ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563  (อ่าน 65328 ครั้ง)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
        “จริงเหรอวะ!  แล้วนี่มึงไปคุยกับเขาอีท่าไหน เขาถึงยอมช่วย”

         ‘ไม่มีท่าหรอก แค่บอกว่ากูมีเงินให้ ก็เท่านั้น’

         พันนาอมยิ้มกับประโยคตอบกลับมาจากปลายสาย ดวงตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า ทุ่งหน้ากว้างสลับกับต้นไม้หนาทึบ เสียงนกร้องช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้น่าอภิรมย์มากขึ้นไปอีก

        “แล้วเขาเอาค่าจ้างเท่าไร” ถามไปก็พลางจิ้มมะม่วงรสหวานเข้าปาก มะม่วงพันธุ์เชียวเสวยที่เจ้าบ้านลุงทุนสอยมาให้ชิมตั้งแต่เช้าตรู่

         ‘แสนนึง ห้ามต่อ ไม่รับรองความปลอดภัย ทั้งของไอ้ชตและผู้ติดตาม’

         “โหดว่ะ” ปากอย่างว่าอย่างนั้นแต่กลับอมยิ้มมุมปาก หลุบตามองร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่กำลังโรยข้าวเปลือกลงในสุ่มไก่ ชั่ววินาทีหนึ่งที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ประสานสายตา และเป็นอีกฝ่ายที่ทำหน้าบึ้งใส่แล้วก้มลงให้อาหารไก่ต่อ

         ‘ก็โหดอยู่ แต่กูว่าคุ้ม จ่ายก่อนครึ่งหนึ่ง งานสำเร็จค่อยจ่ายอีกครึ่ง’

         “แล้วไปเมื่อไร” เขาถามต่อ รู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกหน่อย ถึงจะยังไม่เจอตัวรชต แต่แค่รู้ว่าโหรยอมให้ความช่วยเหลือความหวังก็เพิ่มมากขึ้น

        ‘อีกสองวัน โหรขอเวลาเตรียมตัวก่อน ทั้งของเขาและของเรา’

         “ของเรา?” คิ้วหนาเลิกสูง “หมายความว่ายังไงวะ”

         ‘คราวนี้เราไม่ได้เข้าป่าไปถ่ายรูปสัตว์ แต่เราไปตามหาคน งานนี้กูว่าจะไปกับมึงแค่สองคน เพราะกูคิดว่าชาร์ลกับคะนิ้งน่าจะเข็ดการเข้าป่าไปอีกนาน อีกอย่างคุณโหรบอกว่าไม่อยากให้ไปกันเยอะ ต้องการคนแข็งแรงและไม่เรื่องมาก’

         “แข็งแรง? มึงอ่ะนะ” พันนากับหลุดขำพรืด ก็ปลายสายเป็นผู้ชายตัวผอม อาจจะสูงกว่าเจ้าเด็กที่กำลังให้อาหารไก่อยู่นิดหน่อยก็จริง แต่ยังห่างคำว่าแข็งแรง

         ‘เออ! อย่างน้อยกูก็ไม่เป็นลมระหว่างทางก็แล้วกัน’ กุมภ์พูดเสียงดัง จนเสียงลอดออกมาจากโทรศัพท์ พันนาหัวเราะหึ พอจะนึกหน้าอีกฝ่ายออก ‘ก็เตรียมพวกของแห้งไป ใช้เวลาไม่กินสามวัน ถ้าสามวันหาไม่เจอสรุปได้เลยว่าไอ้ชตตายแล้วแน่นอน ซึ่งกูหวังว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้น ออกเดินทางตอนเจ็ดโมงเช้าที่บ้านของคุณโหร’

         “เออ แล้วเจอกัน”

         พันนาวางสาย ความกลัดกลุ้มคลายไปบ้าง ฝันร้ายไม่ได้มาเยี่ยมเยือนทั้งที่นอนผิดที่ผิดทาง ซ้ำยังหลับลึกชนิดที่นอนกอดเจ้าของห้องไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กดื้อที่ชื่อจ้าวจอมหน้าง้ำหน้างอไม่ยอมหาย

       อากาศในชนบทโดยเฉพาะบริเวณใกล้ป่า ไม่ได้เย็นหรือร่มรื่นเหมือนที่คิดไว้ ออกจะอบอ้าวด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่มีต้นไม้สูงและหนา ทำให้ไอร้อนที่เคยได้รับตอนอยู่ในเมืองมันลดลงไปได้เยอะ หากอยู่ในที่สูงหน่อยก็ได้รับสายลมเย็นเอื่อยๆ เหมือนในตอนนี้ บ้านไม้สองชั้นมันดีอย่างนี้นี่เอง น้าเอื้อบอกว่าเสาเรือนทำจากไม้สักต้นใหญ่ เลยทำให้ตัวบ้านสูงกว่าปกติ ตอนร้อนๆ ออกมานอนรับลมเย็นสบายไม่ต้องเปิดพัดลมให้เปลืองค่าไฟ แต่ถ้าฤดูหนาวจะหนาวเหน็บจับใจเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่จะได้รับลมแบบเต็มๆ แต่เพราะบ้านที่ทำจากไม้จะยิ่งทำให้รู้สึกหนาวกว่าบ้านปูน

         กำหนดการกลับบ้านถูกเลื่อนออกไปเล็กน้อย หลังจากยอมตกปากรับคำกินมื้อเช้า และรอของฝากจากไร่ของน้าเอื้อ นอกจากมะม่วงเขียวเสวยแล้ว ยังมีผักปลอดสารอีกหลากพันธุ์ แต่ต้องรอเจ้าของไปเก็บ คงอีกพักใหญ่ๆ เขาเลยมีเวลาสำรวจบ้านของจ้าวจอมต่ออีกสักหน่อย

         จะว่าไปแล้ว บ้านที่สร้างจากไม้สักทั้งหลังไม่ใช่คนทั่วไปจะปลูกได้ ต้องมีฐานะในระดับหนึ่งเลยทีเดียว น้าเอื้อเล่าให้ฟังว่า เรือนไม้สักหลังนี้เป็นสมบัติตกทอดมาจากรุ่นปู่ สมัยก่อนไม้สักหาได้ง่ายราคาไม่แพงเหมือนสมัยนี้ พ่อของน้าเอื้อเป็นพรานมืออาชีพ ชำนาญเรื่องการเดินป่า ล่าสัตว์ส่งให้นายทุนต่างประเทศ ใครที่ไหนก็จ้าง เลยมีเงินเก็บก้อนใหญ่ปลูกบ้านไม้สักให้ลูกหลานได้อยู่อาศัย และด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัด มีที่ทางเป็นของตัวเองเลยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปหางานทำในเมือง น้าเอื้อเลยสานต่ออาชีพพรานป่าต่อจากพ่อ น่าเสียดายที่วิชาความรู้ของปู่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาทั้งหมด ท่านเสียชีวิตเพราะพลาดท่าให้กับเสือตัวใหญ่ ที่พรานตั้งชื่อให้มันว่าไอ้บอด

        “ตามันเป็นสีเทาข้างหนึ่ง เหมือนคนแก่ที่ตาเป็นต้อ พวกพรานเลยเรียกมันว่าไอ้บอด” น้าเอื้อบอก ระหว่างมื้อเช้า

         เรื่องราวในป่าอันน่าตื่นเต้นถูกเล่าผ่านปากพรานป่ามาประสบการณ์ มันสนุกเร้าใจ ต่างจากที่เขาไปพบปะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

        “น้าว่าเสือตัวที่พวกผมเจอจะเป็นตัวเดียวกับไอ้บอดหรือเปล่า”

        “ไม่น่าจะใช่หรอก เพราะผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่จริงก็น่าจะแก่มากแล้ว ออกมาฆ่าใครไม่ได้หรอก ฟันฟางคงหักหมดปากแล้วล่ะ” น้าเอื้อพูดติดตลก “อีกอย่างที่พวกคุณเห็นมันไม่ใช่เสือหรอก แต่เป็นพรานที่งมงามกับมนต์ดำมากเกินไปจนของมันตีกลับ”

         น้าเอื้อกับพรานกล้าพูดตรงกัน ตาเวกคืออดีตพรานที่เล่นของจนของตีกลับ ตอนนี้จะคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง แต่ฝีมือร้ายกาจขนาดพรานกล้ายังเสียทีจนเกือบตาย ถ้าหากไม่ได้เจ้าเด็กดื้อไปตามเจ้าหน้าที่ให้ ป่านนี้พรานกล้าอาจจะสิ้นชื่อไปแล้วก็ได้ เขายังได้รู้อีกอย่างว่า ความจริงจ้าวจอมกับพรานกล้าไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนัก ปะทะฝีปากกันอยู่เรื่อย แต่ถึงเวลาคอขาดบาดตายจ้าวจอมกลับให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ลืมเรื่องบาดหมางไปชั่วคราว

         “ยอมให้ก่อนหรอก หายเมื่อไรค่อยว่ากัน” เด็กดื้อว่าไว้อย่างนั้น

    พูดถึงเสือ มันทำให้นึกถึงกล้องถ่ายรูปขึ้นมาได้ ตั้งแต่ออกจากป่ามันก็ถูกทิ้งไว้ในห้องอย่างไร้ความหมาย เขาไม่ได้ติดใจรูปที่ถ่ายว่ามันจะสวยถูกใจแค่ไหน แต่เอะใจมากกว่า น้าเอื้อบอกว่าเสือตัวที่ฆ่าพรานเวกตาเป็นสีเทาข้างหนึ่ง คืนนั้นมันมืดมาก เขาเองก็มัวแต่ตกใจจนไม่ทันสังเกต ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าถ่ายรูปไว้หรือเปล่า

    ผ่านไปเกือบชั่วโมงน้าเอื้อกับน้านุชก็กลับมาพร้อมกับพืชผลทางการเกษตร แถมด้วย ‘โสมป่า’ สมุนไพรชั้นเลิศคุณภาพระดับประเทศไปฝากพ่อของเขาอีกสองมัด น้านุชกระซิบบอกสรรพคุณของมัน และราคาแพงระยับ ที่น่าทึ้งกว่านั้นก็คือ โสมป่าสองมัดคือฝีมือการหาของเด็กดื้อที่ชื่อว่าจ้าวจอม

    “จอมมันเก่ง เดินป่าตามตาตั้งแต่เด็กๆ” น้าเอื้อคุยโว พลางใช้หมวกสานสีเหลืองโบกสะบัดให้ความเย็น

   “แล้วตาของจอมไปไหนซะล่ะครับ” พันนาถาม

   “บวชไม่ยอมศึกตั้งแต่ยายตาย” น้าเอื้อพูดยิ้มๆ “สี่ห้าปีแล้วมั้ง จอมมันไปเยี่ยมตามันทุกวันพระ พรุ่งนี้ก็วันพระแล้ว”

    พันนาพยักหน้ารับรู้ เหลือบตามองไปยังร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยแม่ล้างผักสำหรับประกอบมื้อเย็น แน่นอนว่าเขาคงไม่ได้ร่วมโต๊ะอีกแล้ว อดเสียดายหน่อยๆ ไม่ได้ ฝีมือน้านุชอร่อยระดับร้านอาหารดังๆ เลยทีเดียว และคงได้วัตถุดิบดีด้วยกระมัง รสชาติอาหารถึงได้หวานละมุนลิ้น เมื่อเช้าเขาได้กินไข่เป็ดต้มยางมะตูม น้ำพริก ผักสด และผัดผักง่ายๆ แต่มันอร่อยจนต้องขอเติมข้าว

    เขากล่าวล่ำลาพร้อมกับขอบคุณร่วมสิบครั้งสำหรับน้ำใจที่น้าเอื้อหยิบยื่นให้ ก่อนจะจากไป ไม่วายชำเลืองมองเด็กดื้อตาใส จ้าวจอมยังคงง่วนอยู่กับการล้างหัวมัน จนขากางเกงเปียก น้านุชโบกมือไล่ลูกชายคนโตให้ออกมาส่งแขก จ้าวจอมกระฟัดกระเฟียดตามประสาเด็กดื้อ แต่ก็ยอมลุกขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ มาหยุดตรงหน้า ห่างไปราวสองช่วงตัว

   “กลับไปได้แล้ว! เปลืองของ!”

    “ไอ้จอม! ไปพูดอย่างนั้นกับคุณพันได้ยังไง!” น้าเอื้อดุขรมดังมาจากบนบ้าน จ้าวจอมทำหน้ายู่ ยกมือขึ้นไล่

   “ไปได้แล้ว ต้องเตรียมตัวไม่ใช่หรือไง”

   “เตรียมตัว? นายรู้ได้ยังไง” พันนาเลิกคิ้วถาม แน่ใจว่าไม่ได้เล่าเรื่องที่จะเข้าป่าให้ใครฟัง

    จ้าวจอมกระหยิ่มยิ้ม “เพื่อนคุณนี่เก่งนะ อ้อนพี่โหรจนได้”

   นั่นไม่ได้ทำให้ความสงสัยลดน้อยลงไปเลย จ้าวจอมรู้ได้อย่างไรว่าโหรยอมตกลงให้ความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายก็ไม่รอให้ถามอะไรต่อ รีบหมุนตัวเดินกลับไปช่วยมารดาเช่นเดิม…




    เข้าป่าคราวนี้ต้องเตรียมตัวมากกว่าคราวก่อน เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามีอันตรายรอยยู่ พรานเวกอะไรนั่นไม่มีทางปล่อยให้รชตออกมาเดินเฉิดฉายแน่นอน นอกจากจะตามหาตัวรชตแล้ว ยังจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับพรานเวกอีกด้วย พันนาเล่าเรื่องที่โหรจะเข้าไปช่วยตามหารชตให้บิดาและมารดาฟัง พวกท่านไม่เห็นด้วยที่เขากับกุมภ์จะเข้าไปในป่าอีกครั้ง แต่เขายืนกรานว่าเขาจะต้องไป เพราะเขาเป็นคนเอ่ยปากชวนเพื่อนๆ ให้มารับกรรมกัน ส่วนของฝากที่น้าเอื้อยัดเยียดมาให้ส่งถึงมือพวกท่านอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะโสมป่า ที่บิดาถูกใจเป็นพิเศษ พูดซ้ำๆ ว่าต้องหาโอกาสนำบรั่นดีชั้นเอกไปแบ่งปันน้าเอื้อบ้าง

    “ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก แม่เป็นห่วง” มารดาพยายามเกลี่ยกล่อม มืออ่อนนุ่มลูบอยู่บนศีรษะแผ่วเบา สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มแกมห่วงใย “แม่กลัว”

    “ผมไปกับโหร ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ” พันนาบอก เอนศีรษะซบกับอกอุ่นที่ซุกซบมาตั้งแต่เกิด “ผมจะต้องเอาคืนไอ้ครึ่งผีครึ่งคนนั่นให้ได้”

    “ครึ่งผีครึ่งคน?” ท่านทำเสียงแปลกใจ พลางจับยกศีรษะออกจากอก “ลูกพูดอะไร?”

    พันนาอึกอัก นึกโกรธตัวเองที่เผลอหลุดปากออกไป แต่ครั้นจะโกหกอีกก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะมารดาของเขาจับผิดเก่งยิ่งกว่าสายสืบเสียอีก

    “ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้เล่าความจริงให้ฟัง” พันนาสารภาพผิด “ความจริงพวกผมไม่ได้ถูกเสือทำร้ายหรอกครับ”

   “ลูกหมายความว่ายังไง” ท่านทำหน้าตกใจ

   “ผมถูกผีหลอก”

   “ว่าไงนะ!”

    พันนายิ้มเจื่อน ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าให้มารดาฟังทั้งหมด ท่านทำท่าจะค้านอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเล่าจบท่านก็เงียบไปพักใหญ่ นานหลายนาทีเลยทีเดียว ใบหน้าซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด หลังจากตั้งสติได้ก็ยื่นมือชื้นเหงื่อมาจับมือของเขาเอาไว้

   “ลูกจำหลวงพ่อที่แม่พาไปทำบุญได้ไหม” ท่านถามเสียงสั่น พันนาพยักหน้ารับ “ท่านทักว่าลูกกำลังมีเคราะห์ ต้องบวชถึงจะดีขึ้น”

    พันนาถอนหายใจ “แต่คนที่เคราะห์หนักกว่าผมคือไอ้ชตครับแม่ เป็นตายยังไงไม่มีใครรู้ ขนาดผมไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหนแม่ยังห่วงผมขนาดนี้ แล้วพ่อกับแม่ของไอ้ชตล่ะครับ จะปวดร้าวแค่ไหน”

    “แต่แม่กลัว ฟังดูแล้วพรานเวกอะไรนั่นน่ากลัวเหลือเกิน” มือท่านสั่น “ไม่ไปได้ไหม แม่ขอ”

     “แม่ครับ” พันนาทอดเสียงอ่อน จับมือท่านกลับ “เท่าที่ผมพอรู้มา โหรเก่งไม่น้อยเลย ถึงจะยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือ แต่เขาก็พาผมกลับออกมาได้”

    ท่านนิ่งไปชั่วอึดใจ สีหน้ายังไม่คลายกังวล “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่แม่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ขนาดเจ้าหน้าที่ยังตามหาตัวชตไม่เจอเลย แล้วพวกลูกที่ไม่เคยเดินป่า ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย จะตามหาตัวชตเจอได้ยังไง”

   “แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่าคณะเดินทางมีเด็กที่ชื่อจ้าวจอมด้วย” พันนายิ้มบางเบา ใบหน้าดื้อติดซนของจ้าวจอมผุดเข้ามาในความคิด “ตัวแค่นั้น แต่เดินป่าเก่งพอๆ กับพรานมากประสบการณ์ ถ้าไม่ได้จ้าวจอมพรานกล้าอาจจะไม่รอดก็ได้”

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ผู้เป็นมารดาทอดถอนใจ “แม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี”

    พันนาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญใจที่มารดาแสดงความเป็นห่วงมากเกินไป ในป่านั่นน่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่แค่อันตรายจากสัตว์ป่า แต่อันตรายจากอมนุษย์นั่นที่น่ากลัวกว่าหลายเท่า

    เรื่องที่มารดาเป็นห่วง เขารู้ซึ้งดี ตอนที่อยู่ในป่าเขาก็คิดถึงบุพการีทั้งสองแทบจะทุกช่วงลมหายใจ อยากมีชีวิตรอดออกไปกอดพวกท่าน ในยามที่ตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่แรกที่คิดถึงคือคนที่รัก สำหรับเขานั้นคือบิดาและมารดา ผู้ที่ให้กำเนิด ผู้ที่ให้ลมหายใจและชีวิต เขาอยากจะทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้รชตได้กลับออกมาทำหน้าที่ลูกเหมือนกัน พระองค์นั้นบอกว่าเขาต้องบวชถึงจะหมดเคราะห์ แต่เขาจะทำได้อย่างไรในเมื่อเพื่อนรักยังอยู่ในชะตากรรมลำบาก ไม่ใช่ไม่อยากอาศัยในร่มเงาพระศาสนา ลูกผู้ชายทุกคนควรต้องบวชเพื่อทดแทนบุญคุณบิดามารดา ความเชื่อโบราณบอกไว้ว่าการที่พวกท่านได้เกาะชายผ้าเหลืองเท่ากับได้ขึ้นสวรรค์ เขาพร้อมจะทำ แต่ต้องหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว

    “ผมสัญญาว่า ถ้าผมพาไอ้ชตออกมาได้ ผมจะบวชครับ” พันนาให้คำมั่น

   มารดานิ่งงันไปนานร่วมนาที ก่อนจะพยักหน้าพร้อมด้วยดวงตาสั่นคลอน…




*พักหายใจอีกตอน*

**รชตจะรอดไหมต้องลุ้นกัน**

***โปรดติดตามตอนต่อไป***

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ลุ้นมากกกกก  เข้าป่ารอบนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ลุ้นมาก​ ขอให้รอดทุกคน

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ต้องได้กลับมาบวชนะ ขอให้พาเพื้อนกลับมาอย่างปลอดภัยทุกคนเลย

ออฟไลน์ Fuzz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สนุกมากก  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
สนุกมากกกกก อ่านเพลินภาษาลื่นมาก รอตอนต่อไปนะคะ
//ตอนแรกจับผิดคู่เพราะดูเหมือนพันนากะกุมจะมีซัมติง5555.
  พันจอนน่ารักมากเลยค่ะ เคมีดีเลิศ อิอิ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
กลับมาบวชให้แม่ให้จงได้นะพันนา
เอาชายซิ่นแม่ไป จะได้แคล้วคลาด
พายเรือเชียร์เจอมกับพันนา เย้ววววววววววว

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
สนุกและลุ้นมากครับ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ตั้งตารอต่อไป ^^

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
รออออ :katai5:

ออฟไลน์ nizxx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พลิกโพไปเลยอะ ไม่ค่อยแปลกใจแต่ก็อือนั่นแหละ คนแบบพันนาก็ไม่ใช่คนที่แย่อะไรขนาดนั้นอะเนอะ อย่าเพิ่งมองมุมเดียว ชอบความเจ้าจอมแนะให้ไปหาพี่โหรอะ ไปแกล้งๆอ้อนดู พาร์ทเข้าป่าช่วงแรกว่าระทึกใจแล้วคิดว่าเรื่องคงมีแค่นั้นอะ ถ้ามีอีกก็คือหลอนไปอีก ระทึกใจไปอีกแน่ อุแง กลัวผีตาเวก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
หลอนเลย ในป่าคือน่ากลัวมากแน่  :ling3:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ขอให้ชต รอดชีวิต เจ้าจอมโปรยเสน่ห์ใส่พันนาซะแล้ว

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ขอให้รอดทุกคนด้วยเถอะน้าาาา

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ลุ้นมาก ชตเป็นไงมั่งล่ะเนี่ย
 :hao4:

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ลุ้นต่อไปค่ะ :mew2:

ออฟไลน์ Philosophy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
หลอนมากแม่ เหมือนเข้าไปอยู่ในป่าด้วยเลย

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 9 เรื่องของไอ้บอด



    เมมโมรี่การ์ดถูกสอดเข้าไปในช่องอ่านไดร์ฟของเครื่องคอมพิวเตอร์ นิ้วเรียวดับเบิ้ลคลิกเปิดโฟลเดอร์ที่จัดเก็บไฟล์รูปภาพไว้ นึกดีใจที่ความตื่นตกใจไม่ได้ทำให้กล้องเสียหายจนใช้งานไม่ได้ แค่มีรอยขีดข่วนนิดหน่อย สมกับราคาหลายหมื่นบาทของมัน รูปภาพที่บันทึกไว้ทยอยปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ดอกเห็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นกลางใบไม้แห้ง จนถึงกล้วยไม้พันธุ์หายากที่คนเมืองไม่สามารถนำออกไปปลูกขายได้ ธรรมชาติงดงามเสียจนต้องนิ่งมอง ทว่าเพียงแค่นิ้วกดคลิกเคลื่อนผ่านเข้าสู่รูปในยามราตรี ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อขึ้นในอก ช่องท้องเสียววาบ ใจหายโหวงเหวง

   ภาพเบื้องสูงที่จำได้ว่าถ่ายตอนที่ขึ้นบนห้างแรกๆ เป็นแค่ภาพธรรมชาติเมื่อไร้แสงสว่าง ต้องใช้เทคนิคกันเล็กน้อยถึงได้ภาพสวยถูกใจ กระทั่งผ่านไปพักใหญ่ก็ได้รูปหมูป่าตัวเขื่องดุนจมูกหาดินโป่งกิน พรานกล้าไม่ได้บอกถึงพิษสงของเจ้าหมูป่าให้ได้ฟัง แต่เขาเคยอ่านเจอในหนังสือสมัยเรียนมัธยม หมูป่าแท้ๆ ไม่มีเชื้อหมูบ้าน จะดุสูสีกับเสือเลยทีเดียว ร่างกายแข็งแรงกำยำพุ่งชนได้ดุดันราวกับกระทิง เขียวสองข้างของมันบวกพลกำยำเกินรูปร่างสามารถฆ่าคนตายได้ แต่ในคืนนั้นเจ้าหมูตัวอ้วน ดุนจมูกไถกับดินท่าทางไร้พิษภัย มองแล้วหมูทั่วไป หาไม่นับรวมเขี้ยวแหลมของพวกมัน

    นิ้วไล่กดมาถึงรูปก่อนจะสุดท้าย เขาเพ่งหาสิ่งที่ต้องการ ไม่กี่อึดใจมันก็ปรากฏขึ้น

   เสือผีตัวนั้น!

     แสงแฟลชสว่างวาบในความมืด ดวงตาของมันวาวเรืองชัดเจน เขาเพิ่งมองอยู่นานว่ามีสิ่งผิดปกติใดๆ บนใบหน้าของมันหรือไม่ แต่ก็ไม่พบสิ่งใด มองเผินๆ มันก็เหมือนกับเสือทั่วไป แค่ดวงตาแดงฉานของมันเท่านั้น

   สีแดง?

   พันนายื่นหน้าเข้าใกล้หน้าจอคอมพิวเตอร์มากขึ้น ปลายนิ้วกดเมาส์ซูมขยายจนภาพกว้างขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งได้พบกับความผิดปกติบางอย่าง

   ตาของได้เสือตัวนั้นไม่ได้เป็นสีแดงทั้งสองข้าง ตาข้างซ้ายของมันเป็นสีส้มอ่อนจนเกือบเหลือง แต่เพราะมันสะท้อนกับแสงแฟลชและความมืดเลยทำให้มองเห็นเป็นสีแดงทั้งสองข้าง

   ไอ้บอด!

    พันนาถอยหลังกลับมานั่งที่เดิม มองเสือตัวนั้นอีกอึดใจถึงได้ปิดคอมพิวเตอร์ หน้าจอกลายเป็นสีดำแล้ว แต่ภาพดวงตาคนละสีของเสือผีตัวนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำ...




   ‘โทรมาทำไมวะ คนจะนอน’
    น้ำเสียงหงุดหงิดจากปลายสายโทรศัพท์ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกโกรธแต่อย่างใด ตรงกันข้ามนึกอยากจะแย่ให้อีกฝ่ายหัวเสียมากกว่าเดิม ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปาก ขี้บุหรี่ที่ปลายนิ้วร่วงลงผืนหญ้าเบื้องล่าง กลุ่มควันสีขาวลอยล่องในอากาศพักเดียวก็จางหาย ละอองน้ำค้างเป็นไอเย็นจางๆ ในอากาศ ดาวดวงน้อยใหญ่กระจายตัวเต็มท้องฟ้าสีดำ กลิ่นดอกไม้กลางคืนพัดผ่านมาให้ชื่นใจเป็นระยะ

   เขาสูบบุหรี่ แต่ไม่บ่อยนัก ถ้าหากไม่ใช่ช่วงที่เครียดจัด ก็เป็นช่วงที่อารมณ์ดีเหมือนอย่างในตอนนี้

   “อยากคุยด้วย”

    ‘ไม่อยากคุย จะนอน ง่วง’
    อีกฝ่ายตอนกลับมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ พร้อมกับเสียงฮึดฮัดตามประสาเด็กหัวร้อน

   “มีเรื่องอยากถาม ก่อนจะไปผจญภัย”

    ‘เรื่องอะไร!’

    “รู้จักไอ้บอดไหม เล่าให้ฟังหน่อยสิ” พันนาชวนคุย ไม่รู้ทำไมเสียงสั้นห้วนของอีกสายถึงได้น่าฟังนัก ยิ่งคิดถึงใบหน้าบึ้งตึงง้ำงอของเจ้าของเสียงยิ่งอยากจะฟังไปนานๆ

   ‘ไม่รู้จัก’

    “โกหก” พันนาต่อปากต่อคำ เลยได้เสียงพ่นลมหายใจสั้นๆ หนักๆ มาเป็นรางวัล “เล่ามาเถอะ จะได้รีบนอนไง”

   ‘เออๆ เล่าก็ได้ เล่าเสร็จก็เชิญองค์ชายบรรทมเลยนะพะย่ะค่ะเพราะหม่อนฉันเองก็ต้องการสลีพเหมือนกัน’

    พันนาเกือบหลุดขำในคำพูดทั้งราชาศัพท์และภาษาอังกฤษ เขาตั้งใจเอาหูแนบกับโทรศัพท์พร้อมฟังเรื่องราวของ ‘ไอ้บอด’ จากจ้าวจอม

    ‘ไอ้บอดเป็นเสือตัวใหญ่ อยู่ในป่านี้นี่แหล่ะ ตาเคยเล่าให้ฟังว่ามันป้วนเปี้ยนหาแถวริมน้ำเกือบยอดเขาโน่น เพราะชอบมีพวกกวางมากินน้ำ ที่ตามันบอดเพราะครั้งหนึ่งมันเคยสู้กับกวาง แล้วพลาดท่าโดนเขากวางเสียบเข้าที่ตา แต่กวางตัวนั้นก็ถูกมันฆ่าตาย ตาบอกว่ามันดุยิ่งกว่าเดิมอีก จากที่เคยฆ่าแค่สัตว์มันอาละวาดฆ่าพรานด้วย เพื่อนของตาเคยเกือบถูกมันฆ่าตาย ดีที่รอดมาได้เพราะปีนขึ้นต้นไม้ทัน แต่มันก็รออยู่ใต้ต้นไม้อย่างนั้นนะ เป็นวันเลยล่ะ โชคดีซ้ำสองที่มีโขลงช้างผ่านมาใกล้ๆ เพื่อนตาเห็นแล้วเพราะอยู่บนต้นไม้ แกไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวแข็งทื่อเป็นหิน ช้างน่ะน่ากลัวว่าเสืออีกนะคุณ ตัวใหญ่แข็งแรง ฟาดงวงฟาดงาตาห่ากันเกลื่อน ไอ้บอดก็กลัวเหมือนกัน มันกระโจนหนีโขลงช้างเข้าป่า ส่วนช้างโขลงนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้เพื่อนตาหรอก มันแค่จะไปหาน้ำกินเท่านั้น เพื่อนตาเลยรอดตายกลับมาเล่าเรื่องระทึกขวัญให้ฟัง’

    “มีใครจัดการมันได้ไหม” พันนาเอ่ยถาม บุหรี่หมดมวนแล้ว แต่อรรถรสในการเล่าเรื่องของจ้าวจอมยังเข้มข้น

    ‘เกือบมี’ จ้าวจอมตอบแบบไว้ที ‘ปู่ของพี่โหร ชื่อปู่เหม ปู่เหมเป็นพรานที่โคตรเก่ง เก่งกว่าตาเป็นสิบเท่า คาถาอาคมแกรอบตัว วิชาเขมรมีติดตัว วิชาไทยก็มีติดกาย แต่แกเป็นคนดีคนเก่งไม่เคยทำร้ายใคร ยึดอาชีพพราน ล่าสัตว์ป่า หาของป่ามาขาย พี่เหมเคยเล่าว่าสมัยก่อนปู่เหมแกเคยล่าสัตว์ส่งฝรั่ง แบบตัวเป็นๆ นะคุณ ส่งไปอยู่ในสวนสัตว์ แต่พอมีกฎหมายห้ามล่าสัตว์ แกก็เปลี่ยนมาหาของป่าแทน พร้อมกับรักษาคนไปด้วย’

    “รักษาคน แบบไหนล่ะ เป็นพรานไม่ใช่หรือไง” พันนาถามต่อ ไม่ได้จะกวนโมโห แต่สงสัยจริงๆ ในเมื่อเป็นพรานล่าสัตว์แล้วจะเอาวิชาความรู้ที่ไหนมารักษาคน

    ‘บ๊ะ ก็บอกไปแล้วไงว่าปู่เหมแกมีวิชา พี่โหรถึงได้เก่งไงล่ะ วิชาความรู้ของปู่เหมอยู่ที่พี่โหรเกือบหมด’

   พันนาพยักหน้าคนเดียว พยายามนึกภาพของโหร และสร้างปู่เหมในจินตนาการ ลักษณะคงไม่ต่างกันเท่าไรเพราะเหมจัดว่าเป็นผู้ชายที่คงลักษณะความเป็นคนยุคก่อนเอาไว้เกือบครบ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ

   “แล้วปู่เหมจัดการไอ้บอดยังไง”

   ‘ว่ากันว่า วันหนึ่งปู่เหมจะเข้าไปเอากระทิงให้นายฝรั่ง แต่ดันไปเจอไอ้บอดเข้า ลูกหาบที่ไปกับปู่เหมโดนมันเล่นงานไปสองคน คนหนึ่งตาย คนหนึ่งเจ็บหนัก สภาพพอๆ กับน้ากล้านั่นแหล่ะ ปู่เหมแกแม่นปืน ใช้ลูกซองจัดการมัน แต่ปืนไม่แรงพอ ลูกกระสุนเจาะเข้าที่ขาซ้ายมัน มันเสียหลักแต่สัตว์ป่าน่ะ ยิ่งเจ็บมันยิ่งสู้ จนกว่ามันหรือเราจะตาย มันกระโจนเข้าใส่ปู่เหม ปู่เหมตั้งใจจะอัดกระสุนใส่มันอีกรอบ แต่ปืนของพวกนายฝรั่งที่ตามมาด้วยมันแรงกว่า ไรเฟิลพุ่งเข้าที่ซอกคอ มันล้มตึงหงายท้อง นอนร้องเสียงก้องป่า หายใจรวยรินอยู่สักพักก็หยุดดิ้น ทุกคนคิดว่ามันตายแล้วแน่ๆ เลยกลับไปที่แค้มป์หมายจะให้คนมาช่วยกันถลกหนัง แต่ที่ไหนพอกลับมา มันก็หายตัวไปแล้ว สรุปว่าตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่ามันถูกสัตว์อื่นคาบไปกินหรือแกล้งตายแน่ พอจะกลับไปตามหาความจริงทางการก็ประกาศกฎหมายห้ามล่าสัตว์พอดี’

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพรานเวกล่ะ” พันนาสงสัยไม่เลิก รู้สึกว่าเรื่องราวในป่ามันสนใจมากจริงๆ

   ‘เรื่องตาเวก ผมเองไม่มีข้อมูลนักหรอก รู้แค่ว่าแกเป็นพรานรุ่นราวคราวเดียวกับปู่เหมนั่นแหล่ะ แต่แกไม่มีลูกเมียหรือญาติพี่น้อง ฝีมือสูสีกับปู่เหมเลยล่ะ แต่แกศึกษามนต์ดำมากเกินไป หลงใหลจนถึงขั้นเลิกล่าสัตว์ หมกตัวอยู่ในกระต๊อบของแก แต่แกมีฝีมือเรื่องล่าเสือมาก ถ้าหากนายฝรั่งอยากได้เสือเมื่อไร ปู่เหมต้องชวนตาเวกไปด้วยทุกครั้ง ว่ากันว่าแกมีคาถาดี กำราบเสืออยู่หมัดทุกตัว บางตัวเชื่องเป็นแมว แต่พอไปถึงเมืองนอกอาละวาดหนักร้องคำถามจนสวนสัตว์แทบแตก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตาเวกเคยเจอกับไอ้บอดหรือเปล่า แต่ถ้าจะให้เดาทั้งไอ้บอดและตาเวกคงต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน’


    “หรือว่าทีจริงแล้วไอ้บอดต่างหากที่ควบคุมตาเวก” พันนาออกความเห็น ภาพดวงตาต่างสีผุดขึ้นมาในความคิด

    ‘ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าแต่ทำไมถึงอยากรู้เรื่องไอ้บอดขึ้นมา’

    “บางที...เสือผีตัวนั้นอาจจะเป็นไอ้บอดก็ได้”

   ‘จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่’

    พันนาอมยิ้มอีกปลายสายเล่นคำ “พอดีถ่ายรูปมันมาได้รูปหนึ่ง ดูเหมือนว่าตามันจะเป็นคนละสี”

    ‘ถ้างั้นงานนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ แต่ถ้าเหนื่อยมากก็อาจจะเรียกค่าแรงเพิ่ม’

    “หน้าเลือดจัง” พันนาต่อว่าไม่จริงจัง น่าแปลกที่ความหวาดหวั่นในตัวเสือผีตัวนั้นมัดลดน้อยลงไปมาก ทั้งที่วีรกรรมความน่ากลัวของมันขนพองสยองเกล้า

   อีกสายต่อว่าพอให้จั๊กจี้หัวใจก่อนจะบอกปัดและตัดสายทิ้งไปแบบไม่ใยดี ไม่วายกำชับให้เขารีบเข้านอนเพราะยังมีเรื่องตื่นเต้นเหนือจินตนาการรออยู่...

(มีต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
เมื่อถึงกำหนดเดินทาง ทุกคนดูเคร่งเครียดกว่าครั้งแรกนัก สถานที่นัดพบคือบ้านของโหรตอนก่อนรุ่ง ข่าวคราวของรชตยังไม่คืบหน้าเช่นเดิม เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกันอย่างเต็มที่ก็จริง แต่เรี่ยวแรงถดถอยลงทุกวัน วันก่อนพันนาไปถามหาข่าวความคืบหน้าเลยได้พบกับสีหน้าอ่อนล้าของเจ้าหน้าที่สามสี่ราย เพราะต้องตื่นแต่เช้าเข้าป่ากันทั้งวันกลับมาพร้อมกับความว่างเปล่า ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรงไปตามกัน พ่อแม่ของรชตใช้วิธีสายไสยศาสตร์เข้าช่วย หมอดูทรงเจ้าให้ทำอะไรก็ทำหมด มารดาของรชตถึงกับยอมบวชชีพรหมให้เจ้ากรรมนายเวร ตามคำบอกของหมอดูชื่อดังของจังหวัด

   เขากับกุมภ์มาถึงหน้ากระท่อมของโหรตอนก่อนหกโมงเช้า ตะเกียงดวงน้อยส่องสว่างเป็นไฟดวงเล็กๆ อยู่ด้านใน คาดว่าเจ้าของบ้านคงตื่นแล้ว ทั้งคู่ได้ยินเสียงสวดมนต์แผ่วเบาดังมาจากด้านใน ยังไม่มันได้ร้องเรียกร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีก็ปรากฏที่ชานบ้าน 

   สองขาแยกจากกันน้อยๆ มือทั้งสองข้างยกขึ้นท้าวเอว มองเผินๆ คล้ายกุมารทองไม่มีผิด

    จ้าวจอมกวักมือเรียกโดยไร้เสียง ทั้งสองก้าวขาพร้อมกันอัตโนมัติ ไฟในบ้านก็สว่างขึ้นทันทีเหมือนกัน

   โหรนั่งขัดสมาธินั่งสวดมนต์อยู่หน้าหิ้งพระที่กินพื้นที่เกือบครึ่งบ้านหลังเล็กของตัวเอง พันนากับกุมภ์นั่งเคียงกัน ไม่กล้าถามอะไรทั้งที่สงสัย ร่วมห้านาทีโหรถึงหมุนร่างกลับมา ใบหน้าคมเข้มเคร่งขรึมกว่าที่เคยเห็น ดวงตาสีดำดูลึกลับน่ากลัว

   “ผมมีเวลาแค่สามวันเท่านั้น ถ้าหาตัวเพื่อนคุณไม่เจอหมายความว่าเขาตายไปแล้ว”

   “ครับ” พันนาพยักหน้า

   “สิ่งที่ผมบอก พวกคุณต้องปฏิบัติตามทุกอย่าง เราไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่ไปตามหาคน และอาจจะเสี่ยงกับความตายได้ ดังนั้นหากคุณนอกลู่นอกทาง จนเกิดพลาดท่าตายขึ้นมาผมไม่ขอรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”

   “โหดจัง” กุมภ์พึมพำ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้คู่สนทนาได้ยิน

   “สิ่งที่คุณอาจจะได้เจอ มันโหดร้ายกว่านี้อีก” โหรบอกสั้นๆ แต่กลับสร้างความหวาดหวั่นให้ไม่น้อย “หรือว่าคุณจะทอดใจก็ได้นะ”

   “ไม่ ผมจะตามหาเพื่อนผม” กุมภ์ยืนกราน มาถึงขั้นนี้แล้วจะยอมถอยหลังถอดใจได้อย่างไร

    “อย่างที่บอกไปเมื่อคราวก่อนว่าผมจับคลื่นชีวิตเพื่อนคุณไม่ได้เลย เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกบางอย่างบังตาไว้ เข้าป่าคราวนี้พวกคุณต้องหูไวตาไว ระวังตัวทุกฝีก้าว อย่าได้ประมาทเด็ดขาด” โหรกำชับ ก่อนจะส่งสายสิญจน์ให้กับคณะเดินทาง “รักษามันไว้ให้ดี ใส่ข้อมือไว้อย่าให้ขาด ผีซ้ำด้ามพลอยอย่างไรมันจะช่วยคุณได้”

   พันนากับกุมภ์รับสายสิญจน์มาพันข้อมือไว้อีกเส้นคู่กับเส้นเก่าที่พรานกล้าให้ ส่วนจ้าวจอมมีห้อยคออยู่แล้วสองเส้น

   ก่อนออกเดินทางโหรสั่งเอาทิ้งของไม่จำเป็นเอาไว้เสียที่นี่ เพราะไม่อยากให้ต้องแบกของหนักเข้าป่า แล้วทั้งสี่ก็ออกเดินทางทันที ก่อนที่พระอาทิตย์จะได้ขึ้นแตะขอบฟ้า

   “เอาของที่ผมสั่งไว้มาหรือเปล่า”

   โหรถามพันนาขณะที่เดินผ่านทิวไม้หนา หยาดน้ำค้างในเวลาเช้าตรู่หล่นใส่กายจนเปียกชื้น พันนาพยักหน้าพลางส่งไรเฟิล 150GR ให้โหร

   ปืนกระบอกนี้พันนาลงทุนไปยืนบิดามาให้ บิดาชื่นชอบและสะสมปืนมาตั้งแต่วัยหนุ่มเลยมีปืนแทบจะทุกรุ่น และถูกกฎหมายทุกกระบอกอีกด้วย พอรู้ว่าพันนาจะเข้าป่ามาตามหาเพื่อนท่านก็ส่งปืนกระบอกนี้ให้พร้อมกับลูกกระสุนอีกกล่อง แต่หวังว่าจะไม่มีการลั่นไก

   เดินป่าครั้งนี้จำเป็นต้องมีปืนติดตัวไปด้วย และต้องเป็นปืนที่ทรงประสิทธิภาพไม่น้อย เพราะถ้าหากอีกฝ่ายคือเสือผีจริงๆ ลำพังวิชาอาคมอย่างเดียวคงไม่พอ วิทยาการทางอาวุธน่าจะช่วยได้อีกแรง

   ลูกกระสุนถูกส่งถือมือโหรก่อนหน้าจะเดินป่าหนึ่งคืนโดยฝีมือของจ้าวจอม เด็กหนุ่มเข้าเมืองไปรับลูกกระสุนจากพันนามาให้โหร ส่วนปืนไม่อาจพ่วงกระเตงเอามาด้วยได้ พันนาเลยอาสาเอามาเอง โหรจำเป็นต้องปลุกเสกคาถาลงไป ตามคำบอกเล่าของจ้าวจอมที่ได้ยินมาจากพันนาเมื่อคืนก่อนว่าบางทีเสือผีตัวนั้นอาจจะเป็นไอ้บอด โหรเลยจำเป็นต้องขุดรื้อความทรงจำของของไอ้บอดขึ้นมาอีกครั้ง

    ปู่เหมเคยถ่ายทอดเรื่องของไอ้บอดให้ฟังเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น สมัยที่ปู่ยังต้องล่าสัตว์ส่งนายฝรั่ง มันเคยเกือบฆ่าปู่แล้ว ดีที่นายฝรั่งยิงมันได้ แต่ข่าวร้ายคือไม่มีใครได้ศพมันกลับมายืนยันว่ามันตายจริงๆ ลึกๆ ในใจแล้วปู่เชื่อว่ามันยังไม่ตาย มันแค่หลบซ่อนตัวเพื่อรักษาบาดแผลของมันเท่านั้น

   ทว่าเรื่องนั้นผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ก่อนที่โหรจะเกิดด้วยซ้ำ ไอ้บอดไม่น่าจะอายุยืนยาวได้ขนาดนั้น มันอาจจะแก่ตายไปตามอายุขัย หรือถ้าไม่ตาย มันก็ไม่มีสภาพที่เรียกว่าสัตว์ป่าได้อีกแล้ว

   โหรค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งที่ต้องประมือในคราวนี้เรียกว่าอมนุษย์ เรื่องราวที่ได้ยินมาจากผู้สบภัยทั้งห้าคือหลักฐานหนักแน่นชิ้นหนึ่ง ไหนจะอาการบาดเจ็บสาหัสของพรานกล้าอีก ถึงจะเป็นรอยเล็บเสือ แต่ป่าผืนนี้ไม่มีเสือออกมาอาละวาดนานหลายปีแล้ว พวกมันเหลือแค่ไม่กี่ตัว หากินแบบสงบเงียบ แม้แต่คนพื้นที่เองยังไม่เคยเห็นพวกมันมานานมากแล้ว อีกอย่างสถานที่ที่พบพรานกล้ามันอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่มากนัก เกือบจะถึงตีนเขาอยู่รอมร่อ ไม่มีเสือตัวไหนลงมาล่าเหยื่อใกล้ถิ่นมนุษย์ขนาดนี้หรอก นอกเสียจากว่ามันไม่ใช่เสือจริงๆ

    ไรเฟิลกับกระสุนลงอาคมไม่สำคัญเท่าสมาธิ จิตต้องตั้งมั่น เพราะถ้าหากขาดสิ่งนี้ไปต่อให้อาวุธทรงอานุภาพแค่ไหนก็ไม่อาจช่วยอะไร

    ป่าในยามเช้าไม่ต่างจากครั้งก่อน เสียงไก่ป่าดังมาจากไกลๆ ก่อนจะก้าวเข้าป่าเต็มตัวโหรและคณะทำการสักการะเจ้าป่าเจ้าเขาเหมือนอย่างเคย ธูปปักลงดิน กลิ่นหอมกำยานอันแสนคุ้นเคยแทรกกับกลิ่นชื้นอับของป่า แมลงน้อยใหญ่เลื้อยหนีฝ่าเท้าที่ก้าวย่างผ่านพวกมัน

    ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่เดินตามกันไปเงียบๆ นานครั้งโหรถึงจะส่งสัญญาณให้หยุดเดินแล้วเงี่ยหูฟัง แต่พอสิ้นเสียงฝีเท้าก็ไร้สรรพเสียงใดตามมา

   “เสียงสะท้อนมั้งพี่” จ้าวจอมออกความเห็น ซึ่งก็ไม่มีใครขัด แต่โหรไม่เชื่ออย่างนั้น มีบางอย่างตามพวกเขามาเงียบๆ เงียบมากแม้แต่เสียงลมหายใจยังกลบเสียงมันได้

   โหรทำเป็นไม่สนใจ ทว่าจิตหนึ่งคอยจำความผิดปกติเอาไว้ บางอย่างบอกว่าสิ่งนั้นมันเคลื่อนไหวไม่ห่าง เหมือนจับตามองหรือรอคอยโอกาสที่เหมาะสม

    ล่วงเข้าสู่ช่วงสายพวกเขาผ่านจุดที่เจ้าหน้าที่กรุยทางไว้ระหว่าตามหารชต หญ้าล้ม สีเขียวสลับน้ำตาล รอยเท้าปรากฏให้เห็นชัดเจนไปทั่วบริเวณ โหรและจ้าวจอมเดินอย่างชำนาญ ผ่านดงพงไพรได้อย่างไร้รอยขีดข่วน ผิดกับอีกสองคนที่ได้แผลคนละนิดละหน่อยจากการถูกกิ่งไม้หรือหนามเกี่ยว

   โหรเลือกที่จะไปจุดตั้งเต็นท์ในคืนที่เกิดเรื่อง ร่องรอยการพักอาศัยชั่วคราวยังมีให้เห็น แม้เจ้าหน้าที่จะเก็บไปเกือบหมดแล้วก็ตาม รอยตอกหมุดปัก หญ้าที่ราบไป กิ่งไม้หักหลายจุด แต่ไม่มีปรากฏรอยเท้ากองทัพผีดิบอย่างที่เด็กหนุ่มพวกนี้พูดถึง

   จ้าวจอมเดินสำรวจหาจุดสังเกต ขณะที่โหรสอบถามข้อมูลจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ก่อนที่รชตจะหายตัวไป

    “คุณบอกว่าพวกคุณพาเขาไปทางไหนนะ”

   กุมภ์หันซ้ายหันขวา มองพื้นสลับกับต้นไม้ ก่อนจะก้าวช้าๆ ห่างจากจุดที่เต็นท์ตั้งไม่กี่เมตร สีหน้ามึนงงแกมสงสัย “ตรงนี้ ผมจำได้ว่าพวกมันมากันเป็นสิบตัว แหวกต้นไม้มาจนพังราบ ลมพัดแรงมากเหมือนมีพายุเลย แต่ทำไมมันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแค่กิ่งไม้หักเอง”

   พันนาพยักหน้าเห็นด้วย ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันติดตรึงราวกับอยู่ใต้เปลือกตานี่เอง ขนาดใบหน้าครึ่งผีครึ่งคนของไอ้อมนุษย์พวกนั้นเขายังจำได้ กลิ่นเหม็นสาบคล้ายกบจะติดอยู่ที่ปลายจมูกด้วยซ้ำ

   “หลังจากที่พรานกล้าไล่พวกเราไป ผมกับกุมภ์ก็พากันดึงไอ้ชตให้วิ่งตามกันออกไป เราวิ่งกันไม่รู้จักเหนื่อย จนรู้เหมือนปอดจะฉีกก็เลยหยุดวิ่ง แล้วจู่ๆ ไอ้ชตมันก็หัวเราะลั่น มันเงยหน้ามองไปข้างบน พวกเราก็เลยมองตาม แล้วก็เห็น....” พันนาหยุดพูด ภาพในความทรงจำผุดขึ้นเป็นฉากๆ “ผู้หญิง...”

   “ใส่ชุดสีขาวเก่าๆ ใช่ไหม” โหรแทรกขึ้น

   พันนาและกุมภ์หันหน้ามองโหรพร้อมกัน กุมภ์กระพริบตาปริบๆ ผงกศีรษะตอบรับช้าๆ

   “พี่รู้ได้ไงอ่ะ” จ้าวจอมที่เลิกสงสัยต้นไม้เดินมาสมทบพลางเอ่ยถาม

   “กูเก็บเศษผ้าได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา” โหรบอก “ผ้าสีขาวเก่าๆ กลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ”

   “อ๋อ เศษผ้าที่ให้ผมดม” จ้าวจอมพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับทำหน้าเบ้เพราะจำกลิ่นเหม็นของมันได้ดี “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนที่ชื่อชตด้วยอ่ะ”

    คิ้วหน้าของโหรคล้ายจะขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมดำมองไปยังเด็กหนุ่มทั้งสอง “ตอนที่เขาเข้ามาในป่ามีอาการแปลกๆ บ้างหรือเปล่า”

   พันนาส่ายหัว เพราะเขามัวแต่สนใจถ่ายรูปดอกไม้ใบหญ้าหรือแม้แต่เห็ดต้นเล็กๆ เลยไม่ได้สนใจอากัปกิริยาของใคร แต่จำได้ว่านอกจากอาการงี่เง่าของคะนิ้งคนอื่นๆ ก็ดูปกติดีทุกอย่าง

   ไม่ใช่...มีบางอย่างผิดปกติไป

   เขาเห็นรชตละเมอทำท่าเหมือนผลักใครในอากาศ ซ้ำในวันต่อมายังรู้สึกคล้ายกับมีคนเดินตาม แต่หันไปมองหลายครั้งก็พบแค่ความว่างเปล่า มีบ้างที่เห็นใบไม้แห้งคล้ายกับจะเคลื่อนไหวเบาๆ พยายามบอกกับตัวเองว่าเป็นอาการหูแว่วไปเอง แต่มันเป็นอย่างนั้นตลอดจนถึงตอนขึ้นห้าง หลังจากนั้นเขาก็เจอกับเรื่องเหนือจินตนาการจนลืมเรื่องมีคนเดินตามไป

    “ผมจำได้ว่าวันนั้นท่าทางไอ้ชตมันแปลกๆ” กุมภ์พูดขึ้น “มันคอยแต่จะหันไปมองข้างหลัง ผมเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนเดินตาม แล้วตอนที่ปีนขึ้นห้าง ผมเห็นเงาของผู้หญิงคนหนึ่งด้วย”

    “ไม่เห็นมึงเล่าให้ฟัง” พันนาหันมาถาม

   “ก็...กูไม่อยากให้พวกมึงไม่สบายใจ” กุมภ์บอกเสียงอ่อย “แต่มันแค่แป๊บเดียว แค่กระพริบตาเธอก็หายไปแล้ว”

    “แสดงว่ามันตามเพื่อนคุณตั้งแต่แรก”

   โหรออกความเห็น ถึงจะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำวิญญาณตนนั้นถึงได้ตามรชต แต่ทุกอย่างมันต้องมีมูลเหตุ

   “คืนนั้นน่ะ ไอ้ชตมันหายตัวไป แล้วจู่ๆ ก็ไปโผล่อยู่ในกลุ่มผีดิบ มีผีผู้หญิงอยู่ข้างๆ ด้วย” กุมภ์เล่าต่อ “ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไอ้ชตมันเหมือนคนไม่มีสติ”

   “ผมว่าเราไปที่ห้างกันดีกว่า ตรงนี้ใกล้แหล่งชุมชนเกินไป”
    
   กว่าจะถึงห้างก็เกือบเย็น จ้าวจอมชำนาญพื้นที่พอๆ กับพรานกล้าอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะสามารถย่นระยะทางให้เหลือเพียงแค่วันเดียวได้ จากที่ต้องเดินเท้าถึงสองวันกว่าถึงห้าง กุมภ์กับพันนาเหนื่อยล้าไม่น้อย อากาศร้อนจัด แดดจ้า ถึงจะอยู่ในป่า แต่ใช่ว่าจะมีต้นไม้ตลอดทาง บางช่วงเป็นทุ่งโล่งมีแต่ต้นหญ้า แดดร้อนจนแสบผิว มีเวลาให้พักกินข้าวดื่มน้ำแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น โหรต้องการไปถึงห้างก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะมันจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นเป้าล่อได้มากทีเดียว
    ที่ห้างทุกอย่างยังปกติ แต่ร่องรอยของเสือผีตัวนั้นไม่มีปรากฏให้เห็นอีกแล้ว

   โหรเลือกห้างหลังที่ชาร์ลกับคะนิ้งเคยอยู่ พันนาลังเลว่าควรจะปีนขึ้นตามไปหรือไม่ ดูจากขนาดตัวแล้ว หากไปเบียดกันอยู่ทั้งสี่คน มีหวังห้างคงได้ถล่มลงมาก่อนแน่ ในที่สุดก็เลือกที่จะปีนไปหลังเดิม เขาได้ยินเสียงคนปีนตามมา คงเป็นกุมภ์ที่เลือกห้างหลังเดียวกัน แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อขึ้นมายืนบนห้างแล้วเห็นเด็กหนุ่มหน้าแฉล้ม ดวงตายียวน

   พันนาหันไปมองห้างอีกหลัง เห็นกุมภ์ยืนทำหน้างงข้างๆ โหร

   “ปล่อยให้อยู่ด้วยกันมีหวังโดนเสืองาบไปทั้งคู่” จ้าวจอมช่วยขยายข้อข้องใจ

    จ้าวจอมหาที่นั่งพร้อมจะจัดการมื้อเย็น ป่าในตอนเย็นมืดเร็วเหมือนอย่างเคย ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีเทา แสงอาทิตย์หายไปตั้งแต่สี่โมงเย็น อากาศร้อนในช่วงเช้ากลายเป็นหนาวเย็นเมื่อไม่มีแสง เด็กหนุ่มดึงข้าวเหนียวเนื้อย่างออกมาจากในกระเป๋าเป้สีดำ พร้อมกับน้ำอีกขวด นั่งกินตุ้ยๆ โดยไม่คิดจะเรียกใคร พันนามองริมฝีปากที่ขยับเร็วๆ แล้วก็ชักจะหิวบ้าง เขามีข้าวกระป๋อง เนื้อย่างที่แม่ของจ้าวจอมทำมาเผื่อ และอาหารกระป๋องอีกหลายอย่าง แต่คงไม่น่าอร่อยเท่ากับที่จ้าวจอมกิน

    “เคยเห็นผีไหม” พันนาชวนอีกคนคุย ขณะที่เปิดข้าวอัดกระป๋องกิน “ตอนเข้าป่าน่ะ”

   จ้าวจอมหันมามองพลางสั่นหัว “ไม่เคย เพราะไม่เคยทำผิดกฎป่า”

   “กฎป่า? มีอะไรบ้างล่ะ” พันนาถามต่อ

   “ก็กฎง่ายๆ ที่แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังทำได้” จ้าวจอมดูดนิ้วเปื้อนเสียงดังจ๊วบ “ก่อนเข้าป่าก็ต้องขอเจ้าป่าเจ้าเขา ไม่ฉี่ไม่ขี้ไปทั่ว ก่อนจะทำอะไรต้องขอก่อน แม้แต่ตอนกินก็ต้องแบ่งให้เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทางด้วย เหมือนอยู่ในห้องเรียนนั่นแหล่ะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตคุณครู”

    “แบ่งอาหารเหรอ?” พันนาทวนคำ พลันเหตุการณ์บางช่วงบางตอนก็หวนคืนสู่ความทรงจำ

   คืนนั้นดูเหมือนว่าพรานกล้าจะแบ่งอาหารในส่วนของตัวเองใส่ใบตองแล้ววางบนพื้น แต่รชตกลับท้วงอย่างคนอวดดี นั่นหรือเปล่าอาจจะเป็นชนวนเหตุทำให้ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายที่ตามมา

   “ใช่ แต่หน้าที่นี้พี่โหรทำแล้ว” จ้าวจอมยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยเตือน “คืนนี้ระวังตัวให้ดีล่ะ พวกมันน่าจะเฝ้ามองเรามาพักใหญ่แล้ว”

   พันนาหันหน้ากวาดตามองไปรอบๆ ทันที รู้สึกอยากอาหารน้อยลงไปด้วย คำว่า ‘พวกมัน’ ย่อมหมายความว่าไม่ได้มีแค่ไอ้เสือผีตัวนั้นแค่ตัวเดียว มันอาจจะหมายรวมไปถึงกองทัพผีดิบพวกนั้นด้วย

    เมื่อจัดการมื้อเย็นเสร็จ จ้าวจอมก็นั่งขัดสมาธินิ่ง ดวงตากลมใส กวาดมองรอบๆ ความมืดโรยตัวเกือบจะคลอบคลุมทั้งผืนป่าทั้งที่ยังไม่หกโมงเย็นดี อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว

   “ทำไมมันมืดเร็วจัง” พันนาพึมพำ “หนาวด้วย”

   จ้าวจอมไม่ได้ให้คำตอบ เป็นครั้งแรกที่พันนาเห็นว่าเด็กหนุ่มนิ่งขรึมขนาดนี้ ห้างข้างๆ ก็เช่นกัน เงียบสนิทไร้เสียง พันนาเพิ่งสังเกตอีกอย่าง แมลงกลางคืนยังไม่ส่งเสียงร้องทั้งที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว

    พันนาเผลอหลับไป เพราะความมืด ความเงียบและอากาศที่เย็นลง บวกกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน รู้สึกตัวอีกทีตอนที่มีบางอย่างสะกิดที่หัวไหล่

   ชายหนุ่มสะดุ้งตื่น มึนงงในวินาทีแรก แต่เพียงประเดี๋ยวเดียวสติก็หวนคืน กระซิบถามอีกคน “มีอะไรเหรอ”

    จ้าวจอมไม่ได้พูดอะไร แต่ชี้มือไปยังเบื้องล่าง พันนาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืด แม้จะไม่ชัดเจนแต่ก็มองออกว่ามันเป็นตัวอะไร

   “งูหลามเหรอ?”

    คราวนี้จ้าวจอมพยักหน้า งูหลามตัวใหญ่เลื้อยเชื่องช้าอยู่บนพื้น ลำตัวของมันพอๆ กับต้นขาเลยทีเดียว ยาวร่วมห้าเมตรได้ เป็นงูตัวใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เคยเห็นมา

   “งูผีหรือเปล่า” พันนาถามด้วยอดหวั่นใจไม่ได้ แต่จ้าวจอมส่ายหน้าปฏิเสธ

   “งูธรรมดาเนี่ยแหล่ะ มันมาหานกหาหนูกิน คุณอยากทำบุญหรือเปล่าล่ะ” จ้าวจอมถาม ดวงตากลมโตเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ลงไปอุทิศตัวให้มันกินสิ ได้บุญบานโขแน่นอน”

   “เด็กบ้า”

   เด็กบ้าของพันนาไม่ได้ถือสาอะไร กลับหัวเราะเบาๆ นั่งกอดเข่าเพ่งมองงูหลามที่ค่อยๆ เลื้อยผ่านหน้าห้างไป

   “กี่โมงแล้ว”

   “เกือบสี่ทุ่มแล้วละมั้ง” เจ้าถิ่นบอก แม้ไม่มีนาฬิกาก็พอจะเดาเวลาได้จากท้องฟ้าและความเคยชิน

   “ไม่ง่วงเหรอ”

   “ก็มีบ้าง แต่ไม่อยากทิ้งพี่โหรไว้คนเดียว” จ้าวจอมเหลือบไปยังอีกห้าง เห็นไฟดวงเล็กๆ สว่างวาบเป็นระยะ และกลิ่นยาสูบจางๆ ในอากาศ “จะนอนก็ได้นะ”

   “ตื่นเต็มตาแล้วล่ะ” พันนาขยับนั่งขัดสมาธิ คลำหา .357 ของตัวเอง มันยังอยู่ดี ถึงจะเป็นปืนที่ไม่ได้มีอานุภาพเท่ากับไรเฟิลที่ยกให้โหรไป แต่ยามฉุกเฉินมันก็น่าจะช่วยได้ “มีอะไรผิดสังเกตบ้างไหม”

    “ตอนหัวค่ำ เหมือนจะเห็นเงาผู้หญิงแต่แค่กระพริบตาก็หายไปแล้ว” จ้าวจอมบอกเรียบๆ “ไอ้ลุงเวกมันคงส่งสนุมมาแอบส่อง”

   “นายว่าลุงเวกอยู่ตรงไหนของป่า”

   “ไม่รู้สิ” จ้าวจอมตอบ “ถึงจะเคยเดินแทบจะทุกซอกทุกมุมแล้วก็เหอะ แต่ก็มีบางจุดที่ไม่กล้าเข้าไปเหมือนกัน ตาเคยบอกว่าแถวนั้นเสือชุม ถึงจะนานแล้วแต่ก็ยังไม่กล้าไปอยู่ดี แบบว่าฝังใจอ่ะนะ”

    พันนาพยักหน้ารับ เขาเองก็เหมือนกัน ถ้าหากไม่จำเป็นก็จะไม่มาเยือนป่านี้อีกเป็นอันขาด...




*สารภาพว่าแต่งเรื่องนี้ด้วยความยากเย็น ไม่เคยไปผจญภัยที่ไหนเลย อาศัยฟังจากรายการบ้าง อ่านเพชรพระอุมาบ้าง (ซึ่งก็ยังอ่านไม่จบ หมั่นไส้นางเอกซะก่อน 5555) ดังนั้นข้อมูลบางอย่างมันอาจจะไม่แม่นยำนัก อ่านเอาสนุกเนาะ แถมดันแต่งเป็นวายการหาฉากให้จิ้นกันมันยากมาก (นึกออกไหม เราต้องแต่งเรื่องลี้ลับสลับกับหาการจิ้น ยากจุง)*

**รชต อ่านว่า ระ-ชต สารภาพอีกรอบว่าไม่รู้จะหาชื่อเล่นอะไรให้ดี เลยเอาชตละกัน สรุปเลยต้องให้ชื่อ ร-ชต ไป ฮ่าาา**

***เรื่องแต่งจบแล้วนะคะ ส่งให้ สนพ แล้วเรียบร้อย เอาไว้ได้ปกเมื่อไรจะเอามาอวด***

****โปรดติดตามต่อไป****

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ให้อารมณ์เพชรพระอุมา มากๆค่ะ
ลองทนนางเอกไปสักพัก สนุกนะคะ นางก็ดีแหละ แค่จริตหญิงเยอะไปหน่อย

รอลุ้น พันนา จอม โหร กุมภ์ สองคู่ชู้ชื่น ธีมผจญผีดิบนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
ลุ้นมาก กลัวผีโผล่555
แต่งดีมากเลยค่ะ เราชอบภาษานะ ลื่นไหลดี บรรยายแล้วคิดภาพตามได้
จิ้นก้พอน่ารักกรุบๆ กำลังดีกับโทนเรื่อง

ออฟไลน์ Philosophy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ผีมาทั้งฝูงอีกแน่ๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ถ้าบอดเป็นฝ่ายควบคุมตาเวกจริงนี่มันส์เลยนะงานนี้
ลงเรือพันนาเจ้าจอม เย้ๆๆๆ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
รอลุ้นระทึกต่อ ขอบคุณผู้แต่ง ^^

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อ่านพี่โหรแล้วก็คิดถึงพรานรพินทร์เหมือนกันค่ะ คนอะไรทั้งเก่งทั้งหล่อ อาวุธก็เก่งคาถาอาคมก็เก่ง จะว่าไปขอโมเมนต์พี่โหรกับน้องกุมภ์บ้างได้มั้ยค้าา เลิฟคู่นั้นมั่กๆเลย  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด