คนข้างห้อง นายทำอะไรกับทาสเราเนี่ย เราโครตเซ็งเลย  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นายท่านมันร้ายนะเนี่ย  อิอิ

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 32


บรรยากาศในรถไม่ค่อยสงบเท่าไหร่เพราะแมวสองตัวด้านหลังพยายามอย่างที่สุดที่จะออกจากกรงเล็กๆนั้น จนสุดท้ายแล้วผมที่ทนไม่ไหวก็เลยต้องเปิดกรงให้มันทั้งคู่ออกมาชมวิวกันอยู่บนตัก ท่ามกลางแววตากลมที่ดูสนออกสนใจของเจ้าเหมียวชวนให้ผมยิ้ม แต่ในใจที่ลึกลงไปแล้วนั้นก็กลัวเหลือเกินเหมือนกันว่าจะมีใครฉี่หรือขี้บนรถแบบที่ฝากความทรงจำไว้ให้รัก

ซึ่งคราวนี้แน่นอนว่า เจ้าของรถไม่น่าจะแค้นแค่แมว
แต่น่าจะแค้นแฟนแบบผมด้วย เพราะตามใจเก่ง

“ อย่านิ่วหน้าขนาดนั้น ”

“ ตามใจเก่ง ” ว่าแบบนั้นมือหนาก็จับเข้าที่มือของผมในตอนที่รถของเราชะลอจอดตอนติดไฟแดง นิ้วโป้งที่ลูบเบาๆอาร์มยกยิ้ม

“ อย่าโกรธมันเลย มันก็แค่แมวอะ ”

“ ง้อแทนแมวเหรอมึงอะ ” ว่าแบบนั้นก็เคาะหัวไปทีนึง ผมยิ้มก่อนจะดึงไอ้นายท่านให้หันมาเผชิญหน้ากับอีกคน สองเท้าของมันผมจับให้อยู่ในท่าไหว้ แน่นอนว่าปรับเป็นเสียงสอง

“ นายท่านขอโทษกั๊บ นายท่านจะไม่ทำอีกแล้วนะพี่อาร์ม ขอโทษน้าค้าบ ขอโทษค้าบบบบ ”

“ ไว้มึงไม่อยู่กูจะทำซุปหางแมว โดนแน่ๆมึงอะ ” โดนจกพุงไปที ก่อนที่ไฟเขียวจะฉายขึ้นเป็นอันว่าบทสนทนาของเราก็หยุดลง ส่วนตัวรถเองก็เลี้ยวเข้าไปในลานจอดของโรงพยาบาล

เจ้าพวกตัวป่วนถูกจับใส่กรงอีกครั้ง เราพามันเดินขึ้นมาที่หน้าเค้าท์เตอร์เพื่อจัดการประวัติ วันนี้แก้มหอมมาตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ส่วนนายท่านไม่ได้มาทำอะไร ไม่มีอะไรให้ทำด้วยแต่ผมที่ก็พามาแล้ว ก็ยังยัดเยียดหาอะไรให้ทำ และนั่นก็คือ การอาบน้ำ

“ มารับพร้อมกันได้ใช่มั้ยครับ ”

“ ได้เลยค่ะ แต่ว่าต้องพาน้องขึ้นไปหาหมอไอซ์ก่อนน้า ” พนักงานด้านหน้าเธอว่าอย่างงั้น ก่อนจะเดินนำเราเดินไปที่ลิฟต์แล้วพาขึ้นไปที่ชั้นสามตรงส่วนของห้องตรวจทั่วไป

“ พี่หมอไอซ์สวัสดีครับ ” ก้มหน้าลงทักทายว่าที่พี่เขยที่ก็กำลังจะมาเป็นพี่เขยจริงๆในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า  ร่างสูงตรงหน้าที่ยิ้มใจดีให้กัน เราวางเจ้าแมวสองตัวลงบนโต๊ะตรวจ พี่หมอก็ดึงเอาไอ้นายท่านออกมาดูก่อน

“ พี่จะเช็คสุขภาพทั่วไปของไอ้นายท่านให้ก่อนนะ แต่คิดว่าไม่มีอะไร ”

“ น่าจะมีน่า พี่ตรวจดีๆเหอะ ” คนที่มาด้วยกันว่าอย่างงั้น “ เพราะบางทีค่าความกวนตีนของมันอาจจะสูงก็ได้ และใกล้จะโดนผมถีบเร็วๆนี้แหละ”

“ แล้วมึงหงุดหงิดอะไรขนาดนั้น ” พี่หมอไอซ์ทักคนเป็นน้อง ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ก่อนจะป้องปากกระซิบ 

“ เมื่อเช้าไอ้นายท่านขี้ใส่รองเท้ามันน่ะ ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่ดังลั่นห้องตรวจ เค้าลูบหัวแมวผมก่อนจะก้มลงบอกมัน “ ทำดีมาก ”

“ เอาเข้าไป ” คนโดนกระทำว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจหงุดหงิดพลางหันไปทางอื่น “ รองเท้าคู่โปรดด้วยเถอะ ไม่เป็นของตัวเองแม่งก็หัวเราะได้สิวะ ”

“ มีงอนว่ะ ” พี่ไอซ์ว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองผมแบบยิ้มๆ แล้วก้มหน้าลงตรวจไอ้ตัวลายต่อ  “ เอาน่า คิดว่าจะได้ฤกษ์ซักร้องเท้าที่มึงไม่เคยคิดจะซักมันเลยไง ”

“ พูดเหมือนปกติไม่เคยซัก ” คนหงุดหงิดเถียงกลับ แต่ในตอนนั้นพี่หมอกลับไม่ได้ตอบอะไร เค้าก็แค่ก้มหน้าลงตรวจไปตามร่างกายของไอ้นายท่าน ทั้งเหงือก ฟัน อุ้งเท้า แล้วก็อัตราการเต้นของหัวใจ

“ ถ่าย ฉี่ ปกติใช่มั้ย ”

“ ปกติครับ ” ผมตอบ แต่คนที่มาด้วยกลับแค่หลุดหัวเราะ

“ ไม่อะ เมื่อเช้ามันฉี่ใส่หมอน แล้วขี้ในรองเท้ากูไงไอ้สัด ”

“ มึงนี่ก็แค้นมันไม่เลิกนะ ” คนเป็นพี่ชายหันไปถาม “ หมายถึงว่าอึเป็นก้อนใช่มั้ย ตอนมึงเหยียบเป็นไง ”

“ เออ เป็นก้อน ”  เสียงตอบรับที่ยังคงหงุดหงิด

ความจริงก็เริ่มจะเห็นใจมันเหมือนกัน รองเท้าคู่นั้นอาร์มชอบมันมาก แบบที่ในหนึ่งอาทิตย์มี 7 วันก็ใส่คู่นั้นไปแล้ว 6 วัน น้อยมากที่มันจะใส่คู่ที่ใส่อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันไปทำกับคนอื่น รับรองคงโดนเตะออกจากบ้านปลิวไปแล้ว

“ ปกติดีนะเมี่ยง สุขภาพแข็งแรง ” พี่หมอเงยหน้าบอกผมที่ก็พยักหน้ารับ

“ ขอบคุณครับ ”

“ ส่วนคราวนี้ก็เป็นตาของคนสวยคนนี้ ”

สองมาตรฐานอย่างชัดเจน  ในตอนที่ที่พี่ไอซ์เปิดกรงแล้วอุ้มเจ้าแก้มหอมออกมา คุณเจ้าหญิงขนยาวนัยน์ตาสีฟ้าก็ร้องอ้อนทักก่อนจะถูกวางลงบนเตียงตรวจที่ก็ถูกตรวจแบบไม่ต่างอะไรกับนายท่าน เพิ่มเติมก็มีฉีดยาอีกสองเข็มที่ซึ่งมันก็ร้องเมี๊ยวๆอยู่ตลอดเวลา

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ โอ๋ๆ เจ็บเหรอครับลูก ไม่เป็นไรนะครับ ป๊าอยู่นี่นะ ไม่เป็นไร ” ลูบหัวเจ้าตัวสวยด้วยท่าทางอ่อนโยนจนผมได้แต่เอามือทาบอกอยู่ในใจ มันน่าเศร้านิดนึงที่กับผมมันยังไม่เคยพูดเลย ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและท่าทางอ่อนโยนอะไรแบบนี้ “ ลุงไอซ์ไม่ได้ทำอะไรครับ แค่ทำให้หนูแข็งแรงไงครับ ”

“ เป็นลุงของแก้มหอมสินะกู ”

“ หรือพี่มึงจะเป็นปู่ละ ”

“ ไอ้สัด ” คนเป็นพี่สบถใส่น้องชาย “ กูไม่แก่ขนาดนั้นมั้ย โอเค เสร็จแล้วครับคนสวย ” ท้ายประโยคที่ก้มลงพูดกับแมว

“ แล้วนี่ทำอะไรต่อ อาบน้ำไม่ได้นะ ”

“ นู้น ตัวนู้นอาบน้ำ ” เชิดหน้าไปเจ้าตัวลายของผมที่ตอนนี้นอนนิ่งอยู่ในกรง คนเป็นหมอก็ยกยิ้ม

“ ไม่ใช่พวกมึงจะแอบหนีไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยกลับมารับมันหลังเที่ยวเสร็จเหรอ ”

“ ว้าว รู้ด้วย สงสัยจะทำบ่อยๆกับพี่พลู เลยจับไต๋ได้ ” ไอ้อาร์มมันเย้าอีกคนก็ทำทีเหมือนจะหลังมือใส่ พี่ไอซ์ยิ้ม

“ ไปเลยพวกมึงทั้งคู่ แล้วอย่าลืมกลับมารับแมวละ ไม่ใช่เที่ยวกันจนเพลินเพราะคิดว่า เปิด 24 ชั่วโมงจะมารับตอนไหนก็ได้ ”

“ ครับผม ” เราตอบพร้อมกัน พี่หมอไอซ์จัดการเอาแมวสองตัวในกรงขึ้นมาตั้งไปบนเตียงตรวจ ก่อนผมจะก้มลงไปบอกพวกมัน

“ เดี๋ยวตอนเย็นๆเมี่ยงมารับนะ ทั้งคู่เลย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ว่าที่พี่เขย แต่เหมือนจะต่างไปจากอีกคน อาร์มมันเดินมากอดคอผมพลางก้มหน้าลงบอกไอ้นายท่าน

“ ทิ้งไว้นี่แหละไอ้แมวกวนตีน กูไม่มารับมึงหรอก ” ผ่อนลมหายใจพลางเอื้อมมือไปปิดหูแมวตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้า

“ อย่าไปฟังมันลูก อย่าไปฟังมัน ”

“ เดี๋ยวดูแลให้ ไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะ ” พี่หมอไอซ์เดินนำเราออกมาจากห้องตรวจในตอนนั้น เค้าที่มาส่งเราตรงหน้าลิฟต์ แต่ทว่าก็ยังมีบางอย่างที่ผมสงสัยอยู่

“ มึง ” หันไปถามอาร์มอีกคนก็หันมามองหน้ากันหลังจากที่ประตูลิฟต์นั้นปิดลง

“ ว่า ? ”

“ พี่หมอไอซ์เค้ารู้เรื่องเรามั้ย ที่เราคบกัน ” เพราะรู้สึกว่าทำไมเค้าไม่เห็นแปลกใจเลยที่เรามาด้วยกัน แถมไม่ถามด้วยซ้ำ ซึ่งในความเป็นจริงเค้าควรจะแปลกใจมากๆเพราะล่าสุดที่เจอกันตอนทานข้าวครอบครัวก็แทบไม่ได้คุยกัน

“ เค้ารู้ว่ากูสนใจมึง ตั้งแต่วันที่เรานัดกินข้าวแล้ว ” คนข้างกันหันมาบอก “ แล้วก็ไม่ใช่แค่พี่กูที่รู้ด้วย ”

“ อย่าบอกนะ..” ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะมีคำตอบอยู่ในใจ

“ ใช่ พ่อแม่กูก็รู้ ”

“ K ” และนั่นแหละครับ คือคำเดียวที่ผมสบถออกไปในตอนที่ได้ยิน  แบบที่ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าได้เจอกันอีกรอบ จะทำหน้าตาแบบไหนในตอนที่สบตาพวกเค้า

เก่งนักเรื่องทำอะไรไม่อ้อมค้อม
สักวันโลกต้องเอามึงมาเป็นหน่วยวัด ไอ้หน้าเหี้ย

เราตัดสินใจที่จะไม่ขับรถไปแต่เลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงรถติดตอนขากลับที่อาจจะเป็นเวลาเลิกงาน เพราะย่านที่เรากำลังจะไป เป็นย่านถนนที่มีคาเฟ่หลากหลายแบบแถมมันยังเป็นนี่นิยมมากในช่วงนี้ เหมือนศูนย์รวมของมุมถ่ายรูปของคนทั้งโลกโซเซียล

“ เราจะถ่ายรูปกันก่อน หรือว่าจะกินก่อน ” หันไปถามคนที่ยืนข้างกัน แต่เหมือนว่าอาร์มจะไม่ได้รับรู้อะไรแล้ว มันยกกล้องขึ้นถ่ายรูปผม และช็อตนั้นก็คงไม่ใช่ภาพที่ดูดีเท่าไหร่  อีกฝ่ายยิ้ม “ กูอ้าปากอยู่ใช่มั้ย ไอ้สัด ”

“ เป็นหลักฐานที่บอกว่า มึงมันยอดนักกิน ที่จริงจังกับมันมากกว่าเรื่องไหนๆ ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็กอดเข้าที่รอบคอพลางยื่นพรีวิวภาพตรงหน้ากล้องให้ดู

“ หน้าเหี้ยชิบหาย ” ไม่ต่างอะไรไปจากที่คิด ในภาพนั้นผมอ้าปาก หน้าเหวอ มือก็ไม่รู้ชี้เหี้ยอะไรอยู่ “ ลบเลยนะ ”

“ ลบทำไม ” ว่าแบบนั้นกล้องก็ถูกดึงออกไปจากมือ พลางดึงให้ออกเดินไปข้างหน้า

“ ก็บอกอยู่ว่าหน้ากูเหี้ย ”

“ นั่นมันความคิดมึง ” อีกคนบอกก่อนจะยักคิ้วให้กัน “ แต่กับความคิดกูมันน่ารัก ไม่จำเป็นต้องลบ ”

“ จีบถี่ ไอ้สัด ” พูดแบบนั้นเสียงเบาๆ ผมก็พยักหน้ารับ “ งั้นก็เอาที่สบายใจเถอะจ้า ถ้าจะหลงกูขนาดนี้”

“ พูดมาก ” มือข้างที่กอดคอเคาะเข้าที่หัว เราเดินยิ้มกว้างลงมาจากสถานี

ด้วยระยะทางที่ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ เราเดินเข้าไปในซอยที่บรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย มันคล้ายกับถนน hajiland ของสิงคโปร์ ที่ทุกร้านตกแต่งด้วยสีสันน่าดึงดูดและก็เป็นสไตส์ของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ดูอึดอัดคับแคบแบบตึกแถวอย่างงั้น ยังพอมีร้านที่ดูเป็นบริเวนอย่างสวนเล็กๆ

“ ตกลงว่าจะกินก่อนหรือถ่ายรูปก่อน ”

“ หิวยังละ ” อาร์มมันหันมาถาม ผมก็ได้แต่นิ่ง  จนอีกฝ่ายพูดล้อๆ “ เงียบ.. ”

“ ก็ไม่รู้จะกินเลยดีมั้ย มันไม่ได้หิวขนาดนั้น ”

“ น้ำหน่อยมั้ยละ ”  คนข้างกันเชิดหน้าไปที่ร้านแบบฟู้ดทรัคที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยโทนสีขาวดำ เมนูตัวโชว์ที่เป็นป้ายหร้าร้านบนพื้นดูน่าสนใจเพราะเป็นน้ำเกรฟฟรุ๊ทที่ผมชอบพอดี
 
“ น่าสนใจจจจจจ ” เดินตรงเข้าไปที่ร้านในตอนที่พูดแบบนั้น ผมเงยหน้าสั่งน้ำเกรฟฟรุ๊ทกับพนักงานก่อนจะหันมามองอีกคน

“ ชานมเผือก ” เสียงเรียบๆที่บอกกันแบบนั้น ผมก็นั่งลงตรงเก้าอี้ไม้แบบยาวข้างๆรถ และแน่นอนว่าคุณช่างกล้องประจำตัวก็ทำหน้าที่ได้ดี ด้วยการกดถ่ายรูปให้แบบชนิดที่ไม่ต้องสั่ง ส่วนผมก็ทำทีเป็นเก็กท่าทางต่างๆแบบทีเผลอ อย่างไม่ตั้งใจถ่าย ก่อนพนักงานจะเอ่ยเรียก

“ เกรฟฟรุ๊ท กับ ชานมเผือก ได้แล้วครับ ” น้ำสองแก้วของเราถูกยื่นมาให้ คนข้างกันชิงจ่ายเงินไปก่อนผมก็หันไปบอกมัน

“ รอบหน้ากูเลี้ยงนะ ” ว่าแบบนั้นผมยื่นน้ำให้พลางก้มลงชิมของตัวเอง ซึ่งก็เป็นรสชาติหวานๆเปรี้ยวๆแบบที่ชวนให้ผมหรี่ตาลง แต่ถึงอย่างงั้นก็รู้สึกสดชื่นอย่างที่สุด “ อาย่อย ” พูดแบบเสียงเด็กๆอีกคนก็ก้มลงดูดของตัวเอง

“ อื้ม ” เสียงที่ดังเบาๆแค่นั้น ร่างสูงเดินนำออกไปจากร้าน ผมก็เดินตามด้วยความงุนงงอยู่ไม่น้อย

“ ทำไมวะ ไม่อร่อยเหรอ ” ไม่มีคำตอบจากคนข้างกัน มีเพียงแค่แก้วน้ำชานมเผือกที่ยื่นมาให้ อาร์มหยุดเดินเพื่อให้ผมก้มลงดูดน้ำที่มันยื่นมา และหลังจากที่รสชาตินั้นไหลลงคอ มันก็ทำให้ผมได้แต่ยู้หน้าแบบที่พยายามจะกลืนความหวานที่เหมือนจะรวมมาจากทั้งโลกแล้วไว้ในแก้วนี้ลงคอไป “ หวานมาก ไอ้สัด ”

“ หวานแบบต้องตัดขา” อาร์มว่าพลางเขย่าน้ำแข็งในแก้วแบบที่เหมือนจะอยากให้มันละลายเร็วๆ

“ ถ้าแดกต่อแบบไม่รอให้น้ำแข็งละลายก็คือเขียนมรดกไว้นะ ว่าถ้าตายเพราะเบาหวาน สมบัติทุกชิ้นเป็นของกู ”

“ รวมถึงหัวใจด้วยมั้ย ”

“ จ้ะไอ้สัด อย่าให้ได้ช่อง  ก็จะคือจีบทุกช่วงจังหวะหายใจ ” แซวมันไปแบบนั้นอีกคนก็ดึงกล้องขึ้นมาพลางถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบนั้น  “ บรรยากาศดีเนอะ แดดก็ไม่แรง เหมือนโลกเห็นใจในความทุกข์ยากของเรา กว่าจะได้คบกันดีๆ วันนี้เลยทำให้เป็นวันพิเศษหนึ่งวัน ”

“ เอาจริง มึงนี่ก็เพ้อเจ้อเก่งเหมือนกันนะ ”

“ หมายความว่าไงวะ ” หยุดยืนนิ่งพลางมองอีกคนก็ไม่พูดอะไร อาร์มยิ้มแล้วก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปผมไว้

“ ยิ้มหน่อย ”

“ ยิ้มมมม ” ฉีกยิ้มกว้างแบบตาปิด ก่อนจะเดินไปยืนอยู่หน้าร้านขายของน่ารักๆร้านนึง “ มึงถ่ายรูปตรงนี้ให้หน่อย เอาแบบทีเผลอนะ ”

“ อื้ม ” ขานรับแบบนั้นคุณตากล้องก็กดถ่าย ผมเดินไปดูภาพตัวอย่างด้วยความอยากรู้ แต่พบว่าในภาพนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ใจนึกเท่าไหร่

“ กูว่ามุมนี้แขนกูมันดูใหญ่ไป ถ่ายใหม่ได้มั้ย ”

“ ได้ ” พยักหน้ารับสั้นๆ ผมไปเดินอยู่ตรงจุดเดิม ก่อนจะบอกมัน

“ มึงต้องบอกกูด้วยสิว่ามุมไหนของกูมันโอเค ไม่โอเค แบบหมุนซ้ายหน่อย ขยับขวานิดนึง แบบเนี้ย เข้าใจปะ ”

“ อื้ม อยากได้แบบไหน ”

“ ผอมๆ ” แบบไม่ลังเล ก็คือรีเครสไปอย่างงั้นคนที่ถ่ายรูปก็ดึงกล้องขึ้นพลางมองผ่านเลนส์

“ แก้มอ้วนเกินไป ถ่ายยังไงก็ไม่ผอม ไหนจะผิวอีก มันขาวเกินไป ดูนุ่มฟูไปหมด ไม่ผอมหรอก ”

“ ไอ้สัดดีๆ ” สบถด่าคนถ่าย ผมได้แต่ก้มหน้าแบบที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองมันด้วยเสียงงอแงงแบบเด็กเล็ก “ มึงอะ กูจะได้สักรูปมั้ยเนี้ย ”

“ อะไร ก็มึงบอกว่าเอาผอมๆ แก้มมึงเยอะเกิน ยังไงก็ไม่ผอมเปล่าวะ ” มันที่เถียงกัน ผมก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะดึงน้ำในมือขึ้นมากิน แบบที่ไม่รู้ว่าต้องต่อกรยังไงกับคนตรงหน้าที่นี้ดี ก็รู้ว่ารักมาก หลงมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเอาเหี้ยอะไรพวกนี้มากวนตีนกัน

“ ไม่คุยด้วยแล้วไอ้สัด ”

“ เหรอ ”

“ เออ กูโกรธมึง ”

“ อ้าว ไหนบอกไม่คุยด้วย ”  ได้แต่นิ่งไปในตอนที่คนข้างกันพูดออกมาอย่างงั้น ผมผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะพ่นลมออกมาจนหน้าม้าปลิวไปหมดอย่างสงบจิตใจ ผมเดินนำออกไปแม้ว่าจะได้ยินหัวเราะของคนที่เดินตามหลังมาเป็นระยะ

‘ กูจะไม่พูดกับมึง จะไม่พูดเลยไอ้สัด ’ ในใจท่องแค่คำพูดนั้น แต่เหมือนอีกคนจะรู้จักกันดีเกินไป ขานั้นเลยหยุดเดินตามเมื่อเห็นอะไรสักอย่างที่หลอกล่อกันได้

“ นั่นมันโดนัทร้านนั้นที่หว่า ” เหลือบมองตามคำพูดนั้นแบบเสียความตั้งใจไปชั่วขณะ ร้านข้างทางแบบในตู้สีฟ้าขาว มันเป็นสัญลักษณ์ของความอร่อยที่เคยอ่านในรีวิวแบบนับไม่ถ้วน กับร้านโดนัทเนยสดแบบทำเอง  “ ไม่รู้มีใครอยากจะกินมั้ยน้า ”

‘ กูจ้าไอ้สัด ’ ในใจที่กัดฟันแน่นผมเดินตรงไปที่ร้าน พลางมองเมนูที่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก มีเพียงแค่สองเมนูคือ โดนัทแบบโรยน้ำตาล กับ โรยชินนาม่อน

“ รับอะไรดีครับ กล่องละ 100 มีแปดชิ้น จะผสมกันก็ได้นะครับ ”

“ เอาแบบผสมกันครับ กล่องนึง ” ผมบอกก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวที่สวมแต่ทว่า “ เชี้ย ” สถบออกมาเบาๆ เพราะลืมไปเลยว่า ไม่ได้พกกระเป๋าตังค์มา

“ ร้อยนึงครับ ” พนักงานยื่นโดนัทในถุงให้ผมที่ก็เหลือบมองคนข้างกันที่กำลังยืนก้มหน้ากลั้นยิ้มอยู่  ผมว่ามันคงรู้มานานแล้ว เรื่องผมไม่ได้พกเป๋าตังค์

“ มึง ” จำใจเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา แต่อาร์มในตอนนั้นมันไม่ได้มองหน้าผมอีกคนหันไปทางอื่น จนผมต้องเรียกซ้ำ ในตอนที่สบตากับพนักงานแต่ไม่มีตังค์ให้ “ มึง ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่หลุดออกมาดังลั่น แม้แต่พนักงานก็ยังงง

“ หัวเราะเหี้ยอะไร จ่ายตังค์ให้หน่อย ไม่ได้เอาเป๋าตังค์มา ”

“ อะไรครับคุณ มาขอตังค์ผมได้ยังไง เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ ” ว่าแบบนั้นด้วยสายตาที่หันมามองผมแบบคนที่ไม่รู้จัก

“ มึงงง ” ผมเริ่มโวยแต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้ม

“ เอ้า ก็ไม่รู้จักจริงๆ คุณชื่ออะไร เป็นอะไรกับผม ”

“ ชื่อเมี่ยง เป็นเมียมึงอะ ” พูดแบบไม่ออกเสียงในท้ายประโยคก่อนจะรับขนมมาจากคนขายแล้วเร่งมันอีกครั้ง “ เร็ว จ่ายให้หน่อย ”

“ รู้จักกันแล้วเหรอ ” อีกคนถามผมก็พยักหน้ารับด้วยเสียงอ่อน อย่างไม่อยากจะขายหน้าพนักงานไปมากกว่านี้

“ รู้จักแล้ว ”

“ กูชื่ออะไร ”

“ อาร์มไง แฟนกู ” ผมว่าอีกคนก็มองกันเหล่ๆ “ เร็ว จ่ายให้หน่อย เค้ารอแล้วเนี้ย ”

“ พอไม่มีเงิน ก็รู้จักขึ้นมาทันทีเลยนะไอ้ขี้งอน ” ประโยคที่มาพร้อมกับรอยยิ้มนั้น อาร์มจ่ายเงินให้พนักงานส่วนผมก็หยิบเอาโดนัทในกล่องขึ้นมากิน ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงรสชาติ เพราะสมราคาคุย มันเป็นโดนัทนุ่มๆที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลย อร่อยถึงขั้นต้องกัดคำแล้วคำเล่า แบบที่ไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะถ่ายรูปไปสักเท่าไหร่

“ อร่อย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบชิ้นใหม่ให้คนจ่ายเงินชิม อาร์มมันก้มลงกัดก่อนจะเคี้ยวแล้วพยักหน้ารับ “ อร่อยมั้ย ”

“ อร่อยดี แต่กับมึงคงอร่อยมาก ” มือหนามาพร้อมพร้อมรอยยิ้มเช็ดผงน้ำตาลไอซ์ซิ่งที่เหมือนจะเลอะอยู่บนขอบปาก แล้วก็ปลายจมูกให้กัน “ กินเผื่อจมูกด้วยเหรอ ”

“ อร่อย ” บอกแบบนั้นอีกคนก็ยิ้ม ส่วนผมก็มองไปรอบๆ “ หิวของคาวแล้วอะ ”

“ ใจเย็น มึงกำลังกินอยู่ ” อาร์มมันว่า ผมก็ถอนหายใจ

“ กูบอกว่าของคาว คาวหวานมันไม่เหมือนกัน คนเรากระเพาะมันแยกส่วน ”

“ เด็กอ้วน ” เสียงเบาๆที่ได้ยินมาพร้อมกับมือที่เข้ามากอดคอ  อาร์มมันยิ้มในตอนที่เห็นผมมองอยู่

“ กูได้ยินนะ ”

“ คำว่าเด็กอ้วนน่ะเหรอ ”

“ ไอ้สัด ” เสียงหัวเราะถูกใจของคนข้างๆ ผมเอียงหน้าหนีความกวนตีนนั้นแต่กลับไม่ได้อยากจะดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก หนำซ้ำยังอยากจะเอียงหัวเข้าซบ

‘ ผมน่ะรักไออุ่นนี้ที่สุดเลย ’ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจ แบบที่อยากจะตะโกนออกไปให้สุดเสียง ผมรักแม้แต่กลิ่นน้ำหอมที่มันกลายมาเป็นกลิ่นตัวของอีกคน เป็นความรู้สึกที่ต่อให้เดินข้างๆกันแบบไม่พูดอะไร ก็ยังมีความสุข

ซึ่งในชีวิตนี้มีไม่มากนัก ใครสักคนที่ทำให้รู้สึกแบบนี้


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
“ กินอะไรกันดี ”

“ อยากกินสปาเก็ตตี้อร่อยๆ ” ผมบอกอีกฝ่ายก็มองไปรอบๆ ก่อนจะไปสะดุดตากับร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยโทนเรียบๆ ตรงมุมถนน

“ ตรงนั้นมั้ย ”

“ ร้านน่าถ่ายรูปดีด้วย ”

“ ก็คือความตากล้องอะเนอะ แบบเน้นบรรยากาศ ไม่เน้นรสชาติ ” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว เราเดินตรงไปที่ร้าน ไม่ลืมแวะถ่ายรูปกับเก้าอี้หวายทรงเก่าๆที่อยู่ด้านหน้าผนังสีขาวเรียบที่ด้านบนเป็นไฟนีออนสีเหลืองที่ดัดออกมาเป็นชื่อร้าน เราผลักประตูเข้าไปความเย็นก็ปะทะเข้าใบหน้า ไม่ต่างอะไรกับหลุดเข้ามาในอีกโลก บรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีขาวเหลือง มันน่ารักจนชวนให้ผมยิ้ม

“ ร้านน่ารักว่ะ ” เอ่ยพูดออกมาคนข้างกันก็ยิ้ม

“ ก็มึงชอบสีเหลือง ”  อาร์มว่าแบบนั้นก่อนจะเชิดหน้าไปที่โต๊ะ

“ จำได้ด้วย ”

“ แน่นอน ก็เป็นเรื่องของมึง ” ในตอนนั้นผมที่ยิ้ม ซึ่งต่างกับอีกคนที่เดินลงไปนั่งที่โต๊ะที่อยู่ด้านในตรงมุมที่นั่งแบบโซฟา แบบที่ไมได้คิดเลยว่ามันเป็นประโยคที่ทำให้ใจสั่นแค่ไหน ก่อนพนักงานที่เดินตามมาจะยื่นเมนูให้

“ เอาสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศกุ้งครับ ”

“ สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเล ”

“ แล้วก็น้ำเปล่าสองครับ ” ชูนิ้วบอกพนักงานเธอก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไป ผมพิงหลังกับโซฟาตัวที่นั่งก่อนจะคนตรงข้ามกันจะยกกล้องขึ้นมา

“ เอียงหน้าหน่อย ” ปฎิบัติตามที่สั่ง อาร์มยกยิ้มกับผลงานตัวเองในตอนที่ดึงหน้ากล้องออกมาให้ดู

“ เฮ้ย ดูดี ” ผมว่าพลางมองมันที่ก็ยืดตัวขึ้นมาเหมือนเด็กเล็กทำความดี แล้วก็อยากให้ชม “ แต่กูก็หน้าตาดีด้วยแหละ เหมือนไม้แขวนอะ ถ้าไม้แขวนสวยหยิบเสื้อผ้าอะไรมาใส่ มันก็ดูดี ”

“ ก่อนหน้านี้ใครบอกว่า อ้วน ถ่ายดีๆ ”

“ ฮ่าๆ ” หัวเราะออกก่อนจะจัดท่าให้คนถ่ายรูป “ ถ่ายอีกๆ แสงสวย ”

“ มึงนี่มันแบบ...” ประโยคที่หยุดไป ผมได้แต่เชิดหน้าถามมันแบบหาเรื่อง

“ ทำไมๆ มึงมีอะไร จะว่ากูเหรอ ”

“ ขอโทษนะคะ ”  เสียงขัดคั่นกลางบทสนานั้นมาจากพนักงานสาวที่ยื่นจานเครปไมโลเค้กลงบนโต๊ะเรา

“ เอ่อ... ผิดโต๊ะมั้ยครับ พอดีไม่ได้สั่ง ” ผมบอกเธอแต่อีกคนก็แค่ส่ายหน้ายิ้มๆ

“ ไม่ค่ะ เพราะพี่ผู้ชายที่โต๊ะนั้น เค้าสั่งมาให้พี่คนน่ารักที่นั่งโต๊ะมุมโซฟา ” ก้มลงมองตัวเองแล้วพบว่าพี่เสื้อชมพูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน และนั่นก็คือกูเองที่หลังจากวินาทีหลังนั้นก็ทำได้เพียงแค่หันไปยิ้มแห้งๆให้กับพี่เสื้อดำร่วมโต๊ะ ที่ก็หันไปเหลือบคนใจดีไม่รู้เวลา ที่สั่งเค้กมาให้

“ เอาไปคืนเค้าดีมั้ย ” ผมเสนอ แต่ในตอนนั้นอาร์มก็แค่ยกยิ้มก่อนจะเงยหน้าบอกพนักงาน

“ ขอบคุณนะครับ ”

“ เดี๋ยวๆ มึงจะกินเหรอ ” เอื้อมมือไปเบรคมือของอีกคนที่เตรียมตัวหยิบช้อนขึ้นมา อาร์มมันพยักหน้ารับยิ้มๆ

“ แน่นอน ถ้าไม่กินก็เสียน้ำใจแย่สิ คนอุตส่าห์เอามาให้ ” ผมเหลือบมองคนที่ให้เค้กชิ้นนี้มาด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องรู้สึกยังไง

เค้าเป็นผู้ชายร่างสูงผิวขาว ดูจากการแต่งตัวและท่าทางคิดว่าอายุเราไม่น่าจะห่างกันสักเท่าไหร่ เค้าที่ตอนนี้ยิ้มให้ผม พร้อมกับยกแก้วน้ำของเองขึ้นเป็นการทักทายนั้นชวนให้ผมกร่อนด่าในใจ

‘ ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยย มึงดูไม่ออกเลยเหรอว่าไอ้คนตรงหน้านี่มันผัวกู ’

“ ป้อนหน่อย ” สบสายตาคมที่ก็ขยับตัวเข้ามานั่งข้างกันแบบในมุมที่ต้องประจันหน้ากับคนให้เค้ก อาร์มหันมอง มันยิ้มๆ ก่อนจะหันมาบอกย้ำ “ ป้อนหน่อย ”

“ ป้อน ? ป้อนอะไร ” ทำทีเป็นงุนงง แต่สายตาคมก็แค่เชิดหน้าไปยังก้อนเค้กเจ้าปัญหาพร้อมกับยื่นช้อนที่ถืออยู่นั้นให้กัน “ เค้กเหี้ยนี่ไง ป้อนหน่อย อยากกิน ”

“ มึงเป็นเด็กเล็กเหรอไอ้สัด ” ผมถามก่อนจะหลุดยิ้มออกมากับท่าทางของมัน ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมองอีกฝ่าย

“ อ้า ” อ้าปากเร่งกันผมก็จัดการตัดเค้กก่อนจะป้อนไปให้คำโต ส่วนคนรับไปก็แค่เคี้ยวแบบอวดอีกฝ่ายคล้ายว่าอยากทำให้รู้ว่าเหนือกว่า “ เค้กเหี้ยอะไรสชาติอุบาทว์ ไม่ได้เรื่อง ”

“ พาลแล้วไงไอ้สัด ” ผมว่าก่อนจะทำทีเป็นชิมแต่มือหนานั้นกลับหยุดมือนั้นไว้

“ ไม่ให้กิน ถ้าอยากกินเดี๋ยวซื้อให้ ”

“ ขี้หวง ” พูดออกไปเบาๆ คนฟังก็เชิดหน้าไปที่เค้กตรงหน้า

“ มึงป้อนมาอีก กูจะกินอีก ”

“ คือมึงทำเพื่ออะไรก่อน ” ถามมันแบบที่ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์การกระทำนี้คืออะไร

“ ความสะใจ ” ตอบแบบไม่แคร์อะไรทั้งนั้น สายตาก็ยังมองที่เค้า “ กล้าดียังไงส่งเค้กมาให้แฟนกู ”

“ เค้าอาจจะไม่รู้ไง ว่าเราเป็นแฟนกัน ” แต่เหมือนคำพูดนั้นจะไม่ใช่คำพูดที่คนหงุดหงิดอยากจะฟังสักเท่าไหร่ อาร์มหันมองผม “ เดี๋ยวๆ แล้วทำไมต้องมองกูด้วยสายตาเครียดแค้นอย่างงั้น ”

“ งั้นกูจะจูบมึง มันจะได้รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน ”

“ เดี๋ยวๆ ใจเย็นนะ ใจเย็นเลย ไม่ได้มึง ”

“ ทำไมไม่ได้ ”

“ ก็กูเขิน มึงจะบ้าเหรอ แล้วทำไมต้องทำกันในร้านด้วย  ” ถามมันออกไปแต่คนฟังที่ดูเหมือนว่าจะไม่หายแค้นจะแค่ผ่อนลมหายใจแล้วพิงหลังลงกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง อาร์มหันไปมองคนที่ส่งเค้กให้ผม “ อย่าไปสนใจเลยน่า ก็เค้าคงไม่รู้จริงๆนั่นแหละ ”

“ K ” สถบออกมาอย่างหงุดหงิด ก็เข้าใจความรู้สึกของมันอยู่ ลำพังถ้าเป็นผมมีใครมาทำแบบนี้ก็คงมีอาการไม่ต่างกัน แล้วก็คงพาลไม่กินเหี้ยอะไรแล้ว ไม่ก็คงนั่งหน้ามุ่ยตลอดจนกินเสร็จ แล้วแบบนั้นบรรยากาศดีๆที่มีก็คงกร่อยไม่เป็นท่าแน่

“ อะ กินเค้กหน่อย ” ยื่นช้อนที่ตักเค้กคำโตไปทางมันแบบที่ตั้งใจไม่ให้โดนปาก แต่เป็นแก้มแทน “ อุ้ย ” ทำทีเป็นสะดุ้งตกใจก่อนจะหยิบเอาทิชชูขึ้นเช็ดคราบซอสนั้น แล้วก็แบบที่ไม่ให้ตั้งตัว ผมเลื่อนตัวเข้าไปจูบริมฝีปากนั้นก่อนจะยิ้ม ท่ามกลางสายตาคมที่ก้มลงมองกันแบบงุนงงอยู่ไม่น้อย “ กูเป็นแฟนมึง โอเคนะ ”

“ ชอบว่ะ แม่งเปรี้ยวดี แต่ต้องเอาคืนหน่อยแล้ว ” รอยยิ้มกว้างที่พูดกันแบบนั้น อาร์มก้มลงจูบผมที่ริมฝีปากก่อนจะเหลือบไปยักคิ้วใส่คนให้เค้ก   แบบที่ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กอนุบาลเลยสักนิด

“ เด็กเล็กมาก ”

“ น้องครับ ” ยกมือเรียกพนักงานในตอนที่อารมณ์ดีขึ้นอย่างฉับพลันนั้น อาร์มมันยิ้ม “ ฝากเอาจานเค้กเปล่านี่ไปให้โต๊ะที่เค้าฝากมาให้ที แล้วก็บอกเค้าด้วยนะ ” ท้ายประโยคนั้นร่างสูงพูดดังขึ้นเหมือนจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “ แฟนกู กูเลี้ยงเองได้ ”

“ เอ่อ..”

“ ไม่ต้องเอาไปให้เค้าหรอกน้อง ” ผมว่าขัดก่อนจะหันไปเหลือบมองคนนิสัยเด็กที่ก็เหลือบตามองไปทางอื่นแบบที่ไม่สนใจสักเท่าไหร่

“ งั้นเก็บจานเลยนะคะ ”

“ ครับ ” พยักหน้ารับบอกเธอ ส่วนคนหาเรื่องก็ทำได้แค่พิงตัวเองลงกับเก้าอี้ตัวที่นั่งพร้อมกับกอดไหล่ผมด้วยความสุขซึ่งผิดกับท่าทางเมื่อครู่นั่นอย่างสิ้นเชิง

ครับ ก็เอาที่มึงสบายใจเถอะ

เราใช้เวลาจัดการสปาเก็ตตี้สองจานแบบที่ไม่นานเท่าไหร่ ก่อนจะออกไปตะเวนถ่ายรูปรอบๆพื้นที่ที่น่าสนใจ รวมถึงภาพถ่ายคู่ใบแรกของเราที่ผมกอดคออีกคน รอยยิ้มกว้างๆแบบที่แทบไม่เห็นตาเลยนั้น สดใสแข่งกับบรรยากาศ จนคิดเอาไว้ว่าคงบริ้นท์มันออกมา แล้วติดไว้สักมุมไหนมุมนึงของห้องเรา

“ คนเยอะเนอะ ”

“ ไม่คิดว่าจะอยู่เย็นขนาดนี้ด้วย ” อาร์มมันพูดก่อนจะขยับตัวให้ชิดผมเพราะแถวของขบวนที่เริ่มยาว “ แต่ภาพในแกลลอรี่ตรงร้านกาแฟนั้นสวยดีนะ ”

“ เอาจริงๆ กูไม่คิดว่ามึงจะอินกับการถ่ายรูป แล้วก็พวกรูปถ่ายขนาดนี้ ”

เคยคิดว่าก็คงแค่ระดับทั่วไป แบบสไตส์ที่คงถ่ายรูปในตอนไปเที่ยว แต่เปล่าเลย อาร์มไม่ใช่อย่างงั้น มันชอบถ่ายรูป ถ่ายบรรยากาศ ร้านคาเฟ่กึ่งแกลลอรี่ที่เราไป มันยืนอยู่ภาพได้เป็นหลายชั่วโมง แถมยังไปชวนพี่เจ้าของร้านคุยเป็นเรื่องราวอยู่นานด้วยความสุข แบบที่เจอคนคอเดียวกัน

“ กูชอบเก็บเรื่องราวที่เจอผ่านรูปถ่าย ชอบถ่ายของสวยๆงามๆ ยกตัวอย่างก็เช่น ” ว่าแบบนั้นกล้องอยู่ตรงไหล่ก็ถูกดึงขึ้นมาถ่ายรูปผม เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น ก่อนจะตัวอย่างภาพบนหน้าจอกล้องจะถูกพลิกกลับมาให้ดู “ นี่ไง ของสวยๆงามๆ ”

“ จ๊ะ ไอ้สัด จีบเก่งนัก ” ตอบกลับไปแค่นั้นอีกคนก็หลุดหัวเราะออกมา

ขบวนรถที่แสนอึดอัดจอดเทียบด้านหน้าเพียงแค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เราที่พยายามเดินเข้าไปข้างในสุดก่อนจะมาหยุดอยู่ที่มุมประตู อาร์มยืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับยกมือขึ้นจับราวที่อยู่เหนือหัว

“ เอากล้องมากูถือให้ ” บอกแบบนั้นเพราะตัวเองพิงอยู่กับมุมของโบกี้คงประคองตัวได้มากกว่าอีกคนที่เหมือนจะต้องบังคับตัวเองไม่ให้ล้มลงมาใส่ผม

“ ขอถ่ายรูปนี้ก่อน ” แลบลิ้นให้อีกฝ่ายก่อนสายกล้องจะถูกคล้องไว้ตรงคอ “ เออ ยังไม่ได้เล่าเลย เมื่อวานกูลองคุยกับพี่นิติที่หอแล้วนะ เค้าบอกว่าห้องใหญ่แบบที่เราอยากได้มีอยู่ ไว้วันไหนเราว่างก็บอกได้เลย เค้าจะพาเราไปดู ”

“ เหรอ ” พยักหน้ารับอีกคนแบบงึกงัก

อยู่ๆก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้เลย แค่คิดว่าห้องจะกว้างขึ้นอีกเยอะ แบบที่เราสองคนอาจจะได้ทำอะไรมากขึ้นก็รู้สึกหุบยิ้มที่มีนั้นลงไม่ได้ ผมผ่อนลมหายใจออกมาในตอนนั้นก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างของขบวนรถไฟ

 บรรยากาศของช่วงเวลาใกล้ค่ำ แสงสีส้มอ่อนๆชวนให้คิดว่า ถ้าย้ายห้องเมื่อไหร่ คงได้นั่งเอาขาพาดกับระเบียงแล้วมองท้องฟ้าด้วยกัน แบบที่จิบเบียร์ไปด้วย ชิวๆ

“ ยิ้มอะไร ” คนที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยถาม ส่วนผมก็ทำได้ส่ายหน้า

“ แค่จินตนาการว่าชีวิตที่มีมึงอยู่ด้วยกันในห้องใหม่มันจะเป็นยังไง แล้วอยู่ๆก็มีความสุขขึ้นมา จนหยุดยิ้มไม่ได้เลย ”

“ หึ ” เสียงหัวเราะตรงมุมปาก อาร์มก้มลงมาจูบผมเบาๆ แบบรวดเร็วก่อนจะทำทีเป็นอ้างว่าอุบัติเหตุแบบหน้าตาเฉย “ ขอโทษครับ พอดีรถมันส่าย ”

“ อ้างชิบหาย ไอ้สัด ” ผมว่า “ จริงๆก็เพราะกูน่ารักมากจนมึงอดใจไม่ไหวก็บอกมาเถอะ ”

ไม่มีประโยคใดตอบกลับมา แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงเถียงความจริงนี้ไม่ออกเช่นกัน อาร์มมันเลยทำได้แค่ยิ้มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างโบกี้ของรถไฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

มันเป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลเท่าไหร่จากสถานีรถไฟฟ้าปลายทาง มาถึงหน้าโรงพยาบาลสัตว์ แต่ทว่าภาพที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้มันดูเหมือนพนักงานเกือบจะทั้งโรงพยาบาลจะกำลังดูวุ่นวายกับบางสิ่งจนชวนให้ขมวดคิ้ว ทุกคนที่ตอนนี้พยายามก้มๆเงยๆเหมือนหาอะไรสักอย่าง  ที่แม้แต่คนข้างกันเองยังอดสงสัยไม่ได้

“ เค้าหาอะไรกันวะ ”

“ เออ นั่นสิ ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่คำตอบเดียวในใจก็เหมือนจะมีอยู่แล้ว “ หมาแมวใครหายไปหรือเปล่าวะ ”

“ ไม่น่าหรอกมั้ง ” อาร์มพูดปัด แต่ก็นั่นแหละ แค่มันไม่น่า ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

“ คุณหมอไอซ์ น้องอาร์ม น้องเมี่ยงกลับมาแล้วค่ะ ” เสียงที่ผมได้ยินมาจากอีกฝั่ง เราหันไปมองต้นเสียงนั่นก่อนจะเห็นพี่หมอไอซ์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่าเครียด และถ้าเซ้นต์ของผมไม่พลาด มันคงไม่ใช่ข่าวดีอะไร

“ มีอะไรวะพี่ ทำไมดูวุ่นวายกันจัง ”

“ แมวหายน่ะ ” พี่หมอว่าแบบนั้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา แล้วหันมามองหน้าผม  “ เมี่ยง ”

“ ครับ ”

“ นายท่านของเมี่ยงหลุดออกไปจากโรงพยาบาลนะ ตอนนี้เรากำลังช่วยกันตามหาอยู่ ”


...................................................................

ขอโทษที่หายหัวไปหนึ่งอาทิตย์
แต่ตอนนี้มาแล้วว มาพร้อมกับ แมวหนึ่งตัวที่หายไป
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ฮับ
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
"ไปเปิดดูกล้องวงจรปิด ทันเดี้ยวนี้ ปฏิบัติ "  :angry2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นายท่าน...แกหนีออกไปตามหาพี่เมี่ยงใช่ป่ะ?

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยย นายท่านไปซ่อนไหน ทำให้เมี่ยงห่วงทำไม
ไปตามขัดขวางเมี่ยงอาร์มหรอ แล้วกลับเองไม่ได้งี้

อาร์มเมี่ยงก็สวีทกันดี คงามงอแง ง้องแง้งกัน แต่น่ารักน่ะ เอ็นดูมากจริง

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
นายท่านไปเที่ยว เดี๊ยวเดียวก็มา 5555 อาร์มเมี่ยงพอเป็นแฟนละแหมมมม หยอดกันเองเล่นเองเขินเองตลอด  :-[ :o8:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 33


ทุกอย่างรอบตัวของผมในวินาทีนั้นหยุดนิ่ง ประโยคที่ได้ยินดังชัดอยู่ในหัวและเหมือนจะดังก้องวนไปมาอยู่อย่างงั้น  ‘ นายท่านของเมี่ยงหลุดออกไปจากโรงพยาบาลนะ ตอนนี้เรากำลังช่วยกันตามหาอยู่ ’

   หัวใจนั้นเร่งจังหวะอย่างหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ในตอนที่ฟัง
แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็แค่หลุดถามออกไปยิ้มๆ

“ อำอะไรกันพี่ ไม่เห็นตลกเลย ” คนยืนข้างกันหันมามอง ผมเองก็หันไปยิ้มกว้างให้อาร์ม “ พี่มึงนี่ มุกเยอะนะ จะแกล้งกันอะดิ รู้ทันแหละน่า ”

“ พี่รู้ว่าเรารู้ ว่าพี่ไม่ได้โกหก ” นั่นคือสิ่งที่พี่หมอพูดออกมาหลังจากที่ยืนนิ่งอยู่นาน เค้าก้มหน้าลงก่อนจะถอนหายใจ ด้วยสีหน้าลำบากใจ แล้วก็พูดต่อ “ สองวันก่อนเรามีพนักงานอาบน้ำสัตว์เข้ามาใหม่ สามชั่วโมงก่อนหน้านี้ เค้าเปิดกรง แล้วก็เปิดประตูห้องแมวเอาไว้ อย่างที่เมี่ยงรู้ ส่วนของพื้นที่อาบน้ำมันก็อยู่ชั้นล่าง นายท่านเลยหลุดออกไปทางประตูหลัง ตอนที่เราดูจากกล้องวงจรปิด ขอโทษนะครับ มันเป็นความผิดของทางโรงพยาบาลเอง ”

“ แล้วกล้องวงจรปิดรอบๆ เห็นมั้ยว่ามันไปทางไหน ”  ร่างสูงข้างกันเอ่ยถามพี่ชายตัวเอง พี่หมอก็ชี้ไป

“ เดินออกไปทางฝั่งนั้นน่ะ ”  มือหนาที่ชี้ออกไปตรงตึกแถวด้านข้างของโรงพยาบาล ตรงนั้นมันเป็นตรอกซอกซอยที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร แล้วก็ตึกแถวสูงของบ้านสำหรับอยู่อาศัย

สีหน้าของพี่หมอไอซ์ยามมองกันในวินาทีนั้นมีแต่สายตารู้สึกผิดจนทำให้ผมพูดไม่ออก แม้ในหัวจะมีแต่คำถาม และความไม่เข้าใจมากมายวนเวียนอยู่แบบที่อยากจะด่า และตวาดออกไปสักครั้ง ว่าดูแลกันยังไง ทำไมถึงปล่อยให้หลุดออกมาได้ ที่นี่มันโรงพยาบาลสัตว์นะเว้ย แถมยังเป็นโรงพยาบาลใหญ่  ไม่ใช่เอาไปฝากไว้กับคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักหน่อย โคตรสะเพร่า ทำงานกันยังไง ยังกับเล่นขายของกันตอนเด็ก

“ เมี่ยง ” อาร์มเอื้อมมือมาจับมือผม ที่ตอนนั้นทำได้แค่ก้มหน้าลง แบบที่ต้องกลืนคำพูดพวกนั้นลงไป ก็พอรู้ว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น ทุกคนตอนนี้ก็พยายามหากันอย่างสุดความสามารถ และมันก็เกิดขึ้นแล้ว โวยวายไป ไม่มีประโยชน์

“ กูจะไปตามหาฝั่งนู้นนะ ” หันไปบอกอาร์มแบบนั้น ก่อนจะเดินออกไปจากวงสนทนาอย่างที่ไม่ได้สนใจอะไรคนรอบข้างอีก มันเป็นความรู้สึกอยากด่าที่ด่าไม่ได้ แต่ถ้าจะให้พูดว่า ไม่เป็นไร มันก็คงไม่ได้เหมือนกัน

“ เมี่ยง ” เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาจับมือ ผมหันไปมองใครคนนั้นด้วยสายตาที่แทบจะไม่แสดงความรู้สึก มือหนาเอื้อมขึ้นลูบหัวกัน อาร์มก็คงพยายามปลอบ แต่มันก็เหมือนรู้ว่าไม่มีคำพูดไหนที่จะพูดออกมาได้เลย “ ต้องเจอแน่ ช่วยหากันขนาดนี้ยังไงก็เจอ ”

“ แม้มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แทบจะเดาใจเหี้ยอะไรไม่ได้เลยอย่างงั้นเหรอ ” ผมถามกลับอีกคนก็นิ่ง คนเลี้ยงแมวด้วยกันรู้ดี แมวเวลาหายไป ถ้ามันไม่หายไปเลย มันก็กลับมาเอง ก็มีแค่นี้

“ อย่าคิดลบแบบนั้น ยังไงก็ต้องเจอ มันต้องเจอสิว่ะ ” อาร์มที่มั่นใจอย่างงั้น ผมถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือขึ้นขยี้หัวตัวเองแบบหงุดหงิด “ ไปหากัน ”

“ อื้ม ”

ขาที่ก้าวเดินออกไป เรื่อยๆอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเสียงที่ค่อยๆตะโกนเรียกชื่อเจ้าตัวป่วนที่หลุดหายออกไป “ นายท่าน นายท่าน ” เสียงที่ตะโกนออกไปพร้อมกับเสียงลมหายใจของผมที่ผ่อนออก สายตาที่มองไปตรอกซอกซอยหรือแม้แต่ผู้คน ที่ไม่ว่าใคร ผมก็เข้าไปเอ่ยถามเค้าทั้งหมด

“ คุณป้าเห็นแมวตัวที่ดำเทา ผ่านมาแถวนี้บ้างมั้ยครับ ”

“ ไม่เห็นเลยจ้ะ ” เธอว่าพลางยิ้มก่อนจะกวาดขยะหน้าบ้านของตัวเองต่อไป แต่ถึงอย่างงั้นผมก็เดินเข้าไปหาก่อนจะยื่นรูปที่อยู่ในมือถือให้เธอดู

“ หน้าตามันเป็นแบบนี้ ไม่เห็นเลยเหรอครับ ”

“ ไม่เห็นเลยจ้ะ ” ย้ำกันแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

เวลาเองก็เริ่มผ่านไปเรื่อย พาๆกับระยะทางที่ก้ยาวขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด เราเดินหากันแทบทุกซอยตรงทางที่ภาพในวงจรปิดที่เห็นว่ามันเดินมา แต่ก็เหมือนจะไม่มีวี่แววว่าใครจะเห็นมันเลย ไม่ว่าจากคนในละแวกนั้น หรือเพจของโรงพยาบาลก็ช่วยกันโพสออกไปเผื่อว่าจะมีคนพบเห็น แต่ก็ไม่มีเบาะแสเลย

“ ถ้าคุณป้าเห็นมันเดินผ่านมาแถวนี้ช่วยโทรบอกผมหน่อยนะครับ อันนี้เป็นเบอร์ของผม ” โพสอิสสีส้มที่หาซื้อได้เมื่อครู่ผมเขียนเบอร์โทรลงไปพร้อมชื่อก่อนจะยื่นให้หญิงสูงวัยที่กำลังเดินออกกำลังกายอยู่ “ ฝากด้วยนะครับ ”

“ ได้จ้ะ ถ้าป้าเจอ ป้าจะโทรไปบอกนะ ”

“ ครับ ขอบคุณมาก ”

“ น้องเมี่ยง น้องอาร์ม พี่ทำใบปลิวมาให้แล้วค่ะ ” พนักงานที่โรงพยาบาลวิ่งเข้าไปหา เธอมาพร้อมกับใบปลิวจำนวนนึง บนนั้นมีภาพของนายท่าน พร้อมทั้งเบอร์โทรของผม ของโรงพยาบาลรวมถึงรางวัลนำจับที่ทางโรงพยาบาลเป็นคนแสดงความรับผิดชอบออกให้

“ รางวัลนำจับ หมื่นนึงเลยเหรอครับ ”

“ ไม่ต้องกังวลนะคะ ทางโรงพยาบาลของเราจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เองค่ะ ไม่ว่ายังไงก็จะหาน้องนายท่านให้เจอแน่นอนค่ะน้องเมี่ยง ” เธอว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเหลือบมองอาร์มที่ก็ไม่ได้พูดอะไร ในตอนนั้นมือหนาหยิบใบปลิวทั้งหมดนั่นมา มันแบ่งให้ผมครึ่งนึง ส่วนของมันก็อีกครึ่งนึง

“ แล้วตอนนี้ทุกคนหาละแวกไหนกันบ้างเหรอครับ ” อาร์มมันถาม

“ ก็หารอบๆโรงพยาบาลค่ะ เผื่อน้องกลับไป แล้วก็หาบริเวนโดยรอบของโรงพยาบาลเลยค่ะ แยกกันไปคนละซอย มีพี่ส่วนนึงขับรถออกไปตรงหมู่บ้านอีกฝั่งที่ไกลหน่อย เผื่อน้องจะเดินไป ” ว่าแบบนั้นเธอก็หันมายิ้มให้กัน มือนั้นเอื้อมมือมาลูบที่ไหล่ “ เจอแน่นอนค่ะน้องเมี่ยง ไม่ต้องกลัวนะ เราจะช่วยกันหาจนกว่าจะเจอเลยค่ะ ”

“ ครับ ” ตอบรับไปแค่นั้น ผมกับอาร์มก็เดินหันหลังออกจากตรงนั้นก่อนจะเดินหาในละแวกนั้นต่อไป

ขาของเราเดินผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า รวมถึงร้านอาหารทุกร้านที่ผมขอเข้าไปฝากใบปลิวเอาไว้เผื่อว่าเค้าจะเห็นมันเดินผ่านมา จะได้โทรแจ้ง

“ คุณน้าครับ ไม่ทราบว่าเห็นแมวตัวสีดำเทาเดินผ่านมามาแถวนี้บ้างมั้ย ” ผมแวะถามผู้ชายสูงวัยคนนึงที่เดินอยู่แถวนั้น พร้อมกับยื่นรูปเจ้านายท่านให้ดู แต่อีกฝ่ายก็แค่ส่ายหน้าก่อนจะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่สนใจ

“ ขอโทษนะครับ เห็นแมวตัวสีดำเทา เดินผ่านมาทางนี้บ้างมั้ย หน้าตามันประมานนี้ครับ ” อาร์มเองที่อยู่เยื้องกันก็ถามกับพนักงานออฟฟิศที่เดินอยู่แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มก่อนจะส่ายหน้าให้เหมือนกัน  ในช่วงเวลานั้นเราผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกัน ก่อนจะเดินไปเรื่อยๆตามซอยต่างๆแบบที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน

เวลาเองก็ผ่านไปเรื่อยๆ จากช่วงเย็นที่สว่างตอนนี้ความมืดค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมทั่วทุกพื้นที่แล้ว พระอาทิตย์ตกลงไปแล้ว  และนั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของผมยิ่งท้อลงไปอีก ร่างกายที่กระสับกระส่ายไปหมดนั้น ผมผ่อนลมหายใจออกมา ราวกับว่าแสงแห่งความหวัง มันหดลงไปทุกที และตอนนี้มันก็เหมือนจะแทนที่ด้วยความสิ้นหวัง
 
ยิ่งมืดก็ยิ่งหายาก เปอร์เซ็นการหาเจอจะยิ่งลดลงไปอีก  ประโยคที่สมองของผมคิด ไม่นับว่าบางทีมันอาจจะเกิดเหตุร้าย อาจจะโดนรถชน อาจจะโดนตี อาจจะไปไปโดนหมาจรจัดกัด หรือแม้แต่โดนจับไปเลี้ยงเพราะคนที่เจอเห็นว่ามันน่ารัก

“ ฝนเริ่มตกแล้วว่ะ ” ประโยคของคนที่ยืนอยู่เยื้องกันไม่ไกลทำเอาผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่ตอนนี้นอกจากฟ้ากำลังมืดครึ้มแล้ว เม็ดฝนเม็ดเล็กที่ทยอยกันร่วงหล่นลงมาก็ยิ่งย้ำกัน ว่าสิ่งที่กำลังทำ มันเหมือนไม่มีหวังมากขึ้นเรื่อยๆ

ความหวัง ที่แม้ใครจะบอกว่าเราต้องเจอแน่นอน
แต่ใจก็เหมือนจะสิ้นหวังกับสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับจะยอมรับกับสภาพ

“ เดี๋ยวก็ป่วยหรอก ” ใบปลิวถูกยกขึ้นมาบัง ผมลดสายตามองคนที่เดินมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแบบที่ไม่พูดอะไร มือนั้นปัดความห่วงใยที่บังฝนให้กันไว้นั้นออก

“ ขอโทษนะครับ ” ผมเอ่ยทักคนที่เดินผ่านมา เธอคนนั้นที่หยุดนิ่งอยู่ในชุดของพนักงานบริษัท ขาที่เดินออกไปพร้อมกับใบปลิวในมือนั้น ผมยื่นให้เธอ “ พี่เจอแมวแบบนี้แถวนี้บ้างมั้ยครับ หรือว่า ตอนที่เดินมา เห็นมันบ้างมั้ยครับ แมวของผมมันหายไป ”

“ ไม่เห็นเลยค่ะ ” เธอว่าแบบนั้นด้วยท่าทางที่ดูส่งๆ เพราะเร่งรีบจะกลับบ้านก่อนฝนจะตกหนักกว่านี้ และผมเองก็เหมือนกัน ก่อนที่ฝนจะตกหนักกว่านี้ ก่อนที่ความหวังมันจะริบหรี่ลงเรื่อยๆมากกว่า ผมก็อยากจะเจอมัน อยากจะได้ยิน แม้สักประโยคก็ยังดี ว่าเห็นแมวของผมเดินอยู่แถวๆนี้

“ ช่วยหน่อยเถอะครับ พี่ไม่เห็นมันจริงๆเหรอ มันเป็นแมวตัวสีเทาดำครับ มันหน้าตาหล่อมาก แล้วมันก็น่ารักมากๆเลยด้วย ทุกเช้ามันนจะเดินเข้าไปนอนอยู่ข้างๆผม มันกินข้าวที่ผมทำให้กินหมดทุกมื้อเลย ”

“ ไม่เห็นค่ะ ” เธอย้ำกันแบบนั้นด้วยเสียงที่หนักขึ้น ก่อนจะถอนหายใจรำคาญแล้วเดินเบี่ยงตัวออกไป ผมก็หันเหสายตาไปหาคนอื่นที่เดินผ่านมาอีก

“ พี่ครับ พี่เห็นแมวตัวนี้บ้างมั้ยครับ มันเป็นแมวของผม ตัวมันสีดำเทา ”

“ ไม่เห็นครับ ” ประโยคที่ได้ยินซ้ำๆผ่านไปคนแล้วคนเล่า ผมที่ยืนถอนหายใจอยู่นั้น จนมือที่หมดแรงปล่อยลงข้างตัว ก่อนที่อาร์มจะเดินเข้ามาหา อีกฝ่ายยื่นมือขึ้นลูบหลังเบาๆ

“ ใจเย็นๆ ”

“ หายไปไหนก็ไม่รู้เนอะมึง ” แล้วนั่นก็เป็นประโยคแรกที่ผมพูดออกมา หลังจากที่เงียบไปนานตั้งแต่ที่รู้ข่าวร้าย “ เอาจริงๆ กูไม่อยากจะร้องไห้เลย กูรู้ว่าร้องไห้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่มันหายไปไหนวะ มันหายไปอะมึง ” ขาที่ทรุดนั่งลงตรงนั้น ผมจับปลายขากางเกงของอาร์มด้วยสองมือที่กำไว้แน่น  “ อึก ฮือๆ นายท่าน มึงออกมาเถอะนะ ได้ยินมั้ย ได้ยินเสียงของเมี่ยงมั้ย ออกมาได้แล้วนายท่าน ออกมาสักที กลับบ้านกันได้แล้ว ฝนตกแล้วนะ เดี๋ยวก็ป่วยหรอก ไม่หิวรึไง ทำไมต้องทิ้งกูไปด้วยละ อึก ฮือๆทำไมมึงต้องหนีกูไปแบบนี้ ”

“ เมี่ยง ใจเย็น ”

“ กูไม่เย็นแล้ว!! ” ผมตะคอกคนที่ย่อตัวลงนั่งข้างกันนั้นกลับไป สายตาที่มีแต่น้ำตานั้น ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงสั่น “ มึงจะให้กูเย็นไปถึงไหน ทั้งๆที่กูแม่งโคตรอยากจะด่าคนทั้งโรงพยาบาลอยู่แล้ว กูรู้ว่าไม่มีใครอยากจะให้มันเกิดขึ้น กูรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ถึงจะอย่างงั้นกูก็แม่งอยากจะตะโกนด่าพวกเค้าทุกคนเลย ดูแลกันยังไง ดูแลแมวกูยังไง มันหายไปทั้งตัวเลยนะ เอาแต่บอกแต่ให้กูใจเย็นๆ อยู่ได้ เดี๋ยวก็เจอ เดี๋ยวเจอ ไหนละ มันอยู่ไหน  อึก ทุกคนอึก ทุกคน แม่งก็เอาแต่บอกกูแบบนี้ แต่จะให้กูเย็นได้ยังไง แมวกูหายไปนะ นายท่านมันหายไป ”

“ เมี่ยง ”

“ ที่บอกว่าเราจะต้องเจอ ทั้งๆที่มันป่านนี้แล้วอะ ยังไม่เจอเลย ฝนก็ตก มืดก็มืด แค่กูคิดว่ามันจะอยู่ยังไง มันจะปลอดภัยมั้ย ใจกูก็จะขาดอยู่แล้ว ไม่ใช่แมวมึงก็พูดได้สิ มึงก็พูดกันได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่คนที่มึงรักนี่ แต่นี่มันแมวกูนะ กูรักของกูอะอาร์ม อึก ฮือๆ อาร์ม อาร์มช่วยเมี่ยงด้วยสิ ช่วยเมี่ยงด้วย ”

อ้อมกอดที่ดึงกันเข้าไปกอดในตอนนั้น สองแขนที่กอดรัดกันไว้แน่น ไม่มีคำพูดปลอบอะไรอีก แม้แต่จะเป็นคำว่า ใจเย็น อย่างที่เคยพูด เหมือนมันแค่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป อาร์มปล่อยให้ผมร้องไปตามที่อยากร้อง ปล่อยให้โวยวายไปตามที่อยากโวยวาย

เป็นความรู้สึกที่ตอนนั้นผมได้รับรู้ถึงคำที่ว่า สติแตก
มีลักษณะเป็นยังไง


...................................................................


เสียงฝนด้านนอกเริ่มตกหนัก การค้นหาเลยหยุดลงก่อนที่ตรงนี้ เวลาตอนนี้หนึ่งทุ่มครึ่ง ผมกับเมี่ยงเองก็ย้ายเข้านั่งด้านในตรงที่นั่งพักของโรงพยาบาลที่ตอนนี้มันเงียบเชียบไปหมด และตอนนี้เสียงเดียวที่ผมได้ยินแข่งกับสายฝนข้างนอก ก็เหมือนจะเป็นเสียงร้องไห้ของคนข้างๆ ที่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ยกเว้นจับมือข้างนั้นไว้

‘ จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ฝนตกหนักแบบนี้ ไม่รู้มันจะเอาตัวเองไปนอนหลบฝนตัวสั่นอยู่ที่ไหน ’ 

บางทีนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เมี่ยงคิด ในตอนที่มองออกไปนอกหน้าต่างในตอนนี้ ส่วนในใจผมเองก็ยังภาวนาให้ฝนหยุดตกเสียที เราจะได้เริ่มออกตามหามันอีกครั้ง

“ มึงรู้มั้ยว่าทำไมกูถึงได้นายท่านมาเลี้ยง ”

“ ไม่รู้ ทำไมเหรอครับ ” เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มนั้น อีกคนก็แบะปากแบบที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็ก เมี่ยงแพ้คำว่าครับ และในช่วงเวลาที่หัวใจมันอ่อนแอแบบนี้ อีกคนก็ทำได้แค่เปล่งเสียงอ้อนๆ

“ มึงงงงงงงง ”

“ ครับ ว่าไง หื้ม ? ” อีกคนดึงตัวเองเข้ามากอด

“ เราจะเจอมันมั้ยวะ ”

“ เจอสิครับ เดี๋ยวฝนหยุดตกเราออกไปหากันอีกรอบนะ ยังไงก็เจอ ” คนงอแงดึงตัวเองออกจากกันก่อนจะพยักหน้ารับ เมี่ยงถอนหายใจออกมาพลางพิงหลังกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง มือข้างนึงยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ แล้วก็นิ่งไป  “ ยังเล่าไม่จบเลย ตกลงเรื่องของนายท่านมันเป็นยังไง ”

“ มันเคยโดนเจ้าของเก่าทิ้งไว้ที่นี่ พี่หมอไอซ์เล่าว่า เจ้าของเก่ามันเธอเป็นผู้หญิง ไม่แน่ใจว่าได้นายท่านมาเป็นของขวัญ หรือว่าอะไร เพราะว่าตลอดเวลาที่เอามารักษาที่นี่เธอก็มาคนเดียวบ้าง กับแฟนบ้าง แรกๆมันก็ไม่มีปัญหาอะไร จนหลังๆหายไปนาน แล้วสุดท้ายก็กลับมาพร้อมมันที่ขาหัก ”

“ เหรอ ”

“ ตอนนั้นเธอไม่ยอมบอก ว่าหักเพราะอะไร อ้ำๆอึ้งๆบอกว่าตกลงมาจากที่สูงเอง ไมได้มีใครทำอะไร ” เมี่ยงยิ้มในตอนที่พูดออกมาแบบนั้น “ แต่พี่บอกไอซ์ก็ว่ามันอาจจะโดนตีจนขาหัก แล้วท่าทางว่าคนที่ตีจะเป็นแฟนของเจ้าของนั่นแหละ เธอเลยรู้จะพูดยังไง พี่หมอบอกอว่าบางทีมันอาจจะไปกัด ไปฉี่ใส่ของรักของเค้า ไม่ก็อาจจะเป็นคู่รักที่เลิกกัน แล้วพอหงุดหงิดทะเลาะกันก็มาลงกับแมวตัวเล็กๆอย่างมันที่ไม่รู้เรื่อง ”

“ งั้นก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันถึงไม่ชอบกู ” คำพูดนั้นทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างกันหันมามอง ผมยิ้ม “ ก็บางทีมันอาจจะคิดก็ได้ ว่าถ้ามึงกับกูรักกัน สุดท้ายมันกับแก้มหอมก็คงโดนทิ้ง มันเลยพยายามจะขัดกูกับมึงเวลาสวีทไง ไม่เห็นเหรอ มันขัดแบบ ขัดชิบหายเลยนะ ”

“ บ้า  มันเป็นแมวนะ มันไม่คิดอะไรขนาดนั้นหรอก ”

“ แต่แมวก็มีหัวใจนะ เราไม่รู้หรอกว่าจริงๆมันคิดอะไร ก็อาจจะจริงที่มันอาจจะแค่กวนตีนกู แต่มันก็อาจจะเป็นแบบที่กูคิดก็ได้ มันก็เป็นไปได้หมดอะ ”

ความจริงผมเองก็เคยได้รับการติดต่อจากพี่ชายมาเหมือนกัน แมวตัวนึงที่เหมือนว่าจะถูกทำร้ายจากเจ้าของ โดนส่งเข้าโรงพยาบาลมาสามเดือนแล้ว แต่เจ้าของไม่ยอมมารับกลับ ตอนนั้นพี่ชายถามกันว่าสนใจเลี้ยงแมวเพิ่มอีกสักตัวมั้ยแก้มหอมจะได้มีเพื่อน แต่เพราะว่าตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอยากจะมีแมวเพิ่ม ไม่รู้ด้วยว่าดีนจะรู้สึกโอเคมั้ย  ก็เลยปฎิเสธไป

แบบที่ไม่รู้เลยว่า สุดท้ายมันก็กลับมาเป็นแมวของแฟนผมในตอนนี้อยู่ดี

“ ฝนเริ่มซาแล้ว ออกไปหากันเถอะ ” ลุกขึ้นจากที่นั่งอีกคนที่เช็ดน้ำตาก็ดึงตัวเองขึ้นมายืนข้างกัน เมี่ยงสูดลมหายใจเข้าไปลึกแบบเต็มปอด เราเดินไปหยิบร่มกันมาคนละคัน ก่อนจะเดินออกไปตามหากันต่อ  ท่ามกลางแสงไฟริมถนนที่ส่องสว่างเป็นจุดๆภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดที่ฝนยังโปรยปรายลงมา

“ หรือว่าบางทีมันจะไม่อยากเจอกูแล้ววะ ” คนที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยพูดแบบนั้น เราก็หยุดเดิน เมี่ยงหันมาหาผม ที่อาจจะเพราะสภาพแวดล้อมในตอนนี้ทำให้ความหวังดูริบหรี่ลงไปมากกว่าที่เป็น

“ อย่าเพิ่งคิดอย่างงั้น ” เอื้อมมือไปประคองแก้มของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆไล้นิ้วโป้งเบาๆ “ ลองพยายามดูก่อน ”

“ อื้ม ”

“ งั้นเราแยกไปหาคนละทางมั้ย ” บอกแบบนั้นในตอนที่เห็นทางแยกข้างหน้า “ มึงไปขวา กูจะไปซ้ายเอง ”

“ ก็ได้นะ ” เมี่ยงตอบแบบนั้น “ แต่ถ้ามึงเจอ อย่าวิ่งเข้าไปจับมันนะ นายท่านไม่ค่อยชอบให้ใครอุ้ม ”

“ โดยเฉพาะกู ” เมี่ยงยิ้มกว้างออกมา ผมก็พยักหน้ารับ “ อื้ม เดี๋ยวโทรหา ” บอกแบบนั้นอีกฝ่ายก็เดินหันหลังออกไป

ส่วนผมก็ถอนหายใจออกมาในตอนที่เห็นเมี่ยงเดินออกไปแล้ว

ยอมรับว่าในใจมันคิด ทั้งมืด ฝนก็ตก ความหวังทุกอย่างดูริบหรี่เหมือนแสงเทียนที่ต้องลมแรง ทุกอย่างมันยากมากขึ้นทุกทีในความรู้สึก แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็พยายามบอกตัวเอง ยังไงก็ต้องมีความหวัง ผมไม่อยากจะกอดเมี่ยงที่เอาแต่นอนร้องไห้ในคืนนี้ มันทรมานเกินไป

ขาผมเดินไปตามซอย ลึกเข้าไปเรื่อย สายตาก็มองไปตามซอกเล็กๆตามบ้าน รวมถึงเคาะประตูถามบ้านที่พอจะถามได้อย่างไม่รบกวน แต่ก็ไม่มีใครเห็นเลยสักคน กับเจ้าแมวสีดำเทา บนถนนนั้นเงียบเชียบจนน่าใจหาย ดวงไฟส่องสว่างเป็นระยะ ก่อนที่ผมจะยินเสียง

แกร็ก แกร็ก  ที่ดังอยู่ไม่ไกล

มันเหมือนกับเสียงใครกำลังจับถุงพลางสติก แต่พอมองไปตรงต้นเสียงที่เป็นจุดทิ้งขยะกลับไม่ได้มีใครอยู่ตรงนั้น ฝ่าเท้าของผมเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบด้วยใจเต้นรัวที่รู้สึกว่า อาจจะเป็นคนที่ตามหา ก่อนจะหยุดเดิน แล้วยิ้มขึ้นมาทันทีตรงหน้าถังขยะ ตรงส่วนของกองถุงพลาสติกใบใหญ่นั้น เจ้าตัววุ่นวายที่ทำให้แฟนผมร้องไห้ก็ยืนอยู่บนนั้น นายท่านกำลังคุ้ยหาอะไรกินอยู่

“ ไงมึง ” ผมเอ่ยทักมันที่ก็มองกันด้วยแววตาสีเหลืองทองอย่างจ้องเขม็ง “ ทำแฟนกูร้องไห้แล้วมายืนคุ้ยหาอะไรกิน มันได้เหรอวะ ”

เจ้าตัวลายไม่เหลือคราบความหล่อเหลาแบบที่เจ้าของมันชื่นชมนักหนาในทุกครั้ง รวมถึงกับบอกผู้คนแถวนี้เลยสักนิด  ขนสีดำเทาเปียกชุ่มเพราะฝน แถมยังมีคราบรอยดำเต็มไปหมดเหมือนไปมุดตัวซ่อนที่ไหนมา

“ ไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมใครๆถึงบอกว่าไม่เห็น สภาพมึงจรจัดขนาดนี้นี่เอง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะย่อตัวลง

“ กลับบ้านกันเถอะ ” สายตาจับจ้องอีกฝ่ายที่ก็นิ่งไม่ขยับไปไหน ผมยิ้มบอกมัน “ รู้มั้ยว่าเมี่ยงเอาแต่ร้องไห้เพราะเป็นห่วงมึงนะ ”

สายตาที่ดูไม่ค่อยเชื่อใจกัน ขานั้นเองก็เตรียมจะวิ่งหนีในทุกเมื่อ ถ้าผมเผลอยื่นมือออกไปทำทีเป็นจับ หรือแม้แต่ขยับเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเรียกให้อีกฝ่ายมารับ นายท่านดูเหมือนไม่ไว้ใจผมเลยสักนิด บางทีก็อาจจะกลัวว่าต้องกลับไปเป็นเหมือนเก่า เหมือนตอนที่โดนคนรักของเจ้านายเก่าทำร้าย

สถานการณ์ ณ ขณะนั้นดูน่าอึดอัด
แต่ถึงอย่างงั้น ก็เลือกที่จะพูดสิ่งที่อยากจะพูดออกไป

“ ไม่ได้อยากจะญาติดีกับมึงหรอก ฉี่ใส่หมอน แถมยังขี้ใส่รองเท้ากูอีก แต่ว่า...” ผมเว้นเสียงลงในตอนที่มองหน้ามัน “ มึงกลัวใช่มั้ยละ ว่ากูจะตีมึง แบบที่คนอื่นเค้าเคยทำกับมึง ”

ก็รู้หรอก ว่าแมวมันโต้ตอบไม่ได้ แล้วก็รู้ด้วยว่าแมวไม่ได้มีความคิดซับซ้อนอะไรขนาดนั้น
แต่นั่นแหละ ไม่ว่ายังไงก้ยังอยากจะพูด

“ ขอโทษที่ตอนนั้นบอกว่าจะไม่มารับ เหมือนอย่างที่เจ้านายเก่ามึงเคยพูด แต่ยังไงก็ต้องมารับสิว่ะ ไม่มารับแม่มึงก็เอากูตายสิจริงมั้ย ” ผมบอกก่อนจะยิ้ม “ กูไม่รู้ว่าเจ้านายคนเก่า เค้าทำอะไรกับมึงไว้บ้าง กูไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ กูไม่รู้ว่ามึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย แต่อย่าคิดว่าทุกอย่างมันจะเหมือนเดิมสิวะ เพราะกูไม่เคยคิดที่จะตีมึง ” ขาที่เหมือนจะกระโดดหนี เริ่มดึงตัวเองนั่งนิ่งราวกับกำลังตั้งใจฟัง

“ กูรักเมี่ยงก็จริงแต่กูไม่ใช่คนขี้เหนียว กูแบ่งให้เมี่ยงรักมึงอยู่แล้ว แก้มหอมก็ด้วย แล้วที่สำคัญกูก็จะรักมึงด้วยเหมือนกัน รักแบบที่กูรักแก้มหอม  ” ในตอนนั้นมือของผมที่ยื่นออกไป รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา แบบที่ไม่รู้ว่าจะเดินเข้ามาหา หรือเชิดหน้าหนีไปแบบที่ชอบทำ “ เมี่ยงต้องมีมึงนะ มาเถอะนายท่าน กลับบ้านเรากัน กลับไปอยู่ด้วยกันนะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไร ยกเว้นเจ้าตัวลายที่กระโดดลงมาจากถุงขยะใบใหญ่นั้น นายท่านเดินตรงเข้ามาใกล้ผมก่อนจะซุกหัวออดอ้อนเข้ากับมือที่ยื่นออกไปนั้น ท่าทางที่ทำให้ผมหลุดยิ้ม ก่อนจะดึงมันขึ้นมาอุ้ม แล้วในตอนนั้นผมก็ย้ำ

“ กลับบ้านนะ กลับไปหาเมี่ยงกัน ”

อุ้มเจ้าตัวมอมแมมออกจากซอยแบบที่ใจตรงออกไปหาเมี่ยงแทบจะทันที มือข้างนึงของผมถือร่ม อีกข้างก็ถือแมว ส่วนสายตาที่มองออกไปด้านหน้าตรงต้นซอยนั้น ผมเห็นคนกางร่มสีเหลือง ที่เราเพิ่งแยกกันเมื่อครู่กำลังยืนก้มหน้ากดโทรศัพท์ของตัวเองด้วยท่าทางที่ดูไม่สบายใจ เพราะคงหาแมวตัวเองมาทั้งซอยแล้ว แต่หาไม่เจอ

“ เมี่ยง ” ผมเอ่ยทักในตอนที่กำลังจะเดินใกล้ถึง แต่ในจังหวะที่อีกฝ่ายหันมาทุกอย่างของร่างขาวนั้นก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ร่มที่ถืออยู่ถูกทิ้งลงก่อนที่อีกคนจะวิ่งเข้ามาหาแล้วอุ้มนายท่านเข้าไปแนบอก

“ นายท่าน มึงหายไปไหนมา ทำไมถึงดื้อแบบนี้ อึก ฮือๆ นายท่านนนนนน กลับมาแล้ว กลับมาหาเมี่ยงแล้ว ” ร่างที่ทรุดลงกับพื้น เมี่ยงกอดอีกตัวไว้แน่นแบบชนิดที่ไม่กลัวว่ามันจะอึดอัด เสียงร้องไห้ที่ร่ำร้องแบบที่แทบจะขาดใจและโล่งใจในคราวเดียวนั้น ผมเองก็ย่อตัวลงข้างๆ ก่อนจะยื่นร่มไปบังฝนให้

“ ม๊าว ” เสียงที่ดังขึ้นมาของเจ้าตัวในอ้อมกอดที่เงยหน้ามองเจ้าของ เมี่ยงเองก็ก้มลงมองมันทั้งน้ำตา

“ อย่าหายไปไหนอีกนะรู้มั้ย อย่าหายไปไหนอีก ”

“ ไม่หายไปแล้วครับ ” ผมเลียนเสียงแมวบอกออกไปแบบนั้น “ ขอโทษนะกั๊บพี่เมี่ยง นายท่านออกมาเที่ยวเล่นนานไปหน่อย ทำให้พี่เมี่ยงร้องไห้เลย  ”

“ อาร์มมม ” เสียงงอแงที่ลากเสียงเรียกกันนั้น มาพร้อมสายตาปิดเปื้อนน้ำตาและรอยยิ้มที่น่ารักที่สุดในโลก

“ ครับผม ”

“ ขอบคุณนะ ”

ในวินาทีนั้นที่ผมยิ้ม เพิ่งรู้สึกว่าตัวก็ตอนนี้เองว่ารอยยิ้มของเมี่ยง และความสุขของเมี่ยง ส่งผลต่อความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหน

ก็เอาเป็นว่าบางทีนายท่านเอง ก็อาจจะไม่คิดอย่างงั้น บางมันอาจจะไม่เข้าใจที่ผมพูดด้วยซ้ำ แต่เหมือนกับว่าคำพูดที่บอกออกไป มันเป็นแค่ประโยคขอขอร้อง เพื่อให้อีกฝ่ายกลับมา และเพื่อให้คนตรงหน้านี้มีความสุข

ทุกอย่างมันก็เท่านั้น

“ กลับบ้านเรากันเถอะ ” แล้วนั่นก็เป็นประโยคสั้นๆที่พูดออกมา เพราะรู้สึกชอบมันเหลือเกินกับคำที่มีความหมายว่า ‘ บ้านของเรา ’

....................................................................

สั้นมาก และเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อกี้เลยจริง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์กันนะคะ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิต ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
 :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เปิดใจแมวไป

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทำไมไม่รู้ มีความสังเห่า (หรณ์) ว่า ผู้หญิงที่เมี่ยงทักจะเป็นคนที่ทิ้งนายท่าน และที่นายท่านออกไปนอกโรงพยาบาลเพราะจำได้ว่าบ้านที่เคยอยู่ ๆ ใกล้โรงพยาบาล เลยจะกลับมาหาหรือเปล่าน่ะ   :teach:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด