[Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10  (อ่าน 64975 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 29 ถอยไปตั้งหลัก

ศรศรัณย์กำลังฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์อยู่ในครัวอันเป็นอาณาจักรเล็กๆ ของเขาซึ่งมาหมกตัวอยู่ตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ เพื่อเตรียมอาหารมื้อเย็น วันนี้เจ้ารินจะพาแฟนมาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักและธาราก็จะคุยกับพ่อแม่เรื่องงานแต่งงานของพวกเขาด้วย เพราะฉะนั้นเขาจึงตั้งใจและพิถีพิถันกับมื้อพิเศษนี้มาก

ศรศรัณย์ตักต้มยำกุ้งในหม้อที่ต้มจนเดือนพล่านขึ้นชิมรส วันนี้ธาราบ่นว่าอยากกินอะไรแซ่บๆ ทั้งที่ไม่ใช่ปกติคนกินรสจัดแท้ๆ เขาเคาะทัพพีลงบนปากหม้อพลางครุ่นคริด ใส่พริกสามเม็ดจะเผ็ดเกินไปไหมเนี่ย แต่จะว่าไปตอนพูดเจ้าตัวก็ยิ้มมีเลศนัยน์แปลกๆ แถมเลียรมริฝีปากด้วย เอ๊ะ! หรือว่า...

เขาก้มลงมองตัวเองแล้วอมยิ้มกรุ่มกริ่ม... ถ้างั้นเตรียมหอยนางรมสดกับของหวานเป็นดาร์กชอคโกแลตพุดดิ้งกับไวน์ไว้เผื่อๆ ดีกว่า ลงทุนทำขนาดนี้ยังไงคืนนี้ถึงไม่ได้ลูกแต่งานเสียตัวต้องมาแน่ๆ

คิดแล้วศรศรัณย์ก็หันไปเลือกไวน์เอามาเตรียมแช่ในถังน้ำแข็งเมื่อคุณแอนคนสนิทของธาราเดินมาตามให้ออกไปพบแขกคนสำคัญ

“ไพลินเหรอ” ศรศรัณย์รำพึงอย่างงุนงงว่าจะมาเร็วอะไรขนาดนี้พลางถอดผ้ากันเปื้อนวางพาดบนเก้าอี้แล้วเดินตามคุณแอนออกไปยังห้องรับแขก

เขามองหญิงสาวในชุดเดรสสีหวานที่นั่งคุยอยู่กับธงชัยและวิลาวรรณ ศรศรัณย์เคยเจอคุณไพฑูรณ์กับภรรยาซึ่งเป็นพ่อกับแม่ของไพลินมาแล้วหลายครั้งเพราะเป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเธอเพราะโดนส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก ยอมรับว่าไพลินตัวจริงเป็นคนสวยน่ารักทีเดียวแม้จะน้อยกว่าในโซเชียลที่เขาแอบไปส่องมานิดหน่อย และผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่นก็คงจะเป็นคนสนิทที่ได้ข่าวว่าคอยตามรับใช้เป็นเงาตามตัวที่ชื่อตาณไม่ผิดแน่ เขารู้เรื่องยิบย่อยพวกนี้เพราะเดิมบ้านของศรศรัณย์ก็ถือเป็นตระกูลเก่าแก่มีหน้ามีตาทางสังคม ตอนเด็กๆ ก็ตามแม่ไปออกงานเจอคนนั้นคนนี้อยู่บ่อยๆ เพิ่งมีช่วงหลังที่เข้ามาอยู่บ้านธารานี่แหละเลยไม่ค่อยได้ออกไปไหน

“หนูไพลินมาถึงเร็วจังเจ้ารินลูกชายป้ายังไม่มาเลยเนี่ย เห็นบอกว่าออกไปทำธุระตั้งแต่เช้า” วิลาวรรณลูบหัวลูบหลังหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าเธอดูปลื้มว่าที่สะใภ้อัลฟาคนนี้มากทีเดียว

“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า หนูตั้งใจมาเร็วเองอยากมาแสดงฝีมือทำอาหารให้คุณลุงคุณป้าทานน่ะค่ะ หนูซื้อของมาเยอะแยะเลยมีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นทั้งล็อบสเตอร์ คาเวียร์ แล้วนี่ก็ไวน์จากฝรั่งเศสค่ะ ขวดนี้พิเศษมากเลยนะคะเพราะหมักจากองุ่นพันธ์ Pinot noir ซึ่งปลูกได้ยากมากปีนี้ผลิตออกมาได้แค่ 450 ขวดเองค่ะ ถือเป็นของชั้นดีหายากมากเลยนะคะ เดี๋ยวคุณลุงคุณป้ารอชิมฝีมือหนูนะคะว่าจะถูกปากไหม”

“เก่งทั้งงานบริหารและงานครัว แถมยังมีความรู้รอบด้านสมเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่หายากจริงๆ” ธงชัยสำทับ “ลุงนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้หนูมาเป็นคนในครอบครัวอีกคน”

ศรศรัณย์กรอกตาเป็นเลขแปด ปกติเวลาเขาขอเข้าครัวทำอาหารจะต้องโดนมองเหยียดว่าเป็นงานแม่บ้าน อ้อ! ลืมไปว่าบ้านนี้มีแปดมาตรฐาน

“เดี๋ยวให้ศรพาไปห้องครัวละกันนะ” วิลาวรรณบอกพลางหันมาพยักเพยิดกับเขาเป็นครั้งแรกทั้งที่เข้ามายืนอยู่นานแล้ว

“แล้วคอยดูแลอย่าให้หนูไพลินโดนไฟลวกหรือมีดบาดเชียวนะ ไม่งั้นฉันคงมองหน้าเพื่อนรักไม่ติดแน่ๆ” ธงชัยสำทับ

“คุณลุงคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ หนูไม่ใช่คนซุ่มซ่ามแบบนั้น” ไพลินหันมายิ้มให้เขาพลางยกมือไหว้ “รบกวนด้วยนะคะ”

ศรศรัณย์ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน หรือเธอจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรอย่างที่เจ้ารินบอกจริงๆ “น้องไพลินตามพี่มาทางนี้เลยครับ”

เขาพาไพลินซึ่งมีตาณเดินตามหลังเข้ามาในครัวพลางพยายามชวนคุยผูกมิตรกับคุณหนูที่อายุน้อยกว่าคนนี้“น้องไพลินจะทำเมนูอะไรเหรอเดี๋ยวพี่ช่วยทำ”

แต่ดูท่าไพลินจะได้อยากคุยกับเขาสักเท่าไหร่ เธอเดินมองไปรอบๆ ครัวที่มีอุปกรณ์ครบครัน ซึ่งนี่เป็นข้อดีของบ้านหลังนี้ที่ศรศรัณย์ภูมิใจนักหนานี่จึงเป็นเหตุผลให้เขาชอบหนีมาหมกตัวอยู่ที่นี่เพื่อคิดและฝึกทำอาหารเมนูใหม่ๆ ไพลินกอดอกโฉบไปมองนั่นมองนี่ก่อนจะหยุดลงที่หน้าเตาซึ่งเขาวางหม้อต้มยำกุ้งไว้

“นี่ต้มยำกุ้ง พี่ธาราเขารีเควสมาแล้วพี่ก็ว่าจะทำพาสต้าด้วย พอดีคุณพ่อคุณพ่อชอบทานอาหารฝรั่งน่ะ ส่วนเจ้ารินนี่กินได้ทุกอย่าง เลยว่าจะย่างสเต๊กให้”

ไพลินไม่ตอบอะไรเธอเปิดฝาหม้อต้มยำกุ้งดูแล้วปิดฝาไว้ตามเดิมก่อนจะหันมาสบตา “คุณศรศรัณย์ใช่ไหมคะ”

“ครับ” ศรศรัณย์ชะงัก

“พอดีฉันได้ข่าวมาว่าคุณศรถอนหมั้นกับพี่ธาราไปแล้ว ทีแรกก็สงสัยอยู่ว่าตอนนี้คุณอยู่ในบ้านนี้ในฐานะอะไรแต่ตอนนี้ฉันไม่สงสัยแล้วล่ะ ที่แท้ก็อยู่ในฐานะหัวหน้าพ่อครัวนี่เอง”

ศรศรัณย์ชะงัก ยัยคุณหนูนี่ชักจะไม่ชอบมาพากลซะกลซะแล้ว “ผมไม่ได้...”

“เดี๋ยวยังไงคุณศรช่วยออกไปด้วยนะคะ เรื่องอาหารฉันกับตาณจะทำเอง” ไพลินตัดบทแต่เพียงเท่านั้นแล้วตาณก็ปราดเข้ามายืนตรงหน้าพร้อมกับผายมือเชิญเขาออกจากห้องครัว

เพราะอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบมีเรื่องไปก็แพ้เปล่าๆ ศรศรัณย์จึงถอยกลับออกมา ทีแรกเขาตั้งใจจะโทรรายงานให้ธารารู้แต่อีกใจก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังยุ่งเพราะรีบร้อนแยกตัวไปตอนกำลังเดินเลือกซื้อของให้เขากลับบ้านคนเดียวหลังจากรับโทรศัพท์จากหมอริน เรื่องนี้เขาควรเงียบไว้ก่อนดีกว่า ถ้าไพลินจะช่วยพูดเรื่องถอนหมั้นจริงอย่างที่ธารินบอกเรื่องนี้เขาจะยอมมองข้ามๆ ไปก็ได้
จนเวลาผ่านไปถึงเวลาตั้งโต๊ะ ธาราก็ยังไม่กลับมาและเขายังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากธาริน ศรศรัณย์เดินเข้าไปในห้องอาหารทุกคนนั่งกันอยู่พร้อมหน้าแล้ว

“พอทานได้ไหมคะคุณลุงคุณป้า” ไพลินตักเสิร์ฟให้อย่างเอาอกเอาใจ

“น่าทานมากเลยหนูไพลิน” ธงชัยว่า “ถ้าหนูย้ายมาอยู่บ้านลุงเมื่อไหร่ลุงต้องน้ำหนักขึ้นแน่ๆ เลย”

เขาเห็นอาหารที่ไพลินทำนั่นคือสิ่งที่เขาคิดว่าจะทำเพียงแต่มันเปลี่ยนไปเป็นฝีมือเธอเท่านั้น ในฐานะคนทำอาหารยอมรับว่าดูน่าทานไม่น้อยถือว่าเธอมีฝีมือและรสนิยมในการตกแต่งจานดีทีเดียว แล้วเขาก็สังเกตว่าต้มยำกุ้งที่เขาตั้งใจทำให้ธารายังไม่ถูกยกมาจึงเดินกลับเข้าไปในครัวแต่ก็พบว่ามีเพียงหม้อที่ล้างคว่ำวางไว้แล้วเท่านั้น

“ต้มยำกุ้งที่ผมทำไปไหนครับคุณแอน”

แม่บ้านคนสนิทของธาราทำหน้านึกอยู่อึดใจ “ยกออกไปแล้วนี่คะ ฉันเห็นคุณไพลินให้ตาณยกออกไปเพิ่งให้เด็กๆ ล้างหม้อเก็บเมื่อกี้”

ศรศรัณย์เดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจเขาเหมือนเคย เขากวาดตามองไปบนโต๊ะแล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักคนอาหารที่ไพลินทำไว้ก่อนจะขึ้นมาชิม

“ศรทำไมเสียมารยาทอย่างนี้ล่ะ” วิลาวรรณหันมาเอ็ดเบาๆ “หิวมาจากไหนกันธารากับธารินยังไม่กลับมาเลยนะ ไหนจะคุณอริญชย์อีก”

ศรศรัณย์ไม่ตอบได้แต่เม้มปากแน่น เขาเหลือบตามองไพลินที่มองเขาด้วยหางตาและถ้าเขาไม่ได้อคติจนเกินไป เขามั่นใจว่าเห็นผู้หญิงยิ้มเยาะให้ มือกำช้อนจนข้อนิ้วขาวซีด... เธอมาแย่งฉันทำอาหารฉันไม่ว่า เอาเมนูและเครื่องปรุงที่ฉันเตรียมไว้ไปทำเสียเองฉันก็ยอมเงียบ แต่นี่เธอกล้าดียังไงเอาอาหารที่ฉันตั้งใจทำให้สามีฉันมาเปลี่ยนใส่กุ้งที่เธอซื้อมา ตักใส่ชามใบใหม่แล้วโมเมว่าเธอเป็นคนทำเอง

แต่เพื่อเจ้าริน ฉันจะยอมกลั้นใจยิ้มให้เธออีกสักหน่อยก็ได้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุงคุณป้า” ไพลินบอก “นี่ก็ค่ำแล้ว ถ้าคุณศรหิวเดี๋ยวให้คุณแอนแบ่งไปให้ทานในครัวก็ได้ค่ะ”

“ทำไมต้องแบ่งไปให้ในครัวด้วยครับ” ศรศรัณย์ถามขึ้น

“ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าหนูพูดไม่ถูกใจ” ไพลินตีหน้าเศร้า “คือหนูทราบมาว่าพี่ธาราถอนหมั้นกับคุณศรแล้ว แล้ววันนี้คู่หมั้นคนใหม่ของพี่ธาราที่เป็นคุณหมอจะมาทานด้วย หนูก็เลยทึกทักเอาเองว่าคุณศรคงจะอึดอัดไม่น้อยถ้าต้องนั่งร่วมโต๊ะกัน ถ้าต้องนั่งกินไปมองอดีตคู่หมั้นจู๋จี๋กับคนใหม่ไป”

“หนูไพลินนี่จิตใจดีจริงๆ คิดถึงคนอื่นด้วย” วิลาวรรณลูบแขนหญิงสาวอย่างแสนรัก

“จะว่าไปคุณศรนี่ก็เก่งนะคะ ทำใจได้เร็ว นี่ถ้าเป็นหนูเจอรินทำแบบนี้คงร้องไห้หนีกลับบ้านไปแล้วล่ะค่ะ ไม่มาทนบากหน้าอยู่ให้เจ็บช้ำน้ำใจแบบนี้หรอก”

ศรศรัณย์ฟังแล้วก็สะดุดหูเล็กๆ นั่นยิ่งฟังดูไม่เหมือนคนจะมาเพื่อถอนหมั้นสักนิด เขาอาศัยที่ทุกคนทำเหมือนว่าเขาเป็นอากาศส่งข้อความหาธาราก่อนจะกดโทรออกแล้วเปิดลำโพงวางคว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ

“รินอาจจะเป็นคนไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ลุงรับรองว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้กับหนูเด็ดขาดจ๊ะ” ธงชัยแตะบ่าให้คำมั่น

“ขอบคุณลุงคุณป้ามากนะคะที่เอ็นดูหนู” ไพลินรีบยกมือไหว้ “แต่คุณลุงคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถึงรินจะเรียนไม่เก่งแต่เขาเป็นคนจิตใจดีมาก เมื่อวันก่อนทำกิจกรรมเต้นให้พวกเด็กๆ ดู เขาก็มาขอให้หนูไปช่วยแจกขนมด้วย ทีแรกหนูก็เกรงใจกลัวว่าจะไปรบกวน แต่เพราะเขามาอ้อนขอร้องก็เลยให้ตาณเคลียร์งานให้จนได้ ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากแนะนำหนูกับเพื่อนๆ เขาน่ะค่ะ น่ารักไม่หยอกเลยนะคะ แล้วเขาเป็นขวัญใจของพวกเด็กๆ ด้วยค่ะนี่หนูถ่ายคลิปมาด้วยนะ คุณลุงคุณป้าดูสิคะ”

“อืม ลุงเพิ่งเคยเห็นเวลามันทำกิจกรรมที่โรงเรียนนี่แหละ” ธงชัยบอก “เห็นหนูเข้ากับรินได้ดีแบบนี้ลุงก็สบายใจล่ะ”

“นั่นสิคะ เสียดายจังที่รินเรียนหมอ ต้องรออีกตั้งสองปีแน่ะกว่าจะจบ หนูนะอิจฉาพี่ธารามากเลยได้ข่าวว่าคุณอริญชย์ท้องแล้วด้วย อีกไม่นานบ้านนี้ต้องครึกครื้นเพราะมีเจ้าตัวเล็กวิ่งเล่นแน่ๆ เลยค่ะ”

“แบบนี้นี่เอง เจ้าธาราถึงดูกระตือรือร้นเตรียมงานแต่งจัง” ธงชัยบอกอย่างอารมณ์ดี “เอางี้ ลุงว่าเดือนหน้าเราจัดงานหมั้นให้หนูกับเจ้ารินเลยดีไหม เดี๋ยวจบแล้วจะได้แต่งเลย”

“เรื่องนี้ต้องแล้วแต่คุณลุงคุณป้าเห็นสมควรเลยค่ะ หนูยังไงก็ได้ อ้อ! หนูเตรียมของบำรุงครรภ์มาให้คุณอริญชย์ด้วย หนูก็ยังไม่เคยมีลูกได้แต่อ่านเอาจากอินเตอร์เน็ตใครว่าอะไรดีก็ซื้อมาเดี๋ยวคุณลุงคุณป้าช่วยหนูดูหน่อยนะคะ คุณอริญชย์เขาเป็นหมอด้วยหนูไม่อยากขายหน้า”

“หนูไพลินคิดมากไปแล้วจ๊ะ เรื่องแค่นี้พี่น้องไม่ถือสากันหรอก” วิลาวรรณบอก

“พี่น้องอะไรเหรอคะคุณป้า”

“ก็พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้ไงจ๊ะหนูไพลินนี่ละก็ทำเป็นงง”

“แหม คุณป้านี่ละก็หนูกับรินยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย”

“ยังไม่ถึงแต่เดี๋ยวก้ถึงแล้วละจ๊ะ จะว่าไปหนูไพลินพร้อมจะย้ายมาอยู่บ้านเราก็บอกนะ ป้าจะได้ให้คนเตรียมห้องให้”

“แบบนั้นไม่ได้นะครับ” ศรศรัณย์ที่อดทนเงียบฟังมานานเผลอหลุดปากพูดออกไปในที่สุด

“อะไรที่ไม่ได้เหรอศร” ธงชัยถามเสียงห้วน

“ก็เรื่องที่จะงานหมั้นให้เจ้าริน อย่างน้อยคุณลุงคุณป้าก็ควรรอเจ้าตัวเขากลับมาก่อน...”

“เรื่องที่เจ้ารินต้องแต่งกับหนูไพลินเป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว” ธงชัยแทรกขึ้นทันที “จะช้าหรือเร็วก็ต้องแต่ง แล้วนี่ก็เป็นเรื่องในรอบครัวของเราไม่เกี่ยวกับคนนอกอย่างนาย”

“คุณลุงใจเย็นๆ นะคะ ยังไงคุณศรเขาจะเป็นอดีตคู่หมั้นพี่ธารานะคะ”

“เลิกกันไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนนอก ฉันเมตตาให้อยู่ต่อก็บุญนักหนาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้ เกาะแน่นเป็นปลิงเชียว สงสัยคงคิดว่าตัวเองจะมีหวังได้เป็นเมียเจ้าธาราอีกคนละมั่ง”

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“ถ้าไม่คิดแบบนั้นแล้วจะมานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ทำไมล่ะ ทำไมยังไม่เก็บของออกไปจากบ้านฉันอีก ฉันก็อุตส่าห์ไม่ไล่แล้วนะ เพราะคิดว่าเราจะคิดได้เองแต่สุดท้ายก็คิดไม่ได้สินะ” วิลารรณก็เห็นดีเห็นงามด้วย

ศรศรัณย์กำมือแน่น “ผมไม่เคยหวังเงินพวกคุณเลยสักสลึงเดียวนะครับ ที่ผมยังทนอยู่ที่นี่เพราะผมรักธาราต่างหาก”

“จะเป็นเมียน้อยได้ก็ต้องให้ผู้ชายเขารักด้วยนะคะคุณศร” ไพลินเปรยเบาๆ

“ผม...” ศรศรัณย์อ้อปากจะเถียงก็พอดีกับใครคนหนึ่งช่วยพูดแทน

“ผมรักศรศรับ” ธาราเดินผ่านประตูเข้ามา เขายิ้มให้คนรักครั้งหนึ่งแล้วดึงมือมายืนหลบข้างหลังก่อนจะหันหน้าไปหาพ่อกับแม่ “ศรจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เขาคือคนที่ผมจะแต่งงานด้วย ถ้าพ่อกับแม่ไล่ศรไปผมก็ไปด้วยเหมือนกัน”

“แล้วหมอคนนั้นล่ะ” ธงชัยถาม

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ” ธาราบอก “ตอนนั้นผมทะเลาะกับศรด้วยเรื่องไม่เรื่อง ก็เลยขอร้องให้คุณรินเขาช่วยมาแกล้งทำเป็นคู่จะให้ศรหึง แล้วผมก็ดีกับศรแล้ว เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละครับ”

“แล้วเขาเป็นอะไรกับแก เขาถึงต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้น แล้วเรื่องที่เขาท้องกับแกล่ะ แกจะว่ายังไง” วิลาวรรณถามต่อ

“คุณรินเขาเป็นเพื่อนผมคนนึงครับ ส่วนเรื่องที่เขาท้องกับผมไม่ทราบว่าพ่อกับแม่ไปฟังเรื่องไร้สาระนั้นมาจากไหน”
ธงชัยกับวิลาวรรณหันไปหาไพลิน ซึ่งเธอก็ไม่ได้ร้อนรนอะไรเพียงแต่หยิบแท๊ปเล็ตมาจากตาณแล้วเปิดรูปถ่ายผลตรวจการตั้งครรภ์กับภาพตอนที่ธาราเดินเข้าออกคลินิคผู้มีบุตรยากให้ดู

“นี่มันหมายความว่าไง” ธงชัยเค้นถาม “ตกลงแกจะเอาใครก็ให้มันแน่สักอย่าง ทำแบบนี้มันน่าเกลียดเหมือนพวกเอาไม่เลือก หรือแกจะต้องให้ฉันหาเมียดีๆ ให้เหมือนน้องชายแก ฮึ! ธารา”

“ศรดีที่สุดสำหรับผมแล้วครับ” ธาราพูดเรียบๆ “ต่อให้พ่อเอาลูกสาวเพื่อนคนไหนมาประเคนให้ผมก็ไม่เอา”

“แล้วตกลงเรื่องหมอคนนั้นแกจะว่ายังไง ในเมื่อแกทำเขาท้องไปแล้ว”

“ผมไม่ได้ทำ”

“จะมาไม่ได้ทำอะไร ก็ผลมันโชว์หราอยู่นี่! แล้วพวกแกกินนอนอยู่ด้วยกันพวกคนใช้มันก็เห็น”

จะให้อธิบายมากว่านี้ธาราก็พูดไม่ออก เพราะมันต้องจบลงที่เขาต้องสารภาพกับทุกคนว่าตัวเองเป็นหมัน

“ผมทำเองครับ!”

ทุกคนในห้องอาหารหันไปมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาเป็นตาเดียว ธารินสังเกตเห็นสายตาผิดหวังของไพลินที่มองตรงมายังเขาแต่เขาซึ่งได้รับฟังทุกถ้อยคำหมดแล้วจากคลิปเสียงที่พี่ธาราส่งมาให้นั้นผิดหวังยิ่งกว่าจนเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกเธออีกต่อไป 

“นี่แกพูดเรื่องอะไรห๊ะไอ้ริน!” ธงชัยชี้หน้าลูกชายคนเล็กแล้วหันไปหาชายหนุ่มหน้าสวยที่เดินตามหลังเข้ามาติดๆ

ธารินหันไปสบตาอริญชย์แล้วพูดเสียงดังฟังชัด “อาจารย์เป็นแฟนผมครับ ที่ผมตั้งใจนัดพ่อกับแม่คุยวันนี้ก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้แหละ ขอโทษที่พวกเรามาช้าครับ”

“ไอ้รินนี่แก!” ธงชัยตวาดลั่น ในขณะที่วิลาวรรณทำท่าจะเป็นลม เห็นได้ชัดถึงระดับของความโมโหตอนที่ยังเข้าใจว่าเป็นความผิดของลูกชายคนโต ถึงพ่อกับแม่จะโกรธจนหน้าแดงแต่ก็ยังดูพร้อมจะให้อภัย แต่พอเรื่องกลับกลายเป็นความผิดของลูกชายคนเล็ก มันก็เหมือนกับระเบิดที่ได้เวลาระเบิดแล้ว พร้อมจะทำลายทุกอย่างและไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิน “แกยังเรียนไม่จบก็ไปทำเขาท้องแล้วแบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คุณเองก็เป็นครูบาอาจารย์เสียเปล่าทำเรื่องแบบนี้กับลูกศิษย์ได้ยังไง”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะคุณ” วิลาวรรณดึงแขนสามี “ฉันสงสารหนูไพลินมากกว่า ทำไมแกถึงเป็นคนแบบนี้นะเจ้าริน”

“ผมคุยกับไพลินแล้วเธอบอกว่าเธอเข้าใจครับ” ธารินหันไปสบตาหญิงสาวอย่างคาดคั้น “เธอบอกฉันแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“จริงเหรอหนู” วิลาวรรณหันไปถาม

“หนู... ไม่รู้ค่ะ” ไพลินทำตาแดงเกาะแขนวิลาวรรณแน่น “รินไม่เคยบอกหนูมาก่อนเลยว่าเขามีคนรักแล้ว รินบอกว่ารินรักหนู ไปกินข้าวด้วยกันวันก่อนรองเท้าหนูขาดเขายังอุ้มหนูมาส่งที่รถเลย”

“นี่แกจับปลาสองมือเรอะ! น่าขายหน้าจริงๆ” ธงชัยว่า

“อย่าว่ารินเลยค่ะคุณลุง” ไพลินยกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้นเบาๆ “หนูผิดเองที่หลงเชื่อคนง่ายเกินไป หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่ว่าถ้าคุณพ่อหนูได้ยินเรื่องนี้ท่านต้องไม่ชอบใจแน่ๆ แล้วท่านอาจจะไม่... เอ่อ... ไม่ทำสัญญาซื้อขายอะไรกับคุณลุงคุณป้าอีกแล้วก็ได้ เรื่องนี้มันร้ายแรงถึงขั้นแตกหักตัดเพื่อนกันได้เลยนะคะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะลูก ป้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง” วิลาวรรณลูบหัวลูบหลังหญิงสาวปลอบขวัญ “เอาอย่างนี้ดีไหมเรื่องที่พ่อหนูเคยคุยเรื่องขอต่อรองราคาส่งออกเครื่องเพชรกับป้าไว้ ป้าตกลงลดให้ 5% ก็แล้วกัน แบบนี้พ่อหนูน่าจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างนะ”

“ก็ได้ค่ะคุณป้า” ไพลินลดมือลงครึ่งหนึ่ง “แต่หนูว่าเลขห้ามันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ถ้าได้สักสิบคิดว่าพ่อคงจะพอรับฟังเหตุผลอยู่บ้างค่ะ”

“ได้จ๊ะ เอาตามที่หนูไพลินพอใจเลย”

“แหกตาดูสิเจ้ารินว่าแกทำให้เรื่องมันลามปามไปถึงไหน!” ธงชัยชี้หน้าลูกชายพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แกมันก็เป็นซะอย่างเงี้ย นอกจากจะทำตัวไม่เป็นประโยชน์ ยังเที่ยวสร้างเรื่องไปทั่ว วันนี้เพื่อนฉันที่เป็นตำรวจโทรมาเล่าให้ฟังว่าแกไปทำเรื่องอะไรไว้จนต้องโทรมาตามให้พี่แกไปช่วยไกล่เกลี่ยไม่ใช่เหรอ ถึงขั้นต้องยกกันไปทั้งโรงพักเลยเห็นว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยนี่นาเละเทะไปกันใหญ่แล้วนะแกน่ะ”

“ไปกันใหญ่แล้วครับพ่อ ผมกับอาจารย์ไปช่วยเด็กที่โดนหลอกไปขายต่างหาก ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอะไรเลย”

แต่ธงชัยไม่ฟังลูกชายคนเล็กอธิบายใดๆ เขาหันไปมองคุณหมอหนุ่มด้วยสายตาเหยียดหยัดแล้วก้าวไปยืนตรงหน้า “คุณจะเอาเท่าไหร่!”

“อะไรครับ” อริญชย์ถามเสียงเรียบ

“เงินไง” ธงชัยหยิบเช็กออกมาจากกระเป๋า “ล้านเดียวพอไหม หรือจะเอาห้าล้าน สิบล้าน”

“ค่าจ้างให้ผมเลิกยุ่งกับลูกคุณเหรอ”

“ค่าไปเอาไอ้เด็กเวรคนนี้ออก” ธงชัยบอกเสียงกร้าวแล้วดึงเช็กที่เขียนตัวเลขเสร็จแล้วปาใส่หน้าอริญชย์ “แล้วก็... ใช่! ค่าจ้างคุณไปให้พ้นหน้าครอบครัวของผมด้วย”

อริญชญ์เหลือบตาลงมองเช็กที่ปลิวร่วงลงพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางยกเท้าหนี “เก็บเงินของคุณไปเถอะครับ ผมไม่อยากได้”

“คิดให้ดีนะคุณหมอระหว่างเงินสิบล้านกับอนาคตการทำงานของคุณ” ธงชัยยื่นคำขาด

“คุณรู้จักกับคณบดีคณะแพทย์ แล้วก็เป็นVIPผู้บริจาครายใหญ่ของโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่” อริญชย์พูดเรียบๆ “มีอะไรที่จะใช้ขู่ เอ๊ย! มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกไหมครับ”

“ถ้าคุณคิดจะลองกับผมจะเอาอย่างนั้นก็ได้” ธงชัยยกมือ แล้วลูกคนสนิทซึ่งเป็นผู้ชายร่างใหญ่สี่คนก็เดินอาดๆ เข้ามา “สั่งสอนเบาๆ ด้วยข้อหาบุกรุกแล้วค่อยโทรตามตำรวจมาลากคอมันออกไป”

ธารินรีบเข้ามาขวางระหว่างอาจารย์ของเขากับลูกน้องของพ่อ “พ่อไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายลูกเมียผม แล้วถ้าพ่อไม่ต้องการให้อาจารย์อยู่ที่นี่ผมก็จะเป็นฝ่ายไปเอง ให้คนของพ่อถอยออกไปซะ”

แต่ชายสี่คนนั้นนอกจากจะไม่ถอยแล้วยังย่างสามขุมเข้ามาด้วยท่าทีข่มขู่

ธาราเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแทรกขึ้น “ถ้าใครกล้าแตะน้องฉันกับคุณรินแม้แต่ปลายเล็บ ก็เตรียมตัวไปหางานใหม่ได้เลย”

“แกจะทำอะไรน่ะธารา!” ธงชัยตวาดลั่น “อย่าคิดว่าครั้งนี้แกจะรอดนะ แกเองก็มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับน้องชายแกมาหลอกฉันเหมือนกัน เฮ้ย! พวกแกจะไปฟังเจ้าธาราทำไม ฉันเป็นเจ้านายแกเป็นคนให้เงินเดือนพวกแก จับมันไว้!”

พวกลูกน้องเขยิบเข้าไปใกล้ตามคำสั่งนายเหนือหัว แต่พอเห็นสายตาเอาเรื่องของคุณชายใหญ่ก็ชะงักมองหน้ากันเงียบๆ ด้วยยังมีความเกรงใจให้อยู่บ้าง

ธารารีบฉวยโอกาสนั้นหันไปกระซิบบอกศรศรัณย์ “นายพาคุณรินออกไปก่อน” 

ศรศรัณย์พยักหน้าให้คนรักแล้วรีบคว้ามืออริญชย์เดินออกจากบ้านไป พอพ้นความวุ่นวายมาถึงหน้าประตูที่รถจอดอยู่เขาก็ชะโงกมองเข้าไปในบ้านเห็นไม่มีใครตามมาจึงเอ่ยปากถาม “คุณรินโอเคนะครับ”

“ครับ”

“แล้วทำไมคุณแทบไม่พูดอะไรเลยล่ะ คุณคงช็อกมากเลยสินะ”

“ใช่ครับผมช็อก” อริญชย์ตอบตามตรง “ผมไม่คิดว่าเจ้ารินจะกล้าสู้เพื่อผมขนาดนี้... ก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว”

ศรศรัณย์เห็นแววตาของคนที่ปกติจะนิ่งสนิทมีประกายความเขินขึ้นมาแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์น่าสิ่วน่าขวานขนาดนี้เพราะตัวเขาเองยังใจเต้นแทบระบิดตอนที่ธาราประกาศเสียงดังว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวต่อหน้าทุกคน “เจ้ารินน่ะรักคุณจริงๆ นะ ผมอยู่กับรินมายี่สิบปี ผมไม่เคยเห็นน้องคนนี้ทุ่มเททำอะไรเพื่อใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย ว่าแต่ยัยผู้หญิงคนนี้นี่มันร้ายจริงๆ ต่อจากนี้เราจะทำยังไงดี”

“เธอฉลาดนะครับ” อริญชย์เปรยขึ้นเบาๆ “ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ แต่เธอก็ไม่ยอมเสียหน้า แถมยังได้กำไรอีก”

“คุณหมายความว่าไง”

“เรื่องที่เธอรักรินหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ อาจจะรักจริงๆ ก็ได้ แต่วันนี้ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อจะแย่งรินไป ผมคิดว่าอัลฟาอย่างเธอย่อมคิดได้ว่าในเกมรักถ้าผู้ชายไม่เลือกก็เท่ากับแพ้โดยไม่ต้องลงแข่งแล้ว แต่เธอยังเลือกที่จะลงสนามเพราะเธอไม่ต้องการเห็นใครชนะข้ามหน้าข้ามตาเธอ ว่าง่ายๆ คือถ้าเธอไม่ได้รินไม่เป็นไร แต่เธอก็ไม่ยอมให้ผมได้ไปเหมือนกัน สุดท้ายเธอก็ได้คะแนนสงสารจากคุณธงชัยกับคุณวิลาวรรณเป็นการทำสัญญาทางธุรกิจนั่นไง ไม่ได้สามีแต่ได้เงินไปทำสวยหาผู้ชายคนใหม่ แล้วแบบนี้พ่อของเธอก็คงไม่ว่าอะไรนอกจากเข้าข้างลูกสาวมากดดันทางนี้ไป กำไรเห็นๆ สมกับเป็นนักธุรกิจ ไม่เสียแรงที่พ่อส่งไปเรียบจบถึงเมืองนอกเมืองนา แบบนี้จะไม่ให้ผมชมแม่อัลฟาสาวคนนี้ว่าฉลาดได้ไงล่ะ”

“ผมเข้าใจล่ะ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมผู้หญิงคนนั้นนะ”

“ต้องชื่นชมสิเพราะเธอกำลังสอนทางอ้อมให้ผมเรียนรู้ว่าครั้งต่อไปควรจะเข้าหาพ่อกับแม่เจ้ารินยังไงดี” อริญชย์พูดด้วยท่าทีสบายๆ เกินไปเสียจนศรศรัณย์อดกังวลไม่ได้

“คุณก็ใจเย็นเกินไป”

“ใครบอกว่าผมเย็น” อริญชย์ว่า “ในใจผมนี่ร้อนเป็นนรกแล้วนะ ถ้าธาราไม่เข้ามาขวางผมเอาเช็กยัดปากตาลุงนั่นไปแล้ว... อ้อ! โทษทีผมลืมไปว่านั่นว่าที่พ่อผัว”

“คุณนี่นะ” ศรศรัณย์หัวเราะในลำคอ

“แล้วนี่รินจะโดนลงโทษอะไรบ้าง” อริญชย์ถาม “คงจะไม่โดนซ้อมอะไรแบบนี้หรอกใช่ไหม”

ศรศรัณย์ครุ่นคิดอยู่อึดใจ “ถ้ามีธาราอยู่ ผมคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอกแต่ที่แน่ๆ เรื่องติดต่อกับคุณคงเป็นไปไม่ได้เลย”

“ผมฝากคุณศรดูแลเขาหน่อยนะครับ” อริญชย์บอก “เขาปกป้องผมจากการโดนทำร้ายตัวเองก็เลยโดนแทงเข้าที่ท้อง นี่เพิ่งผ่าตัดเสร็จเมื่อหกโมงนี่เอง จริงๆ ต้องนอนโรงพยาบาลดูอาการสักสองสามวันแต่เพราะมีเรื่องนี้เข้ามาก็เลยรีบร้อนออกมาเลย”

“จริงเหรอเนี่ย” ศรศรัณย์ยกมือปิดปากด้วยความตกใจกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งรู้ “เพราะแบบนี้ด้วยสินะ ธาราถึงรีบออกหน้าปกป้องเจ้ารินแล้วก็กันให้คุณออกมาเพราะไม่อยากให้มีเรื่องอีกนี่เอง”

อริญชย์พยักหน้า “คุณศรครับช่วยกางแขนออกหน่อยสิ”

ศรศรัณย์ทำตามแบบงงๆ “อย่างนี้เหรอ”

อริญชย์โผเข้ากอดชายหนุ่มแน่น “ฝากกอดรินแทนผมหน่อยนะครับ บอกเขาว่าผมสบายดี วันนี้แค่ถอยไปตั้งหลักเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว แล้วก็ตั้งใจเรียนด้วยนะ”

“ผมจะบอกเขาให้ครับ” ศรศรัณย์รับปากมั่นเหมาะ อริญชย์จึงคลายวงแขนออกและขับรถกลับไป

ศรศรัณย์ยืนส่งจนลับสายตาก่อนจะเบนสายตากลับเข้าไปยังบ้านที่อยู่ด้านหลังแล้วร้องฮึบกับตัวเองในใจ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เขายังทำอาหารอร่อยๆ เป็นกำลังกายและกำลังใจให้สองพี่น้องนั่นได้นี่นา

****************************************TBC*****************

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ้โห ชมว่าฉลาดไม่ลงเลย ชมไปได้ยังไงอจ  :fire:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เป็นพ่อแม่ภาษาอะไร

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
พ่อแม่แบบนี้ก็ได้เหรอ น่าเกลียด​ไม่สำนึกยิ่งกว่าแม่ของอจ.ริน ซะอีก

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
อย่าลืมนะพี่ต่ายต้องเอาคืนให้สาสมหมดทุกคนหนักๆเลย :interest:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สู้ๆนะทุกคน ยัยผู้หญิงนั่นร้ายมาก พ่อแม่รินมองไม่ออกเลยหรอว่ากำลังโดนเอาเปรียบอยู่

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 607
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
พอได้ฟังหมอริน หายห่วงเลย อ่านเกมขาด นังคุณหนูจะต้องได้เจอความพ่ายแพ้ก็คราวนี้ล่ะ นังสลิดดก  :angry2:

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เอ่อ นี่พ่อแม่หรอ งง เหมือนคนตาบอด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 30 ยอมหัก ไม่ยอมงอ

หลังจากมีเรื่องกันอริญชย์ก็ติดต่อเด็กหนุ่มไม่ได้เลย ซึ่งเขาก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วและธาราก็ไม่ได้แจ้งข่าวอะไรมา เขาอดทนรอจนถึงถึงวันจันทร์ก็ยังเงียบ ด้วยความเป็นห่วงที่มากขึ้นทุกทีอริญชย์จึงขับรถไปวนดูที่หน้าคณะตั้งแต่เช้าก็ไม่เจอ จนกระทั่งตกเย็นแวะมาดูอีกรอบเห็นกิตติชัยกับปุณณ์นั่งอ่านหนังสือจึงจอดรถลงไปถาม

“พวกนายสองคนเห็นรินไหม”

“วันนี้ลาหยุดครับอาจารย์ ที่บ้านโทรมาลาป่วยแต่เช้า” กิตติชัยบอก

“เป็นอะไรเหรอ”

“ไม่ทราบเลยครับ พวกผมก็ติดต่อมันไม่ได้เลย” ปุณณ์ว่า “อ้าว! นั่นคู่หมั้นเจ้ารินมาพอดี อาจารย์ลองถามเธอดูสิครับ เธอน่าจะรู้”

รถคันหรูแล่นมาจอดหน้าคณะ ไพลินเดินลงจากรถด้วยท่าทีราวกับนางพญา วันนี้เธอสวมแว่นตาแฟชั่นสีดำสนิท เธอเหลียวมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง พอเห็นเขาเธอก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเชิดหน้าตรงมาหา

“เกิดอะไรขึ้นกับริน ทำไมเขาถึงไม่มาเรียน”

ไพลินเหยียดยิ้มมุมปากแต่ไม่ยอมตอบคำถามเขาแล้วหันไปคุยกับกิตติชัยและปุณณ์ “รินให้ฉันเอาใบลามาให้น่ะ ช่วงนี้เขาจะขาดเรียนสักพักนะ พอดีไม่ค่อยสบายน่ะ แล้วที่บ้านกำลังจะมีงานใหญ่ด้วย”

แล้วเธอก็เดินกลับไปที่รถ อริญชย์ตามไปคว้าแขนเธอไว้

“รินเป็นอะไร ทำไมเขาถึงไม่มาเรียน”

“ก็บอกว่าแล้วไงว่าป่วย” ไพลินสะบัดแขนหลุดแล้วดึงไปกอดอกก่อนจะพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน “คุณเองก็น่าจะรู้ฐานะตัวเองได้แล้วนะ ถ้ายังเป็นห่วงรินก็อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย”

ไพรินขึ้นรถแล้วตาณก็ขับออกไป ด้วยความร้อนใจเป็นห่วงเด็กหนุ่ม อริญชย์จึงรีบโทรหาธารา ตั้งใจแน่วแน่ว่าถ้าวันนี้ยังติดต่อไม่ได้เขาคงต้องไปบุกบ้านหลังนั้นอีกรอบ

ทางด้านธารา ถึงพ่อกับแม่จะไม่ว่าอะไรแต่ก็ส่งคนมาตามติดทุกฝีก้าวแม้กระทั่งที่ทำงานเพราะรู้ว่าต้องแอบติดต่อกับอริญชย์แน่ๆ ทุกครั้งที่มีโทรศัพท์เข้าไม่ว่าจากใครก็ตามต้องมีคนมาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ จึงไม่มีโอกาสคุยกับอริญชย์เลย อย่างวันนี้ก็โดนดึงตัวมาช่วยที่บริษัทของพ่อทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิดทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ให้คนจับตาดูเขาได้ถนัด

พอโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นติดกันเป็นครั้งที่สามจากสายเรียกเข้าของอริญชย์ ธาราก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เขาตีหน้าขรึมเหลือบตามองไปเห็นเลขาของพ่อจ้องตาเขม็งมาแล้วก็ต้องถอนหายใจเมื่อไม่เห็นช่องทางให้หลบหลีกได้เลย เพราะขนาดเข้าห้องน้ำก็ยังมีคนตามไปอยู่ดี

“มีอะไรเธอธารา” ศรศรัณย์ถาม

ตอนนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่ข้างๆ เขาจึงพาศรศรัณย์มาทำงานด้วยทุกวัน

ธาราหันไปสบตาคนรัก ตากลมหวานฉายแววเป็นกังวลเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของเขากับริมฝีปากอิ่มได้รูปที่ขยับถามคำถามมองไปแล้วใจก็เริ่มสั่น สามวันแล้วสินะที่เขาไม่ได้จู๋จี๋กับศรศรัณย์เลย และนั่นทำให้ธาราฉุกคิดแผนการอะไรขึ้นได้ เขารีบรีบคว้ามือศรศรัณย์ดึงเข้าห้องทันที

“จะทำอะไรน่ะธารา” ศรศรัณย์ประท้วงในลำคอเมื่อร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้นวมประจำตำแหน่งที่ข้างหลังเป็นหน้าต่าง ช้อนตัวเขาให้นั่งคร่อมลงบนตักแล้วคว้าเข้าที่กรามดึงไปจูบดูดดื่มจนแทบสำลัก “ธารา... อย่าน่า... นี่มันที่ทำงานนะ”

มือเรียวพยายามปัดป้องมือใหญ่ที่ยุ่มย่ามไปทั่วเรือนร่างของตนอย่างไม่ดูเวล่ำเวลา เผลอแป๊บเดียวกระดุมก็ถูกถอดออกจนหมด เสื้อเชิ้ตถูกดึงร่นลงมากองอยู่ที่เอวอวดแผงอกขาวแล้วริมฝีปากหยักก็ค่อยๆ ละจากกลีบปากนุ่มที่ดูดดึงจนเป็นสีแดงสดลงมาตามลำคอขาวถึงเนินอกเรียบ ศรศรัณย์เชิดหน้าอ้าปากหอบหายใจเมื่อยอดสีหวานบนหน้าอกถูกรุกเร้าด้วยปลายลิ้นช่ำชอง มือเกร็งจิกลงบนบ่ากว้างแน่นเหมือนอยู่บนปากเหวระหว่างจะผลักเขาออกกับสวมกอดให้แนบแน่น

“อา... ธารา... อย่า... นี่... ที่... ทำงาน”

ตอนนั้นเองประตูห้องทำงานก็เปิดผัวะออกพร้อมกับที่เลขาสาวซึ่งเป็นคนของพ่อก้าวเข้ามาเพราะเห็นผิดสังเกต “คุณธาราคะ ดิฉันเอากาแฟมาให้ อุ๊ย!”

เลขาสาวถึงกับแข้งขาสั่นเมื่อเห็นฉากรักเร่าร้อนของหัวหน้าหนุ่ม เธอเป็นเบต้าจึงไม่รับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานของโอเมก้าที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง

ธาราเพียงหมุนเก้าอี้อี้นวมหันหลังให้เพื่อซ่อนร่างโปร่งที่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยให้พ้นสายตาจับจ้องของคนอื่น “วางไว้ตรงนั้นแหละ”

“คือ...”

“ถ้ามีธุระด่วนก็พูดมาเลยแต่ว่าก่อนพูดน่ะช่วยหันหลังไปหน่อยพอดีเมียฉันขี้อายน่ะไม่ชอบให้ใครมามอง แต่ถ้าไม่ด่วนก็ช่วยรอสักครู่ ฉันคุยธุระกับเมียฉันเสร็จเดี๋ยวจะออกไปคุยด้วย”

เลาขาสาวมองศีรษะของสองคนที่โผล่พ้นพนักเก้ามาเล็กน้อย สายตาหวานฉ่ำเชิญชวนกับนัยน์ตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาทำให้ตัวของเธอร้อนวูบวาบถึงกับลืมหน้าที่สอดแนมไปเสียสนิท “ถ้า... ถ้าเช่นนั้นฉันรอหน้าห้องนะคะ”

“เดี๋ยวก่อน!”

“อะ... อะไรคะคุณธารา”

“ล็อกประตูให้ด้วย อ้อ! เธอรู้ใช่ไหมว่าประตูมันไม่เก็บเสียง ถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ก็อย่ากระโตกกระตากไปล่ะ... เข้าใจนะ” ท้ายประโยคเขาจงใจหยอดเสียงจนหวานฉ่ำ

“ค่ะ!” เลขาสาวรับคำแล้วรีบร้อนวางแก้วกาแฟจนมันกระฉอกเลอะลงในจานรอง แต่เธอก็ไม่ได้สนใจจะเช็ดให้เรียบร้อยเพราะต้องคอยห้ามสายตาไม่ให้เหลียวไปมองพนักเก้าอี้แล้วผลุนผันออกไปยืนกุมอกหายใจหอบถี่อยู่หน้าประตู เธอหนีบสองขาเข้าด้วยกันแน่น นี่ขนาดเป็นเบต้ายังรู้สึกว่าตัวเองชื้นแฉะไปหมด ไม่ได้นะไม่ได้ เธอได้งานนี้มาก็เพราะเป็นเบต้านี่แหละ เพื่อที่จะไม่ได้เกิดปัญหาเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน

เธอตบหน้าแรงๆ เรียกสติ แล้วรีบกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งหน้าห้องพร้อมกับหยิบหูฟังเพลงขึ้นมาใส่ คงต้องหาอะไรเบี่ยงเบนความสนใจก่อนจะตกงานโดยไม่รู้ตัว

“นายจะทำอะไรน่ะ” ศรศรัณย์เอ็ด หน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนที่ให้ใครมาเห็นในสภาพนี้

“ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยนะศร” ธารากระเซ้าเสียงหวานพลางละริมฝีปากจากยอดอกขึ้นมากระซิบที่ข้างหูแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “ว่าไงครับคุณริน”

“ธารา! รินเป็นอะไร ทำไมวันนี้ถึงไม่มาเรียน ไพลินบอกว่าหมอนั่นป่วยเหรอ แผลที่โดนแทงอักเสบหรือว่ายังไง”

“เรื่องแผลไม่มีปัญหา ที่บอกว่าป่วยก็เป็นแค่ข้ออ้างด้วย” ธาราตอบพลางเหลือบตามองคนที่นั่งซ้อนอยู่บนตักแล้วทำตาหวานใส่ ศรศรัณย์ค้อนให้เขาครั้งหนึ่งด้วยความงอนที่โดนแกล้งเขาจึงต้องรีบโอบหลังร่างโปร่งมาพิงบนอกแล้วลูบศีรษะเป็นการง้อ

ทีแรกศรศรัณย์ก็คิดจะงอนยาว แต่พอได้ยินชื่อปลายสายก็ยกโทษให้แล้วให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอมือใหญ่เลื่อนลงกอบกุมสะโพกแน่น ร่างโปร่งก็จับบ่ากว้างเป็นหลักยึดแล้วยกตัวขึ้นถอดกางเกงขายาวโยนออกไปเสียเองก่อนจะนั่งคร่อมลงตามเดิมพร้อมกับจูบลงบนปลายจมูกโด่งครั้งหนึ่งเป็นการให้กำลังใจให้พูดต่อ

“แล้วตอนนี้อย่าว่าแต่ไปเรียนเลย ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นล่ะ โดนพ่อจับขังไว้ในห้อง เพราะถ้าไปมหาลัยก็มีโอกาสจะไปเจอคุณพ่อเลยยื่นคำขาดมาว่าให้เลือกระหว่างเขาบีบให้คุณลาออกกับไม่ไปหาคุณจะเลือกอะไร”

“แล้วรินก็เลยเลือกที่จะไม่ไปเรียนน่ะเหรอ”

“รินมันเลือกตัดพ่อตัดลูกแล้วออกจากบ้านต่างหาก”

สิ่งที่ธาราเล่านั้นฟังดูรุนแรงแล้วแต่ก็ยังดูเบามากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นหลังจากที่อริญชย์กลับออกไป


“ขอโทษหนูไพลินซะ!” ธงชัยประกาศกร้าว

ธารินเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างแม่น้ำตารื้น เขาจ้องเธอเขม็งดวงตาของอัลฟาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชังเต็มหัวใจอย่างไม่เคยมีให้ใครมาก่อน “ขอโทษเรื่องอะไรครับ”

“เรื่องที่แกบอกว่าจะไม่แต่งงานกับเธอไง แกทำให้เธอเสียชื่อเสียงเสียเกียรติ”

“แล้วผมล่ะ!” ธารินสวนกลับ “เคยมีใครสักคนถามผมสักคำไหมว่าอยากแต่งกับเธอหรือเปล่า แล้วการที่พ่อโยนเงินใส่หน้าอาจารย์นั่นพ่อคิดว่าพ่อให้เกียรติแฟนผมแค่ไหน แล้วมีใครคิดจะไปขอโทษเขาบ้างที่โดนทำแบบนั้น”

“ไอ้ริน! นี่แกกล้า...”

“ผมไม่เคยพูดสักคำว่าผมจะแต่ง” ธารินไม่ยอมให้พ่อมีโอกาสพูด เขายอมโดนดูถูกมาทั้งชีวิตแต่เรื่องนี้เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด “แล้วฉันก็พูดกับเธอตั้งแรกแล้วไม่ใช่เหรอไพลิน ว่าฉันไม่แต่งกับเธอ”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะริน นี่เป็นเรื่องของพวกผู้ใหญ่ด้วย รินนั่งลงแล้วค่อยพูดค่อยจากันนะ” ไพลินพยายามประเหลาะ

“บ้านเธอทำงานโรงน้ำแข็งหรือไง ถามจริงถ้าพ่อไล่ให้เธอไปทำแท้งเธอบ้างเป็นเธอจะนั่งลอยหน้าลอยตาพูดแบบนี้ได้ไหม”

“ไอ้ริน!”

“ผมยังพูดไม่จบครับ!” ธารินหันไปยกมือห้าม “แล้วเรื่องของผู้ใหญ่อะไรไพลิน เรื่องของฉันกับเธอนี่แหละ และฉันก็เรียนเพื่อมาเป็นหมอไม่ใช่นักธุรกิจ ฉันขายของไม่เป็น เก่งสุดก็ขายหน้า พ่อเธอเอาฉันไปเป็นลูกเขยก็ช่วยให้ธุรกิจขายเพชรบ้านเธอเจริญไม่ได้หรอกนะ แต่เรื่องนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นเพราะว่าฉันไม่แต่ง... ดูปากฉันนะไพลิน ต่อให้โลกนี้เหลือแค่เธอกับหมาฉันก็ไม่เลือกเธอ ส่วนพ่อ! อยากแต่งนักก็ไปแต่งเอง จอบอ จบ!”

“ไอ้ริน! ฉันขอไล่...”

“ไม่ต้องไล่ ผมไปเอง ขอบคุณที่ตอนท้องแม่ไม่กินยาทำแท้ง ขอบคุณที่อดทนเลี้ยงผมมายี่สิบปี ทุกบาททุกสตางค์ที่พวกคุณจ่ายให้ผม ผมจะหามาคืนให้ครบจะได้ไม่ต้องมาทวงบุญคุณกันอีก”

“ริน...” วิลาวรรณถึงกับเป็นลมล้มพับลงไปกองกับพื้น


“บ้านแทบแตกเลยคุณเอ๊ย!” ธาราไม่ได้อยากให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ แต่เขานึกชื่นชมในความใจเด็ดของน้องชายอยู่ไม่น้อย แล้วก็เตรียมแผนซัพพอร์ตไว้พร้อมแล้วถ้าธารินได้ออกจากบ้านจริงๆ เขาเว้นวรรคไปชั่วครู่เมื่อศรศรัณย์จับบ่าเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วยกสะโพกขึ้น ในขณะที่อีกมือจับที่ส่วนร้อนรุ่มของเขาแล้วค่อยกดสะโพกลงไปช้าๆ

“ผมควรเข้าไปขอโทษพ่อกับแม่ริน แล้วรับเขาออกมาเลยหรือเปล่า”

“อย่าเชียวนะ” ธาราว่า ศรศรัณย์ที่กำลังขยับเอวชะงักไปเล็กน้อยเพราะนึกว่าพูดกับตน เขาจึงละสายไปจูบให้ทำต่อก่อนจะกลับมาคุยต่อ “ผมก็อยากให้คุณทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทุกคนใจร้อนกันไปหมด ขืนคุณทำจริงไฟท่วมบ้านแน่”

“ไหม้เร็วก็ดับเร็วนะ”

“ผมกลัวมันจะลามจนเราคุมไม่อยู่น่ะสิ แต่เท่าที่ผมประเมินตัวไพลินคงถอยแล้วล่ะก็โดนเจ้ารินตอกหน้าไปซะขนาดนั้น ถึงพ่อผมจะขอโทษแล้วพ่อเธอยืนยันจะให้อภัยก็เถอะ”

อริญชย์คิดตาม จะว่าไปเมื่อกี้ไพลินก็ดูแปลกไปจริงๆ ทั้งใส่แว่นดำ แล้วสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี มาแบบรีบๆ ร้อนๆ ลนๆ ยังไงชอบกล บางทีที่ต้องมาก็อาจจะเพราะโดนสั่งให้ทำก็ได้ แต่ทำไมเธอถึงต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ หรือว่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น

“เอาเป็นว่ายังไงผมขอดูสถานการณ์อีกวันสองวันละกัน ผมเชื่อว่าเจ้ารินมันเอาตัวรอดได้แถมยังมีผมกับศรคอยช่วยอีก แล้วผมจะส่งข่าวเรื่อยๆ คุณเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“อันนี้ผมไม่พูด แต่เป็นเจ้ารินฝากมาน่ะ” ธาราว่า “มันโดนยึดโทรศัพท์ไปแต่รู้ว่าผมต้องติดต่อคุณได้แน่ๆ เลยฝากบอกให้คุณดูตัวเองดีๆ กินข้าวให้ครบสามมื้อ อย่ากินแต่ไอศกรีม ส่วนมันสบายดี โดนขังอยู่ในห้องก็อ่านหนังสือเองได้ จะเรียนตามเพื่อนให้ทันแน่ๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

อริญชย์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย ตัวเองทั้งบาดเจ็บทั้งโดนขังแต่ยังจะมีกะใจมาห่วงเขาอีกเนี่ยนะ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย! “ขอบใจนะ”

“มีอะไรจะบอกมันไหม แต่ห้ามฝากกอดแล้วนะ ครั้งก่อนพอได้กลิ่นคุณจากตัวศรมันกอดศรแน่นไม่ยอมปล่อยเลย ผมลำบากแทบแย่กว่าจะแงะออกมาได้ บอกตรงๆ เลยว่าหึงโอเคนะ”

ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง เลขาสาวร้องเสียงหลงพร้อมๆ กับที่เสียงคำรามลั่นของคนเป็นพ่อดังขึ้น

“อย่าค่ะท่านประธาน คุณธารากำลัง...”

“ทำอะไรอยู่เจ้าธารา!”

“ทำวิจัยเรื่องการมีบุตรอยู่ครับ” ธาราตอบเสียงเรียบเจือรำคาญใจหน่อยๆ ที่โดนขัดจังหวะช่วงเวลาสำคัญพลางฉวยเสื้อสูทมาคลุมท่อนล่างที่เปลือยเปล่าของคนรักที่นั่งคร่อมอยู่บนตักแล้วหมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้ากับพ่อ

“บัดสีบัดเถลิง!”

ธาราลูบศีรษะคนที่ซุกตัวสั่นด้วยความอายอยู่บนอกปลอบขวัญ “ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนนะจ๊ะที่รัก เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะไถ่โทษให้นะ”

ศรศรัณย์เงยหน้าขึ้นมาขยิบตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อพร้อมกับโทรศัพท์ของธารามาแล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านหลังอาศัยจังหวะที่ธาราดึงความสนใจธงชัยไปคุยกับอริญชย์ต่อ

“คุณรินนี่ผมเอง ธาราเองก็โดนคุมแจเหมือนกันเลยไม่สะดวกคุยกับคุณต่อ”

“ผมเข้าใจ” อริญชย์หมายความรวมไปถึงเสียงขยับที่น่าอายซึ่งบังเอิญหลุดลอดเข้ามาในสายเป็นบางครั้งบางจังหวะด้วย ก็ว่าจะไม่คิดละนะ แต่พอคิดแล้วจินตนาการมันก็เตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว “นี่คุณศร คุณเป็นลูกชายของคุณกุลธิดาที่เป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้าของมาขายจากต่างประเทศนี่นา แล้วตระกูลคุณก็เป็นผู้ดีเก่าด้วยใช่ไหม”

“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”

“งั้นแม่คุณก็ต้องรู้ความเคลื่อนไหวพวกแวดวงธุรกิจไฮโซสิ ผมอยากให้คุณช่วยหาข้อมูลอะไรให้หน่อย เอาข้อมูลแบบที่มันลับๆ เป็นท๊อปซีเคร็ทที่มีแต่พวกวงในที่รู้กันอะไรแบบนี้นะ”

“ได้เลยครับ งานถนัดของแม่ผมเลยล่ะ ว่าแต่คุณอยากได้ข้อมูลของใครครับ”

“คุณน่าจะรู้นะว่าผมหมายถึงใคร”

“อ้อ! เข้าใจล่ะ งั้นเดี๋ยวผมจะจัดให้แบบละเอียดยิบเลยครับ” ศรศรัณย์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะตอนนี้มีศัตรูคนเดียวกัน “ยัยคุณหนูนั่นจะต้องมาคุกเข่าขอโทษผมโทษฐานที่มาขโมยอาหารของผมไปเป็นฝีมือตัวเองหน้าด้านๆ แถมยังทำให้ธาราอดกินของอร่อยๆ อีก”

“ผมฝากด้วยนะ”

“เมียแกแต่งตัวนานเกินไปแล้วหรือเปล่าธารา”

เสียงของธงชัยที่เอ่ยเรียกทำให้ศรศรัณย์ต้องตัดสาย เขารีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตีหน้าเศร้าเดินก้มหน้าออกไปยืนข้างธารา

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับคุณลุง” ศรศรัณย์กล่าวเสียงอ่อยพร้อมกับยกมือไหว้

“โดนเห็นพ่อเห็นสภาพนั้น ใครจะกล้าออกมาสู้หน้าละครับ” ธารารีบหันไปโอบไหล่คนรักไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง

“เออๆ ฉันไม่ยุ่งกับพวกแกแล้ว จะพลอดรักทำอะไรกันก็เชิญ” ธงชัยพูดอย่างหงุดหงิดที่ลูกชายไม่ได้อย่างใจสักคน

“เดี๋ยวครับพ่อ”

“อะไรอีกล่ะ ฉันอุตส่าห์จะไปแล้วนะ”

“วันนั้นผมไม่มีโอกาสได้พูด ผมขอพูดอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ” ธาราบอก “ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจผมรู้ว่าพ่อกับแม่มองว่าผมกับเจ้ารินเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่ง เป็นต้นทุนที่หวังจะเอาไปลงทุนเพื่อสร้างเป็นกำไร วัยเด็กของผมหมดไปกับการเรียน และดำเนินชีวิตตามที่พ่อขีดเส้นให้มาตลอด ซึ่งผมทำได้แล้วผมไม่ได้เดือนร้อนอะไร แต่เจ้ารินมันไม่ใช่ผม ทุกคนรู้ว่าพ่อเกลียดมันเพราะมันเรียนไม่เก่ง หัวรั้น ทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจพ่อสักอย่าง พ่อไม่ต้องรักมันมากขึ้นหรอกแต่ถ้าไหนๆ พ่อก็คิดว่ามันทำกำไรให้พ่อไม่ได้แล้ว พ่อก็แค่ปล่อยมันไปไม่ได้เหรอ ให้มันไปตามทางของมัน แล้วคุณรินเองพ่อก็เห็นแล้วว่าโปรไฟล์ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ถ้าพ่อจะมองเป็นกำไรมันอาจไม่ใช่กำไรก้อนโตแต่พ่อก็ไม่ขาดทุนไม่ใช่เหรอ”

“ทำเป็นพูดดี แกเองก็เกลียดน้องตัวเองจะตายไม่ใช่หรือไง มันทำให้แกต้องอับอายที่มีน้องไม่ได้เรื่องแบบนี้”

“ผมเคยเกลียดรินเพราะคิดว่ามันแอบกิ๊กกับศรแล้วสวมเขาให้ผม ซึ่งเรื่องทั้งหมดผมเข้าใจผิดไปเอง นอกจากเรื่องนี้แล้วรินก็นับว่าเป็นน้องที่ดีคนหนึ่ง”

“งั้นแกจะแต่งงานกับหนูไพลินแทนน้องแกไหมล่ะ”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพ่อยังเห็นเงินสำคัญกว่าลูกเหรอ” ธาราถามตรงๆ “งั้นพ่อคงต้องเสียเจ้ารินไปจริงๆ แล้วล่ะ แล้วถ้าพ่อไม่เลิกความคิดแบบนั้น สักวันถ้าถึงคราวที่ผมทนไม่ได้ ผมก็ไม่อยู่เหมือนกันนะครับ”

“ธารา นี่แกก็เป็นไปกับน้องแกด้วยเรอะ!”

“ผมเตือนด้วยความหวังดีนะพ่อ”

ธงชัยกัดกรามแน่น เขาทำได้แค่ชี้นิ้วใส่หน้าลูกชายคนโตแล้วเดินย่ำเท้าหนักๆ ออกไป

ธาราผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันจูบหน้าผากคนในอ้อมแขนครั้งหนึ่ง “ต่อให้ฉันไม่มีเงิน แถมยังเป็นหมันนายก็ยังจะอยู่กับฉันใช่ไหม”

“ไม่ต้องห่วง ฉันหาเลี้ยงนายได้ ล้างจานไม่เก่งก็ไม่ต้องล้าง ไปนั่งหล่อๆ คิดเงินที่เคาน์เตอร์นะที่รัก ฉันจำได้ว่าสมัยเรียนนายท๊อปวิชาเลขตลอด”

“จะตั้งใจคิดอย่างดีไม่ให้ขาดสักสลึงเลยจ๊ะ”

“ห้ามแอบลดราคาให้ลูกค้าสาวๆ ด้วยนะ”

“แต่ถ้าเป็นลูกค้าหนุ่มๆ หน้าใสๆ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ธาราน่ะ!” ศรศรัณย์ทำหน้างอ ธาราจึงรีบดึงตัวมากอดแน่นๆ ทันที

“แค่หยอกจ๊ะ ใครจะกล้านอกใจที่รักล่ะ”

“แล้ววันหลังก็ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ศรศรัณย์ตีมือลงบนอกกว้าง “ทำอะไรก็ไม่รู้ฉันอายนะ”

“อายแต่ก็ให้ความร่วมมือจน ‘เสร็จ’ เลยนะ” ธาราจงใจเน้นคำว่าเสร็จจนแก้มขาวซับสีเข้มไปถึงหู เขาหอมแก้มซ้ายขวาเป็นการง้ออีกครั้งหนึ่งแล้วดึงมือศรศรัณย์ไปนั่งทำงานต่อ ตอนนี้ต้องรีบหาเงินก่อนละเผื่อสักวันต้องออกจากบ้านตามรอยเจ้ารินเมียสุดที่รักจะได้ไม่ลำบาก


************************************************************************************

เอาแล้วววว เหมือนได้ยินเสียงรถฉีดน้ำเปิดไซเรนดังมาแต่ไกล ลูกชายชั้นเงียบมาหลายตอน แต่พูดทีทำเอาบ้านบึ้ม

มาช่วยหมอรินใส่ถ่าน วางระเบิดกันต่อนะคะ เราเขียนแนวครอบครัวอบอุ่น ถึงมีปัญหาก็ปรับความเข้าใจกันได้มาตลอด เรื่องนี้อยากไปให้สุดค่ะ สังเกตได้เลยว่าเป็นปมชีวิตของตัวละครหลักทั้งคู่ รวมทั้งน้องโฮปด้วยว่าบางครั้งพ่อแม่ก็ไม่ใช่ 'ครอบครัวที่ดี' เสมอไป

ปล. ขอขายของหน่อย เค้าเปิดเรื่องใหม่ล่ะ Lockdown เรื่องฮาๆ คลายเครียดแนวเดียวกับlast room จะเล่าการจีบกันช่วงโควิดของไกด์หนุ่มกับพนง.ร้านสะดวกซื้อ ฝากติดตาม+❤+คอมเมนต์ด่วยนะคะ เมนต์ไม่ถูดส่งสติ๊กเกอร์หรือโดเนท ไม่ต้องเยอะค่ะสักคอยน์สองคอยน์ให้พอรู้ว่ายังมีคนอ่านอยู่เราก็ดีใจแล้วค่ะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เอาให้หักกันไปข้างเลยค่ะ  :m19:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เฮ้อ .... เห็นแก่เงินจนไม่ระแวงอะไรเลยเหรอ

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
พ่อแม่แบบนี้ก็มีด้วย

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 32 หลุดลอย

ผ่านมาจนครบสัปดาห์อริญชย์ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรเพิ่มเติม ที่สำคัญคือธารินก็ยังขาดเรียนนั่นทำให้เขาเริ่มอยู่ไม่สุขเพราะความเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าลูกหมาของเขาจะโดนรังแกถึงธาราจะรับปากดิบดีแค่ไหนก็เถอะ

ในที่สุดศรศรัณย์ก็เป็นฝ่ายโทรมาหาหลังจากผ่านไปสิบวัน เพราะว่าคุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวกและธงชัยก็เลิกให้คนจับตาดูธาราแล้วด้วยเพราะช่วงนี้เขากลับมาทำตัวเป็นลูกชายที่ดีตามเดิม ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้รับการผ่อนปรนและขยับตัวง่ายขึ้นนี่แหละ ทั้งสองจึงนัดให้อริญชย์มาหาที่ร้านซึ่งกำลังจะเปิดใหม่

อริญชย์ที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกกวาดตามองไปรอบๆ อย่างทึ่งจัด ร้านถูกตบแต่งเสร็จไปแล้วกว่า 80% เป็นแนวโมเดิร์นในโทนอบอุ่นสีขาวสะอาดตาล้อมรอบด้วยสวนกุหลาบที่กำลังชูช่อบานสะพรั่งเหมือนสวนที่บ้านไม่มีผิด

“ตั้งใจว่าจะทำที่นี่เป็นเรือนหอน่ะ” ธาราพยักเพยิดไปทางบนวนไดตรงกลางร้าน “ข้างล่างให้ศรเปิดร้านอาหาร ที่พักอยู่ชั้นสอง ยังไม่ค่อยเรียบร้อยดีเดี๋ยวเสร็จแล้วจะพาขึ้นไปดูนะ”

“เหลืออะไรเหรอ”

“ห้องนอนลูก” ศรศรัณย์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับวางปิ่นโตเถาหนึ่งลงบนโต๊ะ เขาหันไปเอียงแก้มให้ธาราหอมครั้งหนึ่งแล้วนั่งลงข้างกัน “ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องๆ แต่ธารายืนยันว่าจะต้องทำให้ได้”

“ก็ต้องเผื่อไว้ใช่ไหมล่ะ” ธารายิ้มเขิน ศรศรัณย์อยากมีลูกมากแค่ไหนเขารู้ดี ถึงปากจะบอกว่าเป็นไรแต่เขาก็ไม่ยอมถอดใจเรื่องนี้แน่ๆ ยังไงก็ทำจนมีให้ได้แหละ

“แล้วรินเป็นไงบ้างครับ” อริญชย์เปิดประเด็นทันที

ศรศรัณย์หันไปสบธาราแล้วกวาดตามองคนที่ดูซูบไปจากที่เจอกันครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่มาอยู่ที่บ้านก็กินอะไรแทบไม่ได้นอกจากไอศกรีมไม่รู้ว่าตอนนี้วันๆ ได้ทานอะไรบ้างหรือเปล่า เขาแยกเถาปิ่นโตออกวางเรียงทีละชั้น ซึ่งเป็นเมนูง่ายๆ ชั้นบนเป็นคลับแซนด์วิซไส้ทูน่าแฮมและชีส ชั้นกลางเป็นสลัดผักรวมและชั้นล่างสุดเป็นแอปเปิ้ลปอกเปลือกหั่นชิ้นฝานเป็นรูปหูกระต่ายน่ารัก “ทานไปคุยไปละกันนะครับคุณริน”

“ไม่เป็นไรผมไม่หิว” เพราะความเครียดสะสมกับฮอร์โมนเริ่มเปลี่ยนในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ทำให้ช่วงนี้เขาคลื่นไส้หนักมาก นอกจากกินอะไรไม่ลงแล้วยังเริ่มอาเจียนบ่อยๆ ด้วย

“เอาทูน่านะ” ศรศรัณย์คะยั้นคะยอพลางหยิบขนมปังส่งให้คู่หนึ่ง อริญชย์จึงรับมากินอย่างเสียไม่ได้ “อร่อยไหมครับ”

“รสมันแปลกๆ” อริญชย์เคี้ยวทีละคำอย่างเชื่องช้า อาหารไม่ได้ผิด ผิดที่ตัวเขาเองที่ไม่อยากกินอะไรเลย แต่มันก็แปลกลิ้นจนเกินกว่าจะให้พูดโกหกชมออกไป “ขอโทษนะครับ ไม่ได้หมายความว่าไม่อร่อยนะ แต่ผมเคยกินฝีมือคุณมาหลายครั้งแล้วมันอร่อยกว่านี้ สงสัยช่วงนี้ฮอร์โมนเปลี่ยนมั้งลิ้นเลยรับรสเพี้ยนไป”

“คุณไม่ได้เป็นอะไรหรอก ที่มันแปลกน่าจะเป็นเพราะครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นคนทำมากกว่า”

“นายไม่ได้ทำแล้วใครทำ” ธาราถามแทรกขึ้น “คุณแอนเหรอ”

“เจ้าริน” ศรศรัณย์เฉลย “มาอ้อนขอให้ผมสอนทำน่ะ พอดีเวลามีน้อยแล้วคุณธงชัยก็แอบดูอยู่เลยสอนได้แค่นี้ เราแกล้งทำเป็นชวนกันทำของว่างเอาไว้กินตอนอ่านหนังสือในห้องน่ะ


“อาจารย์น่ะเห็นแบบนั้นแต่เป็นคนกินอะไรยาก ตัวก็ผอมนิดเดียว ตอนนี้ยิ่งมีเรื่องให้เครียดเยอะก็คงไม่ค่อยกินอะไรแน่ๆ”

“ผมฝากพี่ศรบอกอาจารย์ให้ผมหน่อยนะ ว่าขอโทษด้วยนะที่ไปดูแลใกล้ๆ ไม่ได้ อาจารย์ต้องดูตัวเองดีๆ นะ กินผักกินปลาเยอะๆ นะ เอาไว้ออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ผมจะไปทำให้เอง แล้วจะได้พาไปฝากท้องด้วยตอนนี้อายุครบเดือนแล้วนี่นาเดี๋ยวอีกสองเดือนเราก็จะได้รู้กันแล้วนะว่าผมจะได้ลูกสาวหรืออาจารย์จะได้ลูกชาย”


“ฝากบอกอะไรไม่เห็นใจคนไม่มีลูกบ้างเลย” ศรศรัณย์แซวยิ้มๆ พลางหยิบสมุดขนาดใหญ่กว่าพ็อกเก็ตบุ๊คเล็กน้อยออกมาส่งให้

อริญชย์รับไปเปิดดู หน้าปกนั้นเป็นสีขาวเรียบๆ เหมือนเป็นสมุช็อตโน้ตธรรมดา เขาเปิดไปหน้าแรกแล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดปาก รู้สึกขอบตามันร้อนผ่าวไปหมด เพราะมันคือมสมุดบันทึกเจ้าตัวเล็กหรือ Baby Tracker ที่ธารินใช้เวลาว่างจากการอ่านหนังสือรวมกับความคิดถึงและเป็นห่วงที่มีตลอดระยะเวลากว่าสิบวันที่ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้พูดคุยกันนั่งประดิษฐ์ประดอยทำขึ้นมาโดยใช้คอนเซปต์อลิสในแดนมหัศจรรย์ เขาเปลี่ยนอลิสเป็นให้เป็นผู้ชายที่เดินคู่ไปกับคุณกระต่ายถือนาฬิกา ในแต่ละหน้าจะมีกรอบสำหรับติดรูป และเว้นที่ว่างไว้เขียนบันทึก

อริญชย์พลิกไปจนถึงหน้าสุดท้ายที่มีรูปหัวใจสีแดงดวงโต ด้านล่างเป็นรูปคุณกระต่ายอุ้มแคร์รอทอันน้อยไว้ในอ้อมแขน แน่นอนว่าวันนี้คือวันสำคัญที่สุดคือวันที่พวกเขาจะได้ต้อนรับเจ้าตัวเล็กออกมาสู่โลกกว้างนั่นเอง

ศรศรัณย์เห็นอีกฝ่ายเงียบไปนานจึงหยิบแอปเปิ้ลฝานเป็นรูปกระต่ายขึ้นมาส่งให้ นึกถึงหน้าคนทำตอนบรรจงนั่งหั่นทีละชิ้นทั้งที่ไม่เคยเข้าครัวจนนิ้วได้แผลเต็มไปหมดแล้วก็อดชื่นชมในความพยายามไม่ได้

“ตกลงว่าไม่อร่อยใช่ไหมผมจะได้ไปบอกเจ้าตัว” เขาถามยิ้มๆ

อริญชย์ปิดสมุดแล้วรับแอปเปิ้ลกระต่ายที่หูเว้าแหว่งไปพลิกดูแล้วอมยิ้มนิดๆ “ต้องฝึกอีกเยอะเลย” บอกพลางกัดชิ้นแอปเปิ้ลเข้าปาก “ให้ฝึกเยอะๆ นะครั้งต่อไปต้องอร่อยกว่านี้”

“ได้เลยครับ ผมจะบอกให้” ศรศรัณย์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้ากินจนหมดและหยิบชิ้นต่อไปขึ้นมาทานต่อ ดีใจที่ทำภารกิจที่รับฝากมาได้อย่างเรียบร้อย

“แล้วตกลงเรื่องที่คุณรินขอไปได้ความว่าบ้างศร” ธาราถามพลางจะหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมากินบ้างแต่ก็โดนศรศรัณย์ตีมือดังเพี๊ยะ! พลางจิกตาใส่เป็นเชิงว่า ‘ห้ามแย่งคนท้องกินนะ’ ก่อนจะเริ่มพูดธุระอีกอย่าง

“เพื่องานนี้ แม่ผมอุตส่าห์ลงทุนไปร้านทำผม นวดหน้า ทำเล็บทุกวันเลยรู้ไหมเพราะว่าสถานที่เหล่านี้น่ะเป็นแหล่งข่าวชั้นดีเลยล่ะ พวกช่างน่ะมักจะรู้เรื่องซุบซิบที่แม้แต่ข่าวยังไม่รู้ แล้ว 99% ก็เชื่อถือได้ด้วย” ศรศรัณย์บอก “แม่ผมบอกว่าจริงๆ แล้วไพลินไม่ใช่ลูกที่คุณไพฑูรย์รักเท่าไหร่เพราะบ้านนี้อยากได้ลูกชายมาก จริงๆ ไพลินมีพี่ชายคนนึงแต่เพราะร่างกายอ่อนแอเลยเสียไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงขวบ พวกเขาเลยฝากความหวังไว้กับลูกคนที่สองซึ่งก็คือไพลิน แต่เธอดันเกิดมาเป็นผู้หญิง แม่เธอพยายามจะมีอีกแต่ตอนท้องไพลินก็อายุเยอะแล้วและมีปัญหาเรื่องมดลูดไม่แข็งแรงพอก็เลยไม่สามารถท้องได้ ตอนเด็กๆ ไพลินเลยโดนจับแต่งตัวทำผมอะไรเหมือนเด็กผู้ชายหมด พอเธอเริ่มโตเป็นสาวแต่งเป็นผู้ชายไม่ได้แล้วพ่อแม่ที่ยังทำใจไม่ได้เลยส่งเธอไปเรียนเมืองนอกให้พ้นๆ หน้า เธอถูกส่งไปอยู่เมืองนอกสองคนกับคนใช้ที่ชื่อตาณแค่สองคน รายนั้นน่ะเป็นลูกของคนใช้ในบ้านแต่พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุตายไปตั้งแต่ยังเด็ก คุณไพฑูรณ์เลยรับมาเลี้ยงและมอบหมายให้ดูแลไพลินแต่เด็ก ตาณก็เลยรักเธอมากยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอแบบถวายหัวเลยล่ะ”

“ก็ยังไม่มีอะไรแปลกนี่นา” ธาราว่า

“อย่าเพิ่งขัดสิ ฉันยังเล่าหมดไหม” ศรศรัณย์ว่า “ตอนอยู่เมืองนอก ไพลินที่ไม่มีพ่อแม่คุมแจก็เลยได้ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงกลับมาเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ได้ไว้ผมยาวแต่งตัวสวยเป็นเชยร์ลลีดเดอร์แล้วก็มีแฟน ชื่อเอเดน เป็นอัลฟ่าหล่อลากดินมากพ่อคุณเอ๊ย! สูงล่ำ ตาฟ้า แถมยังเรียนเก่ง เป็นนักกีฬาฟุตบอล...”

“อะแฮ่ม!” ธารากระแอมเสียงดัง “ผัวนั่งอยู่นี่จ๊ะ ตรงนั้นข้ามเถอะถือว่าฉันขอ”

ศรศณัณย์หัวไปค้อนใส่แบบยิ้มครั้งหนึ่งก่อนจะเล่าต่อ “พวกเขาคบกันตั้งแต่ปีหนึ่ง รักกันมาก อัปรูปคู่หวานๆ อวดลงอินสตราแกรมบ่อยๆ เพราะรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่เล่น เป็นคู่ที่ทั้งม.อิจฉา แต่แล้วอยู่ๆ ก็เลิกกันไปไม่กี่เดือนก่อนไพลินจะกลับไทยนี่เอง โดยไม่บอกสาเหตุและก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยโพสต์ว่ามีเรื่องทะเลาะกันเลย แล้วรูปคู่ทั้งหมดก็ถูกลบไป ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นการล้างประวัติเพื่อจะมาแต่งงานกับรินตามคำสั่งพ่อนี่แหละ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจพอจะช่วยคุณรินได้เลย ฉันอุตส่าห์รอฟังตั้งนาน” ธาราว่า

ศรศรัณย์ก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคิดมากนะ” อริญชย์รีบบอก เห็นศรศรัณย์สีหน้าไม่ดีจึงคิดหาเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเขาก็หันเห็นกระปุกยาห้ากระปุกในตระกร้า “นั่นคุณศรเอาอะไรมาอีกเหรอครับ”

ศรศรัณย์ทำหน้านึกขึ้นได้ “พวกยาบำรุงร่างกายที่ไพลินเอามาให้น่ะครับ ทีแรกเจ้ารินจะให้เอาไปทิ้งอย่าไปกินให้ระคายกระเพาะ”

“สมเป็นน้องฉัน” ธาราพยักหน้าอย่างภูมิใจ “แล้วนายเอามาทำไม”

“ฉันก็ไม่วางใจเหมือนกัน ว่าอย่างไพลินจะเอาของดีมาให้” ศรศรัณย์ว่า “แต่เท่าที่ฉันสังเกตวันนั้นเธอกับตาณดูจะคะยั้นคะยอคุณลุงคุณป้าให้เอาให้คุณรินให้ได้ จะว่ามองประจบประแจงก็ใช่แต่แอคติ้งมันก็เกินเบอร์ไปหน่อย ฉันก็เลยเก็บเอามาก่อนเผื่อมันจะเป็นหลักฐานอะไรให้เราได้”

“ขอผมดูหน่อย” อริญชย์หยิบขวดยาแต่ละขวดขึ้นมาพลิกดู ถ้าดูตามฉลากยาก็ที่มีรายละเอียด ส่วนประกอบและอย.ครบถ้วนไม่มีอะไรน่าสงสัย ขวดก็อยู่ในสภาพใหม่ถูกปิดซีลมาอย่างเรียบร้อย แต่เพราะตัวเองเพิ่งโดนสับเปลี่ยนยาคุมที่กินมาหลายปีให้เป็นยากระตุ้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดเขาก็รู้สึกไม่วางใจยาเม็ดพวกนี้อีกต่อไป

“เดี๋ยวฉันลองถามเพื่อนๆ ดูว่าพอมีใครจะช่วยตรวจสอบให้ได้บ้าง” ธาราเสนอ

“ไม่เป็นไร” อริญชย์บอก “ฉันรู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่คนนึงและฉันมั่นใจว่าเขาพร้อมจะช่วยเรา”

OOOOOO

“แกมาหาฉันที่นี่มีธุระอะไรเนี่ย” พิษณุกล่าวอย่างหัวเสียเมื่อจู่ๆ อริญชย์ก็โผล่มายืนหน้าเคาน์เตอร์จ่ายยาโดยไม่บอกไม่กล่าว เห็นเงียบไปนานเขาก็นึกว่าจบเรื่องกันไปแล้ว พยายามทำเป็นไม่เห็น ไม่สบตาอีกฝ่ายก็ไม่ยอมไปไหนซ้ำยังส่งเสียงเรียกเสียดังลั่นห้องจ่ายยา จนหัวหน้าหันมาถามว่ารู้จักกันเหรอแล้วก็เลยให้พักเบรคออกมานั่งคุยด้วยทั้งที่เขาอยากจะเลี่ยงแท้ๆ

“อยากให้ฉันขุดเรื่องเก่าขึ้นมาคุยไหม” อริญชย์ว่า ข้อดีของการไม่แจ้งความคือทำให้เขามีเรื่องมาแบล็กเมล์อีกฝ่ายได้เรื่อยๆ นี่แหละ

“ต้องการอะไรก็ว่ามา!”

“พูดเพราะๆ หน่อยสิ พูดเสียงดังเดี๋ยวฉันตกใจเผลอกกดส่งคลิปให้ตำรวจนะ” อริญชย์ยิ้มร้าย

พิษณุเหลือบตามองชายหนุ่มสองคนที่มากับอริญชย์ วันนี้อีกฝ่ายพวกเยอะกว่าแถมเขายังเสียเปรียบเห็นๆ “มีธุระอะไรก็ว่ามาครับ”

“น้ำเสียงแบบนี้ค่อยฟังดูน่ารื่นหูหน่อย” อริญชย์หยิบขวดยาทั้งห้าขวดที่ได้จากไพลินขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะ “ช่วยเอายาพวกนี้ไปดูให้หน่อยสิว่ามันเป็นยาอะไร”

“ทำไมฉันต้องทำ”

“ก็เห็นว่าเป็นเภสัชฯ แถมยังสอบเข้ามาทำงานที่นี่ได้ก็น่าจะเก่งรู้จักยาโน่นนี่นั่นมากมาย อืม สงสัยฉันจะเข้าใจผิดสินะ ว้า เสียดายจัง~ กะว่าถ้ายอมช่วยดีๆ ก็จะลบคลิปแล้วลืมเรื่องเก่าๆ ระหว่างเราไปสักหน่อย”

“หรืออยากให้ฉันโทรหาเพื่อนที่เป็นตำรวจให้ช่วยมาเคลียร์เลยเรื่องมันจะได้จบ” ธาราพูดด้วยท่าทางขึงขังตามที่เตี๋ยมกันมาก่อนหน้านี้ถึงอริญชย์จะไม่ได้เล่ารายละเอียดให้เขากับศรศรัณย์ฟังว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้อย่างไร

“เอามาดูหน่อย” พิษณุจำยอมอย่างเสียไม่ได้แล้วหยิบขาแต่ละขวดไปพลิกดูอยู่ แล้วสีหน้าที่ดูหงุดหงิดก็ค่อยๆ ซีดลงทุกที “พวกนายเอายานี่มาจากไหน”

“ซื้อมาจากในเน็ต” อริญชย์โกหก

“นี่พวกนายคิดจะเล่นตลกอะไรกับฉันอีกเนี่ย มันมีวางขายในเน็ตเสียที่ไหน!”

“หมายความว่าไง” อริญชย์ถามกลับ “ตกลงนี่เป็นยาอะไรกันแน่”

“ก็ยาพวกนี้น่ะ...” พิษณุอำอึ้ง

“ฉันสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจแล้วก็จะไม่บอกใคร” อริญชย์เสนอข้อแลกเปลี่ยนให้อีกฝ่ายยอมพูด “ฉันแค่อยากรู้ว่ามันคือยาอะไร แล้วฉันก็ไม่ยุ่งกับนายอีก หลังจากนี้เราทางใครทางมันตกลงไหม”

พิษณุเหลียวมองซ้ายขวาแล้วแบ่งขวดยาออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกสี่ขวดอีกฝั่งหนึ่งขวดแล้วพูดด้วยเสียงที่เบาลงเพราะกลัวใครจะมาได้ยิน เขาชี้ไปที่ฝั่งสี่ขวด “พวกนี้เป็นยาบำรุงปกติ”

อริญชย์จ้องมองไปยังขวดที่เหลือ “แล้วขวดนั้นล่ะ”

“มันเป็นยาที่ฉันกับเพื่อนเอามาปลอมฉลากขายน่ะ คุณสมบัติบนฉลากกับยาข้างในจะไม่เหมือนกัน” พิษณุหยิบขวดยาขึ้นมาชี้ให้ดูตรงเหนือชื่อยา “ปกติตรงนี้จะเป็น Rx แต่ฉันเปลี่ยนเป็น Ry เวลาเอาออกมาขายจะได้ไม่สับสน”

“นายทำเรื่องพวกนี้ไปทำไม” ธาราถาม “มันเป็นยาผิดกฏหมายเหรอ”

“มันไม่ใช่ยาผิดกฏหมาย โรงพยาบาลก็มีจ่าย ร้านขายยาก็มีวางขายทั่วไป เพียงแต่ว่ายาพวกนี้มันเป็นยาควบคุมเฉพาะจะซื้อได้ต้องมีใบรับรองแพทย์” พิษณุอธิบาย “แต่บางคนก็ไม่กล้าพอที่จะมาหาหมอเพื่อขอซื้อยาพวกนี้ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะอาย พลาด ยังไม่พร้อมหรือแม้กระทั่งพวกโอเมก้าที่โดนข่มขืน ลูกค้าของฉันส่วนใหญ่ก็เป็นพวกประมาณนี้แหละ”

“แล้วตกลงว่ามันคือยาอะไร เป็นยากระตุ้นเหมือนที่นายเอาเปลี่ยนให้ฉันเหรอ” อริญชย์ถาม

“คนที่ซื้อแล้วเอาไปเปลี่ยนให้นาย” พิษณุแก้คำให้ใหม่ “ฉันเป็นแค่คนขาย ส่วนคนซื้อเอาไปทำอะไรฉันไม่รับรู้แล้ว”

“แล้วสรุปว่ามันคือยาอะไร”

“นายคิดว่ายาอะไรที่อยู่ตรงข้ามกับยาบำรุงครรภ์ล่ะ” พิษณุถามกลับ “มันคือยาตัวนั้นแหละ แล้วฉันเดาเลยว่านายจะถามต่อใช่ไหมว่าใครมาซื้อไป... ลูกค้าคนล่าสุดเป็นเบต้าผู้ชาย แน่นอนว่าเขาไม่บอกว่าจะเอาไปให้ใครและฉันก็ไม่ได้ถามเหมือนกัน”

แต่อริญชย์คิดว่าได้คำตอบแล้ว หน้าของเขาซีดลงทันทีที่รู้ว่ามันคือยาอะไรและใครเป็นคนมาขอซื้อ เขาหันไปสบตาธารากับศรศรัณย์ที่ตกใจไม่แพ้กัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไพลินจะกล้าวางแผนทำร้ายกันได้ถึงขนาดนี้

OOOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


จากข้อมูลที่คุณกุลธิดาแม่ของศรศรัณย์หามาให้ หลังจากบริษัทไพลินจะแวะฟิตเนสก่อนกลับบ้านทุกวัน หลังจากนั้นก็จะไปนั่งกินข้าวที่ร้านประจำก่อนกลับบ้าน นอกจากคนติดตามที่ชื่อตาณแล้วก็ไม่มีใครอีก

ทั้งสามจึงไปดักรอเธอที่ร้านอาหาร หลังจากที่รออยู่ไม่นานไพลินที่สวมแว่นตาดำอันใหญ่เหมือนวันที่อริญชย์เจอที่มหาวิทยาลัยวันนั้นก็เข้ามานั่งพร้อมตาณซึ่งนั่งลงตรงข้าม ไพลินไม่ถือเรื่องพวกนี้เพราะโตมาด้วยกันที่เมืองนอก พอเธอเปิดเมนูสั่งอาหาร พวกเขาก็เดินเข้าไปทำเป็นเนียนไปนั่งด้วยเหมือนมาด้วยกัน

ตาณตาขวางเมื่อเห็นคุณหนูของตนไม่ปลอดภัยและทำท่าจะลุก แต่ธาราที่นั่งประกบอยู่ก็รีบวางมือลงรอบไหล่กดให้นั่งลงพร้อมส่งสายตาปรามไปให้ “ใจเย็นๆ”

ตาณสบตาคุณหนูของตนและนั่งลงตามปกติ

“ผมขอคุยด้วยหน่อย” อริญชย์เริ่มต้นขึ้นทันที

“เรื่องอะไรคะ” ไพลินเชิดหน้าถาม

“ทำไมคุณถึงต้องอยากแต่งงานกับรินถึงขนาดนั้นด้วย”

“เพราะฉันชอบรินมาตั้งแต่เด็ก ฉันไม่ชอบที่จะต้องให้ใครมาแย่งของรักไปโดยฌฉพาะโอเมก้าสำส่อนที่ปล่อยตัวเองให้ท้องเพื่อจับเขาอย่างคุณ” ไพลินว่า “จริงๆ คุณควรขอบใจฉันด้วยซ้ำนะที่ไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณลุงคุณป้า”

“คุณพูดเกินไปแล้วนะ!” ศรศรัณย์เริ่มของขึ้น ปกติเขาเป็นคนยอมคน ยิ่งกับผู้หญิงเขายิ่งไม่สู้แต่วันนี้เขาอยากย้อมปากยัยอัลฟ่าสาวนี่ให้แดงโดยไม่ต้องทาลิปสติก

อริญชย์ยกมือห้ามแล้วพูดต่อ “งั้นผมจะยอมหลีกทางให้คุณก็ได้นะ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องกินยาบำรุงที่คุณเอามาให้ผมได้ไหมครับ”

“ทำไมฉันต้องกิน”

อริญชย์หยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะขวดหนึ่งแล้วเทยาออกมาส่งให้เธอ “มันก็แค่ยาบำรุง เป็นวิตามินกับแร่ธาตุไม่ใช่เหรอ คุณช่วยกินให้ผมดูหน่อยสิ ถ้าคุณยอมกินผมก็จะยอมไปเหมือนกัน เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง คุณกล้ากินผมก็กล้าไป”

ไพลินจ้องเม็ดยาสลับกับสายตาเด็ดเดี่ยวของโอเมก้าตรงหน้าแล้วหยิบยามาถือไว้

ตาณหน้าเผือดซีดขึ้นขึ้นที “คุณหนูอย่าครับ”

“ไม่ต้องมายุ่งน่าตาณ” ไพลินตวาด “มันก็แค่ยาบำรุง กินๆ ซะมันจะได้จบ” เธอจ้องยามเม็ดที่วางอยู่ในมือแล้วเอาใส่ปาก แต่ยังไม่ทันจะกลืนลงคอดีเธอก็มีสีหน้าทุกข์ทรมานเหมือนจะขาดใจขึ้นมาแล้วรีบคว้าทิชชูมาอ้วกเอายาออกมาจนหมด ตาณรีบลุกไปลูบหลังและส่งน้ำให้เธอจิบ

ตอนนั้นเองแว่นตาดำอันโตที่ไพลินสวมอยู่ก็ตกลงพื้น ทุกคนจึงได้เห็นว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกรอบแว่นไม่ใช่สายตาเหย่อหยิ่งอย่างที่เธอมีประดับหน้าเสมอ แต่เป็นรอยแตกที่เหนือคิ้วซ้ายและรอยช้ำรอบดวงตาทั้งสองข้างของคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“ทำไมถึงไม่กินล่ะครับ ไหนบอกว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีไง” อริญชย์รีบปิดขวดยาซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญแล้วเอามาเก็บใส่กระเป๋า

ไพลินเช็ดปาก เธอพยายามรวบรวมสติกลับมาแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องเขาตาเขม็ง “คุณ...”

ธารากับศรศรัณย์เองก็แปลกใจไม่แพ้กัน เขาคิดว่าอริญชย์จะพูดเรื่องแจ้งความบอกตำรวจแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาบีบให้ไพลินกินไปเพื่ออะไร อีกทั้งสภาพของไพลินในตอนนี้ก็แทบไม่เหลือมาดนางพญาที่พวกเขาเคยเห็น และแววตาของเธอยังดูหม่นหมองมากทีเดียว

และคำตอบก็ค่อยๆ ถูกเฉลยออกมา

“คุณท้องกับแฟนเก่าที่คบกันตอนอยู่เมืองนอกใช่ไหม” อริญชย์พูดขึ้น “และคุณก็มารู้ทีหลังว่าท้องหลังจากเลิกกันไปแล้ว จะกลับไปให้เขารับผิดชอบก็กระไร แล้วตอนที่กำลังคิดหนักว่าจะทำยังไงดีพ่อคุณเสนอเรื่องแต่งงานกับธารินมาให้คุณก็เลยรีบตอบตกลงเพราะไม่อยากให้เรื่องที่ท้องไม่มีพ่อมันแดงออกไป”

“คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ไพลินถาม

“วันที่คุณไปบ้านคุณธงชัยแล้วเอาผลตรวจให้ดูน่ะ คุณพลาดไปหน่อย” นั่นคืออีกสาเหตุที่อริญชย์แทบไม่ได้พูดในวันนั้นเพราะเขากำลังสนใจเพ่งดูภาพที่อยู่บนหน้าจอแท๊ปเล็ตในมือคุณวิลาวรรณที่เปิดค้างไว้ “ผมแอบเห็นว่ามันมีภาพอัลตราซาวน์รวมอยู่ด้วย อาจจะเพราะคุณวิลาวรรณตกใจในช่วงชุลมุนเอามือปัดไปโดนทำให้รูปปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นคุณถึงได้เกาะเธอแจและรีบเบี่ยงประเด็นเพื่อรีบเก็บหลักฐานกลัวคนอื่นจะเห็น เพราะผมอายุครรภ์เพิ่งครบเดือนย่อมทำอัลตราซาวน์ไม่ได้แน่และผมก็ไม่คิดว่าคนฉลาดอย่างคุณกับตาณที่วางเล่นใหญ่ถึงขั้นไปหาผลตรวจของผมมาได้จะพลาดกับเรื่องแค่นี้ ดังนั้นผมก็เลยเดาว่านี่มันอาจจะเป็นเรื่องที่คุณเองก็ไม่ตั้งใจก็ได้ แล้วพอได้ยินเรื่องที่คุณเพิ่งเลิกกับแฟนที่เคยคบกันถึงสี่ปีผมก็เลยเดาว่าคุณน่าจะท้อง การจะทำอัลตราซาวน์ได้ต้องมีอายุครรภ์อย่างน้อย 2-3 เดือนซึ่งมันก็ดูสอดคล้องกับระยะเวลาที่คุณเลิกกันแล้วกลับมาไทยพอดี แล้วผมก็เดาถูกเสียด้วย จากยาที่คุณตั้งใจจะเอามาฆ่าลูกผมเพื่อไล่ผมไปให้พ้นทาง”

“ทำไมเธอถึงได้เลวขนาดนี้นะ” ศรศรัณย์ว่า “ผมจะให้ธาราฟ้องคุณลุงคุณป้าแล้วจะแจ้งตำรวจข้อหาพยายามฆ่าด้วย”

“คุณหนูไม่ได้เป็นทำ เรื่องยานั่นผมเป็นคนทำเอง” ตาณรีบพูด “ผมไม่ต้องการให้ใครมาขวางทางความรักของคุณหนู”

“ไม่ต้องพูดแล้วตาณเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว” ไพลินพูดเสียงเบา

“ผมถามคุณจริงๆ นะ คุณโอเคจริงๆ เหรอกับการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักคุณเลยจนเดียวน่ะ ถ้าจะทำแบบนั้นแทนที่จะมาแต่งงานกับริน คุณกลับไปบีบแฟนเก่าคุณดีกว่าไหม ยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ๆ ของลูกคุณนะ”

“ฉันไม่เอา” ไพลินตอบหนักแน่น

“ทำไมล่ะ”

“เราจบกันแล้ว แล้วเขามีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย” ไพลินปากสั่น ตาของเธอแดงก่ำ “ฉัน... ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันไม่กล้าบอกพ่อ แล้วก็ไม่อยากเอาเด็กออก แล้วจู่ๆ พ่อก็เสนอเรื่องแต่งงานขึ้นมา ฉันตอบตกลงเพราะในความทรงจำของฉันรินเป็นคนดีมาก เขาดีกับฉันทุกอย่าง ตอนนี้เราอาจจะไม่รักกันแต่ก็น่าจะอยู่กันได้”

“ทำไมไม่เลือกทำแท้งล่ะ” อริญชย์ถาม

ไพลินส่ายหน้า “ลูกฉัน เขาไม่ได้ผิดอะไร เขาแค่จำเป็นต้องมีพ่อ”

“เด็กทุกคนไม่ได้จำเป็นต้องมีพ่อแม่นะ”

“คุณก็พูดได้สิ ก็รินเลือกคุณนี่นา”

“ต่อให้เขาไม่เลือกผม ผมก็ไม่ว่าอะไรเขาอยู่ดี” อริญชย์บอก “ถ้าคุณบอกว่าคุณจำเป็นต้องหาพ่อให้ลูกเพราะคิดว่าลูกต้องมีพ่อมีแม่แล้วละก็ผมจะเล่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งให้คุณฟัง

แม่ของเด็กคนนี้ทิ้งเขาหนีไปกับชู้ตั้งแต่อายุสิบสาม หลังจากนั้นพ่อที่เป็นทุกข์ก็กินเหล้าทุบตีเด็กคนนี้กับน้องสาวทุกวัน แล้วหลังจากนั้นหนึ่งปีพ่อก็ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงมากจากชั้นสองพร้อมกับน้องต่อหน้าเด็กคนนั้น ในฐานะหมอเด็กผมบอกได้เลยว่าชีวิตที่มีพ่อกับแม่พร้อมหน้าเป็นอะไรที่ดี แต่ถ้ามีแล้วไม่รักกัน อยู่กันแบบจำใจ ไม่ได้รู้สึกถึงคำว่าครอบครัว สู้มีคนเดียวหรือไม่มีเลยดีกว่า”

ไพลินได้ฟังแล้วรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วยเพราะพ่อกับแม่ของเธอก็ใส่ใจเธอแค่ตอนที่เธอยังเด็ก แต่พอเธอโตมาแล้วหน้าตาไม่เหมือนพี่และตอกย้ำความเจ็บปวดว่าไม่ใช่ลูกชายพวกเขาก็เหมือนเฉยใส่เธอ และทำกับเธอราวกับว่าไม่มีตัวตนในบ้าน “แล้วตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน”

“ก็ยืนอยู่ต่อหน้าคุณนี่ไง” อริญชย์บอกไพลินรวมทั้งคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที “ในฐานะคนที่เคยเป็นลูก ถ้าต้องมีชีวิตรันทดแบบนั้นผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ถ้าไม่เต็มใจให้ผมเกิดมากินยาทำแท้งเถอะ หรือถ้ามันสายไปแล้วก็ส่งผมไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซะยังจะดีกว่า คิดให้ดีนะไพลินว่าสิ่งที่คุณกำลังทำ คุณทำเพื่อลูกหรือเพื่อตัวคุณเอง คุณกลัวพ่อแม่ต่อว่า กลัวสังคมประนามว่าท้องไม่มีพ่อ คิดให้ดีก่อนจะเอาลูกมาอ้างเพื่อทำเรื่องน่าอายพวกนี้”

“ฉันพยายามจะพูดแล้ว แต่คุณก็ดูสภาพฉันสิ” ไพลินชี้ไปที่รอยแตกตรงหางคิ้ว “วันนั้นแค่ฉันกลับไปบอกพ่อว่าฉันจะไม่แต่งงานกับริน เราก็ทะเลาะกันแล้วเขาก็ผลักฉันล้มหัวกระแทกเสาเลือดอาบ เขาไม่สนใจมาดูดำดูดีฉันสักนิด มีแต่ตาณที่คอยดูแลทำแผลให้ แล้วจะให้ฉันไปบอกว่าท้อง ฉันจะทำได้ยังไง เขาจะได้ฆ่าฉันน่ะสิ”

“แล้วการบีบผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผู้ชายคนที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทกับคุณ เคยนับว่าคุณเป็นเพื่อนและดีกับคุณมากๆ ให้มาทนรับทำสิ่งที่เขาไม่ได้ได้ทำและไม่เต็มใจ คุณคิดว่ามันดีแล้วจริงๆ เหรอ”

“ฉัน... ฉัน...” ไพลินเถียงไม่ออก ภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งเล่นด้วยกันย้อนกลับมาในห้วงความคิด ธารินเป็นเพื่อนในวัยเด็กเพียงคนเธอ และตอนนี้เธอก็ทำลังจะทำร้ายเขาเพียงเพราะเขาใจดีกับเธอ

อริญชย์ถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “กลับไปคิดทบทวนดูดีๆ นะว่าจะพูดเรื่องนี้เองหรือจะให้ผมเป็นคนพูด ผมยืนยันกับคุณได้เลยว่าผมไม่ได้จะทำเพื่อความสะใจที่ได้แย่งรินมาและได้เห็นคุณย่อยยับ แต่ผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคนที่ผมรักแบกรับความผิดที่เขาไม่ได้ก่อ ถ้านั่นเป็นความตั้งใจของเขาเองผมก็จะถอย แต่ในเมื่อเขากล้าที่จะสู้เพื่อผม ผมเองก็ยอมแพ้ให้คุณไม่ได้เหมือนกัน”

เขาหันไปพยักหน้าให้ธารากับศรศรัณย์กลับ และพอพวกเขาเดินพ้นประตูร้านภาพที่เห็นคือไพลินฟุบหน้าลงกับโต๊ะและร้องไห้ออกมา เนื้อตัวของเธอสั่นเหมือนลูกนกที่จมอยู่ในน้ำตาของตัวเอง ไม่มีเพื่อน ไม่มีที่พึ่งนอกจากกิ่งไม้เล็กๆ ชื่อตาณที่ช่วยพยุงให้ลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ

“วันนี้คุณรินไปกินข้าวที่บ้านผมนะเดี๋ยวผมทำอะไรกิน” ศรศรัณย์คว้ามืออริญชย์ พอได้รู้จักคนๆ นี้มากขึ้นเขายิ่งเข้าใจความรู้สึกของเจ้ารินที่อยากจะดูแล ทั้งๆ ที่ผ่านเรื่องร้ายๆ มาเยอะแยะแต่ทำไมเข้มแข็งได้ขนาดนี้กันนะ

“ขอตัวเดี๋ยวนะครับ” อริญชย์บอกทั้งสองและเดินกลับไปที่โต๊ะ

“คุณจะทำอะไรอีก” ธาราถาม

“แค่อยากพูดอะไรอีกนิดหน่อยน่ะ” อริญชย์นั่งลงตรงข้ามไพลิน พอเธอรู้ตัวว่าเขากลับมาก็รีบเงยหน้าขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาทำเสมือนว่าไม่เป็นอะไร แต่ไม่ว่าจะพยามเช็ดยังไงน้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหล เขาจึงหันไปหยิบกล่องกระดาษทิชชูส่งให้

ไพลินหลุบตาลงมองแต่ไม่ยอมหยิบขึ้นมา เขาจึงเป็นฝ่ายดึงทิชชูออกมาแล้วเช็ดน้ำตาให้เธอแทน โดยที่ระหว่างนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ ไพลินจ้องมองดูเขาและพอน้ำตาของเธอเริ่มแห้ง ใจเริ่มสงบลงเธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังติดสะอื้นนิดๆ

“คุณทำแบบนี้ทำไม สงสารฉันเหรอ”

อริญชย์พยักหน้า “ผมนึกถึงวันที่ตัวเองนั่งร้องไห้จนไม่มีน้ำตาในตอนที่ไม่เหลือใครแล้วมันอดไม่ได้น่ะ แต่พอได้ร้องแล้วรู้สึกดีนะ น้ำตาไม่ช่วยแก้ปัญหาหรอก แต่ร้องแล้วมันสบายใจถ้าคุณเครียด เหนื่อย ไม่ไหวก็ร้องออกมาเถอะ”

ไพลินจ้องมองเขา เธอนิ่งไปอีกอึดใจแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “เลี้ยงลูกคนเดียวยากไหม”

“ผมจะไม่บอกว่าการเป็นซิงเกิ้ลมัมมันเท่หรอกนะ” อริญชย์ว่า “แต่มันก็ไม่ได้แย่ หรือถ้าคุณไม่มีคนให้คุยด้วยผมแอดไลน์คุณเข้ากลุ่ม Single parent ของโรงพยาบาลที่ผมอยู่ก็ได้นะ ในนั้นมีคนพร้อมคุยกับคุณเยอะเลย”

“คุณเป็นที่ปรึกษาอยู่เหรอ”

อริญชย์ส่ายหน้า “เข้าไปแอบอ่านเฉยๆ น่ะ รู้สึกว่าได้พลังบวกดี ยังไงก็ต้องเผื่อใจไว้ว่าสักวันเด็กมันจะทิ้ง... ผมไปแล้วนะ ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรมาละกันคุณคงหาเบอร์ผมได้อยู่แล้ว” เขาบอกพร้อมกับลุกขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนค่ะ”

“ทำไม เปลี่ยนใจจะแอดไลน์เข้ากลุ่มเหรอ”

ไพลินส่ายหน้า “ไม่ใช่ไลน์กลุ่ม แต่เป็นไลน์คุณ... ฉันไปจากไทยตั้งแต่หกขวบ ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฉันขอเป็นเพื่อนกับคุณได้ไหม”

“คุณทำกับผมกับรินตั้งขนาดนั้นแล้วจะมาขอเป็นเพื่อนเนี่ยนะ!”

ไพลินก้มหน้ายอมรับผิด “ขอโทษค่ะ”

อริญชย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คำขอโทษไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างนะ”

“ฉันรู้ค่ะ”

“เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน”

“ที่คุณว่ามาก็ถูกค่ะ พวกเขาไม่เคยสอนอะไรฉันจริงๆ”

“แบมือออกมาสิ”

ไพลินยื่นสองมือออกมาตรงหน้ากลัวๆ กล้าๆ แล้วอริญชย์ก็ฟาดมือลงมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง

“โอ๊ย!”

เธอร้องลั่น ในขณะที่ตาณทำหน้าเลิ่กลั่กรีบเข้ามาลูบมือที่แดงก่ำของเธอปลอบขวัญ

“เด็กไม่ดีน่ะต้องถูกทำโทษนะ” อริญชย์ว่าแล้ววางโทรศัพท์ของตนที่เปิดหน้าจอ QR code ให้เรียบร้อยลงบนมือไพลิน “จะแอดก็รีบแอด เดี๋ยวผมเปลี่ยนใจนะ”

ไพลินหยิบโทรศัพท์ของตนมาแอดไลน์ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์ทักไป เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ประกายในแววตาเริ่มกลับมา “คุณเป็นคนดีกว่าที่ฉันคิดนะ”

อริญชย์ส่ายหน้า “ตรงไหนกัน ผมไม่เฉียดเลยสักนิด ผมแค่เจ็บมาเยอะ ทั้งโดนคนอื่นทำ และที่ทำตัวเองด้วย แต่ผมไม่เสียใจเลยนะกับสิ่งที่ทำ ผมน่ะอิจฉาเด็กๆ จะตายตอนนี้เจ็บอีกเดี๋ยวก็หายลุกไปวิ่งได้แล้ว คุณเองก็ยังเด็กอายุเพิ่งจะยี่สิบ ชีวิตมีอะไรให้ลองถูกลองผิด ให้เจ็บได้แผลอีกเยอะ ผมเชื่อว่าตอนนี้มันยาก แต่บางทีในวันพรุ่งนี้หรือหนึ่งปี ห้าปีผ่านไป เมื่อคุณหันกลับมามองตัวเองในวันนี้แล้วละก็ ถึงตอนนั้นคุณอาจจะกำลังนั่งหัวเราะไปพลางเล่าเรื่องวันนี้ให้ลูกที่นั่งอยู่บนตักฟังก็ได้นะ”

“ขอบคุณค่ะ” ไพลินยกมือไหว้ด้วยใจที่เคารพเป็นครั้งแรก “ฉันไปบอกพ่อให้ยกเลิกเรื่องการแต่งงาน คุณพูดถูกฉันไม่ควรทำร้ายเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี”

อริญชย์ค้อมศีรษะรับแล้วเดินกลับไปหาธารากับศรศรัณย์ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ

“มองหน้าผมแบบนั้นทั้งสองจะว่าอะไรผม... โง่?” เขาพูดขำๆ

ธารากับศรศรัณย์สบตากันครั้งหนึ่งก่อนที่ธาราจะเป็นฝ่ายพูดออกมา “พวกเราคิดเหมือนไพลินน่ะ”

“คุณเป็นคนดีนะ” ศรศรัณย์พูดต่อ

“In my shoes” อริญชย์พูดขึ้น “มันเป็นสำนวนที่บอกว่าคนเราไม่ควรตัดสินใครเพราะคุณไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา... บางครั้งบางคราวความเข้าตาจน ความที่ไม่มีใครให้พึ่งพามันก็ทำให้เราทำอะไรที่คาดไม่ถึง... ผมเองก็เคยยืนอยู่ที่จุดนั้น แล้วผมก็ผ่านมันมาแล้วเพราะได้ใครคนหนึ่งช่วยไว้ สิ่งที่เขาทำไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าชงเหล้าให้กับอยู่ข้างๆ ... ถามว่าผมโกรธไพลินไหม ผมก็โกรธแหละ โกรธมากๆ ด้วยแต่พอเห็นเธอร้องไห้และนึกถึงสีหน้าของเธอตอนที่พวกคุณเล่าว่าเจ้ารินชี้หน้าด่าเธอว่าเธอไม่ใช่คนที่ท้องแล้วโดนไล่ให้ไปทำแท้ง หน้าเธอซีดเหลือสองนิ้วแล้วก็... เราไม่จำเป็นต้องให้อภัยเธอก็ได้แต่อย่าไปซ้ำเติมเธออีกเลยนะ”

ธารากับศรศรัณย์พยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วจากนี้เราจะเอายังไงต่อ” ธาราถาม

“ก็คงต้องรออีกสักพัก” อริญชย์บอก “สารภาพตามตรง เรื่องที่บอกว่าจะไปรับรินออกมาผมไม่ได้โกหกแต่นั่นก็พูดด้วยความคะนองปากไปหน่อย ถึงผมจะวางแผนไว้แล้วว่าต้องทำอย่างไรและจะเอาอะไรไปแลกบ้าง แต่ถ้าหากเรื่องทุกอย่างมันยังพอแก้ไขได้ ผมก็ยังอยากให้รินกับพ่อแม่ปรับความเข้าใจกันได้นะ”

ธาราพยักหน้ารับทราบ “ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะส่งข่าวเรื่อยๆ นะ”

“ถ้าเหงาก็แวะมากินข้าวด้วยกันที่บ้านผมได้ตลอดเวลาเลยนะ” ศรศรัณย์คว้ามืออริญชย์ “ผมก็จะได้มีคนให้ปรึกษาวิธีทำลูกด้วย”

“ได้เลยครับ”

“แล้วตกลงวันนี้จะไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม”

“วันนี้ขอผ่านละกันครับ จริงๆ วันนี้ผมต้องอยู่เวรแต่ฝากพี่นนท์ช่วยดูแทน เดี๋ยวผมว่าจะกลับไปโรงพยาบาลหน่อย”

“แล้วข้าวเย็นเอาไง ให้ผมทำไปให้ที่โรงพยาบาลไหม”

“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ คุณศรทำกินกับธาราเถอะ” อริญชย์หันไปพยักหน้ายิ้มๆ กับอัลฟ่าหนุ่มเป็นอันรู้กันว่าเขาหมายถึงกินอะไร “ผมไปก่อนนะ วันนี้ต้องขอบคุณพวกคุณมาจริงๆ ที่มาด้วยกัน”

OOOOOO

“เป็นไงรินธุระเรียบร้อยไหม” พอเห็นหน้าอริญชย์เดินเข้ามาในหอผู้ป่วยกุมาร 3 นนท์ประวิชก็รีบลุกไปหาด้วยความเป็นห่วงทันที ไม่บ่อยครั้งนักที่อริญชย์จะมาขอร้องอย่างกะทันหันแบบนี้

“เรียบร้อยครับ ผมขอบคุณพี่นนท์มากนะครับที่อยู่เวรแทน” อริญชย์บอกอย่างซึ้งใจในน้ำใจที่ช่วยในเวลารีบเร่ง

“เรื่องแค่นี้ อย่าคิดมากน่า ว่าแต่รินเป็นอะไรหรือเปล่า ดูหน้าซีดจัง นี่กินอะไรมาหรือยังไปกินข้าวกันไหม”

“ผมทานมาแล้วครับแล้วก็พกปิ่นโตมาด้วย” อริญชย์หมายถึงอาหารที่ธารินทำมาให้ “ที่หน้าซีดน่าจะเพราะเหนื่อยมาทั้งวันมากกว่า พี่นนท์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงกันล่ะ” นนท์ประวิชดุแกมหยอกพลางเอามือจับหน้าเช็กอุณหภูมิว่าตัวร้อนหรือเปล่า พอรู้สึกว่าตัวอุ่นๆ ก็ดึงดันจะให้ไปพักให้ได้ “ตอนนี้ไม่ยุ่ง นายไปพักซะหน่อยดีกว่านะ”

“อย่าเลยครับผมเกรงใจ” อริญชย์ปฏิเสธและพยายามปัดมือออก แต่นนท์ประวิชก็ยังมารุนหลังพาไปห้องเวรจนได้

“รินจะเดินไปเองหรือให้ฉันอุ้มไป”

“ผมเดินเองได้ แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ บอกแล้วไงว่าแค่เหนื่อย”

นนท์ประวิชไม่ฟังเสียง เขาเปิดประตูห้องพักเวรแล้วอุ้มตัวอริญชย์เดินเข้าไปในห้องแล้วล็อกประตู

“พี่นนท์ปล่อยครับ! อย่าทำแบบนี้”

“ฉันไม่ทำอะไรหรอกน่าแค่จะพามานอนเอง”

“แล้วล็อกประตูทำไมครับ”

“ตอนรินเข้ามานอนพักกับเจ้าเด็กนั่นก็ล็อกประตูเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” นนท์ประวิชโยนอริญชย์ลงบนเตียงแล้วก้าวขึ้นคร่อม อริญชย์พยายามจะลุกหนีแต่ก็โดนผลักให้ล้มลงไปนอนแผ่บนเตียง “ทำไมล่ะริน... ทำไมรินถึงนอนกับใครก็ได้แม้แต่เจ้าเด็กนั่นแต่เลือกที่จะปฏิเสธฉันคนเดียวล่ะ”

“ก็เพราะผมไม่ได้ชอบพี่นนท์ไงครับ เหตุผลมันก็มีแค่นี้ล่ะ!”

“รินท้องใช่ไหม” นนท์ประวิชเอ่ยขึ้น “ตัวนายหอมขึ้น กลิ่นก็เปลี่ยนไปแถมยังมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตอนเช้าให้เห็นบ่อยๆ อีก”

“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพี่นนท์สักหน่อย”

“พ่อของลูกคือเจ้าเด็กนั่นใช่ไหม” นนท์ประวิชพยายามไล่ต้อน “แล้วตอนนี้จู่ๆ เจ้าเด็กนั่นก็หายไปหน้าไปไม่มาวอแวเหมือนเดิม มันคงจะหนีหน้านายใช่ไหม หรือว่าวันนี้ไปเจอหน้ามันแล้วตกลงกันไม่ได้ เอาอย่างนี้ไหมริน ฉันจะยอมรับเป็นพ่อของลูกให้ก็ได้ ฉันรักรินจริงๆ นะ”

“แต่ผมไม่ได้รักพี่นนท์ ตลอดมาผมมองพี่นนท์เป็นแค่พี่ชายแสนดีมาตลอด พี่นนท์อย่าทำให้ผมผิดหวังได้ไหม”

“ฉันก็ไม่ขอให้นายมาหวังอะไรกับฉันแบบนั้นสักหน่อย ฉันอยากเป็นผัวไม่ได้อยากเป็นพี่ชาย”

“ผมก็ไม่ได้ขอร้องให้พี่นนท์มารักผมเหมือนกัน และผมก็ขอบอกพี่นนท์เอาไว้ตรงนี้เลยว่าต่อให้รินไม่รับเด็กในท้องผมเป็นลูก ผมก็เลี้ยงของผมคนเดียวได้ ไม้ต้องลำบากพี่นนท์มาช่วยออกรับแทนและช่วยเลี้ยงหรอกครับ”

“ถ้านายพูดถึงขนาดละก็ ฉันก็จะไม่พูดดีด้วยแล้วนะ มาดูสิว่าโอเมก้าอย่างนายจะทนขัดขืนอัลฟ่าได้สักกี่น้ำ”

“พี่นนท์อย่า...” อริญชย์เถียงได้แค่นั้นเมื่อริมฝีปากถูกปิดด้วยปากอีกฝ่าย

อริญชย์กัดปากนนท์ประวิชจนเลือดไหลซิบ อีกฝ่ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดแล้วผละออก อริญชย์รีบอาศัยจังหวะนั้นรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีถีบเข้าที่ยอดอกจนร่างของนนท์ประวิชกระเด็นตกไปปลายเตียง แล้วรีบวิ่งออกจากห้อง

“ริน!” นนท์ประวิชคำรามลั่น มือข้างหนึ่งกุมปากที่เลือดไหลไว้แน่น เขาผวาลุกตามมา อริญชย์รีบออกแรงวิ่งและตอนที่นนท์ประวิชเกือบจะคว้าตัวเขาไว้ได้ใครคนหนึ่งก็เดินผ่านมาพอดี

“ว้าย!” พรรณ์ทิพย์ตกใจทำแฟ้มที่ถือมาหลุดมือ เมื่อร่างอริญชย์ล้มเข้าใส่โชคดีที่เธอรับตัวไว้ได้ทัน “หมอรินเป็นอะไรคะ แล้วนั่นหมอนนท์เป็นอะไรทำไมเลือดไหลแบบนั้น”

“ชิ!” นนท์ประวิชคำรามในลำคอแล้วหมุนตัวเดินหนีไปอีกทาง

พรรณทิพย์ประคองอริญชย์มานั่งที่โต๊ะกลางวอร์ดซึ่งเขานั่งทำงานประจำ “เกิดอะไรขึ้นคะหมอริน ทำไมถึงได้ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนั้น”

“ไม่มีอะไรครับ...” อริญชย์ตอบได้เท่านั้นแล้วต้องก็รีบปิดปากด้วยความคลื่นไส้ ใจนึงก็นึกชื่นชมเจ้าตัวเล็กในท้องที่ได้นิสัยขี้หวงจากพ่อมาเต็มๆ แต่บางทีก็รู้สึกอยากให้อาการนี้เพลาๆ ลงหน่อย ไม่ใช่แค่เข้าใกล้อัลฟ่าคนอื่นนิดหน่อยให้ผิดกลิ่นก็อ้วกเรี่ยราดแบบนี้

“หมอรินดูสีหน้าไม่ดีเลย นั่งพักก่อนนะเดี๋ยวเราเอายาแก้คลื่นไส้ให้กิน” พรรณทิพย์กระวีกระวาดลุกไปหายากับน้ำมาส่งให้ “สีหน้าดีขึ้นแล้วนะคะ”

“ขอบคุณนะครับคุณทิพย์” อริญชย์ค้อมศรีษะขอบคุณ เขานั่งพักจนรู้สึกดีกำลังจะลุกไปทำงานกิตติชัยกับปุณณ์ก็เดินเข้ามาหาพอดี

“สวัสดีครับอาจารย์” นักเรียนแพทย์ทั้งสองร้องทัก

“อ้าว กิต ปุณณ์ มีอะไรเหรอ”

“พวกผมแวะมาเยี่ยมน้องกัปตันน่ะครับ ได้ข่าวว่าจะกลับบ้านแล้ว” ปุณณ์บอก

“ได้สิ เดี๋ยวฉันพาไป” อริญชย์ตอบอย่างยินดี เขาลุกเดินนำนักเรียนแพทย์ทั้งสองไปทางห้องน้องกัปตัน

เขามองดูเด็กชายในห้องกระจกนั่งล้อมวงกินขนมกับนักเรียนแพทย์ทั้งสองด้วยสีหน้ายิ้มแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นตัวเจ้าเด็กบ้าที่ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง หากทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะความหวังดีที่มีให้คนอื่น ถ้าวันนั้นธารินไม่ตัดสินใจลากเขาไปหาผู้รับบริจาค ถ้าเจ้าตัวไม่คิดจะลองทดสอบดู ก็คงไม่มีใครได้เห็นภาพเด็กชายคนนี้ยิ้มแย้มได้อย่างวันนี้

“ขอบคุณนะริน” อริญชย์พึมพำพลางยกมือขึ้นลูบท้องอย่างแสนรัก เขาอยากได้ลูกชายจริงๆ นะ คิดดูสิว่าจะมีความสุขสักแค่ไหนที่มีเจ้าหมารินตัวโตกับเจ้ารินตัวเล็กมาคอยออดอ้อนออเซาะตลอดเวลา แล้วถ้าหากธารินไม่รังเกียจเขาจะขอร้องให้จดทะเบียนด้วยพอถึงเวลานั้น เขาจะได้ไปรับน้องโฮปมาอยู่ด้วยได้อย่างถูกต้องตามกฏหมายและมีสิทธิ์ในการดูแลน้องโฮปเต็มที่ ครอบครัวในฝันที่เขาไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝัน เพราะคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับกับความสุขเหล่านั้น มันกำลังจะกลายเป็นจริงขึ้นมาจริงๆ ใช่ไหม อีกแปดเดือน... เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว

แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกเวียนหัวหน้ามืดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดมวนอย่างรุนแรงในช่องท้องจนเซไปพิงกกำแพง รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรุนแรงทั้งๆ ที่แรงบีบนั้นเกิดช่องท้อง อริญชย์กุมท้องแน่นราวกับกำลังออกแรงยื้อของรักที่กำลังถูกพรากไป

แต่ลำพังแค่เรี่ยวแรงของเขามันไม่เพียงพอ ร่างของเขาค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นและสติสัมปชัญญะสุดท้ายก็ค่อยๆ ดับลงพร้อมกับฝันหวานที่เคยวาดไว้หลุดลอยหายไปต่อหน้า ท่ามกลางเสียงร้องลั่นด้วยความเป็นห่วงของลูกศิษย์ทั้งสองและน้องกัปตัน

“อาจารย์! เป็นอะไรไปครับ”

“ไปตามหมอนนท์หรือใครก็ได้มาช่วยอาจารย์เร็วปุณณ์”

OOOOOO

“คุณทิพย์... บอกมานะนี่มันฝีมือคุณใช่ไหม” นนท์ประวิชผลักตัวพยาบาลสาวไปติดกำแพง

“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้หรอก!” พรรณทิพย์ตะโกนใส่หน้าเขา “ก็หมอรินน่ะทั้งที่ไม่ได้ชอบหมอนนท์แท้ๆ แต่กลับชอบมายุ่มย่ามอยู่ได้ แล้วหมอนนท์เองทั้งที่ก็มีอะไรกับฉันตั้งหลายครั้งแล้วแท้ๆ ก็ยังไปตามตื๊อหมอรินไม่เลิกอีก”

“ก็ผมไม่ได้รักคุณ” นนท์ประวิช “และที่ผมทำไปเพราะผมขาดสติ... เพราะคุณมายั่วผมเองต่างหาก”

“ก็เพราะแบบนี้ไงล่ะ คุณหน้ามืดรักเขาถึงขนาดไปขอช่วยรับผิดชอบเด็กในท้องทั้งที่ไม่ใช่ลูกคุณ ฉันก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากกำจัดเด็กนั่นซะ! คุณจะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาอีก”

“ต่อให้เขาไม่รักผม ผมก็ไม่มีวันรักคุณ” นนท์ประวิชต่อว่าเธอและเดินจากไป

พรรณทิพย์ทิ้งตัวนั่งร้องไห้กับรักที่พยายามทุ่มเทจนถึงกับยอมทำร้ายคนอื่น เธอซื้อยากระตุ้นมาจากพิษณุและตั้งใจจะกินเพื่อหลอกให้นนท์ประวิชมีอะไรด้วยแต่เพราะกลัวผลข้างเคียงจากยาที่ไม่เคยกินจึงแอบเอาไปสับเปลี่ยนให้อริญชย์กินเพื่อสังเกตอาการ เห็นว่าได้ไม่อันตรายและได้ผลดีจึงลองกับตัวเอง แต่ไม่ว่าเขาจะมีอะไรกับเธอสักกี่ครั้ง ทุกครั้งพอได้สติเขาก็หันหลังเดินจากเธอไปทิ้งเธอไว้อย่างเดียวดายบนเตียง

นับจากนี้เธอคงเข้าหน้าหมอรินไม่ติดอีกแล้ว ทั้งที่เขาแสนดีกับเธอแต่เธอก็ยังหน้าด้านทำร้ายเขา เธอลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา และตัดสินใจไปจากโรงพยาบาลแห่งนี้โดยไม่กลับมาอีก ตอนนี้สิ่งชดใช้ให้ได้ก็คงมีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่ที่แน่ๆ ภาพหมอรินที่กำลังปวดท้องทรมานจากยาขับเลือดที่เธอเอาให้กินคงติดตาเธอจนเก็บเอาไปฝันร้ายอีกนานหลายปี

*******************************************************************************

โค้งสุดท้าย ท้ายสุดแล้วค่ะ อ่านมาถึงบรรทัดนี้ทุกคนคงกำลังด่าเราแน่ๆ ว่าทำไมใจร้ายขนาดนี้ เมื่อไหร่รินทั้งสองจะสมหวังสักที นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

นี่แต่งไปก็นั่งสงสารลูกตัวเองไปเหมือนกันค่ะ และเพราะอุปสรรคมันเยอะขนาดนี้แหละ สิ่งที่อยู่ปลายทางของการรอคอยมันจึงคุ้มค่า นี่คือที่มาของเรื่อง Infectious Loveถ้าแปลตรงตัวจริงๆ มันคือติดเชื้อรักแต่เราแปลกลับไปเป็น เชื้อดื้อรัก ซึ่งมาจากการเล่นคำกับเชื้อดื้อยา ตามคอนเซ็ปต์ของเรื่อง... ถ้าความรักเป็นโรคชนิดหนึ่งฉันคงติดโรคร้ายจากนายเข้าให้แล้ว...

เชื้อร้ายตัวนี้ คือเจ้าริน และคนติดเชื้อคือหมอริน ผู้ที่มีภูมิต้านทานความรักสูงมาก และภูมิที่ว่าก็ไม่ได้มาดีๆ สักตัว ต้องใช้ความรักขนานแรงมากๆ ถึงจะรักษาได้

เหลือยาอีกไม่กี่เข็มก็จะครบโดสแล้วค่ะ มาลุ้นกันค่ะว่าเจ้ารินจะช่วยอาจารย์ของเขาได้ยังไง



ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
พี่ต่ายจะแท้งใช่มั้ย ไม่นะะะะะ :ling3:และ

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ม่ายยยยยยยยยนะะะ จะทำแบบนี้กับหลานเราไม่ได้นะะะะะ :z3: :z3: :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ๊ยยยยยย ไม่รู้จะพูดยังไงกับยัยผู้หญิงคนนี้ แต่ที่รู้ๆใจบาปมาก  :fire: :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
อห หลงคิดว่าเป็นคนดี เลวมากกกกก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอให้พี่รินกับลูกปลอดภัยนะ :sad4:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 607
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
อย่าให้พี่ต่ายแท้งได้ไหม :o12:
อะไรคือการชดใช้ความผิดด้วยการออกไปจาก รพ.  ตลก!!!  :fire:
เคยเดาไว้ไม่ผิด นางพยบาลทิพย์กับหมอนนท์ ที่แหล่ะไปได้กันจนดังเสียงลอดออกมา ตั้งแต่ตอนโน้น ไม่นึกว่าเรื่องกามๆจะลามจนถึงกับฆ่าเด็กที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลก เลววววววววววว!!! :angry2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2020 12:02:40 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 32 ตัดสินใจ

เปลือกตาบางกะพริบเปิดขึ้นช้าๆ สู้แสงไฟนีนอนเหนือหัว อริญชย์เพ่งไปยังดวงไฟนั่น ร่างกายไม่ได้เจ็บปวด แต่เขากลับรู้สึกว่ามันว่างเปล่าไปหมด เขายกมือขึ้นราวกับพยายามจะไขว่คว้าหาแสงไฟ ฉับพลันภาพวันที่แม่เดินออกจากบ้าน และตอนที่พ่อกับน้องกระโดดลงมาตายต่อหน้าต่อตาก็กลับเข้ามาในความคิด หยดน้ำใสเอ่อขึ้นที่ริมหางตา พลันแสงไฟที่กำลังสว่างไสวดับมืดลงต่อหน้า

เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว...
ถึงจะเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ... แต่ความผูกพันนั้นมากมายเหลือเกิน...
มากเกินไปจนทำใจไม่ได้เมื่อต้องเสียมันไป...
เหมือนเดินอยู่เพียงลำพังในเขาวงกต และเทียนให้แสงสว่างเล่มสุดท้ายที่ประคองอยู่ในมือได้ถูกเป่าให้ดับลง
ในความมืดที่มองไม่เห็นจุดหมายนี้ เขาจะคลำทางไปต่อข้างหน้าได้ยังไง

“อาจารย์ตื่นแล้วเหรอครับ”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู ฝ่ามือใหญ่คว้ามือของเขาที่ยื่นออกไปอย่างเลื่อนลอยไปกุมไว้พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาที่กลางหน้าผาก

ตอนนั้นเองที่รอบตัวกลับสว่างอีกครั้งเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าด้วยอ้อมกอดและกลิ่นกายที่คุ้นเคย

“ริน?” อริญชย์กะพริบตาถี่ๆ และกอดตอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ไพลินไปเพิ่งขอถอนหมั้นครับ พอได้เป็นอิสระผมก็เลยรีบมาหาอาจารย์นี่แหละ” ธารินผละออกเล็กน้อยพลางลูบหน้าลูบตาจับผมม้าที่ลู่ลงปรกตาให้เข้าที่จะได้เห็นหน้าเขาได้ชัดๆ “แล้วเมื่อกี้อาจารย์ยื่นมือออกมาจะเอาอะไรครับ... หิวน้ำเหรอ”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจะไปเอาน้ำให้อริญชย์ก็คว้าแขนเสื้อไว้ “ริน”

ธารินจึงนั่งลงตามเดิมและคว้ามือมากุมไว้ “มีอะไรครับ”

บนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังฉาบด้วยรอยยิ้มละมุนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนที่ทำตลอดทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ธารินคงยังไม่รู้ถึงยังยิ้มได้กว้างขนาดนี้ แล้วอริญชย์ก็นึกกลัวขึ้นมาว่าถ้าหากเขาบอกไปแล้วอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง จะโกรธเกลียดเขาแล้วหันหลังเดินหนีไปอีกคนหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องพูดมันออกไป

อริญชย์สบตาคนตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงแหบแห้งด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดในหัวใจ เจ็บยิ่งกว่าการสูญเสียครั้งไหนๆ ที่เคยประสบมา “ขอโทษนะริน ลูกสาวนายไม่อยู่แล้ว”

พูดจบก็กลั้นรอใจฟังถ้อยคำต่อว่าและสีหน้าผิดหวัง ทว่ารอยยิ้มบางอบอุ่นนั้นก็ไม่ได้จางไปจากหน้าเด็กหนุ่มอย่างที่คิดไว้แม้แต่น้อย ธารินเพียงลุกขึ้นเพื่อกดริมฝีปากลงกลางหน้าผากเนียนและโอบกอดร่างบางบนเตียงให้ถนัด

“ไม่เป็นไรนะครับ แค่อาจารย์ยังอยู่กับผมก็พอแล้วครับ”

อริญชย์กอดเด็กหนุ่มแน่นมันเป็นหนึ่งในอ้อมกอดที่อบอุ่นและจริงใจที่สุดในชีวิตเท่าที่เขาจำได้ แล้วตอนนั้นเองที่ความรู้สึกเจ็บปวดมากมายซึ่งอัดแน่นอยู่ในอกจนเขาบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาไหลรินเป็นสาย ทั้งที่เมื่อสิบสามปีก่อนเคยคิดว่าตัวเองร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่เพิ่งเสียไปมีคุณค่ากับหัวใจของเขามากแค่ไหน
เขาซุกหน้ากับอกกว้างและเอาแต่พูดพร่ำคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา “ขอโทษนะริน ฉันขอโทษ”

และธารินก็ทำได้เพียงโอบกอดร่างสั่นเทานั้นไว้ไม่ให้ละลายหายไปกับน้ำตาพลางกระซิบคำปลอบโยนที่ข้างหูให้รู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ไม่ทอดทิ้งไปไหน “ไม่เป็นครับ ไม่เป็นไร”

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงอริญชย์ก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย ขอบตาของเขาช้ำและยังคงเปียกชื้นจากการร้องไห้อย่างหนัก ธารินดูแลจัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อยและย่องออกมานอกห้องหลังจากได้รับข้อความจากพี่ชายกับคู่หมั้นว่าจะมาเยี่ยม

“คุณรินเป็นไงบ้าง” ธาราที่ยืนรออยู่หน้าประตูนานสองนานรีบถามไถ่อาการทันทีที่เห็นหน้า

“เรื่องแท้งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายมากเพราะครรภ์อ่อนแต่ว่าเรื่องจิตใจ...” ธารินพ่นลมออกจมูกพลางส่ายหน้าเนิบช้าให้แทนคำตอบที่เหลือ

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนใจร้ายใจดำทำกันได้ถึงขนาดนี้” ธาราพูดอย่างคับแค้นใจและเสียใจไม่แพ้กัน พวกเขาเพิ่งแยกจากอริญชย์ไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนแท้ๆ ถ้าหากว่าพวกเขารั้งให้อริญชย์อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันได้ บางทีเรื่องเลวร้ายนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ “อุตส่าห์จบเรื่องไพลินได้แล้วแท้ๆ”

“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกพี่มากเลยนะครับ ถ้าไม่ได้พวกพี่ไพลินคงไม่ยอมพูดความจริงแล้วถอนหมั้นกับผม จะว่าไปเธอก็ใจเด็ดเหมือนกันนะทำเอาพ่อกับแม่อึ้งไปเลย”

“ไม่ต้องขอบคุณพวกฉันหรอก พวกฉันก็แค่ตามไปเป็นเพื่อนเฉยๆ นายไปขอบคุณคุณรินเถอะ ทั้งหมดนี่เขาทำเพื่อนายทั้งนั้น” ธาราพยักเพยิดไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท

“ฉันทำอาหารมาให้ รินเอาไปให้คุณรินทานนะจะได้แข็งแรงไวๆ” ศรศรัณย์ลงปิ่นโตเถาใหญ่ที่ตั้งใจทำมาเป็นพิเศษให้

“ขอบคุณนะครับพี่ศร”

“แล้วนายจะเอายังไงต่อ” น้ำเสียงของธาราเครียดขึ้นเล็กน้อย

“ก็ตามนั้นแหละครับ ผมไม่คิดจะกลับไปอีกแล้ว”

ถึงไพลินจะยืนยันถอนหมั้น แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมปล่อยธารินให้มาเจออริญชย์โดยยกเรื่องของความหมาะสมของการคบหาทั้งความห่างของอายุและสถานะอาจารย์กับนักเรียนมาอ้าง ดังนั้นเขาจึงยื่นคำขาดตามที่เคยพูดไปอีกครั้งและเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่เอาอะไรติดตัวมาสักชิ้นเดียวนอกจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่และหนังสือเรียน

“เดี๋ยววันนี้ผมจะไปขอนอนบ้านเพื่อนก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยหาห้องพักถูกๆ อยู่”

“เอาบัตรพี่ไป อย่างน้อยก็พกติดตัวไว้เผื่อเข้าตาจนจริงๆ จะได้ไม่ลำบาก” ธาราส่งแบล็กการ์ดให้ เขาพยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆ ให้ทุกอย่างแล้วทั้งที่พักและเงินแต่น้องชายของเขายืนยันที่จะปฏิเสธทั้งหมด และครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ขอบคุณครับพี่แต่ผมจะลองพยายามให้ถึงที่สุดดูก่อน” ธารินดันบัตรในมือคืนพี่ชาย “ผมไม่ได้หยิ่งหรอกนะ แต่ถ้าเรื่องของตัวเองยังจัดการไม่ได้แล้วผมจะมีหน้าไปดูแลอาจารย์ได้ยังไง ตอนโดนขังอยู่ในห้องผมเตรียมพวกเอกสารยื่นกู้กยศ.ไว้แล้ว หลังจากนี้ก็จะหางานพิเศษทำ เห็นกิตกับปุณณ์เล่าว่าเคยทำอยู่บ้างผมจะลองไปปรึกษาสองคนนั่นดูว่าที่ไหนได้ค่าจ้างดี”

ธาราพยักหน้ายอมรับในการตัดสินใจของน้องชายอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก “ขาดเหลืออะไรก็บอกพี่ได้นะ”

“เอ่อ... ริน” ศรศรัณย์เอ่ยขึ้นหลังจากคิดแผนการให้ความช่วยเหลือได้โดยที่เจ้าตัวไม่น่าจะตะขิดตะขวงใจ “รินบอกว่าจะหางานพิเศษทำใช่ไหม ถ้างั้นรินมาทำงานพิเศษที่ร้านพี่ไหม พี่ยังหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยงานไม่ได้เลย”

“แต่ว่า...”

“นะริน ช่วยพี่หน่อยนะ อย่างน้อยรินก็น่าจะล้างจานเก่งกว่าธาราล่ะ” เห็นว่าธารินยังอึกอัก ศรศรัณย์จึงรีบพูดต่อ “แล้วไหนจะเรื่องเสิร์ฟอาหาร คิดเงินและพวกงานปัดกวาดเช็ดถูจิปาถะในร้านอีก พี่จะจ้างคนอื่นมาช่วยก็ยังไม่รู้จะเก่งหรือไว้ใจได้หรือเปล่า รินก็รู้ว่าเวลาพี่ฮีทจะมีอาการรุนแรงมาก ถ้าธาราไม่อยู่อย่างน้อยพี่จะได้อุ่นใจนะริน... ถือว่าช่วยพี่เถอะนะ ส่วนเรื่องค่าจ้างพี่ไม่เอาเปรียบแน่นอนจะคิดเป็นรายชั่วโมงให้ตามงานที่ทำ วันไหนอยู่เกินเวลาก็จะจ่ายค่าโอทีให้แล้วถ้าทำดีก็จะมีค่าคอมฯ กับโบนัสให้ด้วย นะนะ รินช่วยพี่นะ ทำสักปีสองปีพอรินเรียนจบ เอ๊ย! พี่ได้คนใหม่แล้วรินจะออกไปทำที่อื่นก็ตามใจเลย”

ธารินถอนหายใจแผ่วเบา ขนาดคนโง่ๆ อย่างเขายังคิดตามแผนการนี้ทันเลย แต่ตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท ไหนจะต้องกินต้องใช้อีก “ตกลงครับพี่ศร”

ธาราหันไปยิ้มขอบคุณให้ศรศรัณย์

“แล้วก็ผมมีเรื่องจะขอร้องอย่างหนึ่ง พี่ให้สัญญากับผมได้ไหม” ธารินพูดกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ห้ามบอกอาจารย์เรื่องนี้เด็ดขาด ถ้าอาจารย์ถามแล้วพี่ไม่อยากโกหกก็ตอบแค่ว่าผมสบายดี ตกลงไหม”

จริงๆ แล้วธาราไม่อยากรับปากเลย แต่เพราะไม่มีทางเลือกเขาจึงจำยอม “ตกลง”

ธารินกลับเข้ามาในห้องแล้วก็ต้องตกใจที่อริญชย์หายตัวไปจากเตียง เขารีบวางของลงแล้ววิ่งหาไปทั่วจนไปเจออริญชย์ยืนอยู่ที่ระเบียงด้านนอก

“อาจารย์มาทำอะไรที่นี่ครับ”

อริญชย์ชี้มือไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิทมีแค่ดาวดวงเล็กๆ กระพริบวิบวับอยู่ไม่กี่ดวง ธารินมองตามปลายนิ้วนั่นไป “จู่ๆ ฉันก็นึกสงสัยขึ้นมาน่ะ ว่าคนเราตายแล้วไปอยู่บนนั้นทุกคนหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงดีนะ ลูกสาวนายอาจจะได้ไปเจอพ่อกับน้องสาวฉัน น่าเสียดายจังที่ฉันไม่ทันได้ฝากความคิดถึงไปให้พวกเขาเลย”

ธารินดึงสายตากลับมามองคนข้างตัวแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อาจารย์... ไม่เป็นไรนะครับ”

อริญชย์หันกลับมาดวงตาของแดงก่ำ ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่านั่นเป็นรอยที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา “อือ... ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ นายเองก็เหมือนกันนะริน... ไม่เป็นไรแล้ว”

“อาจารย์หมายความว่าไงครับ”

“ก็หมายความว่านายไม่ต้องมารับผิดชอบฉันแล้วไง เรื่องไพลินก็น่าจะเรียบร้อยแล้วนี่ ต่อไปนี้นายก็กลับไปอยู่บ้านอยู่กับพ่อแม่นายแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว”

“อาจารย์... ผมไม่เข้าใจ”

“เด็กโง่” อริญชย์ยกมือขึ้นจับแก้มเด็กหนุ่มตรงหน้าอยากสัมผัสอีกสักครั้งก่อนจะไม่มีโอกาสได้จับอีกเมื่อมันกลายไปเป็นของคนอื่น “ต้องให้ฉันพูดให้ชัดเจนเลยเหรอ ว่าเราไม่ต้องมาเจอกันแล้ว นายกลับไปตั้งใจเรียนให้จบ ได้เป็นหมอตามที่ฝัน แล้วหาคนดีๆ มาเป็นคู่... ใครสักคนที่เหมาะสมกับนายมากกว่าฉันไม่ว่าจะเป็นอายุ ฐานะทางบ้าน คนที่รักนายได้โดยไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อนเหมือนอย่างฉัน”

“อาจารย์ก็ไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนตรงไหนนี่ครับ อย่างเดียวที่จะทำให้อาจารย์ไม่เหมาะสมกับผมคือการที่อาจารย์ไม่รักผม... อาจารย์ไล่ผมสิครับ ไล่ผมไปให้ไกลๆ ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก ถ้าอาจารย์กล้าพูด กล้าทำแบบนั้นผมก็จะไป”

“ริน... นายเชื่อจริงๆ เหรอว่ามันจะเวิร์ค”

“แล้วทำไมมันถึงจะไม่เวิร์คละครับ” ธารินถามกลับ “ผมรักอาจารย์ อยากเห็นอาจารย์มีความสุข มันก็แค่นั้นแหละ ยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่ผมอยากทำกับอาจารย์แล้วยังไม่ได้ทำไม่ว่าจะเป็นเดินห้าง ดูหนัง วันหยุดที่ไม่ต้องไปทำงานก็นอนตื่นสายด้วยกัน ผมจะทำอาหารให้ระหว่างที่อาจารย์ไปอาบน้ำ หลังกินข้าวเสร็จเราก็มาดูเน็ตฟลิกซ์จนค่ำอาจารย์เริ่มง่วง มีที่เที่ยวอีกตั้งหลายที่ ร้านอาหารและร้านกาแฟอีกหลายร้านที่เรายังไม่เคยไปนั่งด้วยกัน... ทั้งหมดนี่อาจารย์ยังไม่ได้ลองทำเลย แล้วทำไมถึงคิดว่ามันจะไม่เวิร์คละครับ”

“เพราะคนอย่างฉันมันไม่สมควรได้รับความรักจากใครละมั้ง”

“นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้อาจารย์ยังไม่เคยเจอผมต่างหาก” ธารินรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามากอด “แต่ตอนนี้อาจารย์เจอผมแล้ว ให้โอกาสผมได้รักอาจารย์สักครั้งเถอะครับ”

อริญชย์พิงศีรษะลงบนอกกว้าง ทั้งรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเกินไปจนไม่กล้าผลักออกแต่ก็กลัวเหลือเกินที่จะกอดตอบ เขาจึงทำเพียงพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง


วันต่อมาอริญชย์ก็ได้กลับบ้าน เขารู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดเพราะนนท์ประวิชมาคุกเข่าขอโทษอันที่จริงเขาเข้าใจผิดมาตลอดว่านนท์ประวิชเป็นคนวางแผนถึงได้เลี่ยงจะเข้าใกล้แต่สุดท้ายกลับเป็นคุณพรรณทิพย์ที่เขาคิดไม่ถึงทั้งที่พิษณุก็บอกอยู่แท้ๆ ว่าคนมาขอซื้อยาเป็นผู้หญิง นนท์ประวิชบอกว่าพรรณทิพย์ลาออกไปแล้วและเขาก็กำลังจะไปยื่นใบลาออกเหมือนกันเพราะทนอยู่สู้หน้าอริญชย์ต่อไปไม่ได้ แต่อริญชย์ขอให้อยู่ต่อเพราะถ้านนท์ประวิชไม่อยู่จะไม่มีใครดูแลเด็กๆ โดยแลกกับการเขียนใบรับรองแพทย์ให้เขาลางานยาวหนึ่งเดือนและขึ้นเวรแทนให้ทั้งหมด

ทำไมเขาที่เป็นคนเสียหายต้องบากหน้ากลับไปทำงานแถมยังเป็นงานที่หนักกว่าเดิมเพราะไม่มีคนช่วยด้วยล่ะ

จริงๆ อริญชย์ก็อยากทำอะไรที่เป็นการลงโทษสองคนนั้นมากกว่านี้รวมทั้งพิษณุที่เป็นคนแอบเอายามาขายด้วย แต่เขาก็เหนื่อยเกินไปเสียแล้วกับการคิดเรื่องพวกนั้น ธาราเพิ่งโทรมาบอกว่าพ่อแม่ของน้องโฮปและตาแก่นั่นได้รับโทษทางกฏหมายเรียบร้อย และเขาก็ใช้เส้นสายบางอย่างที่คงจะทำให้พรรณทิพย์หางานทำไม่ได้ง่ายนัก แค่นี้เขาก็รู้สึกพอใจแล้ว ครั้งนี้เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณธารามากแต่อีกฝ่ายบอกว่าอริญชย์ให้เขามากพอแล้วนั่นคือการทำให้เขาปรับความเข้าใจกับศรศรัณย์ได้

“ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเราอีกแล้ว”

ตอนพูดประโยคนี้ธารายิ้มหวานเสียจนเขาหมั่นไส้ ศรศรัณย์เองก็มาหาเขาทุกวันพยายามจะชวนไปร้านหรือพาทำโน่นนี่แม้จะโดนเขาปฏิเสธกลับไปทุกครั้งก็เถอะ

ยังมีอีกคนที่อริญชย์รู้สึกขอบคุณจากใจคือธาริน เด็กหนุ่มเกาะติดเขาแจและเอาใจยิ่งกว่าตอนท้องเสียอีก ตอนเช้าแวะมาเคาะประตูห้องเอาข้าวมาให้แล้วไปเรียน กลางวันถ้าไม่โทรมาก็จะส่งข้อความหา ตกเย็นก็แวะมาหาอีกรอบ มาเล่าให้ฟังว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง และอัปเดทเรื่องราวที่โรงพยาบาลให้ฟังระหว่างนั่งกินข้าวด้วยกัน ก่อนจะขอตัวกลับบ้านทั้งที่เขาอนุญาตให้นอนค้างด้วยกันได้ซึ่งนี่ทำให้อริญชย์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะปกติเจ้าตัวจะต้องตื่นเต้นดีใจรีบวิ่งไปอาบน้ำกระโดดขึ้นเตียงแล้วตบหมอนนอนรอแล้ว

และวันนี้ก็เช่นกันที่อริญชย์ต้องมายืดกอดอกหน้าหงิกส่งเด็กหนุ่มที่หน้าประตู

“อยู่กับอาจารย์ผมไม่มีสมาธินี่นา เอาแต่มองหน้าอาจารย์หนังสือไม่ได้อ่านสักตัว”

“อ่านหนังสือหนักขนาดนี้ถ้าเทอมนี้ไม่ได้เอฉันจะตีให้หัวแบะเลย”

ธารินหัวเราะในลำคอ ดีใจที่อาจารย์กลับมาเป็นเหมือนเดิม ยอมรับว่าตอนที่เห็นอาจารย์ยืนเกาะขอบระเบียงเขาใจหายไปถึงไหนต่อไหน กลัวอาจารย์คิดสั้นแล้วกระโดดลงไปจะแย่

“ทำไมหมู่นี้เสื้อนายดูยับจัง คุณแอนทำงานยังไงเนี่ย ปกติทำงานเนี้ยบจะตายไม่ใช่เหรอ” อริญชย์ถามพลางเอามือลูบไปตามรอยยับบนเสื้อนักศึกษาที่เด็กหนุ่มสวมอยู่ก่อนจะแบะปกเสื้อออกดูแล้วจิกตาใส่อย่างไม่ชอบใจ “ตรงคอนี่ก็ยังเป็นคราบอยู่เลย”

“ผมรีดไม่เรียบเองแหละ พอดีช่วงนี้กำลังฝึกทำงานบ้านหลายๆ อย่างน่ะครับ จะได้เก่งๆ ไง” ธารินรีบแก้ตัว เขาออกมาอยู่หอคนเดียวแล้วตามที่พูดไป ที่นอนค้างกับอาจารย์ไม่ได้เพราะเขาต้องไปช่วยพี่ศรจัดของ ทำรายการข้าวของในร้าน และงานจิปาถะต่างๆ แล้วแต่จะให้ช่วย รับค่าแรงล่วงหน้าเขามาจ่ายค่าหอไปหมดแล้วก็ต้องทำงานให้คุ้มล่ะ

เขาสบตาอริญชย์ที่จ้องเขาเขม็ง หวังว่าจะไม่ทำตัวมีพิรุธอะไรให้จับได้แล้วอริญชย์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนเขาสะดุ้ง

“ไอ้เด็กบ้า!”

“ท... ทำไมครับ”

“จะทำอะไรก็รีบทำยืนมองอยู่ได้” อริญชย์ทำหน้ามุ่ยแล้วเอียงแก้มให้ข้างหนึ่ง

ธารินจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จูบลา เขารีบยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บครั้งหนึ่ง กลิ่นหอมรัญจวนที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูกทำเอาเขาไม่อยากกลับไปเลยจริงๆ เขาฝืนใจถอนริมฝีปากออกแต่ก็ยังตัดใจไม่ขาดสนิทจึงโอบแขนคล้องเอวสอบไว้หลวมๆ แล้วสอดหน้าลงซบบนบ่าลาด “วันหยุดนี้ไปเที่ยวกันไหมครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ก็ได้ ฉันอยู่บ้านเฉยๆ อยู่แล้ว”

และพอถึงวันเสาร์เด็กหนุ่มก็มาเคาะปลุกอริญชย์ที่ยังไม่ตื่นดีแต่เช้าตรู่ ตัวเขานั้นไม่มีปัญหากับการมาเดินห้างในวันหยุดที่คนเยอะๆ หรอกนะ แต่เด็กหนุ่มดันห้ามไม่ให้เอารถออกแล้วหนีบเขาขึ้นรถเมล์ต่อรถไฟฟ้ามาน่ะสิ ร้อนก็ร้อนแถมคนก็เบียดแน่นเป็นปลากระป๋อง พอหลุดออกจากสถานีมาได้ขอตัวไปซื้อน้ำกินเฉย ทิ้งให้เขายืนงงอยู่กับตัวมาสคอตหน้าห้าง

ผ่านไปเกือบสิบนาทีธารินก็เดินยิ้มเผล่กลับมาพร้อมชานมไข่มุกสองแก้ว “นี่ครับ”

อริญชย์หลุบตาลงมองเครื่องดื่มในมือเด็กหนุ่ม “ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะกิน”

“กินเถอะ ยี่ห้อนี้อร่อยนะ... เร็ว เดี๋ยวน้ำแข็งละลายจืดหมดนะครับ” ธารินแกว่งแก้วไปมาตรงหน้าพลางยกของตัวเองขึ้นดูดโชว์

อริญชย์จึงรับมาอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้นึกชอบเลยกับเมนูน้ำหวานของพวกวัยรุ่นแต่พอเขาดูดเข้าไปคำแรกกลิ่นหอมชาก็อวลอยู่ในจมูกให้ความรู้สึกสดชื่น รสชาติก็หวานกำลังดีไม่แสบคอ แถมยังมีเม็ดไข่มุกหนุบหนับสู้ฟันที่เคี้ยวๆ ไปก็เพลินดีทำให้เขาไม่ว่าอะไรอีกและดูดไปเงียบๆ เผลอแป๊บเดียวก็หมดไปครึ่งแก้ว

“อร่อยล่ะสิ” ธารินแซว

“พอกินได้” อริยชย์พึมพำ เขาเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก มิน่าสิเห็นพวกเด็กๆ ติดกันจนน้ำหนักขึ้นที่แท้ก็อร่อยแบบนี้เอง ทำไมที่ Devil Club ไม่มีเมนูนี้นะ มิสเตอร์บีนี่ไม่ได้เรื่องเลยวันหลังต้องสั่งให้ไปคิดเมนูค็อกเทลใส่ไข่มุกบราวชูการ์มาขายบ้างแล้ว “แล้ววันนี้นายวางแผนจะพาฉันไปไหนบ้าง”

ธารินยกมือขึ้นมากางตรงหน้าแล้วพับลงทีละนิ้วตามรายการที่ไล่ไป “ดูหนัง กินข้าว กินไอติม เดินเล่น แล้วก็นั่งรถกลับ”

อริญชย์เอื้อมมือมาเขี่ยนิ้วสุดท้ายออกแล้วแก้เสียใหม่ “เขามีแกรปแล้วนะรู้ยัง”

“ผมก็แค่อยากใช้เวลากับอาจารย์นานๆ เอง”

“ไม่ต้องใช้บนถนนก็ได้มั้ง บนเตียงก็ยังมีอะไรให้ทำตั้งเยอะ”

“พูดงี้ค่อยสมเป็นอาจารย์หน่อย”

อริญชย์ไหวไหล่ “แล้วนายก็เลิกเรียกฉันว่าอาจารย์ๆ ได้แล้ว ดูจับฉันแต่งตัวมาสิ” เขากางแขนให้ดูเสื้อเชิ้ตกางเกงส์ยีนส์ที่ถูกเด็กหนุ่มจับแต่งคุมโทนมาคู่กันหลังจากที่เขาบ่นไปหลายรอบว่าเวลาไปไหนด้วยกันมักจะแต่งตัวไปกันคนละทาง แต่วันนี้นอกจากจะเข้ากันดีแล้วยังดูเหมือนชุดคู่ของคนเป็นแฟนกันแบบที่ไม่พึ่งลุงคนพายเรือช่วยชงแบบครั้งก่อนเลย

“แล้วให้เรียกอะไรอะ”

“อยากเรียกอะไรก็เรียกไปสิ”

“อะไรก็ได้จริงนะครับ”

“วันนี้อารมณ์ดียอมให้หนึ่งวัน”

พออีกฝ่ายไฟเขียวธารินก็รีบเรียกราวกับกลัวจะไม่ได้เรียก “ริน”

แต่แล้วก็ได้ค้อนทางหางตากลับมาวงใหญ่ “ลามปาม”

“ก็อาจารย์บอกเองว่าให้เรียกอะไรก็ได้นี่นา”

“ฉันหมายถึงพี่รินอะไรแบบนี้ต่างหาก นายจะมาเรียกฉันห้วนๆ ได้ไงฉันอายุมากกว่านายตั้ง 13 ปีเลยนะ”

“งั้นเรียกที่รักได้ไหมล่ะ” ธารินต่อรอง “หรือจะให้เรียกบี๋ ดาร์ลิ้ง ผมอยากเรียกอะไรที่มันน่ารักๆ ให้สมกับที่เป็นแฟนกันนี่นา ฝึกไว้ให้ชินหูสิครับอีกหน่อยเวลาโดนเรียกด้วยคำอื่นจะได้ไม่เขิน”

“พอเลยเจ้าเด็กบ้านี่ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ฉันเอาแค่วันนี้แต่เล่นคิดไปไกลถึงไหนเนี่ย”

“เอ้า! ก็ผมมองการณ์ไกลนี่นา เอางี้! เรามาแข่งกันไหมครับ ถ้าผมดูดชาไข่มุกแก้วนี้หมดก่อนผมจะได้เรียกชื่ออาจารย์เฉยๆ นี่ผมอุตส่าห์ยอมเสียเปรียบต่อให้อาจารย์ครึ่งแก้วเลยนะ”

“ทำไมฉันต้องแข่ง ฉันไม่ได้อยากให้นายเรียกแบบนั้นสักหน่อย!”

“พอผมนับสามก็เริ่มเลยนะ” ธารินอ้าปากงับหลอดพร้อมกับยักคิ้วท้าทาย “เอาล่ะนะ สาม สอง หนึ่ง”
“เดี๋ยวสิ ไอ้เด็กบ้า! ฉันยังไม่ได้...” อริญชย์พยายามยื้อแก้วชาไข่มุกในมือเด็กหนุ่มไม่ให้ดูดได้ แต่ก็เอื้อมไม่ถึงซ้ำยังโดนเด็กหนุ่มรวบตัวมาหนีบไว้ข้างเอวเหมือนเขาเป็นกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ถูกหมาตัวใหญ่เอาขาหน้าทับไว้ ดิ้นแทบตายก็ไม่หลุด เผลอแป๊บเดียวธารินที่รีบดูดชาไข่มุกจนคอโก่งก็กินหมดไปครึ่งแก้ว เขาจึงเลิกดิ้นหันมาดูดของตัวเองบ้างแต่ก็เร่งสปีดตามไม่ทันเสียแล้ว

“ผมชนะ!” ธารินประกาศชัยชนะพร้อมกับชูแก้วชาไข่มุกขึ้นเหนือหัวราวกับมันเป็นถ้วยรางวัล

“ขี้โกง” อริญชย์บ่นกระปอดกระแปด ในขณะที่เด็กหนุ่มยิ้มกริ่มโยนแก้วชาไข่มุกเปล่าทิ้งถังขยะเพื่อให้เหลือมือว่างมาคว้ามืออีกข้างของเขาไปกุมไว้แล้วพูดหน้าตาเฉย

“ไปกันเถอะริน”

อริญชย์กลอกตาเป็นเลขแปดใส่คนที่ยิ้มหน้าระรื่น แต่ธารินก็รู้อยู่แล้วว่าคนปากแข็งแกล้งทำไปอย่างนั้นเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินเพราะเจ้าตัวชอบย้ำเสมอว่า “คนอย่างฉันไม่ชอบจริงๆ ไม่ยอมทำให้อยู่แล้ว”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

พอตกเย็นทั้งคู่ก็จูงมือกลับกันมาที่ห้อง อริญชย์ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนโซฟาอย่างหมดสภาพทั้งที่ยังไม่ถอดรองเท้า ธารินวางถุงของมากมายที่ซื้อมากองไว้บนโต๊ะ เขาเพิ่งรู้ว่าอริญชย์เป็นนักช๊อปตัวแม่แต่พอมาพิจารณาเสื้อผ้าของเจ้าตัวนอกเวลางานที่ราวกับหลุดออกมานิตยสารแฟชั่นแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ นอกจากจะได้ของตัวเองแล้วยังได้ของเขามาอีกหลายชุดทั้งที่ปฏิเสธไปแล้วแต่ก็ห้ามคนมือไวที่ส่งบัตรเคดิตให้รูดปรื๊ดๆ ไม่ทันสักรอบ จนร้านสุดท้ายนี่เขาต้องอุ้มหนีพนักงานสาวหน้าหวานขายเก่งที่จัดโปรทั้งลดแลกแจกแถมให้ แต่พอเขาเผลอหันหลังให้ไม่ถึงสองวินาทีอริญชย์ก็แอบวิ่งกลับไปซื้อมาเรียบร้อยแล้วยังมีหน้ามาส่งให้เขาถือและบอกว่าวันหลังใส่มาให้ดูด้วยนะ

ธารินจินตนาการถึงเสื้อเชิ้ตลายเสือในถุงตอนมันมาอยู่บนตัวเขา ถึงเขาจะมั่นใจในความหล่อและรูปร่างของตัวเองพอตัวแต่ชุดแบบนี้คงเอาไว้ใส่ได้แค่ตอนที่ไปคลับด้วยกันเท่านั้นแหละ ใส่ไปเดินมหา’ลัยเพื่อนได้ล้อตาย

แต่พอนึกถึงสีหน้าของคนที่กอดอกยิ้มกริ่มด้วยความภาคภูมิใจนักหนาที่ซื้อมาได้แล้วเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้ เหมือนมันนานมากๆ แล้วที่เขาไม่ได้เห็นอริญชย์ยิ้มแบบนี้ รู้สึกว่าการที่ยอมอดหลับอดนอนทำงานหนักทั้งอาทิตย์เพื่อขอเบิกเงินล่วงหน้าพาไปเที่ยววันนี้ไปเสียเปล่าเลย

“ปวดเท้าชิปเป๋ง”

เสียงโอดครวญดังแว่วมาจากคนที่นอนเอาเท้าพาดบนที่พักแขนของโซฟา ธารินจึงเดินไปนั่งตรงปลายเท้า จัดแจงถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วนวดฝ่าเท้าให้

แรงกดเป็นจังหวะทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนอริญชย์เผลอครางออกมา “งือ~ ไอ้เด็กบ้า อย่ามาตามใจฉันจนเคยตัวน่า”

“อยากให้เคยตัวครับ จะได้ไม่คิดหนีผมไปไหน” ธารินใช้ข้อนิ้วกดลงไปตรงใต้นิ้วหัวแม่เท้าเน้นๆ เรียกเสียงครางจากร่างบางไปได้อีกหนึ่งยก

“งืมมมม~ ไปฝึกมาจากไหนเนี่ย รู้สึกดีสุดๆ เลย ดีกว่าไปนวดที่ร้านอีก”

“ดูมาจากในยูทูปครับ ตอนนี้ผมขึ้นฝึกแผนกฝากครรภ์พวกแม่ๆ น่ะชอบมาบ่นให้ฟังว่าพออายุครรภ์เริ่มมากเท้าจะบวมได้ง่ายเพราะการไหลเวียนเลือดไม่ดี ผมก็เลยลองไปศึกษาดูว่ามีอะไรพอช่วยได้บ้างจะได้เอาไปสอนแม่ๆ ที่มาฝากครรภ์แล้วก็จะได้เอามาดูแลว่าที่คุณแม่ของผมด้วย” ธารินเริ่มรู้ตัวว่าพูดมากไป เขาเหลือบตาดูอริญชย์แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีได้มีท่าทีแปลกไปยังคงนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

“หยุดทำไม นวดต่อสิกำลังสบายเลย”

“ครับ” ธารินถอนหายใจอย่างโล่งอก อริญชย์คงกำลังเคลิ้มจนไม่ได้สนใจฟังที่เขาพูด จนกระทั่งคนที่คนอยู่เอ่ยประโยคต่อมา

“ไม่ต้องกลัวฉันคิดมากกับคำพูดแค่นั้นหรอกน่า”

ธารินตีปากตัวเอง อุตส่าห์ระวังตัวมาเป็นอาทิตย์ดันมาตกม้าตายเผลอพูดอะไรไม่ทันคิดเอาตอนนี้เนี่ย

อริญชย์ลืมตาขึ้นมาเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นมาแล้วคว้ามือเขาไว้ “นายไม่ต้องโทษตัวเองหรอก เพราะฉันคิดถึงมันตลอดเวลาอยู่แล้ว... ฉันระวังตัวไม่มากพอนายก็เลยเสียลูกไป”

“อาจารย์อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิครับ ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดอาจารย์แม้แต่นิดเดียวเลยนะ”

“นายห้ามไม่ให้ฉันคิดไม่ได้หรอก เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นในหัวฉันรวมทั้งเรื่องที่ฉันรู้สึกขอบคุณนายมากๆ นี่ด้วย”

“เรื่องอะไรครับ”

“ทุกอย่าง” อริญชย์จ้องตาเด็กหนุ่ม “เรื่องที่มาหาทุกวัน เอาข้าวเอาขนมมาให้ มาชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทั้งโทรและส่งข้อความหาวันละสามสี่เวลา แล้ววันนี้ก็บังคับพาฉันที่เอาแต่อุดอู้อยู่ในบ้านออกเที่ยวไปข้างนอก นายทำทั้งหมดนี่เพื่อไม่ให้ฉันอยู่คนเดียว จะไม่ได้ไม่เหงาไม่ฟุ้งซ่านใช่ไหมล่ะ”

ธารินพยักหน้าไม่มีอะไรที่เขาทำหลุดรอดสายตาอาจารย์ไปได้จริงๆ

“ขอบคุณนะ”

“เรื่องเล็กน้อยเองครับ”

“แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันนะ” อริญชย์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้และเอาปลายจมูกแตะหยอกเบาๆ ตรงข้างแก้มแบบที่เด็กหนุ่มชอบทำ แทบไม่ต้องเสียเวลารอธารินก็หันมาให้จูบ “นายเป็นคนแรกเลยนะที่ดีกับฉันขนาดนี้”

“ผมยังทำได้ดีกว่านี้อีกนะ”

“รวมทั้งเรื่องเรียนด้วยหรือเปล่า”

“เรื่องนั้นยากจัง แต่ถ้าอาจารย์อยากเห็นผมก็จะทำให้ได้ครับ”

“เจ้ารินของฉันนี่น่ารักจัง” อริญชยช์ยื่นหน้าเข้าไปจูบอีกครั้ง และค่อยๆ เน้นหนักขึ้นกว่าเดิม ความหวานจากกลีบปากดูดดึงกันลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ อริญชย์ใช้สองมือจับแก้มเด็กหนุ่มไว้แล้วโน้มตัวเข้าหา หากอีกฝ่ายกลับผละออก

“ได้เวลานอนแล้วครับ อาจารย์เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่นา”

“เหนื่อยแต่ไม่ง่วง ตอนดูหนังกับนายก็หลับไปสองรอบแล้ว” เรื่องนี้โทษเขาไม่ได้นะ ก็เขาบอกแล้วนี่นาว่าไม่ชอบดูหนังผีเพราะมันน่ากลัว จะให้นั่งตัวเกร็งปิดตาก็อายคนข้างๆ จะให้กอดแขนเด็กหนุ่มก็เสียฟอร์มไปใหญ่ เขาก็เลยแก้ปัญหาด้วยการหลับหนีไปให้ให้รู้แล้วรู้รอด “แล้วนายจะกลับได้ยังไง ยังทำตามเช็กลิสต์ไม่ครบเลย อุตส่าห์ไม่ใช้เวลาบนรถแล้วนะ”

“ผมก็อยากใช้เวลาบนเตียงกับอาจารย์เหมือนกัน แต่ร่างกายอาจารย์ยังไม่แข็งแรงนะครับเพราะงั้นเรื่องนี้เราควรเว้นสักระยะ” ธารินยกมือขึ้นจะดันร่างบางให้ถอยห่างออกไปแต่อริญชย์กลับเบี่ยงตัวหลบ

“อ๊ะ! อ๊ะ! มือนายสกปรก เพิ่งจับเท้าฉันแล้วยังไม่ได้ล้างเลย อย่าเอามาแตะตัวฉันเชียวนะ”

“ต... แต่...”

“ฉันแข็งแรงดีตั้งนานแล้ว” นอกจากจะไม่หยุด อริญชย์วางมือลงบนบ่ากว้างแล้วขยับเปลี่ยนท่าตวัดขาขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตัก “แล้วก็ตอนอยู่ที่ห้างน่ะ นายไม่ได้อยากเรียกชื่อฉันเฉยๆ ใช่ไหม... มีคำอื่นที่อยากเรียกมากว่านี่นา... สารภาพมานะว่าคืออะไร”

ธารินนั่งตัวแข็งเป็นหินพอๆ กับสิ่งที่ดุนดันอยู่ในกางเกงยีนส์ จะดันออกก็ไม่กล้าขัดคำสั่งห้ามจับ ครั้นจะจับกดไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดก็รู้สึกผิดกับมโนสำนึกของตัวเอง “ม... ไม่เอา... ไม่บอกครับ”

“บอกหน่อยน่า... นะ... ฉันอยากรู้~” อริญชย์กอดคอเด็กหนุ่มไว้พร้อมกับบดเบียดสะโพกเข้าหา “เมื่อกี้นายก็เผลอหลุดปากออกมาแล้วนี่... อยากเรียกว่าอะไรนะ”

ในที่สุดธารินก็พ่ายแพ้ให้กับเสียงหวานที่ออดอ้อน เขาสบตาอีกฝ่ายเป็นเชิงขออนุญาตแล้วขยับปากเรียกออกไปอย่างเคอะเขิน “แม่ริน”

อริญชย์ยิ้มหวานอย่างนึกเอ็นดูเต็มทีกับแก้มขาวที่ซับสีเข้มของคนที่เรียกเองแล้วก็เขินม้วนเสียแล้วโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหู “ไม่ทำแล้วจะมีให้เรียกได้ไง”

ธารินขยับตัวอย่างอึดอัดกับสิ่งที่อยู่ในกางเกงเต็มที ยิ่งอริญชย์เข้ามาใกล้กลิ่นหอมหวานของเจ้าตัวที่ทำให้เขาแทบคลั่งเสมอยิ่งเด่นชัด เขากำหมัดแน่นจนเจ็บไปหมดฝืนความต้องการที่อยากขย้ำลำคอขาวเนียนตานั่นเสียให้รู้แล้วรู้รอด

และอริญชย์ที่ดูเหมือนจะรู้จุดอ่อนเขาก็ไม่ถอยง่ายๆ เขาวางมือเรียวทาบลงบนแผงอกที่ตอนนี้หัวใจเต้นรัวจนแทบระเบิดแล้วใช้ปลายนิ้วเขี่ยกระดุมให้ดีดผึงออกจากรังดุมทีละเม็ด ราวกับเป็นการเร่งเร้าให้อะไรบางอย่างของเด็กหนุ่มดีดตัวตามออกมาด้วย

“อาจารย์อย่ามาแกล้งยั่วผมแบบนี้นะ”

“ไม่ได้แกล้ง ฉันตั้งใจ... อุ๊บ!” อริญชย์เหลือบตาลงมองมือใหญ่ที่พาดลงมาบนสะโพกแล้วตวัดสายตาขึ้นสบตาคมที่เป็นประกายวาววับขึ้นมาและรู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มหมดความอดทนแล้ว “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอามือสกปรกมาจับน่ะ อยากโดนลงโทษเหรอ”

“อาจารย์จะลงโทษอะไรผมครับ”

อริญชย์สอดมือเข้าไปในสาบเสื้อแล้วลูบไปบนแผงอกกว้าง ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นรัวหวังจะปลอบปประโลมแต่ดูเหมือนจะยิ่งไปกระตุ้นให้เต้นแรงขึ้นมากว่า เขาช้อนสายตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้ามองเขาอยู่เช่นกัน “ทำสกปรกก็ต้องล้างให้สะอาดสิ”

“งั้นผมจะล้างให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลยครับ” พูดจบเขาก็ช้อนมือเข้าใต้สะโพกร่างบางที่ยังเกาะคอเขาไว้เขาแน่นอุ้มลอยขึ้นในท่าเดิมแล้วพาเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ร่างเปลือยเปล่าสองร่างกอดรัดกันแน่นอยู่บนเตียง เหมือนวันนี้กลิ่นหอมสะอาดอันเป็นเอกลักษณ์ของอริญชย์จะหวานรัญขวนใจกว่าทุกที มันกระตุ้นความต้องการของเด็กหนุ่มที่เดิมก็มีมากอยู่แล้วให้แทบคลั่งจนควบคุมตัวเองเกือบไม่อยู่

นัยน์ตาคมวาวโรจน์ สะโพกขยับโยกด้วยแรงปรารถนาที่เกินต้านทาน ยิ่งร่างบางใต้ร่างโอบกอดและส่งเสียงครางด้วยความพึงพอใจมากเท่าใดเขายิ่งโจนจ้วงเข้าไปทั้งลึกและรุนแรงขึ้นเท่านั้น

จนในที่สุดเมื่อขีดความอดทนมันมาถึงจุดสิ้นสุด ฝ่ามือใหญ่ฉวยเข้าที่ลำคอขาวแล้วดึงตัวร่างบางขึ้นมาจากเตียงปากอ้ากว้างเห็นฟันเขี้ยวขาวที่พร้อมจะสร้างรอยแสดงความเป็นเจ้าของ

แต่เสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่คมเขี้ยวจะฝังลงข้างคอ ธารินก็หันหน้าหนีไปกัดลงบนท่อนแขนตัวเองแทน

อริญชย์ลูบมือไปบนศีรษะเด็กหนุ่มแล้วประคองแก้มให้เงยหน้าขึ้นมา เขายิ้มอย่างซึ้งใจที่ธารินจดจำคำสัญญาที่ให้กันไว้และพยายามฝืนไว้แม้ในเวลาเช่นนี้ เขาแตะริมฝีปากบนท่อนแขนที่เป็นรอยฟันชัดเจนแล้วเอียงคอให้

“กัดสิ”

ธารินกัดกรามแน่นแล้วสะบัดหน้าหนี “ไม่ครับ!”

“อะไรล่ะเจ้าเด็กนี่ ตอนไม่ให้ทำก็อยากจะทำ ทีตอนนี้อนุญาตแล้วดันไม่ทำอีก”

“งั้นอาจารย์ก็ตอบมาก่อนสิว่ารู้สึกยังไงกับผม”

“สัญญาแล้วไงว่าอีกสองปีจะบอก”

“อาจารย์ใจร้าย”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ เขาคว้าศีรษะเด็กหนุ่มให้หันกลับมาแล้วกดให้ซบลงบนลำคอ “มาถึงขั้นนี้นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่นา”
เขาหลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะฝังลงมา แต่กลับได้หัวเราะเสียงดังไปแทน

“แง่ม!”

อริญชย์หัวขยี้หัวเด็กหนุ่มจนผมยุ่ง เพราะธารินเพียงกัดหยอกๆ เหมือนลูกหมาฟันน้ำนมเพิ่งขึ้น “แง่มอะไรเจ้าตัวดี... นี่ ทำแบบนี้มันจั๊กจี้นะ”

ธารินใช้ลิ้นเลียรอยฟันของตัวเองแล้วรำพึงเสียงเบา “ผมกลัวอาจารย์เจ็บนี่นา”

“ต้องเจ็บอยู่แล้วล่ะ” อริญชย์ใช้สองมือประคองหน้าเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมาสบตากันชัดๆ “แต่ยิ่งเจ็บก็จะยิ่งชัดเจนไงว่านายเป็นเจ้าของรอยนี้”

ธารินมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยตรงหน้าแล้วจูบก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ไม่เปลี่ยนใจแล้วนะครับ”

ริมฝีปากลากรอยยิ้มหวานขึ้นเต็มหน้า อริญชย์เกลี่ยนิ้วหัวแม่โป้งไปตามแก้มสากอย่างแสนรัก “ฉันอยากเป็นของนาย... แค่นายคนเดียว”

กลิ่นหอมเย้ายวนรุนแรงขึ้น ธารินกอดรัดร่างในอ้อมแขนด้วยแรงทั้งหมดที่มีแล้วฝังคมเขี้ยวลงบนข้างซอกคอขาวสร้างพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณที่จะไม่สิ่งใดมาลบล้างได้

“ที่ผมทำไม่ใช่เพราะต้องการแสดงความเป็นเจ้าของหรือตีตราจอง แต่รอยนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเป็นของกันและกัน  และมันจะช่วยปกป้องไม่ให้อัลฟ่าคนอื่นมาทำร้ายอาจารย์ได้อีก”

 อริญชย์ลูบมือไปบนหลังคอสัมผัสรอยเขี้ยว เคยกังวลมาตลอดว่าจะมันจะเจ็บหรือเปล่าและหวาดกลัวกับการถูกใครสักคนผูกมัด แต่พอมันเกิดขึ้นด้วยฝีมือของธารินเขากลับไม่รู้เช่นนั้นเลยสักนิด ยิ่งเมื่อสบตาคมที่มองมาเขายิ่งรู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ เหมือนถูกโอบกอดเอาไว้ด้วยแสงอาทิตย์ของวันใหม่ที่กระซิบบอกเขาว่าต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว

ธารินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เขารีบหลับตาลงเพื่อดื่มด่ำกับรสจูบที่เด็กหนุ่มมอบให้ มันรู้สึกดีเสียจนแอบเสียดายว่าทำไมเราถึงไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้

เมื่อความต้องการดำเนินไปถึงฝั่งฝันทั้งสองก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน

แสงแรกของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่น เขางัวเงียลืมตาขึ้นและรีบหันไปหาคนข้างตัวหมายจะหอมแรงๆ สักฟอดแต่ที่ข้างตัวนั้นกลับว่างเปล่า ธารินผุดลุกขึ้นนั่ง เขากวาดตามองหาไปทั่วห้องก่อนจะไปสะดุดตรงที่กระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่แปะอยู่บนโต๊ะข้างเตียง


ตั้งใจเรียนนะเด็กโง่♥


ธารินยกกระดาษโน้ตขึ้นจูบครั้งหนึ่ง เขาคิดว่าอริญชย์คงออกไปซื้อของ ดูนาฬิกาเห็นว่าเจ็ดโมงกว่าแล้วจึงส่งข้อความไปบอกขอบคุณแล้วลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัย เขาอารมณ์ดีมากเสียจนจนกิตติชัยกับปุณณ์ยังทัก

“ไปเที่ยวกันมามีอะไรดีๆ ล่ะสิ” กิตติชัยถาม

ธารินบอกสองคนนี้เรื่องที่คบกับอริญชย์ไปแล้วเพราะสองคนนี้เห็นเขารีบร้อนมาโรงพยาบาลตอนที่รู้ว่าอาจารย์แท้ง แถมยังนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่างและไปหาทุกวัน ไหนจะเรื่องออกจากบ้านอีก ทีแรกก็กลัวว่าเพื่อนจะว่าหรือรังเกียจ แต่สองคนนี้กลับอวยพรให้เขาโชคดีไม่ว่าจะคบกับใคร แล้วยังช่วยหาที่พักกับตามเรื่องกู้กยศ.ให้อีก

“นิดหน่อย” ธารินยิ้มมีเลศนัยน์แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเล่าต่อ รถคันสวยก็แล่นมาจอดเทียบ คนที่นั่งในรถก้าวลงมาแล้วเปิดประตูให้เขาพร้อมกับผายมือเชิญให้ขึ้นรถ

“คุณท่านกับคุณนายให้ผมมารับคุณหนูกลับบ้านครับ”

OOOOOO

ธารินเดินวนไปมาในห้องโถงของบ้านที่เขาไม่ได้เต็มใจจะกลับมา แต่โดนคนของพ่อจับล็อกแขนสองข้างแล้วโยนขึ้นรถและไม่ยอมให้เขาออกไปไหนให้รอจนกว่าพ่อกับแม่จะกลับมา

เขาพยายามติดต่ออริญชย์แต่โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่รับสาย และเขาเพิ่งสังเกตว่าข้อความที่ส่งไปเมื่อเช้านั้นยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน ธารินชักรู้สึกใจคอไม่ดี เขาหยิบกระดาษโน้ตที่อริญชย์ทิ้งไว้ให้ขึ้นมาดูอีกครั้ง เมื่อเช้าเขาดูมันด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจแต่ตอนนี้เมื่อเขาย้อนกลับมามองและอ่านมันซ้ำอีกครั้งถึงได้เอะใจกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่

ไม่มีเหตุผลอะไรที่อริญชย์จะต้องออกไปไหนทั้งที่ได้หยุดพักทั้งเดือน อาจารย์ไม่ชอบเขียนโน้ตเพราะเป็นคนลายมือไม่สวย ทั้งยังขี้เกียจเกินกว่าจะทำแบบนั้นและชอบที่จะส่งข้อความมากกว่า พอเอามารวมกับการที่จู่ๆ พ่อก็ให้คนไปลากเขากลับมาบ้านทั้งที่ประกาศตัดขาดกันไปแล้ว

นี่ไม่ใช่จดหมายรัก แต่มันคือจดหมายบอกลาต่างหาก

พอคิดได้แบบนั้นใจยิ่งร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ธารินพยายามติดต่ออริญชย์อีกหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สำเร็จกำลังจะโทรหาพี่ชายประตูห้องโถงก็เปิดออก ธารากลับมาพร้อมกับศรศรัณย์พอดี ยิ่งได้เห็นท่าทีไม่แปลกใจของทั้งคู่ที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับอริญชย์แน่ๆ

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่ ทำไมจู่ๆ พ่อก็ลากผมกลับมาบ้านแล้วทำไมผมถึงติดต่ออาจารย์ไม่ได้เลย”

“เขาส่งข้อความมาบอกฉันว่าให้ดูแลแกด้วย” น้ำเสียงของธาราก็ฟังดูร้อนใจไม่แพ้กัน “นอกนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้แต่ศรโทรหาเขาก็ไม่รับ ฉันก็ว่าจะถามแกอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อยากรู้เหรอว่าหมอนั่นไปไหน ฉันจะบอกให้เอาบุญก็ได้” ธงชัยเดินเข้ามาพร้อมกับพูดเสียงดัง “หมอนั่นน่ะโง่ดีนะ แทนที่จะรับเงินสิบล้านแล้วไปซะ กลับเอามาให้ฉันยี่สิบล้านบอกว่าแลกกับการที่ให้ฉันยอมอภัยให้แก แล้วก็บอกว่าอย่าให้แกไปยุ่งกับเขาอีก”

“พ่อโกหก!” ธารินพูดเสียงดัง “อาจารย์ไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ๆ”

“นี่ไงหลักฐาน” ธงชัยหยิบเช็กเงินสดที่ลงลายเซ็นของอริญชย์ขึ้นมาโชว์ให้ดู “เขาเป็นคนมาหาฉันเองถึงที่บริษัท... ถ้าถึงขนาดนี้แล้วแกยังโง่ไม่เข้าใจนะเจ้าริน ฉันจะแปลให้ฟังง่ายๆ นะ ว่าคนที่แกบอกว่ารักนักรักหนาน่ะ เขาทิ้งแกไปแล้ว นี่แกคงไปทำตัวให้เขาระอาน่าดูเลยล่ะสิ ไปอยู่กับเขาไม่กี่อาทิตย์เขาก็รีบแจ้นเอาแกมาคืนแล้วยังแถมเงินมาให้ฉันด้วยแบบนี้”

ธารินนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ถ้าหากจะทิ้งกันจริงแล้วอริญชย์จะยอมให้เขาสร้างพันธะสัญญาทำไม และรอยยิ้มดีใจตอนที่สัมผัสรอยที่กัดคอดูยังไงก็ไม่ได้เสแสร้งสักนิด

เขาพยายามนึกย้อนไปอีกว่ามันเรื่องผิดพลาดขึ้นตอนไหน แล้วคำพูดหนึ่งของอริญชย์ตอนที่อยู่ในห้องก็ดังขึ้นในหัว

“ไม่ต้องกลัวฉันคิดมากกับคำพูดแค่นั้นหรอกน่า เพราะฉันคิดถึงมันตลอดเวลาอยู่แล้ว... เพราะฉันระวังตัวไม่มากพอนายก็เลยเสียลูกไป”

และตอนที่อยู่ด้วยกันตรงระเบียงหลังจากที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองแท้ง

ต้องให้ฉันพูดให้ชัดเจนเลยเหรอ ว่าเราไม่ต้องมาเจอกันแล้ว นายกลับไปตั้งใจเรียนให้จบ ได้เป็นหมอตามที่ฝัน แล้วหาคนดีๆ มาเป็นคู่... ใครสักคนที่เหมาะสมกับนายมากกว่าฉันไม่ว่าจะเป็นอายุ ฐานะทางบ้าน คนที่รักนายได้โดยไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อนเหมือนอย่างฉัน

และสุดท้ายคำพูดของเขาเอง

“ให้โอกาสผมได้รักอาจารย์สักครั้งเถอะครับ”

ใช่แล้ว... ตอนนั้นอาจารย์ไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่พยักหน้าให้เท่านั้น ธารินยกกระดาษโน้ตในมือขึ้นอ่านอีกครั้ง แล้วจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายก็กลับมาต่อกันเป็นรูปร่าง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจารย์ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด อาจารย์แค่ยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจ หัวเราะเพื่อให้เขายิ้มได้ และยอมทำทุกๆ อย่างที่เขาต้องการเพียงเพราะเขาบอกอยากได้โอกาสสักครั้ง

ทั้งหมดนั้นอาจารย์ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อตัวเขา รวมทั้งเรื่องที่ยอมให้กัดคอสร้างพันธะสัญญาด้วยเพราะเป็นสิ่งที่เขาเคยขอไว้ นั่นไม่ใช่ของขวัญของการเริ่มต้น แต่เป็นของขวัญของการจากลาต่างหาก

ฉันไม่อยู่แล้ว นายก็กลับไปอยู่กับครอบครัวของตัวเองซะ ตั้งใจเรียนให้จบ ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงนะเด็กโง่

นี่ต่างหากประโยคแท้จริงที่อริญชย์ต้องการเขียนลงในกระดาษ

ธารินกำกระดาษในมือแน่น นึกถึงคนที่เขียนข้อความนี้ว่ารู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนตอนที่จรดปลายปากกาขีดเส้นบอกลาทีละตัวอักษร เขาไม่อยากคิดเลยว่าอริญชย์วางแผนจะทำอะไรต่อจากนี้ พลันเสียงโทรศัพท์ของธาราดังขึ้นตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาคิดกำลังเป็นความจริง

“คุณพี่ชายของแฟนรินใช่ไหม ขอโทษที่ผมโทรมารบกวน แต่รินยังสบายดีอยู่ใช่ไหม” เสียงมิสเตอร์บีที่ดังมาตามสายฟังดูร้อนรนไม่ต่างอะไรกับพวกเขา

ธารินดึงรีบโทรศัพท์ไปพูดเสียเอง “นี่ผมเองนะครับมิสเตอร์บี เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์เหรอครับ”

“เมื่อกี้เขามาสั่งเหล้ากินทั้งที่เคยบอกว่าจะเลิกกินสักพัก พอผมจะไม่ชงให้เขาก็ขอร้องว่าแค่แก้วเดียวเป็นแก้วสุดท้ายแล้ว และพอเหล้าหมดแก้วเขาก็บอกลาผมแล้วจากไป แต่ว่า... ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่รอยยิ้มในวันนี้ของเขามันแปลกไปจากทุกทีและนั่นทำให้ผมคิดถึงวันแรกที่เราเจอกัน”

ธารินแทบทำโทรศัพท์หลุดจากมือ เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าอริญชย์กำลังจะไปที่ไหน




อีกด้านหนึ่งบนสะพานแขวนที่พาดผ่านแม่น้ำสายหลักของกรุงเทพมหานคร

“สูงเหมือนกันแฮะ” อริญชย์ทอดมองลงไปยังผืนน้ำไหลเชี่ยวเบื้องล่างแล้วอุทานออกมา

นี่เป็นสถานที่เมื่อสิบสามปีก่อนเขาเคยคิดว่าจะมาแต่ก็ไม่ได้มา และตอนนี้เขาก็ได้มายืนอยู่ตามความปรารถนาในวันนั้นแล้ว
สายลมพัดมาหวีดหวิวราวกับจะกระซิบถามว่าแน่ใจแล้วหรือ... แต่ไม่ว่าสายลมจะตะโกนถามเสียงดังสักเท่าไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดมาจากบ้าน

มือเรียวกำราวสะพานแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด

“ถ้าตกลงไป จะรู้สึกยังไงบ้างนะ”

*****************

ฮรึกกกก พาทุกคนดราม่ามาจนถึงตอนจบจริง ๆ มาเอาใจช่วยรินทั้งสองของเรากันนะคะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
พูดไม่ออกเลย

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แง้วงงงง กอดๆๆๆๆนะหมอรินนนน :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ไม่สิ พี่รินจะเจอแต่ความสูญเสีย​ได้ยังไง คนเรามันต้องมีช่วงที่ได้เริ่มมีความสุขหลังจากสูญเสียสิ ขอใฟ้น้องรินมาทันด้วยเถอะ ทำไมพ่อธารินถึงยังคิดไม่ได้ ยังไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำอีกนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด