รถยนต์คันหรูขับเข้าหมู่บ้านจัดสรรในเวลาหัวค่ำ ก่อนหยุดอยู่หน้ารั้วใหญ่ของบ้านหลังหนึ่ง ไม่นานคนดูแลบ้านก็วิ่งมาเปิดประตูให้รถของเจ้านายขับเข้าไป ภาคินสูดอากาศเข้าเล็กน้อยหลังจอดรถในตำแหน่งประจำ พลางมองรอยแผลบริเวณหน้าผากที่เพิ่งได้รับมาเมื่อช่วงเช้า เมื่อพร้อมจึงดับเครื่องยนต์และออกไปหาเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านที่คอยยืนรอต้อนรับ
“ตายแล้ว! คุณภาคินเกิดอะไรขึ้นคะ?!”
เสียงแม่บ้านคนหนึ่งร้องถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นคุณหนูของตนกลับมาพร้อมกับรอยแผลอีกแล้ว ซึ่งนั่นตรงกับปฏิกิริยาที่ชายผมเงินคาดการณ์ไว้ ภาคินได้แต่เพียงยิ้มตอบเล็กน้อยให้กับเหล่าสายตาหลายคู่ที่มองเขาด้วยความเป็นห่วง ก่อนเอ่ยตอบคำถาม
“ผมซุ่มซ่ามไม่ดูทางเลยเดินชนป้ายเข้าน่ะครับ”
“ให้หมอลองตรวจดูหรือยังครับคุณภาคิน ถ้ายังให้ผมเรียกคุณหมอให้ไหมครับ” พ่อบ้านอาวุโสคนหนึ่งถามต่อ
“เรียบร้อยแล้วครับ ได้ยามาทานด้วย ขอบคุณครับ”
คุณหนูที่บัดนี้เป็นชายหนุ่มตอบพร้อมโชว์ถุงยาให้ดู ก่อนกล่าวขอบคุณตบท้าย ส่งผลให้เหล่าคนที่เสมือนเป็นครอบครัวของเขาพอเบาใจ แล้วจึงชวนกันเข้าบ้านพักหลังใหญ่อบอุ่น
เมื่อเดินมาถึงส่วนของห้องทานอาหาร บนโต๊ะกินข้าวล้วนเต็มไปด้วยมื้อค่ำของโปรดชายผมเงิน ทุกจานชามยังคงมีควันขาวลอยอ่อนพร้อมกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง บ่งบอกว่าอาหารเหล่านี้เพิ่งเตรียมเสร็จ สำหรับรอต้อนรับการกลับมาของเจ้าบ้านโดยเฉพาะ
“มีแต่ของน่าทานทั้งนั้นเลย ขอบคุณครับ”
ภาคินกล่าวขอบคุณด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม พร้อมนั่งลงตรงหัวโต๊ะเพียงลำพัง ท่ามกลางเหล่าที่เก้าอี้ว่างเปล่ารายล้อม แม้เขาจะเคยชวนให้เหล่าผู้ดูแลบ้านหลายครั้งให้มาทานร่วมกัน แต่สุดท้ายมักถูกปฏิเสธกลับเสียงแข็งเสมอ เนื่องเพราะความไม่เหมาะสมที่ลูกน้องจะนั่งเสมอนาย ถึงเขาจะย้ำว่าเห็นทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันและไม่เคยถือสาเรื่องเหล่านั้นเลยก็ตาม
“งั้นคุณภาคินต้องทาน เยอะ ๆ เลยนะคะ”
แม่บ้านผู้รับผิดชอบส่วนมื้ออาหารตอบกลับพร้อมรอยยิ้มดีใจ พลางคดข้าวสวยร้อนหอมกลิ่นที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ ๆ ลงบนจานด้านหน้าชายผมเงิน ภาคินค้อมหัวขอบคุณเล็กน้อยก่อนเริ่มทานมื้อเย็นรวบมื้อกลางวัน เสียงชมรสชาติไม่ขาดปากดังขึ้นตลอดมื้ออาหาร ก่อเกิดบรรยากาศอบอุ่นเล็ก ๆ ในบ้านพักหลังใหญ่ แม้บทบาทระหว่างกันจะเป็นเพียงเจ้านายและข้ารับใช้ ทว่าในความรู้สึกของทุกคนล้วนผูกพันแน่นแฟ้น ไม่ต่างจากคนในครอบครัวร่วมสายเลือด
“คุณภาคินครับ เพื่อนคุณภาคินมาขอพบครับ ตอนนี้กำลังรอในห้องรับแขก”
พ่อบ้านคนหนึ่งกลับเข้ามารายงานที่ห้องอาหาร หลังปลีกตัวไปดูคนที่มากดกริ่งเมื่อครู่ เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มลุกออกจากโต๊ะทานข้าวพอดี ได้ยินดังนั้นภาคินจึงขอให้พ่อบ้านเชิญเพื่อนคนนั้นไปรอเขาที่ห้องทำงาน ส่วนเขาหลังจากช่วยแม่บ้านเก็บจานชามเรียบร้อยค่อยตามไป ซึ่งแน่นอนว่าแม่บ้านที่ได้ฟังต่างพากันปฏิเสธ และบอกให้คุณหนูของตนรีบไปพบเพื่อนเผื่อมีเรื่องด่วน ทว่าครานี้ชายผมเงินกลับยืนยันหนักแน่น พร้อมอ้างว่าหากมัวแต่ค้าน เพื่อนของเขาก็จะยิ่งรอนาน สุดท้ายเหล่าแม่บ้านจึงได้แต่ปล่อยให้คุณหนูทำตามใจ
“แกร๊ก!”
“พานักล่าปีศาจฝึกหัดไปด้วยแบบพลการ แล้วยังสร้างเรื่องอีก รู้สึกว่านายจะทำอะไรตามใจเกินไปไหม ภาคิน”
เพื่อนร่วมงานในฐานะนักล่าปีศาจด้วยกัน กล่าวขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามา เหตุการณ์ความวุ่นวายในโรงพยาบาลเมื่อช่วงกลางวัน กระจายไปทั่วในหมู่นักล่าปีศาจ ลำบากองค์กรต้องช่วยทำให้เรื่องเงียบ เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของกลุ่มนักล่าปีศาจในอนาคต โซคดีที่พวกนักล่าปีศาจฝึกหัดที่ถูกพาไปไม่ได้เป็นอะไร มิเช่นนั้นบทลงโทษที่เขาเอามาบอกคงได้หนักหนากว่านี้แน่
“ที่พาไปเพราะอยากให้พวกนั้นได้ลองปฏิบัติ และอีกอย่างประเมินแล้วว่าปลอดภัย เพราะปีศาจเสแสร้งอย่างมันต้องไม่กล้าทำอะไรกลางฝูงชน”
“แต่รีบเกินจนลืมเช็กอาการนักฆ่าที่ปีศาจเฝ้า ก็เลยหัวแตกกลับมา”
“…”
เพื่อนนักล่าปีศาจช่วยต่อประโยค พลางเหลือบมองรอยแผลตรงหน้าผากชายผมเงินเล็กน้อย ส่วนคนถูกเหน็บแนมก็ได้แต่นิ่งเงียบยอมรับความสะเพร่าของตน เห็นดังนั้นเพื่อนนักล่าปีศาจจึงยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ ก่อนเอ่ยเข้าเรื่องที่เขามาในวันนี้
“เวลามีข่าวเกี่ยวกับปีศาจนั่นนายชอบทำอะไรพลการเกินจำเป็น อย่างเรื่องเมื่อนานมาแล้วที่นายใส่ไฟจนมีนักล่าปีศาจหลายคนเชื่อ ถึงขั้นเริ่มแผนการกำจัดทั้งที่ปีศาจตนนั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ตัดไฟทิ้งซะตั้งแต่ต้นลม ไม่ดีกว่าหรือไง” ภาคินเอ่ยแย้ง แววตาแข็งกร้าวยืนยันความคิดของตน
“แล้วเรื่องสอดแนมที่นายอาสาทำ แต่กลับเอาไปใช้หาเรื่องปีศาจ กับเรื่องในโรงพยาบาลเมื่อกลางวันนี้ นายจะแก้ตัวยังไง”
“…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ยอมตอบ เพื่อนนักล่าปีศาจจึงกล่าวต่อ
“จากหลายเรื่องที่นายทำ กลุ่มนักล่าปีศาจเลยลงความเห็นว่า ต่อจากนี้นายห้ามทำงานที่เกี่ยวข้องกับปีศาจตนนั้นอีกทุกกรณี"
“ไม่มีทาง!! ไม่ว่ายังไงมันต้องตายด้วยมือฉัน! ให้สาสมกับความระยำของมัน ความผิดของปีศาจที่ฆ่ามนุษย์คือต้องถูกกำจัด ฉันก็กำลังลากมันมารับโทษที่มันเคยทำอยู่นี่ไง แล้วทำไมพวกนายถึงเอาแต่คอยปกป้องมัน!!”
ภาคินโต้กลับด้วยความโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความเครียดแค้นที่สั่งสมเป็นเวลานาน บรรยากาศดาลเดือดล้อมรอบกายต่างจากช่วงที่อยู่กับเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านราวกับเป็นคนละคน ไม่มีใครเคยรู้ว่าอีกด้านหนึ่งของนักธุรกิจหนุ่มมากความสามารถ แท้จริงกลับเก็บซ่อนภูเขาไฟคุกกรุ่นพร้อมประทุตลอดเวลา มีเพียงกลุ่มนักล่าปีศาจเท่านั้นที่รับรู้ถึงมุมนี้ของชายผมเงินจนคุ้นชิน จึงทำให้การพูดตอบของเพื่อนนักล่าปีศาจยังคงน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม
“นายจะคิดยังไงก็ช่าง แต่อย่าลืมว่ากลุ่มนักล่าปีศาจเรามีเกียรติ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรตามใจชอบ และเราคงไม่ปล่อยให้เกียรติถูกทำลายเพียงเพราะใครบางคนที่คุมอารมณ์ไม่อยู่” เพื่อนนักล่าปีศาจกล่าวพลางเดินไปหน้าประตูเมื่อหมดธุระ
“…”
“ส่วนเรื่องโทษที่ปีศาจทำร้ายผู้คุมวิญญาณ ฉันจะทำต่อเองอย่าได้ห่วง ระหว่างนี้นายก็เอาเวลาไปนั่งเขียนรายงานชี้แจงกลุ่มนักล่าปีศาจกับทบทวนความผิดตัวเองแล้วกัน ภาคิน”
ผู้มาเยือนยามค่ำจากไปพร้อมแนะนำทิ้งท้าย ปล่อยให้คนที่กำลังคุกกรุ่นจมดิ่งอยู่ในห่วงอารมณ์โทสะที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมาเพียงลำพัง
ณ ห้องผู้ป่วยโรงพยาบาลที่มีบุคคลอันตรายพักรักษาตัวอยู่ บ่ายวันนี้คล้ายดูคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อศิลากับนาวาเป็นตัวแทนของเหล่าคนงานมาเยี่ยมให้กำลังใจคนรักของนายใหญ่ เสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากจากเด็กวัยรุ่นพูดเก่ง กลบบรรยากาศอึมครึมแสดงถึงความรำคาญของผู้ป่วยบนเตียงไม่มีเหลือ ถึงแม้โนอาร์จะพยายามทำหูทวนลมหรือแม้กระทั่งใช้สายตาข่มขู่อ้อม ๆ ก็ดูจะไม่มีผลกับเด็กคนนี้เลย จนสุดท้ายชายเลือดก็จำต้องทนฟังเสียงน่ารำคาญของนาวาต่อไปอย่างช่วยไม่ได้
โดยช่วงจังหวะหนึ่งโนอาร์ลองส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากปีศาจผู้เป็นที่รัก ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือนัยน์ตาดุสีอำพันแฝงความขบขัน และนั่นทำให้เขารู้ทันทีว่า ตัวการที่พาความวุ่นวายเข้ามาในห้องพักแสนสงบสุข ก็คือร่างสูงใหญ่ของเจ้าของสวนที่กำลังนั่งคุยงานกับเลขาตรงโซฟา
“นี่พี่โนอาร์ ช่วงที่พี่ยังไม่ฟื้นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่อาเอทอสเอามาปลูกออกดอกแล้วนะ ผมเก็บมาฝากให้พี่โนอาร์ด้วยดูสิ สีน้ำเงินอมม่วงสวยมาก ขนาดผมเป็นพวกเฉย ๆ กับดอกไม้นะ เห็นครั้งแรกยังชอบเลย”
นาวาพูดพลางโชว์ดอกกล้วยไม้ที่เพิ่งจัดใส่แจกันเสร็จให้คนบนเตียงดู แม้รูปร่างลักษณะตัวดอกจะไม่เหมือน แต่สีสันนั้นกลับคล้ายคลึงชวนให้นึกถึงดอกไม้ที่ชายเลือดเย็นเคยให้เป็นของขวัญปีศาจ ส่งผลให้คนบนเตียงเริ่มมีท่าทีสนใจ ก่อนรับแจกันที่มีดอกไม้นั้นมาถือเองเพื่อจะดูได้ถนัด ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เด็กวัยรุ่นเผลอเข้าใจว่าการชวนคุยของตนสำเร็จแล้ว จึงรีบสาธยายที่มาของดอกไม้ และนั่นทำให้นายใหญ่ของสวนที่กำลังคุยงานอยู่ไม่ไกล เผลอชะงักไปเล็กน้อย
“ดอกกล้วยไม้เนี่ยอาเอทอสหวงมากเลยนะพี่โนอาร์ ไม่ยอมให้ขาย แล้วยังให้ลุง ๆ ป้า ๆ ช่วยดูแลอย่างดี แต่รู้ไหมพี่ ตอนผมขออาตัดดอกกล้วยไม้มาเยี่ยม อาเอทอสกลับคะยั้นคะยอให้ผมตัดดอกกล้วยไม้ที่อาโคตรหวง ผมว่าอาเอทอสตั้งใจเก็บไว้ให้พี่แหละ แต่เพราะต้องเฝ้าพี่โนอาร์ที่โรงพยาบาลตลอดเลยฝากผมเอามาให้พี่แทน”
“นาวา”
ศิลาเอ่ยปรามลูกชายเล็กน้อย ทว่าเจ้านายกลับโบกมือคล้ายไม่ถือสา ส่วนโนอาร์หลังฟังจบก็ละสายตาจากดอกกล้วยไม้ ก่อนหันมองร่างสูงใหญ่ตรงโซฟาที่แสร้งคุยกับศิลาต่อไม่สนใจเขา และนั่นส่งผลให้รอยยิ้มมุมปากเริ่มปรากฏบนใบหน้าเจ้าชายน้ำแข็ง ก่อนกล่าวตอบกลับนาวาเรื่องดอกไม้ ทว่ากลับทำให้นัยน์ตาดุสีอำพันของปีศาจที่กำลังลอบฟังอยู่ ดูอบอุ่นขึ้นระดับหนึ่ง
“สวยมากขอบใจ มีดอกไม้จากสวนเป็นกำลังใจคิดว่าคงหายเร็วขึ้น”
“ใช่พี่! พี่ต้องหายไว ๆ นะ ทุกคนที่สวนคิดถึงพี่โนอาร์กับอาเอทอสมากเลย”
“อืม ทิ้งสวนไปนานคงต้องรีบกลับไปดูแล โดยเฉพาะกล้วยไม้ต้นนี้”
กว่าห้องพักผู้ป่วยจะเงียบสงบอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงเย็นหลังศิลากับนาวาขอตัวกลับ บัดนี้ภายในห้องเหลือเพียงโนอาร์และเอทอส ส่วนคนรับหน้าที่เฝ้าประจำอย่างจินกลับหายตัวไร้วี่แวว ราวกับรู้ว่าวันนี้จะมีคนมาเยี่ยมผู้ป่วยอันตราย
“ชอบมากหรือไง” ปีศาจเอ่ยถามมนุษย์ ที่มัวแต่มองแจกันตรงโต๊ะข้างโทรทัศน์ไม่วางตา
“ดอกไม้จากคุณ ทำไมผมจะไม่ชอบ” มนุษย์เอ่ยพร้อมหันมาสบปีศาจ นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดดูอ่อนโยนเมื่อประสานเข้ากับนัยน์ตาสีอำพัน
“จากนาวา ไม่ใช่ข้า”
เมื่อได้ยินคำค้าน โนอาร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจในความปากแข็งของปีศาจ ก่อนเอ่ยถามถึงของขวัญที่เขาเคยให้ เพราะทุกครั้งเมื่อเอทอสอยากทำอะไรเพื่อเขา มักเลียนแบบสิ่งที่เขาเคยทำให้ก่อนเสมอ อย่างเช่นคำพูด ข้อความ และคราวนี้เป็นดอกกล้วยไม้ ที่สีสันคล้ายคลึงกับดอกไม้ล่อลวงวิญญาณที่เขาเคยมอบเป็นของขวัญ มันย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ
“แล้วคุณล่ะ ชอบของที่ผมให้หรือเปล่า” คำถามไร้ที่มาชวนให้สับสนว่าเจ้าตัวกำลังกล่าวถึงอะไร ทว่าปีศาจกลับเข้าใจสิ่งที่มนุษย์ต้องการสื่อทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลานึก
“ข้าไม่ชอบที่เจ้าสรรหาของอันตรายต่อตัวเจ้ามาให้ข้า แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นออกไป...”
“…”
“มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุด”
รอยยิ้มมุมปากแบบฉบับชายเลือดเย็น พลันปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน เมื่อได้ฟังคำตอบแบบอ้อมโลกของปีศาจ และเป็นช่วงเดียวกับที่เสียงเปิดประตูห้องพักดังขึ้น
มนุษย์คาดว่าอาจเป็นนางพยาบาลที่เข้ามาตรวจเช็กตามหน้าที่ ทว่าความจริงผู้มาเยือนกลับเป็นชายหนุ่มไม่คุ้นหน้า และนั่นทำให้บรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่ ถูกแทนที่ด้วยรังสีอึมครึมไม่เป็นมิตรจากทั้งร่างสูงใหญ่และผู้ป่วยบนเตียง
“เมื่อไรจะหยุดรังควานข้าเสียที” น้ำเสียงนิ่งของปีศาจเอ่ยขึ้น
“ต้องขอโทษด้วยสำหรับความวุ่นวายเมื่อวันก่อน เราสั่งห้ามนักล่าปีศาจคนนั้นให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณแล้ว แต่เรื่องที่คุณทำร้ายผู้คุมวิญญาณ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ปีศาจที่ทำร้ายมนุษย์ก็ต้องได้รับโทษ”
“หมับ!”
คำตอบที่ได้รับพลันเฉลยตัวตนแท้จริงของผู้มาเยือน พร้อมกับโนอาร์ที่หมายเข้าไปจัดการคนรนหาเรื่องทันที ทว่าครานี้กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของเอทอสรั้งแขนไว้ นัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นหันมาจ้องร่างสูงใหญ่คล้ายถามเหตุผล แต่กลับได้เพียงการส่ายหน้าเชิงห้ามจากปีศาจเท่านั้น
“ลงโทษยังไง ฆ่าข้า?” การคาดเดาของปีศาจ ทำให้บรรยากาศรอบตัวคนบนเตียงยิ่งเย็นยะเยือก พร้อมแรงขืนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าก็ยังไม่อาจหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของปีศาจข้างกาย
“โทษตายใช้กับปีศาจที่สังหารมนุษย์ แต่คุณไม่ได้ถึงขั้นนั้น แค่ใส่เครื่องติดตามก็พอ”
นักล่าปีศาจกล่าวพลางหยิบบางสิ่งขึ้นมา สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายปลอกคอเหล็กหนาสีดำสนิท มีจุดแสงสีเขียวแสดงสถานะ ของตรงหน้าเรียกคิ้วหนาบนใบหน้าคมของร่างสูงใหญ่ให้ขมวดเข้าหากัน ก่อนไม่นานเจ้าของอุปกรณ์จะช่วยขยายความเข้าใจ
“ใส่เครื่องติดตามนี้ไว้ที่คอ มันจะบอกตำแหน่งทุกที่ที่คุณไป คุณยังสามารถหากินและใช้ชีวิตได้ปกติ พอถึงเวลาหนึ่งเมื่อเรามั่นใจว่าคุณไม่อันตราย เราจะส่งนักล่าปีศาจมาปลดเครื่องคิดตามให้คุณ แต่ถ้าระหว่างที่ใส่เครื่องติดตามอยู่แล้วคุณเกิดจู่โจมมนุษย์อีก ใบมีดที่ซ่อนอยู่รอบสายจะตัดคอคุณทันที”
คำอธิบายการทำงานของเครื่องติดตามไม่ต่างจากเครื่องคุมความประพฤติ ที่หากทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจุดจบคือความตาย พลันเปลี่ยนให้อากาศภายในห้องลดต่ำลงจนคล้ายติดลบในความรู้สึก ต้นตอของความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกหาใช่คนอื่นไกล เจ้าของห้องพักที่กำลังจ้องนิ่งไปยังเหลือบไรที่ริอ่านตัดสินชีวิตปีศาจของเขา
“ให้เอทอสใส่ของแบบนั้น จะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันว่าเครื่องนั่นจะไม่เกิดผิดพลาด และทำให้เอทอสตายปล่าว” น้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงความอันตรายของคนบนเตียงเอ่ยถาม
“ทุกอุปกรณ์ของกลุ่มนักล่าปีศาจได้-”
“หลัก ประ กัน คืออะไร?” โนอาร์กล่าวขัดเน้นเสียง ไม่คิดฟังคำพูดพร่ำเพ้อไร้สาระ
“ขอเอาเกียรติของ-”
“หลัก ประ กัน”
“…”
“ชีวิตเอทอสขึ้นอยู่กับเครื่องนี่ สิ่งที่เอามาประกันต้องมีค่าเทียบเท่าหรือมากกว่า ถ้าอยากให้ใส่นัก คนที่เอามาต้องใส่ด้วยเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน”
“...หากยังพยายามขัดขืน ผมขอเตือนว่าบทลงโทษปีศาจของคุณอาจไม่ใช่แค่ใส่เครื่องติดตาม”
“แค่ใส่ปลอกคอนั่นก็พอใช่ไหม”
“เอทอส!”
เอทอสที่เงียบฟังอยู่นาน เอ่ยขัดเพื่อยุติเรื่องราวพร้อมกับรับเครื่องติดตามจากนักล่าปีศาจมาสำรวจครู่หนึ่ง ก่อนสวมใส่ที่คอของตนท่ามกลางสายตาค้านของนัยน์ตารัตติกาล ส่วนนักล่าปีศาจเมื่อเห็นปีศาจยอมทำตามแต่โดยดี จึงบอกระยะเวลาถอดเครื่องติดตามว่าคืออีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจนัยน์ตาดำมืดอันตรายของคนบนเตียงที่จับจ้องเอาชีวิต
“คุณไม่จำเป็นต้องทำตาม” โนอาร์ติปีศาจข้างกาย พลางขมวดคิ้วมุ่นมองสิ่งแปลกปลอมตรงลำคอแกร่งด้วยความไม่พอใจ
“ข้าทำผิดก็ต้องรับโทษ นักล่าปีศาจนั่นแค่ทำตามหน้าที่”
“คุณไว้ใจได้ยังไง กี่ครั้งแล้วที่พวกนักล่าปีศาจพยายามจะกำจัดคุณ”
“เพราะกลิ่นอายวิญญาณของนักล่าปีศาจเมื่อครู่มันมีแต่กลิ่นอายบริสุทธิ์ ต่างกับเจ้าที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงขึ้นทุกวินาที เท่านี้ก็มากพอที่จะยืนยันแล้วว่าเจ้านั่นไม่ได้โกหก”
ปีศาจตอบกลับพลางแกล้งเหน็บแนมมนุษย์เล็กน้อย ทว่าโนอาร์ยามนี้จริงจังเกินกว่าจะเล่นด้วย เห็นดังนั้นเอทอสจึงวางฝ่ามือใหญ่ลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ ก่อนยีเบา ๆ คล้ายกำลังกล่อมเด็ก และแน่นอนสิ่งที่ได้รับย่อมเป็นสายตาเคืองจากคนที่กำลังถูกเล่นหัว แต่ถึงจะไม่ชอบใจ โนอาร์ก็ไม่คิดปัดฝ่ามือใหญ่ทิ้ง
“อย่าเป็นเด็กเอาแต่ใจ แค่เดือนเดียวปลอกคอนี่ก็ถูกถอดแล้ว”
“ผมไม่เชื่อว่าพวกนักล่าปีศาจจะรักษาคำพูด”
หลังได้ฟัง เอทอสก็ได้แต่ถอนหายใจกับความคิดแง่ร้ายของโนอาร์ ที่เดือดร้อนเป็นกังวลยิ่งกว่าตัวเขาที่เป็นเจ้าของเรื่องเสียอีก และดูเหมือนยามนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ชายผู้แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายมหาศาลคงไม่ฟังเขาแล้วเช่นกัน ฉะนั้นร่างสูงใหญ่จึงทำได้เพียงใช้ฝ่ามือลูบปลอบคนบนเตียง เพื่อหวังให้จิตใจดำมืดนั้นสงบลง
ในช่วงเวลาเดียวกันทว่าต่างสถานที่ ณ ห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลในตัวเมืองแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังนั่งทบทวนข้อมูลรายละเอียดบนหน้าจอด้วยท่าทีเคร่งขรึม ซึ่งค่ำคืนนี้ เป็นวันที่เขาต้องลงมือตามคำสั่งในอีเมลจากบุคคลอันตราย และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาต้องเตรียมตัวแล้วเช่นกัน
มังกรพับโน้ตบุ๊กเก็บลงกระเป๋าพลางสำรวจข้าวของเล็กน้อย แล้วจึงลุกไปหาคนสำคัญที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่ช่วงบ่าย แววตาชายหนุ่มมองหญิงสาวผู้เสมือนเป็นโลกทั้งใบด้วยความอ่อนโยน พลางค่อย ๆ ก้มลงจุมพิตบนริมฝีปากอิ่มแผ่วเบาปราศจากการรุกล้ำ ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึก
“กรไปทำงานก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมา” ชายหนุ่มกล่าวลาคนรัก ก่อนออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน
เมื่อลงมาถึงบริเวณชั้นล่างของโรงพยาบาล มังกรก็พบกับคนที่อีเมลระบุว่าเป็นผู้ช่วยเขาในงานนี้ ทว่าจากสายตาของชายหนุ่ม เขาไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะสามารถพึ่งพาได้มากเท่าไรนัก
“นายชื่อมังกรสินะ ฉันจิน เป็นทั้งพ่อค้าและก็ผู้คุมวิญญาณ ฉันโดนโนอาร์บังคับมาน่ะ โคตรซวยเงินก็ไม่ได้ ถ้านายใจดีจะเจียดค่าจ้างให้ฉันหน่อยก็ได้นะ”
คำแนะนำตัวจากเพื่อนร่วมงาน เรียกสายตาดูแคลนให้กับมังกร ทีแรกชายหนุ่มคิดว่าโนอาร์ตั้งใจส่งคนมาเพื่อจับตาดูเขา แต่จากท่าทางและคำพูดจาไม่ค่อยเต็มของอีกฝ่ายแล้ว บางทีเขาอาจจะแค่คิดมากไป
“หึ... ผู้คุมวิญญาณ... นายชอบดูหนังพ่อมดแม่มดใช่ไหม”
“...นายรู้ได้ไง!?”
คนถูกคาดเดานิ่งไปสักพัก ก่อนเบิกตากว้างพร้อมถามกลับด้วยความตกใจ ทว่ากลับได้เพียงเสียงหัวในลำคอสั้น ๆ ก่อนมังกรจะตัดบทโดยการบอกให้ไปเอารถพร้อมเดินนำไป ปล่อยจินที่มัวแต่ยืนอึ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเมื่อคนหัวเราะเยาะทิ้งห่างไปสักพัก จินที่แสร้งทำเป็นตกใจจึงกลับมาทำสีหน้าปกติเช่นเดิมและค่อยเดินตาม โดยระหว่างทางไม่วายต่อว่าโนอาร์ในใจ เรื่องไม่ยอมบอกเขาว่าชายเมื่อครู่เป็นแค่คนธรรมดา ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นตัวตลกพูดจาเพ้อเจ้อในสายตาอีกฝ่ายไปแล้ว
ความมืดในยามค่ำคืนดึกสงัดเข้าปกคลุม ช่วยอำพรางรถยนต์สองคันที่จอดห่างจากบ้านเป้าหมายไม่มากนัก มังกรและจินต่างลงจากรถในชุดสีดำสนิทพร้อมหมวกคลุมปกปิดใบหน้ามิดชิด ซึ่งของเหล่านี้ดูไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนักในสายตาของจิน เนื่องจากสิ่งที่ต้องพยายามหลบซ่อนไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเหล่าวิญญาณรับใช้ที่รายล้อมตัวบ้านต่างหาก
ทว่าเหตุผลที่จินยังยอมใส่ตามก็เพราะ ไม่อยากถูกอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดเหมือนครั้งที่โรงพยาบาลก็เท่านั้น
“นี่นายใส่ไอ้นี่ด้วยสิ” จินเรียกชายหนุ่มที่กำลังดูลาดเลา ก่อนยื่นสร้อยเส้นหนึ่งให้
“อะไร?”
“ใส่ ๆ ไปเถอะน่า คิดว่าเป็นเครื่องรางแล้วกัน”
ด้วยเพราะไม่อยากเสียเวลาถกเถียงไร้สาระ มังกรจึงตัดรำคาญด้วยการรับสร้อยดังกล่าวมาสวม ก่อนเดินนำไปยังบ้านเป้าหมายที่ปลูกต้นไม้ล้อมรอบหนาทึบ มิหนำซ้ำไฟบ้านทั้งหลังยังดับสนิทชวนให้รู้สึกพิศวง
มังกรและจินค่อย ๆ ก้าวเท้าระมัดระวังจนในที่สุดก็สามารถปีนข้ามรั้วไม้เข้ามาในเขตบ้านได้ ท่ามกลางสายตาวิญญาณรับใช้ที่ต่างจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยว เหตุเพราะบางสิ่งที่คนทั้งสองสวมอยู่ ทำให้พวกตนไม่อาจเล่นงานหรือขับไล่ผู้บุกรุก
“มังกร นายเข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวจัดการข้างนอกเสร็จแล้วจะตามไป”
จินเอ่ยพลางตบตัวถังน้ำมันที่ถืออยู่เบา ๆ ซึ่งนั่นทำให้ใครอีกคนเข้าใจความหมายในทันที มังกรพยักหน้าเล็กน้อยก่อนย่างเท้าแผ่วเบาเข้าไปในตัวบ้าน เนื่องจากคำสั่งที่ต้องทำในคืนนี้มีด้วยกันสองอย่างคือ หนึ่ง ลักพาตัวน้องชายของคนที่ชื่อวรรษ และสอง เผาสถานที่แห่งนี้อย่าให้เหลือซาก
“ไปบอกนายเร็ว พวกนี้มันไม่ใช่โจรปกติ” วิญญาณรับใช่ตนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อย่าเลย มันเสียเวลาตามไล่จับนะ อยู่รวม ๆ กันแบบนี้แหละจะได้จัดการรอบเดียว”
เสียงพูดแทรกส่งผลให้เหล่าวิญญาณรับใช้ต่างนิ่งอึ้ง หยุดมองชายหนุ่มที่กำลังวางถังน้ำมันลง ก่อนหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ซึ่งของในมือโจรขโมยขึ้นบ้านนั้น กลุ่มวิญญาณรับใช้ต่างเห็นและรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นอุปกรณ์แบบเดียวกับที่เจ้านายใช้เวลาต้องการกักขังลงโทษพวกตน
“ผู้คุมวิญญาณที่เล่นงานโนอาร์ได้ ไม่น่าจะมีวิญญาณรับใช้ที่อ่อนแอและจำนวนน้อยขนาดนี้นิ อย่าบอกนะว่าพวกตนที่แข็งแกร่งโดนคุณเอทอสจับกินไปหมดแล้ว แบบนี้ก็เอาไปขายไม่ค่อยได้ราคาสิ”
จินเอ่ยขึ้นพลางแสร้งทำหน้าเสียดาย ซึ่งถ้อยคำคล้ายดูแคลน กลับสร้างความโมโหให้เหล่าวิญญาณรับใช้อย่างมาก ไม่นานการปะทะกันระหว่างหนึ่งผู้คุมวิญญาณกับกลุ่มวิญญาณรับใช้ก็เริ่มขึ้น ทว่าวินาทีต่อมาทุกอย่างพลันจบลงอย่างง่ายดาย ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว
“คุกเข่า”
“ตึง!!” วิญญาณรับใช้รอบบริเวณ พลันเข่าทรุดกระแทกพื้นอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้ อวัยวะโปร่งแสงทุกส่วนคล้ายถูกพันธนาการด้วยบางสิ่งหมดสิ้นหนทางต่อต้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันหลังผู้บุกรุกเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเรียบสั้นธรรมดา ทว่ากลับบังคับควบคุมวิญญาณทั้งหมดได้ในคราวเดียว
“อย่าบังคับให้ออกคำสั่งสิ คุมวิญญาณหลายดวงพร้อมกันมันก็กินแรงเหมือนกันนะ มาญาติดีกันไว้ดีกว่า เพราะคงต้องอยู่ด้วยกันนานเลยล่ะ มา! งั้นเริ่มที่ตนแรกแล้วกัน ชื่ออะไรเหรอ? แล้วมีความสามารถพิเศษอะไรไหม?”
จินพูดหยอกล้อกับเหล่าวิญญาณรับใช้ ที่อีกไม่นานจะกลายเป็นสินค้าทำเงินให้กับเขา ก่อนเริ่มเก็บพลางประเมินเกรดราคาวิญญาณแต่ละดวงอย่างไม่ทุกข์ร้อน ขัดกับสีหน้าซีดเผือดของวิญญาณบางตน ที่ยังคงตกตะลึงและไม่อยากเชื่อว่า ชายหนุ่มท่าทางขี้เล่นไร้พิษสงนี้ แท้จริงกลับมีพลังเทียบเท่ากับเจ้านาย
(ต่อด้านล่าง)