ช่วงนี้เหล่าคนงานสวนรฦกวัลย์มักเห็นภาพนายใหญ่ลงสวนด้วยตัวเองบ่อยครั้งจนเริ่มชินตา โดยข้างกายของผู้เป็นนายจะมีชายคนหนึ่งคอยดูแลปรนนิบัติพัดวีเสมอ แน่นอนไม่ใช่ใครอื่น โนอาร์ว่าที่คนรักของนายใหญ่ แต่จากที่กลุ่มคนงานแอบลอบสังเกตอยู่ตลอดหลายสัปดาห์ สุดท้ายก็ต่างลงความเห็นกันว่าบัดนี้โนอาร์อาจไม่ใช่แค่ว่าที่ แต่ได้กลายเป็นคนรักเต็มตัวของนายใหญ่เจ้าของสวนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ตัวติดกันขนาดนี้
ถึงพักหลังนายใหญ่จะเข้าสำนักงานน้อยลงก็ไม่ได้ทำให้งานเอกสารหรือการเซ็นอนุมัติล่าช้า เพราะเจ้าตัวจะนำแฟ้มเอกสารเหล่านั้นกลับไปอ่านและเซ็นให้ที่บ้านพักทรงไทยประยุกต์ ก่อนนำกลับมาให้ในวันรุ่งขึ้น แม้บางครั้งจะมีเอกสารด่วนที่ต้องอนุมัติภายในวันนั้น นายใหญ่ก็ไม่วายพาโนอาร์เข้าสำนักงานไปด้วย โดยอ้างว่าโนอาร์เป็นคนละเอียดสามารถช่วยตรวจทานเอกสารได้ ทว่าเหล่าคนงานต่างคิดว่านั่นเป็นเพียงแค่คำอ้าง ความจริงแล้วนายใหญ่อยากเห็นคนรักอยู่ในสายตาเสมอมากกว่า
“เดี๋ยวนี้คุณเอทอสไม่ห่างคุณโนอาร์เลยนะคะ” สาวคนงานคนหนึ่งเอ่ยแซวนายใหญ่ที่วันนี้ก็ลงมาดูแลสวนกล้วยไม้ด้วยตนเอง
“ข้าวใหม่ปลามันก็แบบนี้แหละ ช่วงนี้ก็จะหวง ๆ หน่อยใช่ไหมนายน้อย”
ลุงสมัยเป็นผู้ตอบก่อนจะหันไปเย้าเจ้าของสวน ซึ่งเอทอสก็ไม่ได้บอกปัดหรือพยายามแก้ต่างราวกับยอมรับว่าเป็นความจริง ส่งผลให้บนใบหน้าที่มักเรียบนิ่งของโนอาร์ตอนนี้กลับปรากฏรอยยิ้มมุมปาก พร้อมนัยน์ตารัตติกาลที่ดูสดใสคล้ายมีหมู่ดาวกำลังทอประกายอยู่ในนั้น
“ดีใจ?”
เอทอสที่เห็นมนุษย์ข้างกายดูจะชื่นชอบคำยอของเหล่าคนงานจึงอดไม่ได้ที่จะถาม ซึ่งคำตอบที่ได้รับหาใช่คำพูด แต่เป็นดวงตาคู่งามสีรัตติกาลส่องประกายด้วยความสุขในแบบที่ปีศาจไม่เคยเห็นมาก่อน และนั่นถึงกับทำให้ปีศาจนิ่งงันไปจังหวะหนึ่ง ก่อนที่นัยน์ตาสีอำพันติดดุจะดูอ่อนลงเจือด้วยความเอ็นดูในส่วนลึก
ความอ่อนโยนที่นายใหญ่เผลอแสดงออกโดยไม่รู้ตัวขณะกำลังสบตากับคนรัก ล้วนอยู่ในสายตาเหล่าคนงานโดยรอบ กลุ่มสาวคนงานภายในใจต่างอยากกรี๊ดดัง ๆ เพื่อระบายความเก้อเขินต่อภาพเบื้องหน้า ทว่าในความจริงกลับทำได้เพียงลอบยิ้มเท่านั้นเพราะกลัวจะขัดบรรยากาศ ส่วนกลุ่มคนงานชายรวมถึงลุงสมัยก็ถึงกับอึ้งค้างไป เพราะไม่เคยเห็นมุมนี้ของนายใหญ่
หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง ลุงสมัยที่ได้สติจึงพูดเอ่ยขัดเปลี่ยนหัวข้อ เพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้ นายน้อยกับคุณโนอาร์คงไม่ยอมออกจากโลกที่ทั้งคู่สร้างขึ้นมาแน่
“อีกไม่นานก็ถึงวันครบรอบสวนรฦกวัลย์แล้ว เออ! เป็นวันเกิดของนายน้อยด้วยสินะ”
“วันเกิดเอทอส?” โนอาร์ถามด้วยความสงสัย และก็ได้สาวคนงานคนหนึ่งช่วยตอบ
“ค่ะ ครั้งแรกที่ฉันรู้ก็แปลกใจเหมือนกันค่ะคุณโนอาร์ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้”
“วันนั้นหลังเลิกงานพวกเราจะจัดงานเลี้ยงฉลอง และก็ตั้งเวทีเล็ก ๆ ผลัดกันขึ้นไปแสดงโชว์ คุณโนอาร์สนใจร่วมด้วยไหมคะ”
“ครับ ต้องร่วมด้วยแน่นอน”
ได้ยินดังนั้น เหล่าคนงานต่างพากันดีใจที่งานฉลองครบรอบวันก่อตั้งสวนรฦกวัลย์ปีนี้จะพิเศษกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีคนรักของนายใหญ่เข้าร่วมด้วย และไม่นานพื้นที่สนทนาทั้งหมดก็กลายเป็นของกลุ่มคนสวนที่พูดคุยวางแผนจัดงานราวกับว่างานจะเริ่มพรุ่งนี้
โนอาร์อาศัยช่วงจังหวะที่พวกคนงานไม่ได้สนใจหันไปถามเอทอสเพื่อความแน่ใจ เพราะเขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเพียงความบังเอิญ
“คุณเกิดวันเดียวกับวันก่อตั้งสวน?” โนอาร์กระซิบถามร่างสูงใหญ่ข้างกาย
“เปล่า ผู้มีพระคุณพาข้ามาแนะนำกับพวกคนงานในวันนั้น และอ้างว่าเป็นวันเกิดของข้า พวกคนงานเลยเชื่อกันตามนั้น”
“แล้ววันเกิดจริงของคุณ”
“ไม่รู้ อย่างที่เคยบอก พอจำความได้แม้แต่หน้าพ่อแม่ข้ายังไม่เคยเห็นสักครั้ง เรื่องวันเกิดไม่ต้องพูดถึง”
หลังฟังคำตอบ มนุษย์ผู้ใส่ใจความรู้สึกของปีศาจอยู่เสมอจึงพยายามจับอารมณ์อีกฝ่าย ซึ่งไม่รู้สึกถึงความเศร้าหรือหม่นหมองแต่อย่างใด โนอาร์จึงได้เบาใจที่คำถามของตนไม่ได้ทำให้เอทอสรู้สึกไม่ดี
“วันเกิดคุณอยากได้อะไร” มนุษย์เปลี่ยนเรื่องถาม
“ไม่ต้องเลย ข้าเหนื่อยจะห้ามคนงานแล้ว อย่าให้ข้าต้องมานั่งพูดกับเจ้าอีก”
เอทอสรีบหยุดความคิดโนอาร์ เขาไม่ค่อยรู้สึกร่วมด้วยกับทำเนียมการมอบของขวัญของมนุษย์นัก มิหนำซ้ำยังมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่ต้องพยายามสรรหาของมาให้ในวันเดิมของทุกปี ซึ่งของบางอย่างก็มีดีแค่หน้าตาแต่หาประโยชน์ไม่ได้ ดังนั้นหลังงานฉลองครั้งหนึ่งเขาจึงประกาศบอกกับเหล่าคนงานว่าไม่ต้องเอาของมาให้เขาแล้ว แค่การจัดงานเลี้ยงก็มากเกินพอ แต่ถึงจะบอกแบบนั้นก็ยังมีคนงานบางส่วนคอยเอาของมาให้เขาในวันงานอยู่ดี และเขาก็ต้องจำใจรับเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ
“หวังว่าถึงวันงาน ข้าจะไม่-”
“อา ลืมถามไปเลย ในวันงานคุณโนอาร์จะแสดงอะไรเหรอคะ”
“ความลับครับ”
หลังโนอาร์ได้ยินคำค้านของเจ้าภาพ เป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มคนงานหันมาสนใจเขาและปีศาจอีกครั้ง และนั่นถือเป็นเรื่องดีที่พวกคนงานเข้ามาได้ถูกเวลา คนเจ้าแผนการจึงอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนเรื่องและตัดจบการพูดคุยเรื่องของขวัญ เพราะหากเอทอสต้องการคำยืนยันว่าเขาจะไม่เอาของขวัญมาให้ เขาคงไม่สามารถรับปากได้ เนื่องจากของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่เขาจะมอบให้ปีศาจ เขารู้แล้วว่าจะให้อะไร
ดวงตะวันกลางท้องฟ้าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาเที่ยงวัน ปีศาจและมนุษย์เดินกลับมาที่สำนักงาน เนื่องด้วยวันนี้โนอาร์เตรียมมื้อกลางวันมาจากบ้าน หลังเข้ามาในตัวอาคารพบพนักงานอยู่ประปรายเพียงไม่กี่คน คงเพราะส่วนมากต่างพากันออกไปฝากท้องตามร้านอาหารแถวนี้กันหมด
เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงานเจ้าของสวน มนุษย์บอกให้ปีศาจเข้าไปรอในห้องก่อน ส่วนเขาจะไปอุ่นมื้อกลางวันตรงส่วนครัวของสำนักงานแล้วยกไปให้ หลังฟังนายใหญ่ของสวนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามคำของมนุษย์โดยการเข้าไปรอในห้อง
โนอาร์เดินเข้ามาในส่วนครัว หยิบกล่องข้าวจากในตู้เย็นใส่เข้าไมโครเวฟ ระหว่างรอเลยฆ่าเวลาด้วยการหันไปชงกาแฟและแน่นอนไม่ลืมชงเผื่อปีศาจ เสร็จแล้วจึงนำแก้วกาแฟทั้งสองไปวางรอบนถาด
“ติ้ง!”
“เคร้ง!”
ไม่นานเสียงสัญญาณเครื่องไมโครเวฟก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าอาหารอุ่นเรียบร้อย พร้อมกับเสียงช้อนที่หล่นลงพื้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ โนอาร์เลือกหยิบมื้อกลางวันออกมาวางบนถาดเป็นอย่างแรก ก่อนก้มลงไปเก็บช้อนทีหลัง
ขณะที่กำลังก้มเก็บช้อนอยู่นั้น มีดบนเคาน์เตอร์ที่ใช้ตัดซองกาแฟกลับค่อย ๆ หมุนชี้ปลายแหลมไปทางโนอาร์ ก่อนเริ่มเคลื่อนขยับเข้าใกล้ขอบเคาน์เตอร์เรื่อย ๆ โดยไม่มีใครแตะต้อง และจังหวะที่โนอาร์ลุกขึ้นยืนนั้นเอง คมมีดแหลมก็ได้ร่วงลงมา
“เคร้ง!!”
โชคร้ายที่เป้าหมายของคมมีดลุกเร็วเกินไป จึงทำให้ตัวมีดพลาดเป้าจากที่ควรจะตกแทงทะลุลำคอ กลับกลายเป็นหล่นบาดหลังมือที่กำลังถือช้อนแทน หยาดเลือดสีแดงสดไหลออกจากปากแผลก่อนหยดลงพื้น ทว่าคนบาดเจ็บกลับไร้ซึ่งความตกใจ กวาดสายตามองรอบตัวแต่ทว่าไม่พบใคร นัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งยามนี้จึงเริ่มเยียบเย็นมากขึ้น เมื่อรู้สึกถึงความไม่ปกติที่กำลังรายล้อมตัวเขา
“คุณโนอาร์! เกิดอะไรขึ้นครับ”
ศิลาที่ได้ยินเสียงของตกติดต่อกันสองสามครั้งบริเวณส่วนครัว ด้วยความสงสัยจึงเดินเข้ามาดู และได้พบกับคนรักของนายใหญ่คล้ายกำลังมองหาบางสิ่ง โดยไม่สนใจบาดแผลตรงหลังมือที่มีเลือดไหลอาบตามข้อนิ้วและหยดลงพื้นไม่หยุด
เสียงทักทำให้นัยน์ตาเยียบเย็นหันมาจ้องผู้มาใหม่ บรรยากาศอันตรายและแววตารัตติกาลเหมือนกับครานั้น ครั้งที่นายใหญ่หายไป ชวนให้ศิลารำลึกถึงความรู้สึกราวกับถูกแช่แข็งจนไม่กล้าหายใจ ความหวั่นเกรงต่อชายเบื้องหน้าเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง ก่อนไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นจะจางหายไป เมื่อคนรักของนายใหญ่คลายบรรยากาศกดดันรอบตัวลง
“ไปเอากล่องปฐมพยาบาลมา”
โนอาร์เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนไปล้างแผลรอตรงอ่างล้างจาน ไม่นานศิลาก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผล เตรียมเข้ามาช่วยคนรักของนาย
“เดี๋ยวผมช่วย-”
“ไม่จำเป็น”
ไม่ทันเอ่ยจบ ความหวังดีของศิลากลับถูกปัดทิ้งอย่างง่ายดาย พร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลที่ถูกดึงออกจากมือ โนอาร์เริ่มทำแผลด้วยตนเองโดยไม่สนใจใครบางคนที่แสดงความหวังดีเก้อ ความคล่องแคล่วในการพันแผลแม้ใช้มือเพียงข้างเดียวทำให้ศิลารู้สึกเบาใจ จึงเปลี่ยนเป็นช่วยทำความสะอาดพื้นที่มีรอยเลือดแทน ทว่าเมื่อศิลาหยิบผ้าเตรียมมาเช็ดกลับพบว่าบริเวณพื้นนั้นไม่มีหยดเลือดอยู่เลย ราวกับช่วงเวลาที่เขาไปเอากล่องปฐมพยาบาล คนรักของนายใหญ่ได้ทำความสะอาดไปแล้ว เห็นดังนั้นศิลาจึงเพียงหยิบช้อนและมีดที่ตกอยู่ขึ้นมาล้างและเก็บเข้าที่
“มือคุณโนอาร์มีแผล ให้ผมช่วยถือนะครับ”
“ไม่ต้อง”
ศิลาแสดงความช่วยเหลืออีกครั้ง เมื่อเห็นโนอาร์พยายามถือถาดอาหารจนเลือดเริ่มซึมบนผ้าพันแผล เนื่องจากฝืนออกแรงมากเกินไป และแน่นอนสิ่งที่คนหวังดีได้รับคือคำปฏิเสธหักหาญน้ำใจ แต่ถึงอย่างนั้นผู้ทำหน้าที่เลขาเจ้าของสวนก็ไม่ละความพยายาม เพราะการดูแลคนรักของนายก็ถือเป็นงานเขาเช่นกัน
“ให้ผมช่วยเถอะครับ หากฝืนใช้งานมาก ๆ แผลที่มือคุณจะหะ..หาย...”
ถ้อยคำแสดงความมีน้ำใจเริ่มเบาลง เมื่อคนหวังดีไม่เข้าท่าเผลอสบกับนัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งเยียบเย็น ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางพายุหิมะหนาวเหน็บจนไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว
การยื่นมือเข้าช่วยเหลือเป็นสิ่งดี ทว่าหากใช้ไม่ถูกเวลาผลลัพธ์ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ดั่งครั้งนี้ที่ศิลากำลังเผชิญอยู่
“จะไม่พูดซ้ำสอง” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยเตือนสั้น ๆ
“ครับ... ขอโทษครับ”
คนปรารถนาดียอมจำนนในที่สุด ก่อนไปไม่ลืมเก็บกล่องปฐมพยาบาลที่บุคคลอันตรายใช้เสร็จเรียบร้อยแล้วออกไปด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาในส่วนครัวหลังจากนั้น ศิลาไม่กล้าสบตากับชายตรงหน้าอีกเลย
จนกระทั่งได้ออกมาจากสถานการณ์ชวนอึดอัดกดดัน เขานึกถึงคำเยินยอของลูกชายที่บอกว่า คนเมื่อครู่เพียงแค่ติดเงียบไม่ค่อยพูดเท่านั้นเลยทำให้ดูน่ากลัว แต่หากได้ลองคุยจะรู้ว่าคุณโนอาร์เป็นคนหนึ่งที่ใจดีและน่าเคารพมาก ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ศิลากลับไม่เห็นว่าเป็นอย่างที่ลูกชายบอกแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจไม่ค่อยถูกชะตากับเขา และบางทีเขาอาจต้องหาเวลาปรึกษาเรื่องนี้กับลูกชายตัวเองอย่างจริงจัง
หลังเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชายเลือดเย็นจึงได้โอกาสยกมื้อกลางวันไปให้ปีศาจอย่างที่ตั้งใจ ทว่าทันทีที่ก้าวออกมาจากส่วนครัว ถาดอาหารกลับชนเข้ากับแผงอกกว้างของร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาติดดุสีอำพันสบกับนัยน์ตารัตติกาลที่แฝงด้วยความสงสัยว่าเหตุใดปีศาจถึงมาอยู่ตรงนี้ และเหมือนปีศาจจะอ่านความรู้สึกของมนุษย์ออก จึงเอ่ยตอบโดยมนุษย์ไม่ต้องถาม
“ข้ามาตามคนอวดเก่ง เวลาเจ้าของไม่อยู่” ปีศาจกล่าวพลางเหลือบมองผ้าพันแผลบนมือมนุษย์ที่มีเลือดซึมเป็นวงกว้าง
“ผมไม่-”
“ปล่อย และข้าจะไม่พูดซ้ำสอง”
คำสั่งสั้น ๆ ก่อนตามด้วยประโยคที่ชายเลือดเย็นเคยใช้เมื่อไม่นานนี้ ทำให้โนอาร์รู้ในทันทีว่าเอทอสไม่ได้เพิ่งมา แต่ลอบเฝ้ามองเหตุการณ์ได้สักพักหนึ่งแล้ว และด้วยผู้สั่งเป็นปีศาจ ถาดอาหารในมือมนุษย์จึงถูกปล่อยให้ฝ่ามือใหญ่รับหน้าที่ถือแทนอย่างง่ายดาย
“แผลนั่น ต้องทำใหม่หรือเปล่า”
เสียงทุ้มของปีศาจเอ่ยถาม และก็ได้คำตอบเป็นการส่ายหน้าของมนุษย์ เห็นดังนั้นเอทอสจึงถือถาดอาหารนำเข้าห้องทำงาน โดยมีโนอาร์เดินตามหลัง ศิลาและพนักงานที่เหลืออยู่ในสำนักงานทันเห็นเหตุการณ์ ต่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าชายผู้กำลังหงุดหงิดพร้อมแผ่บรรยากาศเยือกเย็นอันตราย กลับถูกสยบง่ายดายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำจากนายใหญ่ของสวน
หลังจากผู้ตกเป็นเป้าสายตาเดินหายเข้าไปในห้อง เหล่าพนักงานก็พลันค้นพบวิธีรับมือยามคนรักของนายใหญ่อารมณ์ไม่ดี นั่นหาใช่การปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวหรือเข้าไปพูดคุย แต่ทว่าเป็นการตามคุณเอทอสมา
การทานมื้อกลางวันร่วมกันของมนุษย์และปีศาจเป็นไปด้วยความเงียบสงบอย่างทุกครา แต่ที่ผิดปกติคือครั้งนี้โนอาร์จับกระแสความหงุดหงิดของปีศาจได้ ซึ่งเริ่มมีตั้งแต่ตอนเอทอสออกมาช่วยถือของแล้วเห็นแผลบนหลังมือของเขา ผสานกับนัยน์ตาสีอำพันที่มักเหลือบมองผ้าพันแผลเขาบ่อยครั้งระหว่างรับประทานอาหาร ทำให้มนุษย์เริ่มมั่นใจว่าต้นตอของความหงุดหงิด อาจเกิดจากแผลที่หลังมือนี้
“คุณหงุดหงิดเพราะผมทำมีดบาด?”
“ไม่ใช่”
เอทอสกล่าวปฏิเสธ เขาไม่ได้หงุดหงิดโนอาร์แต่กำลังหงุดหงิดตัวเองที่ชะล่าใจจนทำให้มนุษย์ถูกเล่นงาน ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
หลังจากคืนนั้นเหล่าวิญญาณรับใช้กลับไม่ยอมลามืออย่างที่เขาคิด มิหนำซ้ำยังมามากกว่าเก่า คอยรายล้อมหาโอกาสจัดการคนของเขา ทำให้ช่วงนี้ปีศาจต้องตัวติดเพื่อคอยดูแลมนุษย์ตลอด ทว่าสุดท้ายก็พลาดท่าเพราะประมาทว่าเวลานี้เป็นช่วงกลางวัน และบริเวณแถวนั้นก็มีกลุ่มพนักงานอยู่ พวกวิญญาณคงไม่กล้าลงมือ ซึ่งการติดสินใจที่พลาดพลั้ง เหล่าวิญาณรับใช้จึงสามารถเล่นงานโนอาร์จนเกิดแผลมาให้เขาเจ็บใจเล่น
“แล้วคุณหงุดหงิดอะไร” มนุษย์ถามต่อ
“เรื่องไร้สาระ ไม่ต้องใส่ใจ”
เมื่อได้ยินคำตอบ โนอาร์มั่นใจว่าเอทอสคงไม่ยอมปริปากบอกเรื่องที่พยายามปิดบังเขาแน่ ทว่าเหตุการณ์ผิดปกติในส่วนครัวของสำนักงานเมื่อครู่นี้ บวกกับช่วงหลัง ๆ มาปีศาจมักอยู่กับเขาเสมอซึ่งผิดวิสัยของเจ้าตัว พอให้เขาสามารถคาดเดาเรื่องราวได้ แต่ถึงอย่างไร มนุษย์ก็ต้องการคำยืนยันจากปีศาจอยู่ดี
ดังนั้นคนเจ้าแผนการจึงวางมือพักเรื่องทานมื้อกลางวัน ก่อนนั่งหลังตรงใช้นัยน์ตารัตติกาลจ้องจับสังเกตทุกอารมณ์และการเคลื่อนไหวของปีศาจตรงหน้า ไม่นานการพูดหว่านล้อมค่อย ๆ บีบให้ปีศาจจนมุมยอมเผยความลับ ไม่ต่างจากงูที่กำลังบีบรัดเหยื่อจึงเริ่มขึ้น
“ผมกำลังอุ่นอาหารตรงส่วนครัวของสำนักงาน อยู่ ๆ ช้อนที่ผมใช้ชงกาแฟก็ตกลงมาเอง”
“ผมเลยก้มลงไปหยิบ และตอนนั้นมีดที่ผมใช้ตัดซองกาแฟก็หล่นลงมาเหมือนกัน”
“ดีที่ผมลุกขึ้นเร็ว มีดเลยหล่นบาดมือผมแทน แต่ถ้าช้ากว่านั้น...”
“มีดคงหล่นแทงใส่หลัง ไม่ก็คอ หรือแย่กว่าอาจเป็นหัวของผมเอง”
“เจ้าต้องการจะบอกอะไรข้า” ปีศาจขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ก่อนผมก้มลงเก็บช้อน ผมวางมีดอยู่กลางเคาน์เตอร์ไม่มีทางที่จะหล่นลงมาเองได้”
“ไม่ต้องพูดถึงใครเพราะตอนนั้นในส่วนครัวมีผมแค่คนเดียว”
“ไม่ต้องพูดถึงลมเพราะส่วนครัวไม่มีหน้าต่าง แล้วมีดหล่นมาได้ยังไง? คุณสงสัยเหมือนผมไหม”
“ข้า-”
“คุณสงสัยไหมถ้าผมลุกขึ้นมาช้าแม้เพียงเสี้ยววินาทีจะเป็นอย่างไร”
“ความสูงจากเคาน์เตอร์ไม่มากพอที่จะทำให้มีดแทงทะลุได้อยู่แล้ว แต่กับมีดที่อยู่ ๆ ก็ร่วงลงมาได้เอง ผมว่าการที่มีดจะบังเอิญตกลงมาแรงพอจนสามารถแทงผมได้คงไม่แปลกเท่าไรนัก”
“คุณลองนึกภาพตาม ปลายมีดแหลมหล่นจากเคาน์เตอร์ปักแทงทะลุท้ายทอยผม”
“เลือดมากมายไหลทะลักเปียกชุ่มเสื้อที่คุณเห็นผมใส่อยู่ แบบเดียวกับที่ผมพลาดท่าให้กับพวกนักล่าปีศาจ”
“ร่างผมล้มลงกองกับพื้นไม่มีใครรู้ เลือดไหลนองไม่หยุดค่อย ๆ แผ่กระจายเปลี่ยนพื้นสีขาวสะอาดของส่วนครัวเป็นแอ่งเลือดขนาดย่อม”
“หยุด..” ปีศาจพยายามเอ่ยสั่งมนุษย์
“คมมีดแหลมตัดหลอดลม ทำให้ผมหายใจไม่ออก ส่งเสียงร้องเรียกหาคุณไม่ได้ ผมหอบหายใจพยายามเอาอากาศเข้าปอดแต่ก็ไร้ผล”
“ข้าบอกให้หยุด โนอาร์”
“ผมใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ค่อย ๆ คลานไปหาคุณ แต่ระยะทางใกล้ ๆ จากส่วนครัวถึงห้องทำงานคุณกลับไกลมากสำหรับผมที่กำลังหมดลมหายใจ”
“รอยเลือดลากเป็นทาง ทุกครั้งที่ขยับคมมีดที่ปักคาก็เฉือนคอผมลึกขึ้น ผมทรมานราวกับจะขาดใจ ภาพข้างหน้าเริ่มมืดลง และไม่นานผมคงจะตา...”
“โนอาร์!!! ข้าสั่งให้เจ้าหยุดพูด!!!!!”
เสียงตวาดดังก้องสะเทือนทั่วทั้งห้อง จนสามารถเล็ดลอดออกมาให้เหล่าพนักงานภายนอกได้ยินและสะดุ้งไปตามกัน บัดนี้นายใหญ่ของสวนหอบหายใจนัก แผ่นหลังกว้างและกรอบหน้าคมเข้มชื้นไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตาดุสีอำพันวาวโรจน์ทว่าภายในกลับสั่นไหวด้วยความรู้สึกบางอย่าง มนุษย์เจ้าแผนการรู้จักความรู้สึกนั้นดี นั่นคือ ความกลัว
“ผมไม่ได้อยากให้คุณรู้สึกไม่ดีนะครับ แต่เรื่องแบบนี้อาจเป็นจริง ผมแค่ไม่อยากเป็นภาระคุณ จะดีกว่าไหมที่เราจะไม่มีความลับต่อกัน และช่วยหาทางจัดการปัญหา”
โนอาร์ยอมลดความกดดันเมื่อเห็นเอทอสมีความรู้สึกร่วมเกินกว่าที่เขาประมาณไว้ ก่อนเดินเข้าไปลูบไหล่หนาของปีศาจราวกับช่วยปลอบประโลม พร้อมเปลี่ยนเป็นการพูดเกลี้ยกล่อมแทน และดูเหมือนวิธีนี้จะได้ผลเพราะหลังจากปีศาจใจเย็นลง ก็ยอมพูดเรื่องที่ปิดบังมนุษย์ในที่สุด
“รอบตัวเจ้ามีวิญญาณพยายามจ้องเล่นงาน เหมือนครั้งที่ข้าพาเจ้าเข้าป่าช้า”
“ข้าเลยต้องอยู่ใกล้เจ้าไว้เพื่อคอยกันวิญญาณพวกนั้น และทำให้เจ้าปลอดภัย”
“แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมวิญญาณพวกนั้นถึงอยากจัดการผม” โนอาร์ถามต่อ
“กลิ่นอายวิญญาณเจ้าดึงดูดพวกมัน แบบเดียวกับวิญญาณในป่า”
ปีศาจยอมตอบตามความจริงเพื่อให้มนุษย์รับรู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร เว้นเสียแต่ต้นตอของเหล่าวิญญาณที่ปีศาจยังละไว้ไม่ยอมบอกว่า พวกมันล้วนถูกส่งมาโดยผู้คุมวิญญาณอดีตผู้ว่างจ้างของมนุษย์ เนื่องจากเอทอสเข้าใจนิสัยโนอาร์ดีว่าหากรู้เรื่องนี้เมื่อไร จะต้องหาทางไปกำจัดผู้ว่าจ้างด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน และนั่นอาจเข้าทางอีกฝ่าย เพราะถึงโนอาร์จะดูแข็งแกร่งในสายตาคนอื่น ทว่าก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ขนาดแค่วิญญาณรายล้อมจ้องเล่นงานยังไม่รู้ตัว ไม่มีทางเลยที่จะสู้กับผู้ที่มีความสามารถควบคุมวิญญาณได้
ดังนั้นเอทอสจึงเห็นว่าโนอาร์รู้เพียงเท่านี้เพื่อระวังตัวน่าจะดีที่สุด ส่วนที่เหลือต่อจากนี้เขาจะเป็นคนจัดการเอง
“แล้วตอนนี้วิญญาณพวกนั้นยังอยู่แถวนี้ไหม”
“ไม่ พวกมันหายไปหลังจากทำร้ายเจ้าสำเร็จ”
หลังฟังความจริงที่เอทอสพยายามปิดบัง โนอาร์จึงเข้าใจเหตุผลทั้งหมดว่าเหตุใดพักนี้ปีศาจถึงชอบอยู่ใกล้เขา คนเจ้าแผนการเลยถือโอกาสนี้ยุปีศาจในเรื่องต่าง ๆ เช่น การอนุญาตให้เขาเข้ามานอนร่วมห้องกับปีศาจอย่างถาวร หรือแม้กระทั่งการอาบน้ำที่ควรอาบพร้อมกันเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของปีศาจ ทว่าน่าเศร้าที่ความหวังดีของโนอาร์กลับถูกเอทอสปัดทิ้งทั้งหมด
ยามสนธยา คือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันสู่กลางคืนหรือยามราตรีสู่รุ่งอรุณ ท้องฟ้าและแสงอาทิตย์เป็นสีส้มแดง บ้างก็ว่ายามสนทยานั้นสวยงามน่าจดจำ แต่บางส่วนกลับแย้งว่าบรรยากาศวังเวงชวนให้รู้สึกอ้างว้างและหดหู่ ทว่าอีกหนึ่งความพิเศษของยามสนทยาที่น้อยคนจะรู้คือ เป็นช่วงเวลาเพียงไม่นานที่มนุษย์สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติได้ ดั่งเช่น ชายคนหนึ่งกำลังเฝ้าดูยามสนทยาที่จวนจะจบสิ้น ผ่านบานกระจกของบ้านพักขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่
“ปีศาจนั่นคอยตามไม่ห่างจนแทบทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้สิ่งที่ต้องการมา” วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งรายงาน พร้อมส่งเลือดของเป้าหมายให้กับผู้เป็นนายที่มัวแต่ชื่นชมแสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน
“อืม จากนี้ก็พักเก็บแรงให้เต็มที่ เตรียมต้อนรับสมาชิกใหม่ของเรา”
เสียงตอบกลับดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มยากจะคาดเดาความหมายยามมองของที่วิญญาณรับใช้นำมามอบให้
“แล้วจะเริ่มเมื่อไร” “ไม่ต้องรีบร้อน ยังไงหมอนั่นก็เหมือนถูกโซ่ล่ามไว้แล้ว ให้โอกาสได้พยศได้วิ่งเล่นครั้งสุดท้ายจะเป็นไรไป”
“ตามใจ จะลงมือตอนไหนก็บอก... น้องของนายกลับมาแล้ว” “พี่
วรรษ! กลับมาก่อนทำไมไม่เปิดไฟบ้าน”
ทันทีที่สิ้นเสียงบอกกล่าวของวิญญาณรับใช้ ประตูหน้าบ้านก็พลันเปิดกว้าง พร้อมกับชายร่างเล็กเจ้าของคำบ่นเมื่อครู่กำลังหอบของพะรุงพะรังเดินเข้ามา แสงสว่างจากหลอดไฟที่ผู้มาใหม่กดเปิดทั่วทั้งบ้าน ช่วยขับไล่ความมืดและบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจของผู้คุมวิญญาณจนหมดสิ้น เหลือเพียงพี่ชายแสนดีที่รีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยน้องถือของ
“โทษ ๆ พี่คุยงานเพลินไปหน่อย แล้ววันนี้ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง”
“ขายดีครับพี่ ลูกค้าเข้ามาสั่งจนผมกับพนักงานช่วยกันทำแทบไม่ทันแน่ะ”
“ดีแล้ว งั้นขึ้นไปอาบน้ำให้หายเหนื่อย แล้วค่อยมากินข้าวกัน เดี๋ยวของพวกนี้พี่จัดการเอง”
หลังได้ยินดังนั้น น้องชายของเจ้าบ้านจึงขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าตามคำของพี่ชาย ปล่อยให้พี่คอยจัดเรียงของเก็บเข้าที่เพียงลำพัง เมื่ออยู่คนเดียวอีกครั้ง พี่ชายผู้มีอีกหนึ่งบทบาทเป็นผู้ควบคุมวิญญาณ จึงกล่าวชมวิญญาณรับใช้ที่ตนส่งไปช่วยเรียกลูกค้าให้น้องชาย
“ทำได้ดีมาก ไปพักได้”
“ค่ะนาย” วันเวลาผันผ่านและในที่สุดวันครบรอบสวนรฦกวัลย์ที่หลายคนเฝ้ารอก็มาถึง แน่นอน หนึ่งในนั้นเป็นชายเลือดเย็นที่ตั้งตารอที่จะจัดงานฉลองครั้งแรกให้กับปีศาจ ด้วยเหตุนี้เมื่อยามเช้ามาถึงโนอาร์จึงไม่ได้ใส่ชุดชาวสวนอย่างทุกที ทว่าเป็นเชิ้ตเนื้อดีสวมทับด้วยเสื้อสูทขับให้มนุษย์ดูสง่า ทว่าแฝงด้วยความสุขุมเยือกเย็นราวกับเจ้าชายน้ำแข็ง พร้อมสะกดสายตาใครต่อใคร ไม่แม้แต่ปีศาจเอง ที่ตอนนี้กำลังมองชุดของมนุษย์ตรงหน้า
“เจ้าจะไปไหน” เอทอสขมวดคิ้วถาม เนื่องจากโนอาร์มักจะแต่งตัวเช่นนี้ยามออกไปคุยงานหรือไปข้างนอก
“ไปรับของที่ผมสั่งไว้กับจิน กับไปติดต่อเรื่องงานที่จะจัดค่ำนี้ กว่าจะเสร็จผมคงไปถึงสวนตอนช่วงเย็น เที่ยงนี้ผมคงไม่ได้กินข้าวกับคุณ แต่ไม่ต้องห่วง มื้อกลางวันผมทำไว้ให้คุณแล้ว”
โนอาร์อธิบายตารางงานทั้งหมดของวันนี้ให้เอทอสรับรู้ ก่อนตบท้ายด้วยการส่งกล่องข้าวมื้อเที่ยงให้ปีศาจรับไป
“เจ้ากำลังถูกจ้องเล่นงาน ลืมไปแล้วหรือไง”
ปีศาจเอ่ยเตือน เขาไม่อยากให้ช่วงนี้มนุษย์อยู่ห่างเขาเท่าไรนัก แม้หลังจากวันนั้นที่กลุ่มวิญญาณรับใช้สามารถเล่นงานโนอาร์ได้สำเร็จ พวกมันก็หายไป ไม่ได้กลับมาวนเวียนรอบตัวมนุษย์อีก ราวกับว่าผู้คุมวิญญาณคนนั้นเลิกสนใจโนอาร์แล้ว แต่ทว่าปีศาจก็ไม่ได้วางใจ เพราะทุกครั้งที่คลื่นลมสงบ อีกไม่นานจะมีพายุตามมาเสมอ
“ตอนนี้คุณเห็นพวกมันหรือเปล่า”
หลังได้ยินคำถาม เอทอสจึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างละเอียด พร้อมจับสัมผัสของกลุ่มวิญญาณรับใช้ ซึ่งก็ไม่มี ดั่งเช่นตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ไม่มี”
“แบบนี้ดีไหม หลังจากที่ผมรับของแล้ว ผมจะให้จินอยู่กับผมต่อจนกว่าผมจะคุยเรื่องงานเลี้ยงตามที่ต่าง ๆ เสร็จ คุณจะได้ไม่กังวล และอีกอย่างมีดที่คุณให้ ผมก็พกติดตัวตลอด ถ้ามีเหตุสุดวิสัยจริง ผมว่าผมเอาตัวรอดได้”
มนุษย์หาทางแก้ให้ปีศาจเบาใจ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก เนื่องจากคิ้วหนาเหนือนัยน์ตาดุสีอำพันยังคงขมวดมุ่น ไม่มีทีท่าว่าจะคลายลง เห็นดังนั้นโนอาร์จึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ปีศาจ ก่อนใช้แขนทั้งสองคล้องคอร่างสูงใหญ่ พร้อมกับกดจูบบางเบาลงบนมุมริมฝีปากหนาเพื่อช่วยปลอบประโลมให้ปีศาจคลายกังวล ซึ่งเหมือนวิธีนี้จะได้ผลชะงัด
“ข้าจะไปกับเจ้า”
“คุณรอผมที่สวนนะครับ ไม่อย่างงั้นสิ่งที่ผมเตรียมมาทั้งหมดจะสูญเปล่า”
โนอาร์ปฏิเสธก่อนจะขยับเข้าใกล้หวังทำให้เอทอสสบายใจอีกครั้ง ทว่ากลับเป็นปีศาจเองที่เคลื่อนเข้าหาพร้อมกดสัมผัสให้แนบชิด ค่อย ๆ ขบเม้มริมผีปากบางของมนุษย์ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสัมผัสที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทุกการกระทำของปีศาจเต็มไปด้วยความอ่อนโยนต่างจากครั้งที่ผ่านมา ราวกับเอทอสกำลังร้องขอให้เขาเปลี่ยนใจ
“ผมจะรีบกลับมา”
มนุษย์เอ่ยบอก ก่อนค่อย ๆ ผละออกจากร่างสูงใหญ่ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยเพื่อให้กำลังใจปีศาจคิดมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่เอทอสกังวลขนาดนี้ ความผิดส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเองที่พยายามฝืนให้ปีศาจเผยความลับ
ส่วนเอทอสเมื่อเห็นว่ายังไงโนอาร์ก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ สุดท้ายจึงยอมอนุญาตในที่สุด ไม่ลืมกำชับให้มนุษย์อยู่กับจินเสมอ และถ้าเกิดอะไรขึ้นให้รีบโทรหาเขา ซึ่งมนุษย์ก็รับปาก ก่อนจะกล่าวลาและขึ้นรถสีเทาเมทัลลิกขับหายไป ทิ้งให้ปีศาจเฝ้ามองดวงไฟท้ายรถที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา
ซึ่งเอทอสไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจเมื่อครู่นี้ คือเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา
บท18 สมบูรณ์