ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )  (อ่าน 43910 ครั้ง)

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 25

“ ไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆมึง ขอกูอยู่ด้วยคนนะ ” ประโยคที่ฟังชวนให้ผมได้แต่นิ่ง แรกเริ่มสมองตอบรับว่า ‘ อย่า ’ อย่างกระทันหัน และมันก็เป็นการตอบรับที่หัวใจเองก็รู้สึกเช่นนั้น ว่าอย่าหาเหาใส่หัว แบบที่ใครว่ากัน แต่เหมือนดีนจะจับทางกันได้ มันก็เลยถาม “ ไม่ได้เหรอวะ ทำไม ? ”

“ ไม่สะดวก ” ผมบอก “ บางทีแฟนกูอาจจะมาหา  แล้วมันก็คงอึดอัดที่เห็นมึงอยู่ในห้องของกู อย่างตอนกลางคืนที่กูคุยกับแฟน กูก็ไม่อยากให้คนอื่นมาฟังว่าเราคุยอะไรกันบ้าง ”

“ คนอื่นเลยเหรอวะ ” ดีนมันพูดยิ้มๆ ก่อนจะดูดบุหรี่จากมวนที่ถือเข้าไปจนเต็มปอด แล้วก็ค่อยๆพ่นควันออกมา “ ถามจริง กูไม่ใช่เพื่อนมึงแล้วเหรอ แค่เพื่อนกูก็ ไม่ใช่เหรอวะ ”

“ พูดอะไรแบบนั้น ” ถามออกไปอีกฝ่ายก็เสหน้าไปทางอื่นอย่างไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด “ นี่มึงเข้าใจบริบทที่กูจะสื่อบ้างมั้ย เข้าใจสถานการณ์บ้างมั้ย ”

“ เข้าใจ ” คนตรงหน้าพยักหน้ารับ “ เข้าใจว่ามึงรังเกียจกู แล้วก็ไม่อยากจะให้กูเข้าไปอยู่ใกล้ๆแฟนของมึงเท่าไหร่  ถามจริง ทำไมวะ   ” สายตานั้นหันมามอง พร้อมกับรอยยิ้ม “ กลัวว่าตัวเองจะกลับมารู้สึกกับกูอีกเหรอ ”

“ หลงตัวเองอีกแล้วนะ ” บอกอีกฝ่ายด้วยเสียงเรียบ ดีนก็นิ่งไป “ อย่าคิดว่าคำพูดของมึงจะจุดความรู้สึกของกูที่เคยมีให้มึงได้ ไอ้ที่คิดว่า ถ้าพูดดูถูกความรู้สึกกูให้มากๆ กูจะให้มึงมาอยู่ด้วย เพราะจะพิสูจน์เรื่องที่ว่ากูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงแล้วให้มึงเห็น แล้วมึงก็จะค่อยๆทำให้กูรู้สึกดีกับมึงแบบที่กูเคยอยากได้ ” ผมยกยิ้ม ” ถ้าคิดอะไรพวกนั้นอยู่  ก็ขอบอกตรงนี้เลย ว่ามันไม่ได้ผล มึงไม่ต้องพยายาม ”

 “ ก็ล้อเล่นมั้ยวะ จริงจังไปได้ ” บอกปัดแบบอดไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจแล้วดึงมือข้างที่ถือบุหรี่อยู่นั้นขึ้นมาสูบ สายตาเรียวนั้นเหลือบมองผม “ แล้วยังไง สรุปคือกูไปไม่ได้ถูกมั้ย ”

“ ขอกูปรึกษาแฟนกูก่อนแล้วกัน ” ผมบอกปัด แต่ในตอนนั้นดีนก็แค่หลุดหัวเราะ

“ มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ แล้วกูก็แค่มีปัญหากับที่บ้าน เลยอยากจะมาขออยู่บ้านมึงมันก็เท่านั้นเอง ถามจริง นี่มีเมียหรือมีแม่ ต้องขออนุญาตด้วย ”

“ ก็มึงไม่ใช่แค่เพื่อน มึงเป็นคนที่กูเคยชอบ แล้วมันไม่มีแฟนคนไหนหรอก ที่จะโอเคหรอก กับการที่เห็นคนที่แฟนเราเคยชอบ เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ”

“ คนที่แฟนเราเคยชอบ ” ดีนมันทวนประโยคนั้นก่อนจะยกยิ้ม “ ไม่เคยคิดเลยรู้มั้ย ว่าจะต้องเข้ามาอยู่ในสถานะนี้ ทั้งๆที่ตลอดมา กูเป็นคนที่มึงชอบมาตลอดแท้ๆ ”

ความเงียบเชียบก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลัน บรรยากาศรอบตัวเราในตอนนี้มีเพียงแค่ความอึดอัด เอาเข้าจริง แม้แต่ตัวผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ ตรงที่ที่ยืนรอคอยใครตรงหน้านี้มาตลอด

ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นมาจากเรื่องง่ายๆ คนที่ย้ายเข้ามาใหม่ เป็นอริกับคนที่รัก และด้วยความกลัวที่ความลับเรื่องที่ผมเรียกแก้มหอมขาจะแตก จนทำให้ดีนเสียหน้า ก็เลยบอกความลับของอีกฝ่ายออกไปทั้งๆที่ตั้งใจจะเก็บไว้ขู่ถ้าการทะเลาะของพวกมันลุกลามถึงขั้นจะต่อยตี

จนสุดท้ายเมี่ยงที่สร้างแผนขึ้นมาเพื่อทำให้ผมตกหลุม แต่ต่างฝ่ายก็ต่างก็ไม่มีใครยอมตกเป็นรอง สุดท้ายพอพ่ายแพ้ไปทั้งหมด รู้ตัวอีกที รอยยิ้มแบบตาปิดที่คล้ายกับเจ้าแก้มหอมในตอนร้องเรียกกัน ก็เข้ามานั่งอยู่ในใจทีละน้อย

คนที่อยู่ๆก็เข้ามากลายแล้วเป็นคนที่อยากให้มีอยู่  เป็นคนที่ผมอยากจะตื่นขึ้นมาเจอ แล้วหลับไปพร้อมๆกัน

เข้ามาแทนที่คนตรงหน้า แบบที่ไม่รู้ตัวเลยว่า เมื่อไหร่

“ เค้าน่ารักมากเหรอวะ มึงเคยบอกว่า มึงชอบเวลาที่กูยิ้ม แล้วเวลาที่เค้ายิ้ม มันเป็นยังไง เหมือนกูมั้ย ”

“ เค้าน่ารักมาก แต่เค้าไม่ได้เหมือนมึง เค้าน่ารักในแบบของเค้า ” ผมตอบ “ เพราะมึงก็คือมึง เค้าก็คือเค้า มันไม่เหมือนกันหรอก เค้าไม่ได้มีอะไรเหมือนมึง เหมือนมึงที่ก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนเค้า ”

“ งั้นเหรอ อยากเห็นจังเลยนะ คนคนนั้น ” ดีนพูดยิ้มๆก่อนจะผ่อนแผ่นหลังลงกับกำแพง “ จะหน้าตาเป็นยังไงน้า ”

“ เดี๋ยวมึงก็ได้เห็น เค้าพร้อมเมื่อไหร่กูจะพามาแนะนำ ”

“ จะเป็นคนที่ทำให้กูตกใจหรือเปล่าวะ ” คำพูดนั้นมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ นี่ ”

“ อะไร ”

“ ถ้าแฟนมึงไม่ยอม บอกว่าไม่ให้กูไปอยู่กับมึง มึงก็คือ จะเลือกแฟนมึงเหรอ ”

“ แน่นอนสิ ” ผมพยักหน้ารับ “ ยังไงกูก็ต้องแคร์ความรู้สึกของแฟนกูอยู่แล้ว ”

“ ทั้งๆที่กูเป็นเพื่อนรักมึง ทั้งๆที่ว่า กูสนิทกับมึงที่สุด ทั้งๆที่มึงเองก็รู้ว่า มึงช่วยกูได้คนเดียว มึงก็ยังจะปฎิเสธเหรอวะ ”

“ ถ้าแฟนกูไม่โอเค กูจะหาโรงแรมให้มึงอยู่ แล้วกูจะจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนนั้นให้มึงไปก่อน มีก็ค่อยเอามาให้ ” ดีนหันไปมองทางอื่นในตอนที่ผมเสนอข้อตกลงแบบนั้น

“ มึงแม่ง ทำตัวเหมือนรังเกียจกูเลยอาร์ม นี่ถ้ากูพึ่งพาไอ้โฮมกับไอ้จุ้นได้ กูไปแล้วละ ไม่มาพึ่งมึงหรอก ติดแค่กูไม่ได้สนิทกับไอ้สองคนนั้นขนาดนั้น ”

“ หรือจะให้กูคุยกับแม่ให้ ”

“ คุยตอนนี้มีแต่แย่กับแย่ ” ท่าทางเหนื่อยหน่ายใจบอกกันอย่างงั้น “ ให้กูอยู่ที่ห้องมึงเถอะน่า ถ้าแฟนมึงไม่สบายใจ มึงก็ไปอยู่ที่ห้องแฟนมึงสิ  ”

‘ ที่ซึ่งก็อยู่ข้างๆห้องกันนั่นแหละ ’ ผมต่อประโยคนั้นในใจ อย่างไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วการที่ดีนมานั่งอยู่ตรงนี้ และพยายามจะย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องของผม มันคือเรื่องจริงหรือโกหก

ดีนไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ มันไม่ชอบการตกเป็นรองใคร ไม่ชอบที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจ ผมรู้จักมันดี และก็เพราะรู้ดีแบบนั้นเลยลังเลเรื่องที่อีกคนกำลังขอร้อง ก็จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างดีนกับแม่ค่อนข้างแย่ แต่มันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ที่ผมเริ่มรู้จักกับอีกฝ่าย

บ้านดีนมีฐานะ พ่อรับราชการทหารยศสูง ส่วนแม่ก็เป็นคนที่อยู่ในวงสังคม มันที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ที่ค่อนข้างถูกคาดหวังไว้สูงในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน และการวางตัว แต่ก็เช่นกันที่ตัวมันก็ชอบทำอะไรขวางความต้องการพวกนั้นเสมอ

เป็นอาการขวางโลกที่บางทีผมก็เข้าใจ และบางทีก็ เยอะเกินไป

“ แล้วกลับไปคุยกับแม่ ไปขอโทษเค้ามันไม่ดีกว่าเหรอ ” ผมเสนอ “ หนีมาอยู่กับกู แก้ปัญญาที่ปลายเหตุมากเลยนะ เพราะยังไงมึงก็ต้องกลับไปขอโทษ แล้วก็คุยกับเค้าอยู่ดี ”

“ แล้วต้องให้พูดอีกกี่ครั้ง ก็บอกตอนนี้แม่หงุดหงิด ขออยู่กับมึงก่อน เดี๋ยวเค้าอารมณ์ดีกูจะกลับบ้านเอง มึงแม่ง..รังเกียจอะไรกูขนาดนั้น ”

“ แล้วกูต้องพูดอีกกี่ครั้ง ว่ากูกับมึงมันไม่ได้อยู่ในฐานะที่กูไม่ต้องคิดอะไร ”

“ ถามจริง มึงแม่งคิดเยอะเกินไปเปล่าวะ บางทีแฟนมึงอาจจะไม่คิดอะไรก็ได้ ” ดีนมันถาม ผมก็ถอนหายใจออกมา บุหรี่ถูกโยนลงพื้นในตอนนั้น ก่อนรองเท้าราคาแพงจะบี้มันจนดับสนิท

“ ก็ยังดีกว่าไม่คิดอะไรเลย ” และอีกอย่างก็เพราะเคยพูดแบบไม่คิดอะไรเลยมาแล้ว และไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นอีก “ เอาเป็นว่าขอแฟนกูก่อนแล้วกัน ยังไงจะบอกอีกที ”

“ ก็ได้ ” ดีนตอบรับแบบที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ มันถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะดึงตัวเองออกจากการพิงผนังแล้วหันมามองกันยิ้มๆ “ แต่ว่านะมึง ความลับน่ะ มันไม่มีในโลกนะ แน่ใจเหรอ ว่ามึงจะไม่รีบบอกกูมาซะตอนนี้  ว่าแฟนมึงคือใคร ”

“ กูไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้มึงรู้ว่าเค้าเป็นใคร จะประกาศบอกใครต่อใครเลยก็ได้ กูไม่สนหรอก เพราะจะวันนี้หรือพรุ่งนี้ พวกมึงก็ต้องรู้อยู่แล้ว จริงมั้ยละ ” ยิ้มให้คนที่มองกันนิ่งแบบที่กำลังเก็บความรู้สึกทั้งหมดและกดมันไว้ ผมไม่รู้หรอกว่าดีนรู้เรื่องผมกับเมี่ยงมั้ย แต่ที่รู้คือ ผมจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของอีกคนไม่ว่าจะทางไหน “ มึงคงสร่างเมาแล้ว งั้นกูไปเรียนก่อนแล้วกัน ”

“ แต่ไปตอนนี้อาจารย์ก็ไม่เช็คชื่อให้มึงอยู่แล้ว จะไปทำไมวะ เสียเวลา ”

“ ตอนที่กูชอบมึงก็เหมือนกันนั่นแหละ ” ดีนมันเอียงหน้าให้กัน ในตอนนั้นผมยกยิ้ม “ เสียเวลา ”

“ K ” อีกฝ่ายว่าไล่หลังผมมา “ แม่ไม่สอนเหรอไอ้สัดว่าถึงไม่รักกันแล้วก็อย่ามาทำร้ายคนที่เคยรักให้เจ็บ ”

“ เอาคืนหน่อยไม่ได้เหรอ ” หยุดขาที่กำลังจะเดินออกไป ก่อนจะหันไปถาม “ แล้วแม่มึงไม่สอนบ้างหรือไง ว่าไม่ควรทำให้คนที่รักมึงต้องเจ็บ เพราะตอนที่เค้าไม่รักแล้ว บางทีเค้าอาจจะกลับมาเอาคืนก็ได้ ”

 “ ไม่สอน ” ดีนบอกแบบนั้นในตอนที่จ้องมองผม  “ เพราะกูไม่เคยคิด ว่ามึงจะไม่รัก ”
ไม่ได้ตอบอะไรคนที่พูด ผมแค่เดินออกมาจากตรงนั้น เดินออกมาอย่างไม่หันหลังกลับไปมองว่าอีกฝ่ายจะมองอยู่ จะร้องไห้ หรือว่าจะทำอะไร มันก็คงเหมือนกับเมื่อคืน ที่ผมเองก็ไม่ได้โทรกลับไปถาม และสนใจว่าตอนนี้มันอยู่ไหน หรือกำลังรู้สึกยังไง

ผมไม่จำเป็นต้อง ขอโทษ เพราะการรักเมี่ยงไม่ใช่เรื่องความผิด
คล้าบกับที่มันไม่รักผม นั่นก็ไม่ใช่ความผิดเหมือนกัน

“ ขอโทษครับ ” ก้มหน้าเข้ามาในห้องพร้อมกับบอกเช่นนั้นเบาๆ การเรียนการสอนถูกหยุดไว้ชั่วคราวจนอาจารย์หันมมองด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก กับนักศึกษาที่เข้าเรียนในเวลานี้ เพราะมันก็ผ่านเวลาเข้ามานานกว่ายี่สิบนาทีแล้ว ผมถึงจะเข้ามาในห้อง

“ คิดว่ามึงไม่เข้ามาแล้ว ” หย่อนตัวลงนั่งยังไม่ทันจะได้หยิบเอกสารแจกใหม่ โฮมมันก็เอ่ยทัก “ แล้วไอ้ดีนเป็นยังไงบ้าง ”

“ กูว่ามันไม่ได้เมาขนาดนั้น ” ผมบอก “ ก็ยังพูดรู้เรื่อง สติสมประกอบดี ”

“ ท่าทางหงุดหงิด แตกต่างกับเมื่อเช้าอย่างลิบลับ ” ยกยิ้มกับคำพูดนั้นก่อนจะพิงหลังกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง

“ ไอ้ดีนมันขอมาอยู่ที่ห้องกู เห็นบอกว่าทะเลาะกับแม่ ”

“ แล้วมึงว่าไง ให้มา ? ”

“ กูบอกมันไปว่าถามเมี่ยงก่อน ” คนฟังเลิกคิ้วในตอนที่ฟัง พลางพยักหน้ารับ

“ แล้วมึงบอกเมี่ยงยัง ”

“ ยัง แค่กำลังคิด ”

“ คิดว่า ”

“ เมี่ยงไม่รู้ว่าคนที่กูเคยชอบคือดีน กูเลยไม่รู้จะเริ่มบอกมันยังไง ถ้าบอกว่าดีนมีปัญหากับที่บ้าน ถ้าตอนนี้มันยังไม่บอกเบสเรื่องของกู กูคิดว่ามันน่าจะให้ดีนมาอยู่ แล้วเก็บเรื่องของเราไว้สักพักก่อน แต่ถ้ากูบอกความจริง ก็กลัวมันรู้สึกกับกูไม่เหมือนเดิม ”

“ อื้ม ” คนฟังถอนหายใจออกมาในตอนที่ฟัง และแบบที่อดบ่นไมได้ “ ยากจังไอ้สัด ”

“ ใช่ ”

“ พอกูคิดจะบอกให้มึงบอกเมี่ยงเรื่องไอ้ดีน กูก็กลัวว่าเมี่ยงจะไม่เข้าใจ กลายเป็นว่ามึงปิดบังมัน แล้วสุดท้ายยังไม่ทันได้รักก็ต้องเลิกไปก่อน เพราะเค้ารู้สึกว่า ทั้งมึงทั้งดีนใกล้ชิดกันขนาดนั้น ยังไงก็ต้องกลับไปรักกัน ตัดไปขาดหรอก แต่ถ้าแนะนำว่า ไม่ต้องบอก กูก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วถ้าเมี่ยงรู้ มันจะรู้สึกยังไง ”

“ มึงคิดเหมือนกูเลย แล้วเพราะกูไม่ได้รู้จักเมี่ยงดีพอ กูเลยเดาไม่ได้ว่ามันจะแสดงความรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แต่ที่กูมั่นใจก็คือ ถ้ามันตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้ว มันเข้มแข็งพอที่จะไม่เปลี่ยนใจ ”

เช่นกันที่ว่า ถ้ามันคิดว่าตัวเองไม่มีทางชนะดีน เพราะสุดท้ายไม่ว่ายังไงผมก็ต้องกลับไปหาอีกคน แล้วก็จะทิ้งมันไว้ทั้งอย่างงี้ ทุกอย่างระหว่างเรา คงจบลงตรงนี้  เมี่ยงไม่คิดจะให้โอกาสกันด้วยการไปต่ออยู่แล้ว

มันมั่นใจในความคิดของตัวเอง ว่าถูกต้องมากพอ
เป็นคนตัดไปตั้งแต่ต้นลม แม้ยังไม่รู้เลยว่า เรื่องราวสุดท้ายจะเป็นยังไง

“ อื้ม ” เสียงเบาๆที่ตอบรับ ชวนให้ผมผ่อนลมหายใจออกมา

“ ใจนึงก็อยากจะแสดงให้เห็นก่อนว่ากูรู้สึกยังไงกับมัน อยากบอกด้วยการกระทำว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉาบฉวยอะไร กูรักมันจริงๆ และอยากจะพิสูจน์ให้เห็น แต่อีกใจก็กลัวว่า ถ้าสุดท้ายมันรู้ มันจะเสียใจ ที่ว่าทำไม่บอก ”

“ ถ้ากูเป็นมึง กูจะเลือกอย่างแรก เพราะอย่างน้อยเราก็ยังได้ทำให้เค้ารู้ว่าเรารู้สึกยังไง ไม่ใช่โดนตัดสินไปแล้วว่า สุดท้ายมันก็กลับไปรักกันนั่นแหละ เพราะงั้นเราก็เลิกกันเถอะ เพื่อเสี่ยงความเจ็บปวดในอานาคต มึงน่ะก็แค่ชอบกูเพื่อแค่ประชดมันเท่านั้นแหละ ”

“ อื้ม ”

“ แต่การที่จะทำอะไรแบบนั้น มึงต้องมั่นใจก่อนนะอาร์ม ว่ามึงรู้สึกยังไงกับมัน ถ้ามึงเด็ดเดี่ยวพอ ต่อให้เมี่ยงรู้ว่ามึงเคยชอบดีนมาก่อน แต่การกระทำของมึงก็จะบอกมันแล้วก็เป็นหลักฐาน ว่ามึงรู้สึกยังไงกับมัน และนั่นไม่ใช่แค่บอกรักมึง เพื่อประชดใครแน่นอน ” ผมพยักหน้ารับประโยคนั้น “ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่การตัดสินใจของมึง เพราะมึงรู้จัดไอ้แก้มก้อนดีกว่ากู ”

มือถือที่วางอยู่ข้างตัว ผมมองมันก่อนจะตัดสินใจหยิบขึ้นมาแล้วเปิดเข้าไปในโปรแกรมแชท ชื่อที่อยู่ด้านบนสุด ผมปักหมุดไว้ เพราะกลัวมันจะหล่นลงไปด้านล่างเรื่อยๆ เพราะเราที่ไม่ค่อยคุยกันผ่านทางโปรแกรม


Mieng:
มีอะไรจะคุยด้วยหน่อย
ว่างมั้ยครับ

ประโยคที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอทั้งๆที่ยังไม่ได้กดพิมพ์ข้อความชวนให้ผมยิ้ม เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่า ผมมีเรื่องจะคุยด้วย เลยทักทายกันขึ้นมาก่อน

Mieng:
เฮ้ย
อ่านโคตรเร็ว
ถามจริง
พี่อาร์มรอข้อความของน้องเมี่ยงอยู่ปะครับ

Arm:
พูดมากจัง
Mieng:
เขินแหละ
ดูออกทั้งหมดนะ
Arm:
คือกูเองก็มีเรื่องจะคุยกับมึงเหมือนกัน

Mieng:
ใจตรงกันทุกเรื่องเลยเรา
แต่ก็แบบนี้แหละเนอะ
แฟนกันนี่น่า
Arm:
ถามจริง
สติมึงยังดีอยู่มั้ย
ดูเหมือนจะขาดยานะ

Mieng:
แล้วมันมีอะไรให้กูต้องหงุดหงิดเหรอ
กูมีแฟนแล้วและหล่อมากด้วยนะ
แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องหงุดหงิดด้วยเรื่องอะไรแล้วมั้ยละ
Arm:
คล้ายๆว่าประโยคนี้จะเป็นประโยคที่กูพูดกับมึงเมื่อเช้ามั้ย
Mieng:
แฟนกูพูด
แล้วมึงเป็นแฟนกูมั้ย
Arm:
เป็นครับผม

Mieng:
บ้าบอ
เขินอะไรไม่รู้
แต่เขินอีกแล้ว
Arm:
ตอนอยู่ด้วยกันไม่เห็นมึงจะแรดขนาดนี้
ถามจริง
ไปโดนตัวไหนมา

Mieng:
อาร์ม
Arm:
ครับ

Mieng:
ไม่ได้เรียกมึง
กูแค่ตอบ
ก็มึงถามว่าไปโดนตัวไหนมา
Arm:
ร้ายมากนะ

Mieng:
มึงไม่ร้ายเลยมั้ง
บางทีมึงทำหัวใจกูป็อปแป็ปมากนะ
รู้ไว้ด้วยนะไอ้สัด
สำนึกผิดซะ

Arm:
แล้วหัวใจป็อปแป็ปมันคือยังไง


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
Mieng:
ก็มันจะหัวใจเต้นแรงไง
มันจะเต้นเร็ว
แล้วก็เหมือนจะน้วยอ่อน
ไม่มีเรี่ยวแรง
นั่นแหละที่เค้าเรียกว่า
หัวใจมันป็อปแป็ป
Arm:
ไม่คล้ายกับอาการของกูตอนนี้เลย

Mieng:
แล้วอาการตอนนี้ของคนป่วยเป็นยังไงครับ
ไหนบอกหมอ
Arm:
ยิ้มไม่หุบครับ
คล้ายๆแฟนจะน่ารักเกินไป
Mieng:
บ้าบออีกแล้ว
Arm:
แล้วตกลงทักมามีอะไร
นอกเรื่องเก่งนะมึง
Mieng:
คือมีเรื่องจะคุยด้วยต่อหน้า
เลิกคาบเช้าไปดูหนังกันมั้ย
กูจองห้องดูหนังไว้แล้ว
Arm:
เหมือนจับมือกูใส่นวมแล้วก็ถาม
ว่าต่อยมวยกันมั้ย

Mieng:
555555555555555555
งั้นก็ไปเนอะ
Arm:
แล้วมึงไปเอาบัตรมาจากไหน
เวลาจองห้อง
มันต้องใช้บัตรนักศึกษาสี่ใบไม่ใช่เหรอ


Mieng:
กูก็คนมีเพื่อนมั้ยละ
เห็นแบบนี้เพื่อนก็คบกูนะ
Arm:
คิดว่าไม่มีใครคบซะอีก
Mieng:
นั่นมึงแล้วละ
เอาไปว่ากูไปแอบจองมาแล้ว
เราเจอกันนะ
ที่ห้องดูหนังหมายเลขสี่
แล้วอย่าบอกใคร
โอเค๊
Arm:
ท่าทางดูเหมือนคนเป็นชู้ที่แอบคบกันดี

Mieng:
เร้าใจดีใช่มั้ยละ
Arm:
ประสาท


ทิ้งท้ายข้อความไว้แบบนั้นก่อนที่สติกเกอร์ขยับได้กวนตีนอันนึงจะถูกส่งมาให้ ภาพเด็กส่ายก้นไปมาให้ผม ที่ถึงจะขมวดคิ้วเพราะรู้สึก ‘ อะไรวะ ’ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาอยู่ดี

“ คนเหี้ยอะไร โคตรน่ารัก ” พูดกับตัวเองแบบนั้นในตอนกดล็อคหน้าจอแล้วคว่ำมันลงบนโต๊ะ หัวใจที่สั่นไหวของผมเพียงแค่คิดถึงรอยยิ้ม และท่าทางประกอบการพิมพ์ที่ก็คงกวนตีนไม่ต่างกับเวลาที่อีกฝ่ายพูดกับผมด้วยท่าทางปากยื่นปากยาว ก็ทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจคล้ายจะไร้เรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ

เป็นอาการ ‘  คล้ายว่าหัวใจจะป็อปแป๊ปเลยกู ’

โรงหนังของมหาลัยอยู่ในโซนของหอสมุด ออกแบบมาในรูปแบบที่คล้ายกับตู้คาราโอเกะที่เรียงยาวลึกเข้าไปด้านใน ห้องหมายเลข 4 ที่เรานัดพบกัน ผมมองเข้าในนั้นเห็นว่าอีกฝ่ายมารออยู่แล้ว เมี่ยงที่กำลังจดจ่อกับการ์ตูนไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็ก ชวนให้ยิ้ม

 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ความสนใจของคนในห้อง หันมามองต้นเสียง ผมเปิดประตูเข้าไปดานในนั้นก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างอีกคนที่ก็มองกันไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้ามา เรานั่งกันอยู่ที่แถวสองของโซฟาในห้อง เว้นที่ว่างสองที่อย่างงั้น และในวินาทีนี้ ทีวีที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้รับความสนใจอีก 

“ ยิ้มอะไรขนาดนั้น ” หันไปถามอีกคนที่ก็แค่ส่ายหน้าไปมา เมี่ยงพิงตัวเองกับเบาะโซฟาที่นั่ง สายตาที่หันไปสนใจการ์ตูนเรื่องนั้นอีกครั้ง เราเงียบลง แล้วปล่อยให้ทีวีตรงหน้ากลบความเงียบ ส่วนผมก็ค่อยๆเลื่อนมือไปกุมมือของอีกคนที่ก็เม้มริมฝีปากอย่างเห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาการเขินอาย

เมี่ยงดึงมือขึ้นข้างขึ้นมาเกาหัวเหมือนไม่รู้จะแสดงปฎิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ แล้วมึงมีอะไรจะพูดกับกู ”

“ เอ่อ..” มือที่ถูกจับกุมอยู่ถูกเลื่อนออกเบาๆในตอนที่อีกคนเอ่ยพูดออกมาอย่างงั้น เมี่ยงขยับตัวเอียงตัวมองกัน ท่าทางที่หนักใจนั้นชวนให้ผมขมวดคิ้ว

“ มีอะไร ”

“ คือ เรื่องที่กูจะพูดกับมึง คือฟังแล้วอาจจะหงุดหงิด แต่กูก็ไม่อยากจะให้มึงหงุดหงิด กูเลย..”

“ ไม่กล้าพูด ” ต่อประโยคนั้นให้จบแทนอีกคนที่ก็พยักหน้ารับ ผมไม่อยากจะเดาเลย ว่าเรื่องที่อีกคนจะพูดแต่ไม่กล้าพูดมันคือเรื่องอะไร มีความรู้สึกว่าเดาออกอยู่แล้ว แม้ว่าจะยังไมได้ฟัง

“ กูยังไม่ได้บอกไอ้เบสเลย เรื่องที่เราคบกัน ” เสียงเบาๆที่พูดออกมาแบบนั้นทำให้ผมผ่อนแผ่นหลังที่ลงกับโซฟาอย่างที่ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไง เพราะนั่นแหละ คือสิ่งที่ผมคิด “ แต่กูบอกเจ้ยแล้วนะ เจ้ยรู้เรื่องของเราแล้ว กูบอกมันแล้ว ว่ากูคบกับมึงเป็นแฟน ”

“ แล้วยังไงละ ” ผมถามกลับ “ ก็คือว่ามึงจะให้กูรอ จนกว่ามึงจะกล้าพูดกับไอ้เบส แล้วกูก็ค่อยบอกไอ้ดีน ตอนนี้ก็ขอให้กูปิดบังเรื่องของเรากับเพื่อนกูไว้ก่อน แบบนั้นใช่มั้ย เรื่องที่มึงจะพูด ”

“ มันก็...” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา “ อื้ม ”

ได้แต่หลับตาลงในคำตอบรับนั้นที่ได้ยิน เอาเข้าจริง พอได้ฟังออกมาจากปากอีกคนมันเจ็บกว่าที่คิดไว้เสียอีก

“ รู้มั้ย ว่ามันเหมือนมึงไม่ได้อยากจะบอกใครเรื่องของเรา เหมือนแค่อยากจะเก็บเอาไว้ เก็บไว้แบบลับๆ มันเหมือนมึงไม่ได้รู้สึกกับกู แบบที่กูกำลังรู้สึกกับมึง ”

“ ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยมึง ฟังก่อนสิวะ ”

“ ก็ฟังอยู่นี่ไงเมี่ยง ฟังมาตั้งแต่เช้าแล้วด้วย ” ผมบอก แบบที่ได้จ้องไปข้างหน้าอย่างไม่อยากจะหันไปสบแววตาเศร้าๆนั้น เพราะสุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ต้องพ่ายแพ้  “ มึงบอกว่าไม่อยากฉีกหน้าเพื่อน กูเข้าใจ กูก็ให้เวลาไปบอก ไปเคลียร์ให้เรียบร้อย แต่พอตอนนี้ก็บอกอีกว่า ขอยืดเวลาไปก่อน ”

“ ก็มันไม่ได้พูดง่ายขนาดนั้น มึงลองมาเป็นกูสิ ”

“ แล้วกูไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกับมึงเหรอ ” อีกฝ่ายเงียบ “ ดีน ก็ไม่ได้ถูกกับไอ้เบสเหมือนกัน เราก็อยู่ในฐานะเดียวกันนั่นแหละ กูคบกับดีนมามากว่ามึงคบกับเบสอีก แล้วจะมาพูดว่า ให้กูลองมาเป็นมึงอีกเหรอ ” เสียงถอนหายใจของคนข้างๆ เมี่ยงก้มหน้าลง

“ ขอโทษ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะเงียบไปอยู่นาน “ กูแค่ไม่กล้า กูไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป พอกูมองหน้ามันแล้ว กูกลัวมันสียใจในสิ่งที่กูทำ ทั้งๆที่ กูก็รู้ว่าสักวันนึง บางที พอเรียนจบ พอโตแล้ว มันอาจจะไม่ได้เข้ามาเป็นคนสำคัญในชีวิตกูด้วยซ้ำ แต่กูก็ไม่กล้า ”

ท้ายประโยคที่เบาหวิว  การ์ตูนที่ถูกเปิดอยู่ เรื่องที่เคยดูน่ารักนั้นกลับไม่มีใครสนใจมันอีกต่อไป เมี่ยงที่นั่งก้มหน้าลง ส่วนผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ในสมองส่วนนึงมีประโยคของไอ้โฮมลอยวนเวียนอยู่ในหัว ‘ เราไม่ใช่เค้า เพราะงั้นอย่าตัดสินใจด้วยความรู้สึกของตัวเอง คนเรามีเหตุผลไม่เหมือนกัน ’

“ ตอนที่กูเข้าไปในห้องกูบอกเจ้ยคนแรกเลย แต่พอไอ้เบสมา กูกำลังจะหาจังหวะบอก มันก็แทรกเรื่องดีใจของมันขึ้นมาก่อน ”

“ เรื่องมันที่ดีใจ ? ”

“ อื้ม ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบมองผม

“ คือไอ้เบสอะมึง เพิ่งได้รถใหม่มา พ่อมันซื้อให้ หลังจากที่ใช้รถคันเก่ามานาน คราวนี้พอกูจะพูดกูเลยไม่กล้า คือมึงเข้าใจใช่มั้ยละ ” ถามออกมาแบบนั้นก่อนจะทำหน้ายู่ให้กัน เพราะรู้ว่าคำถามนั้น ผมปฎิเสธ แน่นอน ผมไม่เข้าใจหรอก “ กูอยากให้มันมีความสุขสักสองวันก่อน พอมันโอเคแล้ว ก็ค่อยบอก ไม่อยากจะเป็นเรื่องที่ทำให้มันหงุดหงิดใจ ”

“ การที่เพื่อนที่มีความรัก คือเรื่องที่จะทำให้มันหงุดหงิดใจเหรอวะ ”

“ ก็เราเป็นอริกัน ” เมี่ยงหันมาบอกผม ก่อนจะถอนหายใจ “ กูไม่รู้หรอกว่าถ้าพูดออกไปเบสจะรู้สึกยังไง อาจจะวิ่งเอาไปบอกไอ้ดีน แล้วล้อไอ้สัดนั่นเต็มที่ ว่าในที่สุดเพื่อนที่สนิทของมัน ก็มาตกหลุมรักเพื่อนมันอย่างกู หรือว่าจะตกใจมาก เสียใจมาก ที่แบบอยู่ๆ กูกับมึงก็รักกัน ทั้งๆที่ดูท่าทางเกลียดกันมาตลอด แล้วสุดท้ายกูก็ต้องถอยตัวออกจากพวกมันมา อย่างช่วยไม่ได้ ”

“ เห้อ..” ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร แววตาเรียวหันมามองผม

“ ปัญญาอ่อนใช่มั้ย ความคิดกู ดูไร้สาระใช่มั้ย ”

“ ใช่ ” ผมตอบออกไปตามตรง “ เพราะถ้าเป็นกู กูจะไม่เสียเวลาอยู่แม้สักวินาทีเดียว เพราะยังไงมันก็ต้องรู้ มันไม่ได้หมายความว่า ถ้ารู้ช้าแล้วจะเสียใจช้าสักหน่อย ถ้ามันเสียใจกับเรื่องนี้ ยังไงมันก็ต้องเสียใจอยู่...ดี ”

“ อะไรของมึง อยู่ๆคิดอะไรขึ้นมาได้วะ ”

“ เปล่า ” ผมบอกปัดก่อนจะถอนหายใจ

เอาจริงๆแล้วเรื่องนี้ มันต่างอะไรกับเรื่องของผม ผมก็ปิดบังเมี่ยงอยู่เหมือนกัน เพราะรู้สึกจังหวะมันไม่เหมาะเลยที่บอก เมี่ยงก็คงมีเหตุผลของเมี่ยงเหมือนกัน เบสเป็นเพื่อนมัน มันก็คงหนักใจที่จะบอก ไม่ได้เหมือนกันที่อยู่กับดีนในอีกฐานะ เลยไม่จำเป็นต้องแคร์แล้ว

“ เงียบอีก ”

“ กูแค่คิดถึงเรื่องที่มันคล้ายๆกัน แล้วตกลงมึงจะเอาแบบนี้ ”

“ อื้อออออ กูขอเวลาอีกสองวันนะ เพื่อที่จะบอกไอ้เบส แล้วกูจะบอกมันในเร็วที่สุดเลย  ” เสียงตอบนั้นค่อนข้างเบา เมี่ยงพยักหน้ารับ “ มึง..เข้าใจกูใช่มั้ย ”

“ ไม่เข้าใจ แล้วจะไม่มีวันเข้าใจด้วย แต่ว่าต่อให้กูไม่เข้าใจ แล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มัน อะไรวะ ไร้สาระวะ เพื่อนแม่งไม่ได้มาแคร์ทุกความรู้สึกของมึงสักหน่อย แต่สุดท้ายแล้ว กูก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี มึงตัดสินใจแบบนี้ แล้วกูก็ต้องเคารพมัน จริงมั้ย ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือมาจับ “ อาร์ม มึงไม่โกรธกูได้มั้ย ” ผมเหลือบมองคนที่ถามแบบนั้น ด้วยท่าทางลังเล “ คือจะโกรธก็ได้ แต่ให้โกรธนิดนึง แบบว่า ง้อแล้วหายเลย จุ๊บแล้วก็คือหายเลยนะ ได้มั้ยวะ ”

เหลือบมองไปทางอื่นอย่างจนใจในแววตา อยู่ๆสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ความวุ่นวายในใจแม้จะก่อตัว แต่พอสายตาไปสบเข้ากับแววตาเรียวที่กำลังทำท่าทีงอแง แถมยังมาต่อรองให้งอนแค่นี้ได้มั้ย แล้วมันอดไม่ได้เลยที่จะยิ้ม

“ มึงแม่ง ” แล้วสุดท้ายก็อดไม่ไหว ผมสถบออกไปทั้งอย่างงั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ ได้มั้ยอะอาร์ม นะ ” เอียงหน้าถามกันแบบชนิดที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไขใดทั้งนั้น แล้วสุดท้ายผมก็พยักหน้ารับไป

“ ตามใจมึงแล้วกัน ”

“ พี่อาร์ม ใจดี ” ลากเสียงบอกกันก่อนจะกระพริบตาให้แต่ดูคล้ายเหมือนคนเจ็บตามากกว่าจะเรียกว่า วิ้งค์

“ กูไม่ใจดีหรอก ” ว่าแบบนั้นนิ้วก็ชี้เข้าที่แก้ม อีกคนก็ทำทีเป็นดึงตัวเองเข้ามามองหา

“ ก็ไม่มีอะไรติดอยู่นะ ”

“ หรือจะเอาแบบนี้ ” หันไปจูบริมฝีปากอีกคนที่ก็เบิกตาขึ้นมาด้วยความตกใจ เมี่ยงต่อยลงบนแขนผม ก่อนจะสบถ

“ ไอ้สัด ” ยกยิ้มกับคำพูดนั้นก่อนจะยื่นมือไปจับแก้มอีกคน และอดไม่ได้เลยที่จะเกลี่ยมันเบาๆด้วยนิ้วโป้ง “ เออ แล้วมึงมีเรื่องจะพูดกับกูด้วยไม่ใช่เหรอ เรื่องอะไรอะ ”

“ ดีนจะไปอยู่ที่ห้องกู มันทะเลาะกับที่บ้านมา ”

“ ชิบหายละ ” เมี่ยงพูดแบบนั้นก่อนจะขมวดคิ้ว “ นี่คือ เท่ากับ เราจะไม่มีเวลาสวีทกันเลยนะ ถ้ากูไม่ยังบอกไอ้เบสแบบนี้ ก็คือจบแล้วนะ ”

“ ก็ใช่ไง บิงโกเลยมั้ยละ ” ผมพยักหน้ารับ “ ก็ตอนแรกกูคิดว่าถ้ามึงบอกเบสแล้ว ทุกอย่างก็จบ กูแค่ย้ายมาอยู่กับมึง แล้วให้ไอ้ดีนอยู่ที่ห้องกูไป ”

“ แต่ถ้ากูไม่บอกแบบนี้ เราก็คือต้องปกปิดเรื่องที่คบกันเหรอวะ ทั้งตอนอยู่ที่นี่ แล้วก็ตอนที่กลับไปถึงคอนโด ”

“ ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ” คนฟังถอดหายใจออกมาก่อนจะพิงตัวเองเข้ากับเบาะที่นั่ง ด้วยสีหน้าที่แปลไม่ออกเท่าไหร่ “ เปลี่ยนไปบอกไอ้เบสตอนนี้ยังทันนะ ”

“ เรื่องนั้นมันก็...” เมี่ยงถอนหายใจ เหมือนไม่ว่ายังไงมันก็ไม่กล้าอยู่ดี

“ ไอ้เบสมันดีใจขนาดไหน กูละอยากรู้ ทำไมถึงทำเอามึงไม่กล้าบอกมันขนาดนี้ ”

“ ก็เมื่อวิชาเมื่อเช้าแทบไม่ได้เรียนเลย พี่แกเล่นพูดเรื่องรถตลอดคลาส เห่อมากจนขนาดตั้งชื่อ มีความเรียกน้องตลอด น้องงั้นน้องงี้ แถมยังยิ้มไม่หุบ เลี้ยงขนม เลี้ยงน้ำพวกกูไปอีก ”

“ หึ ” ส่ายหน้าไปมาก่อนจะยกยิ้มอย่างคิดภาพตามแล้วรู้สึกเหนื่อยแทนคนข้างๆ ที่ต้องรับมือ

“ แต่ว่านะ แล้วเรื่องที่กูอยู่ข้างๆห้องมึง บอกว่ากูเพิ่งย้ายมาแล้วกันเนอะ มันคงไม่คิดว่าแปลก ”

“ แปลกอะไร กูไม่ใช่เจ้าของคอนโดที่จะไปคิด หรือจะไปตัดสินใจได้สักหน่อย ว่าใครจะมาอยู่ข้างๆห้องกู ”

“ นั่นก็จริง แต่แพลนของเราวันนี้อะ ” เสียงอ่อนที่เอ่ยบอกกัน “ ต้องล่มเหรอวะ ไม่อยากให้ล่มเลยอะ น้องอยากอยู่กับพี่อาร์มมมมม ”

“ แล้วจะให้ทำยังไงละครับ ” ผมถามกลับอีกคนก็พิงตัวเองกับโซฟาตัวที่นั่ง แบบที่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เมี่ยงหน้างอ” แต่ยังไงกูฝากแก้มหอมไว้ที่ห้องมึงหน่อยนะ กูไม่อยากจะทิ้งมันไว้ให้อยู่กับดีน  ”

“ ทำไมวะ ”

“ เพราะกูคงไม่ค่อยอยู่ห้องไง กูติดแฟนเหมือนกันนะ เลยคิดว่าแอบไปอยู่กับแฟนกูน่าจะดีกว่า แล้วดูท่าทางว่าแฟนกูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เค้าน่าจะอยากอยู่กับกูด้วย ” ยักคิ้วให้อีกคน เมี่ยงก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะค่อยๆหุบลงเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

” แล้วมันจะไม่จับได้เหรอวะ ว่ามึงแว๊บมาห้องกู ”

“ กูไม่ใช่มึงสักหน่อย ที่โกหกเมื่อไหร่ จะจับได้ทันที ”

“ ว่ากูได้เหรอมึงน่ะ นี่แฟนนะ ”

“ ว่าแต่เมี่ยง ถามอะไรหน่อย ” หันไปถามอีกคนที่ก็เบิกตาขึ้นด้วยความสนใจกับสิ่งที่ผมกำลังจะถาม  “ มึงคิดยังไงกับคนที่ปิดบังความจริงกับมึง ”

“ แบบปิดไม่ให้รู้น่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับคำถามนั้นอีกคนก็ครุ่นคิดอย่างหนัก

“ คงดูที่เจตนาว่าทำไมต้องปิด เพราะไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะพูดได้สักหน่อย คนเราต้องดูบรรยากาศ ความจริงไม่ใช่สิ่งที่คนฟังอยากฟังทั้งหมดหรอก เพราะงั้นก่อนพูดเลยต้องดูก่อน ว่าคนฟังเค้าพร้อมรับฟังมั้ย ไม่ใช่คิดแค่ว่าต้องพูดเพราะมันคือความจริง เรื่องทุกเรื่องมีเวลาที่เหมาะสมที่จะพูดอยู่นะ อย่างเรื่องของเราไง ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆกันยิ้ม “ เป็นความจริงที่ควรดูสถานการณ์ก่อน ไม่ใช่คิดแค่ว่าต้องพูดออกไป เพราะมันไม่ใช่ทุกคน ที่จะยินดี แล้วก็รับมือได้กับสิ่งที่ต้องรู้ ”

“ แต่มึงแน่ใจแล้วนะ ว่าจะปิดบังเรื่องของเราไปแบบนี้ ” คำถามนั้นที่ผมถาม เมี่ยงนิ่งคิดมันอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่

“ แหมม ก็แค่สองวันเองมั้ยวะ ”

...................................................
แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน ว่ามัน แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม จริงมั้ยนะ น้องเมี่ยง
เจอกันตอนหน้าค่ะ
มันส์ แน่นอนน
#นายท่านของแก้มหอม ฝากแท็กในทวิตด้วยนะคะ  :mew2: :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ความสัมพันธ์แบบนี้โครตอึดอัด พลาดนิดเดียวคือเจ็บ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ให้ 3หึ หึหึหึ *ยกยิ้มมุมปาก* ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเหมือนกัน รอตอนหน้าค่อยว่ากันอีกที 5555555 อ๋อ ไอ้เรื่องที่อาร์มกังวลว่าเมี่ยงจะโกรธหรือเลิกรักนี่ ตัดไปได้เลยขนาดยังไม่ได้ใจนายมา เขายังยินดีรอ แล้วตอนนี้ได้ใจนายมา เมี่ยงรักจนจะบ้าตายอยู่แล้วเถอะ ฮอลลลล 5555555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อยาวๆเลย  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เด๋วก็ต้องมีเหตุให้ยืดเวลาในการบอกความจริงกับเบสไปเรื่อย ๆ อีกแหละ  เชื่อจิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ครึ่งวันความก็แตกชัวส์ ๆ น้องเมี่ยงเอ่ย  :laugh:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ให้รู้กันไปค่ะ ว่าความลับใครจะแตกก่อนกัน
อาร์มเคยชอบดีน หรืออาร์มเมี่ยงคบกัน

เข้าใจเมี่ยงนะ และเข้าใจอาร์มด้วย
แต่ตอนนี้หงุดหงิดเมี่ยงมาก แคร์ใจอาร์มบ้าง อย่ามัวแต่คิดถึงใจเพื่อน
มันย้อนแย้งกับสิ่งที่เมี่ยงบอกว่า ถึงต่อไปเพื่อนจะไม่ได้มาอยู่ในชีวิต แต่...

ดีนก็เร้าหรือเนาะ ดีค่ะ ให้มันปะทุกันไปเลย จะได้จบๆ ไม่ต้องมาวอแวกันอีก

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
หมั่นไส้ดีน หลงตัวเองจริงๆ
ไม่ค่อยอยากเชื่อว่ามีปัญหาจริง อยากดึงอาร์มกลับมากกว่า

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 26

‘ อยู่ไหน ’  ข้อความนั้นของดีนปรากฏขึ้นในหน้าจอมือถือของผม ระหว่างที่กำลังย้ายของส่วนตัวที่จำเป็นบางส่วน รวมถึงของส่วนตัวของเจ้าแก้มหอมที่ตอนนี้กำลังวิ่งไปมาหยอกล้อกับไอ้นายท่านเจ้าของห้องด้วยความสุข  ชนิดที่เรียกได้ว่าวุ่นวายไปหมด จนเมี่ยงต้องออกปากเตือนบ่อยๆว่าให้มันน้อยๆลงหน่อย เพราะเล่นวิ่งชนนู้นนี่ไปซะทั่ว

‘ อยู่กับแฟน ’ กดพิมพ์ตอบไป บนหน้าจอก็ขึ้นคำว่าอ่านแล้วเหมือนอีกฝ่ายจะรออยู่ซึ่งคำตอบ แต่กลับไม่มีข้อความอะไรส่งกลับมาทั้งนั้น

“ อะไรของมัน ” พูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะส่ายหน้าไปมา ผมยัดมือถือใส่เข้าไปในกระเป๋าหลังของกางเกงในตอนที่เห็นอย่างงั้น แล้วหันมาสนใจกับของส่วนตัวที่เอาใส่กระเป๋าออกกำลังกายใบใหญ่มา สมองกำลังคิดถึงของที่จำเป็นว่ามีอะไรอีก แต่ในตอนนั้น คุณเจ้าของห้องก็เดินเข้ามาหาพอดี ตรงส่วนของห้องแต่งตัวที่ผมกำลังยืนอยู่

“ กูว่าแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง ” เมี่ยงตอบแทนความคิดของผมพลางเอื้อมมือมาจับชุดที่แขวนอยู่ในตู้ สายตาที่ดูพิจารณาเสื้อผ้าพวกนั้นที่เหมือนจะมีมากเกินจำเป็นด้วยซ้ำในความรู้สึกของมัน แถมยังไม่นับชุดนอนและข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ “ ถามจริง ไอ้ดีนจะอยู่นานเลยเหรอวะ ”

“ เพราะไม่รู้เหมือนกันไง เลยต้องเอามาก่อน ”

“ แต่ค่อยกลับไปเอาก็ได้มั้ง ห้องมึงก็แค่ก้าวเดียวนี้เองนะ ” อีกฝ่ายบอกพลางแหวกชุดของผมที่แขวนอยู่พวกนั้น ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ “ แต่ก็คือมีทุกชุดแล้วเนอะ ชุดไปเที่ยว ชุดอยู่บ้าน นักศึกษา ชุดนอน คือ พี่ย้ายมาอยู่กับผมเลยมั้ยอะครับ ”

“ ได้เหรอ พี่สนใจนะ ” หันไปสบสายตาเรียวนั้นก่อนจะถามแบบจริงจัง แต่เหมือนคนขี้เขินจะแค่เบิกตาขึ้นนิดหน่อยด้วยความตกใจ เมี่ยงเหลือบมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้จะต่อกรกันยังไง

“ ไม่รู้เว้ย ”

“ เอาจริงนะ ถ้าเราบอกเรื่องของเรากับทุกคนแล้ว ย้ายมาอยู่ด้วยกันมั้ย ”

“ มึงก็ถามอะไรอย่างงั้นวะ ” อีกคนบอกเสียงจริงจังก่อนจะถอนหายใจ ร่างขาวที่หันมาเผชิญหน้า “ คือมันยากมากนะไอ้สัด เพราะกูไม่รู้ว่าต้องตอบยังไงให้มันดูแบบ ก็ไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยหรอกนะ แต่ก็เออ จะตามใจแล้วกัน อยู่ด้วยก็ได้ ประหยัดค่าห้อง ”

“ ส้นตีน ” สุดท้ายก็ต้องสบถออกไปอย่างงั้นกับท่าทางน่ารักของอีกคน ที่ทำทีเหมือนไม่ต้องการแต่ก็เขินจนหน้าแดงไปหมด เป็นความน่ารักที่อดใจไว้แทบไม่ไหว ผมเดินเข้าไปกอดคนพูดไว้จากด้านหลัง แล้วทำให้มันช่วงวินาทีที่รับรู้ได้ถึงความสุขของหัวใจ ที่ลอยล่องคล้ายราวกับอยู่ในอวกาศ

ลำตัวที่เหมือนจะลอยขึ้นมา หัวใจที่เหมือนจะเคว้งคว้าง จับแทนจะรู้สึกไมได้ถึงการมีอยู่ เมี่ยงคล้ายกับสารเสพติดชนิดรุนแรง ความน่ารักที่พอฉีดเข้าเส้นแล้ว ก็ทำให้เบลอไป

“ คนเหี้ยอะไรวะ แค่อยู่ด้วยใกล้ๆก็มีความสุขแล้ว ”

“ ขอบใจที่ชมกันนะครับ คือก็รู้แหละว่ารักเนอะ แต่ปล่อยก่อนได้มั้ยอะ ต้องไปจัดห้องไง ประเด็นน่ะ ” ยกยิ้มพลางคลายอ้อมกอดที่กอดรัดนั้น เมี่ยงเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง มันแบ่งส่วนนึงของโต๊ะให้ผม รวมถึงชั้นบนตู้ “ แต่ถ้าย้ายมาอยู่ด้วยกัน เราย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นบนกันมั้ยละ ”

มันคงหมายถึงห้องใหญ่แบบสองห้องนอน หรือสามห้องนอนของคอนโดนี้ ที่อยู่ด้านบนสุด มันเป็นห้องแบบที่ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดจะเช่าเหมือนกัน เพราะห้องนอนกว้างขวางกว่ามาก แถมยังมีห้องที่แบ่งไว้สำหรับเลี้ยงแมวโดยเฉพาะ

“ เอาสิ ” พยักหน้ารับตามใจอีกคน เมี่ยงก็เหมือนจะหลุดลอยไปกับจินตนาการของตัวเองในช่วงขณะนึง

“ กูเคยขึ้นไปดูตอนที่เข้ามาเลือกห้องเหมือนกัน มันมีห้องของแมวด้วยนะ มีระเบียงตรงห้องแมวด้วยแบบออกไปดูวิวข้างนอกได้ไม่ต้องกลัวตก แล้วตรงประตูก็มีช่องแมวลอดเล็กๆน่ารักมาก แถมตรงพื้นที่ส่วนกลางยังมีระเบียงด้วยเปิดกว้างด้วย ไม่มีกรงมากั้นเหมือนห้องนี้ ไม่อึดอัด ”

“ ใช่ ”

“ ถ้าไปอยู่ห้องนั้นเราซื้อต้นไม้มาปลูกกันด้วยดีมั้ย  ซื้อเก้าอี้มาวาง วันไหนอากาศดีๆ เราไปก็ออกไปนั่งดูวิว กินหนม แล้วก็กินบียร์ด้วยกัน ”

“ ขี้เมาเหรอมึงน่ะ ”

“ นิดโหน่ยยยย ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังทำท่าทีเหมือนคนเมาใส่กัน ด้วยการเอียงตัวไปมานิดๆ “ แล้วกูก็อยากจะให้มีสักมุม ที่เราจะฉายโปรเจ็คเตอร์ได้ด้วย เอาไว้ดูหนังประดุจอยู่กันในโรงแต่กดหยุดได้ เวลาปวดฉี่ แล้วพอเช้านะ เราก็ตื่นขึ้นมาทำอาหารอร่อยๆกินกัน หรือบางทีก็แวะไปกินที่อื่น ไม่มีเรียนก็กลับมาทำกับข้าว ไปเดินเล่น ซื้อของเข้าบ้าน ”

“ มีความสุขเนอะ ” บอกอีกคนที่ก็นิ่งไปในตอนนั้น เมี่ยงพยักหน้ารับ

“ อื้ม ”

“ แค่คิดว่ามีกู มีมึง เราที่ทำอะไรแบบนั้นด้วยกันทุกวัน ก็อยากจะมีชีวิตอยู่ไปอีกนานๆเลย ”

“ ขนาดนั้นกันเลย ”

“ อื้ม ก็กูไม่รู้สึกมีความสุขมานานแล้ว ” บอกอีกคนตามตรงก่อนจะเดินไปยืนข้างเมี่ยง ผมเอาน้ำหอมของตัวเองมาวางไว้บนชั้นที่อีกคนจัดพื้นที่ไว้ให้  “ ก่อนหน้านี้กูใช้ชีวิตแบบผ่านไปวันๆ ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต แล้วก็หลับไปตามกลไลของร่างกายที่ต้องพักผ่อน ไม่ได้รู้สึกมีความหวังกับเรื่องอะไร เป็นชีวิตน่าเบื่อๆชีวิตนึง ที่จะจบลงวันนี้ก็ได้ หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น ”

“ มึงก็อย่าพูดแบบนั้นสิวะ ” เมี่ยงหันมาบอกก่อนจะดึงมือขึ้นมาจับแก้มกัน “ มึงแม่ง กำลังทำให้กูเศร้าไปด้วยเลย ”

“ ขนาดนั้น ” ผมยิ้ม แต่เหมือนอีกคนจะไม่ได้ยิ้มด้วยแล้วในตอนนี้ เมี่ยงทำหน้างอ มันพยักหน้ารับก่อนจะดึงมือลง

“ มันทำให้กูรู้สึกผิด ว่าที่ผ่านมากูทำอะไรอยู่ กูไปอยู่ไหนมา ทำไมกูไม่รีบมาเจอมึง แล้วทำให้มึงมีความสุขซะนะ ” อีกคนบอกยิ้มๆ “ เวลามึงเศร้า หรือเวลามึงเผลอคิดถึงเรื่องที่มันเศร้า เรื่องอดีตของมึง รู้มั้ยว่า มันไม่ใช่แค่คำพูดนะ แววตาของมึงมันเศร้ามากเลย เศร้าแบบคนที่ไม่ได้หวังว่าชีวิตนี้จะมีความสุขอีกแล้ว ความหวังมันเหมือนริบหรี่ ”

“ แล้วตอนนี้กูดูมีความสุขมั้ย ” ก้มลงจ้องมองแววตาเรียวของอีกฝ่าย เมี่ยงก็ถอนหายใจ

“ มี แต่ก็เพราะมึงมีกูไง ”

“ ใช่ กูที่มีความสุข เพราะกูมีมึง ”

แบบที่เถียงไม่ได้เลย ว่ามันไม่จริงเช่นนั้น

ชีวิตผมเป็นแบบนี้ แบบที่คล้ายกับดอกไม้คอตกใกล้ตายในกระถางที่ดินแห้งกัง กิ่งก้านที่ดำคล้ำของมัน ดูยังไงก็ไม่น่ารอด แต่อยู่ๆก็มีคนใจดี เดินมารดน้ำให้ทุกวัน น้ำแห่งความหวัง หลั่งรินลงเป็นความหวัง คล้ายกับดวงตะวันที่ทำให้ดอกไม้นั้นค่อยๆชูช่อออกมาจากความแห้งแล้ง แล้วหันหน้าไปมองหา อย่างที่ไม่อยากละสายตากลับมามองจุดเดิมอีก

“ บ้าบอ ” พูดแบบนั้นมือก็ทุบเข้ากับตู้แบบที่ไม่รู้จะระบายความเขินอายลงที่ไหน “ แต่คือกูก็รนหาที่เขินเนอะไอ้สัด รู้ว่าฟังแล้วจะเขิน จะหัวใจบ็อปเป็ป จะทำตัวไม่ถูก จะน้วยๆ แต่ยังไงก็ยังจะถามอยู่ดี เหนื่อยหัวใจจริงๆเล๊ย ”

“ ประสาท ” บอกมันสั้นๆแค่นั้น ผมเดินออกมาจากส่วนของห้องนอนด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ก็หุบไม่ลงเลย

 ตรงส่วนของห้องนั่งเล่นตอนนี้ คอนโดแมวที่วางเด่นอยู่มีเจ้าก้อนขนสองตัวกำลังมีความสุขยิ่งกว่าใครๆ ไอ้นายท่านนอนกอดแก้มหอมแบบที่เลียขนให้อีกตัวกลายเป็นภาพที่ดูไปดูมาก็ยังรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้ มันเป็นท่าทางที่อดใจไม่พูดไม่ได้เลย “ จะมากไปแล้วมั้งมึงน่ะ ”

เจ้าของแววตาสีเหลืองหันมาจ้องกัน แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของผมเท่าไหร่นัก ไอ้ตัวกวนตีนยังคงก้มหน้าเลียขนให้แก้มหอมไม่มีหยุด แถมยังเป็นการเลียแบบที่หันมาจ้องกันด้วยสายตาที่เหมือนจะกำลังก่อสงครามประสาทยังไงอย่างงั้น

“ ข่มกูได้ข่มกูไป ไว้เจ้านายมึงบอกไอ้เบสเมื่อไหร่ กูจะสวีทแข่งกับมึงไอ้สัด ” บอกอีกฝ่ายอย่างงั้นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แต่ยังไม่ทันเอื้อมมือไปจับแมวตัวเอง ไอ้ตัวลายก็ดึงขาหน้ามากันไว้ก่อน นายท่านคล้ายจะดันมือผมออก แบบท่าทีที่ว่า อย่ามาแตะต้องแก้มหอมของผม  “ เอามือมึงออกไปเลย จะมากไปแล้วมั้ง ”

“ ทะเลาะอะไรกันนนนนนน ” เมี่ยงลากเสียงพลางเดินออกมาถาม ผมที่เหลือมองมัน ก่อนจะเชิดหน้าไปที่มือตัวเอง

“ มึงดูมัน ” แต่เหมือนว่าท่าทางนั้น จะทำให้อีกฝ่ายแค่หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“ ฮ่าๆ ร้ายนักนะ!! แต่นายท่านนั่นพ่อเค้ามึง เราจะเป็นศัตรูกับพ่อตาไม่ได้นะ เราต้องอ่อนน้อมกับเค้า เข้าใจมั้ย ” พูดด้วยสายตาจริงจัง เมี่ยงเดินมาลูบหัวไอ้ตัวลายของตัวเอง แล้วหันมาก้มหน้าให้ผม “ ขอโทษด้วยนะครับ พอดีลูกชายผมแกไม่เคยมีเมีย ”

“ ตลกมากมั้ยไอ้สัด ” ถามมันออกไปอีกคนก็เบิกตา แล้วหันไปกระซิบแมวตัวเองอีกครั้ง

“ พ่อตามึงร้ายมากนะนายท่าน ระวังตัวไว้ด้วยละ ” เหลือบตามองคนพูดแบบนั้นแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงสายโทรเข้าของผมก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ สงสัยไอ้ดีนโทรมาหามึงแน่เลย ”

“ น่าจะอย่างงั้น ” ดึงมือถือออกจากกระเป๋าหลังแล้วก็เป็นแบบที่คาด สายโทรศัพท์ของดีนโทรเข้ามา ผมโชว์ให้เมี่ยงดูก่อนจะกดรับ “ ว่าไง ”

“ ยังอยู่กับแฟนเหรอวะ ” ปลายสายถาม ผมก็พยักหน้ารับ

“ อื้ม มีอะไร ”

“ ห่างเหินสัด ” ดีนมันว่า “ นี่ พูดจริงๆนะ มึงอย่ามาทำตัวเก็กขรึมกับกูได้มั้ย มันโคตรน่ารำคาญเลย ไม่เนียนด้วย ”

“ อะไรของมึงอีก ” ผมถามกลับอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ “ แล้วตกลงเอาไง จะมานอนที่ห้องกูมั้ย ”

“ แล้วมึงให้อยู่มั้ยละ ”

“ ก็บอกจ่ายค่าโรงแรมให้ก่อนก็ไม่เอา บ้านไอ้โฮม ไอ้จุ้น มึงก็บอกไม่สนิท แล้วจะให้กูทำยังไง ”

“ พูดเหมือนไม่อยากจะให้กูไปอยู่เลย ”

“ ก็รู้ตัวนี่ ” เมี่ยงถึงขึ้นหันมาขมวดคิ้วใส่ผมในตอนที่ได้ยินคำนั้น ส่วนอีกฝ่ายก็แค่ถอนหายใจหงุดหงิดออกมา  “ กูเตรียมห้องไว้ให้แล้ว จะมาก็มาได้เลย ”

“ เห็นมั้ยยังไงมึงก็ต้องใจอ่อนให้กูนั่นแหละน่า ” อีกฝ่ายว่ายิ้มๆ ดีนเหมือนดีใจขึ้นมากะทันหัน “ งั้นกูขับรถไปเลยนะ ”

“ อื้ม ” ขานรับในลำคอ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางสายไป

“ แล้วมึงจะกินอะไร กูซื้อเข้าไปให้มั้ย ”

“ เก็บตังค์ที่มึงมีไว้เถอะ มีแค่ห้าพันไม่ใช่เหรอไง ”

“ แล้วมึงจะแดกทั้งห้าพันเลยหรือไงละไอ้สัด ก็แทนคำขอบคุณที่มึงให้กูไปอยู่ด้วยไง เลือกมาๆ จะได้นั่งกินด้วยกัน เหล้าก็ได้นะครับผม เต็มที่เลย ”

“ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูจะกินกับแฟนกู ส่วนตัวมึงอยากจะกินอะไรก็ซื้อมาได้เลย เอาแค่กินคนเดียวพอไม่ต้องเผื่อกู จะซื้อมาตุนไว้ก็ได้ ถ้าไม่อยากจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ” ปลายสายเงียบไปในตอนที่ผมพูดอย่างงั้น จนต้องเรียกซ้ำเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังอยู่ “ ดีน..”

“ รู้แล้ว ” ปลายสายตอบกลับมาอย่างงั้น ก่อนจะกดตัดสายไป แบบที่ปล่อยให้ผมขมวดคิ้วกับหน้าจอนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าหลังกางเกงที่เดิม

“ ถามหน่อย ” เมี่ยงเอ่ยถามออกมาทันที หลังจากเห็นว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว “ มึงทะเลาะกับดีนเหรอ ”

“ ไม่ได้เรียกทะเลาะ เรียกว่า..” เว้นช่วงประโยคไปอย่างหาคำตอบ ส่วนคนรอฟังก็เอียงหน้ามองคล้ายกับแมวเวลาสงสัย

“ ว่าอะไร ”

“ ก็แค่กูไม่ได้ตามใจมันเหมือนทุกที แล้วก็ต่อจากนี้กูก็จะไม่ตามใจมันอีกแล้ว ”

“ งงนิดหน่อย ” เมี่ยงว่าอย่างงั้น ก่อนจะส่ายหน้า “ แต่ไม่เข้าใจมากๆเลย ”

“ ไม่ต้องสนใจหรอกน่า สนใจเรื่องนี้ดีกว่า เย็นนี้จะกินอะไร  ” แววตาเรียวให้ความสนใจขึ้นมาทันทีอย่างครุ่นคิด

“ ข้าวหน้าหมูมั้ย... ” พูดแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมก็หลุดยิ้ม

“ ท่าทางมึงดูเหมือนไม่มั่นใจเท่าไหร่นะ ”

“ ก็กูไม่รู้ว่ามึงจะอยากกินมั้ย แต่กูจำได้นะ มึงเคยบอกว่ามึงชอบกิน ก็เลยคิดว่า กินของที่เราชอบกินด้วยกันเป็นมื้อเย็นน่าจะดี เพราะมันคือมื้อเย็นแรกของการเป็นแฟนกัน ”

“ เห่อจริงนะ  แต่ก็ดี ” บอกแบบนั้นก่อนจะยิ้มให้อีกคน แบบที่มองจนมันต้องเอ่ยถาม

“ แล้วมองอะไรกูขนาดนั้น กูพูดอะไรผิด หรือว่าหน้ากูติดอะไร ” มือขาวเล็กยกขึ้นจับหน้าตัวเอง มันลูบๆอยู่นานก่อนจะหันหน้าเข้าไปหาทีวีที่พอสะท้อนให้เห็นใบหน้าของตัวเอง “ ก็ไม่เห็นจะมีอะไร แล้วมึงยิ้มอะไรของมึงวะ ”

“ มีนะ มันมีบางอย่างติดอยู่ ” เดินเข้าไปใกล้ในตอนที่พูดพร้อมกับโน้มลงตั้งคางไว้บนไหล่ขาวนั้น ผมกระซิบ “ ความน่ารักไง ติดอยู่บนหน้ามึงอะ เต็มไปหมดเลย ”

“ บ้า มึงแม่งพูดความจริงอะไรออกมาอย่างงั้น ” หันมาบอกกันหน้าตาหน่ายๆ มันโบกมือไล่ผม “ ไปๆ ไปจัดการข้าวหน้าหมูกันเถอะ จะสั่งหรือว่าจะทำกินกันเอง เลือกๆมา ”

“ ทำกันเองก็น่าจะได้อยู่นะ ” ผมบอกยิ้ม แบบที่ยังอยู่ในความน่ารักของประโยคข้างต้น “ ในห้องกูมีเครื่องปรุงอยู่ ”

“ ไม่ยุ่งยากเหรอวะ ”

“ ไม่หรอกน่า ” ว่าแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วให้อีกคน “ กินข้าวเย็นกับแฟนมื้อแรก สั่งมาได้ไงละ ต้องทำสิ แสดงฝีมือให้แฟนดู  ”

“ อีกแล้วนะ ” น้ำเสียงที่หาเรื่องกัน เมี่ยงถอนหายใจ “ ก็บอกแล้วไง ว่าหัวใจกูมันจะป็อปแป็ปน่ะ ไม่ฟังกันเลยนะไอ้สัด ”

“ มึงนี่ก็น่ารักไม่ทิ้งช่วงจริง ” เสียงหัวราะของเราในชั่วเวลานั้น ขาที่นำเดินออกจากห้องไปที่ห้องของผม เราเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาหารทำง่ายๆ กลับมา ก่อนที่ผมจะลงมือทำเมนูที่อีกฝ่ายอยากกิน และแน่นอนว่าผู้ช่วยก็เดินวนไปวนมาอยู่ข้างหลังอย่างงั้นแบบที่ไม่รู้จะหยิบจับอะไรดี

“ ช่วยมั้ย ”

“ ช่วยอยู่นิ่งๆ ” เงยหน้าบอกคนที่ถอนหายใจออกมาเซ็งๆในตอนที่ได้ยิน เมี่ยงดึงตัวเองขึ้นนั่งลงบนพื้นที่ว่างของเค้าท์เตอร์ข้างผม สายตาเรียวที่ก้มมองดูอย่างตั้งใจแม้จะแค่หั่นผักปกติ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อย่างงั้น “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ มีความสุขแล้วยิ้มไม่ได้เหรอ ” ตอบออกมาตรงๆ อีกคนก็เอียงหน้ามองกัน “ มึง.. ยังจำวันที่เราเจอกันที่ห้างได้มั้ย ที่เราเดินกลับบ้านด้วยกันหลังซื้อของเสร็จ ”

“ อื้ม ”

“ วันนั้นกูเห็นมึงซื้อของเข้าครัวเยอะมาก ยังจำได้เลยว่ามึงพูดเยอะมากว่าของที่ซื้อไปจะทำอะไรบ้าง ตอนนั้นนะ ในใจกูก็เลยคิดว่า แหม อยากได้เป็นผัวจัง ” หลุดยิ้มออกมาพลางส่ายหน้าให้กับคำพูดนั้น แต่พอหันไปมองเมี่ยงก็แค่ยิ้มตาปิดให้กัน “ ไม่อยากจะเชื่อเลยเนอะ ว่าไม่นานหลังจากนั้นก็จะได้มาเป็นผัวจริงๆด้วย ”

“ เออ กล้าที่จะพูดดี ”

“ แล้วมันจะแปลกยังไง ” พูดแบบนั้นอย่างไม่ใส่ใจ เท้าที่ลอยอยู่เหนือพื้นแกว่งไปมา “ เอาจริงๆ กูคิดด้วยซ้ำ ว่าเราคงไม่ได้รักกันแล้วละ ” ชะงักมือที่กำลังหั่นหอมหัวใหญ่ไปแทบจะทันทีในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมเงยหน้าถามอีกคน

“ ทำไมคิดงั้น ”

“ ก็ตัดใจจากคนที่ชอบมันยากมากเลยไง กูเลยไม่คิดว่ามึงจะทำได้ ”

“ งั้นเหรอ ” พอเห็นว่าวางมีดที่ถืออยู่ คนที่เห็นส่ายหน้าปฎิเสธ เมี่ยงคงคิดว่าผมเคือง

“ ไม่ได้คิดดูถูกมึงนะ แต่ขนาดกูนะ กูชอบมึงใช่มั้ยละ กูยังตัดใจจากมึงแล้วทำใจว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แล้วเรื่องของเรา  กูยังรู้สึกเลยว่ายากมาก เพราะยังไงก็ยังอยากให้มึงหันมามองกูอยู่ดี ”

“ แต่ตอนนี้ผมก็หันมองคุณอยู่แล้วนี่ไง ”  สายตาในตอนนั้นของเรา สบกันพอดี “ ความรู้สึกของกูกับเค้า มันต่างกันกับความรู้สึกของกูกับมึงนะ กับมึง กูชอบมึง แล้วมึงก็ชอบกู ส่วนเค้า กูชอบเค้าฝ่ายเดียว เค้าไมได้ชอบกู เมื่อก่อนมันดูไม่มีหวังก็จริง เพราะกูไม่ได้เจอคนที่อยากจะรักจริงๆก็เลยจมอยู่แต่กับเค้า แต่พอกูเจอมึง ทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น  ”

“ สภาพของคนที่ตัดใจได้แล้วก็ประมานนี้เหละไอ้สัด ” เมี่ยงมันแซว “ จะพูดอะไรก็ได้ ”

“ พูดมากจัง ไปตักข้าวใส่ถ้วยไป จะเสร็จแล้วครับ ” เชิดหน้าไปที่กระทะตรงหน้ากลิ่นหอมอ่อนๆของหมูผัดซอสแบบญี่ปุ่นโชยขึ้นมา ก่อนคนที่นั่งกวนกันอยู่จะเด้งตัวออกจากเค้าท์เตอร์แล้วตรงไปที่มุมเก็บจาน ถ้วยกลมขนาดกลางถูกหยิบขึ้นมาสองใบ แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดอุ่นกล่องข้าวที่อุ่นไว้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาก่อน


ครืน ครืน ครืน

“ ไอ้ดีนถึงแล้วแน่เลย ” เมี่ยงว่าแบบนั้นด้วยสีหน้าขัดใจมันที่วางทุกอย่างลงพลางมองหน้าผม แต่ก็พอเข้าใจอยู่ เป็นใครก็คงหงุดหงิดกำลังจะกินข้างแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังมีคนมาขัดขวางความสุขอีก

“ โทษที ”

“ เออน่า มึงรับสายมันเถอะ ” วางจานคงบนเค้าท์เตอร์มันที่เหลือบกันในตอนที่ผมกดรับสายโทรศัพท์

“ ว่าไง ” กรอกเสียงไปตามสาย อีกฝ่ายก็ตอบรับมาด้วยเสียงสดใส คลอไปมากับเสียงของถุงพลาสติกที่ดูท่าทางว่าคงแวะซื้ออะไรเข้ามาเยอะแยะพอดู

“ ถึงแล้ว ลงมารับหน่อย ”

“ เดี๋ยวกูส่งรหัสเข้าตึกไปให้ มึงขึ้นมาแล้วกัน กูรอในห้องนะ ”

“ ก็ได้ ” เสียงราบเรียบตอบกลับมา ผมก็กดวางสายไป ก่อนจะเหลือบมองเมี่ยงที่ก็ถอนหายใจมองกันอยู่ และเหมือนมันจะจับท่าทางกันได้อีกฝ่ายเลยถามขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดอะไร

“ ยังไง ”

“ ดีนถึงแล้ว เดี๋ยวกูจะเข้าไปรอมันในห้อง แล้วพอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กูจะกลับมาหานะ ไม่ต้องล็อคประตู กูจะได้เปิดเข้ามาเลย ”

“ อื้ม แล้วข้าวละ ”

“ มึงกินก่อนได้เลย เดี๋ยวกูกลับมากินส่วนของกู ”

“ ไม่เอา ” อีกคนส่ายหน้าไปมา “ ไข่ออนเซ็นมึงยังไม่ทำให้กูเลย ข้าวหน้าหมูก็คือต้องมีไข่ออนเซ็นนะ ”

“ งั้นกูทำให้ก่อนแล้วกัน ”

“ รีบไปเถออะน่า ” เมี่ยงรั้งมือกันไว้ มันถอนหายใจคล้ายว่าประโยคต่อไปนี้มันไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่  “ ไหนบอกว่าจะกินข้าวเย็นด้วยกันไง นี่เป็นข้าวเย็นมื้อแรกของการเป็นแฟนกันของเรานะเว้ย มันล่มไม่ได้หรอก เดี๋ยวกูรอมึงเอง ” สายตาเรียวหันมาสบตาผมก่อนจะยิ้ม “ แต่มึงรีบไปแล้วก็รีบกลับมาหากูนะ โอเคมั้ย ”

“ โอเคครับ ” ตอบรับเสียงเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้มันที่ก็ขมวดคิ้วงงไม่น้อย

“ อะไร เข้ามาใกล้ทำไม ”

“ คำเมื้อกี้น่ารักดี ขอหน่อย ” พูดเสียงเรียบๆก่อนจะเอียงหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากนั้น แล้วย้ำประโยคที่ชวนให้หัวใจเต้นแรงเมื่อครู่ “ แล้วกูจะรีบกลับมาหามึงนะ ”

“ ตกใจหมดไอ้สัด ” เสียงเบาที่มาพร้อมกับสายตาเรียวที่มองตามแผ่นหลังของผมมาจนถึงประตูห้องที่ปิดลงในตอนที่เดินออกมา

ผมหยิบมือถือในกระเป๋าหลังขึ้นมาส่งรหัสเข้าคอนโดไปให้ดีนในตอนที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง สายตากวาดไปรอบห้องในระหว่างที่รอ ผมเช็คห้องของตัวเองว่าไม่มีอะไรที่ชวนให้ขัดหูขัดตา ก่อนจะมาหยุดอยู่กับกรอบรูปหลายๆอันที่ใช้สำหรับตกแต่งในส่วนของโซนนั่งเล่น

บนนั้นมีทั้งภาพครอบครัวที่เคยถ่ายตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน ภาพแก้มหอมตอนยังเด็ก ภาพของผมที่ชอบ แล้วก็ภาพของดีนที่มีทั้งภาพเดี่ยวแล้วภาพที่เราถ่ายคู่ ภาพรวมกลุ่มมหาลัยที่ผมเอามาใส่ๆไว้แบบที่แค่ไม่อยากให้ดูมีพิรุธตอนที่เพื่อนมาหาที่ห้อง

จะว่าไปก็ยังไม่เอาออกเลย ของบางอย่างก็อยู่กับเรานานจนกลายเป็นความเคยชิน แบบที่ไม่ได้สนใจเลยว่า ความรู้สึกตอนนี้ จะยังชอบอยู่ หรือไม่ชอบมันแล้ว ทั้งๆที่ของชิ้นนั้นอาจจะสร้างบาดแผลให้กับคนมาใหม่ก็ได้ ถ้ามันยังอยู่ตรงนี้ แล้วความจริงถูกเปิดเผยออกมา

กรอบรูปนั้นถูกดึงลงมาในตอนที่ความคิดพวกนั้นลอยเข้าสู่สมอง ภาพของดีนในตอนนั้นผมเป็นคนถ่ายมัน ภาพที่อีกคนกำลังยิ้มกว้างให้กล้อง ภาพที่เคยรู้สึกว่ามันสดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ภาพที่เคยคิดว่าไม่ว่ามองไปเมื่อไหร่ก็ชวนให้ยิ้ม

แต่พอเวลาเปลี่ยน ความรู้สึกเปลี่ยน
ภาพเดิมนั้น กลับเป็นแค่ภาพปกติที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรอีกต่อไป

 ผมดึงมันออกมาจากกรอบอันนั้น รวมถึงภาพคู่ของเรา แต่ยังไม่ทันจะคิดว่าจะย้ายมันไปที่ไหน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาก่อน


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ก๊อก ก๊อก ก๊อก   

“ มาแล้วครับโผมมมม ” เสียงทักทายสดใสดังขึ้นในตอนที่ผมเปิดประตูออกไป ก่อนสายตานั้นที่สบจะก้มลงมองของที่ผมถืออยู่ในมือ ดีนนิ่งไป “ อะไรกันวะ แล้วนั่นมึงจะเอารูปกูไปไหน ”

“ ไม่มีอะไรหรอก ” ก้มลงมองภาพนั้นก่อนจะยักไหล่ “ แค่จะเอาไปเก็บเข้าใส่อัลบั้ม มึงเข้ามาก่อนสิ ” หันหลังเดินเข้ามาด้านในตรงประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกไป

เสื้อผ้าหนึ่งกระเป๋าใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งอาหารการกินอีกถุงใหญ่ผมหันมองของพวกนั้นที่ดูคล้ายกับการเตรียมการมาอย่างดี ก่อนจะเหลือบมองอีกคน แต่เหมือนสายตานั้นจะมองอะไรบางอย่างอยู่จนผมต้องหันมองตาม

“ มึงดูสิ ร่องรอยของความรัก ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับอย่างที่ก็รู้สึกอย่างงั้น มันคือร่องรอยของการเคยมีอยู่ของภาพสองภาพบนฝาผนังนั้นและยังคงชัดเจน ไปด้วยร่องรอยของฝุ่น เป็นร่องรอยจากแดดที่บ่งบอกถึงความยาวนานของการตั้งอยู่ของภาพสองภาพนั้น ที่ไม่เคยถูกย้ายไปไหน ไม่เคยถูกปลดลงมา และเพียงแค่มองดู ก็ชวนให้ทั้งรู้สึกว่างเปล่าไปหมด

“ ใครจะคิดว่ากูจะตกลงเป็นที่สอง กูยังไม่เคยคิดเลย ”

“ มึงไม่ได้ตกเป็นที่สองหรอกดีน ” ผมบอกก่อนจะเดินไปหยิบเอาอัลบั้มรูปที่อยู่ตรงชั้นวางมาใส่ภาพสองภาพนั้นที่เคยถูกแขวนอยู่ กลับไปรวมอยู่กับภาพที่มันเคยอยู่ตามเดิม “ มึงแค่กลับมาเป็นเพื่อนสนิทของกู เพราะความรัก มันไม่ควรมีที่หนึ่งหรือที่สอง มันควรมีแค่คนคนเดียว ”

“ นั่นก็จริง ” ยักคิ้วตอบรับแทนคำพูด อีกคนมองดูผมที่ผมเอากรอบรูปเปล่าที่เหลือไปแขวนไว้ที่เดิมเพื่อไม่ให้มันดูเป็นร่องรอยน่าเกลียด

“ แล้วจะแขวนกรอบรูปเปล่าไว้อย่างงั้นอะนะ ถ้ากูเป็นมึง กูจะใส่รูปเดิมไปก่อน พอมีรูปใหม่เปลี่ยนก็ค่อยเอาลงมา ”

“ แต่กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงแล้ว จะให้แขวนไว้ทำไมวะ ” ผมถามอีกคนก็ได้แต่นิ่ง “ แขวนไป มึงก็รั้น ยังเข้าข้างตัวเองว่ากูยังเหมือนเดิม ทั้งๆที่มันไม่ใช่แล้ว ”

“ เลิกพูดเรื่องน่าหงุดหงิดพวกนั้นเถอะน่าไอ้สัด มึงไม่เบื่อบ้างเหรอไง ” บอกปัดแบบที่ไม่อยากจะสนใจ คนมาใหม่ก็หันหลังไปเปิดถุงใส่ของที่เพิ่งซื้อมาจากห้าง “ กูซื้อขนมที่มึงชอบมาเผื่อมึงด้วย จำได้มั้ยอันนี้ ” ขนมที่ดีนถืออยู่คล้ายกับขนมสมัยก่อนที่ผมชอบกิน มันเป็นแท่งคล้ายไม้เวลากินต้องเอาไปจุ่มรสช็อคโกเล็ตหรือว่าสตอเบอรี่ที่ในกล่องแถมมา “ สมัยก่อนเราซื้อมาแบ่งกินกันประจำเลย ตอนอยู่ม.ต้น ตอนนั้นเราซื้อคนละรสจำได้มั้ย แต่ก็กินด้วยกัน ”

“ อื้ม ” ขานรับในคออีกคนก็ยิ้ม ก่อนจะยื่นมันมาให้ “ กินด้วยกันมั้ย ”

“ โทษทีมึง แต่แฟนกูรอกินข้าวอยู่ ”

“ งั้นเหรอ ” แววตานั้นนิ่งไปแม้แต่รอยยิ้มก็ค่อยๆจางลงไปด้วยเช่นกัน ดีนในตอนนั้นถอนหายใจมันวางของที่พยายามเชิญชวนผมลงบนโต๊ะ พลางมองไปรอบๆแบบที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา “ กู ต้องอยู่คนเดียวสินะ ”

“ มึงอยู่ห้องกูได้ตามสบายเลยไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวกูไปอยู่ห้องแฟนกูเอง ”

“ สรุปก็คือมึงจะไม่อยู่ที่นี่เลยเหรอวะ ”

“ อื้ม กูจะไปอยู่กับแฟนกู ” พยักหน้ารับอย่างงั้น สายตาของเราที่สบกันผมรู้สึกมันมีเพียงแค่ความว่างเปล่า ดีนหันหน้าไปทางอื่นในตอนที่มันรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหล ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแบบที่พูดอะไรไม่ออก

ก็รู้ว่ามันทำใจยาก สำหรับอีกฝ่ายเรื่องนี้มันคงกะทันหันเสียจนมันไม่ทันตั้งตัว สมองเองก็คงแยกออกเป็นหลายๆส่วน แล้วก็คงตั้งคำถาม ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือโกหก และหน้าที่ของผมก็คือการย้ำกับมันว่าทุกอย่างนี้คือเรื่องจริง

ไม่มีเวลามานั่งทำให้อีกคนรู้สึกดี หรือเข้าใจอีกแล้ว
คิดง่ายๆแค่ว่า ไม่งั้นจะเป็นเมี่ยงเองที่จะเจ็บปวด

“ นี่กุญแจ ” ยื่นมันไปให้อีกคนแต่ทว่าฝ่ามือนั้นกลับไม่ได้ยื่นออกมารับแต่อย่างใด ผมเลยจำเป็นต้องวางไว้บนโต๊ะกินข้าวที่ว่างอยู่ “ วางไว้ตรงนี้นะ ”

“ อาร์ม มึงไม่รักกูแล้วจริงๆเหรอวะ ” ท่ามกลางความเงียบเชียบนั้นเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมากับผม ดีนที่หันมามองกัน ขาที่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนมือจะคว้าจับเข้าตรงปลายเสื้อตัวที่ผมใส่ “ ไม่รักกูแล้วจริงๆเหรอ เรารักกันมาตั้งหลายปี ทุกอย่างมันจบง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ทุกอย่างมัน..”

“ ไม่ใช่คำว่าเรา ดีน ” ผมบอก “ ตลอดมามึงไม่ได้รักกู แล้วตอนนี้ กูก็ไม่ได้รักมึงแล้ว ”

“ ไม่ใช่นะมึง มึงแม่งไม่เคยเข้าใจอะไรเลย ไม่เคยคิดเข้าใจอะไรในตัวกูเลย มึง..”

“ กุรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ กุรู้ว่าทำไมมึงถึงบอกว่าทะเลาะกับแม่ ทั้งๆที่ไมได้ทะเลาะ แล้วนั่นก็เพราะว่ามึงยังหวังว่าถ้าเราได้อยู่ด้วยกัน มึงคิดจะรั้งกูไว้ให้ได้ ด้วยการมาอยู่กับกู แล้วพอกูกลับไป ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ ”

“ มึง..”

“ มึงคงคิดว่ามันง่ายมากที่กูจะเลิกชอบเค้า แล้วกลับมาหามึงเหมือนเดิม แต่ดีน..” ผมหันไปมองสบสายตานั้น “ ตอนนี้กูไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนะ กูไม่ได้อยู่ข้างๆมึงแล้ว กูเดินออกไปแล้ว จากที่ตรงนั้น มันไม่มีกูอยู่แล้ว อย่าคิดรั้งกูไว้อีกเลย เพราะต่อจากนี้ มึงนั่นแหละที่จะเจ็บเอง ”

“ แต่กูไม่อยากจะเชื่อ ก็มันไม่ใช่เมื่อวานที่เรารักกัน มันไม่ใช่อย่างงั้น เรารักกันมาตั้งนาน มันนานมากเลยนะ แล้วอยู่ๆมึงก็เจอมัน แล้วสุดท้ายมึงก็รักมัน แล้วกูละ ความรักของกู ความรักของเรา คือ..” อีกฝ่ายเว้นเสียงไปดีนที่กำลังร้องไห้แม้แต่จะพูดออกมาสักประโยคมันก็คงรู้สึกว่าบีบหัวใจไปหมด “ ทุกอย่างมันจบลงได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ มึงไม่รักกูแล้วจริงๆเหรอ ขอร้องอย่าประชดกูแบบนี้ อย่าบีบบังคับกูแบบนี้ กูเองก็มีเหตุผลของกู ถือว่าขอร้อง ”

“ กูจะพูดครั้งสุดท้าย กูไม่ได้กระชด ไม่ได้คิดว่าจะบีบบังคับให้มึงพูด กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น สิ่งที่กูคิด สิ่งที่กูทำ คือกูรักเค้าแล้วกูก็อยากจะปกป้องเค้า ปกป้องความรักของกูที่กูไม่เคยมีมาก่อน ” ผมยิ้มให้คนฟัง “ แล้วนั่นก้คือเหตุผล กูอยากทำอะไรๆ แบบที่กูอยากทำ อยากได้แล้วก็ อยากมี กูอยากมีความรักดีๆ แล้วตอนนี้กูก็เจอเค้าแล้ว เค้าที่เข้ามาแล้วทำให้กู หลุดออกจากมึง เค้าที่ทำให้กูรู้สึกอยากเลือกเค้า แล้วถ้าถ้าพูดอย่างใจร้าย ก็คือ เค้าทำให้กูเลือกเค้า มากกว่ามึง แค่นั้นเอง ”

“ อาร์ม..”

“ เข้าใจกูหน่อยเถอะ กูแค่ต้องไปแล้วดีน เพราะมันไม่มีใครรอมึงอยู่ได้ตลอดหรอก อย่างที่กูเคยบอกมึงไง ” ผมเอ่ยทวนความจำกับคนตรงหน้า “ ถ้าสักวันกูเจอใครที่กูรัก กูจะไป แล้ววันนี้มันก็แค่เป็นแบบนั้น ”

“ กูไม่คิดว่ามึงจะไม่รักกูเลยรู้มั้ย แม้แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ กูก็ยังไม่อยากจะเชื่อ  กูคิดมาตลอดว่ามันไม่มีใครที่มึงจะรักได้เท่ากู ถ้ากูอยู่ข้างๆมึง ไม่มีวันที่มึงจะรักเค้า ยังไงมึงก็ต้องกลับมารักกู ” อีกคนยิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างงั้น  ดีนนิ่งไป “ น่าตลกดีนะว่ามั้ย ที่กูเคยมั่นใจได้ถึงขนาดนั้น ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ กูไปแล้วนะ มีอะไรก็โทรมา ”

“ อื้ม ”

“ แล้วนี่จะอยู่กี่วัน ”

“ ก็..จนกว่าที่แม่จะหายโกรธมั้ง คงสองสามวัน ” หลุดยิ้มออกมาในตอนที่อีกคนพูดแบบนั้น ผมเชิดหน้าไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายพามา “ ซีนตอนนั้นมันเป็นยังไงวะ ทะเลาะกับแม่ แล้วก็วิ่งขึ้นห้องไปหยิบเสื้อผ้ามาเหรอวะ หรือว่าแค่บอกแม่ ว่าจะมาอยู่คอนโดกูสักสองสามวันเพราะมีงานกลุ่มที่ต้องทำ ”

“ มึงคิดว่ากูโกหก ”

“ ถ้าทะเลาะกับแม่ คนอย่างมึงจะออกมาเลยโดยที่ไม่รอเก็บเหี้ยอะไรมาทั้งนั้น แต่ถ้ามีกระเป๋านั่นก็หมายความว่า มึงไม่ได้ทะเลาะ แต่ก็คงบอกแม่ว่ามีงานกลุ่ม แล้วที่มึงตั้งใจมาอยู่กับกูที่นี่ ก็เพื่อหวังว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันสองคน ได้ใกล้ชิด กูจะเปลี่ยนใจ อย่างที่กูเคยเป็นมาตลอด ”

“ คิดมากไปเปล่าวะ ” คนที่ตรงหน้าว่าแบบนั้น ดันไม่ได้ตอบรับว่าจริง แต่ก็ไม่ปฎิเสธ ตามนิสัยที่ก็เป็นมาตลอด แต่ตอนนั้นผมก็แค่ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับแบบที่ไม่พูดอะไรต่อ

“ เอาที่สบายใจเลย ถ้าคิดว่าเก่งจริง อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่บอกไว้ก่อนนะ ” ผมยกยิ้มในตอนที่หันไปบอกดีน ก่อนที่จะเดินออกจากห้องของตัวเอง “ กูไม่รับผิดชอบต่อการเจ็บปวดของมึงในทุกกรณี ”


............................................................


ประตูที่ผมหันไปมองมันในทุกสิบวินาที จนตอนนี้ต้องนอนลงเหยียดยาวแบบที่หันหน้าตัวเองไปฝั่งประตูแบบที่รอคอยให้ประตูนั้นเปิดออกมาโดยเร็ว แต่เหมือนไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ประตูบานนั้นก็ยังไม่เปิดออกมาอยู่ดี

“ นี่มันผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ววะ ” ผมหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังเหนือทีวีแต่เหมือนว่าจะเพิ่งผ่านไปเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น “ ไม่ใช่สิบชั่วโมงหรอกเหรอวะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงใสที่เหมือนจะเดินขึ้นมาบนหลัง ผมเหลือบหันไปมองก็เจอเข้ากับยัยตัวอ้วนขนฟูสีขาวที่เดินต้วมเตี้ยมขึ้นมาบนหลังกำลังจะนอนแหมะลงแบบที่ไม่มีการขออนุญาตใด

“ แก้มหอม ทำไมป๊ามึงช้าจังเนี้ย กูหิวแล้วนะ ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็ยอมรับว่าไม่ใช่อย่างงั้นซะทีเดียว และถ้าให้พูดง่ายๆเลยก็คือ มันเป็นอาการแบบที่ไม่อยากจะให้อีกคนไปไหนสักเท่าไหร่

ผมอยากให้อาร์มอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตแบบคู่ข้าวใหม่ปลามัน เพราะมันหงุดหงิดชิบหายที่โดนขัดแต่ทำอะไรไม่ให้เพราะทุกอย่างมันก็เป็นที่ตัวผมเองที่เลือกจะไม่พูดอะไรออกไปให้เคลียร์ แล้วเก็บทุกอย่างไว้ก่อน

‘ ถ้าคิดว่าดีก็ทำไป แต่กูไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันเลย มันมีความสุข มึงก็มีความสุขเหมือนกัน แฟร์ๆหน่อยมั้ยละไอ้สัด มึงต้องทุกข์ ต้องอึดอัด เพราะต้องเก็บความลับด้วยเหรอ ’ เสียงของไอ้เจ้ยที่เหมือนจะดังสะท้อนมายังคงก้องอยู่ในหัว ก่อนที่อีกคนจะพูดปัดสั้นๆ ในตอนที่เห็นว่าผมหนักใจ ‘ ก็แล้วแต่มึงอะ เรื่องของมึง ก็เอาที่สบายใจ ’ 

“ เห้ออออ ถ้าวันนี้กูบอกไปมันจะดีกว่ามั้ยน้า ” พูดแบบนั้นกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจเซ็งๆออกมาอีกครั้ง “ เอาจริง กูอยากจะนั่งกินข้าวกับอาร์มตรงนี้แล้วก็ดูหนังสักเรื่องแล้วเนี้ย นายท่านค้าบบบ แก้มหอมขาาาา ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวน่ารักตอบรับ

“ ทำไมป๊ามึงช้าจัง ถ้ามาช้ากว่านี้ หมูในกระทะมันจะไม่อร่อยเอานะ ” ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าก้อนขนอีก มีแต่ไอ้นายท่านที่เดินเอาตัวถูไถกับมือของผมที่ลอยอยู่เหนือพื้นแบบที่ขอให้เกาคางให้หน่อย “  ไม่เข้าใจเลยทำไมต้องเป็นไอ้อาร์มด้วย เพื่อนคนอื่นไม่มีให้พึ่งพาเลยหรือไง ไอ้สัด ”

“ ม๊าว ” เสียงที่ดังมาจากไอ้ตัวลายด้านล่าง ผมหลุดยิ้มกับจังหวะที่เหมือนจะเป็นใจนั้น

“ มึงก็คิดเหมือนกูใช่มั้ยนายท่าน สงสัยจะมีเพื่อนคนเดียวแน่ๆเลยไอ้สัดนั่น ”

แกร๊ก
 
เสียงเปิดประตูดึงความสนใจของผมให้เงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะหลุดยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับดึงตัวเองขึ้นนั่งแทบจะทันทีแบบที่ระงับบความดีใจไว้ไม่อยู่ ไม่ต้องคิดถึงเจ้าแก้มหอมที่กระโดดลงแทบจะไม่ทัน ส่วนอาร์มเองนั้นก็หลุดยิ้มกว้างออกมาในท่าทีนั้น ก่อนจะปิดประตูห้องของผมลงด้วยความเงียบเชียบ

“ ตื่นเต้นเหรอที่เห็นกูมา ” คงอดแซวกันไม่ได้ แต่ก็เอาเถอะ ท่าทางเมื่อครู่ก็เหมือนพวกหมาแมวรอเจ้าของมากจริงๆ ยังไงก็โกหกไม่ได้อยู่แล้ว และแน่นอนว่าตอนนี้ถ้ามีหางก็คงส่ายไปมาดุ๊กดิ๊กไม่มีหยุดเหมือนพวกหมาตัวน้อยๆเวลาดีใจเวลาเห็นเจ้านาย 

แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับเรื่องน่าอายแบบนั้น ให้ออกจากปากไปตรงๆหรอก แม้จะไม่เนียนเลยก็ตาม

“ กูแค่หิวมากๆแล้วต่างหากละไอ้สัด ”

“ เหรอครับ ” ตอบรับแบบนั้นอาร์มก็เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะย่อตัวลงมาจนหน้าของเราเสมอกัน “ คิดว่าจะคิดถึงกูมากๆ จนทนไม่ไหวแล้วซะอีก ”

“ หลงตัวเองอะไรเบอร์นั้นหนอ ” เบือนหน้าหนีสายตาวิบวับนั้นก่อนจะโดนอีกฝ่ายหอมแก้มไปเต็มฟอดแบบที่แก้มยุบ ตัวเอียงไปอีกทาง จนต้องยกมือขึ้นปิดแก้มตัวเองแล้วมองคนกระทำอย่างคาดโทษ แต่ใช่ว่าอาร์มจะสนใจ มันเดินเข้าไปครัวไปทั้งอย่างงั้น แถมยังไม่ได้สนใจใจซึ่งสิ่งใดเลยสักนิด “ ไอ้สัด ”

เสียงเตาแก๊สดังขึ้นในวินาทีที่อีกฝ่ายมาถึง อาร์มอุ่นหมูที่ทำเอาไว้ก่อนจะจัดการลวกไข่ มันที่หันมามองผมแบบที่ไม่พูดอะไร แต่กลับเชิดหน้าไปทางกล่องข้าวที่เราอุ่นไว้ก่อนหน้า แบบที่บอกใบ้กันด้วยท่าทางแค่ว่า ‘ มาตักข้าวครับไอ้หมูอ้วน  จะนั่งอืดอยู่ทำไม ’

“ แล้วมึงจะกินข้าวเท่าไหร่ เยอะมั้ย ” มือจับที่ตักข้าวผมตักขึ้นมาปริมานที่คิดว่าอีกฝ่ายจะกิน ก่อนจะยื่นไปให้ดู “ แค่นี้มั้ย ”

“ อีกหนึ่งทัพพี ”

“ โอเค ” ตักข้าวตามที่อีกคนบอกก่อนจะยื่นไปให้ดูอีกครั้ง แล้วในตอนที่กำลังจะตักข้าวของตัวเองผมก็เอ่ยถามอีกคน

“ แล้วตกลงดีนว่ายังไง มึงกลับมาหากูแบบนี้ มันไม่ว่าเหรอ ”

“ มันจะว่าได้ยังไง ” อีกคนบอกก่อนจะหันมายกยิ้มให้กัน “ มันมีสิทธิ์อะไรมาว่ากู กูจะอยู่กับแฟนกู ”

“ ว้าวซ่าส์มากนะไอ้สัด ถ้าเปิดตัวว่ากูคือแฟน จะว้าวซ่าส์แบบนี้มั้ย ”

“ กูจะว้าวซ่าส์ให้ได้มากกว่านี้อีก ” อาร์มว่าแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วให้กัน แบบท้าทาย “ พอวันนั้นมาถึง มึงว้าวซ่าส์ให้ได้เท่ากูแล้วกัน ”

“ กลัวแล้วจ้าพี่อาร์ม อย่าจับน้องจูบกลางโรงอาหารก็กัน ถ้าทำกูถีบนะบอกไว้ก่อน ”  เจ้าของมือที่เอื้อมมาหยิบถ้วยข้าวของผมไม่ได้พูดอะไรต่อทั้งนั้น อาร์มแค่ยิ้มให้กับคำพูดนั้น พร้อมทั้งตักหมูที่ผัดเอาไว้ขึ้นมา ก่อนจะตอกไข่แล้วก็โรยต้นหอม “ น่ากินโคตร ”

“ อร่อยด้วย ”

“ อร่อยก็ตักใส่จานตัวเองเร็วๆ กูหิวแล้วเนี้ย กูจะไปเตรียมน้ำให้มึงนะ มึงตักเสร็จก็ไปรอที่หน้าทีวีนะ เลือกหนังไว้เลยก็ได้นะ อยากดูเรื่องอะไร ”

“ มึงเป็นคนดูหนังไปกินข้าวไปเหรอ ”

“ ก็มีบ้าง แบบที่บ่อยๆและถี่ๆ ก็น้า จะทำยังไงได้กูอยู่คนเดียวนี่น่า กินข้าวคนเดียวมันก็เหงาๆน้าถ้าไม่ดูหนัง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบขวดน้ำแล้วก็แก้วสองใบเดินไปที่โต๊ะ  ส่วนอาร์มก็เดินถือชามข้าวมา

เรานั่งลงบนโซฟาด้วยกัน เปิดทีวีที่สุดท้ายด้วยความหิวก็แค่เปิดช่องหน้าแรกของรายการโปรดทิ้งไว้ทั้งอย่างงั้น แต่กลับไม่กดเลือกสิ่งที่อยากดูแต่อย่างใด แน่นอน ผมตัดสินใจวางรีโมตลงแล้วตักข้าวที่ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนนั้นเข้าไปในปาก

“ เป็นไง ” ยังไม่ทันจะเคี้ยวคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่กินข้าวไปแล้วคำโตก็ถามแบบยิ้มๆ  ผมพยักหน้ารับแบบที่เบิกตาให้โตที่สุด แบบอยากให้อีกฝ่ายรับรู้

“ โคตรอร่อย ”

“ กินเยอะ ๆ ถ้าอยากกินอีกก็มีอีก ”

“ มึงจะขุนกูให้เป็นหมู แล้วถ้าอ้วนมากๆก็จะเอาไปขายในตลาดมืดเหรอ ” หันบอกอีกคนที่ก็เอื้อมมือมาจับที่แก้มก่อนจะหยิก

“ ก็น่าสนใจนะ เพราะเนื้อแก้มน่าจะได้ราคา แถมกูยังพิสูจน์แล้วว่า ทั้งหอมและก็นุ่มมากเลย ”

“ มึงโยงเหี้ยน่ากลัวแบบนี้ให้กูเขินได้ยังไง ถามก่อน ” ผมถาม “ อัศจรรย์ใจจริงๆเลย ” เสียงหัวเราะของคนที่นั่งกันดังลั่นแบบที่เรียกว่าแทบจะดังไปถึงห้องข้างๆจนต้องยกมือขึ้นปิดปากมัน “ จะเสียงดังไปแล้วไอ้สัด มึงอยากให้ไอ้ดีนมันมาเคาะประตูห้องเราหรือไง ”

“ ก็ดีนะ จะได้รู้ไปเลยไง จบๆ ”

“ จุกๆ ” เสริมประโยคนั้นของมัน ก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปหยิบเอารีโมตทีวีขึ้นมาเปิดเรื่องที่น่าสนใจซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นแค่หนังตลกสักเรื่องที่สร้างบรรยากาศให้ห้องของเรามันไม่เงียบมากจนเกินไป



ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ครืน ครืน ครืน

สายโทรศัพท์ของอาร์มดังขึ้นมาขัดจังหวะของเรา ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆในตอนที่เห็นว่ารายชื่อบนหน้าจอนั้นเป็นชื่อของคนที่ตอนนี้กำลังอาศัยอยู่ข้างๆห้องเรา

“ แปปนะ ” อาร์มว่าอย่างงั้นผมก็พยักหน้ารับ ก่อนอีกคนจะกดรับแล้วกรอกเสียงไปตามสาย

“ ว่าไง ทีวีไม่ติดเหรอ มันก็เปิดได้ปกตินะ ลองดูสายด้านหลังดีๆ กูก็ไม่ได้เช็คเหมือนกัน บางทีก่อนหน้านี้ไอ้แก้มหอมอาจจะไปเล่น ก็ยังไม่ติดเหรอ งั้นมึงเล่นมือถือไปก่อนแล้วกัน ก็จะให้กูทำยังไงดีนกูอยู่ห้องแฟนกู  ก็ลองขยับๆดูก่อน ไม่งั้นก็ขยับถ่านรีโมต บางทีถ่านจะหมด ลองดูหลายๆวิธี แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก่อน เออ กินข้าวอยู่ อื้ม มึงจะทำกินก็ทำเลย ในห้องกูมาม่าก็มี ถ้ามึงอยากกิน ไม่ไป ใครจะไปเรื่องแค่นี้ อื้ม แค่นี้ ” สายนั้นถูกกดวางแม้จะไม่ได้ยินอีกฝั่งแต่ก็พอประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้  อีกคนวางมันลงข้างตัวก่อนจะพิงตัวเองลงกับโซฟาตัวที่นั่ง

“ มันจะให้มึงกลับห้องเหรอ ”

“ เห็นบอกทีวีเปิดไม่ติด ” อาร์มว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจ “ แต่เดี๋ยวมันก็ทำได้เองนั่นแหละ อย่าคิดมากเลย ”

“ จะดีเหรอวะ ” อีกฝ่ายหันมามองในตอนที่ผมถาม

“ ก็อย่าคิดว่ากูอยู่ตรงนี้ ถ้ากูอยู่ไกล ก็ต้องขับรถไปทำให้มันเหรอ ตลกแล้ว ”

“ นั่นก็จริง ”

“ แต่เดี๋ยวมันก็โทรมาอีก ไอ้สัดนี่ ยังไงก็ต้องหาเรื่องจนกูกลับไปหามันอยู่แล้ว คืนนี้คงมีสารพัดเรื่องนั่นแหละ มันไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก ”

“ เพราะกูไม่ยอมบอกเบสเหรอวะ เรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ ” อดถามมันไม่ได้เลย ก็จริงอยู่ที่ไม่อยากจะทำลายความรู้สึกเพื่อน แต่ถ้ามันจะต้องทำให้อาร์มยุ่งยากขนาดนี้ ตอนนี้ผมก็รู้สึกไม่โอเคแล้วเหมือนกัน

“ ไม่หรอก ” อีกฝ่ายบอกปัด “ ในกรณีนี้ถ้าเราบอก มันคงเดินมาเคาะประตูห้องเราเลยมั้ง จนกว่ากูจะยอมอยู่ที่ห้องกับมัน มันถึงจะหยุดมีปัญหา ”

“ ขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ มันเป็นคนแบบนั้น ” หลังประโยคตอบรับอาร์มก็ตักข้าวขึ้นมากินแบบที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรต่อ “ ไม่มีอะไรหรอก กินเถอะ ”

แต่ถึงอย่างงั้นสายโทรศัพท์ที่ดังอยู่ตลอดช่วงเย็นของวันก็ชวนให้หงุดหงิดจนแทบอยากจะกร่อนด่าให้ผ่านทะลุกำแพงไป แม้แต่เจ้าของเครื่องถึงกลับต้องปิดเสียงให้เหลือแต่สั่นแต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังรบกวนเราไม่มีหยุดย่น เรียกได้ว่า แทบทุกชั่วโมง

ปัญหาหาร้อยแปดเกิดขึ้นภายในห้องนั้น ทีวีไม่ติด เปิดน้ำร้อนไม่เป็น เตาแก๊สใช้ยังไง ไมโครเวฟเปิดไม่ติด ที่โกนหนวดอยู่ไหน หรือแม้แต่เรื่องใหญ่ๆที่อีกคนแทบจะพุ่งออกจากห้องไปหาคือ ปิดเตาแก๊สไม่เป็น จนตอนนี้ที่อาร์มต้องกลับเข้าห้องตัวเองไปสักพัก ผมก็เริ่มไม่รู้แล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้น มันจริงหรือโกหก

“ มันมีด้วยเหรอวะ คนที่มันจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ ” พูดกับตัวเองแบบนั้น ในตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอน เพราะตอนนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาสองทุ่มแล้ว

ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลา อาร์มเดินไปที่ห้องตัวเองก็ราวๆ ยี่สิบนาทีแล้ว และยังกลับไปกลับมาเลย ผมเดาว่าถ้าไม่ด่าอยู่ ก็คงสอนใจนู้นนี่นั่นอยู่ในห้อง

‘ เบื่อชิบหาย ’ บอกกับตัวเองอย่างงั้นในตอนที่เดินออกไปจากห้องนอน หนังที่อยากดูก็ไม่ได้ดูแบบตั้งใจ แทนที่จะได้นั่งหัวเราะกับมุกตลกโง่ๆกับหนังลาโรงที่อยู่ในโปรแกรมดูหนังกลายเป็นว่าต้องมานั่งหงุดหงิดกับสายโทรศัพท์ แถมดึกๆแบบนี้ ควรจะได้นอนคุยๆกันในห้องนอน ก็เสือกจะมีปัญหาอีก

“ หิวมั้ยพวกมึง ” ผมพูดกับกับไอ้พวกตัวแสบในตอนที่หยิบเอาจานอาหารขึ้นมาจากที่ตั้งทั้งสองใบ จัดการล้างก่อนจะเช็ดจนสะอาด แล้ววินาทีที่เปิดถุงอาหารเม็ดเทลงใส่ถ้วยในจำนวนนึง ในตอนนั้นเจ้าก้อนขนสองตัวก็รีบวิ่งมาวนเวียนอยู่ที่โต๊ะ แบบที่ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ ก่อนจะบอกให้ตอนที่วางจานอาหารลง “ เผื่อหิวดึกๆนะ ”

“ กลับมาแล้ว ” เสียงตรงหน้าประตูชวนให้ผมหันไปมองคนที่เข้ามาใหม่ อาร์มที่ถอนหายใจออกมา พลางมองอาหารแมวที่ผมวางลงบนที่ตั้งเมื่อครู่ “ ให้อาหารแมวเหรอ ”

“ อื้ม เผื่อพวกมันหิวดึกๆ ” พยักหน้ารับตอบรับก่อนจะให้ไปยิ้มให้คน “ ยังไงเพื่อนมึง เกือบทำคอนโดวอดทั้งหลังมั้ย ”

“ หม้อเกือบไหม้ไปใบนึง ” อีกคนบอกแบบนั้นผมก็ได้แต่เบิกตา แต่อาร์มก็เหมือนจะเหนื่อยหน่ายเต็มทนเหมือนกัน มันเลยถอนหายใจออกมา

“ พูดไม่ออกเลยกู ”

“ มันไม่รู้จักวิธีช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นเลยเหรอวะ พ่อแม่เลี้ยงมายังไงของมัน ” บอกอีกฝ่ายที่ก็แค่ยักไหล่ราวกับชินชาเหลือเกินแล้วกับอะไรแบบนี้

“ อย่างงี้แหละ มีคนทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนโต ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับเดินมากอดกันจากด้านหลังพร้อมทั้งวางคางลงบนไหล่ด้วยท่าทางแบบที่เหมือนจะไม่ไหวแล้ว “ แต่หลังจากนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วละมั้ง ทีวีกูเช็คแล้ว น้ำร้อนกูก็สอนเปิดแล้ว ทุกอย่างน่าจะโอเค ”

“ แต่ทำไมกูไม่เห็นคิดแบบนั้นเลยวะ ” พูดแบบนั้นออกไปเบาๆ ผมแค่รู้สึก ว่ามันต้องมีอะไรอีกแน่ๆ อะไรสักอย่าง แต่ก็นั่นแหละ ผมเดาไม่ออกเหมือนกันว่ามันคืออะไร

.................................................

ตกดึกในห้องของเราก็หลงเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบ ไม่มีเสียงโทรศัพท์มากวนใจมาสักระยะแล้ว และนั่นก็เป็นอะไรที่ดีที่สุดเลย อาร์มอาบน้ำเรียบร้อยมันปะแป้งตัวหอมแบบกลิ่นเดียวกับผม เราที่นอนหนุนหมอนเดียวกันมองฟ้าเพดานขาวที่ก็แทบไม่มีอะไร แต่ทว่าบรรยากาศกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ยกเว้นเสียแต่ มือหนาที่กำลังวอแวกับเจ้าน้องของผม

“ นี่ มึงอย่ายุ่งน่า ” มือหนาที่พยายามจะผลักตุ๊กตาเน่าในความคิดของมันออกไปให้ไกลจากผม แต่ผมก็แค่กอดไว้แน่นอย่างไม่ยอมเช่นกัน  แล้วพออีกฝ่ายเห็นว่ามันเป็นแบบนั้น นิ้วชี้ก็เริ่มขยับขึ้นมาเกลี่ยจมูกกัน

“ ไอ้เด็กน้อย ติดหมอนเหม็น ”

“ ไม่เหม็น หอมจะตาย ” สูดเข้าไปเต็มฟอดจนคนที่มองอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะ  แต่ในตอนที่มันจะกำลังใช้นิ้วเกลี่ยจมูกกันอีก ผมก็ทำทีเป็นจะงับ

“ พรุ่งนี้กินอะไรดีมื้อเช้า ”

“ เรานี่ก็สายแดกพอตัวนะ ยังไม่ทันขึ้นวันใหม่เลย ก็คือคิดแล้วนะ ว่าจะกินอะไรพรุ่งนี้ ”

“ หมายถึงตัวเอง ” อาร์มก้มหน้าลงถามผม ที่ก็แค่สบถออกไป

“ ไอ้สัด ”

“ ง่วงยัง ”

“ ถ้ามีคนกอดก็คงจะเริ่ม แต่ไม่ใช่เริ่มง่วงนะ เริ่มอยากนอน เพราะอยากโดนกอด ” ยักคิ้วพลางพลิกตัวจ้องมองอีกคนที่ก็พลิกตัวมามองกันก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยจมูกกันเป็นการคาดโทษ

“ ร้ายอีกแล้วนะ ”

“ ร้ายยังไงไม่ทราบครับ ”

“ ก็ทำหัวใจกูป็อปแป็ปไง ” หลุดหัวเราะเสียงดังกับท่าทางกล่าวโทษที่ดูจริงจังแบบที่ไม่ค่อยเข้ากับหน้าเท่าไหร่นั้น  ผมที่กำลังจะดึงตัวเองเข้าไปอดมันแต่ยังไม่ทันจะได้จูบ หรือนอนกอดกันแบบเต็มอ้อมแขนอย่างที่คิด เสียงที่ไม่อยากจะได้ยินก็ดังขัดขึ้นมา


ครืน ครืน ครืน

“ อีกแล้วเหรอวะ ” ผมถามเจ้าของมือถือที่วางอยู่ตรงหัวเตียง อาร์มก็ได้แค่ถอนหายใจก่อนจะพลิกตัวไปหยิบมันขึ้นมาดู แล้วก็เป็นเหมือนอย่างทุกครั้ง คือ ดีน เป็นคนที่โทรเข้ามาอีกแล้ว “ ไม่ใช่ว่าคราวนี้กางผ้าห่มไม่เป็นนะไอ้สัด ”

“ ก็ไม่แน่ ” อาร์มแกล้งเย้าผมก่อนจะหันมากดรับสาย “ ว่าไง ข่มตาหลับเถอะไอ้สัด ขอร้อง แล้วอย่าโทรมาอีก กูจะนอกกอดเมียกู กูง่วงแล้ว แล้วจะให้กูทำยังไงอะดีน มึงนอนไม่หลับแล้วกูต้องทำยังไง ไม่ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเลยมึง นอนเถอะ ก่อนที่กูจะไม่รับสายมึง แล้วอย่าโทรมาอีกนะ จะนอนแล้ว ”

ผมหยิบมือถือที่อีกฝ่ายกับถืออยู่นั้นขึ้นมา ก่อนจะกดปิด ท่ามกลางสายตาคมที่มองดูด้วยความสงสัย เพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้

 ก็แค่ไม่ไหวแล้ว โทรมาอยู่นั่น โทรมาอยู่ได้ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่น่ารักเลยกับการไปดึงมือถือที่อีกฝ่ายกำลังคุยอยู่อย่างงั้น ถ้าเป็นผมคุยอยู่ ผมก็คงไม่ชอบให้ใครทำเหมือนกัน แต่นี่มันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ จะรบกวนไปจนถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

รบกวนแบบไร้สาระ
รบกวนแบบตั้งใจไม่ให้เราอยุ่ด้วยแบบมีความสุขด้วยซ้ำ

“ นอนเถอะ กอดกูหน่อย อย่าไปสนใจอะไรมันอีกเลยมึง ” บอกแค่นั้นก่อนจะยื่นมือถือคืนไปให้อีกคนที่ก็ตอนนั้น อาร์มแค่หยิบมันไปปิดตัวเครื่องลง แล้ววางมันตรงที่เดิม ร่างสูงหันมาดึงตัวเองเข้าไปกอดผม เราที่นอนลงกับเตียง

“ โทษที ไม่น่ารักเลยใช่มั้ยที่ทำเมื่อกี้ ”

เพิ่งรู้ว่าตัวเองหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆได้ถึงขนาดนี้ เพิ่งรู้ว่าแค่ไม่ได้รับความสนใจเต็มที่ก็คล้ายกับเด็กเล็กที่เอาแต่ใจสุดๆ แต่ผมก็แค่รู้สึก ว่ามันชักจะมากเกินไปแล้ว ทำไมแฟนผมต้องไปคอยเอาใจใส่คนอื่นขนาดนั้น ทั้งๆที่พื้นที่ตรงนี้มันควรเป็นของเรา นี่คือช่วงเวลาของเราด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงต้องมาคอยแบ่งมันไปให้คนอื่น แล้วทำไมคนอื่นต้องมีความเกรงใจ ก็รู้ว่าอยู่กับแฟน แต่ก็มาคอยขัดกันอยู่เรื่อย

“ มึง ”

“ กูมีอะไรจะปรึกษา” อาร์มพูดขึ้นในตอนที่เอ่ยเรียกอีกฝ่าย “ พรุ่งนี้ดีนจะไปมหาลัยกับกูรถมันไม่มีน้ำมัน กูกำลังคิดหาทางปฎิเสธ เพราะกูอยากจะไปกับมึง แต่เหมือนว่ามันจะไม่มี รถมึงอยู่ที่นี่ รถกูอยู่ที่นี่ รถดีนก็อยู่ที่นี่ ถ้าปล่อยให้มันลงไป มันก็เห็นรถกู ความแตกแน่นอนเรื่องที่กูอยู่ที่นี่ตลอด เพราะงั้นจะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพรุ่งนี้กูจะทำเป็นมารับดีนด้านล่าง ความลับของเราจะได้ไม่แตก จะได้ยืดเวลาไปแบบที่มึงบอก ”

“ แล้วถ้ามันเห็นรถกูละ”

“ รถมึงไม่เป็นอะไรหรอก มึงก็ใช้ชีวิตปกติ เหมือนแค่อยู่ที่นี่ ไม่มีอะไร ”

“ แล้วกูละ ” คล้ายกับว่าจะถามซ้ำแต่ไม่ใช่ ในตอนนั้นอ้อมกอดที่กอดกันอยู่ ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ค่อยๆผ่อนออกกมาอย่างหนักใจ “ มึงไปกับมัน แล้วกูจะไปยังไง ”

“ ก็คงต้องไปเองแล้วละ ไม่งั้นเรื่องของเราก็แตก มึงยังไม่อยากจะให้เบสรู้เรื่องไม่ใช่เหรอ  ก็มีแค่ทางนี้แหละ หรือมึงคิดว่าไง ”

“ งั้นก็ปล่อยให้มันแตกไปเลยได้มั้ย ” ผมพูดเสียงเรียบหลังจากที่นิ่งไปอยู่นาน จนอาร์มที่กอดกันอยู่ถึงขั้นผละตัวเองออกเพื่อมองกัน

“ เมี่ยง..”

“ กูแค่ไม่อยากจะให้มึงไปไหนอีก พอแล้วได้มั้ย มึงที่เหมือนไม่ใช่ของกูคนเดียวแบบนี้ ไอ้เรื่องที่คิดว่า ก็แค่นี้ แม่งไม่ใช่เรื่องแค่นี้แบบที่คิดไว้เลย ”

...................................................................

ไหนใครบอกว่าสองวันเอง  เป็นยังไงละ
ตอนนี้ยาวมาก หวังว่าจะจุกใจกันไปเลยนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ มันส์กว่านี้แน่นอน #ขอบีบมือไว้ ณ ที่นี้

ท้ายนี้ หนมมี่รักพี่อาร์มนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
หนมมี่ จ้ะ
 :katai4: :katai4: :katai2-1: :katai2-1: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
หึหึ อิอิ คึคึ ทนไม่ไหวแล้วสิ ถ้าไม่บอกใครก็วนลูปไป up 2u เอาที่สบายใจนะ รอตอนหน้าจ้า  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เหนื่อยใจไปกับคนกลางด้วย โสมนามหน้า อยากไม่หักดิบกับดีน็เป็นอย่างนี้แหละ  o18

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องเมี่ยงลีลาเกิ๊น   บอก ๆ ไปเลยจะได้เป็นอิสระ  คนไทยแปลว่าอิสระอ่ะ

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เหมือนรอวันแตกหักกับความไม่ชัดเจนของทั้งคู่ มาม่าชามโตแน่นอน

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ดีนกลายเป็นคนน่ารำคาญไปซะแล้ว

ถ้าดีนจะมาออกตัวตอนนี้ ว่ารักอาร์มมาตลอด แต่ต้องปกปิดเพราะพ่อแม่หรืออะไรก็ตาม การแสดงออกตลอดมาก็ไม่น่าจะใช่ มีสาวมีแฟนมีคนควงโดยไม่ได้แคร์เลยว่าอาร์มจะเจ็บจะเสียใจ ถ้าใช่ คงมีอีโก้เต็มที่ว่ายังไงอาร์มก็รักไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ถึงวันนี้ที่อาร์มตัดใจได้ มีแฟนขึ้นมาจริงๆ ถึงกับดิ้นทุรนทุราย ไม่เชื่อว่าอาร์มจะหลุดจากเสน่ห์ ??? ปีนจากหลุมรักของตัวเอง
จะเป็นแค่หมาหวงก้าง หรือรู้ตัวเมื่อสาย

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
 
ตอนที่ 27

เสียงรบกวนที่ชวนให้หงุดหงิด ถูกตัดออกจากความน่ารำคาญตั้งแต่เมื่อคืน คนข้างกันปิดโทรศัพท์ลง ตัดสายเรียกเข้าของคนข้างห้องที่อาจจะโทรเข้ามาแล้วทำให้หงุดหงิดอีกออกไปทั้งหมด แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างงั้น ผมก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี

มันความหงุดหงิดแบบที่ไม่ได้หงุดหงิดคนข้างกาย
ผมแค่หงุดหงิดตัวเอง  หงุดหงิดที่ทำไมไม่ทำอะไรๆให้มันเรียบร้อยซะตั้งแต่ทีแรก

แต่ก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าบอกออกไป เช้านี้ก็อาจจะประมานว่า มีใครบางคนมาเคาะประตูห้องเรา ขอออกกินข้าวเช้าด้วย และแน่นอนว่ามันรวมถึง ขอไปมหาลัยด้วยคน

“ ทำไมวะ ” คำถามนั้นถูกถามขึ้นมาในตอนที่ผ่อนลมหายใจพร้อมทั้งลืมตาตื่น ผมเอื้อมมือไปจับมือถือของตัวเองที่วางอยู่ตรงลิ้นชักหัวเตียงขึ้นมาดูเวลา

เจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว ทั้งๆที่คิดไว้ว่าจะได้นอนแบบมีความสุขกับคืนแรกของความสัมพันธ์พิเศษที่เพิ่งเริ่นต้นขึ้น เราที่อาจจะหยอกล้อกันนิดหน่อย มองตา ไม่ก็เล่นจักกะจี้กันบ้าง หรืออาจจะนอนดูอะไรสักอย่างที่น่าสนใจในมือถือแบบหัวชนกัน ตื่นสายสักหน่อยเพราะมีเรียนสิบโมง 

แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เท่าไหร่ 

ผมพลิกตัวเองหันมองคนที่ยังคงหลับสนิท มือหนาที่วางอยู่ตรงเอวนั้น ชวนให้หลุดยิ้มออกมาในตอนที่อาร์มทำทีท่าเหมือนจะตื่น เพราะแรงมือที่ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดนั้น

“ แล้วก็บังอาจมาว่ากูนะ ว่าติดตุ๊กตาเน่า ” ยื่นนิ้วเข้าไปเขี่ยจมูกโด่งของคนที่นอนข้างกันเบาๆ อาร์มที่สะบัดหน้าไปมา สายตาคมหรี่มองกันแบบสู้แสง พร้อมกับคิ้วเข้มที่ขมวดเข้ากันแน่น

“ กี่โมงแล้ว ”

 “ เจ็ดโมง ”  คำตอบชวนให้คนฟังถอนหายใจมันลืมตาตื่นขึ้นมาแบบชนิดที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แน่นอนว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่ต้องตื่นในตอนนั้น อาร์มก็เลยแค่กระชับอ้อมกอดของผมให้เข้าไปใกล้กันอีก จนลมหายใจนั้นรดลงต้นคอจนชวนให้หดตัวอย่างรู้สึกแปลก ผมดันตัวเองออก “ ปล่อยไอ้สัด ขนลุก ”

“ กอดหน่อย ”

“ หน่อยเหี้ยอะไรละ กูขนลุก ” ได้ยินแต่เสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากในคอของคนที่เอาแต่ยิ้ม อาร์มดึงตัวออกห่างจากผม

“ แล้วแค่นี้ต้องรังเกียจกันด้วยเหรอครับ ” ส่ายหน้าไปมาพลางเอียงหน้าหนีบคอฝั่งที่โดนลมหายใจนั้นแบบที่คิดว่าอาจจะทำให้ความรู้สึกจักกะจี้นั้นมันหายไป ถ้าทำเช่นนั้น

“ ใช่ เพราะขนลุกมากนะ ขอย้ำให้รับรู้ไว้เลย ” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เอาแต่ยิ้ม ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง ในตอนนั้นอีกคนก็แค่ดึงเจ้าตุ๊กตาหมีของผมเข้ามากอดไว้แน่นราวกับจะให้เป็นตัวแทนกัน สายตาคมนั้นหลับลงอีกครั้ง มันพึมพำ “ นอนกอดไอ้เน่าก็ได้ ”

“ กรุณาให้เกียรติพี่หมีของกูด้วยนะ มึงกอดมันก็ต้องพูดกับมันดีๆ เข้าใจมั้ย ”  เอื้อมมือไปลูบ อาร์มก็ก้มลงจูบมัน

“ โอเคมั้ยครับ คุณน้องของคุณพี่หมี ”

“ ดีมาก ” ว่าแบบนั้นมือก็เอื้อมไปลูบหัวอีกคนคล้ายกับว่าเป็นเด็กน้อย “ เด็กดีนะครับน้องอาร์ม นอนต่ออีกหน่อยน้า เดี๋ยวถึงเวลาหม่าม๊ามาปลุกนะครับ ”

“ แล้วหม่าม๊า ไม่นอนกับป่าป๊าแล้วเหรอ ” สายตาคมถามกันแบบที่เปิดตาข้างเดียวนั้นขึ้นดู แต่ในตอนนั้นผมก็แค่นิ่ง แน่นอนว่ารวมทั้งเสียงแล้วก็หน้าตาด้วย

“ เล่นด้วยหน่อยไม่ได้เลยนะไอ้สัด เก็บแม่งทุกเม็ด ”

“ แน่นอน ” มันตอบรับพลางยักคิ้วให้กัน “ แต่พูดจริงๆว่าแปดโมงครึ่งตื่นยังทันเลย มึงก็น่าจะนอนต่ออีกหน่อย ”

“ นอนไม่หลับแล้วมึง ” พูดแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วพร้อมทั้งกับดึงตัวเองลงจากเตียง มือที่เปิดลูกบิดของห้องแต่ยังไม่ทันจะก้าวออกไป เจ้าตัวลายก็มานั่งรอหน้าห้องอยู่แล้วแบบที่รู้เวลา ผมยิ้ม “ นายท่านค้าบบบบบ ” เอ่ยเรียกแบบเสียงสองสามสี่ใส่อีกตัว

ปกติก่อนหน้านี้ผมจะแค่เปิดประตูห้องแง้มเอาไว้ พอเช้าเมื่อไหร่นายท่านก็จะเอามือเขี่ยประตูให้กว้างออกเพื่อแทรกตัวเข้ามาหากัน แต่เพราะวันนี้ผมปิดประตูสนิทไม่เหมือนทุกที มันก็เลยแค่นั่งรออยู่อย่างงั้นเพื่อรอเวลาที่จะเคาะประตูเรียกผม

“ ว่าไงมึง ” ก้มลงเกาคออีกตัวก่อนจะพาตัวเองมานั่งลงบนโซฟาแบบที่ไม่รู้จะทำอะไร ผมผ่อนหลังกับพนักพิงพลางมองเพดานขาวที่แสนว่างเปล่านั้น พร้อมกับเจ้าก้อนขนสองตัวที่ก็กระโดดขึ้นมานอนขดกันบนตักแบบพร้อมเพียง

‘ เอาไงดีวะ ’ คำถามที่ผุดขึ้นในสมองของผม สาเหตุหลักของการนอนไม่หลับทั้งคืน และต้นเหตุของคำถามนั้นก็คือ ‘ จะทำยังไงดีกับเช้าวันนี้ดี ให้อาร์มไปกับดีน แล้วผมก็ต้องไปเองเหรอ ’ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องถอยเปล่าวะ ถึงที่อาร์มพูดมันจะถูก ว่าเป็นทางเดียวที่ผมจะยังเก็บความลับเรื่องของเราไว้  ในกรณีที่ผมยังไม่อยากจะบอกเบสก่อน ก็เหมือนจะมีแค่ทางนี้

แต่ก็ยังรู้สึกว่า ไม่ใช่เรื่องอะไรสักหน่อย

ก็ถ้าสมมุติว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่ อาร์มไปอยู่กับผมตรงคอนโดที่ใกล้มหาลัย แล้วคือยังไงละ ? พอตอนเช้าก็ต้องวนรับมารับดีนก่อนเหรอวะ ก็ไม่ใช่เรื่องมั้ยละ

แล้วคิดยังไงก็ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมมันไม่รู้จักพึ่งพาตัวเองบ้าง และที่ไม่เข้าใจกว่านั้นคือ ทำไมมันไม่มารยาทขนาดนั้น คนบ้าอะไร โทรมาขอความช่วยเหลือตลอดจนต้องปิดมือถือ ไม่งั้นก็คือไม่ได้นอน

“ แล้วคือสุดท้าย กูต้องยอมขับรถไปเองเหรอวะ ” ก้มลงถามเจ้าก้อนขนที่ก็ไม่มีคำตอบให้  “ ก็ไม่ควรมั้ย ถึงกูจะขับรถไปได้ สบายมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องนะ จริงมั้ย มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสักหน่อย ทำไมมันไม่ไปเอง เรียกแท็กซี่ก็ได้ ทำไมไม่ทำ เออ มันไม่ใช่เรื่องที่กูต้องโอเคเปล่าวะ ถึงกูจะยังไม่บอกไอ้เบส และถึงมันจะเป็นทางเดียว แต่นี่ก็ไม่ใช่ทางออกนะ เราไม่จำเป็นต้องยอมมันสักหน่อย ถ้ามันจะไปเรียนไม่ได้เพราะไม่มีรถ ก็ให้มันรู้ไปสิวะ ถ้าแค่เรื่องนี้ มันยังเอาตัวรอดไม่ได้ ชาตินี้จะไปทำอะไรแดก จริงมั้ยพวกมึง พวกมึงคิดเหมือนกูมั้ย ”

สายตากลมของเจ้าแมวสองตัวเงยหน้ามองหน้ากันด้วยสายตาไม่เข้าใจ แน่นอนว่าในนั้นมีคำถามที่ว่า ‘ เป็นเหี้ยอะไรของมึงอะมนุษย์ พูดคนเดียวอยู่ได้ น่ารำราญจริงๆเลย ’

“ คนที่มันคู่กันแล้ว ไม่มีทางเข้าใจคนที่เค้ามีปัญหาหรอก ” ผมก้มลงบอกอีกสองตัวอย่างงั้นก่อนจะลูบขนนุ่มๆ “ แต่ถ้าบอกเบสไป ดีนรู้ว่ากูคบกับอาร์มมันจะยังไงวะ ถ้ารู้ว่าอยู่ข้างๆห้องกัน มันไม่มาเคาะทุกสองนาทีเลยเหรอ ขนาดไม่รู้มันยังโทรมาแล้วโทรมาอีกเลยนะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงที่เหมือนจะรำคาญเงยหน้าขึ้นร้องบอก ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ รำคาญเหมือนกันมึง ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเนี้ย กูละคือ แสนจะปวดหัว หาทางออกไม่เจอเลยให้ตายเถอะ ”

“ บ่นเหี้ยอะไร งุ้งงิ้งแต่เช้า ” เสียงของคนที่คิดว่านอนอยู่เอ่ยพูดขึ้นมาผ่านประตูที่เปิดออก อาร์มที่เดินมาใกล้กันนั้น มันเกาคอตัวเองเดินเข้าไปในครัวเป็นอย่างแรก แก้วน้ำถูกดึงขึ้นมาจากที่วาง อีกคนกดน้ำกินจากหน้าตู้เย็น “ ว่าไง บ่นเหี้ยอะไรตั้งแต่เช้า ”

“ เรื่องเพื่อนรักมึงไง ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็เลิกคิ้ว เหมือนสมองยังไม่จูนเท่าไหร่

“ เรื่องอะไร เพื่อนรักกู ”

“ ยังจะถามอีก ” ผมว่า ก่อนจะเชิดหน้าไปด้านหน้าแบบบอกใบ้ด้วยท่าทางว่าใครคือคนที่ผมเอ่ยถึงอยู่ “ เพื่อนดีน ชายผู้ซึ่งมีปัญหาทุกระดับประทับตีนกูไง ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะดังลั่นของคนฟัง ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแบบเซ็งๆ

“ ยังจะมาหัวเราะอีก กูไม่อยากจะไปเรียนคนเดียวอะ รู้สึกไม่แฟร์เลยด้วย ทำไมกูต้องโดนทิ้งให้ถอยที่ให้มันด้วย ทำไมมันไม่พึ่งพาตัวเองบ้าง เท็กซี่ก็มี เรียกไปมหาลัยสิไอ้สัด ทำไมต้องมาใช้แฟนกู กูหวงนะ ”

“ งั้นจะออกก่อนมั้ยละ ” คนตรงหน้าถามออกมาเสียงเรียบ “ ถ้าเราออกก่อน ปิดเครื่องหนี มันลงมาก็ไม่เห็นรถกูจอดอยู่ก็จบแล้ว ส่วนรถของมึง มันจำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ามันโทรตามตอนกูเปิดเครื่อง กูจะบอกเองว่าคงไปรับไม่ทันแล้ว ให้มันเรียกแท็กซี่มาเอง ”

“ ได้เหรอ ” ผมถามย้ำ อีกคนก็แค่พยักหน้ารับแบบที่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายเท่าไหร่

“ เอาความสบายใจของมึงเป็นที่ตั้งเมี่ยง ไม่ต้องสนใจอะไร ”

“ แล้วเมื่อคืนใครบอกให้กูไปเอง ” อาร์มมันยิ้มในตอนที่ผมพูด “ ใครบอกกูว่าถ้า กูยังไม่อยากจะบอกไอ้เบส ให้กูใช้แผนนี้ เพราะมันเป็นแผนเดียวที่มี ”

“ ก็แผนเดียวที่กูคิดออกในตอนนั้นไงครับ ”

“ K ” พลิกตัวหันไปพูดแบบไม่ออกเสียงอีกฝ่ายก็หัวเราะ “ แต่ว่านะมึง  ถ้าดีนรู้เรื่องของเรา รู้ว่าเราอยู่ที่นี่ มันจะไม่มาเคาะประตูห้องเรียกเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเหรอวะ คราวนี้ต่อให้ปิดเครื่องหนีก็ไม่รอดพ้นแล้วนะ เพราะความประสาทแดก จะส่งตรงถึงหน้าประตูบ้านท่านเลย ”

“ ไอ้สัด ” ถึงขั้นสบถออกมาแต่อาร์มก็แค่ส่ายหน้า “ กูไม่กลัวหรอก ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะด้านได้ขนาดไหน ”

“ หรือกูจะประสาทแดกใส่มันกลับดี ”

“ ยังไง ” อีกฝ่ายถามพลางวางแก้วที่ถือลงบนโต๊ะ อาร์มพิงตัวเองเข้ากับเค้าท์เตอร์มองดูผมที่กำลังคิดหาตัวอย่างที่มันเข้าท่า

“ ก็อย่างเวลามันมาเคาะประตูบอกว่า ให้มึงไปทำอะไรสักอย่างที่ห้องให้หน่อย กูก็คือลงไปนอนดิ้นกับพื้นเลยนะ เอาแบบเด็กอนุบาลอะ แล้วก็ตะโกนว่า ม่ายเอา ม่ายเอา น้องเมี่ยง จะไม่ให้พี่อาร์มของน้องเมี่ยงไปไหนทั้งนั้น ม่ายให้ปายยยยยยยย พี่อาร์มต้องอยู่กับเมี่ยงๆน้า แล้วก็ดิ้นๆ กลิ้งไปพื้นด้วยเป็นไง ”

“ เออ เข้าท่า ”

“ กูประชด ไอ้สัด ” พูดออกไปแบบไม่ออกเสียงในท้ายประโยค อาร์มก็แค่หัวเราะให้กันแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างที่ไม่ได้รู้สึกกังวลต่ออะไรทั้งนั้น

“ เอาจริงๆ  มึงดูไม่สนใจมันเลยนะ ”

“ ก็อย่าไปสนใจมันให้เยอะขนาดนั้น เอาจริงๆมึงก็แค่ทำไปอย่างที่ใจมึงอยากทำ ไม่ต้องถนอมน้ำใจอะไรให้มันมาก โอเคที่เรื่องบางเรื่อง การจัดการปัญหาของกูยังไม่เคลียร์ มันต้องคิดให้ดีก่อน ” ผมขมวดคิ้วในตอนที่อีกคนพูด แต่เหมือนว่ามันจะจับทางกันได้ก็เลยอธิบายต่อ “ หมายถึงว่า เรื่องบางเรื่องถ้ามันมากเกินไป เราไม่โอเคที่จะทำให้ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ หรือไปคิดถึงความรู้สึกมันให้มาก จนกลายเป็นว่ามาทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง ”

“ โอเค เก็ต ” ผมพยักหน้ารับ

“ ตอนนี้เราก็แก้ไขไปเฉพาะส่วน เอาทีละเรื่อง อีกอย่างนะ คนอย่างดีน ถ้าเราไม่สนใจมันมากๆเข้า แล้วพอมันทำอะไรไม่ได้ มันก็ไปเองนั่นแหละ ตอนนี้มันก็แค่รั้น เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่แพ้เท่านั้นแหละ ”

“ งง ” เอียงหน้ามองคนที่พูดออกมาอย่างงั้น “ แพ้อะไร ไม่มีใครแข่งกันมันเลยนะ คือนี่เราพูดเรื่องเดียวกันมั้ย ”

“ มึงพูดเรื่องไอ้ดีนใช่มั้ย ” คนตรงหน้าถามกันอย่างงั้น ผมก็พยักหน้ารับ “ งั้นก็เรื่องเดียวกันครับ ”

“ ทำไมเหมือนจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ” เอียงหน้าไปมาซ้ายทีขวาทีใส่อีกคนที่ก็แค่ยกยิ้มให้กันอยู่อย่างงั้น ก่อนที่อาร์มจะบอก

“ คือถ้าเป็นกู กูจะไม่มานั่งหน้าแมวงงอยู่อย่างที่มึงเป็นนะ กูจะรีบไปอาบน้ำ แล้วเตรียมตัว ก่อนที่ไอ้ดีนจะตื่น แล้วโทรมาหากูขอติดรถเราไปมหาลัยด้วย แบบที่คราวนี้เราจะหาข้ออ้างอะไรไม่ได้เลย ”


......................................................


เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมง แม้ว่าจะมีเรียนสิบโมง และก็เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้จะพาตัวเองไปในไหนในเช้าแบบนี้ ห้างก็ยังไม่เปิด ร้านอาหารข้างทางก็ไม่รู้จะกินอะไร ส่วนในมหาลัยก็ยังไม่อยากจะเข้าไป

“ เอาไงดี ” ผมหันไปถามอาร์มที่ก็เลิกคิ้วมองกัน

“ ก๋วยจั๊บมั้ยละ ”

“ ก็ได้นะ ” สิ้นเสียงคำตอบนั้น ตัดภาพมาอีกทีเราก็นั่งอยู่ในร้านคุณปู่เจ้าเดิมของน้องพฤษที่วันนี้ไม่อยู่ ไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าแล้ว และความรู้ใหม่เลยก็คือ ที่ร้านนอกจากโจ๊กแล้วก็ยังมีก๋วยจั๊บขายด้วย เป็นก๋วยจั๊บหมูกรอบ ที่แทบจะมองเส้นไม่เห็นเลย เพราะหมูกรอบก็คือจัดเต็มเอามากๆ

“ น้องพฤษไปโรงเรียนแบบนี้แล้วใครช่วยลุงแกขายวะ ” ผมถามพลางเชิดหน้าไปที่เจ้าของร้านผู้มากด้วยประสบการณ์และอายุ ที่กำลังขะมักเขม้นอยู่ตรงหน้าเตา

“ ลูกจ้างแกเยอะแยะไป ” อาร์มบอกพลางตักก๋วยจั๊บตรงหน้าเข้าไปกินแบบเต็มคำ มันที่เชิดหน้าไปที่หลังร้าน “ มึงคิดว่าหลังร้านนั่นมีกี่คน ”

“ เยอะเลยเหรอวะ ”

“ เค้าเคยบอกกูว่า เค้าเป็นแค่คนขาย กับคนควบคุมสายการผลิตทั้งหมดในทุกวันเท่านั้น”

“ โห คำพูดคำจา ” คนฟังหัวเราะในตอนที่ผมพูดก่อนจะเชิดหน้ามาที่ชามก๋วยจั๊บของผม

“ มึงไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะเหนื่อยหรอก เค้ารวยกว่าเราอีก ”

“ เหรอ ” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบรับ  สายโทรศัพท์ที่ก็ดังขัดขึ้นก่อนนั้น ผมเหลือบมองมันที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น

ชื่อที่ปรากฏ ชวนให้ผมยกยิ้มเพราะทายถูกตั้งแต่ได้ยินเสียงเรียกเข้าในวินาทีแรกว่า ดีน คงจะเป็นคนโทรที่เข้ามาแน่นอน แล้วมันก็เป็นอย่างงั้น หลังจากที่อาร์มเปิดเครื่องมือถืออีกครั้งในระหว่างที่เราติดไฟแดง ข้อความมากมายส่งเสียงแจ้งเตือนกันราวสายน้ำไหล แบบที่ไม่ว่างเว้นอยู่หลายนาที

แล้วผมก็รู้สึกเลยว่าข้อความพวกนั้น น่าจะมาจากดีนแค่คนเดียวนั่นแหละ

“ เพื่อนรักมึงอะ ” เชิดหน้าไปที่โทรศัพท์อีกฝ่ายก็ถอนหายใจ อาร์มหยิบมันขึ้นมารับ

“ ว่าไง อยู่ข้างนอก พาแฟนมากินข้าว มึงเรียกเท็กซี่ออกมาแล้วกัน กูขี้เกียจวนเข้าไปรับ ก็ไม่ทำไม กูอยู่ใกล้มหาลัยแล้วด้วยจะเข้าไปให้เสียเวลาทำไมละ ” อาร์มเว้นเสียงไป อาจเพราะปลายสายเองก็เป็นเช่นนั้น “ ข้อความอะไร ยังไม่ได้อ่านเลย เพิ่งเปิดเครื่อง แค่นี้ก่อนนะ กูจะกินข้าว ” เสียงของดีนที่เหมือนยังพูดไม่จบตะโกนออกมาจากปลายสายนั้น ผมมองดูโทรศัพท์ที่ถูกคว่ำลงกับโต๊ะกับเจ้าของเครื่องที่แค่ยกช้อนขึ้นกินอย่างไม่สนใจอะไรอีก

“ มึง ตัดสายแบบนั้นคือมันจะดีเหรอวะ ” ผมถามออกไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าไหร่ “ มึงเป็นเพื่อนรักกันนะ ถามจริงๆ ทะเลาะอะไรกันเปล่าวะ เรื่องกูมั้ย ”

“ ดีนยังไม่รู้เลยว่ากูคบกับมึง ” คนตรงหน้าบอกกันอย่างงั้น อีกฝ่ายก็ถอนหายใจ “ มันเป็นคนเอาแต่ใจเมี่ยง มันยึดมั่นในความคิดของตัวเอง แบบที่ว่าถ้ามันคิดแบบนี้ มันจะไม่ยอมถอดใจ แล้วตอนนี้หน้าที่ของกูก็คือ ทำให้มันรู้ ว่ามันคิดผิด ”

ได้แต่พยักหน้ารับคำพูดนั้น ถึงแม้จะไม่เข้าใจเลยในสิ่งที่อีกคนพูดเลยก็ตาม อาร์มไม่ได้บอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีนกำลังเอาแต่ใจ ไม่ได้บอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีนกำลังคิดผิด อาร์มพูดแค่ว่าดีนเอาแต่ใจและเข้าใจผิดเกี่ยวกับมัน

และแม้ว่าอยากจะถามแค่ไหน แต่เหมือนหัวใจลึกๆจะห้ามกันไว้ว่า ‘ อย่าเลย ’

“ อยากรู้ใช่มั้ย ว่าเรื่องอะไร ” คนตรงหน้าที่ถามกันออกมายิ้มๆ ในแววตานั้นที่เหมือนจะจับความรู้สึกกันได้ ผมพยักหน้ารับ

“ นิดนึง ”

“ ไม่น่าจะนิดหรอก ” อาร์มมันแซว “ แต่เดี๋ยวกูจะเล่าให้มึงฟังแน่ แต่ไว้ให้มันถึงตอนที่เล่าได้นะ ”

“ โอเค ตามนั้นครับผม ” พยักหน้ารับรู้ เป็นอันว่าเข้าใจและหยุดความสงสัยไว้แค่นั้น คนเราให้ความรู้สึกกับเรื่องแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่เหมือนกัน เรื่องบางเรื่องเราสบายใจในการเล่า แต่กับบางเรื่องก็ไม่ เราไม่ได้อยากจะเล่าให้ใครฟัง มันต้องรอจังหวะเวลาที่พร้อม

แล้วผมก็อยากจะเป็นแฟนที่เหมือนความสบายใจ
ก็เอาเป็นว่า ถ้ามันอยากจะเล่าเมื่อไหร่ ก็คงเล่ากันเองนั่นแหละ

“ แต่จะว่าไป ลุงแกทำก๋วยจั๊บอร่อยดีนะ ”

“ มึงหิวด้วยละกูว่า ” คำพูดที่ชวนให้แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย เราหลุดยิ้มออกมาให้กัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าแบบชนิดที่เกลี้ยงถ้วย แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังมีเวลาชิวแบบเหลือเฟืออยู่เป็นกอง จนขนาดที่วนรถหาสาขาของกาแฟร้านดังที่ชอบจนเจอ แล้วจัดกันมาคนละแก้วรวมถึงขนมอีกคนละชิ้น ถึงจะขับรถมามหาลัยตามวินัยของความเป็นนักศึกษา

“ ตอนเย็นนี้เจอกันนะ ” บอกแบบนั้นคนที่ขับรถพามาก็ยักคิ้วให้กันยิ้มๆ เป็นช่วงวินาทีที่แววตาของเราสบ ไม่รู้อะไรดลใจแต่มือกลับยื่นออกไปจับแก้มนั้น จนแม้แต่อาร์มเองยังเลิกคิ้วงง “ มึงมีอะไรบอกกูได้นะ ไม่ว่ามึงจะไม่สบายใจกับเรื่องอะไรก็ตาม บอกกูนะ ”

“ ครับผม ” ตอบแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งมือหนาที่จับเข้าที่มือของผมก่อนจะเอียงหน้าเข้าซบ“ มึงเองก็เหมือนกัน มีอะไรก็คุยกันนะ คุยได้ทุกเรื่อง ”

“ โอเค ”  ยักคิ้วพร้อมกับตอบอย่างงั้น เราเงียบให้กันสักพักก่อนจะเดินลงจากรถไปที่ลิฟต์ของตึกจอด

“ วันนี้ตอนเย็นมีเรียนมั้ย ” ร่างสูงที่หันมาถาม ผมก็ส่ายหน้า “ กูมีเรียน งั้นมึงก็เอากุญแจรถไป เผื่อจะกลับ จะได้ไม่ต้องมาคอยกู” ว่าแบบนั้นกุญแจรถของอีกคนก็ถูกยื่นมาให้แต่ยังไม่ทันที่ผมจะรับ

“ สัดเมี่ยง ” เสียงของคนที่มาใหม่ด้านหลังเราก็ชวนให้ชักมือกลับก่อนจะสะดุ้ง


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
เบสที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่าทางมันดูงงไม่น้อยที่เห็นผมกำลังจะเอื้อมมือไปจับกุญแจรถของอีกฝ่ายที่เป็นอริกันอย่างงั้น แต่ด้วยความมือไว อาร์มยัดกุญแจรถใส่มือของผมแบบที่ก็ต้องเอาใส่กระเป๋าแบบเร่งรีบ เพราะเราขับรถคนละยี่ห้อกัน แล้วแน่นอนว่า ความแตกชัวร์แบบไม่ต้องสืบเลย

“ ว่าไงมึง ” หลุดถามออกไปด้วยหน้าตาแบบที่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่อีกฝ่ายก็ยังเหลือบมองฝ่ายอริแบบที่ไม่วางตา มองจนคนโดนมองถึงขั้นเอ่ยถาม

“ มองเหี้ยอะไร ” อาร์มว่าแบบนั้นแต่คนมองก็แค่แบะปากใส่ เบสก้าวมายืนข้างผม มันดึงแขนข้างนึงของผมไปควง ก่อนจะก้มลงกระซิบแบบเด็กๆ “ อย่าไปอยู่ใกล้มันมึง ”

“ อะไรของมึง ” ผมหันไปถามอีกฝ่าย “ กูแค่ทำกุญแจรถหล่นแล้วมันก็เก็บให้ ”

“ งั้นมีแอลกอฮอล์เปล่า อย่าลืมฉีดฆ่าเชื้อนะ ” มันว่าผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ต่างกับอาร์มที่ไม่ได้พูดอะไร อีกคนแค่ยกยิ้มก “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ เสือกอะไรมึงละ ” ว่าแบบนั้นเสียงของลิฟต์ตัวที่รอก็เปิดออกพอดี จังหวะนั้นอาร์มเดินเข้าไปด้านในเป็นคนแรกตามด้วยผมแล้วก็เบสที่ก็เดินกอดคอกันเข้ามา

“ วันนี้มึงมาเร็วนะ ” ร่างสูงถามกันผมก็พยักหน้ารับก่อนจะดึงชอคโกแล็ตเย็นที่ซื้อมาขึ้นมาดูดเพราะไม่รู้จะทำอะไร แน่นอนว่าเพราะสายตาคมของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังมองกันอยู่พอดี ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแบบที่ใครว่ากัน ก็คงประมานนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่มีประโยคอะไรที่อยากจะพูดทั้งนั้น เป็นแค่ความรู้สึกที่อยากจะหายไปจากตรงนี้ หายไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ก็ยิ่งดี

“ มึงเอามือออกได้มั้ย ” ไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นเสียงของคนด้านหลังที่พูดขึ้น แล้วนั่นก็ทำให้ไอ้เบสหันไปมองดูด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่

“ พูดอะไรของมึง ”

“ กูบอกว่า ให้เอามือออก ” ไม่พูดเปล่ามือหนาเอื้อมมาจับข้อมือของเบสก่อนจะดึงมันลงด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายกอดกันอยู่อย่างงั้น

“ เหี้ยอะไรเนี้ย ” ร่างสูงคนที่ยืนอยู่ข้างกันหันไปถาม สถานการณ์ที่ทำให้ผมได้แต่มองหน้ามันสองคนแบบเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี แต่ก็เหมือนโชคยังดีอยู่ที่ประตูลิฟต์มันเปิดออกพอดี ผมก็เลยได้โอกาสดึงอีกคนให้ออกมาจากลิฟต์

“ ถึงแล้ว ออกมาไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นมือก็ทั้งฉุดทั้งกระชากเพื่อนสนิทตัวเองให้เดินตามกันออกมา แบบที่ยิ่งไกลจากคนที่อยู่ร่วมกันในลิฟต์ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“ แล้วนี่มึงจะลากกูไปถึงไหนไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นคนที่โดนลากอยู่ก็ทำตัวให้หนักขึ้น ไอ้เบสขมวดคิ้วมองผม ใบหน้าหล่อเหลาของมันที่จ้องมองกัน เป็นท่าทางที่ชวนให้ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเหลือบไปมองทางอื่น

“ อะไร ”

“ มึงดูเหมือนมีอะไรนะ ”

“ ไม่มี!! ” หันไปเถียงอย่างงั้นอีกคนก็นิ่งไป ผมทำทีเป็นถอนหายใจ “ กูกลัวมึงแม่งไปวางมวยกับไอ้สัดอาร์มในลิฟต์น่ะสิไอ้สัด เลยต้องดึงออกมาก่อน ”

“ ไม่วางหรอกน่า ไอ้อาร์มไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ถ้าไอ้ดีนอะ ไม่แน่ ” ว่าแบบนั้นมือหนาก็ดึงขึ้นมากอดคอกันอีกครั้ง และคราวนี้มันดึงให้ผมเดินตรงไปกับมันตรงทางฝั่งของโรงอาหาร “ ไอ้อาร์ม เห็นแบบนั้นมันใจเย็นนะ แต่ก็ในวงเล็บที่ว่า ถ้ากูไม่ไปต่อยไอ้ดีนเข้าละก็นะ เพราะถ้ากูต่อยไอ้ดีนเข้า ไอ้สัดนั้นคงกระโจมเข้ารุมกูจนยับเลยมั้ง ”

“ ก็มึงแม่งเสือกไปต่อยเพื่อนรักมัน ”

“ ใช่ที่ไหน เพราะกูต่อยเมียมันต่างหากละ ”

“ นี่มึงยังจะคิดเรื่องนี้อยู่อีก ” ผมว่า แบบที่อยากจะตะโกนออกไปว่า ‘ ต่อยเมียมันอะไร แฟนไอ้สัดอาร์มคือกูที่มึงกอดอยู่เนี้ย แล้วที่มันจะต่อยมึงเมื่อกี้ ก็เพราะมึงกอดกูนั่นแหละ ยังจะไม่รู้ตัวอีก ส้นตีน ’

“ อ้าวๆ ว่าไม่ได้นะ เพราะเมื่อคืน กูได้รับข่าวสารเด็ดมาก ฟังแล้วจะขนลุก กูขอบอกแค่นี้แหละ แต่ว่าขอเล่าพร้อมๆกันนะ พี่เบส ไม่ชอบพูดหลายที  ”หันมาบอกกันด้วยสายตาเหมือนขาเม้าส์ในทีวี ก่อนที่มันจะหันไปโบกมือทักทายกับไอ้เจ้ยที่ก็กำลังนั่งกินข้าวร้านโปรด พร้อมกับพูดคุยกับคนในหน้าจอมือถือ ซึ่งแน่นอนว่าก็คงเป็นมิ้ง แฟนของมันแบบที่ไม่ต้องเดินไปเห็นก็รู้ได้เลยจากตรงนี้

“ หวัดดีจ้ามามิ้ง ” ปล่อยมือที่กอดคอกันอยู่ ไอ้เบสไปเอียงหน้าใส่หน้าจอมือถือของเพื่อนสนิท ทักทายคนที่อยู่ในนั้น ส่วนมิ้งเองก็แค่ยิ้มหวานก่อนจะโบกมือทักทายกลับมาให้

“ มาถึงก็เสือกเรื่องครอบครัวชาวบ้านเลยนะไอ้สัด ” เจ้ยมันว่าแต่ถึงอย่างงั้นก็ยิ้มกว้างอยู่ดี

มิ้งเป็นแฟนของเจ้ย เท่าที่รู้มันคบกันมาตั้งแต่ม.ปลาย อีกคนเรียนอยู่มหาลัยรัฐชื่อดังแต่ทั้งคู่ก็อยู่คอนโดเดียวกันตามประสาคู่รักที่ก็ห่างกันไม่ได้เลย ถ้าไม่มีใครไอ้เจ้ยก็ยกมือถือขึ้นคุยกับมิ้งตลอด ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พวกมึงจะคุยอะไรกันเยอะแยะ อยู่บ้านด้วยกันยังคุยกันไม่พอใจอีกเหรอ

“ มามิ้งหวัดดี ” ทักทายอีกคนตามธรรมเนียมคนที่เห็นก็เบิกตาก่อนจะยิ้มกว้างให้ จนอดแซวไม่ได้เลย “ ก็คือยังน่ารักเหมือนเดิมเลยน้า ”

“ เมียกู หน้าเหี้ย ” ตามประสาผัวขี้หวงไอ้เจ้ยมันว่าอย่างงั้นพร้อมทั้งผลักหัวผมให้ออกห่างจากหน้าจอ ซึ่งแน่นอนว่ามันวุ่นวานพอสมควร เพราะมีทั้งผมทั้งเบสที่คอยผลัดวนเวียนอยู่ที่หน้าจอนั้นเพื่อกวนตีนมัน

มิ้ง เป็นสาวผมยาว ตัวเล็ก ที่ผิวขาวมาก แถมยังชอบทำสีผมแปลกๆในความรู้สึกของผม แล้วสีที่ทำอยู่ก็เหมือนจะเป็นสีม่วงๆเทาๆแบบพาสเทล ที่ก็เข้ากับอีกคนมาก ชนิดที่ว่าหน้าเหมือนบาร์บี้อยู่แล้ว ทำสีนี้ก็ยิ่งเหมือนบาร์บี้ไปอีก

“ งั้นเพื่อนมาครบแล้ว มิ้งวางละนะ เธอไม่เหงาละ ”

“ ไม่เกี่ยวเลย ” ถึงจะว่าอย่างงั้นแต่เจ้าของเครื่องก็แค่ยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ สายนั้นถูกตัดไป พร้อมกับผมแล้วก็ไอ้เบสที่ก็โบกมือไล่หลังเสมือนแบล็คกราวของภาพ

“ ไปหาข้าวแดกเลยไปไอ้พวกขี้เสือก ” เจ้าของเครื่องหันมาบอกด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนจะหันไปกินข้าวต่อ ผมนั่งลงตรงข้ามกับคนที่กำลังกินข้าว พลางยกน้ำที่ถือมาขึ้นดูด ก่อนจะหันบอกคนที่กำลังจะเอ่ยชวน

“ กูกินมาแล้ว มึงไปซื้อเถอะ ”

“ โอเค ” ไอ้เบสรับคำก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะ แผ่นหลังที่ห่างออกไปชวนให้โล่งใจอย่างน่าประหลาด ผมผ่อนลมหายใจออกมาจนคนที่กินข้าวอยู่ถึงกับต้องทัก

“ โล่งใจขนาดนั้น ”

“ โหห มึงต้องเห็นฉากเมื่อกี้ที่ลิฟต์ไอ้สัด ” ผมว่า “ กูกับไอ้อาร์มยืนอยู่หน้าลิฟต์ แล้วอาร์มมันก็กำลังจะยื่นกุญแจรถมาให้กู เพราะมันมีเรียนบ่ายด้วยเผื่อกูกลับก่อนไรเงี้น แต่ไอ้สัดนี่รู้มาจากไหน อยู่ๆโผล่มา เลิ่กลั่กกันชิบหายตอนนั้น แถมมันยังมากอดคอกูอีก ไอ้อาร์มก็เสือกสั่งให้ปล่อยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย ดีนะลิฟต์เปิดพอดี กูนี่ลากออกมาแทบไม่ทัน โชคยังดีมันไม่เซ้าซี้ถาม ว่าทำไมไอ้อาร์มถึงมาสั่งให้มันห้ามกอดคอกู ”

“ กูก็บอกแล้วว่าให้บอกๆซะ เรื่องจะได้จบๆ ” คนตรงหน้าส่ายหน้าไปมายิ้มๆ “ เชื่อกูหน่อยเถอะ ขอร้องแล้วก็ได้ ”

“ เออ กูจะบอกมันเดี๋ยวนี้แหละ ”

“ ก็หวังว่ามึงจะไม่คิดขึ้นมาได้อีก กับคำที่ว่า เพราะมันมีความสุขกับข้าวเช้ามากๆ ก็เลยไม่อยากจะทำให้มันเสียอารมณ์ ” ประโยคที่ฟังตั้งแต่หน้ามหาลัยก็รู้ว่าประชด ผมเผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปทางร่างสูงที่กำลังคุยกับป้าร้านขายข้าวด้วยท่าทางสนิทสนมอย่างอารมณ์ดี “ ถามจริงเถอะ ”

“ ว่า ”

“ ตอนนี้มึงมีความสุขเหรอ ที่ต้องปิดบังเรื่องของไอ้อาร์มกับไอ้เบส ” ได้แต่นิ่งไปในตอนที่อีกคนถาม “ เอาแบบคำตอบพื้นฐาน จากความรู้สึกพื้นฐานของมึงในตอนนี้นะ อึดอัดมั้ยวะ ถามจริง ”

“ ก็ไม่ขนาดนั้น ” ทั้งที่ตอบออกไปอย่างงั้นแต่ในใจก็มีแต่ความรู้สึกเหนื่อยล้า ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะตัวที่นั่ง ส่วนคนถามก็ได้แต่หัวเราะ

“ ไอ้เมี่ยงเป็นเหี้ยอะไร ” เสียงที่ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นใคร น้ำหนักตัวของคนมาใหม่หย่อนตัวลงนั่งข้างเพื่อสนิทตัวเอง ตอนนั้นไอ้เจ้ยบอกเบส

“ มันมีเรื่องให้เครียดนิดหน่อย ”

“ เรื่องอะไร ” คำถามที่ถูกโยนมาให้ผมผ่อนลมหายใจแล้วในตอนที่กำลังจะส่ายหน้า สมองก็เหมือนจะหยุดความรู้สึกนั้นไว้ ‘ พิรี้พีไรอยู่นั่นแหละไอ้สัด จะบอกก็แค่บอก บอกๆไปเลยไปต้องพูดนู้นเรื่องนี้เลยนะ พูดออกไป พูดเลย มึงมีแฟนแล้วนะ แล้วแฟนมึงก็ชื่ออาร์ม แล้วถ้าถามว่าอาร์มไหนก็บอกไปเลย อาร์มเพื่อนไอ้สัดดีน เพื่อนรักมึงนั่นแหละเบส ’

“ ว่าไง ”

“ กูมีแฟนแล้วนะ ” ตัดสินใจบอกไปอย่างงั้นไอ้เบสก็หลุดยิ้มกว้าง มือที่จับช้อนอยู่ปล่อยลงด้วยความสนใจในประโยคของผมแทบจะทันที

“ เฮ้ยเดี๋ยววววว ใคร ไปคบกันตอนไหนไอ้เสือ ก็ว่าเงียบๆกลับเร็วตลอด ตอนแรกคิดว่าติดแมวนะมึงน่ะ  แล้วหน้าตาเป็นไง มีรูปมั้ย  มาให้กูใส่ใจหน่อย สาวคณะไหน มหาลัยเราปะ หรือว่าคนละมหาลัย ”

“ มึงฟังมันให้จบก่อนมั้ย ” เจ้ยพูดขัดคนที่นั่งข้างกัน อีกคนก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งราวกับเด็กเล็กที่โดนพ่อแม่ดุ

“ ก็กูตื่นเต้นไอ้สัด น้องเมี่ยงจะมีแฟนแล้ว คุณพ่อแบบกูก็ต้องตื่นเต้นสิ ”

“ แฟนกูเป็นผู้ชายนะ ” ประโยคที่ผมพูดทำเอาคนที่ยิ้มอยู่ยิ้มค้างอยู่อย่างงั้น สายตาเล็กเหลือมองคนที่นั่งข้างกันเหมือนจะหาแนวร่วมกับคำพูดนั้นที่ได้ยิน แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ผมก็ชิงพูดต่อ “ แล้วแฟนกูก็คือไอ้อาร์มนั่นแหละ ที่มึงเห็นว่าอยู่ด้วยกันเมื่อกี้ ”

“ ห๊ะ ? เดี๋ยวนะ อาร์ม ? อาร์มไหน ”

“ อาร์มเพื่อนของเพื่อนรักมึงไงเบส เพื่อนดีนของเบส เพื่อนที่เบสรักม๊ากมาก ” เจ้ยที่หันไปลากเสียงใสอีกคนด้วยท่าทางสนุกแต่เหมือนแววตานั้นจะไม่ได้สนุกด้วย เบสดูท่าทางนิ่งไป เป็นท่าทางนิ่งๆที่แม้แต่เจ้ยยังหุบยิ้ม ก่อนจะขยับมือที่วางอยู่ใกล้ๆสะกิด “ เป็นเหี้ยอะไร นิ่งไปเลยไอ้สัด ”

“ ก็มึงเล่นเหี้ยอะไรกัน ไม่เห็นสนุก ” มันว่าอย่างงั้นก่อนจะถอนหายใจ “ ช่วยตอแหลอะไรที่มันเนียนๆหน่อยได้มั้ย พวกหน้าเหี้ย ไอ้อาร์มมันชอบไอ้ดีน ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย ”

“ ไม่ได้โกหก ” ผมบอก แต่อีกคนก็แค่ยิ้ม

“ กูดูออกไอ้สัด ไม่ได้โง่เลย มึงสองคนวางแผนกันมาใช่มั้ย จะแกล้งกูใช่มั้ย ”

“ เรื่องจริงเบส ” เจ้ยหันไปบอกเพื่อนตัวเองเสียงจริงจัง อีกคนก็นิ่ง

“ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย มึงไปเจอกันที่ไหน ที่มหาลัยก็ไม่เห็นพวกมึงจะมีท่าทางชอบเหี้ยอะไรกันเลย นั่งตรงข้ามกันก็บ่อย ”

“ มึงไม่ได้สังเกตเองหรือเปล่า หรือว่ามึงมัวแต่มองไอ้ดีน จ้องแต่จะหาเรื่องทะเลาะกับมัน ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นเลย ” คนตรงข้ามผมพูดแบบนั้น ร่างสูงก็หันมามองหน้ากันแบบที่ยังไม่อยากจะเชื่อกันเท่าไหร่

“ ขอร้อง อย่าตอแหลกูเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะมาล้อเล่นกูเลยนะ ก็เมื่อคืน..”

“ กูไม่ได้โกหก ” ผมย้ำอย่างงั้น ก่อนจะถอนหายใจ “ มึงจำได้มั้ยว่ากูเคยบอกว่า กูจะย้ายห้องเพราะเริ่มเลี้ยงแมวมั้ย ”

“ ก็ อื้ม ”

“ นั่นแหละ ห้องที่กูย้ายไปข้างๆห้องมันคือห้องของอาร์ม ไอ้สัดนั่นเลี้ยงแมวอยู่ตัวนึง เราก็เลยรู้จักกัน คือจริงๆเรื่องมันยาวกว่านั้น แต่นั่นแหละ กูกับมันก็รู้จักกันแบบลับๆ ไม่ได้คิดจะบอกมึง เพราะกลัวมึงไม่โอเค ที่กูเป็นเพื่อนมึง แล้วไปสนิทกับเพื่อนอริของมึงอย่างดีน แต่สุดท้ายก็นะ..” ผมเว้นเสียงพลางเหลือบมองคนที่มองกันอยู่

“ สุดท้ายก็คือเป็นแฟนกันเลย ”

“ อื้มมมม ” ลากเสียงยาวพลางพยักหน้ารับ คนฟังก็ได้แต่ถอนหายใจไปทางอื่น สำหรับเบส ในวินาทีนี้อาหารตรงหน้าคงดูน่าเบื่อลงทันทีในความรู้สึก   แต่ก็นั่นแหละ ความจริงก็คือความจริง ยังไงสักวันก็ต้องรู้

“ อย่าทำสีหน้าให้เพื่อนลำบากใจสัดเบส ” เจ้ยมันออกปากเตือน “ เมี่ยงมันเครียดมากเรื่องที่มันชอบกับไอ้อาร์มทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องเครียดเลย มันแม่งต้องมีความสุขเพราะมีความรักด้วยซ้ำ แต่เพราะกลัวมึงรู้สึกไม่ดี เมื่อวานก็ไม่ยอมบอก รับรู้ไว้ด้วยว่า มันแคร์มึงแค่ไหนแล้ว ”

“ แล้วคือกูต้องโอเคเลยเหรอ ” เบสมันเอ่ยถามเราสั้นๆ “ ใจเย็นหน่อยเจ้ย ให้กูทำใจก่อน กูไม่ได้ค่อยๆรู้เรื่องของมันแบบที่มึงรู้ จะให้กู ตาโต ปรบมือดีใจ แล้วบอกว่า ดีใจด้วยนะมึง มันยังไม่ได้อะตอนนี้ แถมเมื่อคืนกูเจอไอ้ดีนแล้ว.. ”

“ แล้วอะไร ”

“ เปล๊า ” ว่าแบบนั้นคนตัวสูงก็พยักหน้ารับ “ อย่าสนใจเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะกูอาจจะเข้าใจผิด หรือเปล่านะ.. ”

“ อะไรของมึง ”

“ โทษทีนะมึง ” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกมาแบบนี้ท่ามกลางเพื่อนทั้งสองคนตรงหน้า ผมแค่รู้สึกมันเป็นคำที่อยากจะพูด เหมือนกับว่าความจริงผมควรเล่าเรื่องของอาร์มให้มันฟังตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ผมสมควรค่อยๆเล่า แบบที่เล่าให้เจ้ยฟัง ไม่ใช่อยู่ๆจะบอกก็บอกแบบนี้

“ มันไม่ใช่ความผิดของมึงเมี่ยง ” คนตัวสูงบอกกันอย่างงั้น พลางยกมือขึ้นราวกับจะห้ามความคิดของผม “ แต่ขอเวลากูทำใจหน่อย เพราะตอนนี้คือช็อคมากจริง ยังงงอยู่ด้วยเนี้ย ” ว่าแบบนั้นเบสก็หันมองเพื่อนสนิทตัวเอง “ เจ้ย..”

“ เออ เรื่องจริงไอ้สัด ต้องให้ย้ำอีกกี่หน พวกกูจะโกหกมึงทำเชี้ยอะไรละ ”

“ คือมันมีอะไรให้มึงชอบเมี่ยงกูถามจริง หล่อก็ไม่หล่อ กูยังหล่อกว่าอีก ”

“ ให้โอกาสมึงพูดอีกทีนะ ” ว่าแบบนั้นคนพูดก็ถึงหันมามองกันตาโต เบสมันเม้มปากในตอนที่เรามองกดดันมัน

“ เออ มันหล่อ แต่กูก็หล่อเหมือนกันอะ กูเฟรนลี่กว่าด้วย ไม่เหมือนมัน มันไม่ค่อยพูด พูดทีก็น่าต่อย มึงเอาอะไรไปชอบมัน ”

“ มึงต้องลองคบมันดู เปิดใจ ”

“ คือจะให้กูแย่งผัวมึง ”

“ ไอ้สัด ” สบถออกไปคนฟังอยู่ก็หัวเราะ เบสมันหันไปกินข้าวของมันต่อ ก่อนจะถามขึ้นมา เหมือนกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้ “ แต่ว่านะ เรื่องนี้ไอ้ดีนยังไม่รู้ใช่มั้ย ”

“ กำลังจะรู้ ” บอกแบบนั้นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมพิมพ์ไปบอกอีกคนตามที่ตกลงกันไว้ แ ต่เหมือนเบสจะจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่สักพัก

“ คิดเหี้ยอะไรอยู่ ” คนที่นั่งข้างกันหันไปถามเพื่อนตัวเอง เจ้ยมันขมวดคิ้วเหมือนสงสัยอยู่นาน

“ เมื่อวานกูเจอไอ้ดีนที่ผับ มันแม่งเมาแอ๋เลย แถมมาคนเดียว ” ร่างสูงว่าอย่างงั้นก่อนจะยิ้ม

“ ไปผับได้ไง มันบอกน้ำมันรถจะหมด ”

“ ไม่รู้ แต่สาวรุมล้อมมันเพียบเลย เหมือนจะเลี้ยงเหล้าด้วยมั้ง แถมยังพูดอีกว่า..” สายตาเรียวหยุดสิ่งที่กำลังจะพูดพลางหันไปมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามา แล้วนั่นก็คือ กลุ่มของอาร์มและพรรคพวก เบสนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดเบาๆกับตัวเอง “ หรือว่านะ..”

“ หรือว่าอะไร ” เจ้ยถาม แต่อีกคนก็ไมได้ตอบอะไรร่างสูงแค่ยกยิ้มพลางยกมือขึ้นเหมือนขอพักการพูดคุยกับเรา

“ วี๊ดวี้ว ว่ายังไงครับ คุณเพื่อนเขย ” ประโยคที่แทบอยากจะมุดดินหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า อาร์มหันมองผมเหมือนจะถามกันว่า ‘ บอกเบสแล้วเหรอ ’ แต่ผมกลับไม่กล้าแม้จะหันไปมองตาอีกคน ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆอยู่อย่างงั้น แบบชนิดที่ไม่ต่างกันกับไอ้เจ้ย รายนั้นก็ถอนหายใจออกมาแถมยังยกมือจับหัว แน่นอนว่าเราคงสบถคำเดียวกัน แล้วนั่นก็อาจจะเช่น ‘ ไอ้สัดเอ้ยยยยยยยยยยยยยย ’

“ อะไรกันวะ ” คนตัวเล็กที่ชื่อจุ้นเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่รู้ สีหน้าแตกต่างจากดีน อาร์ม แล้วก็โฮมโดยสิ้นเชิง มันถามเบส “ เพื่อนเขยเหี้ยอะไรมึง ”

“ อ้าววววว นี่ยังไม่รู้กันเหรอค้าบ ” คนตอบว่ายิ้มๆก่อนจะยืนขึ้นพลางผายมือมาทางผม “ ก็คือเพื่อนผมน้องเมี่ยงคำ ตอนนี้ดำรงตำแหน่ง แฟนของพี่อาร์ม ที่เป็นเพื่อนพวกคุณอยู่ไง ผมก็เลยทักทายเค้าไงครับ ฮายยยย ว่ายังไงครับเพื่อนเขย ”

“ กูจะอยากจะบ้าตาย ” เจ้ยที่ถึงขั้นส่านหน้าแต่อาร์มกลับแค่ยิ้ม มันตอบรับ

“ เออ ว่ายังไง ”

“ เชี้ยอาร์ม  เดี๋ยว นี่เรื่องจริงเหรอวะ กูคิดว่าอำเล่นๆ ” ยังเป็นจุ้นคนเดิมที่ออกอาการตกใจกว่าใคร มันที่หันไปมองดีนแต่เหมือนอีกคนจะแค่จ้องมองผมอยู่อย่างงั้น แบบที่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

“ อย่ามองเพื่อนกูด้วยสายตาอย่างงั้นสิครับคุณดีน มันไม่เป็นมิตรเลยน้า นี่เพื่อนเขยไง นี่แฟนของเพื่อนรักเลยน้า ” เน้นคำนั้นเป็นพิเศษ แต่ดีนก็แค่มองมันด้วยหางตาอย่างที่ไม่ใส่ใจเท่าไหร่

“ เสือก ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเหลือบมองเพื่อนตัวเองอย่างอาร์ม แล้วก็พูดเสียงเรียบ

“ กูขอให้รักของมึงมันล่มจมไวๆก็แล้วกันนะไอ้สัด ”

“ มันไม่เป็นแบบนั้นหรอก ” ร่างสูงตอบรับก่อนจะยกยิ้ม

“ ปากเสียจริงเว้ย ไม่น่ารักเลยน้า คำนั้นอะ ” เบสมันสวนกลับ “ แต่ก็อย่างว่าละน้า ใครมันจะไปดีใจด้วยลง คนที่ชอบเรามาตั้งนาน อยู่ๆก็เปลี่ยนใจจากเราไปหาคนอื่น หนำซ้ำยังเป็นคนที่เราเกลียดอีก เห้อออออ ”

“ หมายความว่าไงวะ ” ผมที่เอ่ยถามออกไป เบสมันก็หันมามองกัน

“ มึงคงยังไม่รู้ งั้นกูจะบอกไว้ เพราะยังไงมึงก็รู้อยู่แล้ว เมื่อคืนไอ้ดีนไปเมาเหล้าที่ผับประจำ ซึ่งกูก็อยู่ที่นั้น สาวคนนึงในกลุ่มมันเล่าว่า ไอ้อาร์มชอบไอ้ดีนจ้า ชอบมากกกกกกกกกกกกกเลย ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย ที่มันมาเมาก็เพราะ อาร์มเปลี่ยนใจหปจากมันแล้ว และคนที่มันเปลี่ยนใจไปหาก็คือมึงไงครับ เพื่อนเมี่ยง ”

สายตาของผมหันมองอาร์มในตอนที่ได้ยินนั้น แต่เหมือนอีกคนจะแค่นิ่งไป อาร์มไม่เถียงกลับอะไรเลย ไม่ปฎิเสธด้วย ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ความจริง 

“ เหี้ย เดี๋ยวนะ เดี๋ยวเลย เดี๋ยว..” จุ้นเพื่อนอาร์มเอ่ยขัดขึ้นมา ก่อนจะเชิดหน้าถามไอ้เบสแบบหาเรื่อง “ มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง พูดให้มันดีๆหน่อย ใครชอบใคร มึงพูดเหมือนไอ้อาร์มเคยชอบไอ้ดีน ”

“ ก็ใช่ไง ตามนั้นแหละ  ” คำพูดที่พูดขึ้นมาแบบเสียงเรียบๆของดีน ชวนให้ตรงนั้นเงียบไปหมด สายตานั้นหันมามองจ้องผม “ ก่อนหน้านี้อาร์มเคยชอบกู แล้วนี่ก็คือของขวัญที่กูซื้อให้กู ” แหวนที่นิ้วนางด้านซ้ายถูกยกขึ้นมาเป็นหลักฐาน คนที่กำลังพูดอยู่ตรงหน้าผมยกยิ้มให้กัน “ แต่ตอนนี้เหมือนว่า มันจะเลิกชอบกูแล้ว และมันก็ไปชอบมึงไง ” เชิดหน้ามาให้กัน ก่อนที่แหวนบนนิ้วนั้นจะถูกถอดออกแล้วยื่นมาให้ “ กูให้ เอาไปสิ ยังไงมันก็ไม่ได้ชอบกูแล้ว กูก็คงไม่จำเป็นต้องใส่อีก ”

ได้แต่ยืนมองดูแหวนนั้นที่ถูกยื่นเอามาให้อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมันมีแค่ผมกับดีนที่อยู่ตรงหน้านี้  หูของผมอื้อ หน้าผมชา หัวใจของผมเหมือนลอยเคว้างคว้างไปหมด ก็คล้ายกับการถูกตบฉาดใหญ่กลางสี่แยก แล้วก็คล้ายกับการลอยคว้างไปอย่างไร้จุดหมายในหลุมดำที่แสนว่างเปล่า

สติของผมขาดไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไง  ขนาดในสมองเองก็ยังมีแต่คำถาม ว่า นี่มันอะไรกันวะ แต่ทว่าในคำถามนั้นก็เหมือนจะมีคำตอบอยู่แล้ว คำตอบของคำถามมากมายที่เคยสงสัยก่อนหน้านี้

ทำไมดีนถึงวุ่นวายกับเรานัก ทั้งๆที่มันเป็นแค่เพื่อนสนิท

ทำไมดีนถึงดูเหมือนพยายามดึงอาร์มออกไปจากผมนักนะ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็บอกอยู่ตลอด ว่าอยู่กับแฟน ก็น่าแกรงใจกันสิ

  แต่แล้วเหตุผลทุกอย่างมันก็อยู่ตรงนี้
ก็เค้าไม่ใช่แค่เพื่อนไง แล้วนั่นก็คือคำตอบ

คนที่อาร์มเคยบอกผมว่า มันมีคนคนนึงที่ชอบอยู่แล้ว คนที่ทำให้อีกคนเจ็บปวดเหมือนจะตาย นั่นก็คือดีน

ดีนคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทที่สุด และคนที่รักที่สุดของอาร์ม

ดีนคนที่เป็นคำตอบของทุกๆอย่าง แม้แต่ในเรื่องราวที่อีกฝ่ายบอกกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าถึงเวลาเมื่อไหร่แล้วจะเล่ากัน

ดีนคนที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นใครคนนั้น 

“ รับไปสิ ตอนนี้มึงเป็นแฟนอาร์มแล้วไง ” อีกคนว่าอย่างงั้น แต่มือหนากับแค่คว้าแหวนนั่นไว้ก่อน

 “ อย่าหลงตัวเองดีน ” อาร์มดึงแหวนนั้นที่ดีนกำลังถืออยู่ ก่อนจะหันไปบอก “ อย่าดูถูกกูขนาดนั้น กูรักเมี่ยง แล้วเค้าก็ไม่ได้มาแทนที่ใคร ” แหวนเงินถูกโยนทิ้งลงบนพื้นจนเกิดเสียงกระทบ ผมที่มองดูมันหมุนวนอยู่อย่างงั้น ทั้งๆที่ตอนนี้คนสองคนที่ประจันหน้ากันไม่ใช่ดีนกับเบสอีกต่อไป แต่มันคืออาร์มที่ผลักดีนออกไปให้ไกลจากผม ผมที่ได้แต่นิ่งอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มทำอะไรก่อน  “ อย่ามายุ่งกับแฟนกู ” ว่าแบบนั้นร่างสูงก็หันกลับมามองกัน

แล้วนั่นก็เหมือนจะเป็นจังหวะเดียวกันที่ผมเองก็เงยหน้าขึ้นมองอาร์มพอดี

“ นี่มันเรื่องจริงเหรอวะ ” ทั้งๆที่ไม่ใช่ประโยคที่ควรถามเลย ทุกอย่างก็ชัดเจนอยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างงั้น ปากผมก็ยังถามอีกคนออกไป ด้วยใจที่อยากจะภาวนาให้มันเป็นแค่เรื่องโกหก

ทว่าในตอนนั้นอาร์มแค่นิ่ง อีกฝ่ายที่ผ่อนลมหายใจออกมา มันคล้ายกับตอนที่เราเล่นเกมส์แล้วแพ้ ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน อีกคนมองตาผม สายตานั้นมีคำตอบอยู่แล้ว

‘ ใช่ มันจริงอย่างงั้น ’ นี่คือสิ่งที่อีกคนบอกกัน
แล้วมันก็เหมือนจะย้ำ ให้เจ็บซ้ำลงไปอีก 

.............................................................
กอดน้องเมี่ยงนะลูก
แต่ก็สงสารพี่อาร์มเหมือนกัน พี่อาร์มก็ชัดเจนมากแล้วนะ
ไม่รู้จะยังไงดี สงสารทุกคนเลย

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai5: :katai5: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ทำไมเราแอบสะใจผลลัพธ์ที่ได้วะ ขอดราม่าหนักๆๆๆๆ เอาให้ตายกันไปข้าง อ้ำอึ้งกันอยู่ได้แทนที่จะพูดๆๆๆไปซะตั้งแต่แรก

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เออจริงแอบสะใจเบาๆกับการโป๊ะตึงโป๊ะรอบนี้ 5555 บทจะแตกโป๊ะก็เอาซะรู้กันมันทุกคนทุกฝ่ายทุกเรื่องที่คาใจเลย ดี๊ไม่ต้องพูดอีกหลายรอบ ทีเดียวจบ จากนี้ไปจะยังไงก็เรื่องของพวกuนะ 5555 จะมาเสียใจอะไรตอนนี้ละเมี่ยง ก็เข้าใจว่าเงิบอะนะ แต่คุยกันเถอะ ถ้าไม่อยากเลิกอีกรอบ พออาร์มจะจริงจังทีก็มีเรื่องตลอด เอาไปเอามากูเริ่มสงสารอาร์มละนะ ผู้ไขว่คว้าหารัก 5555 อาร์มจะเล่าก็ไม่ได้เล่าสักที ลากยาวมาจนแตกโป๊ะเป็นไงทีนี้ ความผิดใคร เอาไว้ก่อนๆ สนุกกจ้า ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจะเป็นยังไงกันบ้าง  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องเมี่ยงจะถามย้ำเรื่องในอดีตไปเพื่ออะไร?   การกระทำของพี่อาร์มตอนปัจจุบันมันชัดเจนอยู่แล้ว 

ถึงแม้อดีตจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่  อย่าเอาอดีตมาบั่นทอนกัน  ดูปัจจุบันสิว่าพี่อาร์มแคร์ใครกันแน่

และสิ่งที่พี่อาร์มปฏิบัติกับไอ้ดีนในตอนปัจจุบันนี้  มันมีทางให้ถ่านไฟเก่าคุหรืออย่างไร  ฮะ น้องเมี่ยง?

ลำไยน้องเมี่ยงจริง ๆ เลย


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กอดปลอบหนูเมี่ยงทีนึง หนูไม่โง่นะลูก เพียงแค่หนูตามพวกเขาไม่ทัน เท่าน้้นเอง  :กอด1:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 28

“ เป็นไง พอใจมึงยัง ” ฝีเท้าที่หยุดลงของเจ้ยคนที่เดินนำอยู่ หันมาพูดกับเบสที่เดินอยู่ตรงกลาง ส่วนผมเดินตามมาแบบรั้งท้ายสุด

สีหน้าหงุดหงิดของคนที่เดินนำอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่มีให้เห็นกันง่ายๆ เจ้ย เป็นคนมีเหตุผลมาตลอดใรความรู้สึกของผม จนขนาดที่เราเคยพูดกันบ่อยๆเลยว่า อารมณ์ของมันถ้าไม่ถึงขีดสุดจริงๆ ก็คงเหมือนใบไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำ

ลอยเหนือทุกดราม่าในทุกการทะเลาะกันของดีนและเบส แต่หนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่

“ กูก็ไม่ได้พอใจเปล่าวะ ”

“ กูก็ไม่ได้พอใจเปล่าวะ แล้วมึงทำแบบนั้นลงไปได้ยังไง ” คำถามที่ทำให้อีกคนถึงกับเงียบ เบสมันก้มหน้าลง “ ก้มหน้าทำไม รู้สึกผิดเหรอ กับสิ่งที่มึงทำลงไป ”

“ กู.. ”

“ รู้มั้ยว่าถ้ากูเป็นไอ้เมี่ยง กูต่อยมึงไปแล้ว ” บอกแบบนั้นอีกคนก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหลุดยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา “  ไม่ดิ ถึงเป็นกูตอนนี้กูรู้สึกอยากจะต่อยหน้ามึงไอ้สัด ”

“ ขอโทษ ” พูดออกมาแบบนั้นอีกคนก็เชิดหน้ามาทางผมที่อยู่หลังสุด

“ หันไปบอกไอ้เมี่ยงสิ ตอนนี้มึงกล้าหันไปมองหน้ามันหรือเปล่าละ ” ผมเบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้จะพูดอะไรในตอนที่เบสหันมามองหน้า “ รู้มั้ยว่ากูหงุดหงิดมึงชิบหาย หงุดหงิดที่ทั้งๆไอ้เมี่ยงมันแคร์ความรู้สึกของมึงขนาดนั้น เห็นมึงมีความสุขกับรถคันใหม่ของมึง แต่ทั้งๆที่มันเองก็มีความสุขเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ยอมบอกมึง มันกลัวมึงจะเสียความรู้สึก แต่นี่มันอะไรกัน มึงพูดออกไปได้ยังไง ไม่คิดเลยเหรอว่าเพื่อนจะเสียใจ มึงเอาแต่ตัวเองอะไอ้สัด มึงเอาแต่ความสะใจของตัวเองเท่านั้นเลย ”

“ มึง มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นเปล่าวะ ”

“ ไม่ได้ขนาดนั้น ไม่ได้ขนาดนั้นอะไร กล้าพูดนะไอ้สัดว่าไม่ได้ขนาดนั้น ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น มึงอยากเห็นไอ้ดีนเสียหน้าจนตัวสั่น เพราะรู้ว่ามันยังไม่รู้ ก็เลยเอาเรื่องไอ้เมี่ยงไปบอก แล้วพอเห็นมันยังนิ่ง ก็เลยพูดเรื่องเหี้ยนั่นออกไป ทั้งๆที่ก็ มึงพูดออกมาได้ยังไงอะ  ไม่เห็นใจไอ้เมี่ยงบ้างเหรอ ”

“ แต่สักวันมันก็ต้องรู้เปล่าวะ ”

“ แล้วมันใช่เรื่องที่มึงต้องบอกเพื่อความสะใจมั้ยวะ แล้วแม้แต่ตอนนี้ ประโยคของมึง คำพูดของมึง ก็ไม่ใช่อะไรที่ฟังแล้วรู้สึกดีเลยไอ้สัด เหมือนทำไปเพราะความสะใจล้วนๆเท่านั้น มึงไม่แคร์ใครเลยอะเบส ” เจ้ยมันว่าก่อนจะถอนหายใจ “ ทั้งๆที่คนอื่นเค้าแคร์มึงขนาดนี้ ทั้งๆที่พวกกูแคร์มึงขนาดนี้ แต่มึงกลับไม่ได้แคร์พวกกูเลย ”

“ ขอโทษ ”

“ ขอโทษแต่ไม่สำนึก จะขอโทษทำเหี้ยอะไร ” เจ้ยมันตะโกน “ ขอโทษแล้วมันเอาอะไรกลับมาได้บ้างวะ ขอโทษแล้วเมี่ยงมันจะหายเสียใจเหรอวะ ” คำพูดถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปทางอื่น “ ก็จริงอยู่ที่ไอ้อาร์มมันชอบดีน กูเองก็รู้มาตลอด ”

“ มึงก็รู้เหรอ ” เบสถามย้ำกับอีกคน ที่ก็พยักหน้ารับ

“ ก็กูเคยเรียนห้องเดียวกับมันมาก่อน ทำไมจะไม่รู้ ”

“ แล้วทำไมตอนนั้นมึงไม่พูดว่าไอ้อาร์มมันชอบไอ้ดีน ทั้งๆที่มึงเองก็รู้ ”

“ ก็รู้ว่าอะไรมันควรพูด อะไรมันไม่ควรพูดไงไอ้สัด ” เจ้ยตะโกนใส่เบสเสียงดังลั่น “ มึงคิดว่าไอ้อาร์มมันมีความสุขเหรอ กับการรักใครสักคนแล้วไม่ได้รับรักนั่นตอบเลย แล้วมึงคิดว่ามันน่าล้อนักเหรอวะ กับแค่การที่มึงรักใครสักคน แต่ทุกครั้งที่ถูกพูดถึงก็จะถูกปฎิเสธ ว่ามันไม่จริง ทั้งๆที่เค้าก็พูดกับเราอีกอย่าง ” ทุกอย่างเงียบ เจ้ยมันยกยิ้ม

“ มึงรู้มั้ย คนที่มันโดนปฏิเสธความรัก แต่ร้องไห้ไม่ได้ด้วยซ้ำ มันเป็นยังไง คนที่ต้องยิ้ม ต้องมองดูคนที่เรารัก รักคนนู้น มีความสุขคนนี้ แบบที่มันไม่ใช่เรา นั่งฟังคำพูดปฎิเสธ ที่มึงเอาแต่ล้อเหมือนเด็กอนุบาลว่าชอบกันหรือเปล่า ทั้งๆที่เป็นความจริง ก็ชอบ แต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ถามจริง ถ้าเป็นมึง มึงเฉยได้เหรอ จะรู้สึกก้มหน้าก้มตายอมรับคำพูดที่เค้าบอกว่า เค้าไม่รักเราได้เหรอ  จะก้มหน้าก้มตาทนรอ เป็นแค่คนในความลับได้เหรอ ”

“ ก็กูไม่รู้ ”

“ แต่ถ้ามึงรู้ มึงก็ทำ เหมือนอย่างที่มึงรู้ว่าไอ้อาร์มเคยชอบไอ้ดีน แล้วพอรู้ว่าอาร์มมันตัดใจมาชอบเมี่ยงแล้ว มึงก็เอาเรื่องที่เห็นไอ้ดีนเสียใจเมื่อคืนที่ผับมาแฉมันเพื่อความสะใจ เพื่อความสนุก โดยที่ไม่ดูเลยว่าเพื่อนมึงรู้สึกยังไง ”

“ ก็บอกว่ากูขอโทษ กูไม่ทันคิดอะไร ทุกอย่างตอนนั้นมันเร็วมาก กูก็เพิ่งปะติดปะต่อเรื่องได้ กูก็เลยพูดไป  ”

“ ก็เลยพูดไปได้ยังไง มึงใช้คำว่า ก็เลยพูดไป ได้ยังไง ”

“ สักวัน ยังไงเมี่ยงมันก็ต้องรู้ ” ประโยคนั้นชวนให้คนฟังถึงกับเงียบไป เจ้ยมันจ้องหน้าเบส จ้องอยู่นานมาก ก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา

“ แต่ก็ไม่ใช่จากปากของมึง มันควรจะได้ฟัง จากปากของคนที่มันรัก มันควรจะได้ฟังเหตุผล และที่มาที่ไป ไม่ใช่จากปากของคนที่คอยคิดแต่จะหาเรื่องเพื่อนเหมือนเด็กๆ โดยที่ไม่สนใจอะไรเลย ว่าเพื่อนมึงจะรู้สึกยังไงอย่างมึง ”

“ ไอ้เจ้ย..” เบสมันเรียกเพื่อนสนิทเสียงเบา

“ อยากจะถามจริงๆเลยว่า มึงสนใจอะไรบ้างวะ นอกจากความสะใจของตัวเอง เคยคิดสนใจความรู้สึกของเพื่อนแบบพวกกูบ้างมั้ยวะ ”

“ ขอโทษ ”

“ ไปกันเถอะมึง ” เจ้ยเดินมาหาผม มันที่ถอนหายใจให้กันนั้น ในแววตามีแต่ความรู้สึกแย่แทนกันเต็มไปหมด “ เข้าเรียนกันเถอะ อย่าไปสนใจคนอื่นที่มันไม่สนใจเราเลย ” เหลือบมองไอ้เบสในช่วงท้ายของประโยคนั้น

“ อื้ม ” พยักหน้ารับคำชวนนั้น ผมเองก็เหลือบมองเบสที่ตอนนั้นมันมองผมอยู่

“ เมี่ยง กูขอโทษจริงๆนะ ขอโทษที่ไม่ได้คิดอะไรเลยขนาดนั้น ” เสียงที่พูดแบบนั้นชวนให้ขาของผมหยุด แต่ทว่า ปากกับพูดอะไรออกไปไม่ได้เลย

ความรู้สึกตอนนี้ไม่ได้อยู่ในจุดที่เอ่ยออกไปได้ว่า ‘ ไม่เป็นอะไรมึง ’ เพราะในหัวใจที่มีเพียงแต่ความสับสน แม้แต่โทรศัพท์มือถือที่สั่นไม่มีหยุดเพราะสายโทรเข้า ผมยังไม่คิดอยากจะรับสายเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าต้องพูดอะไร
มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น

บรรยากาศก่อนหน้านี้ที่โรงอาหาร ผมจำได้ว่าอาร์มเอื้อมมือมาจับมือของผม เจ้าของใบหน้าคมที่เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างในตอนนั้น แต่ผมกลับไม่ได้ยินเลย ความรู้สึกตกใจคล้ายเสวิตซ์กดปิดการได้ยินของผมลงในตอนนั้น ทุกอย่างมันนิ่งสนิท

“ กู ไปเรียนก่อนนะ ” แล้วสุดท้ายนั่นคือประโยคที่ผมพูดออกไป ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น โดยที่ไม่ได้ฟังเสียงเรียกของอีกฝ่ายเลย แต่ถึงอย่างงั้นอาร์มก็ยังโทรเข้ามาไม่มีหยุด ต่อให้ปิดเสียง ปิดสั่น แต่หน้าจอก็ยังแจ้งเตือนกันอยู่แบบนั้น

“ ไม่รับสายมันหน่อยอะ ” คนที่นั่งอยู่ข้างกันเชิดหน้ามาที่มือถือของผมที่เพิ่งถูกดึงให้คว่ำหน้าจอลง “ มันคงอยากจะคุยกับมึงนะ ”

“ รู้ ” ผมตอบรับ “ แต่ตอนนี้กูยังไม่อยากจะคุย ”

“ มีอะไรพูดกับกูได้ ” เจ้ยพูดสั้นๆพลางผ่อนหลังลงกับเก้าอี้ตัวที่กำลังนั่ง “ เมี่ยง..”

“ หื้ม ? ” หันไปบอกอีกคนก็ยิ้มจางๆ

“ กูขอโทษแทนไอ้เบสด้วยนะ ”

“ มึง..กูถามได้มั้ย ” ผมหันไปมองคนข้างๆ อีกคนก็พยักหน้ารับ

“ เรื่อง ? ”

“ ทำไมถึงไม่บอกกูวะ มึงเองก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องที่ไอ้อาร์มชอบดีน แต่ทำไมถึงไม่ยอมบอกกูเลยวะ ” สายตาของคนที่มองกันนั้นเปลี่ยนไป ลมหายใจที่ผ่อนออกมา ราวกับว่าสุดท้ายแล้ว มันก็ต้องพูดในสิ่งที่ไม่ค่อยอยากจะพูดกันสักเท่าไหร่

“ เอาจริงๆตอนแรกกูไม่คิดว่ามึงกับมันจะมาถึงจุดนี้หรอก ไม่เคยคิดเลยจริงๆเว้ย จนมาถึงตอนที่มึงเล่าเรื่องไอ้อาร์มนามสมมุติเหี้ยอะไรนั่น กูถึงจะมารู้ว่าจริงๆ มึงกับมันคงเริ่มมีใจให้กันแล้ว ”

“ อื้ม ”

“ กูพูดความจริงได้มั้ย ” ประโยคนั้นทำให้ผมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพนักหน้ารับ “ จากที่ฟังมึงเล่ามาตลอด กูก็รู้สึกว่าไอ้อาร์มมีใจให้มึงเหมือนกัน กูเลยอยากจะให้มึงเข้าไป แล้วพาไปอาร์มออกมาสักที จากวังวนนั้น ”

“ มึงหมายถึงดีนเหรอ ” อีกฝ่ายยักไหล่ยิ้มๆ

“ กุรู้จักกับมันมานาน เมื่อก่อนก็อยู่กลุ่มเดียวกัน ไอ้สัดนั่นที่ชอบเพื่อนตัวเอง ชอบแบบ ดูจากดาวอังคารก็ยังดูออก แต่ไอ้สัดดีนก็ทำเหมือนจะไม่รับรู้เรื่องนี้เลย หนำซ้ำยังเอาแต่คอยบอกมันว่า ให้รอ ทั้งๆที่จริง ก็ไม่รักนั่นแหหละ แต่ไม่กล้าพูดออกมากลัวเสียเพื่อนไป ”

“ เหรอ ”

“ ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนกูเอาความดีเข้าตัว เพราะถ้าไอ้อาร์มมูฟออนไม่ได้แล้วทำมึงให้เจ็บ กูแม่งก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้เหี้ยเบสเหมือนกัน ที่ไม่ยอมบอกอะไรมึงแบบนั้น ” ผมนิ่งในตอนนั้นเจ้ยมันก็ถอนหายใจ “ ตอนแรกกูก็ลังเลเหมือนกัน ว่าจะบอก ตอนที่มึงมาเล่าเรื่องที่ไอ้อาร์มบอกมึงว่ามีคนที่มันชอบอยู่แล้ว กูอยากจะบอกเหมือนกันว่าเป็นดีน ”

“ แล้วทำไมไม่บอก..”

“ แล้วถ้ากูบอก มึงจะยังให้โอกาสมันมั้ยวะ ” คำถามนั้นกลายเป็นผมที่เงียบไป “ มึงจะยังให้โอกาสมัน เหมือนอย่างที่ก่อนหน้านี้มึงให้โอกาสมันมั้ย หรือว่ามึงจะคิดเหมือนที่ไอ้ดีนคิด ว่ามันไม่ทางหรอก ที่อาร์มจะเลิกรักมัน ”

“ กู..”

“ นั่นแหละ คือเหตุผลที่กูไม่บอก เพราะถ้าบอก มึงจะตัดสินมัน ตัดสินแบบที่ไม่ได้ลองเลย ว่ามันจะทำได้มั้ย แล้วใครๆก็เป็นแบบนั้น ถ้ารู้ว่าอาร์มชอบดีน ก็จะมีแค่คำพูดที่ว่า ไม่มีทางหรอก มันเป็นเพื่อนรักกัน มันอยู่ด้วยกันตลอด คนข้างนอก จะเข้าไปได้ไง ไม่มีทาง ”

“ ก็ใช่ไง ”

“ แต่ตอนนี้มึงก็เข้าไปแล้วนี่ ” เจ้ยมันเถียงผม ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ ในใจของไอ้อาร์ม มึงเข้าไปแล้วนะ หรือที่กูพูดมันไม่จริง ”

ถ้าให้พูดกันตามตรง ผมก็ไม่รู้หรอก ว่าในใจอาร์มตอนนี้มีผมอยู่มั้ย ไม่รู้เลยว่าในหัวใจนั้น ผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่อีกคนรัก แต่สิ่งที่รู้คือ มันทำตามในสิ่งที่มันสัญญากันไว้เสมอ

ตั้งแต่วันที่ขอโอกาส ว่าจะพยายามพาตัวเองออกมาจากคนที่มันชอบ แล้วตั้งแต่วันที่มันบอกว่ามันเลิกชอบใครคนนั้นแล้ว อาร์มก็แสดงให้เห็นกันมาตลอดถึงคำว่า เรา

เราที่หมายถึง พื้นที่ข้างๆของผมนั้นมีมัน และพื้นที่ข้างๆมันนั้น มีผม
เราที่เป็นเพียงคนสองคนที่อยู่เคียงข้างกัน ไม่มีคนอื่น

“ มึง ” ผมผุดลุกขึ้นคนที่นั่งอยู่ก็ถึงกับเด้งตัวออกห่าง ก่อนจะถาม

“ ตกใจหมดไอ้สัด มึงลุกทำเหี้ยอะไรเนี้ย  ”

“ กูคิดว่า กูควรไปหาไอ้อาร์มว่ะ ” พูดแบบนั้นคนฟังก็ขมวดคิ้วมันคงอยากจะบอกกันนั่นแหละว่าอาจารย์จะมาแล้ว แต่เหมือนว่าจะมีอีกความรู้สึกนึงโผล่ขึ้นมา เจ้ยมันเลยแค่พยักหน้ารับยิ้มๆ

“ ก็ดีนะ เพราะตอนนี้ไอ้ดีนอาจจะรู้สึกดีกับการกระทำของไอ้เบสอยู่ได้ อีกอย่างท่าทางของมันก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่เลย ว่าตอนนี้ไอ้อาร์มไม่ได้รักมันแล้ว ”

ผมไม่ได้ตอบรับคำพูดนั้นของอีกคน ไม่ได้แม้แต่พยักหน้าหรือแสดงทีท่าเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกคนพูดออกมา แต่สิ่งที่ผมทำมีเพียงแค่เดินออกมาจากในห้องที่กำลังจะมีการเรียนการสอนเพียงแค่อีกไม่กี่นาทีนั้น

“ แล้วนั่นเธอจะไปไหน ” เสียงของอาจารย์ผู้หญิงประจำภาควิชาเดินเข้ามา เธอที่เปิดประตูเข้ามาเจอกับผมที่กำลังวิ่งสวนออกไปพอดี ตอนนั้นเลยทำได้เพียงแค่ตะโกนตอบ อย่างไม่อยากเสียมารยาทในตอนที่ผู้ใหญ่ถาม

“ ห้องน้ำครับอาจารย์ ” เป็นเพียงแค่คำตอบสิ้นคิด แต่จะทำยังไงได้ ผมคิดมันได้แค่นั้น ในตอนที่วิ่งผ่านห้องน้ำไปยังลิฟต์ของตึกที่ก็พอถึง ผมก็กดปุ่มนั้นย้ำๆอย่างที่ใจอยากให้มันมาถึงเร็วๆ

“ จะรีบไปไหนของมึงวะเมี่ยง ” เบสที่นั่งอยู่แถวนั้นเดินเข้ามาถาม ผมเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ได้เดินตามเราเข้าไปในห้องเรียน แต่กลับนั่งอยู่ข้างนอกคนเดียวมาตลอด อีกฝ่ายเดินเข้ามาทักกัน

“ ไปหาอาร์ม ” ผมบอก อีกคนก็นิ่งไป ในแววตานั้นเหมือนมีแต่ความไม่สบายใจซ่อนอยู่ ผมพอรู้ ว่าเบสคงอยากจะขอโทษผมอีก “ ไม่ต้องขอโทษกูซ้ำๆหรอก ครั้งเดียวก็รู้เรื่องแล้วไอ้สัด ”

“ แต่ว่าเมื่อกี้..”

“ ตอนนั้นที่กูไม่ได้รับคำขอโทษของมึงเมื่อกี้ ”

“ ไม่เป็นไร กูมากกว่าที่ต้องพูดคำนั้น ”

“ ตอนนั้น กูแค่ไม่สามารถบอกมึงได้ มันไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก เพราะกูแม่งเป็น แล้วมันก็เป็นมากด้วย กูแม่งโคตรช็อค ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป้นแบบนี้ ไม่คิดว่าคนที่อาร์มชอบจะเป็นดีนเลย ”

“ อื้ม ”

“ ตอนที่เจ้ยด่ามึง กูเลยไม่รู้จะพูดอะไร ” บอกคนตัวสูงที่คอตกลงทันทีในตอนได้ยิน “ แต่ว่าตอนนี้กูโอเคแล้ว กูมานั่งคิดๆ เอาจริง กูไม่ควรใส่ใจกับเรื่องอะไรแบบนั้น เพราะมันก็แค่อดีต กูควรมองปัจจุบันในสิ่งที่อาร์มมันทำให้กูมากกว่าจริงมั้ยละ ”

“ อื้ม ” เบสพยักหน้ารับในคอ

“ แต่มึงอะไอ้สัด ”

“ อะไร ”

“ ทำเหี้ยอะไรก็คิดหน่อยเถอะนะ เพราะสิ่งที่มึงทำ มันดูเหมือนมึงไม่แคร์เพื่อนแบบกูเลย จนไม่รู้แล้วว่า ฐานะเพื่อนที่มึงให้ แม่งคือเพื่อนจริงๆ หรือแค่คบๆไปอย่างนั้น ”

“ ขอโทษ ” เสียงเบาที่เอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ “ กูไม่ทันคิดจริงๆ สำนึกได้แล้ว ว่าไม่ควรพูดออกไปแบบนั้นเลย กูแม่ง พอเห็นแววตาของไอ้ดีนที่กำลังหงุดหงิดทั้งๆที่ทำหน้านิ่งอย่างงั้น ก็ยิ่งอยากจะพูดออกไป ทั้งๆที่กูควรแคร์ความรู้สึกของมึงที่เพื่อนมากกว่าด้วยซ้ำ แต่กูก็ลืมมันไปหมด ” เบสมันนิ่งไป “ เจ้ยแม่งพูดถูกทุกอย่างเลย กูแม่งโคตรเหี้ย ”

“ เออ ก็ดีที่มึงยังรู้ตัว ”

“ ต่อไปกูจะไม่ทำแบบนั้นอีก ” พยักหน้ารับรู้คำพูดนั้น ลิฟต์ที่เรียกก็มาถึงพอดี “ ให้อภัยกูนะ ผิดไปแล้วจริงๆ ”

“ เออ มึงไปเรียนเถอะ กูจะไปคุยกับไอ้อาร์มมันหน่อย ”

“ งั้นฝากขอโทษไอ้อาร์มด้วย แล้วถ้ากูเจอมันกูจะขอโทษมันต่อหน้าอีกที ”

“ ได้ ” แล้วก็โคตรเห็นด้วยเลย ว่าคนที่มันควรขอโทษรองจากผม ก็คือใครคนนั้น ที่ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ากำลังรู้สึกยังไงบ้าง

ลิฟต์พาผมขึ้นมาจากชั้นที่อยู่ถึงสามชั้น ประตูลิฟต์ที่เปิดออก แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน ขาก็ต้องหยุดชะงักอยู่ตรงประตูนั้น  เพราะพื้นที่ด้านหน้าที่เห็น ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวลิฟต์นั้น กลุ่มของอาร์มก็กำลังนั่งอยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นคนละมุม

“ มึง ” ไม่ใช่เสียงของอาร์มที่เอ่ยเรียกผม แต่เป็นเสียงของโฮมที่เอ่ยเรียกอาร์มก่อนจะเชิดหน้ามาทางผม ร่างสูงที่ตอนนี้สายตาเอาแต่จ้องหน้าจอมือถือไม่ผละสายตาไปไหน สายที่ไม่ถูกรับ มันกดโทรออกอย่างงั้น อยู่ท่ามกลางความเงียบเชียบบนชั้นนี้

ก็น่าจะกดรับโทรศัพท์มันสักหน่อย ก่อนหน้าที่กำลังรอลิฟต์อยู่ก็ยังดี

“ เมี่ยง ” รอยยิ้มดีใจนั้นแบบเห็นได้ชัด ร่างสูงเดินเข้ามาหาผมด้วยความดีใจแบบที่ปิดความรู้สึกกันไว้ไม่อยู่ ท่าทางงุ่นง่านที่เหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่ผมพูดขึ้นก่อน

“ ขอโทษ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา “ กูไม่ได้รับสายมึงเลย ”

“ ไม่เป็นไร ” อาร์มที่เหมือนยิ้มค้างส่ายหน้าไปมา และแน่นอนมันไม่ผละสายตาไปไหนเลยจากผม

“ คือที่กูมา กูคิดว่ากูควรพูดเรื่องของเราให้รู้เรื่อง ไม่งั้นมึงจะรู้สึกเครียด แล้วกูก็ไม่อยากจะมันเป็นงั้น  คือกูไม่ได้โกรธมึงนะ ตอนนั้นสับสนนิดนึงก็จริง ” ผมเริ่มยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง เรียบเรียงประโยคไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน “ หรือควรจะเรียกว่าช็อค แบบว่าไม่ทันคิดจริงๆ ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้ได้สติแล้ว ทุกอย่างโอเค มึงก็อย่าคิดมากนะ กูไม่ได้โกรธมึงเลย กู..”

อ้อมกอดที่ดึงผมเข้าไปกอดหยุดประโยคยาวเหยียดที่กำลังพูดนั้นให้จบลงโดยพละการ ใบหน้าคมที่ซบลงกับไหล่ อ้อมกอดที่รัดแน่น ผมได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเมื่อโล่งอก แต่ทว่าตัวอาร์มเองกลับไม่ได้พูดอะไรมาต่อจากนั้น

แต่บางทีนั่นก็อาจจะเพียงพอแล้ว กับการบอกกันว่าอีกฝ่ายรู้สึกโล่งใจและความสุขมากแค่ไหน ที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้

“ หวานจังนะ ” เสียงของเพื่อนที่นั่งอยู่ทัก ผมดึงตัวเองออกในตอนที่สบสายตาเข้ากับโฮมพอดี “ สบายใจแล้วละสิมึง ” ประโยคนั้นอีกคนหันไปถามเพื่อนที่ก็ตอบรับด้วยคิ้วที่ยักขึ้นลงเป็นคำตอบ “ รู้มั้ยมึงทำมันแทบคลั่งเลยนะ ”

“ กูเหรอ ” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ

“ มันนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่คุยกับใคร ไม่ไปไหน เอาแต่กดโทรไปหามึง กูบอก ลงไปหามึงมั้ย ก็เอาแต่บอกว่า กลัวมึงจะยังรู้สึกไม่ดี ที่ต้องเห็นหน้ามัน ตอนแรกคิดว่าอีกห้านาทีไม่ดีขึ้น ก็ว่าจะลากไปหามึงแล้วเมี่ยง ”

“  ก็เว่อร์ไป ” ดีนที่นั่งอยู่อีกฝั่งพูดขึ้น ในตอนนั้นเราก็หันไปมอง “ ทำไม ก็กูพูดตามความจริง ก็ไม่เห็นว่ามันจะเว่อร์เหมือนที่ไอ้สัดโฮมพูดเลยสักนิด ก็ปกติ กูตอนที่มันโทรหาไม่รับ ก็โดนโทรจิกเหมือนกันนั่นแหละ ”

“ มึง พอเถอะ ” คนที่ชื่อจุ้นเอ่ยปรามมัน ดีนหันไปมาสบสายตากับผม

“ ไปข้างนอกกันมั้ย ” อาร์มที่ก้มลงถามกันเหมือนอยากจะดึงผมให้ออกจากความน่ารำคาญนั้น “ ไปหาอะไรกิน ดูหนัง หรือว่าทำอะไรก็ได้ ”

“ ไปเรียนมั้ย ” ผมบอกมันก่อนจะเอียงหน้ายิ้มให้ ในแววตานั้นคงมีความรู้สึกที่อยากจะบอกกันเต็มทีแล้วกับเรื่องที่มันคาราคาซังอยู่ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจมัน จนต้องรีบอธิบายขนาดนั้น ตอนนี้ผมเข้าใจมันดีในจุดนึง เลยคิดว่า ก็ไม่จำเป็นแล้ว ค่อยคุยกันตอนไหนก็ได้ “ เลิกเรียนแล้วค่อยคุย กูจะให้เวลามึงพูดทั้งคืนเลยดีมั้ย อยากจะพูดอะไรก็พูดเลย ”

“ บนเตียงด้วยปะน้า ” จุ้นที่พูดแซวแบบยิ้มกว้าง อาร์มก็หลุดยิ้มตาม มันหันไปมองเพื่อนตัวเองยิ้มๆ ความสุขนั้นกลั้นไม่อยู่แล้ววินาทีนี้

“ เสือก ไอ้สัด ”

“ ไม่เป็นไร กูไม่ได้โกรธมึงสักหน่อย กูเข้าใจแล้วว่ามันก็แค่เรื่องของอดีต ” เหลือบสายตาไปมองดีนในตอนที่พูดคำนั้น อีกคนก็ยกยิ้มก่อนจะหันไปทางอื่นอย่างที่รู้ตัวว่าผมกำลังพาดพิงอยู่ “ กูจะรอมึงเลิกเรียน แล้วเราค่อยคุยกันที่บ้าน โอเค๊ ? ”

ก็แค่ไม่อยากจะให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ ผมไม่อยากจะให้ดีนรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เป็นคนสำคัญในชีวิตของเราที่ต้องจัดการ ต้องรีบทำให้เรื่องของมันเรียบร้อย แต่อยากจะให้อีกคนรู้ตัวว่า ในความสัมพันธ์ของผมกับอาร์ม มันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นเลย

ก็เป็นแค่อดีต
อดีตที่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อปัจจุบัน และอนาคตทั้งนั้น


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
“ โอเค งั้นเจอกันตอนเย็น แล้วเดี๋ยวกูโทรหา ” พยักหน้ารับอีกคนงึกงัก อาร์มก็ถอนหายใจออกมา ฝ่ามือนั้นจับมือของผมแน่น “ กูไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้มึงตัดสินใจมาหากู กูไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่มึงคิดอยู่ แต่ขอบคุณมาก ที่เชื่อใจกู ”

“ ก็มึงไง ” ผมบอกอีกคนยิ้มๆ “ ถ้ามึงถามว่าอะไรที่ทำให้กูตัดสินใจมาหามึง คำตอบก็คือมึง การกระทำของมึง ที่ทำให้กูมาตลอด ทุกอย่างก็แค่นั้น ที่ทำให้กูคิดได้ ไม่มีอะไรมากเลย ”

“ เหรอ ” คนฟังว่าแบบนั้นยิ้มๆ ในแววตานั้นมีความสุขขึ้นมาอย่างฉับพลัน อาร์มพยักหน้ารับ มันก้มลงมากอดผมไว้อีกครั้ง ก่อนจะแอบเอียงหน้าลงหอมแก้มกันแบบที่ไม่ให้โจ้งแจ้งเท่าไหร่เพราะสายตาเพื่อนกำลังจ้องมอง เสียงทุ้มนั่นกระซิบลงข้างหู “ คำตอบแบบ.. ชื่นใจอะไรขนาดนี้ว่ะ ”

“ จะอ้วก ขอตัวไปเรียนก่อนแล้วกัน ” ดีนมันว่าแบบนั้นในตอนที่เห็นเรากอดกัน ร่างสูงที่เดินผ่านไปในตอนนั้น เราผละตัวออกห่างกันพอดี แต่ผมก็แค่ยิ้มเกร็งให้อีกคนแบบที่ไม่ได้พูดเถียงอะไร แม้ในใจจะตะโกนออกไปว่า ดูจากดาวอังคารยังรู้ว่ามึงรับไม่ได้ แล้วทำมาเป็นบอก จะอ้วก กลบเกลื่อน โธ่เอ้ย!! รู้ทันหรอก

“ คุยตอนเย็นได้แน่นะ ”

“ แน่สิว่ะ ” พยักหน้ารับย้ำอีกคน ผมก็ดึงตัวเองออกจากอีกคนพร้อมกับเดินไปที่ลิฟต์ “ กูไปละ เมื่อกี้ตอนมาสวนกับอาจารย์ บอกเค้าไว้ว่าไปเข้าห้องน้ำ  ไม่แน่ตอนนี้เค้าคงคิดว่ากูแม่งตกส้วมไปแล้วมั้ง อาจจะให้เพื่อนในห้องช่วยตามหา ”

“ โอเค ” ตอบรับแบบนั้นอาร์มก็กดลิฟต์ให้กัน “ เลิกเรียนแล้วจะบอกอีกที ว่าเจอกันที่ไหน ” พยักหน้ารับคำพูดนั้นผมเดินเข้าไปในลิฟต์ที่ก็มาถึงพอดี 

มือหนากดลิฟต์ลงไปชั้นล่างให้กัน ในตอนที่ผมเดินเข้าไปด้านใน แต่ในตอนที่จะหันไปกลับมายิ้มให้ คนตรงหน้าก็ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กันแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเสียก่อน อาร์มจูบผม ก่อนจะผละออกในตอนที่ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดตัวลง

ปากที่กำลังจะอ้าออกด่าว่า ‘ ทำเหี้ยอะไรของมึง ’ แต่สายตาของคนที่กำลังยิ้มกว้างพร้อมทั้งยักคิ้วให้กันนั้น กลับทำให้ต้องกลืนความรู้สึกพวกนั้นลงไปในที่สุด

ยกโทษให้ก็ได้
แต่เพราะเห็นว่ามึงมีความสุขหรอกนะ

.........................................................

สุดท้ายก็ต้องมาจองห้องดูหนังของมหาลัยแบบที่ไม่รู้จะพาตัวเองไปไหน เพราะความยาวนานของทั้งช่วงต่อเวลาและคาบเรียนตอนเย็นของอีกคน ครั้นจะไปนั่งที่คาเฟ่ก็เบื่อ และการดูหนังนี่แหละ เป็นอะไรที่คั่นเวลาได้ดีที่สุดเลยสำหรับผม

‘ รออยู่ที่ห้องดูหนัง ห้องเดิม เพิ่มเติมคือ วันนี้ไม่ดูการ์ตูนแล้ว ห้ามแซว! ’ ส่งข้อความไปหาอีกคนที่ก็คงยิ้มกว้างไม่น้อยในตอนที่ได้อ่าน วันนี้ผมเลือกหนังแอคชั่น แน่นอนว่าไม่ได้ซีเรียสกับคำพูดแซวแบบที่ว่าไปจริงๆ แค่อยากจะดูก็เท่านั้น


ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ สวัสดีครับ ” เสียงทุ้มที่ทำให้ผมหันไปมอง เผลอแปปเดียวการรอคอยที่คิดว่ายาวนานก็สิ้นสุดลงเสียแล้ว และแน่นว่าการดูหนังภาคต่อนี่มันยอดเยี่ยมดีจริงๆ เพราะลืมไปเลยว่ากำลังคอยอยู่ “ คอยนานมั้ย ”

“ จริงๆมันก็นานแหละ แต่ก็คือดูไม่นานเลย เพราะไอ้หนังเหี้ยนี่สนุกมาก ” ชี้ไปที่หนังบนหน้าจออีกคนก็หลุดยิ้มก่อนจะดึงตัวเองลงนั่งข้างกัน แต่อาร์มดูเหนื่อยอยู่ไม่น้อย ในตอนที่มันผ่อนตัวลงนั่ง หลังที่พิงกับเบาะอีกคนก็ค่อยๆไหลลงมานอนบนตัก ใบหน้าคมนั้นหลับตาสนิท “ เรียนหนักเหรอวะ ”

“ อื้ม ” ตอบกันด้วยเสียงในลำคอ อาร์มถอนหายใจ “ เข้าคลาสวิชาเอกทีไรกูอยากตายทุกที ”

“ ยากมากเลย ”

“ อาจารย์คนสอนเคี่ยวสัดๆ ถึงมันจะไม่มีสอบ แต่ก็ใช่ว่าจะดีเลย ถ้าคะแนนโปรเจ็คออกแบบไม่ดี แม่งก็เหี้ยพอกัน ”

“ ก็เฉลี่ยๆไง กูได้ข่าวคณะมึงสอบน้อย ”

“ น้อยเหรอวะ ” คนฟังทวนคำพูดนั้น “ เรียนห้าตัว สอบก็สามแล้วนะ พวกจริยธรรมสื่อ กฏหมายอะไรอีก ตอนแรกเลือกเรียนคณะนี้ คิดว่าทฤษฎีจะน้อย ที่ไหนได้ แล้วไอ้ตัวที่ไม่สอบก็ใช่ว่าจะสบายเลย โปรเจ็คยากชิบหายไอ้สัด ”

“ แล้วจะบ่นอะไรขนาดนั้นอะ  ” ผมบีบหน้ามันอีกคนก็ยิ้มเหนื่อยๆ พลางพลิกตัวมากอดเอวกันไว้ กลายร่างเป็นไอ้ลูกหมาตัวโตที่คิดว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียวซะงั้น “ แล้วนี่วันนี้ดีนจะยังไปนอนห้องมึงมั้ย ”

“ มันไม่ได้พูดอะไรนะ ”

“ แล้วคืนกุญแจยังละ ” ผมถามอีกคนก็ยกยิ้มพลางส่ายหน้า “ แบบนั้นก็แสดงว่า ยังคงอยู่ ” คำพูดนั้นดึงให้คนที่นอนอยู่ดึงตัวเองขึ้นมามองหน้ากัน อาร์มพิงตัวเองลงกับพนักพิงของโซฟา มันเงียบอยู่สักพัก

“ ขอโทษนะ ” เสียงทุ้มพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง อาร์มจ้องมองผม “ กูขอโทษ ขอโทษที่ปิดบังมึงเรื่องของดีน ”

“ แล้วทำไมถึงไม่คิดบอก ” คำถามนั้น คือคำถามเดียวที่ผมอยากรู้ในตอนนี้ คำถามเดียวที่ว่า ทำไมถึงไม่บอกกันเลย ทำไมถึงให้คนอื่นมาบอกกันแบบนี้ “ มึงกลัวเหรอ ว่าถ้ามึงบอก กูจะไม่ให้โอกาสมึง เพราะมันยากเกินไป ที่มึงจะตัดใจจากดีน ”

“ อื้ม..เพราะกูแค่เห็นแก่ตัวเมี่ยง กูไม่อยากเสียมึงไป ไม่อยากกลับไปเหมือนวันนั้น วันที่มึงผลักกูออกไปจากทุกอย่าง วันที่มึงไม่ฟังอะไรทั้งนั้น  ” อีกฝ่ายบอกกันอย่างงั้น อย่าไม่ปิดบังในความรู้สึก “ กูอยากจะแสดงให้มึงเห็น ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง อยากแสดงให้มึงเห็นก่อนที่จะบอกเรื่องทุกอย่าง แต่ก็นั่นแหละ ไอ้สัดเบสก็บอกไปแล้ว แบบที่ไอ้ดีนต้องการเลย ”

“ มึงจะพูดว่า ดีนอยากจะบอกเรื่องนี้อยู่แล้ว และพอไอ้เบสพูด ทุกอย่างก็พอดีเลยงั้นเหรอ ”

“ อื้ม ” ใบหน้าคมพยักหน้ารับ

“ แล้วแหวนนั่น..จริงมั้ย ”

“ จริง กูเป็นคนซื้อให้ดีนตอนวันเกิด ” ผมพยักหน้ารับคำพูดนั้น อีกคนยกยิ้ม “ มึงรู้มั้ยว่า ก่อนหน้านี้มันไม่ส่ด้วยซ้ำ จนกูจำไม่ได้แล้วว่า มันใส่ไว้ที่คอหรือว่านิ้วนางข้างขวา แต่พอวันนี้ ตอนที่มันอยู่ตรงหน้ามึง มันดันใส่อยู่ข้างซ้ายซะงั้น ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ”

“ อยากฟังมั้ย เรื่องของกูกับมัน ถ้าอยาก จะเล่าให้ฟังทั้งหมดเลย ”

ก็น่าแปลกที่คำถามนั้น ผมรู้สึกอยากจะบอกออกไปมากว่า ‘ ไม่อยาก ’ ใบหน้าที่ส่ายไปมาในตอนนั้นอาร์มมันยิ้ม

“ กูรู้แล้วว่ามึงเจ็บปวด กูไม่อยากจะถามให้มึงเล่า ให้มึงไปคิดถึงภาพเก่าๆพวกนั้นอีก ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้มึงรู้สึกกับกูคนเดียว กูก็พอใจแล้ว ”

“ น่ารักอีกแล้ว ” คำพูดนั้นมาพร้อมกับใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้กัน ริมฝีปากที่จูบลงบนริมฝีปากของผมนั้น ชวนให้ยิ้มออกมา “ จำที่กูบอกได้มั้ย ถ้ามีอะไรให้พูด ให้ถาม มึงถามกูได้ทุกคำถาม ถ้ามีอะไรที่มันกวนใจมึงอยู่ ก็ถามออกมาได้เลย ”

“ ห่วงจังนะไอ้สัด ”

“ ก็กูรัก” คำตอบนั้นชวนให้ผมนิ่งไป หัวใจเกิดอาการเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมากะทันหัน แต่อาร์มก็แค่เอื้อมมือมาเขี่ยจมูกกันยิ้มๆ “ กูเคยจินตนาการความรักที่กูอยากมีมาตลอด แล้ววันนี้กูมีมึงแล้ว กูก็จะทำอย่างที่ตั้งใจไว้ กูจะทำให้มึงมีความสุข ”

“ อะไรบ้างอะ ไหนลองบอกกูมาหน่อย เผื่อมีอะไรที่น่าสนใจ กูจะได้ตั้งตารอ ”

“ ไม่บอก บอกไปก็ไม่ตื่นเต้นสิ ” คนที่ก้มลงมาจูบกันอีกครั้งว่าแบบนั้น ก่อนจะหันไปมองหนังที่ฉายอยู่บนหน้าจอ

และแน่นอนว่าความเสียใจ ของปัญหาเดิมๆ ในอดีต คงไม่ใช่แพลนที่มันวางไว้หรอก ‘ อยู่กับวันนี้ดีกว่า เราจะไม่จมอยู่กับอะไรแบบนั้น ‘  ความคิดนี้ที่แล่นเข้ามาในตอนนั้น

ก็ดีแล้วละ ที่ไม่ได้อยากจะรู้เลยว่าเรื่องราวอะไรที่มันเคยผ่านมา


ครืน ครืน ครืน

เสียงเตือนของโทรศัพท์ที่ร่างสูงถืออยู่ ชวนให้ผมก้มลงไปมอง ไม่ต่างอะไรกับคนที่ถือมันอยู่ ตัวอย่างของข้อความของที่คนส่งเข้ามา ฉายขึ้นบนหน้าจอ

‘ อยากคุยด้วย เจอกันที่ห้องมึงหน่อย กูจะคืนกุญแจห้องให้ ’ แล้วนั่นก็คือข้อความจากดีน ข้อความที่อาร์มเงยหน้าขึ้นถามผม แค่สั้นๆ

“ กูไปได้มั้ย ”

“ ไปสิ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ต้องการการช่วยเหลือ ก็ตะโกนให้เสียงดังๆเลยนะ แล้วกูจะเข้าไปช่วยมึงเอง ” กำมือแน่นด้วยความมาดมั่น และมั่นใจ อาร์มที่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังในตอนนั้น ผมไม่อยากจะให้มันกังวลในเรื่องของเรามากเกินไป

เป็นของขวัญที่มันชัดเจนกันมาตลอด

.............................................................................
ยาวมาก เลยตัดไปลงศุกร์หน้า
แต่รับรองว่า “ ว้าวซ่าส์ มากแน่นอน “ ให้เสียงโดยน้องเมี่ยง
มันอาจจะยาวไปสักหน่อย แต่หนมไม่อยากจะเขียนแบบบีบจนขาดความเข้าใจบางจุดไป
ขอโทษด้วยนะคะ ถ้ายืดยาวไปบ้างในบางช่สง
ท้ายนี้ ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะคืนกุญแจจริง ๆ เหรอ ดีน มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า  :hao3:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
คืนไปเถอะ ยื้อไว้เหนื่อยป่าว คงเห็นชัดแล้วว่าเขาหมดใจให้จริงๆ หึ! ปรับความเข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว เข้าใจความรู้สึกทุกคนเลยนะจะไม่ต่อว่า เราเองก็เคยเป็นแบบเบส ปากไปไวมาก ไม่คิดก่อนพูด ก็ได้แต่เสียใจที่พูดออกไปเพื่อความสะใจ ประชดประชัน ก็เลยไม่มีสิทธิ์จะว่าเบสได้เพราะตัวเองก็เป็น 55 ผิดแล้วก็จำระวังคำพูดมากขึ้นแค่นั้น เพื่อนๆก็ยังคบเหมือนเดิม เจ้ยเองก็เข้าใจถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบเจ้ยอาจทำแบบนั้นก็ได้ และเมี่ยงดีแล้วที่รับปรับความเข้าใจ อดีตช่างมันเถอะเพราะปัจจุบันเขาก็แสดงออกชัดมากว่ารักเลือกใคร เมื่อก่อนสองกลุ่มเจอหน้ากันตีกันตลอด ต่อไปคงควงแขนกันไปร้านเหล้าหรือเนื้อย่างอะ 5555 อาร์มกับเมี่ยงเลยกลายเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เพื่อนไปอีก  o13 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจ้า  :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด