ตอนที่ 5 หวนคืน
ล่วงเข้าสู่ตีสอง ป่าที่เคยสงบเงียบกลับมีเสียงการเคลื่อนไหว พรานกล้าสะดุ้งตื่นลืมตาโพรง ชะโงกหน้าออกจากเปลนอน กวาดตามองรอบๆ คราแรกคิดว่าหูแว่วไปเอง แต่เสียงกรอบแกรบคล้ายกับการย่ำเท้า พร้อมกับเสียงกิ่งไม้โยกไหวมันดังชัดเกินไป
นี่มันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เสียงสรรพสัตว์ไม่มีให้ได้ยิน แต่กลับมีเสียงฝีเท้า ที่แม้แต่พรานที่มากด้วยประสบการณ์ร่วมสามสิบปีอย่างพรานกล้าก็ยังฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงของสัตว์หรือคน
พรานกล้าลุกจากเปล กระชับปืนสั้นและมีดหมอที่เหน็บข้างเอว เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ได้แต่หวังว่าคาถาที่ร่ายป้องกันไว้จะช่วยได้ ดวงตาเพ่งมองผ่านความมืด แสงจากกองไฟช่วยอะไรไม่มากนัก ซ้ำคืนนี้ยังเป็นคืนเดือนมืด ป่ามืดจนน่าหวั่นใจ พรานกล้าเห็นเงาตะคุ่มที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ แต่มองไม่ออกว่าเป็นอะไร เงาร่างคล้ายคน
แล้วคนที่ไหนจะออกมาอยู่กลางป่าตอนเที่ยงคืน ถึงแถวนี้เป็นตีนเขา แต่คงไม่มีใครอุตริออกมาเดินเล่นเป็นแน่
“อะไรน่ะพราน”
พรานกล้าสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองต้นเสียงก็พบกับร่างของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่ากุมภ์ พรานหนุ่มใหญ่ถอนหายใจพลางส่งสัญญาณให้หยุดเสียง กุมภ์ทำหน้าเลิกลัก แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” พรานกล้ากระซิบตอบ “คุณออกมานอกเต็นท์ทำไม”
“ผมได้ยินเสียงคนเดิน ก็เลยออกมาดู” กุมภ์บอก เสียงไม่ได้ดังไปกว่ากัน
“ผมว่า..ไม่น่าจะใช่คน” น้ำเสียงของพรานกล้าเครียดกว่าที่ผ่านมา เมื่อคราวเสือสมิงยังรู้วิธีปรามบ ทว่าคราวนี้มันต่างออกไป เพราะไม่รู้ว่ากำลังเผชิญอยู่กับอะไร
กุมภ์รู้สึกกลัวยิ่งกว่าเดิม เมื่อห้านาทีก่อนเขาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเดินรอบเต็นท์ พยายามเพ่งตามองอยู่นานก็ไม่เห็นใคร พันนากับรชตหลับสนิท เขาลองสะกิดดูแล้วแต่ก็ไม่มีใครตื่น เลยตัดสินใจออกมาข้างนอก ถึงได้เห็นพรานกล้ายืนจังก้าอยู่หน้ากองไฟ ที่ทำให้ขวัญเสียคือความเคร่งเครียดของพรานกล้า เขาไม่เคยเห็นพรานกล้ามีอาการแบบนี้มาก่อน มันหมายความว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นพรานกล้าจะรับมือไม่ไหวเหมือนไที่ผ่านมา
“ผีเหรอครับ”
พรานกล้าส่ายหน้า “ผมไม่รู้”
กุมภ์หวาดหวั่นมากขึ้น ขยับเข้าไปใกล้พรานกล้า ยิ่งนานวันป่าแห่งนี้ยิ่งน่ากลัว คำเตือนของคนโบราณไม่ใช่เรื่องปั้นแต่ง เพราะได้พิสูจน์เรื่องนี้กับตัว
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ ให้ผมไปปลุกเพื่อนๆ ไหม” กุมภ์เสนอ
“กูตื่นแล้ว”
กุมภ์ผวา หันมองต้นเสียงทันที ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ต้องถอนหายใจเสียงดังเมื่อเห็นร่างคุ้นตาของเพื่อนสนิท
“โธ่! ไอ้พัน ตื่นแล้วก็ไม่บอก” พันนาบอก “กูได้ยินเสียงคนเดิน”
“กูก็ได้ยิน” กุมภ์สำทับ “แล้วไอ้ชตล่ะ”
“ยังไม่ตื่น...เกิดอะไรขึ้นหรือครับพราน” ประโยคหลังพันนาถามกับพรานกล้า แต่ก็ได้รับคำตอบไม่ต่างจากเดิม
พรานกล้าส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเงียบเสียง พลางเงี่ยฟังการเคลื่อนไหวที่ราวกับจะกระจายอยู่รอบจุดตั้งเต็นท์ เงารูปร่างคล้ายมนุษย์โผล่วูบวาบไปทั่วพื้นที่ พรานกล้าพยายามจับตามองพวกมัน แต่เพียงกระพริบตามันก็หายไปปรากฏอยู่ที่มุมอื่น
กุมภ์ขยับเข้าไปใกล้พันนา เผลอจับมือเพื่อนสนิทเอาไว้ด้วยความหวาดหวั่น พันนาจับกลับมา ฝ่ามือที่ใหญ่และกร้านกว่าตนชื้นเหงื่อไปหมด ปลายนิ้วบีบแน่นไม่ต่างกัน ทั้งสองกวาดตามองต้นตอของเสียงประหลาด แต่นอกจากเงาคล้ายมนุษย์ก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก
ทว่าอึดใจต่อมา เสียงการเหยียบย่ำก็หายไป พันนากับกุมภ์หันมองหน้ากันด้วยความสงสัย แม้แต่พรานกล้าเองก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้คลายความหวาดหวั่น ต้นไม้ทุกต้นก็ถูกเขย่ารุนแรง แสงสีแดงคล้ายกับดวงตาสัตว์ส่องมาจากรอบทิศทาง มันไม่ได้อยู่บนดิน ทว่าอยู่บนต้นไม้แทน
“ตัวอะไรวะ!” กุมภ์ร้องถาม ความน่ากลัวทบทวี เสียงต้นไม้เขย่าสั่นประสาทยิ่งกว่าเสียงเดินเมื่อครู่เสียอีก
“กูก็ไม่รู้!” พันนาตอบกลับ คราวนี้ไม่มีใครเก็บเสียงอีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างตื่นตกใจจนเกินควบคุม
ต้นไม้ขย่มจากทุกทิศทุกทาง ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีแต่แสงแดงวาววับที่ส่องมาจากในพุ่มไม้ พรานกล้าผู้มีสติที่สุด เพ่งมองอยู่นานแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่โจมตีอยู่นี่มันเรียกว่าอะไร โชคดีที่คาถาป้องกันได้ผลพวกมันเลยเข้ามาไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นวะ!”
เพราะเสียงเขย่าตนไม้มันดังกว่าเสียงฝีเท้าเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนตื่นขึ้นแล้วพากันออกมายืนรวมกันที่ข้างกองไฟโดยมีพรานกล้ายืนคุมเชิงอยู่ด้านหน้า
“นี่มันอะไรกันคะชาร์ล?” คะนิ้งถามอย่างเสียขวัญ สองมือกอดท่อนแขนคนรักแน่น
ชาร์ลตื่นตกใจไม่ต่างกัน เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ต้องมาพบกับเรื่องเขย่าประสาทอีก ดวงตาสีดำแดงที่ส่องออกมาจากพุ่มไม้น่ากลัวจนขนในกายลุกชัน หนุ่มลูกครึ่งผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติยกมือขึ้นพนม ร้องขอชีวิต ผีปลาพวกนั้นไม่ให้อภัยเขาแน่นอน
ดวงตาสีแดงสาดส่องมาจากพุ่มไม้ราวกับเป็นลิงเป็นค่างป่ายปีนอยู่บนต้นไม้ที่เขย่าขย่มส่งเสียงดังรอบทิศ ทั้งสี่ชีวิตต่างหันมองต้นตอของเสียง ทว่ารูปร่างของพวกมันไม่ชัดเจน แม้แต่พรานกล้าก็ยังไม่อาจเดาได้ว่ามันเป็นตัวอะไร ผีหรือว่าสัตว์ร้ายผ่านอาคมของใคร
มันน่ากลัวกว่าเสือสมิง
“ไอ้ชตเป็นอะไรวะ? ทำไมมันยังไม่ตื่น” พันนาถาม แต่ก็ไม่มีใครหาคำตอบได้
กุมภ์ผลุบกลับเข้าไปในเต็นท์ หมายจะปลุกเพื่อนให้ตื่น ทว่าภายในเต็นท์ว่างเปล่าไร้เงาร่างของรชต กุมภ์พรวดพราดออกมาข้างนอกร้องบอกทุกคนว่ารชตหายไป
“จะไปไหนวะ เราก็อยู่ข้างนอกกันทุกคน ไม่เห็นมันเลย” พันนาออกความเห็น สาบานได้ว่าตั้งแต่ตื่นมายังไม่เห็นรชตเลย และยังค่อนข้างแน่ใจว่าก่อนออกมาตนยังเห็นรชตนอนหลับอยู่เลย
“เราไปช่วยกันออกตามหาดีไหม” กุมภ์เสนอ แต่พรานกล้าไม่เห็นด้วย
“อย่าออกไปจากเขตอาคม อันตราย”
“แต่...” กุมภ์อยากจะค้านเพราะเป็นห่วงเพื่อน
“เชื่อพราน! กูเคยออกไปแล้วเกือบตาย” ชาร์ลบอกเสียงสั่น รอยที่รอบลำคอกลายเป็นสีม่วงคล้ำน่ากลัว เหตุการณ์สยองเกล้าเมื่อครู่ใหญ่ยังติดตรึงในความทรงจำ
ชั่วขณะนั้นเอง จู่ๆ ลมพายุก็พัดโหมกระหน่ำทั้งที่ไม่มีเค้าฝน ใบไม้แห้งหมุนคว้างกลางอากาศ ฝุ่นละอองคละคลุ้งทำให้การมองเห็นสะดุดลง กุมภ์หลับตาป้องกันไม่ให้เศษฝุ่นเข้าตาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เสียงลมหวีดหวิวคล้ายคมมีดผ่านอากาศ หูแว่วได้ยินเสียงหัวเราะแหลมสูง แต่พอตั้งใจฟังกลับไม่ได้ยิน กลิ่นเหม็นสาปปะปนมาในกระแสลม มันเหม็นจนแทบอาเจียน เหมือนซากศพที่ผุเน่าเป็นเวลานาน กุมภ์พยายามลืมตาขึ้นมอง แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เกือบสิ้นสติ
กองทัพผี ไม่ใช่สิ! ต้องเรียกว่าปิศาจถึงจะถูก จำนวนของพวกมันมีมากกว่าสิบตัว แต่ละตัวมีสภาพไม่ต่างจากซากศพเดินได้ ใบหน้าผอมซูบ หนังเหี่ยวย่นดำไหม้ บางจุดขาดวิ่นจนมองเห็นกระดูกขาวๆ เส้นผมเหลือติดหนังศีรษะไม่กี่เส้น ดวงตากลวงโบ๋ จมูกเป็นรูโหว่ไม่มีชิ้นเนื้อปกปิด ริมฝีปากขาดแหว่งจนมองเห็นไรฟัน บางตัวปากฉีกไปถึงกลางแก้ม เสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่ง แทบแยกไม่ออกว่าเป็นเพศอะไร พวกมันยกมือขึ้นมาทางพวกเขาคล้ายกับจะกวักมือเรียก นิ้วมือผอมแห้งดำเหมือนหนังไหม้กระดิกเบาๆ
กุมภ์รู้แล้วว่า กลิ่นเหม็นเน่านั่นมาจากอะไร
“นะ...นี่มันอะไรกัน!!”
“โหงพราย” พรานกล้าตอบชาร์ล ดวงตาที่เคยนิ่งสงบกลับไหวระริกแสดงความหวาดหวั่นออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก
“แล้วมันมาจากไหนล่ะ” คะนิ้งถาม กอดท่อนแขนคนรักแน่น ทั้งกลัวทั้งขยะแขยง
“ผมก็ไม่รู้” พรานกล้าส่ายหน้า จะว่าเป็นโหงพรายของไอ้พรานแก่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเมื่อวานตนเล่นงานมันไป จนบาดเจ็บไม่น้อย ไม่น่าจะฟื้นฟูกำลังมาต่อกรได้เร็วขนาดนี้ ที่สำคัญการที่จะสร้างกองทัพโหงพรายได้มากขนาดนี้ต้องเป็นพวกมีวิชาอาคมมากทีเดียว ซึ่งพรานเฒ่าไม่น่าจะเก่งกาจมากถึงขนาดนี้
“ละ..แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี” กุมภ์ถามเสียงสั่น มือประสานกับพันนาแน่น นาทีนี้เขาไม่สนใจว่าใครจะมองว่าอย่างไร เพราะความกลัวมันมีมากกว่าสิ่งใด
“อย่าออกไปนอกเขตอาคมก็พอ” พรานกล้าบอก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อสำเนียกได้ว่าลมที่พัดแรงราวพายุเมื่อครู่มันพัดเอาเขตอาคมที่ร่ายไว้กระเจิงไปหมดแล้ว
“เอายังไงดี ไอ้ชตก็หายไป ไหนจะไอ้ผีซอมบี้พวกนี้อีก” ชาร์ลแทบไม่กล้ามองกองทัพโหงพราย ถึงพวกมันจะยังไม่เคลื่อนไหว แต่แค่สภาพเหมือนลุกขึ้นมาจากหลุมศพของพวกมันเขาก็กลัวแทบจะฉี่ราดอยู่แล้ว “พราน ไม่มีคาถาอื่นแล้วเรอะ!”
พรานกล้ารวบรวมสติ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเผชิญหน้ากับโหงพรายจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน แค่ตัวเดียวยังพอจะใช้คาถาไล่ไปได้ แต่นี่มันมีมากกว่าสิบตัว กลัวว่าวิชาความรู้ที่มีจะสู้พวกมันไม่ได้ พรานหนุ่มใหญ่หลับตาลง ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอน พระเดชพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว พายุก็สงบลง เสียงเขย่าต้นไม้ก็พลันหายไปด้วย แสงสีแดงจากพุ่มไม้หายไปตั้งแต่พายุพัด ทว่าลมพายุที่หายไปมันกลับพัดรวมเป็นก้อนเดียวค่อยๆ หมุนเหมือนก้นหอยแล้วปรากฎร่างของมนุษย์
ร่างของคนที่พรานกล้าคิดว่ามันไร้น้ำยา
“พรานเวก!”
“เออกูเอง” อดีตพรานเฒ่าตะโกนตอบ ร่างผ่ายผอมเดินขึ้นมาอยู่เบื้องหน้ากองทัพโหงพราย ใบหน้าเหี่ยวย่นแสยะยิ้ม นิ้วมือผอมเกร็งชี้ตรงมา “ส่งพวกมันให้มาเป็นบริวารกู แล้วกูจะปล่อยมึงไป”
“ไม่มีทาง มึงมันบ้า หมกมุ่นจนเดรฉานวิชาขึ้นหัว” พรานกล้าปฏิเสธเสียงลั่น เพิ่งสังเกตเห็นว่าโหงพรายพวกนี้คุ้นตาชอบกล ใช้เวลาอยู่ชั่วอึดใจก็มั่นใจว่าโหงพรายพวกนี้คือคนหนุ่มในหมู่บ้านที่ตายอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนั้นทุกคนลงความเห็นว่าเป็นฝีมือของผีแม่หม้ายตามความเชื่อของคนโบราณ ไม่มีใครเอะใจว่าจะเป็นฝีมือของพรานแก่มากประสบการณ์คนนี้
“ไม่ต้องเสือก! ส่งไอ้ฝรั่งนั่นมา แล้วกูจะปล่อยคนที่เหลือไป”
“ไม่นะพราน! พรานอย่าให้มันมาเอาตัวผมไปนะ” ชาร์ลร้องลั่น หวาดกลัวจนปากคอสั่น วิ่งเข้าไปหลบหลังพรานกล้าอย่างคนเสียขวัญ
“ชาร์ล...”
เสียงหนึ่งแทรกขึ้น ก่อนที่เจ้าของร่างสันทัดจะปรากฏขึ้น ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่ทบทวี
“ไอ้ชต!”
รชตก้าวออกมายืนข้างร่างผอมเกร็งของอดีตพรานเฒ่า ใบหน้าขาวซีดกว่าที่เคยเห็น ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายกับไร้ความรู้สึก แต่ไม่ได้อยู่สภาพน่ากลัวเหมือนโหงพรายตนอื่นๆ
“มึงไปอยู่กับมันทำไมไอ้ชต!” กุมภ์ร้องเรียกเพื่อน คิดไม่ออกเลยว่ารชตไปอยู่กับพรานเสือสมิงได้อย่างไร
“...มาอยู่กับกู” รชตไม่ตอบคำถาม แต่กวักมือเรียกกลุ่มเพื่อน ข้างๆ กันนั้นมีเงาร่างของผู้หญิงแต่มันเลือนรางเกินกว่าจะระบุหน้าตาได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่กับรชตไม่ใช่มนุษย์!
“นี่มึงเลี้ยงผีด้วยเรอะ!” พรานกล้าตวาดถาม นอกจากจะหมกมุ่นเสียจนแทบไม่เหลือสภาพของมนุษย์แล้ว พรานเวกยังใช้เดระฉานวิชาเลี้ยงผีอีกด้วย
“ฮะ ฮะ ใช่ อีกไม่นานนี้หรอก กูจะยึดทั้งป่านี้เป็นของกู!” พรานเวกหัวเราะเสียงแหบแห้งเท่าที่สังขารวัยร่วมร้อยปีจะอำนวย
พรานกล้ารวบรวมสติ วงล้อมคาถาที่ร่ายไว้ก็กระจายหายเพราะแรงพายุเมื่อครู่ กองทัพโหงพรายของพรานเวกแข็งแกร่งเกินกว่าพรานที่ช่ำชองเรื่องสัตว์ป่าอย่างตนจะรับมือไหว วิชาคาถาที่มีก็ไม่แกร่งมากพอจะรับมือกับอมุนษย์พวกนี้ พรานหนุ่มใหญ่กระชากสายสิญจน์เก่าคร่ำคร่าที่ข้อมือแล้วรูดสายเล็กๆ ที่พันกันไว้ให้คลายออก ก่อนจะส่งให้กับกลุ่มเด็กวัยรุ่น
“เอาใส่ไว้ที่ข้อมือ อย่าให้หลุดหายเด็ดขาด พยายามอยู่ให้ถึงรุ่งเช้าแล้วพวกคุณจะรอด” พรานกล้าบอก กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ “ผมช่วยพวกคุณได้เท่านี้”
พรานกล้าไม่รอให้ใครได้ถามอะไร ก็กระโจนร่างเข้าใส่กลุ่มโหงพราย ตะลุมบอนเข้าใส่ เหวี่ยงทั้งหมัด กำปั้น ระดมใส่ร่างไร้วิญญาณราวกับพวกมันเป็นกระสอบทราย ทว่ามนุษย์เพียงหนึ่งเดียวหรือจะสู้กับอมุนษย์ไร้ความรู้สึกได้ ไม่กี่นาทีเรี่ยวแรงของพรานกล้าก็ถดถอย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตะโกนไล่พวกที่เหลือให้หนีเอาชีวิตรอด
“กูบอกให้ไปไง! อยากจะตายกันหมดหรือไง!”
กุมภ์กำสายสิญจน์ที่พรานกล้าให้แน่น อยากจะเข้าไปช่วยแทบขาดใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วิชาคาถาอาคมอะไรก็ไม่มี ที่สำคัญพวกมันไม่ใช่คน แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของตนก็ตาม ทว่าเวลานี้ก็ไม่อาจไว้ใจได้ว่าเป็นคนหรือไม่ใช่
“ไปกันเถอะ! ฉันยังไม่อยากตาย” คะนิ้งบอกปากคอสั่น แย่งสายสิญจน์จากมือกุมภ์ไปหนึ่งเส้นแล้วรีบพันข้อมือตัวเองเอาไว้
“แต่..” กุมภ์ลังเล ใจหนึ่งก็อยากหนีไปเสียให้พ้นๆ แต่อีกใจก็เป็นห่วงพรานกล้า หัวใจเต้นโครมครามมองภาพการต่อสู้ระหว่างคนกับอนุษย์กลุ่มใหญ่ มันน่ากลัวยิ่งกว่าในหนังเสียอีก
“ถ้ามึงไม่ไปก็เชิญตายอยู่ที่นี่เถอะ!” ชาร์ลกระชากสายสิญจน์ออกจากมือ พันลวกๆ ใส่ข้อมือตัวเองแล้วฉวยมือคนรักวิ่งห่างออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
“ไอ้เหี้ยชาร์ล! ไอ้คนเห็นแก่ตัว” กุมภ์ตะโกนบริภาส ก่อนจะหันไปมองพันนาที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน “มึงล่ะจะหนีไหม”
“กูเป็นห่วงไอ้ชต...มึงเชื่อใจกูไหม” พันนาหันมาถาม กุมภ์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับ
พันนาประสานมือกับกุมภ์แน่น ออกแรงดึงแล้ววิ่งเข้าไปในวงล้อมอมุนษย์ ฉวยโอกาสตอนที่มันพวกมันรุมพรานกล้าคว้าข้อมือรชตที่ยืนนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แล้วพากันวิ่งฝ่าความวุ่นวายหายเข้าไปในความมืดโดยไร้จุดหมายและทิศทาง
เหลือพรานกล้าเพียงผู้เดียว มือเหี่ยวแห้งน่าเกลียดยื่นเข้าบีบลำคอ พรานกล้ารวบรวมสติบริกรรมคาถาใส่มัน ร่างไร้ชีวิตกระเด็นห่างออกไปเปลวไฟเผาร่างจนดำไหม้ ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นเถ้าถ่านหายไปในอากาศ แต่พวกมันมีเยอะเกินว่าที่คาถาจะเอาอยู่รวมทั้งดวงวิญญาณผู้หญิงตนนั้น รอบด้านถูกรายล้อมด้วยซากศพไร้ชีวิต เสียงหัวเราะแหบห้าวของพรานเวกดังก้อง
“มึงหาเรื่องตายเองนะไอ้กล้า”
“กูไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก” พรานกล้ากระเสือกกระสนดิ้นรนจากวงล้อมโหงพราย กลิ่นเหม็นสาบคลุ้งไปทั่วจนแทบจะอาเจียน “พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาช่วยกู!”
“ฮะ ฮะ มึงไม่มีทางอยู่ได้ถึงเช้าหรอก ไอ้กล้า”