Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5  (อ่าน 32250 ครั้ง)

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2019 [บทที่20]
«ตอบ #60 เมื่อ19-11-2019 20:43:41 »

ตอนพิเศษ : สกัดเดือนยั่ว (ไวท์xพายุ)


“มึงเป็นไรวะพายุ เมนส์ไม่มาเหรอ?”
ผมเหลือบมองหญิงใจกะเทยอย่างไอ้มิน มันมองมาที่ผมด้วยความสงสัย ขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังโกยข้าวโพดคั่วใส่ปากเคี้ยวกรวมๆอย่างไร้จิตสำนึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ส่วนมืออีกข้างขยับต่อโดมิโน่กับไอ้ท็อป
“กูว่าไม่ใช่หรอก ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าผัวใกล้ทิ้งแล้ว”
ผลัวะ!
“โอ๊ยยยย”
คำอวยพรของไอ้หมาแรมได้รับการตอบแทนเป็นฝ่ามือน้อยๆที่นุ่มละมุนของผม บ้าบอที่สุด อย่างพี่ไวท์น่ะเหรอจะกล้าทิ้งผม
ตั้งแต่กลับมาคบกันอีกครั้ง พี่ไวท์ออกจะแสดงชัดเจนว่าทั้งรักทั้งหลงผม มากกกกกก มากเสียจนผมนึกระอากับความน่ารักของตัวเอง รู้สึกอยากขี้เหร่ชะมัดเลย
เอาเป็นว่าสาเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิด แล้วมีสีหน้าเหมือนคนเดินเหยียบขี้หมาก็เพราะไอ้เพจ Cute Boy ประจำมหาลัยนั่นแหละ ที่บังอาจโพสต์รูปสามีของผม ถ้าแค่แอบถ่ายรูปแล้วโพสต์อวยว่าหล่อวัวตายควายล้มเหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ว่า แต่ไอ้การโพสต์รูปสามีของผมกับคนอื่นนี่ต้องการอะไรจากสังคมวะ โดยเฉพาะแคปชั่นนี่โคตรเห้เลย

1 ชม.
หล่อ รวย เก่ง ใจดี มีใครให้มากกว่านี้มั้ยคะ แอดอยากได้ แอดอยากโดน อิจน้องโปรดมากๆพูดเลย พี่หมอไวท์จำเป็นต้องดูแลหลานรหัสดีขนาดนี้มั้ย ต้องชิดกันขนาดนี้เลยเหรอ พูด!!
ไวท์ แพทยศาสตร์ ปีสี่
โปรด แพทยศาสตร์ ปีสอง
#หมอหล่อบอกต่อด้วย #สามีแห่งชาติ #ลงเรือไวท์โปรด #เดือนจีบเดือน
ความคิดเห็น 582 รายการ แชร์ 937 ครั้ง

ภาพที่ถูกโพสต์ลงแฟนเพจเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเป็นภาพแอบถ่ายของพี่ไวท์ที่นั่งอยู่ในหอสมุดกลางกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก แต่ตอนนี้รู้จักแล้วว่าชื่อโปรด อยู่ปีสองเป็นหลานรหัสของพี่ไวท์ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆกำลังก้มหน้ามองหนังสือ ดูไปแล้วก็เหมือนพี่เขากำลังอธิบายเรื่องที่เรียนให้หลานรหัสฟัง แต่ที่ผมไม่ชอบก็คือจำเป็นต้องนั่งชิดกันขนาดนี้เลยเหรอวะ ภาพที่ถ่ายออกมามันดูเหมือนคนเป็นแฟนนั่งติวให้กันเลยอ่ะ
“มึงดูเพจ Cute Boy ดิวะ กูเห็นแล้วแม่งหงุดหงิด”
สามสหายที่ใส่ใจเรื่องของผมเป็นพิเศษ รีบหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมากดเข้าเพจ Cute Boy
“โอ้โห้ แอดมินโพสต์แบบนี้ไม่เห็นหัวมึงเลยว่ะยุ”
ไอ้ท็อปหัวเราะกึกๆ
“เป็นการจุดชนวนคู่จิ้นคู่ใหม่ที่ทำให้แฟนตัวจริงอิจฉาตาร้อน”
ไอ้มินสำทับ
“ไม่ได้อิจฉาเว้ย ก็แค่ติวหนังสือกัน พี่ไวท์ทำให้กูมากกว่านี้อีก”

บอสไม่สึ ใครสึ : มึ๊งงงงงมาดูคู่นี้ เคมีเข้ากันแปลกๆอ้ะ กูจะไม่คิดนะจะไม่คิด โอ๊ยยยย ฟฟฟฟฟ @เฟยเฟย แฟนซึงรี
เฟยเฟย แฟนซึงรี : น่ารักอ่ะ มุมนี้แสงสวยมากกกก
ผมไล่อ่านคอมเม้นท์แล้วอยากมองบน คนที่เม้นท์ส่วนใหญ่ต่างบอกว่าภาพนี้สวยและทั้งคู่เหมาะสมกันมาก เหมาะสมกับผีสิ ผิดที่คนแอบถ่ายแม่งเสือกเลือกมุมเลือกแสงได้ดี ทำให้ความรู้สึกในภาพมันดูละมุนแปลกๆ โดยเฉพาะใบหน้าของพี่ไวท์ที่มีรอยยิ้มนิดๆตามปกติ 
ตุ้มเล้ง ตำลึง : อ๊ายยย อิจฉาน้องโปรด หนูขอลงเรือคู่นี้ค่า จะแจวจ่ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกคิดถึงคนแจว
นิกกี้ มนต์ดำ : ชะนีตายอย่างสงบ ละมุมเหลือเกินค่ะหมอไวท์ขา
แพรวพันนาราว พลอยพราวไพลิน : เดี๋ยวนะ จำได้ว่าพี่ไวท์มีแฟนแล้ว อยู่   วิศวะ?
เมย ยะลา : พี่ไวท์มีแฟนแล้ว ยังจำคลิปที่พี่ไวท์ขอเป็นแฟนวันวาเลนไทน์ได้เลย แต่ชื่อไรนะ ลืมไปแล้ว
CAT แมว : เราชอบโปรดนะ นางน่ารัก ยิ่งอยู่กับพี่ไวท์ยิ่งดูน่ารัก แถมเป็นเดือนคณะด้วย เหมาะกับเดือนมหาลัยสุดๆอ่ะ คู่จริงคู่จิ้นไรไม่รู้นะ แต่ชงคู่นี้ #ไวท์โปรด

อ้าว! พวกสร้างความร้าวฉานนี่มีเยอะจริงๆว่ะ
“ใจเย็นน่ามึง ความคิดของคนอื่นมันกันห้ามไม่ได้”
ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคดีมีสาระที่นานๆครั้งจะออกจากปากไอ้แรม
“เออใช่ ใครอยากจิ้นก็ให้เขาจิ้นไป ยังไงความจริงพี่ไวท์สุดหล่อก็เป็นของมึงอยู่ดีแหละค่ะ”
ผมพยักหน้าด้วยความพอใจ พี่ไวท์เป็นของผม!
Trrrrrrrrrrrr
สมาร์ทโฟนในมือแผดเสียงร้อง หน้าจอสว่างวาบก่อนจะปรากฎสายเรียกเข้าจากสุดที่รัก ผมกดรับสายแล้วยกสมาร์ทโฟนแนบหูทันที
“ครับพี่ไวท์”
“เลิกเรียนหรือยังครับ”
 เสียงนุ่มละมุนที่ดังมาจากปลายสายทำให้ผมขยับยิ้มกว้าง ความหงุดหงิดจากเพจ Cute Boy หายวับไปทันที นี่แหละครับที่เรียกว่า ยาดีรักษาได้ทุกโรค โดยเฉพาะโรคทางใจของพายุ ฮิ้วววววว
“เลิกแล้วครับ พี่อยู่ไหน”
ผมเหลือบไปเห็นเดอะแก๊งทำท่าอ้วกอากาศ มันช่วยไม่ได้จริงๆนะ ที่โทนเสียงของผมจะเปลี่ยนคีย์ทันทีเมื่อคนที่คุยด้วยคือพี่ไวท์ ยอมรับว่าตัวเองทำเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ทำไงได้ล่ะ ความสุขมันทะลักหัวใจ
“พี่ติวหนังสือให้รุ่นน้องอยู่หอสมุดกลาง คิดว่าอีกสักชั่วโมงก็เสร็จแล้ว พายุไปรอพี่ที่คอฟฟี่เนคก่อนนะครับ”
ผมเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อย คำตอบของพี่ไวท์ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายเลย ไม่ต้องเสียเวลาเดาก็พอจะรู้แล้วว่ารุ่นน้องที่พูดถึงคือ ‘โปรด’
“ไม่เอา ผมอยากไปหาพี่ไวท์”
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่ไวท์ แต่ผมไม่เชื่อใจคนอื่น ผมอยากไปดูหนังหน้าหลานรหัสให้ชัดๆ อยากรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ถ้าเป็นเหลือบไรที่หาข้ออ้างบังหน้าเพื่อใกล้ชิดแฟนของผมเหมือนหลายรายที่ผ่านมา ผมจะได้รีบกำจัด แต่ถ้านายโปรดคนนั้นแค่ต้องการความรู้จากพี่ไวท์ ผมก็จะปล่อยให้ติวกันต่อไป ไม่ใช่ว่าผมใจกว้างนะ แต่ผมรู้ว่าเทวดาของผมเป็นคนดีมาก เป็นที่รักและชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ฉะนั้นผมจะไม่ขัดศรัทธาของพี่ไวท์
“เอางั้นเหรอ”
“อืม พี่อยู่ชั้นไหน ผมจะไปหา”
“ชั้นสามครับ”
“โอเค แล้วเจอกัน”
ผมวางสายแล้วรีบเก็บสมุดกับชีทเรียนที่กองอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนใส่                  กระเป๋าเป้
“จะกลับแล้วเหรอ” ไอ้ท็อปหันมาถาม
“เออ กูจะไปหาพี่ไวท์”
เดอะแก๊งโบกมือลา ผมหมุนตัวไปหน้าคณะเพื่อรอรถไฟฟ้า แต่ไม่วายยังได้ยินเสียงไอ้บ้ามินตะโกนแซวตามหลังมาให้ได้ยิน
“งานเฝ้าผัวก็มาว่ะ”
…ก็ยอมรับ


แอร์เย็นฉ่ำเกือบยี่สิบองศาพัดปะทะหน้าผมเต็มๆทันทีที่เปิดประตูหอสมุด กลาง สถานที่ขึ้นชื่อว่าเย็นที่สุดในมหาลัย บางครั้งผมสงสัยนโยบายประหยัดพลังงานโดยใช้โซล่าเซลล์ (Solar Cell) ผลิตไฟฟ้ากับการเปิดแอร์ต่ำกว่ายี่สิบห้าองศาโดยไร้ความความจำเป็น มันเป็นการช่วยลดค่าไฟให้กับมหาลัยได้จริงๆหรือ?
อา ช่างเถอะ ถึงผมจะรักโลก แต่ผมไม่ควรยุ่งกับแอร์ของส่วนกลาง
ผมก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์แล้วกดชั้นที่สาม ไม่กี่วินาทีถัดมา ลิฟต์ก็พาผมมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นหมวดของหนังสือวิทยาศาสตร์
หอสมุดในช่วงสัปดาห์ที่สองของการเปิดเทอมค่อนข้างโล่ง นิสิตที่สิงสถิตอยู่ในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่พวกหนอนหนังสือคงแก่เรียน ก็เป็นพวกนิสิตแพทย์ที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งพี่ไวท์ของผมเป็นประเภทหลัง
ผมใช้เวลาไม่นานก็มองเห็นพี่ไวท์นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ผมนึกสาปส่งคนถ่ายภาพซึ่งกำลังเป็นประเด็นในเพจ Cute Boy เมื่อพบว่าความจริงแล้วพี่ไวท์ไม่ได้อยู่กับโปรดแค่สองคน แต่ยังมีนิสิตแพทย์อีกสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพี่ไวท์…คือถ้าถ่ายภาพพี่ไวท์ติวหนังสือให้เด็กสามคน มันคงไม่น่าสนใจเท่ากับพี่ไวท์ติวหนังสือให้อดีตเดือนคณะแพทย์สินะ
“พี่ไวท์”
ผมเดินเข้าไปใกล้โต๊ะเป้าหมายแล้วส่งเสียงเรียก พี่ไวท์ของผมเงยหน้าจากหนังสือมามอง เมื่อเขาเห็นว่าเป็นผมก็ขยับยิ้มหวานส่งมาให้
“พายุ มานั่งนี่สิ”
พี่ไวท์หยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆมาวางไว้บนตัก แล้วตบมือลงบนเก้าอี้เบาๆเป็นเชิงเรียก แน่นอนว่าผมรีบพุ่งเข้าไปหาแล้วนั่งจุ้มปุ๊กทันที จริงๆอยากเอาหัวถูไถไหล่พี่ไวท์ ติดแต่ตรงนี้มีก้างขวางคอมากเกินไป เอาเป็นว่าผมจะเก็บไปทำที่คอนโดล่ะกัน
“นี่โปรด หลานรหัสพี่”
พี่ไวท์แนะนำโปรดซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง โปรดยื่นหน้าออกมามองผมแล้วยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย ผมคิดว่าโปรดเป็นคนหน้าตาดี ออกแนวตี๋ๆน่ารัก เจ้าตัวมีรอยยิ้มเป็นมิตร รวมถึงท่าทางซื่อๆที่ทำให้ผมลดความระแวงในตัวเขาลงครึ่งหนึ่ง 
“นี่เกิ้ลกับลาเต้รุ่นน้องพี่”
พี่ไวท์แนะนำรุ่นน้องสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
‘ลาเต้’ เป็นคนหน้าตาจืดๆเหมือนกาแฟที่ลืมใส่นมข้น เจ้าตัวขยับยิ้มให้ผมตามมารยาท ดูแล้วไร้พิษสงไม่ต่างจากโปรด ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน
‘เกิ้ล’ เป็นเกย์รับออกสาว ผมเดาว่าใช่นะ เพราะจากบุคลิกท่าทางที่ดูมีจริตเกินกว่าผู้ชายปกติ รวมถึงปากที่ทาลิปสีชมพูหวานแหววนั่นด้วย ถ้าใครสักคนจ้องจะงาบพี่ไวท์ล่ะก็…ผมว่าผมควรระวังหมอนี่มากกว่านายโปรด
“หวัดดี”
ผมทักทายตามมารยาท รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อต้องนั่งอยู่ในดงคนแปลกหน้า
“แฟนพี่ไวท์ใช่มั้ยครับ”
เกิ้ลถามยิ้มๆ
ให้ตายสิ ผมไม่ชอบรอยยิ้มของหมอนี่เลย มันดูมีลับลมคมในแปลกๆ
พี่ไวท์พยักหน้าแล้วแนะนำผมให้รุ่นน้องรู้จัก
“ชื่อพายุ”
“หล่อ”
เกิ้ลมองหน้าผมด้วยความพอใจ ซึ่งมันชวนให้ขนลุกชะมัด ถึงหมอนี่จะตาถึงชื่นชมผมว่าหล่อก็เถอะ แต่การชมผมต่อหน้าแฟนของผมมันออกจะไม่กลัวตายไปหน่อยนะ
“อะแฮ่ม”
เกิ้ลสะดุ้งเมื่อถูกลาเต้ใช้ข้อศอกกระแทกสีข้างแล้วกระแอมเป็นเชิงเตือน หมอนั่นหันไปมองหน้าพี่ไวท์ที่มีสีหน้าเรียบเฉย แต่ไอ้เรียบเฉยแบบนี้แหละที่ผมรู้ดีว่าเขาไม่พอใจ
“โทษครับ”
เกิ้ลยกมือไหว้พี่ไวท์ แล้วทำเป็นก้มหน้าก้มตามองสมุดโน้ต
“พี่ว่าเรารีบติวที่เหลือให้จบดีกว่า”
ผมเหลือบมองหน้าพี่ไวท์ เขาดูไม่สบอารมณ์ แต่ก็เริ่มต้นอธิบายเรื่องระบบประสาท พี่ไวท์ดูเคร่งขรึมและจริงจังมากในตอนที่สรุปความรู้หลายร้อยหน้ากระดาษเป็นหัวข้อสั้นๆที่ง่ายต่อการจดจำ ผมเผลอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาจนเพลิน ก่อนจะรู้สึกตัวว่าไม่ควรทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าคนอื่น
…นี่แฟนมึง มึงจะมองเมื่อไรก็ได้ อย่าทำเหมือนไม่เคยมองสิวะพายุ…
ผมเปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบชีทเรียนวิชาภาษาอังกฤษเชิงวิชาการออกมาอ่านฆ่าเวลา ความหนาวเย็นจากแอร์หลายสิบตัวในหอสมุดทำให้ผมเริ่มสั่น ยกมือลูบแขนสองข้างแล้วนึกเสียใจที่วันนี้ไม่ได้หยิบเสื้อคลุมมาจากคอนโด
“เดี๋ยวก็จบแล้วครับ รออีกหน่อยนะ”
ผมพยักหน้าโดยไม่ได้ละสายตาไปจากชีทในมือ ก่อนจะรู้สึกถึงความอบอุ่น เมื่อพี่ไวท์ถอดเสื้อคลุมสีเขียวประจำคณะแพทย์มาคลุมลงบนไหล่ของผม
“ขอบคุณครับ”
ผมพึมพำ เหลือบมองรุ่นน้องของพี่ไวท์ ทุกคนจ้องมาทางผมเป็นตาเดียว ถึงผมจะหน้าหนา แต่เล่นมองกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ผมก็เขินเป็นนะเว้ย


“วันนี้พอแค่นี้ครับ ใครมีอะไรสงสัยมั้ย”
ผมเงยหน้าจากชีทภาษาอังกฤษแล้วยิ้มกว้าง ไม่ได้หิวข้าวนะ แต่รู้สึกเครียด ไม่เคยอ่านหนังสือเงียบๆนานขนาดนี้มาก่อน ผมอยากออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกแล้ว ติดแต่เป็นคนเสนอหน้าขอมาเองเลยไม่อยากแสดงความเบื่อหน่ายให้พี่ไวท์ไม่สบายใจ
พี่ไวท์ปิดหนังสือเล่มหนาเท่าอิฐสองก้อนแล้วยัดใส่ในกระเป๋า ซึ่งทุกคนก็รีบเก็บข้าวของตาม ยกเว้นคนเดียว…
ทายซิใครเอ่ย!
“ผมสงสัยตรงนี้ครับ”
เกิ้ลยื่นสมุดบันทึกของตัวเองให้พี่ไวท์แล้วเริ่มถามคำถามด้วยภาษาต่างดาว ส่วนผมที่ไม่เข้าใจก็ไม่ได้สนใจจะฟัง แต่เริ่มเก็บชีทและปากกาไฮไลท์ใส่กระเป๋าเป้
“แล้วใยประสาทตรงนี้…”
ผมหยิบสมาร์ทโฟนมาไถเฟสบุ๊คเล่นอยู่เกือบสิบนาที แต่นายเกิ้ลก็ยังไม่หมดคำถาม
เอาน่า…เขาถามเรื่องเรียนไม่ได้ถามเรื่องไร้สาระ ผมควรใจกว้าง พยายามทำใจร่มๆ ไถ IG ต่ออีกสิบนาทีซึ่งนายเกิ้ลยังไม่หมดคำถามแล้วผมก็เริ่มหมดความอดทน…
“เกิ้ล”
นั่นไม่ใช่เสียงผม แต่ฟังดูคล้ายจะหมดความอดทนเหมือนกัน
“ตรงนั้นกูเข้าใจเดี๋ยวอธิบายให้ฟัง ตอนนี้รีบเก็บของเร็ว กูหิวข้าวแล้ว”
ผมอยากกราบขอบคุณโปรดที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ด้วยการขัดจังหวะคำถามร้อยแปด ผมไม่รู้ว่าเกิ้ลเจตนาถ่วงเวลาพี่ไวท์ หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ไวท์สอนจริงๆ เอาเป็นว่าผมขอมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน ผมคิดว่าเป็นอย่างแรก หมอนั่นอยากนั่งมองหน้าพี่ไวท์ของผมนานๆ
“เพิ่งห้าโมงเองนะ”
เกิ้ลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาแล้วเอ่ยเรียบๆ ราวกับว่าเวลาห้าโมงเย็นมันเร็วเกินไปที่จะกลับบ้าน แต่ขอโทษนะ สำหรับกูคือสี่โมงเย็นต้องออกประตูมอแล้วโว้ย
“ลุกเร็ว”
ลาเต้เร่ง แล้วรีบคว้าสมุดบันทึกของเกิ้ลมาเก็บใส่กระเป๋า
“ขอบคุณพี่ไวท์มากนะครับที่อุตส่าห์ติวให้ผมกับเพื่อน”
โปรดยกมือไหว้พี่ไวท์แล้วส่งยิ้มน่ารัก เออ ยอมรับก็ได้ว่าน่าเอ็นดู ไม่รู้ทำไมนึกอยากให้โปรดแสดงออกมาตรงๆว่าชอบพี่ไวท์ ผมจะได้เกลียดได้เต็มที่ แบบนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนขี้อิจฉาเลยอ่ะ
“ขอบคุณครับพี่ไวท์”
เกิ้ลและลาเต้ยกมือไหว้พี่ไวท์เช่นกัน
“อืม พี่กลับแล้วนะ”
ผมกับพี่ไวท์เดินจากหอสมุดกลางไปที่ลานจอดรถคณะแพทย์ที่พี่ไวท์จอดรถเอาไว้เมื่อเช้า ระยะทางไม่ไกลมากอีกอย่างตอนนี้รถไฟฟ้าของมหาลัยหยุดวิ่งหมดแล้ว ยังไงก็ต้องเดินเท้าเท่านั้น
“ทำไมพี่ไวท์ต้องติวให้โปรดด้วยล่ะครับ พี่รหัสเขาไปไหน”
ผมถาม สาบานว่าไม่ได้จับผิดพี่ไวท์ แค่อยากรู้เหตุผลเท่านั้นเอ๊ง
“น้องรหัสพี่มันเป็นพวกเรียนๆเล่นๆ อ่านหนังสือก่อนสอบหนึ่งวันก็เอาตัวรอดได้ แต่ช่วยเหลือใครไม่ได้”
พี่ไวท์อธิบาย เขาหันมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีอาจารย์ พี่เขาก็โอบไหล่ผมไว้แน่น
“เรื่องในเพจ Cute Boy…พี่ไม่อยากให้คิดมาก”
“พี่เห็นแล้วเหรอครับ”
พี่ไวท์ไม่ใช่คนที่จะใส่ใจเรื่องราวที่เป็นกระแสในโลกโซเชียว พี่ไวท์เปิดเฟสบุ๊คไว้สำหรับรับข่าวสารเรื่องเรียนกับแชร์ความรู้ทั่วไปด้านสุขภาพให้แฟนๆที่ติดตามได้อ่านเป็นความรู้ ถ้าหวังจะมาสูบรูปเซลฟี (Selfie) ต้องใช้ความอดทนเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะหนึ่งปีจะมีสักหนึ่งถึงสองรูป ส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่เพื่อนของพี่ไวท์ถ่ายแล้วแท็กมามากกว่า
“อืม”
“ครับ ผมจะไม่คิดมาก”
ผมรับปาก ถ้าพี่ไวท์ไม่ได้คิดอะไรกับโปรด ผมก็ไม่มีอะไรต้องกังวล


ผมกับพี่ไวท์เลือกอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าเป็นมื้อเย็น พวกเราสั่งเมนูง่ายๆอย่างเบ็นโตะมากินเพราะกำลังหิวจนหน้ามืด ระหว่างที่ผมกำลังจ้วงข้าวใส่ปาก สายตาที่กวาดมองไปเรื่อยๆผ่านกระจกใสของร้านก็สะดุดลงที่ผู้หญิงคนหนึ่ง
แม่ง โคตรเซ็กซี่!
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่มองตาค้าง แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็หันมามองที่เธอเป็นตาเดียว เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวจัด ผมยาวดัดลอนย้อมด้วยสีน้ำตาลทอง บวกกับการแต่งกายที่ค่อนข้างวาบหวิว ทั้งเสื้อกล้ามสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นอวดเรียวขา ทำให้เธอดูโดดเด่นและขยี้ใจมาก ตอนนี้เธอกำลังยืนเล่น                   สมาร์ทโฟนอยู่คนเดียวตรงริมทางเดิน ไม่ได้สนใจสายตาของผู้ชายที่มองเธออย่างหยาดเยิ้มและผู้หญิงที่มองด้วยความอิจฉา
ผมไม่ได้มองผู้หญิงมานานแล้ว หรือจะเรียกให้ถูกคือน้อยครั้งที่จะมีผู้หญิงสักคนทำให้ผมสนใจได้ แต่เรื่องมองผู้ชาย ยอมรับว่าถ้าหล่อแตะตา ผมจะมองเหลียวหลังจนคอเคล็ดเลยล่ะ
แชะ!
เสียงกดชัตเตอร์ทำให้ผมละสายตาจากคนสวยมามองพี่ไวท์ที่กำลังเก็บสมาร์ทโฟนใส่ในกระเป๋ากางเกง
“เก็บอาการหน่อย น้ำลายไหลแล้ว”
ผมรีบยกหลังมือเช็ดปากแทบไม่ทัน แต่แม่ง หลอกกันนี่ ผมไม่ได้ทำตัวกากๆแบบนั้นซะหน่อย นอกจากตอนนอนหลับก็ไม่เคยทำน้ำลายเยิ้มเลยขอบอก!
ว่าแต่เมื่อกี้ผมโดนพี่ไวท์แอบถ่ายเหรอ คงจะไม่ได้ทำหน้าตลกๆหรอกนะ
“เราหมดสิทธิ์มองผู้หญิงแล้วนะ”
ผมขยับยิ้มเมื่อเห็นคนมีเหตุผลเริ่มออกอาการหึงหวง
“งั้นแปลว่าผมมีสิทธิ์มองผู้ชายคนอื่นใช่เปล่า”
พี่ไวท์ยิ้มหวานให้ผม แต่มันชวนขนลุกแปลกๆโดยเฉพาะประโยคบอกเล่าที่ไม่ต่างจากคำขู่
“พี่ใช้มีดเก่งนะ”
“โรคจิต”
ผมได้แต่บ่นอุบอิบ แล้วรีบก้มหน้าก้มตากินข้าว ปกติพี่ไวท์เป็นคนมีเหตุผล ไม่เคยหึงแบบไร้สาระ นอกจากคำว่าห่วง ผมก็ยังไม่เคยสัมผัสคำว่าหวงจากพี่ไวท์เลย แต่การมีแฟนแบบนี้ก็ทำให้ชีวิตรักของผมสงบราบรื่นมากนะครับ
ถึงบางครั้งผมจะลองคิดเล่นๆว่า อยากลองยั่วให้คนใจเย็นหึงหน่อยจะเป็นยังไงน้า แต่คิดอีกทีคนแบบพี่ไวท์ถ้าลองได้หึงขึ้นมาเกรงว่าจะหน้ามืดจนจับผมหักคอ เพราะฉะนั้นผมจะทำตัวดีๆอยู่ในกรอบของสามีต่อไป
อีกอย่างผมเชื่อว่าพี่ไวท์…ใช้มีดเก่งจริงๆครับ


“มีอะไรจะซื้ออีกมั้ยครับ”
พี่ไวท์ถามหลังจากที่ผมเดินออกมาจากร้านหนังสือ ในมือมีหนังสือการ์ตูนโคนันเล่มใหม่ล่าสุดที่เพิ่งวางขายเมื่อไม่กี่วันก่อน จริงๆแล้วผมตั้งใจว่าจะซื้อกางเกงในตัวใหม่เพราะที่มีอยู่ขาดเกือบหมดแล้ว ไม่ได้ขาดตามระยะเวลานะ แต่ขาดเพราะพี่ไวท์นั่นแหละ มีเซ็กส์กันทีไร แทนที่จะค่อยๆถอดกางเกงในของผม กลับกระชากออกจากขาทุกครั้งเลย ถ้าไม่ขาดก็มีสภาพยับเยินเกินกว่าจะหยิบมาใส่ได้
“มี”
ผมตอบ รู้สึกกระดากใจที่จะต้องไปซื้อกางเกงในตัวใหม่กับพี่ไวท์ ถึงยังไงมันก็เป็นของใช้ส่วนตัว ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปคนเดียว
“พี่ไปรอร้านกาแฟก่อนดิ เดี๋ยวผมตามไป”
ผมบุ้ยปากไปทางร้านกาแฟใกล้ๆ แต่พี่ไวท์กลับแย้งด้วยความแปลกใจ
“จะซื้ออะไร ไปด้วยกันก็ได้”
“ไม่เอาอ่ะ จะซื้อของใช้ส่วนตัว”
ผมปฎิเสธ แต่พี่ไวท์ดูจะไม่ชอบคำว่า ‘ส่วนตัว’ ที่ผมใช้จึงย้อนถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“ยังมีคำว่าส่วนตัวกับพี่อีกเหรอ”
“ผมจะซื้อกางเกงใน พี่จะไปเลือกด้วยป้ะละ”
ผมประเมินพี่ไวท์ผิดไปจริงๆ เพราะแทนที่พี่เขาจะปล่อยให้ผมไปซื้อคนเดียว กลับตอบรับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เอาสิ พี่อยากเลือกให้พายุ”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ประท้วง พี่ไวท์ก็ลากข้อมือของผมเข้าไปในร้านขายกางเกงในแบรนด์คุณภาพที่เจ้าตัวใส่ประจำ
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”
ผมพยายามขืนตัวไว้ แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อพนักงานหญิงเดินเข้ามายกมือไหว้งามๆแล้วเริ่มแนะนำกางเกงในรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว
ให้ตายสิ ทำไมร้านขายกางเกงในผู้ชายใช้พนักงานหญิงขายของวะ พายุไม่เข้าใจ คนอื่นไม่อาย แต่กูอาย กูไม่สะดวกใจจะเลือก แล้วทำไมนางต้องตามติดแนะนำสินค้าทุกย่างก้าวด้วย ใครสั่งสอนให้พนักงานทำแบบนี้ ม่ายยยยย
“ชอบสีไหน”
พี่ไวท์ถาม แล้วหยิบกางเกงในตัวอย่างมาจับเนื้อผ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ผมหน้าร้อนแทบไหม้ แอบเหลือบมองพนักงานหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เธอยังคงส่งยิ้มสุภาพเช่นเดิม
เอาวะ เธอคงคิดว่าพี่ชาย (?) พาน้องชาย (ตัวโตๆ) มาซื้อกางเกงใน
“ผมเลือกเองได้”
ผมว่าแล้วดึงกางเกงในตัวอย่างในมือพี่ไวท์มาจับ พลิกดูสองสามรอบคิดว่าน่าจะใส่สบาย จึงตัดสินใจว่าจะซื้อรุ่นนี้นี่แหละ ผมหยิบกางเกงในเบอร์แอลสีดำมาห้ากล่อง คิดว่าจะรีบไปจ่ายเงินแล้วออกจากร้านให้เร็วที่สุด ผมเขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้วโว้ย
“พี่ชอบตอนพายุใส่กางเกงในสีขาว”
ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคเรียบๆจากปากพี่ไวท์ ไอ้พี่บ้า กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าพนักงานได้ยังไง จิตใจทำด้วยอาร๊ายยย ตอบ! แค่มาช่วยเลือกกางเกงใน ผมก็อายบัดซบแล้ว ไม่เห็นต้องเอ่ยประโยคสองแง่สองง่ามเลยโว้ยยยย
“ผมเป็นคนใส่ เกี่ยวอะไรกับพี่ด้วย”
ผมกัดฟันถาม แต่แทนที่อีกฝ่ายจะสำนึกกลับโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบข้างหู
“พี่ชอบตอนถอด สีขาวเร้าใจกว่า”
ผมอ้าปากค้าง รู้สึกว่าในช่องท้องเสียววูบวาบเหมือนมีผีเสื้อหลายสิบตัวกำลังตีปีกพึ่บพั่บ พร้อมกับภาพที่ไม่ได้รับเชิญปรากฎขึ้นมาในสมองแบบช่วยไม่ได้…เป็นวันที่ผมใส่กางเกงในสีขาวแล้วถูกพี่ไวท์ถอดมันออกมาด้วยปาก ส่วนวันที่ผมใส่กางเกงในสีอื่นๆ พี่ไวท์จะกระชากออกอย่างรวดเร็ว 
“ฟัค”
ผมสบถด่าในความลามกของพี่ไวท์ ไม่เคยคิดเลยว่าแฟนตัวเองจะมีความคิดกามๆแบบนี้ ไอ้พี่บ้ามันหัวเราะเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าผมวางกล่องกางเกงในสีดำไว้ที่เดิม แล้วคว้ากางเกงในสีขาวมาห้ากล่อง ก่อนจะรีบเดินหนีไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน
ผมไม่ได้อยากให้พี่ไวท์ใช้ปากถอดกางเกงในให้จริงๆนะ…ผมแค่อยากเป็นแฟนที่เร้าอารมณ์เท่านั้นเอง
“สีขาวไซส์แอลห้าตัวนะคะ”
พนักงานหญิงทวนรายการสินค้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทำการรับชำระเงิน
“ตัวนี้ด้วยครับ”
พี่ไวท์ที่เดินตามมาทีหลังส่งกล่องกางเกงในสีขาวอีกรุ่นหนึ่งให้พนักงาน ผมเดาว่าเขาคงจะซื้อไปใส่เอง
“เพิ่มสีขาวไซส์แอลอีกหนึ่งนะคะ”
ผมขมวดคิ้ว งั้นตัวนี้น่าจะเป็นของผมแล้วล่ะ เพราะผมกับพี่ไวท์ใส่กางเกงในคนละไซส์กัน
“ทั้งหมดห้าพันสี่ร้อยยี่สิบห้าบาทค่ะ”
ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินราคารวมของสินค้า เดี๋ยวๆ คิดผิดคิดใหม่ได้นะเจ๊ แค่กางเกงในหกตัวทำไมราคาเหยียบครึ่งหมื่นเลยล่ะ
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปดูป้ายราคาจากชั้นที่หยิบมา พี่ไวท์ก็ทำตัวป๊ามากด้วยการยื่นบัตรวีซ่าอินฟินิทสีดำเรียบหรูให้พนักงาน ผมจำได้ว่าบัตรแบบนี้เหมือนของเฮียหมอก คงไม่ต้องบอกนะว่าการที่จะมีบัตรแบบนี้ไว้ในครอบครองต้องมีวงเงินในบัญชีเท่าไร เอาเป็นว่าค่ากางเกงในแค่ห้าพันให้พี่ไวท์จ่ายแหละดีแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นการช็อปกางเกงในที่สิ้นเปลืองมากที่สุด ผมก็กลับมานั่งแกะกล่องกางเกงในตัวใหม่ในห้องน้ำที่คอนโด เมื่อลองใส่ก็พบความแตกต่างระหว่างกางเกงในไฮโซของพี่ไวท์กับกางเกงในตัวละร้อยของผม มันกระชับและนิ่มมากจริงๆ ผมชอบครับ แม้ว่าจะไม่ชอบราคาของมันก็ตาม เอาเป็นว่าหลังจากนี้ผมจะบอกให้พี่ไวท์ระวังและถนอมกางเกงในของผมสักหน่อย แม้ว่าคนจ่ายเงินจะเป็นพี่ไวท์ก็ตาม
ผมหยิบกล่องกางเกงในที่พี่ไวท์เป็นคนเลือกมาแกะดู ตอนแรกคิดว่าคงไม่ต่างจากที่ผมเลือกเท่าไร แต่ปรากฏว่าตอนที่ผมกางออกดูชัดๆกลับต้องตาค้างแล้วสบถด่าพี่ไวท์ยาวเหยียด
ห่าราก! ใครจะไปใส่วะ
กางเกงในปีศาจที่พี่ไวท์เลือกมาเป็นซีทรูสีขาวสำหรับผู้ชาย ที่มีลูกไม้ปิดแค่ส่วนหน้าเท่านั้น ส่วนด้านข้างและด้านหลังเป็นผ้าซีทรูไม่ปกปิดอะไรเลย…สาบานว่าผมไม่ใส่!






TBC. ตอนหน้าขอพื้นที่ให้คู่นี้อีกหนึ่งตอนเเล้วจะกลับไปอัพพอร์ชวินต่อนะคะ

ใครสนใจคู่พี่ไวท์กับน้องพายุ สามารถติดตามอ่านได้ที่นี่

https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/

ที่มา : หนังสือเรื่อง บันทึกเปื้อนฝุ่น ลิขสิทธิ์ สนพ.ดาริน

:mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2019 14:36:44 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
บรรยากาศในมหาวิทยาลัยดูครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะอยู่ในช่วงสัปดาห์วิทยาศาสตร์ หลายคณะหลายสาขาต่างร่วมกันออกบูทวิชาการเพื่อแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยมที่ทางโรงเรียนพามาเป็นหมู่คณะ เพื่อให้เด็กๆได้มีเป้าหมายว่าในอนาคตใกล้ๆนี้ อยากจะศึกษาต่อในคณะอะไร แต่ละคณะเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง ซึ่งโรงเรียนที่มาทัศนศึกษาก็มีทั้งในจังหวัดเดียวกันและจังหวัดใกล้เคียง
ผมมองเห็นเด็กตัวน้อยในชุดพละสีสดใสที่น่าจะอยู่ชั้นประถมเดินเกาะไหล่กันเป็นขบวนรถไฟโดยมีอาจารย์เดินนำหน้า
จะว่าไปเด็กรุ่นใหม่มีการแข่งขันเรื่องเรียนค่อนข้างสูงกว่ารุ่นผมเยอะเลย ขนาดชั้นประถมยังมีการแบ่งห้องเรียนแบบวิทย์คณิตและศิลป์ภาษา อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น สมัยที่ผมตัวจ้อยเท่าลูกมดยังไม่มีความฝันอะไรอยู่ในหัวเลยนอกจากเล่นกับเพื่อน
“เร่เข้ามาจ้า เร่เข้ามา ร่วมทำการทดลองกับวิศวะเคมีวันนี้รับฟรีพวงกุญแจเกียร์ทองหนึ่งอัน ทำเองกับมือเลยนะ ไม่มีขายที่ไหนแล้ว อยากได้เชิญแวะทางนี้จ้า”
ผมยกมือกุมขมับเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของไอ้บ้ามิน จำได้ว่าพวกเราถูกถีบส่งมารับหน้าที่ยืนอ่อยเด็กๆให้เข้าบูทในชุดมาสคอตหลอดทดลองสีฟ้ากับสีชมพู ในมือมีธงสาขาสีบานเย็นที่ถูกน้องปีหนึ่งทำขึ้นแบบง่ายๆโบกไปโบกมา
ความจริงพวกเราควรยืนทำตัวน่ารักเป็นอันจบงาน แต่ไอ้มินผู้ขยันขันแข็งกลับแหกปากโวยวายล่อลวงเด็กน้อยให้เข้าบูทสาขา จะว่าไปเด็กๆหลายคนไม่รู้จักวิศวะเคมีและชื่อมันก็ไม่เท่เหมือนวิศวะเครื่องกลทำให้บูทของเราแทบร้างคนเพราะถูกเมิน
“อยากได้เกียร์”
ในที่สุดความพยายามของไอ้มินก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อมีเด็กผู้หญิงสองคนที่ถูกเกียร์ทองหลอกล่อกำลังเงยหน้ามองผมกับไอ้มินอยู่ที่หน้าบูท
“หนูเพิ่งอยู่มอสองจะไปทำการทดลองของวิศวะเคมีได้ไง ทำไม่เป็นหรอก”
เด็กผู้หญิงผมเปียเอ่ยถามด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น เห็นได้ชัดว่าอยากได้เกียร์ทองมาก แต่กำลังกังวลกับการทดลองอะไรก็ตามที่ไม่รู้จัก
“มาลองดูก่อน แค่เรื่องเปลี่ยนสถานะของสาร เบๆมากขอบอก”
ไอ้มินรีบฉวยจังหวะนี้โน้มน้าวเด็กน้อยสองคน
“ถ้าวิศวะเคมีเรียนเบๆ ก็แปลว่าไม่เก่งอ่ะดิ”
เด็กผู้หญิงผมสั้นหันไปพูดกับเพื่อนของเธอที่พยักหน้างึกๆเป็นเชิงเห็นด้วย
“ไม่ใช่เว้ย อันนี้มันความรู้พื้นฐาน ไม่เฉียดไม่ใกล้ความเป็นวิศวะเคมีเลย”
ไอ้มินเถียง
“ถ้าไม่เฉียดไม่ใกล้แล้วเอามาให้เราทำทำไมอ่ะ เราอยากเรียนวิศวะ เนอะ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเรียนสาขาอะไรดี”
“นี่อีหนู ถ้าความรู้พื้นฐานแน่น มาเรียนวิศวะเคมีรับรองว่าสบาย”
“…”
“แต่ถ้าความรู้แค่นี้ไม่มีอย่าฝันจะเข้ามาเรียนในสาขาเรา บอกเลยว่าวิศวะเคมีของที่นี่คะแนนสูงเป็นอันดับหนึ่งในคณะเลยนะ”
เด็กหญิงสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
“งั้นลองดูก็ได้”
“ดีๆ…ไอ้ทีรับเด็กน้อยไปทำการทดลองหน่อยดิวะ”
ไอ้มินปรบมือแปะๆด้วยความดีใจ แล้วหันไปตะโกนเรียกน้องปีหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลบูทมารับตัวเด็กน้อยสองคนไปทำการทดลอง
“มึงไปกินอะไรมาวะ ถึงได้คึกขนาดนี้”
ผมอดถามไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงเกินเหตุของไอ้มิน ทั้งที่ผมซึ่งอยู่ในชุดมาสคอตกำลังห่อเหี่ยวเพราะร้อนชิบหาย ไหนเลยจะมีอารมณ์ทำหน้าระรื่นแบบมัน
“เป็นปกติของคนมีความรัก”
ผมเลิกคิ้วเมื่อเพื่อนสนิทยอมรับหน้าตายว่ากำลังมีความรัก ถ้าคนบ้าแบบไอ้มินจะขายออก คนที่อยากซื้อจนตัวสั่นก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละครับ
ทายซิใครเอ่ย?
“คบกับพี่เพลิงแล้ว?”
ผมถาม ผมรู้ว่าพี่เพลิงคลั่งไอ้มินแทบบ้า ตามจีบเช้าจีบเย็น บางครั้งก็มาวอแวให้ผมช่วยเป็นพ่อสื่อ แต่เรื่องอะไรผมจะช่วยไอ้พี่เพลิงปากหมาล่ะ จีบกันเอาเองเถอะ เรื่องนี้พายุจะไม่ยุ่ง
“เปล่า เรียกว่าศึกษาดูใจกันอยู่”
ศึกษาดูใจของไอ้มินคือรับโทรศัพท์จากเขา ไปกินข้าวกับเขา ดูหนังกับเขา แบบนี่ล่ะครับ…
ไม่ได้เรียกว่าคบกันเลย
“ว่าแต่มึงเถอะ อารมณ์ไม่ดีเพราะโดนพี่ไวท์แกล้งใช่มั้ยล่ะ แต่กูว่าน่ารักออกนะ กูโคตรอิจฉาเลย”
“เรื่องอะไรวะ”
ผมหันไปมองหน้าไอ้มินที่โผล่ออกมาจากชุดมาสคอตด้วยความไม่เข้าใจ จำได้ว่าเรื่องสุดท้ายที่ไอ้พี่ไวท์แกล้งผมคือการซื้อกางเกงในปีศาจให้ ซึ่งรับรองได้ว่าผมไม่มีทางให้เรื่องนี้รั่วไหลไปถึงหูของคนอื่นเด็ดขาด
“ตีหน้าซื่อ”
กูซื่อจริงครับ ไม่ได้แกล้ง
“ถามจริง มึงมีเฟสบุ๊คไว้เพื่ออะไรคะ เอาไว้ส่องแต่เพจ Cute Boy หรือไง เฟสสามีตัวเองอ่ะ ส่องบ้างไรบ้าง”
ไม่ใช่แค่พี่ไวท์ที่ไม่สนใจโซเชียล ผมเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน นอกจากมีแอปพลิเคชันเมสเซนเจอร์ไว้คุยกับเดอะแก๊ง ผมก็โหลดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊คติดเครื่องไว้ตามมารยาทเท่านั้น
“ขอพักเว้ย ใครก็ได้มาใส่ชุดบ้านี่ที”
ผมตะโกนบอกเด็กปีหนึ่ง ซึ่งรุ่นน้องแสนดีก็รีบเข้ามาช่วยผมกับไอ้มินถอดชุดมาสคอต แถมยังมีบริการหลังใช้งานด้วยการประเคนน้ำเย็นสดชื่นให้คนละขวด เสื้อช็อปของผมกับไอ้มินเปียกชุ่มราวกับเพิ่งไปตกน้ำมา จึงไม่รู้สึกละอายใจที่จะนั่งเฉยๆให้รุ่นน้องบริการพัดให้พวกเรา
ผมหยิบสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงมากดเข้าแอปพลิเคชันสีน้ำเงิน พิมพ์ชื่อเฟสบุ๊คของพี่ไวท์ในช่องค้นหา รอไม่กี่วินาทีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งยากใจ อยากยิ้มก็ยิ้มไม่ออก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่
นี่แหละมั้ง ที่ไอ้มินบอกว่าผมโดนพี่ไวท์แกล้ง หรือพี่มันเจตนาแกล้งกูจริงๆวะ ฮือออ
รูปโปรไฟล์ที่เคยเป็นรูปของพี่ไวท์ถูกเปลี่ยนเป็นรูปของผม ซึ่งมันก็น่าดีใจนะครับที่แฟนให้ความสำคัญกับผมแบบนี้ ติดแต่ว่ารูปที่พี่ไวท์ใช้คือรูปที่เขาแอบถ่ายผมวันที่ไปกินอาหารญี่ปุ่น ในภาพผมกำลังอ้าปากงับช้อน ขณะที่สายตาเหลือบมองไปด้านหนึ่งด้วยท่าทางตลกๆ ผมจำได้ว่าตอนนั้นแอบมองสาวอยู่ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำหน้าแบบนั้น แม่งจ้าดง่าว แต่ถึงจะง่าวยังไงก็มียอดไลท์ถึงหนึ่งพัน ต่างกับรูปโปรไฟล์สุดหล่อในเฟสบุ๊คของผมที่มีเพื่อนยอมกระทืบไลท์ไม่ถึงยี่สิบ

ความเห็น 1 : แฟนพี่ไวท์เหรอคะ น่ารักจัง
ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นคอมเม้นท์จากแฟนคลับคนหนึ่งของพี่ไวท์ นับว่าตาถึงมากครับ คนหน้าตาดี ต่อให้ทำตัวกากๆก็ยังหน้าตาดี
ความเห็น 2 : บ้องแบ๊วมากค่าลูกสาว
มีตรงไหนสาววะเจ๊ เอาเป็นว่าถ้าหน้าโง่ๆของผม มันน่าเอ็นดูในสายตาก็ขอบคุณมาก
ความเห็น 3 : คนนี้แฟนพี่ไวท์เหรอ ฮือออออ หนูไม่สู้ หล่อจังเลย แงงงงงง
ดีแล้วที่ไม่สู้ จะได้ไม่มีคนเจ็บตัวนะหนู
เพลิง พัทธนันท์ : กูโคตรไม่อยากเชื่อเลยว่าไอ้ไวท์จะทำแบบนี้ งานอวดแฟนก็มาว่ะ
ธาม กฤตนันท์ : ไม่ค่อยหลงน้องมันเลยนะไวท์ @ Suteekan  Benjakul

พี่เพลิงกับพี่ธามเข้ามาคอมเม้นท์แซวพี่ไวท์ไม่ต่างจากเพื่อนๆอีกหลายคน ไม่ใช่แค่พวกเขาที่แปลกใจ ผมก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะพี่ไวท์ไม่ใช่คนที่ชอบการเปล่าประกาศเรื่องส่วนตัวในโลกโซเชียล ยิ่งไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรักออกสื่อ ขนาดในเฟสบุ๊คยังตั้งสถานะว่า ‘มีแฟนแล้ว’ โดยไม่ได้แท็กผมเลย
ช่วงก่อนหน้านี้เคยมีแฟนๆหลายคนเข้ามาขุดหาภาพของผมในเฟสบุ๊คของพี่ไวท์ แล้วก็เดากันไปต่างๆนาๆว่าคนไหนคือผม แต่เสียใจด้วยเพราะรูปคู่ของเรามีแค่ในโทรศัพท์ ส่วนรูปโปรไฟล์กากๆรูปนี้ นับเป็นรูปแรกของผมในเฟสพี่เขาเลยล่ะ

ตึ๊ง!
ธาม กฤตนันท์ : ไม่ค่อยหลงน้องมันเลยนะไวท์ @ Suteekan  Benjakul
   1 วินาที
   Suteekan  Benjakul : หลงนานแล้ว แค่ไม่ได้แสดงออก
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นข้อความที่ถูกคอมเม้นท์โดยเจ้าของเฟส รู้สึกว่ารอยยิ้มกว้างกำลังขยับบนใบหน้า พร้อมกับหัวใจที่ระเบิดตูมมมม…กลายเป็นโกโก้ครั้นช์
เขินว่ะ!


คณะแพทยศาสตร์ในช่วงบ่ายยังครึกครื้นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ต่างจากคณะวิศวะที่เริ่มเก็บบูทและทำความสะอาดสถานที่ จุดเด่นที่ทำให้คณะแพทย์เป็นที่นิยมและดึงดูดเด็กๆให้เข้ามาจับจองพื้นที่คือ ‘การผ่าอาจารย์ใหญ่’ ซึ่งมีการต่อคิวเข้าชมยาวนานหลายชั่วโมง บางคนมาต่อคิวถึงช่วงเย็นก็ยังไม่ได้เข้าชม ต้องลงชื่อไว้แล้วกลับมาดูใหม่ในวันพรุ่งนี้
ส่วนเหตุผลที่ผมโผล่มาเยือนคณะแพทย์ในเวลานี้ ไม่ใช่เพราะอยากดูการผ่าอาจารย์ใหญ่ แต่ผมอยากมาดูว่าพี่ไวท์กำลังทำอะไรอยู่เท่านั้นเอง ผมใช้เวลาไม่นานในการมองหาคนรัก เพราะเสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กมัธยมเรียกให้ผมหันไปมองบูทตอบคำถามก็เห็นพี่ไวท์และแก๊งหมอหล่อยืนทำหน้าที่แจกของรางวัล ซึ่งเป็นพวงกุญแจรูปเข็มฉีดยา ผมคิดว่าเพื่อนในคณะก็ช่างเลือกใช้งานได้ถูกคนจริงๆ เพราะแค่หนังหน้าของอีพี่ไวท์ก็ดึงดูดให้เด็กสาวอยากเข้าบูทแทบแตกแล้ว
“พายุ”
เสียงคุ้นหูจากด้านหลังเรียกให้ผมหันกลับไปมอง รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาทักคือ ‘โปรด’ พวกเราเจอหน้ากันแค่หนึ่งครั้ง แล้วก็คุยกันแค่หนึ่งประโยค ซึ่งผมแน่ใจว่าเราไม่ได้สนิทสนมกันขนาดต้องเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่ผมเป็นคนมีมารยาทจึงต้องส่งยิ้มกลับไป
“มาหาพี่ไวท์เหรอ”
“อืม แต่พี่ไวท์กำลังยุ่ง”
ผมตอบ แล้วพยับเพยิบไปทางคนหล่อที่กำลังยืนชี้บอร์ดที่แปะภาพอวัยวะภายในของมนุษย์ให้เด็กสาวกลุ่มหนึ่งดู
“ปีสองใครว่างบ้างวะ ไปยกน้ำมาแจกเด็กๆหน่อยเร็ว!”
โปรดที่กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างชะงัก เขาหันกลับไปมองเจ้าของเสียงตะโกน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าตัวกำลังเดินแจกน้ำขวดขนาด 600 มิลลิลิตรให้เด็กๆมัธยมที่ยืนต่อคิวรอชมการผ่าอาจารย์ใหญ่
“ผมว่างครับ”
โปรดยกมือป้องปากแล้วตะโกนบอกรุ่นพี่ พร้อมโบกมือไปมาให้อีกฝ่ายเห็นว่าคนพูดยืนอยู่ตรงนี้ ส่วนผมที่อยู่ๆนึกหมั่นไส้คนดีอย่างนายโปรดก็กำลังกรอกตามองบน…รีบๆไสหัวไปยกน้ำของนายเถอะ
“เออ มึงอ่ะ พาเพื่อนไปยกน้ำมาสักสิบแพ็ก”
โปรดพยักหน้าแล้วหันกลับมา ผมคิดว่าเขาจะขอตัวไปทำงาน แต่เปล่า ไอ้หมอนี่กลับชวนผมไปยกน้ำ! ไปใช้แรงงานคณะแพทย์!
“ไปช่วยเรายกน้ำหน่อยดิ”
ผมยกนิ้วชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงถามซ้ำ
ให้ตายสิ เขาคิดว่าพวกเราสนิทกันเหรอ
 “ป้ะ!”
โปรดไม่ได้ตอบคำถามของผม เขายิ้มแล้วถือวิสาสะจูงมือผมให้เดินตามเข้าไปในตัวอาคาร…
ผมว่าผมไม่ชอบหมอเลยนี่อ่ะ
ระหว่างทางพวกเราเจอเด็กแพทย์กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกล่องอยู่บนพื้นหน้าบันได ซึ่งในจำนวนนั้นมีลาเต้กับเกิ้ลด้วย จะว่าไปพวกเด็กแพทย์ก็กินง่ายอยู่ง่ายเหมือนกันนะครับ
“เกิ้ล! เต้! มึงสองคนมาช่วยกูยกน้ำหน่อยดิ”
“แดกข้าวอยู่เห็นป้ะ”
เกิ้ลขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง แต่ลาเต้ที่ดูจะเป็นคนดีกว่าหมอนี่ ปิดฝากล่องข้าวแล้วลุกจากพื้นตามประสาคนมีน้ำใจ
“กูอิ่มแล้ว”
“เออ แล้วทำไมแฟนพี่ไวท์มาอยู่กับมึงได้อ่ะ”
คำถามที่ไม่เบาของเกิ้ลเรียกให้เด็กแพทย์คนอื่นๆในบริเวณนั้นหันมามองผมเป็นตาเดียว
ให้ตายสิ การที่จะเรียกผมว่า ‘พายุ’ มันยากกว่าการเรียกผมว่า ‘แฟนพี่ไวท์’ ตรงไหนวะ สั้นกว่าตั้งหนึ่งพยางค์เห็นๆ
“มาหาพี่ไวท์”
โปรดตอบเรียบๆ เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะขยายความอีกครั้งด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
“แล้วก็จะไปช่วยกูยกน้ำด้วย…มีน้ำใจกว่ามึงเยอะเลย”
สาบานว่าหมอนี่ไม่รู้จริงๆว่าผมไม่ใช่คนมีน้ำใจ?
เกิ้ลเลิกคิ้ว แล้วยิ้มแปลกๆขณะที่มองผม เขาปิดฝากล่องข้าว วางลงบนพื้นก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าพวกเรา
“งั้นกูไปด้วย”
พวกเราสี่คนเดินไปตามระเบียงทางเดินสีขาวที่ทอดยาว ตรงสุดทางเดินมีห้องเก็บของที่ไม่ได้ล็อก เป็นเพราะหลอดไฟในห้องเสีย โปรดจึงเปิดประตูห้องทิ้งไว้ปล่อยให้แสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องเข้าไปให้พอมองเห็น ผมก้าวเท้าตามคนพวกนั้นเข้าไป ด้านในห้องกว้างกว่าที่คิด มีฝุ่นละอองค่อนข้างเยอะ บ่งบอกว่าไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน นอกจากแพ็กน้ำดื่มที่เรียงต่อกันจนสูงท่วมหัวแล้ว ในห้องยังมีตู้ไม้ใส่แฟ้มเก่าๆ โต๊ะเก้าอี้ที่ถูกซ้อนเป็นชั้นๆอย่างไร้ระเบียบ
“ต้องยกไปกี่แพ็กอ่ะ”
ลาเต้ถาม
“สิบแพ็ก”
โปรดเป็นคนตอบ
“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก กูจะได้เรียกพวกนั้นมาช่วยยก มีกันสี่คนจะถือไหวได้ไง ขี้เกียจเดินหลายๆรอบนะเว้ย”
ลาเต้บ่นยาวเหยียด แต่โปรดกลับหัวเราะในลำคอ เขาปรายตามองผมแล้วขยับยิ้มชั่วร้าย สาบานว่าชั่วร้ายจริงๆ ไม่ได้อคติเลย โปรดทำให้ผมขนลุกเพราะไม่คิดว่าคนที่บุคลิกใสซื่อจะมองผมเหยียดๆแบบนี้
“เรียกพวกนั้นมาด้วยก็เสียแผนดิวะ”
ผมคิดว่าคงจะมีแค่ผมกับลาเต้ที่ตามเรื่องราวไม่ทัน เพราะเกิ้ลที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องกำลังหัวเราะชอบใจ
“เดี๋ยวกูจัดให้”
“ไม่ต้องออมมือ”
“ได้เลยเพื่อนรัก”
เกิ้ลรับปาก เขาเดินมาลากแขนของโปรดให้ไปยืนใกล้ๆกับแพ็กน้ำดื่มที่เรียงต่อกันจนสูงท่วมหัว กว่าผมจะรู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรก็สายไปเสียแล้วเมื่อเกิ้ลผลักแพ็กน้ำดื่มใส่โปรด
โครม!!!
โอ๊ยยยยยยยยย
แพ็กน้ำดื่มหลายสิบแพ็กพร้อมใจกันล้มลงมาทับโปรดที่กองอยู่บนพื้น มีขวดน้ำบางขวดแตกจากการกระแทกพื้นทำให้น้ำไหลนองเต็มห้อง เขาร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บ ผมเชื่อว่าเขาเจ็บจริง เพราะแพ็กน้ำดื่มขนาดสิบสองขวดไม่ถือว่าเบาเลย
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งตรงมาทางนี้ ก่อนจะปรากฏร่างของรุ่นพี่ผู้หญิงสามคนตรงหน้าประตู พวกเธอมองเข้ามาเห็นโปรดนอนอยู่บนพื้นก็อุทานด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น!”
รุ่นพี่สองคนวิ่งเข้าไปประคองนายโปรดให้ลุกขึ้นยืน ผมเห็นว่าจมูกของเขาแดงเพราะโดนแพ็กน้ำดื่มประแทกหน้าเต็มๆ และผมไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่า…สมน้ำหน้า
“ผม ผม…”
โปรดสะอื้น ตาของเขาแดงก่ำราวกับจะร้องไห้โฮได้ทุกเมื่อ จะว่าไปถ้าผมไม่ได้เห็นกับตาว่าเขากับเกิ้ลเจตนาสร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายผม ผมก็อยากจะคิดว่าเขาช่างดูน่าสงสารอยู่เหมือนกัน ให้ตายเถอะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่คิดว่าหน้าซื่อๆแบบนี้จะตอแหลใช่ย่อย
“กูเล่าเอง”
เกิ้ลที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนนายเอกรีบเสนอหน้า ทุกคนหันไปมองที่เขาเป็นตาเดียว ส่วนเกิ้ลกลับมองมาที่ผมด้วยความไม่พอใจราวกับว่าผมเป็นคนร้าย ซึ่งมันทำให้รุ่นพี่ที่เข้ามาที่หลังเริ่มเข้าใจสถานการณ์แบบผิดๆแล้วมองผมอย่างรอคอย
“พายุเป็นคนผลักขวดน้ำใส่โปรดครับ”
กูว่าแล้ว…ไม่คิดเลยว่าการกลั่นแกล้งแบบในละครช่องหลายสีจะมีพวกหน้าด้านยืมเอามาใช้ในชีวิตจริงด้วยว่ะ
“ถึงนายจะไม่พอใจที่พี่ไวท์ติวให้โปรด ก็ไม่น่าแกล้งกันแรงขนาดนี้ โดนแพ็กน้ำถล่มใส่มันเจ็บมากนะรู้มั้ย ดีแค่ไหนที่โปรดหัวไม่แตก”
ผมส่งหมอนี่เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมเลยได้มั้ย เข้าถึงบทบาทสุดๆ ถ้าเปลี่ยนจากเรียนแพทย์ไปเรียนนิเทศก็น่าจะรุ่งนะ
“ผมไม่ได้ทำอะไรเขา” ผมพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจฟังเลย
“เดี๋ยวนะ แล้วน้องคนนี้เป็นใคร มาทำอะไรที่คณะเรา”
รุ่นพี่สาวที่ดูเหมือนจะตามเรื่องราวไม่ทันเอ่ยถามด้วยท่าทางงงๆ ซึ่งเกิ้ลก็รีบอธิบาย ไม่สิ ควรเรียกว่าใส่สีตีไข่ให้ผมดูแย่มากกว่าเดิม
“เขาเป็นแฟนพี่ไวท์ครับ มาเฝ้าผัว เอ๊ย แฟน กลัวแฟนจะทิ้งเพราะตัวเองนิสัยไม่ดี”
“อ่อ คนนั้นไงที่เรียนวิศวะ แฟนพี่ไวท์อ่ะ”
รุ่นพี่ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันแล้วเริ่มซุบซิบตามประสาผู้ที่ให้ความใส่ใจเรื่องของชาวบ้าน และมันทำให้ผมรู้ว่าข่าวความสัมพันธ์ของพี่ไวท์กับโปรดรู้กันทั่วถึงทั้งคณะแพทย์
“ฉันเห็นในเพจ Cute Boy แล้ว เรื่องที่พี่ไวท์สนิทกับโปรด สงสัยจะหึงจนหน้ามืด”
“ผมไม่ได้หึงจนหน้ามืด”
ผมหันขวับไปมองคนพูดแล้วแย้งเสียงขุ่น รุ่นพี่คนนั้นยิ้มเจื่อน ทำให้ผมนึกสมเพช ถ้ากล้านินทาต่อหน้าต่อตาขนาดนี้แล้ว จะกลัวทำไมกับการที่ผมมองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจ
“เต้ นายเห็นเหตุการณ์ใช่มั้ย”
รุ่นพี่เบอร์ 1 เลือกจะหันไปถามลาเต้ที่ยืนเงียบอยู่มุมหนึ่งของห้อง ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่ามีหมอนี่ด้วย
“สรุปว่าน้องคนนี้แกล้งโปรดจริงหรือเปล่า”
รุ่นพี่เบอร์ 2 ถาม
ผมมองหน้าลาเต้เงียบๆ คาดหวังว่าคนที่ดูจะมีจิตสำนึกอย่างเขาจะช่วยแก้ต่างให้ผม ลาเต้เหลือบมองเกิ้ลกับโปรด ก่อนจะหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีแล้วพยักหน้าช้าๆ โอเค หมอนี่ไร้จิตสำนึกเหมือนกัน
“จริงครับ”
“นิสัยแย่ว่ะ” รุ่นพี่เบอร์ 3 จิกตามองผมขณะประณามในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แต่ไม่ได้เห็นกับตา
เหตุการณ์วุ่นวายดำเนินต่อไปเพราะทุกคนหาข้อสรุปไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรกับผม ส่วนโปรดยืนกรานว่าเขาต้องการคำขอโทษ แน่นอนว่าผมไม่ให้ ผมไม่มีทางขอโทษ ‘แรด’ แน่ๆ รุ่นพี่เบอร์ 1 จึงอาสาไปตามพี่ไวท์มาไกล่เกลี่ย ตอนแรกผมคิดว่าดีซะอีก ผมจะได้ฟ้องพี่ไวท์ว่าถูกใส่ร้าย แต่เมื่อพี่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สมองของผมกลับเครียดเกร็ง…ผมกลัวพี่ไวท์ไม่เชื่อ
“พี่ไวท์มาแล้ว” เกิ้ลร้องด้วยท่าทางยินดีแบบออกนอกหน้า แล้วแอบหันมายิ้มเยาะผม
“มีเรื่องอะไรครับ” พี่ไวท์ถามแล้วกวาดตามองสภาพห้องที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ
“แฟนพี่ทำร้ายน้องโปรด”
“ทำร้าย?”
พี่ไวท์เลิกคิ้ว เขาเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่ผม นัยน์ตาสีดำลึกลับที่ผมชอบที่สุดไม่บ่งบอกอารมณ์อะไรเลย
“พายุผลักแพ็กน้ำทับโปรด”
เกิ้ลรีบฟ้อง
“ผมเปล่า”
“ทุกคนเห็นกับตา นายยังกล้าปฎิเสธเหรอ”
“นายต่างหากเป็นคนทำ!”
ผมรีบอธิบาย ไม่เคยหัวร้อนแบบนี้มาก่อน ผมไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดกับผมยังไง ผมแคร์ว่าพี่ไวท์จะคิดยังไงมากกว่า แต่ยิ่งพูดมันก็ยิ่งเหมือนคนโกหกที่กำลังหาทางแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“ฉันจะทำเพื่อนฉันทำไมล่ะ” เกิ้ลเหยียดยิ้มมุมปาก ซึ่งมันทำให้ความอดทนของผมสิ้นสุด
“พวกมึงรวมหัวกันตอแหล!”
ผมตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล มือสองข้างกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือ…ใจ ทำไมคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างผม ต้องมายืนแก้ตัวให้คนอื่นฟัง ทั้งที่ไม่มีใครสนใจจะฟังจริงๆ ทุกคนตัดสินผมจากลักษณะภายนอก แน่นอนว่าหน้าตาของผมไม่ได้ใสซื่อและน่าเชื่อถือเหมือนนายโปรด
“ช่างเถอะ ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ไม่ได้บาดเจ็บมาก”
โปรดเอ่ยทำลายความเงียบ เรียกให้สายตาทุกคู่หันไปมองเขาด้วยความเห็นใจ ผมไม่กล้ามองหน้าพี่ไวท์จึงได้แต่ก้มมองพื้น ผมคงรับไม่ได้แน่ๆถ้าพี่ไวท์สงสารโปรด แม้เศษเสี้ยวในสายตาก็ตาม
“ขอโทษพี่ไวท์ด้วยนะครับที่ทำให้ต้องวุ่นวาย พาแฟนพี่กลับไปเถอะ”
ผมเกลียดเขา เกลียดคำพูดที่เหมือนเป็นคนดีที่ถูกกระทำ ไหนๆตอนนี้ผมก็ถูกมองเป็นตัวร้ายอยู่แล้ว มันคงไม่แย่ไปกว่าเดิมถ้าผมจะถีบปากคนตอแหล ผมหมายความตามนั้น!
การตัดสินใจกะทันหันของผม อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนโดยเฉพาะนายโปรดที่ไม่ทันระวังตัวจึงถูกผมกระโดดถีบปากเต็มๆ
ผลัก!
โครมมมมม
“น้องโปรดดดดดด”
รุ่นพี่คนหนึ่งร้องกรี๊ดด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าโปรดหงายหลังลงไปกองกับพื้น ซึ่งคนตอแหลก็แหลได้เสมอต้นเสมอปลายเพราะจากที่เขาควรจะโกรธผมแล้วลุกขึ้นมาสู้ เขากลับร้องไห้โฮเหมือนเด็กตัวเล็กๆมือสองข้างกุมจมูกและปากที่มีเลือดไหลออกมา ซึ่งมันชวนให้คันมือคันตีนอยากจะลงไปซ้ำอีกรอบ
“ฮืออออออ”
“พอแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าพี่ไวท์ขยับเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร เขาปรามผมแล้วคว้าตัวผมไว้ในอ้อมแขน กันไม่ให้ผมไปทำร้ายโปรด ซึ่งผมก็ได้แต่ดิ้นขลุกขลัก กระตุกเท้าไปมาเพราะโมโหจนหน้ามืด
“ปล่อยผมนะ”
“ต่อหน้าต่อตาเลยนะ พี่ไวท์ก็เห็นแล้ว พี่ต้องจัดการให้น้องนะคะ”
รุ่นพี่เบอร์ไหนสักเบอร์ ช่างแม่งเหอะ รีบเสนอหน้ามาฟ้องด้วยท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้น ผมไม่ได้ถีบปากหล่อนสักหน่อย หรือควรจะถีบมันสักที ปากมากจริงเว้ย

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
“แตง”
“ขา”
“พี่วานเช็กยอดน้ำขวดที่แตก เสร็จแล้วส่งไลน์มาบอกจำนวนด้วย พรุ่งนี้พี่จะซื้อมาคืน”
พี่ไวท์กระชับอ้อมแขนที่กอดผมจากด้านหลังแน่นขึ้น ขณะเอ่ยกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่าแตงด้วยความสงบ
“แล้วน้องโปรดล่ะคะ”
“เจ็บมากนักก็ตายไปเลยมึ-ง อื้มม!!”
ผมโพล่งสิ่งที่คิดออกไปไม่ทันจบก็ถูกฝ่ามือของพี่ไวท์ปิดปากไว้แน่น ทุกคนมองผมเหมือนตัวร้ายในละคร แต่แม่งไอ้เชี่ยโปรดมันน่าหมั่นไส้จริงๆนะครับ แค่เลือดกำเดาไหลนิดเดียวแต่ร้องห่มร้องไห้อย่างกับเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
“อยากให้พี่ทำอะไรครับ” พี่ไวท์ถามทั้งๆที่ปิดปากผมไม่ให้สบถคำด่ายาวเหยียดออกมา
“เปล่า ผม…”
ไอ้เชี่ยโปรดหลุบตามองพื้นเศร้าๆ แล้วปฏิเสธเสียงแผ่ว บรรยากาศเกือบ   ดราม่าแล้ว แต่พี่ไวท์กลับเอ่ยขัดจังหวะคำพูดที่เหลือของหมอนั่น ซึ่งคำพูดนั้นก็เป็นเหมือนการขอยุติเรื่องราวทั้งหมดโดยการบอกเป็นนัยๆว่า…คนนอกไม่เสือก!
“เปล่าก็ดีแล้ว ไว้ค่อยคุยกันเป็นการส่วนตัว”


มือของผมถูกพี่ไวท์กุมไว้แน่นขณะที่พวกเราเดินไปตามทางเดินสีขาว ผ่านเด็กแพทย์หลายต่อหลายคนที่ไวต่อข่าวสาร กำลังยืนซุบซิบนินทาแล้วมองมาที่พวกเรา ผมเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกพี่ไวท์จับยัดใส่รถสีขาวคันโปรดแล้ว
ระหว่างทางที่พี่ไวท์ขับรถกลับมาที่คอนโด เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วผมก็ไม่คิดอยากแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น พี่ไวท์กุมมือผมไว้ตลอดเวลาราวกับกลัวว่าผมจะหนี เขาจูงมือผมขึ้นลิฟต์และปล่อยมือจากผมในตอนที่เข้ามาในห้องพัก
“เราทำหรือเปล่า”
นั่นเป็นประโยคแรกที่พี่ไวท์พูดกับผม
“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้ทำล่ะ”
ผมเหลือบมองผนังสีขาวราวกับมันน่าสนใจซะเต็มประดา มือสองข้างที่กำหมัดแน่นกำลังสั่นระริก ผมกลัวพี่ไวท์ต่อว่าผม กลัวเขาโกรธที่ผมทะเลาะกับโปรดต่อหน้าคนอื่น เขาอาจจะอายก็ได้ที่มีแฟนแบบผม…
“พี่เชื่อพายุ”
คำตอบจากพี่ไวท์ทำให้ผมหันหน้าไปสบตาเขา ผมไม่เห็นความสงสัยเคลือบแคลงในดวงตาสีดำลึบลับคู่นั้นเลย…
“แล้วถ้าผมทำจริงๆล่ะ”
ถึงผมจะไม่ได้ผลักแพ็กน้ำดื่มใส่นายโปรด แต่ผมก็เจตนากระโดดถีบปากหมอนั่นจริงๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องของผมลงเพจ Cute Boy แน่ๆ แล้วทุกคนก็จะเชื่อว่าเป็นความผิดของผม
“พี่อยากให้เราพูดความจริงกับพี่ จะทำหรือไม่ทำพี่ไม่โกรธ”
พี่ไวท์เอ่ยอย่างอ่อนโยน เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้มืออบอุ่นคู่นั้นประคองใบหน้าของผม พี่ไวท์ไม่โกรธเพราะเขาไม่แคร์ว่าผมทำหรือเปล่า แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมโมโห ผมอยากให้เขาเชื่อว่าผมไม่เคยหาเรื่องใครก่อนจริงๆ
“ผมไม่ได้ทำ”
“โอเค”
“ผมบอกว่าไม่ได้ทำ”
ผมย้ำ รู้สึกว่าน้ำเสียงกำลังสั่นเครือ
“พี่ได้ยินแล้ว”
พี่ไวท์ลูบศีรษะผมเบาๆเป็นเชิงปลอบโยนแต่ถูกผมปัดมือทิ้ง ผมชอบสายตาที่เขามองมาที่ผม มันอ่อนโยนเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่เพราะว่ามันไม่เคยเปลี่ยน ผมถึงได้คาดเดาความคิดของเขาไม่ออกว่าเขาเชื่อจริงๆหรือแค่ต้องการให้ผมสบายใจ
“พี่ไม่เชื่อผมใช่มั้ย พี่ก็แค่พูดไปงั้น”
“พายุ”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
ผมผลักพี่ไวท์ให้พ้นทาง ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องนอนแล้วล้มตัวนอนคว่ำหน้าบนเตียง ผมรู้ตัวว่ากำลังพาล มันเป็นความอัดอั้นตันใจที่แม่งทำอะไรไม่ได้เลย
ผมเกลียดไอ้เชี่ยโปรดที่ตอแหลขั้นเทพ ผมเกลียดคนที่ไม่รู้จักผมแต่ตัดสินผมจากสิ่งที่เขาไม่ได้เห็น และตอนนี้คนที่ผมเกลียดที่สุดก็คือตัวเอง ผมเริ่มจะเสียใจแล้วจริงๆที่กระโดดถีบปากไอ้หมอนั่น แม้ว่ามันจะสมควรโดนก็ตาม แต่ยิ่งผมตอบโต้ด้วยความรุนแรงเท่าไร ตัวผมเองก็ยิ่งดูแย่เท่านั้น
ความสะใจเพียงชั่วครู่แลกกลับการทำให้ความน่าเชื่อถือของตัวเองหมดลง… ถ้าผมละทิ้งนิสัยขี้โมโหแบบเด็กๆแล้วสุขุมได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ไวท์
บางที…คำพูดของผมคงมีน้ำหนักพอให้คนอื่นรับฟัง

ข่าวด่วนจ้า!!! ข่าวด่วนนนนน!!! น้องโปรด ปี 2 อดีตเดือนคณะแพทย์โดนเตะปากเจ้าค่ะ งานนี้สาหัสจริงๆ จะหมดหล่อหรือเปล่าไม่รู้ แต่หนูน่าสงสารมากค่ะลูก อยู่ดีๆก็กลายไปเป็นศัตรูหัวใจใครบางคน เอ๊ะๆ แอดต้องบอกมั้ยคะว่าใคร?
#ไวท์โปรด #ทีมโปรด #น้องโปรดลูกรัก #แฟนปัจจุบันไม่เท่าแฟนในอนาคต

มือของผมที่กำลังถือสมาร์ทโฟนสั่นระริก แม้จะเตรียมใจไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาส่องเพจ Cute Boy แล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แอดมินเพจเจ้าเก่าโพสต์ชงไอ้เชี่ยโปรดแบบไม่ปิดบัง โดยเฉพาะแฮชแท็กที่โคตรส้นตีนใต้ภาพของหมอนั่นที่กำลังใช้ทิชชู่อุดจมูก มุมปากบวมเจ่อน้อยๆเป็นการเรียกคะแนนสงสารได้ดี
ส่วนความเห็นของคนส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามกระแสคือโจมตีคนๆหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ยิ่งผมเลื่อนอ่านคอมเม้นต์ ก็ยิ่งพบว่าถ้อยคำที่ใช้แรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ภาษาสุภาพแต่เป็นในเชิงจิกกัด แรงสุดก็คำหยาบคายอย่างกับผมไปเผาบ้านพวกเขางั้นแหละ
“อย่าร้อง”
เสียงกระซิบพร้อมอ้อมแขนที่กอดรัดผมจากด้านหลังทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่า…น้ำตากำลังไหล ผมยกหลังมือปาดน้ำตาทิ้งลวกๆแล้วหันไปมองหน้าคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“ผมเป็นคนไม่ดี”
พี่ไวท์ดึงสมาร์ทโฟนไปจากมือของผมแล้ววางทิ้งไว้บนลิ้นชักข้างเตียง ก่อนจะดึงผมไปกอดไว้แน่น
“พี่ไม่ได้รักคนดี…แต่พี่รักพายุ”
ผมรู้ว่าตัวเองงี่เง่า เพราะวินาทีที่ได้ยินประโยคนั้นผมก็ร้องไห้โฮแล้วฝังใบหน้าเปื้อนน้ำตาไว้กับแผ่นอกของพี่ไวท์ ผมไม่รู้ว่าร้องไห้นานเท่าไร ในตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับผมก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของพี่ไวท์ แต่ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักกลับลืมไม่ขึ้นจึงได้แต่นอนกอดเอวพี่เขาไว้หลวมๆเหมือนเดิม
เสียงเรียกเข้าเงียบไปแล้ว ผมได้ยินเสียงของพี่ไวท์ดังขึ้นเบาๆ…พี่เขากำลังคุยโทรศัพท์
“ครับ”
“…”
“อืม ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
ผมเผลอขมวดคิ้ว ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคนที่โทรมาคือใคร!
“พี่รู้ว่าพายุไม่ได้ทำ”
ผมแปลกใจเมื่อพบว่าน้ำเสียงของพี่ไวท์ห่างไกลจากคำว่าอ่อนโยน ไม่สิ มันออกจะเย็นชาเลยด้วยซ้ำ
 “คนของพี่โกหกหรือเปล่าทำไมพี่จะไม่รู้…พี่ขอพูดตรงๆนะ เห็นแก่ที่เราเป็นสายรหัส…อย่ามาให้พี่เห็นหน้าอีก”
ผมขยับยิ้ม นี่แหละครับ ตัวจริงของพี่ไวท์ ฉากหน้าคือคนที่อ่อนโยนต่อสิ่งแวดล้อมแต่ลึกๆแล้วแม่งโคตรร้าย
“พี่รู้ว่าโปรดคิดยังไงกับพี่ แต่ตอนนี้เราล้ำเส้นเกินไปแล้ว”
“…”
“ลองดูสิ ไม่ใช่แค่พายุที่ชอบใช้ความรุนแรง พี่ก็ชอบเหมือนกัน ถ้าไม่อยากไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มจริงๆก็อย่ามายุ่งกับพี่และคนของพี่”
ผมอยากลุกขึ้นมาหัวเราะให้ลั่นห้องจริงๆเลย สะใจกว่ากว่าการแตะปากแรด ก็คำพูดของที่รักนี่แหละครับ ลืมไปได้ไงว่าอีพี่มันชอบใช้ความรุนแรง ถึงจะบอกว่าพี่ไวท์ไม่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาแต่ถ้าฟิวส์ขาดขึ้นมาก็เรียกได้ว่าโมโหร้ายสุดๆ
“พี่ไม่เคยขู่ครับ”
ผมไม่รู้ว่าปลายสายกำลังทำหน้ายังไง แต่ผมว่าไม่ใช่อยู่ในอารมณ์ที่ดีแน่ๆ หลังจากที่พี่ไวท์วางสายจากหมอนั่น ผมก็ได้เวลาหวนเข้าสู่นิทราแสนสุขอีกครั้งด้วยความสบายใจ ตอนที่กำลังจะได้ไปเฝ้าพระอินทร์ ผมรู้สึกว่ามีสัมผัสอบอุ่นประทับลงบนหน้าผากแผ่วเบาและเนิ่นนาน…
เฮ้อออ รู้สึกว่าเลือกสามีไม่ผิดจริงๆครับ
แจ้บๆๆ
ครอกกกกกกกกก


เช้าวันจันทร์…เป็นวันที่ผมไม่อยากให้มาถึงมากที่สุด ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะผมมีสอบหรือขี้เกียจไปเรียน แต่เป็นเพราะว่าผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนที่มหาลัย ไม่รู้ว่าข่าวบ้าๆในเพจ Cute Boy เงียบหายไปหรือยัง เพราะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่ได้แตะโซเชียลเลย
“พายุ”
ผมหันไปมองหน้าพี่ไวท์ พี่เขาโน้มตัวเข้ามาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผมเมื่อเห็นว่าผมนั่งนิ่งไม่ยอมลงจากรถ
“เลิกเรียนกี่โมงครับ”
“เที่ยง”
“งั้นพี่จะมารับไปส่งที่คอนโดก่อนล่ะกัน ช่วงบ่ายพี่มีติวกับเพื่อน ไม่อยากให้รอนาน”
“อืม ผมไปนะ”
ผมบอกลาพี่ไวท์ คว้ากระเป๋าเป้มาสะพายหลังแล้วก้าวลงจากรถ เดินไปไม่ถึงสามก้าวก็พบกับสายตาสอดรู้สอดเห็นให้หมดความมั่นใจจากสาววิศวะแถวนั้น โชคดีที่คณะผมมีประชากรแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นมนุษย์เพศชายที่ช้าต่อข่าวซุบซิบทำให้พอจะทนต่อสายตาของส่วนน้อยได้ แต่อีกใจหนึ่งผมก็เริ่มจะคิดจริงๆแล้วว่าอยากหันหลังกลับแล้วเดินไปเรียกแท็กซี่หน้ามหาลัย
“พายุ”
ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถพร้อมกับเสียงเรียกจากพี่ไวท์ พี่เขาเดินมาพาดแขนไว้บนไหล่ของผมเเบบไม่แคร์สายตาใคร…
ผมลืมอะไรหรือเปล่า?
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไปส่งผมเหรอ?”
ผมถามย้ำ พี่ไวท์หมายถึงเดินเข้าไปส่งผมในคณะเลยน่ะเหรอ
“เดินดิ”
ผมเลิกคิ้วด้วยความงุนงงเมื่อถูกอีกฝ่ายเร่งให้เดิน ร้อยวันพันปีพี่ไวท์ไม่เคยเดินเข้าไปส่งผมในคณะเลย แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ผมเหลือบตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่ไวท์ด้วยหัวใจเต้นรัวราวกับมีกองศึกอยู่ในอก…คงจะไม่ใช่เพราะกลัวว่าผมจะหนีกลับคอนโดหรอกนะ เพราะถ้าใช่…อื้ม ยอมรับว่ากำลังคิดเลย
ที่นั่งประจำของเดอะแก๊งคือโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นตีนเป็ด ตอนที่ผมเดินไปถึงที่นั่น สมาชิกทุกคนก็กำลังนั่งกินมื้อเช้าแบบง่ายๆอย่างพวกแซนวิชกับขนมขบเคี้ยว ไอ้หมาท็อปเป็นคนแรกที่เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งเสียงทักทาย
“ไงมึง”
“หวัดดีค่ะพี่ไวท์”
ไอ้มินรีบดึงน่องไก่ออกจากปาก ส่งยิ้มหวานแล้วยกมือไหว้พี่ไวท์งามๆ พี่เขาทักทายเพื่อนของผมพอเป็นมารยาทก่อนจะขอตัวไปเรียน
“ยิ้มหน่อยดิวะ”
ไอ้แรมใช้ข้อศอกสะกิดแขนผมที่นั่งทำหน้าบูดบึ้ง แม้ว่าแถวนี้จะอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนของดอกตีนเป็ด แต่เพราะร่มเงาที่บดบังแสงแดดได้ดีทำให้แถวนี้มีคนจับจองพื้นที่ค่อนข้างเยอะ แล้วสายตาจากโต๊ะข้างเคียงที่คอยแต่จะเหล่มามองผมก็ทำให้อยากลุกขึ้นไปจิ้มตาให้บอด 
“ดูนี่ก่อน เผื่อยิ้มออก กูว่ามึงคงยังไม่เห็น”
ไอ้มินหยิบสมาร์ทโฟนมาเปิดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊คแล้วยื่นมาตรงหน้าผม แต่ผมไม่มีอารมณ์จะดูหรอกครับ ไม่อยากหัวร้อนก่อนเข้าเรียน มันอาจจะดูเหมือนคนขี้ขลาดก็จริง แต่ถ้าผมอ่านแล้วมันทำให้ผมไม่สบายใจ ผมว่าผมไม่อ่านเลยจะดีกว่า
“ดูหน่อย”
ไอ้ท็อปเร่ง หยิบสมาร์ทโฟนของไอ้มินมายัดใส่มือผม ส่วนไอ้แรมก็จับหัวผมกดลงเป็นการบังคับให้ดูสิ่งที่ปรากฎบนจอสมาร์ทโฟน

ต่อให้คนอื่นไม่เชื่อ…แต่ผมเชื่อคนของผม
ผมรู้จักเขาดีที่สุด คนที่ไม่รู้จักมีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์
#ไวท์พายุ
ข้อความสั้นๆของพี่ไวท์ถูกโพสต์ลงเฟสบุ๊คโดยตั้งเป็นสาธารณะ ทำให้มีคนแชร์และเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก บางคนก็ว่าพี่ไวท์เข้าข้างแฟน แต่ส่วนใหญ่เริ่มจะมองผมไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว

ความเห็น 1 : อูยยยยยยย เห็นแฮชแท็กพี่ไวท์แล้ว เรือผีไวท์โปรดไม่ล่มงานนี้จะล่มงานไหนคะ 5555555
ความเห็น 2 : ตายยยล้าวววว เจ้าตัวเค้าแท็กไวท์พายุเองขนาดนี้ แท็กผีหลบไปนะซิส
ความเห็น 3 : เรื่องจริงเป็นยังไงหนูไม่รู้ แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องเล่าปากต่อปากมันก็ถูกใส่สีตีไข่ทั้งนั้นแหละ ที่บอกว่าแฟนพี่ไวท์ไม่ดีงั้นงี้ หนูว่านะคะ เขาอิจฉาหรือเปล่า อยากได้แฟนหล่อรวยเก่งแบบนี้บ้างแต่หาไม่ได้อ่ะค่ะ
ความเห็น 4 : เอาจริงๆนะ ตอนแรกก็สงสารโปรด แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าโปรดสร้างเรื่องเองหรือเปล่า แฟนพี่ไวท์จะหึงหน้ามืดขนาดไปทำร้ายโปรดเลยเหรอ เราว่าไม่นะ เขาไม่เคยออกสื่อเลย อยู่ของเขาเงียบๆไม่มีงานอวดผัว เอ๊ย แฟนด้วยซ้ำ แล้วพี่ไวท์ก็ชัดเจนขนาดนี้ว่าหลงเมีย เอ๊ย แฟน แล้วจะต้องไปตามทำร้ายคนอื่นทำไม / คห. ส่วนตัว
ความเห็น 5 : เราว่ากระแสชงไวท์โปรดมันมาจากแอดมิจเพจ Cute Boy นั่นแหละ ชงเกินหน้าเกินตา แฟนพี่เขาไม่มาเอาเรื่องก็ดีแค่ไหนแล้ว และอีแค่ติวกันก็เอามาเป็นประเด็นได้นะ อีแอดมินถูกจ้างมากี่บาทวะอยากรู้ แล้วเหตุการณ์ที่พายุต่อยตีแย่งพี่ไวท์นี่เราคิดว่าไม่สมเหตุสมผลปะ ไม่จำเป็นต้องไปต่อยแย่ง พายุก็ได้พี่ไวท์อยู่แล้ว จะต้องเหนื่อยไปต่อยอีโปรดทำไม คนมีสมองต้องหัดคิดให้ได้นะคะ
ถูกใจ 197     แชร์ 59

ความเห็นล่าสุดที่กวาดยอดถูกใจเหยียบร้อยทำให้ผมขมวดคิ้ว จะว่าไปความเห็นนี้ก็พูดได้ตรงประเด็นแล้วก็ตรงใจผมมากที่สุด แต่สำนวนการพิมพ์มันคุ้นๆนะ ส่วนเฟสบุ๊คที่ใช้คอมเม้นต์ก็เป็นเฟสที่สมัครมาใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ คงจะไม่ใช่…
ผมเหลือบมองไอ้มินที่กำลังยื่นหน้ามาอ่านคอมเม้นต์ มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมก่อนจะเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“กูเม้นต์เองแหละ มันคันปากอยากด่าคน”
“ขอบใจ”
ผมไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งดีหรือหัวเราะดีเพราะไอ้มินเป็นเพื่อนที่เข้าถึงความทุกข์และความสุขของสมาชิกเดอะแก๊งได้ดีที่สุด แถมชอบอาสาจัดการปัญญาต่างๆนานาให้เพื่อนราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“ยังไม่หมดนะเว้ย”
ไอ้มินคว้าสมาร์ทโฟนไปจากมือของผม ใช้ปลายนิ้วกดๆเลื่อนๆครู่หนึ่งแล้วหันหน้าจอมาโชว์…
ไม่พบการค้นหา
“เพจเชี่ยนั่นปลิวไปแล้ว” ผมถาม
“ไม่ใช่แค่เพจนะ เฟสแอดมินก็ปลิวจ้า”
“ทำไมวะ”
หรือเพราะความปากมากของแอดมินจะสร้างศัตรูไว้เยอะ?
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะทำให้เพจชื่อดังที่มีคนกดติดตามหลักหมื่นหายวับไปในชั่วข้ามคืน แถมยังไม่มีแนวโน้มว่าจะปลดแบนเพจได้อีกต่างหาก
งานนี้คงจะลาแล้วลาลับ แต่ถึงเพจนี้จะปลิว ก็มีเพจใหม่ๆ หรือเพจคนหล่อของมหาลัยอีกมากมายให้คนได้เสพภาพผู้ชายหล่อ นั่นจึงไม่เป็นปัญหาหรือมีคดีดราม่าที่เพจปลิว แม้ว่าหลายคนจะสงสัยแต่ก็ไม่มีคำตอบในเรื่องนี้
“กูไม่รู้หรอก แต่มึงคิดว่าไงอ่ะ”
นั่นดิ B1 ถ้าให้ B2 คาดเดา
กูว่าพี่ไวท์เกรี้ยวกราด…
ไอ้มินยักคิ้วให้ผม และโดยที่ไม่ต้องสนทนาด้วยเสียง ผมได้คำตอบจากไอ้มินว่า….
กูก็คิดเหมือนมึงค่ะ B2 !


“กลับกี่โมงครับ”
ผมถามพี่ไวท์เมื่อฮอนด้าซีวิกสีขาวแล่นมาจอดในลานจอดรถชั้นใต้ดินของคอนโด
“หกโมงครับ”
“งั้นผมรอกินข้าวนะ”
“ครับ”
ผมปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วจู่ๆก็คิดถึงเรื่องของไอ้เชี่ยโปรด ผมไม่ได้คิดว่าพี่ไวท์จะกลับไปติวให้มันเป็นครั้งที่สอง แต่ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในโหมดเฝ้าระวังภัย ถ้าไม่ใช่แก๊งหมอหล่อ ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมชั้นปีผมก็ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
“มีใครไปติวบ้าง”
“มีแต่เพื่อนในสาขาครับ แล้วก็พวกไอ้ธาม”
ผมจำได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นปีของพี่ไวท์มีทั้งหมด 42 คน เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง 29 คน ส่วนที่เอ็นดูผู้ชายด้วยกันมี 2 คน คือพี่ไวท์และไอ้พี่ธาม ซึ่งนับว่าปลอดภัยหายห่วง
แต่อีก 11 คนที่เป็นผู้หญิงผมไม่มั่นใจเลยเพราะยังไงพี่ไวท์ก็เป็นผู้ชาย                   ที่…หล่อมากกกกกกกก! จะเป็นที่หมายปองของสาวๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“มีผู้หญิงมั้ย”
“มี” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมหงุดหงิด ผมแน่ใจว่ามือที่สามไม่สามารถแทรกกลางความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ไวท์ได้ แต่มันก็น่ารำคาญนะครับที่ต้องคอยกำจัดพวกเหลือบไรบ่อยๆ
ในตอนที่พี่ไวท์ไม่ทันตั้งตัว ผมเอื้อมมือไปกระชากเนคไทของพี่เขาให้โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะประกบปากจูบแนบแน่น หลังจากที่พี่ไวท์ตั้งตัวได้เขาก็อุ้มผมไปนั่งคร่อมตัก จูบของพวกเราทวีความเร่าร้อนดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามเบียดตัวเข้าหาแผ่นอกแข็งแรง ขณะที่มือสองข้างช่วยกันปลดเนคไทและกระดุมเสื้อนิสิตของพี่เขาอย่างรวดเร็ว
“อาห์”
พี่ไวท์ครางแผ่วในตอนที่ผมผละจากริมฝีปากมาจู่โจมลำคอขาวๆของเขา พยายามขบกัดสร้างร่องรอยความเป็นเจ้าของให้เห็นอย่างเด่นชัด…
พี่ไวท์เป็นของผม เป็นของผมแค่คนเดียว…
“อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกเสียววาบที่ยอดอก ผมผละจากลำคอของพี่ไวท์แล้วก้มมองสภาพเสื้อช็อปของตัวเองที่หลุดลุ่ยไม่ต่างจากอีกฝ่าย กระดุมเสื้อของผมถูกปลดออกทุกเม็ดแล้วถูกรั้งมาคาไว้ที่ข้อศอกทั้งสองข้าง
ให้ตายสิ
ผมลืมความมือไวของไอ้พี่ไวท์ไปเลย ขณะที่ผมดูดดุนลำคอของพี่เขาอย่างย่ามใจ พี่เขาก็กำลังใช้ปลายนิ้วขยี้ยอดอกทั้งสองข้างของผมเป็นการเอาคืน
“ดะ เดี๋ยว…”
ผมยันศีรษะของพี่ไวท์ที่ก้มต่ำเข้ามาใกล้แผ่นอก รู้แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายจะ             ทำอะไร
บางครั้งผมก็สงสัยว่าทำไมพี่เขาถึงได้ชอบดูดกินยอดอกแบนๆของผมนัก                   แต่ถ้าถามว่าผมชอบมั้ย ยอมรับว่าชอบครับ แต่ไม่ได้อยากให้พี่เขาทำตอนนี้เพราะกลัวจะฉุดอารมณ์ความต้องการของตัวเองไว้ไม่อยู่
“เราเริ่มก่อนนะครับ”
ไอ้พี่บ้ากระซิบเสียงหื่นกระหาย ผมดิ้นขลุกขลักก่อนจะสะท้านเฮือกเพราะสัมผัสเย็นชื้นจากปลายลิ้นที่แตะลงมาบนยอดอกข้างหนึ่ง
“อื้มมม อาห์ !!!”
ผมครางกระเซ้า เผลอแอ่นอกเข้าหาปากพี่ไวท์ตามความเคยชิน มือสองข้างสอดเข้าไปในกลุ่มผมหนานุ่มเพื่อรั้งให้ศีรษะของพี่เขาแนบชิดลงมา
พี่ไวท์ใช้ลิ้นเลียจนแผ่นอกผมเปียกชุ่มก่อนจะค่อยๆดูดดุนช้าๆ ทุกครั้งที่ฟันคมขูดลงมาที่หัวนมนิ่มผมจะเผลอครวญครางแทบขาดใจ
“พอ”
ผมรู้สึกว่าร่างกายกำลังละลาย ใบหน้าของผมร้อนแทบไหม้ รู้สึกโหยหาสัมผัสหยาบโลนจากลิ้นร้อนที่กำลังละเลงไปที่หัวนมอีกข้างแต่จำเป็นต้องผลักดันศีรษะของพี่ไวท์ออกไป เพราะไม่งั้นผมอาจได้มีเซ็กส์นอกสถานที่จริงๆก็ได้
ผมก้มมองแผ่นอกของตัวเองที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีชมพูเรื่อแล้วเงยหน้ามองพี่ไวท์ อีกฝ่ายกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาร้อนแรง ลิ้นที่แลบออกมาแตะริมฝีปากน้อยๆเป็นภาพที่ชวนให้ผมเกิดความกระสันยิ่งขึ้น
ผมส่งค้อนให้ไอ้พี่บ้าที่ยั่วยวนกันดื้อๆ ก่อนจะรั้งลำคอพี่เขามาขบกัดอีกครั้งจนขึ้นรอยชัดเจน
ทีนี้ล่ะ ไม่ว่าจะติดกระดุมคอเสื้อจนติดลำคอยังไง ไอ้พี่ไวท์ก็ปิดบังรอยคิส      มาร์กของผมไว้ไม่ได้หรอก
“หวง”
ผมให้เหตุผลในการจู่โจมกับพี่ไวท์ เพราะปกติผมไม่เคยสร้างรอยบนตัวพี่เขาเลย มีแต่เป็นฝ่ายถูกสร้างรอย
“พายุ”
“…”
ในตอนที่ผมติดกระดุมเสื้อช็อปเรียบร้อยแล้วกำลังจะก้าวลงจากรถ พี่ไวท์ก็เอื้อมมือมารั้งแขนผมไว้ก่อน
“หวงบ่อยๆก็ได้นะ”
“…”
“ชอบ”
ผมก็ชอบครับ เจอกันคืนนี้…!





:mew1:

End.

https://www.facebook.com/PKrabKrab/




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


บทที่ 21 เรื่องในอดีตกับคำโกหก


(ดราม่า ไม่เหมาะกับคนใจบาง นายเอกไม่ใช่คนขาวสะอาด พร้อมเเล้วปะ! กันเลยยยยยย)



วันนี้ผมได้รู้แล้วว่าพอร์ชเป็นพวกแค้นฝังลึกมากแค่ไหน ถ้าหมอนี่โมโหแล้วคิดจะเอาคืนใครสักคนล่ะก็…มันจะเป็นการเอาคืนที่หนักหน่วงหลายสิบเท่า อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้!

เรื่องของติวเตอร์ไม่ได้จบลงเมื่อวานอย่างที่ผมเข้าใจ แต่พอร์ชบอกกับผมว่ามันจะจบลงในวันนี้

เรื่องที่หนึ่ง…คลิปวิดีโอของติวเตอร์ที่กำลังสารภาพความผิดถูกคอมเม้นต์ลิงค์ลงใต้โพสต์ล่าสุดของเพจ Sexy Boys ซึ่งทำให้มีการแชร์และแสดงความคิดเห็นมากมาย ส่วนใหญ่จะโจมตีติวเตอร์เกือบทั้งหมด ยิ่งเด็กนั่นเคยสร้างภาพลักษณ์ดีๆและฐานแฟนคลับไว้มากเท่าไร ก็ยิ่งถูกโจมตีมากเท่านั้น ผมคิดว่ากระแสด่าทอค่อนข้างมากกว่าที่ผมเคยโดนหลายเท่าเพราะเด็กนั่นถึงกับทนไม่ไหวต้องปิดเฟสบุ๊คหนีเลยล่ะ

ส่วนเรื่องที่สองที่ทำให้ผมประหลาดใจคือไอ้คนตัดต่อวิดีโอและคนสมัครเฟสบุ๊คปลอมๆมาแจกลิงค์วิดีโอไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น…ไอ้แว่นเพื่อนผมเอง นี่แหละครับที่เรียกว่ารักมากก็สามารถเกลียดมากได้เช่นกัน ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าเพื่อนของผมได้ตัดใจและตัดเยื่อใยทั้งหมดจากติวเตอร์แล้วซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี

ส่วนเรื่องที่สาม…ผมไม่รู้ว่าพอร์ชกับไอ้แว่นไปสนิทกันตอนไหน แต่ตอนนี้พี่พอร์ชว่าไง น้องแว่นว่าตามนั้นทุกอย่างแถมยังเทิดทูลเชี่ยพอร์ชเป็นไอดอลไปแล้วด้วย…ดีมากเพื่อน เลือกไอดอลได้ดีจริงๆ

“สั่งได้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่เลี้ยงเอง”

ประโยคโคตรป๋าดังมาจากไอ้พี่พอร์ช

“ขอบคุณพี่พอร์ชมากเลยครับ”

ส่วนประโยคลั้นลามีความสุขดังมาจากไอ้แว่นที่กำลังนั่งเปิดเมนูอาหารญี่ปุ่นร้านดังอยู่ข้างๆผม

วันนี้พอร์ชชวนผมกับไอ้แว่นมาฉลองที่สามารถล้างมลทินให้กับผมได้ ผมรู้สึกดีเมื่อคิดว่าใครๆในมหาลัยจะเลิกมองผมด้วยความสงสัยว่าอาจจะขายตัว แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกอยากฉลองสักเท่าไรเมื่อคิดว่าใครอีกคนกำลังโดนด่าอย่างหนัก ผมไม่สบายใจเอาซะเลย เฮ้อ…

ผมหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เสียบสมอลทอร์คเข้ากับไอโฟนแล้วนำหูฟังมาเสียบกับหูทั้งสองข้างก่อนจะกดเปิดคลิปวิดีโอของติวเตอร์ มันถูกตัดต่อให้เหลือแค่ 30 วินาทีสั้นๆโดยตัดเสียงของผมและพอร์ชออกจากคลิปทั้งหมด ในวิดีโอจึงบอกไม่ได้ว่าติวเตอร์กำลังพูดคุยกับใคร

อีกอย่างติวเตอร์ก็ไม่กล้าพอจะบอกใครๆว่าถูกพอร์ชทำอะไรมาบ้างเพราะคลิป XXX ของเขาที่อยู่ในมือของพอร์ช จึงได้แต่ยอมรับเงียบๆแล้วก็พยายามทำตัวล่องหนในมหาลัย แต่คงจะยากหน่อยเพราะเมื่อก่อนหมอนี่ทำตัวเด่นดังไว้มาก

“ชอบมั้ยมึง”

ไอ้แว่นหันมาถามผมเมื่อผมดูคลิปวิดีโอจบแล้ว

“เออ ขอบใจพวกมึงนะที่ทำเพื่อกูขนาดนี้” ผมสบตากับไอ้แว่นที่พยักหน้าให้อย่างภูมิใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่พอร์ช หมอนั่นขยับยิ้มให้ผมเล็กน้อย

“แต่คราวหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรแบบนี้อีก พวกมึงต้องบอกกูก่อนนะ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ กูไม่ได้อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้สักหน่อย”

“อย่างเครียดน่า”

พอร์ชเอ่ยพร้อมกับยื่นนิ้วเรียวยาวมาแตะที่หว่างคิ้วของผมเป็นการบังคับให้ผมเลิกขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งเสียที

“สั่งอะไรเพิ่มมั้ย พนักงานรอนานแล้ว”

พอร์ชถามหลังจากที่ดึงมือของตัวเองกลับไป ผมเหลือบไปมองพนักงานชายที่ยืนรอรับออเดอร์ แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์จะกินอะไรให้อร่อยแล้วจึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ”

พวกเราใช้เวลาในการรับประทานมื้อเที่ยงประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นไอ้แว่นก็ขอแยกตัวไปร้านหนังสือเพื่อซื้อตำราที่มันคิดว่าสำคัญกับการเรียนรู้เพิ่มเติม ส่วนผมกับพอร์ชเลือกที่จะไปดูหนังสยองขวัญกันสองคน เมื่อหนังจบลงในช่วงบ่ายแก่ๆ ผมกับเขาก็ตัดสินใจว่าควรกลับหอพักได้แล้ว

“วิน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นระหว่างที่ผมกับพอร์ชกำลังก้าวเท้าเอื่อยเฉื่อยอยู่ในลานจอดรถชั้นใต้ดิน ผมหันศีรษะมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจก่อนจะพบกับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อผ้าราคาแพง

วินาทีแรกที่ผมเห็นหน้าของเขา ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่นเป็นใคร หรือว่าเราเคยเจอกันที่ไหน แต่นาทีต่อมาเมื่อเขาขยับยิ้มหยันที่มุมปากความทรงจำเก่าเก็บที่ผมพยายามปิดตายไว้เบื้องหลังก็แล่นวาบเข้ามาในสมองทันที

‘โจเซฟ’

นั่นคือชื่อของเขา…แฟนคนแรกที่ผมพยายามลืมมาโดยตลอด!

“ทำไมทำหน้างั้น หรือว่าจำกันไม่ได้แล้ว” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงยานคางขณะก้าวเท้ามาหยุดยืนเบื้องหน้าของผมกับพอร์ช เมื่อมองเขาใกล้ๆผมพบว่าทั้งรอยยิ้มร้ายกาจ สายตาหยิ่งยโสและน้ำเสียงกวนอารมณ์ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ที่จะแตกต่างไปจากเดิมคงเป็นภาพลักษณ์ภายนอก

“พี่…โจ” ผมหลุดปากพึมพำชื่อของเขาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผมไม่ได้เจอกับโจเซฟมาเกือบหกปีแล้ว เขาเปลี่ยนไปมากทีเดียว อย่างแรกเลยคือเขาดูแก่ขึ้น…แน่นอนสิ เพราะตอนที่พวกเราคบกันเขาเป็นแค่รุ่นพี่ชั้นมอหกเท่านั้น อย่างที่สองผมคิดว่าเขาแต่งตัวเก่งขึ้น มีเสน่ห์แล้วก็น่าดึงดูดกว่าเดิม ร่างกายของเขาสูงและกำยำ โครงหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีสันกล้าม แล้วก็ผิวเข้มขึ้นกว่าเมื่อก่อน โดยรวมแล้วโจเซฟเป็นผู้ชายที่ทำให้ผู้ชายด้วยกันอยากร้องขอความรักอย่างสุดซึ้ง แต่ภาพลักษณ์สุดเพอร์เฟคของเขาใช้ไม่ได้ผลกับผมอีกแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรความทรงจำระหว่างเราที่ไม่น่าจดจำยังทำให้ผมขยาดเขาเหมือนเดิม

“ใคร?”

พอร์ชเอ่ยถามเรียบๆ แต่จากการใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกับเขาบ่อยๆทำให้ผมเดาได้ทันทีเลยว่าหมอนี่กำลังเริ่มจะออกอาการหึงหวงเล็กๆเข้าแล้ว

“รุ่นพี่ที่โรงเรียน ชื่อโจเซฟ”

ผมตอบ แน่นอนว่าผมไม่ได้โกหกพอร์ชก็แค่บอกไม่หมดเท่านั้น อีกอย่างพวกเราคงไม่บังเอิญเจอโจเซฟอีกในเร็วๆนี้อีกครั้ง ฉะนั้นผมจะบอกว่าเขาเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

“รุ่นพี่เหรอ?”

หึ!

ใบหน้าของผมบึ้งตึงทันทีที่โจเซฟทวนประโยคพร้อมส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ อา…ผมพลาดเองแหละ ลืมไปได้ยังไงนะว่าโจเซฟมันเป็นตัวร้ายในโรงเรียน โดยเฉพาะเรื่องที่ชอบปั่นประสาทคนอื่น ไม่มีทางที่หมอนี่จะยอมสงบปากสงบคำหรอก มันคงสะใจกว่าถ้าเขาจะหาเรื่องให้ผมงานเข้าไม่ว่าด้วยวิธีใดๆก็ตาม

“งั้นนี่คงเป็นแฟนใหม่ของวินสินะ ถึงได้ไม่กล้าแนะนำให้รู้จักแฟนเก่าอย่างพี่” โจเซฟถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะเหล่สายตาไปทางพอร์ช ผมเหลือบมองไปทางเขาเช่นกัน พอร์ชยังมีสีหน้าสงบราบเรียบเช่นเดิม ก็หมอนี่มันกล้ามเนื้อใบหน้าตายทำให้ผมเดาไม่ออกว่าเขากำลังโมโหมากแค่ไหน แต่เรื่องหงุดหงิดอาจจะมีบ้าง

“ต้องการอะไร” ผมถามห้วนๆ

“แค่ทักทายเอง อย่าใจร้ายกับพี่นักสิ”

โจเซฟแสดงบทตอแหลได้ดีกว่าเดิม เมื่อเขาเริ่มทำหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างที่เขาชอบทำมาโดยตลอด

“พี่คิดถึงวินนะครับ”

“ทักเสร็จแล้วก็ไปได้แล้วมั้ง”

ผมเอ่ยไล่ตรงๆแบบไม่ไว้หน้า ไม่รู้ล่ะ โจเซฟไม่ได้มีค่าหรือมีความสำคัญอะไรกับผมอีกแล้ว ผมไม่แคร์หรอกว่าเขาจะคิดกับผมอย่างไร ผมแคร์แค่ว่าพอร์ชกำลังจะหมดความอดทนหรือยังก็เท่านั้น

“ไปก็ได้ครับ พี่ก็ไม่อยากรบกวนเวลาของวินกับแฟนของวินนักหรอก”

ถ้าไม่อยากรบกวนจริงๆมึงจะทักกูทำไมล่ะ

ไอ้ห่า!

ผมกำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อโจเซฟตัดสินใจว่าควรยุติการเล่นอะไรบ้าๆได้แล้ว แต่ผมคิดผิดเพราะในตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านพวกเรา เขาหยุดยืนแล้วกระซิบบางอย่างข้างหูของพอร์ชก่อนจะเดินจากไป ผมไม่ได้หวังว่าเขาจะพูดอะไรดีๆออกไปหรอกนะ แต่ปฎิกิริยาต่อมาของพอร์ชรุนแรงเกินกว่าที่ผมคาดไว้

โครม!!

พอร์ชตวัดเท้าแตะเข้าที่รถปอร์เช่ลูกรักของตัวเองเต็มแรงจนสัญญาณกันขโมยแพดเสียงร้องลั่น ผมสะดุ้งเพราะเริ่มมองเห็นอารมณ์ฉุดเฉียวของเขา พอร์ชเป็นคนโมโหร้ายเรื่องนี้ผมรู้ แต่ผมคิดว่าเขาเคยเยือกเย็นกว่านี้ซะอีก พอร์ชหยิบรีโมทขึ้นมาปิดสัญญาณกันขโมยและปลดล็อครถ เขาไม่ได้ถามผมเกี่ยวกับเรื่องของโจเซฟแล้วก็ไม่ได้หันว่าตวาดใส่ผม เขาเพียงแค่เปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับผมเรียบๆ

“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”

ผมนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในรถปอร์เช่ที่แล่นด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมไม่กล้าเปิดปากถามเรื่องที่โจเซฟพูดกับพอร์ชเพราะกลัวว่าเขาจะเสียสมาธิแล้วพาพวกเราลงไปกองเป็นผักอยู่ข้างถนน

พอร์ชลดความเร็วลงเมื่อเข้าไปในเขตถนนที่มีรถค่อนข้างมาก ผมหลับตาและแอบสวดมนต์เงียบๆเพื่อขอให้กลับถึงหอพักอย่างปลอดภัย ผมหมายถึงปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนนและปลอดภัยจากพอร์ช

ผมรู้สึกว่ารถกำลังลดความเร็วลงเรื่อยๆและจอดสนิทจึงลืมตาขึ้นมาและพบว่าผมไม่ได้อยู่ที่หอพักของตัวเองแต่เป็นลานจอดรถสักแห่งที่ผมไม่รู้จัก

“เราอยู่ที่ไหน” ผมหันไปถามพอร์ชด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ เขาคงไม่เอาผมมาฆ่ารัดคอใช่มั้ย

“คอนโดกู”

พอร์ชตอบสั้นๆโดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่าเขาพาผมมาที่นี่ทำไม เขาปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวเท้าลงจากรถ ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตามเขาลงไปเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง

“ทำไมพากูมาที่นี่” ผมถาม

“ไปคุยกันข้างบน”

พอร์ชตอบ เขาไม่ได้มองหน้าผมแต่ก้าวเท้าเข้าไปด้านในตัวอาคารที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวเทา ซึ่งมันให้ความรู้สึกเรียบหรูและดูดีมาก แต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชื่นชมความสวยงามของที่พักหรอกนะ

“ทำไมต้องคุยกันข้างบน” ผมถามขณะพยายามก้าวเท้าให้ทันพอร์ช ผมรู้ว่าเขาอารมณ์เสีย แต่ก็น่าจะบอกชื่อเรื่องสักหน่อย คือผมรู้สึกไม่อยากขึ้นไปที่ห้องของเขาเลย ให้ตายสิ หมอนี่ยิ่งเดาใจยากๆอยู่ด้วย เขาจะใช้ความรุนแรงหรือเปล่านะ นี่ผมกำลังคิดมากเกินไปหรือเปล่า

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาในคอนโดของพอร์ช ห้องของเขาอยู่ชั้นที่ 19 มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 40 ตารางเมตร เปิดประตูเข้าไปก็พบกับเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ถัดมาเป็นโซฟาตัวยาวตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทีวีจอใหญ่ มีห้องเล็กๆที่เปิดออกไปโซนครัวกับอีกห้องที่เปิดออกไปแล้วเป็นห้องอาบน้ำ แม้ห้องพักจะเล็กแต่การตกแต่งหรูหรามาก ผมเดาว่าเขามีกำลังทรัพย์มากเกินกว่าจะซื้อคอนโดห้องเล็กๆแบบนี้ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อมหาลัยของเราตั้งอยู่นอกตัวเมืองแถมยังอยู่ในจังหวัดเล็กๆ การจะเลือกคอนโดที่หรูหราหรือมีเนื้อที่กว้างขวางกว่านี้จึงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะถ้าหากต้องการที่พักใกล้กับรั้วมหาลัย

ผมกวาดสายตาไปรอบๆห้องของพอร์ช พลางชื่นชมในใจว่าห้องของเขาสะอาดและเป็นระเบียบมาก เขาอาจจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ่อยๆก็ได้ ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มอับอายเมื่อคิดถึงสภาพห้องของตัวเองที่พอร์ชได้เห็น มันโคตรรกและสกปรกมากเลย

ระหว่างที่ผมกำลังสำรวจห้องนอนของพอร์ชโดยไม่ทันระวังตัวก็ถูกเจ้าของห้องดึงเข้าไปในอ้อมกอดแล้วประกบปากจูบอย่างดูดดื่ม ผมดิ้นขลุกขลักเพราะหายใจไม่ทันขณะที่พยายามผลักดันร่างสูงกว่าออกไป

“ดะ เดี๋ยว!” ผมพยายามหันหน้าหนีพอร์ชแล้วหอบหายใจหนักๆ ให้ตายสิ หมอนี่อยู่ในอารมณ์แบบไหนกันแน่นะ ก่อนหน้านี้ยังโมโหอยู่เลยแล้วนาทีต่อมาก็หื่นจนหน้ามืดซะงั้น

“ขอได้มั้ย” พอร์ชกระซิบถาม เขาใช้แขนยาวๆสองข้างรัดร่างของผมไว้แน่นจนแทบขยับไม่ได้

“อะไรนะ!”

ไม่ใช่ว่าผมได้ยินในสิ่งที่เขาพูดไม่ชัดเจน แต่ผมแค่ไม่แน่ใจว่าคำขอของเขาหมายถึงอะไรกันแน่

“มีเซ็กส์กันได้มั้ย”

อื้ม! ชัดเจน! แจ่มแจ้ง! และตรงประเด็นที่สุด! สาบานสิว่าพากูมาที่คอนโดเพราะอยากคุยด้วยเฉยๆอ่ะ

“วิน”

เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการพอร์ชก็กระซิบเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดต้นคอของผมบ่งบอกอารมณ์ความต้องการในร่างกายของเขาได้เป็นอย่างดี

แทนคำตอบรับผมใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของพอร์ชไว้ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ พอร์ชจูบตอบผมทันทีด้วยความรุนแรง มือทั้งสองข้างของเขาเริ่มทำหน้าที่ลูบไล้ไปทั่วร่างกายของผมอย่างหยาบโลน ผมถูกผลักดันให้ถอยหลังไปเรื่อยๆก่อนจะสะดุดหงายหลังลงไปนอนบนเตียง

พอร์ชตามมาทาบทับร่างของผมไว้แล้วมอบจูบร้อนแรงให้อีกครั้งและอีกครั้ง ผมเคลิบเคลิ้มอยู่ในห้วงกามอารมณ์จนไม่ได้สังเกตว่าพอร์ชหยิบเนคไทออกมาตอนไหน แต่เขากำลังใช้มันมัดข้อมือทั้งสองข้างของผมไว้ด้วยกันแล้วผูกไว้กับเตียง

“พอร์ช!” ผมร้องด้วยความขัดใจ ห่าเอ๊ย อย่าบอกนะว่าหมอนี่ชอบเซ็กส์โรคจิต ต้องมัดต้องล่ามก่อนถึงจะร่วมรักกันได้

“มัดกูทำไม ปล่อยนะเว้ย” ผมพยายามดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ ถึงผมจะชอบเซ็กส์รุนแรงเร่าร้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการโดนล่ามนะครับ ผมไม่ชอบเป็นฝ่ายถูกคุมเกม ผมชอบเล่นเกมไปพร้อมๆกับอีกฝ่าย

“กูมีคำถามที่อยากรู้นิดหน่อย หวังว่ามึงจะตอบตามความจริงก่อนที่เราจะมาสนุกกัน” พอร์ชยังคร่อมทับร่างของผมอยู่เช่นเดิมขณะเอ่ยถามยิ้มๆ แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาไปไม่ถึงดวงตา เขาไม่ได้ดูเหมือนคนที่อารมณ์ดีขึ้นมาเลย

“ก็ถามมาดิ ไม่เห็นต้องมัดเลย”

“โจเซฟคือแฟนคนแรกของมึงใช่มั้ย มึงเคยบอกกูว่ามีแฟนแค่คนเดียว”

ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามของพอร์ช ค่อนข้างแปลกใจแต่ผมก็พยักหน้าเป็นการยอมรับ

“ใช่”

“คบกันนานมั้ย” พอร์ชถามด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยเหมือนกับกำลังชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ผมเดาความคิดของหมอนี่ไม่ออกแต่ก็ยอมตอบคำถามของเขา

“ไม่นาน” พอร์ชเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมจึงรีบใส่รายละเอียดให้เขา

“ประมาณสามเดือน”

ตอนนั้นผมเป็นนักเรียนชั้นมอสี่ ส่วนโจเซฟเป็นรุ่นพี่ชั้นมอหกที่กำลังจะจบการศึกษา ผมแอบมองเขาอยู่ห่างๆมานานแล้วเพราะเขาน่ะหล่อแล้วก็เป็นที่หมายปองของใครหลายคน แต่ช่วงเทอมสุดท้ายที่โจเซฟอยู่ชั้นมอหกเขาเข้ามาสานสัมพันธ์กับผม เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ผมมีความสุขมาก เขาเป็นทั้งรักแรก แฟนคนแรก จูบแรกและคนแรกที่สอนให้ผมรู้จักระบายความใคร่กับคนอื่น

“เคยมีเซ็กส์กับมันมั้ย” ผมชะงักเมื่อได้ยินคำถามของพอร์ช

“ตอบ” เขาเร่งขณะใช้ปลายนิ้วมือลูบไล้เสี้ยวหน้าด้านข้างของผมเบาๆ แต่แววตาของเขาไม่ได้มีความอ่อนโยนอยู่เลย

“เคย” ผมหลุดพึมพำออกมาเบาๆ

“ขั้นไหน”

“ทำไมถาม” ผมเม้มปาก รู้สึกลำคอแห้งผากเมื่อต้องเปิดปากเล่าเรื่องแฟนเก่าให้แฟนใหม่ฟัง แถมเรื่องที่แฟนใหม่ของผมกำลังถามก็เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ของพวกเรามาก

“แล้วถามไม่ได้เหรอ”

ไม่ใช่ว่าไม่ได้…ก็แค่ไม่อยากตอบ ใช่! ผมไม่อยากตอบแต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้ผมอ้าปากตอบคำถามของพอร์ช

“แค่ภายนอก”

“มันไม่เคยเข้าไปในตัวของมึงเหรอ?”

“พอร์ช!”

คำถามต่อมาของพอร์ชทำให้ผมร้องเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ ในสมองกำลังฉุกคิดถึงเรื่องที่โจเซฟกระซิบใส่หูของพอร์ชตอนเราอยู่ที่ลานจอดรถ ผมอยากรู้ว่าโจเซฟพูดอะไรกันแน่ ไม่มีทางที่จู่ๆพอร์ชจะถามผมแบบนี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้ผมเคยบอกเขาไปแล้วว่าไม่เคยเป็นรับให้ใคร

“ถ้าไม่อยากตอบก็แค่บอกว่าขอเปลี่ยนคำถาม อย่าโกหกกูก็พอ มึงคงรู้นะว่ากูไม่ชอบคนโกหกมากแค่ไหน”

ผมเงียบไปเกือบหนึ่งนาที ผมรู้ว่าที่ผ่านมาแฟนของพอร์ชทุกคนโกหกและนอกใจ ดังนั้นตอนที่ผมตัดสินใจคบกับเขา ผมได้ให้สัญญากับตัวเองว่าจะจริงใจและไม่โกหกเขาในทุกๆเรื่อง

“ไม่เคย”

ผมหลุบตาลงไม่กล้าสบตากับพอร์ช ผมไม่รู้ว่าเขากำลังมีสีหน้าอย่างไรแต่ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังโน้มใบหน้าลงมาใกล้มากจนรู้สึกถึงลมหายใจที่กำลังเป่ารดใบหูของผม

“สาบานสิ” พอร์ชกระซิบข้างใบหูและมันทำให้ผมสะท้าน

“อื้ม”

ผมครางในลำคอเพราะปากของผมกำลังหนักอึ้งเกินกว่าจะตอบ แต่คำพูดต่อมาของพอร์ช ราวกับได้กลายเป็นค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ทุบลงมาบนศีรษะของผมจนมันเจ็บปวดและมึนงงไปหมด

“กูผิดหวังในตัวมึงมากเลย”

เขารู้…

 

FB - เป็ดก๊าบก๊าบ Boy's love
https://www.facebook.com/PKrabKrab

:hao5:



ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/12/2562 [P.3] บทที่ 21
«ตอบ #66 เมื่อ01-12-2019 21:46:47 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/12/2562 [P.3] บทที่ 21
«ตอบ #67 เมื่อ01-12-2019 23:18:41 »

 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/12/2562 [P.3] บทที่ 21
«ตอบ #68 เมื่อ07-12-2019 13:30:06 »

บทที่ 22 รับได้ทุกอย่าง


เป็นเวลากว่าหนึ่งนาทีที่ผมนอนสบตากับพอร์ชเงียบๆโดยไม่มีการเคลื่อนไหว หัวใจของผมเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ ผมไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของคนตรงหน้าได้เลย เขากำลังโกรธ…ผิดหวัง…หรือว่าโมโห ผมไม่อาจรู้ได้
กระทั่งพอร์ชเอื้อมมือไปปลดเนคไทที่ผูกข้อมือของผมออก เมื่อผมเป็นอิสระก็รีบไขว่คว้าร่างสูงตรงหน้าที่กำลังขยับถอยห่างออกไป
“พอร์ช”
ผมรั้งแขนของเขาไว้เมื่อเขาขยับถอยห่างจากร่างของผม
“บอกแล้วว่าไม่ชอบคนโกหก”
พอร์ชย้ำ สายตาของเขาที่ทอดมองมาที่ผม เรียบเฉยราวกับเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งมันทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบด้วยความผิดหวัง
“ทำไมคิดว่ากูโกหกล่ะ โจเซฟพูดอะไรกับมึง”
ผมถามขณะพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหว แต่มันทำได้ยากเหลือเกินในตอนที่พอร์ชเริ่มทำตัวเย็นชาใส่ผมแบบนี้
“บอกว่ามึงร่านมากแค่ไหนตอนที่ถูกเย”
ผมชะงักทันทีเมื่อได้ยินประโยคร้ายกาจจากปากของพอร์ช
หึ!
ผมหัวเราะในลำคออย่างไร้อารมณ์ขัน ไม่แปลกใจเท่าไรที่โจเซฟพูดแบบนี้ นั่นแหละเขาเลย หมอนั่นเป็นคนเลวร้าย ไม่มีหัวใจ แล้วก็ชอบปั่นประสาทคนอื่นเสมอ
“มึงเชื่อที่มันพูดมากกว่ากูเหรอ” ผมถามขณะพยายามควบคุมความหวั่นไหวที่ก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจอย่างเงียบๆ
“เปล่า” พอร์ชปฎิเสธซึ่งมันทำให้คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขาอย่างจริงจัง พยายามค้นหาความหมายของคำพูดจากสายตาที่มืดมนคู่นั้น
“ถ้ากูเชื่อมัน กูจะถามมึงเหรอวิน” พอร์ชย้อนถามผม
“ก็กูบอกมึงอยู่เนี่ย ว่าไม่เคยมีอะไรกับมัน” ผมสะอื้น กระบอกตาของผมร้อนผ่าว ความกลัวที่จะยอมรับในสิ่งที่พอร์ชถาม ทำให้ผมยังคงปากแข็งต่อไป ผมไม่ยอมรับซะอย่างเขาจะรู้ได้ยังไง ถ้าผมยืนยันว่าไม่เคย…เขาก็จะต้องเชื่อ!
“สายตาของมึง กำลังบอกความจริงกับกูอยู่นะวิน”
ผมส่ายหน้าขณะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ใช่…แววตาของผมมันคงกำลังสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อให้ผมปากแข็งแค่ไหน ต่อให้ผมจะพยายามโกหกอย่างไร มันก็ยากที่จะให้แววตาโกหกเช่นกัน
ผมหลุบตามองพื้นห้องอย่างเหนื่อยล้า ผมละอายเกินกว่าจะย้ำคำโกหกกับเขาอีกครั้ง แต่เมื่อพอร์ชถอนหายใจ หันหลังแล้วก้าวเท้าห่างออกไปผมก็ปล่อยโฮแล้วตะโกนลั่น
“อย่าไปนะ!!!”
ผมกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปกอดพอร์ชจากด้านหลัง ซุกหน้าลงบนเสื้อยืดของเขาแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาราวกับทำนบแตก
ยอมแล้ว ไม่โกหกอีกแล้ว อย่าไปเลยนะ ถ้ามึงทิ้งกู…กูจะอยู่ได้ยังไง
“กูเคยมีอะไรกับโจเซฟ”
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาในค่ำคืนหนึ่งไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหนาวเย็นเลย นั่นอาจเป็นเพราะความร้อนระอุจากร่างสูงที่กำลังทาบทับร่างของผมอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้ ความมืดทำให้ผมมองสิ่งต่างๆในห้องนอนได้ไม่ชัดเจน แต่ใครสนล่ะ ในเมื่อกิจกรรมที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาเสียหน่อย ผมหลับตาแล้วปล่อยให้ร่างกายรับรู้สิ่งต่างๆแทน…เริ่มจากแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของร่างสูง และความแข็งแรงของบางอย่างที่กำลังขยับเข้าออกในร่างกายของผม มันขยับรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนกับตอนที่มันเข้ามา…
โจเซฟเป็นแฟนของผม เราจูบกันครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่คบกันได้เพียงสามวัน มันอาจจะเร็วเกินไปหรือเปล่านะ แต่ผมยอมรับว่าผมในวัย 16 ปี กำลังอยากรู้อยากลองเลยล่ะ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา โจเซฟสอนให้ผมใช้มือช่วยตัวเอง เราช่วยกันและกันก่อนจะปลดปล่อยความสุขออกมา หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เขาเริ่มสอนให้ผมรู้จักความสุขของกามอารมณ์จากการช่วยตัวเองทางประตูหลัง บางครั้งใช้นิ้วของตัวเองและบางครั้งใช้นิ้วของโจเซฟ
หมอนั่นพยายามขอเข้ามาในตัวของผมหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมกลัว…เพื่อนของผมเคยบอกว่ามันจะเจ็บมาก นั่นทำให้ผมปฎิเสธเขามาตลอด โจเซฟเป็นแฟนที่ดี อบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ จนผมคิดว่าผมนี่ช่างโชคดีจริงๆที่มีแฟนที่แสนดีและหล่อเหลาแบบนี้ แต่ทำไมกันนะ คนแบบนี้ถึงได้หลุดมือมาถึงผมได้
อา…จริงๆแล้วผมเคยได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับโจเซฟมาเยอะทีเดียวล่ะ หลายๆคนในโรงเรียนบอกผมว่าเขาเจ้าชู้ ชอบฟันแล้วทิ้ง แล้วก็เซ็กส์จัด เรื่องเซ็กส์จัดผมไม่เถียง เขาเชี่ยวชาญมากทีเดียว แถมผมยังเริ่มติดนิสัยกามๆแบบนั้นของเขามาแล้วด้วย ส่วนฟันแล้วทิ้งผมไม่เห็นด้วย มันก็แค่ข่าวลือ คนไหนที่โดนโจเซฟฟันแล้วทิ้ง? ทำไมไม่เห็นออกมาแสดงตัว…แน่นอนว่าพวกเราในโรงเรียนชายล้วนไม่อายกับเรื่องพวกนี้หรอก
พวกเราไม่ใช่ผู้หญิง ไม่มีอะไรให้เสียหาย ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือจากคนที่ใฝ่ฝันจะมีเซ็กส์กับโจเซฟมากกว่า
สามเดือนต่อมา ผมกำลังนอนครวญครางอยู่บนเตียงของโจเซฟขณะที่เขาเข้ามาในตัวผมเป็นครั้งแรก…ผมเสียตัวในวันจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายของเขา
“ดะ เดี๋ยว โจ…” ผมหอบหายใจขณะพยายามอ้าปากเปร่งเสียงอย่างยากลำบาก
“เงียบน่า” เขาดุผมด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหงุดหงิด ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับผมแบบนั้น
“นั่นอะไร” ผมถามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นไฟสีแดงเล็กๆที่ส่องเข้าตาของผมพบดิบพอดี ก่อนหน้านั้นผมเอาแต่หลับตาดื่มด่ำกับการเล้าโลมของโจเซฟจนไม่ได้สังเกตเห็นแสงประหลาด
“ไม่มีอะไร” โจเซฟตอบเสียงห้วนขณะหยัดสะโพกเข้าหาผมหนักๆ
“ผมเห็นไฟสีแดง”
ผมเงยหน้าไปสบตากับโจเซฟ สายตาที่เขามองมาที่ผมมันดิบเถื่อนและไร้ความอ่อนโยน เขาไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของผมเพราะเขากำลังสุขสมอยู่กับการร่วมเพศของพวกเรามากกว่า จังหวะที่เขาโถมเข้าหาตัวผมเริ่มดุดันและเอาแต่ใจมากขึ้นทุกที จนกระทั่งเสียงเล่าปากต่อปากของกลุ่มนักเรียนชายลอยเข้ามาในสมองของผมราวกับเทปที่ถูกเปิดซ้ำๆ
…พี่โจเซฟแม่งฟันเพื่อนกูแล้วทิ้ง แล้วไม่ใช่แค่นั้นนะมึง เชี่ยนั่นยังถ่ายคลิปเอาไปให้เพื่อนของมันดูด้วย ต่อให้เพื่อนกูเป็นผู้ชายก็อายเป็นนะเว้ย ถ้าโดนเอาคลิปไปปล่อยลงเน็ตจะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน!...
“ข่าวพวกนั้นไม่จริงใช่มั้ย” ผมถามเสียงสั่น ผมไม่เคยคิดจะเชื่อเลยกระทั่งเห็นไฟสีแดงเล็กๆบนโต๊ะตรงข้ามกับเตียงนอนในขณะนี้
“ออกไป” เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามของผม ผมก็ผลักร่างสูงเต็มแรงจนอีกฝ่ายผละออกไปจากร่างของผม
“ทำไมพี่ตั้งกล้องแอบถ่าย”
…พี่โจเซฟแม่งก็เอาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ไม่เอาซ้ำเป็นครั้งที่สอง เตรียมตัวโดนทิ้งได้เลย…
“อย่างี่เง่าน่าวิน” โจเซฟยกมือขยี้ผมด้วยความหัวเสีย
อะไรนะ! งี่เง่างั้นเหรอ การที่ผมถูกแฟนตัวเองแอบถ่ายคลิปตอนที่เราร่วมรักกันมันเป็นเรื่องงี่เง่าเหรอวะ
“กลับมานอนอ้าขาให้พี่เร็วคนเก่ง” โจเซฟใช้น้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่ผมชอบ พยายามล่อลวงให้ผมละความสนใจจากกล้องแอบถ่ายที่ถูกซ่อนเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือมาที่เขาเหมือนเดิม
“พี่รู้นะว่าวินชอบตอนที่พี่…”
“พนันกับเพื่อนพี่ไว้กี่บาทล่ะ” ผมสวนขึ้นมาทั้งที่เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ผมรู้สึกโง่งมและผิดหวัง ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจของผมอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ร้องไห้ ผมไม่มีทางให้ผู้ชายคนนี้เห็นน้ำตาของผมแม้แต่หยดเดียว
“ใครบอก” โจเซฟเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“จริงๆคนก็พูดกันทั้งโรงเรียน แต่ผมโง่เองที่ไม่ยอมเชื่อ”
“โอเค กูยอมรับ กูจีบมึงเพราะถูกท้าพนัน” โจเซฟยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นการยอมแพ้ เขาไม่จำเป็นต้องโกหกอีกต่อไปในเมื่อเขาได้ทุกอย่างจากผมไปหมดแล้ว…ทั้งตัวของผมและหัวใจของผม
ผมกัดฟันแน่นข่มความสั่นไหวในหัวใจก่อนจะพยายามเปล่งเสียงที่หนักแน่นออกไปเป็นประโยคสั้นๆ
“เราเลิกกัน”
“ก็ได้ ตามนั้น” โจเซฟยิ้มเหยียดก่อนจะพยักหน้ารับง่ายๆ ผมเดินผ่านร่างของเขาไปหยิบเสื้อผ้าที่กระจายอยู่เกลื่อนพื้นแล้วรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุดซึ่งนั่นดูจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของอีกฝ่ายมากพอสมควร
“เฮ้! จะกลับจริงดิ” เขาถามผมด้วยใบหน้าที่แสดงความเหลือเชื่อ
“เราเลิกกันแล้วเผื่อพี่จะลืม” ผมย้ำและไม่ลืมที่จะเดินไปหยิบกล้องแอบถ่ายขนาดเล็กกลับไปด้วย ซึ่งโจเซฟก็ไม่ได้มีท่าทีว่าต้องการจะห้าม
“เลิกกันแล้วก็เอากันได้นะ กูไม่ถือหรอก อีกอย่างมึงก็ยังไม่เสร็จ แล้วดูท่ามึงก็ชอบมากด้วยตอนที่กูเข้าไป”
นั่นแหละคือเรื่องที่ผมตัดสินใจผิดพลาดที่สุดในชีวิต ผมรู้สึกรังเกียจและขยะเเขยงร่างกายง่ายๆของตัวเองชะมัดเลย ถ้าผมสามารถใช้น้ำทำความสะอาดร่างกายได้ ผมจะรีบทำมันอย่างรวดเร็วเลยล่ะ แต่น่าเสียดายที่สัมผัสของเขาจะติดตรึงอยู่กับผมไปจนตาย และมันก็ทำให้เกิดคำถามในใจขึ้นเป็นครั้งแรกว่า…จะมีใครรักผมและร่างกายง่ายๆที่สกปรกของผมได้หรือเปล่า?
“วิน” โจเซฟพยายามรั้งผมเมื่อผมแต่งตัวเสร็จแล้ว
“กลับไปช่วยตัวเองที่บ้านมันไม่ฟินเท่าของกูหรอกนะ”
“ไปตายซะ!”
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเขา…


“กูขอโทษ” ผมเอ่ยกับพอร์ชด้วยความละอายใจ ผมโกหกเขา…
เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีที่พอร์ชนั่งมองหน้าผมเงียบๆ น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมพยายามสูดน้ำมูกและใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวกๆ ผมกลัวว่าพอร์ชจะรับไม่ได้ ผมรู้…พอร์ชเป็นคนดี เขาทำเพื่อผมมามาก เขายอมรับตัวตนของผม แต่มันจะมากเกินไปมั้ย หากผมจะขอให้เขายอมรับความผิดพลาดในอดีตของผมอีกสักเรื่อง
“แล้วทำไมต้องโกหกกูด้วยล่ะ” พอร์ชเอ่ยทำลายความเงียบ เขาขยับตัวอย่างอึดอัดบนปลายเตียง
“มึงรู้เห็นเรื่องแรดๆของกูมาเยอะแล้วนี่ ให้กูมีอะไรดีๆสักเรื่องไว้ให้มึงภูมิใจบ้างเถอะ” ผมสารภาพแบบติดตลก ซึ่งที่จริงแล้วผมไม่ได้รู้สึกว่ามันตลกเลย
“อดีตก็คืออดีต กูเป็นคนที่ชอบอยู่กับปัจจุบัน มึงไม่จำเป็นต้องโกหกกูเพื่อให้ตัวเองดูดี”
ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพอร์ช ประโยคเรียบๆของเขาเป็นดั่งสายฝนซึ่งช่วยชโลมหัวใจที่กำลังเหี่ยวเฉาให้มีชีวิตอีกครั้ง
“มึงรับได้ที่กูเป็นกูใช่มั้ย” ผมถามอย่างมีความหวัง พอร์ชของผมเป็นคนดีที่หนึ่งเลย
“ไม่” อะ อ้าว…ไหนบอกว่าชอบอยู่กับปัจจุบันไงล่ะ!
“กูจะบอกว่ามึงไม่มีเชี่ยไรดีตั้งแต่แรกแล้ววิน” ผมหน้าบึ้งทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของพอร์ช ห่านี่มันกวนตีนสิ้นดี ผมส่งสายตาขวางๆไปให้ แต่เมื่ออีกฝ่ายขยับยิ้มกวนประสาท ผมก็หลุดขำออกมาเสียงดังก่อนที่เขาจะหัวเราะไปพร้อมกับผม จะว่าไปแล้ว ความปากหมาของพอร์ชก็มีประโยชน์นะครับ อย่างน้อยในตอนที่ผมทุกข์ใจ เขาก็เปลี่ยนให้มันเป็นเรื่องขำๆได้
เสียงหัวเราะของผมจำเป็นต้องหยุดลงทันที เมื่อพอร์ชโน้มใบหน้าเข้ามาประกบจูบลงบนริมฝีปากของผม ก่อนจะค่อยๆขยับริมฝีปากเป็นจังหวะเนิบช้าแต่หนักแน่น อ่อนโยนและนุ่มนวลกว่าครั้งไหนๆ ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งประคองใบหน้าของผมไว้แผ่วเบา ราวกับกลัวว่าผมจะแตกสลาย
“พอร์ช” ผมใช้มือผลักแผ่นอกของพอร์ชเพื่อจะสบตากับเขา ผมอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในตอนนี้
“อะไร? ไม่อยากต่อเหรอ ไหนบอกว่าจะมีเซ็กส์กับกูไง”
พอร์ชถาม รอยยิ้มของเขาแฝงไปด้วยความเอ็นดูจนผมเกือบจะน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ยอมรับว่าไม่ชินกับความนุ่มนวล หนึ่งคือไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผม และสองคือพอร์ชไม่จัดอยู่ในโหมดอ่อนโยนซะเท่าไร
“ไม่รังเกียจกูเหรอ”
ผมถามแล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาเบาๆ ทำไมน้า คนแบบนี้ถึงได้ตกมาเป็นของผม เขาจะดีกับผมตลอดไปได้หรือเปล่า?
“ไร้สาระน่าวิน ทำไมต้องรังเกียจด้วย”
“ถ้าไม่รังเกียจแล้วมึงถามเรื่องพวกนั้นทำไมเล่า”
“แค่ลองใจว่ามึงจะโกหกมั้ย” พอร์ชตอบก่อนจะยักคิ้วให้ผม
“สรุปว่ามึงก็เป็นผู้ร้ายปากแข็งจริงๆด้วย”
“ขอโทษนะ ต่อไปไม่โกหกอีกแล้ว” ผมให้สัญญากับพอร์ช ที่จริงแล้วผมไม่มีเรื่องอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้แล้วครับ ถ้าทั้งหมดนี้พอร์ชรับได้ ผมก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
“เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ” พอร์ชกระซิบชิดริมฝีปากของผมก่อนจะดึงแขนของผมจนเซถลาไปคร่อมตักของเขา แล้วผมคนแรดก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…ไม่เป็นไรหรอก แรดวันละนิดจิตแจ่มใส โดยเฉพาะการแรดกับพอร์ชแค่คนเดียว
“ได้ ลงโทษแรงๆเลยนะ”
พอร์ชขยับยิ้มก่อนจะประคองมือข้างหนึ่งของผมขึ้นมาจูบเบาๆ เขาจูบแก้มของผมทั้งสองข้าง หน้าผากและปลายจมูก ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาที่ริมฝีปาก การกระทำที่เชื่องช้าและอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกมีค่า ผมรู้สึกเป็นคนสำคัญได้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยประโยคหวานๆออกมาเลย
ผมรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นของลิ้นที่ไล้เลียบนริมฝีปากก่อนจะสอดแทรกเข้ามาภายในช้าๆ ผมตวัดลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นของพอร์ชอย่างลึกซึ้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างช้าๆก่อนจะทวีความเร่าร้อนมากขึ้น พอร์ชดูดดึงริมฝีปากของผมอย่างดูดดื่ม ใช้ลิ้นสัมผัสไปทั่วโพรงปากของผมอย่างถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ผมเอื้อมแขนไปคล้องคอของเขา สอดปลายนิ้วเข้าไปในเส้นผมนุ่มๆ พวกเราหอบหายใจขณะใช้ลิ้นร้อนแลกเปลี่ยนน้ำใสภายในโพรงปากจนผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหลมาตามคาง
“ถอดเสื้อเร็ววิน” พอร์ชถอนริมฝีปากออกเพื่อกระซิบบอกผม อารมณ์ความกระสันอยากในแววตาของเขาทำให้ผมสะท้าน รีบดึงเสื้อของตนเองออกทางศีรษะก่อนจะเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อของพอร์ชออกแล้วโยนทิ้งไว้ข้างเตียง ร่างของผมถูกผลักให้นอนลงบนเตียงอย่างรวดเร็วก่อนที่อีกฝ่ายจะโถมร่างมาทาบทับผมไว้
ผมครวญครางในลำคอเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายลิ้นร้อนที่ลากผ่านไปตามใบหู ลำคอและแผ่นอก พอร์ชใช้ปลายลิ้นไล่ชิมร่างกายของผมอย่างช้าๆ ดูดดุนให้เกิดรอยแดงในบางครั้ง พอร์ชขยับศีรษะต่ำลงมาบริเวณยอดอกของผมที่เริ่มชูชัน ก่อนจะใช้ริมฝีปากบางครอบครองลงบนยอดอกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถูกปลายนิ้วของเขาบดขยี้แรงๆ
“อ้า…” หน้าท้องของผมหดเกร็ง รู้สึกเสียวซ่านเหลือเกิน ความสุขสมค่อยๆกลืนกินสมองอย่างช้าๆ ผมรู้สึกเป็นสุขเหลือเกินกับการมีเซ็กส์ในครั้งนี้ มันทั้งอบอุ่นและเร่าร้อน
“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งเมื่อพอร์ชใช้ฟันขูดลงบนยอดอกข้างหนึ่งของผมก่อนจะใช้ลิ้นตวัดเลียซ้ำไปซ้ำมาจนเปียกชุ่มไปหมด ความวูบวาบที่ได้รับแล่นมาบรรจบกันที่ท้องน้อย ส่งผลให้แก่นกายของผมเริ่มแข็งเป็นลำบ่งบอกความต้องการ
พอร์ชปลดซิปกางเกงยีนของผมก่อนจะดึงมันออกจากเรียวขาพร้อมๆกับกางเกงชั้นใน การกระทำที่รวดเร็วนั้นส่งผลให้ร่างกายของผมเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์ และมันออกจะน่าอายเหมือนกันในตอนที่เขาจับขาทั้งสองข้างให้ตั้งฉาก ก่อนจะใช้ปลายลิ้นโลมเลียไปทั่วต้นขาด้านใน เสียงหอบหายใจของเขาทำให้ผมเหลือบตาขึ้นไปมองเพดานห้องอย่างอดทนอดกลั้น ผมอยากให้เขาเข้ามาซะเดี๋ยวนี้เลย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เขาสัมผัสร่างกายของผมให้ครบทุกส่วนเสียก่อน
ผมกำผ้าปูเตียงแน่นในตอนที่พอร์ชใช้ริมฝีปากไล้เลียแก่นกาย ก้นของผมเผลอแอ่นขึ้นมาเมื่อเขาอ้าปากครอบครองน้องชายของผมเข้าไปทั้งหมด ปากของเขาเริ่มขยับดูดเลียไปตามความยาวจนผมต้องอ้าปากร้องด้วยความเสียวซ่าน
“อ๊ะ อ๊ะ อ่า…พอร์ชชช!”
“วิน”
พอร์ชหยุดการกระทำทั้งหมดซึ่งทำให้ผมหอบหายใจด้วยความต้องการ เขากระซิบเรียกชื่อผมเบาๆแล้วใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วร่างเปลือยเปล่าอย่างใจเย็น
ให้ตายสิ ผมกำลังจะเสร็จแล้วแท้ๆ
“นอนคว่ำ” คำสั่งสั้นๆของพอร์ชทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความงุนงง ผมคิดว่าเราจะเล่นสนุกกันตรงกลางลำตัวของผมซะอีก? แม้จะไม่เข้าใจแต่ผมก็อยากเอาใจเขาจึงผลิกตัวนอนคว่ำ ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือร้อนผ่าวที่กำลังบีบขย่ำก้นของผมอย่างเอาแต่ใจ พอร์ชพรมจูบไปทั่วแผ่นหลังก่อนจะกระซิบชิดใบหู
“ก้นมึงสวย”
“อาห์ เลิกชมก้นกูแล้วทำอะไรกับมันสักอย่างสิ!”
ผมอ้าปากหอบหายใจ ให้ตายเถอะ ทำไมพอร์ชถึงชักช้าแบบนี้วะ ผมจะช็อกตายเอาได้นะถ้าเขายังสำรวจร่างกายของผมต่อไปแบบนี้ ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอของพอร์ชก่อนจะตามมาด้วยเสียงสวบสาบของเนื้อผ้า ผมคิดว่าเขากำลังถอดกางเกงของตัวเอง
“ทำอะไรดีล่ะ หืม? แบบนี้ดีมั้ย?”
“อ๊า!!!!” คำถามของพอร์ชมาพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังดุนดันอยู่ตรงช่องทางรักที่กำลังปิดสนิท แม้นิ้วของเขาจะไม่ได้เข้ามาแต่การเสียดสีตรงนั้นก็ทำให้ผมเสียวชิบหายเลย
“ขะ เข้ามาสิ” ผมร้องขอ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจและเสียงเปิดลิ้นชัก ผมหันหน้าไปมองและเห็นว่าพอร์ชกำลังหยิบเจลกับถุงยางอนามัยออกมาจากลิ้นชักข้างเตียง หมอนี่เตรียมพร้อมไว้ขนาดนี้แล้ว คงคิดจะกินผมอยู่แล้วอ่ะดิ
“ยกก้นขึ้นหน่อยวิน” ผมทำตามที่พอร์ชบอกด้วยการแอ่นก้นขึ้นจากเตียง แม้ผมจะไม่เห็นตัวเองแต่ก็คิดว่าคงอยู่ในท่าประหลาดน่าดูเลย
“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงความเย็นของเจลที่ป้ายลงมาบนช่องทางด้านหลัง
“ถ้าเจ็บบอกกูนะ” พอร์ชกระซิบบอกก่อนจะสอดนิ้วแข็งๆเข้ามาหนึ่งนิ้ว
“อ้า!!”
ผมรู้สึกว่าร่างกายเครียดเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อสิ่งแปลกปลอมสอดเข้ามาในส่วนลับจนสุดความยาว พอร์ชหยุดขยับนิ้วเพื่อให้ผมปรับตัว ผมสูดหายใจเข้าลึกๆและพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดเพื่อให้เขาขยับเข้าออกได้สะดวก เมื่อพอร์ชเริ่มขยับนิ้วจะมีเสียงน่าละอายดังขึ้นทุกครั้งเพราะของเหลวที่เป็นตัวล่อลื่อ
ผมซุกใบหน้าแดงก่ำของตัวเองลงบนหมอน ให้ตายสิ ต่อให้เคยมีเซ็กส์กับอื่นมาหลายต่อหลายครั้ง แต่การที่ผมต้องนอนหันก้นให้พอร์ชขยายช่องทางด้านหลังก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมโคตรเขินเลย
 “อ๊ะ!” ผมร้องเมื่อพอร์ชสอดนิ้วที่สองเข้ามาและเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ เขาสอดนิ้วเข้าไปจนสุดและดึงออกจนเกือบจะหลุด ทำแบบนี้ซ้ำๆจนกระทั่งนิ้วที่สามสอดเข้าไปได้
“อึก อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!”
ผมอ้าปากครวญครางด้วยความกระสันอยากเมื่อพอร์ชเริ่มขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น ในตอนที่มันกระทบจุดเร้าบางอย่างในร่างกายผมก็เผลอขมิบก้นตอบรับ หัวสมองของผมขาวโพล่นไปหมด แต่กลับได้ยินเสียงฉ่ำแฉะภายในร่างกายตัวเองอย่างชัดเจน สะโพกเผลอแอ่นเข้าหานิ้วยาวและขยับตอบโต้ ผมเด้งก้นเป็นจังหวะเดียวกับที่นิ้วของพอร์ชขยับเข้าหาและมันคงเป็นภาพหยาบโลนน่าดูเลย
“มึงจะยั่วกูหรือไงฮะ”
พอร์ชถาม ผมได้ยินเสียงเขากลืนน้ำลายเบาๆ ผมคิดว่าความอยากของกามอารมณ์เข้าครอบงำจนผมสติหลุด ในตอนที่ผมเป็นฝ่ายรุกผมเคยเจอคู่นอนที่เป็นฝ่ายรับมาหลายแบบ โดยเฉพาะแบบแซ่บๆถึงใจผมเจอมาบ่อยมาก และผมคิดว่าถึงเวลาต้องยืมท่าทางพวกนั้นมายั่วยวนพอร์ชบ้างแล้ว
“แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่ายั่ว”
ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รู้ดีว่ากำลังทำตัวไร้ยางอาย แต่ไม่เป็นไรหรอกในเมื่อคนที่ได้เห็นผมในตอนนี้ก็มีแค่พอร์ชเพียงคนเดียว ผมยันศอกทั้งสองข้างลงบนเตียงให้ตัวเองอยู่ในท่าคลานสี่ขาแต่ก้นแอ่นขึ้นสูงให้เห็นช่องทางสีแดงชัดเจนขึ้น ขาของผมอ้าออกกว้างก่อนจะเริ่มขมิบรูเป็นจังหวะแล้วเด้งสะโพกไปข้างหน้าและถอยหลังราวกับกำลังถูกดุ้นยักษ์ที่มองไม่เห็นร่วมรักอยู่
“ร่าน!” พอร์ชว่าแล้วดึงนิ้วทั้งสามออกจากก้นของผมจนเกิดเสียง ผมหัวเราะในลำคอแล้วเอี้ยวตัวไปถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท้าทาย
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
เพียะ!!
“อ๊ะ…!” ผมสะดุ้งเมื่อพอร์ชใช้ฝ่ามือตีลงบนแก้มก้นของผม มันไม่ได้เจ็บมาก แต่ก็ชวนให้แสบๆเสียวๆอยู่เหมือนกัน
“ชอบ! ถ้ามึงทำกับกูแค่คนเดียว” พอร์ชโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบข้างใบหูของผม ใบหน้าหล่อๆกำลังแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์ซึ่งมันชวนให้ผมรู้สึกเร่าร้อนโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องสัมผัสร่างกายของผมเลย
“แค่มึงคนเดียว” ผมกระซิบตอบก่อนจะช้อนสายตาฉ่ำเยิ้มไปสบกับดวงตาสีดำสนิท
“ช่วยทำให้กูแข็งหน่อยสิ” พอร์ชร้องขอด้วยเสียงแหบพร่า พร้อมกับขยับแก่นกายเข้ามาถูไถตรงขาอ่อนด้านในของผม
“กอดกูสิ” ผมเอ่ยกับเขาอย่างยั่วยวน
“ชักให้หน่อย”
ผมขยับยิ้มขำขันเมื่ออีกฝ่ายร้องขออย่างไม่สบอารมณ์เมื่อผมปฎิเสธที่จะเอื้อมมือไปชักให้กับเขา
“กอดกูเร็วเข้า แบบนี้สนุกกว่าใช้มือชักอีกนะ”
ผมเอ่ยด้วยความตั้งใจว่าจะสอนให้พอร์ชรู้จักเซ็กส์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย เขาควรจะรู้ว่าผมทำอะไรให้เขารู้สึกดีได้บ้าง อีกฝ่ายกะพริบตามองผมอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งภาพนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าหมอนี่น่ารักชะมัดเลย
ผมเอื้อมมือไปดึงแขนของพอร์ชให้ขยับเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง หมอนั่นไม่ได้ขัดขืน เขาค่อยๆโน้มตัวเข้ามาซ้อนผมไว้ แผ่นอกของเขาที่แนบชิดกับแผ่นหลังของผมกำลังร้อนระอุ แก่นกายใหญ่ที่เริ่มแข็งตัวแต่ยังไม่เต็มที่สัมผัสกับร่องหลืบของผมแผ่วเบา ผมขยับขาเข้ามาชิดกันเพื่อหนีบแก่นกายของพอร์ชไว้ ระหว่างกลาง ผมรู้สึกว่าเขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะผ่อนคลายความเครียดเกร็ง
ผมใช้สองมือจับหัวเตียงเอาไว้แล้วเริ่มขยับก้นเป็นจังหวะ พอร์ชครางในลำคอด้วยความพึงพอใจก่อนจะเริ่มขยับกายเข้าหาผม ให้ตายสิ หมอนี่เรียนรู้เร็วชะมัดทั้งที่ผมยังไม่ได้อ้าปากสอนสักคำ
“อ๊ะ…อ๊ะ…”
ผมร้องครางออกมาเมื่อพอร์ชเอื้อมมือข้างหนึ่งมาขยี้ยอดอก ส่วนมืออีกข้างกำลังชักรูดแก่นกายของผมไปพร้อมๆกัน ผมหอบหายใจเมื่อพอร์ชเริ่มเสียดสีรุนแรงขึ้น กระแทกกระทั้นเข้าหาจนผมเสียวไปหมด ซอกขาของผมเริ่มเปียกแฉะเพราะของเหลวที่ถูกขับออกมาจากแก่นกายของพอร์ช
“แข็งมั้ยล่ะ” ผมเอ่ยกระเซ้า
“กูจะเอามึงให้ครางไม่หยุดเลย”
ผมหัวเราะในลำคอ ไม่ต้องเอาผมก็กำลังครางไม่หยุดอยู่นี่ไง โดยเฉพาะตอนที่พอร์ชเร่งจังหวะให้หนักหน่วงมากขึ้น ความสุขสมที่กำลังท่วมท้นทำให้ท้องน้อยของผมวูบวาบและนาทีต่อมาก็ปลดปล่อยของเหลวขาวขุ่นให้ทะลักออกมาจากแก่นกายอย่างห้ามไม่อยู่




TBC.

ฝากติดตามผลงานเรื่องใหม่ด้วยนะคะ >> เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2019 13:56:29 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/12/2562 [P.3] บทที่ 22
«ตอบ #69 เมื่อ07-12-2019 16:22:45 »

 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/12/2562 [P.3] บทที่ 22
« ตอบ #69 เมื่อ: 07-12-2019 16:22:45 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/12/2562 [P.3] บทที่ 22
«ตอบ #70 เมื่อ12-12-2019 18:31:54 »

บทที่ 23 ความเร่าร้อนของเราสองคน

ผมทิ้งตัวนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ปลดปล่อยออกมา เปรอะเปื้อนที่นอนสีขาว กลิ่นน้ำกามที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก และแม้ว่าเมื่อครู่จะไม่ใช่เซ็กส์เต็มรูปแบบแต่มันก็ทำให้ผมเร่าร้อนจนแทบละลาย
“วิน…กูอยากเข้าไปในตัวมึง”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบอย่างออดอ้อนอยู่ข้างใบหูของผม และถ้าให้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ผมกำลังคิดว่าอยากให้เขาเข้ามาในตัวแล้วเหมือนกัน
ผมช้อนสายตาขึ้นไปสบกับพอร์ช เจ้าสิ่งร้อนๆที่แนบอยู่กับร่องก้นทำให้ผมรู้ว่าเขายังไม่ได้ปลดปล่อยน้ำกาม และแก่นกายยักษ์ก็กำลังอยู่ในโหมดพร้อมรบอย่างเต็มรูปแบบ
“เอากูสิ” ผมกระซิบตอบก่อนจะพลิกร่างมานอนหงายเพื่อให้ง่ายต่อการร่วมรัก พอร์ชขยับยิ้มมุมปากก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มของผมเบาๆ ผมรู้ว่าเขาพอใจกับการตอบสนองของผม พอร์ชใช้ปากแกะซองถุงยางอนามัยก่อนจะนำมันมาสวมที่แก่นกายของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาจับเรียวขาทั้งสองข้างของผมแยกออกกว้างแล้วให้พาดอยู่ใกล้ๆกับเชิงกรานของเขา
“แรงๆนะ” ผมเอ่ยกระเซ้าเรียกให้นัยน์ตาสีดำเหลือบขึ้นมาสบ
“ถ้ามึงอ่อน คราวหน้ากูจะเอามึงเอง”
“เก็บปากมึงไว้ครางเถอะที่รัก”
ผมหัวเราะในลำคออย่างสนุกสนานเมื่อได้แกล้งแหย่พอร์ช ผมรู้ว่าเขาไม่ชอบให้ท้าทายแต่มันช่วยไม่ได้จริงๆที่ผมอยากจะเห็นดวงตาวาววับด้วยความไม่สบอารมณ์ของเขา พอร์ชเป็นคนหน้าตาดีและมีเสน่ห์แบบร้ายๆ ยิ่งเขาทำหน้าตายหรือแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ่งดึงดูดให้เขาดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
พอร์ชอาศัยจังหวะที่ผมไม่ได้ตั้งตัวแทรกแก่นกายเข้ามาในร่างกายของผมช้าๆซึ่งมันทำให้ผมสะท้านด้วยความเจ็บปวด
“อ้า!!!!”
ผมหลุดเสียงครางลั่น รู้สึกราวกับร่างกายถูกแยกออกเป็นสองส่วน ความเจ็บจากการสอดใส่ทำให้เหงื่อเย็นๆซึมชื้นออกมาตามขมับ ให้ตายสิ ใหญ่ชิบหายเลย
“ผ่อนคลายหน่อยสิ”
พอร์ชกระซิบขณะคลอเคลียริมฝีปากชิดกับริมฝีปากของผม เขาไม่ได้ขยับตัว ทำเพียงแค่แช่แก่นกายไว้นิ่งๆเท่านั้น ฝ่ามือร้อนเริ่มลูบไล้ร่างกายของผมเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ ผมค่อยๆผ่อนคลายและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จำไม่ได้แล้วว่าครั้งแรกของผมเจ็บมากแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างในค่ำคืนนั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของผมแล้ว
ผมรู้แค่เพียงว่า…ความเจ็บปวดในครั้งนี้ มันเต็มไปด้วยความละมุนและอบอุ่นเหลือเกิน
พอร์ชให้เวลากับช่องทางเล็กๆได้ขยับขยายและเคยชินกับขนาดของเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแทกสะโพกเพื่อดันดุ้นยักษ์เข้ามาในตัวของผมจนสุดในคราวเดียว ผมสะดุ้งแล้วครางแผ่วในลำคอ ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ความอึดอัดที่ได้รับก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายเลย พอร์ชเริ่มขยับกายช้าๆเป็นจังหวะเนิบนาบ หนักบ้าง เบาบ้างสลับกันไป ผมเผลอกัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อย ก่อนจะปล่อยเสียงครางออกมาตามธรรมชาติ พอร์ชขยับยิ้มร้ายที่มุมปาก ดูเขาจะชอบที่ทำให้ผมครางออกมาได้
แก่นกายยักษ์เพิ่มจังหวะการเคลื่อนไหวให้หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเขาเคลื่อนไหวร่างกระแทกกระทั้นเท่าไร ก็ยิ่งกระทบจุดเร้าภายในร่างกายของผมอย่างหนักหน่วงจนผมต้องครวญครางไม่หยุด
ร่างกายส่วนที่สอดประสานถูกรุกรานร้อนผ่าวจนทำให้ผมแทบเสียสติด้วยความเสียวซ่าน ผมบิดกายไปมาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของผมตอบสนองอย่างดีจนไม่น่าเชื่อ ซึ่งลึกๆแล้วผมรู้ดีว่าผมชอบแบบไหน ไม่มีทางที่ผมจะตอบตกลงเป็นฝ่ายรับให้พอร์ชอย่างง่ายดายโดยที่ผมไม่ต้องการ
ครั้งแรกของผมกับความรักที่หลอกลวง เป็นความทรงจำร้ายกาจที่ตามติดผมมานานหลายปี ทิฐิในใจทำให้ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายรุก เป็นฝ่ายควบคุมเกมและเป็นฝ่ายกระทำผู้อื่น ผมไม่ต้องการนอนอ้าขาให้ใครหน้าไหนกระทำทั้งนั้น นั่นคือสิ่งที่ผมป้อนใส่สมองมาโดยตลอด ซึ่งในนาทีนี้…ตอนที่พอร์ชขยับเข้าออกในรูของผม ผมพบว่ามันยอดเยี่ยมมาก และปฎิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องการ
“อาห์” เสียงครางด้วยความพึงพอใจเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหล่อๆที่กำลังแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์
“รูมึงโคตรแน่นเลย” พอร์ชพึมพำขณะที่สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของผมเลย
“อ๊า…ฟินมั้ยล่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมดเมื่อรู้ดีว่าช่องทางรักของผมกำลังตอบสนองอย่างถี่กระชั้นมากแค่ไหน ในบางครั้งที่พอร์ชหยัดสะโพกเข้ามารุนแรงผมก็จะเผลอส่งเสียงสะอื้นออกไปเบาๆ
“กูเสียว…อาห์”
พอร์ชคราง ดวงตาทั้งสองข้างพริ้มหลับขณะดื่มดำอยู่กับการหยัดสะโพกเข้าหาผมเป็นจังหวะหนักหน่วง ผมไล่สายตามองกล้ามเนื้อหน้าอกของพอร์ชช้าๆ มันมีหยดเหงื่อเกาะพราวเต็มไปหมดซึ่งนั่นทำให้เขาดูเซ็กซี่ชะมัด สายตาของผมไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆและหยุดอยู่ที่หน้าท้องของเขาที่กำลังเกร็งจนเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน ให้ตายสิ ในตอนที่เขาขยับสะโพกเข้าหาผมมันช่างร้อนแรงและน่ามองมากเหลือเกิน
ความเร่าร้อนของพอร์ชกำลังมอมเมาผมจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและเผลอครางเรียกเขาด้วยถ้อยคำบ้าๆ
“ผัว…”
“อะไรนะ?” พอร์ชลืมตาขึ้นมามองผมทันที แววตาของเขาทั้งเจือไปด้วยความแปลกใจและความไม่แน่ใจซึ่งมันทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
“กูได้ Sexy Boys เป็นผัวอ่ะ ไม่น่าชะ เชื่อ…อ๊ะ…เลย…”
พอร์ชขยับยิ้มมุมปากแล้วขยับกาย ผมได้ยินเสียงผิวเนื้อกระทบกันฟังดูหยาบโลนมาก แต่นั่นไม่เท่ากับตอนที่เขาหยัดสะโพกเข้าหารูของผมด้วยความดุดันและลึกซึ้ง ซึ่งเสียงที่ได้ยินมันจะดังเป็นพิเศษ
“ชอบมั้ยวิน แรงพอหรือเปล่า” พอร์ชเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ซึ่งมันทำให้ผมโคตรหมั่นไส้เลย มึงเยดุขนาดนี้กูจะไม่ชอบได้ไงล่ะ อ๊า…
“พะ…พอร์ช…มีแรงแค่นี้เหรอ”
นั่นคือประโยคที่หลุดออกจากปากของผม เพราะเสือวินก็คือเสือวินอยู่วันยันค่ำ ไม่มีทางที่ผมจะยอมรับออกไปง่ายๆหรอก
“หึ!”
พอร์ชส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่สบอารมณ์ก่อนจะเคลื่อนไหวแก่นกายเข้าหาผมอย่างรุนแรงจนผมเกือบจะรับไม่ไหว ได้แต่อ้าปากส่งเสียงครวญครางด้วยความเสียวซ่าน
“อ๊ะ…อ๊ะ….อ๊ะ!!!”
“ซี๊ดดด”
พอร์ชสูดปากขณะกระแทกแก่นกายเข้าหาผมไม่หยุด
“อาห์ มึงอะ…เอาเก่งจังวะ โคตรมันส์เลย อ้า!”
ความเร่าร้อนที่พอร์ชมอบให้ทำให้ผมเผลอชื่นชมเขาด้วยความสุขสม ตอนนี้มีแต่ความเสียวซ่าน ร่างกายบิดเร้าเหมือนจะขาดใจลงใต้ร่างของเขา ทุกครั้งที่เขาผสานร่างลงมาหนักหน่วงทำให้บริเวณที่เชื่อมพวกเราไว้ด้วยกันร้อนผ่าวและชุ่มไปด้วยสารล่อลื่นจนเหมือนจะละลาย
“ครางดังๆสิวิน”
“อื้มม อ๊ะ อ้า ดะ เดี๋ยว…บะ…เบาหน่อย…” ผมเสียววูบไปทั่วท้องน้อย พยายามเอ่ยขอร้องพอร์ชด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“หื้ม อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
พอร์ชเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนาเอื้อมมารั้งเรียวขาของผมให้พาดบ่ากว้าง
“ฮืออออ บะเบาหน่อย…สะ เสียวรู…”
“ดี! มีเมียแรดก็ต้องเอาแรงๆแบบนี้แหละ จะได้ไม่กล้าไปแรดกับคนอื่น”
พอร์ชกระซิบก่อนจะขย้ำริมฝีปากลงมาจูบผมด้วยความหนักหน่วง ขณะที่สะโพกแกร่งกระแทกกระทั้นรัวเร็วจนผมได้แต่สะอื้นในลำคอ ผมเผลอใช้เล็บมือจิกลงไปบนแผ่นหลังของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ และคิดว่าอาจจะเรียกเลือดได้พอสมควร แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเบาแรงกระแทกลงเลย กลับยิ่งขยับจังหวะให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
“ยะ ยอมแล้วครับ พี่…พอร์ชทำเบาหน่อย…วินเสียวจะตายแล้ว…โอ๊ยย!”
“ไม่ปากเก่งแล้วเหรอ หื้ม”
พอร์ชย้อนถาม ห่าเอ๊ย ผมไม่น่าลองของเลย ก็รู้ๆกันอยู่ว่าหมอนี่มันโหด!
“ของมึงแม่งโคตรใหญ่ อะ…เอา ซี๊ดดดด แรงแบบนี้กูก็พังหมดสิ อ๊า!!”
ผมยกมือขึ้นมาผลักไหล่ของพอร์ชให้ถอยออกไป แต่แรงของผมในตอนนี้มันแทบไม่เหลือแล้ว จึงไม่ต่างกับการที่มดตัวเล็กๆออกแรงผลักหินก้อนใหญ่ที่ไม่มีท่าว่าจะขยับ
“รูเมียตอดเก่งขนาดนี้จะบอกให้ผัวเบาได้ยังไง อ๊า!! สุดยอดเลย…”
น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหื่นกระหายของพอร์ชทำให้ผมตัวสั่น ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายเรียกร้องให้พอร์ชเบาแรงแท้ๆแต่ประโยคหยาบโลนของเขากลับปลุกปั่นอารมณ์ของผมได้ดีเหลือเกิน แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังยกสะโพกขึ้นแล้วแอ่นร่างรับแรงกระแทกแสนเร่าร้อน ก่อนจะอ้าปากร้องสุดเสียงเมื่ออารมณ์มาถึงขีดสุด แล้วปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเลอะหน้าท้องแกร่ง
พอร์ชถอนร่างออกจากรูเล็กๆชั่วคราวก่อนจะจับร่างของผมให้พลิกคว่ำ ยกสะโพกที่อ่อนแรงขึ้นสูงแล้วหยัดร่างเข้ามาเต็มแรงจนผมสะท้าน ผมถูกกอดจากข้างหลังและกระแทกกระทั้นเข้ามาด้วยความรุนแรง
ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่พอร์ชยังไม่ได้ปลดปล่อยออกมา ผมปล่อยให้เขาโจนจ้วงเข้าหาผมตามใจชอบ เขาไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยหรือยอมหยุดเลย กระทั่งผมหน้ามืดแล้วก็หมดสติไปทั้งๆที่เขายังกระแทกกระทั้นอยู่แบบนั้น…


ผมลืมตาตื่นเพราะรู้สึกว่ามีสัมผัสแผ่วเบาบางอย่างกำลังรบกวนผิวหน้า ตอนนี้ผมนอนคว่ำอยู่บนเตียง ใบหน้าตะแคงไปด้านหนึ่ง ในห้องมืดสนิทเช่นเดียวกับท้องฟ้าด้านนอกที่มองเห็นได้จากระเบียง ผมกะพริบตาครู่หนึ่งเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืดจึงมองเห็นว่าสิ่งที่สัมผัสอยู่บนใบหน้าคือนิ้วมือของพอร์ช
เขานอนตะแคงแล้วหันหน้ามาทางผม ปลายนิ้วกำลังแตะสัมผัสไปตามหน้าผากของผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไล่ลงมาตามสันจมูกและริมฝีปาก แล้วขยับไปตามแก้มและกรอบหน้า
ที่จริงแล้วผมค่อนข้างแปลกใจและงุนงงเมื่อต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะแฟนหนุ่มกำลังทำการสำรวจใบหน้าของผมราวกับเขาไม่เคยมองเห็นมันมาก่อน
“เจ็บหรือเปล่า” พอร์ชกระซิบถามเมื่อเห็นว่าผมตื่นแล้ว
“อืม นิดหน่อยอ่ะ แต่เสียวมากกว่า” ผมเอ่ยก่อนจะครางเบาๆเมื่อเริ่มขยับตัวแล้วรู้สึกปวดระบบไปทั้งร่างโดยเฉพาะในช่องทางรักที่รู้สึกแสบเป็นพิเศษ
ผมสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วสัมผัสตรงส่วนที่ใช้ในการรองรับอารมณ์ของพอร์ช ผมจำไม่ได้ว่าเขาหยุดเมื่อไร แต่ที่แน่ๆช่องทางร่วมรักของผมถูกทารุณอย่างหนักจนเป็นโพรงเล็กๆ เมื่อขยับตัวก็รู้สึกว่าเจลล่อลื่นที่ตกค้างในร่างกายกำลังไหลออกมาตามเรียวขา ให้ตายเถอะ พอร์ชเอาผมไปกี่ครั้งวะเนี่ย
“ชอบหรือเปล่า” พอร์ชถามเมื่อเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของผม
“ชอบ แล้วมึงล่ะชอบมั้ย”
ผมตอบไปตามความจริง ต่อให้เจ็บกว่านี้แต่ผมยอมรับว่าชอบมากตอนที่เขากระแทกกระทั้นเข้ามาในรูเล็กๆของผม
“ชอบสิครับ” พอร์ชตอบแล้วยื่นใบหน้าเข้ามาจุ๊บปากของผมเบาๆ
“อยากอาบน้ำ”
ผมเอ่ย รู้สึกเหนียวตัวแล้วก็อยากชำระล้างเจลและคราบน้ำคาวๆที่เปอะเปื้อนอยู่บนร่างกายออกไปให้หมด
“รอตรงนี้ เดี๋ยวกูไปเตรียมน้ำอุ่นให้แช่ตัว”
พอร์ชเอ่ยก่อนจะก้าวเท้าลงจากเตียง ซึ่งนั่นทำให้เห็นว่าเขาเองก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากผม จริงๆแล้วผมยอมรับนะว่าตัวเองเป็นพวกเซ็กส์จัด แต่ไม่คิดว่าตอนนี้จะเพิ่มความลามกเข้ามาด้วย เมื่อผมกำลังใช้สายตาสำรวจร่างกายแฟนของตัวเองอย่างถี่ถ้วน แผ่นหลังของพอร์ชกว้างและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แม้กระทั่งต้นขาก็ดูแข็งแรงและมีกล้ามชัดเจน ส่วนแก่นกายที่กำลังสงบอยู่ก็น่าดูชิบหายเลยด้วย
โอ๊ย ตาย ตาย ผมกำลังจะหน้ามืดเพราะตื่นขึ้นมาเห็นอะไรที่โซฮอตจนเกินไป ไม่อยากจะบอกแต่เมื่อช่วงบ่ายวันนี้อร่อยมากครับ พอร์ชเป็นผู้ชายที่รสชาติดีโคตรๆ เสียดายที่ผมสลบไปก่อน เอาเป็นคราวหน้าขอแก้ตัวใหม่ ยังไงก็จะไม่ยอมสลบเด็ดขาดเลย พอร์ชเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบผ้าขนหนูสีขาวออกมาพันรอบเอวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ให้ตายสิ กำลังมองเพลินๆเลยอ่ะ แค่นี้ทำเป็นหวงตัว เช้อะ!
พอร์ชใช้เวลาเตรียมน้ำอุ่นให้ผมประมาณห้านาทีก่อนจะกลับออกมาจากห้องน้ำ เขาส่งผ้าขนหนูสีขาวให้ซึ่งผมโยนทิ้งไว้บนเตียงแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในห้องน้ำทันที ห้องน้ำของเขาเป็นสีขาวสะอาด พื้นปูด้วยกระเบื้องสีดำเงาวับ มุมหนึ่งมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นที่มีควันลอยขึ้นมาเล็กน้อย ผมลองหย่อนปลายเท้าลงไปสัมผัสน้ำครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าน้ำอุ่นกำลังดีก็พาร่างกายที่อ่อนแรงลงไปนอนเหยียดยาวอย่างสบายอารมณ์
ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดยาสระผมที่อยู่บนชั้นวางของใกล้ๆกับอ่างอาบน้ำ แต่แขนทั้งสองข้างมันเมื่อยล้าราวกับผ่านการว่ายน้ำมาราธอนมายาวนาน ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดชะมัดเลย ทำไมร่างกายถึงได้ปวกเปียกไม่ได้ดั่งใจวินเลยอ่ะแม่ วินอยากอาบน้ำ แล้ววินก็อยากสนุกกับพอร์ชอีกรอบ แต่แม่งไม่ไหวแล้วอ่ะ
“พี่พอร์ชครับ!!”
ผมแหกปากตะโกนเรียกแฟนสุดที่รักด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แล้วครู่ต่อมาผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับบานประตูห้องน้ำที่ถูกเปิดออก พอร์ชยื่นใบหน้าเข้ามามองผมแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มกว่าปกติ
“อยากได้อะไร หื้ม”
“สระผมให้หน่อยครับ” ผมร้องขอแล้วแกว่งขวดยาสระผมในมือไปมา
“หมดแรงแล้วอ่ะ ทำเองไม่ไหว”
พอร์ชขยับยิ้มและยอมก้าวเท้าเข้ามาในห้องน้ำ เขาหยิบเก้าอี้สีดำตัวเล็กๆที่เคยใช้วางกระถางต้นกวนอิมมานั่งด้านหลังของผม ก่อนจะเริ่มบริการอาบน้ำและสระผมให้เป็นอย่างดี ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างหมอนี่จะมีมุมที่อ่อนโยนและดูแลผมดีขนาดนี้
นี่แหละครับที่เรียกว่า เลือกสามีดี…มีชัยไปกว่าครึ่ง ในชีวิตของวินเพิ่งรู้จักคำว่า WIN ก็วันนี้เนี่ยแหละ!
THE WINNER.


TBC.

ขอพื้นที่เเจ้งข่าวหน่อยนะคะ

1. ตอนนี้กำลังเขียนนิยายเรื่องใหม่ > เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก เป็นเเนวมหาลัยใสๆขุ่นๆ 555 ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

2. นิยายทุกเรื่องของเราที่เคยออกกับค่ายดาริน กำลังเปิดพรีออเดอร์อยู่ อาจจะได้รีปริ้นเป็นรอบสุดท้ายเเล้วด้วย ใครมีงบ
หรือใครอยากสะสมฉบับหนังสือ สามารถเเวะไปส่องได้นะคะ
เพจสนพ. https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/
ทุกเรื่องมีลงเว็บให้อ่าน สนใจเรื่องไหนลองเสิร์ตใน google ดูได้ค่ะ ลองอ่านก่อนได้

ขอบคุณที่ติดตามเสมอมานะคะ เรื่องของพี่พอร์ชกับพี่วินก็ดำเนินมาค่อนเรื่องเเล้ว ต่อไปจะเจอกับดราม่านิดหน่อย
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ถือว่าไม่ง่ายเลย ลากยาวถึงวัยทำงานกว่าจะได้ลงเอยกันดีๆ
เจอกันในตอนหน้านะ บายๆ

:bye2:




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
So Hot

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :haun4:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: เก่งมากพี่พอร์ช

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

บทที่ 24 Truth or Dare



Sexy Boys NU - ได้แชร์รูปภาพของ Chatchanok Chachteerachanon

กรี๊ดดดดดดดด!! อัลไร๊ นี่มันอะไร๊กันคะพี่ฉัตร กรุณามาเคลียร์กับบรรดาเมียๆ (ในมโน) ด่วนๆเลยค่า โอ๊ยยยย เขินแทนอ่ะ ยอมรับว่าอิจเบาๆ แต่เรื่องแข่งบุญวาสนามันแข่งกันไม่ได้จริงๆเนอะ คือตอนนี้อีช้อยก็ได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานาแล้วค่ะท่าน #ใครคือเจ้าของมือผู้โชคดี และสังเกตเหมือนกันมั้ยอ่ะ มือที่พี่ฉัตรกุมไว้แลดูเหมือนมือของผู้ชายอ่ะแกรรร อ๊ายยยยย จะบ้าตาย ตอนนี้รายชื่อผู้ต้องสงสัยในหัวผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแล้วอ่ะ แล้วลูกเพจที่น่ารักคิดว่าคนๆนั้นคือใครกันบ้างเอ่ย?

ปล.ดูแคปชั่นนางนะคะ ตั้งแต่ติ่งพี่ฉัตรมา ไม่เคยเจอประโยคไหนจะกร๊าวใจเท่านี้มาก่อน #ตัวจริงของพี่ฉัตร #ทีมฉัตรชนก #รณรงค์ให้อนุรักษ์ป่าไม้สีม่วง #ถ้าฉันไม่ได้ชะนีหน้าไหนก็ห้ามได้พี่ฉัตร #ใครคือเจ้าของมือผู้โชคดี

 

ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงหลังจากเห็นโพสต์ที่แอดมินเพจ Sexy Boys แชร์มาจากเฟสบุ๊คของพอร์ช แต่คือแคปชั่นแอดแม่งน่ากลัวว่ะ อะไรคือฉันไม่ได้ชะนีหน้าไหนก็ห้ามได้ สรุปคือถ้าเป็นผู้ชายได้พอร์ชไปคือยอมรับเหรอวะ โอ๊ย บางครั้งนะผมก็คิดว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและซับซ้อนที่สุดในโลกเลยอ่ะ

ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะรีบใช้เม้าส์คลิกเข้าไปดูภาพเต็มทันที มันเป็นรูปมือของคนสองคนที่กุมกันไว้หลวมๆบนเตียงนอนสีขาว รูปภาพถูกแต่งให้เป็นสีขาวดำซึ่งการเลือกมุมและการใช้แสงและเงาเข้าช่วยทำให้ภาพธรรมดาๆกลายเป็นภาพที่โรแมนติกมาก แต่สิ่งที่ทำให้ภาพนั้นดูน่าสนใจและเรียกยอดไลท์ได้เป็นพันๆก็คงเป็นเพราะประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆที่ถูกพอร์ชเลือกนำมาใช้

 

Chatchanok Chachteerachanon – ได้เพิ่มรูปภาพ – เมื่อ 2 ชม.ที่แล้ว

You may hold my hand for a while, but you hold my heart forever.

(ถึงคุณจะกุมมือของผมแค่เวลาสั้นๆ แต่คุณจะกุมหัวใจของผมตลอดไป)

 

ข้อความสั้นๆที่ได้ใจความชัดเจน ทำให้ผมเผลอขยับยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว สายตากวาดมองข้อความบนเฟสบุ๊คของพอร์ชซ้ำๆราวกับต้องการให้มันซึมซับเข้าไปในสมอง ให้เป็นความทรงจำถาวรที่ไม่สามารถลบออกไปได้

เชื่อมั้ย…ขนาดอ่านหนังสือสอบไฟนอล ผมยังไม่อ่านซ้ำหลายรอบแบบนี้เลยผมเดาว่าภาพนั้นพอร์ชต้องแอบถ่ายตอนที่ผมนอนหลับหลังจากที่เรามีเซ็กส์กันแน่ๆ หมอนั่นอ่ะ ไม่ใช่พวกที่ชอบทำตัวโรแมนติกหรือพูดจาหวานๆ แค่ในหนึ่งวันไม่กวนตีนหรือหาเรื่องด่าผมก็นับว่าดีมากแล้ว

อันที่จริง ผมยอมรับนะว่านิสัยของผมก็ไม่ต่างจากพอร์ชอ่ะ ผมไม่ชอบพูดจาหวานๆกับเขาหรือทำตัวเลี่ยนๆ ดูเหมือนแนวของพวกเราจะเข้ากันได้ดีในเรื่องของความเร่าร้อนเท่านั้นแหละ

 

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : อีฉัตร!!! นี่มันอัลไร๊ก๊านนน มึงมีแฟนแล้วแต่ไม่ยอมบอกเพื่อนฝูงเหรอวะ มึงเห็นพวกกูเป็นหัวหลักหัวตอใช่มั้ย ตอบ! @Chatchanok Chachteerachanon 

Chitchanu Bossisis : ใจร่มๆนะอีแพรว กูก็อยากเสือกเหมือนกันค่า

Chitchanu Bossisis : กูรู้นะว่ามึงรู้อ่ะ ตอบพวกกูมาเดี๋ยวนี้เลยว่าผัวมึงได้เมียใหม่แล้วจริงดิ? @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : มึงนี่ก็ขยันหางานให้กูนะ สัส เดี๋ยวครอบครัวเค้าแตกแยกกันหมด @Chitchanu Bossisis

Fon Sunisa : @Faye NoFWantA ใช่คนที่ไอ้ฉัตรมันชอบไปกกบ่อยๆปะมึง

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : อ๋อๆ คนที่ไปภูหินร่องกล้ากับมันใช่ปะ

@Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : @Chatchanok Chachteerachanon ตอบ! อย่าให้กูต้องเสือกเรื่องของมึงไปมากกว่านี้

Chatchanok Chachteerachanon : เจอกันที่ Eros VIP6 สี่ทุ่มคืนนี้ กูเลี้ยงเอง

@Faye NoFWantA  @Fon Sunisa @Chitchanu Bossisis @สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : เดี๋ยวๆ อีคุณฉัตร จู่ๆก็ชวนแดกเหล้าเนี่ยนะ? ไม่คิดว่าเพื่อนฝูงจะทำการบ้านอ่านหนังสือบ้างเหรอไง @Chatchanok Chachteerachanon 

Chatchanok Chachteerachanon : จะเปิดตัวแฟนใหม่ อยากเสือกมั้ย? ถ้าอยากก็มา @สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ

 

บทสนทนาที่เด้งขึ้นมาใต้โพสต์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนทำให้บรรดาเมียๆในมโนของฉัตรชนกต่างพากันไว้อาลัย รวมถึงคอมเม้นต์ที่เริ่มดุเดือด ทั้งดราม่าที่พอร์ชมีแฟนใหม่แต่ไม่ยอมเปิดตัวว่าเป็นใคร และคอมเม้นต์จากสาววายที่ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็มุ่งประเด็นมาที่ผมซึ่งเคยมีภาพกอดกับพอร์ชในงานแข่งขันว่ายน้ำ ซึ่งพอร์ชดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับคำถามของแฟนๆเลย ผมคิดว่าก็ดีแล้วล่ะครับ ถึงผมจะไม่ได้ปิดบังใครๆว่าเป็นแฟนกับพอร์ช แต่ก็ไม่ได้อยากเป็นข่าวบนเพจทุกวัน มันน่ารำคาญและทำให้จิตตกได้ง่ายๆเลย

At Eros 22.25 น.

“หล่ออ่ะ”

“…”

“เป็นแฟนกับอีฉัตรจริงๆเหรอคะ”

เอ่อ…

“คนที่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของคณะวิศวะอ่ะมึง ทำไมมาคบกับไอ้พอร์ชอ่ะ”

“คือ…”

“ถูกมันล่อลวงมาหรือเปล่า”

“…”

“โดนฉุดมาใช่มั้ย”

“อา…”

“ไม่คิดว่าจะเป็นผู้ชายอ่ะ”

“…”

“นั่นดิ ตอนแรกที่บอกว่าเป็นผู้ชาย กูก็คิดว่าจะแบ๊วๆหรือไม่ก็หน้าสวยไปเลยอ่ะมึง”

“…”

“เพื่อนเราเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไรวะ”

โครมมมม!!!

ผมและคนอื่นๆถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆไอ้เจ้าของงานเลี้ยงก็ถีบโครมเข้าที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งใกล้กับปลายเท้ามากที่สุด ทำให้เสียงพูดคุยของหลายคนที่ตะโกนแข่งกันหยุดลงทันที

“พวกมึงทำแฟนกูอึดอัด ถามเชี่ยอะไรนักหนาฮะ!”

พอร์ชว่าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะพาดแขนข้างหนึ่งลงมาบนไหล่ของผม ทำให้ผมที่กำลังนั่งตัวเกร็งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกับเขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง วันนี้พอร์ชนัดผมมาเจอกับกลุ่มเพื่อนสนิทของเขาที่เรียนอยู่คณะบริหาร ผมชวนไอ้แว่นมาด้วย คือกลัวจะทำตัวไม่ถูกเพราะพอร์ชบอกว่าเขามีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงสองคน แต่ไอ้แว่นคนทรยศเสือกบอกว่าไม่มาเพราะจะอ่านหนังสือ อีกอย่างมันไม่อยากให้แอลกอฮอล์มาทำลายตับของมัน และการนอนดึกทำให้หน้าเหี่ยวย่น

“อุ๊ย โทษนะ ผ่อนคลายหน่อย ทำตัวตามสบายเลย กูแค่ไม่ได้เม้าส์มานานอ่ะ เลยคันปากไปนิ๊สนึง”

บอสเอ่ยกับผม หลังจากที่ผมนั่งฟังเสียงโวยวายและคำถามที่กระหน่ำใส่จนตอบไม่ทันมาเกือบสิบนาที บอสเป็นผู้ชายร่างเล็ก สูงไม่ถึง 170 cm. มองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นตุ๊ดหรือจะเรียกว่าเกย์รับออกสาวก็ได้เพราะหมอนี่ไม่ได้แต่งหญิง

“ชื่อวินใช่มั้ย” ผู้หญิงคนที่นั่งถัดจากบอสเอ่ยถามผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้า เอาจริงๆนะตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโซน VIP ที่พอร์ชจองไว้ นอกจากคำว่า ‘หวัดดี’ ผมยังไม่ได้พูดประโยคอื่นเลย คือแม่งพูดไม่ทันอ่ะ เพื่อนของพอร์ชเหมือนนกกระจอกแตกรัง แย่งกันพูดเหมือนคนไม่เคยพูด ผมล่ะปวดหัวชิบหาย

“เราแพรวนะ ส่วนนี่ฝน อีบอสแล้วก็เฟย์”

แพรวแนะนำ ผมรู้จักบอสกับเฟย์แล้ว เฟย์คือเพื่อนของไอ้ธามกับไอ้ไวท์ที่ผมเคยเจอในผับครั้งก่อนหน้านี้ เฟย์เป็นคนเงียบๆค่อนข้างพูดน้อย ซึ่งผมเดาว่าเขาน่าจะพูดไม่ทันมากกว่า ดูจากสกิลจากถามของอีกสามคนอ่ะนะ

แพรวเป็นสาวมั่น หน้าตาไม่ได้สวยโดดเด่น แต่สไตล์การแต่งตัวดูมีเอกลักษณ์และชัดเจน จะเรียกว่าแฟชั่นนิสต้าก็คงได้ ส่วนสาวอีกคนชื่อว่าฝน เป็นผู้หญิงผมสั้น ท่าทางแข็งแรง เดาว่าน่าจะชอบออกกำลังกาย การแต่งตัวก็ง่ายๆดูเป็นคนชิวๆคูลๆ

“เอางี้มั้ย มาเล่นเกมกัน” ฝนเสนอ

“เกมไรวะ” บอสรีบถามด้วยท่าทางสนใจ

“ถามตอบมั้ย พวกมึงแม่งชอบแย่งกันพูด เล่นเกมถามตอบนี่แหละจะได้แบ่งกันถามวิน”

ไอเดียของฝนนับว่าไม่เลวเลย แต่บอสกลับยกมือทั้งสองข้างโบกไปมา

“ไม่ๆ เอาเกม Truth or Dare ดีกว่า เกมถามตอบมันเบสิคเกินได้สำหรับผู้ใหญ่อย่างกู”

“แห๊มมมมม หน้าอย่างอีบอสมีความเป็นผู้ใหญ่ด้วยเหรอวะ” แพรวว่าแล้วแบะปากมองแรงใส่บอส

“กูเกลียดแห๊มของมึงจังอีแพรว มึงไม่แห๊มให้ถึงดาวอังคารเลยล่ะ”

“ซื้อยานอวกาศให้กูสิ”

“พอ พอ!” ฝนรีบเอ่ยปากห้ามก่อนที่แพรวกับบอสจะรุกขึ้นมาตีกันเอง ให้ตายสิ ไม่ว่าผมจะมองยังไง คนพวกนี้ก็ดูไม่เหมือนเพื่อนสนิทกันเลยอ่ะครับ เหมือนศัตรูที่พร้อมจะลุกขึ้นมาบีบคอกันมากกว่า ส่วนพอร์ชกับเฟย์ก็ดูเฉื่อยชาเหมือนคบๆพวกนี้ไว้พอเป็นพิธีเลยว่ะ

“มีใครจะเล่นบ้าง” << เฟย์

“กูเล่น” << แพรว

“เล่น” << ฝน

“เอาด้วย” << บอส

“วินเล่นได้มั้ยจ๊ะ”

แพรวหันมาถาม ผมแอบเหลือบตาไปมองพอร์ชเพื่อขอความเห็น เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าผมจึงค่อยสบายใจหน่อย ดูเพื่อนของพอร์ชแต่ละคนแล้วน่าจะกวนตีนพอสมควร ผมหวังว่าจะไม่โดนแกล้งอะไรแปลกๆนะ

“เล่นได้”

“งั้นมาตั้งกติกากันก่อน” ฝนเสนอ

“ใช้วิธีหมุนขวดเหมือนเดิมนะ อ๊ะ ยังไม่หมดขวดอ่ะ เหลืออีกนิดเดียว อีเฟย์แดกซิ๊” แพรวเอ่ยพร้อมกับคว้าเหล้าขวดหนึ่งมาไว้ในมือ แต่เมื่อเขย่าดูแล้วเห็นว่ายังเหลือแอลกอฮอล์อยู่ก้นขวดก็หันไปสะกิดเฟย์ที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วยื่นขวดเหล้าไปจ่อปากอีกฝ่าย

“หยุด หยุด!”

บอสเอ่ยปากห้ามแทบไม่ทัน แล้วรีบแย่งขวดเหล้ามาจากมือของแพรว

“มึงเห็นอีเฟย์เป็นอะไรฮะ ให้แดกหมดนั่นมันก็น็อคกันพอดี…ผัวขาไม่เป็นไรนะ มานั่งนี่มั้ย เดี๋ยวเมียจะปกป้องเอง”

ผมแอบยิ้มขำเมื่อเห็นว่าเฟย์กรอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย สงสัยว่าภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นในกลุ่มของพวกเขาบ่อยๆล่ะมั้ง

“เทใส่แก้วนี่”

พอร์ชหยิบแก้วเปล่าสองใบมาไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าของบอส ซึ่งจัดการเทเหล้าที่เหลือก้นขวดใส่ลงในแก้วทั้งสองใบเท่าๆกัน

“กติกาคือเราจะผลัดกันหมุนขวด ถ้าปากขวดหยุดที่ใคร คนนั้นต้องเลือกระหว่างตอบคำถามตามความจริง หรือยอมรับคำท้าให้ทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่อยากตอบคำถาม หรือทำตามคำท้าไม่ได้ก็กระดกให้หมดแก้ว โอเค๊”

ฝนเป็นฝ่ายอธิบายกติกา ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้าว่าไปถามนั้น

“โอเค” << เฟย์

“ตามนั้น” << พอร์ช

“เริ่มเลย” << แพรว

“กูขอเริ่ม” บอสยกมือเพื่อเสนอตัวเอง ซึ่งคนอื่นๆก็ไม่ได้ขัด ส่วนผมยังไงก็ได้

“อยากได้วินอ่ะ เดี๋ยวขอเล็งก่อนนะ”

บอสประกาศด้วยแววตาเป็นประกายระริก เขาจับขวดเปล่าที่นอนอยู่กลางโต๊ะแล้วพยายามจะเล็งปากขวดมาทางผมให้ได้ ซึ่งเพื่อนของพอร์ชต่างก็ส่งเสียงเชียร์ให้เป็นอย่างนั้นซะด้วยสิ ผมเริ่มกังวลเล็กๆแล้วอ่ะครับ

ฟี้วววววว!

ผมกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ขณะที่สายตากำลังจับจ้องว่าขวดที่หมุนอยู่กลางโต๊ะจะหยุดแล้วหันปากขวดไปที่ใคร…ไม่เอานะเว้ย หันไปทางอื่น อย่าหันมาทางกูเล้ยยย หันไปหาพอร์ชนู้นนน ไป!

กึก!

“จริงหรือท้า”

ห่าเอ๊ย! ผมสบถในใจเมื่อปากขวดเสือกชี้มาที่ผม ทั้งที่ผมก็อุตส่าห์เบี่ยงตัวออกห่างจากพอร์ชและหวังว่ามันจะชี้ไปที่หมอนั่น

“จริงเถอะ กูขอร้อง” บอสยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมที่หน้าอก แล้วมองมาที่ผมตาปริบๆ ผมเหลือบไปมองหน้าคนอื่นๆที่กำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง ทุกคนแม่งเสือกส่งสายตากดดันกูไปอีก แล้ววินจะตอบว่าอะไรได้อีกเล่า!

“จริงก็ได้”

“วินน่ารัก” แพรวว่าแล้วหัวเราะฮี่ๆให้ลำคอ

“ถามวิน ทำไมมาคบกันไอ้ฉัตรอ่ะ มันมีไรดีเหรอ?”

ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามของบอส ตอนแรกคิดว่าจะเจอคำถามแปลกๆหรือคำถามที่น่าอาย อย่างได้เสียกันหรือยังหรือเอากันมาแล้วกี่ท่า สงสัยว่าผมจะมองเพื่อนของพอร์ชในแง่ร้ายเกินไปสินะ ผมหันไปสบตากับพอร์ชแล้วใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบไปตามความรู้สึก

“เรื่องความดีไม่ค่อยแน่ใจ แต่ที่แน่ๆกูชอบตอนอยู่กับพอร์ช เพราะกูสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ทุกอย่าง”

กริบ…

ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินคำตอบของผม เกือบหนึ่งนาทีเต็มๆที่โต๊ะของพวกเราเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงเพลงและเสียงหัวเราะเฮฮาจากโต๊ะรอบข้างเท่านั้น ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกกดดันชะมัดเลย

“เอ่อ…” ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ ผมว่าผมก็ตอบกลางๆ ไม่ได้อวยพอร์ช แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรที่มันดูแย่ซะหน่อย

“คมอ่ะ” บอสเอ่ยทำลายความเงียบเป็นคนแรก

“ซาบซึ้ง” แพรวเสริมเป็นคนที่สองด้วยน้ำเสียงร่าเริง ซึ่งมันทำให้ผมแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เอ่อ…มีอะไรหรือเปล่าอ่ะ”

ผมเอ่ยถามแบบไม่ค่อยแน่ใจก่อนจะเหลือบสายตาไปมองพอร์ช หมอนั่นแค่ขยับยิ้มมุมปากแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบอย่างไม่ใส่ใจ

“พวกเราชอบคำตอบของวิน มันไม่เฟคเหมือนคนอื่นๆที่พวกเราเคยถาม”

ฝนเป็นฝ่ายอธิบายให้ผมฟัง เดาว่าก่อนหน้านี้พอร์ชคงเคยพาแฟนมาแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักเหมือนกัน

“แล้วคนอื่นตอบไรกัน” ผมถามด้วยความสนใจ

“ฉัตรเป็นคนดีมากเลยค่ะ เทคแคร์เก่ง เอาใจเก่ง บลาๆๆๆ สารพัดจะดีเลยค่ะ…คิดว่ากูเชื่อเหรอฮะ ถ้าบอกว่าอีฉัตร หล่อ รวย เปย์เก่งอันนี้กูเชื่อนะ” บอสตอบด้วยเสียงที่พยายามบีบให้เล็กพร้อมออกท่าทางเล่นใหญ่ไม่มีใครเกิน

“ขอโทษนะคะ”

เสียงของพนักงานเสิร์ฟที่แทรกขึ้นมาเบาๆอย่างเกรงอกเกรงใจ เรียกให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว เธอหยิบขวดไวน์แดงที่ดูแล้วน่าจะราคาแพงจากถาดสีเงินในมือมาวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าของพอร์ช ก่อนจะชี้ไปทางโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่อยู่ไม่ไกล

“ลูกค้าโต๊ะนั้นฝากมาให้คุณค่ะ”

ผมหันไปมองตามนิ้วมือของสาวเสิร์ฟและเห็นว่ามีหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่ขยี้ใจในชุดสีแดงกำลังโบกมือมาให้พอร์ชด้วยท่าทางเชิญชวน ก่อนจะหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนอีกสองคน…สั้นๆคำเดียวเลยนะ หมั่นไส้!

“ขอบคุณครับ เอาแบบนี้ขวดนึงให้โต๊ะนั้นครับ” พอร์ชหันไปเอ่ยกับพนักงานเสิร์ฟด้วยน้ำเสียงโมโนโทนตามปกติ

ฮึ้ย! มันขัดใจวินนะโว้ย ไม่เห็นต้องรับมาเลย บอกให้พนักงานเอาไวน์ไปคืนซะก็สิ้นเรื่อง ไอ้ห่าพอร์ชนี่ว่ะ

“ได้ค่ะ” พนักงานสาวตอบรับด้วยท่าทางนอบน้อมก่อนจะขอตัวไปทำงาน

“แหม รับของฟรีไม่เป็นเลยใช่มั้ยคะคุณฉัตร” แพรวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ

“ไม่ชอบให้ใครมาเลี้ยง บ้านรวย”

“จ้า!!!!!!” เพื่อนของพอร์ชต่างประสานเสียงขึ้นมาเกือบจะพร้อมๆกัน

จ้า! เอาที่มึงสบายใจเลย ไอ้เชี่ยพี่พอร์ช!

เกม Truth or Dare เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทั้งผลัดกันถาม ผลัดกันท้าให้ทำอะไรแปลกๆจนผมเองเอาแต่หัวเราะไม่หยุดเพราะความบ้าบอของทุกคน

“มาต่อเร็วๆ ให้อีเฟย์หมุน กูแม่งเล็งจนตาเหล่แล้ว ทำไมไม่โดนอีฉัตรเลยว่ะ”

บอสบ่นพึมพำแล้วยื่นขวดเหล้าให้เฟย์เป็นคนหมุน เกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาทุกคนต่างโดนท้าทายหรือตอบคำถามแล้วอย่างน้อยก็คนละครั้ง แพรวกับเฟย์ที่โชคร้ายหน่อยก็โดนกันไปคนละสี่ถึงห้าครั้งแล้ว แต่พอร์ชแม่งยังนั่งทำหน้าหล่อได้โดยที่ไม่โดนขวดเหล้าหันมาชี้หน้า สาบานสิว่ามึงไม่ได้เล่นของ หรือไอ้ขวดเหล้าบ้ามันชี้หน้าคนหล่อไม่เป็นวะ!

ฟี้วววววว!

กึก!

“จริงหรือท้า”

เพื่อนของพอร์ชต่างประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อขวดเหล้าที่เฟย์หมุนหยุดอยู่ที่พอร์ชราวกับจับวาง…สมใจทุกคนแล้วสิ รวมถึงกูด้วย หึหึ!

“ถ้ามึงกากก็เลือกจริง” แพรวรีบขัดขึ้นมาก่อนที่พอร์ชจะได้ตอบ หมอนั่นเหลือบไปมองแพรวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบ

“ท้า”

แพรวหันไปแปะมือกับบอสก่อนจะเหล่ตาไปที่สาวสวยซึ่งเป็นคนส่งไวน์แดงมาให้พอร์ช

“เห็นผู้หญิงชุดแดงนั่นปะ”

“อืม”

“มองมึงตาเป็นมันเลย”

“แล้ว?” พอร์ชถามด้วยสีหน้าที่ไม่ไว้วางใจ ซึ่งผมเองก็พลอยลุ้นกับคำท้าทายไปด้วย อย่านะเว้ย พวกมึงจะท้าอะไรบ้าๆ บอๆ ก็ทำไป แต่คงจะไม่ท้าให้พอร์ชของกูไป…

“ไปจูบปากชะนีนั่นซะ”

เชี่ย!

“ยอม”

ผมชะงักค้างก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อได้ยินคำตอบของพอร์ช ให้ตายเถอะ หัวใจกูเกือบวาย! ยอมรับว่าตอนแรกตกใจมากที่พอร์ชของผมถูกท้าให้ไปจูบชะนี แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะปฎิเสธแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดอย่างนี้

“ตอบเร็วไปเปล่าวะ” << บอส

“โห มึงกากเหรอฉัตร” << แพรว

“มึงจะยอมง่ายๆแบบนี้เสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายนะเว้ย” << ฝน

“กลัววินเหรอวะ” เฟย์ถามยิ้มๆก่อนจะเหลือบสายตามามองผม พอร์ชเลิกคิ้วก่อนจะหันมาสบตาผมช้าๆ มึงกลัวกูจริงดิ?

“เปล่า ไม่ได้กลัว แต่กูเกรงใจ แล้วก็ไม่อยากให้วินเสียใจด้วย”

ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำตอบของพอร์ช สายตาที่เขามองมาที่ผมทั้งมั่นคงและจริงจัง ก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วเหล้ามากระดกจนหมดแก้ว ที่จริงแล้วผมคิดว่าพอร์ชเป็นคนหยิ่ง แล้วก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่ ณ วันนี้เขายอมลดศักดิ์ศรี ลดความยโส ลดนิสัยส่วนตัวที่ผมเคยบอกว่าไม่ชอบลงมาเพื่อคบหากับผม

“ไม่เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้มาก่อนเลยอ่ะฉัตร” << แพรว

“คนนี้จริงจังไง” << บอส

“ไอ้พอร์ชมันก็จริงจังกับแฟนของมันทุกคนนั่นแหละโว้ย” << ฝน

“กูบอกแล้วว่าวินไม่เหมือนคนอื่น นี่คือขั้นกว่าของคำว่าจริงจัง” << บอส

แพรวหันมามองหน้าผมแล้วขยับยิ้มแบบคนที่รู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยฝากฝังเพื่อนของตัวเองไว้กับผม

“วิน พวกเราขอโทษที่เล่นอะไรแบบนี้ ฝากดูแลเพื่อนของเราด้วยนะ ในชีวิตมันอ่ะ แคร์อยู่ไม่กี่คนหรอก และวินคือหนึ่งในนั้น”





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ดีงาม

ออฟไลน์ jpjiraporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ยังรออยู่นะคะ :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/12/2019 บทที่ 25
«ตอบ #78 เมื่อ30-12-2019 23:01:53 »

บทที่ 25 บ้านของพอร์ช


“เอ่อ…พอร์ช กูอยากลงตรงนี้อ่ะ บอกลุงคนขับให้จอดรถได้ปะ?”
ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของคนที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังของเมอร์เซเดสเบนซ์เคียงข้างกับผม สายตาเหลือบไปมองลุงคนขับรถที่กำลังแอบสังเกตท่าทางของผมผ่านกระจกมองหลังมาตลอดทาง ให้ตายสิ อยากรู้อยากเห็นอะไรนักหนาล่ะครับลุ๊ง
“ทำไม? ยังไม่ถึงบ้านกูเลยนะ”
พอร์ชหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความปลงตก วันนี้เป็นวันศุกร์ พอร์ชบอกกับผมว่าเขามีธุระเกี่ยวกับกองมรดกของพ่อ จำเป็นต้องกลับบ้านที่กรุงเทพด่วน ส่วนผมที่โคตรจะโหยหาทะเลก็ขอเกาะติดเขากลับมาที่บ้านด้วย พอร์ชบอกว่าเขาใช้เวลาในการเจรจาเรื่องมรดกไม่นานแล้วจะขับรถพาผมไปเที่ยวชลบุรีหนึ่งวัน เป็นการไปเช้าเย็นกลับ ผมเลยถือโอกาสนี้โดดเรียนวิชาดรออิ้งที่ผมแสนจะเกลียดแล้วตามพอร์ชกลับมาบ้านด้วยเลย
พวกเดินทางโดยเครื่องบินมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณเที่ยงตรง โดยมีลุงคนขับรถจากบ้านของพอร์ชมารอรับอยู่แล้ว ผมรู้ว่าครอบครัวของเขาร่ำรวย แน่นอนว่าบ้านก็คงจะหลังใหญ่โตซึ่งผมเตรียมใจไว้แล้วว่าความต่างของฐานะอาจจะทำให้ผมอึดอัดนิดหน่อย แต่เมื่อเมอร์เซเดสเบนซ์เลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็ทำเอาผมถึงกับหน้าซีด มือสั่น อยากจะตีตั๋วรถบัสกลับมอซะเดี๋ยวนี้เลย แค่ประตูทางเข้าหน้าหมู่บ้านยังหรูหราขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงภายในบ้านเลยว่าจะไฮโซขนาดไหน
รถขับผ่านสวนสาธารณะของหมู่บ้าน มีลานน้ำพุขนาดใหญ่กับรูปปั้นกามเทพแผงศรรักและดอกไม้นานาพันธุ์ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บ้านสองข้างทางที่ผมเห็นหลังใหญ่โตมาก เดาว่าบ้านของพอร์ชก็คงจะมีขนาดไม่ต่างกัน แต่ผมคิดผิดครับ!
“กูเกรงใจที่บ้านมึงอ่ะ”
ผมพึมพำเมื่อประตูรั้วบ้านหลังที่อยู่ลึกที่สุด กำลังเลื่อนเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อให้เมอร์เซเดสเบนซ์คันหรูขับเข้าไป เอ่อ ผมควรบรรยายสิ่งที่เห็นว่าอะไรดีล่ะ มันไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โตเหมือนบ้านหลังอื่นๆ คือจะเรียกว่าคฤหาสน์ก็คงได้ ระยะทางระหว่างรั้วบ้านกับประตูหน้าบ้านก็ห่างกันหลายกิโลเมตร ถ้าต้องใช้วิธีการเดินมาเปิดประตูรั้วล่ะก็อีกหนึ่งชั่วโมงคงถึงอ่ะ
โอเค ผมเว่อร์ไปนิดนึงก็ได้ แต่บ้านของพอร์ชไม่ใช่อะไรแบบที่ผมคิดว่าจะได้เห็นเลย วินกลัวอ่ะแม่ สั่นไปหมดแล้วเนี่ย
“มาเกรงใจอะไรตอนนี้ล่ะ กูบอกแม่แล้วว่าจะพาเพื่อนมาด้วย” แน่นอนว่าพอร์ชต้องบอกคุณแม่แบบนั้นแหละ ลองบอกว่า ‘แม่ครับผมเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายแล้วนะ และผมก็จะพาเมียมาเยี่ยมแม่’ มีหวังบ้านแตกกันพอดี
“ถึงแล้วครับ”
ลุงคนขับรถจอดเมอร์เซเดสเบนซ์ตรงประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้างรอการมาถึงของทายาทเจ้าของคฤหาสน์ ผมก้าวลงจากรถพร้อมกับพอร์ช เพิ่งจะก้าวเท้าขึ้นบันไดไปได้สามขั้นก็มีแม่บ้านที่สวมชุดยูนิฟอร์มเหมือนกันวิ่งเข้ามารับหน้า ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง โดยการตรงเข้ามาถอดรองเท้าให้ผมกับพอร์ชและนำมันไป เอ่อ ไปเก็บมั้ง ผมเดาว่างั้นนะ แล้วก็มีแม่บ้านอีกคนถือถาดใส่แก้วน้ำมายื่นให้ผมกับพอร์ช ฮือออออ นี่มันอะไรกันเนี่ย กูหลุดเข้ามาในละครเรื่องสี่คุณชายหรือเปล่าวะ แม่งน่ากลัวชะมัดเลย
ผมเหลือบตามองพอร์ช เห็นว่าหมอนั่นหยิบน้ำแก้วหนึ่งขึ้นมาจิบทำให้แม่บ้านทุกคนขยับยิ้มกว้างด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ก่อนที่ทุกสายตาจะหันมาโฟกัสที่ผมเป็นตาเดียว…จ้า จ้า แค่ดื่มน้ำก็พอใช่มั้ยล่ะ ผมรีบคว้าแก้วน้ำที่เหลือมาดื่ม ซึ่งแม่บ้านทุกคนก็คลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ผมทันที
“แม่ล่ะครับ”
พอร์ชเอ่ยถาม ในตอนที่แม่บ้านคนหนึ่งวางรองเท้าสลิปเปอร์ไว้เบื้องหน้าของเขาและผม คือกูต้องใส่สินะ จะเดินเท้าเปล่าก็ไม่ได้ด้วย
“อยู่ในห้องทำงานค่ะ เชิญคุณพอร์ชกับเพื่อนไปรอในห้องนั่งเล่นก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าไปเชิญคุณผู้หญิงให้”
แม่บ้านคนหนึ่งที่ดูมีอายุเอ่ยกับพอร์ช เธอใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำต่างจากคนอื่นที่เป็นสีน้ำเงิน ผมเดาว่าเป็นหัวหน้าแม่บ้านอ่ะครับ เหมือนในละครไง แม่นมไรแบบนี้มั้ง
“ก็ได้ครับ”
พอร์ชตอบ ส่วนผมที่กำลังจะหันไปลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองที่ลุงคนขับรถยกมาวางไว้ให้ ก็ถูกแม่บ้านที่ดูน่าจะอายุมากกว่าผมไม่เท่าไรฉกไปถือไว้อย่างรวดเร็ว
เอาจริงๆนะ เธอทำเหมือนกับว่าถ้าปล่อยให้ผมลากกระเป๋าด้วยตัวเองจะทำให้เธอโดนไล่ออกอย่างงั้นแหละ ไม่รู้ว่าที่บ้านนี้เขาปกครองกันยังไง แต่มันทำให้ผมรู้สึกเว่อร์วังเหมือนอยู่ในปราสาทของเจ้าชายอะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะเครื่องเรือนที่หรูหราราวกับโต๊ะเก้าอี้ของพระราชายิ่งชัดเจน ด้านในบ้านของพอร์ชตกแต่งสไตล์พระราชวังอังกฤษจริงแท้แน่นอน ผมไม่ได้โม้นะ และเพิ่งจะรู้ว่าในประเทศไทยมีคนที่ตกแต่งบ้านแบบนี้อยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ที่บ้านของพอร์ชนี่แหละหลังหนึ่ง
แหะๆ
ช่างเป็นการข่มขวัญคนฐานะปานกลางที่กล้าเสนอหน้าเข้ามาในคฤหาสน์ได้ไม่น้อยเลยนะ
“ป้าแจ่มครับ”
พอร์ชเอ่ยเรียก ทำให้หัวหน้าแม่บ้าน (ผมมโนเองว่าใช่) หันมาขานรับด้วยความนอบน้อม นรกจะแดกหัวไอ้พี่พอร์ชมั้ยเนี่ย ทำไมที่บ้านนี้ให้คนแก่เคารพคนหนุ่มอ่ะครับ ไม่ได้เคารพกันตามวัยวุฒิหรอกเหรอ
“คะ?”
“เอากระเป๋าวินไปไว้ที่ห้องนอนผมนะครับ”
โชคดีที่พอร์ชไม่มีนิสัยข่มขวัญคนอื่น โดยเฉพาะผู้ใต้บัญชา ไม่งั้นผมคงต้องยกมือโบกหัวหมอนี่แล้วอ่ะ แม่บ้านที่ถูกเรียกว่าป้าแจ่มเหลือบตามามองผมด้วยความแปลกใจก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง
“ห้องของคุณพอร์ชเหรอคะ”
พอร์ชพยักหน้าก่อนจะคว้ามือของผมแล้วลากไปที่ห้องนั่งเล่น ผมแอบหันกลับไปมองดูเหล่าแม่บ้านที่ยืนทำหน้างุนงง เอ่อ สงสัยพวกเขาจะคิดว่าไอ้เด็กที่ดูไม่มีราศีจับว่ารวยมาเป็นเพื่อนของพอร์ชได้ยังไงล่ะมั้ง
“คุณชายพอร์ช”
ผมเอ่ยแซวหลังจากที่ก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น ที่นี่ถูกตกแต่งด้วยสีทองและสีครีม เน้นให้ดูหรูหราและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน
“คนที่บ้านมึงทำกูเกร็งชิบหายเลย”
“ทำใจ เดี๋ยวก็ชินไปเอง”
“ทำไมกูต้องชินด้วยล่ะ”
ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ไม่ได้จะมาอยู่ที่นี่หลายวันสักหน่อย อย่างมากก็สี่คืน อย่างเร็วก็สองหรือสามคืน
“เผื่อมึงอยากมาอยู่ตลอดชีวิตไง” พอร์ชเอ่ยยิ้มๆ ผมรู้ว่าเขาแค่แกล้งแหย่ผม แต่แม่งมันอดเขินไม่ได้จริงๆนะ ผมไม่กล้าหันไปสบตากับเขาด้วยซ้ำ ได้แต่เดินไปเดินมาสำรวจห้องนั่งเล่นแสนหรูหรา ก่อนจะหยุดเท้าลงที่ตู้โชว์หลังหนึ่งซึ่งมีกรอบรูปครอบครัวของพอร์ชวางอยู่หลายบาน ทั้งภาพถ่ายพ่อแม่ พอร์ชและน้องสาวของเขา
“น้องมึงสวยว่ะ”
ผมเอ่ยชมจากใจโดยไม่ได้ละสายตาไปจากภาพนั้น ปกติแล้วผมไม่สนใจผู้หญิง จะสวยหรือไม่สวยก็ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของผมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าน้องสาวของพอร์ชทำให้ผมคิดถึงพอร์ช จะว่าไงดีล่ะ เรียกว่าถอดแบบทั้งหน้าตาและบุคลิกที่มีความร้ายๆมาจากพี่ชายไม่มีผิดเลย ไม่ต้องบอกใครๆก็เดาได้ว่าสองคนนี้มีสายเลือดเดียวกัน และนิสัยก็คงไม่ต่างกันมากนัก อาจจะเป็นพอร์ชเวอร์ชั่นผู้หญิงมั้งนะ
“ชื่ออะไรอ่ะ” ผมหันไปถามพอร์ชที่กำลังนั่งเอนหลังพิงโซฟา
“พิมพ์นารา”
พิมพ์นารา หมายถึง รูปงาม
อื้ม…เข้าใจตั้งชื่ออ่ะ งามเหมาะกับเจ้าตัวเลย
“หน้าคล้ายมึงเหมือนกันนะ” ผมตั้งข้อสังเกต แค่อยากรู้ว่าในสายตาของคนเป็นพี่ชายจะรู้สึกอย่างไรกับความคล้ายคลึงนี้ แต่พอร์ชกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“งั้นเหรอ”
“ไม่อยู่บ้านเหรอ” ผมถาม
“น้องกูไปเข้าค่าย”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ซักไซ้ประวัติของน้องพิมพ์นาราต่อ ประตูห้องนั่งเล่นก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่งที่ก้าวเท้าเข้ามาด้วยความสง่างาม แวบแรกที่เห็นเธอ ผมคิดว่าเป็นพี่สาวของพอร์ช แต่นาทีต่อมาผมก็นึกออกว่าเธออยู่ในภาพถ่ายคู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคุณพ่อของพอร์ช งั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็น…อื้ม
“สวัสดีครับแม่” พอร์ชยกมือไหว้ผู้หญิงที่เข้ามาใหม่ก่อนจะตรงเข้าไปกอดเธอแล้วหอมแก้มทั้งสองข้าง
“แม่คิดถึงพอร์ชมากเลย”
ผมยืนเงียบๆ พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับห้องนั่งเล่นเพื่อรอให้สองแม่ลูกถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันให้เรียบร้อย และเมื่อแม่ของพอร์ชรู้สึกตัวว่ามีคนนอกอย่างผมยืนอยู่ด้วย เธอก็หันมาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“สวัสดีครับ”
ผมยกมือไหว้แม่ของพอร์ช โดยพยายามทำตัวให้เรียบร้อยที่สุด ต่อให้คุณแม่จะคิดว่าผมเป็นเพื่อนหรือรุ่นน้องก็ช่าง แต่ผมก็อยากให้เธอรู้สึกดีกับผม มันคงง่ายกว่าที่จะไม่รู้สึกผิดต่อเธอ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะล่อลวงลูกชายของแม่จริงๆนะครับ ได้โปรดอภัยให้ผมเถอะ
“ชื่ออะไรจ้ะ”
“วินครับ”
“เป็นเพื่อนที่มหาลัยของพอร์ชเหรอลูก”
“ใช่ครับ”
“อื้ม พอร์ชไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านเลย”
จริงเหรอ?
ผมหันไปมองพอร์ชแล้วเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ บ้านก็ออกจะหลังใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าเป็นผมนะ จะชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านบ่อยๆเลย อยากอวดอ่ะครับ คือบ้านสวยและรวยมาก
“แต่ก็ดีแล้วแหละ หัดเข้าสังคมซะบ้าง” ประโยคนี้คุณแม่หันไปเอ่ยกับพอร์ชที่ยังยืนทำหน้าตายอยู่เหมือนเดิม
“เอ่อ แม่มีเรื่องอยากคุยกับลูกน่ะ ให้เพื่อนไปดูทีวีบนห้องพอร์ชก่อนดีมั้ย”
“ได้ครับ”
พอร์ชบอกให้คุณป้าแจ่มพาผมขึ้นไปดูทีวีบนห้องนอนของพอร์ช ที่บริเวณชั้นสองกว้างมากๆ จากการเดาโดยที่ไม่ได้เดินสำรวจให้ทั่ว ผมคิดว่ามีห้องอยู่ประมาณแปดห้องเลยล่ะครับ ถ้าป้าแจ่มไม่นำทางผมก็อาจจะหลงทางอยู่บนนั้นแหละ
ผมเปิดทีวีทิ้งไว้ แล้วเดินสำรวจห้องนอนของพอร์ช จะบอกว่าผมไร้มารยาทไม่ได้น้า ผมเป็นเมียเขา อีกอย่างคืนนี้ผมก็ต้องนอนที่นี่อยู่แล้ว ขอเดินดูให้ทั่วหน่อยจะเป็นไรไป
ห้องนอนของพอร์ชไม่ต่างจากห้องนอนของคนทั่วไป (ยกเว้นความหรูหรา) มีเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ตู้หนังสือ ตู้เก็บของ (ที่ผมไม่กล้าเปิด) โต๊ะทำงาน โซฟาและตู้เย็นหลังเล็ก ทางด้านหนึ่งของห้องมีประตูบานเล็ก ที่เปิดออกไปสู่ห้องแต่งตัวที่มีตู้เสื้อผ้าฝังอยู่ในผนัง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ ที่แยกส่วนของชักโครก ฝังบัวอาบน้ำและอ่างอาบน้ำไว้อย่างชัดเจน
จากการเดินสำรวจประมาณสิบนาที ผมจับสังเกตได้อย่างหนึ่งคือในห้องนอนของพอร์ชไม่มีรูปอยู่เลย ทั้งที่ในบ้านก็มีรูปของครอบครัวและรูปของพอร์ชอยู่เต็มไปหมด และเจ้าตัวก็เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปอาร์ตๆลงเฟสบุ๊คอยู่บ่อยครั้ง แต่ทำไมห้องนอนกลับไม่มีรูปของครอบครัวหรือว่าเพื่อนสนิทอยู่เลย
เป็นคนยังไงของเขานะ?


เช้าวันต่อมา กว่าผมจะตื่นนอนก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้า พอร์ชไม่ได้อยู่ในห้องนอน คงจะไปบริษัทตั้งแต่เช้านั่นแหละ เขาบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจำเป็นต้องไปทำธุระกับคุณทนายประจำตระกูลตามประสาคนร่ำคนรวย ดังนั้นผมจึงถูกทิ้งให้อยู่ในบ้านทรายทองหลังใหญ่ มีอาหารให้กินครบสามมื้อ รวมถึงอาหารว่าง อินเทอร์เน็ตฟรี น้ำไฟฟรี ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ช่วงบ่ายสาม ผมใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย กว่าจะเดินครบหนึ่งรอบก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน ระหว่างที่ผมกำลังคิดว่าจะกลับไปนอนตีพุงในห้องของพอร์ชก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาตามลม พร้อมกับเสียงของกระทะและตะหลิวกระทบกันเป็นจังหวะ ผมพยายามมองหาที่มาของเสียงและเห็นว่า ด้านหลังของตัวบ้านมีประตูเล็กๆที่เปิดไปสู่ห้องครัว แล้วด้วยความที่กลิ่นหอมพวกนี้กำลังกระตุ้นให้กระเพาะอาหารของผมเริ่มทำงาน ผมจึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในห้องครัว และเห็นว่าคนที่กำลังทำอาหารอยู่คนเดียวคือคุณแม่ของพอร์ช
“แม่ครับ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ”
ผมชะโงกหน้าเข้าไปถามด้วยความเกรงใจ จริงๆคือหิวแล้ว และก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าคุณหญิงของบ้านจะลงมือเข้าครัวเพื่อทำอาหารด้วยตัวเอง แถมยังดูน่าอร่อยมากด้วย
“อ้าว วิน”
แม่ของพอร์ชเงยหน้าขึ้นมาจากกระทะแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม เฮ้อ…ผมชอบแม่ของพอร์ชจริงๆนะ ช่างอ่อนหวาน…ไม่เห็นเหมือนนางยักษ์ที่บ้านของผมเลยสักนิด แถมไม่หยิ่งอีกต่างหาก ต้อนรับผมอย่างอบอุ่นมากเลย
“เข้ามาสิลูก” ผมถอดรองเท้าแล้วก้าวเข้าไปในครัวเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเรียกผม
“หันกะหล่ำปลีเป็นมั้ยคะ”
ผมพยักหน้าแล้วเริ่มต้นเป็นลูกมือให้แม่ของพอร์ช ตอนที่อยู่บ้านช่วงมัธยม ผมมักจะเข้าครัวไปช่วยยายทำอาหารเกือบทุกเย็น ทำให้พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เรื่องปรุงรสอาหารอย่าเรียกใช้ผมนะครับ ผมยังไม่โปรขนาดนั้น
“แม่ทำอาหารเองทุกเย็นเลยหรือเปล่าครับ” ผมชวนคุยเพราะไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆ มันกดดันอ่ะ
“ไม่หรอกค่ะ แม่ไม่ค่อยมีเวลา เว้นแต่ตอนที่พอร์ชกลับมาบ้าน เลยอยากทำให้เขาทาน”
อื้ม นั่นสินะ เวลาของคนรวยเป็นเงินเป็นทอง และแม่บ้านก็มีตั้งหลายคน ต้องมีสักคนที่ทำอาหารอร่อยบ้างแหละ อีกอย่างพอร์ชเคยเล่าให้ผมฟังว่าแม่ของเขาต้องดูแลธุรกิจของพ่อทั้งหมดตั้งแต่ที่พ่อเสีย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องหนักหนาพอสมควรเลยสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องรักษาผลประโยชน์ให้ลูกทั้งสองคนเพราะญาติๆฝ่ายสามีจ้องจะเขมือบทรัพย์สมบัติ รวยมากเกินไปก็ไม่ดีแบบนี้แหละครับ ใครๆก็จ้องจะเอาเปรียบเราทั้งนั้น คิดแบบนี้แล้วผมก็สบายใจ โชคดีที่ไม่ได้รวย
“คบกับพอร์ชมานานหรือยังลูก”
ผมสะดุ้งจนเกือบใช้มีดหั่นนิ้วตัวเองเมื่อได้ยินคำถามที่เอ่ยขึ้นมากะทันหัน เหลือบตาไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของแม่ และเห็นว่าเธอยังทำอาหารต่อไปด้วยสีหน้าผ่อนคลาย จึงเดาเอาว่าเธอไม่ได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพอร์ช แต่เธอน่าจะหมายความว่า ‘ผมเป็นเพื่อนกับพอร์ชมานานหรือยัง’ แต่ไอ้คนที่มีชนักติดหลังอย่างผมนี่สิ อดเสียววาบไม่ได้
“อะ อ๋อ ไม่นานครับเพิ่งไม่กี่เดือน”
ผมรีบตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก บ้าเอ๊ย ลิ้นพันกันไปหมดแล้ว แม่ของ พอร์ชหันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ เอ่อ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ที่แม่บอกว่าพอร์ชไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้าน แล้วจู่ๆก็หิ้วเพื่อนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนมาด้วยมันก็ออกจะแปลกจริงๆนั่นแหละ แต่ผมไม่อยากโกหกแม่นี่ครับ แค่ข้อหาล่อลวงพอร์ชก็หนักหนามากพอแล้ว
“พอร์ชดีกับลูกหรือเปล่า”
“ดีครับ ดีมากเลย” ผมตอบแล้วพยายามยิ้มให้ดูจริงใจมากที่สุด ทั้งๆที่เหงื่อเย็นชื้นเริ่มไหลมาตามขมับ
“พอร์ชเป็นคนใจร้อน ขี้หงุดหงิด แล้วก็เอาแต่ใจตัวเองมากด้วย”
ใช่เลยครับ คนเป็นแม่รู้จักนิสัยของลูกดีเสมอ หมอนั่นอ่ะ ไม่ได้เอาแต่ใจน้อยๆเลยนะ แต่เรียกว่าไม่เห็นหัวใครเลยจะดีกว่า
“แม่หวังว่าวินจะไม่เก็บมาใส่ใจนะลูก พอร์ชมีเพื่อนไม่เยอะหรอก เขาเป็นคนที่เปิดใจให้คนอื่นยากมากเลย ฝากดูแลพอร์ชด้วยนะคะ”
ที่จริงแล้วเป็นพอร์ชต่างหากที่ดูแลผม…
“ครับ”
ผมพยักหน้า แล้วหันกลับไปตั้งใจล้างผักและหั่นผักทั้งหมดเตรียมไว้ให้แม่ของพอร์ชทำอาหาร ผมรู้ดีว่าที่แม่พูดมาทั้งหมดเพราะเป็นห่วงพอร์ช ต่อให้ลูกจะโตขึ้นสักกี่ปี แต่ลูกก็ยังเป็นเด็กน้อยของแม่อยู่เสมอ ความรักของแม่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันนะ ผมคงไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อหรือแม่ได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้…ผมคิดถึงนางยักษ์ที่บ้านจังเลย


“กูอยากไปหาดแม่รำพึง”
ผมเปรยขึ้นในคืนวันเสาร์ หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารฝีมือของคุณแม่เป็นมื้อค่ำแล้ว ผมกับพอร์ชก็กลับมานอนกลิ้งอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ในห้องส่วนตัว เบื้องหน้าของเรามี Macbook ขนาดสิบห้านิ้วกำลังทำการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดชลบุรี
“ไม่”
เสียงปฎิเสธทำให้ผมยู่หน้าด้วยความไม่พอใจ
“ทำไม”
“มันไกลเกินไป แค่ขับรถก็ใช้เวลากว่าสามชั่วโมงแล้ว ไหนจะรถติดในกรุงเทพอีก กว่าจะไปถึงจะได้เที่ยวมั้ย”
พอร์ชอธิบาย พวกเราตัดสินใจว่าจะขับรถไปเที่ยวด้วยกันสองคนแทนการให้คนขับรถของที่บ้านพอร์ชเป็นฝ่ายขับไปให้ แน่นอนว่ามันคงสะดวกสบายมากกว่าแต่นั่นไม่เป็นส่วนตัวเอาซะเลย เพราะผมกับพอร์ชไม่อยากต้องหลบๆซ่อนๆความรู้สึกระหว่างพวกเราตลอดเวลา
“กูอยากไปทะเลอ่ะ”
“เที่ยวในชลบุรีเถอะ หาดบางแสนได้มั้ย”
พอร์ชเสนอ แล้วใช้ Google ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้เคียงก่อนจะอ่านรายชื่อไปเรื่อยๆพรางแอบเหลือบสายตามามองผมเป็นระยะ ส่วนผมน่ะเซ็งนิดหน่อยที่ไม่ได้ไปหาดแม่รำพึงอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ คือผมคิดว่ามันคงเลยมาจากชลบุรีนิดหน่อยอ่ะ
“มีตลาดหนองมนด้วย เกาะลอย สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนเสือศรีราชา…”
“โอ๊ะ มีเสือด้วย”
ผมร้องแล้วชี้ไปที่รูปถ่ายบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่ได้รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีเอาไว้
“สวนสัตว์เปิดเขาเขียวก็มีเสือ”
พอร์ชเอ่ย แน่นอนว่ามันมีสัตว์หลายๆชนิดแต่ประเด็นคือผมสนใจเพียงแค่สัตว์ใหญ่แสนดุร้ายเป็นพิเศษ ที่จริงแล้วถ้ามีสวนสิงโตผมก็จะเลือกไปที่นั่นแทนสวนเสือนะ ยังไงผมก็ชอบสิงโตมากกว่าอ่ะ
“แต่กูอยากไปสวนเสือ เขามีให้ถ่ายรูปกับเสือแล้วก็ป้อนนมน้องเสือด้วย นี่มีโชว์เสือด้วยเห็นปะ”
ผมเลื่อนเม้าส์มาที่รูปของเสือที่โตเต็มวัยกำลังกระโดดลอดห้วงที่มีไฟลุกท่วม อย่างเท่เลยอ่ะ ไม่ไปไม่ได้แล้ว
“ครับ ครับ งั้นไปสวนเสือช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายไป…”
“J Park ศรีราชา”
ผมรีบเสนอแล้วชี้มือไปที่สถานที่ซึ่งจำลองเมืองในประเทศญี่ปุ่นมาไว้ที่ไทย จริงๆแล้ว ผมไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลยครับ ไม่สิ ประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ไปกับครอบครัวอยู่บ่อยๆ แต่ไม่อยากนับอ่ะ ถ้าได้ไป J Park ก็จะได้ถือว่าได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง ส่วนญี่ปุ่นเต็มตัวต้องรอทำงานก่อน แล้วค่อยเก็บเงินไปเที่ยวเองอีกที
“ก็ได้” พอร์ชรีบตอบรับอย่างว่าง่าย
“กูอยากกินอาหารทะเลอ่ะ”
“มีเยอะแยะ ค่อยไปหาแถวนั้นก็ได้ อยากแวะร้านไหนก็ตามใจมึงเลย”
คำว่า ‘ตามใจมึง’ ทำให้ผมรู้สึกระริกระรี้ขึ้นมาทันที ช่วยไม่ได้ที่ผมจะชอบ เพราะไม่มีใครตามใจผมมานานมากแล้ว ช่วยมัธยมปลายที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ได้สนุกสนานตรึงใจซะเท่าไร เพราะจะไปที่ไหนก็ต้องเป็นความเห็นของส่วนรวม อีกอย่างการเที่ยวแต่ละที่ก็มีเวลาจำกัดทำให้ผมรู้สึกว่าเที่ยวได้แบบไม่สุดอ่ะ
“บอกแม่หรือยังว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยว”
ผมถาม การที่พวกเราจะเอารถในบ้านไปขับก็ควรจะบอกกล่าวเจ้าของบ้านซะหน่อย อีกอย่างแม่ของพอร์ชจะได้ไม่เป็นห่วง
“บอกแล้วครับ”
ผมนอนคว่ำ เอาแขนเท้าหมอนใบนุ่มขณะมองภาพของหาดบางแสนที่พอร์ชเปิดเอาไว้ แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง…
ตั้งแต่คบกันมาพวกเราไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลย เพราะพอร์ชไม่ชอบถ่ายรูปของตัวเอง ทำให้ในไอโฟนของผมมีแต่รูปของพอร์ช (ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแอบถ่าย) ส่วนในไอโฟนของพอร์ชจะมีแต่รูปของผม (ผมเสนอหน้าถ่ายตัวเอง)
ผมไม่รู้ว่าทำไมพอร์ชไม่เคยหยิบไอโฟนมาถ่ายรูปของผมเลย แต่นั่นไม่สำคัญหรอก สำหรับผมแล้ว ผมชอบบันทึกสถานที่สวยๆไว้ในความทรงจำมากกว่าและพรุ่งนี้ ผมอยากจะบันทึกภาพท้องทะเลเอาไว้พร้อมๆกับพอร์ช
อีกไม่นานพอร์ชจะเรียนจบแล้ว ถึงเขาไม่เคยบอกผมว่าอยากทำอะไรหลังจากที่เรียนจบ แต่ผมเดาว่าเขาจะต้องกลับไปบริหารธุรกิจของครอบครัวที่กรุงเทพ และมันคงทำให้เรามีเวลาพบหน้ากันน้อยลง
“พรุ่งนี้เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันได้มั้ย?”
“ได้สิ”
“สัญญานะ”
“สัญญา”
ผมโน้มใบหน้าเข้าไปประทับจูบลงบนริมฝีปากของพอร์ชอย่างแผ่วเบา แต่ในตอนที่ผมกำลังจะถอนจูบ กลับถูกมือใหญ่กดลงมาที่ท้ายทอยเป็นการบังคับให้ผมแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ก่อนที่ลิ้นอุ่นจะเริ่มรุกรานผ่านรอยแยกของริมฝีปาก ซึ่งผมก็เต็มใจเผลอปากออกให้ลิ้นซุกซนแทรกเข้ามาหยอกล้อกับเรียวลิ้นของผมทันที รสจูบของพอร์ชยังอ่อนโยนและดุดันเสมอ ผมเริ่มหอบหายใจติดขัดเมื่อเขาจูบผมอย่างดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่พวกเรากำลังหลงมัวเมาไปกับจูบที่เร่าร้อน ทำให้ไม่ทันระวังตัวเมื่อประตูห้องนอนที่ไม่ได้ถูกลงกลอนเปิดออกกะทันหัน
ตุบ!
ผมกับพอร์ชผละออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงข้าวของหล่นกระทบพื้น แต่นั่นยังไม่เร็วพอเมื่อผมหันไปมองที่หน้าประตูห้องนอน แล้วพบว่าแม่ของพอร์ชกำลังมองมาที่พวกเราด้วยความตกตะลึง บนพื้นห้องมีขวดครีมกันแดด เสื้อผ้าซักแล้วของผมและผ้าเช็ดตัวหล่นกระจายเกลื่อนพื้น
แม่ตั้งใจเอาของใช้จำเป็นมาให้ผมสำหรับไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้แท้ๆ แต่ผมกลับทำให้เธอเสียใจ เพราะจากสายตาที่เธอมองมาที่ผมโดยไร้คำพูด มันชัดเจนมากเลยว่า…เธอผิดหวัง!



TBC.


ฝากผลงานเรื่องล่าสุดด้วยนะคะ เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก




ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 05/01/2020 บทที่ 26
«ตอบ #79 เมื่อ05-01-2020 18:56:00 »

บทที่ 26 ปัจจุบัน


ผมก้าวเท้าลงจากรถเมล์แล้วเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทางเดิน ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเร่งรีบไปทำงาน ผมเริ่มต้นทำงานที่ยูเนียนได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว แต่นอกจากเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้น งานที่หนักและยากขึ้น ชีวิตประจำวันของผมก็ยังราบเรียบและน่าเบื่ออยู่เหมือนเดิม
ผมตื่นนอนเวลาหกโมงเช้า ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณสามสิบนาที นั่ง วินมอเตอร์ไซค์จากหอพักที่อยู่ในซอยแคบๆออกไปที่ป้ายรถเมล์ และขึ้นรถเมล์มาลงที่ป้ายแถวบริษัทใช้เวลาอีกประมาณสามสิบนาที ซึ่งผมมีเวลาเหลือเฟือในการเดินไปซื้อกาแฟสักแก้วในคาเฟ่ที่อยู่ตรงข้ามกับบริษัท หรือบางวันก็อาจจะแวะร้านอาหารข้างทางเพื่อหามื้อเช้ามารองท้อง ผมตอกบัตรเข้าทำงานในเวลา 7.45 น. เกือบทุกๆวัน และเริ่มทำงานในเวลา 8.00 น.ตรง
แผนก Grease Production ของผมเป็นแผนกเล็กๆที่มีวิศวกรอยู่ทั้งหมดห้าคน พวกเรามีโต๊ะส่วนตัวที่อยู่ในห้องแอร์ขนาดใหญ่มาก มากเกินจำเป็นด้วยซ้ำไป ในแผนกมีอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวสำหรับพนักงาน เครื่องปริ้นท์ เครื่องถ่ายเอกสาร และอื่นๆที่ทันสมัยและครบครัน รวมถึงโรงอาหารประจำบริษัทที่ทั้งอร่อยและราคาถูก ทำให้พนักงานเกือบทั้งหมดนิยมฝากท้องไว้ที่นี่แทนการออกไปกินมื้อเที่ยงข้างนอก
งานของผมคือการรับออเดอร์มาจากแผนก Planner ที่เป็นศัตรูกับแผนกของผมมายาวนานหลายสิบปี ส่วนใหญ่จะเป็นความเอาแต่ใจของพวก Planner ที่ชอบโยนงานโครมใหญ่มาใส่พวกเราโดยไม่สนใจว่าจะทำงานหนักหรือไม่ แต่ยังไงพวกมึงต้องทำให้เสร็จตามกำหนด หรืออยากโดนพิจารณาความสามารถกันหมดทั้งสองแผนกก็เป็นอีกเรื่อง
พวกเราต้องวางแผนการผลิต ‘ผลิตภัณฑ์’ ตามที่ลูกค้าต้องการ รวมทั้งต้องกำหนดจำนวนและเวลาในการผลิตให้แน่นอนก่อนสั่งการไปที่โรงงานของยูเนียน ซึ่งบางครั้งหนึ่งในทีมวิศวกรของพวกเราต้องเข้าไปตรวจงาน และช่วงหลังๆที่ผมเริ่มจะคล่องกับงาน หัวหน้าแผนกจะโยนให้ผมเข้าไปตรวจโรงงานเสมอ อย่างว่าแหละ เรามันผู้น้อย…มาที่หลัง…เด็กใหม่…แถมยังเป็นเด็กใหม่ที่เสนอหน้ามาเป็นพนักงานประจำโดยไม่ต้องทดลองงาน จะไม่ถูกคนในแผนกเหม็นขี้หน้าก็ออกจะแปลกเกินไปแล้ว
“วันนี้ไม่อนุญาตให้ใครออกไปกินข้าวเที่ยงข้างนอก…” เสียงของหัวหน้าแผนกที่ดังขึ้น เรียกให้ทุกคนเงยหน้าจากงานบนจอคอมพิวเตอร์ไปมองคนพูดด้วยความแปลกใจ
หัวหน้าแผนก หรือ ‘พี่ปราบ’ เป็นชายหนุ่มวัย 34 ปีที่จบการศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เป็นคนซื่อสัตย์และจริงจังกับงานมาก ทุกคนในแผนกต่างให้ความเคารพเพราะพี่แกไม่ใช่คนที่ช่างติช่างว่า แต่ถ้าทำงานไม่ดีก็ด่ากันตรงๆไปเลย รวมถึงสั่งสอนและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ 
“ให้เวลาพักผ่อนสี่สิบนาที ดังนั้นฉันหวังว่าจะเจอพวกนายทุกคนที่นี่ตอนเที่ยงสี่สิบ รักษาเวลาให้ดีด้วยล่ะ” ประโยคสุดท้ายพร้อมประกายตาคมกริบที่กวาดมองลูกน้องทีละคนทำให้ผมแอบกลืบน้ำลาย พี่ปราบช่างแพร่ความกดดันได้ดีเกินไปแล้ว
“วันนี้มีงานด่วนอะไรหรือเปล่าครับ?”
ศัตรูเบอร์หนึ่งของผมเอ่ยถาม หมอนี่ชื่อว่า ‘เบส’ อายุ 27 ปีเท่ากับผม เขาทำงานที่ยูเนียนมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ส่วนสาเหตุที่ผมจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับเขาก็เพราะว่าเขาเกลียดขี้หน้าผม ตั้งแต่วันแรกที่ผมก้าวเท้าเข้ามาทำงาน ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่เดาว่าคงอิจฉาที่ผมไม่ต้องทดลองงานสามเดือน แถมยังจบการศึกษาด้วยเกรดนิยม ที่คณะผมนิยมกันประมาณสองกว่าๆน่ะครับ แหะๆ ซึ่งเขามักจะแอบแหวะผมอยู่บ่อยๆว่าไม่คู่ควรกับยูเนียน แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของยูเนียนแล้ว และจะไม่ไปไหนเด็ดขาด! (เพราะเงินดีมาก!!!)
ส่วนศัตรูเบอร์สอง ชื่อว่า ‘พิงค์’ เป็นสาวโสดวัย 29 ปี เธอทำงานที่ยูเนียนมาเกือบสามปีแล้ว เธอเป็นศัตรูกับผมด้วยสาเหตุเดียวกับเบส นั่นก็คือเกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกพบสบตา พิงค์เป็นผู้หญิงเท่ๆที่ดูไม่เรื่องเยอะ เธอไม่เคยแขวะผมเลย แต่เธอชอบเมินผมบ่อยๆ ถ้าเป็นไปได้เธอจะไม่พูดกับผม และชอบโยนงานหนักๆมาให้ผมทำอยู่เสมอเลย
ชีวิตในแผนกของผมคงบัดซบมากถ้าไม่ได้หัวหน้าแผนกที่มีใจเป็นกลาง และพี่กรีน หรือไอ้พี่เขียวซึ่งเป็นพี่รหัสของผมนั่นแหละครับ เขาช่วยสอนงานและดูแลผมอย่างดี นับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในที่ทำงานเลยก็ว่าได้
“เดี๋ยวว่ากันอีกที ตอนนี้ตั้งใจทำงานได้แล้ว”
คำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้กระจ่างทำให้ผมแอบยู่ปากใส่เขา ไม่เห็นต้องทำแบบมีลับลมคมในเลย บอกตอนนี้ไม่ได้หรือไงวะ หรือกลัวว่าจะยาวแล้วทำให้พวกเราวางมือจากงานมาเสือกเรื่องที่เขากำลังจะพูด
อา…เป็นไปได้ เพราะในความคิดของหัวหน้าก็มีแต่เรื่องงานและผลประโยชน์ของบริษัทเท่านั้นแหละ ถ้าบอกว่าเขาเป็นญาติกับเจ้าของผมก็เชื่อเลยนะ โคตรจะทุ่มเทและใส่ใจมาก
เวลา 12.00 น. เป็นเวลาในการพักรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ผมและไอ้พี่เขียวรีบวางมือจากงานที่ทำแล้วพุ่งไปที่โรงอาหารของบริษัทอย่างรวดเร็ว แต่วันนี้กลับไม่เร็วพอเพราะโต๊ะทั้งหมดเต็มหมดแล้ว ต้องอาศัยนั่งกับคนอื่น ซึ่งน่าแปลกมากที่โรงอาหารในวันนี้แออัดไปด้วยพนักงานที่กำลังเร่งรีบ ผมเดาว่าทุกคนคงได้รับคำสั่งให้รีบกินข้าวแล้วกลับไปรวมตัวที่ออฟฟิศในเวลาเที่ยงสี่สิบนาทีเหมือนกัน


“บ่ายวันนี้ท่านประธานจะเข้ามาเยี่ยมชมบริษัท”
พี่ปราบเอ่ยขึ้น เมื่อทุกคนเข้ามานั่งประจำโต๊ะทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเขาดูกังวลเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ฉันหมายถึง…ทุกแผนก”
ทุกคนหันไปมองหน้ากันเลิกลั่กพร้อมกับส่งเสียงฮือฮาที่จับใจความไม่ได้ 
“ทำไมกะทันหันแบบนี้ล่ะพี่ แล้วพวกเราต้องทำอะไรบ้าง” พี่พิงค์เป็นคนแรกที่ยกมือพรวด แล้วรีบเอ่ยถามหัวหน้าแทนทุกคนที่กำลังสงสัย
“แค่การเยี่ยมชมสบายๆ ไม่ต้องกังวลไปหรอก หางานอะไรสักอย่างขึ้นมาทำ แล้วก็ทำตัวยุ่งๆเข้าไว้” พี่ปราบตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะเอื้อมมือไปขยับเนคไทให้เข้าที่เข้าทางโดยไม่รู้ตัว
“พวกเราก็ยุ่งอยู่แล้วนะพี่ แล้วทำไมจู่ๆบอสต้องเกิดอยากจะเดินชมบริษัทขึ้นมาล่ะ”
พี่เขียวถาม พี่มันเคยเล่าให้ผมฟังว่าบอสหรือท่านประธานคนใหม่ มีกิจการมากมาย โดยที่เขาขึ้นนั่งตำแหน่งประธานพร้อมกันถึงสองบริษัท ทำให้แทบจะไม่มีเวลาย่างเท้าเข้ามาที่นี่เลย พี่เขียวมันเคยเห็นท่านประธานมาที่ยูเนียนแค่หนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ยูเนียนโดนเทคโอเวอร์ใหม่ๆ พี่มันชอบบ่นว่าบอสไม่รักลูกเมียน้อยอย่างพวกเรา (หมายถึงยูเนียนเป็นลูกเมียน้อย) เพราะหากมีการประชุมภายใน คณะผู้บริหาร หรือพวกคนใหญ่คนโตจะออกไปประชุมกันที่โรงแรมสกาล่า ซึ่งเป็นธุรกิจของท่านประธานนั่นเอง คือมันก็น่าน้อยใจจริงๆนั่นแหละครับ เพราะท่านประธานของเราเลือกนั่งเก้าอี้บริหารในโรงแรมที่มีอยู่หลายสาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แทนที่จะมานั่งอยู่ในบริษัทผลิตน้ำมันแห่งนี้ อย่างน้อยก็น่าจะแบ่งเวลาให้พวกเราสักสองสามวัน คือผมก็อยากมีโอกาสได้ยลโฉมของท่านประธานที่ลือกันว่าชอบเก็บตัวแต่หล่อมาก!!!
เรื่องชื่นชมผู้ชายหน้าตาดีเป็นที่โปรดปรานของผมเสมอ จับต้องไม่ได้ไม่เป็นไร ขอให้ได้มองเถอะ แค่นี้วินก็ชื่นใจแล้วววววว
“รู้แค่เรื่องที่ควรรู้ก็พอ ส่วนเรื่องเจ้านายน่ะ ไม่ต้องยุ่ง!” พี่ปราบว่า ยังคงรักษามาตรฐานในความปากร้ายไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งไอ้พี่เขียวก็ได้แต่รีบยกมือไหว้ปลกๆก่อนที่จะโดนด่าอีกดอก
“ไปหยิบไม้กวาดมากวาดห้องเดี๋ยวนี้เลย รีบเก็บโต๊ะของตัวเองให้สะอาด แล้วก็เก็บแฟ้มที่กองอยู่ตรงนั้นน่ะ เอาไปใส่ตู้ให้เรียบร้อยด้วย…”
คำบัญชาการต่อมาทำให้พวกเรารีบเร่งทำตัวให้เป็นประโยชน์ทันที พี่ปราบเป็นพวกจริงจังกับงาน อะไรที่เขาสั่งให้ทำต้องรีบปฎิบัติและทำให้ดีที่สุด
พี่พิงค์คว้าไม่กวาดมาปัดกวาดพื้น เบสรีบเก็บแฟ้มเอกสารใส่ตู้กระจกที่ตั้งอยู่มุมห้อง อันที่จริง อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะเอาแฟ้มพวกนั้นออกมากองไว้ที่พื้นเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะมันสะดวกกว่าการเดินไปเปิดและปิดตู้กระจกอยู่บ่อยๆ ส่วนพี่เขียวตามเก็บกระดาษที่พวกเราชอบขย้ำแล้วโยนทิ้ง (โยนไม่ตรงถังขยะสักที)
ส่วนผมที่ไม่รู้จะทำอะไรก็ได้แต่จัดเก็บของบนโต๊ะของตัวเองให้เรียบร้อยที่สุด ผมเก็บถุงขนมและขวดน้ำที่เคยกองไว้ใต้โต๊ะมาโยนใส่ถังขยะ รวมถึงเก็บปากกาที่วางเกลื่อนโต๊ะใส่ในแก้วกาแฟทรงสูงที่ผมใช้แทนกล่องใส่ปากกา
“เอาขยะไปทิ้งด้วย”
ผมเงยหน้าไปมองพี่ปราบ ซึ่งกำลังยืนถลึงตามองผม เอ่อ ที่จริงแล้วพี่ปราบไม่อนุญาตให้กินขนมระหว่างทำงาน แต่ทำไงได้อ่ะ ถ้าไม่กินผมจะคิดงานไม่ออกนี่
“เร็วเข้า!”
ผมสะดุ้ง เพราะแทนที่จะโดนท่านหัวหน้าด่าจนหูชาเหมือนเดิม เขากลับโยนถุงขยะสีดำที่มัดปากถุงแล้วมาทางผม รวมถึงเพื่อนรวมงานแสนประเสริฐท่านอื่นๆที่พร้อมใจกันโยนตามมาติดๆอีกหลายถุง
ไหนบอกว่าเป็นการเยี่ยมชมบริษัทแบบสบายๆไงวะพี่!
แม่งเริ่มลำบากกูแล้วเนี่ย…


คิดถึง!
คำสั้นๆ…แต่สามารถอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ดีที่สุด!
วินาทีแรกที่ผมเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ไปมองร่างสูงในชุดสูทสีดำราคาแพง ทุกส่วนในร่างกายของผมคล้ายกับเกิดอาการอัมพาตไปชั่วขณะ หัวใจของผมที่ด้านชามายาวนานถึงห้าปี กำลังเต้นกระหน่ำราวกับว่ามันได้ค้นพบเจ้าของที่แท้จริงอีกครั้ง
พอร์ช…
ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ควรเรียกว่าอะไร? น่าขันหรือ? ทั้งที่ชื่อของประธานบริษัทก็ไม่ได้หายากหาเย็นหรือเป็นความลับระดับโลก แถมยังโผล่ขึ้นมาในหน้าหนังสือของแวดวงธุรกิจ
เพียงแต่ว่า พนักงานกินเงินเดือนอย่างผม ไม่ได้ใส่ใจจะรู้จักเจ้าของธุรกิจซะเท่าไร ก็ได้แต่เลยตามเลย ทุกคนเรียก ‘เขา’ ว่าท่านประธานบ้าง บอสบ้าง ผมก็ได้แต่เรียกตามๆไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร
ถ้ารู้ตั้งแต่แรก…ใช่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าท่านประธานบริหารของยูเนียน คืออดีตคนรักของผม ผมยังจะเลือกมาทำงานที่นี่หรือเปล่า?
ไม่เลือกเหรอ? ไม่รู้สิ ผมไม่แน่ใจ
อาจจะเลือก? เป็นไปได้ว่าคนระดับสูงอย่างเจ้าของธุรกิจ ย่อมไม่ใส่ใจว่าพนักงานในบริษัทมีกี่คนหรือมีใครบ้าง!
ในตอนที่ท่านประธานมาถึงบริษัท พนักงานทุกคนต่างนั่งทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ในแผนกของตัวเอง แล้วปล่อยให้คนใหญ่คนโตออกไปต้อนรับและพาท่านประธานเดินชมบริษัท ซึ่งใช้เวลาในการเดินชมแผนกต่างๆเพียงสามสิบนาทีเท่านั้น ก่อนที่คณะผู้ติดตามและท่านประธานจะก้าวเท้าเข้ามาเยือนแผนก Grease Production ซึ่งเป็นแผนกสุดท้าย
“…Grease Production เป็นแผนกเล็กๆที่รับเฉพาะวิศวกรที่ดีที่สุดครับ ทำหน้าที่ผลิตจาระบี 4 ประเภท ซึ่งมียอดสั่งซื้อและยอดผลิตเป็นอันดับต้นๆของบริษัทเลยล่ะครับ หัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบคือคุณปราบ เขาดูแลแผนกนี้มาห้าปีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรต้องให้ปรับปรุงแก้ไข ท่านจะผ่านเลยมั้ยครับ”
เสียงอธิบายแว่วๆจากตาลุงหัวล้านกำลังเอ่ยกับท่านประธานด้วยท่าทางนอบน้อม ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกของห้องกระจกที่ถูกเลื่อนประตูเปิดออกเพื่อต้อนรับผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้
ผ่านไปเลย…
ผมได้แต่ภาวนาอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา ผมไม่ได้กลัว จริงๆนะ คนอย่างหมอนั่นมีอะไรให้ผมต้องกลัว เพียงแต่ตอนนี้ผมแค่ตกใจมากเท่านั้นเอง พอตกใจแล้วก็ต้องขอเวลานอกในการหายใจก่อนจึงจะสามารถทำตัวเป็นปกติได้
“ขอผมเดินดูหน่อย”
ผมตัวแข็งทื่อเมื่อเสียงในคราวนี้ชัดขึ้น พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเท้าผ่านประตูเข้ามา สติของผมเริ่มกระเจิดกระเจิง รีบก้มหน้างุดแล้วหยิบแฟ้มอะไรสักอย่างมาเปิดส่งๆ
เสียงรองเท้าหนังหลายคู่ที่กระทบกระเบื้องจนเกิดเสียง ทำให้ผมอยากจะมุดลงไปซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ ฮืออออ ไม่เอา ผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับพอร์ชจริงๆนะ
ฝีเท้านั้นเริ่มก้าวผ่านหน้าโต๊ะทำงานของพนักงานในแผนกที่ละคน บางครั้งหยุดสอบถามเกี่ยวกับงานที่กำลังทำในตอนนี้ บางครั้งก็เอ่ยปากทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ซึ่งผมสติแตกเกินกว่าจะสนใจฟังสิ่งที่ท่านประธานเอ่ยกับคนอื่นๆและเพิ่งจะรู้ตัวเมื่อใครบางคนหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของผม
ผมรู้ว่าเขาคือใคร! เพียงแต่ผมไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเขาเท่านั้นเอง
ผมรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างกำลังสั่น ขณะสูดลมหายใจลึกเพื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายตามมารยาท
นัยน์ตาคู่สีดำที่กำลังทอดมองมาที่ผม ลึกล้ำเสียจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง นิ่งเสียจนไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจำเรื่องของผมได้บ้างมั้ย คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า หรือกระทั่งเขารู้หรือไม่ว่าตอนนี้กำลังสบตากับใคร?
“นั่นคือพนักงานใหม่ของเราครับ เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน”
เสียงของตาลุงหัวล้านทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ผมรีบรวบรวมสมาธิแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ กุมมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้าโดยไม่ได้เอ่ยทักทายใครเลย
“เขาเป็นคนหัวเร็วและมีความสามารถครับ”
พี่ปราบเอ่ย เขายืนอยู่ทางซ้ายมือของท่านประธาน พลางชำเลืองมองมาทางผมด้วยความไม่สบายใจ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีสีหน้าอย่างไร แต่มันคงไม่สู้ดีนัก
“คุณชื่ออะไร?”
ท่านประธานเอ่ยถามผม ซึ่งคำถามนั้นทำให้ผมตัวชาวาบ
ใช่…ผมคิดว่าเขายังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร
ไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้หรอก หากผมไม่อ้าปากพูด เว้นแต่ว่าเขาอาจจะ…ลืม
เวลาห้าปีที่ไม่ได้พบหน้ากันไม่ใช่เวลาน้อยๆเลย ไม่มีทางที่น้ำเสียงของผม กลิ่นของผม หรือกระทั่งตัวตนของผมจะยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของคนตรงหน้า ต่อให้ผมบอกชื่อออกไป ก็ไม่แน่ว่าเขาจะสังเกตเห็นว่าชื่อของผมมันซ้ำกับแฟนเก่าคนหนึ่งของเขา
“ท่านประธานถามว่าคุณชื่ออะไร” ตาลุงหัวล้านเอ่ยเร่งเมื่อเห็นว่าผมยังยืนทื่ออยู่เหมือนเดิม
“ปัฐวีครับ”
ผมเผลอกั้นลมหายใจในตอนที่เอ่ยปากตอบ แต่ท่านประธานกลับไม่ได้มีสีหน้าที่แสดงให้เห็นว่ากำลังติดใจสงสัยในชื่อของผมเลย
ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา ทำไมนะ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าเขาไม่มีทางจำผมได้ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกผิดหวังแบบนี้
“ผมมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับแผนกนี้”
ผมไม่ได้สนใจจะฟังว่าท่านประธานหันไปสอบถามอะไรสักอย่างกับพี่ปราบ กระทั่งเขาหันมามองหน้าผมอีกครั้ง
“คุณปัฐวี เชิญตามผมมา”
ฮะ! ไปไหน?
ท่านประธานกล่าวจบก็ก้าวเท้าออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้ผมยืนอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวาย
“ไปเร็วสิ”
ตาลุงหัวล้านตะคอกใส่ผมเบาๆ สีหน้าของเขาดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผมจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเงอะงะ และก่อนที่ผมจะได้ก้าวเท้าตามท่านประธานออกไป พี่ปราบก็เอื้อมมือมาคว้าแขนของผมไว้ซะก่อน พร้อมกับสำทับคำข่มขู่ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็อาจจะกลัว
“ทำตัวดีๆ ถ้าท่านประธานไม่พอใจล่ะก็…นายตาย”
ถึงตอนนี้ไม่ตาย…ก็เหมือนตายแล้วล่ะครับ!



TBC.
เหตุผลของการเลิกกันเเละความลับของพอร์ชในอดีตจะเปิดเผยตอนไหนนะ?!!! ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะคะ
นิยายเรื่องนี้เดินทางมาใกล้จะถึงตอนจบเเล้ว เหลืออีกไม่กี่ตอน เเอบมีฉากดราม่าเล็กๆ ก่อนจบอย่างเเฮปปี้
ยังไงก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ อย่าลืมตามไปเจอเราในนิยายเรื่องหน้าด้วยน้า

เเฟนเพจ https://www.facebook.com/PKrabKrab/


:bye2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 05/01/2020 บทที่ 26
« ตอบ #79 เมื่อ: 05-01-2020 18:56:00 »





ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 05/01/2020 บทที่ 26
«ตอบ #80 เมื่อ07-01-2020 16:27:38 »

  :z6: :z6: คอมเม้นผิดเรื่อง :katai1: :katai1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2020 22:30:58 โดย darinsaya »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
«ตอบ #81 เมื่อ10-01-2020 20:56:18 »


บทที่ 27 Prosopagnosia


ผมวิ่งผ่านประตูบานใหญ่ออกไปสู่โถงทางเดินด้วยความรีบร้อนเพราะเกรงว่าจะตามท่านประธานไม่ทัน หันซ้ายหันขวาก่อนจะพบว่าร่างสูงที่กำลังตามหายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าประตูลิฟท์ แผ่นหลังเหยียดตรงภายใต้เสื้อสูทสีดำราคาแพงทำให้ผมรู้สึกตาพร่ายามที่มองเขา ทั้งที่ห่างกันไปตั้งนาน แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่ระยะห่างระหว่างเราดูเหมือนจะเท่าเดิม
ผมพ่นลมหายใจออกด้วยความกังวล พยายามทำจิตใจให้สงบแล้วรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปยืนข้างๆท่านประธาน อีกฝ่ายเพียงแค่เหลือบตามามองผมครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรแต่ยื่นนิ้วเรียวยาวไปกดปุ่ม Open ทำให้ประตูลิฟท์เปิดออก ขาสองข้างของผมก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างกับเขาก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลง
ระหว่างที่ลิฟท์กำลังเคลื่อนที่ขึ้นไปบนชั้นที่ 24 มีเพียงความเงียบที่ทำให้ผมหายใจไม่ออก
หึ แน่อยู่แล้ว หมอนี่เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ไม่แคร์ ก็มักจะไม่แยแสแบบนี้แหละ ไม่แม้แต่จะปรายตามองมาที่ผมด้วยซ้ำ
ความโหยหายที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม ทำให้ผมแอบใช้สายตาสำรวจร่างสูงช้าๆ…นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขา ผมเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในหลายๆอย่าง ที่ชัดเจนเลยคงเป็นเรื่องของบุคลิกลักษณะที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งท่าทางการยืนที่ดูสง่าและน่าเกรงขามในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่ได้มีรอยยิ้มร้ายกาจติดที่มุมปากอีกแล้ว อันที่จริงเขาไม่ได้ยิ้มเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีบรรยากาศบางอย่างรอบๆตัวที่มันคล้ายจะเป็นความเย็นชาที่ชวนให้ผู้คนนึกสงสัยว่า คนๆนี้มีชีวิตจิตใจหรือเป็นเพียงรูปปั้นที่ถูกสร้างสรรค์จากประติมากรฝีมือดีกันแน่
ผมรู้สึกปวดใจเหลือเกินเมื่อคิดว่าความเย็นชาไร้ชีวิตนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมที่ทรยศต่อความรักของเขา แต่ขณะเดียวกันความสูงสง่าของท่านประธานก็ทำให้ผมคิดว่ามันก็ดีแล้วที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีผมด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงคิดว่าช่างมันเถอะ ต่อให้เขาจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้อยากจะขุดคุ้ยความหลังระหว่างเรา ปล่อยให้มันเป็นความเจ็บปวดในอดีตที่สิ้นสุดไปแล้วก็พอ
“คุณปัฐวี”
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินน้ำเสียงโมโนโทนเอ่ยเรียกชื่อของผม
“ครับ?” ผมรีบขานรับด้วยความงุนงง
“ถึงแล้ว”
ท่านประธานเอ่ยเรียบๆ เขากำลังยืนมองผมจากด้านนอกของตัวลิฟท์ ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าลิฟต์เคลื่อนตัวมาถึงชั้นที่ 24 ตั้งแต่เมื่อไร หรือเขาเดินออกไปตอนไหน
สติเว้ยสติ…
จงกลับมา…จงกลับมา…
ผมรีบก้าวเท้าออกจากลิฟท์แล้วเดินตามหลังของท่านประธานเข้าไปสู่โถงทางเดินที่หรูหรากว่าชั้นอื่นๆ ที่นี่เป็นส่วนของห้องทำงานของผู้บริหารที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ระหว่างที่ผมเดินผ่านห้องต่างๆก็พอจะเดาได้ว่าที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่เลยนอกจากพวกเรา แม้กระทั่งโต๊ะเลขาที่ตั้งอยู่หน้าห้องกระจกขนาดใหญ่ของท่านประธานก็ไม่มีร่างของคุณภุมราอยู่เลย
ท่านประธานใช้กุญแจที่หยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อไขประตูห้องทำงานให้เปิดออก ผมเดินตามเข้าไปเงียบๆ ด้านในมีเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างน้อย ที่เห็นก็มีแค่โต๊ะทำงานที่เข้าชุดกับเก้าอี้ตัวใหญ่ซึ่งบุด้วยหนังสีดำ ตู้ใส่เอกสาร และชุดโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่กลางห้อง การตกแต่งในห้องไม่ได้หรูหราเท่ากับบ้านของเขาที่ผมเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว เน้นสไตล์เรียบหรูแต่ดูเป็นทางการ เหมาะแก่การเจรจาในเรื่องธุรกิจล่ะมั้ง ที่ผนังด้านหนึ่งของห้องเป็นกระจกใส่ทั้งแถบซึ่งสามารถมองเห็นวิวของกรุงเทพได้จากมุมสูง ผมคิดว่าในตอนกลางคืนที่นี่คงเป็นจุดชมวิวที่ไม่เลวเลยล่ะ
“นั่งสิ”
ท่านประธานผายมือไปทางชุดโซฟารับแขก ผมจึงเลือกทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวสำหรับแขกด้านหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายเดินไปเปิดตู้เก็บเอกสารมุมห้อง ใช้เวลาค้นหาอะไรบางอย่างเกือบห้านาที ก่อนจะเดินกลับมาหาผมพร้อมกับแฟ้มหนังสีดำที่มีขนาดหนามากๆ
“ผมอยากให้คุณช่วยดูนี่ให้หน่อย”
ท่านประธานทรุดนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ตรงหัวโต๊ะ แล้ววางแฟ้มในมือไว้บนโต๊ะกระจกเบื้องหน้าของผม เดาว่าคงเป็นเรื่องงานที่เกี่ยวกับแผนกของผมนั่นแหละ ไม่งั้นเขาคงไม่เรียกผมมา
ผมจำเป็นต้องใช้สองมือประคองแฟ้มขนาดใหญ่มาวางไว้บนตักเพราะมันหนักมาก จากที่เปิดอ่านคร่าวๆในหน้าที่เป็นแผนภาพการผลิตของโรงงานในเครือยูเนียน ก็พอจะรู้ว่าด้านในเป็นเนื้อหาในส่วนของการผลิตจาระบีโดยละเอียดสำหรับผู้บริหาร ที่จริงแล้วของแบบนี้โรงงานก็ทำไว้พอเป็นพิธีนั่นแหละ น้อยนักที่ผู้บริหารจะเปิดของพวกนี้เพื่ออ่านและทำความเข้าใจเองทั้งหมด
ในเมื่อมีทั้งเงิน ทั้งอำนาจและคนที่มีความสามารถอยู่ในมือ การจะเรียกใช้ใครสักคนจึงเป็นเรื่องง่ายมาก อย่างตอนนี้ล่ะมั้ง?
“มันคือกระบวนการผลิตจาระบีครับ”
ผมเปรย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร จึงรอให้อีกฝ่ายเอ่ยความต้องการออกมา จะสั่งอะไรก็เชิญเลยครับ กระผมมันพนักงานกินเงินเดือนของท่านอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้ผมต้องเข้าโรงงาน แต่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย”
อา…เข้าใจก็คงแปลกแล้วล่ะ ท่านประธานไม่ได้เรียนวิศวะมานี่ครับ และอีกอย่างมันสำคัญด้วยเหรอว่าท่านต้องเข้าใจมันอ่ะ
“ถ้าผมเข้าใจกระบวนการผลิตของจาระบี บางที…ผมอาจลดต้นทุนการผลิตได้โดยที่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่ได้ลดลง”
ผมพยักหน้างึกๆ นั่นเป็นความคิดที่ดี การลงทุนทำธุรกิจย่อมหวังผลกำไลสูงสุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า…
“ผมคิดว่าให้มันเป็นหน้าที่ของวิศวกรการจัดการก็ได้นี่ครับ”
บริษัทยูเนียนแบ่งแผนกภายในแยกย่อยกว่าบริษัทอื่นที่ผมเคยพบเห็น ซึ่งทำให้บุคลากรของยูเนียนสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเฉพาะทาง เช่น การที่ยูเนียนมีวิศวกรอุตสาหการสำหรับสำหรับวางแผนและพัฒนาระบบ แต่ยูเนียนก็มีวิศวกรการจัดการ สำหรับดูแลงบประมาณในการวางแผนและพัฒนาระบบเช่นกัน ซึ่งถ้าเป็นบริษัทเล็กๆอาจจะเลือกจ้างงานวิศวกรอุตสาหการเพื่อให้รับหน้าที่ทั้งการวางแผนระบบและการดูแลงบประมาณไปในตัว ทั้งเป็นการใช้งานลูกจ้างที่คุ้มค่ากว่านั่นเอง และสิ่งที่ผมกำลังคิดในตอนนี้ก็คือ ท่านประธานไม่จำเป็นต้องศึกษางานเองทั้งหมด เพียงแค่สั่งการลงไปที่แผนกการจัดการก็เป็นจบแล้ว
ท่านประธานเอนหลังพิงผนักโซฟา ขณะใช้นัยน์ตาสีดำสนิทมองมาที่ผม ให้ตายสิ การกระทำที่แสนจะธรรมดาอย่างการมองหน้าพนักงาน กลับทำให้ผมอดกังวลไม่ได้…หวังว่าเขาคงจะไม่รู้นะว่าผมเป็นใคร!
“ใครจะรักและหวังดีกับยูเนียนได้เท่ากับผม”
ประโยคที่เปรยขึ้นมาทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากแน่น ผมรู้ว่าเขาต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่ง CEO ได้อย่างสง่าผ่าเผย และผมเชื่ออย่างสนิทใจในคำพูดของเขาแทบจะทันที…
ไม่มีใครรักและหวังดีกับยูเนียนได้เท่ากับเขา
“ยูเนียนผลิตจาระบีทั้งหมด 4 ประเภทครับ”
ผมเริ่มอธิบายกระบวนการผลิตของจาระบีให้ท่านประธานฟังตั้งแต่ต้นตามความต้องการของเขา
“ในแต่ละปีจะมียอดสั่งซื้อแต่ละประเภทไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า แต่ผมว่ามันก็สำคัญทั้งหมด จาระบีของเราผลิตมาจาก…”
ผมไม่แน่ใจว่ากำลังพูดพล่ามแบบน้ำไหลไฟดับมานานเท่าไรแล้ว แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งติดลม อะไรที่ผมรู้ผมก็พูดออกมาทั้งหมด อะไรที่ผมเห็นว่าไม่ดีผมก็ติเตียนแบบไม่ไว้หน้าบริษัท แล้วสิ่งที่ผมคิดว่าจาระบีของยูเนียนดีกว่าที่อื่น ผมก็เสริมให้เขาฟัง ผมหวังดีจริงๆนะ ท่านประธานจบการบริหารธุรกิจ อาจจะไม่เข้าใจในผลิตภัณฑ์ของยูเนียนอย่างลึกซึ้งก็ได้
เอ…ว่าแต่จริงๆแล้วยูเนียนเป็นบริษัทของคุณพ่อเขาหรือเปล่านะ?
แล้วเจ้าของบริษัทคนก่อนหน้านี่เป็นใครกันอ่ะ ได้ข่าวว่าเป็นญาติกันใช่หรือเปล่า?
ระหว่างที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่าน ก็ได้ยินเสียงกระแอมจากคนข้างๆ ทำให้ผมหยุดพูดทันที
“ครับ?”
ผมหันไปมองท่านประธานเป็นเชิงถาม ว่าแต่เมื่อครู่ผมกำลังพูดถึงไหนแล้วนะ หรือผมเผลอหยุดพูดไปอ่ะ จำไม่ได้เลยจริงๆ
“ผมมองไม่เห็นภาพครับ อธิบายแบบนี้มันคงยากเกินไปสำหรับผม ถ้ายังไงพรุ่งนี้คุณก็เข้าโรงงานกับผมเลยละกัน”
ฮะ? เข้าโรงงาน!
ท่านประธานเพิ่งจะบอกให้ผมไปเป็นไกด์พาเขาทัวร์โรงงานเนี่ยนะ มันจะไม่เกินหน้าที่ไปหน่อยหรือไง แล้วโรงงานนี่มันก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆเลยนะครับท่าน
“แต่พรุ่งนี้ผมต้องทำงานนะครับ”
ผมแย้ง ทำไมผมต้องโดดงานที่ผมจำเป็นต้องรับผิดชอบไปทัวร์โรงงานจาระบีกับเขาด้วย ถ้าเขาอยากได้คนพาทัวร์จริงๆ แค่ให้เลขายกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงถึงโรงงาน เดี๋ยวคนพวกนั้นก็ส่งวิศวกรที่ดีที่สุดมารับหน้าเองนั่นแหละ
“ถือซะว่าไปทำงานนอกสถานที่”
ผมเผลอเบ้หน้าด้วยความไม่พอใจ ต่อให้ผมขาดงานแค่หนึ่งวัน ผมก็มีสิทธิ์จะโดนงานในวันต่อมาถล่มทับได้ง่ายๆเลยนะ ให้ตายสิ ทำไมคนที่ซวยต้องเป็นพนักงานใหม่อย่างผม ทำไมท่านประธานไม่ลากพี่ปราบมาแทนนะ รายนั้นอ่ะ ยินดีถวายหัวให้ยูเนียนมานานแล้ว งานแบบนี้เขายินดีทำจะตาย
“ผมต้องยื่นใบลางานล่วงหน้ากับหัวหน้า คือผมว่าให้…”
ผมพยายามหาข้ออ้าง แต่อีกฝ่ายกับตัดบทกะทันหัน
“ถ้าผมบอกให้คุณไปกับผมได้ หัวหน้าของคุณยังจะกล้าขัดอีกเหรอครับ?”
ผมยิ้มไม่ออก คำพูดของท่านประธานเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า คุณกล้าขัดคำสั่งของผมเหรอครับ?
“ไม่กล้าครับ”
“เจอกันที่โรงงานตอนเก้าโมงเช้า”
โรงงานตั้งอยู่ที่ระยองเลยนะเว้ย ย้ำว่าระยองอ่ะ ไม่ใช่กรุงเทพ แล้วแบบนี้ผมจะเปิดค่ารถได้มั้ยนะ?
ต่อให้น้ำตาตกในสักแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่พยักหน้าแล้วตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก
“ครับ”


เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานในแผนก Grease Production พี่ปราบก็เรียกผมไปถามว่าท่านประธานต้องการอะไร ผมจึงเล่าให้เขาฟังคร่าวๆแล้วขออนุญาตลางานหนึ่งวัน ซึ่งพี่ปราบก็ไม่ได้ทักท้วงและปล่อยให้ผมได้กลับไปทำงานต่อ ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนัง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาเลิกงานแล้ว แต่จิตใจของผมกลับสับสนวุ่นวายไปหมด ที่จริงแล้วงานของผมไม่ได้คลืบหน้าเลยตั้งแต่กลับมาจากห้องของท่านประธาน
เวลาสี่โมงเย็น ทุกคนต่างโบกมือลาแล้วแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน พี่เขียวตบมือลงบนบ่าของผมเบาๆแล้วบอกว่ามันจะดีเอง ผมเดาว่าพี่มันคงเข้าใจว่าผมกังวลเรื่องในวันพรุ่งนี้ แต่มันก็ไม่ผิดนักหรอก ผมกำลังกังวลมากๆเลย
ผมก้าวเท้าอย่างไร้จุดหมาย ขณะที่ในสมองกำลังคิดถึงใบหน้าของท่านประธานซ้ำไปซ้ำมา…
เขาจำผมไม่ได้จริงๆเหรอ เขาไม่ได้แสดงออกว่ารู้จักผมเลยด้วยซ้ำ ผมกับเขาเลิกกันไปเกือบห้าปีแล้ว ผมตัดสินใจทอดทิ้งเขา ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจนี่ แค่กลับมาเจอกันอีกครั้งโดยบังเอิญไม่ได้หมายความว่าหัวใจของเขายังเหมือนเดิม…
ใช่ เขาคงไม่ได้รักผมแล้ว!
ไม่รู้ทำไม เพียงแค่คิดว่าหัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมผมก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน แค่คิดว่าเขาจูบคนอื่น โอบกอดคนอื่น และเอาใจใส่ดูแลคนอื่นที่ไม่ใช่ผม หัวใจของผมก็แสดงความต่อต้านออกมาอย่างชัดเจน นี่ผมกำลังอิจฉาใช่มั้ย ผมไม่อยากยอมรับ ไม่อยากมองเห็น ไม่อยากให้เขารักคนอื่นที่ไม่ใช่ผม เพราะว่าในตอนนี้ผมรู้ใจของตัวเองดีแล้วว่า…
ผมไม่เคยเลิกรักเขาได้เลย
ขาของผมเริ่มอ่อนแรง ขณะค่อยๆทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ผมเพิ่งสังเกตว่าสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของผมคือล้อของรถยนต์คันหนึ่ง
ผมเดินใจลอยมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  รู้เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะก้าวเดินอีกแล้ว เปลือกตาค่อยๆปิดลง แล้วเริ่มต้นร้องไห้โฮไม่ต่างจากตอนที่เป็นเด็ก
เพียงแต่ตอนที่ผมเป็นเด็ก…เจ็บสุดก็แค่โดนแม่ตี

(อดีต)
ผมนั่งตัวเกร็งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในคาเฟ่แห่งหนึ่ง บนโต๊ะเบื้องหน้ามีแก้วกาแฟร้อนที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้อง ภายในคาเฟ่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือห้องกระจกติดแอร์ที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น และอีกส่วนคือสวนที่ตกแต่งด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ซึ่งผมกำลังครอบครองพื้นที่ส่วนหนึ่งในสวนที่ไร้ผู้คน บรรยากาศรอบๆทั้งอบอุ่นและชวนให้ผ่อนคลาย เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่กำลังผ่อนคลาย
“ที่ฉันมาหาเธอในวันนี้เพราะเรื่องของตาพอร์ช”
น้ำเสียงราบเรียบติดจะเย็นชาดังมาจากหญิงวัยกลางคนที่ดูมีสง่าราศี เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามกับผม
“ฉันไม่อยากก้าวก่ายความสัมพันธ์ของพวกเธอเหรอนะ ถ้าเธอไม่มีกระทบต่อความสำเร็จในชีวิตของเขา”
ตั้งแต่วันที่คุณแม่ของพอร์ชเข้ามาเห็นผมจูบกับลูกชายของเธอ เธอไม่เคยด่าทอหรือก้าวก่ายความสัมพันธ์ของพวกเราเลย เพียงแค่เรียกพอร์ชออกไปคุยเป็นการส่วนตัว และวันต่อมาแพลนในการไปเที่ยวชลบุรีของพวกเราก็ถูกยกเลิก แม้ผมจะเสียใจแต่ต้องจำใจกลับมหาลัยไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนพอร์ชต้องอยู่เกลี้ยกล่อมคุณแม่ ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้พบเธออีกเลย พอร์ชยังปฎิบัติกับผมอย่างดีเช่นเดิม จนผมเลิกกังวลและคิดว่าแม่ของเขาคงจะยอมรับผมได้ในสักวัน
“ก่อนหน้านี้ตาพอร์ชเคยบอกฉันว่าอยากไปเรียนต่อที่อเมริกา เขาอยากไปหาประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ แต่พอเรียนจบเขากลับบอกฉันว่าไม่อยากไปแล้ว เขาอยากเรียนต่อที่ไทย เธอคงรู้ใช่มั้ยว่าเขาไปไหนไม่ได้…เพราะเธอ”
ถ้าจะบอกว่าพอร์ชไม่ยอมไปไหนเพราะผม…นั่นก็ไม่ผิด เพราะหลังจากที่เขาทำเรื่องเรียนจบจากมหาลัย หมอนั่นก็ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆด้วยการไม่ยอมเก็บข้าวของกลับบ้าน เขายืนยันที่จะนั่งกินนอนกินอยู่ที่คอนโดไม่ยอมไปไหนโดยไม่มีผม ซึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้เสนอให้เขาเรียนต่อโทที่นี่ไปเลยเพราะอย่างไรเขาก็ดึงดันที่จะรอผมเรียนจบซึ่งใช้เวลาถึงสองปี แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าก่อนหน้านี้เขามีความตั้งใจจะไปเรียนต่อโทที่อเมริกา
“เธออยากเป็นคนทำลายความฝันของเขาเหรอ เขาอยากสานต่อธุรกิจของครอบครัว ไม่สิ เขาต้องดูแลและรักษามันเอาไว้ คนที่ไม่มีความสามารถมากพอ ไม่มีทางนั่งเก้าอี้ CEO ได้ เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังพูดหรือเปล่า”
ผมหลุบตามองมือทั้งสองข้างที่กำหมัดแน่นอยู่บนตัก ผมไม่เคยอยากเป็นตัวถ่วงในชีวิตของใคร แม้ผมจะชอบที่มีพอร์ชอยู่ใกล้ๆแต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากให้เขาทำตามความตั้งใจของตัวเอง
“คุณอยากให้ผมช่วยพูดกับเขาให้ไปเรียนต่อที่อเมริกาเหรอครับ” ผมถาม
“ถ้าเธอหวังดีกับเขา…เธอควรจะทำ”
“ได้ครับ ผมจะลองดู”
“อันที่จริง ฉันคิดว่าฉันรู้จักลูกชายของตัวเองดีที่สุด” คุณแม่ของพอร์ชเปรย ขณะหมุนถ้วยชาในมือด้วยความกังวล
“ต่อให้เธอพูดยังไง ถ้าเขาไม่ไปก็คือไม่ไป”
ผมเผลอเลิกคิ้วด้วยความสงสัย บางอย่างในประโยคบอกเล่าของเธอ ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอมีแผนการอยู่ในใจแล้ว แค่รอให้ผมทำตามเท่านั้น
“แล้วผมควรทำยังไงครับ” ผมถามตรงๆแบบไม่อ้อมค้อม การคุยกับเธอทำให้ผมรู้สึกจิตตก
“บอกเขาว่าเธออยากไปอเมริกา บอกว่าเธอขอทุนจากฉันแล้วหลังจากที่เรียนจบ จะใช้คืนด้วยการทำงานที่บริษัทของเรา”
ถ้าได้แบบนั้นก็ดีสิ พอร์ชต้องดีใจมากๆแน่ และอีกอย่างผมก็สามารถเทียบโอนหน่วยกิตวิชาหลักของสาขาวิศวกรรมอุตสาหการไปได้ ส่วนพ่อกับแม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาเลิกก้าวก่ายการตัดสินใจของผมมานานแล้ว เพียงแต่ว่า…ผมแอบเหลือบตาไปมองดวงหน้าสง่างามของหญิงวัยกลางคน พวกนักธุรกิจมักเป็นห่วงผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ เธอไม่มีทางยอมเสียเปรียบเด็ดขาด แล้วมีหรือจะยอมให้คนอย่างผมไปกับลูกชายของเธอ
“คุณไม่ได้คิดจะให้ผมไปด้วยจริงๆใช่มั้ยครับ” ผมถาม อีกฝ่ายเพียงขยับยิ้มมุมปากบางๆ คล้ายแฝงไปด้วยความชื่นชม
“ใช่ ฉันยื่นเรื่องการสมัครเรียนให้ตาพอร์ชแล้ว จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วสองใบ” อีกฝ่ายเปิดกระเป๋าถือใบใหญ่แล้วหยิบตั๋วเครื่องบินมายื่นให้ผม รวมถึงเอกสารสัญญาการขอทุน
ให้ตายสิ แม่ของพอร์ชโคตรลงทุนมากเลยอ่ะ แค่ต้องการกำจัดผมออกไปจากชีวิตของพอร์ชถึงกับทำเอกสารปลอม รวมถึงจองตั๋วเครื่องบินมาหลอกลูกชายของตัวเองเพื่อความสมจริง ช่างเป็นอะไรที่ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก
ผมกวาดสายตาอ่านชื่อที่อยู่บนตั๋วเครื่องบินทั้งสองใบ ใบหนึ่งเป็นชื่อนามสกุลของพอร์ช ส่วนอีกใบเป็นชื่อนามสกุลของผม เอาเป็นว่าผมจะไม่สงสัยละกันว่าเธอทราบชื่อของผมจากที่ไหน เพราะดูท่าแล้วคุณแม่ของพอร์ชคงทำได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
“สิ่งที่เธอต้องทำคือการพาตาพอร์ชไปที่สนามบิน ที่เหลือฉันจะจัดการต่อเอง”
ผมหลุบตามองวันที่และเวลาที่เครื่องบินออก…
สัปดาห์หน้า
“มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ ทำไมคุณต้องโกหกเขาแบบนั้นด้วย คุณเป็นแม่เขานะครับ” ผมเอ่ยด้วยความโมโห บ้าบอที่สุด ถ้าอยากโกหกก็โกหกไปคนเดียวสิ ทำไมต้องลากผมไปเกี่ยวด้วย ให้ผมหลอกพอร์ชแบบนั้น ผมทำไม่ได้หรอก
“ใช่ เพราะฉันเป็นแม่ไง!!”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่สวนขึ้นทันควันทำให้ผมสะดุ้ง
“เธอไม่เคยมีลูก เธอไม่เข้าใจหรอก ฉันอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของฉัน ฉันอยากให้เขามั่นคงในที่ของตัวเอง เมื่อวันที่ฉันไม่อยู่เขาจะต้องดูแลรักษาทรัพย์สมบัติที่ควรเป็นของเขาเอาไว้ให้ได้ ใครก็ตามจะเอาเปรียบเขาไม่ได้ ฉันไม่ยอม!!”
ผมนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อคิดตามในสิ่งที่เธอพูดให้ดีๆ ผมก็เข้าใจว่าเธอทำเพื่อพอร์ชมามากแค่ไหน เธอรักและหวังดีกับเขา แต่ผมกลับคิดว่าพอร์ชควรได้มีโอกาสตัดสินใจด้วยตัวเอง เขาอยากจะอยู่ที่นี่หรือไปเรียนต่อที่อเมริกาย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ผมจะลองพยายามคุยกับเขาในเรื่องนี้อีกที เพราะยังไงระยะทางหรือความห่างไกลก็ไม่ได้มีผลกับผมอยู่แล้ว
“พอร์ชไม่ใช่คนโง่ ต่อให้เขาไม่ได้ไปเรียนที่อเมริกา เขาก็สามารถบริหารบริษัทให้คุณได้” ผมเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“ใช่ เว้นแต่เขาจะไม่ได้ป่วย”
คุณแม่ของพอร์ชเหยียดยิ้มที่มุมปาก สายตาที่มองตรงมายังผมฉายแววเย็นชาแบบปิดไม่มิด
“เขา…ป่วยเหรอครับ”
ผมชะงักไปครู่หนึ่งกว่าจะอ้าปากถามออกมาได้ พอร์ชมีโรคประจำตัวด้วยหรือ? ผมเห็นหมอนั่นแข็งแรงอย่างกับม้า เป็นถึงนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัย ไม่เห็นมีอาการอะไรที่แสดงว่าเจ็บป่วยเลย
“เธอคบกับเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไรงั้นหรือ?”
ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ผมไม่รู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร และพอร์ชก็ไม่เคยบอกผมในเรื่องนี้เลย อืม…ที่จริงแล้ว ผมคิดว่ามีอีกหลายเรื่องที่พอร์ชไม่เคยบอกผม และผมก็ไม่เคยถาม เพราะถ้าพอร์ชอยากบอกผม เขาก็บอกมาเองนั่นแหละ
“ตาพอร์ชป่วยเป็นโรค Prosopagnosia”
อะไรนะ? ผม…ไม่รู้จักอ่ะ





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
«ตอบ #82 เมื่อ10-01-2020 21:25:27 »

โรคอะไร จริงหรือหลอกคะ คุณแม่

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
«ตอบ #83 เมื่อ12-01-2020 00:05:13 »

มันคือโรคอะไร ปวดใจกันไปอีก

ออฟไลน์ Noyyyyyyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
«ตอบ #84 เมื่อ17-01-2020 13:01:55 »

แล้วพี่พอร์ชจะจำวินได้ไหมเนี่ย :hao5:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
«ตอบ #85 เมื่อ17-01-2020 16:07:09 »

บทที่ 28 ทอดทิ้ง


“Prosopagnosia คือภาวะเสียการรับรู้ของใบหน้า ตาพอร์ชไม่สามารถจดจำใบหน้าของใครได้เลย แล้วเธอคิดหรือว่าเขาจะสามารถทำงานกับคนที่คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบเขาอยู่ตลอดเวลาได้ เขาจะแยกศัตรูแต่ละประเภทออกได้มั้ย เขาเข้มแข็งมากพอหรือยัง”
ผมพยายามย่อยข้อมูลที่ได้มาเงียบๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีโรคจำหน้าคนไม่ได้แบบนี้อยู่ด้วย ผมยอมรับนะว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่แอบคิดว่ามันก็ดีแล้วที่พอร์ชป่วยเป็นโรค Prosopagnosia เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เจ็บป่วยทางร่างกาย ยังสามารถมีชีวิตที่แข็งแรงและอยู่ต่อไปได้อีกนาน
แต่ถ้าคิดในมุมมองของพอร์ช เขาคงทุกข์ใจไม่น้อยที่ไม่สามารถจดจำใบหน้าของใครได้เลย และมันคงเป็นปัญหาใหญ่ในการทำงานของเขามากจริงๆ แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็อธิบายถึงนิสัยแปลกๆที่ไม่แยแสคนรอบข้างของเขาได้ดี
“โรคนี้ยังไม่มีการรักษา แต่ฉันได้ติดต่อสถาบันวิจัยด้านการแพทย์ของอเมริกาไว้แล้ว ทางนั้นเขาอยากได้ตาพอร์ชมาเป็นกรณีศึกษา ดังนั้นฉันจึงคิดว่าเขายังมีโอกาสที่จะหาย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ 1% แต่ฉันก็อยากให้เขาลองดู เขาสามารถเรียนต่อโทที่นั่นควบคู่ไปกับการรักษาได้ มันจะดีต่อเขามากถ้าเขาไป”
นั่นสิ…
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณแม่ของพอร์ชจึงอยากให้ลูกชายคนเดียวไปอเมริกา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็เป็นเรื่องสมควรที่พอร์ชควรทำเพื่อตัวเอง เพียงแต่บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่าพอร์ชกำลังคิดอะไรอยู่ ผมสำคัญกับเขามากขนาดที่ว่าขาดไม่ได้เลยหรือ?
“ส่วนถ้าเขาไม่หาย ฉันก็ได้เตรียมผู้เชี่ยวชาญสำหรับผู้พิการทางสายตาไว้ให้เขาแล้ว เขาต้องรู้วิธีรับมือกับคนที่เขาจดจำใบหน้าไม่ได้”
“แต่พอร์ชจำผมได้”
ผมแย้ง โรค Prosopagnosia มีข้อยกเว้นมั้ยนะ ถ้าเจอหน้ากันบ่อยๆจะสามารถจดจำได้เองหรือเปล่า?
“เขาไม่ได้จำใบหน้าของเธอ แต่เขาจำเสียงและลักษณะท่าทางการเดินของเธอ แต่มันก็แค่คนที่เขาสนิทด้วยเท่านั้น คนที่ไม่สนิทเขาไม่สามารถจำเรื่องพวกนี้ได้ อีกอย่างเขาจะได้เรียนรู้วิธีการสังเกตและการจดจำลักษณะของคนอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ”
คุณแม่ของพอร์ชอธิบาย ซึ่งลึกๆแล้วผมกำลังจนมุมกับเหตุผลของเธอ
“เธออยากให้ฉันส่งเธอเรียนต่อสูงๆมั้ย ที่ไหนก็ได้ ฉันจะให้ทุนแบบไม่ต้องใช้คืน ขอแค่เธอทำตามที่ฉันบอก แค่พาเขาไปที่สนามบิน ทิ้งเขาไว้แล้วออกไปจากชีวิตของเขา ตาพอร์ชจำเธอไม่ได้อยู่แล้ว เขาไม่มีทางหาเธอเจอ”
ผมหลุบตาลง รู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าว แต่ผมไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าของเธอ ผมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้เงินฟาดหัวผมตามประสาคนรวย เธอพูดเหมือนมันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แค่ให้ผมพาพอร์ชไปส่งที่สนามบิน แต่ก่อนจะทำแบบนั้นผมต้องโกหกอะไรกับเขาไปบ้าง แล้วผมก็เคยสัญญากับเขาไว้แล้วว่าจะไม่โกหกเขาอีก
“ผมชอบพอร์ชจริงๆนะครับ” ผมเอ่ยเบาๆ ผมทนความห่างไกลจากพอร์ชได้ แต่ผมโกหกเขาไม่ได้
“ถ้าให้ฉันพูดแบบใจร้าย…”
คุณแม่ของพอร์ชเริ่ม เธอเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่ากำลังลังเล ก่อนจะตัดใจใช้ถ้อยคำที่โหดร้ายกับผม
“ฉันอยากให้เธอออกไปจากชีวิตลูกชายของฉัน เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย มันเป็นแค่ความหลงใหลชั่วคราว มันอาจต้องใช้เวลาแต่ฉันเชื่อว่าเขาจะกลับไปชอบผู้หญิงได้เหมือนเดิม”
ฟังแล้วเจ็บชะมัดเลย ผมยอมรับว่าหัวใจกำลังชาจนพูดไม่ออก ทำไมการที่ผมกับพอร์ชรู้สึกดีต่อกัน จึงกลายเป็นผมกำลังทำร้ายเขาล่ะ
“ดะ เดี๋ยวครับ”
ผมตกใจจนร้องออกมาแบบตะกุกตะกัก เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็ลุกจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าของผม ทำให้ผมรีบคุกเข่าลงบนพื้นแทบไม่ทัน
“ขอร้องล่ะ เธอรักตาพอร์ชได้ไม่เท่ากับที่ฉันรักหรอกนะ ได้โปรดปล่อยลูกชายของฉันให้ไปเจอสิ่งดีๆที่คู่ควรกับเขาเถอะ”
ในฐานะของคนเป็นแม่ ย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อลูก ย่อมต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่ผมรู้ดีว่า…
สิ่งดีๆที่ว่านั้น ไม่ใช่ผม!


สนามบินสุวรรณภูมิ
“วิน”
ผมสะดุ้งเมื่อมือหนึ่งเอื้อมมาเขย่าแขนของผมแรงๆ ขาสองข้างที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองหน้าของพอร์ชอย่างมีคำถาม
“เป็นอะไร กังวลเหรอ?” พอร์ชถาม สีหน้าของเขาฉายความข้องใจกับปฎิกิริยาของผมในวันนี้
“เปล่า”
ผมปฎิเสธเสียงแผ่ว วันนี้เป็นวันที่พอร์ชต้องเดินทางไปอเมริกา หมอนั่นยิ้มหน้าบานตั้งแต่เช้าเพราะเขาเข้าใจว่าพวกเราจะไปเรียนด้วยกัน ส่วนผมที่พยายามอย่างหนักในการทำตัวให้เป็นปกติกลับรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ผมไม่เคยรู้เลยว่าการยิ้มให้พอร์ชเป็นเรื่องที่ยากไปตั้งแต่เมื่อไร
“แน่ใจนะว่าพ่อกับแม่มึงอนุญาตแล้ว ไม่ใช่ว่าแอบหนีตามกูมานะ”
พอร์ชถามยิ้มๆส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ การโกหกเรื่องที่หนึ่ง ทำให้ผมต้องโกหกเรื่องที่สองและสามตามมาอย่างช่วยไม่ได้
“แน่ใจ”
ผมกับพอร์ชเดินไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบินแห่งหนึ่ง ผมโหลดกระเป๋าเดินทางที่แม่ของพอร์ชเตรียมไว้ให้อย่างแนบเนียน เมื่อผมไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับไฟต์ดังกล่าว กระเป๋าจะถูกยกลงมาให้แล้วผมก็ตั้งใจว่าจะเอามันไปคืนให้กับแม่ของพอร์ช ผมไม่อยากรับอะไรจากเธอทั้งนั้น ถ้าผมต้องไป ผมยินดีไปพร้อมกับความทรงจำดีๆที่มีต่อพอร์ช ไม่ใช่ไปเพราะเงินหรือทรัพย์สินของเธอ
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงเครื่องจึงจะออก ระหว่างนั้นผมกับพอร์ชตัดสินใจว่าจะไปนั่งรออยู่ที่หน้าเกท พวกเราใช้เวลาพูดคุยกันในเรื่องที่อยากจะทำต่อจากนี้ พอร์ชสัญญากับผมว่าเมื่อพวกเรากลับมาที่ประเทศไทยในช่วงปิดเทอมเราจะไปหาดบางแสนด้วยกัน หลังจากที่ครั้งก่อนพวกเราพลาดโอกาสที่จะได้ไปเดตด้วยกัน
“เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมเอ่ยขึ้นมาเมื่อใกล้จะได้เวลาเครื่องออก
“ไปด้วย” พอร์ชขยับตัวทำท่าจะลุกตามผมไปเข้าห้องน้ำ แต่ผมรีบผลักไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้กลับไปนั่งบนเก้าอี้เช่นเดิม
“ไม่ต้อง” ผมเปิดประเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลัง แล้วหยิบหนังสือ ‘เรื่องเล่าในต่างเเดน’ มายัดใส่มือของพอร์ชที่ทำหน้างุนงง
“ฝากนี่ด้วย เอาไว้อ่านฆ่าเวลาถ้ากูมาช้า”
“เร็วๆนะวิน”
พอร์ชตะโกนไล่หลัง ทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวจากเขามา ถ้าครั้งนี้ผมจากเขาไปแล้ว โอกาสที่ผมจะได้เจอเขาเป็นครั้งที่สองแทบไม่มีเลย ผมหลับตาลงช้าๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปหาพอร์ช หมอนั่นเงยหน้ามองผมด้วยความแปลกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเขินเมื่อผมโน้มใบหน้าลงไปประทับจูบลงบนหน้าผากของเขาเบาๆโดยไม่แคร์สายตาของคนรอบข้าง
“รีบไปได้แล้วเดี๋ยวเครื่องออก”
“อืม”
ผมพยักหน้า ครั้งนี้ผมก้าวเท้าจากเขามาอย่างไม่ลังเล อะไรจะเกิดย่อมต้องเกิด เพราะผมได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางของผมแล้ว
ผมหลบไปอยู่ในมุมที่คาดว่าสายตาของพอร์ชจะมองมาไม่เห็น ก่อนจะหยิบเสื้อยืดแขนยาวที่ซื้อมาใหม่จากกระเป๋าเป้ แล้วสวมทับเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น ผมรู้ว่าหมอนั่นจำเสื้อผ้าของผมได้ ดังนั้นผมต้องเปลี่ยนมัน ถ้าหากผมไม่พูด เขาย่อมหาผมไม่เจอ
ผ่านไปเกือบสิบนาที ผมได้แต่ยืนหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง มองพอร์ชที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเกทเงียบๆ เขาโทรมาหาผมหลายครั้ง รวมทั้งข้อความที่ส่งเข้ามาถี่ๆทำให้ผมต้องปิดเครื่อง และตั้งใจว่าหลังจากนี้จะเปลี่ยนเบอร์โทร ปิดเฟสบุ๊คและทุกช่องทางการติดต่อ
ใกล้จะได้เวลาเครื่องออกเข้าไปทุกทีแล้ว พอร์ชดูท่าทางกังวล เขาเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปตามหาผมในห้องน้ำใกล้ๆนี้ เขาเดินผ่านหน้าผมหลายรอบแต่ไม่ได้เหลือบตามามองเลย นั่นยืนยันได้ถึงอาการป่วยของเขาที่เกินจะเยียวยา
ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ย ที่ปล่อยเขาไป…
พอร์ชยังถือหนังสือเล่มที่ผมส่งให้เขาไว้ตลอดเวลา ในขณะที่พนักงานของสายการบินเริ่มประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง พอร์ชเป็นคนฉลาด ผมรู้ว่าเขาจะเปิดหนังสือเล่มนั้น และนาทีต่อมาเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขาใช้ปลายนิ้วกรีดหนังสือเร็วๆรอบหนึ่งเมื่อเห็นว่ามีกระดาษสีขาวถูกสอดเอาไว้ด้านในก็รีบหยิบมันออกมาอ่าน…
ผมบอกแม่ของพอร์ชว่าจะทำให้เขาขึ้นเครื่องบินไปอเมริกา แต่ขออย่าให้คนของเธอที่รออยู่รอบๆสนามบินเข้าไปกดดันหรือบังคับให้เขาไป
ผมหวังว่าเวลาเกือบหนึ่งปีที่รู้จักกับเขาจะทำให้ผมคิดถูก…พอร์ชเป็นคนที่ไม่สามารถบีบบังคับได้ เขาเชื่อมั่นในความคิดและเหตุผลของตัวเอง ดังนั้นหากผมต้องการบีบบังคับเขา ผมต้องโจมตีที่หัวใจเพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขายอมจำนนและตัดสินใจจากไปเอง
อันที่จริง ผมควรเอ่ยปากบอกเขาตรงๆ ไม่ว่ายังไงพอร์ชย่อมทำตามคำขอของผม เพียงแต่ว่าความขี้ขลาดทำให้ผมไม่กล้าบอกกับเขาด้วยตัวเอง จำต้องบอกผ่านจดหมายเพราะผมกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ หรือหากได้ยินคำขอร้องจากเขา ผมจะตัดสินใจปล่อยให้เขาจากไปไม่ได้
ทุกการกระทำของพอร์ชล้วนอยู่ในสายตาของผมทั้งหมด สีหน้าของเขาหลังจากอ่านจดหมายดูย่ำแย่มาก เขาสอดกระดาษกลับไว้ในหนังสือเช่นเดิม มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมใบหน้า และนาทีต่อมาผมจึงรู้ว่าเขากำลังร้องไห้…ผมทำให้คนที่รักผมต้องร้องไห้ น้ำตาของผมไหลออกมาช้าๆขณะที่พอร์ชเดินจากไป
เขาตัดสินใจไปอเมริกาตามคำขอของผม…ผมควรดีใจใช่หรือเปล่า?


กูมีเรื่องอยากสารภาพกับมึง ความจริงแล้วกูโกหก กูไม่ได้ตั้งใจจะไปอเมริกากับมึง ตอนนี้มึงคงจะโกรธกูมากแล้วก็คงคิดว่ายังไงก็จะไม่ยอมไปอเมริกาคนเดียว มึงจะทำทุกอย่างเพื่อหากูให้เจอแล้วค่อยแตะก้นกูล่ะมั้ง แต่ต่อให้มึงทำแบบนั้น กูก็ไม่ยอมให้มึงลากกูไปด้วยหรอก มึงยึดติดอยู่กับกูมากเกินไปแล้ว กูอยากให้มึงทำเพื่อตัวเองบ้าง แม่ของมึงบอกว่ามึงป่วยและก่อนหน้านี้มึงก็ตั้งใจจะไปเรียนต่อโทที่อเมริกาอยู่แล้ว แล้วมึงลองคิดดูนะว่ากูจะรู้สึกยังไงที่กลายเป็นตัวถ่วงในชีวิตของมึง มึงบอกว่ารักกู มึงทำทุกอย่างได้เพื่อกู แล้วถ้าตอนนี้กูขอร้องให้มึงไปอเมริกา มึงจะทำเพื่อกูได้มั้ย? ถ้าไม่ได้มึงก็อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก มึงจะกลับมาหากูได้ก็ต่อเมื่อมึงประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วเท่านั้น กูอยากเห็นมึงดูแลกิจการของที่บ้านได้อย่างมั่นคง เมื่อถึงตอนนั้นถ้ามึงยังต้องการกู กูจะไม่ไปจากมึงอีก
-วิน-





:sad4:


ผลงานในเล้าเป็ด

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
«ตอบ #86 เมื่อ17-01-2020 18:02:56 »

พอร์ชรักษาหายใช่ไหม
ตอนนี้พอร์ชกลับมาหาวินแล้ว

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
«ตอบ #87 เมื่อ17-01-2020 19:11:26 »

เชื่อว่าพอร์ชไม่เคยลืมวินได้เลย เขาไปเพื่อทำทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วกลับมาหาวินใช่ไหม

อยากรู้เรื่องใจจะขาดแล้วครับ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
«ตอบ #88 เมื่อ18-01-2020 21:13:34 »

ไม่ได้ลืมกันใช่มั้ย ถึงจะจำหน้าไม่ได้แต่ความรุ้สึกจะบอกใช่ป่าว

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
«ตอบ #89 เมื่อ20-01-2020 15:28:12 »

คุณแม่ใจร้าย สงสารทั้งคู่เลย :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด