Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5  (อ่าน 32182 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 16/09/2562 [บทที่10]
«ตอบ #30 เมื่อ21-09-2019 22:10:05 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/09/2562 [บทที่11]
«ตอบ #31 เมื่อ24-09-2019 04:41:47 »


บทที่ 11 รู้หน้าไม่รู้ใจ


ผมครางในลำคอเบาๆเมื่อเหงื่อที่ไหลท่วมหน้าผาก ไหลเข้ามาในดวงตาข้างหนึ่ง ฮืออออ แสบมากเลยอ่ะ ผมวางมือจากงานที่ทำแล้วใช้หลังมือขยี้ตา ซึ่งเป็นความคิดที่โคตรผิดเพราะมีแต่จะยิ่งทำให้ดวงตาของผมแดงก่ำ

“โง่”

ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำด่าลอยๆจากฉัตรชนก เขาวางค้อนในมือแล้วพยายามดึงมือของผมออกจากดวงตา

“ยุ่ง”

“เป็นอะไรเปล่ามึง” ไอ้แว่นหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมยกมือข้างหนึ่งปิดตา

“ไม่ แค่แสบตา”

ผมเอ่ย รู้สึกว่ามือที่สกปรกของผมจะทำให้อาการเคืองตารุนแรงกว่าเดิม กำลังคิดว่าจะพักล้างหน้าล้างตาก็พอดีกับที่ฉัตรหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาใช้มืออีกข้างจับปลายคางของผมไว้แล้วบังคับให้หันหน้าไปหาเขา

“ปล่อยดิ” ผมพยายามสะบัดปลายคางให้หลุดจากมือของฉัตร แต่หมอนั่นไม่ปล่อย เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อไปตามกรอบหน้าของผมจนสะอาด แต่แม่งไม่ได้มีความอ่อนโยนกับกูเล้ย เรียกว่าบังคับเช็ดหน้ามากกว่า

“อยู่เฉยๆ”

ฉัตรเอ่ยเรียบๆแต่น้ำเสียงแม่งฟังแล้วเหมือนโดนข่มขู่ ทำให้ผมยอมอยู่เฉยตามที่ถูกสั่ง คือผมไม่อยากถูกมือใหญ่ของเขาบีบคางแตกนะครับ แรงของหมอนี่ก็ไม่ใช่น้อยๆเลย

ฉัตรจับผมให้เงยหน้าขึ้นแล้วใช้น้ำดื่มสะอาดจากขวดล้างตาให้ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับอีกครั้ง ผมรู้สึกดีขึ้นมาก พยายามกะพริบตาถี่ๆก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น 

สิ่งแรกที่ผมเห็นคือสายตาของฉัตรที่มองมาที่ผม อันที่จริง ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าดวงตาของเขาเป็นสีดำสนิทและค่อนข้างเย็นชา หรือจะเรียกว่าไร้ความรู้สึกเลยก็ได้

แต่ในตอนนี้ ตอนที่เขามองมาที่ผม ผมไม่รู้สึกว่าดวงตาของฉัตรเย็นชาเลย มันอ่อนโยนกว่าที่ผมเคยเห็นมาด้วยซ้ำ และช่วยไม่ได้จริงๆที่หัวใจของผมจะเริ่มหวั่นไหวไปกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆในครั้งนี้

โอ๊ย!!

เสียงร้องของติวเตอร์ทำให้ทุกคนชะงักแล้วหันไปมองเจ้าตัวเป็นตาเดียว ผมเห็นว่าเด็กนั่นกำลังเอามือกุมนิ้วชี้ที่มีเลือดสีแดงสดไหลท่วม

เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ เมื่อครู่ยังดีๆอยู่เลย

“พี่ฉัตรครับ เตอร์เลือดออก”

ติวเตอร์ลุกจากพื้นแล้ววิ่งมาทิ้งตัวลงข้างๆฉัตรก่อนจะซุกตัวเข้าหาเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น

“ไหน ให้พี่ดูซิเตอร์”

ไอ้แว่นมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันทิ้งท่อนไม้ในมือแล้ววิ่งเข้ามากุมมือของติวเตอร์ก่อนจะพยายามโอ๋ให้น้องหยุดร้องไห้

ผมเหลือบไปมองอุปกรณ์ที่เตอร์เคยจับก่อนจะเกิดเหตุ และเห็นว่ามีตะปูที่เปื้อนเลือดอยู่บนพื้นกับค้อนที่วางอยู่ข้างๆ ผมว่าหมอนี่คงเผลอใช้ตะปูตอกนิ้วของตัวเองแน่ๆเลย

“เจ็บมากเลยครับ”

ติวเตอร์หันไปเรียกร้องความสนใจจากไอ้แว่น เมื่อเห็นว่าฉัตรไม่ได้ให้ความสนใจกับตนเอง

“รีบไปห้องพยาบาลดิโว้ย มานั่งร้องไห้โหยหวนทำไม”

ไอ้พี่ไก่คนห่ามตะโกนขึ้นมาเพราะทนฟังเสียงร้องไห้โยเยไม่ไหว ซึ่งทำให้ทั้งติวเตอร์และไอ้แว่นสะดุ้งไปตามๆกัน

“ไปเร็วเตอร์ ลุกไหวมั้ยครับ”

ไอ้แว่นรีบประคองติวเตอร์ให้ลุกจากพื้น แต่ดูเหมือนว่าคนเจ็บจะไม่ให้ความร่วมมือเลย หมอนั่นพยายามทิ้งตัวมาพิงฉัตรชนก ซึ่งคนเย็นชาก็คือคนเย็นชาอ่ะครับ ผมไม่เห็นว่าฉัตรจะขยับเข้าไปช่วยเหลือเลย จะว่าไปบางครั้งฉัตรก็ทำตัวได้ใจร้ายใจดำเหมือนกันนะ

“มะ…”

ติวเตอร์กำลังจะอ้าปากร้องว่าไม่ไหว แต่กลับถูกพี่ไก่เอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน

“จะไม่ไหวได้ไง แค่โดนตะปูตอกนิ้ว ไม่ได้ขาพิการ”

“ฮืออออ เตอร์กลัวอ่ะ ขาสั่นเดินไม่ไหวแล้ว”

ติวเตอร์แหกปากร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม โชคดีที่แถวนี้ไกลจากลานกว้างหน้าโรงเรียนพอสมควร ไม่งั้นคนอื่นๆในค่ายคงตกอกตกใจกันหมดแล้ว คือหมอนี่โวยวายอย่างกับควายโดนเชือดอ่ะครับ ถ้ามันเจ็บขนาดนั้นทำไมไม่รีบวิ่งไปทำแผลห้ามเลือดล่ะ

“มาครับ พี่จะประคองเตอร์ไปนะ”

ไอ้แว่นพยายามปลอบโยนแต่ติวเตอร์ก็เอาแต่ส่ายหน้าปฎิเสธ

“เตอร์ไม่ไหวจริงๆนะ”

ติวเตอร์อ้อนวอน โชคดีที่หมอนี่เกิดมาหน้าตาน่ารัก คือคนน่ารักทำอะไรก็น่ารักครับ ถึงผมจะรำคาญแต่ก็อดสงสารไม่ได้ ตัวก็เล็กบอบบางแล้วเสร่อมาทำงานหนักๆทำไม วินไม่เข้าใจ

“พี่ฉัตร--”

“เงียบสักที”

ฉัตรตัดบทก่อนจะกระชากแขนของติวเตอร์ให้ลุกจากพื้นแล้วลากไปตามทางเดิน โดยที่ติวเตอร์ไม่ได้ปริปากร้องอีกเลย

ไหนว่าเดินไม่ไหวไงวะ?

 

 

“น้องเตอร์น่าสงสารมากเลยแก อุตสาห์มีน้ำใจไปช่วยทำโต๊ะทำเก้าอี้แต่กลับถูกตะปูตอกนิ้ว เลือดอาบมือเลยอ่ะ”

เสียงซุบซิบที่ลอยมาเข้าหู เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองต้นเสียง จึงเห็นว่าคนพูดคือพี่ปิงลี่ที่กำลังนั่งคนแกงในหม้อใบใหญ่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆคือพี่ปิ่น รุ่นพี่ปีสี่จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

“จริงดิ แล้วน้องมันเป็นไงบ้างวะ” พี่ปิ่นถามขณะหันกะหล่ำปลีใส่ลงในตะกร้าเพื่อเตรียมไว้สำหรับทำผัดผักรวม

ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น ผมและรุ่นพี่ส่วนหนึ่งรับหน้าที่ทำอาหารมื้อเย็นสำหรับทุกคนในค่าย ในมื้อเช้าและมื้อกลางวันจะมีคุณครูและชาวบ้านอาสามาเตรียมอาหารให้พวกเรา แต่มื้อเย็นพวกเราต้องช่วยเหลือตัวเองโดยมีวัตถุดิบจากลุงๆป้าๆที่ใจดีบริจาคให้ ถึงรสชาติอาหารที่พวกเราทำกันเองอาจจะไม่อร่อยเท่าไร แต่ก็ถือว่าไม่อดอยาก

“ครูใหญ่พาไปโรงพยาบาลใกล้ๆนี้แล้ว น่าจะกลับมาแล้วนะ” พี่ปิงตอบ

“อ้าว แล้วตอนนี้อยู่ไหน”

“ห้องพยาบาลในโรงเรียนมั้ง”

ในโรงเรียนจงสวัสดิ์มีห้องพยาบาลเล็กๆหนึ่งห้องที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับให้นักเรียนที่ป่วย รวมถึงชาวบ้านที่ป่วยเข้ามาใช้บริการ โดยมีหมออาสาจากกรุงเทพประจำอยู่ที่หมู่บ้านหนึ่งคน แต่อุปกรณ์ที่ไม่ได้ครบครันทำให้คุณครูใหญ่ต้องรีบพาติวเตอร์ไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล

“แล้วมีใครเอาข้าวไปให้น้องมันหรือยังเนี่ย เดี๋ยวเจ้าพวกนี้ก็แดกกันหมดหรอก”

พี่ปิ่นถาม ซึ่งผมคิดว่ากับข้าวอาจจะหมดก่อนข้าวก็ได้ เพราะขนาดยังทำอาหารไม่ครบทุกเมนู ก็มักจะมีเด็กค่ายบางคนแวบมาขโมยอาหารนิดๆหน่อยๆใส่ปากก่อนจะแอบออกไปจากห้องครัว ถ้าคนหรือสองคนมันคงไม่หมด แต่เพราะการทำงานอย่างหนักมาทั้งวันทำให้หลายคนหิวโซและพร้อมจะขโมยของกินได้ทุกเมื่อบางครั้งก็ถูกพี่ปิงลี่ตะโกนด่า ตะโกนไล่ หนักสุดถ้าหัวขโมยเป็นผู้ชายก็จะโดนพี่ปิงลี่ลวนลามก่อนปล่อยตัว

“เออจริงด้วย หล่อนตักข้าวไปให้น้องทีซิ๊”

พี่ปิงลี่หันไปบอกพี่ปิ่น ซึ่งถูกถลึงตาใส่ทันที

“แกเห็นมั้ยฉันทำอะไรอยู่”

พี่ปิ่นยกมีดในมือประกอบคำพูด ซึ่งพี่ปิงลี่ก็เพียงแค่ยักไหล่

“ฉันก็ไม่ว่างเหมือนกัน ต้องดูเด็ก”

“แหม ดูเด็ก งานใหญ่มากเลยนะคะ”

ดูเด็กในที่นี้ก็คือการดูเด็กจริงๆแหละครับ ดูไม่ให้เด็กมาขโมยอาหาร แล้วก็ดูเด็กผู้ชายที่เดินถอดเสื้อเพราะอากาศร้อน

“น้อองงงงง น้องอ่ะ!”

ผมหันหน้าไปมองทางต้นเสียงอีกครั้งก็เห็นว่าพี่ปิงลี่กำลังกวักมือ เอ่อ เรียกผมเหรอ?

“น้องแหละ สุดหล่อมานี่”

ผมชี้นิ้วมาที่อกของตัวเองเป็นการถามย้ำว่าเรียกผมใช่มั้ย ซึ่งพี่ปิงลี่ก็พยักหน้า ผมจึงวางมีดที่ใช้หันเห็ดฟางไว้บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

“รู้จักห้องพยาบาลมั้ย”

“รู้ครับ” ผมพยักหน้าช้าๆ

“เดี๋ยวช่วยตักข้าวไปให้คนที่นอนอยู่ในห้องพยาบาลหน่อยนะ พี่ขอรบกวนหน่อย”

“ได้ครับ”

ผมตอบรับ แล้วเดินไปหยิบจานมาตักข้าวและกับข้าวดีๆไว้ให้ติวเตอร์ ถึงผมจะหมั่นไส้และลำไยความเรื่องเยอะของเด็กนั่น แต่ผมก็ต้องยอมรับนะว่าติวเตอร์เป็นคนที่มีน้ำใจระดับหนึ่งเลย คนส่วนใหญ่ในค่ายต่างก็ชื่นชมและเอ็นดูเขา

“อร๊ายยยย!! หล่อแล้วยังใจดี ชื่อไรอ่า”

ผมสะดุ้งจนเกือบเทข้าวในจานทิ้ง ห่ารากเอ๊ย จู่ๆไอ้พี่ปิงก็มายืนซะชิดแผ่นหลังของผมแล้วตะโกนด้วยเสียงแรดๆกรอกหู ทำเอาหูผมอื้อไปเลยครับ

“วินครับ”

ผมตอบเรียบๆ พยายามไม่อารมณ์เสีย ผมไม่ได้รังเกียจกะเทยนะครับ แต่ผมไม่ชอบถูกกะเทยลวนลามอ่ะ มันน่ากลัว

“กรี๊ดดดดด ชื่อเท่ไปอีก เรียนคณะไรเหรอ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

“น้อง!!!! รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน”

เมื่อได้รับคำชี้แนะจากพี่ปิ่นผมก็พร้อมปฎบัติตาม รีบคว้าน้ำดื่มหนึ่งขวดกับจานอาหารแล้ววิ่งออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ยินเสียงแหลมๆของพี่ปิงลี่ที่ดังมาเข้าหู

“อร๊ายยยย อีปิ่น ทำไมแกต้องทำลายความหวังของเพื่อนด้วยฮะ เผื่อน้องเค้าชอบฉันล่ะ”

ไม่ชอบครับพี่ ไม่ชอบเด็ดขาดเลย!

 

 

“เออ!! กูบอกว่าตะปูตอกนิ้ว ได้ยินมั้ยเนี่ย!!” ผมชะงักมือที่กำลังจะเคาะประตูห้องพยาบาลเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของติวเตอร์

เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผมเดาได้ว่าติวเตอร์กำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจก็คือน้ำเสียงที่เขาใช้ ปกติเด็กนี่เป็นคนพูดจานุ่มหู แม้จะพูดกับเพื่อนร่วมค่ายเขาก็พูดจาไพเราะมาก น้อยครั้งที่ผมจะได้ยินคำหยาบ แต่ตอนนี้ที่เขากำลังคุยกับใครบางคนอยู่ น้ำเสียงของเขามันค่อนข้างเหวี่ยงๆวีนๆเหมือนเด็กเอาแต่ใจ แต่ใจความในเรื่องที่คุยต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึก…เกลียด!

“บ้านนอกก็แบบนี้แหละ สัญญาณไม่ดี”

“…”

“อะไรนะ! นี่มึงคิดว่ากูโง่ขนาดโดนตะปูตอกนิ้วหรือไง กูแกล้งทำต่างหาก”

“…”

“คุ้มหรือเปล่าไม่รู้ แต่กูก็ดูเป็นคนดีปะล่ะ”

“…”

“อีกเดี๋ยวพี่ฉัตรก็ใจอ่อน ไม่งั้นไม่ตามกูมาถึงที่นี่หรอก”

“…”

“ใครมโน ตบปากเดี๋ยวนี้ ถ้าพี่ฉัตรไม่มาหากู เขาจะมาหาใคร ในค่ายก็มีกูคนเดียวเนี่ยแหละที่น่ารักที่สุด”

“…”

“แค่นี้นะอีดอก คุยกับมึงแล้วอารมณ์เสีย ไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติมอีกอีเพื่อนบ้า!!”

ผมยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูเกือบสิบนาทีหลังจากที่ติวเตอร์วางสายจากเพื่อน ผมแม่งไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอนี่แกล้งทำ ผมพอจะรู้ว่าเขาชอบฉัตรเอามากๆ แต่มันจำเป็นต้องลงทุนสร้างภาพกันขนาดนี้เลยเหรอ มันไม่เหนื่อยหรือไง ต้องแกล้งทำตัวว่าดี ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ได้ออกมาจากใจจริงๆ เพื่อแลกกับการที่คนรอบข้างมองว่าดี…คนแบบนี้ก็มีนะครับ

รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูห้องพยาบาลเบาๆหลังจากที่ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้แล้ว แม่งรู้สึกว่าอยากเทข้าวให้หมาแดกเลยอ่ะ คนแบบนี้น่าจะปล่อยให้หาข้าวกินเอง

“เข้ามาเลยครับ ประตูไม่ได้ล็อค”

ผมแอบเบะปากใส่ประตูด้วยความหมั่นไส้ เมื่อสิบนาทีก่อนยังเหวี่ยงใส่เพื่อนอยู่เลย ทีตอนนี้นะ เสียงอ่อนเสียงหวานเลยครับ ตอแหลเป็นที่หนึ่งจริงๆ

“พี่ปิงให้เอาข้าวมาให้”

ผมเอ่ยกับติวเตอร์ขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องพยาบาล หมอนั่นกำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนุ่มด้วยความสบาย มีทั้งผ้าห่มผืนหนาและพัดลมให้ความเย็น

สาบานสิว่ามึงเจ็บนิ้ว ทำอย่างกับว่าเจ็บขาปางตาย!

“ขอบคุณนะครับ”

ติวเตอร์เอ่ยขอบคุณผมด้วยรอยยิ้มหวาน ถ้าเมื่อสิบนาทีก่อนผมไม่ได้ยินบทสนทนาของเขากับเพื่อน ผมคงรู้สึกดีกว่านี้ แต่ตอนนี้คำขอบคุณของเขาไม่มีความหมายสำหรับผมเลย ผมวางจานอาหารกับขวดน้ำดื่มไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะเดินออกไปจากห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว

คราวหน้ากูไม่ยกข้าวมาให้มึงแล้ว ไอ้เด็กเปรต!

 

 

“มึง กูหนาวว่ะ รีบไปอาบน้ำกัน”

ผมที่กำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นในห้องพักรวมเหลือบตาไปมองไอ้แว่นที่นั่งเอาผ้าเช็ดตัวห่อร่างกายไว้ ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆ เด็กค่ายเริ่มทยอยกันไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำรวมทั้งแต่หกโมงเย็นแล้ว ส่วนผมที่ไม่ชอบอาบน้ำร่วมกับคนเยอะๆจึงแก้ปัญหาด้วยการรอให้คนอื่นอาบน้ำให้เสร็จก่อน

“เออ”

ผมตอบรับเมื่อเห็นว่าคนอื่นๆในห้องพักต่างก็อาบน้ำกันหมดแล้ว

เอ…คนที่ผมยังไม่เห็นหัวตั้งแต่เมื่อเย็นก็คือฉัตรกับติวเตอร์ แต่ผมว่ารายนี้อาจจะหาข้ออ้างนอนคนเดียวสบายๆในห้องพยาบาลก็ได้

ผมกับไอ้แว่นหยิบผ้าเช็ดตัวและชุดนอน ก่อนจะหิ้วตะเกียงน้ำมันใบเล็กแล้วเดินไปตามทางเดินมืดๆหลังโรงเรียน อากาศยามค่ำค่อนข้างหนาวและมีลมพัดแรงมาก ผมเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ผิดมากที่ยอมมาอาบน้ำตอนสองทุ่มอ่ะครับ

ผมกับไอ้แว่นใช้เวลาในการเดินมาที่ห้องอาบน้ำรวมประมาณห้านาที ในตอนที่ผมกำลังจะผลักประตูสังกะสีเข้าไปในห้องอาบน้ำก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงครางกระเซ้าของติวเตอร์ดังลอดออกมาให้ได้ยิน

“พะ…พี่ฉัตรรรร… ครับ…เตอร์…อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊า!!!”

วอท เดอะ ฟัค!

ผมหันไปมองไอ้แว่นหน้าตาตื่นแล้วขยับปากเป็นคำว่า ‘เค้าทำอะไรกันวะ’ คือผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย เสียงหอบหายใจกับ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า ขนาดนี้แล้ว ให้ผมคิดไปในทางที่ดีไม่ได้จริงๆนะ

สรุปว่าฉัตรเป็นไบจริงดิ หมอนั่นตามติวเตอร์มาออกค่ายจริงๆเหรอ นี่เป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้ผมช็อคมากเลยนะครับ

ม้ายยยยยยย!

ไอ้แว่นทำท่าแหกปากแบบไม่มีเสียง มันผลักผมไปให้พ้นทางก่อนจะแงมประตูให้เปิดออกอย่างแผ่วเบา โชคดีที่เสียงลมพัดกระแทกประตูสังกะสีกับเสียงยอดไม้ไหวเอนทำให้คนภายในไม่รู้ตัวเลยว่ามีโรคจิตสองคนกำลังถ้ำมอง

ภาพที่เห็นในห้องอาบน้ำไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของผมเท่าไร แต่มันก็ยังทำให้ผมช็อคซ้ำซ้อนอยู่ดี อย่างแรกคือ ฉัตรกับติวเตอร์ไม่ได้กำลังร่วมรักกันอย่างที่ผมมโน แต่อย่างที่สองที่ทำให้ผมช็อคหนักก็คือ ติวเตอร์กำลังช่วยตัวเองให้ฉัตรดู

ผมรู้ว่าหมอนี่ชอบฉัตรมาก แถมยังตอแหลเป็นเลิศแต่ผมไม่ทันคิดว่าหมอนี่จะแรดครบสูตร ถ้ายั่วยวนได้ขนาดนี้ พี่วินที่ผ่านชายมามากมายบอกได้เลยว่าน้องเตอร์ไม่ได้ไร้เดียงสาและซิงอย่างที่ชอบแสดงให้คนอื่นเข้าใจ จากลีลาการช่วยตัวเองทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างในตอนนี้ ผมบอกเลยว่าอย่างต่ำก็เป็นรับให้คนอื่นมาครึ่งชีวิตอ่ะครับ

ผมเหลือบไปมองหน้าไอ้แว่น มันยืนกัดปากตัวเองและกำมือแน่น ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดีครับ

คนที่เรารัก ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด มันต้องเจ็บปวดเป็นธรรมดา แต่มันก็ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ถือซะว่าความเจ็บปวดในครั้งนี้แลกมากับการที่ได้เปิดตาให้ตัวเอง

ผมกำลังจะลากไอ้แว่นไปสงบสติอารมณ์ให้ไกลจากที่นี่ ก็พอดีกับที่ประตูห้องอาบน้ำถูกผลักพรวดมาจากด้านในทำให้ผมกับไอ้แว่นหงายหลังล้มไปกองกับพื้น

“โอ๊ย!!!”

ผมแหกปากร้องลั่น ตอนล้มไม่ได้เจ็บครับ แต่เจ็บหนักตรงที่ไอ้แว่นล้มมาทับผมอ่ะดิ ซวยไปอีกนะกู

“ใครอ่ะ!!”

ผมได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากในห้องอาบน้ำ รวมถึงเสียงเคลื่อนไหว ผมเดาว่าติวเตอร์คงกำลังรีบแต่งตัวเพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่กับฉัตรสองต่อสองอีกแล้ว

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนเปิดประตู และเห็นว่าฉัตรชนกกำลังเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงขาสั้นมากกกกก กล้ามขาน่าฟัดโคตรๆเลย ผมสีดำและร่างกายของเขายังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ผิวขาวออร่ากับรูปร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำให้ผมตาค้าง

แจ๊บๆๆๆ

เมื่อเย็นก็คิดว่ากินข้าวอิ่มแล้วนะ แต่ตอนนี้เริ่มหิวอ่ะครับ

ผมไม่เคยเห็นฉัตรโป๊ในระยะประชิดแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อก่อนได้เห็นใกล้สุดก็สนามแข่งว่ายน้ำอ่ะครับ ก่อนหน้านี้เขายืนหันหลังด้วย ผมเลยไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่อารมณ์ในตอนนี้มันเย็นชามาก เขาปรายตามองผมกับไอ้แว่นนิ่งๆ ผมเห็นว่าไอ้แว่นแอบกลืนน้ำลาย ทำไม มึงกลัวอ่ะดิ ผมก็กลัวครับ กลัวโดนด่าอ่ะ แต่ฉัตรก็แค่เดินผ่านพวกเราไปเฉยๆโดยไม่ได้พูดอะไรเลย










ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/09/2562 [บทที่11]
«ตอบ #32 เมื่อ24-09-2019 13:53:45 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/09/2562 [บทที่12]
«ตอบ #33 เมื่อ30-09-2019 15:39:22 »


บทที่ 12 คนโกหก

 

เปลือกตาค่อยๆขยับเปิดออกเมื่อแสงแดดยามเช้าลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ผิวหน้า ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนโอบกอดในตอนที่พยายามจะลุกขึ้นนั่ง เมื่อหันไปมองต้นเหตุก็ต้องขมวดคิ้วเพราะฉัตรชนกแม่งแอบมานอนแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้แว่นอีกแล้ว แถมยังกอดผมไว้แน่นอีกต่างหาก

เมื่อคืนผมหลับสนิทเพราะรู้สึกว่าร่างกายได้รับความอบอุ่นกว่าทุกคืน จริงๆแล้วเป็นเพราะผ้าห่มของผมสองผืนที่ห่มหุ้มร่างกายเอาไว้และอีกสองผืนที่เป็นของฉัตร ผมไม่แน่ใจว่าหมอนั่นห่มผ้าให้ผมหรือผมฉกชิงมาเอง แต่เดาว่าน่าจะเป็นตัวผมเองมากกว่า เอาเป็นว่าความรู้สึกผิดเล็กๆในตอนนี้ทำให้ผมไม่ยกเท้ายันฉัตรออกไป แต่ค่อยๆแกะมือของหมอนั่นออกจากเอวก่อนจะห่มผ้าทั้งสี่ผืนให้กับเขา

วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ ขณะที่เด็กค่ายคนอื่นๆยังนอนอุตุอยู่ในห้องพักรวม แต่ภรรยาของครูใหญ่และชาวบ้านอาสาส่วนหนึ่งตื่นนอนมาเตรียมมื้อเช้าไว้ให้พวกเราแล้ว ซึ่งหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จผมก็ถือโอกาสกินมื้อเช้าก่อนคนอื่น วันนี้เป็นขนมปังก้อนกลมที่ยัดไส้เนื้อหมูกับผัก บางอันเป็นเนื้อไก่กับผักทำแจกคนละสองอัน และก็มีโกโก้ร้อนให้เติมแบบไม่อั้น ผมหยิบขนมปังไส้เนื้อหมูกับเนื้อไก่มาอย่างละหนึ่งก้อนแล้วเอามานั่งกินบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้เงียบๆคนเดียว

ผมพยายามไลน์หาพี่พอร์ชเป็นครั้งที่สิบในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาขาดการติดต่อกันผมอีกแล้ว และครั้งนี้เขาไม่ได้กดอ่านข้อความของผมเลยด้วยซ้ำ ซึ่งจริงๆแล้วอาทิตย์หน้าจะเป็นวันครบรอบสองเดือนที่พวกเราคุยกันและเขาต้องไปออกเดตกับผม ถ้าเจอตัวเมื่อไรนะ ผมจะตบกบาลเขาสักทีสองที คนบ้าอะไรไม่ชอบตอบไลน์แต่เสือกไม่ให้เบอร์โทร

“วิน”

ผมเงยหน้าไปตามเสียงเรียกและเห็นว่าเป็นฉัตรชนก เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ในมือกำลังถือขนมปังและแก้วน้ำของตัวเอง เขายืนห่างจากที่ผมนั่งพอสมควรเลย

“มีไร”

ผมตะโกนถาม คือมึงเดินเข้ามาใกล้ๆไม่ได้หรือไงวะ

“ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว”

เขาถามขณะที่เดินมาทรุดนั่งบนพื้นหญ้าข้างๆผม

“อยากนั่ง”

ผมไม่ได้กวนนะ แต่ผมอยากนั่งตรงนี้แล้วจะทำไมล่ะ ผมพยายามรัวสติ๊กเกอร์ใส่พี่พอร์ช แล้วจู่ๆไอ้คนข้างตัวก็ชะโงกหน้าเข้ามามองทำให้ผมรีบคว่ำหน้าจอไอโฟนแทบไม่ทัน

“อะไร”

ยังไม่ทันที่ฉัตรจะได้ตอบว่าเขามองอะไร ผมก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความหัวเสียดังมาจากด้านข้างโรงเรียนซึ่งไม่ไกลจากที่ผมนั่งอยู่ แต่ตรงนั้นค่อนข้างเป็นมุมอับทำให้ผมมองหน้ากลุ่มคนที่ยืนกันอยู่สามคนไม่ถนัด แต่ถ้าเดาจากเสียงผมคิดว่าเป็นพี่จิว

“อะไรนะ! ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ แล้วก่อนหน้านี้ที่กูบอกให้คำนวณให้ดีว่าใช้สีกี่กระป๋อง พวกมึงไม่ได้ทำกันเหรอฮะ”

“ใจเย็นนะจิว” เสียงแรดๆแบบนี้ผมเดาว่าเป็นของพี่ปิงลี่ครับ

“พวกหนูคำนวณแล้วจริงๆนะ แต่ไม่ใช่เด็กวิศวะอ่ะพี่ มันก็คลาดเคลื่อนกันบ้างดิ อีกอย่างพวกหนูก็ไม่รู้ด้วยว่าสีหนึ่งกระป๋องมันทาได้กี่ตารางเมตร”

อันนี้ผมคิดว่าเป็นเสียงของพี่สาครับ ผมกับฉัตรหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับพร้อมใจแอบฟังคนอื่นคุยกัน เอ่อ ไม่ดิ พวกผมไม่ได้แอบแต่ได้ยินเองต่างหาก

“โอ๊ยยย เจริญจริงๆ ถ้าคำนวณไม่เป็นแล้วทำไมไม่ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เป็น มอเราไม่มีเด็กวิศวะ เด็กถาปัตย์เลยหรือไง”

“กูขอโทษนะมึง”

พี่ปิงลี่เอ่ยเพื่อพยายามจะให้พี่ปิงสงบสติอารมณ์

“สีมันขาดไปเยอะเลยนะ เหลืออีกตั้งสองห้องจะให้ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้เหรอ พวกเรามาออกค่ายอาสานะ มาช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่มาช่วยแบบครึ่งๆกลางๆมันจะมีประโยชน์อะไร”

“อีไก่มันไปถามทางไปร้านขายสีกับครูใหญ่แล้ว คิดว่าจะขอยืมรถครูด้วย มึง อย่าเพิ่งสติแตกนะ ใจเย็นก๊อนนนน”

จากบทสนทนาของรุ่นพี่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าสีที่พวกเราอุตส่าห์ขนมาจากมหาลัยมันไม่พอสำหรับทาห้องเรียนและผนังด้านนอกของโรงเรียน แต่จะให้หาซื้อเอาจากแถวนี้ก็ไม่มี อย่างที่ผมเคยอธิบายไปแหละว่าชาวบ้านบริเวณนี้ปลูกผักเลี้ยงสัตว์กันเท่านั้น

“มาแล้ว อีไก่มาแล้ว”

พี่ปิงลี่ตะโกนเมื่อเห็นพี่ไก่วิ่งหน้าตั้งเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคน

“เป็นไงๆ” พี่สารีบถามด้วยความหวัง

“มีมั้ย ร้านขายสีใกล้ๆเนี๊ย”

พี่จิวเร่งขณะที่พี่ไก่ยืนหอบหายใจ คือผมแอบลุ้นตามไปด้วยเลย ผมเองก็อยากให้โรงเรียนออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขนาดงานไม้ช่วยกันทำไม่กี่คนยังเกือบเสร็จแล้ว แต่จะปล่อยให้ห้องเรียนที่จัดใหม่เรียบร้อยไม่ได้ทาสีมันก็สวยแบบไม่เสร็จดิครับ ผมอุตส่าห์ลงทุนมาลำบากขนาดนี้แล้วอ่ะ มันต้องดีที่สุดดิโว้ย

“มี”

พี่ไก่พยักหน้า ผมเกือบจะร้องเย้ออกมาแล้วถ้าไม่ใช่ว่าอีพี่ยกมือห้ามไว้ก่อน

“อย่างเพิ่งดีใจ”

“อ้าว ทำไมอ่ะ”

พี่ปิงลี่ถาม เออ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ทำไมอ่ะครับ

“มีร้านขายสีที่ใกล้ที่สุดคือปากทางเข้าหมู่บ้าน ขับรถไปกลับก็ประมาณห้าสิบนาทีถ้าไม่หลงทางนะ และนี่ครูใหญ่เขียนแผนที่มาให้กับนี่ก็กุญแจรถ”

ผมลุกจากพื้นไปชะโงกดูรุ่นพี่ที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกัน พี่ไก่กำลังถือกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งไว้ในมือขวาและถือกุญแจรถยนต์ไว้ในมือซ้าย ดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ ก็แค่รีบไปซื้อซะตอนนี้ เสร็จแล้วก็ช่วยกันเร่งมือทาสีอีกหน่อยก็เสร็จหมดแล้ว

“เออ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนวะ แผนที่ก็มี รถก็มี เงินก็มี เบิกอีจิวได้เลยนะ”

พี่ปิงลี่ถาม

“ปัญหามันอยู่ตรงรถเนี่ยเหละ เป็นรุ่นโบราณมากๆ กูขับไม่เป็น” พี่ไก่เฉลยถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวกลุ้มใจ

“มันไม่เหมือนรถรุ่นปัจจุบันเหรอวะ” พี่ปิงถาม

“กูขับรถที่ใช้เกียร์ธรรมดาไม่เป็น กูเป็นแต่ออโต้”

“เชี่ย” พี่จิวถึงกับสบถเมื่อเจอกับรถเจ้าปัญหา

“มีใครขับเป็นอีกปะพี่” พี่สาถาม

“ขนาดอีไก่ยังขับไม่เป็น แล้วพวกกูจะขับเป็นมั้ยฮะ”

พี่ปิงลี่ยกมือกุมขมับแล้วหันไปมองหน้าพี่จิว

“อีจิว”

“กูขับรถยนต์ไม่เป็นโว้ย”

“พี่ครับ”

เสียงที่แทรกขึ้นมากะทันหันเป็นของ…ผมเองแหละ ผมเดินเข้าไปหารุ่นพี่ช้าๆ หวังว่าจะไม่โดนด่าที่เข้ามาขัดจังหวะนะ คือผมเจตนาดี หวังช่วยเหลือจริงๆครับ

“อุ๊ย! พวกพี่คุยเสียงดังไปเหรอ ขอโทษนะคะ” พี่ปิงลี่ใช้มือแตะบนริมฝีปากของตัวเองเบาๆ แล้วขยิบตาให้ผม แม่งน่ากลัวสัส

“พาผมไปดูรถหน่อยได้มั้ย เผื่อขับเป็น”

“เคยขับเกียร์ธรรมดาเหรอ” พี่ไก่ถาม

“เคยครับ”

ผมพยักหน้า ที่บ้านของผมฐานะพอมีพอกิน ไม่ได้ขัดสน แต่ติดตรงที่ท่านพ่อของผมเป็นคนประหยัดและชอบความคลาสสิก จึงยังอนุรักษ์รถเก่าแก่ไว้ใช้ที่บ้าน ซึ่งก็คืออีแก่ที่ผมใช้หัดขับรถนั่นเอง รับรองว่าผมโปรกว่าการขับรถแบบเกียร์ออโต้อีกครับ

หลังจากที่ผมได้เห็นรถยนต์ในยุค 90 คันงามซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่พ่อของผมเคยใช้ ผมก็ตัดสินใจอาสาไปซื้อสีให้รุ่นพี่ แหม คนดีไปอีก คือจริงๆแล้วผมอยากขับอ่ะ ถึงจะเก่าแต่มันก็ยังเก๋าอยู่นะครับ

“ไปด้วย”

ผมหันขวับไปมองหน้าคนพูด อ้าวเฮ้ย ฉัตรชนกมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ ผมคิดว่าเขายังนั่งกินมื้อเช้าอยู่ใต้ต้นไม้ซะอีก สรุปคือมึงเดินตามกูมาเหรอ

“มึงจะไปกับน้องเค้าเหรอ” พี่จิวถามด้วยความแปลกใจ

“อืม จะปล่อยให้ไปคนเดียวได้ไง”

ทำไมจะไม่ได้! กูโตเท่ามึงแล้วนะเว้ย ไม่ใช่เด็กสามขวบ

“เออ ถูกของมึง”

พี่จิวเห็นด้วยซะงั้น ถึงผมจะแอ๊บเด็กโดยการเรียกทุกคนว่า ‘พี่’ แต่จริงๆแล้วกูอายุเท่าพวกมึงเลยนะ แต่ที่เรียกพี่นี่คือให้เกียรติในฐานะที่เรียนระดับชั้นสูงกว่าเท่านั้นแหละ

“เอาตังไป ซื้อสีขาวมาสิบกระป๋องเลยนะ เหลือก็ยังดีกว่าขาด”

พี่จิวยื่นซองสีขาวให้ฉัตรที่พยักหน้ารับ

“ขับรถดีๆนะ ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอด…ฉัตรมีเบอร์กูใช่มั้ย”

ประโยคแรกพี่จิวบอกกับผมส่วนอีกประโยคหันไปถามฉัตรชนกที่ตอบรับเบาๆในลำคอ ขนาดกับเพื่อนฝูงหมอนี่ก็ยังทำหน้าตายได้เหมือนเดิมเลยวะ

 

 

ผมเหยียบเบรกให้รถยนต์ปี 90 หยุดอยู่กับที่เมื่อมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง ให้ตายสิ ตอนขับออกจากหมู่บ้านไปซื้อสีผมใช้เวลาแค่สามสิบนาทีเท่านั้น แต่ตอนที่พยายามจะขับรถกลับหมู่บ้านผมใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการขับวนไปวนมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

“ยอมรับมาเถอะว่ามึงหลงทาง”

ฉัตรชนกที่นั่งเงียบมาตลอดทางเปิดปากถาม แต่จะให้ผมยอมรับตรงๆว่า ‘หลง’ มันก็ออกจะเสียหน้าไปหน่อยนะ เพราะขาไปนี่โม้ไว้เยอะเลยว่าแม่นเรื่องทิศทางแต่ขากลับแม่งมั่วสิ้นดี

“เออ กูสับสนนิดหน่อย”

ผมเอ่ย พยายามเค้นสมองว่าครั้งนี้ควรจะเลี้ยวไปทางซ้ายหรือว่าขวา เพราะต้นไม้ทั้งสองฝั่งก็ดูเหมือนกันไปหมด เอ่อ เอาเป็นขวาละกัน

“แล้วมึงอ่ะ รู้ทางกลับโรงเรียนหรือไง”

ผมย้อนถามเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกโง่งมอยู่คนเดียว คือมึงต้องยอมรับว่าโง่เป็นเพื่อนกูนะฉัตร กูจะได้สบายใจ

“ไม่รู้”

ผมขยับยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น เห็นมั้ย! เขาเองก็ไม่รู้ทิศทางเหมือนกัน

“แต่คิดว่าเลี้ยวซ้าย”

“ไหนบอกไม่รู้ทางกลับไง”

ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ อย่ามาเดามั่วๆดิวะ กูคิดว่าต้องเลี้ยวขวาแน่นอน

“เพราะมึงเคยเลี้ยวขวาไปแล้ว”

จริงดิ! ไม่เห็นรู้ตัวเลย

ผมขมวดคิ้วน้อยๆ เหลือบตาไปมองฉัตรชนกที่มีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม เออ คือเรากำลังหลงทางอยู่นะ มึงช่วยทำหน้าร้อนรนหน่อยได้เปล่า

“เออ ซ้ายก็ซ้าย”

จริงๆผมก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเองเท่าไรนะ เอาเป็นว่าผมจะลองเชื่อหมอนี่ดู เพราะถ้าผมไปผิดทาง ผมจะได้โยนให้เป็นความผิดของเขาได้ อืม ดี ผมนี่ฉลาดจริงๆเลย

“จอดทำไม”

ฉัตรถามเมื่อรถหยุดอยู่กับที่หลังจากที่ผมเลี้ยวมาทางซ้ายได้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร

“เปล่า”

ผมไม่ได้จอดจริงๆนะ รถมันดับเอง เอ่อ หรือว่าจะเสีย ผมก็พอจะซ่อมเป็นถ้ามีเครื่องมือ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตัดสินใจลงไปเปิดกระโปรงหน้ารถ สายตาก็เหลือบไปเห็นมาตรวัดน้ำมันพอดี นั่นไง สาเหตุที่รถดับ

“มึง น้ำมันหมดอ่ะ”

ผมหันไปบอกกับฉัตรชนกด้วยรอยยิ้มแหย จริงๆตอนขากลับเข้ามาในหมู่บ้านผมก็ขับผ่านปั๊มน้ำมันเล็กๆนะครับ แต่เป็นผมเองนี่แหละที่ไม่ได้มองเข็มบนมาตรวัดน้ำมันจึงไม่รู้ว่าน้ำมันกำลังจะหมด

“ฉัตร น้ำมันหมด” ผมย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ได้ยินแล้ว”

ฉัตรตอบ เขาหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดประตูลงไปจากรถ ผมรู้สึกว่าเขาอารมณ์เสียหน่อยๆจึงไม่กล้าตามลงไป

ผมมองฉัตรผ่านกระจกหน้ารถ เห็นเขาเดินไปเดินมา คาดว่าคงพยายามหาสัญญาณ ผมหยิบไอโฟนตกรุ่นของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเห็นว่าสัญญาณอ่อนมาก อาจจะโทรติด แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ยินเสียงของคู่สนทนาชัดเจนหรือเปล่า ส่วนถ้าไลน์คุยกันก็น่าจะได้อยู่ แต่ผมไม่มีไลน์รุ่นพี่ในค่ายอาสาเลยอ่ะ ลองไลน์ไปหาไอ้แว่นละกัน

“จิวบอกว่าไม่มีรถออกมารับพวกเรา ให้รอรถขนเงาะของชาวบ้านที่จะกลับเข้ามาตอนบ่าย”

ฉัตรบอกกับผมเมื่อเขากลับเข้ามานั่งในรถ ผมจึงล้มเลิกความพยายามในการไลน์หาไอ้แว่นที่ไม่ยอมอ่านข้อความของผมเลย

“ตอนบ่าย!”

ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นเวลาบนหน้าจอไอโฟน

“คือเราต้องนั่งรอในรถเฉยๆ อีกสามชั่วโมงเลยนะ”

“แล้วทำไงได้ล่ะ”

ฉัตรเลื่อนกระจกหน้าต่างลงมาเล็กน้อยเพื่อให้มีอากาศหายใจ ก่อนจะปรับเบาะที่นั่งให้เอนไปด้านหลังแล้วล้มตัวลงนอน

 

 

1 ชั่วโมงผ่านไป

ผมนั่งมองสายฝนที่โปรยปรายผ่านกระจกใสด้วยความเบื่อหน่าย เหลือบตาไปมองฉัตรชนกก็เห็นว่าหมอนั่นกำลังหลับสบาย ไม่ทุกข์ไม่ร้อนราวกับได้ออกมาพักผ่อน ซึ่งผมก็ไม่รู้จะกังวลไปทำไมในเมื่อตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจาก…รอ

ผมหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วตัดสินใจไลน์ไปหาพี่พอร์ชอีกครั้ง ให้ตายสิ หมอนี่คิดจะอ่านไลน์บ้างมั้ยนะ

TheWinner : พี่พอร์ช มึงตายหรือยัง ทำไมไม่อ่านไลน์กู?

ครืนนน…

ผมเหลือบไปมองไอโฟนของฉัตรที่วางอยู่ในช่องเก็บของใกล้ๆกับเกียร์รถยนต์ มันกำลังสั่นและมีแสงสว่างวาบขึ้นมาบนหน้าจอครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ผมทันเห็นว่าข้อความไลน์ของหมอนั่นเข้าพอดี

TheWinner : (สติ๊กเกอร์)

ครืนนน…

ผมขมวดคิ้วเมื่อข้อความไลน์ของฉัตรถูกส่งมาแบบพอดิบพอดีกับที่ผมส่งสติ๊กเกอร์ไปหาพอร์ช หวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดนะ…!

TheWinner : (สติ๊กเกอร์)

ครืนนน…

ผมลองส่งสติ๊กเกอร์ไปหาพอร์ชอีกครั้ง และไอโฟนของฉัตรก็สั่นเบาๆก่อนจะปรากฎแสงสว่างบนหน้าจอและดับไปอย่างรวดเร็ว

ให้ตายเถอะ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ

ความสงสัยและความบังเอิญอาจทำให้ผมเป็นบ้าเร็วๆนี้ก็ได้ ผมจึงขอเสียมารยาทด้วยการหยิบไอโฟนขอฉัตรมากดปุ่ม Power จอไอโฟนสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งโชคดีแค่ไหนแล้วที่การแจ้งเตือนยังอยู่ และเพราะว่ามันยังอยู่นั่นแหละผมจึงเห็นข้อความตัวอย่างและชื่อผู้ส่งบนหน้าจอของเขา

ฉัตรคือคนๆเดียวกับพอร์ช!

เขาโกหกผมมาตลอด…

 

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/09/2562 [บทที่12]
«ตอบ #34 เมื่อ30-09-2019 19:55:37 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/09/2562 [บทที่12]
«ตอบ #35 เมื่อ30-09-2019 22:39:29 »

เอาแล้วไง

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 03/10/2562 [บทที่13]
«ตอบ #36 เมื่อ03-10-2019 16:33:24 »

บทที่ 13 คำสารภาพ

 
“ขอโทษ”

ผมตวัดสายตากลับไปมองหน้าเจ้าของไอโฟนที่บัดนี้กำลังใช้ดวงตาสีดำสนิทมองมาที่ผมเงียบๆ ผมไม่รู้ว่าฉัตรตื่นตั้งแต่เมื่อไร แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่เขาหลอกลวงผม

“มึง…โกหกกันนี่”

ผมเอ่ยช้าๆด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันหนักหน่วงไปหมด ผมรู้สึกท้อแท้ ราวกับว่าความรัก ‘เกลียดชัง’ ผมมากเหลือเกิน

“ทำไมไม่บอกกูว่ามึงคือพอร์ช มึงทำแบบนี้ทำไมวะ สนุกเหรอ มึงเห็นกูโง่แล้วมึงสนุกใช่มั้ย!!”

ผมตะโกนใส่เขา ความรู้สึกผิดหวังทำให้ผมโมโห ตอนที่หมอนี่เหยียบผ้าเช็ดหน้าของผม ผมยังไม่รู้สึกโกรธเท่ากับตอนนี้เลย

ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำของฉัตร ผมเห็นความเสียใจในดวงตาคู่นั้น ซึ่งมันเชี่ยมากที่ผมกำลังรู้สึกหวั่นไหวทั้งที่เขาเป็นคนหลอกลวง และผมพบว่าผมไม่สามารถทนมองใบหน้าของเขาได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว

“เดี๋ยว วิน!!”

ฉัตรตะโกนเรียกผมในตอนที่ผมเปิดประตูแล้วก้าวเท้าลงจากรถ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาร่างกายของผมก็เปียกโชกไปด้วยสายฝน แต่ผมไม่สนใจกลับปล่อยให้เท้าสองข้างก้าวไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ผมรู้เพียงแค่ต้องไปจากที่นี่ ไปให้ไกลจากเขา

“มึงจะไปไหน”

ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าฉัตรวิ่งตามผมออกมา เขาคว้าข้อมือของผมแล้วดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้า

“ไปให้ไกลจากมึง”

น้ำเสียงของผมเริ่มสั่นเครือ แต่ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ มันไม่ใช่ความรักมาตั้งแต่แรกแล้ว อันที่จริงผมไม่รู้จักพอร์ชและไม่รู้จักฉัตร เขาเป็นเพียงคนที่ผมคิดไปเองว่ารู้จักเท่านั้น ผมเสี่ยงที่จะมอบหัวใจให้เขา นั่นแปลว่าผมต้องยินยอมรับผลที่จะตามมาให้ได้ และผมคิดว่า…ตอนนี้ผมได้รับผลจากความใจเร็วของตัวเองแล้วล่ะ

“คุยกันก่อนได้มั้ย”

ผลัวะ!

ปฎิกิริยาของผมตอบแทนคำพูดด้วยการเหวี่ยงหมัดใส่หน้าของฉัตรเต็มแรง ใบหน้าของเขาสะบัดไปตามแรงชกของผม

“ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ อย่ามายุ่งกับกูอีก!”

“วิน อย่าใช้อารมณ์ กลับไปคุยกันในรถ” ฉัตรเอ่ยกับผมอย่างใจเย็น เขาต้องใช้เสียงที่ดังขึ้นเพื่อแข่งกับเสียงฝนที่กระหน่ำลงมา อันที่จริงผมค่อนข้างแปลกใจที่เขาไม่ได้ต่อยผมคืนหรือตะคอกใส่ผมที่บังอาจไปต่อยหน้าเขา ซึ่งผมยอมรับว่าใส่ไปเต็มแรงเลยล่ะ ดูจากรอยช้ำสีแดงบนแก้มเขาตอนนี้ได้เลย

“มึงก็พูดได้สิว่าอย่าใช้อารมณ์ ก็มึงไม่ได้ถูกหลอกนี่”

ผมหมุนตัวไปในทิศทางใดไม่รู้ สายฝนทำให้ผมลืมตาเกือบไม่ขึ้น ซึ่งการเดินมั่วๆทำให้ผมเผลอไปเหยียบดินโคลนและลื่นตกถนนในทันที

โครม!!

โอ๊ยยยยยยยยยย!!

ผมนอนแผ่อยู่บนพื้น เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน ให้ตายสิ อะไรจะโชคดีขนาดนี้วะ ผมเหลือบมองขึ้นไปบนถนน มันไม่ได้สูงหรือชันมาก ผมสามารถปีนกลับขึ้นไปได้สบายๆเลย แต่ตอนที่ผมลองขยับข้อเท้าผมพบว่าเรื่องซวยๆอีกเรื่องก็คือข้อเท้าข้างขวาของผมมันแพลงเสียแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยชะมัด จึงทิ้งตัวลงนอนบนพื้น แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ ปล่อยให้สายฝนชะล้างคราบโคลนออกไปจากร่างกาย

“ลุกเดี๋ยวนี้”

ฉัตรที่กระโดดตามลงมาด้านล่างตะคอกใส่ผม ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าเขากำลังหัวเสีย ซึ่งมันทำให้ผมโคตรโมโหเลย ผมต่างหากที่ต้องหัวเสียใส่เขา ไม่ใช่ให้เขามาตะคอกใส่ผม

“มึงแม่งแคร์ใครไม่เป็นหรอก”

ผมตะโกน คิดว่าฉัตรคงจะทิ้งให้ผมนอนเน่าตายอยู่ที่นี่แหละ แต่เขากลับพยายามประคองผมให้ลุกขึ้นจากพื้น

“แต่กูแคร์มึงนะวิน”

ผมหันไปสบตากับเขา ทำไมหมอนี่ต้องพูดประโยคบ้าๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ด้วยวะ ผมฟังแล้วใจร้าวไปหมดเลย อยากจะโกรธก็รู้สึกว่าโกรธได้ไม่สุด ไม่ต้องคิดถึงคำว่าเกลียดเลย เพราะผมคงรู้สึกแบบนั้นกับเขาไม่ได้แน่ๆ

“แคร์กูแล้วโกหกกูทำไม”

กูอยากได้คำอธิบาย อะไรก็ได้ที่จะทำให้กูรู้สึกดี…ที่ทำให้กูไม่ได้ดูโง่เง่าในสายตาของมึง

“กูไม่ได้โกหกอะไร”

คำตอบของฉัตรทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดขณะที่เขาพยายามดันร่างของผมขึ้นไปบนถนน

“มึงโกหกว่าชื่อพอร์ช”

หลังจากที่ผมตะเกียกตะกายกลับมายืนขากะเผลกบนถนนได้แล้ว ผมก็ระบุข้อหาแรกที่เขาทำไว้กับผม ต่อให้เขาโกหกแค่ชื่อ ผมก็นับว่าเป็นคำโกหกอยู่ดีนั่นแหละ

“กูชื่อพอร์ชจริงๆ ไม่ได้โกหก”

“ใครๆ ก็รู้ว่ามึงชื่อฉัตร”

ผมเถียง หมอนี่เป็นคนดังในเพจ Sexy Boy ที่ผมตามส่องมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไม่มีทางที่ผมจะจำชื่อของเขาผิดเด็ดขาด

“กูชื่อจริงว่าฉัตรชนก เพื่อนมันก็แค่เรียกกูย่อๆว่าฉัตรแทนการเรียกชื่อเล่น ส่วนคนอื่นที่ได้ยินก็เรียกกูตามนั้น มึงก็เหมือนกัน เคยถามกูสักคำมั้ยว่ากูชื่อเล่นว่าอะไร”

เออว่ะ!!

ผมถึงกับเถียงไม่ออก คือผมไม่เคยถามฉัตรจริงๆนั่นแหละว่าชื่ออะไร ซึ่งมันก็ถูกอย่างที่เขาอธิบายมานะ อย่างไอ้แว่นมันชื่อจริงว่าพิสุทธิ์ ชื่อเล่นก็พิสุทธิ์ แต่เพราะเพื่อนร่วมสาขาต่างก็พากันเรียกมันว่าไอ้แว่นจนทุกคนในคณะคิดไปแล้วว่ามันชื่อเล่นว่าแว่น

ระหว่างที่ผมกำลังยืนมึนกับคำตอบ ฉัตรก็หันหลังแล้วย่อตัวลงตรงหน้าของผมก่อนจะจัดการบังคับผมให้ขึ้นไปอยู่บนหลังของเขา โดยที่ผมยังไม่ทันได้อ้าปากปฏิเสธ…บริการดีชะมัด เริ่มจะใจอ่อนซะแล้วดิ

“แล้วเรื่องรถปอร์เช่ล่ะ มึงโกหกว่ายืมคนอื่นมาทำไม”

ผมถามเมื่อพวกเรากลับเข้ามานั่งในรถแล้ว รู้สึกผิดชะมัดที่ทำให้เบาะรถของครูใหญ่เปื้อนโคลน ผมสัญญาว่าถ้ากลับไปได้จะรีบทำความสะอาดให้ทั้งด้านในและด้านนอกเลยครับ

“ไม่ได้โกหก นั่นรถของแม่กู กูแค่ยืมมาใช้จนกว่าจะเรียนจบ”

ถุ้ย! งั้นทุกอย่างของมึงก็ยืมแม่มาหมดแล้วแหละ

ก็มึงยังไม่ได้ทำงานหาเงินใช้เองนี่โว้ย!!

“มึงแอดไลน์กูมาทำไม มึงตั้งใจมาหลอกกูใช่มั้ย”

ผมถาม เรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้ผมโกรธมากที่สุด แค่เรื่องชื่อกับเรื่องรถผมอภัยให้ก็ได้

“กูชอบมึง นั่นคือความจริง”

ผมชะงัก ถึงกับเผลออ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบตรงๆจากฉัตร น้ำเสียงของเขาจริงจัง เช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นเลย

“มึงไม่ได้ชอบผู้ชาย”

ผมหลุบตามองมือที่วางอยู่บนตักของตัวเอง การมองดวงหน้าหล่อๆของหมอนั่นทำให้หัวใจของผมเต้นแรงอย่าบ้าคลั่ง ผมรู้ว่าพอร์ชชอบผม แต่การที่ฉัตรชอบผมมันเป็นความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสมองมาก่อน จะว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ เพียงแต่ผม…ไม่มั่นใจเท่านั้นเอง

“ทำไมคิดแบบนั้น”

ฉัตรย้อนถาม ผมเหลือบตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้ามองมือของตัวเองแทบไม่ทัน ให้ตายสิ ผมรู้สึกว่าตนเองกำลังพ่ายแพ้ให้กับดวงตาที่ร้อนแรงของเขา คือฉัตรแม่งไม่เคยมองผมแบบนี้มาก่อนไง แถมจ้องกันขนาดนี้กินกูเลยมั้ยล่ะ ห่านี่!

“เพราะกูชอบผู้ชายไง สัญชาตญาณมันฟ้อง”

ผมตอบไม่เต็มเสียงเท่าไร แต่ผมมั่นใจว่าผีย่อมเห็นผี เกย์ย่อมเห็นเกย์ แต่ฉัตรแม่งดูจากมุมไหนก็ไม่ใช่ เกย์รุก เกย์รับ เกย์โบทเลยอ่ะ

“ผู้หญิงทุกคนที่เคยคบกับกู รักกูแค่หน้าตากับฐานะเท่านั้น ตอนที่กูเห็นข้อความที่ไอ้ธามโพสต์ในเฟส กูเพิ่งจับได้ว่าแฟนมีชู้ กูยอมรับว่าตอนที่แอดไปหามึง กูกำลังสิ้นหวัง”

ผมเงยหน้ามองฉัตร อา…ผมจำได้แล้ว วันที่ฉัตรมานั่งเรียนวิชาแคลคูลัส 3 กับผมและเกิดเหตุการณ์จับชู้กลางห้องเรียนนั่นเอง

“มึงรักลิซ่ามากเลยเหรอ”

“เปล่า ก็แค่ชอบ…แต่กูผิดหวังมากกว่า”

ฉัตรส่ายหน้าช้าๆก่อนจะปฏิเสธ

“กูผิดหวังในตัวเอง นี่กูโง่ขนาดว่าผู้หญิงห้าคนที่เลือกมาเป็นแฟนจบลงด้วยการนอกใจกูทุกคน ต่อให้รักกูแค่เปลือกแต่คำว่าซื่อสัตย์กูยังไม่เคยได้รับจากแฟนคนไหนเลย…กูคิดว่ามึงแตกต่างจากคนอื่นนะวิน”

กูก็คิดว่ามึงแตกต่างจากคนอื่นเหมือนกัน…แต่!

“แล้วเรื่องของติวเตอร์ล่ะ มึงจะอธิบายว่าไง”

ผมฉุกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องอาบน้ำเมื่อคืนนี้ ถ้าหมอนี่บอกว่าชอบผม เขาจะแอบมีซัมติงกับคนอื่นไม่ได้ ผมไม่ยอมนะเว้ย

“ไม่มีคำอธิบายเพราะไม่ได้ชอบ”

ฉัตรตอบสั้นๆแบบได้ใจความ แต่ที่กูเห็นคือมึงไปอาบน้ำกับเด็กนั่นสองต่อสอง คือมึงก็รู้ว่าติวเตอร์ชอบมึงแล้วมึงจะเปิดโอกาสให้มันทำไม อยากโดนปล้ำหรือไงฮะ

“ไม่ได้ชอบแล้วยืนเฉยให้อีน้องเตอร์มันช่วยตัวเองให้ดูทำไมฮะ”

ฉัตรเงียบไปครู่หนึ่ง ผมรู้สึกว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างซึ่งผมอยากมีความสามารถในการอ่านใจคนซะเดี๋ยวนี้เลย ผมอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรกันแน่

“มึงหึงเหรอวิน”

ฉัตรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แม่งขี้ตู่จริงๆเลยว่ะ

“กูไม่ได้หึง กูถาม!!”

ผมชะงักเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังตะคอกใส่ฉัตร บ้าจริงเลย ทำไมเรื่องแค่นี้ผมจะต้องเสียงดังด้วยวะ ผมค่อยๆระบายลมหายใจแล้วหันหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง หมอนั่นอาจจะคิดว่าผมงี่เง่าก็ได้ที่จู่ๆก็เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเขา

“กูอยากดูที่ไหน แค่ไม่ทันตั้งตัวต่างหาก กูก็รีบออกมาจากห้องน้ำแล้วไง”

น้ำเสียงของฉัตรอ่อนลงเล็กน้อย ที่จริงแล้วหมอนี่เป็นคนที่ชอบพูดจาแบบสั้นๆห้วนๆ อารมณ์เหมือนลูกคนรวยที่เอาแต่ใจตัวเองนั่นแหละ

“ไม่เชื่อกูเหรอ”

ฉัตรถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้หันไปมองหน้าของเขา ให้ตายสิ ทำไมแทนที่ผมจะโกรธหรือโมโห ผมกลับยอมรับในเหตุผลและหลงเชื่อคำพูดของเขาทุกคำอย่างง่ายดาย เมื่อก่อนผมไม่ใช่คนแบบนี้นะ ผมหัวรั้นแล้วก็เชื่อในความคิดของตัวเองมาก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ากำลังโดนฉัตรชนกล้างสมองอ่ะครับ

“เชื่อ กูเชื่อคนง่ายไม่รู้เหรอ”

ผมพึมพำเบาๆ ทำไมเสือวินถึงกากได้ขนาดนี้วะ ผมกำลังจะโดนตัดเล็บ ถอนเขี้ยวใช่มั้ยเนี่ย

“มึงเสียใจมากหรือเปล่าที่กูคือพอร์ช”

ผมหันไปมองหน้าคนถาม ผมรู้ว่าฉัตรกับพอร์ชคือคนๆเดียวกัน ไม่มีทางที่ผมจะเลือกชอบแค่หนึ่งคนและเกลียดอีกหนึ่งคนได้ เพียงแต่ ‘พอร์ช’ เป็นด้านที่ผมชอบมากๆ เขาเป็นคนในแบบที่ผมต้องการ เป็นผู้ใหญ่กว่า พึ่งพาได้ มีเหตุผล แล้วก็อบอุ่นมากๆ ส่วน ‘ฉัตร’ เขาเป็นด้านที่ผมไม่ชอบ ทั้งความหยิ่ง กวนประสาท เอาแต่ใจตัวเอง และไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น

แต่ในตัวของมนุษย์ทุกคนก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี เขามีมุมที่ผมชอบและไม่ชอบอยู่ในตัวเอง เช่นเดียวกับที่ผมอาจจะมีมุมที่เขาไม่ชอบเหมือนกัน เพียงแต่เขายอมรับมันได้และไม่ได้พูดมันออกมา…

บางครั้งเราตัดสินคนอื่นจากภายนอก จากมุมแค่มุมเดียวที่เรามองเห็น เช่นเดียวกับที่ผมจะไม่เข้าไปทำความรู้จักกับฉัตรชนก ถ้าผมไม่ได้บังเอิญมีโอกาสทำความรู้จักกับพอร์ช ผมแค่รู้จักตัวตนจริงๆของเขาไม่ดีพอแต่ผม…อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้

“กูไม่ชอบที่ถูกหลอก ถ้ามึงแค่บอกกูตั้งแต่แรกว่ามึงเป็นใครกูจะไม่โกรธมึงเลย”

“กูแค่อยากมีใครสักคนที่จริงใจกับกู ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงมึงเลย ขอโอกาสให้กูได้แก้ตัวนะ กูรู้ว่าเราเริ่มต้นกันไม่ดี แต่กูอยากให้เราเริ่มต้นกันใหม่…ได้มั้ย”

ผมเผลอขยับรอยยิ้มที่มุมปาก ทุกคนผิดพลาดได้…ผมก็เช่นกัน

“กูชอบพอร์ชไปแล้ว…มึงต้องรับผิดชอบ”

ฉัตรขยับยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่โคตรหล่อเลยครับ อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่ารอยยิ้มของเขาออกมาจากใจ ปกติแล้วหมอนี่เก่งแต่แสยะยิ้มอ่ะ ผมเกือบจะคิดว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาตายหรือไม่ก็ฉีดโบท็อกมากจนหน้าตึง

“อาทิตย์หน้าเรามีนัดเดทกัน”

“ที่ไหนดีล่ะ” ผมถาม ไหนๆ Sexy Boy ก็อุตส่าห์ชวนผมเดทแล้วจะเล่นตัวไปทำไม เดี๋ยวอด!

“แล้วแต่มึงเลย”

เอาเป็นว่าหลังจากที่พวกเรากลับจากค่ายอาสาผมจะเริ่มคิดแพลนออกเดท อย่างจริงๆจังๆนะครับ

“หนาว”

ผมบ่นพึมพำเพราะเสื้อผ้าที่เปียกแฉะกับสายฝนที่ยังกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายทำให้ผมตัวสั่น

“เป็นเพราะความโง่และความอารมณ์ร้อนของมึงเองนะ”

ฉัตรว่าแล้วโยนเสื้อคลุมสีดำของตนเองมาให้ผม เดาว่าก่อนที่จะลงไปตามผมเขาคงจะถอดมันไว้ในรถเพราะเสื้อตัวนี้ไม่เปียก แต่ให้ตายเถอะ คนที่เพิ่งจะสารภาพความในใจว่าชอบผมทำไมด่าผมว่าโง่วะ มันใช้ได้ที่ไหนเนี่ย

“สาบานว่ามึงชอบกูจริงนะ”

ผมอดประชดไม่ได้ แต่ก็ยอมหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นมาสวมทับเสื้อผ้าที่เปียกชื้น

“กูชอบมึงจริงๆ”

อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!

ผมอยากจะกรีดร้อง รู้สึกใจกะเทยไปสิบวิ คือมึงไม่ต้องตอบคำถามในเชิงประชดของกูก็ด้ายยยยยยนะ กูไม่ได้อยากรู้คำตอบจริงๆหรอก ห่า!!!

“กูไม่โกรธมึงแล้ว!”

ผมตะโกนขณะที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากฉัตรชนก แต่ผมไม่กล้าหันหน้าไปมองอ่ะครับ ผมเขิน!

ผมไม่อยากเสียเวลาให้ฉัตรต้องมาง้อ แค่เขาไม่ปิดบังผมอีกก็พอ ผมอยากเอาเวลาต่อจากนี้มาเรียนรู้และดูแลกันและกันมากกว่า ผมเสียเวลาให้กับความผิดหวังมานานพอแล้ว และผมไม่อยากเสียเวลาไปโดยปล่าวประโยชน์อีกแม้แต่วินาทีเดียว

แหมะ! โคตรหล่อ โคตรคูลเลยว่ะกู

วินคนจริงครับ ผู้ใหญ่ต้องคุยกันด้วยเหตุผล…แม้ผมจะต่อยเขาไปแล้วก็ตาม


:mew1:

ติดตามข่าวสารได้ที่  https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/

เเฟนเพจของนักเขียน https://www.facebook.com/PKrabKrab/

รายชื่อผลงานทั้งหมดของนักเขียน https://www.facebook.com/notes/เป็ดก๊าบก๊าบ-boys-love/ผลงานของเป็ดก๊าบก๊าบ/1280233968753620/

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 03/10/2562 [บทที่13]
«ตอบ #37 เมื่อ04-10-2019 09:14:22 »

 :m20: :m20:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/10/2562 [บทที่14]
«ตอบ #38 เมื่อ07-10-2019 23:07:32 »

บทที่ 14 จูบ


      ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วนับจากวันที่กลับจากค่ายอาสา ผมกับพอร์ชกลับมาติดต่อกันทางไลน์เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโทรคุยกันทุกวัน ช่วงนี้ผมรู้สึกผิดเล็กน้อยถึงปานกลางเพราะตัวเองกำลังมีความสุขและหน้าบานแบบสุดๆ ต่างจากเพื่อนสนิทของผมที่ทำหน้าเป็นหมาหงอยได้ทุกวัน ผมรู้ว่ามันผิดหวังจากน้องติวเตอร์แต่ผมก็ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาปลอบโยนจิตใจอันบอบบางของมันแล้ว

ผมส่องกระจกเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้มาสะพายไหล่แล้วก้าวเท้าออกจากหอพัก วันนี้ผมมีนัดเดทกับ พอร์ชซึ่งเขาสัญญาว่าจะขับรถมารับผมตอนแปดโมงเช้า

Trrrrrrrrrrrrrr

ผมหยิบไอโฟนที่กำลังส่งเสียงร้องออกมาจากกระเป๋ากางเกง หน้าจอกำลังสว่างวาบพร้อมกับแสดงชื่อของพอร์ช

“ว่า?” ผมกดรับสายขณะก้าวขาลงบันไดของหอพัก

“มาถึงแล้ว เสร็จยัง”

ผมได้ยินเสียงงัวเงียของพอร์ช

ให้ตายสิ แปดโมงนี่ไม่เรียกว่าเช้าแล้วนะ หมอนี่ตื่นแน่หรือเปล่าเนี่ย

“กำลังลงไป”

ผมตอบสั้นๆแล้วกดตัดสาย เมื่อก้าวเท้าออกมาจากหอพักผมก็สังเกตเห็นปอร์เช่สีแดงสดได้ไม่ยาก มันจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามท่ามกลางรถญี่ปุ่นสีเรียบๆอย่างที่คนทั่วไปนิยมซื้อกัน

ผมเดินข้ามถนนมาที่รถนอกคันงาม เปิดประตูรถแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งด้านใน ถึงจะมีโอกาสได้นั่งปอร์เช่เป็นครั้งที่สองแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหายเกร็งเลย ตะคริวจะกินก้นหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ทำไมมึงต้องนัดกูมาเช้าขนาดนี้ด้วย ไม่มีห้างไหนเปิดหรอกนะ”

พอร์ชถามแล้วอ้าปากหาว ผมสังเกตเห็นว่าผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แม่งหมดมาดคุณชายไปเลยแฮะ แต่คนหล่อก็คือคนหล่ออ่ะครับ เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้เขาดูน่าเกียจเลย

“ไม่ได้จะชวนไปห้างซะหน่อย” ผมตอบ

“หืม”

พอร์ชเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ อันที่จริงผมไม่ได้บอกเขาหรอกครับว่าจะพาไปเดทที่ไหน แล้วเขาก็บอกเองว่าตามใจผม คือถ้าผมจะหลอกไปฆ่าหมอนี่ก็คงไม่สงสัยแล้วยอมตามมาแบบง่ายๆอ่ะ

“ไหนมึงบอกว่าชอบเดทแบบดูหนังแล้วก็กินข้าวด้วยกันไง”

ใช่ ผมเคยบอกตอนเราคุยกันในไลน์ แต่นั่นผมหมายถึงตอนออกเดทกับคนอื่นไง

“กับคนอื่นน่ะใช่ แต่สำหรับมึงน่ะไม่”

“สองมาตรฐาน”

พอร์ชว่าแล้วขมวดคิ้ว ผมคิดว่าเขากำลังไม่พอใจที่ผมไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับทุกคน แต่เขาควรจะดีใจสิ นี่ผมจัดทริปเดทแบบพิเศษๆให้เขาคนเดียวเลยนะ ยังจะทำหน้ายุ่งอีก โง่จริง!

“บอกให้เอาชุดมาเปลี่ยนด้วย มึงเอามาหรือเปล่า” ผมถาม

“เอามาแล้วคร้าบ”

“งั้นก็ไปดิ ออกรถ”

“ไปไหนล่ะ จุดหมายคือ?”

พอร์ชหันมาถามผม คือมึงไม่รอถามชาติหน้าเลยล่ะ

“วัดใหญ่”

“ไม่เคยไป” 

“พูดจริง?”

ผมหันไปมองหน้าพอร์ชด้วยความเหลือเชื่อ นอกจากห้างสรรพสินค้าในตัวจังหวัดแล้ว หมอนี่เคยไปที่ไหนอีกบ้างนะ

“จริง”

“วัดใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับของที่นี่เลยนะ มึงเรียนมอ N มาสี่ปี แต่ไม่เคยไปวัดใหญ่เลยเนี่ยนะ”

“สายบุญ กูไม่ค่อย”

โอเค ผมเชื่อครับ หน้าตาและลักษณะนิสัยของหมอนี่ก็บ่งบอกชัดอยู่ว่าไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องบาปบุญหรือชีวิตหลังความตาย

“ไปไหว้พระกัน วัดนี้สวยมากกูรับรอง”

เอาเป็นว่าถ้าพอร์ชไม่ใช่สายบุญ ผมจะถือซะว่าพาเขาไปชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดแล้วกัน

พวกเราใช้เวลาเดินทางจากหอพักแถวมหาวิทยาลัยมาที่วัดใหญ่ประมาณยี่สิบนาที ในตอนที่ไปถึงวัดค่อนข้างเงียบและมีผู้คนไม่มากนัก ผมพาพอร์ชไปกราบไหว้ขอพรพระพุทธชินราชที่ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวง ด้านในมีการตกแต่งไว้อย่างวิจิตรงดงาม ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะมากราบไหว้และบันทึกภาพเก็บไว้ พอร์ชก็เหมือนกัน ผมเห็นหมอนี่ยกไอโฟนขึ้นมาถ่ายภาพพระพุทธชินราชและอัพลงเฟสบุ๊ค แต่ผมไม่ถ่ายหรอกครับ ผมเป็นคนในพื้นที่แล้วก็แวะมาที่นี่บ่อยเกินกว่าจะอยากถ่ายรูปเก็บไว้ดูเอง

หลังจากไหว้พระเรียบร้อย ผมก็ชวนพอร์ชไปกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อแห่งหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาชิมบ่อยๆ และหลังจากนั้นพวกเราก็เดินกลับมาที่รถเพื่อเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

“วิน”

“หืม” ผมครางรับในลำคอขณะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอว

“มีอะไรติดหน้าผากมึงอ่ะ” พอร์ชตอบเรียบๆแล้วชี้มาที่หน้าผากของผม

“ออกยัง” ผมเอ่ยถามขณะยกหลังมือขึ้นมาถูหน้าผาก

“ยัง”

“มันคืออะไรอ่ะ”

ผมไปทำอะไรมาวะ ไม่เห็นจำได้เลย

“ทองคำเปลว”

อ๋อ…หลังจากไหว้พระแล้วผมก็นำทองคำเปลวที่ได้มาพร้อมกับธูปและเทียนไปปิดทองบนพระพุทธองค์ เศษทองคงจะติดมาตอนนั้น แต่เอ…ผมพยายามเอามือถูหน้าผากตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมเศษทองที่ติดบนหน้าผากไม่เห็นจะหลุดติดหลังมือเลยวะ มันตรงไหนกันแน่เนี่ย

“วิน ขยับมานี่”

ผมเสยผมไปด้านหลังแล้วโน้มในหน้าไปใกล้ๆพอร์ช

“นี่ไง ตรงนี้”

ฮะ!

ผมเกือบจะเอ่ยปากขอบคุณอยู่แล้วถ้าสิ่งที่พอร์ชหยิบขึ้นมาเป็นกระดาษทิชชู่

“เชี่ยพอร์ช!!! เล่นอะไรเนี่ย”

ผมโวยวายเมื่อไอ้บ้านั่นเอาทองคำเปลวมาติดบนหน้าผากของผม ห่าเอ๊ย มันไม่ได้มีอะไรเปื้อนหน้าผากของผมตั้งแต่แรกแล้วอ่ะ แต่เปื้อนเพราะเขาเลย ไม่มีอะไรจะทำหรือไงวะ เล่นเป็นเด็กๆไปได้

“อย่าทำหน้าบึ้งดิ มึงน่ารักจะตาย”

พอร์ชยิ้มขำเมื่อเห็นผมพยายามเอาแขนเสื้อเช็ดทองคำเปลวออกจากหน้าผาก แหม พอแกล้งกูได้นี่กูน่ารักขึ้นมาเลยนะมึง

 

 

พวกเรามาถึงอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าตอนบ่ายหนึ่งเพราะเสียเวลาแวะกินอาหารเที่ยงกันที่ปั๊มน้ำมัน วันนี้เป็นวันเสาร์และไม่ใช่ช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวจึงไม่มาก ทำให้บริเวณรอบๆค่อนข้างสงบ ผมกับพอร์ชจึงเลือกที่จะกางเต็นท์นอนด้วยกันหนึ่งคืนแทนการนอนในบ้านพัก

ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงช่วงเย็น ผมกับพอร์ชใช้เวลาด้วยกันสองคนในการเดินถ่ายภาพสวยๆของจุดชมวิว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพอร์ชที่แอบถ่ายผมตอนเบ้าหน้าไม่พร้อมซะมากกว่า แต่เอาเป็นว่าผมจะเก็บไว้ดูพื้นหลังสวยๆของธรรมชาติก็แล้วกัน โชคดีที่ช่วงนี้ต้นไม้และดอกไม้กำลังผลิดอกออกผล แต่งแต้มสีสันให้ป่าเขาแถวนี้ดู     โรแมนติกแบบสุดๆ นี่แหละเดทในฝันของผมเลย

เมื่อถึงช่วงค่ำหลังจากแวะรับประทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารขึ้นชื่อของที่นี่แล้ว ผมกับพอร์ชก็ช่วยกันกางเต้นท์ที่จุดสำหรับพักผ่อนซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พวกเราก่อกองไฟเล็กๆเพื่อความฟิน อีกอย่างผมหวังว่ามันจะช่วยไล่ยุงกับแมลงได้บ้าง

ระหว่างที่พอร์ชไปอาบน้ำ ผมหยิบไอโฟนออกมาไถไทม์ไลน์บนเฟสบุ๊คเล่นเป็นการฆ่าเวลา และเห็นว่ามีคำขอเป็นเพื่อนจากพอร์ช ไม่รู้ว่าหมอนี่แอดมาตั้งแต่เมื่อไรเพราะช่วงนี้ผมติดคุยกับเขาทางไลน์และไม่ได้เข้าเฟสมานานมากแล้ว

ผมกดรับพอร์ชเป็นเพื่อนแล้วเข้าไปส่องเฟสบุ๊คของเขา หมอนี่เป็นพวกบ้าถ่ายรูปจริงๆด้วย แต่ส่วนใหญ่รูปที่อัพลงเฟสจะเป็นวิวสวยๆมากกว่ารูปของตัวเอง ถ้าเป็นรูปของคนก็จะถ่ายในมุมอาร์ตๆ ผมเดาว่านายแบบและนางแบบในหลายรูปน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของเขา ที่ผมรู้เพราะแอบส่องคอมเม้นต์และเฟสบุ๊คของทุกคนที่เข้ามาเม้นต์เลยแหละ คือผมก็ต้องเช็คประวัติของคนที่คุยด้วยบ้างนะครับ จะได้รู้ว่าผมมีคู่แข่งหรือเขาแอบคุยกับคนอื่นอีกหรือเปล่า อีกอย่างในเฟสของพอร์ชไม่มีรูปถ่ายของแฟนเก่าเลย ไม่ว่าจะแฟนคนก่อนหน้านี้หรือลิซ่า เดาว่าเขาคงลบรูปของพวกเธอออกไปตั้งแต่เลิกกัน

ภาพและสเตตัสในเฟสบุ๊คของพอร์ชถูกตั้งเป็นสาธารณะทั้งหมดทำให้มีผู้ติดตามและบรรดาเมียๆในมโนเข้ามาคอมเม้นต์และกดไลท์กดเลิฟกันมากมาย คือผู้ติดตามเฟสของหมอนี่มีเหยียบหมื่นคน นี่นิสิตหรือเน็ทไอดอลวะเนี่ย

 

Chatchanok Chachteerachanon ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร–เมื่อ 13 ชั่วโมงที่แล้ว

รูปแรกที่พอร์ชอัพลงเฟสบุ๊คในวันนี้คือรูปของพระพุทธชินราชที่ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวง ไม่มีแคปชั่นหรือข้อความใดๆเลย แต่คอมเม้นต์กับยอดไลท์ก็พุ่งทะลุพัน

 

Chitchanu Bossisis : ฉัตร นี่มึงเข้าวัดได้ด้วยเหรอวะ @Fon Sunisa

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : หวายยย ตายแล้ว เพื่อนกูเข้าวัดค่าทุกคน อีคนบาปเข้าวัดได้ค่า

Fon Sunisa : ใครพามันไปวะ ถ้าบอกว่าไอ้พอร์ชไปเองกูไม่เชื่ออ่ะ

Chitchanu Bossisis : มึงอยู่ไหน ไปกับไอ้ฉัตรเหรอ @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : อยู่หอ นอน

 

ผมนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวเมื่อเห็นคอมเม้นต์ของเพื่อนๆเขา ให้ตายสิ ผมเชื่อแล้วว่าพอร์ชไม่เคยย่างเท้าเข้าวัด ขนาดเพื่อนๆยังแปลกใจอ่ะ

 

Chatchanok Chatchteerachanon ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า – เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

รูปที่สองเป็นภาพที่ผมถ่ายให้พอร์ชบนลานหินปุ่ม ซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสีเขียวกับท้องฟ้าที่มีแสงสีส้มตอนตะวันใกล้จะตกดิน เขาไม่ได้หันมามองกล้องแต่กำลังมองออกไปทางหน้าผา ซึ่งแสงสว่างยามเย็นที่อาบไล้เสี้ยวหน้าด้านข้างทำให้เขาดูลึกลับและน่าหลงใหลมาก รูปนี้มียอดไลท์สูงที่สุด ซึ่งผมไม่แปลกใจเลย ไม่ใช่ว่าผมมีความสามารถด้านการถ่ายรูปนะครับ อันนี้ต้องขอบคุณกล้องไอโฟนกับเบ้าหน้าของเขาล้วนๆอ่ะ ผมแค่กดถ่ายส่งๆเท่านั้นเอง

 

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : มึงไปกับใครเนี่ย ตอบกูมา ทำไมไม่ชวนกูไปด้วย @Fon Sunisa @Chitchanu Bossisis @Faye NoFWantA

Chitchanu Bossisis : เชี่ยเฟย์ ฉัตรมันไปกับใครวะ กูรู้นะว่ามึงรู้ @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : ไปเดทกับเด็กมัน

Fon Sunisa : เอาอีกแล้ว คราวนี้ใครอ่ะ ทำไมกูตกข่าว

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : น้องแจงใช่มั้ย อีเฟย์ตอบ @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : ถามมันเองป่ะ กูขี้เกียจเสือก

@ Chatchanok Chatchteerachanon

 

ไม่มีคำตอบจากพอร์ชซึ่งผมเดาว่าหมอนี่ไม่ได้อ่านคอมเม้นต์เลยนอกจากอัพรูปลงเฟสบุ๊ค และคำตอบของเฟย์ ไอ้คนหน้ามึนที่ผมเคยเจอในผับก็ทำให้บรรดาสาวกคนรักฉัตรชนกกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งใต้คอมเม้นต์

 

คอมเม้นต์ 1 : กรี๊ดดดดดดดด ไม่จริ๊งงงงงงง อุตส่าห์ดีใจที่พี่ฉัตรเลิกกับแฟน แล้วทำไมพี่รีบมีกิ๊กใหม่เร็วอย่างนี้

#น้ำตาเช็ดหัวเข่ารอบที่ห้าล้าน #คนรักฉัตรชนก #คนห่ามของน้อง

คอมเม้นต์ 2 : ใครรร คราวนี้มันเป็นครายยย พี่ฉัตรของน้องไปเดทกับใคร

คอมเม้นต์ 3 : ขอให้เธอไปดี ขอให้มีความสุข ขอให้เธอหมดทุกข์เสียที ขอให้รักยืนยาวให้เธอกับเขาโชคดี อย่าได้มีใครอีกเลยต้องเจ็บช้ำ ฮือออออ

#ยินดีด้วย #พี่ฉัตรมีความสุข เราก็มีความสุข #ทีมพี่ฉัตรชนกคนหล่อ

คอมเม้นต์ 4 : ไม่น้า ใครก็ได้แต่ไม่เอายัยแจง #สามีของน้อง

คอมเม้นต์ 5 : โอ๊ยยยยย กลัวใจจริงๆ กลัวพวกม้ามืดที่สุดแล้วอ่ะ สังเกตมั้ยเฮียฉัตรมีข่าวกับใครคนนั้นไม่ใช่ตลอดอ่ะ อย่างตอนมีข่าวกับยัยปีใหม่ปรากฎว่าเฮียคบลิซ่า คราวนี้มีข่าวกับยัยแจง ถ้าออกมาว่าคบกับติวเตอร์นะ กูจะกรีดร้องงงงง

#ฉัตรติวเตอร์ #ถ้าฉันไม่ได้ชะนีคนใดในโลกก็ต้องไม่ได้ #รณรงค์ให้อนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกัน #รักฉัตรนะ

คอมเม้นต์ 6 : คราวนี้เฮียฉัตรจะคบกับใครก็ช่าง แต่ถ้ามันผู้นั้นนอกใจเฮีย ลี่จะไปตบ ตบ ตบให้ลืมทางกลับบ้านเลยคอยดู

#ถ้าใครไม่รักเฮีย อยากให้รู้ว่าลี่อยู่ตรงนี้ #ทีมเฮียฉัตร

 

ให้ตายสิ! ความคิดของผู้หญิงแต่ละคน น่ากลัวชะมัดเลย

ผมถอนหายใจด้วยความปลงตก การออกเดทกับคนของสังคมไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะครับ เพราะเรื่องส่วนตัวที่มันควรส่วนตัวจะกลายเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามอง ถ้าก้าวผิดหนึ่งก้าวคงโดนเหยียบซ้ำเอาง่ายๆ ซึ่งผมไม่อยากเป็นคนที่ทุกคนจับตามองเลย

 

ผมนอนมองเพดานเต้นท์เงียบๆมาเกือบสิบนาทีแล้ว ตอนแรกผมคิดว่าการมานอนค้างอ้างแรมกับพอร์ชสองต่อสอง คงไม่ต่างกับการมาเที่ยวกับเพื่อนอย่างไอ้ไวท์หรือไอ้ธาม แต่พอเอาเข้าจริงผมกลับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ จะให้ชวนคุยก็ไม่รู้ว่าควรพูดถึงเรื่องอะไร ยิ่งดึกก็ยิ่งเงียบ ยิ่งเงียบหัวใจของผมก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นทุกที

“วิน” พอร์ชเอ่ยทำลายความเงียบ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ผมคิดว่าเขาเองก็ค่อนข้างทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“หืม” ผมครางรับในลำคอ

“ผ้าเช็ดหน้าของมึงที่กูเคยเหยียบ…”

พอร์ชเริ่มก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งผมสัมผัสได้ถึงความลังเลในคำถาม

“ใครให้มา”

“ทำไมคิดว่ามีคนให้กูมา” ผมถามแล้วเหลือบตาไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ

“เพราะมึงไม่น่าจะชอบใช้ผ้าเช็ดหน้าแบรนด์เนม”

พอร์ชวิเคราะห์ ซึ่งที่จริงแล้วกูไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเลยแหละ

“ไม่มีใครให้ กูขโมยมาต่างหาก”

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยอมสารภาพเรื่องพวกนี้ให้เขาฟัง อาจเป็นเพราะว่าผมเริ่มเปิดใจให้เขาแล้วก็ได้

“จากใคร?”

พอร์ชเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงแล้วหันหน้ามามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ

“ชื่อพายุ เป็นคนที่กูแอบชอบมานานแล้ว”

ผมบอกเขาตรงๆ การที่เราคุยกัน มันควรเป็นการคุยกันได้ทุกเรื่องโดยที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ

“อย่าบอกนะว่าแฟนไอ้ไวท์” พอร์ชถาม ผมเห็นว่าคิ้วของเขาเริ่มขมวดเป็นปม

“รู้จักเหรอ”

“แฟนเพื่อนก็ไม่เว้น”

“กูชอบพายุมาก่อนที่มันจะเป็นแฟนไอ้ไวท์อีก”

“นั่นแปลว่ามึงกาก”

“เออ”

ผมตอบรับส่งๆ เรื่องนี้ผมยอมรับ ทั้งที่ชื่อวินเนอร์ซึ่งมีความหมายว่าผู้ชนะ แต่ผมกลับมีนิสัยชอบยอมแพ้ให้กับเรื่องของความรักเอาง่ายๆ คือสู้ได้ทุกเรื่องยกเว้นหัวใจของคนนี่แหละที่ผมหวาดกลัวเป็นพิเศษ แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังกลัวใจของพอร์ชเลย

…บางครั้งหัวใจของมนุษย์สามารถแข็งแรงได้ดังหินผา บางครั้งสามารถบอบบางได้ดังปุยนุ่น และบางครั้งก็หวั่นไหวได้เช่นสายลม ที่นึกจะเปลี่ยนทิศทางเมื่อไรไม่มีใครบอกได้เลย…

“แล้วตอนนี้ยังชอบอยู่มั้ย”

“ก็รู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นหน้า แต่ไม่อยากได้มาเป็นของตัวเอง ไม่ได้เจ็บปวดแล้วด้วย”

“ดี”

พอร์ชขยับยิ้มมุมปาก ผมรู้สึกว่าเขาดูจะพอใจในคำตอบของผม แน่นอนว่าเขามีส่วนช่วยให้ความรู้สึกยึดติดที่ผมมีต่อตัวของพายุลดน้อยลงไปมาก

“ต่อไปมึงชอบได้แค่กู”

ผมหัวเราะเบาๆ คิดว่านั่นดูเหมือนคำสั่งมากกว่าคำขอความรักนะครับ

“มึงคิดดีแล้วเหรอ”

“เรื่องอะไร” พอร์ชถาม

“เรื่องกู”

“กูคิดดีแล้ว”

“มึงอาจจะรู้สึกว่าอยู่กับกูแล้วสบายใจ แต่มันไม่ได้หมายความว่ามึงจะคบกับผู้ชายได้นะ”

ผมพยายามชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญ คือเกย์ไม่ใช่โรคติดต่อนะครับ มันแพร่ให้กันไม่ได้ ไม่ใช่ว่านึกจะเป็นก็เป็นได้เลย ของแบบนี้ต้องใจรักเท่านั้นอ่ะ

“ไหนมึงลองบอกกูมาซิ ถ้ากูคบกับผู้ชายจะมีอะไรที่ต่างไปจากตอนที่กูคบกับผู้หญิง”

ผมกรอกตามองเพดานเต้นท์ พยายามคิดหาคำตอบมาอธิบายให้มือใหม่อยากเป็นเกย์ได้เข้าใจ

“นั่นขึ้นอยู่กับว่ามึงอยากคบเลเวลไหน”

“แล้วมีเลเวลไหนบ้างล่ะ” พอร์ชถาม

“เลเวลหนึ่ง แบบใสๆอ่ะ คบกันแบบเป็นกำลังใจให้กันและกัน ทำมากสุดก็แค่กอดหรือจูบ ส่วนเลเวลสอง เป็นแบบกลางๆ ก็ทำมากกว่าจูบแต่ไม่ถึงขั้นมีอะไรกัน ส่วนเลเวลสามเป็นแบบกามๆ ก็อยู่กินแบบผัวเมียเลย…แล้วปกติตอนที่มึงมีแฟนมึงคบเลเวลไหนล่ะ” ผมอธิบายก่อนจะย้อนถามเรื่องความสัมพันธ์ของพอร์ชกับแฟนสาวที่ผ่านมา ถ้าเขาคิดจะคบกับผมแค่เลเวลหนึ่งหรือสองผมว่าไม่น่ายาก ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้า…!!

“กูไม่ใช่คนใสๆนะวิน”

กูว่าแล้ว…

“กูว่าเลเวลสาม”

“อืม” พอร์ชพยักหน้าเป็นการยืนยัน

“แล้วมึงเคยคิดมั้ยว่าอยากมีอะไรกับผู้ชาย” ผมถาม

“ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย”

พอร์ชพึมพำ ซึ่งผมสังเกตเห็นว่าเขาเริ่มลังเลเมื่อผมถามถึงเรื่องเซ็กส์ ผมว่าหมอนี่ไม่ตั้งกับผมแหงมๆ

“ถ้าคบกันจริงๆจังๆเดี๋ยวก็มีอารมณ์ไปเองแหละ”

“แล้วถ้ามึงไม่มีอ่ะ”

ผมย้อนถาม นี่แหละคือเรื่องที่ผมกังวล ถ้าคบกันไปนานๆสักวันหนึ่งมันก็ต้องทำ แล้วถ้าพอร์ชทำไม่ได้มันก็อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของเราก็ได้

“ถ้ามึงปล่อยให้กูรักมึง แล้วจู่ๆมาบอกว่ากูไม่ใช่กูตบเลยนะ”

“คิดมาก” พอร์ชหัวเราะในลำคอแล้วใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของผม

“มึงก็พูดง่ายอ่ะ เชี่ยมาก”

ผมเบะปากใส่เขา ห่ารากจริงๆ ตัวเองยังไม่แน่ใจในตัวเองแล้วเสือกมาบอกว่าชอบผม ถ้าชอบผมก็ต้องชอบที่ผมเป็นผู้ชาย มีงูเหมือนกันด้วยดิ ผมไม่คิดจะเฉาะออกนะเว้ย

“ทำไมชอบพูดคำหยาบ” พอร์ชขมวดคิ้วขณะมองมาที่ผม

“แล้วจะทำไมล่ะ”

พอร์ชไม่ได้ตอบว่าทำไมแต่เขากลับโน้มใบหน้าเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว และด้วยความที่ผมไม่ทันตั้งตัวจึงถูกเขาประกบปากจูบอย่างง่ายดาย พอร์ชแช่ริมฝีปากไว้นิ่งๆครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ขัดขืนเขาก็ค่อยๆขบเม้มกลีบปากของผมช้าๆสลับกันทั้งบนและล่าง ก่อนจะเพิ่มจังหวะให้หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

หัวใจของผมเต้นกระหน่ำจนแทบทะลุออกมาจากอก ลมหายใจเริ่มขาดห้วง ผมไม่เคยรู้สึกสั่นสะท้านและทำตัวไม่ถูกแบบนี้มาก่อน ทำได้เพียงแค่เปิดปากให้พอร์ชเป็นฝ่ายรุกรานตามใจชอบ

ในตอนที่เขาสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากของผม ผมเผลอสะดุดลมหายใจของตัวเอง ร่างกายร้อนผ่าวไปหมดราวกับอยู่ในกองไฟ รสจูบของเขากำลังมอมเมาผม ลิ้นของเขาขยับเนิบช้าทว่าเร่าร้อน ผมไม่รู้ว่าถูกเขาจูบมานานแค่ไหนจนกระทั่งเขาค่อยๆถอนลิ้นออกไปจากปากของผม

“ดีมั้ย”

ผมถาม สำหรับผมมันดีมาก แต่สำหรับเขาผมไม่รู้เลย ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำที่กำลังมองมาที่ผม ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆ

“มึงหัวเราะทำไม”

ผมขมวดคิ้วยุ่ง ห่านี่ ทำลายบรรยากาศอีกแหละ เซ็ง

“ดีสิ ทำไมมึงคิดว่าไม่ดีล่ะ หรือมึงจูบไม่เก่ง”

ผมรู้ว่าเขาแค่หยอกผมเล่น แต่ผมแม่งเพิ่งคิดได้ไงว่าเมื่อครู่ตอนที่ผมถูกเขาจูบ ผมแข็งเป็นหินไปเลย ลืมแม้กระทั่งวิธีโต้ตอบด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้พอร์ชต้องคิดว่าผมกากแน่ๆเลย คิดว่าผมไร้น้ำยา แค่จูบก็ทำไม่เป็นอ่ะดิ เสียหายมาก ร้ายแรงสุดๆ

“ใครจูบไม่เป็น นี่กูเสือวินนะครับ ล่ามาเป็นสิบๆรายแล้ว”

ผมว่าก่อนจะเป็นฝ่ายโถมตัวไปทับพอร์ชแล้วประกบปากจูบเขาอย่างดูดดื่ม พอร์ชชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับริมฝีปากจูบผมตอบอย่างหนักหน่วง ยิ่งผมแสดงท่าทางไม่ยอมแพ้ พอร์ชก็ยิ่มจูบผมแรงขึ้น ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นของพวกเรากำลังสัมผัสซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนน้ำใสภายในโพรงปาก รสจูบของพอร์ชทำให้อารมณ์ความกระสันอยากของผมถูกจุดขึ้นมาง่ายๆโดยที่เขาไม่ได้สัมผัสร่างกายของผมด้วยซ้ำ และผมอาจจะหยุดความต้องการนั้นไว้ไม่อยู่จึงต้องยอมแพ้ด้วยการถอนจูบอย่างเสียไม่ได้

“ต่อไปนี้มึงต้องหยุดล่าได้แล้ว”

พอร์ชเอ่ยกับผม ให้ตายสิ ริมฝีปากของเขานิ่มชะมัดเลย ลิ้นก็อุ่นแถมเป็นงานอีกต่างหาก

“ทำให้กูอยากหยุดที่มึงสิ”

ผมท้าทายเขา

ยอมเป็นเกย์ซะดีๆแล้วกูจะปราณีมึงนะพอร์ช


TBC.

ใครสนใจคู่พี่ไวท์พายุสามารถติดตามได้ ที่นี่จ้า มีพี่วินเป็นตัวร้าย^^
ส่วนฉบับหนังสือจะเปิดพรีออเดอร์โดยค่ายดารินสิ้นเดือนนี้น้า





ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/10/2562 [บทที่14]
«ตอบ #39 เมื่อ08-10-2019 12:16:15 »

 :o8: :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/10/2562 [บทที่14]
« ตอบ #39 เมื่อ: 08-10-2019 12:16:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/10/2562 [บทที่15]
«ตอบ #40 เมื่อ12-10-2019 00:10:05 »


บทที่ 15 กีฬาสัมพันธ์


“วิน!”

ผมที่กำลังวอร์มร่างกายให้พร้อมสำหรับการซ้อมแข่งขันว่ายน้ำ หันไปตามเสียงเรียก และพบว่าอีกฝ่ายคือไอ้ไวท์ หมอนั่นอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวซึ่งไม่ต่างจากผม

ตัวแทนนักกีฬาว่ายน้ำ (ประเภทชาย) จะถูกส่งมาจากทุกคณะอย่างละหนึ่งคน เพื่อซ้อมแข่งขันว่ายน้ำที่สระส่วนกลางของมหาวิทยาลัย สำหรับงาน ‘กีฬาสัมพันธ์’ ซึ่งถูกจัดขึ้นทุกปีเพื่อสร้างความสามัคคีระหว่างคณะและรณรงค์ในนิสิตหันมาใช้เวลาว่างในการออกกำลังกาย

แม้วันนี้จะเป็นรอบซ้อมแต่ทั่วทั้งอัฒจันทร์ที่โอบล้อมสระว่ายน้ำก็เต็มไปด้วยกองเชียร์จากหลากหลายคณะ โดยเฉพาะสาวๆที่พากันมาดูผู้ชายโป๊ คือผมไม่ได้คิดไปเองนะ แต่ละนางเตรียมทั้งกล้องถ่ายรูป และกล้องส่องทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ไม่คิดบ้างหรือไงว่าผู้ชายก็อายเป็น ถึงผมจะรู้ว่าเป้าหมายที่สาวๆพากันแห่มาก็ส่องคือไอ้ไวท์หรือไม่ก็พวกคนดังคนหล่อ แต่ผมก็ไม่อยากให้รูปของตัวเองติดกล้องใครไปเหมือนกันอ่ะ

“มึงลงแข่งด้วยเหรอวะ”

ไอ้ไวท์เดินมาหยุดยืนตรงหน้าผมแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ อันที่จริงวันนี้เป็นการซ้อมวันที่สามแล้วครับ ซึ่งสองวันแรกตัวแทนของคณะวิศวะไม่ใช่ผมแต่เป็นเด็กปีสองคนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘พี’

“เออ”

ผมพยักหน้ารับ ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนว่ายน้ำเก่งระดับนักกีฬามหาลัยอย่างไอ้พี หรือไอ้ไวท์ แต่แม่งช่วยไม่ได้ไงที่ประธานสโมสรนิสิตคณะวิศวะเสือกบังคับกึ่งขู่เข็ญให้ผมมาลงแข่งแทนนักกีฬาตัวจริงเพราะหาคนอื่นไม่ได้แล้ว

“แล้วไอ้พีล่ะ”

“มันเมาแล้วตกบันได”

ผมตอบด้วยความไม่สบอารมณ์ ถ้าให้ไอ้พีลงแข่งในครั้งนี้ โอกาสที่คณะวิศวะจะชนะและกลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้งก็ยังมีอยู่ แต่จู่ๆมีการเปลี่ยนตัวนักกีฬาโดยการให้ผม ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาว่ายน้ำของคณะเภสัชสมัยอยู่ปีหนึ่งมาลงแข่งแทน คือนอกจากผมจะว่ายน้ำเล่นบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่เคยลงแข่งมาเกือบสามปีแล้วนะ

ให้ตายเหอะ! ไม่รู้รุ่นพี่แม่งคิดเชี่ยไรอยู่ ไม่มีคนอื่นในคณะที่ว่ายน้ำเก่งๆแล้วหรือไงวะ คนเยอะซะเปล่า

“แล้วมันเป็นไงบ้างล่ะ”

ไอ้ไวท์ถามตามประสาเพื่อนร่วมทีมที่เคยไปแข่งขันว่ายน้ำกับมหาลัยอื่นด้วยกัน

“ขาหัก ยังไงก็หายไม่ทัน กูเลยต้องลงแข่งแทน”

ในงานกีฬาสัมพันธ์มีเงินรางวัลตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท เรียกได้ว่าเป็นการกระตุ้นให้อาจารย์และนิสิตจริงจังกับการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ซึ่งเงินรางวัลที่มหาลัยมอบให้แต่ละคณะจะถูกนำไปจัดสรรงบประมาณสำหรับบำรุงห้องเรียนและอุปกรณ์ภายในคณะ ซึ่งขอบอกเลยว่าคณะวิศวะของผมแม่งโคตรยากจนเลยครับด้วยความที่คณะเรามีหลายสาขาและแต่ละสาขาจำเป็นต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมากในการจัดซื้ออุปกรณ์ เครื่องจักร และบำรุงรักษาช็อป

ซึ่งนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนที่ไม่เอากิจกรรมมานานแล้วอย่างผม ยอมสละเวลาในการนอนมาซ้อมว่ายน้ำ คือยังไงก็ตาม ผมยังหวังจะได้ที่สามในการแข่งอยู่นะครับ เพราะถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิด ที่หนึ่งและที่สองต้องเป็นของไอ้พี่พอร์ชหรือไม่ก็ไอ้ไวท์แน่นอน เหตุผลก็คือสองคนนี้คือนักกีฬาตัวจริงของมหาลัย ส่วนคนอื่นๆที่ลงแข่งก็เหมือนกับผมนี่แหละครับ แค่พวกที่ว่ายน้ำได้แต่ไม่ได้ว่ายบ่อยๆ แล้วความยุติธรรมแม่งอยู่ที่ไหนวะ มหาลัยควรจะออกกฎระเบียบนะว่า นักกีฬาตัวจริงของมหาลัยห้ามลงแข่ง แล้วแบบนี้พวกผมก็เสียเปรียบอ่ะดิ จะเอาอะไรไปสู้กับพวกที่ซ้อมบ่อยๆเนี่ยถามจริง

“คณะวิศวะมีแววจะชนะแล้วสิ” ไอ้ไวท์เอ่ยยิ้มๆ

“ตรงไหนวะ” ผมถาม

“มีมึงอยู่ทั้งคน กูจะไปชนะได้ไง ขอแค่เหรียญทองแดง กูก็พอใจแล้ว”

“ไอ้ฉัตรมันแข่งด้วย”

ไอ้ไวท์เปรยขึ้นมาเรียบๆ ซึ่งคำพูดของมันกำลังทำผมงงหนัก คือมึงกำลังจะสื่ออะไรวะ แม้ผมจะเป็นเพื่อนกับมันมานานแต่บางครั้งผมก็ตามความคิดของมันไม่ทันอ่ะครับ

“รู้แล้ว”

“มันเก่งมากเลยนะ”

“เก่งกว่ามึงอีกเหรอ”

ผมถาม คือไอ้ไวท์เก่งระดับไหนผมรู้ดี แต่สำหรับพอร์ชผมไม่รู้ แล้วก็ไม่เคยเห็นสองคนนี้แข่งกันด้วย

“อืม อยากเห็นมันแพ้”

ไอ้ไวท์ขยับยิ้มร้ายกาจ ต้องบอกก่อนนะว่าเพื่อนของผมคนนี้หน้าตาหล่อเหลาแบบคนสุภาพ ซึ่งอย่าให้บุคลิกนุ่มนวลของมันหลอกคุณได้เด็ดขาด เพราะจริงๆแล้วหมอนี่มันร้ายลึก แถมเจ้าแผนการอีกต่างหาก

“มึงก็ขยันซ้อมเข้าสิ”

ผมเอ่ยแบบหวาดๆ เริ่มไม่ค่อยไว้ใจไอ้ไวท์แล้วอ่ะครับ จะหางานอะไรให้กูอีกหรือเปล่า ตอบ!

“กูยอมแพ้มึงดีมั้ย แต่มึงต้องชนะไอ้ฉัตรให้ได้”

ไอ้ไวท์ถามยิ้มๆ ซึ่งประกายบางอย่างในดวงตาสีดำลึกลับทำผมกลัวอ่ะครับ คือมึงอยากชนะแต่ไม่ยอมชนะเองหมายความว่าไงวะ

“ทำไมต้องเป็นกูล่ะ”

“ได้ข่าวว่าคบกัน” ไอ้ไวท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ยังไม่ได้คบแค่ไปเดท”

“เออ กูน่าจะรู้ว่าไม่ควรเชื่อข่าวจากไอ้ธาม”

ไอ้ไวท์บ่นพึมพำ ถูกของมันครับ การที่คุณจะรับข่าวสารจากเพื่อนธามต้องกลั่นกรองให้ดีเสียก่อน เพราะมันมักจะมีเรื่องจริงผสมอยู่กับเรื่องที่ถูกใส่สีตีไข่ เช่นเรื่องของผมเป็นต้น

“ถ้ามึงชนะไอ้ฉัตรได้ วิศวะเป็นแชมป์ว่ายน้ำของปีนี้เลยนะ”

“แล้วทำไงจะชนะ”

ผมถาม ไม่ใช่ว่าไม่อยากชนะไอ้พี่พอร์ช เพียงแต่มันไม่ง่ายน่ะสิ ไอ้ไวท์กวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ขอไอ้ฉัตรสิ บอกมันว่ามึงอยากชนะ”

“แค่เนี๊ย?”

ผมถามเสียงสูง ง่ายไปปะมึง ใครๆก็อยากให้คณะของตัวเองชนะทั้งนั้นแหละ เรื่องอะไรจะมายอมอ่อนข้อให้คนอื่น แม่งเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายหมดว่ะ

“ถ้ากูขอแล้วกูจะได้เลยใช่มั้ย”

ผมประชด ซึ่งอีกฝ่ายกลับขยับยิ้มกวนๆให้ผม

“ใช่ ถ้ามึงขอ มึงจะได้”

“แล้วมึงไม่อยากให้คณะแพทย์ชนะหรือไง”

“คณะแพทย์คว้าเหรียญทองมาสี่รายการแล้ว กูสงสารคณะมึงมากกว่า น่าจะได้สักเหรียญทองนะ”

ผมได้ข่าวมาว่าคณะแพทย์คว้าเหรียญทองในการแข่งขันบาสเกตบอล (ประเภทชาย) แบดมินตัน (ประเภทคู่,หญิง) และกรีฑา (ประเภททีมและประเภท 800 เมตร) แล้วลองคิดดูนะว่าปีนี้คณะแพทย์จะได้รับเงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยกี่บาท ยังไม่นับรวมว่าคณะแพทย์ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลเพราะโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยถือเป็นส่วนหนึ่งของคณะแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นคณะที่มีเงินหมุนเวียนดีที่สุดแล้วอ่ะ แล้วนี่พวกมึงยังจะหน้าด้านหน้าทน แย่งเงินจากกีฬาสัมพันธ์ไปอีกเหรอวะ แย่ๆ แบ่งให้คณะอื่นหน่อยก็ไม่ได้ วินเซ็งครับ

ผมส่ายหน้าด้วยความปลงตกก่อนจะเหลือบไปมองบนอัฒจันทร์ และเห็นว่าพายุคนน่ารักกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว

“สงสารคณะกู หรือสงสารเมีย”

ผมย้อนถามไอ้ไวท์ ที่เริ่มทำหน้าไม่ถูก แหม ทำมาเป็นสงสารคณะกู อยากให้วิศวะได้เหรียญทองบ้างเพราะเมียจะได้หน้าบานก็บอกมาเถอะ

“แล้วฉัตรมันหายไปไหน ทำไมไม่มาซ้อม”

พอถูกจับได้มีเปลี่ยนเรื่องเลยว่ะ

“มันบอกว่ามีคุยโปรเจคกับอาจารย์ที่ปรึกษา” ผมตอบ

“บอกมันหรือยังว่าลงแข่ง”

“บอกแล้ว” ผมไลน์ไปบอกพอร์ชตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ซึ่งหมอนั่นก็อ่านแล้วแต่ไม่ได้ตอบ





เวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลานัดหมาย นักกีฬาว่ายน้ำที่วอร์มร่างกายพร้อมแล้วก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นสำหรับเตรียมปล่อยตัวนักกีฬา เมื่อได้ยินสัญญาณจากกรรมการทุกคนก็กระโดดลงสระว่ายน้ำขนาด 50 เมตร โดยนักกีฬาทุกคนต้องว่ายในท่าฟรีสไตล์เมื่อกลับตัวจากขอบสระอีกฝั่งหนึ่งแล้ว นักกีฬาสามารถเลือกว่ายกลับมาอีก 50 เมตรด้วยท่าใดก็ได้ที่ตนเองถนัด (ท่าผีเสื้อ ท่ากรรเชียง และท่ากบเท่านั้น ห้ามใช้ท่าฟรีสไตล์) คือผมจะบอกว่าผมแม่งถนัดอยู่ท่าเดียวไง ซึ่งก็คือฟรีสไตล์ ในตอนที่ว่ายน้ำไปกลับตัวที่ขอบสระอีกฝั่งผมทำเวลาได้ดี แต่ในตอนที่ว่าย กลับมาด้วยท่ากรรเชียงผมเข้าแตะขอบสระเป็นคนที่หก ซึ่งถือว่าแย่มาก

ห่าเอ๊ย ใครเป็นคนคิดกติกาวะเนี่ย คิดบ้างมั้ยว่าบางคนมันว่ายน้ำได้ท่าเดียว ไม่ได้เป็นนักกีฬามหาลัยกันทุกคนนะเว้ย แค่นักกีฬาจำเป็นอ่ะรู้จักเปล่า

“เชี่ยวิน”

ผมที่กำลังยืนหอบหายใจอยู่ริมสระว่ายน้ำหันไปตามเสียงเรียกและเห็นว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนสนิทของผมสมัยที่ยังเรียนอยู่คณะเภสัช หมอนั่นมาเป็นตัวแทนนักกีฬาว่ายน้ำของคณะเภสัชอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ว่าไง เชี่ยแม็ค”

เจ้าตัวขยับยิ้มเมื่อผมเรียกชื่อของมันด้วยการเติมคำนำหน้าเช่นกัน ช่วยไม่ได้อ่ะ ก็มันอยากเติมเชี่ยให้ผมก่อนทำไมล่ะ ผมก็ต้องเติมให้มันสิ เพื่อความเท่าเทียมอ่ะครับ

“ไม่เห็นหัวนานเลยนะ ได้เพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนเก่าเหรอวะ”

ไอ้แม็คหยอกผมด้วยรอยยิ้มกวนตีนที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ตอนนี้นักกีฬากำลังผลัดกันซ้อมว่ายน้ำโดยจับเวลากันเอง ซึ่งตอนนี้ผมขอพักก่อน ไม่ได้ว่ายน้ำมานานแล้วเหนื่อยเป็นบ้าเลยครับ

“โทษๆ มึงมันไม่สำคัญด้วยไง”

ผมว่า จริงๆแล้วเมื่อก่อนผมกับไอ้แม็คสนิทกันมาก คือตั้งแต่ย้ายมาเรียนคณะวิศวะผมก็ลืมมันไปเลย แล้วมันก็ดูเหมือนจะลืมผมเช่นกัน เพราะมันไม่ได้มีการติดต่อมาเลย มากสุดก็แค่กดไลท์รูปหรือสเตตัสในเฟสบุ๊คของผมก็เท่านั้น

“น้อยใจ”

ผมส่ายหน้าด้วยความหมั่นไส้เมื่อจู่ๆไอ้เพื่อนแม็คก็ออกอาการตอแหล โดยการทำหน้าแอ๊บแบ๊วใส่ผมซะงั้น แล้วไอ้ผมมันก็คนมือไวตีนไวด้วยสิครับ จึงเผลอยกขาขึ้นมาหวังจะเตะอีกฝ่ายให้ตกลงไปในสระ แต่พื้นกระเบื้องที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำทำให้ผมเสียหลักและลื่นตกลงไปในสระว่ายน้ำแทน ซึ่งโชคดีที่มือของผมทันคว้าแขนไอ้เพื่อนเวรให้ตกลงมาพร้อมกันได้ นับว่าไม่ขาดทุนแล้วครับ

พรืดดดดดด

ตูมมมมมมมม!!!!!

กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!

อ๊ายยยยยยยยยยยยย!!!

สาวๆเขากรี๊ดอะไรกันครับ ไม่เคยเห็นคนหล่อตกน้ำเหรอถามจริง!

 

 

ผมได้รับคำตอบว่าสาวๆบนอัฒจันทร์กรีดร้องกันเรื่องอะไร ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตอนที่ผมกลับมานั่งกินข้าวกล่องตรงหน้าโน๊ตบุ๊คในหอพักแล้ว ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคือเพจ Sexy Boy ที่ผมไม่ได้เข้าไปเสพรูปผู้ชายมานานมากแล้ว เอ่อ จริงๆผมแค่เข้ามาส่องว่าจะมีรูปของผมหลุดติดมาบ้างหรือเปล่า และถ้ามีผมหวังว่าจะไม่ถูกเผาแบบวอดวายนะครับ

คืออย่างที่รู้ๆกันว่าในสังคมตอนนี้จะมีคนบางคนที่ชีวิตมันว่างมากเกินไป นอกจากจะชอบเสพเรื่องของชาวบ้านไม่พอยังหาเรื่องเผาได้แบบ…เจ้าตัวอาจจะสงสัยว่ากูเคยไปเผาบ้านมึงหรือเปล่าทำนองนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมจะระแวงมากเวลาที่ต้องยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน คือผมไม่อยากมีตัวตนอยู่ในสายตาของชาวบ้านไง แม่ง ทำไรนิดหน่อยก็โดนด่าแล้ว ขนาดพายุที่ไม่ได้ทำอะไรแค่เป็นแฟนของไอ้ไวท์ยังโดนลากไปด่าได้อ่ะคิดดู

 

เค้าเล่นอะไรกันไม่รู้แต่หนูฟิน

#พี่แม็คเภสัชปี4

#กราบขออภัยพี่คนหล่อในภาพด้วยนะคะ น้องไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร

#ใครรู้จักคนในภาพอินบ๊อกซ์มาบอกเราได้น้า

ข้อความทั้งหมดถูกโพสต์ลงแฟนเพจ Sexy Boy เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ซึ่งในภาพก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย กูเองเนี่ยแหละ

ภาพของผมกับไอ้แม็คถูกโพสต์เป็นอัลบั้ม มีภาพที่ไอ้แม็คทำหน้าส้นตีนใส่ผม ซึ่งพอถ่ายภาพออกมาแล้วเสือกดูดี เหมือนกำลังทำหน้าอ้อนแฟนไปอีก คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดีจริงๆครับ ส่วนภาพต่อมากล้องซูมมาที่ใบหน้าของผมพอดี ผมกำลังทำหน้าแปลกๆเหมือนคนอึไม่ออกอ่ะครับ แล้วก็มีภาพที่ผมเตะไอ้แม็ค ภาพที่พวกเราตกลงไปในสระว่ายน้ำพร้อมกัน และภาพสุดท้ายที่เชี่ยสุดเพราะมุมกล้องของคนถ่ายก็คือภาพที่ไอ้แม็คดึงผมขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ มันดูเป็นโมเม้นต์หวานเชื่อมแปลกๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรด้วยซ้ำ

จากตอนแรกที่ผมคิดว่าอาจจะมีกระแสคอมเม้นต์ไปในทางลบ กลับกลายเป็นว่ามีเรือผีโผ่ลมาซะงั้น ให้ตายเถอะ อารมณ์ของการมีแฟนคลับมันเป็นแบบนี้เองเหรอวะ

 

คอมเม้นต์ 1 : พี่คนนั้นใครไม่รู้แต่โคตรน่ารักเลยอ่ะ แค่สายตาที่มองกันมันก็ชัดเจนแล้วว่ามีอะไรๆ

#ไม่ต้องพูดมากน้องเจ็บคอ #ทีมพี่แม็ค #พี่คนหล่อคือใคร

คอมเม้นต์ 2 : หล่อจัง หุ่นเคะมาก นี่มันเคะในฝันชัดๆเลย แอดมินนนนน ทำม้ายยยย ทำไมเพิ่งมีรูปพี่คนหล่ออ่ะ น้องอยู่มอ N มาหนึ่งปีแล้วทำไมเพิ่งเห็น

#พี่คนหล่อคือใคร #พี่แม็ค #น้องอยากพายเรือคู่นี้

คอมเม้นต์ 3 : งานดีสุดๆ พรุ่งนี้ฉันต้องไปส่องผู้บ้างแล้ว

#ขอให้ชาวสีม่วงจงเจริญ #พี่คนหล่อคือใคร #SexyBoyมอN

Trrrrrrrrrrrrrrrr

ผมที่กำลังนั่งส่องคอมเม้นต์เพลินๆถึงกับสะดุ้งเมื่อไอโฟนของผมแผดเสียงร้อง ผมเหลือบตาไปมองไอโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัว หน้าจอกำลังสว่างพร้อมกับแสดงว่ามีสายเรียกเข้าจากพอร์ช

“ว่าไง”

ผมกดรับสายแล้วยกไอโฟนมาแนบกับใบหู

“กูไม่ไปซ้อมว่ายน้ำแค่วันเดียว มึงถึงกับไปนัวเนียผู้ชายคนอื่นแล้วเหรอวะ!”

ผมรีบยกไอโฟนออกห่างจากใบหูแทบไม่ทัน ห่าเอ๊ย ตะโกนมาได้ไอ้บ้าพอร์ช

“กูเนี่ยนะไปนัวเนียผู้ชาย?”

ผมถามด้วยความงุงงง ก่อนที่ความเข้าใจจะแล่นเข้ามาในสมองเมื่อสายตาเหลือบกลับไปมองรูปภาพในแฟนเพจ Sexy Boy

อา…แอดมิน มึงหางานให้กูนะรู้ยัง

“มึงแอบคุยกับไอ้แม็คเหรอ สารภาพมาเดี๋ยวนี้เลย”

พอร์ชถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างซีเรียส ให้ตายเถอะ ผมว่าหมอนี่ขี้หึงสุดๆไปเลยอ่ะ แต่นับว่าเป็นโชคดีตรงที่หมอนี่เป็นคนตรงๆ อยากรู้อะไรก็ถามตรงๆ ด่ากันตรงๆ ผมไม่จำเป็นต้องไปมโนต่อเองว่าเขาโกรธเรื่องอะไร หรือกำลังไม่พอใจเรื่องอะไร

“ทำไมมึงขี้หึงจังวะ”

ผมบ่นพึมพำ ตั้งแต่เกิดมาวินไม่เคยโดนหึงมาก่อนเลยครับแม่ ปกติมีแต่ผมที่ไปหึงเขา แถมเขาที่ว่าก็คือแฟนของคนอื่นด้วยอ่ะดิ

“กูถามมึงอยู่นะวิน” พอร์ชถามย้ำ ผมสัมผัสได้ถึงความอดทนที่ค่อยๆลดน้อยลงของเขา อย่างที่รู้ๆกันว่าหมอนี่ใจร้อนแล้วก็เอาแต่ใจมาก

“กูไม่ได้นัวเนีย แล้วก็ไม่ได้แอบคุยกับคนอื่นด้วย”

“รีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”

“ใจเย็นครับพี่ มึงตะคอกจนกูกลัว ฉี่จะราดแล้ว ห่า!”

ผมว่าก่อนจะรีบอธิบายเรื่องของแม็คให้พอร์ชฟังอย่างรวดเร็ว คือผมไม่อยากเห็นคุณชายท่านองค์ลงเลยครับ

“คือกูกับไอ้แม็คเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยที่กูเรียนเภสัช แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันมานานมากแล้ว เพิ่งคุยกันที่สระว่ายน้ำวันนี้…แค่นั้นเอง”

“แล้วภาพที่กูเห็นในเพจ Sexy Boy มันคืออะไร”

คำถามของหมอนี่แม่งหาเรื่องกันชัดๆเลยว่ะ คือผมไม่ได้เป็นคนถ่ายรูปแล้วเอาไปโพสต์ในที่สาธารณะสักหน่อย เป็นความผิดของผมที่ไหนกัน

“มึงก็ไปถามอีคนถ่ายรูปกับคนลงรูปสิ มโนกันไปเองมั้ยล่ะ”

พอร์ชเงียบไปครู่หนึ่ง อาจจะนานกว่าหนึ่งนาทีก่อนที่เขาจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาก…อารมณ์ของเขาตอนนี้ เหมือนหน้ามือกับหลังมือเลยอ่ะครับ

“ไม่ได้คุยกันแน่นะ”

“เออ”

“มึงชอบมันหรือเปล่า”

“ไม่เคยพิศวาสเลย”

ผมตอบ ต่อให้ไอ้แม็คหล่อมากกว่านี้ผมก็ไม่แล สำหรับผม…เพื่อนกันมันไม่เกิดอารมณ์จริงๆอ่ะ

“แล้วชอบกูมั้ย”

ผมขยับยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนของพอร์ช ถ้าบอกว่าหมอนี่เป็นไบโพล่าผมก็เชื่ออ่ะครับ

“เออ”

อันที่จริงพอร์ชเป็นคนที่ร้ายกาจ ชอบคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง พูดจาไม่รักษาน้ำใจคนอื่น แต่ไม่รู้ทำไม…ผมกลับสัมผัสได้ว่าตอนที่เขาอยู่กับผม หรือพูดกับผมเขาได้ลดความร้ายกาจของตัวเองลงมามากแล้ว แต่เรื่องความกวนตีนหน้าตายยังต้องรอดูกันต่อไป

“วิน”

“อะไร”

“ไปหาได้มั้ย ห้องกูมันเงียบ กูต้องการเพื่อนคุย”

ผมแอบหัวเราะแบบไม่มีเสียง ไอ้คนปากแข็งเอ๊ย อยากเจอกู คิดถึงกูก็สารภาพมาตรงๆเถอะ

“มันดึกแล้วจะมาทำไม”

ผมแกล้งทำเสียงห้วนใส่พอร์ช ที่จริงแล้วผมก็อยากเจอเขาเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้เจอหน้าหมอนี่แค่หนึ่งวันแต่ใจของผมมันโคตรโหยหาเลยอ่ะ ต้องการการเติมเต็มมักๆ

“แค่ทุ่มกว่า บ้านมึงเรียกดึกเหรอ”

แหม มีย้อน! ทำตัวน่ารักสักหนึ่งนาทีไม่ได้เลยนะมึง

“มาแล้วจะกลับตอนไหนล่ะ ขับรถดึกๆมันอันตราย”

ประโยคแบบนี้สำหรับผมแล้วไม่ได้เรียกว่าเป็นห่วงนะครับ แต่เรียกว่าให้ท่า!

“งั้นนอนกับมึงเลยได้มั้ยล่ะ”

ผมยิ้มกว้าง ไอ้พี่พอร์ชยอมงับเหยื่อง่ายๆแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย…แล้วผมจะปฎิเสธคำขอนั้นได้อย่างไรล่ะครับ ผมเป็นคนดีขนาดนี้แล้วอ่ะ

“ตามใจมึงสิ”


:mc4: https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/


TBC.


 

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/10/2562 [บทที่15]
«ตอบ #41 เมื่อ12-10-2019 11:12:23 »

 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/10/2562 [บทที่15]
«ตอบ #42 เมื่อ12-10-2019 11:32:32 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
«ตอบ #43 เมื่อ18-10-2019 00:11:44 »

บทที่ 16 เปิดโลกทัศน์



 

“พี่พอร์ช”

ผมเอ่ยเรียกคนที่กำลังเอนหลังดูทีวีอยู่บนเตียงนอนของผม หมอนั่นเหลือบสายตามามองก่อนจะยกแขนขึ้นมาโอบไหล่แล้วดึงร่างของผมให้เอนไปพิงกับร่างของเขา

“อยากได้อะไร”

พอร์ชถาม นัยน์ตาสีดำที่กำลังทอดมองมาที่ผม เป็นประกายซุกซนต่างจากในตอนปกติ…คือกูมีเรื่องจะขอก็จริง แต่มึงจำเป็นต้องรู้ทันทุกเรื่องมั้ยฮะ

“ทำไมคิดว่ากูจะขออะไรล่ะ”

“เพราะมึงกำลังอ้อนกูอยู่”

ผมยู่ปากใส่เขา ห่าพอร์ชไม่ได้ซื่อบื้อนะครับ แค่บางครั้งเขานิ่งมากเกินไปจนผมตามไม่ทัน ไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่รู้ อีกอย่างผมคิดว่าหมอนี่เป็นคนที่ใจเย็นแบบแปลกๆ อย่างเรื่องจับชู้กลางห้องเรียน ไม่เข้าใจว่าทำไมเขายอมนั่งฟังลิซ่าคุยกับชู้อยู่ได้ตั้งนานก่อนจะอาละวาด

“วันนี้กูไปซ้อมว่ายน้ำ เจอไอ้ไวท์ด้วย” ผมเกริ่น ซึ่งพอร์ชทำเพียงแค่ขานรับในลำคอเพื่อรอฟังสิ่งที่ผมต้องการจะขอจากเขา

“อืม”

“มันบอกว่ามึงเก่งมากเลยนะ”

ผมเชื่อที่ไอ้ไวท์บอกทุกอย่างเลยครับ เพราะหมอนั่นเป็นพวกมองลักษณะนิสัยของคนออก แล้วมองใครนี่มองลึกไปถึงไส้ติ่งเลย ดังนั้นผมจึงคิดว่าถ้าพอร์ชไม่ใช่พวกใจอ่อนก็เป็นพวกสายเปย์ แบบขออะไรได้ทุกอย่างอ่ะ

“แน่นอน” ไอ้พี่พอร์ชตอบรับแบบไม่อายปาก ครับพี่ วินเชื่อแล้วว่าเก่งจริงๆ

“มึงคิดว่าใครจะได้แชมป์” ผมลองหยั่งเชิง

“ต้องกูอยู่แล้ว”

นั่นไง ความมั่นหน้านี้…

“ที่สองล่ะ”

“น่าจะไอ้ไวท์”

จ้ะ! ตามนั้นก็ได้

“ที่สามล่ะ”

พอร์ชเอียงคอมองผม ก่อนจะปฎิเสธหน้าตาย

“ไม่ใช่มึงหรอก”

เชี่ยนี่! มีความเชื่อมั่นในตัวกูสูงมาก เชื่อว่ากูกากสินะ

ผมรู้สึกขัดใจชะมัดเลย แต่โมโหไม่ได้ ไม่เอา ผมกำลังจะออดอ้อนพอร์ช ดังนั้นผมจะเหวี่ยงใส่เขาไม่ได้ เดี๋ยวแผนการพังพินาศ

“แต่กูอยากได้อ่ะ” ผมเอ่ยขอดื้อๆเลย กูจะเอา ให้กูได้ปะล่ะ นี่คนชอบกันอยู่นะเว้ย ใจใจหน่อย

“จริงๆอยากได้แชมป์เลย ถ้ามึงยอมให้กูนะ” พอร์ชยกมือขึ้นมากอดอก เอนหลังพิงหมอนใบใหญ่แล้วเหลือบตามามองผมแบบกวนประสาท

“มึงเห็นว่ากูเป็นคนใจดีขนาดว่าขออะไรก็ได้เหรอ”

ไม่นะเพื่อนไวท์ มึงจะทำนายผิดพลาดไม่ได้ เชี่ยพอร์ชมึงต้องอ่อนโยนกับกูมากกว่านี้เด้

“มึงยอมให้กูสักคนไม่ได้เหรอ มึงชอบกูนะพอร์ช”

ผมถาม แล้วเอนศีรษะไปซบไหล่ของพอร์ช นาทีนี้กูน่ารักสุดๆแล้วนะมึง ถ้าน่ารักกว่านี้คือไม่ใช่กูแล้ว แต่เป็นผีบ้าเข้าสิงอ่ะ

“กูจะยอมให้แค่คนๆเดียว” พอร์ชเปรยขึ้นมาเรียบๆ ซึ่งเรียกความสนใจจากผมได้ทันที จะใครล่ะ ต้องกูดิ กู กู…

“ใคร?”

“คนที่เป็นแฟนกู”

ผมยิ้มค้าง เดี๋ยวนะ! พอร์ชกำลังหมายความว่าอยากให้ผมเป็นแฟนเขา หรือกำลังจะบอกว่าถ้ามึงไม่ใช่แฟนก็เงียบไปซะ?? งงในงง เอาวะ นาทีนี้ผมต้องมั่นหน้า อ่อยสุดตัวขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องได้กันแล้วอ่ะ

“ถ้ากูได้แชมป์ กูจะยอมเป็นแฟนมึง” ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของพอร์ชให้หันมาเผชิญหน้าแล้วเอ่ยด้วยความจริงจัง ซึ่งทำให้หมอนั่นชะงักไปครู่หนึ่ง

เฮ้ย ไรอ่ะ อย่าเงียบไปแบบนี้ดิ วินใจคอไม่ดีนะครับ





“ไม่อ่ะ ต่อให้ไม่ได้แชมป์มึงก็ต้องเป็นแฟนกู”

คำตอบของพอร์ชทำให้ผมเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไอ้แมงกะพรุนมีพิษ! ผมถึงกับคิดคำด่าไม่ออก เพราะนึกว่าจะถูกหมอนั่นปฎิเสธซะอีก ถ้าเขาตอบว่าไม่อยากเป็นแฟนของผมก็ใจหมาเกินไปแล้วเนอะ

“มึงไม่มั่นใจในตัวเองใช่มั้ยว่าจะทำให้กูชนะได้” ผมเอ่ยยั่วซึ่งหมอนั่นก็ยอมร่วมมือกับผมแต่โดยดี นับว่าได้กำไลแล้วครับ

“โอเค กูจะทำให้มึงได้แชมป์”

“พูดแล้วนะ” ผมย้ำแล้วยื่นนิ้วก้อยให้พอร์ช เขาขมวดคิ้วมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกผมคิดว่าจะถูกด่าว่า ‘มึงทำอะไรปัญญาอ่อน’ แต่เขากลับยอมยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับนิ้วของผมแบบง่ายๆ…น่ารักชะมัดเลย

“กูยอมให้มึงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่านักกีฬาคนอื่นจะยอมให้มึง”

พอร์ชบอกกับผม ซึ่งถูกของเขาเหละครับ ใครๆก็อยากให้คณะของตัวเองชนะทั้งนั้น ยกเว้นไอ้ไวท์ไว้คนหนึ่งนะ อันนี้อยากให้คณะของเมียชนะ

“กูรู้ แต่ไอ้ไวท์ไม่ใช่ปัญญา…เชื่อกูสิ”

พอร์ชหรี่ตามองผมราวกับไม่เชื่อถือในคำพูด แต่เขาไม่ได้ถามว่าทำไม คือหมอนี่รู้อยู่แล้วอ่ะว่าผมกับไอ้ไวท์และไอ้ธามคือแก๊งเดียวกัน

“โอเค ตัดกูกับไอ้ไวท์ออกไป มึงก็ต้องเก่งกว่าอีกสิบสามคนที่เหลือ คิดว่าทำได้มั้ย”

ในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่มีทั้งหมด 16 คณะ ตัดนักกีฬาตัวแทนจากคณะแพทย์และบริหารออกไป ผมจะต้องเก่งกว่านักกีฬาจาก 13 คณะที่เหลือ ซึ่งที่จริงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรอ่ะ เพราะผมว่ายน้ำท่าอื่นกากหมดยกเว้นท่าฟรีสไตล์

“ต้องได้สิ ในเมื่อกูมีมึงอยู่ทั้งคน” ผมหันไปประจบพอร์ช ไม่รู้แหละ ต่อให้กากยังไงพอร์ชจะต้องทำให้ผมเก่งขึ้นมาให้ได้เลย 

“งั้นวันเสาร์นี้ไปซ้อมกัน โอเคมั้ย”

“ได้ๆ” ผมรีบตอบรับก่อนที่หมอนี่จะเปลี่ยนใจ วันแข่งขันใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ผมจะต้องตั้งใจซ้อมให้หนักเลย

“พอร์ช” ผมเรียกแล้วสะกิดแขนของเขาเบาๆ

“หืม”

“ในฐานะที่มึงเป็นคนดีมีน้ำใจต่อกู กูจะมีน้ำใจต่อมึง” ผมยิ้มแฉ่ง ก่อนจะขยายความถึงความมีน้ำใจของตัวเอง “ดูหนังกันมั้ย กูมีแผ่นเยอะมากเลยนะ”

“ก็ดูอยู่เนี่ย” พอร์ชตอบก่อนจะใช้รีโมทในมือชี้ไปทางทีวี

“ละครหลังข่าวแม่งน่าเบื่อ เดี๋ยวก็ตบกันแย่งผัวอีกเชื่อกูดิ…นั่นไง!”

ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ ตัวร้ายในทีวีก็ตบกับนางเอกของเรื่องแล้วอ่ะครับ คือบทนางเอกผู้น่าสงสารไม่มีในสังคมยุคนี้แล้วใช่เปล่า เพราะนางเอกก็ใช่ย่อยเลยน้า ตบตัวร้ายซะจมูกเบี้ยวไปเลยครับ

“งั้นเปิดหนังก็ได้”

เมื่อได้รับคำตอบตกลงจากพอร์ช ผมก็กระโดดลงจากเตียงแล้วมุดเข้าไปค้นหาสมบัติที่ถูกสะสมไว้ในกล่องใต้เตียงนอน นี่ไม่ใช่แผ่นจริงครับ แผ่นผีทั้งนั้น เกรงว่าหากวันหนึ่งตำรวจบุกห้อง ผมจะโดนข้อความละเมินลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา แถมบางครั้งผมคนมีน้ำใจก็ไรท์แผ่นผีพวกนี้ไปแจกเพื่อนฝูงทั้งสาขา

ชั่วไปอีกนะกู! เด็กๆดูไว้ วินเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ห้ามลอกเรียนแบบ

“มึงชอบแนวไหน แอคชั่นหรือสยองขวัญ” พอร์ชชะโงกหน้ามาถาม ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะหนังแบบนั้นกูไม่ดูหร๊อก

“ไม่ทั้งสองอย่าง กูมีดีกว่านั้นเยอะเลย” ผมยกกล่องพลาสติกที่เก็บแผ่น DVD ไว้เกือบหนึ่งร้อยแผ่นมาวางบนเตียงตรงหน้าของพอร์ช

“เลือกที่มึงอยากดู” ผมเอ่ยอย่างคนมีน้ำใจ บอกเลยว่าของพวกนี้ผมหวงมาก ถ้าไม่ใช่พอร์ช ผมไม่ให้เลือกทุกแผ่นแบบนี้หรอกนะ

“วิน” พอร์ชเอ่ยเรียกผมด้วยสีหน้าลำบากใจ เฮ้ย มึงไม่ต้องเกรงใจนะพอร์ช กูเต็มใจให้มึงเลือกจริงๆครับ

“รู้สึกว่ามึงจะมีแต่หนังผู้ใหญ่อย่างเดียวเลยนะ” พอร์ชเหลือบตามามองผมด้วยท่าทางแปลกๆ

เอ๊า! แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะ ผมเป็นผู้ใหญ่อายุเกิน 18 ปีแล้ว เรตนี้ดูได้ครับ

“หรือมึงไม่มี”

“ไม่มีสักแผ่น”

“ไม่เชื่ออ่ะ”

“กูโหลดฟรีมาดู” พอร์ชตอบ

“เดี๋ยวติดไวรัส” ผมกรอกตามองบน แหม มึงนี่ไม่ลงทุนเลยนะ

“เลือกเดี๋ยวนี้ กูจะสอนเพศศึกษาให้”

“เอาจริงดิ” พอร์ชถามด้วยสีหน้าหวาดๆ เฮ้ย มึงจะกลัวอะไรกับอีแค่หนังโป๊เกย์ ต่อให้มึงไม่เคยดู มึงก็ถึงเวลาต้องดูได้แล้ว

“คิดจะเป็นแฟนกูมึงต้องเป็นงาน เลือกเดี๋ยวนี้เลย!”

ผมเร่ง พอร์ชกวาดสายตามองแผ่นหนังในกล่องสมบัติครู่หนึ่ง ผมคิดว่าท่าทางของเขาดูจะคิดหนัก ก่อนจะถอนหายใจปลงๆแล้วโยนมาให้ผมเลือก

“มึงเลือกเรื่องที่ชอบมาเลย กูชอบเหมือนมึงนั่นแหละ”

หึ! ไอ้ลูกศิษย์ไม่รักดี ช่างไม่มีความกระตือรือร้นเอาซะเล้ย ไม่เหมือนผมสมัยมัธยมอ่ะ ถ้าครูเอาเรื่องแบบนี้มาสอนให้ห้องเรียนนะ ผมตั้งใจเรียนตายห่า

คนอย่างพอร์ชแม่งแย่จริงๆเนอะ!



 

“วิน”

“ฮะ” ผมที่กำลังยัดมันฝรั่งทอดกรอบใส่ปากขานรับไปแบบส่งๆ ห่าพอร์ช มึงอย่าเพิ่งเรียกกูตอนนี้ดิ มันเสียสมาธินะรู้มั้ย หนังยิ่งกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่ด้วย

“มึงชอบแบบนี้เหรอ”

ผมทำหน้าคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง อืม…ไอ้คำว่าแบบนี้มันคือแบบไหนอ่ะครับ ถ้าหมายถึงแบบที่ในทีวีกำลังฉายอยู่ตอนนี้ก็…เป็นฉากที่นายเอกของเรื่องผู้มีผิวขาวราวกับหยวกกล้วย ถูกพระเอกมัดข้อมือทั้งสองข้างติดไว้กับเตียง และมีออฟชั่นเสริมเป็นผ้าปิดตาสีดำ แม่งเร้าใจสุดๆไปเลยอ่ะ วินตื่นเต้น!

“ชอบหลายแนว แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น”

จะโซ่ แส้ กุญแจมือผมก็ชอบทั้งนั้นครับ จะปกติหรือเบสิกทั่วไปก็ได้อีกนั่นแหละ แต่เอาตรงๆนะ ผมชอบความเร่าร้อนดุเดือดครับ มีเซ็กส์ท่าไหนก็ได้ แต่ต้องถึงใจ ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มจะหน้ามืดแล้วเพราะไม่ได้มีเซ็กส์มายาวนานหลายเดือน แถมไม่มีอารมณ์ช่วยตัวเองมาพักใหญ่แล้วด้วย

“พอร์ช” ผมวางถุงขนมไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วหยิบน้ำดื่มมากระดกใส่ปาก

“หืม”

“มึงชอบแบบไหน”

“อะไรนะ” พอร์ชหันมามองหน้าผมแบบงงๆ โธ่ ไอ้อ่อน แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ พวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ มันก็ต้องมีคนยอมทำหน้าที่ผู้หญิงสักคนอ่ะ หรือเรียกแบบเป็นทางการหน่อยก็เป็นฝ่ายรับไงโว้ย

“ในหนังอ่ะ มึงชอบพระเอกหรือนายเอก”

“ไม่รู้สิ” พอร์ชหันกลับไปมองคนสองคนในทีวีที่กำลังสมสู่กับอย่างร้อนแรงก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธ

เฮ้อออ งานยากแหละ หรือผมจะเร่งรัดเขามากเกิดไป ผมข้ามขั้นตอนไปสินะ

“งั้นมึงอยากเป็น ‘คนทำ’ หรืออยาก ‘โดนทำ’ ล่ะ”

“กูไม่อยากโดนเอาแน่ๆอ่ะ”

พอร์ชปฎิเสธทันที ซึ่งผมคาดไว้อยู่แล้ว พอร์ชก็เหมือนไอ้ไวท์นั่นแหละครับ มันเป็นผู้ชายแมนๆที่ชอบผู้หญิงมาโดยตลอด จู่ๆให้มาเอากับผู้ชายก็เหลือเชื่อมากพอแล้ว ถ้าจะให้ข้ามขั้นไปเป็นฝ่ายรับทันทีก็ออกจะโหดร้ายไปหน่อย เอาเป็นว่าผม…ที่สะสมประสบกามมาพอสมควรจะยอมเป็นฝ่ายรับเองล่ะกัน

“เอางี้ ถ้ามึงคิดจะเป็นฝ่ายรุก มึงต้องศึกษานายเอกในทีวีไว้ ทำไงจะเสียว หรือทำไงนายเอกจะฟินอ่ะ”

“แล้วปกติมึงเป็นแบบไหน” พอร์ชหันมาถามผมซื่อๆ ถามจริงมึงคิดว่าคนอย่างกูจะชอบการเป็นรับมั้ยล่ะฮะ!

“กูรุกมาตลอด”

“มึงคงไม่คิดจะปล้ำกูใช่มั้ยวิน”

หมอนั่นมองผมด้วยสายตาจริงจัง คือถ้าผมคิดจะโผเข้าใส่พอร์ชแม้แต่นิดเดียวละก็ คิดว่าเขาคงพร้อมจะยกฝ่าเท้าขึ้นมายันผมกลับแน่ๆ

“ถ้ากูยอมให้มึงปล้ำมึงจะโอเคมั้ย” ผมถามซึ่งเขาก็รีบพยักหน้ารับทันที

“โอเค”

แหม ทีแบบนี้ล่ะเร็วเชียว มึงไม่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวนี่หว่า เอาจริงๆนะ ผมคิดว่าตัวเองแมนพอ แล้วก็ชอบพอร์ชมากพอที่จะเจ็บแทนเขาได้ อีกอย่างผมหวังว่ามันจะฟินเหมือนกับที่อดีตคู่ขาของผมรู้สึกนะ คือผมเชื่อใจพอร์ชได้จริงๆใช่มั้ยเนี่ย หมอนั่นจะเป็นงานแน่มั้ยนะ

“ได้ งั้นมึงศึกษาทฤษฎีให้ดี กูไม่ชอบคนกากเรื่องบนเตียง”

ผมสั่งสอนพอร์ชแบบคนท่ามาก ก่อนจะหันไปสนใจนายเอกของเรื่องที่กำลังครางกระเซ้าอยู่บนเตียง
“วิน”
งื้ออออ สะกิดกูทำไมเล่า กูกำลังตั้งใจเรียนวิชาสุขศึกษาอยู่เนี่ย
“กูไม่ชอบนักแสดงในเรื่อง”
“คนไหน”
“นายเอก”
ผมชะงักก่อนจะหันขวับไปมองคนพูด จริงดิ ผมตั้งใจเลือกหนังเรื่องนี้เพราะคิดว่านายเอกงานดี แล้วก็หน้าสวย พอร์ชน่าจะชอบมากแท้ๆ ให้ตายสิ หมอนี่รสนิยมแย่ชะมัด
“ทำไมอ่ะ ไม่ชอบเอวบางร่างน้อยเหรอ” ผมถาม
“เปล่า แค่ไม่ชอบคนนี้”
“เออ งั้นกูเลือกแบบแมนๆให้มึงก็ได้”
ผมสรุปเอาเองว่าพอร์ชชอบแบบแมนๆ คือจริงๆแล้วผมแม่งไม่เข้าใจเลยว่า ไม่ชอบแบบนี้คือยังไง? หน้าตา รูปร่าง หรือลีลาอ่ะ งงในงงนะเว้ย
ผมกระโดดลงจากเตียงไปคุ้ยหา DVD ในกล่องพลาสติกอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่แล้วเสียงในทีวีก็เงียบไปเฉยๆ เมื่อผมหันไปมองพอร์ชก็เห็นว่าเขาใช้รีโมทในมือกดปิดทีวีนั่นเอง
“ไม่ต้องหาแล้ว” พอร์ชเอ่ยขณะมองมาที่ผม ทำไมเล่า?
“อย่าบอกนะว่ามึงง่วง”
“เปล่า” พอร์ชปฎิเสธแล้วกระดิกนิ้วเรียกผม ให้ตายสิ หมอนี่คิดว่าผมเป็นหมาอ่ะครับ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้คานขึ้นไปบนเตียงแล้วไปนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงหน้าเขา
มีอะไรก็ว่ามาเลย…
“กูไม่ชอบเรียนภาคทฤษฎี กูอยากเรียนภาคปฎิบัติมากกว่า”
พอร์ชโน้มใบหน้าเขามากระซิบข้างหู พร้อมกับใช้ฝ่ามืออุ่นร้อนข้างหนึ่งลูบไล้ต้นขาของผมที่โผล่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้น ผมสบตาเขาเงียบๆ ผมไม่ได้โง่นะครับ ทำไมจะไม่รู้ว่าหมอนั่นกำลังยั่วยวนผมอยู่
“กูไม่ให้มึงปฎิบัติกับกูหรอก เกิดมึงทำกูเจ็บขึ้นมาทำไงล่ะ มึงยังต้องเรียนรู้อีกมากนะพอร์ช”
ผมปฎิเสธ ผมเองก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกันครับ การเป็นรับไม่ใช่ว่านึกจะเป็นก็เป็นได้เลย ผมคิดว่าควรจะเตรียมร่างกายให้พร้อมเป็นอันดับแรกนะ
“งั้นกูไปลองกับคนอื่นก่อนดีมั้ย ถ้าเก่งแล้วค่อยมาลองกับมึง”
พอร์ชถามผมยิ้มๆ ขณะที่ดวงตาสีดำเริ่มทอประกายเจ้าเล่ห์ ห่านี่ กล้าพูดออกมาได้ว่าจะไปลองกับคนอื่น
“อยากตายก็เอาดิ”
พอร์ชหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะใช้มือตบที่นอนเพื่อเรียกผม
“มานอน”
“จะทำอะไร” ผมถามเพราะเริ่มไม่ไว้ใจสายตาของพอร์ชซึ่งมองมาที่ผม มันชวนให้หนาวๆร้อนๆอ่ะครับ
“ให้กูช่วยมึง” พอร์ชขยับยิ้มก่อนจะเลื่อนสายตามามองที่เป้ากางเกงของผม และเมื่อผมก้มมามองตามก็เห็น ชะอุ๊ย! แข็งเป็นลำทิ่งกางเกงขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้เนอะว่าอะไร แหะๆ ไอ้ลูกชายไม่รักดี ถึงว่าล่ะรู้สึกปวดๆหน่วงๆ
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวทำเอง” ผมปฎิเสธ ที่จริงแล้วผมเป็นมนุษย์ที่หน้าด้านหน้าทนมากเลยนะ เจอกันที่ผับแค่สองสามชั่วโมงผมก็สามารถลากคนๆนั้นไปนอนโรงแรมด้วยกันได้ แต่สำหรับพอร์ช เขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น เขาไม่ใช่คู่นอน ไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์ คือผมพบว่ามันเขินๆอ่ะครับ แล้วผมจะกล้าให้เขาจับน้องชายไม่รักดีได้ไงเล่า
“ไหนๆมึงก็แข็งแล้ว มึงก็ใช้ร่างกายของตัวเองเป็นวิทยาทานให้กับกูสิ กูมันมือใหม่หันเป็นเกย์นะวิน มึงจะไม่ให้กูหัดจับงูหน่อยเหรอ”
เออ ถูกของพอร์ช…ผมเริ่มรู้สึกหวั่นไหวไปกับเหตุผลของหมอนั่น คืออาการปวดหน่วงที่ท้องน้อยเริ่มทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก อยากเออออตามเขาไปใจจะขาด
“ถ้ากูช่วยมึง…มันจะดีกว่ามึงทำเองอีกนะ”
พอร์ชโน้มน้าวผมหนักขึ้นเรื่อยๆ และทุกครั้งที่เขาพูด เขาจะขยับเข้ามาใกล้ผม จนตอนนี้ผมแทบจะเกยอยู่บนตักของเขาแล้ว
“ทำเป็นแน่นะ” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ขณะที่พอร์ชกำลังใช้ปลายจมูกโด่งๆคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มของผม
“ก็คงคล้ายๆกับตอนที่ชักให้ตัวเองเปล่าล่ะ” พอร์ชถามพร้อมกับยื่นหน้ามาจุ๊บบนแก้มของผมเบาๆ
เออ ได้ๆ พอร์ชเป็นผู้ชายมีงูเหมือนกันกับผม หมอนั่นต้องเคยเล่นงูของตัวเองอยู่แล้วเหละ
“โอเค”
“ถอดเสื้อผ้าสิ” พอร์ชเร่ง
ผมรู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าวและจะต้องแดงก่ำมากแน่ๆเลย ไม่รู้ทำไมแค่พอร์ชพูดประโยคเบสิคแบบที่คนอื่นก็เคยพูดกับผม แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาได้อิโรติกกว่าคนอื่นเยอะเลย
ผมดึงเสื้อยืดออกทางศีรษะอย่างเชื่องช้า สายตาเอาแต่เหลือบไปมองหน้าของพอร์ช คือหมอนั่นเป็นคนหน้าตายยังไงก็ยังงั้นแหละครับ แต่สายตาที่เขาจ้องมาที่ผมตาไม่กะพริบก็เริ่มทำให้ผมหน้าบางแล้วเหมือนกัน
“มองขนาดนี้มึงคิดว่ากูอายไม่เป็นเหรอพอร์ช” ผมว่าเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแค่ขยับยิ้มที่มุมปาก
“กูถอดเป็นเพื่อนก็ได้ เพื่อความยุติธรรม” พอร์ชเอ่ยพร้อมกับดึงเสื้อยืดออกทางศีรษะ ผมแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้เห็นรูปร่างของเขาใกล้ๆ
ผิวของพอร์ชขาวและเนียนมาก ถ้าไม่เคยเห็นเขาว่ายน้ำมาก่อนผมก็จะไม่เชื่อนะว่าหมอนี่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ผิวดี ไม่มีหมองคล้ำเลย ใช้ครีมกันแดดยี่ห้อไรอ่ะ ถามจริง
พอร์ชสบตากับผมอยู่ตลอดเวลาขณะที่เขาถอดกางเกงและกางเกงชั้นในออกจากปลายเท้าแล้วโยนส่งๆลงไปบนพื้นข้างเตียง
อึก…
ห่าเอ๊ย ทำไมหมอนี่รูปร่างดีแบบนี้ แค่เห็นร่างกายของเขาผมก็รู้สึกร้อนไปทั่วทั้งร่างแล้ว พอร์ชมีกล้ามเนื้อแข็งแรงทุกส่วน ทั้งต้นแขน ต้นขาและกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยบนหน้าท้องของเขา ผมค่อยๆเลื่อนสายตาต่ำลงมาที่บริเวณหว่างขา…โอ้     แม่จ๋า มันแบบอลังการงานสร้างมากเลยอ่ะ ถ้ามันตื่นตัวขึ้นมาจะเกรี้ยวกราดขนาดไหน  ถ้าผมต้องรับเข้าไปขนาดนี้จะตายก่อนได้ฟินเปล่าวะ…เอ่อ โชคดีนะที่ผมเป็นพวกซาดิสผสมมาโซคิสอยู่แล้ว ถ้าต้องเจ็บแต่ท้าทาย…ผมจะชอบมากเลย
ซู้ดดดดด แจ๊บๆๆ
“น้ำลายมึงไหล”
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของพอร์ชแทรกขึ้นมาขัดความคิดกามๆในสมอง ก่อนจะรีบยกมือเช็ดริมฝีปากแทบไม่ทัน แต่…อะ อ้าว
“กูโกหก แต่มึงมันแรด จ้องของกูไม่วางตาเลยนะ” พอร์ชล้อเลียนผมด้วยท่าทางกวนประสาท คือมันช่วยไม่ได้จริงๆนะโว้ย ใครเห็นขนาดของมึงเข้าไปก็ต้องมองกันทั้งนั้นแหละ แต่จะมองด้วยความอิจฉาหรือความต้องการก็เป็นอีกเรื่อง
“ก็ของมึงใหญ่อ่ะ” ผมพึมพำเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ขณะดึงกางเกงและกางเกงชั้นในออกจากปลายเท้า รู้สึกเขินขึ้นมากะทันหัน ก็ผมใหญ่สู้ของหมอนั่นไม่ได้อ่ะ ทำไมพ่อกับแม่ไม่ให้ผมมามากกว่านี้อีกนิดนะ
“ใหญ่ได้มากกว่านี้อีก”
ไอ้คนขี้อวดเอ่ยขึ้นมาแบบนั้นก่อนจะคว้ามือข้างหนึ่งของผมไปวางหมับบนน้องชายของตัวเอง
“ช่วยปลุกมันหน่อยสิ”
เมื่อได้ยินประโยคเชิญชวนกับดวงหน้าที่แดงก่ำด้วยแรงอารมณ์ของพอร์ช ผมก็โผเข้าใส่เขาแล้วรั้งลำคอแกร่งให้โน้มใบหน้าลงมาประกบปากจูบกับผม พอร์ชบดเบียดริมฝีปากเข้าใส่ผมอย่างไม่ยอมแพ้ ขณะที่ผมก็เริ่มขยับข้อมือรูดชักดุ้นยักษ์ที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆและขยายตัวใหญ่โตมากกว่าเดิม
“อาห์”
ผมครางในลำคอเมื่อพอร์ชเอื้อมมือมาจับน้องชายของผมชักรูดในจังหวะเดียวกันกับที่ผมทำให้เขา พวกเราดูดกลืนริมฝีปากของกันและกันอย่างหิวกระหายก่อนที่พอร์ชจะเป็นฝ่ายแทรกลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากของผมที่เปิดอ้าออกด้วยความเต็มใจ
“แฮก แฮก”
เสียงหอบหายใจของพอร์ชทำให้ผมอยากสัมผัสร่างกายของเขามากขึ้น อยากสำรวจกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายทุกซอกทุกมุม…นาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากความต้องการตามสัญชาตญาณเท่านั้น ผมผลักอกของพอร์ชเพื่อให้เขาปล่อยริมฝีปากของผม หมอนี่ชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความงุนงง และในตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว ผมก็ผลักร่างของเขาให้ล้มตัวไปนอนบนเตียงก่อนจะเป็นฝ่ายขยับขึ้นไปคร่อมทับหน้าท้องแข็งแรงเอาไว้
“วิน”
พอร์ชขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมคิดว่าหมอนี่กำลังไม่พอใจ แต่ผมกลับยกปลายนิ้วชี้ไปแตะบนริมฝีปากของเขา
ชู่วว
ให้ตายสิ ผมไม่ปล้ำเขาหรอกน่า ตัวอย่างกับควายขนาดนี้
“กูจะทำให้มึงมีความสุข”
ผมเอ่ยเบาๆก่อนจะซุกใบหน้าเข้าหาลำคอขาวๆของพอร์ช กลิ่นของหมอนี่หอมเย้ายวนชะมัดเลย
แผล็บ
ผมลากปลายลิ้นผ่านแผ่นอกลงมาที่หน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม ก่อนจะใช้ฟันขบกัดเบาๆ
จุ๊บ! แผล๊บ!
“อึ้ก”
ทันทีที่ปลายลิ้นของผมเลียผ่านมาตามท้องน้อยของพอร์ช ผมก็ได้ยินเสียงกัดริมฝีปากของอีกฝ่าย จึงแกล้งลากลิ้นร้อนชื้นขึ้นลงไปตามแนวกลุ่มขนใต้สะดือหลายๆครั้ง และพบว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาเริ่มแข็งเกร็งแล้ว
“วิน อย่ายั่วกู!”
“ทำแล้วๆ”
ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของพอร์ช ผมเหลือบสายตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อๆที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์กระสันอยากอย่างพึงพอใจ
โชคดีชะมัดที่หมอนี่มีอารมณ์ร่วมกับผม ก็ถ้าไม่มีจริงๆผมคงไปไม่ถูกเหมือนกันอ่ะ
ผมใช้มือขยับรูดรั้งแก่นกายของพอร์ชสองสามครั้งก่อนจะอ้าปากดูดส่วนหัวแดงก่ำแรงๆจนเกิดเสียงน่าละอาย
“อาห์”           
เสียงครางในลำคอของพอร์ชทำให้ผมได้ใจ จึงตวัดลิ้นชื้นเลียส่วนหัวครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะใช้อุ้งปากร้อนครอบลงไปช้าๆ สลับกับดูดดึงเป็นจังหวะเบาๆ กลิ่นคาวๆจากน้ำสีขุ่นที่ถูกขับออกมาจากแก่นกายยักษ์ ทำให้อารมณ์ของผมพุ่งทะยานสูงขึ้นจนเกินจะฉุดรั้ง…
ผมอยากกินอีก กระหายอยากจะดูดดื่ม และอยากจะเลียแรงๆจนพอร์ชแตกคาปากของผม
“วิน…แรงๆ”
ผมเหลือบตาขึ้นไปมองพอร์ช และเห็นว่าหมอนั่นกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาร้อนแรง เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดศีรษะของผมไว้เป็นการบังคับให้ใช้ปากรับแก่นกายของเขาเข้าไปลึกขึ้นจนเกือบถึงลำคอ ผมพยายามขยับปากเข้าออกแรงๆ และเร็วขึ้นตามอารมณ์ความต้องการของพอร์ช
“วิน มึง…อาห์ แม่ง โคตรดีเลย”
เสียงของพอร์ชแหบพร่า แม่งโคตรเซ็กซี่เลยครับ
“เร็วอีก…”
ผมเร่งจังหวะปรนเปรอแก่นกายใหญ่ น้ำขาวขุ่นที่ขับเข้ามาในปากของผมมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมรู้ว่าพอร์ชกำลังจะเสร็จ ผมห่อริมฝีปากให้แน่นกว่าเดิม ดูดแรงกว่าเดิม จนกระทั่ง…
พรวด!
พอร์ชปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเข้ามาในโพรงปากของผมเป็นจำนวนมาก ผมซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วกลืนน้ำคาวที่ติดจะมีรสขมลงไปหลายอึก แต่ก็มีบางส่วนที่กลืนไม่ทันไหลเปรอะเปื้อนมาตามปลายคาง
แฮก…แฮก…
พอร์ชหอบหายใจหนักๆก่อนจะลุกจากเตียงนอนมาประคองใบหน้าของผมไว้ในอุ้งมือ แล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบขุ่นออกจากริมฝีปากและปลายคางของผมอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษ”
ผมขยับยิ้มบางเมื่อได้ยินประโยคขอโทษจากพอร์ช ห่านี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ผมเจตนาทำให้เขาเสร็จในปากผมเองเนี่ยแหละ เผื่อเขาติดใจ คราวหน้าจะได้ไปไหนไม่รอด
“ดุ้นมึงก็อร่อยดี” ผมเอ่ยกระเซ้า แต่กลับได้รับการตอบแทนเป็นการด่าซะอย่างนั้น
“แรด”
ให้ตายสิ หมอนี่ไม่มีน้ำใจเอาซะเล้ย…ยังไม่ทันที่ผมจะได้ร้องขอการเซอร์วิสจากพอร์ช เขาก็โผเข้ามาประกบปากจูบผมอย่างรวดเร็ว เมื่อผมตั้งตัวได้ก็เปิดปากให้เขาสอดลิ้นเข้ามาแลกเปลี่ยนรสชาติของน้ำกามในโพรงปาก ร่างของผมถูกผลักให้ล้มตัวนอนบนเตียงแทนที่ของพอร์ชก่อนที่หมอนั่นจะตามมาทาบทับ
จุ๊บ...จุ๊บ...จุ๊บ...
พอร์ชค่อยๆพรมจูบไปตามลำคอ ยอดอก หน้าท้อง ไล่ลงไปยังท้องน้อยของผม ทุกครั้งที่เขาดูดเลียผิวเนื้อ ร่างของผมจะแข็งแกร็งและเผลอจิกเล็บลงไปบนไหล่ของเขาเต็มแรง ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทุกสัดส่วน แล้วแทนที่หมอนี่จะเซอร์วิสส่วนกลางลำตัวของผม เขากลับเลี่ยงไปจูบต้นขาแทน
ฟึ่บ
พอร์ชจับขาทั้งสองข้างของผมแยกออกอย่างชำนาญชิบหาย สาบานสิว่ามึงกำลังหัดมีเซ็กส์กับผู้ชายเป็นครั้งแรก แม่งไม่ได้เงอะงะเหมือนตอนที่ผมเริ่มเรียนรู้เลยอ่ะ
“อื้ม..แฮก...”
ผมหอบหายใจเมื่อพอร์ชดันขาของผมขึ้นเล็กน้อย แล้วซุกใบหน้าเข้าหาต้นขาด้านในเพื่อ...เลีย
ผมรู้สึกเสียวซ่านเพียงแค่ปากอุ่นๆพรมจูบลงมาบนผิวเนื้ออ่อนบาง พอร์ชทั้งงับ ทั้งเลีย จนสัมผัสเปียกชื้นของลิ้นส่งตรงไปยังกึ่งกลางลำตัว
“อ๊ะ...อ้า...”
ผมครวญครางในลำคอเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาจับที่ท่อนเนื้อของผม แล้วขยับช้าๆ รูดหนังหุ้มปลายให้เปิดออก เผยส่วนสีแดงก่ำที่โผล่พ้นขึ้นมาด้วยความกระสันอยาก ให้ตายสิ! มันดีมาก ทั้งเสียว ทั้งวูบวาบ ทั้งตื่นเต้น จนผมต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ
“อ๊า...ฮ้า...พะ...พอร์ช...”
ผมครางลั่นเมื่อพอร์ชใช้ปลายลิ้นละเลงส่วนหัวของน้องชายผมแรงๆ กระหน่ำรัวๆ ตอนนี้สติของผมหายไปหมดแล้ว ทำได้แค่ใช้มือสองข้างเกาะไหล่ของพอร์ชไว้แน่น พอร์ชกำลังเลียท่อนเนื้อของผมไปตามความยาวอย่างไม่นึกรังเกียจ เล่นกับหนังหุ้มปลายในบางครั้ง
ท่ามกลางสติที่พร่าเลือน ผมเห็นว่าพอร์ชตวัดสายตาขึ้นมามองดวงหน้าของผมก่อนที่จะ...
ฟึ่บ
“ซี๊ดดดด อ้า!!!”
อมเข้าไปทั้งอัน!
“เฮือก! อ๊า!!! พอร์ช...อะ...อึ้ก...เสียว...สะ...เสียว...”
ผมเสียวมาก ครางหนักมาก ได้แต่เหลือบตามามองคนที่กำลังขยับศีรษะขึ้นลงตรงกลางหว่างขาของผม ให้ตายสิ นี่มันปากมหาเทพชัดๆเลย วินเสียวไปหมดเลย แม่จ๋า!!!
“เรียกพี่พอร์ชสิ”
พอร์ชละริมฝีปากมากระซิบบอกผมเบาๆด้วยสีหน้าที่โคตรยั่วยวน นาทีนี้พอร์ชแม่งโคตรหล่อ โคตรแบด แล้วก็โคตรชอบเลยอ่ะ ดีต่อใจวินเหลือเกิน
“อ้ะ…พี่…พอร์ช…”
ผมครางชื่อของเขา หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก ความสุขมันล้นจนเกือบทะลัก ผมได้แต่บิดร่างเร้าๆอย่างกระหายอยาก
“ดีมั้ย”
พอร์ชถาม ก่อนจะขยับปากแรงขึ้น แถมยังบังคับดันสะโพกของผมให้ลอยขึ้นจากเตียงอีกด้วย
“อ้า...มะ...ไม่ไหว...จะ…จะแตก...แตก...แล้ว...”
พอร์ชดูดหนักๆที่ส่วนหัว ขยับปากเข้าออกแรงๆ
“ฮ้า!!!!”
ผมเสียววูบวาบในท้องน้อยก่อนจะระเบิดลาวาขาวขุ่นเข้าไปปากของ            พอร์ชอย่างห้ามไม่ได้ ผนังโพรงปากที่โอบล้อมลูกชายของผมไว้อุ่นจัด พอร์ชกำลังใช้ลิ้นชื้นแฉะตวัดเลียดุ้นของผมไม่หยุด และเหนือไปกว่านั้นคือแรงดูด...แรงดูดที่เหมือนจะรีดน้ำออกจากกายของผมจนหมด
ฮืออออออ!!!
พี่พอร์ช มึงแม่ง ได้ใจมากๆเลยครับ!






TBC

https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856

:hao7: :mew1: :hao6:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2019 23:02:31 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
«ตอบ #44 เมื่อ18-10-2019 09:03:26 »

 :haun4: :haun4: :jul1: :jul1:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
«ตอบ #45 เมื่อ18-10-2019 09:53:26 »

 :z1: :jul1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
«ตอบ #46 เมื่อ18-10-2019 10:30:27 »

 :haun4:


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:



 o13 o13 o13

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 25/10/2562 [บทที่17]
«ตอบ #47 เมื่อ25-10-2019 17:55:00 »


บทที่ 17 การซ้อมว่ายน้ำ


ผมกำลังแหวกว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยในเวลาเกือบหกโมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่นักกีฬาคนอื่นเลิกซ้อมกันแล้ว ที่นี่จึงเหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมพยายามเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นเท่าที่จะทำได้ สายตามองตรงไปข้างหน้า จึงเห็นว่าขอบสระกระเบื้องสีฟ้าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว และผมคิดว่าในรอบนี้ทำเวลาได้ค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อเอื้อมมือไปแตะที่ขอบสระ

ซ่า

ผมโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่กำลังยืนกอดอกอยู่ริมสระ ในมือของหมอนั่นมีนาฬิกาจับเวลาอยู่ด้วย

เป็นไงล่า…กูทำได้ดีขึ้นใช่มั้ย มึงรีบชื่นชมกูหน่อยสิพี่พอร์ช

“มึงคิดว่ากำลังว่ายน้ำแข่งกับเป็ดอยู่เหรอวิน ว่ายน้ำแบบนี้เป็ดยังว่ายเร็วกว่ามึงเลย”

ผมที่กำลังรอคอยคำชื่นชมถึงกับหุบยิ้มแทบไม่ทัน ตอแหล! ผมไม่ได้ว่ายช้าขนาดนั้นซะหน่อย พอร์ชแม่งพูดเกิดไปแล้ว กล้าดียังไงเอากูไปเทียบกับเป็ด หา!

“กี่นาที” ผมถามสั้นๆเพราะกำลังหอบหายใจ เฮ้ย เหนื่อยชะมัดเลย รอกูหอบเสร็จก่อนนะมึง

“หนึ่งนาที ห้าสิบเจ็ดวินาที” พอร์ชตอบก่อนจะหันหน้าจอของนาฬิกาดิจิตอลมาให้ผมดู

“เร็วกว่าเดิมตั้งสิบวินาที”

ผมเถียงแล้วเลื่อนแว่นตาว่ายน้ำขึ้นไปคาดไว้บนหน้าผากก่อนจะใช้สายตาขวางๆจ้องใบหน้าของพอร์ช ห่านี่ มาช่วยเทรนหรือมาซ้ำเติมกันแน่วะ ด่ากูได้ทุกรอบเลยนะมึง

“ขนาดมึงว่ายท่าฟรีสไตล์ที่ถนัดทั้งไปทั้งกลับยังใช้เวลาเกือบสองนาที แล้วมึงยังคิดอีกเหรอว่าจะชนะได้”

พี่พอร์ชของกูไม่อ่อนโยนเล้ย โซแบดสุดๆ

“กูเหนื่อยแล้ว มึงมาว่ายให้ดูหน่อย”

ผมเอ่ยด้วยความท้อแท้ ขนาดจะด่าไอ้พี่พอร์ชยังไม่มีแรงอ่ะ ผมยันร่างของตัวเองให้ขึ้นไปนั่งบนขอบสระเพื่อพักเหนื่อย

วันนี้ผมได้ซ้อมว่ายน้ำพร้อมกับนักกีฬาทุกคนจากทุกคณะ พอร์ชเป็นคนแรกที่แตะขอบสระ ตามมาด้วยไอ้ไวท์และไอ้แม็คตามคาด แต่ผมไม่แน่ใจว่าสามคนนี้ใช้เวลาในการว่ายน้ำทั้งหมดกี่นาที แต่ที่น่าสนใจคืออะไรรู้มั้ย?

สามคนนี้ใช้ท่าผีเสื้อในการว่ายกลับมาอีก 50 เมตร คือผมก็เคยว่ายท่านี้นะ แม่งเหนื่อยมากเลย แล้วก็ว่ายยากมากด้วย ผมจึงคิดว่ามันจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ผมจะใช้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มลังเลแล้วอ่ะครับ หรือผมควรเลือกใช้ท่าผีเสื้อดีล่ะ

“กูจะว่ายให้มึงดูแค่รอบเดียว”

พอร์ชเอ่ยพร้อมกับถอดชุดคลุมสีขาวมาพาดไว้บนเก้าอี้ริมสระน้ำ แม่งเอ๊ย หุ่นน่าเจี๊ยะเหลือเกินเพ่ ขนาดว่าผมเคยทัสเคยสัมผัสมาแล้วยังอยากจะเอามือไปลูบกล้ามหน้าท้องของหมอนี่อีกครั้งอ่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาวๆถึงเตรียมกล้องดีๆมาถ่ายรูป เพราะตอนที่หมอนี่แข่งว่ายน้ำมันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดไงล่ะ

ชุดดี - แน่นอนว่าโป๊มากถึงมากที่สุด ลองคิดถึงภาพของพอร์ชใส่กางเกงในแค่ตัวเดียวได้เลยครับ เน้นไปทุกสัดส่วน ใส่ก็เหมือนไม่ได้ใส่อ่ะ น่าดูมากกกก

จังหวะดี - ถ่ายรูปตอนนี้ยังสามารถอ้างได้ว่ามาเก็บรูปนักกีฬาตอนแข่งขัน ไม่มีใครครหาว่าโรคจิตแน่นอน

โมเม้นต์ดี - ผมขอยืนยันเลยว่าตอนที่พอร์ชว่ายน้ำเป็นตอนที่เขาเซ็กซี่มากที่สุด อ่อ ขอหมายเหตุไว้ด้วยว่าตอนที่พอร์ชมีอารมณ์ก็เซ็กซี่ไม่แพ้กัน

“วิน ตั้งใจดู แล้วบอกกูด้วยว่าทำไมแม้แต่ท่าฟรีสไตล์ มึงก็ว่ายได้ช้ากว่ากู”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของพอร์ชดังขัดจังหวะความคิดกามๆในสมอง

แหะๆ หวั่นไหวไปนิดนึงครับ

“ไม่ต้องดูกูก็ตอบได้”

“ตอบว่า?” พอร์ชเดินมายืนตรงหน้าผมแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

ให้ตายสิ ทำไมมึงต้องมายืนค้ำหัวกูด้วยอ่ะ ไม่ใช่ว่าถือสาอะไรหรอกนะ แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมอง มันไม่เห็นหน้าของพอร์ชไง เพราะสายตาแม่งไปโฟกัสที่ไอ้นั่นอ่ะ ที่อร่อยๆแล้วก็ตุงๆ

“มึงเก่งกว่ากูไง” ผมตอบส่งๆ

“มึงเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำจริงเหรอ”

พอร์ชว่าแบบไม่รักษาน้ำใจ หมอนี่เป็นคนปากหมาจริงๆอ่ะ ข้อนี้ผมรู้ ซึ่งโชคดีนะที่ผมเป็นพวกเข้าใจอะไรง่ายแล้วก็ไม่ใช่พวกดราม่าหรือขี้น้อยใจ ไม่งั้นคงทนนิสัยของหมอนี่ไม่ได้อ่ะ

“ว่ายช้าหรือเร็วมันขึ้นอยู่กับเทคนิค”

พอร์ชอธิบายซึ่งผมก็รีบพยักหน้ารับก่อนที่จะโดนด่าอีกรอบ ส่วนสายตาไม่รักดีก็คอยแต่จะเหล่ไปมอง…เฮ้ย เสียสมาธิอ่ะ ทำไมพอร์ชไม่มีอาการทุกข์ทรมานแบบผมบ้าง หรือผมหื่นเกินไปเหรอ?

“วิน”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนเรียกก่อนจะได้แหกปากร้องลั่นเพราะไอ้บ้าพอร์ชเสือกบีบจมูกของผมเต็มแรง

“โอ๊ย!”

“รู้นะว่ามองอะไร”

พอร์ชเอ่ยพร้อมกับยิ้มล้อเลียน

“คนอื่นก็มองเหมือนกันเถอะ”

ผมสาบานนะว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่มองของพอร์ช ในตอนที่ซ้อมแข่งขัน คนทั้งสนามก็แอบมองของเขาอยู่เงียบๆเหมือนกันแหละ

“อยากกินล่ะสิ”

พอร์ชว่าแบบคนรู้ทัน โธ่ ใครอยากกิน ไม่มีอ่ะ แค่มองเฉยๆเพราะเห็นว่ามันตุง อาจจะยัดกระดาษทิชชู่ไว้ก็ได้

“ลามก”

ผมว่าพอร์ชซึ่งก็ถูกยอกย้อนกลับมาซะหน้าเกือบหงาย

“มึงมากกว่านะ”

เออ…ยอม!

“เตรียมตัวเลย จะจับเวลาแล้ว”

ผมรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเอื้อมไปคว้านาฬิกาจับเวลามาจากพอร์ช หมอนั่นหัวเราะเบาๆก่อนจะก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นเตรียม

“พอร์ช แว่นตา”

ผมตะโกนบอกพอร์ชเมื่อเห็นว่าหมอนั่นไม่ได้ใส่อุปกรณ์สำหรับป้องกันน้ำเข้าตา มึงนี่นะ เอาแว่นไปทิ้งไว้ไหนอีกเนี่ย ผมซึ่งเป็นคนดีมีน้ำใจกำลังจะถอดแว่นของตัวเองให้เขา แต่ก็พอดีกับที่เขากระโดดลงไปในสระว่ายน้ำเสียก่อน ผมนี่รีบจับเวลาแทบไม่ทันอ่ะ ดีจริงๆ ถ้าแสบตาก็อย่ามาบ่นนะมึง

พอร์ชใช้เวลาในการว่ายน้ำไปกลับตัวที่ขอบสระอีกฝั่งด้วยท่าฟรีสไตล์และว่ายน้ำกลับมาด้วยท่าผีเสื้อ ซึ่งทำเวลาได้ดีมากจนผมต้องมองบนด้วยความอิจฉา สาบานสิว่า ชาติที่แล้วเขาไม่ได้เกิดเป็นญาติกับปลาโลมา พริ้วเชียวนะ

“หนึ่งนาที สิบสามวินาที” ผมหันหน้าจอของนาฬิกาจับเวลาไปให้พอร์ชดูในตอนที่เขาโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ

“เริ่มจากท่าฟรีสไตล์ก่อน มึงเห็นมั้ยว่าทำไมกูทำเวลาได้ดี”

พอร์ชถามขณะยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบน้ำออกจากใบหน้า

แม่ง เซ็กซี่ไปอีก โดยเฉพาะตอนที่หมอนี่เสยผมเปียกๆไปด้านหลังนะ

โซฮอต!! มากเลยครับแม่

“ไม่เห็น กูมองไม่ทัน” ผมสารภาพ ถ้าจะว่ายน้ำเร็วกว่าจรวดขนาดนั้น มึงคิดว่าใครจะไปมองทันล่ะว่ามีเทคนิคการว่ายอย่างไร

“ตอนที่มึงว่ายท่าฟรีสไตล์ มึงดึงแขนผิด คิดว่าเป็นเพราะมึงไม่ได้ว่ายน้ำมานานมากแล้ว” พอร์ชวิเคราะห์

“ดึงแขนผิดไงวะ” ผมถามด้วยความงุนงง

“มึงดึงแขนแบบไม่มีแรง ทำให้หมุนแขนแล้วตัวไม่ไป มึงใช้แต่แรงแตะของเท้าส่งตัวไปข้างหน้า”

จริงดิ? ไม่รู้ตัวเลยอ่ะ

“มึงลงมา” พอร์ชที่ลอยตัวอยู่ในสระว่ายน้ำกระดิกนิ้วเรียกผม สาบานว่ามึงไม่ได้เห็นกูเป็นหมา

ผมพุ่งตัวลงไปในสระว่ายน้ำก่อนจะใช้มือแหวกว่ายน้ำรอบๆตัวแล้วโผล่ศีรษะขึ้นมาหายใจ พอร์ชว่ายน้ำเข้ามาหาผม เขาให้ผมใช้มือข้างหนึ่งจับขอบสระเอาไว้ และช่วยจับแขนอีกข้างหนึ่งของผมในการสาธิตการดึงแขนที่ถูกต้อง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เอา Paddle มาให้ กูเคยใช้ฝึกดึงแขน มันจะช่วยมึงได้”

พอร์ชไม่ได้หมายถึงไม้ฟายเรือนะครับ Paddle คือมือพายสำหรับว่ายน้ำ ผมเคยใช้สมัยหัดเรียนว่ายน้ำใหม่ๆ มันสามารถช่วยเพิ่มแรงต้านในการออกแรงในการดึง Stroke ได้

เฮ้อ ผมอาจจะต้องเริ่มเตรียมร่างกายใหม่ตั้งแต่ต้นเลยล่ะครับ

“พอร์ช กูอยากใช้ท่าผีเสื้อในการแข่งอ่ะ ช่วยแนะนำกูหน่อยดิ”

ผมขอคำแนะนำจากพอร์ช ถึงหมอนี่จะปากหมาแถมชอบด่าผมบ่อยๆ แต่คำแนะนำของเขาถือว่ามีประโยชน์มาก อีกอย่าง หมอนี่เป็นคนใจดีมากเหมือนกัน

“งั้นลองว่ายท่าผีเสื้อไป-กลับให้กูดูหน่อย”

ผมว่ายท่าผีเสื้อไปและกลับเป็นระยะทางรวม 100 เมตร โดยไม่ได้ใส่แรงเต็มที่เพราะตอนนี้ผมเริ่มอ่อนล้ามากแล้ว

“ตอนว่ายมึงต้องยกศอกทั้งสองข้างให้พ้นน้ำ” พอร์ชแนะนำในตอนที่ผมว่ายกลับมาแตะขอบสระ

“แล้วก็ตอนที่มึงใช้แขนดันน้ำไปข้างหลัง มึงต้องทำให้เร็วกว่านี้มันจะช่วยให้มึงว่ายได้ดีขึ้นแล้วก็เร็วขึ้น ถ้ามึงทำช้า แขนมึงจะล้าแล้วก็ยกไม่พ้นน้ำ ไปฝึกกำลังแขนทั้งสองข้างมา อาทิตย์หน้าจะแข่งแล้วมึงต้องตั้งใจให้มากกว่านี้”

“ขอบคุณนะ” ผมเอ่ยยิ้มๆ

“ไม่อยากได้คำขอบคุณ” ผมหน้าบึ้งทันที ห่านี่ นอกจากปากหมาแล้วยังชอบพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนอื่น นี่กูเป็นใคร ดูหน้ากูด้วย กูเป็นคนพิเศษของมึงนะพี่พอร์ช มึงต้องอ่อนโยนกว่านี้หน่อยปะ?

“เลี้ยงข้าวก็ได้”

ผมเสนอแต่พอร์ชกลับส่ายหน้าแล้วชี้นิ้วมาที่ริมฝีปากของตัวเอง

“ตรงนี้” ผมขยับยิ้มมุมปาก แหม! ไม่ค่อยอ้อนเลยว่ะ คิดว่ากูตายมั้ยถ้าเจอสายตาวิบวับแบบนี้

จุ๊บ!

ผมชะโงกใบหน้าเข้าไปจุ๊บปากของพอร์ชเบาๆ แน่นอนสิ ถ้าเจอพี่พอร์ชโหมดนี้เข้าไป วินจะไปไหนไม่รอดล่ะคร้าบบบบ

 

 

ผมกลับมาถึงหอพักในเวลาสองทุ่มกว่า หลังจากที่แวะกินมื้อค่ำกับพอร์ชที่ร้านอาหารตามสั่งข้างรั้วมหาลัย กิจกรรมช่วงหัวค่ำของผมที่หอพักก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากดูหนัง ฟังเพลง ก็ส่องเฟสบุ๊คไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งช่วงวันสองวันมานี้เพจ Sexy Boy มักจะหาเรื่องหนักใจมาให้ผมอยู่บ่อยๆอย่างเช่นเรื่องในวันนี้เป็นต้น

เฉลยแล้ว!! พี่คนหล่อเป็นใคร???

วิน ปี2 วิศวะอุตสาหการ

เพื่อนนั่นเอง เพื่อนนะคะ เพื่อนค่ะ

#พี่แม็คเภสัชปี4

#แม็ควิน

#ขอบคุณพี่แม็คที่ช่วยไขข้อข้องใจ

#เรือแม็ควินกำลังแล่นอย่างสง่างาม

 

กูขอให้เรือล่ม สาธุ!

ข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ลงแฟนเพจ Sexy Boy พร้อมกับรูปที่แอดมินแคปมาจาก Messenger เป็นบทสนทนาสั้นๆที่มาจากเฟสบุ๊คส่วนตัวของแอดมินที่ทักไปคุยกับไอ้แม็ค

 

Choi Slender : กราบสวัสดีค่ะพี่แม็คขา ช้อยนะคะ เป็นแอดมิจเพจ Sexy Boy ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป น้องอยากทราบว่าคนในรูปนี้เป็นใครเหรอคะ?

(รูปของผมกับไอ้แม็คที่ถูกถ่ายด้วยกันที่สระว่ายน้ำ)

แม็ค พชรดนัย : 55555

แม็ค พชรดนัย : เพื่อนพี่เอง หล่อใช่ปะละ มันชื่อวิน เคยเรียนเภสัชด้วยกันแต่ตอนนี้มันซิ่วไปเรียนวิศวะอุตสาหการแล้ว อยู่ปี 2

Choi Slender : คือว่างานดีมากจริงๆค่ะพี่ #พี่คนหล่อคือใคร

Choi Slender : ขอบคุณนะคะคุณพี่แม็ค

แม็ค พชรดนัย : ค้าบ

 

ผมเลื่อนมาอ่านคอมเม้นต์ใต้ภาพด้วยความปวดจิต อยากแดกพาราสองเม็ดแล้วไปผูกคอตายใต้ต้นมะเขือจริงๆว่ะ ห่าแม็คก็อีกคน มึงบอกชื่อกูไปทำไมฮะ กูยิ่งไม่อยากเด่นอยากดังอยู่ด้วย เสือกหางานให้กูอีกนะมึง นี่ยังไม่นับความขี้หึงกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของคุณชายพอร์ชนะครับ เดี๋ยวเห็นข่าวในเพจก็หาเรื่องมาตะคอกใส่ผมอีก

 

คอมเม้นต์ 1 : แค่เพื่อนจริงๆค่ะซิส เพื่อนกันค่า อ๊ายยยยย ทำไมฉันฟินกับคำว่าเพื่อนพี่เองก็ไม่รู้อ่ะ แอบมีโมเม้นต์ชงกันเองด้วยค่ะ ใจหนูร้าววววไปหมดแว้วววววว #พี่คนหล่อคือใคร #ทีมเพื่อนกันมันส์ดี

คอมเม้นต์ 2 : พี่เป็นผัวเอง เอ๊ย เป็นเพื่อนค่ะเพื่อนจริงๆ น้องเชื่อตามนั้นเลยค่ะพี่แม็ค #ทีมเพื่อนกันมันส์ดี  #แม็ควิน

คอมเม้นต์ 3 : ไม่ต้องพูดมากเพื่อนกันเขากอดกันแบบนี้เองค่า

#ขอให้ชาวสีม่วงจงเจริญ #พี่คนหล่อคือใคร #แม็ควิน

 

เดี๋ยวๆ อะไรของผู้หญิงพวกนี้เนี่ย แค่ไอ้แม็คบอกว่าเป็นเพื่อน ยังมโนกันว่าเป็นผัวได้ แล้วถ้าไอ้แม็คบอกว่าเป็นผัวจะคิดว่าเป็นอะไรกันฮะ ผมแม่งไม่ค่อยเข้าใจความคิดของสาววายเอาซะเลย เฮ้อ ยอมใจในความคิดนี้

 

:hao6:

เเฟนเพจนักเขียน https://www.facebook.com/PKrabKrab/




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 25/10/2562 [บทที่17]
«ตอบ #48 เมื่อ26-10-2019 21:05:22 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/11/2562 [บทที่18]
«ตอบ #49 เมื่อ01-11-2019 02:46:19 »

บทที่ 18 คนที่ไม่คู่ควร


“วิน!!!!”

ในเช้าวันจันทร์…ผมได้รับการทักทายจากไอ้แว่นเป็นเสียงแหกปากดังลั่น มันลุกขึ้นยืนจากม้าหินอ่อน แล้วโบกมือเหยงๆเป็นการเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา

รู้แล้วโว้ย!!! กูก็กำลังเดินอยู่เนี่ย แล้วอีกอย่างนั่นก็โต๊ะประจำของพวกเรา ไม่ต้องตะโกนเรียกกูก็เดินไปหามึงอยู่แล้วครับ

“เชี่ยวิน เดินเร็วๆดิ”

ไอ้แว่นตะโกนเร่งเมื่อเห็นว่าผมยังเดินทอดน่องอยู่เหมือนเดิม อะไรกันวะ? ร้อยวันพันปีไม่เห็นไอ้เพื่อนแว่นตะโกนเรียกผมตั้งแต่เพิ่งจะก้าวขาเข้าคณะแบบในวันนี้ เอ…จะบอกว่าผมมาสายก็ไม่ใช่ จะบอกว่าให้ผมรีบมาลอกการบ้านก็ไม่น่าจะใช่อีกเหมือนกันเพราะผมแน่ใจว่าทำการบ้านเสร็จหมดแล้ว

“มีอะไร” ผมถามในตอนที่ทรุดนั่งบนม้าหินอ่อนตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเพื่อนสนิท โชคดีนะที่ตอนนี้ค่อนข้างเช้าทำให้เด็กวิศวะที่นั่งพักผ่อนอยู่แถวนี้มีไม่มาก อาจจะได้รับสายตาขวางๆแบบไม่ค่อยพอใจบ้างแต่ถือว่าดีที่ไม่มีใครตะโกนด่า

“มึง!! มึงเห็นข่าวในเพจ Sexy Boy แล้วใช่ปะ?” ไอ้แว่นรีบเปิดประเด็นด้วยท่าทางร้อนรน

“หมายถึงข่าวของกู?” ผมถาม

“เออดิ ข่าวล่าสุดของมึงอ่ะ”

“เห็นแล้ว”

ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ทำไมไอ้แว่นต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วย ก็แค่ข่าวที่สาววายมโนกันไปเองว่าผมกับไอ้แม็คเป็นผัวเมียกันแค่นี้เนี่ยนะ คือครั้งก่อนหน้านั้นที่มีรูปของผมกับไอ้แม็คลงแฟนเพจ Sexy Boy ผมไม่เห็นไอ้แว่นจะให้ความสนใจเลย งงในงงนะครับ

“เห็นแล้ว?” ไอ้แว่นทวนเสียงสูงด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่สบายใจ “แล้วมึงจะปล่อยไปเฉยๆแบบนี้เหรอ ไม่คิดจะทำอะไรหรือแก้ข่าวหน่อยเหรอวะ”

เฮ้ยมึง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกอย่างกูเป็นผู้ชายไม่เสียหายหรอก

ผมยื่นมือไปตบไหล่ไอ้แว่นเบาๆ มึงถึงกับเดือดร้อนกับเรื่องของกูขนาดนี้เลยเหรอเพื่อน กูซึ้งใจมากอ่ะ

“ขอบใจที่เป็นห่วงนะเว้ย แต่กูไม่เป็นไร แค่เรื่องไร้สาระ เดี๋ยวคนก็ลืมกันไปเอง”

“เฮ้อ ถ้ามึงไม่คิดมากกูก็สบายใจ” ไอ้แว่นถอนหายใจเบาๆก่อนจะพยักหน้าให้ผม

“แต่ถ้ามึงคิดจะเอาเรื่องตัวการเมื่อไรขอให้บอก กูหา IP ของไอ้เชี่ยนั่นให้มึงได้ พอเรารู้ว่ามันเป็นใครก็ไปตามกระทืบมันให้สาแก่ใจไปเลย แม่ง คิดแล้วยังเคือง กล้าดียังไงมาด่าเพื่อนกูเป็นไอ้ตัว ห่ารากจริงๆ”

อะไรนะ!! ไอ้ตัว? หมายถึง อีตัวปะ? ใครด่ากูอ่ะ ใครด่ากูเป็นผู้ชายหากิน? ข่าวนี้ได้จากที่ใดมา!!

ผมเริ่มจับสังเกตได้ว่าอาการโมโหจนหน้ามืดของไอ้แว่นไม่น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่มีสาวๆมามโนว่าผมมีผัวชื่อแม็ค…

หรือมันจะมีข่าวล่าสุดๆที่ผมยังไม่ได้อัพเดต เพราะเมื่อเช้าผมก็ยังไม่ได้เล่นเฟสบุ๊คด้วยซ้ำ

ผมรีบหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเข้าเพจ Sexy Boy ทันที เลื่อนไทม์ไลน์ขึ้นๆลงๆอยู่หลายครั้งก็ไม่เห็นข่าวอื่นเลยนอกจากข่าวที่ไอ้แม็คบอกว่าผมเป็นเพื่อนของมัน แต่เมื่อเหลือบตามาเห็นจำนวนคอมเม้นต์กับยอดแชร์ที่มากผิดปกติ ผมจึงลองกดเข้าไปอ่าน และเห็นว่าคอมเม้นต์ที่มียอดไลท์ การโต้ตอบและการแชร์มากที่สุดมาจากเฟสบุ๊คของคนๆหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก แต่เพราะว่าไม่รู้จักไงถึงได้สงสัยว่าทำไมจู่ๆต้องมาโพสต์ว่าผมเสียๆหายๆแบบนี้ด้วย

 

บุคคล ผู้รู้ความจริง : วิน วิศวะอุตสาหการปี 2 เป็นเกย์ ชอบมั่วผู้ชาย ถ้าเงินไม่พอใช้งานขายก็มา แล้วขอถามหน่อยนะ คนแบบนี้เหรอที่คู่ควรจะเอามาจิ้นกับพี่แม็คอ่ะ คือเพจ Sexy Boy เป็นแหล่งรวมไอดอลหน้าตาดีที่เป็นต้นแบบให้นิสิตในมหาลัยของเราได้ คนที่ติดตามเพจก็ไม่ได้มีแค่คนในมอ แต่ยังรวมไปถึงเด็กมออื่นด้วย อยากจะชงกันว่าคนนี้หล่อเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แถมเรียนดี มันก็เป็นเรื่องดีๆในมอของเราก็ชงกันไปเถอะครับ แต่นี่ถึงกับเอาไอ้ตัวที่มีดีแค่หน้าตามาลงเพจ ไม่ทราบว่าแอดมินคิดอะไรอยู่ครับ? ไม่รู้ว่าคนๆนี้มีชื่อเสียอย่างไร? หรือไม่คิดอะไรเลย เห็นว่าหล่อก็เอามาลงงี้เหรอ?

 

ผมถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้อ่านข้อความทั้งหมดจาก ‘บุคคล ผู้รู้ความจริง’ ซึ่งไม่จบแค่นี้นะครับ เพราะหมอนี่ยังลงภาพของผมที่เคยถ่ายในผับต่างๆไว้ใต้โพสต์ด้วย ยอมรับครับว่าผมเที่ยวจริง แต่บอกว่าผมขายบริการด้วยมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ

แต่ความเห็นส่วนหนึ่งกลับเชื่อว่าข่าวที่ผมเป็นเด็กขายนั้นเป็นเรื่องจริงเพราะรูปที่ถูกโพสต์เป็นรูปที่ผมเคยถ่ายกับคู่ขาหลายคน บางรูปแค่นั่งกอดกันในผับ เป็นรูปถ่ายเล่นๆ บางรูปจูบปากกัน บางรูปถ่ายในห้องส่วนตัวซึ่งฉากหลังเป็นเตียง เอาเป็นว่าคนที่มีรูปพวกนี้มีแค่อดีตคู่ขาของผมเท่านั้น ซึ่งคนที่เริ่มเรื่องนี้ใช้วิธีใดในการรวบรวมรูปถ่ายทั้งหมดมา…ผมก็ไม่รู้ ที่สงสัยคือทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?

ผมลองกดเข้าไปดูโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คของ ‘บุคคล ผู้รู้ความจริง’ ซึ่งไม่มีอะไรที่พอจะทำให้ผมระบุตัวคนทำได้เลย เพราะเฟสที่ใช้เป็นเฟสที่ถูกสมัครขึ้นมาใหม่ เหมือนกับว่าเขาตั้งใจมาเพื่อแฉผมโดยเฉพาะ

 

คอมเม้นต์ 1 : คือเรื่องที่มีแฟนหลายคนหรือจะไปมีอะไรกับใคร เราว่าไม่ได้ผิดนะ ขึ้นอยู่กับการสมยอมของทั้งสองฝ่ายอ่ะ มีอีกตั้งหลายคนที่ทำแบบนี้แต่แค่ไม่ถูกแฉ ส่วนเรื่องขายบริการไม่รู้ว่าจริงมั้ย แต่ถ้าจริงคือเกินไปอ่ะ รับไม่ได้ ต่ำ!

คอมเม้นต์ 2 : เอิ่ม ขายตัวด้วยเหรอ ก็นะ หน้าตาดี ลูกค้าคงเยอะ

#พี่คนหล่อคือใคร

แม็ค พชรดนัย : @บุคคล ผู้รู้ความจริง แปลกเนอะที่เพื่อนกูเอากับใครก็ไม่รู้แต่ไปหนักหัวมึง หรือว่าเพื่อนกูไปเอากับผัวมึงเหรอ? ถ้าใช่…มึงอย่าอายโพสต์หลักฐานมาดิ หรือถ้าเรื่องที่เพื่อนกูขายตัวเป็นความจริง ขอหลักฐานด้วยครับ แค่รูปที่เอามาโพสต์มันบอกได้เหรอว่าเพื่อนกูขายอ่ะ

#สติสมองจงมา #มโนให้น้อยๆหน่อยแล้วชีวิตจะเจริญก้าวหน้าขึ้น

คอมเม้นต์ 3 : ฮุ้ยย แร๊งง ตอนแรกเกือบเชื่อแหละ น้องมันสมองน้อย ดีนะพี่แม็คช่วยเตือน อีกอย่างเรื่องที่คนอื่นพูดมาอาจใส่สีตีไข่มาแล้วก็ได้นะ เราไม่ได้แอบดูอยู่ใต้เตียงเค้าเนอะ ไม่รู้หรอกว่าเค้าทำอะไรกับใครบ้าง ทางที่ดีอย่าไปเสือกเรื่องคนอื่นเค้าเลย

#แม็ควินจงเจริญ #เพื่อนต้องปกป้องเพื่อนนะคะซิส

คอมเม้นต์ 4 : แล้วคนแบบไหนที่คู่ควรจะเอามาจิ้นกับพี่แม็คอ่ะคะ บริสุทธิ์ จิตใจดี หน้าตาดี หล่อ รวย แบบนี้เหรอ เทวดาชัดๆเลย

#สติสมองจงมา #มโนให้น้อยๆหน่อยแล้วชีวิตจะเจริญก้าวหน้าขึ้น

 

“วิน มึงโอเคแน่มั้ยเนี่ย?”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามจากไอ้แว่น มันชะโงกใบหน้าเข้ามาจ้องผมตาปริบๆ ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ากลับไป

“ไปเรียนกันเถอะ” ผมตัดบทแล้วเก็บไอโฟนใส่ในกระเป๋ากางเกง ตอนนี้เรื่องเดียวที่ทำให้ผมกังวล ไม่ใช่การถูกคนในมหาลัยเข้าใจผิดหรือมองผมในแง่ร้าย แต่ผมกลัวว่าพอร์ชจะมองผมในแง่ร้ายต่างหาก…

ผมแค่ไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวของผม

 

 

ผมใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาซ้อมว่ายน้ำ จริงๆวันนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิแล้วก็ทำเวลาได้ไม่ดีเพราะกังวลแต่เรื่องของพอร์ช หมอนั่นไม่ได้โทรหาผมซึ่งถ้าเป็นวันอื่นผมจะไม่คิดมากเลย เพราะพอร์ชไม่ใช่คนที่จะโทรมาบ่อยๆอยู่แล้ว แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในเพจ Sexy Boy เมื่อเช้านั่นแหละ จะบอกว่าพอร์ชไม่เห็นก็ไม่น่าใช่ อีกอย่างหมอนี่เป็นคนขี้หึงจะไม่โทรมาถามผมหน่อยเหรอว่าเรื่องเป็นยังไง ตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าจะโทรหาเขาหลังจากเลิกเรียน แต่เพราะความปอดแหกของผมเองนั่นแหละที่ทำให้จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้โทรหาเขาเลย

ผมยันตัวขึ้นมานั่งบนขอบสระว่ายน้ำเพื่อพักเหนื่อยแล้วก็เช็คไอโฟนว่า    พอร์ชโทรมาหรือเปล่า ในตอนนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดเลยนอกจากพุ่มไม้ที่อยู่ด้านนอกรั้วของสระว่ายน้ำกำลังไหวเอนช้าๆ…ลมอาจจะพัด ผมพยายามคิดในแง่ดี แต่ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าวันนี้ ผมว่ายน้ำแบบไม่เป็นส่วนตัวเลย ทั้งที่ตอนนี้ก็มีแค่ผมคนเดียว มันรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจับตามองตลอดเวลา ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

ในเมื่อตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่สบายใจแล้ว ผมจึงคิดว่าควรจะกลับหอ ผมลุกจากพื้น เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวอาคารสีขาวเล็กๆที่ก่อสร้างขึ้นสำหรับทำเป็นห้องอาบน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ในตอนที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดและไฟสปอร์ตไลท์รอบสระว่ายน้ำก็ถูกเปิดขึ้นด้วยตัวตั้งเวลาอัตโนมัติ ผมเดินไปที่ทางออกซึ่งเป็นประตูรั้วเหล็กดัดทาด้วยสีเทา ที่นี่ไม่เคยล็อคเว้นแต่ช่วงปรับปรุงหรือช่วงปิดเทอมเท่านั้นที่มีเวลาล็อคประตูหน้าสระว่ายน้ำที่แน่นอน ผมยื่นมือไปผลักประตูเหล็กแต่กลับพบว่า…

กึก!

อะ อ้าว

ผมชะโงกหน้ามองผ่านช่องว่างของเหล็กดัดไปด้านนอกและพบว่าประตูที่ไม่เคยล็อค บัดนี้กลับคล้องแม่กุญแจตัวใหญ่เอาไว้

ได้ไงวะ!

ปกติถ้าอยู่ในช่วงปรับปรุงสระว่ายน้ำ ทางมหาลัยจะห้อยป้ายเวลาเปิดและปิดไว้ที่หน้าประตูรั้ว ซึ่งผมแน่ใจว่าตอนที่เดินเข้ามาไม่มีป้ายดังกล่าว

เอาแล้ว ทำไงดีวะ?

“ช่วยด้วยครับ!!”

ผมตะโกนเสียงดัง จำได้ว่าด้านนอกสระว่ายน้ำมีป้อมยามเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีการเปลี่ยนเวรยามเฝ้าสระว่ายน้ำไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมหวังว่าลุงยามจะได้ยินเสียงของผมนะ แต่ก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่ายามประจำสระว่ายน้ำมีแต่พวกยามแก่ๆที่ใกล้เกษียณ ซึ่งยามที่มีอายุงานกว่ายี่สิบปีจะถูกส่งมาที่นี่เพราะงานเฝ้าสระว่ายน้ำเป็นงานที่สบายที่สุด ไม่ต้องเดินตรวจตรา ไม่มีขโมย (เพราะมันไม่มีอะไรจะให้ขโมย)แถมยังแอบหลับแอบอู้ได้อีกด้วย

“ลุงยามครับ!!”

ผมตะโกนอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น ลองเงี่ยหูฟังว่ามีความเคลื่อนไหวจากด้านนอกบ้างหรือไม่ แต่ปรากฏว่าเงียบสนิท เฮ้ย นี่มันเพิ่งหกโมงเย็นเองนะ ลุงยามคงจะไม่แอบหลับตั้งแต่หัวค่ำหรอกใช่มั้ย

“มีใครอยู่มั้ยครับ!!”

ผมแหกปากลั่นสระว่ายน้ำจนเริ่มเจ็บคอ นี่มันไม่ตลกแล้วนะเว้ย ผมไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่จนถึงเช้าหรอกนะ

“ผมติดอยู่ในนี้ครับ ลุงยามครับ!!”

ให้ตายสิ! ผมไม่อยากจะคิดอะไรในแง่ร้ายเลยนะ แต่ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนเจตนาแกล้งผม เขาอยากทิ้งให้ผมนอนที่นี่ทั้งคืน

ผมคิดว่าลุงยามอาจจะไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยที่อื่น หรือไม่ก็เปิดวิทยุเสียงดังเหมือนเดิม ดังนั้นผมคิดว่าควรจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นดีกว่า  ไม่งั้นคงคอแตกตายก่อนจะได้กลับออกไปแน่ๆเลย

ผมหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรหาไอ้แว่นเป็นคนแรก มันอยู่หอติดรั้วมอน่าจะมาได้เร็วที่สุด เสียงรอสายดังอยู่นานจนตัดไปเอง ไอ้แว่นก็ไม่รับโทรศัพท์ คือจริงๆแล้วหมอนี่เป็นพวกไม่ติดสมาร์ทโฟนนั่นแหละครับ โทรไปก็ไม่ค่อยรับอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กูเดือดร้อนมึงคิดจะรับหน่อยได้มั้ยเล่า

ผมกดโทรออกซ้ำๆจนเกือบจะหมดความอดทน พยายามหายใจเข้าและออกอยู่หลายต่อหลายครั้งจนจิตใจสงบลง ก่อนจะเปิดรายชื่อของเพื่อนที่บันทึกไว้ในไอโฟนเพื่อดูว่ามีใครอีกที่พอจะช่วยผมได้

อันที่จริงชื่อของพอร์ชผุดขึ้นมาในสมองของผมเป็นคนแรก แต่ทิฐิในใจทำให้ผมเลือกที่จะเมินเฉยต่อเบอร์โทรของเขาแล้วเลือกที่จะกดโทรออกไปหาไอ้ธามเป็นคนที่สอง และก็น่าผิดหวังเหมือนเดิมเพราะไอ้หมอนี่ปิดเครื่อง

ผมกดโทรออกไปหาไอ้ไวท์เป็นรายที่สาม ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจขอให้อีกฝ่ายรับสาย เพราะถ้ามันไม่รับผมก็ไม่รู้ว่าควรจะโทรหาใครเป็นรายต่อไปแล้ว ผมถือสายรอนานมาก คิดว่าสายจะถูกตัดซะแล้วในตอนที่อีกฝ่ายกดรับแต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากส่งเสียงผมก็ตะโกนลั่นขึ้นมาซะก่อน

“ไอ้ไวท์!!! ช่วยกูด้วย”

“เกิดอะไรขึ้น มึงอยู่ไหน?” เสียงที่ตอบกลับมาของไอ้ไวท์ค่อนข้างซีเรียส ทำให้ผมน้ำตาเกือบไหล ซาบซึ้งใจเหลือเกิน…

ขอบใจมากเพื่อน กูคิดอยู่แล้วว่ามึงเป็นคนเดียวที่พึ่งพาได้ ฮืออออ

“กูถูกขังอยู่ที่สระว่ายน้ำมหาลัย มึงมาเปิดประตูให้กูหน่อย กูออกไม่ได้”

ผมรีบตอบกลับไปทันที

“ทำไมโดนขัง ปกติรั้วมันล็อคด้วยเหรอ?”

มึงอย่าเพิ่งสงสัยอะไรตอนนี้ รีบมาเร็วๆ กูเริ่มหนาวแล้วนะเว้ย

“ปกติกูไม่รู้ แต่ตอนนี้มันล็อคไง”

โครมมมม!!!!

ปัง!!!

ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็ได้ยินเสียงของบางอย่างล้มกระแทกพื้น แล้วก็เสียงที่ดูเหมือนจะเป็นการปิดประตูเสียงดังมาจากทางด้านของไอ้ไวท์

เกิดอะไรขึ้นวะ? หรือโจรขึ้นห้องไอ้ไวท์ จำได้ว่ามันอยู่คอนโดชั้น 21 เลยนะ คือโจรก็ยังจะพยายามปีนขึ้นไปปล้นอีกเหรอ

“เสียงอะไรวะ มึงเป็นไรปะเนี่ย” ผมถามด้วยความไม่สบายใจ อย่าเป็นอะไรนะมาช่วยกูก่อน เพื่อนไวท์…

“กูอ่ะไม่เป็นไร แต่เมียกูนี่แหละเป็นอะไรไม่รู้วิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียนสองรอบแล้ว กูว่าจะพาไปหาหมอ”

คำตอบของไอ้ไวท์ทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุก อ้าว ห่านี่

“นี่มึงดูแลพายุยังไงวะ ทำไมถึงอ้วก กินอะไรไม่ดีเข้าไป ป่วยเหรอหรือไม่สบาย” ผมยิงคำถามเป็นชุด ผมไม่ได้ชอบพายุแบบเดิมอีกแล้ว แต่ความเคยชินทำให้ผมอดเป็นห่วงหมอนั่นไม่ได้

“หยุด! นี่เมียกู กูห่วงได้คนเดียว ส่วนมึง ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

เออ ถูกของมัน กูยังเอาตัวเองไม่รอดเลยนี่หว่า

“มึงรีบพาพายุไปโรงพยาบาลเลยนะ ถ้าน้องเป็นอะไรไปกูจะถีบหน้ามึง”

“เออ เดี๋ยวโทรบอกไอ้ธามให้ไปรับมึงละกัน”

“มันปิดเครื่อง”

“แล้วไอ้ฉัตรล่ะ”

ผมชะงักไปครู่หนึ่ง

หมอนั่น…!! จะไปรู้ได้ไง จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย

“ไม่รู้ ไม่ได้โทรหา” ผมตอบส่งๆ

“ทะเลาะกันเหรอ”

ไอ้ห่านี่ เสือกให้เป็นเวลาหน่อย

“เปล่า”

ผมปฎิเสธ ผมกับพอร์ชไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าทะเลาะกันเลย เรียกว่าอยู่ในภาวะสงครามเย็นดีกว่า เขาไม่โทรหาผมและผมก็ไม่โทรหาเขา หรือต่อให้เขากำลังรอสายเรียกเขาจากผม ผมก็ไม่โทร ทำไมต้องโทรด้วยล่ะ ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด หมอนั่นอยากรู้อะไรทำไมไม่เป็นฝ่ายโทรมาถามเองเล่า

“ให้เพื่อนมึงหรือใครก็ได้มาช่วยกูออกไปหน่อย แล้วก็ไม่ต้องบอกไอ้บ้าพอร์ชนะ” ผมเอ่ยกับไอ้ไวท์ ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งจนผมคิดว่ามันวางโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วหนีไปดูอาการพายุหรือเปล่า

“เข้าใจมั้ยเนี่ยไวท์” ผมถามย้ำซึ่งอีกฝ่ายก็รีบตอบกลับมาทันที

“เข้าใจแล้ว”

 

 

ผมเอนหลังพิงเก้าอี้พลาสติกริมสระว่ายน้ำ ลมเย็นๆในช่วงหัวค่ำทำให้ผมตัวสั่นเล็กน้อย รู้สึกอยากกลับหอไปนอนเร็วๆอ่ะ ทำไมป่านนี้เพื่อนของไอ้ไวท์ยังไม่มาอีกนะ แต่จะให้โทรกลับไปเร่งไอ้ไวท์ ต่อมความเกรงใจก็เกิดทำงานขึ้นมากะทันหัน ก็พายุแม่งป่วยอยู่ด้วยอ่ะ แล้วผัวเมียเขาก็ต้องดูแลกัน ผมก็ไม่ควรจะโทรไปขัดจังหวะอ่ะครับ

ผมยกไอโฟนขึ้นมาดูเวลา นี่มันหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว เพื่อนไอ้ไวท์หลงทางหรือไงวะ หรือเดินทางมาจากดาวอังคารทำไมป่านนี้ยังไม่ถึงโลกซะที

“วิน”

เสียงคุ้นหูที่ตะโกนเรียกชื่อของผม ทำให้ผมยิ้มกว้างทันที ใบหน้าหันขวับไปมองที่ประตูทางเข้าของสระว่ายน้ำก็เห็นว่าพอร์ชกำลังยืนอยู่ตรงนั้นในชุดนิสิต (แบบผิดระเบียบ)

“พอร์ช!!!!!” ผมร้องด้วยความดีใจก่อนจะลุกพรวดจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“มาได้ไง” ผมถาม คือตอนนี้ลืมไปแล้วว่ากำลังน้อยใจเขาอยู่

“ถ้าไอ้ไวท์ไม่โทรบอกกูว่ามึงติดอยู่ที่นี่ มึงคิดจะโทรหากูมั้ยฮะ”

พอร์ชตะคอกใส่ผม ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยบัดนี้กลับดุดันกว่าปกติ ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าเขากำลังโกรธมาก…

“ก็มึงไม่โทรหากูอ่ะ” ผมแย้งด้วยใบหน้าที่สลดลงเล็กน้อย

“แล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงติดอยู่ที่นี่ คิดว่ากูเป็นซูปเปอร์แมนเหรอ หรือคิดว่ากูหยั่งรู้ทุกอย่าง”

“มึงไม่สนใจกู”

มึงควรจะโทรหากูตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องในเพจ Sexy Boy แล้ว แต่มึงก็ไม่ทำ!

“กูไม่สนใจมึงตอนไหน” พอร์ชถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ผมคิดว่าเขากำลังข่มความเกรี้ยวกราดเอาไว้ระดับหนึ่ง

ห่าเอ๊ย อย่าทำเหมือนกูเป็นคนงี่เง่าที่คิดเองเออเองได้มั้ยวะ เห็นชัดๆว่ามึงต้องหึง แต่มึงก็ไม่หึง มันแปลว่าอะไร…ก็แปลว่าไม่สนใจหรืออยากเทกูไงล่ะ

“เป็นอะไร”

พอร์ชถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่ยืนเงียบ…กูอยากให้มึงถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเพจ Sexy Boy แล้วทำไมมึงไม่ถามล่ะ มึงต้องการให้กูพูดออกมาเองใช่มั้ย?

“กูไม่ได้ขายตัว!!!”

ผมตะโกนใส่พอร์ช

“กูไม่ได้ขายตัว ได้ยินมั้ยยยยยย!!!”

ผมตะโกนอีกครั้งแล้วตรงเข้าไปผลักอกของพอร์ชจนเซถอยหลัง เขาไม่ได้หงุดหงิดหรือตะคอกใส่ผม แต่กลับรั้งร่างของผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแล้วใช้แขนแข็งแรงทั้งสองข้างรัดร่างของผมไว้แน่น

“รู้แล้ว กูเชื่อมึง” พอร์ชกระซิบชิดใบหูของผม

“ทำไมมึงไม่ถามกู ทำไมไม่บอกให้กูอธิบาย”

ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงเริ่มสั่นเครือเมื่อได้รับความอบอุ่นจากอ้อมแขนของพอร์ช ผมสงบสติอารมณ์ได้แล้วแต่หัวใจกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาแทน

“เพราะกูรู้ว่ามึงไม่ได้ทำ” พอร์ชเอ่ยกับผมอย่างอ่อนโยน ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบศีรษะของผมเบาๆเป็นการปลอบโยน

“มึงไม่โทรหากูเพราะงอนกูใช่มั้ย คิดว่ากูเชื่อข่าวพวกนั้นเหรอ”

“อืม” ผมยอมรับแล้วยกแขนสองข้างขึ้นมาโอบกอดแผ่นหลังของพอร์ชไว้แน่น ผมไม่อยากเสียเขาไป ผมอยากกอดเขาเอาไว้นานๆ

“โง่จริงเลย กูไม่ใช่คนหูเบาซะหน่อย”

ผมขมวดคิ้ว ให้ตายสิ หมอนี่พูดจาหวานๆได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีหรอก ต้องหาเรื่องด่ากูจนได้เลยนะ

“ทำไมมาช้า ไอ้ไวท์โทรบอกมึงตอนไหนเนี่ย” ผมถามแล้วผละออกจากอ้อมกอดของพอร์ช

“หกโมงกว่าๆมั้ง” คำตอบของพอร์ชทำให้ผมหน้าบึ้ง

“แล้วมึงไปไหน ทำไมเพิ่งมา รู้มั้ยว่ากูหนาว”

“รีบมาที่สุดแล้วครับ กูไปขอกุญแจลุงยามมาเปิดประตู แต่ลุงแกไม่มี บอกไม่รู้ว่าใครมาล็อค กูเลยต้องขับรถออกไปซื้อไอ้เนี่ยมาตัดกุญแจให้มึงไง แล้วมึงคิดว่าค่ำๆแบบนี้มันหาร้านขายเครื่องมือได้ง่ายๆหรือไง”

ผมเพิ่งสังเกตว่าในมือข้างหนึ่งของพอร์ชถือกรรไกรตัดเหล็กเอาไว้ด้วย เฮ้อ ของแบบนี้ที่ช็อปวิศวะก็มี แต่นั่นแหละพอร์ชคงไม่รู้ถึงได้ออกไปหาซื้อมาจนได้

“มีคนแกล้งกู”

ผมรีบฟ้องเขา ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จู่ๆก็มีเฟสบุ๊คปริศนาถูกเปิดขึ้นมาเพื่อด่าผมในวันเดียวกับที่ผมถูกขังอยู่ที่สระว่ายน้ำ

“รู้แล้วครับ กูจะหาตัวมันให้นะ”

พอร์ชให้สัญญา เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งทาบลงบนข้างแก้มของผมเป็นการปลอบโยน

“หายังไง”

ผมถาม ผมไม่ได้ฟ้องพอร์ชเพื่อให้เขาหาตัวร้ายให้ แต่ผมฟ้องเพราะอยากฟ้องเท่านั้นเอง แค่อาการของคนที่อยากได้รับความสนใจอ่ะครับ

“ตอนเข้ามา ลุงยามบอกกูว่ามีนิสิตผู้ชายคนหนึ่งเอาขนมกับม้วนเทปที่แกอยากได้มาให้ แกเลยกินขนมแล้วก็เปิดเทปดังไปหน่อยเลยไม่ได้ยินเสียงของมึง”

เหตุผลนี้ช่าง…น่าโมโหว่ะ สบายเลยนะลุง น่าหักเงินเดือนชะมัดเล้ย

“กูจะลองเอารูปคนที่น่าสงสัยมาให้ลุงยามดูพรุ่งนี้ มึงไม่ต้องกังวล ตั้งใจซ้อมไปเถอะ แล้วก็อย่ามาซ้อมคนเดียวอีก เอาเพื่อนมาด้วย เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจแล้ว ขอบใจนะ”

ผมตอบรับแล้วชะโงกหน้าไปจุ๊บแก้มของพอร์ชเบาๆเป็นการขอบคุณ ถ้าพอร์ชหาตัวคนร้ายได้ก็ดีไป หาไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ผมจะไม่แจ้งกับทางมหาลัยเว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะเล่นแรงขึ้นกว่านี้

 

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/11/2562 [บทที่18]
« ตอบ #49 เมื่อ: 01-11-2019 02:46:19 »





ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/11/2562 [บทที่18]
«ตอบ #50 เมื่อ01-11-2019 09:50:57 »

 :o8: หายไปนาน(รึเปล่า555)
 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/11/2562 [บทที่18]
«ตอบ #51 เมื่อ01-11-2019 16:31:36 »

 :3125: :3125:


 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
«ตอบ #52 เมื่อ07-11-2019 10:09:23 »


บทที่ 19 ชัยชนะ



ในที่สุดวันแข่งขันกีฬาว่ายน้ำก็มาถึง นักกีฬาทุกคนจากทุกคณะพร้อมพี่เลี้ยงหนึ่งคนกำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องรับรอง พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและกำลังวอร์มร่างการให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน

ผมได้รุ่นพี่ปีสี่จากสโมสรนิสิตคณะวิศวะคนหนึ่งมาทำหน้าที่ดูแล ตั้งแต่เรื่องของอาหาร น้ำดื่ม ขนม กางเกงว่ายน้ำและยานวดสำหรับแก้ปวด เอาเป็นว่าดูแลทุกอย่าง รวมถึงนวดคลายกล้ามเนื้อให้ด้วย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ประตูห้องรับรองนักกีฬาถูกเคาะแบบพอเป็นพิธีก่อนจะถูกเปิดออกโดยไม่ได้รับอนุญาต คนที่เข้ามาคืออาจารย์ผู้ชายวัยเกือบสี่สิบปีซึ่งวันนี้รับหน้าที่เป็นกรรมการสนาม

“นักกีฬาเตรียมตัวให้พร้อม อีกสิบนาทีจะเรียกตัวแล้ว ส่วนพวกพี่เลี้ยงออกไปให้หมด”

คำสั่งไล่กะทันหันทำให้พวกพี่เลี้ยงกระวีกระวาดเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ให้คำแนะนำและกำลังใจแก่นักกีฬาอีกสองสามประโยคก่อนจะพากันทยอยออกไปจากห้องรับรอง

“ไม่ต้องกดดันนะมึง แค่ทำให้เต็มที่ก็พอ ไม่ชนะก็ไม่เป็นไรแต่อย่าให้วิศวะขายหน้าก็พอ”

พี่เลี้ยงที่กำลังนวดคลายกล้ามเนื้อที่หัวไหล่ให้ผมเอ่ยอย่างจริงจัง ครับๆ ไม่ชนะแต่อย่าให้ขายหน้า เป็นคำสั่งเสียประเภทไหนกันวะ สรุปคือไม่ขายหน้าก็ต้องชนะปะ หรือไม่ขายหน้าคือการไม่เป็นที่สุดท้ายในการแข่งขันอ่ะ

“เออรู้ครับ พี่ออกไปได้แล้ว”

ผมรีบเอ่ยไล่เมื่อหันไปสบตากับอาจารย์กรรมการที่กำลังถลึงตามองมาทางพวกเรา

“เออๆ กูไปล่ะ” พี่เลี้ยงของผมรีบโกยข้าวของใส่กระเป๋า คว้าถุงขยะแล้ววิ่งโล่ออกไปจากห้องรับรอง ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถอนหายใจ ไอ้พี่เลี้ยงตัวดีก็วิ่งกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

อะ อ้าว ลืมอะไรไว้เหรอ?

“วิน” พี่เลี้ยงเรียกชื่อของผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

“ไรพี่” ผมถาม อย่ามาดึงดราม่าแถวนี้นะ

“กูรู้ว่าโอกาสที่มึงจะชนะมีน้อย แต่ว่าวิศวะของเราต้องการเงินจริงๆนะเว้ย”

รู้น่า นี่ก็ย้ำจริงเล้ย…

การที่ผมไม่ได้ร้องขอพี่เลี้ยงระหว่างการซ้อมว่ายน้ำทำให้สโมสรนิสิตใจเสีย คิดว่าผมอาจจะแอบโดดซ้อมหรือไม่จริงจังกับการแข่งขันในครั้งนี้ แต่โชคดีนะที่ผมอยากให้ช็อปอุตสาหการเปลี่ยนเครื่องกลึงเป็นรุ่นใหม่ ไม่งั้นไม่ลงทุนซุ่มซ้อมแบบเงียบๆนะโว้ย

อีกอย่าง ถ้าผมชนะแบบเหนือความคาดหมาย มันคงเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ แต่ถ้าทุกคนคาดหวังในตัวของผมอยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้รับชัยชนะในการแข่งครั้งนี้ จะมีแต่ทำให้ทุกคนเสียใจเปล่าๆ เพราะงั้นก็ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้หรอกว่าผมได้พยายามมากแค่ไหน เอาเป็นว่ารอดูผลการแข่งเลยแล้วกัน

“เธอน่ะ ออกไปได้แล้ว”

อาจารย์กรรมการตะโกนไล่เมื่อเห็นว่าพี่เลี้ยงของผมเป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่ก้าวเท้าออกไปจากห้องรับรอง

“สู้ๆนะ”

พี่เลี้ยงยกกำปั้นทั้งสองข้างให้ผมด้วยแววตาที่เหมือนคนปลงตก ห่าเอ๊ย พี่อย่าหนีไปร้องไห้นะ ผมรับรองว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น

หลังจากที่พี่เลี้ยงออกไปจากห้องรับรอง ผมก็ลุกจากที่นั่งเพื่อทำการยืดคลายกล้ามเนื้อขา ผมได้ยินเสียงประกาศเปิดงานของคนใหญ่คนโตสักคนในมหาลัยแล้วก็เสียงกรี๊ดกร๊าดของนิสิตที่มาชมการแข่งขัน ฟังจากเสียงแล้วคนน่าจะมากันเยอะพอสมควรเพราะการแข่งขันว่ายน้ำเป็นรายการสุดท้ายของกีฬาสัมพันธ์ในครั้งนี้

“วิน”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของผม เป็นพอร์ชนั่นเอง เขายังดูใจเย็นแล้วก็นิ่งเฉยไม่ต่างจากปกติ คือมึงเตรียมใจมาแพ้กูขนาดที่หมดอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันเลยเหรอวะ

“ตื่นเต้นเหรอ”

“นิดหน่อย”

ผมตอบ ซึ่งจริงๆแล้วผมโคตรตื่นเต้นเลยครับ ผมรู้ดีว่านาทีที่ก้าวเท้าสู่สนาม สายตาของทุกคนจะจับจ้องมาที่นักกีฬา รวมถึงความหวังที่จะก่อกำเนิดขึ้นในใจของเพื่อนร่วมคณะโดยที่ไม่รู้ตัว

ผมยังจำความกดดันในการแข่งขันครั้งแรกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในการแข่งขันว่ายน้ำชายประเภททีมในตอนที่ผมเป็นนักกีฬาให้กับคณะเภสัช มันเป็นความรู้สึกแย่และรู้สึกผิดเป็นเท่าตัวแม้จะไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของผมก็ตาม แต่ผมรู้ดีว่าผมทำเวลาได้น้อยที่สุดในทีม เมื่อนำเวลาของนักกีฬาทุกคนในทีมมารวมกันจึงทำให้พ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้เลย

เฮ้อ ถือว่าโชคดีนะที่ครั้งนี้เป็นการแข่งขันประเภทเดี่ยว ไม่งั้นผมต้องสติแตกแน่ๆเลย

“แค่ทำเวลาให้ดีเหมือนที่ซ้อมมา มึงต้องได้เหรียญทองอยู่แล้ว”

พอร์ชเอ่ยกับผม ในการซ้อมวันสุดท้าย พอร์ชช่วยมาเทรนให้เหมือนเดิม ซึ่งผมทำเวลาได้ดีที่สุดคือ 1.20 นาที แม้จะไม่ดีเท่ากับเวลาที่พี่พอร์ชกับไอ้ไวท์เคยทำไว้คือ 1.10-1.15 นาที แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผมชนะได้ เพราะจากสถิติที่ไอ้แม็คทำไว้คือมากกว่า 1.20 นาที ส่วนนักกีฬาจากคณะอื่นๆถ้าไม่ได้ซุ่มเงียบก็ไม่น่าที่จะทำเวลาได้ดีกว่านี้ อีกอย่างในตอนที่ซ้อมแข่งรวมผมตั้งใจทำเวลาไว้ที่ 1.40 นาทีเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองของนักกีฬาคนอื่น

“พอร์ช”

“หืม”

ผมเงยหน้ามองเขาเงียบๆครู่หนึ่ง ผมรู้ว่าเขาจะไม่หักหลังผม เขายอมยกชัยชนะให้ผมได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดในการแข่งขันแล้วผมหลุดจากอันดับสาม หรือมีคนอื่นที่ทำเวลาได้ดีกว่า ผมก็ไม่อยากให้พอร์ชต้องมาพ่ายแพ้ไปด้วย ผมรู้ว่าเขาเก่ง เขาสมควรได้เหรียญทองมากกว่าใคร

“ถ้ากูชนะมึงไม่ได้ มึงก็ห้ามให้คนอื่นชนะมึง เข้าใจมั้ย”

พอร์ชชะงัก เขามองเข้ามาในดวงตาของผมเงียบๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร การเดาใจของพอร์ชเป็นอะไรที่ยากกว่าการสอบได้เกรดเอ

“เข้าใจมั้ยพอร์ช”

ผมถามซ้ำ ต่อให้พอร์ชไม่อยากได้เงินรางวัล แต่ผมก็ไม่อยากให้นักกีฬาตัวจริงของมหาลัยอย่างเขาดูแย่ในสายตาของคนอื่น

“เข้าใจ”

พอร์ชตอบ

“สัญญากับกูมาก่อนสิ อย่าให้คนอื่นชนะมึงนอกจากกู”

ผมยื่นนิ้วก้อยให้กับพอร์ช ซึ่งหมอนั่นก็ยอมยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับนิ้วของผมอย่างว่าง่าย

“กูสัญญา”

ปรี๊ดดดดดดดดดดดด!!

สัญญาณเสียงครั้งที่หนึ่งสั่งให้นักกีฬาว่ายน้ำก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นปล่อยตัว ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ถูกจัดขึ้นมาสองรอบเพราะจำนวนนักกีฬาที่มากเกินไปสำหรับลู่แข่งขัน ในรอบที่หนึ่งแข่งขันทั้งหมดเก้าคน และในรอบที่สองซึ่งเป็นรอบของผมแข่งขันจำนวนเจ็ดคน โดยผู้ที่ทำเวลาได้ดีที่สุดสามอันดับแรกจากทั้งสองรอบจะได้รับเหรียญและเงินรางวัล

ทางด้านซ้ายของผมคือนักกีฬาจากคณะเกษตรศาสตร์ ส่วนทางด้านขวาคือพอร์ช นักกีฬาจากคณะบริหารธุรกิจ ผมแอบเหลือบตาภายใต้กรอบแว่นไปมองเขา แต่หมอนั่นไม่ได้สนใจผม

ห่าเอ๊ย กูตื่นเต้นจนฉี่จะราดแล้วพอร์ช!

“Take your marks”

เสียงของคณะกรรมการที่ถูกประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นคำสั่งให้นักกีฬาเตรียมท่าตั้งต้น โดยให้ปลายเท้าอย่างน้อยหนึ่งข้างอยู่ที่ปลายสุดของแท่น ส่วนตำแหน่งของแขนไม่ได้กำหนดไว้ตายตัว อันที่จริงตอนนี้เหงื่อเย็นๆเริ่มซึมมาตามขมับของผมแล้วครับ และเสียงกรีดร้องของผู้ชมทั่วทั้งสนามก็เริ่มทำให้ผมสติแตกแล้วด้วย

ใจเย็นๆนะวิน กูทำได้ กูต้องทำให้ได้…

ผมพยายามปลอบใจตัวเอง ถ้าผมสติหลุดตอนนี้ผมต้องเสียสมาธิในการแข่งขันแน่เลย ผมคิดถึงการแข่งขันในรอบที่หนึ่งเพื่อให้ตัวเองอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยเวลาที่นักกีฬาทำไว้ได้ดีที่สุดก็คือไอ้แม็คจากคณะเภสัช เวลาคือ 1.27 นาที ซึ่งผมต้องทำให้ดีกว่านั้นแน่นอน

ปรี๊ดดดดดดดดดดดด!!

สัญญาณเสียงดังขึ้นอีกครั้งเป็นการสั่งปล่อยตัวนักกีฬา ผมและคนที่เหลือรีบกระโดดลงไปในน้ำแล้วแหวกว่ายในท่าฟรีสไตล์ทันที ผมพยายามพุ่งสมาธิไปที่ขอบสระอีกด้านโดนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว ผมต้องแข่งกับตัวเอง ทำเวลาให้ดีที่เหมือนที่เคยซ้อมมา

ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เพราะน้ำทำให้ผมได้ยินเสียงรอบข้างและเสียงของพิธีกรไม่ชัดเจน ผมกลับตัวใต้น้ำแล้วว่ายกลับไปด้วยท่าผีเสื้อ การซ้อมอย่างหนักทำให้ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

ในตอนที่ผมมองเห็นกระเบื้องสีฟ้าสดใสของขอบสระตรงหน้า ผมรู้สึกได้ว่าพอร์ชลดความเร็วลงกะทันหัน ผมพุ่งผ่านอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็วและแตะมือลงบนขอบสระพอดีกับที่สัญญาณเสียงดังขึ้น ผมพุ่งตัวขึ้นมาด้านบนผิวน้ำเกือบจะพร้อมๆกับพอร์ช

เสียงกรีดร้องจนฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นในตอนที่กระดานบอร์ทดิจิตอลข้างสนามแข่งขันกำลังเรียงลำดับหมายเลขประจำตัวนัของกกีฬาคู่กับเวลาในการแข่งขันโดยเรียงลำดับจากผู้ที่ทำเวลาได้ดีที่สุด

“ผลการแข่งขันว่ายน้ำชาย อันดับหนึ่งเหรียญทองเป็นของตัวแทนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทำเวลาไปได้ 1.21 นาที อันดับสองเหรียญเงินเป็นของตัวแทนจากคณะบริหารธุรกิจ ทำเวลาไปได้ 1.22 นาที และอันดับสามเหรียญทองแดงเป็นของตัวแทนจากคณะแพทยศาสตร์ ทำเวลาไปได้ 1.24 นาที”

กรี๊ดดดดดดดดดด!!!

เสียงพิธีกรประกาศชัยชนะของผมพร้อมกับเสียงกรี๊ดดังสนั่นรอบสนามทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยันตัวขึ้นจากสระน้ำแบบงงๆ ขณะถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนนักกีฬาที่เข้ามาแสดงความยินดี แต่ผมคงชนะไม่ได้ถ้าไม่มีพอร์ช ผมพยายามมองหาคนที่เป็นกำลังใจสำคัญของผม หมอนั่นถูกฝูงชนดันออกไปอยู่ที่ด้านข้างของสนามแล้ว

“พอร์ช!!” ผมตะโกนเรียกเขา หมอนั่นหันมามองทางผม นอกจากรอยยิ้มบางๆที่มุมปากแล้ว เขาไม่ได้เดินเข้ามาแสดงความยินดีเหมือนกับคนอื่น แต่ผมอยากให้เขาแสดงความยินดีกับผมมากกว่าใคร

“กูชนะ!!”

ผมตะโกนแล้วพยายามแหวกฝูกชนรวมถึงรุ่นพี่สโมสรนิสิตคณะวิศวะที่กำลังยืนร้องไห้ เมื่อผมเดินมาถึงตัวพอร์ช หมอนั่นหรี่ตามองผมนิ่งๆ แต่ผมกลับโผเข้าไปกอดเขาที่เกือบจะอ้าแขนรับไม่ทัน ผมเพิ่งรู้ตัวตอนนี้แหละว่าผมกำลังร้องไห้โฮ ผมรู้ตัวว่าโกงคนอื่นแต่มันช่วยไม่ได้ที่ผมแอบภูมิใจในชัยชนะครั้งนี้ อย่างน้อยผมก็ชนะนักกีฬาอีกสิบสามคนอย่างแท้จริง

“มึงเป็นของกูแล้วนะ” พอร์ชกระซิบที่ข้างใบหูของผม

“หมายถึง พวกเราคบกันแล้ว?” ผมถามแล้วดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพอร์ชเพื่อมองดวงตาสีดำของเขา

“ความหมายเดียวกันแหละ” พอร์ชเอ่ยยิ้มๆ

“ขอบใจนะ”

ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากครับ ไม่เคยมีใครยอมให้ผมเท่ากับพอร์ชมาก่อน อีกอย่างคนอย่างพอร์ชไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครง่ายๆเลย ผมรู้ว่าผมสำคัญกับเขาเช่นเดียวกับที่เขาเป็นคนที่มีค่าที่สุดสำหรับผม

การแข่งขันในวันนี้ผมได้รับทั้งเหรียญทอง เสียงชื่นชม และแฟนคนสำคัญ

ขอบคุณจริงๆนะ…

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีมอบเหรียญรางวัลและถ่ายภาพร่วมกับคณะกรรมการ นักกีฬาทุกคนก็พากันแยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมมีนัดกับรุ่นพี่สโมสรนิสิตคณะวิศวะที่ตั้งใจจะพาผมไปเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นในห้าง ซึ่งผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฎิเสธ งานนี้ไม่มีคำว่าเกรงใจแล้วครับ

“วิน” ผมปิดล็อคเกอร์ในตอนที่ได้ยินเสียงของพอร์ช หมอนั่นมายืนอยู่ด้านหลังของผมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขายังอยู่ในชุดคลุมสีขาว คาดว่ายังไม่ได้อาบน้ำเพราะห้องน้ำเต็ม

“พรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเช้าเจอกันที่หลังสนามบาส กูมีของขวัญพิเศษจะให้มึง”

ผมเลิกคิ้วเพราะไม่คาดคิดว่าพอร์ชจะเตรียมของขวัญไว้ให้ผม

“ไม่ต้องให้ก็ได้นะ ที่กูชนะได้ในวันนี้ก็เป็นเพราะมึงอ่ะ”

“ไม่รับไม่ได้ มึงดูถูกความพยายามของกูเหรอ”

ดูถูกห่าอะไรล่ะพี่พอร์ช กูแค่เกรงใจเท่านั้นเอง ว่าแต่มันคืออะไรกันล่ะ หวังว่าเขาจะไม่ซื้ออะไรแพงๆให้ผมเป็นของขวัญนะ ก็คุณชายเขาน่ะชอบแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายตีนเลย ผมไม่กล้าใช้ของแพงหรอก…กลัวพัง พังแล้วเสียดายแย่

“ของขวัญชิ้นนี้มึงพยายามหามาให้กูเหรอ?”

ผมถาม เขาจะบ้าซื้อนาฬิกาข้อมือที่ผลิตขึ้นมาเพียงแค่ 10 เรือนในโลกให้ผมหรือเปล่าวะ คืออย่าหาว่าผมหลงตัวเองเลยนะ แต่คนอย่างพอร์ชทำได้ทุกอย่างแหละ อย่าคิดจะเดาใจหมอนี่เลย

“ใช่ รับรองว่ามึงต้องชอบ”

ผมเริ่มหวั่นใจเมื่อเห็นท่าทางภาคภูมิใจในตัวเองของพอร์ช แม่งไม่แน่ใจเลยว่าผมจะชอบของขวัญจากเขา

“แล้วทำไมต้องไปเอากันที่หลังสนามบาส”

นั่นคือจุดที่น่าสงสัยที่สุด มันดูเป็นของขวัญที่มีลับลมคมในไปเปล่าวะ แค่ถือมาให้ที่หอหรือให้ที่นี่ไม่ได้เหรอ? จำเป็นต้องไปเอาที่หลังสนามบาสด้วย?

“พูดให้มันดีๆหน่อย”

“พูดอะไร” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อจู่ๆพอร์ชก็ดุผมเสียงเข้ม ไอ้ห่า เมื่อครู่กูพูดอะไรออกไปนะ มั่วแต่ฟุ้งซ่านจนลืมคำพูดของตัวเอง แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะพูดอะไรแย่ๆออกไปนะครับ

“ทำไมต้องไปรับของขวัญที่หลังสนามบาส หรือทำไมต้องนัดเจอกันที่หลังสนามบาส” พอร์ชแก้ไขคำพูดของผม

“อ๋ออออออ”

ผมแกล้งลากเสียงยาวในลำคอ ก่อนหน้านั้นผมถามว่าทำไมต้องไป ‘เอากัน’ ที่หลังสนามบาส แหม ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย

“แค่ตัดคำนิดหน่อยจะเป็นไรไป”

ผมยักคิ้วให้พอร์ช มึงติดเชื้อความลามกมาจากกูแล้วอ่ะดิ แค่นี้ทำเป็นคิดลึกไปได้ คือผมต้องพูดว่า ‘เอาของขวัญ’ แทนที่จะ ‘เอากัน’ ใช่มั้ยล่ะ แต่ถ้าพอร์ชไม่คิดถึงความหมายแฝงหรือความหมายสองแง่สามง่าม มันก็ใช้ได้เหมือนกันนั่นแหละ อีกอย่างนะคำว่า ‘เอา’ กับ ‘รับ’ มันต่างกันตรงไหนวะ? ตามความคิดของผม มันก็คือความหมายเดียวกันเลย

“มึงอย่าตัดคำมั่วๆดิ ตัดผิดนิดเดียวความหมายก็เปลี่ยนแล้ว”

ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบชิดใบหูของพอร์ช

“แล้วเปลี่ยนไปเป็นอะไรล่ะ มึงคิดอะไรชั่วๆเหรอพอร์ช”

พอร์ชสบตาผมนิ่งๆ นัยน์ตาสีดำกำลังฉายแววท้าทายเมื่อเขายื่นใบหน้าเข้ามาเกือบจะชิดกับใบหน้าของผม ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ากระทบข้างแก้มก่อนจะสะดุ้งวูบเมื่ออีกฝ่ายตวัดปลายลิ้นชื้นลงบนใบหูของผม

แผล็บ

“ไม่ได้คิดชั่ว แค่ตอนนี้คิดว่าอยากเอากับมึงที่หลังสนามบาส”

เชี่ยพอร์ช!!! ไอ้คนเลว!!!

 

 

20.00 น.

ผมกลับมานั่งหน้าบึ้งอยู่ที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คในหอพักส่วนตัว ช่วงนี้ผมต้องทำการส่องเพจ Sexy Boy ทั้งเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอนทุกวัน จนจะกลายเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำไปแล้ว บางครั้งก็สงสัยนะว่าแอดมินเพจมีปัญหาอะไรกับกูเหรอครับ เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ต้องอัพเดต เอาเป็นว่าเรื่องดีๆของผมที่เอามาให้สาธารณชนชื่นชมกันมันก็ดีนะ แต่ขออนุญาตกูหรือยังล่ะ กูไม่ได้อยากดังไงครับ

 

ไหน!!! ใครน้า!!! ที่กล้าบอกว่าแอดเพจ Sexy Boy เอาคนหล่อแต่ไม่มีคุณภาพมาขึ้นเพจ วันนี้อิชั้นขอนำเสนอคนหน้าตาดี ที่มีดีกรีเป็นถึงนักกีฬาว่ายน้ำของคณะวิศวะ แถมคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันกีฬาสัมพันธ์มาได้อย่างงดงาม แฟนๆหลายท่านที่ได้ไปส่องการแข่งขันในวันนี้คงทราบกันแล้ว ส่วนคนที่ไม่ทราบหรือไม่ได้ไป ช้อยขออัพเดตค่ะ

พี่วิน #แม็ควินในตำนานนั่นแหละค่ะ เหรียญทองว่ายน้ำประเภทชาย ทำเวลาในการแข่งขันไปได้ 1.21 นาที ชนะนักกีฬามหาลัยอย่างพี่ฉัตรไปได้แบบฉิวเฉียดเลย (มีคลิปค่ะท่าน ต้องมาดู)

ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างใดๆที่ไม่มีหลักฐานเลิกเล่าลือกันนะคะ อยากเม้าส์ไปนอกเพจค่ะ อย่ามาสร้างความอัปมงคลที่นี่ ไม่งั้นช้อนแบน จบนะ

 

ข้อความทั้งหมดถูกโพสต์ลงในแฟนเพจ Sexy Boy โดยแอดมินคนเดิม พร้อมรูปของผมตอนรับเหรียญทองกับคลิปวิดีโอที่บันทึกการแข่งขัน

 

คอมเม้นต์ 1 : เก่งจัง #ปรบมือรัวๆค่ะ เรื่องอื่นที่เคยได้ยินมาไม่รู้นะ ไม่สนด้วยตอนนี้ขอสมัครเป็น FC พี่วินค่ะ #รู้สึกหลงรัก #โงหัวไม่ขึ้น #เคะของน้อง

คอมเม้นต์ 2 : สงสัยอ่ะ เราติดตามพี่ฉัตรมานานแล้ว ไปดูการแข่งของพี่    ฉัตรทุกครั้งเลยนะ แต่วันนี้รู้สึกว่าพี่เขาไม่เต็มที่อ่ะ คือไม่น่าแพ้แล้วก็ทำเวลาช้าลงด้วย พี่ฉัตรเคยทำได้ดีกว่านี้

คอมเม้นต์ 3 : โอ๊ยยยยยย ถ้าจะบอกว่าวันนี้พี่ฉัตรช้า ดูพี่ไวท์ด้วยค่ะ พี่ไวท์ของน้องก็ช้ากว่าปกติ คือคิดบ้างมั้ยว่านักกีฬาว่ายน้ำก็คนนะคะ อาจจะเหนื่อย นอนน้อย ซ้อมน้อย ปวดหัว ปวดขี้บ้างก็ได้ค่ะ ต้องชนะเสมอไปเหรอถามจริง!

 

เออจริง! เม้นต์นี้เข้าท่าอ่ะครับ ผมอ่านแล้วอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เรื่องที่ผมชนะการแข่งขันว่ายน้ำค่อนข้างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายก็จริง แต่มันก็ไม่ได้แปลกจนเกินไปที่พอร์ชจะทำเวลาช้ากว่าปกติไม่เกิน 10 วินาที แน่นอนว่าคนเราต้องมีป่วยบ้างหรือเหนื่อบ้าง จริงๆก็อดสงสารหมอนั่นไม่ได้นะ ทางคณะบริหารจะว่าอะไรเขาหรือเปล่า หรือโค้ชนักกีฬาจะต่อว่าเขามั้ย เฮ้อ ผมคิดว่าผมจะต้องดีกับพอร์ชให้มากๆแล้วล่ะ

1 วินาทีที่แล้ว

ช้อยขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า ‘มิตรภาพของลูกผู้ชาย’

แคปชั่นไม่ต้องมากที่เหลือให้ภาพอธิบายเป็นคำพูด

เคดิต ฉัตร บริหารธุรกิจ,วิน วิศวกรรมศาสตร์

#หล่ออย่างมีคุณภาพ  #เรือลำใหม่ไฉไลกว่าเดิม  #ฉัตรวิน

 

ดะ เดี๋ยว! อะไรอีกวะเนี่ย

ผมมองข้อความล่าสุดที่ถูกโพสต์โดยแอดมินเพจ Sexy Boy เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วพร้อมกับรูปถ่ายของผมตอนที่ผมวิ่งเข้าไปกอดพอร์ชหลังจากได้รับชัยชนะ

เออนะ ตอนที่ผมเสนอหน้าวิ่งเข้าไปหาผู้ชาย ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ดีใจแล้วก็อยากให้พอร์ชแสดงความยินดีด้วยเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมรูปที่ถูกถ่ายออกมามันถึงได้ดูยังไงๆอยู่วะ แบบว่าหน้าตาของผมมันเบิกบานมากเลยอ่ะ ส่วนสีหน้าของพอร์ชไม่ค่อยเท่าไรนะ เพราะหมอนี่หน้าตายอยู่แล้วไง แต่ระยะที่แนบชิดกันนี่เรียกว่าสุดๆเลย โหยยย เขินอ่ะ

 

คอมเม้นต์ 1 : ว๊ากกกกกกกกกกกกก ว๊ากกกกกกกกกกกกก ใครคิดเหมือนฉันคิดบ้าง ตอบ!!!! ทำไมพี่วินกล้าเข้าไปกอดพี่ฉัตร แต่ที่พีคกว่านั้นคือนั้นคือพี่ฉัตรกอดตอบว่ะแกรรร บ้าไปแล้ว นี่พี่ฉัตรนะ รู้จักเปล่า

#หล่อร้ายกาจอ่ะ #น่ากลัวกว่าผีก็พี่ฉัตรแหละแกร #ฉัตรวิน

คอมเม้นต์ 2 : โอ๊ยยยย เห็นภาพนี้แล้วจะเป็นลม เลือดสีม่วงในกายมันร้อนระอุ เดือดเลยค่ะเดือด แนบแน่นเหลือเกิน ไม่อยากลามกนะค่ะ แต่พวกเขาใส่ชุดว่ายน้ำอยู่ ฮือออ หนูฟินจัง

#กราบของโทษแม็ควิน #เรือเก่าหลบไปฉัตรวินจะแล่น #ฉัตรวิน


 

Contact  :mc4: https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/?ref=bookmarks



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
«ตอบ #53 เมื่อ07-11-2019 16:42:30 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
«ตอบ #54 เมื่อ08-11-2019 18:57:06 »

ติดตามจ้า   :L2:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
«ตอบ #55 เมื่อ08-11-2019 20:36:35 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
«ตอบ #56 เมื่อ13-11-2019 18:54:00 »


บทที่ 20 ของขวัญพิเศษ



ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาเป็นรอบที่สิบ ห่าเอ๊ย ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบโมงเช้าแล้วนะ แต่ไอ้คนนัดเจอผมตอนเก้าโมงเช้ากลับหายหัวไปไหนไม่รู้ โทรไปก็ไม่รับสาย ส่งข้อความไลน์ไปก็ไม่อ่าน ถามว่าหงุดหงิดมั้ยตอบเลยว่ามาก แต่ในความหงุดหงิดกลับอดเป็นห่วงไม่ได้ พอร์ชไม่ใช่คนที่ไม่ตรงเวลา แล้วการที่เขาหายไปเฉยๆแบบนี้มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ซึ่งผมได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุกับเขานะ

ผมไม่แน่ใจว่าควรนั่งรอพอร์ชที่หลังสนามบาสไปอีกนานแค่ไหน ให้ตายสิ เอาเป็นว่าผมจะรอถึงสิบเอ็ดโมงเช้าก็แล้วกัน ถ้าหมอนั่นไม่มาผมจะกลับหอไปนอนแล้ว

หลังสนามบาสในวันหยุดไม่มีผู้คนเลย ยิ่งอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ด้วยแล้วคงไม่มีใครโง่มานั่งท้าแดดท้าลมร้อนๆแบบผมหรอกครับ

อย่าให้กูเจอตัวนะพอร์ช ถ้ามึงไม่มีเหตุผลที่สมควรกูจะโดดถีบมึงแน่ๆ!

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งสาปแช่งพอร์ชในใจก็ได้ยินเสียงเครื่องยนตร์ของรถนอกที่ถูกเร่งด้วยความเร็วสูงแล่นมาทางถนนเส้นเล็กในมหาลัย เข้าสู่ลานของสนามบาสก่อนจะเหยียบเบรคกะทันหันแล้วหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าของผมราวกับจับวาง

เอี๊ยดดดด!!

เฮ้ย เดี๋ยวๆ ผมรู้แล้วครับว่านั่นคือรถสุดหรูของพอร์ช แต่มันจะไม่มั่นหน้าเกินไปเหรอที่เข้ามาจอดรถในสนามบาสแบบนี้ ต่อให้ยามไม่เห็นหรือไม่มีคนใช้สนามก็ตาม แต่มันโคตรไม่มีมารยาทเลยไง มึงลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะพอร์ช!!!

ผมลุกจากม้าหินอ่อนแล้วเดินเข้าไปในสนามบาสที่มีรถปอร์เช่สีแดงสดถูกจอดอยู่ กระจกที่ติดฟิล์มสีดำทำให้ผมมองไม่เห็นว่าคนด้านในกำลังทำอะไร ที่ผมสงสัยคือพอร์ชไม่ได้ก้าวเท้าลงจากรถทันทีทั้งที่เครื่องยนต์ถูกดับแล้วแท้ๆ

ผมยืนเกาหัวงงๆอยู่ที่ด้านหน้าตัวรถ กำลังคิดว่าควรจะเดินไปเคาะกระจกหรือเปล่า ก็พอดีกับที่ประตูฝั่งตรงข้ามกับคนขับถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของชายหนุ่มหุ่นบอบบางที่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

“ติวเตอร์!”

ผมเรียกชื่อของหมอนั่นด้วยความแปลกใจ แต่ติวเตอร์กลับหันมามองหน้าของผมด้วยความแตกตื่น เดี๋ยว ใจเย็นนะ กูยังไม่ได้ข่มขู่มึงเลยโว้ย!

“นี่มันเรื่องอะไรกันวะพอร์ช?” ผมหันไปถามตัวต้นเรื่องที่รีบเปิดประตูลงมาจากรถ

“ขอโทษที่ให้รอนาน” พอร์ชเอ่ยกับผมก่อนจะเหล่สายตาไปมองติวเตอร์ที่กำลังยืนตัวสั่นงันงก

“พอดีกูเสียเวลาไล่จับลูกแกะตอแหลอยู่อ่ะ”

“ลูกแกะ? ตอแหล?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงงก่อนจะหันไปมองติวเตอร์ คือพอร์ชกำลังหมายความว่าเด็กนี่คือ ลูกแกะที่ตอแหล ถูกปะ? แล้วลูกแกะนี่เป็นของขวัญสำหรับผมหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจว่าต้องการเด็กนี่เป็นของขวัญนะครับ

“เตอร์ มีอะไรจะบอกกับวินเหรอครับ”

ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานของพอร์ชที่เอ่ยกับติวเตอร์ ห่านี่ คือผมไม่ได้หึงนะครับ แต่ผมขนลุกว่ะ คนอย่างพอร์ชเนี่ยนะจะใช้น้ำเสียงแบบนี้ได้แถมยังยิ้มละมุนอีกต่างหาก แม่งเหมือนฆาตกรโรคจิตเลยอ่ะ น่ากลัวสัส!

“พูดสิ”

พอร์ชเร่ง ซึ่งดูเหมือนว่าติวเตอร์จะคิดเหมือนกันกับผมเพราะแทนที่เขาจะกระดี๊กระด๊าเขากลับวิ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วยื่นมือทั้งสองข้างมาเขย่าแขนของผมรัวๆ

“ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมด้วย”

ยกโทษให้? เรื่องอะไรวะ?

“หื้ม กูไม่ได้บอกให้พูดแบบนี้นะ เอาใหม่ จะสารภาพดีๆหรือต้องให้กู…”

พอร์ชเอ่ยถามเนิบๆ น้ำเสียงของหมอนี่ยังราบเรียบใจเย็น เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้ตรงจุดที่ติวเตอร์คุกเข่าอยู่พร้อมกับล้วงไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมคิดว่าพอร์ชกำลังบันทึกวิดีโอ เพราะเขาย่อตัวลงมานั่งข้างๆติวเตอร์แล้วถือไอโฟนค้างไว้

“พูดครับ เตอร์พูดแล้วครับ”

ติวเตอร์พยักหน้ารัวๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาที่มีน้ำใสเอ่อคลอ มองไปแล้วก็น่าสงสารว่ะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือกลิ่นแปลกๆที่ออกมาจากตัวหมอนี่

ไปแดกอะไรมาวะ ถามจริง?

“พี่วิน เตอร์เป็นเจ้าของเฟส ‘บุคคลผู้รู้ความจริง’ เตอร์เป็นคนใส่ร้ายพี่ เตอร์บอกคนอื่นว่าพี่ขายตัว”

อ้าว ไอ้ห่านี่!

ผมชะงักเมื่อได้ยินคำสารภาพของติวเตอร์ หมอนี่แม่งชั่วช้าสารเลวจริงๆว่ะ ผมไปทำอะไรให้เขาเนี่ย ทำไมจู่ๆต้องมายุ่งกับผมด้วย

“แล้ววินขายตัวจริงมั้ย” พอร์ชเอ่ยถามเบาๆ ติวเตอร์หันไปมองกล้องที่ถ่ายอยู่ด้านข้างก่อนจะรีบก้มหน้าแล้วเอ่ยปฎิเสธ

“ไม่จริงครับ เตอร์แค่ไปตามหาแฟนเก่าๆของพี่วิน แล้วก็ขอซื้อรูปที่ถ่ายคู่กันมาแพงๆ”

“แล้วทำแบบนี้ไปทำไม” พอร์ชถาม

เออขอบใจ กูก็กำลังจะถามเหมือนกันว่าทำไม

“อึก…ฮืออออ”

ผมคิดว่ารอยยิ้มร้ายกาจที่มุมปากของพอร์ชมันคงหลอนประสาทได้พอสมควรเพราะติวเตอร์ถึงกับร้องไห้โฮ

“อยากร้องไห้ต่อหน้ากล้องหรืออยากให้กูเอาคลิปนั้นไป…”

“ยะอย่าครับ พูดครับ พูดแล้ว”

ติวเตอร์หยุดร้องไห้ทันทีแล้วรีบปฎิเสธด้วยสีหน้าแตกตื่น ซึ่งมันเรียกความสนใจจากผมได้มากทีเดียว คือผมสงสัยว่าพอร์ชกำลังหมายถึงคลิปอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรมันดูจะเป็นคลิปที่ติวเตอร์ไม่อยากให้ใครเห็นมากพอควรเลย

“เตอร์เกลียดพี่วินครับ ตอนที่ไปออกค่ายอาสาด้วยกันพี่วินมาแย่งความสนใจของพี่ฉัตรไปจากเตอร์”

กูเนี่ยนะ! มาแย่งความสนใจไปจากมึง ทำไมกูจำได้แค่พอร์ชไม่ได้สนใจมึงเลยล่ะ อีเด็กขี้มโน!

“เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องแกล้งกันเลยเหรอ”

พอร์ชถามเรียบๆ ซึ่งเตอร์ก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำใจ

“มีเรื่องอื่นอีกมั้ย พูดให้หมดเร็วสิ”

“ผมขังพี่วินไว้ที่สระว่ายน้ำ”

ติวเตอร์รีบสารภาพซึ่งผมก็พอจะเดาได้ พอร์ชเงยหน้าขึ้นมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะเก็บไอโฟนใส่ในกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วลุกจากพื้น

“มึงอยากให้มันทำอะไรเป็นการไถ่โทษ”

คำถามที่ส่งมากะทันหันทำให้ผมเริ่มแตกตื่น คือผมต้องให้ติวเตอร์ทำอะไรไถ่โทษด้วยเหรอ แค่ที่เด็กนี่มันคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้นก็น่าจะพอได้แล้วนะ

“เอ่อ ไถ่โทษเหรอ กูว่า…” ผมเหลือบสายตาไปมองพอร์ช เขามีสีหน้าจริงจังมาก เหมือนกับว่าถ้าผมต้องการให้ติวเตอร์ทำอะไร เขาก็พร้อมจะบังคับเด็กนี่ให้ทำในทันที แต่เมื่อผมก้มหน้ามองติวเตอร์ที่กำลังก้มหน้ามองพื้นผมก็หมดอารมณ์จะโกรธทันที มันเหมือนกับผมเป็นเด็กไม่รู้จักโต ที่โดนเด็กไร้สมองแกล้งแล้วจะต้องแกล้งคืนอ่ะครับ ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย

“คิดไม่ออกว่ะ” ผมตอบส่งๆ หวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงตรงนี้ ของขวัญจากพอร์ชแม่งโคตรพิเศษแล้วก็โคตรเหนือความคาดหมายเลย ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำลังรู้สึกอย่างไร…แปลกใจ? ซาบซึ้ง? ตกใจ?

“งั้นก็กราบขอขมาวินซะ”

“เฮ้ย!”

ผมร้องเสียงหลงก่อนจะรีบดึงมือของติวเตอร์ที่ยกขึ้นมาพนมไว้บนอก อีห่าพอร์ช มึงเห็นกูเป็นศาลตายายเหรอ ที่จะหลบลู่แล้วต้องมาขอขมาอ่ะ เกินไปหน่อยแล้วนะโว้ย ผมอยากโมโหแต่ก็อยากหัวเราะให้ลั่นสนามบาสเหมือนกัน พอร์ชแม่งเด็กชะมัดเลย

“ไม่ต้องๆ พอแล้ว กลับไปได้แล้วไป” ผมรีบไล่ติวเตอร์ก่อนที่พอร์ชก็ออกอาการบ้าบออะไรขึ้นมาอีก

“ผมกลับไปได้จริงๆเหรอครับ” ติวเตอร์เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

“เออ อย่ามายุ่งกับกูแล้วก็อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีกนะ” ผมกำชับติวเตอร์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ได้ขู่นะเว้ย แต่ถ้ามึงหาเรื่องกูอีกครั้งนะ คราวนี้ไม่ต้องให้ถึงมือพอร์ช รับรองเลยว่ากูไปถีบมึงที่คณะแน่นอน

“ได้เลยครับ เตอร์ไม่กล้าทำอีกแล้วครับพี่วิน” ติวเตอร์ละล่ำละลักก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ดูจากสกิลการวิ่งแล้ว ผมว่าหมอนั่นคงจะกลัวพอร์ชแบบฝังใจไปอีกนานเลย

“ชอบมั้ย ของขวัญจากกู”

หลังจากที่ติวเตอร์หายลับสายตาไปแล้ว พอร์ชก็หันมาถามผม

“มึงไม่คิดว่าเล่นแรงไปเหรอวะ”

“กูก็จัดให้แรงเท่าที่มันทำกับมึงไง”

ผมถอนหายใจเบาๆ เชื่อเถอะว่าพอร์ชน่ะ…หล่อแต่น่ากลัวชะมัดเลย ผมคิดผิดหรือคิดถูกนะที่เสือกมาตกหลุมพรางของหมอนี่ ถ้าจู่ๆผมเบื่อเขาแล้วไปขอเลิกต้องโดนหักคออย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ทำไมเด็กนั่นกลิ่นเหม็นแปลกๆอ่ะ รู้สึกมั้ย?”

ผมถามเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ติวเตอร์คุกเข่าอยู่บนพื้น กลิ่นจากตัวของเด็กนั่นมันลอยมารบกวนโพรงจมูกของผมอย่างบอกไม่ถูก มันตุๆอ่ะ กลิ่นไม่ดี เหมือนปลาตาย

“อ๋ออออออ”

ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงครางรับในลำคอของพอร์ช รอยยิ้มของหมอนั่นโคตรไม่น่าไว้ใจเลย

“กูนัดเจอมันวันนี้ แต่มันเกิดปอดแหก คิดจะหนี กูก็เลย…”

“เลย…อะไรเล่า?” ผมเร่งเมื่อเห็นว่าพอร์ชแกล้งหยุดคำพูดไปดื้อๆ คือมึงจำเป็นต้องทำให้กูตื่นเต้นด้วยเหรอฮะ เล่าแบบปกติน่ะเป็นมั้ย

“จับหัวมันยัดชักโครก”

จะ…จับหัวมันยัดชักโครก! เลยเหรอ…

ชักโครก!

พอร์ชบอกว่าชักโครกอ่ะแม่จ๋า!!!

“จะ จริงเหรอ”

พอร์ชล้อเล่นหรือเปล่านะ ผมหวังว่าเขาจะหัวเราะแล้วบอกผมว่าติวเตอร์เดินตกท่อหรืออะไรทำนองนั้น แต่เขากลับพยักหน้าให้ผมเป็นการยืนยัน ฮืออออออ

ไอ้บ้าพอร์ช มึงเล่นแรงไปแล้ว กูกลัวววว ไม่ได้กลัวแทนติวเตอร์นะ แต่กลัวแทนตัวเองอ่ะครับ หมอนี่ยิ่งเดาใจยากๆอยู่ด้วย จะแน่ใจได้ไงว่าในอนาคตเขาจะไม่ทำอะไรบ้าๆกับผม

“เอ่อ พอร์ช ถ้าเกิดวันหนึ่งกูทำให้มึงโกรธหรือไม่พอใจ แหะๆ” ผมเกริ่นก่อนจะเริ่มหัวเราะแห้งๆ น้ำลายเฝื่อนคอไปเลยว่ะ

“มึงจะจับหัวกูยัดชักโครกหรือเปล่าอ่ะ” พอร์ชเลิกคิ้วขณะที่ทอดสายตามามองผม ราวกับว่าเขากำลังประเมินสถานการณ์บางอย่าง นี่กูลุ้นนะเว้ย ทำไมต้องคิดนานแบบนั้นด้วยอ่ะ ตอบเลยไม่ได้เหรอ พูดสิว่าไม่มีทางทำแบบนั้น…สัญญาสิว่าไม่มีทางทำร้ายกู พูดดีๆแบบนี้ไม่เป็นหรือไงอ่ะ

“ก็ขึ้นอยู่กับว่ามึงทำอะไรให้กูไม่พอใจ”

อึก!

ผมกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ลืมไปได้ยังไงนะว่าหมอนี่เป็นปีศาจ ต่อให้ผมเป็นแฟนเขา เขาก็เป็นปีศาจอยู่ดีนั่นแหละ

ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

“ล้อเล่นน่า แฟนทั้งคน กูจะทำลงได้ยังไง”

ผมเบิกตาโตเมื่อจู่ๆพอร์ชก็ระเบิดหัวเราะด้วยความขบขัน ไอ้ห่านี่ กูถีบเลยดีมั้ย…ไม่หรอก ผมไม่ได้ทำลงไปจริงๆ ไม่ใช่ว่ากลัวพอร์ชจะเจ็บ แต่ผมกลัวจะโดนสวนกลับเป็นสองเท่าต่างหาก คือจะให้ผมมีเรื่องกับใครที่ไหนก็ได้ ผมไม่กลัวนะ      วินคนแมนอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เป็นศัตรูกับพอร์ช วินขอคุกเข่ายอมแพ้ บอกแล้วไงว่าแมน ยอมรับแมนๆเลยว่าสู้พอร์ชไม่ได้ ฮืออออ

“แน่นะ” ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

“แน่สิครับ”

พอร์ชขยับยิ้มอ่อนโยนแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น อ้อมกอดของเขาทั้งหอมทั้งอบอุ่น ล่อลวงให้ผมไว้วางใจได้อย่างง่ายดาย

ให้ตายสิ ต่อให้ในอนาคตถูกพอร์ชจับหัวยัดชักโครกขึ้นมาจริงๆ ผมก็คงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ โงหัวไม่ขึ้นแล้วกู เพิ่งรู้ว่าตัวเองชอบแบบฮาร์ดคอร์ก็ตอนนี้แหละ แบบน่ารักๆสเปกวินไม่มีอีกแล้วครับ มีแต่คนใจเถื่อนอย่างพอร์ชคนเดียวเลย

“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าติวเตอร์เป็นคนแกล้งกู” ผมถามในตอนที่ผละออกจากอ้อมแขนของพอร์ช

“ให้เพื่อนมึงช่วยไง คนที่ใส่แว่น”

“ไอ้พิสุทธิ์อ่ะเหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“เออ เพื่อนมึงเป็นคนหาตัวเจ้าของเฟสบุ๊ค (บุคคลผู้รู้ความจริง) มาให้กู กูเลยเอารูปของติวเตอร์ไปให้ลุงยามที่เฝ้าสระว่ายน้ำดู ลุงบอกว่าคนนี้แหละที่เอาขนมมาให้วันที่มึงถูกขัง” 

พอร์ชอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟังคร่าวๆ ผมรู้ว่าไอ้แว่นมันเก่ง แต่เพิ่งรู้จริงๆว่าเพื่อนสนิทของผมรอบรู้ในเรื่องของคอมพิวเตอร์และการใช้อินเตอร์เน็ทด้วย นับว่าอัจฉริยะมากเลยครับ

“แต่ถ้าจะบังคับให้คนหน้าใสใจตอแหลมายอมรับความผิดของตัวเองมันคงเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวเตอร์มันก็แถว่ามีใครไม่รู้บังคับให้มันทำอีก แล้วคนอื่นๆก็จะเชื่อมัน กูเลยให้คนไปขโมยไอโฟนของเตอร์มาแฮค ดีนะที่มันชอบถ่ายคลิปตอนเอากับผู้ชายไว้ กูเลยขู่มันว่าถ้าไม่มารับสารภาพกับมึงกูจะปล่อยคลิปของมันให้คนทั้งมหาลัยดู”

นับเป็นอีกข่าวที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้าง…ร้ายกว่าตัวเหี้ยก็พอร์ชนี่แหละครับ!





Contact

https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856

:hao5: :mc4:




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
«ตอบ #57 เมื่อ15-11-2019 22:59:47 »

 :laugh: o13 :laugh:



 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
«ตอบ #58 เมื่อ16-11-2019 00:08:23 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
«ตอบ #59 เมื่อ16-11-2019 08:36:16 »

 :hao3: :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด