บ้านสองชั้นขนาดกลางตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลผู้คน เพื่อนบ้านหลังที่ใกล้สุดอยู่ห่างออกไปเกือบสองกิโลเมตร ถนนเส้นหนึ่งตัดผ่านหน้าบ้านไร้รถยนต์สัญจร มีเสาไฟสลัวส่องสว่างพอให้เห็นทางข้างหน้า บรรยากาศเปลี่ยวเงียบงันพาให้ผู้หลงเข้ามาขนลุกชัน ยิ่งขับผ่านหน้าบ้านไร้ผู้อาศัยที่ตั้งอยู่โดดๆ ก็พานให้คิดว่าเป็นบ้านผีสิง รีบเหยียบคันเร่งหนีด้วยความกลัวว่าจะเห็นสิ่งไม่ควรเข้า
แม้บ้านหลังนี้จะไม่ใช่บ้านผีสิงอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่การพยายามออกห่างสถานที่นี่นั้นเป็นสิ่งที่ควรแล้ว หากได้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
รั้วเหล็กหน้าบ้านค่อยๆ เลื่อนเปิดอัตโนมัติ เมื่อเซนเซอร์ตรวจจับได้ว่ารถยนต์ของผู้เป็นนายกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ ไม่นานรถสีดำขลับก็มาถึง เลี้ยวเข้าบ้านจอดสนิทในตำแหน่งประจำ ประตูรั้วเลื่อนกลับมาปิดสนิทดังเดิมพร้อมกับไฟบ้านที่เปิดสว่างขึ้นอัตโนมัติ
ร่างของเจ้าของบ้านเปิดประตูลงจากรถฝั่งคนขับ เดินไปส่วนของที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง นำพาร่างยักษ์ของปีศาจเข้าบ้าน คอยประคองจนถึงโซฟาในห้องนั่งเล่น ให้ปีศาจบาดเจ็บนั่งตรงนั้น แล้วจึงเดินหายไปในส่วนหนึ่งของตัวบ้าน ก่อนกลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผล นั่งลงข้างปีศาจ ลงมือปฐมพยาบาลโดยไม่พูดสิ่งใด
“เจ้าคิดว่าการรักษาแบบมนุษย์มันใช้กับข้าได้อย่างนั้นหรือ” ปีศาจที่มองอยู่เงียบๆ พูดขึ้นเมื่อเห็นเจ้ามนุษย์นำยาชุบใส่สำลีเช็ดรอบปากแผล
“ผมไม่รู้ แล้วต้องทำยังไงถึงจะหาย” มนุษย์หยุดมือ เงยหน้าขึ้นตอบปีศาจก่อนตามด้วยคำถาม
“รู้ไหมว่าข้าเป็นอะไร”
“ปีศาจ”
“แล้วเป็นปีศาจอะไร”
“ไม่รู้” มนุษย์เพียงหนึ่งเดียวตอบพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“หึ ข้าเป็นปีศาจกินวิญญาณ แผลแค่นี้ไม่เท่าไรหรอกถ้าข้าได้กิน เจ้าอยากให้ข้าหายนิ ยอมเป็นอาหารให้ข้าไหมล่ะ” ปีศาจพูดพร้อมมองปฏิกิริยาของมนุษย์ สิ่งที่ได้รับยังคงเป็นสีหน้าเรียบนิ่งดังเดิม ไม่มีท่าทีตกใจหรือวิตกแต่อย่างใด
“คุณไม่กินผมหรอก”
เจ้าของบ้านตอบก่อนก้มหน้าเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้ากล่องตามเดิมเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นไร้ประโยชน์ ประคองร่างยักษ์ลุกยืน พยุงขึ้นบันไดบ้าน พาไปห้องนอนที่อยู่ข้างห้องของตน ค่อยๆ ประคองร่างปีศาจลงนอนบนเตียงกว้าง และเดินออกจากห้องไปโดยไร้ซึ่งคำพูดเช่นเคย ปีศาจกินวิญญาณมองตามหลังมนุษย์ด้วยแววตาสงสัยไม่เข้าใจการกระทำของมนุษย์ผู้นี้
หลังส่งแขกเข้านอนเรียบร้อย เจ้าของบ้านไม่ได้ไปไหนไกล เดินเข้าห้องที่อยู่ข้างกัน วางสัมภาระต่างๆ ที่พกติดตัวประจำลงบนโต๊ะทำงาน แล้วจึงเดินหายไปในห้องน้ำ
สายน้ำหลั่งไหลจากฝักบัวที่ฝังติดกับเพดานด้านบน มนุษย์ยืนนิ่งปล่อยให้น้ำไหลผ่านตัว ในใจยังคงคิดวกวนถึงคำพูดของปีศาจ
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่เสียงของน้ำไหลจึงหยุดลง ตามมาด้วยร่างของเจ้าของบ้านในชุดคลุมอาบน้ำ เดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน หยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาคนที่นึกถึง
[ฮัลโหล]
“อยากได้ของที่ใช้เก็บวิญญาณได้” ไม่คิดจะทักทายตอบ สวนกลับด้วยเหตุผลที่โทรหาทันที
[ฮะ? เอ่อ..นี่เล่นตลกอะไรหรือเปล่าครับคุณ ของแบบนั้นมันมีที่ไหน แล้วนี้คุณเป็นใคร? โทรมาก่อกวนดึกดื่นแบบนี้ ผมแจ้งความนะคุณ]
“โนอาร์”
ปลายสายได้ฟังเสียงบอกชื่อเรียบเรื่อยถึงกับเงียบหายไป ก่อนจะตามด้วยเสียงโครมครามชุดใหญ่และเสียงดังตอบกลับที่แทบเรียกได้ว่าเสียงตะโกน
[โนอาร์!!!! ไม่อยากจะเชื่อว่านายจะโทรหาฉัน ให้เบอร์แล้วก็เงียบหายไปเลยนึกว่าเอาไปทิ้งแล้วซะอีก เบอร์นี้ของนายเหรอ ต้องรีบเม็มไว้แล้ว $%^%%#$#$!#$^]
เสียงพูดตื่นเต้นของปลายสายพร้อมคำบ่นมากมายที่ฟังแทบไม่ทัน เริ่มทำให้คิ้วของคู่สนทนาผู้รับฟังขมวดเข้าหากันทีละน้อย
“รำคาญ”
[อะ.. โทษที ดีใจไปหน่อย ว่าแต่โทรมาเรื่องอะไรนะ อ้อ! ที่เก็บวิญญาณ จะเอาไปทำอะไรเหรอ?]
“...”
ปลายสายพูดเองเออเองก่อนถามถึงเหตุผลของการใช้สิ่งนั้น เสียงตอบกลับคือเสียงของความเงียบ ทำให้คู่สนทนารู้ตัวว่าตนกำลังยุ่งเรื่องของอีกฝ่ายมากไป เลยรีบเปลี่ยนคำถามใหม่เพื่อให้การพูดคุยสามารถดำเนินต่อได้
[เอ่อ..แล้วจะเก็บวิญญาณของคนเป็นหรือคนตายเหรอ? ที่ถามเพราะมันใช้คนละชนิดกันน่ะ จะได้แนะนำได้ถูก]
“คนเป็น”
[ที่เก็บวิญญาณของคนเป็น เป็นแบบหลอดแก้วมีน้ำเป็นสื่อนำอยู่ในตัวหลอด เวลาใช้ให้เป้าหมายสัมผัสกับน้ำนั้นโดยตรง จะด้วยวิธีกินหรือหยดใส่ก็ได้ แต่อย่าใช้หมดนะ ไม่งั้นวิญญาณจะไม่ถูกดึงเก็บเข้าหลอดเพราะไม่มีตัวสื่อ อ้อ เป้าหมายที่โดนต้องวิญญาณออกจากร่างภายในหนึ่งวันหลังโดนน้ำสื่อนำนะ ส่วนวิธีการเอาวิญญาณออกจากร่างนายคงรู้ดีอยู่แล้ว ฉันคงไม่ต้องแนะนำ]
“ทั้งหมดเท่าไร”
[ทั้งชุดก็หลอดละห้าแสน]
ดูเหมือนคนขายจะไม่เข้าใจคำถาม ลูกค้าจึงถามใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เน้นหนักกว่าเดิม
“ทั้ง หมด เท่าไร”
[ทั้งหมด? จะเอาทั้งหมดเลยเหรอ!! แป๊บนะ เดี๋ยวขอนับของก่อน อย่าเพิ่งวางสายนะ!]
เสียงโครมครามชุดใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง ปลายสายได้ยินเสียงแว่วนับจำนวนเบาๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงกุกกักตามด้วยเสียงแจ้งจำนวนของ
[ตอนนี้มี 5 ลัง ลังละ 12 หลอด ทั้งหมดก็ 30 ล้าน ฉันลดให้เหลือ 25 ล้านเลย สำหรับลูกค้ารายใหญ่]
“ไม่จำเป็น เที่ยงพรุ่งนี้เอาของมาให้ที่XXX ตรวจของเรียบร้อยจะโอนเงินให้ และถ้าของมาใหม่ ก็โทรมาบอก”
[โอเคๆ พรุ่งนี้เจอกัน]
กดตัดสายทันทีโดยไม่เอ่ยลา วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะตามเดิม ทิ้งตัวลงที่นอนหลับตา เพียงครู่เดียวก็ลืมตาตื่นเด้งตัวออกจากห้องไปทันที เมื่อนึกขึ้นได้ถึงสิ่งสำคัญที่ลืมไป
ร่างเจ้าของบ้านหยุดอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ เตรียมจะเปิดประตูเข้าไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ เนื่องด้วยเห็นว่าตอนนี้ดึกมากแล้วจะเป็นการรบกวนเสียเปล่า เลยเปลี่ยนเป้าหมายจากปีศาจข้างในเป็นประตูหน้าห้องแทน
“ราตรีสวัสดิ์”
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่มาเยือน ปีศาจกินวิญญาณลุกขึ้นจากที่นอน แผลตอนนี้ไม่มีเลือดออกแล้วแต่ยังคงเจ็บอยู่ทุกครั้งที่ขยับตัว ที่บาดเจ็บถึงขนาดนี้ก็ยอมรับส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาประมาทคู่ต่อสู้มากเกินไป อีกทั้งยุคสมัยนี้นักล่าปีศาจเลือกกำจัดเฉพาะปีศาจร้าย ไม่ได้สักแต่ฆ่าเหมือนในอดีต และเขาก็ไม่ได้ทำร้ายใคร ทำตัวกลมกลืนกับพวกมนุษย์ตามปกติ ไม่คิดว่าจะถูกเล่นงานเช่นนี้
ครั้งที่ต่อสู้ เขาพยายามถามถึงเหตุผลระหว่างการปะทะก็ไร้ซึ่งคำตอบ จนตัวเองพลาดท่าถูกเล่นงานหนัก ต้องหนีหลบเข้าไปอยู่ในป่า และได้เจอกับมนุษย์ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายแต่การกระทำนั้นแตกต่างในที่สุด
คงเป็นพวกมือใหม่ร้อนวิชา แต่ถ้ามีครั้งหน้าคงไม่เอาไว้เหมือนกัน คิดเช่นนั้นก่อนค่อยๆ เดินพาร่างกายที่ยังไม่หายดีออกจากห้องไป
ลงมาชั้นล่างก็พบเจ้าของบ้านกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ในครัว กลิ่นอาหารลอยฟุ้งเข้าจมูกปีศาจ ยืนนิ่งจับสังเกตมนุษย์ตรงหน้า ไม่นานเจ้ามนุษย์ก็รู้สึกตัว หันกลับมามองปีศาจ แล้วจึงเอ่ยประโยคแรกของวันที่ทำให้ปีศาจกินวิญญาณถึงกับขมวดคิ้ว
“อรุณสวัสดิ์”
“นี่เจ้าตกลงเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่ กลิ่นอายจากตัวเจ้ามีแต่ความชั่วร้ายไร้ความบริสุทธิ์เจือปน แต่สิ่งที่เจ้าแสดงต่อข้า... มันต่างออกไป”
คนฟังยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นก่อนตอบคำถาม
“ผมเป็นคนดี.. แค่กับคุณ”
“นอกจากวิญญาณแล้ว คุณกินอะไรได้อีกบ้าง อาหารมนุษย์กินได้ไหม”
ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายถามต่อ มนุษย์หนึ่งเดียวในบ้านถามพลางหันกลับไปทำส่วนที่ค้างไว้หน้าเตา ปีศาจเห็นเช่นนั้นก็เก็บความสงสัยไม่ซักไซ้ต่อ ตอบคำถามของมนุษย์เมื่อครู่นี้
นอกจากวิญญาณ เขาสามารถกินอาหารของมนุษย์ได้ ปกติเขากินอาหารมนุษย์เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็มีบางช่วงที่ร่างกายต้องการอาหารแบบปีศาจ เขาจึงจำเป็นต้องออกล่าหรือจับวิญญาณเร่ร่อนกินบ้าง
พูดถึงเรื่องออกล่า เขาเลือกจัดการเฉพาะคนบาปที่มีกลิ่นอายชั่วร้าย พวกคนดีหรือคนธรรมดามีกลิ่นอายบริสุทธิ์เขาไม่เคยฆ่ากินเลยสักครั้ง พานรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อนึกถึงการถูกเล่นงานไม่ต่างจากพวกปีศาจเลว ยิ่งมองภาพมนุษย์ที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นมากที่สุดที่เคยเจอมากำลังหันซ้ายหันขวาหยิบจับอุปกรณ์ทำครัวปรุงอาหาร ยิ่งไม่เข้าใจ
สุดท้ายเลยดับความคิดมากมายในหัวด้วยการไปนั่งรอมนุษย์เอาอาหารมาเสิร์ฟตรงโต๊ะกินข้าว
แฮมเบคอนไข่ดาวและขนมปังปิ้ง เป็นอาหารเช้าสำหรับหนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบงันไร้บทสนทนา ต่างฝ่ายต่างนั่งกินของตัวเอง ความจริงไม่ใช่สักทีเดียว ที่ถูกคือหนึ่งกินอาหารของตัวเองส่วนอีกหนึ่งคอยแอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“มีอะไร?” ปีศาจเอ่ยถามหลังจากทนอยู่เฉยให้มนุษย์ที่นั่งตรงข้ามลอบมองสักพักใหญ่
“อร่อยไหม”
“ก็ไม่แย่”
คำตอบจากปีศาจเรียกรอยยิ้มมุมปากให้กับมนุษย์หนึ่งเดียวในบ้าน ก่อนก้มหน้ากินต่อโดยไม่แอบมองอีก
“วันนี้ผมออกไปทำงานข้างนอก อาหารผมทำไว้ให้แล้วในตู้เย็น หรือจะทำเองก็ใช้อุปกรณ์ได้เลยตามสะดวก อยู่ว่างๆ จะเปิดโทรทัศน์หรือเล่นคอมแก้เบื่อก็ได้ โน้ตบุ๊กอยู่ในห้องผม รหัสคือXXXXXX ผมจะกลับไม่เกินเที่ยงคืน”
เจ้าของบ้านพูดกับปีศาจกินวิญญาณก่อนขับรถออกไป ทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพังในบ้านที่มีทรัพย์สินมากมายอย่างไม่กลัวถูกขโมย เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน มนุษย์นั่นไว้ใจเขาถึงขั้นกล้าบอกรหัสโน้ตบุ๊กส่วนตัวเช่นนี้เลยหรือ
ความรู้สึกสับสนไม่เข้าใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังมองส่งมนุษย์ออกไปทำงาน ปีศาจจึงเริ่มลงมือสำรวจบ้าน เผื่อจะพบเจอสิ่งใดช่วยคลายความสงสัยได้บ้าง
ขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายเมื่อคืน เมื่อไปถึงพบว่าอีกฝ่ายมารออยู่ก่อนแล้ว หลังลงจากรถ ผู้ซื้อถามถึงของที่สั่งไว้ทันที ฝ่ายคนขายนำทางไปส่วนกระโปรงหลังของตัวรถ ในนั้นมีกล่องสีดำเรียบไม่มีเครื่องหมายใดๆ บ่งบอกถึงผู้ผลิต สุ่มเปิดหนึ่งกล่อง หยิบหลอดแก้วขึ้นมาพิจารณา
ตัวหลอดแก้วคล้ายคลึงกับหลอดทดลองที่มักเห็นในห้องแล็บวิทยาศาสตร์ มีจุกไม้อุดกันของเหลวสีใสที่บรรจุอยู่ภายในประมาณครึ่งหลอดไหลหกออกมา หน้าตาโดยรวมเหมือนหลอดแก้วใส่น้ำไร้ราคา แต่หากรู้มูลค่าจริงๆ คนทั่วไปได้หาว่าโง่โดนหลอกขายเป็นแน่ ซึ่งนั่นไม่ใช่กับเขา และเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้าหลอกขายแน่นอน
“จะรู้ได้ยังไงว่าวิญญาณเข้ามาในนี้แล้ว” ถามคนขายโดยสายตาไม่ละออกจากหลอดแก้วในมือ
“น้ำที่เหลือในหลอดจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ถ้าหากเปิดจุกออกแล้วน้ำเปลี่ยนเป็นสีดำแสดงว่าวิญญาณออกไปแล้ว”
“อืม”
เมื่อได้รับคำตอบผู้ซื้อเก็บหลอดในมือใส่กระเป๋าเสื้อ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่าง สักพักเกิดเสียงแจ้งเตือนขึ้นที่มือถือของคนขาย เป็นข้อความบอกยอดเงินโอนเข้าจำนวนแปดหลัก คนรับเงินยิ้มหน้าบาน รีบขนสินค้าทั้งหมดไปไว้กระโปรงหลังของรถอีกคันตามคำสั่งของผู้ซื้อ
หลังเสร็จสิ้นธุระซื้อขาย เขาขับรถไปยังสถานที่นัดหมายถัดไป เมื่อไปถึงก็พบลูกค้าของตนกำลังนั่งรออยู่แล้วเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้ สำหรับเขาไม่ว่าเรื่องอะไร ฝ่ายเฝ้ารอย่อมไม่ใช่เขา หากมาถึงแล้วไม่พบคนที่นัดเจอ เขาจะกลับทันที และคิดวิธีจัดการกับผู้ผิดนัดภายหลัง
ถ้าเป็นลูกค้าคงแค่ปฏิเสธการรับงานอีก แต่ถ้าเป็นนัดเจรจาแบบเมื่อครู่ มีให้เลือกสองทางว่าจะให้ของเขาฟรีๆ หรือจะกลายเป็นของเล่นเขาแทน
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทักทายเมื่อคนที่ตนเฝ้ารอมาถึงแล้ว
“สวัสดีครับ ต้องการให้จัดงานแบบไหนครับ” เขาตอบรับคำทักทาย ก่อนเอ่ยถามเข้าประเด็นทันที
“เอาแบบให้ทุกคนรู้ไปเลยค่ะ”
“แบบเซอร์ไพรส์นะครับ แล้วคุณลูกค้าต้องการให้สถานที่จัดงานเป็นที่ไหนดีครับ”
“เรื่องสถานที่เอาตามคุณเห็นสมควรดีกว่าค่ะ”
“ครับ แล้วต้องการให้จัดงานวันไหนครับ”
“สิ้นเดือนนี้ค่ะ”
“ต้องการฝากของให้ผู้รับไหมครับ”
“เป็นคำพูดได้ไหมคะ ฉันอยากฝากว่า ‘หลับให้สบายนะจ๊ะ นาง ตัว ดี’ อุ้ย ขอโทษที่หยาบคายนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอสรุปตามนี้นะครับ จัดงานแบบเซอร์ไพรส์ให้คุณใหม่ ในวันสุดท้ายของเดือนนี้ ไม่กำหนดสถานที่ ของฝากคือข้อความเมื่อครู่นี้ ผมขอเขียนใส่กระดาษให้แทนการพูดต่อหน้านะครับ มีอะไรแก้ไขหรือเพิ่มเติมไหมครับ”
“ไม่มีค่ะ”
“ค่าตอบแทนรบกวนโอนก่อนวัน-”
ยังไม่ทันพูดจบ เกิดเสียงแจ้งเตือนจากมือถือในกระเป๋ากางเกง หยิบขึ้นมาเช็กพบว่าเป็นข้อความแจ้งเงินเข้า ที่แปลกคือยอดเงินมากกว่าที่ตกลงกันไว้
สัมผัสจากมืออีกข้างที่วางอยู่บนโต๊ะ เรียกสายตาให้ผู้รับงานเงยหน้าขึ้นมามอง หญิงสาวยิ้มหวานพลางใช้นิ้วลูบวนที่หลังมือของเขา นัยน์ตาหวานส่งสายตาเชิญชวน
“โอนเงินให้เร็วขนาดนี้ แถมให้ทิปเพิ่มอีก จะเป็นอะไรไหมคะ ถ้าขอรบกวนให้คุณไปส่งฉันที่คอนโด”
“แน่ใจนะครับที่ขอแบบนี้ คงไม่ลืมนะครับว่าผมทำอะไร”
“แน่ใจสิคะ ฉันถูกใจตั้งแต่ที่คุณก้าวเข้ามาในร้านแล้วล่ะค่ะ คุณ นัก ฆ่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน ก่อนเอ่ยตอบรับคำเชื้อเชิญ
“ตกลงรับงานครับ”
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถยนต์สีดำขลับเคลื่อนตัวออกจากคอนโดหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ขับตรงไปยังสถานบันเทิงขึ้นชื่อในย่านนี้
กำหนดการเดิมคือ การไปรับของแล้วต่อด้วยการเจรจากับลูกค้า หลังจากนั้นก็รอจนถึงช่วงค่ำ เพื่อจัดงานตามที่ตกลงกับลูกค้าคนก่อน ช่วงน่าเบื่อระหว่างรอเวลากลับถูกแทรกด้วยกิจกรรมพิเศษ พอทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
ใช้เวลาไม่นาน รถยนต์ก็จอดสนิทในส่วนพื้นที่สำหรับลูกค้าที่แวะเวียนมาใช้บริการ นั่งรออยู่ในรถเงียบๆ ผ่านไปสักพักใหญ่ ชายหนุ่มในชุดเสื้อสีกรมซึ่งเป็นเจ้าภาพงานของเขาก็ปรากฏกาย เดินคลอเคลียสาวเข้ามาในลานจอดรถ
ช่วงเวลาเหมือนเป็นใจ บริเวณนี้มีเพียงเจ้าภาพและหญิงสาวที่เดินมาคู่กัน เขาลงจากรถพร้อมผ้าเช็ดหน้าในมือ เดินตรงไปหาคนคู่นั้นจากทางด้านหลัง ใช้สันมือสับลงบริเวณท้ายทอยหญิงสาว ส่งผลให้ร่างล้มลงหมดสติในทันที ฝ่ายชายหันมาถูกผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก ปิดปากไม่ทันได้ส่งเสียง สักพักร่างของชายหนุ่มก็สิ้นฤทธิ์ ก่อนจะถูกนำร่างขึ้นรถสีดำแล้วขับหายไป
เมื่อฟื้นคืนสติ คนถูกลักพาตัวพบว่าตนอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย มือและเท้าทั้งซ้ายขวาถูกเชือกขึงตึง ตัวชิดกับกำแพงไม่สามารถขยับได้ มีแสงจากหลอดไฟด้านบนคอยให้ความสว่าง ลองมองไปโดยรอบจึงรู้ว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นโกดังเก่าแห่งหนึ่ง
“ตึก ตึก ตึก” เสียงย้ำเท้าของใครบางคนใกล้เข้ามา เกิดเป็นเงาเลือนรางก่อนปรากฏเป็นร่างชายที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสติจางหาย
“มึงเป็นใคร! จับกูมาต้องการอะไร!!” คนถูกขึงตะคอกใส่ชายตรงหน้า แต่ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ มีเพียงใบหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
“ตุ้บ! เคร้ง..” เสียงของถุงบรรจุบางอย่างหล่นกระแทกพื้นเมื่อเจ้าของปล่อยมือ แรงสะเทือนส่งผลให้บางส่วนของวัตถุภายในถุงโผล่ออกมาส่องประกายล้อกับแสงภายนอก
“มะ.. มะ มึงจะทำอะไรกู”
เมื่อเห็นสิ่งของภายในถุง พานทำให้คนปากกล้าเมื่อครู่หน้าถอดสี แววตาตื่นตระหนก ร่างกายเริ่มสั่นสู้ความหวาดกลัว ปฏิกิริยาเหล่านี้ค่อยๆ ทำให้หัวใจของผู้ที่ถูกเรียกว่านักฆ่าเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“มีคนว่าจ้างให้ผมจัดงานให้คุณครับ”
“งาน งานอะไร?”
“งานฉลองส่งคุณไปโลกหลังความตาย”
“ไอ้เหี้ย!!! ปล่อยกู!! ไอสัด!!”
เมื่อได้ยินคำตอบ ร่างที่ถูกขึงพลันดิ้นหนีสุดแรงพร้อมส่งเสียงร้องด่าทอต่างๆ นานา ผู้เฝ้ามองไม่สนใจ ก้มลงหยิบของบางอย่างในถุง
สิ่งที่ติดมือมาคือค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ ส่งผลให้เสียงร้องและแรงดิ้นยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าตัว ข้อมือและข้อเท้าเริ่มถลอกอันเนื่องจากแรงเสียดสีกับเส้นเชือก
ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้ ทำให้สองหัวใจเต้นระรัว ดวงหนึ่งเต้นด้วยความระทึก ส่วนอีกดวงหนึ่งสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น ด้ามค้อนในสองมือถูกกำแน่น ก่อนยกเหวี่ยงฟาดใส่ขาด้านขวาของเหยื่ออย่างไร้ความปรานี
“อ๊ากกกกกกก!!!!!!”
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับเลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นติดกำแพง ไม่อาจทำให้คนถือค้อนหยุดมือได้ เสียงทุบผสมเสียงร้องดิ้นพล่าน น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินนองหน้า คำพูดด่าทอในตอนแรก บัดนี้เหลือเพียงคำขอร้องอ้อนวอนให้ชายตรงหน้าเมตตาตน
โชคร้าย... กว่าคำอ้อนวอนจะส่งไปถึงคนตรงหน้า ขาด้านขวาของเขาก็แหลกละเอียดไม่เหลือเค้าโครงเดิมเสียแล้ว
“ฮึก... ฮึก.. ฮืออ มะ มึงปล่อยกูเถอะ กุ กูยอมแล้ว ยอมทุกอย่าง แฮ่ก.. แฮ่ก.. มึงอยากได้อะไรมึงบอกกูมาเลย กูสัญญาจะหามาให้”
“ไม่จำเป็น” ผู้ลงทัณฑ์ปล่อยค้อนทิ้งลงพื้น ก่อนจะเดินกลับไปรื้อค้นหาอะไรบางอย่างในถุง
“มึง มึงบอกมีคนจ้างมึงมาใช่ไหม มันให้เท่าไร กูให้ได้มากกว่านั้นอีก ขอแค่มึงปล่อยกู กูจะเอาเงินมาให้ แล้วไม่เอาผิดมึงเลย”
คนถูกทำร้ายพยายามรวบรวมสติ ข่มความเจ็บปวด ควบคุมน้ำเสียงเพื่อให้ถ้อยคำที่เปล่งออกมาฟังชัดที่สุด เอ่ยเจรจาต่อรองขอชีวิตต่อคนเบื้องหน้า
เป็นอีกครั้งที่เสียงดูเหมือนจะไม่ไปถึงคนใจบาป เมื่อเขาเดินกลับมาพร้อมกับมีดเงาวาวสะท้อนภาพใบหน้าซีดเผือดของผู้ร้องขอ
“มึง มึง กุ กูมีเงินจ่ายมึงจริงๆ นะ มึงเชื่อกูสิ กูรู้ว่ามึงรู้ว่ากูเป็นลูกใคร กูพูดจริงไม่ได้หลอกมึงนะ มึง! มึง!! อย่า!! กูขอร้อง!! ยะ อย่า... อ๊ากกกก!!!!”
ถ้อยคำวิงวอนเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องทรมานอีกครั้ง เมื่อปลายมีดแหลมแทรกลึกลงบริเวณข้อมือซ้ายที่โผล่พ้นมัดเชือกที่ตรึงแขน คมมีดค่อยๆ ลากกรีดไปเป็นทางยาวจนไปถึงแผ่นอก เลือดไหลทะลักชุ่มเสื้อเชิ้ตสีกรมไปซีกหนึ่ง บางส่วนไหลลงมาตามกำแพงผสมรวมกับกองเลือดจากขาข้างขวาบนพื้น
ผู้เคราะห์ร้ายหายใจรวยริน ไร้แรงต่อต้าน ภายในใจเหลือเพียงคำขอให้หลุดพ้นจากความทรมานนี้เสียที
“ตุ้บ!”
ร่างบอบช้ำร่วงกระแทกพื้นเนื่องจากเชือกที่ใช้พันธนาการถูกตัดขาด พยายามเงยหน้าขึ้นมองผู้กระทำด้วยสายตาอ่อนล้า
“ผมจะปล่อยคุณ ถ้าคุณดื่มหมดแก้วนี้”
คนใจบาปกระชากคอเสื้อให้คนหมดหนทางนั่งพิงกำแพงสีโลหิต ยื่นแก้วใบหนึ่งบรรจุของเหลวข้นหนืดสีเดียวกับกำแพงมาให้ ก่อนเอ่ยเสนอทางออกราวกับรู้สึกเห็นใจเมตตาคนตรงหน้า
“ไม่ต้องสงสัย นี่เลือดของคุณเอง ดื่มสิ แล้วจะเป็นอิสระ” พูดดักอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร
“..สะ.. สัญญานะ...”
“ผมไม่เคยโกหก”
เมื่อได้ยินดังนั้น มีหรือจะไม่คว้าโอกาสไว้ ค่อยๆ ใช้มือสั่นเทาอีกข้างที่ไม่บาดเจ็บรับแก้วจากมือผู้ปรานี จำใจยกขึ้นดื่ม กลิ่นคาวเลือดประกอบกับรสชาติน่าสะอิดสะเอียนชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ แต่ก็ต้องกั้นใจดื่มต่อไป จวบจนหมดแก้วเป็นเวลาพอดีกับที่ร่างกายรับไม่ไหว อาเจียนทุกสิ่งอย่างออกมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มมึนเมาที่กินเข้าไปก่อนหน้า หรือแม้กระทั้งสิ่งที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่นี้
รีบเงยหน้ามองเจ้าของแก้ว พยายามอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตนไม่ได้ตั้งใจ ร้องขอโอกาสใหม่อีกครั้งพร้อมกับแก้วเปล่าที่ยื่นส่งให้ แต่เหมือนแสงแห่งความหวังริบหรี่ลงเรื่อยๆ เมื่อคนตรงหน้าลุกขึ้นหันกลับไปโดยไม่รับแก้วคืน
“ปึก!” เสียงไม้ค้ำยันถูกโยนมาข้างตัวผู้พยายามร้องขอโอกาส
“ออกไป ผมปล่อยตามสัญญา จะรอดหรือตายข้างทางก็เรื่องของคุณ”
พูดจบคนใจดีก็เดินไปนั่งเก้าอี้ตรงมุมหนึ่งที่เพิ่งสังเกตว่ามีอยู่ หยิบหลอดทดลองจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาพลิกไปมาไม่สนใจเขาอีก คนรอดตายรีบใช้แรงทั้งหมดที่มีพยุงร่างขึ้น ค่อยๆ พาร่างกายบาดเจ็บสาหัสไปที่ประตูทางออกของโกดัง รอยเลือดจากเศษซากขาขวาไหลลากเป็นทางยาว
จนถึงประตูทางออกที่ปิดสนิทอยู่ พิงไม้ค้ำยันกับประตูด้านหนึ่ง ก่อนพยายามเค้นแรงดันประตูให้เลื่อนออก
“เอี๊ยด...”
เมื่อประตูเลื่อนออก ส่งผลให้กับดักหน้าประตูทำงาน เคียวที่ติดตั้งอยู่ส่วนบนของประตู ดีดตัวเหวี่ยงเข้ามาในโกดังอย่างรวดเร็วด้วยแรงจากสปริงขนาดใหญ่
“ฉัวะ!!!”
ปลายเคียวแหลมเสียบแทงทะลุศีรษะ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นทั่วบริเวณ เหยื่อผู้น่าสงสารสิ้นใจในทันที ทิ้งร่างไร้วิญญาณให้ห้อยอยู่กับเคียวที่รั้งส่วนหัวไว้
“ผมบอกแล้วนะว่าจะรอดหรือตายข้างทางก็เรื่องของคุณ”
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดขึ้นลอยๆ โดยไม่เหลียวมองสิ่งที่เกิดขึ้น ของเหลวใสในหลอดแก้วค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้าตามคำบอกเล่า เก็บหลอดแก้วนั้นใส่กระเป๋าเสื้อตามเดิม ก่อนลุกขึ้นเก็บของกำจัดหลักฐานเตรียมกลับบ้านไปหาปีศาจที่นึกถึง
รถยนต์สีดำขลับแล่นเข้าจอดในบ้านก่อนเที่ยงคืนประมาณห้านาที หนึ่งมนุษย์ลงจากรถเดินเข้าบ้าน พบปีศาจนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ยอมนอน พานให้หัวใจเต้นในจังหวะต่างออกไป ช่วงจังหวะนี้มีเพียงปีศาจตรงหน้าเท่านั้นที่ทำได้
“ทำไมยังไม่นอน” มนุษย์ถามพลางเดินเข้าไปหา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ปีศาจ
ปีศาจกินวิญญาณไม่ตอบ ยังคงนิ่งเงียบมองมนุษย์ตรงหน้า คิ้วเข้มของปีศาจเริ่มขมวดแน่น เมื่อมนุษย์หยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“วิญญาณมนุษย์ เจ้าเอามาจากไหน?”
เอ่ยถามเจ้าของหลอดแก้วสองหลอดที่ยื่นส่งมาให้ แต่ละหลอดบรรจุวิญญาณอยู่หนึ่งดวง ดวงหนึ่งเป็นเพศหญิงแผ่กลิ่นอายชั่วร้าย แต่ไม่เข้มข้นเท่ามนุษย์ที่นั่งอยู่ข้างตัว ส่วนอีกหนึ่งเป็นของเพศชาย แม้จะมีกลิ่นอายชั่วร้ายเช่นเดียวกัน แต่ก็มีกลิ่นของความบริสุทธิ์ชัดมากกว่า แสดงให้เห็นว่าเจ้าของดวงวิญญาณนี้ในช่วงที่มีชีวิตอยู่นั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป หาใช่คนชั่วร้ายจิตใจดำมืด
“นี่เจ้า... เป็นนักฆ่าใช่ไหม? โนอาร์”
ข้อสันนิฐานพลันเกิดขึ้น เมื่อนำสิ่งที่มนุษย์หามาให้ผสมรวมกับอีเมลจ้างวานในโน้ตบุ๊ก ในนั้นระบุรายละเอียดเป้าหมายพร้อมเสนอราคาค่าหัว ทุกฉบับกล่าวถึงชื่อผู้รับคนเดียวกัน ทำให้ปีศาจกินวิญญาณรู้ว่ามนุษย์ตรงหน้านี้ชื่ออะไร
เจ้าของบ้านไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อยที่ถูกสืบประวัติ กลับดีใจเสียอีกที่ปีศาจใส่ใจอยากรู้เรื่องของตน คะยั้นคะยอให้ปีศาจรับดวงวิญญาณไป แล้วจะตอบคำถามทุกอย่าง
ฝ่ายปีศาจยอมรับข้อเสนอ เปิดจุกหลอดแก้วออก จับดวงวิญญาณทั้งสองส่งเข้าปากแล้วกลืนหายไป มนุษย์ที่ไม่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ อาศัยมองของเหลวในหลอดแก้วเปลี่ยนเป็นสีดำ บวกกับลูกกระเดือกตรงลำคอแกร่งเคลื่อนไหว พานให้อนุมานว่าปีศาจตรงหน้ารับวิญญาณที่หาให้ไปแล้ว
รอยยิ้มมุมปากจึงปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าของมนุษย์หนึ่งเดียวในบ้าน
“คนส่วนมากมักเรียกผมว่านักฆ่า นักฆ่าคือคนที่รับจ้างกำจัดคนตามใบสั่ง แต่สำหรับผมการรับจ้างเป็นแค่งานอดิเรก ผมฆ่าได้ทุกคนถ้าพอใจ แม้คนคนนั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวผมเลยก็ตาม เลยคิดว่าคำนิยามถึงตัวผมควรเป็นฆาตกรมากกว่า”
“ส่วนเรื่องวิญญาณเป็นผลพลอยได้จากสิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว ดวงหนึ่งมาจากงานวันนี้ ส่วนอีกดวงเป็นของผู้ว่าจ้างผมเอง ตามจริงผมไม่คิดจะฆ่าหรอก ถ้าหล่อนไม่เชิญชวนให้ผมไปนอนด้วย แน่นอนผมไม่ได้นอนกับเธอนะครับ แค่ไปจัดการเอาวิญญาณมาให้คุณเท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินคำตอบไขข้อสงสัยทั้งหมด ปีศาจไม่แปลกใจเลยทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงมีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งค้างคาใจ
“ทำไมถึงไม่ฆ่าข้าเหมือนอย่างที่เจ้าชอบล่ะ”
“ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมรักคุณ คุณมีค่ามากกว่าจะมาเป็นของเล่นของผม”
“...”
“คุณถามผมเยอะแล้ว ผมขอถามเรื่องของคุณบ้าง เริ่มด้วยอย่างแรก...”
“...”
“คุณชื่ออะไร?”
บท1 สมบูรณ์