Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ทะเล) [11/10/2021]| จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ทะเล) [11/10/2021]| จบแล้ว  (อ่าน 40356 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0


    ความรู้สึกอึดอัดยามหายใจเข้า เป็นความสิ่งแรกที่รับรู้เมื่อความรู้สึกเริ่มหวนคืน ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนทุกสิ่งดับวูบคือตอนที่กำลังถูกโนอาร์ล็อกตัวเพื่อใช้เข็มฉีดบางอย่างเข้าไปในร่างกาย วรรษที่ได้สติค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองบรรยากาศรอบตัว แสงสลัวสีเหลืองส้มจากหลอดไฟเพียงดวงเดียวช่วยปัดเป่าหมอกมืด เพียงพอที่จะรู้ว่าขณะนี้เขาถูกพามาขังไว้ในห้องอับสกปรก

    “ไม่คิดว่าแกจะมีความอดทนถึงขนาดปล่อยให้ฉันฟื้นขึ้นมาแบบครบสามสิบสอง”

    คนถูกมัดแขนขาทุกข้างตรึงให้นอนราบบนพื้นปูนสากฝุ่นเขรอะ เอ่ยท้าทายตัวการที่กำลังยืนคุยบางอย่างกับจินและมังกร สองลูกมือผู้สมรู้ร่วมคิด โนอาร์เพียงเหลือบมองเล็กน้อยก่อนเดินมาหยุดยืนอยู่เหนือหัวเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ เพื่อเวลาก้มมองจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน

    “ร่างกายนี้เชื่อมกับเอทอส ตราบที่ยังไม่ถึงเวลา จะดูแลทุกอวัยวะชิ้นส่วนอย่างดี ไม่ต้องห่วง” บุคคลอันตรายว่าพลางใช้ปลายเท้าเขี่ยใบหน้าคนต่ำกว่า ซึ่งครานี้สิ้นท่าหมดหนทาง จนทำได้แค่กัดฟันเบี่ยงหน้าหลบด้วยความรังเกียจ
    “แต่ใช่ว่าจะหนีรอด ยังมีอีกหลายวิธีที่ทำให้ทรมานเหมือนตาย ทั้งที่ร่างกายไร้รอยขีดขวน อย่างเช่นทำให้ติดยาจนขาดไม่ได้... หรือหาใครสักคนมารับผิดชอบแทน”
    “อย่าเอาคนอื่นมาเกี่ยว เรื่องนี้มีแค่แกกับฉัน” วรรษกดเสียงต่ำข่มขู่ ทว่าคนฟังกลับไม่แม้แต่จะหลุดเผยปฏิกิริยาโต้ตอบให้พอคาดเดาอารมณ์ นัยน์ตารัตติกาลสงบนิ่งเฉยชายังคงก้มมอง โดยไม่อาจรู้ว่าแท้จริงกำลังคิดสิ่งใด
    “สีครามได้ยินคงยิ่งร้องฟูมฟายน่ารำคาญ ที่พี่แท้ ๆ ไม่นับญาติเห็นตัวเองเป็นคนอื่น”
    “ไอ้โนอาร์! มึง!! อย่าริอ่านยุ่งกับน้องกู!! ไม่งั้นชีวิตไอ้ปีศาจได-”

    ไม่ทันได้พูดจบ คนปล่อยให้โทสะครอบงำก็นิ่งงันไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธคับแค้น ยามนี้กลับดูเหม่อลอยไร้สติ จินที่ได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ตรงมุมห้องเห็นเพลิงทมิฬกำลังลุกโหมท่วมร่างเหยื่อฆาตกร ก็พลันรู้ทันทีว่าคำสาปที่ปีศาจเคยร่ายแสดงผลอีกครา และดูเหมือนโนอาร์จะรู้เรื่องนี้เช่นกัน ถึงได้เหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนเดินนำออกจากห้องปิดตายโดยไม่พูดอะไร

    ชายเลือดเย็นกลับขึ้นจากชั้นใต้ดินในบ้านร้างหลังหนึ่งห่างไกลชุมชนเมือง โดยสถานที่กักขังแห่งนี้มังกรเป็นผู้จัดหาตามคำสั่งล่าสุด ส่วนจินรับหน้าที่กันไม่ให้ผู้คุมวิญญาณหนีออกไปไหน รวมทั้งต้องดูแลร่างกายของวรรษให้แข็งแรงสุขภาพดี ห้ามให้มีผลกระทบต่อปีศาจเด็ดขาด ซึ่งอย่างหลังนั้นจินถูกกำชับเป็นพิเศษ เพราะขนาดโซ่เหล็กที่ใช้ล่ามแขนขาบริเวณที่สัมผัสผิวเนื้อยังต้องมีผ้าพันไว้ เพื่อป้องกันแผลถลอกจากการเสียดสี

    ถึงแม้จะบอกว่าดูแลอย่างดี แต่หลักการปฏิบัติจริงกลับโหดร้ายเกินมนุษย์ เนื่องจากสิ่งที่โนอาร์ต้องการมีแค่ร่างกายที่แข็งแรง ฉะนั้นทั้งการกินและขับถ่ายจะทำผ่านสายยางทั้งหมด เสมือนวรรษเป็นคนป่วยที่ทำอะไรเองไม่ได้ มีหน้าที่รออาหารไหลตามสาย ก่อนขับถ่ายตามท่อที่เชื่อมสวนไว้ ไร้สิทธิ์เรียกร้องออกความเห็น ไม่ต่างจากสัตว์ตัวหนึ่งในปศุสัตว์ที่ถูกขุนให้สมบูรณ์รอวันชำแหละขาย
    ความทรมานน่าสังเวชที่กำลังจะเกิดนี้จะเริ่มในวันรุ่งขึ้น เมื่อแพทย์ค้าอวัยวะเถื่อนที่โนอาร์ไปทำข้อตกลงด้วยมาถึง ซึ่งปีศาจของชายอำมหิตจะไม่ได้รับผลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะวิธีเหล่านี้หาได้สร้างอาการบาดเจ็บ ดังนั้นมนตร์มืดย่อมไม่ทำงาน

     “จัดการให้ดี อย่าให้หนีออกไปได้”

    โนอาร์เอ่ยสั่งจินด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ซึ่งจินรู้ดีว่ารายละเอียดคำสั่งนั้นหมายถึงให้เขาสร้างอาณาเขตกั้น ห้ามไม่ให้วรรษเรียกวิญญาณมาช่วยเหลือ หลังได้คำสั่งคนรู้งานจึงรีบเดินเลี่ยงออกไปเพื่อทำหน้าที่ของตน ส่งผลให้บริเวณหน้าบ้านร้างเก่าวังเวง เหลือเพียงมังกรและชายเลือดเย็น

    “ฉีดให้สีคราม และเอาเลือดมาให้เต็มหลอด”
    “มันคืออะไร?” มังกรขมวดคิ้วมุ่นพลางมองหลอดเก็บเลือดเปล่า และอุปกรณ์แปลกตาลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาแต่ทำจากโลหะด้วยความระแวง
    “ไม่ถึงตายถ้าฉีดเข้าไป แต่จะตายถ้าไม่ฉีด และแน่นอนสีครามไม่ใช่คนเดียวที่จะตายเพราะใครบางคนไม่ยอมให้ความร่วมมือ”
    “ชิ!”

    มังกรทำได้เพียงสบถแสดงความไม่พอใจ ก่อนจะรับของทั้งหมดมาถือไว้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เหตุเพราะคนสำคัญถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองอีกครั้ง คนถูกบังคับเตรียมกลับไปที่รถเพื่อออกจากที่นี่เมื่อสิ้นธุระในคืนอันยาวนาน ทว่าขณะเดินออกห่างคนอันตรายเพียงไม่กี่ก้าว เนื้อความหนึ่งซึ่งแฝงมากับน้ำเสียงเรียบนิ่งถึงกับทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก

    “หลังทุกอย่างจบลง หยกอาจได้ออกจากโรงพยาบาล”
    “…”
    “หัวใจรอปลูกถ่ายที่ไม่รู้เมื่อไรจะถึงคิว ถ้าได้หัวใจสดใหม่จากร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีแบบเป็น ๆ ความฝันที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลไปใช้ชีวิตปกติสุขด้วยกัน ไม่ต้องแอบทำงานสกปรกเปื้อนเลือดอีกคงไม่เกินจริง”
    “…”
    “หวังว่าจะไม่ทำให้โอกาสเดียวที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตหายไป เพียงเพราะความใจอ่อนชั่ววูบ”
    “…อืม”

    ชายหนุ่มกำมือแน่นพยายามต่อสู้กับจิตใจ ทว่าตอนท้ายก็จำยอมขานรับในที่สุด ก่อนรีบเดินจากไปโดยไม่คิดเหลียวมองคนพูด จึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มมุมปากหนึ่งกำลังยินดีให้กับ ความมืดเห็นแก่ตัวที่เอาชนะความดีงามบริสุทธิ์อันแสนเปราะบาง



    การแถลงข่าวจับตัวคนร้ายคดีใหญ่กลับตาลปัตรเป็นข่าวผู้ร้ายแหกคุกหลบหนีในวันรุ่งขึ้น ความสูญเสียของเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้สละชีวิตในคืนเฝ้าเวรดึกสงัด ต่างเป็นที่โจษจันไว้อาลัยและประณามถึงความโหดเหี้ยมของผู้กระทำ ความดาลเดือดกระตุ้นให้สังคมเริ่มตามขุดหาข้อมูลประวัติ จนพบญาติของผู้ร้ายเป็นเจ้าของร้านดอกไม้เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

    ทุกความขุ่นเคืองจากเหล่ากลุ่มชนมากมายพลันรุมเข้าใส่น้องชายคนร้าย ผู้เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนรับผิดโดยปริยาย คำกล่าวหา ด่าทอ ต่อว่าจากคนที่ไม่แม้แต่รู้จักหน้าตา ล้วนเหยียบย้ำซ้ำเติมจิตใจบอบช้ำให้ยิ่งแหลกละเอียด กลุ่มคนผู้รู้เรื่องราวเพียงผิวเผินต่างสะใจที่ได้ระบาย หนึ่งคนผู้ไม่รู้เรื่องอะไรถูกทำร้ายฉุดดึงให้ตกต่ำเหมือนอยู่ท่ามกลางขุมนรกสังคม

    ภาคินฟังรายงานข่าวจากโทรทัศน์ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาล ได้แต่นึกสงสารเจ้าของร้านดอกไม้รายนั้นที่ถูกใช้เป็นตัวละครในโศกนาฏกรรมฉากใหญ่ ซึ่งตัวการผู้เขียนเรื่องราวใส่ร้ายน่ารังเกียจ กลับยังคงลอยนวลใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข

    ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานนี้ ตำรวจผู้รับผิดชอบคดีได้เข้ามาสอบปากคำเขา พร้อมแจ้งว่าได้เบาะแสชี้ตัวคนร้าย ทันทีที่ได้ยินความคิดแรกพลันผุดขึ้นมาว่าทุกอย่างอาจเป็นหนึ่งในแผนการของโนอาร์ เพราะจากประสบการณ์ที่เคยผ่าน ไม่มีทางที่คนของปีศาจจะสะเพร่าทิ้งหลักฐานไว้ ดังนั้นภาคินจึงย้ำคำกับตำรวจให้ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ เนื่องจากเขาเองไม่สามารถให้ความอะไรกับตำรวจได้มากนัก เพราะลึก ๆ แล้วเขาค่อนข้างกลัวใจโนอาร์ และไม่อยากเอาชีวิตเหล่าลุงป้าพ่อบ้านแม่บ้านมาเสี่ยงเดิมพัน

    จนในที่สุดเนื้อหาข่าวในวันนี้ก็เป็นตัวเฉลยว่า ทุกสิ่งที่นักธุรกิจหนุ่มคาดการณ์คือเรื่องจริง โนอาร์ตั้งใจสร้างสถานการณ์โกลาหลวุ่นวายเพื่อใช้ทำลายชีวิตและครอบครัวของผู้คุมวิญญาณคนนั้นให้ย่อยยับ ซึ่งภาคินมั่นใจว่าอีกไม่นานคงถึงตาเขาที่ต้องมีชะตากรรมเช่นนั้น แต่กว่าช่วงเวลาตัดสินจะมาเยือน เขายังไม่อยากทำอะไรที่เร่งให้ทุกอย่างมันเร็วขึ้นโดยที่เขายังไม่ทันเตรียมตัว อย่างน้อยก็ขอให้เขากลับมาเป็นปกติ และออกจากโรงพยาบาลให้ได้ก่อน



    ข่าวใหญ่ที่กำลังเป็นประเด็นในสังคม ย่อมเข้าถึงทุกผู้คนไม่เว้นแม้กระทั่งเอทอส แน่นอนมนุษย์ต้นเรื่องรู้ตัวเองดี จึงเตรียมรับคำต่อว่าถากถางไม่พอใจจากปีศาจ ทว่าความจริงกลับต่างจากที่มนุษย์คาดเดาอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเมื่อกลับมาถึงบ้านพักในช่วงพลบค่ำ เอทอสเพียงเอ่ยทักทายเล็กน้อยก่อนถามเขาว่าทานมื้อเย็นแล้วหรือยัง ไม่มีคำดุ ไร้การตำหนิ ไร้ความไม่ชอบใจ แม้จะไม่แสดงออกผ่านการกระทำ แต่ภายใต้นัยน์ตาสีอำพันดุขุ่นมัวกลับเผยความรู้สึกแท้จริงให้มนุษย์รู้อย่างชัดเจน

    ระหว่างมื้ออาหาร เอทอสยังคงปฏิบัติตัวปกติกับเขา แม้เสียงข่าวจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ในห้องรับแขก จะยังคงเล่าเหตุการณ์ตอกย้ำอย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำให้ท่าทีของปีศาจเปลี่ยนไป ราวกับเอทอสกำลังปิดกั้นไม่รับรู้ทุกสิ่งที่เขาก่อ แม้หากมองแง่ดีจะดูคล้ายปีศาจพยายามทำใจยอมรับ แต่โนอาร์รู้จักคนรักของตัวเองดี ฉะนั้นหลังรอปีศาจอาบน้ำให้ความรู้สึกที่หลบซ่อนไว้เย็นลง มนุษย์จึงเริ่มคุยกับปีศาจเพื่อยุติบรรยากาศชวนอึดอัดระหว่างกัน

    “ผมรู้ว่าคุณกำลังโกรธและคุณควรระบายมันออกมาเอทอส ถ้าคุณเอาแต่เก็บกดมันไว้แบบนี้ มันจะย้อนมาทำร้ายตัวคุณเอง”
    “…ใช่ ใจจริงข้าอยากจับเจ้าล่ามโซ่ไว้กับข้า ทำทุกทางให้เจ้าไปไหนไม่ได้ จะได้ไม่ต้องออกไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครอีก” ปีศาจเอ่ยตอบพลางแต่งตัวตรงตู้เสื้อผ้า พยายามคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอขึ้นเสียงใส่มนุษย์ ก่อนจะหันกลับมา
    “แต่ข้าก็คิดได้ เวลาของข้ามีค่าเกินกว่าจะเสียไปกับเรื่องพรรณ์นี้ ตราบที่ข้ายังมีโอกาสอยู่ ข้าจะใช้มันทั้งหมดเพื่อมีความสุขกับคนที่ข้าเลือก ส่วนเจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไป ข้าไม่จะไม่ห้ามเพราะถือว่าเจ้าตัดสินใจแล้ว”

    ถ้อยคำของปีศาจถึงกับทำให้ชายที่ขึ้นชื่อว่าไร้หัวใจ รู้สึกจุกหน่วงตรงกลางอกจนไม่อาจเอ่ยสิ่งใดตอบกลับ ได้แต่ตำหนิก่นว่าในความโง่เขลาของตัวเอง ที่เห็นพวกเหลือบไรสำคัญกว่าการอยู่เคียงข้างปีศาจ ความละอายรู้สึกผิดเด่นชัดในนัยน์ตารัตติกาลสะท้อนอยู่ในดวงตาสีอำพันดุ เอทอสไม่คิดกล่าวอะไรเป็นการปลอบประโลม เพียงเดินไปปิดไฟห้องแล้วกลับมานอนด้านหนึ่งของเตียงที่เป็นตำแหน่งประจำ

    หลังหลับตาเตรียมเข้าสู่นิทราได้สักพักหนึ่ง เอทอสเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งพยายามซุกตัวเข้ามาในอ้อมแขนเขา การขยับเบียดแนบชิดคล้ายต้องการไออุ่นแต่ก็แผ่วเบาราวกับไม่อยากรบกวนสร้างความรำคาญใจ ช่างเป็นการกระทำอันย้อนแย้งไม่สมกับกลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากแก่นวิญญาณ และแน่นอนการแสดงออกของโนอาร์ทำให้เอทอสไม่อาจฝืนใจร้ายได้นานนัก ดังนั้นท่อนแขนกว้างแข็งแรงจึงยอมโอบรอบร่างมนุษย์ข้างกาย ดึงให้เข้ามานอนซุกซบแผงอกแกร่งอย่างทุกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ จมลงสู่ห้วงราตรีไปด้วยกัน


    “ตอนเที่ยงคุณอยากกินอะไร”

    คำถามหนึ่งจากคนในครัวดังขึ้น ส่งผลให้เจ้าบ้านซึ่งกำลังจิบกาแฟดูข่าวยามเช้าหันมอง วันนี้โนอาร์กลับมาใส่ชุดชาวสวนดังเดิม คล้ายสื่อเป็นนัยว่าอีกฝ่ายตั้งใจไปทำงานกับเขา การเปลี่ยนแปลงตัวเองของมนุษย์ทำให้ปีศาจลอบยิ้มเล็กน้อยเมื่อทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ เขาเคยบอกแล้วว่าเขามีวิธีมากมายใช้คุมชายอันตรายคนนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาพูดกับโนอาร์เมื่อคืนเป็นเรื่องโกหก

    “อยากกินเจ้า”
 
    คำตอบเหนือความคาดหมาย ถึงกับทำให้มือที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบหยุดชะงัก โนอาร์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาสบกับนัยน์ตาปีศาจซึ่งยามนี้กลายเป็นสีแดงเลือดนก และกำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ความเร่าร้อน จริงจัง ต้องการอยากครอบครองอัดแน่นอยู่ในดวงตาคมดุ เด่นชัดเสียจนชายผู้มีหัวใจน้ำแข็งเยือกเย็นยังรู้สึกสั่นไหว หากไม่ติดเรื่องปลอกคอที่กำลังส่องจุดแสงสีเขียวเยาะเย้ยเขาอยู่ มนุษย์มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ปีศาจทนหิวจนถึงมื้อกลางวัน

    “ถอดเครื่องนั่นออกไปเมื่อไร ผมสัญญา...”
    “ว่า?” ร่างสูงใหญ่ถามกลับ คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายตั้งใจรอฟังสิ่งที่มนุษย์พูด
    “คุณจะได้กินจนอิ่ม กินได้มากเท่าที่คุณต้องการ”

    และด้วยคำตอบนั้นเอง คนในครัวจึงถูกร่างสูงใหญ่กระดิกนิ้วเรียกให้มารับจูบนุ่มนวลลึกล้ำเป็นรางวัล


    ความคับข้องใจของปีศาจและมนุษย์เกิดขึ้นและจบลงในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทำให้เหล่าคนสวนไม่มีใครทันสังเกตเห็น จะรับรู้ก็แต่ความสัมพันธ์ของนายใหญ่และคนรักที่ยิ่งแน่นแฟ้นผูกพันขึ้นทีละน้อย ดูได้จากการไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะออกตรวจกล้วยไม้ เคลียร์เอกสารในห้องทำงาน ทุกที่มักเห็นภาพนายใหญ่และคุณโนอาร์ต่างช่วยเหลือพูดคุยปรึกษากันเสมอ รวมถึงบรรยากาศรอบกายคุณโนอาร์ที่ไม่ได้แฝงความเยียบเย็นเฉกเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ยิ่งทำให้คนสวนหลายคนกล้าที่จะเข้าหา หรือเอ่ยแซวหยอกเย้ามากขึ้น

    แม้โดยรวมทุกอย่างจะดูกลับคืนสู่ความปกติสุข ทว่าความจริงแผนการเลวร้ายทั้งหมดยังคงดำเนินต่อไป เพียงแค่ชายเลือดเย็นลงมาคุมเกมด้วยตัวเองน้อยลง และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับปีศาจ ซึ่งทุกเมื่อมีโอกาส โนอาร์จะหวนกลับมายังเกมกระดานชะตากรรมที่เล่นค้างไว้ เพื่อขยับเดินหมากกัดกินชีวิตอย่างเช่นครานี้

    “เรื่องที่สั่งไปถึงไหน” โนอาร์ถามถึงความคืบหน้าเรื่องสีคราม หลังจากผ่านมาหลายวัน
    […จะจัดการคืนนี้]
    “อืม เลือดที่ได้เอาไปให้จินภายในวันพรุ่งนี้ ไม่มีการเลื่อน จากนั้นหาคนเข้าไปแฝงในบ้านนักธุรกิจชื่อภาคินที่กำลังเป็นข่าว เสร็จแล้วจะไปทำอะไรก็ทำ”
    [นี่เป็นงานสุดท้าย?] มังกรเอ่ยถามเมื่อท้ายคำสั่งเหมือนโนอาร์จะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ
    “ไม่”

    โทรศัพท์ตัดไป พร้อมกับคำตอบเรียบสั้นทำลายความคาดหวังทั้งหมด มังกรได้แต่กำโทรศัพท์แน่นเพื่อคลายความหงุดหงิดอัดอั้น ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์และกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ที่ซึ่งมีคนสำคัญหนึ่งเดียวในชีวิตรออยู่

    “คิ้วขมวดมาเลย เป็นอะไรล่ะพ่อ” หญิงสาวบนเตียงผู้ป่วย เอ่ยทักแฟนหนุ่มทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมา
    “พ่อ?... อย่าบอกกรนะว่าคืนนั้นที่เราแอบ-”
    “หยุดนะ!”

    หญิงสาวหน้าแดงก่ำ รีบห้ามแฟนหนุ่มเสียงดังพร้อมขวางหมอนใส่ระบายความเก้อเขิน ส่วนคนโดนประทุษร้ายก็ได้แต่ยืนหัวเราะสนุกสนาน และตอนท้ายก็ไม่วายเป็นชายหนุ่มต้องตามง้อคนงอน ซึ่งขณะนี้มุดผ้าห่มหนีไปแล้ว

    “น่า ๆ กรแค่หยอกเล่นเอง หายงอนนะ” แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าเสียงทุ้มอ่อนโยนยังคงกลั้วหัวเราะ
    “พอเลย” เสียงอู้อี้ผ่านฝืนผ้าตอบกลับมา
    “ออกมาก่อนเร็ว... กรมีเรื่องต้องบอกหยกนะ”

    น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นของแฟนหนุ่ม ส่งผลให้หญิงสาวยอมดึงผ้าห่มลงและลุกขึ้นมานั่งคุยดี ๆ  ความกังวลเล็กน้อยที่พยายามเก็บซ่อนไม่อาจรอดพ้นสายตาคนรัก ดังนั้นฝ่ามือขาวบอบบางจึงยื่นมากอบกุมมือแข็งแรงอย่างให้กำลังใจ

    “งานจากคนนั้นอีกแล้วเหรอ”
    “อืม... กรต้องไปทำค่ำนี้ คงไม่น่านานนัก แต่ถ้าดึกมากแล้วกรยังไม่มา หยกต้องนอนนะ ห้ามรอ” มังกรกำชับ เพราะครั้งก่อนหยกเคยอยู่รอเขาจนเกือบรุ่งสาง ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มกลัวมากว่าจะกระทบกับสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงของอีกฝ่าย
    “ได้ หยกสัญญาจะนอนตรงเวลา กรจะได้มีสมาธิกับงาน... แล้วเขาบอกกรไหมว่าต้องทำงานให้เขาอีกกี่ครั้ง”
    “ไม่บอก แต่ที่คุยกัน เหมือนหลังจากครั้งนี้เขาอาจไม่ใช้กรอีกสักพักหนึ่งเลย”
    “มองในแง่ดี บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้นะ มา! งั้นเดี๋ยวหยกเพิ่มพลังให้ กรหลับตาก่อนเร็ว”

    ชายหนุ่มเอียงคอสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตามโดยดี หลังหลับตาได้สักพักบริเวณผิวแก้มสากพลันรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มของบางสิ่งกดประทับค้างอยู่ครู่หนึ่งแล้วผละออก เมื่อสัมผัสหายไปมังกรจึงลืมตาขึ้นมองเจ้าของรางวัลด้วยรักใคร่ขอบคุณ ก่อนจะทำแบบเดียวกันโดยขยับตัวลุกขึ้นหาคนบนเตียง พร้อมจุมพิตลงบนผิวแก้มอิ่มอย่างนุ่มนวล ความอ่อนโยนของแฟนหนุ่มส่งผลให้ใบหน้าของหญิงสาวกลับมาขึ้นสีแดงอมชมพูระเรื่ออีกครั้ง

    “กรรักหยกนะ”
    “หยกก็รักกรเหมือนกัน”

     คำตอบรับจากผู้เป็นที่รัก ทำให้มังกรหลุดยิ้มอย่างเป็นสุข ก่อนจะชวนหญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อลบบรรยากาศหม่นภายในห้องให้หมดไป คงเหลือไว้เพียงความอบอุ่นอบอวลด้วยความรักห่วงใยระหว่างกัน




(ต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    ช่วงเวลาโหดร้ายตกต่ำในชีวิตยังคงเคลื่อนผ่านไปแต่ละวันอย่างยากลำบาก สีครามพยายามฝืนทานมื้อค่ำเงียบเหงาภายในร้านดอกไม้เพียงลำพัง ประตูเหล็กม้วนรอบร้านเสมือนเป็นกำแพงปกป้องคนระทมชอกช้ำจากโลกที่โดนรังเกียจ โทรทัศน์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต ทุกสิ่งที่สามารถช่วยผ่อนคลายความเศร้าถูกปิดไม่ใช้งาน เพราะความกลัว กลัวจะถูกตราหน้าหยามเหยียดว่าเป็นส่วนเกินที่ไม่ควรเกิดมา

    “ตึง!! ๆ ๆ”

     เสียงทุบประตูเหล็กม้วนจากภายนอก ถึงกับทำให้คนหมองเศร้าสะดุ้งสุดตัว ดวงตาหม่นหวาดระแวงรีบหันไปทางต้นเสียงตามสัญชาตญาณ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับต้องการพังเข้ามา สร้างความกลัวเกาะกุมจิตใจอันรวดร้าว ค่อย ๆ ขยับถอยห่างจากประตูร้านทีละน้อย

    “ตึง!!! ๆ ๆ ๆ ๆ”

    เวลาผ่านไปทุกอย่างมีแต่จะแย่ลง ความหนักหน่วงในการคุกคามของบางสิ่งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ความคิดสับสนกระวนกระวายพานให้คาดการณ์เรื่องราวไปต่าง ๆ นานา ร่างกายบอบบางเริ่มสั่นสู้ป้องกันตัวเอง มือสั่นรีบควานหาโทรศัพท์โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ขอความช่วยเหลือ

    “ติ้ด! ๆ ๆ ๆ”
    “ตุ้บ!!”
    
    โทรศัพท์ในมือดังขึ้นฉับพลันเมื่อมีสายโทรเข้า ความตื่นตกใจทำให้เผลอปล่อยโทรศัพท์ร่วงจากมือตกกระแทกพื้น สีครามรีบก้มหยิบเครื่องมือช่วยเหลือเดียวขึ้นตรวจเช็ก รอยร้าวคล้ายกระจกแตกกระจายไปทั่วจอ ทว่าโชคดีที่ยังคงใช้การได้ปกติพอให้เบาใจได้เล็กน้อย แล้วจึงหันมาดูชื่อคนโทรเข้า แม้ชื่อที่ปรากฏจะช่วยลดความหวาดกลัว แต่ก็ยังคงหลงเหลือความระแวงอยู่ในจิตใจ

    “คะ.. ครับ” สีครามเริ่มต้นทักปลายสาย
    [ฉันเอง เปิดประตูหน่อย] มังกรตอบกลับเรียบสั้น พร้อมเอ่ยสั่งอีกฝ่าย
    “มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบแล้ว”
    [เจ้านั่นมันไม่ยอมจบ แต่วันนี้ไม่ได้พาตัวนายไปไหนหรอก แค่เอาของมาให้กับมาขออะไรนิดหน่อย]
    “มาคนเดียวเหรอครับ”
    [ใช่ เรื่องแค่นี้ฉันจะเอาคนมาทำไมเกะกะเสียเวลา มารีบทำให้มันเสร็จ ๆ ฉันจะได้หมดธุระสักที]
 
    ได้ยินดังนั้น สีครามจึงพยายามทำใจดีสู้ข่มความกลัว แล้วจึงค่อยไปเปิดประตูให้ใครบางคน มังกรมองสำรวจสภาพหมองหม่นหวาดระแวงของอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งโต๊ะที่มีจานข้าวกินค้างไว้วางอยู่

    “เพิ่งกินข้าว?” มังกรเอ่ยถาม เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะทั้งที่เวลาล่วงเลยมื้อเย็นมานานแล้ว
    “ครับ”
    “อืม.. ที่เจ้านั่นต้องการมีสองอย่าง อย่างแรกมันอยากได้เลือดของนายประมาณหลอดหนึ่ง อีกอย่างคือให้ฉีดไอ้นี่”

    มังกรขานรับเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเข้าเรื่องพร้อมหยิบของทั้งหมดมาวางตรงหน้าสีคราม หลอดเก็บเลือดพร้อมเข็มกับสายรัดวางอยู่คู่กัน ข้าง ๆ มีเครื่องมือแปลกตาลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาทว่าทำจากโลหะ ซึ่งของเหล่านี้ทำให้สีครามเผลอขมวดคิ้วด้วยความกังวล

    “มันคืออะไรครับ?” สีครามถามพลางชี้ไปยังอุปกรณ์ไม่น่าไว้วางใจ
    “ไม่รู้ ถามแล้วมันไม่ยอมบอก แค่ยืนยันว่าไม่ถึงตาย”

    คำตอบจากชายที่เคยลักพาตัว ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเพิ่มความหวาดระแวงจนต้องค่อย ๆ ขยับถอยห่าง มังกรที่จับสังเกตได้ถึงความตื่นกลัวของสีคราม จึงเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้

    “อย่าทำให้มันยากเลยสีคราม ฉันไม่อยากบังคับนายถึงได้มาคุยดี ๆ และนายก็มีทางเลือกแค่ต้องทำ”
    “…”
     “นายโชคดีมากแล้วที่เจ้านั่นไม่มาเอง หรือส่งคนอื่นมาแทนฉัน ฉะนั้นทำให้มันจบ ๆ ไปดีกว่า ทั้งฉันและนายจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน”

    แม้จะได้ฟังเหตุผลอ้างสนับสนุนมากมาย แต่การจะให้ฉีดบางอย่างเข้าไปในร่างทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลเกินกว่าจะยอมเสี่ยงได้เช่นกัน และดูจากท่าทีของมังกรที่พร้อมใช้กำลังฝืนบังคับถ้ามีการขัดขืน ยิ่งกระตุ้นให้สีครามพยายามคิดหาทางหนีจากสถานการณ์กดดันนี้

    สายตาครุ่นคิดที่ซ่อนความสั่นไหวไว้ภายใน แกล้งมองไปทางอื่นคล้ายกำลังตัดสินใจทว่าแท้จริงกลับกำลังหาทางหนี ประตูหน้าร้านต้องวิ่งฝ่ามังกรคงไม่สามารถใช้ได้ ฉะนั้นจึงมีเพียงทางออกหลังร้าน

    “พรึบ!”
    “หมับ! ตึง!!”
    “เคล้ง!!”
 
    สีครามอาศัยจังหวะที่มังกรเผลอเล็กน้อยรีบลุกขึ้นวิ่งไปทางหลังร้าน ทว่าแขนเล็กกลับถูกคว้าจับไว้พร้อมกระชากฉับพลัน ส่งผลให้ตัวสีครามโดนแรงดึงล้มกระแทกกับพื้นโต๊ะ เหล่ามื้อเย็นที่ทานค้างไว้ตกกระจายเกลื่อน ใบหน้าหวาดหวั่นถูกจับล็อกกดบี้กับเศษเม็ดข้าวและน้ำแกงเย็นชืดเหนียวเหนอะ ความรุนแรงที่ไม่คาดว่าจะได้รับจากคนเริ่มวางใจ ช่วยปลุกสีครามกลับสู่ความจริงว่า ความช่วยเหลือจากใจจริงไร้ผลประโยชน์ เป็นเพียงนิทานลวงหลอกไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้

   “ปะ.. ปล่อยผม!”
    “ฉันไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แต่นายบังคับฉันเองสีคราม”
    “พรึบ!”
    “โอ๊ย!”

    ฉับพลันไฟทั่วทั้งร้านพลันดับลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความมืดเข้าปกคลุมพร้อมกับบางสิ่งหล่นกระแทกใส่ศีรษะมังกรอย่างแรง จนชายหนุ่มจำต้องปล่อยมือจากเป้าหมาย

    “หนีเร็วครับ คุณสีคราม”

    เสียงกระซิบเยียบเย็นข้างหูแผ่วเบา เรียกสติสีครามได้เป็นอย่างดี ความตื่นตระหนกต้องการหลีกหนีจากเหตุการณ์ บังคับให้ดวงตาหวั่นระทึกรีบกวาดมองหาทางออกฝ่าความมืด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านประตูหลังร้านที่เปิดแง้มไว้ทั้งที่จำได้ว่าปิดสนิท ความพิศวงผิดแผกที่เกิดขึ้นหลายครั้งชวนให้รู้สึกสงสัยในใจลึก ๆ ทว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามามัวตั้งคำถามถึงบางสิ่ง ดังนั้นสีครามจึงอาศัยโอกาสเดียวที่มีรีบวิ่งสุดกำลังไปที่ทางออก

    “หลับ”

    ทันทีที่ย่างเท้าออกสู่ภายนอก ฝ่ามือของใครบางคนพลันสัมผัสกลางหน้าผากสีครามอย่างรวดเร็ว คำพูดเรียบสั้นกลับเป็นดังมนตร์สะกดสติและความรู้สึกให้เลือนหาย เพียงครู่เดียวร่างของสีครามก็ทิ้งตัวล้มใส่ให้ผู้กระทำเข้าประคอง

    การออกคำสั่งวิญญาณคนเป็น ถือเป็นทักษะขั้นสูงของผู้คุมวิญญาณที่ไม่ใช่ใครจะทำได้ เนื่องจากไม่ได้ขึ้นกับการฝึกฝน แต่ขึ้นกับระดับพลังที่มีติดตัวมาตั้งแต่แรก และจินเป็นหนึ่งในนั้น แต่ความสามารถนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน เพราะใช้ได้เฉพาะกับเป้าหมายที่จิตใจตกอยู่ในสภาวะอ่อนไหวไม่มั่นคง
    ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่จินยังลำพองในพลังอันมากล้นของตน เขาเคยริอ่านลองดีใช้พลังนี้กับโนอาร์ช่วงที่พบกันใหม่ ๆ และผลที่ได้คือเขาเกือบถูกชายเลือดเย็นจับไปเป็นของเล่นแก้เบื่อ เป็นเหตุให้ตั้งแต่วันนั้นมา ผู้คุมวิญญาณแสนอาภัพจึงไม่เคยคิดใช้พลังนี้อีกเลย

    จินพาร่างสีครามกลับเข้ามาในร้าน พร้อมกับแสงไฟที่กลับมาสว่างดังเดิม มังกรประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเพื่อนร่วมงานมาอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเก็บเครื่องมืออุปกรณ์ที่หล่นร่วงจากการปะทะเมื่อครู่ ก่อนจะกลับมาหาร่างไร้สติของเจ้าของร้าน เพื่อทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

    “นี่ ๆ มังกร... นายหัวแตกนะ” จินเอ่ยทักอีกฝ่าย เมื่อเห็นของเหลวสีแดงเริ่มไหลจากไรผมข้างขมับ
    “อืม ช่างมัน”

    เสียงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจจากชายหนุ่มดังขึ้น พร้อมยื่นหลอดที่มีเลือดเป้าหมายบรรจุอยู่เต็มส่งให้คนที่เฝ้ามองอยู่ หลังทำงานที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อย มังกรอุ้มสีครามเข้าไปในห้องหนึ่งที่คาดว่าเป็นห้องนอน ก่อนจะวางร่างอีกฝ่ายลงบนฟูกและห่มผ้าให้เสร็จสรรพ จากนั้นจึงออกมาเก็บกวาดข้าวของเกลื่อนกลาดเก็บเข้าที่อย่างไม่คิดสนใจบาดแผลของตัวเอง

    จินยืนมองการกระทำของชายหนุ่มเงียบ ๆ พลางนึกเปรียบเทียบกับกลิ่นอายวิญญาณที่แผ่ออกมาจากมังกร แม้ความชั่วร้ายจะเข้มข้นรุนแรงกว่าความบริสุทธิ์อยู่มาก แต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็ช่วยพิสูจน์ว่าแท้จริงอีกฝ่ายหาใช่คนเลวร้ายโดยกำเนิด

    “นายดูเป็นคนดีนะ ทำไมถึงมาทำงานประเภทนี้ละ” จินที่ออกมารอข้างนอกเอ่ยถามอย่างสงสัย หลังมังกรล็อกประตูร้านให้เจ้าของซึ่งหลับไม่ได้สติอยู่ด้านในเรียบร้อย
    “คิดงั้นเหรอ?”
    “อืมใช่ คนอื่นเสร็จงานเขาก็ไปกันหมดละ ไม่มีใครมาใจดีเก็บนู้นนี่ให้เหมือนที่นายทำหรอก”
    “หึ... ก็แค่ไม่ชอบเห็นอะไรรกหูรกตา ไม่เกี่ยวกับเป็นคนดีอะไรทั้งนั้นแหละ”

    มังกรเอ่ยทิ้งท้ายก่อนเดินหายไปเพราะหมดหน้าที่ จินเพียงยืนมองส่งอีกฝ่ายจนลับสายตา แล้วจึงค่อยหันกลับมาสนใจงานของตนที่ทำค้างไว้ นั่นคือการริบวิญญาณรับใช้ที่หลงเหลืออยู่ของวรรษทั้งหมด เพื่อเอาไปขายสร้างรายได้ทดแทนค่าแรงที่โนอาร์ไม่คิดให้ เนื่องเพราะคนใจร้ายถือว่าการไว้ชีวิตในเรื่องที่เขาทำกับปีศาจ นั้นเป็นค่าตอบแทนที่ประเมินค่าไม่ได้แล้ว และแน่นอนคนมีคดีติดตัวอย่างจิน ย่อมไร้สิทธิ์เรียกร้องใด ๆ



     วันเวลาเปลี่ยนผันเคลื่อนผ่าน และในที่สุดวันครบกำหนดถอดเครื่องติดตามก็มาถึง ทว่าผู้ที่ดูตั้งตารอที่สุดหาใช่ปีศาจเจ้าของเรื่อง แต่เป็นชายผู้อยู่เบื้องหลังความเลวร้ายมากมายที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ซึ่งพฤติกรรมตลอดวันของมนุษย์ ถูกเอทอสลอบสังเกตเป็นระยะ

    ในช่วงเช้า แม้โนอาร์จะทำทุกอย่างปกติ ใบหน้าสงบนิ่งยังคงไม่บ่งบอกความคิด แต่ปีศาจรู้ดีว่ามนุษย์กำลังอารมณ์ดี สังเกตจากนัยน์ตารัตติกาลที่คล้ายคืนฟ้าโปร่งมีหมู่ดาวส่องไสวระยิบระยับ กระทั่งเข้าช่วงบ่ายหมู่ดาวเริ่มถูกกลุ่มเมฆบดบัง เหตุเพราะยังไร้วี่แววการมาของบางสิ่ง จวบจนพลบค่ำ นัยน์ตารัตติกาลหวนสู่คืนเดือนดับไร้แสง และใช่ ความหงุดหงิดของมนุษย์สร้างความสำราญให้ปีศาจเป็นอย่างมาก

    “วันนี้เจ้าดูอยู่ไม่สุข เป็นอะไร ท้องผูก?” ร่างสูงใหญ่แกล้งถามมนุษย์ที่แอบลอบมองบริเวณหน้าบ้านเป็นพัก ๆ
    “ไม่ใช่ วันนี้เป็นวันที่นักล่าปีศาจต้องมาถอดเครื่องนี่ให้คุณ คุณลืม?” โนอาร์ขมวดคิ้วพลางหันมาถามปีศาจ ไม่คิดว่าเอทอสจะไม่ใส่ใจเรื่องของตัวเองเช่นนี้
    “อืม... ไม่น่า ข้าถึงได้กลิ่นอายของพวกนักล่าปีศาจอยู่แถวหลังบ้าน”

    สิ้นเสียงปีศาจ มนุษย์พลันลุกจากโซฟาห้องรับแขก​ ก่อนเดินไว ๆ หายไปทางประตูหลังบ้านพัก ทิ้งปีศาจให้นั่งอ่านแฟ้มเอกสารท่ามกลางความเงียบสงบสักพักใหญ่ มนุษย์จึงกลับมาอีกครั้งในสภาพบึ้งตึง ใบหน้าที่มักสงบนิ่งกลับแสดงถึงความไม่พอใจชัดเจน ความสำเร็จในการทำลายบรรยากาศสุขุมไร้อารมณ์ของมนุษย์ ทำให้ปีศาจหลุดหัวเราะขัน

    “คุณหลอกผม”
    “หึ ๆ ถ้าใช่แล้วทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า?”

    คำท้าทายลูบคมถูกส่งตรงมาให้บุคคลอันตราย แต่เพราะอีกฝ่ายคือปีศาจ หนึ่งเดียวผู้ถูกยกให้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่างของฆาตกร ฉะนั้นสิ่งที่ได้รับตอบกลับจึงมีเพียง อาการฟึดฟัดไม่พอใจ หาใช่การทรมานเจียนตายอย่างที่ควรเป็น

    ระหว่างการกวนอารมณ์ของปีศาจ เสียงกริ่งหน้าบ้านพลันดังขึ้น ส่งผลให้มนุษย์ละความสนใจจากปีศาจตรงหน้าแล้วเดินออกไปหาผู้มาเยือน ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดโดยชายอารมณ์กำลังคุกรุ่น ก่อนจะพบกับนักล่าปีศาจคุ้นหน้า คนเดียวกับที่ครั้งหนึ่งเคยเอาปลอกคอมาให้ปีศาจ ผู้มาใหม่เอ่ยขอเข้าไปด้านในพอเป็นพิธี พลางพยายามเดินแทรกผ่านบุคคลอันตรายอย่างถือวิสาสะ ซึ่งแน่นอนเมื่อคนลูบคมหาใช่เอทอส ย่อมไม่มีเหตุให้ละเว้นใด ๆ ทิ้งสิ้น

    “หมับ!”

    มือขาวที่กำลังคว้ามีดข้างเอว กลับถูกฝ่ามือใหญ่แข็งแรงจับล็อกอย่างง่ายดาย นัยน์ตารัตติกาลพลันหันสบปีศาจด้วยความหงุดหงิดที่จวนจะปะทุ ทว่าตัวการกลับหาได้สนใจไม่ เพียงขยับมาหยุดยืนข้างกัน เสมือนใช้ร่างสูงใหญ่ของตนกั้นขวางทางเข้าไว้ สื่อเป็นนัยว่าไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า

    “ไม่คิดจะต้อนรับแขกเลยหรือ?” นักล่าปีศาจเอ่ยถามเจ้าบ้าน
    “พอดีไม่ได้มองเป็นแขกตั้งแต่แรก รีบเอาเครื่องนี่ออกไปซะ ก่อนที่จะมีคนสติแตกก่อน”

      เสียงทุ้มต่ำกล่าวตอบนิ่ง ๆ ทว่าเนื้อหาตอนท้ายกลับยิ่งทำให้เรียวคิ้วเหนือนัยน์ตารัตติกาลขมวดแน่น นักล่าปีศาจผู้ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนเกินก็ไม่อยากยืดเยื้อให้มากความ หยิบเครื่องมือปลดล็อกขึ้นมาสแกนอุปกรณ์ตรงลำคอปีศาจจำแลงในร่างมนุษย์ ไม่นานเครื่องติดตามก็ถูกนักล่าปีศาจเก็บกลับคืน และเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่ประตูรั้วใหญ่พลันเลื่อนปิดโดยฝีมือเจ้าบ้าน ไร้ซี่งคำกล่าวลาใด ๆ ราวกับต้องการแสดงออกให้เห็นชัดเจนว่าบ้านหลังนี้ ไม่คิดต้อนรับพวกนักล่าปีศาจ

    เอทอสลากมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเลือดเย็น ทว่ายามนี้อารมณ์กำลังเดือดพล่านเข้าบ้าน ฉับพลันที่เข้ามาด้านในร่างของมนุษย์กลับถูกเหวี่ยงใส่โซฟา ตามด้วยร่างสูงใหญ่ของปีศาจขึ้นคร่อมกักขังในทันที ใบหน้าคมเข้มก้มลงมาใกล้พร้อมนัยน์ตาสีอำพันดุที่ค่อย ๆ กลับคืนสู่สีแดงเลือดนกแท้จริง

    “โกรธข้าเหรอ” เสียงทุ้มต่ำติดพร่าเอ่ยถาม ร่างของโนอาร์นิ่งงัน นัยน์ตารัตติกาลได้แต่จ้องสบดวงตาสีแดงเลือดนกคมดุ คล้ายถูกสะกดไม่ให้ละไปไหน
    “…ไม่ได้โกรธ”
    “แต่หงุดหงิด?”
    “เพราะคุ-”
    “ถึงข้าจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีนิสัยคล้ายพวกมนุษย์บางคนที่ชอบเย้าแหย่คนรัก”
     “…”
    “ที่รักของข้า... เจ้าพอจะอภัยในความโง่เขลาของว่าที่สามีผู้นี้ได้หรือไม่”

   สิ้นเสียงทุ้มต่ำเว้าวอนจากเอทอส โนอาร์คล้ายได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากใจกลางความรู้สึก พลังทำลายปัดเป่าทุกความขุ่นมัวก่อนหน้าหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความคิดขาวโพลนว่างเปล่า ช่วงจังหวะหัวใจเหมือนหยุดค้างไปเสี้ยววินาที ก่อนกลับมาเต้นกระหน่ำดังเสียจนหูทั้งสองข้างอื้ออึง ไม่อาจรับรู้โลกภายนอกอีกต่อไป

    ปีศาจที่เห็นมนุษย์ใต้ร่างเบิกตากว้างขึ้นหนึ่งระดับ ก่อนจะแน่นิ่งไปคล้ายสติหลุดลอย ก็เพียงหัวเราะเล็กน้อย พร้อมทิ้งร่างหนาหนักของตนทับกดร่างมนุษย์ข้างใต้ สองแขนแกร่งช้อนหลังมนุษย์โอบกอดเข้าหาตัว ใบหน้าคมเข้มซุกซอกคอขาวพลางกัดเม้มอย่างที่อยากทำมาเนินนาน สัมผัสแปลกประหลาดทำให้ร่างในอ้อมแขนเผลอย่นคอหลบเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่ช่วงเดียวเท่านั้น เพราะต่อมามนุษย์ก็ยอมแหงนหน้าขึ้น เพื่อเผยลำคอขาวให้ปีศาจดอมดมได้ตามใจ

    “เจ้ารังเกียจไหม หากครั้งแรกเป็นที่โซฟา ถ้าเจ้าอยากมีเวลาเลือกหาสถานที่ที่พิเศษกว่านี้ ข้าจะรอ”

    เสียงทุ้มพร่ากระซิบถาม ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเพื่อรอคำตอบจากมนุษย์ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเปี่ยมไปด้วยความต้องการอัดอั้นแทบทนไม่ไหว ทว่ายังคงยั้งรอเพราะแคร์ความรู้สึกของคู่ครอง ซึ่งนั่นสร้างความประทับใจให้โนอาร์จนรู้สึกเหมือนตกหลุมรักปีศาจตนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝ่ามือขาวยกขึ้นสัมผัสกรอบหน้าคมพลางเกลี่ยนิ้วลูบผิวแก้มสากอย่างอ่อนโยน ในหัวฆาตกรพลันคิดแผนการอย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยวอึดใจกำหนดการสร้างค่ำคืนแสนพิเศษก็ถูกวางโครงไว้อย่างสมบูรณ์

    “มะรืนนี้คุณหยุดใช่ไหม” โนอาร์ถามเจ้าภาพของงานเพื่อเช็กความมั่นใจ
    “ใช่”
    “พรุ่งนี้หลังเสร็จงานจากสวน เราจะไม่กลับมาที่นี่ แต่ไปฮันนีมูนกันครับ”



บท28 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน

    จริง ๆ แล้ว บท28 กับ 29 คนเขียนตั้งใจให้เป็นบทเดียวกันครับ แต่ปรากฎว่ามันยาวมาก คนเขียนเลยตัดสินใจแบ่ง ส่วนเรื่องยาวเพราะอะไร คนอ่านอาจพอเดาได้จากบทพูดตอนท้ายของเอทอสกับโนอาร์ครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2020 22:54:28 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    ณ สวนรฦกวัลย์ในช่วงเวลาเย็นย่ำ วันนี้ชาวสวนบางส่วนที่ยังไม่กลับล้วนตื่นตาระคนสงสัย เหตุเพราะทันทีที่เลิกงานคุณโนอาร์พลันเดินไว ๆ หายไปในห้องน้ำแทนที่จะไปหาคุณเอทอสอย่างปกติ สักพักหนึ่งคนรักของนายใหญ่ก็กลับมาในชุดเสื้อเชิ้ตเนื้อดีพื้นขาว มีลายสีฟ้าครามแต้มประปรายให้ความรู้สึกคล้ายฟองคลื่นน้ำทะเล กางเกงสามส่วนสีขาวสะอาดเข้ากับผิวพรรณนวลละเอียดดุจเจ้าชายของผู้สวมใส่
    การแต่งกายในชุดสบาย ๆ เหมือนกำลังไปเที่ยวพักผ่อน หาได้น่าสนใจเท่าเมื่อเสื้อผ้าแสนเรียบง่ายธรรมดา มาอยู่บนร่างสูงสมส่วนองอาจทะนงตนนั้น กลับยิ่งขับเสน่ห์ดึงดูดของคุณโนอาร์ให้เปล่งประกาย ชวนให้หลงใหลจ้องมองไม่ต่างจากนายแบบดัง

    กลุ่มชาวสวนที่ทันเห็นต่างนิ่งค้างคล้ายต้องมนตร์ กว่าจะได้สติก็เมื่อผู้เป็นเจ้าของแท้จริงเดินออกมาจากสำนักงาน ทว่าก็ไม่เป็นอันได้เข้าไปถามไถ่ชื่นชมอย่างที่ตั้งใจ เหตุเพราะคุณเอทอสที่มักมีท่าทีนิ่งขรึมน่าเกรงขาม ยามนี้กลับกระตุกยิ้มเล็กน้อยพลางยีผมคุณโนอาร์เล่นอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำ จากนั้นจึงจูงมือคนรักไปทางลานจอดรถ และกระบะสีดำก็ได้ขับผ่านกลุ่มชาวสวนไป ปิดโอกาสล่วงรู้โดยสิ้นเชิง


    รีสอร์ทบรรยากาศสงบติดทะเล เป็นจุดหมายสำหรับพักค้างแรมในคืนนี้ หนึ่งมนุษย์และปีศาจเดินทางมาถึงในช่วงพลบค่ำ โนอาร์เดินนำร่างสูงใหญ่ไปยังเคาน์เตอร์เพื่อเช็กอิน การพูดคุยใช้เวลาพอสมควรเพราะมนุษย์มีความต้องการให้ทางรีสอร์ทจัดเตรียมค่อนข้างมาก และหลังทุกอย่างตรงตามข้อตกลง โนอาร์จึงหยิบบัตรเครดิตเพื่อจ่ายค่าที่พักรวมถึงส่วนต่างเพิ่มเติม ทว่าเมื่อมนุษย์เงยหน้าจากกระเป๋า กลับพบว่าปีศาจได้ยื่นบัตรของตนส่งให้พนักงานไปก่อนแล้ว

    “ผมเป็นคนคิด ผมควรจะจ่าย” โนอาร์เพียงหันมาทักท้วงปีศาจ ไม่ได้เอ่ยห้ามพนักงาน เนื่องจากไม่อยากขัดความตั้งใจของเอทอส
    “เจ้าแค่วางแผนก็พอ ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ข้า”

    ร่างสูงใหญ่ตอบกลับเรียบง่าย ก่อนจะรับบัตรเครดิตคืนพลางใช้มือดันหลังมนุษย์เล็กน้อย สื่อเป็นนัยให้เริ่มเดินเพื่อไปยังที่พัก ซึ่งตอนนี้มีพนักงานของรีสอร์ทยืนรอนำทางอยู่

    บ้านพักติดชายหาด มีสายลมโกรกพัดกลิ่นอายทะเลและธรรมชาติชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย บริเวณหน้าที่พักมีเตียงชายหาดเสริมเบาะรองสำหรับนอนเล่นชมบรรยากาศ ถัดออกมาบริเวณผืนทรายมีโต๊ะดินเนอร์ปูผ้าขาวสะอาดตา มีชุดจานและแก้วแชมเปญสองชุดคู่กับเก้าอี้ กึ่งกลางโต๊ะวางเทียนส่องไสวพลิ้วตามลม เพิ่มความสว่างด้วยคบไฟที่ปักอยู่รายล้อม

    ชายเลือดเย็นจูงมือปีศาจมาที่โต๊ะ และเมื่อทั้งสองนั่งกันเรียบร้อย พนักงานจึงเข้ามารินไวน์เลิศรสพร้อมเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อย เป็นการเริ่มต้นค่ำคืนอันแสนพิเศษ

    “ทำไมถึงเลือกที่นี่?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางจิบไวน์ระหว่างรอ ความพึงพอใจในนัยน์ตาสีอำพันดุ ทำให้มนุษย์หลุดยิ้มมุมปากเล็กน้อย
    “เพราะคุณชอบความสงบเป็นธรรมชาติ ผมเลยคิดว่าคุณน่าจะชอบรีสอร์ทริมทะเล มากกว่าพวกโรงแรมหรูกลางเมือง”
    “หึ.. เลือกได้ดี”

    เอทอสกล่าวชมเล็กน้อยก่อนหันมองไปยังทะเล เสียงสายลมผสานเสียงคลื่นคลอบรรยากาศพาให้ความรู้สึกสงบ การตัดขาดจากโลกภายนอกช่วยหยุดพักจากความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง หนึ่งมนุษย์และปีศาจต่างพูดคุยตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุข เก็บภาพความทรงจำในค่ำคืนนี้ให้คงอยู่ตลอดไป


    หลังการดินเนอร์ริมทะเลจบลง เหล่าพนักงานรีสอร์ทช่วยกันเก็บโต๊ะอุปกรณ์ทั้งหมดออกจากชายหาด ทำให้สามารถชมบรรยากาศท้องทะเลยามค่ำจากในบ้านพักได้อย่างเต็มตาไร้อุปสรรคบดบัง เอทอสเอนหลังบนเตียงชายหาดหน้าบ้านพัก หลับตาฟังเสียงธรรมชาติระหว่างรอมนุษย์กำลังอาบน้ำ จนรู้สึกถึงแรงสะกิดบริเวณไหล่ นัยน์ตาสีอำพันดุจึงลืมขึ้นมองมนุษย์ที่ตอนนี้อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำผืนบาง กลิ่นหอมของสบู่ติดผิวกายมนุษย์คล้ายเชิญชวนให้สัมผัส แต่ปีศาจรู้ดีว่ายังไม่ถึงเวลา

    “ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว คุณอาบต่อได้เลย”
    “อืม”

    ร่างสูงใหญ่ขานรับตกลง ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าบ้านพักโดยมีมนุษย์คอยเดินตามหลัง บริเวณอ่างล้างหน้าในห้องน้ำมีแปรงบีบยาสีฟันวางไว้เสร็จสรรพ ข้างกันมีผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืนและชุดคลุมอาบน้ำ ไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนจัดเตรียม

    หลังจัดการตัวเองตรงบริเวณอ่างล้างหน้าเรียบร้อย เอทอสจึงเริ่มปลดกระดุมเสื้อที่ใส่อยู่พลางเดินเข้าไปในโซนอาบน้ำ ซึ่งแยกเป็นฝั่งฝักบัวกับอ่างอาบน้ำ พื้นปูด้วยแผ่นหินแบนและโรยหินกลมตกแต่งตามพื้นที่ว่าง มีต้นไม้ประดับเพิ่มมุมสีเขียวผ่อนคลาย ทว่าที่นี่กลับมีบางสิ่งที่ผิดแปลกจนร่างสูงใหญ่ต้องหยุดเท้า เนื่องจากโซนนี้ของห้องน้ำกลับมีเพียงกำแพงสูงล้อมเพื่อความเป็นส่วนตัว ด้านบนปล่อยโล่งทำให้สามารถมองเห็นดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน เป็นการออกแบบห้องน้ำกลางแจ้งให้เสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ทว่าเมื่อหันมองอีกด้านหนึ่ง

    บานกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เสมือนเป็นกำแพงกั้นห้องน้ำกับบ้านพัก แต่เพราะเป็นกระจกจึงทำให้ทั้งสองฝั่งสามารถมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน ซึ่งตอนนี้เขากำลังถูกนัยน์ตารัตติกาลจากคนบนเตียงจับจ้องอยู่ เอทอสกระตุกยิ้มเล็กน้อยให้กับความเจ้าเล่ห์ของมนุษย์ พลางค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อลงจนหมด นัยน์ตาดุสีอำพันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก ยังคงประสานจ้องกลับนัยน์ตารัตติกาลตลอดการเปลื้องผ้าทีละชิ้น

    ร่างสูงใหญ่เปลือยเปล่าอวดผิวแทนกล้ามเนื้อกำยำ ยืนหันหลังให้มนุษย์ก่อนเปิดน้ำจากฝักบัวไหลชโลมกายแกร่ง ฝ่ามือใหญ่สองข้างลูบไล้ผิวเนื้อด้วยสบู่จนเกิดฟอง ทุกการขยับเคลื่อนไหวผสานสายน้ำกับความลื่นของสบู่ ช่วยขับให้มัดกล้ามเนื้อแข็งแรงทุกสัดส่วนยิ่งเด่นชัดสู่สายตาใครบางคนที่จ้องมอง และสุดท้าย มนุษย์หนึ่งเดียวก็ยอมแพ้เบนสายตาไปทางอื่น เหตุเพราะเกรงว่าหากยังมองภาพเร่าร้อนเบื้องหน้าต่อไป คงเป็นเขาเองที่อาจทนไม่ไหวจนต้องหาทางเข้าไปช่วยอีกฝ่ายอาบน้ำ

    ใช้เวลาไม่นานนัก เอทอสก็เดินกลับเข้ามาในห้องพัก ปีศาจไม่ได้สวมชุดคลุมอาบน้ำเรียบร้อยเหมือนมนุษย์ เพียงแค่ใช้สายผูกช่วงเอวพอช่วยปกปิดส่วนล่าง ส่งผลให้ท่อนบนเปลือยเปล่า สังเกตเห็นหยดละอองน้ำเกาะอยู่ประปราย โดยมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่ากว้างรองหยดน้ำจากกลุ่มผมหนาเปียก​ชุ่ม ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการเช็ดแม้แต่น้อย

    “เช็ดหัวให้ข้าที”

    ปีศาจนั่งตรงขอบเตียงพลางเอ่ยขอมนุษย์ ส่งผลให้โนอาร์ที่กึ่งนอนกึ่งนั่งบริเวณกลางเตียง จำต้องลุกคลานมาปรนนิบัติอีกฝ่าย มนุษย์ยืนชันเข่าหลังปีศาจ หยิบผ้าตรงบ่ากว้างขึ้นเตรียมเช็ดนวดผมปีศาจตามคำขอ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือกลับถูกเสียงทุ้มค้านเสียก่อน

    “มายืนเช็ดตรงหน้าข้า”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น มนุษย์ก็มีแต่ต้องปฏิบัติตามแต่โดยดี ร่างขาวในชุดคลุมอาบน้ำลงจากเตียงก่อนจะมาหยุดยืนเบื้องหน้าร่างสูงใหญ่และเริ่มลงมือเช็ดผม ใบหน้าคมเข้มโยกคลอนเล็กน้อยตามแรงมือมนุษย์ ทว่าทุกครั้งที่ขยับ ปลายจมูกโด่งปีศาจกลับยิ่งเข้าใกล้สาบเสื้อคลุมของมนุษย์มากขึ้น จนกระทั่งมนุษย์เริ่มสัมผัสถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดผิวเนียนกลางอกขาว

    “อืม...”

    โนอาร์หลุดเสียงครางแผ่วเบา ยามจมูกซุกซนของปีศาจแหวกเสื้อคลุมเข้าไปเชยชมผิวกายด้านใน สัมผัสอบอุ่นปัดป่ายพลางกดจมูกฝังดอมดมผิวเนื้อหอมสบู่ของมนุษย์ ก่อนไม่นานจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นริมฝีมากร้อนขบเม้มชิมรสหวาน ค่อย ๆ เคลื่อนไปทางด้านข้างจนชนเข้ากับยอดอกที่เริ่มชูชันท้าสู้ผู้บุกรุก

    “อื้ม...” มนุษย์เชิดหน้าขึ้นเม้มปากแน่น เมื่อลิ้นร้อนเข้าครอบครองตวัดเย้าหยอกตุ๋มสีสวย
    “เช็ดต่อสิ ผมข้ายังไม่แห้งเลย”

     เอทอสเอ่ยทักท้วง เพราะตอนนี้ฝ่ามือขาวไม่ยอมทำหน้าที่ มัวแต่ขยุ้มผมเขาเล่นเพื่อระบายอารมณ์ ส่งผลให้โนอาร์ต้องพยายามตั้งสมาธิกับภารกิจตรงหน้าอีกครั้ง ทว่ายิ่งมนุษย์ตั้งใจ ปีศาจกลับยิ่งกลั่นแกล้ง ฟันคมกับลิ้นหนาช่วยทำงานผสานกัน ขบเม้มงับดึงยอดอกอ่อนไหวจนขึ้นรอย ก่อนรักษาด้วยลิ้นร้อนคอยเลียรอบจุดสีกุหลาบที่ตนเป็นผู้กระทำอย่างอ่อนโยน

    เสียงหวานจากมนุษย์หลุดครางเป็นระยะ ขัดกลับฝ่ามือขาวที่ต้องพยายามเช็ดผมต่อไปแม้จะถูกก่อกวน ปีศาจร้ายเหิมเกริม เริ่มใช้มือหนาลูบผิวเนียนละเอียดบริเวณหน้าขาของมนุษย์ ค่อยเลื่อนสูงขึ้นก่อนหายเข้าไปใต้เสื้อคลุม เข้ากอบกุมบางสิ่งข้างใต้ซึ่งกำลังแข็งขืน

    “อะ.. อืม... เอทอส... ผมเช็ด... อา.. แล้ว”

     เสียงรายงานปนเสียงครางหอบแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เมื่อถูกแกล้งจากทั้งลิ้นร้อนบริเวณอกและฝ่ามือใหญ่ที่กำลังจับรูดส่วนสงวนขึ้นลงปรนเปรอ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกประกายวาวไม่น่าไว้ใจ ยอมละจากอกขาวก่อนเงยขึ้นสบสายตามนุษย์

    “ดีมาก เดี๋ยวข้าให้รางวัล”
    “อื้ม!!... อะ!.. เอทอส... อา...”

    สิ้นเสียงทุ้มเอ่ยคำชม มนุษย์พลันได้รับการตกรางวัลใหญ่ โพรงปากร้อนของปีศาจเข้าครอบครองแก่นกายขาวชูชัน สัมผัสแปลกชุ่มชื้นรอบส่วนอ่อนไหวผสานลิ้นร้อนเข้ากระหวัดดูดเลีย สร้างความรู้สึกซาบซ่านเสียจนชายเลือดเย็นหลุดมาดครางเสียงดัง ความเก่งกาจช่ำชองของปีศาจ ทำให้โนอาร์ถึงกับต้องใช้สองมือยันบ่ากว้างแข็งแรงไว้เพื่อทรงตัวพลางบีบจิกระบายตามแรงอารมณ์

      ขณะที่เอทอสกำลังใช้ปากปรนเปรอความสุขให้ร่างตรงหน้า ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกลับเอื้อมไปหยิบเจลหล่อลื่นบนโต๊ะข้างเตียงที่มนุษย์จัดเตรียมไว้ เปิดฝาขวด ก่อนบีบเจลลื่นชโลมนิ้วจนชุ่ม จากนั้นจึงโยนของหมดประโยชน์ไปข้างตัว เพื่อให้สองมือว่างพร้อมทำหน้าที่

      “อ๊ะ!.. อา....”
     “อย่าเกร็ง”
 
    เอทอสถอนปากออกจากแก่นกายขาวเพียงครู่เพื่อกล่าวแนะนำ ก่อนจะก้มกลับไปลิ้มรสแท่งสวาทหวานอีกครา พร้อมเริ่มขยับดันนิ้วแทรกเข้าช่องทางด้านหลัง ความลื่นจากเจลที่ชโลมชุ่ม กับมนุษย์ที่พยายามผ่อนคลายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ครั้งนี้ปลายนิ้วเคลื่อนเข้าไปในร่างได้อย่างง่ายดาย
    ปฏิกิริยาธรรมชาติพลันตอบสนองต่อต้าน เมื่อรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมพยายามรุกรานเข้ายึด ผนังนุ่มด้านในบีบรัดนิ้วหนาคล้ายต้องการขับไล่ ทว่าก็ไม่อาจสู้แรงกำลังที่ค่อย ๆ ดันเข้าลึกทีละน้อยจนเข้าไปสุดความยาว

    “เอ.. อา... เอทอส.. พอก่อนผมจะ.. อื้ม!!..”

    ด้วยแรงกระตุ้นจากสองด้าน ทั้งจากโพรงปากร้ายยึดครองด้านหน้า และนิ้วแปลกปลอมด้านหลังที่ขยับหมุนวนขยายช่องทาง ทำให้โนอาร์ไม่อาจฝืนอดกลั้นได้อีก มือขาวพยายามดันบ่าแกร่งของร่างสูงใหญ่ให้ผละออก ทว่าเอทอสกลับขืนรั้งมิหนำซ้ำยังเร่งจังหวะเร็วขึ้น เพิ่มความสะท้านซาบซ่านให้โนอาร์เป็นเท่าทวี เป็นผลให้ทุกสิ่งอย่างที่พยายามสะกดกลั้นไว้พังทลาย

    “อาาาาา!!...”

    โนอาร์เชิดหน้าครางระบายความสุขสมลึกล้ำ ร่างกายขาวกระตุกเกร็งฉีดพ่นพิษร้อนใส่โพรงปากปีศาจ ทุกหยาดหยดล้วนถูกร่างสูงใหญ่กลืนกินหมดสิ้น ลิ้นหนาตวัดเลียชิมรสไม่ให้หลงเหลือนึกเสียดาย แล้วจึงยอมผละออกปล่อยตัวประกันเป็นอิสระ

    “หวานดี”

    คำพูดหยาบโลนพร้อมรอยยิ้มร้าย ถึงกับทำให้ชายเลือดเย็นรู้สึกร้อนผ่าวที่ผิวแก้มอย่างประหลาด แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดโต้ตอบ ร่างขาวก็ถูกปีศาจจับอุ้มจนตัวลอยก่อนเหวี่ยงทุ่มใส่ฟูกเตียงที่รอรับอยู่ ร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อมประกบจูบมนุษย์รวดเร็ว ลำตัวหนาขยับเข้าแทรกกลางหว่างขาให้กางออกกว้าง เปิดทางนิ้วลื่นเข้ารุกล้ำขยายทางเข้าอ่อนนุ่ม

    “อื้มม!.. อะ.. อืมม...”

    เสียงประท้วงกลายเป็นเพียงเสียงอืออาไม่ได้ศัพท์ เนื่องจากบทจูบเร่าร้อนของปีศาจคอยเป็นอุปสรรคขัดขวาง เอทอสเมินเสียงร้องพลางเพิ่มจำนวนนิ้วขยายช่องทาง ขยับคว้านหมุนวนเข้าออกเพื่อเตรียมพร้อมรับสิ่งที่ใหญ่กว่ามาก ความดิบเถื่อนของปีศาจทำให้ฝ่ามือขาวเผลอขวนจิกแผ่นหลังกว้างแข็งแรงจนขึ้นรอย ทว่านั่นกลับยิ่งกระตุ้นให้ร่างสูงใหญ่โหมรุกหนัก

    “อา... คุณ.. ผมเจ็บ อื้ม!!...”

    เมื่อโพรงปากร้อนยอมผละจูบก่อนเปลี่ยนเป้าหมายเป็นปลายครางและซอกคอขาว โนอาร์พยายามเอ่ยกับปีศาจคล้ายขอความเห็นใจ ซึ่งก็ได้คำตอบรับเป็นฟันคมขบกัดที่ลำคอจนขึ้นรอยเขี้ยว ตามด้วยลิ้นร้อนเลียปลอบและจูบเม้มเบา ๆ ราวกับเอทอสก็รับรู้แต่ไม่อาจควบคุมเพลิงอารมณ์ที่กำลังลุกโชนได้ จึงพยายามสื่อคำขอโทษผ่านภาษากาย



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2020 22:58:07 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    นิ้วหนาที่กำลังขยับเล่นช่องทางถูกถอนออก เมื่อเห็นว่าพร้อมรับสิ่งต่อจากนี้ ร่างสูงใหญ่ดันตัวขึ้นจากมนุษย์ข้างใต้ นัยน์ตาแดงเลือดนกร้อนรุ่มไปด้วยความอยากครอบครอง มองสบนัยน์ตารัตติกาลฉ่ำวาวด้วยแรงอารมณ์ของมนุษย์เพื่อสื่อความนัย ก่อนฝ่ามือแกร่งจะเอื้อมหยิบกล่องถุงยางตรงหัวเตียง และจัดแจงสวมให้กับแก่นกายใหญ่แข็งขืน ชโลมซ้ำด้วยเจลหล่อลื่นเตรียมจ่อเข้าปากทาง ทว่าขณะที่ร่างสูงใหญ่เริ่มดันตัวตนเข้าเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ กลับถูกเท้าขาวยันบริเวณรอนกล้ามท้องแน่นไว้ ปฏิกิริยาราวกับปฏิเสธของโนอาร์ถึงกับทำให้หัวใจเอทอสกระตุบวูบ

    “เจ้า...”
    “ผมอยากเป็นของคุณ ที่เป็นคุณจริง ๆ เอทอส"
    “…”
    “กอดผมด้วยร่างปีศาจนะครับ”

    คำขอของมนุษย์ช่วยฟื้นฟูหัวใจปีศาจให้กลับมาพองโตเปี่ยมสุขยิ่งกว่าที่เคย นัยน์ตาสีแดงเลือดนกไหวหวั่นด้วยความไม่มั่นใจเมื่อครู่ ยามนี้กลับมาแข็งกร้าวเร่าร้อนดังเดิม เอทอสดึงเครื่องป้องกันที่สวมคลุมแก่นกายออก ก่อนชโลมทาเจลหล่อลื่นใหม่อีกครั้ง การกระทำของร่างสูงใหญ่ทำให้มนุษย์สงสัยเล็กน้อย และดูเหมือนปีศาจจะรู้เช่นกัน ถึงได้กล่าวตอบโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยถาม

    “มันคับเกินไปสำหรับข้าในร่างจริง”

    สิ้นเสียงทุ่มต่ำ เปลวเพลิงทมิฬพลันลุกท่วมร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก่อนมอดดับเผยร่างปีศาจแท้จริงที่มนุษย์หลงรักตั้งแต่แรกเห็น ผิวกายสีแทนเข้มขึ้นจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ยิ่งทำให้ปีศาจดูเร่าร้อนมากกว่าเก่า ใบหูแหลมคล้ายเอลฟ์ในเทพนิยาย ผมหนานุ่มที่เคยสัมผัสกลับคมแหลมแข็งแรง จนอาจทิ่มบาดได้ถ้าฝ่ามือขาวเผลอจับไม่ระวัง และสองมือใหญ่ที่แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บแกร่งกำลังจับขาโนอาร์ให้อ้ากว้างออก เพื่อให้สามารถสอดแทรกตัวตนเข้าไปในร่างขาวนวลได้สะดวก

    “อืม... ชะ.. ช้าหน่อย... อะ!.. อา… เอทอส”

    ฝ่ามือขาวเกร็งจิกผ้าปูที่นอนแน่น เมื่อแก่นกายร้อนฝืนดันรุกเข้ามาเรื่อย ๆ ช่องทางด้านหลังรู้สึกตึงเจ็บราวกับร่างถูกฉีกแยกออก เหตุเพราะสิ่งที่กำลังเข้าลึกมีขนาดเกินกว่าที่เตรียมพร้อมไว้มาก ซึ่งขณะที่โนอาร์กำลังทรมานจากการรองรับตัวตนของปีศาจ เอทอสเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เหงื่อกาฬซึมชื้นทั่วแผ่นหลังกว้างและผิวกายของร่างยักษ์ บริเวณข้างขมับขมวดเกร็งจนเห็นเส้นเลือด เพราะพยายามบังคับร่างกายไม่ให้เผลอกระแทกอัดจนทำให้มนุษย์บาดเจ็บ

    “ครึ่งทางแล้ว... เก่งมาก”

    เสียงทุ้มติดพร่าเอ่ยชม ปีศาจกดแช่ส่วนแข็งขืนค้างไว้ไม่ดันต่อเพื่อเว้นช่วงให้มนุษย์มีเวลาพักหายใจ ร่างสูงใหญ่ชุ่มเหงื่อโน้มตัวลงมาโอบกอดมนุษย์ใต้ร่างอย่างนุ่มนวล พลางระวังกรงเล็บคมไม่ให้เผลอขวนผิวขาวบอบบางจนช้ำบาดเจ็บ เอทอสพรมจูบปลอบประโลมชื่นชม ไล่ตั้งแต่กรอบหน้าขึ้นสีด้วยความร้อน ลำคออ่อนมีรอยสีกุหลาบ และแผ่นอกขาวกระเพื่อมขึ้นลงเพราะความเหนื่อย ริมผีปากหนาเข้าครอบครองดูดเม้มยอดอกอีกครั้ง คล้ายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ พร้อมกับเริ่มขยับดันแก่นกายเข้าออกช้า ๆ เพื่อปรับให้ช่องทางคุ้นชิน โดยทุกครั้งที่ดันเข้า ส่วนแข็งขืนจะแทรกลึกขึ้นทีละน้อย

    จวบจนตัวตนทั้งหมดของปีศาจได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ ความรู้สึกของบางสิ่งสอดแทรกอยู่ในร่างกาย เติมเต็มความอบอุ่นให้หัวใจเยียบเย็นจนแทบหลอมละลาย โนอาร์มองภาพเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาดุร้อน ซึ่งจับจ้องเขาราวกับจะกลืนกินไม่ให้เหลือแม้แต่กลิ่นอาย ทว่ายังคงอดทนคล้ายกำลังรอฟังคำอนุญาต เช่นนั้นฆาตกรผู้ตกอยู่ในสถานะเหยื่อจะทำสิ่งใดได้นอกเสียจาก

    “กินผมที เอ- อื้มม!!...”

    ไม่ทันสิ้นเสียงพร่ายินยอม แก่นกายร้อนพลันถอนออกจนเกือบสุด ก่อนสวนกระแทกกลับเข้าช่องทางทั้งหมดในคราวเดียว ช่วงล่างแข็งแรงของร่างยักษ์เริ่มขยับเร่งจังหวะจนเกิดเสียงกระทบผิวเนื้อหยาบโลน สองก้อนกลมขาวตรงบั่นท้ายโนอาร์พยายามโต้ตอบกระเด้งรับสอดประสาน ช่องทางสีสวยตอดรัดตัวตนปีศาจสร้างความพึงพอใจให้เอทอสถึงกับหลุดเสียงครางทุ้มพร่า สบถถ้อยคำที่มนุษย์ไม่คาดคิดว่าจะได้ฟังจากปีศาจ

    “ซี๊ด.. อา... แน่นขนาดนี้ ข้าคงเป็นคนแรกที่เจ้ายอมอ้าขา อืมม... อ้าอีกสิ ให้ข้าเข้าไปลึกกว่านี้”
 
    ความดิบเถื่อนหยาบกระด้าง อีกมุมหนึ่งที่ซ่อนอยู่ของเอทอสกลับยิ่งทำให้หัวใจเลือดเย็นเต้นระรัว ความเร่าร้อนกลบทุกความเจ็บหน่วงในตอนแรก หลงเหลือเพียงความสุขซาบซ่านเกินพรรณนา บัดนี้ฆาตกรที่ใครต่างหวาดกลัวกำลังดิ้นพล่านส่งเสียงครางหวานใต้ร่างยักษ์ มือขาวทั้งสองข้างปัดป่ายสะเปะสะปะไปตามผืนผ้าปูยับย่น หมดสภาพไม่เหลือเค้าชายผู้บงการเข่นฆ่าชีวิตคน

    ร่างสูงใหญ่เปลี่ยนท่วงท่าดันตัวลุกขึ้นนั่ง พลางใช้กรงเล็บทมิฬฉุดแขนขาวให้ลุกตาม อ้อมแขนแข็งแรงเข้าโอบอุ้มมนุษย์พร้อมลุกยืนทั้งที่อะไร ๆ ยังเชื่อมติดกัน โนอาร์รีบเอาแขนคล้องลำคอแกร่งตามสัญชาตญาณเมื่อจู่ ๆ ร่างถูกยกลอยขึ้น นัยน์ตารัตติกาลหยาดเยิ้มจากบทรักดุเดือด พลันสบนัยน์ตาสีแดงเลือดนกที่อยู่ระดับเดียวกัน ถึงเพิ่งสังเกตว่ายามนี้แววตาเอทอสไม่เหมือนกับที่เขาเคยรู้จัก เป็นดวงตาแข็งกร้าวร้อนแรงราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย ที่พร้อมขย้ำเหยื่อให้ตายคาอ้อมกอด และใช่ เหยื่อในที่นี้คือเขาเอง

    “อ๊าาา!!”

    โนอาร์หลุดร้องครางลั่น เมื่อแรงสะเทือนจากการเดินของปีศาจผสานกับน้ำหนักตัวของเขา ทำให้บางสิ่งที่ค้างอยู่ในช่องทางดันลึกจนกระแทกโดนจุดกระสันเต็มแรง เสียงหวานข้างหูปลุกความเป็นผู้ล่าของปีศาจส่งผลให้ร่างยักษ์หยุดชะงัก ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างที่เคยกอดอุ้มร่างขาวเปลี่ยนเป็นสอดใต้ข้อพับขามนุษย์ช่วยประคองช่วงล่าง ก่อนจัดท่าให้ขาขาวยิ่งถ่างกว้างขึ้น รอยยิ้มร้ายไม่น่าไว้ใจพลันปรากฏบนใบหน้าคมดุ ซึ่งวินาทีถัดมา การเคลื่อนไหวหนักหน่วงของร่างยักษ์ก็เสมือนแทนคำตอบทุกอย่าง

    “ตับ! ตับ! ตับ! ตับ! อ๊า!!.. เอทอส.. อื้อ!..”
    “อืม... ขอบคุณข้าสิ ที่ทำให้เจ้าเสียวซ่านจนร้องไม่หยุด อา... ดี... ขอบคุณด้วยการตอดแน่น ๆ แบบนี้แหละ อา...”

    เสียงแหบพร่าครางทุ้มพึงพอใจช่างขัดกับเสียงหน้าขาแข็งแรงกระทบก้อนกลมแน่น ร่างขาวโยกคลอนตามแรงกระแทกกระทั้นดุดันของสะโพกแกร่ง สองมืออ่อนล้าคล้องคอชุ่มเหงื่อจวนคล้ายลื่นหลุดได้ทุกเมื่อ  เป็นผลให้ปีศาจที่กำลังเสพสุขต้องรีบก้าวเท้าพยุงร่างโนอาร์ไปชิดกำแพง

    “ปึง!! ปึง! ปึง! ปึง! อะ.. อื้อ... เอทอส... เบาก่อน อะ!.. ข้างนอก… อื้มม!!”

    โนอาร์พยายามเอ่ยปรามปีศาจให้เบาแรง เพราะขณะนี้พวกเขาอยู่ตรงประตูกระจกหน้าบ้านพัก เสียงดังจากบทรักร้อนแรงอาจทำให้พวกสอดรู้ข้างนอกมาเห็นเอทอสในร่างปีศาจแล้วอาจเกิดปัญหา ทว่าปีศาจกลับไม่เข้าใจ

    “ทำไม? เจ้าอายที่จะถูกพวกมนุษย์เจอในสภาพนี้หรือไง” ร่างยักษ์ถามกลับคล้ายไม่สบอารมณ์ พลางเร่งจังหวะสะโพกให้หนักหน่วงขึ้น ส่งผลให้เสียงกระแทกประตูกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
    “ไม่.. อื้มม!... ไม่ใช่คะ.. ครับ อ๊า! ผมกลัวพวก- นะ.. นั้น.. เห็นคุณในร่างนี้ อะ.. อืม...”

   เนื้อหาคำตอบที่แทรกอยู่ในเสียงคราง ราวกับสื่อว่ามนุษย์เพียงเป็นห่วงเรื่องความลับปีศาจแพร่งพราย หาได้อับอายว่ากำลังร่วมรักกับเขา คำตอบน่ารักของโนอาร์ทำให้เอทอสนึกมันเขี้ยว ใบหน้าคมเข้มจึงก้มกัดดูดดึงยอดอกสีสวย ตวัดลิ้นร้อนหยอกเย้าให้ร่างขาวดิ้นพล่านหลงลืมทุกสิ่งอย่างจากโลกภายนอก ให้สนใจแค่เขาเพียงผู้เดียว

    แม้ขณะนี้ปีศาจจะลุ่มหลงกับการกลืนกินมนุษย์ตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบกาย ดังนั้นการที่เอทอสกล้ากระทำอุกอาจกับโนอาร์ตรงประตูกระจกหน้าบ้านพัก เป็นเพราะปีศาจได้ลองจับสัมผัสแล้วว่าบริเวณนี้ไม่มีใครอื่น และอีกอย่างเขามีนิสัยหวงของ ทุกอย่างที่เป็นของเขา ต้องมีแค่เขาเท่านั้นที่ได้เชยชม ฉะนั้นแล้ว...

    “หึ... ไม่ต้องกังวล ร่างเปลือยของเจ้า อย่าหวังว่าข้าจะแบ่งให้ใคร”
    “อ๊าาา!”

    ถ้อยคำประกาศหนักแน่น มาพร้อมรอยกัดแสดงความเป็นเจ้าของตรงบริเวณลำคอ ผิวขาวถูกคมเขี้ยวกัดฝังจนแดงช้ำ ส่งผลให้โนอาร์ที่กำลังเพลินกับแรงกระทั้นสอดใส่ของแก่นกายแข็งขืน ต้องหลุดร้องด้วยความเจ็บ ก่อนจะถูกลิ้นร้อนเลียปลอบประโลมดังทุกครา

    สะโพกแกร่งขยับถอนแท่งร้อนออกจากช่องทางสวาท ก่อนท่อนแขนกำยำจะยอมปล่อยให้มนุษย์ยืนกับพื้นพร้อมจับพลิกหันหลัง สองมือขาวยันบานกระจก ภาพคลื่นทะเลสะท้อนแสงจันทร์เบื้องหน้าโนอาร์ ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นจินตนาการว่าพวกเขากำลังกอดกันบนหาดทราย มีหมู่ดาวเต็มฟากฟ้าส่องไสวเป็นพยานรัก

    “อยากทำข้างนอกไหมละ ข้าจะพาไป” ปีศาจกระซิบเสียงแหบพร่าข้างหูโนอาร์อย่างรู้ทัน พลางใช้กรงเล็บใหญ่บีบขยำสองก้อนกลมแน่นตรงบั่นท้ายมนุษย์อย่างหยาบโลน
    “ไม่ดีกว่าครับ.. ร่างเปลือยของคุณ ผมไม่อยากแบ่งให้ใครเหมือนกัน”

    มนุษย์ลอกเลียนคำพูดเมื่อครู่ของปีศาจ จึงได้รับบทจูบร้อนแรงเป็นการลงโทษ ริมฝีปากบางถูกงับดึงขบเม้ม เปิดทางให้ลิ้นหนาเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดรึงลิ้นเล็กด้านในตักตวงความหวาน สองกรงเล็บใหญ่ที่กำลังคลึงบั่นท้ายแน่นจับสะโพกมนุษย์ให้ยกสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแหวกสองก้อนกลมออกให้ยอมเผยปากทางรักสีสวย
    
    “อืมม..."

    เสียงครางแผ่วเบาหลุดรอดมาจากริมฝีปากบางซึ่งกำลังถูกปีศาจบดจูบลึกล้ำ ยามเมื่อแก่นกายร้อนแทรกกลับเข้ามาในร่างอีกครา ความคุ้นชินทำให้ช่องทางรักรองรับท่อนเอ็นได้จนสุดความยาวในคราวเดียว สะโพกแกร่งบิดคว้านหาจุดกระสันเพียงครู่ ก่อนเริ่มกระแทกอัดแท่งร้อนเข้าจู่โจมตำแหน่งอ่อนไหว บรรเลงเพลงสวาทที่มีเสียงหยาบโลนของผิวเนื้อกระทบเป็นจังหวะดนตรี และเสียงครางหวานของมนุษย์เป็นนักร้องนำ

    “อา... เอทอส.. ผมจะ.. อื้มม!!...”
 
    โนอาร์หันมาบอกร่างยักษ์ข้างหลังเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังจะมา ทว่าปีศาจใจร้ายซึ่งยามนี้ง่วนกับการสร้างรอยสีกุหลาบบนแผ่นหลังขาว กลับเอื้อมกรงเล็บไปบีบกำตัวตนของมนุษย์ไว้ พร้อมยิ่งเร่งสวนจังหวะสะโพกสาดใส่ช่องทางรัก จนนัยน์ตารัตติกาลหยาดเยิ้มเริ่มคลอหน่วยด้วยน้ำใสเพราะไม่อาจถึงฝั่งฝัน

    “เสร็จพร้อมกัน... เมียข้า”

    ทันทีที่ได้ฟังสถานะที่ปีศาจมอบให้ อวัยวะกลางอกขาวพลันเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมาภายนอก โนอาร์เงยขึ้นสบนัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกผ่านเงากระจกสะท้อน ภาพร่างยักษ์ด้านหลังกำลังจับจ้องเขาไม่ว่างตา พร้อมขยับกระแทกสวนแก่นกายเข้าในร่างเขาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกระตุ้นให้ช่องทางรักบีบรัดตัวตนแข็งขืน จนเอทอสถึงกับนิ่วหน้าครางด้วยความสุขสม

    “อา... ดีมากเมียข้า... ตอดแน่น ๆ อืม... ข้าจะเสร็จแล้ว”

    ปีศาจเอ่ยชมพลางบอกให้มนุษย์เตรียมตัว กรงเล็บทมิฬคลายแรงบีบแก่นกายขาวก่อนเปลี่ยนเป็นช่วยรูดชัก ร่างยักษ์โน้มตัวเข้าหามนุษย์จนแผ่นหลังขาวเปลือยสัมผัสกับแผงอกกว้างแข็งแรง ใบหน้าคมเข้มซุกซบลำคอขาวพลางส่งเสียงกระเส่าพร่า กรงเล็บอีกข้างเข้าซ้อนกอบกุมมือขาวที่ยันกระจกหน้าต่างพยุงตัว สะโพกแกร่งเร่งจังหวะผสานเสียงครางหวานบรรเลงบทรักช่วงสุดท้าย

    “อ๊าาาา!!”
    “อืมม...”

    เสียงร้องสุขสมของโนอาร์ประสานสลับกับเสียงทุ้มพร่าปลดปล่อยของปีศาจด้านหลัง ช่องทางอ่อนนุ่มพลันสัมผัสถึงความอุ่นร้อนฉีดอัดเข้ามาในร่างจนแทบล้นทะลัก เช่นเดียวกับหยาดหยดความรู้สึกของมนุษย์ที่ถูกกรงเล็บใหญ่รองรับกอบกุม สองร่างกระตุกเกร็งตระกองกอดกันละกันแน่น เอทอสขยับสวนแก่นกายอีกสองสามครั้งเพื่อดันหยาดน้ำรักให้เข้าลึกที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ถอนท่อนเอ็นร้อนออกจากช่องทางและปล่อยร่างขาวเป็นอิสระ

    “ตุบ!”
    “โนอาร์!”

    ปีศาจที่สติกลับคืน​อุทานอย่างตกใจ พร้อมรีบเข้าไปดูอาการมนุษย์ที่ร่วงล้มพับทันทีที่ถูกปล่อยตัว ถึงเพิ่งสังเกตว่าตามผิวขาวเนียนสะอาด ยามนี้กลับเต็มไปด้วยรอยกัดแดงช้ำแสดงความเป็นเจ้าของ บริเวณบั่นท้ายสองก้อนกลมขึ้นสีแดงจากการรับแรงกระแทกหนักหน่วง เอทอสรีบอุ้มร่างไร้สติของโนอาร์มาวางบนเตียงกว้าง ก่อนจะวิ่งหายไปทางห้องน้ำและกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าชุบน้ำในกะละมัง

    กรงเล็บสีนิลบรรจงเช็ดตัวเพื่อให้มนุษย์สบายตัว ผ้าบางลูบผ่านผิวกายอย่างเบามือไล่ตั้งแต่กรอบหน้าจนมาถึงช่วงคอ ซึ่งบางสิ่งบริเวณผิวขาวระหว่างลำคอและไหปลาร้าถึงกับทำให้กรงเล็บหยุดชะงัก เอทอสรีบมองหาบางสิ่งที่เหมือนกันบนร่างของตน ก่อนจะพบสิ่งเดียวกันนั้นทว่าขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยปรากฏอยู่กลางแผงอกแกร่งตำแหน่งเดียวกับหัวใจ เป็นผลให้นัยน์ตาสีแดงเลือดนกประกายวาวด้วยความปิติ

    ลวดลายเปลวไฟสีนิลตรงแผ่นอกกว้างเอทอสและบริเวณลำคอขาวของโนอาร์ สัญลักษณ์แห่งการครองคู่ที่จะปรากฏก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความรู้สึกตรงกันและผูกพันมากพอ สิ่งนี้สำหรับปีศาจก็เปรียบได้กับแหวนแต่งงานของเหล่ามนุษย์ ทว่ามีความพิเศษบางอย่างที่เหนือกว่าการเป็นแค่เครื่องแสดงการมีเจ้าของ และเพราะกำเนิดจากความรู้สึก จึงอาจสลายหายไปได้ง่ายเช่นกัน ถ้าความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดเปลี่ยนไป ซึ่งเอทอสมั่นใจว่าสัญลักษณ์ของเขากับโนอาร์จะไม่มีวันลบเลือน

    ปีศาจหยุดความคิดฟุ้งซ่านและกลับมาจดจ่อกับการเช็ดตัวมนุษย์อีกครั้ง ผืนผ้าบางเช็ดไล่ตามร่างเปลือยเปล่าเรื่อย ๆ ก่อนจะชะงักเป็นครั้งที่สองเมื่อมาถึงช่องทางรัก ปากทางสีสวยยามนี้กลับช้ำบวมแดงจากพิษรักร้อนแรง หยาดหยดขาวขุ่นที่ปีศาจฝากไว้ถูกร่างกายขับไหลซึมลงมาตามร่อง ภาพเบื้องหน้าคล้ายกระตุ้นอารมณ์ดิบในส่วนลึก ยุยงปลุกปั่นให้ปีศาจรังแกมนุษย์ซ้ำเพิ่ม แต่เพราะความเอาแต่ใจของเขาถึงทำให้โนอาร์ตกอยู่ในสภาพนี้ เอทอสที่คล้ายมีชนักติดหลังจึงได้แต่ข่มความรู้สึกตัวเอง และเช็ดตัวทำความสะอาดให้ร่างขาวต่อไป

    “พรึบ!”

    เปลวเพลิงพลันลุกท่วมบริเวณกรงเล็บทมิฬ ก่อนมอดดับเปลี่ยนกรงเล็บกลับเป็นฝ่ามือใหญ่แบบมนุษย์ แล้วจึงใช้นิ้วหนาค่อย ๆ กดแทรกเข้าไปในช่องทางรัก คว้านเอาทุกหยาดหยดที่เขาทิ้งไว้ออกมาเผื่อว่าโนอาร์จะรู้สึกสบายตัวขึ้น ผนังนุ่มด้านในตอดรัดตามธรรมชาติเพื่อขับไล่นิ้วรุกราน แต่นั่นกลับเสมือนบททดสอบความหนักแน่นของจิตใจปีศาจ ทุกวินาทีล้วนยาวนานและทรมานในความรู้สึก ทว่าท้ายสุดเอทอสก็ผ่านมันมาได้

    หลังผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนยากลำบาก ร่างยักษ์เช็ดตัวทำความสะอาดให้มนุษย์ต่อจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายของตัวเอง รวมถึงปลดปล่อยห้วงอารมณ์ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
    สักพักใหญ่เอทอสถึงออกจากห้องน้ำในสภาพร่างปีศาจเปลือยเปล่ามีหยดน้ำเกาะเล็กน้อย ร่างสูงกำยำเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมาหามนุษย์บนเตียง ความอบอุ่นจากผิวกายร้อนของปีศาจทำให้โนอาร์รีบซุกตัวเข้าหาตามสัญชาตญาณ ซึ่งเอทอสก็ตอบรับโดยใช้ท่อนแขนแกร่งโอบร่างขาวให้มานอนหนุนแผ่นอกกว้างดังทุกครั้ง

    “ราตรีสวัสดิ์ เมียข้า”

    เสียงทุ้มอ่อนโยนกล่าวบอกร่างในอ้อมกอดพร้อมก้มจูบลงบนกลุ่มผมนุ่ม แล้วจึงหลับตาจมลงสู่ห้วงนิทราในค่ำคืนแสนพิเศษ



บท29 สมบูรณ์


ถึงคนอ่าน

    อันนี้ถือว่าเป็นเนื้อ NC แบบเต็ม ๆ ครั้งแรกของคนเขียนนะครับ คนอ่านลองอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรหรืออยากให้ปรับแก้ตรงไหน สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลยนะครับ คนเขียนจะนำไปปรับใช้ในครั้งต่อ ๆ ไป
(ส่วนตัวคนเขียนคิดว่า NC ครั้งแรกของคนเขียนเองค่อนข้างยาวมากครับ เพราะถ้ายาวไปผื่อมีโอกาสครั้งคนเขียนจะได้กระชับให้มันสั่นลง, คนอ่านคิดเหมือนกันหรือเปล่าครับ หรือประมาณนี้ดีแล้วครับ)

    ส่วนอันนี้เป็นรูปบ้านพักรีสอร์ท สถานที่ ที่คนเขียนใช้อ้างอิงเป็นฉากในบทนี้นะนะครับ (ป.ล. คนเขียนยังไม่เคยเข้าพักนะครับจริงนะครับ จินตนาการเอาล้วนๆเลยครับ)
(รีสอร์ท: http://travel.socialplussystem.com/hotel_room/honeymoon-beach-front-bungalow/)







    และอันนี้เป็นสัญลักษณ์รูปเปลวไฟที่ปรากฎบริเวณคอใกล้ไหปลาร้าของโนอาร์ และตรงกลางอกเอทอสนะครับ
(สัญลักษณ์เอทอสใหญ่กว่าเพราะปรากฎอยู่บนอกกว้างตำแหน่งเดียวกับหัวใจครับ ส่วนของโนอาร์อยู่บริเวณใกล้คอจึงเล็กกว่าเพื่อความเหมาะสมสวยงามครับ)
    โดยสามารถดูรูปสัญลักษณ์ได้ผ่านลิงค์นี้นะครับ link: https://drive.google.com/file/d/1RtdendkPL_8JW2X_uUO50jSv73HPykjd/view?usp=sharing



    ป.ล.

    ในบทที่ 19 คนเขียนเพิ่มคำแปลภาษาไทยของเพลงที่โนอาร์ร้องให้เอทอสฟังครับ เผื่อให้คนอ่านอินมากขึ้นครับ คนอ่านอาจลองแกล้ง ๆ กลับไปย้อนอ่านใหม่ก็ได้นะครับ
(เนื้อเพลงเป็นการแปลสดของคนเขียนเองนะครับ หากมีการแปลผิดพลาดไป คนอ่านสามารถแจ้งให้คนเขียนแก้ไขได้เลยนะครับ)


    ในบทที่ 23 เอทอสจะพูดอธิบายถึงสัญลักษณ์ครองคู่นะครับที่ปรากฎในบทนี้นะครับ ซึ่งคนเขียนปรับแก้นิดหน่อยจากที่จะปรากฎตรงหลังมือ เป็นปรากฎตรงส่วนไหนก็ได้บนร่างกายครับ เหตุเพราะคนเขียนไปอ่านเรื่องหนึ่งมาแล้วพบว่าเรื่องนั้นมีสัญลักษณ์และความหมายคล้ายกับที่คนเขียนคิดมาก เพื่อป้องกันคำครหาว่าคนเขียนลอกเลียนคนอื่นเลยปรับให้ขึ้นตรงไหนก็ได้บนร่างกายแทนครับ
(แต่จุดหนึ่งที่สัญลักษณ์ของคนเขียนแตกต่างจากเรื่องนั้นอย่างชัดเจนคือวิธีการได้มาครับ สัญลักษณ์ของเหล่าปีศาจจะได้มาจากการร่วมรักเท่านั้น)

    ซึ่งหากคนอ่านทบทวนคำพูดเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่เอทอสอธิบายในบทที่ 23 คนอ่านอาจพอคาดเดาได้ว่า เนื้อหา 2 บทต่อจากนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2020 22:59:36 โดย biOmos »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :o8: :o8:
อ่านไปเขินไป ปีศาจนุ่มนวลเกินไปแล้ว อิอิอิ
 :jul1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รวดเดียวจบแบบลุ้นตลอดเวลา ให้ตายเถอะ!!

รีบมาต่ออีกน้า

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    สายฝนสาดเทกระหน่ำลงสู่พื้นถนนในยามค่ำคืน ความมืดผสานความลื่นของผิวทางที่ทอดยาว ทำให้รถเพียงคันเดียวของครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังกลับบ้านพักต้องขับอย่างระมัดระวัง ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยสามชีวิต หนึ่งสามีผู้นำครอบครัวทำหน้าที่ขับรถ สองและสามคือภรรยาตรงเบาะหลังนั่งประกบดูแลทารกน้อยน่ารักที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่

    ‘โนอาร์หลับแล้วเหรอ?’ เสียงทุ้มเรียบนิ่งทว่าแฝงความอบอุ่นเอ่ยถามภรรยา พลางเหลือบดูลูกน้อยผ่านกระจกมองหลังชั่วครู่ก่อนกลับไปดูท้องถนนตามเดิม
    ‘ยังเลย ลืมตาแป๋วจ้องแต่คุณสักพักหนึ่งแล้ว สงสัยจะชอบดูคุณพ่อขับรถ’
    ‘หึ ๆ ไม่หรอก ผมว่าเห็นพวงมาลัยหมุน ๆ คงอยากลองเล่-’
    ‘เพล้ง!!’
    ‘เอี้ยดดด!!!! โครมมม!!!!!!!!!!’

    ช่วงเวลาความสุขจบสิ้น เมื่อหินก้อนหนึ่งพุ่งทะลุกระจกหน้ารถกระแทกอัดใส่ใบหน้าคนขับอย่างจัง ความเร็วของรถยิ่งเสริมความรุนแรงฝังหินหนักยุบเข้าไปในกะโหลก หยาดเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนสยดสยองพร้อมกับลมหายใจหัวหน้าครอบครัวที่หยุดลงฉับพลัน ตัวรถสูญเสียการควบคุมตกจากเส้นถนนพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมทางเกิดเสียงโครมดังสนั่น ทว่าครู่เดียวก็ถูกกลบด้วยเสียงสายฝนที่ยังคงสาดเทไม่หยุด เหลือเพียงจุดไฟสีแดงท้ายรถที่พยายามส่องฝ่าความมืดขอความช่วยเหลือ แต่น่าเศร้าที่สภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้คงไม่มีพลเมืองดีคนไหนผ่านมา

    หลังเหตุการณ์สลดสิ้นสุดไม่นาน บริเวณเงามืดข้างทางเริ่มปรากฎเงากลุ่มคนในชุดกันฝนทยอยเดินเข้าไปหาซากรถเป้าหมาย โจรร้ายสามคนช่วยกันรื้อค้นหาของมีค่า ส่วนหัวหน้าผู้วางแผนเพียงยืนรออยู่ใต้ร่มไม้

    ‘ยี้!! ขนลุก... เละซะจนไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้หน้าตาเป็นไง’ ผู้ร้ายคนหนึ่งอุทานเมื่อเห็นผลงานของลูกพี่ผู้นำกลุ่ม
    ‘อย่ามัวเสียเวลาสิวะ รีบหาจะได้รีบกลับกูหนาวจะตายห่าแล้ว ยืนดักตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเจอสักคัน’ โจรอีกคนเอ่ยเร่งเพื่อน ขณะที่มือยังคงโกยของมีค่าเข้ากระเป๋าไปด้วย
    ‘…พะ พี่อาทิตย์! นะ.. ในรถมีเด็กด้วยแล้วยังไม่ตาย เอาไงดีพี่?’

    โจรรุ่นน้องสุดในกลุ่มที่รับผิดชอบค้นของด้านหลัง เรียกหาหัวหน้าอย่างตกใจเมื่อผลักร่างหญิงสาวในสภาพคอหักคล้ายกำลังกอดบางสิ่งออกไปให้พ้นทาง แล้วพบทารกในเบาะนั่งสำหรับเด็กยังคงปลอดภัยและกำลังจ้องนิ่งมาทางเขา
    คนถูกเรียกเดินออกจากเงาไม้ไปดูหนึ่งชีวิตที่เหลือรอด นัยน์ตาสีดำรัตติกาลของเด็กน้อยสบเข้ากับดวงตาสีเดียวกันของผู้พรากทำลายทุกสิ่งอย่าง ความสงบเงียบไร้ความหวาดกลัว ไม่ส่งเสียงร้องไห้โหวกเหวกผิดวิสัยเด็กทั่วไปเริ่มทำให้อาทิตย์นึกสนใจ ดังนั้นฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านจึงปลดสายนิรภัยก่อนอุ้มเด็กน้อยออกมา ท่ามกลางความสับสนของเหล่าลูกน้อง

    ‘จะเลี้ยงเหรอพี่อาทิตย์?’ หนึ่งในโจรเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
    ‘อืม ก็รอดมาได้จะไม่ให้โอกาสเลยก็กระไรอยู่ เลี้ยงไว้ใช้งานก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าโตมาแล้วสร้างเรื่องค่อยจับส่งขายตอนนั้นก็ยังไม่สาย’

    หลังได้ฟังเหล่าโจรลูกน้องก็ได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของผู้นำกลุ่ม ก่อนจะแยกกันไปค้นของต่อโดยระหว่างนั้นก็ลอบมองพี่ใหญ่กับเด็กดวงดีไปด้วย ซึ่งไม่รู้ทำไมเมื่อมองนานเข้ากลับรู้สึกว่าทารกนั้นคล้ายกับเป็นลูกของพี่อาทิตย์จริง ๆ บางทีคงอาจเป็นเพราะดวงตาสีนิลที่ดูสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนกัน

    ‘เออ! แล้วพี่จะตั้งชื่อเด็กนั่นว่าอะไร?’

    ลูกน้องโจรคนหนึ่งชะโงกออกจากตัวรถขึ้นมาถาม เมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญได้ ทว่าพี่ใหญ่กลับเพียงก้มมองชุดจากผ้าเนื้อดีที่ทารกสวมใส่ ซึ่งบนนั้นสลักอักษรภาษาอังกฤษเรียงกันสี่ตัว

    ‘ไม่เห็นต้องคิดใหม่ ก็ใช้ชื่อเดิมที่พ่อแม่เจ้านี่ตั้ง’
    ‘…’

    เมื่อได้ฟังคำตอบจากพี่ใหญ่เหล่าลูกน้องต่างมึนงงเล็กน้อยก่อนได้รับการเฉลย ซึ่งน่าแปลกที่เด็กน้อยในอ้อมแขนชายผู้ลงมือสังหารผู้ให้กำเนิด กลับดูคล้ายกำลังยิ้มตอบรับการเรียกชื่อ

    ‘ใช่ไหม? โนอาร์’



    ‘แกร๊ก!’
    ‘อา... ได้เอาลูกคุณหนูเป็นบุญชีวิตฉิบหาย ผิวแม่งโคตรนุ่ม’
    ‘จริงว่ะ ว่าแล้วก็อยากต่อ เดี๋ยวรอให้พี่อาทิตย์เสร็จก่อนจะขออีกสักน้ำ มึงจะเอาด้วยไหมไอ้นัส’

    ดาวเสาร์กับพุธออกมาจากห้องพลางคุยถึงช่วงหฤหรรษ์เมื่อครู่ ก่อนพุธจะหันมาถามนัส น้องเล็กของกลุ่มซึ่งถูกพี่อาทิตย์สั่งให้ดูโนอาร์ในระหว่างที่ตัวเองกำลังเสพสุขกับลูกสาวเจ้าของบ้าน

    ‘ไม่ล่ะพี่ แม่นั่นร้องไห้ขนาดนั้น ผมไม่มีอารมณ์หรอก’

    เมื่อได้ยินดังนั้นสองรุ่นพี่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ เพียงพยักหน้ารับก่อนจะเดินข้ามศพจมกองเลือดของพ่อแม่หญิงสาวซึ่งกำลังถูกย่ำยีไปทิ้งตัวนั่งพักตรงโซฟาชุด ถึงเพิ่งสังเกตเห็นลูกเลี้ยงของพี่อาทิตย์นั่งยองอยู่ข้างศพของชายแก่หญิงแก่เจ้าบ้าน ทว่าสายตาเด็กน้อยกลับจับจ้องไปยังบานประตูที่มีเสียงกรีดร้องแหบแห้งของหญิงสาวดังลอดออกมาเป็นระยะ

    ‘สนใจเหรอไอ้หนู ไว้ให้โตก่อนเดี๋ยวมึงก็ได้ลอง หึ ๆ ...ไอ้นัส! มึงอายเด็กมันไหมเนี่ยฮะ’
    ‘เข้าได้ไหม?’

    ขณะที่พุธกำลังกล่าวหยอกกับรุ่นน้อง เสียงใสไร้เดียงสาของเด็กน้อยกลับดังขึ้น และไม่รอคำตอบโนอาร์ในวัยสามย่างสี่ขวบก็ลุกวิ่งตรงไปยังเป้าหมายท่ามกลางเสียงห้ามปรามตกใจของเหล่าโจรลูกน้อง กว่าใครจะตั้งตัวทัน มือเล็กบอบบางก็เอื้อมจับลูกบิดพร้อมผลักบานประตูเข้าไปด้านในเสียแล้ว

    ‘อื้อออ!!!  กึก!! ๆ  อือ!! กึก!! อื้ออออ!!!!’
    ‘ฮะ... ฮึก... พะ... พอแล้ว... ฮือ...’

    ทันทีที่ประตูเปิดกว้างออก ภาพเบื้องหน้าที่เข้าสู่สายตาเด็กน้อยคือผู้ชายคนหนึ่งถูกมัดมือมัดปากไว้กับเก้าอี้ส่งเสียงร้องดิ้นขลุกขลักฟังไม่ได้ความ ซึ่งถูกจับหันหน้าเข้าเตียงที่มีผู้หญิงร่างเปลือยเปล่านอนคว่ำหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น กำลังโยกคลอนตามแรงกระแทกจากสะโพกที่ถูกฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านรั้งยกสูงไว้ เพื่อใช้รองรับบางสิ่งที่กำลังสอดใส่เข้าออกอย่างไร้ความปรานี ทว่าแม้จะถูกขัดจังหวะช่วงเอวแกร่งก็ไม่ได้ลดแรงหรือหยุดชะงักแต่อย่างใด

    ‘ไอ้หนู!! วอนหาเรื่องตายแล้วออกมานี่! ขอโทษด้วยพี่อาทิตย์ ผมจะรีบเอามันออกไปเดี๋ยวนี้แหละ’ ดาวเสาร์ออกรับหน้าแทนรุ่นน้องที่ตอนนี้ยืนหน้าซีดทำอะไรไม่ถูก พร้อมรีบปรี่เข้าไปหมายอุ้มโนอาร์ ทว่ากลับถูกน้ำเสียงทุ้มหนักของชายบนเตียงเอ่ยขัด
    ‘ไม่ต้อง ถ้าอยากดูนักก็ปล่อยให้ดูไป ส่วนนาย... เสาร์ ออกไปรอข้างนอก’
    ‘คะ.. ครับพี่’

    หลังฟังคำสั่งจากพี่ใหญ่ รุ่นน้องก็รีบออกจากห้องและปิดประตูทันที เมื่อไม่มีใครขัดขวางโนอาร์จึงเริ่มเดินสำรวจโดยมีสายตาของอาทิตย์คอยสังเกต เด็กน้อยมองสลับระหว่างผู้ชายบนเก้าอี้และหญิงสาวบนเตียงด้วยความสนใจ ก่อนจะหันมาถามคนรู้จักที่กำลังเอาตัวชนผู้หญิงจนเกิดเสียงกระแทกดังคลอไปกับเสียงสะอึกสะอื้นและเสียงร้องอื้ออึงของชายบนเก้าอี้ ทว่าน่าแปลกที่เด็กน้อยโนอาร์ไม่มีทีท่าหวาดกลัว หรือสงสารเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

    ‘อาทิตย์ ทำไมสองคนนี้ร้องไห้ ร้องทำไม’
    ‘ก็เพราะเจ็บไง แต่เจ็บคนละอย่าง ผู้หญิงนี่กำลังเจ็บตัว ส่วนผู้ชายบนเก้าอี้คงกำลัง... เจ็บใจ’ เสียงทุ้มหนักของชายบนเตียงตอบกลับ
    ‘เจ็บใจ? เป็นยังไง ไม่เห็นโดนตีเลย ทำไมเจ็บได้’

    โนอาร์ในวัยไร้เดียงสาถามต่ออย่างสับสน ผู้หญิงบนเตียงกำลังถูกอาทิตย์เอาตัวชนถึงร้องเจ็บอันนี้เขาเข้าใจ แต่กับผู้ชายบนเก้าอี้ทั้งที่ไม่มีใครทำอะไร ทำไมถึงได้ร้องดิ้นเจ็บเหมือนผู้หญิง ทำไมถึงต้องร้องไห้ ทำไมถึงต้องน้ำตาไหล เขาไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้จริง ๆ

    ‘หึ.. โตขึ้นเดี๋ยวก็รู้เองโนอาร์ แค่เห็นแฟนตัวเองตกเป็นเมียคนอื่นคาตาก็เจ็บได้ อาจเจ็บกว่าโดนตีอีก’
    ‘แล้วจะเห็นทำไม ถ้าเห็นแล้วเจ็บ’

    แม้จะยังไม่รู้จักคำว่าแฟนหรือเมีย แต่โนอาร์ก็พอจับใจความได้ว่าเจ็บเพราะมองเห็น ดังนั้นเด็กน้อยจึงหันไปถามชายบนเก้าอี้ ทว่าผ้าที่มัดปากไว้ทำให้ฟังไม่ออกว่าผู้ชายคนนี้กำลังพูดอะไร เช่นนั้นเด็กน้อยจึงเริ่มมองหาตัวช่วยจนสายตาสะดุดเข้ากับกางเกงของอาทิตย์ที่ถูกถอดทิ้งรวมกับกองเสื้อตรงข้างเตียง ฉับพลันโนอาร์ทันนึกถึงบางสิ่งได้ จึงรีบวิ่งเข้าไปคุ้ยหา

    ‘อาทิตย์ ขอมีดนะ’ เสียงใสของเด็กน้อยคล้ายเอ่ยขอพอเป็นพิธี
    ‘เอาไปทำอะไร?’
    ‘ตัดเชือกปิดปาก ให้ผู้ชายคนนั้นตอบว่ามองทำไม’

    การกระทำของเด็กน้อยอ่อนต่อโลก ทำให้อาทิตย์รู้สึกประหลาดใจได้ทุกครั้ง เขารู้ดีว่าโนอาร์ไม่เหมือนเด็กคนอื่น เด็กนี่ฉลาดเกินวัย และมีนิสัยชอบสังเกตทำความเข้าใจพฤติกรรมความรู้สึกจากเหยื่อของเขา แต่ในความชอบนั้นกลับมีเพียงแค่ความอยากรู้ ไร้ความสงสารเมตตา แม้จะเห็นคนถูกฆ่าต่อหน้าเด็กนี่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว ซึ่งความผิดแผกเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกสนใจและอยากทดสอบดูการตอบสนองของโนอาร์อยู่เรื่อย ๆ 

    ‘อา... อืม... ตุบ!’
    ‘หยิบบุหรี่กับไฟแช็กมาให้ด้วย’

    เสียงทุ้มหนักครางปลดปล่อยเสร็จสม พลางผลักร่างบางช้ำหมดสิ้นเรี่ยวแรงของหญิงสาว ทิ้งให้นอนหอบสะอื้นกับผืนเตียงยับ อาทิตย์นั่งพักตรงปลายเตียงพร้อมบอกให้โนอาร์หยิบของมาเผื่อ ฝ่ามือใหญ่รับของจากเด็กน้อยก่อนจุดไฟเผาไหม้ตรงปลายมวนบุหรี่ เริ่มสูดหายใจเข้าปอด และปล่อยความรู้สึกให้ผ่อนคลายเหมือนกับกลุ่มควันลอยเอื่อยจางหายไปในอากาศ

    ‘ส่งมา จะเปิดให้’ ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปตรงหน้าเด็กน้อยที่พยายามดึงคมมีดที่พับซ่อนอยู่หลายครั้งแต่ก็ไร้ผล ซึ่งโนอาร์ก็ยอมส่งให้แต่โดยดี
    ‘ดูแล้วจำไว้ มันมีปุ่มอยู่ หาให้เจอแล้วกดตัวมีดก็จะเด้งออกมาเอง’
    ‘พรึบ!’

     ทันทีที่นิ้วหนากดปุ่มหนึ่งบนด้ามจับ ฉับพลันคมมีดแหลมเงาวาวก็เด้งออกมาตามคำพูดเมื่อครู่ อาทิตย์เตรียมพับมีดเก็บตามเดิมเพื่อให้โนอาร์ลองทำตาม ทว่าจังหวะนั้นเองที่มืออีกคู่หนึ่งจากคนบนเตียงพุ่งเข้ามาแย่งมีดจากร่างสูงใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว

    ‘อะ.. ออกไป!! อย่าเข้ามานะ!!!’

    หญิงสาวสภาพเปลือยบอบช้ำเอ่ยขู่ไล่โจรชั่วช้า พลางตวัดกวาดมีดไปมาเพื่อสร้างระยะห่าง อีกมือหนึ่งรีบคว้าผ้าห่มช่วยปกปิดส่วนสงวน ค่อย ๆ ขยับเดินพามาร่างที่แทบทรงตัวไม่ไหวไปหาแฟนหนุ่มที่ถูกมัดอยู่ ทว่าชายสารเลวกับเพียงนั่งสูบบุหรี่ต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา เช่นเดียวกับเด็กน้อยที่มากับกลุ่มโจร กลับเฝ้ามองด้วยสายตาแฝงความงุนงงปนอยากรู้

    ‘มึงตาย!!!! ไอ้เหี้ยย!!!!’

    ฉับพลันเมื่อชายหนุ่มถูกแก้มัด คนโกรธแค้นจนสติหลุดแย่งมีดจากแฟนสาวก่อนพุ่งเข้าใส่โจรระยำ หมายจะเอามีดกะซวกแทงให้สาสมกับความต่ำช้า ทว่าวินาทีที่เข้าประชิดตัว คนกำลังเสียท่ากลับเผยรอยยิ้มมุมปากหยามเหยียด

    ‘อั่ก!’
    ‘โครม!!!!’
     ‘คะ.. คุณ!!’

    การจู่โจมที่มีเพียงอารมณ์เป็นแรงชักนำไม่แปลกที่จะเผยช่องโหว่มากมาย ดังนั้นคนหวังเอาคืนจึงถูกฝ่าเท้าหนักของคนปลายเตียงถีบเข้ากลางตัวอย่างจัง จนร่างเซไปจนโต๊ะล้มระเนระนาด แฟนสาวซึ่งแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงรีบเข้าไปดูแล ระหว่างความวุ่นวายตัวการอย่างอาทิตย์กลับเพียงหยิบกางเกงที่กองอยู่ตรงพื้นขึ้นมาสวมใส่ พลางแต่งแต้มสีดำสกปรกลงบนจิตใจบริสุทธิ์ของเด็กน้อยที่เฝ้ามองอยู่ทุกการกระทำ

    ‘ดูสภาพพวกผู้ดีตอนนี้และจำไว้โนอาร์ เราไม่จำเป็นต้องไปโหวกเหวกตะโกนเบ่ง ของพวกนั้นปล่อยให้พวกมันทำไป ให้พวกมันแสดงสันดานต่ำออกมา ส่วนเราก็แค่เฝ้ามองความสมเพชไม่ต้องไปทำตาม ที่จริงพวกผู้ดีเกิดบนกองเงินกองทอง มันก็สถุลเหมือนเรานั่นแหละ’

    ว่าจบอาทิตย์ที่ใส่กางเกงเรียบร้อยเหลือเพียงท่อนบนที่ยังเปลือยเปล่า ก็เดินเข้าไปหาสองคู่รักพร้อมกดปลายกระบอกปืนจ่อใส่กลางหน้าผากชายหนุ่ม

    ‘แกร๊ก!’
    ‘...มึงมันโคตรชั่วไอ้ระยำ ทุกสิ่งที่มึงทำกับพวกกู สักวันมึงจะต้องชดใช้อย่างสาสม’
    ‘พะ... พอแล้ว กะ... แกได้ทุกอย่างไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ปะ.. ปล่อยเราไปเถอะ’

    ชายหนุ่มตอกกลับคนถือปืนด้วยดวงตาแข็งกร้าวไร้ความกลัวเกรง ผิดกับหญิงสาวที่พยายามเอ่ยอ้อนวอน ทว่าน่าเศร้าที่คนฟังไม่มีท่าทีเห็นใจแม้แต่น้อย
    
    ‘หึ... ใครบอกพวกผู้ดีพูดคำหยาบไม่เป็น เห็นไหมโนอาร์มันก็แค่กระแดะทำตัวสูงส่ง งั้นเราต้องห้ามพูดหยาบบ้าง จะได้ดูสูงกว่าพวกมัน’
    ‘ถุย.. ต่ำแบบมึง ทำให้ตายก็ไม่มีทางสูง-’
    ‘ปัง!!!!’
    ‘กรี๊ดดด!!!!!’

     เสียงปืนดังสนั่นหยุดคำพูดสบประมาท หยดเลือดจากบาดแผลเหวอะเพราะแรงกระสุนสาดกระจายทั่วพื้นที่ ความรู้สึกหญิงสาวพลันแหลกสลายกอดศพว่าที่เจ้าบ่าวร้องไห้แทบขาดใจ ส่วนคนทำเพียงเหยียดยิ้มมุมปากเยาะเย้ย ทุกเหตุการณ์ถูกนัยน์ตารัตติกาลประกายวาวของโนอาร์เฝ้ามองและซึมซับความดำมืดอำมหิต ความรวดร้าวเจ็บปวดเบื้องหน้าของหญิงสาวกลับกลายเป็นแหล่งเรียนรู้สร้างความสนุกตื่นเต้นให้เด็กน้อย แทนที่จะเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกสงสารเห็นใจ

    ‘อาทิตย์ ขอเล่นบ้าง’
     ‘อะไร?’
    ‘ที่เสียงดัง ๆ แล้วมีน้ำแดง ๆ ออกมา’
    ‘มันไม่ใช่ของเล่น แต่จะให้ลอง เอาไหม’
    ‘เอา!’

    เมื่อได้ยินคำตอบรับ อาทิตย์จึงนั่งยองซ้อนหลังเด็กน้อยพลางสอนวิธีจับปืนวางนิ้วให้มือเล็กโดยยังคงช่วยถือประคองน้ำหนัก บังคับปลายอาวุธหันไปทางหญิงสาวที่กำลังร่ำไห้เสียใจไม่สนสิ่งรอบข้าง เมื่อตั้งท่าได้แล้วอีกมือหนึ่งที่ว่างจึงคีบมวนบุหรี่ออกจากปากและพ่นควันพิษเหนือหัวให้เด็กน้อยสูดดมจนไอสำลัก

    ‘แค่ก ๆ ...เหม็น’
    ‘หึ เดี๋ยวก็ชิน.. พอเล็งได้แล้วก็เอานิ้วเข้าโก่งไกแล้วก็ออกแรง อืมใช่’

    เพราะแรงยังน้อยนิ้วเล็กจึงไม่อาจลั่นไกปืนได้ นิ้วหนาที่คอยประคองเลยช่วยอีกแรง เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวเริ่มได้สติเงยหน้าขึ้นมาพอดี ส่งผลให้วิถีกระสุนเปลี่ยนจากหลังศีรษะเป็นการแสกหน้า

    ‘ปัง!!!!’

     เสียงกระสุนปลิดชีพดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับความรู้สึกวิ้งหูอื้อของเด็กน้อย อาทิตย์ลุกขึ้นยืนเพื่อกลับไปใส่เสื้อผ้าแต่งตัวต่อให้เสร็จ ปล่อยโนอาร์ยืนชมผลงานชิ้นแรกของตัวเอง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยเรียกเด็กน้อยให้เดินตามออกจากห้อง

    ‘โนอาร์’
    ‘…’
    ‘โนอาร์! ไม่ได้ยินหรือไง?’
    ‘…ตายแล้วเหรอ’ เสียงตอบกลับที่ดูไม่สัมพันธ์กับการเรียกชื่อก่อนหน้า ทำให้คิ้วของอาทิตย์ขมวดมุ่นก่อนเดินกลับไปหาเด็กน้อย
    ‘ใช่ ทำไม? อย่าบอกนะว่าสงสารทั้งที่เป็นคนยิงเอง’
    ‘เปล่า’

    โนอาร์ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อบอกเหตุผล ซึ่งคำตอบไร้เดียงสาผสานนัยน์ตารัตติกาลเจือความเยียบเย็นของเด็กน้อย กลับเรียกรอยยิ้มมุมปากให้ปรากฎบนใบหน้านิ่งขรึมของอาทิตย์ได้อีกครั้ง

    ‘เมื่อกี้สนุกเลยลืมถามผู้ชายว่าถ้ามองแล้วเจ็บ จะมองทำไม?’



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2021 09:45:52 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)


    ‘ทำอะไรน่ะ’
    ‘อ่านหนังสือ’

    นัสเอ่ยตอบโนอาร์ในวัยใกล้หกขวบโดยตาไม่ได้ละจากหน้ากระดาษ เด็กน้อยมองตามกลับพบเพียงลวดลายกระยึกกระยือดูไม่รู้เรื่อง ซึ่งนั่นก็ทำให้เรียวคิ้วน้อย ๆ ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้มีอะไรน่าสนใจนักอีกฝ่ายถึงได้นั่งจ้องอยู่นานแสนนาน

    ‘มีแต่ลายอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นสนุกเลย’
    ‘หึ ๆ มันคืออักษรไม่ใช่ลาย ถ้าได้เรียนหนังสือก็จะอ่านออกเอง’
    ‘อยากเรียนหนังสือ’ เสียงใสตอบกลับทันที
    ‘ต้องไปขอพี่อาทิตย์ ทั้งพี่พุธ พี่เสาร์ หรือตัวพี่เองไม่มีปัญญาส่งแกเรียนหรอก’

    ชายหนุ่มกล่าวตอบ พลางวางหนังสือลงแล้วใช้ฝ่ามือลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดูระคนเห็นใจในโชคชะตา ถ้าพ่อแม่ของโนอาร์ไม่เลือกถนนเส้นนั้นจนมาเจอกับพี่อาทิตย์และพวกเขา ป่านนี้เจ้าเด็กนี่คงอ่านออกเขียนได้หลายภาษา เผลอ ๆ อาจเก่งกว่าเขา และได้อยู่สุขสบายในบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง ไม่ใช่บ้านเช่าเล็กแคบที่ต้องย้ายเปลี่ยนที่อยู่บ่อย ๆ แบบนี้

    ‘ปึง!’
    ‘ข้าวมาแล้ว! โนอาร์เตรียมจานซิ เอาน้ำมาด้วย เออ! เอาข้าวไปให้พี่อาทิตย์ก่อนเลย เดี๋ยวพี่แกโมโหหิวจนองค์ลงอีก’

    เสียงปิดประตูบ้านดังลั่นจนสมาชิกที่นั่งเล่นอยู่ตรงพื้นต่างหันมอง พุธที่ออกไปหามื้อกลางวันเรียกโนอาร์ให้มารับของส่วนตัวเองก็ไปตากพัดลมคลายร้อน เด็กน้อยทำหน้าที่ประจำอย่างไม่อิดออด จัดแจงเตรียมจานกับแก้วมาวางเรียงกลางวงพวกรุ่นพี่ แล้วจึงแยกไปแกะข้าวจากกล่องใส่จานอีกชุดต่างหาก เอาน้ำหนึ่งขวดหนีบแขนไว้ ก่อนค่อย ๆ ถืออาหารเที่ยงไปให้ใครบางคนที่มัวแต่อยู่ในห้อง

    ‘แกร๊ก!’
    ‘อาทิตย์ ข้าว’
    ‘อืม เอาไปวางบนโต๊ะ’

    เมื่อได้ยินคำสั่ง เด็กน้อยจึงหันเหทิศทางไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง วางของทุกอย่างกับพื้นก่อนจะถือจานขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เอื้อมแขนพร้อมเขย่งดันจานข้าวให้อยู่กลางโต๊ะกันตก แล้วจึงก้มไปหยิบขวดน้ำและทำอย่างเดียวกัน หลังเรียบร้อยโนอาร์จึงหันไปดูอาทิตย์ที่ยังนั่งสูบบุหรี่ตรงขอบหน้าต่าง สายตาจับจ้องไปที่หนังสือพิมพ์ในมือเหมือนกับนัสไม่มีผิด

    ‘อาทิตย์ ดูอะไรอะ’ เด็กน้อยเข้ามาถามด้วยความอยากรู้ พลางพยายามปีนขึ้นไปนั่งด้วย แต่เพราะตัวเล็กเกิน ผลเลยได้แค่ยืนเกาะขอบหน้าต่าง
    ‘หาของเล่นมาให้ไง’

    เด็กน้อยพยักหน้าเข้าใจความหมายแฝง ของเล่นที่อาทิตย์ว่าแท้จริงคือบ้านที่จะบุกปล้นในรอบหน้า ซึ่งหลังยึดข้าวของในบ้านหมดแล้ว อาทิตย์จะให้เขาเล่นยิงปืนโดยมีเป้าเคลื่อนที่เป็นพวกคนหนีตาย ซึ่งท่าทีหวาดกลัวร้องไห้วิงวอนก่อนจะแน่นิ่งจมแอ่งน้ำแดงก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นดี แต่ตอนนี้เด็กน้อยมีสิ่งอื่นที่สนใจกว่า

    ‘อาทิตย์ อยากเรียนหนังสือ’

    เสียงใสของเด็กน้อยถึงกับทำให้ปลายนิ้วที่กำลังเปลี่ยนหน้าหนังสือพิมพ์หยุดชะงัก อาทิตย์บี้บุหรี่ที่สูบค้างไว้ทิ้ง และหันมาสบดวงตารัตติกาลมืดมิดของโนอาร์

    ‘ไปเอาคำนั้นมาจากไหน’
    ‘นัสบอก ถ้าเรียนหนังสือจะอ่านลายบนกระดาษที่เรียกว่าอักษรได้ อาทิตย์ก็เรียนหนังสือใช่ไหม ถึงได้ดูหนังสือพิมพ์ตั้งนานไม่เบื่อ’
 
    ชายหนุ่มมองเด็กน้อยนิ่ง ซึ่งโนอาร์ก็จ้องตอบไร้วี่แววขลาดกลัวราวกับจะเอาเสียให้ได้ ทว่าน่าเศร้าที่เขาไม่ได้ใจดีขนาดนั้น เขาไม่ได้ละทิ้งความตั้งใจเดิมที่เลี้ยงโนอาร์ไว้ใช้งาน และตอนนี้เด็กนี่ก็ขยันทำหน้าที่ง่าย ๆ อย่างล้างจาน ทำความสะอาดบ้านได้อย่างดี ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจนโนอาร์กลายเป็นผู้ใหญ่คงใช้ประโยชน์ทำเรื่องอื่นได้อีกมาก ฉะนั้นการให้ความรู้กับเด็กนี่จึงไม่ใช่เรื่องจำเป็น มิหนำซ้ำโนอาร์ฉลาดเป็นกรด ถ้ายิ่งมีความรู้ประดับตัว พอโตขึ้นอาจจะแข็งข้อและยิ่งคุมยากเสียเปล่า

    ‘แค่ดูตัวเลขศูนย์ถึงเก้าออก นับเลขได้บ้างอย่างตอนนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนอ่านให้เสียเวลา เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้’
    ‘ทีอาทิตย์กับนัสยังทำได้เลย อยากทำได้เหมือนกัน’
    ‘ถึงไม่ห้ามก็เรียนไม่ได้อยู่ดี ประวัติเกิดไม่มี พ่อแม่ก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างที่ไหนเขาจะรับ’
    ‘….ให้อาทิตย์เป็นพ่อ’ เด็กน้อยพยายามหาทาง
    ‘หึ... ลืมไปแล้วเหรอคนที่ฆ่าพ่อแม่นายคือฉันเอง แล้วจะให้ฉันพ่อนายเหรอ ตลกน่ะโนอาร์ เลิกคิดเรื่องพวกนี้แล้วเอาเวลาไปฝึกใช้มีดที่เคยสอนไม่ดีกว่าหรือไง’
    ‘…’
    ‘ออกไปได้แล้วไป ฉันจะกินข้าวและนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ’

    ได้ยินคำพูดตัดบทเช่นนั้น โนอาร์ก็ได้แต่เพียงเดินออกจากห้องตามคำสั่ง ทว่าภายในใจเด็กน้อยก็ยังไม่ยอมแพ้ละทิ้งความตั้งใจ ราวกับเอกลักษณ์นิสัยเย่อหยิ่งทะนงตนในอนาคต ที่ไม่ว่าอะไรหากอยากได้จะต้องได้ กำลังค่อย ๆ ถือกำเนิดตื่นขึ้นทีละน้อย

    ‘เป็นยังไงบ้าง ได้ไหม’ นัสเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นเด็กน้อยออกมาจากห้อง ซึ่งก็ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ
   ‘ได้ก็แปลกแล้ว นี่ไอ้หนูเลิกฝันหวานซะเถอะ นี่มันซ่องโจรไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ที่พี่อาทิตย์เลี้ยงแกก็แค่เห็นว่าหน่วยก้านพอเอาไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนพวกกูนั่นแหละ ไม่ได้เอ็นดูหรือพิศวาสอะไรแกขนาดนั้น รีบ ๆ โตแล้วมาช่วยงานพวกกูดีกว่า’ ดาวเสาร์ที่ลอบฟังอยู่ตั้งแต่แรกรีบกล่าวทับถมเด็กน้อยให้ตื่นสู่ความจริง
    ‘อะไรวะ? กูตามไม่ทัน’
    ‘อ๋อมึงไปซื้อข้าวนี่นะไอ้พุธ ก็ไอ้หนูมันเห็นไอ้นัสอ่านหนังสือแล้วอยากอ่านบ้างเลยไปขอพี่อาทิตย์ส่งมันเรียน สุดท้ายก็เดินคอตกออกมานี่ไง หึ ๆ’
    ‘แล้วมึงก็ไปซ้ำเติมมันเนอะไอ้เสาร์ โคตรเหี้ย... ส่วนมึงไอ้หนูเชื่อกูในโรงเรียนแม่งโคตรน่าเบื่อ สอนแต่เรื่องไร้สาระไม่ได้ดีเหมือนที่มึงคิดไว้หรอก เรียนวิชาชีวิตกับพวกกูนี่แหละได้ประโยชน์กว่าเยอะ เออ! มึงชอบไปเล่นสวนสาธารณะหนิ ลองถามพวกเด็กอายุเท่า ๆ มึงดู มีใครยิงปืนเป็นใช้มีดคล่องแบบมึงบ้าง กูเอาหัวเป็นประกันว่าไม่มี มึงน่ะมีดีกว่าอีเด็กเหลือขอพวกนั้นเยอะ มึงไม่ได้ขาดอะไรหรอก ภูมิใจในตัวเองเข้าไว้’

    พุธกล่าวปลอบพร้อมวาดฝ่ามือใหญ่ตบเข้ากลางหลังเด็กน้อยสองสามครั้งคล้ายให้กำลังใจ ทว่าคำพูดมากมายเหล่านั้นกลับไม่อาจสั่นคลอนความตั้งใจของโนอาร์แต่อย่างใด ภายในความคิดซับซ้อนเกินอายุยังคงคิดหาวิถีทาง จนไปสะดุดเข้ากับเนื้อหาบางส่วนที่แทรกอยู่ในบทสนทนาของพวกผู้ใหญ่เมื่อครู่

    ‘...งั้นตอนเย็นจะไปถามเด็กที่สวนสาธารณะนะ’ เสียงใสเอ่ยตอบหลังเงียบหายไปสักพัก
    ‘ให้มันได้อย่างนี้สิ! ได้เรื่องเป็นไงมาเล่าให้พวกกูฟังด้วย’

    เด็กน้อยเพียงพยักหน้ารับ ก่อนเอื้อมแขนไปหยิบจานและกล่องข้าวที่เหลืออยู่เพื่อเริ่มกินมื้อเที่ยงของตัวเอง เหล่ารุ่นพี่รอบวงกินข้าวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เลือกเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเป็นเรื่องอื่นแทน ปล่อยเด็กน้อยสุดในกลุ่มให้นั่งมองนาฬิกาเก่าบนข้างฝาและคิดอะไรบางอย่างเพียงลำพัง


    โนอาร์มานั่งชิงช้าในสวนสาธารณะตอนเข็มสั้นของนาฬิกาชี้เลขสี่ เป็นเวลาที่เขาจำได้ว่ามักจะเห็นกลุ่มเด็กขนาดตัวใกล้เคียงกับเขามาวิ่งเล่นรอคนมารับ ในตอนแรกเขาไม่รู้ว่ามีที่แบบนี้อยู่ใกล้บ้าน จนกระทั่งครั้งหนึ่งอาทิตย์พาผู้หญิงมาบ้านและเหมือนผู้หญิงคนนั้นบ่นอะไรสักอย่าง อาทิตย์เลยตัดปัญหาบอกทางเขามาที่นี่ฟ้ามืดค่อยกลับไป หลังจากนั้นเขาก็ชอบมานั่งเล่นเวลาเบื่อ ๆ ไม่ก็วันที่อาทิตย์กลับมาพร้อมผู้หญิง

    เด็กน้อยผู้มีดวงตาสีรัตติกาลสุขุมเกินวัย เลือกนั่งแกว่งชิงช้าเล่นเผื่อรอใครบางคน ไม่คิดฆ่าเวลาด้วยการรวมกลุ่มเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน เพราะรู้สึกรำคาญยามได้ยินเสียงโวยวายวี้ดว้ายของเจ้าพวกนั้น ซึ่งไม่นานนักคนที่เขารอก็เดินโบกมือทักทายมาแต่ไกล

    ‘มานั่งคนเดียวอีกแล้วไม่เหงาเหรอ ไม่ลองไปหาเพื่อนบ้างละ มีเพื่อนเยอะ ๆ แล้วเล่นอะไรสนุก ๆ ด้วยกันดีจะตาย’
    ‘ไม่เห็นดรีมจะมีเพื่อนสักคน’ คำตอบกลับของโนอาร์ถึงกับทำให้คนฟังรู้สึกสะอึกไปชั่วครู่ ก่อนเด็กชายวัยรุ่นจะพยายามแสร้งยิ้มแย้มกลบเกลื่อนพลางนั่งเล่นแกว่งชิงช้าตัวข้างกัน
    ‘ใครบอกไม่มี มีสิ.. พี่มีเพื่อนในโรงเรียนเยอะแยะเลย... แล้วก็เรียกว่าพี่ดรีมด้วย พี่แก่กว่าน้องโนตั้งเก้าปี มาเรียกคนอื่นห้วน ๆ มันดูไม่น่ารักนะ’
    ‘ไม่เห็นอาทิตย์จะว่าอะไรเลย’

    หลังได้ฟังดรีมก็ได้แต่เพียงถอนหายใจ เขาพยายามเข้าหาโนอาร์เพราะเห็นอีกฝ่ายมักนั่งอยู่คนเดียวทั้งบรรยากาศรอบตัวยังดูอึมครึมไม่สดใสเหมือนเด็กคนอื่น เขาจึงอยากทำความรู้จักและเป็นเพื่อนของเด็กคนนี้ อยากช่วยดึงออกมาจากโลกสีเทาหม่นให้เห็นสีสันงดงามที่เรียกว่าชีวิต จนเมื่อเขาได้รู้ว่าคนที่ช่วงชิงวัยเด็กและบังคับให้โนอาร์โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนเวลาก็คือคนชื่ออาทิตย์ ผู้ปกครองที่เลี้ยงดูแลเด็กคนนี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาแทบจนปัญญาไม่รู้จะช่วยเอาความร่าเริงกลับคืนมาให้เด็กน้อยได้อย่างไร

    ‘ทำไมดรีมต้องไปโรงเรียน ไปเรียนหนังสือใช่ไหม?’ คำถามจากเสียงใสข้างตัว ถึงกับทำให้เด็กวัยรุ่นหลุดจากภวังค์
    ‘ใช่แล้ว ไปเรียนหนังสือ เดี๋ยวอีกหน่อยน้องโนก็ได้ไปโรงเรียนเหมือนกัน’
    ‘อยากไป แต่อาทิตย์บอกว่าไม่ได้ เพราะไม่มีประวัติ ไม่มีพ่อแม่’
    ‘ไม่เห็นเกี่ยวเลย! พี่เองก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน อยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่จำความได้ แต่ดูสิปีหน้าพี่ก็จะได้ขึ้นมอปลายแล้ว คน ๆ นั้นคิดอะไรอยู่ ไม่สนใจอนาคตน้องโนเลยหรือไง’ ดรีมบ่นอุบ เมื่อได้ฟังข้ออ้างไร้สาระของคนที่ชื่ออาทิตย์ ทว่าเด็กน้อยข้างกายหาได้รู้สึกร่วมด้วย มิหนำซ้ำยังยิงคำถามถัดไปทันที
    ‘แล้วดรีมทำยังไงถึงได้เรียน’
    ‘อา... พี่ไม่ได้ทำเองหรอก เจ้าหน้าที่บ้านเลี้ยงเด็กทำให้น่ะ’
    ‘อยากอยู่บ้านเลี้ยงเด็ก’
    ‘ไม่เอานะ! รู้ไหมเด็กในบ้านเลี้ยงเด็กก็อยากมีคนมารับไปอยู่ในครอบครัว เหมือนที่น้องโนมีคุณอาทิตย์ พี่พุธ พี่ดาวเสาร์ และก็พี่นัสไง... ถ้าคุณอาทิตย์ไม่ให้ลองขอกับคนอื่นดูไหม พี่ว่าสักคนเขาต้องยอมแพ้ให้กับความตั้งใจของน้องโนแน่นอน’
    ‘ถ้าไม่มีใครใครดูแลแล้ว จะได้อยู่บ้านเลี้ยงเด็กใช่ไหม’
    ‘…พวกคุณเขาไม่ใจร้ายทิ้งน้องโนหรอก’

    ดรีมเลี่ยงตอบคำถาม ทว่านั่นก็ชัดเจนมากพอสำหรับเด็กน้อยที่โตเกินวัย โนอาร์กระโดดลงจากชิงช้าเมื่อรับรู้สิ่งที่ต้องการ ก่อนเดินกลับบ้านเช่าโดยไม่แม้จะกล่าวลาใครอีกคนที่นั่งมองตามหลังด้วยความงุนงง โดยระหว่างทางกลับ ภายในความคิดแสนแยบยลของเด็กน้อย ก็เริ่มวางโครงดำเนินเกมมรณะเป็นครั้งแรก



    ‘บ้านนี้แม่งดวงดี อดฝึกยิงปืนเลยเนอะไอ้หนู’

     ดาวเสาร์เอ่ยคล้ายเสียดาย ขณะเดินกวาดสายตาหาของมีค่าในบ้านใหญ่ไร้ผู้พักอาศัยที่เป็นเป้าหมายในคืนนี้ ซึ่งโนอาร์ที่นั่งตรงโซฟาข้างหัวหน้าโจรอย่างอาทิตย์ ก็ไม่ได้ตอบกลับหรือมีท่าทีผิดหวังแม้แต่น้อย

    ‘ไม่อยู่น่ะดีแล้ว เห็นพี่อาทิตย์บอกบ้านนี้มีแค่ตาแก่กับลูกชาย ไม่มีสาวสักคน เสียเวลาเสียกระสุนเปล่า ๆ ...เออ แล้วนี่ไอ้นัสไปไหนป่านนี้ยังไม่- เหี้ยเอ้ย!! ไอ้พวกตำรวจมันมาได้ยังไงวะ!’
 
    ช่วงจังหวะที่พุธกำลังเอ่ยถามถึงรุ่นน้องอีกคนนั้นเอง ฉับพลันกลับมีเสียงไซเรนดังแทรกคล้ายมุ่งหน้ามาทางนี้ ไม่นานบริเวณหน้าบ้านก็สว่างโร่ด้วยไฟแดงสลับน้ำเงินและไฟหน้าของรถตำรวจหลายคัน เหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้เหล่าลูกน้องโจรกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก จนหัวหน้าอย่างอาทิตย์ต้องลุกขึ้นมาคุมสถานการณ์

    ‘ทางเราได้ล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ยอมออกมามอบตัวคุยกันดีกว่า อย่าบังคับให้ทางเราต้องใช้วิธีรุนแรง’ ตำรวจนายหนึ่งใช้เครื่องขยายเสียง เอ่ยเจรจากับกลุ่มโจรภายในบ้าน
    ‘...หรือไอ้นัสทรยศพวกเรา! ถ้าเจอตัวมันจะกระทืบแม่งให้ตาย แต่ตอนนี้เอาไงดีพี่อาทิตย์’ พุธกล่าวอย่างเจ็บใจ ก่อนจะหันไปขอความเห็นกับหัวหน้า
    ‘ไม่ต้องไปสนใจพวกตำรวจ เอาของเท่าที่ขนได้ออกไปทางที่คุยกันไว้’
    ‘แต่ไอ้นัสมัน... ถ้าเราไป-’
    ‘ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าพวกตำรวจมันรู้ได้ยังไง แต่ที่แน่คนทรยศไม่ใช่นัส’

    อาทิตย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง โดยเสี้ยวจังหวะหนึ่งนัยน์ตาดุสีดำอันตรายกลับเหลือบมองไปยังเด็กน้อยอย่างยากคาดเดาความคิด ก่อนจะเดินนำกลุ่มออกจากบ้านผ่านทางหนีฉุกเฉิน

    ด้วยความมืดยามวิกาลดึกสงัด ผสานกับความเงียบของฝีเท้าและเงาพุ่มไม้อำพรางกาย ในที่สุดกลุ่มโจรสามคนรวมเด็กน้อยก็สามารถหลบสายตาตำรวจจนมาถึงจุดนัดพบ ซึ่งมีรถสำหรับขับหนีจอดรออยู่ ทว่ากลับไร้วี่แววคนรับหน้าที่เตรียมการอย่างนัส

    ความเงียบที่เคยเป็นอาวุธและความได้เปรียบ ยามนี้กลับสร้างความไม่ชอบมาพากลให้กับหัวหน้ากลุ่มโจรเสียแทน อาทิตย์ส่งสัญญาณให้เหล่าลูกน้องที่เดินตามให้หยุดรอ เมื่อสัมผัสถึงความผิดปกติ ถึงแม้ผู้เจนประสบการณ์อย่างอาทิตย์คล้ายจะรู้ตัว แต่ก็ไม่อาจก้าวทันแผนของใครบางคนที่วางไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

    ‘พรึบ!’
    ‘หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เราจับคนขับรถผู้สมรู้ร่วมคิดไว้แล้ว หยุดคิดหนีและยอมมอบตัวซะ!’

    คำประกาศของเจ้าหน้าที่ให้ยอมจำนน มาพร้อมแสงสว่างจ้าจากไฟหน้ารถตำรวจสาดใส่กลุ่มโจรที่อยู่กึ่งกลางวงล้อม จนพุธและดาวเสาร์เผลอหยีตาหลบแสงครู่หนึ่ง ผิดกลับอาทิตย์ที่อาศัยจังหวะนั้นคว้าตัวเด็กน้อยขึ้นมาล็อกคอฉับพลัน พร้อมกับใช้ปืนกดเข้ากลางขมับของโนอาร์เพื่อข่มขู่และใช้เป็นตัวประกัน

    ‘แค่ก! อะ.. อั่ก!..’
    ‘ปล่อยตัวเด็กเดี๋ยวนี้! ยอมมอบตัวซะ โทษของพวกนายจะได้เบาลง’ เสียงตำรวจผู้รับหน้าที่เจรจากล่าวเตือน ขณะที่เจ้าหน้าที่นายอื่นต่างยกปืนเล็งไปยังกลุ่มโจร เผื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุไม่คาดคิด
    ‘ตอนไหน? ตั้งแต่เมื่อไร?’

    อาทิตย์ไม่ได้สนใจท่าทีของเหล่าตำรวจที่รายล้อมแต่อย่างใด เพียงกระซิบถามเด็กน้อยที่พยายามดิ้นหนีด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแฝงโทสะรุนแรง พลางเพิ่มกำลังแขนล็อกคอยิ่งขึ้นจนใบหน้าของโนอาร์ขึ้นสีแดงเพราะขาดอากาศ แต่เพราะจดจ่อกับการเค้นความจริงมากเกินไป จึงทำให้เผลอลดความระวังโดยไม่ตั้งใจ

    ‘อึก! โนอาร์!’
 
    เด็กน้อยอาศัยช่วงทีเผลอ ใช้คมมีดพับขนาดเล็กซึ่งแอบซ่อนไว้กรีดเข้าที่แขนแกร่งเกิดเป็นแผลยาว จนอาทิตย์จำต้องปล่อยร่างเล็กลงพื้น โนอาร์เมื่อได้รับอิสระพลันรีบวิ่งไปหากลุ่มตำรวจที่รอรับอย่างรวดเร็ว ทว่าแม้จะวิ่งเต็มฝีเท้า เด็กวัยหกขวบก็ไม่อาจว่องไวเท่าผู้ใหญ่ ขณะที่โนอาร์วิ่งไปได้เพียงกลางทาง ปลายกระบอกปืนของอาทิตย์ก็ได้เล็งเป้าไปยังกลางหัวเด็กน้อย เพื่อส่งมอบความตายให้เป็นโทษทัณฑ์สุดท้ายในชีวิต

    ‘แกร๊ก!!’

    ไกปืนขัดแข็งไม่สามารถยิงได้อย่างที่ตั้งใจ ถึงกับทำให้นัยน์ตาสีดำสนิทชั่วร้ายหลุดเบิกกว้างขึ้นหนึ่งระดับ เป็นผลให้หัวหน้าโจรพลาดโอกาสสำคัญจนปล่อยโนอาร์วิ่งไปถึงมือตำรวจ ก่อนดวงตารัตติกาลของเด็กน้อยจะหันมามองสบกับอาทิตย์คล้ายย้อนไปครั้งแรกที่พบกัน ทว่าที่ต่างคือยามนี้บนใบหน้าไร้เดียงสานั้นกลับปรากฎรอยยิ้มมุมปากแบบเดียวกับที่เขาชอบทำ เสี้ยวความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาบังคับให้นัยน์ตาสีดำอันตรายละมามองปืนในมือ ถึงเพิ่งสังเกตว่าปืนถูกล็อกเซฟไว้ ไม่ต้องเดาชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่าปืนคงถูกโนอาร์กดล็อก ตั้งแต่ช่วงเจ้านั้นแกล้งปัดมือไปมาตอนถูกรัดคอ ฉะนั้นหัวหน้าโจรที่รู้ชะตาจึงเผยยิ้มมุมปากต้นฉบับ เตรียมน้อมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง

    ‘ปัง!!’
    ‘พี่อาทิตย์!!! มึง!!’
    ‘ปัง!! ปัง!! ปัง!!’
    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!!’

    เสียงกระสุนสิ้นสุดลง พร้อมกับร่างของสามโจรถูกยิงวิสามัญล้มกับพื้นจมกองเลือด เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้าไปประเมินสถานการณ์ก่อนจะส่งสัญญาณให้นายอื่นทราบว่าผู้ร้ายทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว ถือเป็นการปิดคดีของอาชญากรต่อเนื่องที่เลือกลงมือเฉพาะเหยื่อมีฐานะได้อย่างงดงาม

    ตำรวจนายหนึ่งรับหน้าที่พาเด็กน้อยตัวประกันไปนั่งรอในรถ เพื่อไม่ให้ภาพความรุนแรงเมื่อครู่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ และจังหวะนั้นเองที่โนอาร์ได้เห็นนัสที่ถูกคุมตัวอยู่ในรถอีกคัน และเหมือนคนถูกจับจะคาดเดาเหตุการณ์จากเสียงสนั่นได้ ถึงพยายามส่งยิ้มผ่านกระจกให้กำลังใจเด็กน้อยสื่อเป็นนัยว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร โดยนัสและเหล่าตำรวจต่างไม่รู้เลยว่าเด็กน้อยที่พวกตนพยายามปลอบประโลมนั้น แท้จริงคือผู้พาความตายมาสู่พวกพ้องอย่างเหี้ยมโหด และในอนาคตเมื่อโตขึ้น โนอาร์แสนไร้เดียวสาผู้นี้จะกลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นไร้หัวใจที่ไม่มีใครกล้าต่อกร




บท30 สมบูรณ์







ถึงคนอ่าน


    อดีตของโนอาร์ยังไม่จบนะครับ ยังมีต่ออีกบท คนเขียนแบ่งเอาส่วนนี้มาลงก่อนเพราะกว่าคนเขียนจะเขียนเสร็จ กลัวว่าคนอ่านจะรอกันนานเกินไปครับ ซึ่งบทอดีตต่อของโนอาร์คนเขียนก็เขียนได้ครึ่งหนึ่งแล้วครับ ถ้าเสร็จแล้วคนเขียนจะรีบเอามาลงต่อให้เร็วที่สุดเลยครับ


    ที่ผ่านมาคนอ่านอาจสังเกตว่าไม่ว่าตอนไหนโนอาร์จะไม่พูดคำหยาบออกมาเลย บทนี้เป็นการเฉลยครับว่าวิธีการพูดและรอยยิ้มมุมปาก โนอาร์ได้มาจากใคร


    ในบทนี้คนอ่านอาจสังเกตได้ว่าโนอาร์แตกต่างจากเด็กทั่วไป เพราะความจริงแล้วโนอาร์เป็น ไซโคพาธ(Psychopaths) ครับ (อ่านรายละเอียดของ Psychopaths เพิ่มเติม: นิยามและความแตกต่างของ Psychopaths กับ Sociopaths และ High Functioning Sociopath (storylog.co))
    โนอาร์เกิดมาพร้อมกับสมองส่วนหน้าที่แตกต่างจากคนปกติ ทำให้โนอาร์ไม่สามารถรับรู้สัมผัสถึงความรู้สึกสงสารหรือเข้าอกเข้าใจคนอื่นครับ และเพราะไม่เข้าใจแต่ต้องอยู่ในสังคมที่ทุกคนล้วนมีความรู้สึกเหล่านั้น โนอาร์เลยต้องเลียนแบบการแสดงออกจากคนรอบตัวเพื่อให้กลมกลืนอยู่ในสังคม(คนอ่านอาจสังเกตได้จากบทก่อน ๆ ทุกครั้งเวลาที่โนอาร์ยิ้มแย้มคุยกับคนสวนหรือคนทั่วไป คนเขียนจะเขียนว่าโนอาร์กำลังใส่หน้ากากครับ) แต่ไม่ได้ความว่าคนเป็น Psychopaths ทุกคนจะกลายเป็นอาชญากรนะครับ คิดอยู่กับการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมครับ ถ้าเด็กเป็น Psychopaths แต่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นก็จะโตมาเป็นพลเมืองดีได้ครับ



    ‘ไซโคพาธรับรู้ความรู้สึกใครไม่ได้ คนที่เป็นไซโคพาธจึงไม่มีรักแท้เพราะรักตัวเองที่สุด’

ตรงนี้คนเขียนสร้างโนอาร์ให้ขัดแย้งจากประโยคข้างต้นในบทความที่คนเขียนไปศึกษามาครับ เพราะแม้ทุกการแสดงออกของโนอาร์จะไม่ได้ออกมาจากใจแค่เลียนแบบจากคนอื่น แต่ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดของโนอาร์และมีให้เอทอสคนเดียวเป็นของจริงครับ โดยสัญลักษณ์ครองคู่ในบทที่แล้วเป็นเครื่องยืนยัน
    ซึ่งนอกจากจุดนี้แล้ว คนเขียนไม่ได้ปรับลักษณะของการเป็น Psychopaths ส่วนอื่นอีก แต่หากส่วนใดในเนื้อหาที่คนเขียนสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Psychopaths คนอ่านสามารถแจ้งให้คนเขียนปรับแก้ได้เลยนะครับ


    และเมื่อใดที่เนื้อเรื่องเริ่มเฉลยปมหรืออดีตของตัวละคร เป็นสัญญาณเตือนว่าเรื่องนั้น ๆ ใกล้จะถึงบทสรุป และใช่ครับ อีกประมาณ 10 ตอน(คนเขียนประมาณคร่าว ๆ) เรื่องราวของเอทอสโนอาร์ก็จะจบลงแล้วครับ คนเขียนขอขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ผ่านไปมาและทุกคนอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ และหวังว่าคนอ่านจะอยู่ส่งเอทอสกับโนอาร์จนถึงบทสุดท้ายเลยนะครับ และสุดท้าย สุขสันต์วันสิ้นปีครับคนอ่านทุกท่าน^^




    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย พิเศษสำหรับคนอ่านที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้นะครับ(รวมถึงคนอ่านที่เลื่อนผ่าน ๆ แล้วมาเจอบรรทัดนี้พอดีด้วยครับ 5555)
ทำไมวรรษถึงรู้จักโนอาร์? หากคนอ่านลองย้อนกลับไปอ่านในบทที่ 16 กับ 18 ช่วงที่วรรษคุยกับวิญญาณรับใช้ จะมีวิญญาณรับใช้อยู่ตนหนึ่งพูดห้วน ๆ กับวรรษ ไม่ได้สุภาพครับ/ค่ะเหมือนวิญญาณตนอื่น วิญญาณรับใช้ตนนั้นชื่ออาทิตย์ครับ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2021 09:45:24 โดย biOmos »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โหดแต่เด้กน้อออ

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    หลังคดีใหญ่ในสังคมถูกปิด เด็กน้อยตัวประกันก็ถูกพาเข้ารับการประเมินรักษาสภาพจิตใจจนเรียบร้อย จึงถูกส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์เพื่อรับช่วงดูแลต่อไป และไม่รู้ด้วยความบังเอิญหรือเหตุใดโนอาร์จึงได้มาอยู่บ้านเลี้ยงแห่งเดียวกับดรีม ซึ่งตัวรุ่นพี่เองเมื่อทราบข่าวก็ไม่คิดเก็บซ่อนความดีใจแต่อย่างใด
    โนอาร์ในวัยหกขวบครึ่งเริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่อันรายล้อมไปด้วยเด็กวัยไล่เลี่ยกันและโตกว่าหลายปี มีเจ้าหน้าที่ซึ่งเด็กส่วนใหญ่เรียกว่าแม่ คอยดูแลให้ความรักความอบอุ่น แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้สำหรับโนอาร์กลับกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดเสียแทน เพราะเขาต้องแสร้งร่าเริงยิ้มแย้มเลียนแบบตามเด็กคนอื่น เพื่อจะได้ไม่ถูกพวกผู้ใหญ่เพ่งเล็งเหมือนช่วงแรก ๆ อีก

    ช่วงเวลาที่โนอาร์รู้สึกสนุกจริง ๆ จึงมีแค่ตอนผู้ใหญ่ผลัดสลับกันเข้ามาสอนปรับพื้นฐานเตรียมสำหรับเข้าโรงเรียน ซึ่งนั่นทำให้เด็กน้อยได้ในสิ่งที่ต้องการหรือเหนือกว่าที่คาดไว้มาก ในยามนี้เด็กน้อยไม่เพียงแค่อ่านอักษรออก แต่ยังสามารถเขียนข้อความรวมถึงบวกลบเลขได้แล้ว โดยทั้งหมดเป็นผลพลอยได้จากสติปัญญาอันเฉียบแหลม มรดกหลงเหลือจากสองผู้ให้กำเนิด และเพียงไม่นานนัก จากเด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรก็สามารถเรียนตามทันหรืออาจล้ำหน้าเกินเด็กบางคนในวัยเดียวกัน

    ‘พรุ่งนี้ก็ได้ไปโรงเรียนกับเพื่อน ๆ แล้วนะ ดีใจไหมน้องโน’ ดรีมเอ่ยทักเด็กน้อยที่นั่งอยู่คนเดียวใต้เงาต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะนั่งลงบริเวณที่วางด้านข้าง
    ‘ไม่... แล้วจะได้ไปโรงเรียนเดียวกับดรีมหรือเปล่า’ เด็กน้อยตอบกลับ โดยสายตายังมองตรงไปข้างหน้า ไม่คิดเหลียวมองคนชวนคุยด้วยแม้แต่น้อย
    ‘เรียกว่าพี่ดรีมบ้างสิ ทีกับคนอื่นน้องโนยังพูดเพราะเลย’

    คนแก่กว่าบ่นอุบ เหตุเพราะตอนนี้ดรีมเป็นคนเดียวที่โนอาร์เรียกแบบห้วน ๆ แม้จะแลกกับการที่เขาเป็นคนเดียวที่โนอาร์ดูสนิทและยอมเปิดใจคุยก็ตาม ทว่าถึงจะลองแกล้งกล่าวเชิงตัดพ้อไป เด็กน้อยก็ไม่มีแววว่าจะสนใจเขาเลย ดังนั้นตัวรุ่นพี่จึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างปลงตก ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามที่ค้างไว้

    ‘พี่ก็อยากอยู่โรงเรียนเดียวกับน้องโนนะ แต่พี่โตแล้วต้องเข้าโรงเรียนมัธยม ส่วนน้องโนยังเด็กอยู่เลยเข้าโรงเรียนประถม’
    ‘…’
    ‘…’
    ‘…’
    ‘อา... เหมือนจะได้เวลาข้าวเย็นแล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะน้องโน เดี๋ยวเพื่อน ๆ จะหิวเอานะ’ ดรีมเอ่ยเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบเกินไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมหันกลับมายื่นมือรอเด็กน้อย
    ‘ทำไมต้องรอกินพร้อมกัน ไม่ต่างคนต่างกิน’ โนอาร์ว่าคล้ายรำคาญ แต่ก็ยอมเอื้อมไปจับมือและลุกตามรุ่นพี่
    ‘กินพร้อมกันอร่อยกว่านะ ยิ่งได้กินพร้อมครอบครัวหรือคนรักนะน้องโนจะรู้สึกอบอุ่นมาก ๆ เลยละ’
    ‘รู้ได้ยังไง’ น้ำเสียงใสที่เริ่มติดความเรียบนิ่งถามกลับ เพราะเด็กน้อยจำได้ว่าทุกคนที่อยู่นี่แสดงว่าไม่มีทั้งสองอย่าง
    ‘รู้สิ... ถึงแม้พวกเราที่นี่จะไม่ใช่ครอบครัวกันจริง ๆ แต่เวลาที่เราได้พูดคุยกัน กินข้าวด้วยกันมันก็อบอุ่นในใจลึก ๆ เหมือนกันนะ ถ้าวันหนึ่งน้องโนโตแล้วมีคนรักหรือมีครอบครัวของตัวเอง พี่เชื่อว่าทั้งน้องโนและคนที่น้องโนรักจะต้องอยากรอกินข้าวพร้อมกันแน่นอน... ถึงตอนนั้นน้องโนมาบอกพี่ด้วยนะว่าน้องโนมีความสุขหรือเปล่า’

    โนอาร์ไม่ได้เอ่ยตอบกลับแต่อย่างใด เพียงนิ่งฟังคำพูดมากมายผสานแววตาเปี่ยมล้นด้วยความฝันและความสุขของรุ่นพี่ จนเมื่อมาถึงโรงอาหารโนอาร์ก็เดินแยกตัวไปหาเด็กวัยเดียวกันทันทีอย่างไม่คิดบอกกล่าว ซึ่งดรีมก็ไม่ได้เรียกรั้งไว้มิหนำซ้ำยังเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจ เพราะคิดว่าเด็กน้อยคงฟังคำของเขาแล้วอยากกินข้าวพร้อมเพื่อน ๆ ทว่าความจริงเด็กน้อยแค่รู้สึกรำคาญเลยตีตัวออกห่างก็เท่านั้น


    ในเช้าวันใหม่อันสดใส เด็กน้อยโนอาร์ย่างเท้าเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรก กลุ่มเด็กกำพร้าที่มาด้วยกันตอนนี้ต่างแยกไปหากลุ่มเพื่อนเหลือเพียงเด็กใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน นัยน์ตารัตติกาลสงบสุขุมเกินวัยหันมองสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวขณะเดินชมสถานที่ อาคารสูงตั้งรายล้อมลานกว้างที่ถูกเรียกว่าสนาม มีเด็กตัวโตกว่าเขายึดพื้นที่เล่นเตะลูกบอล ปลายเท้าเล็กจึงเปลี่ยนทิศเข้าใต้อาคารเพื่อหาที่นั่งรอ ทว่ากลับพบกลุ่มเด็กวิ่งไล่จับ บ้างก็นั่งรวมกลุ่มคุยส่งเสียงดังเจื้อยแจ้ว จนเรียวคิ้วเล็กบนใบหน้าเรียบนิ่งไร้เดียวสาเริ่มขมวดมุ่นอย่างรำคาญ ความประทับใจแรกพังสิ้นไม่มีเหลือ ชวนนึกถึงคำเตือนของคนที่ตายไปแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้น่าสนุกเหมือนที่เขาวาดหวังไว้ ซึ่งเด็กน้อยก็ได้แต่พยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะเดินปลีกตัวออกไปหามุมอื่นเงียบ ๆ แทน

    ช่วงเวลาน่าเบื่อผ่านพ้น ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เด็กน้อยรอคอย ครูประจำชั้นกล่าวแนะนำโนอาร์กับเด็กนักเรียนในห้องก่อนจะปล่อยเด็กน้อยเลือกที่นั่ง อันดับแรกดวงตารัตติกาลพลันกวาดสายตาสำรวจเพื่อนใหม่ ซึ่งพบว่าเขาเป็นเด็กจากสถานสงเคราะห์คนเดียวที่ได้อยู่ห้องนี้ ต่อมาเด็กใหม่จึงเริ่มมองหาโต๊ะว่าง แถวหลังสุดมีโต๊ะว่างตั้งเรียงกันไร้คนจับจอง กับโต๊ะตัวหนึ่งข้างเด็กนักเรียนชายตัวอ้วนซึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน เห็นเช่นนั้นเด็กน้อยก็ไม่แทบเสียเวลาคิด

    ‘ครืด...’ เก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะหลังห้องถูกเด็กน้อยลากขยับ เพื่อวางกระเป๋าและแทรกตัวนั่ง ราวกับประกาศเป็นนัยว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใคร



    ‘ทำไมไม่นั่งด้วยกันฮะ?’

    นักเรียนชายตัวอ้วนเข้ามาถามเด็กใหม่ในช่วงพักกลางวัน ส่งผลให้โนอาร์จำต้องเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนเด็กที่หยิบมาจากชั้นวางตรงมุมห้อง นัยน์ตารัตติกาลมองผู้มาขัดขวางเวลาว่างของเขา พบว่าเป็นเด็กชายตัวอ้วนผู้นั่งโต๊ะห้อมล้อมด้วยเหล่าเพื่อนนักเรียน ทว่ากลับไม่มียอมใครนั่งข้าง ๆ

    ‘น่ารำคาญ หนวกหู’

    เสียงใสติดเรียบนิ่งเอ่ยตอบ พลางหันกลับไปดูหนังสือตามเดิม ราวกับคนยืนอยู่ข้างโต๊ะเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ค่า เด็กชายตัวอ้วนซึ่งไม่มีเพื่อนในห้องคนไหนกล้ามีเรื่องด้วย พอถูกเด็กใหม่ว่าพร้อมแสดงท่าทีหมางเมินก็พลันเกิดอาการไม่พอใจ มือจ้ำม่ำจึงฉวยแย่งหนังสือจากมือโนอาร์เพื่อเป็นการสั่งสอน

    ‘นี่แน่ะ! ไอ้ลูกไม่มีพ่อ! ไอ้ลูกไม่มีแม่!’

    เด็กตัวอ้วนขโมยหนังสือวิ่งไปกลางห้อง ก่อนหันกลับมาตะโกนล้อเลียนถากถางเด็กใหม่จนเหล่าเพื่อนคนอื่น ๆ เริ่มมองด้วยความสนใจ เด็กแก่นบางคนเห็นเป็นเรื่องสนุกก็แกล้งร้องตาม ไม่นานเด็กน้อยโนอาร์ก็ถูกสายตาจากคนทั้งห้องจ้องมองท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานแฝงถ้อยคำตอกย้ำปมด้อย

    ‘เอาคืนมา’

    เสียงเรียบนิ่งซึ่งเริ่มแฝงความอันตรายกล่าวเตือน พร้อมกับลุกเดินไปหาเด็กอ้วน ทว่าอีกฝ่ายกลับวิ่งหนีไปรอบห้อง และเมื่อโนอาร์ใกล้ไล่ทันอีกฝ่ายก็โยนหนังสือการ์ตูนให้คนอื่น เห็นเช่นนั้นเด็กน้อยก็รู้ทันทีว่าคงเหนื่อยเปล่า ความคิดแยบผลเกินวัยจึงเริ่มคิดหาหนทางก่อนนัยน์รัตติกาลจะหันไปเห็นกระเป๋าเป้ตรงโต๊ะของเด็กอ้วน ฉับพลันรอยยิ้มมุมปากไม่น่าวางใจจึงปรากฏขึ้น

    ‘จะทำอะไรน่ะ! เอาคืนมานะ!!’

    จากการวิ่งหนีในทีแรก ยามนี้กลับเปลี่ยนเป็นวิ่งไล่ตามเสียแทน เมื่อเด็กอ้วนเกเรเห็นว่าเด็กใหม่หยิบกระเป๋าของตนเดินไปทางหน้าต่าง ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับและสีหน้าโกรธติดกังวลของเด็กอ้วนกลับยิ่งทำให้เด็กน้อยโนอาร์รู้สึกสนุก ดังนั้นฝีเท้าเด็กน้อยจึงเปลี่ยนจากการเดินธรรมดาเป็นการวิ่ง

    ‘อย่านะ!!!’
    ‘พรึ่บ!!’

    เสียงร้องห้ามตะโดนสุดเสียง พร้อมกับกระเป๋าที่ถูกขว้างสุดแรงออกไปนอกหน้าต่าง เหล่าสมุดหนังสือและเครื่องเขียนที่แม่เพิ่งซื้อให้ ตอนนี้ต่างหลุดกระจายออกจากกระเป๋าที่ไม่ได้ปิด ทุกสิ่งอย่างล่องลอยอยู่กลางอากาศโดยมีเด็กอ้วนผู้เป็นเจ้าของเกาะขอบหน้าต่างพยายามยื่นมือไปเอื้อมคว้าสุดแขนทว่าก็ได้เพียงความว่างเปล่า ได้แต่ปล่อยให้ข้าวของร่วงตกลงไปชั้นล่างคาตาอย่างไม่อาจทำอะไรได้ ซึ่งภาพดังกล่าวนั้นถือว่างดงามมากในสายตารัตติกาลเยือกเย็น

    ‘หน็อยแน่!’

    เด็กอ้วนในอารมณ์โกรธจัดหันมามองคนทำด้วยความเครียดแค้น ก่อนวิ่งไปทางโต๊ะของเด็กใหม่เพื่อหวังจะทำแบบเดียวกัน ทว่าเด็กน้อยฉุนเฉียวด้วยโทสะกลับไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเข้าไปในกับดักของเด็กอันตราย

    ‘พลั่ก!’
    ‘โครม!!!’

    โนอาร์วิ่งตามก่อนกระโดดถีบเข้ากลางหลังเด็กอ้วนซึ่งกำลังดึงกระเป๋าออกจากเก้าอี้ ส่งผลให้ร่างอ้วนจ้ำม่ำล้มกระแทกเก้าอี้ลงไปร้องโอดโอยตรงพื้นห้อง การกระทำรุนแรงเกินกว่าใครคาดคิดทำให้เหล่านักเรียนที่ส่งเสียงร้องล้อเลียนต่างหยุดเงียบ และพากันวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเด็กอ้วน ทว่าเด็กน้อยเจ้าของนัยน์ตารัตติกาลซึ่งกำลังสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นที่ไม่ได้รู้สึกมานาน เมื่อได้เห็นสีหน้าและเสียงร้องเจ็บปวดอันคุ้นเคยสมัยเล่นยิงปืนกับอาทิตย์อีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมปล่อยของเล่นชิ้นนี้หลุดมือไปโดยง่าย

    ‘โครม!!!!’
    ‘กร๊อบ!! อ๊ากกกกก!!’

    มือเล็กพลันผลักโต๊ะล้มใส่ร่างเด็กอ้วนตรงพื้นก่อนที่เหล่าเพื่อนจะยื่นมือมาช่วยทัน ความหนักของตัวโต๊ะหล่นกระแทกทับแขนจ้ำม่ำจนได้เสียงยินแตกของกระดูก ตามด้วยเสียงร้องลั่นของเด็กอ้วน หยาดน้ำตามากมายไหลทะลักรินผิวแก้มที่ส่ายหน้าดิ้นพล่านอย่างเจ็บปวดเกินพรรณนา ซึ่งกลุ่มเพื่อนร่วมห้องก็แต่ยืนมุงดูอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เด็กผู้ชายบางคนเห็นที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้สึกโกรธ พลางหันไปหาเด็กใหม่หมายจัดการแก้แค้น ทว่าเมื่อได้สบนัยน์ตารัตติกาลที่ฉายแววสนุกบ้าคลั่งราวกับผู้ล่ากำลังเล่นหยอกเหยื่อ ความหวาดกลัวก็พลันเข้าเกาะกุมจิตใจ ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกไร้ที่มาเริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่างจนรู้สึกสั่นเทา และสุดท้ายทุกคนที่คิดเอาคืนก็จำต้องละทิ้งความคิด ไม่กล้ายุ่งเกี่ยว

    ‘เกิดอะไรขึ้น!!’

    ครูประจำชั้นเอ่ยถามอย่างตกใจ เมื่อวิ่งเข้ามาในห้องหลังได้ยินเสียงกรีดร้อง แล้วพบหนึ่งในนักเรียนของตนถูกโต๊ะล้มทับแขน ครูผู้รับผิดชอบจึงรีบยกโต๊ะออกแล้วดูอาการนักเรียน โดยระหว่างนั้นก็พยายามหาคนทำไปด้วย ทว่ากลับไม่มีเด็กคนไหนยอมตอบคำถาม จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

    ‘เพื่อนขโมยหนังสือการ์ตูน เขาเลยเอากระเป๋าของคนแกล้งไปทิ้งหน้าต่าง คนที่แกล้งเลยโกรธจะเอากระเป๋าไปทิ้งบ้าง แต่โดนผลักล้มและโต๊ะก็หล่นลงมาทับ’ น้ำเสียงสงบนิ่งกล่าวตอบ พร้อมกับชี้นิ้วไปหาเด็กที่มีหนังสือการ์ตูนในมือ
    ‘ปะ.. เปล่านะ! ผมไม่ได้ทำนะ!’ เด็กผู้กลายเป็นแพะรีบปฏิเสธ ครูประจำชั้นจึงหันไปกล่อมและถามเด็กอ้วนที่กำลังร้องไห้เพื่อพิสูจน์ความจริง
    ‘เพื่อนคนนี้ใช่คนทำหรือเปล่า’

    ครูประจำชั้นถามพลางชี้ไปหาเด็กที่โดนกล่าวหา เด็กอ้วนเตรียมส่ายหน้ายืนยันความบริสุทธิ์ ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นผู้ร้ายตัวจริงกำลังจ้องตนด้วยนัยน์ตาเยียบเย็นน่ากลัว มือเล็กวางจับตรงพนักเก้าอี้คล้ายพร้อมผลักให้ล้มทับเท้าของตนได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นเด็กอ้วนผู้ขยาดหวาดกลัวก็จำต้องหลับตาฝืนพยักหน้าไป

    ‘ไม่... ไม่ใช่ผมนะ! เด็กใหม่ต่างหากเป็นคนทำ! เพื่อนคนอื่นก็-’

    เด็กถูกใส่ร้ายพยายามหาตัวช่วย แต่น่าเศร้าเมื่อดวงตาลนลานหันมองเพื่อนพ้อง กลับเห็นทุกคนล้วนก้มหน้าหนีปิดปากเงียบ จะมีก็เพียงเจ้าของนัยน์ตารัตติกาลที่จ้องเขานิ่ง ๆ เป็นผลให้ความขลาดกลัวทั้งจากเด็กใหม่และความผิดที่ไม่ได้ก่อเข้าประดังรุมเร้า จนแพะตัวน้อยได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะโดนครูจูงมือออกจากห้องพร้อมเด็กอ้วนที่บาดเจ็บ

    หลังเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น ห้องเรียนก็กลับสู่ความสงบเงียบเชียบอย่างที่ใครบางคนต้องการ โนอาร์เดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ก่อนกลับมานั่งอ่านที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางเหล่าสายตาเพื่อนร่วมห้องที่ยังคงลอบมองและไม่ไปไหน จนเด็กน้อยรู้สึกรำคาญพลันนัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งเยือกเย็นจึงตวัดขึ้นมองกลุ่มคนมุง เป็นผลให้เหล่าเด็กที่รายล้อมต้องรีบกระจายตัวเดินหนีถอยห่าง และจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าล้อเลียนหรือยุ่งกับนักเรียนใหม่ของห้องอีกเลย



    ‘เป็นไงบ้าง เรียนวันแรกสนุกไหม’
    ‘สนุกดี’

   โนอาร์ตอบกลับคำถามของดรีม พลางนึกถึงความตื่นเต้นเมื่อช่วงกลางวัน ตอนนี้เด็กน้อยและเด็กวัยรุ่นกำลังเดินกลับสถานสงเคราะห์ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน โดยเหตุที่ดรีมมาอยู่กับโนอาร์ได้ก็เพราะตัวรุ่นพี่เมื่อเรียนเสร็จก็รีบมารอรับเด็กน้อยตรงหน้าประตูทางออก เคราะห์ดีที่โรงเรียนประถมกับมัธยมไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก ทำให้ไม่คลาดกันเสียก่อน

    ‘อะนี่ พี่ซื้อมาเผื่อ’ ดรีมยื่นไก่ทอดไม้หนึ่งให้เด็กน้อยซึ่งมือเล็กก็รับไปโดยง่าย ดวงตารัตติกาลมองสำรวจของในมือครู่หนึ่งก่อนจะยอมกัดเข้าปาก
    ‘...อร่อย’
    ‘ใช่ไหมล่ะ! พี่ซื้อมาจากร้านหน้าโรงเรียนน้องโนนั่นแหละ เมื่อก่อนตอนพี่เรียนที่นี่พี่ชอบซื้อกินหลังเลิกเรียนประจำเลย’
    ‘แล้วจะไปไหน?’

    เสียงใสเรียบนิ่งเอ่ยถามไม่เข้ากับบทสนทนา เมื่อเห็นว่าทางที่อีกฝ่ายพาเดินหาใช่ทางกลับสถานสงเคราะห์ ทว่ารุ่นพี่เพียงหันมามองยิ้ม ๆ ไม่คิดตอบคำถาม สักพักหนึ่งบริเวณรอบข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นบรรยากาศคุ้นตาของเด็กน้อย และไม่นานสถานที่ซึ่งเด็กน้อยไม่มีโอกาสได้มาเยือนหลังเข้าไปอยู่ในการดูแลของบ้านเลี้ยงเด็ก ก็ปรากฎอยู่เบื้องหน้า

    ‘คิดถึงไหมน้องโน มานั่งเร็ว’

    ดรีมเดินนำไปนั่งชิงช้า ก่อนกวักมือเรียกเด็กน้อยให้มานั่งชิงช้าตัวข้างกัน แน่นอนว่าโนอาร์ไม่คิดปฏิเสธ เด็กน้อยนั่งลงบนชิงช้าประจำตัวและเริ่มแกว่งไปมา นัยน์ตารัตติกาลมองเหล่าเด็กในสวนสาธารณะวิ่งเล่นสนุกสนาน แล้วจึงหันมองเด็กชายวัยรุ่นข้างตัว ซึ่งเป็นจังหวะที่ชิงช้าแกว่งไปข้างหลังพอดี ทำให้ดวงตาเด็กน้อยทันเห็นรอยสกปรกกลางหลังเสื้ออีกฝ่าย

    ‘ทำไมหลังถึงมีรอยเท้า’ โนอาร์เอ่ยถามรุ่นพี่ พลางลอบสังเกตดูปฏิกิริยาไปด้วย จึงทันเห็นท่าทีชะงักเล็กน้อยของอีกฝ่าย ก่อนจะเผยรอยยิ้มตอบกลับที่เด็กน้อยเพียงมองครู่เดียวก็รู้ว่ากลบเกลื่อน
    ‘พี่เล่นกับเพื่อนที่โรงเรียนมาน่ะ แต่เล่นแรงไปหน่อยเสื้อเลยเป็นรอย สงสัยคืนนี้ต้องรีบซักแล้วล่ะ’
    ‘…’
    ‘น้องโนชอบมานั่งเล่นในสวนสาธารณะเพราะอะไรเหรอ’
    ‘…’
    ‘พี่ชอบมาที่นี่เวลารู้สึกอยากเติมพลังน่ะ ตอนที่เหงา หรือเศร้าท้อแท้ พี่จะหลับตาหายใจเข้าลึก ๆ ผ่อนลมออกช้า ๆ ฟังเสียงลม เสียงธรรมชาติ เสียงผู้คน ปล่อยความคิดให้ว่างเปล่า ให้สิ่งรอบข้างช่วยปลอบ’

    ดรีมเอ่ยพลางหลับตาและเริ่มไกวชิงช้า ใบหน้าของชายวัยรุ่นยามนี้กลับดูผ่อนคลาย ราวกับละทิ้งตัวตนจากปัจจุบันแล้วเลือนหายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม บรรยากาศละมุนบางเบารอบกายรุ่นพี่แผ่มาถึงโนอาร์ พานทำให้เด็กน้อยรู้สึกสงบตามอย่างประหลาด คล้ายความบริสุทธิ์อ่อนโยนจากอีกฝ่าย ค่อย ๆ ชำระล้างจิตใจที่ถูกแต่งแต้มสีดำทีละน้อย

    ‘…’
    ‘กลับกันเถอะ ถ้าเย็นกว่านี้เดี๋ยวจะโดนดุเอา’ รุ่นพี่เอ่ยพลางสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งสุดท้าย ก่อนลืมตาลุกออกจากชิงช้าแล้วหันมาชวนเด็กน้อยกลับสถานสงเคราะห์


    หลังจากวันนั้น ทุกวันหลังเลิกเรียนดรีมและโนอาร์ก็มักจะแวะนั่งเล่นที่สวนสาธารณะก่อนกลับบ้านเลี้ยงเด็กจนกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน ทว่ายิ่งเวลาผันผ่าน โนอาร์ที่เริ่มโตกลับยิ่งสังเกตเห็นร่องรอยบนตัวอีกฝ่ายเด่นชัดมากขึ้น แต่ทุกครั้งเมื่อเอ่ยถามสาเหตุ ตัวรุ่นพี่กลับแสร้งยิ้มแล้วบอกว่าเป็นการเล่นกันปกติ ซึ่งแน่นอนรุ่นน้องผู้รับฟังรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นคำโกหก ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ไม่ได้พูดหรือสนใจมากนัก เพราะคิดว่าถ้าอีกฝ่ายทนไม่ไหวเมื่อไรก็คงหาทางทำอะไรสักอย่างเอง

    ‘นี่จ้ะหนุ่มน้อย’

    เสียงแม้ค้าเอ่ยเรียกพร้อมส่งถุงซึ่งภายในมีไก่ทอดสองไม้ให้เด็กน้อย โนอาร์ในวัยเก้าขวบรับของก่อนยื่นเงินให้แม่ค้า จากนั้นจึงหยิบไก่หนึ่งไม้ขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อยโดยเหลืออีกไม้ไว้ให้ใครบางคน เหตุเพราะเขาเคยถูกติงหลายครั้งว่าให้รู้จักแบ่งปันทั้งจากดรีมและครูในโรงเรียน
 
    ‘เอ... แล้วพี่ยังไม่มาอีกเหรอ แปลกจังปกติต้องมายืนรอแล้วนะ’

    แม่ค้าถามอย่างสงสัย ซึ่งก็ไม่ได้รับคำตอบใดจากเด็กน้อยที่มีลักษณะนิ่งสุขุมเกินวัย นัยน์ตารัตติกาลเหลือบมองไปทางที่นักเรียนมัธยมทยอยเดินกันออกมา ทว่าตราบจนไก่ทอดในมือถูกกินจนหมดก็ยังคงไร้เงาของรุ่นพี่คนรู้จัก ดังนั้นเด็กน้อยผู้มีความอดทนต่ำจึงฝากข้อความถึงคนมาช้าไว้กับแม่ค้า

    ‘ถ้าพี่ดรีมมาแล้ว บอกว่าผมไปนั่งชิงช้าเล่นนะครับ’
    ‘ได้จ้า เดี๋ยวป้าบอกให้นะ’ เมื่อได้ยินคำตอบรับ เด็กน้อยจึงเดินจากไป

 
    จวบจนเย็นย่ำ เหล่าเด็กที่เคยวิ่งเล่นในสวนสาธารณะล้วนมีผู้ปกครองมารับกลับบ้านกันหมด เป็นสัญญาณให้โนอาร์ซึ่งนั่งแกว่งชิงช้าเพียงลำพังจำต้องกลับสถานสงเคราะห์แล้วเช่นกัน เด็กน้อยลุกจากชิงช้าเดินไปหยิบกระเป๋าที่ถอดพิงไว้ตรงเสาขึ้นสะพาย แล้วจึงก้มหยิบถุงซึ่งด้านในมีไก่ทอดเย็นชืดไม้หนึ่ง นัยน์ตารัตติกาลขุ่นมัวมองของกินก่อนมือเล็กจะออกแรงขย้ำบี้ด้วยความหงุดหงิดที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด

    โนอาร์เดินเข้าสถานสงเคราะห์ในเวลาใกล้พลบค่ำ ทันทีที่เข้าตัวอาคารเหล่าผู้ดูแลเด็กต่างรีบมาถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง เด็กน้อยตอบคำถามตามความจริงพลางลอบสังเกตท่าทีของพวกผู้ใหญ่ ความผิดปกติของสีหน้ายามเขาเอ่ยชื่อถึงดรีมรุ่นพี่ ทำให้เรียวคิ้วเล็กเผลอขมวดเข้าหากันก่อนรีบคายออกเมื่อรู้สึกตัว จากนั้นโนอาร์จึงลองแกล้งถามหยั่งเชิง

    ‘พี่ดรีมกลับมาหรือยังครับ ผมซื้อไก่มาฝากพี่เขาด้วย’ ทันทีที่ได้ฟังเสียงใสไร้เดียงสาเอ่ยถาม กลุ่มผู้ดูแลต่างชะงักไปชั่วครู่พลางมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี จนกระทั่งมีผู้ดูแลคนหนึ่งคล้ายอาสาตอบคำถามเด็กน้อย
    ‘อ๋อ... วันนี้พี่ดรีมเขาไม่ค่อยสบายน่ะ เลยขึ้นห้องหลับไปแล้ว... โนอาร์กลับมาคงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม ลองไปถามแม่ครัวดูนะ พอเสร็จแล้วก็รีบอาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า’

    ผู้ดูแลกล่าวแนะนำ ซึ่งเด็กน้อยก็พยักหน้าอย่างง่ายดายก่อนจะเดินเลี้ยวไปทางโรงอาหารตามคำบอก และเมื่อเหล่าผู้ใหญ่ไม่เห็นเด็กน้อย ใบหน้ายิ้มแย้มก็กลับมาเคร่งเครียดตามเดิม ก่อนจะเริ่มพูดถึงสิ่งคุยค้างไว้

    ‘เราจะบอกความจริงกับโนอาร์ดีไหม เด็กคนนั้นสนิทกับดรีมมากด้วย’ ผู้ดูแลที่คุยกับเด็กน้อยหันมาถามความเห็น
    ‘อย่าดีกว่า โนอาร์ผ่านความสูญเสียมามากถ้ารู้เข้าอาจไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ดี และเรื่องนี่มันค่อนข้างสะเทือนความรู้สึกควรเก็บให้ห่างจากเด็กเล็กคนอื่น ๆ ด้วย ส่วนเด็กโตใครจะไปร่วมงานก็ไปได้ แต่คอยดูเรื่องชุดให้เป็นสีดำ ไม่ก็สีขาวสุภาพ’ หัวหน้าผู้ดูแลกล่าวแนะนำ
    ‘....มันเป็นอุบัติเหตุแน่เหรอ ไม่ใช่ถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งจน-’
    ‘ตำรวจบอกว่าเป็นอุบัติเหตุก็คงต้องตามนั้น’

    เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลที่แอบลอบฟังพวกผู้ใหญ่อยู่หลังกำแพง มองของฝากในมือนิ่งงันยากคาดเดาความรู้สึก ความคิดแยบยลเกินวัยเริ่มประติดประต่อเรื่องราว จนเมื่อได้ผลสรุปความคิดเป็นที่แน่นอน เด็กน้อยจึงเดินต่อไปทางโรงอาหาร ระหว่างทางร่างเล็กเดินผ่านทั้งขยะ ไก่ทอดเย็นชืดพลันถูกโยนทิ้งลงไปในถุงดำสนิทราวกับของไร้ค่า เพราะไม่ว่ายังไงของฝากที่อุสาซื้อเผื่อและนั่งรอ ก็คงไม่มีโอกาสถึงมือคนรับ รวมถึงเขาที่คงไม่มีวันได้พบคนคนนั้นอีกชั่วนิรันดร์



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2021 22:52:06 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    กาลเวลาและคืนวันค่อย ๆ เปลี่ยนเด็กน้อยให้กลายเป็นเด็กหนุ่ม ลักษณะดีตามชาติกำเนิดนอกเหนือสติปัญญา ซึ่งแฝงลึกอยู่ในสายเลือดยิ่งแสดงออกเป็นสง่า ขับชูรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณให้โดดเด่นเหนือคนทั่วไป ยามนี้โนอาร์ในวัยสิบเจ็ดปีจึงไม่ต่างจากเจ้าชายสูงศักดิ์ ราวกับเพชรน้ำดีที่เพิ่งถูกกะเทาะออกจากหินส่องประกายระยิบระยับ ราศีเจิดจรัสของโนอาร์ได้กลบทุกข้อด้อยจำกัด ความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากสถานสงเคราะห์จึงไม่มีใครนึกใส่ใจ และด้วยเหตุนี้ ชีวิตวัยรุ่นของโนอาร์จึงแวดล้อมด้วยผู้คนทั้งชายหญิงไม่ขาด

    ทว่าภายใต้ความสมบูรณ์แบบที่ผู้คนต่างเชยชม กลับเก็บงำความดำมืดชั่วร้ายเกินจินตนาการ โดยเหล่าสีดำสกปรกซึ่งหัวหน้ากลุ่มโจรได้แต่มแต้มไว้เมื่อครั้งอดีต เริ่มแผ่ขยายย้อมจิตใจเด็กหนุ่มทีละน้อยหลังขาดความบริสุทธิ์สดใสของรุ่นพี่คอยชี้นำขัดเกลา และไม่นานความสนุกตื่นเต้นบนความทรมานรวดร้าว ก็ถูกใช้เป็นวิธีเติมเต็มความเบื่อหน่ายและความรู้สึกอันว่างเปล่า รองจากการผ่อนคลายผ่านราคะด้วยเรื่องบนเตียง

    ‘ผัวะ!!’
    ‘กูบอกว่าอย่ามายุ่งกับแฟนกู!’
   ‘พอแล้ว! เดี๋ยวพี่โนก็ตายหรอก’
    ‘มึงยังกล้าห่วงมันต่อหน้ากูอีกเหรอ?!! ได้!! กูจะทำให้มันตายตรงนี้แหละ ส่วนมึงร่านนัก กลับไปกูจะทำให้มึงหายจนขยาด!’
    ‘ผัวะ!! พลั่ก!! ผัวะ!!’

    เสียงโวยวายเดือดพล่านดังสลับกับความเจ็บหน่วงทุกครั้งที่หมัดหนักชกใส่ โนอาร์ในสภาพสะบักสะบอมถูกมัดมือติดกับเสาพยายามยืนทรงตัวไม่ให้ล้ม พลางเพ่งสายตามองเพื่อนร่วมรุ่นกำลังทะเลาะกับแฟนหนุ่มรุ่นน้องที่เขาไปแย่งมา ทว่าจะเรียกว่าแย่งก็อาจพูดไม่ได้เต็มปากเพราะอีกฝ่ายเป็นคนเริ่มเข้าหาเขาเอง  แล้วทำไมเขาต้องปฏิเสธ

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสามชั่วโมงที่แล้ว โนอาร์พาหนุ่มรุ่นน้องไปเที่ยวห่าง ก่อนจะจบลงด้วยการทำเรื่องอย่างว่าในห้องน้ำหลังดูหนังเสร็จ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายแต่นั่นหาใช่ปัญหา เพราะรูปร่างรุ่นน้องนั้นเล็กบางน่าสัมผัสไม่ต่างจากหญิงสาว และอีกอย่างเข้าไม่เกี่ยงเรื่องเพศ ขอแค่ยอมหันหลังให้เขาสอดแทรกตัวตน จะหญิงหรือชาย ยังว่างหรือมีเจ้าของก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งคู่ขาของเขาในวันนี้เป็นอย่างหลัง เลยไม่แปลกที่จะเจอเจ้าของตัวจริงพร้อมพวกมาดักรอรุมซ้อมแล้วลากมาที่อาคารร้าง
    ทว่าเรื่องราวทุกอย่างที่ว่ามาถือเป็นความตั้งใจแรกเริ่มของโนอาร์ เพราะในชีวิตที่ถูกใครต่อใครจับจ้องเฝ้ามอง การหาความสำราญดำมืดจำต้องเปลี่ยนตัวเองจากผู้ล่าเป็นเหยื่อล่อ แล้วสถานที่รวมถึงที่ทางเก็บกวาดหลังเล่นเสร็จ พวกของเล่นจะเป็นคนจัดเตรียมให้เขาเอง อย่างเช่นครานี้

    ‘แก้มัดมันแล้วไปเอาถังมา กูจะจับหัวมันกดน้ำล้างสันดานเหี้ย’

    เมื่อได้ยินคำสั่ง สองเพื่อนวัยรุ่นจึงแยกไปทำหน้าที่ คนหนึ่งเดินไปเตรียมน้ำใส่ถังสเตนเลส ส่วนอีกคนอ้อมไปปลดเชือกด้านหลังเสาก่อนคุมตัวโนอาร์มาตรงพื้นที่โล่ง ซึ่งความประมาทว่าอีกฝ่ายคงไม่เหลือแรงต่อต้าน อาศัยคนจับเพียงคนเดียวก็เพียงพอ ย่อมไม่มีใครคาดคิดว่านั่นจะนำความเลวร้ายมาถึงชีวิต

    ‘ตุบ! อั่ก!!’

    ระหว่างคุมตัว โนอาร์ที่ถูกจับล็อกมือไพล่หลังพลันตวัดเท้าขัดขาคนคุมพร้อมทิ้งตัวใส่คนด้านหลัง ส่งผลให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มกระแทกพื้นซ้ำยังถูกร่างหนักของโนอาร์ทับไม่ให้ลุกขึ้น ความจุกทำให้คนคุมเผลอปล่อยแขนเด็กหนุ่มอันตรายเป็นอิสระ มือขาวที่ไร้เครื่องพันธนาการอาศัยช่วงเวลาเพียงเสี้ยวอึดใจหยิบหนี่งในมีดพับที่ซ่อนในกระเป๋ากางเกง ก่อนกระหน่ำกะซวกแทงเข้าที่สีข้างคนใต้ร่างไม่ยั้งมือ

    ‘อึก... อะ... อัก..’

    คนถูกคมมีดคว้านแทงหลายสิบจนเกือบยี่สิบแผล พยายามส่งเสียงร้องแต่ก็ถูกศอกจากคนด้านบนสับเข้าลูกกระเดือกกลางลำคอจนส่งเสียงร้องไม่ออก ได้แต่แข็งใจฝืนความเจ็บออกแรงดิ้นเอาชีวิตรอด แม้นั่นจะทำให้แผลเหวอะตรงสีข้างยิ่งฉีกขาดเพิ่มทรมานรวดร้าวจนหยาดน้ำใสร่วงจากกรอบหน้า ทว่าหลังรู้ว่าทุกการกระทำนั้นเปล่าประโยชน์ คนหมดแรงชะตาจวนดับสิ้นจึงหยุดดิ้นรน เหลือเพียงปากที่พยายามเปล่งคำพูดอึกอักขอความช่วยเหลืออย่างน่าสังเวช

    ของเหลวหนืดสีแดงพร้อมกลิ่นคาวเริ่มแผ่ขยายย้อมกลืนกินพื้นที่ เปลี่ยนทั่วบริเวณให้คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายของความตาย เหล่าเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องได้แต่ยืนนิ่งมองตาค้างด้วยความช็อกต่อความเลวร้ายสยดสยอง คนรับหน้าที่เตรียมถังน้ำเป็นคนแรกที่ได้สติรีบทิ้งของพร้อมวิ่งเข้าช่วยเหลือ เมื่อไปถึงปลายเท้าหนักพลันยกถีบโนอาร์หวังให้อีกฝ่ายออกห่างจากตัวเพื่อน ทว่า...

     ‘หมับ!’

    โนอาร์กลิ้งลงจากร่างของเล่นหลบฝ่าเท้า พร้อมใช้มือคว้าจับล็อกข้อเท้าอีกฝ่ายแน่น นัยน์ตารัตติกาลสั่นไหวด้วยความสนุกสนานเงยขึ้นสบของเล่นชิ้นใหม่ ก่อนเผยรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้คนมองพลันสัมผัสถึงความรู้สึกเย็นวาบกระจายไปทั่วสันหลัง

    ‘ปะ... ปล่อย! ปล่อยสิวะ!!’ คนกำลังเป็นเหยื่อตะคอกเสียงสั่นเมื่อเห็นคมมีดจ่อเตรียมเฉือนข้อเท้า พลางพยายามชักเท้ากลับอย่างลนลาน แต่ทุกอย่างก็ไร้ผล
    ‘ยะ... อย่า อ๊ากกกกก!!!!!’
    ‘พรึ่บ!’

    ช่วงจังหวะที่ใบมีดกินผิวเนื้อ ถังสเตนเลสใบหนึ่งพลันฟาดใส่ชายอันตราย เป็นผลให้โนอาร์จำต้องปล่อยเหยื่อและกลิ้งหลบถอยไปตั้งหลัก นัยน์ตารัตติกาลรีบกวาดมองประเมินสถานการณ์ คนที่เข้ามาช่วยคือแฟนคู่ขาเขา ส่วนเด็กหนุ่มคู่ขานั้นยืนช็อกตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกห่างจากบริเวณนี้พอสมควร คนรอดจากการตกเป็นเหยื่อรีบเข้าไปดูอาการเพื่อนที่นอนหายใจรวยริน ก่อนจะถอดเสื้อที่ใส่อยู่เพื่อใช้ห้ามเลือดพลางพยายามตะโกนเรียกสติไม่ให้อีกฝ่ายหลับ

    ‘ไม่ต้องเสียแรงยื้อยังไงก็ตาย เก็บแรงไว้ร้องตะเกียกตะกายตอนกลายเป็นของเล่นชิ้นต่อไปดีกว่า’ น้ำเสียงเรียบนิ่งกล่าวแนะนำ ซึ่งไม่นานลมหายใจของของเล่นเก่าก็หมดลงตามคำพูดเมื่อครู่
    ‘ไอ้โนอาร์มึงฆ่าคนตาย!!! ตำรวจต้องตามจับมึงชาตินี้อย่าหวังจะได้ออกจากคุกเลย ไอ้เหี้ย!!’
    ‘หึ ๆ เดี๋ยวก็ตายกันหมด ไม่มีใครรอดไปปากโป้งบอกตำรวจ คดีน่าเบื่อแบบนี้สังคมไม่สนใจหรอก แล้วคิดว่าพวกตำรวจทำงานเอาหน้าจะเหลือหรือไง ไม่นานก็เงียบหาย เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา’

    ฆาตกรตอกกลับพลางยิ้มมุมปากสมเพช เพราะนี่ไม่ใช่ศพแรก ถ้าตำรวจพวกนั้นพึ่งพาได้จริง ทำไมเขายังไม่โดนจับสักที ทว่าถึงจะพูดทำลายความหวังไปแต่ปฏิกิริยาของพวกของเล่นกลับไม่แสดงท่าทีหวาดหวั่นอย่างที่คาดการณ์ ซึ่งนั่นทำให้เรียวคิ้วเหนือนัยน์ตารัตติกาลเริ่มขมวดมุ่น

    ‘ฝันหวานไปเถอะมึง! พ่อกูเป็นตำรวจ ถึงมึงจะฆ่าปิดปากพวกกูหมดก็อย่างคิดว่าจะรอด’ แฟนตัวจริงของคู่ขา ผู้คิดแผนลักพาตัวโนอาร์เอ่ยอย่างเหนือกว่า
    ‘เหรอ... น่าสนใจดีหนิ’

    เสียงเรียบนิ่งขานตอบ ก่อนตามด้วยรอยยิ้มมุมปากเยียบเย็นและนัยน์ตารัตติกาลวาววามอย่างไม่น่าไว้ใจ ฆาตกรสะบัดมีดในมือเพื่อไล่หยดเลือดที่เกาะอาบใบมีด ก่อนย่างเท้าเข้าหาเหล่าของเล่น ระยะห่างที่ลดน้อยลงเริ่มทำให้ผู้เคยปากกล้าเผลอก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มอดีตคู่ขาซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ ถูกความกลัวตายครอบงำจนสติหลุดรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดไปที่ทางออก และนั่นทำให้ผู้ล่าพลันเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเหยื่อตื่นตระหนกทันที

    ‘โธ่เว้ย! ไอ้นี่แม่งขยันหาเรื่องจริง ๆ มึงลุกมาช่วยกู-’
    ‘ฉัวะ!!!’

    ไม่ทันที่แฟนคู่ขาจะหันไปเรียกเพื่อน ฉับพลันมีดฆาตกรก็ถูกขว้างผ่านหน้า พุ่งปักเข้ากลางหน้าผากคู่สนทนาอย่างแม่นยำ คนเห็นเพื่อนถูกฆ่าตายต่อหน้าก็ถึงกับนิ่งค้างเบิกตากว้างด้วยความช็อก กว่าจะได้สติกลับคืนอีกครั้ง ก็เมื่อได้ยินเสียงร้องของแฟนรุ่นน้องดังมาจากทางด้านหลัง

    ‘อ๊ากกกก!!!!! อะ... อักกก!!...’
    ‘ไอ้เหี้ยโนอาร์มึงหยุด!!!’

    คนเหลือตัวคนเดียวรีบวิ่งไปช่วยแฟนซึ่งกำลังดิ้นหนีจากการถูกเพชฌฆาตจับล็อกคอ และเพราะโนอาร์เลือกหันหลังใช้ร่างบังทำให้คนตามมาช่วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะเห็นก็เพียงหยดเลือดมากมายที่ไหลลงมาตามขาก่อนเจิ่งนองรวมตรงพื้น ทว่านั่นก็มากพอที่จะทำให้คนมองแทบเสียสติด้วยหวาดกลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรตามเหล่าเพื่อนพ้องไปอีกคน

    ‘หมับ!’ เมื่อจวนจะถึงตัว ฆาตกรที่ซ้อนหลังแฟนหนุ่มกลับเบี่ยงตัวกระโดดหลบ พร้อมปล่อยตัวประกันเป็นอิสระให้คนมาช่วยรีบเข้าไปประคองดูแล
    ‘เป็นอะ...ไร...’

    เสียงในลำคอพลันแหบหายแห้งผาก ดวงตาแฟนหนุ่มเบิกกว้างชะงักค้างนิ่งพร้อมกับความรู้สึกวูบคล้ายร่วงลงไปในหุบเหวแห่งโลกันตนรก เมื่อเห็นบาดแผลเหวอะสยดสยองของคนรักในอ้อมกอด บริเวณริมฝีปากที่เคยสวยของอีกฝ่ายอาบท่วมไปด้วยเลือด ทว่ายามนี้คงไม่สามารถเรียกว่าปากได้อีกแล้ว เหตุเพราะกระดูกขากรรไกรล่างถูกคมมีดเราะและฉีกทึ้งกระชากออกอย่างรุนแรง จนเป็นแผลหนังลอกลากยาวมาถึงกลางคอ หลงเหลือเพียงเพดานปากด้านบนและลิ้นแหว่งสีแดงชุ่มเลือดห้อยแกว่งอย่างสยองระคนเวทนา คนในอ้อมกอดพยายามส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บทรมานเกินทน ก่อนจะแน่นิ่งและสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา

    ‘แฟนของนายปากแข็งไม่ยอมบอกว่าบ้านนายอยู่ที่ไหน ก็เลยต้องง้างปากให้กว้าง ๆ แต่เพลินไปหน่อยปากล่างเลยหลุดติดมือมา’ ฆาตกรเลือดเย็นว่าจบก็โยนขากรรไกรส่วนล่างกลับมาให้คนที่มั่วแต่ยืนช็อก
    ‘…’
    ‘เคลียร์พวกของเล่นน่าเบื่อหมดแล้ว จะได้ไปบ้านนายสักทีฝากนำทางให้ด้วย ครอบครัวของนายโดยเฉพาะพ่อที่เป็นตำรวจต้องสนุกกว่าพวกนี้แน่’
    ‘ไอ้ชาติชั่วระยำ!!!!! มึงตาย-’
    ‘ปุ!!’

    ขณะที่คนสติแตกตะโกนร้องด้วยความกราดเกรี้ยว พร้อมกระโจนเข้าใส่ฆาตกรอย่างไม่กลัวตาย กระสุนนัดหนึ่งกลับยิงพุ่งตัดขั้วหัวใจอย่างแม่นยำ ส่งผลให้เหยื่อคนสุดท้ายที่หวังให้นำทางไปหาของเล่นชิ้นใหญ่หมดลมหายใจและล้มลงในทันที หลังทุกอย่างจบลงนัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นพลันหันมองต้นทางของวิถีกระสุน ซึ่งคนสอดรู้ก็ยอมเผยตัวเดินออกมาอย่างง่ายดาย

    ‘ยุ่งทำไม’ น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามชายแปลกหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
     ‘ว่ากันตามตรงคนที่ยุ่งคือแกนะไอ้หนู งานเก็บครอบครัวนายตำรวจเป็นของฉัน และมันก็รวมถึงเจ้าลูกตำรวจสายตรวจเมื่อกี้ด้วย’

    ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาเช็กงานของตน เมื่อเห็นว่าแน่นิ่งไร้ชีวิตเป็นที่เรียบร้อยถึงค่อยกวาดสายตามองเหล่าศพวัยรุ่นสภาพเละเทะซึ่งกระจัดกระจายทั่วบริเวณ ภาพความสยดสยองไร้ความเมตตาปรานีทำให้ชายแปลกหน้ากระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบนัยน์ตารัตติกาลเยือกเย็นของผู้กระทำ

    ‘นี่ไม่น่าใช่แค่การป้องกันตัวนะ ว่าไหม… เป็นพวกโรคจิตชอบฆ่าคนเหรอไอ้หนู แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะ เก็บกด โดนแกล้ง พ่อแม่ไม่รัก?’
    ‘…’ ชายแปลกหน้าลองหยั่งเชิงยั่วยุ ทว่าเด็กหนุ่มกลับเพียงจ้องกลับนิ่ง ๆ ไม่หลุดทีท่าเผยตัวตน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกถูกชะตา จนถึงกับต้องลองยื่นข้อเสนอบางอย่างดู
    ‘รู้ใช่ไหมที่ทำไปเท่ากับดับอนาคตตัวเอง จากนี้แกไม่มีที่ยืนแล้วต้องนี้หัวซุกหัวซุน ชีวิตแกจบสิ้นรอวันโดนจับแล้วก็ไปเน่าตายในคุก’
    ‘…’
    ‘แต่เมื่อกี้ฉันเห็นแกขว้างมีดเข้ากลางหน้าผากแบบแทบไม่เล็งด้วยซ้ำ ทำได้ยังไง? ฝีมือขนาดนี้ถูกจับไปก็น่าเสียดาย... งั้นมาทำงานกับฉันไหมละ’
    ‘งานอะไร?’
    ‘เก็บคนตามใบสั่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่านักฆ่า ทั้งได้ฆ่าทั้งได้เงิน ไม่ต้องหนีซ่อนตัว ไม่ต้องกลัวโดนจับ แต่ละงานก็ให้เงินไม่ใช่น้อย รับแค่ไม่กี่งาน ไม่ว่าจะบ้านหรือรถ อะไรก็แล้วแต่แกก็ซื้อได้หมด ว่าไงสนไหม’
 
    หลังได้ฟังคำเชิญชวน ความคิดยากคาดเดาก็เริ่มพิจารณาทันที ความจริงงานดังกล่าวโนอาร์รู้สึกสนใจและลองหาข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่ตัวงานนั้นจำเป็นต้องมีเส้นสายคนรู้จักเอาไว้คอยบอกต่อรับงาน ซึ่งแน่นอนว่าแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาอย่างเขาที่ไม่มีอะไรรับประกันว่างานจะสำเร็จ ย่อมไม่มีใครเสี่ยงจ้างแน่นอน  ฉะนั้นแล้วเขาจึงต้องทนใช้ชีวิตนักเรียนไร้ค่าอย่างปัจจุบัน ทว่ายามนี้หนทางสู่อาชีพในโลกมืดซึ่งเหมาะกับเขารออยู่เบื้องหน้า จึงไม่มีเหตุผลใดเลยให้ปฏิเสธ

    ‘ต้องทำยังไง’ คำตอบรับถึงกับทำให้คนทาบทามหลุดหัวเราะด้วยความดีใจ พร้อมกับเริ่มสอนงานแรกให้กับเด็กใหม่หัดเข้าวงการ
    ‘หึ ๆ ฉลาดเลือกหนิไอ้หนู อย่างแรกที่แกต้องรู้ก็คือวิธีลบหลักฐานไม่ให้ตามตัวเจอ เริ่มจากศพพวกนี้...’


    เมื่อค้นพบเส้นทางน่าสนใจและเหมาะสมกับตัวเองมากกว่าชีวิตในสังคมแสนน่าเบื่อ หลังจากวันนั้นโนอาร์ก็ได้ละทิ้งชีวิตนักเรียนที่ไม่เคยมองเห็นภาพตัวเองในอนาคต รวมถึงหนีออกจากสถานสงเคราะห์จนไม่มีใครตามเจอ เด็กหนุ่มหันหลังให้แสงสว่างและโอบกอดโลกมืดอย่างเต็มใจ ซึมซับเติมเต็มตัวตนแท้จริงที่ถูกสังคมสงบสุขกักขังไว้ ปลดปล่อยสัญชาตญาณดิบลงกับการเข่นฆ่าชีวิตอย่างไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป

    วันเวลาผันผ่านค่อย ๆ ขัดเกลาฝีมือโนอาร์ให้ยิ่งเฉียบคมเด็ดขาด เพียงไม่กี่ปีก็สามารถก้าวนำเหนือนักฆ่าคนอื่น กลายเป็นนักฆ่าหาตัวจับยากที่ใครก็ต่างอยากเรียกใช้งานแม้ต้องจ่ายค่าจ้างราคาสูงลิบลิ่วก็ตาม เพราะทุกงานเมื่อถึงมือโนอาร์แล้ว เหล่าลูกค้าย่อมวางใจได้เลยว่าจะสำเร็จอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นถ้าเจ้าตัวอารมณ์ดีอาจทำงานเกินค่าจ้างให้ฟรี อาทิเช่น ขอให้กำจัดใครคนหนึ่ง บางครั้งหลังวันลงมือคนที่ถูกกำจัดอาจไม่ได้มีแค่คนในใบสั่ง แต่รวมถึงคนใกล้ชิดและครอบครัว

    นอกจากอาชีพแล้ว ในโลกสีดำอบอวลด้วยความตายและกลิ่นคาวเลือด ยังสอนโนอาร์ให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ที่สังคมปกติพยายามปฏิเสธและมองเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างเรื่องชีวิตหลังความตาย ในโลกสีดำสกปรกแห่งนี้สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นสินค้าทำเงินได้ โดยเหล่าผู้คนที่แทนตัวเองว่าผู้คุมวิญญาณ หรือกระทั่งเรื่องของปีศาจ เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนโลกมาช้านาน ทว่าปัจจุบันกลับต้องหลบซ่อนใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ฆาตกรเลือดเย็นในบทบาทของนักฆ่าฝีมือดี จะได้พบกับปีศาจตนหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง และเติมเต็มความว่างเปล่าในจิตใจเยือกแข็งอย่างที่ไม่มีใครสามารถทำได้มาก่อน แม้กระทั่งเจ้าของความรู้สึกอย่างโนอาร์เองก็ตาม



    นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกลืมตื่นจากความฝันอันยาวนาน ทุกสิ่งที่เห็นและรับรู้คือช่วงชีวิตในอดีตที่ผ่านมาของคู่ครอง เป็นเครื่องพิสูจน์และด่านสุดท้ายในการผูกสัมพันธ์ หากคู่ใดที่ทนรับอดีตหรือตัวตนของกันและกันไม่ได้ สัญลักษณ์ครองคู่ที่เคยปรากฏจะเลือนหายและไม่สามารถเรียกกลับคืนได้อีก แม้หลังจากนั้นจะยอมรับและรักกันมากเท่าไรก็ตาม เสมือนเป็นตราบาปของความไม่มั่นคงที่คอยตอกย้ำไปตลอดกาล
    ซึ่งเอทอสไม่คิดตรวจดูสัญลักษณ์ตรงกลางอกให้เสียเวลา ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะไม่พบสัญลักษณ์ แต่เป็นเพราะเขารู้จักและยอมรับโนอาร์มานานแล้ว ฉะนั้นอย่าหวังว่าของพรรณ์นี้จะทำลายความรู้สึกของเขาได้

    “…เอทอส”

    เสียงเรียกแผ่วเบาจากมนุษย์ในอ้อมกอดทำให้เจ้าของชื่อหันมอง ถึงรู้ว่าโนอาร์เพียงละเมอและกำลังจมอยู่ในความฝัน ทว่าเรียวคิ้วที่ขมวดแน่นนั้นกลับทำให้ปีศาจรู้สึกเป็นห่วงมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้นแขนแกร่งจึงกระชับอ้อมกอดให้ร่างเปลือยปล่าวของโนอาร์แนบชิดกับเขายิ่งขึ้น เพื่อสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายว่าเขายังคงอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้หนีหายไปไหน

    “เท่าที่จำได้ อดีตของข้ามันไม่ได้เศร้าหรือโหดร้ายอะไร”
    “…”
    “เจ้าต้องหยุดคิดกังวลเกินเหตุ ปล่อยให้มันผ่านไปแล้วตื่นขึ้นมาหาข้าได้แล้วโนอาร์”



บท31 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน

    คนเขียนเขียนแล้วมันไหลไปเรื่อย ๆ จนต้องรวบตัดตอนท้ายไป ไม่งั้นไม่ได้อัพให้คนอ่านสักที ซึ่งส่วนที่รวบตัดไปจะเป็นเรื่องที่จินกับโนอาร์พบกันครั้งแรก และชะตากรรมของนักฆ่าคนนั้นที่พาโนอาร์เข้ามาในโลกสีดำสกปรก คนเขียนขอเอาไว้ทำเป็นบทเสริมสั้น ๆ แยกต่างหากให้นะครับ

    เมื่อรู้อดีตของโนอาร์แล้ว ต่อไปก็คืออดีตของเอทอสครับ ซึ่งจะเป็นการเฉลยอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องทำไมเอทอสถึงต้องอยู่ดูแลสวน ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงเอทอสตอนเด็กไปไหน รวมถึงเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเอทอส ทำไมภาคินถึงแค้นเอทอสมากนัก บทหน้าจะตอบข้อสงสัยทั้งหมดครับ(บทหน้าคนเขียนจะพยายามรวบกระชับเนื้อเรื่องนะครับ ไม่เขียนเพลินมือเหมือนของโนอาร์แล้ว หวังว่าจะทำได้นะครับ แหะๆ)


    ขายของตอนท้าย มีคนอ่านคนไหนสนใจเรื่องของดรีม พี่ที่สถานสงเคราะห์ผู้เคยเป็นแสงสว่างให้โนอาร์ไหมครับ หากสนใจรอติดตามงานเขียนเรื่องต่อไปของคนเขียนได้เลยครับ ดรีมจะเป็นตัวเองในเรื่องนั้น เป็นเรื่องราวของดรีมที่ตายแล้วกลายเป็นวิญญาณครับ ขอสปอยล์ชื่อเรื่องว่า Dream: พบกันในฝัน ครับ ตอนนี้คนเขียนยังไม่ได้เปิดเรื่องนะครับ ถ้าเปิดเมื่อไรจะมาแจ้งอีกรอบหนึ่งนะครับ^^
    (อาจมีคนอ่านมากคนขึ้นในใจว่าเรื่องนี้ยังรอด ยังคิดจะเปิดเรื่องใหม่อีก... คนเขียนก็คิดเหมือนกันครับ แหะ ๆ)

    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย+ขายของอีกนิด หากคนอ่านลองย้อนกลับอ่านบทที่ 19 ตอนที่จินเป็นลูกมือถือของให้โนอาร์ จะมีตอนที่จินพูดถึงวิญญาณเด็กวัยรุ่นนั่งข้างผู้ชายท่าทางคล้ายนักเลงในร้านไอศกรีม วิญญาณตนนั้นคือดรีมครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2021 22:52:46 โดย biOmos »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    สายลมเย็นพัดใบไม้พลิ้วไหว และไอร้อนจากแสงแดดปลุกนัยน์ตารัตติกาลให้ลืมตื่นขึ้น ผืนป่าเขียวชอุ่มด้วยแมกไม้หลากหลายชวนให้โนอาร์นึกสับสน เหตุเพราะเมื่อครู่เขายังได้รับอ้อมกอดอบอุ่นแทบหลอมละลายจากบทรักของปีศาจ ไฉนพอลืมตาภาพวิวทะเลยามค่ำกลับกลายเป็นเขามายืนอยู่กลางป่ารกชัฏ มนุษย์หนึ่งเดียวคงความสุขุมเงียบนิ่งพลางมองสำรวจบรรยากาศรอบตัวจนสะดุดเข้ากับบ้านไม้หลังหนึ่ง แม้จะดูใหม่ราวกับเพิ่งถูกสร้างไม่นาน ทว่าชายเลือดเย็นจำลักษณะเค้าโครงได้ดีว่า บ้านไม้หลังนี้เป็นของเอทอส

    ไม่ทันได้ย่างกรายเข้าใต้ชายคา โนอาร์ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายคุ้นชินโชยคละคลุ้งออกมาจากตัวบ้าน กลิ่นแบบเดียวกับพวกของเล่นที่หมดสภาพ กลิ่นของซากไร้ชีวิตกำลังเน่าสลาย ชายเลือดเย็นดันบานประตูไม้แต่ทว่าฝ่ามือขาวกลับไม่อาจสัมผัสมิหนำซ้ำยังทะลุผ่าน เหตุการณ์เหนือความคาดหมายถึงกับทำให้โนอาร์หยุดชะงัก หลุดแสดงท่าทีตกใจจนนัยน์ตารัตติกาลเผลอเบิกกว้างขึ้นหนึ่งระดับ และก่อนที่มนุษย์ผู้กำลังสับสนจะคิดตีความไปไกล น้ำเสียงทุ้มต่ำอบอุ่นในความทรงจำก็พลันดังก้องปัดเป่าทุกความกังวล

    ‘ถ้าการผูกสัมพันธ์สำเร็จ ความทรงจำในอดีตจะถูกแลกเปลี่ยนกัน แล้วเจ้าจะได้รู้ทุกสิ่งรวมถึงความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า’

    คำพูดของเอทอสเมื่อวันวาน ช่วยระงับจินตนาการฟุ้งซ่านที่ว่าตอนนี้เขากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ส่งผลให้สมาธิและความคิดของมนุษย์กลับมาสงบสุขุมดังเดิม โนอาร์เดินทะลุเข้าตัวบ้านเพื่อตามหาต้นตอของกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนซึ่งพบว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากห้องนอน เมื่อเข้าไปภาพที่เห็นคือปีศาจตนหนึ่งซึ่งยังเป็นเพียงทารกนอนหลับอยู่บนเตียงไม้ รอบข้างล้วนเป็นชิ้นส่วนโครงกระดูกสลับปนกับซากสัตว์ต้นเหตุกลิ่นคลุ้งทับถมกันเป็นกองพะเนิน คล้ายเป็นภูเขาศพที่มีทารกปีศาจอยู่บนยอดสุด

    แม้บรรยากาศอบอวลทั่วห้องจะเหม็นเน่าชวนอาเจียนเพียงใด ทว่าในแง่ของสัตว์กินซากกลับเป็นกลิ่นหอมหวนล่อลวงให้เข้าหา เช่นเดียวกับหมีหิวโซตัวหนึ่งที่กำลังปีนเข้าหน้าต่างบ้าน โนอาร์เพียงยืนมองสัตว์บุกรุกเงียบ ๆ ปล่อยให้มันแทะเล็มศพตามใจ แต่เมื่อผ่านไปสักพักดูเหมือนอาหารพวกนี้คงรสชาติไม่ดีเท่ากินสิ่งมีชีวิตที่ตัวยังอุ่นอยู่ หมีตะกละถึงได้ทำท่าคล้ายดมกลิ่นพลางค่อยขยับเข้าใกล้ทารกปีศาจบนเตียง ไม่นานหมีละโมบก็ละทิ้งอาหารเกรดต่ำรอบตัว มุ่งความสนใจกับการชิมเนื้อชั้นดีตรงหน้า โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำดังกล่าวจะนำภัยมาสู่ชีวิต

    ‘แง! แง!! แง!!!!!’

    คมเขี้ยวที่กำลังออกแรงกัดทำให้ปีศาจทารกสะดุ้งตื่นร้องไห้ด้วยความตกใจ กรงเล็บสีนิลสองข้างของปีศาจตัวน้อยปัดป่ายป้องกันตามสัญชาตญาณ กระทั่งสัมผัสโดนตัวหมีฉับพลันเรื่องชวนพิศวงก็พลันเกิดต่อหน้าชายเลือดเย็นที่เฝ้ามอง
    ร่างหมีซึ่งกำลังคาบทารกกลับล้มตึงกับพื้นแน่นิ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่วนกรงเล็บน้อยข้างที่เคยแตะร่างหมียามนี้กลับกุมถือดวงไฟประหลาด ก่อนดวงไฟนั้นจะถูกปีศาจทารกจับเข้าปากกลืนหายไป ซึ่งหลังจากได้กินดวงไฟนั้นปีศาจน้อยก็ยอมเงียบเสียงร้องสงบลง พร้อมเผยดวงตาสีแดงเลือดนกที่ถึงกับทำให้ชายเลือดเย็นเผลอนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ไม่นานนักรอยยิ้มมุมปากก็ปรากฏบนใบหน้าของโนอาร์ ขณะเดินข้ามเศษกระดูกและซากศพกระจัดกระจายเข้าไปทักทายปีศาจตัวน้อย

    “ตอนเด็กคุณน่ารักมากเลย เอทอส”


    จากวันนั้นชายเลือดเย็นก็คอยดูแลทารกปีศาจไม่ห่าง แม้หากว่าตามจริงคงเรียกได้แค่ว่าการเฝ้ามอง เพราะไม่ว่าจะลองกี่ครั้งหรือหลากหลายวิธีที่คิดออก โนอาร์ก็ไม่สามารถสัมผัสแตะต้องสิ่งใดในที่นี้ได้เลย ถึงจะหงุดหงิดใจเล็กน้อยแต่ถ้านั่นแลกกับการรับรู้เฝ้าดูปีศาจเติบโตจนกลายเป็นเอทอสที่เขารักอย่างในปัจจุบัน ก็พอเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

    ‘ตึง! ๆ ๆ’
    ‘ธีออส! เอวา! ข้ากับอนันต์มาเยี่ยม- ฮึ่ย!... พวกเจ้าทำอะไรถึงได้ส่งกลิ่นแรงออกมาข้างนอก นี่! ธีออส! เอวา! รีบมาเปิดประตูอย่าให้ข้าพังเข้าไป!’

    เสียงอึกทึกโหวกเหวกดังสลับกับเสียงทุบประตูหน้าบ้าน ส่งผลให้โนอาร์จำต้องละสายตาจากเอทอสตัวน้อยที่เพิ่งหัดคลานลุกไปดูพวกไร้มารยาท ทว่ามนุษย์เพียงเดินออกมาหน้าห้องประตูบ้านก็ถูกพังโครมเข้ามา นัยน์ตารัตติกาลยากคาดเดามองสองผู้บุกรุกอย่างพิจารณา คนหนึ่งคาดว่าเป็นผู้ส่งเสียงโวยวายเมื่อครู่เป็นผู้หญิงสูงบาง มีเอกลักษณ์คือผมยาวเขียวเข้มอมดำคู่กับดวงตาสีเขียวมรกต ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มตัวใหญ่แข็งแรงสูงไล่เลี่ยกับเขาซึ่งกำลังคอยปรามหญิงสาวข้างกาย แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก

    เมื่อเข้ามาได้ ผู้บุกรุกก็เดินไปทั่วบ้านพลางตะโกนเรียกหาเจ้าของชื่อธีออสกับเอวา มิหนำซ้ำยังเดินทะลุผ่านชายเลือดเย็นที่ยืนขวางไม่ให้เข้าห้องนอนไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถึงกับทำให้โนอาร์รู้สึกหงุดหงิดเสียจนนึกอยากจับสองคนนั้นมาเป็นของเล่น แต่ก็เพียงได้แค่คิดเพราะเขารู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามอง เช่นนั้นโนอาร์จึงต้องข่มอารมณ์ยอมหันหลังเดินตามเพื่อดูว่าสองคนนั้นจะทำอะไรต่อ ซึ่งก็พบว่าทั้งคู่กำลังยืนอึ้งกับสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังบานประตู

    ‘...นี่มันอะไร?’
    ‘เรส! ถอยออกมา!’

    ขณะที่หญิงสาวมัวแต่ตกตะลึงกับภาพหดหู่ชวนคลื่นไส้ ปีศาจตัวน้อยก็ได้คลานเตาะแตะเข้ามาใกล้หมายจะสัมผัส ชายหนุ่มที่ชื่ออนันต์จึงรีบดึงหญิงสาวหลบก่อนจะถอดเสื้อนอกโยนคลุมตัวปีศาจไว้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวช่วยเรียกให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ ฝ่ามือบอบบางรีบโบกอากาศไปยังปีศาจน้อยใต้ผ้าพลันสายลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ไร้ที่มาก็พัดกระจายกลบกลิ่นเหม็นเน่าทั่วห้อง เพียงครู่ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบพร้อมปีศาจใต้ผ้าที่แน่นิ่งไป

    ‘…ทำให้หลับไปแล้ว’ เสียงใสแผ่วเบาเอ่ยกับชายหนุ่มข้างกาย อนันต์จึงก้มลงไปอุ้มปีศาจตัวน้อยขึ้นมาโดยยังคงใช้เสื้อคลุมร่างให้โผล่ออกมาเฉพาะใบหน้าซึ่งมีเค้าโครงคล้ายเพื่อนสหายที่รู้จัก
    ‘มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ลูกปีศาจจะยังใช้พลังไม่ได้จนกว่าจะอายุครบสิบปีไม่ใช่เหรอ’ อนันต์ถามกลับด้วยความสับสนระคนหดหู่ ยามมองเลยผ่านไปยังกองกระดูกและเศษซากเบื้องหน้า มั่นใจว่าใต้นั้นคงมีคนรู้จักนอนอยู่
    ‘ข้าไม่รู้... ตลอดอายุของข้าไม่เคยพบเรื่องแบบนี้มาก่อน แล้วเจ้าธีออสกับเอวาก็คงไม่ทันคิดเช่นกัน ถึงได้...’

    ชายหนุ่มและหญิงสาวมองตากันเพื่อสื่อความที่ไม่อยากเอื้อนเอ่ย จากความตั้งใจมาฉลองชีวิตครอบครัวเพื่อนสนิทพร้อมรับขวัญหลานชาย กลับกลายเป็นต้องมาช่วยกันเก็บบ้านเผาเถ้ากระดูก เรสหรือชื่อเต็มคือฟอเรสรับหน้าที่ทำความสะอาดภายในบ้าน ส่วนอนันต์ขนซากสัตว์น้อยใหญ่และโครงกระดูกทั้งหมดออกไปเผา ชายหนุ่มรู้สึกหน่วงอึดอัดใจกลางอกทุกครั้งยามต้องหยิบชิ้นส่วนกระดูกของสองเพื่อนสนิทแยกออกจากเหล่าสัตว์น่าสงสาร ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบงันหมองหม่นจนเสร็จสิ้น อนันต์จึงกลับเข้าบ้านไปหาเรสซึ่งกำลังนั่งมองหลานชายไร้เดียวสา ผู้ทำเรื่องเลวร้ายผิดมหันต์โดยไม่รู้ตัว

    ‘เราคงต้องเลี้ยงเอทอส แต่ถ้ายังคุมพลังไม่ได้ก็ไม่ควรพาออกจากที่นี่ ทำยังไงดี?’ อนันต์เอ่ยชื่อหลานชายที่พวกเขาช่วยกันตั้งกับธีออสและเอวาเมื่อนานมาแล้ว พลางถามหาความเห็นจากคนรัก
    ‘ข้าว่าจะสร้างไม้ล้อมตัวบ้านและปลูกดอกไม้ล่อวิญญาณไว้ รอให้เจ้าหนูรู้ความกว่านี้ค่อยกลับมาสอนคุมพลัง’

    อนันต์พยักหน้ารับข้อเสนอ ก่อนอุ้มปีศาจตัวน้อยที่ยังคงหลับสนิทกลับไปที่ห้องนอนแล้วถึงออกมานอกตัวบ้าน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเรสที่ยืนรออยู่บริเวณด้านนอกจึงชูมือขึ้น ฉับพลันสายลมก็พลันโหมพัดแรงจนต้นไม้โดยรอบต่างไหวเอนพร้อมกับพื้นดินรอบตัวบ้านเริ่มปริแตก เผยให้เห็นรากไม้ขนาดยักษ์ขึ้นเกี่ยวพันปิดทุกทางเข้าออกบ้านเพื่อกันไม่ให้สัตว์ตัวอื่นมีชะตากรรมเหมือนพวกก่อนหน้า พร้อมกับที่ผิวเปลือกของรากไม้เริ่มแตกยอดอ่อนผลิบานชูดอกสีน้ำเงินอมม่วงพลิ้วไสวงดงามทว่าแสนอันตราย จวบจนทุกสิ่งเรียบร้อย ชายหนุ่มและหญิงสาวจึงพากันเดินออกจากป่าอย่างเงียบงัน



    ‘แฮ่ก.. แฮ่ก... ขะ... ข้าขอพักก่อนได้ไหม’
    ‘อย่ามาสำออยเอทอส! ข้ารู้ว่าเมื่อคืนเจ้ากินวิญญาณมาเต็มอิ่ม รีดเค้นพลังออกมาให้หมด ถ้าเจ้ายังคงร่างมนุษย์ต่อเนื่องชั่วโมงหนึ่งไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะเลิก!!’
    “เอทอส คุณพักก่อนได้ ไม่ต้องฟังพวกนั้นหรอก” โนอาร์เอ่ยแนะเอทอสในวัยแปดขวบที่กำลังหอบเหนื่อย พลางเข้าไปช่วยซับเหงื่อแม้ทุกการกระทำจะสื่อไปไม่ถึงอีกฝ่ายก็ตาม
    ‘เอาน่าเรส นี่ก็ฝึกกันเย็นค่ำแล้วพอแค่นี้ก่อนไหม ครั้งน่าค่อยลองใหม่ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย’

    อนันต์ที่นั่งดูการฝึกตรงชานบ้านไม้เอ่ยช่วย พร้อมลุกขึ้นเอาน้ำมาให้หลานชายและคนรัก หญิงสาวสะบัดหน้าหนีคล้ายไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะยอมประกาศเลิกการฝึก ซึ่งนั่นทำให้เอทอสถึงกับทิ้งตัวนั่งพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่านั่งพักได้ไม่นานปีศาจเด็กก็จำต้องลุกเดินไปหาผู้มีพระคุณอีกครั้ง เมื่อเห็นทั้งสองตั้งท่าจะกลับ แต่ยังคงไม่ยอมปลดบางสิ่งให้

    ‘ท่านฟอเรส... ท่านลืมทำให้ดอกไม้พวกนั้นบาน...’ เอทอสทวงถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พลางใช้กรงเล็บชี้ไปยังดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงรอบตัวบ้านไม้
    ‘ไม่ได้ลืมแต่ตั้งใจ ครั้งหน้าที่ข้ามาถ้าเจ้าคงร่างมนุษย์ได้เกินชั่วโมง ข้าถึงจะทำให้’ คำตอบง่ายดายของหญิงสาวถึงกับทำให้ปีศาจกินวิญญาณหน้าถอดสี
    ‘แต่กว่าท่านจะมาก็อีกหนึ่งอาทิตย์... ข้าคงหิว-’
    ‘เรื่องของเจ้าสิ! หัดฝึกคุมความกระหายเสียบ้าง พอไปอยู่ในสังคมมนุษย์จะได้ไม่หน้ามืดทำอะไรไม่เข้าท่า’

    ว่าจบหญิงสาวก็สะบัดผมเดินจากไป อนันต์ผู้เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตลอดก็ได้แต่ส่ายหน้าหน่ายกับความใจร้ายของคนรัก ก่อนจะหันมาบอกปีศาจน้อยว่าเขาเตรียมเสบียงไว้ให้ในบ้านแล้วจึงเดินตามหญิงสาว ทิ้งไว้เพียงปีศาจน้อยที่ได้แต่เพียงยืนมองตาละห้อยเดินคอตกกลับเข้าบ้านไม้

    “ไร้สมอง คนชื่ออนันต์นั้นไม่รู้จริงหรือจงใจแกล้งคุณกัน ทำไมถึงมีแต่ของขยะพรรณ์นี้”

    โนอาร์หลุดบ่นอย่างรำคาญใจ เมื่อเจอเรื่องชวนหงุดหงิดมากมายเกิดขึ้นกับเอทอสแต่เขาทำได้แค่มองดู ซึ่งนั่นรวมไปถึงเสบียงที่ชายหนุ่มว่าไว้อย่างดิบดีจนเขานึกหวังพึ่ง ทว่าแท้จริงกลับเป็นเพียงถั่วและผลไม้อบแห้ง ไร้เงาเนื้ออาหารที่ปีศาจชื่นชอบ ซ้ำยังต้องเห็นเอทอสทนฝืนกินประทังความหิวด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว มนุษย์ก็แทบอยากกวาดของทุกอย่างทิ้งแล้วตั้งเตาให้ปีศาจทันที และแน่นอนว่ามนุษย์ได้แค่คิดหงุดหงิดอยู่คนเดียว โดยที่เจ้าของเรื่องซึ่งกำลังนั่งหน้านิ่วเคี้ยวถั่วหาได้รับรู้ด้วยเลย


    ในช่วงที่สองผู้มีพระคุณไม่มาหา ปีศาจน้อยผู้อยู่ลำพังในบ้านกลางป่าก็อาศัยเวลาว่างฝึกฝนควบคุมพลัง ไม่ก็ออกสำรวจเก็บสะสมของแก้เบื่อ ทว่านานวันเข้าของสะสมรวมถึงของเล่นทำมือก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนรกห้องนอน ปีศาจน้อยจึงตัดสินใจเอาอีกห้องหนึ่งในบ้านซึ่งว่างอยู่ไว้เป็นห้องเก็บสะสม และตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนขนย้าย

    “คุณ ระวังสะดุ-”
    ‘โครม!!’

       ไม่ทันสิ้นเสียงเตือนของโนอาร์ เอทอสวัยเด็กที่กำลังหอบของพะรุงพะรังก็สะดุดหินกลมหนิ่งในของสะสมล้มจนเหล่าข้าวของที่อุสารวบถือหล่นกระจายไปทั่วห้อง มีบางส่วนกลิ้งเข้าไปใต้เตียงลำบากปีศาจต้องคลานเข้าไปเก็บ ซึ่งนั่นทำให้นัยน์ตาสีแดงเลือดนกมองเห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมลึกสุดของเตียง

    ‘อะไร? หินหรือแร่?’

    กรงเล็บทมิฬจับของแปลกที่เจอใต้เตียงพลิกหมุนไปมาอย่างพิจารณา โดยของที่ว่ามีสีขาวสะอาดลักษณะเรียวยาวดูคล้ายคลึงนิ้วกรงเล็บปีศาจน้อยแต่ขนาดใหญ่กว่า เนื้อผิวสัมผัสแน่นแข็งเหมือนหินผาทว่ากลับน้ำหนักเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนโนอาร์ที่นั่งยองอยู่ข้างปีศาจเมื่อเห็นของที่เอทอสถือก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะเขารู้ดีว่าแท้จริงสิ่งนั้นคืออะไร รวมถึงรู้ว่าปีศาจคิดจะทำอะไรกับของตรงหน้า ซึ่งคำพูดถัดมาจากปีศาจก็ช่วยยืนยันคำตอบได้อย่างดี

    ‘แข็งแรงแถมยังเบา... เอามาทำเป็นมีดก็ไม่เลว’



    การฝึกควบคุมพลังแสนโหดหินก็ยังคงดำเนินเรื่อยไป ค่อย ๆ เพิ่มระดับความนานในการคงร่างมนุษย์จากชั่วโมงเป็นวัน วันเป็นสัปดาห์จนถึงเดือน สุดท้ายเอทอสในวัยจวนสิบปีก็สามารถแปลงและคงร่างมนุษย์ได้อย่างใจนึกโดยที่ระยะเวลาไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป แต่ถึงจะแปลงเป็นมนุษย์ได้แล้วเอทอสก็ยังคงมีอีกหลายสิ่งที่ต้องฝึกและปรับตัวอีกมาก อาทิเช่น

    ‘ใส่ซะ’

    เรสยื่นเสื้อผ้าเด็กให้ปีศาจน้อย ซึ่งขณะนี้อยู่ในร่างเด็กผู้ชายผิวแทนที่ใส่เพียงกางเกงหุ้มเกราะเหล็กทรงโบราณ ชุดประจำตัวที่เอวาผู้เป็นแม่ตั้งใจทำให้ แต่ถึงอย่างนั้นการจะใส่ชุดนี้ไปเดินในสังคมมนุษย์ปัจจุบันก็กระไรอยู่

    ’ถุงมือ? หน้ากากปิดปาก?’ เอทอสเอ่ยถามอย่างมึนงง เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วพบว่ายังเหลือของอีกสองชิ้น
    ‘พลังเจ้ามันอันตราย แล้วยิ่งคุมไม่ได้หากไปสัมผัสถูกตัวแล้วทำมนุษย์ตายขึ้นมาจะลำบากข้า ส่วนหน้ากากนั่นเอาไว้คุมปากเจ้า ที่ ๆ ข้าจะพาเจ้าไปอยู่มีมนุษย์มากมาย จะได้ไม่เผลอกัดใครเข้า’
    ‘ข้าหาใช่สัตว์ ข้าคุมตัวเองได้’ ปีศาจน้อยโต้กลับ ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องจำยอมใส่เพราะไม่อาจสู้สายตาข่มขู่ของผู้มีพระคุณ
    ‘หึ... เดี๋ยวรู้กัน’

    ว่าจบหญิงสาวก็เดินนำออกจากป่า ปีศาจน้อยหันมองบ้านไม้ที่อยู่มาตั้งแต่จำความได้เล็กน้อยคล้ายพยายามเก็บภาพไว้ในความทรงจำ และจึงเดินตามผู้มีพระคุณไป ซึ่งใช้เวลาสักพักหนึ่งหนทางด้านหน้าก็เริ่มโล่ง มีเส้นสีดำขนาดใหญ่ลากผ่านตัดแบ่งป่าเป็นสองฟากซึ่งปีศาจมารู้ที่หลังว่าชื่อเรียกของสิ่งนั้นคือถนน ตรงขอบถนนที่ทอดยาวไม่เห็นปลายทางนั้นมีอนันต์ยืนรออยู่

    ชายหนุ่มพาเด็กน้อยและหญิงสาวขึ้นพาหนะประหลาดที่วิ่งได้รวดเร็ว เร็วถึงขนาดที่ปีศาจน้อยคิดว่าต่อให้เขาวิ่งสุดฝีเท้าเต็มกำลังก็คงไม่อาจตามทัน สิ่งนั้นวิ่งตามถนนเส้นยาวอย่างไร้จุดหมาย ป่าสองข้างทางเริ่มจางหายกลายเป็นสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาด ไม่นานเส้นทางที่เคยโล่งกลับมีพาหนะลักษณะคล้ายคลึงกันวิ่งสวนผ่านไปมาพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ลาลับ ดวงตาสีอำพันของเด็กน้อยถูกแสงสีภายนอกชักชูงให้มองออกไปนอกกระจก พบว่าที่แห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอาศัยอยู่เยอะเสียจนลายตา
    ปีศาจน้อยเพิ่งออกจากป่าสงบเงียบดูความวุ่นวายของโลกภายนอกได้ไม่นาน ยานพาหนะก็หักเลี้ยวเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีพันธุ์ไม้แขวนชูช่ออวดดอกละลานตา และดูเหมือนสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นปลายทางเพราะเพียงครู่ ยานพาหนะว่องไวนี้ได้หยุดนิ่งลง

    ‘เดินตามอนันต์กับข้าไว้’

    เรสกำชับเล็กน้อยก่อนเปิดประตูลงจากพาหนะ พาเด็กน้อยเดินไปยังบริเวณซึ่งเป็นศูนย์รวมของมนุษย์และแสงสว่างจ้าขับไล่ความมืดยามค่ำ ทันทีที่เข้าไปเหล่ามนุษย์ต่างส่งเสียงทักทายหยอกล้อสองผู้มีพระคุณจนเสียงดังเซ็งแซ่ ทว่าภายใต้บรรยากาศความสุขอบอุ่นนี้กลับทำให้เด็กน้อยรู้สึกอึดอัดเสียจนอยากวิ่งหนีไปให้ไกล เนื่องจากกลิ่นอายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตรวมกลุ่มกันจำนวนมากนั้นรุนแรงเกินกว่าที่เอทอสคาดการณ์ไว้มาก หากไม่ได้ใส่หน้ากากช่วยบรรเทากลิ่นอายไว้ เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะคุมสติของตนไม่ให้กระโจนใส่พวกมนุษย์ได้หรือไม่

    ‘ขอบคุณทุกคนสำหรับงานครบรอบสวนรฦกวัลย์ รวมถึงเค้กฉลองต้อนรับเด็กคนหนึ่ง...’ อนันต์ประกาศผ่านไมค์ถึงเหล่าคนงาน ซึ่งข้างกายชายหนุ่มก็มีเด็กน้อยผู้ถูกกล่าวถึง และหญิงสาวคนรักคอยส่งยิ้มให้เหล่าชาวสวน
    ‘อย่างที่เคยบอก ฉันกับเรสได้รับเด็กคนหนึ่งมาดูแล และวันนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ฉันเลยพามาแนะนำในวันดีเช่นนี้ และขอถือรวมให้โอกาสพิเศษนี้เป็นวันเกิดของเขาด้วย หวังว่าพวกนายจะเอ็นดูและรักเด็กคนนี้เหมือนอย่างที่เรสกับฉันรู้สึก’
    ‘นายน้อย... นายน้อย! เย่!!’ ชาวสวนต่างร้องเฮต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างอบอุ่น ก่อนที่ชายชาวสวนคนหนึ่งจะเอ่ยแทรกแนะนำตัว
    ‘นายน้อย... ลุงชื่อลุงสมัยนะ นายน้อยชื่ออะไรเหรอ?’
    ‘...เอ-’
    ‘กรี๊ดดดดด!!!!!!’

    ฉับพลันงานรื่นเริงกลับกลายเป็นความโกลาหลเมื่อเด็กน้อยที่ก้มหน้าอยู่ตลอดค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยชื่อ ทว่านัยน์ตาสีอำพันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนกดุดันน่ากลัวต่อหน้าต่อตาเหล่าคนงาน สร้างความตื่นตกใจพากันหนีอลหม่าน ความวุ่นวายที่ไม่คิดฝันว่าจะเกิดขึ้นจริงถึงกับทำให้เจ้าของสวนอย่างอนันต์กุมขมับ ส่วนหญิงสาวยิ้มแย้มในตอนแรกก็แสดงอาการหัวเสียหันมองคาดโทษเด็กน้อยข้างตัว ก่อนจะโบกมือขึ้นเพื่อเรียกสายลมกลิ่นหอมเย็นเข้ามาพัดโอบล้อมทั่วบริเวณ เพื่อช่วยขับกล่อมจบความวุ่นวายนี้

    ‘เอาเป็นว่าเด็กนี่ชื่อเอทอส เป็นหลานฉันกับอนันต์ ส่วนเรื่องแปลก ๆ ที่เจ้านี่ทำก็ลืมมันซะ จบงานเลี้ยงฉลองแค่นี้ เก็บของกลับบ้าน!’

    หลังสิ้นเสียง ทุกสิ่งอย่างพลันหวนสู่ความสงบเงียบ เหล่าชาวสวนผู้ต้องมนตร์สะกดต่างแยกไปเก็บข้าวของปิดงานก่อนทยอยกันกลับบ้านพัก และแน่นอนว่าเอทอสผู้สร้างเรื่องก็ถูกฟอเรสดึงหูลากไปรับผิดตรงมุมมืดหลังสำนักงาน โดยมีโนอาร์ที่สติหลุดเพราะเห็นปีศาจสุดที่รักโดนทารุณคอยเอามีดไล่ฟันหญิงสาวไปตลอดทาง ส่วนอนันต์นั้นก็ได้แต่เพียงยืนมองส่งกำลังใจอยู่ห่าง ๆ


    หลังผ่านพ้นค่ำคืนแห่งความยุ่งเหยิง เอทอสก็ถูกส่งไปเรียนร่วมกับเด็กมนุษย์ผ่านโรงเรียนที่อนันต์เป็นคนเลือกให้ เพื่อเป็นการฝึกให้ปีศาจน้อยทนความกระหายและปรับตัวเข้าสู่สังคมมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องพื้นฐานความรู้ เพราะตั้งแต่อยู่ในป่านอกจากฝึกควบคุมพลังกับฟอเรส เอทอสก็ได้เรียนรู้ทักษะความเป็นมนุษย์กับอนันต์อยู่ตลอด ซึ่งการอยู่ท่ามกลางกลุ่มมนุษย์ทุกวันก็ค่อย ๆ ทำให้ปีศาจเริ่มคุ้นชินและสามารถคุมความกระหายได้ในที่สุด ถึงแม้ทุกอย่างคล้ายผ่านไปด้วยดี ทว่ายังคงเหลืออีกหนึ่งพลังที่จวบจนเอทอสอายุย่างเข้าสิบสามปีเต็มแล้วก็ไม่อาจควบคุมได้และจำต้องใส่ถุงมือป้องกัน นั่นคือพลังดึงวิญญาณออกจากร่าง

    ‘อ้าว! นายน้อยเลิกเรียนปุ๊บก็มาปลูกกล้วยไม้ต่อเลยนะ ขยันสมเป็นหลานคุณอนันต์ แล้วเป็นยังไงบ้างพอได้ไหม?’

    ลุงสมัยแวะมาทักทายหลานนายใหญ่ที่ตอนนี้กำลังพยายามนำกล้ากล้วยไม้ลงกระถาง ทว่าดูจากคิ้วหน้าขมวดมุ่นและนัยน์ตาสีอำพันหงุดหงิดก็พอคาดเดาได้ว่า สวนรฦกวัลย์แห่งนี้คงเสียกล้ากล้วยไม้ไปอีกหนึ่งกระบะ

    ‘นายน้อย ลุงช่วยสอนให้เอาไหม?’

    ทันทีได้ฟังข้อเสนอ เอทอสก็รีบพยักหน้าตอบรับน้ำใจพร้อมขยับเว้นที่พอสมควรให้อีกฝ่าย ซึ่งเหตุที่ปีศาจต้องมานั่งเอากล้ากล้วยไม้ลงกระถางหาได้เกิดจากความขยันอย่างที่นายสมัยเข้าใจ แต่เพราะถูกฟอเรสบังคับเพื่อฝึกควบคุมพลังด้วยการย้ายต้นกล้าโดยไม่ให้ตาย แม้จะดูเหมือนง่ายทว่ากับเอทอสที่เพียงแค่สัมผัสอะไรก็ตามก็ดึงวิญญาณติดมือมาตลอด ลำพังการปลูกกล้วยไม้ต้นเดียวให้รอดจึงยากยิ่งกว่าฝึกคงร่างมนุษย์หรือทนความกระหายหลายร้อยเท่า

    ‘ขั้นตอนวิธีนายน้อยทำถูกแล้ว แต่ที่มันไม่โตและเฉาตาย ลุงว่าเป็นเพราะนายน้อยระวังมากเกินไป’
    ‘แล้วมันไม่ดีหรือไง? ขะ- ...ผมไม่เข้าใจ’ เอทอสถามกลับด้วยความสับสน ดวงตาสีอำพันอัดแน่นไปด้วยคำถามมากมายจนนายสมัยถึงกับหลุดหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเอื้อมแขนไปหยิบต้นกล้าเพื่อทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
    ‘ดีมันก็ดีอยู่ แต่นายน้อยรู้ตัวไหมว่าทุกครั้งที่นายน้อยจับต้นกล้าน่ะ นายน้อยเกร็งมาก อาจเพราะกลัวจะทำตายอีก’ ลุงสมัยกล่าวพลางบรรจงนำกล้าลงกระถางใหม่และใส่กาบมะพร้าวรอบโคนต้นอย่างเบามือ พอเสร็จแล้วจึงหันไปดันกล้าอีกต้นออกจากกระบะ
    ‘ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติความรู้สึกนายน้อย’
    ‘ทำอะไร!! เดี๋ยวก็ตายหรอก!’

    เอทอสที่มัวแต่ฟังพลันอุทานอย่างตกใจ เพราะจู่ ๆ ลุงสมัยก็เอากล้ากล้วยไม้จับใส่มือของเขา ส่งผลให้ตอนนี้มือลุงสมัยและเขาสัมผัสกันโดยตรง ฝ่ามือเด็กหนุ่มรีบบีบล็อกมืออีกฝ่ายทันทีเมื่อรู้สึกว่าลุงสมัยกำลังชักแขนกลับ เนื่องจากกลัวว่าหากปล่อยไปมนุษย์ตรงหน้าจะเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ

    ‘ฮา ๆ นายน้อยจะตกใจอะไรขนาดนั้น กล้วยไม้มันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นนะ’
    ‘หาใช่กล้วยไม้นี่ ข้าหมายถึงเจ้าต่างหาก!’

    พอได้ฟังลุงสมัยก็ถึงกับเลิกคิ้วมึนงงที่นายน้อยดูจริงจังเกินเหตุ มิหนำซ้ำยังหลุดคำแบบคนยุคเก่า ซึ่งนายน้อยจะเป็นเช่นนี้เฉพาะตอนหงุดหงิดเดือดดาลหรือตอนพูดเรื่องคอขาดบาดตายเท่านั้น และเหมือนเหตุการณ์ตอนนี้จะเป็นอย่างหลัง

    ‘แล้วทำไมลุงจะตายล่ะ มือของนายน้อยมีพิษเหรอ’ ลุงสมัยกล่าวพลางก้มมองมือนายน้อยที่จับมือเขาแน่นไม่ยอมปล่อย
    ‘จะคิดแบบนั้นก็ได้’
    ‘แล้วนายน้อยอยากทำร้ายลุงหรือเปล่า?’ ลุงสมัยถามต่อ ก่อนเงยหน้าขึ้นมาจ้องนิ่งเข้าไปในนัยน์ตาสีอำพันแฝงความสับสนตื่นตระหนก
    ‘เปล่า’
   ‘นายน้อย... ร่างกายคนเราจริง ๆ ไม่ได้ทำตามที่สมองสั่งหรอกนะ มันทำตามความรู้สึกลึก ๆ ในใจ ยกตัวอย่างวาดรูป ถ้านายน้อยต้องวาดรูปส่งให้ทันกำหนด แน่นอนว่าระดับนายน้อยต้องทำส่งทันอยู่แล้ว แต่ภาพที่ได้ลุงเชื่อว่ามันคงไม่ดีเท่ารูปที่นายน้อยวาดเพราะอยากวาดจริง ๆ หรอกรู้ไหมเพราะอะไร?’
    ‘…’
    ‘เพราะรูปที่ส่ง นายน้อยใช้สมองบังคับจิตใจเพื่อให้งานมันเสร็จ แต่รูปที่นายน้อยอยากวาด นายน้อยปล่อยให้ความรู้สึกควบคุมเคลื่อนไหวร่างกาย กับเรื่องนี้ก็เหมือนกัน’
    ‘ถ้าใจจริงของนายน้อยไม่ต้องการทำร้าย กล้วยไม้พวกนี้ก็ด้วยถ้านายน้อยอยากดูแล ไม่ใช่ทำไปเพราะเป็นหน้าที่หรือถูกสั่งให้ทำ พิษของนายน้อยไม่มีทางทำร้ายใคร... ร่างกายของนายน้อยซื่อตรงกับความรู้สึกเสมอแหละ’

    หลังได้ฟัง ปีศาจกินวิญญาณจึงลองพินิจคิดตาม ที่ฝึกย้ายกล้ากล้วยไม้ทุกวันนี้เขาเพียงสนใจอยู่กับการควบคุมพลังของตนเท่านั้น หาได้สนใจชีวิตกล้วยไม้เหล่านี้แม้แต่น้อย เพราะคิดว่าหากพลาดก็ไม่เป็นไรยังมีให้ลองใหม่อีกหลายต้น ซึ่งต่างจากครานี้ที่เขาสัมผัสถูกตัวมนุษย์ครั้งแรก หากทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตใจเขาจริงเหมือนคำพูดเมื่อครู่ ถ้าเขายอมผ่อนแรงปล่อยมือคู่นี้ของมนุษย์ตรงหน้า อีกฝ่ายจะต้องปลอดภัย
    และเมื่อได้ข้อสรุปดังนั้นเอทอสจึงยอมเสี่ยงเดิมพัน ค่อย ๆ คลายแรงบีบและดึงมือของตนกลับอย่างเชื่องช้า
 
    ‘…ทำได้แล้ว’
    ‘เห็นไหมลุงก็ยังอยู่ดี เด็กดีอย่างนายน้อยทำร้ายใครไม่-’
    ‘ทำได้แล้ว! ท่านฟอเรส! ท่านอนันต์ข้าทำได้แล้ว!!’

    ลุงสมัยเอ่ยชมเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังนิ่งอึ้งอยู่ ทว่าไม่ทันได้พูดจบ เอทอสผู้ซึ่งกำลังตื่นเต้นดีใจในความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ก็รีบวิ่งหายไปทางสำนักงานเพื่อบอกข่าวให้สองผู้มีพระคุณทราบ ทิ้งผู้ช่วยคนสำคัญให้มองตามหลังจมอยู่กับความสับสนมึนงง



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2021 10:23:02 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    วันเวลาทำให้ปีศาจน้อยเรียนรู้และเติบโตตามอายุ การกำหนดสภาพแวดล้อมที่ดีช่วยหล่อหลอมความคิดและนิสัยให้เป็นไปอย่างที่ควร ทว่าถึงจะพยายามคัดกรองชีวิตสังคมของเอทอสให้มีแค่สีขาวบริสุทธิ์เพียงใด ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทุกที่ย่อมพบสีดำสกปรกแฝงอยู่เสมอ และแม้สีดำเล็กน้อยเหล่านั้นจะไม่สามารถกลืนกินสีขาวสะอาดได้ แต่นานวันเข้ามันก็มากพอที่จะย้อมจิตใจปีศาจตนหนึ่งให้หมองลงจนกลายเป็นสีเทา อันก้ำกึ่งระหว่างความดีงามและความเหี้ยมโหด

    ‘ปล่อย!! บอกว่าไม่ให้ไง!!’
    ‘ผัวะ!!’

    เสียงต่อยตีดังมากจากตรอกมืด ถึงกับทำให้เอทอสในวัยยี่สิบซึ่งกำลังเดินกลับบ้านหยุดชะงัก กลิ่นอายบริสุทธิ์ที่ถูกห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายและเสียงร้องขัดขืนดิ้นรน บังคับให้ปีศาจจิตใจดีหันปลายเท้ามุ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งก็พบกับนักเรียนชายคนหนึ่งพยายามยื้อแย่งกระเป๋ากับกลุ่มนักเลงอันธพาล

    ‘คืนของให้เขาไป แล้วฉันจะยอมไว้ชีวิตพวกนาย’

    น้ำเสียงโทนต่ำติดดุเอ่ยขึ้น ส่งผลให้กลุ่มอันธพาลล้วนหันมองต้นเสียงก่อนพากันหัวเราะ เพราะผู้กล้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มนักศึกษาธรรมดา แม้โครงร่างเด็กนี่จะดูสูงใหญ่กว่าพวกเขาสักหน่อย แต่หากมาตัวคนเดียวก็ไม่มีทางจะสู้คนที่มีจำนวนมากกว่าได้

    ‘ไว้ชีวิต... หึ ๆ ถุย!! อย่ามาทำตัวเท่แถวนี้ไอ้เด็กเมื่อวานซืน’

    เมื่อโอกาสที่อุสาเสนอกลับถูกปฏิเสธ เอทอสก็ไม่คิดจะเสวนาเพิ่มเพราะไม่ว่าจะกี่คนต่อกี่คน พวกมนุษย์ผู้มีกลิ่นอายชั่วร้ายก็มักมาสำนึกได้ในเวลาที่สายไปเสมอและพวกนี้ก็คงไม่ต่างกัน เช่นนั้นปีศาจหนุ่มจึงเริ่มย่างเท้าเข้าหา ซึ่งกลุ่มอันธพาลก็ส่งคนสมาชิกสองคนออกมารับหน้าที่สั่งสอน

    ‘ผัวะ!’
    ‘พลั่ก!! ผัวะ!!’
    ‘เป็นไงฮะ! ปากเก่งดีนักมึง’ สองอันธพาลกล่าวถากถาง เมื่อพวกตนรุมต่อยเตะเจ้าพลเมืองดีจนเซถอยไป ทว่าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดโต้กลับของอีกฝ่าย
    ‘ทำได้แค่นี่เหรอ?’ เอ่ยจบ ปีศาจอาศัยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปพุ่งเข้าประชิดตัวทั้งคู่
    ‘กร๊อบ!’
    ‘อ๊ากกกกกก!!!!!!!’
    ‘พลั่ก!! ตึง!!!!!’

    ฝ่ามือหนาของปีศาจคว้าจับแขนอันธพาลก่อนจับบิดจนหักส่งเสียงร้องลั่น ส่วนอีกคนก็ถูกผลักอย่างแรงจนร่างปลิวกระแทกอัดกำแพงและแน่นิ่งไป ความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ถึงกับทำให้เหล่าอันธพาลที่เหลือนึกหวั่นเกรง ยอมปล่อยเหยื่อเคราะห์ร้ายเป็นอิสระ

    ‘ขะ... ขอบคุณครับ’ คนถูกช่วยเหลือกล่าวขอบคุณพลเมืองดีเล็กน้อย แล้วจึงวิ่งหนีออกไปจากตรอกมืด
     ‘กูยอมปล่อยมันแล้ว พอใจมึงหรือยัง’ อันธพาลเอ่ยหวังประนีประนอม ทว่า
    ‘หากพอเท่านี้… มนุษย์กลิ่นอายชั่วร้ายอย่างพวกเจ้าคงไประรานผู้อื่นอีก สมควรถูกกินให้หมดไป’
    ‘บ่นอะไรของ... มึง...’

    น้ำเสียงตอบกลับพลันเลือนหายแห้งเหือด เมื่อนักศึกษาหนุ่มที่กำลังเดินเข้าหาเริ่มมีประกายไฟสีนิลลุกไหม้ตามร่างจนโหมคลอกทั้งตัว ก่อนเพลิงทมิฬจะมอดดับพร้อมชายหนุ่มที่กลายเป็นสัตว์ประหลาด นัยน์ตาสีแดงเลือดนกดุดันอันตราย มือสองข้างเปลี่ยนเป็นกรงเล็บแหลมคม กลุ่มอันธพาลยามนี้กลับยืนช็อกตกตะลึงตาเบิกโพลง ขยับขาไม่ได้ส่งเสียงร้องไม่ออก รู้สึกราวกับวิญญาณภายในร่างกำลังสั่นกลัวถึงขีดสุด ได้แต่นิ่งค้างคล้ายเหยื่อน่าสงสารที่หยุดดิ้นรนเพราะรู้ชะตาชีวิตตัวเอง จนกระทั่งปีศาจมายืนประจันหน้า

    ‘พรึ่บ!’

    ฉับพลันกรงเล็บพิพากษาก็ได้ตวัดกวาดกระชากวิญญาณเหล่าอันธพาลออกจากร่าง เพียงเสี้ยวอึดใจกลุ่มมนุษย์ตรงหน้าก็เหลือเพียงร่างไร้ชีวิตล้มกองอยู่ตรงพื้น ปีศาจอ้าปากกลืนกินวิญญาณบาปทั้งหมด ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอลืมเหยื่ออีกราย

    ‘ปะ.. ปีศาจ!!!! อ๊ากกกกกก!!!!!!’

    อันธพาลผู้ถูกจับหักแขนในตอนแรกได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดกับพวกพ้อง ก็พลันสติหลุดรีบวิ่งหนีออกจากตรอกมืด ทว่าด้วยความตื่นกลัวจนไม่ทันระวัง อันธพาลหนีตายเลยวิ่งชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้าตรอกพอดี

    ‘ยะ... อย่าเข้าไป! ในนั้นมันมีปีศาจ!!! หนีเร็ว!!’

    คนร้ายกลับใจรีบเตือนเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องราว พร้อมทั้งใช้แขนอีกข้างที่ยังอยู่ดีคว้าจับข้อมือเด็กวัยรุ่นคนนั้นหวังพาหนี ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าเตรียมวิ่ง แขนข้างที่ใช้จับเมื่อครู่กลับรู้สึกชาพร้อมกับรู้สึกชุ่มเหนียวเหนอะราวกับหยดเลือดกำลังไหลทะลัก จิตใจอันธพาลพลันคล้ายร่วงดิ่งลงหุบเหวเยียบเย็น ใบหน้าหวาดกลัวสุดขีดค่อย ๆ หันกลับไปมอง และภาพเบื้องหน้าก็ถึงกับทำให้หยาดน้ำตาของอันธพาลอับโชคหลั่งริน เพราะบัดนี้แขนข้างนั้นกำลังโดนมือของอีกฝ่ายซึ่งเปลี่ยนรูปเป็นปากขนาดใหญ่บดเคี้ยว

    ‘ทะ.. อึก... ทำไม’ คนชะตากรรมจวนจบสิ้นสะอึกสะอื้นถามครั้งสุดท้ายในชีวิต ขณะมองร่างเด็กวัยรุ่นที่ค่อย ๆ ฉีกออกผ่ากลางกลายเป็นปากยักษ์ที่สามารถกินตัวเขาได้ในคราวเดียว
    ‘งำ!!!’

    ร่างกายของอันธพาลพลันถูกปากยักษ์ครอบกัดทั้งตัว บดเคี้ยวกลืนหายไม่ให้เหลือสิ่งใดแม้แต่หยดเลือด จวบจนเคี้ยวเสร็จเหล่าปากยักษ์ทั้งหมดก็สมานหดกลับเป็นเด็กหนุ่มคนเดิม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเอทอสที่แปลงกับเป็นมนุษย์แล้วเดินออกมาจากตรอกพอดี

    ‘เจ้าขี้โกงนะเอทอส ไหนบอกว่าจะล่าด้วยกันไง’ วัยรุ่นบ่นอุบทันที เมื่อเห็นเพื่อนสนิท
    ‘ข้าไม่ได้ตั้งใจล่าเสียหน่อย แค่บังเอิญผ่านทางแล้วเจอเรื่องพอดี... ข้างในยังมีอีกเยอะ ข้าขอกลับก่อนฝากจัดการที่เหลือด้วยล่ะ วิน
    ‘จริงเหรอ! ได้ ๆ ไว้เจอกัน’

    วินตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่ายังมีอาหารอีกมากรออยู่ด้านใน ก่อนรีบบอกลาและวิ่งหายเข้าไปในตรอกมืด เกวินหรือวินเป็นเพื่อนปีศาจตนแรกและตนเดียวของเอทอส โดยอีกฝ่ายเป็นปีศาจกินซากที่ต้องไปลอบขุดร่างไร้ชีวิตตามสุสานร้างขึ้นมากินเพื่อความอยู่รอด และนั่นทำให้เขาได้พบกับอีกฝ่ายครั้งแรก อีกทั้งยังมีอะไรหลายอย่างที่เข้ากันได้ อาทิเช่นพวกเขาทั้งคู่ไม่คิดทำร้ายมนุษย์ผู้มีจิตใจขาวสะอาด เนื่องจากทั้งเขาและวินต่างเติบโตได้รับความโอบอ้อมอารีจากมนุษย์ประเภทนี้ ผิดกับมนุษย์อีกจำพวกที่เลวร้ายสมควรถูกกำจัด

    ทว่าเพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีพลังรับรู้กลิ่นอายวิญญาณ ทำให้ไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่ามนุษย์คนไหนสมควรล่า จึงต้องพึ่งอาศัยเขาช่วยระบุตัว ซึ่งการที่เกวินกินเพียงกายเนื้อส่วนเขากินแค่วิญญาณจึงเหมาะมากหากออกล่าด้วยกัน และนั่นทำให้พวกเขาสามารถกำจัดพวกมนุษย์เลวทรามได้อย่างไร้ร่องรอย รวมถึงเป็นการช่วยคุ้มครองมนุษย์บริสุทธิ์ไม่ให้ถูกระราน
    ซึ่งการออกล่าครั้งแรกเริ่มตั้งแต่ช่วงสมัยมัธยมปลายที่พวกเขาได้รู้จัก จนกระทั่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างปัจจุบัน โดยทุกอย่างนั้นถือเป็นความลับที่รู้กันเพียงสองตน แต่กระนั่นก็ไม่มีสิ่งใดสามารถปกปิดได้ตลอดกาล

    ‘ทำไมกลับช้า เจ้าไปทำอะไรมา’ ฟอเรสถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามาในบ้าน
    ‘ระหว่างทางกลับ ข้าพบมนุษย์กำลังโดนปล้นเลยไปช่วยไว้’
    ‘แล้วเจ้าทำยังไงกับพวกที่ปล้น’ คำถามไม่คาดคิดทำให้ปีศาจชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยอมตอบกลับ
    ‘ข้าเพียงสั่งสอ-’
    ‘อย่าคิดโกหกข้า! เอทอส!!’
   ‘โครม!!!!’

    หญิงสาวตวาดลั่น พร้อมสายลมแรงราวกับพายุคลั่งพัดร่างปีศาจหนุ่มออกไปล้มกระแทกกลางสวนหน้าบ้าน เหล่าหญ้าเขียวขจีบนพื้นสนามพลันเติบโตเลื้อยพันธนาการเอทอสอย่างรวดเร็ว เพียงครู่ปีศาจกินวิญญาณก็ถูกมัดตรึงแน่นกับพื้นดิน

    ‘สารภาพมา! เจ้าทำอะไรกับมนุษย์พวกนั้น’ หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยอารมณ์เคืองโกรธเดินตามออกมาจากตัวบ้านพร้อมเค้นถามอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับความจริงจากปากหลานชาย
    ‘พวกนั้นมันเลวทราม สมควรถูกกำจัดแล้ว โลกนี้ถึงต้องมีปีศาจกินวิญญาณเช่นข้า’
    ‘อย่ามาหาเหตุผลเข้าตัว! สิ่งที่เจ้าทำมันเลวทรามยิ่งกว่ามนุษย์พวกนั้น บอกทีว่าข้ากับอนันต์เลี้ยงเจ้าผิดพลาดตรงไหน ทำไมเจ้าถึงได้โตมาผ่าเหล่าผ่ากอเยี่ยงนี้!’
    ‘แล้วที่ข้าทำมันผิดตรงไหนกัน! ข้าหาได้กินมั่ว ข้ากินเฉพาะพวกที่มีกลิ่นชั่วร้ายแทบไร้ความบริสุทธิ์ หากปล่อยไปก็สร้างปัญหาต่อไม่รู้จบ’
    ‘โลกนี้มีผู้รักษากฎอยู่เจ้าไม่ต้องไปยุ่ง! สังคมมนุษย์มีตำรวจ สังคมปีศาจก็มีคนคอยคุมเหมือนกัน และสิ่งที่เจ้าก่อรู้ไหมว่าโทษทัณฑ์มันถึงชีวิต ถ้าพวกนั้นรู้สิ่งที่เจ้าทำเมื่อไร ต่อให้เป็นข้าหรืออนันต์ก็ช่วยเจ้าไม่-’
     ‘เรส! เกิดอะไรขึ้น? เอทอสหลานทำอะไร? ทำไมเรสถึงโกรธขนาดนี้’

    อนันต์ที่เพิ่งกลับจากสวนกล้วยไม้รีบวิ่งเข้ามาห้ามพลางถามไถ่เรื่องราว ซึ่งก็ได้รับเพียงความเงียบอึมครึมชวนอึดอัด ก่อนหญิงสาวจะส่งเสียงไม่พอใจหึหนึ่งและหันหลังเดินเข้าบ้านไป โดยไม่คิดคลายหญ้าที่พันธนาการร่างเอทอสออก ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเพียงแค่เอทอสออกแรงเล็กน้อยเหล่าหญ้าก็พลันขาดปลดปล่อยเขาเป็นอิสระอย่างง่ายดาย หากว่ากันตามจริงของพวกนี้กักขังเขาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ยอมอยู่นิ่งเพราะไม่อยากแสดงท่าทีแข็งข้อกับผู้มีพระคุณก็เท่านั้น

    ‘เอทอส หลานไปทำอะไรให้เรสโมโหเข้า บอกอาหน่อย อาสัญญาว่าจะไม่โกรธ’ อนันต์หันมาถามหลานชาย เมื่อคนรักหนีหายเข้าบ้านไปแล้ว
    ‘อา... พอดีข้ามัวแต่เถลไถล ท่านฟอเรสเลยโกรธที่ข้ากลับบ้านช้า’

    เอทอสเลี่ยงไม่ยอมบอกความจริง เพราะปกติไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไรท่านฟอเรสจะเล่าให้ท่านอนันต์ฟังเสมอ มิหนำซ้ำยังแกล้งใส่สีตีไข่ให้เขายิ่งดูแย่ ซึ่งต่างกับครั้งนี้ที่ท่านฟอเรสไม่แม้แต่พูดเอ่ยสักคำ อีกทั้งก่อนเข้าบ้านหญิงสาวยังเหลือบมองเขาด้วยหางตาราวกับสื่อว่า อย่าคิดพูดอะไรไม่เข้าท่า

    ‘เหรอ... แต่เรสไม่น่าโกรธหนักขนาดนั้นนะ ยังมีอะไรอีกใช่ไหม?’

    อนันต์ถามต่อพลางหรี่ตามองหลานชาย ทว่ากลับได้เพียงรอยยิ้มกลบเกลื่อนของเอทอส ก่อนจะอ้างขอตัวไปอาบน้ำเพราะเมื่อครู่ถูกจับคลุกดินจนสกปรก ทิ้งชายหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องราวให้ยืนสับสนอยู่ตรงสวนหน้าบ้านเพียงลำพัง


    ในวันต่อมาเอทอสก็ได้นำเรื่องมาปรึกษากับเกวินที่มหาวิทยาลัย จึงได้รู้ว่าผู้คุมกฎของสังคมปีศาจแท้จริงคือกลุ่มมนุษย์ธรรมดาที่ตั้งตนเป็นนักล่าปีศาจ ซึ่งนั่นถึงกับทำให้เอทอสหลุดหัวเราะเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตอ่อนแอเช่นมนุษย์จะหาญกล้าขึ้นควบคุมเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งอย่างพวกเขา ทว่าเมื่อรู้เอทอสก็ไม่ได้ให้ค่าหรือสนใจกลุ่มนักล่าปีศาจมากนัก เพราะมองเป็นเพียงการละเล่นสวมบทบาทของเหล่ามนุษย์ ตราบเท่าที่การละเล่นพวกนั้นไม่เข้ามาขัดขวางเขาก็ไม่เป็นไร

    ‘เอทอส.. เจ้าเจออะไร?’ เกวินเอ่ยถาม เมื่อระหว่างคุยเล่นกันอยู่ ๆ เพื่อนสนิทก็นิ่งไปพลางทำจมูกคล้ายสูดกลิ่น
    ‘มนุษย์คนนั้นเป็นใคร เจ้าพอรู้จักไหม’ ร่างสูงใหญ่หันมาถามเพื่อนปีศาจข้างกาย พร้อมชี้นิ้วไปยังชายนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินตามพวกผู้ใหญ่ก่อนเลี้ยวหายไปในมุมตึก
    ‘อ๋อ... ศิลาอยู่คณะเกษตร เหมือนเป็นเด็กเรียนจริง ๆ ไวไฟไม่เบา ขึ้นมหาลัยมาก็พลาดทำผู้หญิงท้องซะแล้ว แต่เจ้านั่นก็เป็นลูกผู้ชาย กล้าทำกล้ารับผิดชอบ ได้ข่าวว่าช่วงนี้กำลังหัวหมุนหาเงินเลี้ยงลูก’
    ‘…’
    ‘ข้าว่าเจ้านั่นก็เป็นคนดีนะ ทำไมเจ้าถึงสนใจล่ะ’ เกวินแกล้งถามกลับ แม้จะพอคาดเดาคำตอบได้คร่าว ๆ
    ‘มนุษย์นั่นมีกลิ่นอายบริสุทธิ์มาก แต่กลับเริ่มเจือความหมองเลวร้าย ถ้าข้าดึงศิลากลับมาได้ก่อนอะไรจะสายไปก็ดี ข้าไม่อยากจับเจ้านั่นกิน’
    ‘หึ... ใจดีอีกแล้ว รู้ไหมนิสัยชอบยื่นมือช่วยเหลือของเจ้า สำหรับพวกมนุษย์ที่คิดไปไกลจะมองว่าเจ้ากำลังหว่านเสน่ห์มีใจให้ เดี๋ยวก็จบเหมือนเรื่องของสีคราม’
    ‘จิตใจของใครผู้นั้นก็จัดการเองไม่เกี่ยวกับข้า อีกอย่างเจ้าบอกเองว่าศิลามีลูกมีคู่ครองแล้ว’

    เอทอสเอ่ยก่อนลุกขึ้นเพื่อตามมนุษย์ผู้เป็นหัวข้อสนทนาหลักไป ขณะที่เกวินเพียงนั่งมองไม่ได้ตามไปด้วย กระทั่งลับหลังเพื่อนสนิทปีศาจจึงใช้ลิ้นเลียริมฝีปากแก้กระหาย ยามนึกถึงอาหารมื้อใหม่ที่กำลังจะมาในอีกไม่ช้า

    ปีศาจกินวิญญาณเดินตามกลิ่นอายจนมาพบเป้าหมายกำลังยืนคุยกับพวกผู้ใหญ่สองคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะถูกหนึ่งในผู้ใหญ่นั้นชกเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงพร้อมยัดห่อกระดาษใส่มือศิลา พวกนั้นถึงยอมจากไป เห็นดังนั้นเอทอสจึงเดินเข้าไปหา ซึ่งทันทีที่ศิลาเห็นเขาก็แสดงท่าทีพิรุธอย่างชัดเจน

    ‘ห่อกระดาษนั่นคืออะไร?’
    ‘ไม่ใช่เรื่องของนาย เฮ้ย! เอาคืนมา!’

    ศิลาตอบกลับคล้ายไม่พอใจ พลางพยายามเดินหนีทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่จับไหล่ พร้อมมืออีกข้างของร่างสูงใหญ่ที่ฉวยแย่งห่อกระดาษนั้นไปเปิดดูอย่างถือวิสาสะ ของด้านในที่นัยน์ตาสีอำพันดุเห็นคือเม็ดยาสีแปลกและผงขาวจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดถูกบรรจุในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง

    ‘นายค้ายาหรือศิลา?’ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม พลางใช้สายตาคมดุมองอย่างพิจารณา
    ‘หลักฐานก็คาตาอยู่แล้วหนิ เอาสิ จับฉันส่งตำรวจเลย’
    ‘ทำไปทำไม หน้ามืดเอาผู้หญิงจนท้องเลยต้องหาเงินเลี้ยงแบบไม่เลือกวิธีการ’
    ‘ผัวะ!!!’

    สิ้นคำสบประมาทหมัดหนักรุนแรงพลันชกเข้าที่ซีกหน้าของร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีอำพันดุอันตรายยากคาดเดาหันกลับมามองมนุษย์อีกครั้ง พบว่ายามนี้สีหน้าแววตาศิลาล้วนแสดงถึงความโกรธแค้นเจ็บใจ ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งที่ปีศาจต้องการ เพราะเมื่อใดที่มนุษย์ถูกอารมณ์ครอบงำมักจะหลุดคลายความลับไม่มากก็น้อย

    ‘มึงไม่มีเรื่องต้องรับผิดชอบเหมือนกูหนิ! คิดว่ากูอยากทำนักเหรอไง ไอ้เหี้ยเอ้ย!!... กูไม่น่าหลงไปทำงานกับพวกมันเลย’
    ‘ก็เลิกซะสิ’ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแนะนำ
    ‘แล้วกูเลือกได้เหรอฮะ! ทั้งที่อยู่ แฟนหรือลูกกูพวกมมันรู้หมด ถ้ากูไม่ทำจะเกิดอะไรมึงรู้ไหม’
    ‘มาทำงานกับฉันสิ’
    ‘…พูดอะไรของมึง’
    ‘พรุ่งนี้พาครอบครัวของนายไปที่สวนรฦกวัลย์รู้จักใช่ไหม ไปหาคุณอนันต์กับคุณฟอเรสแล้วเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง บอกว่าเอทอสขอมา จากนั้นนายก็อยู่เงียบ ๆ ที่สวนไปสักพัก ให้ฉันจัดการเรื่องให้เรียบร้อยก่อนค่อยกลับมาเรียน’

    หลังฟังข้อเสนอศิลาได้แต่นิ่งอึ้ง ดวงตาเผลอเบิกกว้างด้วยความตกใจ สวนรฦกวัลย์ที่เจ้าของเป็นเสมือนพ่อพระคอยช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนขาดที่พึ่งย่อมไม่มีใครไม่รู้จัก รวมถึงข่าวคราวเรื่องมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีหลานชายเจ้าของสวนเรียนอยู่เขาก็พอทราบ แต่คิดไม่ถึงว่าคนนั้นจะเป็นบุคคลตรงหน้าที่เขาเพิ่งต่อยและตะคอกด่าไปเมื่อครู่ พอรู้ดังนั้นคนกำลังอารมณ์ร้อนก็พลันรู้สึกสงบลงราวกับถูกน้ำสาด

    ‘กุ... ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าคุณเป็น-’
    ‘ช่างมัน เออ... แล้วลูกนายเข้าเรียนหรือยัง? เปลี่ยนที่อยู่แบบนี้จะเป็นปัญหาหรือเปล่า’ เอทอสรีบถามกลับเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่านาวาหรือลูกชายของศิลานั้นยังเป็นเพียงทารกไม่หย่านม
    ‘ถ้าผมไปอยู่ที่นั่นจะสร้างปัญหาไหม พวกนั้นอาจ-’
    ‘คนมีเรื่องหนักหนากว่านายคุณอนันต์ก็ดูแลมาแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้ก็กลับไปทำตามที่บอกแล้วกัน’

     ว่าจบฝ่ามือใหญ่ที่จับล็อกไหล่ไว้ในทีแรกก็เปลี่ยนเป็นดันหลังพร้อมตบเบา ๆ คล้ายบอกเป็นนัยว่าให้ไปได้แล้วซึ่งศิลาก็ยอมทำตามแต่โดยดี จวบจนบริเวณนี้ไม่เหลือใครเอทอสจึงก้มมองถุงกระดาษที่ถือติดมือ ฉับพลันเปลวเพลิงทมิฬก็ลุกท่วมเผาของสกปรกจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากหรือกลิ่นควัน จากนั้นร่างสูงใหญ่จึงเดินกลับไปหาเพื่อนสนิท เพื่อวางแผนการล่าครั้งใหม่ที่กำลังเริ่ม


(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2021 10:25:03 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    สองปีศาจคอยเฝ้าดูเหล่าเหยื่อในครั้งนี้พลางหาข้อมูลเพิ่มเติม ถึงรู้ว่าแท้จริงมนุษย์น่ารังเกียจนั่นเป็นแค่กลุ่มลูกน้องนักธุรกิจรายหนึ่งซึ่งอาศัยชื่อและอำนาจของเจ้านายทำเรื่องพรรณ์นี้ มิหนำซ้ำเจ้านายเองก็ไม่รู้เลยว่ากำลังเลี้ยงหนอนบ่อนไส้ไว้ใกล้ตัว เกวินและเอทอสเพียงลอบสังเกตเงียบ ๆ รอเวลาเพราะมั่นใจว่าอีกไม่นานพวกทรยศคิดไม่ซื่อต้องถูกจับได้ ซึ่งค่ำคืนนี้ก็เกิดเรื่องอย่างที่คาดการณ์

    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!! ปัง!!’
    ‘ปัง!!’

    เสียงกระสุนสาดและความโกลาหลวุ่นวายในบ้านหลังใหญ่ เป็นเหมือนดั่งสัญญาณเริ่มการล่าของสองปีศาจที่เฝ้ามองอยู่บนเงามืดของยอดไม้ เอทอสกระโดดนำเข้าเขตบ้านพร้อมชี้นิ้วระบุตัวมนุษย์ให้เกวินเลือกกินถูกคน ส่วนตัวเขาก็แยกไปจัดการอีกด้านหนึ่ง ซึ่งการที่ฝ่ายกบฏต้องประทะทั้งกลุ่มผู้อารักขาเจ้านายเก่าและผู้ล่าดักซุ่มในความมืด แน่นอนว่าย่อมไร้หนทางชนะ เพียงไม่นานหลังสองปีศาจเข้ามาร่วมวงตะลุมบอน จลาจลยามค่ำคืนก็หวนคืนสู่ความสงบเงียบ

    ‘ใครหลบอยู่ต้องนั้น ออกมา!’
    ‘...ผมเองครับนาย’ หนึ่งในลูกน้องรีบชูมือขึ้นก่อนเดินออกมาจากมุมมืด ซึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นพวกเดียวกันผู้เป็นนายจึงยอมเก็บปืน พร้อมเรียกลูกน้องคนนั้นให้เข้ามาหาเพื่อสั่งการ
    ‘ไปดูระบบไฟแล้วโทรเรียกตำ-’

    ขณะกำลังสั่งงานจู่ ๆ เสียงเจ้านายก็เงียบไป ลูกน้องที่รอรับคำสั่งจึงรีบกวาดสายตาโดยรอบบริเวณเผื่อว่ายังมีพวกทรยศหลงเหลืออยู่แถวนี้ ทว่าก็ไม่พบสิ่งผิดปกติจึงได้หันกลับมาหาเจ้านาย ซึ่งพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองแหวนบนนิ้วที่กำลังส่องแสงสีแดงกระพริบ

    ‘มีอะไรหรือค-’
    ‘ฉึก!!!’

    คมมีดจากผู้เป็นนายพลันปักแทงเข้ากลางท้องลูกน้องเบื้องหน้า ก่อนจะออกแรงบิดปลายด้ามจับส่งผลให้กลไกอาวุธแตกใบมีดที่ฝังลึกในร่างเป็นแง่งหนามเหล็กหลายสิบแท่งเข้าทิ่มทำลายอวัยวะภายใน การจู่โจมไม่คาดคิดถึงกับทำให้ลูกน้องเบิกตากว้างมองเจ้านายด้วยความสับสน

    ‘แกเองสินะที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี่ ไอ้ปีศาจสารเลว’
    ‘พะ... พูดอะ-’
    ‘เลิกเล่นละครสักที’
    ‘ฉัวะ!!!!’

    มีดที่แตกกระจายเป็นหนามเหล็กฝังอยู่ในร่างถูกมือผู้เป็นนายดึงกระชากออกอย่างแรง เกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์เหวอะหวะขนาดใหญ่กลางท้อง เลือดเหนียวเหนอะมากมายพลันไหลทะลักท่วมอาบกาย ขาทั้งสองข้างเริ่มหนักอึ้งจนต้องทรุดลงคุกเข่า พร้อมเปลวเพลิงสีนิลลุกไหม้เผยร่างจริง

    ‘ทะ... ทำไม ข้ามาช่วยเจ้านะ’

    เอทอสเอ่ยถามอย่างสับสน นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงจ้องตรงไปยังมนุษย์เบื้องหน้าเพื่อแสดงความจริงใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับมองว่าเป็นการท้าทาย อาวุธแหลมในมือมนุษย์จึงตวัดพาดใส่ซีกหน้าปีศาจกลายเป็นรอยแผลกว้าง ทุกความรุนแรงป่าเถื่อนที่กำลังประสบล้วนขัดกับกลิ่นอายสะอาดบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากตัวมนุษย์ ความย้อนแย้งและคำถามมากมายพลันพรั่งพรูในความคิดปีศาจ กระทั่งคำพูดหนึ่งหลุดมาจากมนุษย์ซึ่งกำลังโทรศัพท์เรียกพวกพ้องก็ถึงกับทำให้ความคิดปีศาจขาวโพลน ก่อนแทนที่ด้วยความหวาดกลัวที่เพิ่งเคยรู้สึกครั้งแรก

    ‘สิ่งที่เจ้าก่อรู้ไหมว่าโทษทัณฑ์มันถึงชีวิต’ คำเตือนครั้งหนึ่งของผู้มีพระคุณพลันดังก้องขึ้นมาในหัว

    ‘พวกของฉันกำลังมาเอาตัวแกไปรับโทษ อย่าคิดหนีถ้าไม่อยากตายแบบทร-’
    ‘โครม!!!’

    ร่างกายปีศาจพลันขยับไปเองตามสัญชาตญาณ ส่งกรงเล็บแข็งแกร่งฟาดใส่มนุษย์ตรงหน้าอย่างจัง พละกำลังมหาศาลบวกกับความตื่นตระหนกกลัวตาย มากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะรับได้แม้จะยกอาวุธขึ้นป้องกัน เป็นผลให้ร่างของมนุษย์ปลิวไปกระแทกชุดโต๊ะรับแขกเกิดเสียงโครมสนั่น ก่อนชนเข้ากับขอบกำแพงจนคอหักผิดรูปแน่นิ่งไป

    ‘มะ.. ไม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ’

    หลังพลั้งมือทำเรื่องผิดพลาดเกินให้อภัย ปีศาจที่ได้สติจึงรีบตะเกียกตะกายเข้าไปหาร่างมนุษย์พลางเอ่ยคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา กรงเล็บชุ่มเลือดจากการกดบาดแผลห้ามเลือด เอื้อมจับร่างไม่ไหวติงพร้อมพยายามร่ายคำสาปหวังช่วยชีวิตทว่าทุกอย่างก็สายเกินแก้ เมื่อดวงไฟวิญญาณลอยออกจากร่างมนุษย์ต่อหน้าต่อตาปีศาจ ความจริงที่ว่าเขาเพิ่งสังหารมนุษย์บริสุทธิ์พลันเยือกแข็งความรู้สึกปีศาจจนเย็นเยียบ อุดมการณ์ความดีที่เชื่อมั่นบัดนี้ได้พังทลายสิ้นไม่มีเหลือ

    ‘พ่อครับ!!! คุณคะ!!!’

    เสียงตะโกนเรียกของผู้หญิงและเด็กคนหนึ่งปลุกเอทอสออกจากภวังค์ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงในเงามืดหันมองมนุษย์กลุ่มใหม่ที่มัวแต่จับจ้องเขาเลยไม่ทันระวังด้านหลัง ซึ่งมีเกวินกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ทว่ากลิ่นอายบริสุทธิ์จากกลุ่มมนุษย์ที่สัมผัสได้กลับบ่งบอกว่าคนเหล่านี้หาใช่เป้าหมาย และแน่นอนว่าเกวินที่เพิ่งมาย่อมไม่รับรู้มิหนำซ้ำคงคิดว่าเป็นศัตรูเพราะเห็นเขาบาดเจ็บ ปีศาจกินวิญญาณผู้ไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาดซ้ำสองจึงพยายามลุกเพื่อเข้าขวางเกวินก่อนที่อะไรจะสาย แต่เหมือนเคราะห์ร้ายในค่ำคืนนี้จะยังไม่หมดลง เพราะความช่วยเหลือของเขาถูกเหล่ามนุษย์มองว่าเป็นการจู่โจม ปลายกระบอกจากหนึ่งในกลุ่มคนจึงหันเล็งมาทางเขาและเหนี่ยวไก

    ‘ปัง!!! ปัง!!!’
       ‘ปัง!!!’

    ‘เอทอส! เจ้าเป็นอะไรมากไหม?! แข็งใจไว้ข้าจะพาเจ้าออกจากที่นี่’

    เกวินรีบเข้ามาพยุงร่างเพื่อนสนิทที่ถูกมนุษย์กระหน่ำยิง ส่วนปีศาจเจ็บหนักกลับมัวแต่จ้องมองเหล่าร่างไร้ชีวิตที่เขาช่วยไว้ไม่ทัน อีกหนึ่งความผิดบาปพลันเพิ่มพูนทับถมจิตใจปีศาจให้ยิ่งจมดิ่งในห้วงความผิดที่เขาก่อ ปีศาจผู้สำนึกได้แต่เอ่ยคำขอโทษรู้สึกผิดในใจ และคล้ายความละอายของเขาจะสื่อไปถึงใครบางคน ทว่าใครที่ว่านั้นคือขุมนรก มิใช่พระเจ้าผู้อารี

    ‘เอทอส เจ้าเข้าไปหลบในป่า ข้าจะดึงพวกนักล่าปีศาจไปอีกทาง’
    ‘แต่-’
    ‘ไม่มีเวลาแล้ว รีบไป!’
    ‘พลั่ก!!’

    เกวินใช้สองมือผลักเพื่อนสนิทอย่างแรงเพื่อส่งอีกฝ่ายไปให้ห่างจากบริเวณนี้ที่สุด ซึ่งพละกำลังมหาศาลบวกกับเอทอสซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพอ่อนแอ เลยทำให้ร่างปีศาจกินวิญญาณพุ่งกระเด็นไปตกอยู่กลางป่าลึกไกลจากตำแหน่งเมื่อครู่มากพอสมควร

    “เอทอสพอแล้ว มันไม่ทันหรอก... คุณ ฟังผมหน่อย”

    เมื่อเหลือเพียงลำพัง โนอาร์ที่คอยเฝ้าดูช่วงชีวิตปีศาจอยู่ห่าง ๆ ก็เข้ามาพูดกล่อมให้ร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังฝืนเดินย้อนกลับไปทางเดิมนึกถอดใจ ฝ่ามือขาวรีบเข้าประคองเมื่อเห็นว่าปีศาจจวนจะล้มลง ทว่าทุกความพยายามก็ไร้ค่าเพราะร่างเอทอสได้ทะลุผ่านมือเขาลงไปกองตรงพื้น

    ‘วะ.. วิน…’
    “คุณในอนาคตไม่เคยพูดถึงชื่อนี้เลย ชีวิตเพื่อนคุณคงมาได้เท่านี้ แต่คุณยังต้องอยู่ต่อ”

    โนอาร์เกลี่ยกล่อมปีศาจโดยหวังว่าเสียงจะสื่อไปถึงอีกฝ่าย และคล้ายความปรารถนาของชายเลือดเย็นจะเป็นจริง เมื่อร่างสูงใหญ่ยอมนอนนิ่ง ๆ ไม่ฝืนดันทุรังต่อ ทว่าเพียงครู่ปีศาจก็รีบลุกขึ้นอีกรอบพร้อมพยายามตะเกียกตะกายพาร่างบาดเจ็บวิ่งเข้าหาบางสิ่ง ซึ่งคำเรียกชื่อที่ดังมาจากร่างบาดเจ็บก็เป็นตัวเฉลยข้อสงสัย

    ‘ท่านอนันต์... ท่านอนันต์! ข้าขอร้อง.. ช่วยคุยกับพวกมนุษย์ที เพื่อนข้าไม่ใช่ปีศาจเลวร้าย เขาแค่ทำตามที่ข้าบอก เขา...’
    ‘…’
    ‘ทะ… ท่าน...’

    น้ำเสียงปีศาจพลันแห้งผากเช่นเดียวกับฝีเท้าชะงักงัน เมื่อผู้มีพระคุณซึ่งเปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังเดินออกมาจากเงามืดของป่าในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทคุ้นตา พร้อมหอกเหล็กสีเงินวาวคมกริบแบบเดียวกับที่นักล่าปีศาจใช้กัน เอทอสเริ่มเข้าใจเหตุผลครั้งก่อนที่ฟอเรสไม่ยอมเล่าสิ่งที่เขาทำให้อนันต์ฟังทันที เพราะหากตอนนั้นหญิงสาวเลือกบอกความจริง เขาอาจไม่มีชีวิตอยู่จนถึงคืนนี้ และคืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายของเขาเช่นกัน

    เอทอสผู้ชอกช้ำทั้งร่างกายและจิตใจยอมทิ้งตัวคุกเข่าน้อมรับชะตากรรม เสียงฝีเท้าผู้มีพระคุณที่เข้าใกล้คล้ายเสียงนาฬิกาชีวิตจวนสิ้นสุดกลับทำให้เอทอสรู้สึกสงบอย่างประหลาด หากต้องตาย การตายด้วยน้ำมือผู้ให้ชีวิตเลี้ยงดูมาคงเป็นเรื่องดีที่สุด ดังนั้นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำหมองหม่นจึงปิดลง รอรับคมหอกพิพากษาแต่โดยดี

    ‘ฉัวะ!!!’
    ‘พลั่ก!’

    ความรู้สึกที่ควรเป็นเหล็กแหลมเสียบแทงกลับกลายเป็นแรงผลักรุนแรงจนร่างเอทอสไถลไปกับผืนป่า นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงค่อย ๆ ลืมขึ้นมอง ภาพแรกที่เห็นคือปลายผมสีเขียวอมดำพลิ้วไสวตามสายลมพัดโหมกระหน่ำ ต้นไม้สูงรอบบริเวณต่างไหวเอนราวกับถูกพายุสาดซัดข่มขู่ บัดนี้หญิงสาวอีกหนึ่งผู้มีพระคุณได้ยืนกั้นขวางระหว่างเขาและท่านอนันต์

    ‘โจมตีผมทำไมล่ะ เรส’ อนันต์ถามกลับคนรัก ซึ่งเมื่อครู่ระดมเถาวัลย์รากไม้พุ่งใส่จนเขาแทบเอาหอกปัดป้องไม่ไว้ สุดท้ายจึงจำต้องกระโดดถอยห่างไปตั้งหลัก
    ‘เจ้าต่างหากคิดจะทำอะไร’
    ‘เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ยฮะ’
    ‘ไอ้บ้างาน หน้าที่ต้องมาก่อนก็อะไรทั้งหมด’
    ‘หึ ๆ รู้ใจผมจริง ๆ ด้วย... งั้นเรสก็ส่งหลานมาให้ผมลงโทษเถอะ ปกป้องทั้งที่ทำผิดจะทำให้เอทอสเสียนิสัยเอา’ อนันต์เผยยิ้มเล็กน้อย พลางชี้ปลายหอกไปยังหลานชายทว่าเสี้ยววินาทีก็ถูกรากไม้ซึ่งพุ่งออกมาจากพื้นดินปัดทิ้ง
    ‘อย่ามาแสร้งพูดดี ลงโทษของเจ้าคือสังหารเขาชดใช้ความผิด คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าทำตามใจเหรอ?!’
    ‘ผมไม่ได้อำมหิตถึงขนาดฆ่าหลานตัวเองได้ลงคอหรอกนะเรส แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งเถียงกันและเอานี่ไปให้เอทอสกินรักษาแผลก่อน ผมขอให้ผู้คุมวิญญาณเก็บมาให้’

    อนันต์เอ่ยพลางโยนขวดเก็บวิญญาณสีทึบให้ฟอเรสรับ เนื่องจากจนถึงบัดนี้ปีศาจสาวผู้เป็นรักแท้ของเขา ยังคงแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยการเรียกรากไม้หนามขนาดยักษ์กั้นขวางเป็นแนวยาว หญิงสาวใช้เวลาพินิจมองของในมือครู่หนึ่งเมื่อไม่เห็นความผิดปกติจึงโยนต่อไปให้เอทอสที่อยู่ด้านหลัง

    เอทอสรับขวดแปลกตาจากผู้มีพระคุณด้วยความสับสนก่อนใช้กรงเล็บหมุนฝาเปิด ฉับพลันดวงไฟวิญญาณหนึ่งเดียวที่ถูกขังไว้ก็ลอยออกมาจากขวด ทว่ากลิ่นอายอันคุ้นชินที่สัมผัสได้กลับทำให้นัยน์ตารัตติกาลเบิกกว้าง ทั้งร่างนิ่งชาราวกับกำลังจมลงไปใต้น้ำแข็งหนาวเหน็บ ความผิดครั้งที่สามเข้าบดขยี้จิตใจรู้สำนึกจนแหลกเหลว

    ‘รีบกินเอทอส แผลจะได้สมาน’ อนันต์กล่าวบอกหลานชาย
    ‘ไม่... ข้าไม่กิน’
    ‘จะละอายทำไมกับแค่กินเพื่อนของเจ้า ขนาดธีออสกับเอวาเจ้ายังกิน-’
    ‘อนันต์!!!!!’
    ‘โครม!!!’

    ฟอเรสรีบใช้พลังดึงต้นไม้ในป่าให้ล้มฟาดทับใส่ชายหนุ่มหวังให้หยุดสิ่งที่กำลังพูด แต่เพราะรักรู้จักกันมานาน อนันต์จึงเดาทางและหลบทุกการจู่โจมได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเอ่ยเรื่องต้องห้ามต่อไป

    ‘คงแอบคิดใช่ไหมว่าธีออสเอวาเป็นใคร ไม่ต้องสงสัยหรอก ธีออสและเอวาพวกเขาน่ะอยู่ในตัวหลานมาตลอด’
    ‘เจ้ากำลังทำให้ข้าโกรธจริง ๆ แล้วนะ อนันต์!!!’
    ‘เชิญเลยเรสเดี๋ยวผมค่อยกลับไปง้อคุณที่หลัง แต่วันนี้เอทอสต้องได้รู้บาปของตัวเอง คุณก็เห็นแล้วหนิที่เราพยายามปกปิดมันทำให้เอทอสทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า’
    ‘เอทอสฟังและจำไว้ให้ขึ้นใจ ตั้งแต่เด็กพลังของหลานตื่นก่อนปีศาจทั่วไป อาหารมื้อแรกที่กินคือธีออสเอวา พ่อแม่แท้ ๆ ของหลานเอง และมื้อต่อ ๆ มาก็คือเหล่าสัตว์หลงทาง ในบ้านมีแต่ซากสัตว์โครงกระดูกกองพะเนิน อาเป็นคนจัดการแยกกระดูกธีออสเอวาเองกับมือ หากอากับเรสไม่ไปเยี่ยม หลานคงกินสัตว์จนหมดป่า หลาน-’
    ‘อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!’

    เสียงคำรามก้องเจียนตายดังกลบทุกคำพูด สองกรงเล็บทมิฬเอามือป้องหูจิกทึ้งปฏิเสธเรื่องราว นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเบิกกว้างสั่นไหวลุกลน พร้อมหยาดน้ำตาไหลพรากไม่ยอมรับ ความคลื่นไส้มวนท้องพลันตีขึ้นก่อนสำรอกอาเจียนทุกสิ่งอย่าง ทว่ากลับไร้ซึ่งดวงวิญญาณที่เคยกินปะปนมากับเศษอาหารเคลือบน้ำย้อย เช่นนั้นกรงเล็บแหลมปิดหูจึงเปลี่ยนเป็นตะกุยลำคอฉีกกระชากจนเหวอะหวะสยดสยอง เสียงร้องคำรามเจ็บปวดเหลือเพียงเสียงอึกอักสำลักเพราะกล่องเสียงถูกทำลาย ฟอเรสที่เห็นหลานชายเสียสติเนื่องจากรับความจริงไม่ได้ก็ได้แต่ยืนอึ้ง เปิดโอกาสให้อนันต์เข้าถึงตัวเอทอส

    “กลับปัจจุบันได้เมื่อไร เตรียมรับสิ่งที่ทำกับเอทอสให้ดี อนันต์” นัยน์ตารัตติกาลวาวโรจน์เครียดแค้นตวัดจ้องชายตรงหน้า โนอาร์พลันสัญญากับตัวเองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เขาจะสลักจำไว้ไม่มีวันลืม
    ‘หากเป็นปีศาจตนอื่น อาคงไม่ลังเลที่จะกำจัด แต่เพราะเป็นหลาน อาจะให้โอกาส’
    ‘อย่าฆ่าใครอีก นี่เป็นคำสัญญาและคำเตือนระหว่างเรา อย่าบังคับให้อาต้องกำจัดหลานเลย’
    ‘ผัวะ!!!’

    ด้ามหอกเงาวาวเหวี่ยงฟาดกลางท้ายทอยปีศาจเสียสติทันทีหลังเอ่ยจบ ส่งผลให้เอทอสซึ่งกำลังคลั่งทำร้ายตัวเองล้มฟุบแน่นิ่งไป ฟอเรสรีบเข้ามาดูอาการหลานก่อนหันมาเตรียมตะคอกด่าว่าคนรักที่กระทำรุนแรง ทว่าอนันต์กลับตัดบทบอกให้อีกฝ่ายรีบพาเอทอสกลับบ้านเพราะกลุ่มนักล่าปีศาจกำลังตามมาสมทบ เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงจำต้องเก็บความไม่พอใจไว้แล้วกวักมือเรียกสายลม เพียงพริบตาบริเวณนี้ก็เหลือเพียงชายหนุ่มท่ามกลางผืนป่า

    ‘ขออภัยครับ พวกเราหลงป่าจนเมื่อครู่ได้เสียงร้องปีศาจนำทาง มันไปไหนแล้วครับ’ หนึ่งในนักล่าปีศาจฝึกหัดรีบรายงานหัวหน้า พลางมองหาเป้าหมาย
    ‘ชักช้า! คิดว่าปีศาจมันจะนั่งรอพวกแกมาเหรอ ฉันกำจัดไปแล้ว ขืนเป็นยังเหลาะแหละแบบนี้สู้กับพวกมันตัวต่อตัวคงตายเปล่า’
    ‘…งั้นอย่างน้อยขอพวกผมช่วยจัดการซาก-’
    ‘ก่อนจะพูด ดูก่อนว่าฉันทำไปแล้วหรือยัง’

    เหล่านักล่าปีศาจต่างสะอึกเมื่อถูกหัวหน้าตอกกลับอีกครา พร้อมโดนไล่เนื่องจากภารกิจในค่ำคืนนี้จบลงแล้ว จวบจนรอบกายไม่มีใครเหลืออยู่ ชายหนุ่มที่แกล้งฝืนร่างกายก็พลันสำลักกระอักเลือด พลางใช้หอกปักผิวดินค้ำยันพยุงตัว การหวนกลับมาทำหน้าที่นักล่าปีศาจเพื่อช่วยหลานรักทั้งที่เลิกราไปนาน กระตุ้นพิษร้ายที่เก็บงำไว้ตลอดหลายปี และอีกไม่นานความลับของเขาก็คงล่วงรู้ถึงหูฟอเรส อนันต์เช็ดเลือดตรงมุมปากก่อนหลุดหัวเราะเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่ากรรมที่เขาสั่งสอนหลานจนคลั่งเสียสติจะสนองคืนเร็วเช่นนี้



    บาดแผลทางจิตใจปีศาจกินวิญญาณนั้นหนักหนาสาหัสเกินเยียวยา สมองบังคับร่างกายให้หลับใหลนานนับสัปดาห์เพื่อพักฟื้น รวมถึงปิดกั้นทุกความทรงจำในคืนวันอันเลวร้าย ส่งผลให้เมื่อเอทอสตื่นขึ้นจึงหลงลืมเรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความจริงเรื่องผู้ให้กำเนิดหรือแม้กระทั่งเกวินเพื่อนสนิท สมองปีศาจเลือกปกป้องตัวเองโดยลบสหายเพียงคนเดียวออกไปจากชีวิต ซ่อมแซมปรับเปลี่ยนความทรงจำเป็นเขาไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเกวินมาก่อน มีเพียงสิ่งเดียวที่ติดตรึงเป็นตราบาปไม่จางหาย นั่นคือคำสัญญาของอนันต์

    เมื่อร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิมและใช้ชีวิตได้ช่วงหนึ่ง เอทอสเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขา เขาสูญเสียความสามารถในการดึงวิญญาณออกจากร่างสิ่งมีชีวิต ซึ่งเปรียบเสมือนเขี้ยวเล็บอันแสนภาคภูมิ หากขาดมันก็ไม่ต่างจากปีศาจพิการ เอทอสรู้สึกอับอายและท้ายสุดจึงนำเรื่องไปปรึกษาสองผู้มีพระคุณ ซึ่งก็ไม่ได้อะไรนอกจากเห็นท่านฟอเรสโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไล่ตะเพิดท่านอนันต์ออกจากบ้าน ส่งผลให้ช่วงนั้นท่านอนันต์ต้องใช้ชีวิตกินนอนในสวนรฦกวัลย์เป็นเดือน ๆ

    วันเวลาผ่านไปจนเอทอสเรียนจบหลักสูตรมหาวิทยาลัยของมนุษย์ เข้ารับหน้าที่ดูแลสวนแทนอนันต์ที่เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ ยิ่งนานวันอาการของอดีตนายใหญ่สวนรฦกวัลย์ก็ทรุดหนักจนต้องนอนติดเตียง และนั่นทำให้ฟอเรสรู้ความลับที่ชายหนุ่มปิดบังมาเนินนาน

    ‘ไหนเจ้าว่าจัดการปีศาจตนนั้นไปแล้วไง! ทำไมคำสาปของมันยังมีอยู่อีก!!’ หญิงสาวต่อว่าชายหนุ่มที่ยามนี้ซูบผอมอ่อนล้า ทว่าก็ได้เพียงรอยยิ้มฝืนตอบกลับมา
    ‘สงสัยผมเบามือไปหน่อย... มันเลยรอด... แฮ่ก! แฮ่ก!’
    ‘จะสิ้นลมอยู่แล้วยังทำเป็นเล่นอีก เจ้านี้มัน... จริงสิ! ข้าจะใช้พันธะครองคู่-’
    ‘ไม่! แฮ่ก! แฮ่ก!... ไม่ต้องหรอก แค่ชั่วอึดใจเรส... ผมก็กลับมาอยู่ข้างเรสแล้ว ถึงตอนนั้นผมจะเลิกนิสัยบ้างาน แฮ่ก! ...แล้วเราไปเดทกัน’

    เอทอสที่ลอบฟังสองผู้มีพระคุณคุยกันไม่ค่อยเข้าใจความหมายแฝงเท่าใดนัก จนกระทั่งถึงวันที่อนันต์จากไป ความเศร้าโศกได้มาเยือนเหล่าคนงานสวนรฦกวัลย์ เว้นเพียงท่านฟอเรสที่ยังคงสงบนิ่งไร้ความเสียใจ ซึ่งไม่นานเขาก็ได้คำตอบเมื่อในคืนดึกสงัดคืนหนึ่ง เอทอสรู้สึกถึงกลิ่นอายวิญญาณคุ้นเคยของผู้ที่ลาลับบริเวณหน้าบ้านพักจึงวิ่งออกไปหา ซึ่งก็พบกับวิญญาณท่านอนันต์ในรูปร่างชายหนุ่มแข็งแรง สภาพเดิมก่อนจะล้มป่วย

    ปีศาจกินวิญญาณดีใจรีบเรียกอีกหนึ่งผู้มีพระคุณมาที่หน้าบ้าน พร้อมเตรียมทำหน้าที่เป็นสื่อกลางพูดคุยระหว่างทั้งสอง ทว่าเพียงอนันต์สัมผัสถูกตัวฟอเรสทั้งคู่ก็พลันมองเห็นและสื่อสารกันได้เอง เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เอทอสสับสนมึนงง ก่อนจะได้คำเฉลยจากสองผู้มีพระคุณว่าเป็นหนึ่งในความพิเศษของสัญลักษณ์ครองคู่ ปีศาจวายุพฤกษาปลูกความทรงจำใหม่กับเหล่าชาวสวนและมนุษย์ที่รู้จักให้เข้าใจว่า เธอนั้นได้เสียชีวิตพร้อมกับอนันต์ จากนั้นจึงฝากฝังเรื่องสวนให้หลานชายดูแล เมื่อหมดภาระผู้มีพระคุณทั้งสองจึงพากันออกเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล


    นับจากนั้นเอทอสหรือนายใหญ่คนปัจจุบันก็คอยบริหารจัดการสวนเพียงลำพัง เจริญตามรอยยื่นมือช่วยเหลือเหล่ามนุษย์บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่ผู้มีพระคุณเคยทำเสมอมา ปีศาจกินวิญญาณเฝ้าเก็บหอมรอมริบจนในที่สุดก็สร้างบ้านของตนเองได้ โดยอิงลักษณะมาจากบ้านไม้กลางป่าที่เคยอาศัยสมัยเด็ก เอทอสใช้ชีวิตเรียบเรื่อยในแต่ละวัน กระทั่งโชคชะตาเหวี่ยงมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบเข้ามาเกาะติดเขาไม่ไปไหน และช่วงเวลาอันสงบสุขตลอดหลายปีของเขาก็ไม่เหมือนเคยอีกเลย

    โนอาร์เฝ้าดูปีศาจจนเติบใหญ่แล้วมาพบกลับเขาก็รู้สึกปล่อยวาง เพราะช่วงเวลานับจากนี้ปีศาจจะไม่พบเรื่องเลวร้ายเหมือนครั้งอดีตอีกต่อไป ชายเลือดเย็นมองภาพตัวเองในอดีตซึ่งกำลังนั่งกินข้าวกับปีศาจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเพื่อกลับไปหาเอทอสในช่วงเวลาปัจจุบัน ทว่า

    ‘โครม!!!!!!!!!’
    ‘เอี๊ยด!!!!’
     ‘ข้า... ข้ารักเจ้า โนอาร์’

    ‘อะ... เอามา...’
   ‘ก็แค่ดอกไม้ในโหลแก้ว จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา’
    ‘ความจริงแกก็แค่ปีศาจสวะเหลือขอ ต้องมีมนุษย์คอยคุ้มกะลาหัว พออยู่ตัวคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้ ขนาดแค่เข้าไปเยี่ยมยังไม่มีปัญญา ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ตรงมุมมืดข้างโรงพยาบาลไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง’

    “นี่มันอะไร...”

    นัยน์ตารัตติกาลตะลึงค้างกับสิ่งที่เห็น หลังหันกลับมามองเรื่องราวในอดีตอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโครมสนั่น ทุกเหตุการณ์ ทุกความทรมานเจ็บปวดของปีศาจที่เขาคิดผิดมันว่าจบลงแล้ว พลันถาโถมเข้ามาในความรู้สึก หัวใจน้ำแข็งคล้ายโดนบีบรัดจนปริแตก เลือดในกายเย็นเยียบสลับเดือดพล่านเมื่อเห็นปีศาจยืนนิ่งรับกระบองฟาดใส่ไร้ปรานี หยดเลือดแดงฉานที่ไหลจากกรอบหน้าคมเข้มสิ้นหวังตกกระทบพื้นกลับร้อนลุกติดไฟ สองหูอื้ออึงจากเสียงคำรามเจ็บใจรวดร้าว ยามเฝ้าดูปีศาจคลั่งโค้นทำลายสวนข้างโรงพยาบาล เอทอสในช่วงเวลานี้นั้นแตกสลายไม่ต่างจากค่ำคืนรู้ความจริงผู้ให้กำเนิด

    โนอาร์ได้แต่กัดฟันแน่นทนมองเหตุการณ์ตรงหน้า บังคับให้มันหมุนวนฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่สิ้นสุด เพื่อให้เขาจดจำทุกใบหน้า ทุกการกระทำ ทุกคำพูดหยามเหยียดให้ขึ้นใจ สองมือขาวกำแน่นด้วยความโกรธแค้นจนรู้สึกถึงความหนืดของหยดเลือดที่กำลังหลั่งริน

    “โนอาร์!”
    “โนอาร์!”
    “โนอาร์!! ข้าสั่งให้เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้!!!”

    ชายเลือดเย็นพลันสะดุ้งตื่นหลุดจากฝันเจิ่งหนองไปด้วยเลือดปีศาจ พร้อมเผยนัยน์ตารัตติกาลอันตรายสุมอัดด้วยแรงอาฆาตถึงขนาดที่เอทอสเห็นทีแรกยังเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง

    “เป็นอะไรของเจ้า จู่ ๆ ก็กัดฟันจิกมือตัวเองจนเลือดออก ถ้าพลาดกัดลิ้นขึ้นมาจะทำยังไง”

    ปีศาจเอ่ยตำหนิมนุษย์ พลางพยายามแกะนิ้วมือที่กำแน่นให้คลายออก ก่อนจะอุ้มร่างเปลือยเปล่าเข้าห้องน้ำเผื่อล้างแผล โนอาร์เพียงนิ่งฟังรับความห่วงใยของปีศาจจวบจนทุกอย่างเรียบร้อย มนุษย์ถึงพุ่งสวมกอดปีศาจ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เอทอสสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยอมโอบกอดตอบและลูบหัวกล่อมมนุษย์เบา ๆ

    “สงบลงหรือยัง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามคู่ครอง
    “...ครับ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยตอบกลับ ทว่านัยน์ตารัตติกาลกลับดำมืดเกินจินตนาการ
 



(บท32 สมบูรณ์)



 
   
ถึงคนอ่าน


    บทนี้ค่อนข่างยาวและรายละเอียดเยอะมากครับ คนอ่านค่อย ๆ อ่านแบ่งช่วงซึมซับนะครับ


    บทนี้ได้เฉลยเรื่องที่มาของมีดที่เอทอสให้โนอาร์ตั้งแต่ช่วงแรกไว้กลาย ๆ คนอ่านอาจพอคลายข้อสงสัยเรื่องที่มีดเล่มนั้นสามารถใช้ฟันวิญญาณได้ครับ

    บทนี้ได้เฉลยความบาดหมางระหว่างภาคินกับเอทอส ครับภาคินไม่ได้เข้าใจผิด ไม่มีการหักมุมอะไรทั้งนั้น เอทอสเป็นคนทำลายชีวิตวัยเด็กของภาคินจริง ๆ ครับ (คนอ่านสามารถย้อนกลับไปอ่านมุมมองเรื่องในคืนนั้นของภาคินได้ในบทที่ 21 ครับ)
บทเล่าอดีตจบแล้วครับ ต่อจากบทนี้จะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายและบทสรุปขอเรื่องราวทั้งหมด ใครจะอยู่หรือไปคนอ่านจะได้รู้ในอีกไม่กี่บทต่อจากนี้ครับ  ฝากติดตามด้วยนะครับ^^



    ป.ล. คนเขียนเห็นเรื่องราวในทวิตเกี่ยวกับระยะเวลาในลงนิยายของเหล่านักเขียน คนเขียนก็แอบคิดสะอึกเหมือนกันครับ แต่คนเขียนอยากบอกว่าที่คนเขียนลงช้าไม่ใช่เพราะตันจะเทนะครับ คนเขียนวางโครงทุกอย่างไว้จนถึงบทสรุปไว้แล้วไม่มีทางตันหรือเขียนต่อไม่จบแน่นอนครับ อยากให้คนอ่านเชื่อใจคนเขียนนะครับ
จากดราม่าเรื่องนั้น คนเขียนเลยอยากสอบถามคนอ่านนิดหน่อยครับ ปกติในบทหนึ่งคนเขียนจะแบ่งเป็นเหตุการณ์ย่อยในบทนั้นประมาท 7-8 ฉาก/เหตุการณ์ครับ จึงอยากถามคนอ่านว่า คนอ่านอยากให้คนเขียนเขียนเสร็จทั้งบทแล้วลงทีเดียวเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ หรืออยากให้คนเขียนให้ทยอยลงเพิ่มทีละฉากตามแต่ที่เขียนได้จนครบบทดีครับ


    พูดถึงทวิต คนเขียนไม่อยากให้หลังเรื่องนี้จบแล้วหายไป คนเขียนเลยอยากสร้างแฮกแท็กไว้เป็นอนุสรณ์ว่า #Hฆาตกรรม หลังจากนี้หรือเรื่องนี้จบแล้วคนอ่านอาจลองแกล้งทิ้งทวิตเป็นความหลังให้คนเขียนก็ได้นะครับ แต่คนเขียนไม่ขอดราม่ารุนแรงนะครับ (ยิ่งเรื่องนี้ยิ่งเสี่ยง เพราะมีความรุนแรงทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้ ถ้าติด trigger warning เป็นข้อ ๆ คงยาวเป็นหางว่าว)
ฉะนั้นคนเขียนข้อให้เรื่องราวของเอทอสโนอาร์เป็นเพียงแค่อีกหนึ่งความบันเทิงผ่อนคลายนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะครับ^^ คนเขียนจะพยายามมาต่อเรื่องราวของเอทอสโนอาร์ให้เร็วที่สุดครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2021 10:26:32 โดย biOmos »

ออฟไลน์ mister

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • https://www.facebook.com/JJSonkFanclub
ฮือ  พึ่งได้มาอ่าน 
คนเขียนรีบมาต่อน้า
เฝ้ารอ :katai1:

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาแล้ว  รักสุดๆ  :L1: :L1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ FleurDelakour

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดองไว้ 10 ตอนจุกๆ แล้วมาอ่านทีเดียวเลยค่าาาาาาาาา

จุใจมากๆ สนุกสุดๆ เลย

เรื่องใหม่ก็ปักธงรออ่านแน่นอน แต่ดูแล้วลักษณะนิสัยของดรีมกับโนอาห์นี่คนละขั้วเลยนะ

ฉากตัดกรามนี่เล่นเอาขนหัวลุกเลย เหมือนห่างหายไปจากโนอาห์เวอร์ชั่นอำมหิตนี้ไปนานแล้ว มากันแบบไม่ทันตั้งตัวเลย 555

ส่วนเรื่องการลงของคนเขียน อยากให้ลงแบบนี้เลยจ้า ยาวๆ อ่านรวดเดียว เพราะมันไม่ขัดอารมณ์และความต่อเนื่อง

ปล. อยากถามว่ามีแผนทำ E-book หรือรวมเล่มไหม เพราะอยากอุดหนุนมากจ้า เก็บเป็นความทรงจำว่าเคยได้อ่านนิยายคุณภาพเรื่องหนึ่งในชีวิต ไม่อยากลืม

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(บทพิเศษ คือบทที่ว่าด้วยเรื่องราวหลังจากบทหลักจบลงแล้ว ซึ่งทำให้อาจมีเนื้อหาบางอย่างที่สื่อถึงการสปอยล์บทหลักเป็นนัยเล็กน้อย แต่ไม่มาก คนอ่านสามารถอ่านได้ครับ^^)


    เสียงกุกกักด้านนอกทำให้นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดลืมตื่นจากห้วงนิทรา พื้นที่ว่างเย็นชืดข้างเตียงบอกเป็นนัยว่าปีศาจผู้แกล้งหยอกเอินกลืนกินเขาจนเกือบรุ่งสางได้ลุกออกไปนานแล้ว โนอาร์ดันตัวขึ้นนั่งพลางดึงผ้าห่มผืนหนาคลุมกายออก เผยให้เห็นผิวขาวเปล่าเปลือยประปรายด้วยรอยรักสีกุหลาบและรอยขบกัดแสดงความเป็นเจ้าของ หลักฐานประจักษ์ถึงความดุดันเร่าร้อนอันแสนหวามหวานจากปีศาจ เรียกรอยยิ้มมุมปากของชายเลือดเย็นได้เล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินหายเข้าห้องน้ำ โดยที่ความรู้สึกเสียดขัดบริเวณสะโพกช่วงล่างนั้นหาได้มีผลต่อการขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

    หลังอาบน้ำชำระความเมื่อยล้าเรียกความสดชื่น ชายหนุ่มผู้เป็นคู่ครองของปีศาจเลือกหยิบชุดจากตู้เสื้อผ้าสามีมาสวมใส่อย่างถือวิสาสะ ก่อนออกไปหาอีกฝ่ายที่ทำเสียงกุกกักด้านนอกมาสักพักใหญ่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงต้นตอเสียงกลับไร้เงาร่างสูงใหญ่เจ้าบ้าน พบเพียงนาวาซึ่งกำลังปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ในห้องรับแขก

    “สวัสดีครับพี่โนอาร์ พี่ตื่นสายหรือเนี่ยแปลกจัง เมื่อคืนนอนดึกเหรอครับ” เด็กหนุ่มรีบเอ่ยทักทาย ซึ่งก็ได้การพยักหน้าตอบรับส่ง ๆ เล็กน้อย ก่อนจะถูกคำถามสั้นประหยัดคำพูดสวนกลับ
    “อืม แล้วเอทอส?”
    “อ๋อ อาเอทอสยืมมอเตอร์ไซค์ผมไปซื้อของน่ะครับ แต่ผมว่าอีกสักพักคงกลับแล้วเพราะไปตั้งแต่เช้าแน่ะ... จริงด้วย! วันนี้วันวาเลนไทน์หนิแถมเป็นวันหยุดอีก พี่โนอาร์กับอาเอทอสมีแผนไปฉลองกันที่ไหนหรือครับ?” นาวาชวนคุยตามประสาคนพูดเก่ง พลางรวบถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเมื่องานตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย ซึ่งช่วงจังหวะที่เดินผ่านรุ่นพี่เพื่อเอาของไปเก็บนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ทันสังเกตเห็นบางสิ่งเข้าโดยบังเอิญ
    “หือ?! พี่โนอาร์สักด้วยเหรอครับเป็นลายไฟด้วย ทะ... เท่...”

    น้ำเสียงชื่นชมขาดหายพร้อมท่าทีของนาวาที่จู่ ๆ ก็นิ่งไปพร้อมใบหน้าเริ่มขึ้นสีกระอักกระอ่วนด้วยความเก้อเขิน นัยน์ตารัตติกาลจึงก้มมองตามสายตาเด็กหนุ่มและก็พบสาเหตุ เนื่องเพราะขณะนี้โนอาร์ใส่เสื้อของปีศาจที่ตัวใหญ่กว่ามากส่งผลให้คอเสื้อกว้างตามไปด้วย ซึ่งนอกจากเผยให้เห็นสัญลักษณ์ครองคู่ตรงบริเวณลำคอใกล้ไหปลาร้าแล้ว ยังโชว์รอยรักสีกุหลาบมากมายที่เอทอสฝากไว้เต็มสู่สายตาเด็กหนุ่ม

    “เรื่องปกติ ไม่เคย?” โนอาร์ถามกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้แววเขินอาย ทว่านั่นกลับทำให้นาวายิ่งหน้าแดงขวยเขินแทนหนักกว่าเก่า
    “จะไปเคยได้ยังไงครับ!! ผมยังเรียนอยู่เลยนะ! แฟนก็ยังไม่มี...”
    “อืม”

    ชายเลือดเย็นเพียงขานตอบอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมเดินผ่านเด็กหนุ่มยืนเสียอาการไปรอรับใครบางคนเนื่องจากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไม่นานชายร่างสูงใหญ่ก็เข้ามาในบ้านพร้อมถือถุงกับข้าวเต็มมือข้างหนึ่ง

    “ผมช่วย”
    “ไม่ต้อง เจ้าไปเตรียมจานจัดโต๊ะก็พอ เมื่อคืนเจ้าตามใจข้าเสียมาก ข้าไม่อยากเอาเปรียบเจ้า”
 
    เอทอสกล่าวปฏิเสธ พลางใช้นัยน์ตาสีอำพันดุพิจารณาสภาพร่างกายมนุษย์เบื้องหน้า เมื่อพบว่าโนอาร์สบายดีไม่ได้มีท่าทีอ่อนล้าปวดเมื่อยก็พอเบาใจ ก่อนที่วินาทีถัดมาใบหน้าคมเข้มของปีศาจจะกระตุกยิ้มร้ายมากเล่ห์เล็กน้อย หลังสังเกตเสื้อผ้าหลวมโพรกที่มนุษย์สวมใส่

    “เสื้อหมดตู้หรือไง ถึงมายืมของข้า”
    “เปล่าครับ ผมแค่อยากใส่ มันเหมือนผมถูกคุณกอดตลอดเวลา”

    คำตอบซื่อตรงจากมนุษย์ชวนให้ปีศาจตกรางวัล เช่นนั้นร่างสูงใหญ่จึงโน้มตัวลงจุมพิตลึกล้ำดื่มด่ำลงบนริมฝีปากอิ่ม ก่อนสอดลิ้นหนาเข้ากระหวัดเกี่ยวรัดรึงตักตวงความหวานไม่รู้เบื่อ นัยน์ตาสีอำพันดุมองใบหน้ามนุษย์ที่หลับตาพริ้มรับสิ่งที่เขามอบให้ด้วยความพึงพอใจ ครู่หนึ่งหางตาปีศาจถึงเหลือบเห็นนาวาซึ่งบัดนี้ยืนตะลึงช็อกอ้าปากค้าง เอทอสเห็นดังนั้นก็ได้แต่จำใจถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย
    การแสดงความรักใคร่สำหรับเหล่าปีศาจหาใช่เรื่องที่ต้องปิดบังหลบซ่อน บวกกับคู่ครองของเขาเป็นมนุษย์ผู้ไม่เคยสนใจหรือแคร์สายตาใครทั้งสิ้น จึงเผลอลืมตัวว่าการกระทำบางอย่างในสังคมมนุษย์ปกติทั่วไป ก็เป็นเรื่องกระดากอายเกินกว่าจะมาแสดงออกโจ่งแจ้ง ดั่งเช่นเหตุการณ์ในครานี้

    “หิวหรือยังนาวา มากินด้วยกันอาซื้อมาเยอะเลย” เอทอสพยายามหาเรื่องชวนคุยแก้สถานการณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก
    “ขะ... ขอบคุณครับอาเอทอส แต่ไม่เป็นไรครับผมว่าจะกลับแล้ว แบบว่าทำความสะอาดบ้านเสร็จพอดีเลย... คือ... เออ..เออ! การบ้าน ผมเพิ่งนึกได้ว่าเหลือการบ้านยังไม่ได้ทำ ขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับอาเอทอสพี่โนอาร์ สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ!”

    ว่าจบเด็กหนุ่มผู้ทำตัวไม่ถูกใบหน้าใบหูขึ้นสีแดงก่ำก็รีบนำอุปกรณ์ทำความสะอาดไปล้างเก็บและรีบเดินไว ๆ ออกจากบ้าน สักพักหนึ่งนาวาจึงจำเดินกลับเข้ามาอีกครั้งเพราะลืมขอกุญแจมอเตอร์ไซค์คืน โดยทุกการกระทำเด็กหนุ่มผู้ขวยเขินไม่กล้าสบสายตาสองเจ้าบ้านแม้แต่น้อย หลังได้ของแล้วนาวาจึงกล่าวลาอีกรอบ ซึ่งครู่ต่อมาปีศาจก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รีบเร่งก่อนจะค่อยเลือนหายกลับสู่ความสงบ

    “คุณ ผมจัดโต๊ะเสร็จแล้ว” เสียงเรียกไม่รู้ร้อนรู้หนาวจากมนุษย์ด้านหลังทำให้ปีศาจลอบถอนหายใจหน่ายเล็กน้อย ก่อนยอมปล่อยผ่านและเดินเอาถุงกับข้าวไปให้อีกฝ่ายแกะใส่จาน



    วันวาเลนไทน์...

    หลังผ่านช่วงมื้อเช้ารวบมื้อเที่ยง โนอาร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูปฏิทินพลางนึกถึงคำพูดของนาวา จะว่าไปเขาและเอทอสคบกันจนย่างเข้าปีที่สามแล้วแต่กลับไม่มีวันฉลองแบบคู่รักคนอื่นเลย แม้แต่วันครบรอบก็ไม่มี หากพูดตามจริงคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันไหนคือวันครบรอบ เนื่องจากตลอดเวลาที่อยู่ด้วยจนกระทั่งได้เสียเป็นสามีภรรยา ทั้งเขาและปีศาจก็ยังไม่เคยเอ่ยปากขออีกฝ่ายคบอย่างเป็นทางการสักครั้ง มีแค่รับรู้กันอยู่ในใจว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคนสำคัญ ซึ่งพอนึกดูนอกจากวันครบรอบ รูปคู่หรือรูปเดี่ยวของปีศาจเขาก็ไม่มีเช่นกัน เมื่อรู้ดังนั้นมนุษย์จึงพลันลุกเดินตรงไปหาปีศาจที่นั่งอ่านหนังสือตรงโซฟาตัวยาว

    “คุณ” เอทอสเงยหน้าตามเสียงเรียกเมื่อรู้สึกถึงแรงยวบของเบาะข้างกาย ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับเป็นเงาสะท้อนของเขาและมนุษย์บนจอโทรศัพท์
    “แชะ!”
    “เล่นอะไรของเจ้า” ปีศาจถามกลับพลางเริ่มอ่านหนังสือต่อ ราวกับไม่คิดรอฟังคำตอบเท่าใดนัก
    “รูปคู่ เรายังไม่มีภาพถ่ายด้วยกันเลย โทรศัพท์คุณอยู่ไหนผมถ่ายให้”
    “ไร้สาระ เห็นหน้ากันทุกวันจะบันทึกภาพไว้ทำไม”

    เมื่อได้ฟังคำบอกปัด มนุษย์ก็ไม่คิดรบเร้าต่อให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญ เพราะอย่างน้อยปีศาจก็ยอมให้ความร่วมมือจนเขาได้รูปคู่รูปแรกมาแล้ว โนอาร์นำภาพที่เพิ่งถ่ายตั้งเป็นหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะเผยรอยยิ้มมุมปากแสดงความพอใจ แม้ภาพเขากับปีศาจจะดูเหมือนแข่งกันทำหน้านิ่งจ้องกล้อง ไม่ใช่ภาพยิ้มแย้มอย่างคู่รักคนอื่น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาอยากได้ภาพที่เป็นธรรมชาติมากกว่าภาพจัดแต่งเสแสร้ง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรีบกดถ่ายทันทีที่ปีศาจเงยหน้าขึ้นมา

    “คุณ วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ เย็นนี้เราไปกินข้าวนอกบ้านกัน” โนอาร์กล่าวนัดปีศาจถึงกำหนดการถัดไปหลังจากได้รูปคู่
    “แล้ววาเลนไทน์ของเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับต้องไปกินข้าวข้างนอก”
    “ผมอยากให้มันเป็นวันพิเศษของเรา” ว่าจบมนุษย์ก็ลุกไปเปิดโน้ตบุ๊กคล้ายค้นหาเตรียมการอะไรบางอย่าง โดยมีนัยน์ตาสีอำพันดุของปีศาจลอบมองด้วยความไม่ไว้วางใจ


    หนึ่งมนุษย์และปีศาจมาถึงร้านอาหารกึ่งบาร์ริมแม่น้ำหลังแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไม่นาน แสงสว่างจากหลอดไฟประดับร้านยามค่ำขับให้สองลูกค้าผู้มาใหม่ยิ่งดูโดดเด่นสะดุดตาใครต่อใคร โดยเฉพาะชายร่างสูงใหญ่หล่อเข้มในชุดเชิ้ตสีดำปลดกระดุมเสื้อลงสามเม็ดคลายร้อน ทุกครั้งที่สาบเสื้อถูกสายลมริมแม่น้ำพัดผ่าน จะเผยให้เห็นแผงอกหนาแกร่งสีแทนและลายสักรูปเปลวเพลิงชวนให้คนลอบมองรู้สึกร้อนผ่าว
    ทว่าชายหนุ่มอีกคนก็ดูดีไม่แพ้กัน ใบหน้าเรียบสงบติดทะนงถือตัวกลับดูหล่อเหลาสะกดตา บวกกับเสื้อเชิ้ตสีขาวบริสุทธิ์เข้ากับผิวนวลสะอาดยิ่งทำให้อีกฝ่ายราวกับเจ้าชายหลุดมาจากเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งการมาของทั้งคู่ก็เป็นที่หมายตาของลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่ตั้งอยู่ส่วนในสุดของร้าน

    “มึงเอาคนไหน กูเอาพี่เข้มชุดดำ… อืม.. จ้องขนาดนั้นกูว่าคงไม่ต้องถามแล้วมั้ง” ชายร่างบางอ้อนแอ้นเอ่ยถามเพื่อน ก่อนท้ายสุดจะเป็นคนตอบคำถามเสียเองเมื่อเห็นอีกฝ่ายมัวแต่มองเจ้าชายชุดขาวไม่วางตา
    “อืม... แต่ว่างานนี้คงนกแล้วล่ะ เซนส์ฉันบอกว่าสองคนนั้นไม่ใช่แค่เพื่อนกัน” หญิงสาวยอมละสายตาจากชายที่หมายปอง พลางหันมาบอกเพื่อน
    “หึ... เป็นมากกว่าเพื่อนนี่แหละดี มึงลืมแล้วเหรอวันนี้วันอะไร สะกิดต่อมร้าวฉานนิดหน่อยรับรองเลิก แยกทาง แล้วจังหวะนั้นมึงกับกูก็เข้าประกบเลย นั่นไง! เจ้าชายของมึงลุกไปแล้ว เดี๋ยวมึงทำตามแผนกูเอาหูมา...”

    จวบจนกระทั่งฟังแผนการเรียบร้อย หญิงสาวก็รีบเดินตามเจ้าชายรูปงามไป ส่วนเพื่อนชายก็กวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟเอ่ยสั่งบางสิ่งที่รู้กัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาตกผู้ชายในร้านนี้ และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยชายท่าทางอ้อนแอ้นจึงเดินตรงไปหาร่างสูงใหญ่ชุดดำที่ยามนี้นั่งอยู่เพียงลำพัง


    “สวัสดีค่ะ มารอเครื่องดื่มเหมือนกันหรือคะ?” หญิงสาวแสร้งทักทายพร้อมส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ ทว่านัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งกลับไม่คิดเหลียวแลแม้แต่น้อย
    “….ให้เดาฉันว่าอย่างคุณคงต้องสั่ง-”

    ไม่ทันเอ่ยจบพอร์คชอปสเต็กเนื้อฉ่ำส่งกินหอมก็ถูกพนักงานคนหนึ่งรีบยกมาเสิร์ฟให้ชายหนุ่ม หญิงสาวถือวิสาสะมองจานหวังหาเรื่องชวนคุย ทว่าซอสราดสีแดงเข้มข้นจนคล้ายเลือดผสานการตกแต่งด้วยเรดิชิโอสีม่วงแดงข้างจาน กลับทำให้อาหารจานนี้ดูน่ากลัวพิลึกจนเธอเอ่ยชมไม่ออก

    “เอ... เมนูอะไรหรือคะน่าสนใจจัง ฉันอยากลองสั่งบ้าง”
    “…ทางร้านเราไม่มีเมนูนี้หรอกครับ ลูกค้าท่านนี้สั่งให้ร้านเราทำขึ้นพิเศษน่ะครับ”

    พนักงานอาสาตอบคำถามแทน เมื่อเห็นชายหนุ่มเสื้อขาวไม่มีทีท่าโต้ตอบมิหนำซ้ำยังยกจานกลับโต๊ะไม่รั้งรอ จนหญิงสาวต้องรีบเดินตามไป ทว่าเมื่อออกมายังโซนกลางแจ้งริมแม่น้ำชายหนุ่มกับหยุดฝีเท้าชะงักงัน หญิงสาวลองมองตามสายตารัตติกาลจึงแอบลอบยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นเพื่อนของตนกำลังนั่งเบียดใกล้ชิดกระเซ้าเย้าแหย่ร่างสูงใหญ่ชุดดำ

    “เหมือนเพื่อนของคุณกำลังคุยสนุกกับแฟนอยู่เลยนะคะ ฉันว่าเราปล่อยให้เขาอยู่สองต่อสองดีกว่า วันนี้วันวาเวนไทน์ด้วย เขาคงอยากมีช่วงเวลาสวีทกัน”
    “…”
    “เราไปนั่งคุยกันตรงโต๊ะนั้นดีไหมคะ”
    “…ไม่ล่ะครับ ผมเบื่อร้านนี้แล้วและคงไม่อยากมาอีก คุณรังเกียจไหมครับหากผมจะขอชวนคุณไปดื่มต่อร้านอื่นด้วยกัน”

    หญิงสาวพลันตาเป็นประกายรีบพยักหน้าตอบตกลง เมื่อในที่สุดเจ้าชายเย็นชาก็ยอมหันมาคุยกับเธอ ชายหนุ่มฝากจานอาหารให้กับพนักงานร้านที่เดินผ่านมาเพื่อเอาไปทิ้ง แล้วจึงเดินนำหญิงสาวไปยังลานจอดรถ

    “ขอโทษนะครับ... ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมติดรถเขามา คุณมีรถไหมครับ ถ้าไม่มีเดี๋ยวเราไปแท็กซี่กัน”
    “มีค่ะ ๆ รถฉันจอดอยู่ทางนั้นค่ะ”

    หญิงเอ่ยพลางชี้ทางก่อนเริ่มเดินนำชายหนุ่มไปยังรถยนต์ และด้วยความมืดของลานจอดรถที่เป็นเพียงลานโล่งไร้เสาไฟให้แสงสว่าง จึงทำให้เธอไม่ทันเห็นนัยน์ตารัตติกาลอำมหิตเลวร้ายของชายด้านหลัง ทุกอย่างก้าวระยะห่างระหว่างรถยนต์ที่ลดลง สาวอับโชคกลับไม่รู้เลยว่ากำลังบั่นทอนเส้นด้ายชีวิตของตัวเองให้เปื่อยขาดทีละน้อย ทว่าถึงจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ก็ใช่ว่าจะสามารถจะแก้ไขชะตากรรมได้ เพราะหญิงสาวได้หมดโอกาสต่อลมหายใจตั้งแต่พลั้งปากเอ่ยทักเพชฌฆาตแล้ว

    “ถึงแล้วคะ- อื้อ!!!!”

    หญิงสาวผู้น่าสงสารหันบอกชายหนุ่มที่หมายปอง ฉับพลันกลับถูกฝ่ามือแข็งแรงปิดปากพร้อมมืออีกข้างบีบลำคอระหงเสมือนคีมเหล็กเค้นบดขยี้จนแหลกละเอียด เท้าและมือทุกคู่ข้างของหญิงสาวรีบตะเกียกตะกายดิ้นรนเอาตัวรอด และแน่นอนว่าทุกการกระทำนั้นไร้ค่าเพราะเพียงครู่ เท้าทั้งสองก็ถูกชายหนุ่มเหยียบไว้จนขยับยกถีบป้องกันตัวไม่ได้ เช่นเดียวกับแขนบอบบางสองข้างที่ถูกแขนชายหนุ่มกดล็อกกับตัวรถ ดวงตาหวาดหวั่นตื่นกลัวสบกับนัยน์ตารัตติกาลดำมืดเต็มไปด้วยความหงุดหงิดชั่วร้ายพร้อมชิงชีวิต เช่นนั้นคนรนหาเรื่องก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากจำยอมรับโทษทัณฑ์ของการสอดรู้อย่างไม่อาจเลี่ยง

    “รู้ไหมว่าตั้งใจให้วันนี้เป็นวันพิเศษเพื่อขอเอทอสคบอย่างเป็นทางการ อุสาสู้อดทนเพราะอยากให้คืนนี้มันสมบูรณ์แบบ แม้แต่พวกเสียงแมลงหวี่ที่มาบ่นข้างหูก็พยายามปล่อยผ่านไม่บี้ทิ้ง แต่พวกแมลงโง่ไม่เคยรู้เลยว่ากำลังหาที่ตาย ฉะนั้นก็คงต้องสนองให้ได้ตายสมใจ”
    “อะ... อึก... อืออออ...”
    “ไม่ต้องห่วงว่าจะเหงา แมลงอีกตัวที่เกาะแกะเอทอสอีกไม่นานจะตามไป”
    “กร๊อบ!!”

    เอ่ยจบ มือฆาตรก็จับหัวหญิงสาวบิดหมุนจนหน้าหวาดผวาหันไปทางด้านหลังพร้อมเสียงลั่นของกระดูกคอที่สะบั้นหักออกจากกัน ชายเลือดเย็นปล่อยร่างเหยื่อในสภาพศีรษะหมุนกลับด้านชวนสยองให้ไถลล้มกองลงกับพื้นกรวด นัยน์ตารัตติกาลดำมืดเหลือบมองซากตรงปลายเท้าด้วยสายตาเรียบนิ่งหยามเหยียด ก่อนจะหันสายตามองไปยังร้านซึ่งเหลือแมลงหวี่อีกตัวที่ต้องขยี้ทิ้ง


     “อาหารเย็นชืดหมดแล้วนะครับน่าเสียดายออก อืม... งั้นเดี๋ยวผมป้อนให้เอาไหมครับ”
    “ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบมนุษย์ผู้ใดมารยาทต่ำเท่านี้ จะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย หากยังห่วงชีวิตตัวเองก็รีบไปซะก่อนที่คนของฉันจะกลับมา”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยอย่างรำคาญพลางใช้แขนผลักร่างชายไร้ยางอายไปให้พ้นตัว หากไม่ติดว่าโนอาร์ส่งข้อความมาหาเขาให้คอยอยู่ที่โต๊ะเพื่อรอรับของที่มนุษย์ตั้งใจวางแผนทำให้ เขาคงไม่ต้องทนนั่งกับชายดื้อด้านกระหายราคะ ที่ไม่ว่าจะใช้ทั้งคำพูด สายตา เรียกพนักงานมาเชิญออก หรือกระทั่งกำลัง อีกฝ่ายก็ยังคงหน้าหนาหน้าทนกลับมาเกาะแกะเขาอยู่เรื่อย

    “คนของคุณหายไปนานขนาดนี้ เขาคงทิ้งคุณไปกับคนอื่นแล้วล่ะครับ ก็อย่างว่าวันวาเลนไทน์วันแห่งคู่รัก ใครที่มีหลายคู่ก็คงต้องแบ่งเวลาสับรางไม่ให้รถไฟมันชนกัน... ผมพูดจากประสบการณ์น่ะครับ บางทีคนของคุณ ‘อาจจะ’ ไม่ใช่คนแบบนั้นก็ได้... หรือเปล่านะ?”
    “…”
    “ไม่เครียดสิครับ ดื่มอะไรเย็น ๆ สดชื่นสักหน่อยนะครับ ผมตั้งใจสั่งมาให้-”
    “หมับ!”

    ขณะที่ชายออเซาะกำลังถือแก้วพร้อมหันหลอดจ่อริมฝีปากได้รูป เพื่อคะยั้นคะยอให้ร่างสูงใหญ่ดื่ม พลันฝ่ามือขาวจากผู้มาใหม่ก็คว้าจับแก้วและดันกลับไปให้เจ้าของจนเครื่องดื่มกระฉอกหกใส่เสื้อ คนตัวเปรอะเปื้อนเชิดหน้าเตรียมต่อว่า แต่ทันทีที่สบนัยน์ตารัตติกาลดำมืดเยือกเย็น เหล่าคำพูดกลับคั่งค้างตรงลำคอไม่อาจหลุดออกมา ผิวกายรู้สึกหนาวเหน็บจนขนลุกซู่ราวกับกำลังถูกสายลมจากขอบปากเหวลึกไร้ก้นพัดผ่าน บัดนี้แมลงโง่เขลาถึงเพิ่งรู้ว่าไฟทมิฬร้อนแรงที่หมายปองนั้นมีเจ้าของที่อันตรายเกินกว่าจะคาดคิด

    “สั่งเองก็กินเอง ให้หมด”

    สิ้นเสียงเรียบนิ่ง เครื่องดื่มก็ถูกฝ่ามือขาวล็อกกรอกปากคนรนหาเรื่องจนหมดแก้ว ท่ามกลางเหล่าสายตาของพนักงานและลูกค้าโดยรอบ ทว่าก็ไม่มีใครเข้าไปขัดหรือหยุดเหตุการณ์เพราะต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คนที่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามในความสัมพันธ์ของผู้อื่น สมควรแล้วที่ต้องได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง

    “แค่ก! แค่ก! แค่ก!...”
    “นี่เหรอ เซอร์ไพรส์ของเจ้า” ร่างสูงใหญ่เลือกเมินเสียงไอสำลัก พลางลุกออกจากโต๊ะและเอ่ยถามมนุษย์ คล้ายสื่อเป็นนัยว่าหมดอารมณ์ร่วมไม่คิดอยู่ต่อ
    “ไม่ใช่ครับ เซอร์ไพรส์ของผมพังหมดแล้ว เพราะพวกสอดรู้ไม่เข้าเรื่อง”

    ชายเลือดเย็นเอ่ยพลางเหลือบมองตัวต้นเหตุ มือมนุษย์เตรียมสอดเข้าชายเสื้อคล้ายต้องการหยิบบางสิ่งออกมา เช่นนั้นฝ่ามือหนาแข็งแรงของปีศาจจึงพลันคว้าจับแขนมนุษย์ไว้เป็นการห้ามปราม พร้อมจ้องนิ่งไปยังนัยน์ตารัตติกาลมืดมิด

    ข้าอนุญาตให้เจ้าสั่งสอนได้ แต่ไม่ถึงขั้นเอาชีวิต น้ำเสียงทุ้มต่ำดังก้องในความคิดเอ่ยเตือน
    ...ครับ

    โนอาร์ตอบกลับความคิดของปีศาจก่อนยอมลดมือลง เอทอสที่เห็นเช่นนั้นจึงเรียกพนักงานคนหนึ่งมารับเงินค่าของรวมถึงค่าเสียหายทั้งหมด แล้วจึงจูงมือมนุษย์ออกจากร้านเพื่อกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์

   “โอ๊ย!”

    ชายเลือดเย็นที่กำลังโดนลากกลับบ้านอาศัยโอกาสช่วงที่ร่างสูงใหญ่เผลอ ขว้างบางสิ่งใส่หน้าเหยื่อที่รอดตายหวุดหวิด ซึ่งหลังไร้เงาบุคคลอันตรายคนเจ็บตัวจึงได้ก้มดูของเมื่อครู่ พบว่าเป็นพวงกุญแจรถของเพื่อนสาวที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่แยกกันตรงโต๊ะ คนโดนฉีกหน้าอับอายกลางร้านก่นด่าว่าเพื่อนของตนที่หนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพังอยู่ในใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปทางลานจอดรถ เพราะไม่อยากทนสายตาเยาะเย้ยเชิงสมเพชจากเหล่าลูกค้าหลากโต๊ะที่จ้องมา


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)


    รถกระบะสีดำจอดสนิทใต้ถุนบ้านพักทรงไทยประยุกต์ในเวลาดึกสงัดจวนเข้าวันใหม่ ภายในความคิดซับซ้อนของชายเลือดเย็นพยายามหาวิถีทางไถ่โทษความผิด เพราะดูเหมือนเรื่องราวในคืนนี้จะไม่สบอารมณ์ปีศาจอย่างมาก สังเกตชัดจากบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดรอบร่างสูงใหญ่ตลอดทางกลับบ้าน

    “เอทอส...”

    โนอาร์ลงจากรถพลางเอ่ยรั้งเอทอสเพื่อขอพูดคุย ทว่าปีศาจกลับไม่รับฟังมิหนำซ้ำยังเดินทิ้งห่างจนมนุษย์จำต้องเร่งฝีเท้าก้าวตามให้ทันกระทั่งเมื่อเข้ามาถึงห้องนอน การกระทำไม่คาดคิดของปีศาจก็พลันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

    “ตึง!!! แควก!!!”
    “อั่ก!... คุณ.. ผมเจ็บ.. อื้มม!!”

    ชายเลือดเย็นกัดปากกลั้นเสียงร้อง เมื่อจู่ ๆ เอทอสก็หันกลับมาผลักร่างเขากระแทกกำแพงพร้อมใช้ร่างหนาหนักดันกักขังไม่ให้หนี ฝ่ามือใหญ่แข็งแรงพลันกระชากคอเสื้อมนุษย์จนขาดวิ่น ฉับพลันฟันคมของปีศาจอารมณ์รุนแรงก็กัดเข้าที่ผิวเนื้อขาว จุดเดียวกับที่มีสัญลักษณ์ครองคู่ประดับอยู่อย่างแรง แขนทั้งสองข้างของมนุษย์เผลอทุบผลักร่างสูงใหญ่ออกตามสัญชาตญาณ ทว่าก็ไร้ผลยิ่งกว่านั้นยังทำให้ปีศาจออกแรงกัดมากกว่าเก่า

    “ตัวเจ้ามีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงฟุ้งไปทั่ว เจ้าแอบไปทำอะไรมา” น้ำเสียงกดต่ำดุคำรามถาม พลางผละจากซอกคอมนุษย์ที่ขึ้นรอยกัดช้ำแดง นัยน์ตาสีอำพันร้อนรุ่มหงุดหงิดจ้องนิ่งเข้าไปในนัยน์ตารัตติกาลเพื่อเค้นเอาคำตอบ
    “ไม่ใช่อย่างที่คุณกำลังคิดแน่นอนครับ ช่วงที่ผมหายไปเตรียมของให้คุณ มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเกาะแกะผมตอนนั้นกลิ่นมันคงติดมา แต่ผมไม่เคยคิดยุ่งหรือทำอะไรลับหลังคุณจริง ๆ นะครับ”

    โนอาร์รีบแก้ไขความเข้าใจผิด ในใจพลันก่นว่าแมลงหวี่ที่ขนาดกำจัดไปแล้วยังไม่วายสร้างเรื่องได้อีก ทว่าหลังจากเล่าเรื่องให้ปีศาจฟัง นัยน์ตาสีอำพันดุกลับยังคงจ้องนิ่งราวกับไม่เชื่อเท่าไรนัก เห็นดังนั้นชายเลือดเย็นที่ความคิดภายในกระวนกระวายอยู่ไม่สุขก็รีบคิดหาทางให้ปีศาจหงุดหงิดใจเย็นลง แต่ยังไม่ทันได้วิธี เสียงทุ้มดุเรียบนิ่งก็แทรกขัดเสียก่อน

    “พิสูจน์สิ”
    “ให้ผมพิสูจน์ยังไง”
 
    เอทอสกระตุ้มยิ้มหยันเล็กน้อย ก่อนถอยหลังไปนั่งตรงขอบเตียงและตบหน้าขาแกร่งสองสามครั้ง คล้ายกำลังสื่อให้มนุษย์มานั่ง โนอาร์มองการกระทำของปีศาจก็พลันเกิดความคิดหนึ่งแทรกเข้ามาว่าเขาอาจกำลังถูกเอทอสแกล้งหลอก แต่พอมองนัยน์ตาสีอำพันขุ่นมัวและบรรยากาศกดดันที่แผ่มาจากร่างสูงใหญ่ ชายผู้อ่านคนคาดเดาความคิดใครต่อใครขาดเสมอ กลับอ้ำอึ้งจนปัญญาที่จะเสาะหาว่าแท้จริงอีกฝ่ายกำลังโกรธเคืองหรือหยอกเขากันแน่ ซึ่งท้ายสุดโนอาร์ผู้กลับกลายเป็นคนผิดไม่ทันตั้งตัว ก็จำยอมเดินไปนั่งคร่อมตักแกร่งของร่างสูงใหญ่แต่โดยดี

    “ได้จูบผู้หญิง-” ไม่ทันเสียงทุ้มดุเค้นถาม คำปฏิเสธหนักแน่นก็พลันตอบกลับทันที
    “ไม่ครับ ตั้งแต่ผมรักคุณ คนที่ผมจะจูบหรือทำมากกว่านั้นก็มีแค่คุณคนเดียว”
    “ปากเปล่าใครก็พู-”

    ฉับพลันริมฝีปากบางของมนุษย์ก็ประกบปิดปากหยุดคำปรามาสจากปีศาจ โนอาร์คบเม้มริมฝีปากหนานุ่มนวลพลางส่งปลายลิ้นอ่อนนุ่มดุนดันให้ปีศาจยอมเปิดทาง ทว่าเอทอสกลับกัดฟันแน่นไม่เปิดปาก เช่นนั้นฝ่ามือขาวสองข้างจึงเริ่มลูบไล้สัมผัสตามมัดกล้ามแกร่งของร่างสูงใหญ่เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย มือมนุษย์บรรจงปลดกระดุมเสื้อดำจนหมดก่อนแหวกสาบเสื้อออกกว้าง แล้วใช้ฝ่ามือขาวสัมผัสเล้าโลมผิวกายร้อน ปลายนิ้วเรียวไล้ตามแผงอกกว้างหนาแกร่งสะกิดหยอกเย้ายอดอกสีเข้มจนได้ยินเสียงคำรามในลำคอปีศาจ ทว่าเอทอสก็ยังคงขบกรามแน่นไม่ยอมให้ลิ้นนุ่มแทรกผ่าน

    มนุษย์ไม่ยอมแพ้ลดละความพยายาม ให้มือข้างหนึ่งหมุนคลึงยอดอกสีเข้มต่อเนื่อง ส่วนอีกข้างก็ค่อยเลื่อนลงไปลูบไล้ลอนกล้ามท้องแกร่ง โนอาร์กรีดนิ้วไล่ผ่านมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงทั้งหกก้อนจนกระทั่งปลายนิ้วสัมผัสผิวเย็นของหัวเข็มขัด มือขาวข้างเดียวจึงได้แกะปลดสายที่ขวางทางออกอย่างช่ำชอง และเมื่อไร้อุปสรรคกั้นกลาง มือมนุษย์จึงบรรจงรูดซิปกางเกงร่างสูงใหญ่ลงก่อนเข้าขยำนวดตัวตนปีศาจผ่านเนื้อผ้าลื่น ซึ่งแก่นกายยักษ์ก็เริ่มตื่นตัวแข็งสู้ทีละน้อย

    “อืมมม....”

    ริมฝีปากหนาเห็นแก่ความมานะยอมเปิดทางเล็กน้อยให้ลิ้นนุ่มสอดเข้ามา ทันทีที่ปลายลิ้นแตะสัมผัส รสขมปนหวานจากเครื่องดื่มที่ได้จิบชมบรรยากาศริมแม่น้ำกันก่อนเกิดเรื่อง ก็พลันอบอวลเสริมรสสัมผัสให้ละมุนน่าลิ้มลองยิ่งกว่าเคย พลันเกิดเป็นความซาบซ่านแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก ลิ้นนุ่มพยายามดูดดึงลิ้นหนาที่ยังคงเกร็งนิ่งให้ยอมโอนอ่อน และในท้ายสุดลิ้นหนาก็ไม่อาจฝืนทนแข็งใจไหว ยอมหยอกเย้าเกี่ยวพันลิ้นนุ่มจนเกิดเสียงแลกเปลี่ยนหยาดน้ำใสดังก้องทั่วห้องนอนปีศาจ

    “คุณแกล้งผม” โนอาร์ถอนจูบลึกล้ำก่อนเอ่ยว่าปีศาจขี้แกล้ง ถึงบางครั้งเขาจะยังมองปฏิกิริยาภายนอกของปีศาจไม่ขาดนัก แต่หากสื่อสารผ่านภาษากายไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าแท้จริงเอทอสรู้สึกอย่างไร
    “แต่เรื่องที่ข้าไม่ชอบใจที่ตัวเจ้ามีกลิ่นอื่นนอกเหนือจากกลิ่นข้าก็เป็นเรื่องจริง”

    ร่างสูงใหญ่กระซิบชิดริมฝีปากมนุษย์ตอบกลับ ความหงุดหงิดของเขาเริ่มตั้งแต่ตอนอยู่บนรถแล้วได้กลิ่นน้ำหอมแปลกปลอมมาจากโนอาร์ ถึงเขาพอคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยเพราะตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมนุษย์ไม่มีทางหักหลังเขาอยู่แล้ว แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดบวกกับเขาอยากเห็นสีหน้ากังวลและวิธีง้อพิสูจน์ของมนุษย์จึงลองสวมบทเล่นตามน้ำไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าไม่น้อย

     “…งั้นคุณก็ทำให้ตัวผมเต็มไปด้วยกลิ่นของคุณอีกครั้งสิ เอทอส”

    หนทางแก้ไขของมนุษย์เรียกรอยยิ้มร้ายให้ปรากฏบนใบหน้าคมเข้ม ท่อนแขนแกร่งแข็งแรงพลันโอบอุ้มร่างตรงหน้า ก่อนวางลงบนผืนเตียงกว้างและขึ้นคร่อมให้ร่างขาวอยู่กลางหว่างขา เอทอสดึงเสื้อเชิ้ตดำที่ถอดครึ่ง ๆ กลาง ๆ ออกจากตัวแล้วขว้างไปให้พ้นทาง ส่งผลให้บัดนี้ท่อนบนของร่างสูงใหญ่นั้นเปลือยเปล่า อวดผิวสีแทนเร่าร้อนอุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อกำยำเด่นชัดสู่สายตารัตติกาลเบื้องล่าง

    ปีศาจโน้มตัวลงต่ำหาร่างข้างใต้พลางใช้สองแขนแกร่งกักขังพยุงตัว นัยน์ตาสีอำพันดุร้อนแรงราวสัตว์ป่าหิวกระหายจับจ้องเหยื่อ ทำให้หัวใจน้ำแข็งของชายเลือดเย็นสั่นสะท้านเต้นกระหน่ำได้เสมอ

    “เปลื้องผ้าสิ”

    เสียงทุ้มต่ำติดพร่าก้มกระซิบข้างหูก่อนร่างสูงใหญ่จะดันตัวลุกขึ้นนั่งตามเดิม ส่งผลให้มนุษย์ที่อุสานอนหลับตารอรับจุมพิตสัมผัสอุ่นร้อนต้องคอยเก้อ นัยน์ตารัตติกาลเหลือบค้อนดวงตาสีอำพันดุแฝงแววขบขันเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นนั่งค่อย ๆ ปลดเปลื้องชุดแต่งกายอย่างเย้ายวนอ้อยอิ่ง ให้ปีศาจขี้แกล้งซึ่งขณะนี้ทำได้แค่เฝ้ามองรู้สึกทรมานเล่น จวบจนกางเกงชั้นในเนื้อลื่นชิ้นสุดท้ายได้ถูกถอดออก ผิวกายขาวเนียนสะอาดประดับด้วยกล้ามเนื้อพอประมาณอย่างชายสุขภาพดีก็ปรากฎ ณ เบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ ฉับพลันมนุษย์ก็ถูกดึงเข้ามาแนบชิดผิวกายร้อนเพื่อรับรางวัลเป็นบทจูบดื่มด่ำไม่รู้เบื่อ

    “ถอดให้ข้าด้วย” เอทอสผละถอนริมฝีปากพลางกระซิบบอก ก่อนฝ่ามือหนาจะออกแรงกดไหล่ให้มนุษย์ย่อตัวลงจนใบหน้าหยุดอยู่ตรงกางเกงสแล็คเนื้อลื่นของร่างสูงใหญ่ที่ยังไม่ถอดดี

    สองมือขาวรู้งานจับขอบกางเกงเบื้องหน้าดึงลง เมื่อนั้นตัวตนแข็งขืนของปีศาจก็พลันดีดผึงอวดความยาวใหญ่อย่างภาคภูมิ ปลายแก่นกายร้อนซึ่งกำลังกระตุกสะกิดริมฝีปากบาง คล้ายมนตร์สะกดยั่วยวนโนอาร์จนหลงลืมภารกิจที่เอทอสมอบหมาย เช่นนั้นสองมือขาวจึงละทิ้งหน้าที่เข้ากอบกุมแท่งอุ่นร้อนก่อนเริ่มรูดชักดูดเลียราวกับไอศกรีมเลิศรส

    “อาาา.... ดี... วนลิ้นเล่นตรงหัว อืมมม... นั่นแหละ...”

    เอทอสปล่อยเสียงครางทุ้มพึงพอใจ พลางกล่าวแนะโนอาร์พร้อมใช้ฝ่ามือแกร่งลูบผมมนุษย์ควบคุมจังหวะ ครู่หนึ่งจึงเอามืออีกข้างดึงฝ่ามือขาวข้างหนึ่งขึ้นมาดูดเลียแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายกำลังเล่นสนุกกับแก่นกายเขา สัมผัสเปียกชื้นอ่อนนุ่มรอบเรียวนิ้วทำให้ชายเลือดเย็นรู้สึกเสียวซ่านอย่างประหลาดจนต้องเงยหน้าขึ้นมองสาเหตุทั้งที่บางสิ่งยังคงคับแน่นเต็มโพรงปาก พลันนัยน์ตารัตติกาลหยาดเยิ้มก็สบประสานกับดวงตาสีอำพันดุอันตรายซึ่งจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าคมเข้มกำลังดูดเม้มงับนิ้วผสานแววตาร้ายลึกนั้น ถึงกับทำให้ชายเลือดเย็นรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้าและหลังหู ไม่ว่านานเท่าไรความดุดันร้อนแรงของเอทอสก็ทำให้เขารู้สึกประหม่าหรือถึงขั้นขวยเขินได้เสมอ

    “เอานิ้วเตรียมช่องทางเจ้าให้พร้อม”

    น้ำเสียงทุ้มพร่าเอ่ยพลางจับมือขาวที่ดูดเลียจนชุ่มหยาดน้ำใส ไปสัมผัสวางบนสองก้อนกลมแน่นของมนุษย์ใกล้ปากทางเข้า เช่นนั้นโนอาร์ก็จำต้องรับสองหน้าที่พร้อมกัน มือข้างหนึ่งใช้นิ้วสอดขยายช่องทางรักให้คุ้นชิน ส่วนอีกข้างค้ำยันกายเพื่อให้โพรงปากและลิ้นนุ่มปรนเปรอปีศาจ กระทั่งผ่านไปสักหนึ่งมนุษย์ก็รู้สึกถึงลมหายใจหนักขึ้นของร่างสูงใหญ่ พร้อมตัวตนแข็งขืนในโพรงปากที่เริ่มกระตุกเกร็งถี่ส่งสัญญาณถึงบางสิ่งซึ่งกำลังมา

    “อืมมม... อ้าปากกว้าง ๆ”
    “อึก!... อาาาา....”

    ไม่ทันสิ้นเสียงสั่ง ฝ่ามือแกร่งแข็งแรงก็จับล็อกกดหัวมนุษย์ไว้ก่อนขยับสวนสะโพกกระทุ้งแก่นกายร้อนเข้าออกโพรงปากรัวเร็ว เอทอสเชิดหน้าคำรามเสียงพร่าสุขสมพร้อมระเบิดปลดปล่อยหยาดน้ำรักข้นมากมายไหลทะลักเข้าลำคอ จนโนอาร์จำต้องกลืนกินทุกสิ่งอย่างลงเพื่อไม่ให้สำลัก

    “หึ ๆ เก่งสมเป็นเมียข้า” เอทอสเผยยิ้มร้ายเอ่ยชมพลางใช้นิ้วเช็ดของเหลวข้นสีขาวตรงมุมปากโนอาร์ แล้วจึงฉุดร่างมนุษย์ขึ้นมารับรางวัลจูบเร่าร้อน

    “อื้มม....”

    มนุษย์หลุดเสียงครางหวาน เมื่อลิ้นหนาเข้ากระหวัดเลียทำความสะอาดทุกซอกมุมในโพรงปาก ก่อนเข้ารัดรึงหยอกเย้าลิ้นนุ่มอย่างเอาใจ จนเรียบร้อยริมฝีปากหนาจึงผละออกแล้วซุกไซ้ขบกัดตามซอกคอขาวดุจมันเขี้ยว โดยเฉพาะบริเวณสัญลักษณ์ครองคู่ที่ปีศาจเลือกใส่ใจดูดเม้มเป็นพิเศษ ส่งผลให้โดยรอบนั้นประปรายเต็มไปด้วยรอยรักสีกุหลาบและรอยฟันคมมากกว่าส่วนใดทั้งหมด

    “อะ! เอทอสอย่าเพิ่งผมยังไม่…”

    โนอาร์พยายามปรามปีศาจหิวกระหายที่จับเขาหันหลังพร้อมเอาแท่งสวาทร้อนถูบริเวณร่องสองก้อนกลม เนื่องจากเขายังเตรียมพร้อมขยายช่องทางไม่เสร็จดี ทว่าแน่นอนเมื่อเอทอสเข้าสู่โหมดสัตว์ป่าดิบเถื่อนย่อมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เห็นได้ชัดจากฝ่ามือหนาที่จับหน้าเขาหันมาสบใบหน้าคมเข้ม ซึ่งยามนี้มีนัยน์ตาวาวสีอำพันดุจับจ้องเหยื่อพลางเผยยิ้มร้าย พร้อมกับส่วนหัวของแก่นกายแข็งขืนที่เริ่มสอดแทรกเข้ามาในร่าง

    “อะ.. อาาาาา.......”
    “ยังไม่ชินของสามีอีกหรือเมียข้า สงสัยข้าต้องทำหลายครั้งมากกว่านี้ ร่างกายเจ้าจะได้จดจำข้าได้เสียที”
    “อื้มม!!... คุณ... บะ.. เบา...” เสียงหวานครางกระเส่าพยายามเอ่ยขอ เพราะร่างสูงใหญ่ด้านหลังทันทีที่ดันแทรกตัวตนเข้ามาจนสุด ก็เริ่มขยับสะโพกแกร่งกระแทกอัดบรรเลงเพลงรักต่อเนื่อง ไร้ซึ่งเวลาหยุดพักเตรียมใจ
    “ถ้าเบาก็ไม่ถึงใจเจ้าสิ อืมมม..... ข้ารู้ดีว่าเจ้าชอบโนอาร์ ไม่อย่างนั้นดวงตานิ่ง ๆ ของเจ้าคงไม่หยาดเยิ้มเช่นนี้ รวมถึงปากล่างของเจ้าก็คงไม่รัดข้าแน่นขนาดนี้เหมือนกัน อาา....”
    “อะ!.. อืมม... คะ.. คุณ- อ้าา!!...”

     ราวกับปีศาจไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้ว อ้อมแขนกำยำประดับด้วยมัดกล้ามใหญ่แข็งแรงถึงได้โอบดึงมนุษย์เข้าหา จนแผ่นหลังขาวเปลือยแนบสนิทถูไถกับแผงอกกว้างหนาแกร่งตามแรงกระทั้นสอดใส่ ใบหน้าคมเข้มก้มลงขบเม้มซุกไซ้ซอกคอขาว ส่วนนิ้วมือหยาบกร้านก็เข้าบีบคลึงขยี้ปั่นยอดอกสีสวยทั้งสองข้างของมนุษย์ ส่งผลให้ร่างขาวในการควบคุมดิ้นพล่านด้วยความเสียวซาบซ่านเกินพรรณนา ได้แต่ส่งเสียงร้องครางหวานดังก้องไปทั่วห้องให้เอทอสสดับฟังอย่างสุขสำราญ

    “ตุบ!”

    อ้อมแขนแข็งแรงปล่อยตัวมนุษย์ฟุบลงกับผืนเตียง เมื่อรู้สึกว่าโนอาร์หมดสิ้นเรี่ยวแรงทรงตัว จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างจับล็อกช่วงเอวพลางยกบั้นท้ายขาวให้สูงขึ้นเล็กน้อย และเริ่มขยับสวนแท่งสวาทที่แทรกค้างอยู่ในช่องทางรักให้สอดใส่เข้าออกอีกครั้ง

    “…อะ! อาาา.... เอทอส... อื้มม...”
    “อืมม.... เรียกอีกสิ สามีผู้นี้ชอบฟังเสียงเมียรักครางชื่อ อาา…”

    เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเร่งสะโพกกระแทกอัดตกรางวัล เป็นผลให้แก่นกายแข็งขืนในร่างขาวยิ่งชนกระทบถูกจุดกระสัน เจ้าชายน้ำแข็งเยือกเย็นผู้โดนพิษรักร้อนแรงแผดเผาจนหลอมละลาย ทำได้เพียงปล่อยตัวร้องครางชื่อตามคำขอปีศาจจนน้ำเสียงแหบแห้ง ทิ้งกายให้ไถลไปตามผืนผ้าปูยับย่นโยกคลอนตามจังหวะที่ร่างสูงใหญ่เป็นคนควบคุม

    “ขวับ!”
    “อะ! เอทอส! อื้มม!!!....”

    โนอาร์ร้องลั่น เมื่อจู่ ๆ ปีศาจก็แกล้งจับเขาพลิกหน้าขึ้นมาทั้งที่บางสิ่งยังคงเสียบคาอยู่ในร่าง เป็นผลให้แก่นกายร้อนระอุหมุนคว้านรอบผนังอ่อนนุ่มบอบบาง เกิดเป็นความจุกหน่วงและวาบหวามในเวลาเดียวกัน จนไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกแปลกประหลาดตรงทางรักที่กำลังประสบนี้ คือความเจ็บหรือความเสียวซ่านกันแน่

    “อืมม... อะไร? ข้าแค่อยากดูสีหน้าเมียรักยามครวญคราง อะ..อาาา... ปากล่างเจ้านี่ช่างคับแน่นตอดรัดถูกใจข้าเสียจริง”

    ปีศาจร้ายแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หนีความผิด ก่อนเบี่ยงประเด็นด้วยคำชมหยาบโลน ฝ่ามือหนาจับขาทั้งสองข้างของมนุษย์พาดบ่ากว้าง พลางเล่นจังหวะสวนขยับสะโพกแกร่งส่งท่อนเอ็นร้อนดุนดันจุดกระสันต่อจากเมื่อครู่ ใบหน้าคมเข้มเข้าซุกดอมดมขบเม้มตามน่องขาขาวนวลเอาใจคนใต้ร่าง คล้ายเป็นการไถ่โทษขออภัยภรรยาสุดที่รักอยู่กลาย ๆ ซึ่งไม่นานนักมนุษย์ก็โอนอ่อนส่งเสียงครางหวานอีกครั้ง

    “อะ... เอทอส... ผมใกล้แล้ว... อาา... อยากกอด... อื้มมม....”

    ทันทีที่ได้ฟังคำขอน่ารักผสานช่องทางอ่อนนุ่มขมิบรัดแน่นเป็นสัญญาณ ร่างสูงใหญ่ก็พลันผละริมฝีปากจากน่องขาสวย พร้อมจับสองขาที่พาดบ่าให้กางออกกว้างก่อนทิ้งร่างหนาหนักแทรกกลางหว่างขาขาว สองแขนกำยำด้วยมัดกล้ามช้อนหลังโนอาร์ดึงเข้ากอดจนผิวกายต่างแนบสนิทเสียดสีตามแรง ความใกล้ชิดแนบแน่นทำให้ส่วนแข็งขืนยิ่งกดแทรกเข้าลึก และนั่นพลอยทำให้สองแขนของคนใต้ร่างรีบโอบกอดเกาะแผ่นหลังกว้างแข็งแรงตามสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับสองขาขาวที่เกี่ยวล็อกเอวหนาไม่ปล่อยราวกับลูกลิง
    เอทอสขยับสะโพกเร่งจังหวะรักสาดใส่ร่างโนอาร์ที่รอรับอย่างเต็มใจ ทั่วทั้งห้องพลันอื้ออึงไปด้วยเสียงหยาบโลนจากหน้าขาแกร่งกระทบสองก้อนกลมแน่น ผสานสลับกับเสียงครางระบายความสุขซาบซ่านของมนุษย์กับปีศาจ ยิ่งใกล้ถึงฝั่งฝันเห็นสรวงสวรรค์รำไร ร่างสูงใหญ่ด้านบนยิ่งกระแทกสอดใส่แก่นกายรุนแรง มนุษย์ใต้ร่างก็ยิ่งเกร็งขาเกาะเอวปีศาจแน่นตอบรับพร้อมส่งเสียงครางลั่นสู้ไม่ยอมแพ้

    “อ้าาาาาาาา!!!.……”
    “อืมมมม.... อาาาา……”

    เสียงครางหวานสุขสมดังสอดประสานคู่เสียงครางทุ้มพร่าปลดปล่อย หยาดน้ำรักอุ่นร้อนพลันพุ่งทะลักเข้าร่างที่รองรับ ผนังนุ่มตอดรัดท่อนเอ็นร้อนเกร็งกระตุกรุนแรงรีดเค้นน้ำรักที่หลงเหลือ โนอาร์รับรู้ถึงความอบอุ่นจากความรักเอทอสที่อัดแน่นภายในร่างเขา เช่นเดียวกับความอุ่นเหนียวเหนอะที่กำลังเปื้อนเลอะบริเวณผิวท้องแน่นของเขาและปีศาจ สื่อเป็นนัยว่าเอทอสได้พาเขาสู่ฝั่งฝัน โดยมิจำเป็นต้องพึ่งอาศัยการสัมผัสเล้าโลมตัวตนของเขาเลยสักครั้งเดียว ความสุขอบอุ่นค่อยแผ่กระจายไปทั่วร่างชายเลือดเย็นจนรู้สึกตัวเบาหวิวหมดสิ้นเรี่ยวแรงขยับเคลื่อนไหว ขาและแขนที่เคยเกาะร่างสูงใหญ่แน่นไม่ยอมปล่อยจึงพลันคลายคืนอิสระให้ปีศาจ

    เอทอสกดจูบขมับชื้นเหงื่อโนอาร์ด้วยความรักใคร่ชื่นชม ก่อนดันตัวขึ้นนั่งพักหายใจพลางมองความเปรอะเปื้อนบริเวณหน้าท้องมนุษย์ซึ่งกำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจหอบเหนื่อยไม่ต่างจากเขา ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ขยับถอนแก่นกายร้อนออกจากช่องทางสีสวยพลางจับหน้าขามนุษย์อ่อนแรงยกถ่างกว้างเพื่อรอชมบางสิ่ง ไม่นานหยาดหยดขุ่นข้นที่เขาทิ้งไว้ในตัวโนอาร์ก็ถูกร่างกายขาวขับออกมา ของเหลวหนืดไหลลงตามร่องของสองก้อนกลมแดงก่อนถูกผ้าปูเตียงที่รองรับอยู่ข้างใต้ซึมซับ ภาพเบื้องหน้างดงามเสียจนเอทอสหลุดยิ้มร้ายพึงพอใจพร้อมกับตัวตนที่เริ่มแข็งขืนอีกครา

    “คะ.. คุณ!.. อ้าา...” โนอาร์สะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงท่อนเอ็นร้อนสอดแทรกดันลึกกลับเข้ามาในร่างโดยไม่ทันตั้งตัว
    “เมียข้า... เจ้าก็รู้ว่าแค่รอบสองรอบมันไม่พอ อืมม... เห็นแก่เจ้าที่ยังเหนื่อย งั้นรอบนี้ข้าจะพยายามอ่อนโยน”
    “อื้มม... ดะ..เดี๋ยว... อาาา....”

    แน่นอนปีศาจร้ายไม่ยอมฟัง พลางเริ่มจังหวะสะโพกสวนใส่แก่นกายร้อนระอุเข้าออกช่องทางอ่อนนุ่ม ซึ่งกำลังเปียกลื่นด้วยผลผลิตจากความสุขสมรอบก่อน ไม่นานความชำนาญและท่วงท่าลีลาของเอทอสก็เปลี่ยนเสียงทักท้วงของโนอาร์ให้กลายเสียงหวานครวญครางร่วมบรรเลงเพลงรักไปตลอดคืน



    ผลลัพธ์จากความเอาแต่ใจตักตวงความสุขจวบกระทั่งรุ่งสาง เป็นผลให้เช้านี้เอทอสต้องไปทำงานที่สวนโดยไม่มีมื้อเช้ากิน เนื่องเพราะพ่อครัวยังคงหมดแรงหลับสนิทอยู่บนเตียง ทว่าร่างสูงใหญ่สดชื่นแจ่มใสก็ดูเหมือนจะยอมรับผลการกระทำแต่โดยดี สังเกตได้จากการนั่งจิบกาแฟฟังข่าวยามเช้าอย่างสบายอารมณ์ ทว่าข่าวหนึ่งในโทรทัศน์ก็ทำให้ปีศาจขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่นคือข่าวชายที่ตามวอแวเขาตอนอยู่ร้านอาหารนั้นได้ขับรถเสียหลักไถลตกคข้างทางจนพลิกคว่ำเสียชีวิตคาที่ จากการตรวจสอบสถานที่ก็พบอีกหนึ่งศพหญิงสาวในสภาพคอหักผิดรูปถูกซ่อนอยู่หลังกระโปรงรถ เจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานว่าชายดังกล่าวอาจเป็นคนร้ายฆาตกรรมหญิงสาวแล้วกำลังเอาศพไปอำพราง แต่เคราะร้ายที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน

    หลังรายงานข่าวจบลงนัยน์ตาสีอำพันดุก็พลันหันมองไปยังห้องนอน ที่ซึ่งมีใครบางคนหลับสนิทอยู่ตามสัญชาตญาณ ทว่าท้ายสุดร่างสูงใหญ่ก็ต้องส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระ เนื่องจากมนุษย์นั้นอยู่เติมเต็มความสุขสมกับเขาตลอดคืนแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำเรื่องพรรณ์นี้ คิดได้ดังนั้นเอทอสก็พลันกดปิดโทรทัศน์แล้วนำแก้วกาแฟไปเก็บ ก่อนเดินออกจากตัวบ้านพักทรงไทยประยุกต์เพื่อขับรถไปสวนรฦกวัลย์ ระหว่างทางปีศาจก็นึกถึงเรื่องราวชวนอภิรมย์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พลางคิดในใจว่า

   บ้านใช้ไปแล้ว... เทศกาลวาเลนไทน์ครั้งหน้าจะพาโนอาร์ไปฉลองที่ใดดี ผืนป่ากว้างขวาง? หรือโต๊ะกินข้าวในส่วนครัวก็เพียงพอ?




    
(บทพิเศษ สมบูรณ์)




ถึงคนอ่าน


    บทพิเศษนี้คนเขียนเขียนขึ้นเนื่องในวัน Valentine 2021 ครับ(ส่วนบทหลักกำลังตามมานะครับ แหะๆ)

    ในบทนี้จะมีช่วงหนึ่งที่เอทอสกับโนอาร์คุยสื่อสารกันผ่านความคิด อันนี้เป็นหนึ่งในผลสัญลักษณ์ครองคู่ครับ(มีบอกเป็นนัย ๆ ในบทที่32 ซึ่งในบทที่33 ที่กำลังมาจะอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกทีครับ)

    ต่อมาจะอธิบายขยายความถึงวิธีของโนอาร์ที่ใช้ในบทนี้ครับ เครื่่องดื่มที่ชายที่มายุ่งกับเอทอสพยายามให้เอทอสดื่มแต่สุดท้ายก็ถูกโนอาร์จับกรอกปากนั้น แท้จริงผสมGHB (gamma-Hydroxybutyric) หรือพวกยาเสียสาว/เสียหนุ่มในชีวิตจริงครับ ยาจะทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง คลื่นไส้ และกระตุ้นอารมณ์ทางเพศครับ แต่หากกินในปริมาณมากเกินไปจะทำให้หมดสติหรือถึงขั้นหยุดหายใจเสียชีวิตได้ครับ (และชายคนนั้นโดนจับกรอกปากไปแล้ว) ซึ่งความจริงโนอาร์ไม่รู้นะครับว่าในน้ำนั้นมียานี้ผสมอยู่ ที่โนอาร์เตรียมไว้จริง ๆ คือรถยนต์ของผู้หญิงที่ตัดสายเบรกครับ ฉะนั้นหมายความว่าต่อให้ไม่ดื่มชายคนนั้นก็ไม่รอดอยู่ดีครับ


    อันนี้คือหน้าตาเมนูที่โนอาร์ตั้งใจให้เอทอสนะครับ แต่โดนขัดก่อน



    และสุดท้ายต้องขออภัยคุณ FleurDelakour ด้วยนะครับ คนเขียนไม่มีแผนทำรูปเล่มหรือE-BOOK ครับ คนเขียนอยากให้นิยายทุกเรื่องของคนเขียนเป็นออนไลน์เปิดอ่านฟรีบนเว็บน่ะครับ แต่ถึงอยากนั้นคนเขียนก็อยากให้นิยายมีภาพปกสวยๆ ดึงดูดคนอ่านกลับเขาบ้างเหมือนกันครับ และคนเขียนก็ได้คนวาดวาดภาพปกเอทอสโนอาร์แล้วด้วยนะครับ^^
คนอ่านสามารถดูภาพร่างคร่าวๆของปกเอทอสโนอาร์ได้ ที่นี่ เลยครับ (ส่วนตัวคนเขียนว่าโนอาร์หล่อมากเลยครับ^^)



    ป.ล. คนเขียนเห็นมีคนอ่านเริ่มเล่นแท็ก #Hฆาตกรรม ด้วยครับ นึกมาว่าจะร้างแล้ว 5555 ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ :oni2: ไว้ให้คนเขียนเปิดแอคเค้าท์ในนามคนเขียนอย่างเป็นทางการก่อนนะครับ คนเขียนรีบไปรีกับกดหัวใจเลย :L1:



ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ yumyai_fishery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นแนวใหม่ที่เน้นไปทางความดำมืดของจิตใจ ไม่ใช่มาเฟียผู้รักสันติหรือนักฆ่ายอดคุณธรรม รู้สึกเหมือนอยู่ในเรื่อง saw...ให้กำลังผู้แต่งนะคะ

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

    ภายในห้องน้ำของบ้านพักริมชายหาดหลังผ่านความวุ่นวายในช่วงเช้า มีหนึ่งมนุษย์และปีศาจกำลังนั่งแช่อาบน้ำในอ่างเดียวกัน โดยมนุษย์เอนพิงแผงอกแกร่งของปีศาจที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ซึ่งบัดนี้เอทอสได้แปลงกลับสู่รูปลักษณ์มนุษย์ปกติ เหตุเพราะรำคาญว่าต้องคอยระวังกรงเล็บคมจะบาดผิวขาวของมนุษย์

   คำสาปช่วยสมานแผลบนมือโนอาร์ก็ดีอยู่หรอก แต่มันลบรอยที่ข้าทำเมื่อคืนไปด้วยเสียหมด ทำดีเกินหน้าที่จนน่าหงุดหงิดเสียจริง หากไม่มีสัญลักษณ์ครองคู่เป็นหลักฐาน เรื่องที่โนอาร์ตกเป็นเมียข้าแล้วคงเผลอคิดว่าเป็นแค่ฝันไป

    โนอาร์ได้แต่นั่งนิ่งเมื่อถ้อยเสียงทุ้มต่ำอบอุ่นดังก้องในความคิด ผสานความรู้สึกวูบวาบยามริมฝีปากร้อนของปีศาจพรมจูบขบเม้มบริเวณหลังคอเขาเล่นไปพลางระหว่างแช่อ่าง เจ้าชายน้ำแข็งเยือกเย็นก็คล้ายรู้สึกว่าตัวเขากำลังละลายอยู่ในอ้อมอกกว้างแข็งแรงของปีศาจ ซึ่งทั้งหมดมีสาเหตุจากเรื่องแปลกประหลาดตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมา เขากลับได้ยินเสียงความคิดของปีศาจดังอยู่ในหัว บางความคิดก็เป็นการนินทาเขาแบบไม่เหลือดี แต่บางความคิดก็หยาบโลนเสียจนเขารู้สึกว่าผิวแก้มตัวเองกำลังร้อนผ่าว และนั่นทำให้มนุษย์ยังคงเงียบไม่คิดเล่าความผิดแผกนี้ให้ปีศาจทราบเพราะว่า

   อยากลอบฟังความคิดเอทอสแบบนี้เรื่อยไป
    สนุกมากไหมกับการแอบฟังความคิดข้า เจ้านี้ไม่มีความละอายเลยจริง ๆ


    “คุณ!” มนุษย์ผู้กำลังหลับตาพริ้มรับสัมผัสจูบตรงหลังคอพลางฟังความคิดปีศาจ เผลอหลุดท่าทีสะดุ้งเสี้ยวจังหวะหนึ่ง เมื่ออยู่ ๆ เสียงความคิดปีศาจก็เปลี่ยนเป็นการเหน็บแนมรู้ทันเขาโดยตรง
    “มีอะไร ไม่ฟังความคิดข้าต่อแล้วหรือไง”

    เสียงทุ้มหนักจากร่างสูงใหญ่ด้านหลังถามกลับต่อจากความคิด ส่งผลให้โนอาร์ต้องหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าปีศาจ ซึ่งก็พบรอยยิ้มเยาะมากเล่ห์พร้อมนัยน์ตาดุสีอำพันแทะโลมกำลังจ้องมองเขาอยู่

    “เอทอส คุณรู้ว่าผมแอบฟังความคิดคุณได้ตั้งแต่เมื่อไร”
    “เจ้าฟังความคิดข้าเมื่อไรก็เมื่อนั้น แล้วเจ้าไม่คิดจะแปลกใจสงสัยเลย?” ปีศาจแกล้งตอบอย่างยียวน ก่อนเอ่ยถามมนุษย์กลับ
    “ทีแรกก็สงสัยครับ แต่ผมจำได้ว่าอนันต์กับฟอเรสผู้มีพระคุณของคุณ ก็ทำแบบนี้ได้เหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะพลังจากสัญลักษณ์ครองคู่ของปีศาจ”

    โนอาร์อธิบายตามข้อสันนิษฐานของตนเอง พลางใช้ฝ่ามือขาวลูบผ่านมัดกล้ามบนแผงอกแกร่งสีแทน ตำแหน่งเดียวกับที่มีสัญลักษณ์รูปเปลวเพลิงปรากฏ ซึ่งความฉลาดของมนุษย์ทำให้เอทอสนึกเอ่ยชมภรรยารักของตนอยู่ในใจ ทว่าปีศาจกลับเผลอลืมว่าตอนนี้มนุษย์ยังฟังความคิดเขาได้อยู่ ดังนั้นวินาทีถัดมาบนใบหน้าขาวเรียบนิ่งจึงปรากฏรอยยิ้มมุมปากภูมิใจรับคำชม และเป็นร่างสูงใหญ่เองที่ต้องเอ่ยพูดขัดแก้เขิน

    “อืม ก็อย่างที่เจ้าคิด ผลของสัญลักษณ์ครองคู่ทำให้เจ้ากับข้าสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด ขอเพียงแค่ได้สัมผัสถูกตัวกัน แม้จะตายจากก็สามารถพูดคุยกันได้”
    “…”
    “เพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจมีอายุขัยที่ยืนยาวหลายร้อยปี หากระหว่างนั้นคู่ครองเกิดเป็นอะไรไปก่อน พลังวิเศษนี้จะช่วยให้ยังคงรับรู้ถึงกันและกัน ฝ่ายที่อยู่ต่อจะได้ไม่ต้องฝืนทนใช้ชีวิตอย่างเดียวดาย”

    เอทอสเล่าถึงเหตุผลที่มาของพลังก่อนจะเพิ่งสังเกตว่าโนอาร์นิ่งเงียบ เช่นนั้นฝ่ามือหนาอบอุ่นจึงยกขึ้นลูบผิวแก้มขาวของมนุษย์คล้ายต้องการปลอบประโลม ความอ่อนโยนของปีศาจช่วยปัดเป่าคลายความรู้สึกหน่วงลึกให้จางหาย และหลังได้รับการเยียวยา โนอาร์จึงขยับซุกหน้าคลอเคลียฝ่ามือใหญ่พร้อมเหลือบมองส่งสายตายั่วเย้า พลางเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเป็นเรื่องอื่นเพื่อหลีกหนีความจริงที่ไม่อยากนึกถึง

    “จากความฝันเหมือนว่าฟอเรสจะยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง คุณพาผมไปทักทายพวกเขาได้ไหม”
    “ได้ แต่ทำไมอยู่ ๆ เจ้าถึงอยากไปหาผู้มีพระคุณข้า” เอทอสถามกลับด้วยความสงสัยระคนระแวงคู่ครอง ทว่าคำตอบของโนอาร์กลับทลายความกังวลปีศาจอย่างหมดสิ้น
    “ปกติคู่รักมนุษย์เมื่อมั่นใจจะพาคนรักไปแนะนำกับครอบครัว แต่ผมตัวคนเดียว ที่สำคัญคือเป็นเมียคุณแล้ว ถ้ามีโอกาสผมเลยอยากไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นหลานสะใภ้กับผู้มีพระคุณของคุณบ้างน่ะครับ”
    “ดูเหมือนเจ้าจะภูมิใจที่ได้เป็นเมียข้าเสียจริง ถูกใจอะไรในตัวข้าขนาดนั้น”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดพร่า พลางใช้แขนแกร่งโอบดึงมนุษย์เบื้องหน้าเข้าตัวแนบชิด พร้อมนัยน์ตาสีอำพันดุที่ค่อยกลับเป็นสีแดงเลือดนกร้ายลึกอีกครา

    “ทุกอย่างที่เป็นคุณ เอทอส โดยเฉพาะคุณเมื่อคืนผมยิ่งหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่รู้จะพูดอธิบายยังไงแล้ว”
    “งั้นทำไมไม่ลองให้ร่างกายเจ้าพูดแทนล่ะ เพื่อข้าจะได้เข้าใจมากขึ้น”

    ปีศาจเอ่ยหยอกเย้าด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่า ท่อนแขนแข็งแรงที่โอบเอวมนุษย์ออกแรงอุ้มยกร่างขาวลอยสูงจากหน้าตักแกร่งเล็กน้อย ก่อนจะคลายแรงปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งลงตามเดิม ทว่าคราวนี้กลับต่างไป เมื่อขณะหย่อนกายลงนั่งโนอาร์สัมผัสถึงส่วนร้อนแข็งขืนของบางสิ่งใต้ร่าง กำลังดุนดันสะกิดทิ่มตรงปากทางรักของเขาคล้ายอยากเข้าไปท่องเที่ยวสำรวจ ผสานนัยน์ตารัตติกาลที่เผลอสบนัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกวาววามมากเล่ห์ โนอาร์ก็พลันรู้ทันทีว่าเอทอสอยากให้เขาอธิบายคำว่า ‘หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น’ ด้วยวิธีใด

    ไม่นานหลังจากนั้นอุณหภูมิภายในห้องน้ำของบ้านพักริมชายหาดก็พลันสูงขึ้นอย่างประหลาด โดยมีเสียงครวญครางหวานดังสอดประสานไปกับเสียงกระทบเนื้อดุดันหยาบโลน เป็นการเผยสาเหตุต้นตอที่ทำให้บรรยากาศเย็นสบายในห้องน้ำ พลิกผันกลับกลายเป็นความร้อนแรงแทบหลอมละลาย



    รถกระบะสีดำขับกลับถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์ในยามบ่ายแก่ ขณะนำรถขับเข้าจอดใต้ถุนบ้านนัยน์ตารัตติกาลของโนอาร์พลันเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นกำลังขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเห็นพวกเขากลับรีบลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วมายืนรอคอยต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งนั้นทำให้สองเจ้าบ้านที่เพิ่งกลับมาจากฮันนีมูนรู้ทันทีว่า ความสุขสงบเงียบของบ้านพักทรงไทยประยุกต์กำลังจะหมดไป

    “สวัสดีครับอาเอทอส พี่โนอาร์ ผมเพิ่งทำความสะอาดบ้านเสร็จกำลังจะกลับพอดีเลย ถ้าผมดันไปเร็วกว่านี้คงคลาดกันเสียดายแย่ แล้วนี่อาเอทอสกับพี่โนอาร์ไปซื้อของกันเหรอครับ มีอะไรให้ผมช่วยถือไหม”

    นาวาส่งเสียงทักทายเจื้อยแจ้วพร้อมคาดการณ์ทึกทักเอาเองเสร็จสรรพ ทว่าคำพูดเมื่อครู่ของเด็กหนุ่มกลับเตือนความจำโนอาร์ได้เป็นอย่างดีถึงเรื่องสำคัญที่หลงลืม ซึ่งนั่นทำให้ชายเลือดเย็นเริ่มมีทีท่ากระสับกระส่ายเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่ข้างกายที่จับสังเกตเห็นจึงรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าสาเหตุอาจเกิดจากความเอาแต่ใจของเขาเมื่อครั้งอาบน้ำด้วยกันในบ้านพักริมหาด จนทำให้มนุษย์รู้สึกเป็นไข้ตัวร้อน

    “ไม่สบายหรือเปล่า? อยากนอนพักไหม”

    เสียงทุ้มต่ำแฝงความเป็นห่วงเอ่ยถามมนุษย์ข้างกาย พลางใช้หลังมือแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิ ส่วนนาวาที่เห็นอาการของพี่ที่เคารพไม่สู้ดีก็เตรียมช่วยอาเอทอสประคองพี่โนอาร์เข้าบ้าน ทว่าคำพูดตอบกลับจากเจ้าของเรื่องกลับทำให้ทุกความห่วงใยเป็นกังวลพังทลายไม่เป็นท่า

    “เปล่าครับ ผมเพิ่งนึกได้ว่าของในบ้านหมดแล้ว ตอนกลับก็ลืมเตือนให้คุณแวะห้าง... เอทอส ผมขอออกไปซื้อของทำมื้อเย็นแป๊บหนึ่งแล้วจะรีบกลับ”
    “ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าไปซื้อเอง จะเอาอะไรก็ส่งข้อความตามหลังมาแล้วกัน” ร่างสูงใหญ่ตอบกลับด้วยเสียงทุ้มหนักนิ่ง ๆ คล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันไปพูดกับหลานชายโดยพยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
    “นาวาถ้าวันนี้ไม่ติดอะไร อยู่รอกินมื้อเย็นที่บ้านอาก่อนก็ได้”

    พอเอ่ยจบเอทอสก็เดินฮึดอัดกลับขึ้นรถกระบะแล้วขับออกไป ท่ามกลางสายตาฉวนของนาวา และนัยน์ตารัตติกาลแฝงความขบขันของโนอาร์ที่มองส่งรถกระบะของสามี ซึ่งเมื่อบ้านพักทรงไทยประยุกต์ไร้เงาเจ้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย มนุษย์เจ้าแผนการถึงได้เลื่อนขยับหมากบนเกมกระดานแห่งความตายต่อ หลังรามือไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

    “อยากได้กระสอบทรายไว้เล่นที่บ้านเพิ่มไหม” โนอาร์น้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยถามเด็กวัยรุ่น เพราะจำได้ว่าครั้งหนึ่งอีกฝ่ายเคยเล่าว่าซื้อกระสอบทรายไว้แก้เบื่อช่วงที่ขาดคู่ซ้อมเนื่องจากเขาอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งก็ได้เห็นอาการตื่นเต้นดีใจของเด็กหนุ่มอย่างที่คาดการณ์
    “อยากสิพี่โนอาร์! พี่จะซื้อให้ผมเหรอ”
    “อืม เป็นรางวัลที่ช่วยดูแลบ้านเอทอสอย่างดี”
    “ขอบคุณครับ! พี่โนอาร์ใจดีที่สุดเลย”

    ชายอันตรายเพียงพยักหน้ารับคำขอบคุณเล็กน้อยก่อนเดินเข้าบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ตั้งใจจะอาศัยโอกาสที่เอทอสไม่อยู่โทรสั่งการเหล่าตัวหมากต่อ ทว่าเหมือนปีศาจอยากจะเอาคืนเขามากเช่นกันถึงได้เอ่ยชวนนาวาอยู่ต่อ และผลคือชายเลือดเย็นต้องเดินหนีเด็กวัยรุ่นที่คอยไล่ตามพร้อมส่งเสียงคุยถามไม่ยอมหยุด แม้จะใช้สายตาเรียบนิ่ง คำพูดข่มขู่ หรือรุนแรงถึงขั้นใช้กำลังปิดปาก แต่ทั้งหมดกลับกลายเป็นนาวาเข้าใจว่ารุ่นพี่ชวนเล่นด้วย และนั่นยิ่งทำให้นาวาตามติดมากกว่าเดิม จนท้ายสุดโนอาร์จำต้องเลือกหนทางที่ไม่เคยคิดว่าคนอย่างเขาต้องใช้วิธีน่าอดสูถึงเพียงนี้ วิธีแกล้งปวดท้องแล้วรีบเดินหนีเข้าห้องน้ำ

    “เรื่องส่งคนไปแฝงในบ้านภาคินไปถึงไหน” โนอาร์ซึ่งขณะนี้นั่งอยู่บนชักโครกเอ่ยถามปลายสายด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด เพราะใครบางคนที่วนเวียนอยู่แถวหลังประตูห้องน้ำ
    [เรียบร้อยดีไม่มีใครสงสัย แต่ก็โดนไล่ออกมาแล้ว ช่วงนี้เหมือนเจ้านักธุรกิจนั่นจะวางแผนอะไรสักอย่าง เห็นรีบออกจากโรงพยาบาลมาไล่คนรับใช้ทุกคนออก แต่ก็ยังพอใจดีให้เงินก้อนไปตั้งตัว สายที่แฝงอยู่ก็โดนด้วยเหมือนกัน]
    [แล้วก็พักหลังชอบไปสถานีตำรวจบ่อย ๆ สงสัยไปคุยเรื่องคนร้ายที่บุกตึกบริษัทมั้ง... คนร้ายนั่นเป็นนายใช่ไหม โนอาร์?] มังกรรายงานข้อมูลที่รู้ตามจริงก่อนถามถึงสิ่งที่สงสัย ทว่าปลายสายกลับไม่ตอบคำถาม ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากที่ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้
    “พรุ่งนี้เช้าไปรอที่ห้องใต้ดินบ้านร้าง มีของขวัญจะให้”

    ชายเลือดเย็นเอ่ยตัดบทสนทนาพร้อมกดวางสายเมื่อรับรู้ข้อมูลที่ต้องการ ก่อนจะเริ่มโทรสั่งตัวหมากอื่น ๆ เพื่อนัดรวมในวันพรุ่งนี้ และถือโอกาสไปเช็กความเป็นอยู่ของวรรษที่โดนกักขังว่า บริการดูแลที่เขาตั้งใจทำถูกใจอีกฝ่ายมากน้อยเพียงใด รวมถึงดูความพร้อมในการร่วมสนุกในงานที่เขากำลังเตรียมจัด หลังจากงานของภาคินผู้โชคดีได้ลัดคิวก่อนใครจบลง

    “อาเอทอส พี่โนอาร์เข้าห้องน้ำตั้งนานแล้วยังไม่ออกมาเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”

    เสียงเจื้อยแจ้วหลังประตูห้องน้ำ ทำให้คนที่คุยงานเสร็จสักพักใหญ่แต่ยังนั่งแช่อยู่ที่เดิม จำต้องลุกออกไปโชว์ตัวเพื่อไม่ให้ปีศาจสุดที่รักเป็นห่วง ทว่าเสียงทุ้มหนักที่ดังลอดผ่านบานประตู กลับทำให้มือขาวซึ่งกำลังจับลูกบิดชะงักนิ่ง

    “ไม่กี่ชั่วโมงก่อนอาเช็กเขาทุกซอกทุกมุม ทั้งข้างนอกและข้างในก็ดูปกติดี ทิ้งไว้แบบนั้นแหละเดี๋ยวอยากออกก็คงออกมาเอง นาวามากินเนื้อย่างกับอาดีกว่า อาซื้อมาเต็มเลย”
    “อะไรคือข้างนอกข้างในเหรอออาเอทอส แต่ช่างเถอะผมชักหิวแล้วสิ งั้นผมไปเตรียมจานให้นะครับ”

    และแล้วเสียงพูดคุยของปีศาจเจ้าบ้านกับมนุษย์วัยรุ่นก็เลือนหายไปจากบริเวณ เหลือเพียงฆาตกรน่าสงสารที่โดนปล่อยลืมอยู่ในห้องน้ำโดยไม่มีใครเหลียวแล



    รุ่งเช้าวันถัดมาโนอาร์ไปสวนรฦกวัลย์กับเอทอสตามกิจวัตรปกติ ทว่าที่แปลกไปคือหลังจากส่งปีศาจเข้าสำนักงานเป็นที่เรียบร้อย ชายอันตรายกลับเดินมุ่งไปยังทางออกหาใช่เรือนกล้วยไม้อย่างทุกที พลางหยิบโทรศัพท์โทรหาใครบางคน ไม่นานนักก็มีรถยนต์สีขาวคันหนึ่งมาจอดรับคนรักนายใหญ่ก่อนขับหายไป ท่ามกลางเหล่าสายตาคนงานที่ลอบมองด้วยความสงสัยใคร่รู้

    “ทำไมไม่ซื้อรถใหม่ล่ะจะได้ไปไหนสะดวก ถ้าขี้เกียจเสียเวลาหาเดี๋ยวจัดการให้ดีไหม คิดราคาพิเศษแบบคนกันเองเลย ไม่ถึงวันรถใหม่ก็มาจอดหน้าบ้านนายแล้ว” จินซึ่งขณะนี้รับบทสารถี ลองหยั่งเชิงขายของตามประสาพ่อค้า ทว่าคำตอบกลับจากลูกค้าเอาใจยาก กลับไม่มีความเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย
    “หากระสอบทรายซ้อมมวยมาดี ๆ สักอัน แล้วเอาเลือดของสีครามที่เก็บไว้มาทำมนตร์มืดใส่ลงไป ให้ทุกครั้งที่ใช้กระสอบมวยนั่น สีครามก็เหมือนถูกต่อยชกด้วยเหมือนกัน”
    “…นายอยากเอาไปซ้อมเล่นที่บ้านเหรอโนอาร์?”

    คนฟังพยายามตามความคิดแยบยลของชายอันตราย ก่อนเอ่ยถามเพื่อเช็กความมั่นใจ ทว่ากลับได้เพียงความเงียบไร้คำตอบ เช่นนั้นจินก็ได้แต่ยอมสงบปากสงบคำปล่อยความอยากรู้ให้หลุดลอย เพราะหากตื๊อมากเข้าอาจเป็นเขาเองที่อายุสั้นโดยไม่รู้ตัว
    หลังห้องโดยสารหวนคืนสู่ความสงบเงียบไม่นาน รถยนต์สีขาวก็ได้มาหยุดจอด ณ บ้านร่างเก่าที่เป็นจุดหมายโดยมีโนอาร์เดินนำลงไปยังชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นสถานที่กักขังของวรรษผู้คุมวิญญาณ

    เมื่อลงมาด้านล่างพบมังกรยืนหลบมุมไม่สนใจใคร กับนายแพทย์หนุ่มที่เบื้องหลังเป็นพ่อค้าอวัยวะเถื่อนกำลังตรวจดูสุขภาพของวรรษ ซึ่งตอนนี้ถูกจับล็อกขึงกับเตียงในสภาพเปลือยกาย บริเวณปากมีท่อสายยางสำหรับให้อาหารเหลวสอดผ่านลำคอลงไปในกระเพาะ เช่นเดียวกับส่วนปลายองคชาตที่มีการสวนสายยางเพื่อการขับถ่าย วิธีการเหล่านี้เป็นการพยาบาลในผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทว่าหากนำมาใช้กับคนปกติแข็งแรง ย่อมสร้างความทรมานอึดอัดแสนสาหัสไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น

    “ถูกใจไหม ไม่ต้องกินเอง ไม่ต้องฉี่หรือถ่ายด้วยตัวเอง ทุกอย่างมีคนคอยดูแลให้หมด” เจ้าของความคิดเลวทรามเอ่ยถามคนรับบริการ ซึ่งก็ถูกชายบนเตียงถลึงมองด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง
    “มองแบบนี้สงสัยคงเบื่อนอนเฉยๆ แต่อยู่แบบนี้ไปก่อนพอถึงเวลาของนายเมื่อไร รับรองว่ามีอะไรให้เล่นสนุกจนไม่มีวันลืม”

    ชายเลือดเย็นกล่าวปลอบเอาใจของเล่นที่ต้องนอนคอยกว่าจะถึงคิว พลางไล่สายตาเรียบนิ่งชั่วร้ายมองสภาพน่าเวทนาของอีกฝ่ายเชิงสมเพช แล้วถึงผละออกไปคุยกับแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้

    “ร่างกายปกติแข็งแรงดีใช่ไหม” โนอาร์เอ่ยถามคล้ายเป็นห่วงคนบนเตียง ทว่าแท้จริงความห่วงใยที่ว่ากลับมีให้เพียงปีศาจ เพราะกลัวจะเกิดผลข้างเคียงกับร่างกายเอทอสผ่านทางมนตร์มืด
    “ไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ต้องดูแลสินค้าอย่างดีอยู่แล้ว ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วคุณภาพไม่ได้ตามต้องการ คงเสียดายแย่”

    นายแพทย์หนุ่มกล่าวตอบคู่ค้าคนสำคัญพลางเหลือบมองสินค้าบนเตียงเล็กน้อย สำหรับเขาโนอาร์เปรียบเสมือนแหล่งทำเงินมหาศาล อย่างครั้งก่อนอีกฝ่ายรับงานจัดการหญิงสาวรายหนึ่งเอามาทำเป็นตุ๊กตาหุ่นปั้น ทุกชิ้นส่วนอวัยวะเหลือจากงานนั้นโนอาร์ได้ยกให้เขาทั้งหมด ซึ่งในคราวนี้ก็คล้ายกับครั้งที่แล้วยกเว้นเพียงหัวใจที่สั่งให้เขาเอาไปเปลี่ยนถ่ายให้ใครบางคน

    “อะนี่... ผลทดสอบความเข้ากันได้ของอวัยวะ ยินดีด้วยดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่ากังวล”

     ซองจดหมายสีขาวสะอาดยืนยันผลทดสอบถูกยื่นมาให้โนอาร์ เหตุเพราะก่อนหน้านี้ชายเลือดเย็นสั่งให้เขาเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการปลูกถ่ายเปลี่ยนหัวใจ ซึ่งการตรวจความเข้ากันได้ระหว่างผู้รับบริจาคกับตัวอวัยวะก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนเช่นกัน

    โนอาร์รับซองจดหมายมาเปิดดูเอกสารด้านใน สักพักหนึ่งใบหน้าเรียบนิ่งถึงเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเรียกมังกรที่ยืนหลบมุมปลีกวิเวกไม่สุงสิงกับใครให้เดินมาหา

    “ของขวัญที่บอก อีกไม่นานจะมีงานใหม่ให้ทำ คิดว่าของขวัญนี้คงทำให้ตั้งใจทำงานมากขึ้น”

    น้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยขึ้น พร้อมยื่นจดหมายส่งให้ผู้รับที่แท้จริง มังกรรีบกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรบนกระดาษอย่างละเอียด ทว่าจวบจนอ่านจบชายหนุ่มกลับเริ่มไล่อ่านใหม่ตั้งแต่บรรทัดแรก อ่านวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต้องการสร้างความมั่นใจให้ตัวเองว่านี่มิใช่ความฝันที่เขาคิดไปเอง ซึ่งทุกการแสดงออกของชายหนุ่ม รวมถึงดวงตาเข้มแข็งเริ่มเลื่อมด้วยหยดน้ำใสที่พยายามสะกดกลั้น ล้วนอยู่ในสายตารัตติกาลมืดมิด เช่นนั้นโนอาร์จึงเรียกจินมารับทำหน้าที่สารถีพาเขากลับไปหาปีศาจ เพราะเป้าหมายในการคุมหมากดื้อรั้นให้กลับมาอยู่ในโอวาทเพื่อเตรียมใช้งานนั้น สำเร็จลุล่วงแล้ว


    ชายเลือดเย็นกลับมาถึงสวนรฦกวัลย์เกือบไม่ทันช่วงพักเที่ยง ส่งผลให้โนอาร์ต้องรีบมุ่งตรงไปยังส่วนครัวของสำนักงาน ฆาตกรจัดแจงอุ่นมื้อกลางวันของตัวเองและปีศาจพลางชงกาแฟระหว่างรอ เมื่อเรียบร้อยจึงยกไปที่ห้องทำงานนายใหญ่เจ้าของสวน ซึ่งหลังได้รับคำอนุญาตจากคนด้านในแล้ว โนอาร์ถึงดันประตูเปิดก่อนเดินเข้าไปวางจานเตรียมโต๊ะ เสร็จแล้วถึงเอ่ยเรียกร่างสูงใหญ่ตรงโต๊ะทำงานที่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าจากกองเอกสาร

    “คุณวาง-”
    “เจ้าแอบไปไหนมา” คำถามสวนกลับไม่ทันตั้งตัวถึงกับทำให้มนุษย์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบตามจริงไร้การปิดบัง
    “แค่ไปทักทายผู้คุมวิญญาณที่เคยเล่นงานผมนิดหน่อย แต่ผมพาจินไปด้วยคุณไม่ต้องกังวล แล้วใครเป็นคนมาฟ้องคุณ?”
    “ใคร... สงสัยคงเป็นจมูกข้าเองที่มันบอกว่ากลิ่นอายวิญญาณเจ้าหายไป หลังจากเจ้าแสร้งเดินมาส่งข้าที่สำนักงาน”

    ร่างสูงใหญ่ตอบกลับพลางวางปากกาเมื่อเซ็นเอกสารแผ่นสุดท้ายเรียบร้อย แล้วจึงเดินมานั่งโซฟาตำแหน่งประจำสำหรับทานมื้อเที่ยง โดยมีนัยน์ตารัตติกาลเจือความระแวงคอยลอบมองเฝ้าสังเกต

    “ว่าไง รู้แล้วว่าจมูกข้าเป็นคนฟ้อง เจ้าจะทำอะไรต่อ” เอทอสแกล้งเค้นถาม พลางใช้นัยน์ตาดุสีอำพันจ้องกลับมนุษย์ไม่วางตา
    “ไม่ทำอะไร เพราะเป็นจมูกของคุณเอง และคุณไม่ใช่ใครอื่นสำหรับผม” คำตอบจากมนุษย์ถึงกับทำให้ปีศาจกระตุกยิ้มเยาะเล็กน้อย ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยคำถามถัดมาที่เริ่มแฝงความจริงจัง
    “แล้วถ้าครั้งหน้า เป็นข้าที่ขัดขวางทุกแผนการของเจ้า เจ้าจะทำยังไง”

    หลังชายเลือดเย็นได้ฟังคำถาม นัยน์ตารัตติกาลคล้ายดูยิ่งทวีความดำมืดร้ายลึก ทว่าวินาทีต่อมากลับอ่อนลงหวนคืนสู่ความสงบเรียบปกติ พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้นบางเบาพลางตอบคำถามและชวนปีศาจกินข้าว ถือเป็นการตัดจบหัวข้อสนทนาเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

    “ถ้าคุณอยากเล่นด้วยเพราะเชื่อว่า สักวันชะตากรรมจะนำมาพวกนั้นไปสู่จุดจบอย่างที่ควรเป็น ผมคงห้ามอะไรไม่ได้ และผมจะเป็นชะตากรรมนั้นเอง”



    ขณะที่ผู้คุมเกมเริ่มขยับเดินตัวหมาก ฝ่ายนักล่าปีศาจผู้ถูกไล่ต้อนก็เตรียมพร้อมรับมือเช่นกัน ผลพวงจากเหตุการณ์บุกตึกบริษัทและคำขู่ฝีมือโนอาร์ ทำให้ความมั่นใจของเหล่านักลงทุนและบริษัทในกลุ่มคู่ค้าลดลงอย่างมาก หลายฝ่ายเริ่มทยอยถอดถอนหุ้นยกเลิกการติดต่อธุรกิจ ส่งผลให้ยามนี้ตัวบริษัทเข้าสู่ระยะวิกฤตหนักเสี่ยงต่อการล้มละลาย ทว่าภาคินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เข้าต้องเผชิญและเหลือเวลาตั้งรับไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อชายผมเงินพอฟื้นตัวจึงรีบออกจากโรงพยาบาลแล้วจัดการภาระทุกสิ่งอย่างให้เรียบร้อย

    ภาคินอาศัยเรื่องวิกฤตของตัวบริษัท จ้างเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านทุกคนรวมถึงเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าตอนช่วงเขาอยู่โรงพยาบาลออก ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างปฏิเสธแต่แล้วสุดท้ายก็จำยอมเมื่อเขาเอ่ยปากไล่จริงจัง ถึงแม้นั่นจะทำให้หลายคนเสียความรู้สึก แต่เขาก็ต้องทำเพื่อปกป้องเหล่าครอบครัวคนสำคัญ
    หลังหมดห่วงให้กังวล ภาคินถึงไปประสานงานขอกำลังจากเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยอ้างว่าเขากำลังถูกไล่ล่าคุกคามเอาชีวิต และผู้กระทำเป็นคนเดียวกับผู้ร้ายก่อเหตุฆาตกรรมหลายสิบคดีที่ยังปิดไม่ได้ ซึ่งชายผมเงินอาสาเอาตัวเองเป็นตัวล่อเพื่อให้กลุ่มเจ้าหน้าที่ทั้งหมดระดมกำลังเข้าจับกุม

    นักธุรกิจหนุ่มกับเหล่าตำรวจใช้เวลาร่วมกันวางแผนเตรียมการหลายสัปดหาห์จนแน่ใจว่าไร้ข้อผิดพลาด ภาคินจึงเริ่มสวมบทบาทนกต่อล่อลวงโนอาร์มาติดกับ ด้วยการบุกไปสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ในเช้าวันหนึ่ง เพราะมั่นใจว่าหากอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในปกครองของปีศาจจอมเสแสร้ง ชายอันตรายย่อมไม่กล้าผลีผลามทำอะไรมากนัก

    “อ้าวคุณ! เป็นเพื่อนนายน้อยเอทอสหนิใช่ไหม? หายหน้าหายตาไปตั้งนานจนลุงเกือบจำไม่ได้แล้ว ว่าไงวันนี้ก็มาหานายน้อยเหมือนกันเหรอ” ลุงสมัยเอ่ยทักทายชายผู้มีผมสีเงินสะดุดตา ที่เมื่อนานมาแล้วเคยแวะมาถามหานายใหญ่ของสวนอยู่บ่อย ๆ
    “สวัสดีครับลุง วันนี้ผมมาหาโนอาร์น่ะครับ ไม่ทราบว่าอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

    ภาคินตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม พลางสอดส่องสายตาหาเป้าหมาย ซึ่งก็พบว่าชายอันตรายสังเกตเห็นเขาอยู่ก่อนแล้ว และกำลังเดินมุ่งตรงมาทางนี้

    “มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” ผู้มาใหม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “มาพอดีเลย เพื่อนนายน้อยมาหาคุณโนอาร์น่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวลุงไปดูกล้วยไม้ก่อนนะ” ลุงสมัยกล่าวตอบคนรักนายใหญ่ของสวน ก่อนจะขอแยกตัวไปทำงานต่อ จวบจนกระทั่งบริเวณนี้เหลือเพียงนักล่าปีศาจและฆาตกร ภาคินจึงเริ่มเปิดหัวข้อสนทนา
    “มาตามที่อยู่นี่คืนนี้ เฉพาะนายกับฉันเท่านั้น” นักล่าปีศาจเอ่ยด้วยท่าทีเหนือกว่า พร้อมยื่นกระดาษพับแผ่นหนึ่งให้โนอาร์ ทว่าชายเลือดเย็นกลับไม่คิดแม้แต่จะเหลียวมอง
    “ไร้สา-”
    “ถ้าอยากให้ไอ้ปีศาจนั่นมันอยู่อย่างสงบในช่วงบั้นปลายสุดท้าย ก็มาทำให้ทุกอย่างมันจบ ฉันจะรอที่นั่นจะมาหรือไม่ก็ตามใจ”

    ว่าจบชายผมเงินก็ทิ้งกระดาษแจ้งสถานที่นัดพบลงพื้นเบื้องหน้าชายอันตราย พร้อมเดินกลับไปขึ้นรถยนต์ก่อนขับหายไป นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดอยากคาดเดามองส่งนักล่าปีศาจจนลับตา แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อโทรหาพ่อค้าเจ้าประจำ เพื่อให้จัดเตรียมยานพาหนะสำหรับไปร่วมงานที่ของเล่นเขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรงทำขึ้น

    [มีอะไรเหรอโนอาร์? หรือว่าเปลี่ยนใจอยากได้รถสักคัน]
    “อืม เอาไปจอดไว้ตรงหน้าทางเข้าซอยบ้านของเอทอส คืนนี้”


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    ยามดึกเงียบสงัดภายในห้องนอนของบ้านพักทรงไทยประยุกต์ มนุษย์ในอ้อมกอดปีศาจนอนหนุนแผงอกกว้างฟังเสียงหัวใจหนักแน่นเต้นอย่างมั่นคง เมื่อมั่นใจว่าปีศาจหลับสนิทถึงค่อยดันตัวขึ้นลุกอย่างแผ่วเบา นัยน์ตารัตติกาลกลืนกับสีความมืดพินิจมองโครงหน้าคมเข้มนิ่งสงบของผู้เป็นที่รักราวกับไม่อยากจากไปไหน ทว่าเมื่อภาพใบหน้าเหยียดหยามสะใจบนความทุกข์ระทมของปีศาจแทรกเข้ามา บรรยากาศรอบตัวชายเลือดเย็นก็พลันเปลี่ยน พร้อมแววตาอ่อนโยนยามเฝ้ามองปีศาจที่หวนคืนสู่ความเรียบนิ่งอันตราย

    โนอาร์ก้าวเท้าไร้เสียงลงจากเตียงก่อนเดินไปหยิบสายเข็มขัดอาวุธบนโต๊ะ และจึงออกจากห้องนอนสุขสงบไปร่วมงานตามนัดของภาคินเพื่อจัดการขุดรากถอนโคนเสี้ยนหนามปีศาจให้หมดสิ้น ทว่าหลังห้องไร้เงามนุษย์ไม่นาน ดวงตาสีอำพันที่มนุษย์คิดว่าหลับสนิทกลับลืมตื่นขึ้น พร้อมร่างสูงใหญ่เจ้าบ้านที่ลุกออกจากเตียงเมื่อกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์เริ่มเลือนหายตามระยะทางที่ทิ้งห่าง


    รถยนต์ที่จินเตรียมไว้นำพาโนอาร์มายังอาคารร้างห้าชั้นสถานที่นัดพบ ชายเลือดเย็นเปิดประตูลงจากยานพาหนะก่อนเดินมุ่งเข้าไปหาตัวการที่รอคอยอยู่ ภายในอาคารร้างเก่านั้นมืดสนิทไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต ราวกับที่แห่งนี้มีเพียงแค่เพชฌฆาตซึ่งกำลังเดินฝ่าความมืดพลางกวาดสายตาไล่ลาหาเป้าหมายทีละชั้น จนกระทั่งชายเลือดเย็นขึ้นมาถึงชั้นบนสุด

    “พรึบ!”
 
    ทันทีที่เท้าผู้มาเยือนเหยียบปลายบันไดขั้นสุดท้าย ทั่วทั้งชั้นพลันเกิดแสงสว่างโร่จากไฟสปอตไลท์สาดใส่ชายเลือดเย็น พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายกรูเข้าล้อมหันปลายกระบอกปืนไปยังบุคคลอันตราย

    “อย่าขยับ! กำลังตำรวจล้อมปิดทางเข้าออกไว้หมดแล้ว! ยอมมอบตัวแต่โดยดีแล้วโทษหนักหนาหลายคดีของนายจะได้เบาลง” เสียงตำรวจนายหนึ่งตะโกนสั่งผู้ต้องหา ทว่าชายอันตรายผู้กำลังโดนล้อมจับกุมหาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
    “ภาคินอยู่ไหน”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามกลับไร้ซึ่งคำตอบ เช่นนั้นนัยน์ตารัตติกาลจึงกวาดมองสำรวจจนสะดุดกับห้อง ๆ หนึ่งซึ่งมีกองกำลังเจ้าหน้าที่คอยกั้นขวางทางมากกว่าจุดอื่น เมื่อรู้จุดหมาย โนอาร์จึงเริ่มก้าวเท้ามั่นคงมุ่งตรงไปยังห้องดังกล่าว ไร้ความสนใจต่อเหล่าปืนมากมายที่จ่อเล็ง กระทั่งประจันหน้ากลุ่มตำรวจเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็พลันเกิด เหตุเพราะเหล่าเจ้าหน้าที่คุ้มกันกลับถอยหลบเปิดทางให้เพชฌฆาตอย่างง่ายดายราวกับเปลี่ยนข้างสวามิภักดิ์ ทว่าถึงจะเรื่องพิศวงคนที่แอบอยู่ในห้องก็ไม่มีวี่แววหรือปฏิกิริยาใด ๆ ทั้งสิ้น สร้างความประหลาดใจและความไม่ชอบมาพากลให้กับชายเลือดเย็นจนต้องเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

    “โครม!!!”

    ฝ่าเท้าหนักถีบบานประตูเปิดทาง ก่อนตามด้วยโนอาร์เดินเข้าไปหมายกระชากคอคนขลาดเขลาออกมา ทว่ากลับพบเพียงห้องว่างเปล่าไร้เงาภาคิน เท่านั้นเพชฌฆาตพลันรู้ตัวทันทีว่าเขาถูกซ้อนแผน ฝ่ามือสองข้างกำแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมนัยน์ตารัตติกาลที่ยิ่งทมิฬดำมืดมากกว่าเก่า

    “เอาตัวตำรวจนั่นมา” น้ำเสียงนิ่งกล่าวสั่ง เพียงครู่นายตำรวจยศใหญ่ผู้คอยสั่งการก็ถูกเหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาลากตัวมานั่งคุกเข้าเบื้องหน้าชายอันตราย

    “ฉะ.. ฉันไม่รู้เรื่อง! ฉันทำตามที่แกสั่งทุกอย่าง! ก่อนแกมาฉันยังคุยทบทวนแผนกับไอ้ภาคินนั่นอยู่เลย”
    “แล้วอยู่ไหน?”
    “มะ.. ไม่รู้... นี่ไม่ใช่ความผิดฉันคนเดียวนะ ถ้าจะผิด.. ก็ผิดกันทั้งหมดเนี่ยแหละ! คนของแกมีตั้งเยอะยังไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้านั้นมันหนีไปแล้ว”

     นายตำรวจยศใหญ่ตัวหมากหลงเหลือจากเกมลักซ่อนเมื่อนานมาแล้ว พยายามหาข้อแก้ต่างสร้างความชอบธรรม พลางมองเหล่าลูกน้องของโนอาร์ที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตามแผนการ เห็นดังนั้นนัยน์ตารัตติกาลดำมืดจึงตวัดมองหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกกล่าวถึง ทว่าก็ได้เพียงการยักไหล่ส่ง ๆ

    “ไม่เห็นเหมือนกัน ของเล่นนายคงแอบปีนหน้าต่างหนีไปตอนช่วงที่ไม่มีใครสังเกต และมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกฉันเพราะไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่ตกลงกัน แต่...” คนถูกนัยน์ตาดำมืดจับจ้องตอบกลับด้วยท่าทีสบายไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะแสร้งทิ้งท้ายประโยคให้ผู้ฟังอยากรู้
    “…แต่อะไร”
    “ปล่อย! ปล่อยผม! พวกคุณพาผมมาที่นี่ทำไม!”
    “โชคดีที่ก่อนมามีตาแก่โง่แวะมาหาเหยื่อของนายที่บ้านพอดี และเจ้าหนุ่มนั่นก็ไม่ได้รู้อะไรเลยถึงฝากตาแก่นี่ให้พวกฉันช่วยพากลับบ้าน ฉันเลยเก็บไว้ก่อนเผื่อมีประโยชน์”

    ชายเลือดเย็นฟังคำอธิบายซึ่งคลอไปกับเสียงโวยวายดังมาจากชั้นล่าง ไม่นานนักคนถูกกล่าวถึงก็โดนคุมตัวมายืนอยู่เบื้องหน้าบุคคลอันตราย นัยน์ตารัตติกาลมองสำรวจใบหน้าแขกไม่ได้รับเชิญคร่าว ๆ จึงรู้ว่าชายแก่ผู้นี้คือหนึ่งในพ่อบ้านรับใช้ของภาคิน เช่นนั้นรอยยิ้มมุมปากเลวร้ายก็พลันปรากฏขึ้น พร้อมแผนงานเทศกาลสนองทัณฑ์ที่ปรับเปลี่ยนใหม่

    “ปัง!!”
    “อ๊ากกกก!!! อั่ก!!” ปืนข้างเข็มขัดอาวุธที่ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อ ถูกเจ้าของใช้ยิงใส่ขาข้างหนึ่งของตำรวจยศใหญ่แม่นยำ อย่างไม่ต้องเสียเวลาเหลียวมอง
    “หมดงานเท่านี้ ที่เหลือแบ่งกันเอง”

    โนอาร์เอ่ยคำเรียบสั้น ทว่านั่นเป็นสัญญาณให้กลุ่มคนโดยรอบรุมเข้าใช้มีดแล่เฉือนแย่งชิงชิ้นส่วนอวัยวะจากนายตำรวจยศใหญ่ตามข้อตกลง ความจริงกลุ่มคนเหล่านี้คือนักฆ่าที่ล้วนได้งานเป็นการเก็บนายตำรวจผู้นี้ และกำลังพยายามแก่งแย่งเพื่อเอาค่าหัว โนอาร์จึงอาศัยโอกาสยื่นข้อเสนอให้โดยแลกกับชิ้นส่วนร่างกายนายตำรวจเพื่อเอาไปเป็นหลักฐานแก่ผู้ว่าจ้างของแต่ละคนว่าตนทำงานสำเร็จ

    การแย่งตัดเอาอวัยวะจากคนที่ยังมีลมหายใจนั้น ย่อมไม่ต่างจากเหล่านักล่ารุมชิงฉีกทึ้งเหยื่อทั้งเป็น หยาดเลือดจากแผลเหวอะหวะมากมายกระเซ็นเปรอะเปื้อนรอบบริเวณ ผสานไปกับเสียงร้องเจ็บปวดทรมานของนายตำรวจน่าสงสารที่พยายามตะเกียกตะกายดิ้นหนี แม้ยามนี้จะมืดบอดมองไม่เห็นทางเพราะลูกตาทั้งสองข้างได้ถูกกลุ่มนักฆ่าควักเอาไปหลักประกันค่าหัว
    ความน่ากลัวสยดสยองตรงหน้าถึงกับทำให้พ่อบ้านผู้ไม่รู้เรื่องราวช็อกกับสิ่งที่เห็นจนแข้งขาอ่อนแรง ทว่าเพียงครู่โนอาร์ก็เดินแทรกกลางบดบังเหตุการณ์จากสายตาชายแก่พลางยิ้มมุมปากเล็กน้อยคล้ายส่งกำลังใจ ทว่าการกระทำดังกล่าวไม่อาจตีความเป็นการช่วยเหลือได้เลยหากได้สบนัยน์ตารัตติกาลมืดดิ่งลึกนั้น และพ่อบ้านเคราะห์ร้ายจะได้รับรู้ในไม่ช้า เมื่อชายเลือดเย็นย่างสามขุมเข้าหาพร้อมมีดคมกริบที่ล้วงหยิบมาจากเข็มขัดใต้ชายเสื้อ



    “ถ้าไม่อยากให้แผนล่อโนอาร์ที่เจ้าอุตส่าห์คิดพังไม่เป็นท่า ก็อย่าได้ยุ่งกับรั้วนั่น”

    เสียงทุ้มหนักกล่าวเตือน ก่อนเงาเจ้าของเสียงจะกระโดดข้ามผ่านรั้วไฟฟ้าสูงซึ่งเสริมต่อจากกำแพง ออกมานอกอาณาเขตบ้านพักทรงไทยประยุกต์ซึ่งมีผู้บุกรุกยืนคอยอยู่ เพื่อเป็นการซื้อเวลาเจรจาให้ยืดไปอีกสักระยะก่อนโนอาร์จะรู้ตัว เหตุเพราะทุกอุปกรณ์ป้องกันที่มนุษย์เอามาติดประดับที่แห่งนี้จนไม่ต่างจากฐานทัพสงครามนั้น ล้วนมีเครื่องส่งสัญญาณไปหามนุษย์ทุกเมื่อหากจับได้ว่ามีการรุกล้ำพื้นที่

    “ชีวิตข้าที่เจ้าอยากได้นักได้หนา เจ้าก็ได้ไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็แค่เวลาเพียงไม่กี่เดือน เจ้ายังจะโลภแย่งมันไปจากข้าอีกหรือ” เอทอสเดินออกมาจากเงามืด พลางถามชายผมเงินผู้ไม่เคยละความพยาบาทจากเขา
    “เลิกเสแสร้งสักที! ความคิดแกมันโคตรน่าสะอิดสะเอียน ทำตัวประเสริฐเป็นพ่อพระแล้วใช้เจ้านักฆ่านั่นจัดการเรื่องทุกอย่างแทน เพื่อมือแกเองจะได้ไม่สกปรก ความคิดต่ำ ๆ แบบหนี้ทำไมฉันจะไม่รู้ทัน”

    ภาคินสวนกลับด้วยคำถากถาง ใบหน้าชายหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจโกรธแค้น พร้อมสะบัดปลดอาวุธในมือกลายเป็นแส้ดาบคมกริบซึ่งตัวใบมีดเชื่อมติดด้วยสายลวดเหล็กยืดหยุ่นสูง ช่วยเพิ่มระยะและความได้เปรียบในการต่อสู้ ทว่าแม้นักล่าปีศาจจะตั้งท่าเตรียมจู่โจมเข้าใส่ เอทอสกลับยังคงนิ่งพยายามพูดหาทางยุติความบาดหมางเพื่อเลี่ยงการปะทะอันไร้ประโยชน์

    “สิ่งที่เจ้าพูดไม่เคยมีอยู่ในความคิดข้าเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว และยิ่งกว่านั้นครั้งหนึ่งข้าเคยพยายามจบเรื่องพวกนี้และหยุดโนอาร์ได้ แต่สุดท้ายเจ้าก็ทำทุกอย่างพัง-”
    “หุบปาก!! อย่าให้ฉันต้องอ้วกเพราะทนฟังคำพูดน่าขยะแขยงของแกไม่ไหว แล้วเหตุผลอะไรที่แกต้องร่ายคำสาปคุ้มกันให้นักฆ่านั่น ถ้าไม่ใช่ว่าแกตั้งใจใช้เจ้านั่นมาจัดการฉันตั้งแต่แรก เลิกพูดเอาดีเข้าตัวสักที ยังไงซะฉันก็จะฆ่าแกเพื่อคลายคำสาปคุ้มกันนั่น แล้วหลังแกตายฉันจะเป็นคนจับนักฆ่าสุดที่รักของแกไปรับโทษในคุกเอง”
 
    หลังได้ฟังเหตุผลในการกำจัดเขาของภาคิน เอทอสก็ถึงกับนิ่งงันพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากหากมองในมุมของนักล่าปีศาจซึ่งกำลังถูกโนอาร์ตามล่า เขาก็เหมือนผู้คอยสนับสนุนอย่างที่ภาคินว่าจริง ๆ เพราะพลังของเขาทำให้ตอนนี้โนอาร์เกือบเป็นอมตะ ไม่มีทางบาดเจ็บด้วยผลของคำสาปคุ้มกัน ถึงพลาดบาดเจ็บขึ้นมาก็หายได้อย่างรวดเร็วด้วยผลของคำสาปรักษา ทว่าทุกคำสาปที่เขาให้โนอาร์ไม่เคยมีไว้เพื่อการนี้ เขาแค่อยากให้คนของเขาปลอดภัยจากพวกวิญญาณรับใช้ก็เท่านั้น และไม่เคยคาดคิดว่าความเป็นห่วงคู่ครองจะถูกนักล่าปีศาจตีความไปไกลถึงเพียงนี้

    “ข้า-”
    “ขวับ!! ฉัวะ!!”

    ไม่ทันที่เอทอสจะไขข้อเข้าใจผิด คมมีดเหล็กจากแส้ดาบก็ถูกสะบัดฟาดใส่หมายตัดหัวปลิดชีพ ร่างสูงใหญ่จำต้องถอยรักษาระยะห่าง ทว่าภาคินกลับไม่ปล่อยโอกาสให้ปีศาจตั้งหลัก ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาพร้อมบังคับความพลิ้วไหวของแส้ดาบจำกัดหนทางหนี เมื่ออยู่ในระยะ ภาคินจึงใช้อีกหนึ่งดาบสั้นที่ซ่อนอยู่ด้านหลังขว้างแสกหน้าปีศาจเพื่อหวังสังหารในดาบเดียว

    “ฟุ่บ!!”

    เสี้ยววินาทีก่อนคมดาบจะถึงร่างสูงใหญ่ ปีศาจอาศัยหนทางเดียวที่สามารถหลีกหนีได้พุ่งกระโดดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทว่านั่นกลับเข้าทางภาคินเพราะช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ปีศาจลอยอยู่กลางอากาศนั้นไม่ต่างอะไรจากเป้านิ่งไร้การป้องกัน ฉับพลันปลายกระบอกปืนเสริมที่เก็บเสียงก็เล็งไปยังกลางหน้าผากเป้าหมาย

    “ปัง!!”

    เอทอสเอี้ยวหัวหลบวิถีกระสุนได้อย่างเฉียดฉิว แต่กระนั้นก็ได้รอยถากจนเลือดซึมเล็กน้อย ทว่าเมื่อภาคินรู้ว่าพลาดเป้าคมมีดจากแส้ดาบก็พลันตวัดฟาดฟันซ้ำแบบไม่ให้มีเวลาพักหายใจ บังคับให้เอทอสจำต้องรีบกลับคืนสู่ร่างปีศาจเพื่อใช้กรงเล็บทมิฬป้องกัน และแม้จะปัดป้องได้แต่ร่างสูงใหญ่ก็ไม่เหลือเวลาพอที่จะตั้งท่าลงพื้น เช่นนั้นร่างยักษ์ของปีศาจจึงกระแทกลงกับผืนดินเต็มแรงเกิดเป็นเสียงดังสนั่น

    “ตึง!!!”
    “อั่ก!! นี่มัน..”

    ทันทีที่ร่างเอทอสสัมผัสพื้นดินแข็งกระด้าง พลันรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้ามหาศาลวิ่งกระจายไปทั่วทุกอวัยวะหยุดการเคลื่อนไหว นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงพยายามควบคุมสติมองหาตัวกับดักที่ภาคินแอบซ่อน จนเมื่อพบกรงเล็บแกร่งจึงฟาดทำลายอุปกรณ์นั้นโดยเร็ว พร้อมเตรียมตัวตั้งรับการจู่โจมระลอกใหม่ที่กำลังจะมา

    “เป็นความสะเพร่าของผมเองเอทอส ที่พลาดปล่อยคนมารบกวนเวลานอนของคุณ” น้ำเสียงเรียบนิ่งจากผู้มาใหม่ถึงกับทำให้หนึ่งมนุษย์และปีศาจที่กำลังสู้ห้ำหั่นหยุดชะงัก ซึ่งเพียงชั่วอึดใจเจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาในวงปะทะ พลางใช้นัยน์ตารัตติกาลดำมืดอันตรายประเมินสถานการณ์

    “ถ้ารักชีวิตตัวเองก็อาศัยโอกาสนี้หนีไปซะ! แล้วอย่ากลับมาอีก”

    เอทอสรีบเข้าขวางคู่ครองเป็นเชิงห้ามสิ่งที่มนุษย์คิดจะทำ ก่อนตะโกนไล่นักล่าปีศาจที่มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ทว่าเพราะประมาทว่าโนอาร์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาคงไม่กล้าทำอะไร จึงไม่ทันระวังเข็มฉีดยาที่พุ่งปักเข้ากลางหัวไหล่หนา และกว่าปีศาจจะรู้ตัวยาในหลอดก็ถูกกดเข้าไปในร่างยักษ์จนหมดเสียแล้ว

    “จะ... เจ้า...” เสียงทุ้มต่ำพยายามฝืนกายเอ่ยถามมนุษย์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ขณะที่เรี่ยวแรงพละกำลังทั้งหมดคล้ายเหือดหายรวดเร็ว พร้อมความรู้สึกที่ร่างกายตัวเองนั้นหนักอึ้งจนแทบทรงตัวไม่ไหว
    “นอนนะครับ พอพรุ่งนี้คุณตื่นขึ้นมาผมรับรองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

    ชายเลือดเย็นขับกล่อมปีศาจพลางเข้าประคองร่างยักษ์ที่เริ่มซวนเซด้วยฤทธิ์ของยาสลบ ก่อนจะพานอนราบกับพื้นดินเมื่อเอทอสจมลงสู่ห้วงนิทราอย่างสมบูรณ์ โดยทุกการกระทำนั้นถูกภาคินเฝ้าสังเกตพร้อมคิดแผนรับมือ เพราะหากจะสู้กับโนอาร์ตรง ๆ ก็เป็นเรื่องเสียแรงเปล่าเนื่องจากอีกฝ่ายมีคำสาปคุ้มครอง หากจะพุ่งเป้ากำจัดต้นตอคำสาปก็จำต้องฝ่าโนอาร์เช่นกัน เห็นดังนั้นก็คงมีเพียงต้องอาศัยช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้โนอาร์ชะงักแล้วใช้โอกาสนั้นสังหารปีศาจให้ตายภายในครั้งเดียว และเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขา เพราะอุปกรณ์สำหรับหยุดความเคลื่อนไหวโนอาร์ชั่วเวลาหนึ่ง เขาได้พกติดตัวมาด้วย

    “ฉันจะไม่หยุดจนกว่าปีศาจสุดที่รักนายจะตาย ส่วนนายก็จะไม่หยุดจนกว่าจะทำลายชีวิตฉันจนสิ้นซาก ใช่ไหม?” นักล่าปีศาจกล่าวหยั่งเชิงพลางเดินวนรักษาระยะดูท่าที ทว่าคู่สนทนากลับยังคงยืนนิ่งไม่ทิ้งห่างร่างไร้สติของปีศาจ
    “รู้ไหม ไอ้ปีศาจเลวนั่นมันทำอะไรกับครอบครัวฉันไว้บ้าง ความจริงเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย-”
    “รู้” คำตอบขัดเรียบสั้นถึงกลับทำให้คนกำลังพูดชะงัก
    “ไม่ใช่แค่รู้ แต่เห็นกับตาตอนนักล่าปีศาจนั่นโดนเอทอสฟาดกรงเล็บใส่จนตัวปลิวไปกระแทกกำแพงคอหักตาย กับผู้หญิงโง่ที่ไม่ระวังหลังแล้วก็ถูกเพื่อนเอทอสกระซวกตายไปอีกคน เสียดาย... น่าจะตายไปพร้อมผู้หญิงนั้นซะให้มันจบ ๆ”

    ภาคินได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่โนอาร์เล่าเป็นฉาก ๆ อย่างกับอยู่ในเหตุการณ์จริง ทว่าสิ่งที่ไม่อยากเชื่อยิ่งกว่าคือการที่อีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าปีศาจนั่นทำเลวอะไรไว้  แต่ก็ยังคิดเข้าข้างไม่ลืมหูลืมตา

    “ทั้งที่รู้ขนาดนั้นแต่ก็ยัง... เหอะ.. ไม่น่าล่ะปีศาจนั่นถึงได้หวงนายนักหนา ที่แท้ก็เชื่องแบบนี้นี่เอง!”
    “พรึบ! ปัง!!!!”

    สิ้นคำนักล่าปีศาจ ระเบิดแสงปลดสลักก็ถูกโยนมาตรงหน้าโนอาร์ ฉับพลันเกิดแสงสว่างวาบพร้อมเสียงดังสนั่นไม่ทันให้ตั้งตัว ภาคินอาศัยช่วงจังหวะโอกาสเพียงครั้งเดียววิ่งฉีกไปอีกด้านก่อนสะบัดแส้ดาบใส่ร่างปีศาจที่นอนสงบนิ่งไร้การป้องกัน เพื่อหมายปลิดชีพตามแผนการ

    “ฉัวะ!!!”

    ใบมีดคมตัดสะบั้นหลอดเลือดกลางลำคอ เป็นผลให้ของเหลวข้นสีแดงมากมายพลันพุ่งทะลักจากปากแผลกว้างและอีกไม่นานคงสิ้นลม ทว่าสิ่งที่กล่าวมิได้เกิดขึ้นกับร่างยักษ์ผู้นอนนิ่งไม่รู้เรื่องราว แต่กลับเป็นตัวนักล่าปีศาจเองซึ่งบัดนี้พยายามใช้ฝ่ามืออุดห้ามเลือดตกลำคอด้วยความตกใจระคนสับสน สายตาตื่นตระหนกกวาดมองหาต้นตอ ก่อนจะพบโนอาร์ที่ขณะนี้มายืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ทั้งที่ตอนขว้างระเบิดเขาก็ทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายพอสมควร

    “อะ... อั่ก... อาก...” นักล่าปีศาจล้มทรุดนั่งในท่าคุกเข่าเนื่องจากเสียเลือดและขาดอากาศ พยายามส่งเสียงอึกอักคล้ายต้องการเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าก็ไม่อาจเข้าใจได้
    “พลั่ก!! ตุบ!”

    ร่างอ่อนแรงของภาคินถูกถีบกลางแผ่นหลังจนล้มคะมํากระแทกพื้น ก่อนผู้กระทำจะเดินวนรอบพลางมองด้วยสายตาสมเพชรังเกียจ การกระทำดังกล่าวชวนให้ภาคินนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งก็ใช่อย่างที่คิดเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเฉลยด้วยตนเอง

    “ตามลำดับที่เอทอสโดนคือทำลายสิ่งสำคัญ คุกเข่า ล้มลงนอน ต่อไปคือเดินวนพร้อมด่าว่าถากถางให้เจ็บใจ”
    “…”
    “คงไม่มีอะไรให้พูดมากนอกจาก นายคือตัวซวยสร้างหายนะ ที่บริษัทล้มก็เป็นเพราะไม่ยอมเลิกระรานเอทอส ที่พ่อตายก็เพราะมีคนมาขัดตอนเอทอสกำลังร่ายคำสาปช่วยชีวิต และคนขัดก็คือผู้หญิงแส่ไม่เข้าเรื่อง ถ้าถามว่าเกี่ยวอะไร? คงต้องตอบว่าเป็นเพราะเด็กโง่คนหนึ่งที่พาแม่ตัวเองมาตาย”
    “…”
    “และล่าสุดก็ลากหนึ่งในครอบครัวปลอม ๆ ที่อุตส่าห์ไล่ไปไกลมาตายอีกคน สมเป็นตัวซวยที่ทำหน้าที่ได้ยันวินาทีสุดท้าย”

    ถ้อยคำถากถางจบลงพร้อมปลายเท้าเจ้าของคำพูดหยุดอยู่เบื้องหน้าคนชวนจะสิ้นใจ สัมผัสเหนอะของบางสิ่งซึ่งหล่นกระทบหลังมือ เรียกสายตาฝ้าฟางที่ชวนจะมืดดับให้เพ่งมอง ก่อนวินาทีต่อมาความรู้สึกของนักล่าปีศาจจะดิ่งวูบ เมื่อสิ่งที่เห็นคือเศษนิ้วขาดวิ่น ใบหูเลอะเลือด และลูกตาไร้แววที่จำได้ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเป็นของใคร

    “อะ.. อากก!.... อะ!..”

    เสียงร้องขัดขาดคล้ายสื่อถึงจิตใจอันแหลกละเอียด ฝ่ามืออ่อนแรงพยายามบีบกำระบายความคับแค้นเกินทน ทว่ากลับถูกฝ่าเท้าของผู้กระทำเรื่องต่ำช้าเกินอภัยบรรจงเหยียบบดขยี้มือนั้นกับเศษชิ้นเนื้อ สัมผัสความเหนอะของลูกตาที่โดนเหยียบจนบี้เละติดผิวมือต่อหน้าต่อตา ยิ่งฉุดกระชากความรู้สึกแตกสลายให้ดำดิ่ง หยาดน้ำตาเจ็บช้ำไม่อาจฝืนกลั้นทะลักลงผสมกับแอ่งโลหิตข้นคลั่กจากลำคอที่เจิ่งนองเต็มพื้นดินสกปรกไม่ต่างจากบ่อโคลนเลือด

    “ตะเกียกตะกายร้องแบบนี้ สงสัยคงไม่ต้องเตือนความจำว่าเป็นหนึ่งในพ่อบ้านหน้าโง่ ที่ขนาดโดนแล่กำลังจะตายปากยังส่งเสียงร้องถาม คุณภาคิน คุณภาคิน หึ... น่าสังเวช”
    “..อะ...อาก...”
    “หมดแรงแล้วเหรอ แต่อย่ารีบตาย เผื่อเวลาไว้ให้ทรมานต่อเหลือเฟือ”

    ฆาตกรเอ่ยพลางกดน้ำหนักลงไปที่เท้าซึ่งกำลังเหยียบขยี้ฝ่ามือคนข้างใต้ ปล่อยเวลาแห่งความรวดร้าวให้เคลื่อนผ่านทีละน้อยจนคล้ายถูกยืดขยายเป็นอนันต์ ทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมานเหมือนตกอยู่ในขุมอเวจีทั้งเป็นในช่วงวาระสุดท้าย กระทั่งสัมผัสได้ว่าร่างตรงหน้าเริ่มนิ่งชาไม่รับรู้สิ่งใดอีก น้ำในหลอดแก้วที่เตรียมไว้จึงถูกหยิบออกมาเทราดกลางศีรษะนักล่าปีศาจ และไม่นานน้ำที่หลงเหลือในหลอดก็เปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้า พร้อมกับลมหายใจของภาคินที่หยุดลง

    หลังสำเร็จโทษทัณฑ์นักล่าปีศาจเป็นที่เรียบร้อย โนอาร์จึงหันกลับไปสนใจร่างยักษ์ที่ยังคงหลับสนิทไม่รับรู้สิ่งใด ค่อย ๆ พยุงประคองร่างหนาหนักกลับเข้าไปในบ้านพักทรงไทยประยุกต์ สักพักหนึ่งจึงหวนกลับมาอีกครั้งพร้อมเหล่าอุปกรณ์กำจัดเศษซากไร้ชีวิต



    ในเช้าวันรุ่งขึ้น ณ บ้านสวนร่มรื่นแถบชนบทของอดีตนักล่าปีศาจอาวุโสนั้นตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย เนื่องจากนักล่าปีศาจฝึกหัดซึ่งทำหน้าที่ดูแลรับใช้นักล่าปีศาจอาวุโสพบกล่องพัสดุขนาดใหญ่วางอยู่หน้าบ้าน ทว่าเรื่องที่น่าตกใจคือกล่องพัสดุดังกล่าวมีเลือดมากมายไหลออกมาจนทำให้ตัวกล่องเริ่มเปื่อยยุ่ย โดยหลังแจ้งเรื่องกับเจ้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย อดีตนักล่าปีศาจอาวุโสจึงสั่งให้เหล่าลูกศิษย์เปิดกล่องซึ่งก็พบกับภาพสยดสยองชวนหดหู่ด้านใน ภาพของศพมนุษย์ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ยัดอัดอยู่ในกล่อง และดูเหมือนผู้กระทำจงใจให้จำได้ถึงตั้งใจวางส่วนศีรษะไว้บนสุด นักล่าปีศาจฝึกหัดบางคนได้เห็นใบหน้าซีดไร้เลือดนั้นก็พลันจำได้ทันทีว่าเป็นรุ่นพี่นักล่าปีศาจที่ชื่อภาคิน
    ซึ่งนอกจากเศษชิ้นส่วนอวัยวะมากมายแล้วในกล่องยังได้แนบจดหมายเปื้อนเลือดฉบับหนึ่ง ที่เขียนข้อความสั้น ๆ แต่กลับทำให้ทุกคนที่ได้อ่านล้วนรู้สึกเย็นยะเยือกหนาวสันหลังไปตามกัน

    ‘ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนของเล่นชิ้นนี้ สัญญาอะไรไว้ ก็จำให้ขึ้นใจ’
    


บท33 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน



    สวัสดีครับ คนอ่านเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ส่วนคนเขียนตอนนี้กำลังผจญกับโปรเจคตัวสุดท้าย คนเขียนกำลังจะเรียนจบในเดือนหน้าแล้วครับ ทำให้ไม่ค่อยเหลือเวลาว่างมากเท่าไรนัก แต่คนเขียนจะพาเอทอสโนอาร์จบไปพร้อมคนเขียนให้ได้ครับ


    สัญญาในตอนท้ายที่พูดถึงของบทนี้ เป็นสัญญาที่เอทอสทำข้อตกลงกับกลุ่มนักล่าปีศาจในบทที่ 14 ดูแล ว่าจะต่างคนต่างอยู่ครับ แต่ในเรื่องคนอ่านจะสังเกตว่ามีอยู่คนเดียวที่ดื้อดึงไม่สนใจ คน ๆ นั้นก็คือภาคินครับ ซึ่งหลังภาคินแล้วก็เหลือแค่วรรษ กับวิธีแก้มนตร์มืดกำหนดวันตายของเอทอส จะแก้ด้วยวิธีไหนยังไง คาดว่าอีกไม่เกิน 2-3 ข้างหน้า คนอ่านจะได้รู้ไปด้วยกันแล้วครับ รวมถึงเป็นการปิดจากเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์     
    (เนื่องจากเขียนหายไปนานบวกกับ2-3บทก่อนหน้าเป็นการเล่าอดีต อาจทำให้คนอ่านลืมรายละเอียดตอนก่อน ๆ ไป คนอ่านสามารถย้อนกลับไปอ่านทบทวนก่อนได้นะครับ แต่ใครขี้เกียจอ่านคนเขียนจะสรุปสั้น ๆ ในส่วนที่สำคัญให้คำคือ ตอนนี้สีครามกำลังอมทุกข์ครับเพราะถูกสังคมตีตราว่าเป็นคนไม่ดีเพราะมีพี่ชายหนีคดี ยิ่งกว่านั้นสีครามยังโดนมังกรใช้เข็มฉีดอะไรสักอย่างเข้าไปในร่างตามคำสั่งโนอาร์ ซึ่งความจริงมังกรก็ไม่อยากทำเท่าไรครับ แต่ในบทนี้โนอาร์ได้ให้ของขวัญกับมังกร ของขวัญนั้นจะทำให้มังกรปฎิบัติตัวกับสีครามเปลี่ยนไปหรือไม่ สามารถติดตามได้ในบทหน้าครับ)




วาด: devil-nutto

    อันนี้คือภาพปกนิยายเรื่องนี้แบบฉบับสมบูรณ์ครับ ส่วนตัวคนเขียนคือปลื้มปริ่มมากครับ โนอาร์กับเอทอสพอได้กลายเป็นภาพเห็นรูปร่างหน้าตาแล้วรู้สึกหัวใจเฟื่องฟูมากเลยครบ^^ แล้วคนอ่านล่ะครับมีความคิดเห็นหรือชอบอย่างไรกันบ้าง?
    (คนอ่านสามารถดูภาพปกนิยายแบบเต็ม ๆ ไม่มีลายน้ำได้ที่เว็บ ReadAwrite กับ Fictionlog น่ะครับ พิมพ์หาชื่อนิยาย Homicide : รับจ้างฆาตกรรม ได้เลย)

 

   คนเขียนรู้ความผิดของตนเองดีจึงไถ่โทษคนอ่านด้วยการ เขียนบทเสริม ความจริง ที่รวบรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเอทอสโนอาร์ที่อาจไม่มีกล่าวไว้ในเนื้อเรื่องมาให้ครับ ขอบคุณครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2021 01:20:29 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    บทนี้เป็นการรวมข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเอทอสและโนอาร์ที่บางอย่างอาจไม่ได้กล่าวในเนื้อเรื่องจำนวน 100 ข้อ(โนอาร์ 50, เอทอส 50)

    โนอาร์
1. โนอาร์ ใช้ ร์ เป็นความติสท์ส่วนตัวของคนเขียน
2. โนอาร์ตอนต้นเรื่องอายุ 26 และตอนจบเรื่องอายุ 27
3. โนอาร์สูง 186 ซม. หนัก 70 กก. (BMI: 20.23 หากอยู่ในเรื่องอื่นโนอาร์เป็น ‘เมะ’ อย่างแน่นอน)
4. โนอาร์เป็นไซโคพาธ(Psychopaths) โดยกำเนิด
5. โนอาร์เป็นไบเซ็กชวล(Bisexual) และเป็นฝ่ายรุก (จนมาเจอเอทอส)
6. จากข้อ 5 โนอาร์ยอมอยู่ด้านล่างเอทอส เพราะขนาดตัวและรูปร่างเอทอสสูงใหญ่กว่าจนโนอาร์จินตนาการภาพตัวเองเป็นฝ่ายกดเอทอสไม่ออก และคิดว่าเอทอสคงไม่ยอมถูกกดด้วยเช่นกัน (โนอาร์คิดถูก)
7. เอทอสจัดได้ว่าเป็นรักแรกพบของโนอาร์
8. หากให้บอกสิ่งที่ชอบมาหนึ่งอย่าง โนอาร์จะตอบว่าเอทอส
9. ถ้าตัดเรื่องนิสัยชอบฆ่า/ทรมานคนออกไป โนอาร์ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน (การใช้ความคิด ทำอาหาร เล่นกีฬา ต่อสู้ วาดรูป ร้องเพลง พูดโน้มน้าว เล่นดนตรี ฯลฯ)
10. โนอาร์เป็นตัวละครที่คนเขียนไม่อยากให้มีอยู่ในชีวิตจริง เพราะอันตรายเกินไป
11. โนอาร์มักจะหาเวลาหรือชวนเอทอสกินข้าวอยู่บ่อย ๆ เป็นอิทธิพลมาจากคำพูดของดรีมสมัยที่โนอาร์ยังเด็ก (ในบทที่ 31 นักฆ่า)
12. โนอาร์ชอบมองเหยื่อเป็นของเล่น เพราะติดมาจากอาทิตย์ที่เอาเกมยิงเป้ามาให้โนอาร์เล่น โดยเป้าเหล่านั้นคือคนที่พยายามวิ่งหนีตาย
13. ลึก ๆ โนอาร์มองอาทิตย์เป็นพ่อ
14. จนถึงทุกวันนี้โนอาร์เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่ามีดที่เอทอสเคยให้ แท้จริงทำมาจากกระดูกของพ่อแม่เอทอสเอง และหลังรู้ที่มา โนอาร์ไม่เคยเอามีดเล่มนั้นมาใช้อีกเลย
15. โนอาร์ค่อนข้างสนใจในพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของนาวา แต่ก็เกลียดเสียงเจื้อยแจ้วของนาวาไม่แพ้กัน
16. โนอาร์ชอบใส่ชุดสูท เพราะสามารถแอบซ่อนอาวุธได้เยอะ
17. ค่าจ้างขั้นต่ำที่โนอาร์ตกลงรับเป็นเลขเกือบ 8 หลักเสมอ
18. ของอันดับหนึ่งที่โนอาร์ชอบเสียเงินจ่ายคือ อาวุธ
19. งานอดิเรกของโนอาร์หากไม่ออกไปดับชีวิตใคร มักจะนำเหล่าอาวุธขึ้นมาเช็ดขัดทำความสะอาด และจัดเข็มขัดอาวุธใหม่
20. จากข้อ 19 เข็มขัดอาวุธในแต่ละวันของโนอาร์จึงมีอาวุธไม่ค่อยซ้ำกัน แต่หลัก ๆ ที่จะมีเสมอคือมีดสั้น, ปืน และมีดที่เอทอสให้
21. โนอาร์ชอบใช้มีดมากกว่าปืน
22. แทบทุกครั้งที่โนอาร์ทำรักกับเอทอส มักจบลงด้วยการที่โนอาร์ผล็อยหลับคาอ้อมกอด เนื่องจากสู้พลังเอทอสไม่ไหว
23. จากข้อ 22 แม้ว่าโนอาร์จะโดนเอทอสดุใส่ทั้งคืน แต่โนอาร์กลับไม่เคยล้มป่วย
24. หากเอทอสเอ่ยปาก ไม่ว่าอะไรโนอาร์สามารถหามาให้ได้ทุกอย่าง
25. หากไม่จำเป็นจริง ๆ โนอาร์จะไม่ขัดคำสั่งเอทอส
26. หากโนอาร์ไม่เจอเอทอส โนอาร์อาจใช้ชีวิตนักฆ่าโสด ๆ ไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตนไปตลอดชีวิต
27. ส่วนของร่างกายเอทอสที่โนอาร์ชอบที่สุดคือดวงตา รองลงมาคือแผงอกกว้างที่ได้นอนหนุนทุกคืน
28. โนอาร์เป็นคนนอนน้อยและตื่นง่าย
29. ในสายตาโนอาร์คนรอบข้าง(คนสวน ศิลา นาวา ลุงสมัย ฯลฯ) เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของเอทอส
30. โนอาร์ชอบเอทอสในร่างปีศาจมากกว่าร่างมนุษย์
31. โนอาร์เรียบจบเพียงมัธยมต้น
32. โนอาร์สามารถพูดอ่านได้หลายภาษา เนื่องมาจากมีหลายครั้งที่ได้รับงานมาจ่ากต่างชาติ
33. การตามเอทอสไปทำงานและช่วยดูแลสวนรฦกวัลย์ ทำให้โนอาร์รับงานว่าจ้างน้อยลงอย่างมาก จนผู้ว่าจ้างบางคนคิดว่าโนอาร์โดนเก็บไปแล้ว
34. ความจริงโนอาร์มีศัตรูรอบด้าน เพียงแค่ไม่มีใครกล้าริอ่านยุ่งหรือลองดี
35. โนอาร์เคยร้องไห้ครั้งเดียวในชีวิตคือ ตอนที่รู้ว่าเอทอสยอมสละหลายสิ่งเพื่อรักษาชีวิตของเขา(บทที่ 26 ล่วงรู้)
36. วิธีการพูดและรอยยิ้มมุมปาก โนอาร์ได้มาจากอาทิตย์
37. โนอาร์ลืมนัสไปแล้ว(ลูกน้องเพียงคนเดียวของอาทิตย์ที่ไม่โดนวิสามัญ และคอยเลี้ยงโนอาร์ตอนเด็ก) แต่นัสที่ปัจจุบันยังอยู่ในเรือนจำไม่เคยลืมโนอาร์
38. จินเห็นโนอาร์เป็นเพื่อน แต่โนอาร์มองจินเป็นเหมือนตัวหมากสารพัดประโยชน์
39. ครั้งหนึ่งโนอาร์เคยให้จินหาของที่ทำให้มองเห็นวิญญาณได้ เพื่อให้เขาสามารถช่วยจับวิญญาณมาให้เอทอสกิน แต่สุดท้ายก็ถูกเอทอสสั่งห้าม
40. นอกจากอาวุธ โนอาร์ยังแอบพกถุงยางกับเจลหล่อลื่นแบบซอง เผื่อในกรณีที่เขาแกล้งยั่วเอทอสจนปีศาจสติหลุด
41. เมื่อไรก็ตามที่โนอาร์พูดลงท้ายด้วย ‘ครับ’ กับเอทอส แสดงว่าโนอาร์กำลังแก้ไขความเข้าใจผิด หรือพยายามปิดปังอะไรบางอย่าง
42. โนอาร์ไม่มีอาหารที่ชอบเป็นพิเศษ แต่หากต้องบอกโนอาร์จะตอบชื่อเมนูที่เอทอสชอบกิน
43. โนอาร์ไม่สูบบุหรี่ (เอทอสก็เช่นกัน)
44. โนอาร์สามารถทนต่อความเจ็บปวดและอาการบาดเจ็บได้มากกว่าคนทั่วไป
45. โนอาร์สามารถคาดเดาความคิดหรือมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เพราะความรักและความเป็นห่วงที่มากเกินพอดีทำให้หลายครั้งโนอาร์มองเจตนาของเอทอสไม่ขาด และลงเอยด้วยการถูกเอทอสปั่นหัวแกล้งอยู่บ่อย ๆ
46. จากข้อ 44 หากคนทำไม่ใช่เอทอส คน ๆ นั้นจะเหลือชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นวัน
47. พันธะครองคู่ที่ต้องใช้เลือดเพิ่มถึงจะสำเร็จ โนอาร์ได้คำแนะนำมาจากปีศาจหนุ่มบาร์เทนเดอร์
48. จากสิ่งแลกเปลี่ยนในพิธีพันธะครองคู่ ทำให้อายุขัยของโนอาร์หายไปครึ่งหนึ่ง หากบอกลบอายุปัจจุบันตอนจบเรื่องโนอาร์จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกประมาณ 10-12 ปี
49. หลังออกปากว่าจะไม่ยุ่งกับสีคราม โนอาร์สั่งให้จินถอนทำลายมนตร์มืดแทนที่จะเอากระสอบทรายกลับมา เพราะกลัวว่าเอทอสจะผิดสังเกตแล้วยิ่งโกรธที่เขายืมมือนาวามาทรมานสีคราม
50. ในวันสุดท้ายของชีวิตที่ไม่ปรากฏในเรื่อง โนอาร์กับเอทอสจะหลับใหลและจากไปอย่างสงบภายใต้อ้อมกอดของกันละกันในบ้านพักทรงไทยประยุกต์ โดยคนที่มาพบคือนาวา



    เอทอส
1. เอทอส มาจากชื่อภูเขาแอทอส(Athos) อยู่ทางตอนเหนือของประเทศกรีซ
2. หนึ่งในแรงบันดาลใจในการออกแบบรูปลักษณ์ร่างปีศาจของเอทอสมาจากตัวละคร The Oni จากเกม dead by daylight
3. เอทอสในร่างมนุษย์สูง 199 ซม. หนัก 110 กก. ส่วนในปีศาจสูง 220 ซม. หนัก 135 กก.
4. หากเอทอสไม่เจอโนอาร์ อาจอยู่โสดๆ ไปอีกเป็นร้อย ๆ ปี (อาจลองคบกับสีคราม แต่สุดก็เลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้) (อายุขัยปีศาจมักอยู่ระหว่าง 500-1000 ปี)
5. หากไม่มีภาระหน้าที่ดูแลสวน เอทอสถือได้ว่าเป็นเพลย์บอยพอสมควร ไม่คิดลงหลักปักฐานกับใครทั้งสิ้น (จนกระทั่งมาเจอโนอาร์)
6. จากข้อ 5 มีเพียงศิลากับลุงสมัยที่รู้จักนิสัยลับ ๆ ด้านนี้ของเอทอส และนั่นทำให้ลุงสมัยตกใจมากจนหลงเชื่อโนอาร์ทันทีทีที่รู้ว่า เอทอสพาโนอาร์เข้าไปอยู่ในบ้านพักทรงไทยประยุกต์ (ในบทที่ 7 กินข้าว, เอทอสหวงบ้านพักทรงไทยประยุกต์มาก และไม่เคยพาคู่นอนหรือใครคนไหนเข้าบ้าน)
7. ถึงก่อนหน้าเจอคู่ครองจะเป็นยังไง แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจเมื่อมีความรักและเลือกคู่แล้ว จะไม่มีทางวอกแวกเหลียวมองใครอีก เอทอสก็เช่นกัน
8. เอทอสหลงรักโนอาร์จริง ๆ คือตอนที่โนอาร์ตามหาเอทอสจนพบว่าหลบอยู่ในถ้ำ โนอาร์ที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง ไร้ท่าทีรังเกียจแม้แต่ตอนนั้นเอทอสจะเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะและกลิ่นคาวเลือด (ในบทที่ 12 ตามหา)
8. และด้วยเหตุนี้ในช่วงต้นถึงกลางเรื่อง เอทอสจึงพยายามเลี่ยงแม้จะโดนโนอาร์แกล้งยั่วยวนอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าหากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วไม่เกิดสัญลักษณ์ครองคู่ นั่นหมายถึงเอทอสเองที่ยังรู้สึกรักได้ไม่เท่าโนอาร์
9. หนึ่งในตราบาปที่ยังติดอยู่ในใจลึก ๆ ของเอทอสคือ การที่ไม่สามารถปกป้องโนอาร์ได้ (ในบทที่ 14 ดูแล โนอาร์เข้าโรงพยาบาลครั้งแรกและเอทอสบอกว่าจะดูแล แต่สุดท้ายโนอาร์ก็เข้าโรงพยาบาลอีกและเกือบถึงขั้นเสียชีวิตในบทที่ 19-20)
10. ส่วนมากคำสัญญาไม่ฆ่าใครที่เอทอสพูดถึงและพยายามรักษา เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับอนันต์ ไม่ใช่ที่ตกลงกับกลุ่มนักล่าปีศาจในบทที่ 14
11. ฝีมือการทำอาหารของเอทอสเป็นแบบสุ่ม บางครั้งรสชาติกินได้ บางครั้งก็กินไม่ได้ (ส่วนใหญ่กินไม่ได้)
12. เอทอสมองนาวาเสมือนลูกหลาน เพราะเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นทารกไม่หย่านม
13. เอทอสมองศิลาเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง(อายุเท่ากัน) และอยากให้ศิลาไม่ต้องเรียกเขาว่านายหรือมีคุณนำหน้า แต่ศิลากลับปฏิเสธ
14. เอทอสตอนต้นเรื่องอายุ 36 และตอนจบเรื่องอายุ 37
15. เอทอสชอบวัดมนุษย์จากกลิ่นอายวิญญาณ ถ้าบริสุทธิ์จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่หากชั่วร้ายจะปล่อยผ่านไม่สนใจ แม้คน ๆ นั้นกำลังจะตายต่อหน้าก็ตาม (โนอาร์ถือเป็นข้อยกเว้น)
16. หนึ่งในข้อจำกัดของคำสาปเอทอสรวมถึงปีศาจตัวอื่น ๆ คือ ไม่สามารถร่ายใส่ตัวเองได้
17. สิ่งที่เอทอสชอบที่สุดในตัวโนอาร์คือ กลิ่นอายวิญญาณ
18. จากข้อ 17 ทำให้เอทอสมักลอบสูดกลิ่นอายวิญญาณของโนอาร์ตอนที่โนอาร์เผลออยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้อีกเหมือนในบทที่ 15 ต้อนรับ
19. เรื่องบนเตียงของเอทอสค่อนข้างดุ รุนแรง และตะกละ จึงมักจบลงด้วยการที่โนอาร์สลบคาอ้อมกอด และเอทอสก็คอยเช็ดตัวทำความสะอาดให้
20. จากข้อ 19 หากระหว่างกิจกรรมโนอาร์ดันหมดสติไปก่อน เอทอสจะหยุดไม่เห็นแก่ตัวตักตวงความสุขต่อคนเดียว
21. อีกหนึ่งความสำราญของเอทอสคือการแกล้งหยอกโนอาร์ให้หงุดหงิดเล่น
22. ลึก ๆ แล้วเอทอสชอบเห็นตามตัวโนอาร์เต็มไปด้วยรอยกัดและรอยสีกุหลาบที่เขาเป็นผู้กระทำ
23. เอทอสหวังว่าสักวันหนึ่งโนอาร์จะเลิกละจากทุกสิ่งที่เป็นอยู่ และหันมาใช้ชีวิตสงบสุขช่วยเขาดูแลสวนด้วยกัน
24. เอทอสชอบอาหารทุกอย่างที่โนอาร์ทำ แต่กลับไม่เคยเอ่ยปากชมสักครั้งเดียว
25. เอทอสต้องกินวิญญาณสัปดาห์ละประมาณ 40-50 ดวง
26. เอทอสกินวิญญาณอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณสัตว์หรือพืช แต่วิญญาณมนุษย์ให้พลังงานมากที่สุด
27. อาหารของมนุษย์ ช่วยเอทอสบรรเทาความอยากกินวิญญาณได้นิดหน่อย
28. ถึงจะหิววิญญาณจนเกือบตาย เอทอสก็ไม่มีทางสติหลุดทำร้ายใคร เนื่องจากถูกฟอเรสเคี่ยวเข็ญมาอย่างดี
29. เวลาเอทอสเขินหรือโดนโนอาร์ยั่วจนอยากกอด ดวงตาเอทอสมักกลับเป็นสีแดงเลือดนกเองโดยไม่รู้ตัว
30. หากเลือกได้ เอทอสอยากอยู่และใช้ชีวิตในร่างปีศาจ
31. ในร่างปีศาจเอทอสจะสวมเพียงกางเกงทรงหุ้มเกราะโบราณที่สามารถปรับเปลี่ยนขนาดตามผู้สวมใส่ได้เอง  โดยเอวาผู้เป็นแม่ทำให้
32. ถึงจะแกล้งทำหน้านิ่ง ๆ หรือแสดงสีหน้าเหม็นเบื่อ แต่เอทอสชอบทุกครั้งที่ได้ฟังโนอาร์บอกรักเขา
33. เอทอสติดนิสัยบ้างานมาจากอนันต์ ทำให้หลายครั้งไม่ยอมปลีกเวลาพักกินข้าว และเป็นโนอาร์ที่มาแก้นิสัยด้านนี้ของเอทอส (ในบทที่ 7 กินข้าว)
34. ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เอทอสเลือกเรียนบริหาร เพื่อจบมาจะได้มาช่วยอนันต์กับฟอเรสดูแลสวน
35. เอทอสมีความเป็นแพนเซ็กชวล(Pansexuality)
36. ความสามารถในการรับรู้ถึงวิญญาณของเอทอสคือรัศมีประมาณ 500 เมตรรอบตัว และหากมีสมาธิและตั้งใจอาจรู้สึกได้ไกลถึง 1500-2000 เมตร
37. พละกำลังและความเร็วของเอทอสเหนือกว่ามนุษย์ แต่ยามต้องสู้มักจะออมแรงไว้เสมอเพราะกลัวจะพลั้งมือฆ่าโดยไม่ตั้งใจ (เป็นความรู้สึกติดค้างข้างในใจช่วงสมัยวัยรุ่น, ในบทที่ 32 เอทอส)
38. เพลิงสีดำของเอทอสสามารถจุดเผาวิญญาณในระยะสายตาได้ทันที แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตต้องใช้กรงเล็บสร้างบาดแผลกับเป้าหมายก่อนถึงจะจุดไฟเผาได้
39. คำพูดที่เอทอสมักได้ยินจากโนอาร์เป็นประจำทุกวันคือ อรุณสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ และผมรักคุณ
40. หากวันไหนที่เอทอสตื่นก่อนหรือโนอาร์หลับไปก่อน เอทอสจะแอบบอกอรุณ/ราตรีสวัสดิ์ และจูบหน้าผากโนอาร์โดยไม่ให้มนุษย์รู้ตัวอยู่เสมอ
41. เวลาเอทอสนอนกอดโนอาร์ เอทอสเปรียบโนอาร์เสมือนหมอนข้าง
42. ยามว่างหากไม่มีงานหรือต้องทำอะไร เอทอสมักใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือพลางดมกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากตัวโนอาร์
43. ในหนึ่งสัปดาห์จะมีหนึ่งวันที่เอทอสไม่ไปสวน เอทอสตั้งใจใช้วันนั้นออกไปไล่จับวิญญาณกิน
44. สีหน้าของโนอาร์ที่เอทอสชอบที่สุดคือ สีหน้ายามหลุดมาดนิ่ง ๆ ส่งเสียงครางหวานใต้ร่างของเขา
45. ครั้งหนึ่งตอนเดินห้าง เอทอสอยากมีมุมเท่ ๆ โชว์ความสุภาพบุรุษช่วยโนอาร์บ้าง ดังนั้นช่วงที่โนอาร์กำลังเอื้อมหยิบของบนชั้นวางสูง ๆ เอทอสจึงจะอาสาหยิบให้ แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เอ่ยเสนอตัว โนอาร์ก็หยิบของลงมาใส่รถเข็นแล้ว (โนอาร์สูง 186 จะมีอะไรที่โนอาร์หยิบไม่ถึง?)
46. หากมีปาฏิหาริย์ เอทอสอยากมีลูกกับโนอาร์
47. พินัยกรรมที่เอทอสเขียนคือจะยกบ้านพักทรงไทยประยุกต์และทรัพย์สินเงินเก็บทั้งหมดให้โนอาร์ ส่วนสวนรฦกวัลย์จะให้ศิลาดูแลต่อ
48. หลังพิธีพันธะครองคู่ เอทอสสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารหรือวิญญาณอีกต่อไป ทว่าก็ยังนั่งกินข้าวทุกมื้อพร้อมโนอาร์เหมือนเดิม
49. นิสัยชอบช่วยเหลือมนุษย์จิตใจดีจนดูสนิทสนมมากเกินไป และทำให้อีกฝ่ายหลงเข้าใจผิดคิดไปไกล เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของเอทอส ซึ่งโนอาร์นิยามว่าเป็นนิสัยเจ้าชู้บริสุทธิ์
50. เอทอสแท้จริงนั้นขี้หึงไม่น้อย แต่เพราะโนอาร์เป็นประเภทที่ว่าหากไม่ใช้เอทอสก็คิดเหลียวแล นิสัยด้านนี้เลยแทบไม่ได้แสดงออกมา



บทเสริม สมบูรณ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2021 17:04:22 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(เนื้อหาก่อนหน้า คลิก)
ส่วนนี้เป็นเนื้อหาของบทที่ 2 ขอบคุณนะครับ พอดีคนเขียนปรับแก้ภาษาแล้วมันเกินจำนวนคำเลยต้องแบ่งเนื้อมาตรงนี้อีกทีหนึ่งครับ คนอ่านที่ไล่อ่านมาเรื่อยและอ่านบทที่2มาแล้ว สามารถข้ามได้เลยครับ


   รถยนต์สีดำขลับวิ่งด้วยความเร็ว พุ่งตรงไปสถานที่เป้าหมาย ของเล่นฆาตกรประจำค่ำคืนนี้เป็นหญิงวัยกลางคน ในแวดวงสังคมเป็นแม่พระใจงาม เปิดมูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้า เบื้องหลังเป็นแม่เล้าค้ามนุษย์ ส่งผู้เคราะห์ร้ายไปขายบริการทั้งในและนอกประเทศ
   ผู้ว่าจ้างเขาเป็นบิดาของหนึ่งในเหยื่อน่าสงสาร ถูกลักพาลูกสาวหายนานหลายปี กว่าจะได้พบกัน แก้วตาดวงใจก็กลายเป็นคนวิกลจริตในโรงพยาบาล ที่น่าเศร้ากว่าคือหล่อนติดเชื้อ HIV ในระยะที่ทำได้เพียงประคองอาการไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากกว่าเก่าเท่านั้น
    ผู้เป็นพ่อหัวใจสลาย พยายามเอาผิดคนกระทำทุกวิถีทาง สุดท้ายเรื่องก็เงียบหาย จึงต้องหันมาพึงคนจากโลกมืดอย่างเขา ช่วยส่งคนเลวทรามไปใช้กรรมในนรก

    ปกติแล้วเขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องราวมากมายเช่นนี้ แค่ประวัติพอรู้กิจวัตรของเหยื่อ กับรูปแบบงานที่ผู้ว่าจ้างต้องการก็เพียงพอแล้ว แต่ที่ต้องตามสืบเป็นเพราะจะได้เก็บวิญญาณให้ถูกใจปีศาจ และดูเหมือนของเล่นเขาครั้งนี้จะผ่านเกณฑ์


    รถสีดำขลับจอดอำพรางริมถนน เฝ้าคอยให้ของเล่นออกมาจากงานเลี้ยงหรู จนกระทั้งเวลาเกือบสี่ทุ่ม รถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวป้ายแดงคันเป้าหมายเคลื่อนผ่านหน้า รถสีดำในมุมมืดขับตามไปทันที

    บนทางเปลี่ยวยามค่ำคืน คนขับและเลขาที่นั่งคู่กัน จับสังเกตรถด้านหลังซึ่งขับตามมาตลอดตั้งแต่ออกจากงานเลี้ยง พยายามเลี้ยวสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด คนขับเริ่มเร่งเครื่องเร็วขึ้น ส่วนเลขาหันกลับไปบอกนายหญิงพลางหยิบปืนข้างตัวออกมา

    “คุณหญิงครับ มีคนขับรถตามเรามาครับ กรุณาก้มตัวออกห่างจากกระ-”
    “เพล้ง! ว้าย!”
    “เอี๊ยด!!!”

    พูดยังไม่ทันจบประโยค เกิดเสียงกระจกแตกจากทางด้านหลังพร้อมเลือดกระเด็นทั่วฝั่งคนขับ รถเสียการควบคุมกะทันหัน เลขาที่นั่งคู่กันพยายามควบคุมพวงมาลัยสุดความสามารถ แต่สุดท้ายรถก็ชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง

    “คุณหญิงครับ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เลขาถามนายด้านหลังโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง
    “ฉัน.. ฉันไม่เป็นไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

    เจ้านายถามกลับอย่างตื่นตระหนก เหลือบมองคนขับที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย สภาพศีรษะแหลกละเอียดเนื่องด้วยแรงกระสุนชนิดพิเศษ เป็นภาพสยดสยองจนต้องรีบหันหนี

    “เราถูกลอบยิงครับ”
    “แกก็จัดการอะไรสักอย่างซิ!!”

    คนโดนสั่งรีบกดโทรศัพท์เรียกกำลังเสริม พลางใช้สายตาสอดส่องนอกตัวรถหาตัวคนร้ายไปด้วย

    “คุณหญิงถูกลอบยิง รีบส่งคนมาที่-”
    “มันอยู่ข้างหน้า! ระวัง!! กรี๊ดด!!”

    ขณะเลขามัวแต่ระวังด้านหลังซึ่งมีรถคันสีดำจอดอยู่ ไม่ทันสังเกตเงาเคลื่อนไหวของใครบางคนใกล้เข้ามา กว่าคุณนายจะร้องเตือน เมื่อเห็นแสงสะท้อนของปลายกระบอกปืน ลูกกระสุนก็เจาะทะลุกะโหลกเลขา เสียชีวิตคาที่ตามคนขับไปอีกคน
    คุณหญิงรีบหยิบโทรศัพท์ที่ตกกระเด็นหวังขอความช่วยเหลือ การกระทำนั้นผิดมหันต์ เพราะแสงไฟจากหน้าจอเป็นตัวชี้เป้าให้มือปืนเล็งยิงได้สะดวกขึ้น

    “ช่วย- กรี๊ด!!!!”

    มือที่กำลังเอาโทรศัพท์แนบหู ถูกแรงกระสุนฉีกกระชากเป็นแผลเหวอะหวะ พร้อมกับเครื่องมือสื่อสารที่แตกกระจาย สะเก็ดกระสุนทำลายใบหูและบริเวณข้างเคียง ส่งผลให้เลือดไหลเยิ้มลงมาถึงลำคอ

    “งานเซอร์ไพรส์ประทับใจหรือไม่ครับ คุณผู้หญิง” เสียงของชายคนหนึ่งพร้อมประตูด้านหลังถูกเปิดออก
    “แกะ.. แกเป็นใคร” ผู้ผ่านประสบการณ์เฉียดตาย เอ่ยถามมือปืนเสียงเหนื่อยอ่อนแผ่วเบา เนื่องจากเสียพลังทั้งหมดไปกับเหตุการณ์เมื่อครู่
    “สารถีคนใหม่ครับ”

    สิ้นเสียงผู้มาเยือน หญิงเคราะห์ร้ายถูกกระชากผมสวยออกจากตัวรถ พาไปทางรถอีกคันที่จอดห่างไม่ไกล เสียงร้องเพราะความเจ็บปวดทั้งจากผมที่ถูกดึง ทั้งจากมือเหวอะเศษชิ้นเนื้อแกว่งไปมาตามแรงเดิน ไม่ว่าจะส่งเสียงดังเท่าไรก็ไร้คนช่วย เนื่องด้วยบริเวณนี้เป็นทางเปลี่ยว ยิ่งช่วงค่ำมืดดึกดื่น ไม่มีใครผ่านมาแน่นอน
    เมื่อมาถึงรถ ร่างเล็กถูกจับยัดใส่กระโปรงหลัง ก่อนเจ้าของจะเดินไปทางฝั่งคนขับ พาผู้โดยสารไปส่งจุดหมายสุดท้ายของชีวิต


    “ติ้ง!”

    เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ พร้อมข้อความที่ทำให้เจ้าของขมวดคิ้วแน่น เป็นข้อความส่งมาจากเซนเซอร์เมื่อประตูบ้านถูกงัดแงะ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกตื่นเต้นกับข้อความนี้ เพราะนั่นแสดงว่ามีคนเสนอตัวเป็นของเล่นให้เขา แต่มันไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่มีปีศาจอาศัยอยู่
    หลังแสงจากหน้าจอมือถือมืดดับลง รถคันสีดำเลี้ยวหันกลับโดยทันที พุ่งตรงกลับบ้านด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าครั้งไหน



    บริเวณห่างจากบ้านหลังโดดเดี่ยวไม่ไกล มีคนสี่คนแต่งกายอำพรางใบหน้ามิดชิด ลงมาจากรถคันเก่า เดินมาหยุดอยู่หน้ารั้วบ้านเป้าหมาย

    “มึงดูลาดเลาไว้ ส่วนมึงสองคนไปกับกู” หัวหน้าสั่งลูกน้อง ก่อนปีนนำเข้าไป

    ตัวบ้านมืดเงียบเชียบไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต คนสามคนหยุดอยู่หน้าประตู สองคนช่วยกันสะเดาะกลอน ส่วนอีกคนยืนคุมเชิง

    “ได้ยัง?” หัวหน้าเอ่ยถามเมื่อเวลาผ่านไปสักพักแล้ว
    “แป๊บลูกพี่ มันใช้ลูกบิดโคตรดี แงะยากชิบหาย...”
    “แกร๊ก! ได้แล้วลูกพี่”

    ประตูถูกเปิดออกกว้าง มีหัวหน้าเดินนำเข้าไป ภายในบ้านประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โซฟาหรู ทีวีจอยักษ์ติดข้างฝา โคมไฟสวยห้อยจากเพดาน ขนาดโต๊ะกินข้าวยังเป็นหินอ่อนเงาวาว
    หัวหน้าโจรเดินสำรวจรอบบ้านจนพอใจ ก่อนสั่งให้ลูกน้องขนของมีค่าออกไปให้หมด ส่วนลูกน้องอีกคนให้ตามขึ้นไปชั้นสอง

    ชั้นบนของบ้านประกอบด้วยสองห้องอยู่ติดกัน ตกลงแยกกันไปคนละห้อง หัวหน้าเลือกเข้าห้องใกล้บันได ส่วนลูกน้องเขาห้องที่อยู่ข้างกัน

    ประตูห้องถูกเปิด หัวหน้าโจรเดินเข้ามา ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เข้าชุด โดยรวมเหมือนห้องนอนทั่วไป แต่ที่สะดุดตาคือตู้เซฟข้างโต๊ะทำงาน ลองสำรวจคร่าวๆ เป็นตู้เซฟระบบสแกนลายนิ้วมือและรหัสผ่านหกตัว ซึ่งนั่นหาใช่ปัญหา

    มือโจรหยิบมีดพกก่อนค่อยๆ เลาะกรอบใต้ปุ่มกดออก พบช่องเสียบกุญแจฉุกเฉินสำหรับไขยามระบบตู้เซฟเกิดขัดข้อง พวงกุญแจออกแบบมาเพื่อใช้โจรกรรมโดยเฉพาะถูกหยิบมาจากกระเป๋าคาดเอว สับเปลี่ยนตัวลูกกุญแจอยู่สองสามครั้งตู้เซฟก็ถูกปลดล็อก
    ด้านในไม่ได้ซ่อนเงินสด เครื่องเพชร หรือของมีค่าอื่นใดอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นกล่องปืนสั้นพร้อมอุปกรณ์เสริม กับกล่องลูกกระสุนอย่างดีหลากหลาย มีแม้กระทั้งกระสุนชนิดพิเศษอำนาจทำลายล้างสูง เพราะหลังตัวกระสุนกระทบเป้าหมายจะระเบิดตัวออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ กระจายสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ทำให้ผู้ที่ถูกกระสุนชนิดนี้ยิงอาการสาหัส หรืออาจถึงขั้นพิการและเสียชีวิตได้ภายในนัดเดียว

    หลังเห็นของในตู้เซฟหัวหน้าโจรเริ่มสังหรณ์ใจว่าเจ้าของบ้านอาจไม่ใช่คนธรรมดา...

     แล้วยังไง

    ถึงพวกนี้จะเป็นอาวุธ แต่ล้วนเป็นของหายากและมีราคาสูงลิ่วไม่ต่างจากเครื่องประดับเพชรพลอย หัวหน้าโจรเลือกปืนมาหนึ่งกระบอก พร้อมบรรจุกระสุนอันตรายใส่แม็กกาซีนเรียบร้อย ก่อนเหน็บไว้ด้านหลัง พลางเริ่มทยอยนำทุกอย่างจากตู้เซฟลงกระเป๋าที่เตรียมมา แล้วจึงลุกขึ้นสำรวจส่วนอื่นๆ ของห้องต่อ

    ขณะที่หัวหน้าโจรกำลังก้มรื้อหาของมีค่าในลิ้นชัก กระจกหน้าโต๊ะสะท้อนร่างเงาสูงใหญ่ด้านหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพลันสบกับนัยน์ตาสีเลือดนกเรืองแสงราวกับดวงตาของสัตว์ป่า หัวขโมยสะดุ้งตกใจ กระโดดถอยหนีไปตั้งหลัก

    “เหี้ยอะไรวะ!”

    สิ่งนั้นค่อยๆ หันมาทางโจร ก่อนพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมกรงเล็บที่ง้างฟาดลงมารวดเร็ว

    “เฮ้ย!! ตุ้บ!”

    โจรเอี้ยวตัวหลบได้หวุดหวิด แต่ก็ล้มลงพื้น ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น กรงเล็บเมื่อครู่ก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอ บีบแน่นจนสำลักอากาศ ก่อนค่อย ๆ ถูกยกขึ้นจนร่างลอยด้วยมือข้างเดียว



    ทางด้านโจรคอยดูลาดเลาอยู่หน้าบ้าน พบแสงไฟรถยนต์กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ จึงรีบวิ่งเข้าไปบอกพรรคพวกด้านใน

    “มึงๆ ไอ้เจ้าของบ้านมันกลับมาแล้ว”
    “ไหนมึงบอกว่ามันออกจากบ้านทีกลับเช้าตลอดไง”
    “กูก็ไม่รู้ เอาไงบอกลูกพี่ไหม”
    “เออๆ กูไปบอกเอง ส่วนมึงไปซุ่มลอบจัดการมัน”

    เมื่อตกลงกันได้ สองโจรแยกกันทำตามแผน คนหนึ่งแอบรอเจ้าของบ้านอยู่หลังประตู ส่วนอีกคนวิ่งขึ้นบ้านไปรายงานหัวหน้า

    รั้วบ้านเลื่อนเปิดอัตโนมัติ พร้อมรถสีดำขลับเลี้ยวเขาจอดอย่างรวดเร็ว ไฟบ้านทั่วทั้งหลังสว่างขึ้นทันที เจ้าของรถหยิบกระสุนขึ้นมาห้านัด โดยแต่ละลูกถูกนำจุ่มลงในหลอดทดลองไม่ซ้ำกัน แล้วจึงบรรจุใส่แม็กกาซีนอย่างคล่องแคล้ว และเมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม เพชฌฆาตผู้โดนลูบคมจึงเปิดประตูรถลงไปหาพวกที่ริอ่านยุ่งท้าทายไม่รู้เวลา

    ฆาตกรเดินเข้ามาในตัวบ้าน พลางใช้นัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นมองดูเหล่าข้าวของที่ถูกรื้อค้นเละเทะกระจัดกระจาย กระทั่งดวงตาดำมืดเห็นเงาสะท้อนผ่านกระจกหน้าต่าง เงาของคนรนหาที่ซึ่งกำลังย่องมาหาเขาจากทางด้านหลังพร้อมมีดพกเงาวาว

    “พรึบ!”

    ฉับพลันเจ้าบ้านอันตรายหมุนกลับหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมปลายกระบอกปืนติดอุปกรณ์เก็บเสียงจ่อเข้ากลางหน้าผากโจร หัวขโมยผู้ถูกตลบหลังได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก สบประสานกับนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดซึ่งเป็นภาพสุดท้ายในชีวิต ก่อนวินาทีถัดมาทุกสิ่งจะจบลงด้วยเสียงลั่นไกพิพากษาแผ่วเบา

    “ปุ-”
    “เหี้ยย!!!”

    ร่างสังเวยลูกกระสุนล้มหงายหลังไร้ซึ่งโอกาสส่งเสียงอ้อนวอน เลือดจากศีรษะไหลนองพื้นแผ่ขยายไปตามเบื้องเยียบเย็น เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่เสียงร้องตกใจผสานเสียงตึงตังจากด้านบนดังขึ้น ไม่นานตัวต้นเสียงก็วิ่งลงมาชั้นล่างด้วยสีหน้าตื่นกลัว ก่อนจะชนเข้ากับฆาตกรที่กำลังย่างสามขุมขึ้นชั้นบนอย่างจัง

    “ปุ!” พลันเสียงลั่นไกสังหารปลิดชีพ ได้ส่งอีกหนึ่งร่างไร้วิญญาณไถลล้มกองตรงสุดปลายของบันได
    “ปัง!!! ปัง!!”
    “ปัง!!”

    เสียงปืนดังสนั่นจากชั้นบนถึงกับทำให้จังหวะหัวใจสุขุมเยือกเย็นคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วอึดกาล ก่อนจะสั่นไหวรุนแรงด้วยความกังวลต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิด เสียงฝีเท้าฆาตกรรีบวิ่งไปยังด้านบนดังสลับกับเสียงจังหวะหัวเยือกแข็งที่กำลังกู่ร้อง
    เมื่อเข้าไปในห้องต้นตอเสียง ภาพร่างยักษ์นอนจมกองเลือดนิ่งงันไม่เคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าฟาดผ่ากลางร่างโนอาร์จนแทบชาไร้ความรู้สึก นัยน์ตารัตติกาลดำมืดตวัดมองตัวการซึ่งกำลังหอบหายใจเหนื่อยอย่างอาฆาต ยิ่งเห็นคนบังอาจแตะต้องสิ่งสำคัญเตรียมจ่อยิงปีศาจซ้ำ ปลายกระบอกฆาตกรก็พลันเล็งไปยังหัวหน้าโจรโดยสมองไม่ต้องสั่งการ

    “ปุ! อ๊ากกกกก!!!!”

    กระสุนดีดตัวออกจากลำกล้องพุ่งทะลุผ่านมือโจรที่จับปืนอย่างจัง พลังทำลายฉีกกระชากฝ่ามือเป้าหมายขาดเป็นแผลเหวอะหวะชวนขนลุก ตัวปืนถูกทำลายเสียหายหล่นกระเด็นห่างไปไกล พร้อมเจ้าบ้านผู้แผ่รังสีอํามหิตเยียบเย็นเดินตรงปรี่เข้าไปถีบหัวหน้าโจรจนล้มคะมำ ฝ่าเท้าหนักพลันยกกระทืบกลางอกคนข้างใต้เต็มแรงจนอีกฝ่ายจุกส่งเสียงร้องไม่ออก เพียงครู่ปลายกระบอกปืนเสริมอุปกรณ์เก็บเสียงก็จ่อเล็งไปยังหน้าตื่นตกใจของโจรลองดี

    “ปุ! ปุ! แกร๊ก!!”

    ลูกตะกั่วแสกหน้าเจาะทำลายผิวกะโหลก ส่งผลให้หยาดเลือดผสมมันสมองสาดกระเซ็นเลอะรองเท้าและชายกางเกงผู้สำเร็จโทษ ทว่าเท่านี้สำหรับโนอาร์ยังไม่อาจสาสมกับความผิด แต่เนื่องจากเหลือเวลาไม่มากเจ้าบ้านจึงต้องจัดลำดับความสำคัญรีบผละออกจากเศษซากใต้เท้า ก่อนเข้าไปประคองร่างปีศาจที่หายใจรวยริน แผลบนกลางอกแกร่งกว้างที่เพิ่งสมานหาย ยามนี้กลับเกิดแผลใหม่สาหัสกว่าเดิม เลือดมากมายไหลทะลักเจิ่งนองไม่ยอมหยุด ภาพตรงหน้าพลันให้มนุษย์นึกถึงคำพูดที่ปีศาจเคยว่าไว้ ดังนั้นเหล่าหลอดแก้วในกระเป๋าจึงถูกเทกองเต็มพื้น โนอาร์เลือกหยิบเฉพาะหลอดที่ภายในบรรจุของเหลวสีฟ้า ก่อนดึงจุกกั้นออกแล้วเทกรอกเข้าริมฝีปากซีด เพื่อให้ปีศาจดื่มกินวิญญาณรักษาร่างกาย

    จวบจนกระทั่งหมดสิ้น สภาพอาการปีศาจก็ยังคงไม่ดีขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ฆาตกรหลุดความสุขุมกระวนกระวายหนัก ความคิดซับซ้อนยากคาดเดาพยายามนึกหาหนทางช่วยเหลือปีศาจผู้เป็นที่รัก ฉับพลันภาพใบหน้าหวาดหวั่นของคุณหญิงของเล่นในค่ำคืนนี้ก็ปรากฏชัดในความทรงจำ เช่นนั้นชายหนุ่มที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดปีศาจส่งกลิ่นคาวคลุ้ง จึงรีบคว้าหลอดแก้วหนึ่งที่ภายในยังคงใสบริสุทธิ์วิ่งลงชั้นล่างก่อนตรงไปเปิดกระโปรงหลังรถ ฆาตกรไม่คิดเสียเวลาปล่อยให้เหยื่อพักหอบหายใจจากการขาดอากาศ มือชุ่มเลือดรีบเปิดจุกหลอดแก้วเทของเหลวใส่ร่างเป้าหมาย เมื่อเรียบร้อยผมสลวยของคุณหญิงจึงถูกกระชากดึงออกมา

    “กรี๊ดดด!!!!” เสียงร้องบาดแหลมเจ็บปวดราวกับไม่มีวันไปถึงเพชฌฆาต เพราะนัยน์ตารัตติกาลของผู้กระทำที่เหลือบมองกลับไร้ซึ่งความเห็นใจ กระทั่งส่วนคอของคุณหญิงพาดอยู่ระหว่างบานกระโปรงรถ ทันใดนั้นมือของอีกข้างของชายใจบาปก็พลันดึงฝากระโปรงรถปิดอย่างแรง
    “ตึง!! กร๊อบ!!!!”

    ฝากระโปรงทำหน้าที่เสมือนกิโยติน ฟาดสับเข้ากลางคอเหยื่อจนได้ยินเสียงกระดูกแตกละเอียด ร่างคุณหญิงผู้น่าเศร้าในสภาพถูกฝากระโปรงหลังรถหนีบคอหักผิดรูป ได้แต่ชักกระตุกเกร็งอย่างน่าสังเวชก่อนไม่นานจะแน่นิ่งสิ้นใจพร้อมกับของเหลวในหลอดแก้วที่ค่อย ๆ กลายเป็นสีฟ้า ทว่าคนกระทำเรื่องโหดร้ายหาได้รู้สึกอาวรณ์เหลียวแลแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังรีบวิ่งกลับขึ้นชั้นบนเพื่อเอาอีกหนึ่งดวงวิญญาณไปสังเวยปีศาจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนึ่งชีวิตสูงศักดิ์ในสังคมโลกสว่างที่เพิ่งจบลงนั้น แท้จริงมิได้มีค่าสลักสําคัญหรืออยู่เหนือกฎเกณฑ์ใด ๆ เลย

    หลังปีศาจได้กินวิญญาณดวงสุดท้ายที่หาได้ ของเหลวสีแดงเข้มกลับยังคงไหลรินไร้ทีท่าว่าจะหยุด ร่างยักษ์จมกองเลือดหายใจแผ่วไม่ดีขึ้น ชายเลือดเย็นไม่ยอมรับว่าเขานั้นได้หมดสิ้นหนทางช่วยเหลือ ความคิดดำมืดสุดหยั่งจึงหวนรำลึกถึงคำกล่าวทีเล่นทีจริงของปีศาจ

    ‘เจ้าอยากให้ข้าหายหนิ ยอมเป็นอาหารให้ข้าไหมล่ะ’

    เช่นนั้นฝ่ามืออาบเลือดจึงหยิบลูกกระสุนหนึ่งนัดจากกระเป๋าบรรจุใส่ตัวปืน หยิบหลอดแก้วใสข้างกายเปิดจุกออกแล้วเทราดใส่ตัวเอง ก่อนจะนำส่วนที่เหลือจ่อปากปีศาจเตรียมไว้ พร้อมปลายกระบอกปืนกดเข้ากลางขมับ ...และกดลั่นไก

    “ยะ... อย่า...” กรงเล็บแหลมพยายามเอื้อมคว้าปลายกระบอกปืน ส่งเสียงอ่อนล้าบางเบาเรียกสติมนุษย์สิ้นคิด



    เช้าวันนี้ สำนักข่าวชื่อดังเล่าเหตุการณ์น่าสยดสยองซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน ข่าวแรกเป็นคุณหญิงผู้อุปถัมภ์มูลนิธิเด็กกำพร้า ถูกฆาตกรรมรถไฟทับร่าง หลังกลับจากงานเลี้ยงการกุศล เศษชิ้นส่วนตกกระจายทั่วบริเวณ ที่เกิดเหตุพบเอกสารหลักฐานสำคัญว่าผู้ตายมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ยังพบแผนที่ตั้งแหล่งกบดานหลายแห่ง คาดว่าเป็นฝีมือของหนึ่งในเหยื่อแค้นที่ถูกลวงไปค้าประเวณี
    ส่วนอีกข่าวเป็นเหตุไฟไหม้บ้านหลังหนึ่งในเขตชานเมือง จากการตรวจสอบพบศพสี่ศพ บริเวณห้องนั่งเล่นหนึ่งศพ ตรงบันไดหนึ่งศพ ห้องนอนใหญ่หนึ่งศพ และห้องนอนเล็กหนึ่งศพ สามศพแรกถูกกระสุนปืนยิงทะลุศีรษะ ส่วนศพสุดท้ายอยู่ในสภาพสมบูรณ์นอนคว่ำหน้า กำปืนติดตั้งลำกล้องเก็บเสียงในมือขวา คาดว่าอาจเป็นโจรขึ้นบ้านตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัว นำไปสู่การยิงกันเอง ประจวบกับเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลให้คนร้ายถูกไฟคลอกเสียชีวิต ในตอนนี้เจ้าของบ้านยังไม่แสดงตัว มีความเป็นไปได้สองทางคือยังไม่ทราบข่าว หรืออาจโดนโจรร้ายจับตัวไป

    เหตุการณ์สะเทือนขวัญทั้งสอง ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในคืนเดียว ทางเราขอให้ตำรวจสามารถจับตัวฆาตกรได้โดยเร็ว แม้คนร้ายอาจมองได้ว่าเป็นฮีโร่ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ให้หลุดพ้นจากวังวนมืด แต่เมื่อกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนเรื่องของคุณเจ้าของบ้านไฟไหม้ ทางเราขอภาวนาให้คุณเจ้าของบ้านปลอด-

    “ติ้ด!”

    เสียงของผู้ประกาศข่าวขาดหาย เมื่อโทรทัศน์ถูกกดปิด ก่อนตามด้วยเสียงปิดประตู ทั้งห้องกลับสู่ความเงียบงันอ้างว้างดังเดิม



    ‘ต้องการฝากอะไรถึงผู้รับไหมครับ’
    ‘นี่ครับ หลักฐานเอาผิดทั้งหมดที่ผมรวบรวมได้ แต่ไม่สามารถใช้เรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกผมได้เลย’


    “ขอบคุณครับ คุณโนอาร์”


บท2 สมบูรณ์

ออฟไลน์ yumyai_fishery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอหนังสือนะคะ กดf5 รัวๆ ทุกวัน รอเรื่องนี้อัพ เป็นกำลังใจให้ผู้ดขียนนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด