ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563  (อ่าน 81982 ครั้ง)

ออฟไลน์ tpxqrz_taro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุ้นๆ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เครล่ะ พันนาคิดกับเพื่อนกุมภ์มากเกินเพื่อนธรรมดา
 :mew3:
แต่ ๆๆๆ อย่าโกรธนะ คือ ทะแม่งๆ คิดระแวงพันนาไม่หยุดจริงๆ
นี่คิดไปไกลว่าครั้งก่อนที่พันนาเข้าป่ามา น่าจะเคยเจอตาเวกแล้ว
ไม่แน่ว่า ตาเวกกับพันนาอาจเป็นเครือญาติกัน
หรือไม่เกี่ยวข้องกันหรอก แต่ตาเวกอาจจะยื่นข้อเสนอที่พันนาอยากได้
เลยพาเพื่อนๆ คนเป็นๆ มาเซ่นตาเวกซะเลยงี้

เชียร์พันนาเป็นพระเอกคู่กุมภ์อยู่นะ ถึงจะแบดในความคิดเราไปบ้าง แต่พันนาน่าจะหล่อและเท่น่าดู อิ๊ววววววว

งานนี้พี่โหร น้องจอม พรานกล้า ต้องจับมือกันต่อกรกับเสือสมิงเวกแอนด์ทีมเดะโกสต์แล้น สนุกแน่ๆ
 :hao7:
โอยยยยยยย อยากอ่านต่อ
กดบวกขอบคุณรัวๆ

ออฟไลน์ nizxx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอย อ่านไปลุ้นไป กว่าจะเจอก็งานหินแล้ว แต่พอเจอแล้วนี่สิ ดันเจอไม่ครบ ไม่พอยังเจอแล้วไม่รู้จะเอาชีวิตรอดกลับไปได้เท่าที่ทำได้ไหม ทำไมรู้สึกพลิกโพแปลกๆนะ เข้าป่าครั้งนึงคือจดจำไปจดวันตายเลยอะ พฤติกรรมคือเปลี่ยนไปเลยตลอดชีวิต พันนาต้องโทษตัวเองอยู่แล้วแน่ๆ พี่โหรคือเท่มาก หล่อมาก แบบมันอุ่กอั่กๆ

ออฟไลน์ sawangpong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 อ่านไปลุ้นไปจริงๆ​ ขอบคุณมากๆกับนิยายดีๆ​

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :o8: :o8: รอค่ะ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
รอเหมียนเดิมมมม^^

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น้องกุมภ์ก็คือปลื้มพี่โหรแล้ว บอกเลยไม่ใช่แค่คนในเรื่องอุ่นใจ เราก็อุ่นใจด้วยพอมีพระเอก(?)อยู่

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ภาวนาให้ถึงมืหมอไวๆนะคะ พี่โหรนี่เหมือนแสงสว่างเลยอ่ะ พี่โหรน้องกุมภ์ใช่มั้ยคะ  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ night-nnc

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกกกก จอมสู้ๆๆๆๆ
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
โอ๊ยสนุก ให้บรรยากาศแบบเพชรพระอุมา รออ่านอย่างใจจดใจจ่อนะคะ

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 7 มิตรใหม่


    อาการของพรานกล้าสาหัสไม่น้อย เสียเลือดมาก บาดแผลเหวอะหวะ และมีอาการติดเชื้อ แต่โชคดีที่ถูกส่งตัวเข้ารักษาได้ทันเวลา แม้ว่าตอนนี้พรานหนุ่มใหญ่จะยังไม่ฟื้น แต่คุณหมอเจ้าของไข้ยืนยันว่าพรานกล้าปลอดภัยแล้ว

     คะนิ้งอีกคนที่มีอาการน่าเป็นห่วง เพราะเธอนอนแช่อยู่ในน้ำมานาน ผิวหนังเหี่ยวย่น มีภาวะขาดน้ำ ใบหน้าเหลืองซูบซีด ต้องนอนโรงพยาบาลหลายคืนเพื่อรอดูอาการ ส่วนคนอื่นๆ คุณหมออนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้หลังจากได้รับน้ำเกลือไปคนละกระปุก

   พันนาและคนอื่นๆ ถูกตำรวจเชิญตัวไปให้ปากคำ ทุกคนลงความเห็นกันก่อนแล้วว่าจะไม่เล่าเรื่องที่เกิดในป่าให้ใครฟัง เพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนเสียสติ และเชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีใครเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เลยให้การกับเจ้าหน้าที่ไปว่า ระหว่างที่จะเดินทางกลับ พวกเขาถูกเสือตัวใหญ่เล่นงาน แต่โชคดีที่โหรและจ้าวจอมมาช่วยเอาไว้ได้ ไม่มีใครสงสัยในคำให้การและเร่งระดมกันตามหารชตที่ยังหลงอยู่ในป่า

   พ่อแม่ของรชตเดินทางมาจากรุงเทพฯ เช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของคนอื่นๆ เว้นเสียแต่บิดาของชาร์ลที่ยังอยู่ในอเมริกาเพราะมีงานล้นมือ พ่อแม่ของรชตขวัญเสียมาก ร้องไห้เป็นลมเสียหลายรอบเมื่อรู้ว่าลูกชายไม่ได้กลับออกมาจากป่า

    โหรและจ้าวจอมได้ค่าแรงครบถ้วน แถมยังได้ทิปพิเศษมาอีกก้อนใหญ่จากครอบครัวเพื่อนๆ ของพันนา เว้นจากครอบครัวของรชต เจ้าหน้าที่ป่าไม้ระดมคนค้นหารชต ใช้แม้แต่สุนัขดมกลิ่น ทว่ายังไร้เงาของรชต

    “พี่ว่าไอ้คนที่ชื่อชตนั่นไปอยู่ที่ไหน” จ้าวจอมเอ่ยถามคนโตกว่า ขณะที่กัดข้าวโพดต้มสีเหลืองทองอุ่นๆ เข้าปาก

   “อยู่กับตาเวก”

    “แต่...แต่ตาเวกอะไรนั่นไม่ใช่คนนะครับ” คนที่ยังไม่ใช่จ้าวจอมหากแต่เป็นหนุ่มเมืองกรุงที่ชื่อกุมภ์

    กุมภ์เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวจัด ดวงตากลมใสเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นธรรมชาติ คิ้วสีเข้มตัดกับสีผิว ริมฝีปากสดระเรื่อ รูปร่างติดผอมบาง แต่สูงกว่าจ้าวจอมอยู่หลายเซนทีเดียว

   “จะตัวอะไรก็ช่าง แต่มันก็เอาตัวเพื่อนคุณไปแล้ว” โหรสรุปความ ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่างานนี้หนักหนาสาหัสทีเดียว ที่เคยปะมือมาก็มีแค่โรคร้ายที่มาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือสัตว์ป่าดุร้าย ยังไม่เคยปะทะกับอมุษย์หรือภูตผีปิศาจจังๆ สักครั้ง

    ตอนเด็กๆ ปู่ชอบเล่าเรื่องปีให้ฟัง ทั้งผีป่า ผีบ้าน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งยังเยาว์วัยอ่อนเดียงสา อายุคงราวประถมสาม ตอนนั้นเขานอนเล่นที่ชานบ้าน เห็นคนแก่น่าจะเป็นผู้หญิง สวมชุดพื้นเมืองสีดำ ผมขาวทั้งหัวมายืนด้อมๆ มองๆ หน้าบ้าน พอเขาเอ่ยทัก หญิงชรานั่นก็ทำท่าเหมือนจะยิ้มให้ แล้วก็เดินหนีไป ตกกลางดึก เขาได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดแล้วมาหยุดที่ปลายมุ้งนอน พอลืมตามองก็เจอกับเงาร่างคล้ายคนแก่ ทว่ามวยผมที่เกล้าไว้ มันทำให้เขารู้ทันทีว่าร่างนั้นคือร่างของหญิงชราที่เห็นเมื่อกลางวัน เขาร้องเรียกปู่ เพียงแค่อึดใจเดียวปู่ก็ปรากฏตัวขึ้น สอบถามพอได้ความ ท่านก็ทำสายสิญจน์คล้องคอให้ กำชับไม่ให้เขาออกนอกรั้วบ้านถึงสามวันสามคืน พอเข้าวันที่สี่ก็มีข่าวว่ายายบัวไหล ที่อาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้านตายกะทันหัน แถมสภาพศพยังแปลกประหลาด ทั้งที่เพิ่งตายได้แป๊บเดียว แต่ศพกลับเหี่ยวแห้ง กลิ่นเหม็นสาบคลุ้งไปทั่ว ปู่กลับมาเล่าให้ฟังว่า หญิงชราที่เขาเห็นก็คือยายบัวไหลนั่นเอง แกถูกผีปอบสิง ผีปอบในที่นี้ไม่ใช่ผีที่เที่ยวจกตับ จกไส้คนกินเหมือนในหนังในละครหลังข่าว หากแต่เป็นผู้ที่มีวิชาอาคม และไม่อาจควบคุมได้ วิชานั่นเลยปลายเป็นผีร้ายทำลายตัวเจ้าของเสียอีก วันที่ยายบัวไหลมาที่บ้าน ก็เพราะต้องการใครสักคนสืบถอดวิชา เนื่องจากแกไม่มีลูกหลานหลงเหลือแล้ว และเขาก็มีจิตวิญญาณที่ผีปอบในร่างยายบัวไหลต้องการ โชคดีที่ปู่จัดการได้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นทายาทปอบไป

   แต่นั่นก็ไม่ใช่การปะทะฝีมือ แค่พบเจอมาเท่านั้นเอง ส่วนวิชาทางด้านนี้ที่ปู่สอนไว้ ก็ยังไม่เคยเอาออกมาใช้อย่างจริงจังสักที

    “แล้วเราจะทำยังไง ผมไม่อยากเสียเพื่อนไป”

    กุมภ์ถอนหายใจเสียงดัง ดวงตาเศร้าหมองหดหู่ จนถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริง ทั้งสัตว์ป่าดุร้าย ภูตผี วิญญาณ มันเป็นเรื่องเหนือจินตนาการทั้งสิ้น เขาไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่คนในครอบครัว ตอนที่ตำรวจมาสอบปากคำ เขาได้แต่กล่าวถึงเสือตัวใหญ่ แต่ไม่ได้พูดถึงผีดิบ หรือวิญญาณผู้หญิงตนนั้น

   “พี่โหร..” จ้าวจอมกระแซะตัวเบียด “เราหารายได้เพิ่มกันดีไหม”

   โหรมองดวงตากราวระยับอย่างคนเจ้าเล่ห์ของจ้าวจอม รู้ได้ทันทีว่าไอ้เจ้าเด็กตัวแสบนี่คิดอะไรอยู่ “ไม่เอา กูไม่เก่งพอจะสู้กับตาเวกหรอก”

    “เอ้า! ไม่ลองจะรู้เหรอ” จ้าวจอมไม่ยอมแพ้ “เท่าที่ฟังๆ มา ตาแก่นั่นก็เก่งแค่เลี้ยงผีกับแปลงร่างเป็นเสือ แต่พี่โหรเก่งสารพัดด้าน ปู่เหมต้องสอนวิชาพี่โหรเอาไว้สู้กับพวกนี้บ้างแหล่ะ”

    “กูเหนื่อย กูอยากพัก” โหรปฏิเสธอีกครั้ง เหลือบมองใบหน้าของเด็กหนุ่มเมืองกรุงอีกครั้ง “คุณเองก็กลับบ้านไปเถอะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก”

    “ทำไมล่ะ” กุมภ์ถาม

   “เพราะมันไม่เหมาะกับคุณ”

   กุมภ์มองตามแผ่นหลังกว้างของ ‘หมอโหร’ เพิ่งรู้จากปากของจ้าวจอมมาว่าโหร คือ หมอโหร ของคนในหมู่บ้านนี้ ถึงจะถูกเรียกว่าหมอ แต่ลักษณะภายนอกไม่เหมือนหมอสักนิด รูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้มคร้ามแดด ร่างกายแข็งแกร่ง ใบหน้าเรียกได้ว่าหล่อเหลา รอยเคราจางๆ รอบลูกคางยิ่งเพิ่มความดิบเถื่อนกลบคำว่าหมอหมดสิ้น จ้าวจอมเลยอธิบายคำว่าหมอให้ลงลึกขึ้น หมอโหรของชาวบ้านมีหน้าที่รักษาโรคที่เกิดจากมนต์ดำ ไสยศาสตร์ แบบที่การแพทย์สมัยใหม่รักษาไม่ได้ โหรมีคาถาอาคม ยาสมุนไพร ตำราโบราณที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่ ที่สำคัญโหรยังเดินป่าเก่ง ป่าแถวนี้เดินคล่องปรื๋อเหมือนเดินชมสวน รู้ว่าจุดไหนอันตราย และจุดไหนปลอดภัย ดีแล้วที่โหรไม่ได้ยึดอาชีพพรานป่า ไม่อย่างนั้นพรานละแวกนี้ตกงานกันหมด

    จ้าวจอมถอนหายใจเสียงดังหลายรอบด้วยท่าทางขัดใจ ข้าวโพดที่ซื้อติดมือมาจากหน้าโรงพยาบาลหมดไปแล้วสองฝัก สำหรับเด็กวัยเจริญเติบโต กินแค่นี้มันจะไปอิ่มท้องอะไร จ้าวจอมเลยจัดการกล้วยทอดเจ้าประจำไปอีกสองชิ้นติด ปากมันวาวเหมือนทาลิปบาล์ม

    “คุณอยากตามหาเพื่อนไหม” จ้าวจอมถามขณะที่ปากยังเคี้ยวกล้วยทอด

    “อยากสิ” กุมภ์ตอบทันควัน ถึงจะโดนโหรไล่กลับบ้านแต่ก็ไม่คิดจะกลับจริงๆ จนกว่าเรื่องที่ค้างคาใจจะจบลง

    สองวันแล้วที่ได้ออกมาจากป่าอันตราย เพราะความช่วยเหลือจากโหรและจ้าวจอม รายหลังเก่งเกินตัวจริงๆ ตัวเล็ก แต่รวดเร็ว คล่องแคล่ว ทั้งเดินทั้งวิ่งฝ่าต้นไม้หนา ไม่หลงทิศหลงทาง ด้วยความชำนาญทำให้ไปเจอกับเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่เพิ่งจะออกตามหากลุ่มของพันนาตามคำขอร้องของครอบครัว ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เฮลิคอปเตอร์ก็ลงจอดที่ลานหิน ร่างของพรานกล้าถูกส่งตัวขึ้นไปพร้อมกับคะนิ้งและชาร์ล ส่วนคนที่เหลือมีเรี่ยวแรงพอจะกลับเองได้

     ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว คนในครอบครัวที่มารอฟังข่าวก็โผเข้ากอดด้วยความเห็นห่วง กุมภ์ยังจำดวงตาที่เอ่อท้นด้วยน้ำตาของคุณมาลัย มารดาของรชตได้ติดตา ท่านร้องไห้หนักจนเป็นลมไปสองรอบเมื่อรู้ว่าหาตัวบุตรชายเพียงคนเดียวไม่เจอ แม้เจ้าหน้าที่จะปลอบใจว่าไม่พบศพ อาจจะหมายความว่ารชตยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่านก็ยังไม่ดีขึ้น

    ส่วนพันนา ถูกบิดาตำหนิชุดใหญ่ ภาพถ่ายที่พันนาเก็บได้อยู่ในเมมโมรี่การ์ดอย่างปลอดภัย แต่กล้องคู่ใจพังชนิดที่ซ่อมไม่ได้ เพราะถูกกองทัพผีดิบของพรานเวกเล่นงาน ทว่าคำให้การกับตำรวจกลายเป็นถูกเสือใหญ่เล่นงานจนเต็นท์พังพินาศเป็นแถบ

    ครอบครัวของพรานกล้าแห่กันมาเยี่ยม ค่าใช้จ่ายในการรักษาและค่าทำขวัญอีกสองหมื่นบาทเป็นสิ่งที่บิดาของพันนาขอรับผิดชอบ ไม่มีใครกล่าวโทษพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักนิด

   “ไปอ้อนพี่โหรสิ”

   “อ้อน?” กุมภ์หันไปมองเด็กหนุ่มหน้าตาดี ปากมันวาวเพราะกล้วยทอด

   “อือ” จ้าวจอมพยักหน้า “ลองดู พี่โหรน่ะใจดี แต่ติดปากแข็งไปหน่อย”

   “แล้วทำไมนายไปทำเองล่ะ”

   “ก็ผมไม่ได้เป็นคนจ้างนี่” จ้าวจอมยักคิ้ว “พวกคุณมีเงินไม่ใช่เหรอ เสนอราคาไป แต่บอกไว้ก่อนนะว่าห้ามต่อรองเพราะงานช้าง”

   “แล้วเขาจะยอมเหรอ ขนาดนายเขายังปฏิเสธ” กุมภ์ไม่แน่ใจ เรื่องเงินไม่มีปัญหา แต่เขาไม่ได้สนิทกับโหรมากถึงขนาดจะไป ‘อ้อน’ อย่างที่จ้าวจอมแนะนำ

    “ไม่ลองจะรู้เหรอ” จ้าวจอมยังยุต่อ “พี่โหรน่ะโคตรเก่ง แค่พรานแก่ๆ ประสาทกลับทำไมจะสู้ไม่ได้”



    
    จ้าวจอมกลับจากโรงพยาบาล หลังจากได้รับข่าวจากพี่พยาบาลคนสวยกว่าอาการของพรานกล้าดีขึ้นมาก แผลไม่มีเลือดออกมาแล้ว ส่วนคะนิ้งและชาร์ล หมออนุญาตให้กลับบ้านในวันพรุ่งนี้

   เสียงเพลงในหูทำให้คิดถึงตัวเลขในสมุดบัญชี ถึงงานจะหนักเสียหน่อย แต่ค่าตอบแทนงามสมความเหนื่อยยาก แต่ถ้าพี่โหรรับงานออกตามหาคนที่ชื่อรชตอะไรนั่นอีกงาน เงินในบัญชีจะทะยานขึ้นสู่หลักแสนเลยทีเดียว

   จ้าวจอมขยับหูฟังให้แน่นขึ้น มือล้วงในกางเกง เพลงลูกทุ่งสมัยคุณตาหนุ่มๆ เพราะหูอย่างบอกไม่ถูก ถึงเขาจะเกิดมาบนโลกได้เกือบ 18 ปี แต่กลับชอบฟังเพลงเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันมีมนต์ขลัง ท่วงทำนองเพราะเสนาะหู ชวนให้ผ่อนคลาย ไม่เหมือนเพลงสมัยนี้ ที่เนื้อเพลงขาดความอ่อนหวานของตัวอักษร ทำนองก็ขัดหู นักร้องบางคนเอาดีทางการเต้นแทนการร้อง ใส่สั้นเสมอหู เต้นส่ายเอว ส่ายสะโพก แต่เพลงกลับห่วยบรม

   เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว เขาแยกกับกุมภ์เมื่อครู่ใหญ่ๆ นี่เอง รายนั้นดูเหมือนจะคิดหนักไม่น้อยเมื่อเขาเสนอให้ไปอ้อนพี่โหรเรื่องตามหาตัวรชต แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าอีกไม่กี่วันนี้จะได้เดินทางเข้าป่าอีกครั้งเป็นแน่ จ้าวจอมเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าผ่านบานประตูหางตาก็เหลือบเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง

    จ้าวจอมไม่ยอมรับว่าตัวเองเสียมารยาทที่หันไปมอง ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังออดอ้อนกัน ฝ่ายหญิงแต่งตัวอย่างผู้หญิงเมืองทันสมัย กระโปรงสั้นแค่หัวเข่า สายเสื้อเล็กเส้นเดียวเกี่ยวหัวไหล่ หน้าอกอิ่มล้นขอบเสื้อตัวบาง เส้นผมสีอ่อนดัดเป็นลอนคลื่น ริมฝีปากสีชมพูรูปกระจับขยับตามคำพูด มือทั้งสองข้างยกคล้องคอฝ่ายชาย

   ใช่ว่าไม่เคยเห็นภาพพลอดรักทำนองนี้  ถ้าหากหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารู้จัก

   พันนา

    ลูกชายอันเป็นที่รักของคุณหญิงภิรมย์ กับคุณชาตรีผู้ครองตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งที่เขาไม่ค่อยสนใจนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจังหวัดเล็กๆ แบบนี้จะมีคนใหญ่โตอยู่ด้วย แต่เพราะเป็นนายจ้าง เขาเลยได้รู้ว่าพันนาเป็นถึงลูกชายคนดังในแวดวงการเมือง มิน่าเล่าคุณหญิงภิรมย์ถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตายตอนที่ตำรวจไม่ยอมรับเรื่องตอนที่พันนาหายตัวไป

    จ้าวจอมเบะปาก ตอนแรกเขาคิดว่าพันนาเป็นพวกลูกคุณหนู ไม่ค่อยประสาอะไร ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเพลย์บอยเจ้าชู้เสียนี่ อย่างว่าหนุ่มเมือง มือไวใจเร็ว แถมมีเงินถุงเงินถัง สาวๆ ที่ไหนก็วิ่งเข้าใส่ อยู่อย่างเขาสิ เข้าป่าหาของมาขาย รายได้น้อยหอยสังข์ผู้หญิงที่ไหนจะชายตามอง จ้าวจอมนึกสงสารตัวเอง อายุก็ตั้งสิบแปดปีแล้วแต่ยังไม่มีแฟนไว้ให้อ้อนสักคน

   เด็กหนุ่มถอนหายใจทิ้งเรี่ยราด แล้วเดินผ่านบานประตูเลื่อนได้ของร้านสะดวกซื้อเข้าไปด้านใน

    แม่น้องสาวตัวอ้วน บ่นอุบว่าเบื่อเนื้อกวางตากแห้งแล้ว เขาเลยเลือกซื้อไส้กรอกรมควัน ไส้ชีส แบบเผ็ด และอีกสารพัดไปเอาใจ ไหนจะขนมปัง ขนมคบเคี้ยวอีกหลายห่อ เพราะหมู่บ้านที่อยู่ไม่มีร้านสะดวกซื้อแบบนี้ อย่างดีก็ร้านชำป้าสมหมาย ขนมปังแห้งๆ ไร้คุณภาพ กับขนมแบบหนีบแม็กใส่แผงกระดาษห่อละห้าบาท มันอร่อยเสียที่ไหน

    จ้าวจอมหอบขนมที่ขนซื้อมาวางลงบนเคาน์เตอร์ พนักงานคนสวย ผมยาวดำขลับ ส่งยิ้มหวานให้ เขาเต็มใจจะส่งยิ้มตอบ เธอหยิบแต่ละชิ้นคิดเงิน พวกไส้กรอกก็ถามว่าเวฟไหม เขาพยักหน้าหงึกหงัก เพราะที่บ้านไม่มีไมโครเวฟ กำลังจะควักเงินจ่าย แต่เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นแถวเหนือศีรษะเสียก่อน

   “คิดรวมเลยครับ”

   แผงหมากฝรั่งถูกยื่นแทรกเข้ามาอย่างเสียมารยาท จ้าวจอมเอี้ยวตัวหันไปมองก็เจอกับแผงอกค่อนข้างกว้าง เงยหน้ามองขึ้นไปเรื่อยๆ ก็พบกับลูกคางสะอาด ปลายจมูกโด่งและดวงตาที่หลุบมองมา

   พันนา?


ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
“ไม่ต้อง คิดแยกครับ” เขาปฏิเสธน้ำใจอีกฝ่าย ผลักแผงหมากฝรั่งให้ออกห่างถุงขนมของตัวเอง

   พนักงานคนสวยมองจ้าวจอมกับพันนาสลับกันไปมา ถามย้ำว่าให้คิดเงินอย่างไร จ้าวจอมยืนยันว่าจะจ่ายเอง แต่พันนากลับแตะบัตรสมาชิกของร้านแทน แล้วยกเลิกไม่ขอซื้อหมากฝรั่งของตัวเอง เท่ากับว่าสินค้าเกินสิบรายการ คิดเป็นเงินร่วมห้าร้อยบาทพันนาเป็นคนจ่ายทั้งหมด

   เพราะต้องรอไส้กรอกที่กำลังอุ่นร้อนอยู่ในเครื่องไมโครเวฟ ทำให้จ้าวจอมต้องทนอยู่กับพันนา ทั้งที่เบื่อหน้าแทบแย่ แม้จะเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งก็ตาม

   “ยุ่งอะไรวะเนี่ย” จ้าวจอมบ่น หน้าย่นยู่ยี่

   “ยุ่งอะไร?”

   “จ่ายให้ทำไม ไม่ได้ขอสักหน่อย”

   ทั้งคู่ขยับออกห่างจากเคาน์เตอร์คิดเงิน เพราะมีคิวต่อ พันนาขยับเท้าตามเมื่อจ้าวจอมสาวเท้าก้าวเข้าไปด้านในตัวร้านเพื่อรอไส้กรอกหอมกรุ่นของตัวเอง

   “จะกลับแล้วเหรอ” พันนาชวนคุย “แล้วกลับยังไงอ่ะ”

    “ยุ่งอีกละ ตกลงชื่อพันนาหรือชื่อยุ่งวะ” จ้าวจอมทำเสียงหงุดหงิดใส่

   “ก็อยากคุยด้วย” พันนาบอกตรงๆ “กลับด้วยกันสิ เดี๋ยวไปส่ง”

    จ้าวจอมลังเล ก้มมองนาฬิกาสายพลาสติก ราคาร้อยเก้าสิบเก้าของตัวเอง อีกไม่กี่นาทีก็จะห้าโมงเย็นแล้ว รถสองแถวที่จะเข้าบ้านหมดตอนห้าโมงเย็นพอดี ถ้าพลาดเที่ยวนี้ก็ต้องเช่ารถมอเตอร์ไซค์เข้าไป จากแค่ยี่สิบบาทต้องกลายเป็นสองร้อยบาททันที ไร้กรอกก็ยังไม่เสร็จ หลังจากจ้องมองไมโครเวฟอยู่ร่วมครึ่งนาทีก็ตัดสินใจพยักหน้ารับ ดีเหมือนกันประหยัดค่ารถไปอีกหลายบาท

   จ้าวจอมหิ้วถุงขนมเต็มสองมือจนพันนาแอบขำ แต่พอเหลือบเห็นตาเขียวๆ ที่มองมาก็ต้องหุบยิ้ม แล้วเดินนำไปที่รถยนต์ญี่ปุ่นสีดำของตัวเอง

   “แล้วแฟนไปไหนอ่ะ” ถามเสร็จ จ้าวจอมก็หุบปากฉับ เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งจะสารภาพความสอดรู้สอดเห็นของตัวเองออกไป

    “เห็นเหรอ?” พันนาเลิกคิ้วถาม แต่จ้าวจอมแกล้งนิ่งเฉย ทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรออกไป คนโตกว่าส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มติดมุมปาก “เคยคบกันก่อนจะไปเรียนที่กรุงเทพฯน่ะ”

    “ใครอยากรู้วะ” จ้าวจอมกลอกตามองฟ้า “จะไปได้หรือยัง บ้านอยู่ไกลนะ”
    


    บ้านของจ้าวจอมอยู่ห่างจากอำเภอเมืองร่วมห้าสิบกิโลเมตร มีรถโดยสารประจำทางวิ่งวันละแค่สองเที่ยว ขาไปสอง ขากลับอีกสอง แต่จะมีรถรอบพิเศษตอนห้าโมงเย็น เป็นรถสองแถวที่บรรทุกของป่ามาขาย ตั้งแต่เช้าตรู่และกลับตอนห้าโมงเย็น หากพลาดรถเที่ยวนี้ก็จะต้องเหมารถมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับเอง ราคาก็ขึ้นอยู่จะต่อรอง สำหรับจ้าวจอมได้ในราคาถูกสุดสองร้อยบาท แต่มันก็ยังแพงมากอยู่ดีหากเทียบกับค่ารถสองแถว

   วันนี้โชคดีที่ไม่ต้องเสียค่ารถ แถมยังมีคนเลี้ยงขนมอีก จ้าวจอมแกะห่อมันฝรั่งทอดกินรองท้องก่อนจะถึงมื้อเย็น วันนี้แม่ทำแกงเผ็ดกวาง จำไม่ได้แล้วว่าเป็นมื้อที่เท่าไรสำหรับเจ้ากวางตัวใหญ่ที่พ่อได้มาเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ก็กินมันจนเบื่อแล้ว พวกคนเมืองยกย่องให้เนื้อกวางเป็นหนึ่งในสุดยอดเมนูอาหารป่า แต่คนที่หาของป่าอย่างพวกเขา มันจำเจพอๆ กับกินหมูกินไก่เลยทีเดียว

    พวกเนื้อสัตว์ที่อยู่ในป่าได้ราคาไม่ดีเท่าโสมป่าที่หายากเทียบเท่ากับรังนก กิโลหนึ่งหลายพันบาท สรรพคุณมากหลาย คนจีนชอบมากเห็นว่าช่วยบำรุงสุขภาพเป็นเคล็ดลับอายุยืน ดังนั้นแทบจะทุกครั้งของการเข้าป่าจ้าวจอมจะมีจุดประสงค์หลักๆ คือหาโสมป่า ส่วนพวกกวาง หรือไก่ป่าเป็นแค่ผลพลอยได้

    รถยนต์คนหรูติดแอร์เย็นเฉียบ วิ่งไปบนถนนลูกรังหักหลบหลุมบ่อเป็นระยะ คนขับดูจะตั้งใจเป็นพิเศษเพราะไม่ค่อยจะชินกับเส้นทางนัก จ้าวจอมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของพันนาเป็นระยะ ไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าพันนาหน้าตาดี แต่หลักฐานค่อนข้างชัดเจน ทั้งตา จมูก ปาก หรือผิวพรรณ ดูต่างจากคนท้องถิ่นมากทีเดียว ไม่ใช่แค่พันนา แต่เพื่อนๆ ของอีกฝ่ายด้วย ยิ่งคนที่ชื่อชาร์ล มีเชื้อฝรั่ง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวอมชมพู ตาเป็นสีเขียว เหมือนพระเอกในละครหลังข่าวที่น้องสาวชอบดู

    “อยากคุยอะไร ก็รีบพูดมา” จ้าวจอมเร่ง ตั้งแต่นั่งรถมาร่วมสิบกิโล พันนายังไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งที่บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย

   “เดี๋ยวก่อน คนกำลังใช้สมาธิ” พันนาปฏิเสธ ตาจ้องเขม็งไปยังถนนเบื้องหน้า “ทำไมไม่ลาดยางหรือเทคอนกรีตวะ มีแต่หลุม”

   “ถามพ่อคุณดูสิ เป็นถึงคนใหญ่คนโตแต่แค่ถนนบ้านเกิดตัวเองยังทำให้ดีไม่ได้”

   พันนารู้สึกจุกไม่ยอกกับคำพูดเหน็บแนมของเด็กหนุ่มที่ยังไม่พันวัยมัธยม แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะมันคือความจริง จังหวัดนี้มีหลายส่วนยังไม่ได้รับการพัฒนา ความเจริญไปกระจุกแค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ชาวบ้านหลายตำบลยังต้องใช้ถนนลูกรังฝุ่นแดงอยู่

    “ที่บ้านมีใครอยู่บ้าง” พันนาเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนที่พ่อของตนจะโดนเด็กถอนหงอกไปมากกว่านี้

   “พ่อ แม่แล้วก็น้อง จะอยากรู้ไปทำไม” จ้าวจอมถามกลับ

   “มีน้องด้วยเหรอ” พันนานึกสงสัย ท่าทางจ้าวจอมไม่เหมือนคนเป็นพี่สักเท่าไร “กี่ขวบแล้วล่ะ”

    “13” จ้าวจอมตอบห้วนๆ ดูดนิ้วมือที่เปื้อนคราบมันฝรั่ง “อย่าบอกนะว่าเรื่องที่อยากคุยมีแค่นี้”

    “เปล่า....ยังไงดี ฉันไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใคร” พันนาอึกอัก มือกำพวงมาลัยแน่นกว่าเดิม

   “ทำไม”

   “เพราะเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนบ้าน่ะสิ”

   “แล้วคุยกับเด็กอย่างฉันจะได้เรื่องอะไร” จ้าวจอมส่ายหัว กินมันฝรั่งต่อ

   “เพราะนายกับโหรเท่านั้นที่รู้ว่าฉันเจออะไรมาบ้าง”

   เพราะสุขภาพที่ค่อนข้างแข็งแรง ทำให้เขานอนให้น้ำเกลือเพราะขาดน้ำอยู่แค่คืนเดียว วันรุ่งขึ้นก็ได้กลับบ้านพร้อมกับกุมภ์ที่ดูจะบาดเจ็บน้อยที่สุด อาการแพ้พิษต้นช้างร้องไม่เหลือให้เห็นเพราะยาของโหร แต่พวกเขากลับไม่มีความสุขเลย เพราะยังตามหาตัวรชตไม่เจอ อีกทั้งเขายังฝันร้าย ฝันว่ารชตมาขอความช่วยเหลือบอกว่าตนยังติดอยู่ในป่า หาทางออกไม่ได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้นี้ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้ ยกเว้นพรรคพวกที่ร่วมชะตากรรม แต่เขายังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่จู่ๆ ก็นึกถึงสองหนุ่มที่บุกเข้าไปช่วยถึงในป่า

   “เพื่อนคุณเป็นยังไงบ้าง ผู้หญิงคนนั้นอ่ะ”

   พันนารู้ดีว่าจ้าวจอมหมายถึงคะนิ้ง “ปลอดภัยดีแล้วล่ะ เพิ่งฟื้นเมื่อวาน”

   คะนิ้งได้สติเมื่อเย็นวันก่อน ใบหน้าขาวเผือดเริ่มมีสีสันมากขึ้นเมื่อลืมตาตื่น ชาร์ลเฝ้าคนรักไม่ห่าง ทำหน้าที่ได้ดีกว่าพ่อและแม่แท้ๆ ของคะนิ้งเสียอีก นี่กระมังที่เรียกว่าความลำบากจะพิสูจน์รักแท้ แต่นอกเหนือจากความโล่งใจที่ได้เห็นคะนิ้งฟื้นคืนสติ แต่ทุกคนยังอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในคืนนั้น

    คะนิ้งใช้เวลาหลายนาทีทีเดียวกว่าจะเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ เธอเล่าว่าคืนนั้นหลังจากที่ผลัดหลงกับชาร์ล เธอก็วิ่งเตลิดไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ กระทั่งไปถึงริมลำธาร เธอก็เห็นชาร์ลกวักมือเรียกอยู่บนโขดหิน อารามดีใจเธอพุ่งกระโจนไปหาโดยลืมคำนึงไปว่าสิ่งที่เธอกำลังเหยียบย่ำอยู่นั้นคือสายน้ำ ก้าวแรก ก้าวสองไม่ลึกเท่าไร แต่ก้าวที่สี่ห้าดินโคลนใต้ฝ่าเท้ามันดูดจมลึกไปถึงหัวเข่า เธอดิ้นรนเอาตัวรอดท่ามกลางสายน้ำเย็นเยียบ เพียงชั่วอึดใจเดียวชาร์ลก็กลายร่างเปลี่ยนเป็นอมนุษย์น่าเกลียด หัวเป็นปลา เท้าเป็นคน พวกมันปรากฏตัวขึ้นรอบกาย พากันฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเธอ พลางก่นด่าทำร้ายรื่องที่เธอทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมัน เธอกรีดร้องลั่น ชั่วขณะนั้นอะไรบางอย่างก็พุ่งเข้ามาในคอ มันยาวเลื่อนเต็มไปด้วยเมือก กลิ่นคาวจัดเหมือนปลา ร่างกายเธอสั่นเหมือนถูกเขย่า หวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ แล้วเธอก็หมดสติไปจริงๆ

   ‘ฉันฝัน...ฝันว่าตัวเองเป็นปลา กำลังว่ายน้ำอยู่ แล้วจู่ๆ น้ำก็ร้อนขึ้น เหมือนน้ำร้อนเลย มันเผาร่างกายของฉัน เนื้อตัวฉันไหม้ ผิวหลุดลอก เจ็บจนทนไม่ไหว’

    คะนิ้งเล่าไปร้องไห้ไป หลังจากที่ฝันว่าตัวเองเป็นปลาแล้ว เธอก็ถูกใครบางคนเรียก เธอเห็นอีกฝ่ายไม่ชัด ภาพมันเลือนรางเหมือนมีหมอกปกคลุม เธอรู้แค่ว่าน้ำเสียงของใครคนนั้นมันอ่อนโยน ผ่อนคลายความเจ็บปวดที่ได้รับ แล้วร่างกายที่เป็นปลาก็กลับมาเป็นคนปกติ สองเท้าเดินย่ำไปบนผืนหญ้านุ่ม กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ทำให้เคลิ้มฝัน เธอไม่รู้ว่าสถานที่ที่เธอยู่นั้นมันคือที่ไหน แต่มันสวยงามยิ่งกว่าภาพวาด แสงแดดรำไรรอดผ่านกิ่งไม้ ดอกไม้เบ่งบานงดงาม แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของชาร์ล

    ‘เสียงของชาร์ล ดังมาจากอีกทาง ตอนนั้นฉันลังเลว่าควรจะไปทางไหน เพราะฉันมองไม่เห็นชาร์ลเลย แต่ฉันเห็นแสงประหลาดมันส่องมาตรงหน้าแล้วเหมือนจะพาไปที่ไหนสักแห่ง แล้วฉันก็เดินตามมันไป เสียงชาร์ลชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วฉันก็ฟื้น’

    ไม่มีใครคิดว่าคะนิ้งแต่งเรื่องหลอก หรือเพ้อเจ้อเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง คะนิ้งโชคดีที่โหรมาช่วยทัน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เหลือแค่รชตเท่านั้น ที่ไม่รู้ว่าโชคดีจะเหลือสักเท่าไร

    “อืม ดีแล้วล่ะ” จ้าวจอมรับคำในคอ ได้ยินเรื่องมาจากโหรว่าพบผู้หญิงคนนี้นอนเปลือยกายอยู่ข้างก้อนหิน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าหายหมดไม่เหลือสักชิ้น โหรเดาว่าเธอคงทำอะไรบางอย่างให้สิ่งที่อยู่ในลำน้ำไม่พอใจ แต่ดวงยังไม่ถึงฆาตเลยมีชีวิตรอดกลับมา

    ถนนลูกรังขรุขระ เปลี่ยนเป็นทางเท้าเล็กๆ มีที่รอยล้อรถยนต์เล่นไว้ ตรงกลางมีน้ำขัง หญ้าขึ้นสูงรกชัฏ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นสลับไปในระยะที่ห่างไปราวสิบเมตร แสงแดดจากธรรมชาติหมดแล้ว ซ้ำยังไม่มีแสงจากเสาไฟฟ้าข้างถนนอีก ทำให้แถวนี้มืดสนิทเหมือนอยู่ในป่าไม่มีผิด พันนาเพ่งมองไปยังทางเล็กๆ ใช้สมาธิมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เพราะกลัวว่าหากหักพวงมาลัยผิดจังหวะอาจจะตกลงไปในหลุมพวกนั้น

   “ทำไมบ้านอยู่ไกลจัง” พันนาบ่นเบาๆ

   “ไม่คุ้นบ้างหรือไง” จ้าวจอมถามกลับ มองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ด้านนอกมืดสนิท แต่พอมองเห็นเงาตะคุ่มที่อยู่ห่างออกไป “ฉันมันเด็กหน้าเขา หลังบ้านก็ป่าที่พวกคุณหลงนั่นแหล่ะ”

    พันนาหันมามองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง มิน่าเล่าเด็กคนนี้ถึงได้เชี่ยวชาญเดินป่านัก ยิ่งเมื่อวันที่ต้องไปตามคณะเจ้าหน้าที่ จ้าวจอมไวทายาทไม่รู้ว่าใช้ความเร็วเท่าไร เฮลิคอปเตอร์ถึงได้มาทันเวลาก่อนที่จะเสียพรานกล้าไป

     “แล้วอยู่กันยังไง เหมือนจะไม่มีไฟฟ้าด้วย”

   จ้าวจอมไม่ตอบ แต่คำตอบถูกเฉลยหลังจากนั้นอีกราวสิบห้านาที

    บ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ร่วมสองไร่ บริเวณโดยรอบถูกล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ รั้วบ้านเป็นปีกไม้ที่ถูกตีขึ้นง่ายๆ แต่ท่าทางแข็งแรง ต้นชมพูพันทิปเลื้อยพันรอบรั้วไม้ มีป้ายไม้แผ่นใหญ่ระบุบ้านเลขที่ เสียงหมาเห่าขรมตอนที่พันนาเคลื่อนรถเข้าไปจอดในตัวบ้าน ก่อนที่พวกมันจะกระดิกหางต้อนรับเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ

   “พอๆ ไม่ได้ซื้อไก่มาฝากโว้ย แค่ของไอ้จ๋อมกูก็หมดตูดละ”

   พันนานึกขำ ขนมในถุงใหญ่เป็นเงินของเขาทั้งสิ้นแต่จ้าวจอมกลับไม่เอ่ยถึง เขาออกมายืนอยู่ข้างรถยนต์ มองบ้านไม้ด้วยอดทึ่งไม่ได้ เพราะเมื่อมาอยู่ใกล้ๆ แล้วถึงได้รู้ว่าทั้งเรือนปลูกด้วยไม้สักแท้ ถึงรูปทรงจะไม่ได้สวยเหมือนบ้านพักตากอากาศของพวกเศรษฐีแต่มันก็แข็งแรงและดูคลาสสิคไม่น้อย ที่ชั้นสองมีระเบียงที่ยื่นออกมาพร้อมกับม้านั่งตัวยาว บนนั้นมีเด็กสาวตัวอ้วนกลมกำลังชะโงกหน้าออกมามอง ใบหน้ากลมเต็มไปด้วยแป้งสีขาว ไม่บอกก็รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน

   “พาใครมาด้วยอ่ะพี่จอม”

   “คนที่ช่วยไว้เมื่อวันก่อน” จ้าวจอมตอบสั้นๆ แต่กลับเรียกความสนใจจากคนอื่นๆ ได้ ทั้งจากเด็กสาวตัวกลมและผู้สูงวัยอีกสองคน

   “ลูกคุณชาตรีน่ะหรือ?” ผู้ที่เอ่ยถามเยี่ยมหน้าออกมาจากประตูชั้นล่าง ใบหน้าขาวโพลนด้วยแป้งกระป๋องเช่นกัน เรือนผมสีดำสนิทรวบเป็นหางม้าง่ายๆ สวมเสื้อคอกระเช้าสีตุ่น กับผ้าถุง เดาจากอายุคงจะไล่เลี่ยกับมารดาของเขา ข้างๆ กันนั้นคือชายวัยเลยห้าสิบปี รูปร่างผอมสูงท่าทางแข็งแรง ใส่เสื้อคอกลมกับกางเกงผ้าสีมอๆ

   “ใช่จ้ะแม่”

   จ้าวจอมเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคน เธอยกมือลูบศีรษะทุยของบุตรชาย พลางละสายตาทางเขา พันนากระพุ่มมือไหว้ผู้หญิงทั้งสอง แนะนำตัวพอเป็นพิธี ดูท่าว่าทั้งสองคงรู้จักพ่อกับแม่ของเขาในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะพวกท่านเป็นบุคคลมีชื่อเสียงของจังหวัด

    “ไปไงมาไงละนี่” พ่อของจ้าวจอมถาม ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญเข้ามาในบ้าน

    ชั้นล่างเป็นใต้ถุงสูง แต่มีห้องครัวและห้องน้ำ รวมถึงเป็นที่เก็บอุปกรณ์เดินป่าของพรานน้าเอื้อ ซึ่งเป็นพ่อของจ้าวจอม แต่ตอนนี้ปลดระวางแล้วหันมาทำไร่ไถนาแทน เพราะป่าเริ่มหาของยาก สัตว์ป่าห้ามจับเนื่องจากเหลือน้อยเต็มที ส่วนนุชแม่ของจ้าวจอมไม่มีงานทำ ได้แต่ช่วยเหลืองานในไร่เท่าที่ทำได้ แต่ผลิตผลทางการเกษตรจากไร่ของพรานน้าเอื้อขายดีไม่น้อย เพราะใช้คำลงท้ายว่าอินทรีย์ คือไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารพิษ และใช้วิธีพึ่งพาธรรมชาติแทน

   “ผมมีเรื่องอยากให้จอมช่วยน่ะครับ” พันนาไม่อ้อมค้อม รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน แม้แต่เด็กสาวตัวอ้วนที่เพิ่งรู้ว่าชื่อจ๋อมยังมองมาด้วยวามสนใจใคร่รู้

   “เรื่องเพื่อนที่ยังตามหาตัวไม่เจอใช่ไหม” อดีตพรานเอ่ยถาม “งานนี้มันยากไป ไอ้จอมทำไม่ได้หรอก อย่างมันก็ดีแต่ยิงกระรอกเอามาหลอกขายเด็กประถม” น้าเอื้อพูดติดตลก เลยได้ใบหน้าง้ำขอของบุตรชายมาเป็นของรางวัล “พวกเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น วิชาความรู้ก็มีแค่หาสัตว์ แต่ตามหาคนหายต้องใช้คนเก่งจริงๆ”

   “พี่โหรไง” จ๋อมออกความเห็น ขณะที่กำลังแหวกถุงขนมจากเซเว่น แล้วก็ต้องตาโตเมื่อพบกับไส้กรอกสารพัดชนิด

   “จ๋อมอย่าเพิ่งกิน จะกินข้าวแล้ว” นุชเตือนลูกสาวคนเล็ก แล้วเอ่ยชวนให้พันนาอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน “กินข้าวด้วยกันนะคุณ”

   น้ำใจของคนต่างจังหวัดมีมากกว่าคนกรุงเทพฯ กับข้าวง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่างแต่กลับน่ากินได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำพริกกะปิ ปลานิลทอดตัวโต ดอกโสนผัดน้ำมัน ไข่เจียวจานใหญ่ และต้มยำไก่บ้านพริกทุบทำเอาหนุ่มที่เสพติดการกินอาหารจานเดียวต้องเผลอกลืนน้ำลาย นึกอิจฉาจ้าวจอมที่ได้กินอาหารครบห้าหมู่อย่างนี้ทุกวัน ที่เพิ่มมาอีกอย่างก็คงจะเป็นไส้กรอกจากเซเว่นของฝากที่จ้าวจอมซื้อมาให้น้องสาว

   “ผมอยากรู้ว่าเพื่อนของผมยังมีชีวิตอยู่ไหม” พันนาถามในสิ่งที่อยากรู้ ขณะที่ตักข้าวพร้อมต้มยำไก่เข้าปาก

   อดีตพรานมากประสบการณ์วางช้อนข้าวลง สีหน้าเคร่งเครียด “บอกยาก ถ้ามันเป็นไปตามที่ไอ้จอมว่า เพื่อนคุณมีสิทธิ์ที่จะตกเป็นบริวารไอ้เวกสูง”

   “แล้วทาสมันเป็นยังไงเหรอครับ”

   “ก็เป็นครึ่งผีครึ่งคนไง” จ้าวจอมตอบแทน “อยู่ก็ไม่ได้ ตายนรกก็ไม่รับ”

   พันนาทำหน้าสงสัย น้าเอื้อเลยขยายความต่อ “เมื่อหลายปีก่อน คนหนุ่มในหมู่บ้านเราหายไปหลายคน บ้างก็ว่าถูกผีแม่หม้ายเอาตัวไป เพราะลักษณะการตายคล้ายกัน แค่นอนหลับแล้วก็ตายไปเลย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าคนหนุ่มพวกนั้นตายได้ยังไง แม้แต่พระในวัดยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่เท่าที่ฟังไอ้จอมเล่า ผมคิดว่าคนพวกนั้นน่าจะถูกไอ้เวกเอาตัวไปทำบริวาร”

   “ก็กองทัพผีดิบที่คุณเห็นไงล่ะ” จ้าวจอมบอก ก่อนจะตักน้ำต้มยำสูดเสียงดัง เลยโดนแม่ตีไหล่ดังเพี๊ยะ

   “แล้วผมจะทำยังไงดี” พันนาร้อนใจ ภาพในฝันราวกับจะบอกว่ารชตยังไม่ตาย แต่ถ้าหากชักช้ากว่านี้เขาอาจจะเสียเพื่อนสนิทไปจริงๆ

   “ถ้าเพื่อนคุณอ้อนวอนพี่โหรสำเร็จ คุณก็อาจจะได้เพื่อนคืน”

   “อ้อนวอน?”

    “ใช่” จ้าวจอมยักคิ้วให้ “แต่ค่าจ้างน่าจะสูงโข เพราะไอ้ตาเวกนี่น่ากลัวยิ่งกว่าผี เป็นผีเป็นคนหรือเป็นเสือยังไม่รู้เลย”


*พักเบรกความสะพรึงแป๊บ*

**พยายามจะแต่งให้คู่นี้ออกมาดี ได้แค่นี้เอง แง**

***โปรดติดตาม และรอความช่วยเหลือจากพี่โหร***

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สรุปเป็น พี่โหรกับกุมภ์ พันนากับจอมสินะ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ขนลุกทุกครั้งที่อ่านเรื่องนี้ ถ้ามีโอกาสเข้าป่า สัญญาเลยว่าจะใช้ความสุภาพสุดๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทำไมชอบคู่นี้มาก ดูคืบหน้ากว่าฝั่งหมอโหรอีกค่ะ ตื่นเต้น คิดว่าต้องได้เข้าป่าอีกรอบแน่นอน ถ้าคุณพี่โหรเจอลูกอ้อนไป  :hao5:

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
น้องเจ้าจอมมมม คู่นี้ก็ดีค่ะ ออกเป็นแนวคู่กัดกันถึงน้องจะเป็นคนตีฝั่งเดียวก็เถอะ อยากเห็นพี่โหรตอนโดนอ้อนแน้วว อิพี่จะเสียอาการมั้ยนะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โหร-กุมภ์  พันนา-จัาวจอม. สองคู่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รอตอนต่อไปนะครัช

ออฟไลน์ .B.F.I.R.S.T.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ้าว เรือล่มเฉยเลย5555 นึกว่าจะเป็นโหรจอม
แต่พันนาจอมก็น่ารักดีค่ะ ไม่ค่อยอินกับโหรกุมเท่าไหร่เลยแหะ


Sent from my iPad using Tapatalk

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
มีคู่กันครบแล้ว

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อยากรู้ น้องกุมภ์จะอ้อนพี่โหรยังงายยยยยยย
 :mew3:

ออฟไลน์ sawangpong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ​

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
โอ้ย มาสั้นจาง เอาอีกๆ เอาเยอะๆ อิอิ ตั้งหน้าตั้งตา ถ่างตา รอออ แล้ว ก็ รอ ขอบคุณ ผู้แต่ง มาก  เนื้อเรื้อง ดำเนิน ได้ ลื่นใหล ภาษา  ก็เลิศ ติดตาม และตามติด  มาอัฟ บ่อยๆ ด้วย เลิฟฟฟ ^^

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ชอบคู่พันนากับเจ้าจอมอ่ะ
มันดูละมุนน่ารักยังไงบอกไม่ถูก

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 8 คำขอจากแม่



    คืนนี้ดาวเต็มฟ้า ยิ่งอยู่ใกล้ป่า ยิ่งเห็นดาวชัดขึ้น ลมเย็นพัดผ่านร่าง เสียงแมลงกลางคืนดังระงมจากรอบทิศทาง บางครั้งก็ได้ยินเสียงไก่ขันดังมาจากชายป่า กลิ่นแป้งเย็นตรางูกับกลิ่นดอกไม้กลางคืนชวนให้ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก รถยนต์จอดเทียบชายคาบ้างข้างๆ กับรถไถนาเก่าคร่ำคร่า แต่เจ้าของยืนยันว่าเครื่องยนต์ยังฟิตแน่นชนิดที่ลากรถสิบล้อก็ยังไหว

    พันนาไม่ได้กลับไปนอนบ้าน เพราะพรานน้าเอื้อและนุชขอร้องเอาไว้ ที่นี่การเดินทางตอนกลางคืนอันตราย แม้แต่คนในพื้นที่ยังไม่กล้าออกไปไหนหลังสองทุ่ม ถึงจะมีรถยนต์แต่ไม่มีใครรับรองความปลอดภัย เพราะแถวนี้อยู่ใกล้ป่า วันดีคืนดีช้างป่าก็ออกมาหาพืชผลของชาวไร่กิน แต่ไม่มีใครทำร้ายช้าง เพราะมนุษย์ไปแย่งพื้นที่หากินของมันก่อน ดังนั้นพันนาเลยได้นอนค้างที่บ้านไม้สักหนึ่งคืน

   “เมื่อไรจะนอน ง่วงแล้ว!”

    เสียงสั้นห้วนดังมาจากด้านหลัง พันนาเอี้ยวตัวหันมามอง ใบหน้าผ่องใสของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีง้ำงอ ชายมุ้งเปิดขึ้นมาพอให้ศีรษะทุยลอดผ่านมาได้ “ปิดหน้าต่างด้วย เดี๋ยวยุงกิน”

    พันนาทำตามที่เจ้าของห้องต้องการ มือหนาเอื้อมไปดึงหน้าต่างไม้ปิดพร้อมลงกลอนให้ ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงนอนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พอนอนได้สองคนพอดี แต่อาจจะสั้นเกินไปสักหน่อยสำหรับคนที่สูงเกินหกฟุตอย่างเขา นิ้วมือเลิกชายมุ้งที่ถูกฟูกนอนหนาทับไว้ขึ้น สอดตัวผ่านเข้าไปด้านใน กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกมะลิโชยมาจากด้านใน น่าจะเป็นกลิ่นแป้งที่จ้าวจอมใช้ ที่นอนถูกคั่นกลางด้วยหมอนข้างสีชมพูอ่อนจัดจนเกือบจะเป็นสีขาว ขณะที่เจ้าของเตียงกระเถิบนอนติดอีกฝาก

   “นอนหรือยัง จะปิดไฟแล้ว”

   ไฟที่จ้าวจอมบอก คือโคมไฟเล็กๆ ข้างเตียงนอน จ้าวจอมลอดมือผ่านมุ้ง กดปิดสวิตซ์ไฟโดยไม่รอคำตอบรับ ภายในห้องมืดสนิท ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะปรับสายตาได้

   ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนที่ว่าง ฟูกไม่ได้นุ่มเท่ากับเตียงนอนติดสปริงที่บ้าน ไม่มีความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ไม่อาจเปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เพราะสัญญาณมีเพียงแค่ขีดเดียว ต่อให้เป็นเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเจ้าใหญ่ที่อวดอ้างว่าสัญญาณแรงกว่าใคร ก็เหลือแค่ขีดเดียว จนเขานึกสงสัยว่าเด็กหนุ่มที่เกิดในยุค 2000 อย่างจ้าวจอมทำไมถึงหลุดรอดจากโลกโซเชี่ยวเน็ตเวิร์กได้

    เขาวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ๆ กับหมอน สูดเอากลิ่นมะลิไว้ในปอด พลิกตัวนอนหงายขึ้นมองหลังคามุ้ง อยากจะข่มตาหลับแต่มันเพิ่งจะสามทุ่มเท่านั้น ผิดวิสัยคนเมืองอย่างเขา ที่เข้านอนอย่างน้อยก็เที่ยงคืน

   “นายได้เรียนหนังสือไหม” พันนาชวนคุย เพราะรู้ดีว่าจ้าวจอมยังไม่หลับ

   “เรียน! ทำไม หน้าฉันมันดูโง่มากหรือไง” จ้าวจอมตอบอย่างมีน้ำโห

   “เปล่า แค่สงสัยว่าทำไมนายไม่ไปโรงเรียน” พันนาเผลอยกมือเกาหัวแก้เก้อ

   “ปิดเทอมไง รู้จักไหม ปิดเทอมน่ะ!” จ้าวจอมกระแทกเสียงตอบ เสียงอู้อี้นิดหน่อยคล้ายกับเจ้าตัวฝังหน้าลงกับหมอน “นอนได้แล้ว!”

   “อืม” พันนาขานรับในคอ ทั้งที่ยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด อยากจะชวนคนข้างๆ คุยต่อ แต่ไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอ แสดงว่าจ้าวจอมคงไปเข้าเฝ้าพระอินทร์รอบดึกเสียแล้ว

    คราแรกพันนาคิดเอาเองว่าตนคงนอนไม่หลับเพราะไม่คุ้นชินกับพื้นที่ ซ้ำยังหัวค่ำเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ แต่ที่ไหนได้ หลังจากจ้าวจอมหลับไปไม่นาน เปลือกตาก็หนักอึ้ง ความง่วงเข้าครอบงำทันที...



    หมอนข้างขยับได้?

    มันเป็นความแปลกประหลาดที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน พอลองขยับอ้อมแขนดูเจ้าหมอนข้างก็ยิ่งมีปฏิกิริยา ซ้ำยังคล้ายกับจะได้ยินเสียงมันร้องประท้วงด้วย

   “โอ๊ยไอ้บ้า! ปล่อยนะโว้ย!”

    นอกจากจะขยับได้ ยังพูดได้ด้วย?

   พิลึกพิลั่นไปกันใหญ่

   ปึก!

    คราวนี้ไม่ใช่แค่ขยับ หรือเสียงพูด แต่เจ้าหมอนข้างมันยังทำร้ายเขาได้อีกด้วย

   พันนาลืมตาขึ้นทันที ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดคงจะไม่ใช่หมอนข้างเสียแล้ว   

    ดวงกลมโตเหมือนลูกกวางเบิกกว้าง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากสีระเรื่อธรรมชาติ เม้มแน่น จมูกโด่งรั้นพะเยิบพะยาบตามจังหวะการหายใจ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างหนัก พันนาใช้เวลาอีกชั่วอึดใจถึงจะสำเหนียกได้ว่าตนอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไร

   อ้อมแขนที่รัดหมอนข้างมีชีวิตคลายออกทันที ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยเก้อเขินกะทันหัน ไม่รู้เมื่อคืนฝันถึงอะไรเขาถึงได้เผลอกอดเจ้าเด็กตัวแสบนี้ได้

   “อึดอัดฉิบหาย!” จ้าวจอมสบถ ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เจ้าของเกาหัวแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะกระโดดลงเตียงแล้ววิ่งหายผ่านบานประตูไม้ไป...




    กุมภ์เงยหน้ามองกระท่อมไม้สองชั้นเก่าคร่ำคร่าจวนเจียนจะพังเต็มที ตัวเรือนโยกโย้ไปทางซ้ายคงเพราะถูกลมพายุพัด แปลกใจที่แม้มันจะเก่าหนักแต่ไม่ยักจะมีรอยปลวกแทะกินเนื้อไม้ ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือเสาไม้ทั้งหกต้นเงาวาววับเหมือนเพิ่งจะลงดินไม่นาน และเป็นสิ่งที่น่าจะแข็งแรงที่สุดในบ้านหลังนี้ รอบบ้านเป็นต้นไม้สูง ทั้งมะม่วงพันธุ์โบราณ ต้นกระจง มะขามเทศ รั้วไม้ที่เป็นไม้ไผ่ปักดินง่ายๆ มีเถาตำลึงพันรอบ ชูยอดอ่อนเขียวพรืดเต็มไปหมด โดยรวมแล้วบ้านหลังนี้ไม่เหมาะกับผู้ชายตัวใหญ่อย่างโหรสักนิด

    กุมภ์จดๆ จ้องๆ ยังไม่กล้าร้องเรียกเจ้าของบ้าน สมองพยายามเรียบเรียงคำพูดที่คิดว่าสมเหตุสมผลพอที่จะโน้มน้าวให้โหรยอมตกลงช่วยรชต อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่ารชตยังไม่ตาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคิดเข้าข้างตัวเองว่ารชตยังมีชีวิตอยู่

    เขาอยากให้โหรช่วยจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้แล้ว พรานกล้าก็เจ็บหนักยังนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล พวกเจ้าหน้าที่ ทั้งจากป่าไหม้และตำรวจไม่ต้องพูดถึง ผ่านมาสามวันแล้วยังไม่ได้ข่าวคราวคืบหน้าเลย รชตหายตัวไปเหมือนนินจา ไม่มีแม้แต่รอยเท้าที่สืบเสาะ รอยเท้าล่าสุดดูเหมือนจะปะปนอยู่กับพวกเขาในแถวดงช้างร้อง แล้วก็หายเสียดื้อๆ ราวกับลอยขึ้นไปบนอากาศ

   กุมภ์รวบรวมลมหายใจแล้วสูดเข้าปอดให้ลึกที่สุด อ้าปากร้องเรียกเจ้าของบ้าน แม้จะยังไม่แน่ใจว่าถ้อยคำที่เตรียมไว้จะโน้มน้าวโหรได้หรือเปล่า แต่มันก็ยังดีกว่ายืนแตกแดดเป็นปลาเค็มแห้งอยู่ตรงนี้

    ผ่านไปพักใหญ่ ประตูไม้ไผ่ที่ถูกตีขึ้นง่ายๆ ก็ขยับเปิด ร่างสูงใหญ่ของหมอโหรผ่านบานประตูออกมา ด้วยความสูงทำให้โหรต้องก้มตัวต่ำเพื่อมองผ่านหลังคาลงมาด้านล่าง คิ้วหน้าเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับจะแปลกใจเมื่อเห็นผู้มาเยือน

   กุมภ์ยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน เป็นการเปิดสัมพันธ์ที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องเจื่อนลงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ยิ้มตอบกลับมา ถึงกระนั้นกุมภ์ก็ยังทำใจดีสู้เสือ ถึงโหรจะดูน่ากลัวไปเสียหน่อย แต่ก็น้อยกว่ากองทัพผีดิบหรือไอ้เสือผีตัวนั้นเป็นร้อยเท่า

   “สวัสดีครับคุณโหร” กุมภ์เป็นฝ่ายทักทายก่อน แต่ยังไม่กล้าขยับเท้าเข้าไปใกล้กระท่อมน้อยไปมากกว่าเดิม เพราะเจ้าของบ้านยังไม่อนุญาต

   “มาทำไม?” โหรถามนิ่งเรียบ ไม่มีทีท่าว่าจะเชื้อเชิญขึ้นบ้าน

    “ผะ...ผมมาหาคุณ” กำลังใจห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด ลู่ทางที่จะช่วยรชตตีบตันลงเรื่อยๆ “...อยากให้คุณช่วยเพื่อ...”

    “ขึ้นมาก่อน” โหรสั่งเสียงห้วน แล้วเดินหนีเข้าตัวบ้านดื้อๆ

   กุมภ์รู้สึกตัวเองเป็นลูกโป่ง ที่เพิ่งถูกปล่อยลมแล้วเติมเข้าไปใหม่ สองขาแทบจะวิ่งขึ้นไปบนบันไดไม้เล็กๆ ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะพังครืนลงมาเสียก่อน

    ด้านในของกระท่อมหลังน้อยแตกต่างจากข้างนอกนิดหน่อย แค่มันไม่เก่าเท่า และสะอาดมากโข พื้นเป็นไม้สักขัดเงาไร้เสี้ยน เฟอร์นิเจอร์มีเท่าที่จำเป็น แม้จะเล็กและคับแคบแต่โหรก็แบ่งสัดส่วนการใช้งานได้ลงตัว ด้านในสุดมีหิ้งพระขนาดย่อมอยู่ด้วย บนหิ้งมีทั้งพระและอีกของขลังอีกหลายชิ้น ใต้หิ้งมีหนังสือกองโตอยู่ด้วย กุมภ์ถือวิสาสะสำรวจรอบบ้านไปด้วย แล้วก็พลันสะดุดกับใบประกาศวุฒิการศึกษา

   โหรจบปริญญา!

    “ผมจบเกษตร” คล้ายกับจะรู้ว่ากุมภ์สงสัย โหรเลยไขข้อข้องใจให้

   กุมภ์ยิ้มแหยๆ ย่อตัวลงนั่งบนพื้นไม้แข็งแต่เย็นเยียบ ได้กลิ่นควันอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากใต้ถุน ภายใต้กลิ่นควันคือกลิ่นคล้ายกับสมุนไพร มันไม่ได้เหม็นเขียวแต่ชวนให้ผ่อนคลายมากกว่า

    “ทำไมถึงคิดว่าผมจะช่วยคุณ” โหรเปิดประเด็นพลางหย่อนตัวลงนั่งไม่ห่างกันนัก ก่อนจะหยิบกาน้ำแบบโบราณ ก้นดำสนิทผิดกับด้านบนที่ยังวาววับ น้ำสีน้ำตาลอ่อนๆ ค่อยๆ ไหลลงแก้วใบเล็กลายใบไม้สีฟ้า แล้วยกขึ้นดื่มโดยไม่คิดจะชวนแขกสักนิด

    “เพราะผมมีเงิน”

   โหรแค่นยิ้ม วางแก้วน้ำชาลง คิ้วหนาเลิกสูง “แค่มีเงินก็จะทำให้ผมช่วยคุณอย่างนั้นเหรอ”

    “ผม...ไม่รู้สิ” กุมภ์ส่ายหัว จู่ๆ คำพูดที่เตรียมไว้ก็หายไปหมด ก้มหน้ามองพื้นไม้ขัดมันอย่างไร้ปัญญา “...ผมมีแค่ค่าจ้างให้คุณ ส่วนเหตุผล ผมว่าคุณน่าจะรู้ว่าทำไมผมถึงอยากให้คุณช่วย”

    โหรนิ่งไปพักใหญ่ ขณะที่กุมภ์เลือกที่จะมองควันสีขาวที่ลอยขึ้นเหนือแก้วน้ำชา เดาไม่ออกเลยว่าโหรจะตัดสินใจยอมให้ความช่วยเหลือได้อย่างไร เพราะไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจที่ดีเลยสักนิด ที่ร้ายคือข้อเสนอที่เป็นตัวเงิน มันเหมือนดูหมิ่นน้ำใจของโหร แต่ก็นั่นแหล่ะ เขาไม่ใช่คนพูดเก่งซ้ำคำพูดที่เตรียมมาทั้งคืนก็หายไปตั้งแต่โหรเรียกให้ขึ้นบ้านแล้ว

    “มันยาก...” โหรพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนานหลายนาที ลมหายใจถูกผ่อนออกมาเหยียดยาว ดวงตาคมจ้องมองมาราวกับจะหยั่งความรู้สึกกัน “รู้หรือเปล่าความมันแทบจะไม่มีความหวังเลย ตอนที่ผมไปช่วยพวกคุณ ผมจับพลังชีวิตของเขาไม่ได้เลย”

    “ผมรู้” กุมภ์พยักหน้าน้อยๆ “แต่ผมก็อยากให้ความหวังตัวเอง อีกอย่าง...ผมอยากทำให้เต็มที่ อย่างน้อยถ้าชตไม่อยู่จริงๆ แล้ว ผมจะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย”

    โหรถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ดวงตาคมดำสนิทจนแทบจะไร้เงา มือท้าวลงที่หัวเข่าโน้มตัวมาด้านหน้า สายตาไม่ได้คลาดเคลื่อนไปที่อื่น “นอกจากจะเสี่ยงแล้ว ผมยังไม่รับรองผลอีกด้วย คุณยังอยากจะจ้างผมอีกหรือเปล่า”

    “จ้าง” กุมภ์ยืนกราน

    คิ้วหนาเลิกสูงอีกครั้ง ดวงตาคมหรี่ลงราวกับกำลังประเมินบางอย่าง “ผมเรียกดุนะ คุณพร้อมจะจ่ายไหม”

   “ดุแค่ไหนล่ะ” กุมภ์ลองหยั่งเชิง ถ้าจะพูดเรื่องการเงิน ครอบครัวของเขาไม่เดือดร้อน โหรคงเรียกร้องจนล้มละลายหรอกกระมัง
   “หนึ่งแสนบาท ไม่รับรองผลด้วยว่าจะเจอตัวเพื่อนคุณหรือเปล่า” โหรบอก ใบหน้าคมนิ่งเรียบ ไม่มีแววล้อเล่น

   กุมภ์นิ่งไปชั่วอึดใจ เงินหนึ่งแสนบาทแลกกับชีวิตของเพื่อนรักหรือแค่ความล้มเหลว เขาก้มหน้าลง สมองใช้ความคิดอีกรอบ พยายามหาเหตุและผลมาหักล้าง ในที่สุดก็พยักหน้าตอบตกลง มันอาจจะได้คุ้มเสีย หรืออาจจะไม่คุ้มเลยก็ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

   “ผมจะจ่ายให้คุณก่อนห้าหมื่นบาท และจะจ่ายให้อีกส่วนหลังงานเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะได้ตัวชตคืนกลับมาหรือไม่ก็ตาม”

   “ตกลง...แต่ผมมีข้อแม้ที่คุณต้องทำตาม หากคุณไม่ทำตามที่ผมบอก ผมจะหันหลังกลับทันทีและไม่คืนเงินให้ อีกอย่าง ถ้าคุณหรือใครก็ตามที่ติดตามผมไป เกิดอุบัติเหตุหรือมีอะไรมากกว่านั้น จะถึงตายหรือแค่บาดเจ็บ ผมไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”

   เป็นข้อตกลงที่โง่เง่าสิ้นดี แต่เขาไม่มีทางเลือก กุมภ์พยักหน้ารับหนักแน่น พลางนึกขอบคุณจ้าวจอม โหรไม่ใช่คนน่ากลัว หากแต่น่าเกรงขาม ที่สำคัญเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าสอนให้เขารู้ว่าหากไม่ปฏิบัติตามกฎ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้จะไม่อยากลับเข้าไปอีก แต่ชีวิตของรชตสำคัญกว่า...

(มีต่อ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด